ตอนที่ 149 หนูคือลูกแท้ๆ ของหลินต้าฝูหรือเปล่า?
ตอนที่ 149 หนูคือลูกแท้ๆ ของหลินต้าฝูหรือเปล่า?
ต่อให้เฉินเจียซิ่งมีความคิดที่จะหย่าร้าง แต่ในฐานะแม่แล้ว โจวลี่หรงยังคงไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้อย่างโจ่งแจ้ง
หล่อนเข้าไปวุ่นวายกับการแต่งงานของเฉินเจียเหอจนทำให้เข้าตาจนกับเขาไปแล้ว อีกทั้งหลินเซี่ยเองก็ไม่เคยมาเยี่ยมเยียนที่บ้านตระกูลเฉินอีกเลย
หล่อนจึงไม่ชี้นิ้วสั่งการเฉินเจียซิ่งว่าควรทำอย่างไรกับชีวิตแต่งงานของเขาอีก
“ลูกทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก่อน เพื่อให้เสี่ยวเหมยเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวลูก หล่อนจะได้ใจเย็นลงอีกครั้ง”
การหย่าร้างเป็นเรื่องใหญ่ งานแต่งงานของเฉินเจียซิ่งและเสิ่นเสี่ยวเหมยในตอนนั้นถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งสองครอบครัวต่างเป็นคนที่มีเกียรติ ญาติทุกคน รวมถึงเพื่อน ๆ ของพวกเขาล้วนเป็นพยานในการแต่งงานนี้ ทว่าแต่งงานไปได้ครึ่งปีกลับทำท่าจะหย่าร้างกันเสียแล้ว การพูดเรื่องนี้ออกไปจึงไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์นัก
เมื่อเฉินเจียซิ่งมีความคิดนี้ขึ้นมา เขาจึงไม่ได้คิดจะให้ท้ายเสิ่นเสี่ยวเหมยอีกต่อไป “ใจเย็นอะไรกันครับ? ครอบครัวพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรดี ๆ ต่อหน้าเสิ่นเสี่ยวเหมยเหมือนกัน มีแต่จะเพิ่มน้ำมันเติมน้ำส้มอยู่ข้าง ๆ พวกเขาไม่ยินดีกับการแต่งงานระหว่างพี่ใหญ่และหลินเซี่ยยิ่งกว่าเสิ่นเสี่ยวเหมยเสียอีก หล่อนยินดีจะกลับมาก็แปลกแล้ว”
แม้เฉินเจียซิ่งจะไม่เอาถ่าน แต่เขาก็ไม่ได้โง่ หลังจากไปอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลเสิ่นมาสองวัน เขาก็พอจะเข้าใจพื้นฐานความคิดจิตใจของครอบครัวนั้นแล้ว จึงเอ่ยต่อ “ผมรู้สึกว่าเสิ่นอวี้อิ๋งที่ดูเปราะบางอ่อนแอมีเจตนาร้ายต่อหลินเซี่ยอย่างลึกซึ้งทีเดียว หล่อนเกลียดหลินเซี่ยที่ใช้ตัวตนของหล่อนมายี่สิบปี เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่เคยรู้สึกเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกใช้ให้เป็นเครื่องมือโจมตีคนอื่น”
“ลูกเปลี่ยนแปลงตัวเองและทำให้ตัวเองก้าวหน้าก่อน ก่อนหน้านี้ลูกไร้ความสามารถมากเกินไป เรื่องที่ตระกูลเสิ่นพุ่งเป้ามาที่แม่ ก่นด่าสาปแช่งแม่ รวมถึงรังเกียจลูกนั้น แม่ไม่มีอะไรจะพูด ลูกให้เวลาพวกเราได้พักเรื่องราวต่าง ๆ สักพัก และเรียกศักดิ์ศรีของตัวเองคืนมา เมื่อลูกก้าวหน้า ลูกจึงจะสามารถเชิดหน้าต่อหน้าเสิ่นเสี่ยวเหมยได้ แล้วหล่อนอาจจะกลับมาด้วยตัวเอง”
“หล่อนจะกลับมาหรือไม่ก็แล้วแต่หล่อน แต่ผมจะไม่ไปตามหล่อนกลับมาอีกแล้ว”
การตบหน้าเขาที่หน้าโรงงานในวันนี้ทำให้ศักดิ์ศรีของเขาสูญสิ้น ทั้งยังทำลายความรู้สึกที่เดิมก็ลดน้อยถอยลงไปมากของเขามีต่อเสิ่นเสี่ยวเหมยให้ยิ่งหมดลง
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกลูกในอนาคต เส้นทางของลูกต้องดำเนินต่อไป ลูกยังหนุ่มแน่น จะเศร้าซึมแบบนี้ต่อไปไม่ได้อีก ลูกเป็นแบบนี้ แม่เองก็ไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้เหมือนกัน”
โจวลี่หรงปาดน้ำตา เฉินเจียซิ่งรีบพูดว่า “แม่ครับ ผมจะพยายามอย่างหนัก”
“ต่อไปเมื่อหลินเซี่ยมาที่บ้าน ลูกก็แสดงท่าทางดี ๆ กับหล่อนสักหน่อย” โจวลี่หรงเตือนเขา
“สาวน้อยคนนั้นมีเวทย์มนตร์อะไรกันที่ทำให้แม่ยอมรับอย่างรวดเร็วครับเนี่ย? ตอนนี้ถังหลิงคงหมดหวังแล้วสินะครับ?”
“อย่าพูดถึงถังหลิงเลย พี่ใหญ่ของลูกแต่งงานแล้ว จัดการเรื่องยุ่งวุ่นวายของตัวเองเสียก่อนเถอะ”
…….
หลินเซี่ยยุ่งจนถึงช่วงบ่าย ในขณะที่เธอวางแผนจะเก็บข้าวของ ถังจวิ้นเฟิงก็มาเยือน
เขาน่าจะยังอยู่ในหน้าที่ ด้วยเพราะสวมเครื่องแบบตำรวจเดินเข้ามาในร้าน พลางมองไปรอบ ๆ
“อ้าว พี่สะใภ้ จะเปิดร้านแล้วเหรอ?”
“ยังค่ะ ยังไม่ได้แขวนป้ายเลย”
หลินเซี่ยยิ้มและถามว่า “คุณตำรวจถัง ต้องการตัดผมไหมคะ?”
ถังจวิ้นเฟิงส่ายหน้า “ไม่ครับ ผมยังสั้นอยู่”
หลินเซี่ยดึงเก้าอี้มาให้เขา “นั่งก่อนสิคะ”
“พี่เฉินจะกลับมาตอนไหนเหรอครับ?”
หลินเซี่ยสั่นศีรษะ “ฉันเองก็ไม่ทราบ ถามทางโรงงานดูแล้วก็ไม่ทราบเวลาที่แน่นอนค่ะ”
หลินเซี่ยยื่นแก้วน้ำให้ถังจวิ้นเฟิงซึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น เขาหยิบมันขึ้นมาจิบอย่างไม่ใส่ใจนัก จากนั้นจึงเหลือบมองหลินเซี่ยด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน
“คุณตำรวจถังมาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?” หลินเซี่ยดึงเก้าอี้ให้ตัวเอง ก่อนจะนั่งลง แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ถังจวิ้นเฟิงลูบจมูกของเขาพลางพูดด้วยท่าทางสบาย ๆ “พี่สะใภ้ เวลาที่พี่เฉินไม่อยู่ที่บ้าน หากคุณต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกผมได้นะครับ แล้วผมจะมาจัดการให้”
“ขอบคุณคุณตำรวจถังค่ะ ตอนนี้ไม่มีอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือ”
“คือ… คนเลวในสังคมก็มีไม่น้อย พี่เฉินไม่อยู่ คุณอย่าออกไปกับคนไม่ค่อยดีเพียงลำพังจะเป็นการดีที่สุด อย่าให้คนอื่นนินทาได้”
“นินทาอะไรคะ?” หลินเซี่ยมองไปถังจวิ้นเฟิงด้วยดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อย “คุณตำรวจถัง คำพูดของคุณดูมีนัยยะบางอย่างนะ”
การที่จู่ ๆ ผู้ชายคนนี้ก็เข้ามาและพูดอะไรบางอย่างที่ยากแก่การเข้าใจ หมายความว่าอย่างไรกัน?
เป็นเพราะเขาพบเห็นเธอคบค้าสมาคมกับสหายผู้ชายมากเกินไปในช่วงสองวันที่ผ่านมางั้นหรือ
“ผมทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับคุณ คำพูดของคนมันน่ากลัวนะครับ”
หลังจาถังจวิ้นเฟิงพูดจบ เขาก็สังเกตเห็นว่าหลินเซี่ยมีสีหน้าไม่ดีนักจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “พี่สะใภ้ อย่าไปใส่ใจเลย ผมแค่กลัวว่าคุณเป็นผู้หญิงอยู่บ้านคนเดียวจะไม่ปลอดภัย ผมยังมีเรื่องที่อยากจะคุยกับคุณอีกนิดหน่อย”
“เชิญพูดค่ะ” หลินเซี่ยพูดด้วยสีหน้าเนือย ๆ
“เรื่องการไปรับไปส่งหู่จือ ถ้าบางครั้งไม่สามารถออกไปรับเขาได้ก็แจ้งให้ผมทราบล่วงหน้า อย่าปล่อยให้เขากลับบ้านเองคนเดียว”
เขากล่าวเสริมด้วยท่าทางจริงจังอย่างยิ่ง “ข้างนอกมีคนไม่ดีอยู่มาก เราต้องดูแลให้หู่จือปลอดภัย”
แม่ของหู่จือเคยปรากฏตัวที่สถานีรถไฟมาครั้งหนึ่งแล้วและพวกเขาก็อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟมาก ถังจวิ้นเฟิงจึงค่อนข้างกังวลว่าแม่ของหู่จือที่เคยปรากฏตัวที่เมืองไห่เฉิงจะมุ่งตรงมาหาหู่จือในตอนนี้ที่เฉินเจียเหอไม่อยู่
หลินเซี่ยรู้ถึงความรู้สึกที่ถังจวิ้นเฟิงมีต่อหู่จือมานานแล้ว และพี่น้องเฉินเจียเหอคู่นี้ก็ปฏิบัติต่อหู่จือเหมือนเป็นลูกชายของพวกเขาเอง
เธอประทับใจกับความห่วงใยของชายคนนี้ที่มีต่อหู่จือ แต่การบอกเธอเป็นนัยว่าอย่าติดต่อกับผู้ชายคนอื่นนั้นทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
น้องชายของเฉินเจียเหอคนนี้มีน้ำใจทีเดียว
เธอจึงตอบว่า “เข้าใจแล้วค่ะ”
ถังจวิ้นเฟิงกล่าวต่อว่า “สุดสัปดาห์นี้ เหล่าเซี่ยจะเดินทางมายังเมืองไห่เฉิง เขามีห้องเต้นรำอยู่ข้าง ๆ นี่ไม่ใช่เหรอครับ? เมื่อเขามาแล้ว เขาต้องพาตัวหู่จือไปอยู่ด้วยสักพักเป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้นก็ให้เขารับหน้าที่นั้นนะครับ”
ถังจวิ้นเฟิงลุกขึ้น “พี่สะใภ้ อย่างนั้นผมขอตัวก่อน”
………
ตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น หลิวกุ้ยอิงก็มาส่งมื้อกลางวันให้หลินเซี่ย ในเวลานี้ แม่ลูกสองคนนั่งอยู่ในร้าน หลินเซี่ยไม่ยอมให้หลิวกุ้ยอิงกลับไป หญิงสาวดึงหล่อนให้นั่งลงเพื่อจะได้พูดคุยกับหล่อน
เจียงอวี่เฟยพูดถึงเรื่องการจับคู่หลิวกุ้ยอิงกับพ่อของหล่อนวันละแปดครั้ง เสียงน่าหนวกหูดังกล่าวทำให้สมองของหลินเซี่ยปวดร้าว
เธอวางแผนที่จะสืบเสาะเบื้องลึกเบื้องหลังในถ้อยคำของหลิวกุ้ยอิง
หากเป็นโชคชะตาจริง ๆ ล่ะ?
“แม่คะ อวี่เฟยชอบแม่มากเลย” หลินเซี่ยกินบะหมี่ที่หลิวกุ้ยอิงทำมาให้ พลางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเอ่ยถึงเจียงอวี่เฟย ใบหน้าของหลิวกุ้ยอิงก็พลันอ่อนลง “แม่ก็ชอบหล่อนเหมือนกัน หล่อนเป็นเด็กดีทีเดียว”
“หล่อนยังพูดติดตลกว่าอยากจะจับคู่แม่ให้กับพ่อของหล่อนด้วย”
หลินเซี่ยสังเกตสีหน้าของหลิวอุ้ยอิง ก่อนจะเอ่ยหยั่งเชิงต่อ “พ่อของหล่อนเป็นรองผู้อำนวยการโรงงานเครื่องจักร เป็นคนที่ไม่เลวเลยทีเดียว เขาอายุพอ ๆ กับแม่ แม่ของอวี่เฟยเสียไปตั้งแต่หล่อนยังเด็ก เขาเป็นโสดมานานหลายปีแล้วค่ะ”
“แม่คะ แม่คิดยังไงกับเรื่องนี้?”
เมื่อหลิวกุ้ยอิงได้ยินว่าหลินเซี่ยกำลังจะแนะนำตนกับใครสักคน สีหน้าของหล่อนก็จริงจังขึ้นมาทันใด
หล่อนสั่นศีรษะพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เซี่ยเซี่ย บอกอวี่เฟยว่าอย่าได้มีความคิดเช่นนั้น”
“แม่คะ แม่เองก็ยังสาวอยู่ ถ้าอยากจะหาเพื่อนคู่คิดคนใหม่ ทั้งหนูและพวกพี่ชายล้วนสนับสนุนแม่ อีกทั้งสถานะภาพทางสังคมของพ่ออวี่เฟยก็ดีมาก เป็นถึงรองผู้อำนวยการโรงงาน ลองพิจารณาเรื่องนี้ดูก็ไม่เสียหายนะคะ”
หลิวกุ้ยอิงไม่ได้ขยับเลยแม้เพียงนิด หล่อนเก็บจานชามที่หลินเซี่ยกินเสร็จ ก่อนจะหันกลับมาเอ่ยว่า “เซี่ยเซี่ย แม่ไม่มีความคิดแบบนั้น แม่เพียงอยากจะมีเวลาดี ๆ กับพวกลูก”
“หนูแต่งงานแล้ว ต่อไปเสี่ยวเยี่ยนก็จะแต่งงานออกเรือนไปเหมือนกัน พี่ชายก็อยากจะแต่งสะใภ้ ในอนาคตเราทุกคนจะมีครอบครัวของตัวเอง พวกเราไม่อาจจะมองแม่จากไปอย่างโดดเดี่ยวได้ แม่อายุแค่สี่สิบปีเท่านั้น อย่าปิดกั้นตัวเองเลยนะคะ มีคนที่เหมาะสมให้คบหาด้วย แถมตอนนี้แม่ก็อยู่ในเมือง จะมีใครมานินทาเรื่องที่แม่แต่งงานใหม่ล่ะคะ”
หลินเซี่ยได้รับอิทธิพลจากเจียงอวี่เฟย และหลังจากที่พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว เธอก็สรุปได้ว่าควรวางแผนสำหรับอนาคตของแม่ของเธอจริง ๆ
คงจะดีไม่น้อยหากสามารถจับคู่แม่ของเธอกับรองผู้อำนวยการเจียงได้
รองผู้อำนวยการเจียงในความทรงจำของเธอนั้นเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา นอกจากนิสัยที่ไม่ค่อยระมัดระวังในบางเรื่องแล้วก็ไม่มีข้อบกพร่องอื่นใด
หากแต่ไม่ว่าหลินเซี่ยจะพูดอะไร หลิวกุ้ยอิงก็พูดเพียงประโยคเดียวเท่านั้น
“แม่ไม่มีความตั้งใจจะแต่งงานใหม่ ต่อไปอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก”
“แม่คะ แม่ควรจะเปิดใจให้กว้างกว่านี้ ผู้คนยังคงมองหาการแต่งงานครั้งที่สามและสี่กันเสียด้วยซ้ำไป การที่แม่จะแต่งงานครั้งที่สองแล้วจะเป็นอะไรกัน?”
ลูกตาของหลินเซี่ยกลอกไปมาเล็กน้อยขณะที่มองไปยังหลิวกุ้ยอิง ก่อนจะลดเสียงของเธอลงและถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “แม่คะ บอกกับหนูมาตามตรง หลินต้าฝูคือผู้ชายคนที่เท่าไหร่ของแม่?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ หลิวกุ้ยอิงพลันเบิกตากว้างมองเธอด้วยความตระหนกตกใจ ไม่คิดว่าหลินเซี่ยจะถามอย่างตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้
หล่อนเหลือบมองหลินเซี่ย แล้วหลบสายตาไปทันที
ยิ่งหล่อนตื่นตระหนก หลินเซี่ยก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติมากขึ้น
“แท้จริงแล้วหนูคือลูกแท้ๆ ของหลินต้าฝูหรือเปล่า?” เธอไม่ให้โอกาสหลิวกุ้ยอิงได้หลบเลี่ยง หญิงสาวมองพร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เซี่ยเซี่ย ทำไมลูกถึงถามอะไรประหลาดแบบนี้” หลิวกุ้ยอิงจับผมขึ้นมาบดบังใบหน้าอย่างทำตัวไม่ถูก
หลินเซี่ยกล่าวว่า “เสิ่นอวี้อิ๋งเขียนในสมุดบันทึกของหล่อนว่าพ่อของหนูบอกหล่อนในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ว่าหล่อนไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของพ่อ”
หลังจากเอ่ยจบก็มองตามสายตาของหลิวกุ้ยอิงอีกครั้งเพื่อพยายามสบตาหล่อน
…………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สรุปแล้วเซี่ยเซี่ยเป็นลูกใครกันนะ
ไหหม่า(海馬)