บทที่ 252 คำย้ำเตือนของถงซื่อ
หากเดินจากหมู่บ้านตระกูลหวงสู่หมู่บ้านตระกูลลู่ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม แต่เมื่อขับรถม้ามา เพียงครึ่งชั่วยามก็ถึงที่หมายแล้ว
เรื่องที่คนตระกูลหวงแต่งเข้าบ้านตระกูลถงนั้นเป็นที่สนใจของผู้คนมากมาย ชาวบ้านที่มาชมเรื่องสนุกยืนอออยู่เต็มหน้าเรือนอีกครั้ง
มู่ซืออวี่ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะต้องทำอย่างไร เพราะถึงอย่างไร คนพวกนี้ต่างก็ไม่มีเจตนาร้ายใด ๆ นอกจากมาหาเรื่องซุบซิบนินทา แม้จะค่อนแคะไม่เข้าหูสักหน่อยก็คงต้องปล่อยไป
และเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของท่านป้า มู่ซืออวี่จึงไม่อาจเพิกเฉยได้ นางเห็นเหยาซื่อในฝูงชนจึงเดินเข้าไปหา
“ป้าเหยา ที่บ้านมีแป้งข้าวเหลือหรือไม่? ป้าข้าเพิ่งย้ายมา ในบ้านไม่มีอะไรเลย อยากจะขอซื้อไปใช้ก่อน”
บ้านตระกูลลู่มีแป้งข้าวอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาซื้อจากเหยาซื่อ วาจาเหล่านี้นางกล่าวเพื่อดึงความสนใจชาวบ้านขี้นินทาทั้งหลาย
“ครอบครัวป้าเจ้าย้ายมาอยู่หรือ?”
“หากไม่ย้ายสิ ได้ตายแน่” มู่ซืออวี่ทำเหมือนซุบซิบกับเหยาซื่อ ทว่าแท้จริงแล้ววาจาของนางลอยเข้าหูเหล่าชาวบ้านอย่างชัดเจน “ท่านไม่รู้หรอกว่าครอบครัวที่ป้าข้าแต่งเข้านั้นไร้ความปรานีแค่ไหน เดิมทีลุงข้าแค่เป็นหวัด แต่เพราะไม่ยอมเสียเงิน พวกเขาเลยไปหาหมอสั่ว ๆ มาสั่งจ่ายยาให้เขากิน ยิ่งทำให้อาการของเขาแย่หนัก”
“หากเรียกหมอจริง ๆ มาทันไม่นานก็หายดีแล้ว แต่พวกเขาฟังหมอปลอม ๆ นั่น ทำทีพูดเป็นใหญ่เป็นโต บอกว่าเขาเป็นวัณโรค ไม่อาจรักษาให้หายได้ เลยขังเขาไว้ในห้องมืด ๆ ไม่ให้แพร่เชื้อใส่ผู้อื่น แล้วก็หมางเมินไม่สนใจเขาเลย ป้าของข้าแอบมาขอความช่วยเหลือจากข้า จึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาพวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างไร ท่านหมอจูไปตรวจแล้วก็บอกว่าวัณโรคที่ไหนกัน ทรมานกันเองชัด ๆ ตราบใดที่พาเขาออกจากห้องที่กระทั่งสุนัขยังไม่อยู่นั่นได้ ให้กินยาดี ๆ ไปสักพัก โรคนั้นก็จะทุเลาไปเอง”
“แม่เจ้าโว้ย นั่นลูกนางเองนะ ไฉนจึงโหดร้ายเพียงนี้!” เหยาซื่อเดาะลิ้น “เช่นนั้นบ้านนี้…”
“ท่านลุงเองก็สะเทือนใจ บอกป้าข้าให้แยกบ้าน ขึ้นเป็นเจ้าบ้านเองได้เลย ภายหน้าผู้นำครอบครัวนี้จะเป็นป้าข้า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลหวงอีก ที่จริง เขาจะให้ท่านป้าจะไปยืมเงินจากเพื่อนร่วมชั้นเก่า เอามาซื้อบ้านนี้จากแม่ข้า แต่ในเมื่อเราเป็นญาติกัน ให้พวกเขายืมบ้านอาศัยยังดีเสียกว่าให้ไปหยิบยืมเงินผู้ใด แต่ท่านลุงไม่เห็นด้วย บอกว่าจะให้แม่ข้าเสียเปรียบไม่ได้ เขาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรา ลุงข้าเป็นบัณฑิต ขอเพียงร่างกายกลับมาดี เขาก็จะหางานทำบัญชี จ่ายเงินให้เราโดยไว”
เรื่องนี้เป็นจริงครึ่งหนึ่ง มู่ซื่ออวี่แค่ไม่อยากให้ผู้คนในหมู่บ้านดูแคลนบ้านตระกูลหวง
บ้านนี้ตระกูลหวงซื้อต่อ ไม่ได้ให้เปล่า
พวกเขายอมยืมเงินคนนอกดีกว่าเอาเปรียบครอบครัวตัวเอง นี่คือศักดิ์ศรีของพวกเขา
อีกอย่าง โรคที่หวงเฉิงเฟิงเป็นไม่ใช่วัณโรค อย่าได้หลงเชื่อข่าวลือ
นอกจากนั้น ขอเพียงเขาหายจากอาการป่วย การที่จะหาเงินก็ง่ายมาก อย่าคิดจะรังแกพวกเขาที่กำลังตกต่ำ ใครเล่าจะทราบว่าภายหน้า พวกเขาจะเจริญรอยตามตระกูลลู่หรือไม่?
มู่ซืออวี่ปรับทัศนคติชาวบ้านผ่านคำพูด พร้อมแก้ปัญหาให้ตระกูลหวงเสร็จสรรพ
นอกจากนี้เพื่อเล่นละครให้แนบเนียน เหยาซื่อจึงส่งแป้งข้าวและไข่ส่วนหนึ่งมาให้ มู่ซืออวี่เองก็เรียกหูซื่อออกมา แล้วจ่ายเงินให้เหยาซื่อต่อหน้าทุกคน
ชาวบ้านทั้งหลายได้ ‘ข่าวซุบซิบ’ ที่ต้องการได้ยินแล้วก็แยกย้ายกันไป
พวกเขาล้วนเห็นอกเห็นใจตระกูลหวง
ชาวบ้านเหล่านี้โดยพื้นเพแล้วเป็นคนดี เมื่อได้รับรู้ว่าผู้อื่นมีชีวิตย่ำแย่กว่าตน ก็เผยความเมตตาแทบล้นหลาม
หลังจากปิดประตูลานบ้าน หูซื่อก็ดูละอายใจไม่น้อย
มู่ซืออวี่กุมมือหูซื่อ และกล่าวต่อหน้าลูกสาวของหูซื่อทั้งสองคนว่า “ท่านป้า เหตุที่ข้าพูดเช่นนี้ก็เพราะไม่อยากให้ท่านถูกดูแคลน ตระกูลสามีท่านร้ายกาจ เราอยากให้ท่านหลุดพ้นจริง ๆ หากพาพวกท่านออกจากหลุมแล้วปล่อยไป ก็เหมือนแค่ไปทรมานที่อื่น เช่นนั้นก็ถือว่าเราไม่ได้ช่วยท่านน่ะสิ”
“ข้าเข้าใจ” หูซื่อไม่ได้โง่งม
ใช้ชีวิตมาจนป่านนี้ ต่อให้ความคิดเหมือนเด็กเช่นไร ก็ควรเข้าใจโลกหล้าได้แล้ว
“ท่านป้า ท่านพี่ เราอยู่ที่นี่ได้จริง ๆ หรือเจ้าคะ?” หวงอันหนิงตาแดงรื้น
“ใช่แล้ว แม่ข้าปลูกพืชปลูกผักในสวนด้วยนะ เดี๋ยวข้าจะพางไปดู บ้านเรามีพื้นที่ แต่ยามนี้ไม่มีเวลามาดูแล หากต้องการ พวกเจ้าปลูกพืชปลูกผักได้ตามชอบเลย”
ท่านหมอจูมาเยี่ยมเยือน ออกใบสั่งยาให้ และครู่ต่อมาก็นำยามาให้ด้วยตนเอง
ถงซื่อรับยามาจากเขา “ข้าจะไปต้มยา”
ท่านหมอจูตามถงซื่อไป “ข้าจะสอนให้”
เมื่อตั้งเตา ถงซื่อก็เทยาสมุนไพรลงไป
ท่านหมอจูกระแอมเบา ๆ “ข้าทำเองดีกว่า!”
“ไม่เป็นไร ข้าทำเองได้” ถงซื่อไม่ปล่อยให้เขาแตะมัน
“เจ้าโกรธหรือ?” ท่านหมอจูทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
ชายผู้แสนเคร่งขรึม ยามนี้กลับกลายเป็นเจ้าเด็กน้อย ดูแล้วก็รับไม่ได้พอตัว
“ปล่อยข้าไว้คนเดียวเถิด” ถงซื่อคอตก “ท่านก็เห็นแล้วว่ายามนี้ข้าชื่อเสียงตกต่ำเพียงไร เรื่องที่ท่านว่าไว้… ไม่ได้หรอก”
“ไฉนจะไม่ได้?” ท่านหมอจูไม่ได้เห็นด้วย “หลินต้าจ้วงนั่นหน้าไม่อายเอง หากภายหลังไม่มีอันเป็นไป ข้าก็อยากฟาดเขาสักยกเหมือนกัน ทุกคนรู้กันหมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ไฉนเจ้าจะซื่อตรงกับตนเองไม่ได้?”
“แต่ก็ไม่ได้อยู่ดี” ถงซื่อมองออกไปข้างนอก “อย่าพูดถึงมันเลย ข้าจะต้มยาแล้ว”
ท่านหมอจูผ่อนลมหายใจแผ่วเบา “เจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้ กี่สิบปีก็เหมือนผ่านไปวันเดียว”
หากกาลก่อนนางกล้าสักหน่อย เหตุภายหลังคงไม่เกิดตามมา
ถงซื่อเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่มารดาตายจากตั้งแต่ยังเด็ก บิดาก็ไม่สนใจ และแม่เลี้ยงก็เล่นงานนางทุกวิถีทาง ยังจะเป็นคนใจดีขี้กลัวอยู่ได้
แต่เขาก็ยังชอบคนอย่างนาง
“ท่านหมอจู เกิดอะไรขึ้นหรือ?” มู่ซืออวี่เดินเข้ามาเห็นเข้าและรู้สึกพิกล
ท่านหมอจูแสร้งตีขรึม “ไม่มีอะไรหรอก ข้าคิดอยู่น่ะว่ายาแบบไหนดีกว่ากัน”
“ท่านว่าจริง ๆ แล้วอาการท่านลุงข้าเป็นอย่างไร?” มู่ซืออวี่ลดเสียงถาม
“หากเขายังอยู่ในบ้านตระกูลหวงต่อไป ในสามเดือนเขาคง… ตอนที่ข้าบอกว่าหากอยู่ในสภาพแวดล้อมดี ๆ เขาจะอยู่ต่อได้สักสองสามปีนั้น มันก็ยังเป็นเช่นนั้น ร่างกายของเขาร่อแร่ ชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม หากให้ยาตรงเวลาและบำรุงเขาดี ๆ ก็ย่อมสามารถยื้อชีวิตเขาได้”
“เช่นนั้นก็ให้เป็นไปตามนั้น” ถงซื่อกล่าว “หากมียาดีก็ให้เขาเถิด แล้วมาเก็บเงินกับข้า”
ว่าแล้วนางก็นำกระเป๋าเงินออกมาแล้วส่งให้ท่านหมอจู
ท่านหมอจูไม่ได้กล่าวอะไร เขาหันหลังจากไปอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก
มู่ซืออวี่ “…”
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ไฉนสองคนนี้จึงดูพิกล?
ถงซื่อหน้าแดง รีบเก็บถุงเงินของนางไป
“ท่านแม่ พวกท่านทะเลาะกันหรือ?” มู่ซืออวี่ถาม
ถงซื่อส่ายหัว “เปล่า แต่เงินอาจจะน้อยไปก็ได้นะ”
มู่ซืออวี่แย้มยิ้ม “ท่านแม่ เวลาที่ท่านโกหก หน้าท่านจะแดง ตาท่านจะเสไปมา ไม่กล้ามองหน้าคนเวลาพูด ท่านนี่ไม่เหมาะกับการโกหกเลยสักนิด”
ช่างเถอะ หากไม่อยากบอกนางก็ไม่เซ้าซี้ เดี๋ยวจะเป็นการบังคับกัน โตจนป่านนี้ยังดูเหมือนเด็กเวลากระทำผิด ไม่ไหวเลยจริง ๆ