บทที่ 19 เจ็บใจจะตายอยู่แล้ว
บทที่ 19 เจ็บใจจะตายอยู่แล้ว
ครั้นซูหม่านเซียงเดินเข้ามาถึงประตูใหญ่ก็ตะโกนเรียกพ่อกับแม่ด้วยเสียงอันดังก้อง
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ตอนที่เธอมาที่นี่ก็พาลูกชายและลูกสาวมาด้วย
“คุณพ่อคะ คุณแม่คะ วันนี้วันหยุด ฉันเลยพาลูก ๆ มาหาค่ะ”
ซูหม่านเซียงใบหน้าเปื้อนยิ้ม ท่าทางที่แสดงออกมาเป็นลูกสาวที่กตัญญูมากคนหนึ่ง
คุณปู่ซูและคุณย่าซูรู้ดีว่าลูกสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจอย่างไรจึงเลือกที่จะเฉยเมย และไม่ได้แสดงสีหน้ามีความสุขมากนัก
ที่ซูหม่านเซียงมาในวันนี้ก็มีจุดประสงค์อื่นด้วยเช่นกัน และยังไม่สนใจท่าทีของพ่อกับแม่แต่อย่างใด ก่อนจะเดินไปยังห้องโถงแล้วนั่งลงบนขอบเตียงเตา
“แกมาที่นี่เพื่อมาขอโทษน้องเสี่ยวเถียนหลานรักใช่ไหม?” คุณย่าซูถามอย่างเย็นชา
“คุณแม่คะ พวกเราก็มาจากครอบครัวเดียวกัน พูดขอโทษไม่ขอโทษอะไรกันล่ะคะ” สีหน้าของซูหม่านเซียงก็ไม่ค่อยดีเช่นกัน
ก็แค่เด็กผู้หญิงชั้นต่ำคนหนึ่ง ขอโทษอะไรกัน! นับวันแม่เธอยิ่งสับสนไปกันใหญ่แล้ว!
“คุณแม่คะ เพราะฉันต้องออกมาหาพวกท่านแต่เช้า ข้าวเข้ายังไม่กินเลย ที่บ้านมีอะไรให้กินบ้างคะ เอาออกมาให้ฉันกินหน่อยสิ!”
ซูหม่านเซียงนั่งบนขอบเตียงเตา อ้าปากมาอย่างไร้มารยาทว่าอยากกินอะไรอร่อย ๆ
“ที่บ้านเป็นอย่างไรแกไม่รู้หรือ กินบะหมี่มันเทศก็ดีถมถืดแล้ว” น้ำเสียงของคุณย่าซูเริ่มเย็นเยียบขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่รู้ว่าลูกคนนี้เรียนอะไรมาถึงได้กลายเป็นแบบนี้ เปลี่ยนเป็นคนที่ทำอะไรก็หวังผลไปเสียแล้ว
การที่วันนี้มาเร็วขนาดนี้ ไม่พูดก็รู้ว่าต้องเป็นเรื่องที่ซูเหล่าซานไปซื้อเนื้อมาเมื่อวานแล้วเธอรู้เข้าแน่ ๆ
“คุณแม่คะ เมื่อวานไม่ได้ซื้อเนื้อเหรอ?”
ซูหม่านเซียงเป็นคนที่คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น พออ้าปากได้ก็พูดจุดประสงค์ออกมาเลย
คุณย่าซูแสดงสีหน้าอย่างที่คาดไว้
สะใภ้ทั้งสามของตระกูลซูเพิ่งล้างถ้วยชามเสร็จ ตอนที่สบตากันมันก็เต็มไปด้วยความดูถูก
แต่ในฐานะลูกสะใภ้ พวกเธอรู้ดีว่าเวลานี้ไม่สามารถพูดได้อย่างเด็ดขาด
คุณย่าซูก่นด่าด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “ก็หน้าแกหนาขนาดนี้ มีลูกสาวบ้านใครบ้างที่กลับบ้านมาแล้วไม่มีของติดไม้ติดมือบ้างเล่า? มีแค่แกเท่านั้นแหละที่เดินแกว่งแต่มือมา นี่ยังหน้าไม่อายขอกินเนื้ออีก!”
ซูหม่านเซียงยิ้ม “คุณแม่คะ ทำไมคุณแม่พูดแบบนั้นล่ะ ฉันก็แค่มาหาเฉย ๆ เอง ตอนที่อยู่บ้านก็ยังคิดถึงคุณแม่กับคุณพ่ออยู่ทั้งวันทั้งคืนเลยนะคะ!”
คุณย่าซูมองไปยังลูกสาวที่ปากคายดอกบัว*[1] แล้วไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก
ตอนนั้นเองที่ซูหม่านเซียงคิดได้ว่าเธอเป็นคนปากไว คิดอะไรก็พูดออกมา จึงรีบเริ่มหาอะไรเสริม
“คุณแม่คะ คุณแม่ก็รู้นี่ว่าลูกเขยของคุณแม่หาเงินได้ไม่เยอะ แล้วยังต้องเลี้ยงคนทั้งครอบครัวอีก ไม่อย่างนั้นฉันจะมามือเปล่าได้อย่างไรล่ะ?”
“แต่ฉันกับลูกเขยของคุณแม่กตัญญูจากใจจริงนะ คุณแม่คะ คุณแม่วางใจเถอะ รอสถานการณ์ดีขึ้นจะเอาของดี ๆ มาส่งถึงบ้านเลยค่ะ”
ไม่ว่าคำพูดของซูหม่านเซียงจะน่าฟังแค่ไหน คนในบ้านที่ทนไม่ได้ก็รู้ได้ว่าหล่อนเป็นคนอย่างไร
สะใภ้ทั้งสามไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่ยืนฟังอยู่ด้านข้าง รอว่าซูหม่านเซียงจะคายอะไรออกมาอีก!
คุณย่าซูสูดลมหายใจ ส่วนคุณปู่สูบยาเส้นแล้วก็ไม่รู้ว่าได้ยินหรือเปล่า หรือไม่ก็ไม่ได้ฟังตั้งแต่แรก
เหลียงซิ่วรู้สึกโชคดีที่เมื่อวานได้ฟังคำของน้องเสี่ยวเถียน จึงกินแป้งทอดไส้เนื้อจนหมด
ไม่อย่างนั้น วันนี้ก็คงเสียเปรียบให้กับคนไร้ยางอายอย่างซูหม่านเซียงไปแล้ว
ไม่ใช่ว่าเธอทำตัวเป็นพี่สะใภ้ใจร้าย แต่น้องสามีคนนี้ไม่ควรค่าเลยจริง ๆ!
“สะใภ้ใหญ่ สะใภ้รอง สะใภ้สาม พวกเธอเป็นอะไรกัน ฉันไม่เคยเห็นพวกพี่ทำตัวเป็นป้าสะใภ้แบบนี้มาก่อนเลย”
“แล้วไม่เห็นหลานชายของพวกพี่เดินมาจนกระหายน้ำหรือคะ? รีบไปเอาน้ำหวานมาให้พวกเขาดื่มสิ”
“อย่าตระหนี่กับคนที่บ้านนักเลย เอาออกมาให้พวกเขาดื่มหน่อยสิ พวกเด็ก ๆ เหนื่อยมาตลอดทางเลย ต้องชดเชยน้ำที่เสียไปนะ!”
ซูหม่านเซียงคงไม่รู้ว่าเธอไม่เป็นที่โปรดปรานของคนในบ้าน แต่ก็ยังทำไม้ทำมือชี้นิ้วอยู่ด้านข้างให้ไปเอาของกินของดื่ม
เหลียงซิ่วอดไม่ได้ที่จะกลอกตาเมื่อไม่มีคนเห็น
คิดว่าตัวเองหน้าหนาขนาดไหนกัน? ถึงได้พูดจาหน้าไม่อายเช่นนี้ออกมา?
ฝันไปเถอะที่จะได้กินเนื้อน่ะ!
เมื่อเห็นว่าพี่สะใภ้ทั้งสามไม่ได้ยินเช่นกัน แล้วก็ไม่มีผู้ใดเคลื่อนไหวด้วย ใบหน้าของซูหม่านเซียงก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“ฉันกินของพวกเธอเปล่า ๆ หรือ? ไม่ได้คิดถึงสถานการณ์ที่บ้านพวกฉันหรือ? พ่อของเหม่ยฮวาเป็นชามข้าวเหล็ก*[2] ขายของได้ไม่น้อยเลยนะ”
“สถานการณ์ที่บ้านหล่อนยังดีอยู่ กลับไปก็ได้อยู่ดีกินดีแล้ว พวกเราไม่ไปขอข้าวบ้านหล่อนแน่นอน!” เหลียงซิ่วทนไม่ไหวจริง ๆ จึงพูดอย่างขุ่นเคือง
คุณย่าซูมองไปยังลูกสะใภ้คนที่สาม ก่อนมองไปยังลูกสาวไร้ยางอาย และหลานชายกับหลานสาวตัวน้อยที่อยู่ข้าง ๆ
ไม่แปลกใจที่ลูกสะใภ้จะไม่ชอบลูกสาวของเธอ เพราะนางไร้เหตุผลจริง ๆ!
“สะใภ้ใหญ่ไปเอาน้ำมาสักสองสามถ้วยไป ยังมีบะหมี่มันเทศเหลืออยู่ เคี่ยวสักหน่อยให้หนืด แล้วใส่บ๊อกฉ่อยไปด้วย รสชาติจะอร่อยขึ้น”
คุณย่าซูทนไม่ได้จึงจัดการอาหารเสียเอง
ลูกสาวของเธอไม่ใช่คนดีนัก ถึงแม้จะนิสัยไม่ดี แต่ก็เป็นลูกที่เธอให้กำเนิด เธอจะพูดอะไรได้อีก?
ซูหม่านเซียงมาที่นี่เพื่อกินเนื้อ เมื่อได้ยินแม่ตัดสินใจทำบะหมี่มันเทศหนืด ๆ ให้ก็ไม่มีความสุข
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
ดูถูกกันอยู่หรืออย่างไร?
“คุณแม่คะ เมื่อวานพี่สามก็ซื้อน้ำตาลสองจินกลับมาไม่ใช่หรือ? ทำไมทำน้ำหวานให้ลูกฉันไม่ได้ล่ะ” ซูหม่านเซียงก้มหน้ามาพูดเสียงดังใส่คุณย่าซู “บะหมี่มันเทศเหนียว ๆ คือสิ่งที่ไว้ใช้ทักทายกันหรือคะ? ฉันไม่ใช่ลูกแม่หรืออย่างไร?”
“พี่สามของแกไปซื้อน้ำตาลสองจินก็เพื่อขอบคุณคนหนึ่งที่ช่วยเสี่ยวเถียนหลานรักเอาไว้ และก็ให้เขาไปให้ตั้งนานแล้ว! หลานฉันยังไม่ได้ดื่มเลยด้วยซ้ำ” คุณย่าซูเหลือบมองลูกสาวของเธอ น้ำเสียงเย็นยะเยือกเล็กน้อย
ว่ากันว่าลูกสาวเป็นแก้วตาดวงใจของแม่ แล้วทำไมแก้วตาดวงใจคนนี้ของเธอถึงเป็นคนไร้หัวใจเช่นนี้?
เมื่อได้ยินว่าไม่มีน้ำหวานแล้ว คังเหม่ยฮวาก็ไม่พอใจ
ระหว่างทาง แม่ของเธอบอกว่าเมื่อไปถึงบ้านของคุณยายจะได้ดื่มน้ำหวานกับกินเนื้อ แต่ตอนนี้ไม่มีน้ำตาลแล้ว และยังเป็นเพราะซูเสี่ยวเถียนด้วย เธอทนไม่ได้จริง ๆ
“คุณย่า ทำไมถึงเอาแต่นึกถึงซูเสี่ยวเถียนตลอดเลย นั่นคือน้ำตาลสองจินนะ แต่เอาไปให้คนอื่นแล้วเนี่ยนะ?”
ภายในใจของคังเหม่ยฮวานั้น ซูเสี่ยวเถียนเป็นเด็กสาวบ้านนอก แล้วทำไมถึงได้รับความโปรดปรานถึงขนาดนี้?
ส่วนตัวเธอเป็นเด็กผู้หญิงในเมือง สูงส่งกว่าซูเสี่ยวเถียนมาก หากมีสิ่งดี ๆ ก็ควรมอบให้กับเธอสิ
“ทำไม? ชีวิตของหลานรักฉันมีค่าไม่เท่าน้ำตาลสองจินเหรอ?”
คุณย่าซูที่ตอนนี้กำลังมองดูหลานสาวคนนี้อยู่ สายตาไม่ได้ปิดบังความรู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย
แต่ก่อนเคยคิดว่าหล่อนเป็นเด็กที่น่ารัก แล้วทำไมสองปีที่ผ่านมานับวันถึงได้ยิ่งแย่ลงกัน?
อายุยังน้อยแต่ใจคอโหดเหี้ยม และเป็นคนผลักซูเสี่ยวเถียนหลานรักลงไปในแม่น้ำด้วย
เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกของเธอบิดเบี้ยวไปแล้ว
หรือเป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรมา คนในตระกูลคังไม่ใช่คนดี เด็กคนนี้เลยมีนิสัยแย่ตั้งแต่โคน!
คังเหม่ยฮวาอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร และภายในใจกลับไม่เห็นด้วย
ซูเสี่ยวเถียนเป็นอะไรกันแน่ แค่น้ำตาลก็ทำให้ปากหวานแล้ว นอกจากซูเสี่ยวเถียนจะน่าขยะแขยงก็ไม่มีประโยชน์อื่นใด
“คุณแม่คะ อย่าพูดอย่างนั้นสิ น้ำตาลสองจินตั้งมากจะไม่ปวดใจได้อย่างไร แค่ใส่ถุงไปขอบคุณเขาแค่นิดหน่อยก็พอแล้วนะ มีที่ไหนเอาไปให้ตั้งสองจิน!” ซูหม่านเซียงรู้สึกเจ็บหัวใจ
น้ำตาลสองจินเลยนะ แค่สามีเธอทำงานในสหกรณ์จำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภคตลอดทั้งปียังไม่อยากจะซื้อน้ำตาลถึงสองจินเลย
ทำไมแม่ของเธอนับวันถึงเสียเงินเยอะมากขึ้นเล่า?
จะต้องเป็นซูเสี่ยวเถียนเด็กหลอกลวงคอยบงการแน่ ไม่ได้การแล้ว เธอต้องชี้นำให้ได้
*[1] พูดจาเป็นเรื่องเป็นราว
*[2] ทำข้าราชการ หรือ ทำอาชีพที่มั่นคง