เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช – บทที่ 83 วัดต้าเซี่ย

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 83 วัดต้าเซี่ย

บทที่ 83 วัดต้าเซี่ย

หนานกงสือเยวียนเองก็เป็นจุดสนใจของผู้คนไม่น้อย

  

เพราะเขามีรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา แม้อายุใกล้จะย่างเข้าสี่สิบแล้ว แต่เพราะฝึกฝนเป็นประจำ ร่างกายจึงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ไหล่กว้างเอวสอบ ท่าทางสง่างาม หลังตั้งตรงประหนึ่งขุนเขาอันมั่นคง ทว่าก็นำพาความรู้สึกไม่แยแสชวนให้คนไม่กล้าเข้าใกล้

  

เพราะเสี่ยวเป่าทำให้หนานกงสือเยวียนไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการนอนไม่หลับเป็นเวลาหลายวัน บรรยากาศดุร้ายที่เดิมทีอยู่บนร่างได้เลือนหายไปแล้ว ส่วนใหญ่จึงเห็นเพียงความสุขุมสงบนิ่ง ดูแล้วให้ความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับเหล่าคนรุ่นเยาว์ที่มาจุดธูปไหว้พระ

  

สายตาของหญิงสาวหลายคนอดจับจ้องไปที่ร่างของเขาอย่างล้ำลึกไม่ได้ แต่เมื่อได้เห็นเด็กน้อยข้างกายของเขาก็เกิดเสียใจขึ้นมา

  

นั่นมันคนของบ้านอื่น!

  

เมื่อเดินไปได้ประมาณหนึ่งในสามของเส้นทาง เสี่ยวเป่าก็เหนื่อยจนหอบหายใจแฮก ๆ แต่ลมหายใจท่านพ่อกลับไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย!

  

“ท่านพ่อ…ท่านแข็งแกร่งมาก”

  

ใบหน้าขาวผ่องราวหิมะของเสี่ยวเป่าโซมไปด้วยหยาดเหงื่อ เสี่ยวไป๋เองก็เหนื่อยมากจนต้องแลบลิ้นน้อย ๆ ออกมาไม่หยุด

  

ท่าทางของทั้งสองเหมือนกันเป็นอย่างยิ่ง

  

เสี่ยวเป่าเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว เจ้าก้อนแป้งเริ่มเล่นลูกไม้กอดขาของท่านพ่อเอาไว้ อย่างไม่ต้องการจะไปต่อ หลังจากนั้นนางก็ถูกท่านพ่อผู้ตัวสูงใหญ่อุ้มเข้าไปในอ้อมแขน

  

เด็กน้อยมีความสุขมาก นางกอดคอและหอมแก้มบนใบหน้าหล่อเหล่าของผู้เป็นบิดา

  

“ท่านพ่อแข็งแรงมาก!”

  

หนานกงสือเยวียนเดินประหนึ่งเหินบิน แม้จะอุ้มเจ้าก้อนแป้งเดินขึ้นบันไดไปไกล ลมหายใจก็ยังคงสงบนิ่ง

  

เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว เด็กคนอื่น ๆ ที่ตามมาจุดธูปไว้พระก็ร้องไห้ออกมาด้วยความอิจฉา เริ่มทิ้งตัวลงบนพื้น เรียกร้องให้บิดามาอุ้มพวกตนเดินขึ้นไป

  

ผ่านไปสักพักหนานกงสือเยวียนที่อุ้มเสี่ยวเป่าก็เดินมาถึงปลายเส้นทาง

  

ส่วนเสี่ยวไป๋เองก็ถูกองครักษ์ผู้หนึ่งอุ้มขึ้นมา

  

ในที่สุดก็มาถึงวัดต้ากั๋ว วัดแห่งนี้ตั้งตระหง่านอยู่บนเขาท่ามกลางหมู่เมฆหมอก แม้จะมีคนจำนวนมากเดินเข้าออก ทว่าก็ไม่มีเสียงดังแต่อย่างใด

  

ยกเว้นเด็ก ๆ ที่ควบคุมตนเองไม่ได้แล้ว คนที่เหลือล้วนถือธูปสามดอกเข้าไปไหว้พระ จากนั้นก็ออกไปด้วยความเงียบสงบ

  

หนานกงสือเยวียนไม่ได้เดินตามฝูงชนเข้าไปยังโถงสักการะเพื่อจุดธูปไหว้พระ แต่พาเสี่ยวเป่าตรงไปยังลานที่อยู่อีกทางแทน

จากนั้นก็มีสามเณรน้อยผู้หนึ่งก็พาพวกเขาไปยังด้านในห้องที่อยู่ข้างโถงสักการะ

  

“ประสกโปรดรอสักครู่ ท่านเจ้าอาวาสกำลังมา”

  

หนานกงสือเยวียนพยักหน้าอย่างรับรู้แล้ว

  

สามเณรน้อยผู้นั้นถอยออกไป ส่วนเสี่ยวเป่าก็กวาดสายตาสำรวจด้วยความอยากรู้อยากเห็น

  

ทั้งห้องเรียบง่ายและสง่างาม ไม่ไกลออกไปมีโต๊ะหนังสืออยู่หนึ่งตัว ด้านบนเต็มไปด้วยคัมภีร์แทบทุกประเภท

  

“ท่านพ่อ ท่านรู้จักไต้ซือของที่นี่ด้วยหรือ?”

  

หนานกงสือเยวียนพยักหน้า ดวงตาล้ำลึกทอดมองออกไปแสนไกล “ก่อนหน้านี้ข้าเคยอาศัยอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง”

  

หลังจากมารดาถูกสังหารได้ไม่นาน เขาก็ถูกกีดกันออกจากตำแหน่งรัชทายาทด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา

  

เพื่อที่จะมีชีวิตรอด เขาอาศัยเหตุผลการสวดอธิษฐานให้กับมารดา เพื่อมาอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดต้ากั๋ว ออกห่างจากวังวนความวุ่นวายในวังหลวง

  

ทว่าเขาเองก็ไม่ได้จากไปทั้งอย่างนั้น หนานกงสือเยวียนใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์กับตระกูลของผู้เป็นตา เพื่อเปิดโปงบุตรชายและนางสนมคนโปรดของชายผู้นั้นต่อหน้าคนในวังหลังทั้งหมด

  

สตรีในวังหลังล้วนไม่มีผู้ใดไร้พิษภัย การแก่งแย่งชิงดีที่เกิดขึ้น กระทั่งฮ่องเต้เองก็ไม่อาจหยุดยั้ง

  

เพราะการต่อสู้แย่งชิงอันดุเดือด องค์รัชทายาทที่ใช้การไม่ได้อย่างเขาย่อมไม่มีโอกาสได้พักหายใจ

  

แม้การมาอยู่ที่นี่จะไม่ได้ทำให้ปลอดภัยโดยสมบูรณ์ ทว่าก็ยังดีกว่าการตกเป็นเป้าหมายในวังหลวง

  

สีหน้าของเสี่ยวเป่าเต็มไปด้วยสีหน้าเร่งเร้าให้พูดต่อ หนานกงสือเยวียนจึงใช้มือแตะศีรษะน้อย ๆ ของนางแล้วกล่าวต่อ

“หลังจากที่ท่านย่าของเจ้าล่วงลับ ข้าก็มาที่นี่เพื่อสวดอธิษฐานให้กับนาง อยู่ที่วัดต้ากั๋วเป็นเวลาสองปี ทั้งเจ้าอาวาสและนักพรตเสวียนจีเป็นผู้คอยดูแลข้า จะนับว่าเป็นอาจารย์ของข้าก็ได้”

ตอนนั้นถือเป็นช่วงเวลาที่หนักหนาที่สุดสำหรับเขา ยามนั้นเขาประหนึ่งลูกหมาป่าเดียวดาย เกลียดชังจนอยากจะสังหารล้างใต้หล้าเพื่อมารดา ปรารถนาจะล้างแค้นให้ตระกูลของท่านตา

  

เป็นเจ้าอาวาสใช้ความอดทนนำพระธรรมมาชะล้างความอาฆาตของเขา ส่วนนักพรตเสวียนจีก็สั่งสอนศิลปะการต่อสู้ให้เขาแข็งแกร่งขึ้น

  

เขาค่อย ๆ เรียนรู้วิธีการเก็บความแค้นความเกลียดชังเหล่านั้นเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ รอให้ตนเองมีอำนาจในมือมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงยามที่มันมากพอจะสั่นคลอนราชวงศ์ จึงนำกองทัพฝ่าฟันขึ้นไปยังบัลลังก์มังกร

  

ขณะที่พ่อและลูกสาวกำลังคุยกัน ก็มีชายชราสวมจีวรสีแดงท่าทางใจดีมีเมตตาเดินเข้ามา ด้านข้างยังชายชราในชุดสีเทาเข้มเหน็บเหยือกสุราห้อยไว้ข้างเอว

  

ไต้ซือกับนักพรต?

  

นี่คือการรวมกลุ่มแบบใดกัน?

  

เสี่ยวเป่าเอียงคอมองทั้งสองด้วยความฉงน แม้ว่านางจะเป็นภูต แต่ก็พอรู้ว่าไต้ซือกับนักพรตอยู่คนละฝั่งกัน!

  

“ท่านเจ้าอาวาส นักพรตเสวียนจี”

  

หนานกงสือเยวียนประสานมือคำนับ ทั้งสองท่านนี้คือผู้ที่เขาเคารพเป็นอย่างมาก

 

ยามนั้นที่เขาสามารถอยู่รอดในสงครามชายแดน ก่อนจะกุมอำนาจกองทัพเอาไว้ได้ ล้วนเป็นเพราะการสั่งสอนของอาจารย์ทั้งสอง

  

เจ้าอาวาสยกมือขึ้นห้าม “ฝ่าบาท พระองค์ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากเกินไป”

  

นักพรตเสวียนจีมองไปทางเสี่ยวเป่าที่อยู่ด้านข้างหนานกงสือเยวียน เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาหานางแล้วส่งเสียงจุ๊ ๆ

  

“แปลก แปลกยิ่งนัก สหายตัวน้อยมองแล้วช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก”

  

เสี่ยวเป่านั่งพิงตัวกับท่านพ่อ ดวงตากลมโตมองทั้งสองคนไม่วางตา

  

“คำนับท่านทั้งสอง”

  

คำทักทายมีมารยาทและรู้ความทำให้เจ้าอาวาสยิ่งดูใจดีมีเมตตามากขึ้น

  

นักพรตเสวียนจีลูบหัวเล็ก ๆ ของนางแล้วหัวเราะออกมา “เจ้าตัวน้อยกับข้ามีวาสนาต่อกัน สนใจอยากเข้าสู่เส้นทางเต๋าหรือไม่?”

  

ใบหน้าของหนานกงสือเยวียนกลายเป็นมืดมน “ท่านอาจารย์เสวียนจี”

  

เสวียนจีส่งเสียงหัวเราะก่อนจะหยิบสุราขึ้นมาจิบ

  

“เพียงแค่ล้อเล่น เพียงแค่ล้อเล่น ยามที่อาเยวียนยังเด็กนั้นดุร้ายราวกับลูกหมาป่า ตอนนี้โตขึ้นแล้ว กลายเป็นหมาป่าตัวใหญ่ที่ดูดุร้ายยิ่งกว่าเดิมอีก”

  

หนานกงสือเยวียน “…”

  

พวกเขานั่งลงสนทนากัน เสี่ยวเป่าฟังแล้วไม่เข้าใจจึงได้แต่นั่งฟังอยู่ข้างท่านพ่อ และรินน้ำชาให้ตัวเองดื่ม

  

กลิ่นหอมของน้ำชาพุ่งตรงเข้ามาในจมูก ดวงตาเล็ก ๆ ของเจ้าก้อนแป้งทอประกายระยิบระยับ สองมือค่อย ๆ ประคองถ้วยชาขึ้นจิบทีละน้อย ๆ

  

อร่อยมาก!

  

ใบหน้าน้อย ๆ ขาวผ่องราวหิมะเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ทำให้สายตาหลายคนที่เบนมาหยุดมองไปที่นาง

  

นักพรตเสวียนจีลูบเคราะแล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง “เจ้าหนูช่างเพลิดเพลินกับชาเสียจริง”

  

เสี่ยวเป่าถือถ้วยชาเอาไว้ในมือ ขณะยิ้มออกมาเผยให้เห็นฟันสีขาวสะอาด เต็มไปด้วยความน่ารักมีชีวิตชีวา

  

“ชาอร่อยมากเลย”

  

แววตาของเจ้าอาวาสยังคงใจดีมีเมตตา ราวกับเป็นที่ปรึกษาอันสามารถพึ่งพิงได้ “ประสกน้อยมีจิตใจดีงามบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง อยู่ข้างกายฝ่าบาทคอยส่งเสริมกันและกัน นับวันจะยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ”

  

หัวใจของหนานกงสือเยวียนเต้นระรัว แล้วเขาก็ก้มมองเสี่ยวเป่า

  

เจ้าตัวเล็กเหมือนจะรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา จึงเงยหน้าขึ้นแล้วแย้มยิ้มให้อย่างน่ารักบริสุทธิ์

  

มุมปากของหนานกงสือเยวียนยกขึ้นเล็กน้อย “ดั่งคำของท่านเจ้าอาวาส”

  

สภาพร่างกายของเขา ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะการมาของเสี่ยวเป่าหรอกหรือจึงทำให้ดีขึ้นมาถึงเพียงนี้

  

เจ้าอาวาสกล่าว “ทว่ากู่ที่อยู่ในร่างของฝ่าบาทควรจะหาทางกำจัดให้เร็วที่สุดจะดีกว่า มิเช่นนั้นเกรงว่าอาจทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ได้”

  

หนานกงสือเยวียนหลุบสายตาลง ใช้นิ้วไล้ไปตามขอบถ้วยชา

  

“ดอกสามชีวา ไหมเหมันต์พันปี อีกทั้งดอกเถ้ากระดูกล้วนหาพบได้ยาก ข้าส่งคนไปที่เขตใต้เพื่อตามหาผู้อาวุโสชางแล้ว”

  

ภายในร่างของเขามีพิษกู่อยู่ นี่เองจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาบ้าคลั่งเช่นนั้น

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

Status: Ongoing
จากลูกเป็ดขี้เหร่สู่การเป็นองค์หญิงคนสุดท้องแห่งราชวงศ์ ความน่ารักของซูเสี่ยวเป่าพร้อมจะพิชิตใจทุกคนแล้ว!หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน!เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท