ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 6 ช่วยได้ทันเวลา

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 6 ช่วยได้ทันเวลา

ตอนที่ 6 ช่วยได้ทันเวลา

เมื่อเห็นแนวเทือกเขาใหญ่ตั้งตระหง่านทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ฉินมู่หลานก็ปีนขึ้นไปด้วยความสนอกสนใจ

รอบนอกไม่มีอะไรให้เลือกสรรแล้ว แม้แต่ผลไม้ป่าสักลูกก็ไม่มี ไม่ต้องพูดถึงสมุนไพรที่เธอต้องการจะมาเก็บในวันนี้เลย ดังนั้นเธอจึงเดินลึกเข้าไปอีก

“อ๊ะ…”

ขณะที่ฉินมู่หลานกำลังเดินไปตามเส้นทางอันคดเคี้ยวและสำรวจดูโดยรอบ เธอก็พบเข้ากับสมุนไพรที่รู้จักอยู่ตรงข้างทางเข้าพอดี เธอวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไป ก่อนจะย่อตัวนั่งลงพิจารณา

“หวงจิง(1)จริงด้วย ไม่คิดเลยว่าแถวนี้จะมี”

ฉินมู่หลานหยิบพลั่วเล็กออกมาแล้วเริ่มขุดเก็บวัตถุดิบทำยา หลังจากขุดเหง้าหวงจิงออกมาทั้งหมดแล้วก็นำมันใส่ลงในตะกร้า จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วปีนเดินขึ้นไปต่อ

เมื่อเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ทิวทัศน์โดยรอบก็เริ่มเปลี่ยนไป ต้นไม้ใหญ่ขึ้นหนาทึบ แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาค่อย ๆ ถูกบดบังยิ่งขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็มีสมุนไพรให้เก็บเยอะแยะมากมาย “เฮ้….มีตังกุย ไฉหู(2)ด้วย กระทั่งตันเซินก็ยังมี”

ฉินมู่หลานดีใจมากที่เจอวัตถุดิบปรุงยาพวกนี้ทั้งหมด หลังจากเรื่องยุ่งวุ่นวายผ่านพ้นไปก็ได้เดินลงจากเขาพลางฮัมเพลงอย่างมีความสุข และขณะก้าวเดินได้เพียงไม่กี่ก้าว เธอก็ได้พบของดีบางอย่างเข้า

“ว้าว…ซานเย่าล่ะ”

ฉิมมู่หลานไม่ได้รีบร้อนที่จะกลับสักเท่าใด จึงย่อตัวนั่งลงอีกครั้งก่อนจะขุดซานเย่าขึ้นมา ซานเย่าตรงหน้าโดนขุดขึ้นมาเป็นชิ้น ๆ หลังจากที่เธอขุดไปได้หลายอันแล้วก็พบว่ายังมีเหลืออีกมากมาย

จนกระทั่งใส่ลงในตะกร้าไม่ไหวแล้ว ฉินมู่หลานจึงหยุดมือ เธอมองสำรวจโดยรอบอย่างถี่ถ้วน หลังจากจดจำสถานที่นี้เอาไว้แล้ว เธอก็ลงเขาไป

แต่แล้วก่อนที่ฉินมู่หลานจะเดินออกจากเขาลูกใหญ่ ก็ได้พบกับเย่เสี่ยวเหอและเฝิงจื้อหมิงเข้าพอดี

“ฉินมู่หลาน…”

เมื่อเย่เสี่ยวเหอเห็นฉินมู่หลาน สีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นทันที ผู้ชายที่หล่อนชอบมานานนับแรมปีสุดท้ายโดนฉินมู่หลานคว้าไปเสียได้ เช่นนี้แล้วหล่อนจะทนได้อย่างไร จะไม่มีข้อกังขาเลยสักนิดหากหญิงสาวผู้นั้นเป็นคนดีพร้อม แต่นี่กลับเป็นฉินมู่หลานหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าแย่ที่สุดในหมู่บ้าน

แล้วครั้งก่อน ต่อหน้าผู้คนมากมาย ฉินมู่หลานยังกล้าที่จะตบปัดป้องมือของหล่อนต่อหน้าที่สาธารณชน ความแค้นนี้หล่อนยังจำฝังใจได้เป็นอย่างดี

เมื่อฉินมู่หลานเห็นคนสองคนดูไม่ประสงค์ดีนัก สีหน้าของเธอจึงไม่สู้ดีสักเท่าใดเช่นกัน

เย่เสี่ยวเหอ ผู้หญิงคนนี้ตามหลอกหลอนไม่สิ้นเสียจริง หากเธอมีความสามารถจริงก็หาเรื่องเซี่ยเจ๋อหลี่เสียสิ มาหาเรื่องเธอแบบนี้จะได้อะไรขึ้นมา

“หลีกไปซะ”

เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานมีปฏิกิริยาเพิกเฉยใส่พวกเขา จึงรู้สึกประหนึ่งเหมือนโดนเหยียดหยาม เย่เสี่ยวเหอจึงรู้สึกโกรธอย่างยิ่ง เธอจึงตรงปรี่เข้าไปหาฉินมู่หลาน

“ฉินมู่หลาน นังผู้หญิงอ้วน วันนี้ฉันจะสั่งสอนบทเรียนให้เธอเอง”

เมื่อเห็นว่าเย่เสี่ยวเหอกำลังตรงปรี่เข้ามา ฉินมู่หลานจึงรีบก้าวหลบอย่างรวดเร็ว

และเมื่อเย่เสี่ยวเหอเห็นว่าฉินมู่หลานกำลังหลบฝ่ามือที่กำลังง้างตบออกไป แววตาของหล่อนก็ฉายแววความขุ่นเคือง

ฉินมู่หลานเห็นดังนั้น สีหน้าเธอก็เย็นชาขึ้น

ทำไมต้องทำให้ตัวเองลำบากด้วย เป็นใครก็สามารถคิดได้ทั้งนั้น เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอจึงหันหลบไปด้านข้าง แล้วปล่อยให้มือที่ง้างตบของเย่เสี่ยวเหอตีเข้าบนแขนของตน ก่อนที่เธอจะตบหน้าเย่เสี่ยวเหอกลับไปอย่างแรง

“โอ๊ย…”

เย่เสี่ยวเหอยกมือขึ้นจับหน้าตัวเองด้วยท่าทางไม่อยากจะเชื่อ

หล่อนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าฉินมู่หลานร่างกายอวบอ้วนเ่ช่นนี้กลับคล่องแคล่วเป็นอย่างมาก หล่อนตบคนไม่ได้เลย มิหนำซ้ำยังโดนฉินมู่หลานตบกลับมาอีก

ความปวดแสบแล่นผ่านบนใบหน้า เย่เสี่ยวเหอหันไปมองเฝิงจื้อหมิงก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ “นายมัวทำบ้าอะไรอยู่ จะยืนดูฉันโดนรังแกหรือไง ครั้งก่อนหล่อนก็ตีมือฉันจนแดง ครั้งนี้ยิ่งแล้วใหญ่ มาตบหน้าฉัน นายรีบสั่งสอนมันเดี๋ยวนี้เลย”

เฝิงจื้อหมิงชอบเย่เสี่ยวเหอมาโดยตลอด นอกจากเรื่องที่หล่อนเป็นลูกสาวของผู้ใหญ่บ้านแล้วก็เป็นเพราะหล่อนค่อนข้างดูดีอยู่ไม่น้อย จึงคอยตามตื๊อหล่อนมาตลอด ตอนนี้เมื่อได้ยินดังนั้น จึงพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ได้ ในเมื่อวันนี้ได้มาเผชิญหน้ากันแล้ว หากได้เพิ่มสีสันให้เธอหน่อยคงจะดีไม่น้อย”

ขณะที่พูด เฝิงจื้อหมิงก็เดินตรงไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ก่อนจะพูดกับฉินมู่หลาน “ถ้าเธอยังมีสติดีอยู่ละก็ควรขอโทษเย่เสี่ยวเหอซะ แล้วปล่อยให้เสี่ยวเหอตบเธอซะดี ๆ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันหยาบคายเลยนะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินมู่หลานก็แค่นหัวเราะเยาะ พลางเอ่ย “ฝันไปเถอะ”

“เฮ้อ…ในเมื่อพูดด้วยดี ๆ แล้วไม่ยอมทำตาม ก็คงต้องใช้กำลังบังคับ อย่าคิดนะว่าเธอเป็นผู้หญิงแล้วฉันจะไม่กล้าต่อยเธอ”

เดิมทีเฝิงจื้อหมิงเพียงแค่ต้องการอาใจเย่เสี่ยวเหอเท่านั้น แต่เมื่อเห็นท่าทางอันแสนเย่อหยิ่งของฉินมู่หลานในตอนนี้ เขาก็เริ่มจะโกรธเข้าจริง ๆ เสียแล้ว จึงไม่พูดพล่ามทำเพลงแล้วตรงปรี่เข้าไปหาฉินมู่หลานทันที

เมื่อฉินมู่หลานเห็นดังนั้น จึงค่อย ๆ วางกระบุงลงอย่างระมัดระวัง

ในขณะเดียวกัน เฝิงจื้อหมิงก็เดินตรงมาข้างหน้า พลางกำหมัดแน่นแล้วทำท่าจะต่อยเข้าบนใบหน้าของฉินมู่หลาน

เย่เสี่ยวเหอเห็นดังนั้น แววตาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น พลางคิดสะกดอยู่ในใจ ‘รีบต่อยสิ รีบต่อยนังผู้หญิงน่ารังเกียจนี้ให้หน้าบวมจมูกช้ำไปเลย’

แต่ถึงอย่างนั้นฉินมู่หลานก็ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อหลบหมัดของเฝิงจื้อหมิง เพียงแต่ว่าความว่องไวของเฝิงจื้อหมิงนั้นเร็วมาก เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานหลบหลีกได้ เขาก็รีบก้าวตัวตามไป

ตอนนี้ฉินมู่หลานแอบประหม่านิดหน่อย

เธอยังคิดพยายามยื่นมือเข้าไปหวังจะตบเย่เสี่ยวเหออีกครั้ง แต่เป็นเพราะว่าเธอตัวเตี้ยกว่าเฝิงจื้อหมิง การยื่นแขนตบออกไปของเธอจึงทำได้เพียงแค่สะกิดโดนแขนของเฝิงจื้อหมิงเท่านั้น ซึ่งแทบไม่มีผลกระทบอะไรเลยสักนิด นอกจากนี้หมัดของเฝิงจื้อหมิงยังรวดเร็วและแข็งแกร่งมาก ถึงแม้ว่าเธอจะไม่โดนเข้าตรง ๆ แต่ก็มีแฉลบไปโดนอยู่บ้าง จึงรู้สึกแสบร้อนตรงแขนนิดหน่อย

ในขณะที่ฉินมู่หลานกำลังพยายามหลบอยู่หลายต่อหลายครั้ง ก็เริ่มเห็นได้ชัดว่าเธอหายใจได้ไม่เต็มปอด จึงทำให้ความเร็วในการหลบหลีกเริ่มลดลงเรื่อย ๆ

เมื่อถึงตอนนี้ เฝิงจื้อหมิงก็ได้จังหวะพอเหมาะ เหวี่ยงหมัดพุ่งตรงออกไปยังใบหน้าของฉินมู่หลาน

ฉินมู่หลานรู้ตัวว่าตนหนีไม่พ้นแล้ว จึงหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว

“พลั่ก….”

เสียงเหมือนของหนักตกกระทบพื้นดังขึ้น ฉินมู่หลานลืมตาเมื่อได้ยินเสียงนั้น ก่อนจะเห็นว่าเฝิงจื้อหมิงกำลังนอนกองอยู่กับพื้นพลางโอดครวญด้วยความเจ็บปวด

ในตอนนั้นเอง ร่างสูงร่างหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาเธอ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงนิดหน่อย “มู่หลาน คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

เมื่อได้ยินเสียงทุ้มอันแสนคุ้นเคย ฉินมู่หลานก็รู้สึกตกตะลึง

“เซี่ยเจ๋อหลี่ ค…คุณมาที่นี่ได้ยังไง?”

แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเมื่อเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่ในเวลานี้ เธอกลับรู้สึกดีใจ เพราะถ้าเซี่ยเจ๋อหลี่มาช้ากว่านี้เพียงก้าวเดียว เธอคงโดนเฝิงจื้อหมิงต่อยเข้าอย่างจังเป็นแน่

“แม่เห็นว่าคุณยังไม่กลับบ้านก็เลยกังวลใจ จึงให้ผมออกมาดู”

เซี่ยเจ๋อหลี่ดีใจที่ตัวเองมาทันเวลา ไม่อย่างนั้นภรรยาของเขาคงต้องโดนกลั่นแกล้งเป็นแน่ เมื่อนึกได้ดังนั้น เขาจึงมองไปยังเฝิงจื้อหมิงและเย่เสี่ยวเหอด้วยใบหน้ามืดมน “พวกคุณคิดว่าตระกูลเซี่ยของเราไม่มีคนอย่างนั้นหรือ กลางวันแสก ๆ ยังกล้ารังแกคนอีก”

เมื่อเย่เสี่ยวเหออยู่ต่อหน้าเซี่ยเจ๋อหลี่ หล่อนก็ส่งสายตามองเขาด้วยความใสซื่อ แต่เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น หล่อนจึงรีบเร่งอธิบายทันที “สหายเซี่ย ฉินมู่หลานเป็นคนตบฉันก่อนนะ เฝิงจื้อหมิงก็เลยช่วยฉันระบายความโกรธ เราไม่ได้จะทำอะไรฉินมู่หลานเลยนะคะ”

หลังจากพูดจบ เย่เสี่ยวเหอก็ลดมือที่ปิดอยู่บนใบหน้าออก

“สหายเซี่ย คุณดูสิคะ ฉินมู่หลานตบฉันตรงนี้ ตอนนี้มันยังปวดแสบปวดร้อนอยู่เลย”

…………………………………………………………………………………………………………………………

黄精 หรือ Solomon’s seal เป็นพืชสมุนไพรตระกูลลิลลี่ชนิดหนึ่ง เหง้ามีสรรพคุณบำรุงชี่และหยิน เสริมสร้างม้าม ให้ความชุ่มชื้นกับปอด บำรุงไต

柴胡 หรือ Bupleurum angustifolia เป็นพืชชนิดหนึ่งในวงศ์ผักชีที่มีสรรพคุณต้านการอักเสบ

สารจากผู้แปล

มาทันเวลาพอดีแบบพระเอกขี่ม้าขาวมากเลย เอาคืนกลับเลยพ่อ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท