คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 287 พอนางต่อยคนเสร็จแล้วก็จากไป

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 287 พอนางต่อยคนเสร็จแล้วก็จากไป

มู่ซีไม่ได้พบฉินหลิวซีอีกเลยหลังจากที่ตัวเองโกรธฉินหลิวซีเมื่อคราวก่อน ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร เพียงแค่เขาถูกเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้มีคนไม่ตามใจเขา ซ้ำยังแบ่งเส้นไว้อย่างชัดเจน เขาย่อมรู้สึกไม่พอใจ

แต่ครั้งนี้เวลาไม่พอใจกลับไม่เหมือนเมื่อก่อนที่จะมีคนมาคอยเอาใจเขา ดังนั้นความโกรธนี้ปะทุขึ้นมาเองก็ต้องระงับเอง

ทำอย่างไรได้ ไม่สามารถรื้อฟื้นสิ่งนั้นกลับมาได้แล้ว!

มู่ซีอยากจะไปหาเรื่องจึงตั้งใจไปที่อารามชิงผิงถึงสองครั้งแต่กลับไม่พบฉินหลิวซี และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน ทั้งยังมีจดหมายเร่งให้เขากลับเมืองหลวงมาทุกวัน อย่างไรเสียอากาศก็เริ่มหนาวแล้ว ทางกลับเมืองหลวงไม่สะดวกสบายนัก หากยังไม่กลับก็จะยิ่งลำบากมากขึ้น

ทั้งจดหมายที่ส่งมาจากฮองเฮาเมื่อวานนี้ยังบอกว่า หากเขายังไม่กลับจะส่งองครักษ์หลวงไปจับตัวกลับมา

มู่ซีไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกเดินทาง เพราะเขารู้ว่าพี่หญิงใหญ่ของเขาเป็นคนพูดจริงทำจริง และการที่พี่หญิงใหญ่ของเขายื่นคำขาดเช่นนี้ แสดงว่าท่านพ่อกับท่านแม่ของเขาต้องไปร้องไห้ขอร้องในวังอย่างแน่นอน

ตั้งแต่เดินทางจนถึงตอนที่ออกจากประตูเมือง มู่ซีก็รู้สึกเหมือนกำลังเหี่ยวเฉา ไม่สามารถทำให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาได้แม้แต่นิดเดียว แม้ว่าตอนนี้จะมีใครมาคารวะเขา เขาก็รู้สึกขี้เกียจ

เซียวจั่นรุ่ยจากจวนผู้ตรวจการมณฑลเป็นใครกัน

มู่ซีลืมตาขึ้น ฟังคำทักทายของเซียวจั่นรุ่ยที่ดังมาจากข้างนอก ใช้เท้าเตะประตูแล้วมองออกไป โบกมือพลางเอ่ย “เซียวจั่นรุ่ย?”

“เป็นข้าน้อยเองขอรับ”

“รู้แล้ว” มู่ซีดึงประตูให้เปิดอีกครั้งอย่างเหลืออด หางตากวาดมองไปยังศาลาซึ่งอยู่ไม่ไกลอย่างไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาเบิกกว้าง

เขาขยี้ตา เห็นคนผู้นั้นกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่อย่างชัดเจน จึงลุกขึ้นแล้วกระโดดลงจากรถม้าทันที จากนั้นก็เดินก้าวยาวมุ่งตรงไป

เมื่อเห็นเขาเดินมา หลังจากที่เซียวจั่นรุ่ยยกมือขึ้นมาประสานคารวะ เขาก็ยืดตัวขึ้นแล้วเดินไปหามู่ซีด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ท่านซื่อจื่อ…”

มู่ซีผลักคนที่ขวางทางเขาออกไปให้พ้น เดินก้าวยาวมุ่งตรงไปที่ศาลาอย่างเร่งรีบ

เซียวจั่นรุ่ย “?”

เขาหันไปมองด้วยสีหน้างุนงง เห็นเพียงจอมอันธพาลน้อยผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นั้นเหมือนกับสุนัขวิ่งกระดิกหางอย่างบ้าคลั่งหลังจากได้เจอเจ้านายที่พลัดพรากของมัน

เซียวจั่นรุ่ยตกใจจนอ้าปากค้าง

มู่ซีวิ่งไปที่ศาลาด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นฉินหลิวซีกำลังหลับตาทำสมาธิ จึงเอามือปิดปากแล้วกระแอมเบาๆ

ฉินหลิวซีไม่ได้ลืมตา

มู่ซีกระแอมเสียงดังอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายยังคงไม่ตอบสนอง

จงใจกระมัง!

มู่ซีเดินตรงไปหาอีกฝ่าย ก้มลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกันกับใบหน้าของฉินหลิวซี ยังไม่ทันได้มองดู อีกฝ่ายก็สวนหมัดเข้ามา

“โอ๊ย” มู่ซีเอามือปิดตาแล้วถอยหลังไปสองก้าว ตะโกนด้วยความโกรธ “เจ้านักต้มตุ๋น เจ้าบังอาจมาก!”

ฉินหลิวซีลืมตาขึ้น เอ่ย “โอ้ เป็นเจ้านี่เอง ข้าก็ว่ากำลังหลับฝันดี เหตุใดจึงได้มีสุนัขสิงโตมาพ่นลมหายใจอยู่ตรงหน้า ข้าก็เลยตอบสนองตามสัญชาตญาณ”

มู่ซีโกรธมาก “เจ้าว่าข้าเป็นสุนัขสิงโตหรือ”

“ข้าเปล่า!”

“เจ้าว่า! เมื่อครู่เจ้าพูดแล้วว่าสุนัขสิงโต! ” จะว่าไปแล้วสุนัขสิงโตเป็นอย่างไร

“ดังนั้นที่เจ้ามาอยู่ตรงหน้าข้า ทำไม คิดจะลอบทำร้ายข้าหรือ” ฉินหลิวซีมองไปที่เขา

“ข้า!” มู่ซีโกรธจนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง

เซียวจั่นรุ่ยค่อยๆ เข้าใกล้ศาลาอย่างระมัดระวัง เอ่ยออกมาว่า “ท่านซื่อจื่อ?”

“เรียกอะไรนักหนา” มู่ซีหันกลับไป เอาความโกรธไปลงกับเซียวจั่นรุ่ย “เสียงดังน่ารำคาญ!”

เมื่อเซียวจั่นรุ่ยเห็นว่าดวงตาของเขาฟกช้ำ จึงอุทานด้วยความตกใจ ไม่มีเวลามาโกรธ รีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “ท่านซื่อจื่อ ดวงตา ดวงตาของท่าน”

จากนั้นเขาก็มองไปที่ฉินหลิวซี สีหน้าดูไม่อยากจะเชื่อ ‘ท่านเป็นคนต่อยหรือ’

อย่าได้ปฏิเสธ ร่องรอยนี้สดใหม่มาก

ช่างกล้าจริงๆ ไม่รู้หรือว่านี่คือใคร

เซียวจั่นรุ่ยรู้สึกว่าอนาคตของเขามืดมน กลัวว่าฉินหลิวซีจะทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อน เอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ ท่านนี้ ท่านนี้คือ…”โนเวลพีดีเอฟ

“เจ้าไม่จำเป็นต้องบอก เรารู้จักกัน!” มู่ซีสบถอย่างเย็นชา ลูบตาที่เขียวช้ำ ร้องด้วยความเจ็บปวด “เจ็บมาก เจ้ารักษาให้ข้าเดี๋ยวนี้”

ฉินหลิวซีเห็นว่าดวงตาข้างหนึ่งของเขาฟกช้ำ เม้มปากยิ้ม เอ่ยว่า “มีไข่ไก่หรือไม่ หากมีก็ต้มให้สุกแล้วนำมาประคบไว้ หากไม่มีก็บ้วนน้ำลายออกมาทา”

อะไรนะ น้ำลาย?

ไม่ต้องพูดถึงลูกผู้ลากมากดีอย่างมู่ซี แม้แต่บุตรชายของขุนนางทั่วไปอย่างเซียวจั่นรุ่ยได้ฟังดังนั้นก็ยังเบิกตาโต ไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง

“น้ำลาย? ”

“อืม น้ำลายใช้ฆ่าเชื้อและลดอาการบวมได้…”

“แหวะ!” มู่ซีอยากจะอาเจียน

เซียวจั่นรุ่ยไม่รู้จะพูดอะไรด้วยซ้ำ

มู่ซีชี้ไปที่ฉินหลิวซี “เจ้ากล้าให้ข้าใช้สิ่งสกปรกเช่นนั้น ข้า ข้าจะ…”

“ไม่ใช้ก็ไม่ต้องใช้”

ฉินหลิวซีลุกขึ้นยกมือส่งสัญญาณเตรียมออกเดินทาง เอ่ยว่า “รถม้ามาแล้ว พวกเราควรไปได้แล้ว”

ไม่สนใจแล้วจริงๆ ด้วย

เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซีบอกว่าจะไปก็ไปอย่างไม่สนใจ เซียวจั่นรุ่ยก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ

เดี๋ยวนะ ท่านจะจากไปอย่างไม่แยแสหลังจากไปต่อยใครเขาเช่นนี้ได้หรือ

นี่คือมู่ซื่อจื่อผู้มีชื่อเสียงที่ได้รับความเอาอกเอาใจอย่างล้นเหลือเลยเชียวนะ!

เซียวจั่นรุ่ยแข้งขาอ่อนแรงเล็กน้อย

มู่ซีได้สติกลับมาหลังจากตกตะลึง คว้าแขนเสื้อฉินหลิวซีไว้ “เจ้าจะไปไหน”

ฉินหลิวซีก้มหน้ามองมือของเขา ใช้มือสับไปที่ข้อมือของเขา มู่ซีรู้สึกว่าข้อมือของเขาอ่อนแรงลง พลันปล่อยมือออก สายตาที่มองมาดูไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม

ต่อยเขาไม่พอซ้ำยังตีข้อมือเขาอีกดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

มู่ซีเหลือบมองเซียวจั่นรุ่ย นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เขาเรียกว่าท่านอาจารย์ มีแสงสว่างแวบขึ้นมาในหัว ถามเซียวจั่นรุ่ยว่า “ทำไม เจ้าเชิญนักต้มตุ๋นไปรักษาโรคหรือไปขับไล่วิญญาณจับผี มีใครเป็นอะไรหรือ”

เซียวจั่นรุ่ยไม่รู้จะตอบอย่างไร ไม่กล้าเอาเรื่องของน้องหญิงไปบอกใคร เอ่ยอย่างลังเลว่า “ท่านแม่ของข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ได้ยินว่าทักษะวิชาแพทย์ของท่านอาจารย์โดดเด่นจึงได้มาเชิญด้วยความจริงใจขอรับ”

อ้อ หมายความว่าต้องไปจวนผู้ตรวจการในหนิงโจว

มู่ซีกระแอมเบาๆ เชิดคางพลางถามว่า “จวนผู้ตรวจการสนุกหรือไม่”

เซียวจั่นรุ่ย “?”

“ช่างเถิด เห็นแก่ที่เจ้าตั้งใจมาเชิญเป็นพิเศษ เช่นนั้นข้าก็จะจำใจไปเล่นที่จวนของพวกเจ้าสักหน่อย” มู่ซีเห็นว่าฉินหลิวซีเดินไปยังไม่ไกลมาก เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบก็ไล่ตามไป

เซียวจั่นรุ่ยยืนอยู่ที่เดิมด้วยความมึนงง

เขาอยู่ที่ไหน เขากำลังทำอะไร เขาพูดอะไรออกไป

อ้อ มู่ซื่อจื่อบอกว่าจะไปเล่นที่จวนของเขา

เซียวจั่นรุ่ยกะพริบตา แย่แล้ว จอมอันธพาลน้อยกำลังจะไปจวนของเขา

ขาของเขาอ่อนแรงเกือบจะล้มลงกับพื้น เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นมู่ซีอยู่ข้างๆ ฉินหลิวซีแล้ว เดินไปพร้อมกันทีละก้าวพลางเอ่ยอะไรบางอย่าง ราวกับน้องชายคนเล็ก

เซียวจั่นรุ่ยเข้าใจในทันที

ไหนเลยมู่ซื่อจื่อจะรู้ว่าตัวเองเป็นบุตรชายผู้ตรวจการจวนไหน ที่บอกว่าจะไปเล่น แต่จริงๆ แล้วจะไปหาฉินหลิวซี คนผู้นั้นไปไหนเขาก็จะไปด้วย

อีกอย่างมู่ซื่อจื่อก็ยอมให้ท่านอาจารย์ปู้ฉิวผู้นี้เป็นอย่างมาก เขาไม่เอาความที่ฉินหลิวซีต่อยเขาด้วยซ้ำ แถมยังเอาอกเอาใจ!

เซียวจั่นรุ่ยรีบก้าวเท้าออกจากศาลา จนกระทั่งองครักษ์เดินมาอยู่ตรงหน้า เขาจึงได้สติกลับมา เอ่ยกับองครักษ์ผู้นั้นว่า “เจ้าขี่ม้าเร็วกลับจวน บอกว่ามู่ซื่อจื่อจะไปเล่นที่จวนผู้ตรวจการ ให้ท่านพ่อข้าเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ อย่าได้ทำให้นายท่านผู้นี้ขุ่นเคืองเป็นอันขาด!”

เขาหยุดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เมื่อเห็นฉินหลิวซียืนอยู่หน้ารถม้าจึงเอ่ยต่อว่า “จริงสิ กำชับฮูหยินให้จัดเตรียมเรือนรับรองและข้าวของเครื่องใช้ไว้ต้อนรับท่านอาจารย์ด้วย อย่าให้ล่าช้าเด็ดขาด”

ท่านอาจารย์ผู้นี้อำนาจใหญ่โตกว่าที่เขาคิดไว้ อย่าทำให้ขุ่นเคืองเป็นอันขาด!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท