บทที่ 146 ขนมไหว้พระจันทร์
บทที่ 146 ขนมไหว้พระจันทร์
พ่อครัวอู๋หลั่งเหงื่อเย็นเยียบเต็มศีรษะ แต่ก็ยังทำตามคำกำกับของเสี่ยวเป่า สั่งให้คนไปเอาไข่เค็มเป็ดมา รวมทั้งเนื้อหมูรมควันและส่วนผสมอื่น ๆ มา
เสี่ยวเป่าเองก็เอาเฉ่าเหมยกวนออกมา
ตอนนี้เฉ่าเหมยหมดลงเรียบร้อยแล้ว ทำให้เฉ่าเหมยกวนยิ่งกินยิ่งเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ
มีเพียงแค่ไส้ด้านในเท่านั้นที่แตกต่างกัน ส่วนวิธีทำยังเหมือนเดิม
แม้ภายในใจของพ่อครัวอู๋จะมีความกังวล ทว่าเขาก็ยังคงทำขนมไหว้พระจันทร์สำหรับเตรียมอบไส้แล้วไส้เล่าด้วยความจริงจัง
ขนมไว้พระจันทร์ทรงกลมขนาดเล็กงดงามละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก เหล่าขุนนางในวังหลวงสามารถกินมันหมดได้ภายในสองหรือสามคำ
ระหว่างที่รอ เสี่ยวเป่าก็กินของว่างอย่างอื่นอย่างแช่มช้า
ใช้เวลาไม่นาน ขนมไหว้พระจันทร์ก็ถูกนำออกมา ทว่าต้องพักเอาไว้ครู่หนึ่งรสชาติของมันจึงจะดียิ่งขึ้น
“ข้าจะเอาบางส่วนกลับไปด้วย”
เสี่ยวเป่ามองขนมไหว้พระจันทร์เหล่านั้นตาเป็นประกาย ด้วยความตะกละจนน้ำลายแทบไหล
นางไม่ใช่คนเลือกกิน ดังนั้นจึงหยิบขนมไหว้พระจันทร์มาทุกไส้ ทั้งยังคิดนำไปเผื่อส่วนของท่านพ่อด้วย
เหล่าท่านพี่เองก็มีส่วนแบ่งด้วยเช่นกัน ทว่าไม่ใช่ในตอนนี้
รอบนี้ขนมไหว้พระจันทร์ที่ถูกทำมามีจำนวนน้อย รอให้ทำได้มากกว่านี้ค่อยแบ่งให้กับพวกเขา
นางเดินอย่างสบายใจระหว่างทางกลับ
ทว่าดูเหมือนโชคของนางจะไม่ค่อยดี จึงได้พบเข้ากับมารดาของพี่รอง
เมื่อคิดถึงเรื่องที่นางเคยตีพี่รอง เสี่ยวเป่าก็อารมณ์เสียจนไม่ทักทาย เชิดหน้าเดินผ่านนางไปอย่างไม่แยแส
หลี่เซียงอี๋มองนางด้วยใบหน้าเย็นชา แต่เมื่อระลึกได้ว่าตนเองต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากนาง จึงทำได้เพียงอดทนข่มอารมณ์และความผยองลงไป
“องค์หญิงเก้า”
เสี่ยวเป่าหยุดลงอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจ “ต้องการสิ่งใด?”
ดวงตางดงามของหลี่เซียงอี๋มองมาที่นาง “พาข้าไปพบฝ่าบาท”
เห็นได้ชัดว่า นางกำลังต้องการให้ช่วย ทว่าก็ยังคงวางท่าหยิ่งยโสทำตัวสูงส่ง ไม่ยอมก้มหัวให้เช่นเคย
ตั้งแต่ยังเด็กนางก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด เมื่อครั้งรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ก่อน เพียงแค่นางเพิ่งถือกำเนิดก็ได้เป็นท่านหญิงแล้ว มารดาของนางเป็นถึงน้องหญิงร่วมบิดามารดาของฮ่องเต้พระองค์ก่อน กล่าวได้ว่าฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นท่านลุงของนาง กระทั่งองค์หญิงในวังยามนั้นก็ต้องเกรงใจไว้หน้านางกว่าสามส่วน
ดังนั้นหลี่เซียงอี๋จึงมักคิดว่าตนเองสูงส่งอยู่เสมอ ความคิดและความเชื่อเช่นนี้อยู่กับนางตั้งแต่เด็กจนโตฝังลึกเข้าไปในกระดูกแล้ว
ยกเว้นเพียงฮ่องเต้ หลี่เซียงอี๋ก็ไม่เคยยอมลงให้กับผู้ใด แม้ตอนนี้จะอยู่เบื้องหน้าบุตรีคนโปรดของฮ่องเต้ นางก็ไม่มีความคิดจะยอมลงให้แม้แต่น้อย
เสี่ยวเป่าเอ่ยปฏิเสธทันทีอย่างไร้ความลังเล “ไม่”
พูดจบเด็กน้อยก็ทำท่าจะเดินจากไป
“องค์หญิงเก้า ข้าเป็นพระสนมของฮ่องเต้ เพียงแค่อยากให้เจ้าพาข้าไปพบฝ่าบาทเท่านั้น”
เสี่ยวเป่าไม่ได้โง่ “เช่นนั้นท่านก็ไปหาท่านพ่อด้วยตัวเองเถิด เสี่ยวเป่าไม่ได้ห้ามท่าน”
เล็บของหลี่เซียงอี๋แทบจะจิกลงไปในเนื้อของตนเองแล้ว
เพราะคำพูดของเสี่ยวเป่าแทงใจนางโดยตรง
เหตุใดนางจะไม่เคยร้องขอเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิด้วยตัวเองกัน ทว่าล้วนถูกปฏิเสธกลับมา อีกทั้งนางยังไม่กล้าบุกเข้าไปตำหนักฉินเจิ้งด้วยตัวเอง
ในตอนนี้ ผู้เดียวที่สามารถเข้าออกตำหนักฉินเจิ้งได้ตามต้องการมีเพียงแค่องค์หญิงเก้า คนอื่น ๆ แม้กระทั่งองค์ชายก็ยังต้องแจ้งให้ทราบเสียก่อน
ทั้งที่เป็นเพียงแค่องค์หญิงคนหนึ่ง หลี่เซียงอี๋ไม่เข้าใจเลยว่าฝ่าบาทกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่
“องค์หญิงเก้า ข้าต้องการเข้าพบฝ่าบาทเนื่องจากเรื่องขององค์ชายรอง ก่อนหน้านี้มีเรื่องเกิดขึ้นทำให้ฝ่าบาทขุ่นเคืองใจอยู่บ้างจนไม่ต้องการจะพบข้าในตอนนี้ ดังนั้น…”
นางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ สุดท้ายก็เป็นฝ่ายยอมลดท่าทางของตนเองลง
“องค์หญิง ได้โปรดช่วยพาข้าไปพบฝ่าบาทด้วย”
ตรงคำว่า ‘ได้โปรด’ นั้น นางเม้มปากอย่างแรงขณะเอ่ยออกมา
เสี่ยวเป่าระแวดระวังขึ้นมาในทันที “ท่านคิดจะรังแกพี่รองอีกแล้วหรือ”
สีหน้าของหลี่เซียงอี๋แข็งทื่อไปชั่วขณะ “ข้าเป็นเสด็จแม่ของเขา จะไปรังแกเขาได้อย่างไร!”
จนกระทั่งถึงตอนนี้ หลี่เซียงอี๋ก็ยังไม่คิดว่าสิ่งที่ตนเองทำลงไปนั้นผิดแต่อย่างใด ทุกสิ่งที่นางทำก็เพื่อให้อนาคตของบุตรชายนางดียิ่งขึ้น นางรู้ดีว่าอำนาจสามารถส่งผลกระทบต่อบุคคลผู้หนึ่งได้มากเพียงใด
“แต่ท่านตีพี่รอง มันจะต้องเจ็บมากแน่ ขนาดท่านแม่ของเสี่ยวเป่ายังไม่เคยตีเสี่ยวเป่าเลยสักครั้ง”
หลี่เซียงอี๋เอ่ย “ข้าทำก็เพราะหวังดีกับเขา ข้าไม่สมควรลงโทษเมื่อเขาทำผิดอย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของนางเริ่มหมดความอดทน “นี่เป็นเรื่องของข้ากับบุตรชาย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์หญิงเก้าแต่อย่างใด เจ้าเพียงแค่ต้องพาข้าไปพบฝ่าบาท”
เสี่ยวเป่ากระทืบเท้าน้อย ๆ ของตนเอง “ข้าไม่ทำ”
หลังจากพูดจบนางก็รีบวิ่งจากไป
ชุนสี่และคนอื่น ๆ รีบตามไปอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่กี่อึดใจ ร่างของคนทั้งหมดก็หายลับตาไป
หลี่เซียงอี๋โกรธเป็นอย่างมาก จนกำดอกไม้ที่อยู่ด้านข้างนางขาดกระจาย
“ไอ้เด็กชั้นต่ำ เรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้ก็ไม่เต็มใจช่วยเหลือ!”
“พระสนมโปรดระมัดระวังคำพูดด้วยเพคะ” แม่นมที่อยู่ข้างกายนางเอ่ยเตือนสติด้วยความกังวล
หลี่เซียงอี๋ถลึงตากวาดมองไปรอบ ๆ “ผู้ใดจะกล้าเอ่ยเรื่องนี้ออกไปกัน”
เหล่านางกำนัลและขันทีรีบคุกเข่าลงเอ่ยว่าไม่กล้า
หลี่เซียงอี๋จากไปด้วยความอารมณ์เสีย ภายในใจเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ
“แล้วตอนนี้จะต้องทำเช่นไรต่อ? หากองค์ชายใหญ่กลับมาเดินได้จริง ๆ แล้วบุตรชายของข้าที่อยู่เมืองชายแดนจะเอาสิ่งใดมาต่อกรกับองค์ชายใหญ่ในอนาคต!”
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ “เหตุใดตอนนั้นมันไม่โดนม้ากระทืบจนตายไปเสีย!”
“พระสนม!”
แม่นมถูกคำพูดที่นางโพล่งออกมาทำให้ตกใจอย่างถึงที่สุดจนต้องร้องออกมา
“คำพูดเหล่านี้ คราวหลังท่านอย่าได้เอ่ยออกมาอีก!”
หลี่เซียงอี๋ได้สติกลับคืนมา นางเองก็รู้ตัวว่าตนพลั้งปากเอ่ยสิ่งไม่ควรออกมา
นางยกถ้วยชาขึ้นดื่มเพื่อสงบจิตสงบใจ “จำเป็นต้องคิดหาวิธีให้ฝ่าบาทออกสมรสพระราชทาน เพื่อจะได้เรียกตัวเขากลับมาเมืองหลวง!”
เหตุที่หลี่เซียงอี๋ร้อนใจถึงเพียงนี้ ก็เพราะนางตื่นตระหนกจากการได้ยินข่าวว่าขาขององค์ชายใหญ่มีโอกาสรักษาให้หายดี
ตอนนี้ทุกสิ่งล้วนไม่เป็นใจกับนางอย่างยิ่ง นางจำเป็นต้องให้ฝ่าบาทออกสมรสพระราชทาน เพื่อเรียกบุตรชายของตนให้กลับมาแต่งงานกับบุตรีขุนนางใหญ่สักคน จากนั้นก็แต่งหญิงสาวจากตระกูลหลี่เป็นพระชายารอง
เช่นนั้นแล้ว ไม่เพียงแต่จะมีตระกูลทรงอำนาจหนุนหลัง ยังทำให้ความสัมพันธ์ของบุตรชายกับตระกูลหลี่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
หากไม่ใช่เพราะตอนนี้ตระกูลของนางตกต่ำลง นางคงให้บุตรีจากตระกูลของนางแต่งเป็นพระชายาเอกไปแล้ว ในเมื่อนางต้องการดึงขั้วอำนาจขุนนางมาอยู่ฝ่ายตน ก็มีเพียงแต่ต้องทำเช่นนี้เท่านั้น
ทว่าแม้นางจะขบคิดมาดีสักเท่าไหร่ ฮ่องเต้ก็ไม่แม้แต่จะต้องการพบหน้านางเสียด้วยซ้ำ
อีกด้านหนึ่ง เสี่ยวเป่าวิ่งไปถึงตำหนักฉินเจิ้งแล้ว และนางก็ชื่นชมตัวเองว่า ฉลาดยิ่งนักก่อนจะหยิบขนมไหว้พระจันทร์ขึ้นมาให้รางวัลตัวเอง
“ขนมไหว้พระจันทร์จะกินได้หรือยัง”
นางทิ้งเรื่องมารดาของพี่รองออกไปจากสมอง หันมาจดจ่อความสนใจกับขนมไหว้พระจันทร์
“น่าจะเสวยได้แล้วเพคะ” ชุนสี่เองก็ไม่สนใจเรื่องของกุ้ยเฟยอีกต่อไป อย่างไรเสียองค์หญิงก็มีฝ่าบาทคอยหนุนหลังอยู่
ด้านในวังหลัง จะมีผู้ใดกันที่สามารถอยู่เหนือกว่าฮ่องเต้ได้?
“โอ๊ะ อร่อย!”
แม้ไม่แน่ใจว่าสามารถกินได้หรือยัง แต่เสี่ยวเป่าก็หยิบขึ้นมากินอย่างอดใจรอไม่ได้เรียบร้อยแล้ว
นี่เป็นไส้ถั่วแดงกวน
รสชาติของมันหวานกำลังพอดี ให้สัมผัสเคี้ยวหนึบ ดวงตาของเสี่ยวเป่าเปล่งประกายด้วยความประหลาดใจ นี่มันอร่อยมากจริง ๆ!
เพราะนางมายังโลกแห่งนี้พร้อมกับความทรงจำจากชาติก่อน ดังนั้นจึงรู้ความมากกว่าเด็กวัยเดียวกันมาก
ครั้งแรกในเทศกาลไหว้พระจันทร์ นางยังคงอยู่กับผู้เป็นมารดา เนื่องจากฟันยังไม่ทันจะขึ้น แม้ว่านางจะเกิดความตะกละอยากกินมากเพียงใด แต่ท่านแม่ก็ไม่ยอมให้นางกิน ได้แต่มองท่านแม่ด้วยความคับข้องใจ
ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ครั้งที่สอง นางจึงค่อยได้ลองกินขนมไหว้พระจันทร์ ขนมไหวพระจันทร์ชิ้นใหญ่เป็นอย่างยิ่ง นางต้องใช้เวลานานกว่าจะสามารถแทะลงไปถึงตัวไส้ได้ สามารถนิยามด้วยคำว่าแป้งหนาไส้น้อยได้อย่างสมบูรณ์ นางกินไปได้เพียงแค่ครึ่งชิ้นก็กินต่อไม่ได้เสียแล้ว
ครั้งนี้เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ครั้งที่สาม แม้ไม่มีท่านแม่ผู้งดงามแต่ยังมีท่านพ่อผู้หล่อเหลาแข็งแกร่ง และสิ่งที่สำคัญสุดก็คือ ขนมไหว้พระจันทร์ครั้งนี้มีขนาดเล็ก มิหนำซ้ำยังแป้งบางไส้มาก อร่อยอย่างถึงที่สุด!
เสี่ยวเป่าประคองขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นเล็กเอาไว้ พร้อมบรรจงแทะอย่างแช่มข้า ใบหน้าขาวราวกับหิมะเต็มไปด้วยความสุข