ตอนที่ 147 สืบสวนความจริง
ตอนที่ 147 สืบสวนความจริง
ผู้เฒ่าเฉินโกรธเสิ่นเสี่ยวเหมยมาก เขาเตรียมพร้อมจากไปด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ดังนั้นหลินเซี่ยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องติดตามเขาไป
“ฉันกลับก่อนนะคะคุณตา”
หลินเซี่ยมองไปที่เสิ่นเถี่ยจวินและเซี่ยหลานอีกครั้ง และกล่าวคำอำลาพวกเขาตามมารยาท “ผู้อำนวยการเสิ่น หมอเซี่ย ฉันไปก่อนนะคะ”
เสิ่นเถี่ยจวินวางท่าหยิ่งทระนงไม่ตอบสนอง มีแค่เซี่ยหลานที่พึมพำตอบรับ
ทันทีที่หลินเซี่ยออกไป เสิ่นเสี่ยวเหมยก็แค่นเสียงด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “ยังกล้าเรียกว่าคุณตาอีก ช่างไร้ยางอายจริง ๆ!”
วันนี้เสิ่นเสี่ยวเหมยแต่งหน้าจัด เวลาทำหน้าบูดจึงดูเหมือนก้นลิง ผู้เฒ่าเซี่ยถึงกับพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ตอนหล่อนเรียกฉันแบบนั้น ฉันยังไม่ว่าอะไรเลย ในฐานะญาติห่าง ๆ เธอไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนแทนขนาดนั้น”
เมื่อเห็นว่าแม้แต่ผู้เฒ่าเซี่ยก็ปกป้องหลินเซี่ย เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ทนไม่ได้อีกต่อไป หยิบยกเหตุผลมาคุยกับผู้เฒ่าเซี่ย “ลุงเซี่ยคะ ที่ผ่านมาอวี้อิ๋งต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหนตอนอยู่ในชนบท? ที่เรื่องราวเป็นแบบนี้ก็เพราะผู้หญิงบ้านนอกคนนั้น หลินเซี่ยหน้าซื่อใจคด ทำเป็นเสแสร้งตามผู้ใหญ่มาเยี่ยมอวี้หลง ฉันคิดว่าหล่อนมาที่นี่จะต้องไม่มีเจตนาดีแน่ ดังนั้นอย่าถูกหล่อนหลอกเข้าเชียวค่ะ”
“เสี่ยวเสิ่น ทุกอย่างจะตัดสินผิดถูกได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐาน ฉันเห็นแล้วว่าแม่ของหลินเซี่ยเป็นคนดีมาก หล่อนดูไม่เหมือนคนที่ตั้งใจจะทำสิ่งที่ผิดศีลธรรมแบบนั้น ตราบใดที่ไม่มีหลักฐานมายืนยันข้อเท็จจริง ก็อย่าด่วนกล่าวหาคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้า”
ในฐานะผู้ใหญ่ ที่จริงผู้เฒ่าเซี่ยไม่ต้องการโต้เถียงกับคนรุ่นหลานเลย เขามองไปที่เสิ่นเสี่ยวเหมยด้วยสีหน้าเอือมระอา
เหล่าเสิ่นเลี้ยงดูผู้หญิงคนนี้มาแบบผิด ๆ จริง ๆ
เมื่อกี้นี้หล่อนไม่แม้แต่จะไว้หน้าผู้เฒ่าเฉิน ทำให้ผู้เฒ่าเฉินโกรธเคือง แถมตอนนี้หล่อนยังจิกกัดเขาเหมือนไก่ชนพร้อมต่อสู้
เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่เต็มใจยอมรับ พูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามอย่างยิ่ง “รู้ได้ยังไงคะว่าหล่อนเป็นคนดี?”
“ฉันเห็นหล่อนด้วยตาของฉันเอง ตาแก่เซี่ยคนนี้สอนนักเรียนและประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้ผู้คนมานานกว่าสี่สิบปี ตาของฉันไม่ฝ้าฟางจนมองคนไม่ออกหรอกนะ”
ผู้เฒ่าเซี่ยถามเสิ่นเถี่ยจวินและเซี่ยหลานด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เถี่ยจวิน เสี่ยวหลาน พวกเธอจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ? ไม่คิดจะเข้าหาตำรวจเพื่อให้พวกเขาทำการสอบสวนต่อไปหรือไง? เด็กสองคนโดนสลับตัวเปลี่ยนอัตลักษณ์มาตั้งยี่สิบปี พวกหล่อนต่างก็เป็นเหยื่อทั้งคู่ อย่าเอาแต่คิดว่าตัวเองเสียเปรียบเพราะอยู่ในเมืองสิ ต้องสืบความจริงให้รู้ชัดกันไปข้างหนึ่ง ว่าแท้จริงแล้วใครเป็นผู้ก่อเหตุกันแน่?
ถ้าสืบแล้วพบว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่มีใครจงใจไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า เช่นนั้นก็เกิดจากความประมาทเลินเล่อของโรงพยาบาลศูนย์สุขภาพแห่งนั้น ถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ทางการแพทย์ พวกเขาควรถูกฟ้องร้องเรียกค่าชดเชย จะปล่อยให้ทุกอย่างผ่านเลยไปไม่ได้”บราวนี่ออนไลน์
เสิ่นเถี่ยจวินอธิบาย “คุณพ่อครับ เหตุการณ์นั้นผ่านมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ตามตัวหมอที่เป็นคนทำคลอดให้พวกหล่อนไม่เจอด้วยซ้ำไปแล้ว ต่อให้ฟ้องร้องโรงพยาบาลศูนย์สุขภาพที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขาไม่มีปัญญาจ่ายค่าเสียหายให้มากขนาดนั้นแน่”
ผู้เฒ่าเซี่ยไม่คิดว่าเสิ่นเถี่ยจวินจะยอมเพิกเฉยต่อเรื่องใหญ่แบบนี้ ดังนั้นเขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“แต่พวกเราไม่สามารถปล่อยผ่านมันไปได้จริง ๆ ควรค้นหาความจริงเพื่อให้คำอธิบายแก่เด็ก ๆ ขณะเดียวกันก็จะช่วยทำให้เธอคลายข้อสงสัยได้ด้วย”
เมื่อผู้เฒ่าเซี่ยพูดมาถึงตรงนี้ เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ลุกขึ้นยืนและโต้แย้งอย่างไม่พอใจ “ลุงเซี่ย อย่าบอกนะคะว่าคุณกำลังสงสัยว่าลูกพี่ลูกน้องของฉันมีส่วนกับสิ่งที่เกิดขึ้น? พ่อแม่ดี ๆ ที่ไหนจะยอมให้ลูกตัวเองไปใช้ชีวิตอย่างลำเค็ญกับคนบ้านนอกพวกนั้นกัน? นี่ไม่สมเหตุสมผลเลยนะคะ”
เสิ่นเสี่ยวเหมยทำตัวไม่มีการศึกษา ทั้งยังสอดรู้เข้ามาเสนอหน้าทุกครั้งไป เซี่ยหลานจึงเหลือบมองหล่อนด้วยสีหน้าน่าเกลียด เตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เสิ่นเสี่ยวเหมย โปรดระวังทัศนคติของเธอที่มีต่อพ่อของฉันด้วย”
พ่อของหล่อนเป็นอดีตอาจารย์ผู้มากความสามารถ ใครบ้างไม่เคารพเมื่อเผชิญหน้ากับเขา?
คงจะมีแต่เสิ่นเสี่ยวเหมยคนนี้ที่ทำตัวเหมือนไม่มีใครสั่งสอน ที่เซี่ยหลานพูดก็เพราะถึงขีดจำกัดความอดทนของตัวเองแล้วเหมือนกัน
เสิ่นอวี้อิ๋งดึงแขนเสิ่นเสี่ยวเหมย ทำให้เสิ่นเสี่ยวเหมยจำต้องหุบปากลงอย่างไม่เต็มใจ
เซี่ยหลานพูดกับผู้เฒ่าเซี่ย
“พ่อคะ ฉันเองก็อยากจะตรวจสอบความจริงข้อนี้มาตลอด แต่ฉันไม่มีเวลาจริง ๆ ไว้ฉันจะลองไปคุยกับเซี่ยตงในเร็ว ๆ นี้ เพื่อขอให้เขาช่วยเรื่องนี้ค่ะ”
เสิ่นเถี่ยจวินพูดจากด้านข้างว่า “ให้ผมจัดการเถอะ อย่ารบกวนน้องภรรยาเลย ไว้ผมจะลองไปปรึกษากับเพื่อนที่สถานีตำรวจในวันอื่นที่ว่างงานดูว่าขั้นตอนการแจ้งความเพื่อรื้อคดีต้องทำอะไรบ้าง ที่แบบนั้นอยู่ไกลเกินไป อีกอย่างงานของพวกเราก็ยุ่งมาก แทบไม่มีเวลาปลีกตัวด้วยซ้ำ”
เสิ่นอวี้อิ๋งซึ่งเงียบมาตลอด รอจนกว่าพวกผู้ใหญ่จะคุยเรื่องธุระเสร็จ ถึงหาจังหวะถามผู้เฒ่าเซี่ยว่า “คุณตาคะ คุณตาบอกว่าก่อนหน้านี้คุณได้เจอหน้าแม่บุญธรรมของฉันด้วยตัวเอง หล่อนเข้ามาที่ไห่เฉิงเหรอคะ?”
ผู้เฒ่าเซี่ยตอบ “ใช่”
เมื่อเสิ่นเถี่ยจวินได้ยินว่าหลิวกุ้ยอิงมาที่ไห่เฉิง เขาก็ดูระมัดระวังตัวมากขึ้น พร้อมพูดกับเสิ่นอวี้อิ๋งว่า
“อวี้อิ๋ง ลูกต้องเตรียมตัวจะสอบเข้าวิทยาลัยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า อย่าชะล่าใจเด็ดขาด ต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับการเล่าเรียนให้มาก อย่ากลับไปเกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้นอีกเลย ตอนนี้ลูกคือลูกสาวของพ่อ เสิ่นเถี่ยจวิน ฉะนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับคนบ้านนอกพวกนั้นอีก”
เสิ่นเถี่ยจวินไม่ต้องการให้เสิ่นอวี้อิ๋งกลับไปคลุกคลีกับคนบ้านนอกพวกนั้นอีกต่อไป
แน่นอนว่าพวกเขาไม่อยากให้ครอบครัวของตนกลับไปเกี่ยวข้องกับหลินเซี่ยอีก
เขามองไปที่ผู้เฒ่าเซี่ย ยอมเสี่ยงที่จะถูกดุด่า ขอร้องด้วยความระมัดระวังว่า “คุณพ่อ ต่อไปโปรดอย่าพาหลินเซี่ยมาที่นี่อีก อวี้หลงต้องการความสงบเพื่อพักฟื้น”
“ได้ หล่อนไม่มาแน่ และฉันเองก็จะไม่มาเหยียบที่นี่ด้วย”
ผู้เฒ่าเซี่ยจากไปด้วยความโกรธ เซี่ยหลานจึงรีบไล่ตามเขาออกไป
…
เมื่อผู้เฒ่าเฉินมาถึงบ้าน ก็เป็นเวลาเดียวกันกับเฉินเจียซิ่งที่เพิ่งกลับบ้านหลังเลิกงาน
ไม่กี่วันก่อนนี้เฉินเจียซิ่งพยายามอย่างเต็มที่ในการเข้าไปประจบประแจงเอาใจเสิ่นเสี่ยวเหมย เพื่อให้เขามีโอกาสได้เข้าไปทำงานในโรงงานเครื่องจักร ทั้งยังแบกหน้าพาผู้เป็นแม่ไปง้อหล่อนกลับด้วยตัวเอง แต่ผู้เฒ่าเสิ่นก็ยังคงปฏิเสธที่จะปล่อยให้เสิ่นเสี่ยวเหมยกลับบ้าน
ผู้เฒ่าเฉินกลัวว่าเฉินเจียซิ่งจะเอาแต่ไล่ตามง้อเสิ่นเสี่ยวเหมย และจมปลักอยู่กับภรรยาของเขาโดยไม่แสวงหาความคืบหน้าด้านอาชีพการงาน
ผู้เฒ่าเฉินจึงยอมใช้เส้นสาย ขอให้เฉินเจิ้งกั๋ว อารองของเฉินเจียซิ่งจัดการหางานใหม่ให้เขา
ภาระงานก็คือเป็นผู้ดูแลตลาดประจำตลาดสด
ทันทีที่เฉินเจียซิ่งกลับมาจากที่ทำงาน เขาก็ยืดเอวบิดขี้เกียจพลางถอนหายใจ “เหนื่อยอะไรอย่างนี้”
ขณะที่เขาตะโกนเสียงดัง ผู้เฒ่าเฉินก็เดินเข้าไปในบ้าน
“เป็นผู้ชายวัยหนุ่มแน่นอายุยังน้อย จะเหนื่อยด้วยเรื่องอะไรกัน? ทำตัวเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อไปได้ งานง่าย ๆ แค่นั้นก็ทำไม่ได้ งั้นเธออยากทำงานอะไรล่ะ?”
“ปู่ครับ ผมแค่บ่นไปอย่างนั้นเอง” เฉินเจียซิ่งตัวสั่นด้วยความตกใจ และรีบอธิบาย
ผู้เฒ่าเฉินยังไม่หายโกรธเมื่อเจอหน้าเสิ่นเสี่ยวเหมยที่โรงพยาบาล เขานั่งลง มองเฉินเจียซิ่งแล้วถามว่า “ช่วงนี้เธอได้ไปตามง้อเสิ่นเสี่ยวเหมยอีกหรือเปล่า?”
เฉินเจียซิ่งส่ายหน้า “ไม่แล้ว ผมเหนื่อยกับการทำทุกอย่างเพื่อที่จะง้อหล่อนแล้ว ทุกครั้งที่ผมไปหา หล่อนก็เอาแต่ตะโกนด่าผมต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน ยิ่งหลายครั้งยิ่งทำให้ผมเสียความมั่นใจ หรือต่อให้ผมตามไปง้อหล่อนถึงบ้าน ลุงของหล่อนก็พาลมาด่าผมอีก ผมเลยไม่อยากไปแล้ว”
เดิมทีเขาและเสิ่นเสี่ยวเหมยมีอุดมการณ์สุดโต่งเหมือนกัน แต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นที่เสิ่นเสี่ยวเหมยขอให้เขาพาปู่กับแม่ออกไปจับชู้ของหลินเซี่ยตั้งแต่เช้าตรู่ แล้วท้ายที่สุดก็ไม่ได้อะไรกลับมา มุมมองที่เขามีต่อหญิงสาวก็เปลี่ยนไป
เฉินเจียซิ่งเริ่มรู้สึกว่าหลินเซี่ยไม่ได้แย่ขนาดนั้น
ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยายามเกลี้ยกล่อมภรรยา ว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องมุ่งเป้าไปที่เธอตลอดเวลา จนพาลต่อต้านคนทั้งครอบครัวไปด้วย
หลังจากเขาให้คำแนะนำสองสามคำแก่เสิ่นเสี่ยวเหมย เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ตวาดแหวไล่เขาออกจากบ้านตระกูลเสิ่นทันที
ต่อมา เมื่อเขาไปดักรอเจอหล่อนหน้าประตูที่ทำงาน หล่อนถึงขั้นเรียกเขาว่าคนขี้ขลาดต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน แถมยังด่าลามไปถึงครอบครัวของเขาว่าไม่ได้เรื่อง
ผู้เฒ่าเฉินมองไปยังหลานชายคนรองซึ่งมีจิตใจอ่อนไหว พยายามให้เหตุผลกับเขาอย่างอดทน
“เจียซิ่ง หลานเป็นผู้ชาย ฉะนั้นก็ควรทำตัวให้สมกับเป็นลูกผู้ชายด้วย หลานสามารถเอาใจภรรยาได้ แต่อย่าเห็นดีเห็นงามกับหล่อนไปซะทุกอย่างจนไม่แยกแยะถูกผิด หรือไร้เหตุผล เข้าใจไหม?”
เฉินเจียซิ่งพยักหน้า “เข้าใจแล้วครับปู่”
“งั้นหลานวางแผนจะทำยังไงต่อล่ะถ้าหล่อนไม่ยอมกลับมาจริง ๆ? จะอยู่กันไปแบบนี้น่ะเหรอ?”
เฉินเจียซิ่งดูสับสน เขาทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาแล้วส่ายหัว “ปู่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน พอถึงตอนนี้แล้วผมรู้สึกเหนื่อยมาก ผมแต่งงานกับหล่อนมาครึ่งปีแล้ว แต่กลับทำให้ครอบครัวและญาติ ๆ ทุกคนขุ่นเคืองแทนที่จะยินดี”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ระหว่างพ่ออวี้อิ๋งกับแม่เซี่ยเซี่ยนี่มีซัมติงนะคะ ดูมีพิรุธพิราบกันเหลือเกิน
เหนื่อยก็พอ ท้อแล้วก็ไม่ต้องไปต่อ หย่าเถอะหนุ่ม เมียแบบนี้อย่าเอาไว้เลย
ไหหม่า(海馬)