บทที่ 49 ให้ผมเป็นพวกไร้ค่าเถอะ
บทที่ 49 ให้ผมเป็นพวกไร้ค่าเถอะ
เจ้าหน้าที่หลิวไม่กล้าปริปาก ไม่กล้าแม้แต่จะมองเฉินจื่ออัน
เขาไม่เคยพบอีกฝ่ายมาก่อน แต่ไม่สงสัยเลยว่าชายที่อยู่เบื้องหน้าคือเฉินจื่ออัน
เพราะผู้ชายคนนี้มีกลิ่นอายสังหาร และจะมีได้ก็ต่อเมื่อเคยสัมผัสประสบการณ์การนองเลือดมาแล้วเท่านั้น
เขาได้ยินมาว่ามีเจ้าหน้าที่บางคนในมณฑลไปยุแหย่หัวหน้าเฉิน เลยถูกอีกฝ่ายทุบตีจนลุกไม่ขึ้นไปเป็นเดือน
ได้ยินอีกว่าตระกูลของเจ้าหน้าที่พวกนั้นค่อนข้างมีอำนาจ แตกต่างจากเจ้าหน้าที่หลิว
คนแบบนั้นยังไม่กล้าให้หัวหน้าเฉินรับผิดชอบเลย ตัวเขาไร้อำนาจเช่นนี้ ต่อให้ถูกตีจนตายก็ตายเสียเปล่า
และคนที่รู้เหตุการณ์พวกนี้เป็นวีรบุรุษ ประโยคนี้เจ้าหน้าที่หลิวแค่มองตาก็รู้ใจ และนำมาใช้จนชำนิชำนาญ
เห็นเจ้าหน้าที่หลิวเดินเข้าไปหาชายแปลกหน้าด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอ เหล่าคนหนุ่มสาวที่อยู่ด้านหลังต่างงุนงง นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
มีหนุ่มสาวไม่กี่คนจากชุมชนใหญ่ไม่คิดอยากเรียกหนังสือ จึงรวมตัวกันแล้วติดตามเจ้าหน้าที่หลิวไปกระทำเรื่องไม่ดี และไม่รู้ว่าเฉินจื่ออันเป็นใครด้วย
ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
ถึงนักบัญชีหลี่จะไม่รู้ว่าเฉินจื่ออันเป็นใคร แต่มองออกว่าสถานการณ์ไม่เข้าท่า จึงหดตัวเหลือนิดเดียวเพราะกลัวว่าจะเป็นที่สังเกตเห็น
แต่หว่างคิ้วกลับปรากฏร่องรอยของความผิดหวัง ยังคิดอยู่เลยวันนี้อาจจะได้ทำอะไรสักอย่างแต่ดูเหมือนตอนนี้จะไม่มีโอกาสเท่าไร
หัวหน้าซูฉางจิ่วเคยพบเฉินจื่ออันครั้งหนึ่งตอนที่งานประชุมของอำเภอ ถึงจะเห็นจากที่ไกล ๆ แต่รู้ได้เลยว่าชายคนนี้คือเฉินจื่ออันอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่เห็นจำได้เลยว่าความสัมพันธ์ของอีกฝ่ายกับตระกูลของซูชวนเป็นอย่างไร แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงได้มาหา? พอเป็นแบบนี้ แค่ดูก็รู้ว่าแล้วตัดสินใจจะมาดูแลตระกูลซู
พอทุกคนเงียบ ก็มีหนึ่งในกลุ่มคนหนุ่มสาวที่หน้าตาน่าเกลียดเหลือบมองเฉินจื่ออัน ก่อนจะพูดออกมา
“เจ้าหน้าที่หลิว คนนี้เป็นใครกัน? พวกเราไปเก็บมันกันไหม?”
เฉินจื่ออันพ่นลมหายใจ เป็นไปตามคาด พวกโง่เขลาไม่มีความเกรงกลัวเลย!
เจ้าหน้าที่หลิวตกอกตกใจกับเสียงผ่อนลมหายใจมากจนแข้งขาอ่อนแรง ก่อนจะทรุดตัวลงพื้นราวกับกำลังคุกเข่าอยู่
เฉินจื่ออันโซเซไปก้าวหนึ่ง แล้วยืนอยู่ด้านข้าง
พอมีคนเช่นนี้คุกเข่าอยู่ที่เท้า ถือเป็นคนดูหมิ่น!
“เจ้าหนุ่ม จะรายงานเหรอ? พูดเถอะ อยากรายงานเรื่องอะไรล่ะ?” เฉินจื่ออันพูดกับซูซื่อเลี่ยง
อันที่จริงเขายืนอยู่ด้านนอกประตูใหญ่มาสักระยะหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าได้ยินสิ่งที่ซูซื่อเลี่ยงพูดอย่างชัดเจน
แต่ซูซื่อเลี่ยงกลับตกใจกลัว
ซูเสี่ยวเถียนกลับพูดจาฉะฉานถึงสิ่งที่เจ้าหน้าที่หลิวเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ และยังพูดอย่างชัดเจนด้วยว่า ถ้าข้าวของพวกนี้เป็นหางทุนนิยมที่ต้องตัดออก*[1] เธอก็จะรายงานเรื่องเจ้าหน้าที่หลิวและให้มีการตรวจสอบเขาอย่างละเอียด
ตอนนี้เจ้าหน้าที่หลิวมีเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก เขาเกลียดซูเสี่ยวเถียนยิ่งขึ้นไปอีก แต่ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ
เฉินจื่ออันมาวันนี้เพื่อหนุนครอบครัวของซูชวน
พลาดไปแล้ว ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่ถามก่อน ถ้ารู้ว่าจะมีคนใหญ่คนโตขนาดนี้หนุนหลังตระกูลผู้เฒ่าซูคงไม่กล้ามาทางนี้หรอก!
ตอนนั้นเองที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินถือกระเป๋าใบใหญ่เข้ามา
“หัวหน้าเฉิน!” แค่ชายคนนั้นตะโกนขึ้นมา ทุกอย่างพลันตกอยู่ในความงุนงง นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
ทำไมดูเหมือนกำลังถูกบุกรุก?
แล้วหนุ่มคนนี้คือ…
ไม่ใช่ว่าชุมชนการผลิตหงซินสงบสุขมาตลอดเหรอ? แล้วเกิดเรื่องเอะอะได้อย่างไร?
“เสี่ยวจูอย่าเพิ่งเอามันเข้ามาสิ เดี๋ยวมณฑลก็เปลี่ยนเป็นหางทุนนิยมหรอก เพราะถูกเจ้าหน้าที่หลิวจากชุมชนใหญ่ตัดไงเล่า!”
ฟังดูเหมือนเฉินจื่ออันพูดเล่น แต่เพราะไม่มีร่องคอยขบขนบนหว่างคิ้วเลยทำให้รู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างน้อยก็ทำเจ้าหน้าที่หลิวกลัวจนเกือบปัสสาวะราด
เดิมทีจะลุกขึ้นมา แต่ทรุดตัวกลับไปนั่งอยู่ที่เดิม
ไอ้บ้านี่วางแผนจะทำอะไรกัน? คงไม่วางแผนให้ตนตกใจกลัวจนตายใช่ไหม?
“เมื่อกี้คุณก็ได้ยินแล้วนี่ เด็กผู้หญิงจากตระกูลซูคนนี้เพิ่งรายงานให้ฟัง รอคุณกลับไปเมื่อไรจะจัดให้คนไปตรวจค้นบ้านคุณเอง!”
สิ่งที่เฉินจื่ออันพูด ราวกับว่าวางแผนจะไปดื่มน้ำที่บ้านเจ้าหน้าที่หลิวสักแก้ว
เจ้าหน้าที่หลิวรู้ว่าถ้าอีกฝ่ายพูดออกมาแล้ว จะจัดคนไปตรวจค้นบ้านเขาจริง ๆ
ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรแล้ว ก่อนจะรีบคลานเข้าไปที่เท้าเฉินจื่ออันเพื่อขอร้องอ้อนวอน
“หัว…หัวหน้า เข้าใจผิดแล้วครับ เข้าใจผิดแล้ว มีคนเจตนาแอบแฝงรายงานมาครับ ผมผิดไปแล้ว ผมผิดไปแล้วครับ!”
“คนที่แกเล่นตลกด้วยมันไม่ใช่ฉัน!”
เฉินจื่ออันยืนอยู่ที่ประตู พูดแค่ประโยคเดียว และไม่แม้แต่จะชำเลืองสายตามองสักนิด
เจ้าหน้าที่หลิวเป็นคนฉลาด เข้าใจในทันทีว่าเฉินจื่ออันหมายถึงอะไร คนที่เขาไปยุแหย่คือตระกูลซู งั้นก็ไปขอโทษเขาสิ!
“พ่อเฒ่าซูมันเป็นความผิดของผมเองครับ ผมขอโทษท่านด้วย พ่อเฒ่าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งอย่าใส่ใจกับผมเลย คิดเสียว่าผมเป็นแค่ลมตดปล่อยทิ้งไปเถอะครับ ผมมันคนที่เห็นน้ำมันหมูก็ใจมืดบอด ถูกคนกล่าวความเท็จมาให้จึงไม่ตรวจสอบตระกูลของพ่อเฒ่าให้ดี ผมผิดไปแล้ว ผมผิดไปแล้วจริง ๆ ครับ!”
เจ้าหน้าที่หลิวรู้จักก้มหัว เอ่ยขอขมาทันที
คุณปู่ซูไม่ได้พูดอะไร ไม่ใช่เพราะไม่อยากพูด แต่เพราะยังไม่ทันได้ตอบสนองต่ออะไร ก็เกิดเรื่องราวนี้ขึ้น
ทำไมเจ้าหน้าที่หลิวผู้สง่างามน่าเกรงขามถึงแข้งขาอ่อนแรงล่ะ? แล้วคนที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าเฉินเป็นใคร? มาทำอะไรที่บ้านของเขา?
ซูเสี่ยวเถียนอดหัวเราะไม่ได้ เจ้าหน้าที่หลิวจะหน้าไม่อายเกินไปแล้ว ไม่ว่าอะไรก็พูดได้หมด!
เธอคิดจะพูดอีกสองประโยค แต่ผู้ใหญ่ในบ้านไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรเลยและไม่ใช่คราวที่คนอายุน้อยที่สุดเช่นเธอจะพูดด้วย
คนขับรถของเฉินจื่ออันอย่างเสี่ยวจูมองไปยังเจ้าหน้าที่หลิวซึ่งยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น ก่อนจะเยาะเย้ยใส่ “ยุคสมัยใหม่ไม่มีการคุกเข่าแล้วนะ พ่อเฒ่าซูเป็นครอบครัวชาวนาสูงส่ง แกอย่ามาเล่นแง่หน่อยเลย ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะคิดอย่างไรกับพ่อเฒ่าซูเล่า?”
เขาเป็นคนติดตามของหัวหน้าเฉิน ทำไมจะมองความยุ่งยากของเรื่องนี้ไม่ออกล่ะ
เป็นแค่เจ้าหน้าที่ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจากชุมชนใหญ่ แต่ประพฤติมิชอบ ทีแบบนี้ทำไมถึงไม่รู้จักกลัว?
เจ้าหน้าที่หลิวจะมาพูดได้อย่างไรว่าตนเองกลัวอยู่ ตอนนี้ยังถูกเสี่ยวจูบีบคั้นอีก จึงทำได้เพียงพยุงร่างขึ้นยืนด้วยแขนของชายหนุ่มที่มีตาน่าเกลียดแล้วยิ้มเขิน ๆ
ชายหนุ่มที่มีตาน่าเกลียดไม่กล้าพูดอีกต่อไป เห็นได้ชัดเจนเลยว่าคนที่อยูเบื้องหน้าตนเป็นคนที่เจ้าหน้าที่หลิวไม่กล้ายั่วยุใส่!
“หัวหน้าเฉิน ผมขอโทษแล้วคงต้องขอตัวไปก่อน ท่านทำตัวสบาย ๆ เลยครับ…” เจ้าหน้าที่หลิว กล่าวขณะที่กำลังจะจากไป
“เดี๋ยวก่อน!” เฉินจื่ออันพูดและเจ้าหน้าที่หลิวก็หยุดทันที ไม่กล้าขยับแม้แต่ก้าวเดียว
“ท่านหัวหน้า ท่านมีคำสั่งอะไรอีกหรือครับ?”
“คุณบุกค้นตระกูลซู ตอนนี้รู้แล้วว่าตัวเองทำผิด แต่ไม่คิดชดใช้หน่อยเหรอ?” น้ำเสียงของเฉินจื่ออันเย็นเฉียบซึมลึกเข้าไปในกระดูก
ท่าทางของเฉินจื่ออันราวกับจะพูดว่า ถ้าแกไม่ชดใช้ อย่าแม้แต่จะคิดก้าวขาออกจากตระกูลซู
หัวใจของเจ้าหน้าที่หลิวกลายเป็นผุยผง เดิมทีวันนี้วางแผนจะเก็บตั๋วของหัวหน้าซูจากชุมชนการผลิตหงซินเสียหน่อย และได้รับความดีความชอบด้วย ไม่คิดว่าจะได้พบกับเทพสังหารเฉินจื่ออัน
แล้วตอนนี้ยังต้องชดเชยให้กับตระกูลผู้เฒ่าซู ขโมยไก่ไม่ได้เสียข้าวสารอีกกำมือ*[2] เสียจริง!
“หัวหน้า ต้อง…ต้องชดใช้เท่าไรจึงจะเหมาะสมครับ?” เจ้าหน้าที่หลิวถามอย่างกล้าหาญ
*[1] ตัดหางทุนนิยม เป็นคำเฉพาะของทางจีน เป็นการริบสินค้าเกษตรและสินค้าที่เกษตรกรแอบปลูกหรือเลี้ยงไว้ เหมือนว่าเกษตรกรตั้งตัวเป็นนายทุน (แต่รายเล็ก) ก็เลยต้องยึดของพวกนั้นมา
*[2] ทำเรื่องที่เสี่ยงเกินไป อาจะทำให้สูญเสียทุกอย่างได้