บทที่ 481 ซู่เฟิงมาเยือน
บทที่ 481 ซู่เฟิงมาเยือน
เหลิ่งเหยียนรีบกลับมาดินแดนจิ้งจอกสวรรค์พร้อมกลุ่มคน
ใบหน้าของกลุ่มคนล้วนดูหมองหม่นจนน่าหดหู่ใจยิ่งนัก
เหลิ่งเหยียนมองกลุ่มคนด้านหลังก่อนจะเข้าใจว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่
ถึงอย่างไร มหาโชคชะตานั่นได้หลุดลอยไปต่อหน้า ไม่ว่าใครที่เผชิญกับเรื่องนี้ย่อมต้องเสียใจเป็นธรรมดา!
แต่เรื่องราวเกิดขึ้นไปแล้ว มันก็สายเกินกว่าจะมานั่งเสียใจ
“ทุกท่าน!”
เหลิ่งเหยียนหันไปหากลุ่มคนแล้วเอ่ยเสียงดัง “จักรพรรดินีมีรับสั่งให้พวกเราปกป้องดินแดน! หวังว่าพวกเจ้าจะไม่เกียจคร้าน!”
ทันทีที่สิ้นคำ กลุ่มคนก็ไม่เคลื่อนไหว พวกเขายังคงก้มศีรษะ
เหลิ่งเหยียนไม่ทราบว่าจะกระตุ้นความสนใจของผู้คนในตอนนี้อย่างไร เขาเพียงแบ่งทุกคนเป็นกลุ่มแล้วตระเตรียมภารกิจให้!
ผู้นำบางส่วนนำคนของตัวเองเพื่อมุ่งหน้าไปตามสถานที่ต่าง ๆ
เมื่อเหลิ่งเหยียนกำลังจะจากไปพร้อมลูกน้อง เขาก็ได้ยินเสียงซุบซิบมาจากฝูงชนด้านหลัง
“เหอะ รู้แบบนี้ข้าไปอยู่กับแม่ทัพโฉวโยวดีกว่า ถ้าอย่างนั้นก็จะได้รับมรดกไปด้วย!”
“ชู่ว! เจ้าคิดหรือว่าแม่ทัพเหลิ่งเหยียนจะไม่ได้ยิน?!”
“ถ้าได้ยินแล้วจะทำไม? มันไม่จริงอย่างที่พูดหรือ? ถ้าไม่ใช่เพราะติดตามเขา ข้าจะมาเป็นอย่างทุกวันนี้หรือ?!”
หลายคนพยายามกลบเสียงของชายผู้คนนั้นขณะมองไปทางเหลิ่งเหยียนอย่างระแวดระวัง ราวกับเกรงว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน
แม้คำพูดของคนผู้นี้จะถูกกลบไปแล้ว แต่ก็มีใครบางคนเริ่มแสดงความเห็นไม่พอใจออกมา
เป็นเพราะเหลิ่งเหยียนไม่นำไปที่นั่นในวันนี้ พวกเขาทั้งหมดถึงได้สูญเสียวาสนา!
เหลิ่งเหยียนทำเป็นไม่ได้ยินขณะนำกลุ่มคนไปประจำการในที่ที่ควรจะอยู่
ช่วงเย็น
เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนเวรยาม เหลิ่งเหยียนก็ถอนตัวออกมาขณะเดินไปที่พัก ระหว่างทางก็พบคนอื่นที่กำลังเปลี่ยนเวรยามเช่นกัน ทุกคนที่เห็นก็ทำเป็นมองไม่เห็น แม้ตัวเขาจะเดินไปไกลแล้ว แต่พวกเขายังลดเสียงด้วยความไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
หลังจากกลับมาถึงที่พัก ใบหน้าของเหลิ่งเหยียนก็ดูเหนื่อยล้า เขาจึงยืดเอวเพื่อไล่ความรู้สึกทั้งหมดนี้ออกไป
เพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งวันก็เจอความคิดของผู้คนนับพันประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน
แม้เหลิ่งเหยียนจะคาดเอาไว้อยู่แล้ว แต่เขาไม่ทราบว่าจะคลี่คลายอย่างไร
ถึงอย่างไร คนเหล่านี้ก็ต้องกล่าวโทษเขาอยู่แล้วที่ทำให้พวกเขาไม่ได้รับมรดก
พวกเขาต่างคิดว่าเหลิ่งเหยียนที่พวกตนเลือกติดตามมาตัดสินใจผิดพลาด ทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนี้
สรรพสิ่งทั้งหลายก็เป็นเช่นนี้ หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกันไป
แต่เมื่อใดที่ผิดพลาดก็จะสืบหาสาเหตุจากผู้อื่นเพื่อกล่าวโทษพวกเขาที่ทำให้ตัวเองเสียผลประโยชน์
เหลิ่งเหยียนเหนื่อยล้าทั้งกายใจ ตอนนี้มันอยู่เหนือการควบคุมของเขาไปแล้ว
เหลิ่งเหยียนนั่งลงพลางครุ่นคิด
หาไม่แล้วก็ต้องรอจนกว่าจักรพรรดินีจะกลับมาเพื่อปลดตำแหน่งแม่ทัพ
แต่ทันทีที่สูญเสียตำแหน่งผู้นำ เขาก็จะไม่มีอำนาจในหมู่จิ้งจอกสวรรค์อีกต่อไป
ยามเทียนเม่ยเอ๋อร์มีอำนาจก็น่าจะมีการคำนึงถึงคุณงามความดีที่เหลิ่งเหยียนทำเพื่อเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ ทำให้นางปฏิบัติต่อตระกูลของเขาเหมือนวันวานหรือถึงขั้นเลื่อนตำแหน่งให้ลูกหลาน
แต่ถ้าเขารออีกหนึ่งร้อยปีหรือถ้าจักรพรรดินีจิ้งจอกสวรรค์เปลี่ยนตำแหน่งของเขา เช่นนั้นตระกูลเหลิ่งก็จะไร้ผู้มีพรสวรรค์ ทำให้เขาต้องแบกรับทั้งตระกูลเอาไว้
เมื่อนั้นตระกูลเหลิ่งจะโดดเดี่ยวท่ามกลางเผ่าจิ้งจอกสวรรค์อย่างแท้จริง!
ความคิดมากมายปั่นป่วนขณะเหลิ่งเหยียนตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกชั่วขณะ!
“แม่ทัพเหลิ่งเหยียน เหตุใดท่านถึงกังวลหรือ?”
เสียงชราดังมาจากข้างกาย
เหลิ่งเหยียนพลันระแวดระวังขณะอาวุธปรากฏในมือทันที โดยดวงตาของเขาจับจ้องไปยังบริเวณต้นเสียง “นั่นใคร?!”
“พี่เหลิ่งเหยียน เจ้าลืมแม้กระทั่งเสียงของข้าไปแล้วหรือ?!”
ภาพมายาปรากฏขึ้นในห้องของเขาก่อนจะกลายเป็นร่างสองร่าง
ในบรรดาสองคนนี้ คนหนึ่งอยู่ในวัยชรา ส่วนอีกคนอยู่ในวัยกลางคนและมีร่างกายกำยำ
พวกเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซู่เฟิงกับซู่เปียวที่หายไปเนิ่นนาน!
“ซู่เฟิงหรือ?!”
เหลิ่งเหยียนมีท่าทีตื่นตัว “พวกเจ้าถึงกับกล้ากลับมางั้นหรือ?”
ซู่เฟิงกับซู่เปียวต่างเป็นที่ต้องการตัวของเทียนเม่ยเอ๋อร์มานานแล้ว ไม่เพียงเผ่าจิ้งจอกสวรรค์เท่านั้น แต่เผ่ามังกรเกล็ดก็กำลังตามหาพวกเขาเช่นกัน แม้กระทั่งหลงเฉียนอวิ๋นก็ยังออกตามหาด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไม่เจอตัวแต่อย่างใด
สองคนนี้คล้ายกับหายไปจากโลก
เหลิ่งเหยียนยังคิดว่าสองคนนี้สมคบคิดกับเผ่ามังกรเกล็ดเพื่อใส่ร้ายตระกูลราชวงศ์จิ้งจอกสวรรค์ ทำให้ทุกคนสามารถสังหารอีกฝ่ายได้!
หากหาไม่เจอก็ควรหลบหนีออกจากหุบเขาบูรพาแล้วตามหาสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จัก ก่อนจะเก็บตัวไปชั่วชีวิต!
คาดไม่ถึง ไม่เพียงแต่ทั้งสองไม่ออกจากหุบเขาบูรพาเท่านั้น พวกเขายังถึงขั้นมาดินแดนของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์อีกด้วย!
สิ่งที่ทำให้เหลิ่งเหยียนประหลาดใจยิ่งกว่าคือเมื่อสองคนนี้เข้ามาในที่พักแล้ว เขากลับไม่สังเกตเห็นสิ่งใดจนกระทั่งส่งเสียงขึ้นมา!
“เหอะ ๆ เหตุใดพวกข้าจะไม่กล้ากลับมาเล่า?”
ซู่เฟิงมีสีหน้าเฉยชาก่อนจะหาที่นั่งภายในห้องอย่างสบายอารมณ์พร้อมกับรินชาให้ตัวเอง
ซู่เปียวเดินตามหลังซู่เฟิงด้วยสีหน้าสงบ
เหลิ่งเหยียนยืนขึ้นขณะจับจ้องไปทางซู่เฟิงแล้วเอ่ย “ในเมื่อเข้ามาอยู่ในกับดักแบบนี้ แสดงว่าเจ้าก็ต้องรู้ราคาของการกลับมาใช่หรือไม่!”
สิ้นคำ เหลิ่งเหยียนก็เตรียมจะออกไปเรียกให้คนมาช่วย
ซู่เฟิงไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด เขาเพียงเอ่ยอย่างเนิบช้า “แม่ทัพเหลิ่งเหยียน หากคนพวกนั้นเห็นเจ้านั่งอยู่กับข้า พวกเขาจะคิดว่าเจ้าเป็นผู้จับคนทรยศได้หรือว่าเป็นผู้สมคบคิดกับคนทรยศที่อยากฉกฉวยเผ่าจิ้งจอกสวรรค์กันหรือ?”
ฝีเท้าของเหลิ่งเหยียนพลันหยุดนิ่ง หัวใจของเขาเต้นแรงชั่วขณะ เหงื่อเย็นพลันหลั่งออกมา
ใช่แล้ว หากบุ่มบ่ามออกไปขอความช่วยเหลือตอนนี้ เกรงว่ามันไม่ต่างจากหาเรื่องใส่ตัว!
เผ่าจิ้งจอกสวรรค์มีผู้คนมากมาย เหตุใดซู่เฟิงกับซู่เปียวถึงต้องมาหาเขาด้วย?!
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนมาก
เทียนเม่ยเอ๋อร์ยังไม่เป็นผู้มีอำนาจ แม้เหลิ่งเหยียนจะได้รับการแต่งตั้งจากนางเพื่อรับหน้าที่ดูแลคนเหล่านี้กลับสู่กองทหาร
แต่คนเหล่านี้ต่างวิพากษ์วิจารณ์เขาเป็นจำนวนมาก ความเห็นของทุกคนในตอนนี้จึงค่อนข้างไม่ยุติธรรม!
ยิ่งกว่านั้น หากทุกคนเข้ามาแล้วซู่เฟิงเอ่ยคำที่ต่างออกไป ฝูงชนจะยิ่งสงสัยในตัวเขามากขึ้น!
ซู่เฟิงและซู่เปียวสามารถเข้ามาโดยไม่มีสุ้มเสียงได้ ซึ่งการออกไปจากที่นี่ก็เป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่า
ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรก็ไม่เป็นอันตรายต่อซู่เฟิงและซูเปียว อย่างเลวร้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องซ่อนตัวอีกครั้ง!
แต่สำหรับเหลิ่งเหยียนนับว่าร้ายแรงมาก หากพลาดขึ้นมาก็เท่ากับจบสิ้นชีวิต!
เหลิ่งเหยียนหยุดเดินขณะอยู่ในสภาพขัดขืน
ซูเฟิ่งวางถ้วยชาในมือแล้วเบ้ปาก “ชานี่รสชาติไม่ดี มันทิ้งไว้นานไปหน่อยก็เลยเย็นเล็กน้อย”
“พี่เหลิ่งเหยียน เจ้าจำไว้ว่าชาจะเย็นเมื่อพวกข้าจากไปแล้วเท่านั้น”
สิ่งที่ซู่เฟิงเอ่ยมีความนัยยิ่ง
ในที่สุดเหลิ่งเหยียนก็ตัดสินใจได้ก่อนจะกลับไปนั่งข้างซู่เฟิงด้วยสีหน้าหมองหม่น “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
เมื่อเห็นการกระทำของเหลิ่งเหยียน ซู่เฟิงก็ยิ่งมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองต้องการจะทำมากขึ้น
“พี่เหลิ่งเหยียน เผ่าจิ้งจอกสวรรค์จำเป็นต้องมีจักรพรรดิ แทนที่จะสนับสนุนหญิงสาวผมเหลือง เหตุใดจึงไม่สนับสนุนข้าแทนเล่า?”
——————————-