เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช – บทที่ 233 เสี่ยวเป่าอยากดู

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 233 เสี่ยวเป่าอยากดู

บทที่ 233 เสี่ยวเป่าอยากดู

วาจานั้นท้าทายอย่างเห็นได้ชัด มิหนำซ้ำยังกล่าวเยินยอต้าเซี่ยเสียใหญ่โต สถานการณ์เช่นนี้พูดได้เพียงว่าต้องการให้ต้าเซี่ยอับอายอย่างมิต้องสงสัย

ทูตจากอาณาจักรอื่นล้วนตั้งตารอชมละครสนุกฉากนี้ พวกเขาอยากเห็นว่าฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยจะแก้ไขปัญหาตรงหน้าอย่างไร

เหล่าขุนนางของต้าเซี่ยจ้องเสือสองตัวที่กำลังส่งเสียงคำรามดุร้ายไม่หยุด ประกายเคร่งเครียดปรากฏขึ้นในแววตา

การเผชิญหน้ากับเสือที่มีขนาดใหญ่โตกว่าเสือทั่วไป มิหนำซ้ำยังดุร้ายและขี้หงุดหงิด หากผู้ใดพยายามที่จะปราบมันก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้ง

หนานกงสือเยวียนมองพวกคนหนานจ้าวด้วยนัยน์ตาลุ่มลึก

ขณะที่องค์ชายสามยิ้มลำพองใจขึ้นเรื่อย ๆ เสียงของหนานกงหลีก็ดังขึ้น

“ปราบเสือ? พวกเราไม่ค่อยมีประสบการณ์ด้านนี้เสียเท่าไหร่ เช่นนี้แล้วกัน หนานจ้าวมีผู้ฝึกสัตว์หรือไม่ ช่วยแสดงเป็นตัวอย่างให้พวกเราได้เรียนรู้ทีสิ ท่านคือองค์ชายสามแห่งหนานจ้าวสินะ? ท่านกล่าวได้ถูกเรื่องหนึ่ง ต้าเซี่ยเต็มไปด้วยยอดฝีมือจริง ๆ อย่างที่ท่านพูด ไม่แน่ว่าพอได้เห็นพวกเจ้าแสดงฝีมือให้ดู ยอดฝีมือของต้าเซี่ยอาจจะปราบเสือเป็นเลยก็ได้”

รอยยิ้มขององค์ชายสามค่อย ๆ เลือนหายไป ใบหน้าเจ้าเล่ห์ได้ใจของชาวหนานจ้าวคนอื่น ๆ ก็แข็งทื่อไม่แพ้กัน

ขุนนางของต้าเซี่ยรีบเห็นด้วยกับคำพูดของหนานกงหลีทันที

“ใช่แล้ว ยอดฝีมือของต้าเซี่ยไม่เคยฝึกเสือมาก่อน แต่ก็ล้วนมีความสามารถกันทั้งนั้น อาจทำได้โดยการดูแค่ไม่กี่ครั้ง”

“ในเมื่อพวกท่านบอกว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของหนานจ้าว เช่นนั้นท่านทั้งหลายต้องรู้วิธีกำราบพวกมันเป็นแน่ เชิญพวกท่านแสดงให้ดูก่อน พวกเราจะคอยดูและเรียนรู้จากพวกท่าน”

“ไม่จริงน่า หรือว่าหนานจ้าวมิมีผู้ใดรู้วิธีกำราบเสือเลยหรือ เช่นนั้นยอดฝีมือของต้าเซี่ยจะเรียนรู้ได้อย่างไรเล่า น่าเสียดาย ๆ”

“องค์ชายสาม ข้าเห็นท่านมีความมั่นใจเพียงนั้น ท่านต้องทำได้แน่ ๆ ใช่หรือไม่”

“ไอ้หยา เสือสองตัวนี้ช่างดูน่าเกรงขามยิ่งนัก พวกข้าอดใจรอไม่ไหวเสียแล้ว เช่นนั้น…ท่านทั้งหลาย ผู้ใดจะแสดงให้ดูเป็นคนแรก”

ลมเปลี่ยนทิศในชั่วพริบตา บัดนี้ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๋นับร้อยของต้าเซี่ยล้วนสามัคคีกันพุ่งเป้าไปที่ศัตรู ผลัดกันรบเร้าใส่คณะทูตชาวหนานจ้าว

มีคนมากมายที่ส่งสายตาชื่นชมไปให้หนานกงหลี สมกับเป็นเซียวเหยาอ๋อง ฝีปากเก่งกาจยิ่งนัก!

คนจากหนานจ้าวเริ่มทำตัวไม่ถูก หากว่าเป็นสัตว์อื่น พวกเขาอาจใช้พิษกู่ทำให้เชื่องได้ แต่ว่าเสือสองตัวนี้ผิดแผกและไม่ธรรมดา

อาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เติบโตมา ทำให้กู่หุ่นเชิดใช้ไม่ได้ผลกับพวกมัน มิหนำซ้ำพวกมันยังดุร้ายผิดปกติ พวกเขาส่งทหารไปถึงห้าร้อยนาย ทว่าต้องสูญเสียทหารไปถึงสามร้อยนายกว่าจะจับเสือสองตัวนี้กลับมาได้

เหตุผลที่นำเสือสองตัวมามอบให้ต้าเซี่ยก็เป็นเพราะ…พวกเขาปราบมันไม่ได้

หนานจ้าวเชี่ยวชาญการใช้พิษกู่ นักรบที่กล้าแกร่งที่สุดล้วนแต่เคยลองมาหมดแล้ว แต่ผลสุดท้ายก็ต้องตายด้วยน้ำมือของเสือร้าย

มิหนำซ้ำ เจ้าพยัคฆ์คู่นี้ยังเจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นอย่างมาก พวกเขาเคยลองปราบพยศพวกมันโดยการอดอาหาร ทว่าในระหว่างที่กำลังหิวโซ พละกำลังของพวกมันกลับเพิ่มมากขึ้น กรงเหล็กที่ขังพวกมันไว้บิดเบี้ยวจนผิดรูป จากนั้นพวกมันก็หนีออกมาและทำให้วังหลวงของหนานจ้าวต้องโกลาหลอลหม่าน หากไม่ใช่เพราะพวกเขามีทหารจำนวนมากพอและหาวัวสองตัวมาให้พวกมันกินได้ทันเวลา เกรงว่าคงได้สิ้นราชวงศ์หนานจ้าวไปแล้ว

เสือจะสงบลงก็ต่อเมื่อได้กินอาหาร อีกทั้งยังตอบสนองอย่างรวดเร็วเมื่อมีอันตรายเข้าไปใกล้ ยามใดที่พวกเขาคิดจะสังหารพวกมัน เจ้าเสือทั้งสองตัวก็จะคลุ้มคลั่งขึ้นมาทันใด

ภายหลังด้วยความพยายามหลายต่อหลายครั้ง ต่อให้เป็นถึงราชวงศ์หรือมหาปุโรหิตก็ล้วนเหนื่อยล้าไปทั้งกายและใจ พวกเขาจึงตัดสินใจยกเสือสองตัวนี้ให้กับต้าเซี่ย และหวังจะให้พวกมันสร้างหายนะให้ต้าเซี่ย!

แน่นอนว่าแผนการคือใช้เรื่องการฝึกเสือเป็นข้ออ้าง อย่างมากก็สร้างความเสียหายให้ทหารของต้าเซี่ย แต่จะเป็นการดียิ่งกว่าหากสังหารเจิ้นหนานอ๋องลงได้ ต่อให้ไม่ตายแต่อย่างน้อยบาดเจ็บสาหัสก็นับว่าไม่เลวแล้ว

ทว่า…

แผนการกลับต้องหยุดอยู่เพียงขั้นแรก

ท่ามกลางสายตาของทุกผู้ทุกคน สีหน้าองค์ชายสามแห่งหนานจ้าวพลันแข็งทื่อยิ่งกว่าเดิม ใบหน้าเริ่มซีดเผือด บัดนี้ความกดดันที่ขุนนางต้าเซี่ยได้รับในทีแรกตกมาอยู่ที่เขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ในที่สุด มหาปุโรหิตก็ก้าวออกมาเบื้องหน้า

“ขั้นตอนการกำราบเสือนั้นโหดเหี้ยมทารุณเกินจะรับไหว พยัคฆ์คู่นี้ถูกพบบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในหนานจ้าว ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักร ไม่ว่าราษฎรหรือเชื้อพระวงศ์ล้วนมิอาจทำอันตรายใด ๆ แก่พวกมัน ฉะนั้นแล้ว…เกรงว่าหนานจ้าวจะมิอาจทำตามที่เซียวเหยาอ๋องกล่าวได้”

หนานกงหลีนั่งลงบนเบาะรองพลางแกว่งจอกสุราไปมา

“ข้าเพิ่งเคยจะได้ยินเป็นครั้งแรกว่ามอบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรตนให้ จากนั้นก็ให้อีกฝ่ายเป็นผู้ลงมือแทน เพราะคนของเจ้าห้ามทำร้ายพวกมัน พวกเจ้าบอกว่าให้ความเคารพยำเกรงต่อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ดูเหมือนว่าจะมีไม่มาก ต้องบอกว่าไม่มีเลยดีกว่า…วาจาของพวกเจ้าช่างน่าเคารพเสียจริง”

หรือจะให้พูดออกไปตรง ๆ ว่าความเคารพยำเกรงที่พวกเจ้ามีให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงแค่ลมปาก?

ใบหน้าของมหาปุโรหิตกระตุก นัยน์ตาหลุบลงต่ำท่วงท่าดูโอนอ่อน แต่หารู้ไม่ว่าประกายอำมหิตดุจอสรพิษกลับแวบขึ้นในดวงตาคู่นั้น

หนานจ้าวสร้างเรื่องให้ตนต้องอับอาย ทว่าหนานกงสือเยวียนก็รับเสือสองตัวนี้เอาไว้

“พาไปที่คอกสัตว์หลวง ในเมื่อเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของหนานจ้าว เช่นนั้นก็ยิ่งต้องเลี้ยงดูให้ดี”

พยัคฆ์คู่สีดำขาวสองตัวถูกลากออกไป หนานกงหลีคารวะสุราไปทางพวกหนานจ้าวอย่างสำราญใจ เผยรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก

ขณะเดียวกันเสี่ยวเป่าและเหล่าพี่ชายก็ยกนิ้วโป้งชื่นชมให้หนานกงหลี

“ท่านอาเจ็ดสุดยอดไปเลย!”

หนานกงฉีซิวปรากฏสายตาอ่อนโยน “นั่นสิ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเสด็จอามีความสามารถในการพลิกสถานการณ์เช่นนี้ด้วย”

หนานกงฉีโม่ “ฝีปากของเสด็จอาเจ็ด คราวก่อนข้ารู้ซึ้งเลยล่ะ”

องค์ชายสามและองค์ชายสี่ต่างส่งสายตาอิจฉามาโดยพร้อมเพรียง คนหนึ่งเป็นคนเก็บตัวถึงขนาดกลัวการเข้าสังคม ส่วนอีกคนก็มีนิสัยเรียบง่ายตรงไปตรงมา ล้วนเป็นพวกไม่ค่อยพูดทั้งยังพูดไม่เก่ง

เสด็จอาเจ็ดเป็นปากเสียงที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเราจริง ๆ!

องค์ชายคนอื่น ๆ ก็มองเสด็จอาเจ็ดของตนเองเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

ไม่เพียงเหล่าองค์ชาย พวกขุนนางทั้งหลายเองต่างก็พากันปลื้มปีติยินดียิ่ง

เมื่อก่อนเซียวเหยาอ๋องใช้ปากแต่กับเรื่องของตัวเอง พวกเขารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ให้เซียวเหยาอ๋องไปอยู่หงหลูซื่อให้เร็วกว่านี้ หากใช้ฝีปากเช่นนี้ตอบโต้พวกทูตจากต่างแดนจะรู้สึกดีเพียงใดกัน!

ทว่าดูดีได้ไม่ถึงสามชั่วอึดใจ หนานกงหลีที่ตอกหน้าพวกหนานจ้าวเมื่อครู่ บัดนี้กำลังกระดิกหางไปมาท่ามกลางสายตาชื่นชมที่กำลังมองมา

เขากระทุ้งศอกใส่เจิ้นหนานอ๋องที่นั่งข้าง ๆ อยู่หลายทีอย่างได้ใจจนแทบจะตัวลอย

“พี่สี่ ๆ เป็นอย่างไร เมื่อครู่ข้าสง่าผ่าเผยและน่าเกรงขามมากเลยใช่หรือไม่ ท่านเห็นหรือยัง ฉะนั้นคนเราน่ะ บางครั้งมีวรยุทธ์แข็งแกร่งก็มิสู้มีสิ่งนี้หรอกนะ”

เขาชี้ไปที่ศีรษะของตนอย่างมีชัย พลางแสร้งถอนหายใจ “เหตุใดข้าถึงเก่งกาจเพียงนี้นะ เฮ้อ…ไร้พ่ายไร้ศัตรูช่างโดดเดี่ยวและเหน็บหนาว ราวกับเกล็ดหิมะในเหมันตฤดู”

หนานกงจ้าน “(▼皿▼#)”

อดทนไว้ ที่สาธารณะมีคนอยู่เยอะ ห้ามต่อยน้องชาย

“เรื่องพยัคฆ์ขาวดำคู่นั้น พวกเรามิได้ไตร่ตรองให้รอบคอบ เพื่อเป็นการแสดงคำขอโทษ ขอให้สาวงามแห่งหนานจ้าวได้ถวายการเต้นรำให้ฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยได้ทอดพระเนตรด้วย”

พูดจบมหาปุโรหิตก็ปรบมือ นักเต้นรำกลุ่มหนึ่งในชุดผ้าบางเบาเดินเท้าเปล่าเรียงแถวเข้ามาและเริ่มเคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าอันงดงาม แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดคือรถลากดอกบัวที่ตามหลังพวกนางเข้ามา

กลีบดอกบัวบนรถลากโอ่อ่าค่อย ๆ แย้มออกช้า ๆ จากนั้นสตรีงดงามไร้ผู้ใดเทียบก็ปรากฏต่อสายตาทุกคน

เพียงชั่วครู่ ชายหนุ่มในงานเลี้ยงทั้งหลายก็ล้วนจับจ้องไปที่นางเป็นตาเดียว

หนานกงฉีซิวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ รีบยกมือปิดตาเสี่ยวเป่าอย่างรวดเร็ว

เสี่ยวเป่าตะกุยฝ่ามือของเขา “พี่ใหญ่ขอดูหน่อย เสี่ยวเป่าอยากเห็น”

หนานกงฉีซิว “…”

เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เหตุใดเจ้าถึงดูกระตือรือร้นมากกว่าพวกเขาเสียอีก

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

Status: Ongoing
จากลูกเป็ดขี้เหร่สู่การเป็นองค์หญิงคนสุดท้องแห่งราชวงศ์ ความน่ารักของซูเสี่ยวเป่าพร้อมจะพิชิตใจทุกคนแล้ว!หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน!เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท