บทที่ 104 ศัตรูมากมาย
บทที่ 104 ศัตรูมากมาย
เสี่ยวเป่าถือลำไม้ไผ่ปล้องเล็ก ๆ ลองแหย่กุ้งก้ามแดงดู ถึงตอนนี้มันจะขึ้นจากน้ำมาอยู่บนเรือแล้ว คนตัวเล็กกลับไม่มีท่าทีหวาดกลัวทั้งยังแสดงความกล้าหาญด้วยการเข้าไปดูมันใกล้ ๆ
หนานกงหลีรีบดึงคนตัวเล็กให้ออกห่าง “อย่าเอามือไปจับมัน เดี๋ยวจะโดนก้ามของเจ้าตัวน่าเกลียดนี่หนีบเอา มันเจ็บมากนะจะบอกให้”
เขาเตือนพลางจับตัวกุ้งก้ามแดงขึ้นหมายจะโยนลงน้ำไป ทว่าพริบตาต่อมา น้ำเสียงสดใสจากคนตัวเล็กก็ดังขึ้นจนทำให้เขาชะงักงัน
“ท่านอาเจ็ด เราจับกุ้งมังกรน้อยเพิ่มกันเถอะ”
ใช่แล้ว เสี่ยวเป่ารู้จักอีกชื่อหนึ่งของเจ้าตัวนี้ ‘กุ้งมังกรเล็ก’ มันเป็นหนึ่งในอาหารที่มนุษย์ในชาติภพที่นางจากมาโปรดปราน
อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมหวนมาก
เสี่ยวเป่าเคยเห็นวิธีการปรุงกุ้งมังกรน้อยเป็นอาหารของมนุยษ์บางส่วน ในเวลานั้นนางทำได้เพียงมองและลอบกลืนน้ำลาย เพราะไม่สามารถลิ้มลองได้
ตอนนี้นางจึงจับจ้องกุ้งมังกรเล็กตัวนี้ตาเป็นมัน
หนานกงหลีมองเสี่ยวเป่าอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าจะเอากุ้งก้ามแดงไปทำอันใด แม้มันจะได้ชื่อว่ากุ้ง แต่รสชาติของมันหาได้น่าพิสมัย”
เสี่ยวเป่าส่ายหัว “มันอร่อยสุดยอดเลยต่างหาก เสี่ยวเป่ารู้วิธีทำให้มันอร่อย ท่านอาเจ็ดจับกุ้งมังกรน้อยเพิ่มเถอะนะ มันอร่อยมากแน่นอน!”
หนานกงหลีทนเสียงรบเร้าเหมือนเด็กเอาแต่ใจของเสี่ยวเป่าต่อไปไม่ไหว เขาจึงรีบรับปากนาง พลางเคาะพัดลงบนหน้าผากคนตัวเล็กเบา ๆ
“กุ้งมังกรน้อยอันใดกัน เจ้านี่เรียกว่ากุ้งก้ามแดง เจ้าไปเอาชื่อนั้นมาจากที่ใด?”
เสี่ยวเป่าไม่ตอบ เพราะกำลังตั้งหน้าตั้งตาตกกุ้งมังกรน้อย
หนานกงเหิงที่อยู่ด้านข้างมองแล้วส่ายหัว “หากเป็นสตรีสูงศักดิ์ท่านอื่นเพียงเห็นกุ้งก้ามแดงพวกนี้คงตกใจจนหน้าซีดและหวีดร้องจนสุดเสียงเป็นแน่ แต่ญาติผู้น้องตัวน้อยของเราเก่งกาจมาก นอกจากจะไม่กลัวแล้วยังคิดจะจับกุ้งก้ามแดงด้วย หรือเพราะนางเป็นพระธิดาของเสด็จลุงอย่างนั้นหรือ? ช่างเก่งกาจราวกับแม่ทัพใหญ่!”
เสี่ยวเป่าเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ!
ทุกคนเห็นท่าทางของนางพลันหลุดขำออกมา
แต่ทุกคนไม่ได้สนใจสิ่งที่เสี่ยวเป่าบรรยายความอร่อยของกุ้งก้ามแดง พวกเขาคิดว่าคนตัวเล็กแค่อยากเล่น เดิมทีพวกเขาก็ตั้งใจไว้ว่า วันนี้จะพาเสี่ยวเป่ามาเที่ยวเล่น จึงปล่อยให้นางได้เล่นสมใจ
กุ้งก้ามแดงในทะเลสาบมีเยอะไม่หยอก คนบนเรือดื่มชายังไม่ถึงครึ่งถ้วย นางก็ตกกุ้งได้เต็มถังไม้แล้ว
“ข้ารู้สึกว่าปลาในทะเลสาบน้อยลงอย่างไรไม่รู้”
หนานกงหลีเห็นปลาที่พวกเขาจับขึ้นมาก็พึมพำกับตนเอง
หนานกงฉีซิว “อาจเป็นเพราะกุ้งก้ามแดงแพร่พันธุ์มากเกินไป จึงไม่เพียงมีปลาน้อยลง แม้แต่กุ้งขาวก็ยังน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก”
หนานกงเหิง “ฮึ่ม เจ้าพวกนี้มันตัวสร้างหายนะ”
หนานกงเหยี่ยน “ผู้ที่มักจะมาจับพวกมันไปทำเป็นอาหารสัตว์ไม่ต้องการพวกมันแล้วหรือ? เหตุใดถึงรู้สึกว่าปีนี้มีกุ้งก้ามแดงมากกว่าปีที่แล้วนะ”
ขณะที่พวกเขากำลังถกปัญหากัน เรืออีกลำที่ใหญ่กว่าก็แล่นเข้ามาใกล้เรือพวกเขา
บนหัวเรือมีชายวัยกลางคนสองคนยืนอยู่ พวกเขาดูเหมือนกำลังพูดถึงอะไรบางอย่าง ในมือถือขวดสุรา ใบหน้ามีรอยยิ้ม
แต่ทันทีที่สายตาหนานกงหลีสบเข้ากับคนบนเรือนั้น
หนานกงหลี “…ถุย! วันนี้โชคไม่ดีเอาเสียเลย!”
วันนี้เป็นวันที่เขาไม่ควรออกมาข้างนอกอย่างนั้นหรือ? ก่อนหน้านี้ก็พบสหายดื่มกินที่ไม่รู้จักกาลเทศะพวกนั้น มาตอนนี้ยังต้องมาพบหวังอวี้สื่อที่กำลังจ้องเขาตาขวางอีก หวังอวี้สื่อผู้นี้ชอบเขียนฎีกาเรื่องของเขาฟ้องเสด็จพี่อยู่บ่อย ๆ
หวังอวี้สื่อหุบยิ้มแล้วหันมาแสดงความเคารพพวกเขาในขณะที่ยังยืนอยู่บนหัวเรือ
“ถวายพระพรองค์ชายใหญ่และองค์หญิงเก้าพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นเขาก็หันเหสายตาไปหาเซียวเหยาอ๋องซึ่งกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอน เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ผมเผ้าไม่เป็นทรง
หวังอวี้สื่อผู้นี้ดูเป็นคนเข้มงวดหัวโบราณ ซึ่งมันแตกต่างจากเซียวเหยาอ๋องโดยสิ้นเชิง
“คารวะเซียวเหยาอ๋อง”
เขาเอ่ยทักทายเซียวเหยาอ๋องแบบขอไปที
หนานกงหลียกมือขึ้นแตะจมูก “มีกระไรหรือ? วันนี้ข้าไม่ได้ดื่มสุราและไม่ได้ไปเที่ยวในสถานที่เช่นนั้น ใต้เท้าหวังคงไม่มีเรื่องให้ไปฟ้องเสด็จพี่หรอกกระมัง”
เขาเอ่ยพลางเขย่าถังไม้ซึ่งใส่กุ้งก้ามแดงที่เสี่ยวเป่าจับมาได้ พวกมันกำลังไต่ขึ้นมาก็ตกลงไปในถังทันที
“ท่านอ๋องก็พูดเกินไป กระหม่อมเพียงทำตามหน้าที่ ในฐานะที่เป็นอ๋อง เซียวเหยาอ๋องควรแบ่งเบาภาระและไม่ควรทำให้ฝ่าบาทต้องเป็นกังวล ไม่ใช่เอาแต่ไปสถานที่เช่นนั้น มันไม่ดีต่อสุขภาพของท่านเองพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงหลีกลอกตาทันที “ข้ายังสบายดี ไม่รบกวนให้ท่านมาเป็นห่วง อีกอย่าง ไยอ๋องถุงฟางข้าว*[1]อย่างข้าต้องไปกังวลเรื่องของเสด็จพี่ด้วย เรื่องน้อยใหญ่ในใต้หล้านี้ไม่ว่ามันจะเลวร้ายเพียงใด ต่อให้ไม่มีเสด็จพี่ก็ยังมีเหล่าหลานชายมากความสามารถ ไม่จำเป็นต้องให้เซียวเหยาอ๋องอย่างข้ายืนมือเข้าไปยุ่งวุ่นวายหรอก
เซียวเหยาหนอเซียวเหยา ไร้ความกังวล ไร้พันธนาการ สิ่งที่ข้าต้องการก็คือให้ตนเองได้ใช้ชีวิตดั่งนามของตน ผู้ใดจะไปเหมือนท่านที่วุ่นวายตลอดเวลาราวกับกำลังหนีคนตามทวงหนี้ วัน ๆ เอาแต่พร่ำถึงกฎเกณฑ์พวกนั้น ท่านไม่เบื่อบ้างเลยหรือ!”
หนานกงเหิงและหนานกงเหยี่ยน “…”
สองพี่น้องรีบหดคอและถอยห่าง เพราะกลัวว่าหวังอวี้สื่อจะเห็นพวกเขา
ท่านพ่อของพวกเขาและหวังอวี้สื่อนั้นมีความคิดแตกต่างกันย่อมขัดแย้งกันเป็นธรรมดา พบหน้ากันเมื่อใดเป็นต้องเยาะเย้ยถากถางปะทะฝีปากกันอยู่เป็นนิตย์
ทั้งสองเริ่มปะทะฝีปากกันดุเดือดขึ้นจึงดึงดูดความสนใจจากผู้คนในเรือได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน หลายคนก็ออกมามุงดู ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่
หนานกงเหิงกับหนานกงเหยี่ยนบังเอิญเจอคนรู้จัก แต่เป็นพวกที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีต่อกัน คนพวกนั้นจึงแสดงท่าทางรังเกียจเมื่อเห็นกุ้งก้ามแดงที่ถูกห้อยไว้บนเรือ
“พวกท่านจับเจ้าพวกนี้ไปทำอันใด? รสชาติมันไม่ได้เรื่องเลย เหตุใดจวนเซียวเหยาอ๋องที่โอ่อ่าถึงไม่มีเงินซื้ออาหารดี ๆ กิน จนต้องมากินของแบบนี้”
หนานกงเหิง “ยุ่งกระไรด้วย พวกข้าไปขอข้าวบ้านเจ้ากินหรือไร?”
“ข้าหวังดีถึงได้เตือน เจ้าไม่คิดจะฟังก็ช่างเถอะ คนเขาอุตส่าเตือนด้วยความหวังดี”
ท่าทางเสแสร้งอย่างนั้นทำให้สองพี่น้องขยะแขยงแทบอยากจะอาเจียนออกมา พวกเขาจึงเปิดสงครามวาจาโดยไม่ลังเล
“อย่ามาทำตัวน่าขยะแขยงแถวนี้ พวกเจ้าล้วนเป็นคนเสเพลกันทั้งนั้น ไม่ทราบว่าเป็นบัณฑิตแบบใดกันถึงได้สวมชุดบัณฑิตแต่ไม่มีความเป็นบัณฑิตเอาเสียเลย วาดรูปเสือตามรูปแมวต่อต้านสุนัข!*[2]”
ในชั่วพริบตาต่อมา ทั้งผู้ใหญ่และเด็กก็ส่งเสียงโต้เถียงกัน
หนานกงฉีซิว “…”
เสี่ยวเป่า “…”
ท่านอาเจ็ดและญาติผู้พี่มีศัตรูค่อนข้างเยอะเลย…
ตอนแรกเสี่ยวเป่าก็กังวลเล็กน้อย แต่พอเห็นว่าพวกเขาเอาแต่พ้นคำพูดที่นางฟังไม่เข้าใจใส่กัน โดยไม่มีท่าทีว่าจะลงไม้ลงมือกันเสียที นางจึงเลิกกังวล
นางตรงเข้าไปที่โถงเรือ หยิบของกินที่ตนซื้อมาก่อนหน้านี้ออกมาก่อนจะนั่งลงบนตั่งตัวเล็กข้างพี่ชาย
“ท่านพี่กินนี่สิเพคะ”
เสี่ยวเป่ากำเมล็ดแตงโมออกมาจากถุงกระดาษหนึ่งกำมือแล้วใส่ไว้ในมือพี่ชาย
มือนางเล็กนิดเดียว ต่อให้กำเต็มมือ มันก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้น
หนานกงฉีซิวมองเมล็ดแตงโมในมือ ก่อนจะหันมองเสี่ยวเป่าที่กำลังแทะเมล็ดแตงโมพลางดูการแสดงตรงหน้า เห็นนางทำอย่างนี้แล้วเขาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
นิ้วเรียวดุจหยกยกขึ้นเคาะหน้าผากเด็กน้อยเบา ๆ
“เจ้าเด็กแสบ”
ถึงจะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าน้ำเสียงรื่นหูนั้นกลับบ่งบอกว่าเขาตามใจและให้ท้ายนาง
เสี่ยวเป่าแลบลิ้นล้อเลียนพร้อมเอียงหัวซ้ายขวา อย่างไรเสียพวกเขาก็คงไม่ลงไม้ลงมือกัน เห็นพวกเขาทะเลาะกันดูสนุกดีนางจึงนั่งดูเสียเลย คิกคิก
ผ่านไปพักหนึ่งคนทั้งสองฝ่ายก็เริ่มเสียงแห้งเสียงแหบ การวิวาทที่ดูไร้แก่นสารหยุดลงเมื่อเรือของฝ่ายนั้นค่อย ๆ ลอยห่างออกไป
เสี่ยวเป่าวิ่งมาพร้อมกับน้ำสองจอกก่อนจะส่งให้ท่านอาเจ็ดและญาติผู้พี่ทั้งสอง
“ญาติผู้น้องรู้ได้อย่างไรว่าเรากระหายน้ำ ยอดไปเลย”
สองพี่น้องตื้นตันใจจึงยกมือขึ้นลูบหัวน้อย ๆ เพราะเผลอลืมไปว่ามีผึ้งอยู่บนผมนาง ทันทีที่พวกเขาสัมผัสมันก็ตกใจกลัว สะบัดมือออกอย่างรวดเร็ว
เฟิงเฟิงกระพือปีกทำรังต่ออย่างไม่สนใจ
หนานกงเหยี่ยนและหนานกงเหิงรำพันในใจว่า โชคดีที่ไม่โดนต่อย ไม่อย่างนั้นคงเจ็บแย่เลย
พอส่งน้ำให้ท่านอาเจ็ดแล้ว เสี่ยวเป่าก็ถูกอีกฝ่ายบีบแก้มนุ่มนิ่ม
“ดูการแสดงสนุกมากหรือ? เมล็ดแตงโมก็กินหมดแล้ว ไม่รู้จักเก็บไว้ให้อาเจ็ดบ้างเลย”
เมื่อแก้มทั้งสองข้างของเสี่ยวเป่าถูกบีบเข้าหากันจนปากจู๋ ลูกตากลมโตพลันกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดมองท่านอาเจ็ดตาปริบ ๆ
“ย่อมต้องเก็บไว้ให้ท่านอาเจ็ดอยู่แล้วสิ~”
[1] ถุงฟางข้าว หมายถึง คนไม่เอาไหน หรือคนที่ทำงานไม่เป็นโล้เป็นพาย
[2] วาดรูปเสือตามรูปแมวต่อต้านสุนัข หมายถึง แสร้งทำ