บทที่ 393 ถนนโบราณ
บทที่ 393 ถนนโบราณ
สวรรค์รู้ว่าเขาต้องวิ่งวุ่นหาล่ามคนหนึ่งจนผมร่วงแทบจะหมดหัว หัวล้าน ๆ ตอนนี้แทบจะไม่เหลือผมแล้ว การร่วมมือกันของเรากับทางฝรั่งเศสมากขึ้นทุกที และความสามารถของนักแปลก็ยิ่งไม่พอด้วย
เลยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาพนักงานที่เก่งกาจ!
เงินหนึ่งพันหยวนในการจ้างแปลเอกสารฉบับเดียว ฟังดูเหมือนจะแพง แต่สำหรับโครงการหลายล้านหยวนไม่ใช่เรื่องใหญ่เท่าไรที่มีเงินหลายล้านดอลลาร์
เสี่ยวเถียนไม่คิดว่าจะได้คำสัญญาจากอีกฝ่าย ใบหน้าของเธอจึงปรากฏรอยยิ้มออกมา คงจะเป็นการดีถ้าเราได้ร่วมมือกันไปอีกนาน ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักแปลอิสระ
เดิมทีคิดแค่จะทำครั้งเดียว แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้ร่วมงานกันต่อ น่าตกใจจริง ๆ!
ในตอนที่เสี่ยวเถียนกำลังจะเดินออกไป หัวหน้าหลี่เดินออกไปส่งด้วยตัวเอง
ชายชราหน้าประตูมองภาพนั้น อดอิจฉาไม่ได้
หัวหน้าหลี่มาส่งด้วยตัวเองเลย สาวน้อยคนนี้คงมีพรสวรรค์จริง ๆ!
มนุษย์ไม่ควรถูกตัดสินจากรูปร่างหน้าตา ความทะเยอทะยานไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ!
เสี่ยวเถียนเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นแววตาอิจฉาของเขา แถมยังบอกลาด้วยรอยยิ้มอันแสนหวานด้วย
โรงงานไฟฟ้าตงเฟิงตั้งอยู่ในทำเลดี พอออกจากประตูใหญ่มาแล้วเดินต่อไม่เท่าไรก็ถึงสถานีขนส่ง
เดิมทีเธอคิดจะกลับบ้านทันที แต่พอเห็นรถบัสของถนนโบราณแล่นผ่านมาก็ตัดสินใจที่จะขึ้นรถไป
หายากมากที่ช่วงบ่ายจะว่าง ขอแอบไปเที่ยวที่นั่นสักหน่อยก็แล้วกัน ถนนโบราณมันเป็นแค่ชื่อเรียกเฉย ๆ ส่วนของโบราณที่แท้จริงพบได้ยากมาก โดยเฉพาะแผงลอยที่เสี่ยวเถียนมองอยู่
เก้าในสิบของร้านแผงลอยพวกนี้เป็นของปลอมทั้งนั้น
ครั้งล่าสุดที่มา เธอบังเอิญเจอขวดยานัตถุ์จากปลายราชวงศ์ชิงและถ้วยจากราชวงศ์ชิงตอนกลาง
พวกมันก็ไม่ได้มีค่าขนาดนั้น และเสี่ยวเถียนก็ไม่คิดจะสะสมด้วย เลยขายมันในราคาถูก ๆ ให้ร้านแผงลอยพวกนี้
รวมของสองสิ่งเข้าด้วยกัน ก็ถือว่าได้กำไรนิดหน่อย
วันนี้เธอเอาเงินมาเยอะเลย แล้วก็มีเวลาพอสมควรด้วย เสี่ยวเถียนมองดูแผงพวกนั้นอย่างสบายใจ บางครั้งเห็นตุ๊กตาปั้นน่าเล่นก็เอามือไปลูบ ๆ คลำ ๆ
ตอนนี้สภาพจิตใจมั่นคงมาก หันซ้ายหันขวาดูของไม่หยุด
ถ้าอันไหนดีมันก็ดี ถ้าไม่ดีก็ทิ้งมันไว้! ต้องบอกว่าความโชคดีของเธอมันดีจริง ๆ ที่รู้ว่าอันไหนของจริง ในไม่ช้าเธอก็เจอของชิ้นแรกที่น่าสงสัยว่าจะเป็นของแท้
นี่คือซอง ‘ภาพกุหลาบของศิลปะสี่แขนง’[1]* ในซองสีเงินทองแกะสลัก มีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือนิดหน่อย ฝีมือไม่เลวเลย ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นของจากสมัยจักรพรรดิเฉียนหลงของราชวงศ์ชิง
เสี่ยวเถียนไม่คิดจะสะสมมันไว้ แต่ถ้าเก็บได้ก็จะเอาไปขายต่อ
เธอสำรวจของบนแผง เห็นได้ชัดว่าเจ้าของไม่ได้ใส่ใจกับของขายตัวเองเท่าไร ข้าง ๆ ถุงหอมมีกองงานฝีมือชิ้นน้อยวางอยู่ สายตากวาดมองของชิ้นอื่น ๆ อีกรอบ
นอกจากของชิ้นนี้แล้ว อันอื่น ๆ ก็เป็นของเลียนแบบแถมไร้ค่าอีก
“คุณลุง หนูว่างานแกะสลักรากไม้ของคุณสวยมากเลยค่ะ ราคาเท่าไรหรือคะ?” เธอถามแล้วชี้ไปที่งานขนาดเท่าฝ่ามือ
งานมันไม่ได้สวยมาก แต่ข้อดีคือลิงที่อยู่บนนั้นดูสดใสและน่าดึงดูดใจ
“งานแกะสลักชิ้นนี้เป็นของเก่าเลยนะสาวน้อย ฉันเห็นเธอยังเด็ก แถมน่ารักด้วย ให้ห้าหยวนแล้วกัน!”
เขาซื้อมันมาในราคาหนึ่งหยวนจากชนบท เดิมทีคิดจะขายห้าสิบหยวน แต่วางขายมาตั้งหลายวันแล้วทว่าไม่มีใครเหลียวแลเลย
หากยากมากที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะชอบ
เสี่ยวเถียนรีบผละมือของจากงานแกะสลักทันที
“แพงเกินไปหรือเปล่าคะ มันก็แค่ก้อนรากไม้เองไม่ใช่หรือ? ราคาห้าหยวน คิดจะโกงกันหรือเปล่าเนี่ย?” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความรังเกียจอย่างไม่คิดปิดบังเลยสักนิด
เจ้าของร้านตะลึง เด็กคนนี้ ชอบหรือไม่ชอบกันแน่?
“สาวน้อย แต่มันเป็นของเก่าเลยนะ งั้นเธอไปถามคนในถนนสายนี้ได้เลยว่ามีใครขายราคาถูกขนาดนี้บ้างหรือเปล่า” อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจมาก
ท่าทางแบบนั้น ถ้าไม่รู้ว่าเขาแสร้งทำก็คงคิดว่าเสียใจที่ขาดทุนจริง ๆ
“แต่หนูไม่มีเงินขนาดนั้นนะคะ!” เสี่ยวเถียนแสดงสีหน้าลำบากใจ
เจ้าของร้านเห็นวัยของเสี่ยวเถียนก็เชื่อว่าเธอคงไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นจริง ๆ
เพราะเป็นแค่เด็กนี่นา จะพกเงินเยอะ ๆ ได้อย่างไรล่ะ?
เขาทำได้แค่บอกว่า “ไม่งั้นฉันให้ถูกกว่านั้นหน่อยเป็นไง? สาวน้อย เธอเอาเงินมาเท่าไรล่ะ?”
เจ้าของร้านกัดฟันพูด ทำเอาเสี่ยวเถียนอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ
“หนูเอามาสามหยวนค่ะ!” เธอขบริมฝีปาก “ถ้าแม่รู้ว่าหนูซื้องานรากไม้ในราคาสามหยวน แม่ตีหนูตายแน่เลย”
เธอว่าก่อนจะวางของกลับคืนแล้วหมายจะจากไป
เจ้าของร้านใช้เวลาหลายวันกว่าจะหาคนที่สนใจมันได้ พอได้ยินเสี่ยวเถียนบอกว่าเอาเงินมาสามหยวนก็ตัดสินใจใหม่หลังจากครุ่นคิด
สามหยวนก็ยังดี ได้กำไรมาสองหยวน ดีกว่าเข้าเนื้อแล้วกัน
พวกเราแค่ตั้งแผงขาย ไม่ได้ทำร้านค้า ขายได้หนึ่งชิ้นก็ทำเงินได้มหาศาลแล้ว เงินเล็กน้อยที่ว่าก็หยวนสองหยวนนี่แหละ
“เอาแบบนี้แล้วกันสาวน้อย ให้ราคานี้ก็ได้ ใครใช้ให้ฉันถูกใจเธอนะ?” ชายคนนั้นถืองานแกะสลักไว้ในมือ และเอ่ยอย่างไม่เต็มใจ “สามหยวน ฉันลดให้เธอเลยนะ!”
แต่เสี่ยวเถียนยังส่ายหัว “หนูไม่เอาแล้วค่ะ แม่บอกว่าให้เอาเงินสามหยวนไปซื้อเนื้อ”
ท่าทางจริงใจทำให้เจ้าของร้านเชื่อว่าเสี่ยวเถียนชอบมันจริง ๆ กระทั่งเอาเงินซื้อเนื้อมาซื้อของชิ้นนี้ด้วย
แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปหน่อยหรือเปล่า แถมยังจ้องไปที่เงินของเด็กคนนั้นไม่วางตา ถ้าเด็กน้อยกลับบ้านไปแล้วโดนแม่ดุจะทำอย่างไรล่ะ?
แต่ก็ใช่ว่าเขาจะยอมทิ้งธุรกิจตรงหน้าไปนี่นา
“สาวน้อย ไม่งั้นแบบนี้แล้วกัน เธอดูของจากแผงฉันแล้วเลือกมาชิ้นนึง เดี๋ยวให้เป็นของแถม”
เพราะมันไม่ได้มีค่านัก ส่วนใหญ่ก็ไม่กี่เหมา หรือไม่ก็หนึ่งหยวน
เสี่ยวเถียนกำลังรอประโยคนี้เลย เธอไม่ได้พูดอะไรแล้วหยิบถุงหอม ตามด้วยถ้วยโบราณ
“ถ้วยใบนี้ดูดีอยู่นะคะ หนูเอาไปทำเป็นถ้วยอาหารแมวก็ได้ อืม ไม่เอาดีกว่า หนูหาอันที่ดีกว่านี้ดีกว่า”
เสี่ยวเถียนพึมพำ หยิบออกมาสี่ห้าชิ้นติดแต่ก็วางมันลงทุกชิ้น
เจ้าของร้านเฝ้ามองเสี่ยวเถียนเลือกชิ้นนึงวางชิ้นนึง รู้สึกลุกลี้ลุกลน
ของส่วนใหญ่มีราคาถูก แต่บางชิ้นก็มีราคาหนึ่งถึงสองหยวน ถ้าเด็กน้อยเลือกสิ่งนั้น เขาต้องรู้สึกปวดใจมากแน่ ๆ
สุดท้ายเสี่ยวเถียนก็หยิบถุงหอมสีดำขึ้นมา
“อันนี้สวยมากเลยค่ะ แขวนไว้ที่คอแมวได้!”
เจ้าของร้านโล่งใจมาก ของชิ้นนี้เป็นแค่ของแถมที่ได้มาตอนซื้อของชิ้นอื่น แล้วเด็กน้อยเอาไปเป็นของแถม เขาก็เลยไม่เสียใจสักนิด
*[1] ศิลปะสี่แขนงที่เหล่าปัญญาชนต้องเรียนรู้และชำนาญ มีเล่นฉิน หมากรุก การเขียนพู่กัน และวาดภาพ