บทที่ 753 เตรียมตัวกลับบ้าน
บทที่ 753 เตรียมตัวกลับบ้าน
“ท่านครับ เรื่องนั้นคงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ” ซูอู่ร่างปฏิเสธอย่างหนักแน่น!
ถึงคราวที่ฝ่ายหัวหน้าจะไม่มีความสุขแล้ว
“ซูอู่ร่าง คุณกลัวว่าถ้าเสี่ยวเถียนมาอยู่กับเราแล้วคุณจะบดบังความโดดเด่นของคุณหรือ?” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เป็นพี่ชายแท้ ๆ ใจแคบแบบนี้ได้ยังไง?
“…” ซูอู่ร่าง
ท่านผู้บังคับบัญชาไปเอาความคิดนี้มาจากไหนเนี่ย? เขาดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ? ถ้าน้องได้ไปเรียนด้วย เขาคงมีความสุขจนล้นออกมาจากอก
พี่น้องในบ้านคนอื่น ๆ ได้กินข้าว ได้คุย ได้เล่นกับน้องบ่อย ๆ แต่เขากลับไม่สามารถทำได้ เขาคิดถึงน้องจนแทบจะขาดใจตายอยู่แล้ว
นั่นน้องสาวแท้ ๆ ของเขาเลยนะ!
ถ้าน้องได้ไปเรียนอยู่ด้วย ที่นั่นจะมีเขาแค่คนเดียว แถมยังอยู่ห่างสายตาจากฉืออี้หย่วนด้วย!
อันที่จริง น้องเล็กไม่มีความคิดแบบนั้นหรอก!
คนที่บ้านก็ด้วย
ขืนลองพูดเรื่องนี้ออกไป ปู่ย่าได้หักขาเขาทิ้งแน่
“ท่านครับ ท่านคิดเยอะเกินไปแล้ว! ผมจะไปกลัวน้องสาวแย่งความโดดเด่นได้ยังไงกัน?”
ซูอู่ร่างมองผู้บังคับบัญชาด้วยสายตาดูแคลน
“ถ้างั้นทำไมถึงชักชวนมาไม่ได้ล่ะ?”
เฉียวกวางหย่วนร้อนรน! ไอ้นี่มันกล้าจ้องเขาด้วยเหรอ?
“ผู้บังคับ ผมขอแนะนำให้ท่านล้มเลิกความคิดนี้จริง ๆ นะครับ!”
“ข้าอุตส่าห์เจอคนถูกใจทั้งที ทำไมต้องยอมแพ้ด้วย?” เฉียวกวางหย่วนตาแดงก่ำ
ยอมแพ้เหรอ ถ้ายอมแพ้แล้วจะไปหาคนแบบนี้ได้จากที่ไหนอีกล่ะ?
“กระทรวงการต่างประเทศก็อยากได้ตัว รัฐมนตรีอู๋จากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ต้องการ ไหนจะรัฐมนตรีฉางจากกระทรวงพาณิชย์อีก ท่านคิดว่าจะแย่งชนะฝ่ายไหนเหรอครับ?”
“น้องบอกว่าเธออยากเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศบ้านเกิดจึงเลือกเรียนด้านภาษา! แล้วก็อย่าคิดว่าจะเกลี้ยกล่อมคนที่บ้านได้เลยครับ การตัดสินใจของน้องมีแรงสนับสนุนจากทุก ๆ คนครับ”
ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมน้องเลือกแบบนี้ แต่ตราบใดที่เธอเลือกแล้ว มันจะต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างแน่นอน!
และสิ่งนี้ไม่ใช่ความคิดของซูอู่ร่างเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่มันคือความคิดเห็นพ้องต้องกันของทุกคนในตระกูลซู
หลายปีที่ผ่านมา ตราบใดที่เสี่ยวเถียนได้ตัดสินใจ มันไม่มีปัญหาเลยสักนิด
ที่จริงเขาไม่รู้สักนิดว่าเสี่ยวเถียนเลือกเรียนภาษาจีนเพราะไม่รู้จะเรียนอะไร และถ้ารู้ความจริงเข้าล่ะก็ในวันใดวันหนึ่ง คงไม่หน้ามืดตามัวเชื่อหรอก
ผู้บังคับกองร้อยตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
เรื่องจริงหรือหลอก? มีผู้ยิ่งใหญ่ตั้งหลายฝ่ายต่างแย่งตัวสาวน้อยคนนี้เหรอ? เทียบกันแล้ว ตัวเขาเป็นแค่ผู้ชายตัวเล็กกระจ้อยคนหนึ่งเท่านั้น สู้ไม่ได้เลยสักนิด
“อู่ร่าง ทำไมเขาถึงแย่งตัวน้องสาวแกขนาดนั้น?” เขาเอ่ยถามเสียงแผ่วโดยไม่รู้ตัว
หลายคนเชียวนะ หรือเด็กคนนั้นจะเก่งรอบด้าน?
แต่จากสิ่งที่เธอเลือกเรียนมา มันไม่เกี่ยวกับพวกการเกษตร พาณิชย์ หรือด้านการแปลเลยนี่?
“ผมบอกท่านแล้วไงครับ ว่าน้องสาวผมเก่งมาก!”
เฉียวกวางหย่วนได้ฟัง พลันรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
“น้องสาวผมพูดได้ 4 ภาษา และมีความเชี่ยวชาญสองในสี่ แน่นอนว่าตอนนี้อาจจะมากกว่านั้นแล้วก็ได้ครับ”
“ยิ่งกว่านั้นเธอยังรู้เรื่องการเกษตรมากมาย ตอนอายุได้เจ็ดแปดขวบ เธอศึกษาเรื่องการปลูกพืชพันธุ์กับอาจารย์เสิ่นจื่อเจินแล้วด้วย”
“นอกจากนี้ น้องยังตั้งโรงงานเป็นของตัวเอง และมีสายสัมพันธ์อันดีกับบริษัทจากเยอรมันนี ทั้งยังหาเงินตราต่างประเทศได้มหาศาลให้กับประเทศนี้ด้วยครับ!”
ซูอู่ร่างเอ่ยสิ่งที่ไหลเกินกว่าจะเข้าใจให้ได้ฟัง
“…” ผู้บังคับกองร้อย
ทำไมรู้สึกเหมือนฟังนิทานปรัมปราเลย? มันคือสิ่งที่คนคนเดียวจะทำได้ทั้งหมดหรือเนี่ย? เขาพูดภาษาต่างประเทศไม่ได้แต่ภาษาเดียว อยู่ในระดับที่พูดได้แค่ How are you กับ Thank you เท่านั้น
แต่ซูเสี่ยวเถียนรู้ตั้งสี่ภาษาเลยนะ? แล้วตอนนี้ยังเรียนปลูกพืชกับอาจารย์เสิ่นจื่อเจินอยู่ไหม?
แล้วเสิ่นจื่อเจินคือใครกันล่ะ? เขาเป็นคนที่คนนอกวงการยังรู้จัก อีกฝ่ายเปรียบเสมือนบุคคลสำคัญ เป็นศาสดาแห่งโลกการเกษตร และผู้ที่สามารถติดตามอาจารย์ท่านได้คือผู้ที่มีความสามารถที่สุด
ตั้งโรงงานเป็นของตัวเองแล้วยังหาเงินเข้าประเทศได้อีกเหรอ?
เฉียวกวางหย่วนคล้ายจะเป็นลม
แล้วเด็กคนนี้ยังเป็นอัจฉริยะด้านทหารอีก?
ทำไมลูกชาวบ้านชาวช่องเขาถึงได้เก่งกันนัก?
“เป็นไปได้ยังไง? เป็นไปได้ยังไงกันนะ?” เขาพึมพำ
เมื่อเห็นท่าทางเหล่านั้น ซูอู่ร่างรู้สึกตนทำตัวกร่างไปหน่อย และเป็นการไปยั่วยุผู้บังคับด้วย เพื่อให้ให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียจึงรีบพูดเสริม
“ท่านไม่ต้องห่วงนะครับ เรื่องนี้ยังมีทางเป็นไปได้ครับ”
เฉียวกวางหย่วนสติกลับมาทันที!
“น้องสาวของผมยังเด็กอยู่เลย ปีนี้อายุแค่ 13 เท่านั้น ว่ากันตามตรงก็คืออายุเธอยังไม่ถึงเกณฑ์ ต่อให้ได้เป็นทหารแต่ก็ยังเด็กเกินไปใช่ไหมล่ะครับ?”
ผู้บังคับกองร้อยรู้สึกดีขึ้นมาก
จริงด้วย สาวน้อยเพิ่งจะ 13 ตอนนี้จึงยังไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นทหารในตอนนี้ แม้ตัวเขาจะต้องการมากแค่ไหน แต่เบื้องบนไม่เอาด้วยแน่!
เขาคิดเยอะเกินไปจริง ๆ
บางทีเสี่ยวเถียนอาจจะเลือกเข้าร่วมกับเราหลังเรียนจบมหาวิทยาลัยในอีก 4 ปีข้างหน้าก็ได้ ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีนะ ถึงตอนนั้นเธอจะอายุ 17 ปีพอดี เป็นวัยที่เหมาะจะเป็นทหารยิ่ง
แต่สปิริตอันแรงกล้าเมื่อครู่เป็นอันต้องลดฮวบในพริบตา ถ้าตอนนั้นยังมีคนแย่งตัวเธออีก เขาคงแข่งด้วยไม่ได้แน่นอน ไม่ได้การแล้ว กลับไปต้องหาคนมาพูดเรื่องนี้ด้วย ทางที่ดีหาคนช่วยแก้ปัญหาจะดีที่สุด
“ท่านครับ ผมยังไม่ได้กินข้าว ขอตัวไปกินข้าวก่อนนะครับ!”
ซูอู่ร่างไม่อยากคุยกับคนพูดจาไม่รู้เรื่องอีกต่อไปแล้ว อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้ตัวเขาเหนื่อยเกินไปยังไงล่ะ ว่าจบก็วิ่งแน่บออกไปทันทีโดยไม่รอคำตอบ
ในตอนที่รู้สึกตัว เฉียวกวางหย่วนมองหาว่าซูอู่ร่างอยู่ที่ไหน?
“ไอ้เด็กนี่ไปไวจริง ๆ ไม่บอกเรื่องน้องสาวกับฉันสักนิด!”
หากคนไม่รู้เรื่องคงคิดว่า ผู้บังคับท่านนี้มีความคิดอันไม่สมควรอยู่
ซูเสี่ยวเถียนไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังเป็นที่เพ่งเล็ง
ในที่สุดก็ถึงวันพักผ่อนระหว่างช่วงการฝึกเสียที เธอเก็บของเตรียมกลับบ้านอย่างมีความสุข ในห้องมีเพื่อนที่อยู่ในเมืองหลวง และมาจากภูมิภาคอื่น
ฉู่เยว่ ซูเสี่ยวเถียน และอิ่นหรูอวิ๋นเป็นคนเมืองหลวง แล้วก็มีจ้าวหงเหมยที่มาจากเมืองจิน (เทียนจินในปัจจุบัน) ถึงเมืองจินจะอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง แต่ไม่สามารถกลับไปถึงภายในวันเดียวได้ เพราะงั้นจ้าวหงเหมยจึงเลือกที่จะไม่กลับ
“เธออยากไปบ้านฉันไหม?”
เสี่ยวเถียนคิดว่าเพื่อน ๆ เพิ่งจากบ้านมาครั้งแรก หลาย ๆ อย่างอาจยังไม่ลงล็อก จึงเป็นฝ่ายเอ่ยถาม