บทที่ 92 ซูเสี่ยวฉินเป็นคนทำ
ตระกูลซูอกลั่นขวัญแขวนมาหลายวัน เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในที่สุดพวกเขาก็โล่งใจ ตอนนั้นเองที่หลี่จู้จื่อมาที่บ้าน และบอกเรื่องอะไรบางอย่างกับตระกูลซู
คุณปู่ซูถามด้วยความไม่เชื่อ “จู้จื่อ เรื่องนี้แกจะพูดจาไร้สาระไม่ได้นะ”
“ลุงใหญ่ ผมไม่ใช่คนสำคัญอะไรแบบนั้น จะสร้างเรื่องแบบนี้ไปทำไมครับ?” หลี่จูจื่อกล่าวสาบาน
“เสี่ยวฉิน เด็กคนนั้นเพิ่งอายุเท่าไร? จะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?” คุณย่าซูรู้สึกว่าเรื่องราวช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
“คุณป้า ซูเสี่ยวฉินไปชุมชนใหญ่เพื่อรายงานครอบครัวของคุณจริง ๆ นะ” หลี่จูจื่อกล่าวด้วยความกังวล
“จู้จื่อ ไม่ใช่ว่าแม่ฉันไม่เชื่อสิ่งที่คุณพูดหรอกนะ แต่ไม่เชื่อว่าซูเสี่ยวฉินจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย” ซูเหล่าซานรีบปลอบโยน
คุณปู่ซูนั่งบนเตียงเตาพลางสูบยาสูบนิ่ง ๆ ไม่เอ่ยเอื้อนคำใด
แต่ซูเสี่ยวเถียนกลับพบว่ามือของเขาสั่นระริก เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่สงบอย่างที่เห็น
“คุณปู่คะ ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว” ซูเสี่ยวเถียนยื่นมือเล็ก ๆ ไปจับมือใหญ่หยาบกร้านของคุณปู่ซูไว้ และปลอบโยนอย่างระมัดระวัง
“เราต่างก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน ไม่มีความเกลียดชังต่อกันเลย แล้วจะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?” คุณปู่ซูพร่ำบ่น
แม้จะรู้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วว่าซูเสี่ยวฉินไม่ใช่คนดีอะไร แต่ไม่เคยคิดว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้
นี่กะจะทำลายครอบครัวของเขาให้พังพินาศเลยสินะ?
“เมื่อสองปีก่อน ซูเสี่ยวฉินยังมากินข้าวที่บ้านเราไม่น้อยเลย เราเลี้ยงหมาเสียแล้ว” หวังเซียงฮวาสาปแช่ง “เลี้ยงหมาป่าตาขาวไม่เชื่อง!”
“พี่สะใภ้ ช่างมันเถอะ คนก็หาไม่เจอแล้ว มันไม่คุ้มหรอกที่พวกเราจะโกรธตอนนี้” ฉีเหลียงอิงชักชวน “เด็กคนนี้มันบิดเบี้ยวเกินไปแล้ว!”
“ก็คนอย่างหลิวซิ่วอิงแบบนั้นไม่สามารถสอนใครให้เป็นคนดีได้หรอก ตาเฒ่า พวกเราถูกหมาลอบกัดแล้วล่ะ” คุณย่าซูพูดพร้อมกับถอนหายใจ
“แค่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นซูเสี่ยวฉินทำเองหรือทำตามคำชี้แนะของผู้ใหญ่ในครอบครัว” ซูเหล่าซานกล่าวเสียงราบเรียบ
ถ้าซูเสี่ยวฉินเป็นฝ่ายไปเอง เด็กคนนี้จะร้ายกาจเกินไปแล้ว แต่ถ้ามีผู้ใหญ่ชี้แนะก็น่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก!
ในชุมชนการผลิตหงซิน สายเลือดของสองบ้านนี้ใกล้ชิดกันมาที่สุด
“น่าจะเป็นตัวเธอเอง เพราะเดิมทีก็ไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว” คุณปู่ซูถอนหายใจ
และซูเหล่าซานก็ตระหนักได้ในทันที “ไม่น่าแปลกใจเลยที่หัวหน้าชุมชนกับหัวหน้าเฉินจะตรวจสอบเอง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้บอกเราว่าใครทำ”
เขายังคิดว่าเรื่องนี้น่าจะตรวจสอบไม่ง่าย แต่ตอนนี้มาคิด ๆ ดูแล้ว พวกเขาควรจะรู้ได้ตั้งนานแล้ว
เพียงเพราะเป็นความสัมพันธ์ของซูเสี่ยวฉินกับครอบครัวเรา มันเลยยากที่จะพูดใช่ไหม?
เป็นเพราะเรื่องนี้ บรรยากาศของบ้านซูจึงไม่ค่อยดีอยู่หลายวัน
โดยเฉพาะคุณย่าซู แค่อึมครึมอยู่บ้านก็พอแล้ว แตุ่ทกครั้งที่เห็นหลิวซิ่วอิง ดวงตาสองข้างแทบจะลุกเป็นไฟ
หาซูเสี่ยวฉินไม่เจอคุณย่าซูก็โกรธเช่นกัน หลิวซิ่วอิงมึนงง ไม่เข้าใจว่าทำไม
เธอยังจำสิ่งที่ทำเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ นอกจากคำพูดหยาบคายที่กล่าวไปตอนซูหม่านซิ่วหย่า เธอก็ไม่ได้ยั่วยุพี่สะใภ้ใหญ่ แล้วทำไมถึงมองด้วยความเกลียดชังอย่างนั้นด้วย?
เด็กบ้านซูก็รู้เรื่องนี้ด้วย ด้วยเหตุนี้พวกเด็ก ๆ จึงตีจินหวาและอิ๋นหวาเด็กบ้านรองซูไปชุดหนึ่ง
จินหวาและอิ๋นหวาต่างก็เป็นคนขี้ขลาด พอถูกตีจึงร้องไห้น้ำมูกยืดไปฟ้องย่าที่บ้าน
หลิวซิ่วอิงโครมครามมาถึงประตู แต่ถูกคุณย่าซูผลักออกไปจากบ้าน แกด่าใส่เสียดสียกใหญ่อยู่ชุดหนึ่งจนทำให้หลิวซิ่วอิงต้องพ่ายแพ้กลับบ้านไป
หลิวซิ่วอิงเองเป็นคนอ่อนแอไร้ประโยชน์เหมือนกัน รังแกคนอ่อนแอแต่กลัวคนแข็งแกร่ง ยามที่คุณย่าซูไม่แสดงอิทธิฤทธิ์ หล่อนจะแกร่งกล้ามาก แต่พอคุณย่าซูแสดงอิทธิฤทธิ์ หนล่อนกลับขี้ขลาดหวาดกลัว
คุณย่าซูอารมณ์เสียมามากแล้วเพราะเรื่องนี้
แต่ใครจะรู้เล่าว่า คังเหรินเต๋อจะโผล่มาที่บ้านในตอนนี้
อีกฝ่ายมาในครั้งนี้ด้วยท่าท่างที่เป็นมิตร ทั้งยังเอาขนมไข่ทั้งก้อนคิดตัวมาด้วย
แต่คุณย่าซูรู้ว่าเขาทำให้ซูหม่านซิ่วเสียหน้าที่สหกรณ์ หัวใจพลันอึดอัดและไม่ใจเขาอย่างมาก
เมื่อคังเหรินเต๋อมาถึงบ้านพ่อภรรยา เขามักจะคิดว่าตนเหนือกว่า แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทนทุกข์กับความคับแค้นใจเช่นนี้มาก่อน
แม่ภรรยาไม่ต้องการพบเขา ตนเลยไม่ยินดีอย่างมาก
แต่วันนี้ลูกเขยอย่างเขามาขอความช่วยเหลือจากพ่อภรรยาเพื่อย้ายหน้าที่การงาน และทำได้เพียงยิ้มอย่างเจ็บปวด
ใครจะรู้เล่าว่าแค่เริ่มเอ่ย คุณย่าซูพูดเพียงประโยคเดียวทำให้เขาพูดประโยคหลังจากนั้นไม่ออกอีกเลย
“กลับเสียดีกว่านะ พวกเราตัดขาดกับซูหม่านเซียงแล้ว จากนี้ไปพวกเธอสองสามีภรรยากับบ้านเราจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีก!”
คังเหรินเต๋ออ้าปากค้างอยู่พักหนึ่ง ไม่ส่งเสียงสักแอะ
เขาได้ยินอะไรอยู่? ตัดขาดกันแล้ว?
ใช่ตัดขาดอย่างที่เขาคิดหรือเปล่า?
“คุณป้า กำลังสับสนอยู่หรือเปล่าครับ? หม่านเซียงก็เป็นลูกสาวของคุณนะ” คังเหรินเต๋อร้อนรน
จะตัดขาดตอนไหนก็ได้ แต่ตัดขาดกันตอนนี้ก็หมดหวังแล้วไม่ใช่หรือ?
“กลับไปเถอะ ไปใช้ชีวิตของตัวเองนับจากนี้ อย่าให้คนขาจุ่มโคลนแบบบ้านเราลากมาเกี่ยวข้องเลย” คุณย่าซูผลักคนถือขนมไข่ออกจากประตูบ้าน แล้วล็อกกลอนจากด้านใน
คนในชุมชนได้ยินมานานแล้วว่า บ้านซูกับซูหม่านเซียงตัดขาดกันแล้ว เดิมที่คิดว่าแค่คุยกันเฉย ๆ
แต่เมื่อเห็นคุณย่าซูผลักคังเหรินเต๋อออกจากประตูบ้าน เช่นนี้ก็รู้แล้วว่าบ้านซูต้องการตัดขาดจากลูกสาวคนนี้จริง ๆ
คังเหรินเต๋อยืนตะลึงที่หน้าประตูชั่วขณะ แล้วกลับมามีสติอีกครั้ง
เขาคับแค้นใจมาก พอกลับมาได้ก็ทุบตีภรรยาอย่างหนักไปชุดหนึ่ง
เขาคิดว่าต้องเป็นซูหม่านซิ่วที่ไม่สนใจอะไรและพูดจาไม่น่าฟังแน่ ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้และเขาก็ได้รับผลกระทบไปด้วย!
คังเหรินเต๋อยังบังคับให้ซูหม่านเซียงกลับไปขอโทษที่บ้าน และบอกว่าถ้าผู้อาวุโสทั้งสองไม่ให้อภัยก็อย่ากลับมา
ซูหม่านเซียงร้องไห้คร่ำครวญแล้วกลับไปที่ชุมชนการผลิตหงซิน แต่ผู้ให้กำเนิดทั้งสองก็ไม่ใจอ่อน
หลังจากขับไล่ลูกสาวคนเล็กออกไป สามีภรรยาเฒ่าพลอยอารมณ์ไม่ดีไปทั้งวัน
อย่างไรเสียก็เป็นลูกสาวที่ให้กำเนิด แม้จะพูดว่าตัดขาดสองคำได้ง่าย ๆ แต่ความจริงกลับทำยากยิ่งกว่า
ณ ตัวเมืองอำเภอ
เฉินจื่ออันและซูหม่านซิ่วต่างมีความสุขด้วยกันทั้งคู่
ตั้งแต่ซูหม่านซิ่วมาถึงอำเภอ เธออาศัยอยู่ที่นี่กับเฉินจื่ออัน
หญิงสาวบอกว่าต้องการจะย้ายออกไป แต่เฉินจื่ออันกลับพูดว่าซูหม่านซิ่วยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง ออกไปก็ต้องเช่าเขาอยู่ อยู่ร่วมกับเขาดีกว่า มากสุดก็แค่ให้ค่าเช่าเขาเล็กน้อยพอ
เพราะตอนนี้คนเช่าบ้านเยอะมาก และหลายครอบครัวก็ต้องอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ซูหม่านซิ่วก็ไม่ได้คิดเยอะว่าจะมีอะไรที่ไม่สะดวกสบาย
เธอให้ค่าเช่ากับเฉินจื่ออันสามหยวนต่อเดือน แต่อีกฝ่ายกลับให้เธอสิบหยวนโดยบอกว่าใช้ซื้อข้าวซื้อของใช้
เขายังบอกอีกด้วยว่าหลังจากที่ซูหม่านซิ่วมาอยู่ด้วย กลับบ้านมาก็ได้กินซุปร้อน ๆ ข้าวร้อน ๆ บ้านก็เป็นระเบียบเรียบร้อยด้วย ดียิ่งกว่าอะไรอีก!
ซูหม่านซิ่วเป็นคนซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบคนหนึ่ง ทุก ๆ วันเธอจะออกไปซื้อผัก ซื้อข้าว ซื้อเส้นบะหมี่ ใช้เงินไปเท่าไร ใช้ตั๋วไปเท่าไรก็แจกแจงอย่างชัดเจน
ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ในบ้านแบบนี้ ทั้งยังร่วมมือกันเป็นอย่างดี
ต้นพุทราในสวนของบ้านเฉินจื่ออันมีผลจำนวนมาก กิ่งก้านก็เต็มไปด้วยผลพุทราสีแดง
ซูหม่านซิ่วรู้สึกว่าถึงเวลาเลือกพุทราแล้ว เธอจึงคุยกับเฉินจื่ออันระหว่างกินอาหารเย็น และใช้เวลาสองวันนี้ในการเก็บผลของมัน
“พุทรามากขนาดนี้ เก็บลงมาตากแห้งเป็นพุทธาตากแห้ง มันสามารถเก็บไว้กินได้นานด้วยนะ”
เฉินจื่ออันไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนแรก แต่พอซูหม่านซิ่วหยิบยกขึ้นมาพูด เขาก็คิดจะเก็บลงมาแล้วทำเหมือนที่เธอบอก จากนั้นค่อยส่งไปให้ครอบครัวของหญิงสาวกับบ้านลุงเขยก็ดีเหมือนกัน!
ซูหม่านซิ่วมีความสามารถมาก เธอใช้มือถือตะกร้าโกยผลพุทธาที่อยู่ลำดับล่างสุด และทำได้รวดเร็วมาก
เฉินจื่ออันไม่คุ้นเคยกับการทำเรื่องนี้จริง ๆ แต่ซูหม่านซิ่วรู้สึกตื่นเต้นมาก พลอยทำให้เขารู้สึกไปด้วย จึงอาสาที่จะเก็บด้านบน
เขาพับแขนเสื้อขึ้น ก่อนจะปีนขึ้นไปบนต้นไม้แค่สองสามทีก็ขึ้นไปถึงด้านบน
“หัวหน้าเฉิน คุณยังปีนต้นไม้ได้อยู่หรือคะ?” ซูหม่านซิ่วถามด้วยรอยยิ้ม
พอได้ยินคำว่าหัวหน้าเฉินสามคำนี้ แววตาพลันเป็นประกายเล็กน้อย
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร