บทที่ 80 ในช่วงเวลาอันเงียบงันนั้น มีคนเข้าใจและปกป้องคุณอยู่
บทที่ 80 ในช่วงเวลาอันเงียบงันนั้น มีคนเข้าใจและปกป้องคุณอยู่
ด้วยเหตุนี้ หลี่กวงหัวจึงเดินทางไปยังสถานีตำรวจตามการโน้มน้าวของทุกคน
ทว่ายังมีบางคนที่ไม่ได้ติดตามไป โดยบอกว่าพวกเขาจะอยู่คุ้มกันสถานที่เกิดเหตุ
ด้วยวิธีนี้ หลี่กวงหัวจะไม่อาจรอดพ้นหรือแก้ตัวอะไรได้เลยเพราะสภาพที่เกิดเหตุยังคงอยู่เช่นเดิมเมื่อตำรวจมาตรวจสอบ
การก่ออาชญากรรมเช่นการทำตัวเป็นอันธพาลในยุคนี้มีโทษถึงประหารชีวิต
การลงโทษนี้จะไม่ถูกยกเลิกจนกว่าเซี่ยชิงหยวนจะเสียชีวิต
นอกจากนี้ ทัศนคติของหลี่กวงหัวนั้นเลวทรามมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นอาชญากรรมของเขาจึงดูเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
เมื่อหลี่กวงหัวคิดถึงสิ่งนี้ เขาก็กลัวมากจนทำให้เป้ากางเกงของเขาเปียกชื้น
เขาคุกเข่าลงกราบเซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวทันที หน้าผากของเขากระแทกพื้นเสียงดังก้อง
เขาตบหน้าตัวเองอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง “ฉันผิดไปแล้ว ฉันมันแย่ยิ่งกว่าเดรัจฉาน ฉันผิดไปแล้ว ฉันมันไม่ใช่มนุษย์ ฉันถูกผีร้ายสิง ฉันไม่ควรแอบดูผู้หญิงอาบน้ำ!”
เขาร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล “ฉันยังมีแม่แก่อายุเจ็ดสิบปีอยู่ที่บ้านและเธอก็ยังไม่มีหลานเลย หัวหน้าแผนกเสิ่นได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ!”
ขณะกล่าว เขาก็หมอบกราบอีกครั้ง
เขายื่นมือออกไปเพื่อคว้ากางเกงของเสิ่นอี้โจว แต่ถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยง
เสิ่นอี้โจวก้มมองแอ่งของเหลวสีเหลืองใต้เท้าของหลี่กวงหัว ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เขายืนปกป้องเซี่ยชิงหยวนอยู่ทางด้านข้าง ขณะขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่า หลี่กวงหัวสมควรได้รับโทษแล้ว
แต่มันก็คงดูโหดร้ายเกินไปหากจะฆ่าเขาเพราะเหตุการณ์นี้
เธอไม่อยากแบกรับชีวิตบัดซบเอาไว้บนบ่าของตัวเอง เพียงเพราะเศษสวะอย่างหลี่กวงหัว
เธอดึงแขนเสื้อของเสิ่นอี้โจวและมองเขาด้วยความลังเล
ชายหนุ่มเข้าใจถึงสิ่งที่เธอกำลังจะสื่อ
เขาถามตำรวจที่รับผิดชอบคดีนี้ว่า “สหายตำรวจ บทลงโทษของอาชญากรรมนี้คืออะไร”
ตำรวจพูดอย่างขุ่นเคือง “อย่ากังวล คนอย่างเขาต้องถูกตัดสินประหารชีวิตแน่นอน!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เสิ่นอี้โจวก็ครุ่นคิด “สหายตำรวจ หากผู้เสียหายร้องขอ เราสามารถยกเว้นโทษประหารชีวิตให้เขาได้ไหม”
เมื่อตำรวจได้ยิน เขาก็ตกตะลึง “ยกเว้นโทษประหารชีวิต?”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ทั้งผมและภรรยาไม่อยากฆ่าคนเพราะเหตุการณ์นี้ ความคิดของเราคือ ยกเลิกโทษประหารแล้วลงโทษอย่างอื่นกับเขาแทนซึ่งจะเป็นอะไรก็ได้ สหายตำรวจลองช่วยรายงานแนวคิดนี้ของเราให้แก่ผู้บังคับบัญชาระดับสูง ให้ท่านลองพิจารณาดูสักหน่อยจะได้ไหม”
สหายตำรวจรู้สึกว่ามุมมองของตัวเองถูกเปิดกว้างขึ้น
ในกรณีความผิดแบบนี้ เหยื่อทั่วไปรวมถึงสมาชิกในครอบครัวต่างก็กระตือรือร้นที่จะให้โทษประหารแก่อาชญากร แต่สามีภรรยาคู่นี้กลับไม่ต้องการโทษประหารชีวิตให้แก่คนร้าย?
แต่เมื่อมองไปที่ท่าทางของเสิ่นอี้โจว เขาก็รู้สึกว่ามันไม่ธรรมดา
ความคิดของเขาเปลี่ยนไป จากนั้นก็พูดว่า “เอาล่ะ ผมจะรายงานเรื่องนี้กับระดับสูงก่อน พวกคุณกลับไปรอข่าวจากผมก็แล้วกัน”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้าและขอบคุณ “งั้นรบกวนสหายตำรวจด้วยนะครับ”
ตอนแรกที่หลี่กวงหัวได้ยินว่าเสิ่นอี้โจวถามตำรวจว่าโทษประหารชีวิตสามารถได้รับการยกเว้นได้หรือไม่ เขาก็คิดว่าตัวเองได้ทำให้ใจของเสิ่นอี้โจวอ่อนลงและให้อภัยเขาแล้ว
ทว่าโดยไม่คาดคิด ต่อมาเสิ่นอี้โจวกลับพูดว่านอกจากโทษประหารชีวิตแล้ว เขาสามารถถูกตัดสินลงโทษอย่างไรก็ได้!
ถ้าเขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตล่ะ?
ชีวิตของเขาจะไม่พังทลายเลยเหรอ?
เขาหมอบลงกับพื้นและต้องการทำอุบายเดิมซ้ำ
แต่เขาถูกตำรวจจับกุมไว้เสียก่อน “พอได้แล้ว! คุณคิดว่าแค่กราบสองสามครั้งมันเพียงพอที่จะทำเป็นว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นหรือไง”
ขณะที่ตำรวจพูด เขาก็ลากหลี่กวงหัวเข้าไปข้างใน
เสิ่นอี้โจวพาเซี่ยชิงหยวนโค้งคำนับเพื่อนบ้านที่มาช่วยในวันนี้และกล่าวว่า “วันนี้ต้องลำบากทุกคนแล้ว พรุ่งนี้ผมขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงส่งก่อนที่เราจะจากไปและเป็นการขอบคุณสำหรับการสนับสนุนตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
เพื่อนบ้านโบกมือครั้งแล้วครั้งเล่าและต่างพูดกันว่ายินดีให้ความช่วยเหลือ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เพียงจะเลี้ยงอาหารมื้อค่ำเท่านั้น แต่ยังปฏิเสธที่จะเอาชีวิตของหลี่กวงหัวอย่างมีเมตตา ดังนั้นพวกชาวบ้านจึงยิ่งชื่นชมเสิ่นอี้โจวและภรรยามากกว่าเดิม
ทุกคนพูดคุยหัวเราะและกลับบ้านไปด้วยกัน
ในวันที่สาม ตำรวจส่งข้อความแจ้งมาว่าหลี่กวงหัวจะถูกตัดสินประหารชีวิตแน่นอน
สำหรับเหตุผลนั้นว่ากันว่ามีคู่สามีภรรยาสูงวัยคู่หนึ่งซึ่งได้ข่าวในเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาจึงมารายงานต่อตำรวจว่าเมื่อในอดีตหลี่กวงหัวได้ข่มเหงลูกสาวของพวกเขาเมื่อไม่กี่ปีก่อน
ทว่าเนื่องจากไม่มีพยานและหลักฐานอื่น ๆ ในขณะนั้น พวกเขาจึงไม่ได้รับความเป็นธรรม
ต่อมาลูกสาวทนฟังการนินทาไม่ได้จึงกระโดดแม่น้ำจบชีวิตตัวเอง
ครั้งนี้หลี่กวงหัวได้ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานเป็นอันธพาลไม่อาจลดหย่อนโทษได้
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ต่อให้ชนะคดีตอนนั้นเลยไม่ได้ คุณก็ฟ้องร้องต่อได้ ทำไมคุณต้องคิดสั้นด้วย”
ไม่ใช่ว่าความบริสุทธิ์ของผู้หญิงและชื่อเสียงนั้นไม่สำคัญ แต่การมีชีวิตที่ดีนั้นสำคัญกว่า
เสิ่นอี้โจวถอนหายใจ “เหมือนคำพูดที่ว่า เสียงหลายคนพูดว่ามีเสือสามตัว *[1] หรือกระทั่งคำพูดก็กลายเป็นดาบคมฆ่าคนได้”
เซี่ยชิงหยวนโอบแขนรอบเอวของเสิ่นอี้โจว “ฉันโชคดีมากที่คนที่ฉันได้แต่งงานคือคุณ”
เขาเชื่อใจเธอ ยืนหยัดเพื่อเธอ และมั่นคงที่จะอยู่เคียงข้างเธอ ดังนั้นเธอจึงรู้สึกขอบคุณเขามาก
ทว่าหลังจากเรื่องของหลี่กวงหัวผ่านไป มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเสียงพูดแตกแยกเกิดขึ้น
บางคนบอกว่าถ้าเซี่ยชิงหยวนไม่หน้าตาดีถึงขนาดนี้ มันก็ไม่มีใครคิดก่ออาชญากรรม
หญิงสาวจึงทำได้เพียงแค่ยิ้มให้กับคำพูดที่ไร้เหตุผลนี้
เธอไม่เคยเชื่อในการตำหนิเหยื่อ
เมื่อผู้หญิงถูกล่วงละเมิด ผู้คนจะโจมตีเธอจากเสื้อผ้า พฤติกรรม หรือแม้แต่รูปร่างหน้าตา หรือแม้กระทั่งเธอไม่สมควรเป็นผู้หญิง
พวกเขาตัดสินผู้หญิงจากบรรทัดฐานสูงสุดของศีลธรรม แต่พวกเขาไม่เคยบอกคนที่ทำร้ายคนอื่นว่าอย่าทำร้ายคนอื่นเลย
โลกนี้เกิดมาภายใต้กระโปรงของผู้หญิง แต่ผู้คนกลับไม่อนุญาตให้กระโปรงของผู้หญิงพลิ้วไหว
แม้แต่คำดูถูกหลายคำที่เธอรู้จักก็ใช้คำว่า ‘ผู้หญิง’ เป็นคำด่าที่รุนแรง
สาระสำคัญของเหตุการณ์เหล่านี้คือความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้หญิง
ตอนที่เธอเคยไปส่งอาหารอยู่ครั้งหนึ่ง เธอเห็นเสิ่นอี้โจวยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายและพูดว่า “ภรรยาของผมทำงานหนักและใจดี เธอเป็นผู้หญิงที่ดีมาก เธอมีคุณธรรมสูงและไม่เคยทำอะไรผิดกฎหมายหรือเป็นอาชญากร พวกคุณควรวิจารณ์คนก่ออาชญากรรมไม่ใช่ไปโทษตัวเหยื่อซะเอง ลองคิดดูเอาเถอะว่า ถ้าต่อไปคนที่โดนทำร้ายคือแม่ เมีย และลูกสาวของคุณ ณ เวลานั้นคุณจะประนีประนอมกับคนร้ายเพื่อเห็นแก่ชื่อเสียงของเหยื่อที่เป็นญาติของคุณงั้นเหรอ? และปล่อยให้คนชั่วลอยนวลไป? ผมหวังว่าจะไม่ได้ยินใครพูดคำเหล่านี้อีก”
เมื่อเขาพูดคำเหล่านี้น้ำเสียงของเขาก็สงบลง แต่ทุกคำนั้นเน้นย้ำเป็นพิเศษ
ไหล่ของเขากว้างมากราวกับสามารถบดบังท้องฟ้าให้เธอได้
ดังนั้นหญิงสาวจึงบอกตัวเองว่าเธอโชคดีมากและมันมาจากใจจริง
เสิ่นอี้โจวจูบที่หน้าผากของเธอและพูดว่า “คุณสบายดี นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด”
แสงอรุณของรุ่งเช้าส่องแสงบนร่างกายของพวกเขา และชั้นแสงที่นุ่มนวลก็ปรากฏขึ้นรอบตัว มันช่างงดงามมาก
ในช่วงเวลาอันเงียบสงบนั้น จะมีคนคนหนึ่งที่เข้าใจและปกป้องคุณ
ในที่สุด วันที่พวกเขาต้องเดินทางออกจากสถาบันวิจัยก็มาถึง
ตอนย้ายของออกก็มีหลายคนเข้ามาช่วยเหลือ
เซวียไฉ่เฟิ่งซึ่งอาศัยอยู่บ้านติดกับพวกเขา ไม่มีใครเห็นหน้าเธอตั้งแต่คืนนั้น
เฟอร์นิเจอร์จำนวนมากที่สถาบันจัดหามาให้ พวกเขาจะไม่สามารถนำมันไปด้วยได้
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าข้าวของไม่น่าจะมีอะไรมากมาย แต่หลังจากเก็บทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว แม้แต่รถสามล้อก็บรรทุกได้ไม่หมด
ส่วนใหญ่เป็นข้าวของเครื่องใช้ที่เซี่ยชิงหยวนใช้ในการทำสลัดเย็น รวมไปถึงอ่างอาบน้ำและฉากกั้นที่เธอซื้อมา
มีคนแนะนำว่า “ทำไมคุณไม่ลงภูเขาไปเรียกรถมาขนล่ะ”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกเสียดายเงินหากต้องจ้างรถมาขนของ
แต่เธอก็รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งของเหล่านี้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้หากไม่มีรถที่มีขนาดใหญ่กว่านี้
แต่ขณะที่เธอกำลังจะบอกเสิ่นอี้โจว รถกระบะสีเขียวทหารก็ขับมาจากสี่แยก
จากนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งกระโดดลงจากรถ โค้งคำนับเสิ่นอี้โจวและพูดว่า “เลขาธิการ ผมชื่อเสี่ยวหลิว นายกเทศมนตรีส่งผมมาเพื่อช่วยคุณเคลื่อนย้ายสิ่งของ”
ทันใดนั้น ดวงตาของทุกคนก็เบิกกว้าง
เลขาธิการ?
เสิ่นอี้โจว?
เสิ่นอี้โจวเป็นเลขาธิการ!
[1] เสียงหลายคนพูดว่ามีเสือสามตัว หมายถึง ถ้ามีคนพูดเรื่องนั้น ๆ ออกมาหลายคน อาจทำให้เกิดความเชื่อว่ามีเรื่องนั้นเกิดขึ้นจริง แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลเพื่อรองรับความเชื่อนั้นก็ตาม สำนวนนี้เตือนให้เราไม่ควรเชื่อตามคำพูดหรือข่าวลือโดยไม่ตรวจสอบหรือหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อน