บทที่ 35 พิธีคารวะอาจารย์
บทที่ 35 พิธีคารวะอาจารย์
คืนนี้คงเป็นคืนที่ไม่อาจนอนหลับได้
คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านอยู่ที่ฝั่งชุมชนการผลิตกันหมด
หมู่บ้านเล็ก ๆ อันห่างไกลเช่นนี้ยากที่จะมีสถานการณ์อันคึกคักให้มีส่วนร่วม ดังนั้นจึงไม่มีใครอยากพลาดโอกาสนี้ไป
ยกเว้นครอบครัวตระกูลซู
คนในตระกูลนี้ยังคงทำหน้าที่ของตนต่อ นอกจากซูเหล่าซานที่ต้องไปเป็นพยานแล้ว คนอื่น ๆ ไม่มีใครไปดูสถานการณ์เหล่านั้นเลย
แต่หลังจากที่ซูเหล่าซานไปเป็นพยาน เขาก็ยังไม่กลับมาเสียที
“มันเป็นความผิดของตาเฒ่าอย่างแก เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับเหล่าซานเลย แต่เขาดันตกลงที่จะไปเป็นพยานให้ ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนดีสักนิด แบบนี้มันจะทำให้เหล่าซานเหนื่อยหรือไม่?”
เธอเป็นกังวลมากจนไม่มีอารมณ์หั่นเนื้อ
คุณปู่ซูกลัดกลุ้มใจ คนที่ไปเป็นพยานคือเหล่าซานที่เขาเพิ่งจะทำการตกลงให้ไปนั่นเอง แต่ยายแก่คนนี้กลับไม่มีเหตุผลเลยสักนิด
ในตอนนั้นเองซูเหล่าซานก็กลับมาถึงบ้าน
คุณย่าซูรีบวางมีดลง เอ่ยถามอย่างร้อนใจ “เป็นอย่างไรบ้าง? แกไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“คุณแม่ครับ ผมไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงนะ!” ซูเหล่าซานรีบพูด “หัวหน้าชุมชนบอกว่าเขาไม่มีวิธีจัดการเรื่องนี้ พรุ่งนี้เลยต้องเข้าไปในชุมชนเพื่อขอการอนุมัติ แล้วก็ดูวิธีจัดการของพวกเขา ส่วนคังอี้เยี่ยได้รับการดูแลแล้วครับ”
คุณย่าซูรู้สึกโล่งใจ
“ดีเลย ๆ ผู้หญิงคนนั้นมันตัวหายนะโดยแท้!” คุณย่าซูพึมพำ ก่อนจะหยิบมีดขึ้นมาหั่นเนื้ออีกครั้ง
“แต่สถานการณ์ของไอ้เรื้อนไม่ดีเท่าไร โดนทุบตีอย่างหนักเลย คุณหมอหลี่บอกว่าเขาควรถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลด้วย”
“ไอ้เรื้อนโชคร้ายจริง ๆ ไม่ควรเกิดเรื่องขึ้นกับเขาเลย” คุณย่าซูพึมพำ
“เหล่าซาน แกไปเก็บของหน่อยไป คอยไปดูแลไอ้เรื้อนสักสองวันนะ” คุณปู่ซูวางปล้องยาสูบในมือลงแล้วพูด
“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับคุณพ่อ ไอ้เรื้อนไม่มีใครเลย น่าสงสารมาก” ซูเหลาซานพยักหน้า
สองพ่อลูกมีความคิดเช่นเดียวกัน และทั้งคู่ต่างก็เป็นคนจิตใจดี
“ที่ชุมชนการผลิตเขาพูดว่าอะไรบ้างล่ะ?”
“หัวหน้าชุมชนบอกว่าไปดูแลไอ้เรื้อนก็นับว่าเป็นงานเหมือนกัน ผมคิดว่าคงไม่มีใครยินดีไปหรอก แต่จะรอดูก่อนว่าจะมีใครเต็มใจไปไหม” ซูเหล่าซานว่าจบก็เดินไปสวมเสื้อหนา ๆ เขาเดินกลับมาพูดที่ห้องโถงอีกครั้งถึงค่อยจากไป
“เหล่าซาน แกเอาตั๋วอาหารไปด้วย ไปดูแลคนเขาจะมาปล่อยให้หิวไม่ได้” คุณย่าซูพูดก่อนเช็ดมือกับผ้า เธอหยิบตั๋วอาหารออกมาสองสามใบพร้อมกับธนบัตรหนึ่งหยวนสองใบก่อนมอบให้ซูเหล่าซาน
“คุณแม่…”
“ไม่ต้องถาม เอาไปก็พอแล้ว” คุณย่าซูพูดจบก็ไม่สนใจลูกชายอีก และรีบหันกลับไปหั่นเนื้อต่อ
รอกระทั่งซูเหล่าซานเดินไปถึงค่อยถอนหายใจออกมา “เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ พวกเราเป็นหนี้แกแล้วไอ้เรื้อน”
“คำพูดพวกนี้ไว้คุยกันที่บ้านก็พอ ส่วนเรื่องนี้ก็เก็บไว้ในใจเช่นกัน อีกอย่างผู้หญิงอย่างคังอี้เยี่ยนั่นคือคนที่ทำผิดไม่ใช่ครอบครัวเราเสียหน่อย” คุณปู่ซูพูดทันที
“ฉันจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไรเล่า? ตาเฒ่า แกบอกว่าบ้านเรามีเนื้อชิ้นใหญ่อยู่ เอามาหั่นเป็นเนื้อขลุกขลิกคงทำได้ไม่น้อยเลย ผัดไปให้อาจารย์ฉือสักหน่อยดีหรือไม่?” คุณย่าซูพูด
“อาจารย์ฉือสอนเด็ก ๆ บ้านเรา พิธีคารวะอาจารย์ไม่ควรจะเป็นเรื่องเล็ก เดิมทีควรส่งเนื้อชิ้น ๆ ไปให้ก็จริง แต่ถ้าพวกเขาคิดทำเนื้อจริง ๆ จะต้องเป็นที่สนใจแน่” คุณปู่ซูเห็นด้วยอย่างมาก
คุณย่าซูอดทนรอจนดึก กระทั่งถึงเที่ยงคืนเมื่อมั่นใจว่าไม่มีเสียงใครในหมู่บ้านอีกแล้ว เธอจึงย่องเข้าครัวไปผัดเนื้อขลุกขลิก
ไม่นานหลังจากนั้น รอบบ้านผู้ซูก็มีกลิ่นหอมของเนื้อลอยคลุ้ง ทำให้สุนัขหลายตัวร้องครวญคราง
วันต่อมา
หลังจากเลิกงาน คุณปู่ซูจึงพาหลาน ๆ ไปที่คอกวัว
ยามเห็นของล้ำค่าที่อยู่ในตะกร้าใบใหญ่ ฉือเก๋อก็ตกตะลึง
เขารีบปฏิเสธพัลวัน
“น้องชายซู ฉันยินดีสอนเด็กสองคนนี้เองนะ แต่คุณเตรียมของขนาดนี้ฉันละอายใจที่จะรับมันนัก!”
“อาจารย์ฉือ ในเมื่อคุณเรียกผมว่าน้องชายซูแล้ว งั้นให้ผมเรียกคุณว่ารุ่นพี่เถิด เพราะเด็กสองนี้ทำให้พวกเราเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ไม่จำเป็นต้องสุภาพต่อกันหรอก”
“น้องชายซู สถานการณ์ที่บ้านของคุณก็ไม่ค่อยดี ของกินของใช้เยอะขนาดนี้ต้องกัดฟันผ่านพ้นไปจึงจะได้มันมา ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก!”
“แต่คุณรับพวกเขาเป็นศิษย์ก็ถือเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งแล้ว ของขวัญพวกนี้ที่เตรียมไว้ค่อนข้างน้อยนิดจริง ๆ แถมพวกเราไม่สามารถให้ของขวัญที่ดีกว่านี้ได้ ได้โปรดอย่ารังเกียจกันเลยนะ”
ฉือเก๋อกำลังจะพูดแต่ก็ถูกคุณปู่ซูขัดไว้ก่อน
“ถึงผมจะเป็นชาวนาแต่ก็รู้ว่าคุณมีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ถ้าเป็นปีที่ผ่านมาเด็กสองคนนี้คงอาจไม่มีโอกาสได้เรียนกับคุณแล้ว”
“ถ้าคุณไม่รับของขวัญพวกนี้ ผมก็คงไม่มีหน้าให้พวกเขามารบกวนคุณอีกต่อไป”
“น้องชายซู…”
ฉือเก๋อพูดไม่ออก ตระกูลซูกำลังช่วยเหลือเขาอยู่
แต่นี่มีทั้งข้าวขาว แป้งสาลี น้ำตาล แล้วก็เนื้ออีก เป็นของล้ำค่ามากจริง ๆ
“รุ่นพี่อยู่หมู่บ้านพวกเรามาหลายปีแล้ว ร่างกายที่กำลังแย่ต้องได้รับการบำรุงนะ” คุณปู่ซูพูดอย่างจริงใจ “ถ้าสุขภาพดีขึ้น พวกเด็ก ๆ จะได้วางใจเวลาเรียนด้วยไง”
“ฉันจะใช้หน้าหนา ๆ นี้รับไว้นะ น้องชายซู เด็กสองคนนี้ฉันจะสอนพวกเขาด้วยใจจริง ถ้าหาก…มีวันนั้นจริง ๆ พวกเขาจะมีอนาคตที่สดใสแน่นอน”
เขาพูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะเรื่องของอนาคต ฉือเก๋อเองก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเหมือนกัน
เมื่อคนจากตระกูลซูจากไป ฉือเก๋อรู้สึกประทับใจกับจำนวนของดีพวกนี้ ตู้ถงเหอก็แปลกใจเช่นกัน ชาวชนบทในยุคสมัยเช่นนี้กลับจัดพิธีไหว้ครูได้อย่างมั่งคั่งนัก
“ตระกูลผู้เฒ่าซูเป็นคนจริงใจเหลือเกิน!” ตู้ถงเหอว่า
อวี่รุ่ยหยวนมองไปที่โถใส่เนื้อขลุกขลิก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ผู้คนในตระกูลผู้ซูไม่เพียงแต่จริงใจเท่านั้น แต่ยังมีน้ำใจด้วย
แต่ถ้าพวกเขากินเนื้อจะต้องมีคนให้ความสนใจแน่นอน
เธอเอาเนื้อที่ผัดแบ่งใส่ในโถเล็ก ๆ เอาไว้ ตอนที่กินก็แค่ใส่ลงไปในข้าวนิดหน่อย จะได้ไม่ส่งกลิ่นให้คนมาสนใจมาก
“ที่ชีวิตเราไม่ทุกข์ยากเกินไปคงต้องขอบคุณตระกูลซูนัก” ฉือเก๋อกล่าวอย่างซาบซึ้ง
“คุณปู่ ตระกูลซูส่งข้าวฟ่างมาให้ด้วย ผมจะทำข้าวฟ่างต้มให้ปู่ คุณปู่ตู้และคุณย่าอวี่กินทุกเช้านะครับ ใส่เนื้อลงไปหนึ่งช้อน กินไปสักระยะอาการป่วยจะได้ดีขึ้น” ฉืออี้หย่วนลูบถุงข้าวฟ่างถุงเล็กด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
แม้ว่าฉือเก๋อจะพยายามปิดบังเอาไว้ก็ไม่พ้นสายตาฉืออี้หย่วนอยู่ดีว่า โรคกระเพาะของคุณปู่ช่วงนี้ย่ำแย่มาก
กระเพาะของฉือเก๋อแย่มาตลอด ตั้งแต่เขามาที่ชุมชนการผลิตหงซินก็ไม่ได้กินอิ่มมานาน ส่วนใหญ่ที่กินก็พวกของที่เริ่มเน่าเสีย จึงทำให้โรคกระเพาะของเขานับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
“สหายฉือ โรคกระเพาะของนาย…” ตู้ถงเหอกล่าวอย่างกังวล
“มันเป็นโรคเดิม ๆ นั่นละ ไม่มีอะไรมากหรอก” ฉือเก๋อกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“ข้าวฟ่างต้มบำรุงได้ จากนี้ไปฉันจะทำให้สหายฉือกินทุกวันเลย อีกสักพักต้องดีขึ้นแน่นอน” อวี่รุ่ยหยวนกล่าวทันที
ฉือเก๋อไม่ได้เป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่มีบางอย่างที่ไม่สามารถพูดต่อหน้าเด็กได้
ก่อนหน้านี้เขาคอยแต่กังวลว่าถ้าตัวเขาไม่อยู่แล้ว น้องหย่วนจะต้องลำบาก แต่ตอนนี้มีสามีภรรยาตู้อยู่ด้วย เขาก็หายห่วงขึ้นมาก
เมื่อซูเสี่ยวเถียนกลับถึงบ้าน เธอนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องก็พลันคิดถึงฉือเก๋อขึ้นมา