บทที่ 124 บุกขึ้นเขา
บทที่ 124 บุกขึ้นเขา
เหยียนชิงหนี่เป็นสาวงามอย่างไร้ที่ติ ผมยาวดำขลับราวกับสีน้ำหมึก เส้นคิ้วโก่งรับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงดั่งผลเชอร์รี ผิวขาวนวลเนียนจึงเป็นที่หมายตาของผู้คน
แต่สำหรับเฉินซีความรู้สึกส่วนตัวที่มีกับนางไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อตอนที่มู่เหยากับมู่เหวินเฟยถูกเซี่ยจ้านกดดันอย่างหนัก เขาเห็นว่าสตรีผู้นี้จงใจหลีกเลี่ยงอย่างเห็นได้ชัด
ชายหนุ่มคิดว่าสตรีผู้น่าจะคำนวณมาแล้วเป็นอย่างดี และเก่งในการชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีและเสีย นางหาใช่คนที่เรียบง่ายอย่างที่เห็นภายนอก
“พี่ใหญ่เหยียนชิงหนี่” เสียงมู่เหยาเอ่ยมาจากอีกด้าน ขณะที่มู่เหวินเฟยเม้มปากแน่น เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กหนุ่มรับรู้ถึงความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปของเหยียนชิงหนี่แล้ว
“ไปกับข้า… เหวินเฟย เจ้าไม่อยากเข้าเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรแล้วหรือ” เหยียนชิงหนี่จะไม่อ้อมค้อมกับเด็กชายในเรื่องนี้ นางจึงเอ่ยปากพลางยิ้มน้อย ๆ
ในขณะที่เฉินซียังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับพี่น้องมู่เหยากับมู่เหวินเฟย เพราะตอนนี้ตนอยู่ลำพังคนเดียวมาตลอด และเวลานี้ยังมีเรื่องขัดแย้งกับตระกูลซูอีกด้วย การที่มีพี่น้องคู่นี้ติดสอยห้อยตามจะนำพาความเดือดร้อนมาสู่พวกเขาเป็นแน่
“ไม่ไป ข้าจะให้พี่ใหญ่เฉินซีเป็นอาจารย์” มู่เหวินเฟยเงยหน้าเชิดคางเล็กน้อยขณะตอบด้วยเสียงอันดัง
ให้ข้าเป็นอาจารย์อย่างนั้นหรือ?
เฉินซีถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าน่าขันไม่น้อย เขาสัมผัสถึงความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีให้แก่ตน แต่ไม่อาจตกปากรับคำได้ ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าเขามีความสามารถมากน้อยเพียงใด ดังนั้นถ้ารับมู่เหวินเฟยเป็นศิษย์ก็จะยิ่งทำให้หนุ่มน้อยตรงหน้าเข้าใจผิดไปกันใหญ่
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ประจักษ์ถึงแววตาเด็ดเดี่ยวและมีความหวังของสหายตัวน้อย เฉินซีไม่รู้ว่าจะอ้างเหตุผลใดมาตอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เป็นพี่สาว ที่มีแววตาชวนฝันประหนึ่งดาราสุกสกาวบนฟ้ายามราตรี อันอาจทำให้ผู้พบเห็นเคลิบเคลิ้มใหลหลงและเปี่ยมไปด้วยความหวัง ซึ่งสร้างความกดดันให้แก่เฉินซีอย่างมาก
“ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจจะไปกับนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ถ้าเช่นนั้นก็มาอยู่กับพวกข้า” ตู้ชิงซีพูด ทว่าสายตาชำเลืองมองมู่เหยา จากนั้นแสร้งทำเป็นไม่มองเฉินซี ก่อนที่นางจะเอ่ยเชื้อเชิญพลางพูดกับตนเองอย่างพอใจ
เห็นได้ชัดว่าแม่นางน้อยผู้นี้ก็แอบมีใจให้เฉินซี หึ… ดึงพวกเขาสองมาอยู่กับข้าและจะได้ป้องกันไม่ให้นางเข้าใกล้เฉินซีอีก…
เมื่อนึกถึงตอนนี้หัวใจของหญิงสาวพลันไหววูบ ใบหน้าหมดจดของนางกลายเป็นสีแดงระเรื่อ ‘ข้าเป็นอะไรไป ไยถึงคอยระแวงสตรีทุกคนที่อยู่ใกล้เฉินซีเช่นนี้!’
ส่วนเจ้าตัวเองก็ไม่ล่วงรู้ว่าในใจของตู้ชิงซีกำลังวุ่นวายอยู่กับความคิดนับไม่ถ้วน ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มให้ขณะที่หันไปพยักหน้ากับมู่เหวินเฟย “คำแนะนำของนางก็ไม่เลว ตระกูลตู้เป็นหนึ่งในหกตระกูลใหญ่แห่งเมืองทะเลสาบมังกร ตราบใดที่ขยันขันแข็งฝึกฝนอย่างหนักแล้ว สักวันเจ้าอาจเป็นยอดฝีมือไร้เทียมทานได้แน่นอน”
“แต่…” ขณะนั้นมู่เหวินเฟยยังคงลังเล จึงถูกมู่เหยาใช้มือเคาะเบา ๆ ไปที่ศีรษะ “เชื่อฟังพี่ใหญ่เฉินซี ไม่ผิดหรอกน่า”
“ปัดโธ่ ก็ได้ ๆ” มู่เหวินเฟยหน้าเศร้า
ชายหนุ่มถึงกับอมยิ้ม จากนั้นจึงหยิบสมบัติวิเศษชุดเกราะที่มีประกายแสงเจิดจ้าขนาดเท่าฝ่ามือออกมา บนพื้นผิวปรากฏภาพอักขระยันต์เลืองรางของสมบัติวิเศษแผ่ออกมา ถึงแม้จะมองเห็นแต่ไกลเป็นใครก็ต้องรู้ว่ามีคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดา เฉินซีมอบให้มู่เหวินเฟยพร้อมกับบอกด้วยว่า “นี่คือเกราะเมฆาพยับ เอาไว้ใช้ป้องกันตัว”
สมบัติวิเศษป้องกันระดับมนุษย์ขั้นกลาง
เมื่อถูกมู่เหวินเฟยปฏิเสธก็ทำให้เหยียนชิงหนี่ออกจะผิดหวังเล็กน้อย ทว่าทันทีที่เห็นสมบัติวิเศษป้องกันที่เฉินซีนำออกมาและมอบให้มู่เหวินเฟย ความสิ้นหวังภายในใจของนางก็มลายหายสิ้น
แม้ว่าการสร้างสมบัติเวทระดับมนุษย์จะเป็นสิ่งที่นางสามารถทำได้ ทว่าก็ไม่ใช่ว่าจะยกให้ใครอย่างง่ายดาย อย่าว่าแต่เรื่องที่พอรู้ว่าพี่สาวน้องชายคู่นี้จะไปอยู่กับตระกูลตู้ ตนเองตระหนักแก่ใจเป็นอย่างดีว่าทั้งสองต้องได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยม แต่จะดีกว่าถ้านางทำให้พวกเขามาอยู่กับนิกายกระบี่เมฆาพเนจรในฐานะศิษย์สายนอกได้
ขณะนั้นแม้แต่ตัวของนางยังรู้สึกอิจฉาที่โชคเข้าข้างสองพี่น้องคู่นี้
“อ้อ จริงสิ… สายรัดมิตินี้สร้างอย่างประณีต รูปทรงงดงามและเรียบง่ายเหมาะกับแม่นางมู่เหยาเป็นอย่างยิ่ง ของชิ้นนี้สำหรับเจ้า” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ถอดสายรัดมิติออกมาก่อนจะส่งต่อให้มู่เหยาอีกครั้ง
ในบรรดาสมบัติวิเศษเก็บของทั้งหลาย ย่ามนั้นด้อยมูลค่าที่สุด ในขณะที่สมบัติเวทมิติอาจสกัดออกมาเป็นแหวน สร้อยหยก สายรัดหรือปลอกแขน มูลค่าของสิ่งเหล่านี้หาได้ด้อยกว่าสมบัติวิเศษระดับมนุษย์ขั้นต่ำไม่
เมื่อเห็นอีกว่าเฉินซีนำสายรัดมิติยื่นให้อีกฝ่ายหน้าตาเฉย เหยียนชิงหนี่พลันหวนนึกถึงตอนที่ได้พบกับเฉินซีเป็นครั้งแรก นางก็โยนขวดวารีวิญญาณที่หนักราวร้อยชั่งคล้ายให้ทานแก่ยาจกข้างถนน ตอนนี้เจ้าตัวทั้งละอายและเสียใจ ทั้งยังรู้สึกว่าออกจะจองหองไปหน่อย
ทันใดนั้น เหยียนชิงหนี่ก็ตัดบทด้วยการกล่าวอำลาและจากไปอย่างรวดเร็ว นางไม่อยากอยู่ในบริเวณนั้นอีกต่อไป เพราะจะยิ่งเสียอารมณ์ด้วยเรื่องอื่น
มู่เหยารู้สึกหวั่นเกรงและไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ในมือกำสายรัดมิติไว้ และเมื่อได้เห็นเหยียนชิงหนี่หุนหันกลับไป นางก็รู้สึกอัดอึดและกระสับกระส่ายขึ้นมาชั่วขณะ จากนั้นหญิงสาวก็มองไปยังเฉินซีราวกับต้องการให้ฝ่ายนั้นกล่าวให้กำลังใจไม่มากก็น้อย “พี่ใหญ่เฉินซี… น้องชายของข้าเอาแต่ได้เกินไปหรือไม่เจ้าคะ”
เฉินซีฟังพลางคลี่ยิ้ม “นี่เป็นเรื่องที่เจ้าและน้องชายต้องรับผิดชอบตัวเอง ข้าเชื่อว่าตราบเท่าที่เจ้าทั้งสองมีชีวิตที่ดีและมีเข้มแข็ง พี่ใหญ่ของพวกเจ้า… แม่นางเหยียนชิงหนี่จะมองเจ้าทั้งคู่ด้วยมุมมองที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน นางจะไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอก”
ถ้าเหยียนชิงหนี่มาได้ยินวาจาของเฉินซีที่ประเมินตัวนางเอง เจ้าตัวคงจะรู้สึกเจ็บแปลบที่ถูกมองอย่างทะลุปรุโปร่ง และคงปิดหน้าปิดตาหนีไปจากที่นี่เสีย เพราะนางเป็นคนที่สามารถแยกแยะดีชั่วได้อย่างยอดเยี่ยม
“โอ… ข้าจะเชื่อฟังพี่ใหญ่เฉินซีเจ้าค่ะ” มู่เหยากระแทกฝ่ามืออย่างแรง จากนั้นก็หัวเราะเสียงใสอย่างมีความสุข กระทั่งดวงตายังเป็นประกายพราวประหนึ่งดวงดารา โดยเฉพาะใบหน้าอ่อนเยาว์บริสุทธิ์ไร้เดียงสานั่น
ภาพที่ปรากฏต่อหน้า กลับทำให้การตัดสินใจดึงพี่น้องชายหญิงคู่นี้มาอยู่กับตู้ชิงซียิ่งแน่วแน่กว่าเดิม สาวน้อยตัวเล็ก ๆ เท่านี้แต่มีความงามเข้าขั้นอันตรายอย่างร้ายกาจ ด้วยตัวของเด็กหญิงรู้วิธีทำให้บุรุษเพศหลงเสน่ห์ได้แล้วทั้งที่ยังอ่อนวัย ถ้าผ่านไปอีกไม่กี่ปีจะขนาดไหน
“ไปที่บ้านตระกูลของข้ากันเถอะ” เสียงของต้วนมู่เจ๋อตะโกนออกมาจากรถลากเทพหกกิเลนที่เจ้าตัวนั่งอยู่
“ไม่ได้! เฉินซีต้องไปที่ที่หนึ่งกับข้า!” ตู้ชิงซีสวนตอบกลับคำพูดอีกฝ่ายทันที จากนั้นจึงรู้สึกถึงความไม่เหมาะสม ผิวแก้มจึงแดงปลั่งทันที ส่งให้ใบหน้างามที่มักเฉยชาเป็นนิจผิดแปลกไป นางดูบอบบางละมุนละไมและมีเสน่ห์สุดแสนจะพรรณนา ยามนี้ทั้งสวรรค์และพิภพต่างถูกรูปลักษณ์อันงดงามของนางบดบังจนสิ้น
เฉินซีตะลึงงัน
ซ่งหลินตาค้าง
ต้วนมู่เจ๋อกับสีหน้ากลัดกลุ้มรู้สึกอยากจะร่ำสุราขึ้นมาเร็ว ๆ
“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น… ข้า” ตู้ชิงซีตกประหม่าและยากหาคำมาอธิบาย ในใจของนางดูเหมือนจะยิ่งปั่นป่วนมากขึ้นเท่านั้นจึงรีบหุบปากเม้มสนิท แม้แต่สายตายังไม่กล้าชำเลืองไปทางชายหนุ่มอีกเลย ด้วยเกรงจะเห็นว่าเขาหัวเราะเยาะตน
ขณะนั้นเป็นเสียงเฉินซีที่เอ่ยพลางยิ้ม “ข้าไม่ไปอยู่กับที่กองกำลังของใครทั้งนั้น ใครก็ได้หาที่สงบที่พวกเราจะได้กินข้าว ดื่มสุราสบาย ๆ สักที”
ก่อนที่เขาจะกล่าวออกไปเช่นนั้นก็ได้ไตร่ตรองมาแล้ว ด้วยตอนนี้มีกองกำลังใหญ่ถึงสามกองกำลังหนุนหลังพวกเขาทั้งสามคน และคนเหล่านั้นได้กลายเป็นศัตรูกับตระกูลซูแล้วอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าทั้งสามจะไม่ได้รู้สึกอะไร แต่การเลือกไปกับกองกำลังกลุ่มใดก็ตามจะทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของสมาชิกในแต่ละกองกำลัง ยิ่งกว่านั้นหากเป็นเช่นนี้ตัวเขาเอง… เกรงว่าตระกูลซูคงต้องแสวงหาแนวร่วมเพื่อมาปกป้องเหมือนกัน
ดังนั้นเพื่อความเหมาะสม ชายหนุ่มจึงไม่เข้าร่วมกับที่ใดที่หนึ่ง แต่ถ้าหากต้องการจะไปจริง ๆ คงหลังจากที่เขาสร้างความฉิบหายแก่ตระกูลซูเสียก่อน!
ในฐานะที่เป็นศิษย์ของกองกำลังมหาอำนาจ พวกของตู้ชิงซีต่างเรียนรู้ชั้นเชิงกลยุทธ์และการปกครองมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อย ทั้งยังมีหัวคิดในสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างฉับไว ดังนั้นพวกเขาจึงเดาเอาว่าเฉินซีคงจะกระดากใจ ถ้าพวกตนยังต่อความยาวสาวความยืดก็เห็นจะไม่เป็นการดี
เพราะหากยังขืนพูดต่อไปจะดูเป็นการเสแสร้งและไม่ใส่ใจกันเกินไป
…
ชานเมืองทะเลสาบมังกรฝั่งตะวันตก
พื้นที่แห่งนี้มีลานกว้างมากมายหลายแห่งเป็นระยะทางกว่าร้อยลี้ ห่างไกลจากตัวเมืองที่วุ่นวาย สภาพแวดล้อมเงียบสงบและเจริญตาเจริญใจ เหล่าพ่อค้าวาณิชที่มีฐานะร่ำรวยและศิษย์ของสำนักต่าง ๆ มักจะซื้อจวนพร้อมด้วยลานกว้างไว้พักผ่อนและเป็นที่สันทนาการส่วนตัว
ขณะนั้นลานกว้างเป็นที่ลับตาซึ่งปกคลุมไปด้วยต้นไม้แห่งหนึ่ง
หลังจากดื่มสุราและสนทนากันผ่านพักใหญ่ ตู้ชิงซีกับคนอื่นจึงพากันกลับ เวลานั้นบริเวณลานกว้างขนาดใหญ่จึงเหลือเพียงเฉินซี หลิงไป๋และไป๋คุยเท่านั้น
ตอนที่เฉินซีช่วยเหลือมู่เหยากับมู่เหวินเฟย ชายหนุ่มจับสองสหายน้อยไปไว้ในแหวนมิติของตนเอง แม้ว่าในนั้นจะมีพื้นที่ไม่ใหญ่นัก และมีสมบัติวิเศษและวัตถุวิญญาณที่เก็บไว้อีกเป็นจำนวนมาก แต่ก็ทำให้เด็กน้อยจอมตะกละทั้งสองที่จะได้มีความสุขกับการกินต่อไปสักระยะ
แต่ในที่สุด การอยู่แต่ในนั้นออกจะหงอยเหงาเกินไป ดังนั้นเฉินซีจึงปล่อยสหายน้อยทั้งสองออกมาข้างนอก ทำให้ทั้งคู่ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น และกระโดดโลดเต้นอยู่ในลานกว้างนั่นเอง
ทั้งสองช่วยกันเก็บผลไม้ที่อยู่บนต้น ขุดหนอนในลานดิน เก็บไข่นกจากรังใต้หลังคา… แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เฉินซีไม่อาจหาความสงบสุขได้เลยแม้สักชั่วขณะ
ชายหนุ่มได้แต่จับตามอง หากไม่ได้เข้าไปชี้แนะอะไรพวกเขานัก จะมีก็เพียงสั่งให้หลิงไป๋น้อยคอยเฝ้าหน้าประตูไว้ให้ดี ก่อนที่ตนเองจะก้าวเข้าไป
“เฮ้อ~” เฉินซีไม่รีรอให้เสียเวลาแม้แต่น้อย เขาทรุดตัวลงนั่งไขว่ห้างบนที่นอน จากนั้นจึงเริ่มโคจรพลังและเริ่มบ่มเพาะพลังทันที
คำพูดของเซี่ยเหมิงที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนที่จะหนีจากศาลาชุมนุมเซียน ทำให้วันนี้เฉินซีชักวิตกกังวลเรื่องความปลอดภัยของน้องชาย
ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เฉินฮ่าวเป็นคนหัวแข็งและมีนิสัยดื้อดึง เขามีใจจดจ่อและมุ่งมั่นที่จะเดินไปบนเส้นทางสายกระบี่เท่านั้น ทำให้เขากลายเป็นคนไม่ทันโลก นิสัยเช่นนี้อาจไม่เป็นที่ยอมรับของนิกายกระบี่เมฆพเนจรเท่าใดนัก
จนบัดนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่เฉินซีกังวลมากที่สุดก็คือตระกูลซูย้อนกลับมาแก้แค้น!
ปัจจุบันนี้ซูเฉินพี่ชายของซูเจียวที่เป็นศิษย์สายในของผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจร สถานะของคนผู้นี้ในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรจะต้องสูงส่งอย่างยิ่ง ลักษณะเช่นนี้เขาคงไม่ต้องเป็นฝ่ายเคลื่อนไหวก่อนเลย เพราะตระกูลซูเพียงเผยความไม่พอใจต่อเฉินฮ่าวแค่เล็กน้อย ก็จะมียอดฝีมือมากมายที่คอยเฝ้ามองจะเข้ามาประจบเอาใจด้วยการสร้างปัญหากับเฉินฮ่าวทันที
ถ้าปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ยากที่จะรับประกันความปลอดภัยของเสี่ยวฮ่าว
นี่คือสิ่งที่เฉินซีไม่ปรารถนาที่จะประสบพบเจออย่างที่สุด
เพราะเวลานี้เฉินฮ่าวเป็นญาติที่เหลืออยู่คนเดียวในโลก และก่อนหน้านี้เพราะถูกตระกูลหลี่ลอบทำร้าย จึงทำให้เด็กหนุ่มต้องสูญเสียแขนไปข้างหนึ่งแล้ว หากเกิดเหตุร้ายกับเขาอีกเพียงครั้งเดียว เฉินซีจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองตลอดชีวิต
ฉะนั้นในวันนี้จึงตั้งใจว่าจะไปหาเฉินฮ่าว
กันไว้ดีกว่าแก้เพราะถ้าแย่เดี๋ยวจะแก้ไม่ทัน แทนที่จะมัวเชื่อว่าเรื่องทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้น คงจะดีกว่าถ้าเขาเดินหมากก่อนก้าวหนึ่งและกำจัดต้นตอหายนะชนิดขุดรากถอนโคนพวกมันเลยทีเดียว
ฟิ้ววว!
ในความมืดก่อนรุ่งสางเพียงไม่กี่ชั่วยาม ร่างหนึ่งอาศัยท้องฟ้ายามราตรีบดบังร่างกาย ก่อนจะกลืนหายไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสลมพัดโชยมาเบา ๆ
ที่ตั้งของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรค่อนไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองทะเลสาบมังกรบนยอดเขาเมฆาพเนจร เทือกเขาเมฆาพเนจรมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล อันประกอบด้วยภูเขาน้อยใหญ่ ศิษย์ในนิกายมีอยู่ทั้งสิ้นหนึ่งแแสนคน และถ้าไม่มีผู้ที่คุ้นเคยเส้นทางเป็นคนนำทางไปก็จะไม่มีใครไปถูกเลยสักคน
ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ที่แห่งนี้มีการตั้งมหาค่ายกลคุ้มนิกายปกคลุมตลอดเส้นทางขึ้นเขา ทันทีที่พบเห็นคนนอกแอบลักลอบเข้ามา อย่าว่าแต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล ต่อให้อยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางก็จะต้องตายอย่างไร้หลุมฝังศพ
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ชายหนุ่มมาปรากฏตัวอยู่หน้ากับเทือกเขาสูงตระหง่าน ในจิตสำนึกกำลังทบทวนคำแนะนำของต้วนมู่เจ๋อเกี่ยวกับนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ขณะที่กำลังร่ำสุราในคืนนั้น
“นิกายกระบี่เมฆาพเนจรมีความน่าเกรงขามอย่างแท้จริง ขณะที่พวกเขาสามารถสร้างค่ายกลกระบี่ได้เป็นพันค่ายกล พลังของมันมีพลังทำลายล้างมากพอที่จะทำลายผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทีเดียว และเมื่อใดที่กระตุ้นการใช้งานอย่างเต็มที่ แม้แต่คนพลังขอบเขตจุติก็ยังไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว” หลิงไป๋น้อยยืนอยู่บนหัวไหล่ของเฉินซี ดวงตากวาดมองไปรอบบริเวณเทือกเขาตระหง่าน ขณะเดียวกันมีเสียงพึมพำไม่หยุดปาก
“เจ้ารู้วิธีแก้ค่ายกลนี่นา” จู่ ๆ เฉินซีก็นึกขึ้นมาได้ว่าสหายน้อยคนนี้เป็นจิตวิญญาณกระบี่ที่อยู่มานานกว่าหมื่นปีแล้ว และอาจารย์ที่เขาเคยติดตามอยู่ยังเป็นถึงผู้ไร้เทียมทานที่หยั่งรู้ในอภิมหากระบี่แดนนิพพาน ในเมื่อสามารถจดจำค่ายกลกระบี่ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องรู้วิธีแก้ด้วย
“พลังความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้อาจแก้ไม่ได้ แต่การหลบหลีกค่ายกลใหญ่เหล่านี้ข้าทำได้สบายมาก” หลิงไป๋น้อยยกมือขึ้นกอดอก ขณะมองไปยังค่ายกลด้วยสายตาพินิจพิจารณาพลางพูดอย่างภาคภูมิใจ เครื่องแต่งกายสีขาวที่สวมใส่สะบัดไปตามแรงลม ท่วงท่าดั่งจอมราชากำลังมองลงมายังโลกอย่างไรอย่างนั้น