บทที่ 285 คิดบัญชีถึงที่
บทที่ 285 คิดบัญชีถึงที่
แต่เธอไม่คิดเลยว่าวันที่สามนับจากที่อาเขยออกเดินทางไป ปัญหาจะมาหาถึงหน้าประตู
มันไม่ใช่ประตูบ้าน แต่เป็นประตูโรงเรียน
แม่ของต้วนซิงกั๋วมาที่โรงเรียน และตรงไปยังหน้าทำงานของครูใหญ่ทันที
ปัญหาแรกคือ เธอยืนกรานว่าซูเสี่ยวปาต่อยลูกชายเธอ และขอให้ทางโรงเรียนจัดการเรื่องนี้
ครูใหญ่กัวไม่ได้สนใจมากนักเรื่องที่เด็กสองคนสู้กัน เพราะมันก็เป็นแค่การต่อสู้ระหว่างเด็ก ๆ อีกอย่างเสี่ยวปาไม่ได้ทำร้ายต้วนซิงกั๋วเลย แค่เหยียบเขาและทำให้เสียหน้าเอง
แต่ตอนนี้ฉางฮุ่ยอวิ๋นแม่ต้วนซิงกั๋วมาที่โรงเรียนด้วยความไม่พอใจ ท่าทางไม่ได้มาปรึกษาเลย ทำให้ลำบากใจจริง ๆ
แต่เขาก็ยังอธิบายอย่างอดทน
“สหายฉางฮุ่ยอวิ๋น ตอนนั้นเด็ก ๆ แค่คุยกัน ถึงซูเสี่ยวปาจะชนะต้วนซิงกั๋ว แต่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายอะไรมากมายนะครับ”
ฉางฮุ่ยอวิ๋นจะไปฟังขึ้นได้อย่างไร เธอได้ยินว่าลูกชายโดนเหยียบ เลยมาหาถึงที่
แต่สามีบอกว่าตระกูลซูเกาะเฉินจื่ออันอยู่
เฉินจื่ออันเป็นคนที่ไม่สามารถทำให้เคืองใจได้เลย และบางตระกูลที่ไปทำให้อีกฝ่ายเคืองก็โดนกำจัดหมด
จากคำพูดของสามีคือ ตระกูลต้วนไม่สามารถทำให้คู่ต่อสู้ที่ทรงพลังขุ่นเคืองใจได้
และถึงฉางฮุ่ยอวิ๋นจะโดนสามีห้าม แต่เธอไม่ฟังสักนิด เธอกำลังคิดว่าเมื่อไรจะแก้แค้นให้ลูกชายได้
“ฉันรู้ค่ะ แต่คุณต้องมองให้ชัดนะ อาเขยของเด็กคนนี้โยกย้ายไปแล้ว ควรจะไปหาผู้นำเลยมากกว่าพวกคนที่รับผิดชอบนะ”
ฉางฮุ่ยอวิ๋นนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง ไม่เหมือนลูกสะใภ้ของข้าราชการตัวน้อยทั่วไปในอำเภอเลย แต่เหมือนสตรีหมายเลขหนึ่งจากต่างประเทศ มันทำให้ครูใหญ่กัวรู้สึกอึดอัดมาก
“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่หัวหน้าเฉิน…”
ก่อนที่ครูใหญ่กัวจะพูดจบ ฉางฮุ่ยอวิ๋นก็ตบโต๊ะและลุกขึ้นยืน
“ครูใหญ่กัว เราต้องตระหนักถึงสถานการณ์ปัจจุบันนะ คุณควรรู้ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบเขตนี้ มีหลายคนในตระกูลต้วนที่ลงเล่นการเมืองนะ”
ครูใหญ่กัวไม่เคยได้ยินคำพูดข่มขู่แบบนี้มาหลายปีแล้ว
สีหน้าของเขาไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แต่มันก็แค่สีหน้าเท่านั้นเอง!
“ครูใหญ่กัว ถ้าคุณจัดการเด็กบ้านซูตามที่ฉันบอก ฉันจะไม่ตรวจสอบโรงเรียนคุณ!”
“สหายฉางฮุ่ยอวิ๋น คุณควรคิดให้ดีก่อนพูดนะ เด็กพวกนี้เป็นเด็กของผม ผมไม่มีเหตุผลที่จะต้องจัดการกับพวกเขานะ!”
ครูใหญ่กัวโกรธมากตอนพูด ไม่คิดว่าจะมีคนไร้เหตุผลบนโลกนี้สักครั้งเลย
ตระกูลต้วนไม่ถือว่าเป็นตระกูลที่ร่ำรวยในอำเภอ กล่าวคือครอบครัวเขาค่อนข้างมีฐานะ และที่บ้านก็มีข้าราชการระดับกลาง ๆ หลายคน
แต่พอตระกูลใหญ่ก่อนหน้านี้ร่วงลงไปทีละตระกูล ตระกูลต้วนก็ถือกำเนิดขึ้น
แต่ไม่คิดเลยว่าตระกูลที่เพิ่งรุ่งเรืองขึ้นจะไร้เหตุผลขนาดนี้ ถ้าอนาคตตระกูลพัฒนาขึ้นมาจะยังมีทางรอดให้กับคนอื่นไหมเนี่ย?
ครูใหญ่กัวไม่เคยรู้สึกไม่ดีต่อตระกูลนี้มาก่อน แต่ตอนนี้คิดว่าพวกเขาไม่น่าใช่คนที่ดีเท่าไร
ตอนเฉินจื่ออันอยู่ในเมือง พวกเขาไม่กล้าทำอะไรเลย แต่พอจื่ออันไป กลับกล้าลงมือกับญาติของเขา
คนแบบนี้น่าขยะแขยงมาก!
แต่ครูใหญ่กัวไม่ได้พูดออกมา
ผู้หญิงตระกูลต้วนไม่มีเหตุผล แต่ก็เห็นได้ว่าผู้ชายตระกูลต้วนที่คอยอยู่เบื้องหลังก็ไม่ใช่คนใจกว้างอะไร
เขาเป็นแค่ครูใหญ่โรงเรียนเล็ก ๆ แห่งนี้เอง จะไปทำคนใหญ่คนโตขุ่นเคืองได้อย่างไร?
แต่การจัดการเด็กบ้านซูออกจากโรงเรียนแบบนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถทำได้เหมือนกัน
ไม่ใช่เพราะมีหรือไม่มีจื่ออัน แต่เพราะเด็กพวกนี้นำเกียรติยศมาสู่โรงเรียนได้ต่างห่าง เขาเลยทำแบบนั้นไม่ได้
ครูใหญ่กัวรู้สึกว่าเขาจะต้องทำงานหนักเพื่อปกป้องเด็กบ้านซูแล้ว
“สหายฉางฮุ่ยอวิ๋น ผมรู้ว่าคุณรักลูกชายของคุณมาก แต่เรื่องมันก็ตั้งนานแล้ว และลูกชายคุณก็ไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอะไร ทำไมต้องเอามันมาใส่ใจด้วยครับ?”
ตอนเขาพูด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ เขากดความไม่สบายใจเอาไว้และพูดอย่างแข็งกร้าว
ฉางฮุ่ยอวิ๋นคลี่ยิ้มเย็นเยือก มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว เธอไม่คิดจะให้มันจบง่าย ๆ อยู่แล้ว
“ครูใหญ่กัว ในเมืองนี้ตระกูลต้วนเราเป็นตระกูลยังไง คุณน่าจะรู้ดีนะว่าควรอยู่ฝ่ายไหน ฉันเชื่อว่าคุณมีทางเลือก!”
นี่เป็นการบังคับให้ครูใหญ่กัวตัดสินใจมาตรง ๆ
เขารู้สึกอึดอัดมาก การที่โรงเรียนเรามีผลการเรียนแบบนี้ได้เพราะเขาเป็นปัญญาชน เป็นพวกเหม็นโฉ่อันดับเก้าและสามารถโค่นล้มได้ทุกเมื่อ
เขารู้สึกสงสารเด็ก ๆ ที่มีความเก่งเหลือเกิน และหงุดหงิดตัวเองที่ไร้ความสามารถ
ถ้าเด็กบ้านซูน้อยลง อัตราการเข้าโรงเรียนเราจะเป็นอย่างไร?
และยังมีเด็กอีกหลายคนที่ครูใหญ่กัวไม่รู้ว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือเปล่า
แต่เด็กที่สอบได้อันดับหนึ่งถึงสามของจังหวัดเนี่ย มันแทบไม่มีเลยนะ
“สหายฉางฮุ่ยอวิ๋น คุณไม่รู้หรือว่าถึงหัวหน้าเฉินจะถูกย้ายไปทางใต้ แต่ถ้าเขากลับมา เขาจะไม่ได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าเหมือนตอนนี้แล้วนะ!”
จู่ ๆ ครูใหญ่กัวก็นึกถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา และอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างตั้งใจ
ฉางฮุ่ยอวิ๋นไม่สนหรอกว่าเฉินจื่ออันจะเลื่อนตำแหน่งหรือโดนลดตำแหน่ง
สิ่งที่เธอรู้ก็คือลูกชายเธอคับข้องใจ และต้องหาทางเอาคืนให้ได้
ต่อให้ได้ตำแหน่งใหม่ แต่ก็ไม่สามารถกลับมาได้ภายในหนึ่งปีใช่ไหมล่ะ?
เพราะงั้นเธอจึงไม่ฟังคำหว่านล้อมใด ๆ และยืนกรานให้ครูใหญ่กัวขับไล่เด็กบ้านซูออกไปทั้งหมด
“ครูใหญ่กัว ทำไมต้องทำเพื่อพวกเด็กที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรต่อกันด้วยล่ะ ถ้าคุณไม่ไล่ไอ้พวกขาจุ่มโคลนบ้านซูออกไป ฉันจะไล่คุณออกจากโรงเรียนแทน”
ครูใหญ่กัวนิ่งเงียบ
เรื่องที่แม่ต้วนซิงกั๋วเข้ามาสร้างความวุ่นวายถึงโรงเรียน และต้องการให้จัดการกับเสี่ยวปาแพร่กระจายไปรวดเร็วในโรงเรียน
ถึงเด็ก ๆ จะอายุน้อย แต่ความสามารถในการแพร่กระจายข่าวซุบซิบไม่ได้ด้อยเลย
แค่สิบนาที ข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วโรงเรียนและไปถึงห้องเรียนของเสี่ยวเถียน
ซูเสี่ยวปาไม่คิดว่าผ่านไปตั้งหลายวันมันจะเกิดผลสืบเนื่องมาเช่นนี้
ตระกูลต้วนบังคับครูใหญ่กัว แล้วครูใหญ่จะเลือกทางไหน?
ซูเสี่ยวปาหน้าบึ้ง เขาไม่ได้โง่นะ เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมถึงมาสร้างปัญหาเอาตอนนี้
เพราะอาเขยไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังตระกูลซูของเขา พวกเขาอาจจะเสียเปรียบได้
ถึงอาเขยจะได้เลื่อนตำแหน่งก็ตาม แต่ไปหาผู้นำดีกว่าคนที่รับผิดชอบเรื่องนี้อีก น้ำที่อยู่ไกล ไม่อาจช่วยดับกระหาย*[1] ในตอนนี้ได้
คนตระกูลต้วนรออาเขยไปก่อน แล้วค่อยมาสร้างปัญหา จัดการไปเลยทีเดียว
“เสี่ยวเถียน เธอคิดว่าพวกเราควรทำยังไง?” เสี่ยวปาถามน้องด้วยความกังวล
เขาไม่เรียนก็ได้ แต่จะลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องไม่ได้
ซูเสี่ยวเถียนยังมีท่าทีนิ่งสงบ เหมือนไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เลย
“เสี่ยวเถียนพูดหน่อยสิ หรือพวกเราจะไม่เรียนหนังสือดี?” เสี่ยวจิ่วถามด้วยความกังวลเช่นกัน
เขาไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่พอเห็นพี่ ๆ เข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาจึงตั้งเป้าหมายไว้เงียบ ๆ ว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวงเช่นกัน
ถ้าพวกเขารู้ว่าคนจากบ้านต้วนซิงกั๋วไร้เหตุผล พวกเขาคงไม่ไปสู้ด้วยหรอก
และถ้าอีกฝ่ายอยากจะต่อยเขาหลาย ๆ ที ก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน
อีกอย่าง ถ้าต้วนซิงกั๋วเสียเปรียบจริง ๆ ลอบทำให้อีกฝ่ายเสียท่าเอาก็ได้
เช่น เอากระสอบคลุมเขาแล้วต่อยสักหมัด หรือขวางไว้ระหว่างทางแล้วต่อยก็พอแล้ว
เพราะอีกฝ่ายไม่รู้หรอกว่าพวกเขาลอบลงมือ
ทำไมต้องสู้อย่างเปิดเผยด้วยล่ะ? ตอนนี้คิดจะเอาคืนหรือไง?
แต่สายเกินไปแล้ว เพราะคนบ้านนั้นมาหาถึงที่
การจะพักการเรียนของพวกเขา ครูใหญ่กัวทำได้แค่คนเดียวเท่านั้น
เด็กหนุ่มทั้งสองไม่เคยวิตกกังวลขนาดนี้มาก่อน
*[1] ญาติที่อยู่คนละที่ ไม่อาจสู้เพื่อนบ้านมิตรเรือนเคียง