ตอนที 72 น๊อคเอาท์ศัตรูหัวใจ
ตอนที 72 น๊อคเอาท์ศัตรูหัวใจ
หล่อนกะพริบตาสามครั้ง มองหลินเซี่ยแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันได้ยินมาว่าคุณแต่งงานกับเจียเหอเพื่อที่จะหาทางกลับเมืองไม่ใช่เหรอ ชีวิตบ้านนอกคงไม่ง่ายเลยสินะ! หลังจากอาศัยอยู่ในเมืองมาเกือบยี่สิบปี จู่ ๆ กลับต้องย้ายไปอยู่ชนบทห่างไกล ไม่แปลกที่จะยอมรับไม่ได้ คุณเลยพยายามทำทุกทางเพื่อที่จะได้กลับมา เจียเหอใจดีมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นก็เลยยอมช่วยคุณ”
สิ้นคำพูดของถังหลิง การแสดงออกของเฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงก็กลายเป็นน่าเกลียดทันที
ทุกสายตาจับจ้องไปที่หลินเซี่ย
โดยเฉพาะเฉินเจิ้นเจียง เขามองหลินเซี่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หนึ่งคนพูด คนฟังอาจไม่เชื่อ แต่เมื่อคนมากกว่าหนึ่งพูดในทำนองเดียวกัน ย่อมอดไม่ได้ที่จิตใจจะเริ่มเอนเอียงไปเชื่อคำบอกเล่าเหล่านั้น
ไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม การแต่งงานของเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยก็น่าแปลกใจจริง ๆ
การเปลี่ยนแปลงผ่านการแสดงออกของเฉินเจิ้นเจียงและคนอื่น ๆ ทำให้ถังหลิงและเสิ่นเสี่ยวเหมยพอใจมาก
ถังหลิงเสแสร้งยิ้ม พูดกับหลินเซี่ยต่อไป “จริงสิ เมื่อวานฉันไปเยี่ยมญาติมา เผอิญเจอกับหลิวจื้อหมิงด้วย”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ พ่อแม่ของเฉินเจียเหอก็มองดูหลินเซี่ยด้วยสายตาที่เย็นชายิ่งกว่าเดิม
ช่วงที่ผ่านมาพวกเขาเคยได้ยินชื่อของคนคนนี้มามากกว่าหนึ่งครั้ง
ถังหลิงพูดอย่างสงบ บนใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา เสียงขณะพูดแผ่วเบาชวนให้หลงเชื่อ “เขายังพูดถึงคุณอยู่เลย คุณสองคนคบกันมานานปีกว่าแล้ว จู่ ๆ คุณก็หายจากชีวิตเขาไปอย่างกะทันหัน เขาก็เลยทำใจไม่ได้ ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปตามหาคุณที่ชนบท แต่คุณกลับมาแล้วก็ดี ฉันคิดว่าเขาต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่ได้เจอ”
ภายนอกผู้หญิงคนนี้เสแสร้งเหมือนดอกบัวขาว
แต่คำพูดทุกประโยคเสียดลึกถึงใจ
เดิมทีเฉินเจิ้นเจียงไม่พอใจกับการตัดสินใจของลูกชายมากพออยู่แล้วที่อยู่ดี ๆ ก็กลับบ้านนอกไปแต่งงานแบบสายฟ้าแลบ แล้วยังได้ยินการใส่ความเสิ่นเสี่ยวเหมยอีก
แม้ว่าพวกเขาในบรรดาผู้ใหญ่จะตามสืบอย่างใกล้ชิดแล้ว และพบว่าหลินเซี่ยไม่ได้ไม่เอาไหนอย่างที่เสิ่นเสี่ยวเหมยพยายามสาธยาย แต่เรื่องที่เธอเคยมีแฟนมาก่อนก็เป็นเรื่องจริง
เธอกลับชนบทได้ไม่นานก็แต่งงานกับเฉินเจียเหอ เป็นเรื่องยากที่จะไม่เคลือบแคลงสงสัยแรงจูงใจของเธอ
ถ้าเธอเป็นผู้หญิงที่ซื่อสัตย์ และแต่งงานกับเฉินเจียเหอด้วยความรักจริง ๆ พวกเขาก็เต็มใจที่จะยอมรับเธอ แต่ถ้าเธอมีความตั้งใจอื่นแอบแฝง หรือต้องการอาศัยผลประโยชน์จากเฉินเจียเหอ พวกเขาจะไม่ยอมเด็ดขาด
ตระกูลเฉินไม่ใช่ที่สำหรับเด็กสาวตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะเดินเล่นเข้าออกได้ตามใจ
ใบหน้าของหลินเซี่ยไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ถึงแม้ถังหลิงจะพูดจากระทบกระเทียบแบบนั้น เธอตอบกลับด้วยรอยยิ้มสุภาพบนใบหน้าสวยงามเช่นเดียวกัน “จริงเหรอ? งั้นวันอื่นฉันกับเจียเหอจะลองไปเยี่ยมเขากับคนอื่น ๆ ดูว่าตอนนี้พวกเขาเป็นยังไงกันบ้าง เข้ากับคุณเสิ่นได้ดีแค่ไหน? ฉันเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้อำนวยการโรงงานตามที่ต้องการแล้วหรือยัง น่าเสียดายที่เขาเดิมพันผิดคน ทุ่มเทให้ฉันอย่างไร้ประโยชน์มานานกว่าหนึ่งปี”
เธอพูดไม่ผิด หลิวจื้อหมิงได้รับการเลื่อนตำแหน่งจริง ๆ
ในเมื่อถังหลิงพุ่งเป้าโจมตีเธออย่างชัดเจนแบบนี้ แล้วจะให้เธอนั่งนิ่งเฉยได้อย่างไร หลินเซี่ยมองหน้าอีกฝ่ายแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “คุณถัง คาดเดาจากหน้าตาแล้ว คุณน่าจะอายุเท่ากับเฉินเจียเหอใช่ไหม?”
ถังหลิงเชิดหน้าขึ้นแล้วแสยะยิ้ม “ฉันอายุน้อยกว่าเขาสองปี”
“แปลว่าอายุยี่สิบเจ็ดแล้วน่ะสิ”
หลินเซี่ยยังคงมองหน้าหล่อนต่อไป ถามว่า “คุณโสดมาหลายปีแล้วหรือยังล่ะ?”
ดวงตาของถังหลิงกะพริบปริบๆ ก่อนที่จะได้พูดอะไร น้ำเสียงของเฉินเจียซิ่งก็แทรกขึ้นมาอย่างเย็นชา “ถังหลิงรอพี่ชายของฉันมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้หล่อนอาจไม่ยอมรับเขาเพราะพี่ชายของฉันมีลูกต้องอุปการะ แต่ตอนนี้หล่อนเปลี่ยนใจแล้ว สามารถยอมรับหู่จือได้อย่างสนิทใจ แล้วจะไม่ให้หล่อนครองตัวเป็นโสดได้ยังไง?”
เฉินเจียเหอดุด้วยเสียงต่ำ “เจียซิ่ง หุบปากซะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ต่อให้คุณสองคนจะเคยเป็นแฟนกันมาก่อนแล้วยังไง ใครบ้างไม่เคยมีคู่รักวัยเด็ก สิ่งที่สำคัญกว่าคือเรื่องในปัจจุบันและอนาคตต่างหาก ฉันไม่ถือสาอารมณ์อ่อนไหวของคุณถังหรอก พอเข้าใจได้”
หลินเซี่ยมองกลับไปที่เฉินเจียเหอ พูดถึงบางอย่างขึ้นมาลอย ๆ
“จริงด้วย เหมือนฉันจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ฉันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาบอกว่าลูกเหมยเขียวซึ่งไม่ได้ติดต่อกลับมาเป็นเวลานานจู่ ๆ ก็โผล่มาที่ประตูบ้าน พร่ำบอกว่าอยากอยู่กับเขา เพื่อนฉันได้ยินแบบนั้นก็มีความสุขมาก ผลก็คือทันทีที่ทั้งสองเริ่มคบกัน เพื่อนฉันถึงรู้ว่าเสี่ยวชิงเหมยของเขาแต่งงานกับคนที่อยู่นอกเมืองตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว สามีของหล่อนคือลูกชายเศรษฐีฐานะร่ำรวย แถมยังมีลูกด้วยกัน สองปีที่แล้วสามีของหล่อนประสบอุบัติเหตุจนเป็นอัมพาต เสี่ยวชิงเหมยตัดสินใจหย่ากับเขาทันที และกอบโกยเงินจำนวนมากจากสามีเก่า เพื่อที่จะกลับมาหาเพื่อนของฉัน”
“คุณคิดว่าเพื่อนของฉันรู้แล้วจะทำยังไงต่อไปคะ?”
ทันใดนั้นหลินเซี่ยก็มองไปที่เฉินเจียซิ่ง แล้วถามด้วยรอยยิ้ม
ปากของเฉินเจียซิ่งโพล่งออกมาเร็วกว่าสมอง “ต้องไม่ยอมรับแน่นอน จะให้ทำใจอ้าแขนรับได้ยังไง? หล่อนโกหกชัด ๆ ไม่เห็นเหรอ? ผู้ชายคนไหนจะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้?”
หลินเซี่ยส่งยิ้มให้เขาอย่างมีความหมาย “ในที่สุดคุณก็ฉลาดซะที”
“ไม่สิ ทำไมเธอถึงหยิบเอาเรื่องของเพื่อนมาเล่าให้พวกเราฟัง? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรา?”
เฉินเจียซิ่งคิดไตร่ตรองตามไม่ทันจริง ๆ
ผู้หญิงคนนี้ไม่มียางอายเลยหรือไง?
ทั้งที่เห็นอยู่โทนโท่ว่าสีหน้าของพ่อแม่เขาย่ำแย่ขนาดนี้ เธอยังมีอารมณ์เล่าเรื่องของคนอื่นได้อย่างสบายใจ
ตาบอดหรือยังไงกัน
ถึงเฉินเจียเหอจะมองไม่ออกถึงความตั้งใจของหลินเซี่ยที่เลือกหยิบเอาเรื่องนี้มาเล่า แต่เขาก็ยังแสดงความเห็นอย่างให้ความร่วมมือ “ผู้หญิงคนนั้นเรียนรู้แค่การร่วมสุข แต่เห็นแก่ตัวไม่ยอมร่วมทุกข์ไปกับใคร เหตุผลชัดเจนในตัวมันเองอยู่แล้ว เพื่อนคุณมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธหล่อนอย่างชอบธรรม”
หลินเซี่ยได้ยินแบบนั้นก็มองไปที่ถังหลิง ยิ้มเยาะพลางถามว่า “คุณถัง คุณคงเข้าใจเจตนาที่ฉันกำลังจะสื่อเป็นอย่างดีใช่ไหมคะ?”
ถังหลิงยืนอยู่ตรงนั้นโดยที่ตัวแข็งทื่อ ดวงตาเต็มไปด้วยตื่นตะลึง ตกใจ และไม่อยากจะเชื่อ
เธอรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน?
“ฉันไม่สนใจเรื่องราวชีวิตของเพื่อนเธอหรอกนะ”
เมื่อเสิ่นเสี่ยวเหมยเห็นว่าถังหลิงนิ่งเงียบ ก็อดไม่ได้ที่จะกระทุ้งแขนเธอ ราวกับจะถามว่าเป็นอะไรไป?
ทำไมถึงได้ยอมง่าย ๆ แบบนั้นล่ะ?
ถังหลิงผู้ที่เชื่อมั่นและรู้สึกว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าหลินเซี่ยเสมอมีใบหน้ามืดคล้ำสลับกับซีดขาวไปมา หยดเหงื่อเย็นเยียบเริ่มผุดขึ้นจากหน้าผาก เพื่อปกปิดกิริยาอาการที่ไม่ปกติของตัวเอง จึงรีบหยิบเสื้อผ้าในมือขึ้นมา เตรียมสวมให้กับหู่จือ “หู่จือ ลองใส่เสื้อตัวใหม่เร็วเข้า”
เฉินเจิ้นเจียงมองหลินเซี่ยที่มีใบหน้าผ่อนคลายอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นมองไปที่ถังหลิงซึ่งสีหน้าบ่งชัดถึงความร้อนใจและสับสนราวกับมีชนักติดหลัง สายตาอันชาญฉลาดของเขาหรี่ลงเล็กน้อย เต็มไปด้วยความสงสัย
หู่จือมองเสื้อผ้าในมือของอีกฝ่าย ก่อนจะหดคอกลับตามเดิม “ไม่เอาครับ ผมมีเสื้อตัวใหม่แล้ว แล้วก็มีแจ็กเกตหนังแบบเดียวกันนี้อยู่ที่บ้านตั้งสองตัว”
เมื่อเห็นว่าหู่จือปฏิเสธไม่ยอมสวมเสื้อผ้าที่ถังหลิงซื้อมา เฉินเจียซิ่งก็ตำหนิเขาว่า “เด็กคนนี้ไม่มีมารยาทจริง ๆ เชียว ผู้ใหญ่ซื้อให้ยิ่งต้องรับไว้ ไม่เห็นหรือไง มันเป็นของแบรนด์เนมเชียวนะ”
หู่จือเคยเห็นโลกกว้างมาก่อน เขายืดคอขึ้นและอธิบายอย่างภาคภูมิใจ “อาเซี่ยของผมก็มีของแบรนด์เนมเหมือนกัน”
“งั้นเอาขนมไปกินสิ” ถังหลิงหยิบขนมหนึ่งกำมือจากกระเป๋าของตัวเองแล้วยื่นให้หู่จื่อ
“ผมไม่กิน ถ้ากินมาก ๆ ฟันจะผุ”
พุดจบแล้วหู่จือก็ย่อตัวลงไปแอบอยู่หลังหลินเซี่ย
เมื่อเห็นว่าหู่จือทำตัวติดเหนียวแน่นติดหนึบอยู่กับหลินเซี่ย สายตามุ่งร้ายจากดวงตาของถังหลิงก็ฉายวาบไปที่เธอ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเก็บลูกกวาดคืนมาเท่านั้น
ถังหลิงซึ่งตอนแรกเต็มไปด้วยความมั่นใจและความเย่อหยิ่ง พับเสื้อผ้าที่หู่จือปฏิเสธไม่ยอมรับไว้ ก่อนจะขอตัวจากไปดื้อ ๆ
เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่คาดคิดว่าถังหลิงจะพ่ายแพ้เร็วขนาดนี้ จึงไล่ตามออกไปด้วยความหงุดหงิดรำคาญ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ว้ายยย จะแฉเขาโดนเขาแฉกลับ เป็นใครก็ไม่อยากอยู่ให้โง่แล้ว
ไหหม่า(海馬)