ตอนที่ 57 สมควร
เช้าตรู่ หลิงฉางจื้อพาหลิงฉางเฟิงกับเยียนอวิ๋นเพ่ยมาถึงจวนท่านหญิงจู้หยาง
เยียนอวิ๋นฉวนยืนรอต้อนรับอยู่ที่ประตูรอง
“พี่อวิ๋นฉวน!”
“พี่ฉางจื้อ! ท่านทั้งสามเชิญทางนี้ ฮูหยินรออยู่ในห้องโถงรับแขกนานแล้ว”
เยียนอวิ๋นฉวนนำทางไปทักทายไป
เมื่อเยียนอวิ๋นเพ่ยรู้ว่ากำลังจะไปเข้าพบเซียวฮูหยิน นางก็รู้สึกกังวลใจอย่างมาก
นางเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อหลิงฉางเฟิงมองมาทางตนเองเพื่อแสร้งทำเป็นไม่ตื่นเต้น
ไม่นานนักพวกเขาก็เดินทางมาถึงห้องโถงรับแขก
หลิงฉางจื้อเห็นสถานการณ์ภายในห้องโถง เขาเดินขึ้นหน้าอย่างรวดเร็ว “คำนับท่านหญิง! ขอให้ท่านหญิงสุขภาพแข็งแรง!”
เซียวฮูหยินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าคงจะเป็นหลิงฉางจื้อ สมกับเป็นผู้ที่มีความสามารถ”
“ท่านหญิงชื่นชมเกินไปแล้ว!”
หลิงฉางจื้อวางตัวสง่างามพลันเผยรอยยิ้มอบอุ่น
เขาเหลือบมองพี่น้องตระกูลเยียนอย่างมีความคิดบางอย่างภายในใจ
หลิงฉางเฟิงรีบพาเยียนอวิ๋นเพ่ยเดินขึ้นหน้า “คำนับท่านแม่ยาย!”
เยียนอวิ๋นเพ่ยพูดตาม “คำนับฮูหยิน”
เซียวฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าล้วนเป็นเด็กดี! ไม่ต้องมากพิธีหรอก!”
ถึงคราวของสองพี่น้องตระกูลเยียนลุกขึ้นคำนับ
เยียนอวิ๋นฉีกับเยียนอวิ๋นเกอสองพี่น้องแสดงท่าทีอันเป็นมิตรต่อเยียนอวิ๋นเพ่ย ทำให้ความกังวลของเยียนอวิ๋นเพ่ยก่อนหน้านั้นสูญเปล่า
เรื่องนั้นก็ผ่านไปตั้งหนึ่งปีแล้ว ฮูหยินกับเยียนอวิ๋นเกอเกรงใจต่อนางเพียงนี้อาจเป็นเพราะหายโกรธนางแล้วก็ได้
หลังจากทักทายกันแล้ว เยียนอวิ๋นฉวนนำหลิงฉางจื้อกับหลิงฉางเฟิงสองพี่น้องออกไปยังเรือนด้านนอก
เยียนอวิ๋นฉวนตั้งใจจะคบหาหลิงฉางจื้อ เพียงแต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีประจบสอพลอหรือพูดจาแข็งกร้าว
อีกทั้งทั้งสองคนต่างเป็นบุตรชายคนโตในตระกูล แบกรับหน้าที่อันใหญ่หลวงของตระกูล จึงมีเรื่องให้แลกเปลี่ยนกันมากมาย
เดิมทีหลิงฉางจื้อไม่เห็นเยียนอวิ๋นฉวนในสายตาด้วยซ้ำ ต่อมาเห็นเขาพูดจาดี ฝึกฝนครบทั้งวิชาการและการทหาร
ดังนั้นคนหนึ่งเจตนาคบหา อีกทั้งจึงผลักดันให้เป็นไปตามเจตนาของอีกฝ่าย ทั้งสองคนยิ่งคุยยิ่งสนิทกัน
หากแต่เป็นหลิงฉางเฟิงที่ถูกละเลย
เยียนอวิ๋นฉวนดูถูกหลิงฉางเฟิง ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกไม่ยุติธรรมแทนเยียนอวิ๋นเฟย
หากแต่ในสายตาของเยียนอวิ๋นฉวน หลิงฉางเฟิงเป็นเพียงแค่คนไม่เอาไหน ไม่รู้ว่าเรื่องใดสำคัญ งานสมรสยังบังอาจทำเหมือนเรื่องน่าขัน ช่างโง่เขลายิ่งนัก
หากเขาไม่ได้กำเนิดในตระกูลหลิง อีกทั้งยังเป็นบุตรของภรรยาเอก เขาคงไม่แม้แต่จะมองอีกฝ่าย
ส่วนหลิงฉางจื้อนั้นสมกับเป็นหลายชายคนโตของบ้านใหญ่ตระกูลหลิง ความรู้ท่วมท้นและมีวิสัยทัศน์ สง่าผ่าเผยสมกับเป็นนายน้อยตระกูลใหญ่
หลิงฉางเฟิงที่ฟังคนทั้งสองสนทนาเรื่องที่เขาไม่สนใจก็อดที่จะหาวขึ้นมาไม่ได้
หากก่อนมาพี่ใหญ่ไม่ได้กำชับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาคงจะสะบัดแขนเสื้อจากตามใจตัวเองนานแล้ว
หลิงฉางจื้อขอโทษแทนหลิงฉางเฟิง “ให้พี่อวิ๋นฉวนเห็นเรื่องน่าอับอายแล้ว! น้องชายของข้าเหลวไหลเสียจริง! เดิมทีคิดจะเดินทางไปรับโทษกับท่านโหวด้วยตนเองตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ก็ไม่อาจเดินทางไปได้”
“พี่ฉางจื้อไม่ต้องเกรงใจเพียงนี้! ท่านพ่อให้อภัยน้องเขยฉางเฟิงนานแล้ว!”
“เช่นนั้นย่อมดี! ไม่รู้ท่านหญิงคิดเห็นอย่างไร ให้ข้าจับฉางเฟิงไปรับโทษกับท่านหญิงดีหรือไม่!”
เยียนอวิ๋นฉวนส่ายหัวพลางพูด “ฮูหยินเป็นคนใจกว้าง เรื่องผ่านไปตั้งหนึ่งปีแล้ว คิดว่าท่านคงไม่ถือสา”
ไม่ถือสาจริงหรือ
หลิงฉางจื้อเลิกคิ้วยิ้ม แต่ไม่ได้ยืนกรานที่จะทำ
…
ห้องโถงรับรองแขกเรือนหลัง เยียนอวิ๋นเพ่ยเผชิญหน้ากับเซียวฮูหยินและพี่น้องตระกูลเยียนเพียงลำพัง นางแสดงสีหน้ากังวลอย่างมาก
เยียนอวิ๋นฉียิ้มมีนัย “พี่อวิ๋นเพ่ย หนึ่งปีนี้ท่านสบายดีหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเพ่ยยิ้มเก้อ “ขอบคุณน้องอวิ๋นฉี ข้าสบายดี!”
“สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเสียจริง!” เยียนอวิ๋นฉีพึมพำ
เซียวฮูหยินกวาดตามองนาง เยียนอวิ๋นฉีเงียบลงทันที
เยียนอวิ๋นเพ่ยแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่ก็ไม่อาจทำอันใดได้ นางทำได้เพียงยิ้มและแสร้งไม่ได้ยิน
เซียวฮูหยินแสร้งถามอย่างเป็นห่วง “หลิงฉางเฟิงปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างไร เจ้าอยู่ในตระกูลหลิง แม่สามีกับสะใภ้ในตระกูลได้หาเรื่องเจ้าหรือไม่”
ในที่สุดก็ได้ยินคำพูดห่วงใย ทำให้เยียนอวิ๋นเพ่ยซาบซึ้งอย่างมาก
นางรีบพูด “ขอบพระคุณฮูหยินที่เป็นห่วง! สามีข้าดีต่อข้าอย่างมาก แม่สามีกับสะใภ้ในตระกูลก็อยู่ร่วมกันอย่างดี พวกนางไม่ได้กลั่นแกล้งข้าแม้แต่น้อย ข้าออกจากจวนได้ไม่ง่ายนัก คราวนี้มาเมืองหลวงได้ก็เพราะน้องอวิ๋นฉี”
เซียวฮูหยินยิ้ม “เห็นเจ้าอยู่ดีในตระกูลหลิง ข้าก็วางใจแล้ว ภายหลังข้าจะส่งจดหมายไปให้บ้านรอง บอกกล่าวให้บิดามารดาของเจ้าวางใจ”
“ฮูหยินคำนึงรอบคอบยิ่งนัก” เยียนอวิ๋นเพ่ยพูดด้วยรอยยิ้ม
เยียนอวิ๋นฉีสงสัย “หนึ่งปีมานี้ พี่อวิ๋นเพ่ยไม่เคยส่งจดหมายกลับจวนเลยหรือ ท่านลุงกับท่านป้าคงเป็นกังวลแย่แล้ว”
เยียนอวิ๋นเพ่ยรีบพูด “ข้ามีเขียนจดหมายกลับจวนเป็นครั้งคราว เพื่อบอกกล่าวให้พวกเขาไม่ต้องกังวล ข้าอยู่อย่างสุขสบายในตระกูลหลิง”
เยียนอวิ๋นฉีเลิกคิ้วยิ้ม ไม่ได้เปิดโปงนาง
เซียวฮูหยินกวาดตามองท้องของเยียนอวิ๋นเพ่ย “แต่งงานมาหนึ่งปี ท้องของเจ้ามีเคลื่อนไหวบ้างหรือไม่ ดูจากสีหน้าช่างซีดเซียว เจ้าผอมลงกว่าก่อนออกเรือนไม่น้อย ตระกูลหลิงไม่ให้เจ้ากินของดีๆ หรือ”
เยียนอวิ๋นเพ่ยส่ายหัวระรัว นางรีบร้อนในการอธิบาย ราวกับหากช้าไปก้าวเดียวจะถูกคนเข้าใจผิด
“ฮูหยินโปรดวางใจ ตระกูลหลิงเป็นตระกูลมั่งคั่งย่อมไม่มีทางปล่อยให้ข้าอดอยาก แต่ข้าไร้ประโยชน์เอง เมื่อเดินทางไปถึงตระกูลหลิง เนื่องจากไม่คุ้นชินกับสถานที่ โรคของข้าจึงรักษาไม่หายเสียที จนกระทั่งเวลานี้ยังไม่มีความคืบหน้า”
เซียวฮูหยินตอบรับ “อ่อ ร่างกายสำคัญยิ่งนัก อย่าลืมให้ไต้ฟูจ่ายยารักษาให้ดี เจ้ามาเมืองหลวงไม่ง่ายนัก อย่าขังตัวอยู่แต่ในห้อง หากมีเวลาว่างก็ออกมาดูภายนอกบ้างจะได้เปิดหูเปิดตา ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดตระกูลหลิงจึงให้เจ้ามาเมืองหลวงด้วย ทุกเรื่องเจ้าต้องตัดสินใจเอง”
“ขอบพระคุณฮูหยินที่แนะนำ ข้าจะจดจำไว้ในใจ” เยียนอวิ๋นเพ่ยตอบรับอย่างเคารพและเชื่อฟัง
เซียวฮูหยินถือว่าให้เกียรติอีกฝ่ายมากแล้ว ดังนั้นจึงหาเหตุผลขอตัว
ปล่อยให้เยียนอวิ๋นฉีและเยียนอวิ๋นเกอสองพี่น้องรับรองเยียนอวิ๋นเพ่ย
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มให้เยียนอวิ๋นเพ่ย ทำท่าทางบอกกล่าวว่านางยุ่งมาก ไม่มีเวลารับรอง ก่อนจะจากไป
เอ๊ะ?
เยียนอวิ๋นเพ่ยทำหน้าประหลาดใจ
เยียนอวิ๋นเกอปล่อยนางไปอย่างง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ
หรือว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนนิสัยไปแล้ว?
แต่อย่างไรก็เป็นเรื่องดีที่เยียนอวิ๋นเกอไม่ได้กลั่นแกล้งนาง
นางรีบพูด “น้องอวิ๋นเกอรีบไปเถิด ข้าไม่เป็นอันใด”
นางโล่งใจเมื่อเยียนอวิ๋นเกอจากไป
ก่อนเดินทางมาถึง นางรู้สึกกังวลใจอย่างมาก
แต่เวลานี้ความกังวลทั้งหมดของนางก่อนหน้านั้นก็สูญเปล่า
เรื่องผ่านไปหนึ่งปีแล้ว ความโกรธมากน้อยเพียงใดก็ควรหายแล้ว
…
เยียนอวิ๋นเกอไม่อยากเห็นใบหน้าของเยียนอวิ๋นเพ่ย ดังนั้นจึงหาข้ออ้างจากไป
จนกระทั่งงานเลี้ยงตอนเที่ยง นางถึงได้ปรากฏตัวอีกครั้ง
ถึงแม้คนน้อย แต่ยังคงแบ่งเป็นโต๊ะฝ่ายชายและฝ่ายหญิง
ก่อนหน้านี้ เยียนอวิ๋นฉีรับรองเยียนอวิ๋นเพ่ยคนเดียว
เยียนอวิ๋นฉีไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายขายหน้า แต่ท่าทีของนางก็ไม่ได้กระตือรือร้นนัก
เยียนอวิ๋นเพ่ยไม่สนใจแม้แต่น้อย
หลิงฉางเฟิงกำชับนางไว้ก่อนหน้านี้ เขาบอกให้นางสานสัมพันธ์อันดีกับเยียนอวิ๋นฉีเอาไว้
นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก แม้ว่าเยียนอวิ๋นฉีจะหมดความอดทนจนมีสีหน้าไม่ดี นางก็ไม่ถดถอย
ยิ่งไปกว่านั้นเยียนอวิ๋นฉีไม่มีท่าทีรำคาญ นางจึงยิ่งอยากสนิทกับอีกฝ่าย
อดทนจนกระทั่งงานเลี้ยงตอนเที่ยง เยียนอวิ๋นฉีโล่งใจราวกับปลดภาระอันหนักอึ้งลง นางยิ้มให้น้องสี่อวิ๋นเกออย่างขมขื่น
นางเหน็ดเหนื่อบแทบตายกับการรับรองเยียนอวิ๋นเพ่ย
นางรังเกียจอีกฝ่ายจากใจ
แต่อีกฝ่ายหน้าด้านจนไม่รู้สึกรู้สาอันใด อีกทั้งยังมาตีสนิทกับนางอีก
นางพึมพำกับเยียนอวิ๋นเกอ “ต่อไปน้องสี่ออกหน้ารับรองนาง”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะ พลันใช้สองมือทำท่า ‘ข้าพูดไม่ได้ คงต้องเหน็ดเหนื่อยกว่าให้พี่สองรับรอง’
เยียนอวิ๋นฉีหดหู่อย่างมาก
“ปกติแล้วน้องสี่สามารถรับมือกับทุกคนอย่างเป็นธรรมชาติ เหตุใดวันนี้จึงหลบเยียนอวิ๋นเพ่ย เจ้ากลัวนางหรือ”
เป็นไปได้อย่างไร!
เยียนอวิ๋นเกอใช้สองมือทำท่า ‘พี่สองก็รู้ ข้าอารมณ์ร้อน หากให้ข้ารับรองเยียนอวิ๋นเพ่ย ข้ากลัวว่าจะอดทนไม่ไหวจนลงมือตีนางต่อหน้าทุกคน อย่างนั้นคงดูไม่ดี อย่างไรก็ต้องลำบากพี่สองรับรองนางต่อ วันอื่นข้าจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงพี่สอง’
เยียนอวิ๋นฉีเม้มปากยิ้ม “เอาเถิด! รับปากเจ้าก็ได้”
เยียนอวิ๋นเพ่ยไม่เข้าใจภาษามือ เห็นเพียงเยียนอวิ๋นฉีกับเยียนอวิ๋นเกอกำลังคุยกัน แต่ไม่รู้ว่าพวกนางคุยเรื่องใดกัน
นางร้อนใจยิ่งนัก
นางเดินเข้าไปอย่างหน้าด้าน “น้องหญิงทั้งสองคุยเรื่องใดกัน ให้ข้าฟังด้วยได้หรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอยกถ้วยชาขึ้น ปิดบังมุมปากที่กำลังยิ้มเย้ยหยัน
เยียนอวิ๋นฉีพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่อวิ๋นเพ่ยกังวลมากไปแล้ว ข้ากับน้องสี่แค่คุยเรื่องทั่วไป”
เยียนอวิ๋นเพ่ยพูด “จวนท่านหญิงกว้างใหญ่นัก แต่คนอยู่อาศัยกลับไม่มาก น้องหญิงทั้งสองรู้สึกเหงาหรือไม่ ข้าได้ยินว่าพี่ใหญ่ไม่ได้อาศัยอยู่ในจวนท่านหญิง หากแต่อาศัยอยู่ในจวนอีกแห่งในเมือง เพราะเหตุใดหรือ”
นางช่างเข้าสังคมไม่เป็นเสียจริง เรื่องใดไม่ควรพูดก็พูดขึ้นมา
ภายในใจของเยียนอวิ๋นฉีรังเกียจเยียนอวิ๋นเพ่ยอย่างมาก
นางพูด “พี่อวิ๋นเพ่ยช่างสังเกตยิ่งนัก หากท่านสงสัยนัก ท่านไปถามพี่ใหญ่เองจะดีกว่าหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเพ่ยฟังน้ำเสียงที่เสียดสีจึงยิ้มเก้อ “ข้าแค่ลองถามดู น้องอวิ๋นฉีไม่พูดก็ไม่เป็นอันใด”
เมื่อรอเซียวฮูหยินนั่งลง งานเลี้ยงเริ่มจึงขึ้นอย่างเป็นทางการ
หนึ่งโต๊ะนั่งสี่คน ช่างเงียบเหงาเสียจริง
แต่เนื่องจากมารยาทในการทานอาหารต้องไม่พูดคุย ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดพูด ได้ยินเพียงเสียงจานชามกระทบกัน
เยียนอวิ๋นเพ่ยเป็นกังวลอย่างมาก
ทั้งที่เป็นงานเลี้ยงที่คุ้นเคย แต่นางกลับทำพลาดหลายต่อหลายครั้ง จานชามกระทบกันเกิดเสียงดัง
เซียวฮูหยินเหลือบมองนาง “ตอนเจ้าอยู่ตระกูลหลิง เจ้าได้เรียนรู้การจัดการเรื่องภายในจวนหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเพ่ยส่ายหน้า “แม่สามีบอกว่าข้ายังเด็ก ไม่ต้องรีบเจ้าค่ะ”
เซียวฮูหยินยิ้มอย่างกระจ่าง “แม่สามีเจ้าช่างโปรดปรานเจ้าเสียจริง ข้าเห็นว่าเจ้าลืมมารยาทไปเสียแล้ว เหตุใดแม่สามีเจ้าจึงไม่สั่งสอนเจ้าเสียบ้าง”
ทันใดนั้น…
เยียนอวิ๋นเพ่ยหน้าแดงก่ำจนลามไปถึงใบหู
เสียงของนางเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน “ให้ฮูหยินเห็นเรื่องน่าอับอายแล้ว เป็นความผิดของข้า ข้าๆๆ ข้าไม่ได้ลืมมารยาทเจ้าค่ะ เพียงแค่ตื่นเต้นมากเกินไป”
“กลับตระกูลตัวเอง ไม่ใช่ปรนนิบัติบิดามารดาของสามี เหตุใดจึงต้องตื่นเต้น ข้าจะกินเจ้าหรืออย่างไร” เซียวฮูหยินยิ้มอย่างมีนัย
เยียนอวิ๋นเพ่ยส่ายหน้าระรัว ไม่รู้ว่าควรพูดอันใด ใบหน้าของนางแดงก่ำราวกับถูกย้อมสี
เซียวฮูหยินปล่อยนาง “ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก ข้าไม่กินคน พบปะกันในเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งเจ้ายังเดินทางมาเพื่องานสมรสของอวิ๋นฉีโดยเฉพาะ ข้าจดจำน้ำใจของเจ้า หลายวันนี้ภายในจวนวุ่นวายนัก ไม่อาจรับรองเจ้าได้ รอถึงวันอภิเษกสมรสของอวิ๋นฉี เจ้าค่อยเดินทางมาใหม่เถิด”
“ขอบพระคุณฮูหยินเจ้าค่ะ!”
เซียวฮูหยินพูดอีกครั้ง “รักษาร่างกายให้ดี กินให้มาก เห็นเจ้าผอมลง คนที่ไม่รู้เห็นเข้าคงจะคิดว่าตระกูลหลิงทารุณเจ้า ไม่ให้เจ้าได้กินอิ่ม”
เยียนอวิ๋นเพ่ยอับอายจนไร้ที่ยืน นางแทบอยากจะขุดหลุมมุดลงไปใต้ดิน
นางน้อยใจ เสียใจ โกรธแค้น แต่ก็ไม่อาจระบายออกมาได้
ไม่รู้เพราะเหตุใด นางกลัวเซียวฮูหยินอย่างมาก
แต่ก่อนตอนที่อยู่ตระกูลเยียนในแคว้นซ่างกู่ นางไม่เคยกลัวเซียวฮูหยินแม้แต่น้อย
มิหนำซ้ำนางยังดูถูกฮูหยินใหญ่ที่ไม่ได้รับความโปรดปรานจากใจ
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งปี เมื่อได้พบหน้ากันอีกครั้ง เซียวฮูหยินในสายตาของนางเปลี่ยนไป
ไม่ใช่ลักษณะภายนอกที่เปลี่ยนไป หากแต่เป็นบุคลิกที่เปลี่ยนไป บารมีที่ยิ่งใหญ่ของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกถึงความกดดัน
หรือว่าจะเป็นบารมีของท่านหญิงหรือ
ส่วนเยียนอวิ๋นเกอดูไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อน อีกทั้งไม่ชอบลงมือเหมือนแต่ก่อนด้วย
ช่างน่ายินดียิ่งนัก!
ก่อนเดินทางมา นางกลัวเยียนอวิ๋นเกอลงมือตีนางอย่างมากจนแทบจะเป็นปมภายในใจอยู่แล้ว
เซียวฮูหยินวางจานชามลง พลันล้างปากและหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมุมปาก “อวิ๋นเพ่ยค่อยๆ กิน เจ้าต้องกินให้อิ่ม ภายในจวนเงียบเหงา ไม่มีสิ่งใดให้เจ้าทำ โชคดีที่สวนดอกไม้ภายในจวนถึงเวลาที่ทิวทัศน์งดงามที่สุดในหนึ่งปี หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จ ให้อวิ๋นฉีและอวิ๋นเกอพาเจ้าไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ ถือว่าเป็นการย่อยอาหาร อย่างไรร่างกายก็สำคัญนัก เจ้าต้องกินให้มาก จะได้มีเนื้อมีนวล เจ้าผอมจนทำให้คนสงสารเหลือเกิน”
“ขอบพระคุณฮูหยินที่เป็นห่วง!” เยียนอวิ๋นเพ่ยพูดเสียงเบา
ท่าทางของนางราวกับสะใภ้ที่ถูกกดขี่
ไม่มีความยโสโอหังเหมือนตอนอยู่ในตระกูลเยียนแม้แต่น้อย
เซียวฮูหยินยิ้มอย่างกระจ่าง ภายในใจแอบชื่นชมฝีมือในการกลั่นแกล้งคนของหลิงฮูหยิน
ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
เวลาเพียงหนึ่งปี หลิงฮูหยินก็สั่งสอนให้เยียนอวิ๋นเพ่ยกลายเป็นเช่นนี้ ทั้งอ่อนแอทั้งขี้กลัว ไร้ซึ่งท่าทีแข็งกร้าวเหมือนตอนก่อนออกเรือนอย่างมาก
มิน่าตระกูลหลิงถึงยอมให้เยียนอวิ๋นเพ่ยตามมาเมืองหลวง
การแต่งเข้าตระกูลใหญ่ก็เหมือนกับการดำดิ่งลงสู่น้ำลึก
เรือนหลังของตระกูลหลิงมีกฎระเบียบเข้มงวดนัก
หนึ่งปีก่อนเยียนอวิ๋นเพ่ยแต่งงานเข้าตระกูลหลิงด้วยความดีใจ
วันนี้ไม่รู้ในใจของนางจะมีความคิดเห็นอย่างไร
ทนทุกข์ทรมานอยู่ทุกวันใช่หรือไม่
ร้องไห้อยู่ทุกวันใช่หรือไม่
ดูจากสีหน้าของนาง คงจะมีโรคทางเพศ
หลิงฉางเฟิงลุ่มหลงในกาม เยียนอวิ๋นเพ่ยไม่อาจร่วมหอได้ ชีวิตของนางคงลำบากน่าดู
สมควรแล้ว!
เซียวฮูหยินยิ้มมุมปาก