บทที่ 169 การตัดสินใจครั้งสุดท้าย
ถังฮั่นจะต้องเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ในฐานะนักธุรกิจ ซึ่งการประชุมจะจัดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งเวลาสองทุ่มตรง พร้อมจัดมื้ออาหารค่ำหลังประชุม
เมื่อไป๋เยี่ยและไป๋ตงหลินมาถึงโรงแรม ถังฮั่นก็ส่งคนมาต้อนรับพวกเขา
ชั้นสามสิบสี่ของโรงแรมเป็นห้องเพรสซิเดนสูทวีไอพี ซึ่งจะเข้าได้เฉพาะผู้ที่มีบัตรวีไอพีเท่านั้น
ห้องเพรสซิเดนสูทของโรงแรมหูปินมีค่าเข้าพักต่อคืนมากกว่าหนึ่งหมื่นหยวนต่อวัน แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับกลุ่มนักธุรกิจผู้มีบริษัทมูลค่าหลายพันล้านหยวนอย่างถังฮั่นเลยแม้สักนิด
หลังจากที่สองพ่อลูกสกุลไป๋เดินเข้ามา ถังฮั่นก็ทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
“ขอโทษจริงๆ ครับที่ทำให้ต้องเดินทางมาเวลานี้” ถังฮั่นกล่าวขอโทษ
ไป๋ตงหลินยิ้ม “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อไป๋ตงหลิน เป็นพ่อของไป๋เยี่ย”
ถังฮั่นรู้สึกประหลาดใจในตัวไป๋ตงหลินมาก เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีแปลกๆ ที่แผ่ซ่านออกมาจากชายผู้นี้
ถังฮั่นจับมือไป๋ตงหลิน “สวัสดีครับ ผมถังฮั่น”
ถังฮั่นพูดขึ้น “คุณไป๋ ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชิญพวกคุณมาพบกันในเวลาค่ำแบบนี้จริงๆ ที่บริษัทของผมวุ่นกันทั้งวันเลยครับ ผมก็ไม่ได้เข้าบริษัทมาสองสามวันแล้ว แถมพรุ่งนี้ผมยังต้องรีบกลับไปที่บริษัทด้วยครับ เพราะฉะนั้นผมขอเข้าประเด็นเลยก็แล้วกันนะ
ผมให้ความสำคัญกับไป๋เยี่ยมากจริงๆ ครับ เขาเป็นยอดอัจฉริยะที่พบเจอได้ยากมากจริงๆ ต่อไปเขาจะต้องกลายเป็นมังกรที่โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างสง่างามแน่นอนครับ แต่น่าเสียดายที่เป้าหมายของเขาไม่ใช่บริษัทเรา ผมจึงทำได้แต่ตามหาคนที่จะมาแทนเขาได้ต่อไป
บริษัทน่าย่าของเราเป็นธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์ทดลอง ซึ่งผลิตภัณฑ์หลักของเราก็คืออาหารหนูทดลองนั่นเอง ทางเราจึงสนใจในตัวไป๋เยี่ยและอาหารบีวายวันมากครับ ไม่ทราบว่าสนใจอยากโอนย้ายสิทธิบัตรไหมครับ”
ไป๋ตงหลินมองถังฮั่นด้วยสีหน้าจริงจังก่อนจะพยักหน้า “ไป๋เยี่ยเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังแล้วครับ ผมคิดว่าถ้าเรามอบสูตรอาหารให้คุณถังแล้ว คุณจะต้องสร้างข้อได้เปรียบทางการค้าที่ยิ่งใหญ่ได้แน่นอน”
“แต่…ไม่ทราบว่าคุณถังยินดีจะจ่ายสักเท่าไหร่เหรอครับ”
ถังฮั่นได้ยินดังนั้นก็โบกมือส่งสัญญาณให้คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาถือสัญญาบางอย่างออกมา
ไป๋ตงหลินรับสัญญานั้นมาและพบว่ามันคือสัญญาการโอนย้ายสิทธิบัตร ทว่าช่องที่เว้นไว้กรอกราคาด้านล่างนั้นกลับว่างเปล่า
ไป๋เยี่ยประหลาดใจเล็กน้อย เขาคาดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะเตรียมตัวมาพร้อมขนาดนี้
ถังฮั่นยิ้ม “ถือว่าผมแสดงความจริงใจนะครับ”
ไป๋ตงหลินยิ้มพร้อมกับปิดแฟ้มเอกสารลง
ยังไม่มีฝ่ายใดลงนามในสัญญา อีกฝ่ายจึงรอให้ไป๋เยี่ยกรอกราคามาก่อน
ทว่าไป๋ตงหลินกลับส่ายหัว “คุณถังเป็นคนสุภาพมากนะครับ ถ้าอย่างนั้นผมคงจะคิดตระหนี่ไม่ได้แล้ว ผมจะบอกข่าวข่าวหนึ่งให้คุณฟังแล้วกันนะครับ”
ทันทีที่ถังฮั่นเห็นท่าทีของไป๋ตงหลิน เขาก็รู้ตัวว่าตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญตัวจริง คำพูดของไป๋ตงหลินนั้นทำเอาเขาอยากรู้ไปหมด “ว่ามาเลยครับ”
ไป๋ตงหลินพูดต่อ “ผมคิดว่าจริงๆ แล้วทางน่าย่าคงไม่ได้ต้องการแค่สูตรอาหารใช่ไหมครับ สำหรับบริษัทขนาดยักษ์ใหญ่อย่างน่าย่าแล้ว พูดตามตรง สูตรอาหารแค่สูตรเดียวก็คงเป็นเพียงดอกไม้ประดับเท่านั้น คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากหรอกครับ”
ถังฮั่นพยักหน้า จริงอย่างที่ไป๋ตงหลินพูด ความจริงแล้วทางบริษัทน่าย่าต้องการตัวไป๋เยี่ยต่างหาก สูตรอาหารเพียงสูตรเดียวมีประโยชน์จำกัด แต่สำหรับบริษัทน่าย่าแล้ว การได้สูตรอาหารนี้มาครอบครองอาจจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางการตลาดต่อปีให้พวกเขาได้ แต่อันดับในตลาดคงไม่เปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่
นี่คือเหตุผลที่ถังฮั่นต้องการจ้างไป๋เยี่ยให้มาเป็นที่ปรึกษา เขามองว่าอนาคตของไป๋เยี่ยนั้นยังไปได้อีกไกลและไม่มีขีดจำกัดใดๆ ซึ่งไป๋เยี่ยอาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้บริษัทน่าย่าได้
กับเงินแค่หนึ่งล้านหยวนน่ะหรือ
เหอะๆ เป็นถึงผู้คิดค้นเกณฑ์บีพีเอฟเอชและประธานหน่วยงานรับรองมาตรฐานเกณฑ์เอ็มไอโอ-บีพีเอฟเอช ถ้าเขารับเงินแค่ล้านเดียวก็คงเป็นเรื่องตลกน่าดู!
เพราะฉะนั้น เงินจำนวนหนึ่งล้านหยวนนั้นก็เป็นเพียงแค่ข้อเสนอเท่านั้น เรื่องจำนวนเงินยังถกกันทีหลังได้
ไป๋ตงหลินพูดต่อ “อันที่จริง ไป๋เยี่ยมีสูตรอาหารอื่นๆ นอกจากบีวายวันอีกนะครับ อย่างเช่นอาหารสำหรับหนูตะเภา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเกณฑ์บีพีเอฟเอชนั้นไม่ได้มีไว้ประเมินแค่หนูธรรมดาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหนูชนิดอื่นๆ ที่นำมาใช้ในการทดลองด้วย ก็เหมือนกับสูตรอาหารนั่นแหละครับ เขาไม่ได้มีแค่สูตรอาหารบีวายวันหรอกนะ”
ถังฮั่นถึงกับอึ้งในคำพูดของไป๋ตงหลิน แค่อาหารชนิดเดียวคงไม่สำคัญอะไร แต่ถ้าเป็นอาหารทุกสูตรสำหรับหนูทดลองแต่ละประเภทล่ะก็…ความหมายก็จะเปลี่ยนไปทันที!
ในบรรดาสัตว์ทดลอง หนูถือเป็นสัตว์ที่นิยมใช้กันมากที่สุด หากเลือกที่จะผูกขาดสูตรอาหารบีวายวัน ก็จะเพาะพันธุ์หนูที่มีคะแนนตามเกณฑ์บีพีเอฟเอชสูงได้แน่นอน!
แต่ถึงตอนนั้น…
เมื่อถังฮั่นได้ลองคิดถึงประเด็นนี้แล้วเขาก็เริ่มกังวลขึ้นมา
ถ้าเรื่องที่ไป๋ตงหลินพูดเป็นจริง เรื่องทั้งหมดก็คงไม่จบแค่การโอนย้ายสิทธิบัตรแน่ๆ
ถังฮั่นอดใจถามไป๋ตงหลินไม่ได้ “คุณไป๋มีคำแนะนำอะไรบ้างไหมครับ”
ไป๋ตงหลินยิ้ม “ผมไม่กล้าแนะนำคุณหรอก แต่…ผมมีข้อเสนอให้คุณนะครับ”
ถังฮั่นพูดต่อ “ว่ามาเลยครับ”
ไป๋ตงหลินค่อยๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ตั้งบริษัทใหม่และมาร่วมมือกันสิครับ ไม่สิ ต้องบอกว่ามาร่วมมือกับไป๋เยี่ยสิครับ”
ถังฮั่นเป็นคนมีวิสัยทัศน์กว้างไกล เขาเข้าใจหลายๆ ประเด็นได้ดี โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการทำธุรกิจ
ดังนั้นเขาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าไป๋ตงหลินต้องการจะทำอะไรกันแน่
ถังฮั่นยังคงถามต่อ “รายละเอียดล่ะครับ”
“ถ้าผมขอซื้อหุ้นจากคุณถัง คุณคงไม่ยอมแน่ๆ เพราะฉะนั้นผมจึงขอเสนอให้มีการจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาเพื่อทำการวิจัยไปจนถึงการผลิตและจำหน่ายอาหารหนู โดยไป๋เยี่ยจะร่วมมือกับคุณถังในฐานะผู้คิดค้นนวัตกรรมและผู้ถือครองสิทธิบัตร ทั้งคุณและไป๋เยี่ยจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน โดยไม่มีการโอนย้ายสิทธิบัตรใดๆ ทั้งสิ้น”
ถังฮั่นได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น “คุณไป๋ต้องการซื้อกี่หุ้นล่ะครับ”
ไป๋ตงหลินยิ้ม “ไป๋เยี่ยเนี่ย เป็นคนเก่งเรื่องการเปลี่ยนของเดิมๆ ให้เป็นอะไรใหม่ๆ ผมคงไม่ต้องชี้ให้คุณเห็นถึงอิทธิพลของอาหารสูตรบีวายวันต่อตลาดในอนาคตหรอกมั้งครับ ซึ่งผมก็พอมีแนวทางให้คุณอยู่ คุณถังลองพิจารณาดูนะครับ”
ไป๋เยี่ยแอบเงี่ยหูฟัง เขาอยากรู้จริงๆ ว่าพ่อของเขาจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้าบ้าง
ไป๋ตงหลินพูดต่อ “มีแนวทางทำธุรกิจอย่างหนึ่งที่เรียกว่าการลงทุนด้านนวัตกรรม ซึ่งเป็นการให้ราคากับนวัตกรรมที่มีการจดสิทธิบัตรไว้แล้ว แต่ถึงยังไง การประเมินราคาก็คงทำได้ยากมาก เพราะฉะนั้นผมจึงมีแนวทางมาให้คุณ
ห้าปีที่ผ่านมานี้ บริษัทน่าย่าของคุณมีการเติบโตขึ้นถึงราวๆ ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เราจะมีการจัดทำรายงานบันทึกกำไรสุทธิประจำปีของบริษัทหลังจากที่รับไป๋เยี่ยเข้าไปทำงานด้วย แล้วจึงนำมาเปรียบเทียบกับอัตราการเติบโตของบริษัทคุณก่อนหน้านี้ จากนั้นก็ทำการคาดคะเนปริมาณกำไรสุทธิประจำปีและเปรียบเทียบความแตกต่างดู ซึ่งคุณก็จะสามารถประเมินมูลค่าของสิทธิบัตรได้คร่าวๆ
แต่แน่นอนว่า กำไรที่ได้มานั้นย่อมเป็นมูลค่าทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นจากการร่วมมือกันของทั้งสองฝ่าย อิทธิพลของคุณอาจจะลดลงสักยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่อีกแปดสิบเปอร์เซ็นต์นั้นคือกำไรที่คุณจะได้รับและใช้เป็นฐานการลงทุนในตลาดหุ้น”
ถังฮั่นขมวดคิ้วเป็นปม “ราคาตลาดมีความผันผวนมากเกินไปครับ อีกทั้งหลังจากที่มีการคิดค้นเกณฑ์บีพีเอฟเอชขึ้น คำสั่งซื้อในตลาดก็ย่อมได้รับผลกระทบไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่ว่านั่นคงไม่มีผลอะไรครับ”
ไป๋ตงหลินยังคงพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอเสนอแนวทางที่สอง ให้จัดตั้งบริษัทใหม่นะครับ โดยบริษัทที่ว่านี่จะมีหน้าที่ผลิตอาหารอย่างเดียว โดยให้ทางบริษัทน่าย่าถือหุ้นไว้ครึ่งหนึ่ง และให้ไป๋เยี่ยเป็นคนถือหุ้นอีกครึ่งหนึ่งไว้ แน่นอนว่าทุนจดทะเบียนของบริษัทนี้ต้องถึงยี่สิบล้านหยวน ซึ่งผมคิดว่าสูตรอาหารของไป๋เยี่ยคงมีมูลค่าถึงสิบล้านหยวนแน่นอน คุณถังคงจะไม่คัดค้านใช่ไหมครับ”
ถังฮั่นพยักหน้า ก็จริงตามที่ไป๋ตงหลินพูดอีกนั่นแหละ สิทธิบัตรของไป๋เยี่ยนั้นมีมูลค่าสมราคา อีกอย่างเขาก็มีหน้าที่แค่จัดหาช่องทางการตลาด เงินทุน และสิ่งสำเร็จรูปต่างๆ เท่านั้น อย่างไรเสียเขาก็ไม่ขาดทุนแน่นอน
ถังฮั่นคิดได้ดังนั้นแล้วก็พูดต่อ “หลังจากนั้นล่ะครับ”
ไป๋ตงหลินตอบ “ภายในหนึ่งปี บริษัทนี้จะอยู่ในสถานะเป็นอิสระจากน่าย่า โดยจะต้องรับผิดชอบผลกำไรและขาดทุนเอง หลังจากหนึ่งปี บริษัทน่าย่าจะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องได้ โดยไป๋เยี่ยจะเป็นผู้ถือหุ้นครึ่งหนึ่งของบริษัทไว้ คุณคิดว่ายังไงบ้าง”
เอาหุ้นของบริษัทมาเปลี่ยนเป็นหุ้นร่วมทุนงั้นเหรอ
หมายความว่ายังไงกัน สมมติถ้าในหนึ่งปีบริษัทมีมูลค่าการตลาดสูงถึงหนึ่งร้อยล้านหยวน ไป๋เยี่ยก็จะได้รับหุ้นห้าสิบล้าน แต่ในการร่วมลงทุนนี้มีทุนสูงถึงแปดพันล้านหยวน ก็จะเท่ากับว่าไป๋เยี่ยจะได้ลงทุนเพียงห้าสิบล้านหยวนเท่านั้น
ไป๋ตงหลินกำลังพูดถึงอะไรกัน
ไป๋ตงหลินคิดว่าอนาคตของบริษัทน่าย่านั้นไปได้ไกลกว่าสูตรอาหารของไป๋เยี่ยเสียอีก สุดท้ายแล้วเขาก็มองแค่อนาคตของบริษัทน่าย่าเท่านั้น
ถังฮั่นเองก็กำลังคิดเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน ถ้าภายในหนึ่งปีบริษัทใหม่ดำเนินงานได้ไม่ดี เงินสิบล้านหยวนของไป๋เยี่ยก็จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แต่ถ้าในหนึ่งปีนั้นสูตรอาหารของไป๋เยี่ยได้รับความนิยมจนได้กำไรมากกว่าหนึ่งร้อยล้านหยวน ก็ย่อมไม่เกิดผลเสียอะไรกับน่าย่าเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนเริ่มต้นที่ยี่สิบล้านหยวนภายในหนึ่งปีนั้นจะเปลี่ยนอะไรได้ จะขยับขึ้นเป็นร้อยล้าน หรือสองร้อยล้านได้อย่างไรในเมื่อเวลาก็มีจำกัด
ถังฮั่นลองพิจารณาดูแล้วพบว่าแนวทางที่สองน่าจะฟังดูเป็นไปได้มากกว่า
กำไรของบริษัทใหม่นั้นย่อมสร้างผลประโยชน์ให้เขาได้มากกว่า เพราะว่าบริษัทใหม่มีหุ้นอยู่แล้วครึ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะได้รับกำไรเท่าใดก็ยังคงมีหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง แม้ว่าส่วนแบ่งของไป๋เยี่ยจะเป็นของน่าย่าครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังถือว่าไม่ขาดทุนมาก
ต่อให้บริษัทใหม่ขาดทุน เขาก็ไม่เสียผลประโยชน์มาก เพราะเขาเองก็มีทั้งช่องทางการตลาด อุปกรณ์ และแรงงานพร้อมอยู่แล้ว ขาดแต่วัตถุดิบเท่านั้น
ว่าแต่วัตถุดิบจะมีมูลค่าสักเท่าไหร่กันนะ