บทที่ 1025 โรงงานที่เป็นซากปรักหักพัง
บทที่ 1025 โรงงานที่เป็นซากปรักหักพัง
ในที่สุดเด็กหนุ่มก็รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
เจ้าของที่ยังเป็นของคนอื่นอยู่เลยนะ แล้วจะรีบคิดเยอะไปทำไม?
แต่มันไม่มีจังหวะให้ซูเสี่ยวปาได้ขัดเลยสักนิด
เขาคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะช่างมัน ไม่ยุ่งแล้วกันกลับห้องนอนดีกว่า
หลังเด็กหนุ่มจากไป คนอื่น ๆ เห็นว่ามันไม่น่าสนใจก็แยกย้ายไปด้วย
กว่าทั้งสองจะคิดเสร็จก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว พวกเขาต่างง่วงงุนและเข้านอนบ้าง
เช้าวันต่อมา ทั้งสองคนก็เดินทางไปโรงงานร้างที่ว่า
โรงงานนั้นห่างจากบ้านซูพอสมควร ใช้เวลากว่าชั่วโมงจึงจะไปถึง
ซูเสี่ยวเถียนมองไปรอบ ๆ
“อันนี้คือโรงงานร้างที่เธอบอกเหรอ” ซูเสี่ยวซื่อเอ่ยด้วยความรังเกียจ
สภาพรกร้างมาก
จะบอกเป็นซากก็คงไม่ใช่เรื่องเกินจริง
“ถ้ามันไม่ได้โทรมขนาดนี้คงมีคนซื้อไปแล้วละค่ะ จะเหลือถึงเราได้ยังไงล่ะ?”
โรงงานแห่งนี้พื้นที่ไม่ได้ใหญ่ ถึงจะมีคนอยากเอาไปพัฒนาต่อก็ไม่คุ้มทุน
แถมสถานที่ดูรกร้างมาก บอกว่าเป็นพื้นที่ชานเมืองถือว่าชมเลยนะ แล้วก็ไม่ได้มีคุณค่าในการพัฒนาด้วย
เสี่ยวเถียนรู้สึกว่าแถวนี้พัฒนาไวนะ มากสุดปีสองปีเลย
จากกระแสในตอนนี้ ตำแหน่งของเราถือว่าได้เปรียบ
เด็กสาวมั่นใจว่าต้องมีคนชอบพื้นที่ตรงนี้แน่นอน
เพราะยุคแบบนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
คงจะแปลกมากถ้าไม่มีคนเห็นคุณค่าของมัน
“พี่สี่คิดว่ายังไงคะ?”
“ไกลไปหน่อยแต่ใช่ว่าจะไม่รุ่งนะ!” ซูเสี่ยวซื่อว่าตรง ๆ
บริเวณโดยรอบถือว่าเป็นเมืองเล็ก ๆ ซึ่งก็ไม่ได้ดีแต่ก็ไม่ได้แย่
ในฐานะนักธุรกิจ เขาคิดว่าด้วยอัตราการพัฒนาในตอนนี้น่าจะไปได้สวย ด้วยความที่เป็นนักธุรกิจมันต้องทำได้แน่นอน ถึงจะไม่ใช่ใจกลางเมืองก็ตาม
“งั้นซื้อไว้ก่อนปีหน้าค่อยสร้าง ปีถัดไปเราทำธุรกิจ อีกปีก็เปิดตัว ตอนนั้นน่าจะดีขึ้นเยอะแล้วละ”
เสี่ยวเถียนพยักหน้ารับ
โครงสร้างตึกในตอนนี้ไม่ใช่แบบยุคปัจจุบันน่ะ ความเร็วในการสร้างก็ช้ามากเลยด้วย
ถ้าอ้างอิงตามแผนที่วางไว้ปีหนึ่งน่าจะไวสุดแล้ว เผลอ ๆ ปีครึ่งถึงจะเสร็จ
แล้วก็ต้องรออีกหลายเดือนถึงจะเปิดได้ด้วย
ถึงจะเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ก็อย่าไปกลัว!
เสี่ยวเถียนรู้สึกว่าทำเลนี้ดีมาก แต่ยังมีความไม่สบายใจอยู่
สิ่งเดียวที่กลัวตอนนี้คือ กลัวว่าตอนที่กำลังสร้าง ๆ อยู่ แผนแม่แบบจะมีปัญหาเอาน่ะสิ
เงินที่จ่ายไปอาจเสียเปล่าได้
แต่ใช่ว่าจะแก้ไขยากอะไร
ซื้อที่ก่อนแล้วกัน เรื่องสร้างตึกไว้ว่ากันได้อีกยาว
แต่สงสัยตอนนั้นคงต้องไปเยี่ยมผู้ใหญ่ใจดีเสียแล้ว
ต่อให้ไม่ได้ข้อมูลที่แน่ชัดมา ขอแค่เป็นข่าวคราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ได้
ถ้าตอนนั้นมีแผนงานครบวงจรแล้ว เราอาจจะสร้างตึกได้ แต่ถ้ายังไม่มีแผนร่างที่แน่นอนก็ปล่อยที่ดินไว้ทำอย่างอื่นแทน
“งั้นเอาแบบนั้นแล้วกัน เรื่องที่ดินไว้ว่ากัน”
สองพี่น้องเป็นอันตัดสินใจ
ตรงประตูโรงงานที่อยู่ของเจ้าของติดเอาไว้
เมื่อตามไปยังจุดหมายในนั้น เราก็พบกับเจ้าของโรงงานอย่างรวดเร็ว
เขาเป็นชายวัยกลางคนร่างท้วม
“ใช่สหายชุยไหมคะ? เราตามมาจากโรงงานอวี๋หยางค่ะ” เสี่ยวเถียนเข้าประเด็นทันที
“พวกเธอ…” สายตาของอีกฝ่ายมองสำรวจคนทั้งสอง
ฝ่ายชายอายุราวยี่สิบปี ดูเหมือนจะยังไม่หย่านมแม่ด้วยซ้ำ ส่วนผู้หญิงก็เด็กมาก
แต่สองคนนี้บอกว่าตามมาจากโรงงานอวี๋หยางนะ คงไม่ใช่อย่างที่เราคิดใช่ไหม?
ชายวัยกลางคนดูสงสัยทั้งสองคนมาก
“บอกตามตรงนะครับ เราสนใจโรงงานของคุณมาก เลยอยากมาปรึกษาหารือครับ!” ซูเสี่ยวซื่อแย้มยิ้ม
“แล้วผู้ใหญ่ไปไหนหมด? เอาเด็กมาคุยแทนได้ยังไง?”
สหายชุยดูแคลงใจมากว่าเจ้าสองคนนี้มันมาแกล้งเขาในวันหยุด
ตั้งแต่เปิดขายไปเมื่อครึ่งเดือนก่อนก็มีคนติดต่อมาบ้างละ
แต่ส่วนใหญ่บอกว่าราคาสูงไป
บางส่วนยอมแพ้ไปแล้ว ตอนนี้มีอยู่สองคนที่กำลังเจรจากันอยู่
แล้วคนที่คุยด้วยก็เป็นคนร่ำรวยและประสบความสำเร็จทั้งนั้น ไม่มีเด็ก ๆ แบบนี้หรอก
“การที่พวกเรามาหาคือพวกเราเป็นคนตัดสินใจเองครับ คุณไม่ต้องห่วงนะ” ซูเสี่ยวซื่อทำธุรกิจมาเยอะแล้ว เขาสามารถคลี่คลายความสงสัยของอีกฝ่ายได้ทีละขั้น
ช่วยไม่ได้นี่นา หนุ่ม ๆ แบบนี้โดนสงสัยตลอดเลย!
“คุณลุงชุย พวกเราเห็นตัวโรงงานแล้วค่ะ แต่ตอนนี้อยากมาเจรจาเรื่องราคาค่ะ” เสี่ยวเถียนว่าตรง ๆ
“ไอ้หนุ่ม ราคาไม่ใช่แค่ร้อยสองร้อยหยวนนะ รู้หรือเปล่าว่าฉันขอเท่าไร?” สหายชุยยังคงรู้สึกว่าเด็กสองคนนี้เอาแต่พูดจาใหญ่โต
ไม่มีทางที่พวกเขาจะทุ่มทุนซื้อโรงงานหรอกนะ
ถึงจะแต่งตัวดี แต่ดูไม่เหมือนมาจากครอบครัวร่ำรวยเลย
สายตาชายวันกลางคนเฉียบแหลมมาก
ในเมืองหลวงมีคนรวยเยอะมาก แต่ละคนมาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียงทั้งนั้นแม้จะผ่านมาหลายรุ่น ทรัพย์สมบัติที่บรรพบุรุษทิ้งไว้เอายังพอให้พวกเขาได้กลับมาเกิดใหม่และเอามาใช้ต่อได้ด้วยซ้ำ
ส่วนเด็กสองคนตรงหน้าไม่ได้มีรัศมีของคนรวยมาแต่เดิมสักนิดเดียว
ถึงหลายปีมานี้จะมีหลาย ๆ คนใช้โอกาสสร้างรายได้ แต่พื้นเพครอบครัวอ่อนแอเกินไป
“งั้นบอกราคามาได้เลยค่ะ!”
ท่าทีแน่วแน่นี้ทำให้ชายวัยกลางคนนิ่งไปครู่หนึ่งและเชื่อว่าทั้งสองเป็นเด็กที่ผู้ใหญ่ในบ้านส่งมาซื้อที่จริง ๆ
“ห้าหมื่นหยวนนะ ไม่ใช่น้อย ๆ เลย!”
สหายชุยเอ่ยออกมา
สูงกว่าที่คาดไว้มาก
เธอหวังไว้ที่สี่หมื่นหยวน
สูงสุดอย่างน้อยสี่หมื่นห้า
ซึ่งอีกฝ่ายขอห้าหมื่นเลย
“ราคาสูงไปหน่อยนะคะ หนูคิดว่าลุงน่าจะรู้ได้”
เสี่ยวเถียนพยายามเจรจา
อีกฝ่ายยิ้มขมขื่น “สาวน้อย ถ้าราคาไม่สูงฉันก็ขายออกไปตั้งนานแล้ว ทุกวันนี้มีคนมาเจรจาเรื่องราคาตลอดเลยนะ”
“แต่ธุรกิจไม่ได้มีราคาตายตัวนะคะ เราหาที่นั่งมาคุยกันดีไหมคะ ลุงคิดว่าไง?”
เสี่ยวเถียนยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำคนมองสบายใจราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ