ตอนที่ 92 อาศัยบารมี
เมื่อเห็นจอกสุราของเยียนอวิ๋นฉวนว่างเปล่า หลิงฉางจื้อถือเหยือสุราขึ้นรินสุราให้เขา
“ฟังจากน้ำเสียงของพี่อวิ๋นฉวน ราวกับเคยถูกนางทำร้ายอย่างมากหรือ”
พูดถึงเรื่องนี้ เยียนอวิ๋นฉวนก็โมโหขึ้นมา
“พี่ฉางจื้อ ไม่รู้นิสัยของน้องสี่ข้า นางเห็นแก่เงินเพียงใด ข้ามาเมืองหลวงในวันที่สอง เพิ่งพบหน้า นางก็อ้าปากของเงินข้า ยังบอกว่าพบหน้าแบ่งครึ่ง ข้าไม่อาจเทียบพี่ฉางจื้อได้ เงินบนตัวมีจำกัด สุดท้ายพบน้องสี่ราวเดียว ก็ถูกปล้นไปนับหมื่นก้วน”
เยียนอวิ๋นเกอหลอกลวงคนเสียจริง!
หลิงฉางจื้อหัวเราะ ทั้งรู้สึกขบขัน ทั้งรู้สึกเห็นใจ
“พี่อวิ๋นฉวนดื่มสุรา! มีน้องสาวเช่นนี้ พี่อวิ๋นฉวนก็ไม่ง่าย”
“พี่ฉางจื้อเข้าใจข้า!”
“เรือนพักร่ำรวยของคุณหนูสี่เฟื่องฟูมากในฤดูหนาวนี้ แม้แต่ตระกูลหลิงของพวกข้าเวลานี้ก็ยังกินผักที่ปลูกจากเรือนพักร่ำรวย หนึ่งจินราคาหลายก้วน แพงยิ่งนัก”
เยียนอวิ๋นฉวนได้ยิน จึงหัวเราะขึ้นมา “เรื่องนี้ข้าอาจจะดีกว่าพี่ฉางจื้อเล็กน้อย อย่างน้อยข้าก็เป็นลูกชายคนโตของตระกูลเยียน น้องสี่ไม่กี่วันก็ส่งผักมาหนึ่งตะกร้า ไม่เก็บเงินแม้แต่น้อย”
เยียนอวิ๋นเกอถือว่าเป็นน้ำใจของมนาย์ที่มีต่อกัน
อยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน ในสายตาคนนอก พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน
ผักเพียงเล็กน้อย เยียนอวิ๋นเกอไม่เก็บเงินเยียนอวิ๋นฉวน
แต่ว่าคราหน้าเยียนอวิ๋นเกอจะขอเงินเยียนอวิ๋นฉวนให้มากกว่าเดิม
พบหน้าไม่เพียงแบ่งครึ่ง อย่างน้อยต้องถลกหนังลงมาชั้นหนึ่ง
ดังคำกล่าวที่ว่าขนแกะอยู่บนตัวแกะ
หลิงฉางจื้อพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูสี่ไม่เพียงเห็นแก่เงิน นางยังหาเงินเก่งด้วย ผู้ใดจะคิดได้ว่านางจะหาวิธีเปิดห้องเรียน เท่าที่ข้ารู้ จำนวนคนลงทะเบียนในเวลานี้มากกว่าสองร้อนคนแล้ว แม้แต่ตระกูลหลิงของพวกข้ายังส่งช่างฝีมือเจ็ดแปดคนมุ่งหน้าไปศึกษาที่เรือนพักร่ำรวย
หนึ่งคนห้าสิบก้วน เพียงแค่ค่าเล่าเรียนก็เสียไปสี่ร้อยก้วน นอกจากนี้ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายการกินอยู่ในเรือนพัก ข้าต้องยอมรับว่าเรื่องหาเงิน ข้าไม่อาจเทียบคุณหนูสี่ได้”
เยียนอวิ๋นฉวนหัวเราะ “พี่ฉางจื้อไม่ต้องเสียใจไป ไม่ได้มีเพียงท่านที่เทียบความสามารถในการหาเงินของน้องสี่ไม่ได้ หากท่านรู้ความคิดแปลกใหม่ของนาง ท่านย่อมไม่แปลกใจ”
“อ๋อ ไม่รู้มีความคิดแปลกใหม่ใดบ้าง”
เยียนอวิ๋นฉวนอึ้งไปครู่หนึ่ง หวนระลึกถึงอดีต “ข้าจำได้ว่าน้องสี่เคยพูดไว้ตอนเด็ก นางต่อเรือใหญ่ ออกทะเลทำการค้า นางยังบอกด้วยว่า ทำการค้ากับคนนอกทะเลได้กำไรมากกว่า ข้าจำรายละเอียดไม่ได้นัก เวลานั้นคิดว่านางพูดเล่น ไม่ได้ใส่ใจ”
หลิงฉางจื้อฟัง “ออกทะเลหรือ ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง นอกทะเลมีคน แต่คนละภาษา หากจะหาเงินก็มีความเป็นไปได้”
“พี่ฉางจื้อช่างมีความรู้มาก แม้แต่สถานการณ์นอกทะเลยังรู้”
หลิงฉางจื้อส่ายหัว “ไม่อาจเทียบคุณหนูสี่! แต่ฟังจากที่ท่านพูด น้องสี่ของท่านราวกับเกิดมาอย่างรู้อนาคต หรือว่าบนโลกนี้จะมีคนที่เกิดมาแล้วรู้อนาคตจริง?”
เยียนอวิ๋นฉวนหัวเราะ “ถึงแม้บนโลกนี้จะมีคนที่เกิดมาแล้วรู้อนาคตจริง แต่ก็ไม่มีทางเป็นน้องสี่ของข้า ฉางจื้อ ท่านคิดมากไปแล้ว เพียงแค่น้องสี่ของข้าชื่นชอบการอ่านตำรา ท่านพ่อข้าให้คนไปรวบรวมตำราหายากมากมายมาเพื่อนาง บางทีความคิดแปลกใหม่ของนางล้วนมาจากตำรา”
หลิงฉางจื้อได้ยิน ยิ้ม “หากพูดเช่นนี้ ท่านโหวโปรดปรานคุณหนูสี่มาก?”
“ถือว่าใช่!”
“เรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับข่าวลือจากภายนอก มีข่าวลือจากภายนอกว่าท่านโหวโปรดปรานภรรยารอง เพิกเฉยภรรยาหลวง พี่อวิ๋นฉวน ข้าก็แค่ได้ยินมา ท่านอย่าได้ถือโทษ”
เยียนอวิ๋นฉวนหัวเราะเยาะตัวเอง “พี่ฉางจื้อคิดมากไปแล้ว คำพูดเหล่านี้ข้าได้ยินตั้งแต่เด็ก ฟังจนหูแทบหนวก ท่านแม่โปรดปรานท่านแม่ของข้าก็จริง แต่ไม่รู้ว่าการละเลยภรรยาหลวงมาจากใด นับแต่ข้าจำได้ ท่านพ่อเคารพฮูหยินเสมอมา ไม่เคยโมโหแม้แต่น้อย”
หลิงฉางจื้อยิ้ม “ไม่อาจเชื่อถือข่าวลือได้เสียจริง มันเป็นความผิดของข้า ข้าลงโทษตัวเองสามจอก พี่อวิ๋นฉวนตามสบาย”
ทั้งสองพลางดื่มพลางสนทนา ประเด็นสนทนาล้วนไม่ห่างไปจากเยียนอวิ๋นเกอ
หลิงฉางจื้อราวกับสนใจเรื่องของเยียนอวิ๋นเกอมาก เขาคิดหาทาง สืบเรื่องจากปากของเยียนอวิ๋นฉวนมากขึ้น
เยียนอวิ๋นฉวนพูดในสิ่งที่พูดได้
อันที่จริงเขารู้จักเยียนอวิ๋นเกอเพียงผิวผืน
ทั้งสองคนมีบิดาร่วมกันแต่ต่างมารดา ไปมาหาสู่กันไม่บ่อยนัก เรื่องส่วนใหญ่อันที่จริงเขาได้ยินมาจากบ่าวรับใช้ ไม่ได้เห็นกับตาตนเอง
ถึงแม้กระนั้น หลิงฉางจื้อก็ฟังอย่างออกอรรถรส
การดื่มสุราในครานี้ใช้เวลากว่าสองชั่วยาม
เมื่อเยียนอวิ๋นฉวนออกจากจวนโหวไป ฟ้าก็ค่ำลงแล้ว
อากาศอึมครึม อาจมีหิมะตกอีก
รถม้าไหวไปมาตลอดทาง มุ่งหน้ากลับจวนภายในเมือง
เยียนอวิ๋นฉวนเคลิมเคลิ้ม หลับไปในรถม้าตื่นหนึ่ง
เมื่อถึงจวน น้ำแกงสร่างสุราชามหนึ่งลมท้อง ทันใดนั้นก็ตื่นขึ้นมา
เขาสะบัดหัว มึนเล็กน้อย แต่ความคิดยังกระจ่าง
เขารับสั่งบ่าวรับใช้ “ไปเชิญหวังซินแสมา!”
บ่าวรับใช้รับคำสั่งจากไป
ไม่นานนัก หวังกุนซือมาถึงห้องตำรา
“ได้ยินว่านายน้อยดื่มสุรากับนายน้อยใหญ่ตระกูลหลิงอย่างเริงรมย์ ยินดีกับนายน้อย”
“ยินดีเรื่องใด” เยียนอวิ๋นฉวนสะอึก
หวังกุนซือพูด “นายน้อยใหญ่ตระกูลหลิงไม่ดื่มสุรากับผู้อื่น หากแต่ดื่มสุรากับนายน้อยผู้เดียว เห็นได้ชัดว่านายน้อยใหญ่ตระกูลหลิงให้ความสำคัญกับนายน้อยยิ่งกว่า นายน้อยอาจได้รับราชการในไม่ช้า”
เยียนอวิ๋นฉวนส่ายหน้า เขารู้ตัวดี “กุนซือเข้าใจผิดแล้ว วันนี้ข้าอาศัยบารมีของน้องสี่”
หวังกุนซือทำหน้าประหลาดใจ “เหตุใดจึงพูดเช่นนี้”
เยียนอวิ๋นฉวนลุกขึ้นจากเตียงหลัวฮั่น ดื่มชาคำหนึ่ง ขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมด
“พี่ฉางจื้อราวกับสนใจน้องสี่มาก พยายามสืบเรื่องของน้องสี่ เนื่องด้วยเหตุนี้จึงดื่มสุรากว่าสองชั่วยาม หากเป็นก่อนหน้านี้ ข้าดื่มสุรากับเขา ครึ่งชั่วยามก็เพียงพอแล้ว”
เอ๊ะ?
เรื่องเป็นเช่นนี้
สมองของหวังกุนซือหมุนขึ้นมา “หรือว่านายน้อยใหญ่ตระกูลหลิงชื่นชอบคุณหนูสี่?”
เยียนอวิ๋นฉวนส่ายหน้าช้าๆ “คงไม่ใช่! พี่ฉางจื้อเหมือนสนใจความคิดแปลกใหม่ของน้องสี่มากกว่า เรื่องอื่นไม่ได้ถามมาก อีกทั้งพี่ฉางจื้อแต่งงานมีบุตรแล้ว ได้ยินว่าบุตรชายคนโตของเขาเข้าโรงเรียนแล้ว น้องสี่อย่างน้อยก็เป็นบุตรสาวภรรยาหลวงตระกูลเยียน จะเป็นภรรยารองของผู้อื่นได้อย่างไร”
หวังกุนซือพยักหน้า นายน้อยพูดมีเหตุผล
“หรือนายน้อยใหญ่ตระกูลหลิงสนใจเพียงสนใจความคิดแปลกใหม่ของคุณหนูสี่อย่างเดียว ไม่มีความคิดอื่น?”
“เรื่องนี้ข้าไม่กล้าคาดเดาอย่างไร้หลักฐาน ทำให้ชื่อเสียงน้องสี่เสียหาย หากมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับน้องสี่แพร่กระจายออกไป ฮูหยินสืบหาขึ้นมา ย่อมไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอน ซินแส เวลานี้พวกเราอยู่ในเมืองหลวง ไม่ใช่แคว้นซ่างกู่ เมืองหลวงแห่งนี้ ทุกสิ่งล้วนมีฮูหยินตัดสินใจ แม้จะเป็นท่านพ่อก็ต้องยอม”
หวังกุนซือพยักหน้า “นายน้อยคำนึงมากไป ข้ารู้ความสำคัญ ไม่กล้าพูดเหลวไหล เพียงแต่ต่อหน้านายน้อย ข้ามีสิ่งใดย่อมพูดสิ่งนั้น”
“ขอบคุณซินแสที่ซื่อสัตย์และเปิดเผย” เยียนอวิ๋นฉวนกล่าวขอบคุณอย่างเกรงใจ
หวังกุนซือรีบพูด “ไม่บังอาจ ไม่บังอาจ! ต่อจากนี้นายน้อยมีแผนการอย่างไร”
เยียนอวิ๋นฉวนครุ่นคิด “เข้าร่วมชมรมกลอนกับชมรมบทความของตระกูลหลิงต่อ เพียงแต่ความรู้ของข้าน้อยนิด ต่อจากนี้ต้องอาศัยความสามารถของซินแส”
หวังกุนซือรีบพูดทันที “นายน้อยวางใจ! วันนี้ข้าคำนึงไม่รอบคอบ ไม่คิดว่าตระกูลหลิงจะเชิญบัณฑิตอื่นดื่มสุราชื่นชมทิวทัศน์ด้วย คราหน้า ข้าย่อมเดินทางไปชมรมกลอนพร้อมนายน้อย”
เยียนอวิ๋นฉวนดีใจ “ทุกสิ่งรบกวนซินแส!”
หวังกุนซือลูบเคราด้วยความดีใจ
ถึงแม้ไม่อาจมีชื่อเสียงโด่งดังด้วยตนเอง แต่หากเยียนอวิ๋นฉวนอาศัยบทกลอนของเขาโด่งดังในเมืองหลวง มันก็เป็นเรื่องที่โชคดีเรื่องหนึ่ง
เมื่อถึงเวลา ท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้านย่อมมีผลประโยชน์ให้เขา ไม่แน่ว่าเขาอาจมีโอกาสเป็นขุนนางราชสำนักด้วย
…
ตกดึก
หลิงฉางจื้อยังไม่พักผ่อน
หลิงฉางเฟิงมาหา “พี่ใหญ่ท่านหาข้า?”
“นั่งลงพูด!”
หลิงฉางเฟิงนั่งลงอย่างเชื่อฟัง
หลิงฉางจื้อวางตำราในมือลง ครุ่นคิดเล็กน้อย เปิดปากถาม “เจ้ากับน้องสะใภ้ ระยะนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
หลิงฉางเฟิงขมวดคิ้ว “เหตุใดพี่ใหญ่จึงสนใจชีวิตข้าขึ้นมา หรือว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้น”
หลิงฉางจื้อถลึงตาใส่เขา “หากไม่ใช่ตอนนั้นเขาก้าวผิดพลาด เวลานี้ภรรยาของเจ้าควรเป็นเยียนอวิ๋นเฟย หาใช่เยียนอวิ๋นเพ่ย เพียงเพราะเจ้าเหลวไหลสิ้นคิด ทำให้เวลานี้ข้าอยากหาคนถามสถานการณ์อย่างละเอียดยังหาไม่ได้”
ทางเยียนอวิ๋นเพ่ยไม่อาจคาดหวังได้
คาดหวังรู้สถานการณ์ของเยียนอวิ๋นเกอจากเยียนอวิ๋นเพ่ยเสมือนนิทานพันหนึ่งราตรี
แต่เยียนอวิ๋นเฟยไม่เหมือนกัน
นางเป็นพี่สาวของเยียนอวิ๋นเกอ สนิทสนมกันมาก
เยียนอวิ๋นเฟยย่อมรู้สถานการณ์ของเยียนอวิ๋นเกออย่างดี
เสียดาย…
ก้าวหนึ่งผิด ก้าวต่อไปย่อมผิด
หลิงฉางเฟิงทำหน้าฉงน “มันเป็นของเรื่องปีที่แล้ว เหตุใดพี่ใหญ่จึงพูดขึ้นอีก ข้าสำนึกผิดแล้ว เสียใจอย่างมาก เวลานี้เยียนอวิ๋นเฟยแต่งงานกับท่านลุง ข้าเห็นนางยังต้องเรียกท่านป้า น่าโมโหยิ่งนัก! หวังเพียงเยียนอวิ๋นเฟยไม่มาเมืองหลวงตลอดไป ข้ากับนางไม่มีโอกาสได้พบหน้าตลอดไป”
หลิงฉางจื้อส่งเสียงไม่พอใจ “เจ้าสมควร!”
หลิงฉางเฟิงน้อยใจ “พวกท่าต่างตำหนิว่าข้าสมควร ตำหนิมาสองปีแล้ว เมื่อใดจะจบสิ้น ไม่พูดเรื่องนี้อีกได้หรือไม่”
สีหน้าของหลิงฉางจื้อดำทะมึน “ไม่พูดไม่ได้! ข้าถามเจ้า เยียนอวิ๋นเกอ เจ้ามองว่าอย่างไร”
หลิงฉางเฟิงฉงนก่อน จากนั้นตั้งใจครุ่นคิด “ไม่มองอย่างไร! เมื่อเห็นเยียนอวิ๋นเกอ ข้าก็สะอิดสะเอียน อยากจะโจมตีกลับไป หากไม่ใช่พี่ใหญ่ไม่อนุญาตให้ข้าถือสานาง ข้าย่อมไม่ให้อภัยนาง”
หลิงฉางจื้อหัวเราะขึ้นมา “หญิงสาวตัวน้อยอย่างเยียนอวิ๋นเกอทำให้เจ้าเสียเปรียบเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่านางมีฝีมือ อีกทั้งเท่าที่ข้ารู้ เรือนพักร่ำรวย นางเป็นคนดูแลเสมอมา องค์หญิงจู้หยางไม่เคยแทรกแซง เพียงแค่ให้นางยืมคนไม่กี่คนเท่านั้น
เวลาไม่ถึงหนึ่งปี เยียนอวิ๋นเกอก็ดำเนินการเรือนพักร่ำรวยขึ้นมา ฤดูหนาวเพียงฤดูเดียว นางก็ได้กำไรมหาศาล ไม่เพียงต้องหาเงินเลี้ยงทุกคนกินข้าว ยังสามารถผลักเรือไปตามน้ำ เก็บเงินค่าเรียนจำนวนไม่น้อย สามารถยิ่งนัก!”
หลิงฉางเฟิงขมวดคิ้ว “พี่ใหญ่วันนี้กินยาผิดหรือ เหตุใดจึงชื่นชมเยียนอวิ๋นเกอเพียงนั้น หรือว่าท่านชื่นชอยนาง จะแต่งนางเป็นภรรยารองหรือ”
“เหลวไหล!” หลิงฉางจื้อตำหนิเสียงดัง
หลิงฉางเฟิงหดคอ กลัวเล็กน้อย
เขาบ่นพึมพำ “พี่ใหญ่ไม่แต่งนางเป็นภรรยารอง เหตุใดจึงสนใจนาง หรือว่าพี่ใหญ่จะส่งคนไปลอบสังหารนาง?”
พูดถึงลอบสังหาร หลิงฉางเฟิงกระปรี้กระเปร่าในทันที ดวงตาลุกวาวเป็นประกาย