บทที่ 255 ผู้อาวุโส
ณ คฤหาสน์ ที่เป็นดั่งป้อมปราการและเต็มไปด้วยลมปราณอันหนาวเย็น เปี่ยมไปด้วยไอแห่งสงครามและสัตว์วิญญาณอันแข็งแกร่ง
วิญญาณสงครามเหล่านี้ไม่ใช่วิญญาณของทหารแต่อย่างใด มันเป็นสัตว์วิญญาณพิเศษที่ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยความรู้สึกต่าง ๆ ที่ปะปนกันในสนามรบ
สัตว์วิญญาณประเภทนี้เกิดมาพร้อมกับพลังในการต่อสู้อันแข็งแกร่ง มันไม่จำเป็นต้องลงแรงพัฒนาหรือเสริมสร้างพลังด้วยการฝึกฝนใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้รับการยอมรับจากมัน แล้วก็ไม่จำเป็นต้องผูกมัดหรือทำพันธสัญญาใด ๆ วิญญาณสงครามนั้นจะภักดีต่อเจ้านายในทันที
น่าเสียดายที่วิญญาณสงครามนั้นมีจำนวนน้อย เพราะโอกาสที่มันจะเกิดขึ้นมีเพียงแค่ในพื้นที่สงครามของกองทัพระดับล้านคนเท่านั้น
“ท่านป้า!”
หนิงฮัวร้องไห้อย่างน่าเวทนาอยู่ด้านนอกคฤหาสน์
วิญญาณสงครามไม่ยอมให้เขาเข้ามา และเขาก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปด้วยตนเองเช่นกัน เพราะท่านป้าของเขาคนนี้เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในตระกูลหนิงเทียบเคียงกับปู่ของเขา
ท่านป้าคนนี้แข็งแกร่งพอที่ต่อต้านต่อความไม่พอใจ ทั้งหมดของตระกูลที่มีต่อนางได้สบาย ๆ นางเข้มแข็งพอที่จะบุกไปที่บ้านคู่หมั้นของนาง และบังคับให้ตระกูลอีกฝ่ายถอนหมั้น แข็งแกร่งพอที่จะเพิกเฉยต่อคำสั่งของท่านปู่และอยู่ที่สำนักเฉียนหลงเพื่อฝึกฝนต่อไป
หลังจากหนิงฮัวรอมาทั้งวัน โดยไม่ได้กินหรือดื่มอะไร ในที่สุดประตูก็เปิดออก
จากนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากประตู
ผู้หญิงคนนี้มีสายตาอันแหลมคมทิ่มแทงราวกับดาบวิเศษ บรรยากาศของนางดูเย็นชา และเต็มไปด้วยพลังวิญญาณอันน่ากลัว ดูเหมือนว่านางจะมีแรงกดดันระดับทหารและม้านับพัน
นางคือหนิงปิงหลัน
“ข้าได้ยินเกี่ยวกับมันแล้ว” หนิงปิงหลันกล่าวอย่างอ่อนโยน “การตัดสินใจของสำนักย่อยการปรับแต่งถือเป็นที่สุด แม้ว่าข้าจะไปขอร้องสำนักย่อยการปรับแต่งก็คงไม่สนใจหรอกนะ”
ใบหน้าของหนิงฮัวแสดงให้เห็นถึงความผิดหวัง
เมื่อหนิงปิงหลันเห็นใบหน้าของหนิงฮัวที่ผิดหวัง นางเองก็ผิดหวังมากเช่นกัน
นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าหลานชายตัวแสบคนนี้ จะออกมาขอร้องให้นางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
เขาไม่ฉลาดเท่าไหร่เมื่อเทียบกับหนิงหลิงหลิง
แต่ทางตระกูลก็ได้มอบเล่กุยให้กับเขา ต่างจากหนิงหลิงหลิงที่ต้องหาซื้อสัตว์วิญญาณตัวที่สาม โดยขายสัตว์วิญญาณของนางเองมาหาทุน
“ข้าจะพยายามหาทางแก้ไขให้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเจ้าเพียงคนเดียว” หนิงปิงหลันกล่าว
“ขอบคุณขอรับ ท่านป้า”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก ในฐานะผู้ชายจากตระกูลหนิง เจ้าควรจะรับผิดชอบความผิดนี้ด้วยตัวเจ้าเอง เจ้าไม่สามารถทิ้งปัญหาทั้งหมดนี้ไว้ให้ผู้หญิงจัดการได้” หนิงปิงหลัน กล่าว
หนิงฮัวสงสัย “ข้าต้องทำอะไรขอรับ?”
ดวงตาของหนิงปิงหลันฉายแววแปลกประหลาด จากนั้นลมปราณทั่วทั้งร่างก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาและร่างของนางก็ไปปรากฏขึ้นด้านหลังของหนิงฮัว
ดวงตาของหนิงฮัวเต็มไปด้วยความกลัว
เขารู้สึกได้ถึงจิตสังหารจากท่านป้าของเขา
“ม..ไม่มีคำถามอะไรขอรับ”
หลังจากนั้นหนิงฮัวส่งเสียงโหยหวน
……
……
อีกด้านหนึ่งที่สำนักย่อยการปรับแต่ง
มีคนมารอลั่วอู๋อยู่ก่อนแล้ว
เขาเป็นชายชราที่ดูเป็นมิตรมาก ลั่วอู๋รู้จักชายคนนี้เพราะเขาเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่รับผิดชอบการประเมินคุณสมบัติของเขา
“สวัสดีขอรับ ท่านอาจารย์” ลั่วอู๋ทักทายอย่างมีมารยาท
ชายชราพยักหน้าช้า ๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม “จางฉีฮงน่าจะทำตามขั้นตอนเกี่ยวกับการลงทะเบียนต่าง ๆ ให้กับเจ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนข้านั้นมาหาเจ้าด้วยเหตุผลอื่น”
“ขอความกรุณาด้วย ท่านอาจารย์” ลั่วอู๋กล่าว
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมชายชราถึงได้มารับเขาที่นี่ แต่เขาก็ไม่ได้ถามไป เพราะถ้าเขาพูดมากเกินไปมันอาจจะทำให้อีกฝ่ายรำคาญ เขาไม่อยากทำให้ผู้อาวุโสระดับสัตว์ประหลาดเหล่านี้ไม่พอใจแน่
ชายชราหัวเราะ “ข้าเป็นคนเสนอให้ขับไล่ตระกูลหนิง ออกไปจากสำนักย่อยการปรับแต่งเอง โชคดีที่คนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับข้า”
ลั่วอู๋ตกตะลึง
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าชายชราคนนี้เป็นคนทำ
“ทำไมกันล่ะขอรับ?” ลั่วอู๋อดไม่ได้ที่จะถาม
คำพูดของหนิงฮัว อาจจะเป็นเรื่องสำคัญหรือไม่ก็ได้ทั้งสองบริบท ในทางบริบทที่สำคัญมันเป็นการดูถูกผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณทั่วโลก แต่ตามจริงแล้วหากไม่ใส่ใจมากมันก็แค่เรื่องไร้สาระ
ชายชรายิ้ม “สกุลของข้าคือลั่ว”
ดวงตาของลั่วอู๋มีร่องรอยของความสงสัย จากนั้นเขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายมีนามสกุลลั่ว! เขานั้นเป็นผู้อาวุโสของตระกูลลั่ว!
ด้วยความสัมพันธ์ทางสายเลือด ชายชราคนนี้ก็คือผู้อาวุโสของเขานั่นเอง
“ท่าน … ” ลั่วอู๋ไม่รู้จะพูดอะไรไปครู่หนึ่ง
ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่าประหม่าไป ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีความรู้สึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลลั่ว ดังนั้นเจ้าปฏิบัติต่อข้าในฐานะผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณระดับอาวุโส ที่เป็นรุ่นอาจารย์ของเจ้าก็พอ ”
ลั่วอู๋เกาหัวอย่างเชื่องช้า
เพราะเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าจะจัดการกับคนจากตระกูลลั่วอย่างไร
“ข้าทำมันด้วยเหตุผลง่าย ๆ” ชายชราพูดอย่างใจเย็น “ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ต่อสู้อยู่เพียงลำพังที่นี่ ตระกูลลั่วจะคอยผู้สนับสนุนผู้ที่แข็งแกร่งเช่นเจ้า เจ้าเด็กหนุ่มตระกูลหนิงนั้นกล้าพูดพล่อย ๆ กับคนจากตระกูลลั่วของข้า มันก็ควรโดนเช่นนั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วอู๋ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจ
เขาเคยบ่นในใจว่าโดดเดี่ยวและทำอะไรไม่ถูก
แต่เขาคาดไม่ถึงว่าตอนนี้ เขาจะได้สัมผัสถึงความอบอุ่นจากคนในครอบครัว
“มันคงเป็นเรื่องยากมาก ที่เจ้าจะต้องจัดการกับตระกูลเอ๋า ข้ารู้ว่าดีว่าตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไร” “ทักษะในการต่อสู้ของพวกเขาแข็งแกร่งมาก มันยากเกินไปที่จะต่อสู้แบบตัวต่อตัว” ชายชรากล่าว
“แม้ว่าข้าจะคิดว่า เจ้าประมาทเกินไปที่ไปท้าทายกับสองพี่น้องตระกูลเอ๋า แต่เจ้าก็ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ตระกูลลั่วของเราไม่กล้าทำมาก่อน”
“แต่ก็ไม่เป็นไร”
“ข้าแค่อยากให้เจ้าจำสิ่งหนึ่งเอาไว้”
“อย่าได้ตาย”
“ถ้าสู้ไม่ได้ก็ต้องยอมแพ้ อย่าหยิ่งจนเกินไป”
“ข้ารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เจ้าคือความหวังของตระกูลลั่วของเรา เมื่ออายุมากขึ้นและด้วยความสามารถในการปรับแต่งเจ้าตามที่เป็นในตอนนี้ เจ้าก็จะสามารถต่อสู้กับอัจฉริยะของตระกูลเอ๋าได้สบาย ๆ”
ลั่วอู๋ทำอะไรไม่ถูก
ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครมองเขาว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบจริง ๆ
“ข้าสามารถชนะพวกเขาได้จริง ๆ” ลั่วอู๋กล่าว
มีร่องรอยของความสงสารบนใบหน้าของชายชรา “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกอย่างไร แต่คนในตระกูลลั่วของเราต่างก็ได้รับการฝึกฝนความสามารถ จนพวกเขาเคยคิดว่าความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาไม่ได้เลวร้าย แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วพวกเขาทั้งหมด ก็พ้ายแพ้ในการประลองและต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”
ลั่วอู๋ไม่สามารถหัวเราะหรือร้องไห้ได้
“ข้าเข้าใจแล้ว ถ้าข้าเอาชนะพวกเขาไม่ได้ข้าจะยอมแพ้” ลั่วอู๋กล่าว
ชายชราพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“ว่าแต่ท่านมีชื่อว่าอะไรงั้นเหรอ?” ลั่วอู๋ถาม
“ข้ามีชื่อว่าลั่วซง ข้าเสียเวลาอยู่ที่นี่มาเป็นร้อยปีโดยที่ยังไม่ได้ก้าวขึ้นสู่มิติวิญญาณระดับปรมาจารย์วิญญาณ แม้มันจะน่าละอายใจ แต่ที่นี่ก็มีสมาชิกในตระกูลลั่วอยู่อีกสามคนในสำนักย่อยการปรับแต่ง พวกเขาต่างก็เป็นพวกที่ไม่สนใจโลกภายนอก” ลั่วซงกล่าว
ลั่วอู๋พยักหน้า
สมกับเป็นสำนักเฉียนหลง
มันไม่แปลกที่จะมีผู้อาวุโสระดับสัตว์ประหลาดมากมายในสำนักเฉียนหลง
“มาเถอะ ข้าจะช่วยพาเจ้าไปจัดการขั้นตอนสุดท้ายให้เสร็จ เจ้าจะได้ถูกรับเข้าสำนักย่อยการปรับแต่งอย่างสมบูรณ์” ลั่วซงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากป้อนข้อมูลลงไปเล็กน้อยเหรียญของลั่วอู๋ก็สว่างขึ้น
ลั่วซงกล่าว “ในฐานะคนของสำนักย่อยการปรับแต่ง เจ้าจะต้องรับงานบางอย่างทุกเดือนอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยเจ้าควรจะจัดการกับงานของห้องโถงหวันฝาให้เสร็จสิ้นก่อนเสมอ เพราะหากยังไม่เสร็จสิ้นงานจากห้องโถงหวันฝา พวกเขาจะบังคับไม่ให้เจ้ารับงานอื่นนอกเหนือจากนั้น โดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้งใด ๆ ”
ลั่วอู๋พยักหน้าเพื่อแสดงว่าเขาเข้าใจ
ในตอนที่เขากำลังจะเดินออกไป เขาก็ได้ยินเสียงมาจากด้านนอกของสำนักย่อยการปรับแต่ง
ลั่วอู๋ออกไปดูอย่างอยากรู้อยากเห็น เขาเห็นผู้หญิงที่มีบรรยากาศเย็นชามากคนหนึ่ง ในมือของนางมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกหักขานอนคร่ำครวญอยู่หน้าประตูตลอดเวลา
“หนิงปิงหลันเจ้ากำลังทำอะไรของเจ้าน่ะ ?” มีคนตะโกนถาม
ผู้หญิงคนนั้นทิ้งหนิงฮัวลงไว้ที่หน้าประตูสำนักย่อยการปรับแต่งและพูดอย่างเฉยเมย “หนิงฮัวต้องการยอมรับความผิดพลาดของเขา ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจในใจของเขา เขาจึงยอมสละขาของเขาและมากับข้า เพื่อขอร้องให้เหล่าปรมาจารย์ของสำนักย่อยการปรับแต่งยอมยกโทษให้กับเขา ”
ดวงตาของผู้หญิงคนนั้นเหลือบไปที่ลั่วอู๋โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว
เขารู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรที่แย่มาก