บทที่ 41 เจ้าก้อนแป้งเรียนมารยาท
บทที่ 41 เจ้าก้อนแป้งเรียนมารยาท
แม้อันหมัวมัวจะไม่ได้กล่าวตรง ๆ ว่าทั้งหมดก็เพื่อตัวองค์หญิงน้อยเอง แต่คำพูดเหล่านั้นก็พอเข้าใจได้ว่าหมัวมัวหวังดี ชุนสี่และนางกำนัลคนอื่นจึงเดินเข้าไปปลุกเสี่ยวเป่าด้วยความจำใจ
โชคดีที่แม้เสี่ยวเป่าจะเป็นถึงองค์หญิง ซ้ำยังเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท แต่นางกลับไม่วางท่าเย่อหยิ่งแม้แต่น้อย ยามที่ถูกปลุกให้ตื่นก็ยังไม่แสดงท่าทีไม่พอใจเลยสักนิด
เมื่อถูกปลุกนางก็ลุกนั่งท่าทางงัวเงีย ไม่ร้องไห้งอแงเพียงแค่งุนงงเท่านั้น
เมื่อถึงเวลาล้างหน้าก็ทำตามอย่างว่าง่าย ให้ความร่วมมือกับนางกำนัลเป็นอย่างดี ให้เงยหน้าเด็กน้อยก็เงยหน้า ให้ยกแขนเด็กน้อยก็ยกแขน เป็นเด็กดีเสียจนคนเห็นใจอ่อนยวบ
อันหมัวมัวคอยเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ เดิมทีนางคิดว่าองค์หญิงน้อยที่ฝ่าบาททรงรักใคร่โปรดปรานอย่างลำเอียงถึงเพียงนี้จะต้องเอาแต่ใจเป็นแน่ ไม่คิดเลยว่าแท้จริงจะเป็นคนอ่อนโยนราวกับไม่รู้จักอารมณ์โมโหอย่างนี้
นางรู้สึกเบาใจทันที อย่างนี้ก็คงสอนกันได้ไม่ยากเย็นนัก นางได้แต่หวังว่าองค์หญิงเก้าคงจะไม่เขลาจนเกินไปนัก
ล้างหน้าล้างตาเสร็จ เสี่ยวเปาก็ตื่นเต็มตา เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้วนางก็หันไปมองคนแปลกหน้าที่มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
อันหมัวมัวเห็นอย่างนั้นก็ก้าวไปด้านหน้าเพื่อทักทายนาง
“อรุณสวัสดิ์เพคะองค์หญิง หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อสอนจริยาวัตรอันดีงามให้องค์หญิงเพคะ”
เสี่ยวเป่านึกถึงเรื่องที่ท่านพ่อบอกกับนางเมื่อวันก่อนได้ทันที นางจึงฉีกยิ้มกว้างอวดฟันซี่น้อย ๆ ที่ขาวสะอาดให้หมัวมัว
“อรุณสวัสดิ์หมัวมัว คงต้องรบกวนท่านแล้ว”
อันหมัวมัวโบกมืออย่างรวดเร็ว “นี่เป็นสิ่งที่หม่อมฉันสมควรทำแล้ว เช่นนั้นเราไปที่ห้องโถงด้านข้างเพื่อเริ่มเรียนกันเลยนะเพคะ”
ห้องโถงใหญ่นั้นไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นสถานที่เรียนรู้เรื่องพวกนี้ เพราะเป็นที่ประทับและที่ทรงงานของฝ่าบาท บางครั้งอาจมีเหล่าขุนนางมาเข้าเฝ้า
เสี่ยวเป่าพยักหน้าและเดินตามไปที่ห้องโถงด้านข้างโดยไม่อิดออด
แม้จะเตรียมตัวมาอย่างดี แต่ก็เหนื่อยไม่น้อยที่ต้องฝึกฝนท่ายืน ท่านั่ง ท่าเดิน และท่ากินทั้งหลายล้วนเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์
ช่วงแรกก็ผ่านไปด้วยดี แม้จะเหนื่อยมาก แต่เสี่ยวเป่าก็อดทนฝึกฝนอย่างหนักได้โดยไม่ร้องไห้งอแง
ทว่าเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารนั้นเป็นเรื่องยากที่สุดสำหรับเด็กน้อย ก็แค่กินเหตุใดต้องมีกฎมากมายเพียงนี้ด้วย!
ถึงกระนั้น เสี่ยวเป่าก็ไม่ปริปากบ่นแม้แต่น้อย คำว่า ‘ไม่เรียนแล้ว’ ไม่เคยหลุดออกจากปาก เจ้าก้อนแป้งเพียงเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเท่านั้น
“อันหมัวมัว หลังจากนี้เสี่ยวเป่าจะต้องกินเช่นนี้ไปตลอดเลยหรือไม่?”
ต้องรอให้นางกำนัลนำอาหารมาวาง แถมปริมาณก็น้อยนิด สิ่งที่ชอบก็กินได้เพียงไม่กี่คำ… ฮื่อ!!!
เห็นท่าทางน่าสงสารเช่นนั้น อันหมัวพลันใจอ่อนอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะได้ใช้เวลาร่วมกันเพียงสี่วัน แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้นางเข้าใจว่าเหตุใดผู้คนรอบตัวถึงได้หลงรักเด็กหญิงมากขนาดนั้น
หลังจากที่เอาแต่ทำตัวเข้มงวดกับนาง ยามนี้อันหมัวมัวก็ค่อย ๆ หลงรักองค์หญิงน้อยผู้มีเหตุผลและประพฤติตนดีผู้นี้เข้าให้แล้ว
“หากองค์หญิงไม่โปรด ในโอกาสสำคัญท่านค่อยทำเช่นนี้ก็ได้ หากเสวยเป็นการส่วนตัวก็ทำตามที่ท่านถนัดได้”
เสี่ยวเป่าแววตาสั่นระริกด้วยความดีใจ ยกยิ้มเปี่ยมสุขออกกว้างจนเห็นฟันขาว
“เยี่ยมไปเลย!”
รอยยิ้มฉายชัดออกมาจากดวงตาของอันหมัวมัว แต่ก็ไม่วายทำเสียงเข้มพร้อมสีหน้าเรียบเฉย “องค์หญิงเพคะ ห้ามยิ้มจนเห็นฟัน มันดูไม่งามเพคะ”
เสี่ยวเป่าหุบยิ้มทันที นางรีบนั่งลงบนตั่งไม้ตัวเล็กด้วยท่าคุกเข่าราบสองขาแนบชิดกัน ทั้งคอทั้งไหล่เหยียดตรง ท่าทางการนั่งของนางในยามนี้กล่าวได้เต็มปากว่า เป็นผู้มีกิริยามารยาทงดงาม
อันหมัวมัวพยักหน้าพึงพอใจ นางชอบเด็กที่ตั้งใจร่ำเรียนและเฉลียวฉลาดเช่นนี้
ระหว่างที่เสี่ยวเป่าตั้งใจร่ำเรียนอย่างหนัก หนานกงสือเยวียนแม้จะยุ่งสักเพียงใดก็ยังหาเวลามาหานางจนได้
บางครั้งเห็นบุตรสาวเหงื่อออกท่วมตัว แต่นางยังคงยิ้มแย้มอย่างมีความสุข แม้เขาเห็นแล้วจะรู้สึกเป็นทุกข์ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะภูมิใจอย่างกับพ่อแก่ ๆ คนหนึ่ง
แน่นอนว่าเขาไม่เคยแสดงอาการเหล่านี้บนใบหน้า เพราะเขาเป็นคนเก็บอาการเก่งมาแต่ไหนแต่ไร ความรู้สึกทั้งหมดล้วนถูกซ่อนไว้ในใจ แม้แต่ฝูไห่กงกงที่คิดว่าตนรู้จักฝ่าบาทดีที่สุดยังมองไม่ออก
ทุกครั้งที่หนานกงสือเยวียนมาหา มักจะตรงกับเวลาพักของเสี่ยวเป่า คนตัวเล็กก็จะพูดเสียงเจื้อยแจ้วว่า ตนร่ำเรียนเป็นอย่างไรบ้างต่าง ๆ นานา โอ้อวดให้เขาฟัง บางครั้งถึงกับแสดงให้เขาดู
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าเก่งมากใช่หรือไม่เพคะ?”
ทุกครั้งที่เจ้าก้อนแป้งวัยสามขวบเห็นเขา แววตานางจะเป็นประกายเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมที่มีต่อท่านพ่ออย่างเขาสุดหัวใจ
เสี่ยวเป่าที่เป็นเช่นนี้จะไม่ให้เขารักใคร่โปรดปรานนางได้อย่างไรกัน
“อืม”
เพียงคำคำเดียว คนตัวเล็กก็หัวใจพองโตและมีความสุขได้ทั้งวัน
หนานกงสือเยวียนลูบหัวนางเบา ๆ พลันรู้สึกผ่อนคลายอยู่ในใจ เจ้าเด็กโง่งมตัวน้อย…
ห้าวันผ่านไปในพริบตาเดียว การเรียนมารยาทของเสี่ยวเป่าก็สิ้นสุดลง บัดนี้นางอยู่ข้างกายท่านพ่อมาเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว
วันนี้นางแต่งตัวสวยงามเป็นพิเศษ
เสี่ยวเป่ายืนเข่าชิดหลังตรง เอ่ยถามเสียงนุ่ม
“ท่านพ่อ จะมีคนมาที่นี่เยอะเลยหรือเพคะ? พวกเขาทุกคนล้วนมาที่นี่เพื่อดูเสี่ยวเป่าหรือ? เสี่ยวเป่าต้องอยู่ข้าง ๆ ท่านพ่อตลอดเวลาเลยใช่หรือไม่เพคะ?”
คนตัวเล็กยังคงประหม่าอยู่เล็กน้อย ปากจึงพ่นคำถามออกมาไม่หยุด
หนานกงสือเยวียนในชุดฮั่นฝูหรูหราเดินมาหานางแล้วคว้ามือเล็กนุ่มนิ่มของนางมาจับไว้
“มีทั้งขุนนางในราชสำนักต้าเซี่ยและครอบครัว พระสนมในวังหลัง แล้วก็พี่ ๆ ของเจ้า”
เสี่ยวเป่าได้แต่ยืนกะพริบตาปริบ ๆ
“พวกท่านพี่ก็อยู่ด้วย ท่านพ่อ… เสี่ยวเป่ามีท่านพี่กี่คนหรือ?”
เสี่ยวเป่าพยายามนับในใจ นางเคยพบเพียงพี่หก พี่เจ็ด และพี่แปดเท่านั้น ยังมีพี่ชายหนึ่งสองสามสี่ห้า… พี่ชายอีกห้าคนอย่างนั้นหรือ?
หนานกงสือเยวียนชะงักทันทีที่ได้ยินคำถาม “ข้ายังไม่เคยบอกเจ้าหรือ?”
หลงลืมอย่างนั้นหรือ… ข้าน่ะหรือที่ลืม
เสี่ยวเป่าส่ายหัวพร้อมส่งสายตาใสซื่อ “ไม่เคยบอกนะเพคะ”
หนานกงสือเยวียนลากเสียงยาว “…อ้อ ช่างเถอะ เช่นนั้นบอกตอนนี้ก็ยังไม่สาย เจ้ามีพี่ชายแปดคน พอเจอเดี๋ยวก็ได้รู้จัก”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อืม ๆ เช่นนั้นเรารีบไปหาพี่ชายกันเถิดเพคะ”
เจ้าก้อนแป้งจับมือท่านพ่อแล้วกระโดดดึ๋ง ๆ ราวกับกระต่ายขาวตัวน้อยขนปุกปุย
หลังจากได้พบกับท่านพ่อ เสี่ยวเป่าก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ร่างกายก็เติบโตอย่างรวดเร็ว บัดนี้ ใบหน้าเล็ก ๆ ที่แสนบอบบางดูกลมโตและอิ่มเอิบขึ้น ผิวก็ขาวเนียนนุ่มจนผู้คนอยากคลอเคลีย
เพราะนางได้ส่วนดี ๆ ของหนานกงสือเยวียนและซูหว่านเหนียงมารวมกันอยู่ในตัวนางอย่างสมบูรณ์แบบ เจ้าก้อนแป้งวัยสามขวบจึงดูบอบบางน่าทะนุถนอม
เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่สมัยนี้ตัวผอมบางร่างน้อย เนื้อตัวเจ้าเนื้อแบบเสี่ยวเป่าจึงดูแปลกไปจากผู้อื่น
แน่นอนว่าหนานกงสือเยวียนชอบบุตรสาวแบบเสี่ยวเป่ามากกว่าบุตรสาวของขุนนางที่ดื่มกินชักช้า ทั้งยังกินน้อยอย่างกับแมวดม
ตัวกลมเหมือนไข่มุก ผิวเกลี้ยงเกลาเหมือนหยกทั้งดูสุขภาพดีและแข็งแรงไม่น่าดูตรงไหนกัน คนอื่นนั่นล่ะที่เป็นปัญหา
บิดาไม่ได้พาเสี่ยวเป่าไปงานเลี้ยงพร้อมตนเอง แต่พานางไปหากุ้ยเฟยก่อน
ในโอกาสเช่นนี้ แน่นอนว่าเขายังต้องไว้หน้ากุ้ยเฟย
“ถวายพระพรฝ่าบาท”
“ถวายพระพรเสด็จพ่อ”
เสี่ยวเป่าเดินจูงมือท่านพ่อมาถึงที่หมาย สายตาพลันปะทะเข้ากับพี่ชายที่ยืนอยู่ข้างสตรีผู้สวยสง่าแต่งกายหรูหรา กิริยามารยาทงามพร้อม ส่วนคนตัวเล็กก็มองสตรีนางนั้นตาเป็นประกาย
เมื่อหนานกงฉีเฉินเห็นนาง เขาก็กุลีกุจอจะเดินไปหา
ทว่าทันทีที่เสด็จแม่เหลือบมองมา เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำต้องเก็บอาการไว้
เด็กชายยังมองมาทางน้องสาวตาปริบ ๆ อยากคุยกับนางใจจะขาดแล้ว