บทที่ 75 หาเรื่อง
บทที่ 75 หาเรื่อง
ทว่าเรื่องโชคร้ายคือเมื่อไปถึงอุทยานหลวง นางพลันชนเข้ากับผู้ที่ก้าวออกมาจากอีกหัวมุมหนึ่งของทางแยก
“ไอ้ตาบอดคนใดบังอาจมาชนข้า!” หลังจากวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง สตรีผู้เดินนำหน้าพลันตวาดเสียงเข้ม
เสี่ยวเป่ากะพริบตาปริบ ๆ ยืนขอโทษแต่โดยดี “ขออภัย ข้ามองไม่ทันจึงชนท่านเข้า ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่เพคะ”
หวังอันหว่านได้นางกำนัลข้างกายประคองไว้จึงทรงตัวได้ หลังจากพบว่าผู้ที่ชนตนเองคือเสี่ยวเป่า ใบหน้างามหมดจดบิดเบี้ยวไปแวบหนึ่ง
“ที่แท้เป็นองค์หญิงเก้าเองหรอกหรือ ข้าไฉนเลยจะรับคำขอโทษของท่านได้ ข้ามิบังอาจ ทว่า…หมัวมัวผู้สอนกฎระเบียบในวังสอนกันอย่างไร เป็นถึงองค์หญิง กระโตกกระตากเช่นนี้เอาระเบียบไปไว้ที่ใด หากผู้อื่นรู้เข้า คงนึกว่ากฎระเบียบในพระราชวังมิสู้จะเข้มงวดเท่าใดกระมัง”
ใบหน้าสตรีมีรอยยิ้มระบาย เอ่ยกระแนะกระแหนยกใหญ่
เสี่ยวเป่ายังรู้สึกถึงเจตนาร้ายจากตัวนางได้ จึงวิ่งไปหาพี่ชายด้วยสัญชาตญาณ มือเล็กจับชายเสื้อเขาไว้ด้วยความกังวล พร้อมเอ่ยเสียงเบา
“คราว…คราวหน้าข้าจะระวัง”
แววตาของหนานกงฉีโม่ทอประกายเยือกเย็น “เรื่องนั้นคงไม่รบกวนพระสนมอันผินให้ต้องเหนื่อยพระทัย กฎระเบียบในวังมีไว้สำหรับคนนอก องค์หญิงอยู่ในบ้านของตน ไยต้องรักษาระเบียบด้วยเล่า”
หวังอันหว่านโมโหกับประโยคของเขาจนหน้าเขียวสลับซีด
องค์หญิงอยู่ในบ้าน เช่นนั้นนางซึ่งกล่าวถึงกฎระเบียบมิกลายเป็นคนนอกหรอกหรือ
“องค์ชายรองช่างเจรจายิ่งนัก แม้ว่าข้าจะไม่ใช่สนมผู้เป็นที่โปรดปราน กระนั้นก็ยังเป็นผู้หญิงของฝ่าบาท นับเป็นผู้ใหญ่ที่ท่านควรเคารพ นี่หรือคือท่าทียามท่านสนทนากับผู้ใหญ่”
หนานกงฉีโม่ยิ้มเย้ยหยัน ผู้ใหญ่หรือ เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครกัน
“อันผินอารมณ์สุนทรีย์ยิ่ง มายังอุทยานหลวง กลับมิใช่เพื่อชื่นชมมวลบุปผา หากแต่เพื่อสั่งสอนพระโอรสพระธิดาของฝ่าบาท”
เสียงที่จู่ ๆ แทรกเข้ามานั้นฟังดูคุ้นหู เสี่ยวเป่าชะโงกคอมองไป พบว่าเป็นพระมารดาของท่านพี่ใหญ่และท่านพี่หก
ดวงตาของนางเป็นประกายขึ้นมาในบัดดล
“พระสนมคนสวย”
เมื่อได้ยินคำเรียกของเสี่ยวเป่าแล้ว เซี่ยชิงหร่านชะงักเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็เดินนวยนาดเข้ามา
“ถวายพระพรหวงกุ้ยเฟย…”
เซี่ยชิงหร่านจ้องมองหวังอันหว่านด้วยสายตาราบเรียบ ท่าทางสูงส่งสง่าน่าเกรงขามนั้นเหมือนมีเค้าของหนานกงสือเยวียนอยู่บ้าง
“เกิดเรื่องอันใดจนอันผินต้องกริ้วใส่เด็กสามขวบเช่นนี้ กระทั่งอ้างตนว่าเป็นผู้ใหญ่กับองค์ชายรอง โทสะของอันผินคุกรุ่นไม่เบา”
หวังอันหว่านสะกดกลั้นอารมณ์ “หวงกุ้ยเฟยมิจำเป็นต้องเพ่งเล็งแต่เพียงหม่อมฉันทันทีที่มาถึงหรอกเพคะ องค์หญิงน้อยวิ่งพล่านอยู่ในอุทยานหลวงจนมาชนหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์ว่ากล่าวตักเตือนหรืออย่างไร ใช่ว่าหม่อมฉันหาญกล้าสั่งสอนองค์หญิงเก้าเสียเมื่อไหร่ ถึงอย่างไรก็มีตัวอย่างจากหลิ่วไฉเหรินให้เห็น ผู้ใดเล่าจะกล้าเพคะ”
ทันใดนั้น เซี่ยชิงหร่านตำหนิเสียงเข้ม “บังอาจนัก! อันผิน เจ้าถือตนสั่งสอนองค์หญิงเก้าและองค์ชายรองด้วยฐานะอันใด ไม่เพียงแค่เจ้า แม้แต่ข้ายังไม่มีอำนาจนั้น พวกเขาใช้สกุลหนานกง เป็นคนตระกูลหนานกง เจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้ใด!”
“ท่าน…”
ใบหน้าหวังอันหว่านเขียวสลับซีด ดวงตาคู่งามแฝงไปด้วยเปลวเพลิงแห่งโทสะ ทำท่าจะเอ่ยบางอย่าง ทว่าถูกหงเหยา นางกำนัลข้างกายกระตุกอาภรณ์ด้วยใบหน้าร้อนใจ
นางกำหมัดแน่น จิกฝ่ามือจนแดงเถือกถึงจะระงับอารมณ์ได้บ้าง
“เป็นความผิดของหม่อมฉันเพคะ” วาจานี้ ผู้คนต่างฟังออกว่านางไม่เต็มใจ
เซี่ยชิงหร่านโบกมือ “อันผินไม่ตรึกตรองถ้อยคำก่อนกล่าว มีบทลงโทษให้คัดกฎพระราชวังสิบจบ ไปได้แล้ว”
หวังอันหว่านเจ็บใจเหลือแสน ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหวงกุ้ยเฟย นางก็ได้แต่ยอมรับโทษทัณฑ์
“เพคะ!”
นางถวายบังคมลวก ๆ แล้วจึงพาข้าราชบริพารของตนออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
เสี่ยวเป่าถูเท้ากับพื้น สีหน้าสลดเล็กน้อย “เสี่ยวเป่าก่อความผิดไว้ใช่หรือไม่”
หนานกงฉีโม่ลูบหัวนาง “ใช่ที่ไหน เจ้าตั้งใจชนนางหรืออย่างไร”
เสี่ยวเป่าสั่นศีรษะ “ข้ามองไม่เห็นนาง และเสี่ยวเป่าขอโทษนางไปแล้ว”
หนานกงฉีโม่ย่อมรู้ดีว่าสตรีนางนั้นตั้งใจหาเรื่อง เสี่ยวเป่าขอโทษอย่างไรก็ไร้ผล
“เจ้าเป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้น นางเป็นเพียงสนมผู้น้อย ต่อให้เจ้าไม่เอ่ยขอโทษ นางก็ไม่มีสิทธิ์ตำหนิเจ้า”
เซี่ยชิงหร่านก้าวเข้ามา เอ่ยบอกเสี่ยวเป่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เจ้ามีฐานันดรสูงกว่านาง ผู้ควรกล่าวขอโทษคือนาง เดิมมิใช่เรื่องใหญ่อันใด ผู้อื่นตั้งใจสร้างสถานการณ์ หาใช่ความผิดของเจ้าไม่”
เสี่ยวเป่ามองเซี่ยชิงหร่านด้วยดวงตาวาววับ เมื่อครู่พระสนมคนสวยสุดยอดไปเลย
“ขอบคุณท่านมาก พระสนมคนสวย~ เสี่ยวเป่าเข้าใจแล้ว~”
เซี่ยชิงหร่าน “…”
“องค์หญิงเก้าเรียกข้าว่าหวงกุ้ยเฟยก็พอ”
พระสนมคนสวยอะไรกัน นางไหนเลยจะเป็นได้
เสี่ยวเป่ายิ้มตาหยี “พระสนมสวยมากอย่างกับนางเซียนเลยนี่นา”
แม้แต่เซี่ยชิงหร่านผู้สำรวมกิริยา ยังอารมณ์เบิกบานขึ้นมาเพราะความปากหวานของเจ้าตัวเล็ก
นางยกยิ้มมุมปากน้อย ๆ “เจ้าหกไปหาข้าทีไร มักเอ่ยถึงเจ้าเสมอ มีเวลาว่างแล้วไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักข้าบ้าง”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างว่าง่าย “เพคะ”
เซี่ยชิงหร่านไปแล้ว เสี่ยวเป่าก็กระดิกหัวไปมาด้วยความเบิกบาน ลืมเลือนความสลดเมื่อครู่ไปจนสิ้น
หนานกงฉีโม่เหยียดยิ้ม เจ้าตัวน้อยเปลี่ยนอารมณ์ง่ายเสียจริง ทว่านางมีความสุขได้เสมอ ถือเป็นเรื่องดียิ่ง
เสี่ยวเป่าพาท่านพี่รองไปดูเฉ่าเหมยที่ตนปลูกไว้ในกระถางดอกไม้ต่อ ทว่าหนนี้มิได้วิ่งไวนัก แต่ยังคงกระโดดเริงร่าอยู่ข้างกายท่านพี่รองประหนึ่งกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง
“ท่านพี่รองดูเร็ว ทั้งหมดนี้เป็นของท่าน”
เฉ่าเหมยสิบต้นถูกปลูกไว้ในกระถางอย่างเป็นระเบียบ ใบไม้เขียวขจีเจริญงอกงามเสียจนบดบังกระถางดอกไม้จนหมด
ลำต้นเฉ่าเหมยสูงกว่าครึ่งจั้ง เห็นได้ว่าตามขอบกระถางดอกไม้มีผลสีเขียวเรียงรายห้อยอยู่
บ้างกำลังออกดอก ความหนาแน่นนั้นน่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง
เสี่ยวเป่าชี้ผลเล็ก ๆ เหล่านั้นพลางกล่าว “รอจนมันเติบโตกลายเป็นสีแดงก็กินได้แล้ว อร่อยมากเลยท่านพี่”
ต้าเซี่ยในตอนนี้ยังไม่มีผลไม้อย่างเฉ่าเหมย ด้วยเหตุนี้ หนานกงฉีโม่จึงยังไม่เคยลิ้มรส จึงไม่ได้คาดหวังในรสชาติของมัน
ทว่าเมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กตั้งใจเตรียมให้ตนเองเช่นนี้ ระหว่างทางไปเมืองหน้าด่าน เขาจะดูแลเป็นอย่างดี
“ให้ข้าทั้งหมดนี้เลยหรือ”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “ใช่แล้ว ตรงนั้นมีมะเขือเทศราชินีด้วย ท่านพี่นำมะเขือเทศราชินีไปด้วย ผลของมันกินได้เลย หรือจะปรุงเป็นอาหารก็ได้ ผัดกับไข่อร่อยที่สุดรู้หรือไม่”
หนานกงฉีโม่มองตามทิศทางที่นิ้วเล็กป้อมของน้องสาวชี้ไป และได้เห็นพืชอีกชนิดที่ตนไม่เคยเห็นถูกปลูกไว้ในกระถางดอกไม้
มีการใช้ไม้ไผ่ทำเป็นโครงค้ำในกระถาง เถาวัลย์ของมะเขือเทศไต่วนขึ้นไปตามโครงนั้นดูจะมีขนาดใหญ่โตไม่น้อย ซ้ำยังออกดอกแล้วด้วย เขาเชื่อว่าอีกไม่นาน คงเจริญผลออกมาได้เฉกเช่นเฉ่าเหมย
หนานกงฉีโม่ใช้พัดเคาะหัวเสี่ยวเป่าเบา ๆ
“เยอะเกินไปแล้ว พี่ชายยกไปไม่หมด”
เสี่ยวเป่ากุมศีรษะบ่นอุบ “มีรถม้าไม่ใช่หรือ”
ดวงตาหวานเยิ้มของชายหนุ่มทอประกายยิ้มแย้ม “พี่ชายของเจ้าใช่ว่าไปท่องเที่ยวเสียเมื่อไหร่ ไม่สามารถพกสัมภาระไปได้มากนัก”
“ถ้า…ถ้าอย่างนั้นข้าลดให้สองกระถาง”
หนานกงฉีโม่ตัดออกครึ่งหนึ่ง
“นำไปแค่สิบกระถางก็พอแล้ว”
เจ้าก้อนพองแก้มในบัดดล ดูคล้ายปลาทอง น่ารักเป็นที่สุด
หนานกงฉีโม่หัวเราะร่วน บีบแก้มป่องขาวผ่องนวลเนียนสองข้างของนาง ทว่ามีกระแสอบอุ่นหลั่งไหลเข้าไปในใจ
เขาไม่เคยมีความคาดหวังต่อเสด็จแม่ของตน ที่อาสาไปเมืองหน้าด่านครานี้ ถือว่าตัดสัมพันธ์กับตระกูลหลี่อย่างสิ้นเชิง
แต่เขาคิดไม่ถึงว่า ขณะที่ใกล้ถึงเวลาออกเดินทาง ยังมีใครบางคนเป็นห่วงเป็นใยตนอยู่เสมอ กังวลเรื่องของตนจนเตรียมของไว้ให้มากมาย