บทที่ 635 ถูกยั่วยุอีกครั้ง
บทที่ 635 ถูกยั่วยุอีกครั้ง
แม้ว่าเสียงที่ใสและนุ่มนวลของของเหลิงฉานเอ๋อร์จะแผ่วเบา แต่มันก็ลอดผ่านเข้าหูของทุกคนในห้องโถงอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะเมื่อทุกคนตระหนักได้ถึงความหมายของเบื้องหลังคำเหล่านี้ ทุกคนจึงแสดงสีหน้าแปลก ๆ ออกมา
“ฮ่า ฮ่า ช่างน่าสนใจยิ่งนัก นางกำลังบีบให้เฉินซีต้องล่าถอย!”
“สิ่งที่องค์หญิงเหลิงฉานเอ๋อร์กล่าวนั้นเป็นความจริง เพราะตัวตนของเฉินซีนั้นด้อยกว่าชิงซิ่วอี้มากเกินไป ซึ่งอันที่จริงองค์หญิงเหลิงฉานเอ๋อร์กล่าวถูกแล้ว นอกจากนี้ เขายังมีคู่ต่อสู้อย่างปิงซื่อเทียนซึ่งเป็นถึงเซียนสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงแทบไม่มีความหวังเลย หากข้าเป็นเขา ต่อให้ข้ารู้สึกไม่ยินยอมสักแค่ไหน ข้าก็คงได้แต่ต้องยอมเพื่อชีวิตของข้าเองและจะถอนตัวออกไปอย่างเด็ดเดี่ยวแน่นอน”
“เฮ้อ ความรักนั้นทำร้ายผู้คนมากเหลือเกิน ท้ายที่สุด ข้าสงสัยว่าเฉินซีจะตัดสินใจเลือกแบบไหน เขาจะต่อสู้กับปิงซื่อเทียนจนพบกับจุดจบอันขมขื่น หรือเขาจะถอนตัวเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก?”
“ต่อสู้จนพบกับจุดจบอันขมขื่น? ฮึ่ม! มันไม่ต่างอะไรกับเอาไข่ไปกระทบกับหิน เขาประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป!”
บางคนในห้องโถงรู้สึกยินดีกับความโชคร้ายของเฉินซี บางคนส่ายศีรษะและถอนหายใจ ในขณะที่บางคนก็หัวเราะเยาะเย้ยหรือแสดงท่าทีแตกต่างกันออกไป ซึ่งโดยรวมแล้วแทบไม่มีใครมองเฉินซีในแง่ดี
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชิงซิ่วอี้หรือปิงซื่อเทียน ไม่ว่าตัวตน สถานะและความแข็งแกร่งของพวกเขา… ทุกอย่างนั้นเหนือกว่าเฉินซีเป็นอย่างมาก และช่องว่างระหว่างพวกเขานั้นใหญ่โตเสียจนเหมือนกับหุบเหว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะหรืออาจทำสิ่งใดได้
นี่คือความเป็นจริง มันโหดร้าย เย็นชาจนไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เว้นแต่จะมีปาฏิหาริย์ที่ท้าทายสวรรค์ปรากฏขึ้น
หลังจากได้เห็นฉากนี้ ในที่สุดหลงเจิ้นเป่ยก็รู้สึกพอใจเล็กน้อย และความรู้สึกอันไม่อาจอธิบายด้วยถ้อยคำ ที่เหมือนกับมดตัวเล็ก ๆ ที่กำลังข่มขู่ด้วยท่าทางที่ดุร้าย มาตอนนี้พวกมันก็ถูกถอนเขี้ยวเล็บออกมา ทำให้มันดูน่าขบขันและน่าสมเพชยิ่งนัก
เฉินซีทำเป็นหูหนวกต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ที่มาจากรอบข้าง ซึ่งหลังจากที่เขาได้ยินคำพูดของเหลิงฉานเอ๋อร์ที่เป็นเหมือนใบมีดฟันเข้าที่หัวใจ ชายหนุ่มก็ไม่ได้แสดงความโกรธหรือความหดหู่ใด ๆ อีกทั้งสีหน้าของเขาก็ยังสงบอย่างผิดปกติและไม่แยแสแม้แต่น้อย
“เจ้ากำลังเตือนข้าในฐานะตัวแทนนิกายวิถีกระแสสวรรค์หรือ?” เฉินซีถามด้วยน้ำเสียงที่สงบเหมือนสีหน้าของเขา
เหลิงฉานเอ๋อร์ยิ้มด้วยสีหน้าที่สงบ “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่วิเคราะห์ข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลางจากจุดยืนของปรมาจารย์ชิง และแทนที่จะเรียกมันว่าคำเตือน ควรถือว่ามันเป็นความหวังดีจะดีกว่า”
ทันใดนั้น เฉินซีก็ตะหนักได้ ว่าหากเป็นแง่ของการปะทะคารม หญิงงามที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ ย่อมเป็นบุคคลชั้นนำอย่างแน่นอน เพราะนางสามารถกล่าววาจาได้อย่างไม่มีที่ติด้วยท่าทีที่เป็นกลาง และเป็นเรื่องยากที่คนอื่นจะรู้สึกเกลียดชังนาง
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินซีก็ถามทันที “เจ้ายังไม่ได้แต่งงานใช่หรือไม่?”
เหลิงฉานเอ๋อร์ตกตะลึง และคิ้วที่สวยงามของนางก็ขมวดขึ้น ในขณะที่ความไม่พอใจพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง ด้วยตนเองกำลังกล่าวเรื่องตักเตือนจริงจัง แต่เฉินซีกลับกล่าววาจาไร้สาระ ทั้งยังมาถามเรื่องส่วนตัวของนางอย่างไร้เหตุผล ในฐานะที่เป็นหญิงงามที่มีชื่อเสียงในหมู่คนรุ่นใหม่ นางย่อมรังเกียจคำถามดังกล่าวเป็นอย่างมาก
สิ่งนี่ไม่แตกต่างอะไรกับการถามอายุของผู้หญิง ซึ่งมันเป็นข้อห้าม และหากไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับผู้หญิงคนนั้น เมื่อถามคำถามเช่นนี้ออกไป ก็จะเป็นความผิดรูปแบบหนึ่งที่ทำให้พวกนางไม่พอใจ
“เจ้าเด็กคนนี้มันเสียสติไปแล้ว! เมื่อเขารู้ตัวว่าตนเองไม่สามารถไล่ตามปรมาจารย์ชิงซิ่วอี้ได้ ดังนั้นเขาจึงย้ายเป้าหมายและตั้งใจจะไปหาองค์หญิงเหลิงฉานเอ๋อร์แทน?” บรรดาผู้บ่มเพาะที่รู้สึกหลงรักเหลิงฉานเอ๋อร์ต่างรู้สึกไม่พอใจ
“ยังไม่ได้แต่งหรือ??” เมื่อเห็นเหลิงฉานเอ๋อร์นิ่งเงียบ เฉินซีจึงยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น เจ้าคงไม่เข้าใจความรู้สึกของข้าในฐานะบิดา ซึ่งชิงซิ่วอี้ก็เป็นมารดาของบุตรชายของข้า ถึงแม้จะมีความขัดแย้งระหว่างเรา แต่พวกมันก็ได้รับการแก้ไขและปล่อยวางไปนานแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะการขัดขวางของปิงซื่อเทียน เราคงอยู่ด้วยกันไปนานแล้ว ข้าเกรงว่าเจ้าคงไม่รู้เรื่องนี้ใช่หรือไหม?”
นางไม่เพียงไม่รู้ แต่เรื่องนี้ได้กลายเป็นดั่งฟ้าผ่าที่สั่นสะเทือนเหลิงฉานเอ๋อร์จนร่างกายของนางแข็งทื่อไปหมด ซึ่งนางก็ไม่สามารถรักษาท่าทางที่สงบและภาคภูมิตามปกติของนางได้อีกต่อไป ดวงตาสีน้ำตาลของหญิงสาวจ้องมองอย่างเบิกโพลง ในขณะที่จิตใจของนางก็ตกใจจนมึนงงเล็กน้อย
บุตรชาย?
ปรมาจารย์ชิงซิ่วอี้ให้กำเนิดบุตรกับชายที่อยู่ตรงหน้าข้าจริง ๆ หรือ !?
เรื่องนี่เป็นเหมือนกับนิทานปรัมปรา ซึ่งมันก็ไร้สาระ แปลกประหลาด และเหลือเชื่ออย่างสุดขีด อีกทั้งยังเหนือกว่าจินตนาการของนางไปแล้ว
ขณะเดียวกัน ผู้คนในห้องโถงเองก็ถึงกับตกตะลึง ดวงตาของพวกเขาเบิกโพลง ในขณะที่ความตกใจก็พุ่งทะลุทะลวงหัวใจของพวกเขา ทุกคนต่างตกใจจนกรามแทบจะกระแทกพื้น!
มันน่าตกใจเกินไป!
ท้ายที่สุด ชิงซิ่วอี้ก็เป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ในแดนภวังค์ทมิฬ ในชีวิตที่แล้วของนาง นางพิชิตทัณฑ์สวรรค์ถึงเก้าครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในคืนเดียว ซึ่งสร้างประวัติการณ์ในโลกแห่งการบ่มเพาะจนทำให้ทั้งโลกตกตะลึง หลังจากนั้นนางก็เลือกที่จะเกิดใหม่ด้วยความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ และหลังจากผ่านประสบการณ์เกิดใหม่นับร้อยชาติ นางก็ได้รับชะตะอันสูงสุด ซึ่งทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต่างก็ตกตะลึงเป็นอย่างมากเช่นกัน
ในสายตาของทุกคน นางจะต้องขึ้นไปสู่สวรรค์และกลายเป็นเซียนสวรรค์ และมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ทุกคนจึงต่างเริ่มคาดเดาว่านางจะสร้างปาฏิหาริย์แบบใดในวันที่นางกลายเป็นเซียนสวรรค์!
ทว่าตอนนี้ ร่างที่เหมือนกับเทพธิดาในตำนานที่จุติมาสู่โลกมนุษย์ กลับได้ให้กำเนิดบุตรแก่ชายหนุ่มที่มีตัวตนด้อยกว่านางอย่างสุดขั้ว!
ดังนั้นใครบ้างจะไม่ตกใจกับเรื่องนี้?
พรู่ด!
ห่างออกไป เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ หลงเจิ้นเป่ยที่เพิ่งยกจอกสุราและกรอกมันเข้าปากไปจนหมดจอก ก็พลันพ่นสุราออกมาโดยตรง อีกทั้งยังสำลักจนน้ำตาแทบไหลออกมา ทำให้เขาอยู่ในสภาพที่น่าอายยิ่งนัก
แต่เขาไม่อาจสนใจเรื่องนี้ได้ในขณะนี้ เขาจ้องเขม็งไปที่เฉินซีด้วยสายตาแปลก ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยความตกใจ และดูเหมือนว่ากำลังมองไปยังสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง “อันใด… อันใด… นี่มันเกิดบ้าอันใดขึ้น!?”
ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลถึงฐานะของตัวเอง เขาก็เกือบจะก่นด่าสาปแช่งออกมาดัง ๆ “ชิงซิ่วอี้ให้กำเนิดบุตรชายแก่มดปลวกอย่างเฉินซี? โลกนี้ยังมีความยุติธรรมหลงเหลืออยู่หรือไม่!?”
ในขณะนี้ หลงเจิ้นเป่ยรู้สึกอิจฉาเฉินซีเล็กน้อย เพราะอีกฝ่ายสามารถทำให้ชิงซิ่วอี้หลงรักเขาได้ขนาดนี้ หากเป็นคนอื่น ต่อให้ต้องตายก็คงถือว่าคุ้มค่า ใช่หรือไม่?
นิ้วของนักพรตเต๋าสุริยันชาดแห่งนิกายฟ้ากำเนิดสั่นสะท้าน อีกทั้งสายตาของเขาก็กลายเป็นกังวลและงุนงงสับสน
เช่นเดียวกัน ฉิวจวิ้นแห่งนิกายอสูรวสันต์ยมโลกตกตะลึง และเขาแอบสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อยู่สองสามครั้ง รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
ทันใดนั้น ชั้นบนสุดของตำหนักเมฆาเยือกแข็งก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ซึ่งเป็นเพราะคำพูดที่เฉินซีได้กล่าวออกมา และมันก็เงียบสนิทเสียจนได้ยินเสียงเข็มหล่น!
ท่าทางของเฉินซีดูเหมือนไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ และเขายังคงมองไปที่เหลิงฉานเอ๋อร์ที่อยู่ตรงข้างหน้า แล้วค่อยกล่าวหลังจากผ่านไปไม่นาน “ตอนนี้เจ้าน่าจะเข้าใจแล้ว ว่านางเป็นผู้หญิงของใคร ใช่หรือไม่?”
“นาง” ในที่นี้ย่อมหมายถึงชิงซิ่วอี้โดยธรรมชาติ
เหลิงฉานเอ๋อร์ดูเหมือนกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง และนางก็พยักหน้าในขณะที่จ้องมองอย่างว่างเปล่า หลังจากนั้นหญิงสาวก็ได้สติและสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะส่ายหัวซ้ำไปซ้ำมา “นี่เป็นเพียงคำพูดของเจ้าเพียงฝ่ายเดียว และข้าไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมด ทั้งหมดที่ข้ารู้ก็คือด้วยความสำเร็จในปัจจุบันของเจ้า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะแย่งปรมาจารย์ชิงซิ่วอี้ไปจากใต้เท้าปิงซื่อเทียน”
แม้ว่านางจะกล่าวเช่นนี้ แต่น้ำเสียงของนางก็อ่อนลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว และดูเหมือนจะขาดความมั่นใจ
เหลิงฉานเอ๋อร์ดูเหมือนจะตระหนักได้ว่าน้ำเสียงของนางไม่ทรงพลังเหมือนเช่นเคย และหญิงสาวก็รีบกล่าวต่อไปว่า “เจ้าอาจยังไม่รู้ แต่ปรมาจารย์ชิงซิ่วอี้ได้ฟื้นความทรงจำของชาติที่แล้วไปกว่าแปดส่วน และภายใต้ความช่วยเหลือจากใต้เท้าปิงซื่อเทียน การบ่มเพาะของนางได้ก้าวหน้าไปอย่างก้าวกระโดด ปัจจุบันนางอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะเพื่อขจัดกรรมชั่วที่สะสมมาทั้งร้อยชาติของนาง และเมื่อประสบความสำเร็จแล้ว นางก็จะแต่งงานกับใต้เท้าปิงซื่อเทียน!”
“นั่นคือการเดิมพันระหว่างข้ากับปิงซื่อเทียน ดังนั้นข้าย่อมรู้เรื่องนี้โดยธรรมชาติ” เฉินซียิ้มเบา ๆ จากนั้นท่าทางที่แน่วแน่ก็พรั่งพรูออกมาในดวงตาของเขา “เจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเพื่อประโยชน์ของชิงซิ่วอี้หรือเพื่อการเดิมพัน ข้าจะไปที่นิกายวิถีกระแสสวรรค์ภายในหนึ่งร้อยปีข้างหน้าอย่างแน่นอน”
ใบหน้าของเหลิงฉานเอ๋อร์พลันแข็งทื่อ เพราะนางไม่เคยคิดเลย ว่าทัศนคติของเฉินซีจะดื้อรั้นและแน่วแน่ขนาดนี้ และมันทำให้หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดอย่างสุดจะพรรณนา ซึ่งไม่ว่าเหลิงฉานเอ๋อร์จะเค้นสมองครุ่นคิดสักเพียงใด แต่นางก็ไม่อาจเข้าใจว่าเหตุใดชายหนุ่มตรงหน้านางคนนี้ ถึงยังคงดื้อดึง แม้ว่านางจะแสดงทัศนคติของตนเองอย่างชัดเจนแล้วก็ตาม เขาไปได้ความมั่นใจเช่นนี้มาจากไหนกัน?
“เป็นไปได้หรือไม่ ว่าเขาคิดว่าจะสามารถเอาชนะใต้เท้าปิงซื่อเทียนได้ โดยอาศัยบุตรชายและชนะด้วยการครอบครองปรมาจารย์ชิงซิ่วอี้?
“เจ้ากำลังเอาไข่ไปกระทบกับหิน!” เหลิงฉานเอ๋อร์กำลังพยายามเป็นครั้งสุดท้าย
“มีบ้างครั้งที่เราต้องทำ แม้ว่าเราจะรู้ว่ามันคือเอาไข่ไปกระทบกับหินแล้วก็ตาม” ทัศนคติของเฉินซียังคงเหมือนเดิม
เหลิงฉานเอ๋อร์เปิดปากของนาง แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหันก่อนที่นางจะกล่าวอะไรออกมา
ผัวะ!
ประตูห้องโถงถูกผลักเปิดออกอย่างแรง ก่อนที่ผู้บ่มเพาะหลายคนที่มีท่าทางที่ไม่ธรรมดาจะเดินเข้ามา คนที่เป็นผู้นำนั้นมีท่าทางที่องอาจและผ่าเผย ผมสีดำถูกปล่อยห้อยลงมาที่บ่าอย่างหลวม ๆ ขณะที่ดวงตาก็ส่องประกายฟ้าแลบเมื่อกะพริบ
คนผู้นี้มีรูปร่างที่แข็งแกร่งและกระดูกที่หนา ร่างกายทั้งหมดของเขาแผ่ซ่านกลิ่นอายแห่งสวรรค์และท่วมท้นไปด้วยพลัง ทำให้เขาเต็มไปด้วยความร้ายกาจ ทันทีที่เขาเข้ามา สายตาของเขาก็จ้องเขม็งไปที่เฉินซี ก่อนที่จะตะโกนอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นใคร? เจ้าไม่คู่ควรที่จะนั่งเคียงข้างองค์หญิง! ไสหัวไปซะ!”
ทุกคนต่างประหลาดใจ เพราะคนผู้นี้ไม่ใช่ว่าไร้มารยาทและกระทำตามอำเภอใจไปหน่อยหรือ? เขาหยิ่งยโสยิ่งกว่าสี่พี่น้องฉลามมังกรเสียอีก!
ดวงตาของเฉินซีทอประกายเย็นชา “สั่งข้าตามอำเภอใจ? คนผู้นี้ช่างหยิ่งยโสยิ่งนัก!
หลงเจิ้นเป่ยก็ตกตะลึงเช่นกัน ถึงแม้เขาจะมีความสุขที่เห็นคนกำลังสร้างปัญหาให้กับเฉินซี แต่เขาก็รู้สึกอึดอัดในใจเมื่อเห็นชายคนนี้กระทำตามอำเภอใจและหยิ่งยโส
มีเพียงผู้บ่มเพาะจากนิกายวิถีกระแสสวรรค์เท่านั้นที่รู้สึกวิตกกังวล เนื่องจากพวกเขารู้ถึงต้นกำเนิดและภูมิหลังของคนผู้นี้ ที่แม้แต่คนอย่างองค์หญิงเหลิงฉานเอ๋อร์ก็ยังหวาดกลัวเล็กน้อยต่อขุมพลังที่หนุนหลังเขาอยู่
เพราะตามข่าวลือ คนผู้นี้เป็นลูกหลานของผู้อาวุโสในตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง เขาจึงมักจะทำตัวเย่อหยิ่งและโอหังอยู่เสมอ แม้ว่าความแข็งแกร่งของคนคนนี้จะด้อยกว่าเหยียนสื้อซานจากนิกายวิถีกระแสสวรรค์ ผู้ซึ่งครอบครองกายาดาราเพลิง แต่เขาก็ยังหยิ่งยโสมากกว่าเหยียนสื้อซาน ด้วยอาศัยความแข็งแกร่งจากภูมิหลังที่มี และได้สร้างปัญหาในโลกแห่งการบ่มเพาะอย่างมากมายนับไม่ถ้วน ทำให้ศิษย์ของขุมพลังต่าง ๆ ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างมาก จนพาลให้ทุกคนมักจะหลีกเลี่ยงเมื่อพบกับเขา เพราะพวกเขาไม่ต้องการทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง เนื่องจากกังวลว่าคนผู้นี้จะหันมาสร้างปัญหาให้ตนเอง
ตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง เป็นขุมพลังที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งเป็นดั่งจ้าวเหนือหัวในดินแดนภวังค์ทมิฬ พวกมันเหมือนกับชนชั้นสูงที่สามารถเทียบได้กับขุมพลังอย่างสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ และแม้แต่อาณาเขตของพวกเขาก็ขยายกว้างใหญ่มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
เนื่องจากตระกูลไป๋มีทรัพยากรและทุนทรัพย์ที่น่าตกใจ รวมถึงเคยรุ่งเรืองที่สุดในประวัติศาสตร์เมื่อนานมาแล้ว มันจึงทำให้กองกำลังของพวกเขาไม่ถูกจำกัดอยู่แค่แดนภวังค์ทมิฬ ว่ากันว่าพวกเขากำลังขยายอาณาเขตที่ต่างพิภพ และกองกำลังที่ว่าก็แข็งแกร่งจนทำให้หัวใจของผู้คนมากมายสั่นสะท้าน!
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ตระกูลไป๋ปกป้องคนในตระกูลเป็นอย่างมาก ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เมื่อใครคนหนึ่งทำให้ตระกูลไป๋ขุ่นเคือง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แม้ว่าจะหลีกเลี่ยงความตายได้ แต่คน ๆ นั้นก็ยังต้องรับผลร้ายที่ตามมา!
ชายหนุ่มตรงหน้าพวกเขาได้พบกับเหลิงฉานเอ๋อร์เมื่อหลายปีก่อน และถือว่านางเป็นเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ ซึ่งนับแต่บัดนั้น เขาก็ไล่ตามนางมาตลอดด้วยความตั้งใจจะตบแต่งนางเป็นภรรยา ตอนนี้เมื่อเขาเห็นชายหนุ่มที่แปลกหน้าและกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกับเหลิงฉานเอ๋อร์ ซึ่งดูเหมือนว่ากำลังพูดคุยและดื่มอย่างมีความสุข เขาก็รู้สึกโกรธเคืองขึ้นมาทันที ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ปกปิดมันแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่เสแสร้งและถามเฉินซีออกไปโดยตรง
“คนผู้นี้คือไป๋กู่หนานจากตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง หลานชายของผู้อาวุโสของตระกูลไป๋ เขาหยิ่งยโสและโอหังนัก เจ้าต้องระมัดระวังไว้” เหลิงฉานเอ๋อร์กล่าวผ่านกระแสปราณ นางรู้สึกปวดหัวเล็กน้อยกับการมาถึงของชายหนุ่มคนนี้เช่นกัน
“ตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วง…” หลังจากที่ได้ยินสิ่งนี้ เฉินซีกลับรู้สึกตกตะลึงแทน และมีร่องรอยของความแปลกใจแวบเข้ามาในดวงตาของเขา “นี่… นับเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ”