บทที่ 987 เป็นภรรยาทหาร
บทที่ 987 เป็นภรรยาทหาร
“ดีแล้ว ๆ ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงน่ะ หลังจากนี้เราถือว่าเป็นพี่เป็นน้องกันนะ กลับไปถึงยังมีโอกาสได้เจอกันด้วย” หญิงสาวยิ้มร่าเริง
เสี่ยวเถียนยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนสบายใจมาก
ไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กคนนี้จะจับกุมกลุ่มค้ามนุษย์ได้ ทั้งยังพาเด็ก ๆ กลับมาได้อีก
เธอเดาว่าสองคนนั้นต้องโดนรูปลักษณ์ภายนอกของเสี่ยวเถียนหลอกล่อแน่เลยถึงได้โดนจับตัวได้
“เธอชื่อซูเสี่ยวเถียนใช่ไหม? สมชื่อเลยนะ อ่อนหวานเชียว*[1]”
“ใช่แล้วค่ะพี่สาว หนูซื่อซูเสี่ยวเถียนค่ะ”
เพราะได้ยินชื่อมาจากตำรวจน่ะ แต่เหมือนเธอยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลย
“อุ๊ย พี่ลืมแนะนำตัวเองไปเลย พี่ชื่อชุยถงหลานนะ เรียกพี่ถงหลานหรือพี่หลานก็ได้จ้ะ”
เสี่ยวเถียนยิ้ม “เข้าใจแล้วค่ะพี่ถงหลาน”
ชุยถงหลานดีใจมากที่เสี่ยวเถียนไม่ได้สุภาพต่อกันมากนัก
เธอชอบคนตรงไปตรงมาจริง ๆ
เซี่ยหนานที่อยู่ข้าง ๆ ไม่ได้เข้าไปขัดจังหวะ
เธอหันไปสนทนากับเจ้าหน้าที่แทน
ฝ่ายตำรวจเป็นมิตรกับเสี่ยวเถียนมาก ยิ่งรู้ว่าเซี่ยหนานเป็นผู้ใหญ่ที่มากับเด็กสาวก็ยิ่งมีท่าทีสุภาพมากขึ้น
เซี่ยหนานตอบทุกอย่างเท่าที่รู้
แต่บอกได้เลยว่าน้ำเสียงเธอมีความชื่นชมมาก
แต่มันก็เป็นทั้งความกังวลและภาคภูมิใจผสมปนเปกันไป
ถึงจะไม่ใช่ญาติมิตรสหาย แต่ก็เป็นนักเรียนและเด็กที่เธอเอ็นดู
ชุยถงหลานขอตัวกลับก่อน เธอกลัวว่าลูกจะร้องตอนตื่นถ้าไม่เห็นตนเลยรีบกลับไป
ตอนเย็น มีผู้ปกครองของเด็กอีกคนมาแสดงคำขอบคุณต่อเสี่ยวเถียนเช่นกัน
เธอเป็นหญิงชนบท แตกต่างกับชุยถงหลานโดยสิ้นเชิง
ถ้าให้อธิบายก็เป็นผู้หญิงเรียบร้อยคนหนึ่ง
“น้องสาว ฉันชื่อเถาอวิ๋นอิง เป็นคนถงเฉิงจ้ะ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตลูกฉันไว้ด้วยนะ ถ้าไม่ได้เธอช่วยไว้ลูกก็คงโดนพาไปอยู่ที่อื่นแล้วละ!”
เถาอวิ๋นอิงอุ้มลูกมาด้วย
เสี่ยวเถียนเห็นเด็กก็มีความสุขมาก หน้าตามาดเข้มเชียว เธอหยิบมะเขือเทศออกมา และขนมอีกสองชิ้นให้กับเขา
“ตายแล้ว ไม่ต้องให้หรอกจ้ะ”
เดิมทีก็ละอายใจอยู่แล้วที่ไม่มีของขอบคุณเขา
แต่เจ้าตัวกลับเป็นฝ่ายให้ลูกเธอแทน จึงยิ่งละอายใจกว่าเก่า
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ที่บ้านหนูปลูกเอง เห็นว่าอร่อยเลยอยากให้น่ะ”
เด็กน้อยวัยขวบสองขวบรับเอาไป หลังจากหมุนดูอยู่สักพักก็กัดเข้าปาก
เถาอวิ๋นอิงเห็นลูกกินเข้าไปแล้วจึงไม่ได้พูดอะไร ได้แต่แย้มยิ้มให้
“น้องสาวเป็นคนเมืองหลวงหรือ? พวกเรามาจากชนบทน่ะ หวังว่าจะไม่รังเกียจกันนะ”
เถาอวิ๋นอิงรู้สึกต่ำต้อยมาก
เสี่ยวเถียนตอบ “หนูมาจากชนบทเหมือนกันค่ะ ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยในเมืองหลวงค่ะ”
คนชนบทมีความมั่นใจในตัวเองต่ำมาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว ยิ่งเผชิญหน้ากับคนในเมืองแล้วด้วย เสี่ยวเถียนจึงไม่อยากสร้างความกดดันให้เธอ
“เป็นนักศึกษาหรือเนี่ย ไม่แปลกใจเลยที่ดูดีมาก ๆ สามีฉันเป็นทหารน่ะ กำลังพาลูกไปหาเขาที่กองทัพ”
เสี่ยวเถียนตกใจมาก
สำหรับอาชีพทหาร มันเป็นเรื่องที่ยากและอันตรายมาก ๆ ในการปกป้องครอบครัวและประเทศ ในฐานะที่เป็นภรรยาคงกดดันไม่น้อย
โชคดีที่ช่วยเด็กกลับมาได้ทันท่วงที
ทหารต้องหลั่งเลือดเนื้อเพื่อปกป้องผู้อื่น ไม่รู้จะเสียใจแค่ไหนหากลูกโดนกลุ่มค้ามนุษย์จับตัวไปแล้วไม่สามารถปกป้องเขาไว้ได้
“ในฐานะที่พี่สะใภ้เป็นภรรยาทหาร พี่ทำงานหนักมากเลยนะ” เสี่ยวเถียนกล่าวอย่างจริงใจ
ไม่ว่าทหารในยุคไหน ๆ ก็มักจะเป็นคนที่ต้องลงแรงมากที่สุด
โดยเห็นได้จากพี่ห้า
ซูอู่ร่างเป็นนักเรียนของโรงเรียนเตรียมทหาร บอกตรง ๆ ว่าสภาพร่างกายของเขาดีกว่าทหารของเอกชนมาก แต่จำต้องไปปฏิบัติภารกิจในช่วงปีใหม่และวันหยุดเสมอ วันรวมญาติจึงไม่สามารถมาร่วมได้
เถาอวิ๋นอิงคาดไม่ถึงเล็กน้อย
“เธอพูดแบบนี้ทำฉันรู้สึกละอายใจจังเลย” เธอว่าตรง ๆ “นอกจากจะมาขอบคุณแล้ว อยากมาขอที่อยู่ด้วยน่ะ”
จริง ๆ เสี่ยวเถียนไม่อยากให้
เพราะรู้ว่าเถาอวิ๋นอิงต้องส่งของมาแสดงคำขอบคุณแน่นอน
แต่อีกใจก็เข้าใจความเชื่อมั่นในตัวเองต่ำของอีกฝ่ายดี
หากปฏิเสธ เจ้าตัวอาจจะคิดเยอะอีกก็ได้
“งั้นต่างคนต่างให้ที่อยู่กันดีไหมคะ เผื่อวันไหนหนูไปถงเฉิงจะได้แวะไปเยี่ยมพี่ได้ค่ะ”
เถาอวิ๋นอิงดีใจมาก
“ได้สิ แต่ฉันเขียนหนังสือไม่เป็นนะ รบกวนเขียนแทนฉันทีจ้ะ”
เสี่ยวเถียนจดที่อยู่ทั้งสองบ้านเอาไว้ ก่อนยื่นที่อยู่ตัวเองให้
“เราต้องลงสถานีหน้าแล้วละ ขอบคุณมากนะน้องสาว” เถาอวิ๋นอิงเอ่ยอย่างจริงใจ “เธอคือผู้มีพระคุณของเราเลย”
ถ้าไม่ติดว่าเสี่ยวเถียนเป็นเด็ก คงจะให้ลูกนับเด็กสาวเป็นแม่บุญธรรมแล้วละ
มันคือสิ่งที่เธอคิดไว้น่ะ แต่เสี่ยวเถียนเด็กเกินไป
“ตอนลงรถระวังด้วยนะคะ”
เข้าเทียบชานชาลาเมื่อไรฟ้าคงมืดแล้ว
ลำบากสำหรับสองแม่ลูกมาก ๆ
“ฉันโทรเลขไปหาสามีแล้วละ เขากำลังรออยู่ที่สถานีจ้ะ”
ตอนเอ่ยถึงสามีใบหน้าเธอมีแต่ความสุข บอกได้เลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไปได้สวยมาก
“พี่สะใภ้ ให้หนูส่งพี่ลงรถดีไหมคะ?
ขณะที่เถาอวิ๋นอิงกำลังจะปฏิเสธ เซี่ยหนานได้เอ่ยขึ้น “งั้นก็ไปขนของเถอะ พอถึงชานชาลาแล้วจะได้ลงรถเลย”
“อาจารย์หมายถึงให้หนูกับพี่เขาไปขนของใช่ไหมคะ ส่วนเด็กฝากไว้ที่อาจารย์ก่อน?”
เสี่ยวเถียนเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงมีสัมภาระเยอะ
เถาอวิ๋นอิงคิด “ตกลงจ้ะ ฉันนั่งอยู่ตั๋วเบาะแข็งนะ ไม่รู้ว่าถ้ามาตู้ตั๋วนอนจะต้องจ่ายค่าตั๋วเพิ่มหรือเปล่า?”
“ไว้อธิบายให้เจ้าหน้าที่แล้วกันค่ะ”
เสี่ยวเถียนไม่ได้ห่วงเรื่องนี้ แค่ชั่วโมงสองชั่วโมงเอง เจ้าหน้าที่คงไม่สนใจหรอก
หลังจากบอกกล่าวอีกฝ่ายก็เห็นด้วย
“ได้สิ วันนี้คุณคงตกใจกลัวมาก ถ้ามีคนช่วยดูแลจะได้วางใจได้น่ะ!”
เจ้าหน้าที่เอ่ยกับเถาอวิ๋นอิงเสร็จ ก็หันมาคุยกับเสี่ยวเถียน “ขอบคุณเธอมากนะ!”
[1] คำว่าเถียน (甜) ในชื่อของซูเสี่ยวเถียนแปลว่า หวาน