ตอนที่ 216 ใช้ปัญญาและความกล้าต่อสู้ สอนคนตามความถนัด (2)
“น่าสนใจ!”
หวงจิ่งพึมพำ “หรือการบำเพ็ญตบะเป็นเรื่องที่คิดไปเอง เธอเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม…นึกไม่ถึงว่าจะสัมผัสพลังจิตใจได้ ทั้งยังอยู่ในสภาวะที่ตื่นตัว…”
ตาเฒ่าหลี่ทำหน้าตกใจเช่นกัน ผ่านไปสักพักค่อยเอ่ยว่า “หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่พวกนักธุรกิจนักการเมืองทะลวงด่าน?”
พลังจิตใจสูงเท่าไหร่การรับรู้จะมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ยังไม่มีวิธีฝึกฝนที่ตายตัว
ทุกคนต่างอาศัยประสบการณ์ ใช้เวลาในการขัดเกลา
หวงจิ่งเอ่ยอย่างครุ่นคิดเล็กน้อย “บางทีอาจจะมีหลักการที่ตายตัว ไม่ว่าจะธุรกิจหรือการเมืองล้วนมีช่วงเวลาต้องใช้สมองเยอะ สมองอยู่ในสภาวะตื่นตัวตลอดเวลา อาจเป็นเหตุผลให้พลังจิตใจเพิ่มมากขึ้น แน่นอนตอนนี้ไม่ได้ชัดเจนเท่าไหร่ ในสายตาของพวกเรา นักธุรกิจและนักการเมืองที่ยอดเยี่ยมต่างเป็นผู้แข็งแกร่ง มีฝีมือถึงเล่นการเมืองหรือทำธุรกิจ ไม่ใช่ว่าทำเรื่องพวกนี้แล้วถึงแข็งแกร่งขึ้น แต่ในทางกลับกันอาจจะไม่มีหลักการเสมอไป อธิการอู๋ทะลวงด่านอย่างรวดเร็ว บางที…บางทีอาจไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เขาวิ่งวุ่นไปทั่วก็ได้ แต่แม้จะเป็นแบบนี้ พวกสำนักที่นั่งจำศีล…”
ตาเฒ่าหลี่เอ่ยด้วยแววตาวูบไหว “สำนักมีปรมาจารย์กี่คนกัน ทั้งยังอายุมากแล้ว แวดวงธุรกิจและการเมืองกลับมีปรมาจารย์ไม่น้อย ถึงกระทั่งยังเยอะกว่าหน่วยทหาร!”
ตาเฒ่าหลี่เอ่ยต่อ “คณบดี คุณว่าแต่งตั้งตำแหน่งให้ผมช่วยจัดการธุระเล็กๆ น้อยๆ เป็นยังไง?”
“คุณ? คุณอยากจะทำอะไร?”
“รับผิดชอบธุรกิจของมหาวิทยาลัย…”
หวงจิ่งไร้คำจะพูด ผ่านไปสักพักค่อยเอ่ยว่า “เหล่าหลี่ มหาวิทยาลัยมีทรัพย์สินเล็กน้อยแค่นั้นก็เป็นเพราะทุกคนพยายามแย่งชิงมา อาศัยการชดเชยเล็กน้อยนั้น จะพอให้พวกนักศึกษาใช้จ่ายได้ยังไง เอาแบบนี้เถอะ ฉันว่าปล่อยไปดีกว่า เหลือทรัพย์สินไว้ให้มหาวิทยาลัยบ้าง…”
ตาเฒ่าหลี่ใบหน้าดำคล้ำจนแทบดูไม่ได้ หมายความว่ายังไง?
ฟางผิงที่อยู่ด้านข้างหน้าม่วงไปหมดแล้ว คณบดีทำร้ายจิตใจกันชัดๆ ไม่เหลือทางรอดให้กันเลย
ตาเฒ่าหลี่แค่นเสียง ก่อนจะเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะยังไง การจัดกิจกรรมยังคงเป็นเรื่องที่จำเป็น ไม่งั้นภารกิจของฝ่ายบริการคงจะถูกเจ้าเด็กนี้กวาดเรียบแล้ว ตาเฒ่าอย่างฉันน่าจะได้นอนหลับอย่างเดียว”
หวงจิ่งพยักหน้า เอ่ยอย่างเห็นด้วย “อันที่จริงผมรู้เหมือนกันว่าคนที่บำเพ็ญตบะมาโดยตลอดแล้วทะลวงเป็นปรมาจารย์มีน้อยจริงๆ บางที…บางทีนี่อาจจะเป็นประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวที่คนโบราณกล่าวไว้ ไม่ว่าจะธุรกิจหรือการเมือง รวมทั้งลงถ้ำใต้ดินต่างเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง ฝึกฝนจิตใจ ฝึกฝนหลักทำนองคลองธรรม…”
พูดจบ หวงจิ่งก็มองไปทางฟางผิง “ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยเจอคนแบบเธอ เธอมั่นใจเหรอว่าเป็นเพราะทำธุรกิจ เธอจึงสัมผัสได้ถึงพลังจิตใจที่พลุกพล่าน?”
ฟางผิงไม่มั่นใจอยู่แล้ว แต่เขารู้สึกว่าหวงจิ่งให้คำอธิบายที่น่าพอใจกับเขา ตอนนี้จึงรีบพยักหน้าว่า “จริงๆ นะครับ ทุกครั้งที่ผมตระหนักได้ว่าธุรกิจเป็นเรื่องยากก็จะปวดหัว พอปวดหัวผมก็ต้องคิดวิธีแก้ไข จากนั้นสมองจะตื่นตัวเป็นพิเศษ รวบรวมสมาธิขึ้นมา…”
“อย่างนั้นเหรอ?”
หวงจิ่งที่เป็นปรมาจารย์ยอดฝีมือ ตอนนี้ถูกหลอกล่อจนเชื่ออยู่บ้าง
ไม่ใช่ว่าฟางผิงหลอกล่อเก่ง แต่พอเชื่อมโยงกับความจริงแล้ว หวงจิ่งรู้สึกได้แบบนั้นอย่างเลือนราง
ก่อนหน้านี้ทุกคนคิดคลาดเคลื่อนไป คุณแข็งแกร่งถึงสามารถรับหน้าที่นี้ ถึงสามารถทำธุรกิจให้เจริญรุ่งเรืองได้
แต่เคยคิดไหมว่าอาจเป็นเพราะตำแหน่งสูง ทำกิจการที่ใหญ่โตถึงทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้
หวงจิ่งสูดลมหายใจ “ได้ เรื่องของเธอ ฉันจะไปพูดกับมหาวิทยาลัย ส่วนปัญหาเรื่องกู้ยืมคะแนน ฉันคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องเก็บดอกเบี้ยอะไร…”
ฟางผิงเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “คณบดี เพิ่มความกดดันอย่างเหมาะสมให้พวกนักศึกษายังคงเป็นเรื่องที่จำเป็น ดอกเบี้ยมากน้อยไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่กำลังบอกทุกคนว่าไม่อาจได้รับอะไรมาฟรีๆ จ่ายออกไปถึงจะได้สิ่งตอบแทน”
“คำพูดนี้สอดคล้องกับความหมายของผู้ฝึกยุทธ์ งั้นว่าตามเธอละกัน”
“ขอบคุณคณบดีที่ให้ความสนับสนุน อีกอย่างผมยังมีข้อเสนออีกเล็กน้อย คุณว่าสมาคมผิงหยวนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแพลตฟอร์มให้บริการควรจะให้สวัสดิการสักหน่อยหรือเปล่า? พวกอาจารย์ต่างเห็นแล้ว ทุกคนล้วนให้บริการนักศึกษาอย่างขยันขันแข็ง ไม่มีรางวัลสำหรับผลงานก็ควรมีรางวัลสำหรับทำงานหนักบ้าง…”
ฟางผิงเอ่ยอย่างรวดเร็ว “อย่างเช่นมหาวิทยาลัยให้โควตากู้ยืมคะแนนฟรีกับพวกเรา โควตานี้ให้แพลตฟอร์มพวกเราจัดการเอง เป็นรางวัลนักศึกษาหรือรางวัลนักศึกษาดีเด่นล้วนทำได้ทั้งนั้น…”
เรื่องแบบนี้มหาวิทยาลัยไม่มีอะไรเสียหาย เดิมทีหวงจิ่งก็ไม่ได้คิดจะเก็บดอกเบี้ยอยู่แล้ว
มองฟางผิงแวบหนึ่ง ก่อนหวงจิ่งจะหัวเราะว่า “ได้ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ แรงกดดันเธอคงต้องเยอะขึ้นแล้ว”
“หืม?”
ฟางผิงเผยสีหน้าสงสัย หวงจิ่งกลับไม่พูดอะไรต่อ โบกไม้โบกมือว่า “ออกไปเถอะ ฉันจะพยายามให้คำตอบกับเธอโดยเร็วที่สุด”
“ขอบคุณคณบดี!”
—
เขาไปแล้ว หวงจิ่งก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงตอนนี้เขาได้แย่งหน้าที่ของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ไปแล้ว เด็กนี้ยังทำท่าทีราวกับไม่รู้อะไร หากมหาวิทยาลัยอนุญาตจริงๆ เขาและสมาคมผู้ฝึกยุทธ์จะกลายเป็นคู่ต่อสู้กัน เหล่าหลี่ คุณคิดว่าสมาคมผู้ฝึกยุทธ์จะยินยอม?”
ตาเฒ่าหลี่เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “นี่ไม่ใช่สิ่งที่มหาวิทยาลัยอยากเห็นหรือไง? สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ครองอำนาจอยู่ฝ่ายเดียว ขาดแคลนแรงกดดันจากคู่ต่อสู้ สมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยอื่น ยังไงก็เป็นมหาวิทยาลัยอื่น เซี่ยงไฮ้ยังต้องการสมาคมนักศึกษาอีกแห่งเพื่อคอยแข่งขันกับสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ หมอนี่ก้าวหน้าไวไม่น้อย ตอนนี้เพิ่งจะปีหนึ่งเลยมีเวลาว่าง ให้เวลาเขาหน่อย สร้างสมาคมที่สามารถถ่วงดุลอำนาจกับสมาคมผู้ฝึกยุทธ์อาจมีหวังอยู่เช่นกัน ขอแค่ไม่ให้เขาควบตำแหน่งของสองสมาคม นั่นก็ไม่มีปัญหาแล้ว ในความเห็นฉัน เขาเป็นประธานสมาคมตัวเอง ให้เซี่ยเหล่ยรับหน้าที่ต่อจากจางอวี่ ในอนาคตทั้งสองคนย่อมสามารถงัดข้อกันได้อีกหลายปี เซี่ยเหล่ยก้าวหน้าไวเหมือนกัน พอจะตามทันได้ ไม่ใช่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”
“เขาอาจไม่ยินยอมเสมอไป” หวงจิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ตาเฒ่าหลี่แค่นเสียงขึ้นจมูก เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “คุณจะไม่มีวิธีเลยหรือไง? เรื่องง่ายๆ หาข้ออ้างอะไรสักอย่างก็ทำให้เจ้าเด็กนี่เทตำแหน่งได้แล้ว อย่างเช่นให้เขานำทีมออกไปแลกเปลี่ยนบ่อยๆ โดยใช้หน้าที่ของประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ แพลตฟอร์มให้บริการของเขาโอนย้ายให้สมาคมผู้ฝึกยุทธ์แทน…นิสัยนั่นของเขาจะเต็มใจเหรอ? คงอยากจะโยนเผือกร้อนออกไปให้เร็วที่สุดมากกว่า ทั้งจะขอบคุณมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้บีบบังคับให้เขาเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ด้วยซ้ำ”
หวงจิ่งระเบิดหัวเราะออกมาทันที พยักหน้าว่า “เป็นเหมือนที่คุณว่า…”
ทิ้งช่วงไปเล็กน้อย ก่อนหวงจิ่งจะเอ่ยต่อ “เขายังไม่ได้หลอมไขกระดูก”
“อืม”
“พลังจิตใจไม่ได้แตะถึงขั้นสามารถใช้อนุภาคพลังงาน”
“นั่นแล้วยังไง?”
ตาเฒ่าหลี่พูดขึ้นมา หวงจิ่งนิ่งไปเล็กน้อย จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา “ใช่ นั่นแล้วยังไง! ทุกคนล้วนมีโชคชะตาของตัวเอง หากทำให้เป็นเรื่องทั่วไปได้ ฉันว่าคนส่วนมากคงไม่เลือกปิดบัง จากนิสัยของเขา หากเป็นเรื่องทั่วไปจริงๆ คงเอามาเสนอเงื่อนไขกับมหาวิทยาลัยตั้งนานแล้ว”
ตาเฒ่าหลี่คลี่ยิ้มว่า “แน่อยู่แล้ว โดยเฉพาะตอนนี้เห็นได้ชัดว่ารับรู้ถึงแรงกดดัน เอาแต่พิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้พึ่งพาอย่างอื่น แต่อาศัยพรสวรรค์ อันที่จริงเพียงพอให้รู้แล้วว่าเขาไม่มีวิธีเปิดเผยให้เป็นเรื่องทั่วไปได้ ร่างกายมนุษย์นั้นซับซ้อนที่สุด เว้นเสียแต่จะชำแหละเขาจริงๆ ไม่งั้นมีโอกาสน้อยยิ่งที่จะหาสิ่งผิดปกติได้ ไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติของสมองหรือร่างกาย หลายปีมานี้แทบพบเห็นได้น้อย ตั้งแต่ค่อยๆ คลุกคลีกับพวกถ้ำ ตัวอย่างเช่นนี้จึงเพิ่มมากขึ้น รวมถึงหวังจินหยางจากหนานเจียง หลี่หานซงจากปักกิ่ง เหยาเฉิงจวินจากหน่วยทหาร…คนพวกนี้ต่างมีความผิดปกติกับร่างกายบางส่วน หวังจินหยางไขกระดูกกลายเป็นหยก หลี่หานซงหลอมกะโหลกมาตั้งแต่กำเนิด เหยาเฉิงจวินก็ปล่อยพลังจิตใจในขั้นสี่ได้…คนพวกนี้ต่างมีลักษณะพิเศษของปรมาจารย์อยู่บางส่วน ตอนนี้ฟางผิงมีลักษณะพิเศษของปรมาจารย์เช่นกัน เพิ่มปราณได้ไว ฉันคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องซักไซ้อะไร”
หวงจิ่นหัวเราะว่า “รู้ก็ดีแล้ว ไม่ต้องบอกเขา ผมจับตามองเขามาพักใหญ่แล้ว ต้องให้แรงกดดันเขาสักหน่อย ไม่มีแรงกดดัน จะมีแรงจูงใจได้ยังไง คุณดูเขาสิ ตอนนี้ร้อนใจขนาดไหน เขาบอกว่าต้องให้แรงกดดันกับคนอื่น พวกเราก็ให้แรงกดดันกับเขาเล็กน้อย ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม บางทีปรมาจารย์คนต่อไปก็ควรต้องกดดันสักหน่อยเหมือนกัน”
ตาเฒ่าหลี่ยิ้มตาหยี “เป็นหลักการนี่แหละ ยังต้องขู่เข็ญเขาบางครั้งบางคราว หลังจากนี้ต้องส่งเขาไปสถาบันวิจัยสักหน่อย ให้ดูว่าชำแหละพวกมนุษย์ถ้ำยังไง สัมผัสความรู้สึกนั้นแล้ว ฉันว่าเขาคงจะมีแรงผลักดันในการกลายเป็นปรมาจารย์ขึ้นมาแน่ๆ…”
หวงจิ่งหัวเราะลั่น วิธีของตาเฒ่าหลี่ไม่เลวเลย!
ส่งฟางผิงไปดูสถาบันวิจัย มองพวกมนุษย์ถ้ำที่แทบไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ถูกชำแหละ แล้วบอกเขาว่านี่เป็นผู้ผิดปกติของเผ่าพันธุ์มนุษย์…
หวงจิ่งแทบจะจินตนาการได้ว่าเด็กนั่นคงจะตกใจจนหน้าถอดสี ในหัวคิดแต่วิธีที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ปลอดภัยจากเรื่องนี้
การกระตุ้นวิธีไหนจะดีไปกว่าวิธีนี้อีก
ตาเฒ่าทั้งสองคนสบสายตากัน เผยใบหน้ายิ้มระรื่น มหาวิทยาลัยยึดหลักการสอนคนตามความถนัด ปฏิบัติกับฟางผิงก็ควรต้องทำอย่างนี้เหมือนกัน
—
ฟางผิงที่ออกมาจากห้องทำงานคณบดี ได้ยินเสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมาไม่ไกล จู่ๆ ก็ขนลุกซู่ขึ้นมา
“ตาเฒ่าสองคนนั่นพูดถึงฉัน? เหมือนรู้สึกว่ากำลังถูกคนจ้องจะเล่นงานยังไงไม่รู้!”
ฟางผิงย่นคออย่างรู้สึกไม่สบายตัว ในใจนั้นร้อนรุ่มอยู่บ้าง
———————–