บทที่ 454 เผ่ามังกรเกล็ด
บทที่ 454 เผ่ามังกรเกล็ด
หลังจากสิ้นคำ ทั้งห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มหล่น
ซู่เฟิงมีจุดประสงค์ชัดเจนในการเรียกพวกเขามาที่นี่ ซึ่งก็คือขอให้สนับสนุนตนเองในการโค่นล้มเทียนเม่ยเอ๋อร์!
หาไม่แล้ว ทุกสิ่งที่ซู่เฟิงทำมาเป็นเวลานานไม่เท่ากับสูญเปล่าหรอกหรือ?!
แม้โฉวโยวจะไม่มา แต่เขาก็แสดงท่าทีชัดเจนว่ายืนอยู่ข้างเทียนเม่ยเอ๋อร์
แต่คนอื่นก็ยังมา แม้พวกเขาจะรู้สึกผิดในใจบ้าง แต่ก็ยังโน้มเอียงไปข้างซู่เฟิง!
คนผู้นี้กลับอาจหาญบอกซู่เฟิงโดยตรงว่าอย่าขึ้นครองบัลลังก์!
นี่เท่ากับเป็นการรนหาที่ตาย!
คนอื่นต่างพากันหดคอ
จิตสังหารปรากฏขึ้นในดวงตาของซู่เปียว
หากผู้เป็นพ่อขึ้นครองบัลลังก์เมื่อไหร่ เขาก็จะเป็นมกุฎราชกุมารแห่งเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ โดยหนึ่งร้อยปีนับจากนี้ ตนก็จะกลายเป็นจักรพรรดิของเผ่า!
คนที่เอ่ยเช่นนี้ย่อมขัดขวางเส้นทางของครอบครัวเขา!
แม้ซู่เฟิงจะมีท่าทีสงบเสงี่ยมผิดปกติ แต่จิตสังหารก็ปรากฏขึ้นภายใน
“พี่เหลิ่งเหยียนช่างเป็นคนที่พูดจาหุนหันนัก”
ซู่เฟิงเพียงเอ่ยเช่นนั้น
เหลิ่งเหยียนไม่ใช่คนโง่ เขาย่อมทราบว่าซู่เฟิงกำลังคิดอะไร หากเทียนเม่ยเอ๋อร์กลับมา นางจะต้องขวางทางอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
เหลิ่งเหยียนลุกขึ้นพลางเหลือบมองรอบห้องโถง แล้วเอ่ยว่า “เผ่าจิ้งจอกสวรรค์ประกอบไปด้วยสิบตระกูล ข้าได้แสดงท่าทีเป็นที่เรียบร้อย ในเมื่อองค์หญิงกลับมาพร้อมกับสืบทอดมรดกพลังของจักรพรรดิจิ้งจอกสวรรค์ ตำแหน่งจักรพรรดิย่อมต้องเป็นของนาง!”
สิ้นคำ เหลิ่งเหยียนก็จากไปทันที
ซู่เฟิงมองเหลิ่งเหยียนที่กำลังจากไปด้วยความรู้สึกหงุดหงิด เขาอุตส่าห์ทำให้ทั้งสิบตระกูลยอมจำนนด้วยความยากลำบาก ตอนนี้กลับมีสองตระกูลแข็งข้อเสียแล้ว!
แม้คนเหล่านี้จะอยู่ที่นี่ แต่หลายคนก็ไม่ได้สนับสนุนอย่างเอาจริงเอาจัง!
ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป คนเหล่านี้จะทอดทิ้ง ตอนนั้นเขาคงไม่ต่างจากคนตาย!
ซู่เฟิงมีสีหน้าเย็นชาพลางกวาดสายตา “วันนี้ข้าพูดกับพวกเจ้าชัดเจนแล้ว หากเต็มใจที่จะอยู่ ย่อมหมายถึงการยืนหยัดร่วมกับข้า ในอนาคตก็จะได้รับผลประโยชน์อย่างไม่ขัดสน”
“แต่ถ้าอยากไปก็จงไปเสียแต่คืนนี้ หลังจากนั้นหากใครกล้าก่อกบฏ! ข้าจะถือว่ามันผู้นั้นไม่อยากมีชีวิต!”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะก็มีคนจากไปอีกสองคน!
หกคนที่เหลือยังคงยืนนิ่ง
ใบหน้าของซู่เฟิงยิ่งดูย่ำแย่ เทียนเม่ยเอ๋อร์ผู้นี้มีความสามารถไม่เบา!
กลับมาวันแรกก็มีสี่ตระกูลสนับสนุนแล้ว!
ทว่าเขายังมีอีกหกตระกูลอยู่ในกำมือ ซึ่งถือว่าดีกว่าเทียนเม่ยเอ๋อร์!
อีกอย่าง…
ซู่เฟิงมีชีวิตอยู่มาอย่างน้อยหลายร้อยปี ต่อให้เทียนเม่ยเอ๋อร์จะครอบครองเก้าตระกูลไว้ในกำมือ เขาก็มั่นใจว่าจะผลักไสนางออกจากบัลลังก์ได้!
เมื่อซู่เปียวเห็นว่าเรื่องราวจบลงแล้ว เขาก็เอ่ยถามด้วยความเคารพ “ท่านจักรพรรดิ พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี?”
“ไม่ต้องรีบร้อน”
ซู่เฟิงยิ้มเย้ยหยัน “เทียนเม่ยเอ๋อร์ยังเป็นแค่เด็ก นางย่อมอยากเป็นจักรพรรดิไม่ใช่หรือ? เผ่าจิ้งจอกสวรรค์ใหญ่โตนัก ข้าอยากเห็นเหลือเกินว่านางจะจัดการเรื่องราวทั้งหลายได้อย่างไร!”
“พรุ่งนี้ข้าจะไปลาป่วย! ปล่อยให้พวกคนที่อยู่ใต้อาณัตินางทำตามสมควร! เข้าใจหรือไม่?”
ดวงตาของซู่เปียวทอประกาย “เข้าใจแล้ว!”
เช้าวันต่อมา ลู่หยวนผู้กำลังฝึกฝนได้สติขึ้นมาเพราะเสียงอึกทึกจากภายนอก
เขาลืมตาด้วยความโมโห
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เขาเห็นไป๋ชิวเอ๋อร์ยืนอยู่ใต้ทางเดินยาวโดยอุ้มไป๋เจ๋อเอาไว้
ชุดสีขาวปลิวไสว เส้นผมยาวลู่ไปด้านหลัง ดวงตาของนางประกายด้วยความอบอุ่นและสะเทือนใจ
ตอนลู่หยวนพาไป๋ชิวเอ๋อร์ไปที่สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ นางยังมีนิสัยราวกับเด็กน้อยอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กลับสงบและมากด้วยแผนการ
เขาจำได้ว่าในตอนแรก สาวน้อยผู้นี้ยังกังวลเรื่องความเป็นความตาย แต่บัดนี้นางกลายเป็นแม่ทัพผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลข่าวกรองภายใต้อาณัติของลู่หยวน
ขอเพียงนางเป็นคนสอบถามด้วยตนเอง ย่อมไม่มีใครที่จะไม่ยอมให้ข้อมูล
“นายท่าน”
ไป๋ชิวเอ๋อร์ทำความเคารพทันทีที่เห็นลู่หยวน ดวงตาของนางปรากฏรอยยิ้ม
“นายท่าน การแสดงกำลังจะเริ่มแล้ว”
เมื่อเห็นลู่หยวนไม่เข้าใจ ไป๋ชิวเอ๋อร์จึงเอ่ยต่อ “สองตระกูลในเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ที่แข็งแกร่งทัดเทียมกันเริ่มเปิดฉากต่อสู้กันแล้ว”
“ซู่เฟิงลาป่วย ส่วนคนทั้งหลายที่มีความสามารถต่างก็มีปัญหาของตนเองที่ต้องจัดการ เทียนเม่ยเอ๋อร์จึงต้องเป็นคนจัดการเรื่องดังกล่าว ตอนนี้ทั่วทั้งเผ่าจิ้งจอกสวรรค์กำลังรอให้นางจัดการอยู่”
“ข้าก็นึกว่าซู่เฟิงจะใช้อุบายอะไร แต่มีแค่นี้เองหรือ?”
ลู่หยวนดูถูกเย้ยหยัน “มันก็แค่อุบายของเด็กน้อยเท่านั้น”
“ซู่เฟิงทำแบบนี้เพราะคิดว่าเทียนเม่ยเอ๋อร์จะไม่สามารถจัดการเรื่องภายในตระกูลได้ จนไม่คู่ควรที่จะเป็นจักรพรรดิของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ เหอะ… โง่เง่านัก!”
ในสายตาของลู่หยวน การกระทำของซู่เฟิงไม่ต่างจากคนโง่
เรื่องนี้ก็เปรียบได้กับดาบสองคม หากเทียนเม่ยเอ๋อร์จัดการได้ดี ชื่อเสียงของนางก็จะยิ่งเพิ่มพูน!
ยิ่งกว่านั้นยังมีหลายคนในเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ที่คิดว่าเทียนเม่ยเอ๋อร์ยังเด็กเกินกว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ได้ ต่อให้นางขึ้นครองบัลลังก์ในทันที ก็ยังต้องมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่คอยช่วยเหลือ
ต่อให้เทียนเม่ยเอ๋อร์จะจัดการเรื่องในวันนี้ได้ไม่ดี แต่สำหรับคนของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ นางก็แค่ยังเด็กเกินไป ความผิดพลาดจึงไม่หนักหนานัก
แต่ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือจิ้งจอกสวรรค์ ทุกคนก็ให้อภัยจักรพรรดิอยู่เสมอ
“ฉินอี่หานไปช่วยจัดการเรื่องนี้อยู่หรือ?”
ลู่หยวนเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าฉินอี่หานไม่อยู่
ไป๋ชิวเอ๋อร์พยักหน้า “ใช่”
หากมีฉินอี่หานอยู่ เรื่องราวนี้ก็สามารถจัดการได้โดยง่าย
นางเคยจัดการเรื่องราวทั้งหลายร่วมกับเสวียนเทียนชวนในแดนมัชฌิม แม้กระทั่งกองกำลังใต้อาณัติของลู่หยวนก็เคยผ่านมือมาแล้ว นับประสาอะไรกับเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ที่ใกล้จะพังไม่เป็นท่า
ก่อนลู่หยวนจะทันได้เอ่ยคำใด เขาก็สัมผัสได้ว่าวั่งไฉที่อยู่ในอ้อมแขนเคลื่อนไหวอีกครั้ง โดยอำนาจมังกรของมันเล็ดลอดออกมาราวกับว่าพยายามกำราบบางอย่าง!
ลู่หยวนสูดหายใจเข้าก่อนจะหันไปมอง แล้งแรงกดดันก็ปะทุขึ้นทันทีก่อนจะจับจ้องไปยังกลุ่มคนที่เพิ่งก้าวเข้าสู่เผ่าจิ้งจอกสวรรค์!
ดวงตาของลู่หยวนเบิกกว้างก่อนจะเห็นว่าพวกเขาสวมชุดคลุมสีดำซึ่งปลิวไสวไปตามสายลม เผยให้เห็นเกล็ดสีน้ำเงิน!
แม้จะเป็นชั่วขณะ แต่ลู่หยวนก็ดึงแรงกดดันกลับมาก่อนจะเบือนสายตาหนี
“เผ่ามังกรเกล็ดน่าสนใจไม่เบา ชิวเอ๋อร์ สถานะของมังกรเกล็ดกับจิ้งจอกสวรรค์ในหุบเขาบูรพาเป็นอย่างไรบ้าง?”
ไป๋ชิวเอ๋อร์ตรวจสอบทุกอย่างมาก่อนแล้ว นางจึงเอ่ยทันที “ก่อนสงครามจะอุบัติ ทั้งสองฝ่ายคือราชันย์ของเมืองหุบเขาบูรพา! พวกเขามีอำนาจทัดเทียมกัน ไม่มีใครเหนือกว่าใคร!”
“เดิมทีหุบเขาบูรพาถูกแบ่งออกเป็นสามพื้นที่ ประกอบด้วยพื้นที่เมือง พื้นที่ป้องกัน และพื้นที่ต้องห้าม! พื้นที่ต้องห้ามคือสถานที่ที่ถูกผนึก ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดมีชีวิตรอดภายในนั้นได้ ส่วนพื้นที่เมือง มีเพียงมังกรเกล็ดและจิ้งจอกสวรรค์เท่านั้นที่สามารถอ้างสิทธิ์ในตำแหน่งจักรพรรดิได้ ส่วนพื้นที่ป้องกันก็มีสามเผ่าที่อ้างสิทธิ์ดังกล่าว”
“เผ่าพันธุ์ทั้งห้านี้เป็นที่รู้จักในชื่อ ‘เผ่าจักรพรรดิทั้งห้าแห่งหุบเขาบูรพา’ สงครามระหว่างมังกรเกล็ดและจิ้งจอกสวรรค์เหมือนจะข้องเกี่ยวกับเผ่าทั้งหลายในพื้นที่ป้องกัน! เพียงแต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้บุกรุกสถานที่นี้!”
ลู่หยวนพยักหน้าพลางยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ไปหากลุ่มมังกรเกล็ดกลับข้าก็แล้วกัน”
“ได้!”