โจวเจ๋อวักน้ำขึ้นมาตบหน้าตัวเองเบาๆ และค่อยๆ เงยหน้ามองตัวเองในกระจก ใบหน้าดูซีดเซียวเล็กน้อย ในฐานะเป็นแพทย์แผนกฉุกเฉิน ความซีดเซียวเช่นนี้ดูเหมือนจะเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง
“หมอโจว มีคนไข้รายใหม่ใกล้จะมาถึงแล้วค่ะ ดูเหมือนจะตกตึกมาและไม่รู้ว่าเป็นการฆ่าตัวตายหรือเปล่า!” พยาบาลหวางหย่ายืนตะโกนอยู่ที่หน้าห้องน้ำชาย
“ทราบแล้ว ไปเดี๋ยวนี้แหละ” โจวเจ๋อตอบกลับไป จากนั้นดึงกระดาษทิชชู่ออกมาซับหยดน้ำให้สะอาดแล้วเดินออกไปด้านนอก
เพียงไม่นานรถพยาบาลก็ขับเข้ามาจอดในโรงพยาบาล มีชายชราสวมเสื้อคอจีนสีเทานอนอยู่บนรถเข็นเปล ชายชราไอไม่หยุด บางครั้งก็กระอักฟองเลือดและชิ้นส่วนของอวัยวะม้ามออกมา ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด
โจวเจ๋อรีบวิ่งเข้าไป ดูอาการของผู้บาดเจ็บไปด้วย เข็นรถเข็นเปลไปด้วย ในขณะเดียวกันก็ตะโกนบอกคนที่อยู่ข้างหน้า “เตรียมเครื่องมือผ่าตัด เร็วเข้า!”
อาการของผู้บาดเจ็บไม่สู้ดีนัก
“ฉัน…ฉัน…ไม่อยากตาย”
ชายชราลืมตาและมองโจวเจ๋อที่อยู่ใกล้ตัวเองมากที่สุด
“อย่ากังวลไปเลย คุณจะไม่เป็นไร เราจะช่วยคุณ คุณจะไม่ตาย”
ผู้ป่วยวิกฤตส่วนใหญ่มักจะพูดอย่างนี้ในเวลาเช่นนี้ ผู้ที่สามารถเผชิญหน้ากับความตายอย่างสงบได้จริงๆ นั้น มีเป็นส่วนน้อย และในฐานะที่เป็นแพทย์ แน่นอนว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลามาวิเคราะห์สภาพผู้บาดเจ็บแล้วบอกว่าคุณมีโอกาสรอดแค่ไหน สิ่งที่ผู้บาดเจ็บต้องการในเวลานี้คือความสบายใจ
“ไม่…ไม่…ข้างล่าง…ข้างล่าง…ข้างล่างมันน่ากลัวมากเกินไปจริงๆ…”
ทันใดนั้น ชายชราก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของโจวเจ๋อพลางมองโจวเจ๋อด้วยสีหน้าจริงจัง
“คุณใจเย็นๆ นะ ผ่อนคลายลงหน่อย ชีวิตของคุณจะไม่เป็นอะไรไปแน่นอน” แม้ว่ารอบๆ ข้อมือจะรู้สึกปวดขึ้นมาบ้างแล้ว แต่โจวเจ๋อก็ไม่ได้พยายามแกะมันออก
“ฉันไม่อยาก…ไม่อยากลงไปอีกแล้ว…พวกเขา…พวกเขาเจอฉันแล้ว…ฉัน…พวกเขาเจอฉันแล้ว…”
“ฉึก…” โจวเจ๋อพลันรู้สึกเจ็บที่ข้อมือ
“หมอโจวคะ มือของคุณ!” พยาบาลที่อยู่ข้างๆ ตะโกนขึ้น
เล็บของชายชรายาวมาก แถมไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมเล็บของเขาถึงเป็นสีดำ มันเป็นสีดำใสคล้ายอำพัน ดูเหมือนไม่มีเศษสิ่งสกปรกสะสมอยู่ในนั้น
และในเวลานี้ เล็บของชายชราฝังอยู่ในเนื้อบริเวณข้อมือของโจวเจ๋อ
“ฉันไม่ลงไปแล้ว…ไม่ลงไปแล้ว…ไม่ลงไปแล้ว…ฮ่าๆ…แค่กๆๆ…”
ทันใดนั้นชายชรางอตัวขึ้นและไออย่างรุนแรง ตามด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน มือที่จับโจวเจ๋อไว้ร่วงลงมา ทั้งร่างพลันสูญเสียการเคลื่อนไหว
“เตรียมช่วยชีวิต!” โจวเจ๋อตะโกนขึ้น
ชายชราถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉิน มีหมอและพยาบาลเริ่มให้การช่วยชีวิต ในขณะเดียวกันเครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าก็พร้อมแล้วเช่นกัน
“หมอโจว ฉันช่วยทำแผลให้นะคะ” ในเวลานี้ หวางหย่าเดินเข้ามา
ในฐานะแพทย์ ความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้กังวลเรื่องแผลถลอกนี่สักนิด แต่สิ่งที่พวกเขากังวลมากที่สุดคือถ้าชายชราเกิดมีโรคอื่นร่วมด้วย มีความเป็นไปได้สูงว่าจะทำให้แพทย์ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายจากการปฏิบัติหน้าที่ อีกทั้งมือของชายชรามีเลือดเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเขามีโรคติดต่ออะไรหรือไม่
โรคบางชนิด หากติดเชื้อขึ้นมาละก็ อาจจะทำให้ทั้งชีวิตพังไปเลยก็ได้
หลังจากทำแผลเรียบร้อยแล้ว มีหมออีกคนหนึ่งออกมาจากห้องฉุกเฉินพร้อมกับส่ายหน้าให้โจวเจ๋อ
ความรู้สึกนี้ หมายถึงการช่วยชีวิตคนไว้ไม่ได้
อารมณ์ของทุกคนหดหู่ลงเล็กน้อย แต่สำหรับพวกเขาแล้ว เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เห็นจนชิน เพียงไม่นานก็สามารถปรับอารมณ์กลับมาเป็นปกติได้
“หมอโจว ตรวจร่างกายสักหน่อยเถอะ” หวางหย่าแนะนำ
“ไม่ล่ะ คืนนี้ผมยังมีธุระอีก” โจวเจ๋อส่ายหน้าแล้วตรงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวเองในห้องเปลี่ยนชุด จากนั้นก็เดินไปที่ลานจอดรถโรงพยาบาลแล้วขับรถออกไป
เมื่อรถแล่นผ่านใต้สะพานยกระดับถนนสายเจียงไห่ โทรศัพท์มือถือของโจวเจ๋อก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล โจวเจ๋อพูดครับ”
“หมอโจว พวกเด็กๆ กำลังรอคุณอยู่นะ”
“ขอโทษครับผู้อำนวยการอู่ มีคนไข้ติดพันน่ะครับ ตอนนี้ผมกำลังไปแล้ว ให้พวกเด็กๆ รอผมอีกนิดนะครับ”
“ได้ๆ” ไม่นานอีกฝ่ายก็วางสายไป
โจวเจ๋อเหลือบมองเวลาอีกครั้ง มันเป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว ปกติแล้วพวกเด็กๆ ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าจะเข้านอนเร็วมาก
เมื่อไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว โจวเจ๋อเหยียบคันเร่งทะยานออกไป
“ปี๊น!!!!!”
และในเวลานี้เอง
รถบรรทุกคันหนึ่งฝ่าไฟแดงเข้ามา โจวเจ๋อทำได้แค่หันข้างไปมองลำแสงจ้าจนแสบตาอยู่นอกหน้าต่างรถ
ฉับพลันนั้น
“โครม!”
โลกหมุนคว้าง
รถเก๋งกระแทกเข้ากับด้านหน้าของรถบรรทุก ราวกับเป็นกระดาษสีขาวอ่อนแอแผ่นหนึ่งที่ถูกชนกระเด็นออกไป หลังจากพลิกคว่ำหลายตลบอยู่ในอากาศรถเก๋งก็ร่วงลงสู่พื้น
…
“อึก…”
โจวเจ๋อฟื้นขึ้นมา
เขาพบว่าร่างของตัวเองไม่สามารถขยับได้ คล้ายกับว่าถูกยึดเอาไว้
ในขณะเดียวกัน ตาก็ลืมไม่ขึ้น เขารู้ว่าตัวเองประสบอุบัติเหตุ เป็นอุบัติเหตุที่รุนแรงมาก ด้วยความเป็นมืออาชีพ เขาอยากตรวจเช็กสภาพอาการบาดเจ็บของตัวเองในตอนนี้เหลือเกิน แต่เขาไม่สามารถกระดิกตัวได้
รอบๆ มีเสียงของยานพาหนะอื่นๆ ขับผ่านไปเป็นระยะๆ แล้วยังมีเสียงสวดของนักบวชทิเบตด้วย
ฉันยังอยู่ในที่เกิดเหตุหรือเปล่า
ฉันยังอยู่ในรถใช่ไหม
โจวเจ๋อคิดในใจ
ไม่นานนัก
เสียงไซเรนของรถตำรวจและเสียงของรถดับเพลิงก็ดังเข้ามา
ในตอนท้าย เสียงรถพยาบาลที่ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกอุ่นใจก็ดังแว่วเข้ามาด้วย
โจวเจ๋อสัมผัสได้ว่าร่างของตัวเองกำลังถูกเคลื่อนย้าย อุณหภูมิในบริเวณใกล้เคียงสูงขึ้นเล็กน้อย น่าจะเป็นการตัดชิ้นส่วนรถออกเพื่อช่วยเอาเขาออกมาได้สะดวก
การกู้ภัยเช่นนี้โจวเจ๋อเข้าร่วมมานับครั้งไม่ถ้วนและรู้ขั้นตอนของมันเป็นอย่างดี
แต่น่าเสียดาย เค้กที่อยู่ท้ายกระโปรงรถของตัวเองและงานเลี้ยงวันเด็กในวันที่ 1 มิถุนายนของเด็กๆ ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ทั้งหมดทำได้เพียงล้มเลิกไปเท่านั้น
“หมอโจว!”
เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังขึ้น
น่าจะเป็นหมอเฉินจากโรงพยาบาล
ในใจโจวเจ๋อถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยก็รักษาชีวิตไว้ได้ นี่นับว่าเป็นหายนะชั่วคราวก็แล้วกัน
นอกจากนี้ยังมีเสียงของพยาบาลหลายคนอยู่รอบๆ เพราะบริเวณใกล้เคียงเสียงดังจนเกินไป ดังนั้นโจวเจ๋อจึงไม่ได้ยินชัดมากนัก
แต่แล้วคำพูดต่อมาของหมอเฉิน ทำให้หัวใจของโจวเจ๋อจมลงสู่ก้นบึ้งทันที!
“หมอโจวไร้สัญญาณชีพแล้ว”
‘ไม่
ผมไม่ได้ตาย!
ผมยังไม่ตาย!
ผมยังไม่ตายนะ!’
โจวเจ๋อร้องตะโกนอยู่ในใจอย่างสุดชีวิต!
เขายังไม่ตาย เขายังมีสติอยู่ เขาไม่ได้ตาย!
จากนั้นโจวเจ๋อสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังช่วยซีพีอาร์[1]ให้ตัวเองอยู่ การบีบอัดหนักๆ ในแต่ละครั้ง เขารับรู้ถึงมัน แต่กลับลืมตาไม่ขึ้น และไม่สามารถพูดออกไปได้
เขายังไม่ตาย
เขาหวังว่าพวกเขาจะรีบรู้ตัวว่าเขายังไม่ตาย
แต่หลังจากที่วุ่นวายกันอยู่พักหนึ่ง
โจวเจ๋อได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้ของพยาบาลที่รู้จักหลายๆ คน
หมอเฉินต่อยประตูรถที่อยู่บริเวณใกล้ๆ เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกเจ็บปวด
‘เฮ้! อย่าเพิ่งยอมแพ้!
อย่าเพิ่งยอมแพ้เด็ดขาด!
ผมยังไม่ตาย
ตอนนี้ผมน่าจะยังอยู่ในภาวะหยุดนิ่ง
เสียเลือดมากเกินไปใช่ไหม บาดเจ็บสาหัสหรือเปล่า
แต่ว่าผมยังไม่ตายจริงๆ!
ผมน่าจะยังหายใจอยู่ หัวใจผมน่าจะยังเต้นอยู่สิ!’
โจวเจ๋อร้องตะโกนอยู่ในใจอย่างบ้าคลั่ง
แต่แล้วต่อมาเขาก็สัมผัสได้ว่าตัวเองถูกยกขึ้นบนเปลหาม น่าจะถูกส่งเข้าไปในรถพยาบาล
จากนั้นตามมาด้วยเสียงสตาร์ทรถพยาบาล
พยาบาลที่อยู่ในรถยังคงร้องไห้
แต่เสียงร้องไห้เช่นนี้ระคายหูโจวเจ๋ออย่างรุนแรง
เขายังไม่ตาย
/ร้องไห้อะไรเล่า! จะร้องไห้ทำไมกัน!
พวกคุณมองผมอีกทีสิ
ช่วยมองผมอีกที
ตรวจดูอีกสักรอบ
ผมยังไม่ตายสักหน่อย!’
รถพยาบาลหยุดลง
จากนั้นโจวเจ๋อก็ได้ยินเสียงพูดคุยของผู้อำนวยการโรงพยาบาล
“เสี่ยวโจวจากไปอย่างนี้เลยเหรอ”
“ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงมาก หมอโจวบาดเจ็บสาหัส เสียเลือดมาก ยืนยันว่าเสียชีวิตแล้ว”
“จริงเหรอ จากไปง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ” รองคณบดีอีกคนก็ยังไม่ปักใจเชื่อ
“เสี่ยวโจวไปดีแล้ว” นี่เป็นเสียงของหัวหน้าแผนก “เมื่อสักครู่ผมได้ตรวจสอบอีกรอบไปแล้ว”
‘ฉันยังไม่ตาย!
ไอ้พวกหมอไร้ฝีมือ!
ฉันยังไม่ตาย!
ไอ้พวกเวร! เวรเอ๊ย!’
โจวเจ๋อยังคงสาปแช่งอยู่ในใจ ในช่วงเวลานี้ ผู้คนรอบข้างทั้งหมดไม่ใช่เพื่อนร่วมงาน ไม่ใช่เพื่อน และยิ่งไม่ใช่หัวหน้าและผู้อาวุโสของเขาอีกต่อไป
พวกเขาวินิจฉัยว่าเขาตายแล้วจริงๆ
แต่คนตายแล้วจะได้ยินเสียงและยังรับรู้ได้อยู่ ได้ยังไง
‘ฉันยังไม่ตาย!
ไอ้พวกเวร!
สวะ
ฉันยังไม่ตาย!
ช่วยฉัน!
ช่วยฉันด้วย!’
รถเข็นเปลเริ่มเคลื่อนไหว รอบๆ ช่างเงียบงัน อีกทั้งอุณหภูมิยังค่อยๆ ลดลงอีกต่างหาก
“เสี่ยวหย่า อย่าเสียใจไปเลยนะ คณบดีบอกว่าพรุ่งนี้โรงพยาบาลจะจัดพิธีไว้อาลัยให้หมอโจว”
“พี่ซู่ฉิน ฉันแค่ไม่อยากจะเชื่อ คนๆ หนึ่งจะจากไปง่ายอย่างนี้ หมอโจวเป็นคนดีมากคนหนึ่งนะ ทำไมจากไปง่ายๆ อย่างนี้ล่ะ”
“โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน คนเรามีทั้งโชคดีและโชคร้าย ทำใจยอมรับก็พอแล้ว”
หลังจากพยาบาลทั้งสองพูดจบก็จากไป
รอบๆ บริเวณนั้นว่างเปล่าไร้ผู้คน
ความเยือกเย็นนั้นชัดเจนมากขึ้น
โจวเจ๋อยังคงดิ้นรนและพยายามต่อต้าน เขาอยากตื่นขึ้น เขาพยายามที่จะเปล่งเสียงของตัวเองออกมา
แต่ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เหมือนกับถูกผีอำอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้
จนในที่สุด เขารู้สึกยอมแพ้อย่างสิ้นหวังอยู่เล็กน้อย
เขาเหนื่อยแล้ว และอ่อนเพลียอีกด้วย
เขารู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน
อยู่โรงพยาบาลไง
อยู่ในห้องดับจิต
…
เมื่อตอนที่โจวเจ๋อ ‘ตื่นขึ้น’ อีกครั้ง สัมผัสได้ถึงความเย็นสายหนึ่งและความรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ บนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน
“แต่งหน้าเสร็จแล้วหรือยัง” มีคนถามขึ้นอยู่ข้างๆ
“อย่ารีบสิ รอหน่อย สภาพเขาถูกชนทั้งร่างแบบนี้ จะแต่งหน้าเร็วขนาดนั้นได้ที่ไหนกันล่ะ”
“ทางโรงพยาบาลเขาเร่งมาแล้วเนี่ย จะเอาเขาไปส่งที่พิธีไว้อาลัยนู่น”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็มาทำเองไหมล่ะ”
ดูเหมือนว่าช่างแต่งหน้าศพจะโมโหนิดหน่อยและออกแรงแต่งหน้ามากขึ้น แน่นอนว่า แขกที่พวกเธอทั้งคู่ต้องเจอคือคนตาย เป็นเรื่องธรรมดาที่คนตายจะบอกไม่ได้ว่าเจ็บ และไม่ต้องกังวัลว่าจะถูกร้องเรียน เพียงต้องการให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้เห็นผลลัพธ์ก็พอแล้ว
โจวเจ๋อไม่มีแรงดิ้นรนแล้ว
เขาก็รออยู่นิ่งๆ อย่างนี้แหละ
ทนรับความรู้สึกเจ็บปวดจากปากกาแต่งหน้าที่กดลงมาบนใบหน้าของตัวเองไม่หยุด
ในที่สุด การแต่งหน้าก็เสร็จสมบูรณ์
“โอเคแล้ว เรียกพวกเขาเข้ามาได้เลย งานของเราเสร็จแล้ว”
โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองถูกเปลี่ยนเสื้อผ้า และทันใดนั้นเขาก็ถูกเข็นออกไป พยาบาลของโรงพยาบาลส่งเขาไปยังพื้นที่ที่อ่อนนุ่มและคับแคบ
นี่ น่าจะเป็นโลงศพเย็น
จากนั้นเสียงดังรอบตัวก็ถูกปิดกั้นออกไปในทันที
น่าจะปิดฝาโลงศพแล้ว
สั่นไหว
เขย่าไปมา
กระแทก…
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดโจวเจ๋อก็ได้ยินเสียงอีกครั้ง ฝาโลงศพเย็นถูกเปิดออกมา
เสียงในหูคือความเศร้าโศก
คณบดีถือไมค์พูดอยู่ กำลังชื่นชมเขาและแสดงความเสียใจกับเขา
จากนั้นก็เป็นรองคณบดีรวมไปถึงหัวหน้าและคนอื่นๆ
รอบๆ บริเวณนั้น มีเสียงคนเดินเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
บางคนก็เดินเข้ามาอย่างเงียบๆ มองดูเขาเป็นครั้งสุดท้าย
บางคนก็พยายามร้องเรียกเขาพลางร้องไห้ไปด้วย
นี่เป็นการเคารพศพ
‘เคารพ…ศพของฉัน!
ฉันยังไม่ตาย
ฉันยังไม่ตายจริงๆ
ฉันยังไม่ตาย
ยังไม่ตายโว้ย!’
โจวเจ๋อคร่ำครวญในใจ
เขาลองเริ่มพยายามอีกครั้ง แต่ก็ยังทำไม่ได้เหมือนเดิม
เขาเพียงได้ยิน และสัมผัสได้ ทว่ากลับพูดไม่ได้และลืมตาไม่ได้
พวกเขาล้วนคิดว่าเขาตายไปแล้ว
แต่เขารู้ตัวเองดี เขายังไม่ตาย!
พวกเด็กๆ จากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าก็มาด้วย และร้องไห้อยู่ข้างๆ เขา
พวกเขาร้องไห้ด้วยความจริงใจ เป็นเพราะโจวเจ๋อเองก็เป็นเด็กที่ออกมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เพราะเหตุนี้ หลังเลิกงาน และเงินเดือนส่วนใหญ่ของเขาได้นำไปบริจาคให้กับสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะเขารีบขับรถกลับไปฉลองงานวันเด็กกับพวกเด็กๆ ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าในตอนกลางคืน
“เสี่ยวโจวเอ๊ย นายไปดีเถอะนะ ครั้งนี้ถือว่านายประสบอุบัติเหตุในหน้าที่ นายไม่มีครอบครัว แต่เงินที่โรงพยาบาลจะชดเชยให้จะถูกมอบให้กับสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า นายสบายใจได้” รองคณบดียืนพูดอยู่ข้างๆ โจวเจ๋อ
ต่อมา โจวเจ๋อรู้สึกว่าเขาถูกปิดกั้นอีกครั้ง น่าจะปิดฝาโลงศพเย็นอีกแล้ว
จากนั้นก็มีการกระแทกขึ้นอีก
จนท้ายที่สุดก็หยุดนิ่ง
ฝาโลงศพเย็นถูกเปิดออกอีกครั้ง
รอบๆ นั้นเงียบไปเล็กน้อย และได้ยินเสียงผู้คนบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่ได้เสียงดังมากนัก
มีคนสองคน คนหนึ่งจับไหล่ อีกคนจับขาแล้วยกตัวเขาลอยขึ้น แล้ววางลงบนชั้นที่เย็นเยียบอีกที่หนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นตะแกรงเหล็ก
รู้สึกคุ้นเคยกับทั้งสองคนนี้มาก คุ้นเคยมากเหลือเกิน
รอบๆ มีเสียงร้องไห้แผ่วเบา
ในตอนแรกโจวเจ๋อยังนึกไม่ออกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
แต่ในตอนนี้ จู่ๆ เขาก็เข้าใจขึ้นมาแล้ว
ไอ้พวกสารเลว!
พวกนั้นจะส่งตัวเขาไปที่เตาเผาศพ!
พวกนั้นจะเผาตัวเขา
‘ฉันยังไม่ตายนะ! ไอ้พวกชั่ว!
ฉันยังไม่ตาย!
ยังไม่ตายโว้ย!
อย่าเผาร่างฉัน
ห้ามเผาร่างฉัน!
ฉันยังไม่ตายจริงๆ!!’
ครั้งนี้เป็นครั้งที่โจวเจ๋อบ้าที่สุดและเป็นครั้งที่คลั่งที่สุดอีกด้วย
เขารู้ หากตัวเองถูกเผาร่างแล้ว อย่างนั้นก็จะไม่เหลืออะไรเลย
เขาจะต้องเผชิญหน้ากับความตาย!
จบสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
เขาร้อนใจ เขาร้อนใจมากจริงๆ ตัวเองอายุยังไม่ถึงสามสิบปี ยังไม่ได้แต่งงาน ยังไม่มีลูก ตัวเองยังมีชีวิต ยังมีหนทางอีกยาวไกลที่จะเดินต่อไปอีกนะ!
“แม่คะ หนูเห็นมือของคุณลุงคนนั้นขยับด้วยค่ะ” เด็กหญิงตัวเล็กๆ พูดขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ อยู่ด้านข้าง
เพียะ! ปากเล็กๆ ถูกตบ
“อย่าพูดเหลวไหล รอฉันกลับไปก่อนจะจัดการแก” แม่ของเด็กหญิงเอ็ด
โจวเจ๋อสิ้นหวังแล้ว
เพราะไม่ว่าจะเขาจะดิ้นรนแค่ไหน จะกู่ก้องคำรามในก้นบึ้งหัวใจอย่างไร
คนที่อยู่ด้านนอกก็ไม่อาจรับรู้ได้
เขาถูกวางบนสายพานลำเลียง
เครื่องจักรเริ่มทำงาน
เขากำลังถูกเลื่อนไปข้างหน้า
เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะเผชิญกับอะไร
ด้วยเหตุนี้เขาจึงหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง!
‘ไม่
ไม่
ไม่!
ฉันยังไม่ตาย ฉันยังไม่ตายจริงๆ!
อย่าเผาฉันนะ!
อย่าเผาฉัน!’
ไม่มีใครได้ยินเสียงร้องของเขา
พวกเขาแค่รับบทเศร้าโศก
แค่รับบทเสียใจ
เพียงแค่รับบทให้พิธีนี้เสร็จสิ้นไปก็เท่านั้น
จากนั้นก็กลับบ้านไปกินอาหารมื้อเย็นและพรุ่งนี้ก็ดำเนินชีวิตต่อไป
ในที่สุด โจวเจ๋อรู้สึกเหมือนตัวเองถูกผลักเข้าไปในที่คับแคบเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน
จากนั้นมีของเหลวเหนียวๆ เทราดลงบนตัวเขา
เขารู้ว่าสิ่งนี้มันคืออะไร
มันคือน้ำมันเบนซิน
ทันใดนั้นเอง
“พรึ่บพรึ่บ…”
ร้อน!
ร้อนมาก!
แสบ
ปวดแสบปวดร้อนรุนแรง!
ไฟ
ไฟ
ไฟลุกท่วม
มีแต่ไฟทั้งนั้นเลย…
…………………………………………………………
[1] ซีพีอาร์(CPR: Cardiopulmonary resuscitation) คือการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ที่ใช้ฟื้นคืนชีพให้ผู้ที่หยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้นกลับมามีชีพจรดังเดิม