บทที่ 463 ปัญหาของซูถิงเจิ้ง
บทที่ 463 ปัญหาของซูถิงเจิ้ง
“จวี่เหรินซูเป็นสหายร่วมเรียนของข้าจริง แต่เขาเย่อหยิ่งทะนงตน รังเกียจที่จะคบหากับคนมั่งมี ดังนั้นเราจึงเป็นได้เพียงคนรู้จักผิวเผิน แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน”
หลังจากจ้าวจื่อโม่กล่าวเช่นนั้นแล้ว เขาก็เอ่ยลาอีกครั้ง บอกว่าตนต้องไปเยี่ยมญาติผู้น้องที่ได้รับความตกใจอย่างฟ่านซือโยวแล้ว
ลู่อี้มองอีกฝ่ายค่อย ๆ ลับตาไป
พ่อบ้านหวังที่อยู่ข้าง ๆ เขาเอ่ยขึ้นด้วยความระมัดระวัง “คุณชายเป็นคนดีจริง ๆ หลายปีมานี้เขายังคงจำพวกเราบ่าวเฒ่าได้ มีของกินของใช้ดี ๆ อะไรก็จะนึกถึงพวกเราเสมอ”
กล่าวเช่นนี้หมายความว่า ถึงแม้ทุกคนบนโลกนี้จะเป็นคนเลว ทว่าท่านชายโม่ไม่อาจเป็นคนเลวไปได้เป็นอันขาด
ลู่อี้ไม่สนใจคำพูดของพ่อบ้านหวัง เขาหมุนตัวกลับไปที่อื่นต่อ
หลังจากมู่ซืออวี่หายตัวไป เขาพยายามสะกดกั้นอารมณ์ของตนเอง ไม่ให้ดิ่งลงเพื่อที่จะได้มีสติวิเคราะห์สถานการณ์หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้น
ฟ่านหยวนซีกล่าวถูกต้อง คนผู้นั้นขาดเงินจนไม่ลังเลใจแม้แต่น้อยที่จะหลอกลวงว่าฮูหยินของเขาตายแล้วและลักพานางไป หมายความว่าตอนนี้อีกฝ่ายไม่มีความคิดที่จะทำร้ายนาง มิเช่นนั้นคงไม่ใช้ศพปลอม
เขายังมีเวลาค้นหามู่ซืออวี่
ในศาลาว่าการ ลู่อี้เขียนข้อมูลที่รวบรวมมาได้บนผนัง จากนั้นก็มองข้อมูลตรงหน้าแล้วขบคิด
จือเชียนเดินเข้ามา “ใต้เท้า พวกเราตรวจสอบเรื่องซูถิงเจิ้งได้แล้วขอรับ”
“ว่ามา”
“ซูถิงเจิ้งหยุดเขียนบทกลอนเมื่อสองปีก่อน นับแต่นั้นก็แทบไม่เข้าร่วมงานชุมนุมกวีอีกเลย ข้าน้อยค้นดูรอบ ๆ บ้านเขาแล้ว บทกวีทั้งหมดและภาพวาดของเขาล้วนเขียนขึ้นเมื่อสองปีก่อนทั้งสิ้น ภาพนั้นที่เขาให้จวิ้นจู่ก็วาดขึ้นเมื่อสองปีก่อนเช่นกัน เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาได้พบกับจวิ้นจู่”
“ข้าน้อยไปที่บ้านเกิดของซูถิงเจิ้งเพื่อสอบถามเพื่อนบ้านของเขา พวกเขากล่าวว่าซูถิงเจิ้งเคยเป็นคนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดีมีเหตุมีผล กิริยามารยาทอ่อนน้อมถ่อมตน ทว่าเมื่อสองปีก่อนเขากลับเปลี่ยนไป ยามพบหน้าเพื่อนบ้านไม่ทักทาย ทั้งยังมีท่าทีหยิ่งยโส ต่อมาเขาก็ย้ายมายังเมืองหลี คนในหมู่บ้านไม่ได้ติดต่อกับเขาอีก ช่วงเวลานั้นญาติห่าง ๆ มาหาเขา บางทีอาจเป็นเพราะครอบครัวขัดสน จึงอยากจะหยิบยืมเงินสักเล็กน้อย ทว่าซูถิงเจิ้งไม่เพียงไม่ให้ยืมเงิน แต่กลับตะโกนด่าญาติผู้นั้นอยู่เป็นนานสองนาน เรื่องนี้ค่อนข้างวุ่นวายใหญ่โตจึงมีหลายคนเห็นเหตุการณ์ด้วยตาตนเอง”
“ยังมีเรื่องที่น่าแปลกอีกอย่าง คือซูถิงเจิ้งเคยเป็นโรคหอบ แต่จู่ ๆ เขาก็ดีขึ้น ท่านหมอที่รักษาเขาเมื่อก่อนกล่าวว่าเขาไม่มารับยาเป็นเวลาสองปี ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าโรคหอบสามารถรักษาให้หายได้!”
“เจ้าไปตรวจสอบดู ซูถิงเจิ้งมีพี่ชายน้องชายหรือไม่” ลู่อี้เอ่ยอย่างใจเย็น
“ใต้เท้ากำลังจะบอกว่า…” จือเชียนพลันประหลาดใจ “ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้”
ลู่อี้เขียนคำว่า ‘ซูถิงเจิ้ง’ ลงไปบนผนัง จากนั้นจึงวาดสัญลักษณ์หนึ่งกำกับว่าคนผู้นี้น่าสงสัย
ลูกน้องที่ส่งไปเสาะหาข่าวที่สำนักบัณฑิตก็กลับมาแล้วเช่นกัน เขามารายงานความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวจื่อโม่และซูถิงเจิ้งให้ฟัง
“ซูถิงเจิ้งไม่ได้มีการติดต่อกับจ้าวจื่อโม่ขอรับ เมื่อสองปีก่อนซูถิงเจิ้งเลิกไปเรียนที่สำนักบัณฑิต ตอนนี้ท่านอาจารย์และสหายร่วมเรียนจึงไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับเขามากนัก ในทางกลับกันมีทายาทเศรษฐีผู้ที่ไม่เอาการเอางานและเอาแต่เที่ยวเล่นให้ข่าวหนึ่งมา เขาบอกว่าเคยเห็นซูถิงเจิ้งในหอหยกงาม และซูถิงเจิ้งผู้นั้นก็มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแม่นางในหอหยกงามผู้หนึ่ง เพียงแต่เป็นการลอบพบกัน ไม่มีผู้ใดพบเห็น”
“ทางหนึ่งเขาตกหลุมรักกับจวิ้นจู่ อีกทางหนึ่งเขามีความสัมพันธ์คลุมเครือกับสตรีจากหอหยกงาม ซูถิงเจิ้งผู้นี้ช่างแตกต่างจากที่เลื่องลือนัก”
ซูถิงเจิ้ง จ้าวจื่อโม่ หอหยกงาม…
อาจดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน ทว่ากลับเชื่อมโยงเข้าด้วยกันได้
“ก่อนหน้านี้มีบ่าวรับใช้ที่ติดตามจ้าวจื่อโม่ ภายหลังกลับไม่ได้เป็นบ่าวรับใช้เขาแล้วหรือไม่?”
“ข้าน้อยจะไปหาดูขอรับ”
“ส่งคนไปจับตาดูจ้าวจื่อโม่ ระวังอย่าให้ถูกเขาจับได้”
“ขอรับ”
ลู่อี้ไปหาฟ่านซือโยวอีกครั้ง
ฟ่านซือโยวนั่งถอนหายใจอยู่ริมหน้าต่าง
คนรักของนางตายแล้ว หัวใจของนางวูบโหวง สิ่งที่นางไม่อาจยอมรับได้ที่สุดคือเขาอยากฆ่าตัวตายไปพร้อมกับนาง นางยังจะเกลียดเขาได้หรือ? ไม่! เขารักนางมากเกินไปจึงได้ทำเรื่องโง่งมเช่นนั้น
ทว่า แม้นางจะสั่นไหวเพราะความรักของเขา อย่างไรก็ยังต้องตำหนิการกระทำของซูถิงเจิ้งอยู่ดี นางใช้ชีวิตอยู่ดี ๆ เหตุใดต้องตายด้วย? หากตายไปแล้วที่เหลือไว้ในท้ายที่สุดก็มีเพียงกระดูก เช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไร?
ช่างเป็นคนโง่คนหนึ่งจริง ๆ!
“จวิ้นจู่ ข้าผู้นี้ยังมีบางคำที่อยากถามท่าน”
ฟ่านซือโยวหวาดกลัวลู่อี้เล็กน้อย
ถึงแม้นางจะเป็นจวิ้นจู่และลู่อี้ควรเผยความอ่อนแอต่อหน้านาง ทว่าเมื่อได้ยินเขาเอ่ยคำว่า ‘ข้าผู้นี้’ นางก็รู้สึกเย็นเยียบไปทั่วสรรพางค์กาย
ฟ่านซือโยวลุกขึ้นแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “ใต้เท้าลู่ เชิญกล่าว”
“ตอนที่ท่านพบกับซูถิงเจิ้ง ซูถิงเจิ้งเป็นคนอย่างไร?”
“เอ่อ…” ฟ่านซือโยวพยายามนึกให้ออกอย่างหนัก “พวกเราพบกันที่วัดฉีซาน ตอนนั้นข้ากำลังเศร้าโศกจึงเดินไปทางด้านหลังภูเขาเพื่อผ่อนคลาย นึกไม่ถึงว่าข้าจะเจอฝนตกลงมาอย่างหนักและออกมาไม่ได้…”
ฟ่านซือโยวเล่าเรื่องราวของพวกเขาให้ฟัง
ในเรื่องราวนั้น ซูถิงเจิ้งอ่อนโยนสง่างาม ถึงแม้จะดูสูงศักดิ์เล็กน้อย ทว่าเขาเป็นปัญญาชน อีกทั้งยังค่อนข้างมีพรสวรรค์ นี่ล้วนเป็นเรื่องปกติ
“เขาขี้อายมาก ข้าคุยกับเขา แต่เขากลับหลบสายตาข้าอยู่เสมอ เขาช่วยข้าไว้ ข้าอยากขอบคุณเขาจึงให้คนไปส่งของขวัญให้เขา ทว่าเขากลับส่งคืนกลับมาทั้งหมด ในตอนนั้นเขาราวกลับกระต่ายขี้กลัวตัวหนึ่ง ขณะที่ข้าเป็นหมาป่าตัวใหญ่ที่อยากจะขย้ำเขาลงท้อง…”
“จากนั้นเล่า?” ลู่อี้เอ่ยถาม “ท่านไม่พบว่าเขาเปลี่ยนไปหรือ? เขาเลิกขี้อายและยอมรับของขวัญของท่าน แม้กระทั่งเอ่ยถ้อยคำหวานหูกับท่านตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“นี่…” ฟ่านซือโยวลังเล “ข้าตกหลุมรักกันกับเขา หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน ย่อมไม่มองอีกฝ่ายเป็นคนนอก ข้าส่งของให้เขาก็รับเอาไว้ ไม่ใช่เรื่องปกติหรือ?”
“ปกติหรือ?” ลู่อี้เอ่ยถาม “ตามความเข้าใจของท่านที่มีต่อเขา เขาควรรับของขวัญของท่านไว้แล้วเอ่ยคำหวานเหล่านั้นกับท่านหรือไม่?”
ฟ่านซือโยวหวนกลับไปคิดถึงซูถิงเจิ้งที่นางพบครั้งแรก และซูถิงเจิ้งที่นางพบตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมา
“เมื่อท่านพบหน้าเขา ทุกครั้งล้วนส่งของขวัญให้เขาใช่หรือไม่?”
“ใช่ แต่ว่าล้วนเป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ” ฟ่านซือโยวเอ่ย “ถึงแม้ข้าจะเป็นจวิ้นจู่ ก็ไม่ได้มีเงินมากมายเพียงนั้น ทว่าท่านแม่รักข้ามาก หากข้าชอบเครื่องประดับเงินทองชิ้นใดนางก็จะซื้อให้ ข้าคิดอยากจะให้ชีวิตคนรักดีขึ้น ไม่อยากให้เขาต้องลำบาก ดังนั้นบางโอกาสข้าก็จะให้เครื่องประดับเหล่านั้นกับเขา ให้เขานำไปจำนำเพื่อนำเงินมาใช้”
“นี่ดูคุ้นหรือไม่?” ลู่อี้นำปิ่นระย้าอันหนึ่งออกมา
“นี่…” ฟ่านซือโยวเอ่ย “นี่เป็นของข้า สามเดือนก่อน ข้าปักปิ่นระย้าอันนี้ไปพบเขา เขาดูเหมือนจะชอบมันมาก ข้าจึงให้เขาแทนความคิดถึง”
“ท่านรู้หรือไม่ว่าผู้ใดปักปิ่นระย้าอันนี้มาเป็นเวลาสามเดือน?”
“เขาขายหรือ? แต่เขาบอกว่า ปิ่นระย้าอันนี้เหมาะกับข้ามาก เมื่อเขาดูมันจะคิดถึงข้าตลอด ดังนั้นเขาจึงอยากมีมันไว้ข้างกาย ตอนนี้ชีวิตเขาคงไม่ยากลำบากเพียงนั้นกระมัง”
“ปิ่นระย้าอันนี้ปักอยู่บนผมของ ‘โม่หลาน’ เจ้าของป้ายอันดับหนึ่งแห่งหอหยกงามเป็นเวลาสามเดือน ตามที่นางบอก นี่เป็นของขวัญจากผู้มีพระคุณคนหนึ่ง ข้าถามคนในหอหยกงามอีกรอบแล้ว พวกเขาล้วนกล่าวว่าจวี่เหรินซูเป็นแขกประจำของโม่หลาน จวิ้นจู่ คนรักที่ท่านบอก ชั่วขณะหนึ่งเขาใช้เวลากับท่าน แต่เพียงลับตาเขาก็เข้าหอหยกงามเมื่อมีโอกาส ปักเครื่องประดับจากท่านบนผมคนรักของเขา”