บทที่ 334 ขาดทุน
ถูกก่วนฟางอี๋ลากเดินออกไปต่อหน้าต่อตาทุกคน
ความรู้สึกนั้นดูเหมือนหนิวโหย่วเต้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธได้เลย
ถูกลากเดินออกมาได้ไม่เท่าไรก็ถูกก่วนฟางอี๋คล้องแขนไว้อีกครั้ง เหมือนคู่รักที่สนิทสนมรักใคร่!
ลิ่งหูชิวและหงซิ่วยืนทื่ออยู่ตรงนั้น มองตามหลังไปอยู่ครู่หนึ่ง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหันไม่ทันตั้งตัว ทั้งสองยังคงตะลึงกับเหตุการณ์นี้ คล้ายยังไม่ได้สติกลับมา
ขณะที่เดินไปตามทางเท้าสายเล็กที่มีต้นไม้เรียงราย ก่วนฟางอี๋สังเกตเห็นว่าหนิวโหย่วเต้ามีท่าทีจะชักแขนออก นางจึงรีบรัดไว้แน่น “อะไรกัน รังเกียจหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าหงุดหงิดเล็กน้อย กระซิบถามเสียงเบา “ข้าบอกตอนไหนว่าจะแต่งกับเจ้า? คำพูดนี้กล่าวส่งเดชได้หรือ?”
ก่วนฟางอี๋ยิ้มร่าเอ่ยไปว่า “เจ้าจะแก้ตัวให้กระจ่างก็ได้นี่ ข้าไม่ได้อุดปากเจ้าไว้สักหน่อย เจ้าไม่อธิบายเอง จะมาโทษข้าได้หรือ?”
หนิวโหย่วเต้าย้อนถาม “ข้าจะอธิบายได้อย่างไร?”
เรื่องนี้ทั้งสองฝ่ายไม่ได้เจรจาตกลงกันไว้ จนปัญญาจะอธิบาย หากคนหนึ่งบอกใช่ อีกคนบอกไม่จนเกิดพิรุธขึ้นมา นึกว่าคนเขาจะโง่จนดูไม่ออกหรือ?
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “รู้ตัวว่าไม่สะดวกจะอธิบายก็ดี ในเมื่อจะแสดงทั้งทีก็ต้องแสดงให้สมจริงหน่อย ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะหวังดีต่อเจ้า จากนี้ไปพี่รองคนนั้นของเจ้าต้องเชื่อแน่นอนว่าพวกเรามีความสัมพันธ์กัน ต่อให้ข้าเพิ่มกำลังคุ้มกันเจ้าเขาก็ไม่มีทางสงสัยแน่ ข้าทุ่มเททำงานเพื่อเจ้าขนาดนี้ เหตุใดเจ้าถึงมีท่าทีเนรคุณไม่ซาบซึ้งเล่า?”
“แบบนี้เรียกว่าหวังดีต่อข้าอย่างนั้นหรือ? วันหน้าถึงข้าแก้ตัวอย่างไรก็คงไม่กระจ่างแล้ว”
“จะแก้ตัวไปไยเล่า? เจ้าไปค้างคืนที่เรือนของข้า เดิมทีก็ไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียงอยู่แล้วมิใช่หรือ?”
“เจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าขอเตือนเจ้าไว้เลยนะ อย่าทำตัววุ่นวาย!”
“ข้าทำตัววุ่นวายหรือ? ข้าไปหาเรื่องเจ้าหรือไง? พวกเราไร้ความคับแค้นบาดหมาง อยู่ดีๆ ก็มาราวีข้าไม่ยอมปล่อย จะลากข้าไปซวยด้วยให้ได้ ก็ดี เช่นนั้นก็ซวยไปด้วยกันเลย! พอตอนนี้ดันมาโทษข้าอีก ลากข้ามาซวยแล้วยังจะกลัวตัวเองเดือดร้อนอีกหรือ?”
ปุ่มที่ 1 ใน 4 สารบัญ
ปุ่มที่ 2 ใน 4 ความคิดเห็น
ปุ่มที่ 3 ใน 4 ตอนก่อนหน้า
ปุ่มที่ 4 ใน 4 ตอนถัดไป
0
“ข้าทำตัววุ่นวายหรือ? ข้าไปหาเรื่องเจ้าหรือไง? พวกเราไร้ความคับแค้นบาดหมาง อยู่ดีๆ ก็มาราวีข้าไม่ยอมปล่อย จะลากข้าไปซวยด้วยให้ได้ ก็ดี เช่นนั้นก็ซวยไปด้วยกันเลย! พอตอนนี้ดันมาโทษข้าอีก ลากข้ามาซวยแล้วยังจะกลัวตัวเองเดือดร้อนอีกหรือ?”
“เจ้าเอาอีกแล้วนะ อย่าออกนอกเรื่อง คุยให้ตรงประเด็น!”
“ได้! คุยให้ตรงประเด็น! มีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ข้าติดตามบุกน้ำลุยไฟเพื่อเจ้า? เจ้ากำลังหาประโยชน์จากข้าอยู่ชัดๆ ถ้าเจ้าใช้ประโยชน์เสร็จแล้วถีบหัวส่งข้าจะทำอย่างไรเล่า? เจ้ามีเพียงคำหวานเอาใจไม่กี่ประโยค คำหวานของบุรุษข้าฟังมามากพอแล้ว ไม่มีประโยชน์อันใดเลย เจ้ามีสิ่งใดเป็นหลักประกันให้ข้าล่ะ? หากทำไม่สำเร็จแล้วข้าซวยไปกับเจ้าด้วยล่ะ? หากทำสำเร็จ ข้าก็ต้องละทิ้งเมืองหลวงแห่งนี้ไป แล้วถ้าเกิดเจ้าถีบหัวส่งขึ้นมา เจ้าว่าข้าควรทำอย่างไรเล่า? คำพูดหวานๆ ไม่กี่ประโยคจะสามารถชดเชยให้ข้าได้หรือ?”
“เจ้าอยากได้หลักประกันอันใดก็มาคุยกันได้ ข้าไม่ใช่คนไร้เหตุผล พวกเราเจรจากันดีๆ ได้” หนิวโหย่วเต้าพยายามจะดึงแขนออกจากการกอดรัดของนางอีกครั้ง
“อย่าขยับ!” ก่วนฟางอี๋ออกแรงรั้งไว้ สภาวะของนางสูงกว่าหนิวโหย่วเต้า หนิวโหย่วเต้าออกแรงอยู่หลายครั้งก็ยังชักแขนกลับมาไม่ได้ “ข้าไม่ต้องการหลักประกันอื่น ข้าต้องการเรื่องนี้! เจ้าคิดจะให้ข้าติดตามเจ้าไปบุกน้ำลุยไฟ ได้ ไม่มีปัญหา แต่มีสิทธิ์อะไรมาทำให้ข้าเดือดร้อน ส่วนตัวเจ้ากลับปลอดภัยไร้ข้อครหา? หากจะซวยก็ต้องซวยไปด้วยกัน ทำให้คนทั่วหล้าได้รู้ว่าเป็นเจ้าที่รับปากว่าจะแต่งกับข้า ข้าถึงได้ยอมติดตามเจ้า ต่อไปหากเจ้ากล้าถีบหัวส่ง กล้าใช้วิธีนี้มาหลอกลวงแม้แต่สตรีอย่างข้า ข้าก็จะทำให้คนทั้งโลกได้เห็นธาตุแท้ของเจ้า! แต่แน่นอน เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้ามาแต่งกับข้าจริงๆ หรอก เรื่องแบบนี้จะมาบังคับใจกันก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”
พอใคร่ครวญความนัยที่แฝงอยู่ในวาจานี้แล้ว หนิวโหย่วเต้าพลันขนลุกขึ้นมา
ขณะที่เอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ก่วนฟางอี๋ยังคงยิ้มละไมอยู่ ท่าทางดูใกล้ชิดสนิทสนมเป็นอย่างมาก ในมุมมองของคนนอกที่ไม่ทราบเรื่องราวคงนึกว่าทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันหวานชื่นตามประสาคู่รัก
….
พอกลับมาถึงเรือนพำนัก ลิ่งหูชิวก็ส่ายหน้าทันที “ยังหนุ่มยังแน่น เหตุใดถึงทำเช่นนี้กัน? น่าอับอาย!”
หงฝูที่อยู่เฝ้าปีกทองเดินเข้ามาหา พอเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้ก็อดถามไม่ได้ “นายท่าน เหตุใดจึงโมโหคับข้องใจเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ?”
หงซิ่วยิ้มเจื่อนเอ่ยไปว่า “หนิวโหย่วเต้าจะแต่งกับก่วนฟางอี๋!”
“ห๊า!” หงฝูตกใจไม่เบา สีหน้าเหลือจะเชื่อ “เขาเพียงอยากเล่นสนุกมิใช่หรือ? เหตุใดถึงจริงจังขึ้นมาได้?”
ตอนนี้แม้แต่ตัวนางที่เป็นสตรีคนหนึ่งก็ยังคิดว่าหนิวโหย่วเต้าแค่เล่นสนุกกับก่วนฟางอี๋เท่านั้น จะแต่งเป็นภรรยาได้อย่างไร?
“เฮ้อ! ปัญหาสำคัญคือก่วนฟางอี๋เห็นหนิวโหย่วเต้าเป็นแก้วตาดวงใจไปแล้ว กลัวว่าทางฝั่งจินอ๋องจะลงมือกับเขา ส่งลูกน้องมาคอยติดตามคุ้มกันหนิวโหย่วเต้า…” หงซิ่วบอกเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียด
หงฝูตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องราวได้ทันที เรื่องที่จะลงมือสังหารในเมืองหลวงอย่างโจ่งแจ้งแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลย หากหนิวโหย่วเต้ามีคนคอยคุ้มกันอยู่ข้างกายตลอด เช่นนั้นก็แปลว่าทางนี้จะไม่มีโอกาสลงมือกับหนิวโหย่วเต้าเลยมิใช่หรือ? “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?”
หงซิ่วอดไม่ได้ที่จะกระซิบด่าเสียงเบา “นังหญิงชั้นต่ำก่วนฟางอี๋ สู้อุตส่าห์วางแผนเตรียมการไว้หลายตลบ แต่ต้องมาเกิดปัญหาเพราะไม่คิดว่าหญิงชั้นต่ำส่ำส่อนอย่างนางจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้! หนิวโหย่วเต้าคนนั้นก็ยิ่งไม่ได้เรื่อง ไม่น่าเชื่อว่าสตรีเหลวแหลกเช่นนี้ก็ยังจะเอา!”
“เฮ้อ!” ลิ่งหูชิวส่ายหน้าทอดถอนใจ “ถึงแม้จะรู้ดีว่าบนโลกนี้มีคนบางส่วนที่มีรสนิยมความชอบค่อนข้างพิเศษ แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีคนเช่นนี้อยู่ใกล้ตัวข้าด้วย หนำซ้ำข้ายังไปสาบานเป็นพี่น้องกับเขาอีก นี่มันเรื่องอะไรกัน!”
หงซิ่วเอ่ยว่า “นายท่าน นั่นเป็นเรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับพวกเรา ประเด็นสำคัญคือ พอก่วนฟางอี๋สอดมือเข้ายุ่งเช่นนี้ พวกเราจะไม่สามารถทำภารกิจที่เบื้องบนมอบหมายมาได้สำเร็จนะเจ้าคะ!”
ลิ่งหูชิวยกมือนวดหน้าผาก เรื่องนี้ทำให้เขาปวดหัวจริงๆ ถึงหลับฝันก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขายกมือออกแล้วกล่าวว่า “รอดูสถานการณ์ไปก่อน ดูว่าจะมีโอกาสลงมือหรือไม่ หากว่าไม่ได้จริงๆ ก็รายงานขึ้นไป ดูว่าเบื้องบนจะตัดสินใจอย่างไร!”
“ข้าว่าข้ามีอยู่วิธีหนึ่ง บางทีอาจจะได้ผลเจ้าค่ะ” หงฝูเอ่ยเนิบๆ ออกมา
ทั้งสองคนที่อยู่ใกล้ๆ มองมา หงซิ่วเอ่ยถาม “วิธีการใด?”
หงฝูจ้องมองนาง เอ่ยออกมาสองคำ “ยั่วยวน!”
“…..” ลิ่งหูชิวและหงซิ่วล้วนพูดไม่ออก รู้สึกตกใจเล็กน้อย พอจะเดาเจตนาของนางออกแล้ว
หงฝูอธิบายว่า “เขาสนใจในตัวพวกเราพี่น้องมิใช่หรือ? หากว่าข้างกายเขามีการคุ้มกันหนาแน่น มิสู้ให้พวกเราสองพี่น้องใช้เสน่ห์ยั่วยวน เช่นนี้น่าจะแยกตัวเขาจากผู้คุ้มกันได้ เขาคงไม่ถึงกับทำเรื่องแบบนั้นแล้วยังปล่อยให้มีคนมายืนดูอยู่ด้านข้างกระมัง? เขาต้องไล่ผู้คุ้มกันข้างกายออกไปแน่นอน!”
นางสงบเยือกเย็นเสมอมา แต่กลับพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองเลย เหมือนคนที่ต้องไปยั่วยวนไม่ใช่ตัวนางอย่างไรอย่างนั้น
หงซิ่วมองไปที่ลิ่งหูชิว พวกนางสองพี่น้องดูแลรับใช้เขา เป็นสตรีของเขามานานแล้ว ไม่ทราบว่าเขาจะเห็นด้วยหรือไม่
ลิ่งหูชิวโบกมือพลางเอ่ยว่า “ไม่ดี! ข้าจะให้พวกเจ้าสองพี่น้องไปทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ต่อให้ทำสำเร็จแล้วต่อไปข้าจะยังมีหน้าเจอพวกเจ้าอีกหรือ?”
“ได้รับน้ำใจในส่วนนี้และคำพูดประโยคนี้จากนายท่านก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ ชาตินี้พวกเราพี่น้องย่อมเป็นคนของนายท่าน ไม่มีทางทอดกายให้ชายอื่น” หงฝูย่อตัวคารวะแล้วเอ่ยต่อ “อันที่จริงไม่มีอันตรายอันใดเลยเจ้าค่ะ ด้วยพลังของพวกเราสองพี่น้อง เขาก็ยากจะบังคับพวกเราได้ เริ่มจากยกสุราอาหารมาสร้างความสำราญก่อน จากนั้นค่อยวางยาสลบเขา จากนั้นก็จับกรอกโอสถนั่น ใช้พลังกระตุ้นให้ยาออกฤทธิ์เร็วขึ้น รอจนพวกเราได้ข้อมูลที่ต้องการมาแล้วก็สังหารทิ้งได้เลย จากนั้นพวกเราค่อยรีบหลบหนีออกมา พวกเราสามารถเข้าออกสวนไม้เลื้อยแห่งนี้ได้ คิดว่าไม่น่าจะมีผู้ใดขัดขวางเราเจ้าค่ะ”
หงซิ่วพยักหน้าเห็นด้วย “น้องสาวพูดมีเหตุผล นายท่าน ข้าว่าแผนการนี้ใช้ได้เจ้าค่ะ!”
“เอ่อ…” ลิ่งหูชิวค่อนข้างสับสนลังเล รู้สึกไม่สบายใจ ให้สตรีของตนไปทำเรื่องแบบนี้ ขอเพียงเป็นบุรุษที่ปกติสักหน่อยก็ล้วนแต่ยากจะยอมรับได้ทั้งสิ้น หลังจากไตร่ตรองอยู่หลายตลบ เขายังคงส่ายหน้าพลางโบกมือปฏิเสธ “ไม่ดีๆ เขาสนใจพวกเจ้ามาตั้งแต่แรกแล้ว ข้าปฏิเสธเขามาตลอด หากจู่ๆ ก็ยอมยกให้ สติปัญญาของคนผู้นี้พวกเจ้าก็ได้เห็นมาแล้ว เขาจะไม่ฉุกสงสัยได้หรือ?”
หงฝูเอ่ยอย่างเย็นชา “เรื่องนี้จัดการได้ไม่ยากเจ้าค่ะ! เขาต้องการให้นายท่านไปสังหารเว่ยฉูมิใช่หรือเจ้าคะ? นายท่านสามารถใช้ข้ออ้างว่าจะไปหาคนมาลงมือเพื่อหลบออกไปชั่วคราวได้ แล้วก็เรียกได้ว่าเป็นการล่วงหน้าไปก่อน ย่อมไม่มีทางทำให้เขาสงสัย จากนั้นพวกเราพี่น้องค่อยหาโอกาสลงมือ พอเสร็จเรื่องแล้วพวกเราจะตามไปสมทบกับนายท่านทันที! วิธีนี้ยังมีข้อดีอีกอย่างด้วย การสังหารเว่ยฉูไม่ใช่แค่พูดว่าทำได้ก็จะทำได้จริง ข้ออ้างที่ว่านายท่านออกไปหาคนมาลงมือสามารถยกมาใช้ซ้ำได้ ยังไงก็ต้องมีโอกาสที่พวกเราพี่น้องจะลงมือแน่นอนเจ้าค่ะ”
ลิ่งหูชิวอึดอัดใจ ทว่าคำพูดของนางมีเหตุผล ดูเหมือนเขาจะหาเหตุผลอื่นใดมาบอกปัดไม่ได้แล้วเช่นกัน แต่ยังคงไม่ได้ตอบตกลงในทันที เขาเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “เรื่องนี้พวกเราจะด่วนตัดสินใจไม่ได้ รายงานไปก่อนเถอะ รอดูว่าเบื้องบนจะตัดสินใจอย่างไร”
สตรีทั้งสองรู้จักเขาดี ทราบว่าเขาห่วงใยพวกนาง เรื่องนี้ทำให้สองพี่น้องปลื้มใจเป็นยิ่งนัก
……
ช่วงเวลาต่อจากนั้น นับว่าหนิวโหย่วเต้าได้ใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องเป็นกังวลอะไรแล้ว มักจะเดินเล่นเตร็ดเตร่ในเมืองหลวงโดยมีก่วนฟางอี๋อยู่ข้างกาย
อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าก่วนฟางอี๋กำลังจงใจแพร่ข่าวออกไป พอพบหน้าคนรู้จักก็จะป่าวประกาศบอกว่าหนิวโหย่วเต้าจะแต่งกับนาง
เรื่องนี้ทำให้หนิวโหย่วเต้าคับข้องใจเป็นอย่างยิ่ง ความรู้สึกที่ยังไม่ทันได้ประโยชน์ก็ต้องขาดทุนเสียแล้วช่างน่าอึดอัดนัก แต่พอคนอื่นถามขึ้นมา เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
ถึงแม้จะไม่ได้ยอมรับ แต่บางครั้งการที่ไม่ปฏิเสธก็เท่ากับเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย
หนิวโหย่วเต้าทราบดี คราวนี้นับว่าชื่อเสียงของตนถูกสตรีนางนี้ทำให้ฉาวโฉ่เสียแล้ว ไม่รู้เลยว่าลับหลังทุกคนจะพูดถึงเขาอย่างไร เขานับว่าได้เข้าใจความรู้สึกที่ว่าอยู่ในสังคมแบบไหนย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามนั้นแล้ว!
แต่จะโทษผู้ใดได้เล่า? เป็นเขาที่หาเรื่องใส่ตัวเอง!
ริมสระน้ำตื้น ใบบัวเขียวขจี ก่วนฟางอี๋ถือพัดกลมโบกไปมา ดูเหมือนจะอารมณ์ดี
ลูกน้องที่เดินวนเวียนอยู่ในละแวกใกล้เคียงก็สังเกตเห็นเช่นกัน ระยะนี้ดูเหมือนนายหญิงจะอารมณ์ดีทีเดียว รอยยิ้มมิใช่รอยยิ้มเสแสร้งเช่นในอดีต หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริง
หนิวโหย่วเต้าที่ยืนอยู่ริมสระน้ำเอ่ยถามว่า “พี่รอง เรื่องของเว่ยฉูคนนั้นไปถึงไหนแล้ว?”
ลิ่งหูชิวถอนใจพลางเอ่ยไปว่า “เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ ข้ากำลังคิดหาทางติดต่อคนที่เหมาะสมอยู่ อีกทั้งกำลังหาโอกาสอยู่ อยู่ในเมืองหลวงยากจะลงมือกับเขาได้ ต้องหาทางสืบช่วงเวลาที่เขาจะออกจากเมืองหลวงก่อน รอต่อไปก่อน!”
เสียงถอนใจของเขามาจากใจจริง อันที่จริงเขากลับกำลังรอให้หนิวโหย่วเต้าออกจากเมืองหลวงแล้วค่อยลงมือต่างหาก จ้างคนสักกลุ่มมาเล่นงานก็เป็นอันใช้ได้แล้ว ทว่าไม่มีโอกาสนั้นเลย หนิวโหย่วเต้าพะวงถึงเว่ยฉู เห็นได้ชัดว่าหากเว่ยฉูไม่ตาย หนิวโหย่วเต้าก็จะซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงไม่ยอมออกไป
เบื้องบนเองก็อนุมัติลงมาแล้ว พูดให้ถูกคือเห็นด้วยกับกลยุทธ์ยั่วยวนที่ทางนี้เสนอไป
ตอนนี้มิใช่ว่าเขาหาโอกาสสังหารเว่ยฉูไม่ได้ หากแต่กำลังหาโอกาสลงมือกับหนิวโหย่วเต้าอยู่
….
ยามราตรีเงียบสงัด จู่ๆ เฮ่าอวิ๋นถูก็มีอารมณ์สุนทรีย์ขึ้นมา ขึ้นไปยังหอสูงทอดมองแสงไฟจากบ้านเรือนนับหมื่นในเมืองหลวง
เขายืนมองอยู่นานสองนาน มือเคาะไปบนราวกั้น ความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นมา ถอนใจพลางเอ่ยไปว่า “หวังว่าราษฎรแคว้นฉีจะสงบสุขปลอดภัยไปชั่วนิรันดร์!”
ปู้สวินที่อยู่ด้านหลังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ปณิธานของฝ่าบาทต้องกลายเป็นจริงแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
เฮ่าอวิ๋นถูส่ายหน้าเล็กน้อย มุมปากคล้ายจะยิ้มเยาะตัวเองอยู่ พลันเอ่ยถามขึ้นมาว่า “หนิวโหย่วเต้าคนนั้นไปอยู่ไหนแล้ว?”
“…..” ปู้สวินพูดไม่ออก อยู่ไหนน่ะหรือ? จะไปอยู่ไหนได้เล่า ตอนนี้คนเขากำลังลอยชายใช้ชีวิตสำราญอยู่ในเมืองหลวงอยู่เลย
“อะไรกัน? หรือแม้แต่เจ้าก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหนอย่างนั้นเหรอ?” เฮ่าอวิ๋นถูหันกลับไปถาม
ปู้สวินไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะตอบอย่างไรดี จำเป็นต้องสืบด้วยหรือ? ข่าวลือครึกโครมปานนั้น ไม่จำเป็นต้องสืบข่าวก็ทราบแล้ว
ข่าวแพร่ออกไปนานแล้ว เพียงแต่เขาไม่เคยบอกให้ฝ่าบาทได้รับรู้เท่านั้น เกรงว่าจะกระทบต่อจิตใจของพระองค์
“เหตุใดถึงอึกๆ อักๆ เล่า?” เฮ่าอวิ๋นถูหันกลับมา จ้องมองปู้สวินด้วยสายตาเยียบเย็น สิ่งที่เขาไม่ชอบที่สุดคือมีคนปิดบังเรื่องบางอย่างจากเขา
……………………………………………..
บทที่ 333 ประเจิดประเจ้อ
“คนงานแบบใด?”
“ก็คนที่รับงานต่อสู้ฆ่าฟันนั่นแหละ เพียงแต่มีข้อเรียกร้องเล็กน้อย ต้องเป็นคนงานที่เก็บความลับได้”
“ทำตัวมีลับลมคมใน คิดจะทำอะไรกัน?”
“ไม่ต้องถามว่าจะทำอะไร เจ้าแค่ช่วยจัดหาคนมาให้ข้าก็พอ”
“นี่เจ้าพูดเหลวไหลอะไรอยู่? ถ้าไม่รู้ว่าเจ้าจะทำอะไรแล้วผู้ใดจะกล้ารับปาก แล้วข้าจะหาคนได้อย่างไร จะให้คิดค่าจ้างอย่างไร?”
“ข้าก็บอกไปหมดแล้ว ขอคนที่ต่อสู้ฆ่าฟันเป็นก็ใช้ได้ เจ้าทำงานเป็นนายหน้า น่าจะรู้ดีว่าลูกค้าบางประเภทไม่อยากเปิดเผยความลับ หรือว่าหากคนเขาไม่บอกความลับ เจ้าก็จะไม่รับงาน?”
ก่วนฟางอี๋แค่นหัวเราะเหอะๆ “แล้วเจ้าใช่ลูกค้าหรือ? เจ้ากำลังหาประโยชน์จากข้าอยู่ชัดๆ หากข้าต้องตายก็ควรได้รู้สาเหตุการตายหรือเปล่า? หากไม่บอกมาให้ชัดเจนว่าเรื่องราวเป็นมาเช่นไร ข้าก็ไม่ทำ!”
หนิวโหย่วเต้าเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยเนิบๆขึ้นมา “ข้าต้องการปล้นขบวนสินค้าทางทะเล!”
ก่วนฟางอี๋กะพริบตาปริบๆ ถามไปว่า “เจ้าต้องการคนมากแค่ไหน?”
หนิวโหย่วเต้าถามกลับ “เจ้าหามาได้มากแค่ไหน?”
ก่วนฟางอี๋ยิ้มนิดๆ เอ่ยออกมาสามคำ “ปล้นม้าหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าที่กำลังหวีผมอย่างเก้ๆ กังๆ เงยหน้าขึ้นมา มองสตรีที่อยู่ในคันฉ่อง “รู้ได้อย่างไร?”
ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “เจ้ามาเพื่อการใดยังต้องให้พูดอีกหรือ สำนักหยกสวรรค์ สำนักคีรีพิลาส สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่อง ศิษย์ของทั้งสี่สำนักล้วนมุ่งหน้ามาที่แคว้นฉี ไม่ใช่ว่าเจ้าหาคนทำงานให้ไม่ได้ หากแต่มีคนงานไม่เพียงพอต่างหาก แล้วขบวนสินค้าทางทะเลประเภทใดเล่าที่จำเป็นต้องใช้คนมากมายขนาดนี้?”
หนิวโหย่วเต้าหลุบตามองสตรีที่นั่งอยู่เบื้องหน้า ลองถามหยั่งเชิงอย่างใจเย็นว่า “แล้วปล้นม้าต้องใช้คนมากแค่ไหน?”
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “กระทั่งคนของสี่สำนักที่อยู่ทางนี้ยังไม่เพียงพอให้เจ้าใช้ เห็นได้ชัดว่าจำนวนม้าศึกที่เจ้าต้องการปล้นมิใช่น้อยๆ แล้วก็จำเป็นต้องลงมือกับเรือทั้งหมดพร้อมกัน หากปล่อยให้ลำใดลำหนึ่งในกลุ่มส่งข่าวออกไปได้ ถึงเจ้าปล้นมาได้ก็ไม่มีประโยชน์ คนที่กล้าขนส่งม้าศึกจำนวนมากขนาดนั้นผ่านเส้นทางทะเลได้ แสดงให้เห็นว่ามีความสามารถในการระดมกำลังที่ไม่ธรรมดา จะต้องเป็นผู้มีอำนาจแน่นอน ขอเพียงมีข่าวหลุดรอดออกไป เกรงว่าเจ้ายังไม่ทันส่งของที่ปล้นกลับไปก็คงถูกดักเอาคืนระหว่างทางแล้ว งานนี้ยากจะจัดการได้!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยไปว่า “ในเมื่อเข้าใจเรื่องราวดี เช่นนั้นข้าต้องการคนงานประเภทไหน ในใจเจ้าน่าจะรู้ดี”
ก่วนฟางอี๋ถามด้วยความสงสัย “ผู้ใดกันที่เคราะห์ร้ายขนาดนี้ เจ้าคิดจะปล้นม้าของผู้ใด?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่สะดวกจะบอกเจ้า”
ในเวลานี้เอง มีเสียงสาวใช้แว่วมาจากด้านนอก “นายหญิง เสิ่นชิวต้องการเข้าพบนายท่านเจ้าค่ะ”
หนิวโหย่วเต้ากำลังช่วยทำผมให้ก่วนฟางอี๋อยู่ ละมือไม่ได้ จึงตะโกนไปว่า “ให้เขาเข้ามาเลย”
ประตูเปิดออก เสิ่นชิวเดินเข้ามา
เขารู้ว่าหนิวโหย่วเต้าค้างคืนที่เรือนของก่วนฟางอี๋ ซ้ำยังมาเห็นตอนช่วยทำผมให้ก่วนฟางอี๋อีก สายตาที่เสิ่นชิวมองหนิวโหย่วเต้าค่อนข้างแปลกพิกล
“เจ้าสำนักส่งข่าวมาขอรับ” เสิ่นชิวหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา
หนิวโหย่วเต้าถาม “ด่วนหรือไม่?”
เสิ่นชิวตอบว่า “ไม่ด่วนขอรับ!”
หนิวโหย่วเต้าไม่สะดวกจะวางมือ “วางไว้ตรงนั้นแล้วกัน”
เสิ่นชิววางกระดาษไว้บนโต๊ะด้านข้าง หันหลังเดินออกไป ขณะที่กำลังจะก้าวพ้นจากประตูไปก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองอีกครั้ง มุมปากกระตุกเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้
สาวใช้เฝ้าประตูที่เดินเข้ามาเพื่อดึงบานประตูกลับไปก็มีสีหน้าแปลกใจหลังจากที่เห็นเหตุการณ์ภายในห้อง
ประตูปิดลงแล้ว ก่วนฟางอี๋อดขบขันไม่ได้ “ถูกคนอื่นพบเห็นตอนหวีผมให้สตรี ยิ่งเป็นสตรีอย่างข้าด้วยแล้ว เจ้าไม่กลัวจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอาหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ผู้ใดอยากหัวเราะก็หัวเราะไป หากใส่ใจเรื่องแค่นี้ ข้าคงไม่ต้องใช้ชีวิตแล้ว”
ไม่ง่ายเลยกว่าทางนี้จะหวีผมให้นางเสร็จ หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปหยิบจดหมายมาอ่านดู ส่วนก่วนฟางอี๋ก็นั่งเสียบปิ่นปักมวยผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งต่อ
เสียงบ่นของก่วนฟางอี๋ที่ติเตียนว่าเขาไม่ช่วยทำผมให้นางจนเสร็จดังแว่วมา ทว่าหนิวโหย่วเต้าที่อ่านจดหมายอยู่ขมวดคิ้วพึมพำออกมาคำหนึ่ง “ผู้บำเพ็ญผี…”
เป็นจดหมายที่ทางกงซุนปู้ส่งมา คนที่จับตามองทางเกาะแห่งนั้นสังเกตเห็นว่ามีเรือมาชุมนุมกันราวห้าร้อยลำแล้ว ขณะเดียวกันก็มีผู้บำเพ็ญผีจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นบนเกาะ เห็นได้ชัดว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่จะมารับหน้าที่คุ้มกันเรือได้เดินทางมาถึงแล้ว
หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญดูเล็กน้อย ลอบรู้สึกตกตะลึง คนที่ช่วยขนส่งม้าศึกให้เซ่าผิงปอในครั้งนี้เตรียมตัวมาดีมากจริงๆ ลูกเรือเหล่านั้นมองไม่เห็นผู้บำเพ็ญผี แต่กลับรู้ว่ามีผู้บำเพ็ญผีอยู่ข้างกาย ไม่รู้เลยว่าถูกจับตามองอยู่หรือเปล่า แบบนี้พวกเขาย่อมไม่กล้าสร้างปัญหาแน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะช่วยประหยัดกำลังคนไปได้มาก มิเช่นนั้นต้องใช้คนมากเท่าไรถึงจะเพียงพอสำหรับจับตามองลูกเรือบนเรือทั้งห้าร้อยลำได้?
อีกฝ่ายวางแผนเตรียมการมารอบคอบสมบูรณ์ ทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว
ก่วนฟางอี๋ที่กำลังถือคันฉ่องบานเล็กหันซ้ายหันขวาพินิจดูทรงผมอย่างละเอียดเอ่ยถามขึ้นมา “ผู้บำเพ็ญผีอันใด?”
หนิวโหย่วเต้าขยำทำลายจดหมายทิ้ง ตอบไปว่า “เป้าหมายที่ข้าต้องการลงมือเสาะหาผู้บำเพ็ญผีจำนวนมากมาคุ้มกันเรือ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปหามาจากไหน”
ก่วนฟางอี๋วางคันฉ่องบานเล็กลง จากนั้นประทินโฉมต่อ “ดูเหมือนเจ้าจะทราบสถานการณ์ของอีกฝ่ายชัดเจนดีทีเดียวนะ! อีกฝ่ายช่างเคราะห์ร้ายเหลือเกิน ส่วนเรื่องที่ว่าผู้บำเพ็ญผีมาจากไหน ในแคว้นฉีมีสถานที่แห่งหนึ่ง…” พอพูดมาถึงตรงนี้ นางก็ตัวแข็งทื่อไป ค่อยๆ หันกลับมามองหนิวโหย่วเต้า เอ่ยถามว่า “ม้าศึกที่เจ้าต้องการปล้นเกี่ยวข้องกับเถ้าแก่เนี้ยซูจ้าวแห่งเรือนเมฆาขาวอย่างนั้นหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าผงะไป ค่อยๆ หันหลังเดินกลับมาอยู่ข้างกายนาง ถามไปว่า “เหตุใดถึงคิดว่าเกี่ยวข้องกับซูจ้าว?”
เขาก็ไม่ได้ตอบว่าไม่ใช่! เพราะอันที่จริงแล้ว ซูจ้าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับม้าศึกด้วยหรือไม่ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ทราบแน่ชัด ไม่รู้เลยว่าเหตุใดสตรีนางนี้ถึงเชื่อมโยงเรื่องม้าศึกไปหาซูจ้าวได้
ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าวาดภาพเหมือนของซูจ้าว”
หนิวโหย่วเต้าถามด้วยสีหน้าฉงน “วาดภาพเหมือนของนางแล้วเกี่ยวอันใดกับม้าศึก?”
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “ในแคว้นฉีมีสถานที่แห่งหนึ่งนามว่าเขาลับแล เป็นแหล่งรวมตัวของผู้บำเพ็ญผีที่หาได้ยากในโลกนี้ ผู้นำของเขาลับแลคือกุ่ยหมู่ สมัยก่อนมีลูกน้องคนหนึ่งของซีย่วนต้าอ๋องเฮ่าอวิ๋นเซิ่งมาติดพันข้า เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าตนเป็นคนสนิทของเฮ่าอวิ๋นเซิ่ง เขาจึงเผยความลับเรื่องหนึ่งให้ข้าฟัง แต่คนผู้นี้กลับโชคร้าย พอแยกจากข้าไปก็ถูกราชสำนักจับกุมตัว ไม่ทราบเช่นกันว่าไปทำอะไรไว้ คนที่ถูกจับตัวไปพร้อมกับเขาในครานั้นมีลูกน้องของเฮ่าอวิ๋นเซิ่งอยู่หลายคน เขาเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาคนที่ถูกจับไปครั้งนั้น แต่ยังไม่ทันได้ถูกสอบสวนก็ล้มป่วยสิ้นชีพไปเสียก่อน ตายอย่างค่อนข้างมีเงื่อนงำ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงจดจำเรื่องที่เขาเคยบอกได้อย่างชัดเจน”
หนิวโหย่วเต้าถาม “เขาบอกความลับใดต่อเจ้า? เกี่ยวข้องกับกุ่ยหมู่หรือ?”
ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “ครอบครัวของกุ่ยหมู่ยังมีชีวิตอยู่ นางมีเหลนชายคนหนึ่ง นามว่าจางสิงรุ่ย เป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของซีย่วนต้าอ๋องเฮ่าอวิ๋นเซิ่ง ตามที่คนผู้นั้นเล่ามา คนที่ทราบความลับนี้มีอยู่น้อยจนนับนิ้วได้ พอเขาเอามาเล่าเช่นนั้น ข้าก็เลยเป็นหนึ่งในจำนวนคนที่ล่วงรู้ความลับนั้นด้วยพอดี”
“ซีย่วนต้าอ๋องเฮ่าอวิ๋นเซิ่ง…” หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วพึมพำ
ก่วนฟางอี๋เอ่ยต่อไปว่า “ซูจ้าวเป็นนางห้ามของเฮ่าอวิ๋นเซิ่ง น่าจะรู้จักกับจางสิงรุ่ย ตอนนี้มีผู้บำเพ็ญผีกลุ่มหนึ่งโผล่มา อีกทั้งก่อนหน้านี้เจ้าก็ตั้งใจวาดภาพเหมือนของซูจ้าวอีก สองเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกันได้หรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเดินวนกลับไปกลับมาภายในห้อง ข้อมูลนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเขาเป็นอย่างมาก จะบังเอิญขนาดนั้นจริงๆ น่ะหรือ เถ้าแก่เนี้ยซูจ้าวแห่งเรือนเมฆาขาวที่ไปมาหาสู่กับหยวนกังก็คือพี่จ้าวคนนั้นหรือ?
เขากังวลก็แต่ความปลอดภัยของหยวนกัง เพื่อป้องกันเอาไว้ก่อน เขาถึงได้วาดภาพเหมือนของซูจ้าวแล้วส่งไปให้เฉินกุยซั่วยืนยัน ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวกันจริงๆ ตอนนี้เหลือเพียงรอคำตอบจากเฉินกุยซั่วเพื่อยืนยันในขั้นสุดท้ายเท่านั้น
ซูจ้าวเข้าใกล้หยวนกังด้วยจุดประสงค์ใด? ตอนนี้เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของหยวนกังที่สุด
แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าผิดปกติ หากทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของหยวนกังที่มาแฝงตัวในสถานที่แห่งนี้ นางก็ย่อมต้องทราบดีว่าหยวนกังมีความเกี่ยวข้องกับเขา สตรีคนนั้นคงไม่โง่ขนาดนั้นกระมัง รู้อยู่ชัดเจนว่าอาจจะทำให้เขาฉุกสงสัยได้ ไยถึงเข้ามาตีสนิทกับหยวนกังอย่างเปิดเผยอีก? ส่วนเซ่าผิงปอก็ยิ่งไม่มีทางโง่ถึงขนาดนั้น!
เขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร เรื่องนี้ทำให้เขาสับสนขึ้นมาเล็กน้อย!
ก่วนฟางอี๋เห็นว่าท่าทางของเขาดูไม่คล้ายว่ากำลังตกใจที่ถูกตนจับทางได้เลย จึงอดถามไปด้วยความฉงนไม่ได้ว่า “หรือข้าจะเดาผิดไป?”
หนิวโหย่วเต้าที่เดินกลับไปกลับมาก้าวมาหยุดตรงหน้านาง เอ่ยว่า “ดูเหมือนการได้ตัวเจ้ามาจะมีประโยชน์กว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก!”
ก่วนฟางอี๋กลอกตาใส่ทีหนึ่ง
หนิวโหย่วเต้าโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “เรื่องจางสิงรุ่ยคนนั้น ข้าอย่างรู้ประวัติส่วนตัวของเขา ยิ่งละเอียดมากเท่าไรก็ยิ่งดี…”
ด้านนอกเรือน ลิ่งหูชิวเดินนำหงซิ่วเข้ามา เพียงแต่ถูกยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเรือนขวางไว้
ลิ่งหูชิวเอ่ยถามยามคนนั้น “หมายความว่าอย่างไร? เป็นหงเหนียงไม่ต้องการพบข้าหรือว่าเป็นหนิวโหย่วเต้าที่ไม่ต้องการพบข้า?”
ยามเฝ้าประตูตอบว่า “นายหญิงและนายท่านยังอยู่ในห้อง ยังไม่ลุกจากเตียง จึงไม่สะดวกจะเข้าไปรบกวน ท่านลิ่งหูน่าจะเข้าใจดี
“……” ลิ่งหูชิวเหลียวมองดวงตะวันที่ลอยสูงโด่งแล้ว หมดคำพูดเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นมองเข้าไปในเรือนอีกครั้ง เขาอยากถามเหลือเกินว่าเมื่อคืนชายหญิงคู่นั้นระเริงรักกันไปมากขนาดไหน จนป่านนี้แล้วยังไม่ลุกจากเตียงกันอีกหรือ?
“เหลวไหล!” ลิ่งหูชิวหันหลังพลางเอ่ยพึมพำประโยคหนึ่ง ยกมือไพล่หลังยืนอยู่ตรงนั้น เฝ้ารออยู่หน้าประตู
ประเด็นสำคัญคือไม่รู้เลยว่าตอนนี้ชายหญิงคู่นั้นกำลังทำอะไรกันอยู่ ไม่สะดวกจะรบกวนจริงๆ
หลังจากรออยู่พักใหญ่ เสียงของหนิวโหย่วเต้าก็แว่วมาจากด้านหลัง “พี่รอง มัวยืนทำอะไรอยู่หน้าประตู?”
ลิ่งหูชิวและหงซิ่วหันกลับไปมอง เห็นหนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋เดินจูงมือกันออกมา ฝ่ายก่วนฟางอี๋ยังคล้องแขนของหนิวโหย่วเต้าอย่างสนิทแนบชิดเป็นอย่างมาก หัวเราะต่อกระซิกกันออกมา
คนมีปัญญาเพียงมองดูก็เข้าใจแล้ว หลังจากผ่านค่ำคืนเมื่อวานมา เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่ธรรมดาแล้ว แทบจะโอบกอดกันต่อหน้าคนอื่นแล้ว ประเจิดประเจ้อนัก!
“ไอ๊หยา ก็รอพวกเจ้าอยู่น่ะสิ” ลิ่งหูชิวหัวเราะเฮอะๆ จากนั้นก็ถามหยอกเย้า “ค่ำคืนของทั้งสองผ่านไปด้วยดีหรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าเพียงยิ้มแต่ไม่ตอบ
“ชิ่วๆ!” ก่วนฟางอี๋เอ่ยเหยียดลิ่งหูชิวเล็กน้อย จากนั้นก็หันกลับไปมองหนิวโหย่วเต้าด้วยสีหน้ารักใคร่หลงใหล
เหตุการณ์นี้ทำให้สองนายบ่าวที่เฝ้ารออยู่หน้าประตูรู้สึกขนลุกขึ้นมา
ก่วนฟางอี๋หันไปเอ่ยสั่งชายฉกรรจ์ที่เดินเข้ามาจากด้านข้าง “เหล่าลิ่ว นับตั้งแต่วันนี้ไปให้เพิ่มคนคอยติดตามคุ้มกันน้องหนิวอย่างใกล้ชิด อาหารการกินทุกอย่างของนายท่านต้องได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดทุกอย่าง อย่าปล่อยให้ใครหน้าไหนฉวยโอกาสลงมือได้”
ลิ่งหูชิวและหงซิ่วสบตากันทันที
“ขอรับ!” ชายฉกรรจ์คนนั้นตอบรับ
ลิ่งหูชิวลองถามหยั่งเชิงดู “หงเหนียง สั่งการอย่างจริงจังขนาดนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?”
หนิวโหย่วเต้าลูบจมูกพลางเอ่ยว่า “หงเหนียง นี่เจ้าคิดจะจับตามองข้าหรือ?”
“จับตามองอะไรกัน ไม่ว่าพวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ข้ายังคงยืนยันเช่นเดิมว่าจินอ๋องคนนั้นเป็นคนถ่อยเจ้าคิดเจ้าแค้น เขาไม่มีทางยอมปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่” สายตาของก่วนฟางอี๋เคลื่อนไปหยุดที่ใบหน้าหนิวโหย่วเต้า แสดงท่าทางรักใคร่หลงใหลอีกครั้ง “ข้าไม่อยากให้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับเจ้า เพราะเจ้ารับปากแล้วว่าจะแต่งกับข้า!”
ลิ่งหูชิวและหงซิ่วตกตะลึง
หนิวโหย่วเต้าก็ตะลึงไปเล็กน้อย จ้องมองสตรีนางนี้ อยากถามนางเหลือเกินว่าข้าไปรับปากแต่งกับเจ้าตอนไหนกัน? ตอนตกลงกันไว้ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลย!
แต่จะปฏิเสธต่อหน้าคนอื่นก็ไม่ได้เช่นกัน!
“ข้ากำลังจะพาเขาไปเดินเล่นทั่วสวนไม้เลื้อย เพื่อทำความคุ้นเคยกับบ้านของตนไว้ พวกเจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่?” ก่วนฟางอี๋ยิ้มอย่างมีความสุขพลางเอ่ยถามลิ่งหูชิว
ลิ่งหูชิวยิ้มแห้งๆ เอ่ยไปว่า “พวกเจ้าไปเดินเล่นเถอะ พวกเราไม่รบกวนความสุขของพวกเจ้าแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าพลันถูกลากให้ออกเดินจนตัวเซถลา!
…………………………………………………………………………..