เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] – บทที่ 357 คะแนนของอันดับที่หนึ่ง

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

บทที่ 357 คะแนนของอันดับที่หนึ่ง

บทที่ 357 คะแนนของอันดับที่หนึ่ง

ครูใหญ่จินรู้ข้อดีข้อเสียของตัวเองดี และไม่คิดจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนแซ่กู้ จะว่าไปแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังจะโดนวิจารณ์เรื่องอะไร ดังนั้นเขาควรจะยอมรับความผิดพลาดของตัวเองเสียก่อน

ส่วนเรื่องเขียนรายงานทบทวนพฤติกรรมอะไรนั่น ต่อให้คิดก็ไม่อยากคิดหรอกนะ!

ครูใหญ่จินมีแผนในใจ ทว่าครูใหญ่กู้ก็ไม่คิดจะให้เรื่องนี้ไปได้สวย

เขาเอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “คุณกลับไปก่อนเถอะ เราจะหารือกันว่าจะอ่านมันในที่ประชุมหรือเปล่า แต่ต้องเขียนรายงานมาส่งผมก่อนบ่าย!”

ครูใหญ่จินกลั้นหายใจ ตอนนี้รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทั้งยังโมโหจนเกือบตาย

ตำแหน่งสูงกว่าระดับเดียวแต่กดดันคนตายได้ มันคือแบบนี้สินะ!

เขาต้องหาทางจัดการชายผู้นี้ให้ได้ จะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายอวดอ้างบารมีอีกต่อไป

เพราะคราวนี้เขาอยู่ฝั่งตระกูลโจวและตระกูลว่าน

ตระกูลโจวไม่เท่าไร แต่ตระกูลว่านมีอำนาจจริง ๆ แม้กระทั่งลูกสาวอย่างว่านหงอิงที่แต่งงานออกไปแล้วก็ยังกุมอำนาจไว้มากกว่าตัวสามีอีก!

เขาอยากจะส่งจดหมายหาคนทั้งสองตระกูลทันทีเพื่อขอให้ช่วยแก้ไขสิ่งนี้

เมื่อคิดได้เขาก็ไม่คิดบ่นต่อแล้ว

ส่วนหัวหน้าอู๋เห็นแบบนี้ มีหรือจะกล้าคิดเรื่องสุราที่ยังดื่มไม่เสร็จน่ะ?

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำดีหวังผลคืออะไร วันนี้ครูใหญ่จินคิดจะใช้สุรามาฆ่าเขาสินะ!

ผู้เข้าใจสถานการณ์คือผู้เฉลียวฉลาด

หัวหน้าอู่รีบขอโทษขอโพยทันที

“ครูใหญ่กู้ ผมไม่ได้ตั้งใจจะไม่ตรวจข้อสอบนะครับ แต่ประตูเปิดไม่ออกเลยไม่รู้จะทำอย่างไร!”

ครูใหญ่กู้รับฟังด้วยใบหน้าเรียบเฉย และไม่คิดจะเสวนากับอีกฝ่าย

เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้น แต่หัวหน้าอู๋ก็ทำได้แค่กัดฟันอธิบายต่อ

“ครูใหญ่ ผมรู้ว่าผมผิดไปแล้ว จากนี้ไปจะแก้ไขมันให้ดีครับ ถ้าเจอเรื่องแบบนี้อีก ผมจะคิดหาวิธีให้ได้และไม่หนีไปไหนด้วยครับ!”

พอเห็นว่าหัวหน้าอู๋พูดจาไม่ค่อยต่างกันนัก ครูใหญ่กู้ก็ร้องเหอะ “ถ้าไปเฉย ๆ ก็แล้วไป กลัวก็แต่จะไปจำนนต่อศัตรูเอาน่ะซี่!”

ประโยคนี้ทำให้หัวหน้าอู๋เหงื่อแตกพลั่ก เขาเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร

ในโรงเรียนมีครูใหญ่สองคนที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ในฐานะที่พวกเราเป็นลูกน้องต้องระวังตัวบ่อย ๆ เพราะกลัวว่าหัวหน้าจ้องจะเล่นงานตัวเอง และวันนี้มันก็เป็นความผิดพลาดของเขาเอง

ครูใหญ่กู้กำลังสงสัยเขา

ไม่ได้การแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาต้องทำตัวดีต่อหน้าครูใหญ่กู้ เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่สงสัยในตัวเขา

“ครูใหญ่ ผมเป็นคนอย่างไรคุณไม่รู้หรือครับ? เมื่อครู่ผมไม่เข้าใจเลยทำผิดไป”

“แต่คุณโดนติดสินบนด้วยเหล้าสองแก้วไม่ใช่หรือไง?”

หัวหน้าอู๋มีหรือจะกล้าปฏิเสธ และรีบตอบอย่างร้อนรน “ครูใหญ่ครับ ผมรู้ว่าผมผิด ผมจะแก้ไขมันเอง และสัญญาว่าจากนี้จะไม่ดื่มมันเยอะอีกครับ!”

เขาจะกล้าโลภอยากดื่มอีกไหมล่ะ?

ถ้าเกิดโลภมาก อนาคตของตัวเองจะต้องจบเห่แน่ ๆ

“ไปทำรายงานทบทวนตัวเองมา!”

เมื่อได้ยินว่าให้ตนเองทำรายงานทบทวนตัวเอง ท่าทางของเขาก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย เอาเถอะ ทำก็ทำ ไม่เป็นไรหรอก ขอแค่รักษาตำแหน่งไว้ได้ก็พอแล้ว

ส่วนครูใหญ่จิน ถึงเขาคิดจะเขียนจดหมายหาคนทั้งสองตระกูลก็ยังไม่ล้มเลิกที่จะทำลายข้อสอบ

และตอนนั้นเขากำลังฟังบทสนทนาของคนทั้งสองอยู่

รู้สึกแค้นใจนักที่หัวหน้าอู๋โง่เขลาขนาดนี้

ส่วนครูใหญ่กู้ พอจัดการหัวหน้าอู๋เสร็จก็จงใจหันไปมองครูใหญ่จิน

“ครูใหญ่จิน ทำไมคุณยังไม่รีบกลับไปเขียนรายงานอีก?”

ตอนเขาเอ่ยถาม ยังมองไปที่กระดาษในมือเป็นพิเศษด้วยเพื่อให้อีกฝ่ายได้เห็นชัด ๆ

ก่อนหน้านี้ครูใหญ่กู้มีความอดทนต่อครูใหญ่จินที่เป็นคู่แข่งมาก

แต่คราวนี้เขาเกือบถูกลากลงไปในก้นบ่อด้วย เขาอยากจะต่อยหน้าอีกฝ่ายสักสองสามทีเพื่อระบายความเกลียดชังในใจออกมานัก!

และถึงจะไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายครูใหญ่จินก็ออกจากห้องเอกสารแล้วตรงไปที่ห้องทำงาน

ส่วนหัวหน้าอู๋ที่รู้ว่าตนทำผิดพลาดและต้องเขียนรายงานก็รีบจะออกไปทันทีเช่นกัน

ทว่าครูใหญ่กู้ไม่คิดจะปล่อยเขาไปแบบนั้น พอเห็นเขาขยับ อีกฝ่ายก็เอ่ยออกมา “หัวหน้าอู๋ คุณจะตามครูใหญ่จินไป หรือทำงานที่ผมมอบหมายให้เสร็จ?”

แม้เขาจะดื่มสุรามาและยังเวียนหัวอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เมามายจนไม่ได้สติ รวมถึงรู้น้ำหนักในคำพูดนั้นดี

เขาทำได้แค่กัดฟันพลิกกระดาษทีละแผ่นเพื่อหาผลคะแนนของนักเรียนที่ครูใหญ่ว่า

ครูใหญ่กู้ยืนอยู่ข้าง ๆ ดูลูกน้องทำงาน และรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เขากลับมาที่สำนักงานใหญ่พร้อมกระดาษคำตอบในมือ

คราวนี้สีหน้าของเขามีความเคารพและอ่อนน้อมถ่อมตนมากขึ้น และใบหน้าดูประจบประแจงทั้งยังมีความระแวดระวังอีกเช่นกัน

เป็นพวกเขาที่ผิดเอง

เด็กพวกนี้เป็นเด็กเก่ง คะแนนดีกว่าคนอื่น ๆ ทุกคนเลย

กระดาษของเด็ก ๆ จัดเก็บไว้อย่างดี และในใบรวมคะแนนก็มีชื่อพวกเขาด้วย

แต่ชื่อกลับไม่ได้เผยแพร่ออกไปในใบประกาศข้างนอก

“สหาย เป็นความประมาทของพวกเราเองครับที่ทำชื่อเด็ก ๆ ตกหล่น! พวกเราจะแก้ไขข้อผิดพลาดและให้พวกเขาได้เรียนหนังสือครับ!”

ครูใหญ่กู้ปรับท่าทางให้เรียบร้อยแล้วโค้งคำนับเฉินจื่ออัน

หลังจากเขาก็คำนับพวกเสี่ยวเถียนด้วย

เด็ก ๆ ทุกคนรู้ว่านี่คือการแสดงความสุขภาพ มีหรือจะรับการคำนับจากครูใหญ่ เลยวุ่นกับการถอยหนีอยู่

เฉินจื่ออันได้ยินเช่นนี้จะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าเดิมที่ครูใหญ่กู้ไม่คิดจะตรวจให้ดีอยู่แล้ว

“ครูใหญ่กู้ คุณมีแผนจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงครับ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

หาคะแนนกับกระดาษคำตอบเจอ มันก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ได้แย่อย่างที่คิด

ครูใหญ่กู้รีบตอบทันที “สหาย คุณคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่เราจะเปลี่ยนใบประกาศที่เผยแพร่ในตอนนี้เป็นแบบใหม่น่ะ?”

เฉินจื่ออันร้องเหอะ พูดง่ายเหลือเกิน ถึงจะแปะประกาศใหม่ ก็รังแต่จะทำให้คนอื่นเขาสงสัยเอาน่ะสิ

เพราะพอทุกคนในใบรายชื่อรู้ว่าตนสอบผ่านแล้ว การลงทะเบียนเรียนของโรงเรียนก็เริ่มต้นขึ้นทันที

ถ้าเพิ่มชื่อพวกเด็ก ๆ เข้าไป นั่นหมายความว่าเด็กที่ลงทะเบียนไปแล้วจะโดนปฏิเสธ

เพราะแบบนี้แหละ ถ้าเด็ก ๆ ที่สอบได้อันดับต้น ๆ แต่ตัวเองดันตกรอบ ทั้งยังไม่คิดจะมาโวยวายอีกด้วย แบบนี้สิถึงเรียกได้ว่าแปลก!

ซึ่งเฉินจื่ออันกำลังกลัว เพราะหลานของเขาสอบได้คะแนนดี และมันจะทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

“ครูใหญ่กู้ คุณช่วยแก้ปัญหาด้วยการติดใบประกาศใหม่ตอนนี้ได้ไหม?”

คำพูดกดดันของจื่ออันทำให้อีกฝ่ายไม่รู้จะตอบอะไรออกไปครู่หนึ่ง

ส่วนเสี่ยวเถียนเข้าใจทันทีว่าอาเขยของตนกำลังหมายถึงอะไร

ใช่แล้ว เพราะใบประกาศเผยแพร่ออกไปแล้ว แล้วถ้าเราติดใหม่ซึ่งจู่ ๆ ก็มีเด็กบ้านซูแทรกเข้าไปด้วย มันจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ?

ไม่แน่ว่าคะแนนที่พวกเราสอบได้มาอาจจะโดนคนตั้งคำถามก็ได้

เสี่ยวเถียนมองครูใหญ่กู้ด้วยความโกรธเคือง

โรงเรียนมัธยมอันดับเจ็ดถือเป็นโรงเรียนมัธยมชั้นนำในเมืองหลวงแท้ ๆ ทำไมปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาได้ล่ะ

แล้วก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโรงเรียนจัดการกันอย่างไร!

“ถ้าผิดพลาดแค่คนเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่เด็ก ๆ บ้านผมโดนเหมือนกันหมดทุกคน ครูใหญ่กู้คิดว่าครอบครัวของเราโง่ขนาดนั้นเลยหรือครับ?”

เฉินจื่ออันกล่าววาจาเสียดสี

น้ำเสียงของเขาไม่มีความอบอุ่นเลยสักนิด ทั้งยังเย็นเยียบเสียดแทงเข้าไปในหัวใจราวกับมีดน้ำแข็ง

ครูใหญ่กู้ร้องทุกข์มิรู้วายเลยจริง ๆ

เขาจะไปกล้าคิดได้อย่างไรว่าคนบ้านนี้โง่เขลาน่ะ?

ถ้าคนที่ได้พวกผู้นำคอยดูแลเอาไว้นั้นโง่เขลา แล้วจะมีกี่คนบนโลกที่ฉลาดล่ะ? แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องแบบนี้แล้ว เขาต้องรีบหาวิธีการแก้ปัญหา

ต้องแก้อย่างถูกต้องเท่านั้นเพื่อให้คนตรงหน้าได้พึงพอใจ

แค่คนเหล่านี้เท่านั้นที่พอใจ เบื้องบนก็จะได้พอใจไปด้วย

แต่เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับหลายคนมากเกินไป

หลังจากขบคิดแล้ว เขาก็ยังตัดสินใจไม่ได้!

เขากลัวว่าถ้าเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของโรงเรียน

ผู้ปกครองและนักเรียนจะวางใจได้อย่างไรถ้าเกิดเรื่องแย่ ๆ แบบนี้ขึ้น

แต่ถ้าไม่เปิดเผย ก็ต้องแก้ไขรายชื่อ ซึ่งมันจะก่อให้เกิดความสงสัยกับคนอื่น!

พอถึงตอนนั้น ข่าวใส่สีตีไข่ก็จะส่งผลกระทบต่อการสอบคัดเลือกในครั้งนี้แน่นอน

ยากเหลือเกิน!

เฉินจื่ออันชำเลืองมองครูใหญ่กู้ แล้วก็รู้ด้วยว่าตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยซ้ำ

เขายืนขึ้นทันที และกำลังจะจากไปพร้อมกับแข้งขายาว ๆ

พอเห็นอีกฝ่ายจะไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ครูใหญ่กู้ก็ร้อนรนเสียแล้ว นี่ไม่อดทนรอให้เขาจัดการเลยใช่ไหม?

ไม่ได้การแล้ว ถ้าวันนี้ปล่อยชายตรงหน้าออกไป แสดงว่าเขาล้มเหลวในการจัดการกับเรื่องนี้แล้ว

ตอนนั้นแหละที่แรงกดดันจากเบื้องบนมันมากพอจะให้เขารับไว้อย่างแน่นอน

อีกอย่างคือ เราต้องเสียนักเรียนดี ๆ พวกนี้ไปด้วย

“สหาย รอสักครู่เถอะ ผมจะอธิบายให้คุณฟังเอง”

ว่าจบ ครูใหญ่กู้ก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ในฐานะครูใหญ่ ผมต้องคิดถึงโรงเรียนก่อนเป็นอันดับแรก จึงไม่สามารถทำลายชื่อเสียงของโรงเรียนเพราะเรื่องนี้ได้ครับ”

นี่เป็นคำกล่าวจากใจจริง แม้จะร้องขอเพียงนิด แต่เฉินจื่ออันก็เข้าใจได้

“ครูใหญ่กู้ ผมไม่ได้ตั้งใจจะกดดันนะ แต่เรื่องนี้ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะนี่เป็นความหวังเดียวของผม!”

เฉินจื่ออันไม่ได้พูดต่อ แต่อีกฝ่ายก็เข้าใจได้ว่าถ้าเรื่องนี้ไม่สามารถตรวจสอบอย่างละเอียดได้ ชายตรงหน้าจะไม่ปล่อยมันไว้แน่นอน!

“เราจะตรวจสอบอย่างละเอียดแน่นอนครับ รวมถึงคนที่ทำเรื่องนี้ด้วย และผมก็มีแค่คำขอที่ไม่สมควรอีกหนึ่งคำขอด้วยครับ!” หลังจากชั่งใจแล้ว ครูใหญ่กู้ก็พูดออกมาในที่สุด

“ครูใหญ่กู้พูดเถอะ!” เฉินจื่ออันรู้สึกได้ว่าครูใหญ่กู้ยังอยากแก้ปัญหาเรื่องนี้จึงเอ่ยอย่างอดทน

“เป็นไปได้ไหมครับที่จะเลี่ยงไม่ให้ทุกคนได้รู้เรื่องนี้?”

ไม่ทันได้ตอบ เสี่ยวเถียนก็เอ่ยออกมาก่อน

“ครูใหญ่กู้คะ ตอนเราดูรายชื่อก่อนหน้านี้ อันดับหนึ่งในห้องเรียนพิเศษของชั้นมัธยมปลายปีที่หนึ่งได้สามร้อยเก้าสิบหกคะแนนค่ะ”

ตอนที่ได้ยิน เขาเหลือบมองคะแนนในกระดาษโดยไม่รู้ตัว

ชื่อลำดับที่หนึ่งคือซูเสี่ยวเถียน ได้วิชาคณิตศาสตร์หนึ่งร้อยคะแนน วิชาภาษาจีนเก้าสิบเจ็ดคะแนน วิชาฟิสิกส์เคมีหนึ่งร้อยคะแนน และวิชาประวัติศาสตร์การเมืองเก้าสิบเก้าคะแนน รวมแล้วสามร้อยเก้าสิบหกคะแนน!

เขาตกใจมาก เพราะในใบรายชื่อนี้มีแค่คนเดียวที่ทำคะแนนได้มากขนาดนี้ และไม่มีที่สองด้วย

แต่ที่เสี่ยวเถียนบอกคืออะไรนะ? ชื่อที่อยู่บนใบประกาศที่เผยแพร่ออกไปแล้วได้คะแนนเท่านี้นะ

หมายความว่าอย่างไรกันเนี่ย?

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

Status: Ongoing
ซูเสี่ยวเถียนผู้มีชีวิตล้มลุกคลุกคลานได้ย้อนเวลามายังยุค 70 แล้วเกิดใหม่ในร่างเดิมครั้งเมื่ออายุ 7 ขวบ ผู้ซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยพี่ชายสุดคลั่งรักเก้าคน โดยการทะลุมิติในครั้งนี้มีระบบวิเศษติดตัวมาด้วย คือ ‘ระบบอ่านหนังสือ’ ซึ่งมาพร้อมกับห้องสมุดส่วนตัว เธอสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่มีปัญหาใดที่หนังสือไม่อาจแก้ไขได้ แต่หากแก้ไขไม่ได้ล่ะ? ก็อ่านหนังสือเพิ่มอีกสักสองเล่มแล้วกัน! หากว่ายังไม่พอก็อ่านเพิ่มอีกสักหลายเล่มหน่อย เธอไม่เพียงแต่อ่านมันคนเดียวเท่านั้น แต่ยังโน้มน้าวพี่ชายสุดแสบทั้งเก้าให้อ่านหนังสือกับเธออีกด้วย ทั้งยังชักชวนให้ผู้เป็นบิดาและมารดาให้มาอ่านหนังสือด้วย แม้แต่คุณปู่และคุณย่าก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้!เมื่อทำภารกิจสำเร็จ จะได้รับรางวัลเป็นของตอบแทน ยิ่งทำภารกิจสำเร็จมากเท่าไร ก็จะได้รางวัลมากขึ้นเท่านั้น! ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นจากการอ่านหนังสือจะทำให้เส้นทางชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท