บทที่ 185 เสิ่นจื่อเจิน
คุณย่าซูเชื่อมั่นในคำพูดของหลานสาวสุดที่รัก
เพราะว่าหลานสาวของเธอไม่ใช่คนธรรมดา และสิ่งที่พูดออกมาย่อมต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน
เถียนเถียนบอกว่า คนที่ชื่อเสิ่นจื่อเจินไม่ใช่คนธรรมดา เช่นนั้นแล้วเขาก็ต้องไม่ใช่คนธรรมดาจริง ๆ
คุณย่าซูก็ชอบคนแบบนี้
เธอรู้ด้วยว่าคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริงจะสามารถทำให้ทุกคนได้กินอิ่ม
ถูกต้องแล้ว ความคิดของคุณย่าซูในตอนนี้คือการกินให้อิ่ม
หลายปีที่ผ่านมาเธอกลัวความหิวมาก!
ในใจของคุณย่าซูไม่มีอะไรมีค่ามากไปกว่าอาหาร แม้แต่เงินทองก็ไม่มีประโยชน์เท่าอาหารในใจของเธอแล้ว
“เด็กดี ที่หลานบอกมา เขาคนนี้ทำให้พวกเรากินอิ่มได้ใช่ไหม”
ซูเสี่ยวเถียนพยักหน้าอย่างหนักแน่น “แน่นอนค่ะ!”
ถึงเสิ่นจื่อเจินจะไม่สามารถเลี้ยงทุกคนในหงซินได้ในตอนนี้ แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปี อีกฝ่ายจะเพาะเมล็ดพันธุ์ใหม่ และคนอีกมากจะได้กินอิ่ม
“คุณย่า ราชามังกรบอกว่าเขาคนนี้มีความสามารถมาก นอกจากจะทำให้เรากินอิ่มแล้ว ยังทำให้เราได้กินแป้งสาลีกับข้าวด้วยนะคะ”
พอคุณย่าซูได้ยิน เธอก็ตื่นเต้นมาก
คนมีความสามารถเช่นนี้เก่งกว่าตู้ถงเหออีกหรือ?
ปีที่แล้วตู้ถงเหอทำให้ทุกครัวเรือนได้รับอาหารที่แจกจ่ายมากขึ้น แล้วถ้าคนที่ชื่อเสิ่นจื่อเจินเก่งกาจยิ่งกว่า การแจกจ่ายในปีนี้จะไม่ยิ่งมากขึ้นกว่าเดิมหรือ?
“ถ้างั้นบอกหัวหน้าดีไหม”
ซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างเคร่งขรึม “ได้ค่ะคุณย่า ไว้กลับไปหนูจะไปพูดกับคุณปู่”
เธอเป็นเด็ก พูดไปหัวหน้าคงไม่ฟัง ให้ปู่เป็นคนพูดดีกว่า อีกฝ่ายจะต้องฟังแน่
ซูเสี่ยวเถียนจะรู้ได้อย่างไรว่าหัวหน้าสังเกตเห็นความแตกต่างของเธอมาตั้งนานแล้ว และยังช่วยปกปิดมันต่อคนอื่นด้วย
และถึงปู่จะไปพูด หัวหน้าก็คาดเดาเหตุผลได้
คุณย่าซูเอาเสื้อผ้าที่ใส่แล้วไปเตรียมซักที่ลำธาร แต่ปากยังพูดไม่หยุด
“สองปีที่แล้วมีคนบอกว่า เราจะมีความกล้ามากขึ้น ผืนดินจะมีผลผลิตมากขึ้น ย่าคิดมาตลอดว่ามันไม่ใช่หรอก แต่ตอนนี้รู้แล้วว่ามันเป็นเรื่องจริง”
“คุณย่า ไม่ว่าคน ๆ หนึ่งจะมีความสามารถแค่ไหน เขาก็เพิ่มผลผลิตธัญพืชได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นค่ะ และแน่นอนว่าไม่สามารถทำให้คนมีความกล้าหาญมากขึ้น และทำให้ผืนดินมีผลผลิตมากขึ้นหรอกนะคะ” ซูเสี่ยวเถียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ไม่ต้องพูดถึงยุคนี้หรอก แต่ผลผลิตธัญพืชในอีกไม่กี่สิบปีให้หลังจะเติบโตขึ้นไม่รู้จบ
คุณย่าซูร่าเริงมากไม่ว่าหลานสาวจะพูดอย่างไรก็ตาม ความต้องการเธอไม่ได้สูงมาก ขอแค่กินอิ่มก็พอ
ให้พวกคนมีความสามารถมาเถอะ มาสักคน ให้ผืนดินของพวกเขาเพิ่มผลผลิตอีกสักหลายสิบจินก็ยังดี
อย่างน้อยก็ได้เพิ่มขึ้น!
เสิ่นจื่อเจินเป็นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบปีเศษ รูปร่างผอม สุขภาพไม่ดี และมีอาการบาดเจ็บหลายแห่ง ไม่แม้แต่จะยืดเอวขึ้นได้เลยเวลาเดิน
เขาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในเมืองหลวง หลายปีที่ผ่านมาถึงสถานการณ์จะไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่ก็ยังผ่านไปได้
และสิ่งที่ไม่คาดคิดคือ ในตอนที่โดนทุบตีอีกครั้ง ภรรยาและลูกชายไม่ได้เลือกที่จะยืนหยัดเคียงข้างด้วยกันขณะที่เขาเผชิญหน้า แต่เลือกที่จะตัดความสัมพันธ์แล้วบอกเรื่องราวของเขาให้อีกฝ่ายแทน
เขาโดนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนออกจากเมืองหลวงไปยังชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ
หลังจากเจอเหตุการณ์แบบนี้ เขาเจ็บปวดเจียนตาย สาเหตุที่ไม่เลือกฆ่าตัวตายเพราะยังมีงานวิจัยอยู่ในมือที่ใกล้จะสัมฤทธิผล
แต่ในตอนที่ถูกพาตัวไปยังตะวันตกเฉียงเหนือ เสิ่นจื่อเจินรู้สึกว่าบางทีชีวิตนี้เขาคงไม่ได้กลับไปที่ห้องทดลองและจะไม่ได้เห็นพื้นที่ทดลองเพาะปลูกของเขาอีกแล้ว
เขาอาศัยอยู่ข้างบ้านตู้ถงเหอด้วยใบหน้ามึนเบลอ บ้านหลังนี้ไม่มีอะไรเลย แล้วเขาก็ไม่ได้เอาอะไรมาสักอย่าง
ฉืออี้หย่วนหอบหญ้าแห้งมาแล้ววางกระจายไว้บนเตียงเตา
เสิ่นจื่อเจินคิดว่า บางทีหญ้าแห้งเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่จำเป็นหรอก ก็แค่คนที่อาศัยอยู่คอกวัวคนหนึ่งมีอะไรต้องใส่ใจกัน?
หรือบางทีในวันข้างหน้า สิ่งที่เขาต้องเผชิญคือความอัปยศอดสูและการทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ด้วยสาเหตุต่าง ๆ แม้กระทั่งคนรักยังผลักเขาลงจากหน้าผาได้ นับประสาอะไรกับคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนล่ะ?
แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันคือ พอตกเย็นที่ประตูหน้าบ้านมีใครไม่รู้แอบเอาหมั่นโถวธัญพืชมาวางไว้ให้ ทั้งยังเอาเครื่องนอนที่เย็บปะไม่น้อยมาให้ด้วย
ถึงจะเป็นหมั่นโถวธัญพืชกับเครื่องนอนที่มีรอยปะเป็นหย่อม ๆ ทว่าก็ทำให้น้ำแข็งในใจของเสิ่นจื่อเจินละลายได้
เขามองไปที่ของพวกนี้ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
ไม่คิดเลยว่าจะมีคนใจดีในหงซินที่ปฏิบัติต่อนักโทษด้วยความกรุณาด้วย
ตอนนั้นเองหลังจากที่ซูฉางจิ่วเอาเขามาส่งถึงบ้านแล้วจากไปอย่างเร่งรีบ เจ้าตัวก็กลับมาอีกครั้ง
อีกฝ่ายไม่ได้มามือเปล่า แต่เอาของมาเพียบเลย
“สหายเสิ่นควรกินธัญพืชพวกนี้ก่อนนะ สถานะของหงซินเราไม่ดี ธัญพืชเลยมีไม่เยอะไปด้วย พวกเราเสียใจด้วยกับคุณจริง ๆ”
คนบ้านซูบอกว่าเสิ่นจื่อเจินคนนี้มีพรสวรรค์ ต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยความกรุณา
การทรมานและความอัปยศอดสูที่เสิ่นจื่อเจินจินตนาการไว้ไม่ได้เกิดขึ้น ครู่หนึ่งที่คิดว่าชีวิตที่คอกวัวอาจไม่เป็นอย่างที่คาดเดาไว้
หัวหน้าซูเปิดถุงสองใบที่หิ้วมาด้วยแล้วเอาให้ดู
“ถุงนี้เป็นบะหมี่ เป็นของที่พวกเราหงซินกินกันมากที่สุด ทำเป็นแป้งเหนียว ๆ หรือทำเป็นเกี๊ยวใส่ก็ดีนะ แต่ว่ากินเป็นบะหมี่เลยไม่ได้”
ว่าจบซูฉางจิ่วก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย
อีกฝ่ายมาจากเมืองหลวง จะคุ้นเคยกับการกินข้าวเมล็ดหนา ๆ หรือแป้งเส้นหนาได้อย่างไร?
แต่มันเป็นอาหารอย่างเดียวที่เอามาให้ได้
“ส่วนอันนี้เป็นข้าวฟ่างอีกถุง เหมาะกับการกินเป็นโจ๊ก สหายเสิ่น ข้าวฟ่างช่วยบำรุงร่างกายและกระเพาะอาหาร” ซูฉางจิ่วกล่าวอย่างจริงใจ
เสิ่นจื่อเจินมองถุงเล็ก ๆ สองใบตรงหน้า ก่อนจะเห็นเส้นบะหมี่เนื้อหยาบอยู่ข้างใน จมูกแสบไปหมด น้ำตาเกือบจะไหลลงมา
“สหายเสิ่น ผมรู้ว่าคุณมาจากเมืองหลวง แต่สถานการณ์ของพวกเราก็เป็นแบบนี้ล่ะ!”
เสิ่นจื่อเจินมองไปที่ซูฉางจิ่วที่แสนซื่อสัตย์ ในที่สุดน้ำตาก็ไหลออกมา
“หัวหน้าซู ขอบคุณคุณมาก ๆ!” หลังจากนั้นเขาก็กล่าวขอบคุณออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
คนเพิ่มลายดอกไม้บนผ้าดิ้นมีเยอะ แต่คนส่งถ่านให้กลางหิมะกลับมีน้อย*[1] ไม่จำเป็นต้องทำให้ดูดี แต่ช่วยเหลือกันได้ในยามทุกข์ยาก
หัวหน้าของหงซินคนนี้ไม่ได้พาคนมาทำให้ตัวเขาพบเจอกับความอัปยศอดสู แต่ยังเอาบะหมี่มาให้เขาอีกต่างหาก
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก แค่คุณมาก็ถือว่าคุณเป็นสมาชิกหงซินของเราแล้ว”
เสิ่นจื่อเจินยิ้มขื่น เหมือนสมาชิกหรือ? เห็นชัด ๆ ว่าไม่เหมือนสักนิด
“หัวหน้าครับ ผมเป็นคนไร้ประโยชน์ เป็นนักโทษ แค่มีชีวิตรอดได้ก็พอแล้ว!”
เสิ่นจื่อเจินกล่าวอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่กล้าคิดที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ
ในฐานะผู้มาใหม่ ไม่ว่าคำพูดของหัวหน้าซูจะสุภาพแค่ไหน เขาก็ต้องระมัดระวัง
ลูกเมียยังหักหลังได้ ถ้าไว้ใจคนแปลกหน้าอีกจะไม่ยิ่งเสียเปรียบหรือ?
พอเห็นสีหน้าของเสิ่นจื่อเจิน ซูฉางจิ่วรู้เลยว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อ เขาจึงต้องพูดสิ่งที่ควรพูด
“ผมรู้ว่าคุณเป็นคนมีความสามารถ และคนเช่นคุณจะเห็นพวกเราด้อยกว่าอยู่แล้ว”
พอชายวัยกลางคนได้ยินก็ตกใจมาก
เขารีบโบกมือ “ไม่กล้าหรอก ๆ ผมไม่ใช่คนที่มีความสามารถอะไรแบบนั้น ที่ทำให้ผมมีที่ยืนได้เป็นความเมตตาของพวกคุณต่างหาก!”
ถึงมีความสามารถแต่ไม่มีอะไรดี เพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะตายอย่างไร
ตอนนี้ทำได้แค่แสวงหาเท่านั้น
ซูฉางจิ่วถอนหายใจ คนตรงหน้าที่ชื่อเสิ่นจื่อเจิน จิตใจย่ำแย่กว่าชายสูงวัยสองคนข้างบ้านเสียอีก
ช่างเถิด เรื่องพวกนี้ค่อย ๆ ว่ากันแล้วกัน เดี๋ยวก็ดีขึ้นเองแหละ
“วางใจเถอะ ตราบใดที่คุณทำงานให้พวกเราอย่างสงบเสงี่ยม สิทธิ์ต่างๆ ก็จะเหมือนกับสมาชิกคนอื่น ๆ ไม่ได้กินดีแต่ก็ไม่หิว”
ว่าจบ ซูฉางจิ่วก็จากไป
เสิ่นจื่อเจินเฝ้ามอง ไม่ได้ตอบสนองอะไรระยะหนึ่ง