ตอนที่ 74 อย่าไปสนใจจอมเสแสร้งคนนั้นเลย(2)
ตอนที่ 74 อย่าไปสนใจจอมเสแสร้งคนนั้นเลย(2)
เหล่าหยางเคยร่วมงานกับเฉินเจียเหอมาก่อน พวกเขาค่อนข้างมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน
หลินเซี่ยเพิ่งออกมาจากในครัว เมื่อเห็นแขกมาเยือนถึงบ้าน เธอก็ทักทายเขาอย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะ”
“สวัสดี สวัสดี”
เพื่อนบ้านข้างนอกส่งเหล่าหยางเป็นตัวแทนมาสืบข่าว เมื่อเห็นว่าในบ้านของเฉินเจียเหอมีหญิงสาวร่างผอมเพรียวหน้าตาสะสวยอยู่ด้วยจริง เขาจึงดันแว่นตา แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวเฉิน นี่ใครเหรอ?”
เฉินเจียเหอแนะนำว่า “ภรรยาผมเอง”
“ไอหยา ในที่สุดเพื่อนของฉันก็ถึงคราวสละโสดสักที ยินดีด้วย ยินดีด้วย นี่ถือเป็นข่าวดีจริง ๆ นายโชคดีมากที่ได้แต่งภรรยาที่ยังสาวยังสวยแบบนี้” เหล่าหยางมองหลินเซี่ยพลางชื่นชมด้วยสีหน้าเกินจริง เสียงของเขาดังมาก ราวกับกลัวว่าจะไม่มีใครได้ยิน
“ฉันขอเข้าไปจะต้มน้ำก่อนนะคะ” คำชมเชยของชายคนนั้นทำให้หลินเซี่ยเขินอายเล็กน้อย ดังนั้นเธอจึงหาข้อแก้ตัวและเดินกลับเข้าไปในครัว
ทันทีที่หญิงสาวเดินหายลับเข้าไปครัวแล้ว เฉินเจียเหอก็ขมวดคิ้ว มองดูเหล่าหยางที่ยังพยายามยืดคอชะเง้อมองตามเธอไปทางห้องครัว ก็รีบเร่งเชิญอีกฝ่ายออกไปโดยคำนึงถึงมารยาทอีก “คุณกลับไปก่อนเถอะ ไว้เราค่อยคุยกันทีหลัง”
เหล่าหยางรู้ข้อมูลที่ต้องการแล้ว เขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างว่าง่าย ก่อนจะออกไป เขาไม่วายมองกลับมาที่ห้องครัวอีกครั้ง โน้มตัวเข้าหาเฉินเจียเหอแล้วถามด้วยเสียงต่ำ “ผู้หญิงคนนี้บรรลุนิติภาวะหรือยัง? อย่าอุตริพรากผู้เยาว์เชียวล่ะ”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอกน่า” เฉินเจียเหอผลักชายคนนั้นออกไป จากนั้นก็ปิดประตู
หลินเซี่ยต้มน้ำร้อน เมื่อเห็นว่าแขกที่เพิ่งมากลับไปแล้ว จึงรินน้ำให้กับเฉินเจียเหอและหู่จือทีละคน หลังจากพวกเขาดื่มน้ำแล้ว เธอก็เริ่มทำความสะอาดห้องครัว เตรียมทำอาหารง่าย ๆ หลังจากนี้
เธอเปิดหน้าต่างห้องครัวเพื่อให้อากาศถ่ายเท จากนั้นต้มน้ำบนเตาเหล็กหล่อ ตั้งใจว่าจะล้างหม้อและจานชาม
ทันทีที่ยกกาน้ำวางลงเหนือเปลวไฟ จู่ ๆ เธอก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนอกหักดังมาจากข้างนอก
หลินเซี่ยมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสงสัย แต่ไม่เห็นใครเลย
“ใครร้องไห้กัน?”
หู่จือวิ่งเข้าไปและชะเง้อคอตาม เงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้ามองหลินเซี่ยแล้วตอบว่า “ดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงของแม่เสี่ยวฮวา”
“แม่เสี่ยวฮวาคือใคร?” หลินเซี่ยถามอย่างงุนงง
หู่จื่อแนะนำให้เธอรู้จัก “พ่อผมทำงานอยู่ในโรงงาน พ่อของเสี่ยวฮวาก็เหมือนกัน แต่เขาเสียชีวิต แม่ของเสี่ยวฮวาจึงต้องเลี้ยงเสี่ยวฮวาคนเดียว ก่อนหน้านี้หล่อนเคยอยากแต่งงานกับพ่อมาก ๆ แต่พ่อไม่เล่นด้วย ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ชอบซื้อของขวัญมาฝากพวกเราเสมอ แถมยังทำกับข้าวอร่อยมากด้วย”บราวนี่ออนไลน์
หลินเซี่ย. “!!!”
ไปที่ไหนก็มีแต่ศัตรูหัวใจ!
เหนื่อยใจจริง ๆ!
“อะแฮ่ม” เฉินเจียเหอที่กำลังทำความสะอาดบ้านได้ยินคำพูดของหูจื่อ จึงเดินเข้าไปแล้วออกคำสั่งหูจื่อด้วยใบหน้าเข้มขรึม “กลับไปอ่านหนังสือในห้องตัวเองเถอะ”
“โอ้”
หู่จือมองสีหน้าไร้ความกรุณาของพ่อเขา ก็รีบหลบหน้าไปแต่โดยดี
…
ที่ลานส่วนกลางของอาคารที่พัก
“อย่าร้องไห้ไปเลยน่า เธออายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ทำตัวเป็นเด็กสาวแรกรุ่นที่เพิ่งจะโดนหนุ่มหักอกครั้งแรกไปได้” หญิงวัยกลางคนสองคนพยายามปลอบโยนผู้หญิงผมสั้นอีกคนที่ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนดอกสาลี่ต้องสายฝน
ผู้หญิงคนนั้นปาดน้ำตา สะอึกสะอื้นด้วยความเศร้าโศก “พี่สาวจาง พี่สาวหลิว พวกคุณคิดว่าฉันหวังซิ่วฟางปฏิบัติต่อเฉินเจียเหอไม่ดีพอหรือไง ฉันคิดเสมอว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ผู้ชายอย่างเขาจะเลี้ยงลูกด้วยตัวเองได้ ฉันเลยเต็มใจเข้าครัวทำอาหารอร่อย ๆ ไปฝาก เสื้อผ้าหู่จือขาดฉันก็อาสาเย็บให้ บางครั้งฉันไปส่งเสี่ยวฮวาที่โรงเรียน ก็อุตส่าห์พาหู่จือไปด้วยกัน ทำเหมือนหู่จือเป็นลูกชายแท้ ๆ ของตัวเอง ฉันคิดว่าเราทั้งคู่ต่างก็มีหัวอกเดียวกัน ไม่ช้าก็เร็วต้องกลายเป็นทองแผ่นเดียวกันแน่ เขาเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว ฉันเองก็เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเหมือนกัน มีตรงไหนที่ไม่เหมาะสมกันบ้าง? พวกคุณก็เห็นนี่ว่าภาพรวมของฉันก็ไม่ได้แย่ ถึงฉันจะอายุมากกว่าเขาปีหนึ่ง แต่ฉันก็ยังสาวยังสวย ฉันไพล่คิดไปว่าที่เขาเอาแต่ปฏิเสธไม่ยอมรับฉัน เพราะเขามีนิสัยเย็นชาและเขินอายเกินกว่าจะเป็นฝ่ายรุก ฉันก็เลยสานสัมพันธ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป หวังว่าสักวันคงถึงเวลาของเราสองคนเอง ใครจะไปคิดว่าเขากลับบ้านเกิดที่ชนบทในคราวนี้ จะไปคว้าผู้หญิงปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาแต่งเป็นเมีย”
ขณะที่หวังซิ่วฟางพูด หล่อนก็เริ่มร้องไห้เสียใจอีกครั้ง
หลังจากร้องไห้ คราวนี้ก็เปลี่ยนมาสาปแช่งด้วยความโกรธเคือง “แหงสิ ผู้ชายทุกคนก็เหมือนกันหมด ไม่ว่าพวกเขาจะอายุสามสิบหรือห้าสิบปี พวกเขาทุกคนก็เลือกสาวยี่สิบมากกว่าสาวสามสิบอย่างฉันอยู่แล้ว”
พี่สาวหลิวพูดตรง ๆ “แต่ฉันได้ยินเหล่าหยางของฉันบอกว่าเธอหน้าตาสวยมาก แถมยังดูไม่เหมือนสาวบ้านนอกทั่วไปเลย”
หวังซิ่วฟางแค่นเสียงตะคอก “เขาพาผู้หญิงคนนั้นมาจากบ้านนอก ถ้าหน้าตาไม่เหมือนสาวบ้านนอกแล้วจะเหมือนใครไปได้? คิดว่าสาวสวยในเมืองหลอกง่ายเหมือนผู้หญิงพวกนั้นหรือไง”
พี่สาวจางเกลี้ยกล่อมเธอด้วยน้ำเสียงผ่อนปรน “ซิ่วฟาง อย่าเศร้าเสียใจไปเลย พวกเธอสองคนไม่เคยพูดเรื่องนี้กันตรง ๆ มาก่อน ที่ผ่านมาเฉินกงเขาก็ไม่เคยแสดงความรักต่อเธอเลย บางทีเธออาจจะคิดเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียวมากกว่า”
หวังซิ่วฟางเกลี่ยเส้นผมซึ่งตกลงมาปรกหน้าจนชุ่มไปด้วยน้ำตา พึมพำด้วยความเสียใจ “ใครจะเหมาะสมกับเขาไปมากกว่าฉันอีก หรือเขาคิดว่าผู้หญิงวัยยี่สิบคนนั้นเพียบพร้อมเพียงพอและเป็นแม่เลี้ยงให้กับลูกชายของเขาได้? ฉันไม่เคยปฏิบัติต่อหู่จืออย่างเลวร้ายสักครั้งเลยนะ”
“อย่าคิดมากไปเลยน่า” พี่สาวจางออกแรงดึงเธอให้ลุกขึ้น “กลับบ้านเร็วเข้า เดี๋ยวคนอื่นเขาก็หัวเราะเยาะเอาหรอก”
ในบ้าน หลินเซี่ยยังคงยืนเขย่งเท้า พลางเงี่ยหูฟังเสียงร้องห่มร้องไห้จากหน้าต่างห้องครัว
เฉินเจียเหอรู้สึกเหมือนตัวเองนั่งทับเข็มหมุด เหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นด้วยความกังวลใจ
เขาดึงเธอกลับมาเบา ๆ แล้วมองเธอราวกับมีความผิดติดตัว “หยุดแอบฟังเถอะ”
หลินเซี่ยเพิกเฉยต่อเขา ยังคงฟังอีกฝ่ายคร่ำครวญต่อไป
จนกระทั่งผู้หญิงที่อยู่ข้างนอกกลับบ้านของตัวเองไปแล้ว เธอจึงปิดหน้าต่าง หันกลับมา ยกแขนกอดอก แล้วมองเฉินเจียเหอพร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย พูดด้วยเสียงคาดคั้นว่า “เฉินเจียเหอ ดูเหมือนว่าในอนาคตชีวิตฉันคงอยู่อย่างสงบสุขไม่ได้แล้วล่ะ”
เฉินเจียเหอปาดเหงื่อเย็น ๆ บนหน้าผาก และรีบอธิบาย “ผมผิดไปแล้ว แต่ผมไม่เคยคิดอะไรกับหล่อนจริง ๆ”
ดวงตาของหลินเซี่ยลุกเป็นไฟ สูดลมหายใจอย่างเย็นชา
“ผมไม่เคยให้ความหวังหล่อนอย่างที่หล่อนพูดแบบนั้นเลย เชื่อผมเถอะนะ” เฉินเจียเหอทำหน้าเศร้า เขาเดินเข้ามาหาเธอ ก่อนจะโอบแขนไว้รอบเอวหญิงสาว แล้วดึงเธอเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน “เซี่ยเซี่ย เชื่อใจผมนะ คุณเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมสนใจจริง ๆ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยมีประสบการณ์ทางอารมณ์เลย”
หลินเซี่ยยังคงทดสอบอย่างดุเดือดต่อไป
“แล้วทำไมพี่สาวคนนั้นในสวนถึงได้เศร้าเสียใจขนาดนั้น? ก่อนหน้านี้คุณไม่เคยปฏิเสธหล่อนเลยเหรอ? ตอบมาตามตรงนะ คุณเคยมีนอกมีในกับหล่อนหรือเปล่า?”
เฉินเจียเหอ “???”
“หล่อนเสแสร้งเพื่อให้คนอื่นสงสารไปอย่างนั้นเอง”
เขาอธิบาย “ผมเคยปฏิเสธหล่อนไปหลายครั้งแล้ว บอกด้วยว่ามันดูไม่เหมาะสม แต่หล่อนก็ไม่เคยแสดงออกอย่างชัดเจน โดยปกติแล้วหล่อนจะดูแลหู่จือเป็นหลัก พี่สาวหลาย ๆ คนในอาคารนี้ต่างก็ปฏิบัติต่อหู่จือเป็นอย่างดีกันทั้งนั้น”
หลินเซี่ยยังคงทำหน้ามุ่ย และพ่นลมหายใจอย่างเย็นชาโดยไม่สนใจเขา
เฉินเจียเหอลูบหัวเธอ มองหน้าเธออย่างจริงใจ แล้วเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หวังซิ่วฟางกับผมเป็นเพียงเพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น ถ้าผมชอบหล่อนจริง ๆ เราสองคนคงคบกันไปนานแล้ว คุณต้องเชื่อผมนะ”
หลินเซี่ยเชื่อใจเพราะนิสัยของเขาโดยธรรมชาติ ถึงอย่างนั้นก็อดหึงหวงเล็ก ๆ ไม่ได้ แต่เมื่อเห็นว่าเขามีทัศนคติที่ดี จึงยอมปล่อยเขาไป
สีหน้าของหลินเซี่ยผ่อนคลายลง ในที่สุดเฉินเจียเหอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พรมจูบหน้าผากเธอเบา ๆ พร้อมกับปลอบโยน “อย่าคิดมาก คุณเข้าไปพักผ่อนก่อน เดี๋ยวผมจะทำกับข้าวเอง”
หลินเซี่ยมองไปรอบ ๆ ห้องครัวแล้วผายมือออก “ไม่เห็นมีวัตถุดิบอะไรเลย จะทำอะไรคะ?”
“มีข้าว ผมทำโจ๊กง่าย ๆ ได้ แล้วตอนบ่ายค่อยออกไปซื้อของ”
เดิมทีเฉินเจียเหอวางแผนว่าจะออกไปตลาดสดในตอนนี้ แต่เมื่อครู่หวังซิ่วฟางเพิ่งจะนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่แถวนั้น โดยมีเพื่อนบ้านจำนวนไม่น้อยโดยรอบได้ยิน ยากที่จะออกไปโดยไม่ถูกสายตาทุกคู่จับจ้อง
หลินเซี่ยเหนื่อยมากจริง ๆ เธอเข้าไปล้างหน้า ล้มตัวนอนลงบนเตียงเพื่อพักผ่อน ฟังหู่จือที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สาธยายถึงอาหารแสนอร่อยที่แม่ของเสี่ยวฮวาทำมาฝากเขา
ยิ่งฟังหลินเซี่ยก็ยิ่งหิว
เฉินเจียเหอต้มโจ๊กเสร็จพอดี จึงเข้ามาเรียกพวกเขาให้ออกไปกิน
ในชามใหญ่มีโจ๊กสีขาวหอมกรุ่น บนผิวโจ๊กมีต้นหอมสับโปรยหน้า เห็นได้ชัดว่าเฉินเจียเหอตั้งใจปรุงด้วยความพิถีพิถันเป็นอย่างยิ่ง
แต่หู่จือกลับไม่รู้สึกอยากอาหารเลย
เขาอยากไปกินข้าวกลางวันที่บ้านของเสี่ยวฮวาจริง ๆ
แต่เมื่อกี้นี้แม่ของเสี่ยวฮวาเอาแต่นั่งร้องไห้ บางทีวันนี้หล่อนอาจไม่มีอารมณ์ทำกับข้าว
“หู่จือ รีบกินเร็ว ดูสิว่าโจ๊กฝีมือพ่อเธอหอมกรุ่นน่ากินแค่ไหน”
หลินเซี่ยตักช้อนขึ้นมาจิบแล้วชมซ้ำ ๆ “อร่อยจริง ๆ กินเยอะ ๆ ล่ะ”
หลินเซี่ยผลักชามไปตรงหน้าหู่จือ หู่จือจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยิบช้อนขึ้นมาชิมบ้าง
เฉินเจียเหอกินหมดไปชามหนึ่งแล้ว เขายกชามเดินกลับเข้าไปในห้องครัวเพื่อตักโจ๊กอีกครั้ง “กินเยอะ ๆ นะ ผมทำโจ๊กไว้ให้คนละสองชาม ไม่น่าจะเหลือไปถึงช่วงบ่าย”
แต่ขณะนั้นเอง ก็มีคนมาเคาะประตูอีกครั้ง
หลินเซี่ยวางช้อนลงแล้วไปเปิดประตูให้ “สวัสดีค่ะ”
ผู้หญิงคนหนึ่งถือบะหมี่ผัดชามใหญ่ยืนรออยู่นอกประตู เห็นได้ชัดว่าหล่อนผงะไปเมื่อเห็นคนที่มาเปิดประตูให้ตัวเอง
ไม่นึกเลยว่าเธอจะสวยขนาดนี้
นี่ไม่ตรงกับภาพลักษณ์ของสาวบ้านนอกทั่วไปที่หล่อนจินตนาการไว้เลย
หลินเซี่ยทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม พอเห็นว่าผู้หญิงตรงหน้าดวงตาบวมเป่งและแดงก่ำ ก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งเมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ คาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่เหองานเข้าแล้ว ตอบคำถามดีๆ แล้วจะรอดค่ะ
เซี่ยเซี่ยเหนื่อยหน่อยนะ พี่เหอเสน่ห์แรงขนาดนี้ ก็มีแต่ดอกท้อเน่ามาตามติดแบบนี้แหละ
ไหหม่า(海馬)