ตอนที่ 285 แผนการรับมือ
เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มานั้นก็คือหนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิง ที่บำเพ็ญเพียรอย่างอุตสาหะตลอดหลายปีมานี้
เพียงแต่รัศมีของทั้งสองนั้น บัดนี้กลับมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ท่าทางสงบนิ่ง สายตาอ่อนโยน รอบกายไร้ซึ่งไอพลังเต๋าใด ๆ ราวกับผู้เฒ่าธรรมดา ๆ เท่านั้น
ทว่าด้วยเหตุนี้ คนทั้งคู่จึงให้ความรู้สึกดังเฉกเช่นสูงสุดคืนสู่สามัญ
ทันใดนั้นหลังจากที่ทุกคนในตำหนักไท่เสวียนเห็นคนทั้งคู่ปรากฏตัวขึ้น ดวงตาพลันเปล่งประกาย ก่อนจะทยอยเดินเข้าไปต้อนรับในทันที
“คารวะผู้อาวุโสซือถู ผู้อาวุโสหนานกง”
เมื่อมาถึงตรงหน้าของคนทั้งคู่แล้ว ทุกคนต่างก็โค้งคำนับลงทันที
“ทุกท่าน มิต้องมากพิธี”
ซือถูเจิ้นผิงโบกมือไปมาเล็กน้อย พร้อมเอ่ยว่า “ส่วนลึกของแดนรกร้างทางเหนือทำให้ฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง ก่อนหน้านี้ข้าและพี่หนานกงเองก็รู้สึกได้เช่นกัน เช่นนั้นจึงได้รีบมา”
เจ้าสำนักต้าหลัว หลัวชุนเฟิง ประสานมือขึ้น พร้อมเอ่ยถามว่า “ผู้อาวุโสซือถู พอมีวิธีที่หยุดหายนะในครานี้บ้างหรือไม่ขอรับ ? ”
ได้ยินเช่นนั้น
“เรื่องนี้พูดยาก”
ซือถูเจิ้นผิงหันไปส่งสายตาสื่อสารกับหนานกงเสวียนจีเล็กน้อย จากนั้นก็ลูบที่เคราของตัวเองแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ตามตำราโบราณได้บันทึกเอาไว้ว่า จักรพรรดิมารตนนี้นับแต่สมัยบรรพกาลก็สามารถก้าวขึ้นเป็นเซียนได้แล้ว”
“และนางมิเพียงแต่ฝึกเคล็ดโบราณต่าง ๆ ของตระกูลมารเท่านั้น ทว่ายังได้ฝึกฝนสุดยอดเคล็ดวิชามากมายของมนุษย์อย่างพวกเราอีกด้วย เช่นนั้นหากต้องการเอาชีวิตรอดจากน้ำมือของนาง เกรงว่าต่อให้พวกข้าสองคนร่วมมือกันก็อาจจะมิสำเร็จก็เป็นได้’”
“ยิ่งไปกว่านั้นการที่นางถูกผนึกมานับล้านปี แต่บัดนี้กลับสามารถทำลายผนึกและหวนคืนสู่โลกภายนอกได้อีกครา คาดว่าพลังของนางคงจะแก่กล้าขึ้นมากเป็นแน่”
สิ้นเสียง ทุกคนที่ยืนอยู่ภายในตำหนักไท่เสวียนต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันใด ท่าทางของทุกคนต่างเต็มไปด้วยความสับสนและว้าวุ่นใจเหลือคนา
ต้องยอมรับว่าตบะบารมีของซือถูเจิ้นผิงและหนานกงเสวียนจีในตอนนี้ เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกผู้บำเพ็ญเพียรเลยก็ว่าได้
แต่บัดนี้ต่อให้พวกเขาทั้งสองร่วมมือกัน ก็ยังมิแน่ว่าจะสามารถเอาชนะจักรพรรดิมารตนนั้นได้
เช่นนี้เท่ากับว่าหากผู้อาวุโสเย่มิยื่นมือเข้ามาช่วย เกรงว่าทั่วทั้งจงหยวนก็หามีผู้ใดที่จะสามารถต่อกรกับจักรพรรดิมารตนนั้นได้เลยเยี่ยงนั้นหรือ ?
ในสมัยบรรพกาลผู้แข็งแกร่งของลัทธิเต๋ามากมายได้ร่วมมือกัน จนสามารถขับไล่ฝ่ายมารทั้งหมดไปยังดินแดนรกร้างทางเหนือ ที่ถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนอันหนาวเหน็บได้
ยิ่งไปกว่านั้นสถานที่ที่ผนึกจักรพรรดิมารตนนั้นมานับล้านปี ยังได้มีการวางค่ายกลสังหารชั่วนิรันดร์ เพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายมารก้าวเข้าสู่จงหยวนได้แม้แต่เพียงครึ่งก้าวอีกด้วย
คิดดูก็รู้แล้วว่าตลอดเวลาอันยาวนานนับล้านปีที่ผ่านมา ตระกูลมารและตระกูลมนุษย์มีความแค้นต่อกันมากเพียงใด?
และอีกมินานหากฝ่ายมารโจมตีจงหยวน มิเท่ากับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์หรอกหรือ ?
คิดได้เช่นนั้นทุกคนภายในตำหนักไท่เสวียนต่างก็มีสีหน้าโศกเศร้าขึ้นมาทันที พลางถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง “เกรงวาหากผู้อาวุโสเย่มิยื่นมือเข้ามาช่วย ลัทธิเต๋าของเราคงมิมีผู้ใด ที่จะสามารถต่อกรกับจักรพรรดิมารตนนี้ได้อีกแล้ว”
เจ้าสำนักจื่อชิงสวีฉิงเทียนหลุบตาลง พร้อมกับเอ่ยเสียงเข้มขึ้นมาว่า “แต่พวกเราก็มิอาจนั่งรอความตายเช่นนี้ได้ ต่อให้ต้องตายก็ต้องให้เผ่ามารได้ลิ้มรสความเจ็บปวดด้วยเช่นกัน!”
“ดี ! เจ้าเฒ่าสวี เจ้าพูดได้ดีจริง ๆ ”
เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์หยินหยาง ต้วนฉางเต๋อ ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ขอเพียงมีคนยับยั้งจักรพรรดิมารตนนั้นได้ พวกเราก็ขอสู้ตาย ให้มารพวกนั้นบาดเจ็บล้มตายให้มากที่สุด ถึงตอนนั้นอาจจะทำให้ลัทธิเต๋าของเรามีโอกาสรอดก็เป็นได้”
“เชื่อว่าด้วยฐานะของนางมารเฒ่าตนนั้น คงมิถึงกับยอมลงมือสังหารเด็กน้อยที่มิรู้อิโหน่อิเหน่ในลัทธิเต๋าของเราด้วยตัวเองหรอกกระมัง”
ตอนนั้นเอง
“ทุกท่านอย่าเพิ่งท้อใจไปก่อนเลย”
หนานกงเสวียนจีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซือถูเจิ้นผิงโบกมือไปมา พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “แม้สิ่งที่พี่ซือถูพูดมาจะเป็นความจริง แต่ทุกคนอย่าได้ลืมว่า”
“ในโลกที่เราอาศัยอยู่นั้นเยี่ยงไรเสียก็เป็นโลกมนุษย์ แม้ต้องยอมรับว่าจักพรรดิมารตนนั้นมีพลังที่แข็งแกร่ง ทว่าระดับตบะบารมีของนางก็ยังถูกจำกัดหากอยู่ในโลกนี้อยู่ดี”
เอ่ยถึงตรงนี้หนานกงเสวียนจีก็ได้กวาดตามองทุกคนแล้วเอ่ยว่า “และคิดว่าทุกคนต่างก็รู้ดีว่าจงหยวน ยังมีสี่ตระกูลผู้พิทักษ์โบราณอยู่ด้วย”
“ข้ามองว่าหากสี่ตระกูลผู้พิทักษ์โบราณยอมยื่นมือเข้ามาช่วย ต่อให้ฝ่ายมารจะโจมตีจงหยวน หากเป็นศึกชี้ชะตากันจริง ๆ แล้วล่ะก็ ฝ่ายมารเองก็จะต้องยอมจ่ายค่าตอบแทนที่หนักหนาสาหัสมากเช่นกัน”
ซือถูเจิ้นผิงพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็เอ่ยเสริมขึ้น
“อีกอย่างข้ามองว่าผู้อาวุโสเย่มิมีทางทนดูเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราถูกทำลายลงอย่างแน่นอน เยี่ยงไรเสียเขาก็ขึ้นชื่อว่าถือกำเนิดมาจากโลกใบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นถึงบรรพจารย์ของมนุษย์เราอีกด้วย”
“ผู้อาวุโสซือถู มีเรื่องหนึ่งที่ท่านอาจจะยังมิรู้”
นักพรตฉางเสวียนขมวดคิ้วแน่น “หลายปีมานี้ ท่านบรรพจารย์เย่เข้าฌานมาโดยตลอด ผู้น้อยคิดว่าอีกมินานท่านบรรพจารย์เย่อาจจะหลบลี้จากโลกมนุษย์แล้วก็เป็นได้”
‘ผู้อาวุโสเย่เข้าฌานมาโดยตลอด ? ’
ซือถูเจิ้นผิงและหนานกงเสวียนจีได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะสบตากันอย่างอดมิได้
ผู้อาวุโสเย่แท้จริงแล้วมีตบะบารมีระดับใดกันแน่ คนอย่างพวกเขาทั้งสองก็มิอาจคาดเดาได้
แต่ว่าการที่เขาเข้าฌาน ?
เช่นนี้ก็เป็นปัญหาใหญ่น่ะสิ
หรือว่าเขาคิดจะไปจากโลกนี้แล้วจริง ๆ ?
อืม !
คงจะเป็นเช่นนั้นแน่ !
อีกทั้งยังมีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้น ที่จะสามารถอธิบายการที่เขาเข้าฌานได้
คิดได้เช่นนั้นแล้ว หนานกงเสวียนจีก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันใด
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่
“ทุกท่าน เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน”
หนานกงเสวียนจีเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “ในเมื่อจักรพรรดิมารตนนี้ออกมาแล้ว เชื่อว่าอีกมินาน มารเผ่าต่าง ๆ จะต้องมารวมตัวกันยังดินแดนทางเหนือ เพื่อวางแผนโจมตีจงหยวนเป็นแน่”
“เช่นนั้นข้าคิดว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งห้า นิกายใหญ่ทั้งแปด รวมทั้งสำนักอื่น ๆ ที่เหลือ ที่ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของจงหยวน ก็ขอให้ไปที่ชายแดนทางเหนือในทันที”
“ส่วนสำนักที่อยู่ทางใต้ของจงหยวน ก็ให้ไปยังชายแดนทางใต้ในทันที เพื่อป้องกันปีศาจเผ่าต่าง ๆ จากเทือกเขาแดนใต้ ที่อาศัยโอกาสนี้บุกโจมตีจงหยวน”
เอ่ยถึงตรงนี้หนานกงเสวียนจีก็หันไปมองซือถูเจิ้นผิง พร้อมกับเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พี่ซือถู ข้าคิดว่าพวกเราสองคนคงต้องไปหาสี่ตระกูลผู้พิทักษ์โบราณสักคราแล้วล่ะ”
ซือถูเจิ้นผิงยิ้มออกมา “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”
เอ่ยจบหนานกงเสวียนจีและซือถูเจิ้นผิงก็กวาดตามองทุกคนอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวแล้วเหาะไปนอกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนโดยทันที
ในตอนนั้นเอง ทุกคนที่ยืนอยู่ภายในตำหนักไท่เสวียนต่างก็มองสบตากัน จากนั้นก็เป็นหลัวชุนเฟิงที่เอ่ยขึ้นมา
“ทุกท่าน เรื่องมาถึงขั้นนี้ ลัทธิเต๋าของเราก็ควรรวมพลังกัน ทำตามที่ผู้อาวุโสทั้งสองแนะนำ แบ่งกันไปทางเหนือและใต้ เพื่อเตรียมตัวต้อนรับศัตรูจะดีกว่า”
นักพรตไท่หัวเองก็พยักหน้าเห็นด้วย “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราก็คงทำได้เพียงเท่านี้”
…………………………..
ขณะเดียวกัน
ณ ดินแดนรกร้างทางเหนือ
ตู๋กูชิงเฟิงได้พาผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงของฝ่ายมารกลุ่มหนึ่ง มายังตำหนักโบราณอันยิ่งใหญ่หลังหนึ่ง
ก่อนจะนั่งลงบนบัลลังก์หยกโลหิตที่อยู่ด้านบน
“ทุกท่าน จุดประสงค์ที่ข้าเรียกพวกท่านมานั้นก็มิมีอะไรมาก”
ตู๋กูชิงเฟิงปรายตามองทุกคนด้วยใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยความเย็นชา พร้อมกับเอ่ยเสียงเรียบว่า “หลังจากที่เผ่าของเราเข้าสู่จงหยวนแล้ว ห้ามทำการเข่นฆ่ามนุษย์เป็นอันขาด”
ได้ยินเช่นนั้นเหล่าผู้แข็งแกร่งฝ่ายมารต่างก็รู้สึกฉงนไปตาม ๆ กัน พลางส่งสายตาเพื่อสื่อสารกันเล็กน้อย
‘ท่านจักรพรรดิหมายความเช่นไรกัน ? ’
‘เผ่าของเราถูกกักขังเอาไว้ในดินแดนที่หนาวเหน็บแห่งนี้มานับล้านปี’
‘ตลอดเวลาที่ผ่านมาเรียกได้ว่าลำบากลำบนอย่างแสนสาหัส คนในเผ่าบ้างก็ล้มตายลงอย่างอนาถไปมากมายนับมิถ้วน’
‘ทั้งหมดนี้ก็เพราะพวกมนุษย์พวกนั้น’
‘มาบัดนี้เผ่าของเราจะหวนคืนสู่จงหยวน เหตุใดจึงมิสามารถเข่นฆ่าพวกมนุษย์เพื่อล้างแค้นในครานี้ได้เล่า ? ’
‘จริงด้วย ! ’
‘เพลงฮั่วฟาน ! ’
‘มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่กายสลายเต๋าสูญสิ้นไปนานแล้วผู้นั้น ! ’
‘ดูท่าว่าท่านจักรพรรดิถูกผนึกมาหลายปี แต่ก็ยังลืมมนุษย์ผู้นั้นมิได้อยู่ดี ! ’
‘อืม ! ’
‘ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ! ’
คิดได้เช่นนั้นหญิงชราร่างกายแข็งแรงและมีดวงตาที่สามอยู่บริเวณหว่างคิ้ว ก็เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังถ้อยคำว่า
“ท่านจักรพรรดิ มนุษย์ผู้นั้นกายสลายเต๋าสูญสิ้นไปแล้วนะเจ้าคะ ! ”
ยังมิทันสิ้นเสียงดี
“ท่านจักรพรรดิ พวกเรามิเข่นฆ่าพวกมนุษย์ก็ได้ขอรับ”
ผู้เฒ่าที่มีปีกผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างครุ่นคิด “แต่พวกเราจำเป็นจะต้องยึดดินแดนบำเพ็ญเพียรที่ดีที่สุดของจงหยวนให้ได้นะขอรับ”
ตู๋กูชิงเฟิงมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา เพียงแค่กวาดตามองหญิงชราและผู้เฒ่าที่มีปีกเท่านั้น