เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] – บทที่ 101 ถูกจับกุม

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

บทที่ 101 ถูกจับกุม

หัวใจซูเถาฮวากระสับกระส่ายไม่สบายใจ แต่ในตอนนี้ทำได้เพียงกดความรู้สึกอึดอัดภายในใจลงไปเท่านั้น

“เขาเป็นนักบัญชีของชุมชนเรา จะช่วยเหลือสหายยุวชนก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว!”

หลังจากที่เธอพูดจบก็พยายามฝืนยิ้มอย่างสุดความสามารถ ทว่ามือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกำแน่นจนปลายนิ้วเปลี่ยนเป็นสีขาว

แต่ทุกคนในชุมชนต่างรู้ดีว่าซูเถาฮวาเป็นหญิงแกร่ง และไม่อยากทำให้เธออับอายไปอีก จึงไม่ได้พูดอะไรมาก

ซูเสี่ยวเถียนเห็นฉากนี้อย่างชัดเจน แล้วก็พอใจกับเฉินจื่ออันมากขึ้นเล็กน้อย

เฉินจื่ออันปฏิเสธคังอี้เยี่ยอย่างจริงจัง นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยาก มีปลามาส่งถึงบ้านแมวขนาดนี้ ส่วนใหญ่ก็คงจะไม่ปฏิเสธ

ส่วนนักบัญชีหลี่ที่เหยียบภรรยาไว้ติดพื้นก็เดินตามคังอี้เยี่ยไปติด ๆ ชายผู้นี้ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติก่อนก็ไร้ยางอายเหมือนเดิม

ซูเสี่ยวเถียนเห็นใจซูเถาฮวายิ่งนัก แต่เพราะเธอยังเป็นแค่เด็กจึงไม่สามารถพูดเรื่องนี้ได้

แต่ซูเถาฮวาเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง ชาติก่อนก็จัดการเรื่องนี้ได้ดี

ช่วงซุกตัวในหน้าหนาวมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาก็ถึงเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ

ปีนี้บ้านตระกูลหลักซูมีชีวิตที่ดียิ่งนัก และอาหารที่แจกจ่ายในช่วงสิ้นปีก็ไม่น้อยเลย ทั้งยังได้เก็บตั๋วและเงินไว้ส่วนหนึ่งด้วย

คนในครอบครัวตัดสินใจว่า ปีใหม่ที่แสนคึกคักนี้จะเลือกซื้อของปีใหม่สักหน่อย

หากแต่พวกเขาไม่อยากไปซื้อของที่สหกรณ์ จะได้ไม่อึดอัดเวลาเจอคังเหรินเต๋อ

เมื่อคุณย่าซูครุ่นคิดอีกครั้งก็ส่งลูกชายคนเล็กไปซื้อของที่อำเภอ

“ที่อำเภอมีของเยอะ อยากได้อะไรก็มีหมด พวกแกไปเถอะ จะได้ไปหาน้องใหญ่ด้วย”

“ได้ครับคุณแม่” ซูเหล่าต้ารีบตอบ

“คุณย่าคะ หนูไปด้วย หนูอยากไปหาอาใหญ่” ซูเสี่ยวเถียนรีบกล่าวทันที

ตอนนี้เป็นปี 1975 เธอจึงอยากเข้าอำเภอไปดูเสียหน่อย คุณย่าซูที่รักเอ็นดูหลานสาวจึงตอบตกลง

“คุณย่าคะ ปีนี้บ้านเราได้ลูกแพร์เยอะมาก พวกเราเอาไปให้อาใหญ่สักหน่อยดีไหมคะ?” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

การที่เธอไปในครั้งนี้ที่ก็เพื่อดูว่าซูหม่านซิ่วใช้ชีวิตที่นั่นได้ดีหรือเปล่า

หลังจากที่เฉินจื่ออันมาสู่ขอถึงที่บ้าน คนทั้งคู่ก็แต่งงานกันอย่างเป็นทางการ เนื่องจากการเป็นการแต่งงานครั้งที่สอง จึงไม่มีเรื่องอะไรมากนัก มีเพียงแค่กินข้าวร่วมกันเท่านั้น

ซูเสี่ยวเถียนเอาเงินและตั๋วที่เก็บไว้ให้พวกพี่ชายแต่งงานออกมาเพื่อเป็นสินสอดให้ซูหม่านซิ่ว

สิ่งของในครัวเรือนทั้งสี่ชนิดอย่างวิทยุ จักรยาน จักรเย็บผ้า นาฬิกา ของติดตัวเจ้าสาวของบ้านซูมีถึงสองอย่างแล้ว อีกสองอย่างที่เหลือ เฉินจื่ออันจัดเตรียมให้แล้ว และครอบครัวเล็ก ๆ ก็มีชีวิตที่คึกคัก

สิ่งเหล่านี้ต่างทำให้คนในชุมชนต่างอิจฉา โดยเฉพาะลูกสาวคนโตที่เตรียมแต่งออกบ้านกับชายหนุ่มที่เตรียมจะแต่งสะใภ้

แววตาที่อิจฉาริษยาแทบจะเปลี่ยนเป็นตากระต่ายแล้ว*[1]

เพราะเหตุนี้ หลิวซิ่วอิงจึงตีวัวกระทบคราดอยู่หลายวัน โดยบอกว่าคนบ้านซูไม่มีมาตรฐานเลย แสร้งทำเป็นคนจนมาหลายปี แต่กลับให้สินสอดกับผู้หญิงที่ถูกทิ้งได้มากขนาดนี้ และอีกมากมาย

โชคดีที่คุณย่าซูมีความสุขจึงไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ ทำให้ไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น

“ได้สิ เอาไปอีกหน่อยเถอะ อาใหญ่ได้กินแต่ผลไม้แช่แข็งตลอดอยู่แล้ว”

“คุณแม่คะ ปีนี้บ้านเรามีอาหารเยอะแยะ ไม่งั้นให้น้องใหญ่ไปสักหน่อยก็ดีนะคะ เอาข้าวฟ่างไปให้น้องใหญ่ทำกิน” ฉีเหลียงอิงกล่าว

อันที่จริงคุณย่าซูมีความคิดนี้มานาน แต่มันค่อนข้างพูดยาก ไม่ง่ายเลยที่ปีนี้ที่จะไม่ส่งเงินสนับสนุนให้ซูหม่านเซียง เกรงว่าถ้าให้ซูหม่านซิ่วอีก เหล่าลูกสะใภ้จะเกิดความขุ่นข้องหมองใจ

แต่ตอนนี้พวกเธอกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นเอง ทำเอาหัวใจคุณย่าซูอุ่นวาบ ทั้งยังมองไปยังลูกสะใภ้อีกสองคนที่เหลือโดยไม่รู้ตัว

“แม่คะ ข้าวฟ่างบ้านเราหอมมาก เอาให้น้องใหญ่ไปอีกสักชามสองชามนะคะ” เหลียงซิ่วยิ้ม

หวังเซียงฮวาเอ่ย “เอาพวกเห็ดตากแห้งกับของอีกนิดหน่อยไปด้วย ไม่สิ้นเปลืองเท่าไรหรอก มันคือความห่วงใจจากพวกเรา”

คุณย่าซูยิ้มกว้างจนตาปิด “ได้สิ น้องใหญ่เป็นคนมีเหตุผล ต้องจดจำความดีของพวกเธอได้อย่างแน่นอน”

ยามที่สองพ่อลูกมาถึงอำเภอ ยังไม่ทันเที่ยงเลย

“เสี่ยวเถียน ลูกว่าพวกเราควรไปซื้อของก่อน หรือไปหาอาใหญ่ก่อนดี?” ซูเหล่าซานถามลูกสาวตัวน้อย

ตามความคิดของเขาคือต้องไปบ้านหม่านซิ่วก่อนอยู่แล้ว สุดท้ายบนหลังก็ต้องแบกของเยอะอยู่ดี

แต่ตอนนี้ยังไม่ทันถึงเวลาเลย เกรงว่าอาใหญ่จะยังไม่เลิกงาน

“คุณพ่อคะ พวกเราไปเดินเล่นก่อนดีกว่า ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงแล้ว!” ซูเสี่ยวเถียนตอบ

ซูเหล่าซานคิดว่าลูกสาวอยากจะเดินเล่นรอบเมือง และคิดว่านี่เป็นการเข้าในอำเภอครั้งแรกของลูกสาว เขาจึงตอบตกลงทันที ซูเหล่าซานจับมือซูเสี่ยวเถียน เดินไปพลางแนะนำสิ่งต่าง ๆ ในอำเภอให้ลูกสาวตัวน้อยฟัง

อันที่จริงเด็กหญิงรู้เรื่องนี้มากกว่าพ่อเธอเสียอีก เพราะชาติก่อนเคยอาศัยอยู่ที่นี่มานานหลายปี

แต่ชาตินี้เธอพึ่งมาอำเภอเป็นครั้งแรก จึงต้องทำเป็นมีความสุขอย่างมาก

“ข้างหน้าเป็นห้างสรรพสินค้าน่ะ ข้างในจะมีของดีเยอะเลย ไว้พ่อค่อยพาลูกไปดูนะ ย่าบอกว่าให้ไปซื้อเสื้อผ้าในเมืองให้ลูกสักตัว” ซูเหล่าซานยิ้มอย่างโง่เขลา

ซูเสี่ยวเถียนรีบกล่าวว่า “คุณพ่อคะ หนูไม่อยากได้ ที่บ้านมีเสื้อผ้าของหนูเยอะแล้ว ไว้พวกเราค่อยซื้อตัวใหม่ให้พี่เก้าเถอะ”

ในฐานะเด็กหญิงเพียงคนเดียว เสื้อผ้าของซูเสี่ยวเถียนดีที่สุดในบ้าน

แต่น้องเก้าในฐานะที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาพี่ชาย เสื้อผ้าที่พวกพี่ ๆ เหลือไว้ให้ใส่ล้วนเป็นเสื้อผ้าตั้งแต่เด็ก ทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยเย็บปะ

ซูเหล่าซานมองไปที่ลูกสาวก็รู้สึกประหลาดใจที่เด็กหญิงตัวแค่นี้มีความคิดเช่นนั้น หากแต่จะปฏิเสธก็ไม่ได้ อย่างไรเสียวันนี้แม่ก็ให้ตั๋วเสื้อผ้ามาไม่น้อย ทั้งยังบอกก่อนอีกว่าซื้อเสื้อผ้าให้น้องเก้าด้วย

ถึงตอนนั้นจะซื้อให้เด็กทั้งสองก็ไม่มีปัญหา ทั้งสองเดินไปคุยไป กระทั่งเดินมาถึงตรอกเล็ก ๆ โดยไม่รู้ตัว

ต้องบอกว่าทั้งสองคนไม่คุ้ยเคยกับอำเภอต่างหาก คนที่คุ้นเคยจะรู้กันดีว่าตรอกแห่งนี้เป็นตลาดมืดของอำเภอ

และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตลาดมืดแห่งนี้ไม่มีคนมาแลกเปลี่ยนสินค้ากันแล้ว

เพราะมักมีคนคอยจับตามองอยู่ หากมีคนออกมาแลกเปลี่ยนสินค้ากันก็จะถูกจับกุมทันที

หลังจากที่ตามจับได้สองคนสามคน คนในอำเภอก็รักษาระยะห่างจากสถานที่แห่งนี้

แต่ซูเหล่าซานและซูเสี่ยวเถียนไม่รู้เรื่องนี้ จึงไม่ทันได้ระวังตัว

พอคนทั้งสองเดินมาถึงปากทางตรอกก็มีคนสองสามคนกรูเข้ามาหลายล้อมพวกเขาเอาไว้

ซูเหล่าซานตระหนกตกใจ

เขาถามอย่างระแวดระวัง “พวกคุณเป็นใคร? ต้องการอะไร?”

คงจะไม่ใช่โจรใช่หรือไม่ กลางวันแสก ๆ ยังกล้าขโมยของอีกหรือ? แต่ที่นี่คือในอำเภอ การรักษาความปลอดภัยต่าง ๆ ก็ไม่น่าจะย่ำแย่ถึงเพียงนี้?

ซูเสี่ยวเถียนมองไปยังกลุ่มคนหนุ่มสาวที่สวมปลอกแขนสีแดง พลันเข้าใจได้ทันทีว่าพวกเขาเป็นใคร

เธอคว้าเสื้อของบิดาพลางเอ่ยขึ้น “คุณพ่อ!”

“ไม่ต้องกลัวเถียนเอ๋อร์ ไม่เป็นไร พ่ออยู่นี่แล้ว!” แม้ซูเหล่าซานจะวิตกกังวลแค่ไหน แต่ก็ยังพยายามปลอบลูกสาวอย่างเต็มที่

“ดีนักเจ้าพวกคนเลว กล้าซื้อขายที่ตลาดมืดกลางวันแสก ๆ” เด็กชายร่างสูงและผอมคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง

เมื่อซูเหล่าซานได้ยินเช่นนี้พลันนึกถึงคนหนุ่มสาวที่สวมปลอกแขนสีแดงพวกนั้นที่เคยไปบ้านเขามาก่อน แล้วก็เข้าใจในทันที

เขารีบอธิบายเร็วรี่ “ไม่ใช่ ๆ ผมแค่มาเยี่ยมญาติที่ในอำเภอน่ะ!”

“มาเยี่ยมญาติหรือ? คิดว่าพวกเราโง่หรืออย่างไร? มาหาญาติที่ไหนจะแบกของเยอะขนาดนี้?” เด็กสาวผมเปียสองข้างพูดจาดูถูก

“ไม่ต้องสนใจแล้ว เอาตัวไปก่อน!” สิ้นเสียง คนพวกนี้ก็ลงมือทันที

นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเหล่าซานเจอเรื่องแบบนี้ และไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไร ดังนั้นจึงทำได้แค่อธิบายในขณะที่ปกป้องซูเสี่ยวเถียนเท่านั้น

แต่ใครหน้าไหนจะฟังสิ่งที่เขาอธิบายกันล่ะ

*[1] อุปมาถึงกระต่ายที่มีดวงตาสีแดง จึงนำมาเปรียบเทียบว่า เวลาอิจฉาจะมีดวงตาสีแดงเหมือนกระต่าย

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

Status: Ongoing
ซูเสี่ยวเถียนผู้มีชีวิตล้มลุกคลุกคลานได้ย้อนเวลามายังยุค 70 แล้วเกิดใหม่ในร่างเดิมครั้งเมื่ออายุ 7 ขวบ ผู้ซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยพี่ชายสุดคลั่งรักเก้าคน โดยการทะลุมิติในครั้งนี้มีระบบวิเศษติดตัวมาด้วย คือ ‘ระบบอ่านหนังสือ’ ซึ่งมาพร้อมกับห้องสมุดส่วนตัว เธอสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่มีปัญหาใดที่หนังสือไม่อาจแก้ไขได้ แต่หากแก้ไขไม่ได้ล่ะ? ก็อ่านหนังสือเพิ่มอีกสักสองเล่มแล้วกัน! หากว่ายังไม่พอก็อ่านเพิ่มอีกสักหลายเล่มหน่อย เธอไม่เพียงแต่อ่านมันคนเดียวเท่านั้น แต่ยังโน้มน้าวพี่ชายสุดแสบทั้งเก้าให้อ่านหนังสือกับเธออีกด้วย ทั้งยังชักชวนให้ผู้เป็นบิดาและมารดาให้มาอ่านหนังสือด้วย แม้แต่คุณปู่และคุณย่าก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้!เมื่อทำภารกิจสำเร็จ จะได้รับรางวัลเป็นของตอบแทน ยิ่งทำภารกิจสำเร็จมากเท่าไร ก็จะได้รางวัลมากขึ้นเท่านั้น! ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นจากการอ่านหนังสือจะทำให้เส้นทางชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท