บทที่ 196
เป็นพวกเจ้านี่เอง
ส่วนสีหน้าของเจียงหวายเย่นั้นดีกว่าของหลินซีเหยียนนัก แม้ว่าเขาจะไม่เคยมาที่นี่แต่เขาก็ไม่คิดว่าเทียนเอ๋อนั้นจะเคยมาที่หอคณิกาด้วย และดูเหมือนว่าเขาจะเป็นลูกค้าประจำเสียด้วย
เมื่อรู้สึกได้ว่าจะมีเรื่องที่ไม่ดีเกิดขึ้น เทียนเอ๋อก็ได้รู้สึกไม่ดีที่จะยืนอยู่ต่อหน้าหลินซีเหยียน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมท่านแม่ของเขานั้นถึงได้อารมณ์ไม่ดีขึ้นมา แต่เขาก็ได้รีบอธิบาย “ท่านแม่ ข้ามาที่นี่เพื่อมาหาเพื่อนข้าจริงๆนะ”
เมื่อเห็นว่าท่านแม่ของเขาสงสัย เทียนเอ๋อก็ได้รีบยกนิ้วขึ้นมาแล้วกล่าว “เรื่องจริงนะขอรับ”
“เอาเถอะ แม่จะเชื่อเจ้าก็แล้วกัน แต่หลังจากที่พบกับเพื่อนของเจ้าแล้ว แม่จะจัดการกับเจ้าเรื่องนี้ทีหลัง
ถึงแม้นางจะรู้ว่าเทียนเอ๋อนั้นแม้จะยังเล็กและนางเองก็ไม่ได้ดูแลอะไรเขาเป็นพิเศษ แต่นางก็ยังยอมรับไม่ได้กับการที่เทียนเอ๋อมาป้วนเปี้ยนกับสถานที่มั่วคาวโลกีย์เช่นนี้แล้วกลายเป็นพวกบ้ากามไป
เนื่องจากยังเป็นช่วงเวลากลางวันฟ้าใส จึงเป็นเวลาพักผ่อนของหอคณิกา พวกเขาจึงได้เปิดประตูออกมาห้ามก่อนที่พวกหลินซีเหยียนจะได้เข้าไป
มีชายร่างใหญ่กำยำล่ำสันพร้อมด้วยดวงตาเหมือนหนูโผล่ออกมา ซึ่งได้มองหลินซีเหยียนตั้งแต่หัวจรดเท้า เขานักรู้สึกราวกับมีนางฟ้าได้ตกลงมาที่โลก แม้แต่เหล่าโสเภณีที่อยู่ในหอนี้ก็ยังเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายผมของคนที่อยู่เบื้องหน้าเขาเลย นางคิดที่จะมาขายตัวเองงั้นเหรอ?”
หากเขามีโอกาสเขาก็อยากที่จะลิ้มรสนางฟ้าเช่นนี้เหมือนกัน ซึ่งความคิดของเขานั้นได้ปรากฏออกมาที่ดวงตาของเขาทำให้หลินซีเหยียนรู้สึกโมโหขึ้นมาในอกของนางและอยากที่จะเอานิ้วจิ้มให้เขาตาบอด
เจียงหวายเย่ก็ได้เข้ามาบังหลินซีเหยียนด้วยสีหน้าที่ไม่ดีและกล่าวอย่างเย็นยะเยือก “พวกเรามาตามหาคน”
“มาหาคนงั้นเหรอ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ได้มีสีหน้าราวกับกลืนแมลงวัน สีหน้าของเขานั้นไม่ดีอย่างมากและได้พูดกับเจียงหวายเย่ด้วยท่าทีที่หยาบคายมาก “ไปๆ ไปให้พ้นจากที่นี่ พวกเราไม่มีคนที่พวกเจ้าตามหาหรอก”
หลังจากที่พูดเช่นนั้นแล้ว ก็พบว่าเจียงหวายเย่กับคนอื่นๆนั้นยังไม่ยอมไปไหน เขาจึงได้ยื่นมือของเขาไปผลัก แต่กลับรู้สึกเหมือนเขากำลังลื่นน้ำมันยังไงอย่างงั้น
ด้วยความทนไม่ไหว เจียงหวายเย่ก็ได้จับไปที่ข้อมือของชายคนนั้นแล้วหักด้วยกำลังแขนของเขา แล้วทั้งหอก็เต็มไปด้วยเสียงร้องทันที
ภายในหอคณิกาที่เงียบสงบ หลังจากที่เขาได้แผดเสียงร้องออกมา ก็ดูเหมือนว่าจะมีผู้คนที่หันมาดูแต่หลังจากนั้นสักพัก ก็ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งออกมาพร้อมกับคนงานชายอีก 5 คนตามมาด้วย
เมื่อชายคนนั้นเห็นเข้า เขาก็ได้รีบตะโกนบอกกับผู้หญิงคนนั้น “ท่านแม่ ช่วยข้าด้วย!”
ทันใดนั้นหลินซีเหยียนก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่มานั้นคือแม่เล้าของหอคณิกาแห่งนี้เป็นแน่
แม่เล้าคนนี้ดูยังไม่แก่มากนัก น่าจะอายุราวๆ 30-40 ได้และยังคงมีเสน่ห์เย้ายวนใจ ทันทีที่นางเดินเข้ามา หลินซีเหยียนก็รู้สึกสำลักกลิ่นเครื่องแป้งที่คละคลุ้งอย่างไม่ทันตั้งตัวทันที
“พวกเจ้าทั้งสองคนรู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ไหน ที่นี่คือหอมรกตแดงนะ ใครใช้ให้พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาไม่ทราบ?”
หลินซีเหยียนที่รู้สึกแสบแก้วหูเพราะเสียงของหญิงสาวคนนั้น นางได้ดึงพาเทียนเอ๋อถอยออกมา แล้วปล่อยให้ เจียงหวายเย่เป็นคนคุย
หลังจากที่แม่เล้าเห็นเจียงหวายเย่ก็ได้ปรากฏแสงในดวงตาของนาง แล้วท่าทางที่ดูขึงขังเมื่อสักครู่ก็ได้หายไปทันทีโดยไร้ร่องรอย นางได้แกล้งทำเป็นอ่อนแอแล้วล้มตัวไปด้านหน้าโดยหวังให้เจียงหวายเย่นั้นรับตัวนาง
แต่อย่างที่รู้กันดี เจียงหวายเย่นั้นไม่ชอบเข้าใกล้ผู้หญิงแล้วยิ่งป้าแก่ๆเช่นนี้ด้วยแล้ว เขาจึงได้ถอยฉากหลบออกมาอย่างรังเกียจและมองดูแม่เล้าล้มลงไปกองกับพื้นตรงหน้าเขา
เพื่อที่จะไม่ดึงดูดสายตาผู้คนมากนัก หน้ากากที่เขาสวมมาในคราวนี้จึงเป็นแบบธรรมดาสุดๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เป็นที่นิยมนักนะ?
ส่วนแม่เล้าที่ล้มลงไปที่พื้นนั้น เสื้อผ้าของนางก็ได้กระจัดกระจายเผยให้เห็นต้นขาที่น่าเร้าใจและหน้าอกเนียนนุ่ม ซึ่งไม่รู้เลยว่านั่นคือเรื่องบังเอิญหรือจงใจ
เจียงหวายเย่ก็ได้จ้องไปที่ดวงตาของนางแล้วจากนั้นก็ได้กล่าวอย่างเย็นชา “พวกเรามาตามหาคน”
“คุณชายกำลังมองหาข้าอยู่หรือเปล่า?” แล้วก็มีเสียงนุ่มนวลและน่าหลงใหลที่ชัดมัดใจผู้ชายดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง หลินซีเหยียนที่ทนดูต่อไม่ไหวก็ได้ก้าวมาด้านหน้าแล้วโยนยาปลุกกำหนัดใส่เต็มกำมือ
ภายในชั่วขณะเดียว สาวๆเหล่านั้นก็ได้ลงไปนอนกองกับพื้น
เจียงหวายเย่เองก็ได้ปล่อยข้อมือที่จับคนงานชายแล้วก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือของเขาอย่างตั้งใจ
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเพื่อนของเจ้าอยู่ที่ไหนน่ะ?” หลินซีเหยียนก็ได้ปิดตาของเทียนเอ๋อเพื่อไม่ให้เขาเห็นสภาพที่ไม่น่าดูของโสเภณีเหล่านี้ นางได้มองดูรอบๆและจากไป คงเหลือทิ้งเอาไว้แค่กลิ่นเครื่องแป้งที่ไม่จางหายง่ายๆ
เทียนเอ๋อก็ได้ผงกหัวแล้วพาหลินซีเหยียนขึ้นไปชั้นบน แล้วเขาก็ได้หยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่ง
หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาลงแล้วเปิดประตูอย่างระแวดระวัง อย่างที่คาดเอาไว้ ก็ได้มีใบดาบเย็นๆโผล่มาที่คอของนาง
“ท่านอาเหลิงเฟิง นี่คือท่านแม่ของข้าเองขอรับ!” เทียนเอ๋อที่เห็นเข้าก็ได้รีบไปกอดต้นขาชายคนนั้นแล้วกล่าว “ท่านแม่ของข้ารู้วิชาการแพทย์ นางจะต้องช่วยพี่สิบหกได้แน่ๆ”
หลินซีเหยียนกับเหลิงเฟิงนั้นเคยพบกันมาก่อนแล้ว แต่ในเวลานั้นนางสวมชุดผู้ชายอยู่ เหลิงเฟิงจึงได้จำนางในเวลานี้ไม่ได้
เมื่อได้ยินที่เทียนเอ๋อกล่าว เหลิงเฟิงก็ได้มองดู หลินซีเหยียนอยู่สักพักหนึ่งแล้วก็ได้หลีกทางปล่อยให้หลินซีเหยียนกับคนอื่นๆเดินเข้ามาข้างใน แต่หลินซีเหยียนยังคงรู้สึกได้ถึงความระแวงของเหลิงเฟิง
ดาบที่แหลมคมเล่มนั้นยังไม่ได้เข้าฝัก ทำให้คนหวาดกลัวที่จะทำอะไรผลีผลาม
จากมุมมองของนางแล้วบางทีอาจเป็นเพราะต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนและสุ่มเสี่ยงเช่นนี้เลย เลยอาจทำให้องค์ชายสิบหกป่วยเป็นโรคร้ายแรงก็ได้!
เมื่อเข้ามาในห้อง กลิ่นเครื่องแป้งที่รุนแรงก็ได้จางลงไปบ้าง ที่นี่ถูกตกแต่งเต็มไปด้วยพู่ไหมที่แกว่งไปมา พวกมันทั้งบางและเบามากทำให้ลอยขึ้นลงยามที่มีสายลมพัดมา
หลินซีเหยียนก็ได้เดินไปที่เตียงขององค์ชายสิบหก แล้วพบว่าองค์ชายสิบหกนั้นมีใบหน้าแดงแจ๋และหน้าผากก็ยังเต็มไปด้วยเหงื่อ นางจึงได้ยื่นมือของนางออกไปหมายที่จะตรวจอุณหภูมิ แต่ก็ถูกขวางโดยกระบี่เสียก่อน
“เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ?” เหลิงเฟิงก็ได้จับจ้องไปที่ หลินซีเหยียนด้วยความกลัวว่านางนั้นจะทำการประสงค์ร้ายกับเจ้านายของเขา
เจียงหวายเย่ที่อยู่ด้านหลังของนางนั้น ทั่วทั้งตัวของเขานั้นตึงเครียดมาก พร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อ
หลินซีเหยียนนั้นไม่สนใจความไม่เชื่อใจของเหลิงเฟิง แล้วนางก็ได้อธิบาย “ข้าก็แค่อยากจะตรวจดูว่าเขามีไข้หรือไม่เท่านั้น”
ดูเหมือนว่าที่นางอธิบายไปนั้นจะทำให้เขาเชื่อถือขึ้นมาบ้าง แต่เหลิงเฟิงก็ยังไม่ได้ชักดาบกลับไปทันที แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงกระซิบที่ดูไม่สบายที่คุ้นหูของเขาดังขึ้นมา “เหลิงเฟิง!”
เหลิงเฟิงจึงได้กัดฟันแล้วลงไปคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นแล้วกล่าวด้วยเสียงที่กังวาน “ข้าหวังว่าแม่นางจะช่วยเหลือนายน้อยของข้า หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จะขอบคุณอย่างใหญ่หลวงแน่นอน”
หลินซีเหยียนก็ได้ยื่นมือไปจับแขนของเหลิงเฟิงให้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวกับเขา “ไม่ต้องเป็นห่วง เขาเป็นเพื่อนของเทียนเอ๋อ ข้าไม่ทำร้ายเขาแน่นอน”
หลังจากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้นั่งลงที่เตียงแล้วเอามือของนางจับข้อมือขององค์ชายสิบหก หลังจากที่ผ่านไปพักใหญ่นางก็กล่าว “องค์ชายสิบหกนั้นแค่เป็นไข้เท่านั้น นอกจากนั้นช่วงนี้เขายังพักผ่อนน้อยเกินไป เกรงว่าหากเขายังพักผ่อนไม่เพียงพอแบบนี้อาจจะทำให้เขาอาการแย่ไปกว่านี้ได้”
เหลิงเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้น มือของเขาก็ได้จับดาบแน่นมากขึ้นไปอีก
“ข้าจะเขียนสูตรยาให้ เจ้าให้ใครสักคนไปซื้อยามา แล้วให้เขาดื่มยาและนอนพักควบคู่กันไป แล้วไข้ก็จะลดลงมา” หลินซีเหยียนก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่โต๊ะ จากนั้นก็หยิบพูดกันแล้วเขียนตัวหนังสือลงไป
เหลิงเฟิงรับกระดาษมาแต่ว่าเขายังไม่ไปซื้อยา กลับกันเขาได้เอื้อมมือไปคว้าคอของหลินซีเหยียนเอาไว้
“เหลิงเฟิงเจ้าทำเช่นนี้ทำไม?” หลินซีเหยียนนั้นไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อยในขณะที่นางถูกคนจับคอเช่นนี้ แต่ก็ได้มีความไม่พอใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่สวยงามและเยือกเย็นของนาง