พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 2253 เจิ้นสัญญาว่าชาตินี้ของเจ้าจะสมใจปรารถนา

บทที่ 2253 เจิ้นสัญญาว่าชาตินี้ของเจ้าจะสมใจปรารถนา
ไม่นานมู่เซินก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติของมู่หลิงเอ๋อร์ เมื่อเห็นนางหันกลับไปบ่อยๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดเดินและหันไปมองทางที่นางมอง แต่ก็ไม่เห็นว่ามีอะไร จึงถามว่า “หลิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป?”
มู่หลิงเอ๋อร์สงสัยนิดหน่อยว่าตัวเองรู้สึกไปเอง ตอบในขณะที่ตาแดง “ผู้อาวุโส เมื่อครู่นี้เหมือนข้าจะเห็นคนคนหนึ่ง”
เห็นคนคนหนึ่งแล้วจะเป็นอะไรไป? มู่เซินแปลกใจ “เห็นใคร? คนของเผ่าทะเลหรือคนของคุณชายไป๋?” ถ้าเป็นที่นี่ เขาก็นึกไม่ออกว่ายังจะมีใครที่ไหนได้อีก
มู่หลิงเอ๋อร์ส่ายหน้า “เหมือนจะเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นเลย”
“คนแปลกหน้า?” มู่เซินขมวดคิ้ว “เป็นคนแปลกหน้าแบบไหน?”
มู่หลิงเอ๋อร์เงยหน้าครุ่นคิด แล้วตอบว่า “เป็นคนที่แปลกมาก เหมือนจะเป็นคนชั่วที่ชาวเผ่าเคยพูดถึง”
“คนแปลกหน้า? คนชั่วที่เผ่าเคยกล่าวถึง?” มู่เซินงงนิดหน่อย ไม่ค่อยเข้าใจ “หน้าตาเหมือนคนชั่วหรอ?”
มู่หลิงเอ๋อร์ใช้มือข้างหนึ่งวาดให้ดู “ศีรษะโล้น ไม่มีผม ใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่หลวม เหมือนพระที่คนในเผ่าเคยพูดถึง คนในเผ่าบอกว่าพระเป็นคนเลวทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระที่หน้าตาดีก็ล้วนเป็นคนหลอกลวง เมื่อครู่นี้คนที่ข้าเห็นก็เป็นพระที่หน้าตาดีมากคนหนึ่ง ไม่มีผม สวมจีวรสีขาวพระจันทร์…”
ตามรายละเอียดที่มู่หลิงเอ๋อร์บรรยาย บนใบหน้ามู่เซินเริ่มฉายแววตกใจกลัวทีละนิด มีเงาของพระรูปหนึ่งปรากฏในหัวเขา
มู่หลิงเอ๋อร์บอกว่านางอาจจะมองผิดไป อาจจะรู้สึกไปเอง แต่สำหรับมู่เซินแล้ว จะรู้สึกไปเองว่าเป็นใครก็ได้ ทำไมต้องหน้าตาเหมือนพระรูปนั้นขนาดนี้ แล้วดันไม่ใช่คนอื่นที่มองผิดไป แต่เป็นมู่หลิงเอ๋อร์
มู่เซินจ้องสิ่งที่เหมือนรูปสลักหินตรงอีกฝั่งของสะพาน นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่รูปสลักหินปรากฏขึ้น อัสนีบาตสายหนึ่งผ่าภูเขาหินจนกลายเป็นเค้าโครงภาพคน จากนั้นมู่หลิงเอ๋อร์ก็ถือกำเนิดขึ้น หน้าตาก็ยิ่งเหมือนมู่น่าขึ้นทุกวัน ช่างเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์กลับชาติมาเกิดจริงๆ
ไม่นานมู่เซินก็จมอยู่ในความหวาดกลัว รีบจูงมือมู่หลิงเอ๋อร์กลับเผ่าปีศาจ แล้วก็รีบไปหาประมุขไป๋ที่ริมทะเล
ผ่านไปไม่นาน เงาคนสามคนก็เหาะลงมาจากฟ้า ประมุขไป๋ ประมุขปีศาจและมู่เซินเทียบลงตรงข้างหน้ารูปสลักหินรูปนั้นพร้อมกัน แล้วจ้องสำรวจรูปสลักหิน ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบโดยละเอียด พบว่าเป็นเพียงก้อนหินธรรมดาเท่านั้น ไม่มีความผิดปกติใดๆ
“หรือว่าหลิงเอ๋อร์จะมองผิดไป?” ประมุขปีศาจถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“จะบังเอิญขนาดนี้เชียวหรือ?” มู่เซินตอบ
ส่วนประมุขไป๋บอกให้เขาเชิญมู่หลิงเอ๋อร์เข้ามา
เพียงประเดี๋ยวเดียว มู่หลิงเอ๋อร์ก็ถูกพาตัวมาแล้ว ประมุขไป๋ถามเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด พอได้ยินว่ามีจุดแสงสีขาวอ่อนโยนตกลงบนรูปสลักหินประมุขไป๋ก็พลันหรี่ตา มู่เซินไม่เคยเห็นเหตุการณ์ที่ศีลแปดปรากฏตัวในศึกใหญ่ แต่เขากลับเคยเห็น
กระทั่งได้ยินว่ารูปสลักหินนั้นเหมือนจะคุยกับมู่หลิงเอ๋อร์ ก็ถามทันทีว่า “ลองนึกดูว่าเขาพูดอะไร?”
มู่หลิงเอ๋อร์ลองนึกย้อน แล้วตอบว่า “เหมือนเขากำลังบอกว่า…ข้าปรารถนาให้ร่างกายกลายเป็นรูปสลักหิน ทนผ่านฝนผ่านพายุมานับแสนปีเพื่อเจ้า อธิษฐานความสุขให้เจ้า ปกป้องให้เจ้าสงบสุขปลอดภัย…” หลังจากเล่าฉากที่ร้องไห้แล้ว ก็เผยอัญมณีโปร่งใสเปล่งแสงสลัวในฝ่ามืออีก
“เขายังไม่ยอมปล่อยวางอีกเหรอ?” มู่เซินเริ่มเผยสีหน้าโกรธแค้นอย่างที่ควบคุมได้ยาก แล้วจู่ๆ ก็โบกไม่เท้ากระทุ้งรูปสลักหิน
ประมุขไป๋คว้าไม้เท้าเอาไว้ ห้ามไม่ให้มู่เซินทำลาย ส่ายหน้าบอกว่า “ทุกอย่างผ่านไปแล้ว เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายด้วย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครขวางเขาได้หรอก”
มู่เซินเผยสีหน้าเจ็บปวด แต่มู่หลิงเอ๋อร์กลับถามว่า “เขา? เขาไหน?”
ประมุขปีศาจยิ้มอย่างอ่อนโยน ยื่นมือไปประคองศีรษะมู่หลิงเอ๋อร์มาไว้ในอ้อมกอด แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หลิงเอ๋อร์เติบโตแล้ว ทุกที่ในโลกล้วนเป็นเจ้า ข้า เขา…” ขณะที่พูดก็พามู่หลิงเอ๋อร์เดินออกไป พูดคุยอย่างอบอุ่นตลอดทาง ขณะเดียวกันก็บอกใบ้ให้มู่เซินตามไปด้วย
ตรงหน้ารูปสลักหินเหลือเพียงประมุขไป๋ เขาจ้องรูปสลักหินที่มีร่องรอยอยู่นานมาก เขานึกไม่ถึงจริงๆ นึกว่าหลบอยู่ทางนี้แล้วฝั่งตำหนักสวรรค์จะไม่มีใครหาพบ นึกไม่ถึงว่ายังมีคนหาพบจนได้ อีกฝ่ายมีพลังอภินิหารลึกลับที่สุด เป็นเทพอย่างแท้จริง เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “พวกเราไม่อยากให้มีบุญคุณความแค้นอะไรอีก เจ้าบำเพ็ญพุทธธรรมไร้ขอบเขตสำเร็จแล้ว เหตุใดต้องลำบากมาเปื้อนกรรมอีก หวังว่าเจ้าจะอยู่ตรงนี้เพื่อเฝ้าปกปักรักษาวาสนารักในชาตินั้นของนางเท่านั้น…”
วังสวรรค์ที่ใหญ่โตมโหฬาร ตั้งตระหง่านเทียมเมฆ ทำได้เพียงมองจากที่ไกลๆ ไม่อาจเข้าใกล้ได้
ริมทะเลสาบที่อยู่ห่างจากวังสวรรค์ไม่ไกล บนทางเดินเล็กๆ เลียบทะเลสาบซึ่งอยู่ระหว่างร่มไม้ที่เขียวชอุ่ม ปานเยว่กง ชิงเหมย ฮวาหูเตี๋ยกำลังเดินไปข้างหน้าด้วยการนำทางของเทพธิดา ทั้งสามเหลียวซ้ายแลขวาไปทั่ว ในใจรู้สึกกังวลที่สุด
ศาลาริมน้ำที่แกะสลักอย่างประณีตงดงามหลังหนึ่ง เหมียวอี้สวมใส่ผ้าดิบสีเทาทั้งตัว แต่งกายเรียบง่าย ตอนนี้กำลังยืนพิงระเบียง ข้างกายมีเทพธิดากำลังถือชามหยก เหมียวอี้เอามือหยิบแล้วโปรยให้อาหารปลาในน้ำอย่างส่งเดช ล่อปลาให้ว่ายน้ำมา แต่เห็นที่ผิวน้ำมีแสงวิบวับเป็นระยะ ปลาแต่ละตัวที่เปล่งแสงสีรุ้งกำลังเคลื่อนไหว ทำให้ผิวน้ำสีเขียวมรกตกระเบื้องเป็นวงกลมหลายวง
เทพธิดานำทั้งสามคนเข้ามาในศาลาริมน้ำ หรือย่อตัวคำนับ “ฝ่าบาท แขกมาแล้วเพคะ”
เหมียวอี้โยนอาหารในมือ แล้วโบกมือเบาๆ เทพธิดาที่นำแขกมาและเทพธิดาที่ถือชามหยกย่อตัวแล้วถอยออกไป
ขณะเดียวกันก็มีเทพธิดาอีกหลายคนกรูเข้ามา จัดวางสุราอาหารไว้บนโต๊ะ เดิมทีต้องการจะอยู่รอปรนิบัติ แต่เหมียวอี้หันตัวมาโบกมือให้ถอยออกไป
ในศาลาริมน้ำไม่มีคนอื่นแล้ว เหมียวอี้ที่หันตัวมายิ้มบางๆ
ปานเยว่กง ชิงเหมย ฮวาหูเตี๋ยทำความเคารพพร้อมกันทันที “คำนับฝ่าบาท!”
“เป็นสหายกันทั้งนั้น ตรงนี้ไม่มีคนนอก ไม่จำเป็นต้องเกรงใจมากพิธีรีตองขนาดนั้น ฮวาหูเตี๋ย พวกเราก็ไม่ได้พบกันเป็นครั้งแรกแล้ว” เหมียวอี้กล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ นำทุกคนนั่งลง แล้วยื่นมือเชิญ “นั่งสิ ทุกคนนั่งเถอะ”
“มิบังอาจ!” ทั้งสามโค้งตัว มีหรือที่จะกล้านั่งเสมอกับราชันสวรรค์
เมื่อเห็นทั้งสามทำตัวสงบเสงี่ยมเกินไป เหมียวอี้ก็จำต้องเน้นเสียงให้หนักขึ้น “ข้าบอกให้พวกเจ้านั่ง ไม่ต้องเกรงใจ!”
แม้จะไม่ได้ใช้คำเรียกตัวเองว่า ‘เจิ้น’ แต่ทั้งสามก็ยังหัวใจกระตุกวูบ
ถึงแม้เหมียวอี้จะมีท่าทางเป็นกันเอง บารมีและพลังอำนาจที่อยู่ในกิริยาท่าทางจนฝังลึกเข้ากระดูกกลับทำให้คนเกรงกลัว
ทั้งสามนับว่าตัวหนักได้อย่างถึงที่สุดแล้ว ว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้ไม่ใช่หนิวโหย่วเต๋อที่รู้จักในปีนั้น ในตอนนั้นใครจะไปคาดคิดถึง ว่าทหารต่ำต้อยที่รู้จักกันในสถานที่ไร้ชีวิตจะกลายเป็นประมุขสูงสุดของใต้หล้า!
และสำหรับเหมียวอี้ การมาหาสามคนนี้ก็เป็นทั้งเรื่องที่เหนือความคาดหมาย และไม่เหนือความคาดหมาย
ตรงจุดที่เหนือความคาดหมายก็คือ เขาบังเอิญพลิกดูรายชื่อพรรคพวกที่เหลือรอดของอำนาจฝ่ายต่างๆ แล้วไปเห็นชื่อของฮวาหูเตี๋ยโดยไม่ได้ตั้งใจ ฮวาหูเตี๋ยนับว่าเป็นพรรคพวกที่เหลือรอดของตระกูลโค่ว เมื่อเห็นคำอธิบายประกอบของฮวาหูเตี๋ย ก็พบว่าอาศัยอยู่ที่เดียวกับปานเยว่กงและชิงเหมย
หลังจากเขาปกครองใต้หล้าแล้ว เขาก็เตรียมจะตอบแทนคนที่เคยช่วยเหลือเขา นึกย้อนไปถึงเรื่องในอดีต นึกถึงสองสามีภรรยาปานเยว่กงกับชิงเหมย เขามีช่องทางติดต่อด้วยระฆังดาราของสองคนนี้ ถึงได้ติดต่อไป แต่ใครจะคิดว่าติดต่อไม่ได้เลย เขานึกว่าสองสามีภรรยาจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับภัยพิบัติในใต้หล้าและไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว จึงนึกเสียใจทีหลังเป็นอย่างมาก
ส่วนเรื่องที่ไม่เหนือความคาดหมายก็คือ พวกปานเยว่กงไม่มีทางเลือกแล้วถึงได้เผยเบาะแส เมื่อประกาศกฎสวรรค์ฉบับใหม่ออกไป คนที่ไม่ลงทะเบียนรายชื่อเซียนก็จะถูกมองเป็นโจรกบฏ ถ้าไม่มีทะเบียนรายชื่อเซียนไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่สะดวก ดีไม่ดีอาจจะเสียชีวิตโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยก็ได้ ทำได้เพียงมาลงทะเบียนอย่างซื่อสัตย์ ถ้าไม่มาลงทะเบียน เหมียวอี้ก็หาพวกเขาไม่พบเช่นกัน
ครั้งนี้เรียกทั้งสามมาหาก็เพื่อระลึกถึงมิตรภาพเก่า เมื่อได้เป็นราชันสวรรค์หลายปีแล้ว ก็รู้สึกเหงาจริงๆ พบว่าข้างกายไม่มีสหายเลย ในเมื่อเป็นการระลึกถึงมิตรภาพเก่า เขาก็ไม่อยากให้ทั้งสามเกรงใจจนเกินไป เดิมทีอยากจะพบทั้งสามที่วังสวรรค์ แต่กลัวว่าจะทำให้ทั้งสามกดดัน จึงเปลี่ยนมาเป็นที่นี่ ทั้งยังตั้งใจเปลี่ยนชุดให้ดูเรียบง่ายด้วย
ทว่าดูจากท่าทีสงบเสงี่ยมของทั้งสาม ก็เหมือนจะไม่ได้ผลอะไรนัก
เพื่อที่จะทำให้ทั้งสามผ่อนคลาย เหมียวอี้จึงลุกขึ้นถือกาสุรารินให้ทั้งสามด้วยตัวเอง ผลปรากฏว่าทำให้ทั้งสามจะรีบลุกขึ้นยืน แล้วพูดซ้ำๆ ว่ามิบังอาจ!
เหมียวอี้เม้มริมฝีปากเล็กน้อย หลังจากรินสุราเสร็จแล้ว ก็บอกอีกว่า “นั่งลง!”
ทั้งสามนั่งลงอย่างระมัดระวัง เหมียวอี้จองสองสามีภรรยาพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าติดต่อพวกเจ้า ทำไมไม่ตอบรับ?”
คำถามนี้ทำให้ทั้งอกสั่นขวัญแขวน ปานเยว่กงตอบอย่างระมัดระวังว่า “เมื่อก่อนเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ข้าวของบนตัวถูกปล้นไปหมด จึงไม่สามารถติดต่อได้ขอรับ”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “เช่นนั้นพวกเจ้าก็สามารถเป็นฝ่ายติดต่อเจิ้น…ติดต่อข้ามาก่อนก็ได้นี่ ข้าเป็นเป้าหมายใหญ่ขนาดนี้ คงไม่ถึงขั้นตามหาข้าไม่เจอหรอกมั้ง แค่บอกว่าเป็นสหายของข้า เดี๋ยวเบื้องล่างก็คงรายงานให้ตรวจสอบเอง”
คำถามนี้จะให้ทั้งสองตอบอย่างไร? ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าจะยังจำพวกเราได้หรือเปล่า อยู่ดีๆ พวกเราจะหาเรื่องใส่ตัวไปแอบอ้างว่าเป็นสหายของราชันสวรรค์ แบบนั้นจะเหมาะสมเหรอ?
“ฝ่าบาทยุ่งอยู่กับราชกิจจำนวนมาก มิบังอาจรบกวน” ปานเยว่กงตอบอย่างเกรงใจ
ถึงอย่างไรก็ถามไปถามมาอยู่อย่างนี้ คนพวกนี้ถามคำตอบคำ ห่างเหินสุดๆ ความกระตือรือร้นในการระลึกมิตรภาพเก่าของเหมียวอี้ก็ถูกน้ำสาดจนดับหมดแล้ว สุดท้ายก็ถามว่า “มีความลำบากอะไรต้องการให้เจิ้นช่วยพวกเจ้าแก้ไขหรือเปล่า?”
ปานเยว่กงส่ายหน้า “ฝ่าบาทปราดเปรื่อง ตอนนี้ใต้หล้าสงบแล้ว พวกเราเองก็ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีและผ่อนคลาย ไม่ได้ลำบากขนาดนั้น”
“มาที่ตำหนักสวรรค์เถอะ ข้าเตรียมตำแหน่งสามตำแหน่งไว้ให้พวกเจ้าเรียบร้อยแล้ว ไม่ขัดขวางชีวิตที่ผ่อนคลายอิสระเสรีของพวกเราหรอก ทั้งยังมีค่าจ้างประจำให้ด้วย สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบใจ” เหมียวอี้กล่าว
ปานเยว่กงรีบบอกว่า “พวกเราทำตัวหละหลวมจนเคยชินแล้ว ไม่คุ้นเคยกับกฎระเบียบ เป็นชาวนาอยู่ในหมู่บ้านหลังเขาจะดีกว่า”
เจตนาดีถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นได้ชัดว่าไม่อยากใกล้ชิดกับตน เหมียวอี้จึงสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย แต่ขานรับเหมือนไม่สนใจ “อ้อ” แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เห็นท่าทางเวลาพวกเขารับมือ ตัวเองก็เป็นทุกข์เหมือนกัน จึงพูดคุยตามมารยาทอีกพักหนึ่ง แล้วให้คนตบรางวัลให้ทั้งสามเล็กน้อย แล้วก็ให้ทั้งสามกลับไป
ขณะมองส่งทั้งสามจากไป เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในศาลาก็กระดกสุราอีกหลายจอกต่อเนื่องกัน แล้วจู่ๆ ก็บอกว่า “ให้เซิงมู่เสวี่ยมาพบเจิ้น!”
ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว เทพธิดาคนหนึ่งก็เข้ามารายงานว่า “ฝ่าบาท นายท่านเซิงบอก…เขาบอกว่า…เขาบอกว่าเขากำลังตกปลา ไม่มีเวลาว่าง ถามฝ่าบาทว่ามีธุระอะไรเพคะ?”
“หึ! ขอร้องให้เจิ้นปล่อยเมียเขาไป ทั้งอย่างหน้าด้านเกาะแกะขอให้เจิ้นเลื่อนตำแหน่งขุนนางให้เขา ตอนนี้ยังกล้าอวดดีต่อหน้าข้าอีก เจ้าหมอนี่ยิ่งนับวันจะยิ่งทำตัวไม่เข้าท่า ให้เกียรติแล้วยังวางมาด เจิ้นจะไปคิดบัญชีกับเขา!” เหมียวอี้หัวเราะแล้ว จู่ๆ ก็ยืนขึ้น ตอนนี้เพิ่งเดินออกจากศาลาริมน้ำ ก็หยุดเดินแล้วบอกว่า “เตรียมสุราไปด้วยหลายๆ ไห…”
เวลาผ่านไปอย่าเนิบช้า ดาราจักรกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ตำหนักสวรรค์ตั้งมาแล้วหนึ่งแสนปี!
ในอุทยานที่มีดอกไม้แปลกตานานาพันธุ์ ในศาลาเย็นหลังหนึ่ง อวิ๋นจือชิวท้องใหญ่กลมยื่นออกมา กำลังหยอกเล่นกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งกายซอมซ่อ เห็นได้ชัดว่าเด็กผู้หญิงคนนี้แต่งกายไม่เข้ากับสถานที่นี้เลย เหมือนมาจากครอบครัวยากจนในโลกมนุษย์
“กินสิ! ไม่เป็นไรหรอก เอาไปกินได้!” อวิ๋นจือชิวถือลูกท้อยื่นให้นางพร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่น
เด็กผู้หญิงเก็บสองมือไว้ข้างหลังแล้วส่ายหน้า ท่าทางขี้ขลาดไม่กล้ารับไว้ แต่ในดวงตากลมโตที่ตาขาวและตาดำแยกชัดเจนกลับจ้องไปที่ผลไม้หลากสีที่มีกลิ่นหอมยั่วยวนในตะกร้าเป็นระยะ ทั้งยังแอบกลืนน้ำลายหลายครั้งด้วย
อวิ๋นจือชิววางลูกท้อกลับไปในตะกร้าผลไม้ แล้วใช้สองมือประคองท้องนั่งลงโดยมีเสวี่ยเอ๋อร์ประคอง แล้วบอกกับเด็กผู้หญิงด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นเจ้าอยากจะกินอะไรก็หยิบไปเองเลย อาหารที่นี่อร่อยมาก…”
เรียกได้ว่ากล่าวชมอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ยั่วให้เด็กผู้หญิงคนนั้นอดทนไม่ไหวแล้ว กอปรกับท่าทีของอวิ๋นจือชิวอ่อนโยนเมตตามากจริงๆ เด็กผู้หญิงเดินเข้ามาใกล้หน้าโต๊ะ หยิบบ๊วยลูกหนึ่งไว้ในมือ เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวพยักหน้าให้กำลังใจ เด็กน้อยถึงได้กัดผลไม้กินคำเล็กๆ อย่างขี้ขลาด พบว่าผลไม้ที่เข้าปากหอมหวานสดชื่นไร้ที่เปรียบ อร่อยกว่าผลไม้ชนิดใดที่ตัวเองเคยกินมาก่อน นางตาเป็นประกายทันที แล้วกัดกินต่อเนื่องอีกหลายคำ สวบกินอย่างตะกละตะกลาม
อวิ๋นจือชิวหัวเราะเบาๆ “ค่อยๆ กิน ระวังสำลัก ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก”
ในขณะนี้เอง เสียงของเหมียวอี้ก็ดังขึ้น “ตัวคนอยู่ไหน?” เขาเร่งฝีเท้าเดินออกมาจากแปลงดอกไม้
ผลปรากฏว่าเสียงของเขาทำให้เด็กผู้หญิงตกใจ ลูกบ๊วยที่ถือกัดอยู่ในมือตกลงพื้น นางหันกลับไปเห็นเหมียวอี้ที่ดูมีพลังอำนาจ ก็ยิ่งตกใจแต่หาไม่เจอที่หลบ จึงลนลานไปหลบอยู่หลังเสาต้นหนึ่ง ตอนนี้เหมียวอี้ดูน่าเกรงขามกว่าในปีนั้น ไว้หนวดยาวสามช่อแล้ว เป็นลักษณะของชายหนุ่มวัยกลางคน
อวิ๋นจือชิวทั้งโมโหทั้งอยากขำ ถลึงตาจ้องเหมียวอี้แวบหนึ่ง
เหมียวอี้มองลูกบ๊วยที่กลิ้งตกอยู่ตรงเท้า แล้วก็มองดูเด็กผู้หญิงที่ซ่อนตัวไม่มิด พร้อมเอียงน่าถามเบาๆว่า “แน่ใจนะว่าเป็นนาง?”
เหยียนซิวที่เดินตามอยู่ข้างกายพยักหน้า ตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยเลยครับ เป็นนาง!”
เหมียวอี้เริ่มทำสีหน้าหลากหลายอารมณ์ปนกัน ค่อยๆ นั่งย่อเข่าเก็บผลไม้ที่มีรอยกัดขึ้นมา แล้วยื่นมือไปด้านข้างอีก มีเทพธิดามารับไว้ทันที แล้วมีเทพธิดาอีกคนยกถาดผลไม้เดินเข้ามายื่นให้
เหมียวอี้ถือถาดผลไม้เดินไปข้างกายเด็กหญิงคนนั้น แล้วนั่งยองๆ ส่งถาดผลไม้ไปตรงหน้านาง “ทำให้เจ้าตกใจเหรอ? เจิ้น…ข้าขอโทษเจ้าแล้วกัน ตกลงไหม? ผลไม้ถาดนี้ให้เจ้าหมดเลย”
เด็กน้อยใส่หน้าอย่าขี้ขลาด
เหมียวอี้ถามอีกว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
“เสี่ยวหนาน!” เด็กผู้หญิงตอบด้วยน้ำเสียงปวกเปียก
“เสี่ยวหนาน?” เหมียวอี้พยักหน้า “เป็นชื่อที่เพราะมาก อยากกลับไปหาท่านปู่กับท่านย่าของเจ้าไหม?” เขารู้มาจากปากเหยียนซิวว่าพ่อแม่ของเด็กผู้หญิงคนนี้ตายทั้งคู่ ตอนนี้อยู่กับปู่และย่า ฐานะครอบครัวไม่ดี
เสี่ยวหนานพยักหน้าซ้ำๆ
เหมียวอี้ถามด้วยรอยยิ้มอีกว่า “อยากรักษาอาการป่วยให้ปู่กับย่าของเจ้าไหม?”
เสี่ยวหนานพยักหน้าอีก แต่กลับก้มหน้าบ่นว่า “รักษาอาการป่วยต้องใช้เงินเยอะมาก ข้าไม่มีเงิน…”
“ข้าให้เงินเจ้าดีไหม?” เหมียวอี้กล่าว
เสี่ยวหนานเงยหน้า แล้วก็มองไปรอบๆ อีก ก่อนจะเบ้ปากบอกว่า “ท่านลุง บ้านท่านดูเหมือนจะมีเงินมาก แต่ข้าจะขอเงินจากคนอื่นส่งเดชไม่ได้หรอก”
เหมียวอี้วางถาดผลไม้ไว้ด้านข้าง แล้วยืนขึ้นจูงมือนางเดินออกไปนอกศาลา “ข้าไม่ให้เจ้าเปล่าๆ หรอก ต้องช่วยข้าทำงาน แล้วข้าจะจ่ายค่าแรงให้เจ้า”
เสี่ยวหนานที่ถูกจูงมือเดินไปพยักหน้าซ้ำๆ ทันที “ดีๆ ค่ะท่านลุง ไม่ว่างานอะไรข้าก็ทำได้ทั้งนั้น ข้าซักผ้าได้ ทำอาหารได้ ทำไร่ทำนาได้ เก็บกวาดทำความสะอาดได้ ข้ามีแรงเยอะมากด้วย” นางกลัวว่าลุงท่านนี้จะไม่จ้างนาง จึงพูดด้วยสีหน้าประจบเอาใจ
“ดี!” เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เดี๋ยวจะหางานให้เจ้าลองทำสักหน่อย ถ้าเหมาะสม พวกเราค่อยคุยกันว่าจะให้ค่าจ้างเท่าไหร่ แบบนี้ดีไหม?”
“จริงเหรอคะ?”
“ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ข้าจ่ายเงินค่าแรงเจ้าล่วงหน้าก็ได้”
เสี่ยวหนานกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ท่านลุง ท่านเป็นคนดีจริงๆ ขอบคุณค่ะท่านลุง!”
อวิ๋นจือชิวที่อยู่ในศาลามองส่งผู้ใหญ่กับเด็กค่อยๆ เดินจากไปไกล ได้ยินเสียงเหมียวอี้ดังแว่วมาว่า “ไม่ต้องขอบคุณ เจิ้นสัญญาว่าชีวิตชาตินี้ของเจ้าจะสมใจปรารถนา[1]!”
…………………………
[1] สมใจปรารถนา ตรงกับสำนวนจีน 称心如意[chèn xīn rú yì] ออกเสียงว่า เชิ่นซินหรูอี้

 นี่คือ? 

ฉินเวยเวยรีบร้อนเข้ามาในประตูบ้านของจวนตระกูลหยาง มาหาหยางชิ่งโดยตรง ผลก็คือพบว่าจินม่านอยู่ด้วย คำพูดที่จ่อรออยู่ที่ปากจึงไม่ได้เอ่ยออกมา กลับเป็นจินม่านที่ถามหยางชิ่งอย่างแปลกใจ ถามว่าฉินเวยเวย ตอนนี้นางยังไม่รู้จัก

 ลูกสาวข้าเอง  หยางชิ่งแนะนำพร้อมรอยยิ้ม

 อ้อ!  จินม่านกระจ่างทันที พยักหน้ายิ้ม  คำนับสนมสวรรค์ 

 การคำนับจากท่านอ๋อง ข้ารับไว้มิไหว  น้ำเสียงของฉินเวยเวยไม่ค่อยพอใจนัก ที่นางรีบร้อนกลับบ้านมาครั้งนี้ ก็เพราะเกี่ยวข้องกับจินม่านอยู่บ้าง ได้ยินว่าท่านพ่อบุญธรรมเพื่อจะไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัยที่แต่งงานกับจินม่าน ถึงขนาดไม่เอาตำแหน่งอ๋องสวรรค์ควบทูตตรวจการขวาแล้ว สิ่งนี้ทำให้นางค่อนข้างร้อนใจ

นางยังอยู่ในวังได้ไม่นานเท่าไร ก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันแล้ว เพราะเกิดจากสภาพแวดล้อม สนมสวรรค์แต่ละคนจับจ้องจะแย่งชิงตำแหน่งสนมสวรรค์ และคนที่ถูกแต่งตั้งเป็นสนมสวรรค์ มีคนไหนบ้างที่ไร้อำนาจหนุนหลัง? กอปรกับเห็นเจตนาของราชินีสวรรค์ เหมือนต้องการจะสร้างระบบระดับชั้นมากมายที่วังหลัง สนมวังหลังก็ต้องแบ่งแยกระดับ แล้วท่านพ่อบุญธรรมก็ดันลาออกจากตำแหน่งกะทันหันตอนนี้ ลาออกจากตำแหน่งอ๋อง ทำให้นางรู้สึกไม่มั่นใจมาก

ผลปรากฏว่าพอมาถึงก็เจอจินม่านเลย ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะมาถึงบ้านตัวเองอย่างสง่าผ่าเผย จะให้พวกนางสองแม่ลูกทนความรู้สึกได้อย่างไร? ท่านพ่อบุญธรรมออกจากตำแหน่งขุนนางเพื่อผู้หญิงคนนี้ เดิมทีนางก็ถือคติว่าใครเข้ามาก่อนเป็นเจ้าบ้านอยู่แล้ว ไม่ค่อยชอบจินม่านเท่าไรนัก ด้วยเหตุนี้นางจึงพูดจาไม่ค่อยเกรงใจสักเท่าไร

 ไม่ใช่อ๋องสวรรค์อะไรแล้ว เมื่อพบสนมสวรรค์ก็ย่อมต้องทำความเคารพ  จินม่านกล่าวดพร้อมยิ้มเรียบๆ

ฉินเวยเวยไม่สนใจนาง มองไปทางหยางชิ่งที่กำลังขมวดคิ้วโดยตรง  ท่านพ่อ อยู่ดีๆ ทำไมต้องออกจากตำแหน่งอ๋องกับทูตตรวจการขวา? ใช่ว่าท่านจะไม่รู้ว่าตำแหน่งทูตตรวจการขวาหมายถึงอะไร? ถ้าฝ่าบาทไม่เชื่อใจท่าน ก็คงไม่มอบตำแหน่งนี้ให้ท่าน เหตุใดท่านเป็นอย่างนี้? 

เชื่อใจข้า? หยางชิ่งแทบจะหลุดหัวเราะออกมา เหมียวอี้เชื่อใจเขาจริงหรือไม่ มีเพียงเขาที่รู้ชัดอยู่ในใจ ก็เพราะหนิวโหย่วเต๋อต้องมอบตำแหน่งทูตตรวจการขวานี้ให้คนที่ตัวเองเชื่อใจ เขาถึงนั่งตำแหน่งนี้ไม่ได้ ตอนที่ยังไม่ประทานรางวัลและหารือกันว่าจะแต่งตั้งอย่างไร เขาก็ปฏิเสธตำแหน่งนี้กับเหมียวอี้แล้ว แต่จนใจที่ปฏิเสธไม่สำเร็จ

เขาลองคิดดูแล้วก็เข้าใจความรู้สึกของเหมียวอี้ได้ พูดถึงตอนประทานรางวัลตามผลงาน ถ้าจะให้พูดถึงจริงๆ ผลงานของเขาก็ไม่น้อยแน่น คนข้างกายกำลังมองอยู่ ถ้าเหมียวอี้ไม่ตบรางวัลให้เขาสักนิดเลยก็จะฟังดูเหลวไหล ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตอนหลังจะเป็นฝ่ายไปขอลาออกเอง บังเอิญว่าจินม่านมาหาเขาพอดี มาขอคำชี้แจงจากเขา เขาจึงอาศัยเรื่องนี้เพื่อย้ำขอลาออก สิ้นเปลืองกำลังความคิดไปเต็มที่กว่าจะพ้นจากตำแหน่งขุนนางได้

เพียงแต่บางเรื่องเขาไม่จำเป็นต้องบอกลูกสาว เพราะไม่อยากให้ลูกสาวรู้ว่าระหว่างเขากับเหมียวอี้แอบมีความขัดแย้งกันมากขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบมหาศาลต่อลูกสาว จะทำให้ลูกสาวที่ตัวอยู่ในวังใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดหวั่น

หยางชิ่งยิ้มเบาๆ  เหนื่อยมาหลายปีขนาดนี้ อยากจะใช้ชีวิตอิสะผ่อนคลายสักหน่อย แค่ฝ่าบาทให้ฐานะที่ปรึกษาที่มีอิสระในการเข้าออกวังกับข้าก็ดีมากแล้ว เหนียงเหนียง ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร เจ้าอย่าคิดมากเลย ไม่ว่าข้าจะอยู่ในตำแหน่งหรือไม่ ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ในวังก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเจ้าหรอก! ถ้ามีใครไม่ดูตาม้าตาเรือ ข้าก็จะไปหาราชินีสวรรค์หรือไม่ก็ผู้การใหญ่หยางเจาชิงจัดการให้โดยตรง เจ้าใช้ชีวิตตัวเองอย่างสงบใจก็พอแล้ว มีแต่ผลดีกับเจ้า ไม่มีผลเสีย  ประโยคสุดท้ายแฝงความหมายล้ำลึก

นี่ไม่ใช่คำพูดโกหก ถ้าเขายังอยู่ในตำแหน่ง ก็ไม่สะดวกจะไปพัวพันกับการต่อสู้ในวังหลังอย่างชัดเจน เขาสร้างผลงานสำคัญเพื่อให้เหมียวอี้บุกยึดใต้หล้า แต่กลับไม่ต้องการรางวัล ถ้ามีใครรังแกลูกสาวของเขาเพียงเพราในมือเขาไม่มีอำนาจ เกรงว่าเขาจะต้องบุกเข้าวังไปขอคำชี้แจงจากเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวโดยตรง ได้ทุกคนได้เห็นว่าเหมียวอี้กับภรรยาปฏิบัติต่อขุนนางผู้สร้างคุณูปการอย่างไร บางเรื่องเมื่ออยู่ในตำแหน่งขุนนางมิอาจทำได้ แต่เมื่อไม่อยู่ในตำแหน่งกลับทำได้อย่างเต็มที่ ถ้ามองจากบางระดับ การที่เขาถอยอจากตำแหน่งขุนนาง ก็คือการถอยตั้งหลักเพื่อบุกไปข้างหน้า ละทิ้งอำนาจเพื่อให้เหมียวอี้สงบใจอย่างแท้จริง หลังจากนี้จะต้องมีบางครั้งที่เหมียวอี้จำเป็นต้องให้เขาออกความคิดวางแผนงานแน่นอน ไม่มีทางปฏิบัติต่อฉินเวยเวยอย่างอยุติธรรมแน่ สามารถปกป้องตำแหน่งในวังของฉินเวยเวยได้อย่างไร้กังวล

ถ้าพูดจากบางระดับ เขาคำนึงถึงสภาพแวดล้อมของวังหลัง กังวลว่าฉินเวยเวยอยู่วังหลังนานแล้วจะบังเกิดความทะเยอทะยานขึ้นในใจ หากเหมียวอี้มองเขาเป็นภัยคุกคาม แล้วฉินเวยเวยก็อยู่ในวังอย่างไม่สงบเสงี่ยม ผลลัพธ์สุดท้ายก็เลวร้ายจนไม่กล้าจินตนาการถึง การทิ้งอำนาจก็เท่ากับปลดปล่อยการผูกมัดให้ฉินเวยเวยอย่างหนึ่ง

บางเรื่องจะต้องวางแผนระยะยาว กลยุทธ์ในตอนนี้ก็คือยอมถอยตั้งหลักเพื่อจะก้าวไปข้างหน้า ใช้วันเวลาอันยาวนานเพื่อแย่งชิงสิ่งที่สูญเสียไปก่อนหน้านี้ ใช้เวลาเพื่อพิสูจน์และแลกความไว้เนื้อเชื่อใจกลับมา เมื่อมีพื้นฐานนี้แล้วเขาค่อยวางแผนอย่างอื่นก็ยังไม่สาย ตอนนี้ไม่มีใครกล้าแข่งขันกับเหมียวอี้!

ฉินเวยเวยนึกไม่ถึงว่าหยางชิ่งจะทำลายความกังวลของตัวเองโดยตรง ทำเอานางอึดอัดเล็กน้อย นางไม่พูดอะไรต่อแล้ว หันหน้าแล้วเดินหนีไปทันที  ข้าจะไปหาท่านแม่! 

นางใช้การกระทำแสดงความไม่พอใจของตัวเอง

ที่จริงนางมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งมากต่อฉินซี หลายปีที่อยู่พิภพเล็กนางรู้สึกได้อย่างแท้จริง ว่าฉินซีปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นบุตรสาวแท้ๆ แต่หลังจากท่านพ่อบุญธรรมมีเรื่องของซูอวิ้น แล้วตอนนี้ก็มีจินม่านโผล่มาอีกคนอีก นางพบว่าผู้ชายในโลกนี้ไม่มีใครดีสักคน!

ชิงจวี๋ที่อยู่ข้างๆ อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง นางอยากจะตามไปโน้มน้าวฉินเวยเวย อยากจะบอกฉินเวยเวยว่า เจ้ารู้หรือเปล่าว่าพ่อของเจ้าต้องยอมจ่ายราคามากขนาดไหนกับการตัดสินใจในตอนแรกของเจ้า? เจ้าคิดว่าทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือสิ่งที่พ่อเจ้าต้องการเหรอ?

หยางชิ่งยิ้มเจื่อนๆ ลูกสาวคนนี้คือความเจ็บปวดในใจของเขาตลอดกาล ที่จริงแล้วเจ้าคือลูกสาวแท้ๆ ของข้านะ!

เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ชั่วพริบตาเดี๋ยวก็ผ่านไปร้อยปี!

ในบ่อน้ำคลื่นมรกตใต้น้ำตกในหุบเขา ร่างเปลืองสองร่างกำลังนัวเนียกันอยู่ในน้ำ หวงฝู่จวินโหรวที่กอดข้างหลังเหมียวอี้กัดหูเหมียวอี้ไม่ปล่อย เหมียวอี้จบจนแยกเขี้ยวยิงฟัน ออกแรงตีก้นนาง ไม่ง่ายเลยว่าจะผลักนางออกไปได้ แล้วตำหนิด้วยเสียงโกรธเคืองว่า  กำเริบเสิบสาน! 

หวงฝู่จวินโหรวที่ผมเปียกลู่คลุมบ่าใช้สายตาฉ่ำเยิ้มมองยั่วยวน แล้วกล่าวรับผิดอย่างออดอ้อนว่า  ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ บ่าวก็กล้ากำเริบเสิบสานแค่ในที่ลับตาคนนี่แหละเพคะ หรือไม่ท่านก็ให้โอกาสบ่าวได้กำเริบเสิบสานอย่างสง่าผ่าเผยดีไหมเพคะ? 

 …  เหมียวอี้พูดไม่ออก ตอนนี้เขาบารมีราชันของเขาฝังลึกอยู่ในใจคน พวกผู้หญิงในวังจะกำเริบเสิบสานต่อหน้าเขาก็ไม่เป็นไรเลยจริงๆ คนที่อยู่นอกวังคนนี้ก็นับเป็นหนึ่งคน ใจกล้ายิ่งกว่าคนที่อยู่ในวังเสียอีก

สองแขนที่ขาวหมดจดวาดบนคลื่นสีมรกต หวงฝู่จวินโหรวยืดหน้าอกอวบอิ่มเข้ามาใกล้อีกครั้ง แล้วโอบจูบเขาอย่างเร่าร้อนเหมือนไฟ กล่าวเสียงงุ้งงิ้งว่า  ครอบครองข้า! 

เหมียวอี้โดนยั่วจนเกิดไฟราคะ จับนางกดไว้ที่ขอบสระแล้วย่ำยี พร้อมด่าว่า  ผู้หญิงหมกมุ่น! 

 ครั้งหน้าไม่รู้ว่าเจ้าจะมาเมื่อไร ถ้าครั้งนี้ป้อนข้าไม่อิ่ม ก็ห้ามไปไหน… 

ในจวนขุนนางของทูตตรวจการซ้าย สวีถังหรานที่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงในโถงหลักเก็บระฆังดารา จากนั้นยกมือตบหน้าผากด้วยสีหน้ากังวล

เมื่อได้รับข่าว ก็เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ ฝ่าบาทเสด็จเยี่ยมเยียนราษฏรจนเยี่ยมเยียนไปถึงหวงฝู่จวินโหรวแล้ว ทั้งยังแอบมั่วอยู่กับหวงฝู่จวินโหรว เดิมทีนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาควรยุ่ง แต่เขากลัว เพราะราชินีสวรรค์ลั่นวาจาแล้ว ว่าถ้าจับได้ว่าเขารู้เรื่องแล้วไม่รายงานก็จะเด็ดหัวเขา!

 ฝ่าบาท ในวังมีสาวงามล้ำเลิศตั้งมากมายขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าเทียบหวงฝู่จวินโหรวไม่ติดสักคน?  ทูตตรวจการซ้ายผู้สง่าผ่าเผยหมอบลงบนโต๊ะอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ ทุบโต๊ะร่ำร้องอย่างจนใจ ทุกครั้งที่เหมียวอี้ไปลักลอบเจอกับหวงฝู่จวินโหรวก็คือเวลาที่เขาอำสั่นขวัญแขวน นี่มันเรื่องอะไรกัน…

ในจุดลึกของดาราจักรอันไกลโพ้น

ทะเลมรกตใต้ห้าครามเมฆขาว หาดทรายขาวริสุทใต้ต้นมะพร้าวธิ์ ลมทะเลโชยมาอย่างอ่อนโยน

ชายผมยาวสยายที่นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นมะพร้าวสวมกางเกงสั้นแค่เข่า กำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะตัวเล็ก เขาคือประมุขไป๋ ไป๋ชางไห่นั่นเอง

บนผิวทะเลมีปลาสีทองตัวหนึ่งสะบัดหาง ตีฟองคลื่นแล้วจมหายไป ร่างกายท่อนบนที่ลอยขึ้นมาเป็นสาวงามคนหนึ่ง นางก็คือประมุขปีศาจ รั่วสุ่ย

รั่วสุ่ยเงยหน้าอ้าปาก พ่นละอองน้ำออกมา ละอองน้ำกระเด้นไปบนต้นมะพร้าว แล้วตกกระทบลงพื้น ประมุขไป๋ที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้กลายเป็นไก่ในน้ำแกงทันที

ประมุขไป๋ถลันตัวไล่ตามไปที่ทะเลทันที รั่วสุ่ยส่งเสียงร้องกรี๊ด แล้วรีบดำหนีลงในน้ำ…

ในป่าลึกที่อยู่ห่างจากตรงนี้ไม่ไกล มีลำธารสายหนึ่งหุบหุบผา น้ำในลำธารไหลส่งเสียงคำราม บนลำธารมีสะพานหินแห่งหนึ่ง

สาวน้อยคนหนึ่งของเผ่าปีศาจเพิ่งจะอายุครบสิบแปดเต็ม นางเพิ่งได้รับมงกุฏดอกไม้จากคนในเผ่าและกระโดดโลดเต้นเข้ามาอย่างร่าเริง นางชื่อว่ามู่หลิงเอ๋อร์

เมื่อสามปีก่อนนางถูกเลือกจากคนในเผ่าให้เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ สาเหตุที่ถูกเลือกให้เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะนางหน้าตาเหมือนมู่น่า อดีตธิดาศักดิ์สิทธิ์เผ่าปีศาจทุกอย่าง เพียงแต่มู่หลิงเอ๋อร์ไม่รู้ก็เท่านั้นเอง

นางกระโดดโลดเต้นผ่านสะพานหินไป อดไม่ได้ที่จะมองพระพุทธรูปแกะสลักหินองค์หนึ่งใต้เท้าตรงปลายสะพาน

พระพุทธรูปแกะสลักหินนี้ เห็นรางๆ ว่าเหมือนภาพคนกำลังนั่งสมาธิ ผ่านล้มผ่านฝนมาเต็มที่ มีลายพร้อยและต้นมอสงอกครึ่งหนึ่ง

ดังนั้นทุกครั้งที่เดินผ่าน นางก็จะหยุดยืนมอง เป็นเพราะเคยได้ยินคนในเผ่าพูดถึง ว่ามีอยู่วันหนึ่งเกิดฟ้าผ่าบนภูเขาหินลูกนี้ ทำให้ภูเขาหินลูกนี้กลายเป็นภาพคนนั่งสมาธิ และนางก็ถือกำเนิดขึ้นที่นี่ ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าตัวเองกับรูปสลักหินนี้มีวาสนาต่อกันมาก เกิดในวันเดียวกัน

บนภูเขาเหมือนมีคลื่นลึกลับบางอย่าง มู่หลิงเอ๋อร์เงยหน้ามอง เห็นเพียงแสงสีขาวอ่อนละมุนเหมือนขนนกกำลังลอยล่อง ลอยมาตกลงบนรูปสลักหิน

ชั่วพริบตานั้น มู่หลิงเอ๋อร์ก้าวถอยหลังอย่างตกใจ ไม่น่าเชื่อว่ารูปสลักหินจะกลายร่างเป็นคนคนหนึ่ง กลายเป็นพระศีรษะล้านสวใจีวรขาวรูปหนึ่ง

พระศีรษะโล้นมีรัศมีสีขาวอ่อนโยนครอบทั้งร่างกาย ใบหน้าเจือรอยยิ้มนุ่มนวลอันผุดผ่องไร้ราคี สัมผัสไม่ได้ถึงเจตนาร้ายใดๆ กลับทำให้นางรู้สึกอยากเข้าใกล้ด้วยซ้ำ

 เจ้าเป็นใคร?  มู่หลิงเอ๋อร์ที่ดวงตาเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

พระยิ้มพร้อมตอบด้ววยน้ำเสียงอ่อนโยน  ข้ายอมให้ร่างกายกลายเป็นรูปสลักหิน ทนผ่านฝนผ่านพายุมานับแสนปีเพื่อเจ้า อธิษฐานความสุขให้เจ้า ปกป้องให้เจ้าสงบสุขปลอดภัย!  บนใบหน้ายิ้มน้ำตารื้น น้ำตาหยดหนึ่งที่มีแสงสว่างเจ็ดสีไหลอาบแก้ม

 หลิงเอ๋อร์!  ด้านหลังมีเสียงตะโกนเรียกดังขึ้น ผู้อาวุโสเผ่าปีศาจมู่เซินปรากฏตัวเดินเข้ามา

มู่หลิงเอ๋อร์หันกลับไปมองแวบหนึ่ง ตอนที่หันกลับมาอีกครั้ง นางก็ตะลึงงันแล้วเอามือขยี้ตา ยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป พบว่ารูปสลักหินก็ยังเป็นรูปสลักหินที่มีรอยด่างพร้อย มีพระเสียที่ไหนกัน?

แต่ว่า…มู่หลิงเอ๋อร์เดินมาตรงหน้ารูปสลักหิน เห็นเพียงตรงขาของรูปสลักหินมีวัตถุเปล่งแสงวิบวับเม็ดหนึ่ง นางหยิบมาดูในมือ เหมือนเป็นอัญมณีรูปหยดน้ำตาที่ใสแวววาวเหมือนผลึก เปล่งแสงสีรุ้งให้เห็นรางๆ

กำอัญมณีไว้ในมือแล้ว มู่หลิงเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่ไม่เหมือนใคร แต่นัยน์ตาแดงก่ำแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อยู่ดีๆ ก็อยากร้องไห้

 หลิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรร้องไห้?  มู่เซินเดินเข้ามาถาม

มู่หลิงเอ๋อร์ส่ายหน้า มู่เซินจูงมือนางเดินกลับมา  กลับไปกับข้า ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง ข้างนอกอันตรายมาก คราวหลังอย่าเพ่นพ่านไปไหนซี้ซั้วอีก! 

มู่หลิงเอ๋อร์ที่กำอัญมณีไว้ในมือเดินไปได้สามก้าวแล้วเหลียวหลังอีก มองรูปสลักหินที่มีร่องรอยและผ่านโลกมาอย่างโชกโชน…

 

สถานที่กักบริเวณของตระกูลก่วง ที่จริงก็อยู่ไม่ห่างจากวังสวรรค์มากนัก เม่ยเหนียงกลับมาที่ตระกูลก่วง เพิ่งจะทำให้ทุกคนของตระกูลก่วงตกใจเป็นไก่สุนัขกระโดดกำแพงได้ไม่นาน เกี้ยวมังกรก็พาเหมียวอี้กับก่วงเม่ยเอ๋อร์มาแล้ว บอกว่าจะมาก็มาจริงๆ
ทุกคนของตระกูลก่วงมารวมตัวกันต้อนรับ แม้เรือนพักใหม่ของตระกูลก่วงจะยังก่อสร้างต่อเติมไม่เสร็จเรียบร้อย แต่เม่ยเหนียงกลับดีใจมาก ราชันสวรรค์พาลูกสาวของนางกลับมาที่บ้านเดิม นี่เป็นเรื่องที่ต้องไว้หน้ากันมากขนาดไหน ต่อไปนี้ใครจะยังกล้าสงสัยถึงฐานะในวังของลูกสาวนางอีก? คนเดียวที่ทำให้เม่ยเหนียงไม่ค่อยพอใจก็คือก่วงลิ่งกง เพราะยังคงเก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่ยอมโผล่หน้าออกมาต้อนรับราชันสวรรค์
นางดีใจเพราะเหมียวอี้กลับมาเป็นเพื่อนลูกสาวนาง โกวเยว่ที่ออกมาต้อนรับด้วยกันรู้สึกหนาวจนเสียวสันหลัง เม่ยเหนียงไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายที่มาพร้อมกับหนิวโหย่วเต๋อ แต่เขากลับตระหนักได้อย่างแท้จริงถึงเขี้ยวหมาป่าที่อ้ารออยู่ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อถือโอกาสแสดงความคิดของตัวเองเมื่อไร เกรงว่าทั้งตระกูลก่วงจะได้หลั่งเลือดกลายเป็นแม่น้ำ หายไปจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง
ทัพใหญ่ที่อารักขามาถึงก่อน ควบคุมเรือนพักที่ตระกูลก่วงเตรียมไว้ให้เหมียวอี้พักล่วงหน้า จากนั้นถึงได้เห็นเกี้ยวมังกรเหยียบลงพื้น เหมียวอี้กับก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้าวลงจากเกี้ยวมังกรพร้อมกัน
“คำนับฝ่าบาท คำนับสนมสวรรค์!” ทุกคนของตระกูลก่วงที่นำโดยเม่ยเหนียงโค้งตัวต้อนรับ
เหมียวอี้กวาดสายตามองกลุ่มคน ไม่เห็นก่วงลิ่งกโผล่หน้าออกมาต้อนรับ แต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าผิดปกติใดๆ ตะโกนบอกให้ทุกคนยืนขึ้น จากนั้นเข้ามาพูดคุยทักทายกับพวกเม่ยเหนียงตามมารยาทสองสามคำ ไม่ได้เอ่ยถึงก่วงลิ่งกง แค่เข้าพักในตระกูลก่วง
ตอนกลางคืน ไม่เหนือความคาดหมายเลยสักนิด ก่วงเม่ยเอ๋อร์ปรนนิบัติในห้องนอน
ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สาวใช้กำลังถอดเครื่องประดับศีรษะให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์ เหมียวอี้พี่นั่งอยู่ข้างเตียงจ้องมาทางโต๊ะเครื่องแป้งตลอด จู่ๆ ก็โบกมือ สาวไทยที่ยังทำงานไม่ทันเสร็จรีบโค้งกายและถอยออกไป หลังจากออกไปแล้วก็ปิดประตูไว้อย่างดี
เหมียวอี้ลุกขึ้นเดินมาข้างหลังก่วงเม่ยเอ๋อร์ สบตากับก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่อยู่ในกระจก เขาค่อยๆ ถอดเครื่องประดับทีละชิ้นออกจากมวยผมของก่วงเม่ยเอ๋อร์ด้วยมือตัวเอง ก่วงเม่ยเอ๋อร์จ้องการกระทำของเขาผ่านกระจกอย่างนิ่งเงียบ
“สภาพจิตใจของเจ้าตอนนี้เหมือนน้ำนิ่งในบ่อ ยังจำตอนที่เจิ้นรู้จักกับเจ้าครั้งแรกได้หรือเปล่า? ตอนนั้นเจ้าเกือบจะได้แต่งงานกับเจิ้นแล้ว” เหมียวอี้พลันหัวเราะเบาๆ
จำได้สิ! ก่วงเม่ยเอ๋อร์จำภาพเหตุการณ์ในปีนั้นได้ชัดเจนมาก ผู้ชายในกระจกอยู่ในใจนางจนทำให้นางนอนพลิกไปพลิกมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว หลายครั้งแล้วที่ทำให้นางใฝ่ฝันเฝ้าคอย วีรบุรุษกล้าหาญ องอาจชาญชัย ฉากที่นำทหารแขนขาขาดมาตะโกนอยู่ใต้กำแพงเมืองว่าจะสังหารล้างเมืองก็ยิ่งชัดเจนเหมือนใหม่ ทุกครั้งที่เจอเขาก็จะหัวใจเต้นแรงเหมือนมีกวางน้อยกระโดดชน ตอนนี้กลับไม่มีความรู้สึกอย่างนั้นอีกแล้ว เพราะผู้ชายในกระจกทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว คนในบ้านพากันเตือนนางไว้ ว่าผู้ชายคนนี้สามารถเอาชีวิตคนในครอบครัวนางได้ทุกเมื่อ ให้นางไปแย่งชิงความโปรดปราน ให้นางคิดหาวิธีปฏิบัติให้ดี
ผมยาวดำขลับตกลงมาคลุมบ่าเรากับม่านน้ำตก
ความรู้สึกหนาวเย็นโถมเข้ามา ก่วงเม่ยเอ๋อร์ประหม่าจนตัวสั่น เห็นเพียงสองมือในกระจกกำลังคลายเสื้อผ้าบนไหล่นางอย่างช้าๆ เผยกระดูกไหปลาร้างามเกลี้ยงเกลาขาวหมดจด ไหล่สองข้างเผยออกมาทีละนิด มืออีกฝ่ายไม่หยุดทำงาน จนกระทั่งสองก้อนกลมขาวอมชมพูเนียนนุ่มเผยออกมาจนหมด สองมือที่เหมือนมีอำนาจสังหารทุกสิ่งก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว…
สามวัน! วันต่อมายังไม่เห็นก่วงลิ่งกงออกมาคำนับ เหมียวอี้ก็ลั่นวาจาแล้ว เขาต้องการจะพักอยู่ในจวนตระกูลก่วงสามวัน
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน เหลือเวลาจำกัดอีกวันสุดท้าย โกวเยว่ทนไม่ไหวแล้ว มายังห้องนอนของก่วงลิ่งกงที่ปิดสนิทอีกครั้ง
ก่วงลิ่งกงยังคงทำตัวเหมือนคนตาย นอนนิ่งอยู่บนเตียงหลังนั้น จมอยู่ท่ามกลางแสงสว่างขมุกขมัว
“ท่านอ๋อง หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าจะอยู่พักที่จวนตระกูลก่วงสามวันเท่านั้น คงจะให้เวลาจำกัดแค่สามวัน อยากจะให้ท่านไปยอมสวามิภักดิ์ ทำเพื่อทุกคนของจวนตระกูลก่วง ท่าน…” โกวเยว่ทำสีหน้าสับสน อึกอักเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็พูดไม่ออกว่าจะให้ก่วงลิ่งกงยอมก้มหน้า
ทว่าก่วงลิ่งกงยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร
สุดท้าย โกวเยว่ก็ก้มหน้าโค้งกาย แล้วหันตัวช้าๆ เดินจากไป
ใครจะคิดว่าตอนที่เดินมาถึงประตู จู่ๆ ก็ได้ยินก่วงลิ่งกงถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ถ้าข้ายอมสวามิภักดิ์ ตราบใดที่ข้ายังไม่สาย จะช้าหรือเร็วเขาก็ต้องลงมือกับตระกูลก่วง ถ้าข้าไม่ยอมสวามิภักดิ์ ตระกูลก่วงถึงจะรอดพ้นหายนะนี้ไปได้!”
โกวเยว่พลันหันกลับมา รู้สึกประหลาดใจและดีใจ ในที่สุดท่านอ๋องก็ยอมเอ่ยปากพูดแล้ว เขารีบเดินเข้ามาใกล้ แล้วถามว่า “ท่านอ๋อง หมายความว่าอย่างไรหรือ?”
ทว่าก่วงลิ่งกงบอกไว้เพียงเท่านี้ จากนั้นต่อให้ถามอย่างไร ก็ไม่มีคำตอบอีก
สุดท้ายโกวเยว่ทำได้เพียงเดินจากไปเบาๆ แต่เมื่อมีคำพูดนี้ของก่วงลิ่งกงแล้ว ในใจก็นับว่ามีความมั่นใจแล้ว เขารู้ว่าก่วงลิ่งกงไม่ใช่คนที่จะยิงธนูโดยไร้เป้า
สามวันหลังจากนั้น เหมียวอี้จากไปตามกำหนด แต่ไม่ได้พาก่วงเม่ยเอ๋อร์ไปด้วย บอกว่าต้องการให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์อยู่พักที่บ้านเดิมตัวเองหลายๆ วันหน่อย
ส่วนพฤติกรรมของก่วงลิ่งกงที่แม้ตายก็ไม่ยอมออกมาพบ เราไม่ได้ส่งผลให้เหมียวอี้ทำเรื่องที่โกวเยว่กังวล…
หลังจากนั้นหนึ่งปี ผ่านการประชุมขุนนางนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดก็ได้บทสรุปของการ ‘นิรโทษกรรมใต้หล้า’ แล้ว กฎสวรรค์ที่เกี่ยวข้องถูกร่างอย่างละเอียดเสร็จเรียบร้อย ประกาศต่อใต้หล้าอย่างเป็นทางการ ใต้หล้าสั่นสะเทือน!
นักพรตในใต้หล้าที่เห็นประกาศต่างก็รู้ ว่าเมื่อกฎสวรรค์นี้ปรากฏขึ้น ก็หมายความว่ากฎระเบียบเดิมของใต้หล้าถูกรื้อจนหมดสิ้นแล้ว ตำหนักสวรรค์กำลังจะมีอำนาจสูงสุดอย่างเบ็ดเสร็จ จะควบคุมทุกสิ่งของใต้หล้าโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดว่าจะหลุดออกจากกฎสวรรค์ง่ายๆ
มหาสมุทรกว้างสีเขียวมรกต เรือโหลวฉวนลอยไปตามคลื่น ในตึกเรือมีกับแกล้มเต็มโต๊ะ ชายสองคนกำลังนั่งดื่มอยู่ตรงข้ามกัน ม่านไข่มุกทั้งสี่ด้านถูกม้วนขึ้น ฟ้ากว้างทะเลครามช่วยเพิ่มอรรถรสให้ทิวทัศน์
สตรีวัยกลางคนสองคนกำลังพูดคุยสัพเพเหระอยู่ตรงโต๊ะริมหน้าต่าง หนึ่งในนั้นชื่อว่าฟางซู่ซู่ เหมียวอี้อาจจะรู้จัก หรือไม่รู้จักก็ได้ เวลาผ่านไปนานมากแล้ว เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่พิภพเล็ก
ชายสองคนที่นั่งดื่มอยู่ตรงข้ามกันก็คือสามีของผู้หญิงสองคนนี้ ทั้งคู่เป็นหัวหน้าภาคคนใหม่ของตำหนักสวรรค์ได้ไม่นาน นับว่าเป็นบุคคลที่ในมือกุมอำนาจทางทหารไว้ ล้วนเป็นคนหกลัทธิที่มีพื้นเพมาจากแดนอเวจี แน่นอน ตอนนี้ไม่มีหกลัทธิอะไรแล้ว มีเพียงตำหนักสวรรค์เท่านั้น ไม่มีอำนาจฝ่ายอื่น ตอนทั้งสองอยู่ที่แดนอเวจีก็เป็นสหายเก่ากัน ครั้งนี้ฝ่ายหนึ่งข้ามดาราจักรมามาที่อาณาเขตของอีกฝ่ายหนึ่ง นับว่าเป็นการพบกันของสหายเก่า
เมื่อกรอกสุราลงปากคำหนึ่ง ายหนุ่มแซ่จ้าวก็มองทิวทัศน์ทะเลรอบๆ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว “พูดตามตรง ตอนแรกที่อยู่แดนอเวจี นึกว่าจะถูกขังอยู่ในสถานที่ผีๆ แบบนั้นทั้งชีวิตนี้ซะแล้ว แม่เบื้องบนจะบอกมาตลอดว่าจะโจมตีกลับ แต่ที่จริงข้าก็ไม่ได้หวังสักเท่าไหร่ ใครจะคิดว่าพอออกจากแดนอเวจี ก็เจอศึกที่คว่ำฟ้าพลิกดินแล้วจริงๆ แย่งชิงใต้หล้านี้ได้อีกครั้ง! นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าพวกเราจะได้มานั่งดื่มสุราสบายใจอยู่ที่นี่ ตอนนี้นึกดูแล้วก็เหมือนฝันไป บางครั้งก็รู้สึกว่าไม่สมจริงด้วยซ้ำ แดนอเวจีที่ฝังอยู่ในความทรงจำมันลึกเกินไป”
ชายหนุ่มแซ่เกาอีกคนพยักหน้า “นิรโทษกรรมใต้หล้า ทางฝั่งเจ้า สถานการณ์การลงทะเบียนรายชื่อเซียนไปถึงไหนแล้ว?”
ชายหนุ่มแซ่จ้าวตอบว่า “มีคนมาลงทะเบียนเยอะมาก ค่อนข้างยุ่งยาก เพราะต้องตรวจสอบตัวตนของคนที่มาลงทะเบียนให้ชัดเจนทุกคน ต้องรายงานที่อยู่ที่แน่นอนซึ่งสามารถติดต่อได้ขึ้นไปให้เบื้องบน ยามจะเปลี่ยนที่อยู่ก็ต้องรายงานต่อเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินประจำพื้นที่นั้นด้วย พวกเรายุ่งยากนิดหน่อย พวกที่มาลงทะเบียนก็ยุ่งยากเหมือนกัน ทางฝั่งเจ้ามีคนมาลงทะเบียนเยอะหรือเปล่า?”
ชายหนุ่มแซ่เกาถอนหายใจ “ไม่เยอะก็แปลกแล้ว ฝ่าบาทเล่นทำอย่างนี้ ถ้าใครไม่เข้าทะเบียนรายชื่อเซียนก็จะถูกลงโทษข้อหาโจรกบฏ ถึงขั้นไม่มีสิทธิ์รวบรวมและซื้อขายทรัพยากรฝึกตนด้วยซ้ำ ต่อไปไม่ว่าจะทำธุรกรรมอะไรก็ต้องแสดงทะเบียนรายชื่อเซียนเพื่อพิสูจน์ ถ้าใครฝ่าฝืนแล้วถูกจับได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายซื้อหรือฝ่ายขายก็ต้องโดนลงโทษทั้งหมด ถ้าไม่มีทะเบียนรายชื่อเซียนยืนยันตัวตน แม้แต่จะเดินทางในดาราจักรให้เป็นอิสระก็ยังยากเลย ถามหน่อยว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ยังจะมีใครทนไหวอีก”
ชายหนุ่มแซ่จ้าวกล่าวว่า “กฎหมาย ‘ทัณฑ์สวรรค์’ นั่น…เกรงว่าต่อไปนี้นักพรตคงจะอยู่ไม่สุขแล้ว”
“เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทต้องการจะควบคุมจำนวนนักพรตในใต้หล้า ไม่อย่างนั้นถ้าใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ทั้งยังไม่มีสงครามอะไรอีก นักพรตเพิ่มจำนวนไม่หยุด ทรัพยากรฝึกตนกลับมีจำกัด ถ้าไม่ควบคุมก็ต้องเกิดเรื่องเข้าสักวัน แต่หลังจากนี้ เกรงว่าคนที่ผ่านเคราะห์ไปได้คงจะมีโอกาสตายมากกว่ารอด” ชายหนุ่มแซ่เกากล่าว
ชายหนุ่มแซ่จ้าวยกจอกสุราถาม “ได้ยินว่าในที่ประชุมขุนนางมีข่าวหลุดมาอีกแล้ว บอกว่าจะแบ่งตำแหน่งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น มีขุนนางไม่น้อยต้องถูกยุบ ต้องถอดเกราะรบกลายเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น”
ชายแซ่เกายิ้มเจื่อน “ก็ไม่รู้ว่าเรื่องการยุบตำแหน่งจะลามมาถึงพวกเราหรือเปล่า เออใช่ ได้ยินว่าฝ่าบาทคิดจปราบอาณาเขตดาวนิรนาม เตรียมจะย้ายกำลังพลหนึ่งในสามของใต้หล้าไปที่อาณาเขตดาวนิรนามโดยเฉพาะ ทัพใหญ่ในใต้หล้าผลัดเปลี่ยนกันดำเนินการเรื่องนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นเรื่องจริง คงเลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม”
ชายหนุ่มแซ่จ้าวบอกว่า “ไม่มีข่าวลือที่ไร้หลักฐานหรอก แล้วอีกอย่าง ใต้หล้าไม่มีเรื่องสงคราม ตำหนักสวรรค์จะหางานให้เราทำสักหน่อยก็เข้าใจได้ไม่ยาก”
แม้จะพูดคุยสัพเพเหระกับเพื่อนสาวอยู่ตรงริมหน้าต่าง แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะได้ยินบทสนทนาของสามีกับสหาย ไม่ได้ยินสองคนนั้นเอ่ยถึงเหมียวอี้ ฟางซู่ซู่ก็มองไปที่มหาสมุทรด้านนอกด้วยแววตาเหม่อลอยเล็กน้อย เสียงเจื้อยแจ้วของเพื่อนสาวที่อยู่ข้างกายไม่เข้าหูสักประโยค
ตอนที่ตัวอยู่แดนอเวจี นางยังมีความคิดที่น่าขำแบบนั้นอยู่ คิดจะไขว่คว้าเกียรติยศ แต่ที่แดนอเวจีขาดแคลนผู้หญิง ผู้หญิงส่วนใหญ่ถูกกดดันให้แต่งงาน นางเป็นคนส่วนน้อยที่ต่อให้ตายก็ไม่ยอมแต่ง ทว่าแดนอเวจีควบคุมเข้มงวดมาก ทรัพยากรก็ไม่เพียงพอ ทั้งยังขาดช่องทางให้เลื่อนตำแหน่ง ต่อให้เจ้าอยากจะพยายามแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อวันเวลาล่วงเลยนานไป ในที่สุดศรัทธาก็เริ่มสั่นคลอนทีละน้อย เพราะมองไม่เห็นความหวัง ด้วยความที่สามียืนหยัดตามจีบนาง ในที่สุดก็ซาบซึ้งใจ และแต่งงานกับเขาแล้ว
เดิมทีนึกว่าต้องถูกขังอยู่ที่แดนอเวจีไปทั้งชีวิต ใครจะคิดว่าในปีที่สองหลังจากแต่งงาน ประตูใหญ่แดนอเวจีก็เปิดออก ไม่น่าเชื่อว่าจะเคลื่อนทัพใหญ่ออกจากแดนอเวจี โจมตีเขาหลิงซาน!
ในตอนนั้น ความรู้สึกเสียใจทีหลังยากจะบรรยายออกมาได้ ทำไมถึงไม่ยืนหยัดอดทนอีกสักหน่อยล่ะ? ยืนหยัดมาหลายปีขนาดนั้น แต่ไม่น่าเชื่อว่าปีสุดท้ายจะไม่ยืนหยัดต่อแล้ว ราวกับสวรรค์กำลังล้อเล่นแรงๆ กับนาง
ทว่าเมื่อตระหนักได้ถึงความโหดร้ายของศึกใหญ่ หลังจากได้รู้ฐานะแท้จริงของคนที่ใจตัวเองหมกมุ่น ทันใดนั้นก็พบว่าตัวเองอยู่ห่างจากคนผู้นั้นไกลมาก ไม่ใช่ไกลเพราะระยะทางเท่านั้น! อีกฝ่ายมีอำนาจสูงเสียดฟ้า ชั่วอึดใจเดียวก็รับอนุภรรยาไปแล้วนับพันคน มีชีวิตนับร้อยล้านจบสิ้นอยู่ภายใต้คำสั่งเดียวของเขา มีคนนับไม่ถ้วนตายเพราะเขา กลอุบายอันน่าหวาดกลัวที่พลิกแพลงไปเหมือนคว่ำเมฆพลิกฝน ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ขนาดฆ่าล้างตระกูลโค่วที่เป็นบิดาบุญธรรมของตัวเอง โหดเหี้ยมไร้หัวใจ!
นางราวกับตื่นขึ้นมาจากฝัน จู่ๆ ก็พบว่าอีกฝ่ายไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์เด็กหนุ่มองอาจห้าวหาญที่ตัวเองจินตนาการไว้ ไม่มีความรู้สึกที่ทำให้นางใจเต้นแรงอีกแล้ว กลับทำให้นางรู้สึกว่าโหดเหี้ยมเย็นชามากด้วยซ้ำ เมื่อได้ยินชื่ออีกฝ่าย ตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเกรงกลัว ก่อนหน้านี้นางอยากเจอเขา แต่ตอนนี้กลับหวาดกลัวที่จะเจอเขา
บางทีตัวเองอาจจะคิดมากไป อีกฝ่ายอาศัยอยู่ลึกในวังสวรรค์ มีหรือที่ใครอยากเจอแล้วจะเจอก็ได้?
ฉากที่โยนลูกกลมแพรปักเลือกคู่จากบนตึกสูง ต้นหลิวริมแม่น้ำและละอองฝนโปรยปราย เขาถือร่มยืนอย่างองอาจอยู่ตรงหัวเรือและหันหน้ากลับมา ฉากที่มีหมอกฝนดุจภาพวาด…ฟางซู่ซู่ทอดสายตามองทะเลเขียวมรกตนอกหน้าต่างเผลอยิ้มมุมปาก
“พี่หญิงฟาง อย่าบอกนะว่าคำพูดของข้าน่าขำมาก?”
สตรีวัยกลางคนที่อยู่ข้างกันเห็นนางยิ้ม ก็อดไม่ได้ที่จะถาม ทำให้ฟางซู่ซู่รีบดึงสติกลับมา นางกุมมืออีกฝ่ายพลางส่ายหน้าหัวเราะไม่หยุด แต่กลับไม่อธิบายอะไร
นางหันกลับไปมองสามีที่พูดคุยหยอกล้อกับสหายอีกครั้ง แต่ละฉากที่เคยมีร่วมกับคนผู้นั้น แม้ยามนึกถึงจะรู้สึกว่างดงามมาก แต่ก็มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่นึกถึง ชนชั้นสูงมักลืมมิตรภาพวันเก่า เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนเป็นใคร แต่ตัวจริงที่อยู่ตรงหน้าก็ดีมากเหมือนกัน รักและปกป้องนางมาตลอด นางไม่มีอะไรให้ไม่พอใจ
ส่วนฉากอันงดงามที่น่าขำและไม่สอดคล้องกับความจริงเหล่านั้น นางเตรียมจะเก็บไว้ในก้นบึ้งหัวใจตลอดไป จะไม่เอ่ยถึงกับใครอีก หากมีวาสนาได้เจอคนผู้นั้นอีกครั้ง หากตนมีโอกาสได้สนทนากับเขา บางทีตนอาจจะถามประโยคเดียวว่า ยังจำคนที่โยนลูกกลมแพรปักให้ท่านในปีนั้นได้หรือไม่? เขาจะนึกออกหรือเปล่า?

 แต่งตั้งไป๋ชางไห่เป็นทูตซ้ายเสรี แต่งตั้งรั่วสุ่ยเป็นทูตขวาเสรี! 

 แต่งตั้งเกาก้วน เยี่ยนเป่ยหง เวินหวนเจิน โหยวอี…เป็นทูตแสวงดารา! 

 แต่งตั้งไป๋เหนียงจื่อเป็นพระแม่อาภรณ์ขาว! 

 แต่งตั้งสนมสวรรค์เยว่เหยวเป็นซีหวังหมู่[1]! 

 แต่งตั้งศีลแปดเป็นจอมปราชญ์พุทธะ! 

บรรดาขุนนางพบว่าการแต่งตั้งครั้งนี้ช่างได้กลิ่นอายของการแต่งตั้งที่ครอบคลุมใต้หล้าจริงๆ แม้แต่ประมุขไป๋กับประมุขปีศาจก็แต่งตั้งไปด้วยแล้ว เพียงแต่มีบางคนที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ถึงขั้นไม่รู้ด้วยว่าคนพวกนี้โผล่มาจากไหน สนมสวรรค์เยว่เหยวคือใคร? นามซีหวังหมู่ฟังดูเหมือนอยู่เหนืออ๋องทั้งปวง?

ส่วนหยางเจาชิงก็วางแผ่นหยกในมือแล้ว  การแต่งตั้งเสร็จสมบูรณ์แล้ว อีกไม่กี่วันจะแถลงต่อใต้หล้า เพื่อแสดงถึงพระเมตตาของฝ่าบาทและราชินีสวรรค์ 

 ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยราชินีสวรรค์!  กลุ่มขุนนางกล่าวทำความเคารพโดยพร้อมเพรียง

 ทุกคนลำบากมามากแล้ว!  เหมียวอี้ยื่นมือบอกใบ้ให้ยืนตรง อวิ๋นจือชิวยกมือตามเล็กน้อยโดยไม่ได้กล่าวอะไร

หยางเจาชิงบอกอีกว่า  ฝ่าบาท เหนียงเหนียงขอบพระทัยที่คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยของเหล่าขุนนาง ประทานสุราหนึ่งจอก! 

ในประตูด้านข้างทั้งสองฝั่งของตำหนัก เทพธิดากลุ่มใหญ่เดินเป็นแถวยาวเหยียดออกมา ถือถาดเดินผ่ากลางระหว่างกลุ่มขุนนางใหญ่ บรรดาขุนนางต่างคนต่างรับจอกสุราไว้ในมือ

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ถือถาดเดินขึ้นมาด้านบนเช่นกัน เหมียวอี้ยืนขึ้น อวิ๋นจือชิวยืนตาม ทั้งสองถือคนละจอกไว้ในมือ

 สุราจอกแรก คำนับเหล่าขุนพลที่สละชีวิตในสนามรบเพื่องานใหญ่ของตำหนักสวรรค์!  พอเหมียวอี้พูดจบ จอกสุราในมือก็เอียง เทสุราลงลงบนบันไดหยกแล้ว ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ทำตาม

จอกสุราที่ว่างเปล่าวางกลับไปบนถาดในมือเชียนเอ๋อร์ เหมียวอี้หยิบมาอีกจอก แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า  สุราจอกที่สอง คำนับคนที่เจิ้นทรยศ! 

น้ำสุราราดใส่บันไดหยก นำจอกเปล่ากลับไปวาง แล้วหยิบมาอีกจอก ขณะถือจอกสุราไว้ในมือ เขากล่างเสียงดังว่า  สุราจอกที่สาม คำนับคนที่ทรยศข้า!  พูดจบก็โบกแขนสาดสุรา

กลุ่มขุนนางมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร?

เหมียวอี้หยิบสุราจอกสุดท้ายไว้ในมือ แล้วคำนับทุกคนไกลๆ  คำนับทุกคน! 

ทุกคนรีบยกสองมือพร้อมบอกว่า  คำนับฝ่าบาทและเหนียงเหนียง! 

ขุนนางและราชันยกจอกสุราดื่มพร้อมกัน สุราหอมกระจายอยู่ในตำหนักฟ้าดิน

พิธีการนี้นับว่าเสร็จสิ้นเพียงบางส่วน จากนั้นขุนนางและราชันก็ปรึกษางานใหญ่ของใต้หล้าในตำหนักฟ้าดิน แต่ละคนต่างแสดงความคิดเห็น ตำหนักสวรรค์ตั้งขึ้นใหม่ การประชุมขุนนางครั้งแรกเริ่มขึ้นแล้ว

ตอนที่การประชุมขุนนางใกล้จบ เหมียวอี้ชำเลืองหยางชิ่งแวบหนึ่ง

 ข้าน้อยมีเรื่องจะนำเสนอขอรับ!  หยางชิ่งก้าวออกจากแถวแล้วกล่าวเสียงดัง

 ว่ามา!  เหมียวอี้พยักหน้า

หยางชิ่งกล่าวรายงานเสียงดัง  ข้าน้อยแนะนำให้นิรโทษกรรมต่อใต้หล้า! ขึ้นทะเบียนนักพรตทั้งหมดในใต้หล้า โดยให้ตำหนักสวรรค์ประกาศ ให้นักพรตเป็นฝ่ายมาลงทะเบียนเองภายในเวลาที่กำหนด ขอเพียงเป็นฝ่ายมาลงทะเบียนเอง ไม่ว่าความผิดใดๆ ในอดีตก็จะได้รับการละเว้น! ถ้าไม่มาลงทะเบียน จะถูกมองเป็นโจรกบฏและสังหารทั้งหมด! นอกจากนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้นักพรตที่เข้ามาทีหลังบุ่มบ่าม ตำหนักสวรรค์ควรตั้งระบบรวจสอบ ‘ทัณฑ์สวรรค์’ ต่อไปนี้นักพรตที่วรยุทธ์บงกชทองจะต้องผ่านการตรวจสอบจากทัณฑ์สวรรค์ ผู้ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วถึงจะเข้าไปอยู่ในทะเบียนรายชื่อเซียนได้ ผู้ที่ไม่มีทะเบียนรายชื่อเซียนห้ามเก็บรวบรวมและซื้อขายทรัพยากรฝึกตนใดๆ ผู้ใดฝ่าฝืนจะได้รับโทษข้อหาโจรกบฏ! 

เมื่อเสนอความเห็นนี้ออกมา กลุ่มขุนนางส่วนใหญ่ก็เข้าใจเจตนาที่หยางชิ่งเสนอแนะแล้ว นิรโทษกรรมใต้หล้าก็เพื่อทำให้นักพรตทั้งหมดอยู่ในการควบคุม ส่วนการตรวจสอบของทัณฑ์สวรรค์ก็เท่ากับควบคุมนักพรตที่เข้ามาทีหลัง ในนั้นมีช่องทางให้ดำเนินการมากมาย ที่จริงแล้ว สาเหตุที่เสนอสองเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพราะตำหนักสวรรค์ต้องการจะนำนักพรตทั้งหมดในใต้หล้ามาอยู่ในการควบคุม

 ทุกคนรู้สึกว่าอย่างไรบ้าง?  เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ

กลุ่มขุนนางบ้างก็กระซิบกระซาบกัน บ้างก็ทำท่าครุ่นคิด บ้างก็เงียบงันไม่พูดอะไร สรุปก็คือตอนนี้ยังไม่มีใครเอ่ยรับ เรื่องนี้กะทันหันเกินไป ชั่วขณะนั้นทุกคนยังชั่งน้ำหนักไม่กระจ่าง ยังไม่รู้ว่ามีผลกระทบอะไรต่อตัวเอง จึงไม่กล้าตัดสินใจอะไรง่ายๆ

ความจริงแล้ว ก่อนหยางชิ่งจะเสนอความเห็นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เคยปรึกษากับเหมียวอี้มาก่อนเลย แท้จริงจริงแล้วนี่ก็คือวิธีการที่เหมียวอี้ต้องการจะควบคุมใต้หล้าเอาไว้ในมืออย่างแนบแน่น แน่นอน เหมียวอี้เองก็ไม่ได้หวังว่าจะตัดสินใจเด็ดขาดในตอนนี้เลย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนมากเกินไป ต้องขอความร่วมมือจากคนเยอะเกินไป จำเป็นต้องใช้กฎสวรรค์ทั้งชุดเพื่อปฎิบัติให้สอดคล้องกัน ตอนนี้แย้มพรายในที่ประชุมก่อนก็เพื่อให้ทุกคนเตรียมตัวล่งหน้าเท่านั้นเอง

อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะมองผู้ชายที่นั่งเคียงกันหลาบครั้ง นางมองออกเช่นกัน ว่าผู้ชายของตัวเองต้องการจะยึดกุมใต้หล้าเอาไว้ในมืออย่างแน่นหนา

เมื่อเห็นทุกคนอยู่ในความเงียบ เหมียวอี้ก็บอกอีกว่า  เรื่องนี้ค่อยคุยกันอีกทีในการประชุมขุนนางครั้งต่อไป เลิกประชุม! 

 น้อมส่งฝ่าบาท น้อมส่งเหนียงเหนียง!  กลุ่มขุนนางกุมหมัดคารวะ มองคล้อยหลังเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวลุกขึ้นเดินออกไป

หลังตำหนัก อวิ๋นจือชิวเดินตามหลังเหมียวอี้ออกมาไม่ได้พูดอะไรสักคำ เรื่องบางอย่างนางก็รู้อยู่แก่ใจ นางเข้าประชุมราชสำนักไปรับการคำนับจากเหล่าขุนนางก็นับว่าฉีกกฎแล้ว ทุกคนยังไม่คุ้นชินกับการที่นางปรากฏตัวในที่ประชุม หากแสดงความเห็นซี้ซั้วอีกก็เกรงว่าจะทำให้วิพากษ์วิจารณ์

ด้านนอกตำหนักหลัง บรรดาสนมก่อนหน้านี้ยังรออยู่ เมื่อเห็นเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวออกมาแล้ ก็ทยอยกันย่อเข่าคำนับ นับว่าเป็นการให้เกียรติการประชุมขุนนางครั้งแรกของตำหนักสวรรค์อย่างเป็นทางการ ในภายหลังก็ย่อมเป็นอย่างนี้ทุกครั้ง

เหมียวอี้โบกมือให้พวกนางยืนตัวตรง ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ยังมีงานของนางอีก นี่คือการประชุมขุนนางครั้งแรกของตำหนักสวรรค์ บรรดาขุนนางใหญ่นำสมาชิกในครอบครัวมาด้วย นางต้องการจะนำคนจากวังหลังไปพบปะกับสมาชิกครอบครัวของขุนนางใหญ่สักหน่อย ที่จริงกิจกรรมนี้ควรจะเริ่มแล้ว แต่นางถูกเหมียวอี้ดึงตัวไปเข้าประชุมด้วย ถูกดึงไปปกครองใต้หล้าด้วยกัน จึงทำให้ชักช้าเสียเวลาแล้ว

เมื่อร่ำลาเหมียวอี้แล้ว อวิ๋นจือชิวก็นำกลุ่มสนมจากไป เหมียวอี้กวาดสายตามองกลุ่มสนม แล้วพยักหน้าเบาๆ ให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์  สนมสวรรค์อันเล่ออยู่ก่อน 

ทุกคนกล่าวอำลาแล้วออกไป ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่หงอยเหงาเศร้าสร้อยก้มหน้าอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้

ตั้งแต่ผู้หญิงคนนี้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสนมสวรรค์ เหมียวอี้ก็ยังไม่เคยพบหน้านางอย่างเป็นทางการเลย ตอนนี้เมื่อพบกันอีกครั้ง ถึงตระหนักได้จากใจว่าผู้หญิงคนนี้กลายเป็นสนมสวรรค์ของเขาแล้ว อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่รู้จักกันครั้งแรกและการไปมาหาสู่กันในภายหลัง มองออกเลยว่ามีผู้หญิงคนนี้จะงดงามมีเสน่ห์เหมือนเดิม แต่สีหน้ากลับหม่นหมองลงแล้ว

เหมียวอี้เข้าใจได้ รู้ด้วยว่าผู้หญิงคนนี้ผ่านอะไรมาก หลายเรื่องที่อยู่ในนั้นไม่พ้นเกี่ยวข้องกับเขา

แน่นอน ตอนนี้รั้งนางไว้ไม่ใช่เพราะความงามของนาง และไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิดในใจด้วย แต่เป็นเพราะก่วงลิ่งกงไม่ได้เข้าประชุมขุนนาง ทำให้ในใจเขานึกถึงนางขึ้นมา ไม่อย่างนั้นวังหลังมีผู้หญิงตั้งมากมายขนาดนั้น แล้วนางก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเสนอหน้ามาช่วงชิงความโปรดปรานด้วย มีเรื่องกวนใจมากมาย มีหรือที่จะคิดถึงก่วงเม่ยเอ๋อร์ได้

เหมียวอี้อยากจะรู้ให้กระจ่างว่าก่วงลิ่งกงมีเจตนาอะไรกันแน่ เขาจ้องนางพร้อมถามว่า  เจ้าเกลียดเจิ้นเหรอ? 

 เปล่าเพคะ หม่อมฉันมิบังอาจ!  ก่วงเม่ยเอ๋อร์ส่ายหน้า

เหมียวอี้ถามว่า  พ่อแม่เจ้ายังสบายดีอยู่ใช่มั้ย?  ที่จริงรู้อยู่แก่ใจแต่ยังแกล้งถาม ตระกูลก่วงเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ยามเผชิญหน้ากับเขาไม่มีความสามารถจะต่อต้านใดๆ เลย ต้องการจะแทรกซึมเข้าตระกูลก่วงก็เพราะรู้ว่าเรื่องภายในของตระกูลก่วงไม่ค่อยดี เขาย่อมรู้ถึงสถานการณ์ของเม่ยเหนียงในเวลานี้ เพียงแต่ก่วงลิ่งกงไม่โผล่หน้ามาด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร

ในบรรดาผู้นำของทัพใหญ่ในใต้หล้าที่สามารถสู้กับเขาได้ตอนแรก ก็เหลือแค่ก่วงลิ่งกงคนเดียวแล้ว สัตว์ร้อยขาแม้ตายร่างกายก็ยังไม่แน่นิ่ง พลังของสิงห์ร้ายผู้ทะเยอะทะยานไม่ได้อยู่ที่การแพ้ชนะบนสนามรบเท่านั้น ดังนั้นจึงเขาจึงนึกถึงอยู่เสมอ

 ไม่ค่อยได้ติดต่อกันเพคะ  ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้มหน้าตอบ

เหมียวอี้พยักหน้า  กลับเป็นข้าที่สะเพร่าไป  เขาเอียงศีรษะไปทางหยางเจาชิงที่อยู่ข้างหลัง  แจ้งไปที่จวนตระกูลก่วง ข้าจะพาสนมสวรรค์อันเล่อกลับไปพักที่บ้านเดิมสักสองสามวัน! 

 รับทราบ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับ

กลุ่มขุนนางทยอยกันออกจากวังสวรรค์ สวีถังหรานที่ยืนอยู่ตรงประตูหลักวังสวรรค์กำลังประสานสองมือตรงหน้าท้อง ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะกลายเป็นทูตตรวจการซ้ายตำหนักสวรรค์ ในใจเรียกได้ว่าผ่อนคลาย รู้สึกประสบความสำเร็จ

เขามองเงาหลังกลุ่มขุนนางที่เดินออกไปด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้มอ่อนๆ ค้นพบความรู้สึกยามได้อยู่เหนือกว่า สายตาที่เป็นประกายคอยสอดส่อง เขาย่อมรู้ว่าความรับผิดชอบของตัวเองอยู่ตรงไหน ครุ่นคิดว่าควรจะทำอย่างไรถึงจะไม่ทรยศต่อความเมตตาของฝ่าบาท ควรจะไปหาเรื่องขุนนางใหญ่สักคนเพื่อสร้างคดีใหญ่หรือเปล่านะ?

เขาใจร้อนอยากจะก่อเรื่องสักหน่อยเพื่อแสดงผลงาน อยากพิสูจน์ให้เหมียวอี้เห็นว่าตัวเองไม่ได้เลี้ยงเสียข้าวสุก แววตาแบบนั้นให้ความรู้สึกเหมือนชั่วร้ายเหมือนแววตาอินทรีกิริยาหมาป่า

กลับไปมองวังสวรรค์แวบหนึ่ง ผลก็คือพบว่าในตำหนักยังมีอีกคนที่ยังไม่ออกมา พบว่าหยางชิ่งกับจินม่านกำลังยืนอยู่ด้วยกัน เขาตาเป็นประกายทันที อย่าบอกนะว่าสองคนนี้กำลังสมคบกันทำอะไร? แต่จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเองคิดมากไป ทั้งสองไม่ได้แตะต้องได้ง่ายขนาดนั้น เรื่องด่วนที่ต้องทำในตอนนี้ก็คือ เริ่มวางแนวทางของหน่วยตรวจการซ้ายให้ดีพร้อมก่อน

แต่อารมณ์ก็ยังดีอยู่ เมื่อออกจากวังสวรรค์แล้ว ก็ขี่สัตว์พาหนะบินกลับบ้านตัวเอง รีบร้อนกลับไปแบ่งปันความรู้สึกดีๆ กัเสวี่ยหลิงหลง

หยางชิ่งถูกจินม่านเรียกให้อยู่ต่อ ทั้งสองสบตากัน หยางชิ่งยิ้มบางๆ จินม่านเผยสีหน้าซับซ้อนหลากหลายอารมณ์

หลังจากสบตากันนานมาก จินม่านก็บอกว่า  ได้ยินว่าฮูหยินของเจ้ามาแล้ว ได้ยินว่าผู้หญิงของฮ่าวเต๋อฟาง ซูอวิ้นก็ถูกเจ้ารับไว้แล้วเหมือนกัน ดูท่าแล้วเจ้าคงถูกตาต้องใจข้าได้ยากจริงๆ 

หยางชิ่งถอนหายใจ  เจ้าคิดมากไปแล้ว เจ้าดีมาก ดีมากจริงๆ ข้าไม่คู่ควรกับเจ้า 

 เราคงจะรู้นะว่าข้าอยากได้ยินอะไร?  จินม่านถาม

หยางชิ่งส่ายหน้าเบาๆ  ไม่สอดคล้องกับความจริง เจ้าคิดว่าด้วยตำแหน่งของเราทั้งคู่ตอนนี้ เหมาะสมที่จะมาอยู่ด้วยกันเหรอ? 

จินม่านเข้าใจความหมายของเขา ทั้งสองถูกแต่งตั้งให้เป็นอ๋องแล้ว ถ้าอยู่ด้วยกันจะทำผิดข้อห้ามได้ง่าย เพิ่งจะบุกยึดใต้หล้าได้ กลิ่นอายสังหารยังไม่เจือจางไป ราชันสวรรค์ที่หาศัตรูไม่พบเป็นบุคคลที่อันตรายคนหนึ่งนางกล่าวเสียงเรียกว่า  ตอนนี้ข้าถามเจ้าแบบจริงจัง รู้สึกอะไรกับข้าบ้างหรือเปล่า? 

หยางชิ่งยิ้มบางๆ  เจ้าสวยขนาดนี้ จะไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดได้ยังไง แบบนั้นข้าคงไม่ใช่ผู้ชายแล้ว 

 ได้! สถานะไม่สำคัญอะไรสำหรับข้า ขอเพียงเจ้ารับปากว่าจะแต่งงานกับข้า ข้าจะออกจากตำแหน่งอ๋องทันที  จินม่านกล่าว

หยางชิ่งขมวดคิ้ว  เจ้าทำอย่างนี้คุ้มแล้วเหรอ? 

จินม่านบอกว่า  ข้าอายุไม่น้อยแล้ว ข้าเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ข้าไม่ขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ เจ้าคิดว่าตำแหน่งอ๋องที่ไร้อำนาจที่แท้จริงมีความหมายสำหรับผู้หญิงที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวมาจนถึงทุกวันนี้อย่างนั้นหรือ? ใช่แล้ว ใต้หล้ามีผู้ชายตั้งมากมาย ข้าไม่จำเป็นต้องมาหาเจ้าด้วย แต่ข้าสับสนมาก ไม่รู้ว่าควรจะไปหาใครดี คนธรรมดาทั่วไปข้าก็ไม่ชอบ คนที่ฐานะแตกต่างกันเกินไปก็ไม่อยากสนใจเช่นกัน พูดตรงๆ ก็คือไม่มีอารมณ์ความคิดนั้นแล้ว ข้าไม่ได้ขอร้องเจ้า แค่มีความรู้สึกกับเจ้าอยู่บ้าง ค่อนข้างเฝ้าคอย แล้วเจ้าล่ะ? 

หยางชิ่งเงียบไป…

สวีถังหรานพี่กลับบ้านมาแล้วเพิ่งจะนึกได้ว่าเสวี่ยหลิงหลงไปร่วมเที่ยวเล่นชมอุทยาน และในตอนนี้เสวี่ยหลิงหลงก็กำลังอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังอยู่ริมทะเลสาบ กำลังดูภูมิทัศน์อันยิ่งใหญ่ที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ วังสวรรค์เพิ่งจะย้ายมา มีหลายสิ่งที่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์

อวิ๋นจือชิวเองก็รู้ว่าตอนนี้ฝั่งนี้ยังไม่มีอะไรน่าเชิญทุกคนมาเชยชม โดยเฉพาะเมื่อฟังคำสรรเสริญเยินยอที่ไม่ได้มาจากใจของทุกคน นางจึงพูดเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเสียเลย ให้ทุกคนต่างช่วยกันแสดงความเห็น ออกความเห็นว่าควรจะสร้างภูมิทัศน์อย่างไร หลังจากสร้างเสร็จแล้ว ครั้งหน้าจะเชิญทุกคนมาชื่นชมผลงานที่ทำร่วมกันอีกที ทำให้ทุกคนมีอารมณ์อันสนุกสนาน

หวังเฟยเม่ยเหนียงที่อยู่ในกลุ่มนั้นได้ยินข่าวส่งมาจากในวัง รู้ว่าฝ่าบาทจะพาลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมก็ดีใจมาก รีบไปอำลาอวิ๋นจือชิว

ขณะมองส่งเม่ยเหนียงเดินจากไป อวิ๋นจือชิวแอบถอนหายใจ ก่วงลิ่งกงได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว เดิมทีนึกว่าเหมียวอี้จะแสดงความใจกว้างให้ทุกคนได้เห็น แต่พอดูตอนนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ยังนึกถึงก่วงลิ่งกงอยู่เสมอ ไม่รู้ว่าเมฆครึ้มที่คิดจะตัดรากถอนโคนยังวนเวียนอยู่ในหัวเหมียวอี้หรือเปล่า

…………………………

[1] ซีหวังหมู่ 西王母 แปลตามตัวอักษรคือ พระมารดาแห่งทิศตะวันตก

 

เมื่อได้ยินอย่างนี้ ทุกคนก็ตะลึงพร้อมกัน อวิ๋นจือชิวที่เคยปาดน้ำตาเบาๆ ก็เงยหน้ามองเขาอย่างงุนงงเช่นกัน
เหมียวอี้ยื่นมืออีกครั้ง กุมมือเรียวสวยของนางไว้ในมือตัวเอง จูงนางเดินอ้อมกำแพงไปที่ตำหนักหน้า
ในตำหนักฟ้าดิน บรรยากาศเคร่งขรึมเป็นทางการ แม่ทัพจำนวนเกือบพันรวมตัวกันอยู่ รอเงียบๆ อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตอนที่เห็นเหมียวอี้จูงมืออวิ๋นจือชิวเดินออกมาด้วยกัน พวกเขาก็งงนิดหน่อย มีคนไม่น้อยเริ่มมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา บางคนก็สุมหัวกระซิบกระซาบกัน ในตำหนักมีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์กระเพื่อมเบาๆ
เมื่อเห็นราชสำนักที่เดิมทีมีบรรยากาศเคร่งขรึมเริ่มวุ่นวายเพราะการปรากฏตัวของนาง อวิ๋นจือชิวที่เดิมทีกังวลอยู่แล้วก็เริ่มประหม่านิดหน่อย
ยามปกติไม่ว่านางจะเจอขุนนางใหญ่คนไหน ต่อให้เจอขุนนางใหญ่เป็นกลุ่ม นางก็ไม่เคยตื่นเต้นอะไรเลย แต่เห็นได้ชัดว่าวันนี้แตกต่างกัน ต่อให้นางมีฐานะสูงในระดับหนึ่งแล้ว ต่อให้ไม่มีกฎบอกไว้ว่าห้ามราชินีสวรรค์ปรากฏตัวที่ราชสำนัก แต่แนวคิดที่ฝังลึกอยู่ในใจคนก็ล้วนคิดว่าวังหลังห้ามแทรกแซงราชกิจ แม้แต่นางเองก็ตระหนักได้ ว่าการปรากฏตัวของนางตอนนี้ค่อนข้างออกนอกลู่นอกทาง นางรู้สึกไม่มั่นใจแล้ว จะไม่ให้ประหม่าได้อย่างไร?
เหมียวอี้เหมือนจะรู้สึกได้ถึงความกระวนกระวายใจจากฝ่ามือของนาง จึงออกแรงกุมมือนางอย่างอบอุ่น ให้ความมั่นใจกับนาง เหมือนกำลังบอกนางว่า มีข้าอยู่ ไม่ต้องกลัว!
การยืนหยัดสนับสนุนของเหมียวอี้ ช่วยคลายความอารมณ์ตื่นเต้นกังวลของนางได้บ้างแล้วจริงๆ อวิ๋นจือชิวแอบสูดหายใจลึก บอกตัวเองว่าต้องสงบนิ่งเยือกเย็น!
เมื่อเดินขึ้นบันได สองสามีภรรยาก็ยืนหันหลังให้บัลลังก์ เหมียวอี้ถือโอกาสยื่นมือบอกใบ้เล็กน้อย อวิ๋นจือชิวที่ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินั่งลงข้างกายเขา หันหน้าเข้าหากลุ่มขุนนางที่ยืนอยู่เบื้องล่าง
โชคดีที่บัลลังก์กว้างเพียงพอ เหมือนเตี้ยเตี้ยหลังหนึ่ง เพียงพอที่จะให้นั่งได้สองคน
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ยืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาด้านหลังบัลลังก์ ตรงตีนบันไดฝั่งซ้ายและขวามีชิงเยว่และเหยียนซู่ยืนอยู่ คนที่มีข้อมูลอยู่ในใจแล้ว เมื่อเห็นการยืนลักษณะนี้ ก็รู้แล้วว่าเหยียนซู่มาแทนที่หลงซิ่นแล้ว หลายคนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหลงซิ่น อยู่ดีๆ เหตุใดจึงเสียตำแหน่งคนสนิทข้างกายฝ่าบาท
ส่วนหลงซิ่นก็ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มขุนนางในตำหนัก มองไปที่เหยียนซู่แววตาหลากหลายความรู้สึก ตอนที่มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของเขา เหมียวอี้ก็เคยเรียกเขาไปคุยกันแล้ว ถามเขาเพียงว่า : ถ้าผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์ใช้อารมณ์ทำงานเพื่อความรู้สึกส่วนตัวครั้งแล้วครั้งเล่า เจิ้นควรจะจัดการอย่างไร?
ดังนั้นหลงซิ่นจึงเป็นฝ่ายขอลาออกจากตำแหน่งเอง ออกจากตำแหน่งผู้ตรวจการขวาเดิม
เรื่องบางเรื่องแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่มีอะไรจะพูด แม้ในใจเขาจะรู้สึกไม่ยอม แต่เขาก็ทำได้เพียงยอมรับ ตัวเองต้องรับผิดชอบเรื่องที่ตัวเองเคยทำไว้
ส่วนคนอื่นๆ สายตาของคนส่วนใหญ่ในตำหนักจับจ้องไปที่อวิ๋นจือชิว ตามระเบียบพิธีการที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ไม่ได้บอกไว้ว่าอวิ๋นจือชิวจะปรากฏตัว ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กเป็นระยะ ถึงแม้หยางเจาชิงที่ยืนอยู่ข้างบัลลังก์จะส่งสัญญาณมือให้เริ่มได้ แต่ชั่วขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากพูดอะไรดี
อวิ๋นจือชิวเหมือนนั่งอยู่บนเข็มพรมทันที รู้สึกอึดอัดเก้อเขินแล้ว
เหมียวอี้ที่นั่งสง่าอยู่เบื้องบนมองสวีถังหรานที่ยืนอยู่เบื้องล่าง ส่งสายตาให้แล้ว
สวีถังหรานที่เดิมทีตะลึงงันเข้าใจความหมายทันที ปลุกตัวเองให้ฮึกเหิม ทำท่าเหมือนไม่กลัวตาย กุมหมัดคารวะโค้งกายค้างไว้ นำกล่าวเสียงดังว่า “ข้าน้อยคารวะฝ่าบาท คำนับราชินีสวรรค์!” การเคลื่อนไหวชัดเจนมาก
พอเขาเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นได้ชัดว่ายังมีคนลังเลเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่าไม่เหมาะสม แต่อวิ๋นอ้าวเทียนกับมู่ฝานจวินที่กุมหมัดคารวะแล้วส่งสัญญาณมือให้คำนับเบาๆ บรรดาลูกน้องเก่าของเหมียวอี้ก็ทำอย่างนี้เช่นกัน สุดท้ายก็มีคนทยอยทำตาม ส่วนคนที่เหลือรู้สึกว่าพรรคพวกน้อยกว่า บวกกับสายตาเยียบเย็นของเหมียวอี้จ้องมา พวกเขาจึงหัวใจกระตุกวูบ ต้องกุมหมัดคารวะด้วยความจนใจ
หยางเจาชิงส่งสัญญาณมืออีกครั้ง
ทุกคนถึงได้โค้งกายพร้อมกัน แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ข้าน้อยคารวะฝ่าบาท คำนับราชินีสวรรค์!”
เมื่อเห็นทุกคนยอมศิโรราบแล้ว เหมียวอี้ก็ผายสองมือเบาๆ “ยืนขึ้น!”
อวิ๋นจือชิวไม่ได้พูดอะไร แต่พยายามผายมือขึ้นตามเหมียวอี้อย่างใจกว้าง
เมื่อกลุ่มขุนนางยืนตรง อวิ๋นอ้าวเทียนกับมู่ฝานจวินก็เงยหน้ามองอวิ๋นจือชิวที่นั่งอย่างสง่างามอยู่ข้างบนอีกครั้ง อาภรณ์หงส์และอาภรณ์มังกรหรูหราสะดุดตา ท่วงท่าดูสูงส่งเยือกเย็นไร้ที่เปรียบ!
ในใจทั้งสองเรียกได้ว่าสะท้อนใจไร้ที่สิ้นสุด ในปีนั้นใครจะไปคาดคิดว่าเหมียวอี้จะเดินมาสูงระดับนี้ ยอมนึกไม่ถึงเช่นกันว่าอวิ๋นจือชิวจะมีวันที่ได้เป็นมารดาแห่งใต้หล้า ทว่าวันนี้ปรากฏตัวเป็นๆ อยู่ข้างหน้าแล้ว กำลังรับการคำนับจากเหล่าขุนนาง
มู่ฝานจวินนึกถึงลูกชายตัวเองที่ตายไป มองไปที่อวิ๋นจือชิวด้วยปลาบปลื้มชื่นชม มีความรักและเอ็นดู แต่ไหนแต่ไรมาดวงตาที่คมกริบแข็งกร้าว ตอนนี้เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนแล้ว ทั้งชีวิตนี้นางก็แข็งแกร่งมากจริงๆ ใครบอกละว่าสตรีเทียบบุรุษไม่ได้? แต่ในวันนี้ นางพอใจมาก นางพอใจกับการกระทำของเหมียวมาก เห็นได้ชัดว่าให้หลานสาวของตัวเองได้นั่งเคียงข้างอย่างเท่าเทียมกัน
หากคนคนนั้นมีความคิดได้ครึ่งเหมียวอี้แม้เพียงครึ่งเดียว ตนก็คงไม่ถึงขั้นแข่งกับเขาไปทั้งชีวิตหรอก! มู่ฝานจวินเอียงหน้ามองอวิ๋นอ้าวเทียนโดยจิตใต้สำนึก
ใครจะคิดว่าอวิ๋นอ้าวเทียนก็กำลังเอียงหน้ามองนางเช่นกัน ทั้งสองราวกับจิตใจเชื่อมถึงกันได้ พอสบตากันก็รีบหลบสายตาทันที ความลับบางอย่างทั้งสองไม่คิดจะเผยต่อภายนอก เมื่อก่อนไม่พูดก็เพราะกำลังแข่งขันกัน ตอนนี้ไม่พูดก็บย่อมเป็นเพราะมีเหตุผลนี้อยู่เช่นกัน ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือหวังดีต่ออวิ๋นจือชิว สามารถสนับสนุนอวิ๋นจือชิวได้ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
“ประกาศ!” เหมียวอี้ตะโกนอย่างเด็ดเดี่ยว ในน้ำเสียงแฝงอำนาจบารมี เสียงดังก้องอยู่ในตำหนักใหญ่
หยางเจาชิงนำแผ่นหยกที่สร้างขึ้นมาเฉพาะกิจขึ้นมา กวาดสายตามองกลุ่มคน อ่านประกาศด้วยท่วงทำนองอันหนักแน่น “ก่วงลิ่งกง เฉิงไท่เจ๋อ เถิงเฟย ลั่วหม่าง หวงฮ่าว กูอวี้เฉิง หยางชิ่ง ผังก้วน เหิงอู๋เต้า ซูชิงฉวน จินม่าน อวิ๋นอ้าวเทียน มู่ฝานจวิน ซือถูเซี่ยว จีฮวน อวี้หลัวช่า จางซินหู ฉางเหลย ทั้งสิบแปดคนมีคุณูปการ แต่งตั้งเป็นสิบแปดอ๋องของตำหนักสวรรค์!”
คนที่ถูกเรียกชื่อแอบยิ้มเจื่อน เดิมทีเป็นสี่อ๋องสวรรค์ ตอนนี้กลายเป็นสิบแปดอ๋องสวรรค์แล้ว แบบนี้น้ำหนักของอ๋องสวรรค์ยังเหลืออยู่เท่าไร ยังต้องพูดอยู่อีกเหรอ?
ในบรรดาสิบแปดคนนี้มีสองคนที่ไม่ได้มา หนึ่งคือก่วงลิ่งกง ตระกูลก่วงอ้างว่าขาดสติสัมปชัญญะ จึงไม่ได้เข้าประชุมขุนนาง ส่วนอี่กคนก็คือ ‘จางซินหู’ ทุกคนไม่รู้จักเลย ไม่เคยได้ยินชื่อด้วย แม้แต่ตัวอยู่ตรงไหนก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังเล่นลูกไม้อะไร
อวี้หลัวช่าที่ยืนอยู่กลางตำหนักเม้มริมฝีปาก รู้สึกปลาบปลื้มใจมาก นางย่อมรํู้ว่าจางซินหูคือลูกชายของนาง ไม่ว่าลูกชายจะมีอำนาจทางทหารหรือไม่ แต่อย่างน้อยท่านลุงใหญ่อย่างเหมียวอี้ก็ไม่มีอะไรให้ว่าเลย ในการแต่งตั้งอ๋องชุดแรกก็ยังไม่ลืมหลานชายตัวเอง
“แต่งตั้งชิงเยว่เป็นผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้าย แต่งตั้งเหยียนซู่เป็นผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ขวา!”
“หวงลี่ หนานกงหรูอวี้ ม่ายจื่อ จ่างซุนจู ซิงหลัว ลวี่เกอ หลีเซิง เย่สิงคง…ทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดคน แต่งตั้งเป็นหนึ่งร้อยแปดเทพประจำดาวของตำหนักสวรรค์!”
กลุ่มคนที่ได้รับแต่งตั้งทำได้เพียงแอบจนใจ เทพประจำดาวกลายเป็นหนึ่งร้อยแปดคนแล้ว สิ่งที่พอจะปลอบใจได้บ้างก็คือ ตำแหน่งจอมพลที่อยู่ระหว่างอ๋องสวรรค์ถูกยกเลิกแล้ว
ผ่านไปครู่เดียว หยางเจาชิงก็ประกาศรายชื่อออกมาอย่างต่อเนื่องอีก รายชื่อเหล่านี้ยาวพอสมควร มีจำนวนห้าร้อยคน ทุกคนทำได้เพียงหูผึ่งคอยฟังว่าจะมีชื่อของตัวเองอยู่ในนั้นหรือไม่ ตำแหน่งโหวถูกยกเลิกแล้ว ต่อไปนี้ตำหนักสวรรค์ไม่มีตำแหน่งโหวแล้ว ห้าร้อยคนนี้ถูกแต่งตั้งเป็นขุนพลใหญ่ตำหนักสวรรค์!
จากนั้นหยางเจาชิงก็อ่านประกาศตำแหน่งขุนนางที่เป็นตำแหน่งลอยอีกนิดหน่อย
ตำแหน่งหัวหน้าภาคที่อยู่ระดับล่างกว่านั้นก็รักษาไว้ แต่ตำหนักสวรรค์แต่งตั้งไปแล้วโดยตรง ทำลายระบบพรรคพวกโดยสิ้นเชิง
ที่จริงแล้วในตอนนี้ หัวหน้าภาคที่กระจายตัวกันอยู่ตามที่ต่างๆ ต่างหากคือคนที่กุมอำนาจทางทหารเอาไว้ กลุ่มคนที่อยู่ในที่ประชุมราชสำนัก ไม่ว่าจะเป็นพวกอ๋องสวรรค์ เทพประจำดาวหรือขุนพลใหญ่ ทุกคนล้วนถูกยึดอำนาจทางทหาร บนราชสำนักกลายเป็นสถานที่ปรึกษาหารือเรื่องการปกครองใต้หล้า ฝ่าบาทสร้างจวนกลยุทธ์ฟ้าขึ้นมา อำนาจทางทหารของใต้หล้าไปรวมอยู่ที่จวนกลยุทธ์ฟ้าที่เดียว หากเกิดศึกสงครามขึ้นมาจริงๆ บนราชสำนักจะตัดสินใจเพียงทิศทางโดยรวม ส่วนจวนกลยุทธ์ฟ้ารับหน้าที่บัญชาการทำศึกโดยละเอียด
หากเกิดเรื่องศึกสงครามจริงๆ ตำหนักสวรรค์เรียกตัว แม่ทัพที่ถูกเรียกก็จะกลายเป็นจอมพล หลังจากจบศึกสงครามแล้ว จอมพลก็จะส่งมอบอำนาจทางทหารออกมา หัวโขนของจอมพลก็จะถูกถอดทิ้ง ตำแหน่งจอมพลที่ถูกยกเลิกก็เอาไว้ใช้งานตรงจุดนี้
ตำแหน่งหัวหน้าภาคแม้จะมีอำนาจทางทหาร แต่ก็มีจำนวนเยอะเกินไป กำลังของรายบุคคลน้อยเกิน ต่อให้ก่อเรื่องก็ทำไม่สำเร็จ และจวนกลยุทธ์ฟ้าก็ยังสามารถโยกย้ายได้ตอลดเวลา มักจะสับเปลี่ยนตำแหน่งหัวหน้าภาคเหล่านั้น ไม่ให้หัวหน้าภาคคนหนึ่งกุมอำนาจของที่ใดที่หนึ่งไว้ตลอด
ขณะเดียวกัน วังสวรรค์ก็ปล่อยข่าวออกมาหยั่งเชิงแล้ว ความหมายคร่าวๆ ก็คือ ขั้นถัดไปอาจจะต้องให้ขุนนางบนราชสำนักและกำลังพลตำหนักสวรรค์ทั้งหมดแบ่งแยกฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น ต้องแบ่งภาระหน้าที่ของแต่ละคนให้ละเอียด ไม่อนุญาตให้คนที่คุมทหารควบตำแหน่งปกครองอาณาเขต ต้องแยกตำแหน่งขุนนางฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น มีคนกลุ่มใหญ่ที่ต้องถอดอาวุธยุทโธปกรณ์ออก
ขณะที่ฟังหยางเจาชิงอ่านประกาศเสียงดัง เหมียวอี้ที่กำลังนั่งสง่าก็มีสีหน้าเรียบเฉย กำลังสังเกตปฏิกิริยากลุ่มคนอยู่ตลอด
อวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่เคียงข้างมีลักษณะสุภาพเยือกเย็น นั่งอย่างสง่าภูมิฐาน บางครั้งก็ชำเลืองเหมียวอี้ ในใจเต็มไปด้วยความอ่อนโยนหวานซึ้ง นางกำลังหวนนึกถึงเรื่องในอดีต นึกย้อนไปถึงอุปสรรคขวากหนามที่เหมียวอี้ผ่านมาตลอดทาง เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว นางก็รู้สึกสะท้อนใจมากเช่นกัน
“แต่งตั้งหลงซิ่นทูตซ้ายจวนกลยุทธ์ฟ้า เฉิงไท่เจ๋อควบตำแหน่งทูตขวาจวนกลยุทธ์ฟ้า!”
“แต่งตั้งสวีถังหรานเป็นทูตตรวจการซ้ายตำหนักสวรรค์ หยางชิ่งควบตำแหน่งทูตตรวจการขวาตำหนักสวรรค์!”
“แต่งตั้งหยางเจาชิงเป็นผู้การใหญ่วังสวรรค์!”
“แต่งตั้งจ้าวเชียนเอ๋อร์ หลิวเสวี่ยเอ๋อร์เป็นเทพสตรีเก้าสวรรค์!”
“แต่งตั้งเหยียนซิวเป็นเหยียนหลัวหวัง คุมแดนรัตติกาล! แต่งตั้งเฮยอวี้ถังเป็นราชามังกร ปกครองเผ่ามังกรทั้งใต้หล้า! แต่งตั้งเป็นเทพสตรีผู้พิทักษ์เผ่าหงส์!”
เอ๋อและซีก็คือชื่อของสองเทพสตรีผู้พิทักษ์เผ่าหงส์ พวกนางอยู่ในตำหนักด้วยเช่นกัน ได้ยินแล้วจนใจมาก เดิมทีทั้งสองเป็นเทพสตรีผู้พิทักษ์เผ่าหงส์ แต่ถูกกดดันจากอำนาจที่แข็งแกร่งของเหมียวอี้ มิอาจฝ่าฝืนการแต่งตั้ง ทั้งสองได้ชื่ออย่างเป็นทางการแล้ว
ส่วนเฮยอวี้ถัง ก็คือชื่อของเฮยทั่นนั่นเอง ตอนนี้กำลังแอบยิงฟันยิ้มอย่างเริงร่าอยู่ในตำหนัก อยู่ดีๆ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นราชามังกรแล้ว เขาดีใจมาก นี่คือชื่อที่เขาตั้งให้ตัวเองตอนที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะถูกแต่งตั้งเป็นราชามังกร ชื่อเฮยทั่นที่แปลว่าถ่านดำไม่ไพเราะ ไม่เหมาะจะประกาศชื่ออย่างเป็นทางการท่ามกลางฝูงชน เขารู้สึกว่าตัวเองก็หน้าตาไม่แย่ ถึงได้เรียกตัวเองว่าเฮยอวี้ถัง ซึ่งแปลว่าตำหนักหยกดำ
เหยียนซิวรู้ล่วงหน้าว่าตัวเองจะถูกแต่งตั้งเป็นอ๋อง รู้เช่นกันว่าเหมียวอี้จะแบ่งแดนรัตติกาลให้เป็นอาณาเขตของเขา เพราะแดนรัตติกาลเหมาะกับการฝึกตนของเขา แต่กลับไม่รู้ว่านามตำแหน่งอ๋องของเขาจะเป็น ‘เหยียนหลัวหวัง’ เขาพลันเงยหน้ามองเหมียวอี้ เรียกได้กว่าการแต่งตั้งนามนี้กระทบจุดที่อ่อนแอที่สุดในใจของเขาแล้ว ชั่วพริบตานั้นน้ำตาอุ่นร้อนพรั่งพรูออกมา น้ำตาไหลใส่ปกคอเสื้อ เขาค่อยๆ ก้มหน้าลงแล้วส่ายหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าสุดจะทน น้ำตาไหลอาบใบหน้าชรา สองไหล่สั่นเทิ้มขณะอดกลั้นไม่ส่งเสียงร้อง
ข้างๆ มีคนสังเกตได้ถึงความผิดปกติของเขา ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงร้องไห้
แน่นอนว่ามีคนแปลกใจว่าทำไมนามของเหยียนซิวถึงมีคำว่า ‘หลัว’ เพิ่มเข้ามา
เหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องสูงจ้องไปทางเหยียนซิว เขาเข้าใจความรู้สึกแย่ในใจเหยียนซิวที่สุด ชื่อ ‘ฮูหยินสิบพ่าย’ คือความอัปยศทั้งชีวิตของผู้หญิงคนนั้น
หยางชิ่งที่ยืนอยู่แถวหน้าค่อยๆ หันกลับไปมองเหยียนซิวแวบหนึ่ง เมื่อเห็นท่าทางของเหยียนซิว เขาก็เงียบไป ฮูหยินของเหยียนซิวสามารถเรียกได้ว่าตายด้วยน้ำมือเขา ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหยียนซิวไม่ทางกลมเกลียวกันได้ นี่คือเงามืดในใจของเขา

 น้อมรับบัญชา!  แม่เฒ่าลวี่โค้งกาย ถือไม้เท้าเดินไปตรงหน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกปลง ยังนึกว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่โดนสังหารไปแล้วเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะปล่อยเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไปได้ สังหารสามีของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ สังหารลูกชายของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ สิงห์ร้ายที่ทะเยอทะยานเช่นนี้กลับไม่ได้ขุดรากถอนโคน แต่ไว้ชีวิตเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ทำให้นางทำใจเชื่อได้ยากจริงๆ

เมื่อเห็นแม่เฒ่าลวี่ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ค่อยๆ ได้สติกลับมา นางน้ำตาไหล พึมพำกับแม่เฒ่าลวี่ว่า  พวกเขาฆ่าจุนเอ๋อร์ ได้ยินว่ายังฆ่าฝ่าบาทด้วย ทำไมตระกูลเซี่ยโห้วไม่ช่วยข้า ทำไมไม่ช่วยข้า…  แล้วก็เริ่มร้องไห้โดยไร้เสียง นางนั่งยองๆ ลงตรงเท้าแม่เฒ่าลวี่ กอดต้นขาแม่เฒ่าลวี่ร้องไห้แทบขาดใจ

แม่เฒ่าลวี่ยื่นมือไปลูบศีรษะนาง  ไม่ร้อง ไม่ร้อง มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว มีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ใช้ชีวิตให้ดี… 

สนมนักโทษร้อยคนที่ไม่ได้ออกจากสวนกลางเขียวขจีก็รู้สึกทอดถอนใจไม่หยุดเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งนึกไม่ถึงด้วยว่าราชินีสวรรค์ที่เที่ยววางอำนาจบาตรใหญ่เพราะอาศัยตระกูลหนุนหลังจะตกต่ำมาอยู่ที่สวนกลางเขียวขจี ถึงขั้นอนาถกว่าพวกนางด้วยซ้ำ พูดตรงๆ ก็คือ อาศัยความงามของพวกนาง หากในภายหลังไม่อยากอยู่ที่สวนกลางเขียวขจีแล้ว ก็ใช่ว่าจะหาผู้ชายที่เหมาะสมเพื่อให้ชีวิตใหม่แก่พวกนางไม่ได้ แต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่นั้นไม่มีความงาม กอปรกับอยู่ในฐานะที่สำคัญ คาดว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนกล้ามายุ่ง บางทีอาจจะรอดชีวิตออกจากสวนกลางเขียวขจีไม่ได้ จะต้องอยู่ที่สวนกลางเขียวขจีทั้งชีวิตไปจนแก่ตาย

สรุปก็คือแต่ละคนต่างก็ทอดถอนใจ ทุกคนล้วนเคยเป็นผู้สูงศักดิ์ในวังสวรรค์ที่โอ่อ่าตระการตา ชั่วพริบตาเดียวเกียรติยศความร่ำรวยก็สลายไปเหมือนเมฆหมอกแล้ว แต่ละคนตกต่ำกลายเป็นทาส…

ทะเลทรายหินที่รกร้าง ทำกลางรอยแยกมิติที่เกิดขึ้นไม่ขาดสาย จู่ๆ ก็มีเงาที่หนาแน่นสูงหนึ่งบินเข้ามา สัตว์พาหนะที่บินได้ได้จำนวนนับไม่ถ้วนถูกล่ามโซ่ ไม่รู้ว่ากำลังลากสิ่งของอะไร ไม่นานวัตถุมหึมาก็เบียดออกมาจากในรอยแยกมิติ เรากลับจะฉีกช่องโหว่ของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ให้ขาด ทลายมิติเบียดออกมา

สุดท้ายวัตถุขนาดมหึมาก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริง วังสวรรค์ขนาดใหญ่เบียดเข้ามาในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว

วังสวรรค์เผยโฉมที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ เห็นได้ชัดว่าสัตว์พาหนะที่ลากอยู่ข้างหน้าบินต่ำลงเพราะหมดแรง วังสวรรค์พลันเอียงลงเล็กน้อย คนที่ขี่อยู่บนสัตว์พาหนะจึงตะโกนใส่สัตว์ทันที พวกมันจึงดิ้นรนลากยังสุดชีวิต มังกรตัวใหญ่หลายสิบตัวที่อยู่ข้างหน้าก็ยิ่งออกแรงลาก

จนกระทั่งสัตว์พาหนะที่บินได้นับไม่ถ้วนเผยโฉมออกมาหมด ถึงได้เห็นวังสวรรค์ที่ลอยอยู่บนฟ้าเริ่มกลับมามีความสมดุล แล้วลอยไปด้านหน้าอย่างช้าๆ อีก

สัตว์พาหนะถูกล่ามโซ่นับไม่ถ้วน บังฟ้าบังดวงตะวัน ลากวังสวรรค์ขนาดใหญ่มหึมา หลังจากแยกแยะทิศทางชัดเจนแล้ว ก็เพิ่มความเร็วขึ้นทีละนิด

เมื่อเร่งความเร็วอีกครั้ง ก็ไม่อาจเร็วไปกว่าตอนอยู่ในดาราจักรได้ คนในวังสวรรค์เงยหน้าขึ้นมองสัตว์พาหนะบินได้ที่หนาแน่นจนมือฟ้ามัวดินอยู่ตรงปลายโซ่ เป็นฉากที่อลังการยิ่งใหญ่ที่สุด

รอบข้างยังมีกำลังพลมากมายขี่สัตว์พาหนะคอยลาดตระเวนและเฝ้าระวัง

ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็อยู่ในนั้นเช่นกัน ทั้งสองหันกลับมามองเป็นระยะ ตอนอยู่ในดาราจักรยังดีหน่อย พอมาถึงที่นี่แล้ว ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก็ทำให้คนรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่าสิ่งใดที่เรียกว่า ‘สิ้นเปลืองทั้งทรัพยากรและกำลังคน’

อิงอู๋ตี๋อดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียง  ก่อนหน้านี้บอกว่าจะสร้างวังสวรรค์ใหม่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนความคิดแล้ว สิ้นเปลืองแรงคนและแรงสัตว์มหาศาลขนาดนี้ ย้ายวังสวรรค์มาที่นี่ ฝ่าบาทคิดจะทำอะไรกันแน่? 

ฝูชิงแอบตอบว่า  อาจเป็นเพราะอยู่ที่นี่แล้วฝึกตนได้สะดวก บางทีอาจเป็นเพราะไป๋เหนียงจื่อที่อยู่ระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทำให้ฝ่าบาทเป็นกังวล ถ้าย้ายมาที่นี่แล้ว ต่อให้ไป๋เหนียงจื่อบุกเข้ามา แต่ถ้าจะสู้กันในนี้พลังก็ลดไปเยอะ จะได้รับมือสะดวก 

 เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการย้ายวังสวรรค์เข้ามา? สามารถสร้างใหม่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้เลย ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงขนาดนี้มั้ง  อิงอู๋ตี๋กล่าว

ฝูชิงส่ายหน้า ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหมียวอี้มีเจตนาอะไร

ที่จริงก็มีคนมากมายที่ไม่เข้าใจ แต่เรื่องนี้ไม่นับว่ากระทบต่อผลประโยชน์ของทุกคน กอปรกับหลังจากที่เหมียวอี้ควบคุมใต้หล้าแล้ว ก็นี่ก็เป็นบัญชาสวรรค์แรกของศูนย์กลางตำหนักสวรรค์ ไม่มีใครกล้าคัดค้านรุนแรงเกินไปด้วย…

สามปี หลังจากเข้ามาในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว วัตถุขนาดมหึมาอย่างวังสวรรค์ก็ใช้เวลาเหาะอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์สามปี ถึงได้มาเหยียบลงตรงจุดที่กำหนดไว้

ในระหว่างนั้นมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกำลังพลและสัตว์พาหนะ จากนั้นก็ตามด้วยเสียงแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ วังสวรรค์ที่สิ้นเปลืองกำลังคนและกำลังสัตว์มหาศาล ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทางอย่างเป็นทางการแล้ว

วังสวรรค์ที่ใหญ่โตโอ่อ่าตั้งอยู่ระหว่างแนวภูเขาสามลูก

ชั่วขณะนั้น หงส์เหินมังกรบิน สัตว์พาหนะบินได้ชนิดต่างๆ ที่อยู่บนฟ้าก็ได้หลุดพันธนาการจากโซ่ แล้วก็บินร่อนเต็มท้องฟ้า

จนกระทั่งสัตว์พาหนะที่บินบังบนฟ้าเหนือวังสวรรค์เป็นเวลาสามปีเต็มแยกย้ายกันออกไป ก็มีคนไม่น้อยขึ้นมาบนดาดฟ้าตึก ทอดสายตามองโลกใบใหม่ผืนนี้

เหมียวอี้ยืนพิงระเบียงอยู่บนดาดฟ้าตึกสูง สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์

ในสวนกลางเขียวขจีที่สร้างขึ้นใหม่ไกลๆ มีคนไม่น้อยกำลังมองมาที่ฉากอันมหัศจรรย์ยามวังสวรรค์ขนาดมหึมาตั้งลงพื้น

หลังจากผ่านการปรับปรุงหลายปี ปราณชั่วร้ายที่กำเริบเสิบสานอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ถูกระงับไว้หมดแล้ว เหลือเวลาอีกไม่น้อยกว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์กำลังจะฟื้นฟูกลับมาโดยสมบูรณ์ แต่ก็เริ่มปรากฏความเขียวขจีแล้ว ดอกไม้นานาพันธุ์เบ่งบานอยู่ในสวนกลางเขียวขจีเหมือนลายผ้าไหม ต้นไม้เขียวชอุ่มนานาชนิดเจริญงอกงาม

พวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินและเทพคงคาในแดนมรณะดึกดำบรรพ์มาอยู่ประจำตำแหน่งครบตั้งนานแล้ว ต่างคนต่างมารับหน้าที่ในอาณาเขตตัวเองตั้งนานแล้ว คอยเป็นหูเป็นตาอยู่ทั้งสี่ด้านแปดทิศให้กับให้วังสวรรค์ที่มาตั้งใหม่

 ถ่ายทอดบัญชา ให้สมาชิกที่อยู่บนรายชื่อมารวมตัวกัน หลังจากนี้สามเดือนจัดประชุมขุนนางอย่างเป็นทางการ  เหมียวอี้ที่ยืนพิงระเบียงและทอดสายตามองไปไกลออกคำสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 รับทราบ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับ

เมื่อประกาศข่าวนี้ออกมา นักพรตในใต้หล้าก็พากันชะเง้อมอง นี่คือการประชุมขุนนางอย่างเป็นทางการครั้งแรกหลังจากมีราชันสวรรค์คนใหม่ ทุกคนต่างก็รู้ว่าประชุมขุนนางครั้งนี้หมายความว่าอะไร

เป็นเวลาสามปีกว่าเต็มๆ พรรคพวกที่รอดชีวิตของชิงและพุทธะยังถูกกวาดล้างไม่หมด แต่อย่างน้อยก็กวาดล้างไปพอสมควรแล้ว กำจัดเสียงที่คัดค้านของใต้หล้า เพื่อเปิดราชสำนักวางรากฐานอย่างเป็นทางการ

ในเวลาสามปีกว่านี้ การเตรียมการต่างๆ ของทางวังสวรรค์จะต้องเรียบร้อยไปพอสมควรแล้วแน่นอน ทุกคนล้วนเข้าใจ ว่าการประชุมขุนนางอย่างเป็นทางการครั้งนี้คงจะเป็นการกำหนดตำแหน่งต่างๆ กำลังจะตัดสินชะตาของคนมากมาย

มีหลายคนกำลังสืบข่าวไปทั่ว อยากเห็นว่าใครบ้างที่ได้รับบัญชาให้เข้าร่วมประชุมขุนนาง คนที่เข้าร่วมประชุมได้ก็ย่อมเป็นคนที่มีที่ยืนอยู่ในราชสำนัก

แน่นอน มีคนรู้อยู่แก่ใจถึงตำแหน่งของตัวเองตั้งแต่แรกแล้ว อย่างไรเสียก็มีหลายเรื่องที่เหมียวอี้ไม่อาจทำเองคนเดียวได้ ได้ประสานงานกับบุคคลที่เกี่ยวข้องล่วงหน้าแล้ว

การประชุมขุนนางอย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นแล้ว หมายความว่ากฎระเบียบใหม่ต่างๆ กำลังจะถูกกำหนดให้ใช้จริง แล้วจะไม่ให้ดึงดูดสายตาผู้คนได้อย่างไร

ผลก็คือทุกคนพบว่า ในเวลาสามเดือนนี้ วังสวรรค์ถ่ายทอดบัญชาลงมาอีกหลายรายการ เกินกว่ายศของกำลังพลเบื้องล่าง แต่งตั้งหัวหน้าภาคของอาณาเขตดาวต่างๆ โดยตรง ในระหว่างนี้หัวหน้าภาคแต่ะละแห่งทยอยกันไปรับตำแหน่ง สับเปลี่ยนหัวหน้าภาคจำนวนมากขนาดนี้ในครั้งเดียว จะเห็นได้ว่าก่อนหน้านี้วังสวรรค์เตรียมตัวไว้พร้อมแล้วจริงๆ

เวลาสามเดือนผ่านไปเร็วมาก

การประชุมขุนนางครั้งแรกกำลังจะมาถึง เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวที่นอนเตียงเดียวกันตื่นขึ้นมาแอบน้ำทั้งคู่

อาภรณ์งดงามหรูหราที่ตัดเย็บใหม่ส่งมาแล้ว เหมียวอี้สีหน้าเรียบเฉย ปล่อยให้นางในสวมเครื่องแต่งกายให้ อาภรณ์มังกรที่ปักลายมังกรบินอยู่ท่ามกลางฟ้าดินและตะวันจันทราถูกสวมใส่บนกายอย่างเรียบร้อย

อวิ๋นจือชิวที่ยืนอยู่หน้ากระจกเผยสีหน้าปลาบปลื้มดีใจอย่างที่ปิดบังได้ยาก มองตัวเองที่สวยสง่าอยู่ในกระจกกำลังถูกกลุ่มนางในสวมใส่อาภรณ์หงส์อันงดงามเป็นพิเศษให้ สุดท้ายมงกุฎหงส์สวยระยิบระยับก็ตั้งไว้บนยอดศีรษะอย่างมั่นคง

หลังจากแต่งกายเสร็จแล้ว สองสามีภรรยาก็เดินออกจากตำหนักบรรทมพร้อมกัน บรรดาสนมที่ยืนเรียงแถวรออยู่ข้างนอกพากันย่อตัวทำความเคารพ มองสองสามีภรรยาเดินผ่านไปท่ามกลางฝูงชน ชุดที่ชายกระโปรงยาวลากพื้นทั้งยังหรูหราไร้ที่เปรียบของอวิ๋นจือชิวไม่รู้ว่าทำให้สาวน้อยตั้งมากมายเท่าไรอิจฉา

รอจนทั้งสองเดินผ่านไปแล้ว สนมกลุ่มนี้ก็ทยอยกันหันตัวไปอีกทิศทางหนึ่ง เรียงแถวเดินตามหลังสองสามีภรรยาไป ด้านนอกมีทหารที่สวมเกราะรบสีสันสดใสคอยคุ้มกันส่ง ไม่มีใครพูดอะไร บรรยากาศเคร่งขรึมเป็นทางการมาก

เมื่อคนกลุ่มนี้มาถึงนอกตำหนักหลังของตำหนักฟ้าดิน กลุ่มสนมและอวิ๋นจือชิวก็หยุดเดิน แล้วอวิ๋นจือชิวก็นำพวกนางย่อเข่าทำความเคารพ  น้อมส่งฝ่าบาทเข้าประชุม! 

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับไม่ทำตามขั้นตอน หันตัวมาหาอวิ๋นจือชิว ยื่นมือไปประคองอวิ๋นจือชิวขึ้นมา กุมมือเรียวสวยของอวิ๋นจือชิวเอาไว้ แล้วจูงเดินเข้าไปที่ประตูใหญ่ตำหนักหลัง

อวิ๋นจือชิวตกใจ รีบถ่วงไว้ ไม่ยอมก้าวไปข้างหน้า  ฝ่าบาท มีเจตนาอะไรเพคะ? 

 ประขุมขุนนางยามเช้ากับเจิ้น!  เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ

กลุ่มคนเงยหน้าอย่างงุ่นงง อวิ๋นจือชิวเริ่มกลัวนิดหน่อย รีบชักมือกลับมา ส่ายหน้าบอกว่า  ไม่สอดคล้องกับธรรมเนียม หม่อมฉันมิอาจเข้าประชุมขุนนางก้าวก่ายราชกิจได้! 

เหมียวอี้คว้ามืออีกข้างของนางมากุมไว้อีก แล้วใช้สายตาที่แฝงอำนาจบารมีกวาดมองกลุ่มคนตรงหน้า พร้อมประกาศอย่างเป็นทางการว่า  เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน เจิ้นเป็นประมุขข้างนอก เจ้าเป็นประมุขในบ้าน เดิมทีก็เป็นหนึ่งเดียวกัน ใต้หล้าของเจิ้นก็คือใต้หล้าของเจ้า เริ่มใช้กฎใหม่ตั้งแต่วันนี้! 

นี่คือสิ่งที่พูดให้คนอื่นฟัง จากนั้นก็หันกลับมาถ่ายทอดเสียงบอกอวิ๋นจือชิวอีก  เจิ้นสัญญากับเจ้าไว้ในปีนั้น ว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่ทรยศเจ้า บางทีอาจจะทำได้ไม่ดีมาก แต่ก็จดจำคำสัญญาไว้ในใจเสมอ ก็อย่างที่ข้าบอก แม้จะตายด้วยน้ำมือเจ้าข้าก็เต็มใจ มีเจ้าอยู่เคียงข้างก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว เข้าประชุมขุนนางกับข้า! 

อวิ๋นจือชิวน้ำตาเอ่อทันที ซาบซึ้งใจที่สุด แทบจะร้องไห้ออกมาตรงนั้น

ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากเห็นผู้ชายของตัวเองอยู่กับผู้หญิงในวังหลังมากขนาดนั้น ความอัดอั้นตันใจไม่มีที่ให้ระบาย หากพูดออกทุกคนก็จะบอกว่านางไม่มีเหตุผล คนจะรู้สึกว่านางได้ครอบครองหลายสิ่งมากแล้ว เหตุใดยังไม่รู้จักพอ? แต่เรื่องระหว่างชายหญิง มีใครบ้างที่ไม่เห็นแก่ตัว

ทว่าในวันนี้ ในเวลานี้ หัวใจแทบจะละลายแล้วจริงๆ มีคำพูดเหล่านี้จากเหมียวอี้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าทุกอย่างล้วนคุ้มค่า

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้ายิ้มทั้งน้ำตา  หนิวเอ้อร์ แค่เจ้าพูดแบบนี้ก็พอแล้ว ให้ข้าไปด้วยจะไม่เหมาะสม เจ้าไปเถอะ 

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะประกาศเสียงดังอีกว่า  หากเจ้าไม่เข้าประชุมเคียงข้างข้า ข้าก็ไม่เข้าประชุมแล้ว 

เมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้ กลุ่มสนมวังหลังก็เบิกตากว้างมองอวิ๋นจือชิว ความอิจฉาริษยาในแววตานั้นยากจะบรรยายออกมาได้ มีคนไม่น้อยแอบร่ำร้องในใจ ว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงวาสนาดีขนาดนี้ กลายเป็นมารดาแห่งใต้หล้าแล้ว เกียรติยศและความรุ่งเรืองนับพันหมื่นไปรวมอยู่ที่ตัวนางคนเดียวแล้ว ทั้งยังได้รับความเคารพสูงสุดจากใต้หล้าอีก จะไม่ให้ผู้หญิงคนอื่นมีชีวิตอยู่เลยหรือไง?

 เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว ข้ามาได้แค่เท่านี้  อวิ๋นจือชิวกล่าว

เหมียวอี้จ้องนางพร้อมกล่าวอย่างจริงจัง  ใครบอกว่าเจ้ามาถึงได้แค่ตรงนี้? มีคนจากลาเจิ้นไปมากมายเกินไปแล้ว เจ้าก็จะจากข้าไปอีกคนเหรอ? ใต้หล้าของเจิ้นก็คือใต้หล้าของเจ้า เดินเคียงข้างเจิ้นต่อไป!  เขาออกแรงกุมมือนางเพื่อสื่อความหมาย

อวิ๋นจือชิวร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่  อย่าคิดนะว่าทำอย่างนี้แล้วข้าจะผ่อนปรนให้เจ้าได้  คำพูดแฝงความหมายลึกล้ำ

 รู้แล้ว!  เหมียวอี้ออกแรงพยักหน้า ขณะเดียวกันจับมือนางไว้แน่นและเดินเข้าไปในประตูใหญ่ด้านหลังตำหนักฟ้าดินโดยตรง

ไม่รู้ว่ามีสายตาอิจฉาตั้งมากมายเท่าไรมองตามไป

ตรงจุดที่มีกำแพงกั้นระหว่างตำหนักหน้าและตำหนักหลัง อวิ๋นจือชิวขอร้องให้เหมียวอี้หยุดรอก่อน นางไม่อยากเข้าประชุมราชสำนักทั้งน้ำตา เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์ก้าวขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ แล้วเติมเครื่องประทินโฉมใหม่อีก อวิ๋นจือชิวตื่นเต้นมาก

หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ พยักหน้า บอกใบ้ว่าทุกอย่างเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันก็ถามเสียงต่ำเบาว่า  ฝ่าบาท จะถือโอกาสนี้กลับมาใช้ชื่อเดิมอย่างเป็นทางการหรือไม่ขอรับ? 

เหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า  ไม่ต้องแล้ว เหมียวอี้ตายไปแล้ว! 

 

หลังจากจบเรื่องนั้น เขาก็เคยถามหวงฝู่จวินโหรวว่าเล่นบ้าอะไร ในตอนนั้นหวงฝู่จวินโหรวไม่รู้ความจริงเลย ไม่รู้ว่าอวิ๋นจือชิวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งยังพูดหยอกล้ออีกว่า ทิ้งชุดชั้นในตัวนั้นไว้ให้เขาเป็นที่ระลึก ตอนนั้นแทบจะทำให้เขาเป็นบ้า แต่ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้ประกาศความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับอวิ๋นจือชิว ไม่สามารถนำเรื่องทิ้งชุดชั้นในตัวเดียวไว้บนเตียงไปตำหนิอะไรหวงฝู่จวินโหรวได้
ปัญหาก็คือหลังจากเกิดเรื่องนั้นไม่นาน ทุกครั้งที่สองสามีภรรยาร่วมเตียงกัน อวิ๋นจือชิวก็จะนำชุดชั้นในตัวนั้นของหวงฝู่จวินโหรวมาพูดล้อเล่น บอกว่าบนชุดชั้นในมีกลิ่นหอมที่เหมือนกลิ่นกายของหวงฝู่จวินโหรว บอกว่านางคุ้นเคยกับกลิ่นหอมของหวงฝู่จวินโหรวมาก
แม้จะดูเหมือนเป็นการพูดล้อเล่น แต่เหมียวอี้ก็รู้สึกว่ามีอะไรสักอย่าง ได้กุเรื่องขึ้นมา บอกว่าคงจะเป็นเพราะเซี่ยโห้วหลงเฉิงชอบหวงฝู่จวินโหรว โค่วเหวินหลานที่เป็นคู่แข่งของเขาก็เลยชิงครอบครองก่อน
สรุปก็คือเขาอ้างเหตุผลตบตาไปอย่างนั้น และหลังจากนั้นอวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย
เขาเองก็แทบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ใครจะคิดว่าวันนี้อวิ๋นจือชิวจะเอ่ยขึ้นมาอีก ทำให้เขาเถียงไม่ออกจริงๆ
เดิมที ถึงแม้อวิ๋นจือชิวจะขัดขวาง แต่เขาก็ยังคิดทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้สถานะแก่หวงฝู่จวินโหรว ยังจะคิดพยายามด้วยวิธีอื่นสักหน่อย แต่ตอนนี้โดนเรื่องนี้ดักไว้ ดักจนเขาทำอะไรไม่ได้โดยสิ้นเชิง ดับความคิดนี้ไปหมดแล้ว
เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะตำหนิอะไรหวงฝู่จวินโหรวดี เก็บชุดชั้นในตัวนั้นไว้สนุกนักเหรอ? ทำให้เขากินปูนร้อนท้อง ไม่สามารถอธิบายได้เต็มปากเต็มคำมาตลอด ตอนนี้เกิดปัญหาตามมาแล้ว ทำแบบนี้ไม่ถือว่าทำร้ายตัวเองหรอกหรือ? แต่เขาก็จะไปโทษหวงฝู่จวินโหรวไม่ได้ ตอนนั้นหวงฝู่จวินโหรวไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอวิ๋นจือชิว อีกฝ่ายก็แค่หยอกเล่นไปตามอารมณ์เท่านั้น
ในใจรู้สึกขื่นขม แต่เหมียวอี้กลับกล่าวด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม “เป็นข้าเองที่สะเพร่า ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล คิดเสียว่าเรื่องนี้กลายเป็นอดีตไปแล้ว ปล่อยไปเถอะ”
หยางเจาชิงที่ฟังอยู่ข้างๆ เห็นเหมียวอี้ยอมรับโดยนัยแล้ว ก็เรียกได้ว่าตกตะลึงมาก ไม่น่าเชื่อว่าหวงฝู่จวินโหรวจะเป็นผู้หญิงของโค่วเหวินหลาน? นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะแอบไปมั่วกับผู้หญิงของโค่วเหวินหลาน แบบนี้มันเข้าท่าเหรอ?
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเบาๆ “ที่แท้ก็เป็นเพราะสะเพร่านี่เอง ข้าก็แปลกใจอยู่แล้ว ฝ่าบาทเป็นคนเข้าใจหลักเหตุผลชัดเจน จะทำเรื่องที่ต่ำช้ากว่าหมูกว่าหมาได้อย่างไรกัน” บนใบหน้านางเผยรอยยิ้มที่สื่อความหมายลึกซึ้ง เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดเปิดโปงออกมาตรงๆ เพราะเปิดโปงแล้วคนที่เสียเปรียบก็คือนาง จึงต้องแกล้งโง่อย่างนี้
นางรู้ว่าหลังจากนี้จะไม่มีทางขัดขวางเหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวไม่ให้แอบเจอกันโดยสิ้นเชิงได้ ภายนอกนางจึงบีบให้สวีถังหรานและพวกขุนนางใหญ่ใช้อำนาจกดดันหวงฝู่จวินโหรวเอาไว้ ส่วนภายในนางก็ใช้ไม้อ่อนควบคุมเหมียวอี้เอาไว้ นางก็แค่จะทำให้หวงฝู่จวินโหรวต้องอยู่ในที่ลับตลอดไป ทำให้หวงฝู่จวินโหรวไม่มีวันอาศัยอำนาจของเหมียวอี้เพื่อกระพือข่าวได้ อย่านึกนะว่าแอบนอนกับผู้ชายของยางลับหลังแล้วจะทำอะไรได้ นางต้องการให้หวงฝู่จวินโหรวอยู่อย่างหลบซ่อนและอัดอั้นตันใจไปทั้งชีวิต
นางต้องการให้หวงฝู่จวินโหรวรับความทรมานให้เต็มที่ท่ามกลางวันเวลาที่ยาวนาน นี่ก็คือบทลงโทษที่ให้นางมีให้หวงฝู่จวินโหรว
นางไม่เชื่อว่าเหมียวอี้จะไม่สงสัยเลยสักนิดว่านางสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแล้ว นางไม่เปิดโปง ทำให้เหมียวอี้ไม่สามารถเปิดโปงได้เช่นกัน
เมื่อก่อนมีจูเก๋อชิง ตอนหลังมีหวงฝู่จวินโหรว นี่คือเส้นตายของนาง ต้องขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจน นี่ก็คือการยกตัวอย่างด้วย จะได้สะดวกต่อการเตือนเหมียวอี้ทุกเวลา ถ้าโผล่มาคนหนึ่งข้าก็จะจัดการคนหนึ่ง เรื่องในด้านอื่นล้วนคุยง่าย มีแค่เรื่องในด้านนี้ที่เจ้าไม่อาจทำตามอำเภอใจ อย่าได้คิดว่าข้าจะยอมถอยแม้แต่ครึ่งก้าว!
“เหอะๆ!” เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ กลบเกลื่อน
“ตอนนี้ฝ่าบาทไม่เหมือนในอดีตแล้ว ทุกการกระทำอยู่ในสายตาคนนับหมื่น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็หวังว่าจะไตร่ตรองให้ดีก่อนทำ กุมอำนาจมหาศาลของใต้หล้าไว้ก็ใช่ว่าจะทำตามอำเภอใจได้ ไม่อย่างนั้นจะทำร้ายทั้งตัวเองและคนอื่น! คำพูดสัตย์จริงมักขัดหู ยาดีมักขมปาก หม่อมฉันเตือนเพราะหวังดี หวังว่าฝ่าบาทจะไม่รังเกียจที่หม่อมฉันบ่นมาก” อวิ๋นจือชิวกล่าวสิ่งที่มีความหมายลึกซึ้งด้วยความจริงใจ
เหมียวอี้ตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล ข้าจะไปรังเกียจที่เจ้าบ่นได้ยังไง! คืนนี้ข้าจะไปที่ตำหนักนารีสวรรค์ แล้วพวกเราค่อยคุยกันลึกๆ อีกที” เขากะพริบตามองเหมือนดื้อด้าน ที่จริงเป็นการเอาใจ เพราะในใจยังรู้สึกผิด
อวิ๋นจือชิวมีหรือที่จะไม่รู้ว่า ‘คุยกันลึกๆ’ หมายถึงอะไร ข้างกายยังมีคนอื่น คิดว่าคนอื่นโง่หรืออย่างไร อดไม่ได้ที่จะกลอกตามองเขา แล้วย่อเข่าคำนับอีก “ฝ่าบาทงานยุ่ง หม่อมฉันไม่รบกวนแล้ว ขอตัวก่อนเพคะ” หลังจากยืนตรงและถอยหลังสองก้าว ก็หันตัวจากไป
หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะน้อมส่ง
ตอนที่เขาเพิ่งจะวางมือลง ก็พบว่าเหมียวอี้เข้ามาอธิบายตรงหน้าแล้วว่า “ที่จริงไม่ได้เป็นอย่างที่นางบอก หวงฝู่จวินโหรวไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับโค่วเหวินหลานแม้แต่น้อย ตอนเกิดเรื่องในปีนั้นมีสาเหตุ ข้าไม่สะดวกจะให้นางรู้ ถึงได้อ้างโค่วเหวินหลานมาเป็นโล่กำบัง”
หยางเจาชิงมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ แวบหนึ่ง ย่อมรู้ว่าที่เขาพูดหมายถึงอะไร เขากำลังอธิบายให้ชัดเจนว่าไม่ได้ทำเรื่องที่ต่ำช้าเยี่ยงหมูเยี่ยงหมา หยางเจาชิงพยักหน้าสื่อว่าทราบแล้ว…
ตระกูลหวงฝู่ คนที่ตระกูลหวงฝู่ซ่อนไว้ทั้งหมดกลับมาแล้ว แม้โลกภายนอกจะไม่ถือว่าสงบนัก แต่พรรคพวกของชิงและพุทธะที่รวมกลุ่มกันขนาดใหญ่ก็ไม่มีอยู่แล้ว หากป้องกันให้ดีก็ไม่มีอันตรายอะไร
ในโถงหลักเก่า หวงฝู่เลี่ยนคงนั่งสง่า หวงฝู่จัวกับหวงฝู่เกายืนอยู่ข้างหลัง
ถึงแม้หวงฝู่จวินโหรวจะกลายเป็นหัวหน้าตระกูลแล้ว แต่เมื่ออยู่ตรงหน้าหวงฝู่เลี่ยนคงก็ยังไม่กล้าวางมาดอะไร หวงฝู่ตวนหรงกับอู่หนิงยังอยู่
สรุปก็คือแต่ละคนสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร โดยเฉพาะหวงฝู่จวินโหรว นางกัดริมฝีปากโดยไม่พูดอะไร ในดวงตาฉายแววหดหู่
ทางด้านสวีถังหรานส่งข่าวมาแล้ว เรื่องแต่งตั้งสนมสวรรค์พังแล้ว
หวงฝู่จวินโหรวเดิมทีนึกว่าอดทนมานานขนาดนี้ ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อได้นั่งในตำแหน่งใหญ่โตอย่างราชันสวรรค์ มีอำนาจทั้งใต้หล้า ไม่มีใครบงการได้ ในที่สุดก็จะได้อยู่ด้วยกันอย่างสง่าผ่าเผยเสียที ใครจะคิดว่ายังจะอยู่ด้วยกันไม่ได้อีก
ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งแล้ว หวงฝู่เลี่ยนคงก็รู้สึกเช่นกันว่าบทบาทของสมาคมวีรชนมีแนวโน้มอ่อนแอลง อยากจะอาศัยเรื่องแต่งตั้งหวงฝู่จวินโหรวเป็นสนมสวรรค์เพื่อทำให้ตระกูลหวงฝู่ปรากฏตัวอย่างสง่าผ่าเผยอีกครั้ง ทางที่ดีก็คือได้สถานะขุนนางตำหนักสวรรค์ทั้งหมด ใครจะคิดว่าไม่เพียงแค่ฝันสลาย ทั้งยังได้รับการแจ้งเตือนจากสวีถังหรานด้วย ว่าอย่าให้ข่าวเรื่องความสัมพันธ์ของหวงฝู่จวินโหรวกับฝ่าบาทเล็ดรอดเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นตระกูลหวงฝู่จะมีภัยถูกล้างตระกูล
“โหรวโหรว ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ศาลาใกล้น้ำใช่ว่าจะได้พระจันทร์ก่อน เงาจันทร์ในน้ำสุดท้ายก็ยังเป็นเงาจันทร์ในน้ำ ในวังมีสนมมากมายขนาดนั้น ดูธรรมดาเหมือนกันหมด ไม่สู้เป็นบุปผาแดงดอกเที่ยวท่ามกลางทุ่งหญ้าขจีเพื่อดึงดูดความสนใจของฝ่าบาทดีกว่า? แบบนี้จะยิ่งทำให้ฝ่าบาทแบ่งใจมาให้เจ้ามากขึ้น อาจเป็นเรื่องดีก็ได้” หวงฝู่เลี่ยนคงเอามือลูบเคราพลางปลอบใจ อย่างน้อยหนิวโหย่วเต๋อก็ยังไม่ทอดทิ้ง
แม้จะพูดอย่างนี้ แต่นี่ก็ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่หวงฝู่จวินโหรวที่กำลังกัดปากเงียบต้องการ สิ่งที่นางต้องการคืออยู่ด้วยกันทุกวัน ไม่ใช่การลักลอบเจอกันตลอดไป อย่างน้อยขอแค่ได้เจอกันอย่างสง่าผ่าเผยก็พอ?
หวงฝู่ตวนหรงสีหน้าหดหู่ยิ่งกว่า ถ้าเป็นเมื่อก่อนยังตำหนิต่อหน้าหนิวโหย่วเต๋อได้ แต่ตอนนี้กลับไม่มีแม้แต่สิทธิ์นั้นแล้ว ได้แต่ดูลูกสาวรับความอยุติธรรมต่อไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้
อู่หนิงสีหน้าแย่ยิ่งกว่า ได้แต่หลับตาลงเงียบๆ
วังสวรรค์ ในเรือนพักชั่วคราวของหยางชิ่ง มีแขกที่มาไม่บ่อยมาเยือน ซูอวิ้นมาแล้ว
ได้ยินว่าจู่ๆ ฮูหยินเอกของหยางชิ่งโผล่มา ได้ยินว่าฮูหยินเอกของหยางชิ่งมาแล้ว ซูอวิ้นเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีสภาพจิตใจอย่างไร พบเห็นไม่บ่อย นางสืบมาชัดเจนแล้วว่าหยางชิ่งไม่อยู่บ้าน จึงเป็นฝ่ายมาหาถึงที่ มาเจอฉินซีแล้ว
ฉินซียังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร หลังจากชิงจวี๋ที่อึดอัดไปทั้งตัวแนะนำตัวแล้ว รู้ว่าซูอวิ้นเป็นขุนนางข้างกายอวิ๋นจือชิว ฉินซีก็ต้อนรับอย่างอบอุ่นทันที
ซูอวิ้นเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก นั่งอยู่ตรงข้ามกับฉินซี จิบน้ำชาเพียงไม่กี่คำ ถือโอกาสถามสองสามคำเท่านั้น บนใบหน้าคงรอยยิ้มราบเรียบเอาไว้ตลอด ดูผ่อนคลายสบายๆ ที่มากกว่านั้นคือกำลังสังเกตฉินซี
เป็นแค่การมานั่งพักประเดี๋ยวเดียว แล้วซูอวิ้นก็จากไปแล้ว
ฉินซีเองก็สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน หลังจากส่งซูอวิ้นออกประตูไปด้วยตัวเอง ก็หันกลับมาถามชิงจวี๋ว่า “ซูอวิ้นคนนี้ ทำไมข้ารู้สึกว่านางแปลกๆ? บอกว่าจะมาเยี่ยมเยียน แต่กลับท่าทางไม่เหมือนเยี่ยมเยียน”
ชิงจวี๋แอบร้องในใจว่าแย่แล้ว หยางชิ่งไม่ได้สั่งมา นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะพูดความเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหยางชิ่งกับซูอวิ้นออกมาหรือเปล่า มีอยู่สิ่งหนึ่งที่นางแน่ใจ นั่นก็คือฉินซีมาแล้ว เรื่องนี้จะต้องปิดบังได้ไม่นานแน่นอน
นางทำได้เพียงฉวยโอกาสหลบเลี่ยงฉินซี แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่ง
หลังจากปรึกษางานกันเรียบร้อยแล้ว หยางชิ่งที่เพิ่งออกจากตำหนักดาราจักรก็ได้รับข้อความจากชิงจวี๋ เขาอึ้งไปชั่วครู่ หลังจากแน่ใจแล้วว่าซูอวิ้นเป็นฝ่ายไปหาฉินซีก่อน เขาก็ถามถึงบทสนทนาโดยละเอียดของซูอวิ้น แบ้วก็เผยรอยยิ้มมุมปากออกมาอย่างอดไม่ได้
เมื่อได้รับระฆังดาราแล้ว หยางชิ่งก็มุ่งตรงไปที่เรือนพักชั่วคราวของซูอวิ้น สาวใช้ตรงประตูไม่ให้เข้า แต่หยางชิ่งฝืนบุกเข้าไป มีหรือที่สาวใช้จะต้านเขาไหว
สุดท้าย ในห้องหนังสือของซูอวิ้น หยางชิ่งที่บุกตรงเข้ามาก็เห็นซูอวิ้นกำลังเขียนหนังสืออยู่บนโต๊ะหนังสือ
ซูอวิ้นเงยหน้ามองแวบหนึ่ง แล้วถือโอกาสพลิกสิ่งที่เขียนปิดไว้แล้ว
หยางชิ่งกวาดตามอง แต่เห็นไม่ชัดว่านางกำลังเขียนอะไร
“นายท่านหยางคงไม่ถึงขั้นไม่รู้จักมารยาทพื้นฐานหรอกใช่มั้ย?” ซูอวิ้นกล่าวเสียงเรียบ
หยางชิ่งเดินอ้อมโต๊ะหนังสือ เดินตรงไปหานาง แล้วถามว่า “เจ้าไปที่เรือนของข้าเหรอ?”
ในดวงตาซูอวิ้นฉายแววอึดอัด แต่ก็ยังคงกล่าวอย่างนิ่งสงบ “เดิมทีมีเรื่องจะปรึกษากับเจ้า อยากจะขอให้เจ้าช่วยคุยกับฝ่าบาทให้หน่อย ดูว่าจะสามารถเปลี่ยนชื่อดาวอ๋องสวรรค์หนิวกลับมาเป็นดาวอ๋องสวรรค์ฮ่าวได้หรือเปล่า…”
“เจ้าหึงเหรอ?” หยางชิ่งถามหยอกล้อตัดบท
“ข้าเนี่ยนะหึง?” ซูอวิ้นชะงัก ก่อนจะหัวเราะออกมา ราวกับได้ยินเรื่องที่น่าขำที่สุดในโลก ผลปรากฏว่าหยางชิ่งยิ่งเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ใกล้จนได้กลิ่นลมหายใจของกันและกัน ในแววตาที่ดูรุกรานถึงขีดสุดนั่นทำให้นางปั่นป่วนใจเล็กน้อย จึงก้าวถอยหลังโดยจิตใต้สำนึก “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
หยางชิ่งยื่นมือไปคว้าข้อมือนางดึงมาไว้ในอ้อมกอด
ซูอวิ้นโมโหแล้ว จู่ๆ ก็มีฮูหยินที่นางไม่รู้จักโผล่มา ตอนนี้ยังคิดจะเอาเปรียบนางอีก เห็นนางเป็นอะไร นางยื่นมือบังทนัที แล้วตวาดด้วยน้ำเสียงโมโห “ถ้าเจ้าอยากจะสร้างความเสียหายให้สะเทือนเลือนลั่นวังสวรรค์ เจ้าก็ลองดูได้เลย!”
“เจ้าเชื่อหรือเปล่าว่าข้าจะทำให้ฮ่าวเต๋อฟางสิ้นทายาททันที!” หยางชิ่งจับข้อมือนางไม่ปล่อย ขู่คุกคาม!
ไม่ถือว่าขู่ เพราะเขามีความสามารถที่จะทำอย่างนั้นจริงๆ ซูอวิ้นก็รู้
ดังนั้นเสื้อผ่าจึงปลิวว่อน ในห้องหนังสือนี้ หยางชิ่งจัดการนางอีกแล้ว…
แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ในหุบเขารกร้างที่ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นแม้แต่น้อย มังกรตัวหนึ่งบินวน สัตว์พาหนะบินได้ฝูงหนึ่งเหยียบลงพื้น พวกแม่เฒ่าลวี่จากสวนกลางเขียวขจีทยอยกันปรากฏตัว หันมองสถานที่ที่กำลังจะกลายเป็นสวนกลางเขียวขจีแห่งใหม่
กำลังพลที่คุ้มกันส่งเริ่มวางกำลังไปรอบๆ แม่ทัพหนึ่งในนั้นปล่อยคนคนหนึ่งออกมา เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เหมือนสติไม่สมประกอบ อดีตราชินีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่!
ทุกคนของสวนกลางเขียวขจีถูกดึงดูดความสนใจ สายตาทยอยมองมา มองนางเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
แม่เฒ่าลวี่ค้ำไม้เท้าเดินเข้ามา สายตาที่ค่อนข้างเลื่อนลอยของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มองบนตัวนาง สุดท้ายก็น้ำตาไหลเงียบๆ
แม่ทัพที่คุมตัวมากุมหมัดคารวะต่อแม่เฒ่าลวี่ ฝ่าบาทมีคำสั่ง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ให้แม่เฒ่าลวี่ดูแล ถ้าไม่มีบัญชาก็ห้ามออกจากสวนกลางเขียวขจีแม้แต่ก้าวเดียว ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้น ทั้งสวนกลางเขียวขจีก็จะมีความผิดไปด้วย!”

เมื่อเห็นความเคลื่อนไหว เสวี่ยหลิงหลงก็ตกใจเช่นกัน นางตัวสั่นหวาดกลัว

กลับเป็นเสวี่ยเอ๋อร์ที่โบกมือ กันทหารที่พุ่งเข้ามาให้ออกไป

หลังจากทหารถอยออกไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็จ้องสวีถังหรานที่กำลังคุกเข่า พร้อมกล่าวเสียงเย็นว่า  เรื่องที่เจ้าเองก็ไม่อยากทำ แต่กลับให้ท้ายส่งเสริมฝ่าบาทไปทำ บอกมา มีเจตนาอะไรกันแน่? 

สวีถังหรานเงยหน้าอย่างตกใจกลัว บีบน้ำตาออกมา ในดวงตาสองข้างมีน้ำตารื้น ตบอกพร้อมทำเสียงสะอื้น อธิบายโดยใช้คำพูดที่มาจากใจ  เหนียงเหนียง ข้าน้อยจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ไม่มีใจคิดเป็นอื่นแน่นอน ก็แค่เลอะเลือนไปชั่วขณะเท่านั้นเอง! เหนียงเหนียงโปรดตรวจสอบให้กระจ่าง หากมีเจตนาไม่ซื่อแม้แต่น้อย ข้าน้อยยินดีชดใช้ความผิดด้วยความตาย! 

อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างเด็ดขาดว่า  ดี! ครั้งนี้ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้ง! ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ในวังหลังของตำหนักสวรรค์แห่งนี้ใครคุม? 

สวีถังหรานตอบเสียงสะอื้น  ยอมเป็นเหนียงเหนียงอยู่แล้ว เหนียงเหนียงเป็นประมุขของวังหลัง ฝ่าบาทเคยเอ่ยวาจาอันมีค่าไว้ชัดเจนแล้ว 

อวิ๋นจือชิวใบหน้าเยียบเย็น  นับว่าเจ้ายังมีความจำอยู่บ้าง! ใต้หล้าคือใต้หล้าของฝ่าบาท วังหลังก็คือวังหลังของข้า หากฝ่าบาทต้องการมายุ่งเรื่องวังหลัง ก็ต้องผ่านข้าให้ได้ก่อน ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ก็อย่าได้คิดว่าจะยัดใครเข้ามาในวังหลังได้ตามอำเภอใจ คิดว่าวังหลังเป็นหอโคมเขียวหรืออย่างไร? ถึงขั้นไม่บอกเรื่องนี้ให้ข้ารู้ล่วงหน้าด้วยซ้ำ สวีถังหราน เจ้าบังอาจมากนะ เจ้าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแล้วใช่ไหม? ใครทำให้เจ้ามีความกล้าที่จะทำอย่างนี้ บอกมา! 

สวีถังหรานโขกศีรษะกับพื้น กล่าวเสียงสะอื้นว่า  ข้าน้อยสมควรตายหมื่นครั้ง ข้าน้อยเลอะเลือน ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ล้วนเป็นความผิดของข้าน้อย!  ต่อให้ตายก็ไม่กล้าเอ่ยถึงผู้บงการเบื้องหลัง

 เห็นแก่ที่เป็นความผิดครั้งแรก และยังทำไม่สำเร็จด้วย ข้าจะไม่ถือสาเจ้าแล้วกัน แต่เจ้าฟังข้าวไว้ให้ดีนะ เรื่องของวังหลังไม่ใช่แค่เรื่องในครอบครัวของข้ากับฝ่าบาท แต่เป็นเรื่องใหญ่ของใต้หล้า ทำให้วังหลังเกิดหายนะ ก็เท่ากับทำให้ใต้หล้าเกิดหายนะ ผู้รอดชีวิตยังกวาดล้างไม่หมด ศัตรูของฝ่าบาทมีมากมาย ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่เจตนาไม่ดี ข้าพูดถูกหรือเปล่า?  อวิ๋นจือชิวถาม

สวีถังหรานพยักหน้าเอ่ยรับ  เหนียงเหนียงกล่าวมีเหตุผล! 

อวิ๋นจือชิวพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า  ส่วนตำแหน่งของเจ้าในอนาคต คงไม่ต้องให้ข้าพูดมากแล้ว เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจ ตัวอยู่ในตำแหน่งหน่วยตรวจการ เป็นหูตาของตำหนักสวรรค์ ต้องถลึงตาจ้องเอาไว้ให้ข้าด้วย ไม่อนุญาตให้นางแพศยาเจตนาไม่ซื่อที่ไหนมามอมเมาฝ่าบาท ถ้าพบว่าข้างกายฝ่าบาทมีผู้หญิงที่อยู่นอกวัง ให้มารายงานข้าทันที นี่คือเรื่องที่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของข้า ส่งให้ข้าจัดการก็เป็นเรื่องที่ชอบธรรม ใครว่าอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าเจ้ากล้าปิดบังไม่ยอมรายงาน ข้าจะเด็ดหัวเจ้า! 

 ขอรับ! ข้าน้อยจดจำไว้ในใจแล้ว!  สวีถังหรานก้มหน้าเอ่ยรับ แต่ในใจกลับร้องอย่างขื่นขม ฝ่าบาทออกไปหาความสำราญ เจ้าจะให้ข้ารายงานอย่างไร? เรื่องของฝ่าบาทกับหวงฝู่จวินโหรว ถ้าจะกล้ารายงานเจ้าได้อย่างไร?

ตอนนี้เขาหวังเพียงว่าเหมียวอี้จะเลิกไปมาหาสู่กันหวงฝู่จวินโหรวให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้าวันไหนเผยพิรุธขึ้นมา เกรงว่าต่อให้เขาจะแกล้งโง่แต่ก็ปิดบังไม่ไหวอยู่ดี

ในใจขื่นขมจริงๆ สวีถังหรานพบว่าขอเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ อวิ๋นจือชิวก็ได้นำเชือกมามัดคอเขาไว้แล้ว…

หลังจากขู่ให้สองสามีภรรยาตกใจ และไล่ออกไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็หันกลับมาบอกเสวี่ยเอ๋อร์ว่า  ไป พวกเราไปพบฝ่าบาทสักหน่อย!  ในน้ำเสียงเผยกลิ่นอายสังหารพุ่งพล่าน

 เพคะ!  เสวี่ยเอ๋อร์ออกแรงพยักหน้า สำหรับเรื่องในด้านนี้ นางยืนหยัดอยู่ข้างอวิ๋นจือชิว เรียกได้ว่ามีศัตรูคนเดียวกัน

ที่จริงในสายตาของพวกเสวี่ยเอ๋อร์ ยังรู้สึกว่าเหนียงเหนียงมีเมตตาเกินไป ผู้หญิงที่ไร้ระเบียบอย่างนี้ ทางที่ดีอย่าให้เข้ามาในวังหลังแม้แต่คนเดียว ผู้หญิงของฝ่าบาทมีมากพอแล้ว ทำไมยังต้องใส่คนเข้ามาในวังหลังอีก?

ตำหนักดาราจักร หยางเจาชิงที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ในตำหนักชำเลืองไปทางหอสมุดเป็นระยะ ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า เมื่อครู่เห็นรางๆว่า ในหอสมุดไม่ได้มีแค่ฝ่าบาทคนเดียว เหมือนจะมีคนเพิ่มอีกคน

ในหอสมุด เหมียวอี้กำลังถือม้วนหนังสือพลิกอ่าน ข้างหลังเขามีคนที่อยู่ในชุดดำมีหมวกยืนอยู่ กำลังถ่ายทอดเสียงรายงานอะไรสักอย่าง

ขณะที่ฟังรายงาน เหมียวอี้ก็กระตุกมุมปากเป็นบางครั้ง ความสนใจไม่ได้อยู่บนม้วนหนังสือเลย ใช้มือพลิกไปมาส่งเดช

ไม่ใช่รายงานอะไรอย่างอื่น หลังจากรายชื่อแต่งตั้งสนมสวรรค์ส่งไปถึงตำหนักนารีสวรรค์ เหมียวอี้ก็กำลังจับตาดูปฏิกิริยาของอวิ๋นจือชิว สิ่งที่คนชุดดำคนนี้รายงานก็คือเรื่องที่อวิ๋นจือชิวตำหนิสั่งสอนสวีถังหราน

ปฏิกิริยาที่รุนแรงของอวิ๋นจือชิวทำให้เหมียวอี้หวาดระแวง เริ่มสงสัยว่าอวิ๋นจือชิวรู้อะไรมาแล้วหรือเปล่า

ในขณะเดียวกัน เรื่องที่สวีถังหรานยอมเป็นแพะรับบาปเอง ต่อให้ตายก็ไม่ยอมบอก ก็ทำให้เขาชื่นชมมาก พบว่าการทำเรื่องแบบนี้เหมาะกับสวีถังหรานที่สุด ตัวเองนับว่ามองคนไม่ผิด

เมื่อรู้ว่าอวิ๋นจือชิวจะมาพบ เหมียวอี้ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง โยนม้วนหนังสือกลับไว้บนชั้นหนังสือเสียเลย แล้วก็เลี้ยวหนีทันที เตรียมจะหาที่หลบภัยสักหน่อย

ทว่าตอนที่เดินมาถึงประตูตำหนักดาราจักร เหมียวอี้ก็พลันหยุดฝีเท้าอีก หลบเหรอ? จะไปหลบที่ไหนล่ะ? แบบนั้นแสดงว่าต่อไปจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเองก็สง่าผ่าเผย ทำไมต้องหลบด้วยล่ะ ถ้าหลบแล้วจะไม่เป็นการพิสูจน์ว่าตัวเองกินปูนร้อนท้องหรอกหรือ

ดังนั้นหยางเจาชิงจึงไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาคิดจะทำอะไร เห็นเพียงฝ่าบาทหันกลับมา เดินกลับมานั่งลงหลังโต๊ะยาว หยิบแผ่นหยกขึ้นมาอ่านอย่างเสแสร้ง เพียงแต่สายตาที่ชำเลืองไปนอกประตูเป็นระยะ เหมือนจะไปทรยศใครมา

ผ่านไปครู่เดียว ด้านนอกก็มีรายงานว่า ราชินีสวรรค์เสด็จมาแล้ว ขอเข้าเฝ้าขอรับ

หยางเจาชิงเข้าใจกระจ่างทันที พอจะเข้าใจถึงพฤติกรรมผิดปกติเมื่อครู่นี้ของเหมียวอี้แล้ว อดไม่ได้ที่จะชำเลืองไปทางหอสมุด สงสัยนิดหน่อยว่าเหมียวอี้รู้ได้อย่างไรว่าเหนียงเหนียงจะมา

เสวี่ยเอ๋อร์รออยู่นอกตำหนัก เจอกับเชียนเอ๋อร์ที่คอยรับใช้เหมียวอี้โดยเฉพาะอยู่ตรงประตู อวิ๋นจือชิวท่าทางสง่าภูมิฐาน เงยหน้าแอ่นอกเดินเข้าตำหนักดาราจักรอย่างสง่าผ่าเผย

หยางเจาชิงโค้งตัวคำนับ

อวิ๋นจือชิวรักษาธรรมเนียม หลังจากหยุดยืนแล้ว ก็ย่อตัวทำความเคารพเหมียวอี้ที่นั่งหลังโต๊ะยาวก่อน  หม่อมฉันคำนับฝ่าบาท 

 เหอะๆ!  เหมียวอี้วางแผ่นหยกในมือลง เดินอ้อมออกมา ยื่นมือไปประคองด้วยตัวเอง  น้องชิว เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน ตรงนี้ไม่มีคนนอก จะเกรงใจขนาดนี้ไปทำไม 

 จะเสียธรรมเนียมไม่ได้!  อวิ๋นจือชิวสีหน้าเรียบเฉย

 เหอะๆ!  เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ ทำท่าเหมือนบอกว่าตามใจเจ้า แล้วถามว่า  ทางเจ้ามีงานตั้งเยอะ ทำไมมีเวลามาที่นี่ได้? 

อวิ๋นจือชิวกล่าวเสียงเรียบว่า  หม่อมฉันกังวลว่าจะทำให้ฝ่าบาทไม่พอใจ เลยตั้งใจมาอธิบายสักหน่อยเพคะ 

 เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้?  เหมียวอี้ถามเหมือนแปลกใจ

อวิ๋นจือชิวจ้องตาเขา  หม่อมฉันขีดรายชื่อหวงฝู่จวินโหรวออกจากรายการแต่งตั้งสนมแล้ว ไม่ไว้หน้าฝ่าบาท กลัวว่าจะทำให้ฝ่าบาทโกรธเคือง จึงมายอมรับผิดเพคะ 

หยางเจาชิงที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ขยับมุมปากเล็กน้อย พึมพำในใจว่า จบเห่แล้ว นี่มาหาเรื่องกันชัดๆ โถ่เหนียงเหนียง ท่านควรจะพักสักหน่อยเถอะ ฝ่าบาทเพิ่งจะเข้าวังสวรรค์ ท่านอย่าเคลื่อนไหวใหญ่โตจนฝ่าบาทหาทางลงไม่ได้เลย!

เหมียวอี้หนังศีรษะชาวาบแล้ว แต่ภายนอกยังกล่าวอย่างเยือกเย็น  ก็ยังนึกว่าเรื่องอะไรซะอีก ที่แท้ก็เรื่องนี้ ข้าก็ไม่มีสมาธิมารับมือกับเรื่องผู้หญิงกลุ่มนี้หรอก ไม่มีกะจิตกะใจจะมาพัวพันด้วย บอกไว้แล้วว่าเรื่องของวังหลังให้เจ้าจัดการ ในเมื่อเจ้าไม่อนุญาต เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ข้าจะมีอะไรให้โกรธล่ะ เพียงแต่ข้าก็แปลกใจนิดหน่อย ไม่ได้ถือสาที่จะมีหวงฝู่จวินโหรวเพิ่มอีกสักคน จะได้มีประโยชน์ต่อการรวบสมาคมวีรชน แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าก็เป็นคนเข้าใจหลักเหตุผล ทำไมไม่ยอมตอบรับล่ะ? 

ที่จริงแล้ว เขายังคิดจะแก้ไขปัญหาเรื่องหวงฝู่จวินโหรวให้เรียบร้อย จะให้คำชี้แจงกับหวงฝู่จวินโหรว

 ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว บทบาทของสมาคมวีรชนอ่อนแอลงแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ฝ่าบาทเสียสละตัวเองแต่งงานรับเข้ามาหรอก  อวิ๋นจือชิวกล่าว

เหมียวอี้โบกมือ  จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก ถ้ามีหูมีตาที่เราควบคุมได้เอาไว้คอยตรวจสอบใต้หล้าก็เป็นเรื่องดี ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร 

 ถ้าฝ่าบาทมีความตั้งใจนี้จริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องทำเองหรอกเพคะ ลดเกียรติลดฐานะ ประมุขชิงยังให้ซ่างกวนชิงควบคุมได้เลย ฝ่าบาทไม่สามารถเชื่อใจเจาชิงได้หรือเพคะ? ตามที่ข้ามอง ให้เจาชิงแต่งงานรับไว้เองก็สิ้นเรื่องแล้ว ได้ประโยชน์ไม่ต่างกัน  อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างใจเย็น

เหมียวอี้มุมปากกระตุก หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ รีบปฏิเสธ  เหนียงเหนียง ไม่เหมาะสมขอรับ! 

อวิ๋นจือชิวเอียงหน้ามองมา  ทำไมจะไม่เหมาะสม? หรือว่ากลัวหลินผิงผิง? เจ้าไม่ต้องห่วง ทางฝั่งผิงผิงนั้นข้าคุยได้ พวกสนมนักโทษที่ถูกคุมตัวไว้ที่ตำหนักอุทยาน ข้าก็นำมาตบรางวัลให้เจ้าได้หลายคน 

หยางเจาชิงรีบบอกว่า  ข้าซื่อสัตย์ต่อผิงผิง ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้…  สรุปก็คือพูดคล้ายๆ กับสวีถังหราน

โชคดีที่อวิ๋นจือชิวไม่ถือโอกาสใช้คำพูดนี้วางกับดักเหมือนที่ทำกับสวีถังหราน เป็นเพราะสวีถังหรานกล้ามาก้าวก่ายเรื่องในครอบครัวของนาง ทำให้นางโมโหแล้ว ก็แค่คิดจะสั่งสอนสวีถังหรานเท่านั้น อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม  สวีถังหรานปัดความรับผิดชอบแบบนี้ เจ้าก็เหมือนกัน ฝ่าบาท คนสนิทข้างกายท่านสองคนนี้ ถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับผู้หญิงอย่างพวกเราเลยนะ ถ้าฝ่าบาทเรียนรู้อะไรบ้าง หม่อมฉันคงดีใจตายเลย 

คำพูดนี้ทำให้เหมียวอี้อับอายนิดหน่อย  ข้าแย่ขนาดนั้นเชียวเหรอ? เรื่องบางเรื่องข้าก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ 

ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะตอบอย่างไม่ลังเล  กับเรื่องนี้ ไม่ว่าใครก็คุยง่ายทั้งนั้น มีเพียงหวงฝู่จวินโหรวคนเดียวที่ไม่ได้!  ดวงตางามทั้งคู่ก็ยิ่งจ้องตาเหมียวอี้ไม่ละไปไหน ราวกับต้องการจะมองให้ทะลุเข้าไปในหัวใจเขา

เหมียวอี้ถูกนางจ้องจนอึดอัดไปทั้งตัว สาเหตุหลักเป็นเพราะกินปูนร้อนท้อง ขมวดคิ้วถามว่า  เพราะอะไร? 

ไม่เห็นว่าเขายังไม่ยอม ในหัวอวิ๋นจือชิวก็เกิดภาพชุดชั้นในตัวนั้นแวบเข้ามา ไฟโกรธพรั่งพรูอยู่ในใจ  ฝ่าบาทรู้อยู่แก่ใจแต่ยังแกล้งถามเหรอ? 

คำพูดนี้มีความหมายสองชั้น เหมียวอี้แอบกระวนกระวายใจ แต่กลับไม่ยอมรับอย่างซื่อสัตย์ แกล้งโง่ต่อไป  ข้ารู้อะไร? 

อวิ๋นจือชิวตวาดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า  ไม่ว่าจะมีบุญคุณความแค้นอะไรกับตระกูลโค่ว ไม่ว่าจะช่วงชิงใต้หล้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เรื่องบางเรื่องก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเลือก นั่นก็ช่างเถอะ ถึงยังไงโค่วหลิงซวีก็ได้ชื่อว่าเป็นบิดาบุญธรรมของพวกเรา หวงฝู่จวินโหรวกับโค่วเหวินหลานมีความสัมพันธ์อะไรล่ะ? ตอนรับตำแหน่งอยู่ที่ตลาดสวรรค์ ยังจำที่เจ้าเคยบอกข้าได้ไหม? ความสัมพันธ์ชู้สาวระหว่างโค่วเหวินหลานกับหวงฝู่จวินโหรว ทั้งสองมีความสัมพันธ์กันแบบนั้น แล้วเจ้าอยู่ในฐานะอะไร? เจ้าคืออาของโค่วเหวินหลาน จะรับผู้หญิงของหลานตัวเองมาเป็นสนมเหรอ ช่างคิดได้นะ ยังมีความละอายอยู่มั้ย? เจ้าหน้าด้านไร้ยางอาย แต่ข้ายังอายคน ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยอย่างเจ้าทำเรื่องที่เลวกว่าหมูกับสุนัขแบบนี้ แล้วจะให้คนในใต้หล้ามองเจ้ายังไง… 

เรียกได้ว่าด่าอย่างเจ็บแสบ ด่าสาดเสียเทเสียเหมือนเอาเลือดสุนัขมาสาดหัวเหมียวอี้

 …  เหมียวอี้ถูกด่าจนเหม่อ ถูกด่าจนอ้าปากค้างเถียงไม่ออก พบว่าแม้แต่จะแก้ตัวก็ยังไร้เรี่ยวแรง

ตอนนี้เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าในปีนั้นตอนที่เขากับหวงฝู่จวินโหรวแอบไปเริงรักกัน ชุดชั้นในที่ทิ้งไว้บนเตียงถูกอวิ๋นจือชิวพบแล้ว ตอนนั้นเขากินปูนร้อนท้อง หาข้ออ้างผลักเรื่องนี้ไปที่โค่วเหวินหลาน ตอนนั้นขายผ้าเอาหน้ารอดไปได้ ตอนนี้พอนึกย้อนกลับไป เขาก็แทบจะร้องไห้แล้ว เขาพบว่าตัวเองยกหินทุ่มเท้าตัวเองแท้ๆ

 

ไม่เหมือนตอนสมัยของประมุขชิง วังสวรรค์ในตอนนี้มีเรือนว่างจำนวนมาก ครอบครัวที่ติดตามแม่ทัพบางส่วนถูกจัดให้อยู่ในเรือนพักบริเวณมุมหนึ่งของวังสวรรค์
เสวี่ยหลิงหลงรู้สึกทึ่งมาก มองเรือนพักที่ขาวสวยเหมือนหยกแกะสลักครั้งแล้วครั้งเล่า ชื่นชมและชื่นชมอีก นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เข้ามาในวังสวรรค์ ทั้งยังได้พักอาศัยด้วย แน่นอนว่ารู้เช่นกันว่าได้อาศัยบารมีของสามี เมื่อพูดเรื่องอาศัยบารมี นางก็แอบตื่นเต้นดีใจไม่หยุด สวีถังหรานแอบบอกไว้ชัดเจนมากแล้ว เขาอาจจะได้กลายเป็นบุคคลที่เหมือนกับทูตตรวจการขวาซือหม่าเวิ่นเทียน ซือหม่าเวิ่นเทียนเป็นบุคคลที่ขุนนางผู้มีอำนาจทั้งราชสำนักเกรงกลัว ฐานะค่อนข้างพิเศษ รู้สึกเป็นเกียรติ นางจะไม่ตื่นเต้นดีใจได้อย่างไร
พอหันกลับไปมอง ตัวสวีถังหรานอยู่ไหนล่ะ? เมื่อครู่นี้ยังอยู่ข้างหลังตัวเองอยู่เลย
นางเดินเลี้ยวกลับไปหา พบว่าสวีถังหรานยืนอยู่หน้ากระถางต้นไม้ใบหนึ่ง กำลังมองดอกไม้อย่างเหม่อลอย เห็นได้ชัดว่าใจลอยแล้ว ตรงหว่างคิ้วเผยความกังวลเล็กน้อย
เสวี่ยหลิงหลงก้าวขึ้นมาตีเขา “เป็นอะไรไปแล้ว?”
“ไม่เป็นอะไร” สวีถังหรานดึงสติกลับมาแล้วส่ายหน้ายิ้มแห้ง ยื่นมือไปประคองหลังเอวนาง แล้วเดินเล่นเป็นเพื่อนต่อไป
เพราะว่าผ่านไปครู่เดียว หยางเจาชิงก็ส่งข่าวมาแล้ว สวีถังหรานหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
เมื่อเห็นเขาหน้านิ่วคิ้วขมวดขื่นขมยิ่งกว่ามะระ เป็นภาพที่เห็นได้ไม่บ่อย เสวี่ยหลิงหลงก็ขมวดคิ้วถาม “เป็นอะไรไป? ข้าสงสัยว่าวันนี้เจ้าเป็นอะไรกันแน่?”
สวีถังหรานถอนหายใจ “เหนียงเหนียงให้พวกเราไปพบนาง”
“ไปพบก็ไปพบสิ มีอะไรน่ากังวล ปกติเจ้าอยากจะเข้าหาแทบแย่แล้วไม่ใช่เหรอ?” เสวี่ยหลิงหลงถามอย่างสบายๆ
“ข้าเพิ่งคุยกับฝ่าบาท ให้ฝ่าบาทแต่งตั้งหวงฝู่จวินโหรวของสมาคมวีรชนเป็นสนม ฝ่าบาทก็คล้อยตาม ใส่รายชื่อหวงฝู่จวินโหรวไว้ในทะเบียนแต่งตั้งสนมสวรรค์” สวีถังหรานกล่าวด้วยสีหน้าหวาดระแวง
เสวี่ยหลิงหลงงงไปชั่วขณะ เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว จึงถามอย่างหงุดหงิดว่า “อยู่ดีๆ เจ้าจะไปยุ่งเรื่องนี้ทำไม? บางครั้งเหนียงเหนียงก็ไม่มีทางเลือก เรื่องบางเรื่องก็ทำได้เพียงปิดตาข้างเดียว ใต้หล้านี้มีผู้หญิงคนไหนยินดีแบ่งปันผู้ชายตัวเองให้คนอื่นใช้ล่ะ? ปกติเจ้าแทบจะประจบเอาใจเหนียงเหนียงไม่ทันด้วยซ้ำ ไปกินยาผิดมาหรือไง พิษเข้าสมองแล้วเหรอ?”
สวีถังหรานสะบัดมือแล้วบ่นว่า “ฮูหยินของข้าเอ๋ย เจ้าคิดว่าข้าอยากทำเรื่องนี้เหรอ? ข้าก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน เป็นฝ่าบาทที่แอบแนะนำให้ทำ ข้ากล้าไม่เชื่อฟังด้วยเหรอ? รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าเป็นกับดัก ขอให้สนใจก็ต้องกระโดดลงไป!”
“เป็นประสงค์ของฝ่าบาทเหรอ?” เสวี่ยหลิงหลงอึ้งอีกครั้ง จากนั้นก็ถามอย่างสงสัย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าฝ่าบาทจะต้องมีความหมายลึกซึ้งอะไรสักอย่างแน่นอน น่าจะไม่ต้องกังวลมากเกินไป”
สวีถังหรานกลอกตามองบน แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ความหมายลึกซึ้งบ้าอะไรล่ะ เขาบอกกับเจ้าตรงๆ เลยแล้วกัน หวงฝู่จวินโหรวได้กับฝ่าบาทตั้งนานแล้ว เป็นผู้หญิงที่ฝ่าบาทเลี้ยงเอาไว้ข้างนอก ถ้าไม่มีฝ่าบาทหนุนหลัง เจ้าคิดว่าในตระกูลหวงฝู่จะตอบตกลงให้หลานสาวนอกรุ่นที่สี่มาเป็นเจ้าบ้านได้เหรอ?”
เสวี่ยหลิงหลงเหม่อทันที ตอนนี้เข้าใจแล้ว สงสัยฝ่าบาทคงอยากจะฉวยโอกาสนี้นำชู้รักที่เลี้ยงไว้ข้างนอกเข้ามาอยู่ในวังอย่างชอบธรรม แสดงว่าสถานการณ์ของหวงฝู่จวินโหรวไม่เหมือนกับคนอื่นที่เข้าวังมา ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนไหนก็ยอมรับได้ยากทั้งนั้น มิหนำซ้ำ ราชินีสวรรค์ที่กุมอำนาจมหาศาลของวังหลังก็แข็งกร้าวขนาดนี้ ไม่ใช่คนที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะเทียบติด ถ้าให้ราชินีสวรรค์รู้เรื่องนี้จะไม่แย่หรอกหรือ? นางเองก็ร้อนใจแล้วเช่นกัน หยิกสวีถังหรานอย่างแรงหนึ่งที “เจ้าบ้าไปแล้วสินะ ไปทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง เหนียงเหนียงเป็นคนยังไงเจ้ายังไม่รู้ชัดเจนอีกเหรอ? กับเรื่องในด้านนี้แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังกลัวนาง เจ้ากล้าออกหน้าได้ยังไง?”
สวีถังหรานยักไหล่สองข้าง “เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทต้องการให้ข้าเป็นแพะรับบาป แล้วข้าจะทำยังไงได้?”
เสวี่ยหลิงหลงกลายเป็นมดที่ลนลานอยู่ในหม้อร้อนทันที นางเดินกลับไปกลับมา ถามอย่างกระวนกระวายว่า “ทำยังไงดีล่ะ ทำยังไงดี ไม่ใช่ว่าเหนียงเหนียงรู้แล้วหรอกนะ ต้องการจะคิดบัญชีกับพวกเราใช่ไหม?”
สวีถังหรานถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม “ข้าก็กังวลเหมือนกัน ตามหลักแล้วเหนียงเหนียงไม่น่าจะรู้เรื่องรักลับๆ ระหว่างฝ่าบาทกับหวงฝู่จวินโหรวสิ ถ้ารู้แค่ว่าข้าเป็นคนเสนอแนะ อย่างมากก็แค่โดนตำหนิ แบบนี้ข้าก็ยอมรับได้ ตอนอยู่ข้างกายฝ่าบาท เดิมทีข้าก็ทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ได้รับความไม่ยุติธรรมนิดหน่อยก็ไม่เป็นอะไร กลัวก็กลัวแต่ว่า…” พูดจบก็ส่ายหน้า
“ต่อให้เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด เราเองก็ต้องบอกฝ่าบาทก่อนสักหน่อย ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ทนความเกรี้ยวกราดของเหนียงเหนียงไม่ไหวหรอก!”เสวี่ยหลิงหลงเร่งให้เขารายงานเหมียวอี้
สวีถังหรานยิ้มเจื่อน “ยังต้องบอกฝ่าบาทอีกเหรอ ฝ่าบาทคงจะกลัวจนเครียดแล้วเหมือนกัน หยางเจาชิงบอกข้าแล้ว ฝ่าบาทไม่รู้ก็คงแปลก”
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ในตำหนักดาราจักร เหมียวอี้ถือรายชื่ออยู่ในมือ เห็นชื่อของหวงฝู่จวินโหรวถูกขีดทิ้งแล้ว รู้สึกปวดประสาทนิดหน่อย อุตส่าห์สิ้นเปลืองกำลังความคิดเพื่อจะทำให้เรื่องนี้ผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ใครจะคิดว่าจะโดนอวิ๋นจือชิวตัดทิ้งอย่างไม่ลังเล
เขาย่อมเคยถามสถานการณ์ในตอนนั้นกับหยางเจาชิงมาแล้ว คนอื่นผ่านได้อย่างราบรื่นหมด มีเพียงหวงฝู่จวินโหรวที่ถูกตัดรายชื่อทิ้ง แล้วจะไม่ให้เขาอกสั่นขวัญแขวนได้อย่างไร เขากังวลว่าอวิ๋นจือชิวจะรู้อะไรบางอย่างมาแล้วหรือเปล่า แล้วเรื่องนี้เขาก็ดันไม่มีทางเจรจากับอวิ๋นจือชิวได้ อ้างว่าเป็นข้อเสนอแนะของสวีถังหรานก็ยังปิดบังได้นิดหน่อย ให้สืบลึกลงไปกว่านี้ไม่ได้เลย ถ้าสืบให้กระจ่างขึ้นมาจริงๆ ก็ถือว่าล้ำเส้นอวิ๋นจือชิวแล้ว อวิ๋นจือชิวไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็นราชันสวรรค์หรือไม่ใช่ราชันสวรรค์ จะต้องสู้ตายกับเจ้าแน่นอน
ถ้าราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยแตกหักกับราชินีสวรรค์เผื่อผู้หญิงภายนอกคนเดียวจริงๆ จะให้เขาทนความรู้สึกได้อย่างไร แบบนั้นเขาก็ไม่ต่างอะไรกับประมุขชิง เสียหน้าแบบนั้นไม่ไหว
แต่ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ปล่อยให้หวงฝู่จวินโหรวได้รับความอยุติธรรมหลายปีขนาดนี้ ถ้าไม่ให้คำชี้แจงก็รู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายมาก
หยางเจาชิงยืนอยู่เบื้องล่าง ได้แต่ก้มหน้าก้มตา ไม่พูดอะไรสักคำ เขาจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องนี้เด็ดขาด ไม่แสดงท่าที กับเรื่องพรรค์นี้ เมื่อก่อนเขาเคยโดนอวิ๋นจือชิวเตือนแล้วรอบหนึ่ง ถ้ามีอีกครั้ง คิดว่าราชินีสวรรค์เป็นคนถือศีลกินเจเหรอ? นางจะต้องสั่งสอนเขาแน่ ทำให้เขาได้บทเรียนกลับไปแน่นอน
ตอนนี้หยางเจาชิงกังวลฝั่งสวีถังหราน คาดว่าสวีถังหรานคงเกิดความคิดอยากตายแล้ว? ถ้างานพังเพราะเรื่องนี้จริงๆ นอกจากจะไม่ได้ผลงานอะไรแม้แต่น้อยแล้ว แม้แต่คนช่วยพูดให้ก็คงไม่มี ทั้งยังกลายเป็นที่น่าหัวเราะเยาะอีก ไม่ได้รับความเป็นธรรมที่สุด…
จะเป็นบุญวาสนาหรือบาปเคราะห์ ถ้าเป็นบาปเคราะห์ก็หนีไม่พ้น สวีถังหรานกับเสวี่ยหลิงหลงแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและแข็งใจมาที่ตำหนักนารีสวรรค์
ในศาลา หลังจากคำนับแล้ว อวิ๋นจือชิวที่กำลังนั่งอย่างสง่าก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบช้าๆ ยังไม่ได้พูดอะไร เพียงมองสองสามีภรรยาด้วยใบหน้าอมยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม มองจนสองสามีภรรยาอกสั่นขวัญผวา อึดอัดไปทั้งตัว
สุดท้ายก็เป็นเสวี่ยหลิงหลงที่ก้าวขึ้นมายิ้มอย่างงดงาม “เหนียงเหนียง มีเรื่องอะไรจะกำชับให้เหล่าสวีไปทำหรือเพคะ? หากมีเรื่องท่านก็กำชับมาได้เลย เขาไม่กล้าปฏิเสธแน่นอน” พูดจบก็ถือโอกาสยื่นมือไปรินน้ำชาให้อวิ๋นจือชิว
“ใช่ๆๆ มีเรื่องอะไรเหนียงเหนียงก็กำชับมาได้เลยขอรับ ต่อให้ตายข้าน้อยก็ไม่ปฏิเสธ” สวีถังหรานพยักหน้าคงเอวซ้ำๆ
อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างสบายๆ “ทำอย่างนั้นไม่ไหวหรอก ข้าเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น จะกล้ากำชับนายท่านสวีได้อย่างไร ถ้าทำให้นายท่านสวีไม่พอใจขึ้นมา แล้วส่งยอดหญิงงามแห่งยุคไปไว้ข้างกายฝ่าบาท ไม่แน่ว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะมาแทนที่ข้าในทันทีก็ได้ ข้าแถบจะไปประจบนายท่านสวีไม่ทันด้วยซ้ำ นายท่านสวี ท่านว่าไหมล่ะ?”
เสวี่ยหลิงหลงยิ้มค้างทันที คำพูดแต่ละประโยคช่างแทงใจจริงๆ สวีถังหรานฟังแล้วเหงื่อแตก โบกมืออย่างหวาดกลัว “เหนียงเหนียง ท่านอย่าพูดเช่นนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าน้อยก็มีแต่ต้องใช้ความตายเพื่อชดเชยความผิด เอาเป็นว่าความผิดทุกอย่างล้วนเป็นของข้าน้อย ต่อไปนี้ข้าน้อยไม่บังอาจแล้วขอรับ”
“ไม่บังอาจเหรอ? ข้าเห็นว่าเจ้าใจกล้ามากนี่” อวิ๋นจือชิวพูดเหน็บแนม “ว่ามาซิ เรื่องของหวงฝู่จวินโหรวเป็นความคิดใคร? เป็นความคิดของฝ่าบาทใช่ไหม?”
มีหรือที่สวีถังหรานจะกล้าทรยศเหมียวอี้ แบบนั้นเท่ากับเบื่อไหนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว เขาลนลานโบกมือ “ไม่เกี่ยวกับฝ่าบาทแม้แต่น้อย เป็นข้าน้อยเองที่เลอะเลือน”
“พูดแบบนี้ แสดงว่าอีกฝ่ายให้ผลประโยชน์เจ้าเหรอ?” อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้ว
สวีถังหรานไม่กล้าบอกเช่นกันว่าได้รับผลประโยชน์จากอีกฝ่าย วิธีการติดสินบนเพื่อจะเข้ามาอยู่ในวังสวรรค์ ความผิดนี้หวงฝู่จวินโหรวรับไม่ไหวเช่นกัน อวิ๋นจือชิวกำลังหัวร้อน ถ้าอาศัยเรื่องนี้กำจัดหวงฝู่จวินโหรวขึ้นมาจริงๆ ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ชอบธรรม หากหวงฝู่จวินโหรวต้องตายเพราะเรื่องนี้ เขาก็ไม่มีทางชี้แจงกับเหมียวอี้ได้
เขาโบกมืออย่างหวาดกลัวอีก “เปล่าขอรับๆ เรื่องนี้หวงฝู่จวินโหรวไม่รู้เลยสักนิด เป็นเพราะข้าน้อยรู้สึกว่าจะได้ควบคุมสมาคมวีรชนได้สะดวก ถึงได้ออกความคิดว่าโง่ๆ นี้ เป็นความผิดของข้าน้อย ข้าน้อยผิดไปแล้ว”
“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเหมือนเข้าใจ “เจ้าเองก็มีเจตนาดี ข้าเข้าใจได้ เพียงแต่เรื่องนี้ แค่สมาคมวีรชนเล็กๆ ในปีนั้นประมุขชิงส่งซ่างกวนชิงไปคนเดียวก็ควบคุมได้แล้ว ฝ่าบาทที่รวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียวได้จะเทียบประมุขชิงไม่ได้เชียวหรือ เรื่องเล็กแค่นี้ยังต้องให้ฝ่าบาทลงมือด้วยตัวเองอีกหรือไง? แต่วิธีการของเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่ดี เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าตัดสินใจเรื่องนี้ให้เอง หวงฝู่จวินโหรวนั่นน่ะ เจ้าแต่งเองแล้วกัน!”
เสวี่ยหลิงหลงหน้าเขียวแล้ว
“หา!” สวีถังหรานตกใจจนตัวสั่น หน้าซีดขาว ล้อเล่นอะไรกัน จะให้เอาผู้หญิงของฝ่าบาทกลับบ้าน ต่อให้อยากตายแต่ก็ไม่ควรตายด้วยวิธีนี้ เขาแทบจะร้องไห้ออกมา “เหนียงเหนียง ข้าน้อยเคยสาบานต่อหลิงหลงไว้แล้ว ว่าชาตินี้จะไม่รับอนุภรรยา หากท่านไม่เชื่อก็ลองถามหลิงหลงดูขอรับ”
เสวี่ยหลิงหลงพยักหน้าอย่างหวาดกลัว “ใช่แล้วเพคะ เหนียงเหนียง หม่อมฉันเป็นพยานได้”
“ถ้าไม่แต่งกลับบ้าน แอบเลี้ยงไว้ข้างนอกก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ แค่อาศัยสิ่งนี้เพื่อควบคุมสมาคมวีรชนไว้ได้ก็พอ” อวิ๋นจือชิวกล่าวยังไม่หยี่ระ
สวีถังหรานรีบส่ายหน้า “ข้าน้อยรักเดียวใจเดียวต่อหลิงหลง ไม่ทำเรื่องผิดต่อหลิงหลงเด็ดขาดขอรับ”
อวิ๋นจือชิวร้องอ๋อ ยกนิ้วโป้งให้สวีถังหรานอย่างสนใจ “ดี ไม่เลวเลย! สวีถังหราน ข้าจะจำคำพูดนี้ไว้ หวังว่าเจ้าจะไม่หลอกลวงข้า ถ้าวันไหนให้ข้ารู้ว่าเจ้าแอบไปมีผู้หญิงข้างนอก ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าคำสั่งของข้าจะจัดการเจ้าไม่ได้!”
“…” สวีถังหรานอ้าปากค้างพูดไม่ออก คนที่อยู่ในระดับเขา จะไม่ให้ออกไปหาความสำราญบ้างเลยได้อย่างไร วันนี้นับว่ายกหินทุ่มใส่เท้าตัวเองแล้ว ทำไมถึงรู้สึกว่าอวิ๋นจือชิวกำลังอาศัยโอกาสนี้ลงโทษเขา เขาสงสัยนิดหน่อยว่าอวิ๋นจือชิวรู้อะไรมาบ้างแล้วหรือเปล่า แต่เขาก็ยังฝืนยิ้มพยักหน้ารับไว้ “ใช่ๆๆ ข้าน้อยซื่อสัตย์ต่อหลิงหลงแน่นอนขอรับ ยินดีถูกเหนียงเหนียงจับตาดู”
เสวี่ยหลิงหลงก็พูดไม่ออกมากเช่นกัน ถึงแม้การทำอย่างนี้จะทำให้นางดีใจ แต่ในใจนางก็รู้อย่างชัดเจนมาก ว่ายามปกติสวีถังหรานออกไปหาความสำราญนอกบ้านไม่ขาด วันนี้รับปากอย่างง่ายดาย ต่อไปไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาอะไรตามมาเพราะเรื่องนี้อีก
อวิ๋นจือชิวยืนขึ้นอย่างช้าๆ แล้วจู่ๆ ก็คว้าถ้วยน้ำชาทุ่มลงพื้นจนแตกดังเพล้ง
จู่ๆ ก็ทำอย่างนี้ บวกกับสีหน้าเยียบเย็นน่าตกใจของอวิ๋นจือชิว ทำให้สวีถังหรานตกใจจนคุกเข่าทันที
ทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงแล้วพุ่งเข้ามาทันที ล้อมศาลาแห่งนั้นเอาไว้แล้ว
ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็มาถึงตำหนักสวรรค์แล้ว พวกฉินเวยเวยก็มาถึงแล้วเช่นกัน จากนั้นก็ตามนางไปคำนับราชันสวรรค์ด้วยกัน
เมื่อเจอเหมียวอี้อีกครั้ง ก็ไม่ได้ทำตัวอิสระผ่อนคลายเหมือนเมื่อก่อนอีก อาจารย์และผู้อาวุโสของแต่ละคนล้วนกำชับมาแล้ว ตอนที่พวกฉินเวยเวยมาคำนับจึงประพฤติตัวเรียบร้อยและระมัดระวังขึ้นหลายส่วน
พูดจาทักทายตามมารยาทเล็กน้อย แม่ผู้หญิงกลุ่มนี้จะอยากอยู่ตามลำพังกับเหมียวอี้ แต่มีคนอยู่ด้วยเป็นกลุ่ม คำพูดลับๆ ในห้องนอนบางอย่างก็ไม่สะดวกจะพูดต่อหน้าคนเยอะๆ ทุกคนจึงกล่าวอำลาออกไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
กลับเป็นฉินเวยเวย เหมียวอี้อาศัยข้ออ้างว่ามีเรื่องจะสอบถามเกี่ยวกับพิภพเล็ก ถึงอย่างไรฉินเวยเวยก็คอยคุมพิภพเล็กมาตลอด จึงรั้งฉินเวยเวยให้อยู่ต่อคนเดียว
เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว เหมียวอี้ก็เดินอ้อมออกมาจากหลังโต๊ะ เดินมาตรงหน้าฉินเวยเวย แล้วมองนางพร้อมรอยยิ้มบางๆ
ฉินเวยเวยถูกมองจนเก้อเขิน อยากจะบ่นสักสองสามคำ ทว่าก่อนมาหยางชิ่งได้ส่งข่าวมากำชับแล้ว ว่าราชันสวรรค์ก็คือราชันสวรรค์ จุดนี้โหดร้ายมาก จะต้องเตรียมตัวให้ดีเพื่อรับความจริงที่วว่า อัสนีบาตหยาดพิรุณล้วนเป็นของพระราชทานจากราชัน[1] อย่าคิดเด็ดขาดว่าอาศัยความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้แล้วจะสามารถกำเริบเสิบสานได้ หวังมากก็จะยิ่งผิดหวังมาก อย่าทำร้ายตัวเอง
พอนึกถึงตรงนี้ ฉินเวยเวยก็ก้มหน้าเงียบๆ ในใจรู้สึกปลงมาก นึกย้อนไปถึงปีนั้นที่ทั้งสองเจอกันครั้งแรก ทหารต่ำต้อยของถ้ำล่องนิภาสู้ตายไม่ยอมแพ้ ชี้ทวนตะโกนไกลๆ ว่า ‘เหมียวอี้อยู่นี่แล้ว กล้าสู้ตายกับข้าไหม’ ฉากนั้นผ่านไปไม่หวนกลับ ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าทหารต่ำต้อยจะกลายเป็นราชันสวรรค์ที่มีอำนาจบาตรใหญ่ในดาราจักร!
เหมียวอี้ยื่นมือเชยคางนางขึ้นมา ทั้งสองสบตากัน ฉินเวยเวยเรียกเขาอย่างเขินอาย “ฝ่าบาท!”
เหมียวอี้ก้มหน้าเข้ามาใกล้ จูบบนริมฝีปากพร้อมคว้าตัวเข้ามากอด ฉินเวยเวยแนบชิดในอ้อมกอดพร้อมเสียงอู้อี้ นางเงยหน้าขึ้น ปล่อยให้ตักตวงตามใจชอบ
เมื่อคลายจูบแล้ว ฉินเวยเวยก็แก้มแดงเรื่อ ดวงตาแวววาวฉ่ำน้ำ
“คืนนี้เจิ้นไปค้างกับเจ้าดีมั้ย?” เหมียวอี้ถามหยอกล้อ
“อื้ม” ฉินเวยเวยขานรับด้วยเสียงอู้อี้เหมือนยุง นางได้ยินจากหยางชิ่งว่าตอนนี้เหมียวอี้งานยุ่งมาก มีความลับบางอย่างที่ไม่สะดวกจะให้คนอื่นรู้ สั่งให้นางระวังและหลบเลี่ยง จากนั้นก็ถอยสองก้าวแล้วคำนับ “ฝ่าบาทงานยุ่ง หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ”
“ไม่เป็นไร ไม่ได้เจอกันนานแล้ว คิดถึงมาก อยู่เป็นเพื่อนข้างกายเจิ้นก่อน” เหมียวอี้ก้าวขึ้มมาดึงมือนาง จูงกลับไปนั่งข้างกัน
เขานั่งลงจัดการงานต่างๆ ส่วนฉินเวยเวยก็คอยรินน้ำชาอยู่ข้างกายด้วยแววตาเป็นประกาย ปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง เอาใจใส่อย่างถี่ถ้วน นางคือบุคคลที่สูงส่งเหมือนราชินีที่พิภพเล็ก ตอนนี้กลายเป็นสาวน้อยที่ว่าง่ายคนหนึ่งแล้ว แต่นางก็ยินดีที่จะรับไว้ นางเห็นเพียงว่าเหมียวอี้ไม่ได้รั้งผู้หญิงคนอื่นไว้ รั้งนางไว้คนเดียว และไม่มีท่าทีจะให้นางหลบเลี่ยงเพราะมีความลับด้วย แค่คิดก็รู้แล้วว่าเชื่อใจนางขนาดไหน ความน้อยเนื้อต่ำใจหลายปีเปลี่ยนเป็นความหวานปานน้ำผึ้งในชั่วพริบตาเดียว
หารู้ไม่ว่าสำหรับเหมียวอี้แล้ว มีความลับมากมายที่หยางชิ่งรู้ ตอนนี้มีความลับหลายเรื่องที่เขาปรึกษากับหยางชิ่ง หลบเลี่ยงฉินเวยเวยไปก็ไม่มีความหมาย ไม่สู้แสดงความรักความโปรดปรานให้นางมีความสุข ขณะเดียวกันก็ทำให้หยางชิ่งเห็นด้วย
ถ้าจะให้พูดถึงจิตใจดั้งเดิมจริงๆ ตอนนี้ระหว่างเขากับผู้หญิงพวกนี้มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องมากเกินไป จิตใต้สํานึกค่อนข้างห่างเหินผู้หญิงพวกนี้ ส่วนความงามของฉินเวยเวย เมื่ออยู่ที่พิภพเล็กก็ยังนับว่าดี แต่มาอยู่ที่นี่ก็พูดได้เพียงว่าอยู่ในระดับกลางลงมา กอปรกับเยี่ยนเป่ยหงกับพวกเยว่เหยาทำให้เขาจิตตกมาก ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์มาพูดคุยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เลย ไม่มีอารมณ์จะทำเรื่องระหว่างชายหญิงด้วย แต่ก็ยังฝืนยิ้มแสดงความรักต่อฉินเวยเวยได้
แน่นอน ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจฉินเวยเวยแล้ว ไมตรีเก่ายังคงมีอยู่
ผ่านไปไม่นาน หยางชิ่งก็มาถึงแล้ว เมื่อเห็นฉินเวยเวยอยู่ในตำหนักสวรรค์ เขาก็อึ้งเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าลูกสาวจะสามารถอยู่ข้างกายเหมียวอี้ที่ตำหนักสวรรค์ได้ ตำหนักสวรรค์คือห้องทำงานส่วนตัวของราชันสวรรค์ งานที่ปรึกษากันในที่ประชุมตำหนักฟ้าดินยังเป็นความลับไม่เท่าครั้งนี้เลย ตำหนักสวรรค์ใช่สถานที่ที่ผู้หญิงจากวังหลังจะเข้ามาเกี่ยวข้องได้ง่ายๆ เสียที่ไหนกัน
เหมียวอี้วางแผ่นหยกลง แล้วก็ปรึกษากับหยางชิ่งเรื่องจัดวางกำลังพล
เห็นได้ชัดว่าหยางชิ่งค่อนข้างเสียสมาธิ รู้สึกทั้งกังวลทั้งดีใจปนกัน ดีใจก็เพราะไม่ว่าเหมียวอี้จะเสแสร้งแกล้งทำให้เขาดูหรือไม่ อย่างน้อยก็พิสูจน์แล้วว่าเขายังสามารถกลายเป็นที่พึ่งให้ลูกสาวได้ ตราบใดที่ยังมีเขาอยู่ ในวังสวรรค์แห่งนี้ก็ไม่มีใครกล้ากลั่นแกล้งลูกสาวของตัวเองง่ายๆ ส่วนความกังวลนั้นก็มาจากหลายด้าน
เมื่อคุยกันได้สักพัก เหมียวอี้ก็สังเกตได้ว่าหยางชิ่งไม่มีสมาธิ ในใจแอบรู้สึกขำ คิดว่าตัวเองช่างบีบจุดอ่อนของจิ้งจอกเฒ่านี่ได้แม่นยำจริงๆ
ถามแล้วไม่ได้ความอะไร ก็ไม่ถามแล้ว ให้ฉินเวยเวยออกไปส่งบิดา
เมื่อออกจากตำหนักสวรรค์ เดินไปไกลพอสมควร สองพ่อลูกก็หยุดเดิน ฉินเวยเวยทำความเคารพและบอกว่า “ท่านพ่อ ลูกยังต้องอยู่เป็นเพื่อนฝ่าบาท ขออภัยที่ไปส่งไกลไม่ได้ค่ะ”
อีกฝ่ายขาดคนอยู่เป็นเพื่อนเหรอ? หยางชิ่งตำหนิไม่หยุด แต่เมื่อเห็นลูกสาวหน้าตาสดใสชื่นมื่น ก็เห็นได้ชัดว่าดีใจเพราะได้รับความโปรดปราน เขาจึงกลืนคำพูดที่จ่ออยู่ในปากลงไป หยางชิ่งไม่มีทางพูดออกมาได้ว่าอีกฝ่ายทำเพื่อแสดงให้เขาเห็น ไม่ได้เจอกันมาหลายปี ไม่อยากให้พอเจอกันก็ทำให้ลูกสาวเป็นทุกข์เลย ทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ “เวยเวย จำไว้นะ ตอนนี้ยังไม่ถึงคราวที่เจ้าจะทำตัวออกนอกหน้า ตำหนักสวรรค์คือสถานที่ปรึกษาหารืองานใหญ่ที่เป็นความลับ ไม่ใช่สถานที่ที่ผู้หญิงของวังหลังจะเข้าไปก้าวก่ายได้ง่ายๆ เจ้าอยู่ที่นั่นสะดุดตาเกินไป จะกลายเป็นเป้าของคนหมู่มาก เข้าใจใช่ไหม? จำไว้นะ บ้านเราไม่เหมือนคนอื่น เจ้าไม่จำเป็นต้องอาศัยการแย่งชิงความโปรดปรานเพื่อยืนอยู่ข้างกายฝ่าบาท โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เจ้าจะต้องสงบเสงี่ยม ตอนที่ฝ่าบาทต้องการเจ้า เจ้าก็ทำหน้าที่ของผู้หญิงคนหนึ่งให้ดีที่สุดก็พอ ส่วนเรื่องอื่นยังไม่ต้องคิดมากเข้าใจไหม?”
ฉินเวยเวยพยักหน้าทันที “เข้าใจค่ะ”
เมื่อเห็นนางตอบรับอย่างง่ายดายขนาดนี้ หยางชิ่งก็พูดไม่ออกมาก ไม่รู้เหมือนกันว่านางฟังเข้าใจหรือเปล่า แต่มองออกเลยว่านางร้อนใจอยากจะกลับไปอยู่ข้างกายเหมียวอี้
ในใจหยางชิ่งไม่สบอารมณ์ นับว่าได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่า ลูกสาวที่แต่งงานแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออก เอนเอียงไปเข้าข้างคนนอก ไม่ได้เจอกันหลายปีขนาดนี้ ไม่คิดว่าจะมาอยู่กับบิดาตัวเองก่อน กลับคิดจะไปอยู่กับผู้ชายคนอื่นก่อน แบบนี้มันใช่เรื่องเสียที่ไหน
เขาอึกอักเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดรุนแรงเกินไปจนทำลายบรรยากาศของลูกสาว คิดว่าตราบใดที่เขายังอยู่ที่นี่ ปล่อยให้นางดีใจสักหน่อยก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร คำพูดอย่างอื่นเพราะให้ลูกสาวดีใจเสร็จก่อนแล้วค่อยคุยกันให้ละเอียดก็ยังไม่สาย เขาถอนหายใจพลางส่ายหน้า แล้วหันตัวเดินออกไป…
สองวันหลังจากนั้น คนของสวนกลางเขียวขจี รวมทั้งคนกลุ่มใหญ่ที่ถูกกักบริเวณอยู่ในอุทยานหลวงทยอยกันย้ายออกจากอุทยานหลวง ย้ายไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์
วังสวรรค์ที่ใหญ่โตรโหฐานสะเทือนอย่างรุนแรงครู่หนึ่ง คนในวังสวรรค์ตกใจ รู้สึกได้ว่าวังสวรรค์เริ่มเคลื่อนที่อยู่ในดาราจักร
รอบๆ วังสวรรค์ที่ใหญ่มหึมามีทัพใหญ่พันกว่าล้านรวมตัวกัน บ้างก็กำลังเข็นวังสวรรค์ไปข้างหน้า บ้างก็กำลังจูงอยู่ข้างหน้า หรือไม่ก็คอยเบิกทางอยู่ข้างหน้า บางส่วนก็คอยระแวดระวังรอบๆ ติดตามวังสวรรค์ไปข้างหน้าตลอดทางอย่างไม่รีบร้อน
บนตึกตำหนักสูง เหมียวอี้สีหน้าเรียบเฉย เอามือไขว้หลังยืนพิงระเบียง ทอดสายตามองดาราจักร
ผังก้วนขึ้นมาบนตึกด้วยการนำของหยางเจาชิง เดินมาถึงข้างหลังเหมียวอี้แล้วทำความเคารพ “คำนับฝ่าบาท”
เหมียวอี้กลับมายิ้ม แล้วยื่นมือเชิญให้ยืนเคียงข้างกัน จากนั้นโบกมือชี้แสงดาวระยิบระยับที่ล่าถอยไปข้างหลัง สอบถามว่า “ฉากนี้อลังการหรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ผังก้วนก็รู้ถึงเจตนา สาเหตุที่เรียกเขามาก็เพื่อจะให้เขาดูด้วยตาตัวเอง ถามเขาว่ายอมหรือยัง และกำลังบอกเขาด้วยว่า ในปีนั้นต่อให้เจ้าได้อาณาเขตทัพใต้ไป อย่างมากตอนนี้ก็เป็นได้แค่อ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ แต่กับข้านั้นไม่เหมือนกัน
เขามองซ้ายมองขวา แล้วกล่าวชม “เคลื่อนย้ายวังสวรรค์ เป็นฉากที่อลังการ มีพลังมหาศาล จิตใจอันทะเยอทะยานของฝ่าบาท ไม่ใช่สิ่งที่ข้าน้อยเทียบติด ในปีนั้นเป็นข้าน้อยเองที่ไม่ประเมินกำลังของตัวเอง” เขากำลังสื่อว่า ยอมรับผิดอย่างเป็นทางการที่แย่งชิงอาณาเขตทัพใต้ในปีนั้น แสดงความสวามิภักดิ์
เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ในปีนั้นนับว่าเจิ้นทำผิดต่อเจ้าเช่นกัน เดี๋ยวต่อไปจะชดเชยให้เจ้าเอง มีตำแหน่งอ๋องสวรรค์ว่างรอเจ้าอยู่ ไม่รู้ว่าเจ้าคิดอย่างไร?”
ผังก้วนอึ้งไปชั่วขณะ มีเรื่องดีๆ อย่างนี้ด้วยหรือ? เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าเหมียวอี้มีเจตนาอะไร กำลังหยั่งเชิงตนอยู่เหรอ? เขาไม่ค่อยกล้ารับปาก อยากจะครุ่นคิดให้ดีสักหน่อยว่าหมายความว่าอะไรกันแน่ จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ขอเพียงฝ่าบาทไม่รังแกเสี้ยวเสี้ยวก็พอ พูดถึงเสี้ยวเสี้ยว นางก็คำนับฟ้าดินกับฝ่าบาทอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่ทราบว่าตำแหน่งสนมสวรรค์จะรองรับนางได้หรือไม่?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ เหมียวอี้ก็เงียบไป พวกฉินเวยเวยมาแล้ว กอปรกับใต้หล้าเพิ่งสงบ ต้องปลอบขวัญคนกลุ่มหนึ่ เขามีรายชื่อแต่งตั้งสนมสวรรค์ชุดหนึ่งแล้ว ผังเสี้ยวเสี้ยวย่อมอยู่ในรายชื่อนี้ด้วย อวิ๋นจือชิวคงจะอนุมัติได้ไม่มีปัญหา แต่เขามีจิตใจที่เห็นแก่ตัว อยากจะถ่วงเวลาสักหน่อย อยากจะรอให้คนคนหนึ่งมาถึงก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที…
วังสวรรค์ขนาดมหึมาไม่กล้าเหาะเร็วเกินไป เพราะมีพื้นที่ใหญ่มาก ถ้าเหาะเร็วเกินไป กลัวว่าถ้าเจอกับดาวอะไรแล้วจะเลี้ยวลำบากจนชนกัน
ดาราจักรกว้างใหญ่แวววาว ไร้ขอบเขตสิ้นสุด จุดไหนที่วังสวรรค์เคลื่อนผ่านไป ก็มีผู้บัญชาการของอาณาเขตที่เกี่ยวข้องมาคำนับไม่ขาดสาย
มาได้ครึ่งทาง ในที่สุดคนที่พวกเหมียวอี้รอมาถึงแล้ว สวีถังหราน!
ในตำหนักสวรรค์ ต่อหน้าผู้บัญชาการกลุ่มหนึ่ง สวีถังหรานเสนอความเห็นว่า ตอนนี้สมาคมวีรชนมีหวงฝู่จวินโหรวเป็นเจ้าบ้านแล้ว จากที่เขาคลุกคลีกับสมาคมวีรชนมาช่วงหนึ่ง แนะนำให้ฝ่าบาทแต่งตั้งหวงฝู่จวินโหรวเป็นสนม เหตุผลก็คือจะได้สะดวกต่อการควบคุมสมาคมวีรชน
“ทุกคนคิดว่าสิ่งที่สวีถังหรานเสนอเป็นอย่างไร?” เหมียวอี้ถามกลุ่มขุนนาง
ทุกคนกลุ้มใจนิดหน่อย ตอนนี้จำเป็นต้องไว้หน้าสมาคมวีรชนมาขนาดนั้นเชียวหรือ? แต่ทุกคนต่างรู้ว่าสวีถังหรานเป็นเหมือนสุนัขหมายเลขหนึ่งของเหมียวอี้ ไม่รู้ว่าเสนอความเห็นแบบนี้เพราะมีเจตนาอะไร ทุกคนต่างก็กำลังครุ่นคิด
ไม่มีใครคัดค้าน เหมียวอี้ก็คิดว่าทุกคนเห็นด้วยแล้ว
หลังจากแยกย้ายออกจากตำหนัก เหมียวอี้ก็ให้หยางเจาชิงนำรายชื่อแต่งตั้งสนมสวรรค์ไปให้อวิ๋นจือชิวอ่าน เรื่องของวังหลังอวิ๋นจือชิวมีอำนาจตัดสินใจ
ในวังสวรรค์ หยางเจาชิงมาเจออวิ๋นจือชิวแล้ว หลังจากได้อ่านรายชื่อแต่งตั้งที่ส่งมา เขาก็แอบสังเกตปฏิกิริยาของอวิ๋นจือชิวเงียบๆ
ในศาลาเย็น อวิ๋นจือชิวนั่งสง่าพร้อมถือรายชื่ออ่านอย่างละเอียด เมื่อไหร่ชื่อหนึ่งปรากฏสู่สายตา นางก็เลิกคิ้วเล็กน้อยโดยจิตใต้สำนึก
เมื่อเห็นรายชื่อนี้ นางก็นึกถึงชุดชั้นในตัวนั้นบนเตียงในปีที่เหมียวอี้ยังอยู่ที่ตลาดสวรรค์ ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ชุดชั้นในตัวนั้นยังเหมือนหนามที่แทงหัวใจนาง ไม่เคยลบออกเลย คิดว่านางเป็นคนโง่ที่สามารถตบตาอย่างไรก็ได้หรือ? เพียงแค่นางไม่เคยพูดก็เท่านั้นเอง
นางชำเลืองมองหยางเจาชิง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ “หวงฝู่จวินโหรวคนนี้ไม่ใช่สนมของฝ่าบาท ทำไมจู่ๆ ถึงอยู่ในรายชื่อแต่งตั้งสนมสวรรค์แล้วล่ะ?”
“เพื่อให้สะดวกต่อการควบคุมสมาคมวีรชนขอรับ สวีถังหรานเสนอแนะ…” หยางเจาชิงเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ กลับดูเหมือนกำลังประกาศให้ชัดเจนว่าไม่เกี่ยวกับเหมียวอี้ ทั้งหมดล้วนผลักไปที่สวีถังหราน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” อวิ๋นจือชิวกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ยื่นมือวาดบนแผ่นหยก แล้วกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์ “ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมาะสม นอกนั้นอนุมัติทั้งหมด” จากนั้นก็โยนแผ่นหยกกลับมา
หยางเจาชิงรับแผ่นหยกมาดู พบว่ารายชื่อของหวงฝู่จวินโหรวถูกขีดทิ้งอย่างไม่ลังเล ในใจแอบทอดถอนใจ ไม่กล้าพูดอะไรมาก จากนั้นก็กล่าวขอตัวแล้วเดินออกไป
ตอนที่เพิ่งเดินออกจากศาลา ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะกล่าวเสียงเย็นว่า “ไม่ได้เจอสวีถังหรานมานานแล้ว มีเรื่องปรับเปลี่ยนโถงชุมนุมอัจฉริยะจะถามเขาพอดี ให้เขามาพบให้หน่อย เรียกเสวี่ยหลิงหลงมาด้วยกันด้วย”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ แล้วถอนตัวออกไป
…………………………
[1] อัสนีบาตหยาดพิรุณล้วนเป็นของพระราชทานจากราชัน 雷霆雨露俱是君恩 ฟ้าผ่าเปรียบเสมือนการลงโทษ น้ำฝนเปรียบเสมือนรางวัล
เมื่อออกจากเรือนเล็ก โกวเยว่ที่ออกมาก็พบกับเม่ยเหนียงที่รออยู่ตรงประตู
สิ่งที่เรียกว่าสัตว์ร้อยเท้าแม้ตายร่างก็ยังไม่แน่นิ่ง เม่ยเหนียงรู้ชัดอยู่แก่ใจ ตระกูลก่วงยังมีทางที่จะลอยขึ้นเหนือน้ำอยู่บ้าง โกวเยว่จะต้องมีแผนในใจกับเรื่องภายนอกอยู่แล้ว แต่เรื่องบางเรื่อง โกวเยว่ก็ไม่ค่อยเป็นฝ่ายบอกนางก่อน ดังนั้นนางจึงจับตาดูก่วงลิ่งกงมาตลอด รู้ว่าเมื่อโกวเยว่มาแล้วแสดงว่าจะต้องมีเรื่องอะไรแน่นอ ในตอนนี้ถ้าจะไม่ให้สนใจก็คงยาก
“ท่านอ๋องเป็นยังไงบ้าง?” เม่ยเหนียงถามตามปกติ
โกวเยว่ยังคงส่ายหน้าถอนหายใจ
เม่ยเหนียงถามอีกว่า “ทำไมถึงกักบริเวณพวกเราไม่ปล่อยเสียที หนิวโหย่วเต๋อคิดจะทำยังไงกับพวกเรากันแน่?” คำถามเดียวกันนี้ ผู้หญิงคนนี้อื่นของก่วงลิ่งกงก็ถามเขาบ่อยเช่นกัน ทุกคนต่างสื่อว่าลูกสาวเจ้าได้กลายเป็นสนมสวรรค์แล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงไม่แสดงบทบาทอะไรสักนิดเลยล่ะ?
นางเครียดมาก ถ้าก่วงลิ่งกงเป็นอย่างนี้จริงๆ ทางฝั่งก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็หวังอะไรไม่ได้ ลูกชายเหล่านั้นของก่วงลิ่งกงคงไม่ยอมให้ผู้หญิงที่เข้ามาเป็นนายหญิงที่หลังอย่างนางมีอำนาจตัดสินใจที่ตระกูลก่วงอีก แม้ตระกูลก่วงจะพ่ายแพ้ตกต่ำแล้ว ต่อให้อาหารในจานจะน้อยสักแค่ไหน แต่ก็ยังหวังจะมีอำนาจในการแบ่งสรรปันส่วน คนกลุ่มนี้จะสามารถล้มนางได้ง่ายๆ ให้นางเจอกับฉากอันหนาวเหน็บน่ารันทดได้เลย นี่คือเรื่องที่นางหวาดกลัวและทำใจรับได้ยาก
“นี่เพิ่งกักบริเวณไม่กี่วันเอง ความคิดของหนิวโหย่วเต๋อยังอยู่กับการเก็บกวาดสถานการณ์ที่กำลังพังพินาศย่อยยับของใต้หล้า ยังไม่มีอารมณ์มานึกถึงพวกเรา” โกวเยว่ปลอบโยน รู้เช่นกันว่านางกำลังกังวลอะไร จึงเกริ่นว่า “คุณหนูยังไม่เข้าห้องหออีกหรือขอรับ?”
เม่ยเหนียงส่ายหน้า “หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้มาเจอหน้าเม่ยเอ่อร์เลย” นี่คือเรื่องที่นางกังวลใจที่สุด
โกวเยว่พูดปลอบใจอีกว่า “เหนียงเหนียงวางใจได้ ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อยังไม่มีเวลามาคิดเรื่องนั้น รออีกประเดี๋ยวให้เขาว่างแล้ว ด้วยความงดงามของคุณหนู ไม่มีเหตุผลที่หนิวโหย่วเต๋อจะไม่หวั่นไหว เพียงแต่ว่า…เหนียงเหนียงก็ต้องพยายามโน้มน้าวให้คุณหนูเป็นฝ่ายรุกบ้าง อย่าเอาแต่บลุกอยู่ในห้อง บ่าวเองก็เข้าใจว่าการแย่งชิงความโปรดปรานเป็นสิ่งที่ทำให้คุณหนูสุดจะทนได้ แต่ความจริงก็คือความจริง หนิวโหย่วเต๋อตัดสินชะตากรรมของทุกคนในตระกูลก่วงได้ ต่อให้คุณหนูไม่คำนึงถึงตัวเอง แต่ก็ต้องคำนึกถึงสถานการณ์ของบิดามารดาด้วยมิใช่หรือขอรับ? เหนียงเหนียงควรจะอธิบายถึงความยากลำบากของตัวเองให้คุณหนูฟังมากๆ หน่อย โน้มน้าวมากๆ หน่อยขอรับ”
สามารถพูดอย่างนี้กับเม่ยเหนียงได้ ที่จริงเขาก็กังวลเช่นกัน อนุภรรยาของหนิวโหย่วเต๋อก็มีคนที่ตระกูลก่วงส่งไป พอจะรู้สถานการณ์ในวังอยู่บ้าง รู้แล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อเข้าห้องกับผู้หญิงเพิ่มอีกคนแล้ว แต่งตั้งสนมสวรรค์เพิ่มอีกคน แม้จะเดาออกจึงเจตนาที่หนิวโหย่วเต๋อแต่งตั้งซิงเป็นสนมสวรรค์ แต่ถ้ามองจากอีกมุม ก็เหมือนจะเดาได้เช่นกันว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์หมดคุณค่าให้หนิวโหย่วเต๋อใช้ประโยชน์แล้ว เหมือนจะถูกหนิวโหย่วเต๋อลืมแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปจะไหวเหรอ? ทว่าตระกูลก่วงก็หาสิ่งที่มีมูลค่ามากพอเพื่อไปสนับสนุนก่วงเม่ยเอ๋อร์ไม่ได้เหมือนกัน ตอนนี้ต้นทุนอย่างเดียวที่มีมูลค่ามากที่สุดของก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็คือความงามของตัวเอง ถ้าก่วงเม่ยเอ๋อร์สามารถแสดงบทบาทของตัวเองได้ ก็เป็นการลงทุนน้อยแต่ได้ผลตอบแทนมากที่สุด
เรื่องที่เกี่ยวจ้องกับอนาคตของทุกคนในตระกูลก่วง สำหรับโกวเยว่ ไม่ว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์จะเต็มใจทำหรือไม่ เขาก็จะคิดหาทางบีบให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์ทำอย่างนั้น
พอนึกถึงตรงนี้ ความคิดแบบในปีนั้นที่ก่วงลิ่งกงอยากจะให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์ไปเป็นฮูหยินเอกของหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้โกวเยว่ไม่หวังแล้ว ถ้าตอนนี้ไปแข่งกับอวิ๋นจือชิวก็เท่ากับรนหาที่ตายโดยแท้ แค่อวิ๋นจือชิวดีดนิ้วครั้งเดียวก็ทำให้ทั้งตระกูลก่วงกลายเป็นเถ้าถ่ายได้แล้ว ตอนนี้หวังแค่ให้หนิวโหย่วเต๋อไปนอนกับก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็พอ
ความคิดแบบนี้แม้จะหยาบคายเกินทน และฟังดูน่าสงสารมาก แต่ต่อให้เป็นเม่ยเหนียงเอง ก็เฝ้ารอความเคลื่อนไหวในวังตาปริบๆ รอให้หนิวโหย่วเต๋อมาค้างกับลูกสาวตัวเอง ต่อให้มาค้างรอบเดียวก็ยังดี ขอเพียงมีข่าวนี้ส่งมา ก็จะช่วยให้พวกที่เตรียมจะเล่นงานนางในตระกูลก่วงหยุดทันที
ตอนนี้เม่ยเหนียงเริ่มตระหนักได้แล้ว คงหวังไม่ได้อีกแล้วว่าก่วงลิ่งกงจะฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าก่วงลิ่งกงกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนมังกรอีกครั้ง เกรงว่าคงทำให้หนิวโหย่วเต๋อระแวดระวังทันที แบบนั้นไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตระกูลก่วง เพื่อทั้งตระกูลก่วง เกรงว่าก่วงลิ่งกงคงจะทิ้งนาง คงจะนิ่งดูดายปล่อยให้นางโดนโค่นตำแหน่ง และมีความเป็นไปได้สูงว่าคนในตระกูลก่วงที่เตรียมจะเล่นงานนางจะคำนึงถึงจุดนี้แล้ว…
ในสวนกลางเขียวขจี เทพธิดากลุ่มหนึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการทำงาน นำดอกไม้แปลกหน้าขุดใส่กระถาง รวบรวมเมล็ดพันธุ์ของพืชชนิดต่างๆ
สนมนักโทษร้อบกว่าคนที่ไม่ได้ออกจากสวนกลางเขียวขจี ตอนนี้ก็ถอดชุดชาววังที่งดงามหรูหราแล้วเช่นกัน เปลี่ยนเป็นเครื่องแต่งกายของเทพธิดาแบบธรรมดา กำลังติดตามทำงานอยู่กับทุกคน
แม่เฒ่าลวี่ยืนค้ำไม้เท้าอยู่ระหว่างนั้น คอยสั่งและกำชับ
เฟยหงเดินออกมาจากจุดไกลๆ ติดตามอยู่ข้างกายแม่เฒ่าลวี่ นางมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนี้เชียวหรือคะ?”
แม่เฒ่าลวี่ถอนหายใจ “ให้เวลาพวกเจ้าแค่สองวัน จะย้ายทั้งสวนกลางเขียวขจีไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ไม่ได้ พืชพรรณที่สวนกลางเขียวขจีมีเยอะมาก แค่เก็บรวบรวมแต่ละชนิดก็มีไม่น้อยแล้ว”
นางได้รับบัญชาจากวังสวรรค์แล้ว ว่าต้องย้ายทุกตำแหน่งของสวนกลางเขียวขจีไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์
“จะให้ข้าเชิญกำลังพลกลุ่มหนึ่งมาช่วยหรือไม่?” เฟยหงถาม
แม่เฒ่าลวี่โบกมือ “ไม่ต้องแล้ว พืชบางชนิดก็บอบบางมาก ถ้าคนที่ไม่เข้าใจเข้ามายุ่งก็กลับจะวุ่นวายด้วยซ้ำ พวกเราเร่งมือกันเองก็สามารถทำได้ดี ใช่แล้ว จะให้สวนกลางเขียวขจีย้ายไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หมายความว่าอย่างไร อย่าบอกนะว่าศูนย์กลางตำหนักสวรรค์จะย้ายไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์?”
“เหมือนจะเป็นอย่างนี้ค่ะ” เฟยหงพยักหน้า
ในตำหนักสวรรค์ เยี่ยนเป่ยหงหันตัวไปเงียบๆ เดินก้าวยาวไปนอกตำหนัก หงซิ่ว หงฝูย่อตัวคำนับเหมียวอี้ แล้วหันตัวเดินตามไป
เหมียวอี้ที่มองตามพลันตะโกนเรียก “พี่ใหญ่เยี่ยน!”
เยี่ยนเป่ยหงไม่ได้ขานรับ ไม่ได้หันกลับมา นำหงซิ่วกับหงฝูหายไปจากสายตาเหมียวอี้
ที่จริงตอนที่ทำศึกใหญ่กับชิงและพุทธะ เยี่ยนเป่ยหงก็อยู่ข้างกายเหมียวอี้ สำหรับเหมียวอี้แล้ว เยี่ยนเป่ยหงอยากจะรนหาที่ตายโดยแท้ เพราะเยี่ยนเป่ยหงกระหายอยากจะสู้กับชิงและพุทธะ ต่อให้เป็นพระปีศาจหนานโปก็ได้ ให้เหมียวอี้หาโอกาสให้เขา
แม้เหมียวอี้จะตอบรับเขาแล้ว แต่กลับเตรียมป้องกันเหตุไม่คาดคิดเท่านั้น ถ้าไม่หมดทางเลือกจริงๆ เขาก็จะไม่คิดจะให้เยี่ยนเป่ยหงไปเสี่ยงอันตราย
ผลปรากฏว่าชิงและพุทธะตายแล้ว แม้แต่พระปีศาจหนานโปก็ตายแล้วเช่นกัน เหมียวอี้ไม่ได้ทำให้เยี่ยนเป่ยหงสมปรารถนา
เมื่อครู่นี้ เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ในปัจจุบันให้เขาฟัง บอกว่าตัวเองช่วงชิงใต้หล้ามาได้แล้ว แอบบอกใบ้ว่าไม่อยากให้เยี่ยนเป่ยหงก่อความวุ่นวายในใต้หล้านี้ต่อไป หวังว่าเยี่ยนเป่ยหงจะมาช่วยเขาอีกแรง
เยี่ยนเป่ยหงปฏิเสธที่จะเป็นลูกน้องของเขา ขณะเดียวกันก็บอกว่าจะไม่ทำให้เขาลำบากใจ จะไม่ก่อความวุ่นวายในใต้หล้าของเหมียวอี้ แต่ก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อย่างสงบเสงี่ยมเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าต้องการจะไปอาณาเขตดาวนิรนามหรือไม่ก็ค้นหาพิภพใหม่
เหมียวอี้โน้มน้าวไม่ได้ผล เยี่ยนเป่ยหงตัดสินใจจากไปอย่างไม่ลังเล…
ภายใต้ม่านราตรี หยางชิ่งเหาะลงมาจากฟ้า เหยียบลงตรงหน้าประตูเรือนพักที่งดงามราบเรียบหลังหนึ่งของอุทยานหลวง ทหารอารักขาที่ติดตามหยุดรออยู่ข้างนอก หยางชิ่งเดินก้าวยาวเข้าไป
ในสวน ชิงเหมยเข้ามาต้อนรับ แล้วเดินเข้าห้องหนังสือด้วยกัน
หยางชิ่งนั่งลงหลังโต๊ะหนังสือ ชิงเหมยนำน้ำชาถ้วยหนึ่งมาวาง แล้วถามว่า “นายท่านงานยุ่งจนกลับมาดึกขนาดนี้ หรือว่าเรื่องศึกภายนอกเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรคะ?”
หยางชิ่งยกถ้วยน้ำชาจิบคำหนึ่งแล้ววางลง “เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ไม่ได้แล้ว การต่อสู้เล็กๆ พลิกฟ้าไม่ได้ ความสนใจของฝ่าบาทย้ายไปอยู่กับการสร้างแนวทางของใต้หล้าแล้ว จะจัดวางคนยังไง จะแบ่งตำแหน่งยังไง ทำแบบไหนถึงจะปกครองให้สงบสุขได้นาน ตอนนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดที่เขากำลังพิจารณา ต้องปรึกษากันมากๆ หน่อย ก็เลยคุยจนดึกโดยไม่รู้ตัว”
ชิงเหมยเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “นายท่านเข้าไปยุ่งด้วยลึกเกินไปหรือเปล่า?”
“ฝ่าบาทเรียกหาแล้ว ไม่สะดวกจะปฏิเสธ” หยางชิ่งส่ายหน้า
ชิงเหมยลังเลนิดหน่อย ก่อนจะนำกระดาษม้วนหนึ่งออกจากแหวนเก็บสมบัติ กางออกตรงหน้าหยางชิ่งช้าๆ กดสองด้านเอาไว้ บนกระดาษมีตัวหนังสือตัวใหญ่เขียนว่า : ทำสำเร็จแล้วถอนตัว!
ขณะจ้องตัวอักษรสี่ตัวนี้ หยางชิ่งตกอยู่ในสภาพห่อเหี่ยวทันที เหม่อลอยแล้ว
ชิงเหมยกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “นี่คือสิ่งที่นายท่านเขียนด้วยตัวเอง ตอนแรกบอกให้บ่าวเก็บรักษาไว้ให้ดี บอกบ่าวว่าอย่าลืมเตือน สิ่งที่นายท่านบอกไว้ตอนแรก บ่าวจดจำได้เหมือนเกิดขึ้นใหม่ ไม่ทราบว่านายท่านยังจำได้หรือเปล่าคะ?”
หยางชิ่งพยักหน้าเงียบๆ เอามือลูบรอยบนกระดาษ กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน กระต่ายม้วยย่างสุนัข! ข้ากังวลมาตลอด มีหรือจะข้าจะจำไม่ได้ วันนี้เผยเค้าลางแรกแล้ว ฝ่าบาทกำลังเริ่มเก็บยึดธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จากมือทัพใหญ่แต่ละทัพแล้ว ใต้หล้าไม่มีอำนาจใดมาตีเสมอกับฝ่าบาทแล้ว ฝ่าบาทเผยความปรารถนาที่จะยึดกุมฟ้าดินทั้งหมดแล้ว ครั้งนี้เกรงว่าจะไม่ได้มีแค่ข้า ต่อไปถ้ามีคนไม่ยอมปล่อยอำนาจทางทหารในมือ เกรงว่าจุดจบคงจะอนาถมาก ไม่แน่ว่าอาจจะมีการเชือดไก่ให้ลิงดูก็ได้!”
เมื่อเห็นเขามีแผนอยู่ในใจแล้ว ชิงเหมยก็สงบใจแล้วเช่นกัน ถามอีกว่า “ได้ยินว่าฝ่าบาทต้องการจะสร้างวังสวรรค์ใหม่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หรือคะ?”
หยางชิ่งตอบว่า “ฝ่าบาทเปลี่ยนความคิดแล้ว เตรียมจะย้ายทั้งสวรรค์ไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ กำหนดที่ตั้งไว้ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว อีกไม่กี่วันก็จะเริ่มย้าย”
“ย้ายทั้งวังสวรรค์ไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์? ของใหญ่โตอลังการขนาดนี้ ไม่มีทางเก็บเข้าแหวนหรือกำไลเก็บสมบัติได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตอนข้ามประตูดวงดาวจะเปลืองกำลังคนขนาดไหน ได้ยินว่าอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์เหาะไม่ได้ วังสวรรค์ที่ใหญ่โตขนาดนี้ ถ้าลากอยู่บนพื้นแดนมรณะดึกดำบรรพ์จะต้องใช้ก่อสร้างมากขนาดไหนเชียว?” ชิงเหมยตกใจไม่เบา
หยางชิ่งบอกว่า “ฝ่าบาทตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่ฝ่าบาทจะแสดงอำนาจบารมีในการสั่งการต่อใต้หล้า จะทำงานใหญ่สักสองสามเรื่องเพื่อแสดงให้เห็นก็ไม่แปลก ลองโน้มน้าวแล้วไม่ได้ผล ก็เลยไม่มีใครห้ามแล้ว กำลังพลกลุ่มใหญ่กำลังเตรียมตัว” พูดจบก็โบกมือถามว่า “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว พวกเวยเวยออกเดินทางแล้วหรือยัง?”
“ค่ะ ตอนนี้อยู่ระหว่างทางแล้ว” ชิงเหมยเอ่ยรับ แล้วถามอย่างลังเลอีกว่า “เรื่องของซูอวิ้น ต่อไปจะอธิบายกับฮูหยินยังไงคะ? แล้วจะอธิบายกับซูอวิ้นเรื่องฮูหยินยังไง?”
หยางชิ่งหลับตาลงช้าๆ “ถ้าอยากจะคิดเล็กคิดน้อยก็คิดไป ตามใจพวกนางเถอะ”
ชิงเหมยพูดไม่ออกมาก…
วังสวรรค์ เหยียนซิวเหยียบเข้ามาอย่างเป็นทางการครั้งแรก
สำหรับสมาชิกคนสำคัญของตระกูลเซี่ยโห้ว เหมียวอี้รู้ข้อมูลโดยละเอียดตั้งนานแล้ว เหยียนซิวนำคนไปกำจัดทิ้ง มีเป้าหมายชัดเจนจึงไม่เปลืองแรงสักเท่าไร ส่วนรายละเอียดด้านอื่นๆ ก็ไม่จำเป็นต้องให้เหยียนซิวไปจัดการเองแล้ว หลังจากเขารับช่วงต่องานแล้ว เหยียนซิวก็กลับไปรับพวกฉินเวยเวยที่พิภพเล็กทันที
ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่เดินตามหลังเหยียนซิวก็เพิ่งมาเหยียบวังสวรรค์เป็นครั้งแรกเช่นกัน ฉินเวยเวยและพวกจีเหม่ยลี่พากันมองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตลอดทาง
คนกลุ่มนี้เข้าไปที่วังสวรรค์ก่อน หลังจากคำนับอวิ๋นจือชิวแล้ว เหยียนซิวก็ให้พวกฉินเวยเวยอยู่ก่อน ไม่เข้าไปร่วมวงกับกลุ่มผู้หญิง เดินเข้าไปในตำหนักสวรรค์เพียงลำพัง
ในตำหนักสวรรค์ เมื่อไม่มีบุคคลที่สาม หลังจากเหยียนซิวคำนับแล้ว เหมียวอี้ก็ถามอย่างร้อนใจทันที “ยังไม่เจอเยว่เหยาอีกเหรอ?”
เหยียนซิวส่ายหน้า “ไร้ร่องรอย ไม่ทราบว่าไปไหนแล้วขอรับ”
เหมียวอี้นั่งลงอย่างหมดแรง สีหน้าเศร้าสลด เยว่เหยาไปแล้ว ก่อนไปนางติดต่อมาหาเขา บอกว่าต้องการจะไปตระหนักและชื่นชมดาราจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ยังไม่รู้จัก จนกระทั้งตอนที่เขาติดต่อให้คนอื่นไปห้ามไว้ ตัวเยว่เหยาก็หายไปแล้ว ตอนหลังจึงตรวจสอบอย่างเข้มงวด หนึ่งในสาวใช้ที่แดนโพ้นสวรรค์บอกว่า เคยมีพระรูปหนึ่งปรากฏตัวกะทันหันและหายไปกะทันหันมาพบกับเยว่เหยา จากนั้นเยว่เหยาก็ไปแล้ว เมื่อถามเวลาโดยละเอียดและหน้าตาของพระรูปนั้น เหมียวอี้ก็แน่ใจได้ว่าพระรูปนั้นคือศีลแปด
เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ศีลแปดมีสถานการณ์อย่างไรกันแน่ ไม่รู้ว่าศีลแปดกับเยว่เหยาพบกันแล้วคุยอะไรกัน
สรุปก็คือ ติดต่อศีลแปดไม่ได้แล้ว ติดต่อเยว่เหยาไม่ได้แล้ว เจ้ารองจากเขาไปแล้ว เจ้าสามก็จากเขาไปแล้วเช่นกัน
และในครั้งนี้เทพธิดาหงเฉินก็ไม่ได้ตามเหยียนซิวมาด้วย นางไม่ยอมมา ยินดีที่จะอยู่พิภพเล็กเท่านั้น
…………………………
จวนตระกูลก่วง มีกำลังทหารเฝ้าอยู่มากมาย
หลงซิ่นที่เหาะลงมาจากฟ้าสวมผ้าคลุมสีแดงผืนใหญ่ เดินตรงเข้ามาอย่างองาจราวกับพยัคฆ์ ข้างหลังมีกำลังพลกลุ่มหนึ่งติดตาม
ตรงตีนบันไดของตำหนักประชุมจวนท่านอ่อง ชายหญิงนับพันยืนตัวสั่นหวาดกลัว หลงซิ่นเดินก้าวยาวผ่ากลางกลุ่มคนไป เดินไปตรงหน้าแล้วก็หยุด
คนที่ยืนอยู่ลำพังตรงหน้าสุดไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นน้องเขยของก่วงลิ่งกง เกาจื่อหู น้องชายของเกาจื่อเซวียน
ในตอนนี้เกาจื่อหูมีสีหน้าเศร้าสลด กำลังก้มหน้า มองรองเท้ายาวโลหะสีทองที่มาหยุดอยู่ตรงหน้า
หลงซิ่นหันตัวมาช้าๆ ยื่นมือไปบีบเคราของเกาจื่อหู แทบจะดึงเคราของเกาจื่อหูร่วง ดึงใบหน้าที่ก้มอยู่ของเกาจื่อหูให้เงยขึ้นมาแล้ว จากนั้นเผยรอยยิ้มดุร้าย “นายท่านเกา บังเอิญอะไรเช่นนี้ พวกเราพบกันอีกแล้ว ในปีนั้นเจ้าคงนึกไม่ถึงว่าจะมีวันนี้สินะ? ที่จริงในปีนั้นข้าก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน”
เกาจื่อหูกล่าวเสียงสั่นด้วยความกลัว “ท่านขุนพลใหญ่ เมื่อก่อนผู้น้อยมีตาแต่ไร้แวว เห็นแก่หน้าท่านอ๋องก่วง ท่านช่วยปล่อยข้าไปเหมือนปล่อยผายลมเถอะ”
“เจ้ามีก้นที่เหม็นขนาดนี้เชียวหรือ?” หลงซิ่นแสยะยิ้ม
เกาจื่อหูย่อตัวลงช้าๆ หลงซิ่นคลายนิ้วมือออก ปล่อยให้เขาคุกเข่ากับพื้น แล้วก้มมองจากที่สูง มองด้วยแววตาเยียบเย็น
“ล้วนเป็นความผิดของข้า ขุนพลใหญ่โปรดไว้ชีวิต เป็นความผิดของข้าทั้งนั้น ขุนพลใหญ่โปรดไว้ชีวิต…” เกาจื่อหูคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นไม่หยุด กล่าววิงวอนขอชีวิตไม่หยุด เสียงศีรษะโขกพื้นดังปั้กๆ เรียกได้ว่าแสดงความสำนึกอย่างจริงใจ
หลงซิ่นมองอย่างไม่สะทกสะท้านอยู่อย่างนั้น บนพื้นเริ่มมีรอยเลือดปรากฏ
กลุ่มชายหญิงที่ถูกคุมตัวอยู่ข้างหลังทนมองไม่ได้ ในใจเต็มไปด้วยเศร้าอ้างว้าง ไม่เคยคิดเลยว่านายท่านที่เคยใช้ชีวิตอย่างมีหน้ามีตาจะมีวันนี้ เมื่อก่อนมีแต่คนอื่นที่คุกเข่าต่อหน้านายท่าน ส่วนพวกเขาก็คอยหัวเราะเยาะอยู่ข้างๆ ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะหัวเราะแม้แต่น้อย ผู้หญิงหกลุ่มนี้เอามือปิดปากร้องไห้แล้ว
หลงซิ่นพลันยื่นฝ่าเท้าข้างหนึ่งออกมา รองตรงจุดที่หน้าของเกาจื่อหูกระแทก เกาจื่อหูจำเป็นต้องหยุดแล้ว หลงซิ่นกลับใช้ปลายเท้าเสยคางเกาจื่อหูขึ้นมา ช้อนหน้าเกาจื่อหูขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็ใช้เท้าข้างนั้นเหยียบบนบ่าเกาจื่อหู พร้อมถามเสียงเย็น “บอกมา เรื่องของภรรยาข้า บอกมาให้ละเอียด?”
เกาจื่อหูตัวสั่นเล็กน้อย มองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ไม่มีท่าทีว่าจะเอ่ยปากบอก เหมือนไม่กล้าพูด
หลงซิ่นก้มหน้ามอง “พูดออกมา แล้วข้าจะให้เจ้าไปสบาย ถ้าไม่พูด ข้าจะทำให้เจ้าทรมานจนอยู่มิสู้ตาย!”
เกาจื่อหูตัวสั่น แต่กลับไม่กล้าเอ่ยปาก
หลงซิ่นเตะเขากลิ้งกับพื้น แล้วชี้หน้าตะคอก “ลากออกไปสับเนื้อกรีดหนังให้ข้า นำตัวตระกูลเกาทั้งหมดไปแล่เนื้อเถือหนัง!”
กำลังพลที่ล้อมอยู่พุ่งเข้ามาทันที ดุร้ายราวกับเสือและหมาป่า กำลังจะลงมือ คนในตระกูลเกาไม่น้อยเสียขวัญจนร้องไห้
“หยุดนะ!” เสียงตวาดของผู้หยิงพลันดังขึ้น
เกาจื่อหูที่ล้มอยู่บนพื้นได้ยืนแล้วตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
หลงซิ่นเอียงหน้ามองไป เห็นเพียงสตรีวัยกลางคนผู้งดงามที่กำลังก้มหน้ากำลังเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ สายตาที่สุดจะทนนั้นไม่ต้องเอ่ยถึง ใบหน้างามเลิศล้ำอย่างแท้จริง ท่วงท่าที่อ่อนช้อยเย้ายวนนั้น ต่อให้เทียบกับหวังเฟยเม่ยเหนียงก็ไม่มีจุดไหนที่ด้อยกว่า
คนคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นภรรยาของหลงซิ่นที่ถูกฉุดไปในปีนั้นนั่นเอง ชื่อว่าสวีเจินเจิน
ชั่วพริบตาที่สตรีวัยกลางคนผู้เลอโฉมเงยหน้ามองหลงซิ่น เงาร่างของหลงซิ่นก็สั่นเทิ้ม ตกตะลึงอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่อยู่ข้างๆ หลงซิ่นสังเกตเห็นแล้ว จึงยกมือขึ้นเล็กน้อย ให้กำลังพลหยุดปฏิบัติชั่วคราว
“เจ้า…เจ้ายังไม่ตายอีกเหรอ?” หลงซิ่นเดินเข้าไปถามผู้หญิงคนนั้นด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย
สวีเจินเจินฝืนยิ้มอย่างน่าเวทนา ส่ายหน้าบอกว่า “ข้ารู้ตัวว่าทำผิดต่อเจ้า เจ้าจะฆ่าจะแกงข้าก็ยอมรับได้ทั้งนั้น แต่ปล่อยลูกชายกับลูกสาวของข้าไปเถอะ”
ในปีนั้นหลังจากหลงซิ่นสังหารเกาเหยียนแล้ว เกาจื่อหูก็เรียกได้ว่าหว่านเมล็ดพันธุ์ใหม่ ทำให้อนุภรรยาไม่น้อยตั้งครรภ์ นางก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ตอนนี้ลูกชายและลูกสาวของนางเติบโตแล้ว
“ลูกชายกับลูกสาว?” หลงซิ่นค่อยๆ ดึงสติกลับมา ชี้ไปที่เกาจื่อหู “ของเขาเหรอ?”
สวีเจินเจินไม่พูดอะไร พยักหน้ายอมรับแล้ว “บุญคุณความแค้นของคนรุ่นก่อนไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา ข้าขอร้องให้เจ้าใจกว้างปล่อยไป” พูดจบก็คุกเข่าทันที
หลงซิ่นรู้สึกเหมือนจะประสาทเสีย โบกมือสะบัดผ้าคลุมบ่า ยั่งย่อเข่าลงตรงหน้านาง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงถี่กระชั้น พยายามควบคุมเสียงที่บ้าระห่ำเอาไว้ “เรื่องเป็นยังไง? เรื่องเป็นยังไงกันแน่? เจ้าโดนโจวอ้าวหลินจับตัวไปไม่ใช่เหรอ? ทำไมมาอยู่กับเขาได้?”
สวีเจินเจินฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวด “ตอนแรกข้าถูกโจวอ้าวหลินจับตัวไปจริงๆ ตอนหลังเจ้าทำให้เรื่องราวใหญ่โตแล้ว โจวอ้าวหลินต้องการจะสังหารข้าเพื่อทำลายหลักฐาน เขาอ้างว่าจะลงโทษข้าแทนให้ แต่ความจริงกลับไม่ได้สังหารข้า เก็บข้าไว้เป็นภรรยาลับแทน ปิดบังชื่อแซ่จนกระทั่งตอนนี้”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เกาจื่อหูก็หลับตาลง รู้ว่าจบโดยสิ้นเชิงแล้ว เรื่องราวเป็นอย่างที่สวีเจินเจินบอกจริงๆ ในปีนั้นหลงซิ่นทำให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตเกินไป ไม่ว่าใครก็ปิดบังไม่อยู่ โจวอ้าวหลินเองก็ตกใจแทบแย่ นึกไม่ถึงว่าหลงซิ่นจะอ่านสถานการณ์ไม่ออกขนาดนี้ จะเอาเป็นเอาตายกับเขาให้ได้โดยไม่สนใจอนาคต ส่วนเกาจื่อหูก็อ้างว่าจะช่วยฆ่าปิดปากให้ แต่ความจริงจ้องอยากได้สวีเจินเจิน แอบฝังสาวงามไว้ในห้องทองคำ เก็บเอาไว้เสพสุขเองคนเดียว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลก่วงต้องการจะแก้ไขเรื่องบุญคุณความแค้นกับหลงซิ่น จู่ๆ ก็เรียกพวกเขาออกมาทั้งตระกูล จับตัวมาทั้งตระกูลโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว แม้แต่โอกาสพูดก็ไม่มี เขาเองก็เพิ่งรู้ว่าตระกูลก่วงส่งเขาให้หลงซิ่นแล้ว
หลงซิ่นยื่นสองมือออกมาตรงหน้าสวีเจินเจิน “เพราะอะไร? ทำไมไม่คิดหาทางติดต่อข้า? ข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อเจ้า เจ้าก็น่าจะรู้ ถ้าข้ารู้ที่อยู่ของเจ้า ข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อช่วยเจ้าออกมาแน่นอน ทำไมถึงยอมให้เรื่องดำเนินไปในทางที่เลวร้าย?” เขามองประเมินการแจ่งกายของนางศีรษะจดเท้า จินตนาการได้เลยว่ายามปกติได้ใช้ชีวิตหรูหราอยู่ดีกินดี ได้เสวยสุขไม่ขาด
สวีเจินเจินกลับกล่าวอย่างใจเย็น “ยอมให้เรื่องดำเนินไปในทางที่เลวร้ายเหรอ? ก็อาจจะใช่! แต่ข้าจะทำยังไงได้ล่ะ? ข้าตกอยู่ในมือโจวอ้าวหลินแล้วขัดขืนได้เหรอ? ข้าตกอยู่ในมือเกาจื่อหูก็มีแต่ต้องยอมเขา ถามหน่อยเถอะ ขนาดเจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาเลย มีจุดจบที่อนาถอย่างนั้น แล้วผู้หญิงที่ไร้อำนาจอิทธิพลอย่างข้าจะทำอะไรได้? ต่อให้ในปีนั้นข้าไปหาเจ้า แต่สถานการณ์ของเจ้าตอนนั้นยังเอาตัวเองไม่รอดด้วยซ้ำ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าให้อะไรข้าได้หรือเปล่า เจ้าไม่มีทางปกป้องข้าได้ด้วย ถ้าเปิดโปงเรื่องนี้จริงๆ พวกเราจะตายกันหมด”
หลงซิ่นดึงเสื้อผ้าหรูหรางดงามบนตัวนาง แล้วก็ดึงปิ่นปักผมที่มีมูลค่าไม่น้อยออกอีก โบกปิ่นถืออยู่ในมือพร้อมถามด้วยน้ำเสียงดุร้าย “อยู่ด้วยกันมาหลายปี มีหรือที่ข้าจะไม่รู้นิสัยของเจ้าเลย เกียรติยศจอมปลอม ชอบความสวยงามจนเคยชิน เจ้าไม่ต้องพูดจาพูดจาให้ฟังดูดีขนาดนั้น ข้าว่าเจ้าโลภอย่างได้เกียรติยศความร่ำรวยมากกว่า ยอมใช้ชีวิตเอาตัวรอดไปวันๆ เพราะเงิน แม้แต่ยางอายก็ไม่มีแล้ว!”
สวีเจินเจินตอบอย่างใจเย็น “ในปีนั้นข้าถูกคนส่งมาไว้ในมือเจ้า แล้วก็ถูกโจวอ้าวหลินชิงตัวไป สุดท้ายก็ตกอยู่ในมือเกาจื่อหู เปลี่ยนเจ้าของคนแล้วคนเล่า อาศัยความงามสร้างความบันเทิงให้คนอื่นมาทั้งชีวิต เจ้าจะให้ข้าทำยังไงล่ะ? เป็นผู้หญิงที่ไปปลิดชีพตัวเองเพราะเสียพรหมจรรย์หรือไง?”
หลงซิ่นเอามือตบอก แล้วกล่าวอย่างคับแค้น “แต่เจ้ากับข้าไม่เหมือนกัน ข้าดีต่อเจ้าจากใจจริง เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยาที่ผูกปมผมกันนะ!”
“แม้แต่ภรรยาที่ผูกปมผมกับตัวเองยังรักษาไว้ไม่ได้ แล้วเจ้าไม่ได้ใช้ชีวิตเสเพลไปวันๆ เหมือนกันหรอกเหรอ?” สวีเจินเจินถามกลับ
“ที่ข้าทำตัวเสเพลไปวันๆก็เพื่อล้างแค้นให้เจ้าไง!” หลงซิ่นกล่าวอย่างเศร้าโศก
สวีเจินเจินอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เหมือนยังอยากอธิบายอะไรสักอย่าง แต่ก็ยังเงียบไว้ กลัวว่าจะยั่วโมโหเขา เปลี่ยนเป็นบอกว่า “ทุกอย่างล้วนเป็นความคิดของข้า แค่ขอร้องให้เจ้าใจกว้างปล่อยลูกชายกับลูกสาวของข้าไป…”
“นางตัวแสบทรยศข้า!” หลงซิ่นคำรามอย่างคับแค้น จู่ๆ ก็ลงมือบีบคอสวีเจินเจินเสียงดังแกร๊ก ภายใต้อารมณ์โกรธที่ควบคุมไม่ได้ เขาบีบคอขาวละเอียดอ่อนของสวีเจินเจินจนขาด
คนนอกไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ ตอนแรกเขายอมทิ้งทุกอย่างเพื่อผู้หญิงคนนี้ ทำลายอนาคตตัวเอง แม้แต่ชีวิตก็แทบจะเอาไม่รอด
สวีเจินเจินที่คอเอียงตกเบิกตาโพลงที่เต็มไปด้วยเลือดมองเขา ที่มุมปากมีเลือดไหลออกมา
“ท่านแม่!” มีเสียงกรีดร้องดังมาจากคนกลุ่มนี้ ชายหนึ่งหญิงหนึ่งพุ่งเข้ามา แต่ถูกคนกดเอาไว้ที่พื้น
หลงซิ่นผลักสวีเจินเจินออกไป แล้วหันตัวกลับมา รองเท้าโลหะเหยียบบนตัวเกาจื่อหู เหยียบจนเกาจื่อหูเลือดออกปากและจมูก หลงซิ่นเรากับสัตว์ร้ายที่ถูกยั่วโมโห โบกมือชี้ทุกคนของตระกูลเกา แล้วคำรามอย่างโมโห “ควบคุมตัวไว้ให้ข้า ผู้ชายให้เป็นทาสชั่วลูกชั่วหลาน ผู้หญิงให้เป็นนางคณิกาชั่วลูกชั่วหลาน!”
ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่อยู่ข้างๆ กันกลับใช้สายตาหยุดการเคลื่อนไหวของลูกน้อง แล้วยื่นมือไปดึงแขนหลงซิ่น ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ขุนพลใหญ่โปรดระงับโทสะ ไดเโปรดใจเย็น ถ้าท่านต้องการระบายความโกรธนี้ก็แค่สังหารพวกเขา ด้วยฐานะของท่าน ไม่ควรทำเรื่องโหดร้ายใจดำอย่างโจ่งแจ้ง ตอนนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ฝ่าบาทกำลังประเมินทุกคนอยู่ มีขุนนางใหญ่มากมายทำงานอย่างระมัดระวัง อย่าให้คนอื่นกุมจุดอ่อนท่านได้ ไม่คุ้มที่ขุนพลใหญ่จะทำลายอนาคตตัวเองเพื่อคนกลุ่มนี้”
“ไสหัวไป!” หลงซิ่นสะบัดแขน
ผลปรากฏว่ากลุ่มผู้บัญชาการกรูกันเข้ามา ทยอยโน้มน้าวว่า “ขุนพลใหญ่โปรดระงับโทสะ…”
เมื่อไม่มีใครฟังคำสั่ง ภายใต้ความจนใจ สุดท้ายหลงซิ่นก็คำรามอย่างโมโห “เอาไปแล่เนื้อเถือหนังให้ข้าให้หมด!”
ในตำหนักสวรรค์ เหมียวอี้ที่นั่งข้างหลังโต๊ะยาววางแผ่นหยกในมือช้าๆ หลับตาเงียบงันอยู่นาน เนื้อหาในแผ่นหยกบรรยายการกระทำและคำพูดของหลงซิ่นที่จวนตระกูลก่วงเอาไว้อย่างละเอียด หลังจากเงียบไปนาน ก็หลับตาถามช้าๆ ว่า “ชิงเยว่กับหลงซิ่นต่างกันตรงไหน?”
หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ มองสีหน้าของเขา แล้วกล่าวเหมือนไม่แน่ใจว่า “ทั้งสองทำตามอำเภอใจได้ง่ายเหมือนกัน เป็นคนทำอะไรตามอารมณ์เหมือนกัน แต่ที่ต่างก็คือ ชิงเยว่ไม่คิดถึงเรื่องส่วนตัว”
“พูดถึงจุดนี้ หลงซิ่นไม่ได้ทำเรื่องนี้เป็นครั้งแรกแล้ว!” เหมียวอี้ลืมตาช้าๆ สายตาดูสุขุมมั่นคง กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ่มเย็นว่า “ถ้าเป็นตำแหน่งอื่นข้ายังปิดตาข้างเดียวได้ แต่คนที่คุมทัพอารักขาให้ข้า จะปล่อยให้คิดถึงแต่เรื่องส่วนตัวซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ยังไง ไม่เหมาะจะอยู่ตำแหน่งผู้ตรวจการขวาทัพอารักขา ให้เหยียนซู่รับช่วงต่อเถอะ!”
“ขอรับ!” หยางเจาชิเอ่ยรับ
“ทางเผ่าอสรพิษดำเป็นยังไงบ้าง?” เหมียวอี้หันกลับมาถาม
“ถ่ายทอดบัญชาของฝ่าบาทไปแล้ว ทั้งหมดย้ายออกจากสระน้ำมังกรดำ อีกไม่กี่วันก็น่าจะถึงแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว” หยางเจาชิงถามกลับ
เหมียวอี้พยักหน้า เขาต้องการย้ายวังสวรรค์ไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ต้องรับเผ่าอสรพิษดำเข้ามาไว้ใต้หนังตาเช่นกัน ป้องกันไม่ให้คนอื่นสอดมือเข้าไปแทรก ถือว่าบีบให้เผ่าอสรพิษดำออกจากที่อยู่เดิมแล้ว
อุทยานหลวง เรือนพักของก่วงลิ่งกง อดีตอ๋องสวรรค์คุมทัพตะวันตก นับว่าเป็นเรือนพักของตระกูลก่วงเอง ทุกคนของตระกูลก่วงถูกกักบริเวณไว้ที่นี่ชั่วคราว
เรือนเล็กหลังหนึ่ง ประตูหน้าต่างปิดสนิท โกวเยว่ผลักประตูเข้ามา ในห้องมีแสงสว่างไม่มาก ก่วงลิ่งกงราวกับคนตาย นอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่กระดิกกระเดี้ย มีเพียงหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ
พอเดินมาตรงหน้า โกวเยว่ก็รายงานด้วยเสียงต่ำว่า “หลงซิ่นสั่งประหารทั้งตระกูลเกาด้วยวิธีการแล่เนื้อเถือหนังแล้ว ถ้าไม่เหนือความคาดหมาย เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อคงจะไม่ให้หลงซิ่นกุมอำนาจทางทหารแล้ว ภัยแฝงเร้นของตระกูลก่วงก็น่าจะนับว่ากำจัดทิ้งแล้ว”
ก่วงลิ่งกงนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ยังคงไม่ขยับไปไหน
โกวเยว่โค้งตัวเล็กน้อย แล้วหันตัวเดินออกไป แม้ก่วงลิ่งกงจะไม่แสดงความเห็นกับเรื่องใดๆ เลย แต่ทั้งก่อนและหลังอะไรเขาก็ล้วนมารายงานที่นี่
เช้าวันต่อมา ประตูตำหนักบรรทมเปิดออก เหมียวอี้เดินออกมาแล้ว ขณะที่เดินลงจากบันได หยางเจาชิงเดินเข้ามา แล้วรายงานว่า “อวิ๋นรั่วซวงกับบุตรสาวมาแล้ว เหนียงเหนียงหวังว่าฝ่าบาทจะไปพบพวกนางด้วยกันขอรับ”
เหมียวอี้พยักหน้า หันกลับไปมองในห้องแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมาสั่งอีกครั้ง “ถ่ายทอดบัญชา แต่งตั้งซิงเป็นสนมสวรรค์ซิงหัว!” พูดจบก็เดินก้าวยาวจากไป
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ และหันกลับไปชำเลืองในห้องปราดหนึ่งเช่นนั้น จากนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินตามหลังเหมียวอี้ออกไป
ในตอนนี้ นางในหลายคนที่ยืนรออยู่ฝั่งซ้ายและขวานอกประตูถึงได้เข้าห้องมาเก็บกวาด ปรนนิบัตินายหญิงที่อยู่ในห้อง
จนกระทั่งเหมียวอี้เดินไปไกลแล้ว มู่หรงซิงหัวที่แทบจะยืนเวรยามเฝ้าอยู่ตลอดคืนบนตึกใกล้ๆ ถึงได้เดินลงมา
นางรับหน้าที่ผู้บัญชาการองครักษ์หญิงของวังหลัง บนตัวสวมเกราะ เดินช้าๆ ไปที่ประตูตำหนักบรรทม ก้าวเข้าประตูไป แล้วเดินไปหยุดที่มุมหนึ่งในห้อง
ซิงสวมชุดสีขาวดุจหิมะทั้งตัว สองเท้างามใต้กระโปรงเปลือยเปล่า นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเงียบเชียบ จ้องตัวเองในกระจกด้วยใบหน้าเรียบเฉย
นางในสองคนกำลังหวีผมให้นาง หวีผมอาบน้ำแต่งกาย ส่วนนางในอีกสองคนก็กำลังจัดเก็บผ้าปูเตียงที่ยับยู่ยี่และมีร่องรอยเล็กน้อย
มู่หรงซิงหัวที่สวมเกราะรบทั้งตัวประคองกระบี่วิเศษตรงเอว เดินช้าๆ มาจ้างโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเรียกเบาๆ “พี่ซิง”
ซิงไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่มองตัวเองในกระจกเงียบๆ
มู่หรงซิงหัวเม้มริมฝีปาก มองซิงที่นั่งนิ่งไม่สะทกสะท้านด้วยสีหน้าหลากหลายอารมณ์…
วังสวรรค์ เหมียวอี้เข้ามาที่หน้าตำหนักแล้วกังวลเล็กน้อย รู้ว่าอวิ๋นจือชิวต้องรู้เรื่องเมื่อคืนชัดเจนแน่นอน อีกฝ่ายจะต้องชักสีหน้าใส่หน้าด้วยความเคยชิน ต่อให้ได้รับอนุญาตเงียบๆ จากอวิ๋นจือชิวแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่แน่ว่านางจะทำสีหน้าดีๆ ใส่เขา
ทว่าสถานการณ์เหนือความคาดหมาย พออวิ๋นจือชิวเห็นเขากลับตื่นเต้นเล็กน้อย หลังจากเข้ามาใกล้ก็กล่าวอย่างค่อนข้างกังวลว่า “ซวงเอ๋อร์กับลูกสาวรอเข้าเฝ้าอยู่หน้าตำหนัก”
เมื่อเห็นว่ามีเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจของนาง เหมียวอี้ก็โล่งใจบ้างแล้ว มองออกแล้วด้วยว่านางกลุ้มใจ รู้ว่านางไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้าอย่างไร จึงหันกลับมาบอกหยางเจาชิงว่า “ให้เข้ามา!”
หยางเจาชิงหันกลับไปส่งสัญญาณมือให้คนข้างนอก
เมื่อสองสามีภรรยาเดินไปเดินมาและนั่งลงในโถงหลักไม่นาน อวิ๋นรั่วซวงก็เข้ามาแล้ว ข้างหลังเป็นสตรีหน้าตาสวยสดใสที่ดูเขินอาย หน้าตาคล้ายอวิ๋นรั่วซวงอยู่หลายส่วน เป็นฉู่อวิ๋นอู๋ซวง บุตรสาวของนางนั่นเอง ฉู่อวิ๋นอู๋ซวงยังไม่เคยเจอเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมาก่อน ก่อนหน้านี้รู้เพียงว่าเป็นราชาปราชญ์ ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะรู้ว่าเป็นราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ที่มีปณิธานยิ่งใหญ่ต่อใต้หล้าแล้ว
ตอนนี้เรื่องราวเกี่ยวกับท่านลุงเขยกับท่านป้าที่ได้ยินมาไม่หยุดหย่อนล้วนเป็นการสรรเสริญชมเชยที่เกินจริง ล้วนเป็นคำชมว่าท่านลุงเขยมีปณิธานยิ่งใหญ่ต่อใต้หล้า มีอำนาจเผด็จการ ก่อนหน้านี้ตอนรู้ว่าจะได้เจอก็ยังไม่เป็นอะไร เพราะยังไม่เดินออกมาจากความเศร้าโศก รอจนกระทั่งตอนที่จะได้พบจริงๆ ถึงได้กังวล
อวิ๋นรั่วซวงยังดีหน่อย ยังคงยิ้มอย่างเป็นกันเอง ไม่กังวลหวาดกลัว ดวงตายังคงกลมโตและสดใส ลักยิ้มบนสองแก้มยังอยู่ เพียงแต่เมื่อเทียบกับอวิ๋นรั่วซวงในความทรงจำของเหมียวอี้แล้ว คนปัจจุบันมีลักษณะของผู้หญิงที่แต่งงานเพิ่มขึ้นหลายส่วน ดูมีเสน่ห์ที่แตกต่างออกไป
ทุกครั้งที่เห็นนาง ในหัวเหมียวอี้ปรากฏภาพหลัวซวงเฟยกับอวิ๋นรั่วซวงเทียบกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้เมื่อได้พบอีกครั้ง เหมียวอี้ก็ยังสะท้อนใจเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อผู้หญิงที่ไม่เอาไหนคนนี้จะมีลูกสาวโตขนาดนี้แล้ว
อวิ๋นรั่วซวงยืนอยู่ในโถง สายตากวาดมองทั้งสอง นางไม่ได้ทำความเคารพ แต่ยิ้มพร้อมถามว่า “ข้าควรเรียกว่าพี่เขยกับพี่สาว หรือเรียกว่าฝ่าบาทกับราชินีสวรรค์ดีล่ะ?”
เมื่อเห็นนางยังพูดไปยิ้มไปได้ อวิ๋นจือชิวที่เครียดจนใจตึงก็ผ่อนคลายแล้ว รีบลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือเชิญให้เข้ามา
บนใบหน้าเหมียวอี้ก็เผยรอยยิ้มเช่นกัน เขาลุกขึ้นยืน ที่จริงด้วยฐานะของเขาตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ก็ได้ เพียงแต่พอนึกถึงเรื่องเศร้าของฉู่หยวน เขาก็รู้สึกผิด จึงยืนขึ้นแสดงความนับถือ
อวิ๋นจือชิวกุมสองมือของอวิ๋นรั่วซวง แล้วบ่นว่า “ไม่มีคนนอกอยู่ด้วยเสียหน่อย ครอบครัวเดียวกันไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น” ขณะที่พูดก็ยื่นหน้าผ่านบ่าไปมองสาวสวยข้างหลังอวิ๋นรั่วซวง แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ซวงเอ๋อร์ นี่คืออู๋ซวงสินะ?”
อวิ๋นรั่วซวงชักสองมือออกจากฝ่ามืออวิ๋นจือชิวหน้าตาเฉย เหมือนต่อต้านไม่ให้อวิ๋นจือชิวจับมือ พอหันตัวไปมองลูกสาว สีหน้าก็เปลี่ยนฉับพลัน เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นเหมือนน้ำค้างเกาะ ตวาดบอกลูกสาวว่า “อู๋ซวง จะทำตัวลับๆ ล่อๆ ทำไม? มาอย่างสง่าผ่าเผย น่าอับอายเหรอ? เมื่อก่อนเจ้าอยากเจอท่านลุงเขยกับท่านป้าที่ได้ยินคำร่ำลือกันมาตลอดไม่ใช่เหรอ?” นางชี้ไปยังเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิว “นี่ก็คือท่านลุงเขยกับท่านป้าของเจ้าไง ท่านลุงเขยของเจ้าเป็นราชันสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ของใต้หล้า ท่านป้าของเจ้าคือราชินีสวรรค์มารดาแห่งใต้หล้า พ่อเจ้าตายไปแล้วก็ไม่เป็นไร อย่างมากต่อไปข้าก็หาพ่อใหม่ที่ดีกว่าเดิมให้เจ้า ถ้าพ่อใหม่เจ้าตายอีกก็ไม่เป็นไร ข้าก็หาใหม่ได้อีก ตราบใดที่ท่านลุงเขยกับท่านป้าของเจ้ายังอยู่ มีพวกเขาดูแลเราสองแม่ลูก ต่อให้ตายหมดบ้านก็ไม่เป็นอะไร ยังไม่รีบมาคำนับอีก ยังไม่รีบมาประจบสอพลออีก!” เรียกได้ว่าสีหน้าท่าทางยังดุร้าย
บ่าวไพร่ที่อยู่นอกประตูได้ยินแล้วอดไม่ได้ที่จะหันมองแวบหนึ่ง ในใจแอบเดาะลิ้นอย่างประหลาดใจ คิดว่าผู้หญิงคนนี้ช่างใจกล้านัก!
ผลปรากฏว่าถูกหยางเจาชิงที่อยู่ตรงประตูถลึงตาจ้องอย่างดุร้าย ทำให้บ่าวไพร่ที่แอบมองรีบก้มหน้า
ไม่ว่าใครก็ฟังออกว่าอวิ๋นรั่วซวงกำลังอาศัยการด่าลูกสาวเพื่อพูดแทงใจใครบางคน เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าทั้งสองคงตำหนิสั่งสอนแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ถึงคราวที่ทั้งสองจะพูดอะไร เพราะเป็นเรื่องในครอบครัว
พอได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็ก้มหน้าก้มตาเงียบๆ ส่วนอวิ๋นจือชิวก็มองน้องสาวที่ตัวเองรักที่สุดด้วยสีหน้าขื่นขม คำพูดของน้องสาวแต่ลพคำเหมือนดาบที่แทงหัวใจนาง เพื่อใต้หล้าของพวกเขาสองสามีภรรยา ไม่รู้จริงๆ ว่าทำให้มีคนตายไปตั้งมากมายเท่าไร ญาติพี่น้อง สหาย ลูกน้องเก่า…
เมื่อเอ่ยถึงการตายของบิดา ฉู่อวิ๋นอู๋ซวงก็น้ำตาไหลพราก สองไหล่สั่นเทิ้ม ก้าวขึ้นมาคำนับพร้อมเสียงสะอึกสะอื้น “ท่านลุงเขย ท่านป้า”
อวิ๋นรั่วซวงหันกลับมาเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้ม “เด็กน้อยไม่รู้ความ ทำให้พี่สาวกับพี่เขยเห็นเรื่องน่าขำแล้ว”
อวิ๋นจือชิวก้าวขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าฉู่อวิ๋นอู๋ซวง ดึงเข้ามาในอ้อมกอด แล้วพูดปลอบโยน “ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ต่อไปนี้ก็ดีแล้ว ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง!”
ฉู่อวิ๋นอู๋ซวงกลับกลั้นน้ำตาได้ยาก หมอบร้องไห้อยู่ในอ้อมอกอวิ๋นจือชิวอย่างปวดใจยิ่งกว่าเดิม
“จะร้องไห้อะไรนักหนา?” อวิ๋นรั่วซวงถูกยั่วโมโหจนไฟพิโรธเดือดสามจั้ง ก้าวเข้ามาเตรียมจะลงมือ
อวิ๋นจือชิวคว้าข้อมือนางเอาไว้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจือความโมโหว่า “เจ้าเอะอะโวยวายพอหรือยัง คิดจะเอายังไงกันแน่? โมโหอะไรก็มาระบายที่ข้า เจ้าพูดมา ข้าจะรับไว้!”
อวิ๋นรั่วซวงพยามดิ้นรนเอามือออก แต่กลับดิ้นไม่หลุด แต่นางยังไม่ยอม ออกแรงดิ้นรนอยู่อย่างนั้น ในดวงตามีน้ำตารื้นแล้ว แต่ยังดันทุรังดิ้นรน สุดท้ายก็ดิ้นไม่หยุด น้ำตาพรั่งพรูออกมาเหมือนน้ำพุพร้อมเสียงสะอื้น
อวิ๋นจือชิวออกแรงดึง ดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแล้ว
“พี่…” อวิ๋นรั่วซวงกอดนาง แล้วร้องไห้ฟูมฟายออกมาอย่างปวดใจ สองแม่ลูกต่างก็กำลังร้องไห้
อวิ๋นจือชิวน้ำตาไหลเงียบๆ ศึกที่เขาหลิงซานครั้งนั้น กำลังพลแดนอเวจีพุ่งฝ่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมหาศาล หลังจากจบซึก ตระกูลอวิ๋นตรวจนับความเสียหาย พบว่านอกจากฉู่หยวนที่ตายไป ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่หาไม่พบ สุดท้ายผลที่ได้ก็คือ แค่รุ่นที่สามของตระกูลอวิ๋นก็ตายไปแล้วสิบกว่าคน
เหมียวอี้ก้มหน้าเล็กน้อย เดินผ่านทั้งสามที่กอดกันกลมออกไปอย่างช้าๆ เดินไปถึงศาลากลางน้ำข้างนอก แล้วก็เอามือไขว้หลังเงยหน้ามองฟ้า สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์…
แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ในแอ่งกะทะแห่งหนึ่ง วิญญาณชั่วร้ายหนึ่งแสนที่ออกไปทำศึกข้างนอกปรากฏตัวอีกครั้ง
หลังจากแน่ใจว่ากลับมาถึงแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว เหล่าวิญญาณชั่วร้ายก็โล่งอก แล้วก็พูดคุยเรื่องบนสนมรบอย่างตื่นเต้นอีก ก่อนหน้านี้ถูกควบคุมไว้เข้มงวด ในที่สุดตอนนี้ก็ได้พูดอย่างคล่องปากแล้ว
มีบางคนสังเกตเห็นว่าเฮยทั่นที่กำลังหันให้ได้หันตัวกลับมาเงียบๆ แล้ว จึงตะโกนว่า “คุณชายเฮย สถานการณ์การรบตอนสุดท้ายเป็นยังไง คุณชายหนิวชนะหรือยัง?”
เฮยทั่นไม่เพียงแค่ไม่ตอบ แต่กลับกลายร่างเป็นมังกรดำเหาะไปที่ยอดเขา แล้วก็กลายร่างเป็นคนอีกครั้งง ลอยไปบนยอดเขาแล้วหันหลังให้แอ่งกะทะ
กลุ่มวิญญาณชั่วร้ายมองเขา ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่ไม่นานก็เข้าใจแล้ว มีคนไม่น้อยเบิกตากว้าง ในดวงตาทุกคนฉายแววหวาดกลัว
บนแนวเทือกเขารอบๆ มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนหนาแน่นพุ่งออกมาและเล็งพวกเขา
“คุณชายเฮย หมายความว่าอะไร?” มีคนตะโกนเสียงดัง
เฮยทั่นก้มหน้าเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ และไม่ได้หันกลับมาด้วย
“ยิงธนู!”
ตามที่เสียงของแม่ทัพหลักดังขึ้น ลำแสงก็ยิงไปที่แอ่งกะทะอย่างฉับพลันเหมือนพายุฝน รุกโจมตีแบบทำลายล้าง
“อา..” เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีคนตะโกนด้วยความเศร้าโศกอีกด้วย “คุณชายเฮย เจ้าข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง…”
เฮยทั่นที่หันหลังให้พลันกุมหมัด เม้มริมฝีปากแน่น แล้วหลับตาลง
แม้เขาจะเป็นคนไม่เอาไหน แม้เขาจะฆ่าวิญญาณชั่วร้ายไปแล้วไม่น้อย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนดัน พาออกไปด้วยและอยู่ด้วยกันหลายวัน นับว่าเป็นพี่น้องที่ฟังคำบัญชาการของเขาแล้ว นอกจากจะผิดคำสัญญาต่างๆ ที่ให้ไว้แล้ว ยังข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง ลงมือสังหารอีก
แต่ก็ช่วยไม่ได้ เหมียวอี้ถ่ายทอดคำสั่งมา ว่าให้สังหารวิญญาณชั่วร้ายของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ทั้งหมด สังหารแบบขุดรากถอนโคน คืนดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ให้กับแดนมรณะดึกดำบรรพ์!
เฮยทั่นเองก็รู้ว่าปล่อยให้วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้เติบโตกว่านี้ไม่ได้ แต่ความรู้สึกนี้ก็ยังทำให้ทรมานจนยากจะรับไหว เขาเพิ่งสัมผัสความรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรก
เฮยทั่นที่แต่ไหนแต่ไรมาเอะอะก็จะสังการวิญญาณชั่วร้าย แต่ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้กลับไม่กล้าหันไปมองวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้น
หลังจากการโจมตีสองชุด ทัพใหญ่ก็หยุดมือแล้ว หงส์และมังกรรวมฝูงกันทะยานขึ้นฟ้า กวาดล้างเศษซากอย่างเต็มที่ ดูดซับปราณชั่วร้ายที่ระเบิดออกมาอย่างอย่างถึงอกถึงใจ
หงส์และมังกรสองฝูงแบ่งกันไปสองทิศทาง มุ่งหน้าไปยังรังหงส์และถ้ำมังกร แหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายที่ปล่อยปราณออกมาไม่จบไม่สิ้น
สองเทพสตรีผู้พิทักษ์ปรากฏตัวข้างกายเฮยทั่น ผู้หญิงหนึ่งในนั้นจ้องเฮยทั่นพร้อมถามว่า “เจ้ากำลังเห็นใจวิญญาณชั่วร้ายพวกนี้เหรอ?”
เฮยทั่นเงยหน้าขึ้น แล้วถามอย่างหงุดหงิดว่า “ใครบอกล่ะ?”
“เขียนไว้บนหน้าเจ้าไง” ผู้หญิงอีกคนกล่าว
เฮยทั่นถลึงตา “ที่ไหนกันล่ะ? ข้ากำลังไตร่ตรองเรื่องสำคัญอยู่ต่างหาก!”
เทพสตรีร้องอ้อ แล้วถามว่า “เจ้ากำลังไตร่ตรองเรื่องอะไร?”
“พวกเจ้าสองคนแต่งงานกับข้าดีไหม?” เฮยทั่นถามอย่างไม่ละอาย
สองเทพสตรีหันหน้าหนี ขี้คร้านจะสนใจเขา
เฮยทั่นชี้พวกนางพร้อมบ่นว่า “พวกเจ้าสองคนคอยดูเถอะ! รอให้ข้ามีความสามารถนั้นก่อน สักวันหนึ่งข้าจะให้พวกเจ้าสองคนไปไม่เป็นเลย!”
แม่ทัพที่รู้จักเฮยทั่นได้ยินแล้วหัวเราะลั่น ตอนนี้กำลังพลนับร้อยล้านทยอยกันเรียกสัตว์พาหนะที่บินได้ออกมาแล้ว
ภารกิจของพวกเขาก็คือช่วยเผ่าหงส์และมังกรกวาดล้างวิญญาณชั่วร้ายและปราณชั่วร้ายที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ขณะเดียวกันก็นำพืชพรรณมาด้วยมากมาย ต้องการจะโปรยหว่านให้ทั่วทั้งแดนมรณะดึกดำบรรพ์ รีบฟื้นฟูความมีชีวิตชีวาของแดนมรณะดึกดำบรรพ์กลับมา แบบนี้ยังมีข้อดีอีกอย่างด้วย นั่นคือแดนมรณะดึกดำบรรพ์ใหญ่เกินไป กลัวว่าวิญญาณชั่วร้ายจะหลุดรอดไป พืชพรรณบางชนิดที่สัมผัสปราณชั่วร้ายไม่ได้ก็จะเกิดความผิดปกติ ทำให้สังเกตเห็นสิ่งที่เล็ดรอดไปได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ก็สำรวจและเขียนแผนผังสภาพทางภูมิศาตร์ให้แดนมรณะดึกดำบรรพ์ด้วย เพื่อมเตรียมให้พวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินจำนวนมากเข้ามาเฝ้าอยู่ในขั้นต่อไป
สองเทพสตรีปรึกษาหารือกับบรรดาแม่ทัพ พวกนางรับหน้าที่ประสานงานกำลังพลร่วมกับพวกแม่ทัพ เพราะพวกนางคุ้นเคยกับแดนมรณะดึกดำบรรพ์ดีมาก
ผ่านไปไม่นาน ทัพใหญ่ก็ทยอยกันไปตามที่ต่างๆ โดยมีเผ่าหงส์และมังกรคอยให้ความร่วมมืออยู่ตามแต่ละกลุ่มด้วย
เมื่อเห็นเทพสตรีไม่เห็นความสำคัญของตนเลย เฮยทั่นก็ไม่พอใจมาก แต่พอมองไปตรงจุดที่วิญญาณชั่วร้ายนับสิบล้านถูกกำจัดก็เงียบแล้ว จากนั้นก็นำกำลังพลอีกกลุ่มเหาะไปทางนั้นเป็นโดยเฉพาะ เฮยทั่นมีภารกิจอีกอย่าง นั่นก็คือเลือกที่ตั้งของวังสวรรค์แห่งใหม่ ขณะเดียวกันก็ต้องเลือกที่สร้างปราสาทดำเนินให้เหมียวอี้ที่หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญและทุ่งน้ำแข็งโบราณด้วย จุดประสงค์ก็เพื่อสะดวกต่อการฝึกตนของเหมียวอี้

แม่เฒ่าลวี่ตบผิวโต๊ะ  ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ตอนพวกแม่ทัพต้องการจะพาตัวพวกเจ้าไป ทำไมพวกเราไม่ยอมไป ทำไมต้องขอร้องข้า? 

กลุ่มผู้หญิงเงียบไป บางคำพูดก็รู้สึกละอายที่จะเอ่ยปาก ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าหลังจากถูกพาตัวไปแล้วจะมีจุดจบเป็นอย่างไร กังวลว่าจะได้รับกรรมและถูกฆ่าไปด้วย ตอนนี้อีกฝ่ายให้สัญญาแล้วว่าจะไม่ทำอันตรายพวกนางจนถึงแก่ชีวิต แต่แค่นำพวกนางไปประทานเป็นรางวัลให้ทหารที่สร้างผลงานเท่านั้น สำหรับสตรีที่งามเลิศล้ำอย่างพวกนาง ถ้าจะให้มาทำงานเบ็ดเตล็ดอย่างนี้ พวกนางรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม มิหนำซ้ำยังต้องทำงานจิปาถะพวกนี้ไปทั้งชีวิตด้วย แต่ถ้าให้เป็นอนุภรรยาของขุนนางเหล่านั้นก็ไม่เหมือนกันแล้ว บางทีฉากหน้าอาจจะไม่ได้ดูดีเท่าอยู่วังสวรรค์ แต่กลับมีอิสระมาก มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง ไม่แน่ว่าอาจจะได้ดีกลายเป็นฮูหยินเอกของขุนนางใหญ่สักคนก็ได้ ถ้ามองจากบางระดับ ก็ดีกว่าเป็นสนมของประมุขชิงตั้งเยอะ อุดอู้อยู่ที่วังสวรรค์มาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่รู้อีกหรือว่าวังหลังรสชาติเป็นอย่างไร? ยังต้องคิดมากอีกหรือว่าจะเลือกอย่างไร?

เมื่อเห็นพวกนางไม่พูดอะไร ดูเหมือนตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไป แม่เฒ่าลวี่ก็ส่ายหน้าบอกว่า  ฝ่าบาทเพิ่งจะจากโลกนี้ไป พวกเราก็อดใจรอไม่ไหวที่จะสวมหมวกเขียวให้ฝ่าบาทแล้วหรือ?  นางกำลังจะสื่อว่า ไม่มียางอายแม้แต่น้อยเลยใช่ไหม?

สนมคนหนึ่งบอกว่า  เรื่องนี้ก็โทษพวกเราไม่ได้ ท่านก็ได้ยินแล้ว สามวัน เขาให้เวลาพวกเราเพียงสามวัน ถ้าเกินเวลาแล้วพวกเราก็จะต้องอยู่ทำงานจิปาถะที่นี่ไปทั้งชีวิต 

มีสนมอีกคนบอกว่า  แม่เฒ่า พวกเราไม่เหมือนกับท่าน ท่านอายุป่านนี้แล้วไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันอะไรมากมาย แต่พวกเรายังสาวอยู่ 

ประโยคนี้ทำให้แม่เฒ่าลวี่ทรมานใจ พลันเหลือบตาขึ้นด้วยท่าทางโมโหเล็กน้อย

สนมอีกคนบ่นว่า  นายท่านผู้นั้นบอกแล้วว่าจะไม่บังคับใครทั้งนั้น พวกเราจะอยู่หรือไปก็ตามแต่ใจปรารถนา แค่จะถามแม่เฒ่าสักคำว่า ท่านรักษาคำพูดหรือเปล่า? 

พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว แม่เฒ่าลวี่ยังจะว่าอะไรได้อีก หลับตาลงช้าๆ แล้วกล่าวว่า  ไสหัวไป! อย่าให้ข้าเห็นพวกเจ้าอีก! 

ดังนั้นจึงมีบางคนโค้งตัว มีบางคนย่อเข่าทำความเคารพ และมีบางคนที่ไม่พูดอะไรทั้งนั้น แล้วทยอยกันหันตัวเดินจากไป

สิบกว่าคนนี้เดินมาถึงประตูสวนกลางเขียวขจี หนึ่งในนั้นถามทหารยามด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียกว่า  พวกเราได้รับบัญชาจากฝ่าบาทว่าสามารถสมัครใจออกไปได้ ไปได้หรือยัง? 

ทหารยามที่เดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้านางหยุดอยู่กับที่ ในใจรู้สึกคันยิบๆ มองเห็นแต่กินไม่ได้ แต่กลับไม่มีทางเลือก เพราะมีเบื้องบนเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ถ้าใครกล้ากำเริบเสิบสาน ก็แสดงว่าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว เขาชี้ไปตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล ตรงนั้นมีกำลังพลกลุ่มเล็กหลบแดดอยู่ใต้ต้นไม้  นั่น ไปลงชื่อทางนั้น เดี๋ยวจะมีคนพาพวกเจ้าไปเอง  น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยสบอารมณ์

สาวงามสิบกว่าคนออกจากสวนกลางเขียวขจีได้อย่างราบรื่น ไม่เกิดเหตุไม่คาดคิดใดๆ ทหารที่นำพวกนางจะไปก็ไม่แตะต้องแม้แต่ผมเส้นเดียวเช่นกัน

ที่จริงในสวนกลางเขียวขจีมีสาวงามไม่น้อยแอบสังเกตการณ์เงียบๆ เมื่อเห็นคนกลุ่มแรกไร้อันตราย สามารถออกไปได้อย่างปลอดภัยจริงๆ ก็วางใจลงแล้วไม่น้อย

ผ่านไปไม่นาน คนที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนก็ไปหาแม่เฒ่าลวี่ กล่าวอำลาจากไปเป็นกลุ่มๆ

แม่เฒ่าลวี่ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวถอนหายใจเบาๆ  ไปเถอะๆ ไปกันให้หมด! 

คนรวมกลุ่มกันมา แล้วก็รวมกลุ่มกันออกไป รวมกลุ่มกันออกไปจากสวนกลางเขียวขจี

ตามที่กลุ่มคนที่ทยอยกันมาบอกลามากขึ้นเรื่อยๆ แม่เฒ่าลวี่ก็เหมือนจะทนกับการยั่วโมโหนี้ไม่ได้ ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ สั่งเทพธิดาอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า  ถ้าอยากจะไปก็ให้พวกนางไปกันเองเลย ไม่ต้องมาบอกลาข้า 

นางยันไม้เท้าหันตัวเดินออกไป เหมือนแก่ชราลงแล้วไม่น้อย

นางพยายามช่วยคนเหล่านี้จะดาบของประมุขชิง แล้วก็พยายามทุ่มเทความคิดไปไม่น้อยกับฝั่งเหมียวอี้ อยากจะรักษาศักดิ์ศรีของสาวงามเหล่านี้ไว้ แต่ใครจะคิดว่าความพยายามของนางจะน่าขำขนาดนี้ ขนมเหล่านั้นเหมือนจะไม่ซึ้งน้ำใจเลยสักนิด กลับดูเหมือนเป็นการทำลายเรื่องดีๆ ของพวกนาง ทำเหมือนไปขวางทางของพวกนางไว้ ที่แท้สิ่งที่นางให้ความสำคัญกับเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่แยแสเลย

ตอนนี้นางพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนนั้นประมุขชิงจึงโหดเหี้ยมแบบนั้น เหตุใดจึงต้องการสังหารหมู่วังหลัง คุณธรรมอันยิ่งใหญ่ยากจะต้านความปรารถนาส่วนตัว

บรรดาสนมที่รวมตัวกันอยู่ในสวนกลางเขียวขจี วันแรกยังมีคนมาดู แต่คนที่ไปวันที่สองเห็นว่าคนที่ไปวันแรกเหมือนจะไม่เป็นอะไร คนส่วนใหญ่จึงไม่ลังเลอีก สาวงามหลักหมื่นเหมือนจะออกไปหมดภายในวันที่สอง ไม่รอให้ถึงวันที่สาม

วังสวรรค์ เฟยหงรีบร้อนเดินออกมา

เฟยหงพี่อยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิวหนึ่งวัน ในที่สุดตอนนี้ก็ได้รับอิสระแล้ว พอออกจากวังสวรรค์ก็รีบไปที่สวนกลางเขียวขจีทันที นางก็สังเกตได้เช่นกันว่าอวิ๋นจือชิวเหมือนจงใจจะถ่วงเวลานางไว้ นางกังวลว่าทางฝั่งนี้จะไม่เกรงใจแม่เฒ่าลวี่ จึงรีบร้อนไปตรวจดู

ขณะมองตามเฟยหงเดินออกไป อวิ๋นจือชิวก็ก็หันกลับมาถามว่า  ไปกันพอสมควรแล้วใช่ไหม? 

เสวี่ยเอ๋อร์พยักหน้า  ทางสวนกลางเขียวขจีส่งข่าวมา เหลือเพียงประมาณร้อยคนที่ยังไม่ไป ที่เหลือไปหมดแล้วเพคะ 

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้ายิ้มเจื่อน  ทำให้ผู้หญิงอย่างพวกเราเสียหน้าหมดแล้วจริงๆ หัวใจของคนจะนับถือคุณธรรม แต่กลัวอำนาจบาตรใหญ 

เสวี่ยเอ๋อร์กล่าวว่า  ไม่ว่าจะอย่างไร หยางชิ่งก็เหมือนจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้แล้วจริงๆ จากนั้นก็พูดสองสามคำ แล้วก็ไปแล้ว 

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ  เขาใช้วิธีการนี้ พวกที่สวนกลางเขียวขจีจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ยังไง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เขาไม่ได้มองสนมนักโทษพวกนั้นเป็นมนุษย์เลย ไม่ได้เห็นความทุกข์ของแม่เฒ่าลวี่เป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย เขากำลังโยนกระดูกออกไปล่อ เอาเรื่องที่ต้องทำงานเบ็ดเตล็ดไปทั้งชีวิตมาขู่ผู้หญิงพวกนี้ สุดท้ายก็โยนปัญหาไปให้แม่เฒ่าลวี่จัดการเอง ให้สนมนักโทษกดดันแม่เฒ่าลวี่เอง แต่จะว่าไปเจ้าก็พูดถูก เขาแก้ไขปัญหานี้ได้แล้ว ฝ่าบาทไม่ได้บังคับ เป็นสนมนักโทษพวกนั้นที่ต้องการไปเอง เป็นแม่เฒ่าลวี่ที่ปล่อยไปเอง เฟยหงเองก็ไม่โทษฝ่าบาท ผู้ชายที่จ้องมองตาเป็นมันก็ได้สมดังใจหวังเช่นกัน 

 สมาชิกพักอยู่ในพระตำหนักอุทยานชั่วคราว จะจัดการเมื่อไรเพคะ?  เสวี่ยเอ๋อร์ถาม

 คงจะต้องรอกวาดล้างผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ก่อน แล้วค่อยเริ่มตบรางวัลตามผลงาน ใกล้แล้ว!  จากนั้นก็วางเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว  พวกซวงเอ๋อร์คงใกล้จะมาแล้วใช่มั้ย?  อวิ๋นจือชิวถาม

 อยู่บนเส้นทางแล้ว พรุ่งนี้ใกล้จะถึงแล้ว  เสวี่ยเอ๋อร์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

อวิ๋นจือชิวกลับยิ้มไม่ออก หลังจากได้ยินว่าอวิ๋นรั่วซวงสูญเสียสามี ตระกูลอวิ๋นยังไม่สองแม่ลูกเข้าร่วมการกวาดล้างด้วย นางรู้สึกว่าเกินไปหน่อย ที่จริงนางก็รู้เช่นกัน เพราะนางกลายเป็นราชินีสวรรค์แล้ว มีหลายคนกำลังจับจ้องตระกูลอวิ๋น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ ตระกูลอวิ๋นไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้อวิ๋นจือชิว ทำอย่างนี้ก็เพราะหวังดีกับอนาคตของตระกูลอวิ๋น จำเป็นต้องขอร้องตระกูลอวิ๋นอย่างเข้มงวด บีบให้สองแม่ลูกเข้าร่วมรบแนวหน้าต่อไป

นางไม่สะดวกจะไปก้าวก่ายเรื่องทำศึกของกำลังพลเบื้องล่าง ถึงได้ออกหน้ามาบอกด้วยตัวเอง บอกว่าคิดถึงน้องสาว ต้องการจะพบหน้าสักหน่อยเรื่องเล็กแบบนี้ย่อมไม่มีใครขัดขวาง แต่หลังจากรู้ว่าน้องสาวกำลังจะมา นางก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้าอย่างไร เพื่อให้ครอบครัวของนางได้เป็นใหญ่ในใต้หล้า ทำให้น้องสาวกลายเป็นแม่หม้ายแล้ว กอปรกับความในใจของน้องสาวที่พูดออกมาหลังจากดื่มสุราในปีนั้น ทำให้นางรู้สึกผิดในใจจริงๆ

ขณะที่นางกำลังใช้ความคิดอย่างเหม่อลอย จู่ๆ เบื้องล่างก็มารายงานว่า  รายงานเหนียงเหนียง ซิงขอเข้าเฝ้าเพคะ! 

อวิ๋นจือชิวเรียกสติกลับมา แววตาวูบไหวเล็กน้อย พยักหน้าบอกว่า  เชิญ! 

ผ่านไปครู่เดียว ซิงรีบเดินเข้ามา พอเห็นอวิ๋นจือชิว ก็ขอร้องอย่างจริงใจ  เหนียงเหนียงได้โปรดคืนความยุติธรรมให้เผ่าอสรพิษดำด้วยเพคะ! 

อวิ๋นจือชิวแปลกใจ  ทำไมพูดอย่างนี้?  นางรู้ดีอยู่แก่ใจแต่ยังแกล้งถาม นางรู้ถึงปัญหาของเผ่าอสรพิษดำ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับวังหลัง เหมียวอี้ยังนับว่าให้เกียรตินาง เคยให้หยางเจาชิงมาหยั่งท่าทีของนางแล้ว ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากนาง เหมียวอี้ก็ไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้ว อวิ๋นจือชิวเส้นแบ่งกับเรื่องในด้านนี้ไว้ชัดเจนตั้งแต่แรก ไม่อนุญาตให้เหมียวอี้ล้ำเส้นแม้แต่ก้าวเดียว อย่านึกว่าตอนนี้กลายเป็นราชันสวรรค์แล้วจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ อวิ๋นจือชิวยังกล้าอาละวาดจนทำให้เหมียวอี้เสียหน้าเหมือนเดิม

ในจุดนี้ เหมียวอี้ก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน อย่างอื่นคุยง่ายหมด มีเพียงเรื่องผู้หญิงที่เจรจากันไม่ได้ ก็อย่างที่บอก อวิ๋นจือชิวใจกว้างถึงขั้นนี้แล้ว อย่านำค่านิยมในสังคมมากดดันนาง ไม่มีประโยชน์! สรุปก็คือถ้านางไม่อนุญาต ไม่ว่าใครก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้แต่งงานเข้ามาในบ้านหลังนี้ ในปีนั้นตอนจูเก๋อชิงถูกขังอยู่ที่ตำหนักเย็น จะเป็นจะตายก็ไม่ยอมปล่อยออกมาก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ต่อให้จูเก๋อชิงตายแล้วก็ยังฝังศพไว้ที่นั่น ต่อให้ตายก็อย่าได้คิดว่าจะได้ออกไปจากที่นั่น นี่ก็คือท่าทีของนาง

ถ้าเหมียวอี้กล้าทำซี้ซั้ว นางก็กล้า ‘มาหนึ่งคนก็ฆ่าทิ้งหนึ่งคน’ เรื่องนี้นางทำได้จริงๆ และมีความสามารถที่จะทำด้วย!

 ทัพใหญ่ของฝ่าบาทบุกเข้าสระน้ำมังกรดำแล้ว บอกว่าจะตรวจสอบเรื่องที่เผ่าอสรพิษดำสมคบกับชิงและพุทธะ ควบคุมตัวอ๋องอรพิษดำโม่โหยว จับลูกหลานของเผ่าอสรพิษดำมาแล้วไม่น้อย…  หลังจากซิงรายงานด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด ก็ขอร้องอีกครั้ง  เหนียงเหนียง ช่วยพูดให้เผ่าอสรพิษดำสักหน่อยเถอะเพคะ! 

อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าลำบากใจ  ข้าไม่สะดวกจะก้าวก่ายเรื่องในกองทัพ แล้วอีกอย่าง เรื่องนี้ฝ่าบาทก็จะให้คำชี้แจงกับเผ่าอสรพิษดำแน่นอน วางใจเถอะ คงจะไม่เป็นอะไร 

ไม่ว่าซิงจะขอร้องอย่างไร อวิ๋นจือชิวก็ปฏิเสธทางอ้อม สุดท้ายซิงที่ขอร้องคนไปทั่วแต่ก็ถูกตอกกลับมาเบาๆ ก็เข้าใจแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว มีเพียงทางเลือกที่ซูอวิ้นบอก

 เหนียงเหนียง ซิงติดตามฝ่าบาทมาหลายปี เมื่อเวลาผ่านไปนาน จึงแอบเกิดความรักต่อฝ่าบาท หวังว่าเหนียงเหนียงจะช่วยให้สมปรารถนา!  ซิงพลันก้มหน้ากล่าวประโยคนี้

อวิ๋นจือชิวกะพริบตา จ้องนางนานมาก…

ในสวนกลางเขียวขจี เฟยหงรีบร้อนมาถึงแล้ว นางมาพบแม่เฒ่าลวี่ที่กำลังนั่งยองๆ ดูแลดอกไม้อยู่ในแปลงดอกไม้ นางผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง เดินเข้าไปใกล้แล้วยกกระโปรงนั่งยองๆ ข้างกัน ลองถามว่า  ท่านแม่บุญธรรม ท่านไม่เป็นอะไรใช่มั้ย? 

แม่เฒ่าลวี่กำลังปลูกดอกไม้ กล่าวอย่างนิ่งสงบว่า  ยายแก่อย่างข้าไร้อำนาจอิทธิพล จะเป็นอะไรไปได้? สังหารข้าทิ้งยังต้องแบกรับชื่อเสียงที่ไม่ดี ไม่คุ้มที่จะแตะต้องข้า 

เฟยหงก้มหน้า  ท่านแม่บุญธรรม อย่าเก็บมาใส่ใจเลย เป็นทางที่พวกนางเลือกเอง ท่านทำเต็มที่แล้ว 

 เป็นยายแก่อย่างข้าที่ไร้เดียงสาเกินไป วิธีการเทียบคนบางพวกไม่ติดเลย ทำตัวเป็นตั๊กแตนห้ามรถ ไม่ประเมินกำลังตัวเอง เหมาะแล้วที่จะดูแลต้นไม้ใบหญ้าอยู่ที่นี่ นางหนูเอ๊ย เจ้าอยู่ในวังก็ไร้อำนาจให้พึ่งพาเหมือนกัน จำคำยายแก่คนนี้ไว้นะ อย่าไปคิดเพ้อฝันอะไรเด็ดขาด เจ้าเล่นไม่ชนะคนพวกนั้นหรอก… 

กลางดึก ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ ในตำหนักบรรทมห้องหนึ่ง ซิงที่อาบน้ำแล้วกำลังนั่งสยายผมอยู่ข้างเตียง

เหมียวอี้ผลักประตูเข้ามา แล้วนางในที่อยู่ด้านนอกก็ปิดประตูเอาไว้เบาๆ

ซิงก้มหน้าไม่พูดอะไร

เหมียวอี้ยืนอยู่ตรงหน้านาง จ้องนางครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า  เห็นแก่ไมตรีเก่าๆ และคุณงามความดีในอดีตของเผ่าอสรพิษดำ เจิ้นให้ทางเลือกกับเจ้าอีกทาง เจ้าไม่จำเป็นต้องรับความอยุติธรรมอย่างนี้ ตอนนี้เจ้าสามารถออกจากวังสวรรค์ ข้าก็จะออกคำสั่งปล่อยเผ่าอสรพิษดำไปเช่นกัน จะไม่ทำให้เผ่าอสรพิษดำลำบากอีก บุญคุณความแค้นทุกอย่างจบสิ้นเท่านี้! จากนี้ไปถ้าเผ่าอสรพิษดำพบปัญหาอะไรอีก ทุกอย่างต้องทำตามหน้าที่ ไม่มีการจงใจกลั่นแกล้งแน่นอน!  พูดจบก็หันตัวหลีกทาง แล้วยื่นมือเชิญ

ซิงยืนขึ้นเงียบๆ ไม่มีท่าทีว่าจะเดินไป ยื่นมือถอดผ้าคาดเอว ชุดคลุมตัวนอก ไม่น่าเชื่อว่าข้างในจะไม่สวมชุดชั้นใน เผยเรือนร่างเย้ายวนออกมาหมด เสื้อผ้าไหลจากไหล่ตกลงพื้น เผยเรือนร่างยั่วราคะแบบเผ่าอสรพิษดำ ร่างเปลือยขาวหมดจดดุจหิมะ ตัวสั่นเล็กน้อย…

…………………………

 

ตอนนี้เหมียวอี้ก็อยากจะรู้เรื่องนี้ให้ชัดเจนเช่นกัน พยักหน้าบอกใบ้หยางเจาชิง หยางเจาชิงเอ่ยรับแล้วไปจัดการทันที เรียกคนคนหนึ่งเข้ามา ช่างไม้!
พวกคนงานเก่าของพวกโรงเตี๊ยมเมฆาวายุนับว่าเหมือนเรือที่ขึ้นตามน้ำ ได้ดีตามอวิ๋นจือชิวไปด้วย ที่สำคัญคือความจงรักภักดีที่คนพวกนี้มีต่ออวิ๋นจือชิว เรียกได้ว่าผ่านแบบทดสอบของเวลามาแล้ว ทำให้คนวางใจ คนพวกนี้ไม่ได้ครองตำแหน่งทางทหาร อวิ๋นจือชิวเองก็จงใจหลีกเลี่ยงไม่ให้คนข้างกายตัวเองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับด้านทหารมากเกินไป แต่เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่อวิ๋นจือชิวช่วยเหมียวอี้จัดการ ส่วนใหญ่ก็พึ่งสมาชิกคนสำคัญพวกนี้ทุ่มเทรับใช้ ใช้งานได้อย่างวางใจ
บางคนยามปกติไม่เห็นว่าเคลื่อนไหวอะไร เพราะต้องแอบวิ่งเต้นทำงานข้างนอก ถ้าจะให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ออกหน้าก็ไม่เหมาะสม แต่ก็ต้องใช้คนที่ไว้ใจได้ไปจัดการ อวิ๋นจือชิวเองก็ทำได้เพียงให้คนสนิทพวกนี้คอยเป็นมือเท้าและหูตาไให้ แล้วค่อยให้คนงานพวกนี้ไปช่วยพวกเขาอีกที พอเป็นแบบนี้ คนงานพวกนี้ก็กลายเป็นสมาชิกคนสำคัญตามช่องทางส่วนใหญ่ที่อยู่ใต้เวทีของเหมียวอี้แล้ว โดยเฉพาะบัณฑิต ช่างไม้ ช่างหินและพ่อครัว
ส่วนเหมียวอี้ก็เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว อวิ๋นจือชิวเหมือนจะมีอำนาจของฝ่ายกระทำในระดับหนึ่ง นางเองก็รู้ว่าผู้หญิงคนหนึ่งอย่างนาง ถ้ากุมอำนาจที่ใหญ่โตขนาดนี้ไว้ต่อไปก็ไม่เหมาะสม จะเกิดสถานการณ์ที่ตั้งตัวแยกกับเหมียวอี้ได้ง่าย นางอาจจะไม่หวังให้สถานการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น แต่นางรู้อย่างชัดเจน ว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานแล้ว เบื้องล่างอาจจะก่อเรื่องอะไรก็ได้ ถึงได้นำงานในมือทั้งหมดส่งต่อให้หยางเจาชิง สามีภรรยาจะได้ไม่เกิดความขัดแย้งอะไรเพราะแย่งชิงอำนาจกัน
แต่เรื่องนี้ย่อมต้องผ่านการอนุญาตจากเหมียวอี้ก่อนแล้ว ตอนแรกเหมียวอี้รู้สึกว่านางทำเกินความจำเป็น รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ หมายความว่าเชื่อใจนางมาก แต่เหตุผลที่อวิ๋นจือชิวใช้โน้มน้าวก็คือ ประมุขวังหลังอย่างนางไม่สะดวกจะกุมอำนาจภายนอกมากเกินไป เพราะจะเกิดเรื่องได้ง่าย หวังว่าระหว่างสามีภรรยาจะมีความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาที่บริสุทธิ์อย่างเดียว ส่วนอำนาจในการจัดการวังสวรรค์นั้นไม่สะดวกจะมีมากเกินไป จำเป็นต้องมีความสมดุลบ้าง สาเหตุที่นางลดอำนาจของตัวเองลง ก็เพื่อจะให้เกิดความสมดุลกับหยางเจาชิงในระดับหนึ่ง การที่นางส่งคนเหล่านี้ให้หยางเจาชิง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหลุดจากการควบคุมของนางโดยสิ้นเชิง ถ้ามีการแทรกแซงจากนาง อย่างน้อยผู้การใหญ่วังสวรรค์อย่างหยางเจาชิงก็จะไม่ทำอะไรตามอำเภอใจ ในทางกลับกัน นางก็เลิกควบคุมโดยตรงแล้วเช่นกัน ราชินีสวรรค์ก็ไม่อาจทำอะไรตามอำเภอใจได้เหมือนกัน
ที่จริงการที่อวิ๋นจือชิวเป็นฝ่ายละทิ้งอำนาจนี้ก่อน ก็เป็นการกระทำที่ชาญฉลาดมาก การได้รับความเชื่อใจจากเหมียวอี้ต่างหากคืออำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!
ที่จริงเหมียวอี้ดีใจเพราะเรื่องนี้มาก ดีใจเป็นพิเศษ คนนอกไม่อาจเข้าใจความดีใจของเขาได้ และผลที่ตามมาเมื่อเขาดีใจมากก็คือ แม้อวิ๋นจือชิวจะละทิ้งอำนาจแท้จริงแล้ว แต่เหมียวอี้กลับตอบแทนนาง โดยการให้อำนาจที่ใหญ่กว่านั้นแก่อวิ๋นจือชิว เป็นอำนาจที่มองไม่เห็น นี่คือเรื่องที่เอาไว้ว่ากันทีหลัง
ส่วนการที่อวิ๋นจือชิวแนะนำพวกช่างไม้เข้ามา หยางเจาชิงก็เข้าใจเจตนาเช่นกัน สำนึกได้ด้วยตัวเองว่าควรทำอย่างไร ให้คนพวกนี้กลายเป็นผู้ช่วยของตัวเอง ช่วยตัวเองทำงานโดยตรง
นี่ก็คือเหตุผลที่ช่างไม้ปรากฏตัวที่ตำหนักสวรรค์ในเวลานี้
การปรากฏตัวของช่างไม้ ทำให้หยางชิ่งชำเลืองหลายครั้ง เขาแอบมองอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง ในใจแอบรู้สึกปลง วิธีการของผู้หญิงคนนี้เหนือชั้นกว่าเวยเวยไม่ใช่น้อยๆ ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง เกรงวาชาตินี้คงจะจับเหมียวอี้อยู่หมัดคนเดียวแล้ว เหมียวอี้ใช้วิธีการเรียกลมฝนคาวเลือดมาสยบใต้หล้า แต่ผู้หญิงคนนี้กลับสยบเหมียวอี้ได้โดยที่ดาบไม่เปื้อนเลือด!
ช่างไม้เรียกซือหม่าเวิ่นเทียนออกมา
สำหรับตำหนักสวรรค์ ซือหม่าเวิ่นเทียนไม่อาจบอกว่าไม่คุ้นเคย ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องเรือนทุกอย่างก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง มีหรือที่จะไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่ไหนแล้ว เพียงแต่สถานที่เหมือนเดิมแต่คนไม่เหมือนเดิม
จะว่าไปแล้ว ขุนศึกทั้งสองของประมุขชิงก็รบตายหมดแล้ว ทูตตรวจการทั้งสองกลับทรยศ นี่คือการเย้ยหยันที่ใหญ่ที่สุด
“ผู้น้อยคารวะฝ่าบาท คารวะราชินีสวรรค์!” ซือหม่าเวิ่นเทียนทำความเคารพอย่างถ่อมตัว มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้ชัดถึงความขื่นขมในใจ
เหมียวอี้ถามว่า “แม่เฒ่าลวี่ที่สวนกลางเขียวขจีคาดว่าเจ้าจะรู้จัก เจิ้นถามเจ้าหน่อย แม่เฒ่าลวี่คนนี้มีที่มาที่ไปยังไงกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ประมุขชิงวางดาบเก็บสนมในวังไว้มากขนาดนั้นได้?”
นึกไม่ถึงว่าจะถามถึงคำถามนี้ ซือหม่าเวิ่นเทียนอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “คงจะเป็นผู้หญิงที่ประมุขชิงรู้สึกผิดด้วยที่สุดในชาตินี้”
คนที่อยู่ในตำหนักมองหน้ากันเลิกลั่ก เหมียวอี้แปลกใจ “อย่าบอกนะว่าเป็นผู้หญิงของประมุขชิง?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้า “คงจะนับได้ว่าเป็นผู้หญิงของประมุขชิงในยุคแรกๆ ตอนนั้นประมุขชิงยังยอายุน้อย ชื่อเสียงยังไม่โด่งดัง เขารู้จักกับแม่เฒ่าลวี่ ทั้งสองรักกัน แม่เฒ่าลวี่ในตอนนั้นงดงามดุจบุปผา พลังก็แข็งแกร่งฟ้าประมุขชิงด้วย ครั้งหนึ่งเคยช่วยชีวิตประมุขชิง ช่วยชีวิตคนได้แล้ว แต่นางกลับถูกคนทำลายรากวิญญาณ ยากที่วรยุทธ์จะเพิ่มขึ้นได้อีก ทำให้แก่ชราลงในชั่วข้ามคืนเดียว เด็กหนุ่มกับยายแก่คนหนึ่ง ต่อให้หัวใจอยู่ด้วยกัน แต่เกรงว่าคุณจะดันทุรังเกินไป ดังนั้นแม่เฒ่าลวี่จึงค่อยๆ ทำตัวห่างเหินและหลบเลี่ยงประมุขชิง ประมุขชิงเองก็เริ่มเงียบกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่อย่าไปมองว่ายามปกติแม่เฒ่าลวี่ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไรเลย ถ้านางเอ่ยปากพูดขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าแม้แต่ประมุขชิงก็ยากที่จะปฏิเสธคำขอของนาง สถานการณ์คร่าวๆ ก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรอย่างอื่นแล้ว”
พอได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็แอบรู้สึกทึ่ง นึกไม่ถึงว่าบนตัวแม่เฒ่าลวี่จะมีเรื่องราวอย่างนี้ ไม่แปลกใจที่ทำให้ประมุขชิงวางดาบปล่อยผู้หญิงจำนวนมากขณะนี้ไปได้ สถานการณ์แบบนี้เกรงว่าแม้แต่คนสนิทข้างกายประมุขชิงก็ยากที่จะบงการ
ในฐานะที่เป็นผู้หญิง เรื่องราวในด้านนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกได้ง่ายกว่า สีหน้าของอวิ๋นจือชิวหดหูขึ้นหลายส่วนเพราะแม่เฒ่าลวี่ นางจินตนาการได้เลยว่า แม่เฒ่าลวี่ที่งดงามปานดอกไม้ในปีนั้น จู่ๆ กลายเป็นยายแก่และต้องหลบหน้าคนรักของตัวเองนั้นเจ็บปวดทรมานขนาดไหน ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องมองดูประมุขชิงแต่งงานกับคนอื่นในตอนหลัง
เหมียวอี้กล่าวช้าๆ ว่า “พูดแบบนี้แสดงว่า ที่จริงแล้วแม่เฒ่าลวี่มีอำนาจแฝงยิ่งใหญ่มาก?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้าอีกครั้ง “ใช่แล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยใช้เลยก็เท่านั้นเอง”
จนกระทั่งช่างไม้เก็บซือหม่าเวิ่นเทียนเข้ากระเป๋าสัตว์และออกไปแล้ว เหมียวอี้เห็นอวิ๋นจือชิวมีท่าทางสะเทือนใจมาก ก็รู้สึกปวดประสาทนิดหน่อย มองออกเลยว่าผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างเห็นใจแม่เฒ่าลวี่ เขาเองก็ไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวเป็นทุกข์เหมือนกัน แต่เรื่องนี้จัดการยากนิดหน่อย
หยางชิ่งเหมือนจะสังเกตได้ จึงกล่าวอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า “ที่จริงสนมนักโทษเหล่านั้นก็ไม่ได้สำคัญ ประเด็นก็คือแม่เฒ่าลวี่เคยสร้างคุณงามความดีกับฝ่าบาทไว้ ท่าทีที่เป็นกลางของนางทำให้ฝ่าบาทกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหนียงเหนียง ไม่ทราบว่าข้าน้อยพูดจริงหรือไม่?” คำพูดค่อนข้างอ้อมค้อม
ดวงตางามของอวิ๋นจือชิวมองมา “ก็เพราะอย่างนี้ไง ไม่ทราบว่าท่านบุรุษมีความเห็นอันสูงส่งอะไรหรือเปล่า?”
หยางชิ่งลังเลนิดหน่อย “ถ้าเหนียงเหนียงไม่ถือสา ก็ส่งเรื่องนี้ให้ข้าน้อยจัดการได้ บางทีอาจจะไม่สามารถทําให้ทุกคนพอใจ แต่อาจจะให้คำชี้แจงที่ทุกคนสามารถรับ”
ไม่ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ ก็รู้แล้วว่าเขาจะต้องมีแผนการอะไรแน่นอน อวิ๋นจือชิวมองไปที่เหมียวอี้ทันที รอคำตอบของเหมียวอี้
เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน “เจ้าอย่าจ้องเจิ้นไม่ละสายตาอย่างนั้น เจิ้นตอบตกลงเจ้าก็ได้” เขาโบกมือให้หยางชิ่ง “เจ้าไปลองดูเถอะ”
“น้อมรับบัญชา!” หยางชิ่งกุมหมัดคารวะ
ผ่านไปไม่นาน เฟยหงก็กลับมาที่สวนกลางเขียวขจีอีกครั้ง คนที่กลับมาด้วยก็ย่อมเป็นหยางชิ่ง ผู้ที่จะมาแก้ไขปัญหาเรื่องนี้
ถ้าจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ หยางชิ่งก็ต้องพบกับแม่เฒ่าลวี่อย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นเพราะรู้ถึงประวัติของแม่เฒ่าลวี่แล้ว หยางชิ่งจึงเกรงใจมาก พอพบหน้ากันก็กุมหมัดคารวะทันที “แม่เฒ่าลวี่!”
“มิอาจรับไว้ นายท่านเกรงใจเกินไปแล้ว” แม่เฒ่าลวี่ที่ออกมาต้อนรับค้ำไม้เท้าโค้งกาย
หยางชิ่งมองเฟยหงแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดกับแม่เฒ่าลวี่ว่า “สนมหงขอให้ราชินีสวรรค์ช่วยออกหน้าขอร้องฝ่าบาท ฝ่าบาทมีบัญชาให้ข้าน้อยมาจัดการเรื่องนี้ต่างหาก ข้ารู้แล้วว่าสถานการณ์เป็นยังไง”
แม่เฒ่าลวี่ขานรับ แล้วถามอีกว่า “ไม่ทราบว่านายท่านเตรียมจะจัดการอย่างไร?”
หยางชิ่งมองไปรอบๆ แล้วบอกว่า “เรียกออกมาให้หมด ให้ข้าได้เห็นหน้าสักหน่อย แล้วพวกเราค่อยเจรจากันอีกที เป็นยังไง?”
แม่เฒ่าลวี่พยักหน้าช้าๆ แล้วหันกลับไปสั่งเทพธิดาที่ติดตามมาข้างหลัง
ในสวนกลางเขียวขจีมีทุ่งหญ้ากว้างฟ้าโล่ง ทุ่งหญ้าราวกับฟูก มีดอกไม้เล็กๆ แซมอยู่ในนั้นเหมือนดวงดาว บรรดาสาวงามที่พักที่สวนกลางเขียวขจีชั่วคราวทยอยมารวมตัวกัน
บนเนินดิน แม่เฒ่าลวี่ถือไม้เท้าก้มมอง เฟยหงยืนอยู่ข้างกาย
หยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ ยืนเอามือค่อยหลัง กำลังมองสาวงามทยอยมาไม่ขาดสาย สาวงามดุจเทพธิดามารวมตัวกันหนาแน่นขนาดนี้ มองแล้วตาพร่าจริงๆ แม้แต่เขาเองยังอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว
จนกระทั่งสนมนักโทษจำนวนหลักหมื่นที่หวาดหวั่นและไม่รู้ชะตากรรมตัวเองมาถึงครบแล้ว หยางชิ่งก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังว่า “ประมุขชิงทรยศใจคน ได้รับกรรมถูกสำเร็จโทษไปแล้ว เดิมทีต้องการจะสังหารพวกเดียวกันไปด้วย แต่เป็นเพราะแม่เฒ่าลวี่ปกป้อง ฝ่าบาทจึงยอมเอ่ยวาจาอันมีค่า ไม่สังหารพวกเจ้าแล้ว ให้โอกาสรอดชีวิตกับพวกเจ้าสองทาง! ทางรอดแรกก็คือ อยู่ทำงานจิปาถะที่สวนกลางเขียวขจีให้แม่เฒ่าลวี่ตลอดไป ดูแลต้นไม้ใบหญ้าพวกนี้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามถือวิสาสะออกไปเอง ทางรอดที่สองก็คือ ออกจากที่นี่ไปเป็นอนุภรรยาให้ขุนนางที่มีผลงานของตำหนักสวรรค์ ไปเสพสุขกับเกียรติยศความร่ำรวย จะเลือกทางไหนก็ได้ คนที่เลือกทางแรกก็ไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว ส่วนคนที่เลือกทางที่สองก็กล่าวอำลาแม่เฒ่าลวี่ซะ หลังจากนี้ออกจากสวนกลางเขียวขจีไป ด้านนอกสวนจะมีคนมารับไปโดยเฉพาะ จะเลือกไปกับใครก็ไม่บังคับ ทุกอย่างแล้วแต่ตัวเองจะปรารถนา! ให้เวลาทุกคนไตร่ตรองสามวัน สามวันหลังจากนี้ คนที่ไม่ออกไปก็แสดงว่าเต็มใจจะอยู่ทำงานที่สวนกลางเขียวขจีไปทั้งชีวิต!”
บรรดาสาวงามนับไม่ถ้วนทยอยซุบซิบกัน เหมือนจะวุ่นวายเล็กน้อย อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว
หยางชิ่งพูดจบแล้วหันไปมองแม่เฒ่าลวี่ที่ยืนเงียบ กลับมาใช้น้ำเสียงปกติพูดว่า “แม่เฒ่าลวี่ จัดการอย่างนี้ ก็ถือว่าฝ่าบาทยอมถอยให้มากที่สุดแล้ว จะอยู่หรือไปก็ตามใจพวกนาง ฝ่าบาทไม่ฝืนใจอะไรทั้งนั้น แบบนี้ท่านพอใจหรือยัง?”
แม่เฒ่าลวี่โค้งตัวเล็กน้อย “รบกวนนายท่านแล้ว”
หยางชิ่งหันไปกุมหมัดคารวะอีกเฟยหง กล่าวอำลากันตรงนี้ ก่อนไปกวาดตามองสาวงามที่รวมตัวกันอย่างหนาแน่นแวบหนึ่ง มุมปากแสยะยิ้มเล็กน้อย
เฟยหงมองเขาจะไปอย่างงงงัน แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วเหรอ?
ทว่าใช้เวลาไม่นาน จู่ๆ เฟยหงก็ได้รับข่าวจากอวิ๋นจือชิว ให้นางกลับไปที่วังสวรรค์ แยกนางออกจากสวนกลางเขียวขจี นางจะได้ไม่สร้างอิทธิพลใดๆ เพิ่ม
หลังจากนั้นครึ่งวัน มีคนทยอยเดินมาใกล้ๆ บ้านต้นไม้ของแม่เฒ่าลวี่ เหมือนไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ จนกระทั่งรวมตัวกันได้สิบกว่าคน ทุกคนถึงได้รวบรวมความกล้ามาหา
ใต้ต้นไม้ที่มีโต๊ะและเก้าอี้อย่างละหนึ่งตัว แม่เฒ่าลวี่นั่งมองพวกนางเงียบๆ ถามด้วยสีหน้าทนไม่ไหวว่า “พวกเจ้าเต็มใจที่จะปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นวัตถุที่ถูกคนนั้นเชยชมทีคนนี้เชยชมทีจริงๆ น่ะหรือ? ต่อให้พวกเจ้าจะลำบากแค่ไหนแต่ก็เคยเป็นสนมของฝ่าบาทนะ ยินดีที่จะรับความอัปยศนี้เชียวหรือ?”
ผู้หญิงคนหนึ่งตอบว่า “แม่เฒ่า ฝ่าบาทตายไปแล้ว ถ้าเรียกฝ่าบาทอะไรนั่นอีกระวังจะหาเรื่องใส่ตัวนะ แม่เฒ่าโปรดระวังคำพูดไว้จะดีกว่า”
ผู้หญิงอีกคนบอกว่า “ตอนที่ฝ่าบาทยังมีชีวิตอยู่ เคยเห็นพวกเราเป็นสนมจริงๆ หรือเปล่าล่ะ ฝ่าบาทถึงขั้นไม่เคยชายตาแลพวกเราด้วยซ้ำ ถ้ามีคนเห็นความสำคัญของพวกเราจริง เอ็นดูเราเหมือนผู้หญิงของเขาจริงๆ แล้วจะมีอะไรไม่ดีล่ะ?”
มีผู้หญิงอีกคนบอกว่า “ทำงานจิปาถะอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิตไม่ใช่การสร้างความประหยัดให้ตัวเองหรอกหรือ? แม่เฒ่า พวกเราเข้าใจความคิดของท่านนะ บางทีท่านอาจรู้สึกว่าพวกเราเลือกแบบนี้อาจจะไร้ยางอาย แต่ใครจะไม่ปรารถนาถึงชีวิตที่ดีงามบ้างล่ะ การปรารถนาชีวิตที่ดีงามไม่ได้แปลว่าพวกเราเป็นคนเลว พวกเราไม่เคยทำเรื่องผิดอะไร ไม่เคยทำร้ายใครด้วย แค่อยากจะใช้ชีวิตที่ดีเท่านั้นเอง ไม่อยากเป็นแค่คนทำงานจิปาถะไปทั้งชีวิต นับเป็นความผิดเชียวหรือ?”
…………………………
ไม่น่าชื่อว่าจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าตนในวังสวรรค์ที่มีกำลังทหารเฝ้าป้องกันมากมายได้ เหมียวอี้ระมัดระวังตัวอย่างสูงแล้ว ไม่คิดว่าอีกฝ่ายกลัวคุกเข่าลงกะทันหัน ทั้งยังร้องขอให้ไว้ชีวิตด้วย เขาไม่ค่อยเข้าใจ จึงถามเสียงต่ำว่า “เจ้าเป็นใคร?”
คนที่อยู่ในชุดคลุมมีหมวกสีดำตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่าที่เจือความหวาดกลัว “ผู้น้อยคือวิญญาณอาวุธ ถือกำเนิดจากวังสวรรค์ที่สร้างโดยการรวบรวมพลังปรารถนาของสรรพสิ่ง”
“…” เหมียวอี้ตะลึงค้าง พอนึกถึงภาพที่อีกฝ่ายปรากฏตัวออกมาเมื่อครู่นี้ ก็เชื่อไปแล้วเก้าส่วน ถามด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “จะพิสูจน์ได้ยังไง?”
คนในชุดคลุมมีหมวกสีดำกางแขนสองข้างเบาๆ เหมียวอี้มองไปรอบๆ ทันที เห็นเพียงบนพื้นมีดอกไม้บาน พื้นสีขาวบริสุทธิ์มีดอกบัวโผล่ขึ้นมาดอกแล้วดอกเล่า ชั่วพริบตาเดียวตึกสูงก็มีดอกบัวนับร้อยเบ่งบานอย่างมีชีวิตชีวา ราวกับแกะสลักจากหินหยก ทั้งหมดล้วนก่อตัวจากร่างจริงของพลังปรารถนาสรรพสิ่ง เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบไร้เสียง
เหมียวแอบตกใจ เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายแล้ว สามารถควบคุมร่างจริงของพลังปรารถนาได้แบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พลังอิทธิฤทธิ์สามารถทำได้
หลังจากเกิดปรากฏการณ์อัศจรรย์ คนชุดดำก็วางสองมือลงอีก “ขอเพียงฝ่าบาทเต็มใจ ผู้น้อยสามารถทำให้วังสวรรค์เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปได้นับพันหมื่น ให้กลายเป็นสิ่งปลูกสร้างรูปแบบใดๆ ก็ได้ที่ฝ่าบาทต้องการ ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องสร้างวังสวรรค์ใหม่”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วทำไมประมุขชิงไม่พาเจ้าไปด้วย?” เหมียวอี้ไม่แน่ใจ
คนชุดดำตอบว่า “วังสวรรค์คือร่างเดิมของผู้น้อย ถ้าผู้น้อยออกจากวังสวรรค์ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ ประมุขชิงให้ผู้น้อยรออยู่ที่นี่ บอกว่าให้รอข่าวจากเขา แต่ตอนนี้เขาตายไปแล้ว”
“เจ้ามีความสามารถนี้ สามารถซ่อนตัวโดยไม่ออกมาได้เลย ทำไมออกมาร้องขอชีวิต?” เหมียวอี้ถาม
“ฝ่าบาทบอกว่าจะรื้อวังสวรรค์ ไม่ต่างอะไรกับการเอาชีวิตผู้น้อย ทำได้เพียงรวบรวมความกล้ามาวิงวอนฝ่าบาท ขอร้องให้ฝ่าบาทเมตตา!” คนชุดดำตอบ
“แล้วทำไมข้าต้องช่วยเจ้า?” เหมียวอี้ถาม
คนชุดดำหวาดกลัวจนตัวสั่น โขกศีรษะกับพื้น “ฝ่าบาท ผู้น้อยเป็นวิญญาณอาวุธของวังสวรรค์ ความเคลื่อนไหวใดๆ ในวังสวรรค์มิอาจปิดบังหูตาข้าน้อยได้ หากฝ่าบาทเก็บผู้น้อยไว้รับใช้ ผู้น้อยสามารถจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวในวังสวรรค์ให้ฝ่าบาทได้”
พอเหมียวอี้ได้ยินอย่างนี้ ก็เข้าใจแล้วว่าการที่ประมุขชิงให้เขารอฟังข่าวอยู่ที่นี่หมายความว่าอะไร ถ้าประมุขชิงรบแพ้แล้วหนีไปได้ วิญญาณอาวุธนี้ก็คือสายลับที่ดีที่สุดของประมุขชิง ถ้าตัวเองเข้ามาอยู่ในวังสวรรค์เมื่อไร ทุกการเคลื่อนไหวของตัวเองในวังสวรรค์ก็ไม่มีทางปิดบังประมุขชิงได้เลย เป็นข่าวกรองที่ดีที่สุดในการพลิกกระดานของประมุขชิง
คนชุดดำพูดต่อว่า “ผู้น้อยยังมีพรสวรรค์อีกอย่าง ผู้น้อยสามารถนำเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่สะสมในร่างกายนักพรตออกมาได้”
ชั่วพริบตานั้น เหมียวอี้เข้าใจแล้วว่าคนชุดดำที่อู่หนิงพูดถึงหมายถึงใคร หรี่ตาถามว่า “เจ้าเคยขับเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาออกจากร่างกายใครมาก่อนหรือเปล่า?”
คนชุดดำตอบเหมือนซื่อสัตย์จริงใจมาก “องครักษ์! องครักษ์ของประมุขชิงฝึกวิชามารที่สามารถเพิ่มวรยุทธ์ได้เร็วมาก เนื่องจากรีบร้อนให้สำเร็จ ทำให้เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่สะสมในร่างกายแว้งกัดได้ง่ายมาก เป็นผู้น้อยที่ช่วยแก้ไขให้มาตลอด”
“เงยหน้าขึ้นมา!” เหมียวอี้พลันตะคอก
คนชุดดำตกใจจนตัวสั่น รีบเงยหน้าขึ้นมา ทำให้ทหารยามที่เฝ้าอยู่แถวนั้นตกใจเช่นกัน รีบถลันตัวเข้ามา
เหมียวอี้โบกมืออย่างดุดันเข้มงวด ทหารยามที่เหาะเข้ามารีบถอยไป สายตาของเหมียวอี้จับจ้องบนใบหน้าคนชุดดำ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นสาวน้อยคนหนึ่ง เพียงแต่ในดวงตาทั้งคู่ไม่มีตาขาว มีเพียงตาดำเท่านั้น เหมือนอัญมณีสีดำขลับ ดูค่อนข้างแปลกประหลาด
เหมียวอี้พลันถลันตัวออกมา ใช้สองนิ้วแตะไปบนร่างกายอีกฝ่าย ควบคุมไม่ให้อีกฝ่ายกระดิกกระเดี้ย เพลิงจิตสายหนึ่งกรอกเข้าไปในร่างกายอีกฝ่าย
“อา!” คนชุดดำเผยสีหน้าเจ็บปวดทรมานทันที พอกรีดร้องออกมาได้เพียงครึ่งเสียง ก็โดนเหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับไว้แล้ว ตกอยู่ในความทรมานถึงขีดสุด ตัวสั่นอย่างรุนแรงเพราะถูกทรมาน ราวกับถูกหลอมละลาย
จนกระทั่งทดสอบวรยุทธ์ของอีกฝ่ายได้ เหมียวอี้ถึงได้เก็บเพลิงจิตกลับมา ส่วนคนชุดดำก็นอนเป็นอัมพาตไปกับพื้น…
อุทยานหลวง ทางเข้าสวนกลางเขียวขจี ซูอวิ้นที่กำลังจะเดินเข้ามาเจอกับเฟยหงพอดี จึงรีบทำความเคารพ
หลังจากทักทายอันแล้ว เฟยหงก็นำทหารอารักขาเหาะออกไป ไปที่วังสวรรค์แล้ว แต่ซิงกลับยังอยู่ที่นี่
สายตาของซูอวิ้นย้ายกลับมาจากคนที่เหาะขึ้นไปบนฟ้า มองไปที่ซิงแล้วถามว่า “เรียกข้ามามีเรื่องอะไร?”
“พี่ซู เดินเล่นด้วยกันสักหน่อยเถอะ!” ซิงมองไปยังลำธารเล็กๆ ระหว่างภูเขานอกสวนกลางเขียวขจี เลยยื่นมือเชิญให้ไปด้วยกัน
ซูอวิ้นพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินเคียงข้างกันไปยังจุดที่มีภูเขาเขียวน้ำใส ออกจากสวนกลางเขียวขจีไปไกลพอสมควร ซูอวิ้นถามพร้อมรอยยิ้มว่า “พูดได้หรือยัง?”
“เผ่าอสรพิษดำของข้าประสบปัญหา ทัพใหญ่ของฝ่าบาทเข้ามาในสระน้ำมังกรดำแล้ว…” หลังจากซิงเล่าสถานการณ์โดยละเอียดให้ฟัง ก็หยุดเดินแล้วมองนาง
ซูอวิ้นก็หยุดเดินแล้วเช่นกัน ทอดสายตามองไปไกล “เฮ้อ!” แล้วถอนหายใจเบาๆ “คนปกครองใต้หล้ากับคนที่บุกยึดใต้หล้า ความคิดไม่เหมือนกันจริงๆ ด้วย”
“พี่ซูเป็นคนที่มีทัศนคติกว้างไกล คุ้นเคยกับสถานการณ์ของฝั่งนี้ด้วย ตอนนี้เผ่าอสรพิษดำประสบปัญหานี้ เลยตั้งใจมาขอคำชี้แนะจากพี่สาว ว่าควรจะแก้ไขปัญหานี้ยังไง” ซิงกล่าว
ซูอวิ้นจ้องไปตรงจุดไกลๆ อย่างไม่วอกแวก แล้วถามเสียงเบาว่า “ซิง เจ้าไม่เข้าใจหลักการราษฎรเดิมไร้ความผิด แต่ผิดเพราะมีหยกในครอบครอง[1]เหรอ? จุดที่พิเศษของเผ่าอสรพิษดำอยู่ตรงไหนเจ้าก็น่าจะเข้าใจ ก่อนหน้านี้ตอนอำนาจหลายฝ่ายคานอำนาจกันก็ยังสามารถแบ่งสรรปันส่วนกันได้ เผ่าอสรพิษดำต้องรับมืออยู่กับอำนาจหลายฝ่ายก็เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ล่ะ? ฝ่าบาทรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียว มีหรือที่จะนิ่งดูดายปล่อยให้สถานการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นอีก? ย่อมต้องมีอำนาจที่จะแบ่งสรรอยู่แล้ว!”
ซิงตอบว่า “หลักการน่ะข้าเข้าใจ ข้ารายงานไปที่ฝ่าบาทแล้ว ต่อไปนี้น้ำตากลั่นที่ได้มาจากเผ่าอสรพิษดำต้องส่งมอบให้ตำหนักสวรรค์ทั้งหมด แต่ฝ่าบาทก็ยังบอกว่าต้องทำตามหน้าที่ บอกว่าสืบเจอความจริงแล้วจะชี้แจงต่อเผ่าอสรพิษดำ กับเรื่องแบบนี้จะเอาจริงเอาจังได้ยังไง? ถ้าเอาจริงเอาจัง เผ่าอสรพิษดำจะต้องมีคนที่มีความสัมพันธ์คลุมเครือกับชิงและพุทธะแน่นอน”
ซูอวิ้นหันกลับมาจ้องแววตาที่กระวนกระวายของนาง แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “สมบัติของตำหนักสวรรค์กับทรัพย์สินที่ฝ่าบาทมีไว้ครอบครองส่วนตัวเหมือนกันเหรอ? สมบัติของตำหนักสวรรค์จะต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมและจัดการตามขั้นตอน ส่วนทรัพย์สินส่วนตัวของฝ่าบาท ก็เป็นฝ่าบาทพี่จัดการเองคนเดียว! ก่อนหน้านี้เผ่าอสรพิษดำไม่ได้เป็นของอำนาจฝ่ายใด แต่อยู่ระหว่างความคลุมเครือ เข้าใจหรือเปล่า?”
“ฝ่าบาทคิดจะถือน้ำตากลั่นไว้ในมือตัวเองคนเดียวหรอ?” ซิงถาม
ซูอวิ้นช่วยให้นางเข้าใจแจ่มแจ้ง “ต้องการจะกุมแหล่งกำเนิดน้ำตากลั่นไว้ในมือตัวเองคนเดียว เผ่าอสรพิษดำ!”
ซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “ขอเพียงเขาสามารถปกป้องเผ่าอสรพิษดำของข้าได้ คนทั้งเผ่าพึ่งพาเขาคนเดียวก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร กลับเป็นเรื่องดี ข้าจะไปปรึกษากับคนในเผ่าเดี๋ยวนี้”
ซูอวิ้นส่ายหน้า “เรายังไม่เข้าใจทั้งหมด คนที่นั่งในตำแหน่งเดียวกับฝ่าบาทไม่อาจแสดงความละโมบมากเกินไปได้ ถ้าเผ่าอสรพิษดำจะไปสวามิภักดิ์โดยตรง ก็มีแต่ต้องสวามิภักดิ์ต่อตำหนักสวรรค์เท่านั้น มีเรื่องบางเรื่องที่ฝ่าบาทไม่สะดวกจะทำอย่างสง่าผ่าเผย ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองเวลาอย่างนี้หรอก ไปเจรจากับเผ่าอสรพิษดำโดยตรงก็สิ้นเรื่อง ยังจะกลัวเผ่าอสรพิษดำไม่ยอมอีกเหรอ? แต่เป็นเพราะในนั้นมีสาเหตุที่ยากจะเอ่ยปากบอกได้ เป็นไปไม่ได้ที่ฝ่าบาทจะเอ่ยปาก ต้องให้เผ่าอสรพิษดำเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เข้าใจไหม?”
“ยากจะเอ่ยปาก?” ซิงขมวดคิ้วครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างไม่แน่ใจ “น้องสาวซื้อบื้อ พี่ซูโปรดชี้แนะมาโดยตรงว่าควรจะทำยังไง”
ซูอวิ้นจ้องนางอย่างเห็นอกเห็นใจครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ก็อย่างที่บอก ถ้าเผ่าอสรพิษดำจะสวามิภักดิ์ ก็ทำได้เพียงสวามิภักดิ์ต่อตำหนักสวรรค์เท่านั้น ไม่อย่างนั้นถ้าฝ่าบาทฮุบส่วนตัวก็จะฟังดูเหลวไหล ทุกสิ่งในใต้หล้าล้วนเป็นของฝ่าบาท ทำไมถึงให้เป็นส่วนรวมไม่ได้ล่ะ? ดังนั้นฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องให้เผ่าอสรพิษดำไปสวามิภักดิ์ต่อตำหนักสวรรค์ เผ่าอสรพิษดำเองก็จะสวามิภักดิ์ต่อเขาอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้…ข้าพูดกับเจ้าอย่างนี้แล้วกัน ยกตัวอย่างเช่นให้ใครสักคนของเผ่าอสรพิษดำที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งแต่งงานเป็นสนมของฝ่าบาท สนมคนนี้ก็สามารถเป็นตัวแทนควบคุมเผ่าอสรพิษดำได้ แล้วจากนั้นฝ่าบาทก็อ้างเหตุผลได้ว่าในปีนั้นเผ่าอสรพิษดำได้สร้างผลงานการรบไว้ ให้สัญญาไว้แล้วว่าจะประทานดินแดนให้เผ่าอสรพิษดำ ไม่ยึดเผ่าอสรพิษดำเข้ามาไว้ในตำหนักสวรรค์ แล้วเผ่าอสรพิษดำก็เป็นแค่เผ่าของสนมท่านนั้น ไม่ใช่อยู่ในสังกัดของตำหนักสวรรค์ สนมท่านนั้นกลายเป็นสนมรักของฝ่าบาทแล้ว ใครยังจะกล้าบีบบังคับให้เผ่าอสรพิษดำนำน้ำตากลั่นมาแลกเปลี่ยนได้อีก แหล่งที่มาของน้ำตากลั่นก็ย่อมถูกควบคุมอยู่ในมือฝ่าบาทไปโดยปริยาย เข้าใจหรือยัง?”
ซิงสีหน้าเปลี่ยนทันที ในที่สุดก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว นางผิดหวัง พูดไม่ออก
ซูอวิ้นยิ้มเจื่อน “ที่จริงเรื่องนี้เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องถามข้า ต่อให้ข้าไม่บอก ต่อไปก็ถึงเวลาสุดแผนที่ปรากฏมีดสั้น เมื่อเห็นเผ่าอสรพิษดำยังไม่เข้าใจ ก็ย่อมมีคนแอบเตือนเผ่าอสรพิษดำเอง”
วังสวรรค์ อวิ๋นจือชิวเดินเล่นอยู่ในสวนป่าที่ทิวทัศน์งดงาม เฟยหงเดินตามพูดพร่ำอยู่ข้างหลัง
พอเดินมาถึงศาลาริมน้ำแห่งหนึ่ง อวิ๋นจือชิวก็ยืนพิงระเบียง ถอนหายใจแล้วบอกว่า “น้องสาว เจ้าทำให้ข้าลำบากใจนะ!”
เฟยหงจนใจมาก “เหนียงเหนียง ท่านแม่บุญธรรมขอร้องครั้งแล้วครั้งเล่า ฝ่าบาทก็ไม่ยอมอนุญาต เฟยหงเองก็หมดหนทางแล้วจริงๆ เพคะ คิดไปคิดมา ก็มีแต่เหนียงเหนียงที่แก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ เฟยหงทำได้เพียงแบกหน้ามาขอร้องไห้เหนียงเหนียงเมตตา”
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าเบาๆ “น้องสาว ต่อให้ฝ่าบาทมีเมตตาปล่อยพวกนางไป เจ้าคิดว่าด้วยความงามของพวกนาง จะทำให้อยู่ได้อย่างอิสระเหรอ? ผลสุดท้ายก็ต้องตกอยู่ในมือผู้มีอำนาจ คนธรรมดาทั่วไปไม่มีวาสนาได้เสพสุขกับความงามระดับนี้หรอก แม่เฒ่าลวี่ทำอย่างนี้มีความหมายเหรอ? ผู้หญิงพวกนั้นไม่ใช่แค่สนมนักโทษธรรมดา แต่กลายเป็นผลงานการรบที่ถูกจับจองจากสายตาคนมากมายไปแล้ว มีคนมากมายอยากจะเสพสุขจากผลพวงนี้ ศึกใหญ่เพิ่งจบไป เป็นเวลาที่จะประทานรางวัลปลอบขวัญ เนื้อติดมันชิ้นนี้ ถ้าฝ่าบาทจะยอมทิ้งโดยไม่ประทานให้เบื้องล่าง ทำแบบนี้เหมาะสมแล้วหรือ? ถ้าไม่ปล่อยไป เลี้ยงทั้งหมดไว้ที่สวนกลางเขียวขจี ไม่ว่าฝ่าบาทจะอธิบายยังไง และไม่ว่าฝ่าบาทจะทำยังไง แต่ใครจะเชื่อว่าฝ่าบาทจะไม่ยุ่ง? คนอื่นจะพากันนึกว่าฝ่าบาทอยากจะเก็บไว้คนเดียว แล้วจะให้คนอื่นมองฝ่าบาทยังไง? ฝ่าบาทจะไม่กลายเป็นทรราชมั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม เห็นสตรีแล้วลืมศีลธรรมหรอกหรือ?”
เฟยหงก้มหน้าเงียบๆ กล่าวเสียงต่ำว่า “เหนียงเหนียงอาจจะยังไม่ทราบ ที่จริงตอนแรกท่านแม่บุญธรรมมองออกตั้งนานแล้วว่าเฟยหงทรยศหน่วยตรวจการซ้าย แต่ท่านแม่บุญธรรมก็ไม่ได้เปิดโปงให้ประมุขชิงทราบแม้แต่น้อย จะว่าไปแล้วไม่เพียงแค่ช่วยชีวิตเฟยหง แต่ช่วยงานของฝ่าบาทได้มาก เรื่องนี้ฝ่าบาทก็ทราบดี”
อวิ๋นจือชิวชะงักไป หันตัวกลับมาช้าๆ เล่นเนิบนาบเลียบศาลากลางน้ำ แล้วสุดท้ายก็ถอนหายใจ “เจ้านี่นะ ทำไมกลายเป็นคนตรงไปตรงมาเสียแล้ว ช่างเถอะ จะว่าไปแล้วน้องสาวก็เป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตร ในเมื่อน้องสาวพูดถึงขั้นนี้แล้ว แล้วก็ไม่ค่อยขอร้องข้าด้วย ถ้าข้ายังไม่ช่วยอีก ก็จะฟังดูเหลวไหลเกินไป แต่ข้าต้องบอกไว้ก่อนเลยนะ เรื่องบางเรื่องควรจะทำยังไง ฝ่าบาทย่อมมีดุลพินิจเป็นของตัวเองแล้ว ถ้าไม่สะดวกจะก้าวก่ายเรื่องนี้ลึกเกินไป ทำได้เพียงช่วยขอร้องให้เจ้า ส่วนฝ่าบาทจะตอบตกลงหรือไม่นั้น ข้าก็รับประกันให้เจ้าไม่ได้!”
“ขอบพระทัยเหนียงเหนียง!” เฟยหงพยักหน้าขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจมาก ขอเพียงอวิ๋นจือชิวเอ่ยปากก็พอแล้ว อย่างน้อยถ้าอวิ๋นจือชิวเอ่ยปากก็ยังพอมีความหวัง
อวิ๋นจือชิวเอานิ้วจิ้มหน้าผากเฟยหงเบาๆ แล้วบ่นว่า “จะทำยังไงกับเจ้าดีนะ ไปกับข้าเถอะ”
นอกตำหนักดาราจักร เฟยหงรอฟังข่าวอยู่ข้างนอกชั่วคราว
ในตำหนัก เหมียวอี้กำลังปรึกษากับหยางชิ่งเรื่องกำลังพลแดนอเวจี จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็มาพูดแทรกแบบนี้ ทำให้เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “ข้าไม่แตะต้องนาง ให้นางอยู่ที่สวนกลางเขียวขจีอย่างสงบสุขปลอดภัย ก็เพราะเห็นแก่ความดีที่นางทำในตอนแรก นางยังไม่รู้จักพออีกใช่ไหม?”
อวิ๋นจือชิวมองเขาพลางยิ้มอย่างเป็นกันเอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทำให้เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน
“ประมุขชิงจะไม่รู้เชียวหรือว่าถ้าสนมนักโทษพวกนั้นตกอยู่ในมือศัตรูแล้วจะมีจุดจบเป็นยังไง คนที่สามารถทำให้ประมุขชิงวางดาบไว้ชีวิตคนในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายได้ แม่เฒ่าลวี่คนนี้มีประวัติความเป็นมายังไงกันแน่?” กลับเป็นหยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามอย่างสงสัย
เมื่อเขาพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็ตื่นตัวโดยพลัน มีเรื่องให้คิดเยอะมากเกินไป ถ้าไม่เอ่ยถึงก็ไม่ได้คิดไปทางนั้นเลยจริง
หยางชิ่งเตือนว่า “ฝ่าบาท คาดว่าซือหม่าเวิ่นเทียนคงจะรู้เรื่องนี้ชัดเจน”
…………………………
[1] 匹夫无罪,怀璧其罪 ราษฎรเดิมไร้ความผิด แต่ผิดเพราะมีหยกในครอบครอง ราษฎรไม่มีปัญญาครอบครองหยก ถ้ามีในครอบครองแสดงว่าขโมยมา อุปมาว่าผู้ที่มีความสามารถหรืออุดมการณ์มักโดนทำร้าย
พอเฟยหงมาถึง เสือสิงห์กระทิงแรดที่จ้องสาวงามตาเป็นมันอยู่ด้านนอกก็สงบเสงี่ยมทันที มีเฟยหงมาคุมที่นี่ ต่อให้กล้าขนาดไหนก็ไม่กล้าบุกเข้ามาแล้ว
เพียงแต่คนที่ทอดถอนใจก็มี มีคนมากมายเขาใจดี ว่าเวลานี้กฎใหม่ยังไม่ถูกตั้งขึ้น ขอเพียงไม่ขัดคำสั่งทางทหาร กับบางสิ่งถ้าจะใช้กลยุทธ์จูงแพะติดมือ เบื้องบนก็จะแกล้งปิดตาข้างเดียว สิ่งใดที่เรียกว่าไม่ขัดคำสั่งทหารล่ะ? ก็คือสิ่งที่เบื้องบนไม่ได้ห้ามให้เจ้าไปทำไงล่ะ สำหรับเรื่องสนมนักโทษที่อุทยานหลวง เหมือนเบื้องบนทรายยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไร
เวลาทำศึกสงครามข้างนอก แล้วถือโอกาสปล้นของบนตัวศพรวยๆ เบื้องบนก็จะปิดตาข้างเดียว เรื่องบางเรื่องเห็นได้ชัดว่ากำลังให้ท้ายอย่างเงียบๆ ในเวลานี้เบื้องบนไม่สะดวกจะลงโทษกำลังพลที่สร้างผลงานการรบมากขนาดนี้ ทุกคนถือศีรษะไปเสี่ยงตายทำงานรับใช้ จะไม่ได้รับผลประโยชน์บ้างได้อย่างไร การตบรางวัลตามผลงานหลังจากจบเรื่องแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกันหมด เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนพอใจ ในเวลานี้การส่งเสริมให้ท้ายก็เป็นเรื่องที่จำเป็นเช่นกัน ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เบื้องบนก็จำเป็นต้องจับจุดอ่อนบางอย่างไว้ ถ้าหลังจากนี้มีคนไม่พอใจกับรางวัลที่ได้รับ เช่นนั้นก็ต้องพิจารณาแล้วว่าเรื่องปล้นสะดมที่เจ้าทำควรจะเอาเรื่องหรือไม่
ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องตีให้พังแล้วสร้างขึ้นใหม่ โอกาสที่เบื้องบนไม่ยอมปิดตาข้างเดียวแบบนี้ ในภายหลังจะไม่มีอีกแล้ว เมื่อกฎกติกาใหม่ถูกสร้างขึ้นมา ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็จะต้องรักษากฏไว้แน่นอน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนต้องทำตามกฎกติกา ทุกคนอยากจะทำอย่างนี้อีกก็ไม่กล้าแล้ว
ส่วนกำลังพลที่เคลื่อนทัพมาบริเวณวังสวรรค์ จะมีใครกล้าคิดไม่ซื่อกับวังสวรรค์เชียวหรือ? ไม่มีทรัพยากรอะไรให้ตักตวง สายตาก็ย่อมเพ่งเล็งมาที่อุทยานหลวง พวกท้อเซียนก็ถูกเด็ดขโมยไปหมดเกลี้ยงแล้ว ต่อให้รู้ว่าเป็นฝีมือของกำลังพลเบื้องล่าง แต่ต่อไปเหมียวอี้ก็ไม่มีทางเอาเรื่องลูกน้องเพราะเรื่องเล็กน้อยอย่างการขโมยท้อเซียน หลังจากได้สิ่งที่สมควรจะได้มาไว้ในมือแล้ว ทุกคนก็ย่อมเพ่งเล็งไปที่ผู้หญิงในสวนกลางเขียวขจี สำหรับผู้ชายเหล่านี้ นี่คือของดียิ่งกว่ารางวัลใดๆ ต่างก็อยากจะกอบโกยกลับไปปรนนิบัติตัวเอง
แต่สวนกลางเขียวขจีดันมีแม่เฒ่าลวี่คุมอยู่ แม่เฒ่าลวี่คือท่านแม่บุญธรรมของเฟยหง ทำให้ทุกคนหวั่นเกรง ไม่อย่างนั้นคงถูกชิงไปหมดตั้งนานแล้วมีหรือที่จะรอจนถึงตอนนี้
“ฝ่าบาทหมายความว่ายังไง?” แม่ทัพภาคเสิ่นที่ออกจากสวนกลางเขียวขจีพึมพำ
ลูกน้องคนหนึ่งถามว่า “ฝ่าบาทคงจะไม่เก็บไว้เสพสุขเองทั้งหมดหรอกใช่มั้ย?”
แม่ทัพภาคเสิ่นส่ายหน้า “ถ้าฝ่าบาทได้กินเนื้อแล้วไม่แบ่งแม้กระทั่งน้ำแกงให้ลูกน้องเลยสักคำ แบบนั้นก็เกินไปแล้ว! น่าเสียดาย ถ้าตอนนี้พวกเราคว้ามาไม่ได้ ต่อไปนี้พวกเราก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ต่อไปสายตาของกลุ่มคนเบื้องบนก็จะจับจ้องมาที่นี่ ของดีจริงๆ มีหรือที่จะมาแบ่งกับพวกเรา เป็นเพราะขี้ขลาดลงมือช้าไปหน่อย…”
ในสวนกลางเขียวขจี เฟยหงพูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบอยู่ข้างกายแม่เฒ่าลวี่ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ท่านแม่บุญธรรม ท่านจะลำบากขนาดนี้ทำไม?”
นางไปขอร้องต่อหน้าเหมียวอี้เพื่อเรื่องนี้ แต่ถึงแม้จะทำอย่างนั้น เหมียวอี้ก็ยังไม่รับปาก ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้ชัดอยู่แก่ใจ ว่าแม่เฒ่าลวี่ไม่อาจปกป้องคนพวกนี้ไว้ได้ นางมาที่นี่ด้วยตัวเองก็ยังพอปกป้องไว้ได้ชั่วคราว
แม่เฒ่าลวี่เข้าใจสิ่งที่นางถาม ตอบช้าๆ ว่า “เดิมทีทั้งหมดล้วนเป็นคนตาย เป็นข้าเองที่ไปพูดกับประมุขชิงเพื่อปกป้องพวกนาง เรื่องที่รับปากไว้แล้วก็ย่อมต้องทำให้ดีที่สุด”
เฟยหงกลุ้มใจ “ท่านแม่บุญธรรม เรื่องเปลี่ยนยุคสมัยไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะแทรกแซงได้เลยจริงๆ ท่านได้ยินเรื่องแบบนี้มาน้อยเสียที่ไหนกัน?”
ที่จริงเรื่องแบบนี้ตระกูลของนางก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ในปีนั้นที่ตระกูลไท่ซูถูกยึด มีคนตั้งเท่าไหร่ที่หัวหลุดลงพื้น มีคนไม่น้อยที่ได้รับความอัปยศเต็มที่ ยังไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ยกตัวอย่างเช่นมารดานาง หลินอ้าวเสวี่ย คนที่งดงามระดับนั้นถูกกักบริเวณไว้ในสถานที่แบบนั้น พวกทหารยามที่สามารถตัดสินความเป็นความตายจะเป็นคนดีกันหมดเชียวหรือ? จะหลบเลี่ยงไม่ให้โดนหยามเกียรติได้อย่างไร เพียงแต่เรื่องแบบนี้ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ ถึงไม่ไปถามหลินอ้าวเสวี่ย ไม่อย่างนั้นจะให้หลินอ้าวเสวี่ยทนความรู้สึกได้อย่างไร เรื่องบางเรื่องไม่มีทางเลือกจริงๆ ได้แต่ทำเป็นไม่เห็นและไม่รู้
ลองพูดถึงตัวนางเอง ก็ตกต่ำถึงขั้นไปอยู่ในหอนางโลมแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะโชคดีเจอกับเหมียวอี้ แค่คิดก็รู้ว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร บางครั้งลองนึกย้อนไป แม้แต่ตัวนางเองก็ยังรู้สึกว่าตัวเองช่างดวงดีจริงๆ ได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่ดีต่อนาง โชคชะตาที่ตกต่ำเหมือนอยู่ในนรกพลิกผันเยอะมาก
แม่เฒ่าลวี่ถอนหายใจเบาๆ “นางหนู เรื่องบางเรื่องยายแก่คนนี้ก็แค่ถามความตั้งใจเดิมของตัวเอง ดังนั้นต้องทำให้เต็มที่ เจ้าต้องช่วยค่าคิดหาทางด้วย! ตอนนี้นอกจากเจ้าแล้ว คงไม่มีใครไว้หน้ายายแก่คนนี้หรอก ข้าทำได้เพียงขอให้เจ้าช่วย”
เฟยหงเม้มริมฝีปาก เรื่องนี้ทำให้น้องลำบากใจจริงๆ แต่ก็ยากที่จะปฏิเสธคำขอของแม่เฒ่าลวี่ ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นท่านแม่บุญธรรมของตัวเอง แต่เป็นเพราะตอนแรกแม่เฒ่าลวี่มองออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหนิวโหย่วเต๋อ แต่กลับไม่เปิดโปง เรืองนี้ไม่ใช่แค่ช่วยนางไว้ เท่ากับช่วยชีวิตมารดาของนางไว้ด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องนั้นถูกเปิดโปง มารดาของนางคงจะไม่มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว มีหรือที่จะอยู่ถึงตอนหลังให้คนช่วยออกมา
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็ตอบอย่างลังเลว่า “ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ คนที่สามารถกดดันให้ฝ่าบาทยอมถอยได้ คนที่สามารถขู่ขุนนางใหญ่ทุกคนได้ เกรงว่าจะมีแค่ราชินีสวรรค์แล้ว ข้าจะคิดหาทางไปขอร้อง ส่วนผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นยังไง ข้าก็รับประกันไม่ได้ค่ะ”
“ราชินีสวรรค์…” แม่เฒ่าลวี่พึมพำ นางนึกถึงเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ แล้วถามว่า “ยังขู่พวกขุนนางใหญ่ทุกคนได้ด้วยเหรอ? อวิ๋นจือชิวมีอิทธิพลมากขนาดนี้เชียวหรือ?”
เฟยหงพยักหน้าเบาๆ “ฝ่าบาทไม่ใช่คนละเอียดขนาดนั้น มีหลายเรื่องที่ต้องให้เหนียงเหนียงช่วยจัดการด้วยตัวเอง ในด้านนี้เหนียงเหนียงก็ถือเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ แม้เหนียงเหนียงจะรับผิดชอบงานจิปาถะ แต่ก็ไม่เคยสร้างปัญหายุ่งยากอะไรให้ฝ่าบาทเลย สามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างเหมาะสม ภายนอกดูเหมือนเหนียงเหนียงไม่มีอำนาจทางทหาร แต่ความจริงแล้วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง มีหลายเรื่องที่เหนียงเหนียงมีอำนาจแทรกแซงโดยตรง ที่จริงช่องทางรายได้ต่างๆ ล้วนถูกควบคุมอยู่ในมือเหนียงเหนียง บรรดาภรรยาของแม่ทัพหลายคนก็เป็นเหนียงเหนียงนี่แหละที่เป็นแม่สื่อดว้ยตัวเอง เหนียงเหนียงเข้าสังคมเก่งมากด้วย ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งร่วมกัน ใช้ทั้งพระเดชพระคุณ ลูกน้องของฝ่าบาทไม่ว่าจะเป็นทหารอารักขาแม่ทัพที่อยู่ด้านนอกก็ล้วนนับถือเหนียงเหนียงมาก ยามปกติอาจจะไม่แสดงผลงานอะไร แต่ที่จริงเหนียงเหนียงช่วยทำให้บ้านของฝ่าบาทมั่นคงไปเกินครึ่ง เป็นเพราะไม่มีความกังวลเรื่องในบ้าน ฝ่าบาทถึงได้บุกยึดใต้หล้าได้เต็มที่ จะบอกว่าฝ่าบาทมีภรรยาดีคอยช่วยก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป ถ้าเหนียงเหนียงสามารถแทรกแซงเรื่องนี้ได้ ฝ่าบาทก็คงจะพิจารณาอย่างระมัดระวัง ขุนนางใหญ่พวกนั้นยังไว้หน้าเหนียงเหนียบ้าง น่าจะออกคำสั่งควบคุมลูกน้องตัวเอง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้หญิง คงจะได้ผลกว่าให้ฝ่าบาทเอ่ยปากเอง นางอาจจะไปหาคนในครอบครัวของขุนนางใหญ่เหล่านั้น แค่พูดสักสองสามคำก็แก้ไขปัญหาได้แล้ว แต่กลัวว่านางจะไม่ยอมไปก้าวก่ายเรื่องนี้ ข้าทำได้เพียงลองขอร้องดู”
แม่เฒ่าลวี่ทั่วท่าครุ่นคิด แล้วกล่าวอย่างปลงอนิจจังมากว่า “ดูท่าแล้ว นางมีโชคชะตาที่จะเป็นมารดาแห่งใต้หล้าจริงๆ!”
ทั้งสองเดินเนิบนาบอยู่ในสวนกลางเขียวขจี
คุยไปคุยมา จู่ๆ แม่เฒ่าลวี่ก็หันกลับมาถามว่า “ซิง อ๋องอสรพิษดำคนนั้นเหมือนจะมีธุระนะ”
เฟยหงหันมองตาม เห็นเพียงซิงหยุดเดินอยู่ตรงจุดที่ไม่ไกล ในมือกำระฆังดารา สีหน้าค่อนข้างแย่
แม่เฒ่าลวี่ยื่นมือบอกใบ้ แล้วทั้งสองก็เดินกลับไปอีก เฟยหงเข้ามใกล้แล้วถามว่า “ท่านพี่ซิง เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ซิงกัดริมฝีปาก แล้วกล่าวเน้นย้ำอย่างชัดเจนว่า “กำลังพลของฝ่าบาทบุกเข้าสระน้ำมังกรดำแล้ว จับตัวพี่น้องเผ่าอสรพิษดำของข้าไปไม่น้อย แม้แต่อ๋องอสรพิษดำโม่โหยวก็โดนควบคุมตัวเหมือนกัน”
เฟยหงตกใจ ถามว่า “ทำไมต้องจับพี่น้องเผ่าอสรพิษดำ?”
ซิงกล่าวอย่างคับแค้นใจว่า “บอกว่าเผ่าอสรพิษดำมีคนสมคบกับชิงและพุทธะรวมทั้งพวกโค่วหลิงซวีด้วย แต่ทุกคนก็รู้สถานการณ์ตอนนั้น เผ่าอสรพิษดำต้องรักษาความสัมพันธ์กับฝ่ายต่างๆ ไว้เพื่อปกป้องตัวเอง จะกลายเป็นพรรคพวกที่เหลือของชิงและพุทธะได้ยังไง? เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจจะหาเรื่องเผ่าอสรพิษดำของข้า!”
“ทำไมเจ้าไม่ติดต่อไปถามฝ่าบาทโดยตรง?” เฟยหงรีบถาม
ซิงถือระฆังดาราในมือ “ถามแล้ว ฝ่าบาทบอกว่าจะให้เบื้องล่างสืบอย่างเข้มงวด จะไม่ให้เผ่าอสรพิษดำได้รับความไม่เป็นธรรม นี่ยังต้องสืบอีกเหรอ? สถานการณ์เป็นยังไงเขาจะไม่รู้ชัดเชียวหรือ?”
แม่เฒ่าลวี่อยู่ข้างๆ รีบใส่หน้า ถือไม้เท้าเดินออกไป ขณะที่หันหลังให้ก็กล่าวว่า “ไปถามคนที่กระจ่างเรื่องนี้สักหน่อยดีกว่า”
ทั้งสองมองนางแวบหนึ่ง เฟยหงจับมือซิงพร้อมปลอบใจว่า “พี่ซิง ท่านอย่าร้อนใจเลย ในเมื่อฝ่าบาทบอกแล้วว่าจะสืบ ภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ก็ไม่น่าจะมีเรื่องอะไร พรุ่งนี้ฝ่าบาทคงจะมาถึงแล้ว จะต้องสืบชัดแน่นอนว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่”
วันต่อมา กำลังพลทัพใหญ่ที่ไปลาดตระเวนแต่ละแห่งมาแล้วรอบหนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงวังสวรรค์อย่างโครมครามแล้ว
เหมือนกับยุคของชิงและพุทธะ พอขับเกี้ยวมังกรเหยียบลงที่วังสวรรค์ เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวก็เดินออกจากเกี้ยวมังกรพร้อมกัน เดินเข้าไปในวังสวรรค์ที่ใหญ่โตโอ่อ่าอย่างสง่าผ่าเผย เดินเข้าวังสวรรค์ด้วยท่วงท่าของเจ้าของ
งดงามอลังการ ดอกไม้แปลกตานานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นกำลังพลเดิมของชิงและพุทธะที่หนีไป หรือจะเป็นกำลังพลของเหมียวอี้ที่มารับช่วงต่อตอนหลัง ต่างก็ไม่กล้าทำลายตำหนักที่นี่ง่ายๆ วังสวรรค์อันงามล้ำเลิศหนึ่งหนึ่งไม่รู้ว่ารวบรวมพลังปรารถนาเพื่อสร้างขึ้นมาตั้งมากมายเท่าไร
คนกลุ่มหนึ่งได้ชื่นชมตามไปด้วย พอเข้ามาก็วิพากษ์วิจารณ์ตำหนักฟ้าดินที่เป็นที่ประชุมราชสำนัก แล้วก็เดินไปตำหนักดาราจักรและห้องหนังสือของประมุขชิงอีก เหมียวอี้เดินเตร็ดเตร่อยู่ในคลังหนังสืออันโอ่อ่า ถือโอกาสหยิบม้วนหนังสือโบราณขึ้นมาพลิกอ่าน แล้วก็โยนกลับไป
เมื่ออกจากตำหนักดาราจักรมาแล้ว ก็เดินเล่นอยู่ในวังสวรรค์ต่อไป หลัวจากเดินมาถึงอุทยานสายัณห์ที่เหมือนฉากในความฝัน ดวงตางามของอวิ๋นจือชิวก็เปล่งประกาย อดไม่ได้ที่จกล่าวชม “งดงามมาก!”
บรรดาแม่ทัพหันมองไปรอบๆ มองทิวทัศน์อันงดงามในสวนจนตาพร่าเช่นกัน
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับเชิญเทพสตรีทั้งสองเข้ามา ถามว่า “เจิ้นเตรียมจะสร้างวังสวรรค์ใหม่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ อยู่ร่วมกับเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรทุกยุคทุกสมัย ไม่ทราบว่าทั้งสองคิดว่ายังไง?”
เทพสตรีผู้พิทักษ์ทั้งสองงุนงง พวกนางไม่ค่อยเต็มใจ เพราะหลายวันที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ได้เห็นเรื่องราวมาเยอะเกินไป เข้าใจเจตนาของเหมียวอี้แล้ว นั่นก็คือผืนดินในใต้หล้า มิมีที่ใดที่ไม่ใช่ของราชัน ผลที่ตามมาจากการปฏิเสธนั้นร้ายแรงมาก นอกจากนี้ทั้งสองก็รู้ด้วยว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์เป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับการฝึกตนของเหมียวอี้ที่สุด
กลุ่มแม่ทัพไม่ได้พูดอะไร ได้แต่มองปฏิกิริยาของเทพสตรีทั้งสอง
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว ถึงแม้นางจะชอบที่นี่มาก แต่ก็ไม่ได้ถามคำถามนี้
ไม่มีทางปฏิเสธได้ ทำได้เพียงตอบตกลง สองเทพสตรีผู้พิทักษ์พยักหน้า
“เจาชิง!” เหมียวอี้เรียก
“ขอรับ!”หยางเจาชิงก้าวขึ้นมาเอ่ยรับคำสั่ง
เหมียวอี้กำชับว่า “ดึงกำลังพลไปร่วมมือกับเผ่าหงส์กับเผ่ามังกรกวาดล้างปราณชั่วร้ายที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ คืนภูเขาเขียวขจีน้ำใสให้แดนมรณะดึกดำบรรพ์ สร้างวังสวรรค์อย่างงดงามอีกครั้ง!”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ
เหมียวอี้มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง “พักอยู่ที่นี่ก่อนชั่วคราว รอให้สร้างวังสวรรค์ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์เสร็จแล้ว ข้าก็จะรื้อที่นี่เป็นรางวัลให้ทุกคน!”
ตามคำสั่งของเขา เฮยทั่นนำกำลังพลกลุ่มหนึ่งกลับไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์พร้อมกับสองเทพสตรีผู้พิทักษ์
ทว่าตรงนี้เพิ่งจะเริ่มหาที่พัก บรรดาแม่ทัพเพิ่งจะแยกย้ายกันไป เหมียวอี้เพิ่งจะเดินขึ้นไปบนตึกสูงแล้วก้มมองทั้งวังสวรรค์ อยู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง พลันหันกลับไปมอง
เห็นเพียงพื้นสีขาวบริสุทธิ์กระเพื่อมเหมือนคลื่น คนคนหนึ่งที่อยู่ในชุดคลุมมีหมวกสีดำลอยขึ้นมาจากพื้น แล้วค่อยๆ คุกเข่าลงตรงหน้าเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต!”
…………………………
อยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆ ก็มีผู้ชายหน้าตาดีมากคนหนึ่งปรากฏตัว มาทำความรู้จักกับพี่สาว ทั้งสองเริ่มอยู่ด้วยกันทั้งเช้าทั้งเย็น ความสนใจและความอ่อนโยนของพี่สาวเหมือนจะย้ายไปอยู่บนตัวชายคนนั้นแล้ว เขารู้สึกเหมือนตัวเองสูญเสียสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในโลกไป จึงเกลียดผู้ชายคนนั้นมาก ตอนหลังไปหาเรื่องทะเลาะกับผู้ชายคนนั้น ไล่ให้เขาไสหัวไป ให้เขาออกไปจากชีวิตพี่สาว ผลปรากฏว่าชายคนนั้นดูถูกว่าเขาอ่อนแอเกินไป และแสดงพลังแข็งแกร่งของตัวเองออกมา ทั้งยังให้โอกาสเขาหนึ่งครั้งด้วย ส่งเขาไปที่ดาราจักรอีกผืนหนึ่ง ให้เขาได้รู้จักกับโลกอีกใบ ทั้งยังบอกเขาด้วยว่า รอให้ถึงวันที่เขาแข็งแกร่งว่าชายคนนั้นเมื่อไร ค่อยมาบอกให้ชายคนนั้นออกไปจากชีวิตพี่สาว
ดังนั้นเขาจึงได้รับโอกาสบางอย่างแล้ว ทุ่มเทฝึกฝนอยู่ในโลกใบนั้น รอจนกระทั่งเขาเติบโตอย่างแท้จริงแล้ว ปล่อยวางความอวดดื้อถือดีแล้ว หลังจากสามารถยอมรับความรักระหว่างพี่สาวและชายคนนั้นได้จริง เข้าใจแล้วว่าตัวเองควรทำอะไร แต่กลับไม่สามารถปกป้องพี่สาวที่จิตใจงดงามบริสุทธิ์คนนั้นได้
วันนี้ได้เห็นพี่สาวสงบสุขปลอดภัยดี ตัวเองกลับยังปวดใจไร้ที่เปรียบ นึกเสียใจทีหลังเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองจากไป พี่สาวคงไม่ออกจากมหาสมุทรฟ้าครามผืนนั้นเพื่อไปตามหาเขา คงไม่จากบ้านเกิดของตัวเองไป และคงไม่ประสบเคราะห์ร้ายนั่นด้วย คงไม่ได้รับความทุกข์ทรมานมากขนาดนั้…
ประมุขไป๋ยืนอยู่นอกฟองอากาศใส เมื่อเห็นฉากที่รั่วสุ่ยลูบศีรษะเกาก้วนพร้อมพูดคุยอย่างอ่อนโยน เขาก็ลูบจมูกอย่างอับอายเล็กน้อย
เขาเข้าใจชัดเจน ว่าคนที่ก่อกรรมชั่วทั้งหมดก็คือเขาเอง
ในฐานะที่เป็นบุตรสาวแห่งท้องทะเล รั่วสุ่ยไม่อยากจากมหาสมุทรสีครามแห่งนี้ไป เพราะนางคือองค์หญิงผู้สูงศักดิ์แห่งท้องทะเลผืนนั้น เผ่าของนางมีตำนานเล่าขานกันมาหนึ่งเรื่อง บอกว่าถ้าออกจากมหาสมุทรผืนนี้ไปแล้วจะกลายเป็นฟองอากาศแล้วตายจากไป แต่เขายังมีเรื่องที่ตัวเองยังทำไม่สำเร็จต้องไปทำ เพื่อจิตใจที่เห็นแก่ตัวของตัวเอง เพื่อที่จะพาผู้หญิงคนนี้ไปด้วย เขาหลอกน้องชายของนางออกไปเป็นเหยื่อล่อ เขาจึงพาผู้หญิงคนนี้ออกจากบ้านเกิดไปได้สมใจปรารถนา
และเขาก็ไม่ใช่คนที่ไม่ป้องกันตัวเลย เพื่อที่จะแทรกคนที่ไว้ใจได้ไปอยู่ข้างกายประมุขชิง เขาทำเรื่องที่ต่ำช้ายิ่งกว่านั้น เนื่องจากมีรั่วสุ่ยคอยควบคุมเกาก้วน เขาจึงแอบคิดหาทางผลักเกาก้วนให้ไปอยู่ข้างกายประมุขชิง อย่าว่าแต่ประมุขชิงเลย แม้แต่เกาก้วนเอง จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือมือผลักที่อยู่หลังม่าน เพื่อตัดขาดช่องโหว่เรื่องที่รั่วสุ่ยกับเกาก้วนรู้จักกัน เขาก็หาข้ออ้างประมาณว่าอย่าทำให้เกาก้วนตกอยู่ในอันตรายมาเพื่อควบคุมรั่วสุ่ย
เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของเขาเอง ในที่สุดรั่วสุ่ยก็เข้ามพัวพันอยู่ในความขัดแย้ง
เดิมทีนึกว่ามีเกาก้วนอยู่ข้างกายประมุขชิง แล้วจะสามารถป้องกันเหตุไม่คาดคิดได้ทันเวลา เขานึกว่าหลังจากล้มตระกูลเซี่ยโห้วเพื่อล้างแค้นให้อาจารย์แล้ว ตัวเองจะสามารถพารั่วสุ่ยจากไปได้อย่างไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด ไม่ติดค้างอะไรรั่วสุ่ย แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าเพื่อที่จะสู้กับเขา คนบางคนนั้นระมัดระวังตัวถึงขีดสุด แม้แต่เกาก้วนก็ปิดบังไว้ สุดท้ายจึงกลายเป็นผลลัพธ์ที่เลวร้าย
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร แต่ตัวหมากอย่างเกาก้วนที่วางไว้ข้างกายประมุขชิง สุดท้ายก็ได้แสดงบทบาทที่ยิ่งใหญ่
ขณะมองฉากที่พี่น้องหวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ประมุขไป๋ก็ไม่ได้รบกวน เดินช้าๆ ไปข้างหน้าต่าง ทอดสายตามองดาราจักรอันกว้างใหญ่ไพศาล หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปและคืนความสงบสุขให้ผู้หญิงคนนี้ได้
ที่โชคดีก็คือ ในที่สุดก็ปกป้องผู้หญิงคนนี้ไว้ได้แล้ว ไม่ได้ให้นางพิสูจน์ตำราโบราณที่เล่าสืบต่อกันมา ไม่ได้ทำให้นางกลายเป็นฟองน้ำสลายหายไป
นอกหน้าต่างเป็นดาราจักรที่สวยงามแพรวพราว ประมุขไป๋ที่ดวงตาดูเลื่อนลอยกลับกำลังนึกถึงเรื่องในอดีต บุญคุณความแค้น การแยกแยะดีชั่ว ความรักความแค้น ลมคาวฝนเลือด แต่ละฉากวาดผ่านตรงหน้า บางทีก็มีแต่ต้องปล่อยให้เรื่องราวผ่านไปจริงๆ แล้วเท่านั้นถึงจะปล่อยวางได้ ถ้าไม่หยิบมันขึ้นมาอีกครั้งแล้วจะวางลงได้อย่างไร…
อุทยานหลวง สวนกลางเขียวขจีที่เคยสงบสุขมาตลอดเปลี่ยนเป็นแออัดเล็กน้อย แม่เฒ่าลวี่นำสาวงามของวังหลังตำหนักสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วนมาคุ้มครองไว้ที่นี่
ย้อนมองบรรดาสาวงามเหล่านี้ หลังจากรู้ข่าวว่าชิงและพุทธะรบแพ้ ก็ทำให้ทุกคนเหมือนนกตื่นตกใจทันที หวาดหวั่นใจจนอยู่ไม่สงบสุขแม้แต่วันเดียว ในฐานะที่เป็นผู้หญิงข้างกายประมุขชิง ไม่รู้ว่าจะมีจุดจบอันน่าอนาถอะไรรอพวกนางอยู่
มีบางส่วนที่เดิมทีนึกว่าตัวเองจะไม่เป็นอะไร ยกตัวอย่างเช่นพวกก่วงลิ่งกงกับเถิงเฟยที่ไปอยู่ฝั่งหนิวโหย่วเต๋อแล้ว เดิมทีพวกเขาก็เป็นคนผลักดันให้พวกนางเข้าวังอยู่แล้ว หลังจากรู้ว่าชิงและพุทธะรบแพ้ พวกนางก็แสดงความจงรักภักดีต่อเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังตัวเองทันที คิดว่าพวกเขาเหล่านั้นจะช่วยให้พวกนางรอดพ้นอันตรายได้
ทว่าคำตอบที่ได้มาส่วนใหญ่จะคลุมเครือ ทำให้พวกนางท้อใจ ในบรรดาผู้หญิงพวกนี้ มีไม่น้อยที่เป็นคนเข้าใจหลักการเหตุผล พอแจ้งให้ทราบว่าใต้หล้ารวมการปกครองเป็นหนึ่งเดียวแล้ว หนิวโหย่วเต๋อกุมอำนาจมหาศาล กฏกติกายังไม่กำหนด การลงโทษและให้รางวัลยังไม่กำหนด แค่อารมณ์ชั่ววูบของหนิวโหย่วเต๋อก็สามารถตัดสินความรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของตระกูลตระกูลหนึ่งได้ ตอนที่กำลังตัดสินใจว่าจะขึ้นหรือจะลง สตรีสูงศักดิ์เหล่านั้นก็ไม่มีใครเอ่ยถึงความสัมพันธ์กับประมุขชิงให้กลายเป็นจุดอ่อนในเวลานี้ ขนาดจะขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์ยังทำไม่ทันเลย มีหรือที่จะเป็นฝ่ายหาเรื่องใส่ตัวก่อน
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ พวกนางกลายเป็นคนที่ถูกทอดทิ้งแล้ว
เมื่อมาถึงตอนนี้ บรรดาสาวงามจึงเริ่มกลัวแล้วจริงๆ ตั่วสั่นหวาดกลัวอยู่ภายใต้กาคุ้มครองของแม่เฒ่าลวี่ ไม่มีสาวงามคนไหนเคยคิด ว่าแม่เฒ่าปลูกดอกไม้ที่ยามปกติไม่โดดเด่นอะไรจะกลายเป็นฉากกำบังสุดท้ายของพวกเนาง
แน่นอน มีสนมที่ไม่กลัวเช่นกัน เพราะเดิมทีพวกนางก็เป็นคนที่ฝั่งเหมียวอี้ส่งเข้าวังมาอยู่แล้ว
สวนกลางเขียวขจีถูกกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อล้อมไว้แล้ว แต่กล่าวโดยภาพรวม พวกเขายังไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วเพราะเกรงใจความสัมพันธ์ระหว่างแม่เฒ่าลวี่กับเฟยหง
แต่ในสวนนี้มีสาวงามเยอะเกินไปจริงๆ ล้วนเป็นความงามที่ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะคนไหนก็เป็นประเภทที่หาพบได้ยากได้โลก ทหารที่เฝ้าอยู่ข้างนอกมองแค่สองสามทีก็กระเหี้ยนกระหือรือแล้ว มีหรือที่จะอดใจไม่แตะต้องผลประโยชน์ของมวลชนไหว
บางคนใช้ข้ออ้างว่าลาดตระเวนเพื่อมาดู เข้ามาดูด้วยข้ออ้างนั้น
แม่ทัพภาคแซ่เสิ่นคนหนึ่งนำลูกน้องสิบกว่าคนเดินวางโตเข้ามาในสวนกลางเขียวขจี สายตาสำรวจสอดส่องไปทั่ว เห็นเพียงเทพธิดาที่กำลังทำงานจิปาถะ ไม่เห็นสนมของประมุขชิง อดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ “คนล่ะ? คนหายไปไหนหมด?”
คนโดนก่อกวนจนกลัวแล้ว พากันไปหลบแล้ว
แม่เฒ่าลวี่ถือไม้เท้าเดินเข้ามา หลังจากทำความเคารพแล้วก็ถามว่า “ไม่ทราบว่าขุนพลมีอะไรจะกำชับ?”
แม่ทัพภาคเสิ่นถามด้วยน้ำเสียงปกติ “สนมนักโทษของวังสวรรค์พวกนั้นไปไหนแล้ว ไม่ใช่ว่าหนีไปแล้วหรอกนะ?”
แม่เฒ่าลวี่ถอนหายใจ “ด้านนอกมีทหารเฝ้าอยู่มากมาย จะหนีไปไหนได้ ทุกคนกำลังทบทวนตัวเองแล้ว”
“เรียกออกมา แม่ทัพภาคผู้นี้มีบางเรื่องต้องตรวจสอบ” แม่ทัพภาคเสิ่นกล่าว
เมื่อเจอกับเสี้ยนหนามแบบนี้ แม่เฒ่าลวี่ก็จนใจมาก เรื่องบางเรื่องคนใหญ่คนโตงั้นทำอะไรมีขอบเขต กลับเป็นพวกผีต่ำต้อยลูกน้องพวกนี้ที่เล่นแง่ อีกฝ่ายหาข้ออ้างที่สมเหตุสมผลแล้ว เจ้าจึงไม่มีทางปฏิเสธได้ นางจึงทำได้เพียงให้คนเรียกบรรดาสนมที่อยู่แถวนั้นออกมา
ขณะเดียวกันก็แอบกำชับพวกเทพธิดาไปด้วย สั่งให้ไปเชิญคนมา เทพธิดาคนหนึ่งรีบเดินออกไปปฏิบัติตาม
สนมที่งดงามเลิศล้ำห้าคนมาถึงด้วยสีหน้ากังวล พวกนางยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ก้มหน้าไม่พูดอะไร
“เงยหน้าขึ้นมาให้หมด” แม่ทัพภาคเสิ่นกล่าวเสียงเย็น
สนมห้าคนเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ รู้สึกเหมือนโดนหยามเกียรติ ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนนี้ แม่ทัพภาคกระจอกๆ คนหนึ่งจะกล้าพูดอย่างนี้กับพวกนางเสียที่ไหนกัน
ผ่านไปครู่เดียว สายตาของแม่ทัพภาคเสิ่นก็ไปหยุดอยู่บนตัวคนที่อยู่ฝั่งซ้ายสุด เรือนร่างของสนมคนนั้นทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกเสียวซ่าน จึงไปมองตรงหน้าศีรษะจดเท้า เดี๋ยวก็เดินอ้อมไปมองข้างหลังอีก เหมือนมองเท่าไหร่ก็ไม่หนำใจ จู่ๆ ไปยื่นมือไปบีบก้นสนมคนนั้น
“อ๊า!” สนมคนนั้นร้องตกใจ รีบย้ายตัวหลบ ทำเอากลุ่มผู้ชายที่ยืนดูอยู่ข้างๆ หัวเราะลั่น แต่ละคนท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือ
ตุ้ง! แม่เฒ่าลวี่กระทุ้งไม้เท้าลงพื้นอย่างแรง “ขุนพลอย่าทำเกินไปนะ”
ในขณะนี้เอง สนมคนหนึ่งที่ชื่อว่าฉางเจวียนก็เร่งฝีเท้าเดินตามเทพธิดาคนหนึ่งเข้ามา แล้วตะคอกถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
แม่ทัพภาคเสิ่นหันกลับไปเห็นการแต่งกาย ดูแล้วคงจะเป็นสนมคนหนึ่งเหมือนกัน ก็รู้สึกบันเทิงทันที พูดหยอกล้อว่า “เหตุใดสาวงามจึงใจร้อนเช่นนี้ รสชาติของการครองตัวเป็นหม้ายคงทรมานใช่ไหมล่ะ?” พูดจบก็จะไปยื่นมือไปลูบแก้มฉางเจวียน
ฉางเจวียนไม่สะทกสะท้าน ไม่หลบหลีกด้วย กล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าทำงานให้นายท่านสวีถังหราน อยากจะเห็นเหมือนกันว่าใครจะกล้าแต่ต้องข้า!”
แม่ทัพภาคเสิ่นยื่นมือเข้ามามือค้างอยู่กลางอากาศ แล้วก็หดมือกลับไปช้าๆ รู้สึกเกรงกลัวเล็กน้อย เพราะสวีถังหรานเป็นคนมีชื่อเสียงอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ได้ยินว่าเป็นคนที่ต่ำช้าแบบเต็มสิบ ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว จึงโบกมือบอกว่า “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า หลีกไป”
ขณะที่พูดก็ชี้ไปทางสนมคนที่ตัวเองล่วงเกินก่อนหน้านี้อีก “เอาตัวนางไป แม่ทัพภาคผู้นี้มีเรื่องจะสอบถาม!”
ลูกน้องสองคนพุ่งเข้ามาทันที จับแขนสนมคนนั้นไว้แล้วลากออกไปเลย สนมคนนั้นหันกลับมาวิงวอนอย่างหวาดกลัว “แม่เฒ่า ช่วยข้าด้วย!”
ฉางเจวียนถลันตัวออกไปขวางไว้ “มีอะไรทำไมถามตรงนี้ไม่ได้ ทำไมต้องพาตัวไปให้ได้? ข้าว่าเจ้ามีเจตนาไม่ซื่อมากกว่า เจ้าเชื่อไหมว่าตอนนี้ข้าจะบอกนายท่านสวี ให้นายท่านสวีบอกเรื่องนี้กับฝ่าบาท?”
ใบหน้าแม่ทัพภาคเสิ่นฉายแววดุร้าย แล้วแสยะหัวเราะหึหึ “นางตัวดี ข้าอุตส่าห์ไว้หน้าแล้วยังไม่รับไว้ เราคิดว่าตัวเองนับเป็นอะไร? ฟ้องเลย เจ้าไปฟ้องได้เลย! แล้วถือโอกาสบอกนายท่านสวีด้วยว่า เมียกับลูกชายข้ารบตายเพื่อฝ่าบาทหมดแล้ว สิ้นทายาทเพื่อฝ่าบาทแล้ว อย่าบอกนะว่าแม้แต่จะหาผู้หญิงมาสืบทอดเชื้อสายสักคนก็ทำไม่ได้? ข้าไปยั่วโมโหใครเข้าแล้ว?” เขาตบหน้าอกเสียงดังแกร๊งๆ แล้วตวาดอย่างโมโห “พาตัวไป!”
ฉางเจวียนโดนเถียงจนพูดอะไรไม่ออก ฝั่งนั้นกำลังจะบังคับนำตัวสนมคนนั้นไป ด้านหลังป่าที่อยู่ไม่ไกลมีเสียงตวาดของผู้หญิง “หยุดนะ!”
ทุกคนมองไป เห็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งเดินอ้อมมาจากทางเล็ก พอแม่เฒ่าลวี่เห็นว่ามีคนมา ก็โล่งใจทันที
เฟยหงมาถึงแล้ว ซิง อดีตอ๋องอสรพิษดำอยู่ข้างกาย ข้างหลังยังมีกำลังพลทัพอารักขาของเหมียวอี้ด้วย
แม่เฒ่าลวี่เป็นคนเชิญให้เฟยหงมา แม่เฒ่าลวี่เคยขอร้องเหมียวอี้เช่นกัน แต่ดูท่าแล้ว เหมือนเหมียวอี้จะไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเลย
เหมียวอี้ก็แกล้งปิดตาข้างเดียวจริงๆ อย่างที่แม่ทัพภาคเสิ่นบอก มีสมาชิกในครอบครัวมากมายรบตายเพื่อเขา ทั้งยังมีผู้บัญชาการที่สร้างผลงานพวกนั้นอีก จะขอสนมนักโทษสักคนมาเป็นรางวัลจะเป็นไรไป? ไม่ได้บีบบังคับครอบครัวคนสุจริต ทำเรื่องผิดหลักความยุติธรรมเสียหน่อย! วังหลังของประมุขชิงมีสาวงามมากขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรับไว้หมด เขาไม่สะดวกจะนำมาเป็นรางวัลให้คนนู้นทีคนนี้ทีเช่นกัน ทำได้เพียงปิดตาข้างเดียว เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ให้เบื้องล่างจัดการเองตามเห็นสมควร แต่แม่เฒ่าลวี่ดันขัดขวาง ทำให้เขาลำบากใจ สำหรับเขาแล้ว แม่เฒ่าลวี่ไร้เดียวสาเกินไป อย่าบอกนะว่าคิดจะปกป้องผู้หญิงพวกนี้ให้ประมุขชิง?
แม่เฒ่าลวี่ไม่ยอม รู้ว่าอาศัยหน้าตัวเองอาจต่อต้านได้ไม่นาน ถ้าถ่วงเวลาต่อไปจะเกิดเรื่องแน่นอน จึงเกาะติดเฟยหงไม่ปล่อย บีบให้เฟยหงต้องไปขอร้องเหมียวอี้ ที่เฟยหงพูดก็มีเหตุผลเช่นกัน ถ้ามองจากบางมุม แม่เฒ่าลวี่ก็ช่วยช่วยเหมียวอี้ไว้ได้มาก กอปรกับหลายปีมานี้เฟยหงไม่ค่อยเอ่ยปากขอร้องอะไร เหมียวอี้ก็แค่ไม่ได้ห้ามไม่ให้เฟยหงมา แต่กลับไม่ได้รับปากอะไร
ก็อย่างที่บอก ช้าเร็วผู้หญิงพวกนี้ก็ต้องถูกจัดการ เขาไม่อาจช่วยประมุขชิงปกป้องผู้หญิงเอาไว้ตลอดได้ ฟังดูเหลวไหว
แม่ทัพภาคเสิ่นไม่รู้จักเฟยหง แต่ดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว ข้างกายมีนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ติดตาม ทั้งยังมีทหารอารักขาเป็นแม่ทัพเกราะแดงจำนวนมาก จึงรู้ว่าผู้ที่มาไม่ธรรมดา ความเย่อหยิ่งอวดดีเมื่อครู่นี้หายไปทันที วิ่งเข้าไปทำความเคารพแล้วถามที่มาที่ไป
เฟยหงไม่สนใจเขา เดินตรงไปทำความเคารพแม่เฒ่าลวี่ “ท่านแม่บุญธรรม!”
เมื่อเรียกเช่นนี้ แม่ทัพภาคเสิ่นก็รู้สึกกินปูนร้อนท้อง รู้ว่าเฟยหง สนมรักของเหมียวอี้มาถึงแล้ว ถ้าไปยั่วโมโหผู้หญิงคนนี้ แม่ทัพใหญ่ผู้บังคับบัญชาของเขาอาจจะไม่สะดวกคุ้มครองเขาแล้ว การรังแกผู้หญิงของฝ่าบาทใช่เรื่องเล่นๆ เสียที่ไหนกัน? มือที่ไขว้หลังแอบโบกมือเงียบๆ ลูกน้องที่จับตัวสนมคนนั้นปล่อยมือทันที แล้วก้มหน้าเดินหนีไปเงียบๆ
ในดาราจักรอันกว้างใหญ่ ศูนย์กลางเชื่อมต่อของของสี่ทัพ เป็นดาวเคราะห์ที่สวยวิจิตรตระการตาดวงหนึ่ง
ทะเลใหญ่ฟ้ากว้าง เดิมทีเป็นที่ประชุมของสี่อ๋องสวรรค์ ตอนนี้เนื่องจากความได้เปรียบด้านพื้นที่ จึงกลายเป็นฐานปฎิบัติการชั่วคราวของทัพใหญ่ปราบปราม
ตรงใต้ตึก กลุ่มแม่ทัพรวมตัวกันอยู่ข้างแผนที่ดาวหลายแผ่นที่กางอยู่ สวีถังหรานที่อยู่บนตึกถือถาดอาหารมาปรากฏตัวด้วยตัวเอง แล้ววางสุราอาหารลงบนโต๊ะที่อยู่ตรงจุดที่ทิวทัศน์ดีที่สุด เชิญเหยียนซู่กับอวี้หลัวช่าให้มาพักอย่างร่าเริง
ตั้งแต่ได้รับคำสั่งลับจากเหมียวอี้ สวีถังหรานก็รู้ว่าตัวเองอดทนจนประสบความสำเร็จแล้ว รู้ว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นตัวละครแบบเดียวกับซือหม่าเวิ่นเทียนแล้ว
สำหรับเรื่องนี้ เขาไม่มีอะไรที่ไม่พอใจ เพราะรู้ว่าตัวเองไม่มีผลงานการรบอะไร เป็นเรื่องยากมากที่จะได้อยู่ในตำแหน่งอันทรงเกียรติ แข่งขันไม่ชนะคนอื่น ถ้าดันทุรังแข่งขัน เหมียวอี้ก็ไม่สะดวกจะช่วยพูดให้เขา ไม่อย่างนั้นจะให้พวกแม่ทัพพี่อาบน้ำเลือดทำสงครามทนความรู้สึกได้อย่างไร? การได้รับตำแหน่งที่เหมือนกับซือหม่าเวิ่นเทียน ก็นับว่าเหนือความคาดหมายของเขามากแล้ว ดังนั้นเขาจึงอารมณ์ดีมาก เข้าครัวทำอาหารให้เหยียนซู่กับอวี้หลัวช่าด้วยตัวเอง
ยามปกติมีเพียงเหมียวอี้เท่านั้นที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ตอนอยู่บ้านแม้แต่เสวี่ยหลิงหลงฮูหยินของตัวเองก็ยังไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างนี้ แน่นอน เขาหวังว่าทั้งสองท่านนี้จะช่วยเขาทำภารกิจในครั้งนี้ให้สำเร็จอย่างดีที่สุด ขอเพียงสามารถทำภารกิจที่เหมียวอี้มอบหมายสำเร็จได้ สำหรับเขาแล้ว โค้งเอวก้มหน้าแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เหยียนซู่ก็ไม่มีอะไรให้ปฏิเสธ นั่งลงลิ้มรสอาหารอย่างเนิบนาบ สวีถังหรานรินสุราให้เขาด้วยตัวเอง เขาเองก็รับการบริการนี้อ่ะสง่าผ่าเผย
กลับเป็นอวี้หลัวช่าที่ไม่ค่อยอยากอาหารสักเท่าไหร่ ที่สำคัญเป็นเพราะสวีถังหรานโหดเกินไป แม้แต่วัดโลกมนุษย์ก็ไม่ละเว้น นางรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะกลายเป็นคนบาปของชาวพุทธแล้ว นางเคยรายงานต่อเหมียวอี้ แต่ท่าทีของเหมียวอี้ก็คือ ไม่รู้ถึงสถานการณ์ในที่เกิดเหตุชัดเจน ให้นางไปปรึกษากับสวีถังหรานเอง
นางเข้าใจแล้ ว่าเหมียวอี้ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่สวีถังหรานทำอย่างนี้
เมื่อชิมอาหารเจที่รสชาติไม่เลวเพียงไม่กี่คำ อวี้หลัวช่าก็วางตะเกียบ แล้วจ้องสวีถังหรานพร้อมถามว่า “นี่เพิ่งจะเริ่มต้น ก็จับได้แล้วพันกว่าล้าน เจ้าเตรียมจะทำยังไงกับคนพวกนี้?” เรื่องระดมพลเข่นฆ่าหลักๆ แล้วเป็นหน้าที่ของเหยียนซู่กับนาง แต่นักโทษที่จับได้ เหมียวอี้กลับสั่งให้ส่งต่อไปที่สวีถังหราน
“ดูสถานการณ์ก่อน ดูสถานการณ์ สืบสวนก่อนแล้วค่อยว่ากัน” สวีถังหรานหัวเราะพลางตอบอย่างคลุมเครือ เราก็ถือกาสุรารินสุราให้นางอีก
“แค่เริ่มต้นก็จับได้พันกว่าล้านคน เจ้าสืบสวนทีละคนไหวเหรอ?” อวี้หลัวช่าถามด้วยสีหน้าเย็นชา
“ค่อยๆ ทำ ไม่รีบหรอก” สวีถังหรานยังคงร่าเริง แต่ในใจกลับรู้ชัดเจน ว่าคนมากมายขนาดนี้จะสืบสวนไหวได้อย่างไร ส่วนใหญ่ต้องเอามาฆ่าเพื่อเอายาเน่ยตัน เหมียวอี้ไม่ได้พูดอย่างนี้ แต่เขากลับเข้าใจเจตนาของเหมียวอี้ เมื่อใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง จะต้องการนักพรตจำนวนมากขนาดนั้นไปทำไม? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่อาจจะมีความเห็นแย้งกับตัวเอง
รายชื่อบางส่วน เป็นไปไม่ได้ที่จะให้เหมียวอี้แบกรับไว้ เขาทำได้เพียงเป็นแพะรับบาป
อวี้หลัวช่ามองเป็นที่เหยียนซู่ อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เหยียนซู่กลับกินอาหารโดยไม่พูดอะไร
หลังจากศึกใหญ่จบแล้ว เหยียนซู่ได้รับคำสั่งให้กวาดล้าง จึงเป็นฝ่ายติดต่อไปหาซูอวิ้น ถามนางว่ามีคนที่เขาต้องดูแลเป็นพิเศษหรือไม่
ซูอวิ้นบอกเขาเอาไว้ก่อนเลยว่า ต่อไปนี้ทั้งสองพยายามไม่ต้องติดต่อกันอีกแล้ว จากนั้นก็เตือนอีก ว่านี่เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนยุคสมัย ไม่ว่าจะชอบขี้หน้าใครหรือไม่ชอบขี้หน้าใครก็ไม่ต้องพูด สนใจแค่ปฏิบัติตามคำสั่งก็พอ ทำเหมือนไม่รู้อะไรทั้งนั้น…
แดนรัตติกาล เรือมังกรอเวจีลอยเข้ามาจากจุดลึกในดาราจักร สุดท้ายก็จอดอยู่นอกน้ำพุวังเวง
เงาดำกลุ่มใหญ่บินออกจากเรือมังกรอเวจี บินอ้อมเรือมังกรอเวจีออกมา
ประมุขสิบปราสาทดำเนินยืนอยู่บนเรือมังกร ทั้งยังมีพวกอู๋ฉางด้วย หันมองสัตว์ประหลาดน่ากลัวที่บินอยู่รอบๆ เรือมังกร พวกมันคือตั๊กแตนทมิฬ
บนดาดฟ้าที่สูงที่สุดของตึกเรือมังกร ประมุขไป๋ที่จอนผมขาวสองข้างกำลังกางแขนและหลับตาพึมพำอะไรบางอย่าง
ตั๊กแตนทมิฬตัวหนึ่งที่ใหญ่เท่าภูเขากระพือปีกบินเข้ามาใกล้ พูดภาษามนุษย์ที่คลุมเครือ “พบกันอีกวันไหน?”
ประมุขไป๋ลืมตา แล้วตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ “หวังว่าจะไม่เจอกันอีก ลำบากเจ้าแล้ว กลับบ้านไปเถอะ”
ตั๊กแตนทมิฬตัวใหญ่บินขึ้นฟ้าทันที แล้วเลี้ยวบินนำตั๊กแตนทมิฬฝูงใหญ่เข้าไปในน้ำพุวังเวง。
ประมุขไป๋เผยสายตาซาบซึ้งใจเล็กน้อย มองตามเงาดำบินหายไปในน้ำพุวังเวง
จนกระทั่งทุกอย่างกลับสู่ความสงบแล้ว ประมุขไป๋ก็ลอยเบาๆ ขึ้นมาบนระเบียงชั้นล่าง มายืนข้างกายเกาก้วนที่กำลังยืนจับระเบียง แล้วถามว่า “คนของเจ้าล่ะ?”
เกาก้วนหยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน
ในขณะนี้เอง ทางน้ำพุวังเวงก็มีเงาคนคนหนึ่งเหาะเข้ามา ตรงไปที่เรือมังกรอเวจี ไม่โดนผีดิบที่ลากเรือขัดขวาง เหยียบลงมายืนข้างกายประมุขไป๋โดยตรง
ประมุขไป๋พยักหน้ายิ้มให้ผู้ที่มา
ผู้ที่มาถอดหน้ากากออก หลังจากเผยโฉมหน้าที่แท้จริงแล้ว กลับทำให้เกาก้วนตกใจไม่เบา ถามอย่างประหลาดใจแบบที่ไม่ค่อยทำ “ชีเจวี๋ย?”
ไม่ผิดหรอก ผู้ที่มาก็คือชีเจวี๋ย ลูกน้องคนสนิทของเฉาหม่าน
ชีเจวี๋ยมองเกาก้วนพลางหัวเราะลั่น “ข้าเองก็นึกไม่ถึงเช่นกัน ทูตตรวจการขวาเกาก้วนผู้สง่าผ่าเผย ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนขอคุณชายไป๋”
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่คนของเขา” เกาก้วนกล่าวเสียงเย็น
“เอ่อ…” ชีเจวี๋ยพูดไม่ออก มองไปทางประมุขไป๋ เหมือนกำลังถามว่าหมายความว่าอย่างไร
ประมุขไป๋ส่ายหน้าเบาๆ พร้อมยิ้มเจื่อน
เกาก้วนถาม “เขานี่ยังไงกัน?” ชี้ไปที่ชีเจวี๋ย
ชีเจวี๋ยก็ยิ้มเจื่อนเช่นกัน ประมุขไป๋ช่วยอธิบายด้วยรอยยิ้มราบเรียบ “จะว่าไปเขาก็เป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกัน ทั้งยังนับว่าเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วอย่างแท้จริงด้วย บิดาของเขาก็คือน้องชายของเซี่ยโห้วท่า ในปีนั้นเซี่ยโห้วท่าต้องการจะแย่งชิงอำนาจ จึงกวาดล้างตระกูล ตอนนั้นเขายังเด็กอยู่ เลยโชคดีรอดพ้นเคราะห์ไปได้ บิดาของเขาที่ตายอย่างอนาถ ใช้กลยุทธ์หลี่ตายแทนถาว ถึงได้รักษาชีวิตของเขาไว้ได้ เขาอยากจะล้างแค้นมาตลอด ตอนหลังข้าก็เลยคิดหาวิธีปูเส้นทางให้เขา แทรกเขาไว้ข้างกายเฉาหม่าน”
เกาก้วนหรี่ตา “ทำไมต้องเป็นแทรกไว้ข้างกายเฉาหม่าน ที่เฉาหม่านเป็นหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้ว เป็นเจ้าที่ผลักดันเองกับมือเหรอ?”
ประมุขไป๋ส่ายหน้าเบาๆ “เรื่องวางหมากกับเซี่ยโห้วท่า ใช่สิ่งที่ข้าจะผลักดันง่ายๆ หรือ ในปีนั้นตอนที่เฉาหม่านเพิ่งจะเปิดตัวมาคุมตึกศาลาสัตยพรต ตอนที่เซี่ยโห้วท่าวางตัวเฉาหม่านไว้ในที่แจ้ง ข้าก็ตระหนักได้แล้วว่าเซี่ยโห้วท่าอาจจะเฝ้ารอคอยเฉาหม่าน มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเตรียมเฉาหม่านไว้เป็นทางหนีทีไล่ เซี่ยโห้วท่าฉลาดเกินไป ไม่ว่าจะทำอย่างโจ่งแจ้งหรือทำในที่ลับ อาจจะโดนมองออกได้ ทำได้เพียงใช้แผนการระยะยาว ลองลงมือกับเฉาหม่าน ตอนที่เซี่ยโห้วท่ายังอยู่นั้นโค่นล้มตระกูลเซี่ยโห้วได้ยาก จึงลองจับตาดูรุ่นถัดไป ที่จริงก็เป็นการกระทำที่จนปัญญาเหมือนกัน หาเป้าหมายอื่นที่จะลงมือไม่เจอแล้ว มีแค่เฉาหม่านที่ลอยขึ้นมาบนหิวน้ำ ต่อให้ทำเพื่อตอกตะปูตัวเดียวนี้ ข้าเองก็ใช้ความคิดแข่งกับเซี่ยโห้วท่าไปไม่น้อยเช่นกัน…ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เป็นอดีตไปหมดแล้ว คนของเราจะมาถึงเมื่อไหร่?” เขาหันกลับมาถาม
เกาก้วนตอบว่า “รออีกสักหน่อย…มาแล้ว!” จู่ๆ สายตาก็มองไปทางน้ำพุวังเวง
เห็นเพียงเงาคนคนหนึ่งเหาะออกมาจากน้ำพุวังเวง มาหยุดอยู่ตรงจุดที่ไม่ไกลจากเรือมังกรอเวจี ทำสีหน้าระแวงสงสัยไม่หยุด เหมือนไม่กล้าเข้าใกล้อีก
เกาก้วนชูระฆังดาราขึ้น จากนั้นผู้ที่มาก็หยิบระฆังดาราออกมา สีหน้าพลันเปลี่ยนไป มองเกาก้วนพลางเหาะเข้ามาอย่างช้าๆ มาเหยียบข้างกายเกาก้วน แล้วถามอย่างเหลือเชื่อ “ท่านบุรุษ ท่านคือ…”
เกาก้วนเปลี่ยนน้ำเสียง เปลี่ยนเป็นเสียงที่เขาคุ้นเคย “ข้าเอง!”
ผู้ที่มาถอดหน้ากากเผยโฉมหน้าที่แท้จริง เป็นเผยโม่ที่สังหารเซี่ยโห้วหลงเฉิง เขายิ้มแห้งพลางกุมหมัดคารวะ “ท่านบุรุษปิดบังข้าได้เนียนจริงๆ!”
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึง ว่าทูตตรวจการขวาเกาก้วนก็คือท่านบุรุษที่บงการอยู่เบื้องหลังเขาครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่เคยคิดที่จะเทียบตราอิทธิฤทธิ์ของทั้งสองอย่างละเอียดด้วย เป็นเพราะไม่กล้าคิดไปในทางนั้นจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ถึง!
“ภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ที่นี่จะเป็นดินแดนแห่งความขัดแย้ง เจ้าอยู่ที่หน่วยตรวจการขวาต่อไม่ได้แล้ว อยู่ต่อจะมีอันตราย ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรให้ห่วง ไปกับข้าแล้วกัน” เกาก้วนกล่าว
เผยโม่กุมหมัดคารวะอีกครั้ง “เชื่อฟังท่านบุรุษ” เขาแอบชำเลืองประมุขไป๋สองที
ประมุขไป๋พยักหน้าเบาๆ ทักทายเขา เมื่อเห็นไป๋เหนียงจื่อพี่อยู่ข้างล่างออกมาอีกแล้ว เขาก็ถลันตัวลงไป ยืนอยู่ตรงข้ามนางแล้วถามว่า “ไม่ไปกับข้าจริงๆ เหรอ?”
ไป๋เหนียงจื่อยกมือกดตรงหน้าอก ชี้ที่หัวใจตัวเอง
ประมุขไป๋ถอนหายใจเบาๆ “ก็ได้! ข้าไม่ฝืนใจ แต่ข้าต้องเตือนเจ้าไว้สักหน่อย ต้องระวังตัวนะ วรยุทธ์สูงไม่ได้แปลว่าจะไร้ความกังวล ไม่ได้แปลว่าจะสามารถต่อต้านใต้หล้าได้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของใต้หล้าไม่ใช่กำลังอันป่าเถื่อน แต่เป็นใจคน ตอนที่หนานโปถูกผนึกในปีนั้นก็เป็นบทเรียนให้เห็นแล้ว”
“นะโมอามิตตาพุทธ ขอให้โยมเดินทางราบรื่น!” ไป๋เหนียงจื่อประนมมือเคารพ ก้าวถอยหลังอย่างช้าๆ แล้วลอยขึ้นมากลางอากาศ ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหาะไปยังจุดลึกในดาราจักร
“อยู่ดีๆ ทำไมออกบวชเสียแล้ว” อู๋ฉางที่เข้ามาใกล้พึมพำอย่างปวดใจ
ประมุขไป๋ที่มองคล้อยหลังนางก็รู้สึกทอดถอนใจมากเช่นกัน นึกย้อนไปในปีนั้น ไป๋เหนียงจื่อผู้เผ็ดร้อนที่ตามเกาะแกะเขาไม่ปล่อย พอมานึกดูตอนนี้ก็พบว่าทุกอย่างช่างงดงาม ราวกับภาพฝันมายา เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “เรื่องในอดีตมิอาจหวนรำลึก!” แล้วหันกลับไปพยักหน้าให้เทพพยากรณ์
เทพพยากรณ์ที่สวมหมวกงอบคลุมครึ่งหน้ากระทุ้งไม้ขักขระเบาๆ เรือมังกรอเวจีเคลื่อรไหวอีกครั้ง ขับเรือไปยังดาราจักรแวววาวอันยาวไกล
คนกลุ่มนี้หันกลับไปมองแดนรัตติกาลอีกครั้ง ทุกคนต่างก็รู้ว่า ครั้งนี้พวกเขาต้องจากไปแล้วจริงๆ
ที่ชั้นสองของตึกเรือ มู่เซิน ผู้อาวุโสเผ่าปีศาจวิ่งออกมา ตะโกนบอกอย่างตื่นเต้นว่า “คุณชายไป๋ นายท่านฟื้นแล้ว!”
ประมุขไป๋หันขวับ ถลันตัวขึ้นไปทันที เกาก้วนที่อยู่บนตึกเรือก็ถลันตัวลงมาเช่นกัน ทั้งสองแทบจะเข้าไปพร้อมกัน
ในตึกเรือ เตียงมังกรหลังหนึ่งถูกฟองอากาศขนาดใหญ่ที่โปร่งแสงครอบไว้ กลุ่มสตรีเผ่าปีศาจกำลังล้อมพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจอยู่ข้างเตียงมังกร สตรีที่งดงามราวกับความฝันคนนั้นกำลังนั่งอยู่ ตรงใต้เท้ามีสตรีเผ่าปีศาจสองคนกึ่งนั่งกึ่งพิง หมอบอยู่บนตักนางครึ่งหนึ่ง กำลังพูดคุยหัวเราะอย่างสนุกสนาน
พอมู่เซินเดินเข้ามากระแอม บรรดาสตรีเผ่าปีศาจก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วทยอยกันถอยออกไป จากนั้นมู่เซินก็โค้งตัวแล้วถอยออกไป
สตรีผู้งดงามกะพริบดวงตาอันใสบริสุทธิ์ ขณะเห็นผู้ชายสองคนเดินเคยงกันมา นางก็เผยรอยยิ้มอ่อนละมุน
เกาก้วนตาแดงก่ำแล้ว รีบชิงเดินเข้าไปในฟองอากาศ พอไปถึงหน้าเตียงมังกรก็ก้าวช้าลง แล้วนั่งบนที่วางเท้าหน้าเตียงมังกร เงยหน้ามองประมุขปีศาจรั่วสุ่ย แล้วยิ้มทั้งน้ำตา “ท่านพี่!”
รั่วสุ่ยยิ้มอย่างงดงาม ดวงตาสวยน้ำตารื้น ยื่นสองมือเรียวสวยออกมา ถอดหมวดทรงสูงบนศีรษะเขา ลูบศีรษะเขาพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงไพเราะ “ดีจริงๆ เกาน้อยของข้ากลับมาแล้ว”
เกาก้วนออกแรงส่ายหน้า มอบร้องไห้โฮบนตักนาง ปากก็กล่าวเสียงสะอื้น “ข้าขอโทษ! ท่านพี่ ข้าผิดไปแล้ว…”
เขาจำได้เลือนรางว่าวันนั้นบนทะเลมีคลื่นโหมซัดสาด สุดท้ายคลื่นยักษ์ก็ซัดจนเรือแตก เขาที่ยังเป็นเด็กน้อยกอดขอนไม้ลอยอยู่ในน้ำทะเลหนาวเหน็บ ไม่รู้เหมือนกันว่าลอยอยู่นานเท่าไร อย่างไรเสีย หลังจากนั้นเขาก็ไม่เห็นพ่อแม่ที่ขึ้นเรือมาด้วยกันอีกเลย ตอนที่เขากำลังจมลงสู่ก้นทะเลอย่างสะลึมสะลือ สตรีผู้งดงามคนหนึ่งก็มาจากทะเลลึก มารับเขาเอาไว้ ใช้ฟองอากาศครอบเขาไว้ ส่งเขามาบนเกาะแห่งหนึ่ง
บนเกาะที่งดงาม หาดทรายสีขาวบริสุทธิ์ สตรีผู้งดงามสวมชุดกระโปรงยาวเกล็ดสีทอง สองขาเรียวยาวก้าวเข้ามาอุ้มเขาขึ้นบนเกาะ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ใช้ชีวิตบนเกาะกับพี่สาวแสนสวยคนนี้ เขามักเฝ้ารอให้ตัวเองเติบโตเร็วๆ จึงสวมหมวกทรงสูงที่น่าขำใบหนึ่ง พี่สาวแสนสวยมักจะตบศีรษะเขาเบาๆ และเรียกล้อเขาว่า ‘เสี่ยวเกาเม่า[1]’ รอยยิ้มของพี่สาวอ่อนโยนขนาดนั้น ทำให้เขาลืมเลือนเรื่องทุกข์ใจทุกอย่างได้
…………………………
[1] เสี่ยวเกาเม่า 小高帽 แปลว่า เจ้าหนูน้อยหมวกสูง

 

เมื่อเฉาเฟิ่งฉือถูกจับ กำลังพลที่ดักซุ่มอยู่ใกล้ๆ ตลาดผีก็ยังไม่บุ่มบ่ามทำอะไรกับตึกศาลาสัตยพรต

เป็นเพราะตึกศาลาสัตยพรตคืออำนาจที่อยู่ในที่แจ้งของตระกูลเซี่ยโห้ว มีสายตาจับจ้องจำนวนมาก ถ้าแตะต้องตึกศาลาสัตยพรตอย่างเปิดเผย ก็กลัวว่าจะสะเทือนไปถึงอำนาจที่อยู่ตามที่ต่างๆ ของตระกูลเซี่ยโห้ว ขอเพียงควบคุมเฉาเฟิ่งฉือได้ก็พอแล้ว หากจะขุดรากถอนโคนอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้ว ตึกศาลาสัตยพรตก็จะต้องเอาไว้ลงมือหลังสุด

หลังจากจัดการเฉาหม่านกับเฉาเฟิ่งฉือแล้ว ทัพใหญ่ที่เร่งไปตามแต่ละจุดอย่างลับๆ ก็มุ่งตรงไปหาเครือข่ายลับที่ตระกูลเซี่ยโห้วเคยวางไว้ตามแห่งต่างๆ เมื่อกำหนดเวลาเรียบร้อยแล้ว ก็แทบจะลงมือพร้อมกัน ขุดรากถอนโคนอำนาจหลักของตระกูลเซี่ยโห้วอย่างรวดเร็วปานฟ้าผ่าในรวดเดียว

ส่วนจำนวนสมาชิกที่พึ่งพาตระกูลเซี่ยโห้วและถูกตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมก็ซับซับซ้อนเกินไป ถ้าจะให้จับให้หมดก็เป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่การจับตัวคนที่เป็นแกนกลาง หลังจากควบคุมคนที่เป็นแกนกลางแล้วค่อยตรวจสอบสมาชิกที่ตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมอยู่ทั้งหมดนั้นไม่ยาก เหมียวอี้เองก็ไม่ได้คิดจะจับทั้งหมด ขอเพียงควบคุมตัวหลักที่เชื่อมต่อแต่ละเครือข่ายไว้ด้วยกันได้ สมาชิกที่กระจัดกระจายกันอยู่ไม่มีข่าวกรองจากเครือใหญ่ขนาดใหญ่ของตระกูลเซี่ยโห้วสนับสนุน ก็จะกลายเป็นคนหูหนวกตาบอก ไม่เป็นโล้ไม่เป็นพาย เหมียวอี้ขออะไรนิดเดียวจากโครงสร้างสมาชิกที่ซับซ้อนเหล่านี้ นั่นก็คือควบคุมรายชื่อทั้งหมด และเตรียมจะให้เปิดโปงคนพวกนี้ออกมาให้หมดด้วย

หลังจากครั้งนี้ ตระกูลเซี่ยโห้วที่เป็นใหญ่อยู่หลังม่านมาหลายปี ผ่านมาหลายยุคสมัยก็ถึงจุดจบโดยสิ้นเชิงแล้ว จบลงเงียบๆ โดยไร้ลูกคลื่นใดๆ กลายเป็นอดีตไปอย่างเงียบเชียบจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็น จนกระทั่งหลังจากนั้นหลายปีจึงมีคนมากมายนึกขึ้นได้ว่าทำไมตระกูลเซี่ยโห้วหายไปเงียบๆ และรูปสึกแปลกใจ

สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อน เพราะหลายคนที่เข้าร่วมลงมือกับตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่รู้ว่าคนที่ตัวเองกำลังสู้ด้วยคือตระกูลเซี่ยโห้ว ยังนึกว่าเป็นการกวาดล้างพรรคพวกที่เหลือของชิงและพุทธะ ส่วนคนที่รู้ความจริงก็เงียบไว้

และการกวาดล้างพรรคพวกที่เหลือของชิงและพุทธะก็กำลังดำเนินไปพร้อมกัน

กำลังพลหนึ่งแสนเหาะลงมาจากฟ้า เหยียบลงกลางทะเลทรายรกร้างเปล่าเปลี่ยวที่มีคนอาศัยอยู่น้อย แม่ทัพที่นำกำลังพลมากำลังมองสำรวจไปรอบๆ

ผ่านไปครู่เดียว ด้านหลังเนินทรายตรงจุดไกลๆ มีชายคนหนึ่งโผล่ออกมา ถลันตัวเหาะเข้ามา แล้วกุมหมัดคารวะอย่างระมัดระวัง  กวนเหมิง ศิษย์สำนักเมฆม่วงคำนับนายท่าน 

แม่ทัพมองเขาศีรษะจดเท้า ถามว่า  คนของสำนักเมฆม่วงไปไหนแล้ว? 

กวนเหมิงหันตัวชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง  โอเอซิสกลางทะเลทรายที่มีรัศมีประมาณหนึ่งลี้ ซึ่งอยู่ห่างจากตรงนี้ประมาณแปดร้อยลี้ขอรับ ลึกลงไปใต้ดินร้อยจั้งจะมีพื้นที่ว่างใต้ดินที่ขุดไว้ คนของสำนักเมฆม่วงหลบอยู่ใต้นั้น ทางเข้าคือก้นทะเลสาบ 

 นำทาง!  แม่ทัพคนนั้นกล่าวเสียงต่ำ

 เชิญขอรับ!  กวนเหมิงพี่ค่อนข้างตื่นเต้นกล่าวอย่างนอบน้อม

เป็นอย่างที่กวนเหมิงบอกไว้ โอเอซิสกลางทะเลทรายที่มีรัศมีประมาณหนึ่งลี้อยู่จริงๆ น้ำในทะเลสาบสีเขียวมรกตใสเหมือนกระจก รอบข้างมีพืชทะเลทรายเขียวชะอุ่ม

ลำแสงหลายสายยิงออกจากด้านหลังเนินทราย ศิษย์สำนักเมฆม่วงหลายคนที่หลบสังเกตการณ์อยู่ในเหาะหนีเงียบๆ แต่กลับถูกลำแสงยิงร่วง จะเห็นได้ว่าทุกคนมีวรยุทธ์ไม่สูง

คาดว่าเสียงระเบิดตูมตามคงสะเทือนไปถึงคนที่ซ่อนอยู่ใต้ดิน พอแม่ทัพหลักโบกมือ กำลังพลนับหมื่นก็พุ่งลงในทะเลสาบโดยตรง ตามหาคนและสังหารทิ้ง

และรอบๆ โอเอซิสก็ถูกทัพใหญ่ล้อมไว้ กำลังฟังเสียงต่อสู้ที่ดังมาจากก้นทะเลสาบ

เสียงต่อสู้ดังเพียงครู่เดียวเท่านั้น ผ่านไปไม่นาน กลางทะเลสาบก็ปรากฏกำลังพลกลุ่มใหญ่ ลูกศิษย์สำนักเมฆม่วงที่นำโดยเจ้าสำนักเถียนชงยอมแพ้ทั้งหมด ไม่ยอมแพ้คงไม่ได้ เพราะรู้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ ถ้าต่อต้านต่อไปก็จะตายกันหมดแน่

ริมทะเลสาบ ศิษย์สำนักเมฆม่วงรวมทั้งสมาชิกในครอบครัวอยู่ด้วยกัน มีทั้งชายหญิงเด็กและคนชรา มีจำนวนเกือบสามพันคน ทั้งหมดถูกควบคุมเอาไว้ครบ แต่ละคนมีท่าทางตกใจกลัว เด็กน้อยตกใจจนร้องไห้งอแง ถูกผู้ใหญ่ปิดปากเอาไว้แน่น กลัวว่าจะยั่วโมโหทัพใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า

แม่ทัพหลักยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าสำนักเถียนชง กล่าวเสียงเย็นว่า  ช่างใจกล้านัด สำนักเมฆม่วงเล็กๆ บังอาจช่วยทรราชต่อต้านทัพสวรรค์ ช่างเบื่อไหนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ! 

เถียนชงมีสีหน้าเศร้าโศกเสียใจ ตอนแรกหนิวโหย่วเต๋อเป็นกองทัพกบฏ ประมุขชิงต่างหากที่เป็นทัพสวรรค์ ตอนนี้ประมุขชิงกลายเป็นทรราชแล้ว หนิวโหย่วเต๋อกลายเป็นทัพสวรรค์ จะอธิบายอะไรอีกก็ไม่มีประโยชน์ เขาคุกเข่าทันที แล้วกล่าวอย่างจนปัญญาว่า  ผู้น้อยไม่รู้สภาพดินฟ้าอากาศ สมควรตายหมื่นครั้ง ไม่ว่าความผิดอะไรก็ล้วนเป็นความผิดของข้าน้อย ขอให้นายท่านเมตตาไว้ชีวิตคนอื่น! 

ฝั่งนี้ก็ได้ยินเช่นกันว่ามีกำลังพลบุกโจมตีเข้ามา บอกว่าถ้ายอมสวามิภักดิ์จะพ้นความตาย ตอนนี้ถึงได้ยอมสวามิภักดิ์

 นายท่านโปรดไว้ชีวิต!  ทุกคนของสำนักเมฆม่วงร้องขอชีวิต ชายหญิงเด็กและคนชราคุกเข่ากันหมดแล้ว

เถียนชงกล่าวเสียงเรียบว่า  คนในครอบครัวของโจรกบฏกวนเหมิงอยู่ที่ไหน ส่งตัวมา! 

 นายท่าน…  เถียนชงพลันเงยหน้า

 หืม?  แม่ทัพหลักถลึงตาถาม รอบข้างมีเสียงอาวุธดัง กำลังพลที่ล้อมอยู่ยกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาทันที ลูกธนูแหลมคมเล็งไปยังกลุ่มคนที่กำลังนั่งคุกเข่า

สุดท้าย เถียนชงก็ก้มหน้าอย่างจนใจ เพื่อที่จะปกป้องคนจำนวนมากกว่านี้ หรือเพื่อที่จะปกป้องตัวเอง ไม่มีใครพูดขอร้องให้คนในครอบครัวของกวนเหมิงอีก

 พวกเจ้ามันสัตว์เดรัจฉาน ต้องไม่ได้ตายดีแน่… 

กลุ่มผู้หญิงวัยกลางคนตกใจถึงขีดสุด ชี้หน้าด่าทุกคนของสำนักเมฆม่วง ด่าจนไม่มีใครกล้าเงยหน้า

ยังมีสาวน้อยอีกคนหนึ่ง รวมทั้งสตรีวัยกลางคนผู้นั้นถูกลากออกมาจากกลุ่มคน เป็นครอบครัวของกวนเหมิงนั่นเอง

พอแม่ทัพหลักโบกมือ กำลังพลก็กรูกันเข้ามา เก็บคนของสำนักเมฆม่วงใส่ในกระเป๋าทั้งหมด

ส่วนสองแม่ลูกที่กำลังตกใจจนร้องไห้ พอแม่ทัพหลักโบกมือ คนที่จับตัวพวกนางอยู่กลับปล่อยพวกนางไป

 พวกเจ้าไปรอข้างนอกก่อน!  แม่ทัพหลักกำชับกำลังพลที่ติดตามมา ทัพใหญ่เหาะขึ้นฟ้าไปทันที

ที่ริมโอเอซิส หลังจากเหลือเพียงสองแม่ลูกและแม่ทัพหลัก ด้านหลังเนินทรายที่อยู่ไม่ไกลก็มีคนคนหนึ่งปรากฏตัว สองแม่ลูกที่กำลังร้องไห้ถลึงตามอง ถ้าไม่ใช่กวนเหมิงแล้วจะเป็นใครไปได้อีก

กวนเหมิงถลันตัวเข้ามา กุมหมัดคารวะแม่ทัพหลัก  ขอบคุณนายท่าน! 

แม่ทัพหลักหยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง เขียนหนังสืออนุญาต ยืนให้เขาพร้อมบอกว่า  นี่คือหนังสืออนุญาต เบื้องบนสั่งมาว่า ถ้าพี่กวนทำภารกิจสำเร็จได้อย่างราบรื่น ก็ถือหนังสือนี้ไปรายงานตัวได้เลย ส่วนจะไปรายงานที่ไหน ข้าก็ไม่รู้ชัดเจนเหมือนกัน เบื้องบนบอกว่าพี่กวนรู้อยู่แล้ว สรุปก็คือตั้งแต่นี้ไปทุกคนล้วนเป็นคนของตัวเอง มีจุดไหนที่ล่วงเกินก็หวังว่าจะไม่ถือสา หลังจากนี้ก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วย  เขาเองก็ไม่รู้ว่าฐานะที่แท้จริงของกวนเหมิงคือใคร ภายหลังจะมีบทบาทอะไร เอาเป็นว่าพูดให้น่าฟังไปก่อนนั้นไม่ผิด

กวนเหมิงรับแผ่นหยกเอาไว้ในมือ แล้วฝืนยิ้ม  นายท่านเกรงใจแล้ว 

มีเพียงเขาที่รู้ชัดอยู่แก่ใจ เขาเป็นคนทรยศของสำนักเมฆม่วงอย่างแท้จริง เป็นเพราะเมื่อก่อนทำเรื่องนอกลู่นอกทาง โดนบุคคลลึกลับจับจุดอ่อนได้ ครั้งนี้ก็ถูกบีบให้ทรยศสำนักเมฆม่วงอีก จะให้ไปรายงานตัวที่ไหนเขาก็ไม่รู้ชัดเช่นกัน รู้เพียงว่าตั้งแต่นี้ไปก็จะกลายเป็นคนของตำหนักสวรรค์แล้ว ไม่ใช่ตำหนักสวรรค์ของประมุขชิง แต่เป็นตำหนักสวรรค์ของหนิวโหย่วเต๋อ

 ขอตัว!  แม่ทัพหลักกุมหมัดคารวะแล้วถอยออกไป จากนั้นก็เหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

กวนเหมิงกุมหมัดคารวะน้อมส่ง

แม่ลูกที่อยู่ข้างกันคราบน้ำตายังไม่ทันแห้ง กำลังเดินเข้ามาใกล้ คนเป็นแม่ถามอย่างหวาดระแวงสงสัยว่า  ท่านสามี นี่มันเรื่องอะไรกัน? 

เรื่องบางเรื่องกวนเหมิงเองก็ไม่สะดวกจะเอ่ยถึง เพียงถอนหายใจแล้วตอบว่า  เมื่อครู่นี้สำนักเมฆม่วงทำกับพวกเจ้ายังไง พวกเจ้าก็เห็นแล้ว 

พอพูดถึงเรื่องนี้ นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ สองแม่ลูกก็แค้นมาก สตรีวัยกลางคนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า  ทำงานให้สำนักเมฆม่วงมาหลายปี ไม่น่าเชื่อว่าจะเห็นพวกเรากลายเป็นหมากที่ใช้แล้วทิ้ง ข้าแค้นจนอยากจะล้างสำนักเมฆม่วงถึงจะดี! 

 ท่านพ่อ ท่านคือคนของหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?  สาวน้อยยังหวาดกลัวไม่หาย

กวนเหมิงปากคอขื่นขม ยกมือลูบศีรษะลูกสาว แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ ไม่ต้องถามมากแล้ว สำนักเมฆม่วงกลายเป็นอดีตไปแล้ว ยุคสมัยของชิงและพุทธะก็กลายเป็นอดีตไปแล้วเช่นกัน ตอนนี้เป็นใต้หล้าของหนิวโหย่วเต๋อ เป็นคนของตำหนักสวรรค์ไม่มีอะไรไม่ดี เกรงว่าหลังจากนี้พวกเราสามคนคงต้องเปลี่ยนชื่อแล้ว ไม่สะดวกจะใช้ชื่อปัจจุบันแล้ว ต่อไปนี้ไม่สะดวกจะเอ่ยถึงภูมิหลังสำนักเมฆม่วงกับคนนอกอีก เข้าใจใช่ไหม? 

แม้จะไม่เข้าใจชัดเจนว่าเรื่องอะไร แต่สตรีวัยกลางคนก็นับว่าวางใจแล้ว และถ้าพูดจากบางมุม การเป็นลูกศิษย์ของสำนักเมฆม่วงก็อาจไม่ดีเท่าเป็นคนของตำหนักสวรรค์ ถือเป็นอนาคตอีกเส้นทางหนึ่งเช่นกัน สตรีวัยกลางคนยกแขนเสื้อปาดคราบน้ำตา แล้วบอกลูกสาวว่า  เชื่อฟังพ่อเจ้า เจ้ารู้แค่ว่าพ่อเจ้าทำอย่างนี้เพราะหวังดีกับพวกเราก็พอ 

สาวน้อยพยักหน้าเอ่ยรับ เมื่อครู่นี้ถูกสำนักเมฆม่วงทอดทิ้งแล้ว ยังนึกว่าตัวเองจะต้องตายเสียอีก ตกใจแทบแย่แล้ว ตอนนี้เมื่อรู้ว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุข มีบิดาเป็นที่พึ่งพิงที่มั่นคง ในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกปลอดภัย บนใบหน้าเผยรอยยิ้มอันสดใส นางจะไปรู้ถึงความผันผวนยากคาดเดาภายใต้สถานการณ์ภาพรวมของใต้หล้าได้อย่างไร ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไหร่ได้หน้าได้ตา ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไหร่เศร้าอ้างว้าง ยิ่งไม่รู้ว่ามีสักกี่คนที่บ้านแตกสาแหรกขาด จากกันเพราะความตาย

ชะตาชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ของคนนับไม่ถ้วนอยู่ในนั้นหมดแล้ว

เมื่อเห็นลูกสาวยิ้มอย่างเบิกบานใจ กวนเหมิงก็ยกมือลูบศีรษะลูกสาวอีก ความรู้สึกผิดในใจเบาบางลงไม่น้อย สามารถปกป้องลูกเมียให้ปลอดภัยได้ เขารู้สึกว่าทุกอย่างคุ้มค่าแล้ว

กลับเป็นสตรีวัยกลางคนที่หลังจากรู้สึกผ่อนคลายแล้ว อดไม่ได้ที่จะถามว่า  ท่านสามี ที่ทาานกำลังจะไปเป็นขุนนางตำหนักสวรรค์เหรอ? เป็นขุนนางยศสูงขนาดไหนกัน?  ในดวงตาเผยแววเฝ้าคอย นึกไม่ถึงว่าผู้ชายของตัวเองจะทำงานใหญ่ขนาดนี้โดยไม่ให้สุ้มให้เสียง ก่อนหน้านี้ตัวเองดูถูกเขาเกินไป ที่แท้ผู้ชายของตัวเองก็สุขุมนุ่มลึกขนาดนี้ นี่ตัวเองกำลังจะกลายเป็นสตรีสูงศักดิ์ไปด้วยแล้วเหรอ?

ที่นางคิดอย่างนี้ ก็เป็นเพราะเมื่อครู่นี้นางเห็นผู้บัญชาการที่นำทหารมามากมายมีท่าทีสุภาพเกรงใจต่อผู้ชายของนาง

 เจ้าคิดมากไปแล้ว!  กวนเหมิงกลอกตามองเขา…

ที่จริงแล้วตัวอย่างแบบกวนเหมิงก็มีให้เห็นไม่น้อยในเวลานี้ ทัพใหญ่ของเหมียวอี้ไม่เพียงแค่กำลังกวาดล้างพรรคพวกที่เหลือของชิงและพุทธะ แต่อำนาจฝ่ายต่างๆ และบรรดาสำนักที่ก่อนหน้านี้ยืนผิดฝั่ง ช่วยเหลือทัพใหญ่ของชิงและพุทธะต่อต้านทัพใหญ่ของเหมียวอี้ก็อยู่ในขอบเขตของการคิดบัญชีด้วย เหมียวอี้เองก็ไม่มีกำลังมากขนาดนั้นที่จะมาสืบหาสาเหตุให้ครบทุกบ้าน ไม่มีกำลังวังชามาสืบทีละบ้านว่าเป็นผู้บริสุทธิ์หรือเปล่า ถูกบีบบังคับจนไร้ทางเลือกหรือเปล่า ลูกน้องของเขามากมายรบตายไปเพราะคนพวกนี้ ถ้าไม่คิดบัญชี ก็ไม่สะดวกจะชี้แจงกับพี่น้องที่รบตายไปและที่ยังมีชีวิตอยู่

ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง เหมียวอี้ต้องการใช้การกวาดล้างครั้งใหญ่เพื่อข่มขวัญและสร้างบารมีให้ตัวเอง ต้องการลบอิทธิพลที่ชิงและพุทธะเคยมีต่อใต้หล้า

อำนาจและสำนักที่เคยสู้กับกำลังพลของตัวเอง เบื้องล่างรายงานขึ้นมาแล้ว ปรับแต่งรายชื่อออกมาแล้ว ต้องนำรายชื่อมาคิดบัญชีทีละฝ่าย

ส่วนในระหว่างนั้นจะมีบางสำนักถือโอกาสใส่ความสำนักที่มีความแค้นเดิมต่อกันอยู่แล้วหรือไม่ การซ้ำเติมแบบนี้คงจะเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้เหมียวอี้ไม่มีทางไปพิถีพิถันกับสิ่งนี้ เพราะมีบางสำนักที่ในตอนนั้นเสี่ยงอันตรายยืนฝ่ายเดียวกับเขา ต่อสู้ดิ้นรนและสละชีวิตลูกศิษย์ในสำนักไปไม่น้อยเพื่อเขา ดังนั้นกับผลลัพธ์บางอย่างเขาจึงทำได้เพียงปิดตาข้างเดียว คิดเสียว่าเป็นรางวัลให้กับสำนักเหล่านั้นก็แล้วกัน จะใช้เรื่องนี้มาคิดบัญชีหรือไม่ ดูสถานการณ์ตอนหลังแล้วค่อยตัดสินใจอีกที ไม่ได้แปลว่าเหมียวอี้จะไม่สืบหาอีกเลยตลอดไป

เพื่อสิ่งนี้ เหมียวอี้ใช้งานหลากหลายช่องทางแล้ว รวมทั้งอำนาจกับบรรดาสำนักที่อยู่ในการควบคุมตระกูลเซี่ยโห้วด้วย อำนาจและสำนักที่ก่อนหน้านี้ยืนผิดฝั่งไปช่วยทัพใหญ่ของชิงและพุทธะถูกขุดออกมาคิดบัญชีทีละฝ่าย กวนเหมิงก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในนั้น เพียงแต่คนประเภทกวนเหมิงก็ไม่รู้เช่นกันว่าตัวเองถูกตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมอยู่ กลายเป็นคนของตำหนักสวรรค์อย่างเลอะเลือน

ส่วนที่ไปของคนพวกนี้ สวีถังหรานรู้ดีที่สุด เขาได้รับคำสั่งจากเหมียวอี้แล้ว ว่าให้สร้างองค์กรที่คล้าย ‘หน่วยตรวจการซ้าย’ ของตำหนักสวรรค์ และคนพวกนี้ก็กลายเป็นสายลับในมือสวีถังหรานทั้งหมด การที่คนพวกนี้ทรยศสำนักตัวเอง ก็กลายเป็นจุดด่างพร้อยที่ใหญ่ที่สุดแล้ว สะดวกต่อการควบคุม

แน่นอน ใต้หล้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ ถ้าอยากจะสะสางให้สะอาดทั้งหมดนั้นเป็นไปไม่ได้ มีปลาลอดแหไปบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่มอบตัว ต่อไปนี้ก็ตกอยู่ในรายชื่อหมายจับ ตามจับไปตลอด จนกระทั่งจับได้ถึงจะหยุด!

 

หวงฝู่ตวนหรงกับอู่หนิงทำสีหน้าแปลกๆ ไม่น่าเชื่อว่าท่านโหวตำหนักสวรรค์จะมอบของขวัญเอาใจผู้จัดการใหญ่สมาคมวีรชน ทำไมรู้สึกว่ากลับกันล่ะ?
สองสามีภรรยาย่อมรู้ว่าสาเหตุที่สวีถังหรานประจบเอาใจคืออะไร เพียงแต่ทำอย่างชัดเจนขนาดนี้จะเกินไปหรือเปล่า?
หวงฝู่จวินโหรวแทบอยากจะร้องไห้แล้ว รีบโบกมือปฏิเสธเช่นกัน “ไม่ต้องหรอก ไม่ต้อง”
“สมควรแล้ว สมควรแล้ว ขอตัวก่อน ไม่รบกวนแล้ว ท่านอยู่ตรงนี้แหละ!” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยไป สวีถังหรานวางกำไลเก็บสมบัติไว้บนโต๊ะเสียเลย พยักหน้าโค้งเอวด้วยรอยยิ้ม แล้วก็วิ่งออกไปอย่างนั้น
หลังจากสามพ่อแม่ลูกมองคล้อยหลังเขาจากไปแล้ว หวงฝู่ตวนหรงก็เดินมาข้างโต๊ะ หยิบกำไลเก็บสมบัติขึ้นมาดู แล้วอุทานด้วยความตกใจ “ควักให้แบบใจถึงจริงๆ ดูท่าแล้วยามปกติจะกอบโกยได้ไม่น้อย!” นางถือโบกไปโบกมาให้ลูกสาวดู “ไม่อยากได้จริงเหรอ? ถ้าไม่อยากได้ข้าเก็บแล้วนะ” นางกล่าวด้วยสีหน้าหยอกล้อ
นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าของขวัญนี้เป็นสิ่งที่ท่านปู่นางมอบให้สวีถังหราน แล้วสวีถังหรานก็แค่เลือกบางส่วนมาจากในนั้นก็เท่านั้นเอง
เมื่อเห็นมารดากำลังหยอกล้อตัวเอง หวงฝู่จวินโหรวก็ถามอย่างเขินอาย “ท่านแม่ ท่านไหวหรือเปล่า?”
อู่หนิงยืนสีหน้าราบเรียบอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรสักคำ ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์มาก
ผ่านไปไม่นาน หวงฝู่เลี่ยนคงก็ส่งคนมาแล้ว บอกให้สามคนนี้ไปพบสักรอบ สามคนนี้ย่อมไปพบตามคำสั่ง
ตำหนักหลักของตำหนักใต้ดิน เมื่อเห็นสามพ่อแม่ลูกมาถึง สายตาของหวงฝู่เลี่ยนคงก็ไปหยุดอยู่บนหน้าอู่หนิง ในใจแอบรู้สึกสะท้อนใจ แม้แต่องครักษ์ก็ยังถูกหนิวโหย่วเต๋อซื้อตัวไปแล้ว ไม่แปลกใจที่ประมุขชิงแพ้
หลังจากสามพ่อแม่ลูกทำความเคารพ หวงฝู่ตวนหรงก็ถามอย่างนอบน้อม “ท่านปู่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรจะกำชับหรือคะ?”
นางสังเกตสีหน้าท่าทางของสามพ่อลูกครู่หนึ่ง หวงฝู่เลี่ยนคงยิ้มอย่างเป็นกันเอง แต่หวงฝู่จัวกับหวงฝู่เกากลับฝืนยิ้มนิดหน่อย เห็นได้ชัดว่าพยายามเจียดรอยยิ้มออกมา
หวงฝู่เลี่ยนคงเอามือไขว้หลังเดินเข้ามา เดินตรงไปตรงหน้าหวงฝู่จวินโหรว จ้องประเมินศีรษะจดเท้า แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหลายปี นางหนูโหรวโหรวเติบโตแล้วจริงๆ สามารถแบกรับหน้าที่เพียงลำพังได้แล้ว ปกติติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อบ่อยหรือเปล่า?”
ถามถึงหนิวโหย่วเต๋อต่อหน้าแบบนี้ หวงฝู่จวินโหรวเก้อเขินเล็กน้อย ถ้าจะให้พูดขึ้นมาจริงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่เรื่องที่มีเกียรติเท่าไรนัก นางรู้สึกไม่มั่นใจกับเรื่องในด้านนี้มาตลอด ที่จริงนางก็รู้ว่าการที่ตัวเองกับหนิวโหย่วเต๋อแอบลักลอบเจอกันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่ในเรื่องของความรู้สึก ต่อให้รู้ว่าตัวเองทำผิดแต่ก็ยากจะควบคุมตัวเองได้
เมื่อรู้ว่าลูกสาวเขินอาย หวงฝู่ตวนหรงก็คอยช่วยพูดเปลี่ยนประเด็นอยู่ข้างๆ “นางยังอเด็กเกินไปที่จะแบกรับหน้าที่เพียงลำพัง โชคดีที่ท่านปู่และพวกท่านอาคอยช่วยมาตลอด”
หวงฝู่เลี่ยนคงหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องพูดจาตามมารยาทแล้ว คนครอบครัวเดียวกันไม่ต้องอ้อมค้อม เมื่อครู่นี้ข้าปรึกษากับท่านอาทั้งสองของเจ้าแล้ว ค่าเตรียมจะถอยออกจากตำแหน่งหัวหน้าตระกูลแล้ว เตรียมจะส่งต่อให้โหรวโหรว”
อู่หนิงพลันเงยหน้า
“…” หวงฝู่จวินโหรวพลันเงยหน้าเช่นกัน ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป
หวงฝู่ตวนหรงอุทาน “หา” บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อนายท่านถอยออกจากตำแหน่งแล้ว เบื้องล่างยังมีลูกชายอีกสองคนและหลานชายอีกเป็นกองเป็นตัวเลือก เหตุใดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลจึงมาตกอยู่ในมือหลานสาวนอกรุ่นที่สี่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะอู่หนิงแต่งงานเข้าตระกูล หวงฝู่จวินโหรวก็จะเป็นคนนอกแซ่ไปเลย ไม่ว่าจะพูดจากมุมไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรับช่วงตำแหน่งหัวหน้าตระกูล แม้แต่นางเองก็ยังรู้สึกว่าทำอย่างนี้เกินไปหน่อย
นางรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ท่านปู่ โหรวโหรวยังเด็กอยู่ แบกรับหน้าที่สำคัญอย่างนี้ไม่ไหว”
หวงฝู่เลี่ยนคงก็ไม่เปลืองคำพูด หันกลับไปมองลูกชายสองคนแล้วถามว่า “พวกเจ้ามีอะไรไม่เห็นด้วยหรือเปล่า?”
ลูกชายทั้บสองสอบตากันแวบหนึ่ง แล้วเดินเข้ามา แสดงท่าทีพร้อมกัน “พวกเราจะสนับสนุนโหรวโหรวเต็มที่”
หวงฝู่เลี่ยนคงขานรับแล้วบอกว่า “พวกเจ้าได้ยินหมดแล้วนะ ตาแก่คนนี้ก็มีเจตนานี้ จะเด็กหรือไม่เด็กนั้นไม่สำคัญ ไม่ว่าใครก็เริ่มต้นจากตอนอายุยังน้อยทั้งนั้น ตราบใดที่มีทุกคนสนับสนุนก็พอ ถ้าใครไม่ยอม ก็พูดออกมาได้เลย!”
หวงฝู่จวินโหรวเริ่มกลัวแล้ว “ท่านปู่ทวด ความสามารถของข้ามีจำกัด คือว่า…”
หวงฝู่เลี่ยนคงยกมือตัดบท “ไม่ต้องพูดจาถ่อมตัวแล้ว ที่ข้าให้เจ้ารับช่วงต่อตำแหน่งหัวหน้าตระกูล ก็ย่อมต้องพิจารณามาแล้ว ไม่ใช่การตัดสินใจที่บุ่มบ่าม ใต้หล้านี้กำลังจะถูกกวาดล้างครั้งใหญ่ หลายปีมานี้ตระกูลหวงฝู่ล่วงเกินคนอื่นไว้ไม่น้อยทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง ใครๆ ก็รู้ว่าในอดีตมีใครหนุนหลัง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะโดนคิดบัญชี แต่ความยุ่งยากคงหนีไม่พ้น ภูตผีปีศาจสายต่างๆ เยอะเกินไป ถ้าไร้อำนาจอิทธิพล ใช้เงินไล่อย่างเดียวก็ไล่ไม่หมด ตอนนี้คนที่จะช่วยให้ตระกูลผ่านวิกฤตไปได้ก็มีเพียงเจ้าคนเดียว พูดจาอ้อมค้อมไปก็ไม่มีความหมาย ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อมีอำนาจตัดสินใจต่อใต้หล้านี้ ดูออกเลยว่าหนิวโหย่วเต๋อชอบจะมา มีหนิวโหย่วเต๋อหนุนหลังเจ้าต่างหากที่สำคัญที่สุด ที่ให้เจ้าเป็นหัวหน้าตระกูล ก็เพราะต้องการให้เจ้าบังลมบังฝนให้ลูกหลานในตระกูลอยู่อย่างสงบสุข ถ้าสามารถรักษาทรัพย์สินเงินทองไว้ได้ก็ยิ่งดี ให้เจ้ารับผิดชอบ เข้าใจไหม?”
“…” หวงฝู่จวินโหรวพูดไม่ออก
หวงฝู่ตวนหรงลองถามว่า “ท่านปู่ นี่เป็นความคิดของหนิวโหย่วเต๋อหรือคะ? ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ให้โหรวโหรวไปคุยกับหนิวโหย่วเต๋อให้ชัดเจน ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลไม่เหมาะกับโหรวโหรวจริงๆ” นางนึกว่าเหมียวอี้เป็นคนดิบบังคับ
“ทำไมกัน? ก่อนที่สวีถังหรานจะออกไป ไม่ได้พูดเรื่องสถานการณ์บนสนามรบให้เจ้ารู้เหรอ?” หวงฝู่เลี่ยนคงถามกลับ
หวงฝู่ตวนหรงส่ายหน้าอย่างงุนงง “เรื่องสงครามจบแล้วหรือคะ?”
เป็นเพราะเรื่องสงครามจบแล้ว สวีถังหรานถึงมีภารกิจอื่นให้ทำและกล่าวอำลาออกไป แต่ไม่ได้บอกว่าเรื่องทำศึกจบลงแล้ว ที่สำคัญเป็นเพราะสวีถังหรานไม่สะดวกจะพูดว่าเป็นเพราะหนิวโหย่วเต๋อช่วงชิงใต้หล้าได้แล้ว เขาถึงได้ทำตัวเคารพนอบน้อมไปส่งของขวัญประจบเอาใจหวงฝู่จวินโหรว
“ดูท่าแล้วพวกเจ้าคงยังไม่รู้ความจริง” หวงฝู่เลี่ยนคงส่ายหน้าถอนหายใจ เดินไปเดินมาอยู่ในตำหนัก ขณะที่ครุ่นคิดก็ค่อยๆ เล่าให้ฟัง “ก่อนหน้านี้ได้ข่าวบางอย่างมาจากซ่างกวนชิง เชื่อมโยงกับข่าวที่สายลับพวกนั้นเพิ่งว่างส่งมา ตอนนี้ข้ารู้ความเป็นมาเป็นไปคร่าวๆ แล้ว สาเหตุที่ประมุขชิงกับชิงหยวนจุนกลายเป็นศัตรูกัน คงจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อเสี้ยม แล้วก็อาศัยให้ฝั่งเถิงเฟยก่อเรื่อง บวกกับโค่วหลิงซวีและก่วงลิ่งกงสร้างแรงกดดันให้ประมุขชิง ล่อให้ประมุขชิงติดกับดัก สังหารชิงหยวนจุน จับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เป็นตัวประกัน ฮุบกลืนทัพใหญ่แดนรัตติกาล แล้วก็ใช้วิธีการอย่างต่อเนื่องบีบให้เฉิงไท่เจ๋อหมดหนทางจนต้องนำกำลังพลมาสวามิภักดิ์ กองทัพองครักษ์แปดร้อยล้านของประมุจชิงติดกับดักของหนิวโหย่วเต๋อ ถูกตีพินาศย่อยยับ ทำให้ประมุขชิงสูญเสียกำลังเยอะมาก จำเป็นต้องออกรบด้วยตัวเอง แล้วหนิวโหย่วเต๋อก็ฉวยโอกาสบีบให้เถิงเฟยยอมสวามิภักดิ์อีก จากนั้นก็สู้กับโค่วหลิงซวี ทำให้ทั้งตระกูลโค่วหลิงซวีถูกสังหารหมด บีบให้ก่วงลิ่งกงหนีหัวซุกหัวซุน หนิวโหย่วเต๋อนำทัพใหญ่ไล่สังหาร กวาดล้างตลอดทางจนถึงเขาหลิงซาน บีบบังคับให้ก่วงลิ่งกงยอมสวามิภักดิ์ จากนั้นก็มาทำศึกตัดสินกับชิงและพุทธะทัพใหญ่ ตอนนี้ทัพใหญ่ของชิงและพุทธะพินาศย่อยยับหมดแล้ว ชิงและพุทธะก็ถูกหนิวโหย่วเต๋อประหารเช่นกัน
ตอนนี้ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งเดียว หนิวโหย่วเต๋อกลายเป็นประมุขของใต้หล้าเพียงคนเดียวแล้ว! รายละเอียดในระหว่างนั้นถึงแม้จะไม่รู้ชัดเจน แต่ดูสถานการณ์คร่าวๆ ก็ยิ่งใหญ่อลังการมาก ทำให้คนดวงตาพร่าพราย ดูการต่อสู้จนตาลาย ใช้วิธีการที่คาดเดาได้ยากอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นหนึ่งในใต้หล้า เป็นสิงห์ร้ายทะเยอทะยานแห่งยุคจริงๆ ตระกูลหวงฝู่ของข้ามีหรือจะกล้าลูบหนวดเสือ จะไม่ยอมศิโรราบได้อย่างไร!”
ชิงและพุทธะตายแล้ว? อู่หนิง หวงฝู่ตวนหรงและหวงฝู่จวินโหรวตกตะลึงพรึงเพริด ยังนึกว่าศึกนี้จะสู้กันนานเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะตัดสินแพ้ชนะไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะกำจัดชิงและพุทธะที่เป็นหนึ่งในใต้หล้าแล้ว ในที่สุดตอนนี้ก็เข้าใจการตัดสินใจของตระกูลแล้ว
เหตุผลก็ไม่ได้ซับซ้อน เพราะสถานการณ์ไม่เหมือนตอนที่เคยอยู่ในมือชิงและพุทธะแล้ว หนิวโหย่วเต๋อยังต้องการให้สมาคมวีรชนดำรงอยู่หรือไม่ก็ไม่แน่ ถ้าผลักดันให้หวงฝู่จวินโหรวขึ้นตำแหน่งหัวหน้าตระกูล ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อต้องการจะกำจัดสมาคมวีรชน แต่ก็หวังว่าหวงฝู่จวินโหรวจะแสดงประโยชน์ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าหนิวโหย่วเต๋อ อย่างน้อยก็ปกป้องทั้งตระกูลหวงฝู่เอาไว้
เมื่อเห็นสองแม่ลูกไม่พูดอะไร หวงฝู่เลี่ยนคงก็รู้ว่าพวกนางเข้าใจแล้ว จ้องหวงฝู่จวินโหรวพร้อมบอกว่า “โหรวโหรว เรื่องในตระกูลเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ต้องสนับสนุนเจ้าเต็มที่แน่นอน ส่วนทางด้านหนิวโหย่วเต๋อเจ้าก็ต้องทุ่มเทความคิดสักหน่อย อย่าให้ขาดความโปรดปราน! ตอนนี้เขาปกครองใต้หล้าแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว สภาพจิตใจจะเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย อย่าหวังว่าเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนเมื่อก่อนตลอดไป เวลาที่เจ้าควรเป็นฝ่ายรุก เจ้าก็ต้องกระตือรือร้น!”
หวงฝู่จวินโหรวไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ก่อนหน้านี้กังวลว่าตระกูลจะคัดค้าน ตอนนี้กลับเกลี้ยกล่อมให้นางเป็นฝ่ายรุก ทั้งยังพูดอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้อีก สมจริงเกินไปแล้ว จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร เพียงแต่พอคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังจะปกครองใต้หล้า นางก็ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไร พอนึกถึงว่าผู้ชายที่ตัวเองแอบลักลอบพบกันกำลังจะกลายเป็นราชัน ก็รู้สึกราวกับฝันไป
หวงฝู่ตวนหรงก้มหน้าไม่พูดจา อู่หนิงขบกรามแน่น จะให้ลูกสาวของเขาไปช่วงชิงความโปรดปราน เขาต่างหากคือคนที่ทนความรู้สึกนี้ไม่ได้ที่สุด…
หุบผาชันในภูเขาลึก เงาคนคนหนึ่งถลันเหยียบลงมา เป็นเฉาหม่านที่ปลอมตัวแล้ว เหยียบลงริมลำธารแล้วมองซ้ายมองขวาด้วยแววตาฉงนสนเท่ห์
เขาได้รับข้อความจากเว่ยซู บอกว่านายท่านใหญ่ต้องการพบเขา บอกว่ามีเรื่องจะสั่ง แต่เมื่อมาถึงที่นี่แล้วกลับไม่เห็นเงาคน ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องอะไรกันแน่ ทำได้เพียงรออยู่ที่นี่
ทว่าแทบจะในทันที ด้านนอกก็มีเสียงต่อสู้ดังสะเทือนเลือนลั่น ทั้งยังไม่รอให้เขาออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นด้านบนของหุบผาชันปรากฏกำลังพลกลุ่มใหญ่กะทันหัน ล้อมเขาไว้ในหุบผาชันแล้ว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากเล็งมาที่เขา ใบหน้าเยียบเย็นที่อยู่หน้าสุดไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหยียนซิวนั่นเอง
เมื่อเห็นเหยียนซิว เฉาหม่านก็เข้าใจแล้ว ว่าคงจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ลงมือกับตน เสียงต่อสู้ด้านนอกคงจะเป็นทหารอารักขาของตัวเอง เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าใครกำลังทรยศเขากันแน่ เว่ยซู? ท่านพ่อ? หรือเป็นชีเจวี๋ย? เพียงแต่เขาตัดชีเจวี๋ยออกอย่างรวดเร็ว เพราะชีเจวี๋ยไม่รู้ว่าเขามาที่นี่
อย่าบอกนะว่าท่านพ่ออยากจะเปลี่ยนหัวหน้าตระกูลอีกแล้ว? พอนึกถึงตรงนี้ เฉาหม่านก็เผยสิหน้าดุร้าย ในใจแค้นมาก!
“ถ้าไม่อยากตายก็ยอมให้จับแต่โดยดี จะได้ทรมานน้อยๆ หน่อย!” เหยียนซิวมองลงมาจากข้างบนพร้อมกล่าวเสียงเย็นยะเยือก
หลังจากได้รับคำสั่งจากเหมียวอี้ให้ขุดรากถอนโคนอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้ว เหยียนซิวกับหยางชิ่งก็ปรึกษากัน ด้วยคำแนะนำของหยางชิ่ง เหยียนซิวนำคนกลุ่มหนึ่งรีบมาจับตัวเฉาหม่านไว้ก่อน
เบื้องลึกของตระกูลเซี่ยโห้ว ถึงแม้ฝั่งเหมียวอี้จะรู้อย่างชัดเจนแล้ว แต่เบื้องลึกของเฉาหม่านกลับไม่มีใครรู้ เฉาหม่านจะต้องมีกำลังพลที่ตัวเองแอบเลี้ยงไว้อย่างลับๆ แน่นอน หยางชิ่งกลัวว่าถ้าลงมือกับจุดอื่นก่อนแล้วจะทำให้เฉาหม่านไหวตัวทัน เพราะตอนนี้เฉาหม่านคือจุดศูนย์กลางของตระกูลเซี่ยโห้ว ดังนั้นพอลงมือก็ต้องควบคุมเฉาหม่านให้ได้ก่อน จะปล่อยให้เฉาหม่านกระจายข่าวไปถึงอำนาจแต่ละแห่งของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้
ยามเผชิญหน้ากับการล้อมของทัพใหญ่ เฉาหม่านไม่มีทางเลือกอื่น สุดท้ายก็ถูกส่งตัวมาตรงหน้าเหยียนซิว หน้ากากที่ใส่ไว้บนใบหน้าก็ถอดออกแล้ว
“ชีเจวี๋ยอยู่ที่ไหน?” เหยียนซิวถาม
ชีเจวี๋ยเป็นลูกน้องคนสนิทของเฉาหม่าน รู้เรื่องเยอะเกินไป ต้องจับตัวมาให้ได้
“เป็นใครที่ทรยศข้า?” เฉาหม่านแยกเขี้ยวยิงฟันถามกลับ
เหยียนซิวขี้คร้านจะเปลืองคำพูด ธงเรียกวิญญาณหมุนวนอยู่ในมือ แสงสีดำสายหนึ่งกรอกเข้าไปในร่างกายเฉาหม่าน
ทว่าผลที่ได้รับก็ทำให้เหยียนซิวแปลกใจมาก ไม่น่าเชื่อว่าเฉาหม่านก็ไม่รู้เช่นกันว่าชีเจวี๋ยอยู่ที่ไหน ชีเจวี๋ยหายตัวไปแล้ว เฉาหม่านเองก็กำลังติดต่อหาชีเจวี๋ยเช่นกัน นี่มันเรื่องอะไรกัน?
เขาภูตพเนจร ในหุบเขาที่มืดสลัวแห่งหนึ่ง เฉาเฟิ่งฉือถลันตัวเข้าไป นางได้รับสัญญาณจากเฉาหม่านเรียบกให้มาเจอกัน
ทว่าเพิ่งจะเข้าไป เฉาเฟิ่งฉือที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดระแวงก็ถอยออกมาช้าๆ เห็นเพียงกำลังพลกลุ่มหนึ่งถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์บีบให้นางถอยออกมา
พอมองไปข้างหลังอีก ก็พบว่ายังมีด้านบนหุบผาชันด้วย มีกำลังพลกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวและล้อมนางไว้แล้ว…

มีหลายคนที่ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่โกวเยว่หมายความว่าอะไร แต่สีหน้าของเกาจื่อเซวียนตกอยู่ในสภาพดิ้นรนหวาดกลัวแล้ว นางพอจะรู้อะไรบางอย่างแล้วนิดหน่อย แต่ยังคงแกล้งโง่  พ่อบ้าน เป็นหลงซิ่นที่ฆ่าเกาเหยียน เกาจื่อหูอดทนความโกรธนี้ไว้แล้ว ทำไมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก? 

โกวเยว่กล่าวเสียงเรียบว่า  ได้ยินว่าในปีนั้น คนที่ชอบเมียของหลงซิ่นก็คือเกาจื่อหู และเป็นเกาจื่อหูที่บงการโจวจ้าวลูกชายของโจวอ้าวหลินลงมือ! แน่นอน คำพูดนี้ไม่มีหลักฐานอะไร แต่เรื่องราวเป็นอย่างนี้หรือไม่ เกาจื่อหูก็รู้ชัดที่สุด สิ่งที่บ่าวอยากจะบอกก็คือ ถ้ามีเรื่องนี้อยู่จริง หนิวโหย่วเต๋อกำลังจะปกครองใต้หล้าแล้ว หลงซิ่นเป็นลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้คนในใต้หล้าที่กล้ามีเรื่องกับหลงซิ่นคงมีไม่มากแล้ว และตระกูลของเราก็สูญสิ้นอำนาจแล้ว ต่อไปถ้าหลงซิ่นจะมาคิดบัญชี นี่เป็นความแค้นที่โดนแย่งภรรยา เกรงว่าใช้วิธีฆ่าล้างตระกูลเพื่อชำระแค้นก็ไม่ถือว่าเกินไป อาศัยวิธีการที่เขาทำกับเกาเหยียนในปีนั้นก็รู้แล้ว! ฮูหยินใหญ่ต้องพิจารณาให้ชัดเจน ตระกูลก่วงเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ควรจะผูกความแค้นกับหลงซิ่นอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเป็นการรนหาทางตาย! 

เกาจื่อเซวียนสีหน้าแย่มาก คำพูดนี้ทำให้นางตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว

ผู้หญิงกลุ่มนี้ตกใจจนขวัญผวา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรื่องอย่างนี้อยู่ด้วย พวกนางไม่ได้เข้าใจอะไรมาก แต่กลับรู้ว่าหลงซิ่นเป็นผู้ตรวจการขวาทัพอารักขาของหนิวโหย่วเต๋อ เรือสูงขึ้นตามน้ำ แค่คิดก็รู้แล้วว่าต่อไปหลงซิ่นจะมีอำนาจมากขนาดไหน ไปยั่วโมโหศัตรูใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกหรือ?

เม่ยเหนียงจ้องเกาจื่อเซวียนไม่ละสายตา ไม่เพียงแค่กังวลว่าจะทำให้ตระกูลก่วงเดือดร้อนไปด้วย นางกังวลว่าจะทำให้ลูกสาวตัวเองเดือดร้อนไปด้วย หลงซิ่นยังเป็นลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อ ย่อมไปมาหาสู่กับลูกน้องคนสนิทคนอื่นๆ ของหนิวโหย่วเต๋อเป็นปกติอยู่แล้ว หยางเจาชิงก็เป็นผู้การใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อ ขอเพียงหลงซิ่นบอกหยางเจาชิง ถึงตอนนั้นเกรงว่าจะทำให้ลูกสาวของตัวเองทรมานจนอยู่มิสู้ตาย

เกาจื่อเซวียนกลืนน้ำลายอย่างคอแห้ง ในใจรู้สึกเศร้ารันทด ตอนนี้เพิ่งจะรู้อย่างลึกซึ้งว่ารสชาติยามเสาหลักในบ้านล้มลงเป็นอย่างไร นางกล่าวอย่างทุกข์ใจว่า  เรื่องนี้ข้าไม่รู้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร ในเมื่อพ่อบ้านพูดอย่างนี้แล้ว พ่อบ้านทำเพราะหวังดีกับทุกคนในตระกูลก่วงด้วย ให้พ่อบ้านเป็นคนตัดสินใจทุกอย่างแล้วกัน 

คำตอบรับนี้เท่ากับยอมส่งเกาจื่อหูให้แล้ว ผู้หญิงกลุ่มนี้โล่งใจแล้ว

ทว่าโกวเยว่ถอนหายใจ  ในเมื่อทำเรื่องนี้แล้ว ก็ต้องตัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลังให้ถึงที่สุด เกาจื่อหูคนเดียวเกรงว่าจะดับไฟโกรธของหลงซิ่นไม่ได้ บ่าวเตรียมจะส่งทั้งตระกูลของเกาจื่อหูไปให้หลงซิ่นจัดการ ฮูหยินใหญ่คิดว่าอย่างไร? 

เกาจื่อเซวียนมองเขาด้วยสีหน้าคับแค้น นี่กำลังจะกวาดล้างทั้งตระกูลของน้องชายนาง กำจัดตระกูลของน้องชายนางเพื่อปกป้องทั้งตระกูลก่วง แต่นางก็รู้เช่นกัน ว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว โกวเยว่มาเจรจากับนางก็ถือว่าไว้หน้านางแล้ว แค่นางตอบตกลงก็พอ ต่อให้นางไม่ตอบตกลงก็ไม่มีประโยชน์ เพราะโกวเยว่ก็จะทำอย่างนี้อยู่ดี นางพยักหน้าอย่างยากลำบาก  ขอเพียงปกป้องให้ตระกูลก่วงสงบสุข พ่อบ้านจัดการตามเห็นสมควรเถอะ 

 ขอรับ!  โกวเยว่โค้งตัวเล็กน้อย แล้วก็โค้งตัวให้ผู้หญิงกลุ่มนี้อีก เมื่อกล่าวอำลาแล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว

เกาจื่อเซวียนยืนน้ำตาไหลเงียบๆ อยู่อย่างนั้น ส่วนผู้หญิงกลุ่มนี้ไม่ว่าในใจจะกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นหรือไม่ แต่ก็พากันก้าวเข้ามาใช้คำพูดดีๆ ปลอบใจ ไม่มีใครจดจำน้ำใจของเกาจื่อเซวียน แต่คนที่แอบหัวเราะเยาะที่กรรมตามสนองและสมน้ำหน้ากลับมีไม่น้อย

เมื่อออกจากถ้ำภูเขามาแล้ว โกวเยว่โบกมือเรียกไป่เจ๋อและเซี่ยงหม่านถังซึ่งเป็นผู้ตรวจการทัพอารักขาของก่วงลิ่งกงเข้ามา

เมื่อทั้งสองมาแล้ว ไป่เจ๋อก็ถามว่า  ท่านอ๋องเป็นยังไงบ้าง? 

 เฮ้อ!  โกวเยว่ถอนหายใจเบาๆ จ้องทั้งสองคนพลางกล่าวช้าๆ ว่า  ทางหนิวโหย่วเต๋อกำลังกวาดล้างชิงกับพุทธะแล้ว พวกเรากลายเป็นตะปูตอกตาเขา ยื่นคำขาดสุดท้ายให้พวกเราแล้ว พวกเราไม่มีทางเลือกแล้ว 

 คุณหนูเป็นสตรีที่งดงามล้ำเลิศ แต่งงานกับเขาก็นับว่าเขาได้กำไรแล้ว ตอนที่เพิ่งส่งตัวไปเขายังดีใจจนแต่งตั้งเป็นสนมสวรรค์เลย ทำไมล่ะ? พอได้คนไปแล้วก็คิดจะแปรพักตร์เบี้ยวสัญญาเหรอ?  เซี่ยงหม่านถังถามอย่างโมโห

โกวเยว่ส่ายหน้า  ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว ที่เขาแต่งตั้งคุณหนูเป็นสนมสวรรค์ก็เพื่อทำให้ทัพตะวันตกสงบ ตอนนี้พรรคพวกของชิงและพุทธะถูกกวาดล้างแล้ว เขาไม่มีอะไรต้องห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว เขาไม่กลัวทัพตะวันตกจะก่อความวุ่นวายอีก ย่อมมีแผนการอย่างอื่นเตรียมไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้ส่งคุณหนูไปเพื่อให้เขาสงบ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเพิ่งแต่งตั้งคุณหนูเป็นสนมสวรรค์ จนไม่กล้าทำอะไรที่ดูละโมบเกินไป เกรงว่าคงลงมือกับพวกเราไปแล้ว มาพูดอะไรพวกนี้อีกก็ไม่มีความหมาย เป้าหมายที่เสียสละคุณหนูคืออะไรล่ะ? ก็เพื่อช่วงชิงโอกาสให้เหล่าพี่น้องไม่ใช่เหรอ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเจ้านำเหล่าพี่น้องไปสวามิภักดิ์เถอะ ไม่อย่างนั้นนอกจากการส่งคุณหนูไปจะไม่มีคุณค่าอะไรแล้ว ยังจะทำให้คุณหนูลำบากไปด้วย 

ไป่เจ๋อมองไปทางถ้ำ ขมวดคิ้วถามว่า  นี่เป็นประสงค์ของท่านอ๋องเหรอ? 

 ถ้าท่านอ๋องไม่ยอม พวกเราก็ไม่ยอมเหมือนกัน อย่างมากก็แค่สู้กันให้แหลกราญไปพร้อมกัน?  ไป่เจ๋อถาอมย่างเด็ดเดี่ยว

โกวเยว่ตะคอกว่า  เลอะเลือน! เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ไม่ได้แล้ว ข้าทุ่มเทความคิดแบบนี้ไปเพื่ออะไรล่ะ? ยอมถือวิสาสะตัดสินใจส่งคุณหนูไปให้หนิวโหย่วเต๋อเพราะอะไรล่ะ? ก็เพราะคำนึงถึงทุกคนไม่ใช่หรือ ก็เพราะจะปกป้องศักดิ์ศรีสุดท้ายของท่านอ๋องไม่ใช่หรือ จะให้ท่านอ๋องยอมสวามิภักดิ์ได้ยังไง? จะให้ท่านอ๋องยืนขึ้นมาสวามิภักดิ์ด้วยตัวเองเหรอ พวกเจ้าอยากจะบีบให้ท่านอ๋องตายเหรอ? 

ทั้งสองก้มหน้าอย่างหดหู่

โกวเยว่หยิบกำไลเก็บสมบัติสองอันยื่นให้ทั้งสอง  ข้ารวบรวมทรัพย์สินไว้จำนวนหนึ่งแล้ว พวกเจ้านำไปแบ่งกับพวกพี่น้อง เมื่อแบ่งให้ถึงมือทุกคนแล้วก็ไม่เยอะเท่าไร แต่ก็นับว่าเป็นน้ำใจจากท่านอ๋อง อย่าลืมอธิบายกับพี่น้อง ว่าตั้งแต่นี้ไป ทุกคนต่างคนต่างมีอนาคต ขอเพียงมีทางออก ต่อให้เหยียบย่ำ,ท่านอ๋องเพื่อปกป้องตัวเอง ท่านอ๋องก็สามารถเข้าใจได้ และไม่โทษพวกเจ้าด้วย ขอเพียงพวกเจ้าอยู่ดีมีสุขก็พอ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ต้องจำไว้ ตั้งแต่นี้ไปพวกเจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับท่านอ๋องอีก แบบนี้จะดีกับทั้งตัวเองและท่านอ๋อง เรื่องเหตุผลคงไม่ต้องให้ข้าพูดเยอะ เข้าใจสิ่งที่ข้าพูดไหม? 

ทั้งสองหยิบกำไลเก็บสมบัติแล้วพยักหน้าเงียบๆ

โกวเยว่ตบบ่าทั้งสองคน ถอนหายใจแล้วบอกว่า  ไปเถอะ รีบไปให้เร็วที่สุด ทางนั้นอดทนรอไม่ไหวแล้ว อย่าทำให้อีกฝ่ายมีข้ออ้างในการลงมือ คิดเสียว่าทำไปเพื่อปกป้องท่านอ๋อง เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ รีบไป! 

คนหนึ่งเม้มริมฝากแน่น คนหนึ่งขบกรามแน่น ทั้งสองถอยหลังพร้อมกัน โค้งตัวกุมหมัดคารวะค้างไว้สักพัก จากนั้นก็เลี้ยวเดินไปอย่างยากลำบาก

โกวเยว่ยืนมองคล้อยหลังทั้งสองจากไป เงาร่างที่โดดเดี่ยวดูอ้างว้างเล็กน้อย น้ำตาค่อยๆ ไหลอาบแก้ม…

ในตำหนักใต้ดิน สวีถังหรานมีสีหน้าเร่าร้อนฮึกเหิม เร่งฝีเท้าเดินเข้ามาอย่างผึ่งผาย ข้างหลังมีทหารอารักขาติดตามกลุ่มหนึ่ง

พอเดินมาถึงประตูตำหนักใต้ดิน สวีถังหรานก็ยกมือบอกใบ้เล็กน้อย พวกทหารอารักขารออยู่นอกประตู ส่วนเขาเดินก้าวยาวเข้าไป

หวงฝู่เลี่ยนคง หวงฝู่จัวและหวงฝู่เกาสามพ่อลูกยืนขึ้น โดยเฉพาะหวงฝู่เลี่ยนคง ชิงถามก่อนเลยว่า  ไม่ทราบว่าสถานการณ์รบของฝ่าบาทเป็นยังไงบ้าง? 

สวีถังหรานยืนอมยิ้มอยู่ตรงหน้าทั้งสาม รอยยิ้มเริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะดังลั่น ท่าทางเหมือนสบายอกสบายใจมาก

สามพ่อลูกสบตากันแวบหนึ่ง เหมือนจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว หวงฝู่จัวเผยสีหน้ายินดี  ท่านโหว มีข่าวดีหรือเปล่า? 

 ฝ่าบาทมีกลยุทธ์อันปราดเปรื่อง ข่าวดีเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว!  สวีถังหรานกระชุ่มกระชวย ชี้นิ้ววาดเท้าอธิบาย  ฝ่าบาทรับอ๋องสวรรค์เถิงและอ๋องสวรรค์เฉิง ยึดทัพตะวันตก แล้วก็ฆ่าโค่วหลิงซวีเอาทัพเหนือ บีบให้ก่วงลิ่งกงยอมสวามิภักดิ์ ทำศึกตัดสินกับชิงและพุทธะทัพใหญ่ เอาชนะศัตรู

ได้ในรวดเดียว ชิงและพุทธะถูกฝ่าบาทสังหาร ตำหนักสวรรค์กับทัพใหญ่แดนพุทธพินาศย่อยยับ ฝ่าบาทแค่ดีดนิ้ว ฟ้าดินก็เปลี่ยนสี ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง! 

ก่อนหน้านี้ตอนเขาเพิ่งได้รับข่าวเรื่องการรบ เขาก็ดีใจจนแทบบ้า อนาคตที่สดใสรุ่งโรจน์ปูอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

ชิงและพุทธะจบสิ้นอย่างนี้แล้วเหรอ? สามพ่อลูกมองหน้ากันเลิกลั่ก ในใจปลงอนิจจังไม่หยุด พอเห็นสวีถังหรานก็เข้าใจได้เช่นกัน เจ้าหลานคนนี้ประจบสอพลออยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อจนชื่อเสียงโด่งดัง เป็นลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้กำลังจะได้เลื่อนตำแหน่งแบบก้าวกระโดดแล้ว

 ฝ่าบาทองอาจปราดเปรื่อง ตาแก่คนนี้นับถือจนอยากหมอบกราบ!  หวงฝู่เลี่ยนคงกุมหมัดคารวะต่อท้องฟ้า เป็นการแสดงความเคารพต่อเหมียวอี้ จากนั้นก็กุมหมัดคารวะต่อสวีถังหรานและยิ้มเอาใจ  ท่านโหวเป็นขุนนางคนสำคัญของฝ่าบาท หวังว่าต่อไปจะช่วยพูดสิ่งดีๆ เพื่อตระกูลหวงฝู่ 

หวงฝู่จัวกับหวงฝู่เกาแม้จะรู้สึกเซ็งในใจ แต่ก็ยังฝืนยิ้มพร้อมกุมหมัดคารวะ

หลังจากหวงฝู่เลี่ยนคงกล่าวถ่อมตัวสองสามประโยค ก็ถามอีกว่า  ท่านโหว แบบนี้ก็แสดงว่าพวกเราสามารถโผล่หน้าออกไปได้แล้วใช่ไหม? 

 เหอะๆ หัวหน้าตระกูลตัดสินใจเองได้เลย ข้าเพิ่งได้รับบัญชาจากฝ่าบาท ฝ่าบาทมอบหมายภารกิจสำคัญให้ สั่งให้ข้าช่วยบัญชาการทัพใหญ่สี่พันล้านมากวาดล้างพรรคพวกของชิงและพุทธะ เป็นเพราะเรื่องนี้ชักช้าไม่ได้จริงๆ ข้าต้องรีบปฏิบัติภารกิจให้เร็วที่สุด!  สวีถังหรานส่ายหน้า คุยโวโอ้อวดด้วยสีหน้าจริงจัง

ทัพใหญ่สี่พันล้าน? สามพ่อลูกตกใจทันที สบตากันอีกครั้ง ในใจทั้งสามกำลังสงสัยว่า จริงหรือโกหก? อาศัยคนขี้ประจบยังเจ้าน่ะหรอ หนิวโหย่วเต๋อจะส่งทัพใหญ่สี่พันล้านให้เจ้าบัญชาการเหรอ? นักรบผู้หยิ่งผยอง

ที่ทำศึกชนะพวกนั้นจะเชื่อฟังเจ้าเหรอ?

สวีถังหรานหันกลับมา แล้วกำชับด้วยสีหน้าจริงจังว่า  เรื่องปราบปรามพรรคพวกที่เหลือของชิงและพุทธะ สมาคมวีรชนก็ต้องออกแรงเหมือนกัน ต้องติดต่อประสานงานกับข้าเอาไว้ ถ้าต้องการกำลังพลสนับสนุน ก็ติดต่อข้าได้ทุกเมื่อ! 

 แน่นอนอยู่แล้ว ข้าจะจดจำไว้  หวงฝู่เลี่ยนคงพยักหน้าเอ่ยรับ จากนั้นก็หยิบกำไลเก็บสมบัติมามอบให้อีก  หลายวันมานี้ท่านโหวทุ่มเทความคิดเพื่อตระกูลหวงฝู่ ในใจข้ารู้สึกเกรงใจเช่นกัน นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อย หวังว่าท่านโหวจะไม่รังเกียจ 

สวีถังหรานรับมาดู พบว่าทรัพย์สินที่อยู่ข้างในมีมากจนน่าตกใจ เรียกได้ว่าเป็นของขวัญที่ล้ำค่าจริงๆ เขากระแอมหนึ่งทีแล้วรับไว้เสียเลย  ทัพใหญ่ทำศึกอย่างยากลำบาก กำลังต้องการเหรียญฉลองพอดี ข้าจะรับเอาไว้แทนพวกเขาแล้วกัน  ขณะที่กล่าวประโยคนี้ หน้าไม่แดงหัวใจไม่เต้นแรง

 ท่านโหวพูดถูก ทุกอย่างล้วนให้ท่านโหวตัดสินใจ  หวงฝู่เลี่ยนคงสรรเสริญไม่หยุด ท่าทีที่ปฏิบัติต่อกันเปลี่ยนไปมาก

เดิมทีเขาต้องการจะไปส่งสวีถังหรานด้วยตัวเอง แต่เป็นสวีถังหรานที่ปฏิเสธ

หลังจากในตำหนักเหลืออยู่แค่สามพ่อลูก ยามเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ต้องเปลี่ยนเจ้านายใหม่ ก็จำเป็นต้องปรึกษาหารือกันอย่างจริงจัง ตระกูลถึงอย่างไรหวงฝู่ก็เคยเป็นคนของวังสวรรค์ ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไหร่ที่ไม่ชอบพวกเขา จะมีปัญหาอะไรตามมาทีหลังหรือไม่ก็ต้องป้องกันไว้ก่อน

ยามเผชิญหน้ากับครอบครัวของหวงฝู่ตวนหรง สวีถังหรานก็มีท่าทีอีกแบบ สงบเสงี่ยมเลิกทำตัวอวดดีแล้ว หลังจากทักทายหวงฝู่ตวนหรงและอู่หนิงตามมารยาทแล้ว ก็สอดส่องไปในห้องศิลาเหมือนหัวขโมย พร้อมหัวเราะแห้งๆ  ทำไมไม่เห็นผู้จัดการใหญ่แล้วล่ะ? 

เมื่อรู้ว่าเขาคือลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้ ทางนี้ก็รีบเชิญหวงฝู่จวินโหรวออกมา

หวงฝู่จวินโหรวไม่ค่อยกลัวสวีถังหรานเท่าไร ความมั่นใจมาจากไหนก็ไม่ต้องพูดแล้ว นางถามอย่างไม่สะทกสะท้านว่า  ท่านโหวมาข้าหามีอะไรเหรอ? 

สวีถังหรานเรียกได้ว่าพยักหน้าโค้งเอวอย่างนอบน้อม ยิ้มแย้มเอาใจ  เพิ่งได้รับบัญชาจากฝ่าบาท มีภารกิจให้ข้าน้อยไปปฏิบัติ เลยตั้งใจมากล่าวอำลาผู้จัดการใหญ่สักหน่อย! 

 อ้อ! เช่นนั้นข้าจะไปส่งท่านโหว  หวงฝู่จวินโหรวยื่นมือเชิญ นางอยากจะให้สวีถังหรานออกไปไวๆ ไม่อย่างนั้นนางจะรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว แม้แต่สายตาที่บิดามารดามองนางก็ยังแปลกอย่างเห็นได้ชัดเจน ทั้งยังมีคนที่อยู่รอบตัวอีก เคยเห็นท่านโหวของตำหนักสวรรค์ทำตัวเกรงใจผู้จัดการใหญ่สมาคมวีรชนขนาดนี้เสียที่ไหนกัน ถึงแม้บิดามารดาจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหนิวโหย่วเต๋อ แต่ท่าทีที่สวีถังหรานมีต่อนางก็ดูเกรงใจจนไร้เหตุผล ทำไมคนนี้กลายเป็นอย่างนี้ไปได้?

 ไม่ต้องๆ อยู่ที่นี่เถอะ ไม่กล้ารบกวน  สวีถังหรานรีบโบกปฏิเสธ แล้วหยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมา เลือกสมบัติล้ำค่าจำนวนหนึ่งมาจากของขวัญที่หวงฝู่เลี่ยนคงมอบให้ แล้วใช้สองมือยื่นให้นาง  ช่วงนี้รบกวนผู้จัดการใหญ่แล้ว ขออภัยจริงๆ นี่คือของขวัญเล็กน้อยแสดงน้ำใจ หวังว่าผู้จัดการใหญ่จะไม่รังเกียจ 

………………

 

กำลังพลกลุ่มใหญ่ที่ลอยนิ่งอยู่ในดาราจักรมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อครู่นี้ทั้งสองคุยอะไรกัน
“ฝ่าบาท ปล่อยพวกเขาไปอย่างนี้น่ะเหรอ?” หยางชิ่งลองถาม
เหมียวอี้เข้าใจความหมายที่เขาสื่อ ปล่อยคนที่วางแผนพลิกแพลงสถานการณ์เก่งอย่างประมุขไป๋ไปถือเป็นภัยพิบัติแอบแฝง แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้เผยความคิดใดๆ ให้หยางชิ่งรู้ ได้แต่มองเรือมังกรอเวจีลอยจากไปไกล
บนเรือมังกรอเวจี เกิดความวุ่นวายเล็กน้อย สายตาของประมุขไป๋ไปหยุดอยู่บนตัวพวกอู๋ฉางที่อยู่เบื้องล่าง เห็นพวกเขากำลังล้อมไป๋เหนียงจื่อเอาไว้
ประมุขไป๋ถลันตัวลงมือ เหยียบลงข้างๆ พวกเขาแล้วถามว่า “มีเรื่องอะไร?”
“นางไม่ยอมไปกับพวกเรา” อู๋ฉางกล่าว
ประมุขไป๋มองไป๋เหนียงจื่อ แล้วถามด้วยรอยยิ้มบางๆ “ในปีนั้นข้าบอกไว้แล้ว ว่าหลังจากจบเรื่องจะพาพวกเจ้าไปด้วยกัน ไปดินแดนที่ดีหรือว่าเจ้าเปลี่ยนความคิดแล้ว?”
ไป๋เหนียงจื่อถอนหายใจ “ไปไหนก็เหมือนกัน ที่สำคัญอยู่ที่ใจ”
“อืม ที่ใดมีคนที่นั่นมีบุญคุณความแค้น” ประมุขไป๋พยักหน้า แสดงออกว่าเข้าใจสภาพจิตใจของผู้ที่ฝึกพุทธธรรมอย่างนาง แต่ก็ยังโน้มน้าวว่า “เจ้าอยากจะอยู่ต่อก็ไม่เป็นไร ตามแต่ใจเจ้าปรารถนา ข้าไม่ฝืนใจ แต่เจ้าจะลงเรือตรงนี้ไม่ได้” เขาหันกลับไปมองทัพใหญ่ที่ดำเป็นพืดแวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างห่อเหี่ยวเล็กน้อย “ความคิดของคนที่ปกครองใต้หล้าแตกต่างจากพวกเรา สำหรับพวกเขา ตอนนี้คือจุดหัวเลี้ยวหัวต่อของความสำเร็จและความพ่ายแพ้ที่สำคัญที่สุด กฏกติกาบางอย่างถ้าทำลายแล้วไม่สร้างขึ้นมาอีก ไม่มีใครสามารถควบคุมเขาได้ ตอนนี้ไม่ว่าสำหรับใคร เขาก็อยู่ในสภาวะที่อันตรายถึงขีดสุด เป็นเวลาที่ในมือกุมกำลังพลมหาศาลกวาดล้างใต้หล้า สภาพจิตใจยังไม่เดินออกมาจากการช่วงชิงใต้หล้า ถ้าใครขัดขวางก็อาจทำให้เขาลงมือได้ การที่วรยุทธ์ของเจ้าถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธืถือเป็นความผิด ตอนนี้เจ้ากำลังบาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ถ้าลงเรือเมื่อไร ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อไม่สังหารเจ้า คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาก็จะบีบให้เขาสังหารเจ้าอยู่ดี เพื่อป้องกันภัยพิบัติแฝงเร้น! เชื่อข้า อย่าเพิ่งลงเรือ อีกประเดี๋ยวค่อยหาสถานที่เหมาะสมปล่อยเจ้าลงเรือ รอให้เจ้าฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บก่อน ใต้หล้านี้ถึงจะยอมให้เจ้าไปได้!”
ไป๋เหนียงจื่อเงียบไป หลังจากครุ่นคิดแล้ว ก็พยักหน้าเบาๆ ถือว่าตอบตกลงแล้ว
ประมุขไป๋ถลันตัวกลับมาบนตึกเรือ เข้ามาในห้องเพื่อหลบสายตาของทุกคน ในมือเผยลูกประคำสีเขียวเข้มเม็ดนั้น เห็นเพียงแสงสลัวกะพริบอยู่บนลูกประคำนั้น เงาคนคนหนึ่งปรากฏให้เห็น ปรากฏประมุขไป๋อีกคนหนึ่ง
ทั้งสองสบตากันขณะเดินเข้ามา และสุดท้ายก็หลอมรวมเป็นร่างเดียวกัน
เกาก้วนหันกลับมาเห็นภาพเหตุการณ์นี้ผ่านหน้าต่าง รู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย ตอนนี้ถึงได้เข้าใจ ว่าร่างทิพย์หนึ่งร่างของท่านนี้อยู่บนตัวหนิวโหย่วเต๋อมาตลอด ผ่านทุกสิ่งทุกอย่างด้วยกันกับหนิวโหย่วเต๋อมาตลอด มิน่าล่ะถึงรู้สถานการณ์ทางฝั่งหนิวโหย่วเต๋ออย่างทะลุปรุโปร่งมาตลอด ให้ความร่วมมือกับฝั่งเขาอย่างต่อเนื่อง เขาก็ยังนึกว่ามีสายลับที่ไหนแทรกอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อเสียอีก ที่แท้สายลับคนนี้ก็คือตัวเขาเอง
เมื่อออกจากห้องมาแล้ว ประมุขไป๋ก็ยื่นมือเก็บกู่ฉินโบราณขนาดใหญ่หลังนั้น
เกาก้วนเอียงหน้ามองเขา ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ร่างทิพย์ของเจ้าอยู่บนตัวเขา เมื่อครู่ไม่ได้บอกเขาเหรอ?”
ประมุขไป๋ยิ้มโดยไม่ตอบอะไร หันกลับไปมองทางฝั่งเหมียวอี้ เรื่องบางเรื่องไม่สำคัญพอจะบอกให้คนนอกรู้ ตอนแรกไม่บอกเหมียวอี้ ก็เพราะจะเก็บร่างทิพย์นี้ไว้เป็นทางหนีทีไล่ การเติบโตในช่วงหลังของเหมียวอี้ทำให้เขารู้สึกถึงอันตราย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่นิ่งดูดายปล่อยให้พระปีศาจออกมาเช่นกัน เมื่อเริ่มจนใจกับการใช้งาน ถึงได้ใช้แผนสำรองที่อันตรายที่สุด เขาไม่อยากให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหวนคืนกลับมาอีก เขาสามารถอาศัยเกาก้วนให้เตือนชิงและพุทธะได้เลย ในปีนั้นหนานโปคงหนีออกจากสถานที่ผนึกไม่ได้ จะต้องตายแน่นอน
และถ้าให้เหมียวอี้รู้เรื่องนี้ เมื่อเหมียวอี้หลุดจากการควบคุมเมื่อไร ก็อาจจะตัดทางหนีทีไล่ของเขาได้ เขาไม่อาจเสี่ยงอันตรายนี้
ตอนนี้ไม่บอกเหมียวอี้ ก็เพราะเขารู้ความลับเกี่ยวกับเหมียวอี้มากเกินไป ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ถ้าเขาเผยความลับให้เฉาหม่านรู้ หลังจากเฉาหม่านรู้ตัวแล้วก็จะต้องจัดระเบียบใหม่ทันที เพื่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วหลุดออกจากการควบคุมของเหมียวอี้ เหมียวอี้ยอมจ่ายไปมากขนาดนั้น เสียสละชีวิตกำลังพลไปมากขนาดนั้น มีหรือที่จะนิ่งดูดายปล่อยให้ตระกูลเซี่ยโห้วหลุดจากการควบคุมแล้วเกิดสถานการณ์อึดอัดเหมือนชิงและพุทธอีก จะให้นำทั้งใต้หล้ามาเดิมพันกับคำสัญญาปากเปล่าประโยคเดียวของเจ้าเหรอ? นั่นเป็นของเด็กเล่นชัดๆ! ดังนั้นถ้าให้เหมียวอี้รู้แล้ว ก็จะบีบให้ขวางเขาเอาไว้ บีบให้เหมียวอี้แตกคอกับเขา อย่างน้อยก็ต้องควบคุมอิสระของเจ้าก่อน รอให้แก้ไขปัญหาเรื่องตระกูลเซี่ยโห้วก่อนแล้วค่อยว่ากัน มีหรือที่จะปล่อยให้เจ้าหนีไปง่ายๆ
เรื่องบางเรื่องถ้าไม่พูดออกมาจะดีกับทุกคนที่สุด!
เกาก้วนเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง “เจ้าไม่กล้าบอกเขาล่ะสิ?”
คนที่อยู่ไกลมองเห็นไม่ชัดเจนแล้ว ประมุขไป๋กล่าวเสียงเรียบ “ที่จริงเขาก็ไม่ใช่คนเลว ไม่อย่างนั้นคงไม่ลงมือช่วยที่เขาหลิงซาน”
“ไม่ใช่คนเลวแล้วยังไง? ในสายตาของคนอื่น เรื่องเลวๆ ที่เขาทำมีน้อยเสียที่ไหน? เขาฆ่าคนไปมากมายขนาดนั้นจนเดินมาถึงทุกวันนี้ได้ ศัตรูทั้งที่รู้ตัวและที่ไม่รู้ตัวมีมากขนาดไหน ขนาดตัวเขาเองยังนับไม่หมด เขากล้าทิ้งอำนาจในมือตอนนี้หรือเปล่าล่ะ? ถ้าทิ้งอำนาจที่อยู่ในมือตอนนี้ อย่าว่าแต่ศัตรูพวกนั้น ถ้าคนที่มาแทนที่เขาคิดจะนั่งในตำแหน่งอย่างมั่นคง กลัวว่าเขาจะกลับคำพูด เรื่องแรกที่จะทำก็คือตัดรากถอนโคนเขา เขาไม่มีทางเลือก…” เกาก้วนกล่าว
บนสนามรบยังคงกวาดล้างต่อไป เหล่าแม่ทัพทันมองไปรอบๆ ความองอาจห้าวหาญในใจ ทั้งยังมีความสะท้อนใจ รู้ว่าถ้าศึกนี้สงบ ภายในเวลาสั้นๆ นี้ใต้หล้าคงไม่มีศึกใหญ่อีก
มีคนไม่น้อยแอบมองไปทางเหมียวอี้ที่มีสีหน้าเรียบเฉย ทุกคนล้วนเข้าใจ อุปสรรคทางความคิดของสี่อ๋องสวรรค์กับชิงและพุทธะถูกปราบโดยสิ้นเชิงแล้ว
ลั่วหม่างก้าวขึ้นมาถามว่า “ฝ่าบาท ทางฝั่งก่วงลิ่งกงจะจัดการยังไงขอรับ?”
สถานการณ์ทั้งใต้หล้าตอนนี้ ถ้าลองมองไป ก็มีแต่ฝั่งก่วงลิ่งกงที่ยังรวบรวมกำลังพลสองร้อยล้านเอาไว้ ยังไม่มีท่าทีว่าจะมาสวามิภักดิ์ ลั่วหม่างกังวลนิดหน่อยว่าเหมียวอี้จะลงมือกับก่วงลิ่งกง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ กำลังพลเล็กน้อยเท่านั้นก็ต้านการกวาดล้างของเหมียวอี้ไม่ไหวเลย ไม่ว่าเขาจะทรยศก่วงลิ่งกงหรือไม่ ตอนนี้เขาก็ยังอยากจะหยั่งท่าทีของเหมียวอี้สักหน่อย ยังอยากช่วยพูดให้ก่วงลิ่งกง
“เขายังไม่ยอมสวามิภักดิ์อีกเหรอ?” เหมียวอี้เหล่ตามถามอย่างเหยียบเย็น
ลั่วหม่างแอบหัวใจกระตุกวูบเพราะคำถามนี้ ทำไมกลายเป็นไม่ยอมสวามิภักดิ์แล้วล่ะ? ตอนที่จะเอาลูกสาวของเขา เจ้าไม่ได้มีท่าทีแบบนี้เลยนะ
เขารู้สึกได้ถึงอันตรายรุนแรงของการช่วยก่วงลิ่งกงแล้ว จึงกุมหมัดคารวะทันที “ฝ่าบาท เขาสวามิภักดิ์แน่นอนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นกตอนที่พวกเรามาสวามิภักดิ์ต่อฝ่าบาท ก็ไม่มีทางที่เขาจะไม่ห้าม” เขาชะงักไปชั่วครู่ แล้วกล่าวเสริมอีกว่า “ไม่อย่างนั้นคงไม่มอบสนมสวรรค์ให้” เขากำลังเตือนเหมียวอี้ ว่าเมื่อครู่เจ้าเพิ่งแต่งตั้งก่วงเม่ยเอ๋อร์เป็นสนมสวรรค์อันเล่อ ตอนนี้ถ้าจะลงมือกับก่วงลิ่งกงอีกก็จะไม่เหมาะสม
เหมียวอี้คิดจะสังหารก่วงลิ่งกงจริงๆ แต่เมื่อได้ยินเอ่ยถึงก่วงเม่ยเอ๋อร์ เจตนาสังหารในใจก็เริ่มถูกกดลงไป ไม่ใช่เพราะความงามของก่วงเม่ยเอ๋อร์ แต่เป็นเพราะเมื่อคู่เพิ่งแต่งตั้งให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์เป็นสนมสวรรค์เพื่อทำให้ทัพตะวันตกที่ยอมสวามิภักดิ์สงบใจ ตอนหลังถ้าคิดจะลงมือสังหารอีก เกรงว่าเบื้องล่างจะคิดว่าเขาใช้ประโยชน์เสร็จแล้วก็ทิ้ง
“หวังว่าจะเป็นอย่างนี้ เช่นนั้นก็ให้จอมพลลั่วติดต่อไปแล้วกัน โน้มน้าวสักหน่อย ถ้าบีบให้ข้าส่งทัพใหญ่ไปโน้มน้าว เกรงว่าจะทำให้สนมสวรรค์ปวดใจ” เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่หยี่ระ
“ขอรับ!” ลั่วหม่างเอ่ยรับ รู้สึกแผ่นหลังชุ่มไปด้วยเหงื่อ เมื่อครู่จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันใหญ่หลวง ตระหนักได้ว่าภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ เขาที่เป็นลูกน้องเก่าของก่วงลิ่งกงมาพูดอะไรแบบนี้เพื่อก่วงลิ่งกงนั้นไม่เหมาะสม ชั่วพริบตานั้นเขารู้สึกกดดันยิ่งกว่าตอนเผชิญหน้ากับประมุขชิงในปีนั้นเสียอีก
หลังจากนั้นตัวเดินจากไปแล้ว ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อโกวเยว่เงียบๆ
“ฝ่าบาท เหยียนซู่กวาดหลังสนามรบเรียบร้อยแล้ว กำลังตามมาทางนี้” ชิงเยว่เข้ามารายงาน
“กำลังพลของเหยียนซิวอยู่ตรงตำแหน่งไหนแล้ว?” เหมียวอี้ถาม
“เข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนามแล้ว กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้เช่นกัน” ชิงเยว่ตอบ
เหมียวอี้หันกลับไปมองหยางชิ่งแวบหนึ่ง หยางชิ่งกุมหมัดคารวะรอฟังคำสั่งทันที
เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “บอกเหยียนซิวว่าไม่ต้องมาแล้ว ให้เขานำกำลังพลเร่งไปตามจุดต่างๆ ทันที ขุดรากถอนโคนบุคคลสำคัญที่อยู่ตามแต่ละจุดของตระกูลเซี่ยโห้ว กำจัดกำลังของตระกูลเซี่ยโห้วรวดเดียว! แล้วเจ้าก็นำกำลังพลหนึ่งพันล้านไปสมทบอีก”
“ขอรับ!” หยางชิ่งเอ่ยรับ คิดในใจว่า ตอนนี้การกวาดล้างครั้งใหญ่ของใต้หล้ากำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว
“อวี้หลัวช่า!” เหมียวอี้เรียกอีก
อวี้หลัวช่าจีบนิ้วตรงหน้าอก โค้งตัวทำความเคารพเล็กน้อย
“เจ้านำกำลังพลของตัวเอง เจิ้นจะดึงกำลังพลอีกสองพันล้านให้เจ้า นำไปรวมกับคนของเหยียนซู่ แล้วเจ้าสองคนก็ช่วยกันบัญชาการ ทัพใหญ่สี่พันล้าน แบ่งกำลังพลไปตั้งแต่ละจุด กวาดล้างผู้รอดชีวิตที่อยู่ฝั่งชิงและพุทธะให้สิ้นซาก! เดี๋ยวเจิ้นจะส่งสวีถังหรานไปร่วมด้วย ให้ไปช่วยเหลือพระเจ้า!” เหมียวอี้กล่าว
เขากลัวว่าเหยียนซู่กับอวี้หลัวช่าจะใจอ่อนปรานี เปิดตาข่ายให้คนพวกนั้นหนีออกไป จึงส่งคนโหดไปจับตาดู กับเรื่องแบบนี้ส่งสวีถังหรานไปทำนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว สวีถังหรานจะต้องปฏิบัติตามบัญชาอย่างสุดกำลังแน่นอน
“รับทราบ!” อวี้หลัวช่าเอ่ยรับคำสั่ง เหมือนกับหยางชิ่ง ไปดึงกำลังพลจากชิงเยว่ก่อน
ในใจคนพวกนี้รู้สึกทอดถอนใจ ส่งกำลังพลสี่พันกว่าล้านไปปราบเชียวนะ การกวาดล้างครั้งใหญ่เริ่มขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีคนตายอีกตั้งเท่าไหร่
แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าพูดจากบางมุม คนส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงนี้ก็เห็นด้วยที่ทำอย่างนี้ ถ้าเหลือผู้รอดชีวิตฝั่งชิงและพุทธะเยอะเกินไป ก็จะไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของทุกคน…
โกวเยว่เดินออกจากห้องก่วงลิ่งกง เดินไปหาเม่ยเหนียงที่นั่งอยู่กลางวงกลุ่มผู้หญิงในศาลา
พอพวกผู้หญิงเห็นเขามาก็หลีกทางให้ โกวเยว่กุมหมัดคำนับเม่ยเหนียง เม่ยเหนียงมองเข้าไปในห้องปราดหนึ่ง แล้วถามว่า “ท่านอ๋องเป็นยังไงบ้าง?”
โกวเยว่ส่ายหน้า ก่วงลิ่งกงยังหลบอยู่ในมุมเงียบๆ ไม่ยอมพูดจา เขาบอกสิ่งที่ลั่วหม่างฝากมาบอกแล้ว แต่ก่วงลิ่งกงก็ยังไม่พูดอะไร
เม่ยเหนียงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ รู้ว่าเรื่องในครั้งนี้ทำให้ก่วงลิ่งกงสะเทือนใจ
อนุภรรยาบางส่วนมองไปทางในห้อง ในใจเหยียดหยามนิดหน่อย ปกติน่าเกรงขามมาก ทำเหมือนเก่งมาก ตอนนี้ความน่าเกรงขามไปไหนแล้ว?
โกวเยว่รายงานว่า “เหนียงเหนียง ทัพใหญ่ของชิงและพุทธะถูกหนิวโหย่วเต๋อปราบแล้ว ชิงและพุทธะก็ถูกหนิวโหย่วเต๋อสังหารแล้วเช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อกำลังกวาดล้างใต้หน้า ตอนนี้พวกเราก็ต้องไปสวามิภักดิ์เช่นกัน หากช้ากว่านี้เกรงว่าจะมีภัยทั้งตระกูล!”
ชิงและพุทธะถูกกวาดล้างแล้ว? กลุ่มผู้หญิงสูดหายใจลึกอย่างตระหนก ตกตะลึงไม่หยุด มีบางคนหลุดอุทานว่า “แล้วหนิวโหย่วเต๋อนั่นจะไม่ปกครองตั้งใต้หล้าแล้วหรอกเหรอ?”
“จะพูดอย่างนั้นก็ได้ขอรับ” โกวเยว่พยักหน้า
ผู้หญิงกลุ่มนี้ทำสายตาล่อกแล่ก บางคนแอบมองเม่ยเหนียง แม้ก่อนหน้านี้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ยังอิจฉาริษยามากอยู่ดี ลูกสาวของผู้หญิงที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยคนนี้กลายเป็นผู้หญิงของผู้ชายที่มีอำนาจมากที่สุดในใต้หล้าแล้ว สนมสวรรค์คนแรกของผู้ชายที่มีอำนาจที่สุดในใต้หล้า จะไปทวงความยุติธรรมนี้ที่ไหนได้
เม่ยเหนียงเองก็ตกตะลึงไม่เบา ในปีนั้นบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อจะประสบความสำเร็จ เขาก็ประสบความสำเร็จแล้วจริงๆ ทั้งยังถูกทำให้สะเทือนใจไม่เบา ในใจเต็มไปด้วยความเสียดาย น่าเสียดายที่ในปีนั้นจัดการเรื่องแต่งงานไม่สำเร็จ ไม่อย่างนั้นลูกสาวของตัวเองก็จะเป็นใหญ่ท่ามกลางผู้หญิง เป็นราชินีสวรรค์มารดาแห่งใต้หล้าแล้ว!
นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “เรื่องบางเรื่องผู้หญิงอย่างพวกเราไม่เข้าใจ ในเมื่อท่านอ๋องให้เจ้าจัดการ เช่นนั้นก็ให้พ่อบ้านมีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างแล้วกัน!”
“ขอรับ!” โกวเยว่เอ่ยรับ หลังจากยืนตัวตรงแล้ว ก็มองไปทางเกาจื่อเซวียน อนุภรรยาห้องใหญ่ของก่วงลิ่งกงอีก กุมหมัดคารวะกล่าวว่า “ฮูหยินใหญ่ ครั้งนี้เกรงว่าต้องให้ท่านสละสิ่งของบางอย่างเหมือนกัน มอบให้ไปอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ”
“ใต้หล้าเป็นของเขาหมดแล้ว ที่ข้ายังมีของอะไรที่เขาหมายตาอีกเหรอ?” เกาจื่อเซวียนแปลกใจ

เหมียวอี้ไม่มีท่าทีว่าจะขึ้นเรือ เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง น้ำเสียงเยียบเย็นลงหลายส่วน  เจ้าเป็นคนจงใจปล่อยพระปีศาจหนานโปออกมาใช่หรือเปล่า? 

กับเรื่องบางเรื่องเขาสามารถอดทนได้ แต่กับเรื่องบางเรื่องทำให้เขาอึดอัดจริงๆ ถึงขนาดไม่สามารถใช้คำว่าอึดอัดธรรมดามาบรรยายได้ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ศีลแปดแทบจะสิ้นชีวิตด้วยน้ำมือพระปีศาจแล้ว ไต้ซือศีลเจ็ดก็ทำเพื่อช่วยศีลแปดหากอาตมาไม่ลงนรกแล้วใครจะลงนรก!

ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง การให้พระปีศาจรู้ว่าในมือของเขามีบัวโลหิต ที่จริงแล้วก็ถือว่าอยากเอาชีวิตเขา!

เมื่อถามเช่นนี้ ประมุขไป๋ก็ยิ้มเรียบๆ เข้าใจความหมายที่เขาสื่อแล้ว อย่าว่าแต่สองคนนั้นที่ไม่เชื่อเจ้าเลย ข้าเองก็ทำใจเชื่อได้ยากเหมือนกัน เขาถ่ายทอดเสียงตอบว่า  ทั้งใช่ และไม่ใช่ 

 หมายความว่ายังไง?  เหมียวอี้ถามด้วยใบหน้านิ่งตึง เรื่องนี้เหมือนก้างที่ติดคอเขา ถ้าไม่คายก็ไม่โล่ง

ประมุขไป๋กล่าวว่า  เรื่องบางเรื่องเดิมทีไม่อยากอธิบาย ต่อให้เจ้ารู้แล้วยังไง? ไม่รู้แล้วยังไง? ทุกอย่างเป็นอดีตไปแล้ว! ในเมื่อเจ้าพะวงอยู่ในใจตลอดเช่นนี้ ข้าก็ทำได้เพียงบอกเจ้า พระผู้ใหญ่แต่ละยุคของสำนักหนานอู๋ร่วมมือกันสร้างวิชาพุทธธรรมไร้ขอบเขตมาตลอด แต่กลับไม่มีใครฝึกวิชาสำเร็จ หลังจากสืบเสาะค้นคว้าแล้ว สำนักหนานอู๋ก็ร่วมมือกันสร้างบทนำการฝึกหนึ่งชุดเพื่อพุทธธรรมไร้ขอบเขตอีก ชื่อว่า  เคล็ดวิชาตรัสรู้  ในปีนั้นตอนสำนักหนานอู๋ถูกกวาดล้าง หัวเลี้ยวหัวต่อเทียนอี เจ้าสำนักได้ถ่ายทอดบทนำให้ลูกศิษย์คนหนึ่ง ยอดฝีมือทุกคนของสำนักหนานอู๋ร่วมมือกันต้านหนานโป ปกป้องให้ศิษย์คนนี้หนีไป อยากจะรักษาผู้สืบทอดของสำนักหนานอู๋เอาไว้ จึงรีบติดต่อไป๋เหมยอาจารย์ของของข้าให้มารับ ศิษย์คนนี้มีฉายานามว่าศีลห้า หลังจากอาจารย์ของข้ารับศีลห้ามาแล้ว เป็นเพราะหนานโปตามจับศีลห้าไปทั่ว จึงทำได้เพียงส่งศีลห้าไปที่พิภพเล็ก ศีลห้าหวาดกลัวหนานโป กลัวว่าวันหนึ่งจะถูกหนานโปหาพบ จึงใช้วิชาศีลซ่อนตัว ไม่เอ่ยถึงสำนักหนานอู๋อีก แล้ว  เคล็ดวิชาตรัสรู้  นี้ก็ค่อนข้างแปลก ศีลห้าที่แตกฉานเคล็ดวิชาของสำนักหนานอู๋จะฝึกสำเร็จได้ยาก จึงหาเสาะผู้สืบทอไปทั่ว ตอนหลังถึงได้มีศีลหก ศีลเจ็ด ศีลแปด  พอพูดถึงตรงนี้ ก็ส่งสายตาให้เหมียวอี้เหมือนกำลังถามว่า ตอนนี้เจ้าคงจะเข้าใจแล้วใช่มั้ย?

 ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้มีศีลหกกับศีลเจ็ดแล้ว ทำไมยังจะให้ศีลแปดไปเผชิญหน้ากับพระปีศาจอีก?  เหมียวอี้ถาม

ประมุขไป๋ตอบว่า  ศีลหกกับศีลเจ็ดค่อนข้างคร่ำครึ เจ้าคิดว่าคนอย่างศีลเจ็ดจะลงมือสังหารคนอย่างหนานโปได้เหรอ? จนกระทั่งศีลแปดปรากฏตัว ไม่ได้รับผลกระทบจากวิชาศีล ถึงได้ทำให้ข้าเห็นความหวัง ว่าเขาจะทำสิ่งที่สำนักหนานอู๋ฝากฝังสำเร็จ 

 ทำไมต้องรอให้ถึงศีลแปด เจ้าน่าจะมีความสามารถในการกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจสิ  เหมียวอี้ถาม

ประมุขไป๋ส่ายหน้าเบาๆ  ข้าไม่ได้รู้สึกดีกับสำนักหนานอู๋ ถ้าเป็นไปได้ ก็อาจจะไม่ต้องให้หนานโปลงมือ ข้าจะลงมือกำจัดสำนักหนานอู๋เอง ดังนั้นบุญคุณความแค้นระหว่างพระปีศาจหนานโปกับสำนักหนานอู๋ ที่จริงข้าไม่อยากเข้าไปแทรกแซง หวังว่าสำนักหนานอู๋จะแก้ไขปัญหาเอง 

 เจ้าอธิบายแบบนี้จะให้ข้าเชื่อได้ยังไง?  เหมียวอี้ไม่ค่อยเข้าใจ

ประมุขไป๋ให้คำตอบอย่างสุขุมเยือกเย็นว่า  เทียนอี เจ้าสำนักหนานอู๋ เคยเจรจาสงบศึกกับศิษย์หญิงคนหนึ่งที่ฝึกระบำมารสวรรค์ของสำนักหนานอู๋ เป็นเพราะศิษย์หญิงคนนั้นคิดถึงประโยชน์ส่วนตัว จึงแอบตั้งครรภ์ลูกของเทียนอี แล้วแอบคลอดลูกนอกสมรสเอาไว้คนหนึ่ง หลังจากเทียนอีรู้แล้วก็เดือดดาลมาก รู้สึกว่าเรื่องนี้ถูกเปิดโปง ก็ไม่มีทางชี้แจงกับทุกคนของสำนักหนานอู๋ได้ จึงประหารศิษย์หญิงคนนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะไป๋เหมยมาทันเวลา แล้วเห็นว่าลูกนอกสมรสคนนั้นหน่วยก้านดีจึงรับเป็นศิษย์ เกรงว่าลูกนอกสมรสคนนั้นคงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว 

ตอนนี้ถึงคราวที่เหมียวอี้ต้องตกใจแล้ว จ้องเขาพร้อมถามว่า  เจ้าก็คือลูกนอกสมรสคนนั้นเหรอ? 

ประมุขไป๋ไม่ได้ยอมรับ และก็ไม่ได้ปฏิเสธ

พอเป็นแบบนี้ กลับทำให้เหมียวอี้เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงชักนำให้ศีลแปดไปยังสถานที่ผนึกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจ ด้วยนิสัยของศีลแปด ศีลแปดไปที่นั่นแล้วไม่ผูกความแค้นกับพระปีศาจก็แปลกแล้ว และการที่เขาพบพุทธธรรมไร้ขอบเขตของสำนักหนานอู๋ ก็จะต้องให้ศีลแปดไปฝึกแน่นอน อีกฝ่ายต้องการบีบให้ศีลแปดเป็นตัวแทนสำนักหนานอู๋เพื่อไปจบเรื่องนี้กับพระปีศาจ

เพียงแต่เหมียวอี้ไม่ได้เชื่อทั้งหมด ถามว่า  เหมือนเจ้าจะรู้เรื่องของข้าทุกอย่าง อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ ว่าถ้าปีศาจโลหิตไปที่นั่นแล้วเรื่องบัวโลหิตจะถูกเปิดโปง? 

 ตอนนั้นศีลแปดกับปีศาจโลหิตอยู่ด้วยกัน สนิทกันเหมือนเป็นเงาตามตัว ข้าเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย หนานโปไม่อาจหลุดออกมาได้ ต่อให้รู้ว่ามีบัวโลหิตอยู่แล้วยังไงต่อล่ะ? เป็นแค่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกผนึกไว้เท่านั้น ข้ามีวิธีกำจัดเขา ต่อให้รอชิงและพุทธะไป ก็กำจัดเขาได้เหมือนเดิม  ประมุขไป๋กล่าว

เหมียวอี้บอกว่า  แต่ตอนหลังพอชิงและพุทธะไปแล้ว ก็ไม่อาจขัดขวางพระปีศาจไม่ให้หลุดออกมาได้ กลับทำให้ข้าตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย 

เดิมทีประมุขไป๋อยากบอก ว่าเจ้ารู้คำตอบจากเซี่ยโห้วท่าแล้วไม่ใช่หรือ? ทว่าหลังจากยิ้มอย่างไม่หยี่ระแล้ว ก็ยังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ อธิบายด้วยตัวเองว่า  ที่ชิงและพุทธะหยุดยั้งไว้ไม่ได้ ก็เพราะข้าแอบสอนวิธีหนีออกมาให้หนานโป ไม่อย่างนั้นหนานโปจะต้องตายแน่นอน ในปีนั้นชิงและพุทธะแตกคอกับข้า จับรั่วสุ่ยไปเป็นตัวประกัน ข้าจึงรีบร้อนวิ่งวุ่นวางแผนเอาไว้ทั่ว ร้อนใจจนจอนผมสองข้างหงอกขาว ทิ้งทางหนีทีไล่เอาไว้ไม่น้อย หนานโปก็คือหนึ่งในทางหนีทีไล่ของข้า ถ้าหมดหนทางแล้วจริงๆ เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงปล่อยหนานโปออกมา ให้หนานโปเปิดเจดีย์สยบปีศาจให้ข้า 

เหมียวอี้กล่าวเสียงเย็นว่า  หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ เจ้ายอมรับแล้วว่าเจ้าปล่อยพระปีศาจออกมา! 

ประมุขไป๋ตอบเขาว่า  สาเหตุที่ปล่อยพระปีศาจออกมา ก็เพราะมีคนพูดบางสิ่งที่ไม่สมควรพูดกับเจ้า ทำให้ระหว่างเจ้ากับข้าเกิดรอยร้าวในใจ อำนาจที่ยิ่งใหญ่ของเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ข้าสามารถบงการได้ ข้าทำได้เพียงใช้แผนการชั้นตํ่านี้ ถ้าเจ้าไม่ทำลายเจดีย์สยบปีศาจ เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงให้พระปีศาจลงมือ ตอนที่เทพพยากรณ์ส่งข่าวให้เจ้า ให้เจ้าชิงทำลายเจดีย์สยบปีศาจก่อน นั่นก็คือทางเลือกสุดท้ายระหว่างเจ้ากับข้าแล้ว โชคดี เจ้ายังเลือกสิ่งที่ข้าหวังจะได้เห็น ไม่อย่างนั้นระหว่างเจ้ากับข้าก็มีแต่ต้องแตกหักกัน! 

เหมียวอี้กัดฟัน  เจ้าอย่าบอกข้าเชียวนะ ว่าตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน แล้วศีลแปดออกมาหยุดยั้งพระปีศาจได้ทันเวลาก็เป็นสิ่งที่เจ้าคาดหมายไว้ล่วงหน้าแล้ว 

ประมุขไป๋ส่ายหน้า  ทุกอย่างที่ข้าทำกับสำนักหนานอู๋ ก็เพื่อทำสิ่งที่อาจารย์ฝากฝังไว้ให้สำเร็จ ศีลแปดไม่เอาไหน ข้าไม่เคยคาดหวังให้เขาทำอะไรทั้งนั้น ความสำเร็จของศีลแปดเกินกว่าที่ข้าจินตนาการไว้ เจ้าเองก็ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ ในเมื่อข้ากล้าทำอย่างนี้ ก็แสดงว่ามีที่พึ่งพา ต่อให้ศีลแปดไม่ปรากฏตัว ต่อให้ข้าจำกัดหนานโปไม่ได้ ก็รับประกันได้อยู่ดีว่าหนานโปจะไม่แตะต้องเจ้า เหตุผลก็ไม่ได้ซับซ้อน เป็นเพราะในมือข้ามีสิ่งที่หนานโปต้องการ ข้าย่อมมีหนทางพาหนานโปออกไปจากที่นี่อยู่แล้ว ให้เขากลับมาไม่ได้อีกตลอดไป! แน่นอน มีเรื่องมากมายที่ข้าไม่อาจควบคุมได้ การตายของศีลเจ็ดเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดเลย ข้านึกเสียใจทีหลังกับเรื่องนี้ 

เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย  นี่เป็นเพียงความข้างเดียวของเจ้าหลังจากเรื่องดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าคิดจะบงการข้ามาตั้งแต่แรก เก็บข้าไว้ให้เจ้าใช้ประโยชน์! 

ประมุขไป๋บอกว่า  ถ้าเจ้าดึงดันจะคิดอย่างนี้ ข้าก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน ที่ให้เจ้าทำงานให้ข้านั้นไม่ผิดหรอก แต่ถ้าจะบอกว่าบงการอะไรนั่น ก็อาจจะกล่าวเกินไปหน่อย ตัวเจ้าเองรู้ชัดเจนกว่าใคร ว่าการที่เจ้าเดินบนเส้นทางนี้ ข้าไม่เคยบังคับเจ้าเลย ตอนแรกข้าถามเจ้าหลายครั้ง แต่เป็นเจ้าที่ยืนหยัดจะเดินบนเส้นทางนี้ ถ้าเจ้าปฏิเสธ ข้าก็จะไม่ฝืนใจเจ้าอยู่ดี ทุกอย่างล้วนเกิดจากความเต็มใจของเจ้า เรื่องราวต่างๆ หลังจากนั้น เจ้าก็น่าจะรู้สึกได้เช่นกัน ว่าข้าไม่เคยบงการเจ้าเลย เพียงแอบช่วยเจ้าในเวลาที่เหมาะสมก็เท่านั้นเอง ยกตัวอย่างเช่นนักพรตปีศาจที่ถูกขังอยู่ในที่ซ่อนสมบัติ ข้าเตรียมคนพวกนี้ให้เอาไว้ช่วยเจ้าแท้ๆ แต่เจ้าก็ไม่ใช้งาน ข้าเองก็ไม่ได้ก้าวก่าย แทบจะปล่อยให้เรื่องดำเนินไปเองอย่างอิสระตามที่ใจเจ้าปรารถนา เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว สิ่งที่เจ้าควรช่วยข้า เจ้าก็ช่วยไว้แล้ว ถ้าจะให้ข้าบอกอีกว่าช่วยเจ้ามาเยอะ ช่วยให้เจ้าผ่านอันตรายมาหลายครั้ง นั่นก็ไม่จำเป็นแล้ว สิ่งนี้ข้าพูดบิดเบือนหรือไม่ ในใจเจ้าย่อมชั่งน้ำหนักได้เอง ไม่จำเป็นต้องฟังความข้างเดียวจากข้า 

 ร่างทิพย์ของเจ้ามีโอกาสออกมาอธิบายทุกอย่างกับข้าให้ชัดเจน ถ้าอธิบายให้เข้าใจแล้ว ยังจำเป็นต้องอธิบายตอนหลังอีกเหรอ?  เหมียวอี้ถาม

 ตอนหลังหลังของเจ้าเหนือกว่าร่างทิพย์ของข้าแล้ว ถ้าให้ร่างทิพย์ปรากฏตัวต่อหน้าเจ้า ก็เท่ากับตัดทางหนีทีไล่ของข้า อย่างไรเสียก็เหลือโอกาสให้ร่างทิพย์ได้พบกับเจ้าแล้ว ตอนที่เจ้าได้ตาทิพย์จากเสิ้นหมี ก็น่าจะตระหนักรู้ถึงวิถีแห่งความว่างเปล่าบ้างแล้ว แต่พรสวรรค์การฝึกตนของเจ้าไม่ค่อยดีเท่าไร จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่ก้าวหน้า  ประมุขไป๋กล่าว

 ตระหนักรู้วิถีแห่งความว่างเปล่าเกี่ยวอะไรกับการได้เจอร่างทิพย์ของเจ้า?  เหมียวอี้สงสัย

ประมุขไป๋ยิ้มบางๆ  ในเมื่อในใจเจ้าไม่พอใจ เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงอีก ที่อยู่รอเจ้า ก็เพราะอยากให้คำอธิบายกับเจ้า ส่วนคำพูดเมื่อครู่นี้ เจ้าจะเชื่อหรือไม่นั้นไม่สำคัญ เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าสูญเสียไปเท่าไร ได้รับมาเท่าไร ก็ล้วนเป็นเรื่องของเจ้าเองทั้งนั้น ข้าไม่รับผิดชอบกับสิ่งนี้ ตั้งแต่นี้ไป เจ้ากับข้าขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจน จำของขวัญแรกพบตอนที่เราเจอกันครั้งแรกได้หรือเปล่า นั่นคือของขวัญที่รั่วสุ่ยมอบให้ข้า ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่ต้องเก็บไว้เพื่อระลึกถึงข้าแล้ว แค่คืนให้ข้าก็พอ 

 แล้วถ้าข้าไม่ปล่อยเจ้าไปล่ะ?  ในน้ำเสียงเหมียวอี้เจือความเย็นยะเยือกน่ากลัวอยู่หลายส่วน

ประมุขไป๋กล่าวด้วยใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม  ในปีนั้นชิงและพุทธะส่งคนมามากมายขนาดนั้น แต่ก็ยังขวางข้าไม่ได้ เจ้าจะขวางข้าได้หรือเปล่า ในใจเจ้าเองมีความมั่นใจหรือเปล่า เจ้าก็น่าจะรู้ดีที่สุด วรยุทธ์ของเจ้ากับข้ายังห่างกันไม่ใช่น้อย ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าพาลหาเรื่องดีกว่า! ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง ดาราจักรกว้างใหญ่ ไร้ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุด ข้าย่อมมีทางไปของข้า ไม่สนใจใต้หล้าอะไรทั้งนั้น! 

เหมียวอี้สบตากับเขาครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ยกมือลูบสร้อยลูกประคำสีเขียวบนคอ จับลูกประคำสีเขียวเข้มเม็ดนั้น ดึงลงมา แล้วโยนกลับไป

ประมุขไป๋คว้าสร้อยมาไว้ในมือ จ้องมองมัน ขยี้ปั่นอยู่ระหว่างนิ้วมือ แล้วส่ายหน้าด้วยความสะท้อนใจ

หลังจากคว้าของไว้ในมือแล้ว เขาก็หยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมาอีก แล้วโยนเข้ามา

เหมียวอี้รับมาอ่านในมือครู่เดียว ผลก็คือพบว่าเป็นแหล่งกำเนิดสำนักของอีกฝ่าย เขาไม่ได้อ่านละเอียด อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าถามว่า  หมายความว่าอะไร? 

ในดวงตาประมุขไป๋เผยความกลัดกลุ้ม  ที่จริงอสุราอัคนีเป็นศิษย์พี่ของข้า เป็นลูกชายอาจารย์ของข้าด้วย เขาอายุมากกว่าข้า มีชื่อเสียงเร็วกว่าข้าด้วย เป็นเพราะพรสวรรค์ในการฝึกตนของเขา ท่านอาจารย์ไม่ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาอัคนีดาราฉบับสมบูรณ์ให้เขา แต่กลับถ่ายทอดให้ข้า ศิษย์พี่ได้แค่เคล็ดวิชาไฟหยางที่อยู่ในนั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงแค้นข้า บุญคุณความแค้นและความขัดแย้งที่อยู่ในนั้นบันทึกไว้ในของที่ให้เจ้าหมดแล้ว หลังจากข้าออกจากภูเขา ก็เก็บกวาดขยะในบ้าน สังหารเขาแล้ว พอมาดูตอนนี้ ที่จริงข้ากับศิษย์พี่ก็ไม่ต่างอะไรกัน ยอมร่วมงานกับศัตรูที่ฆ่าอาจารย์ตัวเองเพื่อความแค้นส่วนตัว ข้าเองก็ไม่มีหน้าไปพบอาจารย์เช่นกัน ตั้งแต่นี้ไป ข้าไล่ตัวเองออกจากสำนัก วิชานี้ยกให้เจ้าเป็นผู้สืบทอด ถือว่าเป็นสิ่งตอบแทนอาจารย์เช่นกัน เจ้าวางใจได้ ข้าไม่มีทางถ่ายทอดเคล็ดวิชาอัคนีดาราให้ใครอีก!  พูดจบก็เงยหน้ามองดาวบนท้องฟ้า แล้วกล่าวอย่างปลงอนิจจัง  ข้ายังยืนยันคำเดิม ตั้งแต่นี้ไปยินดีที่จะให้เจ้ากับข้าไม่ต้องพบกันอีก! 

เหมียวอี้เงียบไปครู่เดียว ก่อนจะถามว่า  ได้ยินนามอันยิ่งใหญ่ของประมุขปีศาจมานาน เหตุใดไม่พาออกมาให้เจอสักหน่อย? 

 ให้นางได้อยู่อย่างสงบสุขเถอะ  ประมุขไป๋ส่ายหน้า นิ้วมือวาดผ่านบนสายฉินส่งเสียงติงตัง แล้วหันไปพยักหน้าให้เทพพยากรณ์

เทพพยากรณ์กระทุ้งไม้ขักขระบนมังกรเบาๆ กลุ่มผีดิบเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางทันที ลากเรือมังกรอเวจีไปยังจุดลึกในดาราจักร

 

เหยียนซู่ชะงักไป แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “ฝ่าบาทกลัวว่ากองทัพองครักษ์เกาะกลุ่มกันแล้วจะกลายเป็นภัยแฝงในภายหลัง ต้องการจะฆ่าทิ้งให้หมด?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ในที่สุดหยางเจาชิงก็เข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดในปีนั้นเหยียนซู่ได้รับความสำคัญจากฮ่าวเต๋อฟางแต่กลับไม่ได้เป็นจอมพลพี่มีอำนาจทางทหารดูแลอาณาเขต แต่ถูกฮ่าวเต๋อฟางเก็บไว้ข้างกายเพื่อเป็นผู้ตรวจการคุมทัพอารักขา เขาทำได้เพียงอธิบายทางด้านนี้ “ใต้หล้ากำลังจะรวมการปกครองเป็นหนึ่งเดียว ไม่จำเป็นต้องมีกำลังพลเยอะเกินไป ไม่จำเป็นต้องมีพวกที่เห็นต่างมากเกินไปด้วย”
เหยียนซู่เงียบไปแล้ว ไม่ได้ถ่ายทอดคำสั่งรับกำลังพลที่ยอมสวามิภักดิ์อีก
การรบราฆ่าฟันอันดุเดือดไม่มีท่าทีว่าจะหยุด กำลังพลของอู๋ฉวี่ซึ่งตกอยู่ท่ามกลางความเศร้าโศกไร้ที่สิ้นสุด กองทัพองครักษ์ผู้สง่าผ่าเผยแสดงออกแล้วว่าต้องการจะยอมสวามิภักดิ์ แต่การล้อมโจมตีของฝ่ายข้าศึกไม่มีท่าทีว่าจะหยุดแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมรับทหารที่ยอมแพ้ ต้องการจะฆ่าให้หมด จำเป็นต้องอาบเลือดต่อสู้ ดิ้นรนต่อต้านสุดชีวิต การจะทำให้แหลกราญไปพร้อมกัน…
ขบวนของจั่วเอ๋อร์กำลังเร่งหลบหนีอยู่ในดาราจักรด้วยความตระหนกหวาดกลัว เร่งหนีออกจากอาณาเขตดาวนิรนามผืนนี้
ทว่าจู่ๆ กำลังพลกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่ข้างหน้า สุดท้ายก็ทำลายฝันของกำลังพลที่เหลือรอดของสายตระกูลอิ๋ง!
ผู้ที่มาขัดขวางก็คือเหิงอู๋เต้าที่เร่งนำกำลังพลตามมาช่วยหลังจากโจมตีอารามแปดทิศ
เดิมทีกลุ่มของพระปีศาจหนานโปติดตามประมุขชิงมา ส่วนพวกประมุขชิงก็ตามมาเส้นทางเดียวกับก่วงลิ่งกง หลังจากกำลังพลของก่วงลิ่งกงยอมสวามิภักดิ์ต่อเหมียวอี้แล้ว สายลับที่อยู่ระหว่างทางก็ย่อมกลายเป็นคนของเหมียวอี้ เมื่อไม่มีพลังอภินิหารของพระปีศาจหนานโปคอยอำพราง ขบวนของจั่วเอ๋อร์ที่กลับทางเดิมก็ย่อมถูกสายลับจับได้
หลังจากเหมียวอี้ที่อยู่ศูนย์บัญชาการได้รับข่าว และรู้ว่ากำลังพลของเหิงอู๋เต้ากำลังมาพอดี ก็ย่อมบอกให้ไปดักไว้
พวกจั่วเอ๋อร์ที่สูญเสียการสนับสนุนด้านข่าวกรองไปแล้ว ยามเผชิญหน้ากับกำลังพลที่เข้มแข็งทั้งยังได้เปรียบด้านข่าวกรองของเหมียวอี้ การอยู่ในอาณาเขตดาวนิรนามนี้ก็เหมือนคนตาบอด เล็กน้อยราวกับมด ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องให้เหมียวอี้จับตาดูเลย เพียงเพราะพวกเขาอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเหมียวอี้ พวกเขาจึงทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพจนตรอกแล้ว
กำลังพลที่มาขวางอยู่ด้านหน้า กำลังพลที่อยู่โดยรอบปรากฏตัว เหิงอู๋เต้าที่เฝ้าต้นไม้รอกระต่ายแค่เปิดปากกระเป๋ารอ ก็เก็บพวกจั่วเอ๋อร์เข้ากระเป๋าได้แล้ว
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ จั่วเอ๋อร์ก็ตกใจกลัว เรียกทุกคนออกมาทันที หันหลังพึ่งพิงกัน ในมือถืออาวุธเตรียมป้องกัน
อิ๋งเยว่ที่ถูกไป๋เหนียงจื่อโจมตีสาหัส ในตอนนี้ถูกอิ๋งเยว่คุ้มครองไว้ตรงกลาง ใบหน้าฉายแววสิ้นหวัง ทนลำบากเคี่ยวกรำมาหลายปีขนาดนี้ เดิมทีนึกว่าจะสามารถพลิกสถานการณ์ได้ในรวดเดียว แต่กลับตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง ได้แต่แค้นที่สวรรค์ไร้ความยุติธรรมต่อตระกูลอิ๋งถึงเพียงนี้!
เหิงอู๋เต้ามองคนกลุ่มนี้ด้วยสายตาเยียบเย็น เขาแอบรู้สึกสะท้อนใจ ในปีนั้นลิ่งหูโต้วจงได้รับความสำคัญจากอิ๋งจิ่วกวง ตอนหลังอิ๋งจิ่วกวงรบตายตระกูลอิ๋งเสื่อมโทรม ลิ่งหูโต้วจงพาเขามาสวามิภักดิ์ต่อหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้เวลาผันผ่าน นึกไม่ถึงว่ากำลังพลเก่าของสายตระกูลอิ๋งอย่างเขาจะต้องลงมือกับคนของตระกูลอิ๋ง ช่างมีรสชาติหลากหลายเกิดขึ้นในจริงๆ
ผู้ช่วยผู้บัญชาการฝั่งนี้เผยสีหน้าเย้าหยอก กล่าวด้วยรอยยิ้มกระหายเล็กน้อย “จอมพล ผู้หญิงที่อยู่ตรงกลางเหมือนจะเป็นอิ๋งเยว่ หลานสาวของอิ๋งจิ่วกวงนะ หน้าตาก็ไม่เลว จอมพล ไม่สู้ลิ้มลองสักหน่อยเป็นไร?” เขาใจเต้นนิดหน่อย แม้อิ๋งเยว่จะไม่ได้งามล้ำเลิศอะไร แต่ก็อยากจะลิ้มรสหลานสาวของอ๋องสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยสักหน่อย
เหิงอู๋เต้าเอียงหน้าเหล่ตามอง กล่าวเสียงเย็นว่า “เจ้าลืมพื้นเพของพวกเราไปแล้วเหรอ? ใต้หล้ากำลังจะรวมเป็นหนึ่งเดียว เกรงว่าการกวาดล้างคงจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ถ้ารับคนของตระกูลอิ๋งในเวลานี้ เกรงว่าจะเป็นการทิ้งจุดอ่อนไว้ในมือคนอื่น เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง?”
ผู้ช่วยผู้บัญชาการชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากคิดได้แล้วก็หัวใจกระตุกวูบ รีบกุมหมัดคารวะกล่าวว่า “สิ่งที่จอมพลเตือนนั้นถูกต้อง เป็นข้าน้อยที่เลอะเลือน”
จั่วเอ๋อร์ชำเลืองกลุ่มคนที่อยู่ข้างกาย ถ่ายทอดเสียงบอกอิ๋งเยว่ว่า “คุณหนู ครั้งนี้เกรงว่าจะไม่มีทางหนีพ้นแล้ว”
อิ๋งเยว่ย่อมเข้าใจเช่นกัน หลับตาลงพร้อมน้ำตา กล่าวอย่างยากลำบากว่า “หลายปีมานี้ลำบากพวกเจ้าแล้ว ยอมแพ้เถอะ!”
จั่วเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ หันกลับมาตะโกนบอกเหิงอู๋เต้าว่า “เหิงอู๋เต้า พวกเรายอมแพ้!”
เหิงอู๋เต้าไม่สะทกสะท้าน กล่าวเสียงเรียบด้วยสีหน้าเย็นชา “ฆ่า!”
พอออกคำสั่งทางทหาร ผู้ช่วยผู้บัญชาการหันมองลำแสงที่ยิงมาจากทั่วทิศ แอบส่ายหน้าด้วยความปลง ถ้าอิ๋งเยว่ตกอยู่ในมือคนอื่นอาจยังพอมีทางรอดชีวิต อย่างไรเสียเบื้องบนก็สั่งให้สกัดไว้เฉยๆ แต่ดันมาตกอยู่ในมือกำลังพลเก่าสายตระกูลอิ๋งอย่างพวกเขา และพวกเขาก็จำเป็นต้องขีดเส้นแบ่งกับตระกูลอิ๋งให้ชัดเจน…
ในดาราจักร ศพที่ร่างไม่สมบูรณ์ลอยเกลื่อน
เหยียนซู่ยกมือขึ้น การกระทำนี้หมายความการต่อสู้สนามนี้จบลงโดยสมบูรณ์แล้ว
กำลังพลที่นำโดยเหยียนซู่มองไปที่จุดเดียวพร้อมกัน อู๋ฉวี่ที่ทั้งตัวเปื้อนเลือดไม่มีเกราะรบแล้ว เสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ย ผมยุ่งกระเซิง บนตัวมีธนูหลายสิบดอกปักอยู่ ดาบตัดม้าในมือยกขึ้นเล็กน้อย ชี้ไปทางเหยียนซู่ มุมปากมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด สองตาแดงก่ำ ตะโดนด่าในขณะประคองหายใจว่า “ไอ้โจรกบฏ!”
มือธนูที่อยู่รอบๆ ร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมลูกธนูที่ปักบนตัวเขาทันที ต้องการจะดึงกลับมา
อู๋ฉวี่เกร็งสองแขน เกร็งลำตัว พยายามใช้พลังอิทธิฤทธิ์ที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดกักลูกธนูดาวตกบนตัวเอาไว้ น้ำตาไหลพราก ใช้ชีวิตคราวสุดท้ายเพื่อสู้กับทัพฝ่ายศัตรู
ทว่าพลิกสถานการณ์อะไรไม่ได้แล้วจริงๆ แม่ทัพคนหนึ่งถลันตัวผ่านไป พร้อมคำรามอย่างดุดัน “รับความตายซะ!”
โบกดาบพร้อมแสงสะท้อนคม ตัดศีรษะอู๋ฉวี่ขาดกระเด็นเสียเลย
อู๋ฉวี่เลือดไกลแทบหมดตัวแล้ว ตรงคอที่ขาดไปมีเลือดไหลไม่มากเท่าไร ลูกธนูที่อยู่บนตัวก็ถูกชักออกมาแล้วเช่นกัน กลับมาอยู่บนมือของคนยิงธนู
รอบข้างเงียบงัน บรรดาผู้รอดชีวิตที่ผ่านศึกใหญ่มามองร่างที่ชักกระตุกของอู๋ฉวี่ นี่ก็คือผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายที่เคยมีบารมีสะท้านใต้หล้า แค่ได้ยินชื่อก็ทำให้คนหวาดกลัว…
ศึกใหญ่อีกฝั่งหนึ่งก็ใกล้จะจบแล้วเช่นกัน
ตรงหน้าเหมียวอี้มีคนยืนอยู่สองคน คนหนึ่งประคองถือศีรษะของประมุขพุทธะ คนหนึ่งประคองถือศีรษะของประมุขชิง
เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์มาชื่นชมศีรษะ แต่สีหน้าก็ไม่เปลี่ยนไปเช่นกัน ชื่นชมดาบและกระบี่ที่ถืออยู่ในมือ เป็นอาวุธของชิงและพุทธะนั่นเอง
มีคนส่งอาวุธหลายชิ้นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เหมียวอี้โบกกระบี่และดาบฟันไม่หยุด ทุกครั้งล้วนมีเสียงขานรับ กำลังพลเข้ามาประสมโรงและกล่าวชมอย่างร่าเริง “ดาบดี! กระบี่ดี!”
บนเรือมังกรอเวจี เกาก้วนเอียงหน้ามองไปทางประมุขไป๋อีกครั้ง ส่วนประมุขไป๋ก็แค่กวาดสายตาเย็นเยียบมองไปทางเหมียวอี้เป็นครั้งคราวเท่านั้น
สถานการณ์บนสนามรบถูกกำหนดแล้ว แต่ประมุขไป๋เหมือนไม่มีท่าทีว่าจะไปเจอเหมียวอี้ และเหมียวอี้ก็เหมือนไม่มีท่าทีว่าจะมาเจอประมุขไป๋เช่นกัน ต่างก็แค่ชำเลืองมองอีกฝ่ายเป็นบางครั้ง ระหว่างทั้งสองบอกไม่ถูกว่ามีอะไรบางอย่างกั้นอยู่
กลับเป็นหยางชิ่งที่เข้ามาใกล้ข้างกายเหมียวอี้ แล้วถ่ายทอดเสียง “ฝ่าบาท รักษาชีวิตซือหม่าเวิ่นเทียนไว้สักคนก็ได้ เขาควบคุมหน่วยตรวจการซ้ายมาหลายปี เกรงว่าจะรู้ความลับของขุนนางน้อยใหญ่ในตำหนักสวรรค์ไม่น้อย สายลับบางส่วนของหน่วยตรวจการซ้ายอาจจะยังไม่เปิดเผยตัวออกมาก็ได้ ยังมีประโยชน์ให้ใช้งานอยู่บ้าง! คนนี้ไม่ใช่นักรบหาญกล้าเบื้องล่าง อาจจะไม่สู้ตายจนถึงที่สุด ถ้ายังมีหนทางรอดชีวิตอยู่ อาจจะทำงานรับใช้ฝ่าบาทได้”
เหมียวอี้ชำเลืองซือหม่าเวิ่นเทียนที่กำลังอาบเลือดต่อสู้เหมือนสัตว์ในกับดัก แล้วขานรับอย่างสบายๆ
หยางชิ่งออกไปทันที ไปหาชิงเยว่เพื่อแอบเสนอแผนรับมือของตัวเอง
ผ่านไปไม่นาน นักรบหลายคนที่ชิงเยว่เลือกก็เข้าไปล้อมโจมตีข้างๆ ซือหม่าเวิ่นเทียน ขณะเดียวกันก็แอบถ่ายทอดเสียงบอก
ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ฆ่าคนจนตาแดง ตอนนี้สติสัมปชัญญะเริ่มกลับมาทีละนิด แววตาเป็นประกาย สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไร จู่ๆ ก็พลาดแล้วถูกคนเก็บเข้ากระเป่าสัตว์แล้ว หายไปจากสนามรบตรงนั้นแล้ว
“ชนะ! ชนะ! ชนะ…”
กระทั่งสมาชิกกองทัพองครักษ์คนสุดท้ายล้มอยู่ภายใต้ดาบที่รัวฟัน กำลังพลใต้บังคับบัญชาของเหมียวอี้ที่กำลังเข่นฆ่าก็หันมองรอบๆ ไม่มีข้าศึกอีกแล้ว เข้าใจว่าการต่อสู้ช่วงชิงใต้หล้าจบลงโดยสมบูรณ์แล้ว เสียงโห่ร้องแห่งความดีใจก็ดังขึ้นทันที เสียงโหร้องดังสะท้านดาราจักร
เห็นศพนับไม่ถ้วนลอยเกลื่อนดาราจักร น้ำเลือดลอยอยู่ทั่วทุกที่ บนเรือมังกรอเวจี หัวลี่ส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ “เป็นสิงห์ร้ายห่อเหิมทะเยอทะยานที่ช่วงชิงใต้หล้าจริงๆ นี่กำลังจะฆ่าล้างบางชัดๆ!”
โหยวอีส่ายหน้า “ดูจากแนวโน้มสถานการณ์นี้ การกวาดล้างกำลังที่เหลือคงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เกรงว่าคงต้องมีคนตายอีกมาก!”
กลุ่มคนที่อยู่บนหัวเรือได้แต่เงียบ ว่ากันว่าชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร คนที่ได้รับผลกระทบไปด้วยกับผู้แพ้คงจะนับไม่ถ้วน คนที่มีข้อมูลอยู่ในใจล้วนเข้าใจแจ่มแจ้ง กำลังหลักบนสนามรบแม้จะดูเหมือนเยอะมาก แต่สมาชิกที่กระจัดกระจายอยู่เบื้องหลังกำลังพลพวกนี้ต่างหากที่มีจำนวนไม่ชัดเจน
ฉากอันโหดร้ายของดาราจักรที่ย้อมด้วยเลือด ทำให้ไป๋เหนียงจื่อหลับตาประนมมือด้วยสีหน้าหดหู่ ปากพึมพำสวดมนต์ นางกำลังบาดเจ็บสาหัส ไร้กำลังจะหยุดยั้งอะไร ได้แต่มองดูทุกสิ่งเกิดขึ้นโดยที่ทำอะไรไม่ได้
ทัพใหญ่กำลังเก็บกวาดสนามรบ ในที่สุดความสนใจของเหมียวอี้ก็มาอยู่ทางฝั่งนี้แล้ว ทำให้คนบนเรือมังกรอเวจีรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล
เหมียวอี้มาทางนี้แล้ว เรียกได้ว่านำทัพใหญ่มาด้วย ข้างหลังมีกำลังพลนับไม่ถ้วน กดดันเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
สุดท้าย ขบวนของเหมียวอี้ก็เข้ามาใกล้แล้วหยุดอยู่ตรงหน้าตรงหน้าเรือมังกรอเวจี เหมียวอี้กับประมุขไป๋สบตากัน ในสายตาที่กำลังคุมเชิงกันมีองค์ประกอบบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกซ่อนอยู่
สายตาของหยางชิ่งกำลังสังเกตทั้งสอง
เหมียวอี้พลันเอ่ยถามว่า “ข้าควรจะเรียกเจ้าว่ายังไงดีล่ะ?” ในคำถามซ่อนแฝงความโมโหอยู่ลึกๆ คนที่ไม่รู้ก็ไม่มีทางเข้าใจความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในคำถามนี้
ประมุขไป๋เงียบไปครู่เดียว สุดท้ายก็ยิ้มบางๆ “ถ้าเจ้าไม่ถือสา ก็เรียกเหมือนเดิมแล้วกัน เรียกว่าเหล่าไป๋เถอะ!”
เหมียวอี้โบกมือชี้ไปยังดาราจักรที่เกลื่อนกลาดไปด้วยศพคน “นี่คือสิ่งที่เจ้าอยากเห็นใช่ไหม?”
เสียงฉินติงติงตังตังดังขึ้น นิ้วของประมุขไป๋กำลังดีดสายฉิน นี่คือทำนองที่เหมียวอี้คุ้นเคย เป็นทำนองที่เหมียวอี้ได้ยินตอนเข้าแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งในปีนั้น ประมุขไป๋กล่าวเสียงเบา “ถ้าต้องการจะไป เมื่อครู่ข้าก็คงไปแล้ว เจ้าเองก็ไม่น่าจะมีโอกาสหาข้าพบอีก ที่ยังอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน ก็เพราะจะรอให้เจ้ามาหา เรื่องบางเรื่องต้องชี้แจงให้เจ้ารู้ก่อนจะไปสักหน่อย ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เป็นสิ่งที่ข้าอยากเห็นหรือไม่ เจ้าก็ต้องถามตัวเอง ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ผลงานหรือความผิดพลาดก็ล้วนเป็นเจ้าที่แบกรับ หากเป็นวาสนาให้เจ้าเสพสุข หากเป็นบาปให้เจ้ารับไว้ ใต้หล้านี้คือใต้หล้าของเจ้า ข้าไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่ช่วยได้ข้าก็ช่วยเจ้าแล้ว สิ่งที่เจ้าช่วยข้าได้ เจ้าก็ช่วยข้าแล้วเช่นกัน เราต่างได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่ติดค้างอะไรกัน!”
กล่าวเช่นนี้ออกมาต่อหน้าทุกคน กลับทำให้ก้อนหินหนักในใจเหมียวอี้ตกลงพื้นแล้ว เขาเดินมาถึงทุกวันนี้ แบกรับบุญคุณความแค้นเยอะเกินไป แบกรับบาปกรรมและความผิดพลาดมากเกินไปแล้ว ถ้าจะให้เขายอมยกใต้ได้ให้แต่โดยดี จะให้เขามอบสิ่งที่ใช้เวลาหลายปีเพื่อเอาชีวิตแลกมาให้คนอื่น จะให้เขามอบความดีความชอบให้คนอื่น เขาทำไม่ได้จริงๆ กำลังพลเบื้องล่างก็คงไม่ยอมเช่นกัน
หลังจากทั้งสองเงียบไปพักหนึ่ง ประมุขไป๋ก็ถามอีกว่า “ยังมีอะไรอยากจะถามอีกไหม? สิ่งที่บอกเจ้าได้ก็บอกเจ้าไปแล้ว ถ้าไม่มีอะไรอยากถามแล้ว ดาราจักรกว้างใหญ่ ไร้ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุด ตอนนี้ข้าจะไปแล้ว เจ้าปกครองใต้หล้าของเจ้า ข้าก็เป็นอิสระเสรี จากนี้ไปยินดีที่จะไม่เจอกันอีก!”
“ข้ามีคำถามเยอะมาก” เหมียวอี้กล่าว
“เช่นนั้นก็ขึ้นเรือเถอะ! คาดว่ามีบางอย่างที่เจ้าคงไม่อยากให้คนรู้เยอะเกินไป” ประมุขไป๋เอามือข้างหนึ่งไขว้หลัง ย้ายนิ้วออกจากสายฉิน ยื่นมือส่งสัญญาณเชิญ เมื่อเห็นเหมียวอี้ค่อนข้างลังเล ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เป็นอะไรไป? กังวลว่าข้าจะทำร้ายเจ้าเหรอ? ในปีนั้น ข้าก็เคยกล่าวเช่นนี้กับอีกสองคนเหมือนกัน ข้าเคยบอกว่าข้าไม่สนใจใต้หล้านี้ แต่พวกเขาสองคนไม่เชื่อ ถึงได้มีบุญคุณความแค้นในหลายปีมานี้”
………
“บีบจนพวกเขาไม่มีทางรอดชีวิต พวกเขาจะต้องสู้ตายเพื่อเอาชีวิตรอดแน่นอน ทำให้ฝั่งพวกเราเสียหายไม่น้อยอยู่ดี ในเมื่อชิงและพุทธะสิ้นแล้ว ก็ไม่จำเป็นแล้ว ข้าจะโน้มน้าวฝ่าบาทสักหน่อย”
เฉิงไท่เจ๋อพูดทิ้งท้าย เตรียมจะไปพูดต่อหน้าเหมียวอี้ แต่ใครจะคิดว่าหยางชิ่งจะกล่าวว่า “ท่านอ๋องเฉิง อย่าเกลี้ยกล่อมจะดีกว่า”
“ท่านบุรุษหยางมีความเห็นอันสูงส่งอะไรหรือ?” เฉิงไท่เจ๋อหันกลับมาถาม
“ถ้าไม่เกลี้ยกล่อม ก็แค่ทำให้คนพวกนี้ตาย แต่ถ้าเกลี้ยกล่อม เกรงว่าคนที่ฝ่าบาทต้องการจะสังหารคงไม่ได้มีแค่นั้น!” หยางชิ่งกล่าวเสียงเรียบ สายตาชำเลืองเฉิงไท่เจ๋อ กล่าวเสริมอีกว่า “หลังจากศึกนี้แล้ว ฝ่าบาทก็จะเป็นประมุขของใต้หล้าอย่างแท้จริง!”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ เฉิงไท่เจ๋อก็ตกใจตื่นทันที แทบจะเหงื่อชุ่มเต็มหลัง เพิ่งรู้ว่าตัวเองเกือบชนเข้ากับคมดาบแล้ว
เถิงเฟย หวงฮ่าว ลั่วหม่าง และพวกกูอวี้เฉิงทำสีหน้าแตกต่างกันไป สีหน้าหนักใจเล็กน้อย ทุกคนล้วนเงียบงัน เข้าใจความหมายในคำพูดหยางชิ่งแล้ว
หลังจากจบศึกนี้ หนิวโหย่วเต๋อก็จะเก็บรวมอำนาจทางทหารทั้งใต้หล้า ไม่ยอมให้เกิดรูปแบบการคานอำนาจของสี่ทัพอีก ไม่มีทางปล่อยให้ใครหน้าไหว้หลังหลอก ท้าทายอำนาจบารมีของตำหนักสวรรค์อีก ศึกใหญ่กำลังจะจบแล้ว การสังหารคนพวกนี้ก็เพื่อสร้างบารมี ให้ทุกคนได้เป็นพยานว่าอำนาจในการสังหารอยู่ในมือใคร!
และคนที่ห้ามก็คือคนที่ท้าทายหนิวโหย่วเต๋อ จะมีผลอะไรตามมาเกรงว่าเดาได้ไม่ยาก เอาเป็นว่าผลที่ตามมาต้องไม่ดีแน่นอน ต้องทราบไว้ว่าบนสนามรบ ไม่จำเป็นต้องมีข้อห้ามอื่นใดทั้งนั้น แค่ ‘ฝ่าฝืนคำสั่งทางทหาร’ ประโยคเดียวก็เพียงพอที่จะประทานผลลัพธ์ที่พังพินาศย่อยยับแล้ว!
ท่านอ๋องและจอมพลที่ต้องมอบอำนาจทางทหารให้ ในใจรู้สึกหนักหน่วงเป็นพิเศษ นึกถึงคำสัญญาที่หนิวโหย่วเต๋อให้กับพวกเขาไว้ตอนที่เกลี้ยกล่อมให้ยอมสวามิภักดิ์ ตอนนี้พวกเขามอบอำนาจทางทหารให้แล้ว ทั้งยังถูกควบคุมอยู่ในทัพกลางของหนิวโหย่วเต๋ออีก ไม่แน่ว่าหนิวโหย่วเต๋อทำอย่างนี้เพราะอาจจะรอให้พวกเขาไปเกลี้ยกล่อมก็ได้ ในมือกำลังถือข้อหา ‘ฝ่าฝืนคำสั่งทางทหาร’ ไม่รู้ว่าควรจะไปใช้กับใครดี ถามหน่อยว่าหลังจากเฉิงไท่เจ๋อเข้าใจจุดนี้แล้ว จะไม่เหงื่อแตกด้วยความกลัวได้อย่างไร
คำสัญญาที่จะแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง หนิวโหย่วเต๋อจะเบี้ยวสัญญาหรือเปล่า พวกเขาก็ไม่รู้ แต่อย่างน้อยพวกเขาเองก็ไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกแล้ว
พอนึกถึงตรงนี้ ก็มีคนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงในปีนั้นที่ประมุขชิงให้สัญญากับพวกสี่อ๋องสวรรค์ไว้ บอกไว้แล้วว่าจะแบ่งใต้หล้าให้ แต่สุดท้ายประมุขชิงก็ฉีกสัญญาทิ้ง ฆ่าคนไปแล้วไม่น้อย เปลี่ยนให้คนกลุ่มนี้เป็นขุนนางของตัวเอง พอมานึกถึงตรงนี้ หนิวโหย่วเต๋อกับประมุขชิงมีอะไรแตกต่างกัน?
ที่โหดร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ ในปีนั้นสี่อ๋องสวรรค์ยังกุมอำนาจทางทหารเอาไว้ไม่ปล่อย แต่พวกเขากลับถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ส่งมอบอำนาจทางทหารให้ แล้วตัวเองก็อยู่ในการควบคุมด้วย เมื่อเทียบกับประมุขชิงแล้ว หนิวโหย่วเต๋อกลับกุมอำนาจทางทหารทั้งใต้หล้าเอาไว้ในมือมากกว่า สิ่งที่แตกต่างก็คือ ในปีนั้นสี่อ๋องสวรรค์กับพวกประมุขชิงร่วมมือกัน แต่พวกเขากลับสวามิภักดิ์ต่อหนิวโหย่วเต๋อ แม้แต่คนในครอบครัวก็เป็นตัวประกันอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อแล้ว
การเข่นฆ่าอันดุเดือดยังคงดำเนินต่อไป
บนสนามรบอีกแห่งหนึ่ง การเข่นฆ่ายังคงดำเนินต่อไปเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเหยียนซู่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องพ่ายแพ้ กำลังพลหนึ่งพันล้านเหลืออยู่ไม่ถึงร้อยล้าน กำลังต้านการล้อมโจมตีจากกำลังพลหกร้อยล้านที่นำโดยอู๋ฉวี่
เหยียนซู่ยังคงดันทุรังต้านไว้ รอให้กองหนุนตามมาอย่างยากลำบาก รู้เช่นกันว่ากองหนุนใกล้จะมาถึงแล้ว
“จอมพลเหยียน ฝ่าบาทได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่ ชิงและพุทธะถูกฝ่าบาทประหารแล้ว กำลังพลของพวกเขากำลังจะถูกกำจัด!” เฮยทั่นที่เก็บระฆังดารารายงานสถานการณ์บนสนามรบอีกฝั่งอย่างดีใจ
“ดี!” เหยียนซู่ฮึกเหิมมีชีวิตชีวา ทั้งฝั่งซ้ายฝั่งขวาล้วนรายงานข่าวดี ในใต้หล้านี้ดอกไม้จะโปรยใส่บ้านใครก็ไม่ต้องพูดมากแล้ว แม่ทัพที่ติดตามออกรบด้วยอย่างพวกเขาก็ย่อมได้ผลประโยชน์ด้วยอยู่แล้ว
อู๋ฉวี่ที่ตัวอยู่ทัพกลางกลับกุมระฆังดารา ในมือสั่นเทิ้ม น้ำตารื้นตรงหางตา พึมพำว่า “ฝ่าบาท!”
เขาได้รับรายงานจากกองทัพองครักษ์ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง กำลังพลไม่กี่ร้อยล้านที่เหลืออยู่ทางฝั่งนั้นกำลังถูกกองทัพหลายพันล้านล้อมโจมตี ประมุขชิงกับประมุขพุทธะตายแล้ว
สำหรับอู๋ฉวี่ วิธีการที่ดีที่สุดตอนนี้ก็คือ นำกำลังพลที่อยู่ข้างกายหนีไปให้ไกลัทันที หลบหลีกคมดาบของหนิวโหย่วเต๋อ แต่ปัญหาก็คือ หากใต้หล้านี้ถูกครอบครองโดยหนิวโหย่วเต๋อแล้ว แล้วพวกเขาจะไปไหนได้ล่ะ? กองทัพองครักษ์ถูกควบคุมอยู่ในมือวังสวรรค์มาตลอด ตัวเองไม่มีช่องทางอะไรชดเชยให้ในภายหลังทั้งนั้น ต่อไปคนมากมายขนาดนี้จะใช้ชีวิตอย่างไร? มิหนำซ้ำบนสนามรบก็ยังมีพี่น้องกองทัพองครักษ์อีกตั้งเยอะที่กำลังพัวพันอยู่กับการเข่นฆ่า ไม่มีทางปลีกตัวออกมาได้ในทันที จะให้เขาไปโดยทิ้งพี่น้องพวกนั้นไว้เหรอ กองทัพองครักษ์ไม่มีการทอดทิ้งพี่น้องแล้วหนีไป
“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้พี่น้องบนสนามรบถอย!” อู๋ฉวี่ออกคำสั่งเสียงต่ำ
“นายท่าน กำลังจะชนะอยู่แล้วขอรับ!” ผู้ช่วยผู้บัญชาการข้างๆ ถามอย่างตกใจ
ผู้บัญชาการที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็มองอู๋ฉวี่อย่างตกใจเช่นกัน เหมือนจะยอมรับคำสั่งนี้ได้ยาก คนตายไปมากขนาดนี้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่ากำลังจะชนะ ตอนนี้จะให้ถอยเหรอ?
เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าชิงและพุทธะตายแล้ว
อู๋ฉวี่ขบกรามแน่นพลางตะคอก “ปฏิบัติตามคำสั่ง ถอยทัพ!” ตอนนี้เขายังไม่ประกาศข่าวการตายของชิงและพุทธะ ไม่อย่างนั้นจะทำให้ขวัญกำลังใจทหารปั่นป่วน
แม่ทัพทางซ้ายและขวาจนใจ ทำได้เพียงถ่ายทอดคำสั่งทางทหารลงไป
กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่ล้อมโจมตีเริ่มถอยกลับ ขณะเดียวกันกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่แฝงตัวเข้าไปในร่วมรบอยู่ในขบวนรบกับถอนตัวออกมาเช่นกัน
“จอมพล! ทัพฝ่ายข้าศึกคิดจะหนี!” ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่อยู่ข้างกายเหยียนซู่เอ่ยเตือน
เหยียนซู่เผยสีหน้าดุร้าย “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป กองหนุนของพวกเรากำลังจะมาถึงแล้ว ยอมแลกทุกอย่างเพื่อถ่วงพวกเขาเอาไว้ อย่าให้พวกเขาหนีไปได้เด็ดขาด! ทุกคน นี่คือโอกาสสร้างผลงานครั้งสุดท้ายของพวกเจ้าแล้ว ถ้าพลาดครั้งนี้ไป เกรงว่าในภายหลังคงไม่มีโอกาสดีอย่างนี้แล้ว!”
“รับทราบ!” ฝั่งซ้ายและฝั่งขวาเอ่ยรับ กลุ่มแม่ทัพออกจากทัพกลาง นำกำลังพลของตัวเองฝ่าออกไป โจมตีสกัดไว้ ยอมแลกทุกอย่างเพื่อพัวพันไม่ให้กองทัพองครักษ์หนีไป
ในขณะนี้เอง อู๋ฉวี่หันขวับ เห็นเพียงตรงจุดลึกในดาราจักรมีคนนับหมื่นเหาะเข้ามา แต่ไม่ได้พุ่งตรงมาที่สนามรบ โอบเข้ามาทางฝั่งซ้ายและขวาของสนามรบ
อู๋ฉวี่หัวใจกระตุกวูบ รู้ว่ากองหนุนฝ่ายศัตรูมาแล้ว พอมองไปทางกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่ถูกพัวพันไว้บนสนามรบอีก ก็พบว่าปลีกตัวออกไปไม่ได้ง่ายๆ อีกแล้ว ร้อนใจเหมือนถูกไฟเผาจริงๆ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทิ้งพี่น้องร้อยสองร้อยล้านเอาไว้ แล้วพาหนีไปเพียงคนอื่นๆ
ที่จริงแล้วอู๋ฉวี่ขาดข่าวกรองสนับสนุน จะมาตัดสินใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว กองหนุนฝ่ายศัตรูจะมาถึงเมื่อไร เขาก็ไม่รู้ข้อมูลเลยสักนิด รอจนกองหนุนมาถึงตรงหน้าแล้ว ถ้าคิดจะถอนทัพอีกจะไปทันได้อย่างไร
คนนับหมื่นที่มาล้อมไว้รอบด้าน ในที่สุดก็ปล่อยกำลังพลออกมาสองพันล้าน “ฆ่า!” เสียงจะโกนฆ่าดังสนั่นหวั่นไหว พุ่งชนเข้ามาในสนามรบเหมือนกระแสน้ำไหลบ่า
กำลังพลนับร้อยล้านประชิดเข้ามาตรงหน้า ลูกธนูดาวตกยิงเข้ามาอย่างหนาแน่น บีบให้อู๋ฉวี่จำต้องนำทัพกลางถอยกลับเข้ามาเข่นฆ่าบนสนามรบ
กำลังพลของอู๋ฉวี่ที่ต้องการจะถอยหนีออกไปไม่ได้สมปรารถนา กลับถูกกำลังพลที่นำโดยหยางเจาชิงเร่งตามมาล้อมไว้แล้ว
หยางเจาชิงถือกระบี่วิเศษเล่มหนึ่งไว้ในมือ ฟันซ้ายฟันขวาตลอดทาง นำกลุ่มยอดฝีมือที่คุ้มกันสังหารมาตลอดทาง จนมาถึงตรงหน้าทัพกลางจองเหยียนซู่ ในที่สุดก็ได้เจอเหยียนซู่แล้ว
“จอมพลลำบากแล้ว!” พอเจอหน้ากัน หยางเจาชิงถือกระบี่กุมหมัดคารวะทันที
มีกองหนุนมาเสริมมากขนาดนี้ เหยียนซู่เบิกบานใจมาก เรียกได้ว่าเหมือนมีดอกไม้เบ่งบานในใจ กุมหมัดคารวะกล่าวว่า “รบกวนให้ผู้การใหญ่นำทัพใหญ่มาช่วยด้วยตัวเองแล้ว!”
“โชคดีที่ตามมาทัน ถ้าทำให้งานของจอมพลเสียหาย เกรงว่าหยางคงจะหนีโทษตายหมื่นครั้งไม่พ้น” หยางเจาชิงกล่าว
“ผู้การใหญ่มาได้ทันเวลาพอดี!” เหยียนซู่ชี้ไปยังกองทัพฝ่ายศัตรูที่โดนล้อม “พลิกสถานการณ์ไม่ได้แล้ว อู๋ฉวี่หมดหวังที่จะพลิกกระดานแล้ว!”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” หยางเจาชิงพยักหน้า ชี้ไปยังกำลังพลที่ล้อมโจมตีอยู่รอบๆ “ข้านำกองหนุนสองพันล้านมาแล้ว ตอนนี้ส่งต่อให้จอมพลบัญชาการอย่างเป็นทางการ”
เหยียนซู่เองก็ไม่เกรงใจ ในเวลานี้การบัญชาการรวมต่างหากที่จะสอดคล้องกันดีที่สุด เขารับอำนาจบัญชาการมาทันที อาศัยกำลังทหารที่ได้เปรียบกว่ามาล้อมกำลังพลของอู๋ฉวี่ไว้ เตรียมจะกำจัดในรวดเดียว
อู๋ฉวี่กำลังรบไปด้วยระดมพลไปด้วย นำกำลังพลดันทุรังฝ่าวงล้อมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าแรงต้านมากเกินไป ทัพใหญ่ที่บุกโจมตีอยู่บนทางก็ถูกโจมตีสกัดจนหายไปครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ง่ายเลยกว่าจะฝ่าออกไปได้ พอโผล่หัวออกไปก็โดนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ด้านนอกยิงโจมตีอย่างบ้าระห่ำ ถูกบีบให้กลับเข้ามาอีก
เมื่อเป็นอย่างนี้ซ้ำๆ เห็นกำลังพลหลายร้อยล้านของกองทัพองครักษ์เหมือนสัตว์ที่อยู่ในกับดัก ไม่มีหวังที่จะรอดออกไปแล้ว อู๋ฉวี่ก็หันมองรอบๆ เห็นบรรดาพี่น้องลดจำนวนลงเรื่อยๆ ฝั่งนี้ไม่มีกองหนุนตามมาข้างหลังอีก ในขณะที่ฝ่ายศัตรูจะมีกำลังพลมาถึงมากกว่านี้ ในใจเขาเรียกได้ว่าศร้าโศกอ้างว้าง ตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังอย่างลึกซึ้ง
“ติดต่อฝ่ายตรงข้าม พวกเรายอมแพ้!”
สุดท้าย อู๋ฉวี่ก็ตัดสินใจอย่างนี้ออกมาด้วยความยากลำบาก
หน่วยองครักษ์ทั้งซ้ายและขวาตกใจมาก ผู้บัญชาการหน่วยทัพองครักษ์ขวาผู้สง่าผ่าเผย ไม่น่าเชื่อว่าจะออกคำสั่งให้ยอมแพ้ นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนไม่มีทางจิตนาการได้ ขนาดผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายยังสู้ตายไม่ยอมแพ้แม้จะเหลือกำลังพลอยู้น้อยนิด ฝั่งนี้ยังเหลือกำลังพลอีกหลายร้อยล้าน แต่กลับยอมแพ้แล้ว จะให้ทุกคนทนความรู้สึกได้อย่างไร?
“นายท่าน ฝ่าบาทไม่มีทางยอมรับคำสั่งนี้ แล้วทุกคนก็คงไม่เชื่อฟังด้วย!” แม่ทัพคนหนึ่งกล่าวเสียงต่ำ
คนที่ควรจะทรยศก็ทรยศไปหมดแล้ว คนที่ควรหนีก็หนีไปหมดแล้ว คนที่ยังอยู่สู้ตายจนถึงตอนนี้ แสดงว่าเป็นกำลังพลผู้จงรักภักดีของกองทัพองครักษ์อย่างแท้จริง
อู๋ฉวี่หลับตาลงช้าๆ “ฝ่าบาทกับประมุขพุทธะสิ้นแล้ว เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ไม่ได้แล้ว เหตุใดต้องพาพี่น้องมากมายเอาชีวิตไปทิ้ง!”
“อะไรนะ?” หน่วยองครักษ์ทั้งซ้ายและขวาตกใจจนหน้าถอดสี
พวกเขาไม่สนใจกฏกองทัพอะไรแล้ว พากันหยิบระฆังดาราขึ้นมายืนยันสถานการณ์
เมื่อได้รับข่าวร้ายที่สุดบนสนามรบของอีกฝั่ง หลังจากยืนยันแล้วว่าความจริงเป็นเช่นนี้ ก็มีคนเงยหน้าหลั่งน้ำตา บางคนก็เอามือปิดหน้าร้องไห้อย่างปวดใจ บางคนหดหู่ใจ เพราะปวดใจกับการตายของคนที่ตัวเองจงรักภักดีด้วย ที่มากกว่านั้นรับไม่ได้เพราะศรัทธาที่ตัวเองมีมาหลายปีพังทลาย
ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่กองทัพองครักษ์ กองทัพองครักษ์ก็ไม่มีหลักการของการยอมแพ้ แต่ตอนนี้กลับจะให้พวกเขารวมตัวกันยอมแพ้ จะให้ทนความรู้สึกได้อย่างไร!
“จอมพล อู๋ฉวี่รู้ว่าเปลี่ยนสถานการณ์อะไรไม่ได้แล้ว สั่งให้คนส่งข่าวไป บอกว่ายินดียอมแพ้!”
ผู้ช่วยผู้บัญชาการคนหนึ่งกุมหมัดคารวะรายงานเหยียนซู่
เหยียนซู่ได้ยินข่าวแล้วดีใจมาก ถ้าบีบให้รับกองทัพองครักษ์มากขนาดนี้ยอมแพ้ได้ ก็ถือเป็นเรื่องดีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คะแนนการรบมากขนาดนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นผลงานที่ใหญ่ขนาดไหน ในภายหลังหากเอ่ยถึงก็จะมีหน้ามีตามาก จึงสั่งทันทีว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ขอเพียงอีกฝ่ายยอมวางมือ กำลังพลของข้าห้ามบุกโจมตีอีก เตรียมตัวรับทหารที่ยอมแพ้!”
“ช้าก่อน!” หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ ห้ามไว้
เหยียนซู่หันกลับมาถาม “ผู้การใหญ่มีอะไรจะชี้แนะ?”
“ฝ่าบาทมีคำสั่ง ไม่รับทหารที่ยอมแพ้ ฆ่าไม่ละเว้น อย่าเก็บไว้แม้แต่คนเดียว!” หยางเจาชิงกล่าวเนิบๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อะไรนะ?” เหยียนซู่ตกใจมาก ถามว่า “เพราะอะไรล่ะ?”
“ไม่ใช่เพราะอะไร จอมพลทำตามคำสั่งก็พอ!” หยางเจาชิงส่ายหน้า
“ในเมื่อผู้การใหญ่มีบัญชานี้ ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก?” เหยียนซู่กล่าวเสียงต่ำ เหมือนทำได้รับได้ยาก “นี่คือกำลังพลกองทัพองครักษ์หลายร้อยล้าน เป็นทหารที่เก่งกาจทั้งนั้น ยังไม่ต้องพูดถึงว่าฆ่าหมดแล้วน่าเสียดายขนาดไหน ถ้าบีบให้พวกเขาสู้ตาย ความเสียหายของฝ่ายพวกเราก็ใกล้เคียงกัน ในเมื่ออีกฝ่ายยอมแพ้แล้ว เหตุใดจึงไม่ยอมรับ? ข้าควรจะเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาทคืนคำสั่ง!” พูดจบก็หยิบระฆังดาราออกมา
หยางเจาชิงกลับยื่นมือไปคว้าข้อมือเขา แล้วส่ายหน้าสื่อความหมายล้ำลึก เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ก่อนหน้านี้จอมพลเหยียนเผชิญความกดดันใหญ่หลวง ตัวตกอยู่ในอันตราย แต่กลับยังคำนึงถึงความปลอดภัยของฝ่าบาท ส่งเทพสตรีผู้คุ้มกันทั้งสองให้ไปช่วยฝ่าบาท ฝ่าบาทได้ข่าวแล้วชื่นชมมาก ชมว่าจอมพลเป็นทหารกล้าที่จงรักภักดีอย่างแท้จริง! ดังนั้นเรื่องนี้ ใครจะเกลี้ยกล่อมก็ได้ แต่ฝ่าบาทกลับไม่หวังจะเห็นจอมพลเหยียนฝ่าฝืนคำสั่งแล้วเกลี้ยกล่อม ยิ่งไม่หวังจะเห็นจอมพลเหยียนเป็นแกนนำเรื่องนี้ จอมพลอย่าทำให้ฝ่าบาทลำบากใจเลย!”
…………………………
เมื่อเห็นเหมียวอี้ออกจากทัพใหญ่ ประมุขชิงก็ตะโกนอย่างโมโหว่า “หนิวจัญไรอย่าหนีนะ!”
เขานึกว่าเหมียวอี้ไม่กล้าสู้กับเขาซึ่งๆ หน้า เสียงตะโกนนี้มีพลังมาก ทำให้คนไม่น้อยมองมา
หนีเหรอ? เหมียวอี้ที่ออกจากทัพใหญ่ได้ไม่ไกลนักพลันหยุด หันตัวกลับมาช้าๆ ยอดฝีมือที่ติดตามคุ้มกันทยอยกันมาถึงข้างหลังเขาแล้ว
ภายใต้การบัญชาการของชิงเยว่ กำลังพลซ้ายขวาฝั่งละห้าสิบล้าน รวมเป็นทัพใหญ่หนึ่งร้อยล้านย้อนออกมา อ้อมหลังพวกเหมียวอี้ไปตั้งกระบวนทัพ ตั้งกระบวนทัพเป็นรูปใบพัดอย่างกระชับแน่นและลำดับความสำคัญได้ชัดเจน
เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบหยุดยืนอยู่กลางอากาศ เขามีสีหน้าเรียบเฉย โบกกระบี่เก้าเตาออกมา ชี้ไปยังชิงและพุทธะที่บุกสังหารเข้ามาในขบวนรบตลอดทาง เขาหมุนคมกระบี่ แล้วก็เก็บกระบี่วิเศษเอาไว้อีก ก่อนจะเอาสองมือไขว้หลังเงียบๆ
กำลังรอ เขาก็แค่ยืนรออยู่ตรงนี้ ยืนรอมือเปล่า รอให้ชิงและพุทธะสังหารเข้ามา ในสีหน้าท่าทางสุขุมเยือกเย็นเผยความอวดดีเล็กน้อย
เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนี้ ชิงและพุทธะที่โจมตีสังหารมาถึงริมขอบขบวนรบเหมือนจะตระหนักอะไรได้ รีบหยุดกระทันหัน แกว่งไกวดาบและกระบี่ต้านกำลังพลที่ล้อมโจมตีรอบๆ ซัดกำลังพลที่ดันทุรังโจมตีไม่หยุดจนคว่ำไปตามๆ กัน ไม่กล้าออกจากขบวนรบ
ทว่ากำลังพลที่ล้อมโจมตีมีมากเกินไป โถมเข้ามาใส่ทั้งสองราวกับกระแสน้ำ ทั้งยังมีเชือกมัดเซียนยั้วเยี้ยโยนเข้ามา
ทั้งสองเหนื่อยล้าที่จะรับมือ ดาบและกระบี่กวัดแกว่งเหมือนเงาผี ฟันเชือกมัดเซียนที่โยนเข้ามาเป็นกองจนระเบิดขาด ฝุ่นโลหะตลบอบอวล
เหมียวอี้ยื่นมือปัดเบาๆ ชิงและพุทธะลดความกดดันลงทันที
พอทั้งสองร่ายอิทธิฤทธิ์ปัดเป่าฝุ่นโลหะที่ตลบอบอวล ก็พบว่ากำลังพลที่โจมตีอยู่รอบๆ กำลังจ้องมองอย่างดุร้าย ถอยออกไปแล้ว หลีกทางเป็นช่องโหว่ให้ต่อสู้
ไม่มีใครขัดขวางพวกเขา ปล่อยให้เขาไปทำศึกตัดสินกับเหมียวอี้ ส่วนเหมียวอี้ก็กำลังรอให้พวกเขามาทำศึกตัดสินกับเขาเช่นกัน
ชิงและพุทธะที่หันมองไปรอบๆ กลับไม่กล้าก้าวข้ามไป เมื่อครู่นี้ยังสังหารอย่างโหดเหี้ยมอยู่เลย ตอนนี้ได้แต่ยืนโดดเดี่ยวอยู่อย่างนั้น
ทั้งสองเข้าใจแล้ว หนิวโหย่วเต๋อให้ทางเลือกพวกเขาห้าทาง
ทางที่หนึ่ง : ละทิ้งฝั่งนี้ ต่อไปค่อยสังหารเข้ามาในทัพฝ่ายศัตรู สังหารไปทางชิงเยว่ที่อยู่ในทัพกลางของฝ่ายศัตรู กำจัดผู้บัญชาการฝ่ายศัตรูทิ้งได้ผลกว่าทุ่มเทสังหารทหารพวกนี้ อย่างน้อยก็สร้างความชุลมุนได้บ้าง เพียงแต่ต่อให้ฆ่าชิงเยว่ทิ้งแล้วยังไงล่ะ? นักรบที่หนิวโหย่วเต๋อพามาด้วยมีมากมายดุจเมฆ ลองสุ่มเลือกมาสักคนก็สามารถบัญชาการทัพได้ สองทัพเข่นฆ่ากันถึงขั้นนี้แล้ว ขอเพียงผู้บัญชาการที่มาแทนไม่ใช่คนโง่ สถานการณ์รบโดยรวมก็ไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันอะไร ที่จริงถ้าอยากจะฆ่าชิงเยว่ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะสองเทพสตรีผู้พิทักษ์ของเผ่าหงส์คุ้มกันอยู่ข้างกายชิงเยว่
ทางเลือกที่สอง : ทั้งสองไปที่เรือมังกรอเวจี ทำศึกตัดสินกับตัวการใหญ่บนเรือมังกรอเวจี เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต๋อจงใจปล่อยให้พวกเขาทำอย่างนี้ ทว่าทั้งสองก็รู้ว่าถ้าใช้กำลังปะทะกันตรงๆ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประมุขไป๋ ไม่อย่างนั้นปีนั้นคงไม่สิ้นเปลืองความคิดวางกับดักหรอก คงจัดการโดยตรงไปแล้ว
ทางเลือกที่สาม : สังหารกลับไป กลับไปที่ค่ายทัพของตัวเอง ร่วมเป็นร่วมตายกับกำลังพลของตัวเอง แต่แบบนั้นจะเปลี่ยนแปลงจุดจบอะไรไม่ได้ มาอย่างห้าวหาญ แต่หดหัวกลับไปอย่างเศร้าหมอง จะทนความรู้สึกได้อย่างไร?
ทางเลือกที่สี่ : ทั้งสองทิ้งกำลังพลของตัวเองและหลบหนีไปต่อหน้าฝูงชน ราชันสวรรค์กับประมุขพุทธะผู้สง่าผ่าเผยทิ้งพี่น้องของตัวเองหนีไป ตั้งแต่นี้ไปก็จะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของคนทั้งใต้หล้า และทำให้คนที่เคยทุ่มเทชีวิตรับใช้พวกเขารู้สึกละอาย มีตาแต่ไร้แวว ตั้งแต่นี้ไปต้องปิดบังชื่อแซ่ ไม่กล้าออกมาเจอคนอีกเลยทั้งชีวิต
ทางเลือกที่ห้า : สังหารเข้าไป ทำศึกตัดสินกับหนิวโหย่วเต๋อ!
เกาก้วนที่อยู่บนตึกเรือเห็นฉากนี้กับตาตัวเอง บนใบหน้าเผยความรู้สึกปลงอย่างที่เห็นไม่ได้บ่อยๆ : “สิ้นอนาคตแล้ว!”
เขาอยู่ข้างกายประมุขชิงมาหลายปี คนบนเรือมังกรอเวจีไม่มีใครสะเทือนใจกับภาพเหตุการณ์ตรงนี้ยิ่งกว่าเขาแล้ว
ประมุขไป๋เงียบงัน จ้องฉากตรงหน้าอย่างเงียบๆ
เฉิงไท่เจ๋อที่ฟังคำสั่งอยู่ในทัพกลางเห็นฉากนี้แล้วกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ฝ่าบาทมีความเด็ดเดี่ยวที่จะปกครองใต้หล้าจริงๆ เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในใต้หล้าไม่ได้อีกแล้ว!”
เถิงเฟย ลั่วหม่าง หวงฮ่าวและกูอวี้เฉิงพยักหน้า มองชิงและพุทธะที่ลอยโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางทัพใหญ่ที่ดุร้ายแล้วก็รู้สึกสะท้อนใจเช่นกัน
หยางชิ่งรู้ว่าเฉิงไท่เจ๋อแค่พูดให้น่าฟังก็เท่านั้นเอง ความเด็ดเดี่ยวที่จะปกครองใต้หล้า เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ต้องการจะสร้างความอัปยศให้ชิงและพุทธะต่อหน้าคนในใต้หล้า ไม่อยากให้สุดท้ายแล้วทั้งสองทิ้งภัยแฝงเร้นเอาไว้ อยากจะใช้วิธีการนี้บีบให้ทั้งสองตาย
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หยางชิ่งเองก็ต้องยอมรับ ว่าเหมียวอี้ควบคุมสถานการณ์บนสนามรบได้เหนือชั้น เมื่อมีทัพใหญ่อยู่ในมือ กองบัญชาการได้อย่างอิสระ เป็นวิธีการที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างแท้จริง เมื่อมาถึงสนามรบก็ทำได้อย่างสบายมือ บีบให้ชิงและพุทธะอยู่ในสภาพจนตรอกได้โดยตรง แสดงว่าเหมียวอี้ขึ้นมาอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับชิงและพุทธะแล้ว
หยางชิ่งเองก็จำเป็นต้องทบทวนตัวเอง ก่อนหน้านี้ถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเอง ก็คงไม่มีทางส่งกำลังพลหนึ่งพันล้านไปดักทัพใหญ่พันล้านของชิงและพุทธะแน่นอน ถ้าดำเนินการตามความคิดของเขา สถานการณ์ก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่งแน่นอน สถานการณ์บางอย่างเดิมทีก็เหมือนดึงขนเส้นเดียวสะเทือนทั้งตัวอยู่แล้ว ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงนิดเดียว ก็ยังไม่รู้เลยว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ชิงและพุทธะที่อยู่ด้านนอก ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าอะไรที่เรียกว่าเปลี่ยนแปลงสถานการณ์อะไรไม่ได้อีก พอได้สติจากความเลอะเลือน ในใจก็เกิดความเศร้าวังเวง สายตานับไม่ถ้วนที่กำลังมองมาราวกับกำลังหัวเราะเยาะพวกเขา
หัวเราะเยาะอะไรน่ะเหรอ? ก็หัวเราะเยาะที่พวกเขากำลังเสแสร้งแกล้งทำ ต้องการเอาชีวิตหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่เหรอ? ไปสิ ทำไมไม่กล้าซะแล้วล่ะ?
โดดเดี่ยวอยู่ตรงนี้ จะบุกก็ไม่บุก จะถอยก็ไม่ถอย ราชันสวรรค์กับประมุขพุทธะผู้สง่าภูมิฐาน ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกขู่ให้ตกใจแล้ว ความองอาจห้าวหาญก่อนหน้านี้กลายเป็นเพียงการวางมาดแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร อันดับแรกเลยคือพวกเขาเองก็ยังรู้สึกว่าอัปยศมาก
ทัพใหญ่ของชิงและพุทธะก็อยากจะเข้ามาช่วย แต่ช่วยไม่ได้ที่ถูกล้อมไว้ ต่อให้ยอดฝีมือบางส่วนจะสังหารฝ่ามาช่วยได้ แต่คนน้อยก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี
“หนิวโหย่วเต๋อ กล้าสู้ตายกับข้าสักตั้งหรือเปล่า!” ประมุขชิงพลันโบกกระบี่ชี้ไปที่เหมียวอี้
“เจ้าหนูขี้ขลาด เจ้าคู่ควรด้วยหรอ?” เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบ
ประมุขชิงโมโหจนแทบกระอักเลือด ตะคอกกลับว่า “พูดจาอวดดีนะ กล้าตัวต่อตัวกับข้าหรือเปล่า?”
“ไม่ต้องมัวเสแสร้งแกล้งทำแล้ว ตรงหน้ามีสองทางเลือกให้พวกเจ้า ทิ้งกำลังพลแล้วหนีไป อาจจะยังพอถูไถใช้ชีวิตไปได้ วิงวอนยอมจำนนต่อเจิ้น เจิ้นจะไว้ชีวิตพวกเจ้า ทรัพย์สินเกียรติยศก็ไม่ตระหนี่ที่จะประทานให้พวกเจ้า” เหมียวอี้กล่าว
คำพูดนี้ทำให้คนไม่น้อยปวดประสาท ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชิงและพุทธะเลย โมโหจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่างแล้ว
ทั้งสองสบตากัน ในดวงตาเริ่มฉายแววทั้งเศร้ทั้งฮึกเหิม มองไปที่เหมียวอี้พร้อมกัน
ไม่มีคำพูดปลุกใจอะไรทั้งนั้น ไม่มีเสียงคำรามอันเดือดดาลอะไรด้วย ทั้งสองถือดาบและกระบี่พุ่งเข้าไปหาเหมียวอี้ทันที
และข้างหลังเหมียวอี้
ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สิยล้านคันง้างสาย
ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านคันง้างสาย
ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สบล้านคันง้างสาย
ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งร้อยล้านคันง้างสาย
ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์นับไม่ถ้วนมีลำแสงหมุนวน ลูกธนูแหลมคมนับไม่ถ้วนเล็งไปยังสองคนที่พุ่งเข้ามา เสียงระเบิดดังสะเทือนเลือนลั่น กลายเป็นลำแสงนับไม่ถ้วนยิงรวมไปที่ทิศทางเดียว
รอบกายประมุขพุทธะปรากฏเงารอยแยกมิติ รอบกายประมุขชิงมีไอสีเขียวลอยวนด้วยความเร็วสูง ร่างกายถลันหลบ ต้องการจะหลบฝูงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่หนาแน่น ขณะเดียวกันก็โยนของวิเศษออกมาต้านเป็นกอง
ทว่าลำแสงที่ยิงเข้ามามีมากเกินไป
“ฆ่า!” สุดท้ายทั้งสองก็คำรามเสียงเดือดดาลปนคับแค้น
เสียงฆ่านี้ถูกกลบอย่างรวดเร็ว เงาร่างของทั้งสองถูกลำแสงนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้ามากลบมิด
ท่ามกลางเสียงระเบิดตูมตาม ลูกธนูดาวตกนับไม่ถ้วนลอยกลับมา
เงาของชิงและพุทธะที่อยู่ในมิติสั่นไหว เกราะรบบนตัวระเบิดกลายเป็นผุยผง ของวิเศษกองใหญ่ที่ถูกโยนออกมาแหลกกลายเป็นผงทั้งหมด
ดาบและกระบี่ที่ปกป้องส่วนศีรษะของทั้งสองห้อยลงอย่างไรเรี่ยวแรง
ลูกธนูลายดอกที่เสียบอยู่บนตัวประมุขพุทธะถูกเขาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรึงเอาไว้,ไว้ ไม่อย่างนั้นก็จะบาดเจ็บเป็นครั้งที่สอง เขายังนับว่าดีหน่อย บนตัวประมุขชิงมีลูกธนูเสียบอยู่สิบกว่าดอก รัดเกล้าบนศีรษะก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว ผมที่ยุ่งเหยิงสั้นยาวไม่เท่ากัน
ทั้งสองเสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย เลือดออกปากออกจมูก สะบักสะบอมเกินทน
ทั้งสองอาศัยเคล็ดวิชาและและวรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง แต่สุดท้ายก็หลบไม่พ้นการโจมตีหมู่จากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมหาศาล
การโจมตีจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มหาศาลขนาดนี้ อานุภาพการโจมตีที่กรอกเข้ามาต่อเนื่องเหมือนลูกคลื่นเหนือกว่าขีดจำกัดการต้านทานของทั้งสอง ระเบิดทำลายการต้านทานของทั้งสองแล้ว
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ถ้าใช้ขบวนโจมตีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง เกรงว่าแม้แต่พระปีศาจหนานโปก็ยังต้องชั่งน้ำหนักและหลบไป ไม่กล้าดันทุรังต้านทานเลย นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมก่อนหน้านี้พระปีศาจหนานโปให้ฝั่งนี้ยอมสวามิภักดิ์ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งชิงพุทธะหรือเหมียวอี้ก็ไม่มีเหตุผลให้สนใจ ถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าสองฝ่ายนี้จะร่วมมือกันรับมือกับพระปีศาจหนานโปก่อน บางทีพระปีศาจหนานโปอาจจะมีวิธีการอื่นแก้ไขสถานการณ์ แต่ถ้าไม่ถึงคราวจนตรอก ไม่ว่าฝั่งไหนก็ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อพระปีศาจหนานโปง่ายๆ
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นทั้งสองยังดันทุรังประคับประคองไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเหมียวอี้หรือคนอื่น ต่างก็แอบตกใจไม่หยุด ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่โดนโจมตีแบบนี้ เกรงว่าคงตายจนไม่เห็นแม้แต่เถ้ากระดูกด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าสองคนนี้จะยังมีชีวิตอยู่
แต่ก็สามารถมองออกได้อย่างชัดเจน ว่าทั้งสองสูญเสียความสามารถที่จะสู้ต่อแล้ว กำลังอันเข้มแข็งเสื่อมทรุดจนเป็นม้าตีนปลาย ได้แต่ดันทุรังทนไว้ สายตานั้นค่อนข้างพร่าเลือน ราวกับถูกทำให้สะเทือนจนเลอะเลือนไป เลือดซึมออกจากปากและจมูกไม่หยุด
อาศัยวรยุทธ์ของสองคนนี้ หากคิดจะหนี การโจมตีจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ส่วนใหญ่ก็อาจจะตามพวกเขาไม่ทัน
แต่พวกเขาไม่ได้หนี ท่ามกลางสถานการณ์ที่สิ้นหวังและเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ พวกเขาเลือกที่จะปะทะซึ่งๆ หน้าเพื่อช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตเส้นสุดท้าย
ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งร้อยล้านง้างอีกครั้ง ต้องการจะโจมตีชุดที่สอง
เหมียวอี้ยกมือห้าม ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่มีลำแสงลอยวนเวียนอยู่ข้างหลังทยอยวางลง
เหมียวอี้เอียงหน้าเบาๆ สบตากับประมุขไป๋ที่อยู่บนเรือมังกรอเวจีแล้ว
เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง ก็ยื่นมือรับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คันหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ง้างลูกธนูไว้บนสาย ไม่ได้ใช้อานุภาพของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ใช้เพียงวิธีการธรรมดายิงออกไป
ลูกธนูดอกหนึ่งแวบผ่าน ทะลุศีรษะของประมุขชิงแล้ว
จากนั้นก็ง้างลูกธนูอีกดอก ยิงออกไป ทะลุศีรษะประมุขพุทธะอีก
ทั้งสองไร้กำลังที่จะต้านทานแล้ว ร่างกายที่มีเลือดสาดออกมากำลังพลิกหมุนอยู่กลางอากาศ ทั้งสองล้วนเบิกตาโพลง ตายตาไม่หลับ
เกาก้วนเอียงหน้ามองไปทางประมุขไป๋ ส่วนประมุขไป๋ก็มองฉากนี้อย่างสงบนิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
“ชนะแล้ว! ชนะแล้ว! ชนะแล้ว…”
ทัพใหญ่ที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้โบกอาวุธ เปล่งเสียงตื่นเต้นดีใจราวกับภูเขาร้องทะเลคำราม ชั่วพริบตาเดียวก็บ้าคลั่งเหมือนกระแสคลื่น
ถึงแม้ศึกใหญ่ยังไม่จบ แต่สำหรับทัพใหญ่ของเหมียวอี้ ก็นับว่าชนะแล้ว
พอทัพใหญ่ของชิงและพุทธะที่ถูกล้อมเห็นฉากนี้ ก็มีคนไม่น้อยเผยสีหน้าเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง รู้อย่างลึกซึ้งว่าเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ไม่ได้แล้ว ขวัญกำลังใจทหารแทบจะพังทลายในชั่วพริบตาเดียว ไม่รู้แล้วว่าจะสู้ไปเพื่ออะไร
เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนั้น ชิงเยว่ก็ส่งข่าวมาถาม ว่าต้องการให้ยอมสวามิภักดิ์หรือไม่?
เหมียวอี้ชำเลืองฝั่งประมุขไป๋อีกครั้ง แล้วตอบเสียงเรียบว่า : ฆ่า! อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!
“อะไรนะ? ฆ่าหมดเลยเหรอ?” พวกเฉิงไท่เจ่อได้ยินแล้วตกใจมาก ศัตรูขาดปณิธานที่จะต่อต้านแล้ว ถ้าสุ่มรับไว้แบบไม่คิดมากก็ได้กำลังพลหลายร้อยล้านเลย!
“เป็นประสงค์ของฝ่าบาท…อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!” ชิงเยว่ขมวดคิ้วพลางพยักหน้า

นั่นคือความรู้สึกอบอุ่นอย่างที่อธิบายไม่ถูก

หลังจากสัมผัสกับความรู้สึกนี้แล้ว แม้จะรู้สึกได้ว่าศีลแปดจากไป แต่เหมียวอี้กลับเริ่มปล่อยวางความอาลัยอาวรณ์ในใจลงได้

มีคนจำนวนไม่น้อยยื่นมือไปรับแสงหิ่งห้อยอันอบอุ่นที่เหมือนหิมะโปรยปราย แม้แต่ชิงและพุทธะก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ไม่ว่าใครก็รู้สึกได้ถึงความสงบสุขไร้พิษภัยที่อยู่ในแสงหิ่งห้อยนี้ ไม่กังวลว่าข้างในจะมีกับดักอะไร ยืนฝ่ามือออกไปรับอย่างวางใจ

ชั่ววินาทีที่สัมผัสแสงหิ่งห้อย ตระหนักรู้ที่จะปล่อยวาง มีรสชาติต่างๆ พรั่งพรูขึ้นมาในจิตใจ

เมื่อแสงอันอบอุ่นจมเข้าในฝ่ามือ ฝ่ามือของอวี้หลัวช่าก็งอนิ้วกำแน่นอย่างช้าๆ แต่กลับคว้าจำอะไรไม่ได้ ได้แต่ทำแววตาเลื่อนลอย

หลังจากสองเทพสตรีผู้พิทักษ์ยืนมือไปรับแสงอันอบอุ่นแล้ว ทั้งคู่ก็หลับตาลงเงียบๆ แต่ใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้ม

ขณะที่จ้องแสงอันอบอุ่นที่จมลงในฝ่ามือ ประมุขไป๋ทำท่าครุ่นคิด เงียบงันไม่พูดอะไร

แสงอันอบอุ่นจมลงบนบ่าเทพพยากรณ์ หลังจากหลับตาลงครู่หนึ่ง เทพพยากรณ์ก็ลืมตาช้าๆ แล้วถอนหายใจ  พยากรณ์ผิดแล้ว ใครจะคาดคิด นึกไม่ถึงว่าคนมีวาสนายิ่งใหญ่จะเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ คนที่ดูเป็นไปไม่ได้มากทที่สุด ลิขิตสวรรค์ยากคาดเดาจริงๆ 

ร่วงโรย โปรยปราย แสงอันอบอุ่นที่กระจายอยู่ในดาราจักรหายไปท่ามกลางความลึกลับอย่างเงียบเชียบแผ่วเบา มองไม่เห็นอีกแล้ว

พิภพเล็ก ริมทะเลสาบที่มีไอหมอก ตึกชิดภูเขาหลังหนึ่ง จางซินหูกำลังนั่งสมาธิด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เขาลืมตาขึ้นช้าๆ แววตากระจ่างสดใส เงยหน้ามองบนท้องฟ้า

แสงอันอบอุ่นจุดหนึ่งลอยลงมาจากฟ้า ราวกับเป็นขนสีขาวบริสุทธิ์ที่ร่วงจากตัวห่าน ลอยเข้ามาตกลงผิวทะเลสาบอย่างเงียบเชียบ ผิวทะเลสาบใสสะอาดเกิดระลอกน้ำกระเพื่อม เงาคนคนหนึ่งตกลงจนละอองน้ำกระเด็น แล้วก็ลอยขึ้นมากลางทะเลสาบอีก จีรวรสีขาวพระจันทร์ ประนมมือยืนบนคลื่น บนตัวครอบด้วยรัศมีขมุกขมัว เป็นศีลแปดนั่นเอง

แม้จางซินหูจะเจอศีลแปดมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับศีลแปด อีกทั้งสง่าราศีที่เสมือนเทพเสมือนปราชญ์ของศีลแปดก็ทำให้ใจเขาเกิดความเลื่อมใส จางซินหูยืนขึ้นอย่างช้าๆ แล้วโค้งตัวประนมมือทำความเคารพ

จางซินหูเป็นคนสงบนิ่งเยือกเย็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว เป็นคนที่มองไม่ออกว่ามีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร ปฏิบัติต่อคนอื่นแล้วเรื่องต่างๆ อย่างสุขุมมาตลอด บนใบหน้าสงบนิ่งอยู่เสมอ ตอนนี้ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกกล่อมเกลาจากพุทธธรรมมาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า

คนคนหนึ่งยืนอยู่บนกระท่อมชิดภูเขา กำลังมองศีลแปดอย่างสงบนิ่ง แววตาดูสะอาดบริสุทธิ์

ศีลแปดที่อยู่ในครอบรัศมีกำลังมองเขาด้วยใบหน้าอมยิ้ม

สองพ่อลูกไม่พูดอะไรกันสักคำ เพียงจ้องกันอยู่อย่างนั้น แต่เหมือนทั้งสองฝ่ายจะเข้าใจอะไรบางอย่างจากแววตาของอีกฝ่าย

ตรงประตูวัดที่อยู่ตรงไหล่เขาไกลๆ เงาร่างสีขาวพระจันทร์ปรากฏตัว เป็นปีศาจโลหิตที่ห่มจีวรนั่นเอง นางใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองศีลแปดที่ดูบริสุทธิ์ดุจเทพเจ้ายามกำลังลอยอยู่เหนือผิวทะเลสาบที่มีไอหมอก นางประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใดศีลแปดจึงมาทีนี่อย่างกะทันหัน

เมื่อปีศาจโลหิตถลันตัวออกมา ก็ลอยมาเหยียบตรงหน้าศีลแปดเบาๆ จากนั้นประนมมือทักทาย  ศิษย์พี่! 

ศีลแปดหันกลับมายิ้มให้นางเบาๆ ไอหมอกที่ผิวทะสาบพัดกระเพื่อมเข้ามาบังระลอกหนึ่ง ทำให้ร่างของศีลแปดเปลี่ยนเป็นเลือนราง

ปีศาจโลหิตไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า เห็นรางๆ ว่าศีลแปดสั่นไหวเหมือนคลื่น แล้วก็มีเสียงดังจ๋อม กลายเป็นก้อนน้ำก้อนหนึ่งตกลงบนผิวน้ำ น้ำใสกระเพื่อมเป็นคลื่น แล้วจู่ๆ คนก็หายไปอย่างนี้แล้ว

ปีศาจโลหิตยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป รีบโบกแขนเสื้อไล่หมอก แต่ก็ไม่เห็นเงาของศีลแปดแล้วจริงๆ แต่คลื่นน้ำที่กระเพื่อมตรงหน้าก็พิสูจน์แล้วว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกไปเอง

ปีศาจโลหิตรีบร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจโดยรอบ พลางตะโกนเรียก  ศิษย์พี่! 

บนกระท่อมชิดภูเขา จางซินหูที่ยืนประนมมืออยู่ในระเบียงกล่าวอย่างสงบใจว่า  เขาไปแล้ว! 

แม้แต่คำทักทายก็ไม่มีให้ข้าสักคำ ไปอย่างนี้แล้วเหรอ? ปีศาจโลหิตหันกลับไปมองเขา รู้สึกเลื่อนลอยเล็กน้อย

จางซินหูค่อยๆ นั่งขัดสมาธิอย่างสงบใจอีกครั้ง ประนมมืออย่างไม่สะทกสะท้าน ปากพึมพำสวดมนต์เบาๆ…

แดนโพ้นสวรรค์ สถานที่ใหญ่โตทว่าเงียบเหงาเดียวดาย มีเพียงสาวใช้สองสามคนคอยทำความสะอาด

ในตำหนักสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เยว่เหยากำลังนั่งขัดสมาธิฝึกตน คลื่นที่ผิดปกติทำให้นางลืมตาขึ้นช้าๆ

แสงอันอบอุ่นจุดหนึ่งลอยเข้ามาตามลม ตรงนอกประตูตำหนักที่ใหญ่โตรโหฐาน แสงอันอบอุ่นขยายใหญ่ กลายเป็นศีลแปดเหยียบลงพื้น ศีลแปดที่อยู่ท่ามกลางแสงสลัวมองนางด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์

 พี่รอง?  เยว่เหยาทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ กระโดดลุกขึ้นมาทันที เปลือยเท้ายกกระโปรงวิ่งออกไป สองเท้าเปลือยเปล่า ผมยาวที่ไม่ได้มัดปลิวสะบัด

ถ้าไม่ใช่เพราะถือข้อห้ามว่าชายหญิงมีความแตกต่าง บวกกับรู้ว่าพี่รองค่อนข้างเจ้าเล่ห์ ชอบลงไม้ลงมือลวนลามนาง ทั้งยังชอบพูดจาลามก เรื่องลามกก็ทำไม่เคยขาด ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ นางก็ดีใจจนเกือบจะโผเข้าไปกอดแล้วจริงๆ นางหยุดฝีเท้าทัน มายืนตรงหน้าศีลแปด รักษาระยะห่างที่ปลอดภัย ป้องกันไม่ให้ศีลแปดกอดนางซี้ซั้ว

 พี่รอง ท่านมาได้ยังไง?  เยว่เหยากลายเป็นสาวน้อยคนหนึ่งในชั่วพริบตาเดียว เอาสองมือไขว้หลัง บุ้ยปากทำท่าทางออดอ้อน

ถึงแม้พี่รองคนนี้จะไม่เอาไหน แต่ถ้ามองจากบางมุม พี่รองที่เหลวไหลก็ทำให้คนรู้สึกอุ่นใจมากกว่า พี่รองไม่เคยปิดบังความรักความเอ็นดูที่มีต่อนางเลย ทำให้เจ้าเข้าใจได้อย่างชัดเจน เป็นประเภทที่ว่า ถ้าใครมารังแกเจ้าสามบ้านข้า ก็สามารถตะโกนขู่ว่าจะฆ่าเจ้าทั้งตระกูลได้เลย ไม่เหมือนพี่ใหญ่ที่วางมาดเป็นคนสุขุมรอบคอบ เก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจ แข็งกร้าวเกินไปแล้ว!

ศีลแปดเผยรอยยิ้มผุดผ่องไร้ราคี เอ่ยคำถามที่สะเทือนจิตวิญญาณและหัวใจโดยตรง  ทุกข์หรือไม่? 

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เยว่เหยาเข้าใจทันทีว่าศีลแปดกำลังทำอะไรตน นางอึ้งไปเลย ในดวงตาเริ่มมีน้ำเอ่อทีละน้อย น้ำตาไหลพรากเต็มใบหน้า

ศีลแปดยื่นมือไปแตะตรงหว่างคิ้วของนางเบาๆ ความรู้สึกอบอุ่นไหลเข้าในหัวใจนาง ความตระหนักรู้ต่อการปล่อยวางแจ่มชัดเป็นพิเศษ

ในสายตาที่พร่าเลือนไปด้วยน้ำตา ศีลแปดเราวกับถูกสายลมดึงออกไป ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และค่อยๆ หายไปในความว่างเปล่า

ยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา เยว่เหยาเงยหน้ามองเหงาคนที่หายไปในอากาศ นางสายหน้าร้องไห้อย่างเจ็บปวด กล่าวอย่างเศร้าใจสิ้นหวังว่า  พี่รอง อยากไป พี่รอง อย่าทิ้งน้องสามไป… 

 รีบหนีไป!  จั่วเอ๋อร์ที่ประคองอิ๋งเยว่ถ่ายทอดเสียงบอกพรรคพวกตัวเอง และถือโอกาสตอนกลุ่มคนยังไม่หายเหม่อลอยรีบเลี้ยวหนีไป

ไม่หนีคงไม่ได้ พระปีศาจหนานโปหายไปแล้ว อาศัยแค่พวกเขาก็ไม่มีทางท้าทายทัพใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าได้เลย แบบนั้นเท่ากับรนหาที่ตาย มาอย่างมีปณิธาน แต่หนีหัวซุกหัวซุนกลับไป

ไป๋เหนียงจื่อที่ถูกพระปีศาจหนานโปโจมตีจนสาหัสวางสองมือลง หลังจากทอดสายตามองดาราจักรเงียบๆ ครู่เดียว ก็เอามือลูบหน้าอกและคายเลือดออกมาอีกคำ ก่อนจะหันตัวเหาะไปทางเรือมังกรอเวจี

เมื่อเหยียบลงบนเรือแล้ว เห็นนางดูเหมือนบาดเจ็บหนัก อู๋ฉาง หั่วเจินจวินและอินเอ้อร์หลางก็เข้ามาใกล้ บางคนก็ประคองไว้ บางคนก็หยิบสมุนไพรเซียนวิงหัวออกมารักษาอาการบาดเจ็บให้นาง

พระปีศาจหนานโปปรากฏตัวกะทันหัน แล้วก็หายไปอย่างกะทันหัน เหมือนเป็นคนที่อยู่นอกสถานการณ์ ไม่เข้ามาร่วมในศึกนี้ซี้ซั้ว

ส่วนไป๋เหนียงจื่อก็ถูกพระปีศาจหนานโปโจมตีจนสาหัส เหมือนไร้กำลังจะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ทุกอย่างถูกกำหนดด้วยตัวของมันเองอย่างลึกลับ

ไม่ว่าจะเป็นศีลแปดกับไป๋เหนียงจื่อ หรือว่าพระปีศาจหนานโป แต่ละคนทยอยกันลงสนาม แต่กลับเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้

จากนั้นไป๋เหนียงจื่อก็ออกจากสนามไปพร้อมอาการบาดเจ็บสาหัส บรรยากาศที่ทัพใหญ่สองฝั่งคุมเชิงกันปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

ความสนใจของชิงและพุทธะไม่ได้อยู่ที่ตัวเหมียวอี้ อยู่ที่ประมุขไป๋บนเรือมังกรอเวจี ทั้งสองสังเกตได้แล้วว่าประมุขไป๋กำลังจ้องมาทางนี้ด้วยสายตาเยียบเย็น

ประมุขไป๋สร้างความกดดันให้ทั้งสองมาก เดิมทีกะไว้ว่าต่อให้ทัพใหญ่ต่อสู้แพ้ พวกเขาก็ยังถอยออกจากสนามไปได้อย่างราบรื่น ตอนนี้ความมั่นใจนี้กลับเกิดความยากลำบากแล้วไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าประมุขไป๋จะออกจากเขาหลิงซานและตามมาที่นี่เร็วขนาดนี้ เหนือความคาดหมายของทั้งสองคนจริงๆ ทว่าตอนนี้ขี่หลังเสือแล้วลงยาก จะให้ทิ้งกำลังพลที่อยู่ตรงหน้าแล้วหลบหนีไป ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ รบแพ้กลับหลบหนีก่อนลงสนามรบเป็นคนละเรื่องกัน ถ้าเลือกอย่างหลัง ใจคนจะหายไปหมดแน่นอน ไม่มีโอกาสที่จะหวนกลับมาอีกครั้งแล้ว น่าทุกข์ทรมานยิ่งกว่าสังหารพวกเขาเสียอีก คนที่เดินมาถึงจุดของพวกเขาแล้ว ทำไมถึงขั้นจนตรอกก็ไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ

 ฆ่า! 

สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เหมียวอี้เพลงเรื่องของศีลแปดเอาไว้ชั่วคราว โบกมือออกคำสั่งบุกโจมตี ทำลายสันติภาพอันแสนสั้นก่อนหน้านี้ไปแล้ว

 ฆ่า! 

ชิงและพุทธะก็ออกคำสั่งบุกโจมตีพร้อมกัน

ทัพใหญ่ของทั้งสองฝ่ายระเบิดลำแสงออกมานับไม่ถ้วน ยิงใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าระห่ำ ชั่วพริบตานั้นเสียงการต่อสู้อันดุเดือดดังสะเทือนดาราจักร

ไม่ว่าจะเป็นพุทธธรรมอันมงคลสงบสุข หลักธรรมอันลึกซึ้ง บรรลุการปล่อยวาง ตราบใดที่ยังมีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาอยู่ ตราบใดที่ยังมีประสาทสัมผัสทั้งหก ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงได้ยาก

ทัพใหญ่เจ็ดพันล้านของเหมียวอี้บุกโจมตีไปข้างหน้า กำลังพลที่เหลือแบ่งกลุ่มตีโอบเข้าไป ล้อมโจมตีกำลังพลหนึ่งพันล้านของชิงและพุทธะ

วิญญาณชั่วร้ายสิบล้านปรากฏตัวอีกครั้งอย่างเงียบเชียบ อาศัยทัพใหญ่อำพรางตัว เมื่อมาถึงแนวหน้าของขบวนรบ ก็ยิงธนูพร้อมกันสามดอกตามคำสั่ง ลำแสงนับไม่ถ้วนที่มีปราณชั่วร้ายลอยวนเวียนยิงโจมตีไปที่จุดเดียวอย่างบ้าระห่ำ เป็นวิธีการเดียวกับที่ใช้รับมือฉวี่ฉางเทียน โจมตีจุดป้องกันทัพใหญ่ของชิงและพุทธะแตกได้อย่างรวดเร็ว ขบวนทัพรูปลิ่มฉวยโอกาสสังหารเข้าไป ทำลายแนวป้องกันของกองทัพฝ่ายศัตรูเสียเลย

เสียงตะโกนฆ่าดังทะลุฟ้าทันที ทัพใหญ่ของทั้งสองฝ่ายชนปะทะกัน วงล้อมป้องกันทัพใหญ่ของชิงและพุทธะพังทลายทุกด้านอย่างรวดเร็ว ข้าศึกที่โอบล้อมโจมตีเข้าไปจากทุกทิศทุกทาง ต่อสู้กันในระยะใกล้ การตะลุมบอนเข้าสู่จุดเดือด กลิ่นคาวเลือดน่าอนาถ เสียงร้องโหยหวนดังไม่ขาดสาย

อวี้หลัวช่าและสองเทพสตรีผู้พิทักษ์มาคุ้มกันอยู่ข้างกายเหมียวอี้แล้ว

เหมียวอี้กับชิงและพุทธะที่อยู่ในทัพกลางของทั้งสองฝ่ายกำลังสบตากัน ต่างก็สะสมกลิ่นอายสังหารเอาไว้

ชิงและพุทธะชักช้าไม่กล้าเคลื่อนไหวเสียที เป็นเพราะมีเทพสตรีผู้พิทักษ์คอยคุ้มกัน ที่สำคัญกว่านั้นก็คือประมุขไป๋บนเรือมังกรอเวจีกำลังจ้องมองอย่างดุร้าย

ประมุขไป๋ที่อยู่บนตึกเรือสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ เหมือนกำลังรอให้ชิงและพุทธะถูกกำจัด เหมือนกำลังดูทั้งสองคนรับกรรมที่ทำไว้ในปีนั้น

ขณะมองทัพใหญ่ที่เข่นฆ่าอยู่รอบกาย ในใจชิงและพุทธะเริ่มเศร้ารันทด เผชิญหน้ากับวงล้อมโจมตีที่ได้เปรียบทางด้านกำลังทหาร ทำให้เริ่มรู้สึกได้แล้วว่าสิ่งใดที่เรียกว่าสิ้นอนาคตแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเดินมาถึงวันนี้ได้ ต่อให้ก่อนหน้านี้จะไล่ตามทัพใหญ่ของเหมียวอี้ แต่พวกเขาก็ไม่หมดหนทางและใจสลายแบบนี้ ยังมีปณิธานยิ่งใหญ่ที่จะพลิกสถานการณ์

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า ในที่สุดก็ตัดสินใจแล้วว่าจะต่างคนต่างลงมือ ชักดาบและกระบี่ออกมาสังหารออกจากทัพกลาง ใช้ดาบและกระบี่ฟันกำลังพลของเหมียวอี้ล้มตลอดทาง ตรงจุดไหนที่สังหารไปถึงก็ไม่มีใครต้านไหว

 เจ้าไม่อยากลงมือล้างแค้นเหรอ?  เกาก้วนที่อยู่บนตึกเอียงหน้าถาม

 ตราบใดที่ผลลัพธ์เหมือนกัน ใครเป็นคนลงมือก็ไม่ต่าง…ข้าไม่อยากแย่งชิงอะไรกับเขา  ประมุขไป๋ตอบเสียงเรียบ

เมื่อเห็นชิงและพุทธะสังหารเข้ามาฝั่งนี้ สังหารเข้ามาตลอดทางเหมือนฝ่าคลื่นตัดลม ไม่มีใครต้านไหว เห็นได้ชัดว่าพุ่งเป้าหมายมายังเหมียวอี้ที่อยู่ในทัพกลาง สองเทพสตรีผู้พิทักษ์กำลังจะออกไปเตรียมโจมตีสกัด แต่เหมียวอี้กลับยื่นมือขวางไว้ ห้ามสองเทพสตรีแล้ว

หยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้ว กังวลว่าเขาจะทำตัวกล้าหาญโดยขาดสติปัญญาอีก มาถึงขั้นนี้แล้วถ้าเกิดเหตุอะไรไม่คาดฝันก็ไม่คุ้มจริงๆ จึงรีบห้าม  ฝ่าบาท อย่าเข้าไปยุ่งกับอันตรายง่ายๆ! 

เหมียวอี้ไม่สนใจเขา เอียงหน้ากำชับชิงเยว่ที่ทำหน้าที่บัญชาการ

ชิงเยว่พยักหน้าเอ่ยรับคำสั่ง

จากนั้นเหมียวอี้ก็เรียกยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งมาคอยคุ้มกัน รีบออกจากทัพกลาง จากการคุ้มครองของทัพใหญ่ทางด้านข้าง

ชิงและพุทธะเปลี่ยนทิศทางอย่างที่คาดไว้ ไล่สังหารไปตามจุดที่เหมียวอี้ไป

 

เดิมทีนึกว่าเรื่องในอดีตเลือนรางเสมือนควัน ทว่าจิตมารฝั่งลึก ฝุ่นปลิวกระจายออกไป เรื่องในอดีตปรากฏชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง
แค่คำว่าพระปีศาจหนานโปคำเดียว ก็ทำให้ศีลแปดควบคุมความรู้สึกไม่ได้อีกแล้ว สองมือประนมตรงหน้าอก หลับตาสวดมนต์ เหมือนอยากจะควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างสุดกำลัง ทว่ายิ่งควบคุมจิตมาร มันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ยิ่งสะท้อนกลับโหดร้ายขึ้นด้วย ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่ สั่นจนมีแสงดาบลอยออกมา
“อา!” ศีลแปดพลันกางแขนสองข้าง บนใบหน้าดุร้ายเผยความจนใจสุดขีด เงยหน้าส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บปวด ทั้งตัวระเบิดเป็นแสงดาวระยิบระยับนับไม่ถ้วน
ในคลังสมบัติ แสงดาวลอยเลื้อยไปทั่วทุกที่ ราวกับหิ่งห้อยนับไม่ถ้วนกำลังโบยบิน จุดแสงเริ่มจางไปทีละนิด สุดท้ายทั้งหมดก็หายไปท่ามกลางความลึกลับ ศีลแปดที่อยู่ในคลังสมบัติหายไปอย่างไร้ร่องรอย…
พระปีศาจหนานโปย่อมรู้ว่าไป๋เหนียงจื่อถูกตัวเองโจมตีจนสาหัส ดวงตาที่จ้องไป๋เหนียงจื่อฉายแววกระหายอีกครั้ง
ทลายมิติ ตัดข้ามดราราจักร ถ้าสามารถครอบครองวิชานี้ได้ หลังจากนี้ดาราจักรอันกว้างใหญ่ก็จะหดเล็กลงแล้ว สามารถไปมาในดาราจักรได้อย่างอิสระ ไม่ต้องเดินทางไกลข้ามประตูดวงดาวหลายแห่งอีกแล้ว มหาเคล็ดวิชาอัศจรรย์เช่นนี้ เป็นมหาเคล็ดวิชาระดับสูงสุดจริงๆ จะไม่ให้เขาใจเต้นได้อย่างไร ที่จริงเมื่อเดินมาถึงระดับของเขาแล้ว เคล็ดวิชาทั่วไปไม่ดึงดูดความสนใจของเขาอีกต่อไป
อาศัยความสามารถของเขา ขอเพียงไป๋เหนียงจื่อตกอยู่ในมือเขา เขาก็ย่อมหาทางขุดวิชานี้ออกมาจากสมองของไป๋เหนียงจื่อได้อยู่แล้ว
เมื่อเห็นไป๋เหนียงจื่อสาหัสจนยากจะขัดขืน การจะจับตัวนั้นง่ายดายมาก พระปีศาจหนานโปก็ย่อมไม่ปล่อยไป ถลันตัวออกมา ต้องการจะจับในรวดเดียว
ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีคนที่สามารถประลองกับพระปีศาจหนานโปได้ เมื่อเห็นว่ากำลังจะตกอยู่ในมือพระปีศาจหนานโป ก็มีคนไม่น้อยกังวลจนหัวใจจุกคอหอย
ทว่ายังไม่ทันเข้าใกล้ไป๋เหนียงจื่อ พระปีศาจหนานโปก็หยุดชะงัก มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าระแวดระวัง สังเกตได้ถึงคลื่นผิดปกติท่ามกลางความลึกลับ。
ไป๋เหนียงจื่อที่มุมปากมีรอยเลือดกำลังเอามือประคองหน้าอก นางประนมมืออย่างช้าๆ มองบนฟ้าด้วยสีหน้าเคารพเลื่อมใส
พระปีศาจหนานโปที่มองไปรอบๆ พลันมองไปทางไป๋เหนียงจื่ออีก แล้วถลันตัวออกมาอีกครั้ง ยื่นมือเข้าไปคว้าไป๋เหนียงจื่อ
ไป๋เหนียงจื่อมองเขาด้วยแววตาสงบนิ่ง ไม่หลบหลีกใดๆ ไม่เห็นความหวาดกลัวใดๆ ไม่ตื่นตระหนกหวาดกลัว
แสงดาวระยิบระยับนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับเป็นม่านใหญ่ผืนหนึ่ง ราวกับมิติผืนนี้กำลังกะเพื่อมพร้อมกัน แทรกอยู่ตรงกลางระหว่างไป๋เหนียงจื่อกับพระปีศาจหนานโป
พระปีศาจหนานโปที่พุ่งอยู่ท่ามกลางม่านแสงดาวระยิบระยับ จู่ๆ ก็ช้าลง เหมือนถูกผูกมัดไว้ด้วยพลังอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็น ความเร็วที่พุ่งไปข้างหน้าช้าลงเรื่อยๆ ที่พุ่งก็ยิ่งช้า เหมือนถูกแรงต้านอะไรสักอย่างที่แข็งแกร่งมาก
“นะโมอามิตตาพุทธ!”
เสียงเอ่ยนามพระพุทธเจ้าดังก้องในดาราจักร เมื่อได้ยินก็รู้สึกเหมือนตัวเองตัวเล็กลงทันที นามพระพุทธเจ้านี้ราวกับเป็นดาราจักรไร้ขอบเขต กว้างใหญ่ไพศาล ตัวที่อยู่ในนั้นเล็กน้อยราวกับฝุ่นผง
แทบจะทุกคนมองไปรอบๆ ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรสั่นสะท้านกับเสียงพุทธะอันยิ่งใหญ่นี้ แต่กลับไม่รู้ว่าเสียงมาจากไหน
“คุณชายไป๋ เป็นอาจารย์ของไป๋เหนียงจื่อหรือเปล่า?” อู๋ฉางที่ยืนอยู่บนหัวเรือกันกลับมาถาม
ประมุขไป๋ไม่ได้ตอบ เพียงหรี่ตาเล็กน้อยพลางพึมพำ”นะโม หนานอู๋…”
นะโม หนานอู๋? สองคำนี้ดึงดูดความทรงจำอะไรสักอย่างของพระปีศา ดวงตาเผยแววสงสัยหวาดระแวง นามพระพุทธเจ้าทั่วไปจะกล่าวเพียง ‘อามิตตาพุทธ’ มีเพียงสำนักที่ติดอยู่ในความทรงจำของเขาถึงจะเอ่ยว่า ‘นะโมอามิตตาพุทธ’
ไม่ใช่แค่เขา อวี้หลัวช่าก็เผยสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ นางไม่ได้ยินคำว่า ‘นะโมอามิตตาพุทธ’ มานานมากแล้ว
พระปีศาจหนานโปที่เหมือนได้รับแรงต้านกลับไม่ยอม ใบหน้าเริ่มบูดบึ้งทีละน้อย อาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่ง ดิ้นรนพุ่งไปหาไป๋เหนียงจื่ออย่างสุดชีวิต เพียงแต่ร่างกายเหมือนตกอยู่ในแหล่งน้ำ เวลาจะขยับก็เปลืองแรงผิดปกติ
แล้วก็เหมือนจะเป็นเพราะเขาไม่ยอม จึงกระตุ้นให้จุดแสงดาวเล็กๆ โต้ตอบ
เห็นจุดแสงดาวเล็กๆ เริ่มก่อตัว กลายเป็นรูปร่างคนคนหนึ่งขนาใหญ่ ก่อตัวกลายเป็นพระขนาดใหญ่
ภาพเหตุการณ์ตรงหน้า กอปรกับเสียงเอ่ยนามพระพุทธเจ้า ทำให้ทุกคนในกองทัพพระ รวมทั้งอวี้หลัวช่าและประมุขชิงตกตะลึงถึงขีดสุด ในกองทัพพระมีไม่น้อยที่ถึงขั้นวู่วามประนมมือทำความเคารพ
ฝึกพุทธธรรมมาหลายปี ใครก็เรียกพุทธะ พุทธะ แต่ครั้งนี้เหมือนทุกคนจะได้เห็นพุทธะที่แท้จริงแล้ว เหมือนเพิ่งจะได้ยินถึงความยิ่งใหญ่ของเสียงแห่งพุทธะ
จุดแสงดาวเล็กๆ ยังคงก่อตัวต่อไป เค้าโครงพระรูปหนึ่งปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เหมียวอี้เริ่มเบิกตากว้าง อวี้หลัวช่าก็ค่อยๆ เบิกตากว้างเช่นกัน เพราะเค้าโครงของพระรูปนี้เหมือนกับคนคนหนึ่ง
ประมุขไป๋กับเทพพยากรณ์มองหน้ากันโดจิตใต้สำนึก
เมื่อจุดแสงดาวก่อตัวเต็มที่แล้ว พระที่ห่มจีรวรสีขาวพระจันทร์ปรากฏตัว ใบหน้าสง่างามผุดผ่อง ทั้งตัวเผยรัศมีสีหยกอ่อนจางๆ ให้กลิ่นอายเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างอธิบายไม่ถูก เป็นศีลแปดนั่นเอง!
มือข้างหนึ่งที่อยู่ใต้กระบอกแขนเสื้อตัวโคร่งใหญ่ ยื่นนิ้วไปแตะตรงหว่างคิ้วของพระปีศาจหนานโป กลับทำให้พระปีศาจหนานโปถูกตรึงนิ่งอยู่ในความว่างเปล่าทั้งตัว ยากที่จะก้าวมาข้างหน้าได้อีก
อวี้หลัวช่างุนงง ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เผยอปากเล็กน้อย
เหมียวอี้ก็ตกใจไม่เบาเช่นกัน จากนั้นก็ทำสีหน้าครุ่นคิดอีก เพราะเขารู้ว่าหลายปีมานี้ศีลแปดฝึกตนอยู่ที่ไหน ศีลแปดที่อยู่ตรงหน้าใช้นิ้วเดียวก็ทำให้พระปีศาจหนานโปที่เหิมเกริมไร้ขีดจำกัดหยุดนิ่งได้แล้ว จะไม่ให้เขาคิดไปทางนั้นก็คงยาก อย่าบอกนะว่าศีลแปดฝึกมหาเวทไร้ขอบเขตของสำนักหนานอู๋สำเร็จแล้ว?
ประมุขชิงกับประมุขพุทธะเผยสีหน้าตื่นตะลึง ใช้นิ้วเดียวก็ทำให้พระปีศาจหนานโปหยุดนิ่งได้แล้ว พลังอิทธิฤทธิ์ของพระรูปนี้ล้ำลึกจนเขย่าขวัญผู้คนจริงๆ อีกทั้งฉากปรากฏตัวของแสงดาวระยิบระยับนั่นก็ยิ่งอัศจรรย์พันลึก
พวกจั่วเอ๋อร์ที่ประคองอิ๋งเยว่ รวมทั้งกำลังพลสายตระกูลอิ๋งตกใจค้างแล้ว
“เป็นเจ้า…” พระปีศาจหนานโปที่พยายามดิ้นรนแทบจะตาถลน เขายังคิดอยู่เลยว่าหลังจากจับเหมียวอี้ได้แล้วจะสืบหาที่อยู่ของพระรูปนี้ เป็นเพราะหลายปีก่อนหน้านี้ พระรูปนี้ไม่ค่อยเป็นมิตร ใครจะคิดว่าพอเจอหน้ากันกลับกลายเป็นฉากอย่างนี้ ในใจเขาทั้งตกใจทั้งโมโห ใบหน้าบิดเบี้ยวเอ่ยถามอย่างยากลำบาก “มหาเวทไร้ขอบเขต…ของสำนักหนานอู๋…มีอยู่…จริงๆ ด้วย?”
ศีลแปดไม่ได้ตอบเขา เพียงจ้องเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง จู่ๆ นิ้วนั้นก็แตะที่หน้าผากของเขาเบาๆ สามที พร้อมขยับปากเสียงแห่งพุทธะที่ยิ่งใหญ่เหมือนเสียงธรรมชาติ “มิใช่มารมิใช่เคราะห์ ไม่ยึดติดไม่เพ้อฝัน ไร้ฝุ่นไร้ราคี ไม่สัมผัสไม่คล้อยตาม อย่ารักอย่าโกรธ ยากจะหาจุดเริ่มต้น ยากจะหาจุดจบ หยิบยื่นบุปผา เป็นเพียงฝันฉากหนึ่ง…”
เสียงแห่งพุทธะดังก้องอยู่ในดาราจักรอันไร้ขอบเขต เป็นประโยคสั้นๆ ไม่กี่ประโยคเท่านั้น แต่กลับเหมือนดังก้องอยู่ข้างหูทุกคนยาวนาน ทำให้คนฟังจิตใจกระเพื่อมเหมือนระลอกน้ำ
“อา…” จู่ๆ พระปีศาจหนานโปก็ร้องโหยหวนไม่หยุด
เริ่มตั้งแต่ที่เท้าของเขา สองเท้าบิดเกลียวเข้าด้วยกัน หมุนวนอย่างรวดเร็ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเริ่มบิดขึ้นไปข้างบน ทั้งตัวบิดเบี้ยวจนไม่เหลือสภาพคน แต่กลับยังบินวนขณะที่บิด
เมื่อเสียงร้องโหยหวนเงียบลง ศีลแปดก็ใช้นิ้วแตะก้อนที่ยังหมุนวนด้วยความเร็วสูง บิดจนข้างในมีแสงสีทองวิบวับโผล่ออกมา บิดจนวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปออกมา สุดท้ายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็หมุนวนบิดเบี้ยวไปพร้อมกับก้อนวัตถุยุ่งเหยิงนี้ ทำให้แสงสีทองที่ปะปนอยู่ในวัตถุยุ่งเหยิงเหมือนเป็นเส้นไหมสีทองนับพันเส้น
พลังหมุนวนจากล่างขึ้นบนเหมือนจะเริ่มส่งผลกระทบต่อศีลแปดทีละนิด เริ่มตั้งแต่ปลายนิ้วของเขา ลุกลามไปทั้งร่างกายของเขา เหมือนแผ่ซ่านออกจากพื้นผิววัตถุยุ่งเหยิงที่กำลังถูกบิดออกมา ทั้งตัวศีลแปดกลายเป็นภาพที่ดูไม่สมจริง ทั้งตัวเปล่งแสงขมุกขมัว ขาวใสดุจหยก เหมือนจะโปร่งแสง ลักษณะเหมือนเทพศักดิ์สิทธิ์เข้าไปทุกที
ผ่านไปครู่เดียว วิญญาณศักดิ์สิทธิ์สีทองที่ลอยหมุนอยู่ใต้ปลายนิ้วมือก็เริ่มอับแสงลงทีละน้อยจนกระทั่งหายไป เริ่มมีสีเดียวกับก้อนวัตถุยุ่งเหยิงที่กำลังบิดตัวลอยหมุน
ตอนที่ศีลแปดหดนิ้วกลับมาช้าๆ วัตถุลอยหมุนที่ขาดแรงกดอัดก็เสียการควบคุมอย่างฉับพลัน การลอยหมุนกระจายออกไป ระเบิดกลายเป็นฝุ่นผงลอยหมุนกระจายหายไป
ฝุ่นผงเข้มข้นที่ระเบิดออกมา กระจายจางไปในดาราจักรอย่างช้าๆ จนกระทั่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย
พระปีศาจหนานโปที่มีอานุภาพน่าเกรงขามมาทั้งชีวิตหายไปอย่างนี้แล้วเหรอ?
ประมุขชิงกับประมุขพุทธะสบตากันอย่างพูดไม่ออก สายตาตกตะลึง
กำลังพลสายตระกูลอิ๋งตะลึงค้าง เริ่มเผยสีหน้าหวาดกลัวทีละนิด
อวี้หลัวช่ากัดริมฝีปากเล็กน้อย มองศีลแปดด้วยแววตาสื่ออารมณ์หลากหลาย ที่จริงนางรู้สึกมาตลอดว่าศีลแปดเป็นคนไม่เอาไหน คาดว่าชาตินี้ว่าศีลแปดคงจะใช้ชีวิตไปวันๆ ตลอดไป ไม่ประสบความสำเร็จอะไร แต่ความไม่เอาไหนนี้ทำให้นางยินดี เพราะนางควบคุมได้สะดวก ดังนั้นนางจึงไม่เคยเรียกร้องให้ศีลแปดประสบความสำเร็จเท่าไรนัก
ทว่าศีลแปดที่ปรากฏตัวกะทันหันในวันนี้ทำให้นางตกตะลึงจริงๆ พอลงมือก็กำจัดพระปีศาจหนานโปได้ทันที ทั้งยังกำจัดได้อย่างง่ายดายด้วย เมื่อก่อนก็แค่ไม่ก้าวหน้าเท่านั้น พอก้าวหน้าขึ้นมาก็ประสบความสำเร็จมหาศาล ลักษณะท่าทางที่เหมือนเทพเหมือนปราชญ์ทำให้นางทำอะไรไม่ถูก รู้สึกว่าหลังจากนี้ไม่รู้ควรจะเผชิยหน้าอย่างไร
และศีลแปดที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนตัวจริงก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง มองด้วยรอยยิ้มที่ลึกลับ ยิ้มบางๆ ให้อวี้หลัวช่า
ศีลแปดหันกลับไปมองเหมียวอี้อีก ประนมมือให้พร้อมรอยยิ้มบางๆ ท่ามกลางรัศมีขมุกขมัว บนตัวมีสิ่งที่เหมือนกลีบดอกไม้นับพันลอยขึ้นมา มีสิ่งที่คล้ายกลีบดอกไม้ขาวบริสุทธิ์ลอยขึ้นจากตัวเขาไม่หยุด สวยวิจิตรตระการตา สวยจนจิตวิญญาณตกตะลึง
ตามที่กลีบดอกไม้บนตัวหลุดออกมา ทั้งร่างของศีลแปดก็เปลี่ยนเป็นอ่อนจางทีละนิด
เหมียวอี้รู้สึกปวดใจเล็กน้อย เหมือนเขาจะรู้ศีลแปดประนมมือยิ้มให้เขา รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าครั้งนี้ศีลแปดกำลังจะจากไปแล้วจริงๆ จากไปตลอดกาล
“เจ้ารอง!” เหมียวอี้พลันตะโกนเรียกศีลแปดเสียงดัง
เสียงตะโกนนี้เรียกสติของทุกคน ทุกคนมองไปที่เขา
ชิงและพุทธะก็ยิ่งหวาดระแวงสงสัย สงสัยว่าเหมียวอี้เรียกพระที่มีมหาเวทไร้ขอบเขตว่า ‘เจ้ารอง’ หมายความว่าอะไร
เงายิ้มอ่อนของศีลแปดจางไปทีละนิด ทั้งตัวกลายเป็นกลีบดอกไม้บริสุทธิ์พุ่งขึ้นฟ้าไป ราวกับเป็นน้ำพุพุ่งไปในดาราจักร
ทุกคนเงยหน้ามอง แล้วก็เห็นเปลงเพลิงที่ลอยเต็มอากาศเหมือนฝนระเบิดอีก กลายเป็นฝุ่นแล้ว ฝุ่นแต่ละเม็ดกระจายไปราวกับแสงสว่างเลือนรางในความฝัน ฝุ่นขมุกขมัวเกลื่อนกลาดเป็นวงกว้าง เหมือนอบอวลอยู่ทั่วทั้ง
ไป๋เหนียงจื่อที่ประนมมือด้วยความเลื่อมใสเผยรอยยิ้มอิ่มใจ โค้งตัวเคารพให้ฝุ่นผงที่ระเบิดอยู่เต็มฟ้า
ทันใดนั้น ฝุ่นผงที่เปล่งแสงขมุกขมัวก็กระจายเป็นวงกว้าง เหมือนฝูงหิ่งห้อยนับไม่ถ้วนบินไปทั่วสี่ด้านแปดทิศ เหมือนจะอยู่ร่วมกับดาราจักรอันเวิ้งว้างไร้ขอบเขตนี้ไปชั่วนิรันดร์
ตรงหน้าของทุกคนมีแสงดาวร่วงโรย เหมียวอี้ยื่นฝ่ามือออกมา รับแสงหิ่งห้อยอันงดงามที่ลอยตกลงมา แสงหิ่งห้อยแทรกซึมเข้าในฝ่ามือเขาอย่างไร้อุปสรรคไร้เสียง ความรู้สึกอบอุ่นที่ไร้ความยินดียินร้ายรินไหลเข้ามาในหัวใจของเขาอย่างช้าๆ

ปรากฏการณ์ค่อนข้างแปลกประหลาด

ไป๋เหนียงจื่อเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าอิ๋งเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลงกับนางเลย พุ่งเข้าไปหาไป๋เหนียงจื่ออย่างนี้แล้ว พอนางโบกมือ รอยแยกมิติรอยหนึ่งก็กลายเป็นเงาแส้วิบวับฟาดออกไปราวกับงูน้อยนับไม่ถ้วน ราวกับมีสายฟ้าฟาดออกไป ไม่ว่าใครก็มองออกทั้งนั้นว่ามีอานุภาพการโจมตีสูงมาก

ไป๋เหนียงจื่อที่กำลังประนมมือเผยมือข้างหนึ่งออกมา พอผลักมือออกไป เงาฝ่ามือหยกขาวออกไปรับราวกับป้ายศิลาจารึก

บึ้ม! เงาแส้พังทลาย แก้เผ็ดได้อย่างไม่เปลืองแรง พิสูจน์แล้วว่าวรยุทธ์ของทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย

อิ๋งเยว่ยังคงพุ่งเข้ามาไม่หยุด ตอนที่เข้าใกล้ นางกางแขนสองข้างโอบ ดึงเปียที่หนาแน่นอยู่ข้างหลังฟาดออกไป เปียยาวขยายอย่างรวดเร็ว ราวกับมีชามใหญ่ใบหนึ่งกำลังครอบไปที่ไป๋เหนียงจื่อ

 อามิตตาพุทธ!  ไป๋เหนียงจื่อเอ่ยนามพระพุทธเจ้าเบาๆ ประนมสองมือตรงหน้าอก ทันใดนั้นทั้งตัวก็ระเบิดแสงสีขาวอ่อนโยนออกมา ในร่างกายราวกับมีพระอาทิตย์ขึ้น เปียที่โอบเข้ามายังไม่ทันรัดพันไป๋เหนียงจื่อได้ ก็ถูกแสงสีขาวอ่อนละมุนขยายออกเหมือนลูกโป่ง ยากที่จะสัมผัสถึงตัวไป๋เหนียงจื่อได้

อิ๋งเยว่โบกแขนไม่หยุด ร่างกายถอยหลัง มองออกเลยว่านางอยากมัดให้แน่น

ฉากนี้ทำให้คนไม่น้อยตกใจ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองล้วนสามารถควบคุมแสงสว่างได้เหมือนเป็นวัตถุจริง

พระปีศาจหนานโปสังเกตความยืดเยื้อระหว่างทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 ทำไมไป๋เหนียงจื่อถึงต้านทานอย่างเดียว แต่ไม่ยอมโต้ตอบล่ะ! ยังใช่ไป๋เหนียงจื่อคนโหดอยู่หรือเปล่า?  อินเอ้อร์หลางที่อยู่บนเรือมังกรอเวจีร้อนรนเล็กน้อย

เขาเพิ่งจะพูดจบ มาตั้งแต่ต้นก็เหมือนจะกระตุ้นการตอบสนองของไป๋เหนียงจื่อแล้วจริงๆ จู่ๆ แสงสีขาวอ่อนละมุนที่ห่ออยู่ในเงามิติก็เหมือนดวงอาทิตย์ที่โผล่พ่นทะเลเมฆ เบ่งบานเป็นเหมือนลำแสงหมื่นจั้ง

บึ้ม! เงาเปียที่อิ๋งเยว่พยายามดึงให้แน่นพังทลายในชั่วพริบตาเดียว ระเบิดกลายเป็นความว่างเปล่า

อั้ก! อิ๋งเยว่เงยหน้ากระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ถูกทำให้สะเทือนออกไปแล้ว

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองเป็นคู่ต่อสู้ที่อยู่คนละระดับ ไป๋เหนียงจื่อก็แค่ไม่โต้ตอบเท่านั้น แต่พอโต้ตอบ อิ๋งเยว่ก็ไม่มีทางต้านไหวเลย

จั่วเอ๋อร์ถลันตัวออกมา อุ้มอิ๋งเยว่กลับไป

คนตรงนี้ยังไม่ทันกลับไปถึง พระปีศาจหนานโปก็ถล่มฝ่ามือออกมาแล้ว ราวกับอัสนีจากท้องฟ้าไกลโพ้นวาดผ่านดาราจักร เงาของรอยแยกมิติราวกับเป็นสายฟ้าถล่มลำแสงที่เบ่งบานบนตัวไป๋เหนียงจื่อ เมื่ออานุภาพการโจมตีเจอกับแสงสีขาว ภายใต้การเพิ่มลดที่สวนทางกัน เผยให้เห็นเงาหมัดขนาดใหญ่เงาหนึ่ง ฝั่งหนึ่งของแสงสีขาวที่ถูกโจมตีหดลงอย่างรวดเร็ว แสงสีขาวถูกหมัดทำลายพังโดยสิ้นเชิง

ไป๋เหนียงจื่อสะเทือนจนลอยถอยหลังไปไกลกว่าจะยืนนิ่งได้ เริ่มมองพระปีศาจหนานโปด้วยสีหน้าจริงจังมากขึ้น

 นึกไม่ถึงว่าในโลกนี้จะมียอดฝีมือระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โผล่มาอีกคน!  พระปีศาจหนานโปกล่าวเสียงเย็น เมื่อลูกศิษย์เสียเปรียบ เขาในฐานะอาจารย์ก็ลงมือทันที การลงมือครั้งนี้วัดระดับได้แล้ว พบว่าอีกฝ่ายก็แค่เท่านี้เอง เขาจ้องไปที่ไป๋เหนียงจื่อด้วยแววตากระหาย  วิชาทลายมิติ ตัดข้ามดาราจักรของเจ้าน่ะ ข้าสนใจมาก! 

ก่อนหน้านี้เขายังนึกว่าพลังของไป๋เหนียงจื่อแข็งแกร่งถึงระดับทลายมิติ ตัดข้ามดาราจักรได้ ทำให้เขาไม่กล้าวู่วามทำอะไร แต่พอประมือกันก็พบว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย ตัวเองตกใจไปเองทั้งนั้น อีกฝ่ายน่าจะรู้วิชาอะไรสักอย่างมาก วิชานี้ดึงดูดใจเขามากจริงๆ เขาอยากครอบครองมาก

ยอดฝีมือระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์? หั่วเจินจวินและอินเอ้อร์หลางที่อยู่บนเรือมังกรเผยสีหน้าตกตะลึง เหมือนไม่มีทางเชื่อได้ ไป๋เหนียงจื่อบรรลุวรยุทธ์ถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้วอย่างนั้นเหรอ? ไม่น่าเชื่อว่าจะผ่านด่านยากขนาดนี้ได้ จริงหรือโกหก พระปีศาจไม่ได้หลอกใช่มั้ย?

ประมุขไป๋ที่อยู่บนตึกเรือตาเป็นประหาย เหมือนจะตกตะลึงอยู่บ้างเช่นกัน

เพียงแต่คนกลุ่มนี้สังเกตสัญลักษณ์พลังตรงหว่างคิ้วไป๋เหนียงจื่อ ตอนร่ายอิทธิฤทธิ์ไม่เห็นสัญลักษณ์พลังแล้ว ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าไป๋เหนียงจื่อใช้อะไรปิดบังไว้ ตอนนี้พอพระปีศาจหนานโปเตือนแล้ว ถึงได้รู้ว่าวรยุทธ์ของไป๋เหนียงจื่อกลับสู่สภาพเนื้อแท้แล้ว!

 ระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์…  ประมุขชิงพึมพำ เขากับประมุขพุทธะมองไปที่ไป๋เหนียงจื่อด้วยแววตาประหลาดใจ

ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้นว่าวรยุทธ์บรรลุระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หมายความว่าอะไร พลังล้วนเป็นเรื่องรอง ความหมายที่สำคัญที่สุดก็คืออายุวัฒนะ

พระปีศาจหนานโปถลันตัวพร้อมเงามิติที่ไม่หายไป พุ่งตรงไปที่ไป๋เหนียงจื่อ รัวหมัดออกมาอย่างต่อเนื่อง เกิดเสียงระเบิดตังตูมตาม ร่องรอยของรอยแยกมิติแวบผ่านไปเหมือนเงาผี รวมตัวกันถล่มไปทางไป๋เหนียงจื่อ เมื่อได้ฟังเสียงความเคลื่อนไหวที่วุ่นวายอยู่ในดาราจักร คนที่ไม่เคยเจอมาก่อนก็ไม่รู้ว่าอานุภาพเป็นอย่างไร

ไป๋เหนียงจื่อสีหน้าเคร่งเครียดมาก พลิกสองมืออย่างต่อเนื่อง ผลักเงาฝ่ามือหยกขาวที่เหมือนหลักศิลาออกมาไม่หยุด ผลักไปหาหมัดที่ถล่มเข้ามา

เงารอยแยกมิติที่ส่อเค้าจะดับสูญราวกับไม้ผุ เงาฝ่ามือหยกขาวพังทลายครั้งแล้วครั้งเล่า คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์กระจายไปรอบๆ อย่างบ้าคลั่ง ทรงพลังเหมือนผลักภูเขาพลิกทะเล แม้คนที่ดูอยู่ไกลๆ ก็ราวกับถูกพายุ คนที่วรยุทธ์ต่ำพยายามร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านไว้อย่างสุดชีวิต

ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรรู้สึกทึ่ง การประมือของทั้งสองเมื่อครู่นี้ การเคลื่อนไหวนั้นราวกับจะพลิกคว่ำดาราจักร

กำลังพลในทัพใหญ่ของสองฝ่ายร่ายอิทธิฤทธิ์พร้อมกัน พลังอิทธิฤทธิ์ที่มหาศาลถึงได้ทำให้คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมเข้ามาอย่างบ้าคลั่งสลายไป

สู้กันผ่านอากาศยากจะตัดสินแพ้ชนะ จะเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายมีวรยุทธ์ต่างกันไม่มาก

พระปีศาจหนานโปตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น จิตวิญญาณการต่อสู้เผยให้เห็นบนใบหน้าตอนที่ปล่อยหมัดออกไป ก็กล่าวเสียงดังก้องว่า  ตั้งแต่สามเซียนโดนสังหาร ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยมีใครเป็นคู่ต่อสู้ข้าอีกเลย ถึงได้รู้ว่าโลกมนุษย์มันเหี่ยวเฉา ว่างเปล่าเดียวดายขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าพอข้าลงเขา ก็ตกได้คนหนึ่งทันที ดี! แสดงฝีมือทั้งสองของเจ้าออกมา ดูซิว่าเจ้าจะต้านได้นานแค่ไหน! 

เมื่อพูดจบแล้ว ก็เหมือนว่าการต่อสู้กันทางอากาศไม่สามารถทำให้เขาสะใจได้ เงาคนพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ใช้สองแขนกุมศีรษะ แล้วใช้ร่างกายชนไปทางเงาฝ่ามือหยกขาวเหมือนแผ่นศิลายักษ์ เงาฝ่ามือถูกชนพังตลอดทาง เสียงระเบิดดังก้องดาราจักร

ชั่วพริบตาที่ร่างกายของทั้งสองชนเข้ามาใกล้กัน ทั้งสองตบฝ่ามือออกมา

จีวรดำของพระปีศาจปลิวสะบัดอย่างรุนแรง เงาฝ่ามือที่ตีออกมาราวกับเป็นทองคำ แสงสีทองเจิดจ้าสว่างไสว ขอบเงาฝ่ามือมีรอยแยกเล็กละเอียดเหมือนรอยแยกมิติ ราวกับรอบเงาฝ่ามือถูกคลุมด้วยแสงสีดำหนึ่งชั้น แสงสีทองกับแสงสีดำผสมผสานกันจนสวยงามอย่างประหลาด

ไป๋เหนียงจื่อกระโปรงพลิ้งเปลือยเท้า ผมยาวปลิวสยายไปข้างหลังอย่างรุนแรง ตบเงาฝ่ามือที่ระเบิดแสงสีขาวเข้มข้นออกมา

ชั่วพริบตาที่ฝ่ามือของทั้งสองชนกัน แสงสีทองสุกใสราวกับแสงอาทิตย์ แสงสีทองระเบิดออก แสงสีขาวบริสุทธิ์ก็ระเบิดออกเช่นกัน

แสงสีทองสวยสดตระการตรา แสงสีขาวสง่าผ่าเผย มีลักษณะซื่อตรงและยิ่งใหญ่

ท่ามกลางเสียงดังตูมตาม มิติรอบเงาฝ่ามือใหญ่ทั้งสองที่ชนกันสะเทือนแตก แล้วก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก

แสงสีทองกับแสงสีขาวไม่หายไป แต่แสงสีดำหนึ่งชั้นที่ครอบเงาหมัดสีทองข้ามไปยังแสงสีขาวแล้ว เหมือจะติดอยู่ระหว่างสองฝ่ามือ

ดวงตางามของไป๋เหนียงจื่อเบิกกว้างขึ้นหลายส่วน พบว่าในเงาฝ่ามือของพระปีศาจหนานโปเกิดแรงดึงดูดมหาศาล ไม่ว่าตัวเองจะถอนฝ่ามือกลับมาอย่างไรก็ถอนกลับมาไม่ได้ จึงใช้พลังอิทธิฤทธิ์อย่างบ้าคลั่งเพื่อจะผลักออกไป แต่กลับพบว่าแสงสีดำที่ก่อตัวจากรอยเล็กที่คล้ายรอยแยกมิตินั้นเหมือนเป็นรอยแตกนับไม่ถ้วน ต่อให้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์แข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่ก็ซึมหายเข้าไปในนั้นหมดอยู่ดี เหมือนจะไม่มีผลกระทบอะไรต่อพระปีศาจเลย

เงาฝ่ามือของทั้งสองฝ่ายหดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง ในสายตาของคนนอก เหมือนจะถูกสองฝ่ายที่ประมือกันผลักเบียดให้เล็กลงแล้ว

มีเพียงไป๋เหนียงจื่อที่รู้ชัดอยู่แก่ใจที่สุด ว่าตัวเองถูกพระปีศาจกักไว้จนสลัดไม่หลุด ยิ่งทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กัน นางก็ยิ่งมีอันตรายมากขึ้น ฝ่ามืออีกข้างที่ตั้งตรงหน้าอกพลิกจีบนิ้วดีดอย่างต่อเนื่อง เงานิ้วแสงสีขาวยิงออกไปที่ฝ่ายตรงข้าม

พระปีศาจหนานโปแสยะยิ้ม ใช้ฝ่ามือข้างเดียวดึงจีวรดำบนบ่า นำมาตีในมือราวกับเป็นม่านสีดำ ต้านเงานิ้วสีขาวที่ยิงเข้ามาจนหายไป แล้วฉวยโอกาสสะบัดจีวร จีวรกระเพื่อมออกราวกับระลอกคลื่น ไป๋เหนียงจื่อรีบหดมือกลับมาต้านไว้ แต่พระปีศาจกลับฉวยโอกาสสะบัดมือฟัน จีวรดำฟันไปทางไป๋เหนียงจื่อราวกับเป็นคมมีดสีดำ

นิ้วเรียวของไป๋เหนียงจื่อพลิกขยับ หลบหลีกคมสีดำ เอียงหน้าคว้าจีวรดำเอาเอาไว้

ทว่าความเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจก็ได้เกิดขึ้น พระปีศาจหนานโปดึงจีวรสะบัด อีกฝั่งของจีวรในมือไป๋เหนียงจื่อพลันขยายออก ยาวขึ้นเหมือนมังกรคะนองน้ำ ชั่วพริบตาเดียวก็พันขึ้นไปบนแขนไป๋เหนียงจื่อ พันม้วนไป๋เหนียงจื่อไว้อย่างรวดเร็ว

ไป๋เหนียงจื่อตกใจมาก บนตัวระเบิดแสงสีขาวแสบตาออกมา

พระปีศาจกลับต้านฝ่ามือข้างนั้นไว้โดยพลัน แล้วถือโอกาสชกหมัดออกมา โจมตีออกมาอย่างกะทันหันเหมือนฟ้าผ่า

ไป๋เหนียงจื่ออยากจะหลบ แต่กลับถูกพระปีศาจใช้จีวรดึงไว้ ไม่มีทางหลบได้เลย โดนหมัดโจมตีทันที แสงสีขาวจ้าตาที่ระเบิดออกจากตัวก็ถูกหมัดชกกระจายหายไปเช่นกัน

 อุบ!  ไป๋เหนียงจื่อที่ถูกโจมตีอย่างรุนแรงกระอักเลือดสดออกมาอย่างบ้าคลั่ง

จีวรดำที่ม้วนนางไว้เหมือนจะแบกรับพลังมหาศาลของทั้งสองฝ่ายไม่ไหวจนปรอออก ไป๋เหนียงจื่อที่หลุดออกจากม้วนจีวรถูกสะบัดออกไปแล้ว

พอพระปีศาจสะบัดจีวร จีวรดำก็ลอยกลับมาเบาๆ มาห่มเฉียงไว้บนบ่าอีกครั้ง ชำเลืองมองไป๋เหนียงจื่อด้วยสีหน้าเหยียดหยาม  ข้ายังทันใช้ฝีมือเต็มที่เลย แค่นี้ก็ทนไม่ไหวแล้วเหรอ? ยังนึกว่าเก่งกาจขนาดไหน ฝีมือแค่นี้ยังกล้าโผล่มาตรงหน้าข้า ช่างไม่ประเมินกำลังตัวเอง! 

ไป๋เหนียงจื่อกระอักเลือดออกมาคำแล้วคำเล่า เลือดแดงย้อมหน้าอกแล้ว เมื่อครู่โดนโจมตีแบบจริงจังเกินไป นางได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว

 คุณชายไป๋! ท่านไม่มีวิธีการเหรอ? ไป๋เหนียงจื่ออยู่ในอันตรายแล้ว ยังไม่รีบห้ามพระปีศาจอีก! 

อู๋ฉางที่อยู่บนเรือมังกรพลันหันไปมองประมุขไป๋ที่อยู่บนตึกเรือ ร้องบอกอย่างกระวนกระวาย ชัดเจนว่ากำลังถามว่าจะทำอย่างไรดี

ประมุขไป๋เหมือนไม่มีท่าทีว่าจะแทรกแซง เพียงส่ายหน้าเบาๆ  ไม่ต้องรีบ ถ้าข้าเดาไม่ผิด ถ้าข้าเดาไม่ผิด ยอดฝีมือที่แท้จริงเบื้องหลังยังไม่ปรากฏตัว! 

 ยอดฝีมือที่แท้จริง?  อู๋ฉาง หั่วเจินจวิน อินเอ้อร์หลางงุนงง

สิบปราสาทดำเนินมองหน้ากันเลิกลั่ก พระปีศาจปรากฏตัวแล้ว แล้วก็มีไป๋เหนียงจื่อที่บรรลุระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โผล่มาอีก แค่นี้ก็น่าตกใจพอแล้ว ตอนหลังยังจะมียอดฝีมือที่แท้จริงอะไรอีก?

เกาก้วนเอียงหน้ามองมา แล้วถามว่า  ใคร? 

อู๋ฉางพลันเอามือตบหน้าผาก ถามว่า  ใช่คนที่ไป๋เหนียงจื่อเรียกว่าอาจารย์หรือเปล่า? 

ประมุขไป๋พยักหน้าเบาๆ  ตั้งตารอดูเถอะ! 

พวกหั่วเจินจวินกระจ่างในฉับพลัน ใช่แล้ว ยอดฝีมือที่สอนให้ไป๋เหนียงจื่อบรรลุระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้มีหรือที่จะธรรมดา ขนาดไป๋เหนียงจื่อยังเก่งกาจถึงเพียงนี้ เช่นนั้นผู้เป็นอาจารย์ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงเลย ลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน

ทุกคนจับจ้องการต่อสู้บนสนามนี้อีกครั้ง

เห็นเพียงไป๋เหนียงจื่อใช้มือข้างหนึ่งกุมหน้าอก ใช้มืออีกข้างหยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปที่ไหน

ดาวพิษ ในคลังสมบัติสำนักหนานอู๋ ศีลแปดที่กำลังนั่งสมาธิอย่างนิ่งสงบราวรูปปั้นบนบัลลังก์ดอกบัวพลิกมือเบาๆ ระฆังดาราอันหนึ่งลอยขึ้นมา ลอยมาอยู่ตรงหน้าเขา

ไป๋เหนียงจื่อส่งข่าวมาว่า : ท่านอาจารย์ เคราะห์กรรมทางโลกของท่าน ศิษย์แก้ไขให้ไม่ไหว เกรงว่าท่านต้องลงมือแก้เคราะห์กรรมด้วยตัวเองแล้ว

ศีลแปดตอบว่า : ข้ากำจัดจิตมารได้ยาก ไม่อยากพบพวกเขาอีด อยากตัดทางโลกนี้ หากพบกันอีก เกรงว่าจิตมารจะยิ่งมากขึ้น

ไป๋เหนียงจื่อ : เคราะห์นี้ใหญ่มาก ผู้สร้างเคราะห์คือพระปีศาจหนานโป ศิษย์บาดเจ็บสาหัส สู้ไม่ไหว!

พระปีศาจหนานโป? ศีลแปดที่นิ่งสงบดุจสาวบริสุทธ์พลันลืมตา พึมพาว่า:  อาจารย์ มู่น่า… 

 

พระปีศาจหนานโปเหมือนจะสังเกตได้ถึงอะไรบางอย่าง หันช้าๆ กลับไปมอฝ ในดวงตาฉายแววหยอกเย้า กล่าวอย่างเย็นชาว่า “สองสตรีแห่งเผ่าหงส์ นึกไม่ถึงว่าจะยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังเปลี่ยนเป็นอ่อนเยาว์แล้ว! ครั้งนี้คนมากันครบจริงๆ ก็ได้ จัดการรอบเดียวจะได้ไม่ยุ่งยาก ครั้งนี้ข้าจะไม่สังหารพวกเจ้า เก็บพวกเจ้าสองคนไว้เป็นสัตว์พาหนะของข้า! อิ๋งเยว่!”
“ค่ะอาจารย์” อิ๋งเยว่ขานรับ
“อาจารย์มีของขวัญชิ้นหนึ่งจะมอบให้เจ้า!” พระปีศาจหนานโปชี้ไปทางทัพใหญ่ที่กำลังคุมเชิงกัน แล้วถามอย่างทะนงองอาจว่า “มอบสิ่งที่เรียกว่าใต้หล้าเป็นของขวัญให้เจ้า เป็นอย่างไร?”
กำลังพลเก่าสายตระกูลอิ๋งได้ยินแล้วฮึกเหิมทันที
“ศิษย์ไม่สนใจใต้หล้า แค่อยากล้างความอัปยศให้ตระกูลอิ๋ง!” อิ๋งเยว่กล่าวอย่างเคียดแค้น
เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อแอบร้องในใจ ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะกลายเป็นศิษย์ของพระปีศาจหนานโปแล้ว ไม่ได้เข้าใจผิดใช่มั้ย?
“ให้เจ้า เจ้าต้องรับไว้!” พระปีศาจหนานโปกล่าวเสียงเรียบ ราวกับว่าถ้าต้องการใต้หล้านี้ก็ง่ายเหมือนหยิบของจากกระเป๋า สายตาลึกล้ำกวาดมองกลุ่มคน แล้วบอกว่า “ใครเชื่อฟังข้าก็เจริญ ใครต่อต้านข้า ตาย! ให้โอกาสพวกเจ้าครั้งเดียว คนที่ยอมสวามิภักดิ์มาอยู่ทางฝั่งข้า”
ทุกคนเงียบงัน ในทัพใหญ่ของทั้งสองฝั่งมีคนไม่น้อยมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงทั้งนั้นว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น
บนตึกเรือ ประมุขไป๋เอียงหน้าเล็กน้อยถามเทพพยากรณ์ “เจ้าแน่ใจนะว่าตอนที่เขาฟื้นชีพอีกครั้งก็คือเวลาดับสูญ?” เสียงถามนี้มีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ฝั่งนี้ได้ยิน
เทพถอนหายใจ “ถ้าข้าพยากรณ์ได้แม่นยำขนาดนั้นก็แย่แล้ว จะกล้ามาเจอได้ยังไง จะต้องอ้อมหลีกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแน่นอน ยังต้องกลัวเขาอีกหรือ? ข้ามั่นใจกับการคาดการณ์ตำแหน่งประตูดวงดาวเท่านั้น ข้ากำเนิดขึ้นจากพลังปรารถนาของสรรพชีวิต กับเรื่องในด้านนี้ข้าแค่สังหรณ์ใจรางๆ เท่านั้นเอง ไม่แน่ใจ”
ประมุขไป๋ชำเลืองเหมียวอี้แวบหนึ่ง “แต่กับเขา เจ้าพยากรณ์ได้แม่นมากไม่ใช่เหรอ? เขาเดินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว”
เทพพยากรณ์กล่าวว่า “ในปีนั้นข้ามีลางสังหรณ์ว่ามีคนที่มีวาสนายิ่งใหญ่จะปรากฏตัวเพราะเจ้า ผลปรากฏว่ามีคนมาเจอเจ้าจริงๆ แต่ข้าไม่ได้บอกว่าจะเป็นอย่างนั้นแน่นอนเสมอไป แต่เจ้าดูเขาในตอนนี้สิ เจ้ารู้สึกว่าแม่นหรือเปล่า? ดูเหมือนคนที่จะผ่านด่านได้หรือเปล่า? เจ้ารู้สึกว่าเขาสามารถรับมือกับพระปีศาจได้หรือเปล่า?”
เกาก้วนที่อยู่อีกด้านเอียงหน้ามองมา ไม่รู้ว่าทั้งสองพูดคุยเรื่องไร้สาระอะไรกัน
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบรับ พระปีศาจหนานโปก็ชี้อิ๋งเยว่ที่อยู่ข้างกัน “ดูท่าแล้วคงไม่มีใครยอมสวามิภักดิ์ อิ๋งเยว่ศิษย์ของข้าอยู่ตรงนี้แล้ว มีใครกล้าท้าสู้บ้าง? ใครกล้ามาท้าสู้?”
เขาถามซ้ำสองครั้ง ทว่ามีเขาหนุนหลังอยู่ ใครจะกล้าออกมารับคำท้าล่ะ?
ไม่ว่าจะเป็นเหมียวอี้ หรือชิงและพุทธะที่อยู่ตรงข้าม ก็ไม่มีใครตอบอะไรทั้งนั้น เริ่มร้อนรนทีละนิด รู้ว่าพระปีศาจไม่มีทางปล่อยเขาไป ถ้าพระปีศาจใช้วิธีการแข่งกร้าวเมื่อไหร่ ก็ทำได้เพียงสู้สุดชีวิต ตอนนี้ทุกคนต่างก็รอดูความเปลี่ยนแปลงก่อนแล้วค่อยรับมือ
ดาวพิษ คลังสมบัติสำนักหนานอู๋
ในคลังสมบัติเต็มไปด้วยภาพมายา ผู้คนสัญจรขวักไขว่อยู่บนถนน ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงเด็กหรือคนชราก็ล้วนมีใบหน้าเดียวกันหมด แม้แต่สัตว์ที่ผ่านไปมาก็ยังมีเค้าโครงใบหน้านั้น
ทันใดนั้น อีกาตัวหนึ่งบินมา กระพือปีกโฉบไปเกาะบนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง เราก็เป็นอีกากลายพันธุ์ เพราะเค้าโครงใบหน้าของอีกาตัวนี้ไม่สอดคล้องกับใบหน้านั้น
เนื่องจากการมาเยือนของอีกาตัวนี้ ภาพมายาบนถนนเหมือนจะถูกทำลาย ช่วยพริบตาเดียวก็เหมือนกับลมพายุพัดผ่านฝุ่นดิน กวาดภาพมายาในคลังสมบัติจนหายไปหมด
ศีลแปดที่นั่งสมาธิอยู่บนบัลลังก์ดอกบัวคิ้วสั่นทันที “เฮ้อ!” ถอนหายใจเบาๆเฮือกหนึ่ง
ไป๋เหนียงจื่อที่นั่งสมาธิอยู่ข้างล่างลืมตาและเงยหน้ามองมา ถามอย่างสงสัยว่า “ท่านอาจารย์ถอนหายใจทำไม?”
ศีลแปดลืมตาเล็กน้อย กล่าวยังทอดถอนใจว่า “ไป๋อิน ผู้ที่มีวาสนาต่อข้าในโลกมนุษย์เหมือนจะประสบเคราะห์กรรม หากไม่แก้ไข เกรงว่าชาตินี้ข้าจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมะได้ยาก เจ้าไปจบเรื่องนี้ให้ข้าแล้วกัน”
“ค่ะ!” ไป๋เหนียงจื่อลุกขึ้นประนมมือ
ศีลแปดโบกมือชี้ไปด้านล่าง รอยแยกมิติปรากฏตรงหน้าไป๋เหนียงจื่ออย่างเงียบเชียบ ไป๋เหนียงจื่อประนมมือแล้วก้าวเข้าไป
“ใครกล้าท้าทายข้า?”
ก่อนที่พระปีศาจหนานโปถามด้วยน้ำเสียงดุดันเป็นครั้งที่สามจบลง จู่ๆ รอยแยกมิติรอยหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงดาราจักร
สตรีชุดขาวผมยาวคลุมบ่าคนหนึ่งที่กำลังประนมมือปรากฏตัวขึ้นมา เท้าขาวดุจหยกเยื้องย่างออกจากรอยแยกมิติทีละก้าว ใบหน้าสงบนิ่งเปี่ยมเมตตา รอยแยกมิติพลันหายไปตรงข้างหลังนาง นางเพียงประนมมือลอยเงียบๆ อยู่ตรงหน้าพระปีศาจหนานโปที่กำลังตะโกน ราวกับปรากฏตัวขึ้นมาเพราะเสียงตะโกนท้าทายของพระปีศาจหนานโป
ไป๋เหนียงจื่อปรากฏตัวกลางอากาศ ทำให้คนไม่น้อยตกตะลึงกับสิ่งนี้
“ไป๋เหนียงจื่อ?”
ชิงและพุทธะอุทานเป็นเสียงเดียวกัน ทั้งสองมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สามารถตะโกนชื่อออกมาได้ก็แสดงว่ารู้จัก
“ไป๋เหนียงจื่อ?”
บทเรือมังกรอเวจีเกิดความวุ่นวายนิดหน่อย อู๋ฉาง หั่วเจินจวินและอินเอ้อร์หลางที่ยืนบนหัวเรือเบิกตากว้างและถามเป็นเสียงเดียวกัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
อู๋ฉางหันมองข้างๆ แล้วถามอย่างงุนงง “เมื่อครู่ผู้หญิงคนนี้ออกมาได้ยังไง”
“เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใคร?” หั่วเจินจวินตอบซื่อๆ
“ดูเหมือนจะเก่งกาจมาก นี่โผล่ออกมาจากไหนกัน?” อินเอ้อร์หลางถาม
ประมุขไป๋ที่อยู่บนตึกเรือขมวดคิ้วมองฉากนี้ สายตาไปอยู่บนมือไป๋เหนียงจื่อที่กำลังประนมมือ ในดวงตาเผยแววตาครุ่นคิดหาคำตอบ
ไป๋เหนียงจื่อพี่ประนมมือลอยอยู่กลางอากาศมีดวงตาโตสดใส นางลอยเงียบๆ รอบหนึ่ง เห็นทัพใหญ่ที่กำลังคุมเชิงกันแล้ว และเห็นเหตุการณ์ที่แต่ละฝ่ายกำลังคุมเชิงกันอยู่เช่นกัน สายตาไปอยู่ที่ตัวคนบนเรือมังกรอเวจี แล้วพยักหน้ายิ้มบางๆ
ไป๋เหนียงจื่อไม่รู้ว่าตรงนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น เปล่งเสียงอ่อนโยนถามก้องกังวานดาราจักร “ศัตรูควรเลิกจองเวรต่อกัน แต่ละฝ่ายหยุดตรงนี้ดีไหม?”
พูดอย่างนี้ไม่มีทางผิด แต่คำพูดนี้คล้ายกับบอกพระปีศาจหนานโปที่เพิ่งทำตัวอันธพาล ต้องการให้พระปีศาจหนานโปวางมือจากเรื่องนี้
พระปีศาจหนานโปพูดจาอวดดีต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ ตอนนี้ถ้าจะให้เขากลืนคำพูดแล้วกลับไป ก็ต้องทำให้เขากลืนคำพูดนี้อย่างไม่เป็นทุกข์ด้วยถึงจะทำได้
เพียงแต่ทำให้พระปีศาจหนานโปเก็บกลั้นจนเป็นทุกข์แล้วจริงๆ อึกอักเหมือนอยากจะพูดแต่เงียบไป วิธีการที่อีกฝ่ายปรากฏตัวเมื่อครู่นี้ เป็นสิ่งที่เขาทำไม่ได้ จึงรู้สึกกลัวนิดหน่อย ไม่รู้ว่านางโผล่มาจากไหน
สิ่งที่ทำให้เขาเป็นทุกข์ยิ่งกว่านั้นก็คือ สายตาของทุกคนจับจ้องอยู่บนตัวเขา ราวกับกำลังถามเขาว่า เจ้าจะยอมวางมือหรือไม่?
“คนนี้เป็นใคร?” เหมียวอี้เอียงหน้าถาม ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนกับชิงและพุทธะรู้จัก แต่เมื่อครู่นี้เห็นอยู่ชัดๆ ว่าผู้หญิงคนนี้พยักหน้าทักทายประมุขไป๋ ใต้หล้ายังมีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่ขู่ขวัญให้พระปีศาจหนานโปอยู่อีกหรือ?
เขาสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นประมุขปีศาจ แต่เขาก็เคยเห็นภาพวาดของประมุขปีศาจมาหลายครั้ง เค้าโครงใบหน้าไม่เหมือนกัน หรือพูดอีกอย่างว่า ประมุขปีศาจสามารถข่มขวัญพระปีศาจหนานโปได้เหรอ?
เถิงเฟยที่ค่อนข้างตกตะลึงตอบว่า “ฝ่าบาท คนนี้ชื่อว่าไป๋อิน เรียกตัวเองว่าไป๋เหนียงจื่อ เป็นลูกน้องของประมุขไป๋ในปีนั้น แล้วหายตัวไปหลายปีมากแล้ว”
“เก่งกาจมากใช่ไหม?” เหมียวอี้ถาม
“ในปีนั้นจัดว่าเป็นยอดฝีมือ มีระดับพอๆ กับประมุขสิบปราสาทดำเนิน ตอนนี้ดูท่าแล้วคงเก่งกาจกว่าปีนั้นเยอะ” เถิงเฟยตอบ
เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะมองไปทางประมุขไป๋ อย่าบอกนะว่านี่คือสาเหตุที่ประมุขไป๋รู้อยู่แก่ใจว่าพระปีศาจจะปรากฏตัว แต่ตัวเองก็ยังกล้าโผล่มา?
“ไป๋เหนียงจื่อเป็นใคร?” เทพสตรีเผ่าหงส์ได้ยินอวี้หลัวช่าที่อยู่ข้างกายอุทาน จึงอดไม่ได้ที่จะถาม
อวี้หลัวช่าอธิบายให้ฟังคร่าวๆ คล้ายกับเถิงเฟย เทพสตรีเผ่าหงส์มองไปทางฝั่งประมุขไป๋แล้ว
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?” พระปีศาจหนานโปจ้องไป๋เหนียงจื่อไม่ละสายตา เอียงหน้าเล็กน้อยถามจั่วเอ๋อร์ที่กลับมาเป็นสาวอีกครั้ง
“ไป๋เหนียงจื่อ ลูกน้องของประมุขไป๋ในปีนั้น…” จั่วเอ๋อร์แนะนำคร่าวๆ เช่นกัน
หลังจากฟังที่แนะนำตัวจบแล้ว พระปีศาจหนานโปก็ยิ่งกลุ้มใจ ลูกน้องของประมุขไป๋ ในปีนั้นพลังยังสู้ประมุขไป๋ไม่ได้ จะดูตอนนี้สิ เหมือนคนที่มีพลังสู้ประมุขไป๋ไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?
ไม่ใช่ว่าเขากลัวไป๋เหนียงจื่อ นึกถึงในปีนั้น ต่อให้เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดไหนเขาก็กล้าท้าสู้ เพียงแต่เขาไม่ใช่คนโง่ นี่เป็นคนหนึ่งที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าชัดเจน ถ้าเอาแต่ก่อเรื่องก็อาจจะได้บทเรียนกลับไป สิ่งที่ทำให้เขาลังเลก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าข้างกายจะไม่มีใครรู้ประวัติที่แท้จริงผู้หญิงคนนี้ชัดเจนสักคน
“ไป๋เหนียงจื่อ พระที่ไม่สวมเสื้อผ้า ห่มแต่จีวรคนนั้นก็คือพระปีศาจหนานโป เจ้าระวังตัวหน่อย” อู๋ฉางที่อยู่บนเรือมังกรพลันตะโกนบอก ท่าทางเหมือนคนข้างเป็นห่วงไป๋เหนียงจื่อ
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนนี้ดังขึ้น คนมากมายที่ก่อนหน้านี้ทำได้เพียงเดาตัวตนของพระปีศาจ ตอนนี้นับว่าแน่ใจแล้ว แต่ละคนแอบตกใจกลัว
ไป๋เหนียงจื่อหันตัวกลับมา มองไปที่พระปีศาจหนานโป เห็นได้ชัดว่าประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าเองเหรอ พระปีศาจหนานโป?”
“ข้าเอง!” พระปีศาจหนานโปแสยะยิ้ม “ทลายมิติ ตัดข้ามดาราจักร ดูท่าแล้วก็มีฝีมืออยู่บ้าง เจ้าอยากจะแทรกแซงเรื่องของข้าเหรอ? เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน!”
ไป๋เหนียงจื่อเข้าใจแล้ว ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินเรื่องของปีศาจเท่าตนนี้มาก่อน สงสัยสิ่งที่อาจารย์เรียกว่าเคราะห์กรรมในโลกมนุษย์จะหมายถึงพระปีศาจนี่ นางประนมมือ “อามิตตาพุทธ วางดาบฆ่าคน บรรลุธรรมเป็นพุทธะ!”
อู๋ฉางที่อยู่บนเรือมังกรปวดประสาทเล็กน้อย “ขนาดคำว่าอามิตตาพุทธยังกล่าวออกมาได้ ผู้หญิงคนนี้บวชจริงๆ เหรอ?”
หั่วเจินจวินที่ข้างๆ บอกว่า “เพิ่งออกหรือไง? นี่เจ้ายังไม่ตัดใจสินะ รีบตัดความหวังแต่เนิ่นๆ เถอะ!”
“เป็นพุทธะ?” พระปีศาจหนานโปเงยหน้าหัวเราะลั่นทันที “ข้าเป็นพุทธะอยู่แล้ว จำเป็นต้องกลายเป็นพุทธะอีกเหรอ?”
“เจ้าตัดการเวียนว่ายตายเกิด ก็ประสบเคราะห์ไปหนึ่งครั้งแล้ว เหตุใดยังไม่สำนึก? ถ้าก่อกรรมอีกครั้ง เกรงว่าสวรรค์คงยากอภัย ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง!” ไป๋เหนียงจื่อกล่าว
พระปีศาจหนานโปแสยะยิ้ม “พูดแบบนี้ แสดงว่าเจ้าจะเข้ามาสอดเรื่องของข้าให้ได้ใช่ไหม?”
ไป๋เหนียงจื่อส่ายหน้า “ก็แค่นโน้มน้าวให้เจ้ากลับตัวเสียแต่เนิ่นๆ อาศัยวรยุทธ์ของเจ้า ควรจะรีบบรรลุธรรมนะ เหตุใดต้องลำบากเบียดเบียดเวไนยสัตว์ เข้ามาพัวพันกับเวรกรรมในโลกมนุษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้เชียวหรือว่าตัวเจ้ากำลังอยู่ในเวรกรรม?”
“เลิกพูดเหลวไหล!” พระปีศาจหนานโปพูดเหยียด ฟังไม่เข้าหูเลย หลักการอะไรพวกนี้เขาฟังมาเยอะแล้ว เขาหันกลับไปบอกอิ๋งเยว่ว่า “มีคนออกมาท้าทายเจ้า นี่เป็นเวลาที่เจ้าจะได้พิสูจน์ว่าเจ้าฝึกสำเร็จแล้ว”
เขากำลังให้อิ๋งเยว่ออกหน้าไปทดสอบก่อน ดูว่าอีกฝ่ายฝีมือเป็นอย่างไรกันแน่ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเลยสักนิด ไม่น่าเชื่อว่าข้างกายจะไม่มีใครรู้ชัดสักคน
อิ๋งเยว่ก็ไม่ใช่คนโง่ เข้าใจเจตนาของอาจารย์ แต่นางมาพร้อมความอาฆาตพยาบาท อดทนซ่อนตัวมาหลายปีขนาดนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีวันนี้ได้ มีหรือที่จะวางดาบฆ่าคน บรรลุธรรมเป็นพุทธะเพราะคำพูดประโยคเดียว
อิ๋งเยว่ถลันตัวออกมาอยู่ตรงข้ามกับไป๋เหนียงจื่อ ส่วนตัวพลันมีเงามายาของรอยแยกมิติครอบไว้หนึ่งชั้น
ประมุขชิงพี่กำลังสังเกตการณ์ถ่ายทอดเสียงบอกประมุขพุทธะ “เหมือนมหาเวทอเวจีที่ท่านฝึก!”
ประมุขพุทธะขมวดคิ้ว ตัวเองก็รู้สึกว่าค่อนข้างคล้ายเช่นกัน แต่ก็ไม่พอให้แปลกใจ ตอนแรกที่อยู่สถานที่ผนึก พระปีศาจหนานโปสามารถท่องมหาเวทอเวจีที่เขาฝึกออกมาได้ ในเมื่อพระปีศาจรู้เคล็ดวิชานี้ จะถ่ายทอดวิชาให้ศิษย์ตัวเองก็ไม่แปลก เพราะว่าผ่านไปไม่นานก็พบว่าไม่เหมือน
เงารอยแยกมิติที่ครอบอยู่รอบกายอิ๋งเยว่พลันหมุนวนด้วยความเร็วสูง ราวกับเป็นพายุหมุน แล้วก็กลายเป็นเส้นโปรยรอบกาย เหมือนบนตัวเต็มไปด้วยเปียเล็กๆ
ครั้นรู้ว่าเหมียวอี้ส่งทัพใหญ่สองพันล้านมาช่วยแล้ว ตอนหลังยังจะมีกำลังพลของเหยียนซิวกับเหิงอู๋เต้ามาช่วยอีก เหยียนซู่ก็สงบใจมาก ต่อให้ไม่พร้อมอย่างไร แต่เขาก็เชื่อว่าตัวเองจะรอจนกว่าทัพใหญ่สองพันล้านมาช่วยได้อย่างไม่มีปัญหา
เมื่อรู้ว่าเหมียวอี้กำลังจะทำศึกตัดสินครั้งสุดท้ายกับชิงและพุทธะ เหยียนซู่ก็เริ่มกังวลถึงความปลอดภัยของเหมียวอี้อีก เพราะก่อนหน้านี้เคยเห็นพลังอันห้าวหาญของชิงและพุทธะ นั่นคือตัวละครที่สามารถเด็ดหัวแม่ทัพท่ามกลางกองทัพนับพันหมื่นได้ มิหนำซ้ำยังมีกันตั้งสองคน เขารู้อย่างลึกซึ้งว่าถ้าเหมียวอี้เป็นอะไรไป ต่อให้เอาชนะกำลังพลของชิงกับพุทธะได้ก็ไม่มีประโยชน์ ฝั่งนี้จะต้องตกอยู่ในสภาพวุ่นวายแน่นอน กำลังพลจากแต่ละสายจะมีใครยอมใครล่ะ? ตอนนี้คนที่ทำให้พวกเขายอมอยู่ใต้อำนาจได้มีเพียงเหมียวอี้เท่านั้น!
“เทพสตรีทั้งสอง พลังของชิงและพุทธะไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะต้านไหว เกรงว่าฝ่าบาทจะมีอันตราย หวังว่าทั้งสองจะรีบไปช่วยเร็ว” เหยียนซู่ที่ในใจมีความกังวลกล่าวขอร้องต่อเทพสตรีเผ่าหงส์อย่างจริงใจ
ทั้งสองไม่ได้ปฏิเสธ เอ่ยรับแล้วรีบออกไปทันที ทิ้งหงส์และมังกรไว้คอยช่วยเหลือที่นี่ ถ้าฝั่งนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรขึ้น หงส์และมังกรที่รวมตัวเป็นฝูงก็จะพยายามคุ้มครองเหยียนซู่ให้หนีออกไปทันที
อวี้หลัวช่านำลูกศิษย์จำนวนหนึ่งหมื่นติดตามคุ้มครองไปด้วย
เดิมทีเฮยทั่นก็ต้องการจะไปด้วยเหมือนกัน แต่ถูกเทพสตรีทั้งสองห้ามไว้ เพราะคนอื่นไม่เข้าใจว่าจะบัญชาการตั๊กแตนทมิฬให้คุ้มครองทัพกลางอย่างไร…
หลังจากเหมียวอี้รอจนชิงเยว่นำทัพมาเจอกันแล้ว ก็นำกำลังพลเลี้ยวไปทันที ใช้ตาทิพย์เล็งเป้าหมายไปที่ชิงและพุทธะตลอดทาง
ฝั่งหนึ่งมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ ต้องการจะรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียว
ฝั่งหนึ่งทุบหม้อข้าวจมเรือ ต้องการจะสู้ให้รู้แพ้รู้ชนะ
ทัพใหญ่สองฝั่งมาเผชิญหน้าและคุมเชิงกันอยู่ในดาราจักรอย่างเลี่ยงไม่ได้
ฝั่งหนึ่งเป็นกำลังพลเกือบเจ็ดพันล้านกำลังขยายตัวอยู่ในดาราจักร ลักษณะท่าทางดุดันสะเทือนขวัญ
ฝั่งหนึ่งเป็นกำลังพลหนึ่งพันล้านที่จัดกระบวนทัพอยู่ในดาราจักร ไม่ยอมถอยเด็ดขาด
สองทัพกำลังคุมเชิง แม่ทัพหลักของทั้งสองฝ่ายเผยโฉมมาพบกัน ต่างคนต่างมีความรู้สึกต่างกันไป
เหมียวอี้ยังนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เจอกับประมุขชิงครั้งแรกที่อุทยานหลวงได้รางๆ ตอนนั้นเขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าวันหนึ่งตัวเองจะมีสิทธิ์นำทัพมาตั้งป้อมประจัญหน้ากับทัพของประมุขชิง และนึกไม่ถึงด้วยว่าตัวเองจะมีโอกาสแทนที่ประมุขชิง นึกย้อนไปถึงปีนั้นที่ประมุขชิงพูดประโยคเดียวก็สามารถทำให้เขาดิ้นรนอยู่บนเส้นทางแห่งความเป็นความตายได้เลย เรื่องในอดีตที่ตัวเองดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างลำบากยากเข็ญราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เกรงว่าประมุขชิงในปีนั้นก็คงนึกไม่ถึงเช่นกันว่าจะมีวันนี้!
ประมุขพุทธะขยับนับลูกประคำในมือ กำลังประเมินเหมียวอี้อย่างละเอียด
ส่วนประมุขชิง พอเห็นเหมียวอี้ก็เกิดไฟโกรธสุมทรวง พอนึกว่าภรรยาคู่ชีวิตอย่างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตกอยู่ในมืออีกฝ่าย ชิงหยวนจุนถูกอีกฝ่ายวางแผนทำร้าย จ้านหรูอี้และลูกในท้องก็ตายด้วยน้ำมืออีกฝ่าย และเจ้าสารเลวนี่ก็เป็นเขาเองที่คัดเองมาเองกับมือ
สำหรับเขา เขารู้สึกว่าตัวเองเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้
แต่สำหรับเหมียวอี้ กลับไม่คิดว่าในปีนั้นประมุขชิงดูแลตัวเองเท่าไรนัก คิดว่าทุกสิ่งที่ได้มาล้วนเป็นตัวเองที่วางแผนรับมือเองอย่างระมัดระวัง
สรุปก็คือสำหรับประมุขชิงแล้ว นี่คือแค้นเก่าผสมแค้นใหม่ เมื่อเห็นเหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าตาแดงทันที ชี้หน้าด่าอย่างโมโห “โจรกบฏ! ยังไม่รีบรับความตายไปอีก!”
เหมียวอี้ตอบเสียงดังว่า “ใจคนในใต้หล้าล้วนต่อต้าน ทุกสิ่งแสดงอยู่ตรงหน้าหมดแล้ว ยังไม่รีบยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดีอีก แบบนั้นจะรอดตายได้!” มือข้างหนึ่งคว้ากระบี่เก้าเตามาไว้ในมือ
เมื่อเห็นกระบี่เก้าเตา ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวที่พ่อลูกโดนเสี้ยมให้กลายเป็นศัตรูกัน ประมุขชิงชักกระบี่ขึ้นมาคำราม “กล้าสู้ตายกับเจิ้นหรือเปล่า!”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “เป็นตะพาบในไหแท้ๆ ยังกล้าพูดอีก?”
ศึกใหญ่กำลังจะปะทุ แต่ใครจะไปคิดว่าในดาราจักรจะมีเสียงเยาะเย้ยถากถางที่ดูแคลนทุกสิ่งมีชีวิตดังขึ้น “พูดไม่ผิดหรอก เป็นตะพาบในไหทั้งนั้น!” เสียงนี้ทรงพลัง
ทุกคนหันไปมองพร้อมกัน มองไปตามทิศทางที่เสียงดังมาพร้อมคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ เห็นเพียงเส้นสีดำเส้นหนึ่งลอยมจากจุดไกลๆ
พอเส้นสีดำเข้ามาใกล้ฝั่งนี้ จู่ๆ ก็พลิกหมุน แต่กลับเป็นผ้าสีดำเส้นหนึ่งที่ลอยอยู่ในดาราจักรเท่านั้น บนนั้นมีลวดลายที่ปักด้วยเส้นสีทอง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเป็นจีวรสีดำตัวหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะมีเสียงดังมา ก็เกรงว่าคงจะสังเกตเห็นได้ยากจริงๆ
“มีมานีโอม…” เสียงสวดมนต์ดังมา เสียงไม่ดังมาก แต่กลับหมือนเสียงระฆังที่ดังก้องกังวานสะท้านใจคน
เพียงชั่วพริบตานี้ มีคนไม่น้อยที่ตกอยู่ในภวังค์
แม้แต่เหมียวอี้เองก็ใจลอยไปชั่วครู่ แต่ต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ในร่างกายกลับดีดคลื่นใสระลอกหนึ่งขึ้นมาชำระล้าง ชั่วพริบตาเดียวก็กลับมาได้สติอีกครั้ง
ชั่วพริบตาที่ได้สติกลับมา เหมียวอี้ก็ตกใจมาก ในหัวนึกถึงคนคนหนึ่งทันที พระปีศาจหนานโป!
ในตอนนี้ เหมียวอี้แอบร้องในใจแล้วจริงๆ พระปีศาจโผล่มาตอนนี้ อย่าบอกนะว่าพลังอิทธิฤทธิ์ฟื้นฟูกลับมาอยู่จุดสูงสุดเหมือนในปีนั้นแล้ว? ถ้าเป็นอย่างนี้จริง ก็เกรงว่าจะเกิดปัญหายุ่งยากแล้ว อีกฝ่ายกล้าปรากฏตัวตอนนี้แสดงว่าต้องมีที่พึ่งแน่นอน
เขาจำที่เซี่ยโห้วท่าเคยกล่าวไว้ได้ ว่าพระปีศาจต้องใช้เวลาหมื่นปีกว่าจะกลับมามีพลังสูงสุดเหมือนในปีนั้น แต่นี่ยังไม่ถึงหมื่นปี ซ่อนตัวมานานขนาดนี้ ทำไมโผล่ออกมาตอนนี้ได้ล่ะ อย่าบอกนะว่าปีศาจเฒ่านี่กำลังรอเวลานี้?
เหมียวอี้รีบมองซ้ายมองขวา พบว่ามีคนที่ทำสีหน้าเหม่อลอยอยู่ไม่น้อย แม้จะเตรียมพร้อมป้องกันพระปีศาจไว้แล้ว แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะปิดหกประสาทสัมผัสเอาไว้ตลอด
ในทางกลับกัน ดูจากสีหน้าชิงและพุทธะก็เหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร ไม่รู้ว่าสองคนนั้นเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าอย่างไร
ทั้งชิงและพุทธะเผยสีหน้าหวาดผวาเช่นกัน
ในขณะนี้เอง มีเสียงฉิน “ติงติงตังตัง” ดังขึ้น เป็นเสียงที่แผ่วเบาอ่อนโยน เสียงนี้เริ่มดังและขยายวงกว้างทีละนิด ดังเข้ามาราวกับจะปูฟ้าคลุมดิน
กำลังพลที่ตกอยู่ในภวังค์ทยอยกันตัวสั่น ราวกับตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ตอนที่อารมณ์ความคิดตกลงสู่เหวลึก พวกเขาราวกับถูกเสียงฉินนี้ดึงกลับมา
ชิงและพุทธะสีหน้าเปลี่ยนอีกครั้ง หันขวับไปมองพร้อมกัน
ทุกคนมองไปทางจุดที่เสียงฉินดังมา เห็นเพียงเรือมังกรยักษ์สีหยกขาวลำหนึ่งขับเข้ามาจากจุดลึกในดาราจักร เรือมังกรทั้งใหญ่ทั้งงามประณีต เป็นภาพที่โอ่อ่าอลังการ บนตัวผีดิบมากมายถูกล่ามโซ่ไว้ กำลังลากเรือมังกรไปข้างหน้า ทำให้คนรู้สึกสั่นสะท้านใจอย่างบอกไม่ถูก
คนของสิบปราสาทดำเนินยืนเรียงแถวเป็นรูปตัว ‘V’ อยู่ตรงหัวเรือ บนตึกเรือมีเทพพยากรณ์สวมหมวกงอบถือไม้ขักขระยืนอยู่ทางขวา เกาก้วนที่สวมหมวกทรงสูงสีดำกับชุดคลุมสีดำทั้งตัวยืนอยู่ฝั่งซ้าย ประมุขไป๋อยู่ตรงกลาง มือกำลังดีดกู่ฉินที่ยาวประมาณหนึ่งจั้ง
บนกู่ฉินแกะสลักเป็นรูปดาราจักร หัวมังกรสามตัวราวกับชะเง้อขึ้นมาจากทะเลเมฆ ตัวมังกรสามสีคือสายฉิน ดูถูกจากรูปแบบแล้วคงจะเป็นกู่ฉินแปดสายแบบดั้งเดิม ไม่รู้ว่าทำไมจึงเหลือเพียงสามสาย
จอนผมสองข้างเป็นสีขาว ผ้าคลุมสีเขียวแกมฟ้าคลุมบนชุดขาว มือข้างหนึ่งไขว้หลังอยู่ใต้ชุดคลุม ห้านิ้วเรียวยาวกำลังดึงดีดฉินสามสายอย่างสง่างาม สีหน้าท่าทางเยือกเย็น สถานการณ์ที่ทัพใหญ่กำลังคุมเชิงกันอยู่ในดวงตางามดุจประกายดาวคู่นี้หมดแล้ว เสียงฉินก็มาจากเรือมังกรลำนี้ มาจากการบรรเลงด้วยมือของประมุขไป๋
เรือมังกรอเวจี! เทพพยากรณ์! เหมียวอี้พลันเบิกตากว้าง จ้องชายที่กำลังดีดฉิน ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ในที่สุดก็ได้พบเขาอีกครั้ง แต่กลับเลือกที่จะปรากฏตัวในเวลานี้ เขาไม่กล้าแน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูหรือมิตร
พลังอำนาจของชิงและพุทธะยามต้องการทำศึกตัดสินถูกกลบแล้ว ทั้งสองจ้องชายที่ดีดฉินอยู่บนเรือมังกรไม่ละสายตา มีสง่าราศีเหมือนเดิม อิสระสง่างามเหมือนอย่างเคย ถูกขังมาหลายปีขนาดนี้ สิ่งที่เพิ่มขึ้นมีเพียงความกร้านโลกเท่านั้น
เหมียวอี้ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูหรือเป็นมิตร แต่พวกเขากลับแน่ใจได้ว่าประมุขไป๋ไม่ได้มาดี!
ก่อนหน้านี้ทั้งสองคิดมาตลอดว่าต่อให้แพ้แต่ก็สามารถหนีไปได้ แต่ตอนนี้กลับไม่มีความมั่นใจแล้ว
ทั้งยังมีผีดิบที่ลากเรือมังกรพวกนั้นอีก พวกชิงและพุทธะไม่ได้แปลกหน้ากับผีดิบพวกนี้ มีคนเก่าคนแก่ไม่น้อยที่มองหน้ากันเลิกลั่ก
เกาก้วนที่ยืนอยู่บนตึกเรือทำให้ประมุขชิงกระตุกแก้มอย่างรุนแรง พอนึกถึงซ่างกวนชิงที่ถูกตัวเองฆ่าทิ้งไป ก็เหมือนจะตระหนักได้แล้วว่าตัวเองทำอะไรผิดไป
จีวรสีดำที่ลอยมาพลันคลายออก ที่แท้ก็เป็นจีวรที่พับไว้ พอคลายจีวรออกใน ข้างในก็มีคนกลุ่มหนึ่งโผล่มา เถิงเฟยและเฉิงไท่เจ๋อจำอิ๋งเยว่ได้ จำลูกน้องเก่าของอิ๋งจิ่วกวงได้ เพียงแต่จำจั่วเอ๋อร์ที่กลับมาเป็นสาวอีกครั้งไม่ได้
พระที่รูปร่างสูงใหญ่ยืนเท้าเปล่าอยู่ข้างหน้า จมูกโด่งแก้มตอบเบ้าตาลึก หน้าเป็นโครงกระดูกชัดเจน เป็นพระปีศาจหนานโปนั่นเอง ยกมือดึงจีวรที่ปลิวสะบัดข้างละมุม ดึงจีวรม้วนเข้ามาพาดเฉียงไว้บนบ่า ปิดคลุมกล้ามเนื้อแน่นแข็งแรงบนท้องและหน้าอก
มีตู้เฉียว ลูกน้องคนสนิทของซ่างกวนชิงอยู่ในนั้นด้วย ถ้าเขาอยากจะรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของทัพใหญ่ก็ไม่ยาก เพียงแต่ตอนหลังซ่างกวนชิงโดนประมุขชิงสังหารแล้ว ตู้เฉียวในฐานะที่เป็นคนสนิทของซ่างกวนชิงก็ไม่รอดเช่นกัน ที่จริงเขาติดตามขบวนของชิงและพุทธะมาตลอด รอโอกาสปรากฏตัวมาตลอด เพียงแต่อาศัยทักษะพิเศษของเขา จึงทำให้ไม่มีใครพบเห็นก็เท่านั้นเอง
เหมือนกับที่เขาเคยบอกไว้กับจั่วเอ๋อร์ เขาต้องการรอให้คนมากันครบ ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยให้ใครหนีไปได้ แม้จะเป็นเขาก็ตาม ก็ตามหาให้เจอได้ยากอยู่ดี
ชิงและพุทธะมองพระเปลือยเท้าที่ห่มจีวรดำ ดวงตาฉายแววหวาดกลัว ถ้าจะบอกว่าให้เผชิญหน้ากับประมุขไป๋ เขาก็ยังมีความกล้าที่จะเผชิญหน้า แต่ถ้าให้เผชิญหน้ากับพระปีศาจหนานโป ในใจทั้งสองก็ยังมีความหวาดกลัวอยู่
สายตาลึกล้ำของพระปีศาจหนานโปกวาดมองชิงและพุทธะ สองคนนี้ต้องการจะเล่นงานให้ตนสิ้นชีวิตที่สถานที่ผนึก สายตาหยุดอยู่บนหน้าเหมียวอี้ นึกถึงเหตุการณ์ที่เกือบตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มพิลึก “หนิวโหย่วเต๋อ พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ!”
เมื่อเทียบกับชิงและพุทธะ เขาแค้นเหมียวอี้ยิ่งกว่า ตั้งแต่เป็นใหญ่ใต้หล้า ยังไม่เคยมีใครหลอกต้มเขาเหมือนเป็นคนโง่มาก่อน อาศัยฐานะของเขาทำงานให้เหมียวอี้เพื่อบัวโลหิต เมื่อทำงานเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าเหมียวอี้เบี้ยวสัญญา ไม่ทำตามสัญญาก็ว่าหนักแล้ว ทั้งยังจะเล่นงานเขาให้ถึงแก่ความตายอีก ใต้หล้ามีใครที่ไร้ยางอายจนน่าแค้นขนาดนี้บ้าง?
เหมียวอี้สีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ตอบอะไร สายตามองไปทางประมุขไป๋ รู้อยู่ชัดเจนว่าพระปีศาจมาแล้ว แต่ประมุขไป๋ก็ยังโผล่หน้ามา แสดงว่าเป็นพวกเดียวกัน หรือเพราะมีที่พึ่งพิงจึงไม่กลัว?
เสียงฉินเงียบลง เรือมังกรอเวจีก็หยุดอยู่ตรงจุดไกลๆ เช่นกัน
พระปีศาจหนานโปพลันหันไปจ้องที่เรือมังกรอเวจี จ้องประมุขไป๋พลางแสยะหัวเราะ แล้วก็จ้องที่เทพพยากรณ์อีก ยิงฟันเผยรอยยิ้มที่สื่อความหมายล้ำลึก
เทพพยากรณ์ที่สวมหมวกงอบสงบนิ่งเยือกเย็นมาตลอด ตอนนี้ก้มหน้าเล็กน้อย ไม่กล้าสบตาพระปีศาจ รู้สึกตัวสั่นเล็กน้อยด้วย
สายตาของพระปีศาจหนานโปกลับไปมองทัพใหญ่ที่กำลังคุมเชิงอีก แล้วถามด้วยเสียงดังก้องว่า “สู้กันสิ! สู้กันต่อไป ทำไมไม่สู้แล้วล่ะ?”
ตรงนั้นไม่มีเสียงใครตอบ ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้จักพระปีศาจหนานโป แต่เสียงสวดมนต์ก่อนหน้านี้ก็แทบจะควบคุมทุกคนได้แล้ว ทำให้พอจะเดาได้แล้วว่าเป็นใคร
การปรากฏตัวของพระปีศาจ การปรากฏตัวของเรือมังกรอเวจี ทำให้กลิ่นอายของศึกที่กำลังจะปะทุอันตรธานหายไปแล้ว
กำลังพลเก่าสายตระกูลอิ๋งเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ บางคนก็ทำสีหน้าตื่นเต้นดีใจ พวกเขารอวันนี้มานานแล้ว โดยเฉพาะอิ๋งเยว่ แววตาที่อาฆาตแค้นมองไปบนใบหน้าประมุขชิง เถิงเฟย เฉิงไท่เจ๋อและเหมียวอี้เป็นระยะ
ตรงจุดที่อยู่ไกลๆ คนกลุ่มหนึ่งหยุดเหาะกระทันหัน เป็นสองเทพสตรีผู้พิทักษ์ของเผ่าหงส์ แล้วก็มีอวี้หลัวช่าด้วย
สองเทพสตรียื่นมือขวาง กล่าวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “พระปีศาจหนานโป!”
พวกนางคือคนที่เคยสู้กับพระปีศาจหนานโปซึ่งๆ หน้าเมื่อนานมาแล้ว รู้ว่าพระปีศาจน่ากลัวขนาดไหน
อวี้หลัวช่าแค่เคยเห็นวิญญาณศักด์สิทธิ์ของพระปีศาจ ไม่เคยเห็นตัวจริง พอได้ยินแล้วก็ตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าปีศาจเฒ่าจะปรากฏตัวอีกครั้งที่นี่ เป็นเรื่องที่อันตรายร้ายแรงถึงชีวิตจริง
ขบวนเดินทางนี้จึงไม่กล้าเข้าใกล้อีก
…………………………
เมื่อเห็นโกวเยว่เดินออกมา เม่ยเหนียงก็รีบเข้าไปถามว่า “ท่านอ๋องเป็นอะไรไป?”
โกวเยว่มองไปที่ผู้หญิงกลุ่มนี้ แต่ละคนในดวงตาเป็นไปด้วยความกังวล ท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เขารู้ว่าผู้หญิงเหล่านี้กังวลอะไร อย่างไรเสียตอนนี้ก็เป็นช่วงสงครามใหญ่ จู่ๆ ท่านอ๋องก็เป็นอย่างนี้ จะไม่ให้ผู้หญิงกลุ่มนี้กังวลก็คงยาก ถึงอย่างไรความร่ำรวยของทั้งตระกูลก็ล้วนพึ่งพาท่านอ๋อง และการที่ท่านอ๋องไม่อยากจะคุยอะไรกับพวกนาง เกรงว่าคงจะพูดอะไรไม่ออก
โกวเยว่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรพูดอะไรกับพวกนาง แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ปิดบังไม่ไหวแล้ว ช้าเร็วก็ต้องเผชิญหน้า ถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบว่า “สิ้นไร้อนาคตแล้ว!”
คำตอบเพียงไม่กี่คำนี้ทำให้คนกลุ่มนี้รู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่า มีคนตกใจจนหน้าซีด บางคนก็ตื่นตระหนกหวาดกลัวถึงขีดสุด
เรื่องบางเรื่องถ้ายังมาไม่ถึงตัวก็ยังไม่รู้จักกลัว ก่อนหน้านี้เห็นคนอื่นเศร้าวิเวกเพราะบ้านแตกสาแหรกขาดจนชินแล้ว พอรู้ว่าตัวเองอาจจะเปลี่ยนจากใช้ชีวิตหรูหราสุขสบายกลายเป็นคนจนตรอกเทียบหมูสุนัขไม่ติด ความหวาดกลัวอะไรที่สิ้นสุดก็โจมตีหัวใจ
เม่ยเหนียงประสานสองมือตรงหน้าอก ถามเสียงสั่นว่า “จะเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง ยังไม่ได้รบกันไม่ใช่หรอ? ทำไมถึงสิ้นไร้อนาคตแล้ว?”
โกวเยว่ถอนหายใจอีก จะให้เขาอธิบายสิ่งนี้ได้อย่างไร ยามปกติผู้หญิงพวกนี้ไม่ได้คลุกคลีกับเรื่องนี้ ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวจะอธิบายให้เข้าใจได้อย่างไร ถ้าเป็นคนที่คุ้นเคยกับสถานการณ์ แค่เปิดเผยให้รู้นิดเดียวก็เข้าใจแล้ว คนที่ไม่มีความรู้ก็จะสงสัยทุกจุด เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้เข้าใจได้โดยใช้เวลานิดเดียว
เขาเองก็ไม่อยากอธิบายให้ผู้หญิงกลุ่มนี้รู้ว่าท่านอ๋องยอมแพ้โดยไม่สู้
สี่อ๋องสวรรค์ในปีนั้น อิ๋งจิ่วกวงแม้ตัวตายก็ไม่ยอมแพ้ โค่วหลิงซวีแม้ตัวตายก็ไม่ยอมแพ้ ฮ่าวเต๋อฟางหวังเพียงความตาย มีเพียงท่านอ๋องที่ยอมแพ้โดยไม่สู้ เกรงว่าแม้แต่ท่านอ๋องเองก็ยังเผชิญหน้ากับตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ!
ตอนนี้ก่วงลิ่งกงยกอำนาจให้เขาจัดการทุกอย่าง สถานการณ์ด้านนอกไม่ยอมให้เขาเสียเวลากับผู้หญิงกลุ่มนี้อีก เขาต้องแก้ไขปัญหาและพยายามปกป้องผลประโยชน์ของตระกูลเอาไว้ให้ได้มากที่สุด หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็บอกกับเม่ยเหนียงว่า “ทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อล้อมที่นี่ไว้แล้ว สามารถบุกโจมตีได้ทุกเมื่อ เหนียงเหนียง หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าอยากได้คุณหนู!”
“อยากได้เม่ยเอ๋อร์?” เม่ยเหนียงหายใจถี่กระชั้น สีหน้าแย่มาก ถามว่า “อย่าบอกนะว่าแม้แต่ประมุขชิงและประมุขพุทธะก็แพ้ให้กับหนิวโหย่วเต๋อด้วย?”
“ยังขอรับ” โกวเยว่ส่ายหน้า
เม่ยเหนียงไม่ยอม “แล้วทำไมต้องยอมศิโรราบให้หนิวโหย่วเต๋อ?”
แล้วจะให้โกวเยว่อธิบายสิ่งนี้อย่างไร?
กำลังพลทั้งสองฝั่งเริ่มทยอยมาทางนี้ เป็นเพราะกำลังพลสามร้อยล้านในมือท่านอ๋องคือกุญแจสำคัญของศึกตัดสินระหว่างชิงพุทธะและหนิวโหย่วเต๋อ เพราะหนิวโหย่วเต๋อมีกำลังพลเจ็ดพันล้านกว่า ชิงและพุทธะมีกำลังพลสองพันล้านกว่า ถ้ามารวมกับกำลังพลสามร้อยล้านในมือท่านอ๋องได้ ก็จะกลายเป็นทัพใหญ่ห้าพันล้าน อีกทั้งในมือชิงและพุทธะยังกักตุนอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมาก สามารถนำมาให้กำลังพลของท่านอ๋องได้ ถึงตอนนั้นด้วยระดับความเก่งกาจและความได้เปรียบด้านอาวุธ ก็เพียงพอที่จะทำศึกตัดสินกับทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อได้แล้ว ถ้าท่านอ๋องไปเข้าข้างฝั่งหนิวโหย่วเต๋อ ก็ไม่ต้องคิดแล้วว่าใครจะมีอำนาจตัดสินใจในใต้หล้านี้
อธิบายรายละเอียดเหล่านี้ให้พวกนางรู้ก็ไม่มีความหมายอะไร ยิ่งเจ้าอธิบาย พวกนางก็ยิ่งมีคำถามเยอะ แล้วไม่มีเวลามาค่อยๆ อธิบายเพื่อเกลี้ยกล่อมด้วย มีหลายคำถามที่ไม่สามารถอธิบายกับผู้หญิงเหล่านี้ได้ ในภายหลังค่อยอธิบายกับพวกนางอีกทีดีกว่า เขาบอกพวกนางเพียงว่า “เหนียงเหนียง ทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อสามารถบุกโจมตีได้ทุกเมื่อ พวกเรามีเวลาจำกัดแล้ว ถ้าเริ่มบุกโจมตีเมื่อไหร่ พวกเราตรงนี้ก็จะไม่มีใครรอดได้สักคน! เหนียงเหนียง ส่งตัวคุณหนูออกมาเถอะ!”
เม่ยเหนียงส่ายหน้า นางไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าลูกสาวของตัวเองจะได้รับความอัปยศอย่างไรบ้าง นางหันตัววิ่งเข้าห้องไปแล้ว ต้องการจะไปหาก่วงลิ่งกง
ใครจะคิดว่าตอนที่เพิ่งวิ่งมาถึงประตู ก็ได้ยินเสียงอันทุ้มลึกของก่วงลิ่งกงดังมาว่า “ไปบุกเข้ามา ประหาร!”
เม่ยเหนียงตัวสั่นทันที นางหยุดฝีเท้า ก้าวถอยหลังช้าๆ น้ำตาไหลพรากเต็มหน้าในชั่วพริบตาเดียว
ผ่านไปไม่นาน ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งก็กรูกันเข้ามา ดึงแขนเม่ยเหนียงมาด้านข้างแล้วล้อมเกลี้ยกล่อมนาง
“น้องสาว เจ้าเป็นนายหญิงของตระกูลนะ ต้องพิจารณาเพื่อทั้งตระกูลสิ!”
“น้องสาว ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานึกถึงแต่ตัวเอง จะใช้อารมณ์ตัดสินใจไม่ได้ ต้องคำนึงถึงภาพรวมสิ!”
“พี่สาว หนิวโหย่วเต๋อกำลังจะได้ครองใต้หล้าแล้วนะ เม่ยเอ๋อร์อยู่กับหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ใช่ความอัปยศ…”
ผู้หญิงกลุ่มนี้พากันเปลี่ยนวิธีการต่างๆ เพื่อเกลี้ยกล่อมให้เม่ยเหนียงส่งลูกสาวไป เรียกได้ว่าพูดจนปากเปียกปากแฉะ ถึงขั้นวิงวอนด้วย บางคนก็ยิ่งปาดน้ำตาแล้ว
กำลังจะมีดพร้าจะมาถึงตัวอยู่แล้ว ดีไม่ดีอาจจะหัวหลุดด้วย แล้วคนที่ส่งไปก็ไม่ใช่ลูกสาวของตัวเอง ถ้าก่วงเม่ยเอ๋อร์คนเดียวสามารถปกป้องชีวิตของคนทั้งตระกูลได้ เหตุใดจึงไม่ยินดีทำล่ะ?
โกวเยว่ได้แต่มองดูอยู่ข้างๆ เห็นผู้หญิงกลุ่มนี้แสดงธาตุแท้ออกมาต่างๆนานา คิดจริงหรือว่าหนิวโหย่วเต๋อจะแยแสกับก่วงเม่ยเอ๋อร์แค่คนเดียว? เรื่องส่งก่วงเม่ยเอ๋อร์ให้หนิวโหย่วเต๋อคือการตัดสินใจของเขา เขาถึงวิสาสะตัดสินใจแทนก่วงลิ่งกง เขาก็แค่ต้องส่งคนให้หนิวโหย่วเต๋อเพื่อแสดงท่าที เหตุผลที่อยู่ในนั้นไม่มีค่าพอที่จะอธิบายกับพวกนาง ผลลัพธ์ที่ดีต่างหากคือสิ่งที่ผู้หญิงกลุ่มนี้ต้องการ
กระทั่งโกวเยว่ออกมาจากถ้ำอีกครั้ง ก็มีก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่สวมชุดสีขาวทั้งตัวและมีท่าทางเย็นชาไร้ความรู้สึกเดินตามหลังออกมาด้วย นางหดหู่อ้างว้าง ทางซ้ายและขวามีสาวใช้ติดตามมาด้วยสองคน
พวกเขาเหาะขึ้นไปบนฟ้า ไปตรงหน้าทัพใหญ่ที่กำลังล้อม หลังจากค้นตัวผ่านแล้วก็ไปหาชิงเยว่กับหยางเจาชิงโดยตรง
สายตาของกำลังพลทัพใหญ่จับจ้องไปบนตัวก่วงเม่ยเอ๋อร์ แต่ละคนแอบชมในใจ ว่าเป็นสุดยอดความงามที่หาพบได้ยากในโลกนี้จริงๆ…
เหมียวอี้ที่กำลังเร่งเดินทางได้รับรายงาน สายวอกของลั่วหม่าง สายมะเมียของหวงฮ่าว สายมะแมของกูอวี้เฉิงนำทัพมาสวามิภักดิ์มีความจริงใจแล้ว มีเพียงก่วงลิ่งกงที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ และไม่เห็นใครของฝั่งนั้นด้วย แต่ก่วงลิ่งกงกลับส่งก่วงเม่ยเอ๋อร์มาให้เขาแล้ว
หมายความว่าอะไร? เหมียวอี้ถูกทำให้งงนิดหน่อย
มีการฮุบกลืนกำลังพลอย่างต่อเนื่องแบบนี้ คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือลูกน้องเก่าจากทัพใต้ของเหมียวอี้ ต่อให้เป็นบรรดาคนที่ตามเสี่ยงอันตรายไปกับเรื่องที่เหมียวอี้ก่อขึ้น เบื้องล่างก็มีคนไม่น้อยที่ได้เลื่อนตำแหน่งอย่างต่อเนื่อง ที่บอกว่าจะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับกองทัพที่ยอมสวามิภักดิ์ มันเป็นคำโกหกทั้งนั้น จะปฏิบัติอย่างเท่าเทียมได้อย่างไร เจ้าเพิ่งจะมาสวามิภักดิ์ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เจ้าจะได้เลื่อนขั้น ใช่ไหมล่ะ? เมื่อเจ้ายอมมาสวามิภักดิ์ต่อฝั่งนี้ ก็เท่ากับว่าข้าก็ได้สร้างผลงานแล้ว ข้าย่อมได้เลื่อนขั้น เหมียวอี้ยังต้องอาศัยลูกน้องเก่าเหล่านั้นเพื่อมาควบคุมกำลังพลกลุ่มใหญ่ให้ตัวเอง ย่อมต้องปฏิบัติด้วยอย่างดี และลูกน้องเก่าพวกนี้ก็ได้ทะยานขึ้นพรวดพราดตามเหมียวอี้ตลอดทาง เป็นเวลาที่ตื่นเต้นคึกคัก ต้องคุ้มครองและสนับสนุนเหมียวอี้อย่างสุดกำลังแล้ว ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เสียหายก็คือผลประโยชน์ของพวกเขาเอง
และทางเหมียวอี้ก็ได้รับข่าวแล้ว ว่าชิงกับพุทธะแบ่งกำลังพลหนึ่งพันล้านมาที่นี่แล้ว ศึกใหญ่รอบตัดสินครั้งสุดท้ายกำลังจะมาถึงแล้ว!
งานใหญ่กำลังจะมาถึง ปัญหายิบย่อยเหล่านั้นสามารถโยนไว้ข้างหลังก่อนแล้วค่อยจัดการก็ได้ ปัญหาของก่วงลิ่งกงสามารถวางไว้ก่อนได้ แต่เขาก็ยังสั่งให้หยางเจาชิงแจ้งต่อกำลังพลทัพตะวันตกยอมสวามิภักดิ์ ว่าจะแต่งตั้งก่วงเม่ยเอ๋อร์ให้เป็นสนมสวรรค์อันเล่อ!
นี่คือสนมสวรรค์คนแรกหลังจากที่เหมียวอี้ประกาศตนเป็นราชัน การปลอบขวัญทัพตะวันตกคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ก่วงลิ่งกงปกครองทัพตะวันตกมาหลายปี เหมียวอี้จินตนาการได้เลยว่าลูกน้องเก่าที่มาสวามิภักดิ์เหล่านี้รู้สึกผิดต่อก่วงลิ่งกง มีหลายคนที่จิตใจยังเอียงไปหาก่วงลิ่งกง ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์บีบบังคับ เกรงว่าคงไม่ยอมสวามิภักดิ์แน่นอน นั่นก็หมายความว่าบารมีในการระดมพลของก่วงลิ่งกงยังคงอยู่ ไม่เหมือนฮ่าวเต๋อฟางกับโค่วหลิงซวีที่ตัวตายไปแล้ว ในเวลานี้เขาไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายใดๆ อีก
สาเหตุที่แต่งตั้งก่วงเม่ยเอ๋อร์เป็นสนมสวรรค์ ก็เพราะอยากจะบอกกำลังพลของทัพตะวันตก ว่าพวกเจ้าสามารถวางใจได้ ข้าจะไม่ปฏิบัติต่อก่วงลิ่งกงอย่างไรความยุติธรรม พวกเจ้าสามารถทำงานรับใช้ข้าอย่างไร้ความกังวลได้เลย!
ขณะเดียวกันก็ต้องการจะบอกกับทุกคนของทัพตะวันตกด้วยว่า ก่วงลิ่งกงยอมสวามิภักดิ์ต่อข้าอย่างเป็นทางการแล้ว!
“สนมสวรรค์อันเล่อ!”
ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เม่ยเหนียงที่น้ำตาไหลอย่างปวดใจไม่หยุดอึ้งไป นางยังกังวลว่าส่งลูกสาวจะไปเป็นเครื่องบรรณาการแล้วจะได้รับความอัปยศ ใครจะคิดว่าเพิ่งจะส่งตัวไปก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสนมสวรรค์แล้ว อาศัยแค่นามว่า ‘อันเล่อ ก็รู้ถึงท่าทีที่หนิวโหย่วเต๋อต้องการจะแสดงออกแล้ว
“เหมือนจะเป็นสนมสวรรค์คนแรกที่หนิวโหย่วเต๋อแต่งตั้งใช่ไหม?”
“เม่ยเอ๋อร์ช่างมีวาสนาดีจริงๆ!”
“พี่สาว ตอนนี้ท่านก็ไม่ต้องกังวลแล้วสินะ!”
อย่าไปดูถูกผลกระทบของการแต่งตั้งตำแหน่งที่มีต่อทัพตะวันตก อาศัยแค่การแต่งตั้งนี้ อย่างน้อยก็ทำให้บรรดาผู้หญิงที่อยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์โล่งใจเหมือนโยนก้อนหินลงพื้นแล้ว รู้ถึงเจตนาของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว อีกฝ่ายไม่ได้ทำให้พวกนางลำบาก ดังนั้นผู้หญิงกลุ่มนี้จึงมารุมล้อมอยู่ข้างกายเม่ยเหนียง เดี๋ยวก็ประจบเดี๋ยวก็ยินดี เม่ยเหนียงก็ร้องไห้ไม่ออกแล้วเช่นกัน กลับรู้สึกเก้อเขินนิดหน่อย แอบดีใจเล็กน้อย
ภายนอกประจบสรรเสริญ แต่ที่จริงแล้วมีคนไม่น้อยที่แอบอิจฉาริษยาอยู่ในใจ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นอย่างนี้ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าจะเกิดผลลัพธ์นี้ ก่อนหน้านี้ควรจะฉวยโอกาสตอนเม่ยเหนียงไม่เต็มใจ แล้วส่งลูกสาวของตัวเองไปแทน
สนมสวรรค์เชียวนะ! แค่ดูจากดูสนมสวรรค์หรูอี้ก็รู้แล้ว
มีผู้หญิงไม่น้อยที่ก่อนหน้านี้ยังครุ่นคิดอยู่ว่า ถึงอย่างไรตระกูลก่วงก็ตกต่ำแล้ว ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องเกรงใจเม่ยเหนียงอีก จะได้หาโอกาสล้างความอัปยศที่เกิดจากความไม่พอใจก่อนหน้านี้ก่อนหน้านี้เสียที ใครจะคิดว่าชั่วพริบตาเดียวลูกสาวของอีกฝ่ายจะได้กลายเป็นสนมสวรรค์แล้ว กลายเป็นที่พึ่งของทางตระกูลก่วง ยังจะมีใครกล้าชักสีหน้าใส่เม่ยเหนียงอีกล่ะ?
ต้องข่มความคิดคับแคบเอาไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้ม แต่ในใจกลับแอบร้อง ทำไมสองแม่ลูกดวงดีขนาดนี้!
ทัพอารักขาสองพันล้านของก่วงลิ่งกงไม่ได้รับคำสั่งให้สวามิภักดิ์ ยังคงเฝ้าอยู่ตามแนวภูเขา
เหมียวอี้ไม่ได้ใช้กำลังวังชาไปกับเรื่องการโจมตี เพียงสั่งให้ชิงเยว่ทิ้งกำลังพลห้าร้อยล้านเอาไว้จับตาดู ส่วนกำลังพลแปดพันกว่าล้านที่เหลือก็ให้รีบเร่งไปรับศึกกับชิงและพุทธะ ในจำนวนนั้นมีกำลังพลสองพันล้านที่รีบไปช่วยเหยียนซู่
ในมือมีกำลังทหารเพียงพอแล้ว ทั้งยังแก้ปัญหาที่จะตามมาจากทัพตะวันตกได้ด้วย เหมียวอี้เตรียมจะทำสึกพร้อมกันสองเส้นทาง จัดการกับทัพใหญ่ของชิงและพุทธะในรวดเดียว!
เมื่อได้ยินรายงานของซือหม่าเวิ่นเทียน กำลังพลที่เร่งเดินทัพอยู่ในดาราจักรก็รีบหยุดอย่างกะทันหัน
ขั้นตอนการจัดระเบียบทัพตะวันตกใหม่ เหมียวอี้ควบคุมอย่างเข้มงวดมาก รักษาความลับไม่ให้ข่าวหลุด แต่ในบรรดาคนในครอบครัวที่อยู่ข้างกายก่วงลิ่งกง กลับมีสายลับของหน่วยตรวจการซ้ายอยู่ด้วย ตอนนี้ก่วงลิ่งกงเหมือนจะไม่มีอารมณ์มาแยแสสิ่งนี้แล้ว ปล่อยให้สายลับของหน่วยตรวจการซ้ายช่วยโอกาสปล่อยข่าวไป
“ก่วงลิ่งกงไร้ความหยิ่งในศักดิ์ศรีขนาดนี้ จะเอาหน้าที่ไหนไปเจออิ๋งจิ่วกวง ฮ่าวเต๋อฟางกับโค่วหลิงซวี!” ประมุขชิงโมโหจนกระทืบเท้า
ประมุขพุทธะก็เริ่มมีสีหน้าบึ้งตึงเช่นกัน เชิญหน้ากับหนิวโหย่วเต๋อที่มาพร้อมกำลังทหารมหาศาลขนาดนี้ ฝั่งนี้ไม่มีโอกาสชนะเลย รู้ต่อไปกำลังจะเกิดปัญหายุ่งยากแล้วจริงๆ
ทั้งสองปรึกษากันเล็กน้อย อยากจะนำกำลังทหารกลับไปรวมกับอู๋ฉวี่แล้วกำจัดกำลังพลของเหยียนซู่ก่อน แต่ก็คำนึงถึงเทพสตรีผู้พิทักษ์เผ่าหงส์ แล้วก็ยังมีเทพมังกรอะไรนั่นอีก อาจจะทำให้งานของพวกเขาพังก็ได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อไป ใช้กำลังพลหนึ่งพันล้านไปทำศึกตัดสินกับหนิวโหย่วเต๋อ
แม้จะรู้ว่าโจมตีไม่ชนะ แต่เป้าหมายของพวกเขาก็คือพยายามกำจัดกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อ ทั้งสองต้องการเอาชีวิตหนิวโหย่วเต๋อทำกลางกองทัพนับพันล้าน
ต่อให้กำลังพลของทั้งสองไม่มีแล้ว ต่อให้สังหารหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ แต่พวกเขาก็เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถที่จะปลีกตัวออกจากทัพอันยุ่งเหยิงได้ ตราบใดที่หนิวโหย่วเต๋อตายไป กำลังพลที่หนิวโหย่วเต๋อฮุบกลืนได้ก็ซับซ้อนเกินไป นอกจากหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่มีใครคุมได้แล้ว ฝูงมังกรที่ไร้หัวจะต้องเกิดความขัดแย้งภายในแน่นอน ใต้หล้าจะแตกแยกเป็นอำนาจกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่ยิ่งกว่าในอดีต หลังจากจบเรื่องแล้ว อาศัยบารมีในการระดมพลของทั้งสองคน ก็สามารถตั้งกำลังพลทีละกลุ่มแล้วนำมารวมกันได้ทุกเมื่อ
ส่วนพวกที่หนีทัพและพวกที่ยอมสวามิภักดิ์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ในตัวเลือกของทั้งสอง ต่อให้อ่อนแอแค่ไหน แต่ก็ต้องสู้กับหนิวโหย่วเต๋อให้รู้ดำรู้แดงจนถึงที่สุด เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมยกใต้หล้าให้แต่โดยดี!
ก่วงลิ่งกงที่กำระฆังดารายังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
ตรงนี้เพิ่งจะติดต่อกันเสร็จ โกวเยว่ก็รีบรายงานด่วนว่า “ท่านอ๋อง รอบๆ ปรากฏกำลังพลกลุ่มใหญ่ขอรับ!”
ก่วงลิ่งกงเงยหน้ามองไปทางดาราจักร เห็นเพียงกำลังพลกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไกลๆ กำลังพุ่งเข้ามา แล้วจู่ๆ ก็หยุดอยู่กับที่อีก เป็นทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อ เหมือนกำลังพิสูจน์คำพูดของหนิวโหย่วเต๋อ ไม่รุกและไม่ถอย ได้แต่เราอยู่อย่างนั้น
บางครั้งการโจมตีก็อาจจะบีบให้คนต่อต้านจนถึงที่สุด เมื่อข้าศึกมาถึงกำแพงเมืองแล้วกลับทำให้คนกดดันยิ่งกว่า ความรู้สึกเหมือนเป็นกองทัพที่ชนะโดยไม่ต้องรบ
ก่วงลิ่งกงสีหน้าบูดเบี้ยวขึ้นหลายส่วน ทัพใหญ่ด้านนอกที่สามารถเข้ามาล้อมได้ทุกเมื่อปรากฏตัวแล้ว ข้างในก็มีลั่วหม่างที่พร้อมจะตรึงไว้ไว้ได้ทุกเมื่อ เขารู้ว่าสิ้นอนาคตแล้ว ถ้าสู้กันขึ้นมาก็ยากจะพ้นภัยนี้ แต่ก็ทนข่มกลั้นความโมโหนี้ไม่ไหว คำพูดคุกคามของหนิวโหย่วเต๋อเมื่อครู่นี้ยังดังอยู่ข้างหู เขาเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพตะวันตกผู้สง่าผ่าเผย มีบารมีสะเทือนใต้หล้ามาหลายปีขนาดนี้ คิดจะให้เขาทนรับความอัปยศไปสวามิภักดิ์เหรอ?
การปรากฏตัวของทัพใหญ่ก็สะเทือนไปถึงหวงฮ่าวกับกูอวี้เฉิงให้เข้ามาดูด้วยกัน พวกเขาเดินมาตรงหน้าก่วงลิ่งกง สบตากันแวบหนึ่ง แล้วหวงฮ่าวเตือนว่า “ท่านอ๋อง ลั่วหม่างไปสวามิภักดิ์ต่อหนิวโหย่วเต๋อแล้ว”
กูอวี้เฉิงบอกอีกว่า “ฟังจากที่ลั่วหม่างบอก ใต้บังคับบัญชาพวกเรามีคนของตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ไม่น้อย ถ้าลงมือขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมากมายเท่าไหร่ที่แว้งกัดฝ่ายเรา”
ไม่เห็นทั้งสองพูดโดยไม่เอ่ยถึงทัพใหญ่ที่ล้อมอยู่ด้านนอกเลยสักนิด สายตาของก่วงลิ่งกงก็หยุดอยู่บนใบหน้าทั้งสอง มองประเมินฝั่งซ้ายทีฝั่งขวาที แล้วถามช้าๆ ว่า “หนิวโหย่วเต๋อสัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์อะไรพวกเจ้าล่ะ?”
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง หางตาชำเลืองมองทัพอารักขาของก่วงลิ่งกงอยู่รอบๆ พวกเขาได้แต่เงียบงันไม่ตอบอะไร
ก่วงลิ่งกงจ้องทั้งสองด้วยสายตาเยียบเย็น เข้าใจท่าทีของทั้งสองแล้ว ที่กล้ามาพูดต่อหน้าเขาอย่างนี้ แสดงว่าต้องติดต่อกำลังพลเบื้องล่างให้ให้เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว
รอได้สักครู่หนึ่ง หวงฮ่าวก็กุมหมัดคารวะ “พวกเราสองคนยินดีติดตามท่านอ๋องบุกน้ำลุยไฟ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทัพใหญ่ของชิงและพุทธะจะตามมาถึงเมื่อไหร่?”
กูอวี้เฉิงบอกอีกว่า “ท่านอ๋อง ถ้าทัพใหญ่ของชิงและพุทธะยังไม่มาอีก ก็เกรงว่าจะมาไม่ทันแล้ว”
“ไสหัวกลับไป!” ก่วงลิ่งกงกล่าวเสียงเรียบ
“…” หวงฮ่าวและอวี้เฉิงงงงวย นึกว่าตัวเองฟังผิดไป
“ไสหัวไป!” ก่วงลิ่งกงตะคอกอีกครั้ง
“…” หวงฮ่าวและอวี้เฉิงเข้าใจแล้ว พูดไม่ออกเช่นกัน ฟังออกเเล้วว่าก่วงลิ่งกงซ่อนไฟโกรธเอาไว้ในอก จึงไม่กล้ายั่วโมโหเขาอีก ไม่อย่างนั้นกลัวว่าจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้
ทั้งสองถอยออกไปอย่างว่านอนสอนง่าย ระแวดระวังรอบด้าน แล้วเหาะขึ้นฟ้าไป กลับไปหากำลังพลของตัวเอง
ขณะมองส่งทั้งสองจากไป โกวเยว่ก็ค่อยๆ หันไปมองก่วงลิ่งกง แล้วเตือนว่า “ท่านอ๋อง ปล่อยพวกเขากลับไปแบบนี้ เกรงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิด!”
“ใจคนกระจัดกระจายแล้ว ฝืนรั้งไว้จะมีความหมายเหรอ? ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่ข้าไร้ความสามารถ ให้สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ได้!” ก่วงลิ่งกงหันมองรอบข้างอย่างช้าๆ สายตากวาดมองบนตัวกำลังพลทัพอารักขาของตัวเอง สุดท้ายก็ค่อยๆ หลับตาลง “ขอความช่วยเหลือจากชิงและพุทธะ บอกว่าข้าถูกทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อล้อมไว้แล้ว!”
บนสนามรบที่โจมตีสกัดอย่างดุเดือด ตามที่กำลังพลสองร้อยล้านของชิงและพุทธะทยอยถูกปล่อยออกมา แนวป้องกันทัพใหญ่ของเหยียนซู่ก็โดนตีแตกแล้ว
ความองอาจห้าวหาญของชิงและพุทธะทำให้กำลังพลของตัวเองมีขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้น ทัพใหญ่ของชิงและพุทธะตะโกนเข่นฆ่าเสียงดังทะลุฟ้า แล้วบุกเข้ามาฝั่งนี้ราวกับคลื่นโหมซัดสาด
เหยียนซู่เริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียด นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะโจมตีแนวป้องกันแตกเร็วขนาดนี้ ยามเผชิญหน้ากับพลังรบอันห้าวหาญของทัพใหญ่ของชิงและพุทธะ ทั้งยังมีความได้เปรียบด้านกำลังพลอีก เขารู้สึกดีต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งเดียวที่พอจะทำได้ก็คือพยายามถ่วงเวลาอีกฝ่ายไว้ให้มากที่สุด
ทว่าเมื่อชิงและพุทธะปล่อยกำลังพลสองร้อยล้านออกมา ก็พยักหน้าให้กันไกลๆ จากนั้นทั้งสองก็ควงอาวุธสังหารตรงไปยังทัพกลางที่เหยียนซู่นั่งบัญชาการ
วรยุทธ์ของทั้งสูงส่งลึกล้ำ พละกำลังอันห้าวหาญก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง ดาบและกระบี่ในมือก็ยิ่งแหลมคมจนน่าตกใจ เมื่อเจอกับอาวุธของกำลังพลที่โจมตีสกัด ก็ฟันขาดราวกับใช้มีดหั่นเต้าหู้ทันที ทั้งสองคนสังหารเข้ามาในทัพที่วุ่นวายราวกับฝ่าน้ำตัดคลื่น สังหารจนพินาศย่อยยับ ไม่มีใครต้านไหว
เหยียนซู่สีหน้าเคร่งเครียด จ้องชิงและพุทธะที่สังหารเข้ามาตลอดทางโดยไร้คนต้าน ในใจรู้อยู่แล้วว่าพุ่งเป้าที่ตัวเอง
อวี้หลัวช่าและทหารกบฏของนางก็หัวใจกระตุกวูบเช่นกัน
เฮยทั่นเริ่มเครียดแล้ว เป็นเพราะดาบและกระบี่ในมือชิงและพุทธะแหลมคมเกินไป ฉากที่ฆ่ามังกรก่อนหน้านี้ เขาเองก็ไม่ได้ตาบอด เห็นหมดแล้ว
พอเฮยทั่นโบกมือ ก็ปล่อยตั๊กแตนทมิฬขนาดตัวมหึมาแปดสิบกว่าตัวที่เหมียวอี้ให้มาทั้งหมด เตรียมตัวรับศึกแล้ว ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็หวังว่าตั๊กแตนทมิฬจะช่วยต้านให้เขาได้สักหน่อย จะได้ทำให้เขาหนีไปได้สะดวก
เขาเป็นคนรู้กาลเทศะมาตลอด เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่สู้ไม่ชนะจริงๆ เขาก็จะต้องหนีแน่นอน ไม่สู้ตายจนถึงที่สุด
จากสิ่งนี้จะเห็นเลยว่าเหมียวอี้ยอมควักเนื้อขนาดไหนเพื่อการโจมตีสกัดนี้ แม้แต่ตั๊กแตนทมิฬก็ให้เฮยทั่นทั้งหมด
แน่นอน เฮยทั่นก็ไม่ลืมที่จะเตือนเทพสตรีทั้งสอง “พี่สาวทั้งสอง พวกท่านต้องต้านให้ไหวนะ! ถ้าพวกท่านต้านไม่ไหว เผ่ามังกรกับเผ่าหงส์ก็จะถูกล้างเผ่าพันธุ์!”
เทพสตรีผู้พิทักษ์ทั้งสองมองเหยียดเขาปราดหนึ่ง แล้วก็จ้องชิงและพุทธะที่โจมตีเข้ามาพร้อมกัน
ไม่เห็นอีกฝ่ายโจมตีเข้ามาใกล้แล้ว ผู้หญิงทั้งสองก็ถลันตัวออกมาพร้อมกัน พวกนางโบกแขนสองข้าง ปีกเปล่งแสงขนาดใหญ่ที่เหมือนเงามายาก็สะบัดออกมา
ชิงและพุทธะฟันดาบกับกระบี่ในมือออกมาพร้อมกันฟันไปบนปีกแสงเงามายา แต่กลับเงียบเชียบไร้เสียง ราวกับฟันไปบนปุยนุ่น และไม่มีทางฝ่าแรงต้านอันเหนียวยืดหยุ่นของปีกได้ กลับเป็นแสงสว่างที่พุ่งจากปีกราวกับเข็มเหล็กที่แทงให้ทั้งสองเจ็บจริง บีบให้ทั้งสองต้องถลันตัวหลบ
หลังจากชิงและพุทธะหลบได้แล้วก็ทำสีหน้าตกตะลึง ทั้งคู่พบว่าเกราะอิทธิฤทธิ์ที่ตัวเองภาคภูมิใจทำอะไรแสงสว่างนั้นไม่ได้เลย
“พวกเจ้าเป็นใคร?” ประมุขชิงตะคอกถาม
เทพสตรีคนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยนทว่าน่าเกรงขาม “ตอนขู่หมิงกับชิงเทียนอยู่ต่อหน้าข้าก็ยังไม่เคยกำเริบเสิบสานขนาดนี้ แต่พวกเจ้าบังอาจกดขี่ให้เผ่าหงส์และเผ่ามังกรเป็นทาส ทำเรื่องที่ฝ่าฝืนเจตจำนงของสวรรค์เช่นนี้ ทำให้ดินแดนอันสงบสุขกลายเป็นดินแดนมรณะ ไม่กลัวจะโดนสวรรค์ลงโทษบ้างเหรอ?”
เมื่อเห็นผู้หญิงทั้งสองสามารถต้านทานชิงและพุทธะได้อย่างสบายๆ เฮยทั่นก็ฮึกเหิมทันที ตะโกนเสียงดังว่า “อย่ามัวพูดพร่ำทำเพลง เล่นงานพวกเขาให้ตายไปเลย!”
จากคำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงอาจารย์ของตัวเอง ชิงและพุทธะกลับตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ประมุขพุทธะถามอย่างตกใจว่า “อย่าบอกนะว่าพวกเราคือเทพสตรีผู้พิทักษ์เผ่าหงส์? พวกเจ้าตายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เทพสตรีอีกคนกล่าวว่า “เห็นแก่ไมตรีที่เคยมีกับขู่หมิงและชิงเทียน ไม่อยากทำให้พวกเจ้าลำบาก ในเมื่อรู้แล้วว่าเป็นพวกเรายังไม่รีบหันหลังกลับไปอีก!”
หันหลังกลับ? จะหันหลังกลับได้อย่างไร? ประมุขชิงกล่าวยังโมโห “ได้! ขอเพียงพวกเจ้าไม่เข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ พวกเรารับประกันว่าจะไม่ทำให้เผ่าหงส์และเผ่ามังกรลำบาก พวกเจ้าหลีกไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า”
เฮยทั่นโวยวายเหมือนเสียงผีทันที “พี่สาวทั้งสองอย่าไปฟังคนต่ำทรามพูดเหลวไหล เดี๋ยวต่อไปเขาจะต้องรวบรวมกำลังพลมากวาดล้างที่แดนดึกดำบรรพ์แน่นอน!”
ประมุขพุทธะควงดาบพระชี้ไปยังฮยทั่นที่ปลุกปั่น “เจ้าอ้วนดำ เก่งนักก็อย่าหลบหลังผู้หญิง ออกมา!”
เฮยทั่นตะคอกกลับไปทันที “แม้แต่กับผู้หญิงยังเอาชนะไม่ได้ ยังคิดจะมาสู้กับเทพมังกรผู้นี้อีกเหรอ? ถ้าข้าลงมือเมื่อไหร่ ก็ไม่ได้เกรงใจเหมือนพวกนางหรอกนะ!”
เทพมังกร? อย่าบอกนะว่าเจ้าอ้วนดำนี่คือหนึ่งในแปดเทพมังกรผู้พิทักษ์เผ่ามังกร? ชิงและพุทธะชะงักไปครู่หนึ่ง แทบจะโดนขู่ให้กลัวแล้ว
“แกร๊งๆๆ…”
มีเสียงโลหะกระทบกันดังมาจากข้างหลัง ชิงและพุทธะหันกลับไปมอง เห็นอู๋ฉวี่กำลังเรียกพวกเขากลับไป
บนสนามรบ แม้แต่พวกเขาก็ยังต้องฟังคำบัญชาการของอู๋ฉวี่ เมื่อเห็นว่ามีเทพสตรีเผ่าหงส์ขวางอยู่ ทำอะไรกลับศูนย์บัญชาการของอีกฝ่ายไม่ได้ ทั้งสองแล้วทำได้เพียงเลี้ยวสังหารกลับไป กลับไปโดยไม่สนอะไรราวกับกองทัพที่วุ่นวายไร้คน ห้าวหาญดุดันจริงๆ
อวี้หลัวช่าและพวกทหารกบฏโล่งอก อวี้หลัวช่าเองก็กลัวเช่นกัน
เฮยทั่นกลับโวยวายว่า “พี่สาวทั้งสอง พวกท่านรีบจัดการพวกเขาสิ ให้พวกเขาหนีไป!”
ผู้หญิงทั้งสองไม่สนใจเขาเลย ถลันตัวกลับมาแล้ว
เหยียนซู่ขมวดคิ้วถามทั้งสอง “ทำไมปล่อยไปล่ะ?”
สำหรับเขาแล้ว เทพสตรีกลับตอบอย่างจริงจัง “ด้วยพลังของพวกเราตอนนี้ ทำได้เพียงต้านพวกเขาไว้ ถ้าอยากจะปราบพวกเขานั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก่อนหน้านี้ก็คงไม่นิ่งดูดาย ปล่อยให้พวกเขาสังหารเผ่าหงส์และเผ่ามังกรหรอก”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เหยียนซู่กุมหมัดคารวะขอบคุณทั้งสอง เมื่อครู่ถ้าไม่มีสองคนนี้ เกรงว่าตัวเองคงจะมีอันตราย
“เกิดเรื่องอะไร?” ประมุขชิงที่กลับมาถึงทัพกลางของค่ายทัพตัวเองเอ่ยถามอู๋ฉวี่
อู๋ฉวี่รายงานว่า “ก่วงลิ่งกงขอความช่วยเหลือ บอกว่าถูกทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อล้อมไปแล้ว กลัวว่าจะยืนหยัดได้ไม่นาน แนะนำให้แบ่งกำลังทหารไปช่วย!” เขาเห็นว่าทั้งสองถูกต้านไว้จึงเรียกกลับมา ถ้าสามารถทำลายศูนย์บัญชาการของอีกฝ่ายได้ในอึดใจเดียว เขาก็จะรอต่อไปได้เหมือนกัน
ชิงและพุทธะหันกลับไปมองบนสนามรบ รู้สึกเดือดดาลนิดหน่อย สุดท้ายก็ถูกถ่วงไว้จนได้ อีกฝ่ายมีกำลังพลหนึ่งพันล้านกว่า ต่อให้ฝั่งนี้ได้เปรียบและชนะได้ แต่ก็ใช่ว่าจะกำจัดอีกฝ่ายได้ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง เห็นได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายต้องการนำชีวิตของคนกลุ่มนี้มาถ่วงพวกเขาเอาไว้
หลังจากปรึกษากัน ชิงและพุทธะก็ตัดสินใจนำกำลังพลหนึ่งพันล้านเร่งไปช่วยก่วงลิ่งกง แล้วที่เหลือให้อู๋ฉวี่บัญชาการอยู่ที่นี่ เมื่อปราบกำลังพลกลุ่มนี้ได้ อู๋ฉวี่เคยนำทัพตามไปช่วยอีกที
กำลังพลในมือเหยียนซู่มีจำกัด ทำได้เพียงมองอีกฝ่ายแบ่งกำลังพลหนึ่งพันล้านออกไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้
แต่เมื่อเห็นชิงและพุทธะไปแล้ว เฮยทั่นก็แบกดาบใหญ่ลงสนามทันที นำฝูงตั๊กแตนทมิฬออกจากขบวนรบไปโจมตีศูนย์บัญชาการของอู๋ฉวี่ อยากจะสร้างผลงานใหญ่
ทว่าข้างกายอู๋ฉวี่กักตุนกำลังพลไว้จำนวนมาก พอยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ระลอกเดียว ตั๊กแตนทมิฬก็ทนรับไม่ไหวเช่นกัน ถูกยิงตายคาที่เป็นหลายตัว เฮยทั่นตกใจจนรีบหดหัวกลับมา ถือดาบใหญ่สังหารอยู่ในขบวนรบอย่างเต็มที่
เผ่ามังกรกับเผ่าหงส์มีขนาดร่างกายใหญ่เกินไป ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่สามารถแปลงร่างเป็นคนได้ ก็ไม่สามารถแสดงบทบาทอะไรในขบวนรบได้มากนัก เพราะจะทำให้คนฝ่ายตัวเองบาดเจ็บง่าย จึงทำได้เพียงดูการต่อสู้เอาสนุกอยู่ในทัพกลาง
ลั่วหม่าง หวงฮ่าวและกูอวี้เฉิงยอมสวามิภักดิ์แล้ว
กูอวี้เฉิงกับหวงฮ่าวออกจากการควบคุมของทัพอารักขาก่วงลิ่งกงด้วยกัน แล้วติดต่อไปหาลั่วหม่างทันที ทั้งสามนำกำลังพลไปยอมสวามิภักดิ์ต่อชิงเยว่ที่กำลังล้อมอยู่
กำลังพลที่หนาแน่นดำเป็นพืดเร่งไปสวามิภักดิ์ต่อกำลังพลของชิงเยว่
ก่วงลิ่งกงที่ได้รับรายงานไม่พูดอะไรทั้งนั้น ได้แต่ยืนเงียบอยู่บนยอดเขา โกวเยว่ที่อยู่ข้างๆ ลองมองหน้าเขา เผื่อจะมองอะไรออกบ้าง แต่กลับมองอะไรไม่ออกเลย
ผู้ตรวจการซ้ายทัพอารักขาไป่เจ๋อ ผู้ตรวจการขวาเซี่ยงหมั่นถัง ทั้งสองต่างก็ยืนสีหน้ากระวนกระวายอยู่ข้างหลังก่วงลิ่งกง
ทัพอารักขาสองพันล้านตามแทบภูเขารอบๆ พากันมองมาทางฝั่งนี้
ไม่ว่าใครก็มองออกว่าสิ้นอนาคตแล้ว โกวเยว่ตะโกนเรียกอยู่ข้างกายก่วงลิ่งกง “ท่านอ๋อง!”
ก่วงลิ่งกงกวาดมองสายตานับไม่ถ้วนตามแนวภูเขาที่กำลังมองตัวเองอยู่ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดา “ให้ทางรอดกับพวกพี่น้องเถอะ พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้า” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป
เขาเข้ามาในถ้ำภูเขา โยนชัยภูมิถ้ำสวรรค์หลังหนึ่งออกมา หน้าประตูเป็นคลื่นกระเพื่อม เขาเดินเข้าไปแล้ว
ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งในลานบ้านทยอยกันลุกขึ้นยืนแล้วมองมาที่เขา เม่ยเหนียงแล้วบรรดาอนุภรรยาเดินเข้ามาใกล้และต้องการจะคุยด้วย แต่ก่วงลิ่งกงยกมือห้าม เดินเข้าไปในห้องคนเดียว
รอจนกระทั่งโกวเยว่เข้ามาในห้องอีก ก็เห็นก่วงลิ่งกงถอดเกราะรบแล้ว กำลังนอนพักสายตาอยู่บนเก้าอี้นอน
หมายความว่าอะไร? โกวเยว่พูดไม่ออก ก้าวขึ้นมาข้างหน้ากำลังจะเอ่ยถาม แต่ได้ยินก่วงลิ่งกงบอกว่า “อย่าถามข้า ทุกอย่างให้เจ้าเป็นคนจัดการ เราจัดการตามเห็นสมควรเถอะ”
หลังจากโกวเยว่ออกไปเงียบๆ ก่วงลิ่งกงก็ค่อยๆ หลับตาลง ผิวหนังกล้ามเนื้อบนใบหน้าสั่นเล็กน้อย ส่งเสียงครางสะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น ใบหน้าชราเต็มไปด้วยน้ำตา…
…………………………
ทัพของเหมียวอี้เร่งเดินทางโดยใช้ทางลัด ต่อให้ผ่านบริเวณที่มีการต่อสู้กันก็ไม่หยุดพักแม้แต่น้อย มุ่งตรงไปยังที่อยู่ของก่วงลิ่งกงเลย
ระหว่างทาง เหมียวอี้คอยเร่งชิงเยว่ซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงแม้จะให้การสนับสนุนเหยียนซู่อย่างเข้มแข็ง แต่ถ้าคิดจะต้านทัพใหญ่สองพันกว่าล้านของชิงและพุทธะก็เกรงว่าจะเหนื่อยเหลือทน เหยียนซู่จะประคับประคองได้นานแค่ไหน เขาเองก็ไม่มั่นใจเช่นกัน
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นกำลังพลหนึ่งพันกว่าล้าน กอปรกับอวี้หลัวช่านำกำลังพลมาสวามิภักดิ์ ด้วยจำนวนคนที่เยอะขนาดนี้ ต่อให้แพ้แต่ก็น่าจะตั้งได้สักระยะหนึ่งสิ?
กำลังพลทางฝั่งเหยียนซิวที่กลับมาก็ได้รับข่าวจากเหมียวอี้แล้วเช่นกัน กำลังเร่งให้พวกเขาตามมาอย่างเร็วที่สุด หวังว่าจะไปช่วยสนับสนุนเหยียนซู่ได้ทันเวลา
การต่อสู้นอกอารามแปดทิศจบลง เหิงอู๋เต้ารายงานสถานการณ์รบขึ้นมา เป็นชัยชนะที่เสียหายหนักมาก ถึงแม้จะปราบทัพฝ่ายศัตรูได้แล้ว แต่ฝ่ายตัวเองก็เสียกำลังพลไปเกือบครึ่ง ทัพใหญ่สามร้อยล้านเหลือเพียงประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบล้าน เหมียวอี้เร่งให้กำลังพลของเขากลับมาให้เร็วที่สุด จะได้ไปช่วยเหยียนซู่!
กระวนกระวายมาตลอดทาง ในที่สุดก็ได้รับรายงานจากชิงเยว่กับหยางเจาชิงแล้ว พวกเขาไปวางกำลังอยู่ในจุดที่กำหนดแล้ว สามารถเคลื่อนทัพโจมตีกำลังพลของก่วงลิ่งกงได้ทุกเมื่อ
และในตอนนี้เอง ได้รับรายงานจากเฮยทั่นอีก เมื่อได้รู้ว่าซ่างกวนชิงถูกประมุขชิงสังหารแล้ว เหมียวอี้ก็ฮึกเหิมทันที มีความมั่นใจกับแผนในขั้นต่อไปมากขึ้นหลายส่วน เขาติดต่อลั่วหม่างทันที : จอมพลลั่ว ทัพใหญ่ของชิงและพุทธะถูกกำลังพลของข้าโจมตีสกัดไว้แล้ว ตอนนี้ยังไม่มีทางไปสนับสนุนก่วงลิ่งกงได้ ทัพใหญ่หกพันล้านของข้าไปถึงจุดที่จะล้อมโจมตีก่วงลิ่งกงแล้ว!
เมื่อได้ยินว่ากำลังพลของชิงและพุทธะโดนสกัดไว้ ลั่วหม่างก็มีแรงฮึด : เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ ต้องลงมือให้ประสานกันทั้งข้างในและข้างนอก ก่วงลิ่งกงน่าจะสงสัยข้าแล้ว!
เหมียวอี้ : ใช้กำลังทหารโจมตีข่มขู่อาจไม่ใช่แผนการที่ดี ถ้าสู้กันขึ้นมาก็จะกินเวลานานเกินไป จะสกัดชิงและพุทธะไว้ได้นานเท่าไหร่ข้าก็ไม่มั่นใจ จอมพลสายมะเมีย หวงฮ่าว จอมพลสายมะแม กูอวี้เฉิง ข้าจะให้โอกาสพวกเขาสักครั้ง เจ้ามีความมั่นใจหรือเปล่า?
ลั่วหม่าง : ท่านคิดจะปลุกระดมให้พวกเขาต่อก่อกบฏเหรอ?
เหมียวอี้ : ไม่ใช่แค่คิด แต่จะพยายามให้สุดความสามารถ!
ลั่วหม่างเงียบไปครู่เดียว : เกรงว่าจะไม่มีโอกาสแล้ว ก่วงลิ่งกงสงสัยข้าแล้ว ก็เลยเรียกหวงฮ่าวกับกูอวี้เฉิงไปอยู่ข้างกายแล้ว พวกเขาถูกก่วงลิ่งกงควบคุมไว้แล้ว
เหมียวอี้ : ควบคุมไว้แล้วก็ใช่ว่าจะทำอะไรไม่ได้ พวกเขาอยู่ข้างกายก่วงลิ่งกง ก็ยังสามารถกดดันก่วงลิ่งกงได้อยู่ดี มาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ก่วงลิ่งกงตัดสินใจจะสู้ตาย แต่พวกเขาก็อาจไม่เต็มใจลงหลุมศพเป็นเพื่อนก่วงลิ่งกง ต้องดูว่าแรงกดดันจากภายนอกเพียงพอหรือเปล่า ข้าต้องการความร่วมมือจากเจ้า ถ้าไม่ไหวจริงๆ ใช้กำลังทหารก็ยังไม่สาย!
ลั่วหม่างเงียบไปครู่หนึ่งแล้วบอกว่า : ก็ได้!
ทั้งสองเริ่มปรึกษารายละเอียดเรื่องการกดดันให้ยอมสวามิภักดิ์
หยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ มองไปทางเหมียวอี้ที่กำลังงานยุ่งเป็นระยะ เขาไม่ได้พูดอะไร เพลงสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ อยู่ตลอด
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากพูด แต่สถานการณ์รบมาถึงขั้นนี้แล้ว ฝ่ายล้วนดึงทัพใหญ่ออกมาหมด การตัดสินชัยชนะครั้งสุดท้ายอยู่บนสนามรบ และความสามารถในการบัญชาการกับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เหมียวอี้ก็เหนือกว่าเขา และมีความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจมากกว่าด้วย
ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ยกตัวอย่างเช่น เรื่องที่ใช้กำลังพลหนึ่งพันล้านไปสกัดทัพใหญ่ของชิงและพุทธะไว้ ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาคงไม่ทำเด็ดขาด เพราะไม่มีโอกาสชนะเลย แต่เหมียวอี้ก็ยังตัดสินใจทำอย่างไม่ลังเล เขายังคิดจะห้ามไว้ แต่คิดไปคิดมาก็เงียบไว้ดีกว่า สาเหตุที่เลิกขัดขวางก็ไม่ได้ซับซ้อน เพราะถ้าไม่ส่งคนไปสกัดทัพใหญ่ของชิงและพุทธะไว้ ชิงและพุทธะจะต้องไปผนึกกำลังกับก่วงลิ่งกงแน่นอน จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็จะคุมเชิงกันเป็นเวลานาน เขาไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้แล้ว ในเมื่อไม่มีวิธีแก้ปัญหา ถ้าเอาแต่ห้ามแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ใช้แต่ปากพูดเรื่องหลักการใครๆ ก็ทำได้?
เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ก็มองออกถึงจุดนี้แล้วเช่นกัน จึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ไม่เสียดายที่จะสละชีวิตกำลังพลหนึ่งพันล้าน!
เขาเองก็อยากจะดูอยู่ข้างๆ สถานการณ์รบมาถึงจุดที่ยืดเยื้อ ถ้าฝ่ายไหนล้าหลังเพียงก้าวเดียว ก็อาจจะตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่แพ้ทางกระดานก็ได้ เขาอยากจะเห็นว่าเหมียวอี้จะผลักดันและพลิกแพลงสถานการณ์ในขั้นต่อๆ ไปอย่างไร…
ก่วงลิ่งกงกำลังยืนอยู่บนยอดเขา ในสีหน้าเครียดขรึมเจือด้วยความดุดัน เขาพบว่าตัวเองตกหลุมพรางลั่วหม่างแล้ว ลั่วหม่างบอกว่าจะมาเป็นตัวประกัน แต่ชักช้าไม่มาเสียที คาดว่าคงจะวางแผนจัดการกับกำลังพลใต้บังคับบัญชาตัวเองเรียบร้อยแล้ว
รอจนกระทั่งเขารู้ตัว ก็พบว่าสายไปเสียแล้ว จะให้โจมตีลั่วหม่างเหรอ? ลั่วหม่างกุมอำนาจทางทหารเกือบหนึ่งในสามส่วนของทัพตะวันตก หลังจากโจมตีก็จะเกิดความเสียหายหนักมาก จะทิ้งลั่วหม่างแล้วหนีไปอ? เกรงว่าตอนนี้ลั่วหม่างคงไม่ปล่อยให้เขาจากไปอย่างราบรื่นอีกแล้ว ถ้าเขาเคลื่อนไหวเมื่อไร ลั่วหม่างว่าจะต้องเคลื่อนทัพมาถ่วงเขาไว้ทันที
ที่เขาตั้งทัพอยู่ที่นี่เพื่อรวมตัวกับทัพใหญ่ของชิงและพุทธะ ก็เพราะรู้ว่าตัวเองถูกหนิวโหย่วเต๋อเพ่งเล็งและหนีไม่พ้นแล้ว จึงอยากจะถ่วงเวลารอทัพใหญ่ของชิงและพุทธะมาเข้าร่วมทำศึกตัดสินกับหนิวโหย่วเต๋อ เขาจะได้หาโอกาสหนีไปตอนกำลังรบได้สะดวก ปล่อยให้ทัพใหญ่ของชิงและพุทธะช่วยตัวเองพัวพันหนิวโหย่วเต๋อเอาไว้
ทว่าตอนนี้ลั่วหม่างทำอย่างนี้แล้ว ทำให้ความหวังของเขาถูกทำลายโดยสิ้นเชิง
โกวเยว่เดินมารายงานข้างกายว่า “ท่านอ๋อง สายลับรายงานมา ว่าทัพใหญ่ของชิงและพุทธะถูกกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อดักโจมตีซึ่งๆ หน้าระหว่างทาง!”
“ดักโจมตีซึ่งๆ หน้า?” ก่วงลิ่งกงไม่ค่อยเชื่อ ในดวงตาฉายแววมีความหวัง ถามว่า “พวกเขารบตัดสินแพ้ชนะกันซึ่งๆ หน้าแล้วหรอ?” ถ้าเป็นอย่างนี้จริง ทัพใหญ่ของชิงและพุทธะก็ถ่วงเวลาหนิวโหย่วเต๋อไว้แล้ว เขาก็สามารถฉวยโอกาสหนีไป หรือไม่ก็รอโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้
โกวเยว่ส่ายหน้า “ตามที่สายลับใช้สายตาคาดคะเน หนิวโหย่วเต๋อใช้กำลังพลประมาณหนึ่งพันล้านมาดักโจมตี!”
กำลังพลหนึ่งล้านก็กล้าโจมตีสกัดขับใหญ่เกรียงไกรของชิงและพุทธะแล้วเหรอ? ก่วงลิ่งกงใบหน้ากระตุก “หนิวโหย่วเต๋อเจ้าบ้านี่ ยอมแลกทุกอย่างเพื่อลงมือกับข้าชัดๆ!”
และตรงไหล่เขาที่อยู่ไม่ไกล จอมพลสายมะเมียหวงฮ่าวกับจอมพลสายมะแมกูอวี้เฉิงที่อยู่ภายใต้การ ‘คุ้มครอง’ โดยทัพอารักขาของก่วงลิ่งกงก็พบว่าสถานการณ์ผิดปกติเช่นกัน พบว่าตัวเองเหมือนจะถูกควบคุมกลายๆ แต่กลับไม่เห็นลั่วหม่างอยู่กับพวกเขาด้วย
ในดาราจักรอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ตรงที่รกร้างที่สองคนอยู่ มองไปมองมาก็น่าเบื่อมาก
ขณะนี้เอง ทั้งสองก็ทยอยกันได้รับข่าวจากเหมียวอี้ผ่านระฆังดารา สิ่งที่บอกทั้งสองก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ นั่นก็คือให้ทั้งสองยอมสวามิภักดิ์ต่อเขา สัญญาว่าจะแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง ทั้งยังบอกเลยว่าลั่วหม่างยอมสวามิภักดิ์ต่อเขาแล้ว ก่วงลิ่งกงหนีไม่พ้น บอกเพียงว่าโอกาสให้ทั้งสองพิจารณามีไม่มากแล้ว ให้ทั้งสองรีบตัดสินใจให้เด็ดขาด
“หนิวโหย่วเต๋อ?” หวงฮ่าวที่ได้รับข่าวก่อนชำเลืองมองกูอวี้เฉิงเก็บระฆังดาราแล้วเอ่ยถาม
กูอวี้เฉิงพยักหน้า ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง เหมือนจะรู้สาเหตุที่ทั้งสองถูกควบคุมไว้แต่ลั่วหม่างไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว เพราะลั่วหม่างใช้กำลังทหารปกป้องตัวเอง ไม่ฟังคำสั่งท่านอ๋องแล้ว
ทั้งสองย่อมไม่ปล่อยให้เหมียวอี้ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ จะต้องติดต่อไปยืนยันกับลั่วหม่างก่อน
ทั้งสองไม่สะดวกจะติดต่อกันพร้อมกัน หลังจากปรึกษากันแล้ว ก็ให้หวงฮ่าวเป็นคนติดต่อลั่วหม่าง
จนป่านนี้แล้วไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมอีก หวงฮ่าวถามตรงๆ เลยว่า : พี่ลั่ว เจ้าสวามิภักดิ์ต่อหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?
ลั่วหม่าง : ข้าก็ไม่อยากทำอย่างนั้นหรอก แต่ก็ต้องหาทางรอดชีวิตให้พี่น้องไม่ใช่เหรอ? ทัพใหญ่ของชิงและพุทธะถูกกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อสกัดไว้แล้ว ที่จริงฝั่งพวกเราถูกกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋ล้อมไว้แล้ว สามารถเคลื่อนทัพบุกโจมตีได้ทุกเมื่อ สาเหตุที่ตอนนี้ยังไม่โจมตี ก็เพราะหนิวโหย่วเต๋อเพียงอยากจะเกลี้ยกล่อมให้ท่านอ๋องยอมแพ้ จะได้ร่วมกันทำศึกตัดสินครั้งสุดท้ายกับชิงและพุทธะ ที่จริงพวกเราก็เข้าใจกระจ่างหมดแล้ว ตามที่ทัพตะวันออก ทัพใต้ ทัพเหนือรวมกัน โครงสร้างการคานอำนาจในใต้หล้าก็ถูกทำลายแล้ว ท่านอ๋องคิดจะใช้กำลังทหารปกป้องตัวเองก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว มิหนำซ้ำตอนนี้ก็ถูกล้อมไว้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะปล่อยให้ท่านอ๋องหนีไป ที่ท่านอ๋องไม่ยอมก็เพราะความหยิ่งในศักดิ์ศรีของเขาเอง เขาสามารถเป็นฮ่าวเต๋อฟางได้ สามารถเป็นโค่วหลิงซวีได้ แต่พวกเราล่ะ? ข้าตัดสินใจแล้ว เหลือแค่พวกเจ้าสองคน ตอนนี้ไปเข้าข้างฝั่งหนิวโหย่วเต๋อจะได้ผลงาน แต่ถ้ายอมสวามิภักดิ์เพราะรบแพ้นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง จุดจบและการถูกปฏิบัติก็จะเป็นคนละเรื่องกันด้วย มีบางเรื่องที่ต้องเตือนพี่หวงเอาไว้ ขนาดเกาก้วนกับซ่างกวนชิงยังทรยศประมุขชิงแล้วเลย แม้แต่อวี้หลัวช่าก็นำกำลังพลทรยศประมุขพุทธะด้วย ถ้าต่อสู้กันจริงๆ ต่อไปลูกน้องของพี่หวงอาจจะมีไม่น้อยที่อยากย้อนโจมตีฝ่ายตัวเอง…
ในตอนนี้ก่วงลิ่งกงก็ได้รับการติดต่อจากเหมียวอี้แล้วเช่นกัน
เหมียวอี้เอ่ยปากบอกทันทีว่า : ท่านอ๋อง ข้าชื่นชมความงามของก่วงเม่ยเอ๋อร์บุตรสาวของท่านมานานแล้ว หวังว่าท่านอ๋องจะช่วยให้สมปรารถนา!
ก่วงลิ่งกงย่อมรู้ว่าคำพูดของเขาหมายความว่าอะไร มาถึงขั้นนี้แล้ว ความงดงามนับเป็นก้นสุนัขอะไรล่ะ ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดก็คือ หวังว่าจะเป็นคนของตัวเอง การให้เป็นคนของตัวเองหมายความว่าอะไรล่ะ? ไม่มีความหมายอื่นแล้วนอกจากให้มาสวามิภักดิ์ต่อเขาและร่วมกันสู้กับชิงและพุทธะ
อีกฝ่ายไม่พูดคำว่า ‘สวามิภักดิ์’ ออกมา ก็เพราะไม่อยากยั่วโมโหเขาเท่านั้น ถ้าตกอยู่ในมืออีกฝ่ายจริงๆ อย่าว่าแต่ลูกสาวคนเดียวเลย ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายก็จะปล้นชิง ไม่ว่าของอะไรก็ต้องให้อีกฝ่ายไปหมด
ก่วงลิ่งกงแสยะยิ้ม ตอบกลับไปว่า : ก็ได้ ข้าตั้งใจจะให้เม่ยเอ๋อร์หมั้นหมายตั้งนานแล้ว ตอนท่านอ๋องอยู่ที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลก็น่าจะรู้แล้ว ขอเพียงอ๋องสวรรค์หนิวเลิกเพ่งเล็งข้า ใจกว้างปล่อยข้าไปสักครั้ง อีกประเดี๋ยวข้าจะให้คนพาเม่ยเอ๋อร์ส่งไปให้ท่านอ๋องทันที พร้อมมอบสินสอดฝั่งเจ้าสาวแบบจัดหนักด้วย!
จนป่านนี้แล้ว เขาก็ยังเรียกเหมียวอี้ว่าท่านอ๋อง เขาไม่ยอมรับเรื่องที่เหมียวอี้ประกาศตนเป็นราชัน
แค่ก่วงเม่ยเอ๋อร์คนเดียวก็คิดจะให้เหมียวอี้ทิ้งโอกาสในการฮุบรวมทัพตะวันตกแล้วเหรอ สำหรับเหมียวอี้ คำพูดนี้ช่างน่าขำ อย่าว่าแต่ก่วงเม่ยเอ๋อร์คนเดียวเลย ต่อให้มอบก่วงเม่ยเอ๋อร์ให้เหมียวอี้สิบคนพันคนหมื่นคน เขาก็ไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้ ถ้าได้ครอบครองใต้หล้าะแล้ว ยังกลัวว่าจะหาผู้หญิงที่งดงามเทียบเทียมก่วงเม่ยเอ๋อร์ไม่ได้เชียวหรือ?
มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเหมียวอี้โอกาสในสงครามเพื่อผู้หญิงคนเดียวจริงๆ ตัวเองก็ไม่มีทางชี้แจงกับขุนพลเบื้องล่างที่อาบเลือดออกรบได้
เหมียวอี้เปลี่ยนประเด็น : ชิงและพุทธะทัพใหญ่ถูกเจิ้นสกัดไว้แล้ว โพ่จวินตายแล้ว เกาก้วนคนทรยศหลบหนี ซ่างกวนชิงคนทรยศหลบหนีไม่สำเร็จจนถูกประมุขชิงสังหาร องครักษ์เงาทรยศหนีมาเข้าข้างเจิ้น เผ่ามังกรและหงส์ทรยศมาสวามิภักดิ์เจิ้น กำลังพลมากมายของกองทัพองครักษ์ทรยศมาสวามิภักดิ์ต่อเจิ้น กำลังพลมากมายของแดนพุทธก่อกบฎมาสวามิภักดิ์เจิ้น อวี้หลัวช่านำกำลังพลหลายร้อยล้านมาสวามิภักดิ์เจิ้น สมาคมวีรชนก็มาอต่อเจิ้นแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วก็อยู่ในการควบคุมของเจิ้นเช่นกัน ลั่วหม่างยอมสวามิภักดิ์แล้ว ทัพใหญ่ของสวามิภักดิ์ล้อมกำลังพลของท่านอ๋องไว้หมดแล้ว!
รายงานชื่อสมาชิกและอำนาจออกมาอย่างต่อเนื่อง ก่วงลิ่งกงฟังจนอกสั่นขวัญแขวน กัดฟันตอบว่า: แล้วยังไงล่ะ อยากจะขู่ข้าเหรอ?
เหมียวอี้ : ประมุขไป๋ออกจากเจดีย์สยบปีศาจแล้ว ทัพใหญ่แดนอวจีก็หลุดออกมาแล้วเช่นกัน ต้องมาคิดบัญชีกับชิงและพุทธะแน่นอน สองคนนั้นจนตรอกแล้ว ชีวิตร่อแร่แล้ว เพียงแต่ยังดันทุรังต่อต้านก็เท่านั้นเอง! เจิ้นโค่นล้มอิ๋งจิ่วกวง กำจัดฮ่าวเต๋อฟาง สังหารโค่วหลิงซวี กวาดล้างเขาหลิงซาน ขับไล่ประมุขชิงออกจากวังสวรรค์ ขับไล่ให้ท่านอ๋องหวาดกลัวหลบหนี ควบคุมตระกูลเซี่ยโห้ว ยุคที่จะรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียวมาถึงแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้อีก! ต่อให้เจิ้นปล่อยท่านอ๋องไป ปล่อยชิงและพุทธะไป ท่านอ๋องคิดว่าถ้าไม่มีการสนับสนุนจากเจิ้น พวกเจ้าจะอยู่อย่างสงบสุขปลอดภัยได้เหรอ? ขอเพียงข้าไม่พอใจ ใต้หล้านี้ก็จะต้องอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายในระยะยาวแน่ สถานการณ์ภาพรวมของใต้หล้าตอนนี้ มีเพียงเจิ้นที่กวาดล้างความวุ่นวายนี้ได้ คืนความสงบสุขให้โลกนี้ได้ นอกจากข้า ใต้หล้าก็ไม่มีคนที่ทำได้อีกแล้ว! ท่านอ๋องจะเลือกยังไงยังต้องคิดมากอีกเหรอ? ให้เวลาท่านอ๋องพิจารณาหนึ่งก้านธูป หลังจากหมดหนึ่งก้านธูป ท่าทีของท่านอ๋องจะเป็นตัวตัดสินว่าทัพใหญ่ของเจิ้นจะบุกโจมตีหรือเปล่า!
มังกรยักษ์หลายตัวที่ลากโซ่เข้ามารวมกับฝูงมังกรและหงส์อย่างรวดเร็ว
มังกรและหงส์ที่รวมฝูงกันพลันพลันก่อความวุ่นวาย พุ่งชนตัดเข้ามาในค่ายทัพฝั่งนี้ราวกับลมพัดเมฆกระเจิง มังกรและหงส์พ่นไฟและน้ำแข็งออกมา ทำลายล้างอย่างกําเริบเสิบสาน สร้างความปั่นป่วนเป็นแถบๆ
กำลังพลของชิงและพุทธะที่รับมือไม่ทันได้แต่โจมตีกลับอย่างฉุกละหุก ดาบทวนกระบี่ง้าวฟันไปบนเกล็ดย้อนอันทนทานบนตัวมังกรยักษ์จนเกิดประกายไฟ ทิ้งรอยลึกเอาไว้หลายรอย แต่กลับโจมตีให้แตกออกได้ยาก เข้ามังกรสามารถต้านทานได้อย่างน่าทึ่ง
พอเหยียนซู่ที่คุมอยู่ในทัพกลางเห็นมังกรและหงส์ในค่ายทัพของอีกฝ่ายก่อกบฏ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกฮึกเหิม รู้ว่าการสนับสนุนที่สำคัญจากเหมียวอี้ปรากฏออกมาแล้ว
พอเงยหน้ามองมังกรดำและหงส์รุ้งสองตัวที่บินวนอยู่ด้านบนอีกครั้ง ในใจเหยียนซู่ก็แอบทึ่ง มีโหงวเฮ้งของราชันจริงๆ ด้วย แม้แต่เผ่ามังกรและหงส์ก็ยังสามารถควบคุมได้
เมื่อเห็นว่ามังกรและหงส์กำลังก่อกวนอยู่กลางทัพใหญ่ของตน แต่ค่ายทัพไปตัวเองก็ดันไม่สะดวกจะตั้งค่ายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตี ประมุขชิงที่หลบหางมังกรได้หนึ่งครั้ง ตอนนี้สีหน้าครึ้มเหมือนพยับเมฆ เขาขยุ้มมือ กระบี่ใหญ่สีดำขลับปรากฏอยู่ในมือแล้ว ตัวกระบี่ใหญ่โตจนดูก้าวร้าว เป็นกระบี่ผลึกพิเศษที่พบเห็นได้น้อยมาก ไม่แปลกใจที่ประทานกระบี่เก้าเตาให้หวังติ้งเฉาได้ เพราะมีอาวุธใหม่ที่คมกว่ามาแทนที่แล้วนี่เอง
พอกระบี่มาอยู่ในมือ ประมุขชิงก็พลันถลันตัวออกมา มังกรยักษ์ตัวหนึ่งที่พุ่งชนเข้ามาถูกเขาคว้าเขามังกรเอาไว้แล้วกดจนหัวเบี่ยงทิศทาง มังกรยักษ์สะบัดหางฟาดเข้ามา ประมุขชิงโบกกระบี่ขึ้นมาพร้อมเงามายา ฟันหางมังกรที่ฟาดเข้ามาจนขาดภายในครั้งเดียว แล้วก็โบกกระบี่ฟันลงข้างล่างอีก กระบี่ตัดหัวมังกรใหญ่ขาดลงมาทั้งเป็นๆ แล้ว
มังกรยักษ์ที่แข็งแกร่งเหนียวแน่นจนอาวุธฟันแทงไม่เข้า ไม่น่าเชื่อว่าจะต้านทานกระบี่วิเศษของประมุขชิงไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว โดนฟันจนเลือดสาดเป็นน้ำฝน
ประมุขชิงที่โจมตีสำเร็จไปหนึ่งครั้งถลันตัวออกมา โบกกระบี่ฟันอีกครั้ง ฝนเลือดสดระเบิดออกมาเป็นสาย “กรรรร!” มังกรยักษ์ตัวหนึ่งเปล่งเสียงร้อง อันเศร้าสลดน่าตกใจ โดนกระบี่ฟันขาดสองท่อนคาที่
ประมุขพุทธะก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ดาบพระเล่มใหญ่สีดำขลับปรากฏอยู่ในมือ เงาร่างถลันวูบต่อเนื่องกัน ฟันมังกรฆ่าหงส์
ชิงและพุทธะลงมือด้วยตัวเอง ต้องการจะใช้กำลังอันแข็งแกร่งของตัวเองกำราบความโกลาหลภายในให้สงบโดยทันที
อู๋ฉวี่ที่ถือดาบตัดม้าใบหน้านิ่งเกร็ง ตัวอยู่ในการคุ้มครองของทัพกลาง กำลังบัญชาการทัพใหญ่ออกทำศึก
มังกรดำและหงส์รุ้งสองตัวที่บินวนกลายร่างเป็นคนแล้ว กลับมาอยู่ข้างกายเหยียนซู่เหมือนเดิม เฮยทั่นร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนว่า “ซ่างกวนชิง ถ้าไม่เคลื่อนไหวตอนนี้ แล้วจะรอถึงเมื่อไหร่?”
ซ่างกวนชิง? เหยียนซู่หันกลับมามองเฮยทั่นอย่างงงงวย อย่าบอกนะว่าผู้การใหญ่ซ่างกวนชิงก็เป็นคนของพวกเราด้วย?
เสียงตะโกนนี้ทำให้แม้แต่เหยียนซู่ก็ยังต้องปาดเหงื่อแทนประมุขชิง ถึงขั้นทำให้ขวัญกำลังใจทหารของชิงและพุทธะปั่นป่วนแล้ว แม้แต่จังหวะการโจมตีก็เริ่มเสียระเบียบนิดหน่อย
ชิงและพุทธะ ซือหม่าเวิ่นเทียนและพวกอู๋ฉวี่หันขวับไปมองซ่างกวนชิงพร้อมกัน
หมายความว่าอะไร? แม้แต่ซ่างกวนชิงเองก็ยังงง
ทว่าต่อให้เขางงก็ไม่มีประโยชน์ ประเด็นก็คือลูกน้องของเขาไม่งง องครักษ์เงาหลายร้อยที่คุ้มกันอยู่ในทัพกลางพลันเผยดาบใหญ่สีเลือดพร้อมกัน แล้วรวมตัวกันพุ่งไปหาอู๋ฉวี่ในศูนย์บัญชาการ เงาดาบที่บ้าระห่ำระเบิดพลังทำลายล้างออกมา โจมตีการป้องกันของศูนย์กลาง มุ่งตรงไปที่อู๋ฉวี่
ซ่างกวนชิงตระหนกจนตับไตแทบจะเด้งออกมา เขายังไม่ทันรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ก็มีเงาคนคนหนึ่งแฉลบผ่านมาตรงหน้าแล้ว พอโบกดาบขึ้นก็ฟันทันที เป็นประมุขชิงที่กำลังมีสีหน้าเดือดแค้นสุดขีด
การเคลื่อนไหวของประมุขชิงเร็วเกินไป ซ่างกวนชิงไม่มีแม้แต่โอกาสจะอธิบาย ถึงขั้นคิดไม่ทันด้วยซ้ำว่าจะอธิบายอย่างไร ได้แต่โบกกระบี่ขึ้นมาต้านโดยสัญชาตญาณ
“โจรกบฏ!” ในเสียงคำรามของประมุขชิงเผยความเคียดแค้นปนเศร้าสลดไร้ที่เปรียบ นึกไม่ถึงว่าคนสนิทที่อยู่ข้างกายตัวเองมาตลอดจะเป็นคนทรยศ แค่คิดก็รู้แล้วว่าในใจโกรธเคืองแค่ไหน ความโกลาหลอันต่อเนื่องภายในวังสวรรค์นี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าคนทรยศคนนี้แสดงบทบาทไปมากเท่าไหร่
กระบี่แห่งความโกรธแค้นของเขานี้ เรียกได้ว่าฟันออกมาเต็มแรง
แกร๊ง! กระบี่วิเศษในมือซ่างกวนชิงขาดเป็นท่อน เป็นเพราะกระบี่วิเศษของประมุขชิงแหลมคมเกินไป ทั้งตัวถูกกระบี่ที่ฟันต่อเนื่องไม่พักตัดขาดเป็นสองท่อน ฟันเฉียงตั้งแต่ไหล่ซ้ายลงมาข้างเอว ท่ามกลางน้ำเลือดที่สาดกระจาย ซ่างกวนชิงที่ตัวขาดสองท่อนเบิกตาโพลง มีทั้งความหวาดกลัวและความเหลือเชื่อ
ศูนย์บัญชาการที่ถูกองครักษ์เงาโจมตีวุ่นวายใหญ่โต ถึงแม้อู๋ฉวี่จะต้านการโจมตีหมู่จากองครักษ์เงามากขนาดนั้นไม่ไหว แต่คนเหล่านั้นก็ต้องถอยออกไปเพราะมีทหารจำนวนมากคุ้มครองอย่างสุดชีวิต
ประมุขพุทธะพุ่งเข้ามาเปิดฉากสังหารองครักษ์เงาที่กำลังโจมตีแล้ว
ความโกรธแค้นในหัวใจประมุขชิงนั้นยากจะบรรยายออกมาได้ ตอนนี้เขาแทบจะมั่นใจได้เลย ว่าซ่างกวนชิงเป็นคนปล่อยข่าวให้เหมียวอี้รู้ว่าโพ่จวินกับจ้านหรูอี้หนีออกไปก่อน เขาโบกกระบี่ฟันอย่างโมโห แม้จะสับร่างของซ่างกวนชิงจนเละเทะ แต่ก็ยังระบายความโกรธแค้นในหัวใจไม่หมด
ฉากนี้ทำให้ซือหม่าเวิ่นเทียนเสียวสันหลังวาบ ซ่างกวนชิงที่รับใช้เหมือนวัวเหมือนม้ามาหลายปี ไม่น่าเชื่อว่าจะมีจุดจบอย่างนี้ อย่าบอกนะว่าเกาก้วนถูกกดดันและทำร้ายจริงๆ?
ฉากที่กำลังพลตำหนักสวรรค์เกิดความปั่นป่วนภายในใหญ่โต ภาพเหตุการณ์ที่ประมุขชิงใช้กระบี่ฟันซ่างกวนชิงอย่างเกรี้ยวกราด ทำให้เหยียนซู่ตกตะลึงอ้าปากค้างนิดอยู่บ้าง แม้แต่เขาเองก็ยังทำใจเชื่อได้ยาก ไม่น่าเชื่อว่าข้างกายประมุขชิงจะเหลวแหลกถึงขั้นนี้? ไม่แปลกใจที่หนิวโหย่วเต๋อมีความมั่นใจไปท้ารบ!
“กรรร!” เฮยทั่นกับเทพสตรีทั้งสองร้องเสียงแหลมอีกครั้ง
องครักษ์เงาที่จู่โจมไม่สำเร็จรีบรวมตัวกันอพยพหนี พุ่งฝ่าการปิดล้อมของทัพใหญ่ออกไปภายใต้การคุ้มครองอันเหนียวแน่นของเผ่ามังกรและหงส์ หนีไปยังจุดลึกในดาราจักร
เป็นเพราะอานุภาพการพุ่งชนของเผ่ามังกรโหดเกินไป ภายในต้านไม่อยู่เลย ทำได้เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายฝ่าออกไป ลูกธนูดาวตกที่ยิงตามไปอย่างฉุกละหุกก็แสดงประโยชน์ไม่ได้มากนัก ไม่ได้สร้างภัยคุกคามต่อองครักษ์เงากับมังกรและหงส์ที่หลบหนีไปได้มากนัก
ประมุขชิงโบกกระบี่ชี้ไป ต้องการจะสั่งทัพใหญ่ให้ไล่สังหาร แต่กลับถูกประมุขพุทธะคว้าข้อมือเอาไว้ บอกใบ้เขาว่าอย่าวู่วาม เป้าหมายหลักตอนนี้ไม่ใช่การไล่สังหารคนทรยศพวกนี้ แต่เป็นการโจมตีฝ่ากำลังกับก่วงลิ่งกง จะปล่อยให้แผนชั่วของหนิวโหย่วเต๋อสำเร็จไม่ได้ การกระจายกำลังทหารตอนนี้ไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดเลยจริงๆ
เหยียนซู่เอียงหน้ามามองข้างกายอีกครั้ง เห็นเพียงเทพสตรีผู้พิทักษ์ทั้งสองกางแขนสองข้างโอบกอดดาราจักร ในกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือที่ขาวดุจหยกมีอัคคีน้ำแข็งสว่างวิบวับพ่นออกมาไม่หยุด อัคคีน้ำแข็งพุ่งขึ้นฟ้าราวกับมังกรเพลิง พุ่งไปทางดาราจักรและกระจายกลายเป็นหงส์อัคคีน้ำแข็งตัวแล้วตัวเล่า กระพือปีกบินร่อนไปทางทัพใหญ่ของชิงและพุทธะ
“ยิงธนู!”
ฝนลูกธนูดาวตกในทัพใหญ่ของชิงและพุทธะแบ่งกันยิงสกัด ทว่าหงส์อัคคีน้ำแข็งเหล่านั้นไม่ใช่ร่างจริง ลูกธนูทำได้เพียงลดความเร็วในการบุกเข้ามาของหงส์อัคคีน้ำแข็งเท่านั้น ทำให้ร่างของหงส์อัคคีน้ำแข็งสั่นไหวเหมือนระลอกคลื่นอยู่พักหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถต้านทานการรุกล้ำเข้ามาของพวกมันได้ ต่อให้หงส์อัคคีน้ำแข็งถูกโจมตีแตกแล้ว แต่ก็รวมกลุ่มกันขึ้นมาได้อีกครั้งอยู่ดี
หงส์อัคคีน้ำแข็งจำนวนมหาศาลบุกเข้ามาในทัพใหญ่ของชิงและพุทธะ พ่นอัคคีน้ำแข็งออกมามาสายแล้วสายเล่า บินโฉบอยู่ในทัพใหญ่อย่างกําเริบเสิบสาน เผาจนเสียงร้องโอดครวญดังอย่างต่อเนื่อง
แต่การโจมตีหงส์อัคคีน้ำแข็งที่ไม่ใช่ร่างจริงพวกนี้อย่างบ้าระห่ำ ก็ไม่ได้ผลอะไรทั้งนั้น
ทัพใหญ่ของชิงและพุทธะเกิดความวุ่นวายภายในเรื่องแล้วเรื่องเล่าจริงๆ ไม่จบไม่สิ้นเสียที ประมุขชิงโมโหจนตาแทบถลน ประมุขพุทธะเริ่มหัวตากระตุกแล้ว
“ใช้ของวิเศษดูดเก็บ!” ประมุขพุทธะพลันตะโกนสั่ง
และสำหรับทัพใหญ่ของเหยียนซู่ที่มาสกัดไว้ ความหวาดหวั่นในใจเริ่มสงบลงทีละน้อยแล้ว เห็นภายในทัพฝ่ายศัตรูชุลมุนไม่หยุด ขวัญกำลังใจทหารของทั้งสองฝ่ายเพิ่มลดสวนทางกัน แม้แต่ทัพใหญ่ของชิงและพุทธะเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนหลังจะเกิดความวุ่นวายอะไรอีก ป้องกันไม่ชนะเลยจริงๆ!
เผ่ามังกรและหงส์กลับองครักษ์เงาที่หลบหนีเหาะอ้อมดาราจักรรอบหนึ่ง ด้วยการสนับสนุนของเฮยทั่น พวกเขากลับมาอยู่ฝั่งเหยียนซู่แล้ว มาเป็นทหารคุ้มกันในทัพกลางอันแข็งแกร่งให้เหยียนซู่
และในตอนนี้อวี้หลัวช่ากับทหารกบฏกองทัพองครักษ์ที่หนีไปก็อ้อมกลับมาแล้ว กลับเข้ามาร่วมคุ้มกันทัพกลางของเหยียนซู่
อวี้หลัวช่านำกำลังพลของตัวเองมาสองร้อยล้าน ทั้งหมดมาสนับสนุนอยู่ฝั่งเหยียนซู่
ส่วนแม่ทัพกองทัพองครักษ์ที่ก่อกบฏพวกนั้นกลับไม่มีทางนำกองทัพองครักษ์ร้อยล้านกว่าออกมาสนับสนุนเหยียนซู่ได้ กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่ถูกแม่ทัพพวกนี้พามายังคงอยู่ในกระเป๋าสัตว์และถูกระงับใช้ระฆังดารา ไม่มีทางรู้เลยว่าข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้าให้พวกเขาเข้าใจจริงๆ ว่าข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วพวกเขาจะยังสนับสนุนฝั่งนี้อยู่หรือเปล่า
แต่แม่ทัพกองทัพองครักษ์ที่ก่อกบฏพวกนี้กลับเก็บยึดธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของกำลังพลกองทัพองครักษ์ในกระเป๋าสัตว์เอาไว้ทั้งหมดแล้ว ได้ประมาณร้อยล้านกว่าคัน
ทั้งยังมีแม่ทัพของกองทัพพระที่ทรยศด้วย ไม่วางใจที่จะปล่อยกองทัพพระร้อยล้านกว่าที่พามาด้วยออกมาใช้งาน เพียงแต่เก็บยึดธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ร้อยล้านกว่าคันไว้แล้วเหมือนกัน
เดิมทีกองทัพพระพวกนี้ใช่ว่าทุกคนจะมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หมด แต่กักตุนไว้ในมือประมุขพุทธะจำนวนไม่น้อย ก่อนเปิดฉากต่อสู้ถึงได้แจกให้กำลังพลเบื้องล่าง เมื่อศึกนี้จบแล้วก็ต้องส่งคืนขึ้นไปอีก สถานการณ์ทางฝั่งแดนสุขาวดีมีจุดแตกต่างกับกับฝั่งตำหนักสวรรค์ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ต้องควบคุม
ทัพกบฏของชิงและพุทธะส่งมอบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เกือบสามร้อยล้านคันให้เหยียนซู่ เหยียนซู่ดีใจมาก สั่งให้คนแจกจ่ายลงไปทันที
บวกกับมีกองทัพพระสองร้อยล้านของอวี้หลัวช่าที่มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดคอยช่วยเหลือ เหยียนซู่ตื่นเต้นฮึกเหิมมากจริงๆ นอกจากกำลังฝ่ายตัวเองจะเพิ่มสวนทางกับกำลังฝ่ายศัตรูที่ลดลงแล้ว ก็มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาโจมตีสกัดเพิ่มขึ้นเยอะขนาดนี้อีก ทำให้เขามีความมั่นใจต่อภารกิจโจมตีสกัดที่เหมียวอี้มอบหมายให้มากขึ้นแล้ว
มารอบนี้เหมียวอี้ให้การสนับสนุนเขาเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สามร้อยล้านคัน กำลังพลหนึ่งพันล้านพร้อมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สามร้อยล้านคันนับว่าเป็นสัดส่วนที่สูงจริงๆ บวกกับธนูที่ได้จากทัพกบฏอีกสามร้อยล้านคัน ทั้งยังมีจากลูกน้องของอวี้หลัวช่าอีกสองร้อยล้านคัน ฝั่งนี้มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ติดตัวแล้วแปดร้อยล้านคัน เหยียนซู่ย่อมมีความมั่นใจแล้ว
ทัพใหญ่ของชิงและพุทธะเหมือนจะหาวิธีรับมือกับหงส์อัคคีน้ำแข็งได้แล้ว นำของวิเศษที่สามารถดูดเก็บได้ออกมาไม่หยุด ดูดเก็บหงส์อัคคีน้ำแข็งพวกนั้นเข้ามาในของวิเศษแล้ว
อานุภาพการโจมตีของหงส์อัคคีน้ำแข็ง ที่จริงก็ไม่ได้มากมายเท่าไหร่ แต่ประเด็นก็คืออัคคีน้ำแข็งที่พ่นออกมาไม่จบไม่สิ้น แต่กลับไร้ความสามารถที่ต้านทานของวิเศษที่ดูดกลืนได้
เมื่อเห็นสถานการณ์อย่างนี้ เหยียนซู่ก็ออกคำสั่งต่อเทพสตรีทันที ให้เก็บหงส์อัคคีน้ำแข็งกลับมา ให้หงส์อัคคีน้ำแข็งถอนกำลังกลับมาอยู่เป็นกองหน้าของค่ายทัพฝ่ายตัวเอง ใช้สกัดศัตรู จะใช้สิ้นเปลืองไปกับการก่อกวนที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ไม่ได้
หงส์อัคคีน้ำแข็งที่เสียหายไปแล้วสองสามร้อยตัวรีบถอนกำลังกลับมา กลับมาเตรียมตัวอยู่หลังกองหน้าตามคำสั่งของเหยียนซู่
ทัพใหญ่ของชิงและพุทธะโจมตีอย่างดุเดือด กระบวนทัพรูปลิ่มที่เหมือนมังกรนับไม่ถ้วนยกโล่พุ่งรับกับฝนลูกธนูอย่างบ้าระห่ำ
เผชิญหน้ากับการรุกโจมตีที่แข็งกร้าวขนาดนี้ ถึงแม้ฝั่งนี้จะมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากแล้ว แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาก่อน กอปรกับของพึ่งมาถึงมือ ไม่มีเวลาได้ปรับตัวด้วยซ้ำ ไม่ชำนาญการร่วมมือกันโจมตีหมู่ด้วยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ แทบจะถูกทัพฝ่ายศัตรูตีแนวป้องกันแตกหลายครั้งแล้ว
โชคดีที่เหยียนซู่เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ เมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนทัพรูปลิ่มที่เกือบตีฝ่าแนวป้องกันมาได้ หงส์อัคคีน้ำแข็งก็ออกไปรับหน้าโจมตีทันที กรอกอัคคีน้ำแข็งเข้าไปในกระบวนทัพรูปลิ่มของฝ่ายตรงข้าม ภายใต้ความร่วมมือของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมาก โจมตีกระบวนทัพรูปลิ่มที่บุกเข้ามาจนแตกพังซ้ำแล้วซ้ำอีก เฝ้าพิทักษ์แนวป้องกันเอาไว้อย่างแนบแน่น ไม่ให้ทัพฝ่ายศัตรูโจมตีเข้ามา
เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนี้ ชิงและพุทธะก็สบตากันแวบหนึ่ง พยักหน้าให้กัน ต่างคนต่างเรียกกำลังพลหนึ่งร้อยล้านเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์แล้ว
เห็นเพียงสองคนนี้สังหารออกมาจากขบวนรบด้วยตัวเอง ทั้งคู่ล้วนฉายเดี่ยว พุ่งไปข้างหน้ารับกับฝนลูกธนู
คนหนึ่งมีไอสีเขียวหมุนรอบกายด้วยความเร็วสูง ปัดลำแสงที่ยิงเข้ามาจนปลิวออกไป อีกคนมีรอยแยกมิติอยู่รอบกาย ลำแสงที่ยิงเข้ามาจมหายเข้าไปในนั้นแล้ว
แม้พลังอิทธิฤทธิ์ของทั้งสองจะล้ำเลิศ แต่ก็ไม่กล้าดันทุรังต้านการโจมตีหมู่จากลูกธนูดาวตกที่มีจำนวนมหาศาลเกินไป ในขณะที่ตั้งสองฝ่ามาตลอดทาง ก็ถลันหลบฝูงลำแสงที่ยิงเข้ามาอย่างรวดเร็ว พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนฝนลูกธนูโจมตีมากเกินไป
ผ่านไปครู่เดียว ทั้งสองก็ต่างคนต่างสังหารเข้าไปถึงแนวหน้าทัพของเหยียนซู่ ราวกับหินก้อนหนึ่งที่กระแทกกำแพงเมือง โบกอาวุธโจมตีฝ่าแนวป้องกันอย่างบ้าคลั่ง ตรงจุดไหนที่คนสังหารไปถึง ตรงนั้นก็พินาศย่อยยับ ไม่มีใครต้านไหว ทั้งสองกวาดล้างจนเกิดช่องโหว่อย่างรวดเร็ว จากนั้นทยอยปล่อยกำลังพลออกมา
…………………………
ในดาราจักรอันกว้างใหญ่ อาจารย์และศิษย์พูดคุยกันยืดยาว
เงาคนคนหนึ่งถลันเขามายืนบนแทนในรถมังกร เป็นอวี้หลัวช่านั่นเอง
อวี้หลัวช่าไม่ได้มีท่าทีเปี่ยมเมตตาเหมือนพุทธะจิ้งฮวา นางมีท่าทางสวยเยือกเย็นอยู่ตลอด นางชี้ผู่หลันพร้อมบอกว่า “มีเรื่องต้องสืบจากศิษย์ของเจ้า ขอคุยเป็นการส่วนตัวสักหน่อย”
พุทธะจิ้งฮวาไม่ได้ปฏิเสธ เพียงหันกลับไปมองผู่หลันแวบหนึ่ง เหมือนกำลังสื่อว่าให้ดูท่าทีของผู่หลัน
ผู่หลันประนมมือก้าวมาข้างหน้า แต่กลับเห็นอวี้หลัวช่าถลันตัวลอยออกไป นางจึงทำได้เพียงเหาะตามไป
พุทธะจิ้งฮวารออย่างเงียบๆ อยากจะรอให้ศิษย์กลับมาแล้วถามว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ท่วายังไม่ทันรอให้ศิษย์กลับมา สายตาที่มองไปทางดาราจักรตรงหน้ากลับเพ่งค้างอยู่อย่างนั้น เห็นไกลๆ ว่ามีกำลังพลกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวขึ้น กำลังพุ่งมาทางนี้
รอบๆ รถมังกรสองคันปล่อยกำลังพลกลุ่มใหญ่ออกมาคุ้มกันทันที กองหน้ารีบเตรียมตัวรับมือข้าศึก
ชิงและพุทธะรีบออกจากรถมังกรมายืนบนแท่น มองออกคร่าวๆ ว่าฝ่ายศัตรูมีกำลังพลหนึ่งพันล้าน มองออกเช่นกันว่าบัญชาการหลักที่อยู่ในทัพกลางฝ่ายศัตรูคือเหยียนซู่
รอบข้างไม่มีกำลังพลอื่นใดอีก ประมุขพุทธะบอกว่า “ปะทะกับพวกเราซึ่งๆ หน้าไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนกำลังพลอีก คนน้อยนิดเท่านี้ก็คิดจะขัดขวางถ่วงเวลาพวกเราแล้ว ดูท่าหนิวโหย่วเต๋อคงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะลงมือกับก่วงลิ่งกงให้ได้!”
“ฆ่า!” ประมุขชิงออกคำสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำ
กำลังพลกองหน้าของทั้งสองฝ่ายเปิดฉากโจมตีโดยตรง ต่างฝ่ายต่างยิงธนูใส่กัน ลำแสงราวกับฝน
ทว่าจู่ๆ ชิงและพุทธะกลับพบความชุลมุนวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง มีคนตะโกนว่า “หนีไปแล้ว!”
ชิงและพุทธะก็สังเกตได้เช่นกันว่าจำนวนคนฝั่งตัวเองผิดปกตินิดหน่อย จึงมองไปทางกลุ่มคนที่มีเสียงดังโวยวาย พอจะมองเบาะแสบางอย่างออกแล้ว วากำลังพลฝ่ายตัวเองไม่ได้ถูกปล่อยออกมาทั้งหมด มีแม่ทัพกองทัพองครักษ์หลายสิบคนที่ไม่ได้ปล่อยกำลังพลออกมา แต่กลับอาศัยจังหวะตอนวุ่นวายรีบหนีไปในดาราจักรที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวา ทำเอาฝั่งนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อรู้ตัวแล้วว่าเป็นคนทรยศหลบหนี ก็เกิดความชุลมุนอยู่พักหนึ่งทันที
ไม่ใช่แค่กองทัพองครักษ์เท่านั้น สถานการณ์ฝั่งแดนพุทธเลวร้ายยิ่งกว่า ศิษย์ชาวพุทธกลุ่มหนึ่งไม่เพียงแค่ไม่ปล่อยกำลังพลออกมา แต่กลับฉวยโอกาสตอนวุ่นวายหนีไปอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญก็คือในจำนวนนั้นมีบุคคลตำแหน่งสูงอยู่ด้วย
ประมุขพุทธะที่นิ่งสงบมาตลอดกระตุกมุมปากอย่างแรง ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องเงาหลังคนคนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่หนีไป อวี้หลัวช่า? พุทธะหน้าหยกลูกน้องตัวเอง?
เขาแทบจะไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเองเลย แม้จะเป็นประมุขพุทธะ แต่ก็สองตาลุกเป็นไฟและสบถคำหยาบเช่นกัน “นางตัวแสบ!”
อวี้หลัวช่าหนีไปแล้วจริงๆ ไม่ใช่เพียงหนีไป ทั้งยังพาศิษย์ผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งของตัวเองไปด้วย ในมือยังคว้าแขนคนคนหนึ่งที่มีสีหน้ากังวลแต่กลับกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ผู่หลัน!
อวี้หลัวช่าก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน เป็นเหมียวอี้ที่ติดต่อนางมากะทันหัน บอกว่าตอนที่นางหนีให้คิดหาทางพาผู่หลันไปด้วยกัน อย่างน้อยก็คิดหาทางแยกผู่หลันออกมาให้ได้ อย่าให้ผู่หลันเข้าไปอยู่ท่ามกลางการเข่นฆ่าในสนามนี้
อวี้หลัวช่าจึงบอกเขาว่า ถ้าไม่สำคัญ ก็ปล่อยผ่านไปเถอะ ในเวลานี้ไม่ควนให้มีปัญหาอื่นมาแทรก จะเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ง่าย
ที่พูดแบบนั้นเพราะอยากจะถามเหมียวอี้ว่ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับผู่หลันกันแน่ คุ้มที่จะให้เกิดความเสี่ยงอะไรในเวลาอย่างนี้หรือเปล่า
ทว่าเหมียวอี้กลับเหมือนกินยาผิดมา ดึงดันมาก ไม่ยอมอธิบาย บอกเพียงว่าต้องช่วยออกมา อีกทั้งในคำพูดเหมือนจะแสดงความเดือดดาลเล็กน้อยด้วย
ตอนหลังก็เหมือนตระหนักได้ว่าเรื่องนี้กำลังทำให้อวี้หลัวช่าเสี่ยงอันตราย จึงตอบนางไปว่า ในอดีตเคยช่วยชีวิตผู่หลันไว้ ไม่จำเป็นต้องทำให้นางตายตอนนี้จนทิ้งความรู้สึกผิดไว้ให้ตัวเอง ให้อวี้หลัวช่าตัดสินใจเองตามสถานการณ์ แต่ถ้าเสี่ยงมากจริงๆ ก็ปล่อยผ่านไป
ในขณะที่สื่อสารกัน อวี้หลัวช่าก็รู้สึกได้ว่าเหมียวอี้แปลกไปนิดหน่อย จะให้เสี่ยงอันตรายช่วยคนที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันเพียงเพราะไม่อยากรู้สึกผิดทีหลังอย่างนั้นหรือ? ล้อเล่นอะไรกัน? นี่มันเวลาไหนแล้ว? จะให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดไม่ได้ ถ้าเกิดความผิดพลาดนิดเดียวก็อาจจะมีคนตายเยอะมาก นางอยากจะถามเหมียวอี้มากว่า คนที่ตายและกำลังจะตายในศึกนี้ มีกี่คนที่เหมียวอี้รู้จัก จะต้องช่วยเหลือทั้งหมดเลยหรือเปล่า?
แต่นางก็ไม่ได้เถียงกับเหมียวอี้ เพียงบอกว่าจะลองดู ผลปรากฏว่าราบรื่น สามารถพาผู่หลันหนีไปได้อย่างราบรื่น
อวี้หลัวช่าหันกลับมามองข้างหลังตัวเองแวบหนึ่ง ไม่ได้มีแค่ศิษย์ของตัวเองที่หนีตามมาด้วย ยังมีลูกศิษย์ชาวพุทธอีกจำนวนไม่น้อยที่ทั้งสนิทมากและสนิทน้อยหนีมาฝั่งนี้ด้วยเช่นกัน ตอนแรกยังนึกว่าตัวเองถูกเปิดโปงแล้วจะถูกไล่สังหาร ผลก็คือพบความผิดปกติ พบว่าอีกฝ่ายก็หนีเช่นกัน
สิ่งนี้ทำให้นางแอบตกใจ นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะแทรกซึมเข้ามาในสำนักพุทธอย่างร้ายกาจขนาดนี้? บรรดาคนที่หนีมาล้วนไม่ใช่พวกที่ไร้ชื่อไร้นาม อาศัยแค่เป็นคนที่นางรู้จักก็รู้แล้วว่าอยู่ระดับไหน
ตัวนางเองพากำลังพลไปด้วยเกือบสองร้อยล้าน ไม่รู้ว่าคนพวกนี้พาไปด้วยอีกเท่าไหร่
ชิงและพุทธะล้วนเผยสีหน้าดุร้าย เรียกได้ว่าได้แต่มองคนที่หนีไปตาปริบๆ แต่กลับไม่ได้ไล่ตาม ไม่ใช่ว่าไม่อยากไล่ตาม พวกเขาอยากจะบดกระดูกคนทรยศที่หนีไปให้แหลกเป็นขี้เถ้า แต่ไม่กล้าตามไป เพราะกองหน้าของทัพใหญ่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดแล้ว ไม่กล้าแบ่งกำลังทหารเป็นสองกลุ่มเพื่อตามไป หนึ่งเป็นเพราะกังวลว่าจะกระจายกำลังหลัก สองเป็นเพราะกังวลว่าจะติดกับดักที่หนิวโหย่วเต๋อวางไว้ การทำศึกใหญ่ที่ต่อเนื่องนี้ แม้จะไม่ได้ปะทะกับหนิวโหย่วเต๋อซึ่งๆ หน้า แต่วิธีการระดมพลและผลงานการรบตลอดทางของหนิวโหย่วเต๋อก็เพียงพอที่จะทำให้คนหวาดหวั่น
เสียงระเบิดดังตูมตามจากการรบอันดุเดือดดังสะท้านอยู่ในดาราจักร
เหยียนซู่ จอมพลสายเถาะที่นั่งบัญชาการอยู่ทัพกลางมีสีหน้าตึงเครียด ก่อนหน้านี้เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าคนที่ได้ประจันหน้ากับชิงและพุทธะจะเป็นเขา
เขากดดันกว่าใครทั้งนั้น เหมียวอี้บอกกับเขาเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า ให้เขานำทัพใหญ่พันล้านไปถ่วงเวลากำลังพลสองพันห้าร้อยล้านของชิงและพุทธะไว้
ตอนนี้เพิ่งได้รับคำสั่งมา เขานึกว่าเหมียวอี้กำลังรอเล่น ใช้กำลังพลหนึ่งพันล้านแต่คิดจะถ่วงเวลาทัพใหญ่เกรียงไกรสองพันห้าร้อยล้านของชิงและพุทธะอย่างนั้นเหรอ? อย่าว่าแต่สองพันห้าร้อยล้านเลย จะสู้กับกองทัพองครักษ์ห้าร้อยล้านของประมุขชิงได้หรือเปล่าก็ยังเป็นปัญหา! แน่นอน เหมียวอี้อาจจะไม่ได้สั่งให้เขาคว้าชัยชนะ เพียงแค่ให้เขาพยายามถ่วงไว้อย่างสุดกำลัง ถ่วงเวลาให้ทัพใหญ่ของชิงเยว่จัดการกำลังพลของก่วงลิ่งกงให้ได้มากที่สุด
ในตอนแรก เขาก็แทบจะนึกว่าเหมียวอี้อยากจะฉวยโอกาสนี้กำจัดเขา นึกว่าจะกวาดล้าง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกน้องเก่าของฮ่าวเต่อฟาง แต่พอลองคิดดูใหม่ก็เข้าใจแล้ว ว่าเป็นเพราะเหมียวอี้เชื่อใจเขา ถึงได้มอบภารกิจที่ยิ่งใหญ่และยากลำบากเช่นนี้ให้เขา ศึกนี้ของเขาเกี่ยวโยงถึงผลแพ้ชนะของศึกทั้งหมดได้ เป็นการนำเขามาเดิมพันครั้งใหญ่จริงๆ เหมียวอี้จะนำเรื่องใหญ่ขนาดนี้มาล้อเล่นเพื่อกวาดล้างเขาได้อย่างไร
หลังจากเข้าใจจุดนี้แล้ว เขาก็ไม่นึกถึงตัวเองอีก แต่ปาดเหงื่อแทนเหมียวอี้ ช่างกล้าจริงๆ!
ถ้าศึกนี้เขาสามารถบรรลุเป้าหมายการรบที่เหมียวอี้กำหนดได้ ก็จะได้สร้างผลงานใหญ่มาก จะได้เป็นอ๋องก็ถือว่าไม่เกินไป!
แม้เงาของฮ่าวเต๋อฟางจะยังอยู่ในใจเขา แต่ถึงอย่างไรก็ผ่านมาหลายปีมากแล้ว เขาได้เดินบนเส้นทางของตัวเองแล้ว ไม่อยากทรยศความเชื่อใจของเหมียวอี้ด้วย แต่ภารกิจตรงหน้ามีโอกาสสำเร็จน้อยมาก ดีไม่ดีตัวเองอาจจะต้องเอาชีวิตทิ้งไว้ที่นี่ด้วย
ถึงแม้เหมียวอี้จะบอกแล้วว่ามีแผนการสำรอง จะให้การสนับสนุนที่เป็นประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ แก่เขา แต่ชิงและพุทธะเป็นใครกันล่ะ? ถ้าพูดถึงความองอาจห้าวหาญส่วนตัว ก็ล้วนเป็นบุคคลที่สามารถเด็ดหัวแม่ทัพอยู่ท่ามกลางทัพนับหมื่นล้านได้ แม่ทัพหลักยังเขาตกอยู่ในอันตรายมาก
ฝ่าบาทเหมือนจะคำนึงถึงจุดนี้แล้ว บอกว่าส่งยอดมีฝีมือระดับสูงสุดสองคนมาปกป้องเขาด้วย
เหยียนซู่เอียงหน้ามองผู้หญิงสง่าราศีไม่ธรรมดาสองคนที่ยืนอยู่ข้างเฮยทั่น เขานั้นรู้จักเฮยทั่น รู้ว่าเป็นคนที่ราชินีสวรรค์อวิ๋นจือชิวดูแลอย่างดีที่สุด ส่วนผู้หญิงสองคนนี้ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์จากที่ไหน ไม่รู้ที่มาที่ไป และไม่เคยเห็นด้วย จะต้านชิงและพุทธะไหวเหรอ?
แต่มองออกอย่างชัดเจนเลยว่าเฮยทั่นมีท่าทางประจบสอพลอผู้หญิงสองคนนี้มาก
ส่วนการสนับสนุนอื่นๆ ที่ฝ่าบาทพูดถึง ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าคืออะไร
“ท่านจอมพล เหมือนฝ่ายศัตรูจะเกิดความวุ่นวายภายในอะไรสักอย่าง!” ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่อยู่ข้างๆ ชี้ไปทางค่ายทัพฝ่ายศัตรู
เหยียนซู่มองตาม พบว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ เหมือนจะเห็นว่ามีคนหนีไปก่อนทำศึก จึงรีบบอกว่า “คำนวณกำลังพลฝ่ายศัตรูสักหน่อย” สมาธิของเขาต้องอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์รบ
มีคนจํานวนหนึ่งมองไปทางนั้นเพื่อสืบเรื่องนี้โดยเฉพาะทันที หลังจากหลายคนประชุมกันและยืนยันผลลัพธ์แล้ว ก็กลับมารายงานว่า “ท่านจอมพล ฝ่ายศัตรูเหมือนจะมีแค่กำลังพลสองพันล้าน”
เหยียนซู่เกิดความคิดบางอย่างในใจ เหมือนจะมีกำลังพลน้อยลงแล้วสี่ห้าล้าน อย่าบอกนะว่านี่คือหนึ่งในการสนับสนุนที่มีประโยชน์ที่ฝ่าบาทบอก?
คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นอย่างนี้ ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ จะเกิดเหตุไม่คาดคิดโดยไร้เหตุผลได้อย่างไร เหตุการณ์ไม่คาดคิดที่ใหญ่โตขนาดนี้ จะต้องมีคนผลักดันอยู่เบื้องหลังแน่นอน คนที่ผลักดันจะต้องเป็นอำนาจของฝ่ายตรงข้าม แบบนี้แสดงว่าเกี่ยวข้องกับฝ่าบาทแน่นอน
มีกำลังพลลดลงไปเยอะขนาดนี้ แม้จะเป็นวิธีการที่ลดความกดดันได้ แต่เมื่อเทียบกับจำนวนทัพฝ่ายศัตรู และพลังรบของทัพฝ่ายศัตรู ความกดดันก็ไม่ได้ลดลงเยอะเท่าไหร่
ชิงและพุทธะที่ยืนเคียงกันบนรถมังกรก็ได้รับรายงานจำนวนกำลังพลที่สูญเสียไปแล้วเช่นกัน กองทัพองครักษ์มีกำลังพลหนึ่งร้อยล้านกว่าถูกพาไปด้วยอย่างเลอะเลือน ฝั่งประมุขพุทธะก็ยิ่งร้ายแรงกว่า กำลังพลที่กระจัดกระจายไปก็มีประมาณร้อยล้านกว่าเช่นกัน อวี้หลัวช่าก็ยิ่งพาไปด้วยเกือบสองร้อยล้าน
เมื่อนับจำนวนรวมกันแล้ว ก็เท่ากับเสียกำลังพลไปรวดเดียวเกือบห้าร้อยล้าน
ผลที่ตามมาหลังจากอวี้หลัวช่าทรยศก็ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ กองทัพพระพันห้าร้อยล้านที่รวมตัวในเขตตำหนักสวรรค์ ไม่ว่าจะถูกถ่วงให้ล่าช้าไปด้วยหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็เลิกหวังกับกองทัพพระใต้บังคับบัญชาของอวี้หลัวช่าไปได้เลย เสียหายอีกเกือบสองร้อยล้านแล้ว นี่ไม่ใช่แค่ความเสียหายอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าขาดการเสริมชดเชยของฝั่งนี้ไป เมื่อไปถึงฝ่ายตรงข้ามแล้ว ก็จะมีผลทำให้การเพิ่มลดจำนวนคนของสองฝ่ายสวนทางกัน ไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่นอน
“ตระกูลเซี่ยโห้ว!” ประมุขชิงกล่าวคำนี้ออกมาอย่างเยียบเย็นดุร้าย ไม่ต้องเดาเขาก็รู้เรื่องนี้ไม่พ้นเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว
ประมุขพุทธะที่กำลังจ้องสถานการณ์รบกล่าวเสียงต่ำว่า “เป็นการถ่วงเวลาแน่นอน เป้าหมายหลักของหนิวโหย่วเต๋อก็คือก่วงลิ่งกง เสียเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว!”
ประมุขชิงกล่าวเสียงต่ำเช่นกัน “อย่าพัวพัน มังกรและหงส์ออกโจมตี พุ่งฝ่าไปในรถเดียว!”
ตามคำสั่งนี้ มังกรและหงส์นับพันตัวที่ติดตามทัพใหญ่มาก็ส่งเสียงร้องพร้อมกัน เสียงที่อันตรายดังก้อง มังกรและหงส์ที่บินวนเวียนเริ่มบินมารวมตัวกัน จัดกระบวนทัพเตรียมพุ่งชนอย่างรวดเร็ว!
กองทัพองครักษ์และกองทัพพระจำนวนมากเริ่มจัดกระบวนทัพ เตรียมจะตามหลังมังกรและหงส์เพื่ออาศัยการคุ้มกันนี้พุ่งโจมตี
เหยียนซู่ที่บัญชาการอยู่ในทัพกลางเกิดความเครียดอย่างสูงทันที เอามังกรมีหนังหนาทนทาน มีพลังต้านทานอันแข็งแกร่งโดยธรรมชาติที่ไม่ธรรมดา ถ้ารวมตัวกันพุ่งชน ต่อให้ฝั่งนี้ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงรวมกันก็อาจจะต้านไม่ไหวก็ได้
ในขณะนี้เอง บนตัวของเฮยทั่นและเทพสตรีผู้พิทักษ์ทั้งสองก็กระพริบแสงวิบวับพร้อมกัน พุ่งขึ้นมาด้วยกัน ชั่วพริบตาเดียวก็กลายร่างเป็นมังกรดำและหงส์รุ้งสองตัว เป็นหงส์รุ้งที่สวยแพรวพราวที่สุด เผ่าหงส์สีรุ้งในค่ายทัพฝ่ายตรงข้ามเทียบไม่ติด
เฮยทั่นที่โบยบินอย่างดุร้ายน่ากลัวเงยหน้าคำราม หงส์สองตัวที่บินวนไขว้กันกันก็เปล่งเสียงร้องดังกังวาน ลากเสียงยาวและล้ำลึก
พวกชิงและพุทธะรีบจ้องไปตรงนั้น ไม่รู้ว่าฝั่งเหมียวอี้ไปหามังกรและหงส์มากจากไหน อีกทั้งมังกรและหงส์ของอีกฝ่ายก็เหมือนจะแตกต่างจากมังกรและหงส์ปกติเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นสีรุ้งบนขนของหงส์สองตัวนี้ ดูแพรวพราวสะดุดตากว่า พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
ชั่วพริบตาที่มังกรและหงส์ในค่ายทัพฝ่ายตรงข้ามปรากฏตัว จู่ๆ มังกรและหงส์ที่รวมตัวกันอยู่ฝั่งนี้ก็เปลี่ยนไปมาก เหมือนพวกมันกำลังรวมตัวกันคล้อยตามเสียงคำรามและเสียงร้องของมังกรและหงส์ในค่ายทัพฝ่ายตรงข้าม
แกร๊ง! มังกรยักษ์ที่ลากรถมังกรพลันสะบัดหางฟาดเข้ามา ทำให้ถมังกรสองคันนี้แตกกระจาย
ทุกคนในรถมังกรรวมทั้งชิงและพุทธะรีบถลันตัวหลบด้วยความตกใจ หนีออกจากรถมังกรที่แหลกกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว
เสียงดังตูมตามบนสนามรบเริ่มน้อยลงทีละนิด กำลังพลส่วนใหญ่แยกย้ายกันถอยออกมาหมดแล้ว เหลือเพียงศัตรูสองคนที่ถูกล้อมอยู่ ไม่จำเป็นต้องใช้คนดักมากขนาดนั้นแล้ว
ไม่ได้ยินเสียงตะโกนเข่นฆ่าของจ้านหรูอี้ โพ่จวินที่เลือดท่วมทั้งตัวและกำลังควงดาบฟันอย่างเกรี้ยวกราดก็เกลียดเวลามองมาแวบหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งสังหารอย่างห้าวหาญ ดิ้นรนโจมตีฝ่าไปทางจ้านหรูอี้
ไม่ใช่เพื่อช่วยชีวิตจ้านหรูอี้ ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ เขารู้อย่างลึกซึ้งว่าไม่มีทางที่จะช่วยจ้านหรูอี้ออกไปได้ และไม่ใช่เพื่อช่วยจ้านหรูอี้รบอีกแรงด้วย แต่เจตนาของฝ่ายศัตรูนั้นชัดเจนมากว่าต้องการจับเป็นพวกเขาสองคน เขากลัวว่าจ้านหรูอี้รับมือไม่ทันจนตกหลุมพราง แค่ต้องการจะพุ่งเข้าไปฆ่าจ้านหรูอี้เท่านั้น
ทว่ายอดฝีมือที่เข้ามาขวางมีเยอะเกินไป เขาไม่มีทางสังหารเข้าไปได้เลย
ภายใต้ความสิ้นหวัง เขาคำรามใส่คนที่มาขวางตรงหน้าอย่างโมโห “เป็นเจ้าเหรอ!”
ทหารที่เข้ามาขวางเผยสีหน้าละอายใจ เป็นหัวหน้าภาคคนหนึ่งของจวนผู้สำเร็จราชการ เป็นเยี่ยนหลูที่สวีถังหรานโน้มน้าวให้สวามิภักดิ์!
ไม่รู้ว่าแม่ทัพที่บัญชาการอยู่ฝั่งเหมียวอี้จงใจหรือไม่ได้ตั้งใจ คนอื่นล้วนถอยออกไปหมดแล้ว กำลังพลที่เหลือล้อมโจมตีอยู่ล้วนเป็นทัพใหญ่แตนรัตติกาล เป็นกำลังพลเดิมของกองทัพองครักษ์ ให้อดีตคนของกองทัพองครักษ์ไปสังหารคนของกองทัพองครักษ์ ในจำนวนนี้มีเกือบครึ่งที่เป็นลูกน้องเก่าของโพ่จวิน ยกตัวอย่างเช่นเยี่ยนหลู
แต่จากนั้นเยี่ยนหลูก็เผยสีหน้าเด็ดเดี่ยว ภายใต้ความร่วมมือของยอดฝีมือจำนวนมาก เขาพยายามล้อมสกัดโพ่จวินเอาไว้อย่างสุดชีวิต
ในเมื่อทรยศไปแล้ว ก็ไม่มีทางให้ถอยกลับ เหตุใดแม่ทัพหลักจึงให้พวกเขาลงมือกับโพ่จวิน? ในหัวมีคำถามนี้แวบเข้ามา ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไหร่กำลังมองพวกเขาอยู่ จึงทำได้เพียงสู้สุดชีวิต ทำได้เพียงขีดเส้นแบ่งกับโพ่จวินให้ชัดเจนที่สุด
เมื่อเห็นว่าไม่มีทางฝ่าวงล้อมได้แล้ว และไม่สามารถสั่งหันไปทางฝั่งจ้านหรูอี้ได้แล้ว กลับเสี่ยงที่จะพลั้งมือและโดนจับหลายครั้งด้วย โดยเฉพาะโอกาสที่จ้านหรูอี้จะถูกจับก็ใกล้เข้ามาอยู่ตรงหน้าแล้ว ทันใดนั้น โพ่จวินตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ถ้าอยากจะให้ข้ายอมสวามิภักดิ์ก็หยุด!”
ซูชิงฉวนจอมพลสายมะโรงฝั่งเหมียวอี้ตะโกนสั่งทันที “หยุด!”
คนที่ล้อมโจมตีจ้านหรูอี้กับโพ่จวินรีบหยุด แล้วถอยออกไปไม่ไกลนัก
โพ่จวินที่ถูกล้อมอยู่ท่ามกลางกำลังพลกลุ่มใหญ่ชูดาบขึ้นมาเฝ้าระวังรอบๆ สายตามองไปทางจ้านหรูอี้ จ้านหรูอี้พี่ไม่เข้าใจก็เพิ่งมองมาเช่นกัน
ชั่วพริบตานี้ จ้านหรูอี้ที่กำลังสะบักสะบอมเหมือนจะเข้าใจความหมายที่สื่อออกมาจากสายตาโพ่จวินแล้ว นางพยักหน้าตอบเบาๆ
เมื่อจ้านหรูอี้อ่านใจตัวเองออก โพ่จวินก็วางใจแล้วจริงๆ ชูดาบขึ้นชี้ไปรอบวง พร้อมตะโกนว่า “ไอ้พวกโจรกบฏ!”
ลูกน้องเก่าในกองทัพองครักษ์ที่ล้อมเขาอยู่เถียงไม่ออก
“ฝ่าบาท! ข้าน้อยไร้ความสามารถ ทำภารกิจสำคัญไม่สำเร็จ ข้าน้อยขอไปก่อน!”
เสียงคำรามอันเศร้าสลดดังก้อง โพ่จวินชักดาบในมือกลับมา คมดาบสะท้อนแสงวิบวับ เลือดร้อนๆ จากอกพุ่งกระจายกลางดาราจักร ศีรษะใบใหญ่ปลิวออกมา เด็ดขาดและกะทันหัน!
ทุกคนตกตะลึงมาก กำลังพลที่ล้อมอยู่อ้าปากค้าง พากันทำอะไรไม่ถูกแล้ว อยากจะขัดขวางแต่ก็ไม่ทันแล้ว
พวกเยี่ยนหลูเหม่อไปเลย หดหู่ ละอายใจ ก้มหน้า เป็นคนบีบให้ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายที่ตัวเองนับถือที่สุดตายด้วยมือตัวเอง
เหมียวอี้ขมวดคิ้วมุ่น มองไปที่จ้านหรูอี้อีก เห็นเพียงคมทวนหลายด้ามในมือจ้านหรูอี้หมุนกลับมากดบนร่างกายตัวเองแล้ว ทำให้คนที่อยู่รอบๆ อยากจะขัดขวางแต่ก็กลัวลูบหน้าปะจมูก เพราะถึงอย่างไรวรยุทธ์ของจ้านหรูอี้ก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกัน
ในกระบวนทัพที่เกราะรบสีสว่างแจ่มชัด ผู้หญิงที่สวมชุดชาววังโดดเด่นที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงคนนี้ยังท้องโตอีกด้วย ทั้งตัวเปื้อนเลือด แม้จะมีสภาพจนตรอก แต่กลับไม่มีท่าทีตกใจกลัวเลยแม้แต่น้อย กำลังถูกผู้ชายที่ดุร้ายกลุ่มหนึ่งล้อมอยู่
มีคนไม่น้อยแอบถอนใจ ลักษณะของสตรีที่แข็งแกร่งเหนือบุรุษเช่นนี้ สมแล้วที่เป็นผู้หญิงของราชันสวรรค์
แต่นางก็ดูไม่เหมือนคนที่รีบร้อนจะปลิดชีพตัวเองเหมือนโพ่จวิน กลุ่มคนที่ล้อมนางอยู่ค่อนข้างกระเหี้ยนกระหือรือ กำลังหาโอกาสลงมือ
จ้านหรูอี้มองไปรอบข้างอย่างระแวดระวัง หันรอบวงอย่างช้าๆ สายตาไปหยุดอยู่ที่เหมียวอี้ แล้วตะโกนถามเสียงดังว่า “หนิวโหย่วเต๋อ กล้าสู้ตายกับข้าสักตั้งมั้ย?”
จะสู้ฝ่าบาทได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าคิดจะหาบันไดลงให้ตัวเองโดยการยอมสวามิภักดิ์? มีคนไม่น้อยแอบพึมพำในใจ สายตาจ้องไปที่เหมียวอี้
เมื่อสบสายตากับจ้านหรูอี้ เหมียวอี้เงียบงัน ในหัวเกิดภาพสับสนปนเปกันเล็กน้อย นึกถึงภาพในปีนั้นที่ผู้หญิงคนนี้ตามเกาะแกะเพื่อจะสู้กับตน
เขานึกไม่ถึงนิดหน่อย ว่ามาถึงขั้นนี้แล้วแต่ทั้งสองก็ยังมีโอกาสได้ต่อสู้กันตัวต่อตัว เหมือนย้อนกลับไปในปีนั้นอีกครั้ง
สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อน จ้านหรูอี้เตรียมตัวปลิดชีพตัวเองเรียบร้อยแล้ว แต่กลับท้าสู้กับเขา ถ้าคิดจะจับเป็นจ้านหรูอี้เพื่อมาบีบประมุขชิง ให้เขาลงมือเองก็มีโอกาสแน่นอน
เหมียวอี้ยกมือขึ้นช้าๆ พอดีดนิ้วเบาๆ กำลังพลที่ล้อมอยู่ถอยออกไปทันที หลีกทางให้แล้ว สร้างพื้นที่ว่างให้แล้ว
ไม่มีใครมาขัดขวางเหมียวอี้เช่นกัน ทุกคนมีความมั่นใจในศักยภาพของเหมียวอี้ ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่สังหารโค่วหลิงซวีได้ภายในครั้งเดียว และคิดว่าถ้าเขาลงมือเองก็มีโอกาสจับเป็นจ้านหรูอี้ได้
เหมียวอี้ขยับร่างกายลอยเข้าไปแล้ว ไปยืนคุมเชิงอยู่กับจ้านหรูอี้ท่ามกลางสายตาฝูงชน ขยับนิ้วทั้งห้าเบาๆ คว้าทวนเกล็ดย้อนไว้ในมือ
“ยอมแพ้เถอะ!” สายตาเหมียวอี้ย้ายจากหน้าที่มีรอยเลือดไปบนท้องของนาง กล่าวอย่างใจเย็นว่า “ขอเพียงเจ้ายอมสวามิภักดิ์ ข้ารับรองว่าเจ้ากับลูกจะไม่เป็นอะไร”
สามศีรษะหกแขนรวมเป็นหนึ่งเดียว เหลือเพียงทวนด้ามเดียวถืออยู่ในมือ จ้านหรูอี้โบกทวนชี้ไป “ที่ข้านี้ บนสนามรบไม่มีคำว่ายอมแพ้ ข้าคือผู้หญิงของราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผย ในท้องข้าคือเลือดเนื้อเชื้อไขของราชันสวรรค์ ไม่มีเหตุผลที่จะยอมแพ้ให้อัปยศอดสู!”
“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ก็ไม่แน่!” พอจ้านหรูอี้พูดจบ จู่ๆ ก็ถลันตัวออกมา
เสียงมังกรคำรามดังขึ้น ทวนของเหมียวอี้แทงออกมาอย่างไม่ตั้งใจ แต่ดวงตากลับเผยแววตกใจ อยากจะชักชวนกลับมาแต่ก็ไม่ทันแล้ว
ชั่วพริบตานั้น ทัพใหญ่ที่มุงดูตกอยู่ในความเงียบ ต่างก็จ้องอย่างตกตะลึง
ทวนเกล็ดย้อนเสียบเข้าไปในหน้าอกของจ้านหรูอี้ครึ่งหนึ่ง มองเห็นได้ว่าเลือดสีแดงเข้มซึมเลอะตรงหน้าอกจ้านหรูอี้อย่างรวดเร็ว
ใครๆ ก็มองออกทั้งนั้นว่าจ้านหรูอี้ที่รุกโจมตีอย่างรุนแรงเหมือนจะเป็นฝ่ายชนไปที่ทวนเกล็ดย้อนเอง ทำเอาฝ่าบาททำอะไรไม่ถูก
เหมียวอี้อยากจะเก็บมือกลับมา แต่มือข้างหนึ่งของจ้านหรูอี้กลับจับด้ามทวนที่แทงเข้าไปในหน้าอกครึ่งหนึ่งไม่ยอมปล่อย ทั้งสองกำลังสบตากันแล้ว
บนใบหน้าจ้านหรูอี้ไม่แสดงออกถึงความเจ็บปวดใดๆ นางกล่าวอย่างสงบว่า “วันที่ข้าแต่งงาน ข้าเห็นกับตาว่าเจ้าเกือบจะชักกระบี่ออกมา ข้าเลยไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด อุทยานหลวง ที่นาหลวง เจ้าบอกว่าในภายหลังข้าจะเข้าใจเอง ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าจริงๆ แต่ข้าก็ต้องตอบแทนอะไรเจ้าสักหน่อยสิ ให้ทุกคนได้เห็นว่าเจ้าชนะแล้ว…”
ที่มือนางออกแรง ร่างกายดันเข้ามา หัวทวนที่แหลมคมแทงทะลุหัวใจ ออกแรงเยอะมาก จนหัวทวนทะลุออกจากแผ่นหลัง เลือดสดพุ่งออกมา
มือที่จับทวนเกล็ดย้อนคลายออกอย่างช้าๆ ทวนบนมือของตัวเองก็คลายออกทีละนิดอย่างไร้เรี่ยวแรงเช่นกัน แววตาที่จ้องเหมียวอี้มืดมิดลงทีละน้อย ทั้งตัวแขวนอย่างสงบอยู่บนทวนเกล็ดย้อน
ชั่วขณะนั้น ไม่รู้ว่าบนหน้าเหมียวอี้ทำสีหน้าอย่างไร เขาไม่ได้มองนาง แต่รีบหันไปด้านข้าง ดวงตาเป็นประกายดุจแสงดาว เป็นประกายวิบวับจนผิดปกติ มองเห็นใบหน้าตกตะลึงของคนที่ล้อมอยู่รอบๆ แล้ว
ในหัวปรากฏภาพเหตุการณ์ที่อุทยานหลวง
‘ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้นได้อีกครั้ง ให้โอกาสเจ้าเลือกอีกครั้ง เจ้าจะพาข้าหนีไปหรือเปล่า?’
‘ไม่’
เพราะอะไร? ข้าอยากรู้ว่าเพราะอะไร บอกเหตุผลที่แท้จริงให้ข้ารู้’
เหนียงเหนียงเขาวังก็เพราะเหนียงเหนียงแบกรับความรับผิดชอบของเหนียงเหนียงเอง ที่หนิวปฏิเสธก็เพราะมีภาระหน้าที่ของตัวเองเหมือนกัน’
เบื้องหลังข้าแบกความรับผิดชอบของตระกูลเอาไว้ เบื้องหลังเจ้าจะแบกความรับผิดชอบอะไรได้? ลูกน้องเก่าพวกนั้นของเจ้าเหรอ? ศึกที่น่านฟ้าระกาติง เจ้าทำให้ลูกน้องตายไปตั้งเท่าไร? เพื่ออนุภรรยาของเจ้าคนนั้น? เจ้าสามารถพานางไปด้วยได้ เจ้ารู้ว่าข้าจะรับปาก หรือไม่ ก็เป็นเพราะเจ้าอยากจะส่งข้าเข้าวังเท่านั้น?’
ไม่! เหตุผลเป็นอย่างที่ข้าบอกไว้ก่อนหน้านี้ ในภายหลังเหนียงเหนียงอาจจะเข้าใจ’
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะรอ รอวันที่ข้าจะเข้าใจ’
เขาจำได้รางๆ ว่าบนพื้นหญ้าเขียวชอุ่มนั้น ชายคนหนึ่งสวมเกราะรบสีทองวิบวับอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ หญิงคนหนึ่งสวมชุดกระโปรงปลิวสะบัดเดินผ่านชายคนนั้นไป ริ้วผ้ากลิ่นหอมอ่อนๆ ปัดผ่านหน้าชายคนนั้น ผ่านไปราวกับเงา ความรู้สึกที่อยากจะยื่นมือคว้าไว้แต่กลับคว้าไว้ไม่ได้นั้นคล้ายกับความรู้สึกในตอนนี้
ฉึก! เหมียวอี้พลันดึงทวนออกมา แล้วหันหน้าหนีด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่หันกลับไปมองอีก ปล่อยให้ร่างที่ปล่อยผมยาวสยายของจ้านหรูอี้ลอยเงียบๆ อยู่ในดาราจักร…
“เหนียงเหนียง ด้านนอกส่งข่าวมา ฝ่าบาทชนะอีกศึกแล้ว ฝ่าบาทสังหารจ้านหรูอี้ สนมรักของประมุขชิงด้วยตัวเอง!”
ในกระเป๋าสัตว์ เสวี่ยเอ๋อร์วางระฆังดารา แล้วมารายงานอวิ๋นจือชิวที่นั่งเฝ้าหน้าแผนที่ดาว
อวิ๋นจือชิวเงยหน้าขึ้นช้าๆ ทำสีหน้าเหมือนไม่ค่อยเชื่อ ลองถามว่า “เจ้าบอกว่าฝ่าบาทฆ่าจ้านหรูอี้ด้วยมือตัวเองเหรอ?”
“ใช่ค่ะ! บอกว่าถูกฝ่าบาทใช้ทวนแทงครั้งเดียวตายเลย” เสวี่ยเอ๋อร์พยักหน้า
อวิ๋นจือชิวติดต่อคนอื่นทันที หลังจากถามรายละเอียดในที่เกิดเหตุแล้ว นางก็ตกอยู่ในความเงียบ หลังจากผ่านไปนานก็ถอนหายใจเบาๆ “ทำไมต้องลำบากขนาดนี้ นางต้องการจะให้เขารู้สึกผิดไปทั้งชีวิตชัดๆ!”
ในรถมังกร อู๋ฉวี่กำระฆังดาราแล้ว ขบกรามแน่น เริ่มรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย
เขากุมหมัดคารวะต่อหน้าประมุขชิงที่กำลังนั่งอย่างสง่า รายงานอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ฝ่าบาท กำลังพลของโพ่จวินพินาศย่อยยับ โพ่จวินใช้ดาบปลิดชีพตัวเอง เหนียงเหนียงสิ้นชีวิตภายใต้ทวนของหนิวโหย่วเต๋อ!”
ในรถมังกรเงียบงัน มีเพียงเสียงขยับนับลูกประคำของประมุขพุทธะ ประมุขชิงที่กำลังเงียบหลับตาลงช้าๆ ไม่พูดอะไรสักคำ ตรงหัวตามีน้ำตาปริ่ม…
บนแท่นยืนของรถมังกรอีกคันหนึ่ง ผู่หลันวางระฆังดาราในมือ ทำท่าเหมือนโล่งใจแล้ว
พุทธะจิ้งฮวาที่ยืนอยู่ข้างกันหันกลับมามองแวบหนึ่ง “ติดต่อลูกชายเจ้าได้หรือยัง?”
ผู่หลันพยักหน้าอย่างกลัวไม่หาย “ติดต่อได้แล้ว เขาอยู่ที่เขาหลิงซานบาดเจ็บไม่น้อย เพียงแต่โชคดีที่พ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ ตอนนี้กำลังหลบหนีไปซ่อนตัว”
พุทธะจิ้งฮวาพยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
ผู่หลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกอีกว่า “ท่านอาจารย์ ศิษย์อยากติดต่อไปหาหนิวโหย่วเต๋อ อย่ากโน้มน้าวเขา”
“โน้มน้าวไหวเหรอ?” พุทธะจิ้งฮวายิ้มอ่อนด้วยใบหน้าเปี่ยมเมตตา แต่ก็ไม่ได้ห้าม ให้นางไปพบอุปสรรคเอาเอง
ผู่หลันกัดฟัน ยังคงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ คำตอบก็เป็นอย่างที่พุทธะจิ้งฮวาคาดไว้ อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เดิมทีนึกว่าเรื่องรบราฆ่าฟันเป็นเรื่องของมนุษย์ปุถุชนเท่านั้น นึกไม่ถึงว่า…”
พุทธะจิ้งฮวากล่าวอย่างนิ่งสงบว่า “มนุษย์ปุถุชนกับนักพรตต่างอะไรกันล่ะ? สิ่งมีชีวิตในโลกมนุษย์จึงรวมกลุ่มกันไม่ได้ รวมกลุ่มกันแล้ววุ่นวายแน่นอน คนก็เป็นเช่นนี้ หมูก็เป็นเช่นนี้ สุนัขก็เป็นเช่นนี้ มดก็เป็นเช่นนี้ ต่อให้เป็นพืชในป่าก็แย่งกันหันหน้าหาดวงอาทิตย์ เจ้าเหนือกว่าข้า ข้าเหนือกว่าเขา เจ้ารัดพันข้า ข้ารัดพันเขา เขาถึงเรียกว่าสรรพชีวิตเท่าเทียมกัน นี่ก็คือความเท่าเทียมของสรรพชีวิต!”
“จะไม่มีทางเปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหม อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขเชียวหรือ?” ผู่หลันถาม
พุทธะจิ้งฮวาบอกว่า “ถ้าเปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหมได้จริงๆ เช่นนั้นสรรพสิ่งในโลกนี้ก็จะขาดสมดุล ต้นไม้ในป่าเขียวชอุ่มที่เติบโตอุดมสมบูรณ์เกินไป ช้าเร็วก็ต้องถูกไฟป่าทำลายในรวดเดียว แล้วก็จะแตกหน่อขึ้นมาใหม่ท่ามกลางเถ้าถ่าน คนก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน มีแต่ต้องผ่านความวุ่นวายครั้งใหญ่ก่อนเท่านั้น ถึงจะแสวงหาความสงบสุขได้ เมื่อสงบสุขนานแล้วก็จะวุ่นวายอีกครั้ง หมุนเวียนเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใจคนหลงตัวเอง แต่ตัวที่อยู่ในนั้นกลับไม่รู้ว่ากำลังเกิดดับตามยถากรรมตลอดไป นี่ก็คือความเท่าเทียมของสรรพชีวิต!”
…………………………
ถึงแม้โกวเยว่จะมาคนเดียว แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ลั่วหม่างประหม่าอยู่พักหนึ่ง เตรียมพร้อมป้องกันอย่างสูง กังวลว่าโกวเยว่จะแอบพาคนมาด้วย
กลับเป็นโกวเยว่ที่รู้กาลเทศะ เป็นฝ่ายให้คนของฝั่งนี้ตรวจค้นตัวดูก่อน
หลังจากทั้งสองพบกันแล้ว ทักทายกันตามมารยาทเล็กน้อย โกวเยว่ก็เปิดประเด็นถามตรงๆ เลย “ที่จอมพลบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังเสี้ยมเขาควายให้ชนกันหมายความว่ายังไง?”
“พ่อบ้านโกว อย่าบอกนะว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้พูดอะไรกับท่านอ๋อง? ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของถงเหลียนซี อนุภรรยาของข้า!” ลั่วหม่างตอบ
โกวเยว่ส่ายหน้า”หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้พูดอะไรกับท่านอ๋อง”
ลั่วหม่างสบตาเขา ไม่ได้พูดว่าไม่เชื่อ และไม่ได้แสดงออกว่าไม่เชื่อด้วย เพียงแต่โกวเยว่พูดเสริมอีกว่า “กลับเป็นคนอื่นที่เอ่ยทำเรื่องนี้ เกาก้วนให้คนมาเตือนท่านอ๋องว่าให้ระวังเจ้า…” เขาเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ
“เกาก้วนทรยศประมุขชิงแล้ว? อย่าบอกนะว่าเป็นพวกเดียวกับหนิวโหย่วเต๋อ?” ลั่วหม่างสงสัย
“เรื่องนี้ไม่มีทางรู้ได้ ที่จริงพอท่านอ๋องได้ฟังก็รู้แล้วว่ากำลังเสี้ยมให้แตกคอกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าฝั่งจอมพลเป็นยังไงกันแน่ หรือจะมาทำให้กระจ่าง” โกวเยว่กล่าว
ลั่วหม่างกล่าวด้วยความลังเล “ไม่ผิดหรอก ถงเหลียนซีเป็นคนของสมาคมวีรชนจริงๆ ถ้ารู้ตั้งแต่ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อยังไม่ดังแล้ว แต่ตอนแรกข้าก็แค่คิดว่านางเป็นสายลับที่วังสวรรค์ส่งมาอยู่ข้างกายข้า ไม่รู้ว่าเป็นคนของสมาคมวีรชน ที่ข้าเก็บนางไว้ ก็เพื่อให้รับมือกับฝั่งวังสวรรค์ จนกระทั่งหนิวโหย่วเต๋อมหาข้า ข้าถึงได้รู้กําพืดที่แท้จริงของถงเหลียนซี ข้าเองก็ยอมรับ หนิวโหย่วเต๋อเคยมาหาข้าจริงๆ มีเจตนาให้ข้าร่วมมือกับเขาสู้กับท่านอ๋อง แต่ข้าก็ไม่ได้ตอบตกลง เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้เอง หนิวโหย่วเต๋อติดต่อมาหาข้าอีกครั้ง ข้าจงรักภักดีต่อท่านอ๋อง ก็ไม่ได้ตอบตกลงด้วย แต่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะขู่ข้า เปิดเผยโดยตรงเลยว่าจะเสี้ยมให้ข้ากลับท่านอ๋องแตกคอกัน…” เขาเล่าให้ฟังคร่าวๆ
พอพูดถึงตรงนี้ โกวเยว่ก็พอจะเข้าใจเขาคร่าวๆ แล้ว เป็นเพราะมีหนิวโหย่วเต๋อขู่ไว้ก่อนหน้านี้ การระดมพลฝั่งท่านอ๋องก็ยิ่งทำให้ลั่วหม่างกลัว ก่อนหน้านี้จึงไม่ไปหา จึงอดไม่ได้ที่จะด่าว่า “หนิวโหย่วเต๋อเจ้าเล่ห์จริงๆ ช้าเร็วก็ต้องไม่ตายดี” จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “จอมพลจงรักภักดีต่อท่านอ๋อง ข้ารู้แล้ว หวังว่าจอมพลจะเข้าใจเช่นกัน ว่าในเวลานี้ท่านอ๋องไม่หวังจะเห็นความขัดแย้งภายในของทัพตะวันตก ย่อมไม่ทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีต่อจอมพลเช่นกัน ทุกคนไม่จำเป็นต้องมาระแวงกันเองให้แผนชั่วของคนนอกสำเร็จ!”
ลั่วหม่างพยักหน้า “รอให้ข้าเตรียมการเสร็จแล้ว อีกประเดี๋ยวจะไปล้างมลทินต่อท่านอ๋องด้วยตัวเอง ยินดีติดตามรับใช้อยู่ข้างกายท่านอ๋อง!” ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนี้กำลังสื่อว่า เพื่อที่จะไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ก็ยินดีออกจากกำลังพลของตัวเองแล้วไปเป็นตัวประกันอยู่ข้างกายก่วงลิ่งกง
โกวเยว่เข้าใจความหมายนี้ ไม่ต้องพูดให้ชัดเจน ถ้าพูดชัดเจนแล้วเดี๋ยวทุกคนจะมองหน้ากันไม่ติด ทางฝั่งท่านอ๋องระดมทัพอารักขาเพื่อเตรียมป้องกันเหตุไม่คาดคิดได้ ลั่วหม่างก็ย่อมต้องให้ลูกน้องเตรียมตัวป้องกันเหตุไม่คาดคิดด้วยเช่นกัน ถ้าท่านอ๋องทำเรื่องอะไรไม่ดีต่อเขา ฝั่งนี้ก็จะไม่ให้ท่านอ๋องได้อยู่สบายดีเหมือนกัน
ทุกคนล้วนไม่ใช่เด็กสามขวบ ในจุดเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ คำพูดปากเปล่าเทียบไม่ได้กับการเตรียมตัวที่น่าเชื่อถือ สิ่งที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายวางใจอย่างแท้จริงกลับเป็นวิธีการโต้ตอบศัตรูที่สอดคล้องกับความจริง
โกวเยว่พยักหน้าปลอบใจ “ดี! ความคิดของจอมพล ข้าจะนำไปบอกท่านอ๋อง ข้าขอตัวก่อน จะรอจอมพลมาเยือน!”
“ส่งตรงนี้!” ลั่วหม่างกุมหมัดคารวะ
หลังจากมองคล้อยหลังโกวเยว่ไปแล้ว หลางจวี๋ก็เข้ามาใกล้แล้วถามว่า “นายท่าน คงจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
ลั่วหม่างกล่าวช้าๆ ว่า “คงจะไม่มีปัญหาอะไร ตราบใดที่ข้ายินดีเป็นตัวประกัน ในช่วงเวลานี้ก่วงลิ่งกงไม่อยากให้เกิดเรื่อง แต่ปัญหาก็คืออ๋องผู้นี้ไม่ไปหรอก!”
หลางจวี๋งงงวย ลั่วหม่างถามกลับว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังพลสายวอกอยู่ข้างกายอ๋องผู้นี้หมด กอปรกับตอนนี้เป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ทำให้ก่วงลิ่งกงไม่กล้าทำอะไรวู่วาม ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าก่วงลิ่งกงจะทำอย่างนี้เหรอ?”
หลางจวี๋เงียบไปครู่เดียว แล้วบอกว่า “ถ้าไม่มีกำลังพลสายวอกอยู่ข้างกาย ไม่ว่านายท่านจะมีปัญหาหรือ ก่วงลิ่งกงก็จะต้องควบคุมนายท่านเอาไว้ก่อนเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดแน่ ไม่มีทางให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นในเวลานี้แน่นอน”
ลั่วหม่างบอกอีกว่า “ข้าเปิดเผยไปแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อติดต่อกับข้าจริงๆ เจ้าคิดว่าก่วงลิ่งกงมองไม่ออกจริงเหรอ ว่าสาเหตุที่ตอนนี้ข้าไม่ไปเข้าข้างหนิวโหย่วเต๋อ เป็นเพราะโอกาสยังมาไม่ถึง? ตอนนี้ก่วงลิ่งกงไม่แสดงออกอะไรหรอก แต่ในใจมีรอยร้าวแล้ว ถ้าผ่านวิกฤตตรงหน้าไปได้จริงๆ เจ้าคิดว่าก่วงลิ่งกงยังจะวางใจให้ข้านั่งในตำแหน่งนี้ต่อไปอีกหรือ?”
“เช่นนั้นนายท่านเตรียมจะ…” หลางจวี๋ลองถาม
“เฮ้อ!” ลั่วหม่างถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หลังจากเอาสองมือไขว้หลัง ก็บอกอีกว่า “ใช้ดาบฆ่าคนเรียกว่าโหดร้าย แต่ตั้งแต่สมัยโบราณมา สิ่งที่โหดร้ายที่สุดก็คือการเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน! นอกเสียจากเจ้าจะไม่มีภัยคุกคามใดๆ ต่ออีกฝ่ายเลย อีกฝ่ายไม่เห็นเจ้าอยู่ในสายตาเลย ไม่อย่างนั้นเรื่องบางเรื่องก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน ต่อให้อธิบายชัดเจนก็ไม่มีประโยชน์ ใจมีหนามแล้ว!”
หลางจวี๋ถามอีกว่า “นายท่านตัดสินใจแล้วหรือขอรับ?”
ลั่วหม่างพยักหน้า แล้วถือโอกาสหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้
หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว ก็กล่าวเสียงต่ำว่า “บอกให้แม่ทัพทุกคนมาพบข้า มาวางแผนงานใหญ่ร่วมกัน!”
ตอนนี้หลางจวี๋เข้าใจแล้วว่า เหตุใดเมื่อครู่นี้เขาถึงบอกกับโกวเยว่ว่าจะไปเป็นตัวประกันให้ก่วงลิ่งกง จอมพลพวกนั้นบางก็ล้มลงจากตำแหน่ง นายท่านยังสามารถมั่นคงไม่สั่นคลอนมาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็แสดงว่าไม่ใช่ไก่อ่อนอยู่แล้ว บอกว่าเตรียมตัวสักประเดี๋ยวจะไปหาก่วงลิ่งกง ก็เพียงเพื่อจะทำให้โกวเยว่กับก่วงลิ่งกงสงบเท่านั้น ตอนนี้แม้จะเรียกรวมแม่ทัพอย่างโจ่งแจ้ง ก็ไม่ทำให้ฝั่งนั้นสงสัยอยู่ดี
ใช้เวลาไม่นาน ในหุบเขาแห่งหนึ่ง แม่ทัพทุกคนมากันครบ ไม่เห็นกำลังพลที่กระจายตัวอยู่รอบๆ หุบเขา บรรดาแม่ทัพก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ทำไมถึงรู้สึกว่าจอมพลกำลังจะควบคุมทุกคนเอาไว้ล่ะ
ลั่วหม่างยืนอยู่ตรงหน้าแม่ทัพทุกคน กวาดสายตามองพวกเขา กล่าวอย่างเนิบช้าว่า “คนที่ตั้งใจดูเมื่อครู่ก็คงเห็นแล้ว ทัพอารักขาของท่านอ๋องกำลังเคลื่อนไหวนิดหน่อย เขามาเพื่ออะไรน่ะเหรอ? พุ่งเป้าหมายที่จอมพลผู้นี้ไง เขาอยากจะลงมือกับข้า เมื่อครู่เขาให้ข้าไปพบเขา แต่ข้าก็ปฏิเสธแล้ว!”
“หา…” บรรดาแม่ทัพฮือฮา ไม่ค่อยเข้าใจว่าอยู่ดีๆ ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้
ลั่วหม่างกดฟังมือสองข้างไปทางทุกคน หลังจากเสียงฮือฮาเงียบลงแล้ว ก็เป็นฝ่ายอธิบายว่า “หนิวโหย่วเต๋อใช้แผนเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน ก่วงลิ่งกงเชื่อแล้ว บีบให้ข้ามาถึงทางตัน! ทุกคนล้วนเป็นพี่น้องที่ร่วมทางกันมาตลอด ข้าจะไม่พูดอะไรอ้อมค้อมมากนัก ที่เรียกทุกคนมาก็เพราะอยากจะให้รู้ถึงความคิดของข้า ข้าอยากจะฟังความเห็นของทุกคนสักหน่อย!”
มีคนบอกว่า “พวกเราตั้งใจรอฟัง จอมพลพูดมาได้เลย!”
ลั่วหม่างสังเกตปฏิกิริยาของทุกคน แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “หนิวโหย่วเต๋อต้องการจะให้ข้าทำอะไร คาดว่าคงไม่ต้องให้ข้าอธิบายมาก เงื่อนไขที่เขาเสนอมาก็คือ จะให้ตำแหน่งอ๋องกับข้า! ข้าครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ชิงและพุทธะทำศึกตัดสินกับกับหนิวโหย่วเต๋อ ก่วงลิ่งกงถูกขนาดอยู่ตรงกลาง สิ้นไร้อนาคตแล้ว หลังจากจบเรื่องนี้ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะ ก็ล้วนต้องโดนกำจัดทิ้งเพราะมีความเห็นต่าง มีหรือที่จะยอมให้คนมานอนกรนข้างเตียง! เมื่อไม่มีกำลังมาคานอำนาจ ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ล้วนไม่เก็บก่วงลิ่งกงสวยทั้งนั้น ต่อให้เป็นตอนนี้ก็ตาม ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่นิ่งเฉยรอดูก่วงลิ่งกงมาชุบมือเปิบตอนสุดท้าย ทั้งสองฝ่ายล้วนยื่นมือมาหาก่วงลิ่งกง! ภายใต้รางพิกุลคว่ำไม่มีไข่ที่สมบูรณ์ แม้ข้าจะมีใจที่เห็นแก่ตัว แต่ก็มิอาจไม่สนใจใยดีพี่น้องที่ติดตามทำงานมาด้วยกันหลายปีขนาดนี้ได้ จึงตัดสินใจจะนำพี่น้องเลือกอนาคตอีกทาง! หากยินดีช่วยข้าอีกแรง ข้าก็ย่อมซาบซึ้งใจ หากไม่ยินดีช่วย ข้าก็ไม่บังคับเช่นกัน ไม่ทราบว่าพี่น้องทุกคนมีความคิดเห็นยังไง?”
ทุกคนรู้สึกอย่างไรนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่หันมองกำลังพลที่อยู่รอบๆ โดยจิตใต้สำนึก ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ ท่านจอมพลพูดเปิดเผยชัดเจนแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคนที่ไม่สนับสนุนจะรอดชีวิตออกไปได้หรือไม่ อย่างน้อยก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะหนีออกไปได้ง่ายๆ มีหรือที่จะปล่อยให้ข่าวหลุดได้?
“ยินดีติดตามจอมพลไปบุกน้ำลุยไฟ!”
มีคนแสดงท่าทีก่อน จากนั้นคนอื่นก็ทยอยกันขานรับ
ลั่วหม่างพยักหน้าไม่หยุด แววตาเผยความปลาบปลื้มยินดี แต่บนใบหน้ากลับไม่แสดงความรู้สึกอะไร…
การเข่นฆ่าดำเนินมาถึงตอนท้ายแล้ว กองทัพองครักษ์สิบล้านแทบจะพินาศย่อยยับหมด เหลือเพียงกำลังพลอยู่ไม่กี่พันคนที่คุ้มครองอยู่รอบๆ โพ่จวินกับจ้านหรูอี้ เมื่อประโยค “จับเป็น” ดังขึ้น พวกเขาก็หยุดใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตี ทัพใหญ่กรูกันเข้ามาแล้ว
การรบราฆ่าฟันตรงหน้าไม่ได้อยู่ในสายตาเหมียวอี้ ตอนนี้สายตาของเหมียวอี้เลื่อนลอยเล็กน้อย ความคิดไปอยู่กับสถานที่อีกแห่งหนึ่ง
ลั่วหม่างตอบตกลงแล้ว แผนการเสี้ยมเขาควายให้ชนกันของตัวเองได้ผลแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาดีใจ ถ้ายังไม่ถึงตอนสุดท้าย ไม่ว่าใครก็บอกไม่ได้ทั้งนั้นว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไร บอกได้เพียงว่าตอนนี้แผนการยังคืบหน้าอย่างราบรื่น
สิ่งที่เขากังวลที่สุดตอนนี้ก็ยังเป็นฝั่งของเหยียนซู่ เหยียนซู่นำทัพใหญ่หนึ่งพันล้านไปโจมตีสกัดกำลังพลสองพันกว่าล้านของชิงและพุทธะ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอาอยู่หรือเปล่า ถึงแม้เหมียวอี้จะใช้หลายวิธีการพร้อมกัน ใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่สามารถใช้ได้ไปสนับสนุนเหยียนซู่ แต่แค่คิดก็รู้แล้วว่าความกดดันที่เหยียนซู่เผชิญเป็นอย่างไร การที่เหยียนซู่จะยับยั้งทัพใหญ่ของชิงและพุทธะได้อย่างราบรื่นหรือไม่นั้น ส่งผลไปถึงว่าจะช่วงชิงเวลาให้ชิงเยว่จัดการกับกำลังพลของก่วงลิ่งกงได้หรือเปล่า
“ท่านอ๋อง สู้กันพอสมควรแล้ว!” เถิงเฟยที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเตือน
เหมียวอี้ดึงความคิดกลับมา สายตาไปหยุดอยู่ในสนามรบ ข้างกายโพ่จวินเหลืออยู่ไม่กี่ร้อยคนกำลังต่อต้านอย่างดื้อรั้น โพ่จวินลงสนามรบด้วยตัวเองแล้ว ถือดาบใหญ่สังหารไปทั่วทิศ
จ้านหรูอี้แบกท้องใหญ่อาบเลือดสู้ตาย ท้องใหญ่แล้ว เห็นได้ชัดว่าสวมเกราะรบไม่ได้ สวมชุดชาววังลงสนามรบแล้วสะดุดตามาก มงกุฎสะเทือนกระเด็นไปนานแล้ว ผมงามดำขลับปลิวสะบัดตามการโจมตีที่ดุเดือดของนาง ห้าวหาญมาก สะบักสะบอมมากเช่นกัน แต่กลับให้ความรู้สึกว่าต่อให้ตายก็ไม่ยอมแพ้ เป็นความงามหยาดเยิ้มบนสนามรบ
เหมียวอี้มองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย บางครั้งในดวงตาก็ฉายแววสับสน ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าในใจเขากำลังคิดอะไร อย่างน้อยภายนอกเขาก็ไม่แสดงสีหน้าท่าทางอะไรออกมา
จ้านผิงกับอิ๋งลั่วหวนปกป้องอยู่ฝั่งซ้ายและขวาของลูกสาว กำลังต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิตเช่นกัน
ศึกนี้ตัดสินถูกตัดสินจุดจบตั้งนานแล้ว คนน้อยนิดเท่านี้เผชิญหน้ากับการบุกโจมตีจากกำลังพลหลายร้อนล้าน มิหนำซ้ำยังมียอดฝีมือมากมายราวกับเมฆบนฟ้า คนไม่กี่ร้อยที่ต่อต้านอย่างดึงดันถูกทัพใหญ่โจมตีจนกระจัดกระจาย ยามเผชิญหน้ากับการบุกโจมตีจากทั่วทุกทิศ มีคนล้มตายอย่างต่อเนื่อง
“…” หยินซวงตัวสั่นเทิ้มขณะมองที่หน้าอกตัวเอง มองดูหัวทวนเปื้อนเลือดที่แทงทะลุหน้าอกตัวเองออกมา
“ข้ายอม…” ไป๋เสวี่ยที่อยู่อีกจุดหนึ่งส่งเสียงร้องออกมาอย่างหวาดกลัว แต่กลับถูกดาบรัวฟันจนตายเหมือนเดิม
เบื้องบนมีคำสั่งมาแล้ว ว่าต้องการจับเป็นเพียงโพ่จวินกับจ้านหรูอี้เท่านั้น คนอื่นไม่ต้องเก็บไว้ ไม่หวังให้กองทัพองครักษ์ยอมสวามิภักดิ์ ตอนที่ออกคำสั่งนี้ย่อมไม่พิจารณาสาวใช้สองคนนี้ไว้ด้วย เบื้องล่างย่อมลงมือสังหารอย่างถึงอกถึงใจ
“เอื้อ…” จ้านผิงเสียงครางออกมาอย่างเจ็บปวด มือข้างหนึ่งจับด้ามทวนที่แทงเข้ามาตรงซี่โครง มือข้างหนึ่งโบกทวนต้านการบุกโจมตีจากสี่ด้านแปดทิศ
แม่ทัพใหญ่พี่แทงเข้ามาโบกทวนตวัดขึ้น สอยทั้งร่างจ้านผิงขึ้นมาโดยตรง ทำให้ร่างของจ้านผิงขาดความสมดุล ชั่วพริบตาเดียวก็มีทวนยาวนับไม่ถ้วนแทงทะลุแผ่นหลังของจ้านผิงแล้ว มีคนหนึ่งถลันตัวผ่านพร้อมดาบ ฟันศีรษะจ้านผิงกระเด็นทันที
“จ้านผิง!” อิ๋งลั่วหวนที่กลายเป็นสามหัวหกแขนอยู่ไม่ไกล พอเห็นฉากนี้แล้วกรีดร้องออกมาอย่างเศร้าสลด นางควบคุมอารมณ์ไม่ได้ การป้องกันทำได้ช้าลง ถูกคนใช้ดาบฟันบนบ่า เกราะรบหนาบนบ่าต้านไว้ได้ แต่กลับสะเทือนจนร่างกายโซเซ เกิดช่องโหว่มากมาย ทำให้ชั่วพริบตานั้นถูกทวนแทงมั่วไปหมด ปนกับดาบที่ฟันรัวๆ มีดอกเลือดสาดกระจายออกมา
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องอันเศร้าสลดของมารดา จ้านหรูอี้สะบัดผมยาวหันมามองแวบหนึ่ง ในดวงตาเผยความโศกเศร้าคับแค้นออกมาเต็มที่ กัดฟันกรอดจนฟันแทบแตก นางโบกทวนยาวหกด้ามในมือพร้อมตะโกนเข่นฆ่าราวกับเป็นบ้าไปแล้ว
………
แม้ปากจะพูดอย่างนี้ แต่สุดท้ายเรื่องบางเรื่องก็ทำให้เขาเกิดความพะวงในใจตลอดเวลา
เกาก้วนต้องการตรวจสอบองครักษ์เงาสองครั้ง แต่ทุกครั้งก็ถูกซ่างกวนชิงขัดขวางนั้นเป็นเรื่องจริง
พอมาดูตอนนี้แล้ว หนิวโหย่วเต๋อฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราของเจ้าสามไป๋ สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องการฝึกตนขององครักษ์เงาได้จริงๆ
สถานที่หลอมสมบัติในพระตำหนักอุทยานก็อยู่ภายใต้การควบคุมของซ่างกวนชิง สถานที่ที่มีการป้องกันเข้มงวดขนาดนี้ แต่หลินอ้าวเสวี่ยแม่ยายของหนิวโหย่วเต๋อกลับถูกช่วยออกไปได้
ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบเอ่ยรับ “ขอรับ! ข้าน้อยก็รู้สึกเช่นกันว่าเป็นแผนการเสี้ยมให้แตกคอกันเอง เพียงแต่รู้สึกว่าเรื่องนี้สำคัญมาก มิอาจไม่รายงาน”
ประมุขชิงเงียบไปครู่เดียว แล้วจู่ๆ ก็มองไปทางซ่างกวนชิง “ในบรรดาอนุภรรยาของลั่วหม่าง มีคนที่ชื่อถงเหลียนซีอยู่หรือเปล่า?” ในดวงตาสื่อความหมายลึกล้ำ
เมื่อถามแล้วแบบนี้ ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รู้ตัวอย่างรวดเร็ว แม้ปากฝ่าบาทจะบอกว่าเป็นแผนการเสี้ยมให้แตกคอกันเอง แต่ในใจกลับยังหวาดระแวงอยู่
เขาแอบสังเกตปฏิกิริยาของซ่างกวนชิงเงียบๆ
ซ่างกวนชิงก็อึ้งนิดหน่อยเช่นกัน มองซือหม่าเวิ่นเทียนแวบหนึ่ง สังเกตได้แล้วว่าการที่จู่ๆ ประมุขชิงถามถึงเรื่องนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับที่ทั้งสองคุยกันเมื่อครู่นี้แน่นอน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ใช่แล้วขอรับ เพียงแต่ว่า…ฝ่าบาท ที่จริงถงเหลียนซีคือคนของสมาคมวีรชน” จากนั้นเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “ที่จริงถงเหลียนซีเป็นน้องสาวของโจรราคะเจียงอีอี”
ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ แล้วมองไปที่ประมุขพุทธะอีก พร้อมถ่ายทอดเสียงบอกว่า “พี่ใหญ่พุทธะ รบกวนเตือนก่วงลิ่งกงสักหน่อย ให้เขาระวังลั่วหม่างเอาไว้ อย่าให้หนิวโหย่วเต๋อเจาะช่องโหว่ได้”
ประมุขพุทธะขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมต้องถ่ายทอดเสียงพูดเรื่องนี้ บอกซ่างกวนชิงโดยตรงก็สิ้นเรื่องแล้ว ทำไมต้องให้ฝั่งเขาทำแทนด้วย จึงถ่ายทอดเสียงถามว่า “หมายความว่ายังไง?”
ประมุขชิงไม่ได้บอกสาเหตุให้เขารู้ “เพิ่งได้รับข่าวลือบางอย่างมา แต่ยังยืนยันไม่ได้ ระวังไว้หน่อยดีกว่า”
ไม่เห็นเขาไม่อยากบอกความจริง ประมุขพุทธะก็ได้แต่พยักหน้า ไม่ได้ถามมากอีก หันกลับมาบอกใบ้ให้จินฉื้อผู้เป็นลูกศิษย์ไปจัดการ
ส่วนประมุขชิงก็ถ่ายทอดเสียงต่ออู๋ฉวี่อีก “แอบดึงคนไปจำนวนหนึ่ง ให้จับตาดูซ่างกวนชิงเอาไว้ ถ้ามีอะไรน่าสงสัยก็รายงานขึ้นมาทันที”
อู๋ฉวี่รู้สึกสะเทือนใจทันที เงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงประมุขชิงแค่ส่งสายตาให้เขา ไม่มีท่าทีว่าจะพูดอะไรมากกว่านี้ เอียงหน้ามองไปทางจุดลึกในดาราจักรนอกหน้าต่าง สีหน้าเงียบขรึมลึกล้ำ
คนที่อยู่ในรถมังกรล้วนสังเกตเห็นกลิ่นอายที่ผิดปกตินี้…
ดาวเคราะห์รกร้างดวงหนึ่ง ยอดเขาที่ตั้งเรียงรายอยู่ทั้งใกล้และไกล ทัพใหญ่กระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณนั้น
“ยืนยันแล้วใช่มั้ยว่าโพ่จวินถูกหนิวโหย่วเต๋อล้อมโจมตี?” ก่วงลิ่งกงที่ยืนอยู่บนยอดเขาหันกลับมาถามอย่างแปลกใจเล็กน้อย
“ไม่ผิดแน่ขอรับ สายลับที่อยู่ตามรายทางเห็นตลอดทางว่าโพ่จวินที่มาทางลัด” โกวเยว่ตอบ
“ไม่ดีแล้ว!” ก่วงลิ่งกงสีหน้าเปลี่ยนทันที “แบบนี้หนิวโหย่วเต๋ออาจจะอยากดึงกำลังพลของชิงกับพุทธะไป ที่ไปดักโพ่จวินนั้นเป็นเรื่องโกหก มีความเป็นไปได้สูงว่ายังพุ่งเป้าหมายมาที่ข้า กำลังพลของชิงกับพุทธะมีท่าทีจะกลับไปช่วยหรือเปล่า?”
“ดูจากข่าวที่สายลับตามรายทางส่งมาตอนนี้ ยังไม่มีท่าทีว่าจะทำอย่างนั้นขอรับ” โกวเยว่กล่าว
ก่วงลิ่งกงโล่งใจแล้วนิดหน่อย “เป็นข้าที่คิดมากไปเอง ชิงกับพุทธะก็คงจะมองออกเหมือนกัน”
ในขณะนี้เอง แม่ทัพใหญ่คนหนึ่งที่ชื่อว่าจ้าวจั้วก็ถลันตัวเข้ามาใกล้ หลังจากทหารยามสอบถามแล้ว ก็เข้ามารายงานว่า “ท่านอ๋อง ขุนพลจ้าวขอเข้าพบขอรับ”
ก่วงลิ่งกงพยักหน้า บอกใบ้ให้เขามา
“ท่านอ๋อง!” จ้าวจั้วเข้ามาทำความเคารพ
“มีเรื่องอะไร?” ก่วงลิ่งกงถามพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน
จ้าวจั้วมองไปรอบๆ แล้วกล่าวเสียงต่ำเบา “ท่านอ๋อง บ่าวคนหนึ่งในร้านค้าที่ข้าน้อยประกอบกิจการอยู่ข้างนอกเพิ่งส่งข่าวมา บอกว่าทูตตรวจการขวาเกาก้วนเพิ่งปรากฏตัวและมาหาเขาด้วยตัวเอง”
“เกาก้วนปรากฏตัวและมาหาบ่าวรับใช้ในร้านค้าข้างนอกของเจ้าด้วยตัวเอง?” ก่วงลิ่งกงสงสัย “เกาก้วนไม่ได้ติดตามอยู่ข้างกายประมุขชิงหรอกเหรอ?”
จ้าวจั้วตอบว่า “ข้าน้อยก็แปลกใจมากเหมือนกัน บ่าวของข้าน้อยบอกว่า เกาก้วนบอกว่าซ่างกวนชิงถูกประมุขไป๋ยุยงให้กบฏแล้ว ตอนที่เขาเพิ่งเจอเบาะแส ก็ถูกซ่างกวนชิงทำร้ายแล้ว ถูกใส่ร้ายว่าเป็นไส้ศึก หนีออกมาจากฝั่งประมุขชิงแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้ก่วงลิ่งกงจับโกวเยว่ตกใจไม่เบา ทั้งสองมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เหมือนทำใจเชื่อได้ยาก ไม่น่าเชื่อว่าข้างกายประมุขชิงจะเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น?
พวกเขาไม่รู้ข่าวเลยสักนิด ถ้าไม่ใช่เพราะมีอวี้หลัวช่าคอยเป็นหูเป็นตาให้ เกรงว่าแม้แต่เหมียวอี้ก็คงไม่รู้เรื่องเช่นกัน
“พูดจริงหรือเปล่า?” ก่วงลิ่งกงซักไซ้
จ้าวจั้วตอบว่า “จริงเท็จข้าน้อยก็ไม่ทราบ แต่เรื่องที่เกาก้วนปรากฏตัวต่อหน้าบ่าวคนนั้นกลับเป็นเรื่องจริง หากท่านอ๋องต้องการจะรู้ว่าจริงหรือเท็จก็ไม่ยาก ไปสืบจากประมุขชิงก็ได้ขอรับ”
ก่วงลิ่งกงเผยสีหน้าเคร่งขรึม ถ้าเป็นเรื่องจริง ในเวลานี้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นกับคนสนิทข้างกายประมุขชิง ก็ไม่ใช่เค้าลางที่ดีอะไร เขาถามอีกว่า “เกาก้วนไปหาบ่าวของเจ้าหมายความว่าอะไร หรือว่าจะฝากอะไรมาบอก?”
จ้าวจั้วบอกว่า “ท่านอ๋องปราดเปรื่อง เป็นเช่นนี้จริงๆ เกาก้วนให้บ่าวของข้าน้อยมาบอกว่า ถงเหลียนซี อนุภรรยาของลั่วหม่างมีชื่อเดิมว่าเจียงอวิ๋น เป็นสายลับที่สมาคมวีรชนแทรกไว้ข้างกายลั่วหม่าง และเจียงอวิ๋นก็มีพี่ชายคนหนึ่ง นั่นก็คือเจียงอีอี โจรราคะที่โด่งดัง ในปีนั้นหลังจากหนิวโหย่วเต๋อจับเจียงอีอีได้ที่ตลาดผี ก็สร้างความสัมพันธ์ลับๆ กับเจียงอวิ๋น น้องสาวของเจียงอีอี และเป็นอนุภรรยาคนโปรดของลั่วหม่างด้วย ตอนหลังเกาก้วนคอยจับตาดูเรื่องนี้ พบว่าลั่วหม่างกับหนิวโหย่วเต๋อแอบไปมาหาสู่กัน ไม่รู้ว่าวางแผนลับอะไรกัน จนกระทั่งเกิดเรื่องเหมือนอย่างวันนี้ขึ้น เกาก้วนถึงได้เตือน ให้ท่านอ๋องระวังว่าอาจจะเกิดเหตุไม่คาดคิดกับลั่วหม่าง!”
ก่วงลิ่งกงเม้มริมฝีปากแน่น สายตาจ้องตรงไปที่จ้าวจั้ว แล้วก็สบตากับโกวเยว่อีก เห็นได้ชัดว่าโกวเยว่กำลังใส่สีหน้ากลัดกลุ้มใจ
เรื่องบางเรื่องก็ทำให้อดคิดลึกไม่ไหว เกิดความคิดขึ้นมาต่อเนื่องกัน นายกับบ่าวนึกขึ้นได้ถึงเรื่องเรื่องหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก ตอนนี้ศักยภาพของหนิวโหย่วเต๋อเหนือกว่าพวกเขานั้นไม่ผิด แต่ถึงอย่างไรฝั่งนี้ก็มีทัพใหญ่สามร้อยล้าน ถ้าจะสู้กันขึ้นมาจริงๆ ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อชนะแต่ก็จะได้รับความเสียหายมาก หลังจากเสียหายหนักมากแล้ว ตอนหลังเวลาเผชิญหน้ากับชิงกับพุทธะทัพใหญ่ที่มีอาวุธครบครันแล้วจะทำอย่างไร? หนิวโหย่วเต๋อจะมองข้ามสิ่งเหล่านี้แล้วกัดก็พวกเขาไม่ปล่อยได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่ามีที่พึ่ง…บางปัญหาพอคิดให้ละเอียดแล้วก็น่ากลัวสุดๆ!
และในขณะนี้เอง ระฆังดาราของจินฉื้อก็ส่งข่าวมา หลังจากก่วงลิ่งกงติดต่ออยู่พักหนึ่ง ก็เก็บระฆังดาราเงียบๆ แล้วโบกมือบอกใบ้ให้จ้าวจั้วถอยออกไป
รอจนกระทั่งจ้าวจั้วออกไปแล้ว ก่วงลิ่งกงก็กล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า “ถามแล้ว เกาก้วนกลายเป็นไส้ศึกแล้ว หนีออกไปจากประมุขชิงแล้ว…จินฉื้อก็เตือนข้าเช่นกัน ว่าให้ข้าระวังว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดกับลั่วหม่า บอกว่าชิงกับพุทธะฝากมาบอก”
“ชิงกับพุทธะก็กังวลเช่นกันว่าลั่วหม่างจะมีปัญหา?” โกวเยว่ถามอย่างระแวง
ก่วงลิ่งกงเอียงหน้ามองไปตรงจุดไกลๆ มองไปยังบริเวณที่กำลังพลของลั่วหม่างเฝ้าอยู่ “เร็วกว่านี้ก็ไม่ออกมา ช้ากว่านี้ก็ไม่ออกมา ในเวลานี้มีข่าวชี้รวมไปที่ลั่วหม่าง เกรงว่าคงอยากเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน”
โกวเยว่พยักหน้า แล้วก็กล่าวอย่างหวาดระแวงอีกว่า “ท่านอ๋อง ถ้าเป็นเรื่องจริงขึ้นมาล่ะ? คำพูดของเกาก้วนอาจจะมีเจตนาอื่นแอบแฝง แต่ในเวลานี้ชิงกับพุทธะน่าจะไม่อยากเห็นฝั่งท่านอ๋องเกิดความวุ่นวายอะไร คาดว่าฝั่งนั้นคงมีเหตุผลที่ควรค่าแก่การกังวลจริงๆ ถึงได้บอกให้ท่านอ๋องเตรียมพร้อมป้องกัน”
ก่วงลิ่งกงขบกรามแน่น ใช่แล้ว ถ้าเป็นเรื่องจริงขึ้นมาล่ะ ในมือลั่วหม่างกุมกำลังพลของทัพตะวันตกเอาไว้เกือบหนึ่งในสามส่วนเชียวนะ ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้น เขาก็รับผลที่ตามมาไม่ไหวจริงๆ เขาถอนหายใจเบาๆ “จะทำยังไงได้?”
ก็อย่างที่บอกไว้ ในมือลั่วหม่างมีอำนาจทางทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ กำลังพลที่เก่งกาจของสายวอกล้วนอยู่ข้างกายลั่วหม่างหมด ต่อให้ลั่วหม่างมีปัญหาจริงๆ ถ้าเขาคิดจะแตะต้องลั่วหม่าง แต่ก็ไม่กล้าจะทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นกัน
“ต้องระวังว่าจะมีคนเสี้ยมให้แตกคอกันจริงๆ พวกเราจะขัดแย้งกันเองภายในไม่ได้ แม้จะคิดไปในทางที่ดี แต่ก็ต้องป้องกันในทางที่ร้ายไว้ด้วย” โกวเยว่กล่าว
ก่วงลิ่งกงเอียงหน้ามองมา “เจ้ามีความคิดอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่สู้เปิดอกเจรจากับลั่วหม่างสักหน่อย” โกวเยว่กล่าว
ก่วงลิ่งกงพยักหน้าเบาๆ เข้าใจเจตนาของเขาแล้ว อยากจะคิดหาทางอย่างท่าทีลั่วหม่างสักหน่อย ถ้าลั่วหม่างมีปัญหาอะไรจริงๆ ก็จะได้รับมือให้ทันเวลา เมื่อเรื่องจวนตัวแล้วจะได้ไม่นึกเสียใจทีหลัง
บนดาวเคราะห์ดวงเดียวกัน ลั่วหม่างที่ยืนอยู่บนยอดเขาไกลๆ อีกแห่งก็หันหน้ามาทางศูนย์กลางทัrตะวันตกที่ก่วงลิ่งกงอยู่เช่นกัน กำลังมองมาเงียบๆ
ผ่านไปไม่นาน พ่อบ้านหลางจวี๋ถลันตัวเข้ามา เหยียบลงพื้นข้างกายเขาแล้วรายงานว่า “นายท่าน คนที่แอบสะกดรอยตามส่งข่าวมาแล้ว กำลังพลทัพอารักขาของท่านอ๋องกำลังระดมพลอย่างเงียบ”
ลั่วหม่างค่อยๆ เผยสีหน้าพยับเมฆ ก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต๋อบอกเขา บอกว่าก่วงลิ่งกงรู้เรื่องนั้นแล้ว แต่เขาไม่เชื่อว่าก่วงลิ่งกงจะเลอะเลือนขนาดนี้ จะติดกับดักแผนการเสี้ยมเขาควายให้ชนกันได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้ก่วงลิ่งกงกำลังเคลื่อนไหวทัพอารักขาเงียบๆ หมายความว่าอะไร?
เขาพลิกมือนำระฆังดาราอันหนึ่งออกมา หลังจากติดต่อแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มยิ่งขึ้น ขบกรามแน่นพร้อมบอกว่า “โกวเยว่ให้ข้าไปหา บอกว่าท่านอ๋องมีเรื่องจะคุยกับข้า”
“หา!” หลางจวี๋อุทาน มองไปที่ตำแหน่งที่มีกำลังพลของก่วงลิ่งกงอยู่ ทำสีหน้าหวาดระแวงอย่างเห็นได้ชัด
ลั่วหม่างกัดฟัน “ระดมกำลังพล แล้วก็เรียกเข้าไปหา เขาคิดจะทำอะไร? อย่าบอกนะว่าคิดจะลงมือกับข้า?”
หลางจวี๋รีบโน้มน้าวว่า “นายท่าน ไม่ว่าท่านอ๋องจะมีความคิดนี้หรือไม่ แต่ระวังไว้หน่อยจะดีกว่า ไปไม่ได้นะขอรับ!”
“หนิวโหย่วเต๋อ!” ลั่วหม่างกล่าวยังเคียดแค้น เขาไม่ได้ตอบตกลงหนิวโหย่วเต๋อแท้ๆ แต่ก็โดนหนิวโหย่วเต๋อเล่นงานอย่างนี้แล้ว เป็นอย่างที่หนิวโหย่วเต๋อบอก
จุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญขนาดนี้ เกรงว่าจะไม่ให้ก่วงลิ่งกงคิดมากคงไม่ได้ เกรงว่าถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นมานั่งตำแหน่งเดียวกับก่วงลิ่งกง ก็คงไม่นิ่งดูดายดูเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น
บางทีอาจจะคิดมากไป บางทีก่วงลิ่งกงอาจจะรู้ว่าเป็นแผนการเสี้ยมให้แตกคอกันเอง ไม่ได้มีความคิดอย่างอื่น ที่โยกย้ายวางกำลังพล ถ้าเปลี่ยนเป็นใครก็ต้องป้องกันเหตุไม่คาดคิดไว้ทั้งนั้น แต่ปัญหาก็คือตอนนี้ก่วงลิ่งกงเรียกให้เขาไป แต่ใครจะไปรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อแอบเล่นตุกติดอะไรในนั้นบ้าง ตอนนี้เขาจะกล้าไป?
เขาไม่รู้ชัดเจนว่าหนิวโหย่วเต๋อวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว หรือเป็นแผนชั่วที่คิดขึ้นมาตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง สรุปก็คือครั้งนี้โดนหนิวโหย่วเต๋อเล่นงานจนวุ่นวายไปหมดแล้ว ข้างนอกข้างในเหมือนไม่ใช่คน หนิวโหย่วเต๋อบอกกับเขาอย่างชัดเจนแล้ว ว่าข้าก็แค่ต้องการเสี้ยมให้ก่วงลิ่งกงกับเจ้าแตกคอกัน แล้วจะทำยังไงได้?
“เขาไม่ยอมมา?” ก่วงลิ่งกงหันขวับ บนใบหน้าฉายแววดุร้ายน่ากลัว
โกวเยว่พยักหน้า แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ลั่วหม่างบอกว่าท่านอ๋องทัพอารักขากำลังจัดระเบียบวางกำลังพล กลัวว่าจะรบกวนท่านอ๋อง ทั้งยังบอกอีกว่าหนิวโหย่วเต๋อพูดอะไรกับท่านอ๋องหรือเปล่า เขาบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน บอกท่านอ๋องว่าอย่าเชื่อ”
ก่วงลิ่งกงกล่าวเสียงต่ำว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเขาบริสุทธิ์ใจ ทำไมไม่กล้ามาพูดให้ชัดเจน ข้าจะเป็นคนไร้เหตุผลเชียวหรือ?”
โกวเยว่ลังเลนิดหน่อย “ท่านอ๋อง ในเวลานี้ไม่ควรขัดแย้งกันภายในจริงๆ ไม่สู้บ่าวไปถามเองต่อหน้าดีกว่า ถ้ามีการเข้าใจผิดอะไรจริงๆ ก็ดูว่าสามารถอธิบายได้หรือไม่”
ก่วงลิ่งกงทำสีหน้าเย็นเยียบโดยไม่พูดอะไร
โกวเยว่กุมหมัดคารวะ เรื่องนี้ชักช้าไม่ได้ หันตัวเหาะขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว
…………………………
รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องพูดอย่างนี้ เหมียวอี้จึงบอกว่า : ข้าย่อมเคารพความคิดเห็นของจอมพลลั่ว เพียงแต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าต้องเตือนเจ้าเอาไว้ ความสัมพันธ์ของถงเหลียนซีกับเจียงอีอี จอมพลลั่วอาศัยเรื่องนี้เพื่อพบกับข้าเป็นการส่วนตัว ก่วงลิ่งกงก็อาจจะรู้แล้ว
ลั่วหม่าง : เจ้าหมายความว่ายังไง? ต่อให้รู้แล้วยังไงล่ะ? จะอธิบายปัญหาอะไรได้?
เหมียวอี้ : ก็ไม่ได้หมายความว่าอะไร ก็แค่ไม่รู้ว่าก่วงลิ่งกงจะคิดมากหรือเปล่า โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ เกรงว่าก่วงลิ่งกงคงจะไม่นิ่งดูดายปล่อยให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น ข้าเองก็กังวลว่าก่วงลิ่งกงจะทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีต่อจอมพลลั่วเช่นกัน เลยตั้งใจมาเตือนให้จอมพลลั่วระวังตัวสักหน่อย
ลั่วหม่าง : ท่านอ๋องช่างทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการจริงๆ คำสัญญาที่ให้ไว้กับเจียงส้างอยู่ที่ไหน? สัจจะอยู่ที่ไหน?
คำถามนี้ถามได้ดี เมื่อหลายปีก่อน ไม่ว่าอย่างไรเหมียวอี้ก็จะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเจียงอีอีให้ได้ ย่อมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องทำร้ายเจียงอวิ๋น ทว่าเรื่องสงครามมาถึงขั้นนี้แล้วเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของกำลังพลเจ็ดแปดพันล้า คำว่าสัจจะถูกกลบไว้ด้วยคำว่าการศึกมิหน่ายเล่ห์แล้ว
เหมียวอี้ : สัจจะยังคงอยู่ เจิ้นเองก็ตัดสินใจแทนจอมพลลั่วไว้ตั้งแต่แรกแล้ว คำนึงอนาคตของถงเหลียนซีด้วย ข้าให้สัญญากับจอมพลลั่วไว้ตรงนี้ได้เลย หลังจากจบเรื่องแล้ว เราจะร่วมเสพสุขในเกียรติยศความร่ำรวยด้วยกัน ข้าสัญญาว่าจะให้ตำแหน่งอ๋องกับเจ้า นี่คือสิ่งที่ก่วงลิ่งกงให้เจ้าไม่ได้! ข้าพูดเพียงเท่านี้ จอมพลลั่วไตร่ตรองแล้วจัดการเอง เหลือเวลาให้เจ้าไม่เยอะแล้ว
ลั่วหม่าง : ท่านคิดว่าในเวลาแบบนี้ ท่านอ๋องจะเชื่อคำพูดเสี้ยมเขาควายให้ชนกันของเจ้าเหรอ?
เหมียวอี้ : พูดสิ่งนี้ไปก็ไม่มีความหมาย พวกเราตั้งตารอดูก็ได้ นอกจากนี้ จอมพลลั่วอย่าลืมนะว่ามีประมุขไป๋กับตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ เจิ้นต้องชนะ ชิงและพุทธะต้องแพ้แน่นอน!
หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว ลั่วหม่างที่ยืนอยู่บนยอดเขารกร้างแห่งหนึ่งก็เผยสีหน้าอึมครึม ในหัวกำลังครุ่นคิดถึงประมุขไป๋กับตระกูลเซี่ยโห้วที่เหมียวอี้เพิ่งเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้ ได้ยินว่าประมุขไป๋หลุดออกจากเจดีย์สยบปีศาจแล้ว…
ซือหม่าเวิ่นเทียนถือระฆังดาราเดินออกจากรถมังกร สายลับเบื้องล่างบอกว่ามีเรื่องลับจะรายงาน ให้เขาหลบเลี่ยงซ่างกวนชิง ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่รู้หมายความว่าอะไร
เมื่อมายืนบนแท่นนอกรถมังกรแล้ว ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ถามว่า : เรื่องอะไร?
สายลับ : นายท่าน ข้าน้อยเพิ่งไปพบทูตตรวจการขวาเกาก้วนมา เขามาหาข้าน้อย บอกข่าวบางอย่างกับข้าน้อยขอรับ
ซือหม่าเวิ่นเทียนตกใจ : เกาก้วนไปหาเจ้าได้ยังไง เขารู้ตัวตนหน่วยตรวจการซ้ายของเจ้าได้ยังไง?
สายลับ : ข้าน้อยก็แปลกใจเหมือนกัน คิดไปเป็นร้อยอย่างก็ไม่เข้าใจ แต่ข้าน้อยเห็นเกาก้วนเหมือนจะบาดเจ็บไม่ใช่น้อยๆ
เกาก้วนได้รับบาดเจ็บเหรอ? ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบถาม : เกาก้วนให้ข่าวอะไรกับเจ้า?
สายลับ : เกาก้วนบอกว่าซ่างกวนชิงเป็นสายลับ บอกว่าผู้การใหญ่ซ่างกวนเป็นไส้ศึกที่ประมุขไป๋แทรกไว้ข้างกายฝ่าบาท
ซือหม่าเวิ่นเทียน : เหลวไหลไร้สาระ คำพูดเหลวไหลแบบนี้เจ้าก็เชื่อเหรอ? ประมุขไป๋โดนกักบริเวณที่เขาหลิงซาน ซ่างกวนชิงเป็นผู้เข้าร่วมคนสำคัญในเหตุการณ์นั้น ถ้าเป็นคนของประมุขไป๋จริงๆ ประมุขไป๋จะตกอยู่ในสภาพลำบากขนาดนี้หรอ?
สายลับ : ข้าน้อยไม่ทราบว่าสถานการณ์เป็นยังไง เกาก้วนบอกว่าหลายปีก่อนเขาเคยรับบัญชาจากฝ่าบาทให้ตรวจสอบองครักษ์เงา สืบเจอความผิดปกติในนั้นนิดหน่อย จากนั้นก็รายงานขึ้นมาอย่างลับๆ สาวไปถึงตัวซ่างกวนชิง ตอนนี้เขามีเหตุผลที่จะสงสัยว่าซ่างกวนชิงอาจจะถูกอำนาจของประมุขไป๋ปลุกระดมให้ให้ก่อกบฏนานแล้ว
ซือหม่าเวิ่นเทียนรู้สึกว่าคำพูดนี้มีปัญหาแท้ๆ แต่ก็ยังอกสั่นขวัญแขวนอย่างตลาด เพราะตอนหลังเขากับกองทัพองครักษ์ร่วมมือกันรับช่วงต่อเรื่องตรวจสอบองครักษ์เงา ถึงได้รู้ว่าองครักษ์เงาถูกเกาก้วนส่งเข้าคุกใหญ่หน่วยตรวจการขวาไปสอบสวนสองครั้ง แต่สองครั้งนั้นล้วนถูกซ่างกวนชิงขัดขวางกลางคัน ไม่ให้เกาก้วนได้ตรวจสอบต่อทั้งสองครั้ง อย่าบอกนะว่าในนั้นจะมีปัญหาอะไรจริงๆ?
ความคิดเปลี่ยนแปลงไปนับร้อย ซือหม่าเวิ่นเทียนไม่ค่อยกล้าถามต่อแล้ว เป็นเพราะตัวเองไม่กล้าเห็นความจริง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามว่า : เกาก้วนสืบเจออะไร?
สายลับ : เกาก้วนบอกให้ฝ่าบาทระวังว่าทางฝั่งก่วงลิ่งกงจะมีการเปลี่ยนแปลง บอกว่าจอมพลสายวอกลั่วหม่างอาจจะสมคบกับหนิวโหย่วเต๋อตั้งนานแล้ว
ซือหม่าเวิ่นเทียนถามอย่างตกใจว่า : เกาก้วนบอกหรือเปล่าว่าเรื่องเป็นยังไง?
สายลับ : เกาก้วนบอกว่าหลายปีก่อนเขาเคยสืบเรื่องโจรราคะเจียงอีอี บอกว่าที่จริงเจียงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน เพราะสมาคมวีรชนอยู่ในขอบเขตอำนาจของซ่างกวนชิง เขาจึงไม่สะดวกจะตรวจสอบอย่างโจ่งแจ้ง ภายนอกเหมือนสืบคดีของเจียงอีอีจบแล้ว แต่เขาพบเบาะแสบางอย่างในนั้น หลายปีมานี้จึงถือโอกาสตรวจสอบสมาคมวีรชนตามเบาะแสนั้นอย่างลับๆ ผลก็คือพบว่าแท้จริงแล้วเจียงอีอียังมีน้องสาวอีกคนที่ตกอยู่ในมือสมาคมวีรชน สุดท้ายก็สืบพบว่าน้องสาวคนนั้นของเจียงอีอีกลายเป็นอนุภรรยาของลั่วหม่างแล้ว ชื่อว่าถงเหลียนซี ส่วนรายละเอียดความสัมพันธ์ เกาก้วนก็ไม่ได้สืบชัดเจนเช่นกัน แต่ตอนที่สืบเรื่องถงเหลียนซี ก็บังเอิญพบว่าถงเหลียนซีกับอวิ๋นจือชิว ฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อแอบไปมาหาสู่กันอย่างลับๆ แล้วก็สาวไปเจอว่าลั่วหม่างกับหนิวโหย่วเต๋อแอบไปมาหาสู่กันอย่างลับๆ ด้วย เกาก้วนจับตาดูเรื่องนี้มาตลอด ผลปรากฏว่ายังไม่ทันสืบได้ผลลัพธ์ ก็เกิดเรื่องอย่างตรงหน้านี้แล้ว ตอนนี้สถานการณ์ทำให้เขากังวลสุดๆ ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรกับลั่วหม่างหรือเปล่า
ซือหม่าเวิ่นเทียนแอบด่าว่านี่มันเรื่องอะไรกัน เป็นปริศนาเหมือนอยู่ในเมฆหมอก ตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจก็คือซ่างกวนชิง ถ้าซ่างกวนชิงเป็นไส้ศึกของประมุขไป๋จริงๆ แบบนั้นก็แย่แล้ว เขาถามว่า : เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับซ่างกวนชิง?
สายลับ : ตอนที่เกาก้วนกำลังตรวจสอบเรื่องสมาคมวีรชน ก็สืบเจอว่าในตระกูลหวงฝู่เหมือนจะมีคนขององครักษ์เงา แต่ตอนที่เกาก้วนตรวจสอบองครักษ์เงา ซ่างกวนชิงก็ไม่ได้มอบรายชื่อองครักษ์เงาส่วนนี้ให้เขา สิ่งนี้ทำให้เกาก้วนสงสัย ดังนั้นเกาก้วนจึงตรวจสอบองครักษ์เงาอย่างลับๆ มาตลอด เขาบอกว่าตอนที่เขาสอบสวนองครักษ์เงา รู้ว่าองครักษ์เงาฝึกวิชามารชนิดหนึ่ง สามารถเพิ่มวรยุทธ์ได้รวดเร็ว แต่เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่สะสมในร่างกายจะย้อนทำร้ายตัวเอง ฝ่าบาทสามารถควบคุมองครักษ์เงาได้เพราะมีวิธีการแก้ปัญหานี้ แต่เกาก้วนพบว่าองครักษ์เงาของตระกูลหวงฝู่หลุดจากการควบคุมของฝ่าบาทแล้ว สามารถแก้ไขปัญหาตอนโดนวิชามารย้อนทำร้ายได้แล้ว ซ่างกวนชิงเหมือนจะรู้เรื่องนี้นานแล้ว เกาก้วนรู้สึกว่าในนั้นมีอะไรในกอไผ่
ซือหม่าเวิ่นเทียนหวาดระแวงกลัวแล้วจริงๆ ถามว่า : แล้วทำไมเกาก้วนไม่ได้งานขึ้นมาให้ฝ่าบาทรู้?
สายลับ : เกาก้วนบอกว่ามีหลายปัญหาที่เขายังไม่รู้ชัดเจน เรื่องที่เกี่ยวข้องกับซ่างกวนชิงไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน ถ้าเปิดโปงออกมาโดยไม่มีหลักฐาน ซ่างกวนชิงก็จะหลุดข้อหาไปได้ง่ายๆ กลับจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น มิหนำซ้ำเขาก็แอบแทรกแซงเข้าไปในขอบเขตอำนาจของซ่างกวนชิง เป็นการทำเรื่องที่เกินอำนาจโดยไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่าบาท เพื่อจับตาดูเบาะแสนี้ เกาก้วนแอบแทรกสายลับไว้ที่ตระกูลหวงฝู่ ทว่าในศึกใหญ่ครั้งนี้ จู่ๆ ตระกูลหวงฝู่ก็ไปขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อ เขาจึงถามสายลับที่แทรกไว้ในตระกูลหวงฝู่ทันที ได้ความว่าองครักษ์เงาที่ซ่างกวนชิงจัดให้ไปอยู่ที่ตระกูลหวงฝู่ไม่ได้ถูกควบคุมเลย แต่ซ่างกวนชิงกลับไม่พูดเรื่องนี้ เกาก้วนถึงตระหนักได้อย่างแท้จริงว่าซ่างกวนชิงมีปัญหา ตอนหลังก็พบอีกว่าสายลับที่แทรกไว้ในตระกูลหวงฝู่ขาดการติดต่อไปแล้ว ตอนนี้ซ่างกวนชิงถ่ายทอดบัญชาของฝ่าบาท ให้เขาไปจัดการงานนี้ ตอนที่เขาเพิ่งจะออกจากทัพใหญ่ได้ไม่นาน จู่ๆ ก็พบว่าตัวเองตกหลุมพรางแล้ว โดนคนกลุ่มหนึ่งไล่สังหาร ถูกโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส สมบัติส่วนตัวก็หายไปด้วย ไม่มีทางติดต่อกับฝั่งนี้ได้
ตอนนี้เขาถึงได้พบว่าซ่างกวนชิงถ่ายทอดบัญชาเท็จของฝ่าบาท เขาเลยรู้ตัวว่าสายลับในตระกูลหวงฝู่ขาดการติดต่อไปเพราะคงโดนเปิดโปงแล้ว ซ่างกวนชิงน่าจะรู้ว่าเขาสืบเรื่องตัวเองอยู่ โชคดีที่เขาระวังตัวไว้ล่วงหน้า เตรียมป้องกันเหตุไม่คาดคิด ทิ้งสัญญาณแจ้งเตือนเอาไว้ที่ทัพใหญ่ ถ้าเขาไม่เป็นอะไร ฝ่าบาทย่อมติดต่อเขาได้ แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็ติดต่อเขาไม่ได้ ฝ่าบาทน่าจะมองเห็นสัญญาณแจ้งเตือนของเขา
ซือหม่าเวิ่นเทียนรู้สึกมือเท้าชาวาบเล็กน้อย จิตใต้สำนึกอยากจะหันกลับไปมองซ่างกวนชิงในรถมังกร ถ้าซ่างกวนชิงเป็นไส้ศึกจริงๆ เช่นนั้นปัญหาก็ใหญ่โตร้ายแรงมาก คิดๆ แล้วก็รู้สึกหนาว ถามอีกว่า : แล้วทำไมเกาก้วนไม่ติดต่อลูกน้องของตัวเอง ทำไมต้องติดต่อเจ้า?
สายลับบอกว่า : เกาก้วนบอกว่า ในเมื่อซ่างกวนชิงกล้าลงมือกับเขา ก็คงจะฉวยโอกาสสอดมือเข้ามาในหน่วยตรวจการขวาแล้ว คงไม่ให้เขาอาศัยหน่วยตรวจการขวาติดต่อกับฝ่าบาทอีก สาเหตุรองเป็นเพราะคนของหน่วยตรวจการขวาทยอยกันเริ่มทำงาน คนไม่ได้อยู่ที่เดิม และเขาก็ไม่มีระฆังดาราเอาไว้ติดต่อเบื้องล่างด้วย ชั่วขณะนั้นหาคนเจอยากมาก
ซือหม่าเวิ่นเทียนแอบด่าในใจ ดูท่าแล้ว เกาก้วนไม่ใช่แค่ยื่นมือไปที่ซ่างกวนชิงเท่านั้น แต่ยื่นมือมาหาตัวเองแล้วเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นถ้าติดต่อคนของหน่วยตรวจการขวาไม่ได้ แล้วจะหาสายลับของหน่วยตรวจการซ้ายเจอได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะแอบสอดมือเข้ามาก็แปลกแล้ว
แต่จะว่าไปแล้ว เขาเองก็แอบเล่นไม่ซื่อกับหน่วยตรวจการขวาเหมือนกัน ระหว่างหน่วยตรวจการซ้ายและขวาค่อนข้างแข่งขันกันเมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่าบาท มีหรือที่เขาจะไม่ทิ้งแผนสำรองเอาไว้เลยสักนิด
เพียงแต่ตอนนี้เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญแล้ว ซือหม่าเวิ่นเทียนถามว่า : ตอนนี้เกาก้วนอยู่ที่ไหน?
สายลับบอกว่า : ข้าน้อยก็ไม่รู้เช่นกัน เขาไปแล้ว เขาบอกว่าตอนนี้เขาไม่เชื่อใครทั้งนั้น เพียงให้ข้าน้อยมาบอกข่าวนายท่านเฉยๆ ให้นายทานส่งข่าวต่อให้ฝ่าบาท เขายังบอกอีกว่า ต่อให้นายท่านไม่รายงานขึ้นไปให้ฝ่าบาททราบ เขาก็จะคิดหาทางติดต่อคนอื่นอีกอยู่ดี สรุปก็คือจะต้องหาทางให้คนบอกเรื่องนี้กับฝ่าบาทให้ได้
เรื่องนี้แม้แต่เขาเองยังไม่เชื่อเลย! ซือหม่าเวิ่นเทียนแอบพึมพำ แล้วตอบว่า : เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เจ้าอย่าเพิ่งไปบอกคนอื่น เข้าใจไหม?
สายลับ : ข้าน้อยเข้าใจแล้ว
จากนั้นก็ถามรายละเอียดอีกนิดหน่อย ถึงได้จบการติดต่อกัน ซือหม่าเวิ่นเทียนปวดหัวแล้ว เรียกได้ว่าปวดจนหัวแทบแยกเป็นสองหัว รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ร้อนมือ การฟ้องร้องซ่างกวนชิงเป็นเรื่องเล็กเสียที่ไหนกัน ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ จะล่วงเกินซ่างกวนชิงหรือไม่ล้วนเป็นเรื่องรอง ประเด็นสำคัญก็คือไม่สามารถตรวจสอบได้ ไม่มีหลักฐาน มีแต่คำพูดของเกาก้วน ไม่เพียงพอให้เชื่อ
ถ้าเกาก้วนเป็นไส้ศึก กำลังจงใจเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน ถ้าเขารายงานต่อประมุขชิงในเวลานี้ จะไม่เท่ากับทำให้แผนชั่วของเกาก้วนสำเร็จหรอกหรือ? แต่ถ้าเป็นความจริง ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงพอสมควร! ข่าวที่เกาก้วนให้มายังเกี่ยวโยงไปถึงลั่วหม่างอีก ถ้าลั่วหม่างก่อกบฏเมื่อไหร่ ก็จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์รบทั้งหมดโดยตรง
จะรายงานหรือไม่รายงานดี เขาตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว
สุดท้ายเขาก็ยังแข็งใจเดินเข้าไปในรถมังกร เตรียมตัวรายงานเรื่องนี้ขึ้นไป เป็นเพราะไม่รายงานคงไม่ได้ เกาก้วนบอกแล้วว่ายังคิดหาทางติดต่อคนอื่นเพื่อเปิดเผยให้ประมุขชิงรู้อีก ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปงออกมา แล้วตัวเองรู้เรื่องแต่ไม่ยอมรายงาน ถ้าซ่างกวนชิงมีปัญหาขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าเขาจะต้องได้รับบทเรียน ถึงตอนนั้นถ้าจะไม่ให้ประมุขชิงสงสัยว่าระหว่างเขากับซ่างกวนชิงมีปัญหาอะไรกันก็คงยาก นี่มันเรื่องอะไรกัน!
พอมาถึงข้างใน ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ไม่ได้พูดชัดเจน แต่ถ่ายทอดเสียงต่อประมุขชิงโดยตรง : “ฝ่าบาท ข้าน้อยเพิ่งจะได้รับรายงานจากเกาก้วน เกี่ยวกับซ่างกวนชิง!”
เกาก้วน? ประมุขชิงตาเป็นประกาย ชำเลืองมองซ่างกวนชิงแวบหนึ่ง จากนั้นถ่ายทอดเสียงบอกว่า : “ว่ามา!”
ซือหม่าเวิ่นเทียนจึงเล่าสถานการณ์ที่เพิ่งได้รับเมื่อสักครู่นี้ให้ฟัง
หลังจากฟังต้นสายปลายเหตุจบแล้ว ประมุขชิงก็กำหมัดเล็กน้อย เขากำลังจมอยู่กับความรู้สึกที่ต้องทิ้งจ้านหรูอี้ จู่ๆ ก็ได้รับข่าวนี้ จึงนึกถึงปัญหาหนึ่งได้โดยจิตใต้สำนึกทันที หนิวโหย่วเต๋อวางกับดักกับโพ่จวินเพราะอะไรกัน เป็นเพราะมีคนแอบปล่อยข่าวหรือเปล่า?
เมื่อทำอารมณ์ให้คงที่แล้ว หมัดที่กำแน่นก็ค่อยๆ คลายออก ประมุขชิงถ่ายทอดเสียงบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “แล้วที่เกาก้วนขัดคำสั่งข้า บอกให้คนของหน่วยตรวจการขวาหยุดทำงานมันเรื่องอะไรกัน? นี่ต้องเป็นแผนการเสี้ยมเขาควายให้ชนกันของเกาก้วน อย่าตกหลุมพราง!”
ไม่มีคำพูดที่ฮึกเหิมกล้าได้กล้าเสีย ไม่มีคำสาบานอันเด็ดเดี่ยว ไม่มีคำอ้อนวอนอย่างหวาดกลัวของผู้หญิง แต่โพ่จวินกลับมองออกถึงความเด็ดเดี่ยวจากแววตาของจ้านหรูอี้ ความเด็ดเดี่ยวนี้เขาคุ้นเคยมาก เป็นสิ่งที่เห็นจากดวงตาของนักรบจำนวนไม่น้อย
อาศัยแค่จุดนี้ โพ่จวินก็เชื่อนางแล้ว เปลี่ยนวิธีคิดที่มีต่อนางมาตลอดเช่นกัน ไม่ได้เปลี่ยนท่าทีเพราะเลือดเนื้อเชื้อไขในท้องนางเหมือนก่อนหน้านี้ และไม่ได้เปลี่ยนคำเรียกเพราะต้องการสังหารนางเหมือนก่อนหน้านี้ เขาออกแรงกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยน้อมรับบัญชาเหนียงเหนียง!”
น้ำหนักที่อยู่ในคำพูดนี้กำลังแสดงออกว่าอนุญาตนางแล้ว
จ้านหรูอี้ไม่มีเหตุผลให้ดีใจ ไม่ได้พูดอะไร พลิกมือคว้าเกราะรบเอามาชุดหนึ่ง ทว่า…นางก้มมองท้องที่ยื่นของตัวเอง พบว่าวันที่ตัวเองเฝ้ารอมาถึงแล้ว แต่กลับพบว่าสวมเกราะรบไม่ได้แล้ว
ขณะมองลูกสาวตัวเองเก็บเกราะรบอย่างเงียบๆ อิ๋งลั่วหวนก็น้ำตาไหลพราก เอามือปิดปากร้องไห้ มารดารู้จักลูกสาวตัวเองดีที่สุด
ในปีก่อนๆ นางเห็นลูกสาวชอบแกว่งดาบไกวกระบี่ ชอบสวมเกราะรบ จึงมักจะด่านางว่าเด็กบ้า บอกว่าระวังในภายหลังจะไม่มีใครแต่งงานด้วย
ตอนนี้นางรู้แล้วว่าเหตุการณ์ตรงหน้านั้นยากจะหลีกพ้น ไม่ง่ายเลยกว่าลูกสาวจะรอจนถึงวันนี้ได้ บางทีอาจจะเป็นโอกาสเติมเต็มความปรารถนาครั้งสุดท้าย แต่กลับไม่มีทางทำให้สำเร็จอย่างสมบูรณ์ได้
มือข้างหนึ่งยื่นมาเช็ดน้ำตาบนหน้านาง อิ๋งลั่วหวนหันกลับมามอง เป็นจ้านผิงที่เช็ดน้ำตาให้นาง
จ้านผิงพยักหน้าเบาๆ ให้นาง จากนั้นนำเกราะรบออกมาสวม
อิ๋งลั่วหวนปาดน้ำตา หยิบเกราะรบออกมาสวมอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน จากนั้นก็แย่งทวนมาไว้ในมือ มายืนอยู่ฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของลูกสาว มาคอยพิทักษ์ข้างกาย
หยินซวง ไป๋เสวี่ยสบตากันแวบหนึ่ง ถึงแม้จะหวาดกลัว แต่ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้พวกนางไม่มีทางเลือก ต่อให้พวกนางจะยอมสวามิภักดิ์ แต่เกรงว่าทัพฝ่ายศัตรูจะไม่ชอบอยู่ดี ทำได้เพียงหยิบเกราะรบที่สวมใส่ไม่บ่อยออกมา แล้วแข็งใจสวมมันไว้
จ้านหรูอี้ที่สวมชุดชาววังถือดาบเฉียงอยู่ในมือ สายตามองผ่านสนามรบที่กำลังต่อสู้กันเสียงดังสนั่นหวั่นไหว มองผู้ชายที่ถูกพิทักษ์อยู่ในทัพกลางของฝ่ายศัตรู ไม่ได้เจอกันหลายปี คนก็ยังเป็นคนนั้น แต่ลักษณะท่าทางดูสูงส่งเหนือผู้อื่นแล้ว
อิ๋งลั่วหวนก็จ้องเหมียวอี้เช่นกัน นางแค้นจนกัดฟันกรอด ผู้ชายคนนี้เกือบจะกลายเป็นลูกเขยของนางแล้ว เสียแรงที่ตอนแรกนางกระตือรือร้นมาก ไปดูตัวด้วยตัวเอง ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายกลับมีส่วนร่วมในการโค่นล้มตระกูลอิ๋ง ตอนนี้ก็ยิ่งบีบให้นางตายทั้งครอบครัว เป็นหมาป่าทะเยอทะยาน มีปฏิธานครองใต้หล้า!
นางแค้นมาก แค้นที่ตอนแรกไม่ได้สังหารหมาป่าตัวนี้!
จ้านผิงก็จ้องเหมียวอี้เช่นกัน ตอนนี้เขาเหมือนจะเข้าใจว่าแล้วว่าทำไมตอนแรกตัวเองโน้มน้าวอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายไม่ยอมพาลูกสาวตัวเองจากไป ต่อให้จะชี้หน้าด่าอิ๋งจิ่วกวงด้วยอารมณ์ฮึกเหิม แต่สุดท้ายก็ยังอดทนไว้ เพราะเป็นคนของประมุขไป๋ คาดว่าตอนนั้นเขาก็คงทำตามใจตัวเองไม่ได้เช่นกัน
รอบข้างต่อสู้กันอย่างดุเดือด หลังจากโพ่จวินสังเกตการณ์ดูครอบครัวนี้ครู่หนึ่ง สายตาจ้องไปทางสนามรบ
ใช้เวลาไม่นาน ความเคลื่อนไหวใหญ่โตของฝั่งนี้ก็สะเทือนไปถึงสายลับที่อยู่ไกลๆ ให้ในดาราจะมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เห็นสถานการณ์นี้ก็รายงานขึ้นไปทันที ไม่นานก็ทำให้ประมุขชิงส่งข่าวมาถาม
เดิมทีโพ่จวินอยากจะปิดบังไม่รายงาน แต่ก็แต่กลับไม่ได้นึกว่าเหตุการณ์นี้จะสะเทือนไปถึงประมุขชิงแล้ว จึงทำได้เพียงหยิบระฆังดาราออกมารายงานต่อประมุขชิง
เมื่อได้ยินสถานการณ์ ประมุขชิงก็ตกใจมาก รีบบอกว่า : โพ่จวิน ยืนหยัดไว้ ต้องยืนหยัดไว้ เจิ้นจะไปช่วยเดี๋ยวนี้!
โพ่จวิน : ฝ่าบาท! จังหวะการรุกโจมตีของหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้รุนแรง มีความเป็นไปได้สูงว่ากำลังล่อให้ฝ่าบาทมาช่วย ส่วนทัพใหญ่ที่เป็นกำลังหลักจริงๆ นั้นมุ่งเป้าไปที่ก่วงลิ่งกง ถ้าเป็นเช่นนี้ เจตนาของหนิวโหย่วเต๋อก็ชัดเจนมาก เขารู้ว่าถึงยังไงก็ปิดบังเจตนานี้ไม่ได้ เขากำลังเดิมพัน เดิมพันความรักที่ฝ่าบาทมีต่อเหนียงเหนียง อยากจะอาศัยสิ่งนี้ล่อทัพใหญ่ของฝ่าบาทให้มาที่นี่ เพื่อช่วงชิงเวลาให้ทัพใหญ่ที่เป็นกำลังหลักลงมือ ฝ่าบาทจะตกหลุมพรางไม่ได้เด็ดขาด ข้าน้อยขออำลา!
จากนั้นไม่ว่าประมุขชิงจะติดต่ออย่างไร โพ่จวินก็เด็ดเดี่ยวไม่ยอมตอบอีก กลับถ่ายทอดคำสั่งว่า เตรียมตัวรุกโจมตีฝ่าวงล้อม
เมื่อเห็นในกองทัพองครักษ์ตั้งกระบวนทัพ เหมียวอี้ก็พอจะเดาเจตนาของโพ่จวินออกแล้ว อดไม่ได้ที่จะด่าว่า “ตาแก่ทึ่ม!”
เขาหมั่นไส้โพ่จวินจนคันฟันแล้วจริงๆ ครั้งแรกที่วางอุบายที่เขาหลิงซานโจมตีอารามแปดทิศก็เพราะอยากจะล่อให้ชิงกับพุทธะมาช่วย จะได้ลงมือกับก่วงลิ่งกงได้สะดวก ผลปรากฏว่าโดนโพ่จวินทำแผนพัง ครั้งนี้มีกำลังพลมากมายขนาดนี้ล้อมอยู่ เขาคาดว่าขอเพียงตัวเองไม่เคลื่อนไหว อีกฝ่ายก็จะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นกัน เขาอยากจะให้โอกาสอีกฝ่ายถ่วงเวลารอกองหนุน อยากจะให้โอกาสอีกฝ่ายเจรจา และอยากจะให้โอกาสประมุขชิงเจรจาเช่นกัน แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะออกคำสั่งรุกโจมตี ทำให้ตาแก่ทึ่มอย่างโพ่จวินออกคำสั่งรุกโจม แบบนี้ไม่ใช่ที่ตายหรอกหรือ?
โพ่จวินเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ รนหาที่ตายก็ว่าแย่แล้ว แต่กลับทำให้เรื่องดีๆ ของเขาพังอีกครั้ง จะไม่ให้เขาแค้นจนกัดฟันกรอดได้อย่างไร
ตอนนี้เขาไม่มีทางวางอุบายให้ชิงกับพุทธะเข้าใจผิดว่าทัพใหญ่ที่เป็นกำลังหลักอยู่ที่นี่แล้ว สาเหตุก็เรียบง่ายมาก เพราะถ้าโพ่จวินลงมือ จังหวะการโจมตีของเขาก็จะทำให้เจตนาถูกเปิดโปง แล้วตอนนี้เจ้าจะฆ่าหรือไม่ฆ่าล่ะ? ถ้าฆ่าคนพวกนี้ไปแล้ว ประมุขชิงก็ยิ่งไม่มีทางเจรจากับเจ้าอีก
ตอนนี้โพ่จวินก็ยิ่งยอมแลกทุกอย่างเพื่อรนหาที่ตาย บีบให้เจ้าฆ่าพวกเขา ทำให้เจ้าโมโหแต่ก็ระบายไม่ได้!
เถิงเฟยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “โพ่จวินอยากรนหาที่ตายชัดๆ! พวกเราทำอย่างนี้ชัดเจนเกินไป ชิงกับพุทธะจะมาช่วยเหรอ?”
หยางชิ่งบอกว่า “ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้ามีแค่ประมุขชิงคนเดียว เพื่อที่จะช่วยจ้านหรูอี้ ก็ยังเป็นไปได้ แต่ประเด็นคือประมุขพุทธะก็อยู่ฝั่งนั้นด้วย ประมุขพุทธะไม่ยอมให้ประมุขชิงทำอย่างนี้แน่นอน”
“คอยดูสถานการณ์อีกที ถ้าไม่มาช่วย ก็ฆ่า พยายามจับเป็นโพ่จวินกับจ้านหรูอี้” เหมียวอี้กล่าว
ทั้งสองเข้าใจเจตนาของเขา สาเหตุที่อยากจับเป็นสองคนนี้ อาจเป็นเพราะจะนำมาบีบบังคับประมุขชิง ไม่แน่ว่าอาจจะใช้ประโยชน์ได้
หลังจากในหัวครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เหมียวอี้ก็เรียกคนสองคนออกมาอีก เป็นผู้หญิงสองคนที่งดงามดุจเทพธิดา ชุดกระโปรงปลิวไสว
หยางชิ่งกับเถิงเฟยมองประเมินด้วยความงุนงง ไม่รู้ว่าสองคนที่เหมียวอี้เรียกออกมาเป็นใคร แต่ผู้หญิงสองคนนี้กลับมีสง่าราศีไม่ธรรมดา ทำให้คนรู้สึกว่าเลื่อนลอยอยู่เหนือโลกมนุษย์ ทั้งสองรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเฮยทั่นที่กลายร่างเป็นคนแล้วกำลังมองพวกเราสองคนตาปริบๆ
ทั้งสองไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเทพสตรีผู้พิทักษ์ของเผ่าหงส์ที่เหมียวอี้เชิญออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เพื่อศึกใหญ่ในครั้งนี้ ทรัพยากรอะไรที่ใช้งานได้ เหมียวอี้ก็เตรียมออกมาใช้หมดแล้วจริงๆ มองออกเลยว่าให้ความสำคัญขนาดไหน
คนที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าเหมียวอี้แอบถ่ายทอดเสียงบอกอะไรกับผู้หญิงสองคนนี้ สุดท้ายก็เห็นเฮยทั่นกับผู้หญิงสองคนนี้ถอยออกจากขบวนรบ ถอยออกจากด้านหลังของขบวนรบหายไปยังดาราจักรอันเวิ้งว้าง
เมื่อมองดูสถานการณ์รบ เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา…
กำลังพลของชิงเยว่ที่เร่งเหาะอยู่ในจุดลึกของดาราจักรหยุดกะทันหัน หลังจากชิงเยว่กับหยางเจาชิงวางระฆังดาราและปรึกษากันแล้ว ก็รีบนำทัพใหญ่หนึ่งพันล้านกลับมาทางเดิมอย่าง…
“ตาแก่ทึ่ม!” ในรถมังกร ประมุขชิงโมโหจนกระทืบเท้า รีบติดต่อกับกำลังพลในหน่วยของโพ่จวิน ทว่าติดต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะถูกทัพฝ่ายศัตรูที่มีมากกว่าตัวเองหลายสิบเท่าล้อมไว้แล้ว อำนาจฝ่ายกระทำบนสนามรบอยู่ในมือของทัพฝ่ายศัตรู แล้วกำลังพลของพ่จวินจะทำอะไรได้?
เขาเรียกประมุขพุทธะมาทันที แล้วอธิบายสถานการณ์ให้ฟัง บอกว่าต้องการจะไปช่วย
“ต่อให้เป็นคนตาบอดก็มองออกว่าเป็นอุบายล่อข้าศึก ไปไม่ได้!” ประมุขพุทธะกล่าวด้วยใบหน้ามืดครึ้ม
“บางทีหนิวโหย่วเต๋อยิ่งปกปิดก็ยิ่งชัดเจน ไม่แน่ว่าทัพใหญ่ที่เป็นกำลังหลักอาจจะอยู่ข้างกายเขา” ประมุขชิงกล่าว
ประมุขพุทธะกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้ารอง เจ้าสมองเลอะเลือนเพื่อผู้หญิงคนเดียวแล้ว ต่อให้เจ้าไป หนิวโหย่วเต๋อจงใจในขณะที่เจ้าไม่ระวัง รอจนเจ้าตามไปถึง ยังจะช่วยชีวิตทันอีกเหรอ? หนิวโหย่วเต๋อเล่นอุบายนี้ ฝั่งนั้นจะไม่รู้เชียวหรือว่าติดกับดักแล้ว ก็เหมือนที่โพ่จวินบอก จะให้หนิวโหย่วเต๋อจูงจมูกเดินได้ยังไง? มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็จะให้โอกาสหนิวโหย่วเต๋อแบ่งแยกกำลังและโจมตีอีกไม่ได้ ต้องรีบไปฝั่งก่วงลิ่งกงให้เร็วที่สุด รีบหาทางควบคุมก่วงลิ่งกงให้ได้!”
ประมุขชิงกล่าวด้วยใบหน้านิ่ง “ไม่เกี่ยวอะไรกับผู้หญิง โพ่จวินเป็นขุนนางคนสนิทคนสำคัญของข้า เห็นเขากำลังจะตายแล้วข้าจะไม่ช่วยได้ยังไง?”
ประมุขพุทธะขยับนับลูกประคำในมือถี่ขึ้น จ้องเขาพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “เจ้ายังมีหน้ามาพูด? ถ้าไม่ใช่พระเจ้ามองข้ามสถานการณ์ภาพรวมให้โพ่จวินไปส่งผู้หญิงคนนั้น โพ่จวินจะตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังเช่นนี้ได้ยังไง? กำลังพลนับสิบล้านจะต้องตายโดยหลุมศพเพราะอารมณ์ชั่ววูบของเจ้าเหรอ! อย่าว่าข้าขัดขวางเจ้า เจ้าลองถามพวกเขาดูสิ เจ้าลองถามกำลังพลใต้บังคับบัญชาของเจ้าดู ถามว่าพวกเขาอนุญาตให้เจ้าไปหรือเปล่า?” เขาชี้ไปที่พวกซ่างกวนชิงยืนอยู่ข้างๆ
ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนขมวดคิ้วไม่พูดอะไร ก็เท่ากับแสดงท่าทีแล้ว
หลังจากอู๋ฉวี่เงียบไปครู่หนึ่ง ก็กล่าวช้าๆ ว่า “ฝ่าบาท โพ่จวินตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะตาย! ด้วยนิสัยอย่างโพ่จวิน ฝ่าบาทก็ทราบดี เขาไม่มีทางให้โอกาสฝ่าบาทได้ช่วยเหนียงเหนียง ถ้าฝ่าบาทไม่ไป เหนียงเหนียงอาจยังมีโอกาสรอดชีวิต แต่ถ้าฝ่าบาทไป โพ่จวินต้องสังหารเหนียงเหนียงแน่!”
ประมุขชิงหลับตาลงช้าๆ พอนึกถึงสถานการณ์ของจ้านหรูอี้ตอนนี้ ก็รู้สึกราวกับหัวใจโดนมีดกรีด ไม่ใช่แค่เพราะจ้านหรูอี้เท่านั้น แต่หนิวโหย่วเต๋อสังหารลูกชายของเขาไปแล้วคนหนึ่ง ตอนนี้ก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาที่อยู่ในท้องจ้านหรูอี้อีก พอนึกถึงตรงนี้ ก็กำสองหมัดหมัดแน่ ทั้งตัวพลุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายดุร้าย สุดท้ายก็ลืมตาที่เป็นร่องขีดเดียว แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ช้าเร็วเจิ้นจะสับร่างเจ้าพันดาบหมื่นดาบ!”
เขาตัดสินใจบางอย่างได้ยากลำบากมาก เจ็บปวดมาก…
สิ่งที่ตาทิพย์เห็นก็คือ กำลังพลของชิงกับพุทธะไม่มีท่าทีว่าจะเลี้ยวกลับมา เหมียวอี้รู้ว่าแผนที่ตัวเองเดิมพันพังแล้ว รู้ว่ามีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าประมุขชิงจะทิ้งโพ่จวินกับจ้านหรูอี้แล้ว จึงออกคำสั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “โพ่จวิน จ้านหรูอี้ พยายามจับเป็น!”
เท่ากับออกคำสั่งให้พยายามจบศึกนี้โดยเร็ว แม่ทัพหลักจึงถ่ายทอดคำสั่งลงไป ทัพใหญ่ที่ล้อมโจมตีเผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มากขึ้น ลําแสงนับไม่ถ้วนถล่มยิงโจมตีอย่างบ้าระห่ำ
โพ่จวินที่ถือดาบอยู่ในมือเห็นลูกน้องเริ่มล้มตายไปเป็นแถบๆ ดวงตาสองข้างก็แทบถลน เขารู้เช่นกันว่าตัวเองใกล้จะเดินมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
จ้านหรูอี้ที่ท้องใหญ่หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นสนามรบที่เข่นฆ่ากันดุเดือดโหดร้ายขนาดนี้ ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ นิ้วเรียวบีบทวนในมือแน่นซ้ำไปซ้ำมา…
ทว่าเหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหยียนซิวอีก
ให้เว่ยซูสั่งให้ตระกูลเซี่ยโห้วเตรียมให้สายลับของหน่วยตรวจการซ้ายรายงานข่าวลับต่อซือหม่าเวิ่นเทียน ชี้กระบี่ไปที่ซ่างกวนชิง
ให้เว่ยซูบอกตระกูลเซี่ยโห้ว ว่าถ้าตะลุมบอนกันเมื่อไหร่ ก็ให้ฉวยโอกาสติดต่อสายลับที่อยู่ในกองทัพองครักษ์ให้ก่อกวนทันที ควบคุมชิงกับพุทธะทัพใหญ่ไม่ให้เดินหน้าได้
ให้เว่ยซูแจ้งตระกูลเซี่ยโห้ว สั่งให้สายลับที่แทรกไว้ใต้บังคับบัญชาก่วงลิ่งกงรายงานความผิดของลั่วหม่างให้ก่วงลิ่งกงรู้
หลังจากเตรียมการอย่างต่อเนื่องแล้ว เหมียวอี้ก็ติดต่อไปหาลั่วหม่างโดยตรง ถามว่า : พิจารณาไปถึงไหนแล้ว?
ลั่วหม่าง : อ๋องสวรรค์หนิว ข้าพิจารณายังไงท่านก็น่าจะรู้ ทำไมต้องถามมาก รอจนเจ้าทำได้แล้ว ทางข้าก็ย่อมคุยง่าย
ถึงแม้เหมียวอี้จะประกาศตนเป็นราชัน แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนคำเรียก และเหมียวอี้ก็ติดต่อเขาไว้นานแล้วเช่นกัน ว่าให้เขานำกำลังพลก่อกบฏ ช่วยจัดการก่วงลิ่งกงในรวดเดียว ทว่าสำหรับลั่วหม่างแล้ว ความสนิทสนมก็ส่วนความสนิทสนม แต่ต้องดูว่าเป็นเรื่องอะไร มีหรือที่พอเหมียวอี้พูดแค่คำเดียว แล้วเขาก็นำกำลังพลไปล้มโต๊ะก่วงลิ่งกงแล้ว? เขาต้องพิจารณาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ทั้งยังมีผลประโยชน์ของพี่น้องใต้บังคับบัญชาด้วย ชีวิตและความปลอดภัยในครอบครัวของกำลังพลมากมายขนาดนั้นล้วนฝากความหวังไว้ที่เขา เขาจะทำซี้ซั้วโดยไร้ขอบเขตได้อย่างไร?
แน่นอน เขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเหมียวอี้เช่นกัน เงื่อนไขก็คือฝั่งเหมียวอี้ต้องก้าวนำไปได้ในระดับหนึ่งก่อน ต้องสามารถดึงกำลังพลของชิงกับพุทธะแยกออกไปได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาที่อยู่ระหว่างกลางก็จะกลายเป็นหนังหน้าไฟที่เผชิญหน้ากับการโจมตีจากกำลังพลของชิง พุทธะและก่วงลิ่งกง ตอนที่ยังไม่เห็นโอกาสชนะของเหมียวอี้ เขาจะเสี่ยงอันตรายไปเข้าข้างฝั่งเหมียวอี้โดยสิ้นเชิง ไปเดิมพันกับเหมียวอี้ได้อย่างไร?
…………………………
บทที่ 2211 ข้าจะตายเพราะรบเท่านั้น
และสำหรับเหมียวอี้ การทำศึกตัดสินของทัพใหญ่ที่เป็นกำลังหลัก แก้ปัญหาเรื่องกำลังพลของประมุขชิงกับประมุขพุทธะและกำลังพลของก่วงลิ่งกงต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญที่สุด ขอเพียงแก้ไขปัญหาเรื่องกำลังพลสองกลุ่มนี้ได้ เรื่องเล็กเรื่องอื่นก็ไม่นับว่าสำคัญอะไร เรื่องของเซิงมู่เสวี่ยก็เป็นเพียงเรื่องที่แวบผ่านเข้ามาในหัวแล้วถูกโยนทิ้งไว้ข้างหลังเท่านั้น
กองทัพพระที่ประจำอยู่อารามแปดทิศไม่ได้ไปช่วยที่เขาหลิงซาน มาก็ช่วยไม่ทันอยู่ดี หลังจากกำลังพลเขาหลิงซานรบแพ้ ทางฝั่งนี้ก็ได้รับคำสั่ง จึงเริ่มออกจากอารามแปดทิศ เตรียมตามไปรวมตัวกับกำลังพลส่วนใหญ่ขอประมุขพุทธะ ทว่าเมื่อกำลังพลออกจากอารามแปดทิศ เหิงอู๋เต้าที่นี่ไปแล้วก็นำทัพใหญ่โผเข้ามาอีก มาเข่นฆ่าตะลุมบอลอยู่ด้วยกันแล้ว
เรื่องศึกใหญ่นอกอารามแปดทิศ เหมียวอี้ได้รับรายงานเรื่องการรบแล้วแต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เขาจับตาดูความเคลื่อนไหวกำลังพลของชิง พุทธะและก่วงลิ่งกงอยู่ตลอด
คนในรถมังกรกำลังคุยอะไรกัน เหมียวอี้ไม่รู้ แต่กลับเห็นพวกจ้านหรูอี้กับประมุขชิงบอกลากัน จากนั้นก็เห็นจ้านผิงและอิ๋งลั่วหวนมา แล้วสุดท้ายก็เห็นโพ่จวินนำสามคนนี้รวมทั้งบ่าวรับใช้เก็บเข้ากระเป๋าสัตว์
เมื่อออกจากรถมังกรแล้ว โพ่จวินก็เลือกกำลังพลกลุ่มหนึ่งให้ติดตามไปด้วย รีบกลับไปยังทางที่มา
หมายความว่าอะไร? เหมียวอี้กำลังครุ่นคิด ทำไมรู้สึกว่าประมุขชิงกำลังส่งครอบครัวของจ้านหรูอี้ไปที่ไหนสักแห่ง อีกทั้งยังให้โพ่จวินคุ้มกันส่งด้วยตัวเองด้วย ถ้าเป็นอย่างนี้จริง เรื่องที่ประมุขชิงรักและโปรดปรานจ้านหรูอี้ก็ไม่ใช่แค่ข่าวลือจริงๆ
แต่ก็จินตนาการได้เช่นกัน เพื่อจ้านหรูอี้ที่ตอนนี้ไร้คนหนุนหลังแล้ว ประมุขชิงถึงขนาดไม่เสียดายที่จะกักบริเวณเซี่ยโห้วเฉิงอวี่และมีเรื่องกับตระกูลเซี่ยโห้ว
สรุปก็คือไม่ว่าจะต้องการส่งจ้านหรูอี้ไปหรือไม่ เหมียวอี้ก็รู้สึกว่าครั้งนี้สามารถเดิมพันได้
เรื่องที่ก่วงลิ่งกงจัดขบวนรบแล้ว ฝั่งนี้รู้อย่างทะลุปรุโปร่งตั้งนานแล้ว เหมียวอี้นำแผนที่ดาวบอกเส้นทางที่วาดเสร็จแล้วส่งต่อให้ชิงเยว่ มอบหมายภารกิจโจมตีหลักให้ชิงเยว่กับเฉิงไท่เจ๋อ ชิงเยว่เป็นหัวหน้า เฉิงไท่เจ๋อเป็นผู้ช่วย และกำชับอีกว่า “ต้องรอคำสั่งของข้าแล้วค่อยปฏิบัติการ ห้ามวู่วามทำอะไรเองโดยพละการ!”
เขากลัวว่าชิงเยว่จะข่มนิสัยเจ้าอารมณ์ไม่ไหวแล้วทำซี้ซั้ว เรื่องแบบนี้ใช่ว่าชิงเยว่จะไม่เคยทำมาก่อน และต่อหน้าบรรดาแม่ทัพทุกคน เหมียวอี้นำกระบี่เก้าเตาส่งให้หยางเจาชิง “เจ้าเป็นเฝ้าติดตามทัพ ถ้าไม่มีบัญชาจากข้า แล้วชิงเยว่กล้าทำเองโดยพละการ ก็ประหารก่อนแล้วค่อยรายงานได้!”
หยางเจาชิงชำเลืองชิงเยว่แวบหนึ่ง รับกระบี่มาแล้วบอกว่า “น้อมรับบัญชา!”
ชิงเยว่กระตุกมุมปากเล็กน้อย มองเหมียวอี้ด้วยแววตาคับแค้นใจเล็กน้อย จำเป็นต้องเล่นงานข้าต่อหน้าคนเยอะขนาดนี้ด้วยเหรอ? ข้าแยกแยะความสำคัญไม่เป็นขนาดนั้นเชียวเหรอ?
“คนอื่นตามข้าไป!” เหมียวอี้นำกำลังพลกลุ่มหนึ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางเถิงเฟยอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ฝ่าบาท ศึกใหญ่ขนาดนี้ท่านไม่ไปคุมด้วยตัวเอง ส่งให้ชิงเยว่ควบคุมอาจจะไม่ค่อยเหมาะสมหรือเปล่าขอรับ?”
เหมียวอี้บอกว่า “ประมุขชิงให้โพ่จวินนำจ้านหรูอี้และครอบครัวหนีไปแล้ว ข้าจะใช้ทางลัดไปดักพวกเขาไว้!”
หยางชิ่งกับเถิงเฟยสบตากันแวบหนึ่ง ทั้งคู่เผยสีหน้าเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน เข้าใจเจตนาของเหมียวอี้แล้ว ออกโรงไปดักด้วยตัวเอง เพราะอยากให้ชิงและพุทธะเข้าใจผิดว่ากำลังหลักของทัพฝ่ายศัตรูอยู่ข้างหลัง กอปรกับประมุขชิงรักหวงแหนจ้านหรูอี้ที่สุด จึงอยากจะใช้เรื่องนี้บีบให้ชิงและพุทธะทัพใหญ่รีบกลับมาช่วย จะได้สร้างโอกาสและเวลาให้ฝั่งชิงเยว่โจมตีกำลังพลของก่วงลิ่งกง
ตอนนี้ทั้งสองเข้าใจแล้วว่าทำไมเหมียวอี้จึงเข้มงวดกับชิงเยว่ ว่าถ้าไม่ได้รับบัญชาก็ห้ามตัดสินใจทำโดยพลการ เพราะถ้ายังล่อกำลังพลของประมุขชิงกับประมุขพุทธะออกไปไม่ได้ แล้วชิงเยว่ตัดสินใจลงมือเอง ก็จะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่กำลังพลสองฝ่ายร่วมมือกันแน่นอน
ทั้งสองจำเป็นต้องยอมรับ ว่าการใช้ตาทิพย์ที่อาณาเขตดาวนิรนามแห่งนี้ ถือว่าเป็นของดีจริงๆ
เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่เถิงเฟยสงสัย “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้าไม่เห็นทัพใหญ่ที่เป็นกำลังหลักของพวกเรา ประมุขชิงจะเชื่อหรือขอรับ? ถ้าไม่เชื่อ ประมุขชิงจะไม่สนใจงานใหญ่เพื่อช่วยผู้หญิงคนเดียวเหรอ?”
หยางชิ่งขมวดคิ้วเงียบๆ ไม่มีทางตัดสินได้เช่นกัน ศึกนี้เรียกได้ว่ามาถึงขั้นที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของประมุขชิงแล้วจริงๆ ยากจะยืนยันได้ว่าประมุขชิงจะทำอย่างนี้หรือไม่
“ถ้าไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้ยังไง เรื่องบนสนามรบมีแต่ต้องเริ่มลงมือเท่านั้นถึงจะหาโอกาสรุกโจมตีได้ ถ้าคุมเชิงกันต่อไปอย่างนี้ตลอด ก็ยากมากกว่าจะเจอช่องโหว่ให้ลงมือ” เหมียวอี้กล่าว
เถิงเฟยเตือนว่า “ฝ่าบาท ต่อให้กำลังพลของชิงและพุทธะตามมา แต่ถึงยังไงในมือถือก่วงลิ่งกงก็มีทัพใหญ่สามร้อยล้าน ภายในเวลาสั้นๆ นี้ชิงเยว่อาจจะโจมตีไม่สำเร็จ ถ้าชิงและพุทธะพบว่าติดกับดัก แล้วกลับมาช่วยก็น่าจะทัน”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “กลัวก็แต่พวกเขาจะไม่มา ขอเพียงพวกเขามา เจิ้นย่อมมีวิธีช่วยให้ชิงเยว่จบงานทางฝั่งก่วงลิ่งกงโดยเร็วที่สุดอยู่แล้ว”
หยางชิ่งกับเถิงเฟยมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ในเมื่อพูดอย่างนี้แล้ว เช่นนั้นพวกเขายังจะพูดอะไรได้อีก
เพียงแต่หยางชิ่งก็ยังเตือนว่า “ฝ่าบาท ถ้าแทรกไปดักโดยตรงเกรงว่าอีกฝ่ายจะเห็น ก่วงลิ่งกงกับชิงและพุทธะน่าจะทิ้งสายลับเอาไว้ระหว่างทาง ตอนที่แทรกเข้าไปก็รับประกันไม่ได้ว่าจะไม่ถูกสายลับของอีกฝ่ายพบ ถ้าใช้ตาทิพย์ได้ ไม่สู้อ้อมทางสักหน่อยดีกว่า ขอเพียงดักได้บนทางผ่านที่เหมาะสมก็พอแล้ว”
บนสนามรบ คนที่คอยเป็นคนคิดแผนการ มักจะมีบทบาทช่วยเสริมส่วนที่ขาดของแผนการรบเสมอ
“ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล!” เหมียวอี้พยักหน้า
และในเวลานี้เอง เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ได้รับข่าวจากเหยียนซิวแล้ว หลังจากติดต่อกันเสร็จ สีหน้าก็ดูเศร้าใจกลัดกลุ้มเล็กน้อย
ตอนที่เหยียนซิวรายงานความเสียหายบนสนามรบ ก็ได้บอกสถานการณ์ที่ไม่ดีของฝั่งนั้นให้รู้ด้วย
ฉู่หยวนรบตาย อวิ๋นรั่วซวงกลายเป็นแม่หม้ายแล้ว ภาพที่อวิ๋นรั่วซวงปลอมตัวเป็นหลัวซวงเฟยปรากฏขึ้นในหัวเขาอีกครั้ง บนใบหน้ามีไฝเม็ดใหญ่ บนไฝมีขนยาว เมื่อก่อนรู้สึกว่าเป็นคนที่น่าสะอิดสะเอียน แต่ตอนนี้บอกไม่ถูกก็รู้สึกอย่างไร นางมีดวงตาโตสดใสที่ยิ้มแล้วกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว
จ้าวเฟยรบตาย อูเมิ่งหลันกลายเป็นแม่หม้ายแล้ว เย่ซินรบตาย ถานเล่าโดดเดี่ยวเดียวดาย เหวินฟางบาดเจ็บสาหัส…แต่ละคนที่ไม่ได้คิดถึงนานแล้ว ตอนนี้ภาพของทุกคนเริ่มชัดเจนอยู่ในหัว นึกถึงเหตุการณ์ตอนปราบจราจลทะเลดาวนักษัตร จ้าวเฟย ซือคงอู๋เว่ยร่วมเป็นร่วมตายกับเขามาตลอด เมื่อการปราบจราจลจบลง เพื่อที่จะล้างแค้นให้ผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งสองก็เลือกสถานที่ที่มีปัจจัยไม่ดีเป็นเพื่อนเขา สามคนรวมกลุ่มกันเป็นเหล็กสามเหลี่ยมที่พึ่งพากันและกัน ตอนหลังซือคงอู๋เว่ยมีผู้หญิงแล้ว ทั้งสามจึงแยกย้ายกันไปมีอนาคตของตัวเอ
จำได้ว่าตอนที่จ้าวเฟยกับอูเมิ่งหลันได้อยู่ด้วยกัน เขาก็เป็นพ่อสื่อคอยประสานให้สำเร็จ
เย่ซินมีใจให้กู่ซานเจิ้ง แต่กู่ซานเจิ้งไม่อยากทำให้สำนักผิดหวัง ได้แต่ทำให้เย่ซินผิดหวัง เย่ซินจึงเลือกถานเล่าที่มีใจให้นางมาตลอด ทั้งสองต้องการจะแหกกฎสำนักเพื่ออยู่ด้วยกัน ก็เคยขอให้เขาช่วยเหลือเช่นกันตอนนี้เย่ซินตายแล้ว ถานเล่าอาจจะเศร้าโศกทุกข์ใจ แต่ไม่รู้ว่ากู่ซานเจิ้งจะรู้สึกอย่างไรบ้าง?
ทั้งยังมีเหวินฟางที่พยายามต่อสู้เพื่ออนาคตที่สมาคมร้านค้า ผู้หญิงที่ยอมหน้าด้านหน้าทนเรียกตนว่าพี่ใหญ่…
เรื่องที่ไม่ได้นึกถึงมานานแล้ว จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ทุกอย่าง
ทว่าตรงหน้ายังมีเรื่องที่สำคัญกว่า เหมียวอี้แววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ พยายามทิ้งอารมณ์ฟุ้งซ่านพวกนี้ไว้ข้างหลัง
จะว่าเขาไร้ไมตรีก็ได้ จะว่าเขาไร้คุณธรรมก็ได้ หรือจะบอกว่าเขาทำให้พวกนั้นต้องตายก็ได้ แต่ศึกนี้มีคนตายเยอะเกินไป ศึกตัดสินที่แท้จริงยังรออยู่ตอนหลัง ยังจะมีคนตายเยอะกว่านี้อีก เขามีแต่ต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น ถึงจะตอบแทนคนที่ยังอยู่และคนที่ตายไปได้ ไม่อย่างนั้นคนที่ยังอยู่ก็ไม่มีทางได้ใช้ชีวิตดีๆ ต่อไป ส่วนคนที่ตายไปก็ตายเปล่า…
ในกระเป๋าสัตว์ อวิ๋นจือชิวเศร้าสลดหดหู่ เพิ่งจะรู้ข่าวว่าหลันโฮ่วรบตาย จู่ๆ ก็ได้ข่าวว่าฉู่หยวนรบตายอีก นางไม่รู้ว่าควรจะไปเผชิญหน้ากับอวิ๋นรั่วซวงอย่างไร ผู้ชายของนางกำลังต่อสู้กับวีรบุรุษในใต้หล้า แต่กลับทำให้น้องสาวกลายเป็นหม้าย…
ขณะคำนวณความเร็วในการเดินทางของอีกฝ่าย ก่อนที่กลุ่มของเหมียวอี้จะอ้อมออกจากอาณาเขตดาวนิรนาม ก็ได้วางกับดักไว้บนทางที่อีกฝ่ายต้องผ่านไว้เรียบร้อยแล้ว ตาทิพย์กำลังมองกลุ่มของโพ่จวินบุกเข้ามา
ตามที่เหมียวอี้ออกคำสั่ง กำลังพลหลายสิบล้านโผล่ออกมา ขวางอยู่ตรงหน้ากลุ่มของโพ่จวิน
โพ่จวินรีบโบกมือสั่งให้หยุด แล้วรีบมองไปรอบๆ เห็นเพียงกำลังพลหลายสิบล้านกำลังล้อมเข้ามาจากทั่วทุกทิศ
กำลังพลของโพ่จวินรีบเผยกำลังพลเพิ่ม กองทัพองครักษ์สิบล้านล้อมพิทักษ์พวกโพ่จวินไว้ตรงกลาง
ประมุขชิงให้กำลังพลคุ้มกันส่งมาเพียงสิบล้านเท่านั้น เป็นเพราะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าทัพใหญ่ที่เป็นกำลังหลักของทั้งสองฝ่ายอยู่ตรงไหน ตามหลักแล้วกองทัพองครักษ์สิบล้านก็เพียงพอที่จะรับประกันความปลอดภัยตลอดทาง นึกไม่ถึงจริงๆ ว่ายังมีคนพุ่งเป้าหมายมาลงมือกับขบวนนี้
และกองทัพองครักษ์สิบล้านนี้ก็ไม่ได้จะส่งโพ่จวินไปจนถึงจุดหมายปลายทาง แค่จะส่งไปที่อาณาเขตดาวนิรนามแล้วก็ถอนกำลังกลับมา เส้นทางสุดท้ายก่อนจะไปถึงเป็นความลับสุดยอด ไม่มีทางให้คนรู้เยอะเกินไป
“โพ่จวิน ไม่ได้เจอกันนาน คิดถึงมากเลย!” เหมียวอี้เผยตัวทักทายอยู่กลางทัพใหญ่
“โจรกบฏ!” โพ่จวินโบกมือชี้ด่าอย่างโมโห “ถ้ารู้ตั้งแต่แรกในปีนั้นข้าไม่ควรปกป้องเจ้า เลยต้องเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้แบบนี้!”
“ประมุขชิงไม่ได้ใจคน คนในใต้หล้าล้วนอยากฆ่าเขา เจิ้นคือผู้ที่มาแทนที่ คือเจตจำนงร่วมของฝูงชน! คุณธรรมและเมตตาธรรมของผู้บัญชาการซ้าย เจิ้นตราตรึงอยู่ในใจ ยินดีให้ทางรอดชีวิตแก่เจ้า ขอเพียงเจ้าออกคำสั่งให้ทหารสวามิภักดิ์ เจิ้นรับประกันว่าจะไม่ทำร้ายเจ้าแม้แต่น้อย รับประกันว่าเจ้าจะไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นอยู่ไปทั้งชีวิต!” เหมียวอี้กล่าว
“โจรกบฏบังอาจเรียกแทนตัวเองว่าเจิ้น[1] หน้าด้านไร้ยางอายที่สุด ยิงธนู!” โพ่จวินออกคำสั่ง รอบข้างมีลำแสงนับไม่ถ้วนยิงออกมา
ทัพใหญ่ที่ล้อมอยู่รอบๆ รีบยกโล่ขึ้นมาบัง ภายใต้การบัญชาการของเถิงเฟย พวกเขาก็โจมตีแล้วเช่นกัน
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว นึกไม่ถึงว่าเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ โพ่จวินยังกล้าไม่สนใจทุกอย่างแล้วรุกโจมตี เห็นอยู่ชัดเจนว่าไม่มีโอกาสชนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่คิดถ่วงเวลารอกองหนุนเลย รนหาที่ตายจริงๆ สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับแผนของเขา จึงถ่ายทอดเสียงบ่เถิงเฟยว่า “พยายามถ่วงเวลาไว้”
เถิงเฟยพยักหน้า เข้าใจเจตนาของเขา ทำแบบนี้ก็เพราะต้องการล่อให้ทัพใหญ่ของชิงและพุทธะตามมา เพียงแต่การทำอย่างนี้ ศึกที่สามารถรบให้จบเร็วๆ ได้ แต่ดันถ่วงเวลาไว้ ฝั่งนี้จะต้องเสียกำลังพลจำนวนมากอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่มีทางเลือก ถ้าไม่เสียสละ ศึกใหญ่ที่จะตามมาทีหลังก็จะมีการสูญเสียมากกว่านี้ จะเสียผลประโยชน์มากเพื่อผลประโยชน์น้อยไม่ได้
แต่ยามเผชิญหน้ากับกองทัพฝ่ายศัตรูที่มีมากกว่าตัวเองหลายสิบเท่า โพ่จวินรู้เช่นกันว่าตกอยู่ในสภาพลำบากขนาดนี้ ไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย
หลังจากเขาสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีรุกโจมตี ก็เรียกจ้านหรูอี้และครอบครัวออกมาทันที
ทำกลางเสียงระเบิดดังตูมตาม จ้านผิงและครอบครัวมองไปรอบๆ รู้สึกตกใจไม่น้อย
ท่ามกลางการล้อมพิทักษ์ของทัพกลาง โพ่จวินกลับกุมหมัดคารวะโค้งกายต่อจ้านหรูอี้ ดูเคารพนอบน้อมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กล่าวเสียงต่ำว่า “เหนียงเหนียง พวกเราตกหลุมพรางโจรกบฏหนิวแล้ว ฝ่ายศัตรูมีเยอะกว่า ไม่มีโอกาสชนะเลย! ดูจากลักษณะโจมตีของอีกฝ่าย ไม่ได้มีเจตนาจะโจมตีโดยตรง เห็นได้ชัดว่ากำลังถ่วงเวลา ในนั้นจะต้องมีแผนชั่วแน่นอน คาดว่าคงล่อให้ฝ่าบาทมาช่วย พวกเราจะปล่อยให้โจรกบฏหนิวทำสำเร็จไม่ได้เด็ดขาด เพื่อไม่ให้เกิดภัยต่อฝ่าบาท และเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เหนียงเหนียงได้รับความอัปยศ จะให้เหนียงเหนียงตกอยู่ในมือโจรกบฏหนิวไม่ได้เด็ดขาด ข้าน้อยทำภารกิจสำคัญของฝ่าบาทไม่สำเร็จ ทำผิดต่อเหนียงเหนียง เหนียงเหนียงโปรดนำไปก่อน แล้วข้าน้อยจะตามไปทีหลัง!”
จ้านหรูอี้เข้าวังมาหลายปี รวมทั้งก่อนหน้านี้ตอนอยู่ต่อหน้าประมุขชิง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินโพ่จวินเรียกตัวเองว่าเหนียงเหนียงอย่างเป็นทางการ
และเมื่อโพ่จวินพูดจบ ก็โบกดาบใหญ่ในมือขึ้นมา กำลังพลที่อยู่ในทัพกลางเปลี่ยนทิศทางหันอาวุธทันที มาล้อมคนในครอบครัวนี้ไว้
สมาชิกในครอบครัวตกใจมาก นี่กำลังจะฆ่าพวกเขาชัดๆ!
หยินซวง ไป๋เสวี่ยตกใจจนตัวสั่นหน้าซีด
จ้านผิงตกใจมาก ตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด “โพ่จวินโจรเฒ่า เจ้าบังอาจ!”
“เรื่องที่ตกอยู่ในมือโจรกบฏหนิวแล้วโดนหยามเกียรติน่ะ ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน!” จ้านหรูอี้กล่าวเสียงเรียบ สีหน้าท่าทางเยือกเย็นเป็นพิเศษ คว้าทวนด้ามหนึ่งมาไว้ในมือ ชี้ไปที่โพ่จวิน “ข้าจะตายเพราะรบเท่านั้น ตายด้วยน้ำมือคนของตัวเองไม่ได้ ยิ่งตายด้วยน้ำมือเจ้าไม่ได้ด้วย อย่าสบประมาทข้า และอย่าสบประมาทฝ่าบาทด้วย!”
…………………………
[1] เจิ้น 朕สรรพนามเรียกแทนตัวเองของพระราชา

จวนตระกูลเซิง ในศาลากลางน้ำ ในเตาข้างกู่เจิงหลังหนึ่งมีควันสีเขียวลอยขึ้นมา เซิงมู่เสวี่ยกำลังยืนพิงระเบียงอยู่นอกศาลา กำลังให้อาหารปลา

 ลูกๆ ล่ะ?  โค่วอวี้รีบเดินออกมาจากทางเดิน คว้าแขนเซิงมู่เสวี่ยและถามด้วยสีหน้าหวาดกลัว ใบหน้างามดุจพระจันทร์เหี่ยวแห้งลงเยอะมาก

จะไม่เหี่ยวแห้งได้อย่างไร นอกจากนางแล้ว คนของตระกูลโค่วก็ตายหมด เศร้าสลดหรือไม่ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ตอนนี้สิ่งที่มีมากกว่านั้นคือความหวาดกลัว ตอนที่ตระกูลโค่วยังอยู่นั้นมีอำนาจสูงระฟ้า แต่ตอนมีอำนาจสูงก็หมายความว่าได้ล่วงเกินคนไว้ทั่ว ตอนที่ตระกูลโค่วยังไม่ล้ม ก็ย่อมไม่มีใครกล้าแตะต้องนาง แต่เมื่อตระกูลโค่วล้มแล้ว แค่คิดก็รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าสุดท้ายใครจะได้ครองใต้หล้า ฝั่งนี้ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้มีจุดจบที่ดี เป็นเพราะนางคือลูกสาวของโค่วหลิงซวี ตอนที่ร่ำรวยก็เป็นเพราะนางเป็นลูกสาวของโค่วหลิงซวี

เดิมที ตระกูลโค่วก็เรียกรวมฝั่งนี้แล้วเช่นกัน แต่เซิงมู่เสวี่ยหาข้ออ้างว่าไม่สบายแล้วปฏิเสธ นี่คือข้ออ้างที่เซิงมู่เสวี่ยใช้มาตลอดเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ตระกูลโค่วก็ชินแล้ว จึงตามใจฝั่งนี้และเช่นกัน อย่างไรเสียเซิงมู่เสวี่ยก็ทำตัวอย่างนี้มาตลอด เรื่องสุรานารี เรื่องกินดื่มหาความบันเทิงก็มาหาข้าได้ แต่ถ้าจะให้ทำอะไรที่เป็นการเป็นงานก็จะปฏิเสธทันที เรื่องรบราฆ่าฟันก็ยิ่งอย่ามาหาข้า เหตุผลก็คือเห็นเลือดไม่ได้ ไม่ว่าคนอื่นจะหัวเราะเยาะหรือไม่ อย่างไรเสียเขาก็ไม่เข้าร่วมเรื่องงานจริงจังอะไรทั้งนั้น ไม่ผูกความแค้นกับใคร แต่เรื่องใช้เงินช่วยเหลือคนอื่น เรื่องที่สังคมยกย่องกลับทำไม่ขาด มีสมบัติมากพอที่จะทำตัวเป็นคนรวยที่ว่างงานได้

ทว่าผลที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เกินกว่าที่ฝั่งนี้คาดเดาไว้มาก ทัพเหนือรบแพ้ ตระกูลโค่วถูกฆ่าทั้งตระกูล!

ต่อให้เซิงมู่เสวี่ยจะนึกไม่ถึงว่าตระกูลโค่วที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคจะล้มเร็วขนาดนี้ เร็วจะทำให้คนทำใจเชื่อได้ยาก ตระกูลโค่วหายไปอย่างนี้แล้วเหรอ?

พอตระกูลโค่วล้ม ก็ทำให้ฝั่งนี้ตกอยู่ในวิกฤตใหญ่หลวงทันที ความโชคดีในความโชคร้ายก็คือไม่ได้ไปกับตระกูลโค่วด้วย ทำให้ตระกูลเซิงพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ อย่างน้อยก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้ชั่วคราว ไม่อย่างนั้นคงจะต้องลงหลุมศพไปพร้อมกับตระกูลโค่วแล้วจริงๆ

เซิงมู่เสวี่ยปัดอาหารที่เหลือออกจากฝ่ามือ แล้วหันตัวมาจ้องโค่วอวี้พักหนึ่ง ก่อนจะบอกว่า  พวกลูกๆ น่ะ ข้าให้ท่านอาซุนพาไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัยแล้ว เจ้าวางใจได้ ไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก 

พอได้ยินแบบนี้ โค่วอวี้ก็โล่งอก คว้าแขนเขาแล้วถามอย่างร้อนรน  เช่นนั้นพวกเราก็รีบไปด้วยสิ? ทำไมยังไม่ไปอีก? 

เซิงมู่เสวี่ยส่ายหน้า  พวกเราไปไม่ได้ ถ้าพวกเราไปเมื่อไหร่ ก็จะกลายเป็นนักโทษหลบหนีทันที พวกลูกๆ ก็จะกลายเป็นนักโทษหลบหนีด้วย ถ้าจะซ่อนตัวไปตลอดชีวิตก็ไม่ใช่วิธีการที่ดี ที่ส่งลูกๆ ไปก่อนก็เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด พวกเราต้องอยู่ที่นี่ก่อน! 

โค่วอวี้น้ำตาไหลพราก กล่าวเสียงสะอื้นว่า  มู่เสวี่ย ข้าขอโทษ ข้าทำให้เจ้าพลอยลำบากไปด้วย  นางเงยหน้าขึ้นมา  เอาอย่างนี้ดีไหม ไม่ว่าตอนสุดท้ายใครจะได้ครองใต้หล้า เจ้าเป็นฝ่ายส่งตัวข้าให้พวกเขาก่อน 

เซิงมู่เสวี่ยยกมือขึ้นปิดริมฝีปากนาง  เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน พูดอะไรแบบนี้เกินไปแล้ว ข้าขอถามเจ้าคำเดียว หลายปีมานี้ที่เจ้าแต่งงานกับข้า เจ้ามีความสุขหรือเปล่า? 

โค่วอวี้พยักหน้า  มีความสุข ที่มากกว่านั้นคือความสงบสุข ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ถ้าเก็บข้าไว้ก็จะกลายเป็นความขัดแย้ง… 

เซิงมู่เสวี่ยยิ้มบางๆ แล้วแกล้งบีบริมฝีปากนาง  ไม่ต้องคิดมากแล้ว! ลืมตระกูลโค่วเสียเถิด ต่อให้ลืมไม่ลง แต่หลังจากนี้ไปก็ไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้ว ตระกูลโค่วกลายเป็นอดีตไปแล้ว ถ้ายังมัวไปคิดว่ามีหรือไม่มีก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว ใช้ชีวิตต่อไปให้ดีนั้นดีกว่าอะไรทั้งนั้น เจ้าแค่ต้องจำไว้ว่า แต่งกับไก่ตามไก่แต่งกับสุนัขตามสุนัข ตั้งแต่นี้ไป เจ้าคือนายหญิงของตระกูลเซิง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลโค่วอีก เรื่องอื่นจะไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าจัดการเอง เข้าใจหรือยัง?  ในดวงตาที่จ้องนางฉายแววลึกซึ้ง ลึกล้ำ

โค่วอวี้พยักหน้า แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม

เซิงมู่เสวี่ยยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้ารูปไข่ของนาง

ในตอนนี้ ซุนยงพ่อบ้านเก่าเข้ามาทำความเคารพ  นายท่าน ฮูหยิน 

เซิงมู่เสวี่ยปล่อยมือจากโค่วอวี้ หันตัวมาถามว่า  ท่านอาซุน อพยพกันไปหมดแล้วใช่ไหม? 

เมื่อตระกูลโค่วล้มลง ทำให้ทุกคนของตระกูลเซิงหวาดหวั่น เห็นได้ชัดว่ารู้สึกได้ว่ามีคนไม่น้อยเกิดความคิดอยากจะหนีไปแล้ว มีคนมาโน้มน้าวให้เซิงมู่เสวี่ยหนีไปไม่ขาดสาย คนส่วนใหญ่ล้วนกลัว หลังจากเซิงมู่เสวี่ยกับซุนยงปรึกษากันแล้ว ก็ตัดสินใจแจกเงินให้อพยพไป ถ้าใครยินดีที่จะไปก็จะมอบทรัพย์สินส่วนหนึ่งให้ ฝั่งนี้ไม่บังคับให้อยู่ ส่วนใครที่ไม่อยากไปก็อยู่ต่อไปได้

ซุนยงถอนหายใจ  บ่าวรับใช้ในบ้านเหลืออยู่สิบกว่าคนเท่านั้น ทหารอารักขายังมีอยู่ประมาณสามสิบคน ล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ทั้งนั้น คนอื่นๆ ไปหมดแล้ว กิจการบางส่วนด้านนอก มีคนไม่น้อยหอบข้าวของหนีไป ตอนนี้พวกเราก็ไร้ความสามารถที่จะเอาเรื่องเช่นกัน 

โค่วอวี้ก้มหน้าอย่างหดหู่ใจ ตระกูลใหญ่ร่ำรวยที่มีบ่าวไพร่และทหารอารักขานับหมื่น ชั่วพริบตาเดียวก็เหลืออยู่ไม่ถึงร้อยคนแล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งใดเรียกว่า เมื่อประสบความยากลำบากก็ต่างคนต่างบินหนี

 ไม่มีอะไรน่าเอาเรื่องหรอก คิดเสียว่าเสียเงินฟาดเคราะห์ก็แล้วกัน ในเวลานี้ถ้าเก็บทรัพย์สินไว้ในมือมากเกินไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดี ถึงยังไงก็ทำงานให้ตระกูลเซิงมาหลายปีขนาดนั้น ครั้งนี้นับว่าพวกเราทำให้พวกเขาลำบากไปด้วย ขอแค่ไม่ด่าข้าก็พอ เก็บทรัพย์สินเอาไว้เดินทางกับตั้งตัวในภายหลังก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ปล่อยพวกเขาไปเถอะ  เซิงมู่เสวี่ยโบกมืออย่างใจกว้าง ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปเท่านี้ แล้วบอกอีกว่า ท่านอาซุน บอกคนที่ยังอยู่ด้วย ว่าถ้ามีคนมาหาเรื่อง ก็ไม่ต้องขัดขวาง ให้ปล่อยเข้ามาพบข้าได้เลย! 

 ขอรับ!  ซุนยงเพิ่งจะเอ่ยรับ ด้านนอกก็มีเสียงเอะอะโวยวาย ทหารอารักขาที่อายุมากคนหนึ่งถลันเหาะมาเหยียบลงตรงหน้าทั้งสาม รายงานด่วนว่า  นายท่าน กำลังพลกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามา ไม่ได้มาดี ทำยังไงดีขอรับ? 

เซิงมู่เสวี่ยแววตาวูบไหว หันตัวเดินก้าวยาวไปในศาลา สะบัดชายเสื้อนั่งลง นั่งขัดสมาธิลงข้างกู่ฉิน สองมือดีดขึ้นลงบนสายกู่ฉิน เสียงเพลงอันไพเราะนุ่มนวลดังออกมา สีหน้าท่าทางดูผ่อนคลายสุขุม ชำเลืองมองโค่วอวี้ที่ตกใจกลัวเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า  ฮูหยิน มาเติมธูปหอมสักหน่อย! 

ในเวลานี้โค่วอวี้วิตกกังวล ควบคุมความคิดตัวเองไม่ได้แล้ว เซิงมู่เสวี่ยบอกอะไรนางก็เชื่ออย่างนั้น เดินเข้ามาอย่างเชื่อฟัง นั่งคุกเข่าลงข้างกู่ฉิน เปิดฝาเตาและตลับเครื่องหอม เติมธูปหอมเข้าไปในเตาแล้ว

 จะดีจะร้ายฮูหยินก็มีพื้นเพมาจากจวนท่านอ๋อง มีใครบ้างที่ไม่เคยพบ ก็แค่ทหารไร้ระเบียบกลุ่มหนึ่งก็เท่านั้นเอง ทำไมต้องกระวนกระวายด้วยล่ะ?  เซิงมู่เสวี่ยที่กำลังดีดฉินพูดหยอกด้วยรอยยิ้มเรียบๆ

เมื่อเห็นเขาจิตใจสงบเยือกเย็นขนาดนี้ โค่วอวี้ที่หวาดระแวงกลัวก็รู้สึกปลอดภัยเพราะมีที่พึ่งบ้างแล้ว พยายามควบคุมให้ตัวเองใจเย็นเช่นกัน

ในขณะนี้เอง กำลังพลกลุ่มใหญ่ก็พุ่งเข้ามา

สมาชิกคนหนึ่งกวาดสายตามองไปทั่วเพื่อเตรียมจะฉวยโอกาสปล้น สายตามองไปเห็นเซิงมู่เสวี่ยกับฮูหยินมีท่าทางไม่สะทกสะท้าน ดูมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม จึงไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วโดยตรง ตะโกนถามว่า  ใช่พวกเขาหรือเปล่า? 

สตรีวัยกลางคนที่หดหัวหวาดกลัวเดินออกมาจากข้างหลังกลุ่มคน ชี้ไปที่เซิงมู่เสวี่ยกับโค่วอ  พวกเขาก็คือลูกเขยและลูกสาวของโค่วหลิงซวี 

ซุนยงช่องสตรีวัยกลางคนด้วยสายตาเยียบเย็น นี่คือบ่าวรับใช้ของจวนตระกูลเซิง เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้เพิ่งจะรับเงินแล้วย้ายออกจากที่นี่ไป

จากบทสนทนาของทั้งสองฝ่าย ก็ฟังออกว่ากำลังพลกลุ่มนี้ไม่รู้จักเซิงมู่เสวี่ยกับโค่วอวี้เลย ต้องไม่ใช่คนของอาณาเขตดาวผืนนี้แน่นอน มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าผู้หญิงคนนี้จะแจ้งไป

เสียงกู่ฉินเงียบลงกะทันหัน เซิงมู่เสวี่ยเก็บแขนเสื้อสองข้างอย่างสง่างามมาก จ้องแม่ทัพหลักพลางยิ้มตาหยีอย่างสนใจ  เจ้าเป็นกำลังพลของหน่วยใด? 

แม่ทัพหลักแสยะยิ้ม  กำลังพลมือปราบของทัพใต้ ยอมให้จับแต่โดยดีเดี๋ยวนี้ บางทีอาจจะยังมีทางรอด  ความเยือกเย็นสุขุมของฝ่ายตรงข้ามทำให้เขาเริ่มไม่มีความมั่นใจ ยังถือว่าพูดจาสุภาพอยู่บ้าง

 อ้อ กำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อ บังเอิญแล้ว  เซิงมู่เสวี่ยพลิกมือหยิบแผ่นหยกขึ้นมาแผ่นหนึ่ง ส่งให้ซุนยง บอกใบ้ว่าให้นำให้อีกฝ่ายอ่าน  เพิ่งไม่นานก่อนหน้านี้ หนิวโหย่วเต๋อเดี๋ยวให้คนส่งจดหมายลายมือมาให้ข้า ข้ากำลังคิดอยู่เลยว่าจะตอบยังไง รบกวนชี้แนะสักหน่อย 

แม่ทัพหลักคนนั้นอึ้งทันที พอรับแผ่นหยกมาอ่าน ก็พบว่าเนื้อหาในนั้นเป็นเพียงการทักทายนิดหน่อย ลงชื่อของฝ่าบาทเอาไว้จริงๆ ส่วนตราอิทธิฤทธิ์นั้นใช่ของฝ่าบาทหรือไม่เขาก็ไม่รู้

ความมั่นใจของอีกฝ่ายบวกกับจดหมายฉบับนี้ ทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม จึงรีบหยิบระฆังดาราขึ้นมาตรวจสอบกับเบื้องบน

ข้อมูลถูกตรวจสอบขึ้นไปทีละชั้นจนถึงเหมียวอี้ เหมียวอี้ย่อมรู้ว่าช่วงนี้ไม่ได้เขียนจดหมายอะไรให้อีกฝ่าย เมื่อรู้ว่าเซิงมู่เสวี่ยยังอยู่ที่จวนนั้นไม่ได้หนีไปไหน เห็นอยู่ชัดๆ ว่าสามารถติดต่อเขาได้โดยตรง แต่ก็ไม่ร้องขอความช่วยเหลือ แต่กลับใช้วิธีการนี้ นี่กำลังเล่นลูกไม้อะไร?

ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะมาครุ่นคิดเรื่องนี้ แต่ท่าทีของเซิงมู่เสวี่ยก็ชัดเจนมาก ไม่ยอมไปไหน ยังอยู่รอให้จัดการที่นั่น ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็ยังมีอยู่ เหมียวอี้ตอบกลับไปว่า ไม่ต้องทำให้อีกฝ่ายลำบาก!

เมื่อแม่ทัพหลักได้รับข้อมูลจากเบื้องบนมาแล้ว ก็ตกใจแทบเหงื่อแตก ใช้สองมือคืนแผ่นหยกให้อย่างสุภาพ  ข้าน้อยยังมีกิจธุระต้องทำ รบกวนแล้ว ขอตัวก่อน!  จากนั้นก็เตะผู้หญิงคนนั้นคว่ำลงกับพื้น แล้วโบกมือเรียกกำลังพลให้รีบถอยกลับ

โค่วอวี้ชำเลืองเซิงมู่เสวี่ยเงียบๆ ไม่รู้ว่าช่วงนี้หนิวโหย่วเต๋อส่งจดหมายมาเมื่อไหร่

เรือนพักขนาดใหญ่กลับมาสงบเงียบอีกครั้ง มีเพียงเสียงของผู้หญิงคนนั้นที่คุกเข่าขอร้อง

เซิงมู่เสวี่ยมองตรง ใช้มือดีดสายกู่ฉินพร้อมบอกว่า  อุตส่าห์หวังดีมอบทรัพย์สินให้เจ้าย้ายออกไป แต่เจ้ากลับ…คิดว่าข้าเป็นรูปปั้นพระโพธิสัตว์ดินเหนียวที่จะกลั่นแกล้งเมื่อไหร่ก็ได้งั้นหรอ? ถ้าไม่อยากผูกความแค้นกับเจ้า แต่สิ่งที่เจ้าทำในวันนี้ ต่อให้ข้าปล่อยเจ้าไป แต่ในใจเจ้าจะต้องเคียดแค้นข้าแน่นอน 

พอพูดจบ ซุนยงก็ส่งสายตาให้ทหารอารักขาเฒ่าคนนั้น ทหารอารักขาคนนั้นบีบหลังคอนางลากออกไปโดยตรง ผ่านไปครู่เดียว ก็มีเสียงร้องโอดครวญของผู้หญิงดังมา

ตรงนี้เพิ่งจะได้สงบลง ในจวนก็มีคนหันไปมองตรงทิศทางหนึ่งพร้อมกัน ตรงจุดไกลๆ มีเสียงต่อสู้ดุเดือดดังแว่วมา

ผ่านไปไม่นาน ก็มีทหารอารักขามารายงานว่า  นายท่าน คนกลุ่มเมื่อครู่นี้เจอกับคนอีกกลุ่มนึง ถูกโจมตีจนหนีกระจัดกระจายไปแล้ว คนอีกกลุ่มหนึ่งมันจะพุ่งเป้ามาที่พวกเรา 

เซิงมู่เสวี่ยยิ้มเจื่อน หันกลับมาบอกโค่วอวี้ว่า  ดีดกู่ฉินต่อไป  แล้วก็หันตัวเดินกลับเข้าไปนั่งข้างกู่ฉินในศาลา เสียงเพลงดังขึ้นอีกครั้ง

เหตุการณ์แทบจะเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เพียงแต่ครั้งนี้ขาดคนรายงาน ผู้ที่มาคือกองทัพองครักษ์กับคนของหน่วยตรวจการขวา

เซิงมู่เสวี่ยยื่นจดหมายที่โพ่จวินส่งมาให้ในช่วงนี้ อาศัยวิธีการนี้ไล่ให้คนที่เตรียมจะมาซ้ำเติมไปได้อีกชุด

รอจนกระทั่งคนถอยไปแล้ว โค่วอวี้ก็ถามอย่างประหลาดใจอีกว่า  เป็นจดหมายของโพ่จวินจริงเหรอ? 

ก่อนหน้านี้บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อ นางก็ฝืนใจเชื่อแล้ว แต่ทำไมบังเอิญขนาดนี้ โพ่จวินเพิ่งจะส่งจดหมายมาอีกแล้วเหรอ?

เซิงมู่เสวี่ยส่ายหน้าเบาๆ จดหมายของโพ่จวินคงไม่หลุดออกไปข้างนอกง่ายๆ เขาเองก็อาศัยว่าตอนบิดายังมีชีวิตอยู่รู้จักกับโพ่จวิน ใช้ฐานะของผู้น้อยไปทักทายในระยะยาว ตอนหลังโพ่จวินเห็นว่าเขาไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไร และไม่ได้ส่งของขวัญอะไรด้วย แล้วไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ใดๆ มาทักทายในฐานะคนรุ่นหลังล้วนๆ เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ โพ่จวินก็ตอบกลับจดหมายของเขาตามมารยาท เนื้อหาในจดหมายก็คือให้เขาประพฤติตนให้เหมาะสม

ส่วนหนิวโหย่วเต๋อ จดหมายที่ส่งหากันไม่ได้มีแค่ฉบับเดียว จดหมายที่รับส่งกับบุคคลสำคัญของอำนาจฝ่ายต่างๆ แบบนี้เขาล้วนเก็บสะสมไว้ จดหมายเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญก็คือเขาล้วนมีความสัมพันธ์อันดีกับคนที่รับส่งจดหมายด้วย มีหลายคนที่ยามประสบกับความลำบาก ยกตัวอย่างเช่นตอนที่เหมียวอี้ถูกตระกูลโค่วเมินเฉย เขาก็ยังสวนกระแสกับตระกูลโค่วและเป็นฝ่ายไปมาหาสู่ก่อน ด้วยเหตุนี้ ยามถึงช่วงเวลาสำคัญ แม้คนที่เขาคบค้าด้วยจะไม่เห็นแก่หน้าตระกูลโค่ว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกลั่นแกล้งเขา ยังเห็นแก่ไมตรีอยู่บ้าง

หลังจากเขาเล่าให้ฟังคร่าวๆ โค่วอวี้ก็ถามอย่างกังวลอีก  ช่วยให้ผ่านไปได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว แล้วในภายหลังจะทำยังไงอีก? 

 ผ่านไปได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราวก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้ยังเห็นแก่ไมตรีเล็กน้อย หลังจากได้ขึ้นสู่ตำแหน่งแล้ว ก็ย่อมแสดงท่าทีของผู้ชนะ จำเป็นต้องกลั่นแกล้งสหายให้คนอื่นเห็นด้วยเหรอ? ที่ตอนนี้ไม่ไปขอร้องพวกเขา ก็เพราะยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะหรือฝ่ายแพ้ เดิมพันไปทั่วไม่ใช่เรื่องดีอะไร รอให้รู้ผลแพ้ชนะก่อน ข้าจะแบกหน้าด้านๆไปหาผู้ชนะ…  เซิงมู่เสวี่ยเอามือไขว้หลังถอนหายใจเบาๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความจนใจ เขาเองก็กำลังระมัดระวังอยู่ท่ามกลางคลื่นที่อันตรายเช่นกัน

………………………

 

ในดาราจักร พระจำนวนหลายพันกำลังปะทะอย่างดุเดือดกับผู้เหลือรอดของลัทธิมารหลายร้อยที่ตานฉิงพามา
ผู้เหลือรอดของลัทธิมารที่อยู่ข้างนอกย่อมไม่ได้มีแค่จำนวนไม่กี่ร้อยนี้ แต่ยามปกติจะไม่มารวมตัวกันทั้งหมด ต่างก็กระจายตัวกันอยู่ตามแต่ละพื้นที่ คนที่ติดตามตานฉิงมาที่อาณาเขตดาวผืนนี้มีแค่ไม่กี่ร้อยนี้เท่านั้น
สองมือตานฉิงถือค้อนใหญ่นำคนบุกเข้าไปกลางกลุ่มพระ โบกค้อนคู่ทุบจนคนกะอักเลือดปลิวไป ไม่มีใครต้านได้
ตานฉิงกำลังฆ่าอย่างสนุก “ฮ่าๆ” ขณะที่กำลังหัวเราะลั่น จู่ๆ ข้างกายก็มีคนเตือนว่า “ขุนพลใหญ่ กองหนุนฝ่ายศัตรูมาแล้ว!”
ขณะควงค้อนทุบพระข้างกายที่หลบไม่ทันจนเลือดสาด ตานฉิงก็รีบมองไปรอบๆ เห็นเพียงกองทัพองครักษ์หลายหมื่นกำลังพุ่งมาทางนี้
กองทัพองครักษ์ของประมุขชิงส่วนใหญ่จะรวมตัวกันหมดแล้ว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ก่อนหน้านี้ไปหลบค่อนข้างไกล ยังตามกลุ่มมาไม่ทัน ถ้าเทียบกับจำนวนมหาศาลของกองทัพองครักษ์ กำลังพลที่กระจัดกระจายเป็นหย่อม ๆ ไปรวมกลุ่มกันไม่ทันพวกนี้ก็นับโดยใช้หลักหมื่นแล้ว ในเมื่อยังตามกลุ่มไปไม่ทัน ตอนหลังกำลังพลของแดนพุทธแต่ละแห่งก็เจอแรงต้านไม่ให้รวมตัวกัน กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่กระจายกันอยู่พวกนี้ก็ย่อมแสดงบทบาทแล้ว
กำลังพลกองทัพองครักษ์พุ่งมาทางฝั่งนี้ จัดวางกำลังสู้รบ นำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมาแล้ว แม่ทัพหลักตะโกนเรียกเสียงดังให้กองทัพพระที่กำลังปะทะเดือดถอนตัวออกมา
“พัวพันพวกเขาเอาไว้!” ตานฉิงที่มองออกว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรตะโกนเสียงดังทันที ถ้าให้กองทัพพระพวกนี้ถอนตัวไป คนจำนวนไม่กี่ร้อยอย่างพวกเขาเขาจะกลายเป็นเป้าธนู แต่ดูจากการบัญชาการของเขาแล้ว เหมือนยังอยากหาโอกาสพุ่งเข้าไปในกองทัพองครักษ์ จะใช้คนจำนวนไม่กี่ร้อยสู้กับคนจำนวนหลายหมื่น
ตานฉิงบ้าระห่ำขนาดนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ยังไม่ต้องพูดถึงวรยุทธ์ของเขา แค่วรยุทธ์ของคนที่อยู่ข้างกายเขา ก็นับเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าศัตรูเยอะ และกำลังพลของอีกฝ่ายก็ไม่นับว่าเยอะมากเกินไป ถ้าสู้กันก็ยังมีโอกาสชนะ
ภายใต้การบัญชาการของเขา กำลังพลโจมตีพระที่หนีหัวซุกหัวซุนโดยตรงมีเพียงกำลังพลที่หนีไปทางกองทัพองครักษ์ที่ลงมืออย่างปราณี ฉวยโอกาสพรางตัวเข้าไปใกล้
เมื่อเห็นพวกตานฉิงปะปนอยู่กับพวกพระ ตามพระที่ถอนกำลังหนีมาทางนี้ด้วย แม่ทัพของกองทัพองครักษ์ก็มองออกแล้วว่าพวกตานฉิงมีศักยภาพไม่ธรรมดา ถ้าได้ต่อสู้ระยะใกล้กับอีกฝ่ายเมื่อไหร่ก็จะเป็นปัญหาใหญ่ ถึงแม้กองทัพพระจะเป็นพวกเดียวกัน แต่ในฐานะที่เป็นแม่ทัพหลัก บางครั้งก็ต้องพิจารณาเพื่อพี่น้องของตัวเอง
แม่ทัพหลักกัดฟัน โบกมือออกคำสั่งอย่างเด็ดเดี่ยว “เล็งโจรกบฏ ยิงธนู!”
ชั่วพริบตาเดียวลำแสงยิงเข้ามาราวกับฝนดาวตก ไม่ว่าในค่ายทัพของฝ่ายตรงข้ามจะมีคนของตัวเองหรือไม่ ไม่สนใจว่าจะยิงผิดคนหรือไม่ ฝนลูกธนูโปรยปรายเข้ามาแล้ว
“อา…”
ในกลุ่มคนที่กำลังตะลุมบอนกันมีเสียงร้องโอดครวญดังเป็นแถบทันที
จางเทียนเซี่ยวรีบยกโล่ขึ้นมาขวาง ลำแสงสายหนึ่งโจมตีให้โล่นิ้วมือนางหลุดปลิวไป จางเทียนเซี่ยวสะเทือนจนกระอักเลือด ต้นขาใหญ่ข้างหนึ่งที่ไม่มีโล่กำบังถูกยิงจนเป็นรูแล้ว เห็นฝนธนูยิงตามมาทีหลัง ตรงหน้ามีเงาคนคนหนึ่งถลำผ่านไป กลับเป็นหลันโฮ่วที่ยกโล่ขึ้นมาขวางตรงหน้านาง
โล่ที่กระโจนส่งเข้ามาถูกโจมตีจนกระเด็นออก แต่กลับช่วยต้านการโจมตีที่ถึงแก่ชีวิตให้จางเทียนเซี่ยวได้หนึ่งครั้ง ทว่าการยื่นโล่ในมือตัวเองออกมา ก็หมายความว่าตัวเองไม่มีโล่ป้องกันอยู่ตรงหน้าร่างกายแล้ว ดอกเลือดหลายดอกกระจายออกมาจากตัวหลันโฮ่ว
“ถอนกำลัง!” ตานฉิงคำรามอย่างบ้าระห่ำ รีบนำกำลังพลที่เหลือถอนตัวหนีออกไป ไม่หลบก็คงไม่ได้ อีกฝ่ายโหดเกินไปแล้ว ฆ่าได้แม้กระทั่งพวกของตัวเอง อยากจะอาศัยสิ่งนี้ต้านทานไปก็ไม่มีประโยชน์
จางเทียนเซี่ยวคว้าแขนหลันโฮ่ว ฉวยโอกาสตอนที่ฝนธนูระลอกสองยังไม่มาถึง รีบดึงหลันโฮ่วให้ถอยหนี
โชคดีที่กำลังพลกองทัพองครักษ์รู้ว่าวรยุทธ์ของคนฝั่งตัวเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้ อยากจะตามก็ตามไม่ทันอยู่ดี เมื่อเห็นกองทัพศัตรูถอยออกไป ก็ไม่ลงมือโหดกับพระพวกนั้นอีก หยุดการโจมตีแล้ว
จางเทียนเซี่ยวที่ดึงหลันโฮ่วเหาะหนีฉุกละหุกมาก รูเลือดหลายรูบนตัวหลันโฮ่วกำลังมีเลือดไหลออกมา ปากก็มีเลือดไหลออกมาเช่นกัน จางเทียนเซี่ยวนำสมุนไพรเซียนซิงหัวมายัดเข้าปากเขา
รอจนกระทั่งหาดาวเคราะห์รกร้างพักได้ชั่วคราว หลันโฮ่วที่นอนอยู่บนพื้นก็คว้าข้อมือจางเทียนเซี่ยว ส่ายหน้าในขณะที่เลือดไหลออกจากปากและจมูก บอกนางว่าไม่ต้องช่วยอีกแล้ว กำลังสื่อว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว
จางเทียนเซี่ยวที่บนขาตัวเองมีเลือดไหลโมโหแล้ว กระชากคอเสื้อเขาพร้อมตวาดอย่างโมโห “ใครใช้ให้เจ้ามาช่วยข้า!”
หลันโฮ่วร่ายอิทธิฤทธิ์บอกอย่างเปลืองแรงว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว…”
“ข้าไม่ได้ให้เจ้าช่วย ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าช่วยด้วย…” จางเทียนเซี่ยวผลักไสเขาราวกับเป็นบ้าไปแล้ว
“สิ่งที่ข้า…ติดค้างเจ้า…คืนให้เจ้าแล้ว…” หลันโฮ่วที่ถูกเขย่ากล่าวพร้อมเลือดไหลออกจากคอ ศีรษะเริ่มเอียงทีละนิ จากนั้นก็ไม่ขยับแล้ว
จางเทียนเซี่ยวรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสภาพร่างกายของเขา จากนั้นก็ต[หน้าหลันโฮ่วหนึ่งที “หนึ่งชีวิตของเจ้าคิดจะแลกกับชีวิตคนทั้งครอบครัวของข้าเหรอ? เจ้าห้ามตาย!” จากนั้นก็ตบอีกหลายครั้ง
หลันโฮ่วไม่มีปฏิกิริยาอะไรแล้ว จางเทียนเซี่ยวที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ รู้สึกหัวสมองบ้างเปล่า ใบหน้าซีดขาว หย่อนก้นนั่งลงบนพื้น มองหน้าหลันโฮ่วด้วยแววตาเหม่อลอย ในหัวเต็มไปด้วยภาพที่ทั้งสองกราบไหว้ฟ้าดินด้วยกัน…
ตานฉิงรีบเดินเข้ามา โน้มตัวตรวจร่างกายหลันโฮ่ครูหนึ่ง เขาเองก็ปวดประสาทแล้ว สองคนนี้คือคนของอวิ๋นจือชิว อวิ๋นจือชิวฝากฝังให้เขาช่วยดูแล ตอนนี้ตายไปแล้วคนหนึ่ง เขาไม่สะดวกจะชี้แจงกับอวิ๋นจือชิว…
การต่อสู้ทีเขาหลิงซานจบลงแล้ว กำลังพลส่วนหนึ่งค้นหาไปทั่ว หลงซิ่นกับเหยียนซิวรวมทั้งประมุขปราญ์หกลัทธิเจอกันที่วัดต้าเหลยอิน หลังจากปรึกษากันแล้วก็ตัดสินใจว่าจะยุติการค้นหาที่เปลืองเวลา ทัพใหญ่ที่สนามรบหลักยังต้องการคน เตรียมจะนำกำลังพลกลับไปให้เร็วที่สุด
เมื่อรายงานความเห็นขึ้นไปแล้ว เบื้องบนอนุญาตแล้ว ขอเพียงคว้าชัยชนะที่สนามรบหลักได้ คนจำนวนน้อยที่นี่ไปได้ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่ จึงรีบเก็บกวาดสนามรบ เก็บของที่ได้จากการรบลงบัญชีไว้แล้วถอนกำลังเร็วให้ที่สุด
กลุ่มคนเดินออกจากอุโบสถใหญ่ เห็นเพียงอวิ๋นเฟยหยางถลันตัวเข้ามา รายงานต่ออวิ๋นอ้าวเทียนด้วยสีหน้าหดหู่ว่า “ท่านปู่ ฉู่หยวน ผู้ชายของซวงเอ๋อร์ตายในสนามรบแล้วขอรับ!”
เขาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ เลือดที่เปื้อนบนตัวก็ไม่ต้องพูด บนตัวบาดเจ็บจนเลือดออกแล้วเช่นกัน ลูกศิษย์ของประมุขพุทธะ เวลาลงมือขึ้นมาก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน เคล็ดวิชาที่อีกฝ่ายฝึกมาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานเลย
ทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง ขอเพียงเป็นคนที่มาจากพิภพเล็ก ก็จะรู้ว่าอวิ๋นจือชิวรักอวิ๋นรั่วซวงน้องสาวคนนี้มาก
อวิ๋นอ้าวเทียนเม้มริมฝีปากแน่นไม่พูดอะไร คนตายไปมากขนาดนั้น เขาเองไม่สะดวกจะทำให้ใครดูพิเศษกว่าคนอื่นต่อหน้าคนจำนวนมาก
กลับบอกให้คนอื่นรวมทั้งเหยียนซิวไปดู เหยียนซิวต้องรู้สถานการณ์เพื่อรายงานขึ้นไปเบื้องบน แม้จะไม่รู้ว่ามีคนรบตายไปแล้วเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรน้องสาวของเหนียงเหนียงก็ไม่ใช่คนทั่วไป คงไม่ดีถ้าถามแล้วจะไม่รู้อะไรเลย และสำหรับคนอื่นๆ ตอนนี้ฐานะของอวิ๋นจือชิวก็ไม่ธรรมดาจริงๆ แค่พูดประโยคเดียวก็เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของคนมากมาย
หลงซิ่นยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ชัดเจนนะ แต่ดูจากท่าทางของคนกลุ่มนี้ ก็รู้ว่าคนที่รบตายไปคงจะไม่ธรรมดา ย่อมไม่ต้องพูดอะไรแล้ว แต่ก็ยังแอบถ่ายทอดเสียงถามเหยียนซิว พอได้ยินว่าเป็นน้องสาวที่อวิ๋นจือชิวรักที่สุด สีหน้าก็ขรึมเครียดทันที ในฐานะที่เป็นผู้ตรวจการขวาทัพอารักขา ย่อมรู้ถึงอิทธิพลที่อวิ๋นจือชิวมีต่อเหมียวอี้ จึงรีบบอกว่าจะไปดูด้วยกัน ไม่ใช่เพื่ออะไร แต่อย่างน้อยก็ต้องยืนยันตัวตนสักหน่อย
บนลานกว้าง สมาชิกจำนวนมากที่บาดเจ็บกำลังรักษาตัว บนพื้นไม่รู้ว่ามีคนนอนอยู่ตั้งเท่าไหร่ มีทั้งเจ็บหนักเจ็บเบา
ตอนที่ตามอวิ๋นเฟยหยางไปหาอวิ๋นรั่วซวง คนจำนวนไม่น้อยของตระกูลอวิ๋นก็มารวมตัวอยู่ที่นี่ ศพของฉู่หยวนนอนนิ่งสงบอยู่บนพื้น บนใบหน้าอวิ๋นรั่วซวงดูไม่ปวดใจและไม่ทุกข์ทน นางกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกายฉู่หยวน สายตาที่มองฉู่หยวนไม่ขยับไปไหน ดูเหม่อลอย กลับเป็นฉู่อวิ๋นอู๋ซวงที่หมอบร้องไห้เหมือนจะเป็นจะตายอยู่บนศพบิดา
อวิ๋นเซี่ย อวิ๋นเจวียน อวิ๋นเซียง บางคนก็ปลอบใจฉู่อวิ๋นอู๋ซวง บางคนก็อยู่เพื่อนอวิ๋นรั่วซวง อวิ๋นเซี่ยส่ายหน้าให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียน บอกใบ้ว่าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว สิ่งที่ควรพูดพวกนางก็ได้พูดไปหมดแล้ว
เหยียนซิวหันตัวออกมาจากกลุ่มคนเงียบๆ ขณะที่หันมองโดยรอบ สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่จุดหนึ่ง เห็นสหายเก่าในอดีตของเหมียวอี้แล้ว กู่ซานเจิ้งยืนค้ำกระบี่ สีหน้าด้านชาไร้อารมณ์!
ตรงหน้ากู่ซานเจิ้ง มีคนกลุ่มหนึ่งล้อมนั่งอยู่ หลังจากเหยียนซิวลองแยกแยะดู ก็เห็นว่ามีคนกำลังร้องไห้ เหมือนจะเป็นอูเมิ่งหลัน จึงเดินเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
พอสังเกตเห็นว่าเหยียนซิวมาแล้ว คนกลุ่มนี้ก็ทยอยกันยืนทำความเคารพ “นายท่าน!”
สายตาของเหยียนซิวไปหยุดอยู่ตรงอูเมิ่งหลันที่คุกเข่าไม่ยอมยืน เมื่อเห็นจ้าวเฟยที่ตายจากไปแล้ว แววตาก็วูบไหว แล้วก็เห็นศพผู้หญิงคนหนึ่งที่ไร้ศีรษะ เห็นถานเล่าที่นั่งเหม่อลอยอยู่ข้างๆ เหยียนซิวก็พอจะเดาออกแล้วว่าศพผู้หญิงที่ไร้ศีรษะคนนั้นคงจะเป็นเย่ซิน
เหยียนซิวมองหลายคนที่กำลังยืนอีกครั้ง กู่ซานเจิ้งยังมีสีหน้าเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด พอจะได้ยินความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างเย่ซิน ถานเล่าและกู่ซานเจิ้งมาบ้าง เพียงแต่เวลาผ่านไปนานมากแล้ว ถ้าไม่เห็นตัวก็คงจะไม่นึกถึง
สายตาไปหยุดอยู่บนตัวซือคงอู๋เว่ยกับเถาชิงหลีอีก สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่บนตัวหลัวผิงกับเหวินฟาง เหวินฟางใบหน้าขาวซีด แขนหายไปข้างหนึ่งแล้ว มีหลัวผิงคอยประคอง เหยียนซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกถึงอีกสถานะที่คล้ายจะจริงแต่ก็ไม่จริงของเหวินฟาง เหวินฟางพูดหยอกล้อว่าให้เหมียวอี้เป็นพี่ชายของนาง
เมื่อเห็นคนพวกนี้รวมตัวอยู่ด้วยกัน คาดว่าคงไปมาหาสู่กันที่แดนอเวจี เหยียนซิวจินตนาการได้เลย ว่าคนพวกนี้มารวมตัวกันอยู่ได้คงเป็นเพราะเหมียวอี้ เพียงแต่เหมียวอี้มีงานสำคัญรัดตัว ต่อสู้กับกลุ่มวีรบุรุษอยู่ท่ามกลางความเป็นความตายมาตลอด ไม่ได้เจอหน้าคนพวกนี้มานานแล้ว ยามปกติก็ยากมากที่จะนึกถึงคนพวกนี้ กอปรกับเหมียวอี้ปิดบังตัวตนมาเป็นเวลานาน คนที่มาจากพิภพเล็กแล้วสามารถอยู่ข้างกายเหมียวอี้ได้มีไม่เยอะ ถ้าพูดจากบางมุม เหมียวอี้ก็ไม่อยากทำให้คนพวกนี้ลำบากไปด้วยเช่นกัน หรือไม่ก็ไม่อยากให้คนนอกหาโอกาสเจาะช่องโหว่ลงมือ คนจากทะเลดาวนักษัตรที่ประมุขถิ่นสี่ทิศพามาด้วยในปีนั้นส่วนใหญ่ถูกปิดปากไปหมดแล้ว
และคนพวกนี้ก็คงไม่รู้ฐานะของเหมียวอี้ที่ตำหนักสวรรค์ ต่อให้ไปสืบมา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนรวม คนที่รู้ความจริงก็อาจจะไม่บอกพวกเขา เพียงแต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เหยียนซิวรู้ นั่นก็คือเหมียวอี้ให้หยางชิ่งดูแลคนพวกนี้ ยกตัวอย่างเช่นให้ทรัพยากรฝึกตน
เมื่อเห็นคนพวกนี้บาดเจ็บล้มตาย ในใจเหยียนซิวก็รู้สึกปลงอนิจจังอยู่บ้าง จึงตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่างเพื่อคนพวกนี้ ตอนหลังที่รายงานเรื่องของอวิ๋นรั่วซวง จึงถือโอกาสบอกเรื่องของคนพวกนี้ให้เหมียวอี้รู้ด้วย ส่วนเหมียวอี้จะพบหรือไม่พบก็เป็นเรื่องของเหมียวอี้แล้ว เขาเองก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจ แต่เขาเดาว่าตอนนี้เหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนแล้ว น่าจะมาเจอกันได้ สิ่งที่เขาช่วยได้ก็มีเพียงเท่านี้
“เดี๋ยวข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้ราชาปราชญ์รู้!” เหยียนซิวเสียงที่แหบพร่าเยียบเย็น พูดจบก็หันตัวเดินออกไป ไม่ได้เอ่ยถึงว่าราชาปราชญ์ก็คืออ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ และเป็นหนิวโหย่วเต๋อที่กำลังสู้กับประมุขชิงกับประมุขพุทธะอยู่ตอนนี้ ทางฝั่งแดนอเวจีถูกปิดข่าวมาตลอด เขาไม่รู้ว่าพวกเขารู้แล้วหรือเปล่า เรื่องที่เขาไม่ควรตัดสินใจ เขาก็พูดน้อยมาก อย่างไรเสียสงครามก็ยังไม่จบ ยังไม่รู้เลยว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร และเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องรับประกันอะไรด้วย
หลายคนมองคล้อยหลังเขาจากไป ต่างก็รู้ว่าตอนนี้ฐานะของตัวเองกับเหยียนซิวแตกต่างกันมาก แค่ดูว่าคนที่ไปมาหาสู่กับเหยียนซิวมีใครบ้างก็รู้แล้ว พวกนั้นมีท่าทีสุภาพเกรงใจกับเหยียนซิว ตอนนี้แม้แต่เหวินฟางเองก็ยังรู้สึกอายที่จะเอ่ยถึงเรื่องพี่ใหญ่อะไรอีก
ส่วนซือคงอู๋เว่ยก็ยิ่งหดหู่อยู่ในใจ ในปีนั้นเป็นเพราะเขากับเถาชิงหลีอยู่ด้วยกัน ถึงได้ทำให้กลุ่มสามเขาที่แข็งแกร่งอย่างเขา จ้าวเฟยและเหมียวอี้แยกทางกันเดิน เป็นเขาที่ทรยศพวกเขา ทั้งยังทำให้เหมียวอี้แบกชื่อเสียงคนทรยศอีก เขารู้ว่าเรื่องนั้นทำให้ในใจของทั้งสามเกิดรอยแยกอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นอาศัยความสัมพันธ์ที่ทั้งสามร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ถ้ายังอยู่ด้วยกันตลอด เกรงว่าตอนนี้ทั้งสามคงจะได้อยู่กับทิวทัศน์อีกแบบหนึ่ง และจ้าวเฟยก็อาจจะไม่ได้มีจุดจบแบบนี้…
…………………………
ประมุขชิงโบกมืออีกครั้ง “เรื่องสงครามมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าจะเข้าร่วมบัญชาการหรือไม่ก็ไม่มีความหมายมากแล้ว มีเจ้าเข้าไปร่วมรบเพิ่มอีกคนก็ไม่จำเป็นแล้ว…แม้แต่เกาก้วนยังทรยศข้า เจ้าคิดว่าข้ายังจะเชื่อใจใครได้อีก? ไม่ต้องปฏิเสธแล้ว ช่วยข้าดูแลพวกนางสองแม่ลูกให้ดี ทำได้หรือเปล่า?”
โพ่จวินถือแผ่นหยกพร้อมโค้งกายกุมหมัดคาราวะ “ข้าน้อยน้อมรับบัญชา!”
ในใจเขารู้ชัดเจน ว่าคุณชายสามไป๋หวนคืนกลับมาอีกครั้งนั้นสร้างความกดดันให้ฝ่าบาทมากขนาดไหน ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทคงไม่เตรียมสั่งเสียในเวลานี้ เกรงว่าในใจฝ่าบาทคงจะไม่มีความมั่นใจแล้วเช่นกัน
ประมุขชิงใช้สองมือประคองเขาขึ้นมา แล้วก็บอกจ้านหรูอี้อีกว่า “หรูอี้ เจ้าก็ได้ยินคำพูดของข้าหมดแล้ว เจ้าคงเข้าใจความหมายที่ข้าพูดทั้งหมด ข้าไม่พูดอะไรมากแล้ว ศึกใหญ่กำลังจะมาถึง ถ้าเจ้าอยู่ข้างกายข้า ข้าก็ไม่มีทางสู้ได้เต็มที่ เจ้าไปหลบกับโพ่จวินก่อนชั่วคราว เข้าใจไหม?”
จ้านหรูอี้เงยหน้ามองเขา แล้วบอกเขาด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวว่า “หม่อมฉันจะรอฝ่าบาท!”
ประมุขชิงทำสีหน้างุนงงครู่หนึ่ง แม้จะเป็นประโยคสั้นๆ ไม่กี่คำ แต่ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เขาไม่เคยได้ยินจ้านหรูอี้พูดอะไรอย่างนี้กับตัวเองเลย ทั้งยังมีความเด็ดเดี่ยวที่แสดงออกทางสายตาอีก ทำให้ใจเขามีแต่ความปลาบปลื้มยินดี
หยินซวง ไป๋เสวี่ยสบตากันแวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววประหลาดใจเช่นกัน ไม่มีใครรู้จักจ้านหรูอี้ดีไปกว่าพวกนาง ชั่วพริบตานี้เข้าใจแล้ว ว่าท่าทีที่จ้านหรูอี้มีต่อประมุขชิงเปลี่ยนไปแล้ว
ประมุขชิงกางแขนสองข้างโอบจ้านหรูอี้มาไว้ในอ้อมอก ชั่วขณะนั้นปณิธานอันยิ่งใหญ่พุ่งทะยานหนึ่งจั้ง กล่าวอย่างฮึกเหิมมีชีวิตชีวาว่า “เจ้าสามไป๋แล้วยังไง? ต่อให้เป็นพระปีศาจหนานโป ข้าก็จะงัดฟันเสือออกจากปากเขา วางใจเถอะ รอข้ามารับเจ้า!”
โพ่จวินอดไม่ได้ที่จะมองจ้านหรูอี้ปราดหนึ่ง เขารู้สึกได้แล้วเช่นกัน ว่าคำพูดสั้นๆ เพียงไม่กี่คำของผู้หญิงคนนี้เหนือกว่าคำพูดนับพันหมื่นของคนอื่น ปลุกอุดมการณ์การต่อสู้ของฝ่าบาทแล้ว ในใจเขาแอบตกตะลึง แต่จะว่าไปแล้ว นี่ก็ถือเป็นเรื่องดี
แขนสองข้างที่ค่อนข้างแข็งทื่อของจ้านหรูอี้ยกขึ้นมาเล็กน้อย เป็นฝ่ายโอบกอดประมุขชิงเอง “ฝ่าบาทรักษาตัวด้วย!”
“ฮ่าๆ!” ประมุขชิงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ เป็นรอยยิ้มที่พึงพอใจกับชีวิต ตอนที่เขามอบเกียรติยศและความร่ำรวยให้ผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เคยชายตาแลเลย แต่ตอนที่เขาพบอุปสรรค ไร้เกียรติไร้หน้าตา พานางระเหเร่ร่อนไปทั่ว นางกลับมอบความอ่อนโยนให้เขาอย่างจริงใจ สำหรับผู้ชายคนหนึ่ง ยังจะมีเรื่องใดที่งดงามกว่านี้อีกหรือ?
วินาทีนี้ ประมุขชิงรู้สึกว่าเพื่อผู้หญิงคนนี้แล้ว ไม่ว่าจะต้องจ่ายด้วยอะไรก็ล้วนคุ้มค่าทั้งนั้น ถ้าหากเป็นไปได้ เขายินดีจะนำอำนาจมาแลกกับความสงบสุขทั้งชีวิตของนาง!
“ไม่ต้องกังวล ข้าจะให้พ่อแม่เจ้าไปกับเจ้าด้วย…”
ทางออกอีกทางของแดนสุขาวดี คนกลุ่มหนึ่งถูกพ่นออกมากลางอากาศ
ทุกคนล้วนมองไปที่ประมุขไป๋ เห็นเพียงประมุขไป๋ยืนนิ่งอยู่ในอวกาศไม่ขยับไปไหน ไม่รู้ว่าทำแบบนี้หมายความว่าอะไร
ประมุขไป๋เอียงหน้าเหมือนผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอด แต่เห็นเปลือกตาเขียวคล้ำของประมุขปีศาจกลับมาขาวหมดจดแล้ว ริมฝีปากงามสีเขียวคล้ำก็กลับมาแดงสดใสแล้วเช่นกัน ตั้งแต่ในเจดีย์สยบปีศาจ เขาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดความปรารถนาร้ายที่สะสมอยู่ในร่างกายนางมาตลอด ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ประมุขปีศาจเป็นส่วนหนึ่งของเจดีย์สยบปีศาจมาตลอด ถูกคนนำเลือดสกัดมาเชื่อมต่อกับค่ายกลใหญ่ ทำเป็นแกนค่ายกลภายใน ใช้ค่ายกลเป็นสื่อนำความปรารถนาร้าย เจดีย์สยบปีศาจไม่พัง ความปรารถนาร้ายก็กรอกเข้ามาสื่อนำไม่หยุด ไม่มีทางแก้ไขที่ต้นเหตุได้เลย ทำให้หลายปีมานี้เขาต้องใช้เคล็ดวิชาอัคนีดารามาระงับไว้ตลอด ไม่กล้าหละหลวม ไม่อย่างนั้นเกรงว่าประมุขปีศาจจะต้องเปลี่ยนเป็นมารปีศาจที่ดุร้ายที่สุดในใต้หล้านี้ ถึงตอนนั้นคงไม่มีใครปลุกนางให้ตื่นขึ้นมาจากความปรารถนาร้ายได้แล้ว
ต้องบอกว่าวิธีการที่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะใช้ในปีนั้นค่อนข้างชั่วร้าย บีบให้เขาต้องเดินเข้ากับดักแต่โดยดี
“คุณชายไป๋ นี่พวกเรากำลังรออะไรกันอยู่?” หั่วเจินจวินที่อยู่ข้างกันเอ่ยถาม
ตอนนี้ความสนใจของประมุขไป๋อยู่กับความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของประมุขปีศาจ ไม่ได้สนใจเขา
หั่วเจินจวินเอามือเกาหัว รู้สึกก็เขินแล้ว หดหัวไปอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไรแล้ว ทำให้อู๋ฉางกับอินเอ้อร์หลางแอบกลั้นขำ
ลี่หัวเหล่ตามอง ในใจไม่สบอารมณ์ เรื่องบางเรื่องถ้าพลาดแล้วก็พลาดเลย นางไม่สามารถทนแบบทดสอบได้ เลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว จะไปรู้ได้อย่างไรว่าผู้ชายคนนี้จะมีเบื้องลึกที่นางจินตนาการไม่ถึง เรื่องบางเรื่องที่เกิดจับพลัดจับผลู นางก็ไม่อยากจะนึกถึงอีกแล้ว แต่ในใจยังเป็นทุกข์มากจริงๆ มีแต่นางที่รู้ดีที่สุดว่าตัวเองนึกเสียใจทีหลังหรือไม่
“เอ๋ นั่นอะไรน่ะ?” อินเอ้อร์หลางโบกมือชี้ถามอย่างประหลาดใจ “เรือมังกร?”
สายตาทุกคนมองไปทางนั้น เห็นเพียงเรือมังกรหยกขาวลำหนึ่งหมุนออกมาจากด้านหลังของดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ผีดิบกลุ่มหนึ่งกำลังลากเรือมังกรยักษ์ให้เหาะอยู่ในดาราจักร กำลังเดินทางมาทางนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นฉากนี้ในดาราจักร อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เหมือนกำลังถามกันและกันว่า สิ่งนี้คืออะไร?
จนกระทั่งเรือมังกรเข้ามาใกล้แล้ว พวกเขาก็ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองสภาพเรือมังกรยักษ์ที่ใหญ่โอ่อ่าทว่าแกะสลักอย่างงดงามประณีต
บนหัวเรือมีคนสองคนยืนอยู่ เป็นนักบวชที่สวมหมวกงอบแหวนและถือไม้เท้า ยังมีอีกคนที่สวมหมวกทรงสูงสีดำ สวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว เอามือไขว้หลังยืนอยู่บนหัวเรือ สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์
“ทูตตรวจการขวาตำหนักสวรรค์ เกาก้วน!” คนที่รู้จักอุทานอย่างตกใจมาก รีบหันมองไปรอบๆ นึกว่าโดนทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์ดักซุ่มโจมตีแล้ว
“พวกเดียวกัน” ประมุขไป๋เหลือบตาขึ้นแล้วกล่าวเสียงเรียบ ทำให้ทุกคนสงบลง แต่ก็ยังทำให้ทุกคนประหลาดใจสงสัยอีกนิดหน่อย เกาก้วนก็เป็นพวกเดียวกันเหรอ?
เรือมังกรที่ยิ่งใหญ่และงามประณีตมาถึงแล้ว มาหยุดอยู่ข้างกายคนกลุ่มนี้ มีบางคนจำผีดิบที่อยู่ในนั้นได้ ถามอย่างตกใจว่า “ซูเจิ้น ขุนพลใหญ่ของประมุขชิง? จินฉือ ลูกศิษย์ของประมุขพุทธะ?”
ประมุขไป๋ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ อุ้มประมุขปีศาจลอยขึ้นไปเหยียบบนเรือมังกร แล้วคนที่เหลือก็ตามขึ้นเรือไป
เกาก้วนจ้องประมุขไป๋ด้วยสายตาเยียบเย็น เดินก้าวยาวเข้ามายืนเผชิญหน้า สายตาหยุดอยู่บนตัวผู้หญิงในอ้อมกอดที่หลับลึก แล้วถามว่า “นางไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ประมุขไป๋ตอบว่า “ไม่เป็นอะไร ความปรารถนาร้ายในร่างกาย ข้ากำจัดทิ้งหมดแล้ว เพียงแต่จิตใจเสียหายอย่างรุนแรง อ่อนเพลียเกินไป พักผ่อนให้ดีสักหน่อยก็น่าจะหายในเร็วๆ นี้”
เกาก้วนกล่าวเสียงเย็นว่า “เจ้าเคยรับปากข้าแล้วว่าจะดูแลนางให้ดี แต่กลับทำให้นางรับความทรมานใหญ่หลวงขนาดนี้ เจ้าดูแลอย่างนี้น่ะเหรอ?”
ประมุขไป๋เงียบไปครู่เดียว แล้วบอกว่า “ข้าขอโทษ!”
เกาก้วนยกฝ่ามือขึ้นสะบัดออกมาหนึ่งที
เพี้ยะ! ตบบนหน้าประมุขไป๋อย่างแรงจนเสียงดังฟังชัด ตบจนประมุขไป๋หน้าหัน บนใบหน้ามีรอยฝ่ามือชัดเจน
ไม่เห็นประมุขไป๋หลบอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้โดนตบเสียดื้อๆ ทุกคนตกใจมาก แม้แต่ประมุขชิงก็ไม่กล้าทำอย่างนี้กับประมุขไป๋ เกาก้วน ลูกน้องของประมุขชิงคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่?
ประมุขไป๋ที่โดนตบหนึ่งฉาดได้แต่ยิ้มเจื่อน
เกาก้วนยื่นมือสองข้างออกมา “ส่งให้ข้า!”
ประมุขไป๋ส่งประมุขปีศาจที่อยู่ในอ้อมกอดไปที่วงแขนของเขาอย่างระมัดระวัง การกระทำนี้ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่เข้าใจ มีหรือที่จะปล่อยให้ผู้หญิงที่ตัวเองรักถูกผู้ชายคนอื่นอุ้มส่งเดช?
ลี่หัวและบรรดาประมุขสิบปราสาทดำเนินพากันมองไปทางอู๋ฉาง หั่วเจินจวินและอินเอ้อร์หลาง อย่างไรเสียทั้งสามก็เป็นลูกน้องเขาประมุขปีศาจ หวังว่าทั้งสามจะรู้อะไรบ้าง แต่ปฏิกิริยาของทั้งสามก็คือทำสีหน้างงงวยเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจสถานการณ์เหมือนกัน
เกาก้วนอุ้มประมุขปีศาจมาดูอย่างระมัดระวัง แล้วกวาดมองกลุ่มคนอีกครั้ง “เป็นผู้ชายทั้งหมดแล้วจะดูแลได้ยังไง ให้ผู้หญิงสองคนมาปรนนิบัติ!” สายตามองไปทางลี่หัวและผู้หญิงที่เหลือ
จะให้ค่าดูแลนางงั้นเหรอ? ลี่หัวแสยะยิ้ม แล้วหันหน้ามองไปอีกด้าน
ประมุขไป๋ยิ้มเจื่อนพลางพยักหน้าให้หลินไห่ประมุขปราสาทปราสาทแมกไม้
หลินไห่ปล่อยคนกลุ่มใหญ่ออกมาทันที เป็นคนที่หน้าตาไม่เหมือนมนุษย์ปกติ เป็นเผ่าปีศาจที่นำโดยผู้อาวุโสมู่เซิน!
มู่เซินและเผ่าปีศาจเห็นพวกประมุขไป๋แล้วอึ้งทันที เห็นได้ชัดว่าสะเทือนใจแล้ว พอเห็นประมุขปีศาจในอ้อมกอดเกาก้วนอีกครั้ง ก็ควบคุมสติไม่ไหวทันที คุกเข่าร้องไห้แล้ว
“ประมุขของพวกเจ้าเหนื่อยแล้ว ต้องการคนดูแล” เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบ อุ้มคนเดินผ่านเผ่าปีศาจที่กำลังคุกเข่าไปอย่างเย็นชา เดินตรงขึ้นไปบนตึกเรือมังกร
เดิมทีเผ่าปีศาจเผ่าที่ดูแลปรนนิบัติประมุขปีศาจ ล้วนเป็นบ่าวรับใช้ของประมุขปีศาจ พอตอนนี้เห็นเจ้านายตัวเองอีกครั้ง ก็รู้สึกตื่นเต้นที่สุด เมื่อได้ยินคำพูดของเกาก้วน มู่เซินก็รีบลุกขึ้น ตะโกนบอกให้บรรดาผู้หญิงเผ่าปีศาจรีบตามขึ้นไป จากนั้นก็ออกคำสั่งอย่างเป็นระเบียบขั้นตอนต่อเผ่าปีศาจว่าให้รับหน้าที่อะไร อธิบายความเคยชินในชีวิตประจำวันของประมุขปีศาจ ทุกสิ่งของเผ่าปีศาจล้วนถูกนำมาใช้ว่าจะดูแลประมุขปีศาจอย่างไร
เผ่าปีศาจที่สงบเงียบเหมือนจะหาความหมายในการมีชีวิตอยู่เจออีกครั้งแล้ว คนที่เริ่มวุ่นอยู่กับการทำงาน ตอนนี้เริ่มมีใบหน้าดูสดใสเปล่งประกายแล้ว
ขณะมองคล้อยหลังเกาก้วนเดินออกไป ประมุขสิบปราสาทดำเนินก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เข้าใจแล้ว ไม่แปลกใจที่ก่อนเกิดเรื่อง สิบปราสาทดำเนินได้รับข่าวกะทันหัน กำจัดสายลับของหน่วยตรวจการขวาในสิบปราสาทดำเนินในรวดเดียว ลองคิดดูว่าแม้แต่ทูตตรวจการขวาก็ยังเป็นคนของฝั่งนี้ ถ้าอยากจะรู้รายชื่อของสายลับตำหนักสวรรค์ที่แทรกอยู่ในสิบปราสาทดำเนิน ก็ย่อมไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว
“ผู้หญิงคนนี้ถูกเจ้าเอาใจจนเหลวไหลแล้ว!”
ลี่หัวเหมือนขัดหูขัดตากับทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะพูดเหน็บแหนบประมุขไป๋
ประมุขไป๋ยิ้มเจ้าเล่ห์พราวเสน่ห์ “เหมือนข้าจะจำได้ว่าเมื่อก่อนข้าก็อยากจะเอาใจเหมือนกัน แต่จะไม่ให้โอกาส”
“ฮ่าๆ…” ปีศาจเฒ่าทั้งสาม อยู่ข้างๆ ส่งเสียงหัวเราะ
ลี่หัวแอบกัดฟัน จองรอยฝ่ามือบนหน้าของเขา “สงสัยฝากมือเดียวคงยังไม่พอ! ในปีนั้นข้าถามเจ้า เจ้ายังไม่ตอบข้าเลย เจ้าหาผู้หญิงคนนี้มาจากไหนกันแน่?”
“เรื่องนี้ไม่สำคัญหรอก” ประมุขไป๋ส่ายหน้าเล็กน้อย
ลี่หัวชำเลืองมองรอยฝ่ามือบนหน้าเขาอีก “แล้วเกาก้วนนี่ยังไงอีก เมื่อก่อนไม่เห็นเขากับผู้หญิงคนนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน เขามีที่มาที่ไปยังไงกันแน่?”
“ในภายหลังยังมีโอกาสเล่าให้ฟัง” ประมุขไป๋ไม่ยอมคายความจริง หันตัวมาหาคนของสิบปราสาทดำเนิน แล้วบอกว่า “หลายปีมานี้ทำให้ทุกคนลำบากแล้ว”
ทุกคนมีสีหน้าแตกต่างกันไป บางคนก็ส่ายหน้า บางคนก็ยิ้มเจื่อน บางคนก็ถอนหายใจ
อู๋ฉางที่อยู่ข้างๆ บอกว่า “คุณชายไป๋ ไป๋เหนียงจื่อนี่เป็นยังไงกันแน่? นางบอกว่านางบวชแล้ว บอกว่าคำนับอาจารย์อะไรสักอย่าง เรื่องเป็นยังไงกันแน่!”
“ออกบวช? คำนับอาจารย์?” ประมุขไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย เผยสีหน้าครุ่นคิด แล้วพึมพำว่า “ศีลแปด…”
อู๋ฉางพูดต่อ “คุณชายไป๋ ไป๋เหนียงจื่ออยู่ที่ไหนเหรอ? ทำไมไม่เรียกนางมาด้วยล่ะ?”
“ทำไมไม่เรียกนาง…” ประมุขไป๋แววตาวูบไหว ทอดสายตามองดาราจักรพร้อมกล่าวช้าๆ ว่า “ไม่อยากแตกหักกับเขา…”
ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าที่เขาพูดหมายความว่าอะไร
ไม่รอให้ทุกคนถามเยอะ ประมุขไป๋เอียงหน้ามองไปทางเทพพยากรณ์ที่ยืนค้ำไม้เท้าอยู่ข้างๆ ตลอดแล้ว การกระทำและคำพูดที่อ่อนโยนมีไมตรีหายไปทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “บัญชีในปีนั้นควรจะสะสางให้ดีสักหน่อย ไปทางลัด มุ่งหน้าด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี!”
“เฮ้อ!” เทพพยากรณ์ถอนหายใจ แล้วหันตัวเดินไปที่หัวเรือ ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ
เรือมังกรยักษ์ที่ลอยอยู่ในดาราจักรเคลื่อนไหวครั้ง ผีดิบกลุ่มหนึ่งลากเรือมังกรเหาะเร็วขึ้นเรื่อยๆ เร็วกว่าในปีนั้นที่เหมียวอี้เคยขึ้น หายเข้าไปในจุดลึกของดาราจักรอย่างรวดเร็ว…
สียงที่ทำให้คนใจสะท้านท่ามกลางเสียงดังตูมตามกำลังชะล้างอยู่ระหว่างฟ้าดิน
แสงเย็นสีดำที่ยิงออกมาทำให้เกิดรอยแยกมิติตลอดทางเรากับใยแมงมุม ก่อกวนปรากฏการณ์ธรรมชาติ ตรงจุดไหนที่ลูกธนูยิงผ่าน คนก็กระเด็นออกไป
บึ้ม! พื้นดินตรงเขาหลิงซานเป็นรอยแยก เจดีย์สยบปีศาจที่เหมือนภูเขาสูงย้ายออกไปไกลหลายพันจั้ง แสงสีทองบนเจดีย์อับแสงลงในชั่วพริบตาเดียว ตรงกลางตัวเจดีย์ปรากฏรอยแยกเหมือนใยแมงมุม ในรอยแมงมุมมีรู รูหนึ่ง ถูกลูกธนูเทพสังหารยิงจนแตก
ในเจดีย์ ภาพมายาของดาราจักรอันเวิ้งว้างหายไปแล้ว ดาวตกที่พุ่งโจมตีก็หายไปแล้วเช่นกัน ภายในเจดีย์สยบปีศาจปรากฏโครงสร้างที่แท้จริง
แสงกระบี่ที่หมุนวนกำลังวนเวียนอยู่ในท้องเจดีย์ขนาดใหญ่ สายตาเยียบเย็นของประมุขไป๋กวาดมองรูที่ถูกยิงแตกนั่น แล้วถลันตัวออกไปท่ามกลางแสงกระบี่ที่กำลังหมุนวนอย่างหนาแน่น
โลกภายนอก ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไหร่กำลังจ้องรูของเจดีย์สยบปีศาจที่ถูกยิงจนแตกเป็นโพรง
“ดักไว้!” จินหลัวคำรามอย่างโมโหสุดขีด
หลานมู่นำกองทัพพระสังหารฝ่าออกมาเป็นทางเลือดทันที เพิ่งจะพุ่งไปตรงรูนั้น ก็เห็นแสงกระบี่พุ่งออกมาแล้ว แสงกระบี่ที่มโหฬารพันลึกกำลังท่วมท้นใส่กลุ่มคนที่พุ่งเข้ามา ทำให้เกิดเสียงร้องระงมโหยหวน มีดอกเลือดสาดกระจายไม่หยุดท่ามกลางแสงกระบี่ที่ขวักไขว่อย่างดุเดือดรุนแรง
กระบี่บินวนเวียนอย่างอลังการราวกับเมฆ พอเจาะออกมาจากรูนั้น แล้วก็หมุนวนคดเคี้ยวยาวเหยียดขึ้นมาโดยตรง
ท่ามกลางเมฆกระบี่ จู่ๆ ก็พ่นคนออกมาคนหนึ่ง หลานมู่ที่โดนเสียบจนพรุนเหมือนตะแกรงตกลงกระแทกพื้น
เมฆกระบี่ที่หมุนวนขวักไขว่อยู่ในท้องฟ้าพลันกระจายออก ชายคนหนึ่งที่หล่อเหลาไร้เทียมทานอุ้มผู้หญิงที่นอนซบลอยลงเหยียบบนหลังคาเจดีย์สยบปีศาจ ดวงตาเยียบเย็นน้องเหยียบสนามรบที่ชุลมุนวุ่นวาย แล้วก็มองผู้หญิงที่หลับลึกซบอยู่บนบ่าด้วยแววตาอ่อนโยนอีก
อู๋ฉาง หั่วเจินจวิน อินเอ้อร์หลางเงยหน้ามองบนยอดเจดีย์ ดวงตาเผยแววดีใจจนแทบคลั่ง
ประมุขสิบปราสาทดำเนินมองมาพร้อมกันด้วยแววตาดีใจและโล่งใจ ลี่หัวที่มีเลือดเปื้อนมุมปากกำลังสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดประมุขไป๋ ฟันขาวกัดริมฝีปากเงียบๆ ในใจเต็มไปด้วยความขมฝาด
จินหลัวที่ถูกค่ายกลใหญ่ห้าธาตุถ่วงไว้กลับเผยสีหน้าหวาดผวา มองไปบนยอดเจดีย์ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
จินม่านที่พลิกมือคว้าลูกธนูเทพสังหารกลับมา ตอนนี้กำลังมองคนบนยอดเจดีย์ มองผู้ชายที่กำลังมองเหยียดใต้หล้าคนนั้น สีหน้าสื่อหลากหลายอารมณ์
เหยียนซิวถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเยือกเย็น “นั่นคือประมุขไป๋กับประมุขปีศาจเหรอ?”
“อืม!” จินม่านถอนหายใจเบาๆ
“ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ สังหารให้ข้า!” จินหลัวคำรามอย่างเกรี้ยวกราด
ท่ามกลางกองทัพพระที่เข่นฆ่าอยู่รอบๆ มีกำลังพลอย่างน้อยแสนกว่าคนเจียดเวลาช้อนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมา เสียงปั้งๆ ดังถี่ ลำแสงยิงออกมาราวกับสายฝน
บนเจดีย์สยบปีศาจ เมฆกระบี่ขยายวงหมุนอย่างรวดเร็ว คุ้มครองคนบนยอดเจดีย์ไว้ในนั้น ท่ามกลางเสียงระเบิดตูมตามดุเดือด มีกระบี่บินโปร่งแสงถูกโจมตีจนระเบิดกลายเป็นเพลิงเดือดล่องหนไม่ขาดสาย แต่ลูกธนูดาวตกที่ถูกต้านเอาไว้หลายชั้น สุดท้ายก็ยากจะโจมตีเข้ามาตรงใจกลางได้
ลูกธนูดาวตกยิงออกมาบินกลับ กองทัพพระที่คว้าลูกธนูดาวตกเอาไว้กลับส่งเสียงร้องโหยหวน
เปลวเพลิงล่องหนที่แฝงตัวอยู่บนลูกธนูดาวตกถือโอกาสกลับมาด้วย ทันใดนั้นก็เผาไหม้อยู่บนร่างกายพวกเขา ไฟบนร่างกายที่ไม่มีทางสลัดหลุด
ชั่วพริบตานั้น กองทัพพระแสนกว่าที่โจมตีก็ตกหลุมพรางทั้งหมด เสียงร้องโอดครวญดังเป็นแถบ คนที่ได้เห็นฉากนี้ตกตะลึงถึงขีดสุด
เพียงชั่วดีดนิ้วกำลังพลก็เสียหายไปแสนกว่าแล้ว เหยียนซิวสูดหายใจอย่างตระหนก
เมฆกระบี่ฝั่งที่หันเข้าหาจินหลัวพลันแหว่งเป็นโพรง เผยร่างประมุขไป๋ที่ยืนอยู่บนยอดเจดีย์ เสียงราบเรียบของประมุขไป๋ดังมา “หลีกไป!”
ห้าประมุขปราสาทดำเนินที่ใช้ค่ายกลใหญ่ห้าธาตุล้อมเงาพระพุทธรูปใหญ่รีบหลีกทางให้
เมื่อสบสายตากับประมุขไป๋ จินหลัวก็ขี้ขลาดหวาดกลัว เมื่อค่ายกลคลายออกและได้รับอิสระ ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เลี้ยวหนีทันที
เมฆกระบี่ที่เกาะกลุ่มหนาแน่นอยู่บนยอดเจดีย์พุ่งออกไปราวกับมังกรบิน ไล่ตามด้วยความเร็วสูง กองทัพพระรอบๆ ที่มาขวางทางถูกแสงกระบี่ที่ยิงออกจากเมฆกระบี่เสียบจนล้ม ไม่มีใครขวางได้เลย สาเหตุหลักเป็นเพราะเมฆกระบี่หนาแน่นเกินไปและรวดเร็วเกินไปด้วย สามารถควบคุมกระบี่บินได้จำนวนมากพร้อมกันขนาดนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าสติปัญญาของเขาเป็นอย่างไร
เมื่อเห็นว่าโดนตามทัน เงาพระพุทธรูปใหญ่ก็ตบฝ่ามือมือออกมาหนึ่งครั้ง
เมฆกระบี่พังทลายกลายเป็นทะเลเพลิงเดือดล่องหน มีแสงสีฟ้าและแดงลอยขึ้นมา แตกออกเป็นหยินหยาง ชั่วพริบตาเดี๋ยวก็หลอมเผาเงาพระพุทธรูปใหญ่ที่ปกป้องร่างกายจินหลัว
ประมุขไป๋ที่ใช้แขนข้างเดียวอุ้มประมุขปีศาจถลันตัวออกจากทะเลเพลิง ถือโอกาสใช้มือรวมเพลิงให้เป็นกระบี่ ทำให้จินหลัวลนลานทำอะไรไม่ถูก กระบี่เล่มหนึ่งตัดศีรษะจินหลัวกระเด็นไปแล้ว ความเร็วนี้ทำให้จินหลัวที่ถูกพัวพันอยู่ในทะเลเพลิงยังไม่ทันรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร
จินหลัวรู้เพียงว่าในทะเลเพลิง ฝ่ายตรงข้ามปรากฏตัวอยู่ข้างกายกะทันหันแล้วผ่านไป จากนั้นตัวเองก็ไม่รับรู้อะไรแล้ว
“ไป!” เสียงเรียบนิ่งของประมุขไป๋ดังก้องอยู่ระหว่างฟ้าดิน ทะเลเพลิงเดือดม้วนจมหายไปในร่างกายเขาในชั่วพริบตาเดียว มือข้างหนึ่งถือกระบี่ อุ้มผู้หญิงที่ซบไหล่เขาพุ่งขึ้นฟ้าไป ไม่หันกลับมาอีก
แค่ชั่วพบหน้ากันก็สังหารจินหลัวได้แล้ว ถามหน่อยว่าที่เขาหลิงซานยังจะมีใครกล้าลองกับความแหลมคมของเขาอีก ตรงทางข้างหน้าไม่มีใครกล้าขวาง
อู๋ฉาง หั่วเจินจวิน อินเอ้อร์หลางหัวเราะลั่น คนของสิบปราสาทดำเนินทยอยกันเรียกศิษย์ของสำนักตัวเอง แล้วตามไปอย่างรวดเร็ว
คนกลุ่มหนึ่งหายไปในท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ส่วนเรื่องรบราฆ่าฟันที่เหลือตรงนี้ พวกประมุขไป๋ไม่ได้สนใจเลยสักนิด ถึงขนาดไม่หันกลับมามองแม้แต่ครั้งเดียวด้วย
เหยียนซิวกับจินม่านมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ครั้งนี้มาก็เพื่อช่วยเหลือประมุขไป๋ หลังจากได้รับความช่วยเหลือแล้วก็ไม่พูดจาเกรงใจสักคำ บทจะไปก็ไปแล้ว
เหยียนซิวรีบนำระฆังดาราออกมารายงานสถานการณ์ทางฝั่งนี้ให้เหมียวอี้รู้
การเข่นฆ่ายังคงดำเนินต่อไป แต่มีทัพใหญ่ของหลงซิ่นมาสนับสนุนแล้ว สถานการณ์มีแนวโน้มจะไปในทิศทางเดียวแล้ว
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี กองทัพพระก็เริ่มหนีหัวซุกหัวซุน
ปูสถานการณ์สู้รบไว้มั่วเกินไป ฝั่งนี้สกัดทุกคนที่หลบหนีไม่ได้ อย่างน้อยก็มีรอดไปได้หลายล้านแล้ว…
รอเงียบๆ อยู่ในอาณาเขตดาวนิรนาม ตาทิพย์กำลังสำรวจความเคลื่อนไหวกำลังพลฝ่ายศัตรูสองฝั่ง เขาได้รับข่าวจากเหยียนซิวแล้ว รู้แล้วว่าประมุขไป๋พาประมุขปีศาจหนีไปแล้ว เหมียวอี้เกิดความรู้สึกสับสนอย่างประหลาด
ที่จริงเรื่องที่จะช่วยประมุขไป๋ออกมาหรือไม่ ในใจเขามีความลังเลนี้มาตลอด ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วย แต่บางเรื่องที่ประมุขไป๋ทำไว้ก็ทำให้ในใจเขามีความกังวล เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดมากไปหรือเปล่า ความคิดของเขาเองนั้นไม่ต้องพูดถึง รวมทั้งคนฉลาดทั้งสองคนที่เขาคลุกคลีด้วย ขนาดเซี่ยโห้วท่ากับหยางชิ่งยังหวาดระแวงกับพฤติกรรมบางอย่างของประมุขไป๋เลย
ตอนแรกแผนการโจมตีเขาหลิงซาน ช่วยเหลือประมุขไป๋ไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่เป็นเพราะอยากล่อกำลังพลของประมุขชิงกับประมุขพุทธะให้กลับไปช่วย เขาจะได้ลงมือกับก่วงลิ่งกงได้สะดวก ต่อให้จะช่วยชีวิตออกมาแต่ก็เป็นการถือโอกาสทำเท่านั้น ไม่นับว่าเต็มใจเท่าไหร่นัก
เขารู้สึกว่าฝั่งประมุขไป๋เหมือนจะสังเกตได้เช่นกันว่าเขาไม่ค่อยเต็มใจ ก็เลยมีกำลังพลของสิบปราสาทดำเนินโผล่มาเจอกับพวกเหยียนซิว
และสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจลงมือจริงๆ ก็คือเทพพยากรณ์ที่ติดต่อผ่านระฆังดารามากะทันหัน
คำเตือนของเทพพยากรณ์เหมือนจะมีความหมายล้ำลึก
ความลับเรื่องพิภพเล็กอาจจะไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่ความปลอดภัยของคนที่พิภพเล็กกลับเป็นของจริงที่เห็นๆ กันอยู่ เทพพยากรณ์ที่ไม่ได้ติดต่อมาหลายปีจู่ๆ ก็ส่งข้อความมา เขาพอจะตระหนักได้ว่าเบื้องหลังคำพูดของเทพพยากรณ์ยังมีอีกความหมายสำคัญซ่อนอยู่…ถ้าไม่ไปก็ต้องเตรียมตัวรับผลที่จะตามมา!
เขาคิดว่าคงจะได้พบหน้ากับประมุขไป๋ในเร็วๆ นี้แล้ว เมื่อพบกันอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าระหว่างทั้งสองจะเป็นศัตรูหรือเป็นมิตร ไม่รู้ว่าช่วยเหลือภัยพิบัติใหญ่หลวงออกมาแล้วหรือเปล่า!
ตาทิพย์จ้องไปยังรถมังกรที่อยู่ลึกในดาราจักร สายตาดีมากขึ้นกว่าเดิม มองทะลุเข้าไปในรถมังกรโดยตรง เหมียวอี้เดาว่าสองคนนั้นน่าจะรู้ความจริงแล้ว
ในรถมังกรเงียบเชียบ ประมุขชิงกับประมุขพุทธะรู้เรื่องแล้วจริงๆ รู้แล้วว่าจินหลัวโดนประมุขไป๋สังหารเพียงแค่ชั่วพบหน้ากัน สิ่งนี้เท่ากับอธิบายแล้วว่าประมุขไป๋ที่ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจมาหลายปีขนาดนี้ แต่พลังไม่ได้ลดหายไปเลย
ทั้งสองมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีใครรู้ความรู้สึกของพวกเขาในตอนนี้
อย่าว่าแต่พวกเขาสองคนเลย แม้แต่ซ่างกวนชิงกับพวกโพ่จวินก็ตกอยู่ในความเงียบเช่นกัน
ต่อให้เป็นโพ่จวิน ก่อนหน้านี้พูดเรื่องหลักการแยกแยะความสำคัญก็ส่วนหลักการ แต่เมื่อรู้ว่าประมุขไป๋หลุดออกมาแล้วจริงๆ ความกดดันที่ตามมาด้วยก็ยังคงอยู่ สิ่งที่ประมุขไป๋พูดทิ้งท้ายไว้ในปีนั้นยังชัดเจนอยู่ข้างหู บอกว่าสักวันจะกลับมาคิดบัญชีกับพวกเขา!
ในห้องเล็กด้านใน จ้านหรูอี้เงี่ยหูฟังบทสนทนาด้านนอก กำลังทำสีหน้าครุ่นคิดปนประหลาดใจ เคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับประมุขไป๋คนนั้นมาเยอะเกินไป ไม่รู้ว่าเป็นตัวละครแบบไหนกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้คนพวกนี้หวั่นเกรงขนาดนี้ นางรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าถ้าปล่อยข่าวที่ประมุขไป๋หลุดออกไป บรรยากาศข้างนอกก็จะเปลี่ยนเป็นกดดันทันที
“อารามแปดทิศไม่จำเป็นต้องเฝ้าแล้ว บอกให้พวกเขาคิดหาทางมาผนึกกำลังกับฝั่งนี้” ประมุขพุทธะบอกจินฉื้อ แล้วก็บอกประมุขชิงอีกว่า “ข้าจะกลับไปเตรียมตัวสักหน่อย”
“อืม!” ประมุขชิงพยักหน้า ประมุขพุทธะนำคนกลับไปที่รถมังกรของตัวเอง
เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว ประมุขชิงก็กวาดสายตามองคนที่เหลือ “โพ่จวินอยู่ก่อน”
พวกซ่างกวนชิงได้ยินแล้วก็รู้ว่าหมายความว่าอะไร เป็นฝ่ายถอยหลบออกไปเอง
โพ่จวินมองเขา ไม่รู้ว่าเขาจะกำชับอะไร
“มากับข้าหน่อย” ประมุขชิงเรียก แล้วนำโพ่จวินเข้ามาในห้องโดยตรง ตามหลักแล้วนี่คือสถานที่ที่ห้ามไม่ให้ผู้ชายคนอื่นเข้ามา
หยินซวง ไป๋เสวี่ยที่ม้วนม่านไข่มุกขึ้นก็แปลกใจเช่นกัน ไม่รู้ว่าประมุขชิงพาโพ่จวินเข้ามาทำไม แบบนี้ไม่เหมาะสม
“หรูอี้” ประมุขชิงตะโกนเรียก บอกใบ้ให้จ้านหรูอี้ยืนขึ้น ชี้ไปที่โพ่จวินพร้อมบอกว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่พอใจโพ่จวิน แต่โพ่จวินกลับเป็นคนที่ข้าไว้ใจที่สุด เข้าใจใช่ไหม?”
หลายคนที่อยู่ในนี้ไม่รู้ว่าเขาพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร โพ่จวินเม้มริมฝีปากแน่น
ประมุขชิงชี้ไปที่จ้านหรูอี้พร้อมพูดกับโพ่จวินอีก “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจนางมาก แต่ไม่ใช่เพื่ออะไรอย่างอื่น ได้โปรดเห็นแก่หน้าข้า เห็นแก่หน้าเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า” เขาชี้ไปบนท้องนูนของจ้านหรูอี้ “วันนี้ ข้าฝากฝังนางไว้กับเจ้า!” จากนั้นก็นำแผ่นหยกแผ่นหนึ่งยื่นให้โพ่จวิน “นี่คือแผนที่ดาวสำหรับผ่านไปอาณาเขตดาวนิรนามแห่งหนึ่ง มีดาวเคราะห์ที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยดวงหนึ่ง เป็นทางหนีทีไล่สุดท้ายที่ข้าเตรียมไว้ให้ตัวเองมานานแล้ว คนที่รู้เรื่องนี้ข้าปิดปากไว้หมดแล้ว ทางนั้นปลอดภัยมาก เจ้าพาหรูอี้ไปหลบที่นั่นก่อน!”
พอกล่าวสิ่งเหล่านี้ออกมา หลายคนในห้องก็สะเทือนใจ
โพ่จวินที่ใช้สองมือรับแผ่นหยกก็ยิ่งตกใจไม่เบา “ฝ่าบาท ยังไม่ทันตัดสินแพ้ชนะ เหตุใดจึงท้อแท้สิ้นหวัง?”
ประมุขชิงโบกมือ “ไม่ใช่ท้อแท้สิ้นหวัง แต่กันไว้ดีกว่าแก้ ถ้าเรื่องนี้ราบรื่นก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ราบรื่น…ข้านำสนมรักและเลือดเนื้อเชื้อไขของข้าฝากฝังไว้ที่เจ้าแล้ว ข้าเตรียมทรัพยากรฝึกตนไว้ที่นั่นล่วงหน้าเพียงพอแล้ว เพียงพอให้พวกเจ้าใช้ไปทั้งชาติ ถ้าข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าช่วยข้าดูแลพวกนางแม่ลูกด้วย แน่นอน ถ้าทุกอย่างราบรื่น ข้าย่อมรับพวกเจ้ากลับมา”
จ้านหรูอี้ก้มหน้าเล็กน้อย หยินซวง ไป๋เสวี่ยกลับระแวงสงสัย อย่าบอกนะว่าสถานการณ์ไม่ดีจนถึงขั้นที่ฝ่าบาทต้องเตรียมตัวสั่งเสียแล้ว?
โพ่จวินตาแดงแล้ว นี่คือการฝากฝังสิ่งที่สำคัญที่สุดไว้ให้ตัวเอง นี่ต้องเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจมากขนาดไหนกัน เขาส่ายหน้าบอกว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยบัญชาการกองทัพองครักษ์ได้คล่องแคล่ว ถ้าอยู่ข้างกายฝ่าบาทยังสามารถช่วยได้บ้าง ฝ่าบาทฝากฝังเรื่องสำคัญเช่นนี้ให้คนอื่นเถอะ!”
…………………………
และรอยแยกมิติรอบกายจินหลัวก็ขยายตัวขึ้นในเวลานี้ กลายเป็นเงามายาของพระพุทธรูปปางนั่งสมาธิขนาดใหญ่ แต่เห็นจินหลัวที่กำลังประนมมือประสานนิ้วนางกับนิ้วก้อย แล้วใช้นิ้วกลางกับนิ้วชี้กระทุ้งออกมา เงามายาพระพุทธรูปก็ปล่อยเงานิ้วขนาดใหญ่ออกมาเช่นกัน ราวกับเป็นภูเขาลูกเล็กลอยออกมาในแนวขวาง โดนลี่หัวที่พุ่งลงมาพอดี
อั้ก! ลี่หัวกระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ถูกโจมตีอย่างรุนแรง สะเทือนจนกระเด็นออกไป
เวินหวนเจินกำลังพุ่งลงจากฟ้า พอสะบัดแขนเสื้อ แสงเย็นของอัสนีบาตสายหนึ่งก็ฟาดเปรี้ยงลงมา ฟันไปทางเงาพระพุทธรูปใหญ่
ลมแรงกระพือทั่วท้องฟ้า เงาพระพุทธรูปใหญ่ที่กำลังประนมมือตบมือหนึ่งครั้ง คีบกระบี่บินที่ฟันเข้ามาไว้ตรงกลางฝ่ามือ ฝ่ามือที่คีบไว้รีบหมุนเป็นนิ้วคีบ คีบกระบี่บินดีดออกไป กระบี่พุ่งยิงกลับมาราวกับลำแสง สังหารไปทางเวินหวนเจิน
เวินหวนเจินถลันตัวเอียงข้างหลบการโจมตี
ตอนนี้บนฟ้ามีลำแสงพุ่งลงมาอย่างหนาแน่น ศิษย์ปราสาทดำเนินนภาทยอยกันฝ่าออกจากกระบี่บินราวกับฝน ถล่มสังหารไปยังป่าเจดีย์บนพื้น
พอแสงกระบี่สายหนึ่งแวบผ่าน เจดีย์หลังหนึ่งก็ถล่มปลิวไป ฝนกระบี่โปรยปราย ลำแสงไหลเวียนราวกับสายฟ้า ขวักไขว่อยู่ในป่าเจดีย์อย่างรวดเร็ว ตึกเจดีย์ถล่มปลิวอย่างง่ายดายเหมือนไม้ผุหลังแล้วหลังเล่า
อู๋ฉาง หั่วเจินจวิน อินเอ้อร์หลางและลี่หัวตั้งหลักได้แล้วหลังจากกระเด็นออกมา ทั้งหมดพุ่งไปทางป่าเจดีย์ที่อยู่รอบๆ โหมใช้พลังอิทธิฤทธิ์สาดออกมา เหมือนก่อกวนให้ฟ้าถล่มแผ่นดินแยก จุดประสงค์ก็คือทำลายป่าเจดีย์
ลูกศิษย์จำนวนหกแสนในป่าเจดีย์ที่กำลังนั่งสมาธิกลับทำเหมือนไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก ต่อให้ฟ้าถล่มแผ่นดินแยก ร่างกายประสบภัยอันตราย ต่อให้ถูกแสงกระบี่ฟันขาดเป็นสองท่อน ต่อให้ถูกพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดฉีกจนร่างแยก ต่อให้แผ่นดินยุบตัวกดไว้ แต่ละคนก็ยังไม่สะทกสะท้าน ทุกคนมองเป็นความว่างเปล่าเหมือนภาพมายา ไม่สะทกสะท้านก็ต่อทุกสิ่ง ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ปากก็ยังสวดมนต์เหมือนเดิม
จินหลัวที่อยู่กลางเงาพระพุทธรูปใหญ่เกิดโมโหโทโส โบกเงาฝ่ามือกวาดไปทางศิษย์ปราสาทดำเนินนภาที่เหาะอยู่บนท้องฟ้า หลายสิบคนหลบไม่ทัน ถูกกวาดกระเด็นท่ามกลางเสียงกรีดร้อง
น้ำ ไฟ ทอง ไม้ ดิน ประมุขปราสาทดำเนินทั้งห้าธาตุเหาะลงจากฟ้า ยืนอยู่ตรงห้าตำแหน่ง ผนึกกำลังกันร่ายอิทธิฤทธิ์ล้อมโจมตี ทำให้ปรากฏการณ์ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปมาก ลมพัดเมฆม้วน ทั้งห้าคนตั้งกระบวนทัพตรึงการโจมตีทั้งหมดของจินหลัวเอาไว้
ตามที่ศิษย์ปราสาทดำเนินอัคนีโจมตีออกมา ลูกไฟร่วงลงจากฟ้าราวกับฝน ถล่มลงกลางป่าเจดีย์ที่กำลังพลิกม้วน บนแผ่นดินมีแสงไฟยิงมาจากทั่วทุกทิศ ลูกศิษย์ในป่าเจดีย์ที่มองทุกอย่างเป็นความว่างเปล่ากำลังเผยสีหน้าเจ็บปวดทุกข์ทรมานอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิง แต่กลับไม่บ่นและไม่เสียใจใดๆ
และในตอนนี้เอง ในรูนับไม่ถ้วนบนยอดเขาโดดเดี่ยวสีดำก็มีแสงสีทองพ่นออกมาบางๆ ทำให้ทั้งภูเขาเกิดแสงสว่างเรืองรอง
ปีศาจเฒ่าทั้งสามรวมทั้งทุกคนของสิบปราสาทดำเนินสีหน้าเปลี่ยนไปมาก
หันขวับกลับมาเห็นจินหลัวเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หันกลับมาอีกทีก็ไม่สนใจความเคลื่อนไหวข้างล่างแล้ว
ค่ายกลใหญ่ของเจดีย์สยบปีศาจเปิดใช้งาน มาถึงจุดหมายแล้ว ตอนนี้ถึงคราวที่เขาจะได้เปิดฉากสังหารใหญ่กับกลุ่มคนที่บุกเขาหลิงซานแล้ว
กำลังพลที่นำโดยหลานมู่ก็ไร้ความหวาดกลัวเช่นกัน ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ป่าเจดีย์ข้างล่างเสียหายอีก สังหารลงไปที่พื้นเลย
ระหว่างฟ้าดินเกิดการรบราฆ่าฟัน ไม่มีใครที่เขาหลิงซานได้รับความสงบสุขร่มเย็น ทุกที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจากการสังหาร ทุกหย่อมหญ้านำชีวิตมาต่อสู้กัน
ป่าเจดีย์นับแสนหลังไม่มีอีกแล้ว ทั้งหมดถูกทำลายในครั้งเดียว ไอสีดำที่ลอยเป็นเส้นๆ หายไปแล้ว แทนที่ด้วยควันโขมงภายใต้เปลวเพลิงเดือดที่แผดเผา
ในยอดเขาสีดำที่ตั้งตระหง่านท่วมท้นไปด้วยแสงสีทอง แต่กลับเงียบสงัดสงบสุข นั่นคือดาราจักรที่กว้างใหญ่ไพศาลผืนหนึ่ง
ในดาราจักรที่เงียบวิเวก ชายคนหนึ่งสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์คลุมด้วยผ้าสีเขียวอมฟ้า ในอ้อมอกกำลังอุ้มสตรีเท้าเปล่าคนหนึ่งลอยเงียบๆ อยู่ในดาราจักร
สตรีผู้นี้สวมชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงินทั้งตัว ชุดกระโปรงปลิวสะบัดเบาๆ อยู่ในดาราจักร ท่ามกลางผมดำขลับที่ปลิวเบาๆ บนแขนเปลือยสองข้างที่ห้อยตก บนเท้าเปล่าสองข้าง ทั้งร่างกายมีไอสีดำลอยวนเวียนอยู่กลุ่มหนึ่ง พรั่งพรูออกมาจากร่างกายไม่หยุด
ชายคนนี้อยู่ในท่าเดิมมาตลอด กอดนางไว้ในอ้อมอก ใบหน้าที่อ่อนโยนไม่เปลี่ยนแปลงแนบชิดกับแก้มของหญิงสาว ศีรษะแนบชิดอยู่ด้วยกัน อยู่เป็นเพื่อนหญิงสาวที่ตกอยู่ท่ามกลางไอสีดำ บนตัวมีเปลวเพลิงไหลเวียนไม่หยุด
ตรงด้านล่างของทั้งสองคน มีค่ายกลเล็กที่ทำจากยอดผลึกห้าธาตุกำลังหมุนวนทำงานอยู่หนาแน่น ในนั้นเกิดพลังจิตวิญญาณสีขาวสายหนึ่งกรอกขึ้นมาในร่างกายของทั้งสองที่ลอยอยู่ด้านบนอย่างไม่ขาดสาย ทุกครั้งที่พลังจิตวิญญาณสีขาวมีระดับความเข้มข้นน้อยลง ชายคนนี้ก็จะทำมือให้ว่างข้างหนึ่ง แล้วใช้ฝ่ามือปัดโบกเบาๆ เป็นท่วงท่าที่สง่างาม ราวกับกำลังแหวกว่ายอย่างอ่อนโยนอยู่ในคลื่นน้ำ ปรับค่ายกลข้างล่างใหม่อีกครั้ง ทำให้พลังจิตวิญญาณสีขาวที่กรอกเข้ามาไม่หยุดกลับมาเข้มข้นเหมือนเดิม
ดาราจักรฝั่งนี้เงียบสงัดไร้ที่สิ้นสุด ดวงดาวเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลดูเหมือนอยู่ใกล้แค่ตรงหน้า แต่กลับไม่มีทางเข้าใกล้ได้เลย ต่อให้เจ้าจะเหาะอย่างไรก็ไม่มีทางเข้าใกล้ได้แม้แต่น้อย
ตอนที่ไอสีดำบนตัวหญิงสาวเริ่มอ่อนจางไปทีละนิด จนกระทั่งหายไปหมดแล้ว เรือนร่างที่งดงามนุ่มนวลราวกับหยกน้ำแข็งถึงได้ปรากฏขึ้น ราวกับถูกโอบอุ้มให้นอนหลับสนิทอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ต่อให้อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากเช่นนี้ แต่ก็ถูกทะนุถนอมอย่างดีมาก ใบหน้านั้นงดงามอ่อนโยนจนไม่มีทางบรรยายได้ งดงามจนทำให้คนรู้สึกเหมือนเป็นภาพฝันมายา ในอากัปกิริยาที่สงบเยือกเย็นให้ความรู้สึกว่ากำลังดิ้นรนอยู่ในฝันร้าย นางขมวดคิ้วมุ่นเป็นระยะ เปลือกตาและริมฝีปากเป็นสีเขียวคล้ำ
นิ้วมือเรียวสวยขยับเล็กน้อย ชายที่ศีรษะแนบชิดกับนางเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาที่เป็นประกายดุจดวงดาวมองนางเงียบๆ ในแววตาที่สื่อความรู้สึกเอาใจใส่นั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
หญิงสาวลืมตาขึ้นช้าๆ ในดวงตางามสดใสมีไอสีดำลอยกระเพื่อมรางๆ พอลืมตามาเห็นชายที่อยู่ตรงหน้า คิ้วของหญิงสาวที่ขมวดเล็กน้อยก็คลายออกแล้ว นางเผยรอยยิ้มอ่อนๆ กล่าวอย่างอ่อนเพลียว่า “ชางไห่ ข้านึกว่าจะไม่ได้เห็นเจ้าแล้ว”
ทั้งสองก็คือประมุขไป๋กับประมุขปีศาจที่ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ
ประมุขไป๋ยกมือข้างหนึ่งลูกบแก้มนางเบาๆ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “จะเป็นไปได้ยังไง ข้าอยู่ข้างกายเจ้ามาตลอด”
สายตาของประมุขปีศาจหยุดอยู่ที่จอนผมสองข้างของเขา ยื่นมือไปลูบปอยผมสีขาวดุจหิมะของเขาช่อหนึ่ง แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย “ชางไห่ ทำไมผมเจ้าขาวแล้วล่ะ?”
ประมุขไป๋จ้องนาง พร้อมตอบเสียงเบาว่า “ปรารถนาหัวใจใครสักคน ไม่แยกจากกันแม้ผมหงอกขาว!”
ประมุขปีศาจยิ้มอย่างอ่อนโยน ใช้นิ้วทั้งห้าลูบบนแก้มของเขาอย่างไรเรี่ยวแรง “ข้าทำให้เจ้าลำบากโดนขังไปด้วยนานมากแล้วใช่มั้ย?”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่นานหรอก แค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น” ประมุขไป๋ปลอบโยน
“แต่ข้ารู้สึกเหนื่อยมาก…” ประมุขปีศาจเราด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย เปลือกตาเขียวคล้ำเริ่มจะลืมไม่ไหวแล้วเช่นกัน
ประมุขไป๋ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งแนบกับแก้มของนาง “เหนื่อยแล้วก็นอนพักก่อน อีกไม่นานข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่แล้ว”
ประมุขปีศาจส่ายหน้า “อย่าเสี่ยงอันตราย!” นางใช้แขนคล้องคอเขา เหมือนไม่อยากให้เขาทำอะไรซี้ซั้ว พยายามลืมตาอย่างไร้เรี่ยวแรง สุดท้ายก็หลับตาลงช้าๆ ศีรษะซบลงที่บ่าเขา ตกอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง
“ไม่เสี่ยงอันตรายหรอก…” ประมุขไป๋กระซิบข้างหูนาง แต่กลับกวาดมองดวงดาวที่แกว่งไกวรอบๆ ด้วยแววตาคมกริบราวกับมีด สองแขนปรับท่าทางให้นางนอนหมอบบนไหล่ของตัวเอง ใช้มือข้างหนึ่งโอบไว้ แล้วปล่อยมืออีกข้างออก
ในขณะนี้เอง ดาวดวงหนึ่งกลายเป็นดาวตกยิงพุ่งมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง
ประมุขไป๋ใช้ฝ่ามือลูบแผ่นหลังคนในอ้อมอกเบาๆ คลื่นเพลิงล่องหนครอบคนที่อยู่ในอ้อมกอด กันทุกสิ่งไว้ไม่ให้รบกวนการพักผ่อนของนาง
มืออ่อนโยนที่ออกจากแผ่นหลังของนางแล้วพลันเปลี่ยนเป็นแข็งแรงมีพลัง ใช้ดรรชนีกระบี่ยิงแสงกระบี่ออกมาสายหนึ่ง กระบี่บินโปร่งแสงเล่มหนึ่งยิงออกมาจากมือ
เสียงระเบิดดังตูมตาม ดาวตกที่พุ่งเข้ามาพังทลายในชั่วพริบตาเดียว
ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ประมุขไป๋รีบเอียงหน้ามองคนที่นอนหลับลึกอยู่ในอ้อมกอด แล้วสะบัดแขนเสื้อข้างเดียวต่อเนื่องกันหลายครั้ง แสงกระบี่ยิงออกมาเล่มแล้วเล่มเล่า
ดวงดาวที่อยู่โดยรอบสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง ยิงเข้ามาราวกับฝนตก เมื่อปะทะกับแสงกระบี่ที่ทยอยยิงเข้ามาก็พังทลายไปพร้อมกัน เสียงสะเทือนดังก้องอยู่ในอวกาศ
ดวงดาวนับไม่ถ้วนเหมือนได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวแล้วขยับทันที ถล่มยิงเข้ามาราวกับพายุฝน ยิงต่อเนื่องไม่ขาดสาย
แสงกระบี่นับไม่ถ้วนหมุนวนอย่างหนาแน่นราวกับพายุหมุน ประมุขไป๋ที่ใช้แขนข้างหนึ่งอุ้มคนไว้กำลังอยู่ท่ามกลางพายุหมุนแสงกระบี่ โบกแขนเสื้อควบคุมกระบี่ยิงไปทั้งสี่ด้านแปดทิศ ผ้าคลุมสีเขียวอมฟ้าปลิวสะบัดอยู่ข้างหลัง เจียดเวลามองคนที่กำลังหลับลึกอยู่ในอ้อมกอดเป็นระยะ
ดาวตกที่โจมตีเข้ามารอบๆ มีเยอะเกินไปจริงๆ ทั้งยังต่อเนื่องไม่หยุดด้วย พายุหมุนกระบี่ที่ขยายตัวออกกำลังถูกบีบให้หดเล็กลงทีละนิด
ผ้าคลุมสีเขียวอมฟ้าปลิวสะบัด จอนผมสีขาวสองข้างปลิวม้วนตามลม ประมุขไป๋ที่ใช้แขนข้างเดียวอุ้มคนหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาเขย่า แสงกระบี่รอบๆ ถล่มโจมตีอย่างดุเดือด เรียกได้ว่าทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน…
ที่โลกภายนอก ตัวภูเขาของยอดเขาโดดเดี่ยวสีดำปรากฏรอยแยก เปลือกเริ่มถล่มลงมาเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ เจดีย์วิเศษหลังมหึมาที่อยู่ข้างในปรากฏ ตัวเจดีย์เป็นสีดำขลับ เปล่งแสงสีทองระยิบระยับ
เจดีย์วิเศษไม่ใช่แค่ใหญ่เหมือนภูเขา แต่ยังแข็งแรงทนทานจนเหลือเชื่อ อู๋ฉาง หั่วเจินจวินและอินเอ้อร์หลางและพรรคพวกล้อมโจมตีอย่างไรก็โจมตีไม่แตก รวมกลุ่มใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงต่อเนื่องก็ยังยากที่จะทำลายได้
บนท้องฟ้าสูง อูเมิ่งหลันน้ำตาไหลโดยไร้เสียงขณะอุ้มร่างไร้วิญญาณของจ้าวเฟย บนตัวจ้าวเฟยโดนลูกธนูดาวตกยิงทะลุจนเป็นรูเลือดหลายสิบแผล เบิกตาโพลงไม่กระดิกกระเดี้ยแล้ว ซือคงอู๋เว่ย เถาชิงหลี เหวินฟางและหลัวผิงกำลังต้านกองทัพพระที่อยู่โดยรอบอย่างสุดชีวิต
ทำกลางศึกที่ชุลมุนวุ่นวายนี้ พวกเขาร่วมรุกร่วมถอย พึ่งพากันและกัน
กองทัพพระที่เฝ้าอยู่ที่เขาหลิงซานได้ ทั้งหมดล้วนเป็นกำลังพลที่เก่งกาจข้างกายประมุขพุทธะ พลังรบแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ทำให้ผู้ที่บุกโจมตีลำบากมาก
ในดาราจักร หลงซิ่นนำทัพใหญ่สองร้อยล้านตามมาโจมตีพร้อมตะโกนเสียงดัง พุ่งเข้ามาราวกับกระแสน้ำโจมตีกองทัพพระที่ต่อต้านอย่างดื้อรั้นจนกระจัดกระจาย
หลังจากกระแสน้ำนี้ผ่านไปแล้ว หลงซิ่นก็นำทัพโจมตีไปที่เขาหลิงซานโดยตรง
ท่ามกลางผู้รอดชีวิตที่หยุดรออยู่ในดาราจักร อวิ๋นรั่วซวงเลือดท่วมทั้งร่างกาย มองตามทัพใหญ่ของหลงซิ่นสังหารเข้าไปในเขาหลิงซานด้วยแววตาเหม่อลอย ในอ้อมกอดกำลังอุ้มฉู่หยวน สามีที่หัวไหล่หลุดไปแล้วข้างหนึ่ง บนตัวฉู่หยวนยังมีลูกธนูดาวตกเสียบคาลายดอก คนที่ยิงธนูยังไม่ทันเก็บลูกธนูกลับไป ก็โดนทัพใหญ่ของหลงซิ่นยิงตายแล้ว
อวิ๋นรั่วซวงที่แววตาเต็มไปด้วยความงุนงง ข้างหลังนางก็มีลูกธนูเสียบอยู่ดอกหนึ่งเช่นกัน พอออกจากแดนอเวจีมาก็เจอกับศึกใหญ่ที่โหดร้ายเช่นนี้แล้ว นางถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศึกนี้สู้ไปเพื่ออะไร รู้เพียงว่าพอเบื้องบนมีคำสั่งกะทันหัน ก็ทำให้นางกลายเป็นแม่หม้ายที่ไร้สามีไปแล้ว
ฉู่อวิ๋นอู๋ซวงลูกสาวของนางกำลังหมอบอยู่บนศพของบิดา ร้องไห้ฟูมฟายแทบขาดใจ ในช่วงเวลาสำคัญ เป็นบิดาที่มาขวางนางกับท่านแม่เอาไว้จากฝนลูกธนู ไม่อย่างนั้นคนที่ตายก็คงเป็นนาง
ในท้องฟ้า เหยียนซิวกับจินม่านที่รับหน้าที่บัญชาการอยู่ตรงกลางร่วมมือกันสังหารเข้ามา เมื่อเห็นว่ายอดฝีมือหลายคนข้างล่างร่วมมือกันแต่ยังสู้กับจินหลัวไม่ไหว จินม่านก็พลิกมือหยิบธนูใหญ่คันหนึ่งขึ้นมา นี่คือธนูเทพสังหาร ขณะกำลังจะลงมือกับจินหลัว จู่ๆ นางก็สีหน้าเปลี่ยนไป แล้วหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา
หลังจากติดต่อกัน เก็บระฆังดาราแล้ว ก็ตะคอกบอกพวกเหยียนซิวว่า “คุ้มครองข้า!”
พวกเหยียนซิวถลันตัวไปอยู่รอบกายทันที ตัดสิ่งรบกวนให้นาง สกัดข้าศึกที่โจมตีเข้ามา
กระโปรงยาวสีทองปลิวสะบัด คันธนูโบราณยาวประมาณหนึ่งจั้งเปล่งลำแสงหลากสีสันไหลเวียน ใช้ฝ่ามือข้างเดียวร่ายอิทธิฤทธิ์ผลักออกไปหนึ่งที ธนูคันใหญ่ตั้งนิ่งอยู่กลางอากาศ จินม่านควงแขนสะบัด ลูกธนูใหญ่สีดำขลับดอกหนึ่งก็ง้างไว้บนสายแล้ว หัวลูกธนูเล็งไปทางเจดีย์สยบปีศาจ จินม่านง้างสายและถอยหลังอย่างรวดเร็ว ง้างจนสายธนูกลายเป็นวงกลมเหมือนพระจันทร์เต็มดวง
ชั่วพริบตานั้น กลิ่นอายอันทรงพลังกระเพื่อมออกไป ธนูใหญ่พลันขยายตัวเป็นเงามายาที่ใหญ่ขึ้นรอยเท่าพันเท่า
จินหลัวที่อยู่ในเงาพระพุทธรูปใหญ่พลันหันไปมอง ทั้งตกใจทั้งโมโห อยากจะไปขัดขวาง แต่กลับถูกค่ายกลใหญ่ห้าธาตุของห้าประมุขปราสาทล้อมถ่วงไว้กลางอากาศ เงาพระพุทธรูปใหญ่ถูกดึงหมุนแล้ว
บึ้ม! เสียงดังสะเทือนราวกับฟ้าถล่มดินทลาย แสงเย็นสายหนึ่งที่เป็นเงาสีดำครึ้มพลันยิงออกไปจากสายธนูแล้ว
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับแล้วไปปฏิบัติตาม
ส่วนเหมียวอี้ก็ใช้ตาทิพย์สังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของกำลังพลสองฝั่งไม่หยุด…
ในหุบผาลึก เหยียนซิววางระฆังดารา แล้วประกาศต่อพวกจินม่านว่า “บุกโจมตีตามแผนเดี๋ยวนี้ เลื่อนเวลาไม่ได้แล้ว!”
เมื่อเขาประกาศเช่นนี้ พวกหั่วเจินจวินที่อยู่ข้างๆ ก็ฮึกเหิมทันที มีคนเริ่มขยับหัวไหล่ยืดเส้นยืดสายแล้ว
ประเดี๋ยวเดียวกำลังพลกลุ่มนี้ก็พุ่งไปทางดาราจักร พุ่งไปยังเขาหลิงซานด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี…
เขาหลิงซาน ท่ามกลางขุนเขาด้านหลังวัดต้าเหลยอิน ยอดเขาสีดำลูกหนึ่งดูโดดเด่นเป็นพิเศษท่ามกลางขุนเขา บนยอดเขาเต็มไปด้วยรูเหมือนรวงผึ้ง เป็นรูจำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนรอบๆ ภูเขาสีดำก็เป็นป่าเจดีย์จำนวนมาก ในเจดีย์ทุกหลังล้วนมีพระสงฆ์หนึ่งรูปนั่งขัดสมาธิหน้าออกไปหายอดเขาสีดำนอกหน้าต่าง
พระทุกรูปล้วนกำลังนั่งขัดสมาธิ ประนมมือหลับตา พึมพำสวดมนต์ บนยอดเจดีย์ทุกหลังมีไอสีดำลอยออกมาหลายชั้น ลอยไปยังภูเขาสีดำที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางระหว่างนั้น ยามมองลงไปจากท้องฟ้า ก็จะเหมือนกับมีเส้นด้ายสีดำนับหมื่นนับพันห้อยอยู่ มีพลังอย่างอธิบายไม่ถูก เป็นภาพที่โอ่อ่าอลังการ
ยอดเขาสีดำตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่นานมากแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่ตั้งตระหง่าอยู่ที่นี่ พระนับแสนรูปที่อยู่ในเจดีย์หนึ่งแสนหลังรอบๆ ก็สับเปลี่ยนกันมาประจำอยู่ที่นี่ เสียงสวดมนต์ดังทั้งวันทั้งคืนปีแล้วปีเล่าโดยไม่หยุดพัก เปลี่ยนเมลว่าเป็นสถานที่แห่งการเคารพเลื่อมใสที่สุดของเขาหลิงซาน
เงาคนกลุ่มหนึ่งเหาะเข้ามาอย่างหนาแน่น จินหลัว ศิษย์เอกของประมุขพุทธะจินหลัวอยู่ข้างหน้า นำลูกศิษย์ในสำนักจำนวนห้าแสนมาด้วยตัวเอง
ลูกศิษย์ห้าแสนนี้กับลูกศิษย์หนึ่งแสนในเจดีย์ก็คือสาเหตุที่ทำให้ในป่าเจดีย์แห่งนี้มีเสียงสวดมนต์ดังไม่หยุดพัก
รวบรวมลูกศิษย์ห้าแสนและนำมาที่นี่ด้วยตัวเอง จะเห็นได้ว่าจินหลัวให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ขนาดไหน
“อามิตตาพุทธ!” จินหลัวพนมมือหันหน้าไปทางยอดเขาโดดเดี่ยวสีดำ จากนั้นก็กางแขนสองข้างอย่างช้าๆ ลอยขึ้นมาในท่าโอบกอดฟ้าดิน
ลูกศิษย์ห้าแสนบนป่าเจดีย์กระจายตัวไปรอบๆ ทันที ทยอยกันเหาะลงจากฟ้า แล้วนั่งขัดสมาธิใต้เจดีย์แต่ละหลัง หลับตาประนมมือสวดมนต์
เสียงสวดโอมโอมเริ่มดังเป็นวงกว้างไร้ขอบเขต ทำให้คนรู้สึกถึงการสะเทือนอันลึกลับของฟ้าดิน ถ้าคนธรรมดาบุกเข้ามา เกรงว่าคงหลงทางอยู่ท่ามกลางเสียงสวดมนต์นี้
ป่าเจดีย์หนึ่งแสนหลัง ไอสีดำบนหลังคาของเจดีย์ทุกหลังเปลี่ยนเป็นแข็งแรงใหญ่โต
ในรูจำนวนนับไม่ถ้วนบนยอดเขาโดดเดี่ยวสีดำ เริ่มมีแสงเปล่งออกมาทีละน้อย ค่อยๆ ปรากฏแต่งสีทองอ่อน
ในขณะนี้เอง ศิษย์คนหนึ่งข้างกายจินหลัวรีบรายงานว่า “ท่านพุทธะ ด้านนอกปรากฏกำลังพลจำนวนมาก กำลังสังหารมาทางนี้!”
จินหลัวที่กำลังจ้องความเคลื่อนไหวของยอดเขาสีดำพลันเบิกตากว้าง สายตาเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นพร้อมบอกว่า “สกัดไว้ คนที่บุกเข้าเขาหลิงซาน ฆ่าไม่ละเว้น!”
“รับทราบ!” ลูกศิษย์ประนมมือเอ่ยรับ แล้วรีบใช้ระฆังดาราส่งข่าว
ในดาราจักร กองทัพพระนับร้อยล้านโผล่ออกมาจากดาวเคราะห์ที่ตั้งของเขาหลิงซาน พวกเขาจัดกระบวนทัพ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์นับไม่ถ้วนกำลังตั้งท่ารออยู่แล้ว
ที่นี่คือเขตหวงห้ามของชาวพุทธ เมื่อมีคนบุกเข้ามา ก็ย่อมถูกสังเกตเห็นก่อนที่จะเข้าใกล้ที่นี่ได้
พวกเหยียนซิวที่กำลังเร่งออกมาทางนี้ ขอเพียงไม่ได้ตาบอด ก็ยังมองเห็นว่ามาเพื่อสกัดทัพใหญ่
อวิ๋นอ้าวเทียนตะโกนว่า “ในมืออีกฝ่ายมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เยอะขนาดนั้น แต่ในมือพวกเรามีแค่เท่าไหร่เอง? ฝืนโจมตีไม่ได้ รอให้กองหนุนมาก่อนดีกว่า!”
เหยียนซิวกล่าวเสียงเย็นว่า “รอไม่ทันแล้ว ต่อให้แลกด้วยอะไรก็ต้องชิงเจดีย์สยบปีศาจมาให้ได้ นี่คือบัญชาของฝ่าบาท!”
“แน่ใจนะว่าตอนหลังกองหนุนจะมา?” มู่ฝานจวินถาม
“ใกล้แล้ว กำลังจะถึงเดี๋ยวนี้ ผู้ตรวจการขวาหลงซิ่นนำทัพใหญ่สองร้อยล้านมาด้วยตัวเอง” เหยียนซิวตอบ
“ในเมื่อไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อโจมตีอีกฝ่ายให้แพ้ ในเมื่อเป้าหมายหลักของพวกเราคือเจดีย์สยบปีศาจ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำตามลำดับขั้นตอนแล้ว ทัพใหญ่กระจายกันบุก ทุกคนต่างคนต่างบุก กำลังพลนับร้อยล้านเพ่นพ่านไปทั่ว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายยิงรวมกันก็ไม่ได้อานุภาพเท่าไหร่หรอก พวกเราสนใจแค่ไปชิงเจดีย์สยบปีศาจก็พอ ค่ายกลใหญ่ส่งให้กองหนุนที่ตามมาข้างหลังจัดการ ทุกคนคิดว่ายังไง?” มู่ฝานจวินถาม
อินเอ้อร์หลางยกนิ้วให้มู่ฝานจวิน “วิธีการของพวกป้าๆ ก็ไม่เลว!”
มู่ฝานจวินสะบัดหน้ามองมาด้วยแววตาโกรธเคืองทันที เหมือนกำลังถามว่า เจ้าเรียกใครว่าพวกป้าๆ?
“ไม่เลว!” คนอื่นพากันพยักหน้าเห็นด้วย
เหยียนซิวมองซ้ายมองขวา ถามความเห็นของทุกคน สำหรับการนำทัพไปออกรบ ประสบการณ์ของเขายังไม่มากพอ และหลายคนที่อยู่ตรงนี้ก็เป็นขุนพลเก่าทั้งนั้น
เห็นเพียงจินม่านพยักหน้าเห็นด้วย “วิธีการก็ไม่เลว แต่ต้องทำให้รวดเร็ว ฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายยังไม่รู้ตัว ไม่มีทางจัดทัพใหญ่ได้ทันเวลา พวกเราต้องลงมือกะทันหัน ชักช้าไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นถ้าให้อีกฝ่ายรู้ตัวแล้ว อีกฝ่ายก็จะถอนกำลังกลับมาเฝ้าอยู่ตรงเป้าหมายอย่างเข้มงวดทันที แบบนั้นจะกลายเป็นศึกที่บุกโจมตีลำบาก แบบนั้นก็ยุ่งแล้ว”
“ดี เช่นนั้นก็จัดการตามนี้ ลงมือ!” เหยียนซิวสั่งทันที
ชั่วพริบตานั้น เงาคนขยายออกเป็นชั้นๆ ทัพใหญ่แดนอเวจีนับร้อยล้านปรากฏตัว ตั้งกระบวนทัพใหญ่พุ่งไปยังทัพใหญ่ที่มาขัดขวางตรงหน้าแล้ว
“ฆ่า!” ตามคำสั่งของหกลัทธิ จู่ๆ ทัพใหญ่ก็เสียระเบียบ กองทัพแตกฮือแล้ว กระจายกันพุ่งเข้าไปมั่วๆ เรากับตาข่าย
กำลังพลของสิบปราสาทดำเนินยังไม่ได้เผยตัวออกมาทั้งหมด ลี่หัว เวินหวนเจินรวมทั้งพวกหั่วเจินจวินส่งสายตาให้กันแล้วพยักหน้า จากนั้นก็รวมตัวกันพุ่งไปยังทิศทางเดียว
ผู้บัญชาการกองทัพพระเหาะผ่านฟ้าเข้ามา ตั้งขบวนรบเรียบร้อยแล้ว เป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ของประมุขพุทธะ ชื่อว่าหลานมู่ เตรียมตัวทำศึกใหญ่กับกองทัพฝ่ายศัตรูแล้ว แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ ทัพใหญ่แดนอเวจีจะกระจายกันเพ่นพ่านเป็นทั่วเหมือนปล่อยฝูงแกะ หลานมู่งงเป็นไก่ตาแตกกันที
สองทัพประจัญหน้ากัน ทัพใหญ่เข่นฆ่า ไม่เคยเห็นวิธีการต่อสู้อย่างนี้มาก่อน
ไม่ใช่กระจัดกระจายธรรมดา แต่กระจัดกระจายไปทั่วสี่ด้านแปดทิศ ไม่มีแบ่งแยกลำดับความสำคัญ ทุกที่มีคนเพ่นพ่านไปทั่ว ทยอยกันหลบกำลังหลักของฝั่งนี้ เจ้าไม่รู้เลยว่าจะไปสกัดทางไหนดี
บรรดาแม่ทัพพระที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวาก็งงเช่นกัน พากันมองไปที่หลานมู่ เหมือนกำลังถามว่า แล้วจะสู้กันอย่างไร?
หลานมู่รู้ตัวเร็วมาก อีกฝ่ายไม่อยากสู้กับเจ้าเลย เป้าหมายหลักคือพุ่งไปหาเจดีย์สยบปีศาจ ยอมแลกกับทุกอย่างเพื่อสิ่งนี้
“ยิงธนู! ต่างคนต่างหาเป้าหมายแล้วยิงธนู!” หลานมู่คำรามอย่างเกรี้ยวกราด
ปั้งๆๆ! ลำแสงนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายไปทุกที่ราวกับเปลวเพลิง
บนสนามรบชุลมุนวุ่นวาย และโหดร้ายที่สุดเช่นกัน
จินม่านที่พุ่งเข้ามาพร้อมเหยียนซิวโบกมือยกโล่ขึ้นมาป้องกัน โล่สะเทือนเสียงดังแกร๊ง จินม่านก็แค่แขนสะเทือนอย่างรุนแรง อาศัยวรยุทธ์ของนาง ลูกธนูที่พุ่งเข้ามาโจมตีดอกเดียวทำให้นางบาดเจ็บไม่ได้แม้แต่น้อย
แต่บางคนที่วรยุทธ์ค่อนข้างต่ำก็สะเทือนจนกระอักเลือดทันที
มีบางคนโชคดี ไม่มีลูกธนูดาวตกยิงไปที่เขาสักดอก และมีคนโชคร้ายเช่นกัน คนเดียวบังเอิญโดนลูกธนูนับร้อยดอกเล็งมา ชีวิตจบสิ้นอยู่ในดาราจักรผืนนี้ตลอดไป
การยิงมั่วโดยไร้จุดหมายอย่างนี้ สกัดกำลังพลที่พุ่งเข้ามาจากสี่ด้านแปดทิศไม่ได้เลย หลานมู่กระโดดโลดเต้นอย่างร้อนรน ชี้ซ้ายชี้ขวา ชี้บนชี้ล่าง ตะโกนโหวกเหวกโวยวายไม่หยุด “สกัดไว้! สกัดไว้…”
ใช้เวลาไม่นาน ทัพใหญ่ที่เข้ามาสกัดขวางก็วุ่นวายเสียระเบียบ โจมตีสกัดทุกด้าน
ไม่เป็นฝ่ายรุกโจมตีคงไม่ได้ อีกฝ่ายไม่เล่นกับเจ้า กระจายตัวกันแล้ว อ้อมหนีเจ้าไป ถ้าเจ้าไม่กระจายตัวกันแล้วเป็นฝ่ายดักไว้ก่อน ฝ่ายศัตรูก็จะหนีไปได้
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังมีคนไม่น้อยที่อ้อมการดักสกัดของทัพใหญ่ ฝ่าชั้นบรรยากาศข้างล่างไปได้แล้ว
เพี้ยะ! หลานมู่เอามือตบหน้าผาก ทำสีหน้าหงุดหงิด แล้วโบกแขนนำกำลังพลส่วนหนึ่งถอยไปข้างหลัง ค่อยไปยังจุดหมายปลายทางที่ฝ่ายศัตรูอาจจะไปถึง
เขาอยากจะเรียกทัพใหญ่ให้ถอยหลังมาทั้งหมด แต่ก็ไม่ทันแล้ว คนของทั้งสองฝ่ายจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังตะลุมบอนอยู่ด้วยกัน ถ้าจะให้ทัพใหญ่ถอนตัวออกจากความวุ่นวายตอนนี้ ก็จะกลายเป็นการไล่ตามสังหารข้างเดียว ถ้าเกิดสถานการณ์ทัพถูกตีพ่ายเหมือนภูเขาพังทลายก็จบเห่แล้ว
ลี่หัวและพวกสิบปราสาทดำเนินห้าวหาญมาก ทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือ คนที่มาสกัดพวกเขาไว้ก็โชคร้ายเช่นกัน เพราะสกัดพวกเขาไม่ไหวเลย คนกลุ่มนี้พุ่งตรงไปยังเป้าหมายโดยไร้อุปสรรคขวางกั้น
เหยียนซิวเปลี่ยนลักษณะท่าทางอย่างฉับพลัน ผมหงอกขาวปลิวสะบัด เล็บมือสีเขียวคล้ำทั้งสิบเปลี่ยนเป็นยาวแหลม ทั้งตัวมีปราณผีเยียบเย็นลอยวนเวียน พวกจินม่านที่ติดตามมาด้วยพากันตกใจ สิ่งที่ทำให้พวกจินม่านขนลุกยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่ว่าศัตรูคนไหนที่เข้ามาขวาง ก็ต้านการโจมตีของเงาร่างที่เหมือนผีไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว กรงเล็บของเหยียนซิวเจาะทำลายเกราะราวกับหั่นเต้าหู้ ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธเลย สองมือก็คืออาวุธที่เฉียบแหลมไร้ที่เปรียบ
คนกลุ่มหนึ่งสังหารไปทางเขาหลิงซานอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางกลุ่มคนที่รบราฆ่าฟันกันชุลมุน อวิ๋นรั่วซวงที่มีบุคลิกของสตรีออกเรือนแล้วดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ นางกับฉู่หยวนผู้เป็นสามีกำลังตกอยู่ในวงล้อมโจมตีของศัตรูหลายสิบคน ระหว่างทั้งสองยังมีหญิงสาววัยแรกรุ่นผู้เลอโฉมอยู่คนหนึ่ง หน้าตาคล้ายกับอวิ๋นรั่วซวงอยู่หลายส่วน เป็นบุตรสาวของทั้งสองนั่นเอง
พ่อแม่ลูกกำลังดิ้นรนโจมตีฝ่าออกไปอย่างสุดชีวิต ความคิดหลักๆ ของสองสามีภรรยาก็คือปกป้องลูกสาว ทั้งสองไม่อยากให้ลูกสาวมาร่วมรบ แต่ทัพใหญ่แดนอเวจีเทรังออกมาหมด ธรรมเนียมของตระกูลอวิ๋นก็เป็นอย่างนี้ คนที่สามารถออกรบได้ต้องมากันครบ ลูกสาวของพวกเขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เมื่อจินหลัวที่ลอยอยู่บนฟ้าเหนือป่าเจดีย์รู้ว่าการโจมตีสกัดข้างนอกวุ่นวายแล้ว ก็ตะคอกอย่างโมโห “โง่เง่า! ไม่รู้เหรอว่าต้องถอนกำลังกลับมาป้องกันทันที?”
ทว่าในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว มานึกเสียใจทีหลังก็ไม่มีประโยชน์
เขาเงยหน้ามองเงาคนที่ปรากฏรางๆ บนท้องฟ้า แล้วก็ก้มหน้ามองแสงสีทองที่เริ่มผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในรูนับไม่ถ้วนบนยอดเขาโดดเดี่ยวสีดำ เมื่อเห็นว่าค่ายกลใหญ่กำลังจะเปิดใช้งาน จะมาล้มเหลวตอนท้ายไม่ได้เด็ดขาด เขาประนมมือสองข้าง แล้วกล่าวเสียงดังว่า “อามิตตาพุทธ! ทุกสิ่งล้วนเป็นสังขตธรรม ดุจภาพฝันมายา ดุจน้ำค้างดุจสายฟ้า ควรพินิจเช่นนี้ ปิดประสาทสัมผัสทั้งหก เฉกเช่นพระอจละ!”
ลูกศิษย์หกแสนที่ป่าเจดีย์ด้านล่างพลิกฝ่ามือสองข้าง ร่ายอิทธิฤทธิ์ปิดประสาทสัมผัสทั้งหกของตัวเอง ไม่รับผลกระทบจากสิ่งภายนอกอีก สวดมนต์ด้วยความเลื่อมใส
เวลานี้ต่อให้ฟ้าร้องครืนๆ หรือมีสายฟ้าฟาดลงมาก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาแล้ว
บนท้องฟ้า คนกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาสังหาร โจมตีมาตลอดทาง คนหนึ่งแสนกว่าของสิบปราสาทดำเนินปรากฏตัวทั้งหมด หลานมู่นำกำลังพลหนึ่งล้านมาสกัดอย่างสุดชีวิต ทว่าคนจำนวนหนึ่งแสนกว่าของสิบปราสาทดำเนินมีพลังแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ กอปรกับอีกฝ่ายยอมแลกทุกอย่างเพื่อบุกลงมา กำลังพลหนึ่งล้านที่เขานำมาจึงยากจะต้านไหว
เมื่อเห็นแสงสีทองที่ผลุบโผล่จากรูนับไม่ถ้วนในยอดเขาโดดเดี่ยวสีดำสว่างโชติช่วงขึ้นเรื่อยๆ อู๋ฉาง หั่วเจินจวินและอินเอ้อร์หลางที่พุ่งเข้ามาก็เผยสีหน้าร้อนรน ทันใดนั้นก็ร่วมมือกันพุ่งฝ่าวงล้อม ทั้งสามร่วมมือกันพุ่งลงมาข้างล่างอย่างสุดชีวิต
จินหลัวพลันเงยหน้ามองบนท้องฟ้า ประนมมือแล้วสะบัดแขนเสื้อไปด้านหลัง บนตัวมีเงามายาลอยสูงขึ้นมาเป็นพรวน ชั่วพริบตาเดียวก็พุ่งไประหว่างสามคนนั้น เงาฝ่ามือที่หมุนรอบตัวถล่มไปทั้งสี่ด้านแปดทิศ
ปีศาจเฒ่าทั้งสามร่วมมือกันล้อมโจมตี แต่กลับโดนเงาฝ่ามือที่ถล่มเข้ามาจนกระอักเลือด ทั้งสามเงยหน้าพ่นเลือดสดออกมาอย่างบ้าคลั่ง พร้อมทั้งกระเด็นออกไปเพราะแรงสะเทือน
เงาคนคนหนึ่งบนฟ้าเหาะเข้ามาราวกับเทพธิดา ลี่หัวพุ่งลงมาข้างล่างราวกับดาวตก นางชี้นิ้วลงมาพร้อมเสียงแหลม แสงสีเงินสายหนึ่งตรงปลายนิ้วยิงตรงลงมาหาจินหลัวที่อยู่ด้านล่าง
จินหลัวที่หมุนวนอยู่บนท้องฟ้าตบฝ่ามือ นอกร่างกายก็มีเงามายาที่เหมือนรอยแยกมิติครอบหนึ่งชั้น แสงสีเงินที่ยิงลงมาจมหายไปในนั้น ทำอะไรจินหลัวไม่ได้แม้แต่น้อย
…………………
ซือหม่าเวิ่นเทียนถูกยั่วโมโหอีกแล้ว ถลึงตาใส่โพ่จวิน เก็บกลั้นคำด่าทักทายบรรพบุรุษไว้ในลำคอไม่พูดออกมา สุดท้ายก็หันไปอีกข้าง ขี้คร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับตาแก่ทึ่มคนนี้
สำหรับสิ่งนี้ ประมุขชิงเห็นจนชินแล้ว อย่าว่าแต่ไม่ไว้หน้าซือหม่าเวิ่นเทียนเลย แม้แต่หน้าของเขา โพ่จวินก็ยังตอกหน้าเหมือนเดิม
เห็นได้ชัดว่าประมุขพุทธะรู้จักนิสัยเจ้าอารมณ์ของโพ่จวินเป็นอย่างดีเช่นกัน ไม่ได้มีปฏิกิริยาแปลกใจอะไร พากลับสู่ประเด็นหลัก “ทางด้านก่วงลิ่งกง ยังต้องคอยดูสถานการณ์แล้วป้องกันไว้สักหน่อย มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะรอให้พวกเราเข้าร่วมศึกนี้เพื่อถ่วงกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อไว้ จากนั้นก็ฉวยโอกาสหนีไป ในจุดนี้จะไม่ป้องกันไม่ได้ พอเข้าไปร่วมด้วยแล้วก็ต้องคิดหาทางดักไว้ อย่าให้กำลังพลของก่วงลิ่งกงมีโอกาสปลีกตัวออกไป”
“อืม!” ประมุขชิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ชำเลืองมองซ่างกวนชิงที่เดินมาถึงตรงประตูแต่ลังเลไม่กล้าเข้ามา แล้วถามตรงๆ เลยว่า “สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
หลายคนมองไปพร้อมกัน ซ่างกวนชิงรีบเดินเข้ามาทันที แล้วรายงานอย่างระมัดระวังว่า “ฝ่าบาท รู้ตัวคนที่รับผิดชอบฝั่งสิบปราสาทดำเนินแล้ว หลังจากติดต่อซ้ำไปซ้ำมา ก็พบว่าสายลับที่แทรกไว้ทางสิบปราสาทดำเนินขาดการติดต่อทั้งหมด ติดต่อไม่ได้เลยสักคนขอรับ ไม่สามารถสืบสถานการณ์ทางฝั่งสิบปราสาทดำเนินได้เลย”
ประมุขชิงขบกรามแน่น ซือหม่าเวิ่นเทียนแล้วคนอื่นไม่พูดอะไร
ซ่างกวนชิงเหลือบตาขึ้นสังเกตสีหน้าของประมุขชิง แล้วกล่าวเสริมว่า “ให้คนอื่นของหน่วยตรวจการขวาลองติดต่อเกาก้วน ไม่เพียงแค่ติดต่อไม่ได้ ทั้งยังพบว่าก่อนไปเกาก้วนได้ออกคำสั่งไว้ สั่งให้สมาชิกหน่วยตรวจการขวาที่ปฏิบัติภารกิจสายลับอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ หยุดทำภารกิจและซ่อนตัว ปล่อยให้คนของหนิวโหย่วเต๋อโจมตีสกัดกำลังพลชาวพุทธที่จะรวมตัวกันไม่ต้องไปขัดขวาง และถ้าไม่มีคำสั่งของเกาก้วน นอกจากบัญชาของฝ่าบาทแล้ว คนอื่นก็ไม่มีอำนาจในการใช้งานสมาชิกหน่วยตรวจการขวาอีก”
ประมุขพุทธะขยับนิ้วนับลูกประคำ กล่าวเสียงต่ำว่า “ดูท่าแล้ว เกาก้วนคุณนี้จะมีปัญหาจริงๆ”
ประมุขชิงกล่าวด้วยใบหน้านิ่งตึง “ให้คนที่อยู่ใกล้กับสิบปราสาทดำเนินไปตรวจสอบสักหน่อย ยืนยันสถานการณ์” การที่พูดอย่างนี้ออกมาได้ ก็แสดงว่าเขายังทำใจเชื่อได้ยากว่าเกาก้วนจะทรยศเขา เป็นเพราะไม่มีเหตุผลที่อีกฝ่ายจะทรยศเขา
“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงได้รับอย่างระวังตัว
ไม่ระวังตัวไม่ได้หรอก ดาบอ่อนของเกาก้วนแทงจนเขาเจ็บจุก หลักการก็เรียกง่ายมาก ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าล้วงอธิบายได้แล้วว่าเกาก้วนทรยศประมุขชิงจริงๆ รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าหลังจากเรื่องนี้ถูกเปิดโปงแล้ว ประมุขชิงก็ไม่มีทางเชื่อคำพูดของเขาอีก แต่เกาก้วนกลับยังพูดทิ้งท้ายอย่างนั้นไว้ บอกว่าซ่างกวนชิงเป็นไส้ศึก ชัดเจนว่ากำลังเสี้ยมแตกคอกันเอง เกาก้วนสมองมีปัญหาหรือว่าอย่างไร?
หลักการนี้ไม่มีทางที่ประมุขชิงจะไม่เข้าใจ ซ่างกวนชิงก็ไม่รู้เช่นกันว่าประมุขชิงจะคิดอย่างไร
ประมุขชิงเพิ่งจะสั่งให้คนของหน่วยตรวจการขวาปฏิบัติภารกิจเดิมก่อนหน้านี้ต่อไป จินฉื้อ ลูกศิษย์ของประมุขพุทธะก็รีบมารายงานข่าวด่วนว่า “ท่านอาจารย์ อารามแปดทิศถูกทัพใหญ่โจมตี เป็นกำลังพลประมาณสามร้อยล้าน นำโดยจอมพลเหิงอู๋เต้า ลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อ เกรงว่าคงมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยล้านคัน อารามแปดทิศคงต้านทานได้ไม่นานนะขอรับ”
ในรถมังกร ขณะกำลังครุ่นคิดถึงจุดประสงค์ของหนิวโหย่วเต๋อ อวี้หลัวช่าก็ปรากฏตัวอยู่ด้านนอก เข้ามารายงานว่า “ปรมาจารย์พุทธะ ศิษย์ในสำนักยืนยันแล้ว เป็นคนของปราสาทดำเนินนภาจริงๆ ไม่ได้มีแค่ขนของปราสาทดำเนินนภาเท่านั้น ตอนที่ตรวจสอบยังพบคนอื่นด้วย ประมุขของสิบปราสาทดำเนินอยู่กันครบ”
“มีกำลังพลเท่าไหร่?” ประมุขพุทธะถาม
“ยังยืนยันไม่ได้ ตอนที่ลูกศิษย์ในสำนักตรวจสอบพบ ก็โดนอีกฝ่ายโจมตี มีส่วนหนึ่งบาดเจ็บล้มตาย มีส่วนหนึ่งหนีออกมาได้ นับดูคร่าวๆ แล้วมีประมาณแสนกว่าคน” อวี้หลัวช่าตอบ
โพ่จวินกล่าวว่า “อารามแปดทิศตรวจสอบเข้มงวดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทำไมปล่อยให้คนของสิบปราสาทดำเนินเข้าไปเยอะขนาดนั้นได้?”
ประมุขพุทธะกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถ้าไม่ได้เข้าไปด้วยช่องทางอื่น ก็แสดงว่าไส้ศึกทางอารามแปดทิศรับเข้าไป คนของสิบปราสาทดำเนินเฝ้าอยู่ใกล้เขาหลิงซาน จุดประสงค์คืออะไรล่ะ?คงไม่ต้องให้เขาพูดมากแล้ว นอกจากเจดีย์สยบปีศาจก็ไม่มีเป้าหมายอื่นแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกจากอารามแปดทิศ ถ้ามีทางลับอื่นอีกจริงๆ ก็คงไม่ต้องโจมตีอารามแปดทิศ คงเข้ามาผ่านทางลับเงียบๆ ใช้กำลังทหารที่เพียงพอโจมตีเข้าเขาหลิงซานมุ่งตรงสู่เจดีย์สยบปีศาจโดยตรง จะได้เอาตัวเจ้าสามไป๋ตกมาโดยเร็วที่สุด”
ประมุขชิงหรี่ตา “มีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคือสิบปราสาทดำเนินรู้ว่าแดนสุขาวดีไม่มีกำลังทหาร ซ่อนตัวไม่เคลื่อนไหว กำลังพลด้านนอกโจมตีอารามแปดทิศก็เพื่อหลอกล่อให้กำลังพลของเขาหลิงซานไปช่วยที่อารามแปดทิศ เมื่อไม่มีกำลังทหารที่เขาหลิงซานแล้ว สิบปราสาทดำเนินก็จะฉวยโอกาสเข้าไป ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง นั่นก็คือโจมตีอารามแปดทิศเพราะอยากล่อให้พวกเราไปสนับสนุน หนิวโหย่วเต๋อจะได้สู้กับก่วงลิ่งกงได้เต็มที่ ถ้าพวกเราไม่ไปช่วย แล้วอารามแปดทิศโดนโจมตีแตก กำลังพลสังหารเข้าไปผนึกกำลังกับคนของสิบปราสาทดำเนิน เกรงว่าจะรักษาเขาหลิงซานไว้ไม่ได้ สรุปก็คือไม่ว่าพวกเราจะไปช่วยหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งเขาหลิงซานหรือก่วงลิ่งกง ก็ต้องมีสักฝั่งที่หนิวโหย่วเต๋อทำสำเร็จ แค่ต้องดูว่าพวกเราจะเลือกยังไง!”
โพ่จวินกล่าวอย่างเด็ดขาดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต้องสนใจฝั่งเขาหลิงซานแล้ว ควรจะทำยังไงก็ทำอย่างนั้น กำจัดหนิวโหย่วเต๋อก่อน!”
ประมุขพุทธะกับประมุขชิงสบตากันแวบหนึ่ง ทั้งสองตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มีเพียงทั้งสองที่รู้ชัดเจนที่สุดว่ากุญแจสำคัญของปัญหาอยู่ตรงไหน จะสังหารเจ้าสามไป๋ดีหรือไม่?
ถ้าไม่ไปสนับสนุน ฝั่งนี้ก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าสามไป๋หลุดพ้นออกจากเจดีย์สยบปีศาจ จะต้องลงมือสังหารแน่นอน แต่ปัญหาก็คือเจ้าสามไป๋ยังมีร่างทิพย์อีกร่างอยู่ข้างนอก แม้จะขังเจ้าสามไป๋ไม่ได้ แต่ร่างทิพย์ก็ถูกควบคุมโดยร่างหลัก สามารถแยกตัวเป็นอิสระได้ เมื่อร่างหลักไม่อยู่แล้ว ร่างทิพย์จะต้องฝึกตนใหม่เอง เมื่อร่างทิพย์ฝึกตนใหม่เองจนแยกตัวได้สำเร็จ นี่ก็ไม่ใช่การเริ่มฝึกตนใหม่ตั้งแต่ต้น หลักการไม่ได้ซับซ้อนเลย การขุดบ่อใหม่เพื่อกักเก็บน้ำ กับบ่อที่ขุดไว้แล้วแต่น้ำแห้ง ความเร็วในการกรอกน้ำเข้าไปอีกครั้งจะเหมือนกันได้อย่างไร? อย่างแรกคือบุกเบิกใหม่ตั้งแต่ต้น อย่างที่สองคือมีความจุเดิมอยู่แล้ว และประสบการณ์การฝึกตนที่ร่างเดิมของเขามี ก็ล้วนเป็นของสำเร็จรูปอยู่แล้วทั้งนั้น
ขอเพียงมีทรัพยากรเพียงพอ เจ้าสามไป๋คนใหม่ใช้เวลาไม่กี่ปีก็จะปรากฏตัวได้อีกครั้งแล้ว พวกเขารู้อย่างลึกซึ้งว่าความสามารถของเจ้าสามไป๋นั้นน่ากลัวกว่าหนิวโหย่วเต๋อมาก เป็นตัวละครที่เหมือนมารปีศาจ แม้แต่เซี่ยโห้วท่ายังหวาดกลัว การปล่อยให้ร่างทิพย์ของเจ้าสามไป๋หนีไปในปีนั้น ก็คือความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุดจริงๆ
เจดีย์สยบปีศาจเป็นของวิเศษชิ้นหนึ่ง และเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ด้วย ร่างเดิมของเจ้าสามไป๋ถูกขังอยู่ในนั้น ขอเพียงร่างทิพย์ปรากฏตัวในเขตตำหนักสวรรค์ ก็จะสังเกตเห็นตำแหน่งคร่าวๆ ทันที แต่ถ้ากำจัดร่างเดิมของเจ้าสามไป๋แล้ว ร่างทิพย์ก็จะไปมาในเขตตำหนักสวรรค์โดยไม่ต้องกังวลอะไรอีก
พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้ากำจัดร่างเดิมของเจ้าสามไป๋ ให้อิสระกับร่างทิพย์แล้ว เรื่องที่ทำในปีนั้นก็จะสูญเปล่า แล้วจะไม่ให้ทั้งสองลังเลสับสนได้อย่างไร
อาณาเขตดาวนิรนามตรงหน้าปรากฏสายลับของก่วงลิ่งกงไม่ขาดสาย คอยนำทางให้กำลังพลกลุ่มนี้ แต่ในรถมังกรกลับตกอยู่ในความเงียบ
“เหตุใดต้องลังเล?” โพ่จวินเสียงดังทำลายความเงียบ “ฝ่าบาท คุณชายพุทธะ ขออภัยที่ข้าน้อยพูดตรง คุณชายสามไป๋เป็นคนที่สติปัญญาใกล้จะเป็นปีศาจแล้ว เขาตีแผ่เรื่องราวแล้ว พวกท่านคิดว่าเขาจะทำเรื่องที่ไม่มั่นใจหรือ? เรื่องไร้สาระอย่างสิบปราสาทดำเนินอะไรนั่นไม่ต้องไปดู จะทำให้ตาพร่าเลือนได้ วิเคราะห์ไปวิเคราะห์มาก็ทำให้ตัวเองเลอะเลือนเสียเปล่าๆ แค่คู่ต่อสู้เป็นคุณชายสาม ก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าถ้าทัพใหญ่แดนรัตติกาล พลังป้องกันของเขาหลิงซานมีจำกัด เกรงว่าจะติดกับดักแล้ว ตอนนี้เพิ่งคิดจะกลับไปช่วย ก็คงสายไปแล้ว! เป็นไปได้สูงว่าการโจมตีอารามแปดทิศคือแผนล่อศัตรู อยากจะล่อพวกเรากลับไปเพื่อช่วงชิงเวลาให้หนิวโหย่วเต๋อ ถ้าพวกเรากลับไปช่วยจริงๆ เกรงว่ายังไม่ทันถึงเขาหลิงซาน อีกฝ่ายก็ทำสำเร็จแล้ว ถ้าคิดจะกลับมาหาก่วงลิ่งกงอีกครั้ง ยังจะมาทันอยู่เหรอ? การสู้กับคนอย่างคุณชายสาม ถ้าคิดจะเล่นงานระยะยาว พวกเราคงวางแผนไม่ชนะเขา ดังนั้นจะทำตามจังหวะของเขาไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงยาวไกลขนาดนั้นด้วย แก้ไขปัญหาที่อยู่ตรงหน้าก่อน ถ้าแม้แต่เรื่องตรงหน้ายังแก้ไขไม่ได้ ปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อฮุบกำลังพลของก่วงลิ่งกงไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านกำลังพลพวกเราก็สู้เขาไม่ได้ ถ้าจะสู้กันตัวต่อตัวก็เกรงว่าคงไม่มีใครสู้คุณชายสามไว้ ถึงตอนนั้นยังจะเล่นยังไงต่อได้อีก? จนป่านนี้แล้ว ถ้ายังคิดจะได้เปรียบทั้งสองฝั่งทั้งที่อยู่ในมือคุณชายสาม ก็คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ พวกเราต้องรักษาไว้ฝั่งหนึ่ง ไม่ต้องสนใจภายหลัง จัดการเรื่องที่อยู่ตรงหน้าให้ดีก่อน! สองทัพสู้กัน ทำให้ตัวเองยืนได้มั่นคงก่อน จะให้คนจูงจมูกเดินไม่ได้เด็ดขาด!”
เสียงดังที่แม้แต่คนหูหนวกยังได้ยิน ทำให้ประมุขพุทธะกับประมุขชิงเผยสีหน้าเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน
ประมุขพุทธะพยักหน้า “ใช่แล้ว สิ่งที่โพ่จวินแม้จะไม่น่าฟัง แต่กลับเป็นหลักการที่ถูกต้อง เป็นพวกเราที่มองผิวเผินไป”
โพ่จวินถอนหายใจ “สองทัพสู้กัน ผู้โจมตีไร้ความหวาดกลัว ผู้ป้องกันเลี่ยงไม่ได้ที่จะพบอุปสรรคทุกที่ ควรต้องเลือก! ไม่ใช่เพราะคำพูดของข้าน้อยมีเหตุผลหรอก แต่เป็นฝ่าบาทกับคุณชายพุทธะที่เผชิญกับเรื่องนี้แล้วกังวลผลได้ผลเสียเกินไป หวังว่าจะตัดสินใจให้เด็ดขาด!”
“คำพูดมีเหตุผล!” ประมุขชิงหันกลับมามองประมุขพุทธะ แล้วพยักหน้าแรงๆ
ประมุขพุทธะสั่งจินฉื้อลูกศิษย์ของตัวเองว่า “บอกจินหลัว อย่าเก็บคนในเจดีย์สยบปีศาจเอาไว้ ลงมือได้!”
“รับทราบ!” จินฉื้อประนมมือ
เมื่อตัดสินใจเรื่องนี้ได้แล้ว ประมุขพุทธะกับประมุขชิงก็สบตากันอย่างผ่อนคลายเบาใจ กวาดความกังวลทิ้งไปแล้ว จิตวิญญาณที่มีปณิธานอันยิ่งใหญ่กลับเข้าร่างอีกครั้ง…
เหมียวอี้ที่ขี่มังกรดำอยู่ในดาราจักรได้รับข่าวจากอวี้หลัวช่าทันที
หลังจากได้รู้เรื่องการตัดสินใจของประมุขชิงและประมุขพุทธะ เหมียวอี้ก็แอบด่าโพ่จวินว่าโจรเฒ่า ทำงานใหญ่ของเขาพัง!
ทว่าเรื่องที่เหนือความคาดหมายของเขาก็เกิดขึ้นแล้ว เหมียวอี้หยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาจ้อง เป็นคนเดียวที่ไม่ได้ติดต่อเขามานานแล้ว เทพพยากรณ์!
เหมียวอี้เขย่าระฆังดาราตอบกลับ : ในที่สุดท่านก็ปรากฏตัวแล้ว!
เทพพยากรณ์ : คนในเจดีย์สยบปีศาจอดทนได้ไม่นานแล้ว แย่งชิงเจดีย์สยบปีศาจมาก่อน!
เหมียวอี้ : ท่านอยู่ที่ไหน?
เทพพยากรณ์ : หากมีวาสนาก็ย่อมได้พบกันอีก
จากนั้นก็ตัดขาดการติดต่อไป
หลังจากคุณคิดครู่เดียว เหมียวอี้ก็ยกมือหยุดกำลังพลที่กำลังเดินทางไปข้างหน้า แล้วหันกลับมา ใช้ตาทิพย์ตรวจดูกำลังพลของประมุขชิงและประมุขพุทธะที่ตามมาข้างหลัง
“ท่านอ๋อง หยุดทำไมขอรับ?” เฉิงไท่เจ๋อถาม
“แผนมีการเปลี่ยนแปลง!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ แล้วโบกมือส่งสัญญาณให้เปลี่ยนทิศทาง ก่อนจะนำกำลังพลเข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนามอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เขาอยากจะเห็นนักว่าถ้าตัวเองหลบจนอีกฝ่ายตามหาไม่เจอแล้ว กำลังพลของประมุขชิง ประมุขพุทธะและก่วงลิ่งกงจะเล่นกับเขาอย่างไรอีกในอาณาเขตดาวนิรนามนี้ พร้อมถามหยางเจาชิงว่า “กำลังพลของหลงซิ่นไปถึงไหนแล้ว?”
“ไปถึงบริเวณเป้าหมายแล้วขอรับ กำลังรอคำสั่งจากฝ่าบาท” หยางเจาชิงตอบ
เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำว่า “บอกเหยียนซิวให้ลงมือได้เลย ไม่ต้องถ่วงเวลาอีก ต้องชิงเจดีย์สยบปีศาจมาให้ได้เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ต้องเอามาให้ได้ สั่งให้หลงซิ่นไปสนับสนุนทันที! อารามแปดทิศป้องกันง่ายโจมตียาก ไม่จำเป็นต้องดันทุรังโจมตีอีกแล้ว สั่งให้เหิงอู๋เต้ถอนกำลังและรักษากำลังไว้ ค่อยรอโอกาสเคลื่อนไหวอีกที!”
เดิมทีเขาคิดจะใช้กำลังพลแดนอเวจีเพื่อดึงดูดความสนใจของฝ่ายตรงข้าม ใครจะคิดว่าจะมีคนของสิบปราสาทดำเนินโผล่มาประสมโรง ตอนหลังทำได้เพียงใช้ประโยชน์จากคนของสิบปราสาทดำเนินเพื่อดึงดูดความสนใจศัตรู ผลปรากฏว่าทำไปทำมา แผนก็ยังมีการเปลี่ยนแปลง โดนโพ่จวินก่อกวนจนเสียแผนแล้ว
…………………………
ซ่างกวนชิงมองประมุขชิงตาปริบๆ
“ไม่ต้องแสร้งทำท่าทางน่าสงสาร เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรอ?” ประมุขชิงถามเสียงเรียบ
โพ่จวิน อู๋ฉวี่และซือหม่าเวิ่นเทียนที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงแล้วเดินเข้ามา ซือหม่าเวิ่นเทียนรับแผ่นหยกจะมือซ่างกวนชิงมาอ่านก่อน หลังจากอ่านแล้วก็ทำสีหน้าเหมือนพูดไม่ออก มองไปที่ซ่างกวนชิงด้วยสายตาแปลกๆ
ตามด้วยอู๋ฉวี่ แล้วสุดท้ายก็โพ่จวิน หลังจากอ่านแล้วทุกคนก็ขมวดคิ้วอย่างพูดไม่ออก
สุดท้ายประมุขชิงก็นำแผ่นหยกกลับมาอีก ตรวจอ่านดูอีกครั้ง ยืนยันซ้ำไปซ้ำมา จนแน่ใจแล้วว่าเป็นสิ่งที่เกาก้วนเขียนไว้
เขากลัดกลุ้มเพราะคิดไม่ออก เกาก้วนทำอย่างนี้สื่อถึงกี่ความหมาย?
เหมือนหมายความว่าพูดทิ้งท้ายแล้วจากไป หมายความว่าจะบอกความลับให้เขารู้ หมายความว่าจะเตือนให้เขาระวังตัว แล้วหมายความว่าใส่ร้ายซ่างกวนชิงเช่นกัน ทั้งยังดูเหมือนกลัวประสบเคราะห์ร้าย ถูกบีบให้หนีไป ทำให้คนนึกเชื่อมโยงไปต่างๆ นานา
เมื่อครู่นี้ถ้าไม่เอ่ยถึงว่าเวินหวนเจินอาจจะปรากฏตัวใกล้กับเขาหลิงซาน เขาก็ไม่คิดที่จะเรียกหาเกาก้วน เพราะเรื่องจับตาดูสิบปราสาทดำเนินอยู่ในความรับผิดชอบของเกาก้วนมาตลอด ผลปรากฏว่าพอจะเรียกตัวก็ติดต่อไม่ได้แล้ว เขาสังเกตุได้ถึงความผิดปกติทันที
ที่จริงตอนเปิดเผยว่าเหมียวอี้ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดารา เขาก็สงสัยเกาก้วนแล้ว คนที่สืบหากำพืดของหนิวโหย่วเต๋อในปีนั้นก็คือเกาก้วน เกาก้วนกล่าวอย่างมั่นใจและมีเหตุผลว่าหนิวโหย่วเต๋อคือผู้สืบทอดของอสุราอัคนี เห็นได้ชัดว่าเข้าใจผิดแล้ว เกาก้วนไม่เหมือนคนที่จะทำเรื่องประเภทนี้ผิดพลาด
แต่ตอนหลังเขาก็มาคิดอีก รู้สึกว่าเกาก้วนไม่น่าจะมีปัญหา ลองนึกย้อนกลับไปก็จะรู้ เกาก้วนเอะอะก็ฆ่าคน หลายครั้งที่ต้องการให้หนิวโหย่วเต๋อตาย เรียกได้ว่าอยากเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อให้ถึงตายจริงๆ ไม่เหมือนโกหก ถ้ามีปัญหาอะไรจริงๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปฏิบัติกับหนิวโหย่วเต๋ออย่างนี้ แต่ในเมื่อนี่เป็นแผนการของเจ้าสามไป๋ ก็มีความเป็นไปได้แน่นอนว่ามีวิธีการอะไรสักอย่างที่ช่วยปิดบังตัวตนหนิวโหย่วเต๋อได้ ปิดบังเกาก้วนก็เป็นเรื่องปกติมาก ดังนั้นตอนที่ประมุขพุทธะถามถึง เขาก็คิดอย่างนี้เช่นกัน
แต่ในตอนนี้ เกาก้วนหนีไปแล้ว!
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” โพ่จวินเอ่ยถาม
ซ่างกวนชิงสีหน้าขื่นขม เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ
“หรือว่าเกาก้วนจะเป็นไส้ศึก? นี่…นี่จะเป็นไปได้ยังไง?” ซือหม่าเวิ่นเทียนประหลาดใจ
โพ่จวินขมวดคิ้ว “เกาก้วน แม้จะนิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จะเรียกว่าขุนนางทรราชก็ไม่ถือว่าเกินไป แต่เขาจำเป็นต้องเป็นไส้ศึกด้วยเหรอ? ไม่มีใครสามารถนำจุดอ่อนมาขู่เขาได้ ถ้ามีคนทำอย่างนี้จริงๆ อย่างมากเกาก้วนก็อธิบายกับฝ่าบาทให้กระจ่างได้ ฝ่าบาทย่อมใจกว้างอยู่แล้ว แล้วอีกอย่าง เขาไปสวามิภักดิ์ต่อคุณชายสามไป๋กับหนิวโหย่วเต๋อแล้วจะได้ผลประโยชน์อะไร? อีกฝ่ายจะให้อะไรเขาได้? เขาอยู่ในจุดสูงสุดของชีวิตขุนนางแล้ว ยังจะมีใครมอบสิ่งที่ดีกว่าในตอนนี้ให้เขาได้อีก? เกาก้วนล่วงเกินคนไว้เยอะเกินไป มีคนที่ต้องการให้เขาตายเยอะเกินไป หนิวโหย่วเต๋อไม่มีทางที่จะไม่สนใจความคิดเห็นของกำลังพลเบื้องล่าง และอาจจะไม่ปกป้องเขาด้วย แล้วอีกอย่าง ในมือเขาก็ไม่มีอำนาจทางทหาร รับผิดชอบแค่ทรมานสืบสวนนักโทษเท่านั้น เรื่องสงครามมาถึงขั้นนี้แล้ว ความลับที่เขากุมไว้ก็ไม่ได้มีราคาอะไร แรกเกียรติยศความร่ำรวยมาไม่ได้ เกาก้วนไม่มีเหตุผลให้เป็นไส้ศึกเลย
คนที่เหลือได้ยินแล้วพยักหน้าเบาๆ รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ผิด
ซ่างกวนชิงทำสีหน้าไม่ถูกแล้ว กล่าวยังคับแค้นโศกเศร้าว่า “โพ่จวิน ตามความหมายที่เจ้าพูด แสดงว่าสิ่งที่เกาก้วนพูดเป็นความจริง ข้าเป็นไส้ศึกงั้นเหรอ?”
โพ่จวินบอกว่า “ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าเป็นไส้ศึก แต่พูดจากในด้านต่างๆ ราคาที่เจ้าเป็นไส้ศึกสูงกว่าเกาก้วน”
ซ่างกวนชิงแทบจะทักทายบรรพบุรุษของเขา รีบหันกลับมากุมหมัดคารวะต่อประมุขชิง “ฝ่าบาท…”
“พอแล้ว!” ประมุขชิงโบกมือ จ้องซ่างกวนชิงพร้อมบอกว่า “ตรวจสอบคนของหน่วยตรวจการขวาเดี๋ยวนี้ ดูว่ายามปกติใครรับหน้าที่จับตาดูฝั่งสิบปราสาทดำเนิน ถ้าตรวจสอบเจอแล้วก็ถามถึงสถานการณ์ของสิบปราสาทดำเนินให้กระจ่างเดือนนี้ แล้วก็ ให้คนของหน่วยตรวจการขวาติดต่อไป ดูว่าสามารถติดต่อเกาก้วนได้หรือเปล่า” จากประโยคสุดท้ายสามารถฟังออกเลยว่า เขายังทำใจเชื่อได้ยากว่าเกาก้วนจะเป็นไส้ศึก เหตุผลก็เหมือนที่โพ่จวินบอก
ทางฝั่งนี้เริ่มงานยุ่งทันที
ประมุขพุทธะหันกลับมาสั่งอวี้หลัวช่าเช่นกัน “ให้คนของเจ้าหาทางหยั่งเชิงดูสักหน่อย ดูว่ายืนยันได้หรือเปล่าว่าเป็นคนของปราสาทดำเนินนภา”
“รับทราบ!” อวี้หลัวช่าจีบนิ้วตรงหน้าอก แล้วก็ออกจากรถมังกรของประมุขชิงไป
พอมาถึงด้านนอก ขณะกำลังเหาะอยู่ในดาราจักร อวี้หลัวช่าก็นำระฆังดาราขึ้นมาติดต่อเหมียวอี้อย่างสง่าผ่าเผย
การควบคุมการใช้ระฆังดาราก็แบ่งแยกคนเช่นกัน คนระดับอวี้หลัวช่าสามารถติดตามสถานการณ์ด้านต่างๆ ได้ทุกเมื่อ เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขพุทธะจะห้ามไม่ให้นางใช้ระฆังดารา
มังกรดำบินร่อน กลับมาอยู่ข้างกายเหมียวอี้แล้ว คนกลุ่มนี้บุกเข้าไปที่อาณาเขตดาวนิรนามในอาณาเขตของสี่ทัพแล้ว
เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนหัวมังกรกำลังจับเขามังกร ตาทิพย์ระหว่างคิ้วเปล่งเสาแสงสีรุ้ง กำลังจ้องไปยังจุดลึกในดาราจักร มือข้างหนึ่งหยิบระฆังดารา คำว่า : เป็นยังไงบ้าง?
อวี้หลัวช่า : พี่ใหญ่ รายงานขึ้นไปแล้ว มีปฏิกิริยาไม่น้อย แล้วก็ยังมีอีกเรื่อง ทูตตรวจการขวาเกาก้วนเหมือนจะเป็นไส้ศึก เหมือนจะหนีไปแล้ว
เหมียวอี้ : เกาก้วนเป็นไส้ศึกเหรอ?
อวี้หลัวช่า : อย่าบอกนะว่าเขาไม่ใช่คนของพี่ใหญ่? ขนาดพี่ใหญ่ก็ยังยืนยันไม่ได้เหรอ? เช่นนั้นก็แปลกแล้ว? เออใช่ ประมุขพุทธะให้เข้ามาสืบให้ชัดเจนว่าใช่คนของปราสาทดำเนินนภาหรือเปล่า
เหมียวอี้ : ข้าจะให้ฝั่งนั้นให้ความร่วมมือกับเจ้า ไม่ให้เจ้าเผยพิรุธอะไร จำไว้นะ ความปลอดภัยของเจ้ามาเป็นอันดับแรก ต้องระวังตัวไว้ ถ้าพบความผิดปกติอะไร ก็ให้ถอดตัวหนีออกมาทันที อย่างอื่นล้วนไม่สำคัญ ความปลอดภัยของเจ้ามาเป็นอันดับแรก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าก็ไม่มีทางแก้ตัวกับซินหูได้
อวี้หลัวช่ารู้สึกอบอุ่นในใจ รสชาติยามมีคนในครอบครัวเป็นห่วงนั้นดีจริงๆ พอนึกถึงลูกชาย จิตวิญญาณที่ว่างเปล่ามาหลายปีก็เหมือนมีที่ให้กลับบ้านทันที นางหวังจริงๆ ว่าทุกอย่างจะจบลงโดยเร็ว ตอนหลังก็ไม่ต้องกังวลอีกแล้วว่าถ้ามีใครรู้ความจริงแล้วจะเป็นอย่างไร สามารถอยู่ข้างกายลูกชายได้อย่างสงบจิตสงบใจ เป็นเพราะนางติดค้างลูกชายมากเกินไป นางตอบด้วยแววตาอ่อนโยนว่า : พี่ใหญ่ไม่ต้องห่วง ข้ามีแผนในใจแล้ว
เหมียวอี้กำชับอีกครั้ง : ต้องระวังตัวไว้นะ
หลังจากทั้งสองติดต่อกันจบแล้ว เหมียวอี้ก็ตาเป็นประกาย เคยอาการครุ่นคิดจนเหม่อลอย เกาก้วนเป็นไส้ศึกเหรอ?
เขานึกเชื่อมโยงไปถึงสิ่งที่เซี่ยโห้วท่าพูดไว้ก่อนตาย อย่าบอกนะว่าสายลับคนนั้นคือเกาก้วนจริงๆ? ถ้าเป็นเกาก้วนจริง พูดตามตรงว่าเขาเองก็ทำใจเชื่อได้ยาก ตอนนี้พอลองนึกย้อนกลับไป ตัดสินจากเบาะแสเล็กน้อยบางอย่าง เกาก้วนก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าใช่จริงๆ ก็ถือว่าเกาก้วนคนนี้ซ่อนตัวได้ลึกเกินไปหน่อย อยู่ที่ตำหนักสวรรค์มาหลายปีขนาดนี้ ปะปนอยู่ในกลุ่มคนที่ระวังตัวอย่างสูง ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครพบพิรุธเลยสักนิด? ทำจนแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เชื่อว่าเขาคือสายลับของฝั่งตัวเอง ถ้าเป็นไส้ศึกจริงๆ ไส้ศึกคนนี้ก็ถือว่าทำงานใช้ได้เลย
พอดึงตัวเองกลับมาจากความคิด เขาก็หันกลับมาบอกหยางเจาชิงว่า “บอกเหิงอู๋เต้า ลงมือได้!”
“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหิงอู๋เต้า
ตาทิพย์เสาแสงสีรุ้งตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ขยับเล็กน้อย เพ่งเล็งไปยังพวกก่วงลิ่งกงที่หนีไปในจุดลึกของดาราาจักรต่อไป
เขาเจอเส้นทางหลบหนีของก่วงลิ่งกงผ่านร่องรอยที่สายลับของตระกูลเซี่ยโห้วทิ้งไว้ ไม่นานเขาก็ถูกสายลับที่ก่วงลิ่งกงดักซุ่มไว้ระหว่างทางพบแล้ว โชคดีที่เขาวางตัวสายลับไว้ข้างกายก่วงลิ่งกงตั้งแต่แรก สายข้างในบอกให้เขารู้ได้ทันเวลา บอกว่าก่วงลิ่งกงพบไส้ศึกของฝั่งนี้แล้ว ควบคุมเข้มงวดมาก ไม่มีใครมีโอกาสทิ้งร่องรอยไว้ระหว่างทางได้อีกแล้ว
ตามข่าวที่ได้รับมา เหมียวอี้รีบใช้งานตาทิพย์ ตามค้นหาตลอดทางโดยอิงจากเบาะแสที่มี ไม่นานก็เจอกลุ่มของพวกก่วงลิ่งกงแล้ว
และก่วงลิ่งกงเองก็เห็นได้ชัดเจนมากว่ากำลังพยายามสะบัดเขาให้หลุด กำลังอ้อมไปอ้อมมาอยู่ที่อาณาเขตดาวนิรนาม โชคดีที่ประตูดวงดาวของอาณาเขตดาวนิรนามแห่งนี้อยู่ไหนก็ไม่รู้ ถ้าก่วงลิ่งกงอยากจะพาคนเข้าไปในประตูดวงดาว ถ้าข้ามเข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนามนับไม่ถ้วนใน ชั่วพริบตาเดียว เช่นกันตาทิพย์ของเขาก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้เหมือนกัน
เมื่อตาทิพย์เจอกลุ่มของก่วงลิ่งกงก็จัดการง่ายแล้ว ไม่ว่าก่วงลิ่งกงจะอ้อมอย่างไร เหมียวอี้ก็นำคนตรงไปยังทางลัดในดาราจักรอันกว้างใหญ่ได้อยู่ดี เสียบเข้าไปโดยตรง…
ในดาราจักรที่กว้างใหญ่ไพศาล อารามแปดทิศที่ใหญ่โตราวกับเป็นป้อมปราการในดาราจักร โลหะสะท้อนแสงอ่อนๆ
เหิงอู๋เต้าดักซุ่มอยู่ในจุดมืดของดาวเคราะห์รกร้างดวงหนึ่ง กำลังใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องอยู่ไกลๆ หลังจากเก็บระฆังดาราในมือแล้ว ก็หันกลับมาสั่งคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาว่า “ทำตามแผน เริ่มโจมตีได้!”
“รับทราบ!” ลูกน้องที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวาเอ่ยรับคำสั่ง
ผ่านไปไม่นาน ทัพใหญ่สามร้อยล้านก็ปรากฏตัว ตั้งกระบวนทัพเรียบร้อย แล้วพุงไปทางอารามแปดทิศด้วยความเร็วสูง
ทางอารามแปดทิศ ท่ามกลางเสียงระฆังที่ดังก้องอยู่ในดาราจัก มีเสียงตะโกนดังต่อเนื่องเป็นระลอก “ข้าศึกบุก! ข้าศึกบุก…”
ในดาราจักรนิรนาม แม่ทัพคนหนึ่งรีบเข้ามาใกล้ก่วงลิ่งกง แล้วกุมหมัดคารวะรายงาน “ท่านอ๋อง สายลับที่วางไว้ระหว่างทางพบหนิวโหย่วเต๋ออีกแล้ว”
ก่วงลิ่งกงหน้าบึ้งทันที ยังนึกว่าสะบัดหลุดแล้วเสียอีก
พอหนิวโหย่วเต๋อเข้ามาในอาณาเขตดาวนิรนาม ก็ถูกสายลับของเขาพบทันที ภายใต้ระยะทางช่วงนั้น พบว่าเส้นทางที่หนิวโหย่วเต๋อสะกดรอยตามไม่ผิดพลาดเลยสักนิด เมื่อนึกเชื่อมโยงกับเรื่องที่เถิงเฟยหลบเข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนามแล้วแต่ยังโดนฮุบกำลังพลได้ เขาก็มั่นใจว่าในบรรดากำลังพลที่ติดตามมาด้วยมีไส้ศึก จึงสั่งให้คนแอบสังเกตการณ์ ผลก็คือพบว่ามีแม่ทัพคนหนึ่งแอบทิ้งร่องรอยเส้นทางเอาไว้
เขาย่อมเดือดดาลมากอยู่แล้ว สังหารแม่ทัพคนนั้นเสียตรงนั้นเลย จากนั้นก็จับตาดูอย่างเข้มงวด ไม่ว่าในบรรดากำลังพลที่ติดตามมาจะมีไส้ศึกหรือไม่ ก็ไม่ให้โอกาสใครได้เปิดเผยเส้นทางเลย เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด เขายังตั้งใจอ้อมอยู่ในดาราจักรเพื่อให้ฝ่ายศัตรูสับสนด้วย
ตอนหลังพบว่าหนิวโหย่วเต๋อเบี่ยงออกนอกเส้นทาง เดิมทีโล่งใจนึกว่าสะบัดหลุดแล้ว แต่ใครจะคิดว่าตอนหลังสายลับจะรายงานขึ้นมาอีก พบว่าหนิวโหย่วเต๋อโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ตอนที่แทรกซึมผ่านเส้นทางของฝั่งนี้ก็ถูกสายลับของฝั่งนี้พบเข้าแล้ว ทั้งยังเห็นกับตาว่าตรงหน้าผากของหนิวโหย่วเต๋อมีดวงตาข้างหนึ่งที่เปล่งแสงได้
หลังจากทดสอบอ้อมทางหลายครั้งจนถึงตอนนี้ ก่วงลิ่งกงก็มั่นใจได้แล้ว ว่าตัวเองอาจจะโดนหนิวโหย่วเต๋อเพ่งเล็งแล้วก็ได้ อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับไส้ศึก มีความเป็นไปได้สูงว่าดวงตาเปล่งแสงบนหน้าผากหนิวโหย่วเต๋อจะเป็นอวัยวะจำพวกตาทิพย์ สามารถเล็งเป้าหมายได้ในระยะไกล
นอกจากนี้ เขาก็หาคำอธิบายอื่นไม่ได้แล้วจริงๆ เพราะที่นี่คืออาณาเขตดาวนิรนาม เป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะหลับหูหลับตาเพ่นพ่านไปทั่ว
หลังจากไตร่ตรองซ้ำไปซ้ำมา ก่วงลิ่งกงก็โบกมือ กำลังพลที่ติดตามมาหยุดทันที เขาหันตัวมาหาทุกคน แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “จัดกระบวนทัพรับมือศัตรู!”
ลั่วหม่างจอมพลสายวอกเตือนว่า “ท่านอ๋อง หนิวโหย่วเต๋อมีกำลังทหารเข้มแข็ง มีศักยภาพเหนือกว่าพวกเรา ใช้กำลังปะทะกันโดยตรง เกรงว่าพวกเราจะเอาชนะได้ยาก!”
“ข้าทำอะไรย่อมมีขอบเขตอยู่แล้ว!” ก่วงลิ่งกงกล่าวช้าๆ ด้วยใบหน้าขรึม
“รับทราบ!” บรรดาแม่ทัพทำได้เพียงกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง
หลังจากบรรดาแม่ทัพไปจัดการงานของตัวเองแล้ว ก่วงลิ่งกงก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อประมุขชิง…
ในถมังกรที่กำลังเหาะด้วยความเร็วสูง หลังจากประมุขชิงวางระฆังดาราแล้ว ก็กล่าวเสียงเรียบว่า “เป็นอย่างที่คาดไว้ ขอเพียงหนิวโหย่วเต๋อติดตามไม่ปล่อย ก่วงลิ่งกงจะต้องสู้เต็มที่หาโอกาสชนะแน่นอน เป็นใหญ่ในอาณาเขตคานอำนาจกับข้ามาหลายปีขนาดนี้ ไม่มีทางที่จะไม่กระดูกแข็ง จะยอมสวามิภักดิ์ง่ายๆ ได้ยังไง!”
“ก่วงลิ่งกงติดต่อเจ้ามาแล้วเหรอ?” ประมุขพุทธะถาม
ประมุขชิงพยักหน้า “เขาตอบตกลงที่จะร่วมมือกับพวกเราแล้ว พวกเขาจะโจมตีสกัดหนิวโหย่วเต๋อ ระหว่างทางมาอาณาเขตดาวนิรนามจะมีสายลับนำทางให้พวกเรา อาศัยทัพใหญ่สามร้อยล้านของเขา ก็สามารถต้านทานจนกว่าพวกเราจะไปถึงได้สบายๆ”
ซือหม่าเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างๆ ออกความคิด “พวกเขาได้สู้มากๆ หน่อยก็ได้ขอรับ พอเกิดความเสียหายพอสมควรแล้ว พวกเราค่อยลงมือ!”
“ความคิดคนชั้นต่ำ!” จู่ๆ โพ่จวินก็พูดดูถูก “เจ้าเล่นสกปรกจนชินแล้ว บนสนามรบให้ความสำคัญกับการตัดสินใเด็ดขาดยามวิกฤต ก่วงลิ่งกงไม่ใช่คนโง่ ระหว่างทางมีสายลับของเขา เขาจะไม่รู้ถึงความช้าเร็วของพวกเราเชียวเหรอ? ให้พวกเขาพบว่าพวกเรามีเจตนานี้ เจ้าคิดจะบีบให้ก่วงลิ่งกงจนตรอกแล้วไปเข้าข้างหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? ข้าว่าเจ้าเหมือนไส้ศึกยิ่งกว่าเกาก้วนอีก!”
……………………
แต่ปานเยว่กงกับชิงเหมยตกอยู่ในความเงียบแล้ว
ฮวาหูเตี๋ยพูดหยอกว่า “พวกเจ้ากับเขามีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีไม่ใช่เหรอ ถ้าเขาก่อกบฏสำเร็จจริงๆ วันไหนอยากจะมาหาพวกเจ้า พวกเจ้าก็จะมีหน้ามีตาแล้ว”
“สำเร็จก็ดี ล้มเหลวก็ช่าง ไม่ใช่คนที่อยู่บนเส้นทางเดียวกัน ไม่อยากเกาะขาคนมีอำนาจ” ปานเยว่กงส่ายหน้า หยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา พลิกดูในมือครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ลบตราอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ออกไป
ทั้งสองเข้าใจการกระทำของเขาแล้ว ชิงเหมยก็หยิบระฆังดาราออกมาเช่นกัน ลบตราอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ทิ้ง
“ที่จริงข้าก็ติดต่อเขาได้เหมือนกัน” ฮวาหูเตี๋ยนำระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม
สองสามีภรรยาแปลกใจ ชิงเหมยถามว่า “เจ้ากับเขามีความสัมพันธ์กันยังไง?”
เขาพูดถึงเรื่องนี้ ฮวาหูเตี๋ยก็ลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยังพูดความจริงออกมาอย่างซื่อสัตย์ “ที่จริงแล้วในปีนั้นตอนที่พวกเจ้าถูกบีบให้ออกจากป่าลืมทุกข์ ก็เป็นข้าเองที่ทรยศพวกเจ้า ก่อนที่หนิวโหย่วเต๋อจะไปหาพวกเจ้า เขามาหาข้าก่อน ถ้าเป็นคนเปิดเผยที่ซ่อนตัวของพวกเจ้าเอง เรื่องนี้ข้าอยากบอกพวกเจ้ามาตลอด แต่กลับเอ่ยปากได้ยาก”
สองสามีภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วก็เงียบไป สีหน้าดูไม่แปลกใจ ดูสงบนิ่งใจเย็น
ปานเยว่กงส่ายหน้า ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ทุกอย่างเป็นอดีตไปแล้ว”
“พวกเราไม่โทษข้าสักนิดเลยเหรอ?” ฮวาหูเตี๋ยแปลกใจ
ปานเยว่กงบอกว่า “ที่จริงพวกเราก็เดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว ตอนที่พวกเรารู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อกับโค่วเหวินหลานค่อนข้างสนิทกัน แล้วเจ้าก็เป็นคนของตระกูลโค่ว เจ้าเป็นตัวแทนตระกูลโค่วประจำอยู่ที่นี่ จะหลบพ้นdkiซักถามของตระกูลโค่วได้ยังไง พวกเราก็พอจะเดาได้บ้างแล้ว บวกกับตอนหลังที่เจ้าออกจากตลาดมืด ก็คงจะเป็นเพราะตัวตนของเจ้าถูกเปิดโปง ไม่ย้ายที่คงไม่ได้ มิหนำซ้ำข้อมูลที่พวกเราอยู่ในป่าลืมทุกข์ ก็ไม่ใช่เจ้าคนเดียวที่รู้ คนที่มาหาพวกเราไม่ได้มีแค่หนิวโหย่วเต๋อ ต่อให้เจ้าไม่เปิดเผย คนอื่นก็เปิดเผยอยู่ดี หนิวโหย่วเต๋อมาหาพวกเราเจอ อย่างน้อยก็ทำให้พวกเราพ้นเคราะห์ไปได้ หนึ่งครั้ง ทั้งยังช่วยพวกเราแก้ไขสถานะนักโทษหลบหนีด้วย ถ้าเปลี่ยนให้คนอื่นมาเจอพวกเรา เกรงว่าคงไม่มีเรื่องดีแบบนี้ เรื่องทุกอย่างผ่านไปแล้วไม่ต้องพูดถึงอีก ถ้าเจ้ารู้สึกว่าที่นี่เหมาะสม ต่อไปก็มาพักอยู่ที่นี่แล้วกัน”
ฮวาหูเตี๋ยเริ่มหัวเราะคิกคัก หัวเราะจนไหล่งามสั่นเทิ้ม สุดท้ายก็หยิบระฆังดาราขึ้นมา ร่ายอิทธิฤทธิ์ลบตราอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้อยู่ในนั้น
ทั้งสามสบตากันแวบหนึ่ง แล้วยกจอกสุราดื่ม ไม่สนว่าหนิวโหย่วเต๋อจะได้ปกครองใต้หล้า หรือจะไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดตลอดไป ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่อยากคบค้ากับหนิวโหย่วเต๋ออีกแล้ว…
ตรงหน้าประตูดวงดาวแห่งหนึ่ง เหยียนซิวที่เหาะนำหน้าโบกมือส่งสัญญาณ แล้วคนจำนวนหนึ่งร้อยก็เหาะเข้าไปในนั้นก่อน
กระทั่งยืนยันได้แล้วว่าปลอดภัย เหยียนซิวถึงได้นำคนที่เหลือเหาะเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ถูกพ่นออกมาที่ดาราจักรอีกผืนหนึ่ง รีบเฝ้าระวังโดยรอบ มีบางคนนำแผนที่ดาวขึ้นมาตรวจดูแล้วถามอย่างแปลกใจ “แดนสุขาวดี?”
คนอื่นนำแผนที่ดาวออกมาตรวจดูตามทันที หั่วเจินจวินหัวเราะหึหึ “นี่คืออีกเส้นทางสำหรับไปแดนสุขาวดีเหรอ?”
ความสนใจของเหยียนซิวเหมือนจะไม่ได้อยู่ในบทสนทนาของพวกเขา สายตากวาดมองในดาราจักร เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง
ผ่านไปไม่นาน ในดาราจักรก็มีคนคนหนึ่งเหาะมา คนที่สวมชุดคลุมสีดำทำตัว ทำให้ฟังนี้เตรียมพร้อมป้องกัน ผู้ที่มาใช้สิบนิ้ววาดลวดลายหนึ่งขึ้นมา เหยียนซิวโบกมือให้คนที่ขวางทางหลีกทางทันที ส่วนเหยียนซิวก็เข้าไปรับ
คนที่อยู่ใต้ชุดคลุมเงยหน้าขึ้น เป็นผู้หญิงที่สวยหยาดเยิ้ม นางยื่นมือเรียวขาวดุจหยกออกมา โยนแผ่นหยกให้เหยียนซิวแผ่นหนึ่ง
เหยียนซิวรับมาอ่านในมือ เป็นแผ่นหยกที่ว่างเปล่า เขียนตัวอักษร ‘อวี้’ ตัวเดียวแล้วโยนกลับไป
หลังจากผู้หญิงคนนั้นรับมาอ่านแล้ว ก็เขียนตัวอักษร ‘เหมียว’ โยนกลับมา
เหยียนซิวอ่านแล้วบีบทำลายแผ่นหยก ก่อนจะพยักหน้าให้นาง
ผู้หญิงคนนั้นถ่ายทอดเสียงบอกเหยียนซิวว่า “คนเยอะสะดุดตาเกินไป ต้องปลอมตัวสักหน่อย” นางชี้ไปที่จินม่าน ลวี่เกอ หัวลี่และมู่ฝานจวินผู้หญิงทั้ง สี่คน “หน้าตาของพวกนางสี่คนเหมาะสมที่สุด เชื่อได้หรือเปล่า?”
เหยียนซิวหันกลับมามองแวบหนึ่ง จากนั้นก็เชิญผู้หญิงสี่คนนั้นมาปรึกษาหารือกัน คนอื่นยังคุยง่าย มีเพียงมู่ฝานจวินที่ปฏิเสธแล้ว
สุดท้ายก็เก็บสมาชิกไว้ในกระเป๋าสัตว์ รวมทั้งเหยียนซิวด้วยเช่นกัน ส่วนผู้หญิงที่สวมชุดคลุมมีหมวกคนนั้นก็นำจินม่าน ลวี่เกอและหัวลี่ไปเปลี่ยนชุดปลอมตัวบนดาวที่อยู่ใกล้ๆ แต่งกายเปิดเผยยั่วยวนมาก ทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิปรากฏสู่สายตาคนนอก เป็นการแต่งกายของสำนักหลัวช่า เป็นสาเหตุที่มู่ฝานจวินปฏิเสธ ถ้าจะให้นางเปิดเผยเนื้อหนังมังสาแบบนี้ ยังยากกว่าฆ่านางทิ้งซะอีก
ทำอะไรบางอย่างตรงหว่างคิ้วของทั้งสาม ทำให้ทั้งสามดูไม่ค่อยเหมือนคนเดิม
จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ถอดชุดคลุมมีหมวกออก ดูจากการแต่งกายก็เห็นได้ชัดว่าเป็นศิษย์สำนักหลัวช่า นางนำผู้หญิงสามคนนี้จากไปอย่างรวดเร็ว
ด้วยการนำทางของคนใน พวกเขาจึงผ่านด่านไปได้ตลอดทาง สุดท้ายก็มาถึงอาณาเขตดาวที่อยู่ใกล้กับเขาหลิงซานแล้ว พวกเขาเหยียบลงบนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง
“ส่งพวกเจ้าได้แค่นี้ เข้าไปข้างในอีกก็มีแต่เป็นคนของประมุขพุทธะ พวกเราก็ไร้ความสามารถเช่นกัน” จากนั้นศิษย์หญิงสำนักหลังช่าก็ประนมมือกล่าวอำลา
พวกจินม่านรีบกลับมาแต่งตัวเหมือนเดิมแล้ว จากนั้นปล่อยพวกเหยียนซิวออกมา
คนกลุ่มนี้ออกมาปรึกษาหารือกัน เหยียนซิวอธิบายสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ
ปีศาจเฒ่าทั้งสามเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจ อู๋ฉางบอกว่า “ในเมื่อคนที่เฝ้าอยู่ที่นี่มีแค่กำลังพลหนึ่งร้อยล้าน ใช่ว่าพวกเราจะโจมตีเข้าไปในเขาหลิงซานไม่ได้ ทำไมยังชักช้าอืดอาดอยู่อีก?”
“ถ้ามาเพื่อโจมตีเขาหลิงซานอย่างเดียว ฝ่าบาทคงไม่ส่งมาแค่กำลังพลหหนึ่งร้อยล้านหรอก แต่กำลังรวบรวมกำลังทหารที่ได้เปรียบเพื่อโจมตี” เหยียนซิวตอบ
อินเอ้อร์หลางชี้ไปทางเขาหลิงซาน “แล้วจะทำยังไงกับคนในเจดีย์สยบปีศาจ? พวกเราชักช้าต่อไปอย่างนี้ พวกเขาก็จะอยู่ในอันตรายมาก”
เหยียนซิวตอบด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นแหบพร่า “ถ้าจะลงมือคงลงมือไปนานแล้ว ถ้าไม่ถูกกดดันให้จนตรอกจริงๆ พวกเขาก็ไม่ลงมือกับคนในเจดีย์สยบปีศาจหรอก ครั้งนี้ไม่เพียงแค่ต้องการช่วยคน ทั้งยังต้องให้ความร่วมมือกับทัพใหญ่ที่ปฏิบัติการอยู่ข้างนอกด้วย”
หั่วเจินจวินโบกมือ “ไม่ได้ ต้องช่วยคนก่อน!”
เหยียนซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ถ้าพวกเจ้าต้องการจะช่วย เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไปช่วยซะ ข้าอยากจะเห็นว่าถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากพวกเรา พวกเจ้าจะช่วยคนออกมาจากเงื้อมมือกำลังพลของเขาหลิงซานได้หรือเปล่า”
“เจ้าหน้าตาย เจ้ากล้าขู่ข้าเหรอ?” หั่วเจินจวินเดือดดาลมาก
ไม่ให้เดือดดาลคงไม่ได้ ต่อให้พวกเขานับรวมกำลังพลหนึ่งแสนกว่าของสิบปราสาทดำเนิน อยากจะช่วยคนออกมาจากทัพใหญ่นับร้อยล้านของเขาหลิงซาน ก็เป็นเรื่องล้อเล่นจริงๆ มิหนำซ้ำคนที่เฝ้าเขาหลิงซานก็ล้วนเป็นกำลังพลของประมุขพุทธะ ทุกคนมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ อย่าว่าแต่ช่วยคนออกมาเลย ถ้าไม่มีกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อคอยช่วยเหลือ เกรงว่าแม้แต่จะเข้าใกล้ก็ยังยาก
ตอนนี้ทัพใหญ่แดนอเวจีออกมาจากแดนอเวจีแล้ว เท่ากับหลุดพ้นการควบคุมของประมุขไป๋ ตอนนี้เชื่อฟังเหมียวอี้ เหมียวอี้ต่างหากที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของพวกเขา ถ้าเหยียนซิวไม่อนุญาต ทัพใหญ่แดนอเวจีก็ไม่มีทางช่วยเหลือคนพวกนี้
เหยียนซิวถามเสียงเยียบเย็น “ขู่เหรอ? ถ้าพวกเจ้ากล้าทำงานใหญ่ของฝ่าบาทพัง เกรงว่าคงไม่ใช่แค่การขู่แล้ว!”
“เจ้ากล้าเหรอ!” สามปีศาจเฒ่าโมโหจนกระทืบเท้า
“พอแล้ว เลิกเถียงกันได้แล้ว” หัวลี่ตะคอก แล้วใช้ระฆังดาราในมือบอกใบ้ ” ขอคำชี้แนะมาแล้ว คุณชายไป๋บอกแล้ว ว่าให้พวกเราทำตามขั้นตอนของพวกเขา”
ใบหน้าของทั้งสามเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่สะดวกจะคัดค้าน เพียงแต่หั่วเจินจวินยังชี้หน้าด่าเหยียนซิว “เจ้าหน้าตาย รอข้าก่อนเถอะ!”
“รอให้เรื่องนี้ผ่านไปก่อน ข้าพร้อมจะเล่นเป็นเพื่อนทุกเมื่อ!” เหยียนซิวกล่าว
“โอ้อวดไม่เบา ไม่รู้ว่าเป็นของที่โผล่มาจากไหน!” อินเอ้อร์หลางพูดจาเหน็บแนมแปลกๆ
ทัพใหญ่ของประมุขชิงและประมุขพุทธะกำลังเร่งเหาะอยู่ในดาราจักร นอกรถมังกร พระรูปหนึ่งมารายงานตรงประตู “ท่านอาจารย์ พุทธะหน้าหยกขอพบขอรับ”
“เชิญเข้ามา” ประมุขพุทธะที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างในบอก
พระที่อยู่ตรงประตูหันตัวไปยื่นมือเชิญคนข้างนอก อวี้หลัวช่าที่เหาะอยู่ด้านนอกหันตัวมาเหยียบลงนอกกุฏิ แล้วเดินเข้ามาในห้องอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะประนมมือทำความเคารพ
“มีเรื่องอะไร?” ประมุขพุทธะถาม
อวี้หลัวช่ากล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ในแดนสุขาวดี ลูกศิษย์ของข้าพบเรื่องที่มีลับลมคมใน ถึงตั้งใจมารายงาน”
“เรื่องลับลมคมในอะไร?” ประมุขพุทธะถาม
อวี้หลัวช่าตอบว่า “ลูกศิษย์ของข้าพบคนของปราสาทดำเนินนภาบริเวณอาณาเขตดาวใกล้กับเขาหลิงซาน บอกว่าเหมือนเห็นเวินหวนเจิน ประมุขปราสาทดำเนินนภา”
ประมุขพุทธะกับประมุขชิงเริ่มตื่นตัวทันที ประมุขพุทธะซักไซ้ต่อ “แน่ใจนะ?”
“นางก็ไม่กล้ายืนยันเหมือนกัน แต่ดูแล้วเหมือน โดยเฉพาะผู้ติดตามหลายคนที่อยู่ข้างกาย การแต่งกายคล้ายกับคนของปราสาทดำเนินนภา นางไม่กล้าเข้าไปตรวจสอบใกล้ๆ ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ เลยตั้งใจมารายงานให้ประมุขพุทธะทราบ ระวังตัวเอาไว้หน่อยจะดีกว่า” อวี้หลัวช่าตอบ
ประมุขพุทธะไม่พูดอะไรแล้ว แต่หันไปมองประมุขชิงที่นั่งอยู่ตรงข้าม “คนของเจ้าจับตาดูสิบปราสาทดำเนินไว้ตลอดไม่ใช่เหรอ?”
“ซ่างกวน ให้เกาก้วนมาพบข้า!” ประมุขชิงตะโกนเรียกตรงประตูทันที
ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างประตูหันตัวมา ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ระหว่างทางก่อนหน้านี้ เกาก้วนจะถือโอกาสผ่านทางไปดูคนของหน่วยตรวจการขวาที่อยู่ทางนั้น เหมือนจะมีเรื่องสำคัญอะไร ตอนนี้ยังตามมาไม่ถึงขอรับ”
“…” ประมุขชิงเงียบไปครู่เดียว จู่ๆ ก็เหลือบตาขึ้น ไม่รู้มว่านึกอะไรขึ้นได้ ตะคอกสั่งว่า “ติดต่อเขาเดี๋ยวนี้!”
ซ่างกวนชิงทำตามคำสั่ง หยิบระฆังดาราออกมา ทว่าติดต่ออยู่นานมาก แต่ก็ไม่มีการตอบกลับใดๆ ซ่างกวนชิงทำได้เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียกว่า “ฝ่าบาท ติดต่อไม่ได้ขอรับ”
บนใบหน้าประมุขชิงปรากฏความมืดครึ้มเล็กน้อย รีบถลันตัวออกมาจากกุฏิ กลับมาอยู่ข้างเกี้ยวของตัวเอง
พวกประมุขพุทธะเหมือนจะสังเกตเห็นความผิดปกติจากตัวประมุขชิง ตามมาดูเช่นกัน
ประมุขชิงไปหาสมาชิกของหน่วยตรวจการขวาที่ติดตามมาด้วย ประมุขชิงเรียกตัวมาตะคอกถามว่า “เกาก้วนไปไหนแล้ว?”
“ทูลฝ่าบาท นายท่านเกาบอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ ใช่แล้ว…” คนนั้นหยิบแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมา แล้วใช้สองมือยื่นให้ “ก่อนที่นายท่านเกาจะไปได้สั่งข้าน้อยไว้ ว่าถ้าฝ่าบาทเรียกหาเขา ก็ให้ข้าน้อยนำของสิ่งนี้ให้ฝ่าบาท”
ประมุขชิงยกมือขึ้นดูดของมาไว้ในมือ พบว่าในแหวนเก็บสมบัติมีแผ่นหยกแผ่นหนึ่ง เมื่อนำแผ่นหยกออกมาอ่าน สีหน้ามืดครึ้มลงทันที
ประมุขพุทธะยื่นมือเข้ามา ประมุขชิงส่งให้เขาอ่าน
หลังจากประมุขพุทธะอ่านเนื้อหาในแผ่นหยกแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดนิดหน่อย ค่อยๆ หันหน้ามองไปทางซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ
ซ่างกวนชิงถูกเขามองจนอึดอัดไปทั้งตัว ผลก็คือพบว่าประมุขชิงก็มองมาที่ตัวเองด้วยสายตาประหลาดเป็นระยะเช่นกัน จึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก “ฝ่าบาท เป็นอะไรไปขอรับ?”
“เจ้าก็ดูเอาเองสิ” ประมุขชิงกล่าวเสียงเย็น
ประมุขพุทธะยื่นแผ่นหยกออกมา
ซ่างกวนชิงรีบรับมาตรวจอ่าน ตอนยังไม่อ่านก็ไม่รู้ พออ่านแล้วตกใจทันที ในนั้นเขียนตัวอักษรเอาไว้สะดุดตาน่าตกใจว่า : ซ่างกวนชิงเป็นไส้ศึก!
เป็นลายมือของเกาก้วน เกาก้วนยังลงตราอิทธิฤทธิ์เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นของจริงด้วย
ตัวอักษรไม่กี่ตัวนี้ทำให้ซ่างกวนชิงตกใจจนหน้าซีดแล้ว กล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “ฝ่าบาท นี่เป็นการใส่ความ บ่าวจงรักภักดีต่อฝ่าบาท จะเป็นไส้ศึกได้ยังไง เกาก้วน…เกาก้วนคิดจะทำอะไรกัน!” เขาหันกลับไปมองหัวหน้าคนนั้นของหน่วยตรวจการขวา แล้วตะคอกว่า “นี่เกาก้วนเป็นคนเขียนจริงเหรอ?”
ไม่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น คนของหน่วยตรวจการขวาก็ส่ายหน้าซ้ำๆ “ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ ไม่ทราบว่าเขียนอะไรไว้ แต่นี่เป็นสิ่งที่นายท่านเกาให้ข้าน้อยไว้ กำชับข้าน้อยไว้ ข้าน้อยไม่กล้าแอบดูขอรับ”
…………………
ตอนแรกที่นางแต่งงานกับเหมียวอี้ ไม่ใช่เพราะพุ่งเป้าไปที่อำนาจของเหมียวอี้ แต่เป็นเพราะนางชอบเขา
ตอนนี้ถึงได้พบว่า ความคิดที่นางมีต่อเรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิงในตอนแรกเป็นการคิดไปเองฝ่ายเดียว หลังจากแต่งงานกับเหมียวอี้แล้วถึงเริ่มเข้าใจทีละนิด เรื่องบางเรื่องไม่ได้งดงามอย่างที่นางคิดไว้ นางค่อยๆ ค้นพบเช่นกันว่าสำหรับคนที่อยู่ในตำแหน่งอย่างเหมียวอี้ เรื่องความรักระหว่างชายหญิงไม่ได้สำคัญ
นางกับเหมียวอี้มีโอกาสพบหน้ากันไม่มาก ต่อให้พบหน้ากัน เหมียวอี้ก็เหมือนจะรับผิดชอบเต็มที่มาก ที่บอกว่ารับผิดชอบเต็มที่มากก็คือทำเรื่องระหว่างชายหญิงกับนาง เหมือนกับพยายามทำภารกิจให้เสร็จสิ้นเพื่อให้นางพอใจ แต่กลับไม่มีเวลาแสดงความรักกับนาง ทำให้ทุกครั้งที่นางไปพบเหมียวอี้ ดูเหมือนไปเพื่อทำเรื่องอย่างนั้นอย่างเดียว ทำให้ทุกครั้งนางลังเลว่าควรจะไปหาหรือไม่
ในปีก่อนๆ ตอนยังไม่เคยผ่านเรื่องระหว่างชายหญิง ยังไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดถึงหมายความว่าอะไร นางทำตัวเอาใจยากต่างๆ นานา ที่จริงแล้วเป็นเพราะอยากแต่งงานกับเหมียวอี้ ตอนนี้เริ่มตระหนักได้ถึงคำพูดของพวกผู้ใหญ่แล้ว
พวกอวี้หลิงเจินเหรินมาแล้ว เป่าเหลียนที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวหันตัวมา แล้วทำความเคารพผู้อาวุโสทั้งสาม
ตอนนี้เป่าเหลียนเติบโตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว ใบหน้างดงามราวกับภาพวาด เรือนร่างก็ยิ่งดูสุกงอมมีเสน่ห์ อุปนิสัยใจคอแบบเด็กสาวในปีนั้นลดลงแล้ว ดูสุขุมมากขึ้น ยามขยับลูกตามองก็มีลักษณะเฉพาะตัวของผู้ที่อยู่เหนือคนอื่น
“เฮ้อ การต่อสู้ในใต้หล้านี้ ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไหร่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด” อวี้หลิงเจินเหรินถอนหายใจ สำนักลมปราณก็ถูกบีบจนไม่มีทางเลือกเช่นกัน หลบภัยอันตรายอยู่ที่ดินแดนทุรกันดารนี้ ไม่หลบคงไม่ได้ ด้วยความสัมพันธ์ของฝั่งนี้กับหนิวโหย่วเต๋อ ถ้าเจอกับกำลังพลของประมุขชิงที่ผ่านทางมา มีหรือที่จะปล่อยพวกเขาไป จะถือโอกาสปราบปรามพวกเขาแน่ ต่อให้สำนักลมปราณจะทำอย่างไรก็ตามต้านการโจมตีของทัพใหญ่ไม่ไหว เขากลับมาถามถึงประเด็นหลักว่า “เจ้าสำนักเชิญพวกเรามามีเรื่องอะไร?”
เป่าเหลียนบอกว่า “ทางหนิวโหย่วเต๋อส่งข่าวมาแล้ว ต้องการให้สำนักลมปราณฟังคำสั่งระดมพล ให้ความร่วมมือในการขัดขวางการรวมตัวของศิษย์ชาวพุทธอย่างสุดกำลัง ก็เลยอยากจะฟังความเห็นของบรรดาผู้อาวุโสสักหน่อยค่ะ” นางไม่ได้บอกเรื่องที่อวิ๋นจือชิวสัญญาว่าจะแต่งตั้งนางให้เป็นสนมสวรรค์
อวี้ซวีเจินเหรินยิ้มเจื่อน “แม้ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าสำนักกับหนิวโหย่วเต๋อจะไม่ประกาศต่อภายนอก แต่คนในใต้หล้าก็ได้ยินข่าวลือมานานแล้ว และความสัมพันธ์ของสำนักลมปราณกับหนิวโหย่วเต๋อก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อรบแพ้ เกรงว่าคงเลิกคิดได้เลยว่าสำนักลมปราณจะมีจุดจบที่ดี ตอนนี้มีทางเลือกอีกเหรอ?”
อวี้เลี่ยนเจินเหรินส่ายหน้าเช่นกัน “ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะประกาศตนเป็นราชันแล้ว สถานการณ์ตอนนี้น่ากลัวมากจริงๆ เมื่อก่อนใครจะไปคาดคิดว่าฆราวาสตัวเล็กๆ ของสำนักลมปราณจะมีวันนี้ได้? สงครามลมคาวฝนเลือดที่เขาก่อขึ้นมาพัดม้วนไปทั้งใต้หล้าแล้ว เกรงว่าคนที่ถูกม้วนไปด้วยในครั้งนี้คงไม่ได้มีแค่สำนักลมปราณ ทุกสำนักในใต้หล้านี้ต้องเลือกฝั่งอยู่ท่ามกลางความยากลำบาก ถ้ายืนผิดฝั่ง ก็จะต้องมีภัยถูกล้างสำนักแน่นอน! ถ้าไม่เลือกเลยทั้งสองฝ่าย หลังจากจบเรื่องไม่ว่าใครจะแพ้หรือจะชนะ ก็เกรงว่าคงไม่มีที่ยืนในใต้หล้าอีกต่อไป”
อวี้หลิงเจินเหรินถอนหายใจ “ไม่มีทางเลือก!”
ผ่านไปคู่เดียว ศิษย์สำนักลมปราณก็รวมตัวกัน นอกจากลูกศิษย์ที่ส่วนน้อยที่เป่าเหลียนนำเฝ้ารักษาการณ์อยู่ที่สำนัก ศิษย์คนอื่นๆ ที่สามารถเหาะเหินได้ดาราจักรได้ก็มารวมตัวกันหมด รวมตัวกันทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ถูกบีบให้เข้าร่วมการรบราฆ่าฟันอย่างไม่เต็มใจ…
ริมทะเลสาบที่มีทิวทัศน์ภูเขาเขียวน้ำใสงดงาม ในลานบ้านด้านหลังของบ้านพักภูเขาหลังหนึ่งที่ผ่านมาหลายยุคแล้ว มีคนทยอยออกจากประตูพระจันทร์ฝั่งซ้ายและขวาเพื่อรวมตัวกัน จางเทียนเซี่ยวกับหลันโฮ่วบังเอิญเกือบเดินชนกันตรงประตูพระจันทร์ หลันโฮ่วหลีกทางให้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย จางเทียนเซี่ยวทำเสียงฮึดฮัด “เชอะ” แล้วเดินออกไปก่อน
ทั้งสองมาอยู่ในกลุ่มคนที่กำลังรวมตัวกัน มีคนกั้นอยู่ไม่ไกลนัก กำลังรออย่างเงียบๆ
จนกระทั่งคนมารวมตัวกันได้พอสมควรแล้ว เจ้าของบ้านที่ผมหงอกขาวคนหนึ่งก็เดินออกมา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นตานฉิงนั่นเอง
เมื่อตานฉิงโผล่หน้ามา ก็ทำให้คนกลุ่มนี้เกิดความวุ่นวายไม่น้อย เห็นได้ชัดว่ามีหลายคนรู้จักเขา ที่จริงตานฉิงมาพักอยู่ที่นี่นานแล้ว เพียงแต่ไม่เคยปรากฏตัวเลยก็เท่านั้นเอง
ตานฉิงยืนบนบันได ดวงตาโตกวาดมองกลุ่มคน พร้อมกล่าวด้วยเสียงดังกังวานว่า “ข้าคือตานฉิง ขุนพลใหญ่ลัทธิมาร ข้ารออยู่ที่นี่มาหลายปีโดยไม่กล้าเปิดเผยโฉมหน้า เพียงเพราะว่าโจรกบฏมีเจตนาใส่ร้าย ตอนนี้โจรกบฏสิ้นอนาคตแล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องนอนจำศีลอีก ไม่ปิดบังทุกคน ราชันสวรรค์หนิวโหย่วเต๋อในตอนนี้ ที่จริงแล้วเป็นคนของหกลัทธิ เป็นราชาปราชญ์ที่หกลัทธิของพวกเราร่วมกันแต่งตั้ง!”
“หา! หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของหกลัทธิเหรอ…” คนกลุ่มนี้ฮือฮา นึกไม่ถึงเลยจริงๆ
จางเทียนเซี่ยวกับหลันโฮ่วอดไม่ได้ที่จะสบตากันแม้จะอยู่ห่างกัน เรื่องนี้แม้แต่พวกเขาสองคนก็ไม่รู้ เดิมทีทั้งสองไม่ใช่คนของลัทธิมารเลย เป็นเพราะหลังจากรับงานจากอวิ๋นจือชิวแล้ว ใต้หล้ามีการเปลี่ยนแปลงมากจนต้องมาหลบภัยอยู่ที่นี่
ตานฉิงกลัวว่าทุกคนจะไม่ตกตะลึงมากพอ พูดต่ออีกว่า “ลัทธิมารของพวกเราก็มีประมุขปราชญ์คนใหม่ตั้งนานแล้วเช่นกัน ชื่อว่าอวิ๋นอ้าวเทียน! อวิ๋น? ทุกคนเข้าใจความหมายหรือยัง? อวิ๋นจือชิว ราชินีสวรรค์คนปัจจุบันก็คือคนของลัทธิมาร เป็นหลานสาวแท้ๆ ของประมุขปราชญ์ ลัทธิมารของพวกเราอดทนมาหลายปีขนาดนี้ วันดีๆ กำลังจะมาถึงแล้ว!”
“หลายปีมานี้ราชาปราชญ์ทนแบกรับความอัปยศ ผ่านความยากลำบากอยู่ในเขตตำหนักสวรรค์ก็เพื่อหกลัทธิ ในที่สุดก็ทำให้หกลัทธิได้เจอกับสถานการณ์เหมือนอย่างตอนนี้แล้ว! ตอนนี้เป็นโอกาสดีมากที่หกลัทธิจะโจมตีกลับและกำจัดโจรกบฎในรวดเดียว ถึงเวลาที่พวกเราจะได้ใช้กำลังแล้ว! ราชาปราชญ์มีบัญชา สั่งให้พวกเราโจมตีสกัดไม่ให้กองทัพพระรวมตัวกัน พวกเราต้องทุ่มเทสุดกำลัง ขอเพียงเห็นคนหัวโล้น ก็สังหารทิ้งตรงนั้นได้เลย…”
ผ่านไปไม่นาน กลุ่มคนที่อยู่ในลานบ้านด้านหลังก็พุ่งขึ้นฟ้าไป มนุษย์ธรรมดาที่ปัดกวาดอยู่ตรงลานบ้านด้านหน้าบังเอิญไปเห็น ก็ยังนึกว่าตัวเองตาฝาดไป เอามือขยี้ตามองอีกที ก็ไม่เห็นอะไรแล้ว
และในดาราจักรตอนนี้ ฝั่งหนึ่งคือสมาชิกของหน่วยตรวจการขวาตำหนักสวรรค์ สมาชิกสมาคมวีรชนส่วนหนึ่งที่สามารถควบคุมได้ คนในสำนักที่เชื่อฟัง ทั้งยังมีศิษย์ชาวพุทธจำนวนหนึ่งด้วย ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือผู้เหลือรอดของหกลัทธิที่ซ่อนตัวอยู่และถูกเหมียวอี้เรียกมา สมาชิกอีกส่วนหนึ่งของสมาคมวีรชนที่สามารถควบคุมได้ คนในสำนักที่เชื่อฟังคำสั่ง พวกข้าทาสที่แอบทำงานให้แม่ทัพใต้บังคับบัญชา โถงชุมนุมอัจฉริยะและพวกนักพรตอิสระ อำนาจของทั้งสองฝ่ายกำลังเปิดฉากเข่นฆ่ากันอยู่ในดาราจักร
กำลังพลที่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะสามารถเรียกใช้งานได้ ตอนนี้กำลังช่วยสร้างเงื่อนไขที่เอื้อให้ศิษย์ชาวพุทธรวมตัวกัน ส่วนกำลังพลที่เหมียวอี้ใช้งานได้ก็กำลังขัดขวางเต็มที่ กำลังพลที่กระจัดกระจายของทั้งสองฝ่าย เมื่อมารวมตัวกันแล้วก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ถึงขั้นมากกว่าทัพใหญ่ที่เป็นกำลังหลักของทั้งสองฝ่ายด้วย กำลังพลที่กระจายตัวกันอยู่ทำได้เพียงฆ่าฟันกันอย่างนี้ ไม่เคยฝึกรวมกันมาก่อน ปรับตัวกับการรวมกลุ่มขนาดใหญ่เพื่อทำสงครามไม่ได้ เดิมทีก็เป็นกำลังพลที่รวมตัวกันชั่วคราวอยู่แล้ว
การรบราฆ่าฟันของคนพวกนี้ ที่จริงแล้วก็ตัดสินแพ้ชนะอะไรไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับการบ่อนทำลายกันและกัน
สรุปก็คือเรื่องสงครามในใต้หล้านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ทัพใหญ่ที่เป็นกำลังหลักของทั้งสองฝ่ายอีกแล้ว กำลังแฝงที่ทั้งสองฝ่ายสามารถนำออกมาใช้ได้ ตอนนี้กำลังเปิดศึกกันทั่วทุกด้านแล้ว ไฟสงครามแผดเผาทั่วทุกหย่อมหญ้า แทบจะไม่มีพื้นที่ไหนที่โชคดีรอดพ้น
พวกเดียวที่รอดพ้นก็คือ นักพรตอิสระที่ไม่ได้อยู่ในสังกัดของอำนาจท้องถิ่นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่จริงแล้วคนพวกนี้มีสัดส่วนเยอะสุดในใต้หล้า ในจำนวนนั้นมียอดฝีมืออยู่ไม่น้อย แต่ขาดการรวมกลุ่มที่มีประสิทธิภาพ สร้างกำลังที่ตัวเองควรจะมีไม่ได้ ปกติแค่ทะเลาะเบาะแว้งเอาเปรียบกันเองก็ยังพอไหว แต่ยามเผชิญหน้ากับสงครามอย่างนี้ ก็ทำได้เพียงหาที่ซ่อนตัว
นักพรตประเภทนี้หวังอิสระเสรี ไม่อยากถูกอะไรควบคุม บางคนก็ไม่อยากได้เกียรติยศความร่ำรวยอะไร ไม่อยากขายชีวิตเพื่อทำงานให้ใคร บางคนก็ทำผิดกฎ บางคนก็ไม่ชอบสิ่งต่างๆ ภายในตำหนักสวรรค์ บางคนอยากจะสร้างผลงานแต่ก็ไม่มีช่องทาง บางส่วนมีความสามารถจำกัด จึงขี้คร้านจะไปหวังอะไรอย่างนั้น
ในป่าที่มีหมอกพิษลอยวนเวียน สาวงามหยาดเยิ้มคนหนึ่งเหาะลงมาเหยียบใต้ต้นสนสีเขียวเข้มบนหน้าผา นางนั่งลงข้างโต๊ะม้าหิน แล้วสะบัดมือโยนหินสามก้อนลงไปในหุบเขาเพื่อฟังเสียงสะท้อนกลับ
ผ่านไปครู่เดียว ในหุบเขาก็มีคนสองคนเหาะเข้ามา เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง เหมียวอี้รู้จักสองคนนี้ เป็นสหายเก่าที่เหมียวอี้รู้จักกันในป่าลืมทุกข์ปีนั้น ปานเยว่กงกับชิงเหมย
ที่จริงเหมียวอี้ก็รู้จักสาวงามหยาดเยิ้มคนนี้เช่นกัน นางคือฮวาหูเตี๋ย เป็นเถ้าแก่เนี้ยของโรงรับจำนำผีเสื้อที่รู้จักกันตอนทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิต ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ยังคงงดงามมีเสน่ห์เหมือนเดิม
ชิงเหมยคือถาดใบหนึ่ง ในถาดมีสุราอาหารชั้นดี วางลงบนโต๊ะหินแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “พอได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าพี่หญิงฮวามา ชิมสุราชั้นดีที่ข้ากลัั่นมาใหม่หน่อยสิ”
สองสามีภรรยานั่งลง ฮวาหูเตี๋ยเดาะลิ้นกล่าวว่า “มีแต่พวกเจ้าสองผัวเมียนี่แหละที่อิสระเสรี แต่หลังจากนี้ข้าก็จะเป็นเหมือนพวกเจ้าแล้ว เตรียมจะย้ายมาเป็นเพื่อนบ้านของพวกเจ้า เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะยินดีต้อนรับหรือเปล่า”
ชิงเหมยรินสุราพลางตอบด้วยรอยยิ้ม “พี่สาวจะมาชอบดินแดนที่มีแต่หมอกพิษของพวกเราได้ยังไง” รินสุราเต็มจอแล้วยื่นให้ แล้วก็รินให้ปานเยว่กงอีก
“เจ้าอย่าทำร้ายพวกเราเลย ถ้าเจ้าหนีไปแล้ว มีหรือที่ตระกูลโค่วจะปล่อยเจ้าไป ถึงตอนนั้นถ้าตามมาเจอ จะไม่ดึงพวกเราไปเกี่ยวข้องด้วยเหรอ” ปานเยว่กงก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
ตอนจ่อสุรามาตรงปาก ฮวาหูเตี๋ยก็ถอนหายใจเบาๆ อีก นางวางจอกสุราลง เหมือนไม่มีอารมณ์จะดื่มแล้ว ส่ายหน้าบอกว่า “ตระกูลโค่วจบแล้ว ล่มสลายโดยสิ้นเชิงแล้ว ต่อไปนี้ไม่มีตระกูลโค่วอะไรอีกแล้ว ข้าถูกแก้พันธนาการโดยสมบูรณ์แล้ว”
สองสามีภรรยาตกใจ ปานเยว่กงถามด้วยความสงสัย “ตระกูลโค่วมีอำนาจสูงเสียดฟ้า ถึงขนาดไม่ต้องไว้หน้าประมุขชิงก็ยังได้ จะจบลงได้ยังไง เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า?”
ฮวาหูเตี๋ยมองทั้งสองแล้วส่ายหน้าทันที “พวกเจ้ายังไม่ได้ยินเรื่องราวภายนอกจริงๆ ดาราจักรด้านนอกสู้กันจนอลหม่านหมดแล้ว สหายเก่าคนนั้นของพวกเจ้าน่ะ หนิวโหย่วเต๋อ อ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ก่อกบฏแล้ว ฮุบกำลังพลของเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ แล้วก็เคลื่อนทัพไปหาโค่วหลิงซวี ตระกูลโค่วถูกหนิวโหย่วเต๋อบีบให้ตายหมดทั้งตระกูลแล้ว โค่วหลิงซวีรบตาย ตายอยู่ภายใต้ทวนของหนิวโหย่วเต๋อ เฮ้อ อิ๋งจิ่วกวง ฮ่าวเต๋อฟาง โค่วหลิงซวี สหายเก่าคนนั้นของพวกเจ้าเป็นคนโหด โค่นล้มทีละฝ่าย ดูจากแนวโน้มสถานการณ์นี้ คนต่อไปคงเป็นก่วงลิ่งกงแล้ว”
สองสามีภรรยาตกใจไม่เบาจริงๆ ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อกลายเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้แล้ว ได้ยินว่าร้ายกาจมาก เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะร้ายกาจขนาดนี้
“ประมุขชิงจะนิ่งดูดายเชียวหรือ?” ปานเยว่กงถาม
“ประมุขชิง?” ฮวาหูเตี๋ยหัวเราะเบาๆ “ได้ยินว่าในศึกแรก กองทัพองครักษ์แปดร้อยล้านที่ประมุขชิงส่งไปลอบจู่โจมโดนหนิวโหย่วเต๋อฆ่าจนเกลี้ยงไม่เหลือเกราะ ได้ยินว่าไม่เหลือรอดสักคน นี่เป็นกองทัพองครักษ์แปดร้อยเชียวนะ! ได้ยินว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลของประมุขชิงก็ถูกหนิวโหย่วเต๋อรับไว้แล้วเช่นกัน ลูกชายคนนั้นของประมุขชิงก็โดนหนิวโหย่วเต๋อตัดหัวส่งไปตรงหน้าประมุขชิง ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เหมือนจะตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อด้วย ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อประกาศตนเป็นราชันแล้ว มีหรือที่ประมุขชิงจะนิ่งดูดาย คงจะหาโอกาสสู้ตายกันไปข้าง เฮ้อ ไม่มีตระกูลโค่วแล้ว ฝูงมังกรไร้หัว คนที่คอยทำงานอยู่เบื้องล่างอย่างพวกเราจะทำยังไงได้ ไม่มีใครกล้าบอกด้วยว่าตัวเองเป็นคนของตระกูลโค่ว แบบนั้นไม่ใช่รนหาที่ตายหรอกหรือ? ทุกคนเก็บของแยกย้ายกันไปหมดแล้ว!”
ชิงเหมยลองถามว่า “ตระกูลโค่วไม่เหลือใครสักคนเลยเหรอ? โค่วหลิงซวีเป็นบิดาบุญธรรมของฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่เหรอ? หนิวโหย่วเต๋อกับโค่วเหวินหลานมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากนี่? อย่าบอกนะว่าแม้แต่โค่วเหวินหลานก็ฆ่าไปด้วย?”
ฮวาหูเตี๋ยยกจอกสุราขึ้นดื่มหมดจอก แล้วดันจอกออกไป ให้นางรินให้เต็ม พูดหยอกล้อว่า “บิดาบุญธรรมนับเป็นอะไรล่ะ? ความสนิทสนมเล็กน้อยกับโค่วเหวินหลานนับเป็นอะไรล่ะ? ขนาดกองทัพองครักษ์แปดร้อยล้าน เวลาจะฆ่าขึ้นมาก็ตาไม่กะพริบเลย ไม่ใช่แปดพัน แปดหมื่น แต่เป็นแปดร้อยล้านชีวิตเชียวนะ เจ้ารู้สึกว่าคนประเภทนี้จะสนใจข้อผูกมัดนี้หรอ? วีรบุรุษในใต้หล้าต่อสู้กัน คนใจอ่อนมีเมตตาอยู่ไม่รอดหรอก ในสายตาของคนอย่างพวกเขา มีอะไรสำคัญกว่าการช่วงชิงความเป็นใหญ่ล่ะ? พวกเขาจะเก็บโค่วเหวินหลานเอาไว้ล้างแค้นให้ตระกูลโค่วเชียวเหรอ? เกรงว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือตัดรากถอนโคน มีหรือที่จะให้โอกาสโค่วเหวินหลานรอดชีวิต!”
รายละเอียดบนสนามรบ ที่จริงนางก็ไม่ได้รู้ชัดเจน บางคำถามนางก็เดาตามความคิดตัวเอง
…………………………
ศึกใหญ่ยังไม่จบ เขายังไม่แพ้ ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อจะกล้าประกาศตนเป็นราชัน เมื่อข่าวแพร่ออกไป คนในใต้หล้าก็จะนึกว่าเขาแพ้แล้ว
ประเด็นสำคัญของปัญหาก็คือ สี่ทัพหลุดออกจากการควบคุมของเขาแล้ว กำลังพลที่อยู่ในการปกครองของอาณาเขตสี่ทัพจะไม่ช่วยเขาพูดแล้ว สำหรับนักพรตแต่ละพื้นที่ในใต้หล้า จะไปรู้สถานการณ์การรบโดยละเอียดได้อย่างไร สำหรับพวกเขา แม้แต่สี่ทัพก็ยังไม่อยู่ในการควบคุมของประมุขชิง แสดงว่าสถานการณ์ของประมุขชิงไม่ราบรื่นแน่นอน
ยังมีจุดที่สำคัญที่สุดอีกจุดหนึ่ง ถ้าสงครามอยู่ในสภาพยืดเยื้อเป็นเวลานาน จะมีทรัพยากรมาเติมหรือไม่ก็เป็นปัญหาหนึ่ง ถ้าสำนักน้อยใหญ่ในใต้หล้าคิดว่าประมุขชิงไม่ไหวแล้ว มีหรือที่จะยังส่งทรัพยากรมาเพื่อช่วงชิงสิทธิพิเศษจากตำหนักสวรรค์ในภายหลังอีก เกรงว่าทุกคนคงกังวลว่าจะขัดใจหนิวโหย่วเต๋อ กังวลว่าเมื่อหนิวโหย่วเต๋อชนะแล้วจะมาคิดบัญชีกับพวกเขา
หนิวโหย่วเต๋อประกาศตนเป็นราชัน ถ้าหากยังปราบปรามไม่ได้เสียที เกรงว่าผลกระทบที่ไม่ดีต่อเขาก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ สั่นคลอนอำนาจบารมีของเขาในการปกครองใต้หล้า!
ประมุขพุทธะหยุดดึงลูกประคำในมือ มีสีหน้าหนักใจ ผลกระทบของประมุขชิงก็ใช้กับเขาได้เช่นกัน…
เป็นอย่างที่ฝั่งนี้คาดไว้ การที่เหมียวอี้ประกาศตนเป็นราชันไม่ใช่การปิดประตูประกาศตนเป็นราชัน แต่เป็นการประกาศให้คนรู้ทั้งใต้หล้า ประกาศต่อใต้หล้าผ่านช่องทางต่างๆ
ช่องทางข่าวสารของเหมียวอี้ใหญ่โตและแข็งแรงมาก นอกจากเครือข่ายทั้งข้างบนข้างล่างของทัพใต้ ทัพตะวันออก ทัพเหนือแล้ว สมาคมวีรชนที่นำโดยตระกูลหวงฝู่ก็ยิ่งประกาศว่าสนับสนุนหนิวโหย่วเต๋อ ทั้งยังมีการสนับสนุนที่แข็งแรงจากตระกูลเซี่ยโห้ว พอปล่อยข่าวออกไปก็ทำให้คนรู้กันเร็วมาก สร้างปรากฏการณ์ลวงตาต่อคนในใต้หล้าว่า ประมุขชิงกับประมุขพุทธะกำลังเสื่อมสลาย กำลังจะจบสิ้นแล้ว
อาศัยช่องทางข่าวสารต่างๆ ที่กว้างขวาง ขณะเดียวกันก็ประกาศข้อกล่าวหาประมุขชิงกับประมุขพุทธะหลายสิบฉบับ :
ประณามว่าประมุขชิงกับประมุขพุทธะถูกครอบงำด้วยลาภยศจนหน้ามืดตามัว แย่งชิงอำนาจผลประโยชน์ วางแผนชั่วทำร้ายพี่น้องร่วมสาบานอย่างประมุขไป๋ กักบริเวณประมุขปีศาจ
ประณามว่าประมุขชิงยัดเยียดความผิดที่อาจจะไม่จริงให้อิ๋งจิ่วกวง อดีตอ๋องสวรรค์คุมทัพตะวันออก กลับคำพิพากษาเพื่ออิ๋งจิ่วกวง อภัยโทษให้กำลังพลเดิมสายตระกูลอิ๋ง เลือกกำลังพลเดิมสายตระกูลอิ๋งที่ซ่อนตัวอยู่ออกมาออกมาสนับสนุนกองทัพสวรรค์ที่นำโดยหนิวโหย่วเต๋อ แล้วใช้กำลังปราบปรามพร้อมกัน
ประณามว่าประมุขชิงวางแผนทำร้ายฮ่าวเต๋อฟาง อดีตอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ กดดันให้หนิวโหย่วเต๋อซึ่งเป็นจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลในตอนนั้นเคลื่อนทัพโจมตีฮ่าวเต๋อฟาง
ประณามว่าประมุขชิงแอบแทรกสายลับเอาไว้ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อเพื่อลอบสังหารอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้
ประณามว่าประมุขชิงดักซุ่มกองทัพองครักษ์สิบล้านไว้ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์เพื่อลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อ อ๋องสวรรค์คุมทัพใต้
ประณามว่าประมุขชิงเสี้ยมให้เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อเข่นฆ่ากันเอง จากนั้นก็แอบระดมกองทัพองครักษ์แปดร้อยล้านไปดักซุ้มที่ดาวอ๋องสวรรค์หนิวเพื่อลงมือสังหารหนิวโหย่วเต๋อ โชคดีที่หนิวโหย่วเต๋อเชี่ยวชาญการทำศึก บัญชาการกองทัพได้เหมาะสม สามารถกำจัดกองทัพองครักษ์แปดร้อยล้านที่ลอบโจมตีได้หมดในรวดเดียว
ประณามว่าประมุขชิงรับสาวงามเข้าวังหลังไม่หยุดหย่อน บีบให้ขุนนางส่งสาวงามเข้าวัง เลี้ยงสาวงามนับไม่ถ้วนไว้ใช้ในวังหลัง
ประณามว่าประมุขชิงแอบให้เจียงอีอีปลอมตัวเป็นโจรราคะ กระทำย่ำยีกับภรรยาและลูกสาวของขุนนางตำหนักสวรรค์
สรุปก็คือประนามกล่าวหาประมุขชิงกับประมุขพุทธะทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่หลายสิบรายการในครั้งเดียว
ข้อกล่าวหาที่สำคัญที่สุดก็คือ ประณามว่าประมุขชิงหลงอนุจนทำร้ายเมียเอก อยู่ในฐานะราชันสวรรค์แต่ทำผิดกฎสวรรค์ รักและไว้ใจจ้านหรูอี้ที่เป็นหลานสาวของนักโทษขุนนาง ตั้งครรภ์เพื่อให้พ้นผิด ให้ท้ายนางออกจากตำหนักเย็น ราชินีสวรรค์ต้องการรักษากฎระเบียบ แต่กลับถูกประมุขชิงและจ้านหรูอี้กดขี่กักบริเวณ ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถูกตระกูลเซี่ยโห้วช่วยเหลือให้รอดพ้นภัยอันตรายไปได้หนึ่งครั้ง โอรสสวรรค์ชิงหยวนจุนเห็นมารดาถูกหยามเกียรติ จึงระดมพลไปทวงความยุติธรรม แต่กลับถูกประมุขชิงเห็นเป็นโจรกบฏ บีบให้อำนาจแต่ละฝ่ายล้อมปราบ สังหารโอรสสวรรค์ชิงหยวนจุนอย่างโหดร้ายทารุณ ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เจ็บปวดแสนสาหัส จึงขอร้องอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างจริงใจ ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อ อ๋องสวรรค์คุมทัพใต้จึงกำลังปราบทรราชให้นาง
หนิวโหย่วเต๋อ อ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ถูกประมุขชิงประทุษร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า อดทนแล้วอดทนอีก ทว่าถอยจนไม่รู้จะถอยอย่างไรแล้ว การกระทำของประมุขชิงทำให้ทั้งมนุษย์ทั้งเทพโกรธเคือง ยามเผชิญหน้ากับราชินีสวรรค์ที่หลั่งน้ำตาเป็นสายเลือดเพื่อขอร้อง หนิวโหย่วเต๋อจึงตัดสินใจร่วมมือกับอำนาจแต่ละฝ่ายใช้กำลังทหารปราบปราม เรียกร้องให้ใต้หล้าร่วมกันปราบปรามทรราช!
เมื่อข่าวนี้ถูกปล่อยออกไป ก็ทำให้ใต้หล้าสั่นสะเทือนอย่างแท้จริง กอปรกับมีอำนาจไม่น้อยแอบเติมเชื้อไฟ มีคนจำนวนมากใช้วิธีการต่างๆ ช่วยพิสูจน์ว่ามีหลายข้อหาที่เป็นความจริง คนในใต้หล้าถึงได้รู้ว่าประมุขชิงและประมุขพุทธะมั่วสุรานารีและไร้คุณธรรมเช่นนี้ โดยเฉพาะข้อกล่าวหาที่บอกว่าหลงอนุภรรยาจนฆ่าลูกฆ่าเมีย ทำให้ผู้หญิงจำนวนมากในใต้หล้าเดือดแค้น ด่าประณามประมุขชิง จ้านหรูอี้ก็ถูกตอกไว้บนเสาแห่งความอัปยศเช่นกัน ถูกสตรีในใต้หล้าสาปแช่งไม่หยุด กลายเป็นคำเรียกแทนนางแพศยา ถูกคนถ่มน้ำลายใส่ทั้งวันทั้งคืน…
เพล้ง! ในรถมังกร ประมุขชิงกระแทกแผ่นหยกที่บันทึกข่าวจนแหลกเป็นผุยผง หน้าดำเหมือนก้นหม้อ หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงอธิบายความโกรธแค้นในใจเขาได้แล้ว
ประมุขพุทธะกลับสุขุมเยือกเย็น ชำเลืองมองที่แตกละเอียดแวบหนึ่ง โบกแขนเสื้อปัดออกไป แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เนื้อหาข้างในมีจริงเท็จกี่ส่วน ในใจเจ้ารู้ดีกว่าใครทั้งนั้น เรื่องของจ้านหรูอี้เจ้าทำไม่ถูกจริงๆ ในตอนนี้จ้านหรูอี้ก็อยู่ในรถมังกรของเจ้า เจ้าโปรดปรานนางหรือไม่เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ ถ้าไม่ใช่เพราะนาง หนิวโหย่วเต๋อจะหาโอกาสเสี้ยมเขาควายให้ชนกันได้ง่ายขนาดนั้นเหรอ?”
ประมุขชิงจ้องเขาพลางตะคอกตอบ “คนตั้งใจจะใส่ความ ก็ย่อมข้ออ้างได้เสมอ!”
ประมุขพุทธะจึงบอกว่า “ในเมื่อรู้ว่าจงใจใส่ความ ก็ไม่ต้องคิดมาก มาคิดดีกว่าว่าจะปราบทัพกบฏยังไง ขอเพียงกำจัดหนิวโหย่วเต๋อได้ ถึงตอนนั้นเจ้าก็ย่อมพูดแก้ตัวได้ ดูจากทิศทางความเคลื่อนไหว กำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อมุ่งหน้าไปทางก่วงลิ่งกงแล้ว เจ้าเวรนี่อดใจรอไม่ไหว อยากจะกำจัดอุปสรรคสุดท้าย แต่ก่วงลิ่งกงหนีเข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนามแล้ว บางทีอาจจะเป็นโอกาสของพวกเราพอดี”
ประมุขชิงสงบสติอารมณ์ แล้วพยักหน้าบอกว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ชัดเจนมากแล้ว ว่าตระกูลเซี่ยโห้วยืนอยู่เบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อ ที่กำลังพลของเถิงเฟยถูกกลืนโดยไร้ข่าวคราว ก็ไม่พ้นเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกัน ไม่มีทางที่ก่วงลิ่งกงจะมองไม่เห็นเบาะแสนี้ เกรงว่าก่วงลิ่งกงเอ็งก็คงเข้าใจชัดเจน ว่าอาจหนีไม่พ้นการไล่โจมตีของหนิวโหย่วเต๋อ ไม่ว่าจะเป็นโค่วหลิงซวีหรือก่วงลิ่งกง มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้ารู้จักพวกเขาดี ในใจมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีอยู่บ้าง อาจจะไม่ยอมสวามิภักดิ์ง่ายๆ พอเป็นแบบนี้ ก็เท่ากับให้โอกาสพวกเราแล้วจริงๆ พอหนิวโหย่วเต๋อบีบคั้นเกินไป ก็มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าก่วงลิ่งกงจะมาร่วมมือกับพวกเรา”
ประมุขชิงขยับลูกประคำในมือ “ตามไป!”
ยอดเขาเขียวซ้อนทับกันหลายชั้น วัดสูงตระหง่านสูงโดดเด่น ในอุโบสถหลังใหญ่ พระเฒ่าเจ้าอาวาสสั่งงานลูกศิษย์ในสำนัก จากนั้นก็นำพระอีกหลายรูปเหาะขึ้นฟ้าไป
ทว่าพอไปได้ครึ่งทาง ก็มีคนจำนวนมากโผล่ออกมาจากชั้นเมฆ ดักลงมือทำร้า ทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างดุเดือด
สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่
ในดาราจักร คนกลุ่มหนึ่งห่อด้วยความเร็วสูง เหมียวอี้ที่วางระฆังดาราในมือแล้วเข้าใกล้คนที่อยู่ทางซ้ายและขวา กล่าวเสียงต่ำว่า “ตระกูลเซี่ยโห้วส่งข่าวมา ศิษย์ชาวพุทธในแต่ละพื้นที่ได้รับคำสั่งจากประมุขพุทธะ เริ่มระดมพลแล้ว”
เฉิงไท่เจ๋อกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ฝ่าบาท ศิษย์ชาวพุทธทั่วทั้งใต้หล้าที่สามารถออกรบได้ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ถ้ารวมตัวกันขึ้นมา เกรงว่าจะเป็นกำลังพลจำนวนไม่น้อยกว่าพันห้าร้อยล้าน ตอนนี้ประมุขชิงคงจะรวบรวมกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่เหลือพันสองร้อยล้านได้แล้ว กำลังพลที่ประมุขพุทธะนำมาเองก็มีหนึ่งพันสามร้อยล้านเช่นกัน ถ้ารวมกับกำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยล้านนี้ ก็เกือบได้ทัพใหญ่สี่พันล้านแล้ว อาศัยความได้เปรียบด้านอาวุธของพวกเขาอีก พวกเราอาจจะไม่ได้เป็นฝ่ายได้เปรียบ ถ้าสู้กันขึ้นมา แพ้ชนะยากคาดเดา!”
เหมียวอี้บอกว่า “ในจุดนี้ ข้าย่อมเข้าใจแล้ว ดังนั้นจะให้กำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยล้านนี้รวมตัวกันไม่ได้ ตอนนี้ตระกูลเซี่ยโห้วพยายามขัดขวางเต็มที่ แต่จนใจเพราะกำลังพลที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ มีเยอะเกินไป ตระกูลเซี่ยโห้วขัดขวางไม่ไหวด้วย ตอนนี้ข้าต้องการให้แม่ทัพระดับต่างๆ ของทัพใต้ ทัพตะวันออกและทัพเหนือใช้งานสมาชิกทุกคนที่อยู่ใต้เวที สมาชิกที่บริหารร้านค้าในตลาดสวรรค์ สมาชิกที่บริหารร้านค้าในตลาดมืด แล้วก็บ่าวไพร่ รวมทั้งกำลังที่มีอิทธิพลต่อสำนักต่างๆ ถ้าสามารถใช้งานได้ก็ใช้งานให้หมด ต้องสกัดกองทัพพระหนึ่งพันห้าร้อยล้านนี้เอาไว้ให้ได้ ต้องถ่วงเวลาพวกเขาไว้ด้วย จะให้พวกเขารวมตัวกันสร้างความกดดันให้กำลังหลักที่โจมตีไม่ได้เด็ดขาด!”
“ฝ่าบาทวางใจได้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของทุกคน ถ้าเป็นกำลังพลที่พวกข้าน้อยสามารถใช้งานได้ ก็จะไม่กักไว้แน่นอน แต่เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยและมั่นใจได้ ข้าน้อยแนะนำให้ฝ่าบาทใช้งานกำลังพลหนึ่งล้าน แบ่งกำลังพลเป็นกลุ่มละล้าน แบ่งเป็นร้อยกลุ่มมุ่งไปตามจุดต่างๆ ถ้าพบกำลังพลฝ่ายศัตรูที่รวมกลุ่มกันค่อนข้างใหญ่ ก็กำลังพลที่อยู่แถวนั้นไปโจมตีให้แตกได้เลย ไม่อย่างนั้นคนที่กระจัดกระจายกันอยู่ก็ไม่มีทางต้านทานกองทัพฝ่ายศัตรูได้ เรื่องนี้ต้องส่งให้คนที่ทำหน้าที่บัญชาการโดยเฉพาะ ไม่อย่างนั้นถ้าให้คนที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ หลับหูหลับตาโจมตีสกัด ก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย” เถิงเฟยกล่าว
เหมียวอี้บอกว่า “ที่พูดก็มีเหตุผล อนุมัติ! ในเมื่อท่านอ๋องเถิงมีแผนการในใจกับเรื่องนี้แล้ว เช่นนั้นเรื่องโจมตีสกัดไม่ให้กองทัพฝ่ายศัตรูรวมตัวกัน ก็ส่งให้เจ้าบัญชาการแล้วกัน ประสานกำลังพลตามที่ต่างๆ รวมทั้งรวบรวมข่าวสารในแต่ละด้าน ราชินีสวรรค์จะสนับสนุนเจ้า!”
“ข้าน้อยน้อมรับบัญชา!” เถิงเฟยกุมหมัดรับคำสั่ง
จากนั้นเขาก็ดึงกำลังพลไปหนึ่งร้อยล้าน รีบแบ่งเป็นหนึ่งร้อยกลุ่ม สั่งให้แยกย้ายกันไปตามที่ต่างๆ จากนั้นก็ดึงตัวสมาชิกคนสำคัญจะทัพใต้ ทัพเหนือและทัพตะวันออกเพื่อมาค่อยให้ความร่วมมือ รวบรวมเข้ามาในกระเป๋าสัตว์และร่วมบัญชาการกับอวิ๋นจือชิว
“ฝ่าบาท กำลังพลของประมุขชิงกับประมุขพุทธะใช้ทางลัดมุ่งหน้ามาหาพวกเราแล้ว!” หยางเจาชิงรายงานขึ้นมา
“ฝ่าบาท พอเป็นแบบนี้ เกรงว่าสถานการณ์จะไม่เอื้อประโยชน์ต่อพวกเรา ถ้าพวกเรากดดันก่วงลิ่งกงมากเกินไป ก่วงลิ่งกงก็อาจจะไปร่วมมือกับประมุขชิงกับประมุขพุทธะ ต่อให้ร่วมมือกัน แต่พอเจอก่วงลิ่งกงแล้ว พวกเราก็มีอันตรายทั้งข้างหน้าและข้างหลังอยู่ดี” เฉิงไท่เจ๋อกล่าว
“ไม่ต้องสนใจ ข้ามีแผนรับมือ!” เหมียวอี้ยิ้มเย้ย แล้วหันมาบอกหยางเจาชิง “บอกให้ทางฝั่งเหยียนซิวลงมือได้!”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง
เหมียวอี้ตะโกนเรียกอีก “เหิงอู๋เต้า!”
“ขอรับ!” เหิงอู๋เต้าก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วกุมหมัดคารวะ
“ให้กำลังพลเจ้าสามร้อยล้าน ไปโจมตีอารามแปดทิศอย่างลับๆ เดี๋ยวนี้ จำไว้ ไม่ได้ต้องการให้เจ้าโจมตีอารามแปดทิศ แต่ต้องการให้เจ้าล่อศัตรูไปสนับสนุน!” เหมียวอี้สั่ง
“รับทราบ!” เหิงอู๋เต้าเอ่ยรับคำสั่ง จากนั้นก็เลือกกำลังพลสามร้อยล้านจากไปอย่างรวดเร็ว
“หลงซิ่น!” เหมียวอี้เรียกแม่ทัพอีกคร
“ขอรับ!” หลงซิ่นก้าวขึ้นมาข้างหน้า
เหมียวอี้หยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งส่งให้ “ให้กำลังพลเจ้าสองร้อยล้าน ไปตามเส้นทางที่ระบุไว้บนนี้เดี๋ยวนี้ หลังจากไปถึงจุดหมายแล้วก็ดำเนินการตามคำสั่ง”
“รับทราบ!” หลงซิ่นเอ่ยรับ แล้วนำกำลังพลสองร้อยล้านจากไปอย่างรวดเร็ว
ทะเลทรายกว้างใหญ่ หุบผารกร้าง บนหน้าผามีปากถ้ำอยู่ไม่น้อย เงาร่างแช่มช้อยของเป่าเหลียนยืนอยู่ตรงปากถ้ำแห่งหนึ่ง นางกำลังทอดสายตามองไปเบื้องล่าง ศิษย์สำนักลมปราณกลุ่มหนึ่งกำลังฝึกกระบี่
เป่าเหลียนยังคงจมอยู่กับข่าวที่ส่งมาจากด้านนอก นางยืนยันกับอวิ๋นจือชิวแล้ว รู้สึกเหนือความคาดหมายมาก นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะประกาศตนเป็นราชันแล้ว นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสถานะของตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นสนมของราชันสวรรค์โดยไม่รู้ตัว
อวิ๋นจือชิวให้สัญญากับนาง ว่าตำแหน่งสนมสวรรค์หนีไม่พ้นนางแน่
สนมสวรรค์?เป่าเหลียนบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร เพียงแต่แอบทอดถอนใจ ความทะเยอะทะยานของผู้ชายคนนั้นทำให้นางไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร นางไม่เคยคิดอยากจะเป็นสนมสวรรค์อะไรเลย
…………………………
จู่ๆ เขาก็เรียกตัวเองว่า ‘ข้าน้อย’ อย่างสบายอกสบายใจขนาดนี้ กลับทำให้เหมียวอี้รู้สึกไม่ค่อยคุ้นชิน เหมียวอี้ขานรับแล้วบอกว่า “คาดว่าท่านอ๋องเถิงคงจะมีความเห็นอันเหนือชั้น ข้ายินดีฟังรายละเอียด”
หยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินแล้วก็เอียงหน้ามองมาเช่นกัน รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ตอนนี้ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าการปราบก่วงลิ่งกง ประมุขชิงกับประมุขพุทธะอีกหรือ?
เถิงเฟยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องสงครามมาถึงขั้นนี้แล้ว ทำให้ทำให้คนทั้งใต้หล้าโน้มน้อมสวามิภักดิ์ต่างหากคือเรื่องที่สำคัญที่สุด!”
“…” เหมียวอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง ยังไม่ทันรู้ตัวว่าหมายความว่าอะไร
หยางชิ่งก็อึ้งเช่นกัน แต่จากนั้นก็เผยสีหน้าเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ตอนนี้กำลังครุ่นคิดเงียบๆ
เฉิงไท่เจ๋อกุมหมัดคารวะ “ท่านอ๋องได้โปรดขึ้นสู่ตำแหน่งราชัน เพื่อซื้อใจคนทั้งใต้หล้า!”
เถิงเฟยกุมหมัดคารวะเช่นกัน “ท่านอ๋องได้โปรดขึ้นสู่ตำแหน่งราชัน นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด!”
“หา…” เหมียวอี้งงเป็นไก่ตาแตก ในเมื่อเขาก็เรื่องใหญ่โตขนาดนี้แล้ว ไม่เสียดายที่จะเสี่ยงอันตรายช่วงชิงชัยชนะกับวีรบุรุษในใต้หล้า ก็ย่อมเคยมีแผนการนี้ แต่ไม่เคยคิดว่าจะต้องทำตอนนี้ ทำเอาพูดอะไรไม่ถูก เพราะไม่ได้เตรียมใจเอาไว้
ความรู้สึกทุกข์ใจของอวิ๋นจือชิวก็หายไปแล้วเช่นกัน นางค่อยๆ หันตัวมา สิ่งนี้ทำให้นางตกใจแล้วเช่นกัน
เหมียวอี้กลืนน้ำลาย แล้วหันไปมองหยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ
หยางชิ่งชำเลืองมองเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อแวบหนึ่งด้วยแววตาที่แฝงความหมายล้ำลึก พอจะเข้าใจความคิดของทั้งสองแล้ว ทั้งสองอยากจะสร้างผลงานในการสนับสนุนให้เหมียวอี้ขึ้นเป็นราชัน! เมื่อทำอย่างนี้แล้ว ก็ทั้งได้สร้างผลงาน ทั้งได้แสดงให้เห็นถึงหัวใจที่สวามิภักดิ์โดยสมบูรณ์ สามารถหลีกเลี่ยงภัยอันตรายจากการถูกฆ่าที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วย
เมื่อมองออกแล้วว่าเหมียวอี้ต้องการจะฟังความเห็นของตน หยางชิ่งก็กล่าวช้าๆ ว่า “ข้าน้อยรู้สึกว่าท่านอ๋องทั้งสองกล่าวได้ถูกต้อง”
เหมียวอี้กระแอมแล้วถามว่า “ตอนนี้เลยเหรอ? ศึกใหญ่ยังไม่สงบ จะเหมาะสมเหรอ?”
หยางชิ่งบอกว่า “ประมุขชิงและประมุขพุทธะปกครองใต้หล้ามาหลายปีขนาดนี้ ในหัวใจของคนทั้งใต้หล้า มองทั้งสองว่าเป็นผู้ปกครองโดยชอบธรรมแน่นอนอยู่แล้ว เช่นนั้นในหัวใจของคนในใต้หล้า พวกเราก็จะกลายเป็นทัพกบฏที่ก่อกบฏ ได้ชื่อว่าเป็นทัพกบฏที่กำลังต่อสู้กับประมุขชิงและประมุขพุทธะ ใจคนเรานั้นยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ใจคนจะเอนเอียงไปทางฝั่งผู้ปกครองโดยชอบธรรมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในสายตาของคนทั้งใต้หล้า ประมุขชิงกับประมุขพุทธะสั่งสมอำนาจบารมีไว้เยอะมาก ทัพกบฏอาจจะก่อกบฏไม่สำเร็จ แต่หากท่านอ๋องประกาศตนเป็นราชัน เช่นนั้นในสายตาและหัวใจของคนทางใต้หล้า ลักษณะก็จะแตกต่างกันแล้ว ไม่ใช่การก่อกบฏอีกต่อไป แต่เป็นการช่วงชิงตำแหน่งราชัน คนในโลกนี้จะไปรู้หรือว่ารายละเอียดของสงครามเป็นยังไง ถ้าจะบอกว่าใครชนะใครแพ้ในเวลานี้ เกรงว่าคนในสังคมก็จะคิดว่าเป็นข่าวลือตามท้องถนน อาจจะไม่เชื่อก็ได้ ถ้าท่านอ๋องประกาศตนเป็นราชันเมื่อไหร่ เช่นนั้นชาวโลกก็จะคิดว่าท่านอ๋องมีศักยภาพที่จะต่อต้านประมุขชิงกับประมุขพุทธะทันที สามารถทำให้ชาวโลกพยายามรักษาจุดยืนที่เป็นกลางไว้ ลดโอกาสที่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะจะมาขอทรัพยากรในภายหลัง
นอกจากนี้ กำลังพลใต้บังคับบัญชาของท่านอ๋องมาจากทัพใต้ ทัพตะวันออกและทัพเหนือ ตอนนี้กำลังพลของท่านอ๋องควรจะเรียกตัวเองว่าอะไรล่ะ? เกรงว่าคงเลี่ยงไม่ได้ที่ทัพใต้จะคิดว่าตัวเองต่างหากที่เป็นสายตรงของท่านอ๋อง มองอีกสองทัพเป็นเพียงกองทัพที่ยอมสวามิภักดิ์ แต่ละทัพคงคิดว่าตัวเองมาจากทัพใต้ ทัพตะวันออกหรือไม่ก็ทัพเหนือ ตอนนี้ความคิดใจแคบต่างๆ ก็ทิ้งไว้ก่อนได้ หากท่านอ๋องประกาศตนเป็นราชัน ก็จะถือว่ากระโดดออกจากทัพใต้ ทีนี้ไม่ว่าจะเป็นทัพใต้ ทัพตะวันออกหรือทัพเหนือก็ล้วนเป็นกำลังพลของท่านอ๋องแล้ว จะทำให้ทหารของสามทัพเห็นเป้าหมายในการต่อสู้ของตัวเองแจ่มแจ้งชัดเจน ดังนั้นการที่ท่านอ๋องประกาศตนเป็นราชัน ก็เท่ากับทำให้คน โน้มน้อมสวามิภักดิ์!”
“ใช่แล้วๆ”
“ไม่ผิด ท่านบุรุษหยางพูดมีเหตุผล”
เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อกล่าวเห็นด้วยไม่ขาดปาก
มาจนป่านนี้แล้ว เหมียวอี้กลับกระบิดกระบวนเล็กน้อย “เหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง เพียงแต่…” เขาดูลังเล
เฉิงไท่เจ๋อวางมือไว้ข้างหลังแล้วโบกให้ลูกน้อง
เห็นได้ชัดว่าคบคิดกันไว้เรียบร้อยแล้ว แม่ทัพชุดหนึ่งกรูเข้ามาทันที กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ท่านอ๋องได้โปรดขึ้นสู่ตำแหน่งราชัน!”
เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ในทัพใหญ่ก็มีคนทยอยกันตะโกนเสียงดังเช่นกัน “ท่านอ๋องได้โปรดขึ้นสู่ตำแหน่งราชัน! ท่านอ๋องได้โปรดขึ้นสู่ตำแหน่งราชัน!”
คนที่ตะโกนเสียงดังตามเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกน้องเก่าของเฉิงไท่เจ๋อกับเถิงเฟย ไม่ได้สมคบคิดกันล่วงหน้าก็แปลกแล้ว
“ท่านอ๋องได้โปรดขึ้นสู่ตำแหน่งราชัน!”
“ท่านอ๋องได้โปรดขึ้นสู่ตำแหน่งราชัน!”
คนอื่นที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ตะโกนตามเสียงดังเช่นกัน ยิ่งตะโกนก็ยิ่งรู้สึกฮึกเหิม สุดท้ายเสียงตะโกนก็เป็นเอกฉันท์ ร่วมกันตะโกนเสียงดังไม่หยุด
ท่ามกลางเสียงตะโกนที่ดังราวกับคลื่นโหมสาดซัดเช่นนี้ บอกไม่ถูกว่าอวิ๋นจือชิวมีสีหน้าดีใจหรือว่าอย่างไร วันนี้เหมือนจะกะทันหันเกินไปหน่อย เมื่อหนิวเอ้อร์ประกาศตนเป็นราชัน นางจะกลายเป็นอะไรก็ไม่ต้องพูดมากแล้ว
เถิงเฟยโบกมือสั่งให้กำลังพลที่ตะโกนอยู่ข้างหลังเงียบ แล้วกล่าวเหมือนฮึกเหิมว่า “ท่านอ๋อง ได้รับความไว้วางใจจากทุกคนแล้วนะ! เจตจำนงร่วมของฝูงชน จะทำหล่าพี่น้องที่ปรารถนาดีผิดหวังได้ยังไง!”
เหมียวอี้รู้สึกฮึกเหิมตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกาย มีฝูงชนสนับสนุนก็ยังดีกว่าให้เขาสิ้นเปลืองความคิดวางแผนช่วงชิงมาเอง จะได้ไม่ดูละโมบเกินไปจนน่าเกลียดด้วย สิ่งใดที่เรียกว่าเหมาะสมชอบธรรมล่ะ นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าเหมาะสมชอบธรรม! เขาเองก็ไม่ใช่คนที่อิดออดเหมือนผู้หญิง ตะโกนเสียงดังทันทีว่า “ได้ ยากจะปฏิเสธน้ำใจไมตรีอันเปี่ยมล้น ข้าไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังแน่นอน!”
พวกเฉิงไท่เจ๋อยืนเรียงแถวหน้ากระดานตรงหน้าแม่ทัพคนสำคัญทันที หลังจากจัดท่าทางเรียบร้อยแล้ว ก็กล่าวอย่างพร้อมเพียงว่า “คารวะฝ่าบาท!”
บรรดาแม่ทัพกล่าวทำความเคารพพร้อมกันทันที “คารวะฝ่าบาท!”
“คารวะฝ่าบาท!” ทหารทั้งกองทัพตะโกนเสียงดังเช่นกัน
ท่ามกลางเสียงสนับสนุนของทุกคน เหมียวอี้ที่ตื่นเต้นราวกับมีคลื่นโหมซัดในใจก็ไม่ลืมอีกคนที่ได้ร่วมเสพสุขเกียรติยศนี้กับเขา เขาหันกลับมา แล้วยื่นมือให้อวิ๋นจือชิวที่ไม่ค่อยเผยสีหน้าอึดอัดไม่เป็นธรรมชาติบ่อยนัก เขาคว้ามือเรียวสวย แล้วจูงมายืนข้างกายตัวเอง
หยางชิ่งแอบรู้สึกสะท้อนใจ ไม่ว่าจะมีเรื่องดีอะไรก็ไม่ลืมที่จะแบ่งปันกับผู้หญิงคนนี้จริงๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นเวยเวยจะดีขนาดไหนกัน เขาทำความเคารพตามพวกเฉิงไท่เจ๋อด้วยความจนใจ “คำนับราชินีสวรรค์!”
“คำนับราชินีสวรรค์!” บรรดาแม่ทัพทำความเคารพตาม
“คำนับราชินีสวรรค์!” ทุกคนในกองทัพกล่าวเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง
อวิ๋นจือชิวมองไปที่เหมียวอี้อย่างเก้อเขินเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อว่าในดวงตาจะฉายแววเขินอาย เป็นเพราะกะทันหันเกินไปจริงๆ จู่ๆ ก็ได้สวมมงกุฎของสตรีที่เป็นใหญ่ในใต้หล้า ด้รับการคำนับจากทัพใหญ่นับพันล้าน นางไม่ได้เตรียมใจสักนิดเลยจริงๆ เป็นความรู้สึกที่ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึง
เป็นความรู้สึกที่อัศจรรย์เช่นกัน รู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น อยู่ดีๆ ก็ได้เป็นมารดาแห่งใต้หล้าแล้ว!
ในครั้งนี้ เหมียวอี้ทำให้นางตื่นเต้นประหลาดใจที่สุดจริงๆ!
โดยเฉพาะเมื่อเพิ่งอยู่ภายใต้สถานการณ์เมื่อครู่นี้ เหมียวอี้ก็ยังไม่ลืมที่จะดึงนางออกมาประกาศสถานะ ทั้งยังนึกถึงที่จะแบ่งปันเกียรติยศกับนางภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ ทำให้ในใจนางรู้สึกหวานชื่นที่เปรียบจริงๆ แม้จะได้รับความไม่เป็นธรรมมามากมาย แต่ตอนนี้ก็รู้สึกว่าคุ้มแล้ว
กลับเป็นเหมียวอี้ที่ใจกว้าง โบกมือตะโกนเสียงดังว่า “ยืนขึ้น!”
อวิ๋นจือชิวก็ไม่ใช่คนที่เก้อเขินยามเข้าสังคมเช่นกัน รีบจัดท่าทางให้สง่าผ่าเผย ในดวงตางามเป็นระลอกคลื่นเปล่งประกาย หลังจากสังเกตปฏิกิริยาของเหมียวอี้แล้ว ก็โบกมือพร้อมกับเหมียวอี้เพื่อให้ทุกคนยืนตัวตรงทันที…
ทำกลางทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล บนยอดเขาโดดเดี่ยวลูกหนึ่ง
“ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนของประมุขไป๋! ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด ยังนึกว่าเขาไร้ความสามารถที่จะเอาคืน นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายก็ยังกลับมา ทั้งยังกลับมาอย่างดุดันห้าวหาญขนาดนี้ ไม่รู้ว่าสองท่านนั้นจะคิดยังไง…” ก่วงลิ่งกงพลันเงยหน้าหัวเราะลั่น หัวเราะจนแทบน้ำตาไหล
แม่ทัพกลุ่มหนึ่งที่เดินไปเดินมาอยู่ไม่ไกลหันกลับมามองพร้อมกัน ไม่ค่อยเข้าใจที่เขาทำ
เสียงหัวเราะเบาลงทีละนิด ก่วงลิ่งกงถอนหายใจยังจนใจอีก ส่ายหน้าเบาๆ พร้อมบอกว่า “พวกเราจะไร้ความผิดได้ยังไง อิ๋งจิ่วกวง ฮ่าวเต๋อฟาง โค่วหลิงซวี ตอนนี้ก็เหลือแค่ข้าแล้ว…ถ้ารู้ว่าเป็นคนของประมุขไป๋ ถ้ารู้ว่าต้องยอมสวามิภักดิ์ต่อประมุขไป๋ ก็ไม่รู้ว่าโค่วหลิงซวียังจะโหดร้ายกับตัวเองอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า ตาเฒ่าโค่วปล่อยวางตำแหน่งที่มีเกียรติไม่ได้! มีหรือที่จะยอมคุกเข่าสวามิภักดิ์ให้เจ้าเด็กรุ่นหลังนั่น!”
โกวเยว่ถอนหายใจเบาๆ เช่นกัน “ยังนึกว่าหนิวโหย่วเต๋อมีความสามารถมากขนาดไหนกันเชียว ที่แท้ทุกอย่างล้วนเป็นประมุขไป๋ผลักดันอยู่เบื้องหลัง ไม่แปลกใจ วิธีการพลิกเมฆคว่ำฝนที่ต่อเนื่องของหนิวโหย่วเต๋อคงมาจากประมุขไป๋ทั้งหมด!”
ก่วงลิ่งกงหยิบระฆังดาราที่สั่นไหวอันหนึ่งขึ้นมา แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เป็นประมุขชิง ในปีนั้นประมุขไป๋พูดทิ้งท้ายเอาไว้ บอกว่าจะกลับมาคิดบัญชีกับเขา ตอนนี้กลับมาแล้วจริงๆ คาดว่าเขาเองก็คงกลัวแล้ว!” พูดจบก็เขย่าระฆังดาราติดต่อกัน
ผ่านไปครู่เดียว พอเขาวางระฆังดาราลงแล้ว โกวเยว่ก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้างขอรับ?”
ก่วงลิ่งกงแสยะยิ้ม “เรื่องยอมสวามิภักดิ์นั้นไม่ต้องพูดถึงแล้ว เขาต้องการให้ข้าร่วมมือกับเขา สัญญาว่าหลังจากกำจัดหนิวโหย่วเต๋อแล้ว เขา ข้าและประมุขพุทธะก็จะแบ่งใต้หล้ากันสามส่วน!”
“กลัวก็แต่ว่าพอกำจัดหนิวโหย่วเต๋อแล้ว เขาก็จะลงมือกับท่านอ๋องทันที” โกวเยว่กล่าว
ก่วงลิ่งกงบอกว่า “ดังนั้นข้าถึงได้บอกไง ได้ยินว่าจ้านหรูอี้ตั้งครรภ์แล้ว จะร่วมมือกับข้าก็ได้ แต่ต้องส่งจ้านหรูอี้มาเป็นตัวประกันในมือข้าก่อน”
“ตอบตกลงแล้ว?” โกวเยว่ถาม
“เขาถามข้าว่าอยากตายเหรอ! จนป่านนี้แล้วก็ยังปกป้องผู้หญิงคนนั้น มองออกเลยว่าประมุขชิงชอบนางจริงๆ!” ก่วงลิ่งกงกล่าว
“ราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผย กลายเป็นแบบนี้ไปได้เพราะผู้หญิงคนเดียว พวกเดียวกันมักคบกันจริงๆ ต่างอะไรกับประมุขไป๋” โกวเยว่ส่ายหน้า หยิบระฆังดาราออกมาแล้วเช่นกัน ไม่รู้ว่าติดต่ออยู่กับใคร เขาเงยหน้ามองก่วงลิ่งกงอย่างตะลึงงัน
“เป็นอะไรไป?” ก่วงลิ่งกงถาม
โกวเยว่ตอบอย่างตกตะลึงเล็กน้อย “หนิวโหย่วเต๋อประกาศตนเป็นราชันแล้ว!”
“ประกาศตนเป็นราชัน?” ก่วงลิ่งกงอึ้งทันที กล้ามเนื้อบนใบหน้าเริ่มเป็นตะคริว “อวดดีบ้าระห่ำ!”
โกวเยว่กลับแปลกใจ “ถ้าเขาเป็นคนของประมุขไป๋ แล้วเขาประกาศตนเป็นราชัน เช่นนั้นประมุขไป๋นับเป็นอะไรล่ะ?”
ก่วงลิ่งกงขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกใจเช่นกัน พอระฆังดาราในมือขยับ เขาก็มองโกวเยว่แวบหนึ่ง แล้วถือระฆังดาราขึ้นมา หลังจากติดต่อเสร็จแล้วก็ทำหน้านิ่งตึง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “ไอ้หนิวจัญไรน่ารังเกียจ! ขนาดประมุขชิงยังบอกแค่ว่าต้องการร่วมมือกับข้า แต่เขากลับประกาศออกมาว่าต้องการให้ข้ายอมสวามิภักดิ์ ไม่อย่างนั้นจะกวาดล้างทัพตะวันตกของข้า!”
โมโหก็ส่วนโมโห หลังจากโมโหเสร็จแล้วก็ทำสีหน้าจนใจ เอามือไขว้หลังมองไปยังทะเลหมอกกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ถ้าโค่วหลิงซวียังอยู่ ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกันต่อต้าน แต่ตอนนี้กลับไม่มีความหวังแล้ว ไม่ว่าเขาจะไปเข้าข้างฝ่ายไหน ก็ล้วนเลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนกลืน ถ้าจะเอาจ้านหรูอี้มาเป็นตัวประกันก็เป็นเรื่องโกหก เพราะถ้าประมุขชิงตัดใจทิ้งจ้านหรูอี้ได้จริงๆ ยังจะแยแสความเป็นความตายของจ้านหรูอี้อยู่อีกหรือ? เขาก็แค่หาข้ออ้างมาปฏิเสธเท่านั้นเอง
หนิวโหย่วเต๋อกำจัดโค่วหลิงซวีแล้ว เท่ากับตัดทางถอยทางอื่นๆ ของเขาแล้ว
“ไม่มีทางถอยแล้ว ได้แต่หวังว่าพวกเขาสองฝ่ายจะสู้กันเอาเป็นเอาตาย รอให้กำลังของพวกเขาลดลงเยอะแล้ว ใต้หล้านี้จะได้มีที่ยืนให้พวกเรา!” ก่วงลิ่งกงถอนหายใจ สั่งอีกว่า “ออกคำสั่งระดมพล ให้หนีเข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนาม ปล่อยให้พื้นที่ว่าง ให้พวกเขาสู้กันให้รู้ดำรู้แดงไปเลยเถอะ!”
โกวเยว่พยักหน้า แล้วหันตัวไปสั่งแม่ทัพเหล่านั้น…
“ก่วงลิ่งกงว่ายังไงบ้าง?”
ในรถมังกร เมื่อเห็นประมุขชิงวางระฆังดาราแล้ว ประมุขพุทธะก็เอ่ยถาม
ประมุขชิงทำหน้านิ่ง ไม่ได้เอ่ยเรื่องที่ก่วงลิ่งกงต้องการจะขอจ้านหรูอี้ไปเป็นตัวประกัน ถ้าพูดออกมาจะต้องถูกประมุขพุทธะพูดฉีกหน้าว่ากลายเป็นแบบนี้เพราะผู้หญิงคนเดียว ถ้าเป็นคนอื่นเขาก็ยังด่ากลับไปได้ แต่ถ้าประมุขพุทธะตำหนิเขา เกรงว่าเขาก็คงต้องอดทนไว้ “เห็นได้ชัดว่าเขาอยากเห็นข้ากับหนิวโหย่วเต๋อสู้กันให้เจ็บหนักทั้งสองฝ่าย จะได้ออกมาชุบมือเปิบได้สะดวก เขาไม่ตอบตกลง”
ประมุขพุทธะขยับดึงลูกประคำในมือ กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ฝันกลางวันไปเถอะ ต่อให้กำลังพลตายหมดแล้ว อาตมาก็สามารถเด็ดหัวก่วงลิ่งกงทำกลางหมื่นทัพได้!”
“ท่านอาจารย์ หนิวโหย่วเต๋อประกาศตนเป็นราชันแล้ว…” จู่ๆ ลูกศิษย์ที่อยู่ข้างกายก็รายงานข่าว
“โจรกบฎ!”
ในรถมังกรมีเสียงคำรามเกรี้ยวกราดดังลั่น หลังจากได้ยินข่าวแล้ว ประมุขชิงก็เดือดดาลสุดขีด ข่าวนี้ทำให้เขาไม่มีทางยอมรับได้
“เนี่ยน่ะเหรอที่เจ้าบอกว่าโค่วหลิงซวีไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา?”
เมื่อเห็นเหมียวอี้เสียเปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน ท่ามกลางเสียงกล่าวชมว่าองอาจจากฝั่งทัพเหนือ เถิงเฟยพูดเหน็บแนมชิงเยว่ด้วยใบหน้าดำคร่ำเครียด
ชิงเยว่เหมือนไม่กังวลเลยสักนิด ตอบอย่างสงบนิ่งว่า “ท่านอ๋องยังไม่นำความสามารถที่แท้จริงออกมาใช้ รอให้เจ้าเปิดหูเปิดตาแล้ว รู้แล้วว่าเขาคือผู้สืบทอดของใคร เจ้าก็ย่อมเข้าใจเอง”
“เจ้าหมายถึงอสุราอัคนีหรอ?”
เถิงเฟยถามด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้คำตอบ สายตาของทั้งสองล้วนจ้องไปยังเหมียวอี้ที่โจมตีเข้ามาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว จ้องไม่ละสายตา
เห็นเหมียวอี้เห็นพุ่งเข้ามา โค่วหลิงซวีแสะยิ้มรับ ในมือถือทวนเฉียงลง ถอยขาข้างหลังไปข้างหลัง โน้มตัวท่อนบนมาข้างหน้า ร่างกายอยู่ในสภาพเตรียมพุ่งออกมา จ้องเหมียวอี้พี่พุ่งเข้ามายังไม่ละสายตา เหมือนเสือดาวที่พร้อมกระโจนล่าเหยื่อทุกเมื่อ
ที่แปลกกว่านั้นก็คือ เงาร่างของโค่วหลิงซวีที่อยู่ในภาวะสงบนิ่งเปลี่ยนเป็นไม่สมจริงเล็กน้อย กำลังสั่นกระเพื่อมราวกับระลอกคลื่น
เงาร่างโค่วหลิงซวีไม่เคลื่อนไหว เหมียวอี้พุ่งไปข้างหน้าต่อโดยอย่างห้าวหาญไม่หวาดหวั่น
จนกระทั่งชั่วพริบตาที่ระยะห่างของทั้งสองได้ที่ โค่วหลิงซวีก็ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ฆ่า!” ทั้งร่างกลายเป็นร้อยพันร่างในชั่วพริบตาเดียว ราวกับเป็นเงาดอกไม้ที่ระเบิดยิงออกมาอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายก็คือเหมียวอี้ที่พุ่งตรงเข้ามา น่าทึ่ง ลึกลับ สั่นสะเทือน
อวิ๋นจือชิวยกมือขึ้นทาบอกโดยไม่รู้ตัว ชั่วขณะนี้ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรที่อกสั่นขวัญแขวน
“ย๊ากก!” ทันใดนั้นเสียงตะโกนของเหมียวอี้ก็ดังขึ้น พุ่งไปต่อโดยไม่ลดความเร็ว สองมือถือทวน ถอนทวนปล่อยทวนราวกับมังกรคะนองน้ำ
ราวกับมังกรคะนองน้ำอย่างแท้จริง ทวนแล้วทวนเล่า ทุกครั้งที่แทงทวนออกไป จุดสีดำขนาดเท่ากำปั้นที่หมุนวนตรงหัวทวนก็ถูกแสงทวนอันแหลมคมเจาะแตก ราวกับมีมังกรดำออกจากรังไหม มังกรดำน้อยตัวหนึ่งเจาะออกจากเปลือกไข่ แล้วเติบโตจากการถูกลมพัดในชั่วพริบตาเดียว คำรามราวกับอัสนีบาตสะท้านฟ้า
ที่จริงแล้วเป็นรอยแยกมิติ ทุกรอยแยกมิติยาวถึงร้อยจั้ง นั่นคือรอยบิดโค้งไร้ระเบียบ ราวกับมังกรดำดุร้ายอย่างแท้จริง ส่งเสียงมังกรคำรามทุ้มลึก ราวกับเป็นเสียงแห่งบรรพกาลที่ดังก้องออกมาจากจุดลึกของอวกาศ ให้ความรู้สึกอึมครึม บ้าระห่ำ เกรี้ยวกราด เสียสติ
ฉีกขาดอย่างน่าเกลียดน่ากลัวหนึ่งเส้น ฉีกขาดอย่างน่าเกลียดน่ากลัวสองเส้น ฉีกขาดอย่างน่าเกลียดน่ากลัวสามเส้น…
ชั่วพริบตานั้น มังกรคะนองน้ำนับร้อยตัวที่เกิดจากรอยแยกมิติ ราวกับเจาะออกจากท้องฟ้าที่ฉีกขาด พุ่งไปยังเงาร่างนับร้อยพันที่เข้ามา เสียงปะทะดังสะเทือนเลื่อนลั่น เป็นการทำลายล้าง
พอโค่วหลิงซวีปล่อยท่าไม้ตาย ก็ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรตกตะลึงพรึงเพริด
ฉากที่เหมียวอี้ใช้ทวนจนท้องฟ้าเป็นรอยฉีกขาดก็ยิ่งทำให้ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริด เบิกตาโพลงโดยฉับพลัน
นี่ไม่ใช่หนึ่งทวนสิบสังหาร แต่เป็นหนึ่งทวนร้อยสังหาร!
หลายปีขนาดนี้แล้ว วรยุทธ์และศักยภาพของเหมียวอี้ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ บางอย่างที่ตระหนักรู้เมื่อหลายปีก่อนได้พัฒนาแล้ว ความมั่นใจที่ทำให้กล้าชิงชัยกับวีรบุรุษในใต้หล้าก็มาจากความมั่นใจในตัวเอง
เสียงชนปะทะดังสะเทือนเลือนลั่น เงาร่างนับร้อยพันไม่มีทางหนีพ้นความเร็วและพลังลึกลับของรอยแยกมิตินับร้อยรอยได้ มังกรใหญ่ลึกลับนับร้อยตัวขวักไขว่ไล่สังหาร จู่โจมอย่างดุร้าย ทำให้สิ่งกีดขวางที่ลอยระเกะระกะอยู่ในดาราจักรทั้งหมดแตกกระจาย
เงาคนถูกโจมตีสลายร่างแล้วร่างเล่า ในที่สุดก็เห็นเงาคนหนึ่งร่างถูกมังกรตัวมหึมาชนกระเด็น เกราะรบบนร่างแหลกเป็นผุยผงในชั่วพริบตาเดียว สองแขนที่ถือทวนต้านสะเทือนแหลกราญไปพร้อมกับทวน
มังกรดำลึกลับร้อยตัวปรากฏตัวเร้วมา และหายตัวไปเร็วมากเช่นกัน ราวกับฉากมายาที่ปรากฏขึ้นอย่างดุเดือด แล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับความฝันในดาราจักร เสียงคำรามที่มาจากยุคบรรพกาลยังดังก้องอยู่ในดาราจักร
โค่วหลิงซวีที่อมลมไว้ในกระพุ้งแก้มพยายามพยุงร่างให้มั่นคง ลอยนิ่งอยู่ในอวกาศ ใบหน้าเผยความดุร้าย เบิกตากว้างจ้องเขม็งไปที่เหมียวอี้ สองแขนไม่มีแล้ว ไหล่สองข้างก็ไม่มีแล้วเช่นกัน เสื้อผ้าขาดรุ่ย ตรงบ่าสองข้างมีเลือกไหลหยด สุดท้ายก็ “อั้ก” กระอักเลือดคำหนึ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ปั้ง! ทวนเกล็ดย้อนในมือเหมียวอี้ระเบิดกลายเป็นผุยผงทันที
แม้แต่ทวนเกล็ดย้อนเองก็ทนรับพลังที่น่าหวาดกลัวขนาดนี้ไม่ไหว ถ้าพูดจากบางระดับ การควบคุมพลังที่น่าหวาดกลัวแบบนี้ เหมียวอี้เองก็ทำได้ไม่คล่องมักเช่นกัน
ในตอนนี้ เหมียวอี้ถึงได้ถอนหายใจออกมาช้าๆ กระบวนท่านี้ทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังอิทธิฤทธิ์มากเกินไป สิ้นเปลืองกำลังวังชามหาศาลเช่นกัน ถ้าไม่ใช่วรยุทธ์ระดับสำแดงฤทธิ์แยกร่าง ที่สามารถมีสามวิญญาณเจ็ดดวงจิตทุกร่างได้ เกรงว่าพอใช้กระบวนท่านี้แล้วก็คงทำให้เขาสลบทันทีเช่นกัน
เสียงกลองสะท้านฟ้าของฝั่งทัพใต้ก็เงียบแล้วเช่นกัน เฉิงไท่เจ๋อมองอย่างตกตะลึงอ้าปากค้าง ในหัวยังคงมีภาพสะพรึงเมื่อครู่นี้วนเวียนอยู่ นึกย้อนไปถึงพลังทำลายล้างอันน่าหวาดกลัวที่ฉีกทำลายล้างทุกอย่าง ไม่น่าเชื่อว่าจะกำจัดโค่วหลิงซวีได้ด้วยกระบวนท่าเดียว!
เงียบกริบทั้งทัพใต้ ทุกคนตะลึงค้างแล้ว วันนี้เพิ่งจะได้รู้ว่าพลังของอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้น่ากลัวขนาดไหน
หยางเจาชิงงุนงง เหมือนรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง ส่วนหยางชิ่งก็ตกใจค้าง ผ่านไปนานกว่าจะดึงสติกลับมาได้
อวิ๋นจือชิวเผยอปากเล็กน้อย ดวงตางามเหม่อลอย นางเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหมียวอี้จะมีท่าไม่ตายที่น่ากลัวขนาดนี้
สถานการณ์ตอนฝึกวิชาโดยละเอียด เหมียวอี้บอกนางน้อยมาก แต่นางก็นับว่าเข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดตอนนั้นเหมียวอี้ถึงให้นางหลอมสร้างทวนเกล็ดย้อนสองด้าม
คนที่เคยเห็นอานุภาพของกระบวนท่านี้จริงๆ มีเพียงเฮยทั่น เคยเห็นตอนที่เหมียวอี้ใช้ท่านี้ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเฮยทั่นที่เมื่อก่อนกล้าดื้อด้านต่อหน้าเหมียวอี้ แต่ตอนนี้ยามเจอเหมียวอี้แล้วว่านอนสอนง่าย เพราะว่าน่ากลัว ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว!
หลังจากขยับลูกกระเดือกเล็กน้อย เถิงเฟยก็ค่อยๆ หันไปมองชิงเยว่ “มิน่าล่ะเจ้าถึงบอกว่าเจ้ากับหลงซิ่นร่วมมือกันก็ยังต้านหนึ่งกระบวนท่าไม่ไหว ข้าเชื่อแล้ว เพียงแต่ว่า…ไม่เคยได้ยินว่าใครใช้กระบวนท่านี้ได้ ท่านอ๋องเป็นผู้สืบทอดของใคร?”
ชิงเยว่ขมวดคิ้ว ส่ายหน้าเบาๆ โดยไม่ตอบอะไร ตอนแรกที่ฝึกฝนกัน ท่านอ๋องไม่ได้ใช้กระบวนท่านี้ นางไม่รู้จักกระบวนท่านี้ ไม่รู้เช่นกันว่าเหมียวอี้ได้รับถ่ายทอดกระบวนท่านี้มาจากใคร ในเมื่อท่านอ๋องไม่อยากเปิดเผยภูมิหลังของอาจารย์ นางก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรเหมือนกัน
“ท่านอ๋อง…” ในทัพอารักขาของโค่วหลิงซวีมีคนตะโกนร้องอย่างเศร้าโศก
“ยิงธนู!” มีคนคำรามอย่างโกรธแค้นเช่นกัน
ชั่วพริบตานั้น ไม่รู้ว่าฝั่งทัพใต้มีคนตั้งเท่าไรที่ตกใจจนแทบวิญญาณหลุดออกจากร่าง
ปั้งๆๆๆ! ลำแสงยิ่งออกจากทัพอารักขาของโค่วหลิงซวีอย่างฉับพลัน ยิงไปทางเหมียวอี้อย่างบ้าคลั่งราวกับห่าฝน
อวิ๋นจือชิวเอามือปิดปากอย่างตระหนก น้ำตาร้อนๆ เอ่อล้นดวงตาในชั่วพริบตาเดียว ภายใต้ระยะห่างเท่านั้น ไม่มีใครสามารถช่วยเหมียวอี้ได้ และก่อนหน้านี้เหมียวอี้ก็นำของมีค่าออกจากตัวหมดแล้ว ไม่มีของใดๆ มาป้องกัน
ทว่าผ่านไปชั่วพริบตาเดียว อวิ๋นจือชิวก็เบิกตากว้างที่เปื้อนน้ำตามองอีก
เหมียวอี้ที่ก้มหน้าเล็กน้อยและลอยอยู่ในดาราจักรผลักฝ่ามือออกมาหนึ่งครั้ง คลื่นแสงที่ระยิบระยับพ่นทะลักออกมา เหมือนเพลิงเดือดล่องหน ถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง
ลำแสงที่ทยอยยิงออกมาอย่างต่อเนื่องปรากฏรูปร่าง กระทบโจมตีบนลำแสงที่ยาวเหยียดหนาแน่นเหมือนของจริง ไม่มีการป้องกันการปะทะ คลื่นแสงสั่นไหวไม่หยุดนิ่ง คลื่นที่หลงเหลือจากแรงสั่นสะเทือน เมื่อไปถึงตรงฝ่ามือเหมียวอี้ก็มีอานุภาพไม่มากแล้ว
ลูกธนูดาวตกที่ระเบิดยิงออกมาอย่างฉับพลันทำร้ายเหมียวอี้ไม่ได้เลยสักนิด ทำให้กำลังพลที่อยู่ในค่ายทัพของสองฝ่ายงงเป็นไก่ตาแตก แบบนี้ก็ได้เหรอ?
แต่ละคนตกตะลึงพรึงเพริดกับพลังอันแข็งแกร่งห้าวหาญของอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้!
“ประมุขไป๋!” เถิงเฟยพึมพำ แล้วค่อยๆ หันหน้าไปมองชิงเยว่ที่ดูไม่แปลกใจเลยสักนิด ในที่สุดก็เข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
“ประมุขไป๋!” เฉิงไท่เจ๋อที่สองมือถือไม้ตีอยู่หน้ากลองสะท้านฟ้าพึมพำอย่างตะลึงงัน
อาศัยแรงสะเทือนกลับที่กระเพื่อมมาหลายระลอก เหมียวอี้รีบดึงแสงคลื่นถอยหลัง กลับเข้ามาอยู่ในค่ายทัพของตัวเอง ไม่ใช่ว่าเขากลัวอะไร แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์เยอะเกินไป ตอนนี้เขาต้านทานได้ไม่นานแล้ว
แสงคลื่นพลังมหาศาลที่ปล่อยออกมา ตอนนี้ก็ถูกเก็บเข้าในร่างกายแล้วเช่นกัน
พอเขากลับเข้ามา โล่ทั้งฝั่งซ้ายและขวาก็รีบตั้งขึ้นป้องกันอยู่หน้ากระบวนทัพ
ผู้บัญชาการที่อยู่ฝั่งนี้ออกคำสั่งบุกโจมตีทันที เหมียวอี้ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้! โค่วหลิงซวีแพ้แล้ว ถ้าตอนนี้พวกเจ้าหยุดและยอมสวามิภักดิ์ ข้าก็จะไม่เอาเรื่องที่แล้วมา ถ้ากล้าโจมตีอีก ข้าก็จะสังหารพวกเจ้าไม่ให้เหลือแม้แต่เกราะรบ!”
ฝนธนูเริ่มหร็อมแหรมลงทีละน้อย สุดท้ายก็หยุดแล้ว ในค่ายทัพเหนือมีคนเอามือปิดหน้าร้องไห้…
กำลังพลกลุ่มหนึ่งกำลังเร่งเดินทางอยู่ในดาราจักร พาหนะของประมุขพุทธะก็คือวัดขนาดเล็กที่มีมังกรใหญ่สองตัวคอยลาก ประมุขชิงไม่ได้อยู่บนเกี้ยวมังกรของตัวเอง แต่มานั่งอยู่บนรถมังกรของประมุขพุทธะแล้ว
เห็นผลก็ไม่ได้ซับซ้อน ด้วยสถานการณ์ในพื้นที่ต่างๆ ที่รู้มาตอนนี้ ช่องทางข่าวสารของประมุขชิงถูกเจาะจงทำร้ายอย่างรุนแรง แต่เทียบกับฝั่งของประมุขพุทธะไม่ได้ เขามาที่นี่ก็เพื่อติดตามข่าวบนสนามรบ
เมื่อได้รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อโจมตีให้โค่วหลิงซวีพ่ายแพ้ภายในกระบวนท่าเดียว ประมุขชิงกับประมุขพุทธะที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงข้ามกันก็ตกอยู่ในความเงียบ
“ท่านเคยได้ยินว่ามีใครใช้กระบวนท่านี้หรือเปล่า?” ประมุขชิงถาม
ประมุขพุทธะส่ายหน้าเบาๆ แต่สีหน้ากลับเครียดขรึมเล็กน้อย
ตอนที่ลูกศิษย์ส่งข่าวมาอีกครั้งว่าหนิวโหย่วเต๋อต้านฝูงลูกธนูดาวตกได้ ประมุขชิงและประมุขพุทธะก็สบตากันแล้ว
ประมุขพุทธะกล่าวเสียงต่ำว่า “เป็นคนของเจ้าสามไป๋! เข้ารับตำแหน่งอยู่ในตำหนักสวรรค์ขอเจ้ามานานขนาดนี้ เจ้าไม่พบพิรุธอะไรสักนิดเลยเหรอ?”
“ถ้าเป็นเจ้าสามไป๋วางแผนจริงๆ แล้วเขาจงใจจะปิดบัง จนกระทั่งตอนนี้เพิ่งเปิดโปงออกมา ก็ย่อมสังเกตเห็นได้ยากอยู่แล้ว…” ประมุขชิงเอียงหน้ามองดาราจักรนอกประตู พึมพำว่า “เจ้าสามไป๋กลับมาแล้วเหรอ?”
ประมุขพุทธะยืนขึ้น “ตอนนี้ในมืออีกฝ่ายมีกำลังพลเพิ่มอีกสองสามร้อยล้านแล้ว เป็นทัพใหญ่เกือบแปดพันล้าน ทั้งยังมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากอยู่ในมืออีก ถ้าใช้กำลังปะทะกันโดยตรงก็มีโอกาสชนะต่ำ เจ้าคิดหาทางโน้มน้าวก่วงลิ่งกงให้มาอยู่ฝั่งพวกเราเถอะ!”
ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ ลุกขึ้นยืมตามแล้วเช่นกัน “ตอนนี้กำลังพลแต่ละฝ่ายรวมตัวกัน แทบจะไม่มีทหารยามเฝ้าตามประตูดวงดาว ศิษย์ชาวพุทธของท่านที่กระจายตัวอยู่ทั่วทั้งใต้หล้าสามารถรวมตัวกันได้อย่างไร้กังวล น่าจะรวบรวมกำลังพลได้หนึ่งพันห้าร้อยล้านใช่มั้ย?”
“แจ้งลงไป!” ประมุขพุทธะหันกลับมาสั่งลูกศิษย์ที่ติดตาม
ศิษย์คนนั้นประนมมือโค้งตัว “รับทราบ!”
ยิ่งเป็นการรบราฆ่าฟันขนาดใหญ่ การบาดเจ็บล้มตายก็ยิ่งมาก นี่คือเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก กำลังพลของเหมียวอี้กับกำลังพลของโค่วหลิงซวีใช้เวลารบกันไม่นาน ความเสียหายของทั้งสองฝ่ายรวมกันก็ยังสูงถึงสามร้อยล้าน นับรวมแล้วเหลือกำลังพลอยู่ประมาณเจ็ดพันแปดร้อยล้าน
ทว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นจือชิวสนใจ อวิ๋นจือชิวโกรธแล้ว นางสะบัดหน้าหนีขณะน้ำตาไหล เหตุผลที่ว่าสถานการณ์บีบบังคับ นางล้วนเข้าใจดี แต่นางไม่อยากพูดอะไร
เหมียวอี้ใช้คำพูดดีๆ โน้มน้าวปลอยใจอยู่ข้างกัน ยอมรับผิดแต่โดยดีก็ไม่มีประโยชน์ อวิ๋นจือชิวไม่สนใจเขา ก่อนหน้านี้ทำให้นางตกใจเกือบตาย แม้จะเป็นกระต่ายตื่นตูมไปเอง แต่ตอนนี้นางก็ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น
ในเวลานี้ เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อมาด้วยกันพร้อมใบหน้าเจือรอยยิ้ม หลังจากทั้งสองกุมหมัดคารวะแล้ว ก็ส่งสายตาให้กัน แล้วเฉิงไท่เจ๋อก็ถามว่า “ท่านอ๋อง ไม่ทราบว่าขั้นต่อไปเตรียมจะทำอะไร?”
เหมียวอี้มองอวิ๋นจือชิวที่หันหลังให้ ทำได้เพียงปล่อยไว้ก่อนชั่วคราว เขาหันมาหาทั้งสอง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเรียบๆ “ขั้นต่อไปก็ย่อมเป็นก่วงลิ่งกง ถ้ากำจัดภัยที่จะตามมาในภายหลังนี้แล้ว ก็ถึงเวลาทำศึกตัดสินกับประมุขพุทธะและประมุขชิง!”
“ข้าน้อยคิดว่าตอนนี้ท่านอ๋องยังมีอีกเรื่องที่สำคัญกว่าต้องจัดการก่อน” เถิงเฟยกล่าว
ทุกคนพากันมองไปที่โค่วหลิงซวี ดูว่าเขามีปฏิกิริยาอย่างไร
โค่วหลิงซวีจ้องเหมียวอี้ไม่ละสายตา ทั้งสองสบสายตากัน ราวกับมองเห็นเข้าไปในหัวใจของอีกฝ่ายแล้ว เขารู้ว่าเจตนาของตัวเองถูกอีกฝ่ายมองออกแล้ว
มาถึงขั้นนี้แล้ว สำหรับเขา ถ้าศัตรูจะสังหารตระกูลโค่วจนหมดสิ้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สิ่งที่เขาคำนึงถึงตอนนี้ก็คือ อีกฝ่ายมีความมั่นใจที่จะเอาชนะตนได้จริงหรือ ทั้งยังมาขู่ตนอีก? แต่ก็ถูกกดดันมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เขากระโดดลงไปในหลุมที่ตัวเองขุดแล้ว เขาไม่มีทางเลือกแล้ว
ถ้าพูดจากบางระดับ ฆ่าโค่วเจิงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตราบใดที่เขาเอาชนะได้ ตราบใดที่ตระกูลโค่วยังมีใครสักคนที่รอดชีวิตอยู่ ตระกูลโค่วก็สามารถแตกกิ่งก้านสาขาได้อีก แต่สิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจเลือกได้ยากจริงๆ ก็คือ การฆ่าถังเฮ่อเหนียน นี่คือคนสนิทที่ติดตามเขามาหลายปี วิธีการนี้ของหนิวโหย่วเต๋อโหดเกินไปแล้ว!
ถังเฮ่อเหนียนหลับตาลงช้าๆ หลับตาโดยไม่พูดอะไร ในใจรู้สึกสงบนิ่งที่สุด ไม่มีใครอยากตาย แต่บางครั้งก็ไม่มีทางเลือก เขารู้จักโค่วหลิงซวีดีเกินไป รู้ว่าโค่วหลิงซวีจะเก็บหรือทิ้งอะไร
โค่วเจิงเดินออกมาจากความเจ็บปวดที่สูญเสียลูกชายเร็วมาก ตกอยู่ในความหวั่นวิตก กังวลว่าบิดาจะลงมือสังหารตัวเอง แม้แต่คนในครอบครัวมากมายขนาดนั้นก็ยังสังหารไปแล้ว มีหรือที่จะแยแสเขาแค่คนเดียว
โค่วหลิงซวีพลันกล่าวเสียงต่ำ “ถังเฮ่อเหนียนไม่ใช่คนของตระกูลโค่ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา!”
เหมียวอี้ไม่พูดอะไร เพียงส่ายหน้าเท่านั้น สื่อว่าไม่ยอมรับข้อตกลง
โค่วหลิงซวีตกอยู่ในความเงียบแล้ว
“เอื้อ…เจ้า…” โค่วเจิงพลันครางออกมา หันไปมองถังเฮ่อเหนียนที่อยู่ข้างกายด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
ถังเฮ่อเหนียนชักทวนออกมาจากหน้าอกของเขา แล้วมองไปที่โค่วหลิงซวี
“เอ่อ…” คนที่อยู่รอบข้างตกใจทันที ไม่น่าเชื่อว่าถังเฮ่อเหนียนจะลงมือสังหารโค่วเจิงแล้ว?
ชั่วขณะนั้นกลุ่มคนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ลนลานจับกลุ่มกัน บางคนเข้ามาอุ้มโค่วเจิงเพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือ บางคนก็ไม่รู้ว่าควรจะลงมือกับถังเฮ่อเหนียนหรือไม่ บางคนก็มองไปที่โค่วหลิงซวี
โค่วหลิงซวีกลับเหมือนไม่สังเกตเห็นความวุ่นวายที่อยู่ข้างหลัง ไม่ขยับไปไหน เม้มริมฝีปากแน่น
ถังเฮ่อเหนียนถือทวนกุมหมัดคารวะ โค้งตัวอยู่ข้างหลังโค่วหลิงซวี “บ่าวขอนำไปก่อนหนึ่งก้าว ท่านอ๋องโปรดรักษาตัวด้วย!”
พูดจบก็ลอยออกมาจากขบวนรบ แล้วพลันตะโกนเสียงดังว่า “ฆ่า!”
ท่ามกลางสายตาฝูงชน เขาพุ่งตัวออกไปคนเดียว พุ่งเข้าไปหากำลังพล หนึ่งพันของฝ่ายตรงข้ามเพียงลำพัง โจมตีด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี
ชั่วพริบตานั้นโค่วหลิงซวีน้ำตาเอ่อ แก้มและริมฝีปากสั่นเทิ้ม มองเงาร่างที่ถลันออกไปอย่างเดียวดายโดยไม่ได้ขัดขวาง
ไม่ได้เกิดผลลัพธ์ที่สองแต่อย่างใด ลำแสงราวกับสายฝน ท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่น ร่างของถังเฮ่อเหนียนหายไปแล้ว แหลกสลายกลายเป็นหมอกเลือด
บนสนามรบตกสู่ความเงียบสงัด
“ถ้าท่านอ๋องโค่วแพ้แล้ว จะให้พี่น้องเบื้องล่างยอมสวามิภักดิ์ หรือจะให้พี่น้องเบื้องล่างเอาชีวิตไปทิ้งต่อ?” เสียงที่เรียบนิ่งของเหมียวอี้ทำลายความเงียบในดาราจักร
“พี่น้องทัพเหนือฟังคำสั่ง ถ้าอ๋องผู้นี้แพ้ ยอมสวามิภักดิ์!” โค่วหลิงซวีตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ทัพใต้ ทัพตะวันออกฟังคำสั่ง ถ้าอ๋องผู้นี้แพ้ ถอนทัพทันที ห้ามรุกรานทัพเหนืออีกแม้แต่น้อย!” เหมียวอี้พูดจบแล้วยื่นมือ ทำท่าเชิญโค่วหลิงซวี “ท่านอ๋องโค่วพูดคำไหนคำนั้น ข้าก็ไม่กลับคำพูดเหมือนกัน รับคำท้า!”
“ท่านอ๋อง…” เฉิงไท่เจ๋อกับหยางชิ่งพากันส่งเสียงโน้มน้าว
ทว่าเหมียวอี้ไม่สะทกสะท้านเลย ขยุ้มมือคว้าทวนเกล็ดย้อนสีแดงสดทั้งตัวมาไว้ในมือ พอโบกทวน “กรร” เสียงมังกรคำรามก็ดังก้องดาราจักร
“เพื่อไม่ให้ทุกคนกล่าวหาว่าข้าเป็นคนแก่รังแกเด็ก…” หลังจากโค่วหลิงซวีกล่าวเช่นนี้แล้ว ก็ถอดกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือออกมา รวมทั้งที่เก็บสมบัติทั้งหมดบนตัวด้วย เขานำทั้งหมดส่งให้คนที่อยู่ข้างกาย ถือเพียงทวนด้ามเดียวไว้ในมือ แล้วลอยออกมาจากขบวนทัพเพียงลำพัง ชี้ไปที่เหมียวอี้พร้อมบอกว่า “ให้คนของเจ้ามาตรวจสอบได้ เพื่อความยุติธรรม!”
หยางชิ่งบอกกับเหมียวอี้ทันทีว่า “ท่านอ๋อง โค่วหลิงซวีเห็นว่าท่านอ๋องมั่นใจขนาดนี้ ในใจเขาจึงไม่มีความมั่นใจ กังวลว่าในมือท่านอ๋องจะมีของวิเศษร้ายกาจอะไร อย่าติดกับดักเด็ดขาด!”
“เขาไม่ใช้ของวิเศษ แล้วข้ายังจำเป็นต้องกลัวด้วยเหรอ!” เหมียวอี้ยิ้มอย่างสบายๆ เขาทยอยถอดที่เก็บสมบัติบนร่างกายออก ส่งให้หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ แล้วลอยออกมาจากขบวนรบเพียงลำพัง
หยางเจาชิงรับของมา แล้วส่งคนที่ไว้ใจได้เหาะไปตรวจสอบฝั่งโค่วหลิงซวีทันที เตรียมป้องกันไม่ให้โค่วหลิงซวีแอบเล่นวิธีสกปรก
ฝั่งโค่วหลิงซวีก็ไม่เกรงใจ ส่งคนเข้ามาฝั่งนี้เช่นกัน
คนที่ทั้งสองฝั่งส่งมาตรวจค้นทั้งร่างกายของเหมียวอี้และโค่วหลิงซวีรอบหนึ่ง แน่ใจว่าไม่ได้ซ่อนลองลับอะไรเอาไว้ เสร็จแล้วถึงได้กลับมารายงานอย่างรวดเร็ว
โค่วหลิงซวีถลันตัวไปอยู่ตรงกลางระหว่างสองทัพที่กำลังคุมเชิงกัน เหมียวอี้ก็ถลันตัวออกมาเช่นกัน ทั้งสองถือทวนไว้ในมือ สบตากันอยู่กลางอากาศ คนหนึ่งแก่ชรา คนหนึ่งหนุ่มแน่นแข็งแรง
“ตีกลองเสริมอานุภาพ!” แม่ทัพคนหนึ่งของฝั่งตระกูลโค่วหันมาตะโกนบอก กลองสะท้านฟ้าลอยออกมา แม่ทัพคนนั้นตีกลองด้วยตัวเอง เสียงกลองดังกังวานอยู่ในดาราจักร
ฝั่งนี้ก็ไม่กล้าแสดงความอ่อนแอเช่นกัน เฉิงไท่เจ๋อสั่งให้คนนำกลองออกมา ก้าวขึ้นมาตีกลองด้วยตัวเอง
ชั่วขณะนั้น บรรยากาศในท้องฟ้าแตกต่างออกไป สมาชิกทัพใหญ่ของทั้งสองฝั่งต่างก็เบิกตาดูภาพนี้ เหตุการณ์ครึกครื้นยิ่งใหญ่ที่อ๋องสวรรค์ทั้งสองสู้กันตัวต่อตัว ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสได้เห็น
“เฮ้อ! พลังของโค่วหลิงซวีไม่ธรรมดาจริงๆ ทำไมท่านอ๋องต้องพาตัวเองไปอยู่ในอันตราย”
ในศูนย์บัญชาการของขบวนรบ เถิงเฟยทอดถอนใจอย่างเสียดาย บ่นกับชิงเยว่อย่างร้อนใจมาก แม้แต่เขายังคิดไม่ตก ต่อสู้อยู่ดีๆ ทำไมหยุดให้โค่วหลิงซวีฉวยโอกาส กำจัดโค่วหลิงซวีไปโดยตรงก็สิ้นเรื่องแล้ว มีหรือที่จะยุ่งยากอย่างนี้ ต่อไปก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก
ชิงเยว่ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “เจ้าคิดว่าท่านอ๋องฝีมืออ่อนด้อยเหรอ? วางใจเถอะ นี่โค่วหลิงซวีกำลังรนหาที่ตายให้ตัวเองชัดๆ”
“หมายความว่ายังไง?” เถิงเฟยงงงัน
“ตอนที่ท่านอ๋องฝึกวิชา เคยเรียกข้าไปประลองฝีมือ ข้าสู้ท่านอ๋องไม่ได้” ชิงเยว่ตอบ
เถิงเฟยแทบจะด่าแม่ อดไม่ได้ที่จะพูดเหน็บแนม “เจ้ากำลังจะบอกว่า โค่วหลิงซวีสู้เจ้าไม่ได้งั้นหรอ?”
ชิงเยว่พูดเสริมอีกว่า “ขากับหลงซิ่นร่วมมือกัน ก็ยังต้านทานกระบวนท่าเดียวของท่านอ๋องไม่ได้!”
“…” เถิงเฟยพูดไม่ออก สงสัยนิดหน่อยว่าตัวเองฟังผิดไปแล้วหรือเปล่า
อีกด้านหนึ่ง หยางชิ่งมองหยางเจาชิงที่จิตใจสงบนิ่งตั้งแต่ศีรษะจดเท้า “เหมือนเจ้าจะไม่กังวลสักนิดเลยนะ?”
หยางเจาชิงตอบด้วยน้ำเสียงธรรมดา “ไม่มีอะไรน่ากังวล ถ้าใช้กำลังปะทะกันตรงๆ โค่วหลิงซวีก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านอ๋องหรอก”
“เจ้ากำลังจะบอกอะไร?” หยางชิ่งงง
หยางเจาชิงบอกเพียงว่า “ถ้าเคยเห็นท่านอ๋องประลองกับชิงเยว่และหลงซิ่น”
หยางชิ่งขมวดคิ้ว เมื่อเห็นเขามั่นใจขนาดนี้ ก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก เพียงแต่ยังถ่ายทอดเสียงเตือนว่า “เชิญหวังเฟยออกมาดีกว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คาดเดาไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น ถ้าจะบอกว่าใครสามารถคุมสถานการณ์ได้ ก็มีแค่หวังเฟยเท่านั้นที่มีอำนาจบารมีนี้ อย่างน้อยก็จะไม่ทำให้ทัพใต้กระจัดกระจาย”
หยางเจาชิงเงียบไปครู่เดียว คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ก็มีเพียงอวิ๋นจือชิวที่คุมสถานการณ์อยู่ อย่างน้อยก็มีแม่ทัพจำนวนไม่น้อยที่เชื่อฟังอวิ๋นจือชิว ยกตัวอย่างเช่นพวกชิงเยว่ จะไม่ทำให้เหตุการณ์เสียการควบคุมในฉับพลัน
อวิ๋นจือชิวเผยโฉมออกมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงนี้ ก็ถามทันทีว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
หยางเจาชิงรีบเล่าสถานการณ์ให้ฟัง
อวิ๋นจือชิวโมโหทันที “พวกเจ้าเลอะเลือน ทำไมไม่ห้ามท่านอ๋อง รู้ได้ยังไงว่าโค่วหลิงซวีไม่เล่นตุกติก?”
แต่นางก็รู้เช่นกัน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่อาจย้อนคืนมาอีก ตอนนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกเหมียวอี้กลับมา เหมียวอี้ก็คงไม่กลับมาเช่นกัน ใครโน้มน้าวก็ไม่มีประโยชน์
เมื่อเห็นหยางเจาชิงกับหยางชิ่งก้มหน้า ก็จ้องหยางชิ่งพร้อมกล่าวเสียงเย็นทันที “ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีการอะไร เอาเป็นว่าต้องรับประกันความปลอดภัยของท่านอ๋องให้ได้ ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดกับท่านอ๋อง ข้าก็จะต้องหาศีรษะมารับผิดชอบ!”
พอหยางชิ่งเงยหน้า ก็รู้สึกได้ถึงเจตนาในดวงตาอวิ๋นจือชิวทันที ทำให้คนตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว เขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ สองผัวเมียคู่นี้ไม่เคยเชื่อใจเขาอย่างเต็มที่ ฟังจากความหมายในคำพูดของอวิ๋นจือชิว ศีรษะที่จะต้องนำมารับผิดชอบก็คงจะเป็นศีรษะของเขา
เขาเองก็เข้าใจความคิดของอวิ๋นจือชิวเช่นกัน การกระทำบางอย่างของเขาต้องการเล่นงานให้อวิ๋นจือชิวถึงแก่ความตาย สาเหตุที่อวิ๋นจือชิวใจกว้างอภัยให้ก็เพราะมีเหมียวอี้อยู่ ถ้าไม่มีเหมียวอี้แล้ว ฝั่งนี้ก็ควบคุมฉินเวยเวยไม่ได้ ยอมควบคุมหยางชิ่งไม่ได้ด้วยเช่นกัน เกรงว่าอวิ๋นจือชิวคงจะลงมือสังหารเขาทันที
อย่าไปมองว่าเขาถูกใช้งานในตำแหน่งสำคัญอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ที่จริงแล้วเป็นเรื่องจอมปลอมทั้งนั้น กำลังพลที่นี่ไม่มีใครฟังคำสั่งของเขาเลย ขอแค่อวิ๋นจือชิวสั่งคำเดียว ตัวเองก็จะตายโดยไร้หลุมฝังศพทันทีแน่นอน
เขารู้เช่นกันว่าทุกอย่างล้วนเป็นกรรมตามสนอง เป็นเพราะเรื่องในปีนั้นถูกเปิดโปง
ด้วยเรื่องราวในครั้งนั้น เขาก็ยังคิดไม่ตกว่ามีช่องโหว่ตรงไหน แผนการก็วางไว้ดีแล้ว ทำไมมู่ฝานจวินถึงปล่อยอวิ๋นจือชิวไปโดยไม่สังหาร ไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ อย่าบอกนะว่าบนโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาจริงๆ? อวิ๋นจือชิวคนนี้ถูกชะตากำหนดให้เป็นมารดาแหง่ใต้หล้า?
“ให้เบื้องล่างเตรียมตัวไว้ให้ดี ถ้าพบความไม่ชอบมาพากล ก็ไม่ต้องรักษาสัญญาอะไรทั้งนั้น โจมตีเข้าไปทันที!” หยางชิ่งเอ่ยปากเสนอวิธีการพี่ไม่ค่อยดีนัก
อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “อนุญาตแล้ว ความปลอดภัยของท่านอ๋องต้องมาเป็นอันดับแรก อย่างอื่นล้วนไม่สำคัญ จัดการตามนี้!” นางเอียงหน้าบอกใบ้หยางเจาชิง
หยางเจาชิงพยักหน้าเอ่ยรับคำสั่ง แล้วแอบไปทำตามที่กำชับไว้ ให้บรรดาแม่ทัพไปเตรียมตัว
ท่ามกลางการคุมเชิงกัน เหมียวอี้กับโค่วหลิงซวีค่อยๆ สะสมพลังจนถึงจุดสูงสุด พร้อมประทุทุกเมื่อ ทุกคนล้วนกำลังจ้องอยู่ หัวใจตึงไปหมดแล้ว
ศพร่างหนึ่งลอยพลิกเข้ามาเบาๆ ลอยผ่านระหว่างทั้งสองไป
ชั่วขณะที่สายตาของเหมียวอี้ถูกบดบัง ในที่สุดโค่วหลิงซวีก็ลงมือแล้ว เงาร่างสั่นไหวเป็นเงามายาเล็กน้อย ราวกับแวบหายไปในชั่วพริบตาเดียว
ทวนในมือเหมียวอี้ก็วาดเป็นเงามายาออกมาเช่นกัน ชั่วพริบตาเดียวตรงหัวทวนก็มีจุดสีดำขนาดเท่ากำปั้นที่หมุนวนแทงออกมา
บึ้ม! เสียงระเบิดทั้งกลบเสียงกลองสะท้านฟ้า
ศพที่ลอยผ่านกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตาเดียว โค่วหลิงซวีปรากฏตัว หัวทวนของทั้งสองชนปะทะกันแล้ว
เพียงแต่ชั่ววินาทีนี้ ทั้งสองใช้กำลังปะทะกันโดยตรง สะเทือนจนกระเด็นถอยหลังแทบพร้อมกัน
โค่วหลิงซสะเทือนไถลไปไม่กี่สิบจั้ง แต่เหมียวอี้แทบกระเด็นกลับมาถึงขบวนรบของตัวเอง
โค่วหลิงซวีมองไปอย่างผิดคาดเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าอาศัยวรยุทธ์ของเหมียวอี้แล้วจะกล้าใช้กำลังปะทะกับตนตรงๆ แบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะต้านไหว ทั้งยังทำให้ฝ่ามือตนสะเทือนจนชาด้วย นี่ก็คือความมั่นใจที่เจ้าหนุ่มนี่กล้าประมือกับตนเหรอ?
ผงแป้งที่กลบปิดตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้หลุดออกไปอย่างไร้การควบคุม เผยลายเพลิงสีทองอ่อนๆ ตรงหว่างคิ้ว มือที่จับทวนของเขาสั่นเล็กน้อย หนามแหลมบนเกราะรบลอยไปข้างหลังพร้อมกัน ราวกับถูกลมแรงเป่าไม่หยุด คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่แผ่ออกมาทีหลังก็เป่าไปทางขบวนรบข้างหลังราวกับพายุเช่นกัน
หัวใจที่อยู่ข้างในก็ยิ่งถูกสะเทือนจนเหมือนพลิกแม่น้ำคว่ำทะเล อยากจะกระอักเลือกเสียตอนนี้
วรยุทธ์ของโค่วหลิงซวีแข็งแกร่งเกินกว่าที่เหมียวอี้จินตนาการนิดหน่อย เป็นเพราะไม่เคยฝึกกับนักพรตที่มีพลังเท่าโค่วหลิงซวีมาก่อนเช่นกัน เขาอยากจะทดสอบพลังดูสักหน่อย ถึงได้ปะทะโดยตรงอย่างนี้ การโจมตีนี้เขาใช้แรงทั้งหมดที่มี แต่เห็นได้ชัดว่ายังด้อยกว่า
แค่ประลองเท่านี้ ไม่ว่าใครก็มองออกว่าวรยุทธ์ของเหมียวอี้ด้อยกว่าโค่วหลิงซวี แต่การที่สามารถปะทะกันโดยตรงอย่างนี้ได้ ก็ทำให้คนไม่น้อยมองเขาด้วยสายตาใหม่แล้วจริงๆ
“องอาจ! องอาจ…” ทุกคนของทัพเหนือส่งเสียงให้กำลังใจ
ส่วนฝั่งทัพใต้ก็ปวดใจเงียบๆ อวิ๋นจือชิวถ่ายทอดเสียงบอกอย่างกังวล “หนิวเอ้อร์ พอแค่นี้เถอะ!”
เหมียวอี้ไม่สนใจเลย ถึงขั้นไม่คิดด้วยว่าอวิ๋นจือชิวออกมาตั้งแต่เมื่อไร เขาข่มความปั่นปวนในร่างกายเอาไว้ แล้วถลันตัวออกมาพร้อมตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด “มาอีก!”
…………………………
เฉิงไท่เจ๋อกับหยางชิ่งหน้าเครียดทันที
จากคำชี้แนะของหยางชิ่งก่อนหน้านี้ พวกเขาเข้าใจเจตนาของโค่วหลิงซวีหมดแล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าโค่วหลิงซวีจะซ่อนแผนสำรองเอาไว้ ไม่น่าเชื่อว่าจะลงมือสังหารทั้งตระกูลโค่วเองอย่างไม่ลังเล แล้วตอนนี้ก็จะสู้ตัวต่อตัวอีก
วิธีการนี้ช่างโหดนัก ทำเอาฝั่งนี้ลุกลี้ลุกลนรับมือไม่ถูก!
นำชีวิตของคนตระกูลโค่วมารวบรวมขวัญกำลังใจทหาร ถ้าโค่วหลิงซวีไม่ยอมสวามิภักดิ์ ต่อให้ฝ่ายเจ้าจะใช้กำลังกดดันขนาดไหน แต่ก็ยากที่จะบีบบังคับให้สวามิภักดิ์ได้ ถ้าสังหารกำลังพลของอีกฝ่ายจนหมด จนฝ่ายตัวเองก็เสียหายย่อยยับไปด้วย นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เหมียวอี้ต้องการ เห็นได้ชัดว่าโค่วหลิงซวีเพ่งเล็งถึงจุดนี้ ถึงได้ลงมืออย่างเหี้ยมโหดกับคนตระกูลโค่ว!
ตอนนี้โค่วหลิงซวีเอาแต่พูดว่าทำเพื่อพี่น้องของทั้งสองฝั่ง อยากจะสู้ตัวต่อตัวกับเหมียวอี้ เจ้าควรจะรับคำท้าหรือไม่ล่ะ?
โค่วหลิงซวีทำเพื่อพี่น้องของทัพเหนือถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าเหมียวอี้ยังมีหน้ามาปฏิเสธอีกเหรอ? ถ้าปฏิเสธแล้ว แล้วจะให้พี่น้องฝั่งทัพใต้มองเจ้าอย่างไร? กลัวโค่วหลิงซวีเหรอ?
กลัวหรือไม่กลัวนั้นเป็นเรื่องรอง เจ้าสามารถบัญชาการให้ทัพใหญ่โจมตีได้เลย แต่เจ้าจะไม่ได้อะไรทั้งนั้น นอกจากไม่ได้อะไรแล้ว ยังทำให้ฝ่ายตัวเองเสียหายหนักมากอีกด้วย
เจตนาของโค่วหลิงซวีชัดเจนมาก เลิกคิดก็ได้เลยว่าเขาจะยอมมอบกำลังพลของตัวเองให้ไปสวามิภักดิ์แต่โดยดี ต่อให้ข้าตายข้าก็จะกัดเนื้อของเจ้าให้หลุดไปด้วยสักชิ้นหนึ่ง
แล้วถ้ารับคำท้าล่ะ? โค่วหลิงซวีเป็นอ๋องสวรรค์ที่มีความอาวุโส มีพลังไม่ธรรมดาแน่นอน ถ้าไม่มีความมั่นใจแล้วจะมาท้าสู้ตัวต่อตัวกับเจ้าเหรอ? ถ้าเหมียวอี้แพ้ให้กับโค่วหลิงซวี ยังไม่ต้องพูดถึงว่าทำลายขวัญกำลังใจทหาร ยังจำเป็นที่จะให้ฝั่งนี้สู้กับกำลังพลฝ่ายตรงข้ามจนเสียหายทั้งสองฝ่ายอีกหรือ? ถ้าเหมียวอี้พลาดแล้วโดนจับล่ะ อีกฝ่ายก็จะเอาชีวิตของเหมียวอี้มาขู่เข็ญ เช่นนั้นฝั่งนี้ก็ทำได้เพียงถอยทัพ เท่านี้ก็จะแก้ไขวิกฤตให้ทัพเหนือได้แล้ว
ต่อให้โค่วหลิงซวีแพ้แล้ว ก็จะเป็นอย่างที่หยางชิ่งอธิบายไว้ก่อนหน้านี้ เหมียวอี้ก็จะไม่กล้าแต่ต้องคนของตระกูลโค่วอีก เพราะต้องถามก่อนว่าทัพเหนืออนุญาตหรือเปล่า เจ้ายังคิดจะฮุบกำลังพลของอีกฝ่ายไว้ใช้ประโยชน์อย่างราบรื่นอยู่หรือเปล่าล่ะ?
“ตัดทางถอยเพื่อนเดินหน้า!” หยางชิ่งกล่าวอย่างเสียดาย แอบโทษเหมียวอี้ว่าทำให้ตัวหมากที่เดินดีอยู่แล้วกลายเป็นหมากที่แย่ เดิมทีกันกำลังพลไว้แล้ว สามารถกำจัดไปพร้อมกับโค่วหลิงซวีได้เลย พอแม่ทัพหลักล้มแล้ว ตอนหลังเมื่อจะรับกำลังพลทัพเหนืออีกก็ไม่ค่อยเปลืองแรงแล้ว เดิมทีเป็นแผนเด็ดที่ตั้งใจวางไว้อย่างดี ตอนนี้จบกัน กลายเป็นขี่หลังเสือแล้ว
เฉิงไท่เจ๋อพยักหน้าเบาๆ สีหน้าขรึมเครียด นี่คือแบบฉบับของการตัดทางถอยเพื่อนเดินหน้า ในช่วงเวลาสำคัญอย่างนี้ อีกฝ่ายสามารถนำชีวิตของทุกคนในตระกูลโค่วมาเป็นตัวหมากเพื่อนเดินต่อไป ช่างสุดยอดจริงๆ เฉิงไท่เจ๋อแอบทอดถอนใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้ พึมพำด่าว่า “หมาป่าเฒ่าเจ้าเล่ห์!”
เหมียวอี้ที่ดูอยู่ข้างๆ กระเหี้ยนกระหือรือ หยางชิ่งรีบห้าม “ท่านอ๋อง เสี่ยงไม่ได้ขอรับ ในปีนั้นโค่วหลิงซวีผงาดขึ้นมาได้ท่ามกลางเจ้าอาณาเขต ทั้งยังปกครองอาณาเขตมาได้หลายปี ไม่ได้มีดีแค่ชื่อเสียงแน่นอน!”
สายตาเหมียวอี้จ้องไปขี้โค่วหลิงซวี แล้วเอ่ยถามเสียงเรียบว่า “แล้วข้าจะมีดีแค่ชื่อเสียงเชียวหรือ?”
เฉิงไท่เจ๋อก็รีบห้ามเช่นกัน “ท่านอ๋อง ท่านบุรุษหยางไม่ได้หมายความอย่างนี้ เพียงแต่เราไม่จำเป็นต้องตกหลุมพลางโจรเฒ่านี่!”
จะไม่ให้กังวลก็คงยาก กำลังพลของฝั่งนี้ล้วนถูกบิดขึ้นมาภายในช่วงเวลาสั้นๆ มีเพียงเหมียวอี้เท่านั้นที่จะเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของทุกคนได้ และมีเพียงเหมียวอี้ที่สยบทุกคนมาได้ตลอดทางเท่านั้นที่สามารถข่มให้ทุกคนกลัวได้ ถ้ามีเหมียวอี้อยู่ก็ไม่มีใครกล้ากระโดดโลดเต้นซี้ซั้ว ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับเหมียวอี้ แล้วเบื้องล่างใครจะต้องยอมเชื่อฟังใครล่ะ? เขาเฉิงไท่เจ๋อจะยอมเชื่อฟังเถิงเฟยเหรอ? เถิงเฟยก็คงไม่ยอมเชื่อฟังเขาเหมือนกัน แค่กำลังพลทัพใต้ของเหมียวอี้ ดีไม่ดีก็อาจจะแบ่งแยกเป็นกลุ่มก้อนแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะบิดให้เข้ารูปจนเป็นกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า ขอเพียงไม่มีปลายเชือกที่ผูกกัน เบื้องล่างก็จะเสี่ยงกับการถูกยุบทันที
เมื่อเห็นว่าเดินมาถึงจุดนี้แล้ว ทุกคนล้วนมีความหวัง จะมาล้มเหลวตอนสุดท้ายได้อย่างไรกัน
เหมียวอี้กล่าวอย่างสุขุม “อย่าบอกนะว่าจะให้ข้าถอนทัพตอนนี้? แบบนี้ก็สมใจโค่วหลิงซวีน่ะสิ? หรือจะทำศึกเลือดกับทัพเหนือให้ถึงที่สุดจะได้ชัยชนะจอมปลอมให้คนอื่นมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ?”
เฉิงไท่เจ๋อพูดไม่ออก ถ้าเลิกบุกโจมตี ก็อย่าว่าแต่เขาที่รู้สึกเสียดาย เกรงว่าต่อไปหนิวโหย่วเต๋อก็ต้องกังวลเช่นกัน ว่าจะได้ชื่อว่าโดนโค่วหลิงซวีขู่ประโยคเดียวก็ถอยแล้ว แต่ถ้าสู้ล่ะ? ชัยชนะที่แลกมาด้วยความเสียหายใหญ่หลวงนี้ เท่ากับสร้างปัญหาให้ตัวเอง ขี่หลังเสือแล้วลงยากจริงๆ
แม้แต่หยางชิ่งเองก็ยังขมวดคิ้ว รู้สึกว่าสถานการณ์นี้แก้ไขยาก
“หนิวโหย่วเต๋อ ยังลังเลอยู่ทำไม อย่าบอกนะว่าเจ้ากลัว?” โค่วหลิงซวีตะโกนถามอยู่ไกลๆ เสียงดังมาก จงใจถามให้ทุกคนได้ยิน
เหมียวอี้ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “โค่วหลิงซวี เจ้าฟังให้ดีนะ ถ้าสู้กันตัวต่อตัว เจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอก ข้าไม่อยากสังหารเจ้า ข้าให้โอกาสเจ้าเลือกเป็นครั้งสุดท้าย นำทัพเหนือมาสวามิภักดิ์เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องเสียสละอย่างกล้าหาญอีกแล้ว! ข้าจะประกาศเป็นครั้งสุดท้าย ให้โอกาสเจ้าเลือกเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว ต่อให้เจ้าคิดวางแผนเป็นร้อยวิธี ข้าก็จะตัดรากถอนโคนตระกูลโค่วแน่นอน ใครก็ปกป้องไม่ได้ทั้งนั้น!”
คำพูดนี้ฟังดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ แต่ก็แปลกพิลึก เฉิงไท่เจ๋อกับหยางชิ่งมองไปที่เหมียวอี้พร้อมกัน ต่างก็ฟังออกถึงพลังอำนาจที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่จนปกคลุมทุกอย่างได้ นั่นคือความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญอย่างหนึ่ง สามารถฮุบกลืนฟ้าดินได้!
ขณะเดียวกันก็ทำให้คนรู้สึกแปลกๆ เหมือนปิดคลุมอุบายชั้นยอดของโค่วหลิงซวีลงไปในชั่วพริบตาเดียว ก่อนหน้านี้ทุกคนกำลังสับสนวนเวียนเพราะกำลังขึ้นหลังเสือ แต่ในสายตาเหมียวอี้เหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า
อย่างน้อยกำลังพลของเหมียวอี้ที่ไม่รู้ความจริง พอได้ยินแบบนี้แล้วก็ฮึกเหิมทันที รู้สึกได้ถึงพลังอำนาจของอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ผู้สง่าภูมิฐาน ไม่ได้ด้อยกว่าอ๋องสวรรค์คุมทัพเหนือเลยสักนิด!
‘ต่อให้เจ้าคิดวางแผนเป็นร้อยวิธี ข้าก็จะตัดรากถอนโคนตระกูลโค่วแน่นอนใครก็ปกป้องไม่ได้ทั้งนั้น!’ คำพูดนี้ดังก้องอยู่ในหัวโค่วหลิงซวี ทำให้เขาเบิกตากว้าง จ้องเหมียวอี้ไม่ละสายตา ชั่วพริบตานี้เขารู้สึกได้ว่าตัวเองถูกพลังอำนาจของหนิวโหย่วเต๋อกลบแล้ว เขารู้สึกกดดันเหมือนขึ้นหลังเสือ
คิดจะหลอกลวงข้าวเหรอ? โค่วหลิงซวีปลุกพลังอำนาจ ดวงตาเผยความเด็ดเดี่ยว ที่บอกว่าตัดทางถอยเพื่อนเดินหน้า เขาเองก็บีบตัวเองให้ถึงทางตันแล้วเช่นกัน ไม่มีทางถอยแล้ว ตระกูลโค่วถูกเขาฆ่าตายแทบจะหมดแล้ว ถ้ายอมสวามิภักดิ์ตอนนี้ เขาจะทนความรู้สึกได้อย่างไร? ต่อให้เขามีชีวิตต่อไปได้ ก็ไม่มีทางเงยหน้าได้เลยตลอดชีวิต!
“ทำไมต้องบ่นมาก กล้าสู้กับข้าหรือเปล่า!” โค่วหลิงซวีชี้เขาพลางตะโกนถาม
เหมียวอี้หันกลับไปพูดกับหยางเจาชิงว่า “โค่วเหวินไป๋!”
หยางเจาชิงพยักหน้า แล้วบีบหลังคอคนคนหนึ่งออกมา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นโค่วเหวินไป๋ที่ตกอยู่ในมือเหมียวอี้ตั้งนานแล้ว
ก่อนที่จะลงมือครั้งนี้ เหมียวอี้ก็ให้คนเตรียมตัวประกันเอาไว้แล้ว คิดว่าบางทีอาจจะแสดงประโยชน์ได้ เตรียมไว้ข้างกายก่อน ตอนนี้ดูท่าแล้วคงใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้ว
เมื่อเห็นคนคนนี้ โค่วเจิงก็เบิกตากว้าง “ท่านพ่อ เหวินไป๋ เป็นเหวินไป๋ เหวินไป๋ยังไม่ตาย!”
เขาอยากจะให้สุยฉูฉู่ ฮูหยินที่เศร้าโศกมาหลายปีได้เห็นว่าลูกชายยังไม่ตาย ทว่าสายไปแล้ว ไม่มีโอกาสนั้นแล้ว
ถังเฮ่อเหนียนขมวดคิ้ว โค่วหลิงซวีเม้มริมฝีปากแน่น ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อมีเจตนาอะไร ตัวเองสังหารคนของตระกูลโค่วไปมากมายขนาดนั้น อย่าบอกนะว่าจะถูกบีบได้เพราะตัวประกันคนเดียว หลานชายคนโตแล้วอย่างไรล่ะ?
ในค่ายทัพของทัพเหนือมีคนจำโค่วเหวินไป๋ได้ หลายคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ วรยุทธ์ของโค่วเหวินไป๋ไม่ได้ก้าวหน้ามากนัก หยางเจาชิงบีบหลังคอโค่วเหวินไป๋ คลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์ให้โค่วเหวินไป๋แล้ว ยังคงเหมือนลูกไก่ตัวหนึ่ง
โค่วเหวินไป๋ลองดิ้นรนดูสักพัก เห็นภาพอเนจอนาถตรงหน้าแล้วก็ตกใจเช่นกัน หลังจากเห็นคนที่อยู่ในค่ายทัพฝ่ายตรงข้ามชัดเจนแล้ว ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังว่า “ท่านปู่ ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย ข้าคือเหวินไป๋ไง ช่วย…”
เฉิงไท่เจ๋อก้มหน้า เห็นเพียงเหมียวอี้ยื่นมือมาทางด้านข้าง ชักกระบี่วิเศษข้างเอวเขาออกมา
วางกระบี่แนวนอนตรงหน้า ใช้นิ้วดีดเสียงดัง ‘แกร๊ง’ แล้วหันกลับมาพูดกับเฉิงไท่เจ๋อด้วยรอยยิ้มว่า “กระบี่ไม่เลว!”
เฉิงไท่เจ๋อรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ยังยิ้มตาม “ถ้าท่านอ๋องชอบ ก็เอาไปได้เลย”
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะหมุนคมกระบี่กดตรงซี่โครงใต้รักแร้ของโค่วเหวินไป๋ โค่วเหวินไป๋ตัวสั่นเล็กน้อย หันหน้ากลับมาช้าๆ มองเหมียวอี้อย่างหวาดกลัว ไม่กล้าขยับซี้ซั้วแล้ว ปากกล่าวเสียงสั่นว่า “อย่า อย่า…”
โค่วเจิงที่อยู่ตรงข้ามเบิกตากว้าง กำสองหมัดแน่น
“อา…” โค่วเหวินไป๋ส่งเสียงร้องโอดครวญ ลากเสียงยาว
เหมียวอี้อมยิ้มขณะมองคนตระกูลโค่วที่อยู่ตรงข้าม แทงกระบี่เข้าไปในร่างกายของโค่วเหวินเทียนทีละนิด เลือดสดซึมออกมา โค่วเหวินไป๋ดิ้นรนอย่างเจ็บปวด
ทุกคนที่มองเห็นฝั่งนี้ล้วนกำลังจ้อง โค่วเจิงให้ใจที่อย่างร้อนรน ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ถูกถังเฮ่อเหนียนกดเอาไว้แน่น
โค่วหลิงซวียกมือขึ้น สั่งห้ามทัพอารักขาฝั่งซ้ายและขวาที่วู่วามจะลงมือ เขาขบกรามแน่น จ้องฉากนี้ไม่ละสายตา
ทุกคนของทัพเหนือสีหน้าคับแค้นเดือดดาล รู้สึกถึงความอัปยศอย่างใหญ่หลวง
แต่ทุกคนต่างก็รู้สึกอย่างหนึ่งว่า หนิวโหย่วเต๋อกำลังคิดจะบอกฝั่งนี้ ว่าจะลงมือสังหารทุกคนของทัพเหนือเหรอ?
ทุกคนของทัพเหนือต่างก็รู้ว่าถ้าสู้กันขึ้นมา จุดจบก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก ความรู้สึกหวาดกลัวโถมเข้ามาอีกครั้ง
เฉิงไท่เจ๋อกับหยางชิ่งตกตะลึงอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังแสดงฉากโหดร้ายอำมหิตต่อหน้าฝูงชนก็มีจุดประสงค์อะไร
“ข้าบอกไว้แล้ว ว่าถ้าพลาดโอกาสนี้ไป ต่อให้เจ้าคิดวางแผนเป็นร้อยวิธี ข้าก็จะตัดรากถอนโคนตระกูลโค่วแน่นอน ใครก็ปกป้องไม่ได้ทั้งนั้น!” พอเหมียวอี้พูดจบ ก็ตวัดกระบี่ขึ้นพร้อมกับเลือดที่พุ่งกระฉูด แสงสะท้อนคมกระบี่แวบผ่าน ตัดศีรษะโค่วเหวินไป๋เสียเลย เสียงร้องโหยหวนเงียบลงแล้ว
หยางเจาชิงถือโอกาสผลักร่างที่ยังดีดดิ้นออกมา
เหมียวอี้เสียบกระบี่กลับคืนฝักตรงเอวเฉิงไท่เจ๋อ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “กระบี่ของพี่ชาย น้องชายจะแย่งของรักได้ยังไง แค่ยืมมาใช้สักครั้งเท่านั้นเอง”
เฉิงไท่เจ๋อยิ้มแห้ง การกระทำของเหมียวอี้ทำให้เขาขนลุกนิดหน่อย รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว
เหมียวอี้ตาเป็นประกาย แล้วก็จ้องไปที่โค่วหลิงซวีอีก ชี้ไปที่โค่วเจิง แล้วก็ชี้ถังเฮ่อเหนียน น้ำเสียงเรียบนิ่งดังออกมา “ถ้าจะฆ่าก็ฆ่าให้เกลี้ยง ขอเพียงตอนนี้เจ้าฆ่าโค่วเจิงกับถังเฮ่อเหนียนแล้ว ข้าก็จะยอมสู้ตัวต่อตัวกับเจ้า! ไม่ใช่แค่สู้ตัวต่อตัวกับเจ้านะ ต่อหน้าทุกคนของทัพใต้ ต่อหน้าทุกคน ข้าให้คำสัญญากับเจ้าเลย ถ้าข้าแพ้ กำลังพลของข้าจะถอยกลับทันที ไม่ล่วงเกินทัพเหนืออีกแม้แต่น้อยแน่นอน! โค่วหลิงซวี เป็นยังไง เพื่อพี่น้องของทัพเหนือ เจ้าจะฆ่าหรือไม่ฆ่า?”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา หยางชิ่งก็แอบชมว่าสุดยอด สังหารโค่วเหวินไป๋ต่อหน้าฝูงชน ทั้งยังบีบให้โค่วหลิงซวีกระโดดลงกับดักที่ตัวเองขุดไว้อีก ต้องการสังหารคนของตระกูลโค่วให้สิ้นซากจริงๆ!
ชั่วพริบตานี้ เขาพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
ถ้าพูดถึงหัวสมอง โค่วหลิงซวีกับเหมียวอี้อาจจะสู้เขาไม่ได้ แต่วิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของโค่วหลิงซวีก่อนหน้านี้กลับทำให้เขาไปต่อไม่เป็น และวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของเหมียวอี้ตอนนี้ก็เหนือความคาดหมายของเขาเช่นกัน เขามองเห็นคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ตัวเองไม่มีจากตัวของสองคนนี้อย่างชัดเจน นั่นก็คือความสุขุมเยือกเย็น คุณสมบัติที่จะปกครองใต้หล้า!
เพียงแต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า เหมียวอี้มีความสามารถที่จะสังหารโค่วหลิงซวีจริงๆ?
มองไปที่โค่วหลิงซวี แล้วก็มองไปที่เหมียวอี้ เฉิงไท่เจ๋อแอบส่ายหน้าทอดถอนใจ พึมพำในใจว่า คนโหด แต่ละคนล้วนเป็นคนโหด เป็นความโหดที่ฆ่าคนมาไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว ไม่ใช่ความโหดเรื่องฆ่าคนแน่นอน แต่เป็นความโหดที่อธิบายไม่ถูก เป็นสิ่งที่เขาไม่มี
ล้างแค้นเขาเหรอ? เขาสำคัญตัวเองมากเกินไปแล้ว หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว หยิบระฆังดาราออกมาแล้วเช่นกัน จ้องมองโค่วหลิงซวีในค่ายทัพฝ่ายตรงข้าม ถามว่า : ท่านอ๋องโค่วมีอะไรจะชี้แนะ?
โค่วหลิงซวีถามว่า : เจ้าอยากจะฮุบกำลังพลในมือข้าเหรอ?
เหมียวอี้ : เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มัวเกรงใจอีกก็ไม่มีประโยชน์ ท่านอ๋องโค่วรู้อยู่แก่ใจแล้วยังจะถามทำไม?
โค่วหลิงซวี : ในเมื่ออยากได้กำลังพลของข้า รบราฆ่าฟันกันอย่างนี้สิ้นเปลืองเปล่าๆ ไม่น่าเสียดายหรอกหรือ?
เหมียวอี้ : เจ้ากับเถิงเฟยและเฉิงไท่เจ่อนั้นต่างกัน กำลังของเจ้าสูสีกับข้า ถ้าไม่ให้กำลังพลของเจ้าเห็นความร้ายกาจของข้าสักหน่อย แล้วจะยอมสวามิภักดิ์ง่ายๆ ได้ยังไง?
โค่วหลิงซวี : ถ้าอยากได้ข้าก็จะให้ สั่งให้คนของเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!
เหมียวอี้สบตากับเขา ไม่ค่อยเชื่อว่าอ๋องสวรรค์เฒ่าที่ปกครองอาณาเขตมาหลายปีจะยอมสวามิภักดิ์ได้ง่ายขนาดนี้ แต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ก็ยังตอบไปว่า : ถ้าให้คนของเจ้าหยุด คนของข้าก็จะหยุดเหมือนกัน
โค่วหลิงซวี : ได้!
จากนั้นเหมียวอี้ก็เอียงหน้าสั่งหยางเจาชิงสองสามประโยค หยางเจาชิงแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังหยิบระฆังดาราออกมาทำตามที่สั่ง
ผู้บัญชาการที่อยู่ฝั่งนี้รวมทั้งชิงเยว่ที่อยู่ในขบวนรบก็มองมาอย่างแปลกใจเช่นกัน เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ
“ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้!” โค่วหลิงซวีพลันตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด
“หยุด!” แม่ทัพพี่บัญชาการอยู่ระดับล่างทยอยกันตะโกน
แต่การเข่นฆ่าที่ดุเดือดจะหยุดง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร ทำได้เพียงหลบการบุกโจมตีจากฝ่ายศัตรู ถึงขั้นต้านทานไว้จนใจ
“หยุด!” จนกระทั่งพวกชิงเยว่ทยอยกันตะโกนให้หยุด กำลังพลของเหมียวอี้ถึงได้พากันหยุดแล้วเช่นกัน บนสนามรบถึงได้หยุดลงช้าๆ อย่างแท้จริง
หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีบางส่วนบาดเจ็บเพราะหยุดไม่ทัน อย่างไรเสียคนพวกนี้ก็สังหารคนจนติดลมแล้ว
ในดาราจักรเริ่มสงบลงทีละน้อย มีเพียงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ยังสะเทือนกระจายออกไปเป็นพักๆ
“นี่มันเรื่องอะไนกัน?” หยางชิ่ง เฉิงไท่เจ๋อล้วนกำลังถาม จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ทุกคนต่างทำสีหน้าประหลาดใจ
เถิงเฟยที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็กำลังถามชิงเยว่เช่นกัน
เหมียวอี้ไม่กังวลว่าโค่วหลิงซวีจะฉวยโอกาสโจมตีกลับ สถานการณ์ภาพรวมบนสนามรบถูกกำหนดแล้ว สามารถลงมือได้ทุกเมื่อ ตอนนี้แค่หยุดชั่วคราวเท่านั้น ต่อให้ลอบจู่โจมก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ อย่าบอกนะว่าคิดจะถ่วงเวลารอคนมาช่วย? ตามข่าวกรองที่เขาได้รับมา ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ตามมาไม่ทันทั้งนั้น
เห็นเพียงโค่วหลิงซวีลอยออกมาช้าๆ ท่ามกลางกลุ่มคนที่หลีกทางให้ มายืนอยู่ข้างหน้าสุดของขบวนรบ กำลังพลฝั่งซ้ายและขวาเตรียมป้องกันอย่างสูง
ที่แปลกก็คือ โค่วหลิงซวีเรียกลูกหลานทั้งหมดของตัวเองที่รับตำแหน่งในทัพเหนือมาอยู่ตรงหน้ากระบวนทัพหมดแล้ว รวมทั้งคนรู้จักเก่าของเหมียวอี้ โค่วเหวินหลาน
โค่วเหวินหลานก็ร่วมรบอยู่ในศึกนี้เช่นกัน เขายกมือปาดรอยเลือดบนใบหน้าตัวเอง
เขาไม่ได้เจอเหมียวอี้มาหลายปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเหมียวอี้น่าเกรงขามราวกับดาวล้อมเดือน พอนึกถึงเหตุการณ์ที่เหมียวอี้เป็นลูกน้องตัวเองในปีนั้น ในใจก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ในดวงตาสื่ออารมณ์หลากหลายปนกัน มีทั้งสะท้อนใจ ทั้งเคียดแค้น แค้นที่ตัวเองพาเหมียวอี้เข้ารับตำแหน่งในตำหนักสวรรค์ ทำให้ตอนนี้กลายเป็นภัยคุกคามกับทั้งตระกูลโค่ว
จากนั้น สิ่งที่ทำให้ทุกคนงุนงงก็คือ โค่วหลิงซวีเรียกสมาชิกทุกคนในตระกูลโค่วออกมาหมดแล้ว มีผู้หญิงจำนวนมากกว่า ส่วนใหญ่ล้วนงดงามราวกับบุปผา
อนุภรรยา ลูกหลานรวมทั้งภรรยาของลูกหลานของโค่วหลิงซวี รวมแล้วเกินหนึ่งพันคน
สมาชิกในครอบครัวกลุ่มใหญ่ถูกส่งมาไว้ตรงหน้าขบวนรบ ในมือปราศจากอาวุธ ตรงหน้ามีศพไม่สมประกอบอยู่ลอยอยู่ทุกหนแห่ง รู้สึกเหม็นคาวเลือด สะอิดสะเอียน หวาดกลัว
อย่าว่าแต่พวกผู้หญิงที่หน้าซีด แม้แต่ผู้ชายบางคนของตระกูลโค่ว สีหน้าแววตาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน ยามปกติใช้ชีวิตสุขสบายโรยด้วยกลีบดอกไม้ ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมา เสพสุขเกียรติยศความร่ำรวย เคยเห็นเหตุการณ์ที่น่าเวทนาขนาดนี้เสียที่ไหนกัน
พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ท่านอ๋องถึงพาพวกเขามาบนสนามรบที่คลุ้งกลิ่นคาวเลือดแบบนี้ พวกเขามองทัพอารักขาที่อยู่ฝั่งซ้ายฝั่งขวาของท่านอ๋อง แต่ละคนที่ยืนอยู่แถวหน้าเลือดท่วมตัว คนที่เกราะรบอยู่ในสภาพดีมีไม่เยอะ พลังอำนาจที่แผ่ออกมาบนร่างกายเป็นสิ่งที่ยามปกติพวกเขาไม่ได้เห็น ในดวงตาฉายแววดุร้ายน่ากลัวอย่างที่สงบลงได้ง่าย
มีเพียงคนเดียวที่ไม่ถูกผลักออกมา นั่นก็คือโค่วเจิง บุตรชายคนโตของโค่วหลิงซวี โค่วเจิงระแวงสงสัยไม่หยุด ไม่เข้าใจว่าท่านพ่อต้องการจะทำอะไร
สุยฉูฉู่ ภรรยาของโค่วเจิง โค่วเหวินหง บุตรสาว ทั้งยังมีโค่วเหวินเทียน บุตรชายที่เพิ่งเกิดทีหลัง พวกเขามองโค่วเจิงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เหมือนอยากจะหาความรู้สึกปลอดภัยจากโค่วเจิงที่อยู่ในฐานะบิดาและสามี
“ตาแก่นี่คิดจะทำอะไร?” เหมียวอี้เอียงหน้าถามคนที่อยู่ข้างกาย
อย่าว่าแต่เฉิงไท่เจ๋อ แม้แต่หยางชิ่งเองก็ส่ายหน้าเช่นกัน ไม่เข้าใจว่าโค่วหลิงซวีกำลังเล่นลูกไม้อะไร อย่าบอกนะว่าจะส่งมาเป็นตัวประกัน?
“มองพวกเขาสิ แหกตาพวกเจ้าดูพวกเขาเอาไว้!” จู่ๆ โค่วหลิงซวีก็ตะคอกถามคนในครอบครัวอย่างเกรี้ยวกราด สองมือชี้ไปยังทหารที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวา “เห็นหรือยัง! ทุกคนเห็นหรือยัง! ตอนนี้รู้หรือยังว่าชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยของพวกเจ้าได้มาจากไหน? ตอนนี้รู้หรือยังว่าเกียรติยศความร่ำรวยของพวกเจ้าได้มาจากไหน? เป็นพวกเขา เป็นขุนพลทั้งหมดของทัพเหนือที่เอาชีวิตแลกมาให้พวกเจ้า! วันนี้ ทัพเหนือเผชิญหน้ากับศึกชี้เป็นชี้ตาย! ถ้าชนะ เกียรติยศความร่ำรวยของพวกเจ้าก็ยังคงอยู่! ถ้าแพ้ พวกเราก็จะสูญเสียทุกอย่างไป! แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นขุนพลของทัพเหนือที่บุกอยู่ข้างหน้าสุดเพื่อตระกูลโค่ว วันนี้ ทุกคนของตระกูลโค่วจะตอบแทนด้วยชีวิต! วันนี้ ทุกคนของตระกูลโค่ว ไม่ว่าจะชายหญิงเด็กหรือคนแก่ ก็จะต้องบุกอยู่ข้างหน้าสุดเพื่อขุนพลของทัพเหนือ ต่อให้ตายก็ต้องตายอยู่ข้างหน้าสุด หยิบอาวุธออกมา!”
เสียงของเขาดังก้องอยู่ในดาราจักร ขุนพลทุกคนของทัพเหนือซาบซึ้งใจกับสิ่งนี้มาก
ในขบวนรบที่กำลังเผชิญหน้ากับศัตรู แต่ละคนกลับหันมามองทางฝั่งนี้ ความรู้สึกสิ้นหวังก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยบางอย่างแล้ว ในอกราวกับถูกจุด ความรู้สึกจริงใจอย่างประหลาด แต่ละคนมองไปที่ท่านอ๋อง ท่านอ๋องของพวกเขา!
“ท่านอ๋อง!” ถังเฮ่อเหนียนทำสีหน้ากระวนกระวาย
“ท่านพ่อ!” โค่วเจิงตกใจมาก
“ท่านอ๋อง เรื่องรบราฆ่าฟันส่งให้พวกเราก็พอ…” ทหารที่อยู่ทางซ้ายและขวาพากันโน้มน้าวโค่วหลิงซวี
โค่วหลิงซวียกมือขึ้น บนสนามรบคำสั่งทหารหนักแน่นดุจขุนเขา เสียงทุกอย่างถูกระงับให้เงียบลง
กลุ่มสมาชิกในครอบครัวกลับตกใจแทบแย่แล้ว แต่ละคนตกใจจนขวัญผวา รอบกายมีกำลังพลล้อมอยู่เยอะขนาดไหน กองทัพฝ่ายศัตรูมีคนมากเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แค่ได้ยินก็มือไม้อ่อนแล้ว จะให้พวกเราบุกอยู่แนวหน้า นี่พวกเราฟังผิดไปแล้วหรือเปล่า?
“ตาแก่นี่กำลังเล่นตุกติกอะไร?” เฉิงไท่เจ๋อขมวดคิ้ว
“อาศัยแค่คนพวกนี้ จะต้านการโจมตีของทัพใหญ่ข้าไหวเหรอ?” เหมียวอี้พูดเหยียด กำลังจะโบกมือถ่ายทอดคำสั่งโจมตีต่อไป
“ท่านอ๋องช้าก่อน!” หยางชิ่งรีบห้าม “โค่วเจิงไม่ได้ออกมา!”
เหมียวอี้หันกลับมาถาม “หมายความว่าอะไร?”
“เดิมทีเขาอยากจะให้สมาชิกในครอบครัวพวกนี้ไปตาย ถ้าท่านอ๋องฆ่าพวกเขาแล้ว ก็จะทำให้แผนชั่วของโค่วหลิงซวีสำเร็จได้พอดี!” หยางชิ่งกล่าวด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
พวกเฉิงไท่เจ๋อพากันมองมาทางนี้ ได้ยินเขาพูดต่อว่า “เขาคิดจะอาศัยสมาชิกในครอบครัวพวกนี้มาปลุกขวัญกำลังใจทหาร! ท่านอ๋องลองคิดถึงคำพูดเมื่อครู่นี้ของเขาดูสิ ถ้าสมาชิกในครอบครัวเหล่านี้ตายแล้ว ก็เป็นการรบตายเพื่อทุกคนของทัพเหนือ ต่อไปถ้าโค่วหลิงซวีดึงดันจะสู้ตายให้ถึงงที่สุด เมื่อมีไมตรีส่วนนี้อยู่ ขุนพลทุกคนของทัพเหนือยังจะมีใครกล้าหน้าด้านสวามิภักดิ์อีกล่ะ? คาดว่าคงจะติดตามเขาไปสู้ตายจนถึงที่สุดแน่นอน จุดประสงค์ที่ท่านอ๋องจะรับกำลังพลพวกนี้ไว้ก็ยากที่จะสำเร็จ ทั้งยังจะสร้างความเสียหายย่อยยับให้ฟังตัวเอง ได้ไม่คุ้มเสีย! โค่วเจิง เขาเก็บโค่วเจิงไว้คนเดียว ไม่ได้ผลักออกมา เกรงว่าคงจะเตรียมไว้ในกรณีที่โค่วหลิงซวีตาย ต่อไปถึงแม้เขาจะไม่อยู่แล้ว ต่อให้ทัพเหนือยอมแพ้ แต่ก็เป็นเพราะยังมีน้ำใจไมตรีของตระกูลโค่วที่รบตายเพื่อทัพเหนือ ต่อให้ทัพเหนือยอมสวามิภักดิ์ต่อท่านอ๋อง แต่ก็จะเป็นยันต์คุ้มภัยที่ดีที่สุดให้โค่วเจิง อย่าบอกนะว่าท่านอ๋องจะไปแตะต้องโค่วเจิงโดยมองข้ามน้ำใจไมตรีของทหารที่ยอมสวามิภักดิ์เหล่านี้?”
พออธิบายแบบนี้ ทุกคนก็เข้าใจแล้ว ว่าโค่วหลิงซวีรู้ว่าวันนี้จะต้องแพ้แน่นอน เลยจะเอาชีวิตของตระกูลโค่วมาผูกติดไว้กับทั้งทัพเหนือ เพื่อเหลือความหวังไว้ให้ตระกูลโค่วสักนิดนึงก็ยังดี
“เป็นหมาป่าเฒ่าเจ้าเล่ห์จริงๆ ด้วย!” เฉิงไท่เจ๋อด่า
เหมียวอี้กล่าวด้วยใบหน้านิ่งตึงว่า “อย่าบอกนะว่าข้ายังต้องโดนสมาชิกในครอบครัวพวกนี้บีบจนลงมือไม่ได้?” ในใจยังรู้สึกหงุดหงิด รบชนะทุกศึกมาตลอดทาง สังหารมาจนถึงที่นี่ เห็นอยู่ตรงหน้าว่ากำลังจะสำเร็จ แต่กลับตกหลุมพรางตาเฒ่าผีอย่างโค่วหลิงซวี เขารู้สึกกลัดกลุ้มและเสียใจทีหลังนิดหน่อย
หยางชิ่งโบกมือชี้ “ท่านอ๋องให้ตรงจุดอื่นลงมือต่อได้เลย ส่วนสมาชิกในครอบครัวเหล่านี้ก็ใจกว้างกับพวกเขาก่อน ให้ทางรอดชีวิตกับพวกเขาก่อนชั่วคราว ท่านอ๋อง ดูท่าทางของพวกเขาสิ ตัวสั่นหวาดกลัว หดหัวเป็นเต่า ใช่คนที่จะมาสู้ตายอยู่หน้ากระบวนทัพเหรอ? ให้ทุกคนของทัพเหนือได้เห็นก่อนว่าคนของตระกูลโค่วตื่นตระหนกตกใจอย่างไร คุ้มไหมที่พวกเขาจะขายชีวิตให้! ทางที่ดีที่สุดคือสั่งให้กำลังพลกลุ่มหนึ่งบุกโจมตีเข้าไป ล้อมให้คนพวกนี้ตกใจกลัว บีบให้คนพวกนี้ยอมแพ้ก่อน โค่วหลิงซวีไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แต่พวกเขาน่าจะยอมแพ้ได้ง่ายมาก ต่อให้มีแค่ส่วนหนึ่งที่ยอมแพ้ก็พอแล้ว ขอเพียงมีพวกเขาเป็นคนนำ ขนาดคนของตระกูลโค่วก็ยังยอมแพ้ แล้วคนอื่นๆ ในทัพเหนือจะคิดอย่างไรล่ะ? การยอมแพ้เป็นเรื่องที่แน่นอนสมเหตุสมผลอยู่แล้ว”
เฉิงไท่เจ๋อหันกลับมายิ้ม “ท่านบุรุษหยางช่างเหนือชั้น ท่านอ๋อง ข้าว่าได้อยู่นะ!”
ตอนนี้เขาวางใจแล้วไม่น้อย ภาพเหตุการณ์ที่เหมียวอี้ทำสำเร็จมาตลอดทางก็ได้ทำให้เขามองเห็นความหวังแล้วเช่นกัน ตอนนี้ฝั่งเหมียวอี้มีกำลังแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าอย่างเป็นทางการแล้ว อุบายบางอย่างก็ยิ่งเหนือชั้น ถ้าบุกยึดใต้หล้าได้จริงๆ เขาก็รู้ว่าแม้ตัวเองจะไม่ได้กุมอำนาจมหาศาล แต่ทั้งครอบครัวก็คงไม่ขาดเกียรติยศความร่ำรวยไปทั้งชาติ ดังนั้นเขาก็หวังจะเห็นเหมียวอี้ทำสำเร็จเช่นกัน ตอนนี้สวามิภักดิ์ต่อฝั่งเหมียวอี้โดยสมบูรณ์แล้ว เขากระตือรือร้นช่วยวางแผน ช่วยเสริมส่วนที่ขาดให้น้องชายร่วมสาบานตลอดทาง
“ดี!” เหมียวอี้พยักหน้า
เขากำลังจะถ่ายทอดคำสั่งลงไป แต่โค่วหลิงซวีที่อยู่ตรงข้ามเห็นคนในครอบครัวหวาดกลัวไม่กล้าขยับไปไหน ก็รู้สึกโมโหแล้ว คำรามอย่างเดือดดาลว่า “พวกเจ้ายังรออะไรอยู่อีก? หยิบอาวุธของพวกเจ้าขึ้นมา! นำอาวุธของพวกเจ้าขึ้นมา…บนสนามรบคำสั่งทหารหนักแน่นดุจขุนเขา เจ้ากล้าขัดคำสั่งเหรอ ปฏิบัติตามกฎทหารของข้า เตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!”
“ท่านอ๋อง ท่านปู่…” กลุ่มผู้หญิงตกใจแทบแย่แล้ว ร้องไห้ฟูมฟายขอร้องเป็นแถบๆ นำอาวุธออกมาด้วยความตระหนกเช่นกัน ส่วนพวกโค่วเหวินหลานก็เม้มริมฝีปากแน่น
พอกำลังพลที่อยู่ฝั่งซ้ายและฝั่งขวาได้ยินคำสั่ง ก็พากันลังเลครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรชูธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาหรือไม่
“ท่านพ่อ เป็นคนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ให้โอกาสพวกเขาสักครั้งเถอะ…” โค่วเจิงก้าวขึ้นมาคว้าแขนบิดาพร้อมกล่าววิงวอน
ใครจะคิดว่าโค่วหลิงซวีจะโบกฝ่ามือหนึ่งที เพี้ยะ! ตบหน้าเขาอย่างแรง หันตัวเตะเขากลับไป คว้าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จากคนข้างๆ มาไว้ในมือ แล้วคำรามอย่างเดือดดาลว่า “ใครขัดคำสั่ง ประหาร!” ราวกับเป็นสัตว์ป่าที่โดนยั่วโมโห ง้างธนูยิงออกไปโดยตรง
พอยิ่งธนูดอกนี้ออกมา ดวงตาสองข้างก็แดงก่ำ เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย
“อา!” เสียงร้องโอดครวญดังขึ้น โค่วหลิงซวียิงธนูทะลุหน้าอกหลานสาวของตัวเองคนหนึ่ง
หลานสาวคนนั้นเอามือกุมหน้าอกที่มีเลือดกระฉูด ถลึงตามองโค่วหลิงซวี ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ นึกไม่ถึงว่าท่านปู่จะลงมือกับตัวเอง
เพียงประโยค ‘ใครขัดคำสั่ง ประหาร’ ชั่วพริบตานั้น ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวาก็ระเบิดยิงลำแสงออกมาจำนวนมาก
ในระยะห่างที่ใกล้ขนาดนี้ คนของตระกูลโค่วที่กำลังตื่นตระหนกหลบไม่ทัน เสียงกรีดร้องดังขึ้นทันที
“…” โค่วเจิงตะลึงค้าง โซเซเดินไปข้างหน้า แต่กลับถูกถังเฮ่อเหนียนยกแขนขวางหน้าอกไว้
ถังเฮ่อเหนียนส่ายหน้าเกลี้ยกล่อมอย่างขื่นขม ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ที่ตัดสินใจแบบนี้ ท่านอ๋องทุกข์ใจกว่าใครทั้งนั้น คนที่ทุกข์ใจที่สุดก็คือท่านอ๋อง ทุกสิ่งที่ท่านอ๋องทำก็เพราะหวังดีกับท่าน!”
โค่วเจิงมองเขาอย่างเหม่อลอยมึนงง ตรงนั้นคือภรรยาและลูกของเขา สังหารลูกเมียของเขาแล้ว ยังมาบอกว่าหวังดีต่อเขาอีกเหรอ? เขาไม่เข้าใจ!
ทุกคนของทัพเหนือตกใจตาค้าง คนของทัพใต้ก็ตะลึงค้างเช่นกัน ผู้โจมตีและป้องกันของทั้งสองฝ่ายตกใจจนเหม่อไปแล้ว
แม้แต่เหมียวอี้ที่กำลังจะถ่ายทอดคำสั่งก็ตกใจเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าโค่วหลิงซวีจะโหดขนาดนี้ ออกคำสั่งด้วยตัวเอง แทบจะสังหารทุกคนของตระกูลโค่วจนหมดเกลี้ยง
ขณะเห็นคนตระกูลโค่วกลุ่มใหญ่ขนาดนั้นกลายเป็นเศษซากแขนขา น้ำเลือดลอยกระเพื่อมในชั่วพริบตาเดียว หยางชิ่งก็ขยับลูกกระเดือกกลืนน้ำลาย พึมพำว่า “ให้มันได้อย่างนี้สิ อ๋องสวรรค์คุมทัพเหนือ…” แผนการที่เขาเพิ่งคิดให้เหมียวอี้ถูกทำลายแล้ว
ส่วนโค่วหลิงซวีที่ตาแดงก่ำก็โบกทวนไว้ในมือ ชี้เหมียวอี้ที่อยู่ไกลๆ “หนิวโหย่วเต๋อ พี่น้องทุกคนของทัพเหนือยืนอยู่ข้างหลังข้า ถ้าอยากจะให้พวกเขายอมสวามิภักดิ์ ก็ผ่านด่านอ๋องผู้นี้ไปก่อน! ถ้าเก่งนักก็อย่าทำให้พี่น้องของตัวเองลำบากไปด้วย ถ้ากล้าก็ออกมาสู้กันตัวต่อตัว ถ้าเจ้าเอาชนะอ๋องผู้นี้ได้ ข้าก็จะให้พวกเขายอมสวามิภักดิ์ต่อเจ้า ทั้งเจ้าและข้าไม่จำเป็นต้องให้พี่น้องไปตายเปล่า กล้าสู้ตายกับอ๋องผู้นี้สักยกไหม!”
ดาราจักรที่เงียบสงัด ในหุบเขาที่เปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ฝุ่นละอองหนาเตอะ ภูเขาหินเย็นเยือก
หงส์มังกรเป็นฝูงเกาะพักพิงอยู่ในหุบเขา เกี้ยวมังกรก็จอดอยู่ในนั้นเงียบๆ เช่นกัน ในเกี้ยวมังกร จ้านหรูอี้กำลังนั่งอยู่บนขอบเตียง นั่งเงียบงันไม่ส่งเสียง
ประมุขชิงมาถึงแล้ว อิ๋นซวง ไป๋เสวี่ยที่ยืนเงียบอยู่ตรงประตูรีบดึงม่านออกมา
พอประมุขชิงเข้ามาด้านใน ก็นั่งลงข้างกายจ้านหรูอี้ สายตามองไปที่ท้องนูนของนาง ยื่นมือไปลูบคลำเบาๆ ตั้งแต่เกิดความชุลมุนในวัง โพ่จวินกดดันราชันจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังยุ่งเหยิงวุ่นวายไม่หยุดหย่อน เป็นเวลาครึ่งปีผ่านไปแล้ว ท้องของจ้านหรูอี้นูนขึ้นมาแล้ว ในเวลาแบบนี้พานางวิ่งวุ่นไปทั่ว ประมุขชิงรู้สึกผิดมาก “ลำบากเจ้าแล้ว”
จ้านหรูอี้ส่ายหน้าเบาๆ “เทียบกับทหารที่เสี่ยงชีวิตทำศึกอยู่ข้างนอก หม่อมฉันสบายกว่าไม่รู้ตั้งเท่าไร”
ประมุขชิงยังคิดจะพูดอะไรอีก แต่มีเสียงของซือหม่าเวิ่นเทียนดังมาจากข้างนอก “ฝ่าบาท!”
ประมุขชิงลุกขึ้นยืน เดินออกไปก้าวหนึ่งแล้วหันตัวกลับมาอีก ยื่นมือช้อนคางจ้านหรูอี้ขึ้นมา โน้มตัวก้มหน้าลง ประทัพรอยจูบเบาๆ บนริมฝีปากของนาง ก่อนจะหันตัวเดินก้าวยาวออกไป
อิ๋นซวง ไป๋เสวี่ยที่ดึงม่านลงหันกลับไปมองจ้านหรูอี้เงียบๆ เห็นเพียงจ้านหรูอี้สีหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ เหมือนกำลังเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวด้านนอก
พอประมุขชิงเดินออกจากเกี้ยวมังกร ก็มองขุนนางหลายคนที่ยืนอยู่เบื้องล่างจากมุมสูง
ซือหม่าเวิ่นเทียนกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท ทางทัพเหนือส่งข่าวมา ว่าเถิงเฟยหนีเข้าไปในเขตทัพเหนือแล้วตกหลุมพรางโค่วหลิงซวี โดนทัพใหญ่ของโค่วหลิงซวีล้อมโจมตี ผลปรากฏว่าหนิวโหย่วเต๋อนำทัพใหญ่โผล่มาอีก มาล้อมโค่วหลิงซวีไว้อีกที กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดขอรับ…” เขาเล่าเรื่องที่รู้ให้ฟังอย่างละเอียด
ประมุขชิงกระโดดลงมาจากเกี้ยวมังกร แล้วตะคอกถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ? เถิงเฟยกับหนิวโหย่วเต๋อเข้าไปในอาณาเขตทัพเหนือแล้วเหรอ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนแอบทอดถอนใจด้วยความเศร้า พยักหน้ายืนยันว่า “ใช่แล้วขอรับ ไปในอาณาเขตทัพเหนือแล้ว”
ประมุขชิงพลันเงยหน้ามองในดาราจักร ในอกเก็บกลั้นไฟโกรธที่พูดออกมาไม่ได้ คนกลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ที่นี่นานขนาดนี้ ราวกับเป็นคนโง่ อีกฝ่ายหนีไปตั้งแต่เมื่อไรแล้วก็ไม่รู้ หนีไปทางไหนล่ะ? เขาคิดไม่ตกนิดหน่อย ขอบเขตที่เขาเฝ้าจับตาดูอยู่ก็ใหญ่มากพอแล้ว เถิงเฟยกับหนิวโหย่วเต๋อหล้าหนีเพ่นพ่านไปยังอาณาเขตดาวนิรนามได้อย่างไร? ไม่กลับมาทางเดิม ทั้งยังหาทางอื่นไปอีกเหรอ?
เขาเข้าใจเพียงว่า อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของเถิงเฟย เดาว่าเถิงเฟยคงสำรวจเส้นทางอาณาเขตดาวนิรนามฝั่งนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนหนิวโหย่วเต๋อก็ไล่ตามหลังเถิงเฟยไปแล้ว ไม่อย่างนั้นก็หาคำอธิบายอื่นไม่ได้เลย
ยังจะรอให้เขาพูดอะไรอีก เกาก้วนที่วางระฆังดาราแล้วกุมหมัดรายงานว่า “ฝ่าบาท สายลับรายงานมา ว่าหนิวโหย่วเต๋อขี่มังกรดำตัวหนึ่งไล่ตามกลุ่มคนปริศนาจากประตูดวงดาวแห่งหนึ่งในเขตทัพเหนือ หนีเข้ามาในเขตทัพตะวันออกที่พวกเราอยู่”
ประมุขชิงดวงตาฉายแววเยียบเย็น มองซือหม่าเวิ่นเทียนแล้วก็มองเกาก้วนอีก ซ่างกวนชิง โพ่จวิน อู๋ฉวี่ล้วนขมวดคิ้วมองประเมินทั้งสอง ไม่รู้ว่าข่าวของใครเป็นเรื่องจริง ข่าวของใครเป็นเรื่องเท็จ
ซือหม่าเวิ่นเทียนหันกลับมามองอย่างตกตะลึงพูดไม่ออก มองเกาก้วนราวกับมองสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง เหมือนกำลังถามว่า จงใจตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าใช่ไหม? ข้าบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังเข่นฆ่าอยู่ในทัพเหนือ แต่เจ้าบอกว่าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ในอาณาเขตทัพตะวันออก เจ้ามีจุดประสงค์อะไร?
เกาก้วนเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าก็แค่ได้รับรายงานจากเบื้องล่าง แล้วรายงานต่อฝ่าบาทตามจริงก็เท่านั้นเอง เจ้าไม่ต้องคิดมาก ข้าเชื่อว่าลูกน้องข้าไม่ได้รายงานซี้ซั้วโดยไม่ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”
“เจ้ากำลังบอกว่าลูกน้องข้ารายงานซี้ซั้วโดยไม่ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนงั้นเหรอ?” ซือหม่าเวิ่นเทียนร้อนใจทันที
“เจ้าคิดมากไปแล้ว บางทีหนิวโหย่วเต๋ออาจจะใช้ร่างทิพย์แล้วก็ได้” เกาก้วนกล่าว
“ในเวลาแบบนี้ ทุกที่อาจจะมีคนลงมือกับเขาได้ เขาไม่รวบรวมกำลังไว้ แต่ใช้ร่างทิพย์เพ่นพ่านไปทั่ว ไม่กลัวอันตรายเหรอ?” ซือหม่าเวิ่นเทียนถาม
“พอแล้ว!” ประมุขชิงตะคอก “นี่มันเวลาไหนแล้ว พวกเดียวกันยังจะเถียงกันทำไม ยังไม่คิดหาทางสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนอีกเหรอ?”
ในขณะนี้เอง มีเงาคนหลายคนลอยมา ประมุขพุทธะนำบรรดาผู้ติดตามมาแล้ว
พอเจอหน้ากัน ประมุขพุทธะก็กล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้ารอง สายลับฝั่งข้าพบว่าหนิวโหย่วเต๋อออกจากอาณาเขตดาวนิรนามแล้ว กำลังขี่มังกรดำไล่ตามกลุ่มคนปริศนาเข้ามาในทัพตะวันออก”
“…” ซือหม่าเวิ่นเทียนพูดไม่ออก
เกาก้วนกลับทำสีหน้าสงบนิ่ง
“เป็นอะไรไป? มีอะไรไม่ถูกเหรอ?” ประมุขพุทธะพบว่าซือหม่าเวิ่นเทียนมองตัวเองด้วยสีหน้าแปลกๆ แล้วก็พบว่าพวกประมุขชิงจ้องไปที่ซือหม่าเวิ่นเทียนพร้อมกัน
พุทธะหน้าหยกอวี้หลัวช่าที่ยืนอยู่ข้างหลังเขางามหยาดเยิ้มเยือกเย็น ดวงตางามขยับๆ ช้า สังเกตปฏิกิริยาของคนกลุ่มนี้
ชั่วพริบตานั้นซือหม่าเวิ่นเทียนก็เผยสีหน้าอับจนปัญญา แล้วกุมหมัดต่อประมุขชิงอีกครั้ง “ฝ่าบาท ข้าน้อยพูดจริงทุกประโยค ไม่ใช่สายลับแค่คนเดียวที่รายงานขึ้นมา แต่เป็นสายลับหลายคนที่รายงานด่วนขึ้นมาพร้อมกัน หนิวโหย่วเต๋อกับเถิงเฟยกำลังทำศึกใหญ่กับโค่วหลิงซวีในอาณาเขตทัพเหนือจริงๆ ขอรับ!”
ประมุขพุทธะชะงักไปครู่เดียว แล้วถามว่า “สถานการณ์เป็นยังไงกันแน่?”
ประมุขชิงเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ ทันที ประมุขพุทธะขมวดคิ้ว “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“ทำไมลูกน้องเจ้าไม่รายงานตั้งแต่แรก ทำไมมารายงานเอาป่านนี้?” ประมุขชิงจ้องซือหม่าเวิ่นเทียน
ซือหม่าเวิ่นเทียนถอนหายใจ “ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกควบคุมการใช้ระฆังดารามาตลอด เบื้องล่างหาโอกาสส่งข่าวมาไม่ได้เลยขอรับ ถือโอกาสตอนสู้กันวุ่นวายถึงได้รายงานข่าวมาได้!”
หลายคนตรงนั้นเงียบไปครู่เดียว นี่เป็นเรื่องปกติ
“จุดที่เกิดศึกใหญ่คือตรงไหน?” ประมุขพุทธะถามซือหม่าเวิ่นเทียน
“ทัพเหนือ สายระกา ในน่านฟ้ามะเมียซิน” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ
ประมุขพุทธะหันกลับมาบอกทันที “ให้คนของพวกเราตรวจสอบสักหน่อย”
“รับทราบ!” ลูกศิษย์ที่อยู่ข้างหลังเขาเอ่ยรับคำสั่งทันที
ประมุขพุทธะออกคำสั่งแล้ว ทุกคนก็ทำได้เพียงอดใจรอไว้ก่อน เพราะว่าจะไม่ยืนยันข่าวก็ไม่ได้ จะเพ่นพ่านไปทั่วโดยยังไม่สืบสถานการณ์ให้ชัดเจนได้อย่างไร
ในเวลานี้ทำได้เพียงหวังพึ่งช่องทางข่าวสาวของประมุขพุทธะแล้ว นอกจากสายลับฝั่งตำหนักสวรรค์จะถูกสมาคมวีรชนก่อกวน ตระกูลเซี่ยโห้วก็ต้องแอบลงมือด้วยแล้วเช่นกัน ถูกก่อกวนจนวุ่นวายเละเทะกลายเป็นอย่างนี้แล้ว ตอนนี้กลับเป็นเวลาแสดงบทบาทของศิษย์ชาวพุทธของประมุขพุทธะที่กระจายตัวกันตามที่ต่างๆ พวกเขามีจำนวนมากทั้งยังกระจายตัวกันอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะกวาดล้างหมดได้ในครั้งเดียว ต่อให้เป็นตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่มีทางทำลายภายในเวลาสั้นๆ
หลังจากรอได้สักพักหนึ่ง ศิษย์คนนั้นก็ตอบว่า “ท่านอาจารย์ ทางฝั่งนั้นกำลังเกิดศึกใหญ่จริงๆ”
“มีกำลังพลเท่าไหร่?” ประมุขชิงถามทันที
ศิษย์คนนั้นตอบว่า “ไม่กล้าเข้าไปดูใกล้ๆ มีกำลังพลเยอะมาก ลองนับดูคร่าวๆ คาดว่าต้องมากกว่าหกเจ็ดพันล้านแน่นอน! ส่วนเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อ เถิงเฟยกับโค่วหลิงซวีอยู่หรือไม่ ศิษย์คนนั้นไม่กล้ายืนยัน เขาเองก็ไม่เคยเห็นหน้าสามคนนั้นด้วย”
ประมุขชิงและประมุขพุทธะสบตากันแวบหนึ่ง ไม่ต้องพูดอะไรมากอีกแล้ว ตอนนี้คนที่ปล่อยกำลังพลจำนวนมากขนาดนั้นออกมาก่อกวนได้ นอกจากพวกนั้นก็ไม่มีใครอีกแล้ว
“ตามสถานการณ์ที่ทูตซ้ายเพิ่งรายงาน เห็นได้ชัดว่าเถิงเฟยถูกหนิวโหย่วเต๋อฮุบรวมแล้ว กลายเป็นเหยื่อล่อของหนิวโหย่วเต๋อเพื่อสู้กับโค่วหลิงซวี…หนิวโหย่วเต๋อ หมาป่าโฉดชั่วทะเยอทะยาน เกรงว่าโค่วหลิงซวีคงอยู่ในอันตรายแล้ว!” ประมุขพุทธะกล่าวช้าๆ
“ซ่างกวน ติดต่อโค่วหลิงซวี บอกเขาว่าให้เขายืนหยัดไว้ ข้าจะไปช่วยเดี๋ยวนี้…หวังว่าเขาจะยืนหยัดไหว!” ประมุขชิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ แล้วโบกมือตะโกนสั่งต่อไปว่า “ระดมทัพใหญ่ออกเดินทาง!”
กำลังพลกลุ่มใหญ่เริ่มเคลื่อนไหว เกี้ยวมังกรทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง เร่งตามไปยังจุดที่ทำศึกกัน ส่วนหนิวโหย่วเต๋อที่ขี่มังกรดำอะไรนั่น ตอนนี้ก็ไม่สำคัญแล้ว
จ้านหรูอี้ที่นั่งอยู่ในเกี้ยวมังกรเอียงหน้ามองดาราจักรนอกหน้าต่าง ในแววตาที่เลื่อนลอยเผยความรู้สึกซับซ้อนที่บรรยายออกมาได้ยาก
ฮุบรวมกำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยล้านของเฉิงไท่เจ๋อ โจมตีชนะกองทัพองครักษ์แปดร้อยล้าน ทั้งยังฮุบกำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยล้านของเถิงเฟยอีก ตอนนี้กำลังมองข้ามหัวทัพใหญ่ของประมุขชิงและประมุขพุทธะ บัญชาการทัพสู้กับทัพใหญ่สามร้อยล้านของโค่วหลิงซวี พลังอำนาจที่เหมือนจะฮุบกลืนใต้หล้านี้ทำให้จ้านหรูอี้ทั้งตื่นเต้นฮึกเหิม ทั้งทำสายตาตื่นตะลึง นั่นใช่คนเดียวกับที่เคยสู้กับนางแล้วโดนนางดูถูกหรือเปล่า?
เมื่อก่อนนางมักรู้สึกว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรมกับตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ด้อยกว่าหนิวโหย่วเต๋อ ต่างกันก็แค่ตัวเองเป็นผู้หญิงเท่านั้น แต่ในครั้งนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นนางจะทำได้ถึงขั้นหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? ใครก็บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อเชี่ยวชาญการรบ ครั้งนี้นางยอมแพ้จากใจจริงแล้ว แน่ใจนะว่าตัวเองไม่มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและความสามารถนี้
เมื่อย้อนกลับไปมองวิถีที่หนิวโหย่วเต๋อผงาดขึ้นมาตลอดทาง การที่อิ๋งจิ่วกวงท่านตาของตัวเองโดนโค่นล้มก็เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อ ในปีนั้นกล้าใช้กำลังพลหนึ่งแสนสู้กับทัพเกรียงไกรหลายล้านของท่านตา ฮ่าวเต๋อฟาง อ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ก็ล้มด้วยน้ำมือหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้พอดูอีกครั้งก็จะพบว่า หนิวโหย่วเต๋อเผยเค้าลางที่จะสู้กับวีรบุรุษในใต้หล้ามาตั้งนานแล้ว
ตอนนี้กำลังหทารของหนิวโหย่วเต๋อก็ชี้ไปที่โค่วหลิงซวีอีก เมื่อครู่นี้ฟังจากที่พวกเขาพูด โค่วหลิงซวีตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เหมือนจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนิวโหย่วเต๋อ นางสามารถจินตนาการได้เลย หนิวโหย่วเต๋อไร้สิ่งใดต้านมาตลอดทาง สุดท้ายจะต้องทำศึกตัดสินกับประมุขชิงและประมุขพุทธะแน่นอน!
ถ้าหากทำสำเร็จ ปณิธานอันยิ่งใหญ่และผลงานนี้ก็ถึงขั้นเหนือกว่าประมุขชิงและประมุขพุทธะด้วยซ้ำ ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ประมุขชิงและประมุขพุทธะยังทำให้อำนาจใหญ่ฝ่ายต่างๆ สงบไม่ได้ แต่พลังอำนาจที่หนิวโหย่วเต๋อแสดงออกมากลับทำลายสี่อ๋องสวรรค์ ในศึกสุดท้ายช่วงชิงความเป็นใหญ่ในใต้หล้า มาดูกันว่าใครจะมีอำนาจชี้ขาดใต้หล้านี้!
ในหัวจ้านหรูอี้ฉายภาพทัพใหญ่นับไม่ถ้วนห้อมล้อมหนิวโหย่วเต๋อเข้ามา นางก้มหน้าลงช้าๆ ลูบท้องนูนของตัวเองเบาๆ หรือบางทีที่ผ่านมาตัวเองจะคิดมากไปเองทั้งนั้น ผู้หญิงก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ
จู่ๆ อิ๋นซวงไป๋เสวี่ยก็พบว่าจ้านหรูอี้ที่ยิ้มยากพลันเผยรอยยิ้มออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น เผยความงดงามอ่อนโยนของผู้หญิงออกมาแล้ว เพียงแต่ตรงหัวตามีน้ำตารื้นหยดหนึ่ง…
เสียงเข่นฆ่าดังสะเทือนดาราจักร เมื่อเห็นทัพใหญ่หมดหวังที่จะรวมกันแล้ว ทัพอารักขาข้างกายร่วงระนาวเป็นแถบภายใต้การยิงโจมตีจากทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อ โค่วหลิงซวีก็โกรธจัดจนผมตั้งชัน อยากจะสังหารฝ่าออกไปสู้ตายกับหนิวโหย่วเต๋อสักยก ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่อีกฝ่ายที่กำลังโจมตีกระบวนทัพมีขนาดใหญ่เกินไปจริงๆ ถ้าเขาพุ่งออกไปก็มีแต่จะตายสถานเดียว ไม่มีสิทธิ์สู้ตายกับอีกฝ่ายเลย
เมื่อมองไปรอบๆ เห็นลูกน้องที่ติดตามเขามาหลายปี ลูกน้องที่ถวายชีวิตรับใช้เขามาหลายปีโดนยิงร่วงเป็นแถบๆ แต่ตัวเองกลับไร้ความสามารถที่จะช่วยเหลือ อีกทั้งลูกน้องที่จงรักภักดีเหล่านั้นก็ยังคงสู้ตายเพื่อปกป้องตนด้วย โค่วหลิงซวีรู้สึกราวกับมีเลือดออกในใจ เขากัดฟันจ้องเหมียวอี้ที่อยู่ในค่ายทัพฝ่ายศัตรู แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมา
ถังเฮ่อเหนียนเผยสีหน้าตึงเครียด ในมือถืออาวุธเอาไว้
โค่วเจิงที่เบียดอยู่ข้างกายสีหน้าแย่มาก แม้ภายนอกจะพยายามทำตัวสุขุมเยือกเย็น แต่สายตาหวาดกลัวนั้นยากจะปิดบัง เขาไม่เคยเห็นศึกใหญ่ที่มีขนาดมโหฬารและน่าหวาดกลัวขนาดนี้มาก่อน!
ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ก็ล้วนมองออก ว่าครั้งนี้ไม่สามารถเอาชนะหนิวโหย่วเต๋อได้เลย
สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือ นึกถึงตอนที่ตัวเองเคยมองเหยียดและดูถูกต่อหน้าหนิวโหย่วเต๋อ ทั้งยังมีพฤติกรรมและคำพูดที่ไม่ค่อยสุภาพพวกนั้นด้วย
ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะได้เป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้แล้ว แต่ที่จริงในใจเขาก็ยังดูถูกดูแคลนอีกฝ่ายเหมือนเดิม เขามีพลังใจที่จะมองเหยียดหนิวโหย่วเต๋อได้ เนื่องจากตัวเองมีชาติกำเนิดสูงส่งโดยธรรมชาติ แต่ในครั้งนี้ เขาหวาดกลัวแล้วจริงๆ เขาไม่อาจจินตนาการได้เลย ว่าหลังจากตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อแล้ว อีกฝ่ายจะทำอย่างไรกับเขา ไม่กล้าจินตนาการว่าหนิวโหย่วเต๋อจะล้างแค้นเขาอย่างไร
…………………………
เถิงเฟยเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว “เจ้าหมายถึงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เหรอ?”
โค่วหลิงซวีตอบว่า “ใช่แล้ว! ข้าตอบตกลงช่วยเหลือเจ้า ส่วนเจ้าก็ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ตอบแทน ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหม?”
เถิงเฟยเผยสีหน้าเคียดแค้น แสยะหัวเราะไม่หยุด ไม่ใช่ความแค้นที่เสแสร้ง แต่แค้นใจจริงๆ เพราะเขามองเข้าใจแล้ว ว่าโค่วหลิงซวีต้องการจะสู้กับเขาจริงๆ มองเห็นเขาเป็นเนื้อบนเขียง เป็นเนื้อปลาที่จะทำอะไรก็ได้ แต่ละคนล้วนเห็นว่าเขาน่ารังแก เขาอยากจะเห็นนักว่าโค่วหลิงซวีที่ฮุบเหยื่อแล้ว ประเดี๋ยวจะร้องไห้อย่างไร
ทว่าละครก็ยังต้องแสดงต่อไป เถิงเฟยหยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นดิน ชูขึ้นพร้อมกล่าวเสียงดังว่า “โค่วหลิงซวี ของก็ส่งให้เจ้าแล้ว แผ่นหยกที่เป็นหลักฐานการแลกเปลี่ยนของก็อยู่ที่นี่ ถ้าเจ้าคิดจะเบี้ยวสัญญาก็บอกมาให้ชัดเจน ไม่จำเป็นต้องมาทำตัวไร้ยางอายตรงนี้!”
โค่วหลิงซวีไม่สะทกสะท้าน กล่าวด้วยแววตาสงบนิ่ง “พี่เถิง ที่ให้ของมานั้นถูกต้องแล้ว ข้าไม่ถึงขั้นเบี้ยวสัญญาหรอก แต่ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการช่วยเหลือเจ้าครั้งนี้เกินกว่าที่คาดคะเนไว้ ลูกน้องของข้าหลายสิบล้านตายไปเพราะช่วยเจ้า เราจะอธิบายยังไง? ต่อให้ข้ายอมตกลง แต่เกรงว่าพี่น้องเบื้องล่างคงไม่ยอมตกลง ถ้าไม่เชื่อก็ลองถามพวกเขาดู ว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สองล้านคันแลกกับชีวิตพี่น้องหลายสิบล้านได้หรือเปล่า?”
“ไม่ได้!” แม่ทัพคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายเขาพลันยกมือตะโกนเสียงดัง
“ไม่ได้!”
“ไม่ได้!”
กำลังพลทัพเหนือตะโกนขานรับรับทันที ตะโกนเสียงดัง กลุ่มคนเดือดแค้นเป็นอย่างยิ่ง เสียงดังกระเพื่อมตามคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ แค่คิดก็รู้แล้วว่าฉากที่กำลังพลสามร้อยล้านตะโกนเสียงดังเป็นอย่างไร
โค่วเจิงที่ยืนอยู่ข้างกายบิดาชำเลืองมองเถิงเฟย บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ยามเผชิญหน้ากับเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นแบบนี้ เถิงเฟยกลับสงบนิ่งมาก ไม่มีท่าทีว่าจะตกใจเลยสักนิด
กลับเป็นกำลังพลเบื้องล่างที่ไม่ล่วงรู้ถึงแผนการ แต่ละคนทำสีหน้าตกใจแล้ว
โค่วหลิงซวียกมือขึ้น เสียงตะโกนที่ดังต่อเนื่องเป็นระลอกสงบลงอย่างรวดเร็ว “พี่เถิง ไม่ใช่ว่าข้าอยากทำให้เจ้าลำบาก เจ้าก็ได้ยินความเห็นของบรรดาพี่น้องแล้ว”
“เจ้าคิดจะเอายังไง?” เถิงเฟยถาม
โค่วหลิงซวีตอบว่า “เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ส่งมอบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดในมือเจ้ามา แล้วเรื่องนี้ก็จะผ่านไป ข้าเองก็จะให้คำชี้แจงกับพี่น้องทุกคนในทัพเหนือได้เช่นกัน เจ้าว่าเป็นยังไง?”
เถิงเฟยอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม วิธีการพูดแบบนี้น่าขำจริงๆ ต่อให้เขาส่งมอบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในมือได้ทั้งหมด ก็ยังไม่ต้องพูดถึงว่าโค่วหลิงซวีจะรักษาคำพูดหรือเปล่า แต่ต้องทำอย่างไรถึงจะนับว่าส่งมอบให้ทั้งหมดละ? ถ้าเจ้าส่งมอบให้ทั้งหมดแล้ว แต่ถ้าอีกฝ่ายหาเรื่องเจ้าไม่จบไม่สิ้น เจ้าจะทำอย่างไร?
อาศัยแค่วิธีพูดแบบนี้ ก็รู้ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายต้องการจะหาเรื่อง ไม่คิดจะปล่อยให้เจ้าออกไปอย่างปลอดภัยได้เลยโดยสวัสดิภาพ
“แล้วถ้าข้าไม่ให้ล่ะ?” เถิงเฟยตะคอกถาม ถ้าเปลี่ยนเป็นยามปกติ ให้เขาสู้กับโค่วหลิงซวีอาจจะไม่มีความมั่นใจ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว
“พี่เถิง สุราคำนับไม่ดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์” โค่วหลิงซวียกมือขึ้น ส่งสัญญาณมือแล้ว
กำลังพลที่ล้อมอยู่เคลื่อนไหวทันที ตั้งกระบวนทัพเตรียมโจมตีแล้ว
เถิงเฟยหันกลับมามองข้างหลังแวบหนึ่ง แม่ทัพคนหนึ่งที่สวมหน้ากากอยู่ข้างหลังพยักหน้าเบาๆ ดังนั้นเถิงเฟยจึงไม่พูดอะไรอีก
แม่ทัพที่สวมหน้ากากยืนอยู่ตรงตำแหน่งบัญชาการแล้ว ทันใดนั้นก็ชักกระบี่มาไว้ในมือ กำลังพลที่ล้อมพิทักษ์เผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เล็งไปรอบทิศทางทันที
“ยิงธนู!” แม่ทัพที่สวมหน้ากากโบกกระบี่ตะโกนเสียงแหลม
เสียงปั้งๆ ดังถี่อยู่ในดาราจักร ลำแสงนับไม่ถ้วนยิงไปทั้งสี่ด้านแปดทิศ
พวกโค่วหลิงซวีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าเถิงเฟยไม่แม้แต่จะเจรจาต่อแล้วด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าลงมือก่อน ดูท่าแล้ว ถ้าไม่โจมตีอีกฝ่ายก็คงทำให้อีกฝ่ายยอมศิโรราบไม่ได้
ทัพอารักขาที่อยู่ข้างหน้ารีบยกโล่ขึ้นให้เขาถอยเข้ามาอยู่ในกระบวนทัพใหญ่
ทัพเหนือก็ไม่ใช่ไก่อ่อนเช่นกัน ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตีกลับ เริ่มรุกโจมตีอย่างเป็นทางการ กระบวนทัพเกราะที่เหมือนมังกรหลายตัวพุ่งโจมตีฝ่าฝนธนูออกมา เสียงเข่นฆ่าอันดุเดือดดังสะท้านดาราจักร
“ไม่ได้เห็นศึกใหญ่ขนาดนี้มาหลายปีแล้ว!”
เมื่อส่งต่ออำนาจบัญชาการทัพใหญ่ให้แม่ทัพใหญ่คนหนึ่งแล้ว โค่วหลิงซวีที่ยืนมองการต่อสู้อยู่ในกระบวนทัพก็กล่าวอย่างสะท้อนใจ ตรงหว่างคิ้วฉายแววกังวลเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะกังวลว่าจะต่อสู้ไม่ชนะ แต่ท่าทางของเถิงเฟยที่ยืนกรานต่อต้านทำให้เขากังวลนิดหน่อย ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ การบาดเจ็บล้มตายจะต้องมหาศาลแน่นอน ไม่สอดคล้องกับความปรารถนาดั้งเดิมในการลงมือ
เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัย อย่าบอกนะว่าความเกรงขามของตาเฒ่าคนนี้ เมื่อเทียบกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วห่างชั้นกันมากขนาดนี้? เถิงเฟยเผชิญหน้ากับหนิวโหย่วเต๋อก็แต่หนีเท่านั้น แต่ยามเผชิญหน้ากับข้า ต้องการจะสู้ตายอย่างนั้นหรือ?
ความกังวลใจของเขาไม่ได้อยู่ต่อเนื่องเป็นเวลานาน
กำลังพลที่ห้าวหาญไม่กลัวตายของเขาโจมตีจุดป้องกันของทัพใหญ่เถิงเฟยแตกแล้วจุดหนึ่ง ทำให้แนวป้องกันเกิดช่องโหว่ทันที โจมตีจนการยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของฝ่ายตรงข้ามเสียจังหวะ ทำให้ทัพใหญ่ที่ตามมาทีหลังสังหารจนเกิดทางเลือดตลอดทาง เขายังกังวลว่าศึกนี้จะเสียเวลานานเกินไป นึกไม่ถึงว่าทหารผู้กล้าเบื้องล่างจะแก้ไขสถานการณ์ให้เขาได้เร็วขนาดนี้ แบบนี้ต้องลดความเสียหายให้ทางการรบให้เขาได้ตั้งเท่าไรกัน ไม่มีทางวัดมูลค่าได้เลย!
“ดี! สมกับเป็นทหารกล้า!” โค่วหลิงซวีพลันปรบมือกล่าวชม ตื่นเต้นฮึกเหิมจนหน้าแดง ชี้ไปยังช่องโหว่ตรงแนวป้องกัน พลางกล่าวเสียงดังว่า “กำลังพลกลุ่มไหนที่นำโจมตีไปก่อน? จะปฏิบัติต่อทหารกล้าที่ถวายชีวิตรับใช้ข้าอย่างอย่างขาดความยุติธรรมไม่ได้ ต้องปกป้องพวกเขาให้ดี เดี๋ยวนำตัวมาพบข้าด้วย ข้าจะบันทึกผลงานใหญ่ของพวกเขาไว้ ตบรางวัลอย่างงาม! ตบรางวัลอย่างงาม! ตบรางวัลอย่างงาม!”
คำว่า ‘ตบรางวัลอย่างงาม’ สามครั้งได้อธิบายความรู้สึกของเขาชัดเจนแล้ว อธิบายชัดเจนแล้วว่าเขาชื่นชมกำลังพลที่บุกสังหารเข้าไปก่อนขนาดไหน
กำลังพลข้างเคียงที่ได้ยินคำพูดนี้ของท่านอ๋อง แต่ละคนเลือดเดือดปุดๆ อยากจะพุ่งเข้าไปสร้างผลงานเสียตอนนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าเปลี่ยนเป็นช่วงเวลาปกติ ต้องทนไปถึงเมื่อไหร่กว่าจะได้ประสบความสำเร็จได้?
ทุกคนเข้าใจชัดเจนว่าคำพูดนี้ของท่านอ๋องมีน้ำหนักขนาดไหน ท่านอ๋องพูดออกมาต่อหน้าฝูงชน ก็ย่อมไม่กลืนคำพูดอยู่แล้ว ต่อไปคนเหล่านั้นก็จะถูกท่านอ๋องเรียกพบด้วยตัวเอง ได้รับการสรรเสริญสูงส่งขนาดนี้ ต่อไปนี้แต่ละคนอนาคตยาวไกลไร้ขอบเขต ไม่ขาดเกียรติยศความร่ำรวยแน่ เลื่อนขั้นร่ำรวย สาวงามห้อมล้อม ทุกอย่างได้มาอย่างง่ายดาย!
ถังเฮ่อเหนียนเผยรอยยิ้มบางๆ เขาเองก็คิดว่าผู้ที่สร้างผลงานการรบแบบนี้ต้องได้รับรางวัลอย่างงามเพื่อปลุกเร้าขวัญกำลังใจให้ทหาร ไม่อย่างนั้นภายหลังใครจะยังบุกไปสู้ตายข้างหน้าอีกล่ะ ดังนั้นไม่เพียงแค่ต้องตบรางวัลอย่างงาม แต่ยังต้องตบรางวัลจนทุกคนเห็นแล้วอิจฉาด้วย ตบรางวัลจนทุกคนเห็นแล้วน้ำลายไหล ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะขายชีวิต!
เขาเอียงหน้าโบกมือบอกใบ้แม่ทัพที่อยู่ข้างๆ อีกฝ่ายไปสืบข้อมูลทหารกล้ากลุ่มนั้นทันที ต้องการจะดำเนินการดูแล
โค่วเจิงก็ปรบมือด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจเช่นกัน ในใจครุ่นคิดว่าต่อไปจะรับกำลังพลกลุ่มนี้มาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองดีไหม
ตามที่กำลังพลกลุ่มหนึ่งของทัพเหนือบุกสังหารเข้าไป แล้วก็มีกำลังพลข้างหลังโจมตีขยายช่องโหว่อีก ทำให้แนวป้องกันทั้งหมดของเถิงเฟยพังททลายรอบด้าน ไม่มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ให้ใช้แล้ว กำลังพลทัพเหนือจำนวนมากทะลักเข้าไป ทั้งสองฝ่ายประจันบาญกันแล้ว การสู้รบเข้าสู่จุดเดือดอย่างรวดเร็ว
เสียงเข่นฆ่า เสียงตะโกน เสียงกรีดร้อง เสียงระเบิดรุนแรงกำลังดังก้องไม่หยุดอยู่ในดาราจักร
ทว่าไม่นานโค่วหลิงซวีก็พบความไม่ชอบมาพากล ขมวดคิ้วถามว่า “กำลังพลของเถิงเฟยมีพลังรบแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ?”
เขาพบว่าในระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่ากัน กำลังพลของเถิงเฟยค่อนข้างห้าวหาญ ไม่ได้โจมตีให้ล้มได้ง่ายๆ ขนาดนั้น
หารู้ไม่ว่า มีกำลังพลที่เป็นกำลังพลทัพใต้ของเหมียวอี้ เดิมทีผ่านศึกใหญ่จนคัดคนออกไปบ้างแล้ว บางคนมีประสบการณ์ในศึกใหญ่อย่างนี้มาแล้วไม่มากก็น้อย เรื่องให้ความร่วมมือกับสมาชิกข้างกายในการรุกโจมตีและป้องกัน ก็ถือว่ามีประสบการณ์ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่ลนลานหวาดกลัวง่ายๆ ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่คัดเลือกมาจากกำลังพลของเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ เป้าหมายของเหมียวอี้ก็เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดง่ายๆ
แม่ทัพที่อยู่ข้างๆ สังเกตเห็นปัญหาอีกอย่างหนึ่งแล้ว “ท่านอ๋อง ทำดูแม่ทัพหลักที่บัญชาการอยู่ฝ่ายตรงข้ามสิ ทำไมต้องใส่หน้ากากด้วย? ยังมีแม่ทัพที่บัญชาการอยู่ตามกลุ่มเล็กๆ เบื้องล่างอีก ส่วนใหญ่จะใส่หน้ากากกันหมดเลย”
พวกเขาลองสังเกตอย่างละเอียด พบว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ
ชั่วขณะนั้นไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร ไม่นานก็พบอีกว่าการเคลื่อนย้ายของกำลังพลในขบวนรบฝ่ายตรงข้ามค่อนข้างไม่สมเหตุสมผล เหมือนกำลังเข้าใกล้กำลังพลที่รวมตัวกันอยู่วงนอกขบวนรบฝั่งนี้ เห็นได้ชัดตอนที่กำลังโจมตีก็พยายามเข้าใกล้ไปด้วย อย่าบอกนะว่ายังคิดจะจู่โจมฝั่งนี้อีก?
โค่วหลิงซวีมองซ้ายมองขวา แม้ตัวเองจะไม่ได้นำคนเข้าไปร่วมรบด้วยตัวเอง แค่ดูการรบอยู่นอกขบวนรบ แต่ถึงอย่างไรข้างกายของตัวเองก็มีทัพอารักขาห้าสิบล้านคอยคุ้มกัน จะโจมตีได้ง่ายขนาดนั้นเสียที่ไหนกัน
ในขณะนี้เอง แม่ทัพที่รับผิดชอบสังเกตการณ์โดยรอบก็รีบรายงานว่า “ท่านอ๋อง มีกำลังพลที่ไม่ทราบตัวตนแน่ชัดกำลังเข้าใกล้ตรงนี้ขอรับ!”
หลายคนที่อยู่ตรงนั้นมองตามไปทางที่เขาชี้ เห็นเพียงกำลังพลนับพันกำลังเร่งความเร็วมาทางฝั่งนี้
“ยังมีทางนั้นอีก!” มีคนตะโกนบอกอีกครั้ง พอหันไปมอง ก็เห็นคนจำนวน หนึ่งพันพุ่งมาทางนี้ด้วยความเร็วสูงอีก
โค่วหลิงซวีค้นพบอย่างรวดเร็วว่าไม่ได้มีแค่เท่านี้ ทั้งสี่ด้านแปดทิศล้วนมีคนกำลังพุ่งเข้ามาทางฝั่งนี้ ทัพอารักขารีบเตรียมพร้อมป้องกัน
และในเวลานี้เอง กลุ่มคนหนึ่งพันจากทัวทิศทางที่พุ่งเข้ามาก็เพิ่มจำนวนกำลังพลขึ้นอย่างกะทันหัน ทัพใหญ่มหึมาสุดลูกหูลูกตานับไม่ถ้วนกำลังล้อมเข้ามาที่สนามรบ
“เป็นทัพใต้! หนิวโหย่วเต๋อ…” โค่วเจิงชี้บอกอย่างตกใจ
เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบนำทัพใหญ่ตามมาอย่างด้วยลักษณะท่าทางดุดัน ตัวเขาอยู่ข้างหน้าสุด เห็นได้ชัดเจนมาก
“แม่ทัพหลักของฝ่ายศัตรูคือชิงเยว่ แย่แล้ว พวกเราตกหลุมพรางแล้ว!” มีอีกคนชี้ไปยังแม่ทัพหลักของฝ่ายศัตรูในขบวนรบ เห็นเพียงชิงเยว่ฉีกหน้ากากออก กำลังมองมาทางฝั่งนี้ด้วยสีหน้าที่เหมือนกำลังมองตัวตลกที่กระโดดโลดเต้น
โค่วหลิงซวีสีหน้าเปลี่ยนไปมาก กล่าวอย่างร้อนใจว่า “รีบไปรวมกับทัพใหญ่!”
กำลังพลหลายสิบล้านที่คุ้มครองอยู่ข้างกายไปผนึกกำลังกับขบวนรบทันที ไม่รวมกับทัพใหญ่ไม่ได้หรอก อาศัยแค่กำลังพลที่อยู่ข้างกายเขาจะต้านทานการโจมตีจากทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อได้อย่างไร
ทว่าพอบุกเข้ามาในขบวนรบก็ตระหนักได้ถึงปัญหาทันที พวกโค่วหลิงซวีเพิ่งจะเข้าใจว่าทำไมก่อนหน้านี้อีกฝ่ายถึงระดมกำลังอย่างไม่สมเหตุสมผล ชิงเยว่นำทัพใหญ่ทอดข้ามเข้ามาขัดขวางพวกเขาในขบวนรบอย่างแนบเนียนตั้งแต่แรกแล้ว ก่อนหน้านี้มองเบาะแสไม่ออก ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าต้องการกันโค่วหลิงซวีไหว หลีกเลี่ยงไม่ให้โค่วหลิงซวีมารวมกับกำลังพลของตัวเอง
ชั่วขณะนั้น กำลังพลที่โค่วหลิงซวีนำมาเองโจมตีอย่างบ้าระห่ำ ส่วนกำลังพลในขบวนรบก็ดิ้นรนฝ่าออกไปอย่างบ้าคลั่ง ต้องการจะไปรวมกับโค่วหลิงซวี
แต่มีหรือที่ชิงเยว่จะปล่อยให้พวกเขาสมหวัง นางบัญชาการอย่างต่อเนื่อง ยอมจ่ายอย่างเพื่อขัดขวางไว้
“ฆ่า!” ด้านนอกพลันมีเสียงตะโกนฆ่าดังขึ้น
พอเหมียวอี้โบกมือออกคำสั่ง ในทัพใหญ่ที่ตามมาล้อมก็มีกำลังพลห้าสิบล้านพุ่งออกมาจากสี่ด้านแปดทิศ พุ่งเข้ามาในขบวนรบ ไปช่วยกำลังพลที่กำลังโดนทัพเหนือโจมตีอย่างบ้าคลั่งเนื่องจากขัดขวางไม่ให้สองหน่วยของทัพเหนือรวมตัวกัน กำลังพลสองร้อยล้านสังหารเข้ามา ทำให้กำลังพลที่แบกรับภาระหนักไม่ไหวลดความกดดันไปได้เยอะมากในชั่วพริบตาเดียว ยิ่งไปกว่านั้นก็ทำให้กำลังพลที่อยู่กับโค่วหลิงซวีไปรวมตัวกับกำลังพลทั้งทัพเหนือไม่ได้
“ยิงธนู!”
ลำแสงนับไม่ถ้วนยิงไปทางกำลังพลห้าสิบล้านของโค่วหลิงซวีที่ถูกกันไว้ ชั่วพริบตาเดียวก็เกิดภาพอันน่าเวทนา
ทัพอารักขาโจมตีกลับ แนวโล่ป้องกันพยายามป้องกันสุดชีวิต ดิ้นรนคุ้มครองโค่วหลิงซวีเอาไว้ตรงกลาง
โค่วหลิงซวีตาแทบถลน จ้องเหมียวอี้ที่กำลังมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าเย็นชา
ตอนนี้เขารู้ได้โดยไม่ต้องอธิบาย ว่านี่คือกับดักของหนิวโหย่วเต๋อ กำลังพลของเถิงเฟยเป็นเพียงเหยื่อล่อ เป้าหมายก็คือรุมเร้าทัพใหญ่ของเขาเอาไว้ ไม่ให้กำลังพลของเขาหนีไป ไม่แปลกใจที่โจมตีฝ่าแนวป้องกันของเถิงเฟยได้ง่ายขนาดนั้น เห็นได้ชัดว่าโดนล่อให้เข้ามาลึกแล้วพัวพันเอาไว้ เสียแรงที่เขาตะโกนว่าทหารกล้า ช่างเป็นเรื่องที่น่าขำที่สุดในโลกจริงๆ!
………………
ทั้งสองตกลงกันตามนี้
เมื่อเก็บระฆังดาราแล้ว เถิงเฟยก็บอกกับเหมียวอี้ว่า “ท่านอ๋อง เขาตอบตกลงแล้ว แต่ไม่ได้จะช่วยข้าสกัดท่านอ๋อง จะล่อท่านอ๋องออกไป…” เขาเล่าสถานการณ์ให้ฟังอย่างละเอียด
“น่าจะติดกับดักแล้ว!” หยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ กันกล่าว
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ตอนแรกเขาเตรียมจะให้เถิงเฟยไปขอพึ่งพาโค่วหลิงซวี ทว่าหยางชิ่งรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ถ้าเป็นฝ่ายไปขอพึ่งพาก่อนจะทำให้โค่วหลิงซวีเกิดความระแวงได้ง่าย ไม่สู้ให้โค่วหลิงซวีเป็นฝ่ายตัดสินใจวางแผนเองจะมีความเชื่อใจมากกว่า
“ท่านอ๋องเถิง ตอนนี้ก็ต้องดูเจ้าแล้ว” เหมียวอี้กล่าวกับเถิงเฟยด้วยรอยยิ้ม
“จะพยายามสุดความสามารถแน่นอน” เถิงเฟยกุมหมัดคารวะ
เหมียวอี้สั่งชิงเยว่ทันที “รวบรวมกำลังพลให้ท่านอ๋องเถิง!”
“รับทราบ!” ชิงเยว่กุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง จากนั้นก็เชิญให้เถิงเฟยไปเลือกกำลังพลด้วยกัน
เป็นไปไม่ได้พี่เหมียวอี้จะให้เถิงเฟยนำกำลังพลเดิมจากไป นั่นเท่ากับปล่อยเถิงเฟยไปแล้ว แม้ในมือจะมีคนในครอบครัวของเถิงเฟยเป็นตัวประกัน แต่ยามเผชิญหน้ากับผลประโยชน์และแรงกดดันของกำลังพลพันกว่าล้าน เถิงเฟยเองก็อาจทนไม่ไหว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะเสี่ยงอันตรายนั้น เป็นเพราะกำลังพลที่ให้เถิงเฟยส่วนใหญ่เป็นกำลังพลของเขา กำลังพลของเถิงเฟยเองเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ที่ให้พาไปรับมือกับสถานการณ์ด้วย มีแต่ต้องทำอย่างนี้เท่านั้น เถิงเฟยถึงจะไม่กล้าคิดอะไรไม่ซื่อ
กำลังพลเบื้องล่างเริ่มให้ความร่วมมือกับการระดมพล ให้ความร่วมมือเถิงเฟยให้การระดมทัพใหญ่หนึ่งพันห้าร้อยล้าน
เหมียวอี้ เฉิงไท่เจ๋อและพวกหยางชิ่งกำลังปรึกษารายละเอียดของปัญหากัน
ทว่าในเวลานี้ ก็มีเสียงต่อสู้วุ่นวายดังมา พวกเขาหันไปมองพร้อมกัน
ผ่านไปครู่เดียวเสียงวุ่นวายนั้นก็เงียบลง ชิงเยว่รีบเข้ามา รู้ว่าเหมียวอี้จะต้องมาถามแน่นอนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เป็นอย่างที่คาดไว้ เหมียวอี้เห็นหน้าแล้วก็ถามทันทีว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ชิงเยว่รายงานว่า “ท่านอ๋อง มีคนคิดจะแอบใช้ระฆังดารา แต่ถูกจับได้แล้ว คาดว่าคงเป็นสายลับจากบ้านไหนสักบ้าน”
ภายใต้สถานการณ์ที่ควบคุมการใช้ระฆังดาราอย่างเข้มงวดแบบนี้ ทุกคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน ล้วนจับตาดูกันและกันอยู่ ใครคิดจะใช้ระฆังดารา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ถูกคนข้างกายสังเกตเห็น เมื่อถ่ายทอดคำสั่งลงไปแล้ว คำสั่งทหารหนักแน่นดุจขุนเขา ใครใช้ระฆังดาราโดยพลการ ประหาร! ถ้าพบแล้วไม่รายงานก็มีความผิดร่วมกัน ประหาร!
เห็นได้ชัดเจนมาก มีคนอยากจะฉวยโอกาสเล่นตุกติกตอนที่กำลังระดมพลอย่างวุ่นวาย ผลปรากฏว่าโดนพบแล้ว
เหมียวอี้สีหน้าขรึมเครียดทันที นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้าเรื่องที่เถิงเฟยมาเข้าข้างฝ่ายนี้หลุดออกไป สายลับคนเดียวก็ทำงานใหญ่ของเขาพังได้เลย ถามเสียงต่ำว่า “ข่าวหลุดออกไปหรือยัง?”
“พวกเราพบทันเวลา คงจะส่งข่าวไปไม่ทันค่ะ” ชิงเยว่ตอบ
น้ำเสียงของเหมียวอี้จริงจังขึ้นหลายส่วน “คงจะ? ข้าไม่อยากได้ยินคำตอบอย่างนี้อีก”
“รับทราบ!” ชิงเยว่ปาดเหงื่อถอยออกไป
หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เถิงเฟยก็เก็บรวบกำลังพล แล้วไปยังพิกัดดาวที่เหมียวอี้ระบุไว้
หลังจากทิ้งระยะห่างได้พอสมควร เหมียวอี้ก็เริ่มนำกำลังพลไล่ตามโจมตีไปข้างหลัง
คนกลุ่มหนึ่งอ้อมผ่านกำลังพลดักซุ่มของประมุขชิงและประมุขพุทธะไป ออกจากอาณาเขตดาวนิรนามแล้วยังไม่เผยโฉม แต่เลียบไปยังบริเวณอาณาเขตดาวนิรนามที่ติดกับทัพตะวันออก
ประตูดวงดาวทางผ่านไปอาณาเขตทัพเหนือปรากฏขึ้น เถิงเฟยก็นำกำลังพลบุกเข้าไปเลย
พอถูกพ่นออกมากลางอากาศ ก็เห็นกำลังพลทัพเหนือที่เฝ้าอยู่ทันที
จะเข้าไปทางไหน ระหว่างทางเถิงเฟยได้ประสานงานกับโค่วหลิงซวีเรียบร้อยแล้ว เห็นได้ชัดว่าฝั่งนี้เตรียมตัวไว้ตั้ังแต่เนิ่นๆ แล้ว แม่ทัพคนหนึ่งที่เฝ้าอยู่รีบโบกมือ ให้กำลังพลที่ขัดขวางหลีกทางให้ พวกเถิงเฟยรีบผ่านไปอย่างรวดเร็ว แล้วกำลังพลทกลุ่มนั้นก็เข้ามาสกัดไว้อีกครั้ง ขณะเดียวกันก็มีคนหลายร้อยปะปนเข้าไปอยู่ในกลุ่มของเถิงเฟย
“ต้องการจะตรวจสอบพวกเราเหรอ? ใครใช้ให้เจ้าบังอาจอย่างนี้?” เถิงเฟตะคอกใส่แม่ทัพของทัพเหนือที่เข้ามาใกล้
แม่ทัพคนนั้นกล่าวขออภัย “ท่านอ๋องเถิง ในเวลานี้สถานการณ์รบเปลี่ยนแปลงร้อยแปดพันเก้า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ท่านอ๋องโค่วเองก็ต้องระวังเอาไว้ ได้โปรดอภัย”
เมื่อมีกำลังพลกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในอาณาเขตของตัวเอง โค่วหลิงซวีก็ต้องมีการป้องกันแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่จะทำตามเถิงเฟยบอกทุกอย่าง ถ้าเถิงเฟยแอบซ่อนกำลังพลคนอื่นเอาไว้แล้วมาสู้กับโค่วหลิงซวีจะทำอย่างไร? จะต้องยืนยันให้แน่ใจอยู่แล้ว
“โค่วหลิงซวีเห็นข้าเป็นอะไรไปแล้ว? ไสหัวไป!” เถิงเฟยตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด
แม่ทัพคนนั้นบอกว่า “ถ้าท่านอ๋องเถิงไม่ให้ความร่วมมือ เพื่อความปลอดภัยของทัพเหนือเอง ทัพเหนือก็ทำได้เพียงขอให้ท่านอ๋องดูแลตัวเองให้ดี ทัพเหนือไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งอะไร…ท่านอ๋องเถิง หนิวโหย่วเต๋อไล่ตามมาแล้วนะ”
เถิงเฟยหันกลับไปมอง เห็นเพียงเหมียวอี้ขี่มังกรดำนำคนบุกด่านป้องกันเข้ามาโดยตรง ไม่สนใจการขัดขวางของทหารยาม ตามอยู่ข้างหลังไม่ลดละ
เถิงเฟยทำสีหน้ากระฟัดกระเฟียด ทำเหมือนถูกบีบจนไม่มีทางเลือกแล้ว สุดท้ายก็หันกลับมาสั่ง ให้กำลังพลของตัวเองยอมรับการตรวจค้น
ดังนั้นกำลังพลกลุ่มหนึ่งจึงเหาะไปพลางรับการตรวจค้นไปพลาง พลังอิทธิฤทธิ์แทรกซึมเข้ามาในที่บรรจุสิ่งของทั้งหมดของพวกเถิงเฟย ตรวจสอบอย่างรวดเร็ว
กำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยล้าน เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะแยกแยะหน้าตาได้ทีละคน แบบนั้นต้องใช้เวลาแยกแยะนานเท่าไรกัน เพียงตรวจนับกำลังพลอย่างรวดเร็วเท่านั้น
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังเสียเวลาไปน้อย จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่ามีกำลังพลประมาณหนึ่งพันห้าร้อยล้านจริงๆ กำลังพลทัพเหนือถึงได้หยุดค้นหา แล้วรีบรายงานสถานการณ์ขึ้นไปเบื้องบน ขณะเดียวกันก็รายงานลักษณะพิเศษของคนกลุ่มนี้คร่าวๆ ให้เบื้องบนรีบเตรียมตัวโดยเร็วที่สุด
หลังจากได้รับคำตอบจากเบื้องบนแล้ว แม่ทัพคนนั้นก็ยื่นมือชี้บอกทิศทาง “ท่านอ๋องเถิง เชิญทางด้านนี้ ท่านอ๋องโค่วส่งคนมาเตรียมรอรับแล้ว”
เถิงเฟยนำลูกน้องเหาะเบี่ยงออกจากเส้นทางทันที
บนยอดเขาสูงแห่งหนึ่งของดาวเคราะห์ที่รกร้าง ถังเฮ่อเหนียนวางระฆังดาราแล้วรีบรายงานว่า “ท่านอ๋อง หนิวโหย่วเต๋อกัดไม่ปล่อยเลย แบบนี้เกรงว่าจะรับตัวเถิงเฟยได้ยาก ต้องคิดหาทางสกัดไว้ ดึงระยะไล่ติดตามให้ไกลขึ้นหน่อย ถึงจะวางกับดักได้สะดวก ไม่อย่างนั้นก็จะหลุดพ้นจากสายตาหนิวโหย่วเต๋อได้ยากมาก ตอนวางกับดักก็จะถูกเปิดโปงได้ง่าย!”
โค่วหลิงซวีกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าเด็กนี่กัดเถิงเฟยไม่ปล่อยจริงๆ โหดมากทีเดียว ไม่แปลกใจที่เถิงเฟยตระหนกกลัว ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้กำลังพลที่เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าดักไว้”
ถังเฮ่อเหนียนเอ่ยรับและจัดการตามที่สั่ง
สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก จู่ๆ ก็มีกำลังพลสิบล้านปรากฏตัวในดาราจักร มาแทรกกลางระหว่างเถิงเฟยพี่กำลังหลบหนีและหนิวโหย่วเต๋อที่กำลังไล่ตาม
“ผู้ที่มาเป็นใคร รีบหยุดเดี๋ยวนี้!” แม่ทัพตะโกนถาม
ฝั่งเหมียวอี้โบกมือ ทัพใหญ่ปรากฏตัว กำลังพลนับสิบล้านพุ่งเข้าไปสังหารโดยตรง ไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร ชั่วพริบตาเดียวก็สังหารกำลังพลที่เข้ามาขวางเอาไว้จนหมด ทัพใหญ่พุ่งผ่านไป ไล่ตามไปข้างหน้าต่อ แต่รอจนกระทั่งกำลังพลรวมตัวกันอีกครั้งแล้วไล่ตาม ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ไกลกันแล้วไม่น้อยจริงๆ
ผ่านไปไม่นาน โค่วหลิงซวีก็ส่งข่าวไปทางฝั่งเหมียวอี้ กล่าวอย่างเดือดดาลว่า : หนิวโหย่วเต๋อ เห็นแก่ที่เจ้ารีบร้อนไล่ตาม ฝ่าด่านป้องกันของข้ามาก็ว่าหนักแล้ว ทำไมต้องลงมือกับกำลังพลของข้า?
เหมียวอี้ : เถิงเฟยไม่ได้มีใจเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเรา นิ่งดูดายปล่อยให้ท่านอ๋องเผชิญอันตรายกับทัพใหญ่ประมุขพุทธะเพียงลำพัง ข้าช่วยล้างความอัปยศให้ท่านอ๋อง อย่าบอกนะว่าข้าทำผิดไป?
โค่วหลิงซวี : อย่าบอกนะว่านี่คือเหตุผลที่เจ้าลงมือกับกำลังพลของข้า? มีใครเขาทำเหมือนเจ้าบ้าง?
เหมียวอี้ : โจรเฒ่าโค่ว เจ้าอย่ามาเล่นลูกไม้นี้ กำลังพลของเจ้าไม่ขัดขวางเถิงเฟย ขัดขวางแค่กำลังพลของข้า หมายความยังไงกันแน่?
โค่วหลิงซวี : อาณาเขตของข้า ใครอยากจะขัดขวางใครก็จะขัดขวางคนนั้น ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาถาม มีหรือที่จะให้เจ้าบุกเข้ามาง่ายๆ!
เหมียวอี้ : โจรเฒ่า เจ้ารอข้าก่อนเถอะ! ถ้าเถิงเฟยหนีไม่พ้นก็แล้วไป ถ้าเถิงเฟยหนีพ้นแล้ว ข้าก็จะเคลื่อนทัพไปกวาดล้างทัพเหนือทันที!
โค่วหลิงซวี : พูดได้ดี! ข้าเองก็อยากจะเห็นนัก ว่าเจ้ามีกี่หัวถึงได้กล้าพูดจากำเริบเสิบสานกับข้าแบบนี้!
ทั้งสองแยกย้ายอย่างไม่สบอารมณ์ เจรจาไม่ลงตัว ไม่จำเป็นต้องเจรจากันต่อแล้วด้วย
ทว่าเมื่อทั้งคู่วางระฆังดาราลง คนที่ยืนอยู่บนหน้าผาก็เผยยิ้มเจ้าเล่ห์ คนที่ยืนอยู่บนตัวมังกรดำก็แสยะยิ้ม เรียกได้ว่าต่างฝ่ายต่างมีเจตนาไม่ซื่อ
เมื่ออยู่ตรงหน้าผลประโยชน์แบบนี้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายและผลประโยชน์ของคนจำนวนนับไม่ถ้วน ความรู้สึกส่วนตัวไม่สำคัญแล้ว ขนาดคำเรียกท่านพ่อบุญธรรมก็ยังเปลี่ยนเป็นโจรเฒ่า ท่านพ่อบุญธรรมบุตรสาวบุญธรรมอะไรนั้นล้วนถูกโยนทิ้งไว้ข้างหลัง จะเอาความสัมพันธ์ครึ่งๆ กลางๆ อย่างนั้นมาคุยกันได้อย่างไร
“ถามดูหน่อยว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว” โค่วหลิงซวีเอียงหน้าถาม
ถังเฮ่อเหนียนร่ายอิทธิฤทธิ์ใช้ระฆังดาราติดต่อกับเบื้องล่างทันที จากนั้นพยักหน้าตอบว่า “ทิ้งระยะห่างจากกันแล้วเล็กน้อย คงจะห่างพอสมควรแล้วขอรับ”
โค่วหลิงซวีทำเสียงฮึดฮัด “โจรเฒ่าเหรอ? รอข้าฮุบกำลังพลของเถิงเฟยให้ได้ก่อนเถอะ ข้าอยากจะเห็นนักว่าเขาจะกวาดล้างทัพเหนือยังไง!”
กลุ่มของเถิงเฟยยังคงหลบหนีไม่หยุด
จนกระทั่งเข้ามาในบริเวณที่มีหินกระจัดกระจายอยู่ในดาราจักร ระหว่างทางตอนผ่านดาวดวงใหญ่ดวงหนึ่ง พวกเถิงเฟยรีบเลี้ยวลงข้างล่าง ขณะเดียวกันก็มีกำลังอีกชุดหนึ่งเหาะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ปลอมตัวเป็นพวกเถิงเฟยแล้วหลบหนีต่อไป
“รีบเข้ามาทางนี้!” พอพวกเถิงเฟยเหยียบลงพื้น ก็มีคนชี้บอกทางให้พวกเขาไปหลบในรอยแยกขนาดใหญ่แห่งหนึ่งทันที
คนกลุ่มนี้เพิ่งจะซ่อนตัว ก็เห็นพวกเหมียวอี้ที่ไล่ตามมาแฉลบผ่านไปแล้ว
เมื่อเห็นพวกเหมียวอี้ไล่ตามคนที่ปลอมตัวไปแล้ว เถิงเฟยก็เอามือลูบหน้าอก ถอนหายใจแรงเหมือนโล่งอก
จนกระทั่งไม่เห็นเงาทหารกลุ่มนั้นแล้ว พวกเถิงเฟยถึงได้ออกเดินทางอีกครั้ง หาทิศทางไปใหม่
ระหว่างทาง เถิงเฟยหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้นิดหน่อย
หลังจากในใจมีแผนการแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดาราแล้วปล่อย ‘เหมียวอี้’ อีกคนหนึ่งออกมา เป็นไป๋เฟิ่งหวงนั่นเอง
พวกเหมียวอี้ทยอยกันเข้าไปไหนแหวนเก็บสมบัติวงหนึง แล้วไป๋เฟิ่งหวงก็ดีดแหวนเก็บสมบัติไปในดาราจักรด้านหลัง ก่อนจะขี่มังกรดำเร่งไปข้างหน้าต่อ
หนิวโหย่วเต๋อตัวปลอมเร่งไล่ตามเถิงเฟยตัวปลอม เพียงแต่หนิวโหย่วเต๋อตัวปลอมกล้าเปิดเผยหน้า แต่เถิงเฟยกลับไม่กล้าหันกลับมา
รอจนกระทั่งกำลังพลที่หลบหนีและไล่ตามหายไปในจุดลึกของดาราจักร แหวนเก็บสมบัติที่ลอยอยู่ในอวกาศก็ระเบิดออก พวกเหมียวอี้ปรากฏตัว ย้อนกลับมาอีกครั้งแล้ว
“ท่านอ๋องเถิง หนีพ้นหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ตรงทางข้างหน้าก็ระวังตัวด้วย ข้าน้อยมิกล้ารบกวนแล้ว เพียงแต่ของที่ท่านรับปากท่านอ๋องโค่วไว้ ควรจะส่งให้ข้าได้แล้วหรือยัง?”
แม่ทัพที่เหาะอยู่ข้างกายเถิงเฟยกล่าวอำลา ทวงถามถึงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่ทั้งสองอ๋องเจรจากันเรียบร้อยแล้ว
เถิงเฟยหยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งโยนให้เขา “นับให้ดีนะ อย่าหาว่าข้าเบี้ยวแล้วกัน”
หลังจากแม่ทัพคนนั้นรับกำไลเก็บสมบัติมาตรวจนับแล้ว เขียนหนังสือส่งมอบให้กันฉบับหนึ่ง แล้วกุมหมัดอำลาอย่างร่าเริง “ไม่ผิดหรอก ครบแล้ว ข้าน้อยขอตัว!”
“ไม่ส่ง!” เถิงเฟยแสยะยิ้ม เหมือนไม่ค่อยพอใจกับข้อตกลงนี้
แม่ทัพคนนั้นโบกมือเล็กน้อย นำกำลังพลทัพเหนือที่ติดตามมาด้วยออกจากกำลังพลของเถิงเฟย มองส่งพวกเถิงเฟยจากไปไกลพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม ในมือถือระฆังดาราขึ้นมาไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน
ทว่าตอนที่ทั้งสองฝ่ายแยกกันได้ไม่นาน กลุ่มของเถิงเฟยก็เพิ่งเข้ามาอยู่ระหว่างดาวเคราะห์ไม่กี่ดวง จู่ๆ ตรงหน้าก็ปรากฏกำลังพลหนาแน่นมาขวางทาง
พวกเถิงเฟยหยุดเดินทางกะทันหัน รีบหันมองไปรอบๆ เห็นเพียงกำลังพลกลุ่มใหญ่พุ่งเข้ามาจากทั่วสารทิศ เหมือนจะล้อมพวกเขาเอาไว้แล้ว
ทางฝั่งเถิงเฟยปล่อยทัพใหญ่หนึ่งพันห้าร้อยล้านออกมาอารักขาทันที เตรียมป้องกันโดยรอบ
“พี่เถิง กำลังจะไปที่ไหนกัน?”
ในดาราจักรมีเสียงหัวเราะลั่นดังมา กลุ่มคนหันไปมอง เพียงตรงกลางของกำลังพลที่ประชิดเข้ามาหลีกเส้นทางให้หนึ่งเส้นทาง อ๋องสวรรค์คุมทัพเหนือปรากฏตัวแล้ว บนใบหน้าเจือรอยยิ้มบางๆ แต่พลังอำนาจทำให้คนรู้สึกกดดัน
เถิงเฟยโบกมือชี้ พร้อมตะโกนถามอย่างโมโห “โค่วหลิงซวี นี่เจ้าหมายความว่ายังไง?”
“พี่เถิง เจ้าลืมมอบอะไรให้ข้าไปหรือเปล่า?” โค่วหลิงซวีถามเสียงเรียบ
…………………………
อินเอ้อร์หลางหัวเราะเบาๆ แล้วถามต่อว่า “เจอศัตรูบนทางแคบ นี่มาเพื่อล้างแค้นเหรอ?”
ในบรรดาคนที่มาจากฝั่งนี้ มองเห็นใบหน้าคุ้นเคยแล้วไม่น้อย เป็นจินม่าน จ่างซุนจู ซิงหลัว ลวี่เกอ อู๋เซิง เย่สิงคงและพรรคพวก
พอกำลังพลกลุ่มใหญ่ล้อมกำลังพลกลุ่มนี้เอาไว้ ก็เห็นพวกหั่วเจินจวินทันที พวกจินม่านสีหน้าเปลี่ยนแล้วเช่นกัน บนตัวแผ่ซ่านบรรยากาศสังหาร
ก็ช่วยไม่ได้ ในปีนั้นที่ประมุขปราชญ์หกลัทธิถูกโค่นล้ม พวกจินม่านถูกบีบเข้าแดนอเวจี ก็ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าบรรดาคนตรงหน้าเคยทำอะไรกับพวกเขาไว้บ้าง
ทว่าพวกจินม่านก็รู้เช่นกันว่าคนพวกนี้เป็นคนของใคร จึงไม่ได้แตกคอกันในทันที ถ้าเปลี่ยนเป็นในปีนั้นตอนยังไม่ถูกบีบเข้าแดนอเวจี เกรงว่าพอเจอหน้าก็คงจะสู้กันเลย
“มีเรื่องอะไรกัน?” เหยียนซิวออกออกมาจากกลุ่มคนแล้วเอ่ยถาม เขาเองก็ไม่รู้จักพวกหั่วเจินจวินเหมือนกัน แต่มองออกว่าทั้งสองฝ่ายไม่ค่อยถูกกันเท่าไร
จินม่านถ่ายทอดเสียงตอบเขาว่า “พวกสิบปราสาทดำเนินกับพวกปีศาจเฒ่า ในปีนั้นสิบปราสาทดำเนินเป็นลูกน้องเก่าของประมุขไป๋ พวกปีศาจเฒ่าก็เป็นลูกน้องเก่าของประมุขปีศาจ”
พวกหั่วเจินจวินก็มองออกเช่นกันว่าพวกจินม่านเกรงใจเหยียนซิวมาก จึงแปลกใจนิดหน่อย อู๋ฉางหันกลับมาถามว่า “แล้วเจ้าหน้าตายนี่มีความสำคัญอะไร?”
“เป็นพวกเดียวกัน” เวินหวนเจินตอบ
เหยียนซิวขมวดคิ้ว ถามว่า “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
ลี่หัวตอบอย่างใจเย็น “มีคนฝากฝังมา ให้มาช่วยพวกเจ้า” สีหน้าท่าทางเยือกเย็นมาตลอด นางเสียอาการกับอู๋ฉางและพวกปีศาจเฒ่าเท่านั้น
เหมียวอี้ไม่เคยพูดเรื่องนี้ เหยียนซิวไม่สะดวกจะตัดสินใจเอง จึงหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อเหมียวอี้ บอกเล่าสถานการณ์ให้ฟัง
เหมียวอี้ที่รับกำลังพลของเถิงเฟยแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทางกลับ พอได้รับข่าวจากเหยียนซิวก็ขมวดคิ้วเงียบ คนของสิบปราสาทดำเนินปรากฏตัวแล้วเหรอ? ทั้งยังมีคนของประมุขปีศาจด้วย? มีจุดหนึ่งที่เขาพบว่าตัวเองเดาถูกแล้ว นั่นก็คือคนของสิบปราสาทดำเนินเป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย
เพียงแต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ ว่าคนพวกนั้นไปโผล่อยู่ที่นั่นได้อย่างไร? บางทีฝั่งแดนอเวจีอาจจะมีคนปล่อยข่าว แต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดมากไม่ใช่สิ่งนี้ เพราะเขารู้สึกว่าทุกการเคลื่อนไหวของตัวเองปิดบังคนผู้นั้นไม่ได้เลย ต่อให้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างเป็นความลับขนาดไหน แต่ก็ปิดบังได้ยาก ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เขาอึดอัดมาก
หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง เหมียวอี้ก็หันกลับมาตอบเหยียนซิว : อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม รอดูการเปลี่ยนแปลงก่อน ป้องกันเอาไว้หน่อย
เหยียนซิวเอ่ยรับแล้วเก็บระฆังดารา แล้วถ่ายทอดเสียงบอกพวกจินม่าน บอกให้รู้ถึงท่าทีของเหมียวอี้
ดังนั้นคนกลุ่มหนึ่งจึงคุมเชิงกันอยู่ตรงนี้ หั่วเจินจวินตะคอกถามว่า “พวกเจ้าหมายความว่ายังไง ล้อมไว้ทำไม ยังไม่รีบเคลื่อนไหวอีก?”
“ยังไม่ถึงเวลา” เหยียนซิวกล่าวด้วยเสียงแหบพร่าเยียบเย็น
ลี่หัวหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง หลังจากติดต่อแล้วก็มองซ้ายมองขวา “คุณชายไป๋ให้พวกเราเชื่อฟังเขา ทำตามขั้นตอนของพวกเขา”
“แปลกพิกล” อินเอ้อร์หลางพึมพำ…
เหมียวอี้ที่กำลังเดินทัพอยู่อีกฝั่งหนึ่งโบกมือสั่งให้กำลังพลหยุดชั่วคราว แล้วใช้ตาทิพย์ตรงหว่างคิ้วอีกครั้ง เปล่งลำแสงแพรวพราวออกมากระตจุกหนึ่ง กวาดมองบริเวณทางเข้าอาณาเขตดาวนิรนาม ครั้งนี้ใช้เวลาตรวจสอบค่อนข้างนาน
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วยาม ในมือก็หยิบแผ่นหยกขึ้นมาอีก ขณะใช้ตาทิพย์สำรวจ ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ระบุพิกัดดาวบนแผ่นหยกไปด้วย
เถิงเฟยที่อยู่ข้างๆ มองตาทิพย์ของเหมียวอี้อีกครั้ง ในใจมีความรู้สึกหลากหลายปนกัน รู้สึกเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะไปจิ้มตาที่สามของเหมียวอี้ให้บอด
เขาคิดว่าความพ่ายแพ้ของตัวเองครั้งนี้คือการแพ้ให้กับตาทิพย์
หลังจากเก็บลำแสงปิดตาทิพย์แล้ว เหมียวอี้ก็หันตัวไปบอกกับทุกคนว่า “กำลังพลของประมุขชิงกับประมุขพุทธะดักซุ่มอยู่ตรงทางเข้าของเส้นทางนี้ พวกเราต้องอ้อมผ่านพวกเขาไปเป็นกวงกว้าง นี่คือแผนที่ดาวบอกพิกัดสำหรับเดินทางอ้อม” พูดจบก็ยื่นแผ่นหยกให้เถิงเฟย
เถิงเฟยเข้าใจสิ่งที่เขาพูด แม้ในมือเขาจะมีกำลังทหารเกินห้าพันล้าน แต่ฝั่งประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็มีกำลังพลเกินสองพันล้านกว่าเช่นกัน ดูเผินๆ เหมือนมากกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าจะสู้กันจริงๆ กำลังพลที่มากกว่าเท่าเดียวก็ใช่ว่าจะได้เปรียบมากกว่าเสมอไป หลังจากจบศึกแล้ว ต่อให้ชนะแต่ก็เสียหายหนักมากอยู่ดี ต่อไปเกรงว่ากำลังพลของอ๋องสวรรค์โค่วกับอ๋องสวรรค์ก่วงจะลงมือกับเขาทันที ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อยังไม่อยากใช้กำลังปะทะกับพวกเขาตรงๆ
หลังจากยืนยันพิกัดบนแผนที่ดาวจนเข้าใจแล้ว เถิงเฟยก็พยักหน้า
เหมียวอี้หยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อโค่วหลิงซวีกับก่วงลิ่งกง เชิญให้ทั้งสองร่วมมือกันเคลื่อนทัพไปรับมือกับประมุขชิงและประมุขพุทธะ
ผลก็เป็นอย่างที่คาดไว้ ทั้งสองต่างก็อ้างว่าในอาณาเขตตัวเองยังมีกองทัพองครักษ์โจมตีก่อกวน จึงปฏิเสธคำขอให้ร่วมมือกันเคลื่อนทัพ
เมื่อเก็บระฆังดาราแล้ว เหมียวอี้ก็แสยะยิ้ม แล้วบอกเถิงเฟยว่า “เริ่มทำตามแผนเถอะ”
“รับทราบ!” เถิงเฟยหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อโค่วหลิงซวี
บนหน้าผาที่เห็นทิวทัศน์ทะเลสาบแห่งหนึ่ง ขณะหันหน้าหาดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ โค่วหลิงซวีกำลังถือระฆังดาราไว้ในมือที่ไขว้อยู่ข้างหลัง “หนิวโหย่วเต๋อให้พวกเราเคลื่อนทัพไปร่วมมือปราบประมุขชิงกับประมุขพุทธะ ข้าปฏิเสธไปแล้ว”
ถังเฮ่อเหนียนที่อยู่ข้างๆ พยักหน้า “ควรปฏิเสธขอรับ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กำลังพลของประมุขชิงกับประมุขพุทธะกัดเถิงเฟยไม่ปล่อย นี่ไม่ใช่การล้างแค้นเรื่องกำลังพลดักซุ่มที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว เห็นได้ชัดว่าต้องการรักษากำลังของตัวเองเอาไว้ จิตใจทะเยอทะยานของหนิวโหย่วเต๋อมีมานาน แม้แต่คนเดินผ่านทางยังล่วงรู้ คาดว่าหลังจากเขาจัดการเถิงเฟยได้แล้ว คนต่อไปที่เขาจะสู้ด้วย ถ้าไม่ใช่ท่านอ๋องก็เป็นก่วงลิ่งกง จะได้กำจัดภัยที่จะตามมาหลังจากทำศึกตัดสินกับประมุขชิงและประมุขพุทธะแล้ว ดูจากวิธีการที่เขาฮุบกำลังพลของเฉิงไท่เจ๋อก็รู้แล้ว นี่เป็นแบบฉบับของการอาศัยกำลังพลที่กวาดต้อนได้มารบต่อเลย กัดเถิงเฟยไม่ปล่อย คาดว่าคงเห็นเถิงเฟยมีกำลังอ่อนแอ มีโอกาสมากที่จะฮุบกำลังพลของเถิงเฟย!”
“ใช่แล้ว หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าหนุ่มนี่ช่างเปี่ยมพลังอำนาจอิจฉาคนหนุ่มสาวจริงๆ บทจะวู่วามอยากทำก็ทำเลย แค่ไม่เคลื่อนไหวเท่านั้น พอเคลื่อนไหวก็ลงมือต่อเนื่อง” โค่วหลิงซวีส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วบอกอีกว่า “ที่จริงแล้ว ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะร่วมมือกันปราบประมุขชิงและประมุขพุทธะจริงๆ แต่จนใจที่ข้ามีความตั้งใจนี้ แต่คนอื่นกลับมีเจตนาไม่ซื่อ ทำให้ข้ารู้สึกจนใจมาก!”
ถังเฮ่อเหนียนบอกว่า “ท่านอ๋อง ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะขอรับ ถ้ามีโอกาสลงมือก็ลองลงมือได้ ถ้าไม่มีโอกาส การรักษากำลังเอาไว้เป็นแผนที่ดี ถ้าหนิวโหย่วเต๋อกับประมุขชิงและประมุขพุทธะสูสีกันจนตัดสินแพ้ชนะไม่ได้ สองฝ่ายรามือ กำลังในมือท่านอ๋องก็ยังไม่ส่งผลกระทบอะไรกับท่านอ๋อง แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายตัดสินแพ้ชนะได้ ตระกูลโค่วก็จะต้องเสียหายหนักมาก ด้วยกำลังพลในมือท่านอ๋อง จะทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าทำอะไรท่านอ๋องขอรับ”
โค่วหลิงซวีขานรับ “เกรงว่าก่วงลิ่งกงก็จะคิดอย่างนี้เหมือนกัน…” ขณะที่พูดเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหยิบระฆังดาราที่อยู่ข้างหลังขึ้นมา “เถิงเฟย!”
ถังเฮ่อเหนียนทำสีหน้าตั้งตารอ
โค่วหลิงซวีเขย่าระฆังดาราตอบ : พี่เถิง มีอะไรจะชี้แนะ?
เถิงเฟย : พี่โค่ว ข้าไม่ได้ยั่วโมโหหนิวโหย่วเต๋อ ไม่ได้ไปหาเรื่องเขาด้วย แต่เจ้าเวรนี่มันกัดข้าไม่ปล่อย มีเหตุผลอะไรกันแน่?
โค่วหลิงซวี : นี่ก็ต้องถามตัวพี่เถิงเอง…หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนหนุ่มเปี่ยมพลัง เจ้ารู้ดีไม่ใช่เหรอว่าเขาเป็นคนแบบไหนอ? เป็นคนที่พอโมโหแล้วก็ลงมือเลย ตอนนี้พี่เถิงคงไม่คิดว่าเขาพูดเล่นหรอกมั้ง?
พอพูดถึงเรื่องนี้ โค่วหลิงซวีก็เดือดดาลนิดหน่อย เดิมทีนั้น หลายฝ่ายเตรียมจะร่วมมือกันสู้กับประมุขชิงและประมุขพุทธะ สามารถโค่นล้มประมุขชิงและประมุขพุทธะที่เป็นใหญ่ในใต้หล้ามาหลายปีได้ในรวดเดียวเลย ผลปรากฏว่าพอเถิงเฟยทำอย่างนี้ ทำให้เรื่องกลายเป็นแบบนี้ ทำเอาทุกคนแฝงไว้ด้วยเจตนาที่มิดีมิร้าย พลาดโอกาสดีไปเฉยๆ แล้ว
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเหมียวอี้มีเจตนาไม่ซื่อ แต่ก็ยังแอบชมว่าเหมียวอี้ทำได้ดี สำหรับเรื่องบางเรื่อง คนน่ารังเกียจก็ต้องโดนคนน่ารังเกียจกว่าเล่นงานอีกที ตอนนี้เถิงเฟยคงกำลังโดนหนิวโหย่วเต๋อเล่นงานจนโมโหแต่พูดอะไรไม่ได้ คงกระวนกระวายแล้ว
เถิงเฟย : พี่โค่ว จะพูดอย่างนี้ไม่ได้ พวกเราขัดแย้งกันเองภายใน โจมตีกันไปโจมตีกันมาอย่างนี้ สุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์ก็คือประมุขชิงและประมุขพุทธะ ถ้ากำลังของพวกเราเสียหายรุนแรง มีหรือที่ประมุขชิงและประมุขพุทธะจะปล่อยพวกเราไปง่ายๆ?
โค่วหลิงซวี : แล้วเจ้าจะทำยังไง?
เถิงเฟย : ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อเหมือนหมาบ้าเลย กัดคนมั่วไปหมด หวังว่าพี่โค่วกับพี่ก่วงจะเกลี้ยกล่อมเขาได้ ขอเพียงเขายอมหยุด ก็จะทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น เป็นยังไง?
โค่วหลิงซวีรู้สึกบันเทิงแล้ว ถามว่า : ไม่ทราบว่าพี่เถิงคิดว่าข้าจะเกลี้ยกล่อมเขาไหวหรอ?
เถิงเฟยเหมือนจะเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนเป็นพูดขอร้อง : ในเมื่อเกลี้ยกล่อมไม่ไหว พี่โค่วจะช่วยข้าขัดขวางเขาได้หรือเปล่า?
โค่วหลิงซวีถาม : ขัดขวางยังไง?
เถิงเฟย : หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าเวรนี่มันกัดข้าไม่ปล่อย ข้าอยากจะผ่านอาณาเขตของพี่โค่วไป ถึงตอนนั้นพี่โค่วออกหน้ามาช่วยข้าขวางสักหน่อย คิดเสียว่าเป็นคนไกล่เกลี่ย รอให้ข้าสลัดเขาทิ้งได้แล้ว ค่อยหนีเข้าอาณาเขตดาวนิรนามอีกที แค่นี้เรื่องก็จะผ่านไปแล้ว
โค่วหลิงซวี : หนิวโหย่วเต๋อเป็นหมาบ้า ถ้าไปยั่วโมโหเขา เขาเกิดแตกคอกับข้าขึ้นมาจะทำยังไง?
เถิงเฟย : เป็นหมาบ้าไม่ใช่คนบ้า เขาไม่ได้โง่ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าข้ามีกำลังอ่อนแอ ในมือเขามีกำลังพลสามร้อยล้านกว่า ในมือพี่โค่วก็มีกำลังพลสามร้อยล้านกว่าเหมือนกัน ถ้าเขากับพี่โค่วใช้กำลังปะทะกันตรงๆ เขาก็ทนความเสียหายไม่ไหวหรอก โดยเฉพาะไม่อยู่ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้
โค่วหลิงซวี : ทำไมพี่เถิงไม่ล่อประมุขชิงกับประมุขพุทธะไปทางนั้นล่ะ ให้พวกเขาขวางให้ไม่ดีกว่าเหรอ?
เถิงเฟย : ข้านำกำลังพลหนีเข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนามแล้ว ที่อาณาเขตดาวนิรนามนี้ ข้าสำรวจเส้นทางได้จำกัด เขาตามอยู่ข้างหลังข้า ข้าไม่มีทางเลี้ยวกลับได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องรบกวนพี่โค่วหรอก แล้วอีกอย่าง ข้าก็ไม่หวังจะเห็นกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อเสียหายด้วยน้ำมือประมุขชิงกับประมุขพุทธะเช่นกัน แบบนั้นไม่เป็นผลดีต่อกำลังของทั้งสี่ทัพ แต่จุดที่ข้ากำลังจะไปอยู่ใกล้อาณาเขตของพี่โค่วที่สุด แค่เชิญพี่โค่วมาช่วยเอง พี่โค่ววางใจ ข้าไม่ให้พี่โค่วช่วยโดยเปล่าประโยชน์หรอก ข้าจะให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านคันเป็นของขวัญ ดีไหม?
โค่วหลิงซวีโค้งมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ บอกว่าไม่อยากให้กำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อเสียหายด้วยน้ำมือประมุขชิงกับประมุขพุทธะเสียอะไรกัน พูดจาไพเราะยิ่งกว่าร้องเพลง ที่จริงแล้วไม่มีทางกลับมาได้ต่างหาก ถ้าหากกลับมาได้ เกรงว่าคงจะหลอกล่อหนิวโหย่วเต๋อไปหาประมุขชิงกับประมุขพุทธะทันที จะมาเสแสร้งทำตัวสง่าผ่าเผยได้อย่างไรกัน
พอครุ่นคิดได้สักครู่หนึ่ง ก็ถามว่า : ให้เวลาข้าพิจารณาหน่อยเป็นไร?
เถิงเฟยเหมือนร้อนใจมาก : ได้! แต่พี่โค่วต้องทำให้เร็วที่สุดนะ
พอวางระฆังดาราแล้ว โค่วหลิงซวีก็เล่าสถานการณ์ให้ถังเฮ่อเหนียนฟัง
ถังเฮ่อเหนียนหรี่ตา กล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านอ๋อง นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะวางกับดักฮุบกำลังพลของเถิงเฟย กำลังพลของเถิงเฟยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา และไม่ใช่กองทัพองครักษ์ที่ต่อให้ตายก็ไม่ยอมแพ้ ถ้าต่อสู้กันก็จะได้ทหารที่ยอมสวามิภักดิ์ไม่น้อย ต่อให้พวกเรามีความเสียหาย แต่ผลที่ได้จากการรบก็เพียงพอที่จะชดเชยความเสียหายได้ ตามที่บ่าวคำนวณ อย่างน้อยก็น่าจะเพิ่มกำลังพลให้ท่านอ๋องได้หนึ่งพันล้าน!”
โค่วหลิงซวีหันหน้าไปทางเขาเล็กน้อย “ตรงกับสิ่งที่ข้าต้องการพอดี เพียงแต่หนิวโหย่วเต๋อตามกัดอยู่ข้างหลังเขาไม่ปล่อย ต่อให้สกัดหนิวโหย่วเต๋อได้ แต่ถ้าพวกเราต่อสู้กัน เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ!”
ถังเฮ่อเหนียนทำสัญญาณมือ “สามารถกำหนดสถานที่ไว้ล่วงหน้า คิดหาทางให้คนกลุ่มหนึ่งปลอมตัวเป็นกำลังพลของเถิงเฟยเพื่อล่อหนิวโหย่วเต๋อออกไป ฝั่งพวกเราก็ย่อมลงมือได้เต็มที่ ถึงตอนนั้นต่อให้หนิวโหย่วเต๋อรู้ตัวและตามมา แต่ก็ห้ามไม่ทันอยู่ดี! ถ้าไม่ไหวจริงๆ อย่างมากพวกเราก็แค่หยุด ไม่ต้องสนใจความเป็นความตายของเถิงเฟย ถ้าเถิงเฟยถูกกดันจนหมดทางเลือก ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะพลิกแพลงตามสถานการณ์แล้วได้ผลประโยชน์ที่นึกไม่ถึง ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร”
“อืม ดี จัดการตามนี้แล้วกัน!” โค่วหลิงซวีเคาะหมัดกับฝ่ามือ คลายระฆังดาราออกจากกำปั้น แล้วติดต่อเถิงเฟยต่อไป : พี่เถิง ข้าสามารถหาทางล่อกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อออกไปได้ แต่นั่นข้าก็ต้องเสี่ยงว่าจะต้องแตกคอกับหนิวโหย่วเต๋อ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านคันน้อยไปหน่อยหรือเปล่า สองล้านเป็นไง?
เถิงเฟย : พี่โค่ว นี่เจ้าจะใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟชัดๆ!
โค่วหลิงซวี : ถ้าเจ้ารู้สึกว่าไม่เหมาะสม เช่นนั้นก็ช่างเถอะ
เถิงเฟย : ได้! ในเมื่อพี่โค่วเอ่ยปาก ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหมือนกัน สองล้านก็สองล้าน
โค่วหลิงซวีเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เพิ่มจำนวนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ก็แค่อยากจะให้อีกฝ่ายวางใจก็เท่านั้นเอง ตอบกลับไปว่า : หวังว่าพี่เถิงจะรักษาสัญญา
เถิงเฟย : ถ้าข้ากลับคำพูด พี่โค่วก็ซ้ำเติมข้าได้เลย ดังนั้นพี่โค่วไม่ต้องระแวง ในเมื่อข้าตอบตกลงแล้ว ธนูสองล้านคันนี้ก็จะไม่ขาดไปสักคันแน่นอน
รออยู่สักครู่หนึ่ง ไม่เห็นใครพูดอะไร
เถิงเฟยถอนหายใจเบาๆ ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว การไม่พูดก็คือการแสดงท่าทีอย่างหนึ่ง เขาเข้าใจความคิดของทุกคนแล้ว
ศึกที่อยู่ตรงหน้าไม่มีทางต่อสู้ได้อีกแล้วจริงๆ พอเปิดศึกมาก็มีโอกาสเก้าในสิบที่จะแพ้ย่อยยับ พอเห็นกระบวนทัพของอีกฝ่าย แค่เผยกำลังพลออกมาก็คงทำให้ขวัญกำลังใจทหารฝั่งตัวเองแทบไม่เหลือแล้ว ยังจะสู้กันได้อย่างไรอีก? ศักยภาพของอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป ดันทุรังต่อต้านไปก็ตายสถานเดียว ไม่มีความเป็นไปได้ที่สอง! มิหนำซ้ำครั้งนี้คนส่วนใหญ่ก็พาครอบครัวติดตามกองทัพมาด้วย ถ้าไม่ได้พาครอบครัวมาด้วย บางทีอาจจะกัดฟันสู้ตายสักครั้ง แต่ครั้งนี้พาครอบครัวมาด้วย ผลที่ตามมาจากการต่อต้านก็คือจะทำให้ครอบครัวลำบากตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายไปด้วย
เขาเขย่าระฆังดาราตอบเหมียวอี้ : ทุกคนกังวลว่าท่านอ๋องจะคิดบัญชีย้อนหลัง!
เหมียวอี้ยิ้มแล้ว…
เงื่อนไขนั้นคุยง่าย ขอเพียงไม่มากเกินไป ในเวลานี้เหมียวอี้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ตอบตกลง
ผลลัพธ์สุดท้ายไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย เถิงเฟยออกจากทัพใหญ่ของตัวเองแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีการเตรียมพร้อมป้องกันใดๆ เขานำกลุ่มคนในครอบครัวมายอมสวามิภักดิ์แล้ว
“เถิงเฟยมีตาแต่ไร้แวว ความผิดนี้สมควรตายหมื่นครั้ง มาขอยอมรับผิดต่อท่านอ๋อง!”
ท่ามกลางสายตาของฝูงชน เถิงเฟยมากุมหมัดคารวะตรงหน้าเหมียวอี้ โค้งเอวอย่างช้าๆ เพื่อยอมรับผิด ความโศกเศร้าขื่นขมความในใจยากจะบรรยายออกมาได้
อ๋องสวรรค์คุมทัพตะวันออกที่ก่อนหน้านี้ยังพูดคำไหนคำนั้น หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ก็กลายเป็นแม่ทัพที่ยอมแพ้แล้ว ชีวิตที่ขึ้นๆ ลง ของคนเราก็เหี้ยมโหดไร้ความปรานีเช่นนี้
กลุ่มคนในครอบครัวที่อยู่ข้างหลังทยอยกันก้มหน้า ท่านอ๋องโครงเอวก้มหน้าท่ามกลางฝูงชน มีคนไม่น้อยเห็นแล้วเอามือปิดปาก ร้องไห้สะอึกสะอื้น จูโยวเหม่ยหวังเฟยกัดริมฝีปากแน่น น้ำตาไหลโดยไร้เสียง
ด้านหลังมองเห็นทัพตะวันออกที่อยู่ฝั่งนี้ไกลๆ แต่ละคนก้มหน้าอย่างหดหู่ขมขื่นใจ
หยางชิ่งหันกลับมามองทหารทัพใต้แวบหนึ่ง เห็นแต่ละคนเผยสีน่าตื่นเต้นดีใจ ตาลุกวาว
เถิงเฟยไม่สู้แต่เลือกที่จะยอมแพ้ โค้งเอวให้ท่านอ๋องฝ่ายตัวเองท่ามกลางฝูงชน ทำให้ขวัญกำลังใจของทัพใต้เพิ่มขึ้นอย่างแท้จริง!
คนฝั่งทัพใต้ที่ไม่โง่ต่างก็รู้ เมื่อรับกำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยล้านของเถิงเฟยมาแล้ว ใต้บังคับบัญชาของท่านอ๋องก็จะมีทัพใหญ่ที่ร่วมรบได้จำนวนห้าพันล้านเต็มๆ มีอำนาจแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าสมคำร่ำลือ ขนของทัพใต้เหมือนได้มองเห็นความหวังที่เอื้อมมือแตะถึงแล้ว ต่างก็รู้ว่าหากท่านอ๋องได้ใต้หล้านี้ไปแล้ว ทุกคนก็จะได้ผลประโยชน์นี้ไปด้วย!
ตอนนี้ฝั่งทัพใต้ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไหร่หวังอยากให้เหมียวอี้อยู่ตำแหน่งสูงสุดของใต้หล้า กลัวก็แต่ว่าเหมียวอี้จะอยากยอมแพ้ เบื้องล่างต้องมีคนมากมายไม่ยอมแน่นอน เพราะไม่เข้าใจ!
เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว มองเห็นความหวังที่ชัดเจนขนาดนี้แล้ว ใครยังจะอยากละทิ้งเกียรติยศความร่ำรวยที่เหมือนใกล้จะเอื้อมถึงแล้วล่ะ?
เหมียวอี้รีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า ใช้สองมือประคอง “ท่านอ๋องเถิงยินดีนำกำลังพลมาช่วยข้าอีกแรง สร้างผลงานยิ่งใหญ่มาก มาบอกว่าขอรับผิดอะไรกัน!”
พอจับข้อมือเถิงเฟยแล้ว เหมียวอี้ก็เผชิญหน้ากับทหารทัพตะวันออก พร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังว่า “ข้าขอรับประกันตรงนี้ ทหารทุกคนของทัพตะวันออกทหารทุกคนของทัพใต้ ตอนนี้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ข้า ปฎิบัติต่อทุกคนอย่างเสมอภาค คนที่สร้างผลงานก็ได้รางวัลเหมือนกัน ไม่ลำเอียงเด็ดขาด ถ้าผิดคำสาบานนี้ ก็ขอให้อ๋องผู้นี้ตายโหงตายห่า!”
เถิงเฟยรู้อยู่แก่ใจว่าที่เขายอมสาบานต่อหน้าทุกคนก็เพื่อทำให้ขวัญกำลังใจทหารมั่นคง จึงกุมหมัดคารวะทันที “ขอบคุณในเมตตาของท่านอ๋อง!”
กำลังพลทางฝั่งทัพตะวันออกได้ยินเหมียวอี้พูดแบบนี้ ก็สงบใจลงแล้วไม่น้อย สาบานต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้คงไม่ถึงขั้นกลับคำพูด จึงกุมมัดคารวะกล่าวเสียงดังทันที “ขอบคุณในความเมตตาของท่านอ๋อง!”
หยางชิ่งมองเงาหลังของเหมียวอี้ ยกมุมปากอมยิ้ม ตอนนี้กำลังพลของทั้งทัพตะวันออกนับว่าถูกเหมียวอี้ฮุบกลืนโดยสมบูรณ์แล้ว กุญแจสำคัญของศึกใหญ่ได้ดำเนินการสำเร็จเป็นขั้นที่สองแล้ว การฮุบกำลังพลของเฉิงไท่เจ๋อก็คือขั้นที่หนึ่ง
คำพูดที่น่าฟังก็ส่วนคำพูดที่น่าฟัง เมื่อเจรจากันเรียบร้อยแล้วก็ต้องวางของบางอย่างเดิมพันไว้บนโต๊ะ เถิงเฟยนำครอบครัวมาด้วยก็เพื่ออะไรล่ะ? พามาเป็นตัวประกันไง!
ดังนั้นอวิ๋นจือชิวจึงเผยหน้าออกมาแล้ว
เมื่อมองดูทัพใหญ่ที่อยู่ในดาราจักรรอบๆ ทั้งหมดถูกบัญชาการโดยผู้ชายของตัวเอง แม้อวิ๋นจือชิวจะเป็นผู้หญิง แต่ก็ยังรู้สึกเลือดร้อนฮึกเหิม ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและภาคภูมิใจ
ในใจนางรู้อย่างชัดเจน ว่าเกียรติยศของเหมียวอี้ก็คือเกียรติยศของนาง นางคือคนที่ได้อาศัยบารมีมากที่สุด!
นางเข้าใจชัดเจนเช่นกัน ว่ากว่าเหมียวอี้จะเดินมาถึงขั้นนี้นันได้รับความอัปยศมามากขนาดไหน ผ่านการเดิมพันด้วยชีวิตมาแล้วหลายครั้ง เดินบนคมมีดผ่านมาทีละก้าว ถือศีรษะคนไปแลกมา
สายตาที่มองเหมียวอี้แฝงความปลงอนิจจังอยู่หลายส่วน ตอนพบกันครั้งแรกที่วัดร้างในปีนั้น มีหรือที่จะคาดคิดว่าทั้งสองจะกลายเป็นสามีภรรยาผูกปมเส้นผมกัน บริกรต่ำต้อยในโรงเตี๊ยมเมฆาวายุคนนั้น ตอนที่ทั้งสองตัดสินใจจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าหนิวเอ้อร์คนนั้นจะเดินมาถึงจุดนี้ได้
เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์ที่ออกมาด้วยได้เห็นทัพใหญ่รอบๆ เองกับตา ในใจตื่นเต้นไม่หยุดเช่นกัน
ตั้งแต่เหมียวอี้มีลูกน้องสิบคนอยู่ที่ถ้ำคล้อยบูรพา พวกนางก็ยืนอยู่ข้างกายเหมียวอี้แล้ว ตอนนั้นต่อให้มีความมั่นใจในตัวเหมียวอี้เต็มที่ แต่ก็ไม่เคยคิดเช่นกันว่าเหมียวอี้จะมีวันนี้ได้
เถิงเฟยมีสมาชิกในครอบครัวไม่น้อย คนที่อวิ๋นจือชิวพาออกมาด้วยก็ย่อมมีไม่น้อยเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นเฟยหงหรืออวี่เหวินหรูเมิ่ง ไม่ว่าจะเป็นผังเสี้ยวเสี้ยวหรือกงหนีฉาง ทุกคนล้วนไม่เคยเห็นภาพเหตุการณ์ที่มีทัพใหญ่มารวมตัวกันเยอะขนาดนี้มาก่อน ตกตะลึงพรึงเพริดแล้วจริงๆ
พอเห็นเหมียวอี้ที่สวมชุดเกราะกลางทัพใหญ่ทัพใหญ่ราวกับดาวล้อมเดือน จิตใต้สำนึกก็พรั่งพรูความรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นเหมือนภูเขาสูงที่ต้องแหงนมอง ต่างก็รู้ว่าเหมียวอี้ตำแหน่งสูงอำนาจเยอะ ฉากในวันนี้นับว่าทำให้พวกนางได้รู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่า อำนาจล้นฟ้า!
“ควบคุมระฆังดาราไม่ให้ติดต่อกับภายนอก ต่อไปข้ายังมีเรื่องใหญ่ต้องทำ จะให้มีข่าวหลุดอะไรไม่ได้เด็ดขาด”
เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงเตือนอวิ๋นจือชิว
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเบาๆ สื่อว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นก็นำคนเดินออกไป
จูโยวเหม่ยรีบนำกลุ่มผู้หญิงทำความเคารพ “คำนับหวังเฟย!”
“น้องสาวร้องไห้แล้วหรอ?” อวิ๋นจือชิวกุมมือทั้งคู่ของนาง แล้วถามเหมือนตกใจ “ร้องไห้ทำไม?”
จูโยวเหม่ยรีบส่ายหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา “สองทัพร่วมมือกัน น้องสาวรู้สึกดีใจ ดีใจจนน้ำตาไหลค่ะ”
เถิงเฟยเล่าสถานการณ์ให้นางรู้ชัดเจนแล้ว ไม่ใช่การร่วมงานใดๆ แต่เป็นการยอมสวามิภักดิ์ ตอนนี้อยู่ในวงล้อมของทัพใหญ่หนิวโหย่วเต๋อแล้ว ฝ่ายศัตรูมีกำลังเยอะกว่า ขวัญกำลังใจทหารอ่อนแอ ถ้าไม่ยอมสวามิภักดิ์ก็ตาย ไม่มีทางเลือก จึงย้ำว่ายอมสวามิภักดิ์ต่อหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ต้องแสดงท่าทีให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นอาจจะนำหายนะมาสู่ทุกคนในครอบครัว ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องกล้ำกลืนความไม่ยุติธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่าย
หลักการเหตุผลนั้นนางล้วนเข้าใจ แต่ในใจนางรู้สึกทุกข์ทรมานจริงๆ น้ำตาพรั่งพรูไม่หยุด ทั้งสองล้วนเป็นหวังเฟยเหมือนกัน แต่ตอนนี้หวังเฟยอย่างนางเป็นแค่สิ่งที่น่าขำ เพิ่งอยู่ในตำแหน่งหวังเฟยนี้ได้ไม่นานเท่าไหร่ ไม่มีหน้ามีตาได้ไม่นานเท่าไหร่? ก็กลายเป็นอย่างนี้เสียแล้ว…
เรื่องมาจนป่านนี้ นางรู้จักปากเถิงเฟยนานแล้วว่าถูกหนิวโหย่วเต๋อหลอกใช้
นึกถึงความทุ่มเทของตัวเองที่ส่งเสริมให้ทั้งสองฝ่ายร่วมงานกันสำเร็จ ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อตำแหน่งหวังเฟย ถึงขั้นยืมแรงของอีกฝ่าย หลังจากทำสำเร็จแล้วก็แอบภูมิใจ แต่พอมองดูตอนนี้ มีอะไรน่าภูมิใจล่ะ? ผู้ชายของตัวเองใช้การไม่ได้ ทนแนวโน้มของสถานการณ์ไม่ไหว ต่อให้วิธีการของตัวเองจะเหนือชั้นแค่ไหน แต่ก็ล้วนเป็นเรื่องจอมปลอม
“ดีใจก็ดีแล้ว ดีใจก็ดีแล้ว” อวิ๋นจือชิวตบหลังมือนาง จากนั้นก็เรียกคนกลุ่มหนึ่งก่อนจะหายไปจากตรงนี้ ตรงนี้ไม่ใช่พื้นที่พูดคุยตามประสาพี่สาวน้องสาวของพวกนาง
กลุ่มผู้หญิงหายตัวไปแล้ว พอเหมียวอี้ออกคำสั่ง ตรงนี้ก็มีคนเข้ามารับกำลังพลของเถิงเฟยทันที การจัดระเบียบกองทัพใหม่คือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นถ้ามีคนที่มีอำนาจบารมีสักคนยืนขึ้นมาออกคำสั่ง ก็มีความเป็นไปได้ที่จะดึงกันหนี
“พี่เถิง”
“พี่เฉิง”
ในที่สุดเฉิงไท่เจ๋อกับเถิงเฟยก็พบหน้ากันอีกครั้ง ตอนที่ทั้งสองกุมหมัดคารวะทักทายกัน ก็สบตากันแล้วยิ้ม ให้ความรู้สึกเหมือนยิ้มเพื่อลืมเลือนความแค้นในอดีต
เพียงแต่ความขมฝาดในรอยยิ้มนี้ มีเพียงในใจทั้งสองเท่านั้นที่เข้าใจดีที่สุด ก่อนหน้านี้สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่กลับให้คนอื่นชุบมือเปิบได้ สู้กันอยู่ตั้งนานจนทำให้ใต้หล้าเกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจ ถึงได้พบว่าตัวเองเป็นเพียงตัวหมากในมือคนอื่น ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรกจะสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนั้นทำไม
ในใจของทั้งสองรู้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ว่าถ้าไม่ใช่เพราะทั้งสองถูกเสี้ยมให้เกิดความขัดแย้งกัน ขอเพียงทั้งสองมั่นคง หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่มีโอกาสปลุกลมสร้างคลื่นเลย ยังจะรักษาสถานการณ์ภาพรวมของใต้หล้าอย่างนี้ต่อไปได้
ทว่าจะโทษใครได้อีกละ? ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่ตัวเองไร้ความสามารถ
เถิงเฟยไม่กล้าหันกลับไปมองกำลังพลของตัวเองที่ถูกรับไปอีกแล้ว รากฐานที่ลำบากลำบนสร้างมาหลายปี ตอนนี้สลายหายไปดั่งเมฆหมอก พวกเขากลัวว่าถ้ามองมากแล้วจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่จนทำให้หนิวโหย่วเต๋อเข้าใจผิด…
นอกอาณาเขตดาวนิรนาม เถิงเฟยกับเหมียวอี้หนีไปยังบริเวณทางเข้าอาณาเขตดาวนิรนามแห่งหนึ่ง ในเวลานี้มีกำลังพลกระจายตัวอย่างหนาแน่น กองทัพพระหนึ่งพันสามร้อยล้านของแดนสุขาวดี ประมุขชิงเก็บรวบรวมกำลังพลกองทัพองครักษ์หนึ่งพันล้านได้แล้ว แบ่งเป็นกระบวนทัพสองทัพอย่างชัดเจน
ประมุขชิงกับประมุขพุทธะต่างคนต่างขี่มังกรสีทองตัวใหญ่เดินทางอยู่ในดาราจักร สุดท้ายมังกรสองตัวก็สุมหัวกัน สองคนที่ยืนอยู่บนหัวมังกรทอดสายตามองไปยังจุดลึกในดาราจักร
“แน่ใจนะว่าเข้าไปจากตรงนี้?” ประมุขชิงถาม
ประมุขพุทธะพยักหน้าเบาๆ “น่าจะไม่ผิดพลาด สายลับของฝั่งค่าเห็นกับตาตัวเอง”
ประมุขชิงแสยะยิ้ม “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าเวรนี่ช่างเป็นหมาบ้าจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกัดเถิงเฟยไม่ปล่อย”
“จุดประสงค์ของเขาเรียบง่ายมาก กำจัดภัยที่จะตามมาในภายหลัง เพื่อที่จะสร้างเงื่อนไขให้เกิดศึกตัดสินของเจ้ากับข้า ไม่อยากสู้จนตอนสุดท้ายให้คนอื่นมาชุบมือเปิบก็เท่านั้นเอง” ประมุขพุทธะกล่าว
ประมุขชิงว่า “เถิงเฟยเข้าไปนานขนาดนั้น แต่เขาก็ยังกล้าตามไป เกรงว่าคงมีอะไรในกอไผ่ ข้าสงสัยว่าฝั่งเถิงเฟยจะมีสายลับของหนิวโหย่วเต๋อ เกรงว่าเถิงเฟยคงจะมีอันตรายแล้ว เขาต้องเตือนเขาสักหน่อย” พูดจบก็หยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อเถิงเฟย
หลังจากติดต่อเสร็จแล้วก็วางระฆังดารา ประมุขพุทธะถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
ประมุขชิงตอบอย่างเย็นชาว่า “เขาขอบคุณที่ข้าเตือน บอกว่าเขารู้แล้ว จะระวังตัวและป้องกัน ข้าให้เขาคิดหาทางล่อกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อออกมา เขาก็ทำตัวคลุมเครืออยู่อย่างนั้น เห็นได้ชัดว่ากำลังป้องกันข้า”
ประมุขพุทธะบอกว่า “อาณาเขตดาวนิรนาม พวกเขาไม่กล้าเพ่นพ่านไปไหนอยู่ดี เขาจะต้องถอยกลับออกมาโดยทางเดิมตอนเข้าไปแน่นอน พวกเราเฝ้าอยู่ที่นี่ก็พอ นอกเสียจากว่าเขาจะไม่มาเลยอีกตลอดไป”
ประมุขชิงพยักหน้า นี่ก็เป็นวิธีการที่ไม่มีทางเลือกแล้ว ไม่รู้เส้นทางที่เหมียวอี้เข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนาม เขาก็ไม่ถ่อหนีไปไหนซี้ซั้วเหมือนกัน มาถึงที่นี่แล้วก็ทำอะไรเหมียวอี้ไม่ได้ ไม่มีทางได้ตามโจมตีต่อไปได้
จากนั้นทั้งสองก็ถ่ายทอดคำสั่งลงไป กำลังพลสองพันกว่าล้านกระจายกันซ่อนตัวบนดาวเคราะห์รกร้างรอบๆ ไม่อย่างนั้นจะดูชัดเจนเกินไป ต่อให้เป็นคนตาบอดก็เห็น เดี๋ยวถ้าให้ทัพฝ่ายศัตรูเห็นแล้วเกรงว่าจะไม่กล้าออกมา
อาณาเขตดาวนิรนามอีกแห่ง ประมุขของสิบปราสาทดำเนินรวมทั้งพวกหั่วเจินจวินกำลังเร่งเดินทางอย่างรวดเร็ว
จู่ๆ พวกเขาก็หยุด แล้วมองไปรอบข้างด้วยความระมัดระวังอย่างสูง เห็นเพียงรอบข้างมีกำลังพลล้อมเข้ามาอย่างหนาแน่น สิบปราสาทดำเนินเผยศักยภาพที่เก็บงำไว้หลายปีทันที ลูกศิษย์หลายแสนคนทยอยกันปรากฏตัว
“บอกว่าที่นี่คืออาณาเขตดาวนิรนามไม่ใช่เหรอ? ทำไมมีกำลังพลตำหนักสวรรค์โผล่มาเยอะขนาดนี้? ลี่หัว เจ้านำทางเป็นหรือเปล่าเนี่ย?” อู๋ฉางด่าขณะมองไปรอบๆ
ลี่หัวปรายตาตอบว่า “ข้าก็ไม่ได้ขอร้องให้เจ้าตามข้ามานี่ ถ้าเก่งนักเจ้าก็ไสหัวไปสิ”
หั่วเจินจวินพลันหัวเราะ “เลิกโวยวายได้แล้ว เจอคนรู้จักเก่าแล้ว”
………………
ท่ามกลางความเงียบวิเวก สตรีอาภรณ์ขาวลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ในดวงตางามเผยความสงบเงียบและอ่อนโยนดีงาม
นางหยิบระฆังดาราขึ้นมา หลังจากติดต่อได้สักครู่หนึ่ง ก็เงยหน้ามองศีลแปดที่นั่งโดดเดี่ยวอยู่เบื้องบน ก่อนจะเก็บระฆังดาราและประนมมือหลับตาอีกครั้ง…
อู๋ฉางที่อยู่ในอาณาเขตดาวนิรนามทำสีหน้างุนงงเหม่อลอย แล้วค่อยๆ ระฆังดาราไว้
เมื่อเห็นว่าผ่านไปนานแล้วแต่เขายังไม่หายเหม่อลอยเสียที หั่วเจินจวินที่อยู่ข้างๆ ก็ถามอย่างสงสัยว่า “อู๋ฉาง ปฏิกิริยานี้ของเจ้าหมายความว่าอะไร?”
อู๋ฉางเอามือจับหน้าผาก แล้วเงยหน้าบอกว่า “ไป๋เหนียงจื่อบอกว่านางออกบวชแล้ว”
“บวชแล้ว?” หั่วเจินจวินกับอินเอ้อร์หลางถามเป็นเสียงเดียวกัน อินเอ้อร์หลางถามเสริมอีกว่า “นางหลงตัวมาแต่ไหนแต่ไร จะไปบวชได้ยังไง?นี่ข้าฟังผิดไป หรือว่าเจ้าโดนขังนานจนลิ้นแข็งยังไม่หาย?”
ประมุขของสิบปราสาทดำเนินมองหน้ากันเลิกลั่ก สงสัยเช่นกันว่าตัวเองฟังผิดไปแล้วหรือเปล่า
อู๋ฉางกล่าวด้วยสีหน้าสับสน “ไม่ผิดหรอก นางบอกว่านางออกบวชแล้ว นับแต่นี้ไปจะไม่ถามเรื่องบุญคุณความแค้นเหล่านั้นอีก ทั้งยังบอกอีกว่ากำลังติดตามฝึกตนอย่างเงียบสงบอะไรสักอย่าง ในภายหลังหากมีวาสนาค่อยพบกันอีก”
“อาจารย์?” หั่วเจินจวินกับอินเอ้อร์หลางถามเป็นเสียงเดียวกันอีก ทำสีหน้าเหมือนไม่เชื่อ จินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าคนแบบไหนที่จะมาเป็นอาจารย์ให้ไป๋เหนียงจื่อได้
จากนั้นทั้งสองก็ต่างกันต่างหยิบระฆังดาราออกมาอีก ทั้งสองคุยกันและแบ่งงานกันทำ คหนนึ่งติดต่อไป๋เหนียงจื่อ อีกคนติดต่อคุณชายไป๋
หลังจากหั่วเจินจวินวางระฆังดาราแล้ว ก็ส่ายหน้ากล่าวอย่างกลุ้มใจ “ไป๋เหนียงจื่อไม่แยแสข้าเลย” หันกลับมาถามอู๋ฉางอีกว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าเมื่อครู่นี้เจ้าต่อได้แล้ว?”
อู๋ฉางกลอกตา “เจ้าคิดว่าข้าโง่รึไง?”
อินเอ้อร์หลางวางระฆังดาราแล้วบอกว่า “คุณชายไป๋บอกว่าเขาก็ไม่รู้สถานการณ์ของไป๋เหนียงจื่อชัดเจนเหมือนกัน ส่วนเสิ้นหมีก็ถูกคุณชายไป๋จัดการไปแล้ว”
ตอนนี้เอง ลี่หัวกล่าวเสียงเย็นว่า “พวกปีศาจเฒ่าเสร็จธุระกันหรือยัง? ถ้าไม่ไป พวกเราไปก่อนนะ”
ทั้งสามสบตากัน จากนั้นก็หันกลับมาพร้อมกัน แล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ผู้หญิงโดนทิ้ง!”
ลี่หัวเกรี้ยวกราดทันที ชี้พวกเขาพลางตวาด “พวกเจ้าพูดอีกทีสิ!”
“…” เมื่อเห็นลี่หัวทำท่าจะอาละวาด ประมุขปราสาทที่เหลือก็รีบเข้ามาห้ามให้ใจเย็นลง
เวินหวนเจินทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ลี่หัว ช่างเถอะ มีงานสำคัญต้องรีบทำ!”
ลี่หัวสะบัดแขนเสื้อ แล้วถลันตัวเหาะขึ้นฟ้าไป บรรดาประมุขปราสาทเหาะตามไปติดๆ จากนั้นปีศาจเฒ่าทั้งสามก็หัวเราะเยาะอยู่ข้างหลัง…
“ท่านอ๋อง สายลับส่งข่าวมา บอกว่าประมุขชิงกับประมุขพุทธะต่างก็นำกำลังพลเข้ามาในเขตทัพตะวันออกขอรับ”
ในดาราจักรที่มีสีสันแพรวพราว หยางเจาชิงที่ยืนอยู่หลังหัวมังกรดำหน้าตาดุร้ายถือระฆังดารา กำลังรายงานเหมียวอี้ที่กำลังจับเขามังกรดำ
เหมียวอี้พยักหน้า บอกว่าเข้าใจแล้ว
“พวกเราเข้ามาในอาณาเขตดาวนิรนามผืนนี้แล้ว ต่อให้พวกเขามาแล้วก็หาพวกเราไม่เจออยู่ดี!” เฉิงไท่เจ๋อกล่าว
หยางเจาชิงเตือนอีกว่า “ฝั่งโค่วหลิงซวียังไม่ขัดขวางทัพใหญ่สามร้อยล้านของประมุขพุทธะ ปล่อยคนเข้ามาโดยตรงเลยขอรับ”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “มีแต่คนอยากเห็นข้ากับพวกเขาสู้กันจนเสียหายทั้งสองฝ่าย แล้วค่อยออกมาชุบมือเปิดอีกที”
แม่ทัพคนหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าเหาะเข้ามา แล้วใช้สองมือยื่นลูกแก้วพลังปรารถนาให้เหมียวอี้ “ท่านอ๋อง เจออีกเม็ดแล้วขอรับ เส้นทางน่าจะไม่ผิด”
“ไปต่อ! เมื่อเห็นลูกแก้วพลังปรารถนาที่มีความเสียหายก็ลดความเร็วทันที อย่าไปข้างหน้าสุ่มสี่สุ่มห้าอีก” เหมียวอี้กล่าว
“ขอรับ!” แม่ทัพคนนั้นเอ่ยรับแล้วไปข้างหน้า
เฉิงไท่เจ๋อที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้เองกับตาแอบสายหน้า แอบถอนหายใจแทนเถิงเฟย เบื้องล่างมีหนอนบ่อนไส้แบบนี้ วางกับดักให้คนตายได้เลย ตระกูลเซี่ยโห้วช่างทำให้คนป้องกันไม่ชนะจริงๆ ไม่รู้ว่าในบรรดากำลังพลคนสนิทของตัวเองจะมีสายลับของตระกูลเซี่ยโห้วอยู่หรือเปล่า
สิ่งที่ทำให้เขาสะท้อนใจจริงๆ ก็คือ ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ทั้งสองสู้กันเกือบตายแล้วจะมีความหมายอะไร?
ระหว่างทาง เมื่อพบลูกแก้วพลังปรารถนาหนึ่งพันกว่าเม็ดตามบันทึก กำลังพลกลุ่มข้างหน้าถึงได้ผ่อนความเร็วลง แล้วนำลูกแก้วพลังปรารถนาที่มีร่องรอยความเสียหายยื่นให้มือเหมียวอี้
ตอนกำลังพลที่สำรวจทางอยู่ข้างหน้านำนำลูกแก้วพลังปรารถนาที่มีความเสียหายเกินครึ่งส่งให้ เหมียวอี้ก็ยกมือขึ้น ห้ามไม่ให้กำลังพลเดินหน้าต่อ
เหมียวอี้หยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งมาไว้ในมือแล้วหลับตาลง รอยนูนแดงตรงตรงหว่างคิ้วขยายแยกออกอย่างช้าๆ แล้วก็ลืมตาขึ้นโดยตรง ดวงตาที่สามพลันยิงเสาแสงสีรุ้งระยิบระยับสายหนึ่งออกมา ตรวจไปยังดาราจักรที่อยู่ข้างหน้า
พวกเฉิงไท่เจ๋อที่ไม่รู้ความจริงตกใจมาก ผู้ใต้บังคับบัญชาส่วนใหญ่ของเหมียวอี้ก็ได้เห็นเป็นครั้งแรกเช่นกันว่าท่านอ๋องมีพลังอภินิหารนี้ แต่ละคนประหลาดใจสงสัย
หยางชิ่งแอบถอนหายใจ เถิงเฟยคงจะพ้นเคราะห์ได้ยาก เขาจินตนาการได้เลย ถ้ามีแค่หนอนบ่อนไส้ปรากฏตัวข้างกายก็อาจจะล้อมเถิงเฟยไว้ไม่ได้ บริเวณรอบๆ จุดที่เถิงเฟยซ่อนตัวอยู่จะต้องมีหน่วยรักษาการณ์ลับอยู่แน่นอน ถ้าพบสิ่งที่น่าสงสัย ก็จะต้องหลบหนีต่อไปแน่ ฝั่งนี้จับตัวอีกฝ่ายที่อาณาเขตดาวนิรนามได้ยากมาก แต่คู่ต่อสู้ที่เจอกลับเป็นเหมียวอี้ที่ใช้ตาทิพย์ แล้วทีนี้จะเล่นอย่างไรได้อีกล่ะ?
ถึงแม้หยางชิ่งจะไม่รู้ว่าเหมียวอี้ได้ของพวกนี้มาอย่างไร แต่ก็เดาออกว่าใครกำลังเพิ่มต้นทุนให้เหมียวอี้อย่างเงียบเชียบ
อาศัยวรยุทธ์ของเหมียวอี้ตอนนี้ การใช้ตาทิพย์ไม่ได้เปลืองแรงอะไรเลย กอปรกับระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่ ทั้งยังมีการนำทาง ไม่นานตาทิพย์ก็เพ่งเจอสถานที่ซ่อนตัวของพวกเถิงเฟยแล้ว เป็นในหุบผาชันของดาวเคราะห์รกร้างตัวหนึ่ง เห็นชัดเจนแม้กระทั่งว่าข้างกายเถิงเฟยมีคนอยู่เท่าไร
ตาทิพย์เบนออกจากตรงนั้น เริ่มสำรวจอาณาเขตดาวบริเวณรอบๆ เขารู้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เถิงเฟยจะกระจายสายลับเอาไว้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากตามหา เขาต้องการหาพิกัดดาวที่อยู่รอบๆ ขณะที่ค้นหาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์บันทึกลงแผ่นหยกที่อยู่ในมือด้วย
หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้ว ก็เก็บเสาแสงสีรุ้งตรงหว่างคิ้ว ปิดตาทิพย์ลง หันตัวลอยไปในดาราจักร เรียกรวมแม่ทัพจากแต่ละหน่วยที่กำลังทำศึกเข้ามา แจกจ่ายพิกัดทิศทางให้แต่ละคน หลังจากอธิบายชัดเจนแล้วก็กำชับว่า “เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สายลับของฝ่ายตรงข้ามพบ ต้องอ้อมบริเวณนี้ไปค่อนข้างไกล จำไว้ หลังจากได้รับคำสั่งก็ให้เร่งไปล้อมจุดศูนย์กลางไว้ทันที หลีกเลี่ยงไม่ให้เถิงเฟยหนี ไปเถอะ ไปปฏิบัติเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ!” บนนดาแม่ทัพเอ่ยรับคำสั่ง จากนั้นนำลูกน้องของตัวเองแยกย้ายกันอ้อมไปทางบนล่างซ้ายขวาสี่ทิศ
คนแยกย้ายกันไปห้าทิศทาง ยังมีอีกสายที่อ้อมไปด้านหลังของเป้าหมายด้วย
เมื่อคนพวกนี้ออกเดินทาง เหมียวอี้ก็เปิดใช้งานตาทิพย์ตรงหว่างคิ้วอีกครั้ง จับตาดูความเคลื่อนไหวของกำลังพลทั้งห้าสาย ทั้งยังสังเกตปฏิกิริยาของพวกเถิงเฟยในหุบผาชันด้วย จะได้สังเกตเห็นได้สะดวกกว่าพวกเถิงเฟยรู้ตัวหรือเปล่า
สมาชิกที่อยู่ทางซ้ายและขวาของเขาต่างก็เงียบไว้ สังเกตดูตรงหน้าเป็นระยะ บางครั้งก็แอบสำรวจตาทิพย์ข้างนั้นของเหมียวอี้
เมื่อเราไปได้สักพัก กำลังพลห้าสายก็ส่งข่าวกลับมา ชิงเยว่รายงานว่า “ท่านอ๋อง ทั้งหมดเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว”
เหมียวอี้ขานรับ แล้วส่งสัญญาณมือ ชิงเยว่ออกคำสั่งทันที ทัพใหญ่หกร้อยล้านเผยตัวออกมา ทำงานพร้อมกับกำลังพลห้าสายนั่น รวมเป็นกำลังพลหกสายที่มีจำนวนสามร้อยหกสิบล้าน มุ่งหน้าไปล้อมเป้าหมายไว้อย่างรวดเร็ว
เหมียวอี้จับเขามังกร ยืนอยู่บนตัวมังกรดำ ตาทิพย์สังเกตปฏิกิริยาของเถิงเฟยอยู่ตลอด จนกระทั่งฝั่งเถิงเฟยเกิดความอลหม่าน เหมียวอี้ถึงได้รู้ว่าถูกสายลับของอีกฝ่ายพบแล้ว จึงออกคำสั่งทันที “รีบล้อมให้เร็วที่สุด!”
ชิงเยว่ถ่ายทอดคำสั่งลงไปทันที
ส่วนเหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติตต่อเถิงเฟย
ท่ามกลางความโกลาหล เถิงเฟยที่อยู่ในหุบผาชันหยิบระฆังดาราออกมา
เหมียวอี้ : พี่เถิง กระโดดขึ้นกระโดดลงอยู่ในหุบผาชันสนุกมั้ย?
เถิงเฟยตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด รีบใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปรอบๆ
เหมียวอี้ : ไม่ต้องเหลียวซ้ายแลขวา มือซ้ายถือระฆังดารา ยืนอยู่บนก้อนหินที่น้ำตาลแดงก้อนหนึ่ง ทางซ้ายมือคนยืนอยู่ห้าคน ด้านขวามีคนยืนอยู่เจ็ดคน ด้านหลังก็มีคนยืนอยู่เจ็ดคน ทุกการเคลื่อนไหวของเจ้าอยู่ในการจับตาดูของข้าหมดแล้ว โดนทัพใหญ่หลายพันล้านของข้าล้อมไว้หมดแล้ว เจ้ายังคิดจะหนีไปไหนอีก?
เถิงเฟยมองดูระฆังดาราในมือซ้าย ก้มมองใต้เท้าตัวเอง แล้วก็มองข้างซ้ายข้างขวาและข้างหลังอีก เขาแทบจะเหงื่อแตก รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะเข้าใกล้ตัวเองขนาดนี้โดยที่ตัวเองมองไม่เห็น แต่อีกฝ่ายก็เหมือนจ้องตัวเองอยู่ไม่ไกล ข้างกายก็ไม่มีใครใช้ระฆังดาราส่งข่าวด้วย ต่อให้ใช้ระฆังดาราส่งข่าว แต่ก็ไม่น่าจะรายงานข่าวเร็วจนทันเวลาขนาดนี้สิ? ในใจเขาเริ่มหนาวจนขนลุกแล้ว ถามว่า : เจ้ารู้ได้ยังไง?
เหมียวอี้ : ไม่ทราบว่าพี่เถิงเคยได้ยินเรื่องตาทิพย์มาก่อนหรือเปล่า? ต่อไปถ้าพี่เถิงอยากเห็น น้องชายจะตั้งใจแสดงให้พี่เถิงดูเลย แน่นอน เรื่องนี้ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญก็คือในมือข้ามีทัพใหญ่หลายพันล้าน ทั้งยังมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งพันล้านคัน พี่เถิงอยากจะตายหรืออยากจะรอดล่ะ?
ตาทิพย์? เถิงเฟยพึมพำในใจว่า ตอนนี้เห็นรางๆ แล้วว่ามีเงาของทัพใหญ่ล้อมเข้ามา
“ท่านอ๋อง เหตุใดยังลังเลอยู่อีก?” แม่ทัพที่อยู่ข้างๆ ถาม
เถิงเฟยโบกมือด้วยสีหน้าขื่นขม “สายไปแล้ว!”
เขาถามกลับไปทางระฆังดาราอีก : น้องชาย ตายแล้วยังไง เป็นแล้วยังไง?
เหมียวอี้ : จะรบหรือจะสร้างผลงาน พี่เถิงเลือกได้เลย ไม่มียังอื่นให้เลือกแล้ว!
เถิงเฟยเผยรอยยิ้มน่าเวทนา เขาเห็นหมียวอี้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าไอ้สารเลวนั่นจะหามังกรมาขี่ได้ ไปหามาจากไหนกัน?
ทั้งยังมีเสาแสงบนหน้าผากเหมียวอี้อีก เขาเห็นแล้ว มีตาทิพย์จริงๆ…ตอนแรกเขาก็นึกว่าข้างกายตัวเองมีสายลับ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะหาที่นี่เจอได้อย่างไร? ตอนนี้ ในหัวเขาเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง ยังคิดจะหลบอีกฝ่ายเพื่อรักษากำลังไว้ ผลปรากฏว่าเจอกับตาทิพย์ แบบนี้ตัวเองไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกหรือ?
หารู้ไม่ ว่าความกว้างใหญ่ของดาราจักรนี้ ตาทิพย์ของเหมียวอี้ก็ไม่อาจมองได้อย่างไร้ขีดจำกัดเช่นกัน เมื่อข้ามผ่านประตูดวงดาวไปแล้ว มักจะเป็นระยะที่ตาทิพย์ของเหมียวอี้ไม่อาจมองไปถึง
พี่แต่ตอนนี้เถิงเฟยนับว่าเข้าใจแล้ว เรื่องรบไม่ต้องพูดถึงแล้ว การที่พูดคำว่า ‘สร้างผลงาน’ ออกมาได้ ความหมายก็ชัดเจนแล้ว อีกฝ่ายอยากจะฮุบกำลังพลของเขา
แน่นอนว่าเขาไม่เต็มใจ ตัวเองพยายามทุ่มเทความคิดรักษากำลังเอาไว้เพื่ออะไรล่ะ?
ทว่าเมื่อเห็นกำลังพลจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบๆ เขายังมีทางเลือกอีกเหรอ? ดังนั้นอีกฝ่ายจึงมีสิทธิ์ที่จะถามเจ้าว่า อยากจะตายหรืออยากจะอยู่
เห็นได้ชัดว่ากำลังพลของเขาจบเห่แล้ว ศึกนี้ไม่มีทางสู้ได้เลย แค่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในมืออีกฝ่ายก็สามารถให้ทุกคนในกองทัพของเขาได้แล้ว
“ในบรรดาพวกเรามีหนอนบ่อนไส้ ไม่อย่างนั้นจะตามหาที่นี่เจอได้ยังไง?” มีคนมองไปรอบๆ พร้อมตะโกน
เถิงเฟยถอนหายใจแล้วโบกมือ “ไม่เกี่ยวอะไรกับหนอนบ่อนไส้ เห็นดวงตาที่สามบนหน้าผากไอ้สารเลวนั่นหรือยัง มันคือตาทิพย์!”
ในจำนวนนั้น ลั่วฉางเฟิงที่ทำหน้าตึงแต่ในใจรู้สึกกินปูนร้อนท้องสุดๆ เขาชำเลืองไปที่เหมียวอี้แวบหนึ่ง นับว่าโล่งใจแล้ว
อำนาจที่อยู่ที่เบื้องหลังบอกเขาว่าไม่ต้องหนี บอกว่าจะแก้ไขสถานการณ์ให้เขา ตอนนี้เขานับว่าเข้าใจความหมายแล้ว ตาทิพย์?
“ตาทิพย์?” คนอื่นๆ ก็จ้องดวงตาที่เป็นเสาแสงสีรุ้งยิงจากเหมียวอี้เช่นกัน
เหมียวอี้เองก็ไม่ได้ให้พวกเขาเชยชมไม่จบไม่สิ้นเช่นกัน เขาปิดดวงตาทิพย์ คาดว่าเมื่อครู่อีกฝ่ายคงเห็นแล้ว เขาก็แค่อยากจะปกป้องสายลับเท่านั้นเอง รู้ว่าการที่สายลับทิ้งร่องรอยไว้ตลอดทางนั้นเสี่ยงอันตรายมาก คนคนนี้มีผลงาน! ถ้าสามารถฮุบกำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยล้านนี้ไว้ได้อย่างราบรื่น ก็ถือว่าเป็นผลงานชิ้นใหญ่มาก!
เถิงเฟยพูดต่อว่า”หนิวโหย่วเต๋อถามว่าพวกเราจะสู้หรือจะยอมแพ้!”
บรรดาแม่ทัพทำสีหน้าแตกต่างกันไป มีคนไม่น้อยก้มหน้าเงียบๆ…
…………………………
ทัพใหญ่กำลังเดินทาง หงส์และมังกรตามขบวน
ในเกี้ยวมังกร ซ่างกวนชิงที่ค่อยๆ วางระฆังดาราสีหน้าแย่นิดหน่อย ท่าทางเหมือนอยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก
ประมุขชิงชำเลืองมา “มีเรื่องอะไรก็พูดมา”
ซ่างกวนชิงโค้งตัว “ฝ่าบาท ทางตระกูลหวงฝู่มีองครักษ์เงาโชคดีหนีเอาชีวิตรอดมาจากตระกูลหวงฝู่ได้”
หลายคนในห้องนั้นจ้องมาพร้อมกันทันที ประมุขชิงหรี่ตาถาม “หมายความว่ายังไง?”
ซ่างกวนชิงขยับลูกกระเดือก ทำท่าทางเหมือนแข็งใจตอบว่า “ตระกูลหวงฝู่สมคบกับหนิวโหย่วเต๋อก่อกบฏแล้ว ลงมือจู่โจมองครักษ์เงาที่แทรกไว้ในตระกูลหวงฝู่ มีเพียงองครักษ์เงารอดออกมาคนเดียว” พอพูดจบ ก็เหลือบตาขึ้นอย่างระมัดระวัง สบกับสายตาที่อยากจะฆ่าคนของประมุขชิงทันที เขาจึงรีบก้มหน้าอีกครั้ง
ประมุขชิงแสยะหัวเราะ “ซ่างกวน เจ้าควบคุมสมาคมวีรชนได้ไม่เลวเลยนะ!”
ซ่างกวนชิงรีบบอกว่า “ฝ่าบาท บ่าวจะฝากฝังสมาคมวีรชนให้คนนอกเสียทั้งหมดได้ยังไงขอรับ แม้บนเวทีตระกูลหวงฝู่จะควบคุมสมาคมวีรชน แต่ความจริงแล้วใต้เวทีสมาคมวีรชนก็มีคนไม่น้อยที่บ่าวส่งไป ตระกูลหวงฝู่เชื่อฟังก็แล้วไป ถ้าไม่เชื่อฟัง บ่าวก็จะใช้งานคนใต้เวทีเดี๋ยวนี้”
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ประมุขชิงก็อยากจะเตะเขาให้กระเด็นจริงๆ ความรู้สึกเวลากำแพงล้มคนผลักซ้ำ กลองแตกคนทุบส่ง[1]แบบนี้ทำให้เขาต้องกลั้นไฟโกรธไว้เต็มอก เหมือนบ้านหลังคารั่วแล้วยังโดนฝนกระหน่ำซ้ำ ทุกที่มีแต่คนกำลังทรยศ ทำให้เขารู้สึกว่าใต้หล้าหลุดออกจากการควบคุมของเขาโดยสิ้นเชิงแล้ว
ดันเป็นในเวลานี้ เกาก้วนเก็บระฆังดารา เหล่ตามองซ่างกวนชิงแวบหนึ่ง แล้วกุมหมัดคารวะประมุขชิง “ฝ่าบาท คนของหน่วยตรวจการขวาทำงานตามบัญชาแล้ว กำลังวางสายลับไว้ในจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ เป็นเพราะสมาคมวีรชนได้รับภารกิจเดียวกัน จุดดักซุ่มที่ดีที่สุดอยู่บริเวณเหล่านั้น กอปรกับสมาคมวีรชนตั้งใจค้นหา…สรุปก็คือหน่วยตรวจการขวาถูกสายลับของสมาคมวีรชนลอบโจมตีแล้วไม่น้อย เกิดความเสียหายเยอะมาก เผชิญกับการก่อกวนของสมาคมวีรชน สายลับที่ดักซุ่มอยู่ตามจุดต่างๆ เกิดความชุลมุนวุ่นวาย ตอนนี้กำลังโจมตีกันอยู่ คนของหน่วยตรวจการขวาไม่สามารถทำหน้าที่เป็นสายข่าวได้แล้ว”
ประมุขชิงจ้องซ่างกวนชิงอย่างดุร้าย ซ่างกวนชิงรีบหยิบระฆังดาราขึ้นมาใช้งานกำลังพลอีกกลุ่มที่อยู่ในสมาคมวีรชน
เกาก้วนรายงานต่อไปว่า “ฝ่าบาท ตามข่าวที่สายลับรายงานขึ้นมา หนิวโหย่วเต๋อเหมือนจะนำทัพใหญ่ออกจากอาณาเขตทัพใต้แล้ว เข้าไปในอาณาเขตทัพตะวันออกแล้ว”
“ออกจากอาณาเขตทัพใต้แล้วเหรอ?” ประมุขชิงสงสัย จากนั้นก็ขมวดคิ้ว หยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา เป็นข่าวจากเถิงเฟย ติดต่อมาหาเขาโดยตรงแล้ว
เจตนาของเถิงเฟยก็ไม่ได้ซับซ้อน หนิวโหย่วเต๋อไม่ให้เขาได้อยู่อย่างเป็นสุข เขาก็ไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อได้อยู่อย่างเป็นสุขเหมือนกัน แจ้งข่าวต่อประมุขชิงว่า หนิวโหย่วเต๋อต้องการจะโจมตีเขา ขอความช่วยเหลือ!
หลังจากวางระฆังดารา ประมุขชิงก็กวาดมองกลุ่มคน กล่าวเสียงต่ำว่า “หนิวโหย่วเต๋อไปที่อาณาเขตทัพตะวันออกจริงๆ ต้องการจะโจมตีเถิงเฟย!”
กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นมองหน้ากันเลิกลั่ก อู๋ฉวี่ถามว่า “เขาจะโจมตีเถิงเฟยไปทำไม?”
ประมุขชิงบอกว่า “เป็นเพราะเถิงเฟยไม่ยอมฟังฝ่ายอื่น ไม่ยอมเคลื่อนทัพออกมาช่วยโค่วหลิงซวีสู้กับกำลังพลของพี่ใหญ่พุทธะ หนิวโหย่วเต๋อเตือนแล้วไม่ได้ผล เลยบัญชาการทัพให้ไปสู้กับเถิงเฟยจริงๆ แล้ว เถิงเฟยขอความช่วยเหลือ บอกว่ายินดีที่จะร่วมมือกับข้าเพื่อสู้กับหนิวโหย่วเต๋อ”
เกาก้วนบอกว่า “เถิงเฟยไม่เคลื่อนพลก็พอเข้าใจได้ กำลังพลที่มีอยู่ในมือเขา ถ้านำไปต่อสู้จนเสียหายหมดแล้ว ต่อไปก็ไม่มีความมั่นใจที่จะพูดอะไรแล้ว หนิวโหย่วเต๋อสู้กับเขาก็เข้าใจได้เช่นกัน คาดว่าคงกลัวเขาจะมาเข้าข้างฝ่าบาท ส่วนที่เถิงเฟยบอกว่าจะร่วมมือกับฝ่าบาท ตามความเห็นของข้าน้อย นั่นก็อาจจะไม่แน่ คาดว่าการรักษากำลังของตัวเองต่อไปต่างหากที่เป็นความคิดที่แท้จริงของเขา มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาอาจจะล่อฝ่าบาทไปทำศึกตัดสินกับหนิวโหย่วเต๋อ ให้ฝ่าบาทแก้ปัญหานี้ให้เขา หวังให้สองฝ่ายสู้กันจนเสียหายทั้งคู่”
ประมุขชิงพ่นเสียงทางจมูก “ความคิดเจ้าเล่ห์นั่นของเขา มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ แต่ต่อให้เขาไม่บอก ข้าก็ต้องไปคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต๋ออยู่แล้ว มีสายลับคอยส่งข่าวอยู่ในอาณาเขตของเขา ช่วยให้ข้าควบคุมทิศทางการเคลื่อนไหวของหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ทัพใหญ่เปลี่ยนเส้นทางไปที่ทัพตะวันออก ตามหาหนิวโหย่วเต๋อทำศึกตัดสิน!”
สภาพจิตใจของเขาแตกต่างกับเหมียวอี้
ตอนนี้เหมียวอี้ยังไม่อยากประจันหน้ากับประมุขชิง อาศัยกำลังที่มีอยู่ในมือเหมียวอี้ตอนนี้ ประมุขชิงอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่ประเด็นก็คืออำนาจฝ่ายอื่นก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน กำลังพลสามร้อยหกสิบล้านในมือสู้กับกำลังพลที่นำโดยประมุขชิง ต่อให้สู้ชนะแล้ว แต่คาดว่าก็ต้องเสียหายเกินครึ่งแน่นอน นั่นเป็นการปล่อยให้คนอื่นมาชุบมือเปิบจริงๆ
แต่ประมุขชิงนั้นไม่เหมือนกัน ถ้ากำลังในมือของเหมียวอี้สู้เขาไม่ได้ เขาก็จะปราบกบฏกำจัดเหมียวอี้ ตอนนี้กำลังในมือเหมียวอี้มีมากกว่าเขาแล้ว เขาก็ยิ่งต้องโจมตี ไม่อย่างนั้นถ้าทุกคนประนีประนอมกัน กำลังของเขายังมีไม่เยอะเท่าเหมียวอี้ เช่นนั้นในใต้หล้านี้ใครจะมีอำนาจกันแน่ล่ะ? เหมียวอี้ยังจะจัดเก็บภาษีส่งให้เขาอยู่ไหม? ราชันสวรรค์ผู้ส่งาภูมิฐานอย่างเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
อู๋ฉวี่สงสัย “ฝ่าบาท นี่จะเป็นกับดักหรือเปล่า? ถ้าเถิงเฟยกับหนิวโหย่วเต๋อร่วมมือกัน ตอนนี้กำลังพลสี่ร้อยล้านของพวกเราที่เหลืออยู่ข้างนอกก็เก็บรวบรวมได้แค่ร้อยล้านเท่านั้น ถ้ากำลังพลเก้าร้อยล้านตกอยู่ในกับดักของหนิวโหย่วเต๋อกับเถิงเฟย นั่นก็จะยุ่งยากแล้ว”
“หึ!” โพ่จวินที่ส่วนใหญ่เงียบมานาน ตอนนี้กล่าวเสียงดังว่า “ร่วมมือกันเหรอ? หนิวโหย่วเต๋อ โค่วหลิงซวี ก่วงลิ่งกงแล้วก็ยังมีเถิงเฟย มีคนไหนบ้างที่ไร้เจตนาร้าย? คนสาระเลวพวกนั้นไม่มีใครเชื่อใจใครง่ายๆ เหมือนกัน ถ้าฝ่าบาทไม่ใช้ไม้แข็ง พวกเขาก็ยังกึ่งแข่งขันกึ่งร่วมมือกันได้ ถ้าฝ่าบาทใช้ไม้แข็ง พวกเขาก็จะกลัว ถ้าไม่เห็นผลประโยชน์ให้หยิบฉวย พวกเขาก็ไม่มีทางร่วมมือกันเด็ดขาด ไม่ต้องสนใจมากขนาดนั้น ใครมีกำลังแข็งแกร่งที่สุดก็โจมตีคนนั้น!”
เขากุมหมัดต่อประมุขชิง “ฝ่าบาท ไม่ต้องเล่นลูกไม้อะไรมากอีกแล้ว แค่คำเดียวเท่านั้น โจมตี! ฝ่าบาทได้โปรดติดต่อกำลังพลของประมุขพุทธะตอนนี้เลย ให้กำลังพลของเขารีบมารวมกับฝ่าบาท จากนั้นก็ร่วมมือกันโจมตี! การที่สารเลวพวกนั้นไม่เชื่อใจกันเองก็คือจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุด ต่อให้พวกเขารวมกำลังกันเยอะกว่านี้ แต่สามัคคีกันไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี นี่ก็คือข้อได้เปรียบของพวกเรา พวกเราก็แค่ต้องไล่ตามโจมตีฝ่ายเดียวไม่หยุดก็พอ แล้วคนที่เหลือก็จะกังวลว่าคนอื่นจะมาฉกฉวยผลประโยชน์ ต่างก็อยากจะรักษากำลังของตัวเองไว้ ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องง่ายๆ พวกเราก็วางใจโจมตีได้เต็มที่เลย!”
เขาอยากจะแก้ไขปัญหาให้จบโดยเร็ว คำพูดรวดเร็วตรงไปตรงมาบ้าง แต่ก็ตรงใจประมุขชิงพอดี
ซือหม่าเวิ่นเทียนพูดแทรกว่า “ทำแบบนี้ ถ้าพวกเขาหลบซ่อนตัวขึ้นมาจะทำยังไงขอรับ?”
“ความคิดเห็นของคนต่ำต้อย!” โพ่จวินพลันโบกมือชี้ ตะคอกด่าไปหนึ่งยก ซือหม่าเวิ่นเทียนโดนเขาด่าจนทำสีหน้าไม่ถูก
ได้ยินเพียงโพ่จวินกล่าวอย่างฮึกเหิมห้าวหาญว่า “ซ่อนตัวเหรอ? ไม่กลัวพวกเขาซ่อนตัวหรอก กลัวก็แต่พวกเขาจะไม่ซ่อน! ถ้าพวกเขาหลบกันหมด คนในใต้หล้าก็ย่อมได้เห็น ว่าขนาดสี่อ๋องรวมตัวกันก็ยังกลัวฝ่าบาทเลย โดนขู่จนไปซ่อนตัวหมดแล้ว ก็คือกำลังที่แท้จริง กำลังที่แท้จริงก็คือใจคน! ถ้าพวกเขาซ่อนตัว อาณาเขตว่างแล้ว คนเรามีเจตจำนงร่วมกัน ฝ่าบาทสามารถประกาศรับกำลังพลจากใต้หล้ามาสร้างทัพใหญ่ใหม่ได้เลย แล้วก็รีบเพิ่มศักยภาพโดยเร็ว! ข้าน้อยก็อยากจะเห็นนักว่าพวกเขาจะหลบได้นานแค่ไหน เมื่อไม่มีอาณาเขตแล้ว กำลังพลมากมายขนาดนั้น ข้าน้อยจะคอยดูว่าพวกเขาจะเอาอะไรมาเลี้ยง! รอจนพวกเขาทนไม่ไหว ตอนที่คิดหาทางสู้กับฝ่าบาทอีกที กำลังของฝ่าบาทก็จะไม่เหมือนตอนนี้แล้ว เกรงว่าพวกเขาก็คงต้องชั่งน้ำหนักก่อนโจมตีอยู่ดี! เมื่อขาดทรัพยากร ทั้งยังไม่กล้าต่อสู้ เมื่อเวลาล่วงเลยนานไป เกรงว่าพวกเราคงไม่ต้องไปโจมตีหรอก เดี๋ยวพวกเขาก็จะกระจัดกระจายกันเองก่อนแล้ว!”
เป็นคำพูดที่แข็งกร้าวมาก ฟังดูยิ่งใหญ่มีพลัง ไม่มีการเล่นลูกไม้อะไรจริงๆ ด้วย ก็แค่โจมตีแบบกัดไม่ปล่อย!
แต่หลักการที่เรียบง่ายขนาดนี้กลับมีเหตุผลจริงๆ ประมุขชิงฟังแล้วเหมือนเกิดแสงสว่างในใจ กวาดอารมณ์หัวร้อนไปแล้ว เขาชำเลืองโพ่จวิน แอบด่าว่าตาแก่ทึ่ม แต่ภายนอกกลับพยักหน้าบอกว่า “ข้าก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน!”
ซือหม่าเวิ่นเทียนพูดไม่ออก ได้แต่แอบบ่นในใจว่าซวยนัก..
กลุ่มคนหนึ่งพันคนเหาะด้วยความเร็วสูง หลบเข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนามอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
“หลินเจวี๋ย กระจายกำลังสายลับไปตามทาง!” เถิงเฟยที่อยู่ท่ามกลางการร้องพิทักษ์ของทหารเอียงหน้าออกคำสั่ง
ทหารคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายกุมหมัดคารวะ “ขอรับ!”
“ช้าก่อน!” แม่ทัพอีกคนที่ชื่อลั่วฉางเฟิงกลับขวางไว้
เถิงเฟยหันกลับมาถาม “ฉางเฟิง ขวางทำไม?”
ลั่วฉางเฟิงบอกว่า “ท่านอ๋อง ในเมื่อพวกเราคิดจะรักษากำลังไว้ หลบเลี่ยงกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อ เช่นนั้นก็ระวังไว้หน่อยดีกว่า การทิ้งสายลับไว้ตลอดทางไม่ใช่การกระทำที่ปลอดภัยแน่นอน ในจำนวนนั้นใครจะกล้ารับประกันว่าจะมีสายลับของอำนาจฝ่ายอื่นอยู่หรือเปล่า ถ้ามีล่ะ ก็เท่ากับทิ้งเบาะแสไว้ให้คนอื่น ข้าน้อยแนะนำว่า พวกเราก็แค่ต้องจำทางกลับให้ได้ ระหว่างทางไม่จำเป็นต้องทิ้งสายลับไว้เลย เดี๋ยวกระจายสายลับไว้รอบๆ จุดซ่อนตัวก็พอ ถึงตอนนั้น แม้จะมีสายลับของฝ่ายอื่นปะปน แต่สายลับก็ไม่รู้ชัดอยู่ดีว่าพวกเราอยู่ตรงตำแหน่งไหน”
ข้างๆ มีคนไม่น้อยพยักหน้า เถิงเฟยชี้เขา แล้วพยักหน้าบอกว่า “เป็นความเห็นของผู้มีประสบการณ์จริงๆ ดี ทำตามที่เจ้าบอก ระวังตัวไว้หน่อยจะดีกว่า!”
คนกลุ่มหนึ่งทยอยเหาะไปข้างหน้า แต่ลั่วฉางเฟิงที่เพิ่งเสนอแผนการเมื่อครู่นี้กลับเหาะอยู่ริมๆ อย่างแนบเนียน ในมือโปรยไข่มุกเม็ดหนึ่งไว้ในดาราจักรอย่างเงียบๆ…
อาณาเขตดาวนิรนามอีกแห่ง บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดินสีเหลืองดวงหนึ่ง มีคนทยอยมาเหยียบบนยอดเขา
หลังจาก ลี่หัว ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์มาถึง ก็ถือว่าประมุขสิบปราสาทดำเนินมาครบหมดแล้ว พวกเขาสบตากันด้วยความปลง
อู๋ฉาง หั่วเจินจวิน อินเอ้อร์หลางที่โดนจองจำมาหลายปีก็อยู่เช่นกัน ทั้งสามถือแผนที่ดาวเพื่อตรวจสอบตำแหน่ง พบว่าอยู่ที่อาณาเขตดาวนิรนาม ทำให้ไม่ค่อยเข้าใจสาเหตุ
หลังจากลี่หัวทักทายกับคนที่มาถึงก่อนแล้ว ก็บอกว่า “คนมากันครบแล้ว ออกเดินทางเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน” อู๋ฉางส่งเสียงห้าม “มาครบแล้วเหรอ? ทำไมรู้สึกว่ายังขาดไปอีกสองคน ทำไมไป๋เหนียงจื่อกับเสิ้นหมียังไม่มา?”
ประมุขสิบปราสาทดำเนินสบตากัน ต่างก็รู้ว่าประมุขปีศาจมีแม่ทัพปีศาจแปดคน ตอนเกิดเรื่องในปีนั้นตายไปแล้วสามคน ยังเหลือห้าคน
อินเอ้อร์หลางหัวเราะเบาๆ “นิสัยของคุณชายไป๋ ใช่ว่าพวกเจ้าจะไม่รู้? ในปีนั้นตอนเสิ้นหมีหนีไปก่อนออกรบ ทั้งยังยุยงให้ทุกคนแยกย้ายกัน คุณชายไป๋จะปล่อยเขาไปได้ก็แปลกแล้ว มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าจะถูกคุณชายไป๋ฆ่าแล้ว!”
อู๋ฉางทำเสียงฮึดฮัด “แล้วไป๋เหนียงจื่อนั่นล่ะ? ในปีนั้นนางไร้ยางอายเรียกตัวเองว่าเป็นเหนียงจื่อ (ภรรยา) ของคุณชายไป๋ เชื่อฟังคุณชายไป๋มาตลอด คุณชายไป๋ไม่ถึงขั้นฆ่านางไปด้วยหรอกมั้ง?”
“เรื่องนี้ข้าไม่รู้ชัดแล้ว ข่าวที่ข้าได้มามีแค่พวกเจ้าสามคน” ลี่หัวกล่าว
“เรื่องนี้ข้าต้องรู้ให้ชัดเจนให้ได้” อู๋ฉางไม่สนใจ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที
คนที่เหลือก็ไม่ได้ว่าอะไร คนที่รู้ความจริงล้วนเข้าใจ ว่าอู๋ฉางสนใจไป๋เหนียงจื่ออยู่นิดหน่อย…
ดาวพิษ ในคลังสมบัติใต้ดิน แสงและเงาราวกับภาพฝันมายา
บนถนนสายหนึ่ง ขุนนางขี่ม้า เจ้านายนั่งเกี้ยว คนงานในโรงเตี๊ยม ผู้จัดการในร้านค้า ขอทานริมถนนถูกด่าถูกตบตี หญิงสาวสะบัดผ้าเช็ดหน้าเรียกแขกอยู่บนหอนางโลม พ่อค้าและขุนนางสัญจรไปมา ทั้งชายทั้งหญิงกลับมีใบหน้าเดียวกัน
ศีลแปดที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ดอกบัวราวกับตัวเองอยู่ในภาพฝันมายา ท่ามฉากที่คล้ายจริงแต่ไม่จริง ราวกับเป็นเทพพระที่นั่งมองสรรพชีวิตเบื้องล่างจากบนก้อนเมฆ หลุบตาลงอย่างอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ใบหน้าของเวไนยสัตว์ในฉากเหล่านั้นล้วนเป็นใบหน้าของเขา ราวกับเขาได้แสดงบทบาทของเวไนยสัตว์มากมายในเวลาเดียวกัน อัศจรรย์ไร้ที่เปรียบ
งูขาวที่ขดอยู่ในดอกบัวหายไปแล้ว เหลือเพียงสตรีวัยกลางคนอาภรณ์ขาวผู้งดงามคนหนึ่งนั่งสมาธิอยู่เบื้องล่างของศีลแปด ผมดำขลับยาวคลุมบ่า ประนมมือหลับตาโดยไม่พูดอะไร
…………………………
[1] กำแพงล้มคนผลักซ้ำ กลองแตกคนทุบส่ง 破鼓乱人捶、破墙众人推 หมายถึงโดนซ้ำเติมเมื่อแพ้
ไม่เคยเห็นมาก่อน! ไม่เคยเห็นวรยุทธ์ที่น่ากลัวขนาดนี้มาก่อน!
แค่ยกมือก็คว้าดาวตกได้ ในหัวจั่วเอ๋อร์เหม่องงเล็กน้อย อยู่ในระยะไกลขนาดนี้ก็ยังคว้ามือเก็บดาวได้ นี่ก็คือพลังของระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหรอ?
ในที่สุดตอนนี้นางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดในปีนั้นพระปีศาจถึงทำตัวอันธพาลไปทั้งใต้หล้าได้อย่างไม่กลัวใคร!
พอเรียกสติกลับมาจากความตื่นตะลึงอะไรที่เปรียบนี้แล้ว จั่วเอ๋อร์ก็กุมหมัดคารวะอย่างด้วยความยินดีแทบบ้า “ยินดีด้วยผู้อาวุโส ยินดีกับผู้อาวุโส ผู้อาวุโสองอาจดุจเทพ!”
จะไม่ให้ดีใจก็คงยาก อดทนมาหลายปีขนาดนี้ ในที่สุดก็ทนจนมาถึงวันนี้แล้ว ชีวิตที่เหมือนสุนัขไร้บ้านกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว
“องอาจดุจเทพ? ไม่ผิดหรอก ข้าก็คือเทพแห่งจักรวาล!” หนานโปพยักหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วหันกลับมามองนางพร้อมถามอีกว่า “เจ้าเชื่อเหรอว่าข้าคือเทพ?”
“…” จั่วเอ๋อร์พูดไม่ออกนิดหน่อย พบว่าท่านนี้บ้าระห่ำเหมือนที่ตำนานบอกไว้จริงๆ ด้วย เรียกตัวเองว่าเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกนี้ วันนี้นับว่าได้เจอกับตัวแล้ว เพิ่งจะฟื้นฟูระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาเอง ก็โรคเก่ากำเริบมองตัวเองว่าเป็นเทพอีกแล้ว ถ้าเป็นเทพจริงๆ ตอนแรกมีหรือที่จะมีจุดจบตกต่ำแบบนั้น แต่ไม่กล้าพูดความคิดที่อยู่ในใจออกมา พยักหน้าตอบซ้ำๆ อย่างปากไม่ตรงกับใจ “เชื่อค่ะ!”
หนานโปส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ ในใจเจ้าไม่ได้เชื่อจริงๆ หรอก”
จั่วเอ๋อร์รีบตอบว่า “ไม่ๆๆ ผู้น้อยเชื่อจริงๆ ในใจของผู้น้อย ผู้อาวุโสก็คือเทพ!”
แววตาที่เงียบขรึมล้ำลึกของหนานโปจ้องมา จ้องจนจั่วเอ๋อร์หัวใจเต้นตึกๆ นางก้มหน้าอย่างไร้ความมั่นใจ ไม่กล้าสบตาเขาโดยตรง
หนานโปค่อยๆ หันกลับไปมองมหาสมุทรที่มีระลอกคลื่น ประนมมือตรงหน้าอก หลับตาลงช้าๆ สุดท้ายก็สวดพึมพำ ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร
จั่วเอ๋อร์ที่กำลังสังเกตการณ์อย่างระมัดระวัง จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ รีบหันมองโดยรอบ แต่ก็บอกไม่ถูกอีกว่ามีตรงไหนผิดปกติ เพียงรู้สึกว่าบนตัวหนานโปเหมือนมีของบางอย่างที่อธิบายไม่ได้แผ่ซ่านออกมา ปะปนกับคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์เล็กน้อย
นางเริ่มสังเกตเห็นทีละน้อยว่าแสงจันทร์เริ่มเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้น ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า ไม่นาน นางก็พบว่าในมหาสมุทรที่มีคลื่นเปลี่ยนเป็นวุ่นวายแล้ว พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง ก็เห็นครีบปลาโผล่ ที่ผิวทะเลมีปลาฝูงใหญ่ว่ายน้ำ มีทั้งปลาเล็กปลาใหญ่นานาชนิด ทยอยกันว่ายน้ำเบียดขึ้นมาบนหาดทราย
แล้วอยู่ดีๆ สายตาก็เปลี่ยนเป็นพร่าเลือนอีก นางกระพริบตามองใหม่อีกครั้ง ถึงได้พบว่าแสงของดวงจันทร์เหมือนจะสั่นไหวบิดไปมาเล็กน้อย แสงจันทร์ที่อยู่ใกล้ๆ ก็เหมือนจะมารวมอยู่บนร่างกายตัวเอง ทำให้ตัวเองมีรัศมีสลัวๆ ครอบตัวหนึ่งชั้น จากนั้น ท่ามกลางฝูงปลาก็เหมือนมีบางอย่างลอยออกมา บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไร เหมือนมันจะปะปนอยู่ในแสงจันทร์ที่อ่อนละมุนและบิดโค้งนั่น มันกำลังแทรกซึมเข้ามาในรูขุมขนของนาง
นางร่ายอิทธิฤทธิ์ต่อต้านโดยจิตใต้สำนึก แต่หนานโปกลับหันตัวมาหานาง ยังคงประนมมือสวดมนต์เหมือนเดิม เพียงแต่ดวงตาเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งที่มองมาหานางทำให้นางตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว สายตาแบบนั้นทำให้คนรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังมองสรรพสิ่งเป็นเหมือนมด นางตัวสั่นเล็กน้อย ค่อยๆ หยุดใช้พลังอิทธิฤทธิ์ต่อต้าน
ทว่าในใจนางกลับหวาดกลัวสุดขีด ไม่รู้ว่าหนานโปต้องการจะทำอะไรกับนางกันแน่
เพียงแต่ไม่นานนางก็รู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายสุดขีด ความรู้สึกนั้นแทรกซึมเข้ามาในเส้นชีพจรของนาง แทรกซึมเข้ามาในเลือดเนื้อ แทรกซึมเข้าไปถึงกระดูก ทั้งตัวนางรู้สึกราวกับพื้นดินในฤดูแล้งที่ได้รับความชุ่มฉ่ำจากฝน เริ่มมียอดอ่อนของต้นไม้ใบหญ้างอกงาม ความรู้สึกสดชื่นที่ไม่ได้สัมผัสมานานแล้วเปล่งปลั่งออกมาช้าๆ จากส่วนลึกในร่างกาย ความรู้สึกนี้กำลังเพิ่มขึ้นในร่างกาย เป็นความรู้สึกที่ผ่อนคลายเกินไปแล้ว ราวกับว่าแม้แต่จิตวิญญาณก็ได้รับความชุ่มชื้นไปด้วย ผ่อนคลายจนถอนหายใจออกมาเบาๆ ผ่อนคลายจนร้องครางออกมา
ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดปรากฏขึ้นมาแล้ว รู้สึกเหมือนมีของอะไรบางอย่างอยากจะหลุดออกมาจากผิวหนัง เมื่อสายลมพัดผ่านมา บนใบหน้าก็มีของกำลังสั่นไหวอย่างชัดเจน นางยื่นมือลูบบนใบหน้าตัวเองโดยไม่รู้ตัว ผลปรากฏว่าได้ฉีกผิวหนังชราออกมาชั้นหนึ่ง และเห็นว่ามือของตัวเอง มือที่เหี่ยวแห้งแก่ชราของตัวเองเหมือนจะเปลี่ยนเป็นเต่งตึงแล้ว ผิวหนังแห้งหลุดลอกแล้ว ผิวหนังชรามีแนวโน้มหลุดลอก
นางก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไปแล้ว ฉีกหนังชราบนหลังมือตัวเองออกมาอย่างลังเลนิดหน่อย ทำให้เห็นผิวอ่อนเยาว์บอบบางเหมือนไข่ที่เพิ่งปอกเปลือกอยู่ใต้นั้นทันที ละเอียดอ่อนเกลี้ยงเกลาจนทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อ เริ่มแกะผิวหนังชราบนหลังมือออกไปทีละนิด
ทันใดนั้น ลำแสงที่บิดโค้งตรงหน้าก็จางไป นางเงยหน้ามองไปรอบๆ เหมือนแสงจันทร์จะกลับมาเป็นปกติแล้ว
ส่วนหนานโปก็หยุดท่องคาถาแล้วเช่นกัน วางสองมือลง มองนางเงียบๆ โดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ
เสียงเจ๊าะแจ๊ะบนผิวน้ำก็หายไปแล้วเช่นกัน นางหันไปมอง พบว่าบนผิวทะเลมีท้องปลาลอยอยู่หนึ่งชั้น ปลาตายฝูงใหญ่กำลังถูกคลื่นดันเข้ามา
พอหนานโปโบกมือ พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งก็จู่โจมเข้ามา จั่วเอ๋อร์รู้สึกว่ามีเศษหนังแห้งนับไม่ถ้วนปลิวออกไปจากผิวกาย รูขุมขนทั้งร่างกายเหมือนกําจัดสิ่งอุดตันไปแล้ว กำลังดูดซับอากาศสดชื่นอย่างเต็มที่ ความรู้สึกเย็นสบายทำให้นางได้สติกลับมา
“หากระจกส่องดูตัวเองสักหน่อยสิ” หนานโปกล่าวเสียงเรียบ
จั่วเอ๋อร์มองที่สองมือตัวเองก่อน เป็นมือที่ขาวละเอียดอ่อนงดงาม ใช่มือที่แก่ชราเหี่ยวแห้งของตัวเองเสียที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นมือของสาวน้อย
ในที่สุดนางก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว รีบหยิบกระจกขึ้นมาส่องดูตัวเอง พอเห็นคนในกระจก สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเหม่อลอยในชั่วพริบตาเดียว
สตรีงดงามที่อยู่ในวัยสาวคนหนึ่งกำลังสบตากับตัวเองผ่านกระจก ผิวขาวอ่อนเยาว์ แม้แต่ผมขาวหงอกก็เปลี่ยนเป็นดำขลับงดงามแล้ว เงางามราวกับมีน้ำมัน ผู้หญิงที่อยู่ในกระจกสอดคล้องกับคนที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำ นั่นคือสภาพของตัวเองตอนที่ยังเป็นสาวสะพรั่งไม่ใช่หรอกหรือ? ในดวงตานางเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ สงสัยว่าตัวเองกำลังฝันไปหรือเปล่า จึงยื่นมือลูบคลำบนใบหน้าตัวเอง ทั้งยังหยิกเบาๆ ด้วย ผลปรากฏว่าเจ็บ! นางถึงได้รู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นความจริง
เมื่อร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบสภาพในร่างกายตัวเองอีก นางก็ไม่มีทางเชื่อได้เลย ร่างกายเลือดเนื้อของตัวเองที่แก่ชราลงแล้ว ตอนนี้เปล่งปลั่งเหมือนวัยสาว กลับมามีชีวิตชีวาอีกแล้ว
มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่รักสวยรักงาม? เพียงแต่เมื่ออายุมากแล้ว อดทนทางแล้วจึงไม่คิดถึงก็เท่านั้นเอง เมื่อนานวันเข้าก็ปล่อยวางแล้วเช่นกัน
เมื่อวางกระจกลง จั่วเอ๋อร์ก็กล่าวถามหนานโปอย่างซาบซึ้งใจ “ผู้อาวุโส ท่าน…ท่านทำให้ข้ากลับมาเป็นสาวหรอ?”
“ขอเพียงเจ้าเต็มใจจะใช้เวลา แม้แต่การเวียนว่ายตายเกิดก็ล้วนอยู่ในการควบคุม ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้เจ้านับเป็นเรื่องใหญ่อะไร เจ้าเชื่อหรือยังว่าข้าเป็นเทพ?” หนานโปถาม
จั่วเอ๋อร์พยักหน้าซ้ำๆ อย่างตื้นตันใจ “เชื่อแล้ว! ผู้น้อยเชื่อแล้ว ผู้อาวุโสคือเทพที่บันดาลได้ทุกสิ่ง! ผู้น้อยไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณยังไงดี”
“ไม่ต้องขอบคุณ นี่คือการตอบแทนที่เจ้าทำงานให้ข้ามาหลายปี” หนานโปกล่าว
“บุญคุณอันยิ่งใหญ่ของผู้อาวุโส ข้าไม่รู้จะตอบแทนด้วยอะไร ข้ายินดีจะเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ผู้อาวุโสเพื่อตอบแทน” จั่วเอ๋อร์กล่าว
หนานโปบอกนางว่า “ตอนนี้เจ้าพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้ ข้าก็พอเข้าใจ แต่เมื่อในภายหลังเจ้าชินแล้ว เจ้าก็จะไม่คิดอย่างนี้แล้ว คนที่ข้าปฏิบัติด้วยเป็นอย่างดี อาจจะไม่รู้สึกซาบซึ้งใจต่อข้าไปทั้งชีวิตก็ได้ ตอนที่ลงมือทำร้ายข้าก็ไม่เคยปรานีเช่นกัน เรื่องในภายหลังไม่ต้องพูดถึงแล้ว ทำเรื่องที่อยู่ตรงหน้าให้ดีก็พอ” เขาหันหน้าไปหามหาสมุทร “รายงานสถานการณ์ด้านนอกมาเถอะ”
“ค่ะ!” จั่วเอ๋อร์โค้งตัว แล้วรายงานเรื่องศึกใหญ่ภายนอกให้ฟังคร่าวๆ ช่องทางข่าวสารมีจำกัด รายละเอียดก็ไม่ชัดเจนด้วย
หนานโปเสียงหัวเราะพักหนึ่ง “หนิวโหย่วเต๋อนี่ช่างใจกล้าไม่เบา ไอ้พวกตัวตลกที่กระโดดเล่นบนเวที!”
จั่วเอ๋อร์เตือนว่า “ผู้อาวุโส ตอนนี้สถานการณ์ในใต้หล้าวุ่นวายมาก เป็นโอกาสดีที่สุดผู้อาวุโสจะได้ออกมา”
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ข้าจะลงมือ” หนานโปส่ายหน้าเบาๆ “ถ้าข้าลงมือตอนนี้ พอฆ่าได้คนหนึ่งแล้ว คนอื่นตกใจหนีหมดจะทำยังไง? ถ้าพวกเขาซ่อนตัวตัวขึ้นมาจริงๆ ข้าจะไปหาจากไหนล่ะ? ไม่รีบหรอก ให้พวกเขาเป็นสุนัขกัดกันไปก่อน อย่างไรเสีย ถ้าถึงเวลาเมื่อไหร่ ก็อย่าคิดจะหนีไปแม้แต่คนเดียว ต่อให้ตายแล้วข้าก็ดึงกลับมาได้!”
กลัวว่าหลบแล้วจะหาไม่เจอเหรอ? จั่วเอ๋อร์พึมพำในใจ จะบอกว่าตัวเองเป็นเทพไม่ใช่หรือไง?
“ท่านอ๋อง ประมุขพุทธะนำทัพใหญ่ออกมาด้วยตัวเองแล้ว!”
จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ถังเฮ่อเหนียนวางระฆังดาราแล้วรีบรายงาน
โค่วหลิงซวีที่กำลังจ้องแผนที่ดาวเงยหน้าขึ้น แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเครียดขรึมว่า “บอกกำลังพลให้ไปรวมตัวกันตรงจุดที่กำหนด! คนในจวนย้ายที่เดี๋ยวนี้!” พูดจบก็โบกมือเก็บแผนที่ดาวเดินก้าวยาวออกไป
ผ่านไปไม่นาน ก็เหาะขึ้นฟ้าไปพร้อมกำลังพลผู้ติดตามกลุ่มหนึ่ง ทั้งจวนอ๋องสวรรค์โค่วที่กว้างขวางใหญ่โต ตอนนี้ว่างเปล่าไร้คนแล้ว…
“ทุกคน พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?”
บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง ชายหนุ่มวัยกลางคนถือดาบใหญ่หันมองรอบๆ พร้อมเอ่ยถาม
สามคนที่ยืนสามมุมล้อมเขาเอาไว้ หนึ่งในนั้นเอามือปิดท้องที่มีเลือดไหล ส่วนมืออีกข้างชี้กระบี่แสยะยิ้ม “ใจกล้าไม่เบา แม้แต่คนของหน่วยตรวจการขวาก็กล้าแตะต้อง!”
“หน่วยตรวจการขวา?” ชายวัยกลางคนที่โดนล้อมรีบโบกมืออธิบาย “เข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดจริงๆ! เจ้าไม่บอกตั้งแต่แรกว่าเป็นคนของหน่วยตรวจการขวา”
ชายหนุ่มที่เอามือปิดท้องพ่นน้ำลาย “ตอนนี้รู้ว่าเข้าใจผิดแล้ว พลังเมื่อครู่นี้ไปไหนแล้วล่ะ?”
ชายถือดาบยิ้มเจื่อน “เข้าใจผิดจริงๆ ข้าเป็นคนของสมาคมวีรชน ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้มาจับตาดูความเคลื่อนไหวแถวนี้ พอพบคนทำตัวลับๆ ล่อๆ ก็นึกว่าเจ้าจะทำอะไรไม่ดีกับข้า ถ้าเจ้าบอกตั้งแต่แรกว่าตัวเองเป็นใครก็จะไม่เป็นไรแน่นอน ทุกคน ที่จริงแล้วทุกคนก็เป็นพวกเดียวกัน ล้วนทำงานให้วังสวรรค์ทั้งนั้น ลงมือปราณีหน่อยเถอะ ถ้ามีจุดไหนที่ทำไม่ถูก ข้าก็ยินดีขออภัย!”
สมาคมวีรชน? ทั้งสามสบตากันแวบหนึ่ง เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจับตาดูความเคลื่อนไหวบริเวณนี้ คาดว่าคงได้รับภารกิจเหมือนกับฝั่งนี้เช่นกัน หนึ่งในนั้นที่เพิ่งมาถึงถามว่า “เจ้าจะพิสูจน์ได้ยังไงว่าเป็นคนของสมาคมวีรชน?”
“เรื่องนี้ง่ายมาก ทั้งสองฝั่งตรวจสอบกันสักหน่อยก็สิ้นเรื่องแล้ว…” ชายที่ถือดาบแสดงความจริงใจไม่หยุด
ในดาราจักรอันกว้างใหญ่ มังกรดำห้ากรงเล็บที่ดุร้ายตัวหนึ่งกำลังบินอยู่ท่ามกลางการคุ้มกันของคนนับพัน เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนเขามังกรหันกลับมาถามว่า “คนของหน่วยตรวจการขวาก็ได้รับภารกิจเหมือนกันเหรอ?”
หยางเจาชิงที่ยืนอยู่ข้างหลังพยักหน้า “สวีถังหรานส่งข่าวมาแบบนี้ขอรับ”
หยางชิ่งลูบเคราสั้นพลางบอกว่า “สามารถเข้าใจได้ ทัพใหญ่กำลังต่อสู้ ทุกที่ล้วนปิดการสื่อสาร ตอนนี้ประมุขชิงขาดคนคอยเป็นหูเป็นตา จะใช้งานสมาคมวีรชนกับหน่วยตรวจการขวาก็ปกติมาก คนของหน่วยตรวจการขวามีไม่มาก เป็นไปไม่ได้ที่จะกระจายตัวกันจับตาดู คาดว่าส่วนใหญ่คงดักซุ่มอยู่บริเวณทางเข้าออกประตูดวงดาว สมาคมวีรชนก็คล้ายกัน ท่านอ๋องลองให้คนของสมาคมวีรชนลงมือกับคนของหน่วยตรวจการขวาดูสิ กวาดล้างสายตาของประมุขชิงสักหน่อย ให้ประมุขชิงรู้ว่าสมาคมวีรชนก็ทรยศเขาแล้วเหมือนกัน ทำให้สะเทือนใจอีกครั้ง!”
เฉิงไท่เจ๋อที่อยู่ข้างกันได้ยินแล้วตกใจ หนิวโหย่วเต๋อควบคุมได้แม้กระทั่งสมาคมวีรชนเหรอ?
เหมียวอี้ครุ่นคิด ทำแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่พอทำแบบนี้ ดีไม่ดีอาจจะต้องเปิดเผยตัวตนองครักษ์เงาในสมาคมวีรชน แต่เขาก็เปลี่ยนความคิดอีก ใช่ว่าจะหลบเลี่ยงไม่ได้เสียหน่อย ถึงได้พยักหน้าตกลง…
“อะไรนะ? เป็นไปได้ยังไง?”
จวนอ๋องสวรรค์เถิง ในตำหนักใหญ่ เถิงเฟยที่อยู่หน้าแผนที่ดาวหันกลับมาถามอย่างงุนงง
เถิงจงกล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “ไม่ผิดหรอก เบื้องล่างเห็นหนิวโหย่วเต๋อขี่มังกรดำนำคนฝ่าด่านมาด้วยตัวเอง สังหารเข้ามาในเขตทัพตะวันออกของข้าแล้ว ดูท่าแล้วคงจะมุ่งตรงมาที่พวกเรา”
เถิงเฟยเหม่อไปสักพัก รู้สึกพูดไม่ออกมาก เขาคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อแค่ขู่เขาเฉยๆ ใครจะคิดว่าจะเอาจริง โจมตีสังหารมาแล้วจริงๆ! อดไม่ได้ที่จะด่ายับ “เจ้าแซ่หนิวมันเป็นหมาบ้า! ข้าไม่ได้หาเรื่องเขา ไม่ได้ยั่วโมโหเขาด้วย ไม่อยากไปรับมือกับทัพใหญ่ของประมุขชิง แล้วมาหาเรื่องข้าทำไม? สั่งให้กำลังพลย้ายตามข้าเดี๋ยวนี้ ทุกคนในจวนย้ายออก! ไอ้สารเลว รังแกกันเกินไปแล้ว ถ้าข้าอยู่ไม่สุข เจ้าก็อย่าได้คิดว่าจะอยู่เป็นสุขเหมือนกัน…”
…………………………
ยื่นมือชี้ไปยังตะปูยาวบนตัวตะขาบ ใช้นิ้วชี้เสยขึ้นเล็กน้อย ตะปูยาวแท่งหนึ่งบนตัวตะขาบก็เด้งออกมา ทำให้น้ำขุ่นมัวไปด้วยเลือดสีดำ
ยืนนิ่งครู่หนึ่ง แน่ใจหรอว่าไม่มีอะไรผิดปกติ หลินไห่ก็ตวัดนิ้วขึ้นไม่หยุด ตะปูยาวเด้งออกมาเส้นแล้วเส้นเล่า สุดท้ายก็เหลือแค่โซ่ที่ล่ามตะขาบเอาไว้
ตอนนี้หลินไห่วางสองมือลง แล้วยืนรอเงียบๆ
ตอนที่ตะปูยาวแท่งสุดท้ายเด้งออกมาได้ไม่นาน ปากของตะขาบก็พ่นหมึกดำออกมาช้าลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็หยุดพ่นแล้ว
คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์พรั่งพรูออกมาจากร่างกายตะขาบทีละน้อย คลื่นเริ่มขยับแรงขึ้น น้ำที่สะสมอยู่ในทางน้ำเหมือนเดือดพล่านอย่างช้าๆ
แสงสีเขียวสองสายพลันกะพริบขึ้นมา ตะขาบลืมตาแล้ว ร่างกายบิดไปบิดมาอย่างช้าๆ สะบัดโซ่ที่พันอยู่บนร่างกาย
จนกระทั่งดวงตาสีเขียวจ้องมาบนตัวหลินไห่ ร่างมหึมาของตะขาบก็สงบลงอีกครั้ง
หลินไห่เผยรอยยิ้มอ่อนๆ ขณะพยักหน้าให้มัน
ร่างของตะขาบดิ้นไปดิ้นมาอีกครั้ง ดิ้นรุนแรงขึ้น เสียงโซ่ที่กระทบกันอยู่ในน้ำดังแสบหู
“เอื้อ…” เสียงครางที่อึดอัดเก็บกดดังมา กระแสลมแรงกลุ่มหนึ่งทำให้น้ำที่สะสมอยู่ในทางน้ำเบียดทะลักออกมาทันที
บึ้ม! ตะขาบพลันบิดตัว เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น
หินดินที่อยู่ตรงหน้าหลินไห่พังกระเด็น ราวกับฟ้าถล่มแผ่นดินแยก เห็นรางๆ ว่าร่างมหึมาของตะขาบโผล่พ้นผิวดินขึ้นมา แล้วก็โบกฝ่ามือหนึ่งที ปัดหินดินที่พุ่งเข้ามาออกไป ก่อนจะพุ่งขึ้นฟ้า
พื้นดินสั่นสะเทือน น้ำทะเลสาบระเบิดพุ่งขึ้นฟ้าราวกับเสา
เงาร่างที่สวมชุดสีเขียวเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงบนสนามหญ้าริมทะเลสาบ
ชายชราคนหนึ่งใช้สองมือดึงโซ่ยาว ผมเคราหนวดคิ้วล้วนเป็นสีเขียว ในดวงตาสีเขียวกระพริบแสงอ่อนๆ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด ปล่อยให้น้ำทะเลสาบพุ่งขึ้นมาชำระล้างร่างกายตัวเอง
หลังจากน้ำทะเลสาบที่สาดกระจายตกลงพื้นแล้ว หลินไห่ที่สวมชุดสีเขียวเช่นกันก็ลอยเบาๆ มายืนอยู่ตรงหน้าชายชราชุดเขียวชุดสีเขียวของอีกฝ่ายเป็นมันวาวสะท้อนแสง
“อู๋ฉาง พวกเราพบกันอีกแล้วนะ” หลินไห่ถอนหายใจ
สองมือที่คว้าโซ่ไว้แน่นโบกซ้ายโบกขวา โซ่กระเด็นออกไป ตกลงพื้นเสียงดังแกร๊ง ชายชราชุดเขียวที่ถูกเรียกว่าอู๋ฉางมองไปรอบๆ ด้วยแววตาดุร้าย เมื่อม่เห็นเงาคนอื่น ความดุร้ายในแววตาก็ค่อยๆ เลือนหายไป จ้องหลินไห่พร้อมถามเสียงต่ำว่า “หลินไห่ ทำไมเป็นเจ้า?”
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” หลินไห่ถาม
อู๋ฉางสูดหายใจลึกแล้วบอกว่า “ในปีนั้นที่ควบคุมข้าไว้ที่นี่ คุณชายไป๋ก็เคยบอกไว้แล้ว ว่าลูกศิษย์ของเขาจะมาปลดผนึกให้ข้า อย่าบอกนะว่าเจ้าคือลูกศิษย์ของคุณชายไป๋?”
หลินไห่ส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่ต้องรู้หรอก ข้าเองก็เพิ่งได้รับแจ้งจากคุณชายไป๋ให้มาช่วยเจ้าเหมือนกัน ถึงได้รู้ว่าเจ้าถูกจองจำอยู่ที่ดาวแมกไม้”
อู๋ฉางเงียบไป แล้วทำช้าๆ อีกว่า “ในปีนั้นคุณชายไป๋บอกไว้แล้ว ว่าตอนที่ข้าหลุดพ้นจะได้มาพบประมุขปีศาจอีกครั้ง ไม่ทราบว่าประมุขปีศาจอยู่ที่ไหน ให้ข้าได้ไปยอมรับผิดและขอโทษเถอะ!”
“ประมุขปีศาจยังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ” หลินไห่ตอบ
อู๋ฉางเบิกตากว้าง “อย่าบอกนะว่า อาศัยความสามารถของคุณชายไป๋ ทุกวันนี้ก็ยังช่วยประมุขปีศาจออกมาไม่ได้? พูดจาเชื่อถือไม่ได้ เขามีสิทธิ์อะไรมาจองจำข้าไว้หลายปี…”
“ใต้หล้าไม่ใช่ใต้หล้าในปีนั้นอีกแล้ว แม้แต่คุณชายไป๋เองก็ยังถูกขังอยู่…” หลินไห่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหลายปีหลังจากที่อีกฝ่ายถูกขังให้ฟังคร่าวๆ “ตอนนี้ใต้หล้าเปลี่ยนไปมาก คงจะเป็นเพราะโอกาสมาถึงแล้ว คุณชายไป๋ถึงได้เรียกรวมพวกเรา เป็นเพราะเรื่องนี้…”
“ชิงกับพุทธะ โดนสุนัขไร้ยางอาย!” อู๋ฉางเงยหน้าคำรามเสียงดัง โกรธจนขนพองหนวดพอง แล้วถามเสียงต่ำอีกว่า “ตามที่เจ้าบอก ตอนนี้เกิดศึกใหญ่ในใต้หล้า เกรงว่าประตูดวงดาวแต่ละแห่งก็ถูกควบคุมไว้ด้วย แล้วพวกเราจะผ่านไปได้ยังไง?”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล คุณชายไป๋เตรียมตัวไว้นานแล้ว บอกเส้นทางลับให้ข้ารู้แล้ว ข้าเรียกรวมลูกศิษย์ทุกคนของปราสาทแมกไม้แล้ว เจ้าแค่ตามข้าไปก็พอ!” หลินไห่ตอบ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยังจะชักช้าทำไมอีก?”
ทั้งสองเหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว…
ดาวดำเนินนภา
บึ้ม! ยอดเขาของภูเขาไฟแห่งหนึ่งถล่มและปลิวกระจาย หินหนืดระเบิดพุ่งขึ้นฟ้า
ตอนหินหนืดที่พุ่งขึ้นฟ้าหมดแรงตกลง กิ้งก่าเพลิงยักษ์ที่บนตัวถูกล่ามโซ่เอาไว้ก็พุ่งขึ้นมาท่ามกลางหินหนืดที่ตกลง แล้วสะบัดหางลอยวนอยู่บนฟ้า
ชายที่สวมชุดคลุมสีน้ำเงินเขียวยืนอยู่บนตัวกิ้งก่าไฟผมขาวทั้งศีรษะรวบเป็นหางม้า ชุดคลุมยาวปลิวสะบัดตามลม ตรงหว่างคิ้วไฝสีแดงชาดอยู่จุดหนึ่ง ร่างกายซูบผอม ราวกับกำลังขี่มังกรบินอยู่บนฟ้า เขาก็คือเวินหวนเจิน ประมุขปราสาทดำเนินนภา
เวินหวนเจินสะบัดแขนเสื้อสองข้าง เหาะถอยหลังลงข้างล่าง พอใช้ฝ่ามือตบลงไปหนึ่งที หินหนืดที่ปลิวว่อนกระจัดกระจายอยู่ข้างล่างก็หยุดเคลื่อนไหวทันที หินหนืดที่กระเพื่อมขึ้นลงอยู่ในภูเขาไฟก็สงบลงแล้วเช่นกัน จากนั้นลอยเบาๆ ไปเหยียบลงบนยอดของภูเขาไฟสีดำเกรียมที่ถล่มพังไปแล้วครึ่งหนึ่ง คลื่นความร้อนด้านล่างทำให้ชุดคลุมกระเพื่อม เขาเงยหน้ามองกิ้งก่าเพลิงยักษ์ที่อยู่บนท้องฟ้า
“กรร!” กิ้งก่าเพลิงเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ราวกับเป็นสัตว์ป่าดุร้าย ร่างกายโผลงมา พุ่งเข้าเข้าหาเวินหวนเจินที่อยู่ข้างหลัง
ตอนที่พุ่งลงมา ดวงตาสีแดงทั้งคู่พลันมีเพลิงเดือดลุกโชน มันรีบห่อคลุมร่างกายขนาดยักษ์ แล้วเผาโซ่ยาวสองเส้นที่ลากอยู่ในมือ โซ่ที่มีไฟลุกสองเส้นราวกับเป็นปีกเพลิง กระแทกไปยังเวินหวนเจินที่อยู่บนภูเขาไฟ
ลูกไฟก้อนหนึ่งที่พุ่งมาจากฟ้าพลันระเบิดอย่างรุนแรง แสงเพลิงกระจายไปทั่วทิศ กิ้งกายักษ์ที่อยู่ในลูกไฟกลายร่างเป็นชายชราชุดแดง
ชายชราสะบัดสองแขนทะยานขึ้นกลางอากาศ โบกมังกรเพลิงสองตัวฟาดไปยังคนที่อยู่บนยอดเขา
เวินหวนเจินสะบัดแขนเสื้อ แสงเย็นสายหนึ่งพุ่งออกจากกระบอกแขน ราวกับมีสายฟ้าโผล่ออกมา ฟันไปยังโซ่ไฟที่ฟาดเข้ามา
แกร๊งๆ! เสียงโลหะกระทบกันต่อเนื่องสองครั้ง สะเทือนจนก้อนหินที่อยู่บนพื้นไกลๆ สั่นไหว
สายฟ้าสองสายนั้นกระพริบฝั่งซ้ายและขวา ตัดโซ่เพลิงสองเส้นขาดอย่างต่อเนื่อง โซ่เพลิงกระเด็นออกไปทางซ้ายและขวา
สายฟ้าพุ่งกลับมา พอเวินหวนเจินโบกมือ สายฟ้าก็หายเข้ามาในแขนเสื้อ
ชายชราที่มาพร้อมเปลวเพลิงเดือดเหยียบลงตรงข้าม ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ร่างกายพ้นจากเปลวเพลิงเดือด แล้วเปลวเพลิงเดือดที่เปล่งแสงแวววับอยู่ข้างหลังก็พลันหายไป ชั่วพริบตาเดียวก็จมมิดเข้าไปในแผ่นหลังของเขาแล้ว เปลวเพลิงหายไปอย่างไร้ร่องรอย ชายชราสวมชุดสีแดง หนวดและผมก็เป็นสีแดงเช่นกัน ตะคอกถามอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เวินหวนเจิน ทำไมเป็นตาแก่อย่างเจ้าได้? คุณชายไป๋บอกว่าเป็นลูกศิษย์ของเขาไม่ใช่เหรอ?”
เวินหวนเจินกล่าวอย่างสง่าว่า “หั่วเจินจวิน ยังเจ้าอารมณ์ไม่เปลี่ยนแปลง ข้าไม่เข้าใจว่าจะพูดอะไร คุณชายไป๋ให้ข้ามาพาเจ้าไปพบประมุขปีศาจ…”
สถานที่ไร้ชีวิต ในทุ่งหิมะที่มีหิมะขาวปกคลุม แผ่นน้ำแข็งที่มีหิมะหนาแตกออก รอยแตกขยายไปโดยรอบเร็วมาก รอยนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตรงรอยที่ใหญ่ที่สุดราวกับเป็นหุบเขา หิมะที่สะสมบนพื้นดินทยอยตกลง
เงาคนคนหนึ่งถลันขึ้นมา ลอยอยู่กลางอากาศ สวมชุดคลุมสียาวดุจหิมะทั้งตัว ผมสีขาวเงินยาวถึงเท้า บนร่างกายราวกับคลุมด้วยผ้าไหมสีเงิน บางครั้งก็จะปลิวไสวตามลมหนาวบนทุ่งหิมะ ใต้ริมฝีปากใหญ่หนามีเคราสีขาวยาวถึงหน้าอก ตรงหว้างคิ้วเป็นลายเมฆสีทอง บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเซียนโหยวอี ประมุขปราสาทดำเนินเซียนนั่นเอง กำลังมองเบื้องล่างอย่างเงียบๆ
ในหุบเขาน้ำแข็งที่มีรอยแยก ใต้น้ำแข็งที่ปกคลุมราวกับมีของบางอย่างกำลังหายใจ หิมะที่กระเพื่อมขึ้นลงพลันแตกออกจากกัน เผยคากคกร่างมหึมาตัวหนึ่ง ทั้งตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ใต้เกล็ดน้ำแข็งทุกแผ่นล้วนมีเปลวเพลิงรูปคนกำลังกระโดดโลดเต้น ตาใหญ่ของคากคกเปิดลืมขึ้นอย่างช้าๆ มองไปบนฟ้าที่มีลมหนาวพัดวูบ พอบนตัวกระพริบแสง ก็หดกลายเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนพุ่งขึ้นฟ้าอย่างฉับพลัน
ส่วนชุดสีขาวดุจหิมะเช่นกัน เพียงแต่ร่างกายอ้วนไปหน่อย ลอยอยู่กลางอากาศ กำลังสบตากับโหยวอี
“อินเอ้อร์หลาง นอนหลับสบายไหม?” โหยวอีถามเสียงเรียบ
ชายอ้วนชุดขาวที่ถูกเรียกว่าอินเอ้อร์หลางมองไปรอบๆ แล้วขมวดคิ้วถาม “โหยวอี? ทำไมเป็นเจ้าได้…”
ยามค่ำคืน ดวงดาวเดียรดาษ คลื่นน้ำจากมหาสมุทรตัดกระเพื่อมบนทรายละเอียดระลอกแล้วระลอกเล่า
จั่วเอ๋อร์เดินออกมาท่ามกลางป่าทึบภายใต้ทิวทัศน์ยามราตรี เดินเข้าไปในถ้ำที่มืดสลัวแห่งหนึ่ง
พอมาถึงปลายสุด ก็หยุดอยู่ริมหน้าผาในท้องภูเขา มองลงไปที่แอ่งกระทะเบื้องล่าง
ในแอ่งกระทะ กระดูกขาวกองเป็นชั้นๆ เสาทองแดงต้นหนึ่งตั้งอยู่กลางกระดูกขาว หนานโปที่เปลือยท่อนบนอยู่ใต้เสาทองแดงกำลังหลับตานั่งสมาธิ ไม่น่าเชื่อว่าบนร่างกายที่แข็งแรงกำยำจะมีลำแสงหลากสีไหลเวียน เหมือนลายมังกร แล้วก็เหมือนลายเมฆด้วย
แอ่งกระทะตรงท้องเขาที่เดิมทีควรจะมืดมิด หนานโปเราก็เป็นหิ่งห้อยหยุดทำกลางราตรี หิ่งห้อยที่ส่งแสงวิบวับสะดุดตา
หนานโปอยู่ในสภาพนี้มาเป็นเวลาสิบปีเต็มแล้ว นั่งสมาธิอยู่ที่นี่เป็นเวลา สิบปีเต็มโดยไม่ขยับไปไหน และลำแสงหลากสีบนร่างกายกลับยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
สิบปีนี้หนานโปไม่ได้ให้นางส่งคนมาให้เขาฝึกตนอีก นางไม่รู้ด้วยว่าหนานโปจะอยู่ในสภาพนี้อีกนานแค่ไหน ช่วงนี้นางมาเยี่ยมหลายครั้ง เป็นเพราะความเคลื่อนไหวที่เหมือนพลิกแผ่นฟ้าแผ่นดินด้านนอก นางคิดว่านี่คือโอกาสดี ทว่าหนานโปเคยบอกแล้วว่าการฝึกตนของเขาสำคัญกว่าทุกอย่าง ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเขา ก็ห้ามเคลื่อนไหวโดยพลการ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่กล้าวู่วามทำอะไร
แอบถอนหายใจเงียบๆ เฮือกหนึ่ง แล้วจั่วเอ๋อร์ก็หันตัวไป เดินไปบนชายหาดแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ไม่รู้ว่าต้องหลบซ่อนไปจนถึงเมื่อไหร่
ทันใดนั้น ข้างหลังก็มีแสงสว่างวาบ จั่วเอ๋อร์หันกลับไปมอง เห็นเพียงในถ้ำภูเขามีแสงสว่างแวววาวส่องยิงออกมา คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งที่โหมซัดสาดจนทำให้คนเกือบหยุดหายใจ มันกระเพื่อมไปสี่ด้านแปดทิศโดยมีจุดศูนย์กลางเป็นถ้ำภูเขา
จั่วเอ๋อร์หันตัวมาช้าๆ แล้วเบิกตากว้าง
คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่กระจายออกไปพลันหดกลับเข้ามาในถ้ำภูเขา แสงสว่างในถ้ำก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ช่วยปิดตาเดียวก็กลับสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
นางรีบเดินเข้าไปในถ้ำ อยากจะดูคืออะไรกันแน่ พอเดินมาถึงปากถ้ำก็ชะงักไป จากนั้นก็ถอยหลังมายืนข้างๆ โค้งตัวเล็กน้อยพร้อมกล่าวทำความเคารพ “ผู้อาวุโส!” พอนางเหลือบตาขึ้นมองก็อึ้งนิดหน่อย พบว่าสัญลักษณ์พลังตรงหว่างคิ้วของหนานโปหายไปแล้ว
หนานโปผิวกายสีทองแดง ศีรษะล้านสะท้อนแสงอยู่ภายใต้แสงจันทร์ กำลังเดินเท้าเปล่าไปบนชายหาดอย่างช้าๆ ต้นมะพร้าวต้นหนึ่งที่ขวางอยู่ตรงหน้าเขาพลันกลายเป็นผุยผงปลิดปลิวไปอย่างเงียบเชียบ แล้วหนานโปก็หยุดยืนนิ่งๆ อยู่บนชายหาด
จั่วเอ๋อร์ไม่รู้ตัวเองมองผิดไปหรือเปล่า รีบเดินตามไป พอตามไปถึงด้านข้างก็มองอย่างเงียบๆ อีก พบว่าสัญลักษณ์พลังตรงหว่างคิ้วหนานโปหายไปแล้ว นางนึกเชื่อมโยงไปถึงลำแสงแวววับก่อนหน้านี้ เดี๋ยวลองถามว่า “ผู้อาวุโส วรยุทธ์ของทางกลับมาแล้วใช่ไหม?”
หนานโปที่จมูกโด่งและหน้าเป็นโครงกระดูกชัดเจนเงียบไปครู่เดียว ก่อนจะตอบช้าๆ ว่า “ยังไม่ฟื้นกลับมาในระดับสูงสุด แต่ก็ได้ระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กลับมาแล้ว เพียงพอแล้วเช่นกัน ต่อให้เป็นในปีนั้นตอนที่ผู้แข็งแกร่งหลายคนยังอยู่ ก็ไม่มีคนไหนที่เป็นคู่ต่อสู้ของข้า”
จั่วเอ๋อร์ดีใจมาก ขณะกำลังจะกล่าวชม จู่ๆ ก็เห็นหนานโปเงยหน้ามองฟ้า นางมองตามเขา เห็นเพียงดาวตกหลายสายแฉลบผ่านท้องฟ้าราตรีไป
ไม่รู้แขนข้างหนึ่งของหนานโปยื่นออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ขยุ้มนิ้วทั้งห้าไปทางท้องฟ้า คว้าไปทางดาวตกหลายดวงที่วาดผ่านท้องฟ้า รอบกายมีกระแสลมพัดแรง ปรากฏการณ์ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงทันที อีกทั้งทะเลที่นับว่าเงียบสงบก็เกิดคลื่นโหมซัดสาดภายในชั่วพริบตาเดียว
จั่วเอ๋อร์ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า พบว่าดาวตกดวงนั้นเหมือนจะค้างอยู่กลางท้องฟ้า ไม่ใช่สิ เหมือนมันจะเปลี่ยนทิศทางแล้ว
พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป ก็พบว่าดาวตกดวงนั้นกำลังพุ่งมาทางนี้แล้ว
ลำแสงแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นอุกกาบาตสีดำขลับพุ่งมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง
อุกกาบาตที่ขนาดใหญ่เท่าโต๊ะหนึ่งตัวพุ่งเข้ามาท่ามกลางลมพายุ ตอนที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง จู่ๆ หนานโปก็ขยุ้มมือบีบไว้
ปั้ง! อุกกาบาตระเบิดกลายเป็นผุยผง ลมแรงที่พัดเข้ามาก็หยุดชะงักและหายไปเช่นกัน
จั่วเอ๋อร์ตกใจจนอ้าปากค้าง ในหัวมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา เอื้อมมือเก็บดาว!
…………………………
“ใช่แล้ว! หนิวโหย่วเต๋อเจ้าหนุ่มนั่นจะไม่ห่วงหน้าพะวงหลังสักหน่อยเหรอ?” ก่วงลิ่งกงทอดถอนใจอย่างสะเทือนอารมณ์ เอาสองมือไขว้หลังอย่างช้าๆ สีหน้าท่าทางดูกลัดกลุ้ม
เมื่อเห็นเขามีสีหน้าแปลกไป ความคิดเหมือนจะเบนออกจากเรื่องนี้เล็กน้อย อยู่ด้วยกันมาหลายปีนับว่าค่อนข้างรู้จักนิสัยใจคอ โกวเยว่จึงลองถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านมีเรื่องไม่สบายใจหรือขอรับ?”
ก่วงลิ่งกงก้มหน้าเล็กน้อย มองเท้าตัวเอง ก้าวเดินช้าๆ พลางบอกว่า “แค่รู้สึกสะท้อนใจนิดหน่อยเท่านั้น ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ พวกเราหลายฝ่ายกล้ำกลืนความโกรธอยู่ภายใต้เงื้อมมือประมุขชิง คิดทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาสมดุล เรียกได้ว่ายอมกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่าย แต่หนิวโหย่วเต๋อเจ้าหนุ่มนั่น รู้ว่าประมุขชิงต้องการจะแตะต้องเขา…ถ้าเปลี่ยนเป็นพวกเราจะทำยังไง? จะต้องเปิดโปงเรื่องนี้แน่นอน ทำให้ประมุขชิงรู้ถึงความยากลำบากแล้วยอมถอย รักษาสมดุลของอำนาจต่อไป! แต่หนิวโหย่วเต๋อกลับฉีกหน้าสู้ตายกับประมุขชิงโดยตรง กล้าหาญน่ายกย่อง ข้าก็แค่กำลังคิดว่า ทำไมพวกเราถึงทำไม่ได้? เป็นเพราะพวกเราแก่แล้ว ใช้ความกล้าหาญฮึกเฮิมมาหมดแล้ว หรือว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ? เขาช่างกล้าดันทุรังทำโดยไม่สนผลที่ตามมาจริงๆ!”
โกวเยว่เข้าใจความหมายลึกๆ ในคำพูดเขาแล้ว ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ได้แต่ปลอบใจว่า “อาจไม่ใช่เพราะเขากล้าหาญจริงๆ แต่เป็นเพราะเขารู้สึกว่าตัวเองมีความมั่นใจเพียงพอกระมัง!”
“เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว” ก่วงลิ่งกงหันตัวมาโบกมือ “ครั้งนี้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตแล้วจริงๆ สถานการณ์เปลี่ยนแปลงกะทันหันมากมาย ข้าไม่เฝ้าอยู่ที่เดิมแล้ว บอกให้คนในจวนเก็บข้าวของ เตรียมตัวย้ายที่อยู่”
“ขอรับ!” โกวเยว่เอ่ยรับ
จวนอ๋องสวรรค์เถิง เถิงเฟยยืนหน้านิ่งอยู่ใต้ชายคาของตำหนักใหญ่ พลิกเล่นระฆังดาราในมือที่ไขว้อยู่ข้างหลัง
ประมุขชิงใช้ทั้งอำนาจขู่ทั้งผลประโยชน์ล่อ สั่งให้เขาเคลื่อนทัพออกมาช่วย ประกาศว่าถ้าไม่เชื่อฟังก็จะกำจัดเขา!
โค่วหลิงซวีโมโห ตำหนิเขาว่าทำไมไม่เคลื่อนทัพไปช่วย? ก่วงลิ่งกงก็โทษเขาว่าทำตัวนอกคอกเช่นกัน
เมื่อครู่นี้เอง หนิวโหย่วเต๋อก็เพิ่งส่งข่าวมาเตือนเขา สั่งให้เขาเคลื่อนทัพไปช่วยโค่วหลิงซวีสู้กับทัพใหญ่แดนสุขาวดีเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เชื่อฟัง ก็จะเคลื่อนทัพมากำจัดเขา!
“เหมือนข้าจะกลายเป็นเป้าโจมตีของหลายฝ่ายแล้ว!” เถิงเฟยกล่าวเสียงเรียบ
“ท่านอ๋อง เหมือนพวกเราจะล่วงเกินทุกคนไปแล้ว” เถิงจงกล่าวอยู่ข้างๆ
เถิงเฟยแสยะยิ้ม “ล่วงเกินแล้วยังไงล่ะ? ข้าโดนขู่ง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ?ภายนอกเหมือนกำลังขู่ข้า แต่ความจริงกำลังขอร้องข้าทั้งนั้น จะลงมือกับข้าเหรอ? ใครจะลงมือกับข้าก็ต้องกังวลว่าข้าจะไปเข้าข้างอีกฝ่าย ใครจะกล้าล่ะ? ตอนนี้อำนาจของข้าอ่อนแอที่สุดในบรรดาหลายฝ่าย ถ้าเชื่อฟังพวกเขาแล้วเข้าไปร่วมด้วยจริงๆ กำลังพลต่อสู้จนวายวอดหมด ใครยังจะเห็นความสำคัญของพวกเราอยู่ล่ะ? ก็อย่างที่บอก รอให้อำนาจแต่ละฝ่ายสูญเสียกำลังไปพอสมควรก่อน พวกเขาถึงจะฟังคำพูดพวกเรา! ขู่ให้กลัวเหรอ? ให้พวกเขาขู่ต่อไปเถอะ ข้าก็แค่ไม่เคลื่อนไหว ใครจะทำอะไรข้าได้?”
เถิงจงถอนหายใจอย่างจนปัญญาอีกครั้ง รู้ว่าท่านอ๋องเลือกแบบนี้เพราะไม่มีหนทางอื่นแล้ว ใครใช้ให้ตัวเองอำนาจอ่อนแอที่สุด ถ้าเสี่ยงเข้าไปต่อสู้ ก็สู้ไม่ไหวจริงๆ เดิมทีก็อ่อนแอที่สุดอยู่แล้ว ถ้าสิ้นเปลืองกำลังอีก ถึงตอนนั้นก็มีสิทธิ์แค่ก้มหน้ารับความอัปยศ การมอบอนุภรรยาแสนสวยกับลูกสาวให้คนอื่นนั้นไม่ใช่รสชาติที่ดีนัก…
มหาสมุทรคลื่นเขียวมรกต บนหน้าผาสูงตระหง่าน
กลางทะเล ใต้ดินภายในภูเขาหน้าผา ตำหนักใต้ดินขนาดใหญ่โตอาหลังหนึ่ง ทุกที่ล้วนมีทหารสวมเกราะถืออาวุธ ชายหญิงที่อยู่ในห้องของตำหนักทุกห้องล้วนมีคนเฝ้า
สวีถังหรานเดินไปนอกตำหนักพร้อมกำลังพลติดตามกลุ่มหนึ่ง ในตำหนักหวงฝู่เลี่ยนคง หวงฝู่จัว หวงฝู่เกา สามพ่อลูกหันหน้ามองมาอย่างเยียบเย็น
สวีถังหรานที่เดินมาถึงประตูยกมือห้าม “พวกเจ้ารออยู่ข้างนอก”
ทหารหนึ่งในนั้นกล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านโหว ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าครับ” เขาจะสื่อว่าให้กำลังพลเข้าไปด้วยกันเถอะ
“การวางตัวของท่านผู้เฒ่าหวงฝู่ ข้าจะเชื่อไม่ได้เชียวหรือ?” สวีถังหรานหันกลับมากลอกตาใส่เขา แต่จากนั้นก็กล่าวเสริมอีกว่า “ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรจริงๆ ก็ไม่ต้องเกรงใจข้า ลงมือได้เลย สังหารข้าไปด้วยเลย อย่าให้เหลือรอดออกไปแม้แต่คนเดียว!”
คำพูดนี้เหมือนพูดให้คนข้างในฟังมากกว่า ทหารคนนั้นฝืนเอ่ยรับคำสั่งอย่างลำบากใจ “ขอรับ!”
ตอนนี้สวีถังหรานถึงได้เดินหัวเราะร่าเข้าไป กุมหมัดคารวะให้สามพ่อลูก “ท่านผู้เฒ่า คุณชายรอง คุณชายสาม”
หวงฝู่เลี่ยนคงที่เส้นผมและหนวดเคราเป็นสีขาวนั่งอยู่ข้างโต๊ะกลมไม่ขยับไปไหน หวงฝู่จัวกับหวงฝู่เกายืนอยู่ทางซ้ายและขวา สามพ่อลูกชำเลืองมองเขาอย่างเยียบเย็นโดยไร้ปฏิกิริยา
สวีถังหรานนั่งเองโดยไม่ต้องเชิญ นั่งลงตรงข้ามตกลงโดยตรง แล้วก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า “รู้ว่าทั้งสามอารมณ์ไม่ดี ไม่ต้องห่วงหรอก อีกไม่นานก็จะผ่านไปแล้ว ด้านนอกรบราฆ่าฟันกันอันตรายเกินไป โหวผู้นี้ก็ทำไปเพื่อปกป้องทั้งสาม ต้องทนรับความไม่ยุติธรรมชั่วคราว”
หวงฝู่เลี่ยนคงกระตุกมุมปาก “ตาแก่คนนี้รับปากนะว่าจะทำงานให้ท่านอ๋อง ท่านโหว ท่านทำเช่นนี้หมายความว่ายังไง?”
เมื่อด้านนอกมีความเคลื่อนไหว ตระกูลหวงฝู่ก็ย้ายที่อยู่ทันที
ก็ช่วยไม่ได้ มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าตระกูลหวงฝู่คือกำลังของวังสวรรค์ ตัวอยู่บนอาณาเขตทัพตะวันตก ทัพตะวันตกยังลงมือกับกองทัพองครักษ์แล้ว พวกเขาจะไม่หลบหลีกได้อย่างไร ทว่าสวีถังหรานตามติดไม่ปล่อย หวงฝู่เลี่ยนคงต้องการทำให้เขาสงบ จึงรับปากอย่างไม่จริงใจว่าจะทำงานให้หนิวโหย่วเต๋อ ใครจะคิดว่าสวีถังหรานใช้วิธีการเด็ดขาด ระหว่างที่ตระกูลหวงฝู่กำลังย้ายที่ ก็ส่งทหารมาล้อมตระกูลหวงฝู่เอาไว้โดยตรง พูดชัดเจนว่าจะจับตัวเอาไว้ทั้งหมด
กำลังของตระกูลหวงฝู่ไม่ใช่น้อยๆ แต่ยามเผชิญหน้ากับกำลังพลสองล้านของสวีถังหราน ก็เหมือนกับอำนาจในยุทธภพเผชิญหน้ากับทัพใหญ่ของราชสำนัก ไม่มีทางต่อสู้ได้เลย ถ้าขัดขืนก็ตายสถานเดียว ทำได้เพียงยอมให้จับแต่โดยดี
ถึงแม้ที่นี่จะเป็นที่ซ่อนตัวลับของตระกูลหวงฝู่ ตอนนี้ก็ถูกสวีถังหรานใช้กำลังทหารควบคุมไว้แล้ว ถ้าจะพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือถูกสวีถังหรานกักบริเวณแล้ว เหมียวอี้ไม่ได้ให้เขาทำอย่างนี้ แต่เขามีวิธีการทำงานของตัวเอง ในจุดนี้เขามีอำนาจที่จะตัดสินใจเอง ไม่ถึงขั้นรายงานรายละเอียดเรื่องทุกอย่างให้เหมียวอี้รู้ ขอเพียงทำภารกิจที่เหมียวอี้มอบหมายให้สำเร็จก็พอแล้ว
สวีถังหรานถอนหายใจ “ก็เป็นเพราะท่านผู้เฒ่ารับปากแล้วนี่ไง เพื่อแสดงความจริงใจ พวกเราถึงได้ทำตัวเป็นคนต่ำทรามก่อนที่จะเป็นคนดี แบบนี้ทุกคนจะได้วาง ดีขนาดไหนแล้ว!”
หวงฝู่เลี่ยนคงกล่าวด้วยใบหน้านิ่ง “ท่านโหวทำแบบนี้เพราะไม่เชื่อใจพวกเราเหรอ!”
สวีถังหรานส่ายหน้า “ท่านผู้เฒ่าดึงดันจะพูดแบบนี้ เช่นนั้นข้าก็ช่วยไม่ได้แล้ว ในใจเจ้าด่าข้า ข้าก็ยอมรับได้ พูดอย่างนี้แล้วกัน ข้าติดตามท่านอ๋องมาหลายปี ภารกิจที่ท่านอ๋องมอบหมายให้ข้า ข้าไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง เมื่อก่อนไม่เคย ตอนนี้หรือในอนาคตก็ไม่อยากพลาดเช่นกัน พูดไว้ชัดเจนแล้วสินะ ในเมื่อท่านผู้เฒ่ารับปากแล้วว่าจะทำงานให้ท่านอ๋อง ก็คงไม่ถึงขั้นทนลำบากเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้หรอกมั้ง ขอเพียงท่านผู้เฒ่าแสดงความจริงใจออกมา ข้ารับประกันว่าทุกคนของตระกูลหวงฝู่จะผมไม่ร่วงแม้แต่เส้นเดียว แน่นอน ถ้ามีคนแอบเล่นตุกติกใต้หนังตาสวี สวีก็ไม่ใช่สัตบุรุษคนดีอะไร รับรองว่าจะสังหารทั้งตระกูลหวงฝู่ไม่ให้เหลือแม้แต่สุนัขหรือไก่!”
“มีเจ้ากำลังขู่ข้่าอยู่เหรอ?” หวงฝู่เลี่ยนคงถาม
สวีถังหรานตอบเขาว่า “ถ้าเจ้าดึงดันจะคิดอย่างนี้…ก็ได้ ข้าก็กำลังขู่เจ้าอยู่นั่นแหละ ทั้งยังเอาชีวิตของคนทั้งตระกูลเจ้ามาขู่ด้วย! ถ้าพูดอย่างนี้ เจ้าฟังแล้วต้องไม่พอใจแน่ ข้าเองก็ไม่ดีใจที่ได้ทำเรื่องล่วงเกินคนอื่น แต่เจ้าจะพอใจหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือนี่เป็นงานใหญ่ของท่านอ๋อง เจ้าว่าไหมล่ะ? ท่านผู้เฒ่าคิดยังไงข้าไม่รู้หรอก แต่สำหรับสวีแล้ว ไม่มีการขู่หรือไม่ขู่อะไรทั้งนั้น ขอเพียงเป็นเรื่องที่ท่านอ๋องกำชับมา สวีก็ยอมทำเรื่องชั่วดีกว่าปล่อยให้งานพัง ถ้าทำให้งานใหญ่ของท่านอ๋องพัง ข้าก็ไม่มีทางชี้แจงต่อท่านอ๋องได้ ดังนั้นหวังว่าท่านผู้เฒ่าจะเข้าใจถึงความลำบากของข้า แล้วอีกอย่าง พวกเจ้าก็น่าจะเห็นความจริงใจของข้าแล้ว ข้าก็ไม่ได้ควบคุมวรยุทธ์ของพวกเขาใช่มั้ยล่ะ?”
หวงฝู่จัวพ่นเสียงทางจมูก “ที่เจ้าไม่ได้ระงับวรยุทธ์ของพวกเรา ก็เพื่อจะให้พวกเจ้าใช้งานสมาคมวีรชนได้สะดวกน่ะสิ!”
“คุณชายรองปราดเปรื่องจริงๆ ด้วย แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ยังดูออก!” สวีถังหรานปรบมือ แต่ก็เหล่ตามองทันที “เพียงแต่ข้าไม่ค่อยเข้าใจว่าคุณชายรองพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร ทำไมถึงเรียกว่าให้พวกเจ้าใช้งานล่ะ? ไม่รู้ว่าข้าตีความผิดไปหรือเปล่า ทำไมข้ารู้สึกว่าคุณชายรองไม่เต็มใจทำงานให้ท่านอ๋องล่ะ?”
“ในเมื่อท่านโหวดึงดันจะคาดคะเนเอาเอง ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก ข้า…” หวงฝู่จัวกล่าว
หวงฝู่เลี่ยนคงยกมือตัดบท “ท่านโหว ขออภัยที่ข้าพูดตรงๆ งานที่ดีท่านอ๋องสั่งให้เจ้าทำนี้ เกรงว่าจะต้องพังแล้ว”
สวีถังหรานพลันหรี่ตา “หมายความว่ายังไง? หรือว่าหัวหน้าตระกูลกลับคำพูดแล้ว?”
หวงฝู่เลี่ยนคงส่ายหน้า “อย่าบอกนะว่าท่านคิดว่าวังสวรรค์จะปล่อยสมาคมวีรชนให้ตระกูลหวงฝู่จริงๆ? ตระกูลหวงฝู่ดูเหมือนกำลังควบคุมสมาคมวีรชน แต่ความจริงตระกูลหวงฝู่ถูกวังสวรรค์จับตาดูมาตลอด ตอนนี้ท่านลักพาตัวพวกเราแล้ว เกรงว่าวังสวรรค์จะรู้ความจริงแล้ว เดิมทีตาแก่คนนี้อยากจะให้สมาคมวีรชนแสดงประโยชน์ต่อท่านอ๋องมากกว่านี้…ท่านโหว เกรงว่าความตั้งใจของท่านจะทำให้งานใหญ่พังแล้ว!”
สวีถังหรานอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็กล่าวกลั้วหัวเราะทันที “หัวหน้าตระกูลหมายถึงองครักษ์เงาที่จับตาดูตระกูลหวงฝู่เหรอ? ถ้าพูดถึงสิ่งนี้ ก็ไม่ต้องกังวลใจเลย ท่านอ๋องเป็นใครกันล่ะ? เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ แค่มาถึงมือก็จัดการได้แล้ว ท่านอ๋องช่วยแก้ไขปัญหาที่ทำให้ตระกูลหวงฝู่ห่วงหน้าพะวงหลังตั้งนานแล้ว พวกเจ้าสนใจแค่ทำงานให้ท่านอ๋องให้ดีก็พอ เรื่องอื่นไม่ต้องกังวล”
เขาไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด แต่ก่อนจะออกเดินทาง เหมียวอี้ก็พูดถึงสถานการณ์ของตระกูลหวงฝู่ให้เขาฟังแล้ว บอกเขาว่าอย่าเข้าใจผิดทำร้ายคนของตัวเอง เขาถึงได้รู้สถานการณ์มาแล้วนิดหน่อย
สามพ่อลูกตกใจจนขนลุก สบตากันแวบหนึ่ง เริ่มหวาดกลัวพลังของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว อย่าบอกนะว่าบงการได้แม้แต่องครักษ์เงาของราชันสวรรค์?
ตอนนี้หวงฝู่เลี่ยนคงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่หนิวโหย่วเต๋อเคยฝากคนมาบอกเขา พลังของข้าเหนือกว่าที่เจ้าจินตนาการไว้เยอะมาก!
ในขณะนี้เอง หวงฝู่เลี่ยนคงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา หลังจากติดต่อกับภายนอกแล้ว ก็ลังเลนิดหน่อย ก่อนจะบอกว่า “ซ่างกวนชิงบอกมาแล้ว ว่าให้สมาคมวีรชนทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหว เป็นหูเป็นตาให้ทัพใหญ่ของฝ่าบาท”
ต่อให้ไม่อยากบอกก็ต้องบอก ชีวิตของคนทั้งตระกูลถูกบีบอยู่ในมือไอ้สารเลวตรงหน้านี้แล้ว ไอ้สารเลวมันไม่ให้โอกาสพวกเขาได้นิ่งดูดายเลย ตอนแรกยังคุยกันไว้ดิบดี ว่าอนุญาตให้พวกเขาอยู่เฉยๆ คอยดูสถานการณ์และตัดสินใจเองว่าจะทำงานรับใช้ใคร สงสัยจะเป็นคำพูดเหลวไหลทั้งนั้น!
สวีถังหรานถามถึงสถานการณ์ทันที จากนั้นก็หยิบระฆังดาราขึ้นมารายงาน หลังจากรายงานจบแล้ว สีหน้าก็เผยความปลาบปลื้มยินดี เก็บระฆังดาราแล้วพูดกับสามพ่อลูกอย่างร่าเริงว่า “บอกข่าวดีกับทั้งสามสักหน่อย กองทัพองครักษ์แปดร้อยล้านของประมุขชิงแพ้ด้วยน้ำมือท่านอ๋องแล้ว วอดวายหมดกองทัพ!” เขากระปรี้กระเป่ามาก ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
กองทัพองครักษ์แปดร้อยล้านวอดวายหมด? ครั้งนี้สามพ่อลูกตกตะลึงพรึงเพริดแล้วจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อกำจัดกำลังทหารของประมุขชิงไปแล้วหนึ่งในสามเหรอ? เพียงแต่ไม่รู้ว่าข่าวของอีกฝ่ายจริงหรือเท็จ…
ดาวแมกไม้ เงาคนคนหนึ่งแฉลบผ่านฟ้ามา เหยียบลงริมทะเลสาบที่มีต้นไม้ใบหญ้างดงาม เป็นชายชราสวมชุดสีเขียว ในสีหน้าที่เย็นชาเผยพลังอำนาจไปอีกแบบ เขาคือหลินไห่ ประมุขปราสาทแมกไม้
หลังจากมองไปรอบๆ เพื่อยืนยันลักษณะพื้นภูมิซ้ำ ก็ถลันตัวลงไปในทะเลสาบคลื่นเขียวมรกต ดำลงไปลึกหลายร้อยเมตร พบว่าสีของน้ำทะเลสาบเปลี่ยนเป็นดำมืดแล้ว เกราะอิทธิฤทธิ์รอบกายส่งเสียงฉ่าๆ หลินไห่รู้ว่าในน้ำสีหมึกด้านล่างมีพิษ เขาเสริมแกร่งให้เกราะอิทธิฤทธิ์ ไม่สนใจพิษร้ายที่กัดกร่อน ดำน้ำลงไปต่อ
ผ่านไปไม่นานก็ถึงตำแหน่งที่เป็นรูปกรวยก้นทะเล หาทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่งเจอแล้ว จากนั้นดำเข้าไปในทางน้ำก้นทะเลสาบ ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งสังเกตได้ว่าผิดรุนแรงกว่าเดิม เกราะที่ใช้ป้องกันเปลืองพลังงานมาก พอมาถึงปลายสุดของทางน้ำ ก็เห็นตะขาบกระดองสีเขียวยาวสิบกว่าจั้งนอนขดอยู่ มันถูกโซ่ล่ามไว้ บนตัวยังมีตะปูยาวแข่งด้วย ไม่อยู่ใต้น้ำที่น้ำมืดแบบนี้ก็ดูน่ากลัวเป็นพิเศษ
เมื่อเห็นตะขาบขยับปาก พ่นพิษสีดำออกมาเป็นระยะ ก็เห็นได้ชัดว่ายังไม่ตาย หลินไห่ถอนหายใจเบาๆ “ไม่ได้เจอกันหลายปีขนาดนี้ ที่แท้เจ้าก็ถูกจองจำอยู่ใต้หนังตาข้ามาตลอด”
…………………………
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “กับพี่ชาย ข้าไม่มีอะไรที่ไม่สะดวกพูด ได้ตระกูลเซี่ยโห้วก็เท่ากับได้ใต้หล้า นี่ไม่ใช่คำหลอกลวง ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของข้าก็คือ มีช่องทางข่าวสารที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า ตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมใต้หล้ามาหลายปี ในบรรดาลูกน้องคนสนิทของเถิงเฟยมีคนของตระกูลเซี่ยโห้ว เขาคิดว่าถ้าเขาหลบไปไกลแล้วข้าจะหาเขาไม่เจอเหรอ?”
พูดถึงแค่ตรงนี้ เฉิงไท่เจ๋อไม่ใช่คนโง่ รู้สึกตกใจจนขนลุก เข้าใจกระจ่างในฉับพลันแล้ว
ยืมมือเถิงเฟยปลุกปั่นความขัดแย้งในวังหลัง บีบให้ราชินีสวรรค์กับลูกชายก่อกบฏ บีบให้บรรดาอ๋องร่วมมือกันสู้กับเฉิงไท่เจ๋อ ขณะเดียวกันก็บีบให้ประมุขชิงเลิกสนับสนุนเฉิงไท่เจ๋อ บีบให้เฉิงไท่เจ๋อมาพึ่งพาฝั่งนี้ ฮุบกำลังพลของเฉิงไท่เจ๋อ ร่วมมือกับอำนาจสองฝ่ายบุกโจมตีประมุขชิง ลองคิดดูว่าในเวลานี้ ทัพตะวันตกกับทัพเหนือก็ลงมือสู้กับประมุขชิงเหมือนกัน แต่เถิงเฟยกลับนั่งดูเสือกัดกัน ถ้าหนิวโหย่วเต๋อลงมือกับเถิงเฟยเมื่อไร เถิงเฟยนอกจากหนีไปหลบในอาณาเขตดาวนิรนาม รอบข้างก็ถูกดักไว้ทุกทางแล้ว ยังจะกล้าไปที่ไหนได้อีก? ถ้าไปขอพึ่งพาประมุขชิงตอนนี้ ประมุขชิงจะต้องบีบให้เถิงเฟยรบอยู่แนวหน้าแน่นอน นี่ไม่ใช่สิ่งที่เถิงเฟยต้องการ แต่เสิ้นทางการหลบหนีของเถิงเฟยกลับอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อทำแผนการในครึ่งแรกสำเร็จแล้ว ตอนนี้คุมทัพใหญ่สามพันหกร้อยล้าน แค่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่ได้ก็มากถึงแปดร้อยล้านคันแล้ว ถ้าล้อมดักเถิงเฟยไว้ได้ ทัพใหญ่หนึ่งพันห้าร้อยล้านของเถิงเฟยก็ไม่มีทางสู้หนิวโหย่วเต๋อได้ นอกจากยอมแพ้แล้วยังมีทางอื่นให้เดินอีกหรือ?
หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถ้าหนิวโหย่วเต๋อรับทัพใหญ่ของเถิงเฟยมาแล้ว ในมือก็จะมีกำลังพลเกือบห้าพันล้าน อาศัยอาวุธที่มีอยู่ในมืออีก แค่ตัวเองไปเดี๋ยวก็สามารถต้านอำนาจของอ๋องสวรรค์โค่วกับอ๋องสวรรค์ก่วงได้ จะกลายเป็นกำลังพลที่มีศักยภาพแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า เป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งที่สุดในการช่วงชิงความเป็นใหญ่ในใต้หล้าต่อไป
เฉิงไท่เจ๋อไม่อยากให้สีหน้าของตัวเองเปลี่ยนแปลง แต่หลังจากทำความเข้าใจแผนการที่ต่อเนื่องนี้แล้ว สีหน้าก็บิดเบี้ยวอย่างอดไม่ได้ สงสัยอีกฝ่ายจะวางแผนฮุบทั้งทัพตะวันออกมาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ใช่แค่คิดจะฮุบกำลังพลของเขาเฉิงไท่เจ๋อคนเดียว เสียแรงที่เขาแทบจะสู้กับเถิงเฟยเอาเป็นเอาตาย ที่จริงแล้วล้วนเป็นตัวหมากในมือของอีกฝ่าย นกกับหอยทะเลาะกัน ถูกชาวประมงจับไปทั้งคู่ ข้าต้องลำบากขนาดนี้ไหม!
“ท่านอ๋องช่างปราดเปรื่องเหนือชั้น เฉิงไท่เจ๋อถอดใจที่สู้ไม่ได้!” เฉิงไท่เจ๋ออดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ายิ้ม
เหมียวอี้ปลอบใจว่า “วันนี้กับวันนั้นไม่เหมือนกัน ในตอนนั้นพี่ชายย่อมต้องวางแผนเพื่อพี่น้องกำลังพลใต้บังคับบัญชาของตัวเอง ตอนนี้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ย่อมไม่เหมือนวันเก่า”
เฉิงไท่เจ๋อถอนหายใจ แล้วถามว่า “ตอนนี้ท่านอ๋องต้องการจะรวบรวมกำลังพลเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบ “รบกวนพี่ชายสั่งให้กำลังพลของตัวเองรวมตัวกัน หลีกเลี่ยงการปะทะกับประมุขชิง เตรียมตัวมารวมกับกำลังพลของข้า ตอนนี้อย่าเพิ่งเปิดเผยแผนการกับเบื้องล่าง”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เฉิงไท่เจ๋อพยักหน้า
เหมียวอี้บอกอีกว่า “นอกจากนี้ ประมุขชิงกล้าทิ้งแม้แต่วังสวรรค์ ดาวอ๋องสวรรค์หนิวนี้ พวกเราก็ไม่มีอะไรที่ตัดใจทิ้งไม่ได้ หวังว่าพี่ชายจะบอกให้พวกพี่สะใภ้ทราบหน่อย ว่าให้เตรียมตัวย้ายหนี”
เฉิงไท่เจ๋อเห็นด้วย “ควรจะเป็นอย่างนี้ ถ้าดึงกันเฝ้าอยู่ที่นี่ ก็จะสูญเสียความคล่องตัวในการรับมือ จะอยู่ในสถานการณ์ที่โดนโจมตี ควรย้ายออกไป!”
ดาวอ๋องสวรรค์หนิว ในสวนดอกไม้ของจวน ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งพูดคุยปนเสียงหัวเราะไม่หยุด กลุ่มอนุภรรยาของเฉิงไท่เจ๋อสุภาพเกรงใจ เจ้าบ้านหญิงอย่างอวิ๋นจือชิวมีอัธยาศัยดี
ภายนอกเป็นอย่างนี้ แต่ความจริงในใจแต่ละคนอกสั่นขวัญแขวน อวิ๋นจือชิวก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน
ยามปกติผู้หญิงคนนี้อาจจะไม่รู้สึกดีอะไร แต่ในเวลานี้ พวกนางรู้ว่าผู้ชายของตัวเองกำลังนำทัพใหญ่ไปสู้กับราชันสวรรค์อย่างเอาเป็นเอาตาย ต่างก็เข้าใจผลที่ตามมาจากการรบแพ้ เกียรติยศความร่ำรวยทุกอย่างก็จะสลายไปเหมือนหมอกควัน จะปกป้องชีวิตคนในครอบครัวได้หรือเปล่าก็ยังเป็นปัญหาเลย
ก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับข่าวที่ท่านอ๋องทั้งสองสถาบันเป็นพี่น้องกัน ผู้หญิงกลุ่มนี้ภายนอกทำท่าดีใจมาก เรียกขานกันว่าพี่สาวน้องสาวอย่างอบอุ่นสุดๆ ทำตัวสนิทกันเหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆ ที่จริงแล้วในใจก็ดีใจเหมือนกัน ต่างก็รู้ว่าทั้งสองฝ่ายผนึกกำลังกันแล้ว ในใจรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
แม้แต่ผู้หญิงกลุ่มนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงเรื่องดีๆ สำหรับทหารที่ร่วมรบพวกนั้น ก็ย่อมมีขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว
“น้องๆ พวกเจ้าดูของพวกนี้สิเป็นยังไงบ้าง?”
อวิ๋นจือชิวที่อยู่ในศาลาหยิบสมบัติที่สะสมมาหลายปีขึ้นมา นำออกมาให้บรรดาอนุภรรยาของเฉิงไท่เจ๋อเลือกตามอำเภอใจ รวมเป็นสมบัติที่ยามปกติพวกนางชอบที่สุด
ในเวลานี้ไม่มีคำว่าชอบหรือไม่ชอบแล้ว ต่อให้เป็นของที่ชอบแค่ไหนก็ต้องส่งให้คนอื่นเพื่อซื้อใจ แม้จะรู้ว่าตอนนี้เหมียวอี้เป็นฝ่ายที่มีอำนาจแข็งแกร่งมาก แต่นางก็รู้ว่าเฉิงไท่เจ๋อมีความสำคัญต่อเหมียวอี้ ต่อให้คำพูดไม่ดีของผู้หญิงพวกนี้จะบงการเฉิงไท่เจ๋อไม่ได้ แต่ก็จะปล่อยให้ผู้หญิงพวกนี้ไม่สบอารมณ์จนไปพูดอะไรไม่ดีข้างหูเฉิงไท่เจ๋อไม่ได้ เรื่องที่ไม่คาดคิด ไม่ว่าใครก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน
อวิ๋นจือชิวในตอนนี้ ต่อให้มีฐานะสูงกับผู้หญิงพวกนี้หนึ่งระดับ แต่ก็พยายามเอาใจที่สุด ปะเหลาะให้ผู้หญิงพวกนี้มีความสุข
สำหรับของขวัญที่มอบให้บุตรสาวบุตรชายของเฉิงไท่เจ๋อ ก็ยิ่งหรูหราจนน่าตกใจ
ส่วนครอบครัวของเฉิงไท่เจ๋อก็ได้รับคำชี้แนะจากเฉิงไท่เจ๋อแล้ว การสาบานเป็นพี่น้องนั้นเป็นเรื่องจอมปลอม ยอมสวามิภักดิ์แล้วต่างหากคือเรื่องจริง ไม่อย่างนั้นก็จะปกป้องชีวิตคนในครอบครัวไม่ได้ อวิ๋นจือชิวคนนี้มีอิทธิพลต่อหนิวโหย่วเต๋อมาก ให้พวกนางทำเรื่องต่างๆ อย่างระมัดระวังหน่อย
เอาเป็นแบบนี้ ทั้งสองฝ่ายจึงล้วนมีเสียงหัวเราะไม่หยุด มีไมตรีจิตต่อกัน อยู่ร่วมกันอย่างปรองดองมาก
“เหนียงเหนียง! ข่าวดี! กองทัพองครักษ์กำลังพลแปดร้อยล้านถูกท่านอ๋องกับอ๋องสวรรค์เฉิงร่วมมือกันปราบหมดแล้ว!”
มู่หรงซิงหัวเดินมารายงานข่าวดีให้อวิ๋นจือชิวรู้
อวิ๋นจือชิวตาเป็นประกาย พูดเสียงดังว่า “รายงานเรื่องนี้ให้ทั้งส่วนรู้เดี๋ยวนี้!”
“ข่าวดี?”
“รบชนะแล้ว!”
“รบชนะแล้วจริงเหรอ?”
พวกผู้หญิงที่อยู่ตรงนั้นครึกครื้นแล้ว ดีใจแทบบ้า ในที่สุดก็ได้คลายความกังวลแล้วนิดหน่อย
ทว่าผู้หญิงพวกนี้ก็ดีอกดีใจได้ไม่นานนัก มีคำสั่งมาอีกว่า “เหนียงเหนียง!ท่านอ๋องสั่งให้ทั้งจวนเก็บของย้ายเดี๋ยวนี้…”
ทางด้านครอบครัวของเฉิงไท่เจ๋อก็ได้รับข่าวแทบจะพร้อมกัน
ไม่รู้ว่าอยู่ดีๆ ทำไมต้องย้าย รบชนะแล้วไม่ใช่เหรอ?
ผู้หญิงกลุ่มนี้ชุลมุนวุ่นวายอีกแล้ว มีบางคนสีหน้าเปลี่ยนเป็นแย่มาก กังวลว่าจะมีเรื่องไม่ดีอะไรเกิดขึ้น จึงรีบเก็บของ เตรียมตัวถอนกำลัง…
จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ในตำหนัก โค่วหลิงซวีที่ยืนอยู่ข้างหน้าแผนที่ดาวเงยหน้าช้าๆ “เอาชนะได้เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ? กองทัพองครักษ์แปดร้อยล้านหายไปอย่างนี้แล้วเหรอ?”
ถังเฮ่อเหนียนถอนหายใจ “อีกฝ่ายมั่นใจอีกฝ่ายไม่ระวังตัว แค่รอให้กองทัพฝ่ายศัตรูกระโดดเข้าไปในกับดัก เตรียมทุกอย่างไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แค่รอการตัดสินใจรบ ผลลัพธ์ย่อมเห็นไวมาก ไม่นับว่าเหนือความคาดหมายมากเกินไป”
ฝั่งจวนอ๋องสวรรค์หนิวมีสายลับ พอข่าวประกาศออกไป ฝั่งนี้ก็รู้ข่าวอย่างรวดเร็ว
โค่วหลิงซวีพยักหน้าเบาๆ แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมายืนยันกับเหมียวอี้ด้วยตัวเอง หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว ก็ถอนหายใจเบาๆ “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าเสียกำลังพลเกือบเก้าร้อยล้าน!”
“แต่กลับได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดร้อยล้านคันเชียวนะขอรับ!” ถังเฮ่อเหนียนกล่าว
โค่วหลิงซวีเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกเดือดดาลนิดหน่อย “เถิงเฟยทำข้าเสียงานใหญ่ ยังคิดจะนิ่งดูดายอีก ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อต้องการให้พวกเราดักเส้นทางหนีของเถิงเฟย ต้องการจะลงมือกันเถิงเฟย ข้าจะคอยดูว่าเถิงเฟยจะทำยังไง!”
ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดร้อยล้านคันเชียวนะ! กำลังของสี่ทัพถูกทำลายสมดุลแล้ว พอดีเห็นว่าหนิวโหย่วเต๋อวางกับดักไว้รอทัพใหญ่ของประมุขชิงแล้ว เขาก็ตระหนักได้ถึงปัญหาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ รีบร้อนจะกวาดธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของกองทัพองครักษ์ในอาณาเขตมาไว้ในมือตัวเอง แต่เถิงเฟยปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ ที่เขาเองก็ถูกกองทัพพระห้าร้อยล้านจากแดนพุทธควบคุมไว้ ไม่กล้าทำอะไรเต็มที่ ยังไม่ทันได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์อะไร กองทัพองครักษ์ในอาณาเขตก็ซ่อนตัวแล้ว ทำให้เขาพลาดโอกาสดี!
มีอยู่จุดหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ นั่นก็คือฝั่งก่วงลิ่งกงจะต้องกอบโกยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาได้ไม่น้อยแน่นอน พอเป็นแบบนี้ เขาก็กลายเป็นคนที่เสียเปรียบที่สุด ถ้าความสมดุลด้านกำลังนี้ถูกทำลาย แล้วในอนาคตอ่อนแอ ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะก่อให้เกิดปัญหาอะไรตามมาในภายหลัง แล้วจะไม่ให้โมโหได้อย่างไร?
“พวกเขาโจมตี!” ถังเฮ่อเหนียนกล่าว
“อืม!” โค่วหลิงซวีพยักหน้า “สถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง ประมุขชิงทิ้งวังสวรรค์แล้ว หนิวโหย่วเต๋อทิ้งจวนแล้ว ฝั่งพวกเราก็จะงอมืองอเท้าไม่ได้เหมือนกัน ต้องเตรียมตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลง สั่งให้ทุกคนในจวนเก็บของเดี๋ยวนี้ เตรียมตัวย้ายออก!”
จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่เฝ้าอยู่หน้าแผนที่ดาวเช่นเดียวกันเงยหน้าช้าๆ “กำลังพลเก้าร้อยล้านแลกกับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดร้อยล้านคัน คุ้ม คุ้มแล้ว! น่าเสียดายที่พวกเรายังลงมือช้าไปหน่อย แม้แต่ร้อยล้านคันก็ช้อนมาไม่ได้ หนิวโหย่วเต๋อเจ้าหนุ่มนี่ จุกตายกล้าหาญ หิวตายขี้ขลาด[1]จริงๆ!” เขาหันกลับมาถามอีกว่า “หนิวโหย่วเต๋อขอความร่วมมือจากพวกเรา ให้ดักเส้นทางหนีของเถิงเฟยเอาไว้ เขาต้องการลงมือกับเถิงเฟย จะคิดว่ายังไง?”
โกวเยว่ตอบว่า “ความคิดของหนิวโหย่วเต๋อนั้นไม่ผิด เถิงเฟยอาจจะไปเข้าฝั่งประมุขชิงได้ทุกเมื่อ เป็นภัยแฝงจริงๆ ต้องแก้ปัญหานี้ ท่านอ๋อง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ในศึกนี้หนิวโหย่วเต๋อได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมาก ทั้งยังผนึกกำลังกับเฉิงไท่เจ๋อ กลายเป็นปัญหาในภายหลังได้ง่าย ให้เขาสูญเสียกำลังไปกับฝั่งเถิงเฟยสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ทางที่ดีก็ให้เถิงเฟยถ่วงเขาเอาไว้ พอประมุขชิงได้ข่าวแล้วจะต้องพุ่งไปแน่ ให้พวกเขาเข่นฆ่ากันเอง มีแต่ผลดีต่อพวกเราทั้งนั้น!”
…………………………
[1] จุกตายกล้าหาญ หิวตายขี้ขลาด 撑死胆大的 饿死胆小的 หมายถึง คนที่กล้าเสี่ยง กล้าได้กล้าเสีย
ไม่ว่าจะเป็นฮวาอี้เทียนหรือฉวี่ฉางเทียนที่รบแพ้ การขอรับโทษคือสิ่งที่ควรทำ แต่ประมุขชิงก็ไม่สามารถลงโทษอีกฝ่ายได้ เพราะความพ่ายแพ้ของศึกนี้ไม่ได้เป็นเพราะแม่ทัพสองคนนั้น แต่เป็นเพราะผู้บัญชาการสูงสุดอย่างประมุขชิงตัดสินใจพลาด ส่งกองทัพใหญ่เข้าไปในกับดักของอีกฝ่ายแล้ว
แน่นอนว่าเขาไม่พูดว่าเป็นความผิดของตัวเอง แต่ก็ไม่อาจผลักความผิดซี้ซั้วให้ใครได้ในเวลานี้
ข้างหน้าเป็นประตูดวงดาวอีกแห่ง ทัพใหญ่ที่เป็นกองหน้าปรากฏตัวอย่างโจ่งแจ้ง มองข้ามทหารยามไป พอตะโกนบอกแล้วไม่ถอยก็บุกโจมตีทันที บังคับเปิดทางให้ราชันสวรรค์ที่อยู่ข้างหลัง ทิ้งการบาดเจ็บล้มตายเอาไว้บริเวณหนึ่ง ไม่สนเลยว่าจะเป็นกำลังพลของฝ่ายไหน
“ฝ่าบาท ทัพตะวันตกกับทัพเหนือกำลังระดมพลขนาดใหญ่ เริ่มกวาดล้างกองทัพองครักษ์ในอาณาเขตทั่วทุกด้านแล้ว สู้กับพวกเราอย่างเป็นทางการ” อู๋ฉวี่รายงานข่าวไม่ดีขึ้นมาอีกครั้ง
สำหรับคนที่ปกครองใต้หล้า สิ่งใดที่เรียกว่าใต้หล้าวุ่นวายละ? ก็คือการที่มีข่าวร้ายส่งมาอย่างต่อเนื่อง
สถานการณ์เสียการควบคุมอย่างฉับพลัน ข่าวร้ายทยอยมาไม่ขาดสาย ตอนแรกทำให้ประมุขชิงโมโหจนกระหืดกระหอบจริงๆ แต่ตอนนี้กลับใจเย็นแล้ว ตั้งแต่ลงมือผิดพลาด ปฏิกิริยาของอ๋องสวรรค์โค่วและอ๋องสวรรค์ก่วงก็อยู่ในความคาดหมายของเขาแล้ว ไม่พอให้แปลกใจ ไม่จำเป็นต้องโมโหอีกเช่นกัน ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องแก้ปัญหาอย่างเยือกเย็น
“ฝ่ายศัตรูมีเยอะกว่าฝ่ายเรา สั่งให้กองทัพองครักษ์แต่ละแห่งรักษากำลังเอาไว้ อย่าใช้กำลังปะทะตรงๆ หนีเข้าไปซ่อนตัวในอาณาเขตดาวนิรนามก่อน รอให้ข้าไปถึงแล้ว ก็ค่อยปรากฏตัวและผนึกกำลังกับทัพใหญ่ของข้า” ประมุขชิงกล่าว
อู๋ฉวี่เข้าใจความหมายของเขา ฝ่าบาทต้องการจะถือโอกาสเก็บรวบรวมกำลังพลระหว่างทาง รักษาและสะสมกำลังเอาไว้ในระดับสูงสุด เขาเอ่ยรับคำสั่ง “รับทราบ!”
“มีแค่ทัพตะวันตกกับทัพเหนือที่เคลื่อนไหวหรอ? เถิงเฟยของ ทัพตะวันออกล่ะ?” ประมุขชิงถาม
“ทัพตะวันออกยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ” อู๋ฉวี่ตอบ
ประมุขชิงแสยะยิ้ม “เถิงเฟยคิดจะนั่งดูเสือกัดกัน อยากจะเห็นทั้งสองฝั่งสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง สุดท้ายเขาก็ค่อยออกมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ไม่หัดเจียมตัวเสียบ้าง ซ่างกวน เจ้าติดต่อไปคุยกับเถิงเฟยเดี๋ยวนี้ ให้เขาระดมพลมาฟังคำบัญชาการของข้า ข้าจะประกาศต่อทั้งใต้หล้าว่าจะแต่งตั้งเขาเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพตะวันออก ประธานรางวัลเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งร้อยล้านคัน รีบดึงเขามาเป็นพวกให้เร็วที่สุด ถ้าเขาไม่ยอม เจ้าก็บอกเขาไปว่า การต่อสู้ในอาณาเขตทัพใต้จบลงแล้ว ข้าสามารถเลือกลูกพลับอ่อนมาบีบได้ ทัพใหญ่สามารถเปลี่ยนเส้นทางไปกำจัดเขาได้ทุกเมื่อ!”
“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ
ในที่สุดโพ่จวินที่อยู่ข้างกันก็กล่าวว่า “ฝ่าบาท ตอนนี้ยังมีปัญหาใหญ่ที่สุดที่ต้องแก้ไขอีก ใต้หล้ากำลังเปิดศึกทั่วทุกด้าน ประตูดวงดาวแต่ละแห่งถูกปิดไว้ คนทั่วไปไม่สามารถผ่านไปได้ตามปกติ แต่ละแห่งถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ทัพใหญ่แต่ละหน่วยล้วนอยู่ในการควบคุมที่เข้มงวด ไม่สามารถใช้ระฆังดาราติดต่อได้ตามปกติแน่นอน สำนักแต่ละแห่งก็หดหัวหลบภัย เกรงว่าสายลับของหน่วยตรวจการซ้ายก็รายงานข่าวลำบาก แล้วก็เลิกหวังด้วยว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะให้การสนับสนุนอะไรอีก การรับข่าวของทัพใหญ่เป็นปัญหาหนึ่ง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เกรงว่าพวกเราจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฝ่ายศัตรูระดมพลอย่างไร คงตามืดบอด เหมือนกับคนหูหนวกตาบอด ฝ่ายศัตรูรู้ความเคลื่อนไหวของเราได้ แต่พวกเรากลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน ยังจะทำยังไงได้อีก?”
ประมุขชิงขานรับ “ซ่างกวน บอกสมาคมวีรชน ให้สมาชิกของสมาคมวีรชนที่ซ่อนอยู่ตามแต่ละพื้นที่เคลื่อนไหวทั้งหมด ให้ซ่อนตัวสังเกตการณ์ใกล้ๆ ทางผ่ายทุกแห่งในใต้หล้า รายงานความเคลื่อนไหวของกำลังพลแต่ละพื้นที่ขึ้นมาให้ทันเวลา แล้วก็ เกาก้วน ให้สมาชิกของหน่วยตรวจการขวาแต่ละแห่งเคลื่อนไหวพร้อมกันทั้งหมด ดำเนินการตามนี้”
“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงกับเกาก้วนเอ่ยรับคำสั่งแล้วดำเนิน
ประมุขชิงไม่พูดอะไรอีก สีหน้าเรียบเฉย แต่อารมณ์กลับหนักหน่วงยิ่งขึ้น ความเสียหายของกำลังพลแปดร้อยล้าน หมายความว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดร้อยล้านคันตกอยู่ในมือกองทัพฝ่ายศัตรูแล้ว แค่นี้ก็เท่ากับจำนวนกำลังพลที่อยู่กับเขาตอนนี้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย
เมื่อผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพองครักษ์อย่างเขาบัญชาการผิดพลาดครั้งเดียว ปัญหายุ่งยากร้ายแรงที่ตามมาทำให้ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง
การประจันหน้าสนามแรกของกองทัพองครักษ์กับทัพกบฏจบลงแล้ว ภายใต้กับดักที่ฝ่ายศัตรูมีกำลังพลมากกว่า กองทัพองครักษแพ้ยับเยิน กำลังพลแปดร้อยล้านพินาศย่อยยับ
ทัพใต้ที่เก็บกวาดสนามรบก็กำลังตรวจนับความเสียหายเช่นกัน
หลังจากชิงเยว่สรุปความเสียหายของการรบแล้ว ก็มารายงานตรงหน้าเหมียวอี้ “ท่านอ๋อง กำลังพลห้าร้อยล้านฝ่ายศัตรูย่อยยับหมด ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว ได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาประมาณห้าร้อยล้านคัน ทรัพยากรอย่างอื่นยังไม่ได้นับ กำลังพลฝ่ายเราตรงประตูดวงดาวเสียหายไปเกือบหกสิบล้าน ศึกที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้เสียหายไปเกือบสามร้อยล้าน เกินครึ่งเสียหายเพราะฝ่ายศัตรูใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตีในตอนแรก รวมแล้วกำลังพลฝ่ายเราเสียหายสามร้อยหกสิบล้าน บาดเจ็บเกือบสองร้อยล้าน กำลังรวมกลุ่มรักษาบาดแผล ในจำนวนนั้นมีสามสิบล้านคนที่อาการสาหัส เกรงว่าคงรักษาให้หายไม่ได้ภายในเวลาสั้นๆ ร่วมรบต่อไปไม่ได้อีก ส่วนที่เหลือสามารถฟื้นฟูร่างกายโดยเร็วที่สุด”
เหมียวอี้พยักหน้า ภายใต้เงื่อนไขที่มีความได้เปรียบด้านกำลังทหารแบบนี้ แต่ก็ยังสูญเสียกำลังพลไปเยอะมาก พลังรบของกองทัพองครักษ์ห้าวหาญจริงๆ นับกำลังพลอาการสาหัสที่ยังรบต่อไม่ได้ การสู้กับกองทัพองครักษ์ห้าร้อยล้านนี้ ฝ่ายเขาจ่ายราคาไปเป็นกำลังพลสี่ร้อยล้านแล้ว เรียกได้ว่าฝ่ายศัตรูเสียหายหนึ่งพันฝ่ายตัวเองเสียหายแปดร้อย แม้จะชนะก็เจ็บตัวเหมือนกัน
หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ บอกว่า “กำลังพลด้านนอกให้ความร่วมมือกับทัพใหญ่แดนรัตติกาลปราบกองทัพองครักษ์ไปประมาณสามสิบล้าน ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเสียหายไปเกือบสองร้อยล้าน กำลังพลเดิมก็เสียหายไปเกินสิบล้านเช่นกัน”
“เฮ้อ!” เฉิงไท่เจ๋อถอนหายใจ “แม้ฝ่ายข้าจะกำจัดกองทัพองครักษ์ไปเกือบสามร้อยล้าน แต่กำลังพลของตัวเองกลับเสียหายไปเกือบห้าร้อยล้าน กำลังพลประมาณยี่สิบล้านที่นำโดยฮวาอี้เทียนฝ่าวงล้อมไปได้แล้ว ปล่อยให้เขาหนีไปได้แล้ว”
เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พี่ชาย คิดในแง่ดีหน่อย สาเหตุที่ข้าตัดสินใจว่าจะทำศึกนี้ให้ได้แม้จะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ก็เพราะเป็นศึกที่รู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว เป็นศึกที่เปลี่ยนให้กำลังของฝ่ายเรากับฝ่ายศัตรูสูสีกันได้ด้วย มีความสำคัญมาก ตอนนี้พวกเราทำสำเร็จแล้ว ตอนนี้ในมือมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์์เพิ่มมาเกือบแปดร้อยล้านแล้ว ทั้งยังรักษากำลังพลไว้ได้สามร้อยล้านกว่า ต่อให้ปะทะกับประมุขชิงซึ่งๆ หน้า เกรงว่าประมุขชิงก็อาจสู้พวกเราไม่ได้เหมือนกัน ศึกเดียวเปลี่ยนแปลงฟ้าดิน อันตรายนี้คุ้มค่าที่จะเสี่ยง อย่าบอกนะว่าไม่มีค่าพอให้ดีใจ?”
เฉิงไท่เจ๋อกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ท่านอ๋องก็พูดถูก!” แต่ในใจกลับแอบพึมพำว่า กำลังของเจ้าเพิ่มขึ้นแล้ว แต่กำลังของข้ากลับลดลงหนึ่งในสาม ยิ่งทำได้เพียงต้องพึ่งพาเจ้ามากขึ้น
“ท่านอ๋อง ตอนนี้ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง กองทัพองครักษ์หลายร้อยล้านด้านนอกเริ่มหลบแล้ว ไม่ปะทะกับพวกเราอีก” หยางเจาชิงกล่าว
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว ถ้าคนพวกนี้หลบซ่อนขึ้นมา เช่นนั้นก็เป็นปัญหาแล้วจริงๆ
หยางชิ่งที่อยู่ข้างกายบอกว่า “ถ้าหลบซ่อนขึ้นมา ก็เกรงว่าคงไม่ใช่แค่กองทัพองครักษ์ในทัพใต้แล้ว ข่าวที่กำลังพลจู่โจมฝั่งนี้รบแพ้จะต้องถึงหูประมุขชิงแล้วแน่นอน ถ้าจะให้กำลังพลหลายร้อยล้านที่กระจัดกระจายดันทุรังโจมตีช่วยเหลืออีก ก็ไม่มีความหมายแล้ว ไม่ต่างอะไรกับให้พวกเขาเอาชีวิตไปทิ้ง ทัพตะวันตกกับทัพเหนือก็เริ่มได้ชัยจากกองทัพองครักษ์แล้วเช่นกัน กำลังพลเล็กน้อยเหล่านั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสองทัพเลย เกรงว่าจะซ่อนตัวแล้วเหมือนกัน พอเป็นแบบนี้ จุดประสงค์ของประมุขชิงก็ชัดเจนมาก เขาจะต้องพยายามรักษากำลังไว้แน่นอน พวกเราแค่จำจัดกำลังพลหนึ่งในสามส่วนของเขาเท่านั้น ในมือเขายังมีอีกหนึ่งในสาม ที่กระจัดกระจายอยู่แต่ละแห่งก็ไม่รู้ว่าเสียหายขนาดไหน คาดว่าคงเป็นหนึ่งในสามเหมือนกัน ขอเพียงรักษาและเก็บรวบรวมกองทัพองครักษ์ในอาณาเขตของทัพฝ่ายต่างๆ ไว้ได้ ในมือเขาก็จะยังรักษากำลังพลไว้ได้เยอะมาก”
เฉิงไท่เจ๋อพยักหน้า “ท่านบุรุษหยางพูดถูก ขอเพียงรวบรวมกำลังพลที่เหลือได้ ไม่ว่าประมุขชิงจะสู้กับฝ่ายไหนก็ไม่ต้องกลัว สามารถสู้ได้เลย! ตอนนี้ประมุขชิงนำทัพใหญ่เร่งตามมาแล้ว คาดว่าตามรายทางคงไม่มีใครกล้าดันทุรังปะทะกับกำลังพลแปดร้อยล้านของเขาแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขชิงจะเก็บรวบรวมกำลังพลตามรายทางแล้ว คงใช้เวลาอีกไม่นาน กำลังพลที่รวมอยู่ในมือเขาเป็นทัพใหญ่เกินพันล้านได้เลย! กองทัพพระแปดร้อยล้านจากแดนสุขาวดีก็กำลังจะฝ่าด่านออกมาเหมือนกัน บวกกับจำนวนเดิมที่เคลื่อนพลออกมาแล้วห้าร้อยล้าน ประมุขชิงก็ถือว่าดุดันมากทีเดียว!”
ทุกคนฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาจริงจัง อำนาจแต่ละฝ่ายล้วนมีความคิดแตกต่างกันไป การรักษากำลังของตัวเองต้องมาเป็นอันดับแรก คาดว่าคงไม่มีใครรวบรวมกำลังพลไปปะทะกับประมุขชิงตามรายทางเพื่อสกัดให้ทัพใต้หรอก ประมุขชิงถูกบีบจนถึงขั้นนี้แล้วกลับต้องสู้สุดชีวิต ถ้าอยากจะเอาชนะประมุขชิง ก็เป็นเรื่องที่ลำบากมาก! ยากมาก!
“ถ้าสามารถกดกำลังพลของแดนสุขาวดีไว้ได้ แต่ละฝ่ายถึงจะตัดสินใจร่วมมือกันสู้กับประมุขชิงให้รู้ดำรู้แดง ไม่อย่างนั้นโค่วหลิงซวีคงเป็นคนแรกที่ไม่กล้าทำอะไรวู่วาม เขาเป็นหนังหน้าไฟเผชิญกับทัพใหญ่แดนสุขาวดี ออกโจมตีสองสาย ทั้งท้องทั้งหลังล้วนรับข้าศึก ต้องสู้กับประมุขชิงกับประมุขพุทธะในเวลาเดียวกัน เขาไม่กล้าทำอย่างนี้หรอก ความเป็นไปได้มากสุดก็คือปลีกตัวถอยออกไป!” หยางชิ่งเตือนอยู่ข้างๆ บอกใบ้เหมียวอี้ว่าควรเผยไพ่ที่ใช้รับมือกับแดนพุทธได้แล้ว
“ไม่รีบ! ทางฝั่งแดนพุทธข้ามีแผนอยู่แล้ว ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาลงมือ รอให้ทัพใหญ่ของประมุขพุทธะเคลื่อนพลออกจากแดนพุทธก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เหมียวอี้โบกมือ แล้วเลิกคิ้วอีก “เถิงเฟยชักช้าไม่ยอมเคลื่อนพล เขาอยากจะนั่งบนกำแพงดูเสือกัดกัน นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุด ถ้าเขาไปเข้าข้างฝั่งประมุขชิงเมื่อไร ปัญหาก็จะไม่ใช่น้อยๆ กำจัดภัยแฝงนี้ก่อน แล้วค่อยรวบรวมสมาธิมารับมืออย่างอื่น!”
“ท่านอ๋องหมายความว่า หลีกเลี่ยงคมดาบของประมุขชิงก่อน แล้วโจมตีเถิงเฟย?” เฉิงไท่เจ๋อถาม
หยางชิ่งตอบว่า “อาจไม่ต้องโจมตี กลยุทธ์ชั้นยอดคือบีบยอมแพ้ต่างหาก!”
เฉิงไท่เจ๋อบอกว่า “ในเมื่อเถิงเฟยตัดสินใจจะนั่งดูเฉยๆ เกรงว่าคงไม่ติดต่อกับท่านอ๋องง่ายๆ ถ้าท่านอ๋องบีบเขา ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะเข้าไปหลบซ่อนในอาณาเขตดาวนิรนามก่อน”
หยางชิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ก็ต้องฉวยโอกาสบีบให้เขาไปหลบไกลๆ หน่อยถึงจะแก้ปัญหาได้สะดวก ต้องบีบให้เขาเข้าไปอยู่ในอาณาเขตดาวนิรนามด้วยถึงจะดีที่สุด”
“หมายความว่ายังไง?” เฉิงไท่เจ๋อสงสัย
หยางชิ่งมองไปที่เหมียวอี้ บางอย่างเขาไม่สะดวกจะพูด ต้องดูว่าเหมียวอี้จะเต็มใจพูดหรือเปล่า
เฉิงไท่เจ๋อเข้าใจ สายตามองตามไปที่เหมียวอี้เช่นกัน
[1] จุกตายกล้าหาญ หิวตายขี้ขลาด 撑死胆大的 饿死胆小的 หมายถึง คนที่กล้าเสี่ยง กล้าได้กล้าเสีย
ไม่ได้เห็นการบัญชาการที่เด็ดเดี่ยวของชิงเยว่กับตาตัวเอง เฉิงไท่เจ๋อก็แอบชื่นชม ในปีนั้นผู้หญิงคนนี้สามารถได้รับคำชมจากฮ่าวเต๋อฟางได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
หยางชิ่งกลับยิ้มเจื่อนในใจ ยอมรับในความสามารถของชิงเยว่นั่นก็อีกเรื่องนึง แต่ชิงเยว่เหมือนจะขาดความสามารถในบางด้าน ในบางด้านนางเด็ดขาดเกินไป ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ นางไม่เข้าใจกันบริหารกำลังพล ยกตัวอย่างเช่นบุกโจมตีกำลังพลดักซุ่มที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ นางก็ตัดสินใจเองโดยไม่สนใจคำเตือนของเหมียวอี้ รู้ว่าเฮยทั่นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเหมียวอี้ แต่ก็ยังกล้าขู่ให้กลัว ผลปรากฏว่าสร้างความเสียหายแล้วไม่น้อย ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจได้ว่าทำไมในปีนั้นผู้หญิงคนนี้จึงฆ่าล้างตระกูลของซูอวิ้น ถึงแม้จะรู้ว่าซูอวิ้นได้รับความรักจากฮ่าวเต๋อฟางก็ตาม
ตอนที่ฮ่าวเต๋อฟางยังอยู่ ซูอวิ้นยอมทิ้งความแค้นเรื่องตระกูลเพื่อผลประโยชน์ของฮ่าวเต๋อฟาง ตอนนี้ฮ่าวเต๋อฟางไม่อยู่แล้ว ซูอวิ้นกับชิงเยว่ให้ความรู้สึกเหมือนจะสู้กัน ยามทั้งสองเจอหน้ากันก็ล้วนทำสีหน้าไม่ดีใส่กัน บางครั้งก็ทำเหมือนไม่เห็น สิ่งนี้ทำให้หยางชิ่งที่ถูกขนาบอยู่ตรงกลางรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย
เขาเองก็เตือนซูอวิ้นเช่นกันว่าอย่าไปยั่วโมโหชิงเยว่ เพราะชิงเยว่ในตอนนี้ไม่ใช่คนที่ซูอวิ้นจะไปมีเรื่องด้วยไหว ในมือชิงเยว่มีกำลังทหาร ได้รับความไว้วางใจจากเหมียวอี้ที่สุด เป็นความไว้วางใจประเภทที่สร้างขึ้นจากการเฝ้าสังเกตการณ์หลายปี แม้แต่หยางชิ่งก็เทียบไม่ติด การรักษาความปลอดภัยในจวนท่านอ๋อง เหมียวอี้ถึงขั้นส่งชีวิตของคนทั้งครอบครัวให้ชิงเยว่คุ้มครอง ความเชื่อใจแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่ต้องอธิบายแล้ว แม้แต่คนเก่าคนแก่ที่มาจากพิภพเล็กก็ยังเทียบไม่ติด ต่อให้เป็นพวกฝูชิงก็เทียบไม่ติด
สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย ไม่ว่าชิงเยว่จะทำอะไรก็ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัว เมื่อทำเรื่องบางอย่างผิดไป ก็เป็นเพราะคิดไปเองว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อเหมียวอี้ ทั้งยังกล้าทำกล้ารับ ไม่ไปทำอะไรเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ในจุดนี้คนอื่นที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้มีคนทำได้น้อยมาก
อย่างน้อยก็มีจุดหนึ่งที่หยางชิ่งรู้อย่างชัดเจน ว่าเหมียวอี้ไม่มีทางปล่อยอำนาจทางทหารมากขนาดนี้ให้หยางชิ่ง ถ้าซูอวิ้นยั่วโมโหชิงเยว่จริงๆ แล้วถูกชิงเยว่ฆ่าตายขึ้นมา เกรงว่าแม้แต่เหมียวอี้ก็คงจะแกล้งปิดตาข้างเดียว อย่างมากก็แค่ชดใช้อย่างอื่นให้หยางชิ่ง มีความเป็นไปได้น้อยที่จะแตะต้องชิงเยว่เพราะเรื่องแบบนี้
ถึงแม้ในบางด้าน การกระทำของชิงเยว่จะยั่วโมโหเหมียวอี้บ่อยๆ เหมือนกับเรื่องที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่โมโหก็ส่วนโมโห สุดท้ายเหมียวอี้ก็ยังปล่อยผ่านให้เรื่องจบไป หยางชิ่งรู้สึกได้รางๆ ว่า หากในอนาคตมีจริง ชิงเยว่อาจจะกลายเป็นโพ่จวินคนที่สองก็ได้ กอปรกับความได้เปรียบที่ชิงเยว่เป็นผู้หญิง สามารถเข้าออกเรือนชั้นในได้โดยตรง คุลกคลีกับอวิ๋นจือชิวได้โดยไร้กังวล อวิ๋นจือชิวเป็นผู้หญิงที่เฉลียวฉลาดขนาดไหน มีวิธีการซื้อใจคนที่ยอดเยี่ยมมาก ชิงเยว่กับอวิ๋นจือชิวมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาก ได้รับความไว้วางใจจากอวิ๋นจือชิวเช่นกัน มีอวิ๋นจือชิวช่วยพูดอยู่ข้างหูเหมียวอี้ ฐานะของชิงเยว่ก็แข็งแกร่งมั่นคงมาก โดยทั่วไปไม่มีใครทำให้สั่นคลอนได้
เมื่อเทียบกับหลงซิ่นที่เป็นผู้ตรวจการทัพอารักขา หลงซิ่นก็ด้อยกว่าไม่น้อย ในฐานะที่เป็นลูกน้องคนสนิท บางครั้งความแตกต่างด้านความสามารถก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับเจ้านายแล้ว ความจงรักภักดีต่างหากที่มาอันดับหนึ่ง เรื่องของเกาเหยียนในปีนั้น การกระทำของหลงซิ่นยังแฝงความรู้สึกส่วนตัว หยางชิ่งเดาว่าเรื่องในครั้งนั้นคงทำให้หลงซิ่นโดนเหมียวอี้ตัดคะแนนไปเยอะแล้ว อย่างน้อยยามแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนในครอบครัว เหมียวอี้ก็จะต้องคุ้มคิดให้มากแน่ๆ
บนสนามรบ ชิงเยว่ออกคำสั่งครั้งแล้วครั้งเล่า ปล่อยข้าศึกฝ่าวงล้อมออกไปอย่างต่อเนื่อง แล้วก็มีกำลังพลจากสองปีกบุกเข้ามาดักสังหารเรื่อยๆ ข้าศึกฝ่าวงล้อมที่ถูกปล่อยออกมาชุดแล้วชุดเล่ากลายเป็นเป้าที่มีชีวิต ไม่มีการสนับสนุนจากพรรรคพวกที่ตามมาข้างหลังแล้ว พอออกมาได้ก็โดนสังหารปราบชุดแล้วชุดเล่า
ฉวี่ฉางเทียนอยู่ในขบวนรบ พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้วแทบตาถลน กำลังพลแกล้งฝ่าวงล้อมที่ตัวเองส่งออกไปไม่ได้แสดงบทบาทในการหลอกล่อกองทัพฝ่ายศัตรู และไม่ได้สร้างโอกาสใดๆ หรือลดความกดดันเพื่อให้เขาเตรียมตัวฝ่าวงล้อมด้วย ฝ่ายศัตรูบัญชาการได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่ถูกหลอกล่ออะไรทั้งนั้น
เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าถ้าเขาดันทุรังฝ่าวงล้อมออกไป แม่ทัพฝ่ายศัตรูก็จะใช้วิธีการเดียวกันนี้มาสู้กับเขาแน่นอน
เมื่อสังเกตการณ์ดูครู่เดียวก็เข้าใจแล้ว ว่าในมือฝ่ายศัตรูมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เพียงพอ นี่คือกุญแจสำคัญที่ทำให้อีกฝ่ายไม่เปลืองแรง ทั้งอย่างบัญชาการได้ยังสุขุมเยือกเย็น
และตอนนี้ทั้งทัพใหญ่ก็ถูกฝ่ายศัตรูสังหารเข้ามาจนกระจัดกระจายแล้ว กำลังพลส่วนใหญ่ถูกพัวพันเอาไว้ อยากจะรวมกำลังเพื่อรับมือให้ทั่วทุกด้านอีกก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
“ถ่ายทอดคำสั่งของข้า ให้แต่ละหน่วยรวมกำลังฝ่าวงล้อม!” ฉวี่ฉางเทียนกัดฟันสั่ง ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาก็ตายอยู่ดี ไม่สู้ลองดูสักตั้ง
ใช้เวลาไม่นาน สถานการณ์บนสนามรบเปลี่ยนไปมาก กองทัพองครักษ์ที่ถูกล้อมดิ้นรนฝ่าวงล้อมทั่วทุกทิศอย่างสุดชีวิต ไม่สนใจลำดับขั้นตอนอะไรเลย ต่างคนต่างสู้ด้วยตัวคนเดียว
ชิงเยว่ใจเย็นมาก สภาพวุ่นวายชวนตาลายตรงหน้าไม่ได้ทำให้นางสับสน นางจ้องสถานการณ์บนสนามรบไม่ละสายตา กำลังพลที่ส่งเข้าไปในสนามรบกำลังต่อสู้พัวพันกองทัพองครักษ์ที่รวมกลุ่มขนาดใหญ่เอาไว้ เน้นจับตาดูแม่ทัพคนสำคัญอย่างฉวี่ฉางเทียน ไม่ให้โอกาสเขาปลีกตัวออกไปเด็ดขาด
ส่วนกองทัพองครักษ์กลุ่มเล็กที่ฝ่าฟันออกไป ชิงเยว่สั่งให้มือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่อยู่รอบๆ ตัดสินใจยิงเอาเองตามสถานการณ์
ลำแสงราวกับห่าฝน เสียงระเบิดดังก้อง เสียงร้องครวญครางดังไม่ขาดสาย
กำลังพลหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น หลายแสนถึงขั้นหลายล้านที่พุ่งออกมา พอโผล่หน้ามาก็ถูกลำแสงยิงถล่ม ข้างหน้ามีฝนธนูยิงโจมตี ข้างหลังมีกำลังพลไล่ตามฆ่า พอข้างหลังโจมตีให้กลุ่มก้อนแตกกระจายแล้ว ก็ทิ้งให้กระบวนทัพธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ด้านนอกรับมือต่อ แล้วตัวเองก็เลี้ยวกลับเข้าไปในขบวนรบอีก
สถานการณ์ฝ่าวงล้อมเป็นอย่างไร แค่คิดก็รู้แล้ว ไม่ต่างอะไรกับเร่งความสูญเสียให้กำลังทหารของกองทัพองครักษ์
ภายใต้สถานการณ์ที่การเพิ่มลดกำลังของสองฝ่ายสวนทางกัน กำลังพลของกองทัพองครักษ์ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ หมายความว่าหนึ่งคนจะต้องสู้กับศัตรูหลายคนมากขึ้น
การต่อสู้นี้ของฉวี่ฉางเทียน ทำให้ทั้งทัพใหญ่ตกสู่สถานการณ์สิ้นหวังเร็วขึ้น
จนกระทั่งฉวี่ฉางเทียนมองไปรอบรอบด้วยความเศร้าสลด การเข่นฆ่าของกลุ่มเล็กๆ ก็ไม่เหลือแล้ว เหลือเพียงกำลังพลไม่กี่ล้านคนที่ล้อมพิทักษ์และดิ้นรนสู้ตายอยู่รอบตัวเขา
ห้าร้อยล้านทัพใหญ่เชียวนะ! ฉวี่ฉางเทียนตาแดงก่ำแล้ว หยิบระฆังดาราขึ้นมารายงานสถานการณ์รบต่อเบื้องบน เป็นการขอโทษและบอกลาครั้งสุดท้ายเช่นกัน ตำหนิว่าตัวเองไร้ความสามารถ!
“ทัพใหญ่ถอยหลัง!” ชิงเยว่ออกคำสั่ง
ทัพใหญ่ที่ล้อมอย่างหนาแน่นถอยหลังออกจากสนามรบที่เข่นฆ่ากันอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ ฉวี่ฉางเทียนก็กัดฟันจนเลือดไหล รีบเก็บระฆังดาราในมือ แล้วกัดฟันคำรามว่า “โจมตี! กัดฟันสู้!”
แค่มองปราดเดียวเขาก็รู้ว่าชิงเยว่คิดจะทำอะไร ชิงเยว่คิดจะดึงระยะห่าง เตรียมตัวใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากยิงกำจัดพวกเขาในรวดเดียว อย่างไรเสีย กำลังพลที่ยังสามารถล้อมอยู่รอบทัพกลางได้ในตอนนี้ ก็ล้วนเป็นยอดฝีมือของกองทัพองครักษ์ ถ้าดันทุรังโจมตีต่อไป ก็จะทำให้ฝ่ายตัวเองเกิดการบาดเจ็บล้มตายมากเกินไป
ถามหน่อยว่าฉวี่ฉางเทียนจะทนดูภาพเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มีหรือที่จะยอมให้อีกฝ่ายลงมือสังหารได้รวดเร็วถึงใจขนาดนั้น
กำลังพลของฉวี่กัดฟันพุ่งตามออกไปเราก็เป็นบ้าไปแล้ว
ชิงเยว่ยกมุมปากแสยะยิ้ม ถ้ากองทัพของศัตรูไม่เคลื่อนไหวนางก็จะใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์รับมือ กำจัดให้หมดในรวดเดียว แต่ถ้าฝ่ายศัตรูเคลื่อนไหว ก็ยากที่จะพ้นเงื้อมมือนางอยู่ดี
เมมื่อเห็นขบวนรบรอบกองทัพองครักษ์กระจายตัวออกไปแล้ว ชิงเยว่ก็โบกมือสั่ง “โจมตี!”
ท่ามกลางกำลังพลรอบๆ ที่ถอยออกไป จู่ๆ ก็มีกำลังพลโจมตีออกมาในทิศทางตรงกันข้ามกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ถือโอกาสเสียบเข้าไปในกองทัพองครักษ์ที่คลายตัวออก ทัพฝ่ายศัตรูหลายล้านที่ก่อนหน้านี้โจมตีเข้าไปได้ยาก ตอนนี้ถูกแบ่งให้เป็นกลุ่มเล็กๆ แล้วแบ่งกำัจดที่ละกลุ่ม
“ใครขวางข้า ตาย!” แม่ทัพใหญ่คนหนึ่งข้างกายฉวี่ฉางเทียนคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ทัพใหญ่ที่ล้อมพิทักษ์อยู่วงนอกถูกงัดออกไปหมดแล้ว แม้แต่แม่ทัพข้างกายฉวี่ฉางเทียนก็ต้องลงมือฆ่าฟันด้วยตัวเอง
ส่วนข้างกายฉวี่ฉางเทียนก็เหลือคนคุ้มกันอยู่ไม่กี่พันคนเท่านั้น
ไม่ได้เห็นสถานการณ์รบกับตาตัวเอง เฉิงไท่เจ๋อก็หันกลับมาพูดกับเหมียวอี้พร้อมรอยยิ้ม “ท่านอ๋อง สถานการณ์ภาพรวมมั่นคงแล้ว!” แม้จะสาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว แต่เขาก็ยังเรียกว่าท่านอ๋อง
เหมียวอี้พยักหน้า จ้องบนสนามรบพร้อมบอกว่า “บอกชิงเยว่ คนที่จับเป็นฉวี่ฉางเทียน ตบรางวัลทั้งกองทัพด้วยตัวเอง!”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเข้าใจเจตนาของเขา ตอนนี้ฉวี่ฉางเทียนเป็นผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายของกองทัพองครักษ์ แค่คิดก็รู้แล้วว่าถ้าจับเป็นแล้วจะส่งผลต่อขวัญกำลังใจกองทัพองครักษ์ขนาดไหน ใช้อุบายเล็กน้อยเพื่อทำให้ฉวี่ฉางเทียนสั่งกองทัพองครักษ์หน่วยของตัวเองที่ไม่ได้ร่วมรบให้ยอมแพ้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะมากกว่านี้
ไม่นาน กำลังพลที่ล้อมโจมตีฉวี่ฉางเทียนก็เหมือนจะเป็นบ้าไปแล้ว รอบข้างมีกำลังพลเบียดเข้าไปทางฝั่งฉวี่ฉางเทียนอย่างสุดชีวิต
ไม่ใช่เพื่ออะไร แต่เป็นเพราะท่านอ๋องตบรางวัลทั้งกองทัพด้วยตัวเอง!
สิ่งนี้หมายความว่าอะไรล่ะ? หมายความถึงเกียรติยศความร่ำรวย หมายความว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากแม้จะต่อสู้มาทั้งชีวิต ควรค่าที่จะลองเสี่ยงอันตรายสักครั้ง ถ้าเจ้าไม่ลอง ก็มีคนอีกมากมายไปลองอยู่แล้ว!
ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่เหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้านี้ แม้แต่คนตาบอดก็รู้ว่าฝั่งนี้ชนะแน่นอน มีคนเยอะขนาดนี้บุกไปพร้อมกันยังมีอะไรน่ากลัวอีก ใครแย่งได้คนนั้นก็ได้ไป!
ฝั่งนี้มีกำลังพลเยอะเกินไป มีหลายคนที่ไปสัมผัสกับการเข่นฆ่าไม่ได้แล้ว คนที่วรยุทธ์วรยุทธอ่อนแอก็เบียดเข้าไปไม่ได้เลย คนที่วรยุทธ์สูงก็คว้าเจ้าโยนไปข้างหลังเพื่อแย่งผลงานี้ ทั้งยังถือโอกาสด่าด้วยว่า “ไสหัวไปทางนั้น ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!”
คนวรยุทธ์ที่อยากจะชุบมือเปิบ ไม่ใช่กำลังล้อเล่นหรอกหรือ?
ฉวี่ฉางเทียนตกอยู่ท่ามกลางทะเลมนุษย์แล้ว มือข้างหนึ่งถือกระบี่ยาว ราวกับเป็นจอมมารคลั่ง ดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อรับมือกับยอดฝีมือที่ล้อมโจมตี ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด
กำลังพลที่อยู่ข้างกายตายไปหมดแล้ว มีหรือที่จะต้านทานยอดฝีมือมากมายที่กำลังล้อมโจมตีเพื่อชิงผลงานได้
ตอนที่พบว่าข้างกายมีแต่ยอดฝีมือ และคิดว่าฆ่าไปทีละคนก็ยังสิ้นหวัง “ฆ่า!” ฉวี่ฉางเทียนก็คำรามราวกับประสาทเสีย ใบหน้าเต็มไปด้วยความคับแค้น ถลึงสองตาอย่างเกรี้ยวโกรธ โบกกระบี่สุดแรงเพื่อโจมตีครั้งเดียว แล้วถือโอกาสโบกกระบี่มาไว้บนคอตัวเอง เด็ดเดี่ยวรวดเร็ว เขาปาดคอจนศีรษะตัวเองกระเด็นออกมาแล้ว เลือดอุ่นๆ พุ่งขึ้นมา
คนที่ล้อมโจมตีอย่างชุลมุนงงเป็นไก่ตาแตก ความพยายามสูญเปล่าแล้ว…
เมื่อได้รับข่าวว่าฉวี่ฉางเทียนปลิดชีพตัวเอง เหมียวอี้ก็หน้าบึ้งนิดหน่อย
ตอนนี้สงครามยังไม่จบโดยสิ้นเชิง แต่แม่ทัพคนสำคัญอย่างฉวี่ฉางเทียนกลับจบเห่ก่อนแล้ว…
ในดาราจักร หงส์และมังกรบินว่อนด้วยความเร็ว ในเกี้ยวมังกรที่งดงามหรูหรา ประมุขชิงนั่งสง่าอยู่ข้างใน จ้านหรูอี้อยู่ในห้องเล็กด้านหลังอย่างสงบ มีทัพใหญ่ติดตามอยู่รอบๆ
“ฝ่าบาท ทางฉวี่ฉางเทียนขาดการติดต่อไปแล้ว…” ตรงหน้าบัลลังก์ อู๋ฉวี่หลับตาถอนหายใจ
โพ่จวินที่เอามือไขว้หลังยืนอยู่ข้างๆ หลับตาลง ขาดการติดต่อไปหมายความว่าอะไรก็ไม่ต้องพูดมากแล้ว ผู้ช่วยทั้งสองคนของเขา ซีเหมินอู๋เหย่กับฉวี่ฉางเทียนล้วนตายด้วยน้ำมือหนิวโหย่วเต๋อ
ประมุขชิงทำหน้านิ่งโดยไม่พูดอะไร
หลังจากอู๋ฉวี่ใช้ระฆังดาราในมือติดต่ออีกครั้ง ก็รายงานอย่างหดหู่ว่า “ฝ่าบาท ทัพใหญ่สามร้อยล้านของฮวาอี้เทียนเสียหายหมดสิ้น มีเพียงสองหมื่นกว่าคนที่สังหารฝ่าวงล้อมมาได้ ขอรับโทษจากฝ่าบาท!”
กำลังพลแปดร้อยล้านพินาศย่อยยับ? หยินซวง ไป๋เสวี่ยที่อยู่ในห้องเล็กด้านหลังมองหน้ากันเลิกลั่ก ในดวงตาฉายแววกังวล มีข่าวไม่ดีเรื่องการรบส่งมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทั้งสองกังวลมาก นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะร้ายกาจขนาดนั้น แม้แต่กองทัพองครักษ์ที่ใหญ่ขนาดนี้ก็ยังสู้เขาไม่ได้
เมื่อก่อนได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อรบเก่ง ได้ฉายาว่ารบชนะทุกศึก อย่างไรเสียพวกนางก็มาจากตระกูลอิ๋ง พวกนางยังพูดเหน็บแนมอยู่เลย ตอนนี้มีแต่ความหวาดกลัว กังวลว่าถ้าเจอแล้วจะเอาชนะได้ไหม?
จ้านหรูอี้ที่ตั้งใจฟังเงียบๆ หันหน้ามาอย่างช้าๆ มองมาทางนี้ผ่านหน้าต่าง
ประมุขชิงกล่าวช้าๆ ว่า “ฝ่ายศัตรูมีเยอะกว่า มีความผิดเสียที่ไหนกัน คนที่ผิดคือโจรกบฏหนิวโหย่วเต๋อ ถ่ายทอดคำสั่งให้ฮวาอี้เทียน ให้เขาติดต่อกำลังพลที่อยู่ในอาณาเขตทัพใต้ พยายามหาทางเก็บรวบรวมทัพใหญ่ อย่าโจมตีง่ายๆ อีก รอรวมผนึกกำลังกับข้า”
………………………
ขวัญกำลังใจทหารเพิ่มขึ้นแล้ว!
เหิงอู๋เต้าเองก็ดีใจมากเช่นกัน!
ไม่ว่าจะเป็นเพราะความได้เปรียบด้านกำลังทหารหรือไม่ ต้องทราบไว้ว่าคนที่พวกเขาเอาชนะได้คือกองทัพองครักษ์ เอาชนะกองทัพองครักษ์ที่ระดมกำลังพลห้าสิบล้าน เอาชนะกองทัพองครักษ์ที่กำจัดอิ๋งจิ่วกวง เอาชนะกองทัพองครักษ์ที่ได้ชื่อว่าตั้งแต่ก่อตั้งตำหนักสวรรค์ขึ้นมาก็ไม่มีศึกไหนที่รบแพ้ จะไม่ให้ขวัญกำลังใจทหารขึ้นสูงปรี๊ดได้อย่างไร!
บนสนามรบหลักที่ใหญ่ที่สุด ทัพใหญ่สองฝ่ายเลิกใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว ตอนนี้กำลังเข่นฆ่ากันแล้ว ตะลุมบอนกันแล้ว ล้อมโจมตี!
“นายท่าน ทางฝั่งปี่จัวขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิงแล้ว!” รองแม่ทัพที่อยู่ข้างๆ รายงานเสียงสั่น
ฉวี่ฉางเทียนที่กำลังจับตาดูสถานการณ์รบหัวใจกระตุกวูบ ขาดการติดต่อไปในเวลานี้โดยสิ้นเชิงหมายความว่าอะไร ก็ไม่ต้องพูดมากแล้ว
นอกสนามรบ ท่ามกลางการคุ้มครองของทัพอารักขา พวกเหมียวอี้กำลังจับตาดูสถานการณ์รบ
หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ วางระฆังดาราลงแล้วรายงานว่า “ท่านอ๋อง จอมพลเหิงรายงานมา ว่ากองทัพองครักษ์ห้าสิบล้านถูกกำจัดหมดแล้ว กำลังเร่งมาช่วยทางนี้ขอรับ!”
“กำจัดกองทัพองครักษ์ห้าสิบล้านหมดแล้ว!” เฉิงไท่เจ๋อเดาะลิ้นอยู่ข้างๆ
เหมียวอี้พยักหน้า ถามว่า “ความเสียหายจากการรบเป็นยังไง?”
“กำลังพลฝ่ายเราเสียหายไปเกือบหกสิบล้าน!” หยางเจาชิงกล่าว
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว แม้แต่เฉิงไท่เจ๋อก็ขมวดคิ้วเช่นกัน กำลังพลห้าร้อยล้านโจมตีกำลังพลห้าสิบล้าน ไม่น่าเชื่อว่าความเสียหายจะสูงกว่าฝ่ายศัตรูเสียอีก พลังรบของกองทัพองครักษ์ช่างแข็งแกร่งจริงๆ ทว่าฝั่งฮวาอี้เทียนมีกองทัพองครักษ์สามร้อยล้าน สิ่งนี้ทำให้เขาปวดใจนิดหน่อย
หยางเจาชิงพูดเสริมว่า “จอมพลเหิงใช้วิธีการรีบรบรีบจบ กดดันเข้าไปจากทุกด้าน ความเสียหายจึงค่อนข้างมาก”
เหมียวอี้พยักหน้า หันกลับไปมองเฉิงไท่เจ๋อ “ท่านอ๋องเฉิง ที่ข้ามีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ห้าสิบล้านคันมาไว้ในมือแล้ว รอจนกำจัดกำลังพลตรงหน้าได้ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ห้าร้อยล้านคันก็จะมาอยู่ในมือแล้วจริงๆ ถ้ากำลังพลของเจ้าสามารถกำจัดทัพใหญ่สามร้อยล้านของฮวาอี้เทียนได้ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สามร้อยล้านคันนั่นข้าก็ไม่เอาเลย ทั้งหมดยกให้เจ้า เป็นยังไง?”
หยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วอมยิ้ม ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สามร้อยล้านคันเชียวนะ นี่เท่ากับบีบให้เฉิงไท่เจ๋อสู้ตาย!
ตอนนี้เขาถอดหน้ากากออกแล้ว เผยโฉมหน้าที่แท้จริงแล้ว มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉีกหน้าตำหนักสวรรค์อย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีก
เฉิงไท่เจ๋อได้ยินแล้วตาลุกวาว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สามร้อยล้านคันเชียวนะ ถ้าสามารถได้อุปกรณ์ชุดนี้ เสียอาณาเขตทัพตะวันออกไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ถ้ามีอาวุธชุดนี้อยู่ในมือ เถิงเฟยก็ยากจะต้านไหว!
แต่พอชำเลืองเห็นเหมียวอี้ยิ้มกรุ้มกริ่มลึกลับ ในใจก็พลันหนาวสั่น ทั้งครอบครัวตกเป็นตัวประกันอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว อีกฝ่ายบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องการกำลังพลในมือเจ้า ชัดเจนแล้วว่าต้องให้เจ้ายอมแพ้ ถ้าเอาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สามร้อยล้านคันนั่น ก็ไม่ต่างอะไรกับคิดจะอาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบน มีหรือที่อีกฝ่ายจะปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตกลับไป? ประโยคเดียว ยอมแพ้ก็มีทางรอดชีวิต ถ้าอาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบนก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!
ถ้าเปลี่ยนให้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งเดียวกับหนิวโหย่วเต๋อ ก็ลองคิดดูสิ สถานการณ์ภาพรวมของใต้หล้ากำลังจะเปลี่ยนแปลงเพื่อต้อนรับผลประโยชน์ สุดท้ายถ้าใครมีศักยภาพแข็งแกร่งที่สุด คนนั้นก็มีสิทธิ์เอาส่วนแบ่งผลประโยชน์! ปลุกปั่นศึกใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมา เบื้องล่างต้องมีความเสียหายย่อยยับแน่นอน ถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเขาเอง ก็จะต้องรีบร้อนเอากำลังพลในมือหนิวโหย่วเต๋อมาเติมกำลังทหารของตัวเองแน่นอน มีหรือที่จะให้คนอื่นดึงกำลังพลของตัวเองไป? อย่าบอกนะว่ายอมทุ่มจ่ายมาเยอะขนาดนี้แล้ว สุดท้ายจะยกประโยชน์ให้คนอื่นไป?
ไม่ว่าสถานการณ์ของใต้หล้าจะเปลี่ยนแปลงไปมากหรือไม่ แต่ศึกใหญ่สนามต่อไป ก็เป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะยอมเห็นกำลังทหารของตัวเองลดลงเยอะมาก นอกเสียจากจะรนหาที่ตายเท่านั้น คิดว่าอ๋องคนอื่นเป็นไก่ก่อนกันหมดจริงๆ น่ะเหรอ?
พอคิดจนเข้าใจจุดนี้แล้ว ก็ย่อมเข้าใจเจตนาที่หนิวโหย่วเต๋อพูดกับตนอย่างนี้ นี่กำลังจะหยั่งเชิงตนชัดๆ!
เฉิงไท่เจ๋อเหงื่อซึมหลัง รู้ว่าตัวเองเพิ่งเดินอ้อมหน้าประตูยมบาลมาแล้วรอบหนึ่ง ถ้าตัวเองบอกว่าตกลง ต่อไปอีกฝ่ายก็จะต้องกำจัดตนแน่นอน จากนั้นก็คิดจะหาทจัดระบบกำลังพลของเขาใหม่ ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าอยากจะหนีก็หนีไม่พ้นเลย
“ท่านอ๋อง ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ เจ้ากับข้าน่ะ ถ้าแยกกันจะเสียหาย ถ้ารวมกันจะได้ประโยชน์ คุยเรื่องแบ่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อะไรกัน ห่างเหินเหมือนเป็นคนนอกเกินไปแล้ว เรื่องราวดำเนินมาจนป่านนี้ ได้เห็นท่านอ๋องมีกลยุทธ์อันปราดเปรื่องมามากพอแล้ว เฉิงได้แต่ถอนใจที่สู้ไม่ไหว ชื่นชมยินดีด้วยใจจริง วันนี้ต่อหน้าทุกคน…” เฉิงไท่เจ๋อเม้มริมฝีปาก กุมหมัดคารวะโค้งตัวค้างไว้ พลางกล่าวอย่างจริงใจว่า “ตำแหน่งอ๋องสวรรค์เฉิงที่ประมุขชิงแต่งตั้งกลายเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้มีเพียงเฉิงไท่เจ๋อ ไม่มีอ๋องสวรรค์เฉิงแล้ว เฉิงไท่เจ๋อยินดีรับใช้ท่านอ๋อง ขอเพียงท่านอ๋องถ่ายทอดคำสั่งลงมา ก็ยินดีถวายชีวิตทำงานรับใช้!”
พอได้ยินคำนี้ แม่ทัพหลายคนที่ติดตามเขาก็อึ้งก่อน คนที่รู้จักท่านอ๋องดีครุ่นคิดเล็กน้อย มีบางคนเหมือนจะเข้าใจอะไรแล้ว เผยสีน่าหดหู่ให้เห็นแล้ว
บางคนก็ตกใจมาก บอกว่า “ท่านอ๋อง! ท่าน…”
เฉิงไท่เจ๋อหันขวับ จ้องอย่างโมโหพร้อมบอกว่า “หุบปาก! ท่านอ๋องหนิววางแผนได้เก่งกาจ ข้ายินดีติดตาม ถ้าพวกเจ้าไม่ยอม ก็ออกไปได้เลย ข้าไม่ขัดขวางพวกเจ้า”
อีกคนดึงแขนเสื้อคนนั้นไว้เบาๆ แอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ถ้าอยากรอดชีวิตก็อย่าเลอะเลือน ท่านอ๋องกำลังกล้ำกลืนความอัปยศเพื่อทุกคน”
คนๆ นั้นยังไม่เข้าใจ แต่ก็ขมวดคิ้วหุบปากแล้ว
เหมียวอี้กลับเคยสีหน้าดีใจมาก ชำเลืองมองคนที่ไม่ยอมแพ้คนนั้น จากสิ่งนี้จะเห็นได้เลยว่าเฉิงไท่เจ๋อยังมีผู้จงรักภักดีติดตาม จากนั้นเขาก็เปลี่ยนความคิด คว้าข้อมือเฉิงไท่เจ๋อ แล้วกล่าวอย่างดีใจมากกว่า “พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกนะ! ในเมื่อท่านอ๋องเฉิงบอกแล้วว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน เช่นนั้นยังจำเป็นต้องแบ่งแยกอีกเหรอว่าใครจะทำงานรับใช้ใคร? ท่านอ๋องเฉิงอายุมากกว่า ถ้าไม่รังเกียจ ข้ายินดีนับถือเจ้าเป็นพี่ชาย เจ้าสาบานเป็นพี่น้องกับข้า มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน ดีไหม?” สายตาเต็มไปด้วยกันเฝ้าคอยจริง
เฉิงไท่เจ๋อรีบร้อนโบกมือ “มิบังอาจๆ เฉิงยินดีติดตามรับใช้ท่านอ๋อง นี่เป็นคำพูดที่มาจากใจจริงๆ!”
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะหดมือกลับและดึงมีดสั้นออกมา ไม่พูดพร่ำทำเพลงกรีดหลังมือเสียเลย เลือดสดไหลออกจากกำปั้น พร้อมบอกว่า “หนิวเองก็พูดจากใจเหมือนกัน ยินดีกรีดเลือดร่วมสาบาน น้ำใจนี้ของข้า หวังว่าพี่ชายจะไม่ปฏิเสธ!” พูดจบไปยื่นมีดสั้นให้
เฉิงไท่เจ๋อแอบด่าแม่ในใจแล้ว สาบานเป็นพี่น้องแล้วจะมีประโยชน์บ้าอะไร ในปีนั้นประมุขชิงกับประมุขไป๋ยังเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันเลย เมื่อแตกคอกันใครจะมาแยแสสิ่งนี้ เวลาจะแตกคอกันไม่ว่าข้ออ้างอะไรก็หามาได้ทั้งนั้น?
ในใจเขารู้ชัดเจน ว่าอีกฝ่ายต้องการกำลังพลเร่งด่วน อยากจะให้เขายอมจำนนโดยเร็วที่สุด ไม่อยากให้เกิดอุปสรรคอะไรในเวลานี้ ต้องการจะซื้อใจคน
แต่อีกฝ่ายใช้มีดกับตัวเองแล้ว ทำถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่มีทางที่จะไม่ไว้หน้า ทำได้เพียงรับมีดสั้นมา กรีดบนหลังมือตัวเอง ยื่นกำปั้นที่มีเลือดออกมาเช่นกัน
ทั้งสองคนชกกำปั้นใส่กันเบาๆ ตรงรอยแผลที่มีเลือดไหลสัมผัสกันแล้ว ทั้งคู่สบตากันแล้วหัวเราะลั่น เหมียวอี้เรียกว่า “พี่ชาย” อย่างจริงใจ
“น้องชาย!” เฉิงไท่เจ๋อก็ตะโกนเรียกอย่างแฝงความหมายลึกซึ้งเช่นกัน ความขื่นขมในใจมีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้ชัดเจน
แม่ทัพคนเมื่อครู่นี้ที่เพิ่งคัดค้านชะงักไป พบว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่เลวเลย ไม่ใช้อำนาจข่มเหงคนอื่น ขนาดท่านอ๋องเป็นฝ่ายขอทำงานรับใช้ก็ยังปฏิเสธ ตอนนี้กลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้ว…ความรู้สึกไม่ยุติธรรมในใจเขาหายไปแล้วเช่นกัน
หยางเจาชิงยิ้มตาหยีอยู่ข้างๆ
หยางชิ่งแอบพยักหน้า ในใจรู้สึกปลงอนิจจังมาก นึกถึงเหมียวอี้ในปีนั้น แล้วก็ดูเหมียวอี้ในตอนนี้ เมื่ออยู่ตำแหน่งไหนก็ทำเรื่องอย่างนั้นจริงๆ ด้วย
เขาเองก็เข้าใจความรู้สึกของเหมียวอี้ในตอนนี้ ภายใต้สถานการณ์ตอนนี้ เหมียวอี้แพ้ไม่ไหวจริงๆ ดื้อรั้นทำตามความคิดตัวเอง จุดชนวนศึกใหญ่ขนาดนี้ ถ้าแพ้ขึ้นมา ความรับผิดชอบก็อยู่ที่เขาคนเดียว ไม่มีทางชี้แจงต่อกำลังพลเบื้องล่างได้ ชีวิตของคนทั้งครอบครัวก็อยู่ในอันตรายเช่นกัน พยายามดึงกำลังพลของเฉิงไท่เจ๋อมาเป็นพวกเดียวกันให้เร็วที่สุด ก็คือเรื่องที่จำเป็นมาก
“ประกาศต่อทั้งกองทัพเดี๋ยวนี้ ท่านอ๋องเฉิงเป็นพี่ชายร่วมสาบานของข้าแล้ว ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ห้ามละเลย!” เหมียวอี้หันกลับมาตะโกนบอกหยางเจาชิง
หยางเจาชิงรู้อยู่แก่ใจ กำลังพลเบื้องล่างก็ไม่ได้โง่ ทำศึกกับกองทัพองครักษ์แบบนี้ ถ้าพอจะมีสมองอยู่บ้านก็จะรู้ว่ากำลังพลขอฝท่านอ๋องได้รับความเสียหายไม่น้อย ในเวลานี้ประกาศข่าวดีต่อทั้งกองทัพ ให้กำลังพลเบื้องล่างรู้ว่าท่านอ๋องไม่เพียงแค่ไม่สูญสียกำลัง แต่ยังได้กำลังเพิ่มด้วย ต้องให้ความมั่นใจกับทุกคนได้แน่นอน ขวัญกำลังใจทหารเพิ่มขึ้นแล้ว!
แน่นอน ทางฝั่งเหยียนเสี้ยวที่กำลังบัญชาการกำลังพลของเฉิงไท่เจ๋อ ก็ต้องแจ้งให้รู้เป็นพิเศษเช่นกัน ให้เหยียนเสี้ยวบอกกำลังพลของเฉิงไท่เจ๋อ ว่าเฉิงไท่เจ๋อกับท่านอ๋องเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้ว
อยู่ข้างกายเหมียวอี้มาหลายปีขนาดนี้ เหมียวอี้แค่สงสัยตานิดเดียว เขาก็ย่อมเข้าใจแล้วว่าหมายความว่าอะไร
“ขอรับ!” หลังจากได้รับแล้วเขาก็หยิบระฆังดาราออกมาถ่ายทอดคำสั่งทันที
พอหันกลับมาอีกครั้ง เหมียวอี้ก็พูดกับเฉิงไท่เจ๋ออย่างจริงใจว่า “พี่ชาย เรื่องกำจัดกำลังพลของฮวาอี้เทียน ต้องเร่งมือให้เร็วที่สุดนะ ถ้าเสียเวลาจนกองหนุนของประมุขชิงมาถึง ก็จะไม่เป็นผลดีต่อเจ้ากับข้าแล้ว ตอนนี้ต่อให้กำลังพลของข้าจะตามไปช่วย แต่บ่อน้ำที่อยู่ไกลดับกระหายไม่ได้
!”
เป็นพี่น้องกันแล้ว ถ้ายังไม่ช่วยเหลือสุดกำลังอีกก็จะฟังดูเหลวไหล นี่เท่ากับบีบให้ตัวเองยอมจ่ายทุกอย่าง! เฉิงไท่เจ๋อแอบทอดถอนใจ แต่ภายนอกกลับกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าจะกระตุ้นพวกเขาเดี๋ยวนี้!” พูดจบก็หยิบระฆังดาราออกมาพูดเร่ง
ในขณะนี้เอง เหิงอู๋เต้าก็นำทัพใหญ่มารายงานผลภารกิจ
ชิงเยว่รับกำลังพลมา สั่งให้คนหนึ่งร้อยล้านจัดกลุ่มธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สิบกลุ่มนอกขบวนรบ แต่ละกลุ่มมีคนสิบล้านคน กระจายกันล้อมรอบขบวนรบ ถ้ามีข้าศึกหนีออกจากสนามรบหรือกองทัพฝ่ายศัตรูที่ปรากฏตัวอยู่นอกขบวนรบ ก็ให้ยิงสังหารทันที ส่วนกำลังพลที่เหลือเข้าสู่สนามรบหมด มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากอยู่ในมือแล้ว ทั้งยังมีกำลังพลเหลือเฟือ ชิงเยว่ไม่ต้องใช้วงล้อมดักไว้อีกแล้ว รวบรวมกำลังพลแต่ละสายเสียบเข้าไปในกองทัพศัตรูโดยตรง ร่วมมือกันสังหารทั้งข้างนอกข้างใน
กำลังทหารที่ได้เปรียบกว่าโดยสิ้นเชิงบุกเข้าไปแบ่งกันล้อมกราบในขบวนรบ สถานการณ์รบเปลี่ยนไปมากทันที
“นายท่าน ฝ่ายศัตรูมีเยอะกว่า ป้องกันไม่ไหวแล้ว ฝ่าวงล้อมเถอะ!” ตรงใจกลางขบวนรบ รองแม่ทัพคนหนึ่งกล่าวกับฉวี่ฉางเทียนด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า
ฉวี่ฉางเทียนพยายามหลับตาลง เขารู้ถึงผลที่ตามมาจากการฝ่าวงล้อม ทัพใหญ่ถูกกองทัพฝ่ายศัตรูพัวพันไว้แล้ว ถ้าฝ่าวงล้อมไป จะต้องมีพี่น้องจำนวนมากถูกทิ้งไว้ที่นี่เพื่อถ่วงกองทัพฝ่ายศัตรูไว้ เท่ากับให้พวกเขาเอาชีวิตไปทิ้ง แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าถ่วงเวลาต่อไปไม่ว่าใครก็ไม่รอด ถ้าไปได้ส่วนหนึ่งก็ควรไป
“รวบรวมกำลังพลกลุ่มหนึ่ง แสร้งฝ่าวงล้อมไปทางขวาตลอดทาง ส่วนทางซ้ายตามข้าฝ่าวงล้อมไป!” ฉวี่ฉางเทียนกล่าวอย่างยากลำบาก
ไม่นาน กำลังพลกลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันได้หลายสิบล้านคนก็ตะโกนเสียงดังว่าฆ่า แล้วพุ่งไปทางขวามือโดยตรง
และรอบกายฉวี่ฉางเทียนก็รวบรวมกำลังพลหลายสิบล้านเงียบๆ เตรียมตัวรอให้กำลังพลกลุ่มนั้นหลอกล่อกำลังพลฝ่ายศัตรูไปสกัดขวาง หลังจากลดความกดดันในการฝ่าวงล้อมอีกฝั่งได้แล้ว ก็ค่อยฉวยโอกาสสังหารออกไปอีกที
สถานการณ์ในขบวนรบ ชิงเยว่ไม่สะทกสะท้าน นางออกคำสั่งให้รวมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สามสิบล้านคันจากสามจุดที่ทัพฝ่ายศัตรูจะฝ่าวงล้อมไป แล้วจ้องมองอย่างดุร้าย รอจนทัพฝ่ายศัตรูพุ่งไปถึงชายขอบขบวนรบ ชิงเยว่ก็พลันสั่งให้ทัพใหญ่สองฝั่งที่เข่นฆ่าอยู่แถวนั้นหลีกทางให้
ทัพฝ่ายศัตรูที่เพิ่งจะโผล่หัวฝ่าออกมาโดนลำแสงนับไม่ถ้วนถล่มยิงอย่างบ้าคลั่ง ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สามสิบล้านคันผลัดกันยิง ไม่ให้โอกาสทัพฝ่ายศัตรูได้มาข้างหน้าต่อแม้แต่ก้าวเดียว ในขณะเดียวกันนี้เอง ชิงเยว่ก็ออกคำสั่งอีก ให้กำลังพลสองฝั่งที่เพิ่งหลีกทางเข้ามาจู่โจมสองปีกของทัพฝ่ายศัตรูที่เพิ่งฝ่าวงล้อมไป ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้ทัพใหญ่ที่ฝ่าวงล้อมกระจัดกระจายมั่วไปหมด เมื่อไม่มีแรงขับเคลื่อนที่จะรวมตัวกันฝ่าออกไปข้างนอก คนที่พุ่งไปข้างหน้าก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้ง
…………………………
เหมียวอี้พยักหน้าเงียบๆ
เฉิงไท่เจ๋อพูดไม่ออก นึกไม่ถึงว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์พี่โดนทัrใหญ่ของตำหนักสวรรค์กวาดล้างบ่อยจะมีวิญญาณชั่วร้ายที่วรยุทธสูงถึงระดับจะใช้งานธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เยอะขนาดนี้ ไม่รู้ด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อควบคุมพวกเขาให้ว่านอนสอนง่ายได้อย่างไร
กำลังพลโจมตีที่เว้นช่องว่างให้ มองคนพวกนี้ด้วยสีหน้าระแวงสงสัย
ภายใต้การบัญชาการของชิงเยว่ แนวกำแพงโล่ป้องกันแถวหน้าสุดที่มีช่องโหว่ยังคงอยู่ มือธนูที่อยู่ด้านหลังถอยออกไปแล้ว ให้มือธนูวิญญาณชั่วร้ายจำนวนหนึ่งแสนเข้ามาเติมแทน
เฮยทั่นทำสัญญาณมือ “เตรียมตัว!”
วิญญาณชั่วร้ายหนึ่งแสนง้างสายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์พร้อมกัน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์กระเพื่อมลำแสงออกมา ง้างสายธนูออก มีไอหมอกสีชมพู ไอหมอกสีขาว ไอหมอกสีเทา ไอ้หมอกสีดำเริ่มลอยวนเวียนอยู่บนลูกธนูดาวตก
เฮยทั่นที่ตื่นเต้นจนตาลุกวาวสับแขนลงอีกครั้ง “ยิงธนู!”
เกิดเสียงระเบิดดังต่อเนื่องกัน ลูกธนูสามสายถูกยิงพร้อมกัน ยิ่งออกไปท่ามกลางช่องว่างของแนวกำแพงโล่
ในลำแสงจำนวนมากที่ล้อมโจมตีพลันปรากฏลำแสงที่แตกต่างกันมาก เป็นลำแสงที่มีไอหมอกหมุนวน เมื่อเทียบกับลูกธนูดาวตกรอบข้างที่ยืนออกมา ก็ดูประหลาดลึกลับและโดดเด่น
เป็นเพราะกำลังพลที่โจมตีมีจำนวนมากเกินไป กำลังพลจำนวนหนึ่งแสนที่ปะปนอยู่ในนี้เป็นเพียงส่วนน้อยจริงๆ
บึ้มๆๆ…
ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังก้อง ตรงจุดที่ลำแสงปนไอหมอกประหลาดยิงไปโดน ก็พังทลายเหมือนกับจุดอื่น แต่สิ่งที่ไม่เหมือนก็คือ ตรงจุดที่พังทลายกลับไม่มีการเติมคนให้กลับมาเหมือนเดิม มีท่าทีจุดที่ถล่มเสียหายจะขยายเป็นวงกว้างด้วย
บริเวณที่เฝ้าป้องกันนี้ เดิมทีก็ถูกอนุภาพการโจมตีของลูกธนูดาวตกทำลายจนเสียระเบียบอยู่แล้ว ข้างหลังก็จะรีบเอาคนมาเติมเพื่อเสริมความมั่นคงอีก ใครจะคิดว่าจะพุ่งเข้าไปอยู่ท่ามกลางปราณมรณะ ปราณสังหาร ปราณอาฆาต ปราณเหี้ยมโหดที่กำลังระเบิด ภายใต้ความฉุกละหุก ยังไม่ทันรู้ชัดว่าคือสิ่งใดกันแน่ ก็มีบางคนที่ผิวหนังบนร่างกายราวกับถูกมีดนับไม่ถ้วนแล่ออก เกิดบาดแผลที่มีเลือดซึมจำนวนมาก บางคนก็ตาสองข้างบอดทันที มีหลายคนเอามือปิดหน้าร้องครวญคราง บางคนก็ตัวสั่นยืนอยู่ที่เดิม
บางคนเหมือนกับโดนปีศาจเข้าสิง ดวงตาแดงก่ำ เห็นใครก็ฆ่า โบกดาบทวนสังหารเพื่อนร่วมงานของตัวเอง
บางคนยืนเอ๋อเหมือนคนโง่อยู่ที่เดิม เห็นฝนธนูยิงมาตรงหน้าอีกแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่หลบ ปล่อยให้ตัวเองโดนโจมตีอย่างดุเดือดจนร่างแหลก
แนวหน้าของกระบวนทัพฉีกเป็นช่องโหว่ ไม่มีการป้องกันไปชั่วคราว ฝนธนูที่ยิงเข้ามาเข้าไปอยู่ในขบวนรบโดยตรง แค่คิดก็รู้แล้วว่าคนที่อยู่ข้างหลังจะลนลานขนาดไหน เสียงร้องครวญครางดังเป็นแถบ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ฉวี่ฉางเทียนที่ติดตามสถานการณ์รบอย่างใกล้ชิดพบความผิดปกติแล้ว เขาชี้พลางตะคอกอย่างโมโห “ดักคนไว้ให้ข้า! ใครหนีจากการปฏิบัติหน้าที่ ฆ่าไม่ละเว้น!”
ล้อเล่นอะไรกัน ตอนนี้ยังสามารถอาศัยความได้เปรียบต่อต้านฝ่ายตรงข้ามได้ ถ้าโดนฝ่ายศัตรูโจมตีเข้ามาผ่านช่องโหว่ ยามเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าตัวเองหลายเท่า จะไม่แย่หรอกหรือ?
แม่ทัพที่บัญชาการบริเวณนั้นรีบบัญชาการให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่อยู่รอบๆ ระดมยิงอย่างบ้าคลั่งโดยไม่เสียดายอะไร โจมตีทำลายกระบวนทัพรูปลิ่มของฝ่ายศัตรูที่โจมตีเข้ามาในช่องโหว่ จากนั้นตะโกนอย่างดุดันว่า “ใครก่อกวน ประหาร!”
กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่อยู่ข้างหลังตั้งแถวง้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ทันที ลำแสงถูกยิงออกมาอย่างหนาแน่น ท่ามกลางเสียงดังก้อง ยิงคนฝ่ายตัวเองที่โดนปราณชั่วร้ายจนคว่ำแล้ว
“ฆ่า!” แม่ทัพที่บัญชาการตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดอีกครั้ง
ลูกธนูดาวตกยิงออกมาระลอกแล้วระลอกเล่า กองทัพองครักษ์ที่โดนปราณชั่วร้ายไปแล้วหนึ่งนายถูกกำจัดหมดแล้ว ไม่ว่าจะช่วยชีวิตได้หรือไม่ ก็ไม่มีเวลาให้แยกแยะอย่างช้าๆ แล้ว ช่วงเวลาต่อไปไม่ไหวเช่นกัน รีบแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วคือวิธีการที่ดีที่สุด เป็นการลงมือกับพี่น้องของตัวเองโดยไม่ปราณีแม้แต่น้อย
ไม่ใช่ว่าแม่ทัพที่บัญชาการจะไม่รู้ว่าได้ฆ่าคนของตัวเองไปแล้ว ไม่ใช่ไม่รู้ว่าที่สังหารไปคือพี่น้องใต้บังคับบัญชาของตัวเอง แต่ไม่มีทางเลือก การฆ่าฟันบนสนามรบไม่อาจใช้ความรู้สึกมาชั่งน้ำหนักได้ ถ้าถูกทัพฝ่ายศัตรูฉีกช่องฉีกช่องโหว่สังหารเข้ามา กำลังพลหลายร้อยล้านอาจจะต้องตายโดยไร้หลุมศพก็ได้
บนสนามรบต้องมีการสละชีวิตอยู่เสมอ วิธีการพิจารณาผลได้ผลเสีย มักจะใช้การเสียสละจำนวนน้อยที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียสละจำนวนมากที่สุดเสมอ
เมื่อกวาดล้างสมาชิกที่เสียระเบียบไปหมดแล้ว แม่ทัพที่บัญชาการก็ตะโกนสั่ง “ดักไว้!”
คนกลุ่มหนึ่งชูโล่และตั้งขบวนทัพพุ่งไปยังช่องโหว่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างก็ได้เรียนรู้มาแล้ว ทั้งหมดใช้เกราะลมป้องกันตัวเอง แม้แต่การเผชิญกับการรุกล้ำของปราณชั่วร้ายจะทำให้สิ้นเปลืองพลังมาก แต่กลับต้องยอมรับ มือธนูที่อยู่ข้างหลังขึ้นมาข้างหน้าและใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตีกลับต่อไป…
เมื่อลูกธนูดาวตกลอยม้วนกลับมาอยู่ในมือ เฮยทั่นก็ตะโกนสั่งอีกครั้ง “เก็บ! ถอย!”
มือธนูวิญญาณชั่วร้ายหนึ่งแสนดูดปราณชั่วร้ายที่กระจายไปรอบๆ กลับเข้าร่างกายตัวเองทันที ป้องกันไม่ให้รบกวนกำลังพลคนอื่นที่อยู่ข้างกาย จากนั้นก็รีบถอยออกจากช่องโหว่นั้น ไปมาได้อย่างรวดเร็วมาก
ก่อนที่จะเตรียมใช้งานวิญญาณชั่วร้ายกลุ่มนี้ เหมียวอี้ก็รู้แล้วว่าวิญญาณชั่วร้ายกลุ่มนี้ไม่มีประสบการณ์ออกรบ จึงออกคำสั่งให้ฝึกมาแล้วล่วงหน้า
จากนั้นชิงเยว่ก็โบกมือให้กำลังพลของตัวเอง “ลุย!”
มือธนูที่ถอยออกมาก่อนหน้านี้รีบขึ้นไปเติม ยิงธนูอีกครั้ง ยิงไปตรงจุดที่มีกำลังพลพังทลาย ขยายผลจากการโจมตีให้มากกว่าเดิม
เหมียวอี้เข้ามาอยู่ใกล้แนวหน้า จับตาดูประสิทธิภาพการโจมตีระลอกแรกอย่างใกล้ชิด เห็นเพียงจุดที่ฝ่ายศัตรูโดนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณชั่วร้ายโจมตีวุ่นวายเสียระเบียบแล้ว กลับสู่สภาพเดิมไม่ได้ตั้งนาน เขาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอย่างพอใจ
ลองสังเกตจำนวนกำลังพลวิญญาณชั่วร้ายครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าโจมตีระลอกเดียวก็ถอยกลับมาแล้ว เฉิงไท่เจ๋อก็ทำท่าครุ่นคิด คาดว่าพลังงานสำรองสำหรับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณชั่วร้ายคงจะมีไม่มาก ไม่สามารถใช้งานอย่างไร้กังวลได้
ถ้าในใจรู้ข้อมูลอยู่สักหน่อยก็จะเข้าใจ ด้วยความที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ถูกกวาดล้างหลายครั้ง ต่อให้จะมีวิญญาณชั่วร้ายระดับสูงอยู่ แต่ก็มีไม่เยอะแน่นอน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คืออาวุธสำหรับนักพรตระดับบงกชทองขึ้นไป ไม่ใช่ว่าใช้ยาเจี๋ยตันขั้นห้าเม็ดเดียวแล้วจะหลอมสร้างได้ ต้องใส่ไข่มุกวิญญาณระดับต่ำไปเท่าไหร่ถึงจะเติมพลังงานให้เต็มได้ล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็คือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งแสนคันเชียวนะ!
เหมียวอี้หันกลับมาถ่ายทอดเสียงบอกชิงเยว่ “เจ้าก็เห็นหมดแล้ว ไม่นานฝ่ายศัตรูก็เตรียมตัวได้แล้ว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์พวกนี้มีพลังงานจำกัด ครั้งหน้าจะต้องสังหารเข้าไปให้ได้ในรวดเดียว!”
เขาเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ไม่มีประสบการณ์ใช้งานธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณชั่วร้ายจำนวนมากแบบนี้มาก่อน แม้จะรู้ว่าจะได้ผลบ้างแน่นอน แต่จำนวนหนึ่งแสนคัน ยามเผชิญหน้ากับการรบราฆ่าฟันขนาดใหญ่แบบนี้ ก็ถือว่ายังเล็กน้อยเกินไปหน่อย เขาไม่มีความมั่นใจว่าจะแสดงประโยชน์ได้เยอะขนาดไหนกันแน่ จะต้องมีการยิงทดลองครั้งแรกก่อนเพื่อตัดสิน
เมื่อผ่านประสบการณ์ครั้งนี้แล้ว เขาก็สามารถสรุปได้แล้ว ว่ายามอยู่ในขบวนรบแบบนี้ การใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์วิญญาณชั่วร้ายไม่กี่พันหรือไม่กี่หมื่นคันนั้นไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ แต่หนึ่งแสนคันก็ได้ผลพอดี และหนึ่งแสนคันนี้ก็เป็นจำนวนจำกัดที่เขาสามารถหามาได้แล้ว เฮยทั่นรวบรวมวิญญาณชั่วร้ายที่ได้มาตรฐานจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่น แต่จำนวนธนูฝ่าอิทธิฤทกลับให้ได้แค่หนึ่งแสนคน
“เข้าใจแล้ว!” ชิงเยว่พยักหน้าแล้วรีบบัญชาการลูกน้อง…
สุดท้ายช่องโหว่ตรงแนวป้องกันที่ถูกโจมตีก็ถูกอุดแล้ว ฉวี่ฉางเทียนวางใจแล้ว บอกกับรองแม่ทัพที่อยู่ทางซ้ายและขวาทันที “ถามหน่อยว่ามันคืออะไร?”
รองแม่ทัพหนึ่งในนั้นหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อแม่ทัพที่บัญชาการอยู่แนวหน้า
และในขณะนี้เอง อีกฝั่งหนึ่งก็มีเสียงระเบิดดัง สภาพชุลมุนวุ่นวายปรากฏขึ้นอีกครั้ง ฉวี่ฉางเทียนที่หันขวับไปมองตะโกนอย่างโมโห “อุดไว้!”
“ยับยั้ง!” ชิงเยว่ที่โจมตีอยู่ทางฝั่งนั้นชักกระบี่ออกมาตะโกน
ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์บริเวณนั้นยิงโจมตีอย่างบ้าคลั่งไปยังช่องโหว่รอบๆ กองทัพองครักษ์ที่ถูกวิญญาณชั่วร้ายถล่มไว้ก่อนหน้านี้ทันที พยายามยับยั้งการโจมตีจากกองทัพฝ่ายศัตรูสุดชีวิต เพื่อหาโอกาสให้ทัพใหญ่บุกโจมตีเข้าไป
“บุก!” ชิงเยว่ควงกระบี่ตะโกน “ผู้ที่นำบุกเข้ากระบวนทัพฝ่ายศัตรูได้ก่อน ตบรางวัลอย่างงาม!”
ทัพรูปมังกรสามตัวคุ้มกันทัพรูปมังกรตัวที่อยู่ตรงกลางจากสามทิศทาง และพุ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อทั้งสองฝ่ายประจัญบานกัน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็สูญเสียอานุภาพที่ควรจะมีแล้ว ทัพรูปมังกรที่นำบุกเข้ามาก่อนโจมตีจนแนวโล่พลิกคว่ำ กลายเป็นกลุ่มคนปะทะกับกองทัพองครักษ์ ขยายช่องโหว่ตรงนี้ให้ใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว กำลังพลที่บุกโจมตีตามมาข้างหลังก็ได้สังหารเข้ามาอย่างต่อเนื่องทันที
แนวป้องกันของกองทัพองครักษ์ถูกโจมตีให้ฉีกขาดในชั่วพริบตาเดียว
“นายท่าน แนวหน้ารายงานมาว่า เป็นปราณชั่วร้าย สิ่งที่ทำลายแนวป้องกันก็คือปราณชั่วร้าย อีกฝ่ายคงจะมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่ใช้ไข่มุกวิญญาณชั่วร้ายควบคุม!” รองแม่ทัพรายงานด่วนต่อฉวี่ฉางเทียน
ไม่รู้เหมือนกันว่าฉวี่ฉางเทียนฟังเข้าใจหรือเปล่า เขากำลังจ้องช่องโหว่ที่ถูกโจมตี ริมฝีปากสั่นด้วยความโกรธ แนวป้องกันอันแข็งแกร่งที่เขาทุ่มเทสร้างขึ้นมาถูกฉีกทำลายออกอย่างนี้แล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีของศัตรูที่มีมากกว่าหลายเท่า ก็จินตนาการได้ไม่ยากผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เขาจ้องจนตาแทบถลนอยู่แล้ว…
ตรงทางออกประตูดวงดาว ศึกใหญ่ใกล้จะจบแล้ว
ข้างกายปี่จัวเหลือกำลังพลอยู่ไม่กี่หมื่น พวกเขาเผชิญหน้ากับศัตรูทั้งสี่ด้านแปดทิศ ล้อมปกป้องเขาเอาไว้ตรงกลาง รอบข้างมีกำลังพลล้อมอยู่อย่างหนาแน่น
ไม่มีทางเลือก กำลังของฝ่ายตัวเองและฝ่ายศัตรูแตกต่างกันเกินไป ห้าร้อยล้านกับห้าสิบล้านเชียวนะ!
กำลังเสริมที่เข้ามาเติมให้กำลังพลห้าสิบล้านตอนหลังไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับจำนวนสี่ร้อยห้าสิบล้านของฉวี่ฉางเทียนเลย ความสามารถในการป้องกันของทั้งสองฝ่าย แตกต่างกันจนไม่อาจใช้จำนวนธรรมดามาเทียบได้
มีความได้เปรียบด้านกำลังทหารที่แน่นอนขนาดนี้ เหิงอู๋เต้าไม่เล่นวิธีการบุกโจมตีแนวป้องกันอะไรกับเขาทั้งนั้น ทหารที่ล้อมอยู่จากสี่ด้านแปดทิศก่อตัวเป็นทัพรูปมังกรนับไม่ถ้วนและโจมตีจากทั่วทุกด้าน เพียงครั้งเดียวก็ถล่มแนวป้องกันธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของปี่จัวได้แล้ว เข้าสู่สภาวะตะลุมบอนเข่นฆ่ากันโดยตรง
เหิงอู๋เต้าควงกระบี่ชี้ปี่จัวราวกับสัตว์ที่โดนขัง “ยอมแพ้เดี๋ยวนี้ ข้ารับประกันต่อหน้าท่านอ๋องว่าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า!”
“ถุย!” ปี่จัวชี้เข้ามา ตะโกนด้วยสีหน้าดุร้ายว่า “พวกเจ้าเคยเห็นกองทัพองครักษ์ยอมแพ้เหรอ? พี่น้อง กำจัดเขา!”
ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ทางฝั่งนี้ยิงไปทางเหิงอู๋เต้าทันที
โล่จำนวนมากถูกยกขึ้น รีบคุ้มกันอยู่ข้างหน้าเหิงอู๋เต้า
บึ้ม! ชั่วพริบตาที่แนวโล่ป้องกันถูกทำลาย ทัพใหญ่รอบกายเหิงอู๋เต้าก็ยิงลำแสงนับไม่ถ้วนออกไปเช่นกัน แค่การยิงโจมตีระลอกเดียวก็จัดการพลังโจมตีกลับเฮือกสุดท้ายของสัตว์ในกับดักได้แล้ว
เหลือคนที่ทรงตัวไม่ไหวอยู่ไม่กี่สิบคน กำลังพลที่อยู่รอบข้างกรูกันเข้าไป ใช้ทั้งดาบทั้งทวนฟันโจมตีพร้อมกัน
ทวนยาวสิบกว่าด้ามแทงเข้าในร่างกายของปี่จัว เงาคนคนหนึ่งแฉลบผ่านและตัดศีรษะของปี่จัวแล้ว ก่อนจะเหาะมาตรงหน้าเหิงอู๋เต้าราวกับได้สมบัติล้ำค่ามา ใช้สองมือยื่นให้
เหิงอู๋เต้าหัวเราะลั่น ชี้ไปยังแม่ทัพตรงหน้าที่สะบักสะบอมเลือดเปื้อนทั้งตัว พร้อมประกาศเสียงดังว่า “ทุกคนดูให้ดี คนที่เด็ดหัวแม่ทัพฝ่ายศัตรูได้ เลื่อนยศสามขั้น!”
เมื่อประกาศอย่างนี้ ก็ไม่รู้มีคนตั้งมากมายเท่าไหร่อิจฉาตาร้อน ยามปกติ สิ่งที่เรียกว่าขั้นสามนี้ ใช้ทั้งชีวิตก็อาจจะไต่เต้าไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ ทัพใหญ่สู้สุดชีวิตบนสนามรบไปเพื่ออะไรล่ะ? ได้สร้างผลงานการรบก็หมายถึงเกียรติยศความร่ำรวย หมายถึงทรัพย์สินเงินทอง หมายถึงอำนาจ หมายถึงจะได้เสพสุขกับสาวงามไม่หมดไม่สิ้น
ทหารคนนั้นตื่นเต้นดีใจไม่หยุด กล่าวเสียงดังว่า “ขอบคุณท่านจอมพล!” แล้วก็ก้าวมาข้างหน้าอีก ใช้สองมือยื่นศีรษะที่มีเลือดหยดของปี่จัวให้ ไม่รังเกียจความสกปรกเลยสักนิด
เหิงอู๋เต้ามองไปรอบๆ “เหลือกลุ่มเล็กไว้เก็บกวาดสนามรบ ทัพใหญ่ตามข้าไปช่วยที่สนามรบหลัก สร้างผลงานใหม่อีก!” ขณะที่พูดก็ชูศีรษะในมือขึ้นสูง
“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า…”
ทั้งกองทัพโบกอาวุธในในมือพลางตะโกนเสียงดัง
…………………………
ประมุขชิงเหมือนไม่อยากให้แม่เฒ่าลวี่เห็นว่าตัวเองทนไม่ไหวแล้ว เห็นสภาพที่ตัวเองโกรธกระฟัดกระเฟียด พยายามดึงลักษณะท่าทางของราชันกลับมา
ซือหม่าเวิ่นเทียน เกาก้วน อู๋ฉวี่ก็มองแม่เฒ่าลวี่เดินเข้ามาเงียบๆ เช่นกัน รู้สึกผิดคาดนิดหน่อยที่นางเป็นฝ่ายมาที่นี่เอง
พอเดินเข้ามาในตำหนัก แม่เฒ่าลวี่ก็ประคองไม้เท้าโค้งตัวเล็กน้อย “คำนับฝ่าบาท!”
ประมุขชิงขานรับ “อืม”
“ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อก่อกบฏแล้วเหรอ?” แม่เฒ่าลวี่ถาม
ประมุขชิงแสยะยิ้ม “เป็นตัวตลกที่กระโดดเล่นบนเวที ข้าต้องกำจัดทิ้ง! ได้ยินว่าเจ้าไม่ยอมย้ายเหรอ?”
“เรื่องราวร้ายแรงจนถึงขั้นต้องทิ้งวังสวรรค์ไปเชียวหรือ?” แม่เฒ่าลวี่ถาม
ประมุขชิงบอกนางว่า “บนสนามรบ ถ้ายึดติดอยู่กับที่เดียวจะถูกโจมตีได้ง่าย แค่ย้ายไปชั่วคราวเท่านั้น ไม่นับว่าทิ้งวังสวรรค์ไป แต่เป็นการหลีกเลี่ยงอันตรายที่ไม่จำเป็น หลังจากจบเรื่องแล้วก็ย่อมกลับมา ทำไมต้องดึงดันในความคิดตัวเองขณะนี้?”
แม่เฒ่าลวี่ถอนหายใจ “ไม่ใช่ดึงดันในความเห็นของตน แต่ไม่อยากย้ายจริงๆ ได้แก่ตายอยู่ที่นี่ก็ดีมากอยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลอะไร ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อก่อกบฏ ข้ากับเขายังมีความสัมพันธ์กันบ้างนิดหน่อย เขาน่าจะไม่ถึงขั้นกลั่นแกล้งหญิงแก่ไร้ประโยชน์อย่างข้า เมื่อสังหารข้าแล้ว เขาก็แบกรับชื่อเสียงที่ไม่ดีไม่ไหว อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วย ใช่หรือไม่?”
ประมุขชิงเงียบไปครู่เดียว คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง กล่าวยังไม่แน่ใจว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ คิดว่าทางเจ้ายังมีอะไรจำเป็นต้องใช้อีกไหม?”
พอได้ยินถึงตรงนี้ แม้แต่พวกจ้านหรูอี้ที่ยืนอยู่ในมุมกดไม่ได้ที่จะมองมาอย่างประหลาดใจ ไม่เคยเห็นประมุขชิงใช้น้ำเสียงอย่างนี้คุยกับคนมาก่อน เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเจรจากันอย่างเท่าเทียม จึงอดไม่ได้ที่จะเริ่มมองพินิจหญิงชราที่อาศัยอยู่ในอุทยานหลวงอย่างเงียบสงบและไม่ค่อยโผล่หน้าออกมา
สำหรับแม่เฒ่าลวี่คนนี้ พวกนางรู้เพียงว่าอีกฝ่ายใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบ ไม่มีชนชั้นสูงคนไหนใช้อำนาจข่มเหงนางได้ โดยส่วนใหญ่ไม่มีใครไปรบกวนนางที่สวนกลางเขียวขจี แม้แต่ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่เป็นแต่ไหนแต่ไรมาก็ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างโหดร้าย ก็ยังไม่กลั่นแกล้งนางเลย นางสุขุมเยือกเย็นมาตลอด ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าเป็นเพราะนางไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งใดๆ ถึงได้อิสระอย่างนี้ แต่พอมาดูตอนนี้แล้ว ก็เหมือนว่าจะไม่ใช่อย่างนั้น ในนั้นต้องมีความจริงอะไรซ่อนอยู่แน่นอน ไม่อย่างนั้นบ่าวชราคนหนึ่งที่ดูแลต้นไม้ใบหญ้าจะเข้าตำหนักใหญ่มาเจรจาต่อหน้าประมุขชิงอย่างเยือกเย็นได้อย่างไร เมื่อครู่นี้เพิ่งได้ยินซ่างกวนชิงเรียกนางว่าพี่หญิงลวี่ใช่มั้ย?
ซือหม่าเวิ่นเทียน เกาก้วน อู๋ฉวี่รวมทั้งซ่างกวนชิงเหมือนไม่รู้สึกแปลกใจกับสิ่งนี้เลยสักนิด
แม่เฒ่าลวี่เอียงหน้ามองที่มุมหนึ่งในตำหนักใหญ่ จ้องประเมินจ้านหรูอี้อยู่พักหนึ่ง
ประมุขชิงหันกลับมามองตามสายตาของนาง เมื่อเห็นนางกำลังจ้องจ้านหรูอี้ เขาก็ขยับมุมปากเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เหมือนทำสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย
สายตาของแม่เฒ่าลวี่มาหยุดอยู่บนใบหน้าเขาอีก “ได้ยินว่าสนมที่วังหลังพวกนั้น ฝ่าบาทจะประหารให้หมดเหรอ?”
พวกจ้านหรูอี้ตกใจจนขนลุก ต้องการจะประหารสนมให้หมดวังหลังเหรอ? นั่นเป็นคนจำนวนเท่าไหร่กัน?
ประมุขชิงถลึงตาจ้องซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ อย่างเยียบเย็นดุร้ายแวบหนึ่ง เห็นได้ชัดเจนมาก เรื่องนี้ยังไม่ถูกประกาศ ถ้าซ่างกวนชิงไม่พูด แล้วอีกฝ่ายจะรู้ได้อย่างไร และซ่างกวนชิงก็เพิ่งไปพบนางด้วยตัวเองมาด้วย
ซ่างกวนชิงก้มหน้าอย่างกินปูนร้อนท้อง
แม่เฒ่าลวี่บอกว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับผู้การใหญ่ แต่ข้ารู้ว่าเจ้าอาจจะทำอย่างนี้ ถึงได้ถามเขา เขายังไว้หน้าข้าอยู่บ้าง เลยหลุดปากพูดด้วยความจนใจเท่านั้น เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องโทษเขา”
ประมุขชิงขมวดคิ้ว “แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าก็อยู่อย่างสงบไม่เข้ามาเกี่ยวข้องอะไร ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้?”
แม่เฒ่าลวี่ถอนหายใจ “ไม่ว่าจะดีจะเลว ไม่เกี่ยวว่าเจ้าจะโปรดปรานหรือไม่โปรดปรานพวกนาง แต่พวกนางล้วนมีชะตาขื่นขมงทั้งนั้น ไว้ชีวิตคนเถอะ ส่งมาที่สวนกลางเขียวขจีแล้วกัน รอเจ้ากลับมาแล้ว ถ้าเจ้ายังอยากให้พวกนางกลับวัง ก็ค่อยเรียกกลับไปอีกที ถ้าสถานที่นี้ถูกหนิวโหย่วเต๋อยึดไปจริงๆ ทางฝั่งหนิวโหย่วเต๋อยังไว้หน้าข้าอยู่บ้าง ข้าย่อมมีคำพูดที่จะขัดขวางเขาได้อยู่แล้ว ไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อแตะต้องพวกนางง่ายๆ ในภายหลังเก็บพวกนางไว้เป็นลูกมือของข้า ให้คอยช่วยดูแลดอกไม้ก็แล้วกัน”
ประมุขชิงขมวดคิ้วมุ่น ยอดหญิงงามมากมายขนาดนั้น เขาทำใจเชื่อได้ยากว่าผู้ชายคนอื่นจะอดใจไม่แตะต้องได้ ต่อให้ผู้ชายคนอื่นไม่เป็นฝ่ายมาแตะต้องพวกนางก่อน แต่ในบรรดาผู้หญิงพวกนั้น ก็มีหลายคนที่เขารู้นิสัยดีอยู่แก่ใจ เกรงว่าจะมีหลายคนที่ทนเหงาและสิ้นหวังอยู่ที่สวนกลางเขียวขจีไม่ไหว จะเป็นฝ่ายหาทางออกไปเอง ยิ่งเป็นผู้หญิงสวยก็ยิ่งไม่อยากทรยศต่อความงามที่สวรรค์ประทานให้ตัวเอง
เมื่อเห็นเขายังลังเลนิดหน่อย แม่เฒ่าลวี่ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “หลายปีมานี้ข้าไม่เคยขออะไรเจ้าเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เอ่ยปาก”
พอนางกล่าวเช่นนี้ ประมุขชิงก็หลุบตาลงเล็กน้อย แล้วโบกมือบอกซ่างกวนชิงทันที “ทำตามที่นางยอก ส่งคนไปที่สวนกลางเขียวขจี เตือนพวกนางว่าให้ซื่อสัตย์หน่อย”
“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงก้มหน้ารับปาก แล้วหยิบระฆังดาราออกมาถ่ายทอดคำสั่ง
“เฮ้อ เจ้าก็รักษาตัวให้ดีแล้วกัน” แม่เฒ่าลวี่ย่อตัวพูดทิ้งท้าย แล้วหันตัวเดินค้ำไม้เท้าออกไปพร้อมเงาร่างแก่ชรา
กลุ่มคนในตำหนักมองตามเงียบๆ มองตามจนกระทั่งเงานางหายไป
และในตอนนี้ นอกตำหนักก็มีอีกคนเดินเข้ามา ดึงดูดสายตาของทุกคนอีกครั้ง โพ่จวิน!
พอเข้ามาในตำหนักแล้ว สายตาของโพ่จวินก็กวาดมองกลุ่มคน สุดท้ายก็ไปตกอยู่บนตัวจ้านหรูอี้ที่ยืนอยู่ในมุม แล้วก็ต้องไม่รับสายตาอย่างนั้น…
แดนสุขาวดี ภูเขาหลิงซาน วัดต้าเหลย
ประมุขพุทธะที่สวมจีวรสีทองเดินเท้าเปล่าออกมานอกอุโบสถ ทอดสายตามองเขาหลิงซานที่ปกคลุมไปด้วยหมอก พลางกล่าวช้าๆ ว่า “ครั้งนี้ราชันสวรรค์ประสบปัญหายุ่งยากแล้วจริงๆ อาจจะเป็นภัยคุกคามต่อแดนสุขาวดีของข้าโดยตรง ต้องทำให้สถานการณ์สงบให้ได้ ถ้าต้องการนำศิษย์พุทธแปดร้อยล้านไปขู่ด้วยตัวเอง! ทางฝั่งอารามแปดทิศ ศิษย์น้องของเจ้าจะนำศิษย์พุทธหนึ่งร้อยล้านไปเฝ้าไว้ จะเหลือศิษย์พุทธร้อยล้านไว้ให้เจ้าเฝ้าเขาหลิงซาน จำไว้นะ ถ้าเกิดสถานการณ์อะไรที่เหนือการควบคุม ต้องเปิดใช้ค่ายกลใหญ่ทันที สังหารคนที่อยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ เข้าใจแล้วใช่ไหม?”
พระรูปร่างผอมสูงที่ติดตามอยู่ข้างกายชื่อว่าจินหลัว เป็นลูกศิษย์ของเขา อีกฝ่ายประนมมือตอบ “ศิษย์เข้าใจแล้ว!”
จวนท่านอ๋องเถิง ในตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง เถิงเฟยที่วางระฆังดาราในมือโมโหจนกระหืดกระหอบ เดินไปเดินมาอยู่อย่างนั้น
หลังจากเขาได้รับข่าวจากโค่วหลิงซวีกับก่วงลิ่งกงอย่างต่อเนื่องกัน ถึงได้รู้สถานการณ์ของอาณาเขตทัพใต้ ถึงได้รู้ว่าเฉิงไท่เจ๋อนำกำลังพลเข้าไปในอาณาเขตทัพใต้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเฉิงไท่เจ๋อจะช่วยหนิวโหย่วเต๋อล้อม โจมตีกองทัพองครักษ์? หนิวโหย่วเต๋อกำลังร่วมมือกับเขา กำลังสนับสนุนเขาไม่ใช่เหรอ? เฉิงไท่เจ๋อที่โดนหนิวโหย่วเต๋อเล่นงาน ทำไมถึงถ่อไปสนับสนุนหนิวโหย่วเต๋อได้?
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็เดาไม่ยากอีกต่อไป ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว ว่าตัวเองโดนหนิวโหย่วเต๋อหลอกใช้ประโยชน์ โดนหลอกใช้ประโยชน์อย่างโหดร้ายมาก! ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อกับเฉิงไท่เจ๋อเข่นฆ่ากันมาถึงบริเวณนี้แล้ว จะไม่ให้เขากังวลก็คงยาก ถ้าวันไหนหนิวโหย่วเต๋อช่วยเฉิงไท่เจ๋อโจมตีกลับมาทางนี้ล่ะ เขาจะไปร้องไห้กับใคร?
แต่จนใจที่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าไม่มีแม้แต่ที่ให้ทวงความยุติธรรมด้วยซ้ำ ฉีกหน้ากันหมดแล้ว ใครจะมาสนใจที่เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมล่ะ?
“ท่านอ๋อง เป็นอะไรไป?” เถิงจงถาม
“หนิวโหย่วเต๋อรังแกกันเกินไปแล้ว…” เถิงเฟยเล่าสถานการณ์ที่รู้ให้ฟังรอบ
เถิงจงสีหน้าบิดเบี้ยว นี่คือการโดนหลอกใช้แล้วจริงๆ ปั่นหัวฝั่งนี้เล่นเหมือนเป็นลิง อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างเครียดแค้น “ไอ้หนิวจัญไรช่างกลับกลอกเจ้าเล่ห์จริงๆ อย่าบอกนะว่าอ๋องสวรรค์โค่วกับก่วงก็ไร้เหตุผลเหมือนกัน?”
เถิงเฟยหันหน้ามา “อธิบายเหตุผลบ้าอะไรล่ะ! ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่พวกเขาจะขัดแย้งภายใน จะให้ข้าเคลื่อนทัพเข้าอาณาเขตทัพเหนือ ต่อต้านกำลังพลจากแดนพุทธ ทั้งยังขู่ข้าด้วยว่า ถ้าข้ากล้านิ่งดูดาย ต่อไปพวกเขาจะร่วมมือกันสู้กับข้า รังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ!”
เถิงจงขมวดคิ้ว “ท่านอ๋อง เช่นนั้นพวกเรายังจะเคลื่อนทัพอยู่ไหม?”
“หึหึ!” เถิงเฟยเแสยะยิ้ม “พวกเขาเห็นข้ากลายเป็นอะไรไป? ข้าใช่คนที่พวกเขาจะมาชี้นิ้วสั่งให้ไปนั่นไปนี่หรอ? สู้เถอะ ให้พวกเขาสู้กันไป สองฝั่งฉีกหน้ากันจนถึงที่สุดแล้ว เมื่อทำศึกกันขึ้นมา หากคนตายน้อยแล้วเรื่องจะสำเร็จได้ยังไง? ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ อย่างมากทั้งสองฝั่งก็ทำได้เพียงขู่ข้า ใครจะกล้ามาขู่ข้าล่ะ! ข้าไม่ช่วยทั้งสองฝั่ง จะนั่งดูเสือสู้กัน ไม่ว่าสุดท้ายใครจะแพ้หรือจะชนะ แพ้แล้วก็ไม่มีอะไรต้องพูด ชนะแล้วก็ต้องเสียหายหนักมากแน่นอน มีเพียงข้าคนเดียวที่ไม่เป็นอะไร!”
เถิงจงเข้าใจทันที เข้าใจความคิดของเขาแล้ว ถึงตอนนั้นท่านอ๋องมีกำลังพลจำนวนมากอยู่ในมือ รักษากำลังเอาไว้ได้ครบสมบูรณ์ ใครจะกล้ามาโจมตีง่ายๆ ล่ะ? นั่นก็คือสิทธิ์ในการเรียกร้องส่วนแบ่งผลประโยชน์ในใต้หล้า! เขาพยักหน้าสั้นๆ ต้องยอมรับว่าท่านอ๋องพูดถูก แต่เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก อำนาจใหญ่แต่ละฝ่ายต่างก็เข้าร่วม ท่านอ๋องมีอำนาจอ่อนแอที่สุด จะสามารถสนใจแต่ตัวเองได้จริงเหรอ?
บนสนามต่อสู้หลักที่ใหญ่ที่สุดในดาราจักร กำลังพลของชิงเยว่กับกำลังพลของฉวี่ฉางเทียนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
พลังรบของกองทัพองครักษ์เข้มแข็งเกรียงไกรจริงๆ มีการประสานงานระหว่างการโจมตีและป้องกันอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำเลย กอปรกับมีอาวุธชั้นดี แล้วก็มีการบัญชาการที่ชำนาญของฉวี่ฉางเทียน ยามเผชิญการล้อมโจมตีของทัพใหญ่หนึ่งพันห้าร้อยล้าน ก็ป้องกันได้แน่นหนาจนน้ำเล็ดรอดไม่ได้สักหยด ไม่ว่าฝั่งนี้จะพุ่งเข้าไปสุดชีวิตอย่างไร แต่ก็ยากที่จะบุกโจมตีเข้าไปได้
เหมียวอี้กับเฉิงไท่เจ๋อที่เข้ามาดูการต่อสู้ในขบวนรบลุ้นมีสีหน้าจริงจัง
“ท่านอ๋องหนิว ฉวี่ฉางเทียนสมกับเป็นขุนพลเก่า ป้องกันได้แน่นหนามาก ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป อย่าว่าแต่กำลังพลของท่านอ๋องจะเสียหายหนักมาก ถ้าตีไม่แตกอย่างนี้ต่อไป กำลังพลของพวกเราก็ไม่มีทางหลุดออกมาได้เช่นกัน ถ้ารอจนทัพใหญ่ของประมุขชิงตามมาถึงก็จะยุ่งยากแล้ว” เฉิงไท่เจ๋อเอียงหน้าเตือน
เหมียวอี้ไม่ได้พูดต่อจากเขา แต่หันตัวไปมองเฮยทั่น “ให้คนของเจ้าลงสนาม!”
เดิมที ถ้าฝั่งนี้สามารถโจมตีได้โดยตรง เขาก็ยังไม่อยากเผยไพ่ใบนี้เร็วเกินไป ดูท่าแล้ว ตอนนี้จะไม่ใช้งานก็คงไม่ได้ ถ้ากำลังพลเสียหายอย่างนี้ต่อไป แล้วตอนหลังเขาจะเอาอะไรไปสู้กับอีกฝ่ายล่ะ?
เฉิงไท่เจ๋อก็หันไปมองเฮยทั่นตามเช่นกัน รู้สึกสงสัยนิดหน่อย เขาไม่คุ้นหน้าเฮยทั่น ไม่รู้ด้วยว่าเฮยทั่นจะมีกำลังพลอะไรที่แก้ไขสถานการณ์ได้ ฉวี่ฉางเทียนตั้งกระบวนทัพเป็นรูปทรงกลมเพื่อป้องกัน ในนั้นมีกำลังพลเพียงพอที่จะเติมพลังงานในภายหลัง ต่อให้เพิ่มกำลังพลที่โจมตีมากกว่านี้ เกรงว่าคงไม่ได้ผลมากนัก
เฮยทั่นกลับตกหน้าอกพลางกล่าวอย่างตื่นเต้น “ท่านอ๋องวางใจได้ เรื่องนี้ข้ารับเอง”
เหมียวอี้ทำสีหน้าจริงจัง “อย่าสนแต่ความสะใจของตัวเอง เชื่อฟังคำบัญชาการ ห้ามทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่อย่างนั้นประหารไม่ละเว้นแน่นอน!”
เฮยทั่นตัวสั่นด้วยความกลัว พยักหน้าซ้ำๆ “เข้าใจแล้วๆ ฟังคำบัญชาการ!”
“ไปเถอะ!” เหมียวอี้โบกมือ
เฮยทั่นเลี้ยวและถลันตัวออกจากทับใหญ่ทันที ออกมานอกสนามรบ ปล่อยวิญญาณชั่วร้ายจำนวนหนึ่งแสนออกมา ทั้งตบหน้าอกทั้งโบกหมัดและแยกเขี้ยวยิงฟันให้กลุ่มวิญญาณชั่วร้ายดู ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร
สรุปก็คือ วิญญาณชั่วร้ายกลุ่มนั้นเคยเห็นฉากการเข่นฆ่าขนาดใหญ่เท่านี้เสียที่ไหนกัน พวกเขาตกตะลึงพรึงเพริด แต่ละคนเผยสีหน้ากังวลหวาดกลัว
วิญญาณชั่วร้ายหนึ่งแสนใช้งานธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ จัดขบวนทัพและเดินหน้าไปยังขบวนรบขนาดใหญ่มหึมา
หลังจากเหมียวอี้กับชิงเยว่ประสานงานกันแล้ว ก็รีบให้กำลังพลที่รวมตัวกันเว้นช่องว่างให้เป็นทางผ่านทางหนึ่ง
เมื่อเห็นกำลังพลหนึ่งแสนหน้าตาแปลกประหลาด บางคนจะเหมือนคนก็ไม่ใช่จะเหมือนผีก็ไม่ใช่ บนตัวมีปราณมรณะ ปราณสังหาร ปราณอาฆาตและปราณเหี้ยมโหด เฉิงไท่เจ๋องุนงงอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเหมียวอี้ฝึกตนอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ระยะยาว จึงหันกลับมาถามอย่างตกใจ “นี่คือวิญญาณชั่วร้ายเหรอ?”
…………………………
หลังจากจัดที่อยู่ให้คนพวกนี้เรียบร้อยแล้ว ก็นับว่าบรรเทาเรื่องในใจเขาได้ หนึ่งเรื่อง
จากนั้นก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมากล่าวกับสองหยางด้วยรอยยิ้มว่า “โค่วหลิงซวีส่งข่าวมาแล้ว”
สองหยางสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนหน้านี้เพิ่งติดต่อกับก่วงลิ่งกงไป
พอเชื่อมสัญญาณติดแล้ว โค่วหลิงซวีก็ถามทันที่ว่า : ได้ยินว่าประมุขชิงส่งกำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยล้านไปโจมตีเจ้าเหรอ ?
เหมียวอี้ : ไม่มีถึงหนึ่งพันห้าร้อยล้านหรอก นั่นล้วนี้เป็นข่าวลือตอนนี้นอกดาวอ๋องสวรรค์หนิวมีกองทัพองครักษ์ห้าร้อยล้านกำลังดันทุรังโจมตี กองทัพองครักษ์สามร้อยล้านของฮวาอี้เทียนกำลังตามมาช่วย ในอาณาเขตของข้ามีกองทัพองครักษ์สี่ร้อยล้านกำลังโจมตีก่อกวน
พูดชัดเจนขณะนี้ ก็เพราะอยากให้อีกฝ่ายรู้ว่า แม้แต่ยามอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่กองทัพองครักษ์รวมกำลังพลทหาร เขากับประมุขชิงก็ยังโจมตีกัน เจ้าจู่โจมข้า ข้าก็จู่โจมเจ้าเหมือนกัน เจ้าวางกับดักข้าก็วางกับดัก ต่างก็ทาทุกทางโดยไม่สนวิธีการภายนอกล้วนอาศัยข้ออ้างว่าปราบกบฏ แต่ความจริงแอบระดมพลอย่างลับ ๆ คน
ภายนอกไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนเลย สำหรับคนอย่างโค่วหลิงซวีกับก่วงลิ่งกง ถ้าไม่รู้สถานการณ์กำลังทหารของคู่ต่อสู้ชัดเจน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะวู่วามลงมือ
โค่วหลิงซวีลองคำนวณคร่าว ๆ ถ้ามีไม่ถึงหนึ่งพันห้าร้อยล้านแต่ก็มีหนึ่งพันสองร้อยล้าน ในจำนวนั้นนมีห้าร้อยล้านบุกโจมตีไปที่รังของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว เห็นได้ชัดว่าประมุขชิงจู่โจมเข้าไป ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้ข่าวเลยว่ากำลังพลห้าร้อยล้านเข้าไปในรังของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว แบบนี้เท่ากับต้องการจะเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อให้ถึงตาย เขาอดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อแทนเหมียวอี้ ถามว่า : เจ้าจะต้านได้นานเท่าไร ?
เขาลองคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกันไปช่วยเหลือแต่ฝั่งนี้ก็มีกำลังพลห้าร้อยล้านของแดนสุขาวดีโผล่มา ทำให้เขาปวดหัวนิดหน่อย
เหมียวอี้ : ต้านเหรอ ? ถ้าคนไม่มาล่วงเกินข้า ข้าก็ไม่ล่วงเกินใครแต่ถ้ามาล่วงเกินข้า ข้าก็ต้องล้างแค้น ในเมือมาแล้ว มีหรือที่คาดจะปล่อยพวกเขากลับไปอย่างปลอดภัย กำลังพลห้าร้อยล้านของฉวี่ฉางเทียนถูกทัพใหญ่สองพันล้านของข้าล้อมไว้หมดแล้ว กำลังพลสามพันล้านของฮวาอี้เทียนก็ถูกทัพใหญ่หนึ่งพันห้าร้อยล้านของเฉิงไที่เจ๋อล้อมไว้แล้ว กองทัพองครักษ์แปดร้อยล้านี้น ข้ากำจัดหมดแน่นอน แล้วกำลังพลสี่ร้อยล้านที่เหลือจะทำอะไรข้าได้เหรอ ?
โค่วหลิงซวีตะลึงพรึงเพริด ทัพใหญ่สองพันล้าน ? เห็นได้ชัดว่าวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว! ทัพใหญ่หนึ่งพันห้าร้อยล้าน ? เฉิงไที่เจ๋อถ่อไปประสมโรงได้อย่างไร ? รีบถามว่า : เจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าประมุขชิงต้องการลอบโจมตีเจ้า ?
เหมียวอี้ : มีองค์รักษ์เงาลอบสังหารก่อนหน้านี้ แล้วตอนหลังก็มีกำลังพลดักซุ่มที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ มีหรือที่ข้าจะไม่ป้องกัน ? ประมุขชิงก็แค่ไม่ลงมือเท่านั้น ถ้ากล้าลงมือข้าก็กล้ากำจัดเขา!
โค่วหลิงซวีเหมือนโมโหนิดหน่อย : ทำไมเจ้าไม่บอกพวกเราตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำไมต้องบุ่มบ่ามทาคนเดียว ?
เหมียวอี้ : จำเป็นต้องบอกข้าวด้วยเหรอ ? ตอนนี้จำนวนกำลังพลกองทัพองครักษ์ในอาณาเขตของเจ้ากับก่วงลิ่งกงก็แค่ห้าร้อยล้านเอง ถ้าทัพใหญ่หกพันล้านขอพงวกเจ้าเอาชนะกองทัพองครักษ์ห้าร้อยล้านไม่ไหว เช่นั้นนตามความเห็นของข้า พวกเจ้าสองคนก็นับว่าสิ้นสุดการเป็นท่านอ๋องแล้วเหมือนกัน
โค่วหลิงซวี : เจ้าอย่าลืมสิ ในมือประมุขชิงยังมีกองทัพองครักษ์แปดร้อยล้าน นั่นไม่ได้มีไว้ประดับเฉย ๆ นะ!
เหมียวอี้ : ข้าบ้านเดียวยังกดกำลังพลหนึ่งพันสองร้อยล้านของประมุขชิงได้เลย ทัพใหญ่ของประมุขชิงไม่ได้คิดอย่างอื่นแน่นอน จะต้องรวมกำลังบุกมาที่ข้าแน่ พวกเจ้าต้องช่วงชิงเวลาให้ข้า กดกองทัพองครักษ์ในอาณาเขตของพวกเจ้าเอาไว้ให้ดี อย่าสร้างความยุ่งยากให้ข้าเพิ่ม รอให้ข้ากำจัดกองทัพองครักษ์หนึ่งพันสองร้อย
ล้านทิ้งก่อน แล้วจะรวบรวมกำลังทหารไปรับศึกกับกำลังพลแปดร้อยล้านชุดสุดท้ายในมือประมุขชิง! ในเมือเขาจะเล่นงานให้ข้าถึงตาย ข้าก็ไม่คิดอะไรเอ่ย่างอื่นแล้วเหมือนกัน ยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเปืนกระเบื้องสมบูรณ์ จะต้องสู้ตายกับกำลังหลักสุดท้ายของเขาแน่นอน ไม่ถอยเด็ดขาด ไม่มีทางให้ถอยแล้วด้วย!
โค่วหลิงซวี : ทัพใหญ่ห้าร้อยล้านของแดนสุขาวดีปรากฏตัวในอาณาเขตของข้าแล้ว
เหมียวอี้ : เถิงเฟยมัวไปทำอะไรกินอยู่ ? ให้เขาถ่วงเวลาไว้เดียวนี้ ให้เขาเคลื่อนกำลังพลออกมาช่วย! ขอเพียงอำนาจของประมุขชิงล้ม หากพวกเจ้ารวมกำลังกันแล้ว กำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยล้านของประมุขพุทธะจะสู้พวกเจ้าได้กเหรอ ? คาดว่าคงไม่ต้องให้ข้าพูดหลักการมาก ถ้าตอนนี้พวกเจ้าไม่สนใจ พอข้าโดนประมุขชิงโค่นล้มแล้ว ต่อประมุขชิงจะต้องสู้กับพวกเจ้าแน่ ทุกคนอย่าได้หวังว่าจะอยู่เป็นสุข ข้าพูดเพียงเท่านี้ ส่วนพวกเจ้าจะเคลื่อนทัพหรือจะนิ่งดูดาย ก็เชิญตามสะดวก ข้าไม่บังคับ!
โค่วหลิงซวี : หนิวโหย่วเต๋อเอ๊ยหนิวโหย่วเต๋อครั้งนี้พวกเราถูกเจ้าลากลงน้าไปด้วยแล้ว
การที่พูดคำนี้ออกมาได้ ก็แสดงว่าในใจเขารู้แล้ว ว่าไม่สามารถทำตัวให้อยู่นอกเหตุการณ์นี้ได้แล้ว
เหมียวอี้ : จะบอกว่าโดนข้าลากลงน้าได้ยังไง จะว่าไปแล้ว พวกเจ้ายังต้องขอบคุณข้ามากก็วานี่เป็นเพราะข้ายังต้านไหวนะ
ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาของพวกเจ้าจะเป็นยังไง ก็สามารถจินตนาการได้เลย เป็นข้าที่ช่วยพวกเจ้าต่างหาก ขอบคุณก็ไม่มีสักคา ทำไมต้องมาบ่น ?
หลังจากทั้งสองฝ่ายติดต่อกันเสร็จแล้ว หยางเจาชิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็รายงานว่า “ท่านอ๋อง เฉิงไที่เจ๋อพาคนในครอบครัวมาแล้วขอรับ”
“เชิญเข้ามา! ถือโอกาสให้หวังเฟยออกมารับแขกด้วย” เหมียวอี้กล่าว
เขาออกจากตาหนักใหญ่ด้วยตัวเอง ยืนต้อนรับอยู่บนบันไดนอกตาหนัก
ผ่านไปครูเดียว ก็เห็นเฉิงไที่เจ๋อปรากฏตัวพร้อมทั้งชายหญิงกลุ่มหนึ่ง รวมเป็นอนุภรรยาและลูกของเขา ทั้งยังมีแม่ทัพหลายคนติดตามอยู่ทางซ้ายและขว่าด้วย
พอเหมียวอี้เดินลงบันไดเฉิงไที่เจ๋อก็รีบเร่งฝีเท้าเดินออกจากคนข้างหลังทันที่ชิงก้าวมาข้างหน้า แล้วทั้งสองก็กุมหมัดคารวะทักทายด้วยรอยยิ้มตั้งแต่ไกล ๆ “ท่านอ๋อง!”
พอเจอหน้าก็พูดคุยกันอย่างเป็นมิตร เฉิงไที่เจ๋อทาท่าเหมือนขออภัยมาก “มัวแต่จับตาดูเรื่องทาศึกฝั่งฮวาอี้เทียน เลยมาช้า ท่านอ๋องโปรดอภัย”
เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านอ๋องเฉิงมาที่นี่อย่างสงบใจได้ ก็แสดงว่าการทำศึกในแนวหน้าราบรื่น ข้าก็ควรจะดีใจสิ”
“มา ทุกคนมาคานับท่านอ๋องหนิวกับห่วงเฟย” เฉิงไที่เจ๋อหันตัวไปกวักมือเรียกกลุ่มคนในครอบครัวให้มาคานับ
ทั้งชายทั้งหญิงทยอยกันโค้งตัวคานับ “คานับท่านอ๋องค่านับห่วงเฟยเหนียงเหนียง”
เหมียวอี้ผายมือขึ้น แล้วเอียงหน้าบอกใบ้อวิ๋นจือชิว
อวิ๋นจือชิวเข้าใจ ก้าวขึ้นมาข้างหน้าด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเองทั้นที่คุยกับบรรดาอนุภรรยาของเฉิงไที่เจ๋อเรียกขานกันว่าพี่น้องอย่างมีอัธยาศัยไมตรีมาก จากนั้นก็เชิญคนในครอบครัวให้ออกไปจากตรงนั้น เชิญไปดื่มน้ำชาที่สวนดอกไม้
ขณะมองคล้อยหลังคนในครอบครัวเดินตามอวิ๋นจือชิวไป ในใจเฉิงไที่เจ๋อก็รู้สึกปลงมาก ทัพใหญ่ของเขาส่วนใหญ่ถูกย้ายออกจากข้างกายเขาไปแล้ว ที่จริงแล้วตัวเองกับคนในครอบครัวกลายเป็นตัวประกันในมือเหมียวอี้แล้ว และครั้งนี้เขาก็พาครอบครัวมาส่งให้ถึงประตูด้วยตัวเองแสดงความจริงใจมากพอแล้ว
กลุ่มคนเดินออกไปอย่างครึกครื้น เหลือเพียงคนที่ทำงานเอาไว้ เหมียวอี้บอกว่า “ศึกใหญ่ด้านนอกกำลังดุเดือด ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเฉิงยินดีจะติดตามข้าไปดูสนามรบเพื่อช่วยเสริมความน่าเกรงขามหรือไม่ ?”
” กำลังคิดอย่างนี้พอดี่” เฉิงไที่เจ๋อตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
ดังนั้นผู้ชายกลุ่มหนึ่งจึงเดินก้าวยาวออกไป้พอออกจากจวนท่านอ๋องแล้วก็พุ่งขึ้นไปบนดาราจักรอย่างรวดเร็ว…
วังสวรรค์ ในวังหลังเกิดสถานการณ์วุ่นวายนาหวาดกลัวทั่วทุกที่กองทัพองครักษ์กลุ่มใหญ่กำลังให้บรรดาสนมทุกคนในวังหลังไปรวมตัวกัน
พระตาหันกอุทยาน บนท้องฟ้า หงส์และมังกรบินร่อนี้เป็นฝูง ทับใหญ่ที่รวมตัวกันด้านนอกกกหนาแน่นมาก
ในตาหนักใหญ่ ประมุขชิงที่ถือระฆังดาราหน้าดาคร่าเครียดินดหน่อย ก่วงลิ่งกงกับโค่วหลิงซวีติดต่อมาหาเขาโดยตรง
แค่ติดต่อมาหาเขาโดยตรงก็เป็นเรื่องที่พบยากแล้ว ติดต่อมาพร้อมกันก็ยิ่งพบยากยิ่งกว่า
โค่วหลิงซวีกับก่วงลิ่งกงจะมีอะไรดี ๆ พูดเสียที่ไหนักน กองทัพองครักษ์โจมตีอาณาเขตของพวกเขาแล้ว จะให้พูดดีด้วยก็แปลกแล้ว พวกเขามาเอาเรื่องและขอคำชี้แจง
ประมุขชิงแปลกใจมาก ย่อมยืนกรานปฏิเสธ พอเก็บระฆังดาราแล้วก็ตาหนิอู๋ฉวี่ที่ยืนอยู่เบื้องล่าง “กองทัพองครักษ์ในเขตทัพตะวันตกกับทัพเหนือกำลังโจมตีทัพตะวันตกกับทัพเหนือโดยพลการหมายความว่ายังไง ? ใครเป็นคนออกคำสั่ง ?”
ไม่โมโหก็แปลกแล้ว ฝั่งนี้กำลังโดนหนิวโหย่วเต๋อบีบจุดอ่อน แค่นี้ก็ทำให้เขากดดันเหมือนมีไฟเผาหัวแล้ว เขาจินตนาการได้เลย ว่า
กำลังพลกองทัพองครักษ์หนึ่งพันสองร้อยล้านของตัวเองโดนหนิวโหย่วเต๋อกดไว้แล้ว เมื่อเห็นว่ากำลังพลในมือถูกลดไปเยอะมาก ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะปลุกให้อำนาจหลายฝ่ายเกิดความทะเยอทะยานใจ การไปยั่วโมโหอำนาจเหล่านั้นไม่ใช้กับการรนหาที่ตายหรอก หรือ ? เท่ากับมอบข้ออ้างในการลงมือให้อีกฝ่ายโดยตรงแล้ว!
พวกซ่างกวนชิงตกใจไม่เบา นี่คือการราดน้ำมีนลงบนไฟจริง!
อู๋ฉวี่ก็ตกใจเช่นกัน “เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางที่จะถ่ายทอดคำสั่งอย่างนี้แน่นอน! หรือว่าสองฝ่ายนั้นจงใจหาข้ออ้างเพื่อเคลื่อนทัพ ?”
ประมุขชิงชี้หน้าด่า “แล้วทำไมเจ้ายังไม่รีบไปตรวจสอบอีก!”
อู๋ฉวี่รีบถ่ายทอดคำสั่งตรวจสอบความจริง ที่จริงก็ไม่ต้องให้เขาสืบหรอก เป็นไปไม่ได้ที่ทัพตะวันตกกับทัพเหนือจะนั่งรอให้โจมตีโดยไม่สวนกลับ กำลังระดมพลไปล้อมปราบกองทัพองครักษ์ที่ก่อเรื่องแล้ว เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ จะไม่ให้สะเทือนถึง บุคคลระดับสูงของกองทัพองครักษ์ที่ก่อเรื่องก็คงยาก ย่อมต้องสืบให้ชัดว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่
ผลก็คือพบว่าในอาณาเขตทัพตะวันตกกับทัพเหนือมีกำลังพลสิบกว่ากลุ่มกำลังก่อเรื่องจริง ๆ เบื้องบนถามว่าเรื่องเป็นอย่างไร กำลังพลสิบกว่ากลุ่มที่ก่อเรื่องก็ล้วนให้ผู้ช่วยตอบคำถาม ต่างก็บอกว่าหัวหน้าภาคบอกว่าได้รับคำสั่งโจมตีจากเบื้องบน
เบื้องบนย่อมโมโหมาก จะมีคำสั่งแบบนี้ได้อย่างไรกัน ไปหาตัวแม่ทัพคนสำคัญที่ออกคำสั่งทันที่ผลปรากฏว่าแม่ทัพคนสำคัญติดต่อไม่ได้เลยสักคน หายตัวไปแล้ว ไม่รู้ว่าหายไปไหน
ในมุมหนึ่งของตาหนักใหญ่ จ้านหรูอี้กำลังยืน เงียบอยู่ในมุม โดยมีหยินซวงไป๋เสวี่ยอยู่เป็นเพื่อน
ทั้งสามถูกเรียกออกจากตาหนักเย็นแล้ว ไม่ค่อยได้พบเห็นประมุขชิงเวลาโกรธก็ฟัดกะเฟียดแบบนี้ หยินซวงกับไป๋เสวี่ยแอบตกใจ ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อมาถึงขั้นนี้แล้วเหรอ ? สามารถกดดันราชันสวรรค์ให้เป็นถึงขั้นนี้ได้แล้วเหรอ ?
สถานการณ์การรบโดยละเอียด ทั้งสามนั้นไม่รู้ แต่หลังจากถูกเรียกมา สิ่งที่ฝั่งนี้บอก็กคือหนิวโหย่วเต๋ออ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ก่อกบฏแล้ว!
บอกไม่ถูกว่าในดวงตาจ้านหรูอี้แสดงความรู้สึกอย่างไร ตัวละครที่ในปีนั้นแตกต่างกับนางไม่เท่าไหร่ เขาเติบโตขึ้นมาทีละก้าวจนถึงทุกวันนี้ มีคุณสมบัติที่จะใช้กำลังทหารู้สกับราชันสวรรค์แล้ว แค่โบกมือก็สามารถบัญชาการให้กำลังพลนับร้อยล้านทาศึก ดูดกลืนใต้หล้า แต่นางล่ะ ตั้งแต่ถอดเกราะรบเขามาปรนนิบัติในวัง ก็เป็นตัวละครที่ต้องคอยเปลื้องผ้ามาตลอด…
เมื่อเข้าใจสถานการณ์ชัดเจนแล้ว อู๋ฉวี่ก็รายงานว่า “ฝ่าบาท มเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง กำลังพลสิบกว่ากลุ่มสูญเสียการควบคุม…” เขารายงานสถานการณ์ให้ฟังอย่างละเอียด
ประมุขชิงเดือดดาลที่สุด ชี้เขาพลางตาหนิ “พวกเจ้ามัวไปทำอะไรกิน ? เวลาเลือกคนมาควบคุมกองทัพ พวกเจ้าหลับตาเลือกกัน หรือไง ?”
อู๋ฉวี่กล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ฝ่าบาท น่าจะเป็นแผนชั่วของหนิวโหย่วเต๋อเบื้องล่างสืบประวัติคนพวกนั้นแล้ว พบว่ามีจุดร่วมเดียวกันหนึ่งอย่างนั่นก็คือคนพวกนั้นล้วนี้เป็นลูกน้องเก่าของหนิวโหย่วเต๋อตอนอยู่กองทัพองครักษ์ ล้วนี้เป็นผรู้อดชีวิตที่ติดตามหนิวโหย่วเต๋อไปโจมตีทัพเกรียงไกรหนึ่งล้านที่น่านฟ้าระกาติง”
ประมุขชิงทั้งตกใจทั้งโมโหยิ่งกว่าเดิม “ข้าจาได้ว่าลูกน้องเก่าของหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้มีแค่คนพวกนี้นี่ ? ถ่ายทอดคำสั่งไปแต่ละหน่วยเดียวนี้ ควบคุมผู้ที่เกี่ยวข้องให้หมด!”
“สั่งให้คนไปปฏิบัติตามแล้วขอรับ” อู๋ฉวี่พยักหน้า
กำลังพลแต่ละหน่วยด้านนอกกกยงร่วมตัวกัน ฝั่งนี้รออยู่ไม่นานเท่าไร หลังจากอู๋ฉวี่ได้รับข่าวจากระฆังดาราอีกครั้งสีหน้าก็เปลื่ยนไปอีก เขาไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไรด้ สุดท้ายก็ต้องแข็งใจรายงานว่า “ฝ่าบาท จับได้เพียงไม่กี่พันคน คนในครอบครัวของพวกนั้นเพิ่งหายตัวไปไม่นานก่อนหน้านี้”
“หนี้ไปแล้ว ? หายไปแล้ว ?” ประมุขชิงโมโหสุดขีดจนหัวเราะประชด “ดีมาก! นี่ก็คือกองทัพองครักษ์ที่พวกเจ้าดูแลให้ข้ามาหลายปี ใช้ที่ที่ใครคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปใช้มั้ย ?”
ในขณะนี้เอง ซ่างกวนชิงสาวเท่าเดินเข้ามา พอมาถึงข้างกายประมุขชิงก็รายงานว่า “ฝ่าบาท พี่หญิงลวี่ไม่ยอมย้าย นางบอกว่านางจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“นางคิดจะทำอะไร ?” ประมุขชิงถามด้วยน้ำเสียงโมโห
“นางมาแล้วขอรับ บอกว่าจะขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท” ซ่างกวนชิงตอบ
ประมุขชิงโบกมืออย่างหงุดหงิด
ผ่านไปไม่นาน แม่เฒ่าลวี่ถือไม้เท้าปรากฏตัวอยู่นอกตาหนัก เดินเข้ามาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
ประมุขชิงที่ก่อนหน้านี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ ตอนนี้พอเห็นเงาร่างของนาง ความโกรธก็หายไปหมดทันที่ทั้งตัวราวกับสงบลงอย่างรวดเร็ว ทาหน้านิ่งขณะมองนางเดินเข้ามาใกล้ที่ละก้าว ในดวงตาเผยอารมณ์ที่ซับขึ้นอธิบายไม่ถูก
เมื่อครูนี้ยังพูดเรื่องกองทัพองครักษ์โจมตีหนิวโหย่วเต๋ออยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวกองทัพองครักษ์ก็โจมตีมาฝั่งนี้แล้ว โค่วหลิงซวีถามด้วยสีหน้าขึงขัง “เรื่องนี้ได้รับการยืนยัน หรือยัง ?”
ถังเฮ่อเหนียนตอบว่า “น่าจะไม่ผิดพลาด พื้นที่ที่โดนจู่โจมไม่ได้มีแค่จุดเดียว คงไม่ใช้ว่าข้าวพัลาดทุกที่หรอกขอรับ ?”
โค่วหลิงซวีกัดฟันถามว่า “ประมุขชิงคิดจะทำอะไร ?”
ยังไม่ทันพูดจบ ถังเฮ่อเหนียนก็ใช้ระฆังดาราติดต่ออีกครั้ง จากนั้นก็รีบรายงานอกว่า “ท่านอ๋อง กองทัพพระห้าร้อยล้านจากแดนสุขาวดีออกมาแล้ว ปรากฏตัวอยู่ในอาณาเขตทัพเหนือของพวกเราแล้ว”
โค่วหลิงซวีสีหน้าบึ้งตึง ตอนแรกเขายังนึกว่ากำลังพลกลุ่มนั้นจากแดนสุขาวดีเตรียมไว้เพื่อสยบเหตุการณ์ในทัพตะวันออก ใครจะคิดว่าตอนนี้กองทัพองครักษ์กลับโจมตีอยู่ในอาณาเขตของเขา ต่อให้เรื่องที่ทัพตะวันออกจะถูกแก้ไขแล้ว แต่กำลังพลแดนสุขาวดีก็ยังออกมา นี่คิดจะทำอะไรกัน ?
ความคิดแรกของเขาก็คือประมุขชิงจะลงมือกับเขาหรือว่าอย่างไร ถามเสียงต่าว่า “บอกให้กำลังพลเร่งปิดล้อมอาณาเขตดาวที่กำลังพลแดนสุขาวดีปรากฏตัว สั่งให้กำลังพลแต่ละพื้นที่ระดมพล
ปกป้องตัวเอง ขัดขวางไม่ให้กองทัพองครักษ์รวมตัวกันขนาดใหญ่ ส่วนกองทัพองครักษ์ที่โจมตีกำลังพลของข้า กำจัดให้หมด!”
“ขอรับ!” ถังเฮ่อเหนียนเอ่ยรับคำสั่งแล้วถ่ายทอดคำสั่งลงไปทันที่
ส่วนโค่วหลิงซวีก็รีบหยิบระฆังดารามาติดต่อพวกเหมียวอี้อยากจะยืนยันสักหน่อยว่าสถานการณ์ฝั่งนั้นี้เป็นอย่างไรหากมีการเปิดศึกจริง ๆ ให้เข้าสู่ฝ่ายเดียวก็เกินกำลัง ต้องขอการสนับสนุนจากฝ่ายที่เหลือ…
ในเรือนใหญ่หลังหนึ่งที่อยู่ในเมืองที่เจริญรุ่งเรื่อง เฉาหม่ำนยืนพูดไม่ออกอยู่ใต้ต้นไม้
ชีเจวี๋ยเข้ามารายงานว่า “นายท่าน เบื้องล่างปฏิบัติตามคำสั่งแล้ว อีกไม่นานคงจะย้ายสมาชิกครอบครัวไปแล้ว”
เฉาหม่ำนถามด้วยสีหน้าสงสัยว่า “สมาชิกครอบครัวของกองทัพองครักษ์พวกนี้เป็นใครกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีค่าพอให้ท่านพ่อกาชับให้พาย้ายที่อย่างปลอดภัย ?”
” เมื่อครูนี้บ่าวเพิ่งถือโอกาสตรวจสอบมา สืบจากประวัติส่วนตัวของคนพวกนั้น ก็พบว่ามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือตอนที่หนิวโหย่วเต๋ออยู่กองทัพองครักษ์ คนพวกนี้ล้วนเคยทำงานใต้บังคับบัญชาหนิวโหย่วเต๋อล้วนี้เป็นกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ที่เหลือรอดจากศึกเลือดน่านฟ้าระกาติง!” ชีเจวี๋ยตอบ
“เป็นพวกเขาเหรอ ?” เฉาหม่ำนประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าท่านพ่อจะยอมเสียคนที่อยู่ในกองทัพองครักษ์เพื่อคนพวกนี้…
วังสวรรค์ ตาหนักดาราจักร ประมุขชิงกำลังหลับตาพักผ่อนอยู่หลังโต๊ะยาว ศึกใหญ่กำลังจะเริ่มแล้ว เขามีสีหน้านิ่งสงบ แต่ในใจกลับเฝ้ารอรายงาน
ทว่าอู๋ฉวี่ที่ถือระฆังดาราอยู่ในตาหนัก พอวางระฆังดาราแล้วก็สีหน้าเปลื่ยนไปมาก รีบรายงานด่วนว่า “ฝ่าบาท เกิดเรื่องไม่ดีแล้ว ตอนที่กำลังพลของฉวี่ฉางเทียนกำลังจะไปถึงเป้าหมายโจมตี ก็ถูกกำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยล้านของทัพใต้ล้อมโจมตี เหมือนหนิวโหย่วเต๋อจะเตรียมตัวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เหมือนกำลังพลของฉวี่ฉางเทียนจะติดกับดักที่หนิวโหย่วเต๋อวางเอาไว้แล้ว!”
ซ่างกวนชิงพลันเงย่อหน้า ซือหม่ำเวิ่นเทียนสีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
เกาก้วนขมวดคิ้ว หลังจากฝั่งนี้เริ่มบุกโจมตี ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องนี้กับเขาอีก ที่เรียกเขามาก็เพื่อจะให้ฟังด้วยกัน
ประมุขชิงพลันลืมตาและลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ จากนั้นตะโกนสั่งยังโมโหว่า “สั่งให้กำลังพลของฮวาอี้เทียนไปช่วยเดียวนี้!”
ระฆังดาราในมือของอู๋ฉวี่ขัยบอีกครั้ง หลังจากติดต่อครูเดียว อู๋ฉวี่ก็กล่าวอย่างแค้นใจอกว่า “แม่ทัพใหญ่ของฉวี่ฉางเทียนนาทัพใหญ่ห้าสิบล้านไปปิดล้อมประตูดวงดาวทางออก ผลปรากฏว่าโดน
เหิงอู๋เต้า จอมพลสายมะเส็งนาทัพใหญ่ห้าร้อยล้านมาล้อมโจมตี กำลังอยู่ในอันตราย! ฝ่าบาท หนิวโหย่วเต๋อวางกำลังสองพันล้านไว้รอพวกเรา สงสัยเขาจะรู้แผนการโจมตีของพวกเราตั้งนานแล้ว!”
“ให้กำลังพลของฮวาอี้เทียนไปสนับสนุนอย่างเร็วที่สุด!” ประมุขชิงตะคอกอย่างเดือดดาล
ทว่าตอนที่อู๋ฉวี่เพิ่งจะหยิบระฆังดาราขึ้นมาก็มีข่าวส่งมาอีกแล้ว ครั้งนี้สีหน้าของอู๋ฉวี่เปลื่ยนี้เป็นย่าแย่มากจริง ๆ เขาเงย่อหน้าช้า ๆ “ฝ่าบาท ทัพใหญ่สามร้อยล้านที่นาโดยฮวาอี้เทียนมีการเคลื่อนไหวแล้ว แต่ก็โดนทัพใหญ่หนึ่งพันห้าร้อยล้านล้อมโจมตีทันที่”
ประมุขชิงเดือดดาลสุด ๆ ชี้เขาพร้อมตะคอกถามว่า “มีทัพใหญ่หนึ่งพันห้าร้อยล้านโผล่มาจากไหนอีก ?”
อู๋ฉวี่ใส่หน้าอย่างยากลำบาก “เป็นกำลังพลของเฉิงไที่เจ๋อเปืนทัพใหญ่หนึ่งพันห้าร้อยล้านของเฉิงไที่เจ๋อพวกฮวาอี้เทียนตกอยู่ในอันตราย!”
“เฉิงไที่เจ๋อ! อย่าตกอยู่ในมือข้าแล้วกัน ไม่อย่างนั้นข้าจะสับเจ้าสักหมื่นดาบพันดาบ!” ประมุขชิงทุบกาปั้นลงบนโต๊ะ ใบหน้าเผยความดุร้าย ก่อนหน้านี้ตอนได้ยินข่าวว่ากำลังพลของเฉิงไที่เจ๋อาจหายไป เขาก็เกิดความสงสัยนี้แล้ว ดังนั้นจึงยอมสละสายลับของหน่วยตรวจการซ้ายในจวนอ๋องสวรรค์หนิวเพื่อหยั่งเชิง ผลจากการหยั่งเชิงนี้ทำให้หายสงสัย เขาถึงได้วางใจสั่งให้เคลื่อนทัพ พอมาดู
ตอนนี้แล้ว ช่างเป็นเรื่องนาขายิ่งนัก อีกฝ่ายรู้เจตนาของเขาอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ใช้แผนซ้อนแผนแล้ว
ตอนแรกเขาก็ยังนึกว่าหนิวโหย่วเต๋อรู้แผนของเขาเพราะมีคนฝั่งนี้ปล่อยข้อมูล พอมาดูตอนนี้แล้วพบว่าไม่ใช้เลย เพราะตอนแรกที่เขากลั่นกร้องแผนนี้ออกมาก็ไม่ได้คายความลับให้ใครรู้เลย และการที่หนิวโหย่วเต๋อขอความร่วมมือให้หลายฝ่ายอ้างเรื่องกำลังพลดักซุ่มที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มาบีบให้เขาเลิกสนับสนุนเฉิงไที่เจ๋อก็เห็นได้ชัดว่าอยากได้เฉิงไที่เจ๋อตั้งแต่ตอนั้นนแล้ว หนิวโหย่วเต๋อวางแผนจะเอากำลังพลของเฉิงไที่เจ๋อมาตั้งแต่แรกแล้ว เป็นการบีบให้เฉิงไที่เจ๋อเจอทางตันจนต้องไปขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อ
พอคิดจนเข้าใจจุดนี้แล้ว ประมุขชิงก็กล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “ไอ้หนิวจัญไร่นารังเกียจ ในปีนั้นข้าตาบอดเอง ถึงขนาดเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้!”
หลังจากอู๋ฉวี่ใช้ระฆังดาราติดต่ออีกครั้ง ก็รายงานอย่างคับแค้นใจ “ฝ่าบาท กำลังพลสี่ร้อยล้านที่กระจายอยู่ในเขตทัพใต้เคลื่อนไหวตามคำสั่ง แต่กลับไม่ทันระวัง จู่ ๆ ทัพกบฏแดนรัตติกาลก็คืนดีกับกำลังพลปราบกบฏของทัพใต้ หันหัวหอกมาโจมตีกำลังพลสิบล้านของพวกเราแตกพ่ายในรวดเดียว! ทัพใหญ่หนึ่งพันล้านของหนิวโหย่วเต๋อเริ่มรวมตัวกันเฝ้าจุดยุทธศาสตร์แล้ว ส่วนทัพกบฏก็กำลังไล่สังหารกำลังพลที่กระจายตัวอยู่ของพวกเรา! ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป กำลังพลของเราที่กระจายตัวอยู่จะถูกสกัดไว้ตามจุดต่าง ๆแต่ทัพ
กบฏกลับถูกปล่อยผ่านตลอดทาง จะไล่สังหารกำลังพลของพวกเราตามอำเภอใจ!”
ประมุขชิงโกรธจัดจนหน้าเขียว จินตนาการถึงผลลัพธ์นั้นได้เลย กำลังพลที่เขาย้ายไปให้ชิงหยวนจุนในปีนั้น เดิมทีก็เป็นทหารที่มีฝีมือของกองทัพองครักษ์ หลังจากกลายเป็นทัพใหญ่แดนรัตติกาลแล้ว พวกเขาก็เพิ่มีพลังของตัวเองอย่างสงบใจและจริงจังมาหลายปีขนาดนั้น ถ้ากำลังพลหลายสิบล้านี้นรวมตัวกันก่อหายยานะ เกรงว่ากองทัพองครักษ์สิบล้านของเขาที่กระจายกันอยู่ตามจุดต่าง ๆในทัพใต้คงไม่อาจต้านไหว
กำลังพลเกรียงไกรกลุ่มนี้ เดิมที่เขาเตรียมจะเลี้ยงเอาไว้ให้เป็นปลายดาบแทงหนิวโหย่วเต๋อแต่ตอนนี้กลับถูกหนิวโหย่วเต๋อขวามาแทงเขาแทน
ในตอนนี้ความโกรธแค้นเดือดดาลในใจยากจะบรรยายออกมาได้อยากจะจับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับลุกชายมาสับสักพันดาบหมื่นดาบ
เป็นเพราะจู่ ๆ ทัพกบฏแดนรัตติกาลก็ไปเข้าข้างฝั่งหนิวโหย่วเต๋อจึงทำให้เขาสงสัยเรื่องบางเรื่อง ทำไมอำนาจหลายฝ่ายร่วมมือกันสนับสนุนให้เถิงเฟยยึดอาณาเขตทัพตะวันออก เหตุใดไม่สนับสนุนเฉิงไที่เจ๋อ ? จังหวะขั้นตอนที่หนิวโหย่วเต๋อบีบให้เฉิงไที่เจ๋อไปขอพึ่งพานั้นชัดเจนมาก พอนึกเชื่อมโยงไปถึงตอนที่เถิงเฟยก่อเรื่องที่วังหลังอีก ตอนนี้เขาก็มีเหตุผลที่จะสงสัยได้เลยว่า การที่เถิงเฟยกระโดดออกมาก่อนเรื่องที่ตาหนักเย็นั้นน เบื้องหลังต้องเกี่ยวข้องกับห
นิวโหย่วเต๋อมีความเป็นไปได้ว่าเถิงเฟยจะถูกหนิวโหย่วเต๋อหลอกใช้แล้ว
เรื่องที่ตาหนักเย็นทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่และลูกชายเกิดความคิดก่อกบฏที่แดนรัตติกาล พอตอนนี้ทัพกบฏแดนรัตติกาลก็ไปเข้าข้างหนิวโหย่วเต๋อง่าย ๆ อีก แล้วก็คิดอกว่าหลังจากหนิวโหย่วเต๋อคุมสถานการณ์กบฏได้แล้ว ก็โจมตีสังหารชิงหยวนจุนลูกชายของเขาได้อย่างง่ายดาย ถ้าในนนไม่มีลับลมคมในก็แปลกแล้ว
จากข้อสันนิษฐานเหล่านี้ ก็สามารถทำให้เชื่อได้เลยว่า เรื่องที่ตาหนักเย็นมีหนิวโหย่วเต๋อคอยบงการอยู่เบื้องหลัง จงใจเสี้ยมให้พวกเขาพ่อลูกกลายเป็นศัตรูกัน จะได้ยึดทัพใหญ่แดนรัตติกาลได้ง่าย ๆ พอคิดทบทวนถึงวิธีการต่อเนื่องที่ทำกับทัพตะวันออกเพื่อเอากำลังพลของเฉิงไที่เจ๋อจนกระทั่งเขาลงไปอยู่ในกับดัก
ชั่วพริบตาเดียวสมองเขาก็ลำดับเหตุการณ์ของเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน พอนึกถึงฉากที่เห็นศีรษะของลูกชายอยู่ในกล้อง หน้าอกประมุขชิงก็กระเพื่อมขึ้นลงถี่ ๆ ไฟโกรธแทบจะทำให้เขากระอักเลือดออกมา
เขาเองก็ต้องยอมรับเช่นกัน ว่าอุบายที่ต่อเนื่องเป็นห่วงโซ่แบบนี้ล้าเลิศจริง ๆ เหนือชั้นจนทำให้คนรู้สึกกลัว!
ตอนแรกหลังจากหนิวโหย่วเต๋อโค่นล้มฮ่าวเต๋อฟาง เขาก็ใจร้อนอยากกำจัดทิ้ง ที่จริงเป็นเพราะเขารู้สึกว่าวิธีการที่หนิวโหย่วเต๋อใช้สู้กับฮ่าวเต๋อฟางยอดเยี่ยมเกินไป ในใจเกิดความรู้สึกกลัว ไม่ใช้ว่า
เป็นเพราะเซี่ยโห้วท่าเสียทั้งหมด ตอนนี้เรื่องที่เขากลัวาได้เกิดขึ้นกับตัวเขาแล้ว
เขาคิดไม่ตกจริง ๆ เซี่ยโห้วท่าคิดอย่างไรกันแน่ ไปร่วมมือกับคนที่มากกลอุบายขนาดนี้ปลอดภัยแล้วเหรอ ? ในปีนั้นเขากำจัดเจ้าสามไป๋เพราะอะไรล่ะ ? ก็เพราะเซี่ยโห้วท่ากลัวเจ้าสามไป๋เหมือนกันไม่ใช้เหรอ ?
มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาก็ยอมรับเช่นกัน เขายอมรับว่าในแต่ละด้านเข้าสู่เจ้าสามไป๋ไม่ได้!
เขานึกเสียใจอีกครั้งที่ตระกูลเซี่ยโห้วตายเร็วเกินไป เพราะเฉาหม่ำนคนนี้เลอะเลื่อน ำลังเต้นรากับหมาป่าแท้ ๆ ต้องมีวันที่ตระกูลเซี่ยโห้วได้เสียใจทีหลังแน่!
แน่นอน เขาเองก็สงสัยเช่นกันว่าเป็นเพราะกำลังพลดักซุ่มที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ยั่วโมโหหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ถึงขั้นทำให้หนิวโหย่วเต๋อยอมให้หยกศิลาล้วนแหลกลาญ
พอนึกถึงตรงนี้ เขาก็เสียใจทีหลังนิดหน่อย นี่คือผลที่ตามมาของการบุ่มบ่ามลงมือกับขุนนางผู้มีอำนาจ
ขณะที่ฟังอู๋ฉวี่รายงาน ซ่างกวนชิงกับซือหม่ำเวิ่นเทียนก็ตกตะลึงมาก ใคร ๆ ก็บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อเชี่ยวชาญการรบ วันนี้นับว่าได้รับบทเรียนอย่างสุดโหดแล้ว เปลื่ยนจากฝ่ายถูกกระทำให้เป็นฝ่ายกระทำ เป็นการบีบคอวังสวรรค์เอาไว้แล้วแทงอย่างแรง!
“ฝ่าบาท ข้าน้อยจะสั่งให้กำลังพลสี่ร้อยล้านั่นนถอนกำลังเดียวนี้ รวบรวมกำลังทหารก่อน ไม่อย่างนั้นถ้ากระจายกันไปช่วยเหลือก็มีแต่จะถูกโจมตีแตก จะได้รับความเสียหายโดยไม่จำเป็น!” อู๋ฉวี่กล่าวเสนอตัวเสียงดัง
“จัดการตามนั้น!” ประมุขชิงเพิ่งจะตะโกนบอก ก็หยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อประมุขพุทธะทันที่รายงานสถานการณ์รบที่ไม่ดีให้ฟัง ให้ประมุขพุทธะเตรียมตัวให้ดี หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว ทั้งตัวประมุขชิงก็มีกลิ่นอายสังหารพวยพุ่ง กล่าวเสียงต่าว่า “รวบรวมกำลังพลทั้งหมดบริเวณวังสวรรค์ ข้าจะออกรบด้วยตัวเอง!”
หลายคนพลันเงย่อหน้ามองเขา ซ่างกวนชิงบอกว่า “ฝ่าบาท ถ้าให้ทุกคนถอนกำลังไปหมด วังสวรรค์ก็จะถูกคนเหยียบย่าได้ง่ายขอรับ!”
ประมุขชิงจ้องเขาพลางแสยะยิ้ม “ถ้าเสียใต้หล้านี้ไป เก็บวังสวรรค์นี้ไว้ก็เท่ากับให้คนอื่นชุบมือเปิบ”
ซ่างกวนชิงเงียบไปครูหนึ่ง คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย ถามอกว่า “แล้วบรรดาพระสนมของวังหลังล่ะขอรับ ?”
ประมุขชิงแสยะยิ้ม “นางตัวแสบพวกนั้นจิตใจเอนเอียงมาทางข้าบ้างหรือเปล่าล่ะ ? เบื้องหลังล้วนมีเจ้าของ ให้อิสระกับพวกนางก็สมใจพวกนางแล้วไม่ใช้เหรอ ? ใครอยากไปก็ไป อยากอยู่ก็อยู่ ข้าไม่ห้าม นอกจากสนมสวรรค์ คนอื่นก็ไม่ต้องสนใจ!”
ซ่างกวนชิงเตือนว่า “ล้วนี้เป็นยอดหญิงงามทั้งนั้น ถ้าตกอยู่ในมือคนอื่น แล้วถูกนำมาเป็นของเล่น จะกระทบต่อเกียรติของฝ่าบาทนะขอรับ”
ประมุขชิงทาเสียงฮึดัฮดอีกครั้ง “เช่นั้นนก็ฆ่าทิ้งให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!” พูดจบก็เดินก้าวยาวออกไปนอกตาหนัก…
จวนอ๋องสวรรค์หนิว เหมียวอี้กลับเข้ามาในตาหนักประชุมแล้ว
หยางเจาชิงที่เดินตามหลังเข้ามากำลังถือระฆังดารา คอยรายงานอยู่ข้าง ๆ “ท่านอ๋อง เหยียนซิวบอกว่า ทางตระกูลเซี่ยโห้วบอกมาแล้ว ว่าเรื่องย้ายสมาชิกครอบครัวพวกนั้นไม่มีปัญหา อีกไม่นานก็จะเรียบร้อยแล้ว”
“ดี่” เหมียวอี้พยักหน้า แอบถอนหายใจเฮือกหน่ง
ลูกน้องเก่าในกองทัพองครักษ์พวกนั้น ครั้งนี้คงมีคนมากมายที่ไม่อาจรับประกันความปลอดภัยได้ แต่เขาก็ไม่อาจละเลยคนในครอบครัวของคนพวกนั้น ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ลูกน้องเก่าหลายคนต่างก็ไปมีครอบครัวแล้ว และส่วนใหญ่คนในครอบครัวของกองทัพองครักษ์ก็ล้วนไปรวมตัวกันอยู่อาศัยบริเวณวังสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกี่คนที่รอดชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ต้องพยายามรับประกันความปลอดภัยให้สมาชิกในครอบครัวถือว่าให้คำชี้แจงกับคนตายได้ แต่เป็นการให้คำชี้แจงกับลูกน้องในภายหลังด้วยเช่นกัน
แต่เขาก็ไม่มีวิธีจะพาคนออกไปจากฝั่งวังสวรรค์ที่มีทหารป้องกันเข้มงวดได้ ทำได้เพียงฝากฝังตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะร่วมรบไม่ไหว แต่กับเรื่องลับลวงพรางแบบนี้กลับมีวิธีการมากมาย ผลปรากฏว่าไม่ทำให้เขาผิดหวัง
มาถึงขั้นนี้แล้ว เขากังวลที่สุดว่ากำลังพลห้าสิบล้านของปี่จัวจะติดกับดักเหมือนกัน ยามเผชิญหน้ากับทัพฝ่ายศัตรูที่ใหญ่โตนับไม่ถ้วนแบบนี้ กำลังพลห้าสิบล้านน้อยนิดก็เฝ้าทางออกไม่ไหวเลย ไม่จำเป็นต้องเฝ้าทางออกแล้วด้วย ต้องรีบเรียกกลับมาถึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้อง ให้มาร่วมกับกำลังพลที่นี่ก็ใช้ว่าจะสิ้นหวังเรื่องฝ่าวงล้อม กำลังของกองทัพองครักษ์ก็เห็น ๆ กันอยู่ ถ้าแยกกันก็อาจจะถูกกำจัดทีละส่วนจริง ๆ
ขณะเดียวกันฉวี่ฉางเทียนก็รีบเรียกหันเจ๋อจวิน ฉวนอู่ผิง เซียวเหยียนเลี่ยให้นำกำลังพลกลับมาร่วมกัน จะให้โอกาสทัพฝ่ายศัตรูกำจัดทีละส่วนไม่ได้ ต้องรวมกำลังให้แข็งแกร่งเหมือนหมัดเหล็กเพื่อรับมือ
กำลังพลสามกลุ่มรีบถอนกำลังกลับมา ทางนี้เพิ่งจะเก็บกำลังพลเข้ากระเป๋าสัตว์ แต่กำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยล้านรวมทั้งชิงเยว่ก็ล้อมโจมตีฝั่งนี้เอาไว้หลายชั้นเรียบร้อยแล้ว เห็นได้ชัดว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของกำลังพลหนึ่งพันล้านรวมอยู่ตรงหน้าแล้ว ปะทะกับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของกองทัพองครักษ์โดยตรง
กำลังพลของฉวี่ฉางเทียนร่วมกันี้เป็นวงกลม พร้อมรับมือกับการลอบโจมตีจากสี่ด้านแปดทิศ ไม่บุกไปข้างหน้าอีก อยู่ในสภาพ
ป้องกันทั่วทุกด้าน ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เพื่อทำลายกำลังของฝ่ายตรงข้าม
ชิงเยว่ใช้กระบวนทัพรูปลิ่มบุกโจมตีจากสี่ด้านแปดทิศ ราวกับมีหนามแหลมหลายแท่งแทงเข้าไปตรงกลางวัตถุทรงกลม ขณะเดียวกันก็ถล่มยิงลาแสงนับไม่ถ้วนไปยังอีกฝ่าย
เสียงเข่นฆ่าที่ดุเดือดราวกับจะทำให้ดาราจักรืผนี้นสั่นสะเทือน
เมื่อสถานการณ์รบคงที่แล้ว ฉวี่ฉางเทียนก็รีบรายงานขึ้นไปเบื้องบน…
พอปี่จัวได้ข่าวว่าทัพใหญ่ที่เป็นกำลังโจมตีหลักตกหลุมพราง เขาก็ตกใจมาก รีบโบกแขนตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ระดมพล รีบตามข้าไปช่วยผู้บัญชาการซ้าย!”
เขาเพิ่งจะพูดจบ ด้านข้างก็มีเสียงอุทานอย่างตกใจว่า “นายท่าน!”
ปี่จัวรีบหันมองรอบ ๆ เห็นเพียงดาวเคราะห์และดาวที่อยู่รอบ ๆ มีกำลังพลกลุ่มใหญ่โผล่มา ล้อมโจมตีมาทางฝั่งนี้แล้ว
ปี่จัวหันกลับไปมองประตูดวงดาวข้างหลังตัวเองที่นที่กำลังพลฝ่ายศัตรูจำนวนมากกำลังมาทางนี้ เกรงว่าคงสู้ลำบาก วิธีการที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือ ออกจากประตูดวงดาวและหนี้ไปจากที่นี่ ทว่าผลที่ตามมาจากการไม่ปฏิบัติตามกฎทหาร ฉวี่ฉางเทียนั้นนรับผิดชอบไม่ไหว ถ้าจะให้ทิ้งกำลังหลักที่กำลังโดนล้อมโจมตีหนี้ไป เขาก็ทำไม่ลง
จริง ๆ ถ้าเขาทำอย่างนั้น นากำลังพลกลุ่มนี้ไป ก็ไม่ต่างอะไรกับทำให้กำลังหทารของฉวี่ฉางเทียนออนแอลง ถ้าให้ทัพศัตรูที่อยู่ตรงหน้าไปร่วมล้อมโจมตี ก็ไม่ต่างอะไรกับเพิ่มความกดดันให้ฉวี่ฉางเทียน ยิ่งไปกว่านั้น ด้านหลังประตูดวงดาวจะมีกำลังพลดักซุ่มอยู่อีก หรือเปล่าก็ไม่รู้
ในหัวรีบพิจารณาถึงผลได้ผลเสีย ปี่จัวโบกทวนอยู่ในมือชี้ไปยังทัพใหญ่ที่รวมตัวกัน แล้วตะโกนสั่งว่า “ตามข้าฝ่าวงล้อมไปช่วยผู้บัญชาการซ้าย ฆ่า!”
กำลังพลห้าสิบล้านพุ่งไปยังทิศทางนั้นอย่างอึกทึกคึกโครม
เหิงอู๋เต้าร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังมาจากดาราจักร “เหิงให้เกียรติรอมานานแล้ว จะหนี้ไปไหน!”
คนที่นากำลังพลมาดักตรงหน้ากคือเหิงอู๋เต้า จอมพลสายมะเส็ง สองฝ่ายใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ถล่มยิงใส่กันราวกับพายุฝน
กำลังพลห้าสิบล้านที่บุกโจมตีถูกทัพใหญ่ขวางไว้แล้ว ตามติดด้วยกำลังพลที่มาล้อมพวกเขาเอาไว้จากสี่ด้านแปดทิศ
ตอนแรกเหมียวอี้ก็ไม่สามารถคาดคะเนการแบ่งกำลังพลของฝั่งนี้ได้ แต่เดาได้แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องไปปิดล้อมประตูดวงดาวเพื่อป้องกันไม่ให้เหมียวอี้หนี จึงดึงกำลังพลห้าร้อยล้านไปให้เหิงอู๋เต้าเสียเลย กันไว้ดีกว่าแก้ พอเปืนแบบนี้ เท่ากับว่ากำลังพลห้าร้อยล้านกำลังล้อมโจมตีทัพใหญ่ห้าสิบล้าน เป็นจำนวนที่มากกว่ากิำลังพล
ของอีกฝ่ายสิบเท่าสถานการณ์ของปีั่จวอันตรายกว่าฝั่งฉวี่ฉางเทียนเสียอีก!
ปี่จัวที่อยู่ในขบวนรบรีบรายงานขึ้นไป
หลังจากฉวี่ฉางเทียนที่อยู่บนสนามรบหลักได้รับข่าว ก็แอบร้องอย่างขื่นขม ดูท่าแล้ว ลองคำนวณดูคร่าว ๆ ฝ่ายศัตรูเหมือนจะแอบระดมพลสองพันล้านเอาไว้แล้วอ้ากระเป๋ารอให้พวกเขาวิ่งเข้าไปติดกับดักเอง!
เขาอดไม่ได้ที่จะแอบตาหนิฝั่งประมุขชิงว่าวางแผนอย่างไรกันแน่ ในฐานะที่เป็นจอมทัพสูงสุดของกองทัพองครักษ์ ยังไม่ต้องพูดถึงว่ารายงานข่าวผิดพลาด แต่วิเคราะห์สถานการณ์พลาดุร้ายแรงขนาดนี้ได้อย่างไร ?
ตอนนี้เขามีเพียงสองทางเลือก หนึ่งคือพยายามสังหารอีกฝ่าย สองคือฝ่าวงล้อม แล้วค่อยยืนหัยดอดทนเพื่อรอกองหนุนมาช่วย…
ในขณะที่ฝั่งนี้กำลังเปิดฉากบุกโจมตี
น่านฟ้าฉลูติง บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง ฮวาอี้เทียนเดินก้าวยาวออกจากถ้า ทอดสายตามองประตูดวงดาวทางเข้าน่านฟ้าชวดปิ่งที่อยู่ไกล ๆ ข้างหลังมีแม่ทัพกลุ่มหนึ่งติดตามอยู่ทางซ้ายและขวา
ตรงทางเข้าประตูดวงดาว ทหารยามหนึ่งแสนของทัพใต้ปิดล้อมประตูไว้ ไม่ให้คนที่อยู่ฝั่งนี้เข้าไป และก่อนหน้านี้ก็มีกำลังพลที่ผ่าน
การตรวจสอบเข้าไปแล้วหนึ่งล้านคน แต่ตอนนี้ถึงขั้นไม่ตรวจสอบด้วยซ้ำ ก็แค่ไม่ให้เข้าไป เจ้าจะทำอย่างไรได้ ? ทหารยามที่เฝ้าประตูดวงดาวไม่หวาดกลัวเพราะมีที่พึ่ง พวกเจ้าจะกล้าดันทุรังโจมตีพวกเราเชียวเหรอ ?
คนเบื้องล่างไม่รู้เรื่องของคนเบื้องบน คิดไปเองว่าไร้ที่พึ่งจึงไม่หวาดกลัว หารู้ไม่ว่าครั้งนี้มีคนกล้าฉีกหน้าทานอ๋องของพวกเขาแล้ว
“ทำตามแผนการลงมือ!” ฮวาอี้เทียนออกคำสั่งที่สั้นกระชับ
ผ่านไปไม่นาน ทหารยามที่เฝ้าประตูดวงดาวก็พบความผิดปกติแล้ว เห็นเพียงกองทัพองครักษ์หลายล้านบุกเข้ามาโดยตรง ไม่มีท่าที่ว่าจะลดความเร็วเลยสักนิด
สิ่งที่ทำให้พวกเขากลัวกว่านั้นยังอยู่ตอนหลัง กำลังพลที่พุ่งเข้ามาโจมตีโดยไม่แม้แต่จะทักทายก่อน พอง้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็ยิงเลย มีลาแสงยิงกลบเข้ามาพักหนึ่ง
ทหารยามหลายแสนถูกโจมตีแตกในชั่วพริบตาเดียว พอทัพใหญ่พุ่งผ่านไป ก็ผ่านเข้าไปในประตูดวงดาวโดยตรง ถูกพ่นออกมากลางอวกาศ กำลังพลที่เข้ามาก่อนเตรียมป้องกันรอบ ๆ อย่างต่อเนื่องแล้ว
“ไป!” ฮวาอี้เทียนโบกมือลูกน้องเก็บรวมกำลังพล แล้วตามเขาเร่งเหาะไปยังจุดลึกในดาราจักร
ทว่าไปได้ไม่ไกล ฮวาอี้เทียนก็ยกมือขึ้นอีก กำลังพลที่มาด้วยกันหยุดพร้อมกัน เห็นเพียงทหารคนหนึ่งพุ่งมาตรงหน้า เขาคือเหยียนเสี้ยว จอมพลสายถาะของทัพใต้นั่นเอง กลุ่มแม่ทัพที่ตามหลังมา ส่วนใหญ่เป็นกำลังพลของเฉิงไที่เจ๋อนากำลังพลแน่นขันดเข้ามาขวางทางพวกเขาไว้
พวกฮวาอี้เทียนรีบมองไปรอบ ๆ กำลังพลที่หนาแน่นออกจากที่ซ่อนรอบด้าน กำลังล้อมเข้ามาจากสี่ด้านแปดทิศ กำลังพลมีจำนวนเยอะกว่าที่ฝั่งนี้จินตนาการไว้
เหยียนเสี้ยวโบกทวนี้ชฮวาอี้เทียน “ฮวาอี้เทียน เหยียนให้เกียรติรอมานานแล้ว เหตุใดต้องสังหารพี่น้องทัพใต้ของข้า ? ยอมให้จับแต่โดยดี แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า ไม่อย่างนั้น ฆ่าไม่ละเว้น!”
เหมียวอี้สั่งให้เขานาทหารอารักขาหนึ่งล้านมา ให้รับหน้าที่บัญชาการกำลังพลของเฉิงไที่เจ๋อ
“ผู้ตรวจการใหญ่ สถานการณ์ไม่ชอบมาพากลแล้ว เหมือนส่วนใหญ่จะเป็นกำลังพลของเฉิงไที่เจ๋อนี่มันเรื่องอะไรกัน ?” ข้าง ๆ มีคนถ่ายทอดเสียงบอกฮวาอี้เทียน
ฮวาอี้เทียนกวาดสายตามองรอบ ๆ หรี่ตาจ้องเหยียนเสี้ยว รู้ว่าเรื่องนี้ยุ่งยากแล้ว รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอ้ากระเป๋ารอเขา จะให้ยอมแพ้เหรอ ? จะเป็นไปได้อย่างไร! เขาสั่งคนที่อยู่ทางซ้ายและขว่าด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “จัดกระบวนทัพ!”
กำลังพลกองทัพองครักษ์สามร้อยล้านกว่าเผยตัวออกมาหมด
ที่พูดเมื่อครูนี้ล้วนี้เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้น หลังจากกำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยล้านล้อมไว้แล้ว เหยียนเสี้ยวก็ตะโกนว่า “ฆ่า!”
ชั่วขณะนั้น สองฝ่ายยิงลาแสงใส่กัน เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น การต่อสู้เข้าสู่จุดเดือดแบบถ้าไม่เป็นเจ้าที่ตายก็เป็นข้าที่รอด…
นอกทางออกอาณาเขตดาววังสวรรค์ ซุ้มประตูขนาดใหญ่มึหมาลอยอยู่กลางอากาศ บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล เป็นสถานที่ตั้งค่ายของกำลังพลกองทัพองครักษ์กลุ่มหนึ่ง
เหลียวอิงรายงานแล้วเข้ามาในค่ายทัพกลางของหัวหน้าภาค หลังจากเห็นมู่อวี่เหลียนั่นงสง่าอยู่หลังโต๊ะยาว ก็กุมหมัดคารวะ “คารวะนายท่านหัวหน้าภาค!” ขณะที่กล่าวคำนี้ ก็หันมองรอบ ๆ โดยจิตใต้สำนึก ดูว่ามีคนนอก หรือเปล่า
มู่อวี่เหลียนยิ้มบาง ๆ ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ไม่ต้องมองแล้ว ที่นี่ไม่มีคนนอก รอแค่เจ้าคนเดียวแล้ว”
เวลาผ่านไปหลายหมื่นปี เรื่องนาอับอายระหว่างชายหญิงในปีนั้นกลายเป็นอดีตไปแล้ว ผู้ชายชื่อโป๋เยวที่นางเคยเอาตัวเข้าแลกปีนั้นถูกย้ายไปอยู่กับกำลังพลท้องถิ่น แล้วถูกฆ่าตายอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของอำนาจท้องถิ่นตั้งนานแล้ว ในปีนั้นหลังจากรู้ข่าวการตายของโป๋เยว นางก็ไม่ถึงขั้นดีใจหรือไม่ดีใจ พอโป๋เยวตายนางก็นับว่าหลุดพ้นแล้ว ส่วนชวีหย่าหงที่เคยมเรื่องชู้สาวกับโป๋เยว
เหมือนกัน ตอนหลังติดตามโป๋เยวไปด้วย สุดท้ายจุดจบของนางก็คือถูกโป๋เยวทำให้ลำบากไปด้วย สาวงามสิ้นชีพไปนานแล้ว
ส่วนมู่อวี่เหลียนก็หลุดพ้นจากโป๋เยว ได้เดินในเส้นทางของตัวเองแล้ว ในปีนั้นที่ติดตามกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ของเหมียวอี้ไปทาศึก นางก็มีความมั่นใจและความกล้าหาญแล้ว ลักษณะท่าทางเปลื่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่คิดจะพึ่งพาผู้ชายอีก นับว่าได้อาสัยบารมีจากการรบครั้งนั้น ตอนนี้นางเป็นหัวหน้าภาคกองทัพองครักษ์หแล้ว
นางแอบรับทรัพยากรช่วยเหลือจากเหมียวอี้มาตลอด พูดตามตรง นางนึกไม่ถึงว่าลูกน้องเก่าในปีนั้นก็เหมือนกับนางเช่นเดียวกัน ล้วนกลายเป็นสายลับที่เหมียวอี้แทรกไว้ในกองทัพองครักษ์ จนกระทั่งครั้งนี้เหมียวอี้สั่งให้พวกเขาถอนตัวออกไป้และต้องการให้นำงมารับนางถึงได้เข้าใจ
เหลียวอิงก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “คนมากันครบแล้วเหรอ ?”
มู่อวี่เหลียนส่าย่อหน้า “พี่น้องจากหน่วยเดิมมาถึงแค่พันคน ยังมีบางส่วนที่อยู่ภายใน ไม่สามารถออกมาได้ ท่านอ๋องบอกว่าให้พวกเขาเข้าไปซ่อนตัวในอาณาเขตดาวนิรนาม รอให้สถานการณ์สงบแล้วค่อยออกมาก็ยังไม่สาย”
“จู่ ๆ ท่านอ๋องก็ให้พวกเราออกจากที่นี่ หมายความว่ายังไง ?” เหลียวอิงแปลกใจเช่นเดียวกัน
มู่อวี่เหลียนได้แต่ตอบว่า “ไม่รู้สิ ในเมือท่านอ๋องสั่งงานมาแบบนี้ คาดว่าคงมีเหตุผลแน่นอน ไม่ต้องบ่นมากแล้ว ท่านอ๋องให้รีบหนี้ไปให้เร็วที่สุด ตามข้าไปเถอะ!” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไป้เหลียวอิงพยักหน้าแล้วตามหลังไป
เดิมทีมู่อวี่เหลียนคือผู้บัญชาการสูงสุดของที่นี่ เข้าออกอาณาเขตของตัวเองย่อมไม่มีใครว่าอะไร
หลังจากทั้งสองออกจำกัดาวเคราะห์ดวงนี้ไปแล้ว ก็หนี้ไปอยู่บนดาวเคราะห์รกร้างดวงหนึ่งในจุดลึกของดาราจักร ไปเจอกับพันคนในหุบเขาที่มาหลบอยู่ก่อนแล้ว
“เดิมทีคิดจะพากำลังพลหนีมาด้วยกัน” แม่ทัพคนหนึ่งถอนหายใจ
มู่อวี่เหลียนจึงบอกเขาว่า “ท่านอ๋องบอกว่าแบบนั้นจะแหวกหญ้าให้งูตื่น ให้พวกเรามองความปลอดภัยของตัวเองไว้อันดับหนึ่ง เชื่อท่านอ๋องก็แล้วกัน อยู่ที่นี่นานไม่ได้ ไปกันเถอะ!”
ไม่นานนัก คนจำนวนหนึ่งพันก็เหาะไปทางทะเลดาวอันเวิ้งว้าง ต่างก็รู้ว่าการไปครั้งนี้เท่ากับออกจากกองทัพองครักษ์โดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่มีทางกลับมาได้อีกแล้ว…
ในบางพื้นที่เขตทัพตะวันตก กำลังพลกองทัพองครักษ์กลุ่มหนังกำลังเข่นฆ่ากับกองทัพประจำถิ่นอย่างดุเดือด นับว่าลอบจู่โจมก็ได้เช่นกัน
แม่ทัพคนสำคัญส่งต่ออำนาจบัญชาการให้รองแม่ที่พ จากนั้นหาข้ออ้างออกไปก่อน การไปครั้งนี้หันกลับมาไม่ได้อีกแล้ว หนีหายเข้าไปในจุดลึกของดาราจักรแล้ว
เรื่องที่กองทัพองครักษ์จู่โจม กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ของอาณาเขตทัพตะวันตกกับทัพเหนือ
จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่กำลังโปรยอาหารปลาอยู่บนสะพานโค้งตกใจจนตัวสั่น หันขวับกลับมาถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ ? ประมุขชิงกำลังโจมตีหนิวโหย่วเต๋อเหรอ ?”
ถังเฮ่อเหนียนตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่ได้ยืนยันว่าข่าวนี้จริงหรือเท็จ เป็นสายลับที่พวกเราแทรกไว้ในจวนอ๋องสวรรค์หนิวส่งข่าวมา บอกว่าในจวนอ๋องสวรรค์หนิวมีข่าวลือบอกว่าปริะมุขชิงระดมกองทัพองครักษ์หนึ่งพันห้าร้อยล้านสังหารเข้าไปที่รังของหนิวโหย่วเต๋อตอนนี้จวนอ๋องสวรรค์หนิวป้องกันอย่างเข้มงวด แล้วหนิวโหย่วเต๋อก็สังหารอนุภรรยาไปสองคน ข้อหาปล่อยข่าวลือ”
โค่วหลิงซวีขมวดคิ้ว “กองทัพองครักษ์หนึ่งพันห้าร้อยล้าน ? กองทัพองครักษ์หนึ่งพันห้าร้อยล้านมาที่โจมตีเข้ารังของหนิวโหย่วเต๋อมาจากไหนเยอะแยะ ?”
ส่วนถังเฮ่อเหนียนกลับหยิบระฆังดาราออกมา พอติดต่อแล้ว ก็สีหน้าเปลื่ยนไปมาก รีบรายงานว่า “ท่านอ๋อง มีหลายพื้นที่ในทัพเหนือโดนกองทัพองครักษ์จู่โจม!”
ทามาใช้นดหน่อยยังพอเปืนไปได้ แต่ถ้าให้ทาหนึ่งแสนคัน เขาก็ทาใจเชื่อได้ยากจริง ๆ แต่ในเมือเหมียวอี้พูดอย่างนี้แล้ว นึกได้ว่าอีกฝ่ายควบคุมแดนมรณะดึกดำบรรพ์มานานขนาดนี้ คงจะมีวิธีการู้อะไรที่บอกคนอื่นไม่ได้ แต่เขาก็ยังสงสัย “อาวุธจากวิญญาณชั่วร้ายไม่ใช้สิ่งที่คนปกิจะใช้งานได้ พลธนูหนึ่งแสนี้นล้วนี้เป็นนักพรตที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟเหรอ ?”
เขาค่อนข้างสงสัยจุดนี้ เคล็ดวิชาห้าธาตุไม่ใช้ว่าทุกคนจะฝึกได้ เพราะเน้นคนมีพรสวรรค์ คนในตาหนักสวรรค์ที่ฝึกเคล็ดวิชาห้าธาตุล้วนถูกบันทึกไว้ในทะเบียน แล้วจะไปรวบรวมนักพรตที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟมากขึ้นาดนั้นมีาจากไหน ? อย่าไปมองว่าใต้หล้ามีนักพรตเยอะ เพราะคนที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟมีน้อยจริง ๆ น้อยถึงน้อยมาก แม้แต่ตอนตาหนักสวรรค์รวบรวมไปปราบวิญญาณชั่วร้าย ก็ยังต้องดึงตัวนักพรตส่วนน้อยที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟมาจาเด็กเเต่ละคนพื้นที่เพื่อติดตามทัพไปทาศึก แล้วเหมียวอี้จะหามาจากไหนมากขึ้นาดนั้น ? ถ้าเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า ไม่กลัวว่าจะถูกเปิดโปงเชียวหรือ ?
” ดึงตัววิญญาณชั่วร้ายที่มีวรยุทธ์บงกชทองขนไปจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นคนออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ชั่วคราว!” เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบ
“…” หยางชิ่งพูดไม่ออกทันที่รู้สึกตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหมอนี่จะพาวิญญาณชั่วร้ายมากขึ้นาดนั้นออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ !
ทำไมตาหนักสวรรค์ต้องกวาดล้างวิญญาณชั่วร้ายตามกำหนดเวลาล่ะ ? เพราะสิ่งนี้เหมือนโรคระบาด ถ้าแพรออกไปในวงกว้างเมื่อไหร่ ถ้าปล่อยให้เติบโตยิ่งใหญ่เมื่อไหร่ ก็จะทำให้สิ่งมีชีวิตในใต้หล้ากลายเป็นเถ้าถ่านแน่นอน ไม่เพียงแค่มนุษย์เท่านั้นประสบหายนะ เกรงว่าทุกหนแห่งคงไม่เหลือแม้แต่ต้นไม้ใบหญ้า
หยางชิ่งกลืนน้ำลายจนลูกกระเดือกขยับ “ตาหนักสวรรค์ไปกวาดล้างมาหลายครั้งแล้ว ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ยังมีวิญญาณชั่วร้ายที่วรยุทธ์บงกชทองขนไปเหลือเยอะนั้นเชียวเหรอ ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “วิญญาณชั่วร้ายในแดนมรณะดึกดำบรรพ์จะถูกกวาดล้างหมดได้ง่ายขนาดนั้นได้ยังไงสถานที่ใหญ่โตขนาดนั้น อีกทั้งยังเหาะเหินไม่ได้ พอเข้าไปกวาดล้างก็ต้องอาศัยสัตว์พาหนะบินได้ แม้แต่วิญญาณชั่วร้ายเองก็ยังไม่รู้ชัดว่าในแดนมรณะดึกดำบรรพ์มีวิญญาณชั่วร้ายอยู่เท่าไร ตามซอกมุมต่าง ๆไม่รู้ว่ามีซ่อนอยู่มากเท่าไร ถ้าไม่มีเฮยทั่นคอยช่วยเหลือข้าคงไม่รู้รายละเอียดของวิญญาณชั่วร้ายแดนมรณะดึกดำบรรพ์ชัดเจนเหมือนกัน ครั้งนี้ข้าเอาวิญญาณชั่วร้ายระดับบงกชทองขนไปออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์เกลี้ยงเลย! เรื่องนี้เปันผลงานของเฮยทั่น อยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หลายปีนับว่าไม่สูญเปล่า”
“ฮ่า ๆ เรื่องเล็กน้อยง่ายจนแทบไม่ต้องออกแรง” เฮยทั่นหัวเราะร่าพลางเอามือตบพุงกลม ๆ ยักคิ้วหลิ่วตาด้วยความลาพองใจ พอได้ยินเหมียวอี้ชมว่าเปันผลงานของเขา ปาก็กพูดถ่อมตัว แต่คาถ่อมตัวนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเหมือนลาพองใจ
ส่วนเหมียวอี้ที่เมื่อครูนี้เพิ่งเปี่ยมีพลังน่าเกรงขาม ตอนนี้กลับถอนหายใจอย่างกังวลนิดหน่อย “เจาชิง ให้หวังเฟยบอกพี่น้องในกองทัพองครักษ์ให้เตรียมตัวหนีให้ดี” บอกไม่ถูกว่ารู้สึกขื่นขมขนาดไหน เขานึกถึงศึกครึ่งธงพยัคฆ์ในปีนั้น แม้จะไม่ใช้ศึกใหญ่อลังการเหมือนที่เขาเผชิญในภายหลัง แต่ศกนั้นโหดร้ายเกินไป จะไม่มีใครร่างกายปกติแขนขาสมบูรณ์สักคน คนมากมายขนาดนั้นร้องไห้พลางขอร้องให้เขาหนี้ไป ภาพเหตุการณ์ที่สู้ตายและปกป้องกันและกันยังติดตาเหมือนเพื่งเกิดขึ้นใหม่ ทว่าลูกน้องเก่าสิบกว่าคนที่ดักซุ่มุอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์กลับถูกเขาฆ่าตายหมดแล้ว
เขาร้อยู่แจ่มแจ้งว่าถ้าให้ชิงเยว่ไปลงมือสิบกว่าคนั้นนก็แทบไม่มีโอกาสรอดชีวิตเลย แต่เขาก็ยังต้องใจดาทาอย่างนั้น เพราะเขาต้องการธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้น และต้องกำจัดกำลังพลดักซุ่มสิบล้านั่นนด้วย มิหนาซ้ำก็ยังติดต่อลูกน้องเก่าพวกนั้นไม่ได้ ต่อให้ติดต่อได้แล้ว แต่ก็คงยากที่จะหลุดออกจากการควบคุมของซีเหม็นอู๋เหย่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจสละชีวิตคนพวกนั้นโดยไม่กะพริบตา
ตอนนี้ศึกใหญ่กำลังจะมาถึง เขาร้อย่างชัดเจน ว่าเมื่อเขามีคำสั่งออกไป้ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมากมายเท่าไหร่หัวหลุดเลือดสาด ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไหร่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด
และท่ามกลางกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่บุกโจมตีครั้งนี้ ก็ยังมีลูกน้องเก่าของเขาอยู่ในนนด้วยแต่เขาติดต่อไม่ได้ และคงไม่มีทางปลีกตัวออกมาจากทัพใหญ่ที่บุกโจมตีได้เช่นกัน ยามสองทัพเข่นฆ่ากัน เขาเองก็ไม่อาจสั่งให้ลูกน้องแยกแยะโดยละเอียดว่าคนไหนคือคนของตัวเองและหลีกเลี่ยงไม่ลงมือศึกใหญ่ขนาดนี้ใครจะไปแยกแยะได้ชัดเจน
ได้แต่พยายามช่วยเหลือด้วยการให้ลูกน้องเก่าพวกนั้นถอนตัวออกไป้ถ้าถอนตัวออกไปไม่ได้ เหมียวอี้ก็ทำได้เพียงขอโทษพวกเขาแล้ว
ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่ท่านี้ ถ้าเขาบอกว่าทาไปเพื่อปกป้องตัวเอง บอกว่าถ้าเขาไม่ลงมือประมุขชิงก็จะลงมือกับเขา บอกว่าทาเพื่ออนาคตของพี่น้องที่ติดตามมาหลายปี คนในใต้หล้าจะเชื่อเหรอ ? เกรงว่าปากคงไม่กล้าพูดออกมาชัดเจน แต่ในใจจะต้องด่าเขาแน่นอนว่าเป็นหมาป่าชั่วร้ายที่มีใจทะเยอทะยาน
เขานึกถึงตัวเองในปีนั้นตอนที่ยังเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์ เขากำลังคิดว่า ถ้าตัวเขาในตอนั้นนกำลังมองตัวเองในตอนนี้ ก็คงจะด่าว่าโจรสุนัขเหมือนกัน…
จวนท่านอ๋องมีทหารลาดตระเวนไปมา เตรียมป้องกันอย่างเข้มงวด
ทว่าข่าวที่ทัพใหญ่ของประมุขชิงโจมตียังแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว กระจายอยู่ในจวนท่านอ๋อง บอกว่าปริะมุขชิงระดมกองทัพ
องครักษ์หนึ่งพันห้าร้อยล้านโจมตี ทุกคนในจวนท่านอ๋องอกสั่นขวัญแขวน
ซูอวิ้นถามว่าอวิ๋นจือชิวอยู่ที่ไหน แล้วก็รีบเดินมาในสวนดอกไม้ เห็นเพียงอวิ๋นจือชิวกำลังนั่งดื่มน้ำชาอย่างสง่างามอยู่ในศาลา
หลังจากรีบเข้ามาทาความเคารพ ซูอวิ้นก็ถามว่า “เหนียงเหนียง ได้ยินว่าประมุขชิงระดมทัพใหญ่หนึ่งพันห้าร้อยล้านมาโจมตีท่านอ๋องเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ?”
” จริงแล้วยังไง ไม่จริงแล้วยังไง ?” อวิ๋นจือชิวตอบอย่างไม่หยี่ระ
เดิมทีซูอวิ้นอยากจะถามว่าเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร อย่างไรเสียเหมียวอี้ก็ปิดบังเรื่องนี้กับคนส่วนใหญ่ แม้แต่หยางชิ่งก็ไม่กล้าโผล่หน้ามาบอกเขานาง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นำงถามมาก หยางชิ่งถึงขั้นไม่ปรากฏตัวให้นำงเห็นในจวนท่านอ๋องด้วย ข่าวที่นางรู้มีจำกัด เดินทีคิดจะเอ่ยปากทาง แต่พอเห็นปฏิกิริยาของอวิ๋นจือชิวแล้ว นางก็แววตาวูบไหว แล้วกล่าวด้วยสีหน้าอมยิ้มเล็กน้อย “สงสัยท่านอ๋องจะเตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว”
อวิ๋นจือชิวเงย่อหน้า ถามอย่างสนใจว่า “เหตุใดจึงคิดเช่นั้นน ?”
ซูอวิ้นยิ้มพร้อมบอกว่า “นี่ไม่ใช้เรื่องเล็ก แต่เหนียงเหนียงเยัอกเย็นได้ขนาดนี้ แสดงว่าท่านอ๋องย่อมมีวิธีการรับมือแล้ว”
อวิ๋นจือชิวยิ้มโดยไม่ตอบอะไร ส่วนจะรับมืออย่างไรนั้น ก็ไม่เอ่ยถึงแล้ว
ในขณะนี้เอง ทหารสวมเกราะรบกลุ่มหนังก็คุมตัวคนสิบกว่าคนก็เข้ามา เป็นอนุภรรยาสองคนรวมทั้งสาวใช้ ทั้งยังมีบ่าวไพร่ในจวนท่านอ๋องอีกหลายคน บางคนก็สีหน้าแย่มาก บางคนก็ทำตัวนิ่ง ๆ
พอวางถ้วยน้าชาลง อวิ๋นจือชิวก็จ้องสาวงามสองคนตรงหน้า แล้วถามเสียงเรียบว่า “ปล่อยข่าวลือบางอย่างในจวนท่านอ๋อง อยากจะทำให้ขวัญกำลังใจของทหารสั่นคลอนใช้ไหม ? ข้าควรจะบอกว่าพวกเจ้าดูถูกท่านอ๋องเกินไป หรือควรจะบอกว่าพวกเราโงเกินไปดีล่ะ ? คิดว่าข้าเป็นคนหูหนวกตาบอดเหรอ ? คิดว่าจะสืบหาไม่เจอเหรอ ? คิดว่าข้ามองไม่ออกเชียวเหรอว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้ามองพวกเจ้าเป็นตัวหมากที่ใช้แล้วทิ้ง ?”
สาวงามกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ผู้น้อยไม่รู้ว่าสิ่งที่เหนียงเหนียงพูดหมายความว่าอะไร”
อวิ๋นจือชิวพ่นเสียงทางจมูก “ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกไปแล้ว ว่าถ้าในจวนท่านอ๋องมีใครเป็นหนอนบ่อนไส้ ก็ให้ยืนขึ้นยอมรับด้วยตัวเอง ข้าจะไม่เอาผิดเรื่องที่ผ่านมา แต่กลับไม่มีใครออกมาสักคน ข้าให้โอกาสพวกเจ้าแล้ว ในเมือพวกเจ้าไม่เอาก็ช่างเถอะ แต่ยังกล้าก่อกวนอีกเหรอ ? เช่นั้นนกอย่าโทษว่าข้าโหดร้ายใจดาก็แล้วกัน…ลากออกไป้ควรจะทายังไง ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกไว้แล้ว!”
ทหารคนหนังก็ุมหมัดเอย่รับคำสั่ง พอโบกมือทหารสวมเกราะรบก็ลากคนออกไปโดยตรง เพราะคนพวกนี้นึกขึ้นได้ถึงคำว่า ‘แล่เนื้อเปืนพันดาบหมื่นดาบ’ ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจจนเสียขวัญ
“เหนียงเหนียงโปรดไว้ชีวิต!”
“เหนียงเหนียง ท่านทาอย่างนี้ไม่ได้นะ ข้าต้องการพบท่านอ๋อง ข้าต้องการพบท่านอ๋อง…”
อวิ๋นจือชิวมองตาขวาง “หุบปาก!”
มีเสียงดังเพี้ยะ ๆ แต่ละคนถูกตบปาก ตบจนเลือดเนื้อเละเทะปนกัน ไม่พูดอะไรอีกแล้ว
ซูอวิ้นแอบทอดถอนใจ ท่านอ๋องเพิ่งจะฆ่าอนุภรรยาไปคนหนึ่ง ตอนนี้ก็มีอีก สองคนแล้ว เกรงว่าสองคนนี้คงจะตายอย่างอนาถ…
ทางออกประตูดวงดาว ใกล้กับจุดที่กระจายกำลังทหาร ปี่จัวนากำลังพลเร่งนากำลังพลมาถึงก่อน ทัพใหญ่ห้าสิบล้านเผยตัว แค่โจมตียกเดียวก็ทำให้กำลังพลหลายล้านที่เฝ้าตรงทางเข้าแตกทลายแล้ว แต่ก็ไม่ไล่ตามกวาดล้าง พอปีั่จวออกคำสั่ง กำลังพลก็กระจายกันปิดล้อมทางออก เตรียมป้องกันไม่ให้ทัพฝ่ายศัตรูที่พลาดท่าเสียทีบนสนามรบหลักหนี้ไป
และในดาวอ๋องสวรรค์หนิวที่มองเห็นอยู่ไกล ๆ ในดาราจักร กำลังพลสองร้อยล้านกำลังจัดกระบวนทัพ ชิงเยว่วางมือบนกระบี่ที่ห้อยตรงเอว ลอยอยู่หน้ากระบวนทัพ บนใบหน้างามที่องอาจห้าวหาญเผยความเยียบเย็นดุร้าย
กำลังพลหนึ่งพันที่นาโดยฉวี่ฉางเทียนปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า กำลังเร่งมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
ขบวนรบที่อยู่ข้างหลังชิงเยว่เว้นช่องว่างหนึ่งทาง ชิงเยว่ลอยถอยหลังไป นาทัพกลางถอยเข้าไปอยู่ในการคุ้มกันกลางขบวนรบ หากไม่จำเป็น ก็เป็นไปไม่ได้ที่ผู้บัญชาการสูงสุดอย่างนางจะพุ่งไปด้นรนสู้ตายอยู่ข้างหน้าสุด แบบนั้นี้เป็นพฤติกรรมที่สนใจแต่ความสะใจของตัวเองแต่กลับไม่รับผิดชอบใด ๆ
ชิงเยว่ชักกระบี่ขึ้นมาออกคำสั่ง ข้างหน้าขบวนทัพใหญ่สร้างแนวกาแพงโล่ขึ้นแล้ว มือธนูที่อยู่ข้างหลังง้างสายรอ
ฉวี่ฉางเทียนที่เข้ามาอย่างรวดเร็วทอดสายตามองประเมิน เขานับจำนวนกำลังพลได้คร่าว ๆ แล้ว ในใจอดไม่ได้ที่จะแสยะหัวเราะ ดูท่าแล้ว การที่ตัวเองเผยกำลังพลห้าสิบล้านก่อนหน้านี้จะได้ผลแล้วจริง ๆ ทำให้อีกฝ่ายยอมแลกทุกอย่างเพื่อศึกนี้จริง ๆ ด้วย
สำหรับเขา เขาไม่กลัวที่จะรบกับหนิวโหย่วเต๋อกลัวก็แต่ว่าอีกฝ่ายจะไม่รบแล้วหนี้ไป ด้วยสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต๋อระดมกำลังพลที่ตัวเองมีออกมาหมดแล้ว ดีมาก ทำให้เขาไม่ต้องเปลืองแรงมาก!
ถ้าพูดจากบางระดับ จัดกำลังทหารของหนิวโหย่วเต๋อหรือกี่ำจัดหนิวโหย่วเต๋อคุ้มค่ากว่า ? ย่อมเป็นอย่างแรกอยู่แล้ว
“กำลังพลห้าสิบล้าน จัดกระบวนทัพ!” ฉวี่ฉางเทียนยกมือห้ามไม่ให้พุ่งไปข้างหน้าต่อแล้วถ่ายทอดคำสั่งนี้
ทัพใหญ่ที่อยู่ทางซ้ายขวาหน้าหลังปรากฏตัว กำลังพลห้าสิบล้านปรากฏตัวแล้ว จัดกระบวนทัพเรียบร้อย เริ่มรุดหน้าไปรับกับกระบวนทัพของฝ่ายตรงข้าม เห็นได้ชัดว่าเตรียมจะใช้กำลังปะทะกันโดยตรง
สำหรับการตั้งขบวนเตรียมประจันหน้ากันระหว่างทัพใหญ่ เมื่อมาถึงขนาดและขั้นนี้แล้ว ที่จริงก็ไม่มีกลยทธุ์อะไรมากแล้ว สิ่งที่ใช้สู้กันก็คือศักยภาพและพลังรบของทัพใหญ่ ที่เหลือก็คือความสามารถในการบัญชาการของผู้บัญชาการสูงสุดยามใกล้ถึงเวลารบ
ในใจของนักรบที่อยู่ทางซ้ายและขวาต่างก็รู้ดีว่าฝั่งนี้ไม่ได้นากำลังพลออกมาทั้งหมด
“รอจนข้าปะทะกับอีกฝ่ายซึ่ง ๆ หน้า ก็ปล่อยทัพใหญ่ออกมาให้หมดทันที่หันเจ๋อจวิ เจ้านากำลังพลหนึ่งร้อยล้านตีโอบไปฝั่งซ้าย ฉวนอู่ผิง เจ้านากำลังพลร้อยล้านตีโอบไปฝั่งขวา ล้อมโจมตีจากสามทางไปพร้อมกับข้า เซียวเหยียนเลี่ย เจ้านากำลังพลห้าสิบล้านอ้อมไป มุ่งตรงสู่รังโจร ต้องจัดการหนิวโหย่วเต๋อให้ได้ ถ้าจับเป็นได้ก็พยายามจับเป็น สรุปก็คืออย่าให้หนิวโหย่วเต๋อหนี้ไป ถ้าตัวคนไม่อยู่แล้ว กำลังพลของเจ้าก็กระจายกันค้นหาทันที่” ทัพใหญ่บุกไปข้างหน้า ฉวี่ฉางเทียนออกคำสั่งอย่างชัดเจนและเป็นระบบ
“ขอรับ!” แม่ทัพสามคนเอ่ยรับ
ไม่นานกระบวนทัพของของสองฝ่ายอยู่ตรงข้ามก็ันแล้ว ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในขอบเขตการยิงโจมตีที่มีอานุภาพมหาศาลจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของฝ่ายตรงข้ามแล้ว
“กระบวนทัพรูปลิ่มบุกโจมตี่”
ผู้บัญชาการทัพของทั้งสองฝ่ายแทบจะโบกกระบี่ออกคำสั่งพร้อมกัน
“ฆ่า!”
ชั่วพริบตาเดียว ในขบวนรบของสองฝ่ายก็มีขบวนทัพยาวรูปลิ่มที่สร้างจากเกราะรบนับร้อยพุ่งออกมา พุ่งใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าคลั่ง เสียงตะโกนว่าฆ่าดังสะเทือนดาราจักร
“ยิงธนู!”
ขบวนรบของสองฝ่ายระเบิดลาแสงนับไม่ถ้วนออกมาพร้อมกัน โจมตีไปยังขบวนทัพรูปลิ่มของฝ่ายตรงข้ามที่พุ่งเข้ามา เกิดเสียงดังสะเทือนทันที่เลือกเนื้อปลิวกระจาย
ชั่วพริบตาเดียวการเข่นฆ่าก็เข้าสู่จุดเดือด ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยอมถอยง่าย ๆ ยามเผชิญการโจมตีที่ดุเดือดขนาดนี้ ไม่ว่าฝั่งไหนก็เลี้ยวกลับไม่ได้ง่าย ๆ แล้ว
ฉวี่ฉางเทียนโบกกระบี่ไปทางซ้ายและขวา “บุกโจมตี่”
ชั่วขณะนั้น กำลังพลกองทัพองครักษ์สี่ร้อยห้าสิบล้านถูกปล่อยออกมาอย่างใหญ่โตมโหฬาร ด้านซ้ายมีกำลังพลหนึ่งร้อยล้านตีโอบเข้ามา ด้านขวามีกำลังพลร้อยล้านตีโอบเข้ามา แล้วก็มีกำลังพลอีกห้าสิบล้านวนอ้อมเตรียมจะมุ่งตรงสู่ดาวอ๋องสวรรค์หนิว
ชิงเยว่ที่อยู่ในสงครามแสยะยิ้ม ระฆังดาราในมือสั่นไหว
แม่ทัพใหญ่เซียวเหยียนเลี่ยที่นาทัพใหญ่ห้าสิบล้านมุ่งตรงสู่ดาวอ๋องสวรรค์หนิวพลันสีหน้าเปลื่ยน เห็นเพียงเงาคนที่หนาแน่นพุ่งมาจากดาวอ๋องสวรรค์หนิว
“ทำไม่ดีแล้ว!” แม่ทัพที่รับหน้าที่สังเกตุการณ์จากที่สูงพัลนี้ชไปรอบ ๆ แล้วถ่ายทอดเสียงตะโกนว่า “นายท่าน พวกเราตกหลุมพรางแล้ว!”
ฉวี่ฉางเทียนมองซ้ายแล้วสีหน้าเปลื่ยน มองขวาแล้วสีหน้าเปลื่ยนอีก เห็นเพียงในดาราจักรทางซ้ายขวาหน้าหลังมีกำลังพลจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาอย่างเนื่องแน่น อย่างน้อยก็มีมากกว่าฝั่งนี้หลายเท่า เป็นการล้อมโจมตีโดยสมบูรณ์ เอากำลังพลมาจากไหนมากมายขนาดนี้ ? ข่าวกรองที่วังสวรรค์ส่งให้เขาไม่ได้รายงานเรื่องนี้เลย!
บนสนามรบ ข่าวกรองที่รายงานมักจะเป็นตัวกำหนดแพ้ชนะ
“รีบบอกปี่จัว ระวังจะมีกับดัก สั่งให้เขามาช่วยเดียวนี้!” ฉวี่ฉางเทียนที่ทำหน้าขรึมคารามสั่งอย่างโมโห
คนกลุ่มหนึ่งที่ปลอมตัวแล้วขึ้นมาบนพื้นดิน แล้วเหาะไปยังจุดลึกของดาราจักรอย่างรวดเร็ว
คิดจะลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อมีแม่ทัพจำนวนไม่น้อยที่บอกไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกเครียดีหรือรู้สึกตื่นเต้น หนิวโหย่วเต๋อก็มีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์เหมือนกัน เคยเป็นความภาคภูมิใจของกองทัพองครักษ์ มีคาสรรเสริญว่ารบไม่แพ้ จนป่านี้นได้ไต่เต้าทะยานขึ้นสู่ตำแหน่งอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้แล้ว คนภายในกองทัพองครักษ์ไม่หยุดยั้งความเลื่อมใสแบบนี้เพราะหนิวโหย่วเต๋อออกไปแล้ว กองทัพองครักษ์ส่งเสริมความเลื่อมใสศรัทธานี้ ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือค้นของตัวเองหากทาศึกได้ก็แสดงว่าเป็นวีรบุรุษ ต่อให้เป็นศัตรูก็ควรค่าแก่การนับถือ!
แน่นอน นับถือก็ไม่ได้แปลว่าหวาดกลัว และต้องเอาชนะเขาให้ได้ด้วย ตองอยู่เหนือกว่าเขาให้ได้
กำลังจะประมือกลับขุนพลเลื่องชื่อที่มีพื้นเพจากกองทัพองครักษ์ กำลังจะท้ารบขุนนพลเลื่องชื่อที่สร้างผลงานรบไม่แพ้ไว้ที่กองทัพองครักษ์ มีคนไม่น้อยรู้สึกเครียดกังวลจริง ๆ รู้สึกตื่นเต้นก็มี ถึงขั้นเฝ้าคอยศึกนี้ด้วย บางคนก็ยิ่งเลือดร้อน หวังว่าจะได้ใช้ดาบสังหารหนิวโหย่วเต๋อด้วยมือตัวเองที่ำให้นำมอันยิ่งใหญ่ของตัวเองเปล่งประกายอยู่ในกองทัพองครักษ์ !
สำหรับนามอันยิ่งใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อพวกเขาชื่นชมมานานแล้ว แต่ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ยังไม่มีใครเคยประมือกับเขา ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะได้เห็นท่วงท่าอันสง่างามของท่านขุนพลหรือเปล่า!
ตรงจุดซ่อนตัวนี้อยู่ไม่ไกลจากอาณาเขตดาวของดาวอ๋องสวรรค์หนิว พวกฉวี่ฉางเทียนซ่อนตัวอยู่ตรงนี้เพื่อรอฟังคำสั่งบุกโจมตีมาตลอด ทำแบบนี้ก็เพื่อให้ปฏิบัติภารกิจได้ทันเวลาตามคำสั่ง
หลังจากนั้นสักพัก ประตูดวงดาวทางเข้าอาณาเขตดาวของจุดหมายปลายทางก็ปรากฏสู่สายตา ทว่าตรงทางเข้าประตูดวงดาวมีกำลังพลหลายล้านเฝ้าอย่างเข้มงวด จำนวนของกำลังพลไม่ใช้น่อย ๆ
เมื่อเห็นว่ามีคนแปลูกหนาเข้ามาใกล้ กำลังพลที่เฝ้าอยู่ก็แบ่งกลุ่มเล็ก ๆ หนึ่งพันคนเหาะเข้ามาทันที่ก้าวเข้ามาดักไว้ แม่ทัพที่นาหน้ามาตะโกนถาม “เป็นใครกัน ?”
ฉวี่ฉางเทียนไม่สนใจเลย พอโบกมือส่งสัญญาณ แม่ทัพหลายคนที่อยู่ข้างกายก็ปล่อยกำลังพลห้าสิบล้านออกมา
“ฆ่า!” แม่ทัพโบกกระบี่ออกคำสั่ง
กำลังพลห้าสิบล้านตะโกนเสียงดัง ชั่วพริบตานั้นกำลังพลหนึ่งพันก็เหมือนถูกกระแสน้าไหลท่วมจนมิด
หลังจากกระแสน้าพัดผ่านไปแล้ว ในดาราจักรก็ทิ้งเศษซากเอาไว้เปลือก
“ข้าศึกบุก!” ทหารยามตรงประตูดวงดาวตะโกนบอกอย่างโมโหทางฝั่งนี้รีบรับมืออย่างเร่งด่วน เมื่อเห็นว่ามีกำลังพลมากขึ้นาดนี้พุ่งเข้ามาก็ตกใจแทบแย่แล้ว
“ยิงธนู!”
ชั่วพริบตาที่สองทัพปะทะกัน แม่ทัพใหญ่ฉวี่ก็ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด
ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในมือกำลังพลกองทัพองครักษ์สิบล้านที่พุ่งมาตรงหน้าสุดกะพริบแสง ตามด้วยเสียงระเบิดดังเปรี้ยงปร้าง ลาแสงนับไม่ถ้วนยิงเข้ามาราวกับห่าฝน
ก่อนที่จะบุกโจมตี ฝั่งนี้คาดคะเนเหตุการณ์และวางแผนรบไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว กำลังพลมากขึ้นาดนี้บุกโจมตียิงธนูแต่กลับราบรื่นราวกับเมฆเหินน้าไหล
บึ้ม!
เพียงชั่วพริบตานี้ ลาแสงนับไม่ถ้วนถล่มกองทัพหลายล้านตรงประตูดวงดาวแตกแล้ว
ทัพใหญ่ที่บุกโจมตีพุ่งเข้ามาในทัพที่กระจัดกระจายด้วยกระบวนทัพรูปลิ่ม ราวกับกระแสน้าที่ชะล้าง ทุกอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด และไม่พัวพันใด ๆ ด้วย บุกเข้าไปในประตูดวงดาวโดยตรง ไม่สนด้วยว่ากองทัพที่โดนถล่มจนวุ่นวายเมื่อครูนี้จะมีสภาพเป็นอย่างไร ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองด้วย ฝ่าด่านพุ่งเข้าไปเลย
ทัพใหญ่ที่บุกโจมตีเก็บงานแล้วเข้ามา โผล่มากะทันหันและหายเข้าไปในประตูดวงดาวอย่างกะทันหันแล้ว กองทัพที่วุ่นวายและบาดเจ็บล้มตายไปหลายแสนนอกประตูดวงดาวงงนิดหน่อย ทหารรีบหยิบระฆังดาราออกมารายงานด่วน
ส่วนฉวี่ฉางเทียนที่นาทัพบุกเข้าประตูดวงดาวมาก็รีบหันรอบ ๆ เพื่อสำรวจสถานการณ์ในดาราจักร พอเห็นว่าข้างในไม่มีการเตรียมป้องกันใด ๆ ในใจก็ดีใจมาก ดูท่าแล้ว ฝั่งนี้คงไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยจริง ๆ
แต่เขาก็ร้อย่างชัดเจน ว่าความเคลื่อนไหวอย่างนี้ปิดบังหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ ต่อให้เมื่อครูนี้จะล้างเลือดทหารยามข้างนอกจนสะอาดเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีประโยชน์ ยังคงมีข่าวหลุดออกไปได้เหมือนเดิม กำลังพลหลายล้านไม่ใช้กำลังพลหลายแสน ต่อให้เขาใช้ทัพใหญ่หลายร้อยล้านออกมาโจมตีทั้งหมด แต่ก็ไม่มีทางจะกำจัดทิ้งทั้งหมดได้
เมื่อตัดสินแล้วว่าตรงนี้ยังไม่มีภัยคุกคาม ฉวี่ฉางเทียนก็โบกมือชี้ทันที่”ปี่จัว เจ้านากำลังพลไปปิดทางออกประตูดวงดาวเดียวนี้อย่าปล่อยให้ใครหนี้ไปได้ ไม่อย่างนั้นข้าจะเอาเรื่องเจ้า!”
“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!” แม่ทัพใหญ่ปี่จัวกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง จากนั้นโบกมือนาแม่ทพอีกหลายสิบเหาะออกจากกลุ่มไป
ส่วนฉวี่ฉางเทียนก็นากำลังพลุ่มงหน้าไปยังจุดบุกโจมตีต่อขณะเดียวกันก็หยิบระฆังดาราขึ้นมารายงานสถานการณ์ต่อเบื้องบน
เขารู้ว่าเบื้องบนกำลังรอข่าวการบุกโจมตีจากฝั่งเขาอยู่ เพื่อที่จะบัญชาการการบุกโจมตีขั้นต่อไป
วังสวรรค์ ตาหนักดาราจักร เมื่อได้รับรายงานจากฉวี่ฉางเทียนที่ร่วมบัญชีาการและลงสนามรบด้วยตัวเอง อู๋ฉวี่ก็การะฆังดาราไว้ แล้วกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท ฉวี่ฉางเทียนนากำลังพลบุกโจมตีฝ่าเข้ารังของข้าศึกได้อย่างราบรื่น ในนนยังไม่พบการเตรียมป้องกันใด ๆ!”
“ดี่” ประมุขชิงตบโต๊ะลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปเดินมาอย่างตื่นเต้น เขาชี้ซือหม่ำเวิ่นเทียน “ลองถามดูว่าสถานการณ์ในจวนอ๋องสวรรค์หนิวเป็นยังไงบาง!”
ซือหม่ำเวิ่นเทียนที่ได้ยินรายงานจากอู๋ฉวี่แล้วพี่ติดต่อตามคำสั่ง หลังจากได้คำตอบแล้วก็กุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท หนิวโหย่วเต๋อยังอยู่ในจวนท่านอ๋อง อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะเรียกรวมกลุ่มอนุภรรยามาสั่งสอน เมื่อคืนี้นสายลับยังเห็นหนิวโหย่วเต๋อเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในจวนท่านอ๋อง เหมือนคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์บุกโจมตี”
“ดี่” ประมุขชิงทาสีหน้าตื่นเต้นบนดุร้าย ชี้อู๋ฉวี่พร้อมบอกว่า “ให้ฉวี่ฉางเทียนมุ่งตรงสู่เป้าหมาย พยายามดักหนิวโหย่วเต๋อเอาไว้ พยายามอย่าให้เขาหนี้ไป ต่อให้สกัดไม่ได้แต่ก็ต้องโจมตีกำลังพลเดิมของเขาให้ย่อยยับ!”
“รับทราบ!” อู๋ฉวี่พยักหน้าเอ่ยรับ เข้าใจเจตนาของเขาแล้ว
ทางนั้นคือรังของหนิวโหย่วเต๋อถ้าหนิวโหย่วเต๋อหนี้ไปทันที่เกรงว่าจะจับตัวหนิวโหย่วเต๋อได้ยากแล้ว แต่ถ้าหนิวโหย่วเต๋อจะหนี ก็ต้องส่งกำลังพลมาโจมตีสกัดข้าศึกที่ไล่ตามแน่นอน ไม่มีทางให้โอกาสข้าศึกไล่กัดไม่ปล่อย เช่นั้นนก็มโอกาสโจมตีกำลังพลเดิมของหนิวโหย่วเต๋อให้ย่อยยับแล้ว ขอเพียงกำจัดกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อได้ ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อหนี้ไปอาณาเขตดาวนิรนาม ขอเพียงฝั่งนี้ปิดล้อมทางออกไว้ ก็สามารถรับมือกับกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อที่อยู่ด้านนอกกกได้เต็มที่ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวหนิวโหย่วเต๋อรบแพ้ก็จะแพร่ออกไป้จะต้องทำให้ขวัญกำลังใจทหารสั่นคลอนแน่นอน เป็นประโยชน์ต่อทัพใหญ่ในการกวาดล้างทัพใต้ยิ่งขึ้น หลังจากนี้ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อโชคดีรอดชีวิตไปได้ แต่ก็ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะกลับตัวแล้ว
ประมุขชิงกาชับอกว่า “ทางฮวาอี้เทียน ให้เริ่มได้แล้ว!”
อู๋ฉวี่เอ่ยรับคำสั่ง แล้วรีบถ่ายทอดคำสั่งลงไป
ประมุขชิงชี้ไปที่ซ่างกวนชิงอีก “แจ้งไปทางกำลังพลของพี่ใหญ่พุทธะ ให้ออกมาเสริมอานุภาพได้แล้ว ต้องให้พวกเขาควบคุมสถานการณ์ให้ได้!”
“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ
ในจวนอ๋องสวรรค์หนิว เหมียวอี้นั่งอยู่ในศาลา ชิงเยว่ถลันตัวเข้ามา เหาะขึ้นตึกไปโดยตรง แล้วกุมหมัดรายงานด่วนว่า “ท่านอ๋องเป็นอย่างที่คาดไว้อีกฝ่ายลงมือแล้ว”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม ถามว่า “มากันเท่าไหร่ ?”
” หลังจากกำลังพลประมาณห้าสิบล้านบุกฝ่าด่านเข้ามาก็มุ่งุตรงมาทางนี้” ชิงเยว่ตอบ
เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “กองทัพองครักษ์ไม่มีทางยอมแพ้อย่าเปลืองความพยายาม ไม่เอาทหารที่ยอมแพ้อย่าเก็บไว้แม้แต่คนเดียว รีบฆ่าให้หมด ข้าจะสังหารให้พวกเขาขวัญผวา! ชิงเยว่ ศึกนี้สำคัญยิ่ง ต้องทำลายขวัญกำลังใจทหารของประมุขชิงภายในศึกเดียว ต้องทำให้อำนาจฝ่ายอื่นเห็นด้วยว่าประมุขชิงมันก็เท่านี้เอง ถึงจะทำให้พวกเขามีความมั่นใจในการลงมือไปด้วย เข้าใจใช้มั้ย ?”
” ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!” หญิงแกร่งกุมหมัดคารวะอย่างองอาจห้าวหาญ
เหมียวอี้ปัดมือ”ไปเถอะ!”
ชิงเยว่ถลันตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
“บอกเฉิงไที่เจ๋อให้พวกเขามาร่วมมือกัยทำภารกิจสำคัญกับข้าที่นี่!” เหมียวอี้ยืนขึ้น เดินมาเอามือไขว้หลังพิงระเบี่ยง เปี่ยมด้วยพลังอันน่าเกรงขาม พลังแบบที่จะทาศึกตัดสินกับราชันแห่งใต้หล้า เขากวาดมองตึกรามบ้านช่องในจวนท่านอ๋องด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลางกล่าวอย่างเยัอกเย็น “ตอนนี้จับตาดูสายลับทุกคนในจวนท่านอ๋องไว้ให้ดี จับตาดูให้ข้า อยากจะเห็นนักใช้มั้ยว่าข้ามีปฏิกิริยายังไง ได้ ข้า
จะให้พวกเขาได้เห็น! ข้าอยากจะเหน็จริง ๆ ว่าถ้าประมุขชิงรู้ว่าเฉิงไที่เจ๋อใครอยู่ข้างหลังฆ่าแล้วจะทาสีหน้ายังไ!”
“เกรงว่าคงนึกเสียใจทีหลังไม่หาย แต่ขี่หลังเสือแล้วก็คงยาก ทำได้เพียงประสาทเสีย อาจจะเจรจาสงบศึก” หยางชิ่งกล่าวอยู่ข้าง ๆ
“เจรจาสงบศึก ? ก็ได้ ขอเพียงเขาประกาศต่อใต้หล้า ประกาศยอมรับผิดต่อข้าให้คนรู้ทั้งใต้หล้ ข้าก็ยินดีเปลื่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหม!” เหมียวอี้เอ่ยเสียงเรียบ
ไม่เห็นเขาดูมีความมั่นใจเกินไป หยางชิ่งก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอ๋อง พลังรบของกองทัพองครักษ์ไม่ธรรมดา ทุกคนล้วนมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ประมาทศัตรูไม่ได้”
เหมียวอี้เอียงหนามิองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าคิดว่าตอนแรกข้าตัดสินใจลงมือเพราะอะไรล่ะ ? ถ้าไม่มีความมั่นใจข้าจะกล้าบุ่มบ่ามลงมือได้ไง ? ประมุขชิงมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ แล้วข้าไม่มีเหรอ ? ถ้าข้าบอกว่าฉวี่ฉางเทียนจะต้องแพ้แน่นอน เจ้าเชื่อหรือเปล่าล่ะ ?”
หยางชิ่งขมวดคิ้ว คิดในใจว่าต่อให้เอาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ทั้งทัพใต้มาร่วมกัน ก็อาจไม่เยอะเท่าฉวี่ฉางเทียนก็ได้ เขาไม่รู้ว่าเหมียวอี้ความมั่นใจมาจากไหน ถึงพูดเรื่องธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อย่างนี้
“ให้เฮยทั่นมาพบข้า” เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่แยแส
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ
ในจวนท่านอ๋องตอนนี้ มีกำลังพลจำนวนมากปรากฏตัวออกมาเตรียมพร้อมป้องกันแล้ว ทุกที่ล้วนมีทหารสวมเราะรบลาดตระเวน ป้องกันไม่ให้มีคนฉวยโอกาสก่อกวน
ผ่านไปเพียงครูเดียว เฮยทั่นเดินก้าวยาวเข้ามากุมหมัดคารวะอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านอ๋อง ในจวนท่านอ๋องมีความเคลื่อนไหวไม่ใช้น่อย เริ่มต่อสู้กันแล้วหรือเปล่า ? ถึงคร่าวที่จะให้กำลังพลของขาลงสนามได้หรือยัง ?”
กำลังพลของเจ้า ? หยางชิ่งสงสัย ไม่รู้ว่าเขาเอากำลังพลมาจากไหน ให้คนประเภทนี้บัญชาการกองทัพ ไม่ใช้เรื่องล้อเล่นหรอก หรือ ?
เหมียวอี้หันตัวไปมองเขา “กำลังพลของเจ้าฝึกไปถึงไหนแล้วล่ะ ?”
เฮยทั่นตบนหน้าอกเสียงตุ้บ ๆ “ไม่มีปัญหา! ขอเพียงให้ขาลงสนาม ข้าคุณชายเฮยก็จะสังหารพวกเขาให้คนล้มมาพลิกเลย”
“กองทัพองครักษ์ห้าร้อยล้าน เจ้าแน่ใจน่ะว่าเจ้าจะนำกำลังพลหนึ่งแสนไปสังหารพวกเขาจนคนล้มมาพลิกได้ ?” เหมียวอี้พูดแขวะ
“เอ่อ…” เฮยทั่นรู้สึกเหมือนถูกบีบคอกองทัพองครักษ์ห้าร้อยล้านเหรอ ? คิดดูแล้วก็ตัวสั่น ยิ้มแห้งตอบว่า “แน่นอนว่าต้องให้กำลังพลของท่านอ๋องให้ความร่วมมือ…” เมื่อเห็นเหมียวอี้ทาสีหน้าแปลก ๆ ก็พูดเสริมด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียกว่า “พวกเราให้ความร่วมมือกับกำลังพลของท่านอ๋อง”
หยางเจาชิงที่อยู่ข้าง ๆ เตือนว่า “พี่เฮย ไม่มีกำลังพลของเจ้าหรอก ทั้งหมดเป็นกำลังพลของท่านอ๋อง เข้าใจใช้ไหม ?”
” เอ่อ…” เฮยทั่นรู้ตัวทันที่รู้ว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว จึงตบปากตัวเองหลายที่แล้วพยักหน้าซ้ำ ๆ “ใช้ ๆ ๆ ๆ ล้วนี้เป็นกำลังพลของท่านอ๋อง ทั้งหมดเป็นกำลังพลของท่านอ๋อง”
หยางชิ่งประหลาดใจสงสัยยิ่งกว่าเดิม ทัพใหญ่ขนาดนี้สู้รบกัน กำลังพล หนึ่งแสนนับเป็นก้นอะไร พอเข้าสนามรบแล้วก็อาจจะโผล่ออกมาไม่ได้แม้แต่ฟองด้วยซ้ำ แต่ทำไม่ทานอ๋องทาท่าเหมือนให้ความำคัญมาก อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านอ๋อง กำลังพลหนึ่งแสนี้นคือ ?”
เหมียวอี้ยิ้มเรียบ ๆ “หลายปีมานี้ข้าทาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งแสนคันที่สามารถใช้ไข่มุกวิญญาณจากวิญญาณชั่วร้ายมาเป็นพลังงานได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การรบ ก็อาจแสดงประโยชน์ได้ไม่มาก แต่ถ้าสามารถทำให้สถานการณ์รบมั่นคงได้ ธนูหนึ่งแสนัคนนี้ก็แสดงอานุภาพได้ไม่น้อย!”
หยางชิ่งตกใจ เขาย่อมรู้ว่าเมื่อใช้ปราณชั่วร้ายที่ระเบิดออกจากไข่มุกวิญญาณมาเสริมฤทธิ์ในธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ จะทำให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มีอานุภาพเพิ่มขึ้นขนาดไหน แต่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่ระดับต่ำสุดล้วนี้เป็นของวิเศษขั้นห้า ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มีการกวาดล้างเป็นระยะ ไข่มุกวิญญาณของวิญญาณชั่วร้ายระดับต่ำพวกนี้ ต้องใช้เท่าไรถึงจะเติมีพลังงานให้ธนูคันหนึ่งใช้งานได้ ? หนึ่งแสนคัน
เชียวเชียวนะ นั่นต้องใช้ไข่มุกวิญญาณมากขึ้นาดไหนักน ? ถ้ารวบรวมปริมาณได้ง่ายขนาดนั้น เกรงว่าตาหนักสวรรค์ก็ทาไปนานแล้ว
“อ้อฉางฮูหยินมีไมตรีจิตลึกซึ้งขนาดนี้ ท่านอ๋องกลับหลบเลี่ยงไม่ยอมพบ ไม่อยากรู้หรือว่านางคิดจะทำอะไรกันแน่ ?”
หยางชิ่งรับถาดอาหารมาจากมือหยางเจาชิง เปิดฝาออกเห็นของว่างทั้งดงามประณีตอยู่ข้างใน จึงถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เหมียวอี้ทาเสียงฮึดฮัด “สายลับของหน่วยตรวจการซ้าย จู่ ๆ ก็ทอดสะพาน ไม่ต้องคิดก็รู้ว่ามีเจตนาไม่ดี โดยเฉพาะในเวลานี้ เป็นไปได้สูงว่ามีเจตนาจะลอบสังหารข้า ถ้ายอมพบแล้วเจอกับเรื่องนี้ ข้าจะยังปล่อยให้นำงสังหารตามใจเชียวเหรอจะไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น หรือไง ?”
หยางชิ่งมองหยางเจาชิงพร้อมถามว่า “ก่อนหน้านี้ฉางฮูหยินเคยทอดสะพานอย่างนี้มาก่อน หรือเปล่า ?”
” เมื่อก่อนก็เคยทำ แต่ติดที่กฎระเบียบในจวนท่านอ๋อง รู้ว่าสำเร็จยากจึงถอย ไม่เดินหน้าต่อเหมือนครั้งนี้” หยางเจาชิงตอบ
หยางชิ่งปิดฝาภาชนะช้า ๆ แล้วกล่าวอย่างลังเล “ดูท่าแล้ว กำลังพลของเฉิงไที่เจ๋อที่หายตัวไปได้ทำให้ประมุขชิงตื่นตัวแล้วจริง ๆ แต่ข่าวก็พิสูจน์แล้วว่าเฉิงไที่เจ๋อหนี้ไปไหนอาณาเขตดาวนิรนามแล้ว แต่ประมุขชิงขี้ระแวงมาก ก็เลยลังเลตัดสินใจไม่ถูก นี่คือการหยั่งเชิงหาความจริงจากท่านอ๋อง”
ทั้งสองมองมา เหมียวอี้ถามว่า “หมายความว่ายังไง ?”
หยางชิ่งอธิบายว่า “ฝั่งประมุขชิงคงยังไม่รู้ว่าท่านอ๋องรู้ตัวตนของฉางฮูหยินแล้ว ในเวลานี้ให้ฉางฮูหยินเคลื่อนไหวผิดปกติอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าจงใจจะทำให้ท่านอ๋องสงสัย ก็เหมือนที่ท่านอ๋องพูดไว้ก่อนหน้านี้ กลัวว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่น ตามปกติแล้วไม่เคยให้พบ แต่การกระทำที่ผิดปกติของฉางฮูหยินทำให้ท่านอ๋องสงสัยแล้ว แต่ท่านอ๋องก็ยังไม่ให้พบเหมือนุเคย แบบนี้ไม่น่าสงสัย หรือ ? อย่าบอกน่ะว่าท่านอ๋องไม่อยากรู้ว่าฉางฮูหยินคิดจะเล่นตุกติกอะไรกันแน่ ?”
หยางเจาชิงเผยสีหน้าครุ่นคิด
เหมียวอี้ค่อย ๆ หรี่ตาลง “เจ้ากำลังจะบอกว่า ถ้าข้าไม่ไปทำให้ชัดเจน ก็แสดงว่าข้ากลัวจะแหวกหญ้าให้งูตื่น เพราะมีแผนชั่วอยู่ในใจ แต่ถ้าข้าแหวกหญ้าให้งูตื่น กลับจะพิสูจน์ได้ว่าในใจข้าไม่ได้มีแผนอะไร ?”
หยางชิ่งตอบว่า “ท่านอ๋องยังจาตอนแรกที่จับเซี่ยโห้วท่า แล้วหวังเฟยก่อเรื่องในจวนได้มั้ย ? ครั้งนี้กับครั้งนั้นมีความต่างในความเหมือน ต้องทำให้ประมุขชิงสงบใจให้ได้!”
“ข้าเข้าใจแล้ว!” เหมียวอี้พยักหน้าเบา ๆ สายตาเผยความเยียบเย็นดุร้าย เอียงหน้าบอกใบ้หยางเจาชิง “บอกฉางเซียงเอ๋อร์ ว่าข้าเห็นนำใจของนางแล้ว คืนี้นข้าจะไปค้างกับนาง!”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ
ตกกลางคืน เพิ่งจุดโคมไฟ คนกลุ่มหนังก็เดินมาถึงนอกเรือนหลังหนึ่ง ทหารอารักขารออยู่ข้างนอก เหมียวอี้เดินก้าวยาวเข้าไป
ฉางเซียงเอ๋อร์ที่ได้รับข่าวอาบน้าแล้ว นางรอต้อนรับอยู่ตรงประตูพอเห็นเหมียวอี้ก็นามสวใช้ย่อเข่าคานับทันที่”ผู้น้อยคานับท่านอ๋อง!”
เหมียวอี้ยื่นมือประคองแขนนางขึ้นมา พินิจพิจารณาผู้หญิงคนนี้อย่างจริงจังงามหยาดเยิ้มมีเสน่ห์ เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น นับว่าเป็นยอดหญิงงามที่มีอยู่น้อยมากในจวน อดไม่ได้ที่จะเสียดาย แต่ในใจเขาก็รู้ดีเช่นกัน ว่าสายลับที่ถูกส่งมาที่แบบนี้ นอกจากแต่งตัวสวยไปวัน ๆ ก็ใช้งานสำคัญไม่ได้เลย
เขาวางความคิดอื่น ๆ ลง แล้วยกถาดอาหารใบหนึ่งขึ้นมากล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “นำใจของเจ้าข้าเห็นแล้ว ข้าลองชิมแล้วด้วย ฝีมือใช้ได้เลย ข้านาของมาคืนเจ้า”
“ท่านอ๋องชมเกินไปแล้วค่ะ” ฉางเซียงเอ๋อร์กล่าวยังเขินอาย ดวงตาฉายแววกังวลอยู่เพียงแวบเดียว
สาวใช้ที่อยู่ข้างกันรีบรับถาดอาหารไว้
ถ้าหวังให้ท่านอ๋องมาที่นี่แล้วพลอดรักกันช้า ๆ ก็เป็นเรื่องที่เพ้อฝันไปหน่อย ในเขตทัพใต้ตั้งมเรื่องสงคราม พอเดินเล่นในเรือรอบหนึ่ง ของมันแน่นอนอยู่แล้ว เหมียวอี้จูงมือสาวงามเข้าไปในห้องนอน…
กลางดึก ไข่มุกราตรีที่อยู่ในห้องยังคงส่องแสงสว่าง ในผ้าห่ม เหมียวอี้ที่หักโหมใช้แรงมากเกินไปเหมือนจะหลับสนิท หายใจช้าลง
ฉางเซียงเอ๋อร์ที่นอนสยายผมงามอยู่ข้างกายแอบลืมตาเงียบ ๆ ลืมตาแล้วหลับตาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว สุดท้ายก็จัดฟัน จู่ ๆ ใต้ผ้าห่มก็เคลื่อนไหวอย่างรุนแรง แล้วก็นิ่งค้างไปอีก
ฉางเซียงเอ๋อร์เบิกตากว้าง ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เห็นเพียงเหมียวอี้ที่นอนอยู่ข้างกันหันหน้าช้า ๆ มามองนาง ดวงตาฉายแววเยียบเย็น เหมือนเสือที่ต้องการจะกินคน ทำให้คนที่เห็นตัวสั่นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้หนาว
แม้ในใจจะรู้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไม่มีใครสามารถเข้าใจความเดือดดาลในใจเหมียวอี้ตอนนี้ได้ ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงที่ร่วมหลับนอนกับตนต้องการจะสังหารตน!
ฉางเซียงเอ๋อร์ที่ทำสีหน้าสิ้นหวังต้องการจะแลกทุกอย่างเพื่อสู้ตาย แต่กลับถูกเหมียวอี้สะบัดแขนออกจากผ้าห่ม คว้าข้อมือฉางเซียงเอ๋อร์แล้วบิดไว้
มือที่ถือมีดสั้นของฉางเซียงเอ๋อร์หักเสียงดัง “กรอบ” นางร้อง “อา!” ออกมาอย่างน่าเวทนา
เหมียวอี้ถือโอกาสใช้ฝ่ามือตบนหน้าอกอีกฝ่าย
ฉางเซียงเอ๋อร์ที่กระอักเลือดสดกระเด็นออกมาแล้ว ร่างเปลือยตกกระแทกบนพื้น ร่างอรชรนอนหมอบดิ้นรนอยู่อย่างนั้น อาเจียนี้เป็นเลือดไม่หยุด ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกโจมตีจนสาหัสแล้ว
เหมียวอี้ที่ร่างเปลือยลุกขึ้นั่นงบนเตียง เผยลายกล้ามเนื้อให้เห็นชัดเจน จ้องผู้หญิงที่นอนอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเยียบเย็น พลางร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนว่า “ทหาร!”
สาวใช้ของฉางเซียงเอ๋อร์วิ่งเข้ามาก่อน พอเห็นฉากนี้ก็ตกใจมาก เมื่อครูเพิ่งได้ยินเสียงร้องโอดครวญผิดปกติ เพียงแต่ไม่กล้าบุกเข้ามา นึกไม่ถึงว่าจะเกิดภาพเหตุการณ์อย่างดีขึ้น ทั้งสองตกใจแทบแย่ พวกนางไม่รู้ว่าฉางเซียงเอ๋อร์ต้องการจะลอบสังหาร
จากนั้น มู่หรงซิงหัวก็นากลุ่มทหารอารักขาหญิงประจำเรือนชั้นในพุ่งเข้ามา
มู่หรงซิงหัวพถ่งนำเข้ามาก่อน นางรีบย้ายสายตาออกจากเหมียวอี้ที่นั่งเปลือยใช้ผ้าห่มคลุมท่อนล่างอยู่เตียงพอเห็นมีดสั้นตกอยู่ข้างกายฉางเซียงเอ๋อร์ ก็รู้แล้วว่าเรื่องที่หยางเจาชิงกาชับไว้ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นจริง ๆ แล้ว
ไม่ต้องพูดอะไรเลย ทหารอารักขาหญิงสองคนรีบจับตัวฉางเซียงเอ๋อร์ให้ลุกขึ้นมา รีบช่วยสวมเสื้อผ้าเพื่อปิดบังความน่าอับอาย แล้วก็ลากไปอย่างนี้เลย
“ท่านอ๋อง พวกเราไม่รู้อะไรเลย…”
สาวใช้สองคนที่ตกใจคุกเข่าร้องไห้ก็อาจจะไม่รอด ถูกลากออกไปแล้ว คำอธิบายของพวกนางไม่มีความหมายใด ๆ เหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องฟัง…
วันต่อมา นอกจวนท่านอ๋อง ทั้งชายทั้งหญิง ทั้งเด็กและคนแก่หลายร้อยคนกำลังร้องไห้และถูกกำลังพลกลุ่มหนังก็ดให้คุกเข่าบนพื้น ทั้งหมดคือคนในครอบครัวของฉางเซียงเอ๋อร์ หลังจากเกิดเรื่องเมื่อคืนี้นิทานอ๋องก็เดือดดาลมาก ในจวนท่านอ๋องมีคำสั่ง คนในครอบครัวที่ไม่รู้ความจริงเลยสักนิดถูกกำลังพลที่อยู่แถวนั้นล้อมไว้แล้ว ไม่พูดพร่าทาเพลง ยึดบ้านจับคนเสียเลย คนที่หลบหนีถูกประหารโดยไม่ละเว้น!
“ข้าต้องการพบท่านอ๋อง ข้าพเจ้าต้องการพบท่านอ๋อง…” ฉางลวี่ตะโกนเสียงดังไม่หยุด เขาคือบิดาของฉางเซียงเอ๋อร์ เป็นอดีตหัวหน้าภาค
ทหารคนหนังก็าวขึ้นมา ตบหน้าหนึ่งที่ตบจนฟันร่วงเลือดไหล ทำให้ฉางลวี่หุบปากแล้ว
ผ่านไปไม่นาน บรรดาสาวใช้ในจวนท่านอ๋องก็แทบจะถูกไล่ออกมาหมด อนุภรรยาของเหมียวอี้ สาวใช้และบ่าวไพร่ในจวน ทั้งหมดมาร่วมตัวกันบนลานกว้างนอกจวนท่านอ๋อง เรื่องเมื่อคืนี้นทำให้สั่นสะเทือนทั้งจวนท่านอ๋อง ท่ามกลางวงล้อมของทหารจำนวนมาก ตอนนี้แต่ละคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะพาลโกรธลามมาถึงพวกเขาหรือเปล่า
ใช้เวลาไม่นาน ในจวนท่านอ๋องก็มีคนคนหนึ่งถูกลากลงมา พอออกจากจวนท่านอ๋องก็ถูกผลักให้เดินมาข้างหน้า ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง บนตัวมีรอยเลือดจากการโดนแส้ฟาดทั้งร่าง นางก็คือฉางเซียงเอ๋อร์ ถูกทรมานจนสภาพไม่เป็นผู้ไม่เป็นคนแล้ว
ตรงจุดที่นางเดินผ่านด้วยเท้าเปล่า ทุกย่างก้าวล้วนทิ้งรอยเลือดเอาไว้ เจ็บจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
“เซียงเอ๋อร์ ! ทำไมกัน! เพราะอะไรกัน…” มารดาบุญธรรมของฉางเซียงเอ๋อร์ตะโกนร้องไห้จนพูดไม่เป็นภาษา
ผลปรากฏว่ามีคนถลันตัวเข้ามาตบหน้า ตบจนหุบปากไปแล้ว
ไม่เห็นคนในครอบครัวถูกจับให้คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างจนตรอก ในดวงตาฉางเซียงเอ๋อร์ไม่ได้ฉายแววตาเศร้าสลด ไม่น่าเชื่อว่านางจะรู้สึกสะใจที่ได้ล้างแค้น
นางถูกผลักให้ยืนอยู่ใต้ธง ถูกคนจับสองมือให้แขวนไว้ข้างบน แขวนไว้บนเสาธงสูง
หยางเจาชิงเดินออกจากจวนท่านอ๋องดูสีหน้าเย็นชา ประสานมือสองข้างตรงหน้าท้อง ยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มคน กวาดมองคนที่อยู่บนเสาธงด้วยแววตาเงียบ ขรึม แล้วก็กวาดมองคนในครอบครัวของนางอีก แล้วโบกมือส่งสัญญาณให้แม่ทัพอยู่ข้าง ๆ
“ประหาร!” แม่ทัพคนั้นนออกคำสั่ง
ทหารที่คุมตัวคนตระกูลฉางควงดาบฟันทันที่ศีรษะหลายร้อยใบกระเด็นออกมา เลือดนับร้อยสายพุ่งสาด
สมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิงในจวนท่านอ๋องตกใจจนหน้าซีด บางคนหันหน้าหนีเสียเลย ไม่กล้ามองอีก
และอีกด้านหนึ่ง มือธนูร้อยคนง้างสายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว แต่กลับไม่ร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นธนูยิงออกไปตามวิธีการปกติ
ฉางเซียงเอ๋อร์ที่ห้อยอยู่บนเสาธงโดนยิงจนกลายเป็นเม่นในชั่วพริบตาเดียว เลือดสดหยดติ๋ง ๆ
ผู้หญิงในจวนท่านอ๋องไม่น้อยตกใจจนก้มีหน้า
ตอนนี้หยางเจาชิงที่สีหน้าเรียบเฉยถึงหันตัวมาเผชิญหน้ากับพวกนาง แล้วเตือนด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “คาดว่าทุกท่านคงได้ยินเรื่องนี้แล้ว หวังเฟยให้บ่าวมาแนะนำทุกท่าน การลอบสังหารท่านอ๋องเป็นพฤติกรรมที่โงเง่า ไม่ว่าในจวนท่านอ๋องจะมีสายลับของบ้านอื่น หรือไม่ ถ้ามี ก็เป็นฝ่ายไปยอมรับผิดต่อหวังเฟยเอง หวังเฟยรับประกันว่าจะไม่เอาเรื่อง ถ้าปฏิเสธไม่ยอมชี้แจง แล้วถูกตรวจเจอก็จะไม่ลงโทษประหารธรรมดาเหมือนครั้งนี้แล้ว แต่จะแล่เนื้อเปืนพ้นดาบหมื่นดาบ ทรมานจนอยู่มิสู้ตาย!” พูดจบก็กุมหมัดคารวะ แล้วหันตัวเดินก้าวยาวจากไป
บนตึกในจวนท่านอ๋อง ซิงกับมู่หรงซิงหัวยืนเคียงข้างกัน
ขณะมองกลุ่มคนด้านนอกกกที่สลายตัวไปด้วยสีหน้าซีดขาว มู่หรงซิงหัวก็ถอนหายใจเบา ๆ
ซิงถอนหายใจเช่นกัน “ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกราชันในโลกมนุษย์ถึงเย็นชาไร้นำใจแบบนั้น แม้แต่คนที่นอนอยู่ข้างกายก็ยังไว้ใจไม่ได้ ยังวางแผนที่าร้ายเจ้าได้ เล่นงานให้เจ้าถึงตายได้ ต่อให้เปป็นคนใจอ่อนขนาดไหน แต่ก็ต้องค่อย ๆ เปลื่ยนี้เป็นคนใจดาอามหิตอยู่ดี ท่านอ๋องใช้ชีวิตแบบนี้ไม่เหนื่อยเหรอยังจะมีความหมายอะไรอีก ?”
วังสวรรค์ ตาหนักดาราจักร ซือหม่ำเวิ่นเทียนเดินเข้ามาอย่างกังวล มองซ่างกวนชิงที่ยืนเก็บมืออยู่ข้าง ๆ แวบหนึ่ง แล้วเดินช้า ๆ ไปข้างกายประมุขชิงกับอู๋ฉวี่ที่ยืนอยู่หน้าแผนที่ดาว ก่อนจะทาความเคารพ “ฝ่าบาท!”
ประมุขชิงไม่เงย่อหน้า ถามเสียงเรียบว่า “สถานการณ์แต่ละแห่งเป็นยังไงบาง ?”
ซือหม่ำเวิ่นเทียนตอบว่า “ฝ่าบาท สายลับที่ลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อทาพลาดแล้ว ฉางเซียงเอ๋อร์ถูกจับทั้งตระกูล แม้แต่ฉางเซียงเอ๋อร์ก็ถูกประหารไปด้วยท่ามกลางฝูงชน” เขาก้มีหน้าเตรียมตัวโดนด่า
ประมุขชิงกลับเงย่อหน้าช้า ๆ มองเขาแวบหนึ่งแล้วเลิกคิ้ว แล้วก็มองอู๋ฉวี่อีก “ลงมือได้แล้ว!”
“…” อู๋ฉวี่งุนงง
“ถ่ายทอดบัญชาของข้า ให้ทัพใหญ่บุกโจมตีตามแผนเดียวนี้อย่าให้ผิดพลาด!” ประมุขชิงยืนยันด้วยเสียงดังอีกครั้ง
“ขอรับ!” อู๋ฉวี่กุมหมัดรับบัญชา แม้ในจะสงสัยว่าข่าวที่ซือหม่ำเวิ่นเทียนส่งมาเกี่ยวอะไรกับการบุกโจมตีครั้งนี้ แต่ก็ยังหยิบระฆังดาราออกมาถ่ายทอดคำสั่งทางทหาร
ใบหน้าซือหม่ำเวิ่นเทียนเต็มไปด้วยความงุนงง มองซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างกัน อีกฝ่ายยังมีสีหน้าสงบนิ่ง มองไม่ออกว่ามีปฏิกิริยาใด ๆ…
บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง ฉวี่ฉางเทียนที่รออยู่ในถ้าใต้ดิน เงียบ ๆ เก็บระฆังดาราแล้ว จากนั้นหันตัวไปหาบรรดาแม่ทัพที่ล้อมอยู่ตรงหน้าแผนที่ดาว “ทัพใหญ่บุกโจมตีตามแผน ปฏิบัติ!”
เขาเองก็คิดไม่ตกว่าทำไมเหมียวอี้ต้องเปิดเผยเรื่องนี้ให้เขารู้ จึงถามด้วยสีหน้าเยียบเย็นว่า “น้องชายอยากจะใช้วิธีการสุดแผนที่ปรากฏมีดสั้น [1] เหรอ ?”
เหมียวอี้โบกมือ”ท่านอ๋องเฉิงเข้าใจผิดแล้ว ที่พูดสิ่งเหล่านี้ก็เพราะอยากบอกท่านอ๋องเฉิง การที่ข้าทาอย่างนี้ก็เพราะถูกบีบให้จนตรอกเหมือนกัน ไม่ใช้แค่กำลังพลดักซุ่มที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์เท่านั้น เรื่องที่ประมุขชิงแอบสั่งให้องค์รักษ์ลอบสังหารข้าก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกัน ก็แค่อยากให้ท่านอ๋องเฉิงรู้เอาไว้เท่านั้น ประมุขชิงจะเล่นงานข้าให้ถึงตายให้ได้ ในเมือเปืนเช่นนี้ แล้วข้าจะนั่งรอความตายได้ยังไง!”
เฉิงไที่เจ๋อบอกว่า “แล้วเกี่ยวอะไรกับที่เจ้าบีบให้ข้ามาที่นี่ ? เจ้าคงไม่ได้คิดว่าอาศัยกำลังพลอนั้นอยนิดของข้าแล้วจะแตกหักกับประมุขชิงได้หรอกนะ ?”
” ทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็เป็นคนของข้าเหมือนกัน!” เหมียวอี้กล่าว
“ที่เจ้าปราบทัพกบฏเป็นแค่การแสดงละครเหรอ ?” เฉิงไที่เจ๋อระแวงสงสัย
เหมียวอี้ยิ้มโดยไม่ตอบอะไร นับว่ายอมรับแล้ว
เฉิงไที่เจ๋อจึงบอกว่า “แล้วยังไงล่ะ ? ต่อให้ทัพกบฏจะเก่งกาจแค่ไหน แต่ก็เป็นแค่กำลังพลสิบล้าน เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติจะมาแต่กหักกับประมุขชิง แล้วทำไมต้องวางกับดักข้า ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “อย่าบอกน่ะว่าจนป่านี้นแล้ว ท่านอ๋องเฉิงยังไม่รู้ชัดอกว่าตระกูลเซี่ยโห้วกำลังสนับสนุนใคร ?”
เฉิงไที่เจ๋อจ้องเขาเงียบ ๆ หลังจากเงียบไปนานมาก ก็กล่าวช้า ๆ ว่า “ภายใต้สถานการณ์ที่กำลังของประมุขชิงยังนับว่ามีเสถียรภาพ ต่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วสนับสนุนเจ้า แต่เจ้าก็ไม่ได้เปรียบมากสักเท่าไหร่หรอก อย่างน้อยก็ไม่มีศักยภาพที่จะปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า”
“ไม่แน่! ถ้าประมุขชิงยังไม่ทำอะไรซี้ซั้ว ข้าก็อาจจะทำอะไรเขาไม่ได้จริง ๆ แต่ถ้าเขาดึงดันจะแตกหักกับข้าให้ได้อำนาจจะตกอยู่ในมือใครก็ยังไม่แน่ เจ้าคิดว่าประมุขชิงเลิกสนับสนุนเจ้า เช่นั้นนกองทัพองครักษ์ห้าร้อยล้านจะเอามาไว้ทำอะไรล่ะ ? มีความเป็นไปได้สูงว่าจะพุ่งเป้ามาที่ข้า…” เหมียวอี้บอกแผ่นการโจมตีของประมุขชิงเหมือนที่คุยกับหยางชิ่งก่อนหน้านี้ให้เขาฟัง
เฉิงไที่เจ๋อได้ยินแล้วอกสั่นขวัญแขวน ตอนที่ยังมองไม่ออกก็ไม่รู้ แต่หลังจากถูกเปิดเผยแล้ว ถึงได้พบว่ามีความเป็นไปได้จริง ๆ
เมื่อเห็นเขาตกอยู่ในอาการครุ่นคิด ก็รออยู่ครูหนึ่ง เหมียวอี้บอกอกว่า “ถ้ากำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยล้านของท่านอ๋องเฉิงกำจัดกองทัพองครักษ์สามร้อยล้านของฮวาอี้เทียนได้ แล้วข้าใช้กำลังพลอีกสองพันล้านกำจัดกองทัพองครักษ์ห้าร้อยล้านที่จู่โจมอีก ท่านอ๋องเฉิง
รู้สึกว่าจะเกิดสถานการณ์อย่างไรขึ้น ? หลังจากทาเรื่องนี้เสร็จกองทัพองครักษ์สี่ร้อยล้านที่กดดันอยู่ในอาณาเขตข้าก็จะกระจัดกระจายและกาจัดง่าย ๆ! ถึงตอนั้นนประมุขชิงก็สูญเสียกำลังไปเกินครั้ง เจ้าคิดว่าฝ่ายอื่นจะพลาดโอกาสในการโค่นล้มประมุขชิงเหรอ ?”
เฉิงไที่เจ๋อตาเป็นประกาย “เจ้าอย่าลืมฝั่งแดนสุขาวดีนะ ประมุขพุทธะไม่มีทางนิ่งดูดาย!”
เหมียวอี้บอกเขาว่า “ในเมือข้ากล้าประลองกับประมุขชิง มีหรือที่จะมองไม่เหน็จุดนี้ ข้าวางแผนสำหรับสิ่งนี้ไว้นานแล้ว ถึงตอนั้นนข้ารับรองว่าประมุขพุทธะจะต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน! ตอนนี้ถามแค่คาเดียว ท่านอ๋องเฉิงยินดีจะช่วยข้าอีกแรงหรือไม่ ?”
เฉิงไที่เจ๋อเอามือลูบเคราครุ่นคิด ในใจเขาเข้าใจ ว่าในเมืออีกฝ่ายกล้าเปิดเผยแผนี้นออกมาก็แสดงว่าเขาไม่มีทางถอยแล้ว ถ้าเขาไม่ตอบตกลง ก็ไม่มีทางรอดชีวิตออกไปได้ สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อน กำลังพลในมือเขาตอนนี้กลายเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้อีกฝ่ายได้รับชัยชนะแล้ว ถ้าเขาไม่ตอบตกลง ก็มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าอีกฝ่ายจะแพ้ ในเมือเปืนเช่นนี้แล้ว อีกฝ่ายยังจำเป็นต้องเกรงใจเจ้าอยู่อีกเหรอ ? ศักยภาพของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเถิงเฟยตั้งเยอะ!
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ว่าตั้งแต่ตัวเองเหยียบเข้ามาในอาณาเขตทัพใต้ ก็ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว อีกฝ่ายต้องการบีบเจ้าทีละก้าวให้จนมุม บีบจนเจ้าทำได้เพียงยอมจานน เพียงแต่ตอนนี้กว่าจะรู้ตัวก็
สายเกินไปแล้ว อดไม่ได้ที่จะถามด้วยรอยยิ้มืเจื่อน “แล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไร ?”
” อ๋องผู้นี้มีปณิธานต่อใต้หล้า!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ
นี่ก็คือคำต่อบที่ให้กับอีกฝ่าย! นี่ก็คือผลประโยชน์ที่ให้กับอีกฝ่าย!
เฉิงไที่เจ๋อสั่นสะท้านไปทั้งตัวและหัวใจ พลันเงย่อหน้ามองเขา เมื่อครูนี้ยังนึกเพียงว่าเหมียวอี้ต้องสู้กับประมุขชิงเพื่อปกป้องตัวเองด้ท่าแล้ว ตัวเองคงประเมินจิตใจอันทะเยอทะยานของเจ้าเด็กนี่ต่าไป ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องการทั้งใต้หล้า ! หรือพูดได้อีกอย่างว่า เมื่อประมุขชิงล้มเมื่อไหร่ การที่เถิงเฟยจะแย่งชิงอาณาเขตทัพตะวันออกอีก็กกลายเป็นเรื่องนาขาแล้ว หนิวโหย่วเต๋อยังต้องการจะลงมือกับอ๋องคนอื่นอีก!
เหมียวอี้เหล่ตามองปฏิกิริยาของเขา
เฉิงไที่เจ๋อขยับปาก อึกอักอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็กุมหมัดคารวะ “เฉิงไที่เจ๋อยินดีช่วยท่านอ๋องอีกแรง!”
เหมียวอี้หันตัวมาหาเขา แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พูดแต่ปากไม่ได้หรอก ต้องแสดงความจริงใจออกมา!”
เฉิงไที่เจ๋อจึงบอกว่า “ข้ายินดีเอาตัวเองกับครอบครัวเป็นตัวประกันทานอ๋องพอใจหรือยัง ?”
” ดีหลังจากจบเรื่องแล้ว จะไม่ปฏิบัติต่อท่านอ๋องเฉิงอย่างไร้ความยุติธรรมแน่นอน!” เหมียวอี้พยักหน้าอย่างยินดี แล้วยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา
เฉิงไที่เจ๋อยกมือขึ้น แปะฝ่ามือกันร่วมเป็นพันธมิตร
“ฮ่า ๆ…” จากนั้นทั้งสองก็สบตากันแล้วหัวเราะลั่น
ตรงจุดที่ไม่ไกล กำลังพลของเฉิงไที่เจ๋อเห็นว่าทั้งสองแปะมือกัน แล้วก็มีท่าทางดีใจมาก ก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่ามเรื่องอะไรทำให้ท่านอ๋องดีใจขนาดนี้ ทุกคนต่างดูออก เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องดี ทำให้พวกเขาสงบใจลงไม่น้อย!
จากนั้นเหมียวอี้ก็ปรึกษากับเฉิงไที่เจ๋ออีก ให้เฉิงไที่เจ๋อหลบอยู่ที่นี่ชั่วคราวแล้วรอฟังคำสั่งเพื่อบัญชาการกำลังพลของตัวเอง เหมียวอี้จะส่งทัพตรวจตรามาจับตาดูรอจนศึกใหญ่เริ่มต้นขึ้นแล้วจริง ๆ เป็ิดเผยแล้วว่าทั้งสองฝ่ายร่วมมือกัน เฉิงไที่เจ๋อก็จะปรากฏตัวข้างกายเหมียวอี้อย่างเปิดเผยอีกครั้ง ตอนนี้ยังต้องรักษาความลับก่อน จะให้ประมุขชิงสังเกตเห็นไม่ได้
ขณะมองคล้อยหลังเหมียวอี้จะไป เฉิงไที่เจ๋อก็พ่นลมหายใจออกมาช้า ๆ พอนึกถึงหมากที่ฝ่ายวางไว้ก่อนหน้านี้ ก็ยังตกใจไม่หาย พึมพาอย่างสะท้อนใจมากกว่า “ฮ่าวเต๋อฟางแพ้อย่างยุติธรรมแล้ว…”
จากนั้นก็รีบเรียกให้คนที่อยู่ทางซ้ายทางขวาหาที่พัก จัดตั้งศูนย์บัญชาการเริ่มระดมพลเพื่อวางกำลังตามแผนของเหมียวอี้อย่าง
เร่งด่วน เหมียวอี้กำหนดเวลาให้กำลังพลของเขาเข้าประจำที่ยามถึงเวลาจำเป็นแล้ว นี่คือกลยทธุ์ตรงหน้าเขาที่ต้องปฏิบัติโดยเร็วที่สุด…
หลายวันผ่านไป ไม่เห็นว่าเรื่องที่คาดการณ์ไว้เกิดขึ้นเสียที่
จวนอ๋องสวรรค์หนิว เหมียวอี้เดินไปเดินมาอยู่ในตาหนัก แล้วถาม “หรือว่าพวกเราจะคาดการณ์ผิดพลาด ประมุขชิงไม่ได้เตรียมจะโจมตีข้าเลย ?”
หยางชิ่งขมวดคิ้วครุ่นคิด
หยางเจาชิงบอกว่า “ถ้าไม่คาดการณ์ผิดพลาด ก็แสดงว่าการหายตัวไปของเฉิงไที่เจ๋อทำให้ประมุขชิงตื่นตัว กำลังพลหลายพันล้านหายไปกับเฉิงไที่เจ๋ออย่างประหลาด เกรงว่าจะไม่ให้ระแวงก็คงยาก”
เหมียวอี้พยักหน้า มองไปที่หยางชิ่ง “ท่านบุรุษคิดว่ายังไง ?”
หยางชิ่งกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “อาจจะสันนิษฐานผิดพลาด แต่ดูจากเบาะแสต่าง ๆ ข้าน้อยยังเชื่อว่าประมุขชิงมีโอกาสลงมือมากกว่า ลองคิดไปในทิศทางนี้อักษรกำลังพลผ่านด่านอย่างไม่ค่อยราบรื่น ยังไม่ถึงจุดโจมตีที่กำหนดไว้ หรือไม่ก็มีความเป็นไปได้อย่างที่พ่อบ้านบอก ทำให้ประมุขชิงตื่นตัวแล้ว ประมุขชิงกำลังดูอยู่ ไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า!”
เหมียวอี้กอดอกคิดทบทวน
หยางชิ่งบอกอกว่า “สามารถให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลร่วมมือสักหน่อย ให้ทัพใหญ่ที่ล้อมปราบเร่งความเร็ว สร้างเบาะแสว่าทัพกบฏกำลังจะถูกปราบอย่างรวดเร็ว กดดันประมุขชิง หยั่งเชิงสักหน่อย!”
“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป จัดการตามนี้!”
วังสวรรค์ ตาหนักดาราจักร ประมุขชิงเอนกายพิงเก้าอี้ ดวงตาฉายแววจดจ่อ
อู๋ฉวี่เดินก้าวยาวเข้ามาจากนอกตาหนัก หลังจากทาความเคารพแล้วก็ขอคำชี้แนะ “ฝ่าบาท กำลังไปถึงจุดหมายแล้ว รออยู่หลายวันแล้ว ไม่ทราบว่าจะให้บุกโจมตีเมื่อไหร่ ?”
ประมุขชิงกล่าวช้า ๆ ว่า “เฉิงไที่เจ๋อพากำลังพลหายไปเยอะขนาดนั้น มีอะไรในกอไผ่แน่นอน”
อู๋ฉวี่กุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท ทัพใต้โจมตีทัพกบฏโหดีกว่าเดิม ทัพกบฏคงทนได้อีกไม่นานแล้ว ถ้าทัพกบฏถูกปราบ หนิวโหย่วเต๋อไม่มีอะไรมาพัวพันแล้ว กำลังพลในมือก็จะว่างงานหมดแล้ว การตายของพี่น้องเบื้องล่างจะเพิ่มขึ้นมาก ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นมากด้วย! ฝ่าบาท ถ้าจะโจมตีก็ทาแต่เนิ่น ๆ ถ้าไม่โจมตีก็หยุด!”
ประมุขชิงปรายตามองซือหม่ำเวิ่นเทียน “ฝั่งหนิวโหย่วเต๋อมีความเคลื่อนไหวผิดปกติอะไรหรือเปล่า ?”
” ตอนนี้ยังไม่มีขอรับ!” ซือหม่ำเวิ่นเทียนตอบ
“ในบรรดาอนุภรรยาของหนิวโหย่วเต๋อมีคนของหน่วยตรวจการซ้ายแล้วใช้ไหม ?” ประมุขชิงถาม
ซือหม่ำเวิ่นเทียนมองซ้ายมองขวา ประมุขชิงถามออกมาตรงนี้เลย เขาเองก็ทำได้เพียงตอบกลับัตรงนี้ “มีสามคนขอรับ แต่ไม่เคยได้เข้าห้องกับหนิวโหย่วเต๋อเลย ไม่มีแม้แต่โอกาสพบหน้าหนิวโหย่วเต๋อ”
ประมุขชิงถามว่า “เจ้ากำลังจะบอกว่า หนิวโหย่วเต๋อรู้ตัวตนของพวกนางแล้วสินะ ?”
พอเกิดเรื่องของเฟยหงขึ้น ซือหม่ำเวิ่นเทียนก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร ได้แต่กล่าวอย่างไม่มี่นใจว่า “ตามหลักแล้วน่าจะยังขอรับ แต่หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ได้ตั้งใจเย็นชากับพวกนาง แต่คลุกคลีกับอนุภรรยาส่วนใหญ่น้อยมาก ส่วนใหญ่ไม่เคยุคยกับหนิวโหย่วเต๋อด้วยซ้ำ” เขากำลังจะสื่อว่า ไม่ใช้เพราะหน่วยตรวจการซ้ายไร้ความสามารถ
ประมุขชิงยกมือนวดหน้าผาก “ให้พวกนางหาทางเข้าใกล้หนิวโหย่วเต๋อฆ่าเขาซะ!”
ซ่างกวนชิงกับอู๋ฉวี่มองไปที่ประมุขชิงพร้อมกัน ไม่ค่อยเข้าใจนิดหน่อย หนิวโหย่วเต๋อจะลอบสังหารได้ง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร
“…” ซือหม่ำเวิ่นเทียนพูดไม่ออก สุดท้ายก็กล่าวด้วยใบหน้าขื่นขม “ฝ่าบาท เอ่อ…ทาสำเร็จได้ยากมาก ยามปกติพวกนางไม่มีโอกาสเข้าใกล้หนิวโหย่วเต๋อด้วยซ้ำ ถ้าฝืนเข้าใกล้จะต้องทำให้หนิว
โหย่วเต๋อสงสัยแน่นอน ไม่ง่ายเลยกว่าจะแทรกสายลับเข้าไปได้ ถ้าทำให้เกิดความเสียหายเปล่า ๆ ก็อาจจะน่าเสียดายขอรับ”
ประมุขชิงมองตาขวาง “เขาไม่สนใจว่าพวกนางจะใช้วิธีการู้อะไร เอาเป็นว่าให้เข้าใกล้หนิวโหย่วเต๋อฆ่าเขาซะ ทำให้เร็วที่สุด ภายในสามวันข้าต้องเห็นผลลัพธ์ !”
“เอ่อ…”
“หืม ?”
” ขอรับ!” ซือหม่ำเวิ่นเทียนเอ่ยรับด้วยสีหน้าลำบากใจ
ในอาณาเขตทัพตะวันออก กองหนุนของทัพตะวันตกกับทัพเหนือเริ่มถอนกำลังกลับแล้ว
จวนอ๋องสวรรค์เถิง เถิงเฟยที่ได้อาณาเขตทัพตะวันออกไปแล้วกำลังชื่นชมระบา ดื่มสุราชันดี แต่กลับใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หวังเฟยจูโหยวเหม่ยที่มาหาหลายครั้งถูกเขากันออกไปแล้ว
แม้สุราจะรสชาติดี แม้สาวงามจะเย้ายวนใจ เถิงเฟยที่ถือถังสุรากลับไม่สนุกเลยสักนิด การหายตัวไปของเฉิงไที่เจ๋อกลายเป็นปัญหาใหญ่ในใจเขา ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะโผล่ออกมาก่อกวนอีก ยังมีอีกจุดหนึ่ง ทั้งทัพตะวันออกมีกำลังพลที่ใช้งานได้หายไปรวดเดียวหลายพันล้านคน ขาดกำลังพลที่ยอมแพ้เพื่อนามาชดเชย แล้วเขาจะเอากำลังพลมากขึ้นาดนั้นจากไหนมาชดเชย ด้วยเหตุนี้แม้จะได้อาณา
เขตมาแล้ว แต่กำลังกลับไม่ได้เพิ่มขึ้น เฉิงไที่เจ๋อกลับยังรักษากำลังเอาไว้สู้กับเขาได้ แล้วจะไม่กังวลได้อย่างไร…
จวนอ๋องสวรรค์หนิว ในตาหนัก เหมียวอี้เฝ้าครุ่นคิดอยู่หน้าแผนที่ดาว หยางชิ่งก็ขมวดคิ้วเงียบ ๆ อยู่ข้างกัน
ประมุขชิงชักช้าไม่เคลื่อนไหวเสียที่ทำเอาฝั่งนี้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำให้คนปวดหัวมาก กำลังพลฝั่งนี้มีแต่ต้องเป็นฝ่ายถูกกระทำเท่านั้น ไม่มีทางเป็นฝ่ายรุกโจมตีประมุขชิงก่อนได้
นอกตาหนัก หยางเจาชิงถือถาดอาหารเดินเข้ามา มาวางตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อื่น ๆ “ท่านอ๋อง ข้าน้อยเพิ่งถูกฉางฮูหยินดักไว้ระหว่างทาง ดึงดันจะให้ข้าน้อยนาของว่างนี้มาให้ท่านอ๋องลองชิมให้ได้ บอกว่านางลงมือทาด้วยตัวเอง”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “เป็นนางอีกแล้วเหรอ ? ไม่รู้จักจบจักสิ้น หรือว่าประมุขชิงอยากจะให้นำงลอบสังหารข้า ?”
หยางเจาชิงตอบว่า “ตรวจสอบของว่างชามนี้แล้ว ให้คนตรวจสอบแล้วเช่นกัน ไม่มียาพิษขอรับ”
หยางชิ่งกลับหันมามอง ถูกดึงดูดด้วยคำพูดก่อนหน้านี้ของเหมียวอี้ ถามว่า “ฉางฮูหยิน ? ฉางเซียงเอ๋อร์หรือ ? นางเป็นคนของวังสวรรค์หรือเปล่า ?”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ข้ารู้กาพืดนางตั้งนานแล้ว เป็นสายลับของหน่วยตรวจการซ้าย อยากจะเจอข้าตั้งแต่เช้า ข้าเลยให้หวังเฟยไปรับมือนึกไม่ถึงว่าจะมาอีกแล้ว” ขณะที่พูดก็บุ้ยปากไปทางทหาร
…………………………
[1] สุดแผนที่ปรากฏมีดสั้น 图穷匕见 เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุด ข้อเท็จจริงย่อมปรากฏออกมา
พอได้ยินว่าเขาจะหนี เถิงเฟยก็ร้อนใจทันที่”ถ่ายทอดคำสั่งข้า เคลื่อนทัพตามแผนเดิม!”
“ขอรับ!” บรรดาแม่ทัพกุมหมัดคารวะเอ่ยรับคำสั่ง ขณะกำลังจะออกไป้ใครจะคิดว่าเถิงเฟยจะกล่าวเสริมอีก “เดียวก่อน ต้องระวังให้ดี ระวังจะมีอุบาย!”
บรรดาแม่ทัพผันตัวมาเอ่ยัรบอีกครั้ง “รับทราบ!”
รอจนกระทั่งพวกแม่ทพออกไปแล้ว เถิงเฟยก็รีบขอความช่วยเหลือจากกองหนุนของทัพตะวันตกและทัพเหนือทางฝั่งนี้ก็กำลังรีบจัดระเบียบกำลังพลเดิมเช่นกัน จากนั้นก็นาทัพอารักขาเร่งไปข้างหน้าด้วยตัวเอง…
กำลังพลของอ๋องสวรรค์เถิงออกโจมตีทุกเส้นทาง
ทว่าทุกที่ที่ไปถึง ก็ปลอดโปร่งไร้อุปสรรค มุ่งตรงเข้าสู่อาณาเขตของเฉิงไที่เจ๋อโดยตรง ไม่มีการต่อต้านใด ๆ
ขณะยืนอยู่หน้าประตูใหญ่จวนอ๋องสวรรค์เฉิงและจ้องป้ายบนประตูอยู่นานมาก เถิงเฟยก็กัดฟันพูดว่า “ค้นหาอีก! ติดต่อทัพใต้ ทัพเหนือและทัพตะวันตกให้รีบปิดล้อมชายแดน!”
“ขอรับ!” ผู้ติดตามเอ่ยรับ เถิงเฟยนาคนเข้าไปในจวนอ๋องสวรรค์เฉิง
เขาเดินทั่วจวนอ๋องสวรรค์เฉิงรอบหนึ่ง กำลังพลเบื้องล่างก็ค้นหาจนทั่วเช่นกัน แต่ไม่เห็นเงาคนเลย
สุดท้ายเถิงเฟยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ในตาหนักประชุมก็ตกอยู่ในความเงียบ ภายนอกไม่ได้แสดงอะไรให้คนเบื้องล่างเห็น แต่ในใจรู้สึกนึกเสียใจทีหลังแทบแย่นึกเสียใจที่ไม่ควรลังเล ควรจะเคลื่อนทัพมาจับตาดูไว้ตั้งแต่แรก ถ้าปล่อยให้เฉิงไที่เจ๋อนากำลังพลมากขึ้นาดนั้นหนี้ไปจริง ๆ เช่นั้นนในภายหลังเขาก็เลิกคิดที่จะอยู่อย่างอิสระได้เลย พออีกฝ่ายว่าง ๆ ก็จะออกมาปล้นเขาจะได้เป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพตะวันออกอย่างอิสระเสรีก็แปลกแล้ว
เถิงจงที่อยู่นอกประตูรีบก้าวเข้ามาข้างใน รายงานว่า “ท่านอ๋อง เจอเบาะแสทิศทางของเฉิงไที่เจ๋อแล้ว แต่เหมือนจะนำกำลังพลหนีเข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนาม!”
เถิงเฟยลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ สุดท้ายเรื่องที่กังวลกเกิดขึ้นแล้ว ตามหลักแล้ว ถ้าเฉิงไที่เจ๋อต้องการจะหนี้ไปก็ไม่น่าจะนำกำลังพลไปมากขึ้นาดนั้น ทำแบบนี้เกรงว่าจะมเป้าหมายเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเตรียมตัวจะหวนคืนสู่อำนาจอีกครั้ง เขาถามอย่างหน้าดาคร่าเครียด “ติดต่อสายลับที่แทรกไว้ฝั่งนั้นได้หรือเปล่า ?”
” ติดต่อไม่ได้ขอรับ คงจะควบคุมการใช้ระฆังดาราอย่างเข้มงวด” เถิงจงตอบ
“สำรวจต่อไป!” เถิงเฟยตะคอกด้วยใบหน้านิ่งตึง…
จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่อยู่ในป่าไผ่ยืนอยู่ตรงหน้าแผนที่ดาว เงย่อหน้าถามอย่างงุนงงว่า “หนี้ไปแล้วเหรอ ? นากำลังพลหลายพันล้านหนี้ไปด้วย ?”
ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้า “เหมือนจะเป็นอย่างนั้นขอรับ ข่าวที่ทำงนั้นส่งมาบอกว่า เฉิงไที่เจ๋อร่วมทั้งกำลังพลที่สามารถรบได้หายไปหมดแล้ว”
โค่วหลิงซวีขมวดคิ้ว “ทำไมเป็นอย่างนี้ได้ ?”
จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่เดินไปเดินมาอยู่ในตาหันก็กมคำถามเดียวกัน
โกวเยว่ตอบว่า “ท่านอ๋อง หนี้ไปหมดแล้วจริง ๆ”
ก่วงลิ่งกงโบกมือ”เป็นไปไม่ได้ ถ้าจะหนีก็ไม่ควรนาคนไปเยอะขนาดนั้น อย่าบอกน่ะว่าคิดจะหวนคืนสู่อำนาจอีกครั้ง ? ไม่ว่าจะเป็นทัพตะวันตกของข้า หรือจะเป็นทัพใต้ของหนิวโหย่วเต๋อหรือทัพเหนือของโค่วหลิงซวี ล้วนทุ่มเทความพยายามไปมากเพื่อร่วมทัพตะวันออก ทุกคนไม่อยากให้ทัพตะวันออกที่สงบแล้วเกิดความวุ่นวายอะไรอีก เขาไม่มีความเป็นไปได้ที่จะพลิกสถานการณ์ได้เลย นอกจากนี้ เขาพากำลังพลไปเยอะขนาดนั้น ขาดทรัพยากรบนอาณาเขตคอยเลี้ยงดูแล้วจะเลี้ยงยังไง ? ช้าเร็วก็ต้องเกิดความ
วุ่นวายภายใน เฉิงไที่เจ๋อไม่มีทางที่จะไม่เข้าใจหลักการนี้ ถ้าจะหนีก็หนี้ไปคนเดียวสิ ไม่มีทางพากำลังพลไปด้วยเยอะขนาดนั้นแน่นอน!”
“หรือว่าประมุขชิงจะก่อกวนอยู่เบื้องหลัง ?” โกวเยว่สงสัย
ก่วงลิ่งกงหรี่ตา แล้วพยักหน้าเบา ๆ “มีความเป็นไปได้นี้จริง ๆ มีแค่เหตุผลนี้ที่อธิบายได้ พอเปืนแบบนี้ ในเมือเขาสามารถรักษาสัญญาได้ พอทัพกบฏถูกปราบแล้ว เขาก็สามารถสนับสนุนให้เฉิงไที่เจ๋อออกมาสู้กับเถิงเฟยได้ทุกเมื่อ ช่างเป็นโจรเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์ …”
ดาราจักรกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา แวววาวลึกลับ
บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง พวกิจนม่าน พวกอวิ๋นอ้าวเทียน บุคคลระดับสูงของหกลัทธินับร้อยปรากฏตัว กำลังหันมองรอบ ๆ
มีคนหยิบแผนที่ดาวขึ้นมาเทียบตำแหน่งที่อยู่ จากนั้นก็มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ต่างก็พบว่าตรงจุดที่อยู่ไม่ได้ทาสัญลักษณ์ไว้ในแผนที่ดาวหรือพูดได้อีกอย่างว่าตอนนี้มาอยู่ในอาณาเขตดาวนิรนามแล้ว
สายตาทุกคนทยอยมองไปทางเหยียนซิวที่ยืน เงียบอยู่ไม่ไกล
พอเก็บแผนที่ดาวแล้ว จินม่านร่ายอิทธิฤทธิ์ถามว่า “เหยียนซิว ที่นี่ที่ไหน ?”
” ถึงเวลาก็ย่อมรู้เอง” เหยียนซิวตอบด้วยใบหน้านิ่งเฉยเหมือนคนตาย
มู่ฝานจวินกล่าวเสียงต่าว่า “กำลังพลแดนอเวจีเทรังออกมา บอกว่าจะทาศึกใหญ่ไม่ใช้หรอ ? ทำไมพาพวกเรามาที่อาณาเขตดาวนิรนาม ?”
” ถึงเวลาก็ย่อมรู้เอง” เหยียนซิวตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“จะให้พวกเราทายังไงกันแน่ ต้องบอกกันบ้างสิ ?” อวิ๋นอ้าวเทียนถาม
เหยียนซิวยังตอบเหมือนเดิมว่า “ถึงเวลาก็ย่อมรู้เอง”
ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พูดไม่ออกแล้ว ไม่ว่าจะพูดจากมุมไหน ก็มีคนไม่น้อยที่รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ ไม่ว่าที่นี่จะเป็นที่ไหน แต่อย่างน้อยกออกจากแดนอเวจีที่ถูกขังมาหลายปีแล้ว ออกมาแล้ว ในที่สุดกออกมาแล้ว…
ในอาณาเขตทัพใต้ บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง กลุ่มแม่ทัพกำลังมองไปรอบ ๆ แต่ละคนทาสีหน้าระแวงสงสัย เหมือนคิดไม่ตก ว่าท่านอ๋องพาพวกเขาเข้ามาในทัพใต้ทำไม ?
เฉิงไที่เจ๋อเอามือไขว้หลังเงย่อหน้ามองทองฟ้า ก่อนหน้านี้ตอนแอบมากยังวิตกกังวลวาจะมีอุบาย ตอนนี้พอเข้าใจแล้วในใจก็เต็มไปด้วยความกังวล ตระหนักได้อย่างแท้จริงว่าตั้งแต่เริ่มก้าวเข้ามาที่นี่ ตำแหน่งอ๋องสวรรค์คุมทัพตะวันออกก็จากเขาไปไกลแล้ว!
ที่บอกว่ายิ่งแพ้ยิ่งกล้าหาญนั้นพูดง่าย ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ยิ่งแพ้ยิ่งกล้าหาญได้จริง ๆ ความห่วงหลายปีดับสูญในชั่วพริบตาเดียว มีเพียงคนที่สัมผัสเองเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด
“เหยียนเสี้ยว ?” จู่ ๆ ก็มีแม่ทัพคนหนึ่งอุทานอย่างตกใจ
ทุกคนได้ยินแล้วหันมองตามสายตาเขา เป็นอดีตผู้ตรวจการซ้ายัทพอารักขาของฮ่าวเต๋อฟางจริง ๆ ด้วย ตอนนี้เป็นจอมพลสายเถาะของทัพใต้ เขานากำลังพลมาด้วยหลายสิบคน
บรรดาแม่ทัพกำลังจะเตรียมจัดกระบวนทัพป้องกัน เฉิงไที่เจ๋อยกมือบอกใบ้ว่าไม่ต้องกังวลเกินไป คนที่นากำลังพลมาปิดล้อมตรงชายแดนระหว่างทัพใต้กับทัพตะวันออกก็คือเหยียนเสี้ยว ครั้งนี้เหยียนเสี้ยวก็ทำหน้าที่มารับพวกเขาเช่นกัน
เหยียนเสี้ยวนาคนเหยียบลงพื้น แล้วกุมหมัดคารวะต่อเฉิงไที่เจ๋อ”คารวะท่านอ๋องเฉิง” จากนั้นก็กุมหมัดคารวะบรรดาแม่ทัพเล็กน้อย บรรดาแม่ทัพคารวะกลับ
เฉิงไที่เจ๋อถามพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ทราบว่าจอมพลเหยียนมาด้วยตัวเองเพราะมีอะไรจะกาชับ ?”
เหยียนเสี้ยวกล่าวด้วยสีหน้าทาทางจริงจัง “มิับงอาจ ท่านอ๋องให้ข้ามาเป็นเพื่อนจอมพลเฉิงไปยังดาวอ๋องสวรรค์หนิว!”
“ท่านอ๋อง…” ข้างกายเฉิงไที่เจ๋อมีคนเตือน กำลังบอกใบ้ว่าไปที่นั่นไม่ได้ เพราะนั่นคือรังของหนิวโหย่วเต๋อ
เหยียนเสี้ยวรู้ว่าพวกเขาระแวงอะไร “ทัพใหญ่สามารถติดตามไปด้วยกันได้อย่าบอกน่ะว่าท่านอ๋องเฉิงยังกลัวอะไรอีก ?”
พอพูดอย่างนี้ ทุกคนก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เฉิงไที่เจ๋อพยักหน้าบอกว่า “ได้!”
วังสวรรค์ ตาหนักดาราจักร
ประมุขชิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวยืนขึ้นถาม “เฉิงไที่เจ๋อนาทัพใหญ่หนี้ไปแล้วเหรอ ?”
ซือหม่ำเวิ่นเทียนพยักหน้า “ใช้ขอรับ ยืนยันแล้วว่าหนี้ไปที่อาณาเขตดาวนิรนาม เถิงเฟยได้ครอบครองอาณาเขตของเฉิงไที่เจ๋อโดยไม่เปลืองแรงสักนิด ตอนนี้เถิงเฟยกำลังสั่งให้ทัพใหญ่ค้นหาตามเส้นทางที่เฉิงไที่เจ๋อหนี้ไป” พูดจบก็สังเกตปฏิกิริยาของประมุขชิงเงียบ ๆ
เรื่องบางเรื่องเขาก็รู้เช่นกัน ว่าจุดประสงค์การทำศึกบางอย่างของกองทัพองครักษ์ต้องขอความร่วมมือจากสายลับหน่วยตรวจการซ้าย ดังนั้นเขาก็ศึกษาเจตนาของประมุขชิงเช่นกัน คาดว่าการที่เฉิงไที่เจ๋อหนี้ไปครั้งนี้คงทำให้แผนการของประมุขชิงผิดพลาดไป
อู๋ฉวี่ขมวดคิ้ว ซ่างกวนชิงเงียบงัน เกาก้วนไม่อยู่ ไม่ใช้ว่าไม่เชื่อใจเกาก้วน แต่แผนการสำคัญขนาดนี้ยิ่งให้คนรู้น้อยก็ยิ่งดี
“นากำลังพลหนี้ไปแล้ว จะเป็นไปได้ยังไง ?” ประมุขชิงพึมพาขณะเดินไปเดินมา จู่ ๆ ก็หยุดเดินแล้วถามว่า “แน่ใจน่ะว่าไปอาณาเขตดาวนิรนาม ไม่ได้ไปอาณาเขตอื่น ?”
ซือหม่ำเวิ่นเทียนตอบว่า “น่าจะไม่ผิดพลาด สายลับหน่วยตรวจการซ้ายทางฝั่งเถิงเฟยล้วนได้ข่าวมาเหมือนกัน ถ้าเขาไม่ไปอาณาเขตดาวนิรนาม ก็ไม่มีที่อื่นให้ไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะรับเขาไว้ ทางเข้าออกรอบด้านล้วนปิดไว้สนิท”
“ยืนยันให้ละเอียดอีกครั้ง!” ประมุขชิงโบกมือ
“ขอรับ!” ซือหม่ำเวิ่นเทียนเลยรับคำสั่งแล้วออกไป้
พอเดินลงบันไดประมุขชิงก็เดินไปเดินมาอยู่ในตาหนักไม่หยุด รู้สึกว้าวุ่นใจนิดหน่อย จู่ ๆ เฉิงไที่เจ๋อก็ทาอย่างนี้ ทาเอาเขารับมือไม่ทัน พ่อเปืนแบบนี้แผนการที่เขาจะกดทัพตะวันออกเอาไว้ก็ล้มเหลวแล้ว กำลังพลกลุ่มนั้นของเถิงเฟยเท่ากับว่างงานแล้ว ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น ทัพใหญ่หลายพันล้านของเถิงเฟยจะต้องเข้าร่วมแน่นอน
“กำลังพลไปถึงตำแหน่งไหนแล้ว ?” ประมุขชิงหยุดเดินแล้วหันกลับมาถาม
อู๋ฉวี่ตอบว่า “นอกจากกำลังพลหนึ่งล้านที่ปักหลักอยู่ในพื้นที่ชั่วคราวเพื่อทำให้คนอื่นสับสน ทัพใหญ่ก็ไปรออยู่นอกอาณาเขต
ทัพใต้อย่างเงียบ ๆ แล้ว เรื่องรายละเอียดความคืบหน้า ก็ต้องดูความเร็วในการนำผ่านด่านของสายลับหน่วยตรวจการซ้าย”
“ผ่านด่านไม่น่าจะเป็นปัญหา ซือหม่ำรับประกันแล้ว สายลับบางคนที่แทรกไว้ที่นั่นหลายปี เกรงว่าครั้งนี้คงต้องทิ้งไปไม่น้อย” ประมุขชิงถอนหายใจเบา ๆ แล้วก็ส่าย่อหน้ากล่าวอย่างลังเลอกว่า “เฉิงไที่เจ๋อนี่ก็ไม่รู้ว่าคิดยังไง อย่าบอกน่ะว่าตัดใจไม่ลง ? ตอนนี้กำลังพลหลายพันล้านของเถิงเฟยอาจจะลงมือได้ทุกเมื่อ…แบบนี้ พอเกิดเรื่องขน หลังจากไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก ก็สามารถดึงกำลังพลสี่ร้อยล้านในวังสวรรค์เข้าอาณาเขตทัพตะวันออกได้โดยตรง ไปควบคุมเถิงเฟยเอาไว้ ช่วงชิงเวลาโจมตีให้ทัพใหญ่ หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดัฝนอะไร”
“ฝ่าบาท กำลังทหารที่คุ้มครองวังสวรรค์เหลือแค่สี่ร้อยล้าน ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เกรงว่าแรงต้านของวังสวรรค์ก็คงมีไม่พอ!” อู๋ฉวี่กล่าว
ประมุขชิงบอกว่า “ประเด็นสำคัญก็อยู่ที่หนิวโหย่วเต๋อขอเพียงแก้ปัญหาฟฝั่งหนิวโหย่วเต๋อได้ คนอื่นก็ไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า นอกจากนี้ จำนวนกำลังพลที่ย้ายไปทัพตะวันออกก็ป่าวประกาศได้เลย แล้วก็ปิดเป็นความลับไว้ด้วย ทำให้อีกฝ่ายไม่รู้ชัดว่ามีคนเท่าไหร่กันแน่ ถ้าหากจำเป็น ข้าจะนำทัพใหญ่ทาศึกด้วยตัวเองแล้วจะเป็นไรไป ?”
ดาวอ๋องสวรรค์หนิว ในหุบเขาที่ลับตาคนแห่งหนึ่ง พวกเฉิงไที่เจ๋อที่ปลอมตัวแล้วเหาะลงมาจากฟ้า เหมียวอี้มารออยู่นานแล้ว
เมื่อทั้งสองพบกันก็กุมหมัดคารวะทักทายตามมารยาท เหมียวอี้บอกแล้วว่าเพื่อที่จะปิดบังเรื่องนี้ ก็มีแต่ต้องให้พวกเฉิงไที่เจ๋อลำบากอยู่ที่นี่สักหน่อย และเฉิงไที่เจ๋อก็บอกว่าสามารถเข้าใจได้
ในหุบเขามีลาธารไหลจ๊อก ๆ ทั้งสองส่งสัญญาณกันนิดหน่อย แล้วกำลังพลของทั้งสองฝ่ายก็ถอยไปไกล ทั้งสองเริ่มพูดคุยกันอยู่ริมลาธาร โดยที่กำลังพลของแต่ละฝ่ายคอยระแวดระวังอยู่ตลอด โดยเฉพาะเฉิงไที่เจ๋อที่กลัวว่าจะมีกับดักอะไร
หลังจากคุยกับเพเหระกันพักหนึ่ง เฉิงไที่เจ๋อก็พาเข้าประเด็นหลัก “น้องชาย ไม่ต้องคุยเรื่องไร้สาระกันแล้ว ข้ามาถึงแล้ว เจ้าน่าจะเปิดเผยความจริงได้แล้วมั้ง ?”
พอเหมียวอี้เอ่ยปาก็กทำให้คนตกใจทัน “ประมุขชิงวางกำลังดักซุ่มเอาไว้สิบล้านที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ต้องการจะลอบสังหารข้า!”
เฉิงไที่เจ๋อตกใจไม่เบา ในบรรดาอำนาจแต่ละฝ่าย เกรงว่าเขาเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลยมากที่สุด แต่ก็แปลกใจอกว่าอีกฝ่ายจะบอกเรื่องนี้ทำไม ภายนอกยังเสแสร้งถามอย่างโมโห”มเรื่องนี้อยู่ด้วยเหรอ ?”
” แต่ข้าส่งกำลังพลไปกำจัดทหารดักซุ่มพวกนั้นหมดแล้ว!” เหมียวอี้ก่ล่าว
“เอ่อ…” เฉิงไที่เจ๋อสงสัย “น้องชาย นี่เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่ ?”
เหมียวอี้จ้องเขาพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ที่จริงการที่ท่านอ๋องมาที่นี่ได้ ก็เพราะข้าวางแผนบีบให้มา สถานการณ์วุ่นวายที่ทัพตะวันออกครั้ง ข้าเป็นคนปลุกปั่นขึ้นมาเอง…” เขาเล่าว่าตัวเองหลอกใช้ประโยชน์ความทะเยอทะยานของเถิงเฟยอย่างไร ยืมมือเถิงเฟยเสี้ยมให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับจ้านหรูอี้อย่างไร บัอกว่าใช้ประโยชน์เรื่องกำลังพลดักซุ่มแดนมรณะดึกดำบรรพ์เพื่อกระตุ้นให้อำนาจแต่ละฝ่ายบีบให้ประมุขชิงเลิกสนับสนุนเฉิงไที่เจ๋อด้วย
เฉิงไที่เจ๋อหน้าดาเหมือนก้นหม้อทันที่สงสัยเจ้าเวรที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนี้นต่างหาก ที่เป็นตัวการสำคัญที่บีบให้ตนกลายเป็นหมาข้างถนน
หยางเจาชิงที่เดินเข้ามาในโถงยังเงียบอยู่ตลอด
เหมียวอี้เอามือยันแผนที่ดาว เงย่อหน้ามองคานห้อง กำลังคิดตามที่หยางชิ่งพูด
หยางชิ่งพูดต่อว่า “ในอาณาเขตทัพตะวันตกกับทัพเหนือยังมีกองทัพองครักษ์ห้าร้อยล้าน เป็นกำลังพลหลักสิบล้านที่ฉวยโอกาสระดมพลตอนการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้สำเร็จ ตอนเกิดศึกสามารถให้ความร่วมมือกับกองทัพพระได้เลย สังกัดสองทัพที่จะมาช่วยท่านอ๋องชี้วงชิงเวลาให้กำลังหลักของกองทัพองครักษ์กำจัดทำนอ๋อง ถ้าหากจำเป็น กำลังพลเหล่านี้สามารถฝืนบุกเข้ามาในอาณาเขตทัพใต้เพื่อช่วยกำลังหลักของกองทัพองครักษ์โดยตรง ขอเพียงกำจัดทำนอ๋องได้ในรวดเดียว ต่อให้ล่วงเกินอ๋องสวรรค์โค่วและอ๋องสวรรค์ก่วงก็ไม่เป็นอะไร สองคนั้นนขาดแรงสนับสนุนจากทัพใต้กับทัพตะวันออกแล้ว ประมุขชิงไม่จำเป็นต้องกลัวพวกเขาอีก พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้วเช่นกัน”
เหมียวอี้เคาะนิ้วทั้งห้าบนแผนที่ดาว ก้มีหน้าพูดต่ออย่างไม่แน่ใจว่า “ถ้าประมุขชิงคิดจะทาอย่างนี้จริง โอกาสชนะของเขาก็ขึ้นอยู่กับการกดกำลังพลทัพตะวันออกเอาไว้ กำลังพลของข้าก็กำลังพัวพันต่อสู้อยู่กับทัพใหญ่แดนรัตติกาล เขาวางแผนจู่โจมอย่างบ้าระห่าก็เท่านั้นเอง ความได้เปรียบของข้าก็คือทาลายแผนการที่ทัพ
ตะวันออกแล้ว สามารถเอาทัพใหญ่หนึ่งพันห้าร้อยล้านของเฉิงไที่เจ๋อมาใช้งานให้ข้าได้ ทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็เป็นกำลังพลของข้าแล้วเช่นกัน ถ้าเป็นแบบนี้ เมื่อสถานการณ์รบอยู่ในความคาดหมายของเรา เถิงเฟยถูกกดดันให้อยู่ฝ่ายเราเหมือนปากกับฟัน ก็จะต้องเคลื่อนทัพมาช่วยข้าแน่นอน ทัพใหญ่หนึ่งพันห้าร้อยล้านของเถิงเฟยก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายของประมุขชิงเช่นกัน อีกทั้งประมุขชิงก็นึกว่ากำลังพลสี่ร้อยล้านที่เขาวางกำลังไว้ในอาณาเขตทัพใต้จะถ่วงเวลาการระดมพลของข้าได้ หารู้ไม่ว่าข้าก็ใช้ข้ออ้างปราบกบฏและฉวยโอกาสตอนอีกฝ่ายระดมพลครั้งใหญ่จนไม่ทันระวังเพื่อแอบไประดมพลวางกำลังแล้วเหมือนกัน”
หยางชิ่งบอกว่า “ใช้แล้ว นี่ก็คือโอกาสชนะของท่านอ๋องที่พวกเราคุยกันไว้ก่อนหน้านี้ แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือฝั่งแดนสุขาวดีเป็นภัยพิบัติที่รอเกิดอยู่ตลอด ถ้าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลเมื่อไหร่ เกรงว่าแดนสุขาวดีจะสนับสนุนประมุขชิงอย่างสุดกำลัง ในจุดนี้ก็ต้องเผชิญกับความจริงเหมือนกัน ศิษย์ชาวพุทธคือกำลังพลหนึ่งแสนล้าน แต่ส่วนใหญ่ล้วนี้เป็นฆราวาส กระจายตัวอยู่ในอาณาเขตแดนพุทธและตาหนักสวรรค์ นักพรตที่แท้จริงมีไม่ถึงสามพันล้าน ในจำนวนั้นนครั้งหนังก็กระจายกันถือธูปอยู่ในโลกมนุษย์สัมาชกที่กระจัดกระจายอย่างนี้ ถ้าอยากจะรวมตัวกะทันหันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ตอนเกิดศึกประตูดวงดาวแต่ละแห่งถูกปิดไว้ ไม่มีทางรวมตัวกันได้ เช่นั้นนกำลังพลที่แดนพุทธใช้งานได้ก็มีประมาณหนึ่งพันห้าร้อยล้าน ต่อให้ส่งเข้ามาในเขตตาหนักสวรรค์ห้าร้อยล้าน ในเขตแดนพุทธก็ยังเหลือกำลังพลอีกหนึ่งพันล้าน ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องบอกว่ามี
วิธีการตรึงกำลังที่แดนพุทธได้ มีความมั่นใจจริงหรือเปล่าขอรับ ? หรือว่าท่านอ๋องคิดจะให้ทัพใหญ่แดนอเวจีจู่โจมแดนพุทธ ? ทัพใหญ่แดนอเวจีมีแค่ประมาณร้อยล้าน ถ้าอยากจะทำให้แดนพุทธสะเทือน เกรงว่าคงยากมาก!”
เหมียวอี้ตอบว่า “ทัพใหญ่แดนอเวจีเป็นแค่หนึ่งในนน…เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าแอบวางกำลังไว้ที่ฝั่งแดนพุทธตั้งนานแล้ว พอเกิดเรื่องขน รับรองว่าประมุขพุทธะไม่มีเวลามาสนใจคนอื่นแน่”
เมื่อเห็นว่าจนป่านี้นแล้วเขายังไม่ยอมบอกเรื่องวางกำลังไว้ฝั่งแดนพุทธ หยางชิ่งก็ไม่ถามแล้วเช่นกัน “ถ้าเป็นอย่างนี้ ท่านอ๋องก็มโอกาสชนะเพิ่มอีกส่วน เช่นั้นนปัญหาสำคัญที่ต้องแก้ไขก็เหลือแค่ว่าจะโจมตียังไงแล้ว ?”
เหมียวอี้กล่าวอย่างลังเล “เผชิญหน้ากับการรุกโจมตีของกองทัพองครักษ์แปดร้อยล้าน อย่างน้อยข้าก็ต้องระดมกำลังพลสองพันล้านถึงจะปะทะกันได้ ถ้าสามารถสู้กันโดยใช้กำลังปะทะกันตรง ๆ ได้ ต่อให้จะชนะ แต่ข้าก็ได้รับความเสียหายหนักมาก หลังจากนั้นเกรงว่าคงต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะโดนคนอื่นฮุบกลืน ต่อให้สู้ชนะแล้วแต่ก็ยกประโยชน์ให้คนอื่นอยู่ดี”
หยางเจาชิงที่อยู่ข้าง ๆ พูดแทรกว่า “ขยายกำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยล้านของเฉิงไที่เจ๋อมาเป็นกำลังหลักในการโจมตี แม้จะลดความเสียหายของฝ่ายพวกเราได้ แต่ในการสู้รบขนาดใหญ่แบบนี้ เกรงว่า
กำลังพลของเฉิงไที่เจ๋อคงไม่เต็มใจดนทุรังโจมตีเช่นกัน ถึงตอนั้นนอาจจะวุ่นวายได้”
เหมียวอี้เอียงหนามิองเขา “ดังนั้นต้องหลีกเลี่ยงการใช้กำลังปะทะตรง ๆ จากทั่วทุกด้าน”
“มโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากที่กำลังพลแปดร้อยล้านจะรวมตัวกัน” หยางชิ่งพี่กำลังครุ่นคิดกล่าว ยื่นมือไปขยายแผนที่กลุ่มดาวบนแผนที่ดาว ชี้ไปตรงประตูดวงจุดหนึ่งพร้อมบอกว่า “ประตูดวงดาวทางผ่านระหว่างน่านฟ้าฉลูติงกับน่านฟ้าชวดปิ่ง! ทัพใหญ่สามร้อยล้านที่นาโดยฮวาอี้เทียนถูกกักไว้ที่นี่ ชัดเจนแล้วว่าถูกเพ่งเล็งแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ทัพใหญ่แปดร้อยล้านจะรวมตัวกันและฝืนผ่านด่านี้นไปได้ ถ้าลงมือเมื่อไหร่ก็จะแหวกหญ้าให้งูตื่นทันที่ดังนั้น ภายนอก กำลังพลสามร้อยล้านที่นาโดยฮวาอี้เทียนก็ยังอยู่ที่นี่ไม่ขยับไปไหน ใช้เพื่อทำให้ท่านอ๋องประมาท ส่วนกำลังพลห้าร้อยล้านนอกจากนี้ก็ต้องเข้ามาในเขตทัพใต้เงียบ ๆ มุ่งตรงมาที่ดาวอ๋องสวรรค์หนิว แล้วจู่โจมท่านอ๋องกะทันหัน…ส่วนการดักซุ่มอยู่ตามทางที่มา เพื่อศึกนี้ ต่อให้วังสวรรค์จะต้องเปิดโปงคนบางส่วนที่แทรกไว้ในทัพใต้ แต่ก็จะยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ตั้งแต่กองทัพองครักษ์ลอบจู่โจมอิ๋งจิ่วกวง จนถึงเรื่องดักซุ่มทัพใหญ่ไว้ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ต่างก็พิสูจน์แล้วว่าวังสวรรค์มีความสามารถที่จะทาจนถึงจุดนี้ได้ ถ้ากำลังพลห้าร้อยล้านี้นลงมือจู่โจมเมื่อไร มีเพียงหลังจากที่กำลังพลห้าร้อยล้านลงมือเท่านั้น ทัพใหญ่ที่นาโดยฮวาอี้เทียนถึงจะฉีกหน้ากากที่อ่อนโยนและเคลื่อนไหวต่อต้าน ฝืนโจมตีด่าน บุกตรงเข้ามาช่วยที่
ดาวอ๋องสวรรค์หนิว! ส่วนกำลังพลสี่ร้อยล้านที่กระจายอยู่ในเขตทัพใต้ก็จะเคลื่อนไหวทันที่จะโจมตีสกัดกองหนุนแต่ละหน่วยของท่านอ๋องทันที่”
“ให้ทัพใหญ่หนึ่งพันห้าร้อยล้านของเฉิงไที่เจ๋อล้อมโจมตีกำลังพลสามร้อยล้านของฮวาอี้เทียน แบบนี้จะสามารถเอาชนะกำลังพลสามร้อยล้านได้โดยอยู่ในจุดที่ได้เปรียบอย่างแน่นอน คาดว่าเฉิงไที่เจ๋อก็คงไม่รู้สึกลำบากใจเกินไปด้วย!” หยางเจาชิงกล่าว
“เช่นั้นนปัญหาในตอนนี้ก็คือจะรู้เส้นทางดักซุ่มของกำลังพลห้าร้อยล้านั่นนได้ยังไง แล้วจะเลือกลงมือที่ไหนดีล่ะ ?” เหมียวอี้จ้องบนแผนที่ดาวอย่างลังเล การที่เขาพูดออกมาอย่างนี้ได้ ก็แสดงว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่หยางเจาชิงพูดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
หยางชิ่งบอกว่า “เคลื่อนไหวมิสู้นิ่งเงียบ ถ้าเคลื่อนไหวเยอะเกินไปในเวลานี้ กลับจะเผยพิรุธได้ง่ายด้วยซ้ำ ในเมืออีกฝ่ายลงมือจะต้องมุ่งมาที่นี่ ก็ไม่สู้ใช้อาณาเขตดาวของดาวอ๋องสวรรค์หนิวเป็นสนามรบหลักเสียเลย ท่านอ๋องสนใจแค่แอบระดมกำลังพลก็พอรอให้ข้าศึกวิ่งมาติดกับดับเอง!”
“ดี่” เหมียวอี้กล่าวอย่างเด็ดขาดว่า “ตามที่ท่านบุรุษบอก ข้าจะระดมทัพใหญ่สองพันล้านรอยอยู่ที่นี่เงียบ ๆ! ขอเพียงกำจัดกำลังพลแปดร้อยล้านี้นได้ กำลังพลสี่ร้อยล้านที่กระจายอยู่ในอาณาเขตก็ไม่พอให้กังวล! ตราบใดที่กดกำลังพลหนึ่งพันสองร้อยล้านของประมุขชิงไว้ได้ ประมุขชิงก็สูญเสียกำลังไปเกือบครึ่งแล้ว มีหรือที่อ๋อง
สวรรค์โค่วกะอ๋องสวรรค์ก่วงจะพลาดโอกาสดีในการโค่นล้มประมุขชิง ? ตราบใดที่กำจัดกำลังพลหนึ่งพันสองร้อยล้านของประมุขชิงได้ ประมุขชิงก็หมดอนาคตแล้ว! พอประมุขชิงล้ม ฝั่งแดนสุขาวดีก็ต้านการรวมกำลังของหลายฝ่ายฝั่งนี้ไม่ไหว!”
หยางชิ่งกุมหมัดคารวะอีก “ประมุขชิงไม่ใช้คนที่รับมือได้ง่ายแน่นอน ต้องป้องกันไม่ให้เขาพลิกสถานการณ์ นี่คือเรื่องที่มีความเป็นไปได้แน่นอน ดังนั้นขอเพียงอ๋องสวรรค์โค่วกับอ๋องสวรรค์ก่วงยังไม่ลงมือก็มโอกาสที่จะเกิดความเปลื่ยนแปลง มิอาจไม่ป้องกัน!”
“ท่านบุรุษมีความเห็นอันสูงส่งอะไร ?” เหมียวอี้ถาม
หยางชิ่งรีบปรับแผนที่ดาวให้เป็นเค้าโครงของทั้งใต้หล้า ชี้ทัพใต้พลางอธิบายว่า “เมื่อเริ่มเปิดศึก ก็สามารถใช้งานกำลังของตระกูลเซี่ยโห้วที่อยู่ในกองทัพองครักษ์พร้อมกันได้เลย ลูกน้องเก่าของท่านอ๋องในกองทัพองครักษ์ด้วย ควรชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ สามารถให้พวกเขาใช้ฐานะกองทัพองครักษ์โจมตีทัพที่ประจำอยู่ในทัพตะวันตกกับทัพเหนือ!”
เหมียวอี้ตาเป็นประกาย เข้าใจเจตนาของหยางชิ่งแล้ว ทำแบบนี้เพราะต้องการจะลากอ๋องสวรรค์โค่วกับอ๋องสวรรค์ก่วงมาเกี่ยวข้องด้วยตั้งแต่เนิ่น ๆ! ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีบทบาทอย่างอื่นแน่นอน อย่างน้อยเมื่อถึงตอนั้นน สองทัพจะต้องป้องกันกองทัพองครักษ์ในอาณาเขตตัวเองอย่างเข้มงวดแน่นอน ถ้ากองทัพองครักษ์ในเขตสอง
ทัพนี้คิดจะไปช่วยรบในเขตทัพใต้อย่างราบรื่น ก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว ถือว่าได้กำจัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง!
หยางเจาชิงก็เข้าใจความหมายนี้เช่นกัน แต่ก็ยังสงสัยนิดหน่อย “ในเวลานี้ ทำไมใช้งานแค่กำลังของตระกูลเซี่ยโห้วในกองทัพองครักษ์ ทำไม่ไมปลุกระดมทั้งหมดให้มาช่วยท่านอ๋องอีกแรง ?”
หยางชิ่งโบกมือส่าย่อหน้า “กำลังของตระกูลเซี่ยโห้ว ยามอยู่ในศึกใหญ่ขนาดนี้ก็แสดงศักยภาพอะไรไม่ได้มากนัก ดังนั้นเวลาตระกูลเซี่ยโห้วจะสนับสนุนใครก็ไม่ใช้ว่าเลือกส่งเดช คนที่เขาสนับสนุนล้วนมีศักยภาพในตัวเองระดับหนึ่ง ดังนั้นเหล็กีดก็ต้องใช้บนคมมีด จะใช้หมดไม่ได้เด็ดขาด! หลังจากจัดการประมุขชิงกับประมุขพุทธะแล้ว ตอนหลังยังมีพวกโค่วหลิงซวีอีก ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วแสดงเจตนาว่าจะสนับสนุนท่านอ๋องสุดกำลัง ก็จะทำให้พวกโค่วหลิงซวีตกใจ ดีไม่ดีหลังจากจบเรื่องแล้วพวกเขาอาจจะรวมกลุ่มกันมาสู้กับท่านอ๋องก็ได้ รอให้สถานการณ์ภาพรวมนิ่งก่อน ถึงจะเป็นเวลาที่เหมาะที่สุดที่จะให้ตระกูลเซี่ยโห้วลงมือถ้าเปิดโปงกำลังของตระกูลเซี่ยโห้วทั้งหมดตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับเอาตัวไปเจาะคมดาบให้คนกำจัด!”
“อืม! ที่ท่านบุรุษพูดก็มีเหตุผล!” เหมียวอี้พยักหน้าเห็นด้วย
หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะ ทำท่าทางเหมือนได้รับคำชี้แนะแล้ว
“ตอนนี้ก็รอแค่ให้เฉิงไที่เจ๋อมาพึ่งพาแล้ว…” เหมียวอี้มองไปนอกประตูพลางกล่าวช้า ๆ ในใจเต็มไปด้วยความกังวล ลูกธนูง้างอยู่บนสายแล้ว กังวลวาจะมีการเปลื่ยนแปลงอะไรทางฝั่งเฉิงไที่เจ๋อ
หยางชิ่งปลอบใจอยู่ข้าง ๆ “ขอเพียงเฉิงไที่เจ๋อเข้ามาในเขตทัพใต้แล้ว เขาก็ทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้!”
ในเขตทัพตะวันออก กำลังพลของท่านอ๋องเฉิงกำลังรวมตัวกันอย่างลับ ๆ
จวนอ๋องสวรรค์เฉิง หวังเก้า แม่ทัพใหญ่คนสนิทเดินก้าวยาวเข้ามา เดินตรงเข้ามาในโถงแล้วไม่สนใจจะทาความเคารพ ถามโดยตรงเลยว่า “ท่านอ๋อง ได้ยินว่ากำลังพลกองทัพองครักษ์ถอนทัพแล้ว มเรื่องอย่างนี้หรือเปล่า ?”
เฉิงไที่เจ๋อหน้าตึง กล่าวอย่างแค้นใจว่า “มเรื่องอย่างนี้จริง ประมุขชิงโจรสุนัข พูดแล้วคืนคา เห็นข้าเป็นตัวหมากที่ใช้แล้วทิ้ง!”
“แล้วจะทายังไงดีขอรับ ทัพใหญ่ของข้าจะไม่อยู่ในอันตรายหรอก หรือ ?” หวังเก้าหวาดระแวงกลัว
เฉิงไที่เจ๋อถามเสียงต่าว่า “ข้าเป็นคนที่จะนั่งรอความตายเหรอ ?”
หวังเก้าก้มีหน้าเงียบ ๆ แล้วจู่ ๆ ก็กุมหมัดคารวะ “ท่านอ๋อง ประมุขชิงถอนกำลังตอนนี้ พวกเราหมดอนาคตแล้ว…ท่านอ๋องไม่ต้องสนใจพวกข้าน้อย พาครอบครัวหนี้ไปก่อนเถอะขอรับ ข้าน้อยยินดีเป็นเกราะกาบังให้ท่านอ๋อง!”
เฉิงไที่เจ๋อตะคอกว่า “พูดจาเหลวไหล! ข้าจะทิ้งพี่น้องแล้วหนีเอาชีวิตรอดคนเดียวได้ยังไง ?”
” แต่ว่า…” หวังเก้ากล่าว
เฉิงไที่เจ๋อยกมือห้าม แล้วกล่าวอย่างมีลับลมคมนัยว่า “ข้ามีแผนดี ๆ แล้ว แต่เจ้าต้องให้ความร่วมมือสักหน่อย”
หวังเก้ากุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ท่านอ๋องบอกมาได้เลย ข้าน้อยจะทุ่มสุดตัว ให้ตายหมื่นครั้งก็ไม่ปฏิเสธ!”
เฉิงไที่เจ๋อขวาข้อมือเขายื่นศีรษะเข้ามาใกล้ กล่างเสียงต่าว่า “ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าไปตายหรอก รับรองว่าเจ้าจะปลอดภัยมาก ข้าให้กำลังพลเจ้าหนึ่งล้าน เจ้าพาหนี้ไปที่อาณาเขตดาวนิรนาม ต้องทำให้คึกโครมนิดหน่อย ให้ฝั่งเถิงเฟยรู้ทิศทางที่เจ้าไปคร่าว ๆ แสร้งว่าข้าหนี้ไปทางนั้น จาไว้นะ เรื่องนี้เป็นความลับ ห้ามมีข่าวหลุด รอให้จัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ข้าจะไปรับเจ้ากลับมา ส่วนอย่างอื่นเจ้าก็ไม่ต้องสนใจ…”
จวนอ๋องสวรรค์เถิง แม่ทัพหลายคนมาทาความเคารพพร้อมกัน
แม่ทัพคนหนังก็ล่าวว่า “ทำไม่ทานอ๋องยังลังเลอยู่อีก ? กองทัพองครักษ์ถอนกำลังไปแล้ว ดูท่าแล้วคงจะเลิกสนับสนุนเฉิงไที่เจ๋อเปืนโอกาสดีให้พวกเราโจมตี หวังว่าท่านอ๋องจะรีบออกคำสั่งเคลื่อนทัพ!”
เมื่อเห็นเถิงเฟยยังลังเลอยู่บ้าง แม่ทพอีกคนก็บอกว่า “มีกำลังพลทัพตะวันตกกับทัพเหนือสนับสนุน พวกเราต้องช่นะแน่นอน!”
ทุกคนรู้สึกรีบร้อนมาก รอมาหลายปีขนาดนี้ ในที่สุดก็เจอโอกาสที่จะได้อยู่สูงขึ้นอีกระดับแล้ว
เถิงเฟยกล่าวด้วยความสงสัย “แน่ใจน่ะว่ากองทัพองครักษ์ถอนกำลังออกจากทัพตะวันออกหมดแล้ว ?” เขากังวลวาประมุขชิงจะเล่นตุกติก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้โจมตีหลัก ทำได้เพียงปักหลักอยู่ที่นี่เท่านั้น ถ้าแพ้แล้วก็ไม่มีที่ให้ไป ส่วนทัพตะวันตกกับทัพเหนือยังสามารถถอนทัพกลับได้
“เร็วเข้า! ท่านอ๋อง ลังเลอีกไม่ได้แล้ว ค่าคืนยาวนานความฝันเปลื่ยนแปลงเยอะ!” แม่ทัพคนหนังก็ล่าว
ในขณะนี้ เถิงจงที่อยู่ข้าง ๆ เก็บระฆังดารา แล้วรายงานว่า “ท่านอ๋อง กำลังพลจำนวนมากของเฉิงไที่เจ๋อาจหายไปแล้ว ดูเหมือนจะหนีขอรับ!”
เฉิงไที่เจ๋อจับทางไม่ได้นิดหน่อย หันกลับมาบอกสิ่งที่เหมียวอี้พูดให้เชี่ยเซิงที่อยู่ข้างกายฟัง ให้เขาช่วยออกความคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อหมายความว่าอย่างไรกันแน่
เชี่ยเซิงก็จับจุดไม่ได้เช่นกันกล่าวอย่างสงสัยว่า “ตามหลักแล้ว หนิวโหย่วเต๋อไม่มีทางรับกำลังพลของท่านอ๋องไว้ได้อย่าว่าแต่ประมุขชิงจะไม่ยอมให้เขายิ่งใหญ่ขึ้น หลังจากเขายิ่งใหญ่ขึ้น ก็จะกลายเป็นภัยคุกคามต่ออีกสามทัพได้ง่ายเช่นกัน อีกสามทัพก็เก็บเขาไว้ไม่ได้ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อทาอย่างนี้จริง จะไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ ?”
เฉิงไที่เจ๋อบอกว่า “แต่คำพูดของเขาก็ไม่เหมือนพูดเล่น หรือว่าตั้งใจจะเอากำลังพลของข้าไปฆ่า ? เรื่องนี้มีเถิงเฟยแก้ปัญหาอยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้าเขาเข้ามาสอดก็ถือว่าหาเรื่องใส่ตัวเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องแบบนี้มาหาความสำราญใจ”
ทั้งสองปรึกษากันอยู่พักหนึ่ง แต่ยังหาที่มาที่ไปไม่เจอสุดท้ายเฉิงไที่เจ๋อก็ถามเหมียวอี้ตรง ๆ เสียเลย : น้องชาย เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ?
เหมียวอี้ : ข้าคิดจะทำอะไรนะไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือ…ตอนนี้มีเพียงข้าที่ยินดีช่วยท่านอ๋อง ท่านอ๋องไม่มีทางเลือก!
เฉิงไที่เจ๋อ : หลังจากมอบกำลังพลให้เจ้าแล้ว ข้าจะเชื่อได้ยังไงว่าเจ้าจะไม่กลับคา ข้ามแม่น้ำแล้วหรือสะพานทิ้ง ?
เหมียวอี้ : ท่านอ๋องมาพึ่งพาข้า แต่อำนาจทางทหารยังอยู่ในมือท่านอ๋องสามารถควบคุมกำลังพลต่อไปได้ ไม่ทราบว่าท่านอ๋องวางใจหรือยัง ?
เงื่อนไขนี้ทำให้เฉิงไที่เจ๋อไม่มีทางปฏิเสธได้จริง ๆ ที่สำคัญก็คือทาใจเชื่อได้ยาก : มเรื่องดี ๆ อย่างนี้ด้วยเหรอ ?
เหมียวอี้ : จะตกลงหรือไม่ตกลงก็บอกมาคาเดียว ถ้าทาขนาดนี้แล้วยังไม่เชื่อพวกเราก็เหมือนไม่จำเป็นต้องเจรจาต้อแล้ว แต่ข้าต้องเตือนท่านอ๋องไว้สักคา ถ้าจะตัดสินใจก็เร็ว ๆ หน่อย ถอนทัพหนีตอนนี้ยังทัน ถ้าช้ากว่านี้ โดนเถิงเฟยกัดไม่ปล่อยแล้ว ข้าก็ไม่กล้าเก็บเจ้าไว้นะ หลักการไม่ได้ซับซ้อนเลย ตอนนี้ข้ายังไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเจ้ามาพึ่งพาข้า ไม่อยากสร้างปัญหา
เฉิงไที่เจ๋อกัดฟันถามว่า : ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเตรียมจะรับกำลังพลของข้ายังไง ?
เหมียวอี้ : เจ้ากับข้าอยู่เขตติดต่อกัน ถ้าอยากจะหนีเข้ามาในอาณาเขตของข้า ก็ไม่ใช้เรื่องง่ายหรอกเหรอ ? ตอนนี้ทัพเหนือกับทัพตะวันตกเข้ามาประจำในเขตทัพตะวันออกแล้ว มีเพียงทัพของข้าที่เป็นทัพใหญ่ปิดกั้นด่านทางออกของกำลังพลของเจ้าไว้ เจ้าสามารถสั่งให้ลูกนองค์นสนิทแสร้งนากำลังพลหนี้ไปยังอาณาเขตดาวนิรนาม ส่วนฝั่งข้าก็จะปล่อยให้เจ้าผ่านด่านมาเงียบ ๆ จากนั้น
เถิงเฟยกระป๋องคนอื่นจะต้องตามหากำลังพลของเจ้าไปทั่วแน่นอน และข้าก็จะบอกว่าข้าไม่เห็นว่ากำลังพลของข้าหนี้ไปแล้ว พวกเขาย่อมเชื่อเถิงเฟยย่อมสนใจทิศทางที่ลูกนองค์นสนิทคนั้นนของเจ้าหนี้ไป จะเข้าใจผิดว่าเจ้าหนี้ไปทางนั้น หลังจากเจ้าเข้ามาในอาณาเขตของข้าแล้ว อยู่กับกำลังพลของตัวเองแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลวาข้าจะข้ามแม่น้ำแล้วหรือสะพานทิ้ง ไม่อย่างนั้นเจ้าก็สามารถบอกให้แต่ละฝ่ายรู้ถึงสิ่งที่ข้าทำได้เลย ทำให้ข้ากลายเป็นเป้าหมายที่ทุกคนโจมตี
เฉิงไที่เจ๋อปวดหัวแล้ว จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ ถ้าทาอย่างนี้แล้วได้รับการสนับสนุนจากอีกฝ่ายจริง ๆ ก็จะแก้ไขวิกฤตตรงหน้าได้ พวกเถิงเฟยเองก็ไม่มีความกล้าที่จะบุกโจมตีเข้ามาในอาณาเขตทัพใต้ง่าย ๆ แต่เขาก็รู้สึกอกว่าการที่เหมียวอี้ทาอย่างนี้จะต้องมีอะไรในกอไผ่ ไม่มีทางทาเรื่องดี ๆ โดยไร้เหตุผล จึงอดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง : เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ?
ต่อให้เขานอนฝันก็คิดไม่ถึงว่าเหมียวอี้อยากก่อกบฏ เพราะไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางสำเร็จได้เลย ด้วยเหตุนี้เอง เขายิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
เหมียวอี้ : ดูท่าแล้ว ท่านอ๋องคงไม่ตัดสินใจเรื่องง่าย ๆ เช่นั้นนก็ไม่สู้ช่างมันเถอะ!
เฉิงไที่เจ๋อร้อนใจแล้ว ตอนนี้เขาเสียเวลาต่อไปไม่ได้ รีบตอบว่า : ก็ได้ ต้องพึ่งน้องชายแล้ว ข้าตกลง!
เหมียวอี้ : ดี ท่านอ๋องรีบเตรียมตัวโดยเร็วที่สุด ฉวยโอกาสตอนที่กองทัพองครักษ์ยังไม่ถอนกำลังออกไปจนหมด กอปรกับเถิงเฟยเป็นคนระมัดระวังตัวมาก ถ้าไม่เห็นกองทัพองครักษ์ถอนกำลังออกไปหมด ก็ไม่กล้าเเคลื่อนทัพง่าย ๆ ช่องว่างนี้คือโอกาสให้ท่านอ๋องปลีกตัวออกไป้ถ้าช้ากว่านี้จะไม่ทันแล้ว! ถ้าเจ้าเตรียมตัวเสร็จแล้วก็บอกให้ข้ารู้ทันที่ข้าจะเตรียมคนส่งไปบัตรงด่านทางเข้าอาณาเขตทัพใต้! ต้องรักษาความลับทิศทางการเคลื่อนไหวของกำลังพล สิ่งนี้ควรทายังไง ก็คงไม่ต้องให้ข้าสอนท่านอ๋อง…
หลังจากทั้งสองฝ่ายติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็พยักหน้าให้หยางชิ่ง บอกใบ้ว่าเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังหวาดระแวงอยู่บ้าง “หวังว่าเฉิงไที่เจ๋อจะไม่กลับคา”
หยางชิ่งส่าย่อหน้า “น่าจะไม่กลับคา ตอนนี้เขาไม่มีทางหนีที่ไล่แล้ว การจะนำกำลังพลมากขึ้นาดนั้นหนีเข้าอาณาเขตดาวนิรนามก็เป็นเรื่องเพ้อฝันเกินไป และไม่มีทางจะซ่อนตัวได้นานด้วย ถ้าคนเบื้องล่างไม่มีทางออกแล้ว ดีไม่ดีอาจจะเด็ดหัวเขาไปให้เถิงเฟยเพื่อแลกกับหนทางรอดชีวิต นอกเสียจากเขาจะทิ้งกำลังพลแล้วหนี้ไป อีกทั้งตอนนี้ท่านอ๋องก็เป็นเพียงทางออกเดียวของเขา ตราบใดที่เขายังอยู่กับกำลังพลของตัวเองต่อไป ต่อให้พบความไม่ชอบมาพากลอะไร เดียวเขาค่อยทิ้งกำลังพลตัวเองแล้วหนีเข้าอาณาเขตดาวนิรนามไปก็ยังทัน อย่างน้อยพอมาหาท่านอ๋อง เขาก็ยังมีทางเลือกเพิ่มอีกทาง หลักการนี้ไม่มีทางที่เขาจะไม่เข้าใจดงนั้นไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องลองมาที่นี่ก่อน”
“อืม!” เหมียวอี้พยักนา เดินไปเดินมาแล้วบอกว่า “ใช้เรื่องกำลังพลดักซุ่มแดนมรณะดึกดำบรรพ์มาเกริ่นนา บีบให้สามอ๋องร่วมมือกันกดดันให้ประมุขชิงเลิกสนับสนุนเฉิงไที่เจ๋อบีบให้เฉิงไที่เจ๋อไม่มีทางออกจนมาขอพึ่งพาฝั่งนี้ ดูจากตอนนี้แล้ว แผนการขั้นต้นของพวกเราคงสำเร็จแล้ว ปัญหาในตอนนี้ก็คือประมุขชิงจะลงมือกับข้าจริงเหรอ ? ถ้าเขาไม่ลงมือการเรียกเฉิงไที่เจ๋อมมาที่นี่ก็ถือว่าสร้างปัญหาใหญ่ให้ตัวเองจริง ๆ”
หยางชิ่งกล่าวเสนอแนะ “ธนูฝ่าอิทธิฤทธ์สิ่บล้านคันของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ห้าสิบล้านคันของทัพใหญ่แดนรัตติกาล ประมุขชิงจะยอมยกให้ท่านอ๋องง่าย ๆ ได้ยังไง ? ตอนเจรจาก่อนหน้านี้ ถ้าเขายืนกรานจะให้กองทัพองครักษ์มาปราบทัพใหญ่แดนรัตติกาล ข้าน้อยก็ยังเชื่อว่าเขาไม่มีความคิดนี้ แต่เขาตอบตกลงให้ท่านอ๋องปราบทัพกบฏง่ายขนาดนั้น แสดงว่าในนั้นต้องมีอะไรในกอไผ่แน่ ไหนจะแผนลอบสังหารของกองทัพองครักษ์ แผนดักซุ่มสังหารที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์อีก ทุกเรื่องพิสูจน์แล้วว่าประมุขชิงคิดจะฆ่าท่านอ๋อง ย้อนดูเรื่องที่กำลังพลห้าร้อยล้านแอบอยู่ในทัพตะวันออกและชี้กระบี่มาที่ท่านอ๋องสิ ก็พิสูจน์แล้วว่าประมุขชิงมีกลยทธุ์และอุบายนี้แน่นอน! ที่เขาเจตน่าสงหารนี้แล้ว เป็นเพราะไม่อาจปล่อยให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หกสิบล้านคันตกอยู่ในมือคนอื่นง่าย ๆ บวกกับกลยทธุ์นี้อีก ก็ถือว่ามีปัจจัยที่จะลงมือกับนายท่านโดยสมบูรณ์แล้ว ถ้าสิ่งที่ข้าน้อยคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้ไม่ผิดพลาด เขาจะต้องถอยเพื่อรุกแน่นอน เขาเลิกสนับสนุนเฉิงไที่เจ๋อถอนกำลังออกจากทัพตะวันออก ให้เฉิงไที่เจ๋อกับเถิงเฟยเข่นฆ่ากันเอง พอเปืนแบบนี้ ที่
จริงทัพตะวันออกก็ยังถูกเขากดไว้อยู่ แล้วท่านอ๋องก็ใช้กำลังทหารไปกับการปราบทัพกบฏอีก ทางด้านอ๋องสวรรค์โค่วและอ่องสวรรค์ก่วง ก็สามารถให้ประมุขพุทธะควบคุมไว้ได้
ถึงตอนั้นนเขาสามารถใช้กำลังทั้งหมดสู้กับท่านอ๋องได้เลย โอกาสดีขนาดนี้มีหรือที่เขาจะพลาด ? ในเมือเจรจาเงื่อนไขกันลงตัวแล้ว ทุกคนก็สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขแล้ว แต่ทำไมแดนสุขาวดียังไม่ถอนกองทัพพระห้าร้อยล้านกลับไปอีกล่ะ ? พูดในกรณีที่เลวร้ายที่สุด สมมุติว่าพวกเราสันนิษฐานผิดพลาด สมมุติว่าเขาไม่ได้มีความคิดจะทาร้ายท่านอ๋อง ท่านอ๋องค่อยผลักกำลังพลของเฉิงไที่เจ๋อออกไปเพื่อชี้แจงกับอำนาจฝ่ายต่าง ๆ ก็ยังไม่สาย ประเด็นสำคัญในตอนนี้ก็คือท่านอ๋องต้องป้องกันไว้ว่าประมุขชิงอาจจะมีเจตนาชั่วร้ายนี้ ถ้าไม่ป้องกันตอนนี้ ถ้าไม่เตรียมตัวป้องกันล่วงหน้า พอเกิดเรื่องขนแล้วค่อยฉุกละหุกรับมือก็จะสายไป ถ้าประมุขชิงลงมือจริง ๆ เช่นั้นนก็แสดงว่าเขาบีบให้ท่านอ๋องกบฏ!”
“ที่พูดก็มีเหตุผล จะไม่ป้องกันก็ไม่ได้!” เหมียวอี้พยักหน้าอย่างเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เขาโยนแผนที่ดาวแผ่นหนึ่งลงบนพื้น จ้องมันพร้อมถามว่า “จะว่าเขาจะลงมือจากตรงไหนก่อน ?”
หยางชิ่งกล่าวอย่างไม่แน่ใจ”กองทัพองครักษ์หรืออีกชื่อก็คือทัพใหญ่สี่พันล้าน ที่จริงทุกคนต่างร้อยู่แก่ใจว่านั่นคือสิ่งที่แสดงให้เห็นภายนอกเท่านั้น เป็นสิ่งที่ประมุขชิงเอาไว้ขู่ให้คนกลัว ระบบพวกนี้ทุกคนก็แค่เคยได้ยินว่ามันมีอยู่ เพียงแต่ปฏิบัติสิ่งที่เรียกว่าภารกิจอยู่ตลอด ไม่มีใครเคยเห็นทั้งนั้น บรรดาท่านอ๋องทาสถิติการเก็บภาษี
ของใต้หล้า ร้อยู่แก่ใจว่าประมุขชิงสามารถเลี้ยงกำลังพลได้เท่าไหร่ ที่จริงก็แค่เผยคนเหล่านั้นให้เห็นภายนอก สองพันห้าร้อยล้านถือว่ามากสุดแล้ว ส่วนพวกท่านอ๋องทั้งหลาย แม้จะต่างคนต่างเรียกตัวเองว่าทัพใหญ่สองร้อยล้าน แต่เป็นโครงสร้างที่มีสมาชิกที่อยู่ระดับต่ำสุดเป็นส่วนใหญ่ คนที่วรยุทธ์ยังไม่ถึงระดับทะยานสวรรค์ ถ้าใครได้ยึดครองอาณาเขต พวกเขาก็เทไปอยู่ฝั่งคนั้นน สามารถมองข้ามโดยไม่นับได้เลย กำลังพลของสี่ทัพที่สามารถออกรบได้อย่างมากก็แค่สามพันล้าน รวมกำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์ที่สามารถออกรบได้ก็เป็นหน่งหมื่นสองพันล้าน แต่ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น ถ้าพูดถึงระดับความเก่งกาจ ถ้าเทียบกับกำลังพลหนึ่งพันห้าร้อยล้านของกองทัพองครักษ์ก็ถือว่าคนละระดับเลย ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนของกองทัพองครักษ์ก็มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เพียงพอที่จะขู่พวกอ๋องได้ ประมุขชิงไม่จำเป็นต้องเฝ้าอาณาเขต แต่สามารถรวบรวมทรัพยากรมาเลี้ยงทหารเก่ง ๆ ได้ ในจุดนี้พวกอ๋องสวรรค์เทียบไม่ติด”
“จุดนี้ข้าย่อมร้อยู่แก่ใจ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่รีบเอาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้มา โอกาสชนะเพียงอย่างเดียวของพวกเราก็คือรวบรวมทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ แล้วอาศัยจำนวนมากไปโจมตีจำนวนน้อย นอกจากทาสิ่งนี้ก็ไม่มีโอกาสชนะแล้ว! แต่ประเด็นของปัญหาก็คือถ้าประมุขชิงต้องการรุกโจมตี คงไม่ให้พวกเรารู้เรื่องการวางกำลังโจมตีง่าย ๆ ไม่ให้โอกาสพวกเราใช้จำนวนมากกว่าโจมตีจำนวนน้อยกว่า” เหมียวอี้กล่าว
หยางชิ่งบอกว่า “กำลังพลกองทัพองครักษ์เคลื่อนไหวมาตลอด แต่มีกำลังพลอยู่ที่หนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ ต่อให้จะเคลื่อนไหววางกำลังยังไง แต่กำลังพลที่เฝ้าพิทักษ์บริเวณวังสวรรค์ ทั้งข้างนอกข้างใน ทั้งใกล้และไกลก็รักษาจำนวนทัพใหญ่แปดร้อยล้านไว้ตลอด เฝ้ารักษาความปลอดภัยของวังสวรรค์อย่างเข้มงวด เขาจะยังไม่เคลื่อนไหวกำลังพลที่นี่ ถ้าเคลื่อนไหวเมื่อไหร่ก็ทำให้บรรดาท่านอ๋องตื่นตัวได้ง่ายมาก”
เหมียวอี้เอามือลูบคางครุ่นคิด “ก็แสดงว่ากำลังพลแปดร้อยล้านี้น สามารถตัดออกจากจำนวนกำลังพลที่โจมตีได้”
“ถูกต้อง!” หยางชิ่งพยักหน้า แล้วยื่นมือวาดท่าทาง “ส่วนกำลังพลที่เหลือถ้าอยู่ภายใต้สถานการณ์ปกติ กองทัพองครักษ์สี่ร้อยล้านที่อยู่ในอาณาเขตสี่ทัพนั้นหมุนเวียนเฝ้ารักษาการณ์ในระยะยาวยงมีอีกหนึ่งร้อยล้านที่เดินทางไปตามที่ต่าง ๆเพื่อปฏิบัติภารกิจชั่วคราว เพราะเรื่องที่ทัพตะวันออกครั้งนี้ นอกจากกำลังพลสี่ร้อยล้านที่รวมตัวอยู่ในทัพตะวันออก กำลังพลหนึ่งร้อยล้านที่ปฏิบัติภารกิจก็รวมตัวไปที่นั่นแล้วเช่นกัน รวมเป็นทัพใหญ่ห้าร้อยล้าน ตอนนี้รวมตัวกันถอนกำลังออกไปแล้ว เกรงว่าคงเอามาใช้รับมือกับท่านอ๋อง ทัพใหญ่สามร้อยล้านที่รวมมาจากจุดต่าง ๆและนาโดยฮวาอี้เทียนั้นนใช้เพื่อปราบกบฏ แต่ถูกท่านอ๋องกักไว้แล้ว พอเกิดเรื่องขน คนพวกนี้ต้องลงมือกับท่านอ๋องแน่นอน ทั้งยังมีกำลังพลสี่ร้อยล้านในอาณาเขตทัพใต้อีก ใช้ข้ออ้างว่าปราบกบฏ แม้จะถูกท่านอ๋องถ่วงเวลาไว้จนไม่ได้ระดมพลครั้งใหญ่ แต่กำลังพลที่รวมตัวกันอยู่ตามแต่ละจุดแถวนี้ก็มี
ขนาดสิบล้านขึ้นไปทั้งนั้น กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่อยู่ในอาณาเขตอ๋องสวรรค์โค่วและอ๋องสวรรค์ก่วงก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน พูดแค่ในอาณาเขตทัพใต้ของท่านอ๋องอย่างเดียว
พอเกิดเรื่องขน ทหารที่เฝ้าอยู่ตามด่านพวกนั้นก็คงต้านการบุกโจมตีของกองทัพองครักษ์สิบล้านลำบาก หรือพูดอีกอย่างว่า กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่สามารถพุ่งเป้ามาเล่นงานท่านอ๋องได้โดยตรงมีถึงแปดร้อยล้าน ในอาณาเขตยังมีอีกสี่ร้อยล้านที่กระจายตัวกันตามจุดต่างๆ จุดละสิบล้าน อาศัยพลังรบของพวกเขา ก็สามารถบุกโจมตี โจมตีสกัด ช่วยเหลือสกัดกองหนุนที่จะมาช่วยท่านอ๋องแบบทั่วทิศได้ทุกเมื่อ ทำให้ทัพใหญ่แปดร้อยล้านั่นนสังหารท่านอ๋องอย่างไร้กังวลได้เลย! ตอนนี้ท่านอ๋องลองมองจากสถานการณ์ภาพรวมก็จะรู้ว่าประมุขชิงจะใช้ข้ออ้างเรื่องปราบกบฏกับทัพตะวันออก ความเงียบ เชียบที่อยู่ใต้หนังตาทุกคนกลายเป็นการวางหมากที่สมบูรณ์แบบ ตอนไม่ลงมือดูเหมือนไม่อันตราย แต่ลงมือเมื่อไรก็ถึงแก่ชีวิตทันที่วิธีการของคนคนนี้ช่างร้ายกาจ! ถ้าข้าน้อยเดาไม่ผิด ตอนที่ทัพใหญ่ของแดนสุขาวดีเข้าสู่ตาหนักสวรรค์ ก็จะเป็นเวลาที่ประมุขชิงลงมือสังหาร!”
เชี่ยเซิงเผยสีหน้าเศร้าสลดอย่างอดไม่ได้ เป็นเช่นนี้จริง ๆ เถิงเฟยสามารถปล่อยใครไปก็ได้ มีเพียงท่านอ๋องคนเดียวที่ปล่อยให้รอดชีวิตไม่ได้ ไม่ใช้ว่ามีความแค้นฝังลึกอะไรต่อกัน ถ้าเปลื่ยนี้เป็นท่านอ๋องก็ไม่เหลือหนทางรอดไว้ให้เถิงเฟยเช่นกัน ไม่ใช้เพราะอะไร เป็นเพราะอีกฝ่ายได้รับการสนับสนุนในระดับเดียวกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งภัยพิบัติแฝงระดับนี้เอาไว้ บรรดาท่านอ๋องที่เหลือก็คงไม่อยากเห็นทัพตะวันออกที่รวมเป็นหนึ่งเดียวแล้วถูกประมุขชิงเสี้ยมให้เกิดเรื่องนี้ ไม่อยากเห็นสถานการณ์กึ่งแข่งขันกึ่งร่วมมือของสี่ทัพถูกทาลายอีก
ทางรอดเดียวในตอนนี้ เกรงว่าคงจะมีเพียงการหนี ทิ้งกำลังพลที่เหลือแล้วหนี้ไปเงียบ ๆ ถ้านาคนกลุ่มใหญ่ไปด้วย ใครจะไปรู้ว่าในจำนวนั้นนมีหนอนบ่อนไส้อยู่เท่าไร ที่สำคัญคือหลังจากออกไปแล้วไม่มีทรัพยากรมาเลี้ยงกำลังพลมากมายขนาดนั้นได้อีก เมื่อเวลานานไปจะต้องเกิดเรื่องแน่นอน…พอนึกถึงตรงนี้ เชี่ยเซิงกำลังจะชี้แนะเช่นนี้พอดี แต่กลับเห็นเฉิงไที่เจ๋อขมวดคิ้ว แววตาวูบไหวไม่หยุด สีหน้าเศร้าโศกถูกแทนที่ด้วยอารมณ์อีกแบบ ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้
เขากำลังอยากจะถาม แต่เฉิงไที่เจ๋อกลับเป็นฝ่ายจ้องเขาและพูดออกมาเอง “หนิวโหย่วเต๋อเคยบอกว่าจะให้ทางรอดกับข้าได้”
“…” เชี่ยเซิงงุนงง ถามอย่างสงสัยว่า “เป็นไปได้หรือขอรับ ?”
เฉิงไที่เจ๋อเอามือลูบเคราพร้อมกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ จู่ ๆ เขาก็ติดต่อข้ามา บอกประมาณว่าประมุขชิงทิ้งข้าแล้ว ก็ให้ข้าไปหาเขาได้เลย บอกว่าไม่มีทางเห็นคนเดือดร้อนแล้วไม่ช่วย…ตอนั้นนข้าก็ยังไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร ยังรู้สึกว่าคำพูดของเขาช่างน่าขา แต่พอมาดูตอนนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเขากำลังแอบบอกใบ้ข้า เขารู้ตั้งแต่ตอนั้นนแล้วว่าประมุขชิงจะทิ้งข้า เหมือนกำลังเตือนว่าวันนี้จะมาถึง ไม่อย่างนั้นคนไม่พูดอะไร แปลก ๆ แบบนั้นออกมา”
เชี่ยเซิงถามอย่างระแวงสงสัยไม่หยุด “ท่านอ๋องแน่ใจเหรอ ? ตามหลักแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะรับท่านอ๋องไว้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคนอื่นจะยอมให้เขาขยายอำนาจแบบนี้หรือเปล่า เขาจะชี้แจงกับเถิงเฟยยังไง ? ถ้าเขาทำแบบนี้ สถานการณ์กึ่งร่วมมือกัึ่งแข่งขันระหว่างสี่ทัพก็จะถูกทาลายไม่ใช้เหรอ ?”
เฉิงไที่เจ๋อโบกมือ”แม้เจ้าเด็กันน่จะอายุไม่เยอะ แต่กลับมีวิธีการไม่ธรรมดา อาศัยแค่ที่เขาโค่นล้มฮ่าวเต๋อฟางก็รู้แล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กันน่มีแผนชั่วอะไร ตอนนี้ข้ามีหายนะมาจ่อตรงหน้า ลอทวงถามขาสักหน่อย หยั่งเชิงเขาสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร”
“นั่นก็ใช้ขอรับ” เชี่ยเซิงพยักหน้าเงียบ ๆ
เฉิงไที่เจ๋อเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาสองก้าว พอหยุดเดินก็เหมือนจะตัดสินใจได้แล้ว หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้เสียเลย…
ในจวนอ๋องสวรรค์หนิว โถงหลัก สวีถังหรานใช้สองมือกาไลเก็บสมบัติให้ไว้บนโต๊ะน้าชา จากนั้นก็ถอยออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะชานากาไลเก็บสมบัติมานับ ข้างในล้วนี้เป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ธนูฝ่าอิทธิฤทธ์สี่สิบล้านห้าแสนคัน!
พอเก็บกาไลเก็บสมบัติไว้ เหมียวอี้ก็ลุกขึ้นชมด้วยรอยยิ้ม “ทำได้ไม่เลว”
สวีถังหรานพยักหน้าโค้งตัวทันที่”เป็นเพราะท่านอ๋องเตรียมวางแผนภูาพรวมไว้ดี ข้าน้อยก็แค่วิ่งเต้นทำงานให้ไม่ได้สิ้นปลืองกำลังอะไรเลย ที่สำคัญคือท่านอ๋องปราดเปรื่องไม่ธรรมดา กำหนดชะตาฟ้าดินด้วยมือเดียว ข้าน้อยนับถือมากจริง ๆ”
เหมียวอี้ไม่เกรงใจเช่นกัน “ยังมีอีกเรื่องต้องให้เจ้าวิ่งเต้นอีกสักรอบ”
สวีถังหรานทาสีหน้าฮึกเหิมทันที่ไม่กลัวงานเยอะงานลำบาก กลัวก็แต่จะไม่มีงานทา กอย่างที่บอก ประสบการณ์ในหลายปีได้พิสูจน์แล้ว เขาไม่กลัวว่าท่านอ๋องจะก่อเรื่อง ยิ่งเรื่องราวใหญ่โตก็ยิ่งดี เพราะทุกครั้งหลังจากเกิดเรื่องใหญ่ เขาก็จะได้รับผลตอบแทนมหาศาลตามไปด้วย เรื่องในครั้งนี้เขาเห็นทิศทางที่กระบี่ของท่านอ่องชี้ไปแล้ว เร้าใจมาก รู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจจนทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ! คาดว่าเรื่องเข่นฆ่าทาศึกคงไม่ถึงคร่าวใช้งานเขาหรอก เขากลัวว่าจะโดนทิ้งไว้ข้าง ๆ กลัวไม่มีโอกาสให้เขาได้สร้างผลงาน ถ้าไม่ได้สร้างผลงานใหญ่ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเขาได้ลำบากทำงานก็พอแล้ว
สุดท้ายถ้าตบรางวัลตามผลงาน เขาก็จะต้องได้รับส่วนแบ่งสักส่วนแน่นอน
เขารีบยื่นหน้ามาใกล้ “ท่านอ๋องกาชับมาได้เลยขอรับ ต่อให้ข้าน้อยบุกน้าลุบไฟก็จะไม่ปฏิเสธ!”
“เจ้าชิงจะเตรียมกำลังพลกลุ่มหนึ่งให้เจ้า เจ้าไปคุมที่ตระกูลหวงฝู่เอาไว้ ไม่ว่าสุดท้ายเรื่องราวจะดำเนินไปยังไง ถ้าเกิดเหตุไหมคะคิดอะไรขึ้น จาไว้แค่อย่างเดียวว่า ต้องคุ้มครองให้หวงฝู่จวินโหรวหนี้ไปได้อย่างปลอดภัย ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันกับนาง เจ้าก็ไม่ต้องกลับมาพบข้าอีกเหมือนกัน!” เหมียวอี้กล่าว
สวีถังหรานยืดอก ตอบด้วยสีหน้าเคารพอย่างสูง “ท่านอ๋องวางใจได้ ข้าน้อยไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องอะไรกับนางเด็ดขาด ถ้าทำให้นำงผมหลุดแม้แต่เส้นเดียว ไม่ต้องให้ท่านอ๋องลงโทษหรอก ข้าน้อยจะเด็ดหัวตัวเองมีารับผิดกับท่านอ๋องเอง!”
หยางเจาชิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มีสีหน้าเรียบเฉย แต่ที่จริงแล้วปวดประสาทนิดหน่อย
ทว่าเหมียวอี้ชื่นชมท่าทีของสวีถังหราน ไม่ใช้เพราะสวีถังหรานประจบสอพลอจนเขาสบายใจ แต่เป็นเพราะไม่ว่าเรื่องอะไรที่สวีถังหรานรับประกันต่อเขา ก็ล้วนทาสำเร็จเสมอ ไม่เพียงแค่ทำได้ แต่ยังทำได้ดีมากด้วย แม้แต่สิ่งที่เจ้าคิดไม่ถึง อีกฝ่ายก็ยังรับใช้จนเจ้าสบายอกสบายใจได้
แม้แต่อวิ๋นจือชิวก็ยังพูดถึงสวีถังหรานในทางที่ดี บอกว่าสวีถังหรานใช้งานถนัดมือถ้ามเรื่องอะไร แค่อธิบายให้ชัดเจนแล้วให้เขาไปจัดการต่อให้ตัวเองจะลาบากแต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้งานพัง เป็นคนที่ทำงานตามคำสั่งได้ดีคนหนึ่งเลย
แน่นอน เจ้าหนุ่มนี่ก็มีข้อเสียเหมือนกัน ขอเพียงเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าจะวิธีการสั่งชาอะไรก็งัดออกมาใช้ได้หมด ไม่เคยแยแสเลยว่าคนอื่นจะมองอย่างไรหรือคิดอย่างไร
“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า “จับตาดูทางโถงชุมนุมอัจฉริยะให้ดีด้วย ในเวลานี้ข้าไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายอะไร”
“จะไม่ให้ส่งผลกระทบต่องานใหญ่ของท่านอ๋องแน่นอน!” สวีถังหรานรับประกันอีกครั้ง
“ดีเรื่องนี้ชักช้าไม่ได้ เจ้ารีบไปเตรียมการเถอะ” เหมียวอี้โบกมือ
หยางเจาชิงยื่นมือเชิญ สวีถังหรานกลับทาความเคารพก่อนแล้วเดินตามเขาไป
ระหว่างทาง บังเอิญเจอกับหยางชิ่งที่กลับมาแล้ว หลังจากเห็นหยางชิ่งกับหยางเจาชิงพยักหน้าที่กทายให้กันแล้วเดินเข้าไปข้างในโดยไม่มีใครขวาง ทหารยามก็ไม่ขวางเช่นกัน สวีถังหรานจึงเดินไปสองสามก้าวแล้วหันกลับมาจองเงาหลังของหยางชิ่ง ในใจรู้สึกสงสัยนิดหน่อย…
“ท่านอ๋อง!” หยางชิ่งเข้ามาในโถงแล้วทาความเคารพ
เหมียวอี้พยักหน้า “ลำบากแล้ว ทางฝั่งนั้นจัดการเรียบร้อยแล้วสินะ ?”
” เตรียมการเรียบร้อยแล้วขอรับ คงจะไม่มีปัญหาอะไร” หลังจากหยางชิ่งตอบแล้ว ก็นากระบี่ด้ามหนึ่งออกมาจากกาไลเก็บสมบัติ ยาวครึ่งจั้ง ตัวกระบี่เป็นสีขาวดุจหิมะทั้งด้ามแต่กลับเปล่งรัศมีสีทองระดับความคมของกระบี่ แค่ใช้สายตาประเมินก็มองออกแล้ว
กลับด้านกระบี่แล้วยื่นให้แสดงออกว่าไม่มีเจตนาเป็นศัตรูใช้สองมือถือกระบี่มอบให้
เหมียวอี้อึ้งเล็กน้อย รับกระบี่มาไว้ในมือเงียบ ๆ พลิกดูกระบี่ด้ามใหญ่ไปมา พอใช้น้วดีดตัวกระบี่เบา ๆ ก็มีเสียงดังทึบ ๆ “ตึก” ไม่ใช้เสียงทองและเสียงหยก จึงถามอย่างสงสัยว่า “อย่าบอกน่ะว่านี่คือกระบี่เก้าเตาของประมุขชิง ?”
หยางชิ่งตอบว่า “ใช้แล้ว เดิมทีประมุขชิงประทานให้หวังติ้งเฉา ตอนหลังห่วงติ้งเฉาโดนชิงหยวนจุนฆ่า มันจึงตกอยู่ในมือชิงหยวนจุน ว่ากันว่าเป็นอาวุธที่ประมุขชิงใช้บุกยึดใต้หล้าในปีนั้น การที่เขาประทานให้หวังติ้งเฉาได้ จะเห็นได้ว่าเชื่อใจหวังติ้งเฉาขนาดไหน แต่น่าเสียดายที่หวังติ้งเฉาติดตามรับใช้ชิงหยวนจุน ได้รับใช้ผิดคน ไม่ได้เสพสุขจากความเมตตาของประมุขชิง ได้ยินว่ากระบี่นี้หลอมสร้างมาจากแร่ผลึกประหลาดที่หายากที่สุด ในเหมืองแร่แห่งหนึ่งอาจจะหาแร่ผลึกประหลาดชนิดนี้ไม่เจอเลยก็ได้ สามารถหลอมสร้าง
กระบี่วิเศษแบบนี้ออกมาได้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าเป็นยังไง ได้ยินว่ากระบี่ด้ามนี้ตระกูลเซี่ยโห้วเคยมอบให้ประมุขชิงเมื่อนำนมาแล้ว มีความหมายแฝงว่าอยู่ยงคงกระพัน ว่ากันว่าในมือหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วยังมีกระบี่วิเศษที่ทำจากผลึกประหลาดสีดำอยู่อีกด้ามหนึ่ง คมกว้ากระบี่ด้ามนี้ว่ากันว่าเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้ว”
“อยู่ยงคงกระพัน! ของดีที่ประมุขชิงใช้บุกยึดใต้หล้าตกอยู่ในมืออ๋องผู้นี้แล้ว ถือว่าเป็นลางดี่” เหมียวอี้หัวเราะเบา ๆ พลิกมือหยิบกระบี่วิเศษผลึกแดงด้ามหนึ่งออกมา นากระบี่สองด้ามมาโบกฟันกัน เกิดเสียงดังแกร๊ง กระบี่วิเศษสีแดงแตกหักทันที่เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวชม “เป็นกระบี่วิเศษที่คมดีมาก!”
แกร๊ง! เขาโยนกระบี่วิเศษที่หักครึ่งทิ้ง แล้วนากระบี่เก้าเตามาจ่อบนคอตัวเองอย่างไม่พูดพร่าทาเพลง
“ท่านอ๋อง…” หยางชิ่งตกใจ นึกว่าเขาจะปาดคอผลก็คือพบว่าเหมียวอี้ก็แค่ดึงเชือกเสันหนึ่งบนคอมาปาดหั่นเท่านั้น
จี๊ด! คมกระบี่กับเชือกเสียดสีกันจนเกิดเสียงดังแสบหูทว่าเชือกกลับไม่ขาด
หยางชิ่งสงสัยไม่หยุด ไม่รู้ว่าเชือกที่เหมียวอี้ใส่ไว้บนคอคืออะไรกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่ากระบี่วิเศษที่คมขนาดนี้ก็ยังต้านทานได้!
หลังจากหันซ้ำไปซ้ำมา ในที่สุดเชือกเสันั้นนก็ขาดแล้ว
พอเก็บเชือกที่ตกลงพื้นขึ้นมา มองดูลูกประคาสีเขียวเข้มในฝ่ามือในใจเหมียวอี้ก็รู้สึกทึ่งไม่หยุด ในปีนั้นหลังจากสวมใส่สร้อยเส้นนี้ไว้บนคอเขาก็ไม่เคยถอดออกอีกเลย ไม่ใช้ว่าเขาไม่อยากจะถอดออกมาดูแต่เป็นเพราะไม่มีทางถอดออกได้ ใช้อาวุธแหลมคมมาทุกอย่างแต่ก็ไม่สามารถตัดเชือกเสันนี้ให้ขาดได้ ตอนนี้ใช้กระบี่เก้าเตา ในที่สุดก็ตัดขาดแล้ว
เมื่อเห็นเหมียวอี้ทาสีหน้าตกตะลึง หยางชิ่งก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านอ๋อง นี่คือวัตถุอะไรกัน ?”
เหมียวอี้ยิ้มบาง ๆ “เป็นของขวัญแรกพบจากท่านผู้นั้น”
หยางชิ่งขานรับ “อ้อ” คิดในใจว่า มิน่าล่ะ เป็นของทนทานที่ขนาดกระบี่เก้าเตายังตัดทาลายไม่ได้ง่าย ๆ เกรงว่าคงไม่ใช้ของที่คนธรรมดาจะมีได้เช่นกัน
พอกลับด้านกระบี่วิเศษ เหมียวอี้ก็ยื่นให้”ท่านบุรุษสร้างผลงานใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีอะไรจะเป็นรางวัล มอบกระบี่นี้ให้ท่านบุรุษแล้วกัน!”
หยางชิ่งรีบถอยหลังและโบกมือกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “กระบี่นี้เป็นอาวุธชั้นดีที่ประมุขชิงใช้บุกยึดใต้หล้าในปีนั้น มีที่มาที่ไปแบบนี้ ก็แสดงว่าไม่ใช้กระบี่วิเศษธรรมดา เปป็นของที่มีความหมายแฝงพิเศษ กลายเป็นกระบี่แห่งราชันสวรรค์ มีแต่คนที่มอำนาจคู่ควรกับกระบี่ด้ามนี้เท่านั้นถึงจะนำออกมาใช้ได้ คนส่วนใหญ่ไม่มีวาสนาใช้มันได้เลย ดีไม่ดีอาจจะนำภัยมาสู่ตัวเองก็ได้ หวังติ้งเฉาก็เป็นตัวอย่าง
ให้เห็นแล้ว! ข้าน้อยมิับงอาจรับรางวัลนี้เด็ดขาด กระบี่ดังนี้ มีเพียงท่านอ๋องเท่านั้นที่คู่ควร”
เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าไปเรียนประจบสอพลอมาจากไหน ? ก็ได้ ในเมือเจ้าพูดซะร้ายแรงขนาดนั้น ข้าก็ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจแล้วกัน” เขาพลิกมือเก็บกระบี่วิเศษ แล้วเพ่งมองจี้ในมืออย่างละเอียด
ของสิ่งนี้อยู่กับเขามาหลายปี เขาคุ้นชินมาตั้งนานแล้ว พอถอดออกอย่างกระทันหัน ก็รู้สึกว่าขาดอะไรไป หลังจากลังเลซ้ำ ๆ เขาก็ใส่กลับคืนมาที่คออีก ผูกมันไว้อีกครั้ง
พอวางมือลงก็ถือโอกาสหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา แล้วเลิกคิ้วอุทานว่า “เฉิงไที่เจ๋อ!”
ทั้งสองสบตาให้กันอย่างร้อยู่แก่ใจ
หลังจากเชื่อมสัญญาณระฆังดาราแล้ว เหมียวอี้ก็ถามว่า : ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเฉิงมีอะไรจะชี้แนะ ?
เฉิงไที่เจ๋อ : น้องชายร้อยู่แก่ใจแล้วยังจะถามอีกทำไม น้องชายบอกว่าจะให้ทางรอดข้า ไม่ทราบว่าทางรอดอยู่ที่ไหน ?
เฉิงไที่เจ๋อ : ทุกคนล้วนี้เป็นคนชัดเจน อ้อมค้อมไปจะมีความหมายอะไร ?
เหมียวอี้ : ข้าบอกแล้วว่าให้มาหาข้า นี่ยังตรงไม่พออีกเหรอ ? ขออเพียงเจ้ามาหาข้า ข้ารับรองว่าตระกูลเฉิงไม่ต้องกังวลเรื่องที่อันตรายถึงชีวิต!
เฉิงไที่เจ๋อ ่ง่ายขนาดนี้เชียวหรือ ?
เหมียวอี้ : ท่านอ๋องกำลังล้อเล่นอยู่เหรอ ? ถ้าเจ้าไม่ให้กำลังพลกลุ่มนั้นกับข้า ข้าจะอาศัยอะไรไปทาเรื่องที่เปลืองแรงทั้งยังล่วงเกินคนอื่น ?
เฉิงไที่เจ๋อตกใจมาก ถามว่า : เจ้าอยากได้กำลังพลในมือข้าเหรอ ? ต่อให้ข้าให้แต่เจ้าจะกล้ารับไว้เหรอ ?
เหมียวอี้ : กลัวว่าจะให้น้อย ไม่กลัวว่าจะให้เยอะ เจ้าว่าข้ากล้ามั้ยล่ะ ?
สุดท้าย เยี่ยนหลัก็ยังมาปรากฏตัวตรงหน้าสวีถังหราน
เป็นอาณาเขตของจ้าวเซียนแท้ ๆ แต่สวีถังหรานกลับทาเหมือนเป็นบ้านตัวเอง เขานั่งหรี่ตายิ้มพลางยื่นมือเชิญอยู่หลังโต๊ะน้าชาตัวหนึ่ง “เชิญนั่ง!” แล้วก็เอามือลูบเคราสั้นของตัวเอง
เยี่ยนหลักลับยืนกล่าวเสียงต่า “ท่านโหวสวีช่างกล้าหาญนัก ท่านอ๋องหนิวกำลังโจมตีทัพใหญ่แดนรัตติกาลของข้า แต่ท่านกลามาที่นี่ ไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าท่านเหรอ ?”
” เฮ้อ!” สวีถังหรานส่าย่อหน้าเบา ๆ คว้ากาน้าชาที่ต้มจนเดือดขึ้นมา รินน้าชาให้เขา ผลักถ้วยน้าชาไปตรงหน้าเขาแล้วบอกว่า “ในเมือข้ากล้ามาก็แสดงว่าข้าไม่กลัวตาย ถ้าข้าไม่อยากตาย เจ้าก็ฆ่าข้าไม่ได้…น้าชาดีขนาดนี้ จะมาคุยเรื่องเข่นฆ่ากันให้เสียบรรยากาศทำไม ไม่สู้นั่งลงดื่มน้ำชาด้วยกันดีกว่า”
เยี่ยนหลูมองไปรอบ ๆ โดยจิตใต้สำนึก สุดท้ายก็นั่งลงช้า ๆ “แค่ดื่มน้ำชาจริงเหรอ ?”
สวีถังหรานบุ้ยปากให้จ้าวเซียน “เขาไม่ได้บอกเจตนาทีข้ามาให้เจ้ารู้เหรอ ?”
เยี่ยนหลักล่าวอย่างเคียดแค้น “ท่านอ๋องหนิวพูดจากลับกลอก อยากจะฉวยโอกาสตีชิงตามไฟเหรอ ?”
สวีถังหรานส่าย่อหน้า “ผิดแล้ว! เพราะท่านอ๋องพูดจาเชื่อถือได้ไง ถึงได้จะรับพวกเจ้ามาทำงานด้วย ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเมือก่อนแล้ว ประมุขชิงยอมแลกทุกอย่างแล้ว จะต้องกำจัดพวกเจ้าทิ้งแน่นอน ถ้าจะให้ท่านอ๋องชดเชยด้วยทัพใต้เพื่อปกป้องพวกเจ้าก็เป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ท่านอ๋องก็ตอบตกลงแล้วว่าจะปกป้องทัพใหญ่แดนรัตติกาล คิดไปคิดมาก็มีแต่ต้องให้พวกเจ้าไปพึ่งพาท่านอ๋องเท่านั้น ไปหลบอยู่ใต้ปีกท่านอ๋อง ถึงจะปกป้องพวกเจ้าได้สะดวกกว่าเดิม ท่านอ๋องมีจิตใจที่ทุ่มเทขนาดนี้ แต่กลับถูกพี่เยี่ยนเข้าใจผิด ความยุติธรรมอยู่ที่ไหนักน ?”
เยี่ยนหลูหัวเราะเบา ๆ “สงสัยไม่ว่าจะพูดยังไง ท่านอ๋องหนิวก็มีเหตุผลอยู่วันยังค่า!”
สวีถังหรานยกน้าชาขึ้นมาจิบ แล้วกะพริบตาให้เขาอย่างทะเล้น “ถ้าไม่ไปขอพึ่งพาท่านอ๋อง พวกเจ้าจะยังมีทางรอดอยู่อีกเหรอ ? จะยอมแพ้ประมุขชิง ? ก็ได้ ต่อให้ประมุขชิงจะรับปากว่าจะไม่เอาผิด แต่เจ้ารู้สึกว่าเชื่อถือได้หรือเปล่าล่ะ ? เรามีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์ ก็เป็นเพราะเจ้ามีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์นี่แหละ สำหรับกองทัพองครักษ์แล้ว การทรยศหมายความว่าอะไรก็ใช้ว่าเจ้าจะไม่รู้ ? เจ้าคิดว่าประมุขชิงที่คุมกองทัพองครักษ์จะปล่อยให้แนวโน้มนี้ดำเนินต่อไปเหรอ ? หลังจากเรื่องนี้สงบแล้ว จะต้องคิดบัญชีย้อนหลังแน่นอน ไม่มีทางที่จะให้เกิดขึ้นครั้งที่สอง! ไปพึ่งพาประมุขชิงอย่างมากก็สร้าง
ผลงานชดใช้ความผิด ไปพึ่งพาท่านอ๋องก็สร้างผลงานอย่างเดียว คงชั่งน้ำหนักความต่างที่อยู่ในนนได้ ส่วนการไปพึ่งพาคนอื่น ยามเผชิญกับความกดดันของประมุขชิง เจ้าคิดว่าอำนาจฝ่ายอื่นจะกล้ารับพวกเจ้าไว้เหรอ ?”
เยี่ยนหลูแสยะยิ้ม “เช่นั้นนท่านอ๋องหนิวอาศัยอะไรถึงกล้ามารับพวกเรา ?”
สวีถังหรานวางถ้วยน้าชาลง ใช้น้วเคาะบนผิวโต๊ะเบา ๆ “พี่เยี่ยนเลอะเลื่อนแล้ว อย่าบอกน่ะว่าจนป่านี้นแล้วยังไม่เข้าใจว่าตระกูลเซี่ยโห้วกำลังสนับสนุนใครกันแน่ ?”
คำพูดนี้ทำให้คิดแล้วหวาดกลัว เยี่ยนหลูหนังตากระตุกรุนแรง จ้องเขาอย่างหวาดระแวงนิดหน่อย
สวีถังหรานพูดต่อไปว่า “ออกทะเลไปไกลก็ไม่มีความหมาย พูดตรง ๆ เลยแล้วกัน อาณาเขตสายมะเส็งยึดครองได้ง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ ? นั่นก็คือเหยื่อล่อชิ้นหนึ่ง ถ้าไม่เหยื่อล่อไป พวกเจ้าจะกระจายกำลังทหารกันได้ยังไงล่ะ ? ถ้าใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายสิบล้านปะทะกัน ก็จะเกิดความเสียหายเยอะมาก ตอนนี้พวกเจ้าออกมากระจายกำลังทหารยึดครองอาณาเขตกำลังทหารกระจัดกระจาย ตอนนี้ถ้าท่านอ๋องต้องการจะจัดการพวกเจ้าก็ง่ายเกินไป เจ้าคิดว่าท่านอ๋องจะปล่อยให้พวกเจ้ารวบรวมกำลังทหารจนสร้างภัยคุกคามได้ง่าย ๆ เหรอ ? เปิดกระเป๋ารอตั้งนานแล้ว คนอื่นตอบตกลงหมดแล้ว เหลือก็แต่พี่เยี่ยนนี่แหละ พูดในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ต่อให้พี่เยี่ยนไม่ยอมแพ้
แต่พี่คิดจริงเหรอว่าตัวเองจะเป็นผู้นำกำลังพลหนึ่งสายได้ ? ตอนนี้ข้ามาเจรจากับพี่เยี่ยน ก็ไม่ใช้เพราะท่านอ๋องอยากจะต่อรองกับเจ้าหรอกนะ แต่เพราะอยากลดความยุ่งยาก จะได้ไม่มีปัญหา พูดถึงขั้นนี้แล้ว ตอนนี้ข้าถามแค่คาเดียว ผลงานมาถึงตรงหน้าพี่เยี่ยนแล้ว พี่เยี่ยนจะเอาหรือไม่เอาล่ะ ?”
” เข้าใจแล้ว ที่แท้ตั้งแต่เริ่มแรก อ๋องสวรรค์หนิวก็วางแผนจะฮุบกำลังพลหลายสิบล้านนี่มาตลอด!” เยี่ยนหลูหลับตาลงช้า ๆ ด้วยรอยยิ้มขื่นขม กองทัพองครักษ์ไม่เคยยอมแพ้มาก่อน คนที่มีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์อย่างเขา ไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งตัวเองจะยอมแพ้ได้ลง บนใบหน้าเผยความเศร้ารันทดอยู่หลายส่วน “ได้ยินนามอันยิ่งใหญ่ของอ๋องสวรรค์หนิวมานาน วันนี้นับว่าได้รับรู้ถึงวิธีการของอ๋องสวรรค์หนิวกับตัวเอง!” เขาลืมตาแล้วพยักหน้าตอบ “ขาย่อมแพ้!”
สวีถังหรานยกถ้วยน้าชาพลางกล่าวกลั้วหัวเราะทันที่”เลิกหน้าม่อยคอตกได้แล้วได้แล้ว นี่เป็นเรื่องดี อยู่กับคนโง่อย่างชิงหยวนจุนจะมีอนาคตอะไรได้ ตอนนี้ควรจะดีใจสิถึงจะถูก มา ดื่มชากันสักหน่อย!”
เยี่ยนหลูยกถ้วยน้าชาคารวะตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อน ไม่สนใจน้าชาที่ร้อนจี๋ เงย่อหน้ากรอกดื่มลงคอเสียงดังอึก ๆ
ใครจะคิดวาจากนั้นสวีถังหรานก็หรี่ตายิ้มอีก “จะยอมแพ้ก็ต้องแสดงความจริงใจออกมา ไม่อย่างนั้นอีกประเดียวถ้าพวกเจ้าก่อเรื่องอะไรอีก จะให้ท่านอ๋องทนความรู้สึกได้ยังไง พี่เยี่ยนว่ามั้ยล่ะ ?”
เยี่ยนหลูถอนหายใจ “ท่านโหวสวี ท่านเลิกพูดอ้อมค้อมได้แล้ว อยากให้พวกเราทำอะไรก็บอกมาตรง ๆ เลย”
“เป็นคนตรงไปตรงมาดี ข้าชอบเจ้า!” สวีถังหรานวางถ้วยน้าชา “ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ พวกเจ้าเก็บไว้ส่วนหนึ่ง ที่เหลืออีกเก้าส่วนส่งมาให้หมด นอกจากนี้ ก็ระดมกำลังพลไปช่วยเหลือราชินีสวรรค์ต่อ!”
เยี่ยนหลูขมวดคิ้ว ส่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ให้เก้าส่วนเขาพอจะเข้าใจได้ ขอเพียงส่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้ให้แล้ว เขาก็ไม่มีทางชี้แจงต่อประมุขชิงได้อีก เท่ากับตัดความเป็นไปได้ที่จะไปเข้าฝั่งประมุขชิง ขาดอาวุธที่มีประโยชน์ที่สุดในการกลับตัว แต่จะให้ช่วยเหลือราชินีสวรรค์ต่อหมายความว่าอะไร ? เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ช่วยต่อไปเหรอ ?”
สวีถังหรานพยักหน้า “ใช้ ช่วยตอบไป ส่วนเหตุผลว่าเพราะอะไร ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เจ้าก็ไม่ต้องถามมากหรอก เมื่อถึงตอนั้นนควรจะทายังไง เดียวท่านอ๋องก็ถ่ายทอดคำสั่งให้เจ้าเอง…”
ในอาณาเขตทัพใต้ ในที่สุดทัพใต้ก็เปิดฉากล้อมปราบทัพกบฏแดนรัตติกาลแล้ว ทั้งสองฝ่ายเหมือนต่อสู้กันอย่างดุเดือด
กำลังพลของทัพตะวันตกกับทัพเหนือมาถึงอาณาเขตทัพตะวันออกเพื่อช่วยเสริมอานุภาพให้เถิงเฟยแล้ว เฉิงไที่เจ๋ออกสั่นขวัญแขวนทั้งวัน
วังสวรรค์ ตาหนักดาราจักร
“ฝ่าบาท หนิวโหย่วเต๋อส่งข่าวมา ทัพใต้เริ่มล้อมปราบทัพกบฏแล้ว จอมพลสายมะเส็งเหิงอู๋เต้านากำลังพลหนึ่งสายมาโจมตีศูนย์กลางทัพกบฏ สังหารชิงหยวนจุนที่เป็นหัวหน้าที่พกบฏ…ท่ามกลางทัพที่เข่นฆ่ากันชุลมุน เหนียงเหนียงได้รับบาดเจ็บหนี้ไปแล้ว บัญชาการให้ทัพกบฏต่อต้านต่อไป เพราะมีตระกูลเซี่ยโห้วคอยช่วย เป็นอุปสรรคต่อทัพใต้ที่บุกโจมตี การโจมตีไม่ค่อยราบรื่น ศีรษะของทัพกบฏกำลังถูกส่งมา…กำลังอยู่ระหว่างทางแล้ว!”
พอซ่างกวนชิงพูดจบ ในตาหันก็กเงียบ เชียบไร้เสียง เกาก้วนก้มีหน้าก้มตา ซือหม่ำเวิ่นเทียนก้มีหน้า สังเกตปฏิกิริยาของประมุขชิงเงียบ ๆ อู๋ฉวี่ขมวดคิ้วมุ่น ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงทั้งนั้น ว่าองค์ชายจะตายแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนประหารแล้ว หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ก็แค่ไม่ลงมือเท่านั้น พอลงมือก็โผเข้าจุดยุทธศาสตร์ของทัพกบฏโดยตรง โจมตีถูกจุดภายในครั้งเดียว จะเห็นได้ว่าเตรียมลงมือไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ได้ดำเนินการอย่างฉุกละหุกแน่นอน และถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อเชี่ยวชาญเรื่องการระดมกำลังทหารจริง ๆ ชำนาญการรบ!
ประมุขชิงที่นั่งหลังโต๊ะยาวเกร็งใบหน้า สีหน้าเดียวซีดเดียวดา ไม่พูดอะไรสักคา ในดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าซึมและดุร้าย…
วันต่อมา ซ่างกวนชิงเดินเข้ามาจากนอกตาหนัก ใช้สองมือถือกล่องใบหนึ่ง สายตาของหลายคนในตาหนักจับจ้องไปที่กล่องใบนั้น
ซ่างกวนชิงเดินมาตรงหน้าโต๊ะ วางกล้องลงบนโต๊ะเบา ๆ
ประมุขชิงจ้องกล้องใบนั้น เงียบ ๆ นานมาก ลุกขึ้นยืนช้า ๆ ยื่นมือเปิดฝากลืองออก เห็นศีรษะคนที่ตายตาไม่หลับ ทั้งยังเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย ประมุขชิงไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใด ๆ ถามเสียงเย็นว่า “ยืนยันจริงเท็จหรือยัง ?”
ซ่างกวนชิงโค้งตัว “ยืนยันแล้วขอรับ เป็นองค์ชายแน่นอน บนร่างกายถูกธนูยิงพรุน ฝ่าบาทอย่าดูจะดีกว่า”
“ลูกทรพีได้รับกรรมตามสนอง ตอนนี้นางตัวแสบคงพอใจแล้วสินะ!” ประมุขชิงแสยะยิ้ม แต่ในใจกลับปวดแปลบ ภาพเหตุการณ์ในอดีตปรากฏตรงหน้าฉากแล้วฉากุเลา เด็กน้อยที่กอดต้นขาเขาพร้อมเรียกว่าเสด็จพ่อ…
ปั้ง! หลังจากปิดกล่องแล้ว ประมุขชิงแสยะยิ้ม “ถ่ายทอดคำสั่งให้ฉวี่ฉางเทียน ถอนกำลังทหารตามแผน!”
ขณะเดียวกันก็ชาเลืองอู๋ฉวี่ ส่งสายตาให้อย่างแนบเนียน…
“ท่านอ๋อง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ฉวี่ฉางเทียนไปแล้ว!”
ในจวนอ๋องสวรรค์เฉิง พอเชี่ยเซิงเข้ามาในจวนท่านอ๋องก็ไม่หยุดฝีเท้า ถลันตัวเหาะเข้ามาในศาลาของเรือนชั้นในโดยตรง พอเห็นเฉิงไที่เจ๋อก็รีบรายงานทันที่
“ไปไหนแล้ว ?” เฉิงไที่เจ๋อคิดตามไม่ทัน หลังจากชะงักไปครูหนึ่ง ก็เข้าใจอะไรบางอย่างจากสีหน้าของเชี่ยเซิง ถามอย่างตกใจว่า “เจ้าว่าอะไรนะ ?”
” ตอนแรกฉวี่ฉางเทียนบอกว่าออกไปลาดตระเวนดูกำลังพลที่ว่างไว้ข้างนอก ใครจะคิดว่าหลังจากเขาออกไปข้างนอกแล้ว กองทัพองครักษ์ที่อยู่ตามจุดต่าง ๆ ก็ระดมพลกะทันหัน ทยอยกันถอนกำลังออกไปแล้ว ดูจากแนวโน้มสถานการณ์ เหมือนจะออกจากอาณาเขตของทัพตะวันออก” เชี่ยเซิงรายงานอย่างกังวล
เฉิงไที่เจ๋อพลันถลันตัวออกไป้เชี่ยเซิงตามไปทันที่
พอทั้งสองออกจากจวนท่านอ๋อง แม้แต่ทหารอารักขาก็ไม่พาไป เหาะขึ้นฟ้าไปโดยตรง ไม่นานก็ไปถึงเรือนพักที่แบ่งให้ฉวี่ฉางเทียนทำเป็นศูนย์บัญชาการของกองทัพองครักษ์
เชี่ยเซิงที่ตามหลังมาเข้าใจความรู้สึกของเขา เป็นเพราะยากจะยอมรับความจริงนี้ได้ ต้องการจะเห็นกับตาตัวเอง
ทว่ารีบหาจนทั่วเรือนพักแล้วยังจะเห็นเงาของกองทัพองครักษ์เสียที่ไหนักน เดินไปหยุดตรงข้างศาลาริมน้า เฉิงไที่เจ๋อก็ใจเสียไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เขายังไม่ตัดใจ รีบหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อฉวี่ฉางเทียน ทว่าฉวี่ฉางเทียนไม่ตอบอะไรเลย เขาจึงติดต่อไปทางตาหนักสวรรค์อีก ไม่ว่าจะเป็นประมุขชิงหรือซ่างกวนชิง ก็ไม่มีใครสนใจเขาเลย
ชั่วพริบตานั้นเขาก็เข้าใจแล้ว ว่าเขากลายเป็นตัวหมากที่ประมุขชิงทิ้งแล้ว พอคิดได้ก็กล่าวอย่างเดือดดาลมาก “ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าปั่นหัวข้า ถ่ายทอดคำสั่งของขาลงไป สั่งให้แต่ละด่านสกัดกองทัพองครักษ์ไว้อย่าให้พวกเขาหนี้ไป!”
“ท่านอ๋อง…” เชี่ยเซิงอึกอัก แต่ก็พูดไม่ออก
ที่จริงพอพูดจบ เฉิงไที่เจ๋อเองก็รู้ตัวแล้วเช่นกัน เงย่อหน้าหลับตาลงช้า ๆ สกัดเหรอ ? จะสกัดได้อย่างไร ? ยังไม่ต้องพูดถึงว่ากองทัพที่เฝ้าอยู่แต่ละด่านจะสกัดกองทัพองครักษ์ได้หรือไม่ ถ้าทำให้อีกฝ่ายโมโหจริง ๆ เขาก็จะมีศัตรูเพิ่มขึ้นอีก ตายเร็วเกินไป ไม่มีทางที่ประมุขชิงจะวู่วามตัดสินใจถอนกองทัพองครักษ์ไปด้วย จะต้องผ่านการครุ่นคิดพิจารณามาแล้วแน่นอน มีหรือที่จะให้เขาโวยวายนิดเดียวแล้วกู้ทุกอย่างกลับมาได้ ?
” เข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว หนิวโหย่วเต๋อปล่อยให้ทัพกบฏยึดครองสายมะเส็ง ก็เพราะต้องการจะร่วมมือกับฝ่ายอื่นกดดันประมุขชิง ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อปราบทัพกบฏได้แล้ว เงื่อนไขในการแลกเปลื่ยนก็คือให้ประมุขชิงถอนัทพออกไป้เลิกสนับสนุนข้า ค่ากลายเป็นเครื่องสังเวยให้ไอ้สารเลวพวกนั้นแลกเปลื่ยนผลประโยชน์กัน! ฮ่า ๆ
…” เฉิงไที่เจ๋อเงย่อหน้าหัวเราะลั่น กำลังหัวเราะเยาะตัวเองหัวเราะจนแทบน้าตาไหลออกมาแล้ว
เชี่ยเซิงกุมหมัดคารวะ กล่าวโน้มน้าวว่า “ท่านอ๋อง ตอนนี้ไม่ใช้เวลามาดูถูกตัวเองด้ย ไม่ควรยอมแพ้ง่าย ๆ ด้วย ควรหาวิธีการอื่นขอรับ!”
เฉิงไที่เจ๋อตบระเบี่ยงฝืนยิ้มอย่างน่าเวทนา “ยังจะมีวิธีการู้อะไรอีก ? ประมุขชิงเห็นข้าเป็นตัวหมากที่ใช้แล้วทิ้ง แล้วข้าก็ล่วงเกินอ๋องที่เหลือไปแล้วด้วย ความตั้งใจที่อ่องเหล่านั้นจะรวมทัพตะวันออก ยังต้องให้ข้าพูดมากอีกเหรอ ? เผชิญความกดดันใหญ่หลวงขนาดนี้ รู้ตองอยู่ในสถานการณ์ที่แพ้แน่นอน เจ้าคิดว่ากำลังพลของข้าจะยังเหลือจิตวิญญาณการต่อสู้อยู่สักเท่าไหร่ ? อย่าบอกน่ะว่าจะให้ข้าคุกเข่ายอมแพ้ต่อเถิงเฟย ? ไม่ว่าใครก็ยอมแพ้ต่อเขาได้ มีแต่ข้าเท่านั้นที่ยอมแพ้ไม่ได้ เถิงเฟยให้ทางรอดชีวิตกับใครก็ได้ แต่มีเพียงข้าเท่านั้นที่เขาให้ทางรอดไม่ได้! เพื่อสนับสนุนให้เถิงเฟยยึดอาณาเขตทัพตะวันออก คนอื่นจะต้องไว้หน้าเขาแน่นอน”
ในตึกศาลำสองแม่ลูกดื่มด้วยกัน ทั้งคู่ล้วนมีสีหน้ากลัดกลุ่มใจ กำลังคิดว่าต้องทิ้งอาณาเขตใหญ่โตขนาดนี้ไปแล้ว ราชินีสวรรค์กับโอรสสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานต้องหดหัวอยู่ในสถานที่ธุรกันดำรอย่างนั้น ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์มาก
เมื่อแน่ใจแล้วว่าเบื้องล่างเริ่มเก็บรวบรวมกำลังพล ชิงหยวนจุนก็วางระฆังดาราแล้วถอนหายใจ “เฮ้อ”
“จุนเอ๋อร์ถอนหายใจทำไม ?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่
ชิงหยวนจุนส่ำย่อหน้ายิ้มเจื่อน “ลูกไม่เต็มใจ!”
รู้ถึงความรู้สึกของนาง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่บอกว่า “ลูกชายข้าอย่าท้อแท้ นี่ไม่นับว่าพ่ายแพ้อะไร ในปีนั้นหนิวโหย่วเต๋อได้รับความยากลำบากครั้งแล้วครั้งเล่าหลายครั้งแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่เขาก็ยิ่งแพ้ยิ่งกล้าหาญ ตอนนี้ได้เป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้แล้ว นี่ก็คือตัวอย่างลูกชายข้าจะสู้กับคนธรรมดาสามัญไม่ได้เชียวหรือ ? แต่ตอนนี้พวกเราถูกสถานการณ์บีบบังคับ ต้องคอยเกรงใจคนอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ คำโบราณกล่าวไว้ดีมาก ถอยหนังกาว ทะเลกว้างฟ้าใส!” คำพูดไพเราะไม่ว่าใครก็พูดได้ทั้งนั้น แต่เมื่อเรื่องราวมาถึงตัวนำง นางกลับไม่ได้สง่าผ่าเผยอย่างนี้
“เสด็จแม่พูดถูก เป็นถูกเองที่ไม่ทำสภาพจิตใจให้ถูกต้อง เพียงแต่ว่า…” ชิงหยวนจุนอึกอักเหมือนอยากพูดอะไร สุดท้ายก็ขมวดคิ้วบอกว่า “คิดไม่ตกว่าตระกูลเซี่ยโห้วคิดยังไงกันแน่ พวกเรายินดีเป็นฝ่ายไปขอพึ่งพาแล้ว ในเมือตั้งใจจะสนับสนุน ทำไมยังต้องให้หนิวโหย่วเต๋อมาเป็นคนกลางอีก ?”
ตอนแรกยังซื่อบื้อก่อกบฏภายใต้อารมณ์โกรธชั่ววูบ ตอนนี้เริ่มสังเกตได้นิดหน่อยว่าเหมือนจะถูกหนิวโหย่วเต๋อจูงจมูกเดินมาตลอด ทว่าสถานการณ์ทำให้เขาไม่มีอำนาจตัดสินใจเลย เดินมาถึงขั้นนี้แล้วเหมือนจะไม่มีทางเลือกมากนัก
ใต้ตึก ฉินฟ่างสวมเกราะรบนำคนหลายสิบคนเดินก้าวยาวมาจากปลายสุดของทางเดิน
พอเดินมาถึงใต้ตึกศาลำ ในบรรดาสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติ เอ๋อเหมยออกมายื่นมือขวาง “ขุนพลฉินมเรื่องอะไร บ่าวจะไปรายงานก่อน!” สายตามองประเมินคนที่ถือดาบถือทวนอยู่ข้างหลัง
ใครจะคิดฉันฟ่างไม่พูดพร่ำทำเพลงเลย จู่ ๆ ก็ชักกระบี่วิเศษออกจากฝัก ถือโอกาสปาดเฉียงขึ้นไป ทำให้เกิดดอกเลอดกลุ่มหนึ่ง
เหนือความคาดหมายโดยสมบูรณ์ เอ๋อเหมยแทบจะตอบสนองอะไรไม่ทันด้วยซ้ำนางเบิกตากว้าง ในดวงตำเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อซี่โครงขวาจนถึงไหล่ขวามีเลือดสาดออกมาก่อนจะพังทลายลงไป ร่างกายท่อนล่างล้มตามลงไปเช่นกัน
เลือดสดสาดเข้ามาฉินฟ่างไม่ได้หลบ ปล่อยให้เลือดกระเด็นใส่ร่างกายตัวเอง
สาวใช้หลายคนที่อยู่ข้างหลังตกใจค้าง คนถือดาบทวันที่อยู่ข้างหลังฉินฟ่างตามสังหารสาวใช้เหล่านั้นทันที่สาวใช้ที่เริ่มระวังตัวบ้างแล้วรีบถลันหลบ ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงกรีดร้อง “มีมือสังหาร มีมือสังหาร…”
ทหารหลายสิบคนไล่ตามสังหาร
ฉินฟ่างที่ปลายกระบี่มีเลือดหยด ถือกระบี่เดินขึ้นมาบนตึกทีละก้าว
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับชิงหยวนจุนที่อยู่บนตึกกำลังรู้สึกสมองมืดทึบ คนหนึ่งส่ำย่อหน้าคนหนึ่งเอามือนวดขมับ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านล่าง สองแม่ลูกตกใจ ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ร่างกายโซเซ ส่วนชิงหยวนจุนก็นั่งกลับลงไป พยายามออกแรงตบหน้าผากตัวเอง
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พลันจ้องอาหารบนโต๊ะ ทำสีหน้าตกใจเสียขวัญ “ในอาหารมียาพิษ! ใครก็ได้…” ตะโกนหลายครั้งแต่ไม่มีเสียงตอบ อยากจะร่ำยอิทธิฤทธิ์แต่กลับพบว่าพลังอิทธิฤทธิ์เชื่องช้าลง ข้างล่างมีเสียงฝีเท้าประชิดเข้ามา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โซเซไปอยู่ข้างกายชิงหยวนจุนทันที่ประคองแขนเขาพร้อมบอกว่า “จุนเอ๋อร์ รีบไป!”
สองแม่ลูกเดินโซเซออกจากโต๊ะ เดินไปได้ไม่ไกลนัก ข้างหลังก็มีเสียงทุ้มต่ำดังมา “เหนียงเหนียง องค์ชาย จะไปไหนักน ?”
พอสองแม่ลูกหันกลับไปมอง สายตำก็หยุดอยู่บนกระบี่วิเศษเปื้อนเลือดบนมือฉินฟ่าง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวทันที่
“รีบหนี้ไป!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ผลักลูกชาย เอาร่างกายมาขวางตรงหน้า ชี้เขาพลางตะโกนว่า “ับงอาจ! ฉินฟ่าง เจ้าคิดจะทำอะไร ?”
เสียงต่อสู้ข้างล่างสงบลงเร็วมาก เสียงกรีดร้องสุดท้ายดังออกมาชิงหยวนจุนเอียงหนามิอง มองจากบนระเบี่ยงเห็นสาวใช้คนหนึ่งของตัวเองใต้ตึกโดนฟันหัวขาด เป็นครั้งแรกที่เจอทหารกบฏอย่างนี้ เขาตกใจจนขวัญกระเจิง ใบหน้าซีดขาว ไม่สนใจมารดาตัวเองแล้ว ล้มลุกคลุกคลานวิ่งหนีอยู่อย่างนั้น
ฉินฟ่างพลิกมือคว้ากระบี่ โบกมือแทงกระบี่ออกมา แสงสะท้อนคมกระบี่แฉลบผ่านตัวเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไป
“อำ!” เสียงกรีดร้องดังขึ้น
เสียงที่คุ้นเคยนั้นทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตัวสั่นขณะหันกลับไปมอง เห็นเพียงชิงหยวนจุนถูกกระบี่วิเศษแทงทะลุหลังแล้ว ตอกไว้บนเสาต้นหนึ่งข้างระเบี่ยง เลือดสดไหลหยดลงมามือเท้าขยับดิ้นรน แต่กลับไม่มีทางหนี้ไปได้ กอดเสาหันกลับมาอย่างไร้เรี่ยวแรง ร้องเรีกยเสียงสั่นว่า “เสด็จแม่ช่วยข้าด้วย…ช่วยข้าด้วย…”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แทบจะตำถลน ตกใจจนทรุดนั่งกับพื้น นางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาข้างกายพอหันไปมองแล้วเห็นว่าเป็นฉินฟ่าง ก็ยื่นมือขวางพลางตวาดถาม “เจ้าคิดจะก่อกบฏเหรอ ?”
ฉินฟ่างก้มมองต่ำกล่าวอย่างเย็นชาวา “คนที่ก่อกบฏคือพวกเจ้าสองแม่ลูกต่างหาก แต่กลับวางกับดักพวกเราแล้ว! เดิมทีคิดว่าติดตามพวกเจ้าสองแม่ลูกแล้วจะมีอนาคตแต่ใครจะคิด…ถอยกลับแดนรัตติกำลัง้นเหรอ ? พวกเจ้าสองคนช่างคิดได้ เจ้าคิดว่าตำหนักสวรรค์ยังจะควักค่าจ้างเลี้ยงทัพใหญ่แดนรัตติกาลหรือไง ? พวกเจ้าสองคนจะเอาอะไรมาเลี้ยงกำลังพลมากขึ้นาดนั้น ?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มองแม่ที่พคนอื่นที่กำลังจ้องมองอย่างดุร้าย ตอบเสียงดังว่า “มีคนให้ทรัพยากร ขอเพียงข้าเอ่ยปาก อ๋องสวรรค์คุมทัพใต้จะต้องให้แน่นอน ทั้งยังมีตระกูลเซี่ยโห้วอีก ฆ่าเขาให้ข้าฆ่าเขาให้เขารีบช่วยองค์ชาย!”
ฉินฟ่างแสยะยิ้ม “ในเมือหวังให้คนอื่นเลียง พวกเรายังต้องห่วงให้พวกเจ้าสองแม่ลูกมาเลี้ยงอีกเหรอยังจำเป็นต้องเชื่อฟังพวกเจ้าสองแม่ลูกอีกเหรอ ?” พูดจบก็เดินไปข้างหน้าต่อ
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ล้มอยู่บนพื้นกระโจนเข้ามากอดขำฉินฟ่างเอาไว้ ส่ำย่อหน้าวิงวอนขอร้อง “ขอร้องเจ้าล่ะ! ข้าขอร้องเจ้าปล่อยจุนเอ๋อร์ไป ช่วยเขาด้วย!”
“เหนียงเหนียงโปรดสารวมกริยา!” ฉินฟ่างยกเท้าขึ้นมา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ล้มไปด้านข้าง หมอบบนพื้นพลางร้องอย่างโศกเศร้า “อย่า!”
พอเดินมาข้างหลังชิงหยวนจุน ฉินฟ่างก็ชักกระบี่แหย่เข้ามาตรงคอชิงหยวนจุนมีเลือดสาดออกมาศีรษะใบใหญ่กลิ้งบนไม้กระดาน จากนั้นร่างก็ล้มลงพื้น
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถลึงตากว้าง รู้สึกโงเขลาอย่างถึงที่สุด ฉากที่อยู่ตรงหน้ารวมทั้งแต่ละฉากในอดีตที่ผ่านมาราวกับเป็นความฝันฉากหนึ่ง
“พำตัวไป!” ฉินฟ่างตะคอก มีคนสองเข้ามาขนาบข้างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่แล้วคล้องแขนลากออกไปทันที่
ส่วนฉินฟ่างก็โน้มตัวเก็บศีรษะของชิงหยวนจุนขึ้นมาชูไปทางตึกไกล ๆ หลังหนึ่งที่หน้าต่างปิดสนิท
ึตกนั้นเปิดหน้าต่างออกครึ่งเดียว ร่างของหยางชิ่งหันหลังให้แล้วหายไป…
ใช้เวลาไม่นาน บนฟ้าก็มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งสังหารเข้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว ผู้บัญชาการทัพก็คือเหิงอู๋เต้า…
ในจวนเทพประจำดาว เยี่ยนหลูหนึ่งในหัวหน้าภาคทั้งห้าของทัพใหญ่แดนรัตติกาล กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในศาลำอาลัยอาวรณ์ทิวทัศน์อันงดงามในจวันนี้เช่นกัน
ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในตำหนักสวรรค์ เวลาส่วนใหญ่ของเขาก็ใช้ไปกับการฟังคำสั่งอยู่ในกองทัพองครักษ์ ตอนหลังถูกย้ายเข้ามาในทัพใหญ่แดนรัตติกาล ยังไม่เคยได้เสพสุขกับจวันทั้งดงามหรูหราขนาด
นี้มาก่อน นี่เพิ่งเสพสุขได้ไม่กี่วัน ผลปรากฏว่าต้องทิ้งไปอีกแล้ว แต่สถานการณ์ก็ทำให้คนทำตามใจตัวเองไม่ได้!
รองหัวหน้าภาคจ้าวเซียนเดินก้าวยาวเข้ามากุมหมัดคารวะ “นายท่าน!”
“ระดมกำลังพลไปถึงไหนแล้ว ?” เยี่ยนหลูเอ่ยถาม
จ้าวเซียนบอกว่า “ใกล้แล้วขอรับ…แต่ข้าน้อยได้ยินข่าวบางอย่างมาจากเพื่อนร่วมงานที่ดีจอมพลสายมะเส็งสถานการณ์ไม่ค่อยดี ไม่รู้ว่าจริงหรือโกหก”
เยี่ยนหลูเหล่ตามอง “มีอะไรก็พูดมาตรง ๆ ไม่ตองอูึกอัก”
จ้าวเซียนขมวดคิ้ว “ได้ยินว่าองค์ชายตายแล้ว”
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน ?” คำพูดของเขาทำให้เยี่ยนหลูตกใจทันที่
จ้าวเซียนบอกว่า “ข้าน้อยก็ได้ยินมาเหมือนกัน ข้าน้อยก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ฟังจากที่อีกฝ่ายพูดก็เหมือนจะใช้่องค์ชายออกคำสั่งให้ถอนทัพกลับแดนรัตติกาล ทำให้คนจำนวนมากไม่พอใจ ฉินฟ่าง หัวหน้าภาคฉินต่อต้านอย่างหนัก องค์ชายโมโหมากต้องการสั่งลงโทษหัวหน้าภาคฉิน ผลปรากฏว่าหัวหน้าภาคฉินนำทหารมาสังหารู้องค์ชายด้วยความโมโห!”
“…” เยี่ยนหลูได้ยินแล้วอกสั่นขวัญแขวน แต่อย่าให้เป็นความจริงเลย ในเวลานี้จะเกิดเรื่องกับชิงหยวนจุนไม่ได้ ทุกคนทรยศตำหนักสวรรค์อย่างเปิดเผยแล้วยังมีความห่วงกับสายสัมพันธ์ระหว่างท่านั้นนกับตระกูลเซี่ยโห้ว
จ้าวเซียนบอกอกว่า “จะจริงหรือโกหก นายท่านติดต่อองค์ชายดูสักหน่อยก็รู้แล้ว”
เยี่ยนหลูจ้องนาเขาครูเดียว จากนั้นก็นำระฆังดาราออกมาติดต่อชิงหยวนจุน ทว่าไม่ว่าจะติดต่ออย่างไรก็ไม่มีการตอบกลับ เขาเริ่มวิตกกังวลแล้ว อย่าให้เรื่องนี้เป็นจริงเลย! เขาอยากจะติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แต่จนใจที่ต่อให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะเป็นหงส์ตกอับ แต่ก็ไม่ทิ้งช่องทางการติดต่อไว้ให้เขาเลย
เขาไม่มีความมั่นใจกับเรื่องนี้ สุดท้ายก็แข็งใจติดต่อฉินฟ่างอีก อยากจะหยั่งเชิงฉินฟ่างสักหน่อย
ใครจะคิดว่าพอติดต่อไปแล้ว เขาก็ยังไม่ทันได้พูดอะไร ฉินฟ่างบอกเขาอย่างหัวร้อนแล้วว่า : พี่เยี่ยน กำลังจะติดต่อเจ้าอยู่พอดี เกิดเรื่องใหญ่แล้ว จู่ ๆ เหิงอู๋เต้าก็นำทัพใหญ่จู่โจมเข้ามาองค์ชายตายอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ที่ชุลมุน หนียงเหนียงบาดเจ็บสาหัส หน่วยของข้าถูกเหิงอู๋เต้าทัพใหญ่ล้อมโจมตี รีบนำทัพมาช่วยหน่อย!
เยี่ยนหลูวิงเวียนศีรษะ รีบถามว่า : องค์ชายตายแล้วเหรอ ?
ฉินฟ่าง : ข้าจะหลอกลวงเจ้าเชียวหรือรีบนำทัพมาช่วย ไม่อย่างนั้นพวกเราจะตายโดยไร้หลุมฝังศพ!
หลังจากติดต่อเสร็จแล้ว เยี่ยนหลัก็ระแวงสงสัยไม่หยุด จ้าวเซียนบอกว่าองค์ชายถูกฉินฟ่างฆ่า แต่ฉินฟ่างก็บอกว่าองค์ชายถูกฆ่าอยู่ในทัพใหญ่ของเหิงอู๋เต้า ไม่ว่าเรื่องไหนจะเป็นความจริง แต่ก็เหมือนว่าองค์ชายจะตายแล้วจริง ๆ!
ข่าวนี้ไม่ชัดเจน จะให้เขาเชื่อฟังไหนดีล่ะ ? เห็นได้ชัดว่าเขาจะไม่เชื่อใครง่าย ๆ จึงรีบติดต่อสมาชิกที่เกี่ยวข้องเพื่อยืนยันอีก ข่าวที่ได้ล้วนี้เป็นองค์ชายรบตาย จอมพลสายมะเส็งกำลังถูกทัพใหญ่ของเหิงอู๋เต้าล้อมโจมตี
พอเก็บระฆังดาราแล้ว เยี่ยนหลัก็กล่าวเสียงต่ำว่า “ถ่ายทอดคำสั่งขาลงไป ให้ทัพใหญ่รีบระดมพลโดยเร็วที่สุด!”
จ้าวเซียนยังไม่รับคำสั่ง แต่ถามกลับว่า “นายท่านรู้สึกว่าไปช่วยตอนนี้ยังทัน หรือขอรับ ?”
เยี่ยนหลูโมโห”หรือว่าเห็นคนเดือดร้อนแล้วจะไม่ช่วย ? ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดกับเหนียงเหนียง หนทางสุดท้ายที่พวกเราจะพึ่งพาตระกูลเซี่ยโห้วก็จะถูกตัดขาดแล้ว!”
จ้าวเซียนบอกว่า “ถ้าไม่มีคำสั่งของอ๋องสวรรค์หนิว นายท่านคิดว่าเหิงอู๋เต้าจะกล้าเคลื่อนทัพโจมตีเหรอ ? ในเมืออ๋องสวรรค์หนิวกล้าลงมือโดยมองข้ามหัวตระกูลเซี่ยโห้ว นายท่านคิดว่ายังจะช่วยไหวอยู่
ไหม ? อ๋องสวรรค์หนิวคือขุนพลผู้มีชื่อเสียงแห่งยุค ไม่ใช้คนที่ลงมือโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ทำไมถึงโจมตีแค่จอมพลสายมะเส็งและปล่อยพวกเรากับคนอื่น ๆ ล่ะ นายท่านไม่รู้สึกว่าในนนมีลับลมคมใน หรือขอรับ ? ตามความเห็นของข้าน้อย นี่เขาต้องการจะใช้กำลังหลักล้อมโจมตีกำลังเสริมชัด ๆ! ข้าน้อยขอถามอีกสักหน่อย ที่นี่คืออาณาเขตของอ๋องสวรรค์หนิว ถ้าเขาต้องการจะลงมือจริง ๆ น่ายท่านรู้สึกว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลของพวกเรายังจะมโอกาสชนะไหม ? กำลังพลของพวกเรากระจัดกระจายกัน เป็นโอกาสดีให้พวกเขาลงมือสังหาร มีหรือที่จะให้โอกาสทัพใหญ่แดนรัตติกาลระดมพล ? เมื่ออ๋องสวรรค์หนิวลงมือก็แสดงว่าเขาเลิกปกป้องพวกเราแล้ว เขายังจะสกัดกองทัพองครักษ์ไม่ให้มาปราบพวกเราได้อีกเหรอ ? เขายังจะปล่อยให้พวกเราหนีกลับแดนรัตติกาลอีกเหรอ ? เกรงวาระหว่างทางกลับแดนรัตติกาลคงโดนทัพใหญ่ของเขาดักแน่”
เยี่ยนหลักัดฟันถาม “ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าบอก พวกเราก็ต้องตายสถานเดียวเหรอ ?”
” ก็ไม่แน่!” จ้าวเซียนส่ำย่อหน้า “ข้าน้อยมีคำแนะนำอย่างหนึ่ง…ยอมแพ้!”
“ยอมแพ้ ?” เยี่ยนหลูมองไปรอบ ๆ แล้วกล่าวปนเสียงหัวเราะเจื่อื่น ๆ “ยอมแพ้ใครล่ะ ? พวกเราเป็นทัพกบฏ ตำหนักสวรรค์จะปล่อยพวกเราไปได้เหรอ ? ใครจะกล้ารับพวกเราไว้ ?”
จ้าวเซียนบอกว่า “ข้าน้อยมีคนคนหนึ่งจะแนะนำให้นำยท่าน รับรองว่าช่วยแก้ไขความกังวลให้นำยท่านได้แน่ ปกป้องชีวิตพี่น้องของหน่วยเราได้แน่!”
เยี่ยนหลูถามทันที่”ใคร ?”
จ้าวเซียนกล่าวช้า ๆ ว่า “ลูกนองค์นสนิทของอ๋องสวรรค์หนิว…สวีถังหรานิทานโหวสวี บังเอิญว่าเขาดื่มน้ำชำอยู่กับข้าน้อยพอดี่”
เยี่ยนหลูพลันเบิกตากว้าง จ้องเขาไม่ละสายตำ

คำพูดจอมปลอมหรือการเสแสร้งอะไรล้วนวางไว้หมดแล้ว ไม่เกิดการถกเถียงอะไรเอ่ย่างที่วังสวรรค์กังวล ไม่จำเป็นต้องให้ฮวาอี้เทียนถ่อมาถึงที่นี่ด้วย ทว่าตอนแรกวังสวรรค์ไม่รู้ถึงท่าทีที่แท้จริงของเหมียวอี้เช่นกัน ไม่รู้ว่าจะเล่นพิเรนทร์อะไร เรื่องบางเรื่องควรส่งคนมาเจรจาดีกว่า

เพียงแต่ลำบากเฉิงไที่เจ๋อกับทัพใหญ่แดนรัตติกาลแล้ว ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าอยู่ดี ๆ ตัวเองจะถูกอำนาจที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังทรยศแล้ว

 เรื่องที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาล ต้องรบกวนท่านบุรุษแล้ว  เหมียวอี้เอียงหน้าพูดกับหยางชิ่งที่อยู่ข้างกายด้วยรอยยิ้ม

หยางชิ่งกุมหมัดคารวะ  เป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของของข้าน้อย 

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วหันกลับมาถามหยางเจาชิ  เตรียมกำลังพลไว้คุ้มครองท่านบุรุษหรือยัง ? 

หยางเจาชิงพยักหน้า  เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ รับรองว่าคุ้มครองท่านบุรุษอย่างไร้ข้อผิดพลาด 

หยางชิ่งกุมหมัดคารวะต่อเหมียวอี้อีก  ท่านอ๋อง เรื่องนี้ชักช้าไม่ได้ ข้าน้อยจะออกเดินทางตอนนี้! 

เหมียวอี้ลังเลนิดหน่อย ก่อนจะบอกว่า  ก่อนเซี่ยโห้วท่าตาย ข้าเคยรับปากเขาไว้ว่าจะพยายามให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้แก่ตายตามอายุขัย ถ้าไม่จำเป็น กอย่าฆ่านาง! 

 เข้าใจแล้ว  หยางชิ่งพยักหน้า กุมหมัดคารวะอีกครั้ง

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะน้อมส่ง เรียกได้ว่าดูแลอย่างดี หยางเจาชิงก็ยื่นมือเชิญเช่นกัน แล้วสาวเท่าเดินออกไปกับหยางชิ่ง

เพิ่งจะออกจากโถงรับแขกได้ไม่นาน ก็เห็นอวิ๋นจือชิวนาคนไม่กี่คนเดินเข้ามา ซูอวิ้นก็อยู่ในนนเช่นกัน

 คานับห่วงเฟย!  หยางชิ่งกับหยางเจาชิงทาความเคารพพร้อมกัน

เห็นสองคนนี้มีสีหน้าทาทางรีบร้อน อวิ๋นจือชิวก็รู้ว่าคงมเรื่องสำคัญของไปทา จึงไม่ได้ถ่วงให้ทั้งสองเสียเวลา พยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินจากไป

หยางชิ่งกับซูอวิ้นเอียงหนามิองฝ่ายตรงข้ามพร้อมกัน เดินผ่านกันไปอย่างนี้ ไม่พูดอะไรสักประโยค หยางชิ่งหันหน้ามองอีกฝ่ายเดินก้าวยาวจากไป

ซูอวิ้นเม้มริมฝีปากแน่น นางไม่รู้ว่าหยางชิ่งออกไปเมื่อไร และไม่รู้ว่าหยางชิ่งกลับมาเมื่อไรด้วย กลับมาแล้วก็ไม่มาหานางสักครั้ง ถ้าไม่ใช้เพราะครั้งนี้บังเอิญเจอเกรงว่าตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าเขากลับมาแล้ว

แม้จะรู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ในใต้หล้าผันผวนรุนแรง หยางชิ่งต้องมีงานสำคัญอะไรต้องจัดการแน่นอน ไม่มีอารมณ์มาคิดถึงความรักลึกซึ้งระหว่างชายหญิง แต่พอเป็นอย่างนี้ ในหัวนางก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา หรือว่าได้ครอบครองแล้วจึงไม่แยแส ?

อวิ๋นจือชิวให้คนข้างหลังรอก่อน ไม่ได้พาเข้ามาในโถงรับแขกด้วย นางเองก็รู้ว่าเหมียวอี้กำลังรับแขกอยู่ทางนี้ จึงถือโอกาสผ่านทางมาเจอสักหน่อย

เมื่อเห็นนางเข้ามาแล้ว เหมียวอี้ก็ถามด้วยรอยยิ้ม  มเรื่องอะไรเหรอ ? 

อวิ๋นจือชิวส่าย่อหน้าถอนหายใจ  เรื่องการแต่งงานของชิงเยว่ ข้าคุยกับนางแล้ว นางบอกว่านางจะไม่แต่งออก จะแต่งเข้า! 

เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ ยังนึกว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร จึงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า  อยากจะหาผู้ชายแต่งเข้าสักคน เรื่องนี้ง่ายมาก อาศัยฐานะตำแหน่งของนาง คงไม่ขาดูแคลนผู้ชายที่เป็นฝ่ายขอแต่งเข้าหรอก 

อวิ๋นจือชิวพูดเสริมอกว่า  นางบอกว่านางจะเลือกผู้ชายสิบคนแต่งเข้ามาพร้อมกันเลย เลี้ยงไว้ในบ้านให้ค่อย ๆ ปรนนิบัตินาง! 

 …  เหมียวอี้เหม่อทันที่มุมปากกระตุกไม่หยุด ไม่รู้ว่าจะบรรยายผู้หญิงคนนี้อย่างไรด้ ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าเป็นบ้าแค่ตอนอยู่บนสนามรบ

จนกระทั่งอวิ๋นจือชิวออกไปแล้ว หยางเจาชิงกลับมาแล้ว เหมียวอี้ก็ยังอยู่ในสภาพเหม่องง ยังดึงสติ๊กลับมาไม่ได้

 ท่านอ๋อง หยางชิ่งไปแล้วขอรับ  พอหยางเจาชิงรายงาน เหมียวอี้ถึงดึงสติ๊กลับมาได้ เขาจัดระเบียบความคิดตัวเอง ออกแรงสั่นหัวแล้วบอกว่า  ทางด้านเหิงอู๋เต้า บอกให้เขาถอนกำลังพลกลับมาดำเนินการตามแผนได้แล้ว 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับ

วังสวรรค์ ตาหนักดาราจักร เมื่อรู้ว่าเจรจากับหนิวโหย่วเต๋อเรียบร้อยแล้ว คนอื่น ๆ ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร แต่อู๋ฉวี่กลับตอบสนองใหญ่โต ยืนกรานคัดค้านไม่ให้ทัพใต้ปราบกบฏ ขอร้องให้กองทัพองครักษ์จัดการเรื่องนี้

ประมุขชิงชี้หน้าด่าเขาภายใต้อารมณ์โกรธ  ตราบใดที่เจ้าสามารถโน้มน้าวเข้าได้ ข้าก็ไม่คัดค้านอะไร!  พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปด้วยความเดือดดาล

ส่วนอู๋ฉวี่ก็ทาสีหน้าผิดหวัง ได้แต่หลับตาส่าย่อหน้า

คนอื่น ๆ ในตาหันก็กได้แต่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา เลิกลั่กแล้ว

สุดท้ายก็เป็นซ่างกวนชิงที่เดินไปข้างกายอู๋ฉวี่ ตบบ่าเขาพร้อมบอกว่า  ไปกันเถอะ พวกเราไปหาโพ่จวินกัน 

อู๋ฉวี่ยิ้มเจื่อน หันตัวเดินก้าวยาวออกไป้ส่วนซ่างกวนชิงก็กุมหมัดคารวะอีกสองคน แล้วสาวเท่าเดินตามอู๋ฉวี่ออกไป้

เพิ่งจะออกจากประตูวังไป จู่ ๆ ข้างหูอู๋ฉวี่ก็มีเสียงของซ่างกวนชิงดังมา  เลี้ยวขวา ฝ่าบาทกำลังรอเจ้าอยู่! 

อู๋ฉวี่หันกลับมามองแวบหนึ่ง ซ่างกวนชิงที่เดินมาข้างกายเขาเฉียดผ่านเขาไป แล้วเลี้ยวเข้าไปในประตูพระจันทร์ด้านขวาโดยตรง ทั้งยังหันกลับมากวักมือเรียกเขาด้วย

อู๋ฉวี่เดินตามไปด้วยสีหน้าสงสัย

พอเข้ามาในลานตาหนักแล้ว ก็ตามซ่างกวนชิงเข้าไปในห้องรับแขก เห็นเพียงประมุขชิงยืนเอามือไขว้หลัง กำลังมองเขาด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ต่างกับท่าทางเดือดดาลก่อนหน้านี้ราวกับเป็นคนละคน จึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยในใจ แต่ก็ยังก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ  ฝ่าบาท! 

 รู้สึกว่าข้าเลอะเลื่อนใช้มั้ย ?  ประมุขชิงถามด้วยรอยยิ้ม

อู๋ฉวี่คิดไปคิดมาก็ยั่งยืนกรานความคิดของตัวเอง  ฝ่าบาท หนิวโหย่วเต๋อแค่ไม่ลงมือเท่านั้นเอง ถ้าลงมือขึ้นมา ทัพกบฏแดนรัตติกาลไม่ใช้คู่ต่อสู้ของหนิวโหย่วเต๋อแน่นอน แม้ทัพกบฏแดนรัตติกาลจะมีโทษสมควรตาย แต่ในมือพวกเขาก็มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายสิบล้านคัน ถ้าตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อในภายหลังจะกลาย

เป็นปัญหาใหญ่แน่นอน ธนูฝ่าอิทธิฤทธ์สิ่บล้านคันที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ตกอยู่ในมือเขาแล้ว! 

ประมุขชิงหรี่ตา  มีหรือที่ข้าจะไม่รู้! เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายสิบล้านคันตกอยู่ในมือเขาเหรอ ? 

  ฝ่าบาทหมายความว่า ?  อู๋ฉวี่งุนงง

ประมุขชิงแสยะยิ้ม  พวกเขาคิดจะช่วยเถิงเฟยรวมทัพตะวันออก เช่นั้นนก็ให้พวกเข้าสู่กันไปเถอะ กำลังพลหลายร้อยล้านของข้าที่ถอนออกมาจะได้เคลื่อนย้ายพอดี เฉิงเฟยกับเฉิงไที่เจ๋อเข่นฆ่ากัน กำลังพลทัพตะวันออกถูกถ่วงไว้หนึ่งสายแล้ว หากตัดใจสละลูกไม่ได้ ก็จับหมาป่าไม้ได้ ในมือทัพกบฏมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมาก หนิวโหย่วถึงเต๋อทาสำเร็จไม่ได้ง่าย ๆ ขนาดนั้นเช่นั้นนก็ต้องทำให้กำลังพลจำนวนมากของหนิวโหย่วเต๋อสิ้นเปลือง ตอนนี้ก็เหลือแค่กำลังพลของอ๋องสวรรค์โค่วกับอ๋องสวรรค์ก่วง พี่ใหญ่พุทธะเคลื่อนัทพออกมาควบคุมสักหน่อย ถึงตอนั้นนทัพใหญ่ของข้าที่เคลื่อนทัพได้ก็จะออกมาหมด เจ้าคิดว่าใครยังจะมาตรึงทัพใหญ่ของข้าได้อีก ? เจ้าคิดว่าข้าจะให้หนิวโหย่วเต๋อกำเริบเสิบสานต่อไปเหรอ ? ถ้าอยากได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายสิบล้านคันั่นน ก็ต้องดูก่อนว่าเขาจะมีชีวิตไปเอาหรือเปล่า! 

อู๋ฉวี่เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน แอบตกใจเช่นกัน ถึงตอนั้นนทัพใต้โดนตีย่อยยับ ทัพตะวันออกเข่นฆ่ากันเองจนเสียหายไปพอสมควร ทั้งสองฝ่ายจะถูกฝ่าบาทจับแยกอาณาเขตแน่นอน จะเหลือแค่อ๋อง

สวรรค์โค่วกับอ๋องสวรรค์ก่วงซึ่งไร้กำลังจะต่อต้านฝ่าบาทได้ ทั้งยังมีประมุขพุทธะคอยควบคุมอีก ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าต่อไปฝ่าบาทจะทาเรื่องอะไร ยามเผชิญหน้ากับแรงกดดันมหาศาลอย่างนี้ ฝ่าบาทคงจะปลุกปั่นให้ทัพตะวันตกกับทัพเหนือเกิดความวุ่นวายภายในได้อย่างง่ายดาย แล้วถือโอกาสแบ่งแยกอีกครั้งในครั้งเดียว ถึงตอนั้นนสี่ทัพที่ยึดครองใต้หล้ามาหลายปีก็ไร้กำลังจะต่อต้านตาหนักสวรรค์อีก!

 ฝ่าบาทปราดเปรื่องเป็นข้าน้อยเองที่โงเงา!  อู๋ฉวี่รีบกุมหมัดขออภัย

ประมุขชิงเอามือไขวหลังเดินไปเดินมาช้า ๆ  นี่เป็นเพราะตระกูลเซี่ยโห้วกดดัน ตอนที่เซี่ยโห้วท่ายังอยู่ มีจิ้งจอกเฒ่านั่นจับตาดูอยู่ ข้าหวาดกลัวมาก ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม หาโอกาสลงมือไม่ได้ด้วย เรื่องที่ตาหนักเย็น ตอนแรกข้าก็หาเบาะแสไม่เจอไม่รู้ความตื้นลึกของเฉาหม่ำน ไม่กล้าทำอะไรวู่วามด้วย พอมาดูตอนนี้แล้ว เฉาหม่ำนแตกต่างกับบิดาของเขามาก ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าปลุกปั่นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ในที่สุดข้าก็เห็นโอกาสลงมือแล้ว จุดที่น่ากลัวที่สุดของตระกูลเซี่ยโห้วก็คือวิธีการเหนือชั้นที่ลึกลับจนเทพไม่รผูี้ไม่เห็น ปลุกปั่นศึกใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมา ภายใต้การกวาดล้างทั่วสารทิศ ข้าก็อยากจะเห็นว่าพวกเขาจะก่อกวนยังไง! 

 เรื่องนี้ควรจะบอกโพ่จวิน เขาจะได้รู้ถึงความทุ่มเทของฝ่าบาท มีโพ่จวินออกมาควบคุมหน่วยองครักษ์ซ้าย…  อู๋ฉวี่กล่าว

ประมุขชิงโบกมือตัดบท  แผนการนี้โพ่จวินรู้ก่อนเจ้าแล้ว ให้เขารออยู่ข้าง ๆ ก่อนเถอะ เล่นละครไงล่ะ ต้องเล่นให้สมจริงสักหน่อย ตระกูลเซี่ยโห้วลึกลับซับซ้อน ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าเขากระจายสายลับไว้เยอะขนาดไหน ถ้าจะบอกว่าในโครงสร้างที่ใหญ่โตอย่างกองทัพองครักษ์ไม่มีคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ข้าก็ไม่เชื่อหรอก พอเรื่องที่ตาหนักเย็นรั่วไหล ก็เท่ากับเป็นการเตือนข้าแล้ว เป็นการเตือนเจ้าด้วย หลังจากกลับไปเจ้าเตรียมกระจายงานอย่างเป็นความลับ อย่าให้มีข่าวหลุดไป แผนการสำคัญขนาดนี้ ข้าปกปิดแม้กระทั่งซือหม่ำและเกาก้วน ไม่อยากให้มีช่องโหว่อะไร เข้าใจหรือยัง ? 

  ข้าน้อยน้อมรับบัญชา!  อู๋ฉวี่กุมหมัดรับคำสั่ง ความกังวลในใจถูกกวาดหายไปหมดสิ้นแล้ว

จวนจอมพลสายมะเส็ง ตั้งอยู่ในจุดที่เต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณ สภาพแวดล้อมงดงามราวกับแดนสวรรค์ เจ้าของเดิมที่อยู่ในจวนออกไปแล้ว

ในตึกศาลา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่กำลังหันมองรอบๆ รู้สึกไม่อยากจากที่นี่ไปเลย สภาพแวดล้อมของที่นี่ดีกว่าจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลตั้งเยอะ

หยางชิ่งกำลังชี้แนะอยู่ข้าง ๆ ว่าสามารถถอนทัพได้แล้ว ในใจชิงหยวนจุนไม่ค่อยอยากจากไป สถานที่ใหญ่โตที่มีทรัพยากรหลากหลาย ไม่ใช้สิ่งที่แดนรัตติกาลจะเทียบติด อย่างน้อยการขยาย

ทัพก็ทำได้สะดวกกว่าเยอะ ถ้าทิ้งไปก็เสียดายไปหน่อย เขาถามอย่างสงสัยเล็กน้อยว่า  ข้าได้ยินมาว่า ทางทัพตะวันออกเมฆแห่งสงคราม

กำลังก่อตัวหนาแน่นแล้ว เหมือนท่านอ๋องก็จะใช้กำลังทหารเหมือนกัน ด้านหลังว่าง เปล่า พวกเราจะอยู่ต่อเพื่อสร้างความมั่นคงด้านหลังให้ท่านอ๋องดีมั้ย ? 

ประโยคที่กล่าวด้วยน้ำเสียงธรรมดาของหยางชิ่งทำให้ชิงหยวนจุนหัวใจกระตุกวูบ ถูกประโยคนี้อุดปากจนพูดไม่ออก

พอได้ยินว่ากองทัพองครักษ์สามร้อยล้านกว่า เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็กลัวจนตับสั่นเช่นกัน รีบหันตัวมาโน้มน้าว  จุนเอ๋อร์ ท่านน้าของเจ้าพูดไม่ผิด ออกคำสั่งถอนทัพเถอะ! 

ชิงหยวนจุนพยักหน้า แล้วออกคำสั่งถอนทัพทันที่

ทว่าเกิดผลสะท้อนกลับจากเบื้องล่างเร็วมากำลังพลที่ประจำอยู่ตามจุดต่าง ๆ กำลังคิดว่าจะรวมกำลังสรรพวุธเพื่อยึดครองทรัพยากรอย่างไร ผลปรากฏว่ายังนั่งก้นไม่ทันร้อนก็จะถอนัทพอีกแล้ว ที่ตอนแรกบอกว่ามีตระกูลเซี่ยโห้วสนับสนุน ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงพะวงหลังเป็นเพียงคำพูดเหลวไหลอย่างนั้นเหรอ ? ถ้าไม่มีผลประโยชน์นี้ ตอนแรกใครจะอยากร่วมก่อกบฏไปกับเจ้าล่ะ ?

ชิงหยวนจุนทำตามที่หยางชิ่งบอก บอกเบื้องล่างว่าเป็นแค่แผนถ่วงเวลาฝ่ายตรงข้าม ไฟสงครามทางฝั่งทัพตะวันออกอาจจะเผาเข้า

มาในอาณาเขตทัพใต้ ตอนนี้หลบเลี่ยงชั่วคราว รักษากำลังเอาไว้เท่านั้น ตอนหลังก็ยังต้องกลับมาอีก

เป็นเพราะคนของทัพใหญ่แดนรัตติกาลหลอกง่าย ล้วนี้เป็นกำลังพลที่ย้ายมาจากกองทัพองครักษ์ หลายปีมานี้ประมุขชิงก็ตั้งใจจะควบคุมทัพใหญ่แดนรัตติกาลเช่นกัน ทำให้ความสามารถในการรับข่าวสารของคนเหล่านี้อ่อนแอมาก ล้วนไม่มีช่องทางข่าวสารเป็นของตัวเองเลย ข่าวบางอย่างที่ได้มาก็ไม่ต่างอะไรกับข่าวลือตามข้างทาง

สุดท้ายกำลังพลเหล่านี้ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็น ทำได้เพียงถอนกำลังพลตามคำสั่ง

หลังจากจัดการเรื่องนี้เรียบร้อย เดินผ่านข้างกายสองแม่ลูกออกไป้หยางชิ่งที่เดินออกจากลานตาหันก็กมายืนคุยกับฉินฟ่างอยู่ใต้ชายคา

 สถานการณ์เบื้องล่างเป็นยังไงบาง ?  หยางชิ่งถ่ายทอดเสียงถาม

 มีบ่นบ้าง แต่ก็กำลังถ่ายทอดคำสั่งเก็บรวมกำลังพล  ฉินฟ่างตอบ

 ลงมือได้แล้ว ไม่ต้องฆ่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่  หยางชิ่งพูดทิ้งท้ายแล้วก้าวช้า ๆ เดินจากไป

 

จะไม่ให้เขากังวลคงไม่ได้ถ้าเหมียวอี้ยอมแลกทุกอย่างและทาซีซวั้ขึ้นมาสถานการณ์ที่สมดุลก็จะถูกทาลายฝ่ายเขาเองก็พูดได้ยากว่าจะไม่ได้รับผลกระทบไปด้วย

สามารถเรียกว่า‘น้องชาย’ได้ก็เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่รบอวิ๋นจือชิวเป็นบุตรสาวบุญธรรมในปีนั้นได้ผ่านไปแล้วแม้เบื้องล่างจะมีคนเอ่ยถึงเรื่องนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้แต่หลังจากเหมียวี้อขึ้นั่นงตำแหน่ง๋อองเวลาคนตระกูลโค่วเจอเหมียวอี้โดยทั่วไปก็จะเรียกว่าท่าน๋อองเจออวิ๋นจือชิวก็เรียกเหนียงเหนียงเรื่องในอดีตทุกคนล้วนอยู่ในใจแต่งกลับแสรงท้าเป็นลุมไปหมดแล้ว

เหมียวอี้ตอบอย่างไม่ลังเล : ไม่มีอะไรให้เจรจา!

โค่วหลิงซวี :น้องชายเป็นคนฉลาดเรื่องของชิงหยวนจุนเดาว่าเจ้าคงไม่ได้มองเบาะแสไม่ออกการที่ตระกูลเซี่ยโห้วบอกเรื่องกำลังพลดักซุ่มที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ให้เจ้ารู้ในเวลานี้ก็ชัดเจนแล้วว่าจงใจสร้างความขั้ดแย้ง น้องชายต้องไตร่ตรองให้ดี่

เหมียวี้อถามกลับว่า :อย่าบอกน่ะว่าในสายตาท่าน๋อองหนิวเป็นคนโง่คนหนึ่ง ? อาณาเขตที่ข้าลำบากลาบนช่วงชิงมามีหรือที่จะมอบให้คนอื่นเฉย ๆ ?

โค่วหลิงซวีกำลังสงสัยเรื่องนี้พอดี :เจ้าคิดจะทำอะไร ?

เหมียวอี้ :ประมุขชิงวางกับดักข้าไปแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยผ่านไปอย่างนี้ข้าเองก็ทาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ด้วยข้าจะปล่อยให้เขากลั่นแกล้งตามอำเภอใจได้ยังไง!ท่าน๋อองไม่รู้สึกว่าตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะรวมทัพตะวันออกเหรอ ?

โค่วหลิงซวีชะงักไป : หมายความว่ายังไง ?

เหมียวอี้ :เรื่องนี้ประมุขชิงต้องให้คำชี้แจงกับข้า ถ้าจะพูดให้ถูก็กคือจะให้เกิดแนวโน้มนี้ในระยะยาวไม่ได้ต้องให้คำชี้แจงกับพวกเราทุกคน!ข้าสามารถกำจัดทัพใหญ่แดนรัตติกาลได้สามารถช่วยเขาปราบกบฏได้ทำให้เขาเลิกสนับสนุนเฉิงไที่เจ๋อก็คงไม่เกินไปใช้ไหม ?

โค่วหลิงซวีตาเป็นประกายเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดเหมียวอี้แล้วี่นคือโอกาสดีที่จะกู้สถานการณ์กึ่งแข่งขันกึ่งร่วมมือของสที่พเพื่อคานอำนาจกับประมุขชิงไม่อย่างนั้นก็จะเหมือนทัพตะวันออกก่อนหน้านี้เถิงเฟยกับเฉิงไที่เจ๋อไม่รวมกันถูกประมุขชิงใช้ประโยชน์ได้ง่ายมากี่นคือโอกาสดีที่จะแก้ไขปัญหาที่จะตามมาในภายหลังต่อบทันที่ว่า :ไม่เลว!ข้าก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน

เหมียวอี้กล่าวเสริมอกว่า :เมื่อครูนี้ก่วงลิ่งกงเพิ่งติดต่อข้าข้าแสดงท่าทีชัดเจนมากก่วงลิ่งกงก็เห็นด้วยเหมือนกัน

หลังจากทั้งสองติดต่อกันจบโค่วหลิงซวีก็รีบติดต่อก่วงลิ่งกงอีกจนกระทั่งเก็บระฆังดาราแล้วก็ส่าย่อหน้าแสยะยิ้ม ข้าว่าแล้วว่าเจ้าเด็กนั่นไม่มีทางทิ้งอาณาเขตตัวเองไปเฉย ๆ 

.

 เขาพูดว่ายังไงขอรับ ?  ถังเฮ่อเหนียนสงสัย

โค่วหลิงซวีเล่าให้ฟังคร่าว ๆ แล้วยกมือขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย บอกกำลังพลที่พวกเรารวบรวมไว้เข้าไปในเขตทัพตะวันออกสร้างความกล้าให้เถิงเฟย!ราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยับงอาจลอบสังหาร๋อองสวรรค์ทัพใต้ปล่อยให้เกิดแนวโน้มนี้ในระยะยาวไม่ได้จริง ๆ ข้าต้องการเจรจากับประมุขชิงให้ดี่ 

 เข้าใจแล้วขอรับ  ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้าตอบ

ส่วนเหมียวี้อีที่นี้งอยู่ในห้องหนังสือหลังจากติดต่อกับโค่วหลิงซวีเสร็จแล้วก็ถือระฆังดาราเล่นพลางชาเลืองหยางชิ่ง ไม่รู้ว้าฝั่งประมุขชิงจะยอมถอย หรือเปล่า 

หยางชิ่งบอกว่า ทัพใต้ทัพเหนือล้วนมีท่าทีสนับสนุนเถิงเฟยกอปรกับประมุขชิงกลวัตระกูลเซี่ยโห้วภายใต้ความกดดันี้นขอเพียงท่าน๋อองรับปากว่าจะกำจัดทัพกบฏแดนรัตติกาลยังจะสนับสนุนเฉิงไที่เจ๋อต่อไปหรือไม่ประมุขชิงคงตัดสินใจเลือกได้ไม่ยาก!ถ้าปกป้องเฉิงไที่เจ๋อต่อไปไม่เพียงแค่จะจำกัดทัพกบฏแดนรัตติกาลไม่ได้ทั้งยังจะถูกอำนาจหลายฝ่ายร่วมมือกันโต้ตอบด้วยทาเพื่อเฉิงไที่เจ๋อแล้วได้ไม่คุ้มเสียประมุขชิงย่อมปล่อยผ่านบัญชีแค้นี้นไป! 

เหมียวี้อขานรับแล้วหยิบระฆังดารามาติดต่อเถิงเฟยอีกเมื่อเชื่อมสัญญาณติดแล้วก็ขี้คร้านจะทำให้มากพิธีบอกโดยตรงว่า :พี่

เถิงทัพใต้กับทัพเหนือตอบตกลงที่จะสนับสนุนเจ้าแล้วต่อไปก็ต้องดูเจ้าแล้ว!

เถิงเฟยยังมีท่าทีคลุมเครือเห็นได้ชัดว่าไม่เห็นกระต่ายไม่ปล่อยเหี่ยยว

เหมียวอี้ไม่พูดพร่าทาเพลงหลังจากติดต่อจบแล้วก็ติดต่อเฉิงไที่เจ๋อต่อตามแผนของหยางชิ่ง

หลังจากทักทายตามมารยาทนิดหน่อยเฉิงไที่เจ๋อก็เหมือนอารมณ์ดีพอสมควร ยังมีกะจิตกะใจพูดล้อเล่น : ท่าน๋อองหนิว อาณาเขตอันกว้างใหญ่ของทัพใต้เป็นสิ่งที่ท่าน๋อองลำบากช่วงชิงมาทำไมถึงยอมยกให้ชิงหยวนจุนล่ะ ?

เหมียวี้อถาม :ท่าน๋อองเฉิงเจ้าตัดสินใจแน่วแน่แล้วเหรือวาจะไปพึ่งพาประมุขชิง ?

เฉิงไที่เจ๋อ : ข้าก็ไม่อยากทาอย่างนี้หรอกแต่มีบางคนรังแกกันเกินไป ไม่ยอมให้โอกาสรอดชีวิตกับข้า!

เหมียวอี้เตือนว่า :จะไม่มีทางรอดชีวิตได้ยังไง ? น้องชายยินดีมอบโอกาสรอดชีวิตให้ท่าน๋อองเฉิงถ้าประมุขชิงทอดทิ้งท่าน๋อองเฉิงแล้วก็มาหาน้องชายได้เลยน้องชายไม่มีทางเห็นคนลำบากแล้วไม่ช่วยหรอก!

เฉิงไที่เจ๋ออยากจะด่าแม่แต่ปากยังกล่าวอย่างสุภาพว่า :เช่นั้นนข้าต้องขอบคุณท่าน๋อองหนิวหรือเปล่า ?

เหมียวอี้ :ถ้าจะขอบคุณก็เอาไว้พูดทีหลังแล้วกัน

แล้วทั้งสองก็จบการติดต่อเพียงเท่านี้

เฉิงไที่เจ๋อเก็บระฆังดาราเงยบ ๆ เดินไปเดินมาในห้องไม่หยุด ไม่รู้วาจู่ ๆ เหมียวอี้ติดต่อมาพูดอย่างนี้หมายความว่าอะไร…

จวน๋อองสวรรค์ก่วงโกวเยว่เดินมาริมทะเลสาบรายงานก่วงลิ่งกงที่กำลังตกปลาวา ท่าน๋อองพวกเราเคลื่อนย้ายกำลังพลแล้วกำลังพลฝั่งทัพเห็นอกเคลื่อนไหวแล้วเหมือนกันมีแค่ทัพใต้ที่เหมือนยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร 

ก่วงลิ่งกงกล่างเสียงเรียบว่า ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อยังไม่มีทางเคลื่อนทัพได้กำลังพลของเขายังต้องรอเจรจากับประมุขชิงและอยู่ปราบทัพกบฏแดนรัตติกาลก่อน 

โกวเยว่ลังเล ตอนนี้กองทัพองครักษ์ที่กดดันอยู่ไหนทัพตะวันออกยังไม่ถอนกำลังเถิงเฟยก็ไม่มีท่าที่ว่าจะลงมือด้วย…บอกเถิงเฟยไปแล้วแต่ทางฝั่งเถิงเฟยเป็นหน่งหน้าไฟไม่รู้วาจ้ะลังเลหรือเปล่า ? 

ก่วงลิ่งกงหัวเราะเหยียดหยาม ลังเลเหรอ ? โล้กีนีมเรื่องดี ๆ ให้ชุบมือเปิบโดยไม่ขาดทุนเลยเสียที่ไหน ? คนอื่นจะยอมมอบทัพตะวันออกให้เขาดี ๆ เชียวหรือ ? แล้วอีกอย่างตอนนี้ขอทำตามใจตัวเองได้เหรอ ? เดียวไปบอกเขาด้วยว่าถ้าเขายินดีที่จะเป็นอ๋องสวรรค์ครึ่งเดียวพวกเราก็สามารถสนับสนุนเฉิงไที่เจ๋อได้ จะเป็นเฉิง

ไที่เจ๋อที่ล้มหรือจะเป็นเขาที่ล้มก็ให้เขาเลือกเองตามสบายเจ้าวางใจเถอะ พอกองทัพองครักษ์ถอนกำลัง เขาจะต้องลงมือแน่! 

โกวเยว่พยักหน้า

 เม่ยเอ๋อรย์งไม่ออกจากการฝึกตนเหรอ ?  ก่วงลิ่งกงพลันเอ่ยถาม

โกวเยว่ตอบด้วยเสียงที่เบาลง โดยส่วนใหญ่คุณหนูไม่ได้ติดต่อกับใครเลยเก็บตัวตั้งใจฝึกวิชามาตลอด 

 ข้าทาผิดตอนางหลังจากจบเรื่องในครั้งนี้เรื่องชีวิตการแต่งงานของนางข้าจะให้นำงเลือกเอง ข้าจะไม่แทรกแซ่งอีกแล้ว ก่วงลิ่งกงถอนหายใจเบา ๆ บนใบหน้าเริ่มฉายแววขุ่น เคือง ชิงหยวนจุนเจ้าเด็กนั่นหวังว่าหนิวโหย่วเต๋อจะไม่ปล่อยให้เขาหนี้ไป! 

ในปันั้นี่ทิชงหยวนจุนประกาศออกมาก็นับว่าทาลายชีวิตการแต่งงานของก่วงเม่ยเอ๋อร์แล้วใครจะกล้าแย่งผู้หญิงกับโอรสสวรรค์ล่ะ ? เดิมทีนึกว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์จะต้องโดดเดียวไปจนแก่แต่ใครจะคิดว่าจู่ ๆ ชิงหยวนจุนจะก่อกบฏสุดท้ายก็ทำให้ก่วงลิ่งกงเจอโอกาสแก้ไขความรู้สึ้กผิดในใจแล้ว

หลักการก็ไม่ซับซ้อนพอชิงหยวนจุนตายแล้วผู้ชายคนอื่นก็ย่อมหมดความกังวล อาศัยความงามของก่วงเม่ยเอ๋อร ก็ไม่ต้องกลั่ววาจะไม่มีผู้ชายมาจีบสามารถปล่อยให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์เลือกได้เต็มที่เลย

เรื่องราวในโลกนี้เปลื่ยนแปลงไม่หยุดนิ่งห่วงติ้งเฉาที่เสนอแผนการให้ชิงหยวนจุนทาลายชีวิตการแต่งงานของก่วงเม่ยเอ๋อรตอนนี้กำลังกายด้วยนะมึงชิงหยวนจุนแล้ว

จวน๋อองสวรรค์เถิง ในตาหนักใหญ่ เถิงเฟยเดินไปเดินมาไม่หยุด ในใจรู้สึกกระวนกระวาย

ทัพตะวันตกกับทัพเหนือล้วนแสดงท่าทีชัดเจนว่าจะสนับสนุนเขา และข่าวที่ส่งมาก็พิสูจน์แล้วด้วยสองทัพส่งกำลังพลกลุ่มใหญ่มาสนับสนุนแล้วตามหลักแล้วเป็นเรื่องดีแต่ยามเผชิญหน้ากับกองทัพองครักษ์ที่สนับสนุนเฉิงไที่เจ๋อถ้าลงมือต่อสู้กันขึ้นมาเขาก็จะเป็นหน่งหน้าไฟ้ตองเสียหายหนักอย่างเลี่ยงไม่ได้

ทว่าหนิวโหย่วเต๋อก่วงลิ่งกงและโค่วหลิงซวรี่วมมือกันกดดันแล้ว เกรงว่าถ้าจะไม่เคลื่อนทัพคงไม่ได้ด้านหนึ่งเป็นกองทัพองครักษ์กับเฉิงไที่เจ๋อร่วมมือกันกดดัน อีกด้านี้เป็นสาม๋อองร่วมมือกันกดดัน เขาถูกขนาบอยู่ตรงกลางลำบากมาก

ัวงสวรรค์ในตาหนักดาราจักรประมุขชิงสีหน้าบึ้งตึงหลายวันมานี้เขาไม่ได้ออกจากตาหนักดาราจักรเลย

เขาย่อมรู้เรื่องที่ทัพตะวันตกกับทัพเหนือเคลื่อนไหวไม่เพียงแค่เท่านี้ก่วงลิ่งกงกับโค่วหลิงซวียังเดือดดาลกับเรื่องที่เขาส่งทหารไปลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อมากพากันประณามเขาอย่างต่อเนื่องกดดันให้เขาเลิกสนับสนุนเฉิงไที่เจ๋อเดียวนี้ไม่อย่างนั้นพวกเขากับหนิวโหย่วเต๋อจะร่วมกันเปิดศึกต่อเขาพร้อมทั้งประกาศต่อใต้หล้า

อย่างเป็นทางการว่าสนับสนุนให้ชิงหยวนจุนี้เป็นราชันองค์ใหม่ การกระทำนี้ไม่ต่างอะไรกับร่วมมือกัน

นอกจากทัพเกรียงไกรสิบล้านที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์จะทำไม่สำเร็จแล้วทั้งยังล้มตายหมดด้วยการลอบสังหารเหมือนจะยั่วโมโห่กวงลิ่งกงกับโค่วหลิงซวีมาดทำให้แผนการของเขาพังในช่วัพริบตาเดียวนึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นอย่างนี้แค่คิดก็รู้แล้วว่าประมุขชิงรู้สึกอย่างไร

หลายคนในตาหนักเงยบไป ต่างก็กำลังรอผลการเจรจาจากฮวาอี้เทียนถ้าเจรจาสำเร็จก็แล้วไปถ้าเจรจาไม่สำเร็จคาดว่าใต้หล้านี้คงตกอยู่ท่ามกลางการเข่นฆ่า..

 ท่าน๋อองหนวิ๋อองสวรรค์คุมทัพใตผู้สง่าผ่าเผยพูดจากลับกลอกแบบนี้เหมาะสมแล้วเหรอ ? 

จวน๋อองสวรรค์หนิวในโถงรับแขกฮวาอี้เทียนมาถึงอีกครั้งพบกันครั้งนี้ไม่เกรงใจแล้วถามไปตรง ๆ เลยย่อมหมายถึงเรื่องที่เหมียวอี้บอกว่าจะปล่อยกองทัพองครักษ์ก่อนหน้านี้ผลปรากฏว่านอกจากจะผ่านไปนานขนาดนี้แล้วยังปล่อยไม่หมดตอนนี้ยังกักไว้เต็มที่ด้วย

ไม่เห็นอีกฝ่ายไม่นั่งเหมียวอี้ก็ยืนประสานมือตรงทองอยู่ตรงข้ามีอีกฝ่าย ถาม ด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า ถ้าเจ้าถ่อมาเพื่อพูดสิ่งเหล่านี้ข้าก็ไม่ขัดขวางเจ้าหรอก เจ้าไปได้เลย แต่เจ้าจะกล้าไปเหรอ ? 

  ถ้าไม่กล้าไปเพียงแต่การวางตัวของท่าน๋อองทำให้คนไม่กล้าสรรเสริญจริง ๆ ฮวาอี้เทียนกล่าว

เหมียวอี้แสยะยิ้ม แล้วการวางตัวของประมุขชิงเป็นยังไงล่ะ ? ดักซุ่มกองทัพองครักษ์สิบล้านไว้ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ฆ่าสังหารตายหมดจนไม่เหลือแม้แต่เกราะไม่รู้ว้ายังพิสูจน์การวางตัวของประมุขชิงได้อยู่หรือเปล่า ? ประมุขชิงจงใจวางแผนที่าร้ายข้า จะให้ข้ายินดีให้ความร่วมมือเชียวเหรอ ? ซีเหม็นอู๋เห่ยคาดว่าผู้ตรวจการใหญ่คงรู้จักนะ ? 

ฮวาอี้เทียนเม้มริมีฝปากแน่นกาหมัดสองข้างในกระบอกแขนเสื้อแน่นซีเหม็นอู๋เห่ยก็คือผู้บังคับบัญชาของเขา

ในเมือวังสวรรค์ส่งเข้ามาเจรจาแล้วสถานการณ์บางอย่างก็ย่อมบอกเขาได้ กองทัพองครักษ์สิบล้านเชียวนะ!

 บอกมาเถอะ ท่าน๋อองต้องการู้อะไร ?  ฮวาอี้เทียนถามเสียเย็น

เหมียวอี้ตอบว่า ข้าต้องการู้อะไรตอนนี้ฝ่าบาทน่าจะร้อยู่แก่ใจเจ้าเองก็คงมีข้อมูลในใจแล้วให้กองทัพองครักษ์ถอนกำลังออกจากทัพตะวันออกเดียวนี้เลิกสนับสนุนเฉิงไที่เจ๋อ! 

 ได้! ฮวาอี้เทียนตอบรับอย่างไม่ลังเล แต่ฝาบ่าทก็มีเงื่อนไขหนึ่งเหมือนกันทัพใต้ต้องหลีกทางอย่าขัดขวางกองทัพองครักษ์ในการปราบกบฏ! 

 เรื่องนี้ไม่ได้หรอก!ถ้าปล่อยพวกเจ้าเข้ามาแล้วโดนพวกเจ้าควบคุมจุดยุทธศาสตรพอประมุขชิงกลับคาข้าก็หาเรื่องใส่ตัวน่ะสิ เหมียวอี้ตอบ

ฮวาอี้เทียนส่าย่อหน้าช้า ๆ เรื่องนี้เจรจาไม่ได้องค์ชายก่อกบฏอย่างเปิดเผยเป็นไปไม่ได้ที่ฝาบ่าทจะปล่อยไปถ้าไม่ตอบตกลงเรื่องนี้เช่นั้นนพวกเราก็ทำได้เพียงใช้สงครามแก้ปัญหาต้องกำจัดทัพกบฏ! 

 ได้ข้าจะหลีกทางให้อีกครั้งความวุ่นวายบนอาณาเขตทัพใต้ไม่ต้องให้คนอื่นมาจัดการหรอกข้าจะปราบทัพกบฏเองเป็นยังไง ?  เหมียวี้อถาม

ฮวาอี้เทียนขมวดคิ้วมุ่นฟังดูแล้วก็เหมือนจะไม่มีอะไรไม่ดีทั้งยังลดความเสียหายของกองทัพองครักษ์ได้ด้วยจึงหยิบระฆังดาราติดต่อกับฝั่งวังสวรรค์เพราะเขาไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้

หลังจากั่ฝงวังสวรรค์ตอบกลับมาแล้วฮวาอี้เทียนก็บอกว่า ก็ได้!แต่ใช้ว่าท่าน๋อองพูดอะไร แล้วจะว่าตามนั้นต้องรอให้ท่าน๋อองเคลื่อนทัพปราบกบฏขเพียงได้เห็นความจริงใจของท่าน๋อองเราถึงจะถอนกำลังพลกองทัพองครักษ์ออกจากทัพตะวันออกไม่ทราบว่าท่าน๋อองคิดว่ายังไง ? 

  ได้!ตกลงตามนี้หวังว่าฝ่าบาทจะรักษาสัญญาเหมือนกันไม่อย่างนั้นก็รับผลที่ตามมาเอาเอง! เหมียวพยักหน้า

 ขอตัว! ฮวาอี้เทียนพูดทิ้งท้ายแล้วหันตัวเดินออกไปเลย ส่งตรงนี้! เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ

 

 ยอมให้อาณาเขตเหรอ ?  ประมุขชิงพลันหี่รตาสะกิดโดนี้จัดออนไหวของเขาแล้ว

สิ่งที่เขากังวลที่สุดก็คืออำนาจฝ่ายอื่นจะสมคบกับชิงหยวนจุนและตระกูลเซี่ยโห้วอิทธิพลที่ทำให้ชิงหยวนจุนกับเซี่ยโห้วเฉิงอวที่รยศอำนาจที่ลึกลับของตระกูลเซี่ยโห้วไหนจ๋ะอองสวรรค์ที่กุมอำนาจทางทหารไว้อย่างเปิดเผยขนาดนั้นถ้าสิ่งเหล่านี้สมคบกันผลที่ตามมาก็เลว้รายจนไม่อยากจะคิดถึงดังนั้นเขาจึงระมัดระวังมาตลอดโดยไม่กล้าแตกคอกัน

ในตอนนี้เรื่องราวเหมือนกำลังดำเนินไปในทิศทางที่เขาไม่อยากเห็น!

ตอนแรกเขากังวลวาหนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลเซี่ยโห้วจะไปสมคบกันทำไมเขาถึงอยากกำจัดหนิวโหย่วเต๋อล่ะ ? ก็เพราะมีความกลัวนี้อยู่!เขายอมทิ้งเรื่องที่ลูกทรพีก่อกบฏไว้ก่อนชั่วคราวและต้องจับตาดูเถิงเฟยไว้ตลอดด้วยที่จริงแล้วก็ทาไปเพื่อป้องกันเรื่องนี้เขาระวังหนิวโหย่วเต๋อมาโดยตลอด!

ซือหม่ำเวิ่นเทียนพยักหน้าบอกว่า กำลังพลอื่น ๆ ในอาณาเขตทัพใต้เหมือนไม่ได้เตรียมจะช่วยเหลือสายมะเส็งยามเผชิญหน้ากับทัพใต้เดิมทีกำลังพลของทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็อ่อนแออยู่แล้วไม่

น่าเชื่อว่าจะกล้ากระจายกำลังทหารโจมตีทั่วทั้งอาณาเขตสายมะเส็งราวกับไม่กลัวสักนิดว่าจะถูกทัพใต้โจมตีกลับสายมะเส็งเองก็ไม่ได้ต่อต้านด้วย! 

ดวงตาประมุขชิงเผยความดุร้ายรอบกายปรากฏกลิ่นอายสังหารราง ๆ จู่ ๆ ก็ชี้ไปที่ซ่างกวนชิง ติดต่อหนิวโหย่วเต๋อให้เขาเคลื่อนทัพเดียวี้นถ้าไม่กำจัดทัพใหญ่แดนรัตติกาลข้าก็จะกำจัดเขาเอง! 

ทุกคนตรงันนี้เงยบไปรู้วาเรื่องนี้ล้าเส้นของเขาแล้วี่นคือคำสั่งสุดท้ายของเขาไม่เสียดายที่จะเปิดศึกอย่างเต็มที่!

 ขอรับ!  ซ่างกวนชิงโค้งตัวเอ่ยรับ…

ในดาราจักรอันกว้างใหญ่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลราวกับดอกไม้เบ่งบานตลอดทางยึดครองสายมะเส็งอย่างต่อเนื่องและในเวลานี้หยางชิ่งกลับเร่งรีบกลับมาที่ดาว๋อองสวรรค์หนิว

ครั้งนี้เรียกได้ว่าเขากลับมาเองโดยไม่ได้เรียกหลังจากู่รข้าวรบชนะในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว กลับไม่สามารถลบความกังวลในใจเขาได้ตอนนี้เขาบอกลากลับชิงหยวนจุนและมารดาชั่วคราวรีบกลับมาที่นี่

พอมาถึงจวน๋อองสวรรค์ ก็เดินตรงเข้ามาในห้องหนังสือ

เหมียวอี้เจอเขาแล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า ทำไมเจ้ากลับมาแล้วล่ะ ? ไม่กลั่ววาพวกเขาสองแม่ลูกจะคิดมากเหรอ ? 

  พวกเขาสองแม่ลูกขี่บนหลังเสือแล้วไม่มีอะไรให้กังวล!กลับเป็นท่าน๋อองไม่รู้ว้าท่าน๋อองก็ขี่หลังเสือแล้วเหมือนกัน หรือเปล่า ?  หยางชิ่งกระวนกระวายใจพอกล่าวคำนี้ออกมาเขาก็ตระหนักได้แล้วว่าตัวเองพูดเกินไปจึงเปลื่ยนี้เป็นพูดว่า ท่าน๋อองทำไมเถิงเฟยถึงยังไม่เคลื่อนทัพโจมตีสักที่เกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้น หรือเปล่า ? 

ประโย้คีนีจ้จุดความสะเพร่าของเหมียวอี้แล้วทำให้เหมียวอี้ตกอยู่ในความเงยบ

หยางชิ่งแอบร้องในใจว่าแย่แล้วสงสัยสิ่งที่ตัวเองกังวลจะกลายเป็นความจริงแล้วจึงกล่าวอย่างเจ็บปวดว่า ท่าน๋อองเลอะเลื่อน!ถ้าเถิงเฟยไม่เคลื่อนทัพตามสัญญาก็ยับยั้งกองทัพองครักษ์ในอาณาเขตทัพตะวันออกไม่ไหวเลย ถ้าสถานการณ์ไม่เปันผลดีกับท่าน๋อองขนมาเถิงเฟยก็ยิ่งไม่มีทางเคลื่อนทัพกลับจะเหยียบเรือสองแคมไปอยู่ฝั่งประมุขชิงก็ได้ขออเพียงประมุขชิงให้สัญญากับเถิงเฟยได้ถ้ากำจัดทำน๋อองแล้วจะให้เถิงเฟยุคมทัพใต้ความขัดแย้งระหว่างเถิงเฟยกับเฉิงไที่เจ๋อก็ย่อมคลี่คลายได้ถึงตอนั้นนกำลังพลทั้งทัพตะวันออกก็จะมีไว้ให้ประมุขชิงใช้งาน ส่วนกำลังพลกองทัพองครักษ์กลุ่มนั้นที่ถูกข่มไว้ก็ว่างมาสู้กับท่าน๋อองแล้วถ้าสถานการณ์ไม่เอื้อประโยชน์ต่อท่าน๋อองเมื่อไรขอเพียงประมุขชิงทำให้อ๋องสวรรค์โค่วและก่วงู่รว้าจะเปลื่ยนเถิงเฟยให้มาแทนที่ท่าน๋อองไม่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของสองคนั้นนเพื่อปลอบใจสองคนั้นนเดิมที๋อองสองคนั้นนก็ไม่อยากให้กระทบผลประโยชน์ตัวเองอยู่แล้วคอยนั่งบนภูเขาดูเสือกัดกันมาตลอดี ยอมนิ่งดูดายต่อท่าน๋อองอยู่แล้วถึงตอน

นั้นท่าน๋อองจะรับมือกับการโจมตีทั้งกองทัพองครักษ์ยังไง ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมี๋อองสวรรค์เถิงและอ๋องสวรรค์เฉิงของทัพตะวันออกคอยเสริม

ถึงตอนั้นนต่อให้ท่าน๋อองดึงกำลังพลจากแดนอเวจีมาช่วยแล้วยังไง ? ไม่มีทางต้านไหวเลย!ถึงตอนั้นนท่าน๋อองจะต้องแพ้แน่นอนทัพกบฏแดนรัตติกาลจะต้องถูกล้อมปราบความพยายามหลายปีมานี้ของท่าน๋อองจะโดนเผาไหม้หมด!ตามความเห็นของข้าน้อยประมุขชิงลงมือได้ไม่ธรรมดา เปิดกระดานมาก็ใช้กองทั้พองครักษ์ห้าร้อยล้านเพ่งเล็งเถิงเฟยไว้เลยต้องวางแผนนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้วแน่นอน ที่จริงแล้วกำลังพลในอาณาเขตทัพตะวันออกมีไว้เพื่อเตรียมไว้สู้กับท่าน๋อองเพียงแต่ท่าน๋อองหลบอยู่หลังบ้านตลอดตั้งแต่ต้นจนจบไม่เห็นวี่แว่ววาท่าน๋อองจะมาเข้าร่วมสักนิดกอปรกับเขากลั่ววาตระกูลเซี่ยโห้วจะมีแผนร้ายอะไรจึงไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม

ถ้าบีบจนประมุขชิงเป็นสุนัขกระโดดกาแพง เขาจะต้องลงมือกับท่าน๋อองแน่นอน!ก่อนหน้านี้ข้าน้อยมองเจตนาของประมุขชิงไม่ออกนึกว่าปริะมุขชิงหมดหนทางแล้วจนกระทั่งทัพใหญ่แดนรัตติกาลบุกหน้าเหมือนผ่าลาไผ่แต่เถิงเฟยกลับช้าไม่ยอมเคลื่อนไหวข้าน้อยถึงตระหนักได้ว่าฝั่งทัพตะวันออกถูกประมุขชิงคุมไว้แล้ว พอจัดระเบียบความคิดดูอีกที่ข้าน้อยถึงตื่นตัวว่าประมุขชิงวางหมากตัวเดียวเพื่อสยบใต้หล้ามาตั้งแต่แรกอย่างแนบเนียนตราบใดที่ไม่เกิดสถานการณ์ที่ทำให้เขาหมดหนทางรับมือเช่นั้นนเขาก็กำหนดตั้งแต่แรกแล้วว่าขอเพียงให้ท่าน๋อองกล้ากระโดดออกมาก็จะแพ้ด้วย

น้ามือเขาแน่นอน!พอดูฝั่งแดนสุขาวดีอีกทำไม่ปานี้นแล้วเขายังไม่ให้กองทัพพระของแดนสุขาวดีมาเข้าร่วมีอกล่ะ ?

อธิบายได้เช่นเดียวกันว่าทำไมตอนนี้สถานการณ์ยังไม่หลุดจากการควบคุมของเขาเขาเฝ้าดูการเปลื่ยนแปลงีเงยบ ๆ มาตลอด!ท่าน๋อองจากสิ่งเหล่านี้ก็จะรู้ได้เราประเมินประมุขชิงไม่ได้เด็ดขาดก้มมองใต้หล้าจากเบื้องสูงมานานขนาดีนี้ชช้ะตาตะวันจันทราฟ้าดินฮุบกลืนใต้หล้าเป็นคนฉลาดแกล้งโง่ที่แท้จริง!ถ้าใครคิดว่าเขารังแก่งายต้องได้กลั่นสุราขมไว้ดื่มเองแน่!แน่นอนในมือท่าน๋อองยังมีไพ่อย่างตระกูลเซี่ยโห้วแต่ถ้าสู้กันจนถึงขั้นั้นนจริง ๆ ถ้าท่าน๋อองโดนบีบจนถึงขั้นเข้าตาจนแล้วจริง ๆ ท่าน๋อองคิดว่าไพ่อย่างตระกูลเซี่ยโห้วจะยังสำแดงอานุภาพได้สักเท่าไรกัน ? 

ร่ายยาวเป็นชุดเหมียวี้อฟังแล้วอบอายจนเหื่งอชุ่มหลังที่แท้ในสายตาประมุขชิงตัวเองก็กลายเป็นเนื้อบนเขียงแต่กลับไม่รูตัว้ไปแล้ว

ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว้าตอนแรกที่ตัดสินใจอย่างเผด็จการนั้นเสี่ยงอันตรายขนาดไหน

ก่อนหน้านี้หยางชิ่งยังนึกว่าเหมียวี้อีมแผนการู้อะไรเอ่ย่างอื่นพอเห็นสถานการณ์ไม่มีอะไรเปลื่ยนแปลงถึงตระหนักได้ว่าทำไม่ดีแล้วจึงรีบทิ้งพวกชิงหยวนจุนแล้วรีบกลับมาทำให้ชัดเจน

 ท่าน๋อองเกรงว่าตอนนี้ไม่ว่าใครก็มองออกว่าท่าน๋อองกับชิงหยวนจุนี้เป็นพวกเดียวกันนี่ต่างหากที่ล้าเส้นประมุขชิงเกรงว่า

ประมุขชิงคงอดทนไม่ไหวต้องการจะลงมือกับท่าน๋อองแล้ว! หยางชิ่งส่าย่อหน้าอย่างขื่นขม

หยางเจาชิงได้ยินแล้วไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่าต่อให้ฝั่งนี้จะก่อเรื่องวุ่นวายขนาดไหนแต่ก็เทียบไม่ได้กับประมุขชิงที่เฝ้าดูสถานการณ์อย่างีเงยบ ๆ ในใจรู้สึกหนาวสนหวั่นกลัวมือเท้าเริ่มสั่นแล้ว

ในขณะนี้เองเหมียวี้อูรสึ้กขนลุกหลังจากหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อแล้วก็เงย่อหน้าจ้องหยางชิ่งกัดฟันบอกว่า เกรงว่าจะเป็นไปตามที่ท่านบุรุษคาดไว้ซ่างกวนชิงออกคำสั่งสุดท้ายให้ข้าแล้วถ่ายทอดบัญชาประมุขชิงสั่งให้ข้าปราบทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่อย่างนั้นจะกำจัดข้าแทน! 

หยางชิ่งรีบเอามือกด ท่าน๋อองอย่าร้อนใจทำให้เขาสงบก่อนบอกไป่วาจะเจรจากัน!ถ้าไม่ถึงขั้นจนตรอกประมุขชิงไม่มีความมั่นใจว่าจะสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับตระกูลเซี่ยโห้วได้อย่างง่ายดายเขาไม่รู้ถึงสถานการณ์ของตระกูลเซี่ยโห้วชัดเจนนี่ก็คือจุด่ออนที่สุดของเขาพวกเราใช้ประโยชน์จุด่ออันนี้ได้อ้างว่าเจรจาเพื่อทำให้เขาสงบก่อน! 

เหมียวอี้พยักหน้าตอนนี้เขาคิดถึงทางเลือกอื่นไม่ออกเหมือนกันจึงทำตามที่หยางชิ่งบอกทันที

รอจนกระทั่งเก็บระฆังดาราแล้วเหมียวอี้ก็ถอนหายใจยาวเฮือกหน่ง คุมให้สงบได้ชั่วคราวฝั่งนั้นจะให้ฮวาอี้เทียนมาเจรจากับข้า! 

.

 ดี่แบบนี้ก็ดี่ หยางชิ่งถอนหายใจแรงอย่างโล่งอกในใจรู้สึกโชคดีโชคดีที่กลับมาทันเวลาเกือบทำงานใหญ่พังแล้วเพียงแต่เขาแปลกใจนิดหน่อยสถานการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้วเหตุประมุขไป๋ที่หลบอยู่ข้างหลังถึงไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย ? ก่อนหน้านี้เขามีความโชคดีทางด้านนี้สังเกตการณ์อย่างีเงยบ ๆ เพราะมองออกว่ามีประมุขไป๋มีแค่ต้องให้ประมุขไป๋ยื่นมือเข้ามามาก ๆ เท่านั้นถึงจะได้ข่าวบางอย่างที่ตัวเองต้องการเยอะ ๆ จนกระทั่งอดทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ เขาถึงได้ถ่อกลับมา

เหมียวอี้เดินอ้อมหลังโต๊ะออกมาโค้งตัวให้หยางชิ่ง ในเมือท่านบุรุษมองทะลุแผนชั่วของประมุขชิงแล้วไม่ทราบว่ามีแผนการดี ๆ อะไรจะชี้แนะข้าหรือเปล่า ? 

หยางชิ่งรีบบอกว่ามิับงอาจรีบก้าวหลับหลังจากยื่นมือไปประคองเล็กน้อยเขาก็ไม่อิดออดเช่นกันตอนนี้ไม่ใช้เวลามาอิดออดกล่าวเสียงต่าว่า ไม่นับว่าเป็นแผนชั้นดีหรอกเรื่องที่ท่าน๋อองที่อยู่เหมือนดึงขนเส้นเดียวแล้วขยับทั้งตัวถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็จะทำให้อำนาจแต่ละฝ่ายสู้กันไม่ใช้เรื่องที่ใช้กำลังแก้ปัญหาได้เหมือนในอดีตแน่นอน!แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วท่าน๋อองใช้หมากอย่างราชินีสวรรค์กับชิงหยวนจุนเพื่อผลักดันให้สถานการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้วช้าเร็วประมุขชิงก็ต้องรูคว้ามจริงถึงตอนั้นนเกรงว่าจะไม่ธรรมดาแค่การลอบสังหารท่าน๋อองแล้ว มีแต่ต้องใช้กลยทธุ์ทางการทหารแบบใหม่มาประลองกับประมุขชิงแล้ว 

มีวิธีการก็ดีแล้วเหมียวอี้เผยสายตาเฝ้าคอย ยินดี้ลางหรือฟัง! 

.

หยางชิ่งกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า ยืนกรานปฏิเสธมาสมคบกับชิงหยวนจุนเจรจากับประมุขชิงตต่อไป้ตองบีบให้คนอื่นร่วมกันเจรจากับประมุขชิงด้วย… เขาอธิบายแผนการที่กลั่นกร้องไว้ดีแล้ว

หยางเจาชิงฟังแล้วพยักหน้าเบา ๆ

เหมียวอี้ครุ่นคิดครูหนึ่งสุดท้ายก็ปรบมือ ดี่แม่จะมีความเสี่ยงและความผันผวนมากแต่กลับเป็นแผนที่ดีตกลงตามที่ท่านบุรุษบอก! 

 อะไรนะ ? 

จวน๋อองสวรรค์โค่วโค่วหลิงซีวที่ดื่มสุราอยู่ในศาลาพลันยืนขึ้นทาสีหน้าตกใจไม่เบา

ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้า คงจะไม่ผิดพลาดขอรับสถานการณ์แต่ละด้านล้วนพิสูจน์สิ่งหนึ่งแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อจงใจแบ่งอาณาเขตให้ชิงหยวนจุน! 

โค่วหลิงซวีส่าย่อหน้า เป็นไปไม่ได้!อาศัยกำลังของหนิวโหย่วเต๋อตอนนี้ก็ต้องยอมรับว่าเป็นหนึ่งในฝ่ายที่มีกำลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสี่ทัพถ้าตัดสิ่งเหล่านี้ออกในใต้หล้านี้ก็นับว่าเป็นรองเพียงหนึ่งอยู่เหนือคนนับหมื่นแบ่งอาณาเขตให้ชิงหยวนจุนแล้วได้ประโยชน์อะไรล่ะ ? ต่อให้ชิงหยวนจุนขึ้นสู่ตำแหน่งแล้วยังไงล่ะเป็นเรื่องยากที่จะอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าปัจจุบันอยู่ดี่ 

 เป็นฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมเขาไว้หรือเปล่า ?  ถังเฮ่อเหนียนถามอย่างลังเล

โค่วหลิงซวีครุ่นคิดีเงยบ ๆ สักพักก่อนจะส่าย่อหน้า ไม่ได้!เจ้าเด็กนี่กอ่เรื่องเก่งเกินไปแล้วข้าต้อทวงถามขาด้วยตัวเองเรื่องเป็นยังไงกันแน่! พูดจบก็หยิบระฆังดาราติดต่อเหมียวอี้เสียเลย

ก่อนที่เขาจะติดต่อไป่กวงลิ่งกงก็ติดต่อไปถามเหมียวอี้ก่อนแล้ว

หลังจากทั้งสองฝ่ายติดต่อกันได้โค่วหลิงซวีก็ถามทันที่ว่า :หนิวโหย่วเต๋อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วพวกเราอย่าปิดบังอีกเลยเจ้ายกอาณาเขตให้ชิงหยวนจุนหมายความว่าอะไรเจ้ากับชิงหยวนจุนคิดจะทำอะไรกันแน่ ?

เหมียวอี้ตอบเหมือนแค้นใจ :ประมุขชิงรังแกข้าเกินไปแล้วถ้าไม่ใช้เพราะตระกูลเซี่ยโห้วบอกข้าวให้รูทั้นเวลาข้าก็คงโดนเขาทำรายไปแล้ว!

โค่วหลิงซวีอึ้งไป่ชวัขณะแล้วถามด้วยความสงสัย :หมายความว่ายังไง ?

เหมียวอี้ :ประมุขชิงดักซุ่มทัพเกรียงไกรสิบล้านไว้ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ต้องการจะเล่นงานข้าให้ถึงตาย ถ้าไม่ใช้เพราะตรงหน้าเกิดเรื่องขนก่อนถ่วงให้ข้าเดินทางล่าช้าเกรงว่าชีวิตของข้าคงไม่เหลือแล้ว!

โค่วหลิงซวี :เป็นไปไม่ได้มั้ง ? เจ้าควบคุมทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไว้แล้วสถานที่สำคัญแบบนี้เจ้าจะให้ใครส่งคนเข้าไปมากมายขนาดนั้นทั้ง ๆ ที่อยู่ใต้หนังตาเจ้าได้ยังไง ?

เหมียวอี้ :ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ? กองทัพองครักษ์สิบล้านที่ซ่อนอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ถูกข้าปราบหมดแล้วซีเหม็นอู๋เห่ยรองผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายโดนฆ่าแล้วมีพยานหลักฐานครบจะยอมให้เขาแก้ตัวน้าขุ่น ๆ ได้ยังไง!ข้าอดกลั้นความโกรธนี้ไม่ไหวแล้วในเมือประมุขชิงกล้าทำอย่างนี้ในเมือจะบีบให้ข้าตายให้ได้ข้าก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน!

ไม่น่าเชื่อว่าประมุขชิงจะทาเรื่องนี้ลับหลัง ? โค่วหลิงซวีตกใจมาก รีบโน้มน้าวว่า :น้องชายอย่าบุ่มบ่ามวู่วามไม่ได้เด็ดขาดทุกเรื่องล้วนเจรจาได้!

 

เมื่อเหน็จังหวะการโจมตีเสียรู้ะเบียบชิงเยว่ที่โกรธจนหน้าดาก็โบกกระบี่ตะโกนเสียงเข้ม ยิง! 

มือธนูที่ล้อมอยู่รอบหลุมไม่ผลัดกันยิงอีกแต่ยิงพร้อมกันให้เกิดฝนธนูง้างสายธนูยิงพร้อมกันไม่หยุดถล่มมังกรยาวที่พุ่งขึ้นมาบุกโจมตีไม่ขาดสาย

หลุมขนาดใหญ่ราวกับเป็นหม้อใหญ่ใบหนึ่งคนเหมือนเป็นมดอยู่ในหม้ออานุภาพการโจมตีอันรุนแรงของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์บวกกับคนข้างล่างที่ร่ายอิทธิฤทธิต้านไว้ทำให้หินดินปลวิ่วอนตีกวนคนในหม้อให้เหมือนมดที่อยู่ในทรายเป็นฉากที่น่าเวทนาทีสุด

 กองทัพองครักษ์ฟังคำสั่งกองหน้าบุกโจมตีกองหลังใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงโจมตี่ ซีเหม็นอู๋เห่ยร่ายอิทธิฤทธิ์คารามอย่างเดือดดาล

กำลังพลแนวหน้าบุกไปข้างหน้าต่ออย่างไม่กลัวตายกำลังพลกองหลังพลันวางโล่แล้วหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาชั่วพริบตานั้นลูกธนูดาวตกยิงไปทั่วสี่ด้านแปดทิศยิงกำลังพลที่ล้อมโจมตีอยู่รอบหม้อใหญ่จนวุ่นวายเสียรู้ะเบียบทำให้กำลังพลกองหน้าที่บุกโจมตีได้โอกาสเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว

ความสามารถในการรบอันเก่งกาจของกองทัพองครักษ์ในเวลานี้เปิดเผยออกมาหมดอย่างไม่ต้องสงสัยชุลมุนขนาดนี้ถูกโจมตีจน

ย่อยยับถึงขั้นนี้แนวทางการบัญชาการก่อรูปขึ้นเองอย่างรวดเร็วตระหนักได้เองว่าต้องให้สมาชิกยศสูงสุดเป็นผู้บัญชาการและตัวเองก็ฟังคาบัญชาการ

เมื่อเห็นกำลังพลกองทัพองครักษ์เหลืออยู่ไม่เยอะแล้ว ก็พุ่งมาถึงอย่างรวดเร็วไม่น่าเชื่อว่าชิงเยว่จะไม่คิดอย่างอื่นเลยจะใช้กำลังปะทะตรง ๆ โบกกระบี่ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า จุดยิงโจมตีหยุดก่อน!กองหลัง บุกโจมตี่ 

กองหนุนที่อยู่ข้างหลังกระบวนทัพยิงโจมตีพุ่งออกมาทันที่เสียงตะโกนฆ่าสนั่นฟ้าทยอยกันพุ่งลงมาในหม้อจากมุมสูงสี่ด้านแปดทิศประจัญบานกับกองทัพองครักษ์ทาศึกเลือดกันแล้วส่วนกำลังพลที่ล้อมยิงโจมตีอยู่รอบ ๆ ก็รีบหยุดยิงใส่กองทัพองครักษ์เปลื่ยนไปยิงใส่ด้านหลังกองทัพองครักษ์แทนระงับการยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิที่อยู่กของหลังของฝ่ายศัตรู

กลุ่มวิญญาณชั่วร้ายถอยไปแล้วิธีการต่อสู้ที่เสี่ยงชีวิตแบบนน่าตกใจมาก ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

เฮยั่ทนที่ยืนอยู่ข้างกายชิงเยว่ทาสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกินมองชิงเยว่เป็นระยะพบว่าผู้หญิงคนนี้บ้าระห่าเกินไปแล้วเอาชนะง่ายแต่ไม่ชนะนี่จงใจเอาชีวิตคนไปเติมชัด ๆ!

ชิงเยว่สีหน้าเยียบเย็น สองตาจ้องเข็มงสภาพการสู้รบ

เมื่อเห็นกำลังพลัทพอารักขาของเหมียวอี้เพิ่มจำนวนการบาดเจ็บล้มตายอย่างรวดเร็วเฮยทั่นก็เริ่มทนไม่ได้แล้ว เจ้าทาอย่างนี้ถ้าสู้แพ้ขึ้นมาจะทายังไง ? ข้าจะคอยดู่วาเจ้าจะชี้แจงกับท่าน๋อองยังไง! 

ชิงเยว่ตอบด้วยใบหน้านิ่งเฉย ทัพฝ่ายศัตรูอย่างมากก็เหลือแค่กำลังพลล้านเดียวข้าไม่เชื่อหรอกว่าคนี่สห้าล้านของข้าจะเอาชนะพวกเขาไม่ได้! แต่จากนั้นก็กล่าวเสียงต่าอกว่า เจ้าบอกให้พวกวิญญาณชั่วร้ายเตรียมตัวให้ดีถ้าสถานการณ์ฝั่งพวกเราเริ่มไม่ชอบมาพากล ก็ให้พวกเขามาช่วยทันที่ 

 ในเมือเจ้ามีความกังวลี้นยังเอาชีวิตทัพอารักขาของท่าน๋อองไปเสี่ยงอีกเหรอ ?  เฮยทั่นโมโหแล้ว

ชิงเยว่หันขวับ ขัดคำสั่งบนสนามรบเจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าเหรอ ? 

 …  เฮยทั่นยืดคอแต่เถียงไม่ออกมองกำลังพลอารักขาข้างกายชิงเยว่ที่สามารถใช้กฏได้ทุกเมื่อในใจพึมพาสาปแช่งแล้วหันกลับไปเรียกวิญญาณชั่วร้ายให้เตรียมตัว

การต่อสู้บนฟ้าจบลงก่อนแล้วด้วยความได้เปรียบชิงเยว่กลับไม่ให้พวกเขาไปเข้าร่วมการต่อสู้อีกแต่สั่งให้พวกเขากระจายตัวกันอยู่รอบหลุมใหญ่บ้างบนฟ้าบ้างใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เตรียมพร้อมป้องกันเตรียมยิงสังหารทหารที่หลบหนี้ไม่ยอมให้ทัพฝ่ายศัตรูหนี้ไปได้สักคน!

ตามเสียงคำสั่งของชิงเยว่มือธนูที่เดิมที่อยู่รอบหลุมใหญ่พุ่งเข้าไปในหลุมใหญ่อีกครั้งส่งกองหนุนเกือบหนึ่งล้านให้ไปโจมตีนำไปก่อน

เสียงตะโกนฆ่าดังก้องอยู่ระหว่างฟ้าดินไม่หยุด

ขอบเขตการล้อมโจมตีหดเล็กลงทีละนิดสิ่งที่ตามมาติด ๆ ก็คือขอบเขตการบุกโจมตีของกองทัพองครักษ์ถูกบีบให้หดลงเรื่อย ๆ หมายความว่าวงล้อมโจมตีรอบ ๆ ที่หดเข้ามยิ่งกดดันมากขึ้น

ตอนกำลังพลหลายหมื่นที่นาโดยซีเหม็นอู๋เห่ยถูกบีบให้หดอยู่ที่จุดดันทุรังต่อต้านตรงกลางชิงเยว่กออกคำสั่งอีกครั้งมือธูนที่ขี่สัตว์พาหนะบินเตรียมพร้อมอยู่โดยรอบรีบพุ่งขึ้นฟ้าสูง

ซีเหม็นอู๋เห่ยเงย่อหน้าแล้วคารามด้วยใบหน้าที่เมไปด้วยความสิ้นหวังทันที่ อา! 

ลาแสงบนฟ้ายิงเข้ามาอย่างหนาแน่นราวกับห่าฝนยิงเข้ามายังจุดที่ล้อมไว้ตรงกลางอย่างบ้าระห่า

กลุ่มที่คอยุค้มกันให้ซีเหม็นอู๋เห่ยพุ่งเข้ามาชูโล่อย่างสุดชีวิตคนหนึ่งพันชูโล่บังให้ซีเหม็นอู๋เห่ยแล้ว

เพียงการโจมตีระลอกเดียวก็ทำให้กำลังพลที่โดนล้อมอยู่ตรงกลางพังทลายโดยสิ้นเชิง

 ฆ่า! กำลังพลที่ล้อมรอบราวกับฟางข้าวที่โดนพายุพดถล่มแกว่งดาบกำจัดผู้ที่รอดชีวิตยุ่งเหยิงไปหมด

พลิกเลือดเนื้อขึ้นมาซีเหม็นอู๋เห่ยปีนขึ้นมาท่ามกลางศพที่กองสมกันเลือดเนื้อปนกันเละเทะทั้งตัวแทบจะไม่เหลือสภาพคนแล้วมีเพียงดวงตาสองข้างที่มองไปรอบ ๆ มองไม่เห็นผรู้อดชีวิตเลยไม่เห็นลูกน้องรอดชีวิตสักคนี้เป็นเพราะการบัญชาการที่ผิดพลาดไป่ชวัขณะจึงก่อเกิดเป็นความเสียหายใหญ่โตขนาดนี้

ที่จริงในตอนนี้ทั้งหม้อใหญ่กลายเป็นทะเลเลือดภูเขากระดูกไปแล้วน้าเลือดที่ตกตะกอนไม่มีทางจมลงอย่างรวดเร็วข้างในราวกับเป็นของเหลวเหนียวสีแดงเลือด

แต่ไม่ว่าใครก็รู้ว้่านคือแม่ทัพคนสำคัญของทัพฝ่ายศัตรูชิงเยว่ก็ยิ่งู่รว้าคนนี้คือรองผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ของหน่วยองครักษ์ซ้ายถ้าจับเป็นกลับมาได้จะทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพองครักษ์สั่นคลอนมากแน่นอนจึงถ่ายทอดคำสั่งให้จับตัวไว้!

ข้างล่างมีคนตะโกนบอกว่า  ยอมแพ้! 

 ยอมแพ้! 

 ยอมแพ้! 

กำลังพลของชิงเยว่ส่งเสียงราวกับภูเขาคารามทะเลคลังออกมาโบกอาวุธไปทางซีเหม็นอู๋เหี่ยทืยนอยู่บนกองศพ

ซีเหม็นอู๋เห่ยสังเกตเห็นว่าในกาไลเก็บสมบัติมีระฆังดาราสั่นไม่หยุดจึงชูดาบขึ้นมาปาดคอตัวเองอย่างเด็ดขาดรวดเร็วเลือดสดสายหนึ่งพุ่งออกมาทำให้เสียงตะโกนยอมแพ้เงยบลงโดยฉับพลัน

ร่างที่ยืนอยู่บนกองกระดูกล้มลงด้วยความเสียใจต่อให้ตายก็ไม่ยอมแพ้…

เก็บกวาดสนามรบอย่างรวดเร็ว ตรวจนับความเสียหายในการรบ ระดับความแข็งแกร่งของกองทัพองครักษ์กลุ่มี้นทำให้ชิงเยว่หน้าบึ้งอยู่ตลอด

ศึกตัดสินสนามสุดท้ายกองทัพองครักษ์เหลือกำลังพลบาดเจ็บอยู่เพียงล้านคนเท่านั้นนางทุ่มกำลังี่สห้าล้านให้บุกโจมตีแต่กลับถูกฝ่ายตรงข้ามสังหารตายไปเกือบสามล้านบวกกับความเสียหายก่อนหน้านี้กำลังพลห้าล้านที่นางพามาด้วยเสียหายไปแล้วสามล้านยังไม่รวมคนที่บาดเจ็บต้องทราบไว้ว่าคนที่นางพามาด้วยล้วนี้เป็นทัพอารักขาของท่าน๋อองเป็นทหารที่เกรียงไกรที่สุดของทัพใต้

ทว่าสิ่งที่นางไม่รูก็คื้อเพื่อรับประกันความสำเร็จในการลอบสังหารเหมียวอี้คนที่ซีเหม็นอู๋เห่ยพามาด้วยก็ล้วนี้เป็นทหารที่เกรียงไกรที่สุดของกองทัพองครักษ์เช่นกัน

กวาดล้างหมด!ศึกนี้สู้ชนะแล้วแต่หลังจากได้ฟังรายงานผลการรบเหมียวี้อีท่อยู่ในห้องหนังสือกลับตบโต๊ะยืนขึ้นอย่างโมโหเดินไปเดินมาอยู่ในห้องไม่หยุด

 ท่าน๋อองเป็นอะไรไป ?  หยางเจาชิงที่อยู่ข้าง ๆ ถาม

เหมียวอี้กล่าวอย่างโมโห อยู่ในเงื่อนไขที่ได้เปรียบเหมือนฟ้าดินี้เป็นใจขนาดนั้นมีวิญญาณชั่วร้ายที่เฮยทั่นนามาเพื่อควบคุมให้ปราณชั่วร้ายช่วยเหลือสามารถกุมอำนาจฝ่ายกระทำได้ทั้งหมดด้วยซ้ำกำลังพลดักซุ่มไม่มีทางทนอยู่ท่ามกลางปราณชั่วร้ายได้นานเลยข้าเคยชี้แนะนางแล้วว่าให้ล่อกำลังพลฝ่ายศัตรูออกมาข้าศึกรุกเราถอย ข้าศึกหยุดเรากวนใช้ปราณชั่วร้ายทำให้เสียหายซ้ำไป้ซามาก็จะคว้าชัยชนะได้ง่าย ๆ แล้วให้กำลังพลนางแค่หนึ่งล้านก็เพียงพอแล้วแต่เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยและมั่นใจข้าถึงให้กำลังพลห้าล้านกับนาง!ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะรีบร้อนอยากชนะทิ้งข้อได้เปรียบฝ่ายตัวเองมีปราณชั่วร้ายคอยช่วยแต่ไม่เอามาใช้ประโยชน์ไม่น่าเชื่อว่าจะเอากำลังพลห้าล้านไปปะทะกับกองทัพองครักษ์สิบล้านโดยตรงทำให้ทัพเกรียงไกรของข้าเสียหายไปสามล้าน!บ้าเอ๊ย!บ้าไปแล้ว!ตอนที่ข้าอยู่สระน้ามังกรดาก็น่าจะมองออกแล้วผู้หญิงคนนี้ชอบเสี่ยงอันตรายเวลาทาศึกไม่ควรให้นำงบัญชาการศึกนี้เลยควรให้หลงซิ่นไปมากกว่า! 

หยางเจาชิงขมวดคิ้ว ชิงเยว่ก็ไม่ได้โง่ตอนนี้น่าจะเดาออกว่าท่าน๋อองไม่กลวัคนเยอะกลัวแต่คนน้อยเป็นเวลาที่ต้องการกำลังพลจำนวนมากแต่นี่เสียกำลังพลจำนวนมากในรวดเดียว…หรือว่าจะมีความจริงอะไรเอ่ย่างอื่นที่ปิดบังไว้อีก ? 

ในฐานะที่เป็นพ่อบ้านคนสนิทข้างกายเหมียวอี้ช่วยพูดคาเดียวก็ได้ผลชัดเจนมากนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมอนุภรรยามากมายในจวนถึงอยากประจบเอาใจเขา

พอเขาพูดแบบนี้เหมียวอี้ก็ใจเย็นลงแล้วหยิบระฆังดาราออกมาถามชิงเยว่ :ข้าเคยเตือนเจ้าตั้งแต่แรกแล้วทำไมเจ้าฝืนใช้กำลังปะทะโดยตรง ?

ชิงเยว่ตอบว่า :ในปีนั้นตอนที่ข้าน้อยถูกลดตำแหน่งกองทัพองครักษ์ยังไม่ได้มีชื่อเสียงมากขึ้นาดนี้ตอนนี้กองทัพองครักษ์มีบารมีสะเทือนใต้หล้าข้าน้อยอยากจะทดสอบมานานแล้ว!ท่าน๋อองต้องการจะทำงานใหญ่ท่าน๋อองผู้สง่าผ่าเผยมีหรือที่จะไม่ทาศึกที่ใช้กำลังปะทะตรง ๆ หลังจากศึกี้นยามัทพอารักขาของท่าน๋อองเจอกับกองทัพองครักษ์ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องหวาดกลัวอีก!ในเมือท่าน๋อองให้ข้าน้อยเป็นผู้บัญชาการว้ายของทัพอารักขาข้าน้อยย่อมหล่อหลอมัทพอารักขาให้เป็นความรับผิดชอบของตัวเอง!

กำลังพลห้าล้านใช้กำลังเอาชนะกองทัพองครักษ์สิบล้านได้! เหมียวอี้ได้ยินแล้วตกอยู่ในความเงยบลองคิดให้ละเอียดก็พบว่าเรื่องนี้มีอิทธิพลของทัพอารักขาของตัวเองเขาค่อย ๆ กลับมานั่งลงแล้วตามหลักแล้วถ้าชิงเยว่มีความคิดนี้ก็ควรจะบอกให้เขารู้ก้อนแต่พอลองคิดดูก็พอเข้าใจได้ว่าการเอาชีวิตลูกน้องไปถมเติมไม่ใช้เรื่องที่เขาควรจะเอ่ยปาก

กองทัพองครักษ์สิบล้านไม่เหลือสักคนฆ่าจนหมดเกลี้ยงมีลูกน้องเก่าที่ตัวเองแทรกไว้ในนนด้วย…เหมียวอี้เงย่อหน้าถอนหายใจ เป็นผู้หญิงที่ทำตัวไม่เข้าท่า!เดียวต่อไปเจ้าคัดเลือกผู้ชายมาสักพันคน เอาดี ๆ นะ ให้นำงเลือกเอาเอง ต้องให้นำงแต่งงานเร็ว ๆ หน่อย! 

 …  หยางเจาชิงพูดไม่ออก หมายความว่าอะไร ?

ในเขตลานบ้านขนาดใหญ่ที่อยู่ลึกใบไม้ร่วงเต็มพื้นใบไม้แห้งเหลืองเต็มพื้น

ในศาลาเย็นโพ่จวินวางระฆังดาราในมือช้า ๆ แล้วเริ่มแสยะยิ้ม ซีเหม็นเอ๊ยซีเหม็นเจ้าเป็นคนบาปชั่วนิรนัดร์ของกองทัพองครักษ์ !  พูดจบก็หลับตาลงช้า ๆ ตรงหางตามน้าตาไหลออกมา

คนเก่าคนแก่ที่ติดตามทำงานมาตั้งแต่อดีตในกองทัพองครักษ์จะว่าน้อยก็ไม่น้อยจะว่าเยอะก็ไม่เยอะผ่านไปนานขนาดนี้แล้วยังติดต่อไม่ได้ เขาเดาออกแล้วว่าจุบจบของซีเหม็นอู๋เห่ยเป็นอย่างไร

จวน๋อองสวรรค์เฉิงในเรือนใหญ่หลังหนึ่งเฉิงไที่เจ๋อตั้งใจนาเรือนพักแห่งหนึ่งในจวนเพื่อใช้เป็นศูนย์บัญชาการให้กองทัพองครักษ์

ในโถงหลักฉี่วฉางเทียนั่นงสมาธิเงยบ ๆ เบื้องล่างมีผู้บัญชาการทหารยืนอยู่สองแถวในมือพวกเขากำลังใช้ระฆังดาราติดต่อไม่หยุด ต่างก็กำลังติดต่อกับคนของซีเหม็นอู๋เห่ย

มาถึงขั้นนี้แล้วเรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังคนข้างกายแล้ว

ฉี่วฉางเทียนถอนหายใจเบา ๆ สงสัยจะตายหมดกองทัพแล้ว 

หนึ่งในทหารที่ยืนอยู่เบื้องล่างกลับกล่าวเสียงต่าว่า กล้าใช้กำลังพลห้าล้านปะทะกับทัพเกรียงไกรสิบล้านของข้าตรง ๆ ัทพอารักขาของหนิวโหย่วเต๋อเกรียงไกรถึงขั้นนี้แล้วเหรอ ? 

มีคนตอบกลับเสียงเบาว่า สถานการณ์คลุมเครือต่าง ๆ บนสนามรบล้วนทำให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาดได้ง่ายไม่ว่าใครก็ถึงเวลาพลาดได้ทั้งนั้น เขาเป็นลูกน้องเก่าของซีเหม็นอู๋เห่ย

ทุกคนขมวดคิ้วที่จริงซีเหม็นอู๋เห่ยกับฉี่วฉางเทียนี้เป็นรองผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายเหมือนกันรบตายก็ว่าแย่แล้วทั้งยังรบตายภายใต้สถานการณ์ที่ตัวเองอยู่ในฝ่ายได้เปรียบอีกจะให้ทนรับความรู้สึ้กได้อย่างไร!

หลังจากหลับีตาเงยบ ๆ ไปนานฉี่วฉางเทียนก็ถอนหายใจออกมาแล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมารายงานต่อเบื้องบนอีกครั้ง

ัวงสวรรค์ตาหนักดาราจักรหลังจากซ่างกวนชิงเก็บระฆังดารา ก็กล่าวอย่างยากลำบากว่า ฝ่าบาททางหน่วยองครักษ์ซายสันนิษฐานว่าคนในแดนมรณะดึกดำบรรพ์คงจะตายหมดกองทัพแล้วขอรับ 

เกาก้วนสีหน้าเรียบเฉยซือหม่ำเวิ่นเทียนถือระฆังดารามองซ้ายมองขวาอู๋ฉี่วีสหน้าเคร่งเครียด

 ค้นหาล้านปะทะกับทัพเกรียงไกรสิบล้านของข้าหึหึ…ซีเหม็นอู๋เห่ยนับว่าเป็นคนเก่าคนแก่ที่ติดตามข้ามาตั้งแต่ปีนั้นใช้มั่ย ? ช่างเสีย่อหน้านัก! ประมุขชิงตบโต๊ะแสยะยิ้มีสหน้าบูดบึ้งเล็กน้อยครั้งนี้เหมียวอี้ตบหน้าเขาจนเจ็บแสบ

ทันใดนั้นซือหม่ำเวิ่นเทียนก็รายงานว่า ฝ่าบาททัพใหญ่แดนรัตติกาลที่อยู่ในสายมะเส็งบุกหน้าเหมือนผ่าลาไผยึ่ดอาณาเขตได้ต่อเนื่องกันเยอะมากแต่สถานการณ์แปลก ๆ นิดหน่อย กำลังพลสายมะเส็งไม่เหมือนรบแพ้แต่เหมือนยอมมอบอาณาเขตให้เองมากกว่าขอรับ! 

 

ตอนนี้ยังไม่ใช้เวลามาพูดเรื่องนีิ้ชงเยว่ให้พวกเเฮยทั่นนาทางเร่งไปยังสถานที่เป้าหมาย

ในจุดลึกของร่องลาธารระหว่างภูเขาโพรงถ้าน้อยใหญ่ต่อเนื่องกันมีรูนับไม่ถ้วนลักษณะพื้นดินแบบนี้ไม่รู้ว้าสร้างขึ้นมาได้อย่างไร

พวกซีเหม็นอู๋เห่ยที่ซ่อนตัวอยู่ในจุดลึกใต้ดินมีเพลิงเดือดเผาไหม้อยู่บนตัวถูกปราณชั่วร้ายที่กรอกเข้ามาล้อมไว้ไม่หยุดเพิ่งซ่อนตัวได้ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์แบ้บีนขึ้นอีกแล้วทำให้กลุ่มคนรู้สึกว่าทำไม่ดีแล้ว

 ด้านนอกกกมีความเคลื่อนไหวอะไร ?  ซีเหม็นอู๋เห่ยถามเสียงต่า

จู่ ๆ ด้านนอกกก็กมีทหารคนหนึ่งเข้ามา ปราณชั่วร้ายด้านนอกกกมืดฟ้ามัวดินใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ก็ไม่มีประโยชน์มองเห็นเหตุการณ์ไม่ชัดเลยขอรับถ้าจะพุ่งเข้าไปตรวจสอบก็กลัวจะเปิดเผยร่องรอยการเดินทาง 

ซีเหม็นอู๋เห่ยขมวดคิ้วมุ่นสิ่งที่เขากังวลในตอนนี้ก็คือเกิดสถานการณ์อย่างนี้แล้วไม่ใช้ว่าถูกเปิดโปงร่องรอยการเดินทางแล้วหลอก หรือ ?

ด้านนอกกกัทพอารักขาห้าล้านของหนิวโหย่วเต๋อปรากฏตัวแล้ว กระจายครัวบริเวณรอบ ๆ ร่องลาธารระหว่างภูเขาโอบล้อมพื้นที่ซ่อนตัวของกำลังพลดักซุ่

มเอาไว้แล้ว

ไม่ผิดหรอกมากันแค่ห้าล้านคนเท่านั้นต้องการจะใช้กำลังพลห้าล้านต่อสู้กับกำลังพลกองทัพองครักษ์สิบล้าน

ความได้เปรียบเดียวที่มีก็คือในทพอารักขาห้าล้านมีวิญญาณชั่วร้ายปะปนอยู่ไม่น้อยควบคุมปราณชั่วร้ายไม่ให้รบกวนฝ่ายนี้

หนึ่งในวิญญาณชั่วร้ายนั่งยอง ๆ บนพื้นวาดลักษณะพื้นที่ของจุดที่ล้อมเอาไว้ออกมาคร่าว ๆ แล้วชี้ไปยังจุดที่มีคนซ่อนตัวอยู่โดยละเอียด

หลังจากชิงเยว่ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ชัดเจนแล้วก็รีบวางกำลังทันทีรีบระดมกำลังพลหนึ่งแสนแล้วขี่สัตว์พาหนะที่บินได้ไปที่นั่นบนตัวของสัตว์พาหนะทุกตัวล้วนพกวิญญาณชั่วร้ายเอาไว้เพื่อไม่ให้ถูกรบกวนจากปราณชั่วร้ายขณะเดียวกันทัพใหญ่ที่โอบล้อมก็ขยายขอบเขตในการล้อมให้กว้างขึ้น

 ไล่เมฆปราณชั่วร้ายไป ชิงเยว่สั่งเฮยทั่น

เฮยทั่นกล่าวอย่างตกใจว่า เจ้ากำลังล้อเล่นเหรอ ? ถ้าไม่มีปราณชั่วร้ายที่นี่ให้ความร่วมมือค้นหาล้านของพวกเจ้าจะเอาชนะคนสิบล้านของอีกฝ่ายได้หรือไง ? 

ชิงเยว่บอกว่า ถ้าอยู่บนพื้นดินไม่มีความร่วมมือจากปราณชั่วร้ายก็เป็นปัญหาจริง ๆ แต่พวกเขาหลบอยู่ในจุดลึกใต้ดินเพื่อปิดบังตัวตนไม่ต่างอะไรกับดึงออกมาจากหลุมศพกระจายกำลังพลสิบล้านออกมาไม่ได้เลยปฏิบัติตามคำสั่งเดียวนี้เลิกบ่นได้แล้ว! 

เฮยทั่นถลึงตา ไม่ให้ข้าบ่นเหรอ ? ข้าจะคอยดูเจ้า… พอเห็นชิงเยว่หยิบระฆังดาราออกมาทาท่าจะติดต่อเหมียวี้อึนกขึ้นได้ว่าเหมียี้วอสั่งให้เขาฟังคำสั่งของผู้บัญชาการสูงสุดบนสนามรบเขาก็รีบโบกมือบอกว่า ก็ได้ก็ได้นับว่าเจ้าโหด! แล้วก็หันกลับไปสั่งให้วิญญาณชั่วร้ายปฏิบัติตามทันที

สัตว์พาหนะหน่งหมื่นตัวทะยานขึ้นฟ้าและจัดกระบวนทัพธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เล็งไปยังจุดลึกของหมอกชั่วร้ายเมฆปราณชั่วร้ายเริ่มกระจายตัวแล้วรอจนกระทั่งสภาพบนพื้นดินปรากฏให้เห็นวับ ๆ แวม ๆ ก็ได้ยินเสียง ยิงธนู ดังขึ้นลูกธนูนับหมื่นยิงออกมาพร้อมกันลาแสงนับไม่ถ้วนยิงไปยังร่องลาธารระหว่างภูเขาอย่างบ้าคลั่ง

บึ้ม!ชั่วพริบตาเดียวก็เหมือนฟ้าพลิกแผ่นดินแล้ว

ในจุดลึกใต้ดินพื้นดินสะเทือี่น้อยางรุนแรงทาเกิดรอยแยกเป็นใยแมงมุมและพังถล่มในช่วัพริบตาเดียวพวกซีเหม็นอู๋เห่ยกำลังปรึกษากันอยู่ว่าจะเปลื่ยนสถานที่ซ่อนตัวหรือไม่พวกเขาตกใจกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดนี้เพิ่งจะเงย่อหน้ามองก็ถูกดินกลบฝังแล้วหลังจากถูกฝังก็ถูกพลังมหาศาลทั้งฉีกทั้งสับมั่วไปหมด

กลุ่มทหารดิ้นรนร่ายอิทธิฤทธิต่์อต้านอย่างสุดชีวิตเสียงระเบิดดังบึ้มทำให้ก้อนหินปลวิ่วอนอยู่ที่นี่ตัวเองก็เหาะไม่ได้ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ใช้สัตว์พาหนะไม่สะดวกพยายามปล่อยกำลังพลออกมาตอต้านสัตว์พาหนะที่บินอย่างวุ่นวายถือโอกาสหาช่องโห่วแบกคนพุ่งขึ้นมา

ตอนนี้แรงระเบิดมหาศาลได้กวาดหมอกชั่วร้ายที่ยังสลายตัวไม่ทันให้กระเพื่อมออกไปแล้วตรงหน้าเห็นกำลังพลลนลานพุ่งออกมา

ลูกธนูดาวตกยิงออกมาอย่างบ้าคลั่งราวกับพายุฝนไม่ใช้การยิงพร้อมกันใช้สองมือโบกบัญชาการจากบนลงล่างในบรรดามือธนูหนึ่งแสนที่เตรียมไว้ให้ยิงลูกธนูออกมาเพียงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้นจากนั้นก็ยิงอีกหนึ่งในสามส่วนแล้วสุดท้ายก็ค่อยยิงอีกหนึ่งในสามส่วนที่เหลือ

มือธนูหนึ่งแสนคนบนฟ้าลูกธนูดาวตกสามระลอกที่ผลัดกันยิงรักษาการโจมตีให้ต่อเนื่องรวบรวมกำลังผลัดกันยิงไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้รวมตัวกันป้องกัน

กำลังพลหลายล้านที่ล้อมอยู่รอบ ๆ มีอาวุธเทียบกับกองทัพองครักษ์ไม่ได้มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เพียงเกือบล้านคันเท่านั้นแต่กลับใช้วิธีการโจมตีแบบสลับยิงสามระลอกเช่นเดียวกันวิธีการยิงแบบนี้ค่อนข้างอิสระไม่ได้ยิงโจมตีเป็ปนฝนธนูแค่ยิงสัตว์พาหนะที่บินออกมาจากในหลุมเท่านั้น

พอสัตว์พาหนะโดนยิงคนบนตัวสัตว์ที่เหาะไม่ได้ก็ย่อมตกลงมาแล้ว

วิญญาณชั่วร้ายที่ปะปนอยู่ในกำลังพลที่โจมตีได้ยินแต่เสียงระเบิดทั้งยังมีเสียงกรีดร้องดังไม่ขาดสายพวกเขาบ้างก็ทาสีหน้าหวาดกลัวบางก็ทาสีหน้าตื่นตระหนก

กำลังพลที่ชุลมุนวุ่นวายอยู่ตรงหน้าทำให้ซีเหม็นอู๋เห่ยแทบจะมองเหตุการณ์ด้านนอกกกไม่ชัดหินดินปลวิ่วอนบดบังสายตาเสียงระเบิดดังไม่หยุดสัตว์พาหนะที่แบกคนพุ่งขึ้นมาตกลงอีกครั้งเกราะป้องกันรวมที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากยังไม่ทันมั่นคงก็ถูกอานุภาพการโจมตีจากฝูงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์บนฟ้าถล่มพังแล้วภายใต้การโจมตีระลอกที่สองเกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากครั้งแล้วครั้งเล่าเสียงกรีดร้องโหยหวนดังไม่ขาดหู

ข้างล่างชุลมุนจนบัญชาการไม่ได้ผลแล้วเงาคนกระเด็นมั่วไปหมดหินดินระเบิดขึ้นมากลบซ้ำจะถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โต้ตอบด้านบนก็ลำบากเพราะด้านบนเต็มไปด้วยคนของตัวเองที่พุ่งขึ้นไปยิงธนูก็ไม่ต่างอะไรกับฆ่าคนของตัวเอง

แต่ก็ยังมีบางคนที่พุ่งไปข้างหน้าโดยไม่สนใจความตายไม่ป้องกันอะไรทั้งนั้นง้างธนูแล้วยังิเลยโจมตีกลับอย่างบ้าระห่า

ลูกธนูดาวตกที่ยิงออกมานับไม่ถ้วนได้สร้างความเสียหายให้กับกำลังพลที่โจมตีบางส่วนแล้วจริง ๆ แต่แม่ทัพที่บัญชาการไม่สะทกสะท้านชิงเยว่ออกคำสั่งให้สู้ตายแล้วอนุญาตให้บุกโจมตีเท่านั้นไม่

อนุญาตให้ป้องกันยอมแลกทุกอย่างเพื่อรักษาจังหวะการโจมตีนี้ไว้จะทำให้ฝ่ายตัวเองชุลมุนจนอีกฝ่ายมโอกาสไม่ได้เด็ดขาดไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายรวมตัวกันสร้างเกราะป้องกันที่มีประสิทธิภาพ

เฮยั่ทนที่ดูอยู่ข้าง ๆ ใบหน้ากระตุกี่นคือการเข่นฆ่าครั้งใหญ่โดยแท้!

ในหลุมดินขนาดใหญ่ทหารหนึ่งพันคนใช้เกราะปกป้องซีเหม็นอู๋เห่ยอย่างสุดชีวิต และรอบกายเขาก็มีสภาพโศกนาฏกรรม กำลังพลถูกยับยั้งจนพุ่งออกไปไม่ได้เผยความสิ้นหวังออกมาแล้ว

นี่ก็คือผลของการปล่อยกำลังพลจำนวนมากออกมาแต่ก็ไม่มีทางเลือก ถ้าไม่ปล่อยออกมาตอต้าน อาศัยคนจำนวนน้อยอย่างพวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีด้วยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่หนาแน่นขนาดนี้ได้เลยเกรงว่าคงกำจัดพวกเขาได้ตั้งแต่การยิงระลอกแรกแล้ว

 แม่ทัพใหญ่หัน!  จู่

ๆ ด้านข้างก็มีเสียงรองตกใจ

ซีเหม็นอู๋เห่ยพยายามเอียงนหน้ามองเห็นเพียงท่ามกลางกลุ่มคนที่ชุลมุนแม่ทัพใหญ่หันไห่นาผู้ติดตามหนึ่งร้อยคนชูโล่จัดกระบวนทัพป้องกันพุ่งขึ้นฟ้าหามุมที่รับมือยากหวังจะเลี่ยังจุดโจมตีที่อยู่ตรงกลางพุ่งออกจากจุดที่มีพลังโจมตี่ออนแอรอบ ๆ หลุมทว่าตอนที่เพิ่งพุ่งออกจากหลุมขนาดใหญ่ก็ถูกกำลังพลหน่งหมื่นที่ชิงเยว่กระจายไว้รอบหลุมยิงถล่มฝนธูนที่ยิงมาจากรอบ ๆ ทำให้พวกเขาต้องลงมาอีกครั้ง

เดิมทีชิงเยว่ก็อยู่ในระดับขุนพลเก่าที่เชี่ยวชาญศึกสงครามอยู่แล้วเป็นสตรีผู้ไม่ยอมเป็นรองบุรุษเตรียมตัวในด้านนี้ไว้เรียบร้อยแล้วป้องกันไม่ให้กองทัพฝ่ายศัตรูสังหารฝ่าออกมาบนห้าจุดที่อยู่รอบหลุมวางกำลังมือธนูไว้หน่งหมื่นคนที่อยู่บนห้าจุดี้นง้างธนูอยู่ตลอดโดยไม่ยิง พอเห็นคนออกมาเป็นกุล

มก็ยิงรวมในระยะใกล้ทันที

หันไห่โดนธนูหลายสิบคันยิงตกลงมาท่ามกลางกลุ่มคนที่ชุลมุนวุ่นวายลูกน้องของซีเหม็นอู๋เห่ยดิ้นรนเบียดกลุ่มคนเข้าไปชิงตัวเขากลับมา ดึงเข้ามาอยู่ในโล่ป้องกัน

โชคดีที่หันไห่วรยุทธส์งมากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไม่ฝ่าทะลุเกราะแต่คงถอดเกราะรบชุดนั้นจากตัวเขาได้ยากแล้วเพราะมันบิดเบี้ยวเปลื่ยนรูปไปเยอะมากแม้แต่ร่างกายของเขาก็เปลื่ยนรูปไปเช่นกันปากและจมูกมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด

พอเห็นซีเหม็นอู๋เห่ย ไม่รอให้ซีเหม็นอู๋เห่ยเอ่ยปากเขากออกแรงยกมือห้ามไม่ให้ซีเหม็นอู๋เห่ยเปลืองคำพูดแล้วเพราะเขารู้ว้าตัวเองที่นไม่ไหวแล้ว มัวเสียเวลาไม่ได้ เขาถลึงตาจ้องซีเหม็นอู๋เห่ย ปากพ่นฟองเลือดออกมายังคงดิ้นรนร่ายอิทธิฤทธิ์ถ่ายทอดเสียงอบกว่า อีกฝ่ายมีคนไม่เกินห้าล้านโจรหนิวรังแกกันเกินไปแล้ว! ส่งคน…เปิด…  นี่คือข้อสรุปสถานการณ์ของศัตรูที่เขารีบสังเกตการณ์รอบ ๆ ตอนตกลงมาพอพูดจบศีรษะก็ตกลงไร้การเคลื่อนไหวแล้ว

 พี่หัน! ซีเหม็นอู๋เห่ยตะโกนเรียกแล้วก็ปล่อยทิ้งเพราะนี่ไม่ใช้เวลามาแสดงความเศร้าโศกไม่มีเวลามากพอให้ร่าลากันความคิดเห็นที่หันไห่ดิ้นรนนากลับมาได้ต่างหากที่ำคัญมาก

ตอนแรกเขายังนึกว่าหนิวโหย่วเต๋อจะต้องรวบรวมกำลังพลจำนวนมากมาสู้กับเขาแน่ครั้งนี้จะต้องรอดยากแน่นอนใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะมีแค่กำลังพลห้าล้าน!

อวดดี่อวดดีเกินไปแล้ว!กองทัพองครักษ์คือทัพใหญ่ที่เกรียงไกรที่สุดในใต้หล้าแต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาก็อาศัยคนน้อยเอาชนะคนเยอะมาตลอดใครจะคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะส่งค้นหาล้านมาโจมตีพวกเขาที่มีสิบล้านทั้งยังใช้กำลังปะทะกันตรง ๆ อีกเป็นการหยามเกียรติกองทัพองครักษ์จริง ๆ ไม่แปลกใจที่หันไห่ตายตาไม่หลับก่อนตายยังด่าว่าโจรหนิวรังแกกันเกินไปแล้ว!

 รายงานสถานการณ์ต่อเบื้องบน!แล้วก็บอกเบื้องบนด้วยว่าข้าซีเหม็นอู๋เห่ยเป็นคนบาปชั่วนิรนัดร์ของกองทัพองครักษ์ ! ซีเหม็นอู๋เห่ยหันกลับมาบอกลูกน้องอย่างคับแค้นู่รว้าตัวเองที่าผิดพลาดมหันต์แล้วไม่ควรนาคนจำนวนมากขึ้นาดี้นมาหลบอยู่ใต้ดินที่นี่ไม่ใช้ข่างนอกคนไม่สามารถเหาะเหินได้อย่างอิสระเขาในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดในสนามรบการตัดสินใจพลาดครั้งเดียวจะต้องทำให้พี่น้องจำนวนนับไม่ถ้วนเอาชีวิตไปถมความผิดนี้!

พอพูดทิ้งท้ายเอาไว้ซีเหม็นอู๋เห่ยก็เรียกคนที่อยู่ข้างกายให้ตามเขาออกจากความชุลมุนทันที่ไม่มีทางเลือกไม่สามารถบัญชาการตามปกติได้แล้ว ไรระเบี้ยบเกินไปแล้ว

ผ่านไปไม่นานนักกาไลเก็บสมบัติวงหนังก็ยิงจากในหลุมขึ้นไปบนฟ้ามีเสียงระเบิดดังปั้งระเบิดเองกลางอากาศคนหลายร้อยขี่สัตว์พาหนะที่บินได้ปรากฏตัวขึ้นมาพุ่งสังหารไปยังกระบวนทัพมือธนูบนฟ้า

 อย่าเสียรู้ะเบียบ ใครขัดคำสั่งประหาร!ปิ่งซ้ายโจมตีกลับ! แม่ทัพที่บัญชาการมือธนูอยู่บนฟ้าตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

ทันใดนั้นก็มีคนคนหนึ่งพุ่งเข้ามากระบวนทัพบนฟ้าเสียรู้ะเบียบเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้แต่แม่ทัพที่บัญชาการก็ระงับไว้ได้อย่างรวดเร็วมือธนูหลายพันที่อยู่ฝั่งปิ่งซ้ายรีบง้างสายธนูยิง โจมตีกลุ่

มคนที่บุกสังหารเข้ามาจนหกคะเมน

ทว่าข้างล่างเริ่มีมกาไลเก็บสมบัติโยนขึ้นฟ้ามาไม่หยุดระเบิดอยู่กลางอากาศไม่ขาดสายกลุ่มคนหลายร้อยบางหลายพันบ้างโผ่ลขึ้นมาบนฟ้าไม่หยุดตะโกนฆ่าพลางพุ่งโจมตีใส่กระบวนทัพของมือธนูบนฟ้าอย่างสุดชีวิต

ชวิ้ง!ชิงเยว่ชักกระบี่ออกมา กองหนุนเจี่ยหนึ่งอี่หนึ่งปิ่งหนึ่งโจมตี่ 

ฝั่งนี้ไม่ได้มีมือธนูมากขึ้นาดนั้นคนส่วนใหญ่ล้วนี้เป็นกองหนุนอยู่ข้างหลังพอได้ยินคำสั่งกำลังพลกลุ่มละแสนที่อยู่ตรงสามตำแหน่งรอบหลุมึลก็กปล่อยสัตว์พาหนะที่บินได้ออกมาแล้วบุกสังหารขึ้นไปกลางอากาศอย่างรวดเร็วคอยกำจัดความกังวลให้กระบวนทัพของมือธนู

แต่ข้างล่างมีกาไลเก็บสมบัติยิงขึ้นมาไม่หยุดมีกำลังพลระเบิดกลางอากาศไม่หยุดพอกำลังพลตะลุ่มบอนกันบนฟ้าเยอะขึ้นถ้าจะไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการยิงโจมตีของกระบวนทัพมือธนูบนฟ้าเลยก็คงยาก จังหวะการโจมตีของฝั่งนี้เริ่มเสียรู้ะเบียบแล้ว

พอฝั่งนี้เผยช่องโห่วการโจมตีคนข้างล่างที่เดิมทีก็พุ่งขึ้นไปอย่างสุดชีวิตอยู่แล้วตอนนี้ขี่สัตว์พาหนะพุ่งออกมาท่ามกลางกลุ่มคนที่วุ่นวายทันทีบ้างก็ถูกรอบข้างยิงร่วงลงมาบ้างก็พุ่งเข้าไปในกลุ่มคนที่ตะลุ่มบอนกันบนฟ้า

กำลังพลในหลุมเริ่มรวมกลุ่มป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมกลุ่มเป็นโล่ต้านการโจมตีที่มาจากสี่ด้านแปดทิศทหารในหลุมที่กลุ่มแตกกระจายก็เป็นฝ่ายพุ่งเข้าไปในโล่กาบังเองราวกับมีมังกรร้อยตัวพุ่งไปสี่ด้านแปดทิศเสียงตะโกนฆ่าดังสะเทือนฟ้า!

 

ประมุขชิงส่าย่อหน้าให้ซ่างกวนชิงเรื่องนี้ย่อมยอมไม่รับไม่ได้ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้พวกซีเหม็นอู๋เห่ยถอยไป่ซอนตัวหรอก

ซ่างกวนชิงต่อบทันที่ว่า :กองทัพองครักษ์สิบล้านลอบสังหารท่าน๋อองเหรอ ? ไม่มเรื่องนี้แน่นอน!อ๋องสวรรค์อย่าบอกนะวาดูไม่ออกว่าตระกูลเซี่ยโห้วมีเจตนาไม่ซื่อ ? ทัพใหญ่แดนรัตติกาลโจมตีกำลังพลของเจ้าเบื้องหลังองค์ชายมีใครยืนอยู่ยังต้องให้บอกอีกเหรอ ?

เหมียวอี้ :ช่างน่าขา!ไม่ต้องร่วมมือกันหรอก๋อองผู้นี้แก้ไขปัญหาเองได้!

จบการติดต่อตรงี้นซ่างกวนชิงส่าย่อหน้าอย่างจนปัญหาสื่อให้ประมุขชิงู่รว้าเจรจาไม่ได้ผล

อีกด้านหน่งหลังจากหยางเจาชิงรอให้เหมียวี้อวางระฆังดาราแล้วถึงได้รายงานว่า ท่าน๋อองเฮยทั่นส่งข่าวมาแล้วขอรับกำลังพลดักซุ่

มถอยแล้วเข้าไป่ซอนตัวในจุดลึกของแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว! 

 คิดจะหนีเหรอ ?  เหมียวอี้แสยะยิ้ม บอกเฮยทั่นอย่ามัวขี้โม้ให้ข้าฟังสะกดรอยตามกำลังพลดักซุ่มไว้ให้ดีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นมีประโยชน์มากข้าต้องเอามาให้ได้ถ้าทำให้งานข้าพังข้าจะไม่ยก

โทษให้เขา!บอกชิงเยว่ลงมือได้! ขีณะ่ทส่งก็หยิบฆังดาราออกมาติดต่อเถิงเฟย

 ขอรับ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับ

จวน๋อองสวรรค์เถิงเถิงเฟยเดินไปเดินมาอยู่ระหว่างศาลาตอนนี้หยุดฝีเท้าแล้วหันมาถามว่า แน่ใจน่ะว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลโจมต่ออกมาแล้ว ? 

เถิงจงพยักหน้า  ใช้แล้วขอรับ ยืนยันแล้ว 

เถิงเฟยเผยสีหน้าร้อนรนทันที่เริ่มเดินไปเดินมาอีกคุยกับหนิวโหย่วเต๋อไว้แล้วว่าถ้าทัพใหญ่แดนรัตติกาลลงมือเมื่อไร่ฝังเขาก็จะลงมือตามแต่ใครจะคิดว่าประมุขชิงจะเห็นเรื่องลูกชายก่อกบฏเป็นเรื่องร้องเพ่งเล็งเขาไม่ปล่อยกำลังพลกองทัพองครักษ์หลายร้อยล้านกำลังจ้องเข็มงอยู่ตรงหน้าเขาชัดเจนแล้วว่าจะหนุนหลังเฉิงไที่เจ๋อให้ได้ทำให้เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวส่งเดช

ฝั่งี้นักงวลอะไร่สิงนั้นก็มาถึงเหมียวอี้ส่งข่าวมาแล้วเถิงเฟยหยิบระฆังดาราออกมา :ท่าน๋อองหนิวทางฝั่งเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?

เหมียวอี้ :ท่าน๋อองเถิงอย่าถามทั้งที่ร้อยู่แก่ใจเหตุใดฝั่งเจ้าถึงยังไม่ลงมืออีก ?

ตอนนี้เขาอยากจะจุดชนวนปัญหาไปทั่วให้ประมุขชิงปวดหัวไม่มีทางรวบรวมกำลังมารับมือกับการเคลื่อนไหวตอนหลังของเขาได้อาศัยให้เถิงเฟยตรึงกำลังพลกองทัพองครักษ์กลุ่มนั้นไว้แต่ใครจะ

คิดว่าเถิงเฟยไม่มีที่ทำว่าจะลงมือทำให้กองทัพองครักษ์กลุ่มนั้นย้ายที่ทำศึกได้ทุกเมื่อที่เถิงเฟยไม่ลงมือก็เพราไม่แน่ใจว่าจะเหนี่ยวรั้งกำลังพลกองทัพองครักษ์กลุ่มนั้นได้

เถิงเฟย :สถานการณ์ของฝั่งข้าคาดว่าเจ้าก็คงรูดี้กองทัพองครักษ์ระดมพลห้าร้อยล้านแล้ว ข้าจะเอากำลังมากมายจากไหนมาปะทะกับพวกเขาไหนจะกำลังพลของเฉิงไที่เจ๋ออีกฝั่งข้าไม่ใช้คู่ต่อสู้เลย!

เหมียวอี้ :ไม่ได้ให้เจ้าออกรบฝ่ายเดียวเสียหน่อยขอเพียงกองทัพองครักษ์กล้าแทรกแซ่งพวกเราหลายบ้านก็จะเคลื่อนทัพไปช่วยทันที่ไม่ให้ประมุขชิงทาสำเร็จหรอก!

เถิงเฟย :แต่ประเด็นก็คือ๋อองสวรรค์ก่วงกับอ๋องสวรรค์โค่วไม่ได้แสดงท่าที่ใด ๆ ต่อข้าจะให้ข้าแน่ใจได้ยังไง่วาพวกเขาจะช่วยข้าแน่นอน ? ไม่สู้ให้ท่าน๋อองโน้มน้ามพวกเขาให้ระดมพลมาช่วยเสริมอำนาจก่อนสักกลุ่

ม ขอเพียงกำลังพลมาถึงแล้ว ข้าก็จะลงมือทันที่

เหมียวอี้ :ท่าน๋อองเถิงลังเลขนาดี้นทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ ในเมือเปืนเช่นนี้เจ้าก็รอโอกาสดีต่อไปเถอะ!

หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้วเหมียวอี้ก็แอบด่าแม่พบว่าเถิงเฟยไม่ได้หลอกง่ายขนาดนั้นที่สำคัญเป็นเพราะประมุขชิงเด็ดขาดแสดงกำลังพลห้าร้อยล้านไว้ที่นั่นกดหางอำนาจใหญ่แต่ละฝ่ายเอาไว้ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ก่วงหลิงกงกับโค่วหลิงซวีก็ไม่ใช้คนโง่ยังไม่ถึงเวลาแตกคอกันง่าย ๆ ทั้งยังได้นั่งบนภูดูเสือกัดกันมีหรือที่จะ

เคลื่อนทัพง่าย ๆ เขาออกหน้าโน้มน้าวไปก็ไม่มีประโยชน์ถ้าสถานการณ์ไม่ดำเนินไปถึงขั้นที่สองคนั้นนได้ประโยชน์ตาเฒ่าสองคนั้นนก็จะไม่เคลื่อนทัพแน่นอน

ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังนิดหน่อยที่ไม่ได้ปรึกษากับหยางชิ่งให้ดี ๆ การดำเนินการอย่างเผด็จการครั้งี้นูดท่าแล้วคงมีช่องโหว่อยู่มากถ้าให้หยางชิ่งตั้งใจใคร่ครวญคิดการวางแผนดี ๆ บางทีสถานการณ์อาจจะเป็นอีกแบบหนังก็ได้

ทว่ามานึกเสียใจทีหลังตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ลูกธนูง้างอยู่บนสายแล้วมิอาจไม่ยิงหายนะก็ก่อไปแล้วขี่หลังเสือแล้วลงยาก!

บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่งไป๋เฟิ่งหวงมองไปรอบ ๆ อย่างเบื่อหน่ายไม่ค่อยเข้าใจว่าเหมียวี้อีมเจตนาอะไรกันแน่วิ่งไปสักพักแล้วก็หลบอยู่ที่นี่หมายความว่าอะไร ?

แต่พอมองซายมองขั้วา ก็ดูเหมือนไม่มีอันตรายอะไรเลยจริง ๆ

หลังจากชิงเยว่ที่อยู่ข้าง ๆ กันเก็บระฆังดาราแล้วก็ถ่ายทอดเสียงบอกนางว่า ท่าน๋อองมีคำสั่งบอกว่าภารกิจของเจ้าเสร็จสิ้นแล้วตอนนี้จะให้คนคุ้มกันส่งเจ้ากลับจวนท่าน๋ออง 

ไป๋เฟิ่งหวงตอบ อืม แต่ในใจพึมพาว่าเจ้ากำลังทำอะไรกันแน่ ?

กำลังพลกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจำกัดาวเคราะห์รกร้างแบ่งออกเป็นสองสายแยกทางกันแล้วสายหนึ่งตามชิงเยว่ไปอีกสายหนึ่งคุ้มกันส่งไป๋เฟิ่งห่วงอุอกไป

หลังจากนั้นสองชั่วยามก็มาถึงทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์แม่ทัพที่ประจำอยู่ที่นี่ได้รับแจ้งอย่างลับ ๆ ตั้งนานแล้วรีบก้าวขึ้นมาคานับแล้ว

 จัดการหนอนบ่อนไส้ซะ! ชิงเยว่กล่าวเสียงต่า

แม่ทัพพยักหน้าอย่างเข้าใจ หันกลับไปโบกแขนส่งสัญญาณมือให้กำลังพลที่อยู่ไกล ๆ

ชั่วพริบตานั้นในกองทัพที่ปิดล้อมอยู่ตรงทางเข้าก็วเกิดเหตุการณ์วุ่นวายอยู่พักหน่งหลังจากมีเสียงต่อสู้ดังขึ้นสักัพก็กคุมตัวแม่ทัพคนหนึ่งที่มีสภาพสะบักสะบอมเข้ามา

 ซูฮุยหวงเจ้าช่างกล้ากินบนเรือนี้ขบนหลังคา! แม่ทัพชีค้นที่ถูกคุมตัวมาพลางตะโกนอย่างเดือดดาล

ซูฮุยหวงฝืนยิ้มอย่างน่าเวทนาก้มีหน้าอย่างห่อเหี่ยวู่รว้าทุกอย่างจบแล้วไม่ต้องอธิบายอะไรเช่นกันในเมืออีกฝ่ายกล้าลงมือกับเป้าหมายได้ชัดเจนขนาดนี้ก็แสดงว่าสงสัยเขามาตั้งนานแล้ว

ชิงเยว่องอาจห้าวหาญเหล่มองซูฮุยหวงด้วยสายตาเย็นเยียบแวบหนึ่งนางไม่พูดอะไรทั้งนั้นโยนหนังสือที่เหมียวอี้เขียนด้วยตัวเองให้แม่ทัพ

หลังจากแม่ทัพตรวจสอบคำสั่งแล้วก็หันกลับมาตะโกนบอกว่า เปิดประตู! 

ค่ายกลใหญ่ที่ปิดล้อมทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ถูกปิดชั่วคราวพอชิงเยว่โบกมือคนที่อยู่ข้างหลังก็ปล่อยกำลังพลออกมาหน่งหมื่นนายแล้วนาคนพุ่งเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์อย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งกำลังพลที่เข้าไปก่อนส่งข่าวมายืนยันแล้วว่าข้างในปลอดภัย ชิงเยว่ถึงได้รีบนากำลังพลบุกเข้าไป

 ปิดประตู! พ่อแม่ทัพตะโกนก็เปิดใช้งานค่ายกลใหญ่ที่ปิดทางเขาอีกครั้งแสงสีขาวประหลาดกลบทางเข้าไว้แล้วและตอนที่เขาหันตัวกลับมาอีกครั้งก็โบกมือตบหน้าซูฮุยหวงอย่างแรงหนึ่งทีตบจนซูฮุยหวงฟันร่วงเลือดสาด

ไม่ให้เขาโมโหไม่ได้หรอกเบื้องบนมอบหมายภารกิจสำคัญขนาดนี้ให้เขาเรื่องเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของท่าน๋อองมีคนเล่นไม่ซื่ออยู่ใต้หนังตาแต่เขากลับไม่สังเกตเห็นแม่ทัพคนสำคัญอย่างเขายากจะพ้นความผิด!ถ้าไม่ใช้เพราะเบื้องบนสั่งมาว่าอย่าเพิ่งฆ่าเก็บไว้ชั่วคราวยังมีประโยชน์เขาก็อยากจะสับเนื้อซูฮุยหวงสักพันดาวหมื่นดาบจริง ๆ!

ทะเลทรายหินที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตามรอยแยกกลางอากาศไม่หยุดพวกชิงเยว่ถลันพุ่งออกมาคนส่วนใหญ่เข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก พอเข้ามาก็โซเซเหมือนจะล้ม

รอบข้างกำลังพลหน่งหมื่นที่เข้ามาก่อนรับหน้าที่ระแวดระวังแล้วสภาพเมฆปราณชั่วร้ายหายไปแล้วเช่นกันหลังจากกำลังพลดักซุ่มถอยไปแล้วเมฆปราณชั่วร้ายตรงนี้ก็หายไปหมด

ps ://no-gspom/

 ผู้ตรวจการซ้ายพวกเขาบอกว่าคนที่ชื่อ’คุณชายเฮย’ สั่งให้พวกเขารอท่านอยู่ที่นี่ แม่ทัพที่เข้ามาก่อนสั่งให้คนคุมตัววิญญาณชั่วร้ายสี่คนเข้ามา

สี่คนนี้มีทั้งชายทั้งหญิงยามเผชิญหน้ากับกำลังพลตาหนักสวรรค์ที่สวมเกราะหนักกลุ่มนี้พวกเขาก็กังวลหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

ชิงเยว่มองประเมินทั้งสี่คนในใจพึมพาว่าคุณชายเฮยเหรอ ? นางรู้จักเฮยทั่นตอนอยู่จวนท่าน๋อองเคยเจอหลายครั้งู่รว้าคนที่ทำหน้าที่มารับนางครั้งนี้ก็คือเฮยทั่นเพียงแต่ไม่รูจ้ริง ๆ ว่าเฮยทั่นมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าคุณชายเฮยจึงถามว่า นี่มันเรื่องอะไรกัน ? 

วิญญาณชั่วรายหนึ่งในนนตอบด้วยเสียงอ่อนปวกเปียก คุณชายเฮยไปตามหาคนคิดไม่ซื่อพวกนั้นแล้วกาชับให้พวกเรามารอนายท่านอยู่ที่นี่ให้พวกเราคอยบอกทิศทางให้นำยท่านอยู่ที่นี่พร้อมทั้งคอยระวังไม่ให้นำยท่านถูกปีศาจเล็ก ๆ ที่ไม่มีตาพวกนั้นก่อกวนขอรับ ที่บอกว่า’ปีศาจเล็ก ๆ ที่ไม่มีตา’ ก็หมายถึงพวกปราณชั่วร้ายที่มีสติปัญญาแล้วแต่กลับยังโง่งง

 ตัวเขาไปไหนแล้ว ?  ชิงเยว่ถาม

วิญญาณชั่วร้ายชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง

ชิงเยว่ออกคำสั่งทันที่เก็บกำลังพลเข้ากระเป๋าสัตว์คนจำนวนหนึ่งร้อยปล่อยสัตว์พาหนะออกมากระโดดครึ่งสัตว์พาหนะตามไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนเฮยทั่นก็ทิ้งวิญญาณชั่วร้ายเอาไว้คอยชีบ้อกทางตลอดทาง เมื่อเจอทางเลี้ยวก็จะทิ้งวิญญาณชั่วร้ายเอาไว้หนึ่งตนเพื่อคอยรับและบอกทิศทางให้ชิงเยว่…

 พระเจ้าตาบอดีหรือไง ? คนมากขึ้นาดนั้นหนีมาที่นี่ขนาดคนตาบอดยังเห็นเลยไม่รู้เลยเหรือวาเป็นหลบอยู่ที่ไหนแล้ว ? 

บนภูเขาแห่งหนึ่งเฮยทั่นชี้หน้ากลุ่มวิญญาณชั่วร้ายพลางด่าทอ

หนึ่งในวิญญาณชั่วร้ายบอกว่า คุณชายเฮยปีศาจเล็ก ๆ พวกนั้นอยู่ในสภาพซื่อบื้อไม่มีดวงตาด้วย… 

เฮยทั่นถลึงตาทันที เจ้านี้ข้ออ้างเยอะจังเลียนะ! เขายิงฟันเผยใบหน้าดุรายออกมาจนหมด้

วิญญาณชั่วร้ายตนั้นนรีบโบกมือบอกว่า คุณชายเฮยผู้น้อยไม่ได้หมายความอย่างนั้นผู้น้อยกำลังบอกว่าคนจะต้องหลบอยู่บริเวณนี้แน่นอนลองหาดูสักหน่อยก็น่าจะหาครบ 

เฮยทั่นโบกมือชีพ้วกเขา เช่นั้นนพวกเจ้ายังจะรออะไรอีก ? ยังไม่รีบไปหา ? ถ้าทำงานใหญ่ของปู่พังเดียวกัลับไปจะเด็ดหัวมาเติมใส่ท้องปู่ให้หมด! 

กลุ่มวิญญาณชั่วร้ายวุ่นวายทันทีทยอยกันแยกย้ายออกไปแล้วใช้เวลาไม่นานนะเมฆปราณชั่วร้ายที่มโหฬารพันลึกปรากฏขึ้นอีกครั้งหมอกชั่วร้ายมาเยือนพื้นดินอีกครั้งแทรกซึมลงไป้คนหาใต้ดินทั้งหมดหลังจากนั้นครั้งวันยังหาคนไม่พบเฮยทั่นเดินไปเดินมาอย่างรอนใจผ้ลปรากฏว่ายังไม่เจอกำลังพลดักซมรุ่อจนพวกชิงเยว่ตามมาทันแล้วเมื่อเห็นเมฆปราณชั่วร้ายที่มืดฟ้ามัวดินกับตาตัวเองพวกชิงเยว่ก็ตกใจไม่เบาหลังจากเหยียบลงพื้นแล้วก็เดินมาอยู่ข้างกายเฮยทั่นเฮยทั่นหี่รตายิ้มทันที อ้าว!นี่ผู้ตรวจการซ้ายไม่ใช้เหรอจุจุยิ่ง

นับวันยิ่งสวยขึ้นจริง ๆ ชิงเยว่กลอกตาเล็กน้อย แล้วถามว่า  คนล่ะ ?  เฮยทั่นยิ้มแห้ง กำลังหาหาอยู่จะหาเจอเดียวนี้แหละ  เดียวี้นคือเมื่อไร ?  ชิงเยว่ขมวดคิ้ว ก็คืออีกไม่นานไง! เฮยทั่นตอบ

ชิงเยว่ทำได้เพียงรออยู่ข้าง ๆ แต่จนใจที่รออยู่ครึ่งชั่วยามแล้วก็ยังไม่เห็นข่าวคราวอดไม่ได้ที่จะถามเสียงต่าอีกครั้ง ต้องรอถึงเมื่อไหร่กันแน่ ? 

  ใกล้แล้วอีกไม่นาน เฮยทั่นตอบอย่างเริงร่าอยู่อย่างนั้น

ชิงเยว่กลับไม่ทำหน้าที่ะเล้นกับเขาถ้าทำงานใหญ่เสียนางก็รับผิดชอบไม่ไหวจึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้

ใครจะคิดว่าเฮยทั่นจะทำตัวเหมือนแมวโดนเหยียบหางทันทีชี้ไปที่ระฆังดารานี่มือนางพลางตะโกนถาม เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ ? 

  ข้าไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหนก็ต้องรายงานสถานการณ์ของที่นี่ให้ท่าน๋อองร้อยู่แล้ว ชิงเยว่กล่าว

เฮยทั่นตบนหน้าอกรับประกันทันที นี่เจ้าไม่เชื่อข้าเหรอ!ข้าบอกแล้วไงว่าใกล้จะเจอแล้วเดียวอีกไม่นานก็เจอแล้วจะรออีกหน่อยเถอะอย่าเพิ่งรายงานกำลังจะเจอเดียวนี้แหละจะเสร็จเดียวนี้จะเจอเดียวนี้จริง ๆ! เขาเคยุคยโม้กับเหมียวอี้ไว้แล้วพูดราวกับมีดอกไม้โปรยลงมาจากฟ้าบรรยายตัวเองไว้อย่างยอดเยี่ยมไร้เทียมทานบอกว่าอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ไม่มเรื่องไหนที่เขาทำไม่สำเร็จตอนนี้ถ้าให้เหมียวี้อู่รว้าเขาทำงานนี้พัง…เขาติดตามอยู่กับเหมียวี้อมานานมากมีหรือที่จะไม่รู้ว้าเหมียวอี้ปกครองทัพอย่างเข้มงวดถ้าเอาเรื่องบนสนามรบมาคุยโม้จะต้องยั่วโมโหเหมียวอี้แน่นอนถึงตอนั้นนต่อให้ไม่ตายแต่ก็สภาพไม่ดีสักเท่าไห่รจะไม่กลัวได้อย่างไร

ชิงเยว่เห็นปากเจ้าเวรนี่เชื่อถือไม่ได้นางขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้สนใจเขาเขย่าระฆังดาราในมือต่อไปใครจะคิดว่าจู่ ๆ จะมีวิญญาณชั่วร้ายลอยมาแล้วกล่าวอย่างดีใจว่า หาเจอแล้วคุณชายเฮยหาเจอแล้ว! 

เฮยทั่นกระปรีกร้ะเป่าทันทีคว้าแขนวิญญาณชั่วร้ายที่มารายงาน แล้วรีบถามว่า  อยู่ตรงไหน ? 

วิญญาณชั่วร้ายโบกมือชี้ไปทางทิศตะวันออก ซ่อนตัวอยู่ในร่องลาธารระหว่างภูเขาแห่งหนึ่งที่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกสามร้อยลี้ 

 วะฮ่า ๆ ๆ! เฮยทั่นผลักเขาดีใจจนกระโดดโลดเต้นตบนหน้าอกใส่ชิงเยว่พร้อมบอกว่า เป็นยังไงล่ะ ? ข้าบอกแล้วใช้ไหมว่าอีกไม่นาน!เจ้านี่จริง ๆ เลยจะดีจะร้ายก็เป็นคนที่ทำงานใหญ่ทำไม่ไมรู้จักอดทนรอสักนิดกลับไปข้าจะต้องตาหนิเจ้าให้ท่าน๋อองฟังสักหน่อยแล้ว!  …  ชิงเยว่เถียงไม่ออก

 

ปราณชั่วร้ายกัดกร่อนเกราะป้องกันไม่หยุด ส่วนเกราะป้องกันก็สูญเสียพลังงานไปกับการต่อต้านปราณชั่วร้ายกัดกร่อน

ตอนแรกใช้ว่าทุกคนจะไม่เคยเห็นเหตุการณ์เวลาที่ปราณชั่วร้ายกัดกร่อน แต่ไม่เคยเห็นสภาพการกัดกร่อนที่ใหญ่โตขนาดนี้ ปราณชั่วร้ายที่เข้มข้นขนาดนี้ปิดล้อมกราะป้องกันเอาไว้มิดชิดจนแม้แต่น้าก็ซึมผ่านไม่ได้

ซีเหม็นอู๋เหย่ รองผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายที่ยืนอยู่ในกลุ่มคนมีสีหน้าเคร่งเครียด ถามเสียงต่าว่า  นี่มันเรื่องอะไรกัน ? 

คนที่อยู่ทางซ้ายและขวามองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าเกิดเรื่องอะไร ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์นี้ เมื่อก่อนนอกจากเข้ามากวาดล้างตามกำหนดเวลา ก็ไม่มีใครเข้ามาอยู่ประจำคาดว่าคงไม่มีใครรู้ชัดว่าในแดนมรณะดึกดำบรรพ์จะมีการเปลื่ยนแปลงอะไรกันแน่

ทหารคนหนึ่งตอบว่า  นายท่าน เกราะป้องกันเสียพลังงานมากเกินไปแล้ว ถ้าเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ต่อไป เกราะป้องกันก็จะต้านทานได้อีกไม่นาน 

แม่ทพอีกคนที่กำลังถือระฆังดาราก็กล่าวเช่นกันว่า  นายท่าน จุดดักซุ่มแต่ละแห่งล้วนประสบกับเหตุการณ์เดียวกัน กำลังขอคำชี้แน่ะว่าควรจัดการยังไง 

ซีเหม็นอู๋เหย่ขมวดคิ้ว นึกไม่ถึงว่าเพิ่งปล่อยกำลังพลออกมาอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวก็เจอเรื่องแปลกแล้ว อย่าบอกน่ะว่าฝั่งหนิวโหย่วเต๋อสามารถควบคุมปราณชั่วร้ายได้ ? เขากล่าวเสียงต่า  ได้รับข่าวจากเบื้องบน มีความเป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต๋อใกล้จะมาถึงแล้ว ให้แต่ละจุดเติมีพลังงานใส่ค่ายกลป้องกันต่อไป อดทนอีกสักหน่อย 

ทหารคนหนึ่งถามว่า  ยืนยันแล้วเหรอว่าจะมา ? ถ้าไม่มาก็จะเสียพลังงานทิ้งไปเปล่า ๆ ใช้ค่ายกลป้องกันต่อไม่ได้แล้ว ดูจากเหตุการณ์นี้ ก็ยังไม่รู้เลยว่าพวกเราตองอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดเหตุไม่คาดหวังอะไรขึ้นอีก ถ้ามีเตรียมไว้ในมือน้อยก็จะไม่เหมาะสม! แล้วก็มีเหตุการณ์นี้อีก ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะเข้ามาแล้ว แต่พวกเรามีกำลังพลมากมายขนาดนี้ จะเผยตัวออกมาโจมตีได้ยังไง ? คนส่วนใหญ่ไม่มีทางอยู่ท่ามกลางปราณชั่วร้ายได้นาน! 

ทัพใหญ่ที่มากวาดล้างในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่ล้วนดึงตัวคนฝึกวิชาที่สามารถต่อต้านปราณชั่วร้ายมาจากที่ต่าง ๆเดิมทีคนที่มาก็ไม่กล้าทำอะไรเอิกเกริกอยู่แล้ว กลัวจะแหวกหญ้าให้งูตื่น

ซีเหม็นอู๋เหย่เงียบไป หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเบื้องบน รายงานสถานการณ์ที่นี่ให้ฟัง

จวนอ๋องสวรรค์หนิว หลังจากเหมียวอี้ที่นั่งสง่าอยู่ในห้องหนังสือติดต่อกับเฮยทั่นแล้ว ก็วางระฆังดาราลงบนโต๊ะ แล้วกล่าวอย่างร่าเริง  ชมตัวเองก็เป็น เฮยทั่น เจ้าเวรนั่นช่างลาพองใจนัก อยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มอำนาจไม่น้อยเลย 

ความจริงก็เป็นอย่างนั้น ตอนนี้เฮยทั่นก็ไม่ต่างอะไรกับราชันของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ชื่อเสียงคุณชายเฮยโด่งดัง วิญญาณชั่วร้ายที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่กล้าไม่เชื่อฟัง ทุกที่ล้วนมีสายลับของเฮยทั่น ถ้าอยากจะหลบซ่อนในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ให้พ้นสายตาเฮยทั่นก็ไม่ใช้เรื่องง่ายเลย ทุกการกระทำของซีเหม็นอู๋เหย่ล้วนอยู่ในการรับรู้ของเหมียวอี้ การดักซุ่มเป็นเรื่องนาขาจริง ๆ

เพียงแต่กำลังพลที่ดักซุ่มอยู่ตรงทางออกก็เป็นปัญหายุ่งยากแล้วจริง ๆ ทัพใหญ่ที่เข้ามาไม่มีทางกระจายตัวได้ภายในครั้งเดียว เพราะจะสร้างความเสียหายจำนวนมหาศาลได้ง่าย ต้องแก้ปัญหาก่อนสักหน่อย บีบคนให้ไปก่อนถึงจะจัดการได้ง่าย

หยางเจาชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม  ไม่รู้ว่าประมุขชิงจะกล้ายอมรับหรือเปล่าว่าส่งกำลังพลไปดักซุ่มเพื่อลอบสังหารท่านอ๋อง ชีวิตของกองทัพองครักษ์สิบล้านเชียวนะ 

ขณะที่พูดก็หยิบระฆังดาราออกมา หลังจากติดต่ออยู่พักหนึ่ง ก็รายงานว่า  ท่านอ๋อง ทัพใหญ่แดนรัตติกาลโจมต่ออกมาแล้ว กำลังพลสายมะเส็งแพ้ถอยกลับมา! 

เหมียวอี้เอาฝ่ามือยันโต๊ะยืนขึ้น แล้วแสยะยิ้ม  แพ้ได้สวย! 

วังสวรรค์ ตาหนักดาราจักร

หลังจากได้ฟังซ่างกวนชิงรายงานสถานการณ์ผิดปกติที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ประมุขชิงก็สีหน้าเครียดขรึมลง  ปราณชั่วร้ายปะทุออกมาจำนวนมาก นี่มันสถานการณ์อะไรกัน ? ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อพบแล้ว แต่หนิวโหย่วเต๋อจะควบคุมปราณชั่วร้ายได้เชียวเหรอ ? 

ช่วงนี้บรรดาลูกนองค์นสนิทคอยฟังคำสั่งอยู่ที่นี่ตลอด ตอนนี้เผยสีหน้าตรึกตรอง ต่างก็ส่าย่อหน้าแสดงออกว่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

 อืม!  ประมุขชิงเงย่อหน้าบอกใบ้ซ่างกวนชิง แล้วซ่างกวนชิงก็เดินก้าวยาวออกจากตาหนักดาราจักรไป

รอจนกระทั่งพวกประมุขชิงเดินออกจากตาหนัก มังกรสีทองตัวหนังกบินเข้ามาพร้อมเสียงคาราม บินวนอยู่บนฟ้าได้สักพัก ร่างกายมึหมาก็เหยียบลงนอกตาหนัก แล้วทาท่าก้มหัวฟังคำสั่ง

ซ่างกวนชิงเล่าสถานการณ์ผิดปกติในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ให้ฟังรอบหนึ่ง แล้วถามมังกรทองตัวนั้นว่า  รู้หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้น ? 

มังกรทองยกกรงเล็บขึ้นมา แล้วเขียนตัวอักษรบนพื้น : ไม่เคยได้ยินมาก่อน ตอนที่เผ่าหงส์และมังกรยังอยู่ที่แดนสุขีนั่น ปราณชั่วร้ายไม่มีทางล้นเอ่อขนาดนี้

หลังจากพวกเขาอ่านตัวอักษรชัดแล้ว ก็สบตากันแวบหนึ่ง ตอนนี้เข้าใจแล้ว รู้สิ่งที่มังกรพูดคงไม่ใช้เรื่องโกหกเช่นกัน ตอนที่

เผ่าหงส์และมังกรยังเฝ้าอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ยังไม่เรียกว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เพราะมีภูเขาสวยน้าใส สามารถเลือกที่นั่นได้ว่าแดนสุขี จะมีปราณชั่วร้ายล้นเอ่ออยู่ได้อย่างไร อีกฝ่ายไม่เคยเห็นก็เป็นเรื่องปกติมาก

เพียงแต่พอพูดแบบนี้ การที่ฝั่งนี้กักขังเผ่ามังกรและเผ่าหงส์ไว้ก็เหมือนจะโดนกรรมตามสนอง ยกหินทุ่มเท้าตัวเอง

หลังจากซ่างกวนชิงโบกมือให้มังกรทองออกไป้พวกเขาก็หันตัวเดินกลับเข้ามาในตาหันกอีก

อู๋ฉวี่บอกว่า  เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในเวลานี้ ทั้งยังเป็นตอนที่หนิวโหย่วเต๋อไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ถ้าจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ก็อาจฟังดูดันทุรังเกินไป เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อจริง ๆ กำลังพลที่ดักซุ่มอาจจะถูกเปิดโปงแล้วจริง ๆ!  เขากล่าวด้วยสีหนาวิตกกังวล กังวลความปลอดภัยของคนกลุ่มนั้นของกองทัพองครักษ์ ถ้าถูกหนิวโหย่วเต๋อเพ่งเล็งขึ้นมาจริง ๆ จะเอาตัวรอดออกมาได้หรือ ?

ซ่างกวนชิงกับซือหม่ำเวิ่นเทียนสบตากันแวบหนึ่ง ตามแผนเดิม ถ้าหากแผนี้นล้มเหลว ก็เตรียมจะหาข้ออ้างเข้าไปกวาดล้างที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์อีกครั้ง แล้วถือโอกาสถอนกำลังพลออกมา แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ เจ้ายังจะกวาดล้างแดนมรณะดึกดำบรรพ์อะไรได้อีก ไม่ใช้การล้อเล่นหรอก หรือพูดไปแล้วฟังขึ้นไหม ? ใครจะฟังล่ะ ? ต่อให้วังสวรรค์ตั้งกลุ่มไปกวาดล้างกันเอง แต่หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่มีทางให้เจ้าเข้าใกล้

เกิดเรื่องขนทุกที่ประมุขชิงค้นพบความรู้สึกกดดันเหมือนไฟไหม้หัว เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายกออกคำสั่งว่า  บอกให้พวกเขาถอยเถอะ ซ่อนตัวให้ดี รอให้ผ่านช่วงนี้ไปแล้วค่อยคิดหาวิธีการรับมืออีกที่ 

 รับทราบ!  ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ

ทางฝั่งซือหม่ำเวิ่นเทียน พอวางระฆังดาราก็รายงานด่วนอกว่า  ฝ่าบาท ทัพใหญ่แดนรัตติกาลโจมต่ออกจากแดนรัตติกาลแล้ว กำลังทาศึกใหญ่กับกำลังพลทัพใต้ กำลังพลทัพใต้ต้านไม่ไหว พ่ายแพ้! 

ทุกคนได้ยินแล้วอึ้ง ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป ประมุขชิงรีบถามว่า  ทัพใหญ่แดนรัตติกาลโจมต่ออกจากแดนรัตติกาล โจมตีกำลังพลทัพใต้แล้ว ทั้งยังเอาชนะกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อได้ด้วยเหรอ ? 

  ไม่ผิดขอรับ สายลับที่สังเกตการณ์อยู่บริเวณนั้นเห็นกับตา กำลังพลทัพใต้ก็เหมือนจะนึกไม่ถึงเช่นกันว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะโจมต่ออกมา โดนโจมตีจนทำอะไรไม่ถูก แพ้แล้วขอรับ!  ซือหม่ำเวิ่นเทียนตอบ

ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าชิงหยวนจุนบ้าไปแล้วหรือเปล่า หรือกิ่นยาผิดมา ? เหมือนเจอใครก็กัดคนั้นน กำลังพลน้อยนิดแค่นั้นก็กล้าสู้กับหนิวโหย่วเต๋อแล้วเหรอ ? นี่กำลังเรียนรู้ช่องทางที่หนิวโหย่วเต๋อโค่นล้มฮ่าวเต๋อฟางหรือตระกูลเซี่ยโห้ววางแผนอะไรไว้ถึงทำให้เขารู้สึกไร้ความเกรงกลัวเพราะมีที่พึ่ง ?

  หึหึ! ขุนพลที่รบชนะบ่อย ๆ อย่างหนิวโหย่วเต๋อเปืนเรื่องแปลกใหม่ที่ได้ยินว่าเขาแพ้ ด้วยนิสัยของเจ้านั่น มีหรือที่จะกล้ำกลืนความเสียเปรียบไว้!  ประมุขชิงกล่าวอย่างนั้น แต่ใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มที่มาจากหัวใจ ช่วงนี้ไม่ได้เห็นรอยยิ้มเช่นนี้มานานแล้ว เขาชี้ซ่างกวนชิง  ติดต่อหนิวโหย่วเต๋อบอกเขาว่า กองทัพองครักษ์ยินดีจะช่วยเขาอีกแรง! 

เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้ ช่วงนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันครั้งแล้วครั้งแล้ว ในที่สุดครั้งนี้เขาก็หาโอกาสทำให้สถานการณ์สั่นคลอนได้แล้ว

แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ในค่ายกลป้องกันใต้ดิน ซีเหม็นอู๋เหย่จ้องเกราะป้องกันที่มีแสงสีเงินกระเพื่อมมาตลอด จู่ ๆ ก็หยิบระฆังดาราขึ้นมา หลังจากติดต่อได้สักพัก ก็พูดกับคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาว่า  เรื่องที่พวกเราดักซุ่มอยู่ที่นี่ถูกเปิดโปงแล้ว เป็นไปได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อรู้แล้ว ถ่ายทอดคำสั่งลงไป เก็บกำลังพลเดียวนี้ ปฏิบัติตามคำสั่งของข้า! 

ตามเสียงคำสั่ง กำลังพลหนาแน่นในค่ายกลป้องกันก็ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็หดเข้าไปอยู่ในกาไลเก็บสมบัติบนตัวคนไม่กี่คน

ในช่องว่างใต้ดินที่ว่าง เปล่าเหลือแค่พวกซีเหม็นอู๋เหย่ไม่กี่คน พอเก็บค่ายกลป้องกัน พวกเขาก็ปล่อยสัตว์พาหนะที่บินได้ออกมา ร่างกายปล่อยเพลิงเดือดออกมาปกป้องตัวเองและสัตว์พาหนะ สัตว์

พาหนะกระพือปีกบินขึ้นมา บินฝ่าปราณชั่วร้ายที่พรั่งพรูเข้ามา เสียงเผาไหม้ดังฉ่า ๆ ผ่านประเดียวเดียวก็ผ่านไปได้แล้ว

เสียงผิวดินดังโครมคราม มันถูกเปิดออกแล้ว ผิวดินพังยุบลงมา สัตว์พาหนะไม่กี่ตัวที่มีเปลวเพลิงครอบตัวพุ่งฝ่าทะเลหมอกปราณชั่วร้ายออกมา บินวนเวียนอยู่บนฟ้าสูง

พวกซีเหม็นอู๋เหย่ขี่สัตว์พาหนะอยู่บนฟ้าสูง พอก้มมองเมฆปราณชั่วร้ายที่กว้างสุดลูกหูลูกตาข้างล่าง ก็แอบรู้สึกตกใจ

เพียงประเดียวเดียว ตรงจุดที่อยู่ไม่ไกลก็มีสัตว์พาหนะเปลวเพลิงทยอยพุ่งออกมา บินมาร่วมตัวกันและปรึกษากันเล็กน้อย จากนั้นก็รีบหนี้ไปไกลโดยมีซีเหม็นอู๋เหย่เป็นคนนา

ในห้องหนังสือของจวนอ๋องสวรรค์หนิว เหมียวอี้กำลังติดต่อกับซ่างกวนชิง

หลังจากฟังซ่างกวนชิงพูดแล้ว เหมียวอี้ก็ตามไปโดยตรงเลยว่า : ร่วมมือกันเหรอ ? คำพูดของฝ่าบาท อ๋องผู้นี้จะเชื่อได้เหรอ ?

ซ่างกวนชิง : คำพูดของฝ่าบาทมีน้ำหนักมาก มีอะไรที่เชื่อไม่ได้ ?

เหมียวอี้ : ผายลมเจ้าสิ! ไม่นานก่อนหน้านี้ตระกูลเซี่ยโห้วบอกข้าไว้ว่าฝ่าบาทดักซุ่มกำลังพลสิบล้านไว้ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ เตรียมจะลอบสังหารข้า เรื่องนี้ฝ่าบาทจะอธิบายยังไง ? พูดเรื่องนี้กับข้าให้กระจ่างก่อนเถอะ!

ซ่างกวนชิงรีบเงย่อหน้าถ่ายทอดคำพูดของเหมียวอี้ให้ประมุขชิงฟัง แน่นอนว่าเว้น คำว่า ‘ผายลม’ ไว้

พอพวกประมุขชิงได้ฟัง ก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว มิน่าล่ะหนิวโหย่วเต๋อถึงรู้ว่ามีกำลังพลดักซุ่ม วุ่นวายอยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็เป็นอุบายของตระกูลเซี่ยโห้วนี่เอง คิดไปคิดมาก็พบว่าตระกูลเซี่ยโห้วน่ากลัวจริง ๆ ไม่มีรูไหนที่แทรกซึมไม่ได้ แม้แต่เรื่องลับขนาดนี้ก็ยังรู้แล้ว

 

 นี่เจ้าพูดเองนะ ถ้ามีอันตรายก็อย่าหาว่าข้าสะบัดมือทิ้งงานแล้วกัน  ไป๋เฟิ่งหวงทาเสียงฮึดฮัด

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วหันกลับไปถามหยางเจาชิงว่า  เตรียมตัวพร้อมหมดแล้วหรือยัง? 

 เรียบร้อยแล้วขอรับ สามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ  หยางเจาชิงตอบ

 รบกวนแล้ว  เหมียวอี้ยิ้มให้ไป๋เฟิ่งหวงเบาๆ

หยางเจาชิงยื่นมือเชิญทันที  เชิญ! 

ไป๋เฟิ่งหวงทาปากขมุบขมิบ ไม่รู้เหมือนกับว่ากาลังพูดอะไร แต่มองออกเลยว่ากาลังด่าคน เดินตามหยางเจาชิงไปอย่างหงุดหงิดมาก

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังมองส่งพลางหัวเราะเบาๆ

อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างๆ เห็นเขามั่นใจเหมือนกุมฟ้าดินไว้ในมือ นึกถึงสถานการณ์ผันผวนของใต้หล้าข้างนอก แล้วจู่ๆ ก็ถอนหายใจ  หนิวเอ้อร์ เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว 

 หืม?  เหมียวอี้ชะงักเล็กน้อย ค่อยๆ หันกลับมามองนาง ทั้งสองจ้องตากัน หลังจากเงียบไปครู่เดียว ก็กล่าวช้าๆ ว่า  สาหรับเจ้า ข้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย 

อวิ๋นจือชิวเผยรอยยิ้มในความกลัดกลุ้ม  ไม่อนุญาตให้เปลี่ยน! 

ไป๋เฟิ่งหวงเดินออกมาจากจวนท่านอ๋อง ชิงเยว่นากาลังพลกลุ่มหนึ่งติดตามมาด้วย แล้วเหาะขึ้นฟ้าไปด้วยกัน…

ตาหนักดาราจักร ประมุขชิงเดินไปเดินมาไม่หยุด กาลังฟังอู๋ฉวี่รายงาน

รายงานเรื่องที่เกี่ยวกับโพ่จวิน ในเมื่อโพ่จวินไม่ยอมมาพบประมุขชิง อู๋ฉวี่ทาได้เพียงรายงานเรื่องที่โพ่จวินไปปลอบขวัญกาลังพลหน่วยองครักษ์ซ้ายแทน โพ่จวินไปที่หน่วยองครักษ์ซ้ายแล้วเรียกรวมบุคคลระดับสูงมาคุยกัน แค่บอกว่าไม่ใช่อย่างที่ลือกัน แต่มีภารกิจลับต้องไปปฏิบัติ บอกทุกคนว่าอย่าคิดมาก

ส่วนทุกคนจะคิดมากหรือไม่ เกรงว่าคงหลีกเลี่ยงได้ยาก แต่โพ่จวินออกหน้ามาอธิบายแล้วก็ได้ผลอยู่บ้าง สามารถปลอบขวัญทหารได้

ทว่ามีเรื่องโผล่เข้ามาเรื่องแล้วเรื่องเล่า เรื่องที่เป็นปัญหาไม่ได้มีแค่เท่านี้

ได้รับรายงานสถานการณ์ฝั่งจวนท่านปู่สวรรค์แล้ว เฉาหม่านและสมาชิกคนสาคัญของตระกูลเซี่ยโห้วหายตัวไปแล้ว การ

เคลื่อนไหวนี้ทาให้ประมุขชิงกังวลที่สุด ประมุขชิงกังวลที่สุดว่าตอนนี้อานาจฝ่ายต่างๆ จะสมคบกับตระกูลเซี่ยโห้ว จึงส่งคนกระจายกันไปปลอบขวัญอ๋องสวรรค์เหล่านั้นแล้ว ขณะเดียวกันก็ส่งคนไปคลุกคลีกับพวกจอมพลและเทพประจาดาวใต้บังคับบัญชาอ๋องสวรรค์ด้วย หวังว่ากาลังพลเบื้องล่างเหล่านั้นจะช่วยโน้มน้าวสักหน่อย อยากจะเสี้ยมเขาควายให้ชนกันด้วย ทาให้พวกอ๋องสวรรค์เกิดความระแวงในใจ ไม่กล้าเคลื่อนทัพอย่างสงบใจ

ตอนนี้เขากลับคิดถึงเซี่ยโห้วท่าที่ก่อนหน้านี้อยากให้ตายเร็วๆ มาตลอด

ตอนที่เซี่ยโห้วท่ายังอยู่ในโลกนี้ ก็มีเป้าหมายเดียวกันกับเขา ต่างก็กาลังรักษาสมดุลทางอานาจของใต้หล้านี้ไว้ ไม่ทาลายสมดุลง่ายๆ หลังจากเฉาหม่านขึ้นสู่ตาแหน่งแล้ว ก็ทาให้คนคาดเดาลาบาก ทาให้คิดไม่ตกจริงๆว่าเฉาหม่านคิดจะทาอะไรกันแน่ ตระกูลเซี่ยโห้วก็เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์เหมือนกัน เมื่อทาลายสมดุลนี้ทิ้งแล้ว จะมีประโยชน์อะไรกับตระกูลเซี่ยโห้วหรือเฉาหม่านด้วยหรือ? อย่าบอกนะว่าเฉาหม่านแตกต่างกับเซี่ยโห้วท่า อยากจะขึ้นสู่ตาแหน่งประมุขสูงสุด?

แม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังไม่แสดงความอ่อนแอ ทางฝั่งทัพตะวันออก กองทัพองครักษ์ไม่เพียงแค่ไม่เปลี่ยนทิศทางเพราะเรื่องทัพกบฏแดนรัตติกาล ทั้งยังกาลังทยอยเพิ่มกาลังพลด้วย สร้างความได้เปรียบที่แน่นอนต่อเถิงเฟยแล้ว การร่วมมือกับเฉิงไท่เจ๋ออยู่ที่ทัพตะวันออกได้กลายเป็นสิ่งที่ควบคุมอานาจฝ่ายต่างๆ ไว้แล้ว ทาท่า

ราวกับว่าถ้ามีคนกล้าทาอะไรบุ่มบ่าม ก็จะกาจัดเถิงเฟยเพื่อตัดการผนึกกาลังของบรรดาอ๋องสวรรค์ทันที

สิ่งนี้สร้างความกดดันใหญ่หลวงให้กับอานาจฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะเถิงเฟยที่เป็นหนังหน้าไฟ นึกไม่ถึงว่าประมุขชิงจะเห็นทัพกบฏที่แดนรัตติกาลเป็นเรื่องรอง เป้าหมายสาคัญในการโจมตีตกอยู่ที่เขาแล้ว ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังแทบแย่ เสียใจที่ไม่ควรกระโดดออกหน้าก่อน ทาให้ขี่หลังเสือแล้วลงยาก ส่วนอานาจฝ่ายอื่นก็ย่อมไม่ละเลย ต่างก็กาลังจงใจถ่วงเวลาไม่ให้กองทัพองครักษ์ระดมพล แค่หาข้ออ้างมาถ่วงเวลาเท่านั้น ดูแล้วเหมือนไม่อยากแตกคอกับประมุขชิงอย่างจริงจัง

ฝั่งแดนสุขาวดีรวบรวมกองทัพพระห้าร้อยล้านแล้ว หากทางนี้มีความจาเป็น ก็จะบุกไปช่วยสนับสนุนวังสวรรค์ทันที

หลังจากฟังรายงานจบแล้ว ประมุขชิงก็ถามว่า  ฉวี่ฉางเทียนประจาที่แล้วหรือยัง? 

อู๋ฉวี่ตอบว่า  ไปคุมที่ฝั่งเฉิงไท่เจ๋อด้วยตัวเองแล้วขอรับ เตรียมตัวบัญชาการโจมตีเถิงเฟยด้วยตัวเอง แต่กลับเป็นฝั่งฮวาอี้เทียน หนิวโหย่วเต๋อจงใจอ้างเรื่องพระปีศาจหนานโปมาตรวจสอบ จึงระดมพลกาลังพลได้ช้ามาก ภายในเวลาสั้นๆ นี้ถ้าอยากจะโจมตีทัพใหญ่แดนรัตติกาล เกรงว่าคงไม่ง่ายนัก 

ประมุขชิงเผยแววตาเยียบเย็นจากซอกตาที่กาลังหรี่มอง ไม่รู้ว่ากาลังครุ่นคิดอะไร

ทันใดนั้น ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ยืนอยู่เบื้องล่างก็เก็บระฆังดารา แล้วรายงานว่า  ฝ่าบาท หนิวโหย่วเต๋อออกจากดาวอ๋องสวรรค์หนิวแล้ว 

ประมุขชิงหันขวับ  สถานการณ์เป็นยังไง? 

คนอื่นๆ ล้วนทาสีหน้าสนใจอย่างสูง

 ดูจากการวางกาลังพลของหนิวโหย่วเต๋อก่อนออกเดินทาง คงจะไปที่แดนมรณะดึกดาบรรพ์ขอรับ  ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว

ประมุขชิงขมวดคิ้ว  ไปที่แดนมรณะดึกดาบรรพ์ในเวลานี้ เขาคิดจะทาอะไร? อย่าบอกนะว่าค้นพบแล้วว่ามีการดักซุ่มกาลังพลอยู่ข้างใน? 

ดักซุ่ม? อู๋ฉวี่อึ้งไป เขายังไม่รู้เรื่องนี้เลย จึงถามว่า  แดนมรณะดึกดาบรรพ์มีการดักซุ่มอะไรขอรับ? 

เขามองซ้ายมองขวา ไม่มีใครตอบคาถามนี้ของเขา

เกาก้วนที่เหมือนไม่รู้เรื่องเช่นเดียวกันถามเสียงเรียบว่า  หรือว่าฝ่าบาทดับซุ่มกาลังพลไว้ที่แดนมรณะดึกดาบรรพ์เพื่อเตรียมลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อ? 

ไม่มีใครตอบเช่นกัน ไม่ปฏิเสธก็เท่ากับยอมรับแล้ว อู๋ฉวี่เข้าใจแล้ว ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น

ซือหม่าเวิ่นเทียนกระแอมหนึ่งที  ตามหลักแล้วน่าจะยังไม่ ไม่มีความเป็นไปได้เลยที่กาลังพลดักซุ่มแอบปล่อยข่าวความลับสู่ภายนอก 

 แล้วเจ้าจะอธิบายเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อไปที่แดนมรณะดึกดาบรรพ์ตอนนี้ยังไง? อย่าบอกนะว่าเขาไปแดนมรณะดึกดาบรรพ์ตอนนี้เพื่อฝึกตน?  ประมุขชิงถาม

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบอย่างไม่แน่ใจ  หรือว่าจะมีเรื่องอื่นทาให้เขาต้องไปที่นั่นกะทันหัน ที่จริงแล้วเขายังไม่รู้ สิ่งนี้มีความเป็นไปได้ หากเป็นเช่นนี้…ฝ่าบาท ยังจะลงมือหรือไม่ขอรับ? 

หลังจากประมุขชิงครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ค่อยๆ เผยสีหน้าดุร้าย  ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็เป็นโอกาสในการทาลายสถานการณ์คุมเชิงที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ฆ่า! พอหนิวโหย่วเต๋อ ทัพใต้วุ่นวายใหญ่โต ข้าจะคอยดูว่าลูกทรพีจะหนีไปไหน! 

แม้เป้าหมายที่เขาเน้นโจมตีจะยังอยู่ที่ตัวเถิงเฟย แต่เรื่องที่เขาอยากแก้ปัญหาที่สุดก็คือกวาดล้างสิ่งสกปรกภายในบ้าน ลูกชายวางแผนก่อกบฏ ถ้าคนเป็นพ่ออย่างเขาทาอะไรลูกชายไม่ได้ นั่นต่างหากที่จะกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะอย่างแท้จริง

 ถ้าเขารู้แล้วจริงๆ ล่ะขอรับ?  ซ่างกวนชิงถาม

ในตาหนักเงียบทันที ประมุขชิงกล่าวช้าๆ ว่า  เช่นนั้นก็ให้พวกเขาถอนกาลังก่อน ไปอยู่ในจุดลึกของแดนมรณะดึกดาบรรพ์ ที่แดน

มรณะดึกดาบรรพ์ใหญ่โตขนาดนั้น เหาะเหินก็ไม่สะดวก ถ้าจะซ่อนตัวก็ไม่ได้หาเจอง่ายขนาดนั้น 

ทุกคนเข้าใจความคิดของเขาแล้ว ถ้าไม่สามารถกาจัดหนิวโหย่วเต๋อจนทาให้ทัพใต้วุ่นวายได้ เช่นนั้นก็ไม่อาจทิ้งจุดอ่อนไว้ให้คนอื่นฉีกหน้าได้ ถ้าบีบให้หนิวโหย่วเต๋อนาทัพใต้ไปที่ตระกูลเซี่ยโห้วกับชิงหยวนจุนก็จะแย่แล้ว สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนแปลงเหมือนพลิกฟ้าพลิกดินอย่างต่อเนื่องทันที

สาหรับเรื่องนี้ อู๋ฉวี่กับเกาก้วนต่างก็ไม่พูดอะไร ได้แต่ฟังทั้งสามปรึกษากัน…

แดนมรณะดึกดาบรรพ์ ในถ้าภูเขาแห่งหนึ่ง เฮยทั่นนั่งอยู่เบื้องสูง ที่จริงก็ไม่เหมือนนั่ง นอนเอนซ้ายเอนขวาอยู่บนเตียงหิน ฟังวิญญาณชั่วร้ายกลุ่มหนึ่งที่หน้าตาแปลกประหลาดประจบสอพลออยู่อย่างนั้น เริงร่าจนแทบจะหุบปากไม่ลง

ชายร่างผอมสูงคนหนึ่งเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาในถ้า พอเดินมาถึงเฮยทั่นก็กุมหมัดคารวะ  คุณชายเฮยองอาจปราดเปรื่อง เป็นอย่างที่คุณชายเฮยคาดไว้ คนกลุ่มนั้นปรากฏตัวอีกแล้ว แล้วก็หลบดักซุ่มอยู่ในค่ายกลป้องกันใต้ดินอีก 

เฮยทั่นกลืนไข่มุกวิญญาณเข้าปาก แล้วยกมือบอกใบ้ให้วิญญาณชั่วร้ายในถ้าหุบปากให้หมด เขาเบิกตากว้าง โน้มตัวมาข้างหน้าแล้วถามว่า  แน่ใจเหรอ? 

ชายร่างผอมสูงตอบว่า  สิ่งที่คุณชายเฮยกาชับ มีหรือที่จะผิดพลาด ข้าแปลงกายเป็นหมอกแทรกซึมเข้าไปสอดส่องใต้ดินด้วยตัวเอง ไม่ผิดพลาดแน่นอนขอรับ! 

ปั้ง! ตบที่วางแขนเก้าอี้ เฮยทั่นลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวเสียงดังว่า  เด็กๆ ทาตัวกระฉับกระเฉงเพื่อพ่อหน่อย ดึงความสามารถในการเฝ้าบ้านของพวกเจ้าออกมา จัดการให้ข้า! 

 คุณชายเฮยองอาจปราดเปรื่อง!  กลุ่มวิญญาณชั่วร้ายตอบรับเสียงดัง ฮึกเหิมห้าวหาญ

เฮยทั่นใช้สองมือเท้าเอว เดินก้าวยาวออกจากถ้า ไปยืนโบกมืออยู่ตรงปากถ้าอย่างมั่นอกมั่นใจ

กลุ่มวิญญาณชั่วร้ายที่ตามมาข้างหลังแยกย้ายกันไปทันที บ้างก็ลอยขึ้นฟ้าตรงนั้นเลย บ้างก็พึมพาท่องคาถาพลางออกท่าทางโบยบินกลางอากาศ ปราณชั่วร้ายล่องลอยทั่วสารทิศ ขอเพียงมีสติปัญญาขั้นต้นก็ล้วนฟังเสียงเรียกเข้าใจ ทยอยกันลอยเข้ามาแล้ว

ไม่นานหลังจากนั้น เมฆปราณชั่วร้ายกลุ่มใหญ่รวมตัวกันบนฟ้า ร่างของวิญญาณชั่วร้ายที่รวมตัวอยู่กลางอากาศขยายตัวเร็วมาก พอเสียงระเบิดดังเบาๆ ก็กลายเป็นปราณชั่วร้ายกลุ่มหนึ่งปะปนอยู่ในเมฆปราณชั่วร้าย ขับเคลื่อนให้เมฆปราณชั่วร้ายลอยไปยังบริเวณทางเข้าแดนมรณะดึกดาบรรพ์

ทะเลทรายหินกว้างใหญ่ไพศาล ตรงทางออกที่มีรอยแยกไม่หยุด ในแนวเทือกเขาที่อยู่ตรงข้ามไกลๆ สายลับกองทัพองครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างนั้นกาลังจับตาดูความเคลื่อนไหวบริเวณทางออกอย่างเข้มงวด

 เหล่าโหว รีบไปดูว่าข้างหลังเกิดอะไรขึ้น 

ในถ้าที่เชื่อมถึงกัน มีคนสองคนซ่อนตัวอยู่ คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลัง กาลังสังเกตการณ์ผ่านรูเล็ก จู่ๆ คนที่สังเกตการณ์อยู่ข้างหลังก็ร้องเรียก

คนที่สังเกตการณ์ผ่านรูเล็กข้างหน้ารีบหันตัวเดินเข้าไป พอหมอบมองอยู่ตรงหน้ารูเล็ก ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความสงสัยทันที เห็นเพียงเมฆปราณชั่วร้ายหลากสีที่ม้วนกลิ่งอยู่บนฟ้ากาลังลอยมาทางนี้ ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ไม่เคยเห็นความเคลื่อนไหวอย่างนี้มาก่อน

เมฆชั่วร้ายห้าสีที่เหมือนไร้ขอบเขตลอยผ่านเขาลูกนี้ไปช้าๆ เกลื่อนกลาดไปทั่วจุดที่สองคนนี้ซ่อนตัว ทั้งสองรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ บนตัวมีเปลวเพลิงลุกพรึบ เผาปราณชั่วร้ายที่ลอยเข้ามาจนเกิดเสียงดังฉ่าๆ พอมองผ่านรูเล็กทั้งข้างหน้าและข้างลังอีกครั้ง ก็เห็นหมอกเลือนรางเป็นแถบๆ ยังจะเห็นชัดเจนได้อย่างไรว่าคืออะไร

ปราณชั่วร้ายที่มืดฟ้ามัวดินครอบคลุมบริเวณทางเข้าแดนมรณะดึกดาบรรพ์เร็วมาก ราวกับเป็นทะเลหมอกเลือนราง

ในค่ายกลป้องกันใต้ดิน สมาชิกกองทัพองครักษ์ที่หนาแน่นถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ตัวอยู่ในช่องว่างใต้ดินขนาดใหญ่ เงยหน้ามองบนท้องฟ้า เห็นเพียงเปลือกแสงสีเงินค่ายกลป้องกันกาลังกระเพื่อมไม่หยุด ราวกับด้านนอกถูกปราณชั่วร้ายหลากสีล้อมไว้แล้ว

 

เหมียวอี้ยังโบกมือให้คนนาน้าชามาวาง แล้วตอบพร้อมรอยยิ้มว่า  สถานการณ์ในใต้หล้าตอนนี้เป็นยังไง ใช้ว่าผู้ตรวจการใหญ่จะไม่รู้ เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดเปิดโปง ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ อาศัยแค่ข่าวเดียว ก็จะให้ข้าปล่อยแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขนข้าจะอธิบายให้ชัดเจนได้เหรอ ? 

ฮวาอี้เทียนโยนแผ่นหยกในมือออกไป้ ท่านอ๋องดูเอาเองเถอะ พิธีรตองพวกนั้นคงไม่จำเป็นสำหรับท่านอ๋อง ละเว้นไปเสียเลย 

เหมียวอี้รับมาอ่านแล้วยิ้มเบา ๆ สงสัยจะนำบัญชาของประมุขชิงมาด้วยตัวเอง ถือโอกาสถ่ายทอดบัญชา ละเว้นพิธีรตองแล้วจริง ๆ

พอวางแผ่นหยกลงบนโต๊ะน้าชา เหมียวอี้ก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เสียเลย ถามกลับว่า  มีข่าวบอกมาว่า ฝ่าบาททาเพื่อจ้านหรูอี้ ปลดผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายโพ่จวินไปแล้วเหรอไม่รู้ว่าเรื่องนี้จริงหรือเปล่า ? 

ฮวาอี้เทียนเม้มริมฝีปาก  เรื่องของกองทัพองครักษ์ ท่านอ๋องก็อยากสอดมือเข้ามายุ่งเหมือนกันเหรอ ? 

เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที่ ในปีนั้นข้าล่วงเกินอิ๋งจิ่วกวง หัวแทบจะหลุด ถ้าไม่ใช้เพราะโพ่จวินพูดขอร้องไห้ เกรงว่าข้าคงเดินมาไม่ถึง

วันนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรู้จักกับุญคุณอะไรหรอก ตาหนักสวรรค์เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น อ๋องผู้นี้จะถามบ้างไม่ได้เชียวหรือ ? 

ฮวาอี้เทียนบอกว่า  ถ้าอยากจะถามจริง ๆ ท่านอ๋องก็ไปถามตอนประชุมราชสำนักให้ชัดเจนได้เลย  ความหมายที่จะสื่อก็คือเจ้าเคยเข้าประชุมราชสำนัก หรือเปล่าล่ะ ? มัวเสแสร้งอยู่อย่างนี้สนุกันก หรือไง ? เขาวกเข้าประเด็นหลักเสียเลย  คาบัญชาก็มาถึงแล้ว ท่านอ๋องออกคำสั่งให้ปล่อยให้เข้ามาเถอะ 

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วเอียงหน้าบอกว่า  ถ่ายทอดคำสั่งข้า ปล่อยให้เข้ามา! 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน  ผู้ตรวจการใหญ่เป็นแขกที่มาไม่บ่อย ไม่ง่ายเลยกว่าจะให้เกียรติมาเยือน ข้าเตรียมสุราไว้แล้ว ผู้ตรวจการใหญ่ได้โปรดไว้หน้า 

 นำใจของท่านอ๋องถ่ารับไว้แล้ว ติดงาน ไม่กล้าชักช้า ครั้งหนามิีเวลาวางค่อยมารบกวนิทานอ๋องโปรดอย่าถือสา  ฮวาอี้เทียนลุกขึ้นยืน แล้วกุมหมัดขอตัว

 ในเมือเปืนเช่นนี้ มีกิจธุระรัดตัว ข้าก็ไม่ฝืนใจแล้ว ส่งแขก!  เหมียวอี้โบกมือเชิญ

รอจนกระทั่งส่งแขกไปแล้ว หยางเจาชิงกลับมาหาเหมียวอี้ในสวนดอกไม้ แล้วถามว่า  ท่านอ๋อง จะปล่อยให้เข้ามาจริงเหรอ ? 

  บัญชามาแล้ว ไม่ปฏิบัติตามไม่ได้หรอก  เหมียวอี้พูดจาประหลาดแฝงความนัย แล้วกล่าวเสริมอย่างไม่ตรงประเด็นอกว่า  แต่จะทำให้เสียกฎระเบียบไม่ได้ ถ้าให้พระปีศาจปะปนเข้ามาจะทายังไงล่ะ ? ให้คนไปตรวจสอบที่เข้มงวด ตรวจสอบให้ชัดเจนทีละคนแล้วค่อยปล่อย! 

หยางเจาชิงปาดเหงื่อเล็กน้อย ฮวาอี้เทียนมีกำลังคนเยอะขนาดนั้น ถ้าจะให้ตรวจสอบทีละคน จะต้องตรวจสอบไปถึงเมื่อไหร่ ? แต่เขาก็เข้าใจเจตนาของเหมียวอี้ กำลังรังแกประมุขชิงที่ในเวลานี้ไม่กล้าแตกคอกันง่าย ๆ

ที่จริงจะว่าไปแล้ว ในตอนนี้คนที่ทำอย่างนี้ก็ไม่ใช้แค่ฝั่งนี้เท่านั้น ตามข่าวที่ฝั่งนี้ได้รับมา ทัพตะวันตกกับทัพเห็นอกกำลังจงใจถ่วงเวลาไม่ให้กำลังพลกองทัพองครักษ์รวมตัวกัน ไม่ต้องบอกกันและกันก็เกิดเป็นสัญญาณลับที่รู้กันได้ ทุกคนต่างกำลังรังแกประมุขชิงเพราะอาศัยว่าอีกฝ่ายยังไม่กล้าแตกคอกันง่าย ๆ ชัดเจนว่าต้องการเห็นเรื่องนาขาระหว่างสองพ่อลูก ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วมีการเคลื่อนไหวใหญ่โตอะไรเพื่อตัดกำลังของประมุขชิง นั่นก็ยิ่งดีเลย แม้แดนสุขาวดีจะปล่อยข่าวแล้ว ว่าระดมทัพใหญ่เตรียมเข้ามาในอาณาเขตตาหนักสวรรค์ แสดงออกชัดเจนว่าจะสนับสนุนประมุขชิง แต่ทุกคนก็ยังต้องสร้างปัญหายุ่งยากต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่ก็ไม่ได้จะแตกคอกับเจ้าเช่นกัน ฟังคำสั่งแล้ว เพียงแต่หาข้ออ้างต่าง ๆ น่านามาถ่วงเวลาเจ้าไว้

การปกครองใต้หล้าก็มีข้อดีของการปกครองใต้หล้า ข้อเสียก็มีเช่นกัน คนอื่นสามารถก่อเรื่องซี้ซั้วได้ แต่เจ้ากลับไม่สามารถโจมตีใครได้ง่าย ๆ

เดินขึ้นไปบนตึกช้า ๆ เหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนพิงระเบี่ยง ทอดสายตามองครูหนึ่ง แล้วพึมพาว่า  ความรู้อนได้ที่แล้ว ลงมือทางแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้แล้ว! แจ้งไปที่เหิงอู๋เต้า ถอนกำลังพลไปที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาล! 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับ

จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ในศาลาของสวนดอกไม้ ชิงหยวนจุนมองเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เก็บระฆังดาราเงียบ ๆ แล้วถามว่า  เสด็จแม่ เป็นยังไงบาง ? 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขมวดคิ้วส่าย่อหน้า  ติดต่อแล้ว ตามที่พวกบ่าวไพร่ฝั่งนั้นบอก สมาชิกตระกูลคนสำคัญที่อยู่จวนท่านปู่สวรรค์หนีออกไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าไปที่ไหน เหลือแค่คนเฝ้าบ้านจำนวนหนึ่งเท่านั้น 

ก่อเรื่องแบบนี้แล้ว เฉาหม่ำนก็ไม่ใช้คนโง่ ยังจะรอให้ประมุขชิงส่งทหารมาปราบอีก หรือกี่ต้องหลบอยู่แล้ว

เพียงแต่สิ่งนี้ทำให้นำงกลุ่มใจมาก นางอยากติดต่อหาเฉาหม่ำน ในเมือตระกูลเซี่ยโห้วต้องการจะสนับสนุนนาง นางก็อยากจะติดต่อกลับตระกูลเซี่ยโห้วโดยตรง อยากหลบเลี่ยงคนกลางอย่างเหมียวอี้

นางไม่ใช้คนโง่บริสุทธิ์ ไม่อยากถูกเหมียวอี้จูงจมูกเดินตลอดไป อีกเรื่องหนังก็คืออยากครอบครองสายมะเส็งไว้ตลอดเพื่อขยายกำลังทหาร เนื้อติดมันที่เอาเข้าปากมาแล้ว ทำไมต้องคายด้วยล่ะ ? ที่สำคัญก็คือไม่สะดวกจะอธิบายกับพวกลูกน้อง คนเราเวลาไม่มีก็อยากมี แต่พอมีแล้วก็ได้คืบจะเอาศอก

แต่อาศัยกำลังของพวกเขา ถ้าคิดจะต่อต้านทั้งทัพใต้ก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงอยากขอการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้ว แต่เฉาหม่ำนเหมือนจะไม่อยากสนใจฝั่งนี้

ชิงหยวนจุนเรมิขมวดคิ้วเช่นกัน ไม่เข้าใจว่าตระกูลเซี่ยโห้วทำแบบนี้หมายความว่าอะไร

 เหนียงเหนียง ท่านบุรุษขอเข้าเฝ้าเพคะ  เอ๋อเหมยเดินมาจากกาแพงดอกไม้อีกด้านหนึ่ง

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่บอกทันที่ว่า  เชิญมา 

เอ๋อเหมยออกไป้ประเดียวเดียวหยางชิ่งก็มาแล้ว หลังจากทาความเคารพ ก็รายงานว่า  ฝั่งท่านอ๋องเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว สามารถส่งอาณาเขตสายมะเส็งให้ได้ทุกเมื่อ องค์ชายโปรดเคลื่อนทัพไปรับโดยเร็ว 

สองแม่ลูกสบตากันแวบหนึ่ง ชิงหยวนจุนบอกว่า  เคลื่อนทัพเมื่อไหร่ก็ได้ ติดแค่ฝั่งกองทัพองครักษ์ ข้าได้ยินว่าฝ่าบาทระดมพลกองทัพองครักษ์แล้ว 

หยางชิ่งเข้าใจความกังวลของเขา ในส่วนลึกยังคงกลัวประมุขชิง อย่างไรเสียกำลังของประมุขชิงก็เห็นกันอยู่ เขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า  กำลังระดมพล แต่กลับเคลื่อนไหวช้า นี่ก็คือความเก่งกาจของตระกูลเซี่ยโห้ว ไม่ใช้แค่ท่านอ๋องเท่านั้น ทัพตะวันตกกลับทัพเห็นอกจงใจถ่วงเวลาไม่ให้กองทัพองครักษ์ระดมพลเช่นกัน แล้วกองทัพองครักษ์ทางฝั่งทัพตะวันออกก็ถูกเถิงเฟยกับเฉิงไที่เจ๋อถ่วงไว้แล้วด้วย แล้วอีกอย่างองค์ชายก็แค่ยืมใช้อาณาเขตสายมะเส็งชั่วคราวยงไม่ทันรอให้กองทัพองครักษ์มาโจมตี พวกเขาก็ถอนกำลังออกไปแล้ว องค์ชายยังคิดจะให้ประจำการอยู่ในระยะยาวเชียวหรือ ? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เกรงว่าจะยั่วโมโหท่านอ๋องนะสิ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าฝั่งนี้ไม่ใช้คู่ต่อสู้ของท่านอ๋อง ถ้าท่านอ๋องปล่อยให้กองทัพองครักษ์บุกโจมตีเมื่อไหร่องค์ชายเองก็รับไม่ไหวเหมือนกัน 

ประโยคสุดท้ายพูดแทงใจสองแม่ลูก ซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า  น้องชายคิดมากไปแล้ว พวกเราไม่ใช้คนที่พูดจากลับกลอก ก็แค่กังวลวาช้าเร็วกองทัพองครักษ์ก็จะโจมตีเข้ามาในแดนรัตติกาล 

หยางชิ่งถอนหายใจ  เคลื่อนทัพก็เพื่อเปืนพันธมิตรกัน พอทัพใหญ่แดนรัตติกาลออกมา ท่านอ๋องมอบอาณาเขตให้ถึงตอนั้นนไม่ว่าใครก็ดูออกว่าท่านอ๋องกับองค์ชายเป็นพวกเดียวกัน กองทัพองครักษ์ยังจะกล้าโจมตีเข้ามาในแดนรัตติกาลอีก หรือ ? เรื่องบางเรื่องยั่วยุกันไม่ได้ แค่ข่ให้หยุดได้ก็เพียงพอแล้ว! ดังนั้นหลังจากฝั่งนี้เคลื่อนทัพแล้ว ก็ต้องทำให้สมจริงสักหน่อย ต้องแสร้งว่ากำลังพลสาย

มะเส็งถูกกำลังพลขององค์ชายโจมตีจนถอยร่นไป ถึงตอนั้นนแม้ตาหนักสวรรค์จะร้อยู่แก่ใจ แต่กลับคว้าจุดอ่อนอะไรของท่านอ๋องไม่ได้ 

สองแม่ลูกได้ยินแล้วพยักหน้าช้า ๆ ทาสีหน้าเหมือนตื่นรู้

จวนอ๋องสวรรค์หนิว โถงหลักในเรือนชั้นใน เหมียวอี้สองคนที่หน้าตาเหมือนกันกำลังยืนอยู่ตรงข้ามก็ัน อวิ๋นจือชิวที่เพิ่งเข้าประตูมาเห็นแล้วตกใจ มองคนนี้แล้วก็มองคนั้นน ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจสงสัย

ในสองคนนี้ย่อมมีคนหนึ่งที่เป็นตัวจริง ส่วนอีกคนก็คือไป๋เฟิ่งหวง

ไป๋เฟิ่งหวงส่งเสียงผู้หญิงออกมา ทาเสียงฮึดฮัดเหมือนไม่สบอารมณ์  ครั้งนี้จะให้ข้าไปทาเรื่องเสี่ยงอันตรายอะไรอีกล่ะ ? 

เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม  วางใจเถอะ ครั้งนี้รับรองว่าเจ้าจะไม่อันตรายเลยสักนิด แค่ให้เจ้าโผล่หน้าไปก็เท่านั้นเอง 

หลังจากได้ยินเสียงนี้อวิ๋นจือชิวก็ตบอกเบา ๆ อย่างโล่งใจ

 

 ชิงหยวนจุนก็หมดแล้วเหรอ ? 

ในจวนอ๋องสวรรค์เถิง เถิงเฟยที่นั่งดื่มสุราอยู่คนเดียวในศาลาพลันเงย่อหน้า ดวงตาฉายแววคมกริบ

 ฉีกหน้าประมุขชิง ฆ่าหวังติ้งเฉาแล้ว เหมือนจะฆ่าขุนนางที่ประมุขชิงส่งไปถ่ายทอดบัญชาด้วย คนในแดนรัตติกาลที่จงรักภักดีต่อประมุขชิงก็ถูกชิงหยวนจุนโจมตีสังหารเร็วมากเช่นกัน ตอนนี้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลอยู่ในการควบคุมของชิงหยวนจุนแล้วขอรับ…  เถิงจงรายงานสถานการณ์ที่รวบรวมได้ให้ฟังรอบหนึ่ง

วางจอกสุราลงช้า ๆ เถิงเฟยเริ่มยกมุมปากยิ้มเสน่ห์  วิธีการของเจ้าแซ่หนิวนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ ด้วย ทัพใหญ่แดนรัตติกาลย้ายมาจากกองทัพองครักษ์ ไม่น่าเชื่อว่าจะล้มเพราะชิงหยวนจุนได้ง่ายขนาดนี้ เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อประมุขชิงมา! 

เถิงจงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้กลืนคำพูด ทำได้แล้วจริง ๆ นี่ไม่ใช้สิ่งที่พวกเราคาดหวังหรอก หรือ ? สถานการณ์ของทัพตะวันออก อำนาจใหญ่แต่ละฝ่ายกำลังคุมเชิงกันอยู่ที่นี่ ประมุขชิงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ตอนนี้ลูกชายก่อกบฏแล้ว ผลกระทบเลวร้ายขนาดนี้ นี่หรือที่ประมุขชิงจะนิ่งดูดาย ? เขาจะเก็บกวาดขยะในบ้านก่อน หรือจะรับมือกับท่านอ๋องก่อนละขอรับ ? ถ้าจะ

กระจายกำลังทหารเป็นสองสายมาทาศึกพร้อมกัน แล้วทำให้อ๋องแต่ละท่านเล็งเห็นโอกาส เกรงว่าจะฉวยโอกาสตัดกำลังประมุขชิงได้… 

ยังไม่ทันพูดจบ ก็หยิบระฆังดาราออกมาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าติดต่อไปที่ไหน จู่ ๆ ก็กล่าวด้วยสีหน้าดีใจ  ท่านอ๋อง ข่าวดี่ 

 หืม!  เถิงเฟยกระปรี้กระเป่าไปด้วย  หนิวโหย่วเต๋อมีความเคลื่อนไหวอะไรอีก ? 

เถิงจงตอบว่า  ไม่ใช้หนิวโหย่วเต๋อไม่รู้ว่าข่าวมาจากไหน บอกว่าเป็นเพราะจ้านหรูอี้ โพ่จวินเถียงกับประมุขชิง ยั่วให้ประมุขชิงเดือดดาลมาก ปลดโพ่จวินออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายแล้ว ให้รองผู้บัญชาการฉวี่ฉางเทียนมารับตำแหน่งที่หน่วยองครักษ์ซ้ายแทน! 

เถิงเฟยพลันยืนขึ้น ถามด้วยสีหน้าที่เปี่ยมล้นด้วยความยินดี  จริงหรือ ? 

  ตอนนี้ยั่งยืนยันไม่ได้ ถ้าเป็นเรื่องจริง โพ่จวินมีชื่อเสียงบารมีสูงมากที่หน่วยองครักษ์ซ้าย หากประมุขชิงทาเรื่องนี้เพื่อผู้หญิงคนหนึ่งจริง เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจทหารใดหน่วยองครักษ์ซ้ายไม่น้อย!  เถิงจงตอบ

เถิงเฟยหัวเราะเบา ๆ  เรื่องนี้น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก แต่ดันมีข่าวแบบนี้ออกมาในเวลานี้ ถ้าจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อข้าก็ไม่เชื่อเลยจริง ๆ! ประมุขชิงเอ๊ย

ประมุขชิง ใช้วิธีการที่ไร้ยางอายมาแล้วทุกอย่างดักสังหารที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ไม่สำเร็จ ตีงูไม่ตายเลยโดนแว้งกัดแล้ว ยั่วโมโหหมาบ้าอย่างหนิวโหย่วเต๋อให้โจมตีกลับ ทนรสชาตินี้ไม่ไหวสินะ ? 

สาเหตุของคลื่นลมที่วุ่นวายครั้งนี้ เกรงว่าเขาคงจะเป็นหนึ่งในคนที่รู้ดีที่สุดนอกจากเหมียวอี้ รู้ทันที่ว่าคนที่จุดฉนวนเรื่องนี้ก็คือเหมียวอี้

จวนอ๋องสวรรค์เฉิง เฉิงไที่เจ๋อที่เดินไปเดินมาอยู่ในตาหนักกำลังกลัดกลุ่มใจ นึกไม่ถึงว่าชิงหยวนจุนที่คุมแดนรัตติกาลจะทรยศประมุขชิงได้ ก่อนหน้านี้ยังให้เซี่ยเซิงไปขู่หนิวโหย่วเต๋ออยู่เลย บอกประมาณว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็เหมือนปลายมีดที่จ่ออยู่ข้างหลังหนิวโหย่วเต๋อพอมาดูตอนนี้ พบว่าช่างน่าขาเสียจริง หนิวโหย่วเต๋อไม่มีความกังวลนั้นแล้ว

ตอนนี้เขากังวลสุด ๆ ว่าประมุขชิงจะนำกำลังหลักไปปราบทัพกบฏที่แดนรัตติกาล ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แล้วเถิงเฟยโน้มน้าวอำนาจฝ่ายอื่นให้สู้กับเขาได้จริง เช่นั้นนเขาก็อยู่ในอันตรายแล้ว อย่างน้อยอำนาจแต่ละฝ่ายก็ไม่เคยแสดงท่าที่ว่าจะสนับสนุนเขาเลย เช่นั้นนก็เป็นไปได้ว่าจะสนับสนุนเถิงเฟย

เมื่อครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา เขาก็หยุดเดิน แล้วกล่าวเสียงต่าว่า  ไม่ได้การละ ข้าต้องไปวังสวรรค์ด้วยตัวเองสักเที่ยว 

เซี่ยเซิงที่อยู่ข้างกันพยักหน้า เข้าใจสิ่งที่เขาพูดแล้ว ต้องการจะพยายามโนมัน้าวประมุขชิงว่าอย่าเบี่ยงเบนความสนใจออกไปจากฝั่งนี้…

ตาหนักดาราจักร ปั้ง ประมุขชิงตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ แล้วตะโกนอย่างเดือดดาล  ใคร ? ใครปล่อยข่าวนี้ ? ไปสืบมาให้ข้า! 

ฝั่งนี้ให้ฉวี่ฉางเทียนมาแทนที่โพ่จวินั้นนไม่ผิด แต่ทาไปเพื่อให้ขวัญกำลังใจทหารมั่นคง บอกเรื่องนี้ให้บุคคลระดับสูงของหน่วยองครักษ์ซ้ายรู้เท่านั้น ควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้ข่าวแพร่ไป ผลปรากฏว่ารู้กันทั่วแล้ว แค่ข่าวหลุดก็ว่าแย่แล้ว แต่โพ่จวินี้เป็นฝ่ายถอยออกจากตำแหน่งเองชัด ๆ ข่าวข้างนอกกลับลือว่าประมุขชิงปลดโพ่จวินเพื่อผู้หญิงคนเดียว แม้แต่ขุนนางเก่าแก่ที่จงรักภักดีก็ยังถูกปฏิบัติด้วยอย่างนี้ คนอื่นจะไม่ผิดหวังท้อใจได้อย่างไร แค่คิดก็รู้แล้วว่าคราวนี้สะเทือนกำลังพลทั้งหน่วยองครักษ์ซ้ายขนาดไหน แล้วเจ้าก็ดันไม่มีทางอธิบาเรื่องนี้ได้เลย

เกาก้วันที่ยืนอยู่เบื้องล่างกล่าวเสียงเรียบว่า  ฝ่าบาท ตอนนี้ไม่ใช้เวลามาระบายความโกรธ ควรจะขอให้โพ่จวินออกหน้ามาอธิบายด้วยตัวเองก่อน ทำให้ขวัญกำลังใจภายในหน่วยองครักษ์ซ้ายมั่นคงก่อนขอรับ 

ประมุขชิงขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร คำพูดนี้มีเหตุผลจริง ๆ แต่ทำให้โพ่จวินออกไปอย่างโดดเดียวผิดหวังแบบนั้นแล้ว จะให้เขาเอ่ยปากได้อย่างไร ถ้าพูดไปแล้วโพ่จวินไม่สนใจจะทำอย่างไร ? ได้ยินว่า

ตอนนี้โพ่จวินปิดประตูงดรับแขก ไม่พบใครทั้งนั้น และไม่ติดต่อใครเลยด้วย

ในขณะนี้เอง อู๋ฉวี่ถอนหายใจแล้วบอกว่า  ให้ข้าน้อยไปดีกว่าขอรับ เชื่อว่าโพ่จวินจะเข้าใจภาพรวม 

ประมุขชิงขานรับ  อืม  แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจ

ที่จริงในใจเขาร้อย่างชัดเจนมาก ว่าผิดไปแล้ว การที่เขาปกป้องจ้านหรูอี้เป็นเรื่องผิดจริง ๆ แต่จะให้เขาทำอย่างไร ? สำหรับผู้หญิงคนอื่นเขาอาจจะไม่คิดมากอะไร แต่พอเรื่องนี้เกิดกับจ้านหรูอี้ เขาก็ร้อย่างลึกซึ้งว่าจ้านหรูอี้ไม่เคยทำผิดอะไรมาก่อน ล้วนถูกเขาทำให้พลอยลำบากไปด้วยทั้งนั้น กลายเป็นหญิงงามต้นเหตุหายนะแล้ว กลายเป็นคนที่โพ่จวินเรียกว่าปีศาจก่อหายนะที่ต้องฆ่าทิ้ง เพียงแต่จะให้เขาแข็งใจลงมือสังหารจ้านหรูอี้ได้อย่างไร ?

ที่เขาแค้นยิ่งกว่านั้นก็คือเห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีคนวางอุบายโดยใช้จุดอ่อนของเขา จงใจทำให้เกิดผลกระทบวงกว้างเพราะเรื่องของจ้านหรูอี้ เขาเริ่มสงสัยว่าคนที่ก่อเรื่องนี้คือเถิงเฟย ตอนนี้เหตุการณ์ทหารก่อกบฏที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลทำให้เขาตระหนักได้แล้ว ว่าเถิงเฟยไม่มีความสามารถที่จะทำให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลรวมตัวกันเปลื่ยนทิศทางอย่างเงียบ เชียบได้ คงจะเป็นตระกูลเซี่ยโห้วที่แทรกซึมลึกเข้ามาข้างใน ทำให้เขาหวาดกลัวมาก!

แค่พลังของตระกูลเซี่ยโห้วเผยความดุร้ายออกมานิดหน่อย ก็ทำให้เขารู้สึกหนาวแล้ว เราก็มีเชือกมาผูกอยู่บนคอของเขา เขารู้สึกได้

ชัดเจนว่าเชือกนี้กำลังเริ่มแน่นขึ้นอย่างช้า ๆ ไม่รู้ว่าจะโจมตีปลิดชีวิตเขาภายในครั้งเดียวเมื่อไหร่ และตอนนี้เขาก็ดันไม่กล้าแตกหักกับตระกูลเซี่ยโห้วจนถึงที่สุดด้วย

ทว่านี่ก็คือผลลัพธ์ที่เหมียวอี้ต้องการไม่อย่างนั้นก็คงไม่หลบอยู่เบื้องหลัง

จวนอ๋องสวรรค์หนิว นอกประตูใหญ่ ทหารยามขวางคนกลุ่มหนึ่งเอาไว้

ฮวาอี้เทียนที่เดินขึ้นบันไดมาหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นผู้ติดตามของตัวเองโดนขวางไว้แล้ว

หยางเจาชิงที่อยู่ข้างกันกล่าวพร้อมรอยยิ้ม  ผู้ตรวจการใหญ่โปรดเห็นใจ 

ฮวาอี้เทียนเหล่ตามองหยางเจาชิงอย่างเย็นเยียบวแวบหนึ่ง แล้วโบกมือให้ลูกน้อง บอกใบ้ให้ถอยไป ไม่จำเป็นต้องตามเข้าไป

 ผู้ตรวจการใหญ่ เชิญ!  หยางเจาชิงยื่นมือเชิญ

ทั้งสองรีบก้าวเข้าไปข้างใน

ในโถงรับแขก เหมียวอี้ยืนต้อนรับอยู่ตรงประตูแล้ว กล่าวทักทายอย่างร่าเริง  ผู้ตรวจการใหญ่ฮวา ไม่ได้เจอกันมาหลายปี สบายดีนะ! 

สำหรับท่านี้น ฮวาอี้เทียนมีความรู้สึกหลากหลายคนกัน ในปีนั้นี้เป็นลูกน้องของเขา สำหรับเขาแล้วถือว่าเป็นลูกน้องระดับต่ำสุด แต่ตอนนี้ยศสูงกว่าเขาเสียอีก แน่นอน เป็นเพราะเลื่อนขั้นมาถึงตำแหน่งอย่างฮวาอี้เทียนแล้วขยับไปไหนไม่ได้อีก แต่อีกฝ่ายเหยียบไต่เต้าขึ้นมาตลอดทาง

ฮวาอี้เทียนที่เดินขึ้นบันไดมาแล้วกุมหมัดทักทาย  คานับท่านอ๋อง รบกวนให้ท่านอ๋องมาทักทายแล้ว ข้าสบายดี 

เหมียวอี้เชิญเขาเข้าไปด้านใน แล้วสั่งให้คนนาน้าชามาวาง

ฮวาอี้เทียนโบกมือ ชาน่ะไม่ต้องแล้ว จุดประสงค์ที่เข้ามาที่นี่ คาดว่าท่านอ๋องคงรู้ดี เหตุใดต้องหน่วงเหนี่ยวไม่ให้ทัพใหญ่ของข้ารวมตัวไปปราบกบฏ อย่าบอกน่ะว่าท่านอ๋องไม่ได้รับบัญชาจากตาหนักสวรรค๎
�ี ? 

 

เมื่อกล่าวเช่นนี้ พวกอู๋ฉวี่ก็แอบปาดเหงื่อแทนโพ่จวิน เป็นคำพูดที่แฝงความหมายเหน็บแนมอย่างแท้จริง ให้ความรู้สึกเหมือนเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้อยู่หลายส่วนด้วย คำพูดแบบนี้เกรงว่าคงมีแค่โพ่จวินที่กล้าพูดออกมา

ประมุขชิงเห็นเสียงออกมาจากซอกฟัน  นี่คือความจงรักภักดีที่เจ้ามีต่อข้าเหรอ ? 

โพ่จวินดันทุรังเถียง  นี่คือแผนการระดับสูง ฝ่าบาทถอยจากตำแหน่งเพื่อสนับสนุนให้องค์ชายขึ้ตำแหน่งแล้วจะเป็นอะไรไป ? อำนาจมหาศาลยังคงอยู่ในมือฝ่าบาท ทั้งยังทำให้ราชินีสวรรค์พอใจด้วย ตระกูลเซี่ยโห้วก็ยินดีจะเห็นเช่นกัน มีอะไรไม่ดีตรงไหน ? 

ประมุขชิงทาหน้านิ่ง จ้องเขาไม่รับสายตา

โพ่จวินกุมหมัดคารวะ  ข้าน้อยขอร้องให้ฝ่าบาทประหารจ้านหรูอี้! 

ประมุขชิงกาหมัดที่อยู่ในกระบอกแขนเสื้อไว้แน่น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถามว่า  ถ้าข้าไม่ตอบตกลงแล้วจะทำไม ? 

  เช่นั้นนข้าน้อยก็จะตัดสินใจแทนฝ่าบาท ศีรษะของจ้านหรูอี้ ข้าน้อยจะช่วยฝ่าบาทเด็ดให้เอง ฝ่าบาทจะได้ไม่ต้องแข็งใจทาสิ่งนี้!  พอโพ่จวินพูดจบ ก็พลันหันตัว เดินก้าวยาวออกไปนอกตาหนัก

 โจรเฒ่า! เจ้ากล้าเหรอ!  ประมุขชิงชี้โพ่จวินพลางคาราม  ทหาร! 

ด้านนอกกกตาหนักมีคนกลุ่มหนึ่งโผล่มาขวางตรงประตูทันที่ล้วนี้เป็นคนของกองทัพองครักษ์ คนพวกนี้เห็นโพ่จวินแล้วก็ลำบากใจเช่นกัน!

ชวิ้ง! โพ่จวินควาด้ามกระบี่ ชักกระบี่ออกมาไว้ในมือชี้กระบี่ไปบนพื้น หันหลังพูดกับประมุขชิงว่า  วันนี้ฝ่าบาที่ต้องตัดสินใจเรื่องนี้ หากไม่ใช้จ่านหรูอี้ตาย ก็เป็นข้าน้อยที่ตาย ฝ่าบาทเต็มใจเลือกสิ่งใดก็เชิญตามสะดวก!  เขาโบกกระบี่ชี้ไปยังกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่อยู่ตรงหน้า แล้วตะคอกว่า  ข้าจะไปสังหารนางปีศาจตัวก่อหายนะ หากเต็มใจไปกับข้าก็ไปด้วยกัน หากไม่เต็มใจไปกับข้า…หลีกไป!  เขาตะโกนดังมาก

ประมุขชิงโมโหจนตัวสั่น เขาแค้นจนอยากจะฆ่าสุนัขเฒ่าตัวนี้จริง ๆ แต่สติสัมปชัญญะที่ยังไม่หายไปบอกเขาว่า ฆ่าไม่ได้ ถ้าฆ่าโพ่จวินเพื่อปกป้องจ้านหรูอี้จริง ๆ เช่นั้นนก็ปกป้องจ้านหรูอี้ไม่ได้เช่นกัน ถึงตอนั้นนเกรงว่าคงไม่ใช้โพ่จวินคนเดียวที่จะขอร้องให้ฆ่าจ้านหรูอี้แล้ว ทุกคนจะต้องขอร้องให้ฆ่า แล้วถ้าฆ่าโพ่จวิน ใจคนที่

เขาเอาไว้ใช้ผู้กัมดอำนาจก็จะกระจัดกระจายไปโดยสิ้นเชิง ดีไม่ดีแม้แต่บัลลังก์ของตัวเองก็อาจจะต้องฝังลงหลุมไปด้วย!

พวกอู๋ฉวี่หน้าปากทางพูดไม่ออก มองโพ่จวินด้วยสีหน้าด้วยความเคารพอย่างสูง

สมาชิกกองทัพองครักษ์ที่ดักตรงประตูมองหน้ากันเลิกลั่ก เมื่อเห็นโพ่จวินชักกระบี่เดินประชิดเข้ามา พวกเขาก็จาต้องหยิบอาวุธมาเผชิญหน้าเช่นกัน

ทว่า แม้อู๋ฉวี่ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับส่าย่อหน้าให้คนพวกนี้เบา ๆ แม้แต่ซ่างกวนชิงก็ส่าย่อหน้าให้คนพวกนี้เช่นกัน

ดังนั้นสมาชิกกองทัพองครักษ์ที่ดักตรงประตูจึงถูกโพ่จวินประชิดเข้ามาจนถอยหลังทีละก้าว ไม่มีใครกล้าลงมือกับโพ่จวิน

เมื่อเห็นโพ่จวินกำลังจะออกจากตาหนักดาราจักรไปฆ่าคนที่ตาหนักเย็น แต่เบื้องล่างกลับไม่มีใครขัดขวาง ประมุขชิงที่กาหมัดแน่นก็กล่าวเสียงต่าว่า  จ้านหรูอี้ตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื่อไขของข้าแล้ว เจ้าจะสังหารแม้กระทั่งเลือดเนื้อเชื่อไขของข้าเหรอ ? 

โพ่จวินเดินไปถึงประตูและกำลังจะข้ามผ่านธรณีประตูไป เงาร่างนิ่งชะงักทันที่ก้าวขาไม่ออกแล้ว หันตัวกลับมาช้า ๆ กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกอย่างรุนแรง เดินลากกระบี่กลับเข้ามาช้า ๆ เดินผ่านพวกเกาก้วนไป อู๋ฉวี่เตือนเสียงต่าว่า  โพ่จวิน อย่าทาซี้ซั้ว! 

 เจ้า…  โพ่จวินพลันโบกกระบี่ชี้ประมุขชิง ส่าย่อหน้าพูดอย่างคับแค้นใจ  เจ้านั่งอยู่ตำแหน่งนี้ได้ ในปีนั้นมีพี่น้องมากมายเท่าไหร่ยอมสละชีวิตลืมตาย โยนหัวหลั่งเลือดเพื่อผลักดันให้เจ้าขึ้นสู่ตำแหน่ง เจ้าเคยรับปากอะไรไว้ ? เจ้ารับปากว่าจะปกป้องปากท้องครอบครัวของพวกเขาไปทั้งชีวิต แต่ดูเจ้าตอนนี้สิ! เจ้าตอนนี้…ไม่น่าเชื่อว่าจะยอมให้อำนาจของตัวเองสั่นคลอนเพื่อผู้หญิงคนเดียว ถ้าไม่มีอำนาจแล้ว เจ้าจะเอาอะไรมาปกป้องปากท้องครอบครัวของคนพวกนั้นไปทั้งชีวิตล่ะ ? คนพวกนั้นที่ผลักดันให้เจ้าขึ้นสู่ตำแหน่งตายอย่างไม่ยุติธรรม แล้วเจ้าจะให้คนเก่าคนแก่ที่ยังมีชีวิตอยู่ของกองทัพองครักษ์มองเจ้ายังไง! ยังจะถวายชีวิตรับใช้เจ้ายังไงได้อีก ? เจ้าเรียนรู้จักใครก็ไม่เอา ดันไปเรียนรู้จากเจ้าสามไป๋ บนตัวเจ้าแบกบุญคุณความแค้นไว้เยอะขนาดนั้น มีสิทธิ์อะไรไปเล่นบทคนเหงาโหยหาความรัก ? หึ… เขาปักกระบี่ลงบนพื้น ก้มีหน้าเงียบ ๆ นานมาก ก่อนจะหันตัวช้า ๆ เดินจากไป  ตามใจเจ้าเถอะ ใต้หล้าของเจ้าก็คือใต้หล้าของเจ้า เจ้าเป็นราชา ข้าเป็นขุนนาง เจ้าอยากจะเล่นยังไงก็เล่นไปเถอะ ตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายนี้ ถ้าข้าน้อยเป็นต่อไป ก็ไม่มีหน้าไปเจอพี่น้องที่ตายไปพวกนั้นหรอก จะเลือกคนใหม่ที่เหมาะสมกับตำแหน่งเถอะ! 

สองแขนีออนยวบลง ทั้งตัวหลังค่อมลงไป ราวกับแก่ชราลงแล้วไม่น้อยภายในชั่วพริบตาเดียว

 พี่โพ่จวิน!  อู๋ฉวี่ก้าวมาขวาง ยื่นมือดึงแขนเขาเอาไว้ ส่าย่อหน้าให้เขา

โพ่จวินมองเขา แล้วกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า  หลีกไป! 

 …  อู๋ฉวี่ทาสีหน้าสับสน เมื่อสบกับสายตาที่หมดอาลัยตายอยากของเขา นิ้วทั้งห้าที่คว้าไว้ก็ขยับเล็กน้อย สุดท้ายก็ค่อย ๆ ปล่อยมือออกจากแขนของเขา

โพ่จวินเดินลากเท้าช้า ๆ ไปยังประตูใหญ่ของตาหนัก เกราะรบหนักอึ้งบนตัวที่เมื่อก่อนทำให้คนรู้สึกว่าเผด็จการน่าเกรงขาม ตอนนี้กลายเป็นภาระที่หนักอึ้ง

กองทัพองครักษ์ที่ดักอยู่ตรงประตูไม่ได้รับคำสั่ง ไม่รู้ว่าควรจะปล่อยให้โพ่จวินจากไปหรือไม่

อู๋ฉวี่พลันสองตาลุกเป็นไฟ ตะโกนอย่างเดือดดาลว่า  ใครกล้าแตะต้องเขา ข้าจะเอาชีวิตของมัน หลีกไป!  เสียงดังราวกับฟ้าผ่า ดังก้องอยู่ในตาหนักดาราจักร

หลายคนที่อยู่ในตาหนักตกใจ อู๋ฉวี่ที่มีลักษณะเป็นแม่ทัพผู้สง่าสุขุม ตั้งแต่ออกจากสนามรบมากยังไม่เคยแสดงความเดือดดาลต่อใคร ไม่น่าเชื่อว่าในตอนนี้จะโมโหแล้ว อีกทั้งตอนนี้ก็อยู่ในตาหนักดาราจักร อยู่ต่อหน้าฝ่าบาท แม้จะหันหลังให้แต่ก็ไม่เคยมเรื่องอย่างนี้มาก่อนเลย

เสียงตะโกนี้นทำให้ประมุขชิงตกใจจนตัวสั่นเล็กน้อย ขยับปากเหมือนอยากพูดอะไรเอ่ยู่ครูหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่กล้าตาหนิอู๋ฉวี่ที่ขัดคำสั่งของเขา

ที่จริงก็ไม่ต้องให้เขาพูดอะไรเช่นกัน พอเสียงตะโกนของอู๋ฉวี่ดังขึ้น กองทัพองครักษ์ที่ขวางประตูก็ปฏิบัติตามคำสั่งของเขาแล้ว พลันแยกเป็นสองทาง หลีกทางให้โพ่จวินแล้ว แต่ละคนเม้มริมฝีปากแน่นขณะมองตามโพ่จวินเดินจากไป

ซือหม่ำเวิ่นเทียนกับเกาก้วนเห็นอู๋ฉวี่ตาแดงก่าแล้ว ขณะที่เขามองโพ่จวินจากไปอย่าง เปล่าเปลี่ยว ในดวงตาก็มีประกายน้าตาแล้วเช่นกัน

ซือหม่ำเวิ่นเทียนก้มีหน้าถอนหายใจเบา ๆ เกาก้วันที่มีสีหน้าเดิมมาตลอด ตอนนี้ดูสะเทือนใจเล็กน้อย ได้เห็นความจงรักภักดีบนตัวขุนศึกมากประสบการณ์เหล่านี้แล้ว

ในตาหนักตกอยู่ในความเงียบ อู๋ฉวี่เงย่อหน้าเล็กน้อยมองเพดาน ไม่ให้น้าตาไหลออกมาจากเบ้าตา หันหลังให้ประมุขชิงอยู่ตลอด

สายตาของหลายคนในนนจ้องบนกระบี่วิเศษที่ปักอยู่บนพื้นในตาหนัก ตัวโพ่จวินไปแล้ว ทิ้งกระบี่ไว้ที่นี่ ปักตรงแด่วอยู่บนพื้นไม่ล้มลงมา

ประมุขชิงขบกรามแน่น จ้องกระบี่วิเศษที่ตั้งตระหง่านด้ามนั้น แววตาเลื่อนลอยเล็กน้อย ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ ในปีนั้นเขาเป็นคนประทานกระบี่วิเศษด้ามนี้ให้โพ่จวิน ในปีนั้นเขาพูดว่าอะไรนะ…

 องค์ชาย ปราบกบฏในพื้นที่ต่าง ๆ ของแดนรัตติกาลได้แล้ว! 

ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ฉินฟ่างสรุปรายงานการกวาดล้างผู้เห็นต่างในทัพใหญ่ครั้งสุดท้ายให้ฟัง

 ดี่  ชิงหยวนจุนที่นั่งอยู่ในศาลาตบต้นขาแล้วลุกขึ้นยืน เขาถูไม้ถูมือเดินไปเดินมา ตื่นเต้นดีใจไม่หยุด ในที่สุดก็ทาสำเร็จแล้ว อำนาจทางทหารของทัพใหญ่แดนรัตติกาลตกอยู่ในมือตัวเองแล้ว สุดท้ายทุกคนก็เชื่อฟังตัวเองแม้ตัวเองจะยังเป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล แต่ความหมายแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน สุดท้ายก็ได้ทาลายพันธนาการที่ผูกมัดตัวเองมีาหลายปีแล้ว สามารถแสดงหมัดเท้าได้เต็มที่แล้ว

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่อยู่ข้าง ๆ ยิ้มอย่างเป็นกันเอง ในที่สุดก็วางรากฐานที่แข็งแรงก้าวแรกเรียบร้อยแล้ว มองเห็นอนาคตแล้ว สว่างสดใสไร้ที่สิ้นสุด!

หยางชิ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถามฉินฟ่างว่า  อย่าเลือกพูดแต่สิ่งที่น่าฟัง สมาชิกเสียหายไปเท่าไหร่ ? 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินแล้วทาสีหน้าจริงจัง ตะคอกเสียงต่าว่า  จุนเอ๋อร์ ทาไใดใจจนออกนอกหน้า ? 

ชิงหยวนจุนเก้อเขินเล็กน้อย กลับไปนั่งที่เดิม รอคำตอบของฉินฟ่างเช่นกัน

ฉินฟ่างบอกว่า  หลังจากคิดรวมความเสียหายของหน่วยต่าง ๆแล้ว ปราบทัพกบฏไปได้ประมาณสองล้านห้าแสน ทหารขององค์ชายรบตายไปประมาณสี่แสนขอรับ 

หยางชิ่งกล่าวอย่างลังเลว่า  หรือพูดได้อีกอย่างว่า ทั้งทัพใหญ่แดนรัตติกาลเสียหายไปเกือบสามล้าน ล้วนี้เป็นกำลังพลเกรียงไกร น่าเสียดายแล้ว! 

สำหรับสิ่งนี้ สองแม่ลูกเริ่มทาสีหน้าจริงจัง แต่ที่จริงแล้วในใจไม่ค่อยแยแสเท่าไหร่ เสียกำลังพลไปไม่กี่ล้านแล้วทาเรื่องนี้สำเร็จ ก็ถือว่าไม่เสียหายมากนัก มีการทำศึกที่ไหนบ้างที่ไม่มีคนตาย

ตอนนี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่สีหน้าเปลื่ยนเล็กน้อย หยิบระฆังดาราอันหนึ่งมาไว้ในมือแล้วแสยะยิ้มไม่หยุด

 เสด็จแม่ ท่านแสยะยิ้มทำไมเหรอ ?  ชิงหยวนจุนถาม

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แสยะยิ้มตอบ  ฝ่าบาทส่งข่าวมา คงเป็นไปไม่ได้ที่จะชมข้า คงอยากด่าข้าสักยกน่ะสิ! 

หยางชิ่งที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวว่า  ไม่ต้องสนใจ! 

ตรงกับสิ่งที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต้องการพอดี แม้จะทาเรื่องนี้สำเร็จแล้ว แต่ที่จริงนางก็ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับการติเตียนของประมุขชิง รวดเร็วมาก เก็บระฆังดาราเอาไว้เสียเลย

อุทยาน ตาหนักเย็น ประมุขชิงที่ยืนอยู่บนบันไดใตชายคาหน้าตึง เก็บระฆังดาราเงียบ ๆ ก่อนจะหันตัวเดินกลับเข้าห้องอย่างเงียบงัน

ภายในห้อง หยินซวงกับไป๋เสวี่ยเดินอ้อมมาหัวเราะคิกคักข้างกายจ้านหรูอี้ ไม่รู้ว่าได้ของเล่นหายากอะไรมากำลังเอามาอวดจ้านหรูอี้

ประมุขชิงเดินเข้ามา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ๆ  พวกเจ้าถอยออกไปก่อน 

 เพคะ!  หยินซวง ไป๋เสวี่ยย่อเข้าคานับแล้วถอยออกไป้

ประมุขชิงค่อย ๆ นั่งลงข้างกายจ้านหรูอี้วางสองมือบนเขา จ้องใบหน้าด้านข้างของจ้านหรูอี้ครูหนึ่ง ยกมือลูบผมงามบนแผ่นหลังของจ้านหรูอี้ช้า ๆ และกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า  หรูอี้ มีลูกชายให้ข้าสักคนเถอะ! 

 …  จ้านหรูอี้หันกลับไปมองเขาอย่างงุนงง ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป

 มีลูกให้ข้าสักคน!  ประมุขชิงเน้นย้าด้วยรอยยิ้ม

บนใบหนามิรอยยิ้ม แต่ความขมขื่นในใจมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ชัดที่สุด ต่อให้คำพูดของเขาจะหยุดยั้งโพ่จวินได้แล้ว แต่คาโกหก็กคือคาโกหก ถ้าโดนเปิดโปงขึ้นมา ถ้าคนอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์รู้ว่าเขาไม่สนใจชะตากรรมของใต้หล้า หลอกลวงโพ่จวินเพื่อปกป้องจ้านหรูอี้อย่าว่าแต่ไม่มีทางชี้แจงต่อโพ่จวินเลย ไม่มีทางชี้แจงตอบรรดา

ลูกนองค์นสนิทเหล่านั้นด้วยเช่นกัน ทำได้เพียงเปลื่ยนคาโกหกให้เป็นความจริง…

แดนรัตติกาล แม้จะมีคนมาซื้อขายสินค้าที่ตลาดผีไม่น้อย แต่การที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตกะทันหัน กอปรกับมีเหมียวอี้ดำเนินการอยู่เบื้องหลัง จงใจปล่อยข่าวจริงออกไป้ว่าแดนรัตติกาลมีทหารก่อกบฏ ถูกราชันสวรรค์ปลดอำนาจทางทหาร เรียกได้ว่าสะเทือนทั้งใต้หล้าจริง ๆ!

โอกาสดีขนาดนี้ เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะทำให้หัวใจทหารของประมุขชิงสั่นคลอน เหมียวอี้ที่ดำเนินการมาถึงตอนนี้มีหรือจะพลาด ในปีนั้นที่หยางชิ่งวางแผน เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดก็อยู่ตรงนี้!

 ชิงหยวนจุนกบฏแล้วเหรอ ? 

ในจวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่อยู่ในศาลาได้รับข่าวกะทันหันเรยกได้ว่าตกใจจริง ๆ

ถังเฮ่อเหนียนตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด  ไม่ได้ชูธงก่อกบฏขอรับ แต่ฝืนยึดอำนาจทางทหารของแดนรัตติกาล ก่อนหน้านี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก่อเรื่องที่พระตาหันกอุทยาน ตอนหลังมาปรากฏตัวที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล แค่นี้ก็ทำให้คนรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากลแล้ว ตอนนี้พอมีข่าวนี้ออกมา สอดคล้องกันแบบนี้ ก็คลายปริศนาได้แล้วขอรับ 

โค่วหลิงซวีลูบเคราพลางส่าย่อหน้า  ถ้าจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตระกูลเซี่ยโห้ว ข้าก็ไม่เชื่อหรอก ไม่ใช้ว่าข้าดูถูกพวกเขา แต่อาศัยพลังของสองแม่ลูกันน่ก็ยังโหมคลื่นไม่ไหว ประมุขชิงลำบากแล้ว! 

ในจวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่เดินเล่นช้า ๆ อยู่ในป่าพลันหันตัวมา ถามอย่างตกตะลึงไม่เบา  เป็นข่าวจริงเหรอ ? 

โกวเยว่พยักหน้า  ยืนยันแล้วขอรับ การก่อกบฏสงบแล้ว อำนาจทางทหารของแดนรัตติกาลอยู่ในมือชิงหยวนจุนแล้ว! 

 หึหึ!  ก่วงลิ่งกงแสยะยิ้ม แล้วเดาะลิ้นส่าย่อหน้า  พ่อลูกกลายเป็นศัตรูกันแล้ว ก็น่าสนุกนะ ข้าอยากจะเห็นว่าประมุขชิงจะยุติเรื่องนี้ยังไง! 

 

บรรดาแม่ทัพมองหน้ากันเลิกลั่ก ทุกคนมีสีหน้าตกตะลึง ต่างก็ตระหนักได้นิดหน่อยถึงอะไรบางอย่างโดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่าหวังติ้งเฉาวางแผนก่อกบฏแล้วโดนสังหาร ประโยคที่บอกว่าได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้วก็ยิ่งทำให้คนนึกเชื่อมโยงไปมากกว่าเดิม

ที่ตรงนั้น เงียบกริบ บรรดาแม่ทัพเริ่มทาสีหน้าแตกต่างกันไป คนนี้มองคนทางซ้ายทางขว่าข้างกายตัวเอง คนั้นนก็มองคนทางซ้ายทางขว่าข้างกายตัวเอง

ไม่มีใครกล้าพูดจำต้อต้าน และไม่มีใครพูดจาสนับสนุนเช่นกัน ไม่ต่อต้านก็เพราะยังไม่แน่ใจว่าเป็นอย่างที่ตัวเองคิดีหรือเปล่า ไม่พูดจาเห็นด้วยก็เพราะเหตุผลนี้เช่นกัน จะบุ่มบ่ามกระโดดออกมาแสดงท่าที่ได้อย่างไร

ที่น่าแปลกที่สุดก็คือคนพวกนี้ย้ายมาจากกองทัพองครักษ์แท้ ๆ ตระหนักได้แล้วว่าคำพูดของชิงหยวนจุนมีความหมายจาบจ้วงเบื้องบน แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครพูดว่าอะไรสักคา

ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง หยางชิ่งที่เงียบอยู่ข้างหลังถึงยิ้มบาง ๆ ยื่นมือให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่อยู่ข้าง ๆ บอกใบ้ให้นำงออกโรงได้แล้ว

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พยักหน้ายิ้มให้เขา จัดแขนเสื้อเล็กน้อย จัดท่วงทำให้เรียบร้อย เงย่อหน้ายืดอกเดินออกไป้

 ข้าเป็นพยานได้ ตระกูลเซี่ยโห้วจะสนับสนุนองค์ชายอย่างเต็มกำลัง พวกเจ้าฟังไม่ผิดหรอก สนับสนุนองค์ชายอย่างเต็มกำลัง! 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่เดินมาจากตาหนักด้านหลังยังไม่โผล่หน้า แต่เสียงมาก่อนแล้ว พอโผล่หน้ามาอีกครั้ง ก็เดินขึ้นไปบนแท่นสูงที่ชิงหยวนจุนยืนอยู่ด้วยท่าทางอันสูงส่งน่าเกรงขาม ส่วนชิงหยวนจุนก็กุมหมัดคารวะนาง

สองแม่ลูกยืนเคียงข้างกัน ก้มมองบรรดาแม่ทัพ ลักษณะท่าทางแตกต่างกับท่าทางวิตกหวาดกลัวก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง เมื่อผ่านเหตุการณ์อย่างนั้นมีาครั้งหนึ่งแล้ว ทั้งยังคุมสถานการณ์ได้เร็วมาก ทำให้ทั้งสองโยนความกังวลใจทิ้งไปแล้ว เกิดความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก ปลุกความมั่นใจที่มาจากชาติกำเนิดอันสูงส่งของตัวเองด้ยแล้วเช่นกัน พบว่าเรื่องนี้ก็แค่เท่านี้เอง ไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาสองแม่ลูกจะทำงานใหญ่ไม่สำเร็จ!

 คานับราชินีสวรรค์ !  บรรดาแม่ทัพกล่าวทาความเคารพพร้อมกัน

หลังจากทาความเคารพแล้ว ในหัวข้องบรรดาแม่ทัพก็ยังมีประโยคนั้นของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ดังก้อง ตระกูลเซี่ยโห้วจะสนับสนุนองค์ชายอย่างเต็มกำลัง!

คำพูดของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มีน้ำหนักพอสมควร ทำให้บรรดาแม่ทัพตระหนักได้ว่าการที่ตระกูลเซี่ยโห้วจะสนับสนุนสองแม่ลูกนี้ก็ไม่ใช้สิ่งที่เหนือความคาดหมาย เดิมทีสองแม่ลูก็กเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วอยู่แล้ว เรื่องในวันนี้เกรงว่าคงเป็นตระกูลเซี่ยโห้วผลักดัน ไม่อย่างนั้นสองแม่ลูกจะมีความกล้านี้ได้อย่างไร!

ใช้ว่าพูดส่งเดชแค่สองสามประโยคแล้วจะทำให้คนเหล่านี้ยอม ในที่สุดก็มีคนเอ่ยถามว่า  องค์ชาย ไม่ทราบว่าเคลื่อนัทพออกจากแดนรัตติกาลแล้วจะมีอนาคตอย่างไร่ ? 

ชิงหยวนจุนกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่รอบ ๆ พร้อมกล่าวเสียงดังว่า  เอาอาณาเขตหนึ่งสายของทัพใต้มาเป็นรากฐานก่อน! 

บรรดาแม่ทัพสบตากันแวบหนึ่ง มีคนถามอกว่า  ทัพใต้เป็นอาณาเขตของหนิวโหย่วเต๋อจะให้พวกเราครอบครองหนึ่งสายง่าย ๆ หรือขอรับ่ ? 

ชิงหยวนจุนตอบว่า  ไม่ใช้แค่จะครอบครอง ทั้งยังไม่เสียเลือดเสียเนื้อด้วย ตระกูลเซี่ยโห้วเตรียมตัวไว้อย่างรอบด้านแล้ว ขอเพียงพวกเราที่นี่เตรียมตัวให้ดี ตระกูลเซี่ยโห้วก็ย่อมบีบให้หนิวโหย่วเต๋อยอมปล่อยอาณาเขตหนึ่งสายให้ได้ ในจุดนี้ทุกคนไม่ต้องกังวล ข้าจะทาเรื่องที่ตัวเองไม่มี่นใจได้ยังไง่ ? 

  พวกเราจะยืนได้อย่างมั่นคงเหรอขอรับ่ ?  มีคนถามอีก

กลุ่มคนที่อยู่ตรงนี้ย่อมเข้าใจความหมายของคำถาม ฝ่าบาทจะนิ่งดูดายโดยไม่ทำอะไรเหรอ่ ?

  ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อโค่นล้มฮ่าวเต๋อฟาง ทุกคนรู้หรือเปล่าว่าทำไมอำนาจแต่ละฝ่ายถึงชักช้าไม่ไปช่วยเหลือสักที่? หลักการเดียวกัน!  ชิงหยวนจุนกล่าวเสียงดัง

บรรดาแม่ทัพทาท่าครุ่นคิด สาเหตุที่ฮ่าวเต๋อฟางไม่มีใครไปช่วยเหลือไม่ใช้เพราะอำนาจทั้งภายในและภายนอกถูกตระกูลเซี่ยโห้วตรึงไว้ไว้หรอก หรือ่ ?

บ้างก็ช้าบ้างก็เร็ว ตอนนี้คนกลุ่มนี้นึกถึงประโยคนั้นแล้ว ครองตระกูลเซี่ยโห้วได้ก็ครองใต้หล้าได้อย่าบอกน่ะว่าจะเปลื่ยนประมุขอีกแล้ว่ ?

ในตาหนักเงียบไปพักหนึ่ง ทุกคนล้วนมองประเมินคนอื่น ไม่รู้ว่าคนอื่นมีความคิดอย่างไร ไม่มีใครกล้ายืนขึ้นแสดงท่าที่เป็นคนแรก

 เหตุใดองคชายจึงต้องทำเช่นนี้ ?  มีคนอดไม่ได้ที่จะถาม

ชิงหยวนจุนกล่าวอย่างโมโห ที่วังสวรรค์มีคนกกับริเวณเสด็จแม่ของข้าไว้ที่ตาหนักนารีสวรรค์เพื่อนางแพศยาคนั้นน ถ้าไม่ใช้เพราะตระกูลเซี่ยโห้วยื่นมือเข้ามาช่วยเสด็จแม่ของข้าออกมา เกรงว่าตอนนี้เสด็จแม่ของข้าคงยังโดนกกับริเวณอยู่ในตาหนักนารีสวรรค์ ตอนนี้วังสวรรค์ก็ยิ่งต้องการยืมมือของห่วงติ้งเฉามากำจัดพวกเราสองแม่ลูก เลือดของข้ามาจากไหนล่ะ ? เกือบตายด้วยน้ามือ

โจรสุนัขหวังติ้งเฉาแล้ว! มีคนต้องการจะสนับสนุนให้นำงแพศยาที่ตาหนักเย็นมาแทนที่เสด็จแม่ของข้า จะให้พวกเราสองแม่ลุกนั่งรอความตายเชียวหรือ่ ? ตระกูลเซี่ยโห้วย่อมมิอาจนิ่งดูดาย! 

 หา!  ในตาหนักเกิดเสียงฮือฮาพักหนึ่ง ย่อมรู้ว่าคาเรียกวังสวรรค์หมายถึงใคร นอกจากท่านั้นนแล้วยังจะมีใครมอำนาจกับบริเวณราชินีสวรรค์อีก่ ? นึกไม่ถึงว่าจะมเรื่องนี้ ไม่แปลกใจที่ตระกูลเซี่ยโห้วต้องการลงมือ

มีคนไม่น้อยแอบทอดถอนใจ ถ้านี่คือเรื่องจริง ก็ไม่รู้เลยว่าจะพูดอย่างไรกับฝ่าบาทดี

ที่จริงแล้ว ความโปรดปรานที่ประมุขชิงมีต่อจ้านหรูอี้ คนส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงนี้เคยได้ยินมาแล้ว ประมุขชิงทาลายกฎระเบียบเพื่อจ้านหรูอี้มาแล้ว โดนประนามมาตั้งนานแล้ว ตามหลักแล้ว ในเมืออิ๋งจิ่วกวงมีความผิดข้อหาวางแผนก่อกบฏ จ้านหรูอี้ก็ควรจะโดนโทษประหารไปด้วยตั้งแต่แรก แต่ประมุขชิงโปรดปรานจ้านหรูอี้จนลือชื่อในเมือประมุขชิงดึงดันจะปกป้องจ้านหรูอี้ให้ได้ ทุกคนก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน เพียงแต่นึกไม่ถึง ว่าประมุขชิงคิดจะกำจัดลูกเมียตัวเองเพื่อแต่งตั้งให้จ้านหรูอี้ขึ้นสู่ตำแหน่ง ถ้าเป็นเรื่องจริง เช่นั้นนก็ทาเกินไปแล้ว เริ่มเผยเค้าลางทรราชให้เห็นแล้ว!

ขณะเผชิญหน้ากลุ่มคนที่ฮือฮา ชิงหยวนจุนก็ถามเสียงดังอีกครั้ง  ไม่ทราบว่าใครยินดีจะช่วยข้าอีกแรง ร่วมเสพสุขในเกียรติยศความรู้ำรวยไปด้วยกัน่ ? 

ในตาหนักมีคนของตระกูลเซี่ยโห้วแทรกซึมอยู่ตั้งนานแล้ว ที่รออยู่ก็คือประโยคนี้ มีคนตะโกนเสียงดังทันที่ ข้าน้อยยินดีถวายชีวิตรับใช้่องค์ชาย! 

 ข้าน้อยยินดีบุกน้าลุยไฟเพื่อองค์ชาย! 

คนในตาหนักที่มาเข้าพวกกับชิงหยวนจุนตั้งนานแล้ว ในเวลานี้ทยอยกันแสดงท่าทีด้วยเสียงดัง

ภายใต้สถานการณ์ที่ตัดสินใจเลือกลำบากแบบนี้ คนส่วนใหญ่ไม่มีใครกล้านาแสดงท่าที่กอน เรื่องบางเรื่องถ่าพูดถึงการรับโทษ คนที่เป็นตัวนำกับคนที่ทำตามนั้นมีโทษแตกต่างกัน พอคนจำนวนไม่น้อยเริ่มแสดงท่าทีแล้ว คนที่เหลือก็พากันแสดงท่าที่เช่นกัน ตรงนั้นมีเสียงตะโกนสนับสนุนชิงหยวนจุนดังเป็นแถบ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับชิงหยวนจุนดีใจมาก!

สถานการณ์ภาพรวมคลี่คลายแล้ว ควบคุมความเคลื่อนไหวของกำลังพลทัพใหญ่แดนรัตติกาลทันที่ใช้ว่าทั้งทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะเต็มใจทรยศประมุขชิงกันหมด ดังนั้นเรื่องการกำจัดคนคิดต่างประชิดเข้ามาตรงหน้าแล้ว มักเป็นเรื่องที่โหดร้ายที่สุด เป็นการเข่นฆ่าพวกเดียวกันเอง!

ตรงนี้เพิ่งจะเดินออกจากตาหนักหลัง ทหารคนหนังก็ตามมาอย่างรวดเร็ว เป็นคนที่ลงมือลอบแทงสังหารหวังติ้งเฉาก่อนหน้านี้ ชื่อว่าฉินฟ่าง รีบรายงานด่วนว่า  องค์ชาย สมาชิกที่วังสวรรค์ส่งมา

ถ่ายทอดบัญชาเหมือนจะสังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว เพิ่งจะออกเดินทางไป จะขัดขวางหรือไม่ขอรับ่ ? 

 …  ชิงหยวนจุนลังเลนิดหน่อย การสังหารหวังติ้งเฉายังบอกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้รับบัญชา หรือไม่ก็บอกว่าหวังติ้งเฉามีเจตนาไม่ซื่อแต่การสังหารคนที่ถ่ายทอดบัญชาให้วังสวรรค์ ก็เท่ากับฉีกหน้ากันโดยสิ้นเชิงแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปทางหยางชิ่ง

หยางชิ่ทวงถามสียงเรียบว่า  มาถึงขั้นนี้แล้ว องค์ชายยังลังเลอยู่อีก หรือ่ ? 

ตอนนี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับเด็ดขาดเป็นพิเศษ ตะคอกถามว่า  จุนเอ๋อร์ ธนูทั้ง้างแล้วไม่มีการหันกลับ ทำไมต้องลังเล่ ? 

ชิงหยวนจุนแข็งใจให้เด็ดเดียว เผยสีหน้าดุร้าย แล้วตวาดสั่งฉินฟ่าง  ฆ่า! 

ดังนั้น ตอนที่กลุ่มคนถ่ายทอดบัญชาวังสวรรค์รีบร้อนจากไปถึงทางออกแดนรัตติกาล ก็ถูกกำลังพลกลุ่มหนึ่งโผล่มาล้อมเอาไว้ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากเล็งไปที่พวกเขา

แม่ทัพคนสำคัญที่ถ่ายทอดบัญชาถามอย่างโมโห ข้าคือขุนนางที่ถ่ายทอดบัญชาของฝ่าบาท พวกเจ้าคิดจะทำอะไร คิดจะก่อกบฏเหรอ่ ? 

  ยิงธนู!  หนึ่งในนนโบกกระบี่พลางตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

ท่ามกลางเสียงดังปั้ง ๆ ลาแสงหนาแน่นยิงระเบิดออกไป้

ในขณะเดียวกันนี้เอง ทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่ประจำอยู่ตามจุดต่าง ๆ ตะโกนฆ่าดังเป็นแถบ ทุกที่ล้วนมีทัพกบฏกับกำลังพลที่ไม่ยอมทรยศประมุขชิงเข่นฆ่ากัน คนที่ถูกขังอยู่แดนรัตติกาลมาหลายปีแต่ยังจงรักภักดีจนถึงที่สุดนั้นี้เป็นจำนวนน้อย แบบหลังอยู่ในสถานการณ์ที่อ่อนแอแน่นอน ความวุ่นวายในแต่ละพื้นที่ถูกปราบให้สงบอย่างรวดเร็ว…

วังสวรรค์ ตาหนักดาราจักร ประมุขชิงหน้าดาคร่าเครียด สาวเท่าเดินไปเดินมา โมโหจนกระหืดกระหอบ  ลูกทรพี่ นางตัวแสบ! ลูกทรพี่ นางตัวแสบ… 

ซ่างกวนชิง ซือหม่ำเวิ่นเทียน เกาก้วน อู๋ฉวี่ ต่างก็ทยอยกันมาถึง พอฝั่งนี้ได้รับข่าวว่าหวังติ้งเฉาโดนสังหาร ก็รีบเรียกพวกเขามาแล้ว

ในมือพวกเขาแทบจะไม่ได้วางระฆังดาราเลย คอยรับข่าวไม่หยุด

ผ่านไปครูเดียว ซือหม่ำเวิ่นเทียนก็เงย่อหน้าบอกว่า  ฝ่าบาท ตามที่พยานรู้เห็นฝั่งแดนรัตติกาลบอกเรา ขุนนางที่ส่งไปถ่ายทอดบัญชาคงจะถูกล้อมโจมตีจากทัพที่ชุลมุน ไม่เหลือรอดเลยสักคนขอรับ! 

อู๋ฉวี่กล่าวเสริมว่า  กำลังพลที่จงรักภักดีต่อฝ่าบาทอยู่ในสถานการณ์วิกฤต ขอความช่วยเหลือเร่งด่วน! 

 ลูกทรพี่  ประมุขชิงคาราม ตบมือลงบนโต๊ะ โมโหจนหนวดพองแล้ว

 จู่ ๆ กำลังพลหลายล้านก็หายไป เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง่ ? หรือว่าตระกูลเซี่ยโห้วลงมือแล้ว่ ?  เกาก้วนถามเสียงเรียบ

คำพูดนี้เหมือนราดน้ำมีนบนไฟ ประมุขชิงหน้าตึง พวกซ่างกวนชิงกลอกตามองเกาก้วนแวบหนึ่ง พบว่าเจ้าเวรนี่พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดจริง ๆ จู่ ๆ ราชินีสวรรค์ก็หนี้ไปก่อเรื่องนี้ ถ้าไม่มีตระกูลเซี่ยโห้วเล่นตุกติกอยู่เบื้องหลังก็แปลกแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูก็กคือเกี่ยวข้องกับการที่ฝ่าบาทปกป้องคนในตาหนักเย็น ราชินีสวรรค์รู้สึกว่าได้รับความไม่เป็นธรรม จึงเริ่มดึงครอบครัวตัวเองมีาช่วยล้างแค้น

เพียงแต่ทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจ ว่าการทำแบบนี้มีประโยชน์อะไรต่อตระกูลเซี่ยโห้ว่ ?

ประมุขชิงเองก็นึกไม่ถึงว่าเรื่องที่ตาหนักเย็นจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายขนาดนี้ พบว่าตัวเองสันนิษฐานปฏิกิริยาของตระกูลเซี่ยโห้วผิดไปอย่างจินตนาการไม่ถึง!

ในขณะนี้เอง ด้านนอกกก็กมีเสียงเดินที่หนักแน่นดังมา โพ่จวินมาแล้ว!

ทุกคนหันกลับไปมอง มีบางคนหนึ่งตากระตุกอย่างอดไม่ได้ พบว่าโพ่จวินสวมเกราะรบมาแล้ว เกราะรบหนักเผยกลิ่นอายสังหาร

เมื่อเห็นประมุขชิง มือก็ประคองกระบี่ที่แขวนเอว ไม่ได้ทาความเคารพ เพียงจ้องประมุขชิงอย่างเยียบเย็น

อู๋ฉวี่กระแอมแล้วบอกว่า  โพ่จวิน ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเกิดเรื่องแล้ว… 

 ไม่ต้องให้เจ้าบอก ข้ารู้สถานการณ์แล้ว ทางนั้นก็มีคนที่ส่งไปจากหน่วยองครักษ์ซ้ายเหมือนกัน  โพ่จวินัยกมือห้ามเขาพูด สายตาจ้องตรงไปที่ประมุขชิง พร้อมกล่าวเสียงต่าว่า  ได้ยินว่าจ้านหรูอี้แอบออกจากตาหนักเย็นี้เป็นการส่วนตัว ถูกราชินีสวรรค์จับได้คาหนังคาเขา ราชินีสวรรค์รักษากฎระเบียบแต่กลับกลายเป็นยั่วโมโหฝ่าบาท ถูกฝ่าบาทกกับริเวณไว้ที่ตาหนักนารีสวรรค์ ราชินีสวรรค์ได้รับความอัปยศใหญ่หลวงขนาดนี้ ถึงได้ทำให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลก่อกบฏ ไม่ทราบว่าใช้หรือเปล่า ? 

คนอื่น ๆ ฟังแล้วอึดอัด นี่คือการสอบสวนฝ่าบาทชัด ๆ

ประมุขชิงกระตุกมุมปากเล็กน้อย  เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เจ้าคิด ตอนนี้ลองย้อนกลับไปมอง คงจะมีคนวางแผนมานานแล้ว! 

โพ่จวินกล่าวอย่างเย็นชาวา   ข้าน้อยไม่มีสมองอย่างนั้นหรอก ไม่ฟังสิ่งที่อ้อมค้อมพวกนี้! แม้ราชินีสวรรค์จะจิตใจคับแคบ แต่ขอเพียงฝ่าบาทยอมลดศักดิ์ศรีไปปะเหลาะสักหน่อยก็จะดีขึ้นแล้ว ดังนั้นฝ่าบาทได้โปรดถ่ายทอดคำสั่งเดียวนี้ ให้คุมตัวจ้านหรูอี้ส่งไปให้ราชินีสวรรค์ลงโทษเองที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล หากฝ่าบาททนเห็นผู้หญิงที่รักถูกรังแกไม่ได้ เช่นั้นนก็ทำให้รวดเร็วหน่อย

ประหารนางเสียเลย แล้วให้ซ่างกวนชิงถือศีรษะจ้านหรูอี้ไปสยบความโกรธของราชินีสวรรค์กับองค์ชายด้วยตัวเองและออกคำสั่งอภัยโทษทัพกบฏ รับรองว่าจะไม่ถามหาความรับผิดชอบใด ๆ อีก ขณะเดียวกันฝ่าบาทก็ลงจากตำแหน่งเพื่อองค์รัชทายาท หลีกทางให้องค์ชาย ฝ่าบาทคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง พยายามแก้ไขความวุ่นวายที่อยู่ตรงหน้าโดยเร็วที่สุด อย่าให้ไฟลามจนคนอื่นเข้ามาใช้ประโยชน์ ! 

พวกอู๋ฉวี่ตกตะลึงอ้าปากค้างกับคำพูดนี้ แต่จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ นี่คือวิธีการที่ดีที่สุดในการทำให้สถานการณ์สงบ

 เจ้า…  ประมุขชิงชี้โพ่จวินอย่างเดือดดาล ตวาดถามว่า  เจ้าคิดจะบีบให้ขาลงจากตำแหน่งเหรอ่ ? 

โพ่จวินกล่าวด้วยสีหน้าเหน็บแนม  ตำแหน่งราชันจะสำคัญอะไร่ ? จะเทียบกับจ้านหรูอี้ของฝ่าบาทได้หรือ่ ? หากฝ่าบาทแยแสตำแหน่งราชัน คงไม่ทาเรื่องเหลวไหลนี้เพื่อผู้หญิงคนเดียวหรอก่ ? 

 

ประโยคสุดท้ายต่างหากที่ปลอบใจทั้งสองได้แล้วจริง ๆ คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย ถ้าหากอันตรายมาก หยางชิ่งจะไม่เอาชีวิตมาทิ้งไปด้วยหรอก หรือจะเห็นได้ว่าหยางชิ่งมีความมั่นใจจริง ๆ

 ยิ่งไปกว่านั้น ข้างกายหวังติ้งเฉามีคนของพวกเราแต่ไม่รู้ตัว ในทัพใหญ่ก็มีแม่ทัพของพวกเราอยู่ไม่น้อย มีอะไรต้องกลัวอีกละ ?  หยางชิ่งกล่าวเสริม

สำหรับเขา เขาไม่กังวลเลยสักนิด ประการแรกเป็นเพราะตอนอยู่ข้างกายเหมียวอี้ได้เห็นอุปสรรคมาเยอะแล้ว ประการต่อมาเป็นเพราะเหมียวอี้แอบส่งกำลังพลเข้ามารับหน้าที่สนับสนุนแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขนทั้งข้างในและข้างนอก็กล้วนมีคนคุ้มครองหยางชิ่งหนี้ไปหรือยังปลอดภัย ตั้งแต่หยางชิ่งพบว่าสองแม่ลูกอาจจะทำตัวเป็นนกสองหัว เขาก็เตรียมตัวกับสิ่งนี้ไว้แล้ว

แน่นอน ว่าถ้าไม่จนใจจริง ๆ หยางชิ่งก็ไม่ทาอย่างนี้แน่นอน ที่เตรียมกำลังพลไว้ก็เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะทำให้แผนพัง

ในขณะนี้เอง เอ๋อเหมยก็เข้ามารายงานว่า  เหนียงเหนียง องค์ชาย หวังติ้งเฉาขอเข้าเฝ้าเพคะ 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พลันลุกขึ้นยืน แล้วถามอย่างหวาดระแวังว่า  มากนักี่คน ?  ชิงหยวนจุนก็ลุกขึ้นยืนตามแล้วเช่นกัน เหมือนหยุดหายใจแล้วด้วยซ้ำ

หยางชิ่งเห็นปฏิกิริยาของสองแม่ลูกแล้วพูดไม่ออกินดหน่อย ในเมืออีกฝ่ายมีาขอพบอย่างสุภาพเกรงใจ ต่อให้เกิดเรื่องขนแต่ก็อธิบายได้ว่าอยากจะเจรจาก่อนค่อยใช้กำลัง แสดงว่าอยู่ในการค้าดหมายของฝั่งนี้ จำเป็นต้องข่มอารมณ์ไม่ไหวแบบนี้ด้วย หรือ ? ถ้าอีกฝ่ายบุกเข้ามาโดยตรง นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าเป็นปัญหา

เอ๋อเหมยบอกว่า  ถ้ารวมห่วงติ้งเฉาด้วยก็มีสามคนเพคะ  นางแปลกใจกับปฏิกิริยาของสองแม่ลูกอยู่บ้าง เพราะนางไม่รู้ความจริง

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ชาเลืองมองหยางชิ่ง พอเห็นหยางชิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ก็โบกมือบอกว่า  ให้พวกเขาเข้ามา 

ใช้เวลาไม่นาน หวังติ้งเฉาก็เดินก้าวยาวเข้ามาโดยที่ข้างหลังฝั่งซ้ายและขวามีคนตามมาด้วยสองคน พอเข้ามาในศาลาแล้ว ก็กุมหมัดคารวะ  คานับเหนียงเหนียง คานับองค์ชาย 

ชิงหยวนจุนพยายามควบคุมความรู้สึกวิตกกังวล ถามเสียงต่าว่า  มเรื่องอะไร ? 

หวังติ้งเฉามองไปที่สีหน้าเขาด้วยแววตาสับสน แล้วกุมหมัดคารวะ  องค์ชาย ออกคำสั่งให้เดินทัพเถอะ!  ในน้ำเสียงแฝงการขอร้อง

นี่คือคำขอครั้งสุดท้ายของเขาแล้ว เขาเองก็พยายามใช้คำพูดเพื่อช่วงชิงโอกาสสุดท้ายให้ชิงหยวนจุนเช่นกัน เบื้องบนอนุญาตให้เขาทดลองเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ถ้าสามารถเกลี้ยกล่อมให้ชิงหยวนจุนเคลื่อนทัพได้ เช่นั้นนก็แล้วไป ไม่อย่างนั้นก็จะประกาศคำสั่งถอดอำนาจทางทหารและจับตัวสองแม่ลูกไว้ แล้วควบคุมตัวไปวังสวรรค์โดยตรงเลย

ชิงหยวนจุนทาหน้านิ่ง  ข้าบอกแล้วไง ต้องวางแผนก่อนแล้วค่อยเคลื่อนไหว จะวู่วามทาเรื่องนี้ได้ยังไง! 

หวังติ้งเฉาเผยสีหน้าขื่นขม แล้วจู่ ๆ ก็ย่อตัวลง คุกเข่าข้างเดียวกับพื้น แล้วขอร้องด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดว่า  องค์ชาย ถ่วงเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้าถ่วงเวลาต่อไปจะถือว่าขัดบัญชาสวรรค์ เช่นั้นนท่านจะรับผลที่ตามมาไม่ไหวขอรับ! 

ชิงหยวนจุนยืนขึ้นด้วยสีหน้าเยียบเย็น  หวังติ้งเฉา เจ้าอย่ายัดข้อหาซี้ซั้ว ไม่รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างนอก ข้ามอำนาจที่จะดูความเปลื่ยนแปลงของสถานการณ์การรบแล้วค่อยตัดสินใจ จะให้พี่น้องที่อยู่ใต้บังคับบัญชาบุ่มบามเอาชีวิตไปทิ้งได้ยังไง ทำไมปากเจ้าถึงบอกว่าเป็นการขัดบัญชาแล้วล่ะ เจ้ามีเจตนาอะไรกันแน่ ? 

หวังติ้งเฉาเฮ้ยสีหน้าขมขื่น เงย่อหน้ามองเขาแล้วถามว่า  องค์ชาย เพื่ออะไรกันแน่ ? 

  ไม่ใช้เพื่ออะไรหรอก ข้ายังต้องอธิบายกับเจ้าอีกกี่ครั้ง ?  ชิงหยวนจุนถาม

หวังติ้งเฉาเม้มริมฝีปากแน่นแล้วยืนขึ้นช้า ๆ  องค์ชาย ข้าเพิ่งได้รับบัญชาจากฝ่าบาท ให้ปลดองคชายจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเดียวนี้ แล้ว ‘เชิญ’ กลับวังสวรรค์พร้อมกับเหนียงเหนียง! 

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับชิงหยวนจุนก็หวาดระแวงกลัว แทบจะเหมือนกับพี่หยางชิ่งพูดไว้ก่อนหน้านี้ไม่มีผิด ถ้าคุมตัวพวกเขาไปที่ตาหนักสวรรค์จริง ๆ เช่นั้นนขั้นถัดไปพวกเขาแม่ลูกก็จะถูกลอบสังหารในอาณาเขตทัพใต้เหมือนที่หยางชิ่งบอกเหรอ ?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวอย่างโมโห ับงอาจ!  ตอนนี้นางกลับไม่กลัวขนาดนั้นแล้ว เพราะสิ่งที่มากกว่านั้นคือไฟโกรธกำลังแผดเผา ในใจกลับพูดซ้ำไปซ้ำมาว่า นางแพศยานั้นต้องการจะทาร้ายตนจริง ๆ ด้วย!

เมื่อนำงกล่าวเช่นนี้ เอ๋อเหมยและบรรดาสาวใช้ที่อยู่ด้านนอกกก็กพุ่งเข้ามาทันที่

 บัญชาของฝ่าบาทอยู่ที่นี่แล้ว เหนียงเหนียงกับองค์ชายสามารถตรวจสอบความจริงได้!  หวังติ้งเฉาไม่สะทกสะท้าน ใช้สองมือถือแผ่นหยก สองคนข้างหลังัชกอาวุธออกมาอย่างรวดเร็ว คอยระวังพวกเอ๋อเหมยอยู่ข้างหลัง

ถ้าที่นี่ต้องการจะส่งข่าวออกไป้ด้านนอกก็จะมีกำลังพลกลุ่มใหญ่พุ่งเข้ามาทันที่

ชิงหยวนจุนยืนขึ้นอย่างช้า ๆ ในใจยังคงมีไฟโกรธแผดเผา ท่านั้นนของวังสวรรค์จะลงมือโดยไม่สนใจความสัมพันธ์พ่อลูกแล้วจริง ๆ เหรอ ? เขาเผยสีหน้าดุร้าย  หวังติ้งเฉา เจ้าเคยบอก ว่าเจ้าไม่ต้องจงรักภักดีต่อฝ่าบาท แค่จงรักภักดีต่อข้าเท่านั้น ที่แท้เจ้าก็รอข้ามาตลอด! 

หวังติ้งเฉากล่าวอย่างปวดใจว่า  องค์ชายเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยไม่ได้กลืนคำพูดตัวเองที่ำแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับองค์ชายเช่นกัน หลังจากองคชายกลับวังแล้ว อย่างมากก็แค่เหงาไม่นาน หากต่อต้านฝ่าบาทอย่างนี้ต่อไป ก็มีแต่จะตายสถานเดียว ที่นี่มีแต่กำลังพลของฝ่าบาท! 

ชิงหยวนจุนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์  ข้าว่าไม่แน่หรอกมั้ง! 

เขาเพิ่งจะพูดจบ  เอื้อ…  หวังติ้งเฉาก็ครางออกมา จู่ ๆ ข้างหลังก็มีทหารคนหนึ่งแทงเข้ามา แทงทะลุหัวใจของห่วงติ้งเฉาโดยตรง ตรงหน้าอกมีเลือดไหลทะลัก

หวังติ้งเฉาเบิกตากว้าง ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อนึกไม่ถึงว่าลูกนองค์นสนิทของตัวเองจะลอบจู่โจม

ทหารอีกคนตกใจมาก พอใช้กระบี่ฟันสาวใช้ที่มาขวาง ก็ส่งเสียง  เอื้อ  ออกมา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถลันร่างเข้ามา ในมือใช้แส้สยบมังกรสีเปล่งแสงสีขาว คนั้นนใช้กระบี่โจมตีกลับ ชนกับแส้สยบมังกรพอดี แค่กลับสู้วรยุทธ์ของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ได้ สะเทือนจนกระอักเลือด แล้วก็ถูกคนที่ดักซุ่มอยู่รอบ ๆ พุ่งเข้ามาล้อมโจมตี

ชิงหยวนจุนเตะเก้าอี้ออกไป้แล้วชักกระบี่เดินมาตรงหน้าหวังติ้งเฉา แทงกระบี่เข้าไปที่หน้าอกของห่วงติ้งเฉา ชักออกมาแล้วแทงซ้ำอีกครั้ง ราวกับเป็นบ้าไปแล้ว ดวงตาทั้งคู่แดงก่า เลือดสดกระจายเลอะทั้งตัว ปาก็กยังพึมพาว่า  กล้าหลอกข้า ข้าหลอกข้า… 

ตอนแรก หยางชิ่งก็บอกไว้แล้วว่าให้เขากำจัดหวังติ้งเฉา เขาทำใจให้เด็ดขาดอย่างนั้นไม่ลง ยังมีความห่วงกับห่วงติ้งเฉาอยู่บ้าง ว่ากันว่ายิ่งห่วงมากก็ยิ่งผิดหวังมาก นึกไม่ถึงว่าเขาทนข่มใจไม่ฆ่าอีกฝ่ายได้ แต่อีกฝ่ายกลับต้องการทำร้ายเขา

หวังติ้งเฉาถลงตามองชิงหยวนจุนพี่เหมือนเป็นบ้าไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าตัวเองจงรักภักดีมาหลายปี แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการปฏิบัติเช่นนี้จากชิงหยวนจุน เขานึกไม่ถึงเช่นกันว่าชิงหยวนจุนจะกล้าสังหารเขา จะไม่รู้ถึงผลที่จะตามมาเชียวหรือ ?

เขานึกไม่ถึงว่าชิงหยวนจุนจะมองข้ามแม้แต่บัญชาของฝ่าบาท ลงมือกับเขาอย่างนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่ามีใจคิดจะสังหารเขาตั้งนานแล้ว เขายังคิดว่าจะคุยกันดี ๆ ก่อนแล้วค่อยใช้กำลังอยู่เลย

ที่สำคัญก็คือเขาไม่รู้ว่าเบื้องหลังมีคนคอยยุแยงสองแม่ลูกจนี้เป็นสุนัขกระโดดกาแพง ภายใต้สถานการณ์ปกิจะไม่สิ้นเปลืองกำลังอย่างนี้

หวังติ้งเฉามีเลือดซึมที่จมูกทีละนิด จ้องชิงหยวนจุนด้วยแววตาหดหู่ ในปากมีฟองเลือดไหลออกมา ไม่รู้ว่าอยากจะพูดอะไรกับชิงหยวนจุน

ส่วนคนที่หนี้ไปก็ถูกกำลังพลที่ดักซุ่มใช้ดาบรัวฟันจนตายแล้ว แต่เสียงร้องก่อนหน้านี้ก็ยังเรียกกำลังพลที่อยู่ข้างนอกเข้ามากลุ่มคนดาเป็นพืดพุ่งเข้ามาจากสี่ด้านแปดทิศ

 เหนียงเหนียง!  หยางชิ่งตะคอกใส่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เตือนนางว่าตอนนี้ควรจะทำอะไร

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ถูกกำลังพลรอบด้านพุ่งเข้ามาล้อมดึงสติ๊กลับมา

หยางชิ่งยกมือขึ้นตบบ่าชิงหยวนจุนที่กำลังบ้าระห่าอีก แล้วถ่ายทอดเสียงตะคอกใส่ข้างหู องค์ชาย เรียกรวมกำลังพลที่ทำงานให้ท่านมาเดียวนี้! 

ชิงหยวนจุนเข้าใจ ดึงกระบี่ออกจากตัวหวังติ้งเฉา แล้วตัดศีรษะหวังติ้งเฉา

หยางชิ่งคว้าศีรษะเอาไว้ แล้วยดใส่มือเซี่ยโห้วเฉิงอวี่โดยตรง  เหนียงเหนียง ควบคุมอารมณ์ ท่านคือราชินีสวรรค์มารดาแห่งใต้หล้า พวกเขาไม่กล้าทำอะไรท่านหรอก มีแต่ท่านที่จะขู่พวกเขาได้ ช่วงชิงเวลาให้องค์ชาย! 

เอ๋อเหมยและบรรดาสาวใช้ตกใจจนหน้าซีด นึกไม่ถึงว่าจะเกิดสถานการณ์อย่างนี้ขึ้น

กำลังพลหลายพันที่ดักซุ่มอยู่ไหนเขตร้านบ้านรีบหดตัว รวมกลุ่มกันโอบล้อมพิทักษ์อยู่รอบตึกศาลา

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่คือศีรษะของขนไปบนหลังคา ชูศีรษะของห่วงติ้งเฉา พร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนอย่างดุดันว่า  หวังติ้งเฉาถ่ายทอดบัญชาสวรรค์เท็จ มีเจตนาก่อกบฏ ถูกทาโทษประหารแล้ว! 

กำลังพลที่เหาะเข้ามาล้อมจากสี่ทิศทยอยกันหยุด แล้วมองทางฝั่งนี้อย่างหวาดระแวงสงสัย

 ข้าคือเหนียงเหนียงตาหนักหลักของตาหนักสวรรค์ องค์ชายคือโอรสองคเดียวของฝ่าบาท ใครกล้าแตะต้องพวกเราสองแม่ลูก ? ข้าก็อยากจะเห็นก็ใครจะกล้าก่อกบฏบีบให้พวกเราสองแม่ลูกตาย!  เสียงของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ดังสนั่นไปทั้งไปสี่ทิศ

กำลังพลโดยรอบตกอยู่ในความลังเล แม่ทัพที่ก่อนหน้านี้ฟังคำสั่งห่วงติ้งเฉาไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วแล้ว เพราะราชินีสวรรค์กำลังจะสู้ตาย หวังติ้งเฉาไม่อยู่ กอย่างที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่บอก ใครจะกล้าบีบให้พวกเขาสองแม่ลูกตายล่ะ ?

ทำได้เพียงรีบส่งข่าวให้กองทัพองครักษ์ที่สามารถติดต่อได้

บนตึกศาลา หยางชิ่งกวาดสายตามองสถานการณ์รอบข้าง ได้ยกหินออกจากอกแล้ว นิ้วทั้งห้าดูดแผ่นหยกของห่วงติ้งเฉาที่ตกพื้นมาไว้ในมือร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูเล็กน้อย จากนั้นก็บีบทาลายจนกลายเป็นผุยผงเสียเลย

และในตอนนี้เอง รอบด้านก็มีกำลังพลเพราะเขามาเยอะกว่าเดิม เป็นกำลังพลที่คนที่จงรักภักดีต่อชิงหยวนจุนพม่า หวังติ้งเฉานึกไม่

ถึงว่าจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ และไม่คิดว่าการจับตัวสองแม่ลูกจะเปลืองแรงมากขึ้นาดนี้ด้วย เตรียมกำลังพลมาแค่ไม่กี่หมื่นคนเท่านั้นเอง ตอนนี้คนที่ล้อมพวกเขากลับมีมากกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่า

ทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่ได้มีแค่ที่อยู่ตรงหน้านี้แน่นอน แต่คนจำนวนมากกว่านั้นไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพราะกระจายตัวกันประจำอยู่ตามจุดต่าง ๆ ก่อนหน้านี้หวังติ้งเฉาไม่ได้ประกาศเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้หมด ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น หลังจากจบเรื่องแล้วค่อยประกาศบัญชาของราชาสวรรค์ ถึงตอนั้นนสถานการณ์ภาพรวมก็ถูกกำหนดแล้ว

 หวังติ้งเฉาถ่ายทอดบัญชาสวรรค์เท็จ มีเจตนาก่อกบฏ!  จู่ ๆ แม่ทัพคนหนึ่งที่นาทัพมาล้อมไว้ก็ตะโกนเสียงดัง

 หวังติ้งเฉาถ่ายทอดบัญชาสวรรค์เท็จ มีเจตนาก่อกบฏ! 

 หวังติ้งเฉาถ่ายทอดบัญชาสวรรค์เท็จมีเจตนาก่อกบฏ! 

ทัพใหญ่ที่ล้อมเข้ามาตะโกนเสียงดังตามทันที่เสียงสั่นสะเทือนฟ้า เสียงตะโกนดังต่อเนื่องเป็นระลอก

กองทัพที่ประจำอยู่ใกล้ ๆ สังเกตุได้ถึงความเคลื่อนไหวนี้ ทั้งใกล้และไกลเร่งตามมา พอเห็นที่เกิดเหตุก็งงเป็นไก่ตาแตก หวังติ้งเฉาวางแผนกบฏเหรอ ?

เมื่อได้ยินว่าเกิดเหตุการณ์นี้ ใครยังจะกล้าทำซี้ซั้วอีกละ ? ทำได้เพียงสังเกตการณ์เงียบ

ชิงหยวนจุนที่บนใบหน้าและบนตัวเปื้อนเลือดเหาะขึ้นไปบนหลังคาเช่นกัน เขากลับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มองไปรอบ ๆ เสียงตะโกนสนับสนุนรอบข้างราวกับทะลักเข้ามาเรากับคลื่นยักษ์อันน่าสะพรั่ง ไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองจะรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจแบบนี้ ค้นพบความรู้สึกยามได้ควบคุมสถานการณ์แล้วเช่นกัน ความหวาดหวั่นเกรงกลัวก่อนหน้านี้ ในเวลานี้ถูกเสียงตะโกนกวาดไล่ไปหมดแล้ว

ชิงหยวนจุนโบกมือชี้กำลังพลที่ล้อมตัวเองอยู่ พร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า  หวังติ้งเฉามีเจตนาลอบสังหารข้า พวกเจ้าคิดจะดำเนินรอยตามเขาเหรอ ? วางอาวุธลงแล้วจะไม่เอาผิด ไม่อย่างนั้นจะสังหารทิ้งตรงนี้ 

รอบข้างยังคงตะโกน มิหนาซ้ายังมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากกำลังง้าง เล็งไปยังกลุ่มคนที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลาง

ภายใต้สถานการณ์ที่มีกำลังน้อยกว่า คนพวกนั้นจาต้องวางอาวุธลงช้า ๆ จากนั้นก็ถูกควบคุมเอาไว้อย่างรวดเร็ว

กำลังพลที่ตามมาไม่ขาดสายแทบจะล้อมจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเอาไว้แน่นหนาจนแม้แต่น้าหยดเดียวก็ผ่านไปไม่ได้

ด้วยความที่หยางชิ่งช่วยออกหัวคิด ชิงหยวนจุนรีบสั่งการกำลังพลแต่ละแห่ง ออกคำสั่งให้รีบควบคุมระฆังดาราไม่ให้ติดต่อภายนอก ตัดขาดไม่ให้วังสวรรค์บัญชาการทัพใหญ่แดนรัตติกาลจากระยะไกล ขณะเดียวกันก็รีบเรียกแม่ทัพคนสำคัญตามจุดต่าง ๆให้มาประชุมที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล

หลังจากแม่ทัพหลายร้อยมาถึง เดินผ่านกำลังพลที่เบียดกันอยู่เต็มลานกว้างไป เข้าไปในตาหนักประชุมใหญ่แล้ว

ชิงหยวนจุนที่บนตัวยังคงเปื้อนเลือดยืนอยู่เบื้องสูง กล่าวสิ่งที่น่าตกใจต่อหน้าบรรดาแม่ทัพ  พวกเราถูกขังที่นี่มานานแล้ว ไม่มีทางออก ตอนนี้ข้าได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้ว ต้องการเคลื่อนัทพออกจากแดนรัตติกาลเพื่อช่วงชิงอนาคตให้ทุกคน ไม่ทราบว่าทุกคนยินดีจะช่วยข้าอีกแรงหรือไม่ ? 

 

ขณะมองคล้อยหลังสองแม่ลูกเดินออกไป หยางชิ่งก็ตระหนักได้ถึงวิกฤตแล้ว เป็นเพราะสองแม่ลูกไม่แน่วแน่ในอุดมการณ์ ความสามารถในการทนรับความกดดันยังไม่พอ เหยียบเรือสองแคมได้ง่าย ถ้าหดหัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า ดีไม่ดีอาจจะนำเขาไปชี้แจงต่อประมุขชิง แม้เหมียวอี้จะกดดันสองแม่ลูกอยู่ แต่เขาจะไม่ระวังก็ไม่ได้ อย่าให้เรือล่มในคลองแคบ โดนสองคนที่ไม่ได้เรื่องเล่นงานจนตาย

เขาหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ทันที เล่าสถานการณ์ให้ฟังนิดหน่อย ขอให้เหมียวอี้สั่งให้กำลังพลทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่เคยกล่าวคำปฎิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อชิงหยวนจุนก่อนหน้านี้กดดันสองแม่ลูก สองคนนั้นจะได้ไม่บุ่มบ่ามทำอะไร

ส่วนสองแม่ลูกพอออกจากประตูมา ก็เจอกับหวังติ้งเฉาที่มาขอคำสั่งให้ตัวเองไปปฏิบัติภารกิจพอดี  ข้าน้อยคำนับเหนียงเหนียง คำนับองค์ชาย! องค์ชาย บัญชาสวรรค์มาถึงแล้ว เหตุใดยังไม่ออกคำสั่งระดมพลอีกขอรับ? 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินแล้วเดือดด้าน ตะคอกว่า  บังอาจ! ควรจะทำยังไง องค์ชายย่อมเตรียมตัวเอง เจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล หรือองค์ชายเป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล? 

หวังติ้งเฉากุมหมัดคารวะ  เหนียงเหนียงโปรดระงับโทสะ ข้าน้อยมิบังอาจ ในเมื่อเป็นบัญชาของฝ่าบาท ก็จะชักช้าไม่ได้ เกรงว่าจะทำให้ฝ่าบาทเกิดโทสะ ข้าน้อยก็หวังดีต่อองค์ชายเช่นกัน 

ชิงหยวนจุนถอนหายใจ  บัญชาของฝ่าบาทข้าย่อมต้องรับไว้ จะบุ่มบ่ามเคลื่อนทัพได้ยังไง ต้องวางแผนให้ดีก่อนสิ 

 องค์ชาย ฝ่าบาทก็แค่ให้พวกเราเคลื่อนทัพไปกดดันทัพใต้  หวังติ้งเฉากล่าว

ชิงหยวนจุนจึงบอกว่า  หนิวโหย่วเต๋อเป็นใครกัน? ที่เขาไต่เต้าขึ้นตำแหน่งอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ไม่ใช่เพราะโชคดีแน่นอน เขาคือขุนพลเลื่องชื่อแห่งยุค เชี่ยวชาญการรบ ดูถูกไม่ได้เด็ดขาด! ส่วนท่าทีของหนิวโหย่วเต๋อ ก็เป็นพวกที่พอโมโหก็ทำศึก เจ้าไม่รู้เหรอว่าถ้าพวกเราบุ่มบ่ามเคลื่อนทัพเข้าไปในอาณาเขตของเขา แล้วจะยั่วโมโหให้เขาโจมตีกลับ? พวกเราจะหวังให้โชคเข้าข้างไม่ได้ ในเมื่อจะเคลื่อนทัพ ก็ต้องเตรียมตัวว่าอาจจะลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อ เจ้าว่ามั้ยล่ะ? 

หยางชิ่งเพิ่งจะสอนวิธีการถ่วงเวลาให้เขา แต่สอนก็ส่วนสอน ในใจหยางชิ่งกลับรู้ชัด ว่าอำนาจฝ่ายกระทำอยู่ในมือเหมียวอี้ ต่อให้ประมุขชิงไม่ได้เคลื่อนไหว เหมียวอี้ก็ไม่มีทางให้อาณาเขตให้ชิงหยวนจุนอยู่ดี ถึงตอนนั้นก็ย่อมมีข้ออ้างมาถ่วงเวลาชิงหยวนจุนได้อีก เป็นไปไม่ได้ที่จะให้แผนเอาเปรียบของชิงหยวนจุนสมหวัง

ทว่าคำพูดนี้ก็มีเหตุผลอยู่บ้างจริงๆ ทำให้หวังติ้งเฉาเถียงไม่ออก ทำได้เพียงเร่งให้เขาเตรียมตัวเร็วๆ

ใช่ว่าชิงหยวนจุนจะไม่เตรียมตัวเลยสักนิด ฝั่งนี้บอกว่ากำลังวางแผน กำลังพลก็กำลังค่อยๆ เคลื่อนย้ายเช่นกัน

วันสองวันที่ผ่านไปนี้ ประมุขชิงที่อยู่วังสวรรค์ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเคยเกิดขึ้น และไม่ถามอีก หลังจากผ่านไปห้าหกวัน ประมุขชิงก็ยังสังเกตการณ์อยู่เฉยๆ เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ทัพใหญ่แดนรัตติกาลยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ไม่ว่าใครก็มองออกทั้งนั้นว่าชิงหยวนจุนไม่อยากเคลื่อนทัพ ประมุขชิงสีหน้าบูดบึ้งทั้งวัน ดูแย่มาก เวลาคนในวังสวรรค์เจอเขาก็เริ่มระมัดระวัง คนที่คุ้นเคยกับประมุขชิงต่างก็รู้ว่าประมุขชิงอยู่คาบเกี่ยวกับจุดที่จะระเบิดอารมณ์แล้ว

ตอนออกจากวังสวรรค์ ประมุขชิงไม่ได้ไปทางประตูหลัก แต่มาถึงหุบเขาด้านหลังผ่านประตูหลัง เป็นหุบเขาที่ถูกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำลายจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ตอนนี้ก็แค่ปรับปรุงอย่างง่ายๆ ไปก่อน ไม่อยากให้ใครเห็นเบาะแสชัดเจน ตอนนี้ยังไม่สะดวกจะปรับปรุงให้กลับมางดงามเหมือนเดิมในทันทีจนกลายเป็นจุดอ่อน

ขนาดยืนอยู่บนภูเขาหินลูกหนึ่งประมุขชิง สายตากวาดมองสภาพแวดล้อมที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อยหลังจากพังถล่ม หลังจากเงียบไปพักเดียว จู่ๆ ก็กล่าวเสียงเย็นว่า  สิบวันแล้วใช่มั้ย! 

ซ่างกวนชิงที่ยืนอยู่ตรงตีนภูเขาหินเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร จึงเอ่ยรับเสียงเบาว่า  ใช่ขอรับ วันที่สิบแล้ว 

ประมุขชิงค่อยๆ เอามือไขว้หลัง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ  เขายังไม่เคลื่อนทัพ กำลังจงใจถ่วงเวลา! 

ซ่างกวนชิงตอบอย่างคลุมเครือว่า  หนิวโหย่วเต๋อเชี่ยวชาญการรบ องค์ชายอยากจะเตรียมตัวให้รอบด้านก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลขอรับ 

ประมุขชิงหันขวับ ก้มหน้าจ้องเขา พลางตวาดว่า  คำพูดเหลวไหลพวกนี้เจ้าเชื่อด้วยเหรอ? เขาไม่อยากเคลื่อนทัพ กำลังจงใจถ่วงเวลา เขากำลังขัดบัญชา! เขายังคิดจะทำอะไรอีก? ลูกทรพี! 

ซ่างกวนชิงถามหยั่งเชิงว่า  ฝ่าบาท จะออกคำสั่งเร่งรัดอีกดีหรือไม่ขอรับ? 

ประมุขชิงแสยะยิ้ม  ถ่ายทอดบัญชาของข้าไปที่หวังติ้งเฉา ให้เขารับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลแทน คุมตัวสองแม่ลูกนั่นไว้เดี๋ยวนี้ คุมตัวกลับมาที่วังสวรรค์! 

 ฝ่าบาทโปรดไตร่ตรอง เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่วุ่นวายถึงขั้นนี้หรอกขอรับ  ซ่างกวนชิงกล่าวด้วยสีหน้ากังวล

ประมุขชิงตวาดว่า  ข้าให้โอกาสเขาแล้ว แต่ลูกทรพีอย่างเขาไม่รู้จักกลับตัว เจ้านั่นเอาความกล้าจากไหนมาต่อต้านข้า? ต้องมีอะไรในกอไผ่แน่นอน ถ้าให้พวกเขาสองแม่ลูกอยู่ที่นั่นต่อไป ก็มีแต่จะโดนหลอกใช้ประโยชน์ ถ้าไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาดตอนยังมีโอกาส ถึงตอนนั้นก็ยิ่งยุติเรื่องราวได้ยาก! หรือเจ้าอยากจะขัดบัญชา? 

ซ่างกวนชิงทำได้เพียงกุมหมัดรับคำสั่ง  ขอรับ! บ่าวจะถ่ายทอดบัญชาเดี๋ยวนี้! 

ประตูห้องสมาธิเปิดออกพร้อมเสียงดังก้อง หยางชิ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหินลืมตาขึ้น เห็นเพียงเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับชิงหยวนจุนรีบร้อนเดินเข้ามา

ไม่ยอมให้หยางชิ่งได้พูดอะไร เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็กล่าวอย่างร้อนใจว่า  น้องชาย จุนเอ๋อร์เพิ่งได้รับข่าวจากกำลังพลเบื้องล่าง วังสวรรค์ส่งคนมาแล้ว ไม่ได้มาทางฝั่งนี้ แต่ไปหาหวังติ้งเฉาโดยตรง เกรงว่าฝ่าบาทคงจะมีคำสั่งอะไรให้หวังติ้งเฉาแล้ว 

หยางชิ่งแอบพูดในใจว่า สมกับที่ใช้ชีวิตอยู่ไหนวังสวรรค์มาหลายปี สังเกตได้แล้วว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล

ที่จริงเขาก็เพิ่งได้รับข่าวเช่นกัน รู้แล้วว่าวังสวรรค์ส่งคนไปหาหวังติ้งเฉา คนที่ตระกูลเซี่ยโห้วแทรกไว้บอกข่าวให้สองแม่ลูกรู้ได้ ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่รู้

ชิงหยวนจุนมีสีหน้าลนลานหวาดกลัวเล็กน้อยเช่นกัน  ท่านน้า ท่านอ๋องเตรียมจะทำยังไงกันแน่? 

หยางชิ่งหย่อนเท้าสองข้างลงจากเตียง ถอนหายใจแล้วบอกว่า  ใกล้แล้ว เหลืออีกไม่กี่วันแล้ว แต่ต่อให้ท่านอ๋องจะเตรียมตัวแล้ว แต่ก็เกรงว่าจะสายไป ถ้าคนจากวังสวรรค์ฉวยโอกาสก่อกวน เกรงว่าคงมีคนไม่อยากให้เหนียงเหนียงกับองค์ชายรอดชีวิตกลับไป! 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถลึงตา  หมายความว่ายังไง? 

หยางชิ่งกล่าวเหมือนไม่แน่ใจ  ก่อนหน้านี้ข้าได้ข่าวมาจากท่านอ๋อง ว่าก่อนหน้านี้ตอนฝ่าบาทอยู่ที่วังสวรรค์ ไม่รู้ว่าจ้านหรูอี้พูดอะไรกับฝ่าบาท ทำให้ฝ่าบาทมีสีหน้าแย่มาก ฉะนั้นฝ่าบาทก็ให้ซ่างกวนชิงถ่ายทอดบัญชามาฝั่งนี้ ส่วนรายละเอียดนั้นไม่รู้ชัด ข้ายังรอให้องค์ชายรับบัญชาอยู่เลย จะดูว่าเป็นเรื่องอะไร แต่พอดูจากตอนนี้ ฝ่าบาทไม่ได้มีบัญชามาถึงองค์ชายเลย แต่มีบัญชามาถึงหวังติ้งเฉาเหรอ? ตามหลักแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรแจ้งหวังติ้งเฉาโดยตรงก็พอ เป็นเรื่องอะไรกันที่ต้องมีบัญชาไปถึงมือหวังติ้งเฉาโดยตรง? ข้ากำลังสงสัยว่าหรือจะเป็นเรื่องที่หวังติ้งเฉาไม่กล้าทำหากไม่ได้รับบัญชา…  สายตาย้ายไปย้ายมาบนตัวสองแม่ลูก  พอสันนิษฐานแบบนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะทำไม่ดีต่อเหนียงเหนียงกับองค์ชาย! 

ชิงหยวนจุนหน้าเครียดทันที

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับโมโหจนเสียงสั่น  เป็นนางแพศยานั่น! เป็นนางแพศยานั่นแน่นอน! ข้ารู้ตั้งนานแล้วว่านางนั่นอยากจะแทนที่ข้า แต่เสแสร้งมาตลอดเพราะหาโอกาสไม่ได้ก็เท่านั้น ครั้งนี้หางจิ้งจอกโผล่แล้วสินะ ทนรอไม่ไหวแล้ว! 

ยังไม่ทันทำเรื่องราวให้กระจ่างว่าอะไรเป็นอะไร นางก็ตัดสินอย่างไม่ลังเลแล้วว่าจ้านหรูอี้ต้องการทำร้ายนาง

ชิงหยวนจุนเครียดก็ส่วนเครียด แต่ยังไม่แค้นจนขาดสติสัมปชัญญะเหมือนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่  เสด็จแม่ เรื่องราวยังไม่แน่นอนเลย อาจจะไม่ได้แย่อย่างที่พวกเราคิดก็ได้ 

หยางชิ่งบอกว่า  ถ้าหวังติ้งเฉาได้รับบัญชาให้มาสั่งหารเหนียงเหนียงกับองค์ชายจริงๆ ล่ะ? 

ชิงหยวนจุนหวาดระแวง  หวังติ้งเฉาเคยบอกแล้ว ว่าฝ่าบาทสั่งเขาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว บอกว่าเขาไม่ต้องจงรักภักดีต่อฝ่าบาท แค่จงรักภักดีต่อข้าก็พอ ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ หวังติ้งเฉาก็ทำอย่างนี้มาตลอด ไม่ว่าจะเป็นยังไง ก็คงไม่ถึงขั้นลงมือสังหารข้าหรอกมั้ง? 

 องค์ชายไร้เดียงสาเกินไปแล้ว ถ้าท่านนั้นของวังสวรรค์อยากกำจัดเหนียงเหนียงกับองค์ชายจริงๆ มีโอกาสดีขนาดนี้แล้วไม่ลงมือ แล้วจะไปลงมือเมื่อไหร่ล่ะ?  หยางชิ่งแสยะยิ้ม แล้วกล่าวอย่างสุขุมเยือกเย็นอยู่อย่างนั้น  ถ้าข้าเดาไม่ผิด ถ้าหวังติ้งเฉาต้องการลงมือ เขาจะต้องบอกว่าเป็นบัญชาของฝ่าบาทแน่นอน จะต้องคุมตัวเหนียงเหนียงและองค์ชายกลับวังสวรรค์แน่ ความจริงเมื่อไปถึงอาณาเขตทัพใต้แล้ว จะต้องมีคนลอบสังหารแน่ หลังจากสังหารเหนียงเหนียงกับองค์ชายแล้ว ก็จะใส่ร้ายท่านอ๋องได้สะดวก! 

 เขากล้าเหรอ!  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตะคอกอย่างเดือดดาล

หยางชิ่งกล่าวเสียงเรียบ  เหนียงเหนียงกับองค์ชายลังเลจนถ่วงเวลามาถึงตอนนี้ ข้าไม่สะดวกจะพูดอะไร กลัวพวกท่านจะคิดมาก แต่ถ้ามาถึงขั้นสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว สุดแผนที่ปรากฏมีดสั้น[1]แล้ว เหนียงเหนียงกับองค์ชายยังลังเลและฝากความหวังว่าคนอื่นจะลงมืออย่างปราณี เช่นนั้นก็คิดเสียว่าข้าไม่ได้พูดอะไร!  เขากุมหมัดคารวะ  ถ้าจะให้หยางคนนี้ทอดทิ้งพี่สาวและองค์ชาย แต่สถานการณ์อันตรายน่ากลัว ดาบกำลังจะมาจ่อบนคอแล้ว ขอให้ข้าปลีกตัวหลบไปก่อนเถอะ!  พูดจบก็ทำท่าจะเดินไป

ทั้งสองร้อนใจทันที ชิงหยวนจุนคว้าข้อมือเขาเอาไว้  ท่านน้าช้าก่อน ถ้าหวังติ้งเฉาจะลงมือสังหารจริงๆ ข้าไม่ปล่อยเขาไปแน่! 

 น้องชาย!  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำสีหน้าขอร้องเช่นกัน บอกว่า  เจ้าจะทิ้งพวกเราโดยไม่สนใจไม่ได้ ถ้าหวังติ้งเฉาต้องการจะทำลายพวกเราแม่ลูกจริงๆ ในมือเขามีบัญชาฝ่าบาทเอาไว้สั่งทัพใหญ่ ลูกน้องที่ทำงานให้จุนเอ๋อร์ก็ต้านไม่ไหวหรอก! พวกเราควรจะรับมือยังไงดีล่ะ! 

หยางชิ่งแอบถอนหายใจ อย่างพวกเรานี่นะ แล้วยังจะคิดเพ้อฝันเหลวไหลอีก…

นอกจวนผู้สำเร็จราชการ ในโถงหลักของเรือนหลังหนึ่ง หวังติ้งเฉายืนอยู่ตรงข้ามแม่ทัพตำหนักสวรรค์คนหนึ่งที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดบัญชา

หลังจากอ่านบัญชาในมือเสร็จ หวังติ้งเฉาก็เงียบไปนานมาก สุดท้ายก็หยิบระฆังดาราออกมาบอกว่า  ให้ข้ายืนยันกับผู้การใหญ่สักหน่อย! 

แม่ทัพที่มาพยักหน้า ถอนหายใจเบาๆ เช่นกัน รู้ว่าเขาทำแบบนี้แล้วลำบากใจ

หลังจากติดต่อแล้ว หวังติ้งเฉาก็มีสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวช้าๆ อย่างยากลำบากว่า  ข้าน้อยน้อมรับบัญชา! 

แม่ทัพที่มารู้ผลลัพธ์อยู่แก่ใจ เตือนว่า  เรื่องนี้อย่าเคลื่อนไหวเอิกเกริกเกินไป ถ้าส่งผลกระทบมาก ในภายหลังจะจัดการลำบาก เบื้องบนก็จะเสียหน้าด้วย ถ้าพูดจากบางระดับ ฝ่าบาทก็หวังดีกับเหนียงเหนียงและองค์ชายเหมือนกัน เจ้าเข้าใจที่เขาพูดไหม? 

หวังติ้งเฉาพยักหน้าอย่างยากลำบาก  เข้าใจ! 

แม่ทัพคนนั้นกุมหมัดคารวะ  เช่นนั้นก็รีบดำเนินการเถอะ เรื่องส่งคนไปที่วังสวรรค์ ข้าจะรับผิดชอบเอง! 

หวังติ้งเฉาทำหน้านิ่งเดินออกไป แล้วเริ่มเรียกคนที่เกี่ยวข้องมาถ่ายทอดบัญชา ถ้าไม่ให้คนเบื้องล่างที่เกี่ยวข้องเห็นบัญชา เขาก็ไม่สามารถดำเนินการได้ ต้องทราบไว้ว่าเป้าหมายที่จะควบคุมตัวคือราชินีสวรรค์และโอรสสวรรค์!

ในศาลาที่งดงาม เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับชิงหยวนจุนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารชั้นดี แต่สองแม่ลูกจะมีอารมณ์กินได้อย่างไร

หลังจากชิงหยวนจุนที่ถือระฆังดาราอยู่ใต้โต๊ะได้รับข่าว ก็กัดฟันบอกว่า  ท่านน้า ข่าวที่เบื้องล่างส่งมาบอกว่า หวังติ้งเฉากำลังแอบระดมกำลังพล! 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำสีหน้ากระวนกระวาย สองแม่ลูกเริ่มเครียดแล้ว อย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เผชิญกับเหตุการณ์แบบนี้ ไม่มีความมั่นใจสักนิดเลย

หยางชิ่งที่แต่งกายเป็นบ่าวรับใช้และคอยรินสุราอยู่ข้างๆ กล่าวเสียงต่ำว่า  เหนียงเหนียง องค์ชายไม่ต้องเครียด กำลังพลของพวกเราที่ดักซุ่มอยู่แม้จะมีไม่มาก แต่ฝ่าบาทจะต้องไม่อยากให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตแน่นอน หวังติ้งเฉาไม่พาคนมาเยอะแน่ แค่ทำตามแผนที่วางไว้ล่วงหน้าก็พอ ไม่เกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรหรอก ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงเช่นกัน! 

…………………………

[1] สุดแผนที่ปรากฏมีดสั้น 图穷匕见 เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุด ข้อเท็จจริงย่อมปรากฏออกมา

 

ตระกูลเซี่ยโห้วช่วยเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ออกจากสถานที่กักบริเวณ บอกว่าให้กลับไปเยี่ยมญาติ แต่กลับส่งคนไปที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ให้สองแม่ลูกได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน กอปรกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตำหนักเย็น เดิมทีก็ทำให้เขาเดาได้ง่ายอยู่แล้วว่าฝั่งชิงหยวนจุนจะมีความคิดอะไร เขาถึงขั้นเตรียมตัวจะปลดอำนาจทางทหารจากชิงหยวนจุนแล้วด้วย ตอนนี้ตระกูลเซี่ยโห้วทำอย่างนี้ ทำให้คนรู้สึกเหมือนช่วยเหลือตัวประกัน ก็ยิ่งทำให้เขาหวาดระแวง

ซ่างกวนชิงกล่าวอย่างลังเลว่า  บางทีเหนียงเหนียงกับองค์ชายอาจจะห่างจากกันไปนาน มารดากับบุตรคงอยากเจอกันสักหน่อยขอรับ 

ประมุขชิงกวาดสายตามองเขาอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง  ถ้าจะไป ทำไมไม่บอกข้าก่อน? 

ซ่างกวนชิงไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี โดยทั่วไปยามแม่ลูกพบกันก็ไม่ได้พิถีพิถันมากขนาดนั้น แต่ครอบครัวของราชันย่อมไม่มีเรื่องเล็ก ทุกเรื่องล้วนต้องพูดและทำอย่างระมัดระวัง เรื่องอะไรที่ทำได้ เรื่องอะไรที่ทำไม่ได้ มีข้อห้ามเยอะมาก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อยู่ที่วังสวรรค์มานานขนาดนี้ คงไม่ถึงขั้นไม่รู้แม้กระทั่งหลักการเล็กน้อยเหล่านี้ ต่อให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่เข้าใจ แต่ไม่มีเหตุผลที่ตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่เข้าใจ ทำเรื่องนี้ในเวลาที่ฝ่าบาทระแวงจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลที่สุด จะไม่ให้ฝ่าบาทคิดมากก็คงยาก

ก้มหน้าเดินไปเดินมาไม่กี่ก้าว จู่ๆ ประมุขชิงก็แสยะยิ้ม  จะปล่อยให้สถานการณ์คุมเชิงเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ถ่ายทอดบัญชา สั่งให้หนิวโหย่วเต๋อถอนกำลังพลที่กดดันทัพตะวันออก พร้อมสั่งให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลออกจากแดนรัตติกาลด้วย ให้ไปกดดันทัพใต้ ให้ความร่วมมือกับกองทัพองครักษ์กดดันให้ทัพใต้ถอนกำลัง! 

ซ่างกวนชิงแอบถอนหายใจ รู้ว่าให้หนิวโหย่วเต๋อถอนกำลังเป็นเรื่องโกหก เพราะเป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะถอนกำลัง เพราะสามารถอ้างว่าทัพใหญ่ของอำนาจฝ่ายอื่นประชิดเขตแดนเพื่อปฏิเสธการถอนกำลังพลได้เลย เป้าหมายที่แท้จริงก็คือหยั่งเชิงชิงหยวนจุนต่างหาก เขากุมหมัดเอ่ยรับ  รับทราบ! 

สองบัญชาสวรรค์ถ่ายทอดไปถึงดาวอ๋องสวรรค์หนิวกับจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลอย่างรวดเร็ว

ห้องหนังสือของจวนท่านอ๋อง เหิงอู๋เต้า จอมพลสายมะเส็งเดินก้าวยาวเข้ามา แล้วกุมหมัดคารวะ  คารวะท่านอ๋อง! 

เหมียวอี้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวยื่นมือเชิญ  นั่งสิ! 

หยางเจาชิงย้ายเก้าอี้เข้ามาทันที เหิงอู๋เต้ากุมหมัดขอบคุณแล้วนั่งลง  ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเรียกข้าน้อยมาเพราะมีอะไรจะกำชับ? 

เหมียวอี้พิงเก้าอี้แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม  เตรียมจะให้เจ้าส่งอาณาเขตสายมะเส็งออกมา 

เหิงอู๋เต้าที่ก้นเพิ่งสัมผัสเก้าอี้ตกใจมาก พลันลุกขึ้นยืน  ท่านอ๋อง ข้าน้อย… 

เหมียวอี้ยกมือห้าม  เจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ไม่ต้องเครียด นั่งลงคุยกัน 

เหิงอู๋เต้านั่งลงช้าๆ อย่างหวาดระแวง  เช่นนั้นท่านอ๋องหมายความว่าอะไร? 

รอยยิ้มเรียบๆ บนใบหน้าเหมียวอี้ยังไม่ลดลง  ข้าอยากได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นที่อยู่ในมือทัพใหญ่แดนรัตติกาล 

เหิงอู๋เต้าพลันเบิกตากว้างขึ้นหลายส่วน

เหมียวอี้กล่าวเสริมว่า  ประมุขชิงเลี้ยงทัพใหญ่แดนรัตติกาลอยู่ที่นั่น จอมพลเหิงรู้หรือเปล่าว่าเตรียมไว้เพื่อใคร? 

 เอ่อ…  เหิงอู๋เต้าครุ่นคิดเล็กน้อย  เกรงว่าจะเตรียมไว้ป้องกันท่านอ๋อง ช้าหรือเร็วก็ต้องทำไม่ดีกับทัพใต้ 

เหมียวอี้พยักหน้า  ดีมาก ในเมื่อมองออกแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับเจ้ามาก สายมะเส็งกับแดนรัตติกาลมีพื้นที่ติดต่อกัน แค่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่ออกมาก็เท่านั้นเอง ถ้าออกมาเมื่อไหร่เจ้าจะต้องหนังหน้าไฟแน่นอน นี่ก็เป็นสาเหตุที่ข้าเลือกให้เจ้าไปอยู่ที่สายมะเส็งตั้งแต่แรก เจ้าเป็นลูกน้องเก่าของข้าที่มาจากแดนรัตติกาล เป็นเพราะข้าเชื่อใจเจ้าถึงได้ให้เจ้าคุมสายมะเส็ง ถ้าต้องการธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้น ปัญหายุ่งยากในภายหลังอย่างทัพใหญ่แดนรัตติกาล ข้าจะต้องช่วยโอกาสกำจัดไปพร้อมกัน! 

ในใจเหิงอู๋เต้ายังคงระแวงไม่หยุด ถามว่า  ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับการให้ข้าน้อยมอบอาณาเขตสายมะเส็งให้? 

ในขณะนี้เอง หยางเจาชิงที่ถือระฆังดาราก็บอกกับเหมียวอี้ว่า  ท่านอ๋อง บัญชาของฝ่าบาทมาถึงแล้ว 

เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน  บอกว่าข้าไปลาดตระเวนข้างนอกก็สิ้นเรื่องแล้ว ให้หวังเฟยไปรับบัญชาแทนข้าแล้วกัน 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับ แล้วไปติดต่ออวิ๋นจือชิว

พอได้ยินบทสนทนานี้ เหิงอู๋เต้าก็กะพริบตาปริบๆ ตอนอยู่ต่อหน้าเขา ท่านอ๋องแสดงออกว่าไม่เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตา

เหมียวอี้วกกลับเข้าประเด็นสนทนา บอกเขาว่า  แค่มอบสายมะเส็งให้ชั่วคราว ไม่ใช่จะตัดอำนาจทางทหารของเจ้า ที่เรียกเจ้ามา ก็เพราะอยากจะพูดต่อหน้าเจ้าให้ชัดเจน เจ้าจะได้ไม่หวาดระแวง อย่างอื่นเจ้าไม่ต้องถามมาก แค่ต้องให้เจ้าเตรียมใจก่อน ถ้าได้รับคำสั่งแต่งตั้งจากข้าเมื่อไร ก็ให้เริ่มเคลื่อนไหวทันที เรียกรวมกำลังพลเกรียงไกรในอาณาเขตสายมะเส็ง ถอนกำลังออกจากสายมะเส็ง มอบอาณาเขตให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลชั่วคราว ส่วนรายละเอียดเดี๋ยวบอกเจ้าอีกที จำไว้นะ ห้ามให้เรื่องที่พวกเราคุยกันแพร่งพรายสู่ภายนอก หลังจากได้รับคำสั่งแล้วแค่เคลื่อนย้ายกำลังพลก็พอ! 

พอได้ยินแบบนี้ เหิงอู๋เต้าก็วางใจแล้วไม่น้อย ไม่ปลดอำนาจทางทหารของเขาก็ดีแล้ว เพียงแต่นำอาณาเขตไปให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลแบบนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านอ๋องคิดจะทำอย่างไร แต่ก็เคยมีประสบการณ์มาแล้วถึงวิธีการที่ท่านอ๋องใช่คนล้มฮ่าวเต๋อฟาง ในใจรู้สึกว่าเหมียวอี้มีแผนล้ำลึกเหนื่อยชั้นยากคาดเดา ไม่ค่อยกังวลว่าจะทำอะไรพลาด ในเมื่อไม่อยากบอก เขาก็จะไม่ถามมาก ลุกขึ้นกุมหมัดคารวะ  ข้าน้อยเข้าใจแล้ว 

เหมียวอี้ลุกขึ้น แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า  ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาสักครั้ง ดื่มสุราด้วยกันสักสองจอกแล้วค่อยกลับ 

 ขอรับ!  เหิงอู๋เต้าเอ่ยรับพร้อมรอยยิ้ม

จากนั้นหยางเจาชิงก็สั่งให้คนเตรียมสุราอาหาร ส่วนเหมียวอี้กับเหิงอู๋เต้าก็เดินเล่นช้าๆ อยู่ในสวนดอกไม้ พร้อมถือโอกาสคุยถึงสถานการณ์ของสายมะเส็ง

ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็มาแล้ว บัญชาจากตำหนักสวรรค์ก็มาถึงแล้วเช่นกัน หลังจากเหมียวอี้รับมาอ่าน ก็แสยะยิ้มบอกว่า  ประมุขชิงให้ข้าถอนกำลังทหาร!  ถือโอกาสยื่นแผ่นหยกให้เหิงอู๋เต้าอ่าน

เหิงอู๋เต้าอ่านเสร็จแล้วคืนให้  จะเป็นไปได้ยังไง กำลังพลสายอื่นล้วนกำลังเตรียมรบ ถ้าทัพใต้หละหลวม ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา พวกเราจะไปร้องไห้กับใครล่ะ? คำบัญชานี้ท่านอ๋องต้องไตร่ตรองนะขอรับ 

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ ไม่ได้ตอบกลับต่อหน้าเขา…

ส่วนทางจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล หลังจากได้รับบัญชาแล้ว ชิงหยวนจุนกับมารดาก็ปรึกษากันอย่างหวาดระแวงกลัว พวกเขาไปหาหยางชิ่ง แล้วนำบัญชานี้ให้หยางชิ่งอ่าน

 ท่านน้า ถามหน่อยได้ไหมว่าท่านอ๋องหนิวเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว? นี่คือโอกาสดีมาก ในเมื่อข้าสามารถส่งทหารออกไปตามบัญชา ท่านอ๋องหนิวก็ฉวยโอกาสมอบอาณาเขตให้ข้ายืม  ชิงหยวนจุนมองหยางชิ่งตาปริบๆ

พวกเขาสองแม่ลูกก็กดดันมากเหมือนกัน หวังติ้งเฉาเหมือนจะรู้นานแล้วว่าบัญชานี้กำลังจะมา เมื่อบัญชามาถึง หวังติ้งเฉาก็เร่งให้ชิงหยวนจุนเคลื่อนทัพทันที

หยางชิ่งน้องเขายังแปลกใจแวบหนึ่ง อยากจะถามเขามากว่า เจ้ารับอาณาเขตมาอย่างชอบธรรมแล้ว คนเบื้องล่างปฏิบัติตามคำสั่ง แล้วจะตัดทางถอยของคนเบื้องล่างได้อย่างไร? แต่ก็ยังพยักหน้าเบาๆ  ข้าจะติดต่อท่านอ๋องไปเดี๋ยวนี้  พูดจบก็หยิบระฆังดาราออกมา

ตอนนี้เหมียวอี้กับเหิงอู๋เต้ากำลังดื่มสุราด้วยกันในสวนดอกไม้ ใต้โต๊ะหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกลับหยางชิ่ง

หยางชิ่งรายงานคำบัญชาของฝั่งนี้ให้ฟัง

เหมียวอี้ : ฝั่งนี้ก็เพิ่งได้รับบัญชาให้ถอนกำลังพลเหมือนกัน

หยางชิ่ง : สงสัยประมุขชิงยังคำนึงถึงไมตรีระหว่างพ่อลูกอยู่ ไม่ได้ปลดอำนาจทางทหารของชิงหยวนจุนโดยตรง ยังมีเยื่อใยกันอยู่ ความคิดของชิงหยวนจุนก็คือ ให้ท่านอ๋องถือโอกาสนี้ให้เขายืมอาณาเขตหนึ่งสาย…

พอได้ยินเจตนาของชิงหยวนจุน เหมียวอี้ก็ยกมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ ตอบกลับว่า : โลเลเหมือนหนู มาถึงขั้นนี้แล้ว เขายังจะเล่นแง่ตามอำเภอใจได้เหรอ? เขาจะคุมจังหวะตามอำเภอใจได้เหรอ จะให้ยืมเมื่อไรเดี๋ยวข้าตัดสินใจเอง เตรียมตัวไว้พอสมควรแล้ว เจ้าหาวิธีบีบให้เขาออกถนนเถอะ!

หยางชิ่ง : ขอรับ!

หลังจากวางระฆังดาราลง เขาก็มีสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย

พอสองแม่ลูกเห็นแล้วก็ใจเต้นตาม เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รีบถามว่า  ท่านอ๋องพูดว่ายังไงบ้าง? หรือว่าจะกลับคำแล้ว? 

หยางชิ่งถอนหายใจ ส่ายหน้าบอกว่า  ไม่ใช่ว่าท่านอ๋องกลับคำ แต่ท่านอ๋องกำลังดำเนินการเรื่องนี้ อาศัยบารมีที่ท่านอ๋องมีต่อทัพใต้ ถ้าต้องการจะแก้ไขปัญหานี้ก็ไม่ยาก แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของกำลังพลทั้งสายมะเส็ง ถ้าจะให้แม่ทัพใหญ่ที่มีอำนาจทางทหารเหล่านั้นมอบอาณาเขตให้อย่างว่าง่าย ก็จะต้องเกลี้ยกล่อม ไม่อย่างนั้นจิตใจทหารจะสั่นคลอน แล้วก็ไม่สะดวกจะเปิดเผยความลับให้เบื้องล่างรู้ง่ายๆ ด้วย ท่านอ๋องต้องให้เวลาเขาสักหน่อย ท่านอ๋องบอกไว้แล้ว ว่าอย่างมากก็ครึ่งเดือน จะต้องจัดการได้แน่นอน! 

ชิงหยวนจุนสีหน้าบูดเบี้ยว  ครึ่งเดือนเหรอ?  นี่ต้องเลื่อนบัญชาไปครึ่งเดือนแล้วค่อยปฏิบัติตาม

หยางชิ่งพยักหน้า  องค์ชาย มอบให้ทั้งสายมะเส็งเชียวนะ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก จัดการได้ภายในครึ่งเดือนก็ถือว่าเร็วมากแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นกำลังพลของทัพอื่น เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวโยงกับผลประโยชน์ของคนมากมายขนาดนี้ ต่อให้ใช้เวลาหนึ่งปีก็อาจจะจัดการไม่ได้ด้วยซ้ำ 

สองแม่ถูกฟังจนเถียงไม่ออก เกรงว่าแม้แต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ไม่เคยคุมทัพมาก่อนก็ยังรู้ ว่าเรื่องแบ่งอาณาเขตและผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็น่าปวดหัวทั้งนั้น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตัวเอง ทหารเกรียงไกรเหล่านั้นไม่ได้ประนีประนอมกันง่ายๆ ดีไม่ดีอาจจะก่อกบฏก็ได้ เวลาครึ่งเดือนถือว่าเร็วมากแล้วจริงๆ ถ้าฝั่งนี้ถ่วงเวลาครึ่งเดือนแล้วค่อยปฏิบัติตาม แล้วจะชี้แจ้งกับประมุขชิงอย่างไรล่ะ?

……………

 

ปฏิเสธเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เป็นแค่แผนชั่วคราว ไม่ได้คิดจะปฏิเสธจริงๆ ตอนที่เหมียวอี้ปรากฏตัวตรงหน้านางอีกครั้ง หลังจากนางขอร้องเขาเป็นครั้งที่สาม ในที่สุดเขาก็ตอบรับแล้ว การตอบรับนี้หมายความว่าต้องแลกด้วยการช่วยโน้มน้าวให้ตระกูลเซี่ยโห้วช่วยเหลือ

เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่ได้อยู่ต่อนาน ออกไปแอบดีใจข้างนอก ความคับแค้นที่มีต่อเหมียวอี้ก็ลึกลงอีกชั้น เพราะสำหรับนาง การขอร้องอีกครั้งก็เท่ากับได้รับความอัปยศอีกครั้ง

พอกลับมาถึงจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล รู้ว่าขั้นแรกสำเร็จแล้ว ทำให้ชิงหยวนจุนมีความมั่นใจที่สุด เริ่มเคลื่อนไหวขั้นที่สองทันที ประชุมลับกับแม่ทัพใต้บังคับบัญชาของตัวเอง หากต้องการให้แผนนี้คืบหน้า ก็ไม่ใช่เรื่องที่ชิงหยวนจุนคนเดียวจะทำสำเร็จ จะต้องมีคนช่วยเหลือ จะต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนส่วนหนึ่งก่อน

สำหรับชิงหยวนจุน สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ต้องยืนยันรายชื่อที่หนิวโหย่วเต๋อได้มาจากตระกูลเซี่ยโห้ว ยืนยันว่าคนพวกนี้ได้รับอิทธิพลจากตระกูลเซี่ยโห้วแล้วยืนหยัดที่จะสนับสนุนเขาจริงหรือเปล่า คนที่อยู่บนรายชื่อมีไม่มาก มีเพียงหนึ่งพันคนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเซี่ยโห้วหรือหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ได้ส่งรายชื่อกำลังพลที่แทรกซึมอยู่ออกมาทั้งหมด ชิงหยวนจุนไม่รู้ชัดเจน แต่ในจำนวนหนึ่งพันคนนี้มีแม่ทัพและคนในตำแหน่งสำคัญของทัพใหญ่แดนรัตติกาลจำนวนมาก

ชิงหยวนจุนไม่ได้พบหน้าครบทุกคน เลือกประชุมลับกับแม่ทัพเพียงร้อยคนเท่านั้น

ในห้องลับใต้ดิน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวาย พอเสียงเปิดประตูข้างหลังดังขึ้น นางก็หันขวับมองไป เห็นเพียงชิงหยวนจุนเดินก้าวยาวเข้ามา นางออกไปต้อนรับทันที แล้วถามอย่างร้อนใจว่า  จุนเอ๋อร์ สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง? 

ชิงหยวนจุนตอบอย่างตื่นเต้นว่า  เสด็จแม่ พวกเขาแสดงท่าทีแล้ว ทุกคนลงนามแล้วว่าจะทำงานรับใช้ จะสนับสนุนค่าอย่างสุดความสามารถ! 

 ดีมากเลย!  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ประสานมืออย่างตื่นเต้นฮึกเหิม แบบนี้หมายความว่าแผนการขั้นที่สองมีจุดเริ่มต้นที่ดี

 เสด็จแม่…  ชิงหยวนจุนพลันเรียกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เงยหน้า เห็นลูกชายมีสีหน้าแปลกไป จึงถามอย่างงุนงงว่า  เป็นอะไรไป? 

ชิงหยวนจุนกล่าวเสียงต่ำว่า  ตอนที่ยังไม่เห็นรายชื่อก็ไม่รู้ แต่พอได้เห็นแล้วก็ตกใจ ลูกนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลถูกตระกูลเซี่ยโห้วแทรกซึมเข้ามาอย่างร้ายแรงขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าลูกจะไม่สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวเลยสักนิด ถ้าเกิดสงครามขึ้น ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากคิดถึงเลย นี่เป็นเพียงรายชื่อที่พวกเขายอมเปิดเผยเท่านั้น ลูกเชื่อว่าในมือของพวกเขาต้องมีรายชื่อที่ไม่อยากให้ลูกเห็นอีกแน่นอน ผมไม่เปิดเผยออกมาหมดง่ายๆ ขนาดนี้ ตระกูลเซี่ยโห้วน่ากลัวจริงๆ ถ้าไม่กำจัดตระกูลเซี่ยโห้ว ในอนาคตลูกก็เป็นได้เพียงหุ่นเชิดของพวกเขา 

แม้จะพูดไม่ดีต่อครอบครัวเดิมของตัวเอง แต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับครอบครัวของตัวเองอยู่แล้ว นางพยักหน้าเบาๆ ดึงมือลูกชายมาปลอบโยน  ตอนนี้ยังต้องการการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้ว อดทนไว้ก่อน รอให้เจ้ามีกำลังที่สอดคล้องกัน ถ้าเจ้ายังคิดจะกำจัดตระกูลเซี่ยโห้ว แม่ก็ไม่ขวางเจ้าแน่นอน มีแต่จะสนับสนุนเจ้าสุดความสามารถ! 

 อืม!  ชิงหยวนจุนมองมารดา ออกแรงพยักหน้า ในดวงตาฉายแววซาบซึ้ง พบว่าบนโลกนี้คนที่ดีกับตัวเองจริงๆ นอกจากมารดาก็ไม่มีคนอื่นแล้ว

เพียงแต่ความคิดของสองแม่ลูกไร้เดียงสาเกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ เรื่องที่แม้แต่ประมุขชิงยังจัดการไม่ได้ ไม่รู้ว่าพวกเขาสองแม่ลูกไปเอาความมั่นใจมาจากไหน มิหนำซ้ำยังอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันอีก

 ไปกันเถอะ ไปพบท่านน้าจอมเอาเปรียบท่านนั้นของเจ้าด้วยกัน ปรึกษาแผนการขั้นถัดไปกันสักหน่อยจะทำให้ผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตบแขนลูกชายเบาๆ

ชิงหยวนจุนเอ่ยรับ เก็บมารดาเข้ากระเป๋าสัตว์แล้วออกไป

พอมาถึงห้องสมาธิ ก็ปล่อยเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ออกมาอีก แล้วเล่าเรื่องที่ประชุมลับให้ฟัง ถามความเห็นของหยางชิ่ง

หยางชิ่งไม่มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้ เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว เพียงถามว่า  หวังติ้งเฉา องค์ชายเตรียมจะลงมือเมื่อไหร่? 

หวังติ้งเฉาเป็นเพียงหนึ่งในตัวแทน ความจริงต่อให้เหมียวอี้จะสัญญาว่าจะแบ่งอาณาเขตและผูกมัดคนด้วยผลประโยชน์ แล้วมีคนของตระกูลเซี่ยโห้วแทรกซึมอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะทรยศประมุขชิงเสียทั้งหมด ดังนั้นเรื่องราวจึงไม่ได้ง่ายแค่การกำจัดหวังติ้งเฉา หลังจากจบเรื่องยังมีคนอีกส่วนที่ต้องกำจัดให้หมด!

 เอ่อ…  ชิงหยวนจุนลังเลทันที ถึงอย่างไรก็อยู่กับหวังติ้งเฉามาหลายปี เขาเห็นแล้วว่าหวังติ้งเฉาจงรักภักดีต่อเขา คอยปรนนิบัติรับใช้เขา ต่อให้เป็นก้อนหินก็ถูกคลุมให้ร้อนได้เหมือนกัน การลงมือสังหารหวังติ้งเฉาคือทางเลือกที่ยากลำบากสำหรับเขาจริงๆ

ถ้ามองจากอีกด้านหนึ่ง เขาหวังว่าจะทำเรื่องนี้อย่างนิ่มนวลสักหน่อย ไม่อยากทำให้รุนแรงเกินไป ฝ่าบาทบิดาท่านนั้นระแวงแม้แต่พวกอ๋องสวรรค์ เขาจะกล้าต่อต้านอย่างเอิกเกริกได้อย่างไร ถ้าสังหารหวังติ้งเฉาโดยตรงก็เกรงว่าจะยั่วโมโหเสด็จพ่อ รู้สึกไม่มั่นใจจริงๆ จะบอกว่าขี้ขลาดก็ได้

หยางชิ่งเกลี้ยกล่อมว่า  องค์ชาย มัวลังเลชักช้าไม่ได้แล้ว งานใหญ่มิอาจโลเล ควรจะตัดสินใจเด็ดขาดเมื่อมีโอกาส! 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าใจความคิดของลูกชายเช่นกัน อย่าว่าแต่ลูกชายเลย แม้แต่นางก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจ หวังติ้งเฉาได้ชื่อว่าเป็นรองผู้สำเร็จราชการ แต่ที่จริงแล้วเป็นสารวัตรทหารที่ประมุขชิงส่งมา ถ้าสังหารสารวัตรทหารที่ประมุขชิงส่งมา แสดงว่าคิดจะทำอะไรล่ะ? ประมุขชิงไม่โมโหก็แปลกแล้ว ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือฝั่งนี้ไม่มีอำนาจในการลงโทษประหารหวังติ้งเฉาเลย

และชิงหยวนจุนก็เคยอธิบายกับนางแล้ว ว่าหวังติ้งเฉาจงรักภักดีต่อเขามาก นางเองก็หวังว่าลูกชายจะสามารถค่อยๆ พัฒนาลูกน้องคนสนิทจำนวนหนึ่งออกมาได้

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฝืนยิ้มให้หยางชิ่ง  น้องชาย หวังติ้งเฉาจงรักภักดีต่อจุนเอ๋อร์มาหลายปีขนาดนี้ ทั้งยังมีโอกาสให้พยายาม พวกเราควบคุมหวังติ้งเฉาเอาไว้แล้วค่อยๆ โน้มน้าวเขาดีกว่าไหม 

หยางชิ่งขมวดคิ้ว  ที่หวังติ้งเฉาจงรักภักดีต่อองค์ชาย เกรงว่าคงเป็นเพราะฝ่าบาทเหมือนกัน ถ้าฝ่าบาทออกคำสั่ง แล้วให้หวังติ้งเฉาลงมือกับองค์ชายล่ะ? 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำสีหน้าเคร่งขรึมทันที  ถ้าเขาไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว จะรนหาที่ตายให้ได้ เช่นนั้นจุนเอ๋อร์ก็ย่อมไม่ปล่อยเขาไปอยู่แล้ว! 

หยางชิ่งสังเกตได้ว่าสองแม่ลูกตัดสินใจลำบากเป็นเพราะยังกลัวประมุขชิงนิดหน่อย เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว นี่คือเรื่องที่ช้าหรือเร็วก็ต้องเผชิญ แต่ยังจะห่วงหน้าพะวงหลังอีก ไม่รู้จะพูดกับสองแม่ลูกนี้อย่างไรแล้วจริงๆ ในเมื่อไม่มีความกล้าหาญ แล้วจะทะเยอทะยานขนาดนั้นทำไม? ในเมื่อกล่อมไม่สำเร็จ เขาก็ไม่สะดวกจะบีบบังคับมากเกินไป ทำได้เพียงกดดันอีกทางหนึ่ง จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ เดิมทีก็เพื่อกำหนดเรื่องราวให้คืบหน้าตามเป้าหมายที่คาดการณ์เอาไว้ จึงส่ายหน้ากล่าวเสียงเรียบว่า  ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่สาว พวกเราลองหยั่งเชิงสักครั้งก็ได้ ดูว่าหวังติ้งเฉาจะเชื่อฟังฝ่าบาท หรือเชื่อฟังองค์ชาย เป็นยังไง? 

 จะทดสอบยังไง?  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่สงสัย

หยางชิ่งเอียงหน้ามองประตูหินที่ปิดสนิท พลางกล่าวช้าๆ  พี่สาว ท่านสามารถเปิดเผยหน้าที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลได้เลย… 

วันต่อมา พวกเอ๋อเหมยถูกรับกลับมาจากเกาะกลางทะเลทั้งหมด เรื่องแรกที่ทำก็คือแต่งองค์ทรงเครื่องให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่นั่งสง่าอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

หลังจากแต่งตัวเหมาะสมแล้ว ราชินีสวรรค์ที่สง่าน่าเกรงขามก็เดินออกมาจากห้องอย่างสง่าผ่าเผย มีชิงหยวนจุนเดินมาเป็นเพื่อน เดินออกจากเรือนชั้นในอย่างโจ่งแจ้ง ปรากฏตัวและเดินเนิบนาบอยู่บนลานกว้างของจวนผู้สำเร็จราชการ ดึงดูดสายตาของคนจำนวนไม่น้อย

อย่าไปมองว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังวางมาด ชิงหยวนจุนที่อยู่ข้างกันทำท่าทางเหมือนพูดคุยอย่างเบิกบานใจ ความจริงแล้วทั้งสองรู้สึกไม่มั่นใจ ต่างก็รู้ว่าอีกไม่นานเขาจะไปถึงหูประมุขชิง

ผ่านไปไม่นาน รองผู้สำเร็จราชการหวังติ้งเฉาก็รีบร้อนมาถึง หลายคนที่ติดตามมาด้วยมีท่าทางหวั่นเกรง รีบทำความเคารพพร้อมกัน  คำนับราชินีสวรรค์! 

จากนั้นหวังติ้งเฉาก็รับผิดคนเดียว  รองผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลหวังติ้งเฉา ไม่ทราบว่าเหนียงเหนียงเสด็จมาด้วยตัวเอง ขออภัยที่ไม่ได้ต้อนรับ เหนียงเหนียงโปรดอภัย  ที่จริงในใจกำลังหาคำตอบ ว่าราชินีสวรรค์มาแล้วเหรอ มาได้อย่างไร ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะไม่ได้ข่าวเลยสักนิด

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พูดรับมืออย่างง่ายๆ สองสามประโยค แล้วเดินวางมาดจากไปโดยมีชิงหยวนจุนเคียงข้าง

หวังติ้งเฉาที่กุมหมัดคารวะน้อมส่งเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย…

ตำหนักเย็น ในห้องหนังสือ จ้านหรูอี้โน้มตัวบนโต๊ะวาดอะไรบางอย่าง อาการบาดเจ็บที่ได้รับก่อนหน้านี้สมานตัวแล้ว

ประมุขชิงเดินย่องเข้ามา ใช้สองมือประคองอ่างปลาผลึกใสดุจอัญมณีวางที่หัวโต๊ะ ท่ามกลางสาหร่ายสีเขียวสดในนั้นมีกุ้งตัวเล็กหลายสิบตัว ตัวมีสีสันหลากหลาย ข้างหลังกระพริบแสงเล็กน้อย คาดว่าจะสว่างมากกว่านี้ไม่อยู่ในที่มืด

จ้านหรูอี้เงยหน้าช้าๆ มองเขาแวบหนึ่ง แล้วดวงตาก็ไปหยุดอยู่บนกุ้งน้อยในอ่างปลาอีกครั้ง นางชะงักนิดหน่อย เป็นครั้งแรกที่เห็นกุ้งประเภทนี้

ประมุขชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า  ไม่กี่วันก่อนเห็นกุ้งน้อยในกระแสน้ำของภาพที่จะวาด ข้าก็เลยไปถามมา ให้คนหามาให้อ่างหนึ่ง กุ้งพวกนี้มีชื่อว่ากุ้งรุ้ง สวยไหม? 

ไม่กี่วันก่อนเขาเห็นภาพนั้นแล้วจริงๆ หยินซวงคอยเตือนอยู่ข้างๆ บอกว่าจ้านหรูอี้เห็นในลำธารด้านหลัง ถึงได้นำมาวาดไว้ในภาพวาด คำพูดนี้ของหยินซวงทำให้ประมุขชิงรู้สึกผิดมาก เกรงว่าช่วงนี้คงไม่สะดวกจะให้จ้านหรูอี้ออกจากตำหนักเย็นไปที่หุบเขาอีกแล้ว ทำได้เพียงนำสัตว์หายากมาให้

 ขอบพระทัยฝ่าบาท!  จ้านหรูอี้ย่อตัวขอบคุณ แล้วจดจ่อวาดภาพของตัวเองต่อไป

ประมุขชิงส่ายหน้ายิ้ม เอามือไขว้หลังเดินมาด้านข้าง มองสิ่งที่อยู่ในภาพวาดของจ้านหรูอี้ ทิวทัศน์เศร้าวิเวก เป็นทิวทัศน์ภูเขาหิมะ

ในขณะนี้เอง มีระฆังดาราส่งข่าวมา หลังจากประมุขชิงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อแล้ว ก็พลันขมวดคิ้วมุ่น ยกมือข้างหนึ่งลูบผมงามบนแผ่นหลังของจ้านหรูอี้ แล้วหันตัวเดินไป เร่งฝีเท้าเดินออกจากห้องหนังสือ

พอมาถึงนอกห้อง ซ่างกวนชิงก็เข้ามาทำความเคารพ แล้วเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในตำหนักหลักของตำหนักเย็น

พอเข้ามายืนตรงกลางตำหนักหลัก ประมุขชิงก็หันตัวขวับ สีหน้าบูดบึ้งแล้ว ถามเสียงเย็นว่า  แน่ใจนะว่านางไปจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล? 

ซ่างกวนชิงถอนหายใจ  แน่ใจแล้ว หวังติ้งเฉายังได้พูดคุยกับเหนียงเหนียงแบบต่อหน้าขอรับ เหนียงเหนียงอยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการจริงๆ บ่าวรับใช้ข้างกายก็อยู่หมด 

 หึหึ!  ประมุขชิงโมโหจนหัวเราะประชด ถามว่า  พวกเขาสองแม่ลูกคิดจะทำอะไร? ประท้วงข้าเหรอ? 

…………………

 

อยู่ดีๆ ก็มีพี่สาวและหลานชายเพิ่มขึ้นมา สำหรับหยางชิ่ง ความรู้สึกนี้ยากจะบรรยายได้ แต่หน้าที่ที่ควรจะรับผิดชอบก็ยังต้องทำให้ดีที่สุด บอกไว้แล้วว่าจะไปขอยืมอาณาเขตจากหนิวโหย่วเต๋อให้ เดิมทีหยางชิ่งไม่สะดวกจะโผล่หน้ามา ทว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่เคยทำเรื่องที่ใหญ่โตขนาดนี้มาก่อน นางรู้สึกไม่มั่นใจ ต้องการดึง ‘น้องชาย’ ให้มาช่วยเหลือ ยากจะปฏิเสธการเชื้อเชิญ หยางชิ่งจนปัญญา ทำได้เพียงยอมนาง

พอฝั่งนี้ออกเดินทาง เหมียวอี้ก็ย่อมได้รับข่าวและเตรียมตัว เห็นได้ชัดว่าไม่สะดวกจะทำให้เอิกเกริก จึงเตรียมการอย่างลับๆ

ที่จริงไม่มีความจำเป็นนี้เลย ในเมื่อจะแสดงละครก็ต้องทำให้ครบถ้วน ยังต้องให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มาขอร้องสักครั้ง

ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะไปที่ไหน ก็ล้วนมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง มีทหารอารักขาเรียงรายเหมือนผืนป่า มีหน้ามีตามาก ครั้งนี้มาที่ดาวอ๋องสวรรค์หนิวเงียบๆ แล้วก็เข้ามาในจวนท่านอ๋อง เป็นสวนดอกไม้ขนาดเล็กที่เหมียวอี้พบกับเถิงเฟย เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ปลอมตัวมาแล้วก็เข้าไปในห้องเล็กก่อนเพื่อคือโฉมหน้าเดิม

โถงหลัก หยางชิ่งเจอกับเหมียวอี้และฮูหยินอีกครั้ง กุมหมัดคารวะ

เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม  เจ้าไปเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับผู้หญิงคนนั้นได้ยังไง? พี่สาวของเจ้าคนนี้ไม่ใช่คนที่ใจกว้างอะไรหรอกนะ  ก่อนจะมาหยางชิ่งก็ได้บอกข่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว

 เอ่อ! ได้พี่สาวเพิ่มคนเดียวเสียที่ไหนกัน ยังมีหลานชายเพิ่มมาอีกหนึ่งคน…  หยางชิ่งถอนหายใจแล้วเล่าความเป็นมาของเรื่องนี้ให้ฟัง บอกว่านึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะใช้วิธีการนี้ โจมตีจนเขารับมือไม่ถูก ภายใต้สถานการณ์แบบนั้นถ้าตัวเองปฏิเสธไป ก็กลัวว่าสองแม่ลูกจะคิดมาก

ขั้นตอนระหว่างนั้นทำให้เหมียวอี้รู้สึกบันเทิง อวิ๋นจือชิวเอามือปิดปากกลั้นขํา แต่ก็ยังขำจนไหล่สั่น กล่าวปนเสียงหัวเราะว่า  ข้ารู้แต่ว่านางโหดร้ายมากตอนอยู่ที่วังสวรรค์ ไม่รู้ว่ามีนางสนมกับนางกำนัลผู้บริสุทธิ์ถูกนางทรมานอย่างทารุณจนตายไปตั้งเท่าไหร่ นึกไม่ถึงว่ายังมีด้านอ่อนโยนอย่างนี้อยู่ด้วย 

หยางชิ่งหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

 นางไม่เคยมีประสบการณ์กับเหตุการณ์แบบนี้ เจ้าไปคอยดูเอาไว้หน่อยเถอะ ไม่อย่างนั้นนางจะไม่มั่นใจ  เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ

 ขอรับ!  หยางชิ่งที่รายงานข่าวแล้วกุมหมัดคารวะถอยออกไป

ประตูเปิดออกเสียงดังแกร๊ก เมื่อเห็นหยางชิ่งรออยู่ด้านนอก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็โล่งอก ก่อนหน้านี้นางวิตกกังวลเล็กน้อย

ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนแล้ว มาเพื่อขอร้องอย่างแท้จริง ภายใต้คำแนะนำของหยางชิ่ง นางไม่ได้พาสาวใช้ข้างกายอย่างเอ๋อเหมยและคนอื่นๆ มาด้วยสักคน พวกทหารอารักขาก็ไม่ได้พามาเช่นกัน กังวลว่าจะเชื่อถือไม่ได้ ป้องกันไม่ให้มีข่าวหลุด แทบจะนับว่ามาคนเดียว ถ้าหนิวโหย่วเต๋อมีเจตนาอะไรไม่ดีต่อนาง ก็ถือว่าเรียกฟ้าฟ้าไม่ตอบ เรียกดินดินไม่ขาน หยางชิ่งกลายเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของนางแล้ว

ตั้งแต่นางแต่งงานเข้าวังสวรรค์ ก็แทบจะไม่เคยทำอะไรคนเดียวอย่างนี้เลย ไม่คุ้นชินกับการทำงานแบบนี้เช่นกัน แต่เพื่องานใหญ่ นางได้แต่แข็งใจทำแล้ว

หยางชิ่งมองสำรวจเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง ในใจรู้สึกสะท้อนใจอยู่บ้าน นับว่าปฏิบัติต่อผู้หญิงคนนี้อย่างไม่ยุติธรรมแล้ว แม้จะกลับมาใช้เครื่องประทินโฉมเหมือนเดิม แต่ก็ถอดเครื่องแต่งกายราชินีสวรรค์ที่น่าเกรงขามและล้ำเลิศกว่าผู้อื่นแล้ว แต่งตัวเรียบง่ายเหมือนสตรีผู้ร่ำรวยคนหนึ่งเท่านั้น อย่างไรเสียการจะมาขอร้องคนอื่นก็ต้องมีท่าทางเหมือนมาขอร้อง

แต่จะว่าไปแล้ว ในสายตาหยางชิ่ง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แต่งกายเรียบง่ายกลับดูดีกว่าตอนแต่งกายรุงรังฟุ่มเฟือย เดิมทีเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่ใช่สาวงามอยู่แล้ว เครื่องแบบราชินีสวรรค์ทำให้นางดูเหมือนวาดงูเติมขา ถอดเครื่องแต่งกายอลังการออก รูปร่างก็นับว่าไม่เลว หน้าอกอิ่มเอิบก้นงอน สมบูรณ์ได้สัดส่วน เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ผิวเนียนละเอียดอ่อน ในบรรดาผู้หญิงของตระกูลเซี่ยโห้ว นางนับว่าหน้าตาอยู่ระดับต้นๆ เพียงแต่เครื่องหน้าแย่ไปหน่อย

อย่างไรเสียในปีนั้นก็เป็นผู้หญิงที่ตระกูลเซี่ยโห้วส่งไปแต่งงาน คงไม่ดีหากจะทำให้ประมุขชิงรังเกียจเกินไป ในด้านหน้าตาก็ต้องพอไปวัดไปวาได้สักหน่อย เจ้าคงจะเลือกคนที่ทำให้ประมุขชิงเห็นแล้วหมดอารมณ์ เจอแล้วหยากหลบไม่ได้หรอก ราชินีสวรรค์เชียวนะ ยังต้องมีท่าทางของราชินีสวรรค์อยู่บ้าง

 เหนียงเหนียง! ท่านอ๋องกับหวังเฟยกำลังรอท่านอยู่!  หยางชิ่งกล่าวเตือนพลางโค้งตัวเล็กน้อย เพื่อทำลายความหวาดระแวงของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ด้วย เขาเองก็แสร้งแนะนำเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ว่าอย่าให้เหมียวอี้รู้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พยักหน้าเบาๆ ถามอย่างกังวลเล็กน้อยว่า  ท่านบุรุษ คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงใช่ไหม? 

หยางชิ่งบอกว่า  ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงจริงๆ เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านอ๋องที่นี่ ข้าต้องพูดโดยยืนอยู่ฝั่งท่านอ๋อง ไม่สะดวกจะเตือนอะไรท่านอีก แต่ตราบใดที่เหนียงเหนียงจำได้ว่าก่อนหน้านี้ถ้าให้ท่านโน้มน้าวและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ายังไง ปัญหาก็น่าจะมีไม่มาก…เหนียงเหนียง ครั้งนี้ท่านมาขอร้องคนอื่น ก็ได้โปรดสำรวมท่าทีไว้หน่อย ท่านอ๋องเป็นขุนนางใหญ่ที่กุมอำนาจทหารเอาไว้ เป็นคนที่ใช้ไม้แข็งด้วยไม่ได้ 

 ทราบแล้ว ข้าเข้าใจเรื่องนี้อยู่แล้ว ไม่ทำให้งานของตัวเองพังหรอก  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พยักหน้า

 เชิญตามข้ามา  หยางชิ่งยื่นมือเชิญ แล้วค่อยนำทางอยู่ข้างๆ

คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากสวนนี้หมดแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครพบว่าราชินีสวรรค์มาที่นี่ เดินมาตลอดทางจนถึงด้านนอกโถงหลัก พอเหมียวอี้กับฮูหยินเห็นก็ก้าวขึ้นมากุมหมัดคำนับทันที  คำนับราชินีสวรรค์! 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รีบผายมือให้ยืนตัวตรง  ข้ามาครั้งนี้เพื่อพบสหายเป็นการส่วนตัว ท่านอ๋อง หวังเฟยไม่ต้องมากพิธี เห็นข้าเป็นแขกธรรมดาคนหนึ่งก็พอ  นับว่ามีท่าทีสงบเสงี่ยมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คนที่ตบจ้านหรูอี้อย่างเอาเป็นเอาตาย คนที่ไม่ไว้หน้าแม้แต่ประมุขชิง

สองสามีภรรยาบอกว่ามีบางอา เชิญให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขึ้นนั่งที่เบื้องบน ไม่เหมือนเถิงเฟยก่อนหน้านี้ที่มีฐานะใกล้เคียงกัน สามารถดื่มสุราพูดคุยกันได้ ตอนนี้อวิ๋นจือชิวนำน้ำชามาวางด้วยตัวเอง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฉวยโอกาสคว้าข้อมืออวิ๋นจือชิว นำกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งยัดใส่มือนาง  มาที่นี่ตามอำเภอใจ ไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรไว้ นี่คือน้ำใจเล็กน้อย จือชิวดูสิว่าชอบหรือเปล่า 

การที่นางมาส่งของขวัญให้ด้วยตัวเอง นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน ยามปกติล้วนเป็นการประทานรางวัล อีกทั้งของขวัญในครั้งนี้ก็นับว่าทุ่มทุนด้วย แม้จะเทียบไม่ได้กับทรัพยากรที่เหมียวอี้มอบให้ชิงหยวนจุน แต่นับว่าเป็นของขวัญล้ำค่าแน่นอน ในจำนวนนั้นมีสมบัติหายากของวังสวรรค์อยู่ไม่น้อย ล้วนเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของนาง เพื่อให้เรื่องนี้สำเร็จ ครั้งนี้นางแข็งใจควักออกมาแล้วไม่น้อย

หลังจากอวิ๋นจือชิวเห็นแล้ว ก็รีบปฏิเสธว่า  ของขวัญที่ล้ำค่าเกินไป มิบังอาจรับจริงๆ เพคะ 

 ถ้าเทียบกับที่ท่านอ๋องดูแลองค์ชาย สิ่งนี้นับว่าเป็นของขวัญล้ำค่าอะไรกัน หรือว่าน้องสาวดูถูกข้า?  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำสีหน้าเหมือนตกใจ

ทั้งสองผลักไสเล็กน้อย สุดท้ายก็ฝืนยัดของขวัญให้อวิ๋นจือชิวจนได้ อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงขอบคุณเช่นกัน

หลังจากพูดจาทักทายตามมารยาทพักหนึ่ง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พูดประเด็นหลัก นั่นก็คือขอความช่วยเหลือจากเหมียวอี้

กับเรื่องแบบนี้เหมียวอี้จะตอบตกลงง่ายๆ ได้อย่างไร นี่คืออาณาเขตหนึ่งสายเชียวนะ ในมือเขามีอาณาเขตทั้งหมดสามสายเท่านั้นเอง ถ้าตอบตกลงเร็วเกินไปก็จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ย่อมขอร้องอย่างลำบากลำบน นับว่าปล่อยวางศักดิ์ศรีแล้ว แม้แต่หน้าตาศักดิ์ศรีก็ไม่เอาแล้ว เหตุการณ์นี้นางใช้กับประมุขชิงและหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วเท่านั้น คนอื่นยังไม่มีสิทธิ์นั้น เหมียวอี้นับว่าเป็นคนที่สามที่ถูกราชินีสวรรค์ขอร้อง

แม้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะพูดตามที่หยางชิ่งบอกแล้ว แต่เหมียวอี้ก็ยังไม่รับปาก หลังจากเงียบไปครู่เดียว ก็บอกว่า  นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก หวังว่าเหนียงเหนียงจะให้เวลาข้าไตร่ตรอง  พูดจบก็ยืนขึ้นกุมหมัดคารวะ แล้วถือโอกาสเรียกหยางชิ่งเดินออกไปด้วยกัน

ขณะมองคล้อยหลัง ในดวงตาเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฉายแววอาฆาตแค้น ตัวเองเป็นราชินีสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานลดเกียรติตัวเองมาขอร้องเจ้าถึงขั้นนี้แล้ว…บัญชีแค้นนี้ข้าจะอดทนไว้ก่อน ถ้าในอนาคตมีโอกาส ความอัปยศนี้ข้าจะให้หนิวโหย่วเต๋อชดเชยเป็นเท่าตัว!

ทว่าสถานการณ์ไม่แข็งแกร่งไปกว่าคน ความไม่สบอารมณ์ในใจยังปิดบังไว้ได้ เปลี่ยนใบหน้าเป็นยิ้มแย้มเพื่อมาพูดคุยกับอวิ๋นจือชิว

ทั้งสองออกจากโถงหลักมาเดินเล่นอยู่ในสวน หลังจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฝืนใจชมทิวทัศน์ในสวนไปสองสามประโยค จู่ๆ ก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา  ข้ากับน้องสาวมีวาสนาต่อกัน ไม่สู้ให้ข้ากับเจ้าสาบานเป็นพี่น้องกันดีไหม? 

 เอ่อ…  อวิ๋นจือชิวงุนงง ค่อยๆ หันกลับไปมองนาง รู้สึกตกใจมาก ท่านนี้ช่างน่าตกใจจริงๆ เพิ่งสระทำเรื่องนี้กับหยางชิ่งเสร็จ ก็จะมาทำกับข้าอีกแล้วเหรอ?

มีปฏิกิริยาเหมือนกับหยางชิ่งในตอนนั้น อวิ๋นจือชิวงุนงงเล็กน้อย ต่อให้จะมีหยางชิ่งเป็นบทเรียนแล้ว แต่นางก็นึกไม่ถึงว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะใช้วิธีนี้กับนาง ก่อนหน้านี้ยังหัวเราะเยาะหยางชิ่งอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าไม่นานตัวเองจะโดนเองแล้ว ทำเอานางไปไม่เป็นเหมือนกัน

แต่จากนั้นความรู้สึกเปลี่ยนเป็นซับซ้อน ไม่รู้ว่าควรจะเห็นใจผู้หญิงคนนี้หรือไม่ ถ้ายืนในมุมของอีกฝ่าย ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่มีต้นทุนอะไรเลยจริงๆ มีแค่สถานะราชินีสวรรค์ที่พอจะมีราคาอยู่บ้าง ถ้าไม่ใช่เพราะหาสิ่งอื่นมาไม่ได้แล้วจริงๆ ด้วยนิสัยหยิ่งผยองของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ มีหรือที่จะมาขอเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับคนอื่นต่อเนื่องกันอย่างนี้

ขณะมองสายตาที่เต็มไปด้วยการเฝ้ารอของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ อวิ๋นจือชิวก็รู้สึกปวดใจกับนางเล็กน้อย แต่จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โชคร้ายเกินไปนัก ยังมีปู่ที่นับว่าไม่เลว ก่อนที่เซี่ยโห้วท่าจะตาย อย่างอื่นสามารถปล่อยวางได้ แต่กลับคิดจะปกป้องชีวิตของหลานสาวคนนี้อยู่ตลอด ถ้าไม่ไม่ถึงคราวจำเป็น เหมียวอี้คงจะไม่ทำอันตรายนางถึงชีวิต ต้องทำให้นางแก่ตายตามสัญญาที่ให้ไว้

อวิ๋นจือชิวกลับไม่รู้ว่าเซี่ยโห้วท่าไม่ได้เอ่ยคำขอแค่กลับเหมียวอี้เท่านั้น ขอร้องกับหินเซี่ยโห้วลิ่งแล้วเช่นกัน และให้เว่ยซูเอ่ยกับเฉาหม่านแล้วด้วย เอ่ยกับทุกคนที่อาจจะมีอำนาจในตระกูลเซี่ยโห้วหมดแล้ว ว่าต้องการให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แก่ตายตามอายุขัย เรียกได้ว่าลำบากทำด้วยใจล้วนๆ

แต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับไม่รู้ถึงความตั้งใจดีของท่านปู่ ไม่เข้าใจว่าทำไมตอนแรกท่านปู่ถึงกำชับกับนางซ้ำแล้วซ้ำอีก ว่าตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ล้ม นางก็จะไม่เป็นอะไร บอกนางอย่างชัดเจนว่าอย่าทำซี้ซั้ว สามารถทำให้คนอย่างเซี่ยโห้วท่าเตือนเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมาได้ ปากนางก็ตอบรับอย่างดี แต่กลับไม่เห็นความสำคัญ ขอเพียงแค่มีคนทำเรื่องขัดใจนาง นางก็จะเคียดแค้นทันที ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วเกิดช่องโหว่ และคงไม่ทำให้ฝั่งเหมียวอี้ประสบความสำเร็จได้ง่ายดายจนเดินมาถึงทุกวันนี้ได้เช่นกัน

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถูกนางมองจนรู้สึกไม่มั่นใจ คิดในใจว่า อย่าบอกนะว่าหยางชิ่งบอกเรื่องพี่น้องร่วมสาบานให้ผู้หญิงคนนี้รู้แล้ว? หยางชิ่งบอกว่าอย่าเพิ่งเปิดเผยไม่ใช่เหรอ? จึงถามหยั่งเชิงว่า  อย่าบอกนะว่าน้องสาวไม่เต็มใจ? 

อวิ๋นจือชิวไหวตัวเร็วมาก ถามอย่างงุนงงว่า  เหนียงเหนียงพูดอะไรเพคะ หรือว่าข้าฟังผิดไป? 

ในเรือนหลัก เหมียวอี้กับหยางชิ่งกำลังเดินอยู่ระหว่างศาลา

อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ หยางชิ่งถอนหายใจเบาๆ  ผู้หญิงคนนี้ทำให้ข้าน้อยแข็งใจทำร้ายนางไม่ลงแล้ว 

 เจ้ากำลังช่วยพูดให้นางเหรอ?  เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ

 ภัยคุกคามที่แท้จริงของนางไม่ใช่ท่านอ๋อง แต่เป็นตัวนางเอง ความสามารถไม่สอดคล้องกับจิตใจที่ทะเยอทะยานแรงกล้า มีแต่จะทำร้ายตัวเอง ด้วยสถานะแบบนั้นของนาง หากในอนาคตปล่อยวางไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ช่วยเหลือนางไม่ได้ หวังว่านางจะทำให้ตัวเองมีความสุขกว่านี้แล้วกัน!  หยางชิ่งกล่าว

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ รู้ว่าเขาถูกพัวพันด้วยเรื่องพี่น้องร่วมสาบานแล้ว

ทั้งสองเดินช้าๆ พลางวิเคราะห์สถานการณ์ในช่วงนี้ ใช้เวลาไม่นานอวิ๋นจือชิวก็มาแล้ว พอพบหน้ากันก็ตบหน้าผากตัวเองแล้วถอนหายใจ  สุดท้ายข้าก็ยอมนางแล้ว ดันทุรังจะดึงข้าไปเป็นพี่น้องร่วมสาบานให้ได้ ชั่วพริบตาเดียวข้าก็กลายเป็นน้องสาวนางแล้ว 

เหมียวอี้กับหยางชิ่งตะลึงพร้อมกัน หยางชิ่งเอามือเกาหน้าผากโดยไม่รู้ตัว เหมียวอี้ถามอย่างงงๆ ว่า  สาบานเป็นพี่น้องกันแล้วเหรอ? 

อวิ๋นจือชิวกลอกตา  นางจูงข้าไม่ปล่อย ข้าเองก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธ กลัวว่านางจะมองออกว่าหยางชิ่งบอกเรื่องพี่น้องร่วมสาบานให้พวกเรารู้แล้ว ข้ากังวลว่านางกำลังหยั่งเชิง ถ้าไม่ตอบรับแล้วจะทำยังไงได้อีก แผนของเราผิดพลาดได้เหรอ? 

 ฮ่าๆ!  เหมียวอี้มองอวิ๋นจือชิว แล้วก็มองหยางชิ่ง กลั้นขำไม่ไหวแล้ว

อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม  น่าขำมากนักเหรอ? เจ้าไม่รู้เหรอว่าตัวเองกลายเป็นน้องเขยของนางแล้ว? 

 …  เหมียวอี้หน้าค้างทันที หัวเราะไม่ออกแล้ว เขาแต่งงานกับฉินเวยเวย อวิ๋นจือชิวคือฮูหยินของเขา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับหยางชิ่งแล้ว แล้วก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับอวิ๋นจือชิวอีก ความสัมพันธ์นี้ไม่มีทางนับต่อได้เลย

ทั้งสามมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา เดี๋ยวเบิกตากว้างเดี๋ยวหรี่ตาอยู่อย่างนั้น…

………………

 

หยางชิ่งโบกมือ  ไม่อย่างนั้นล่ะ! ใต้หล้าสุขสันต์ก็เพราะผลประโยชน์ ใต้หล้าวุ่นวายก็เพราะผลประโยชน์! กำลังพลกลุ่มนี้ประจำอยู่ที่แดนรัตติกาลมานานมากแล้ว ตำแหน่งที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลก็มีอยู่เท่านั้น มีคนไม่น้อยที่ศักยภาพสูงขึ้นแล้วแต่มองไม่เห็นโอกาสประสบความสำเร็จ ในใจจะไม่มีความคับแค้นเชียวหรือ? ตอนที่คนพวกนี้อยู่ที่กองทัพองครักษ์ ฝ่าบาทยังจับพวกเขาไปแทรกไว้ในสี่ทัพได้ นำไปใช้สิ้นเปลืองอยู่ท่ามกลางการแก่งแย่งผลประโยชน์กับสี่ทัพ อยู่ที่นี่ไม่ได้เสียหายอะไร คนที่อยู่เบื้องบนขึ้นมาถึงยอดแล้วก็นิ่ง ส่วนคนเบื้องล่างก็ขยับไม่ได้เหมือนกัน ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ยังจะมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของกองทัพองครักษ์เหลืออยู่กี่ส่วน? 

สองแม่ลูกได้ฟังแล้วแอบตกใจ มิน่าล่ะฝ่าบาทถึงยินดีที่จะนำกำลังพลกองทัพองครักษ์เข้าไปแทรกไว้ในสี่ทัพ ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าฝ่าบาทอยากอาศัยสิ่งนี้กัดกร่อนสี่ทัพ วันนี้ถึงตระหนักได้อย่างตกใจ ว่าที่แท้แล้วฝ่าบาททำต้องการกำจัดคนเบื้องบนเพื่อให้ตำแหน่งว่างกับคนเบื้องล่าง ใช้วิธีนี้รักษาสภาพแวดล้อมที่ดี ถือว่าโหดพอสมควร!

ชิงหยวนจุนระแวงสงสัย  ฝ่าบาทมีความสามารถที่จะแทรกคนของทัพใหญ่แดนรัตติกาลเข้าไปอยู่ในสีทัพได้เลย 

หยางชิ่งจองเขาพลางกล่าวช้าๆ  ฝ่าบาทตั้งใจจะเพิ่มกำลังของทัพใหญ่แดนรัตติกาล มีจุดประสงค์จะสร้างทัพใหญ่แดนรัตติกาลให้เป็นเหมือนดาบแหลม ถ้าโอกาสสุกงอมเมื่อไหร่ จะต้องใช้ดาบนี้แทนหลังของทัพใต้แน่นอน จะแบ่งกำลังของทัพใต้ออก! หลังจากเกิดศึกใหญ่แล้ว ก็ย่อมทำลายไปได้เยอะพอสมควรในรวดเดียว! 

สองแม่ลูกตระหนกตกใจอีกครั้ง ที่แท้ในไม่ช้าก็เร็วทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะต้องกลายเป็นของที่ใช้แล้วทิ้งของฝ่าบาท สิ่งที่ทำให้สองแม่ลูกกังวลกว่านั้นก็คือ แต่ละสิ่งแต่ละอย่างที่ประมุขชิงทำ ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาสองแม่ลูกจะไม่รู้เลย วันนี้มีคนเปิดเผยถึงได้เข้าใจ รู้สึกได้อย่างลึกซึ้งว่าเมื่อก่อนตัวเองโง่เกินไป

เพราะด้วยเหตุนี้เอง สองแม่ลูกมองหยางชิ่งด้วยแววตาที่กระตือรือร้น นี่ก็คือบุคคลคุณมีความสามารถที่พวกเขาขาดแคลน!

หยางชิ่งพูดต่อว่า  ถามหน่อยว่าด้วยสถานการณ์ของทัพใหญ่แดนรัตติกาลตอนนี้ ถ้าเหนียงเหนียงกับองค์ชายโน้มน้าวให้ท่านอ๋องแบ่งอาณาเขตให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาล มีส่วนแบ่งผลประโยชน์มหาศาลขนาดนี้ แม่ทัพใต้บังคับบัญชาขององค์ชายจะไม่ปลาบปลื้มได้อย่างไร ให้เหนียงเหนียงบอกอีกว่ามีตระกูลเซี่ยโห้วคอยสนับสนุนเพื่อปลอบขวัญพวกเขา มีหรือที่พวกเขาจะไม่จงรักภักดีต่อองค์ชาย? ประกอบกับมีการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้ว อำนาจทางทหารของทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็ย่อมถูกควบคุมไว้ในมือองค์ชาย ฝ่าบาทอยากจะปล้นก็ปล้นไปไม่ได้! 

สองแม่ลูกฟังจนรู้สึกเร่าร้อนฮึกเหิมไม่หยุด แต่ทั้งสองก็ไม่ใช่คนโง่บริสุทธิ์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวยังสงสัยว่า  อาณาเขตสามสายในมือท่านอ๋องหนิว ถ้าแบ่งให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลหนึ่งสาย ท่านอ๋องหนิวจะตอบตกลงเหรอ? 

หยางชิ่งตอบพร้อมรอยยิ้ม  ก็ต้องดูว่าเหนียงเหนียงกับองค์ชายจะไปโน้มน้าวท่านอ๋องยังไง มียืมก็ต้องมีคืน เมื่อยืมครั้งต่อไปก็ไม่ยาก! 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวอย่างร้อนใจ  ข้าโง่เง่า มียืมก็ต้องมีคืนยังไง? ยินดีฟังความเห็นอันสูงส่งของท่านบุรุษเพื่อคลายความสงสัย 

หยางชิ่งกล่าวเสี่ยงเรียบ  ขอยืมอาณาเขตของท่านอ๋องไม่ได้แปลว่าจะครอบครองอาณาเขตของท่านอ๋อง จุดประสงค์ของการยืมอาณาเขต ก็เพื่อควบคุมทัพใหญ่แดนรัตติกาล สามารถยืมอาณาเขตมาใช้งานได้ก่อน รอให้แม่ทัพใต้บังคับบัญชาขององค์ชายขัดบัญชาสวรรค์ไปรับตำแหน่งในอาณาเขตท่านอ๋องแล้ว เช่นนั้นก็ชัดเจนแล้วว่าจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับฝ่าบาท พวกเขาก็จะไม่มีทางถอยแล้ว ถึงตอนนั้นฝ่าบาทจะต้องเดือดดันมากแน่นอน ภายใต้แรงกดดันจากฝ่าบาทและท่านอ๋อง แม่ทัพเหล่านั้นก็ต้องคายอาณาเขตที่เคยฮุบเข้าปากไปแล้วออกมา แล้วตามองค์ชายถอยกลับมาที่แดนรัตติกาลอย่างว่าง่าย ขอถามหน่อยว่า ถ้าพวกเขาตัดทางหนีทีไล่ฝั่งฝ่าบาทแล้ว หลังจากกลับมาที่แดนรัตติกาล นอกจากจงรักภักดีต่อองค์ชาย พวกเขายังมีทางอื่นด้วยเหรอ? ขอเพียงอธิบายเหตุผลนี้ให้ท่านอ๋องรู้อย่างชัดเจน ท่านอ๋องก็ยอมเลิกห่วงหน้าพะวงหลัง การยืมอาณาเขตหนึ่งสายคงจะไม่ยาก! หลังจากจบเรื่องแล้วท่านอ๋องก็ไม่มีทางทนเห็นฝ่าบาทกำจัดเหนียงเหนียงและองค์ชายเพื่อแต่งตั้งให้จ้านหรูอี้ขึ้นสู่ตำแหน่ง ตราบใดที่องค์ชายแสดงความจริงใจในการเป็นพันธมิตรกับท่านอ๋อง ถึงตอนนั้นทัพใต้ก็จะเป็นฉากกำบังของทัพใหญ่แดนรัตติกาล ส่วนองค์ชาย จุดยืนและอำนาจทางทหารล้วนอยู่ในมือ เป้าหมายก็บรรลุแล้ว ถ้ามีแผนในระยะยาวอะไรอีกก็สามารถวางรากฐานจากตรงนี้ได้เลย ถ้าไม่มีหลักฐานนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับจอกแหนที่ไร้ราก! 

ชิงหยวนจุนใจสั่นแรงมาก ตื่นเต้นจนคอแห้งกระหายน้ำ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตาลุกวาว มองหยางชิ่งด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ไม่น่าเชื่อว่าจะยอมทิ้งศักดิ์ศรีของราชินีสวรรค์ โค้งตัวให้หยางชิ่งแล้ว  ท่านบุรุษมีแผนดีจริงๆ ขอบคุณที่ชี้แนะค่ะ! 

ชิงหยวนจุนก็รีบโค้งตัวขอบคุณตามเช่นกัน

สำหรับสองแม่ลูก จะเคยพบเห็นอุบายเหนือชั้นอย่างนี้มาก่อนได้อย่างไร ทำให้ใจลอยไปถึงเป้าหมายแล้ว!

เมื่อก่อนไม่เคยมีใครแสดงความรู้และประสบการณ์อย่างนี้ให้สองแม่ลูกเห็น อุบายเหนือชั้นที่เหมือนพลิกเมฆคว่ำฝนนี้ เมื่อก่อนเป็นสิ่งที่ทั้งสองไม่แม้แต่จะกล้าคิดถึงเลย และคิดไม่ถึงด้วย ข้างกายไม่เคยมีคนเก่งกาจอย่างนี้เมื่อก่อน ไม่เคยได้คลุกคลีด้วยเลย ที่ผ่านมาปล่อยให้คนอื่นบงการเหมือนหุ่นเชิดมาตลอด

ในตอนนี้สองแม่ลูกเชื่อแล้วจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อได้รับความช่วยเหลือจากเสนาธิการอย่างนี้ได้ ไม่แปลกใจที่คนธรรมดาที่เอะอะตะโกนท้ารบถึงผงาดขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้ สามารถโค่นล้มฮ่าวเต๋อฟางและกลายเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ได้!

สองแม่ลูกมีความมั่นใจในตัวเองมากกว่าหนิวโหย่วเต๋อในปีนั้นไม่รู้ต้องเท่าไหร่ หนิวโหย่วเต๋อสามารถทำได้ แล้วทำไมพวกเขาจะทำไม่ได้ล่ะ? สิ่งที่แตกต่างกันก็คือข้างกายขาดคนเก่งกาจที่ใช้งานได้เท่านั้นเอง!

 มิบังอาจ มิบังอาจ!  หยางชิ่งรีบหลบ ทำท่าเหมือนรับการเคารพนี้ไม่ไหว

แต่หลังจากชิงหยวนจุนโค้งตัวขอบคุณแล้ว ก็ยังมีคำถามอีก  แผ่นนี้ของท่านบุรุษคือประสงค์ของท่านอ๋องเหรอ? 

หยางชิ่งส่ายหน้า  ไม่เกี่ยวกับท่านอ๋อง หลายวันมานี้ลำบากครุ่นคิดว่าจะช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้องค์ชายยังไง เป็นความคิดที่ตื้นเขินเท่านั้นเอง องค์ชายรู้สึกว่าข้าน้อยทำอย่างนี้แล้วจะไม่มีทางชี้แจงต่อฝั่งท่านอ๋องได้ ในใจจึงเกิดความระแวงใช่ไหม? องค์ชายไม่ต้องคิดมาก ท่านอ๋องส่งข้าน้อยมาก็เพื่อช่วยให้องค์ชายข้ามผ่านวิกฤต เป็นภารกิจของข้าน้อยอยู่แล้ว ขอเพียงข้าน้อยสามารถทำภารกิจนี้สำเร็จ ก็คือคำชี้แจงที่ดีที่สุดที่จะให้ต่อท่านอ๋องได้ ยิ่งไปกว่านั้นแผนการนี้ก็ไม่ได้ทำให้ท่านอ๋องมีอะไรเสียหาย ท่านอ๋องไม่ควรตำหนิข้าน้อย ข้าน้อยกับท่านอ๋องอยู่ด้วยกันมาหลายปี เชื่อว่าท่านอ๋องยังใจกว้างอยู่บ้าง 

พอได้ยินแบบนี้ ชิงหยวนจุนก็วางใจลงแล้วไม่น้อย

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับฟังออก ว่าตอนหลังอีกฝ่ายมีท่าทีจะกลับไปหาหนิวโหย่วเต๋อ จึงร้อนใจทันที ได้เจอกับผู้มีความสามารถโดดเด่นอย่างนี้แล้ว มีหรือจะปล่อยให้พลาดไป แต่เพิ่งจะเจอหน้ากัน ยังไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร จึงไม่สะดวกจะบอกอีกฝ่ายว่าอย่ากลับไปหาหนิวโหย่วเต๋อ บอกให้มาอยู่กับพวกเขาสองแม่ลูกแทน

ภายใต้สถานการณ์เร่งด่วน จู่ๆ นางก็ทำด้วยรอยยิ้มว่า  ไม่รู้ว่าท่านบุรุษจะรังเกียจข้าหรือเปล่า? 

ชิงหยวนจุนหันกลับมามองมารดาตัวเองอย่างงุนงง

 เอ่อ…  หยางชิ่งอึ้งทันที ไม่รู้ว่านางถามเช่นนี้หมายความว่าอะไร รีบกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า  เหตุใดเหนียงเหนียงจึงกล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยจะกล้าดูแคลนเหนียงเหนียงนี่ยังไง 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จึงถามพร้อมรอยยิ้ม  เช่นนั้นคำพูดของข้า ท่านบุรุษยินดีจะฟังหรือไม่? 

หยางชิ่งไม่กล้ารับปาก ตอบอย่างคลุมเครือว่า  เหนียงเหนียงมีอะไรก็กำชับมาตรงๆ ได้เลย! 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จ้องเขาพลางถอนหายใจ  ข้ารู้สึกว่าตัวเองมีวาสนากับท่านบุรุษแล้ว 

มีวาสนา? หยางชิ่งงงงวยกับคำพูดที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของนาง หมายความว่าอะไร?

ชั่วขณะนั้นเขาไม่กล้าเอ่ยรับคำพูดของอีกฝ่าย ได้แต่ตอบอย่างนอบน้อม แต่ใครจะคิดว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะถามถึงอายุของเขา แล้วจู่ๆ ก็บอกว่า  น่าเสียดายที่ข้าไม่มีลูกสาว แล้วจุนเอ๋อร์ก็เป็นผู้ชายด้วย ไม่อย่างนั้นข้าก็อยากจะยกลูกสาวให้แต่งงานกับท่านบุรุษจริงๆ ลองคำนวณดูแล้ว ข้าอายุมากกว่าท่านบุรุษนิดหน่อย ยินดีจะเป็นพี่สาวร่วมสาบานของท่านบุรุษ ไม่ทราบว่าท่านบุรุษยินดีหรือเปล่า? 

ชิงหยวนจุนเข้าใจกระจ่างทันที เข้าใจเจตนาของมารดาแล้ว นั่นก็คืออยากจะดึงท่านนี้มาไว้ให้ตัวเองใช้งาน

 หา!  หยางชิ่งอุทานเสียงหลง งงเป็นไก่ตาแตกตรงนั้นเลย หลังจากเรียกสติกลับมาแล้วก็รีบโบกมือ  มิบังอาจมิบังอาจ ข้าน้อยฐานะต่ำต้อย จะกล้าอาจเอื้อมเหนียงเหนียงได้อย่างไร ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด 

เขาคิดคำนวณมาหลายตลบแล้ว แต่ก็นึกไม่ถึงว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะมาไม้นี้ เหนือความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง ไม่เคยนึกถึงสิ่งนี้มาก่อนเลย โดนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เล่นงานจนกลายเป็นคนโง่ไปแล้ว ลนลานรับมือไม่ถูกเล็กน้อย

 วีรบุรุษมิถามถึงชาติกำเนิด บรรพบุรุษตระกูลเซี่ยโห้วของข้าสูงส่งเท่าไหร่กัน? มนุษย์เราไม่คุยกันเรื่องชาติกำเนิดสูงต่ำ ต้องดูกันที่อนาคต! ถ้าท่านบุรุษปฏิเสธก็แสดงว่าดูถูกข้า… 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่มีความสามารถอย่างอื่น แต่ใช้ชีวิตอยู่ในวังมานาน ความสามารถในการตีสนิทก็ยังมีอยู่บ้าง เป็นพี่สาวน้องชายไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตอนอยู่ในวังนางมีน้องสาวไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ สุดท้ายน้องสาวเหล่านั้นก็ถูกนางเล่นงานจนตายไปแล้วไม่น้อยอยู่ดี

ภายใต้ความพยายามซ้ำแล้วซ้ำอีกของนาง สุดท้ายหยางชิ่งก็เข้าใจความคิดของสองแม่ลูกนี้แล้ว แอบรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก สงสัยยามแสดงความเก่งกาจมากเกินไปจะเป็นการสร้างปัญหาให้ตัวเอง แบบนี้มันใช่เรื่องเสียที่ไหน? เพื่อให้แผนนี้ราบรื่น ด้วยความที่ปฏิเสธหลายครั้งแล้วไม่ได้ผล เขาเองก็ต้องเสแสร้งแกล้งทำ สุดท้ายก็ยอมตอบรับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่แล้ว

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำเรื่องนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงมาก ให้ชิงหยวนจุนนำกระถางธูปมาตั้งไว้บนเตียงเสียเลย

ชิงหยวนจุนจุดธูปสองดอก แล้วแบ่งให้สองคน

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ดึงแขนเสื้อหยางชิ่ง ดึงให้เขามายืนเรียงตรงหน้าเตียง ใช้สองมือถือธูป แล้วคุกเข่าลงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ทั้งยังหันมามองหยางชิ่งและยิ้มบอกใบ้ด้วย

หยางชิ่งปวดประสาทเล็กน้อย ชื่อเสียงของวีรบุรุษแห่งยุคถูกผู้หญิงคนหนึ่งทำลายแล้ว ทำได้เพียงแข็งใจคุกเข่าลง

 มหามรรคาสูงสุด เทพเจ้าโปรดเตือนใจ ข้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่วันนี้สาบานเป็นพี่น้องกับหยางชิ่ง จะปฏิบัติเหมือนเป็นสายเลือดเดียวกัน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน…  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พูดมาเป็นชุด ถึงอย่างไรก็พูดความหมายประมาณนั้น

หลังจากพูดสิ่งเหล่านี้ตามแล้ว ในใจหยางชิ่งก็นึกอยากร้องไห้

ตอนนี้ถึงคราวที่เขาได้นึกไม่ถึงบ้างแล้ว ราวก็เป็นความฝันจริงๆ นึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งตัวเองกลับราชินีสวรรค์จะได้เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน นึกถึงตอนที่อยู่อุทยานหลวงปีนั้น อีกฝ่ายสูงส่งจนไม่ชายตาแลเขา ใครจะไปคาดคิดว่าตัวเองจะได้เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับผู้หญิงคนนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลหรอกหรือ ทำไมดูเหมือนเด็กๆ กำลังเล่นพ่อแม่ลูกกัน

ประเด็นของปัญหาก็คือ เขารู้ชัดเจนมากว่าเป้าหมายของการมาที่นี่คืออะไร และเดาจุดจบของสองแม่ลูกออกแล้วเช่นกัน มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าตัวเองจะผิดคำสาบาน อยู่ดีๆ ก็จะได้แบกรับข้อหาผิดคำสาบาน โดนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เล่นงานจนอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา

แน่นอน เขาเข้าใจความรู้สึกของสองแม่ลูกคู่นี้ได้ ถูกคนอื่นวางอุบายจนเดินมาถึงขั้นนี้ ต่อให้เป็นเชือกฟางช่วยชีวิตแค่เส้นเดียว แต่ก็อยากจะเกาะเอาไว้ให้แน่นไม่ยอมปล่อย

หลังจากพี่สาวกับน้องชายโขกศีรษะกับพื้นสามครั้งแล้ว ก็ปักธูปแล้วยืนขึ้นพร้อมกัน รับสุรามาจากชิงหยวนจุน ชูจอกสุราดื่มร่วมกัน นับว่ากำหนดสถานะอย่างเป็นทางการแล้ว

ตอนที่วางจอกสุราลง หยางชิ่งก็ถูกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มองด้วยรอยยิ้มสนิทสนมจนรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว

 น้องชาย!  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เสียงเรียกนี้แทบจะทำให้หยางชิ่งขนลุก

สายตาของนางช่างดูอาลัยอาวรณ์จริงๆ จะบอกว่าชอบก็ไม่ผิด ตอนนี้ขอเพียงหยางชิ่งเต็มใจ ต่อให้นางใช้ร่างกายเข้าแลกก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่นางก็รู้ตัวเองดี อีกฝ่ายคงไม่ชื่นชอบในรูปลักษณ์ภายนอกของตน ไม่อย่างนั้นนางคงไม่สาบานเป็นพี่น้อง แต่จะมอบความอ่อนโยนไร้ที่เปรียบให้แทน

 เหนียงเหนียง!  หยางชิ่งก้มหน้าเรียกอย่างอับอาย

 หืม?  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แสร้งไม่พอใจ

หยางชิ่งทำสีหน้าบิดเบี้ยวทันที รีบเปลี่ยนคำเรียกอย่างยากลำบากว่า  พี่…พี่สาว… 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หัวเราะคิกคัก มองไปที่ชิงหยวนจุน  จุนเอ๋อร์ ยังไม่มาคำนับท่านน้าอีก? 

ชิงหยวนจุนก้าวมายืนตรงหน้าทันที แล้วกุมหมัดคารวะ  หยวนจุนคำนับท่านน้า! 

ท่านน้า? หยางชิ่งอยากร้องไห้…

……………

 

สำหรับเหมียวอี้แล้ว ก็ขี้คร้านจะสนใจว่าเฉาหม่านจะคิดอย่างไร เมื่อรู้ว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถูกส่งไปที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลแล้ว ก็ได้แต่บอกให้หยางชิ่งรู้ ตระกูลเซี่ยโห้วในตอนนี้อยู่ในมือเขาแล้ว ถ้าเฉาหม่านไม่เชื่อฟัง เขาก็ไม่ถือสาที่จะเปลี่ยนหัวหน้าตระกูลคนใหม่

นี่ก็คือสุดยอดความมั่นใจที่ทำให้เหมียวอี้กล้าฉีกหน้าประมุขชิง!

ดาวจันทร์อี่ ทะเลสีเขียวมรกต บนเกาะที่โดดเดี่ยว นอกอาณาเขตที่ปราสาทดำเนินจันทร์แบ่งให้จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ในป่ามีกระท่อมสร้างขึ้นหลายแห่ง

เอ๋อเหมยและบรรดาสาวใช้เดินเฝ้าระวังอยู่รอบๆ

ใต้ร่มไม้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ใช้มือกอบดอกไม้ป่าขึ้นมาดมกลิ่นหอม ทำสีหน้าดื่มด่ำเล็กน้อย กลิ่นหอมอาจจะสู้ดอกไม้แปลกตานานาชนิดในวังไม่ได้ แต่นางกำลังดมกลิ่นของอิสระ

ตระกูลเซี่ยโห้วก็แค่จัดเตรียมให้คนมาอยู่ที่นี่ ส่งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้ามาอยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลอย่างไม่มีอุปสรรรคมากนัก

ที่จริงนี่คือความคิดของหยางชิ่ง ก่อนที่จะวางแผนเรื่องนี้ให้เหมาะสม ก็ยังไม่สะดวกให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โผล่หน้าอยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลตอนนี้

ริมทะเล จู่ๆ ก็มีเงาคนคนหนึ่งฝ่าคลื่นน้ำขึ้นมา พวกเอ๋อเหมยรีบชักกระบี่ขึ้นมาเฝ้าระวัง จนกระทั่งจำได้ว่าเป็นชิงหยวนจุน จึงพากันกุมหมัดคารวะ  องค์ชาย! 

 เสด็จแม่ล่ะ?  ชิงหยวนจุนถามอย่างร้อนใจ

 หยวนจุน!  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยืนขึ้นด้านหลังร่มไม้ที่กำบังอยู่ไม่ไกล แล้วตะโกนเรียก

ชิงหยวนจุนตาเป็นประกาย รีบเดินเข้าไปใกล้แล้วคุกเข่าล โขกหน้าผากกับพื้นพร้อมบอกว่า  ลูกชายอกตัญญู ปล่อยให้เสด็จแม่ได้รับความลำบาก!  ในเสียงพูดปนด้วยเสียงสะอื้น

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่สีหน้าเรียบเฉยถูกกล่อมเกลาทางความรู้สึก เริ่มกอดศีรษะลูกชายเอาไว้ น้ำตาไหลออกมาแล้วเช่นกัน  แม่ไม่มีประโยชน์เอง…  นางปาดน้ำตา แล้วรีบประคองชิงหยวนจุนขึ้นมา  รีบลุกขึ้นเถอะ รีบลุกขึ้นมา! 

ชิงหยวนจุนลุกขึ้นยืน สองแม่ลูกปาดน้ำตาให้กันและกัน แล้วจู่ๆ ก็เริ่มยิ้มพร้อมกัน ท่าทางเหมือนดีใจจนน้ำตาไหล

จนกระทั่งทั้งสองสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ชิงหยวนจุนก็บอกว่า  ก่อนหน้านี้ท่านบุรุษขอให้อ๋องสวรรค์หนิวช่วยเสด็จแม่ออกมาจากวัง ลูกยังคิดว่าคงไม่ง่ายขนาดนั้น นึกไม่ถึงว่าใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน เรื่องนี้ก็สำเร็จแล้ว ให้ลูกได้มาเจอหน้าเสด็จแม่แล้ว เสด็จแม่ ต่อไปนี้พวกเราแม่ลูกก็ไม่ต้องแยกจากกันอีกแล้ว ลูกจะไม่ให้เสด็จแม่โดนคนอื่นชักสีหน้าใส่อีก ไม่ต้องกลับวังสวรรค์ก็ได้! 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่คว้าข้อมือเขา แล้วส่ายหน้าด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว  ไม่! ต้องกลับไป ข้าต้องกลับไปอย่างสง่าผ่าเผยพร้อมลูกชายตัวเอง! 

ชิงหยวนจุนฟังออกถึงความหมายลึกๆ ในคำพูดของนางแล้ว เขาพยักหน้า หลังจากกวาดสายตาไปยังกระท่อมรอบๆ ก็พูดด้วยสีหน้าหดหู่ว่า  ให้มารดาได้รับความลำบากที่นี่ ลูกชายช่าง… 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตั้งฝ่ามือห้าม  ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตอนอยู่วังสวรรค์มีความลำบากอะไรบ้างที่ข้าไม่เคยเจอ ในเมื่อให้ข้าอยู่ที่นี่ชั่วคราว คงจะเป็นความคิดของเจ้าสินะ ข้าจะไม่เชื่อลูกชายตัวเองอีกเหรอ! 

ชิงหยวนจุนกล่าวอย่างอับอาย  พูดแล้วก็ละอายใจ นี่ไม่ใช่ความคิดของลูก นี่เป็นคำแนะนำของท่านบุรุษหยาง เขาคิดว่าเสด็จแม่ยังไม่ควรเปิดเผยตัวที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล และไม่สะดวกจะทำการก่อสร้างใหญ่โตที่นี่ด้วย 

พอพูดถึงหยางชิ่ง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เผยสีหน้าครุ่นคิด ถามว่า  หยวนจุน เจ้ารู้สึกว่าท่านบุรุษหยางเป็นยังไงบ้าง? 

ชิงหยวนจุนตอบอย่างลังเลนิดหน่อย  ตอนนี้ยังไม่ได้คลุกคลีมากนัก ลูกไม่สะดวกจะเข้าออกห้องสมาธิไปพบเขาบ่อยเกินไป จึงไม่ได้รู้จักลึกซึ้ง ยังสรุปไม่ได้ แต่เหมือนจะพูดจาดูมีความรู้อยู่บ้าง ให้ความรู้สึกว่าพูดตรงจุด! 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่บอกว่า  ไป พาข้าไปดูหน่อย อยากจะเห็นว่าเป็นคนมีความสามารถจริงหรือเปล่า! 

 เอ่อ…  ชิงหยวนจุนรีบบอกว่า  ถ้าเสด็จแม่อยากเจอเขา เดี๋ยวลูกพาเขามาก็ได้ จะรบกวนให้เสด็จแม่เทียวไปเทียวมาได้ยังไง 

 เอ ถ้าเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นจริงๆ ข้าจะลดเกียรติไปเยี่ยมคำนับสักหน่อยแล้วจะเป็นไรไป? เจ้ากับข้ามีแค่สถานะที่เอาไว้โอ้อวดคนในใต้หล้า แต่กลับต้องระมัดระวังตัวขนาดนี้ โดนทุกคนรังแก ไม่ใช่เพราะไร้คนมีประโยชน์เอาไว้ใช้งานหรอกเหรอ? ถ้าเขาคือผู้เก่งกาจที่สนับสนุนให้หนิวโหย่วเต๋อกลายเป็นอ๋องสวรรค์ทัพใต้จริงๆ อย่าว่าแต่ลดเกียรติเลย ต่อให้ข้าหมอบกราบก็ยังได้ อย่าไปคิดเล็กคิดน้อยกับรายละเอียดยิบย่อยพวกนั้น ไปกันเถอะ!  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โบกมือ ลักษณะพลังอำนาจของราชินีสวรรค์ยังคงอยู่ อากัปกิริยาย่อมน่าเกรงขาม

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชิงหยวนจุนก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรมากแล้ว ทำได้เพียงปล่อยให้นางลำบาก เก็บนางเข้ากระเป๋าสัตว์ พานางดำลงไปในทะเลกลับไปอีกครั้ง

พอกลับถึงจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เขาย่อมไม่ต้องถูกตรวจสอบ สามารถพาเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าไปได้อย่างง่ายดาย

พอมาถึงห้องสมาธิ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โผล่หน้ามา หยางชิ่งก็อึ้เล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าชิงหยวนจุนจะพานางมาแล้ว จึงรีบกุมหมัดคารวะด้วยความเคารพ  ข้าน้อยคำนับราชินีสวรรค์! 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยกแขนเสื้อมาตรงหน้าเบาๆ มองประเมินหยางชิ่งเล็กน้อย แล้วสุดท้ายก็พยักหน้าบอกว่า  ใช่แล้ว แม้จะไม่ได้จำได้ลึกซึ้ง แต่พวกเราก็เคยพบกันที่อุทยานหลวง ตอนนั้นเจ้ายังฟังคำสั่งอยู่ไหนกองมังกรดำของหนิวโหย่วเต๋อสินะ? 

หยางชิ่งเดาว่าอีกฝ่ายคงรู้ตัวตนของตัวเองแล้วเท่านั้น เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ในปีนั้นไม่เคยมองเขาตรงๆ เลย จะไปมีความทรงจำกับเขาเสียที่ไหนกัน แต่ปากยังกล่าวอย่างเคารพว่า  เหนียงเหนียงความจำดีจริงๆ ด้วย ตอนนั้นเคยพบเหนียงเหนียงแล้วจริงๆ 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถามเหมือนแปลกใจนิดหน่อย  ทำไมจู่ๆ ‘ปิดบังชื่อจริง’ แล้วจากไปล่ะ?  ถ้าเป็นเมื่อก่อนต้องไม่ได้ปิดบังชื่อจริงแน่นอน การหลอกลวงตำหนักสวรรค์การทำผิดกฎชัดๆ

หยางชิ่งย่อมมีคำพูดรับมือ  ในปีนั้นท่านอ๋องล่วงเกินตระกูลอิ๋ง สถานการณ์ล่อแหลมมาก เพื่อที่จะรักษากำลังไว้ ถึงได้ใช้แผนการนี้! 

 ตระกูลอิ๋งน่าแค้นจริงๆ!  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำเสียงฮึดฮัด ความไม่พอใจที่มีต่อตระกูลอิ๋ง ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็อดทนไม่ได้ทั้งนั้น แต่มาที่นี่ก็ย่อมไม่ได้มาเพื่อคุยเล่นเฉยๆ วกเข้าประเด็นหลักแล้ว  ท่านบุรุษแนะนำให้องค์ชายปกป้องอำนาจทางทหารเอาไว้ก่อนเหรอ? 

 ถ้ามีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ ฝ่าบาทก็ไม่กล้าถอดองค์ชายออกจากตำแหน่งง่ายๆ!  หยางชิ่ง

 แต่ทัพเกรียงไกรห้าสิบล้านของฝั่งนี้ล้วนย้ายมาจากกองทัพองครักษ์ ฝ่าบาทควบคุมไว้แน่นหนา แล้วเราจะควบคุมได้ยังไง?  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถาม

หยางชิ่งส่ายหน้า  ควบคุมไว้แน่นหนาเหรอ เกรงว่าจะไม่แน่หรอกกระมัง? 

 ยินดีฟังความเห็นอันสูงส่ง  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฮึกเหิมทันที

 ข้าน้อยมาพบองค์ชายที่นี่ได้ เป็นเพราะท่านอ๋องขอให้ตระกูลเซี่ยโห้วช่วยขอรับ  หยางชิ่งเตือน

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับชิงหยวนจุนสบตากันแวบหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนหวาดหวั่น มีเรื่องมากมายที่ทั้งสองไม่เข้าใจเลย ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าเป็นความสามารถของเหมียวอี้เอง แน่นอน หยางชิ่งไม่มีทางเปิดเผยให้สองคนนี้รู้ว่าเหมียวอี้แทรกคนของตัวเองไว้ในกองทัพองครักษ์ตั้งนานแล้ว

 ท่านบุรุษกำลังหมายความว่า ตระกูลเซี่ยโห้วแทรกซึมทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาตั้งแต่ต้นแล้วเหรอ?  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ลองถาม

 แค่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเสียที่ไหน กองทัพองครักษ์แล้วยังไง? เหนียงเหนียงคิดจริงเหรอว่าตระกูลเซี่ยโห้วไม่รู้เรื่องที่เกิดที่ตำหนักเย็น? ต่อให้คนข้างกายเหนียงเหนียงไม่รายงานขึ้นมา แม้แต่เรื่องที่เหนียงเหนียงตบหน้าจ้านหรูอี้หลายครั้ง เกรงว่าคนของตระกูลเซี่ยโห้วก็คงรู้อย่างชัดเจนด้วยซ้ำ ไม่ใช่ไม่รู้ แต่แค่ไม่พูดเท่านั้นเอง  หยางชิ่งตอบ

พอได้ยินแบบนี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็กัดฟัน อารมณ์คับแค้นพรั่งพรูขึ้นมาในใจอีกครั้ง ถ้าเป็นความจริง เช่นนั้นก็แสดงว่าตระกูลเซี่ยโห้วรู้ตั้งนานแล้วจริงๆ ว่าจ้านหรูอี้สามารถเข้าออกตำหนักเย็นได้อย่างอิสระ เพียงแต่ปิดบังนางเหมือนคนโง่ก็เท่านั้นเอง  เจ้าหมายความว่า ตำหนักเย็นก็มีคนของตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกันเหรอ? 

หยางชิ่งไม่ได้หันมาตอบซึ่งๆ หน้า  ตระกูลเซี่ยโห้วเป็นต้นไม้ใหญ่รากลึก หยั่งรากอยู่ในใต้หล้ามานาน แม้แต่ท่านอ๋องก็ยังไม่รู้ว่าในอาณาเขตทัพใต้ของตัวเองมีคนของตระกูลเซี่ยโห้วอยู่เท่าไร ตอนแรกที่ท่านอ๋องโค่นล้มฮ่าวเต๋อฟาง เกรงว่าต่อให้นอนฝันฮ่าวเต๋อฟางก็นึกไม่ถึงว่าในบรรดาลูกน้องคนสนิทข้างกายจะมีคนของตระกูลเซี่ยโห้วด้วย ฝ่าบาทมีกำลังทหารเกรียงไกร แต่ทำไมกลับหวาดกลัวตระกูลเซี่ยโห้วล่ะ? เหนียงเหนียงเคยได้ยินหรือเปล่าว่า ครองตระกูลเซี่ยโห้วได้ ก็ครองใต้หล้าได้! 

สองแม่ลูกเม้มริมฝีปากแน่น เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รอครู่หนึ่งแล้วถามอีกว่า  ตระกูลของข้าคงไม่ช่วยพวกเราสองแม่ลูกทำเรื่องแบบนี้แน่นอน 

 เหนียงเหนียงรู้หรือเปล่าว่าทำไมตระกูลเซี่ยโห้วรู้ว่าเหนียงเหนียงกับองค์ชายเป็นญาติของตระกูลเซี่ยโห้ว แต่ไม่ยอมยื่นมือสนับสนุน?  หยางชิ่งถาม

สองแม่ลูกสบตากันแวบหนึ่ง นี่ก็คือจุดที่สองแม่ลูกรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยื่นมือเล็กน้อย บอกใบ้ว่าเชิญพูด

หยางชิ่งพูดต่อไปว่า  เพราะตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่ทำเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสีย  เขามองชิงหยวนจุนแวบหนึ่ง  สำหรับตระกูลเซี่ยโห้ว องค์ชายนับว่าเป็นหลานนอกของตระกูลเซี่ยโห้ว แต่แล้วยังไงล่ะ? ตระกูลเซี่ยโห้วยืนตระหง่านมาได้ถึงทุกวันนี้ สนบสนุนประมุขให้ขึ้นตำแหน่งมาหลายยุค มีจุดร่วมกันอย่างหนึ่ง นั่นก็คือพวกเขาจะสนับสนุนคนที่สนับสนุนได้เท่านั้น ไม่มีทางไปสนับสนุนใครส่งเดช เป้าหมายที่ตระกูลเซี่ยโห้วเลือกมักจะมีศักยภาพในระดับหนึ่ง สำหรับตระกูลเซี่ยโห้วตอนนี้ องค์ชายยังไม่มีศักยภาพเพียงพอให้พวกเขาจ่ายทรัพยากรสนับสนุน แต่ถ้าองค์ชายคุมทัพใหญ่ห้าสิบล้านนี้ได้ เช่นนั้นสถานการณ์ก็ต่างออกไปแล้ว เพราะในมือองค์ชายมีศักยภาพในระดับหนึ่ง กอปรกับสถานะหลานนอกขององค์ชาย ความสนใจที่ตระกูลเซี่ยโห้วมีต่อองค์ชายก็ย่อมมากขึ้น ถึงตอนนั้นสถานการณ์ก็จะไม่เหมือนเดิมแล้ว…ถ้าจะให้พูดแบบจาบจ้วงก็คือ ถ้ามีเงื่อนไขเหมาะสมแล้ว เกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะสนับสนุนองค์ชายให้แทนที่ฝ่าบาทก็ได้! 

เมื่อกล่าวมาแบบนี้ สองแม่ลูกก็หัวใจเต้นรัว คำพูดนี้อุกอาจมากจริงๆ โดยเฉพาะการพูดออกมาต่อหน้าพวกเขา แต่สองแม่ลูกก็ไม่มีใครรู้สึกว่าหยางชิ่งพูดจาไม่เหมาะสม กลับเข้าใจกระจ่างด้วยซ้ำ ที่แท้สาเหตุที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่แยแสพวกเขา ก็เป็นเพราะพวกเขาสองแม่ลูกมีศักยภาพไม่พอนี่เอง ไม่ควรค่าให้ตระกูลเซี่ยโห้วออกแรงสนับสนุน

พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไม่น่าเชื่อว่าสองแม่ลูกจะรู้สึกเหมือนเห็นแสงสว่างพร้อมกัน แม้ตรงหน้าจะไม่มีอะไรเลย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นชัดเจนว่าเส้นทางอยู่ทางทิศไหน เป็นความรู้สึกยามได้เห็นความหวังอย่างแท้จริง เข้าใจเส้นทางแล้วว่าควรเดินอย่างไร

สายตาที่สองแม่ลูกมองหยางชิ่งไม่เหมือนเดิมแล้ว ต่างก็แอบคิดในใจว่า คนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย พูดสองสามประโยคก็ชี้แนะทิศทางให้พวกเขาได้แล้ว

พวกเขาเข้าใจอย่างแท้จริงแล้ว ต้องวางแผนให้เติบโตมากกว่านี้ คว้าอำนาจทางทหารที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้คือเรื่องที่สำคัญที่สุด

ชิงหยวนจุนอดไม่ได้ที่จะพูดแทรก  ท่านบุรุษพูดเช่นนี้ก็เหมือนไม่ได้พูดอะไร… 

 หยวนจุน อย่าเสียมารยาท ท่านบุรุษย่อมมีความเห็นอันสูงส่งอยู่แล้ว!  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตะคอกลูกชาย

หยางชิ่งยิ้มบางๆ  ตระกูลเซี่ยโห้วย่อมไม่ช่วยองค์ชายง่ายๆ ก็อย่างที่บอก ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีทางทำเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ผลประโยชน์ แต่เบื้องหลังของเหนียงเหนียงมีท่านอ๋อง ถ้าท่านอ๋องออกหน้านำผลประโยชน์มาแลกเปลี่ยนกับตระกูลเซี่ยโห้ว ขอเพียงเป็นสิ่งที่ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วหวั่นไหวได้ ตระกูลเซี่ยโห้วก็ย่อมช่วยอยู่แล้ว ในจุดนี้ท่านอ๋องน่าจะทำได้ และด้วยความแค้นระหว่างท่านอ๋องกับจ้านหรูอี้ ก็ไม่มีทางปล่อยให้จ้านหรูอี้ขึ้นสู่ตำแหน่งเด็ดขาด จะต้องช่วยองค์ชายแน่นอน 

ชิงหยวนจุนขมวดคิ้วสงสัย  ต่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วยินดีช่วย แต่ก็เกรงว่าจะควบคุมทั้งทัพใหญ่แดนรัตติกาลลำบาก ในจำนวนนั้นมีคนที่จงรักภักดีต่อฝ่าบาทอยู่ไม่น้อย ถึงตอนนั้นเกรงว่าจะทำให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลวุ่นวายภายในเสียเอง แล้วยังจะกุมอำนาจทางทหารได้ยังไง? 

…………………

 

เรื่องบางเรื่องคนที่อยู่ในสถานการณ์มักเลอะเลือน ส่วนคนที่อยู่ข้างนอกเห็นชัดเจน คำกล่าวนี้ไม่ผิดเลยสักนิด หยางชิ่งนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าสองแม่ลูกจะมองเขาเป็นคนฉลาดล้ำเลิศอะไร ยิ่งนึกไม่ถึงด้วยว่าสองแม่ลูกคิดจะดึงตัวลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อไป

ไม่ใช่ปัญหาว่าคิดถึงหรือคิดไม่ถึง แต่ไม่ได้คิดไปทางด้านนั้นเลย คนที่สมองแจ่มชัดหน่อยก็น่าจะรู้ ว่าสองแม่ลูกมีอะไร? ไม่ว่าจะเป็นอำนาจหรือแนวโน้มสถานการณ์ก็ล้วนไม่อยู่ฝั่งพวกเขา แม้แต่ทรัพยากรที่อยู่ในมือก็ล้วนเป็นอ๋องสวรรค์ของทัพใต้ที่ให้เขา ส่วนความสามารถของสองแม่ลูกก็น่ากังวล ไม่ใช่พวกมังกรทะยานฟ้า ยากที่จะมีอนาคตอะไรได้ ไม่ใช่พวกที่ใจกว้างยอมรับคนอื่นด้วย คนที่สมองมีปัญหาเท่านั้นถึงจะไปขอพึ่งพาพวกเขา

ภายใต้ปัจจัยต่างๆ ที่ไม่ดี พวกเขาเองจะยืนหยัดอยู่ได้หรือไม่ก็ยังเป็นปัญหาเลย หยางชิ่งจะไปคิดถึงทางด้านนั้นได้อย่างไร

เพราะว่าคนพวกนี้มองไม่เห็นตัวเองชัดเจน ปัจจัยที่ไม่ดีต่างๆ ล้วนเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ยุติธรรม พวกไม่เคยคิดถึงปัญหาที่มาจากตัวเองเลย ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ แม้สองแม่ลูกจะรู้ว่าสถานการณ์ของตัวเองไม่ดี แต่ในส่วนลึกก็ยังสำคัญตัวเองผิดมากเกินไป นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าอัตตาสูง

จู่ๆ ชิงหยวนจุนก็ถามอย่างนี้ ทำให้หยางชิ่งอึ้งอยู่บ้าง ในใจพึมพำว่า เจ้าหมอนี่ไม่อยากแก้ไขวิกฤต แต่กลับมาถามสิ่งนี้ อย่าบอกนะว่ามีแนวคิดอะไร? อดไม่ได้ที่จะกุมหมัดคารวะถาม  ยินดีฟังความเห็นอันสูงส่งขององค์ชาย! 

ชิงหยวนจุนก็อึ้งเช่นกัน บอกทันทีว่า  ผู้ที่ไม่คำนึงถึงสถานการณ์ภาพรวม มิอาจปกครองดินแดน ผู้ที่ไม่ได้ผ่านมาหลายยุค มิอาจวางแผนเรื่องตรงหน้าได้ หากท่านบุรุษยืนอยู่ในมุมของข้า อย่าบอกนะว่าไม่มีความเห็นอะไรเลย? 

หยางชิ่งกลุ้มใจนิดหน่อย ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่จะพูดจาสำบัดสำนวนทำไม ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติจะพลิกแพลงสถานการณ์ด้วยซ้ำ จะโยงไปไกลขนาดนั้นทำไม? จึงถามโดยตรงว่า  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับองค์ชายหรือขอรับ? 

 เอ่อ…  ชิงหยวนจุนสะอึกพอสมควร ถามกลับว่า  หรือว่าไม่เกี่ยวกันล่ะ? 

สถานการณ์คุมเชิงด้านนอกก็ยังไม่รู้ว่าจะคลี่คลายเมื่อไร หยางชิ่งไม่มีเวลามาพูดจาจอมปลอมอย่างนี้ จึงบอกตรงๆ เลยว่า  สถานการณ์ภาพรวมหรือการผ่านมาหลายยุคอะไรล้วนไม่เกี่ยวกับองค์ชาย ถ้าองค์ชายไม่มีแม้แต่ที่ยืนเพื่อเป็นรากฐาน ยังจะพูดเรื่องสถานการณ์ภาพรวมหรือเหตุการณ์หลายยุคอีกทำไม ผ่านวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นตรงหน้าให้ได้ก่อนต่างหากคือเรื่องสำคัญที่สุด สิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความจริงพวกนั้นล้วนไม่ใช่สิ่งที่องค์ชายควรพิจารณา 

ชิงหยวนจุนถูกว่าจะรู้สึกอับอายนิดหน่อย ความคิดที่จะร้องเพลงเสียงสูงที่คนไม่นิยม[1]ฟังถูกโจมตีกลับคืนสู่สภาพเดิมทันที ในใจรู้สึกไม่ค่อยสบาย แต่ก็ยังต้องขอคำชี้แนะอย่างไม่มั่นใจ  ยินดีฟังความเห็นอันสูงส่งของท่านบุรุษ! 

หยางชิ่งบอกตรงๆ ว่า  หลังจากท่านอ๋องรู้สถานการณ์จากเหนียงเหนียง สืบรายละเอียดมาแล้วเล็กน้อย คาดว่าข่าวที่เหนียงเหนียงได้ยินมาอาจจะเป็นความจริง มีความเป็นไปได้สูงว่าจ้านหรูอี้อาจจะมีทายาทให้ฝ่าบาทแล้ว แต่ตอนนี้แค่ยังไม่เปิดเผยความลับเท่านั้นเอง สำหรับองค์ชายแล้ว ความหมายลึกล้ำที่แฝงอยู่ในนั้นน่ากลัวที่สุด อาจจะเป็นวิกฤตที่องค์ชายต้องเผชิญเช่นกัน! ท่านอ๋องได้รับเมตตาจากเหนียงเหนียง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะช่วยองค์ชายตัดไฟตั้งแต่ต้นลม แต่ก็ไม่อาจนิ่งดูดายต่อองค์ชายได้ ถึงได้ส่งข้าน้อยมาหาองค์ชาย ให้คอยเป็นคนกลางช่วยเหลือให้ท่านอ๋อง! 

พอได้ยินว่าจ้านหรูอี้อาจจะให้กำเนิดทายาทไว้แล้ว ในใจของชิงหยวนจุนก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น กำหมัดสองข้างแน่น พยายามข่มไฟโกรธเอาไว้ ไม่ระบายความเคียดแค้นออกมาให้หยางชิ่งเห็น ว่ากันตามตรง เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ สงสัยในการกระทำนี้อยู่บ้าง  อ๋องสวรรค์หนิวช่วยข้าขนาดนี้ มีผลดีอะไร? 

หยางชิ่งยังรับมือกับเขาได้อย่างมั่นใจไม่เปลืองแรง โบกมือบอกว่า  ไม่ใช่ว่ามีผลดีหรือหรือไม่มีผลดีอะไรหรอก ถ้าจะบอกว่ามีผลดีอะไร ก็พูดอย่างนี้แล้วกัน ท่านอ๋องกับจ้านหรูอี้ไม่ถูกกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในอดีตเคยจับจ้านหรูอี้แขวนไว้บนเสาธง ได้รับความอัปยศที่สุด ตระกูลอิ๋งล้มแล้ว จ้านหรูอี้ตกต่ำจนเท่าทุกวันนี้ ท่านอ๋องก็ยิ่งหนีไม่พ้นความรับผิดชอบ เรื่องนี้ทุกคนรู้กันหมด ถ้ามีคนมาแทนที่องค์ชายเมื่อไหร่ หากท่านนั้นได้ขึ้นสู่ตำแหน่งใหญ่ในอนาคต ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ท่านนั้นนึกถึงความอัปยศในอดีตที่เคยถูกท่านอ๋องจับแขวนบนเสาธง มีหรือที่จะทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นได้? ในใจจะต้องเคียดแค้นท่านอ๋องแน่นอน ดังนั้นสำหรับท่านอ๋องแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะทนมองจ้านหรูอี้ขึ้นสู่ตำแหน่งราชินี และไม่มีทางทนมองลูกชายของจ้านหรูอี้มาแทนที่องค์ชายได้เช่นกัน ต่อให้ไม่มีผลประโยชน์อะไร ท่านอ๋องก็ต้องพยายามสุดความสามารถเพื่อหยุดยั้งเรื่องนี้อยู่ดี! อย่างที่องค์ชายเพิ่งพูดไปเมื่อครู่นี้ นี่ต่างหากที่เรียกว่า ผู้ที่ไม่คำนึงถึงสถานการณ์ภาพรวม มิอาจปกครองดินแดน ผู้ที่ไม่ได้ผ่านมาหลายยุค มิอาจวางแผนเรื่องตรงหน้าได้! 

ชิงหยวนจุนเข้าใจกระจ่างในทันที หินก้อนสุดท้ายในใจถูกปล่อยลงพื้นแล้ว ไม่ผิดหรอก อาศัยแค่ความขัดแย้งระหว่างหนิวโหย่วเต๋อกับจ้านหรูอี้ อีกฝ่ายจะต้องพยายามสุดความสามารถเพื่อหยุดยั้งไม่ให้จ้านหรูอี้ผงาดขึ้นมา ในบรรดาอ๋องสวรรค์ ก็มีแค่หนิวโหย่วเต๋อที่กลัวว่าจ้านหรูอี้จะผงาดขึ้นมาที่สุด!

ตอนยังไม่มีใครเปิดเผยก็ยังหวาดระแวง แต่พอมีคนเปิดเผยจุดนี้แล้วก็พบว่าไม่ซับซ้อนเลย ชิงหยวนจุนพบว่าก่อนหน้านี้ตัวเองมัวคำนึงถึงผลได้ผลเสีย มัวคิดมากขนาดนั้นไปก็ช่างไร้ประโยชน์ เพราะปัญหาก็เรียบง่ายเท่านี้เอง

ตอนนี้ชิงหยวนจุนรู้สึกแค้นจนกัดฟันกรอด แค้นจ้านหรูอี้อย่างถึงที่สุด ถามว่า  ฟังจากความหมายที่ท่านบุรุษพูด ฝ่าบาทมีความคิดที่จะถอดตำแหน่งของข้าแล้วเหรอ? 

หยางชิ่งตอบว่า  ไม่ว่าฝ่าบาทมีความคิดจะปลดตำแหน่งองค์ชายหรือไม่ แต่วิกฤตก็ปรากฏขึ้นมาแล้ว ท่านอ๋องไม่มีทางนิ่งดูดาย รอให้เรื่องเกิดขึ้นจนจัดการสถานการณ์ไม่ได้แล้วค่อยลงมือ องค์ชายก็ควรป้องกันไว้ล่วงหน้าเช่นกัน ถ้ารอให้ฝั่งจ้านหรูอี้กลั่นแกล้งจริงๆ เกรงว่าถึงตอนนั้นต่อให้องค์ชายมานึกเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว! 

ชิงหยวนจุนเห็นด้วยอย่างลึกซึ้ง กุมหมัดคารวะขอคำชี้แนะ  ป้องกันไว้ล่วงหน้ายังไง? 

 อำนาจทางทหาร!  หยางชิ่งตอบอย่างไม่ลังเล  ตราบใดที่องค์ชายสามารถกุมอำนาจทางทหารของทัพใหญ่แดนรัตติกาลไว้ในมือได้อย่างแน่นหนา ถ้ามีกำลังพลกลุ่มนั้นอยู่ในมือ ฝ่าบาทจะต้องไม่กล้าเอ่ยเรื่องปลดตำแหน่งง่ายๆ แน่นอน ไม่อย่างนั้นก็จะบีบให้องค์ชายก่อกบฏ ผลที่ตามมานั้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านชื่อเสียงบารมีหรือความเป็นจริง ฝ่าบาทก็รับไม่ไหวทั้งนั้น! 

ชิงหยวนจุนขมวดคิ้ว เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาในห้องสมาธิ สุดท้ายก็หยุดเดิน แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าถอนหายใจยาว  ท่านบุรุษพูดเกินไปแล้ว ข้าจะไม่รู้ได้ยังไงว่าอำนาจทางทหารสำคัญ ยังไม่ต้องพูดถึงความลำบากใจของเรื่องนี้ ถ้าข้าทำอย่างนี้จริงๆ เกรงว่าจะทำให้เสด็จแม่ที่อยู่ในวังลำบากไปด้วย! 

หยางชิ่งก้าวขึ้นมาโน้มน้าว  องค์ชายกล่าวไม่ถูก ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วยังอยู่ ฝ่าบาทก็ไม่กล้าแตะต้องราชินีสวรรค์ซี้ซั้วหรอก! 

ชิงหยวนจุนหันตัวกลับมาบอกว่า  แตะต้องนั้นไม่กล้าแตะต้องหรอก แต่หยามศักดิ์ศรีเหมือนอดีตนั้นเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเอาแต่ดูเสด็จแม่ถูกหยามศักดิ์ศรีอยู่ในวัง แต่ข้ากลับไม่สนใจ จะทำตัวไม่สมกับเป็นลูกชายหรือเปล่า? 

 องค์ชาย…  หยางชิ่งกล่าว

เขายังคิดจะพูดอะไรอีก แต่ชิงหยวนจุนกลับยกมือห้ามไว้  ไม่ต้องพูดอีกแล้ว นอกเสียจากจะช่วยเสด็จแม่ออกมาก่อน ไม่อย่างนั้นก็ทำเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด นั่นจะทำให้เสด็จแม่ทรมานอยู่ท่ามกลางไฟและน้ำ! 

คำนึงถึงมารดานั่นก็เรื่องหนึ่ง อีกสาเหตุหนึ่งก็คืออยากให้หยางชิ่งเห็นว่าตนเป็นคนกตัญญูรู้คุณ ควรค่าที่จะร่วมงานด้วย

หยางชิ่งพึมพำในใจว่า ไม่มีความสามารถอย่างอื่น แต่การเสแสร้งตีหน้าซื่อกลับเรียนรู้ได้แปดเก้าส่วน ถ้ามีจิตใจอย่างนั้นจริง ก็ไม่ต้องแยแสตำแหน่งราชันสวรรค์แล้ว

แต่ในเมื่อชิงหยวนจุนพูดถึงขั้นนี้แล้ว เขาเองก็ไม่สะดวกจะโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเลิกกตัญญู ถ้าทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นคนทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการเพื่อตัวเองจริงๆ เกรงว่าจะทำให้ถูกสงสัย ภารกิจในครั้งนี้ของเขาสำคัญมาก ทำผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง ก็พยักหน้าเบาๆ  ที่องค์ชายพูดก็มีเหตุผล เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะติดต่อท่านอ๋องเดี๋ยวนี้ ให้ท่านอ๋องหาทางช่วยราชินีสวรรค์ออกมาจากวัง 

ชิงหยวนจุนตาเป็นประกาย  ทำได้จริงเหรอ?  มารดาถูกกักบริเวณอยู่ ในใจเขารู้สึกทรมานจริงๆ อยากจะช่วยมารดาให้พ้นจากทะเลทุกข์ในเร็ววัน จึงพูดเสริมอีกว่า  กลัวก็แต่เสด็จแม่จะไม่ยอมออกจากวังสวรรค์น่ะสิ!  ก่อนหน้านี้เขาเคยโน้มน้าวแล้ว แต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ยอมไป ดึงดันจะเสียเวลาอยู่ที่นั่นให้ได้

 ให้ท่านอ๋องลองดูก่อนก็ได้!  หยางชิ่งกล่าวช้าๆ ไม่ได้พูดจากหนักแน่นเกินไป เขาเองก็รู้ว่าอาศัยเหมียวอี้ไม่มีทางพาเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ออกจากวังสวรรค์ได้ แต่สามารถให้ตระกูลเซี่ยโห้วหาข้ออ้างสักอย่างก็ได้ ถ้าพาเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ออกมาแล้ว ชิงหยวนจุนอาจจะโน้มน้าวตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ผล แต่ท่านอ๋องสามารถทำได้แน่นอน ขอเพียงท่านอ๋องหาทางโน้มน้าวเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ก็พอ อาศัยความสามารถของท่านอ๋อง คงไม่มีเหตุผลที่ทำให้โน้มน้าวไม่สำเร็จ

ชิงหยวนจุนกล่าวอย่างดีใจว่า  แบบนี้ก็ดีมาก! 

ทั้งสองตกลงกันตามนี้ และหยางชิ่งก็หลบอยู่ในห้องสมาธิของเขาชั่วคราว

รอให้ชิงหยวนจุนเดินออกไปแล้ว หยางชิ่งก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ทันที บอกเงื่อนไขของชิงหยวนจุนให้รู้

เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในห้องหนังสือขมวดคิ้ว ลอกว่า : เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ออกมาไม่ได้แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับเขาล่ะ จะทำเรื่องยุ่งยากแบบนี้ไปทำไม ประมุขชิงยังไม่ถึงขั้นปลดตำแหน่งราชินีสวรรค์เพราะเขา การที่ประมุขชิงไม่ปลดราชินีก็เพราะมีตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ เขาคิดว่าเขาเป็นใคร มีความสำคัญสักแค่ไหนเชียว? ถ้าเขามีความสามารถยืนด้วยตัวเองได้ ประมุขชิงก็ยังไว้หน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่อยู่บ้าง มารดาสูงส่งได้เพราะลูกชาย ในวังจะได้มีคนช่วยพูดให้นางเพิ่ม แค่หลักการคายอำนาจแบบนี้ยังไม่รู้จักอีกเหรอ?

หยางชิ่ง : เขากลัวว่ามารดาจะได้รับความลำบากอยู่ในวัง…ท่านอ๋อง ข้าน้อยลองคิดดูแล้ว นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ดังนั้นจึงไม่ได้ห้าม

เหมียวอี้ : หมายความว่ายังไง?

หยางชิ่ง : ถ้าให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โผล่หน้าอยู่ที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลอย่างเปิดเผย ก็เป็นเวลาที่ประมุขชิงจะสงสัยและบีบให้ชิงหยวนจุนส่งมอบอำนาจทางทหารออกมา!

เหมียวอี้ครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจกระจ่างทันที เข้าใจถึงควมเชื่อมโยงที่ร้ายแรงแล้ว ตอบทันทีว่า : ดี! ข้าจะรีบจัดการเรื่องนี้!

ความเคลื่อนไหวนี้ได้ผลดีมาก ชิงหยวนจุนโน้มน้าวเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่สำเร็จ แต่เหมียวอี้กลับจัดการได้อย่างง่ายดาย ฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วก็ดำเนินการอย่างรวดเร็ว

ท่าทีที่ตระกูลเซี่ยโห้วมีต่อวังสวรรค์ก็คือ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่พอใจที่ถูกกักบริเวณ บอกว่าตระกูลเซี่ยโห้วมีคนฉลองงานวันเกิด หวังว่าจะรับราชินีสวรรค์กลับมาเยี่ยมญาติที่บ้าน ต้องการจะช่วยเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ออกจากที่กักบริเวณ

ประมุขชิงเข็นเรือไปตามน้ำเช่นกัน ถึงอย่างไรเรื่องของจ้านหรูอี้เขาก็เป็นฝ่ายไม่มีเหตุผล แต่จ้านหรูอี้ถูกรังแก เขาก็อยากจะให้คำชี้แจงกับจ้านหรูอี้อีก สาเหตุหลักเป็นเพราะเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก่อเรื่องรุนแรงเกินไป แต่เขาก็ไม่สะดวกจะปล่อยเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ออกไปเร็วขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นจะเสียหน้า แต่ก็ไม่สะดวกจะไม่ไว้หน้าตระกูลเซี่ยโห้ว จึงอนุญาตให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ออกจากวังสวรรค์เยี่ยมญาติ รอจนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับมา การทำโทษที่เรียกว่ากักบริเวณก็ย่อมไม่มีอยู่แล้ว ทุกคนล้วนมีบันไดลง

ส่วนจะกลับมาหรือไม่นั้น เขาไม่ได้กังวลในด้านนี้เลย ตระกูลเซี่ยโห้วส่งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มาแต่งงานกับเขาเพื่ออะไรล่ะ? ต่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วจะมีเรื่องอะไรอีก เขาก็ไม่ถึงขั้นจับภรรยาที่ผูกปมผมกับตัวเองมาเป็นตัวประกัน ถึงตอนนั้นต่อให้ตัวเองมีเหตุผล แต่ก็จะโดนคนอื่นดูถูกอยู่ดี

จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า ชีเจวี๋ยเดินมาข้างหลังเฉาหม่านแล้วรายงานว่า  นายท่าน เหนียงเหนียงถูกส่งตัวออกจากแดนรัตติกาลแล้ว! 

เฉาหม่านเงียบไป แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าถอนหายใจเบาๆ  นายท่านใหญ่คิดจะทำอะไรกันแน่? หรือเกิดความคิดจะเปลี่ยนประมุขของใต้หล้าอีกแล้ว? 

ชีเจวี๋ยโน้มน้าวอยู่ข้างๆ  นายท่านใหญ่มีความคิดลึกล้ำมองการณ์ไกล ไม่ใช่คนเลอะเลือน แม้จะทำอย่างนี้แล้ว ก็จะต้องมีเหตุผลแน่นอน…ขอกล่าวสิ่งที่ไม่น่าฟัง ช่วงนี้นายท่านใหญ่เคลื่อนไหวถี่มาก อาจจะกำลังเตรียมสั่งเสียขอรับ! 

เฉาหม่านได้ยินแล้วพยักหน้าเบาๆ ที่จริงเขาก็สงสัยเรื่องนี้เหมือนกัน ยิ่งท่านพ่อทำอย่างนี้ ก็ยิ่งแสดงว่าอายุขัยใกล้เข้ามาถึงแล้ว เขายิ่งไม่กล้าอกตัญญู ยิ่งไม่กล้าทำเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านพ่อคิดมาก ในใจเขาค่อนข้างเฝ้าคอย รอคอยวันที่จะได้เป็นหัวหน้าตระกูลอย่างแท้จริง เขาหลบอยู่ในที่มืดมานานหลายปีแล้ว…

…………………………

[1] ร้องเพลงเสียงสูงที่คนไม่นิยมฟัง 曲高和寡 อุปมาว่า อุปมาถึงอุดมการณ์สูงส่ง แนวคิดลึกล้ำเกินไป ทำให้ยากต่อการเข้าใจและไม่มีใครอยากฟัง

 

 มิบังอาจ มิบังอาจ  เชี่ยเซิงโบกมือซ้ำๆ  บ่าวก็แค่อธิบายความจริงให้ท่านอ๋องฟัง รู้สึกว่าท่านอ๋องหนิวคงไม่เลือกฝั่งเถิงเฟยจนบีบให้ท่านอ๋องกับประมุขชิงร่วมมือกัน แบบนี้ถึงจะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย! 

เหมียวอี้ลุกขึ้นช้าๆ เดินไปตรงหน้าเชี่ยเซิงทีละก้าว แล้วกล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า  ประมุขชิงนับเป็นก้นอะไรล่ะ! 

คำพูดจาบจ้วงเบื้องบนอย่างเปิดเผยแบบนี้ทำให้เชี่ยเซิงสีหน้าเปลี่ยนไปมาก

เหมียวอี้พูดต่อว่า  อ๋องผู้นี้ไม่ช่วยฝั่งไหนทั้งนั้น เจ้ากลับไปบอกเฉิงไท่เจ๋อ ว่าถ้าใครร่วมมือกับประมุขชิง ข้าก็จะโจมตีคนนั้น ถ้าข้าโจมตีใคร ฝ่ายอื่นก็จะร่วมมือกับข้าโจมตีคนนั้น ถ้าไม่เชื่อก็ให้เขาลองดู อ๋องผู้นี้ก็อยากจะเห็นนักว่าประมุขชิงจะช่วยเขาได้หรือไม่! 

เชี่ยเซิงสะอึกไปเลย รู้ว่าท่านนี้บ้าระห่ำ วันนี้ถึงได้รู้ว่าสมคำร่ำลือ พอคุยไม่ถูกคอกัน ก็เอ่ยคำพูดโจมตีออกมาทันที

พอตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นี้คำพูดของตัวเองยั่วโมโหอีกฝ่าย เชี่ยเซิงก็รีบขออภัย  ท่านอ๋องหนิว ท่านอย่าเข้าใจผิด บ่าวเองก็มีเจตนาดีเหมือนกัน ทั้งหวังดีต่อท่านอ๋องของตัวเอง และหวังดีต่อท่านอ๋องหนิวด้วย! 

เหมียวอี้เชิดหน้าเล็กน้อย แล้วเอ่ยคำเดียวว่า  ไสหัวไป! 

 ท่านอ๋องหนิว…  เชี่ยเซิงยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หยางเจาชิงก้าวขึ้นมายื่นมือขวางแล้ว  พี่เซี่ย เชิญ! 

ส่วนเหมียวอี้ก็หันตัวเดินก้าวยาวออกไป ไม่มีท่าทีว่าจะสนใจเขาอีก เดินไปที่โถงด้านหลังโดยตรง

 …  เชี่ยเซิงพูดไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินตามหยางเจาชิงออกไป

หยางเจาชิงก็ไว้หน้าเขาเช่นกัน ส่งเขาออกจากดาวอ๋องสวรรค์หนิวเสียเลย

ขณะลอยอยู่ในดาราจักร เชี่ยเซิงมองดาวเคราะห์ที่อยู่ใต้เท้า ถอนหายใจแล้วบอกว่าหยางเจาชิงว่า  ท่านอ๋องหนิวช่างเจ้าอารมณ์! 

หยางเจาชิงยิ้มบางๆ  ที่จริงท่านอ๋องคุยง่ายมาก จะแย่ก็ตรงที่พี่เซี่ยพี่เซี่ยไม่ควรพูดจาข่มขู่เหมือนมีเข็มซ่อนอยู่ในปุยฝ้ายอย่างนั้น ท่านเองก็ไม่คิดเสียบ้าง ท่านอ๋องของข้าเคยกลัวใครบ้างล่ะ ขนาดในปีนั้นที่ยังต่ำต้อยอยู่ก็ยังไม่กลัวอิ๋งจิ่วกวงกับฮ่าวเต๋อฟาง จุดจบเป็นยังไงล่ะ ตอนนี้ท่านอ้างประมุขชิงแล้วจะขู่ท่านอ๋องของข้าได้เหรอ? ถ้าท่านเคยได้ยินเรื่องท่านอ๋องของข้ามาก่อน ก็น่าจะรู้นะว่าท่านอ๋องของข้าไม่ชอบวิธีแข็งกร้าวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว! 

เชี่ยเซิงพยักหน้า  ใช่แล้วๆ ก็ข้าพูดผิดไป แต่จะว่าไปแล้ว ที่ข้าพูดก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกัน ถ้าท่านอ๋องหนิวช่วยเถิงเฟย จะต้องบีบให้ท่านอ๋องของข้าไปหาประมุขชิงแน่นอน แล้วประมุขชิงก็คงไม่นิ่งดูดายให้เถิงเฟยทำสำเร็จหรอก ด้วยความเดือดดาลของประมุขชิง จะต้องให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลบุกทัพใต้เพื่อข่มขู่ท่านอ๋องหนิวแน่นอน ต่อให้หลายอ๋องร่วมมือกันต่อต้าน แต่ฝั่งแดนสุขาวดีจะนิ่งดูดายได้เชียวหรือ? วุ่นวายจนสุดท้ายใครก็ไม่มีใครได้ประโยชน์ทั้งนั้น เพื่อให้เป็นผลดีต่อทุกคน หวังว่าพี่หยางจะโน้มน้าวท่านอ๋องหนิวมากๆ หน่อย! 

หยางเจาชิงบอกว่า  พี่เซี่ยคิดมากแล้ว เรื่องพวกนี้มีหรือที่ท่านอ๋องจะไม่รู้ ตอนนี้ท่านอ๋องของข้าไม่ได้มีท่าทีว่าจะยืนฝั่งไหน ท่านอ๋องเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าช่วงนี้ทหารเคลื่อนไหวกันเอิกเกริกมันเพราะอะไรกันแน่ เพียงแต่ภายใต้สถานการณ์ที่ผิดปกติแบบนี้ ท่านอ๋องก็ถูกบีบให้เคลื่อนย้ายกำลังพลเพื่อเตรียมพร้อมป้องกันเท่านั้นเอง พอไปถามอ๋องท่านอื่น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องอะไร เถิงเฟยเองก็ป่าวประกาศว่าโดนใส่ร้ายอย่างนั้น กลับเป็นฝั่งประมุขชิงที่น่าสงสัย เดี๋ยวพี่เซี่ยกลับไปก็ต้องโน้มน้าวอ๋องสวรรค์เฉิงมากๆ หน่อย อย่าให้ตกหลุมพรางประมุขชิงเด็ดขาด! 

เชี่ยเซิงไม่รู้ว่าท่านนี้พูดจาจริงเท็จกี่ส่วน ทำได้เพียงกล่าวตามมารยาทแล้วขอตัวลา นำกำลังพลที่ติดตามมาจากไปอย่างรวดเร็ว

พอวิ่งมาบ้านนี้เสร็จ ภารกิจของเขาในครั้งนี้ก็นับว่าเสร็จสิ้นแล้ว เพราะโค่วหลิงซวี ก่วงลิ่งกงและหนิวโหย่วเต๋อก็ไปหามาหมดแล้ว มอบของขวัญล้ำค่าให้ด้วยเช่นกัน คำพูดดีๆ ก็พูดไปหมดแล้ว แสดงความจริงใจไปแล้ว แน่นอนว่าจะมาขอร้องอีกฝ่ายอย่างเดียวก็ไม่ได้ คนที่ขึ้นมาอยู่ถึงตำแหน่งระดับนี้แล้ว มีหรือที่พูดดีๆ ด้วยแค่คำสองคำแล้วว่าหั่นไหวได้ ยิ่งเจ้าขอร้องอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าน่ารังแก ยิ่งกลั่นแกล้งเจ้าได้ง่าย ประเด็นคือตัวเจ้าเองก็ต้องมีความสามารถที่จะขู่ให้หยุดได้ด้วย ดังนั้นเขาก็เผยเส้นตายให้ทุกฝ่ายรู้แล้วด้วย ว่าอย่าบีบให้เฉิงไท่เจ๋อไปขอพึ่งพาประมุขชิง!

ส่วนฝั่งหนิวโหย่วเต๋อ ข้อด้อยโดยธรรมชาติอยู่ตรงนี้ นั่นก็คือมีทัพใหญ่แดนรัตติกาลจ่ออยู่ข้างหลัง เขาย่อมต้องเอ่ยถึงสักหน่อย

พอกลับมาที่จวนท่านอ๋อง หยางเจาชิงก็พาเหมียวอี้พบที่ศาลา

เหมียวอี้ยืนพิงระเบียง เอามือไขว้หลังทอดสายตามองไปไกล ถามเสียงเรียบว่า  ไปแล้วเหรอ? 

 ไปแล้วขอรับ  หยางเจาชิงเอ่ยรับ แล้วบอกอีกว่า  ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ อาจจะคุมเชิงต่อไป กองทัพองครักษ์ที่รวมตัวกันอาจจะไม่กล้าถอนกำลังจากฝั่งเฉิงไท่เจ๋อได้ง่ายๆ กลัวว่าเถิงเฟยจะลงมือกะทันหัน เถิงเฟยก็ไม่กล้าผ่อนปรนเช่นกัน กลัวว่าเฉิงไท่เจ๋อก็ฉวยโอกาสพุ่งสุดตัว อ๋องท่านอื่นก็ไม่กล้าเรียกกำลังพลกลับมาเช่นกัน ล้วนกำลังป้องกันประมุขชิง 

เหมียวอี้กล่าวอย่างใจเย็นว่า  ถ่วงเวลาต่อไป ถ่วงเวลาต่อไปตลอดก็ยิ่งดี ที่ข้าต้องการก็คือผลลัพธ์นี้ ดึงความสนใจของทุกคนไว้ที่ทัพตะวันออก ถึงจะให้ฝั่งหยางชิ่งทำงานได้สะดวก ประมุขชิงจะได้ไม่เอาแต่คิดจะเล่นงานข้า แบบนี้ถ้าข้ายังไม่กลับแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็จะไม่ทำให้ประมุขชิงสงสัย…ส่วนกำลังพลฝั่งแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ในเมื่อส่งเข้าปากอ๋องผู้นี้แล้ว ข้าก็ต้องกลืนลงไป ไม่ใช่เพื่ออะไรหรอก ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากขนาดนั้นคืออาวุธสำเร็จรูปชั้นดี! ในมือทัพใหญ่แดนรัตติกาลยังมีอีกห้าสิบล้านคัน เมื่อต้องการผลงานที่ดี ก็ต้องลับเครื่องมือให้คม… 

จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ชิงหยวนจุนที่ลาดตระเวนอยู่ด้านนอกรอบหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า เดินก้าวยาวกลับเข้ามาในจวนผู้สำเร็จราชการ

เขาเองก็นับว่ามุมานะบากบั่นเช่นกัน โดยทั่วไปจะลาดตระเวนจุดที่แดนรัตติกาลตั้งประจำการด้วยตัวเองทุกเดือน พยายามเลิกวางมาดเป็นโอรสสวรรค์ กระตือรือร้นผ๔กสัมพันธ์กับคนเบื้องล่าง ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็เหมือนจะไม่มีอะไร ตั้งแต่เขามารักษาการณ์เอง ตึกศาลาสัตยพรตของตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่กลั่นแกล้งเขาอีก รู้ว่าเขาคือลูกชายของราชันสวรรค์ กอปรกับทัพใหญ่แดนรัตติกาลกลุ่มนี้ถูกดึงมาจากกองทัพองครักษ์โดยตรง อาวุธครบครัน ไม่ค่อยมีใครกล้าก่อเรื่องในอาณาเขตของเขา คลื่นลมสงบนิ่ง ทำให้เขาไม่มีเรื่องอะไรต้องทำจริงๆ

เดินเข้ามาถึงประตูเรือนด้านในจวนผู้สำเร็จราชการ ทหารอารักขาที่ตามมาก็แยกย้ายกันไป ชำเลืองมองทหารยามคนหนึ่งที่อยู่หน้าประตูใหญ่ของเรือน อีกฝ่ายส่งสายตาให้เขา จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ

สาวใช้สองคนเข้ามาต้อนรับ ชิงหยวนจุนโบกมือบอกใบ้ให้ถอยออกไป  ให้ข้าอยู่เงียบๆ คนเดียว 

 ค่ะ!  สาวใช้สองคนเอ่ยรับแล้วจากไป

เดินไปเดินมาอยู่เพียงลำพังในเขตเรือนขนาดใหญ่ ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ชิงหยวนจุนสังเกตไปรอบรอบๆ แล้วเข้ามาอยู่ในห้องเล็กที่ลับตาคนเงียบๆ

ภายในห้อง บุรุษคนหนึ่งที่สวมหน้ากากยืนขึ้น เป็นหยางชิ่งนั่นเอง แต่เปลี่ยนหน้ากากบนใบหน้าใหม่แล้ว เขากุมหมัดทำความเคารพ  คารวะองค์ชาย! 

การปะปนเข้ามาครั้งนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะแทรกซึมอยู่ในทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาหลายปีแล้ว ก็เข้าไปไม่ได้เลย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เพื่อความระมัดระวังตัว เขายังสิ้นเปลืองเวลาไปไม่น้อยกว่าจะปะปนเข้ามาได้

ชิงหยวนจุนมองประเมินเขาศีรษะจดเท้า แล้วถามว่า  เจ้าเป็นใคร?  นี่ก็คือสัญญาณละที่คำนึงถึงความปลอดภัยไว้ก่อน

 หยางชิ่ง!  หยางชิ่งตอบพร้อมรอยยิ้ม

ชิงหยวนจุนถอนหายใจ หัวใจที่กังวลผ่อนคลายลงแล้ว ไม่กังวลไม่ได้หรอก เพราะสำหรับเขา ทุกที่ล้วนมีหูตาของเสด็จพ่อ ยามปกติล้วนทำเรื่องต่างๆอย่างระมัดระวัง มิหนำซ้ำนี่ยังเป็นการติดต่อกับคนของหนิวโหย่วเต๋อในช่วงเวลาที่เปราะบาง

เขาไม่ได้มีความทรงจำอะไรกับหยางชิ่ง เพราะก่อนที่เขาจะเกิด หยางชิ่งก็หายตัวไปจากข้างกายเหมียวอี้แล้ว ได้ยินเพียงว่าข้างกายเหมียวอี้เคยมีลูกน้องคนสนิทคนนี้อยู่ด้วย ส่วนโฉมหน้าที่แท้จริงเป็นอย่างไรก็ไม่เคยเห็นเลย

และสาเหตุที่หนิวโหย่วเต๋อส่งหยางชิ่งมา ก็เป็นเพราะหนิวโหย่วเต๋อได้ยินเสด็จแม่ของตัวเองระบายทุกข์ ถึงได้ตัดสินใจส่งคนมาช่วยตนข้ามผ่านวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้น

แค่ส่งคนมาคนเดียวก็จะช่วยตนข้ามผ่านวิกฤตได้อย่างนั้นเหรอ? ชิงหยวนจุนรู้สึกสงสัยกับสิ่งนี้ แต่เหมียวอี้บอกเขาว่า คนผู้นี้คือเสนาธิการของเขา คนเดียวก็เท่ากับกำลังพลนับแสนนับล้าน

เมื่อเห็นว่าเขาไม่เชื่อ เหมียวอี้ก็บอกเขาอีกว่า ที่โค่นล้มฮ่าวเต๋อฟางได้ ก็เป็นคนผู้นี้ที่วางแผนเองกับมือ และการที่เหมียวอี้ผงาดขึ้นมาตลอดทางจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็ล้วนเป็นคนผู้นี้ที่วางแผนให้ ถ้าไม่ใช่เพราะราชินีสวรรค์ไประบายความทุกข์ให้ฟัง เห็นเหนียงเหนียงกับองค์ชายตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากขณะนี้ เขาก็ไม่มีทางยอมเปิดโปงคนผู้นี้และส่งมาเสี่ยงอันตรายที่นี่หรอก

ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ชิงหยวนจุนอาจจะไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลของเหมียวอี้ แต่เหมียวอี้ช่วยเหลือมาหลายปีขนาดนี้โดยไม่ขออะไรตอบแทน ทรัพยากรที่ให้เขาก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ทำอย่างนี้หลายปีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนอะไร แม้จะรักษาระยะห่างต่อกัน แต่กลับแอบสนับสนุนเขาเงียบๆ หินก้อนหนึ่งก็ถูกคลุมจนร้อนได้เหมือนกัน

ในปีนั้นทัพใต้เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ใต้หล้าสั่นสะเทือน หลังเกิดเรื่องชิงหยวนจุนย่อมศึกษาวิธีการที่เหมียวอี้โค้นล้มฮ่าวเต๋อฟางอย่างละเอียด แม้ปากจะไม่ยอมรับ แต่ในใจกลับทึ่งมาก ทึ่งในวิธีการที่เหมือนคว่ำเมฆพลิกฝนของเหมียวอี้ ทอดถอนใจที่ตัวเองเทียบไม่ติด ผลปรากฏว่าผ่านไปตั้งนาน ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อมีลูกน้องที่มีสติปัญญาเยี่ยมยอดแบบนี้คอยช่วยเหลือ!

เขายืนตระหง่านมั่นคงที่แดนรัตติกาลมาจนถึงทุกวันนี้ ตลอดมาข้างกายเหมือนไม่มีใครเลย ว่ากันว่าชายชาตรีมีผู้ช่วยสามคน คิดว่าสิ่งที่ตัวเองขาดก็คือคนมีฝีมือที่จะช่วยวางแผนอยู่ข้างกายตัวเอง ดังนั้นจึงไม่สามารถแสดงความสามารถได้ นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะส่งคนอย่างนี้มาให้ เรียกได้ว่าเป็นฝนในฤดูแล้งอันยาวนานจริงๆ ทำให้เขาซาบซึ้งใจไม่หยุด

เขารายงานสถานการณ์ให้เสด็จแม่ทราบ หลังจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ฟังแล้วก็ใจสั่นไม่หยุด บอกว่าในเมื่อคนผู้นี้มีความสามารถแบบนี้ ก็เป็นผู้มีความรู้และคุณธรรม ควรลดฐานะตัวเอง ต้องคิดหาทางดึงเอามาเป็นพวกให้ได้ รับเอาไว้ใช้งานเอง อย่าไปวางมาดเป็นโอรสสวรรค์ต่อหน้าอีกฝ่ายเด็ดขาด!

สองแม่ลูกต่างก็รู้ถึงข้อเสียของตัวเอง มันก็คือข้างกายขาดคนฉลาดคอยชี้แนะ ถึงได้ถูกคนอื่นบงการอย่างโง่เง่ามาตลอด แต่นี่ก็คือสิ่งที่ไม่มีทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นประมุขชิงหรือตระกูลเซี่ยโห้วก็ล้วนไม่ให้โอกาสพวกเขารับคนที่มีความสามารถเข้ามาทำงานด้วย

ระหว่างทางที่มาที่นี่ เมื่อรู้ว่าผู้มีฝีมือมาถึงแล้ว ในใจชิงหยวนจุนก็ตื่นเต้นดีใจสุดๆ รู้สึกได้รางๆ ว่าโอกาสที่ตัวเองจะได้ปล่อยหมัดปล่อยเท้ามาถึงแล้ว จึงรีบร้อนอยากมาเจอ แต่ก็ไม่กล้าแสดงพิรุธอะไรให้ภายนอกเห็น

ในที่สุดก็ได้พบกันแล้ว ชิงหยวนจุนพยายามข่มสีหน้าอารมณ์ตื่นเต้นของตัวเองเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายดูถูก กล่าวว่า  ตรงนี้ไม่ใช่สถานที่พูดคุยกัน เกรงว่าต้องทำให้ท่านบุรุษลำบากแล้ว 

 เข้าใจ!  หยางชิ่งพยักหน้า ปล่อยให้ฝ่ายเก็บตัวเองเข้าในกระเป๋าสัตว์

จากนั้นชิงหยวนจุนก็ออกมาจากห้องนี้ แล้วมุ่งตรงไปยังห้องสมาธิของตัวเอง ที่ต้องระมัดระวังขนาดนี้ก็เพราะไม่มีทางเลือก ที่พูดในนี้ก็เพราะกลัวคนอื่นได้ยิน ถ้าจะถ่ายทอดเสียงคุยกันก็กลัวว่าจะมีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ จะมีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ก็เป็นเรื่องปกติ

และสาเหตุที่หยางชิ่งหลบมาอยู่ที่นี่ชั่วคราว ก็เป็นเพราะคนที่ส่งตัวเองเข้ามาส่งเข้ามาได้แค่ในห้องนี้ เข้าไปยังสถานที่ส่วนตัวของชิงหยวนจุนไม่ได้

ก่อนจะมาถึงห้องสมาธิ ก็กำชับหญิงรับใช้ไว้แล้วว ว่าถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามมารบกวนเขาฝึกตน จากนั้นก็เข้าไปในห้องที่ปิดประตูสนิท

พอเข้ามาในห้องสมาธิแล้ว ชิงหยวนจุนก็ปล่อยหยางชิ่งออกมาอีก แล้วถ่ายทอดเสียงถามด้วยรอยยิ้ม  อย่าบอกนะว่าท่านบุรุษไม่เตรียมจะเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้เห็นสักหน่อย? 

 ในเมื่อเป็นคำสั่งองค์ชาย ก็มิอาจไม่เชื่อฟัง!  หยางชิ่งโค้งตัวเอ่ยรับ ยกมือขึ้นถอดหน้ากากบนใบหน้า เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาแล้ว

เวลาลึกล้ำ ใบหน้าซูบผอม จอนผมสองข้างเป็นสีขาว ลักษณะบนใบหน้าแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นคนประเภทมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ชิงหยวนจุนแอบดีใจ แต่กลับไม่รู้ว่าคนพูดนี้มีความสามารถจริงหรือเปล่า แอบเกิดความคิดอยากทดสอบ จึงถามหยั่งเชิงว่า  ด้วยสถานการณ์ของใต้หล้าตอนนี้ ไม่ทราบว่าท่านบุรุษมีความคิดเห็นอย่างไร? 

……………

 

พอได้ปรึกษาเรื่องนี้กันนิดหน่อย เหมียวอี้ก็ออกไปแล้ว เหลือเพียงหยางเจาชิงกับหยางชิ่งที่กำลังปรึกษากันเรื่องที่จะไปจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล

ไปส่งเหมียวอี้แล้วกลับมา หยางชิ่งก็บอกหยางเจาชิงว่า  ท่านอ๋องอารมณ์หดหู่ เหมือนมีเรื่องในใจอะไรสักอย่าง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?  จากสีหน้าที่นิ่งเฉยเหมือนน้ำไร้คลื่นของเหมียวอี้ตอนวิจารณ์และคาดการณ์เรื่องราว เขาก็สังเกตเห็นอะไรแล้วนิดหน่อย งานใหญ่กำลังจะมาถึง ปกติแล้วเหมียวอี้จะไม่อารมณ์ตกต่ำขนาดนี้

หยางเจาชิงส่ายหน้า  ข้าเองก็รู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรในใจ 

หยางชิ่งแค่ถือโอกาสถามไปอย่างนั้น เมื่อไม่ได้คำตอบก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก หลังจากวางแผนกับหยางเจาชิงเรื่องออกไปข้างนอกอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว เขาก็ออกไปเงียบๆ ทันที ไม่ได้รบกวนใครทั้งนั้น ไม่ได้พาชิงจวี๋ไปด้วย ออกไปเพียงลำพัง หยางเจาชิงเตรียมคนคุ้มกันส่งอยู่ข้างนอก…

จวนอ๋องสวรรค์เฉิง

เพี้ยะ! เสียงตบหน้าดังชัดเจน จู่ๆ เฉิงไท่เจ๋อก็หันตัวมาตบหน้าผู้หญิงที่อยู่ข้างกาย แล้วตะคอกว่า  ไสหัวไป! 

ตอนนี้เขากำลังหนักใจ อนุภรรยาคนหนึ่งมาเกาะแกะเขาไม่เลิกเพราะหวังจะได้รับความโปรดปราน ตอนแรกเขาพูดๆ ว่าไม่ให้นางทำตัววุ่นวาย ผลปรากฏว่าอนุภรรยาคนนี้กลับกระเง้ากระงอดไม่หยุด ในที่สุดก็ยั่วโมโหเฉิงไท่เจ๋อแล้ว

สตรีงามเลิศล้ำที่โดนตบจนโซเซถอยออกไปเอามือปิดหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องชอบให้นางทำแบบนี้มาก วันนี้เป็นอะไรไปแล้ว? เมื่อเห็นเฉิงไท่เจ๋อถลึงตาจ้องมาอย่างดุร้าย ในที่สุดผู้หญิงคนนี้ก็กลัวแล้ว รีบก้มหน้าถอยออกไปแล้ว

เฉิงไท่เจ๋อไม่ได้สนใจนาง เอาสองมือไขว้หลัง แล้วเดินไปเดินมาอยู่ในสวนดอกไม้ต่อไป ตรงหว่างคิ้วเจือความกังวล

ทางวังสวรรค์ส่งข่าวมาเตือนแล้ว บอกใบ้ว่าเถิงเฟยมีท่าทีว่าจะลงมือฮุบอาณาเขตของเขาแล้ว ให้เขาเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ เถิงเฟยอยากจะฮุบอาณาเขตเขา เขาอยากจะฮุบอาณาเขตเถิงเฟย สำหรับคนบางพวก นี่คือความลับที่ถูกเปิดเผยแล้ว ไม่พอให้แปลกใจ เพียงแต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็หาโอกาสเหมาะสมลงมือไม่ได้ก็เท่านั้นเอง ที่สำคัญคือทั้งสองฝ่ายมีกำลังสูสีกัน ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากอำนาจภายนอก จะให้สู้กันเอาเป็นเอาตายก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้ากำลังพลรบกันจนเสียหาย กำจัดอีกฝ่ายไปแล้วก็ควบคุมอาณาเขตทัพตะวันออกไม่ได้อยู่ดี

ข่าวลือจากวังสวรรค์จะจริงหรือเท็จเขาก็ไม่รู้ แต่จู่ๆ วังสวรรค์พูดมาอย่างนี้ จะต้องมีเหตุผลแน่นอน ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก่อเรื่องใหญ่ที่พระตำหนักอุทยานเพราะอะไรกันแน่ ทางฝั่งนี้ยังครุ่นคิดหาคำตอบอยู่เลย แม้คนทางบ้านพักที่อุทยานหลวงจะได้ยินความเคลื่อนไหว แต่กลับไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ และสำหรับคนระดับอย่างพวกเขา เรื่องที่เกิดขึ้นในบางพื้นที่ก็ไม่อาจมองเป็นเรื่องธรรมดาได้ง่ายๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าเบื้องหลังอาจจะมีสาเหตุที่ต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ

กอปรกับตอนหลังมีข่าวส่งมาจากวังหลัง ไม่รู้ว่าสนมลี่อะไรนั่นทำผิดอะไร เหมือนจะตายแล้ว!

และพอสืบดูเบื้องหลังของสนมลี่ ก็รู้ว่าเป็นคนของเถิงเฟย ยิ่งทำให้ใจเขาเกิดความตื่นตัว ยิ่งรู้สึกว่าคำเตือนจากฝั่งวังสวรรค์ไม่ใช่การยิ่งธนูโดยไร้เป้า

ปัญหาที่ร้ายแรงมากมาจ่ออยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้าเถิงเฟยต้องการจะลงมือจริงๆ เช่นนั้นก็แสดงว่าเถิงเฟยได้รับการสนับสนุนจากอำนาจฝ่ายอื่นแล้ว แสดงว่าอำนาจที่เหลือล้วนสนับสนุนให้เถิงเฟยฮุบอาณาเขตของเขา ไม่อย่างนั้นเถิงเฟยคงไม่กล้าทำซี้ซั้ว

พอนึกถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกกดดันมาก แต่ดูจากความเคลื่อนไหวทางฝั่งเถิงเฟย เหมือนทุกอย่างยังเป็นปกติ ไม่มีเค้าว่าจะเคลื่อนย้ายกำลังพลเลย ถามหน่อยว่าคนที่ต้องการจะฮุบอาณาเขตของอีกฝ่าย จะไม่จับตาดูการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอยู่ตลอดได้อย่างไร

รู้สึกหนักอึ้งในใจ หันกลับมาถามเชี่ยเซิง พ่อบ้านที่เดินตามหลังมา  เรื่องนี้เจ้าคิดว่ายังไง? 

ตรงหว่างคิ้วเชี่ยเซิงก็เจือด้วยความกังวลเช่นกัน กำลังไตร่ตรองเรื่องนี้มาตลอด พอได้ยินคำถามก็ตอบช้าๆ ว่า  เถิงเฟยจะต้องมีความคิดนี้แน่นอน แต่ดูเหมือนเถิงเฟยไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ไม่รู้ว่าหมายความว่ายังไง แต่ทางวังสวรรค์คงจะไม่พูดมั่ว ตอนนี้สถานการณ์ของทัพตะวันออกคือสิ่งที่วังสวรรค์ยินดีจะเห็น วังสวรรค์ไม่จำเป็นต้องสร้างสถานการณ์วุ่นวายให้ทัพตะวันออกเพื่อสร้างปัญหาให้ตัวเอง และหลายปีมานี้หลายฝ่ายก็ไม่ได้ตัดสินใจเลือก ไม่รู้ว่าควรเลือกท่านอ๋องหรือเลือกเถิงเฟย และสร้างความกดดันให้วังสวรรค์เช่นกัน ทำไมจู่ๆ เปลี่ยนท่าทีมายืนอยู่ตรงกลางแล้วล่ะ? 

เฉิงไท่เจ๋อถอนหายใจ  มีอ่านไม่ป้องกัน! 

 เกรงว่าต้องไปหยั่งเชิงพวกเขาแบบต่อหน้า หรือไม่ก็ปลอบโยน อย่างน้อยก็ต้องคิดหาทางทำให้พวกเขาเสมอ บ่าวยินดีจะไปสักรอบขอรับ  เชี่ยเซิงกล่าว

หลังจากเฉิงไท่เจ๋อครุ่นคิดพักหนึ่ง ก็พยักหน้าบอกว่า  ตอนนี้ก็ทำได้เพียงเท่านี้… 

ความเคลื่อนไหวที่พระตำหนักอุทยาน การตายของสนมลี่ ความเคลื่อนไหวของเฉิงไท่เจ๋อ การเคลื่อนย้ายกำลังพลของกองทัพองครักษ์ ความเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องดึงดูดให้อำนาจแต่ละฝ่ายตื่นตัวอย่างสูง

สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น เถิงเฟยเริ่มเคลื่อนย้ายกำลังพลแล้ว วางรูปแบบสถานการณ์เตรียมป้องกัน เถิงเฟยใช้สถานะผู้อ่อนแอที่โดนกดดันเพื่อขอการสนับสนุนจากทัพใต้ ทัพตะวันตก ทัพเหนือ ขณะเดียวกันก็ทวงถามความยุติธรรมต่อวังสวรรค์ ถามว่าตำหนักสวรรค์ให้กองทัพองครักษ์ให้ความร่วมมือกับกำลังพลของเฉิงไท่เจ๋อ หมายความว่าอย่างไร?

จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม ซ่างกวนชิงกับเฉาหม่านกำลังเจรจากันยาวนานอยู่ใต้ต้นไม้โบราณสูงราคา ทุกคำพูดล้วนกำลังเตือน เตือนว่าตระกูลเซี่ยโห้วอย่าทำซี้ซั้ว ขีดเส้นตายของประมุขชิงแล้ว ไม่อนุญาตให้เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อรวมกำลังพลกันเด็ดขาด!

เมื่อได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในเขตทัพตะวันออก ทำให้ทัพใต้ ทัพตะวันตกและทัพเหนือก็ต้องสร้างมาตรการเตรียมป้องกันเช่นกัน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเหมือนว่าประมุขชิงกำลังร่วมมือกับเฉิงไท่เจ๋อเพื่อก่อเรื่อง

ชั่วขณะนั้นกำลังพลในใต้หล้ามีการโยกย้ายทั่วทุกพื้นที่ แต่กลับไม่บุกสักที ไม่เหมือนที่ล้อมปราบอิ๋งจิ่วกวงในปีนั้น นั่นคือการจู่โจมครั้งเดียวที่รวดเร็วรุนแรงปานสายฟ้า รอจนกระทั่งคนในใต้หล้ารู้ตัว เรื่องราวก็จบลงแล้ว ตอนนี้ทัพใหญ่แต่ละฝ่ายกำลังคุมเชิงกันข่มขู่กัน ทำท่าเหมือนกำลังจะเกิดศึกใหญ่ กลับทำให้คนในใต้หล้าหวาดหวั่นได้ง่าย

เมื่อเกิดสถานการณ์อย่างนี้ขึ้นมา ผู้คนที่กลัวว่าจะลำบากไปด้วยเพราะสงคราม สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือหลีกภัยอันตราย ซ่อนได้ก็ซ่อนหลบได้ก็หลบ ก่อนที่จะซ่อนตัวก็ต้องซื้อทรัพยากรจำนวนมากอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ราคาสินค้าในแต่ละพื้นที่พุ่งสูงขึ้นทันที เกิดเหตุการณ์แย่งซื้อสินค้าทุกหย่อมหญ้า ต่อให้แย่งซื้อก็อาจแย่งไม่สำเร็จ ตลาดสวรรค์แต่ละแห่งเงียบเชียบ ร้านค้ากลัวว่าจะได้รับผลกระทบไปด้วย ทยอยกันปิดร้านซ่อนตัวแล้ว

ตลาดสวรรค์ที่เคยคึกคักเปลี่ยนเป็นซบเซา ทหารที่เฝ้าประตูเมืองก็หวั่นใจเช่นกัน

แต่ละสำนักในใต้หล้าเริ่มเรียกรวมลูกศิษย์ ทั้งสำนักทยอยกันซ่อนตัว

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่อยู่ในโถงหลักนั่งอย่างสง่าภูมิฐาน ใบหน้าตึงนิ่ง กำลังฟังเชี่ยเซิงที่กำลังชี้แจงอยู่ตรงหน้า

สถานการณ์ในใต้หล้าเปลี่ยนแปลงกะทันหันอย่างนี้ ทำให้โค่วหลิงซวีทำอะไรไม่ถูกนิดหน่อย เพราะก่อนเกิดเรื่องไม่มีเค้าลางเลย จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่

จนกระทั่งเชี่ยเซิงพูดจบ โค่วหลิงซวีก็กล่าวเสียงเย็นว่า  พูดมากขนาดนั้นก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่ข้าเห็นก็คือเฉิงไท่เจ๋อกับประมุขชิงสมคบกัน นำกำลังพลไปขุ่มขู่เถิงเฟยก่อน เถิงเฟยถูกกดดันจนต้องเตรียมป้องกัน ขอความช่วยเหลือไปทั่วแล้ว! 

เชี่ยเซิงกุมหมัดคารวะ  ท่านอ๋องโค่ว ความจริงไม่ใช่อย่างนี้แน่นอน ท่านอ๋องขอบข้าได้รับคำเตือนจากวังสวรรค์ บอกว่าเถิงเฟยคิดจะฮุบอาณาเขต ถึงต้องเตรียมตัวอย่างนี้ 

โค่วหลิงซวีบอกว่า  ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล ที่เขาพูดก็มีเหตุผล ที่มากกว่านั้นข้าไม่สนใจ เจ้าแค่ต้องบอกสิ่งหนึ่งให้เฉิงไท่เจ๋อรู้ ว่าสาเหตุที่กำลังพลสี่สายเหนือใต้ออกตกคานอำนาจกับวังสวรรค์มาได้หลายปีขนาดนี้ ก็เพราะสามัคคีปรองดอง ถ้าภายในมีคนกล้าสมคบกับวังสวรรค์เพื่อทำลายความสมดุลนี้ เกิดอันตรายมาถึงพวกเรา พวกเราที่เหลือก็ไม่นิ่งดูดายเด็ดขาด! 

เชี่ยเซิงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน  ท่านอ๋องโค่ว จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ท่านอ๋องของข้าจะไม่เข้าใจหลักการไม้แท่งเดียวคานลำบากเชียวหรือ? ถ้าคนอื่นล้มแล้ว เกรงว่าคนแรกที่ประมุขชิงจะเลี้ยวมาจัดการก็คือท่านอ๋องของข้า ท่านอ๋องของข้าจะทำเรื่องโง่ขนาดนั้นได้ยังไง? แต่ถ้ามีคนบีบให้ท่านอ๋องของข้าจนตรอกจริงๆ ท่านอ๋องของข้าก็ทำได้เพียงขอความช่วยเหลือเพื่อปกป้องตัวเอง! 

นี่ก็คือจุดที่โค่วหลิงซวีสงสัย แต่ในคำพูดกลับเต็มไปด้วยการขู่เตือน  ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น เจ้าไปบอกเฉิงไท่เจ๋อ ว่าข้าไม่ได้เลือกสนับสนุนเถิงเฟย ทางที่ดีเขาก็อย่าบีบข้าให้สนับสนุนเถิงเฟยเหมือนกัน! 

คำนับอ๋องสวรรค์โค่วแล้ว เชี่ยเซิงก็รีบร้อนจากไป ไปหาก่วงลิ่งกงต่อ ทว่าคำตอบที่ได้รับต้นเหมือนกับโค่วหลิงซวี ต่างก็บอกว่าไม่ได้สนับสนุนเถิงเฟย และกำลังเตือนเฉิงไท่เจ๋อไม่ให้ทำซี้ซั้วเช่นกัน…

สำหรับสถานการณ์โดยทั่วไป หยางชิ่งมักจะมาหาซูอวิ้นบ่อยๆ คำว่าครั้งนี้กลับไม่เห็นหยางชิ่งมาหลายวันแล้ว

ขณะเดินไปเดินมาอยู่ไหนลานบ้าน ซูอวิ้นชำเลืองมองสาวใช้สองคนที่อยู่ไม่ไกลเป็นระยะ อยากจะถามว่าหยางชิ่งได้มาที่นี่หรือเปล่า ถูกพวกนางกันไว้หรือเปล่า ทว่านางถามคำถามนี้ไม่ออก ถ้าถามออกไปก็จะดูเหมือนตัวเองคิดถึงคนคนนั้น ในความเป็นจริง การที่จู่ๆ หยางชิ่งไม่มาหานาง นางก็เริ่มไม่ชินสักเท่าไหร่ แต่เหตุผลที่นางให้ไว้กับตัวเองก็คือ เป็นเพราะความเคลื่อนไหวข้างนอกช่วงนี้หรือเปล่า?

ด้วยเหตุนี้ นางจึงออกจากเขตเรือนของตัวเองมาเดินเล่นข้างนอก จงใจจะเดินผ่านเขตเรือนของหยางชิ่ง สายตาชำเลืองมองเล็กน้อย เมื่อไม่เห็นว่าในเขตเรือนของหยางชิ่งมีความเคลื่อนไหวอะไร ก็อยากจะไปดูสักหน่อย คนข้างนอกกำลังหวาดหวั่น ศึกใหญ่กำลังจะปะทุ นางเองก็อยากจะสืบข่าวจากหยางชิ่งเช่นกัน แต่ดูจากการกระทำแล้ว กลับไม่มีท่าทีว่าจะเข้าไปในเรือนของหยางชิ่ง สุดท้ายก็เดินอ้อมรอบเดียว มาหาอวิ๋นจือชิวที่เรือนหลักของจวนท่านอ๋อง

ตอนที่เจออวิ๋นจือชิวในสวนดอกไม้ ก็เห็นสาวงามมีเสน่ห์นับร้อยกำลังยืนเรียงแถวอย่างระมัดระวัง ซูอวิ้นที่เดินผ่านด้านข้างพบว่าผู้หญิงกลุ่มนี้แต่ละคนหน้าตางดงามไม่ธรรมดา ล้วนเป็นประเภทยอดหญิงงาม เห็นได้ชัดว่าผ่านการคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถัน อดไม่ได้ที่จะมองสองที ไม่รู้ว่าอวิ๋นจือชิวพาสาวงามเหล่านี้มาหมายความว่าอย่างไร

อวิ๋นจือชิวนั่งอยู่ในศาลา ในมือกำลังเล่นกำไลเก็บสมบัติหลายวง ไม่รู้ว่ากำลังตรวจสอบอะไรอยู่

หลังจากซูอวิ้นเข้ามาทำความเคารพ ก็อดไม่ได้ที่จะมองกลุ่มสาวงามข้างนอกพร้อมถามว่า  เหนียงเหนียง นี่คือ? 

อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม โบกเรือกำไลเก็บสมบัติในมือพลางตอบว่า  เชี่ยเซิง พ่อบ้านของเฉิงไท่เจ๋อมาแล้ว กำลังคุยอยู่กับท่านอ๋อง พวกนี้ล้วนเป็นของขวัญที่มอบให้ท่านอ๋อง ใจกว้างมากจริงๆ พอควักทีหนึ่งก็ให้ยอดหญิงงามมานับร้อย! 

ซูอวิ้นขานรับ เข้าใจแล้ว กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า  วิธีการนี้ของเฉิงไท่เจ๋อทำให้คนไม่เข้าใจจริงๆ ฝั่งหนึ่งก็ร่วมมือกับกองทัพองครักษ์ ฝั่งนึงก็ส่งของขวัญให้ท่านอ๋อง 

อวิ๋นจือชิวฟังออกถึงความหมายล้ำลึกในคำพูดของนางแล้ว หันตัวมากล่าวกับนางด้วยรอยยิ้มสดใสว่า  ข้าว่าหยางชิ่งก็โดดเดี่ยวเดียวดายมากเหมือนกัน เจ้าก็ไม่สนใจเขา ข้าเตรียมจะแบ่งบางส่วนมอบเป็นรางวัลให้เขาพอดี ไม่สู้เลือกสักสิบคนส่งให้หยางชิ่ง เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง? 

ซูอวิ้นยิ้มไม่ออกทันที หลุบตาลงพร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า  เขาจะเอาหรือไม่เอาก็เป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับข้า  พอเหลือบสายตาขึ้น ก็เห็นอวิ๋นจือชิวจ้องตัวเองไม่รับสายตา นางถูกจ้องจนรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว…

 ท่านอ๋องหนิว ท่านอ๋องของข้าไม่ได้มีเจตนาจะร่วมมือกับประมุขชิงจริงๆ ขอเพียงเถิงเฟยไม่ทำซี้ซั้ว ท่านอ๋องของข้าก็ไม่ร่วมมือกับกองทัพองครักษ์สู้กับเขาแน่นอน ตอนนี้ท่านอ๋องของข้ากังวลว่าท่านอ๋องท่านอื่นจะทำข้อตกลงลับอะไรกันที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อท่านอ๋องของข้า! แต่ข้าก็โน้มน้าวท่านอ๋องของข้าเหมือนกัน บอกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ ยกตัวอย่างเช่นข้างหลังท่านอ๋องหนิวยังมีทัพใหญ่แดนรัตติกาล ถ้าท่านอ๋องหนิวทำอย่างนี้แล้ว จะต้องทำให้ประมุขชิงไม่พอใจแน่นอน ถ้าประมุขชิงออกคำสั่งคำเดียว ทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะต้องออกจากแดนรัตติกาลและทำสิ่งไม่ดีต่อท่านอ๋องหนิวแน่ๆ ถึงตอนนั้นในอาณาเขตทัพใต้จะวุ่นวายใหญ่โต ไม่เป็นผลดีอะไรต่อท่านอ๋องหนิวเช่นกัน! 

ในโถงหลัก เชี่ยเซิงที่พูดจาฉะฉานทำท่าเหมือนถามว่าเจ้าเห็นด้วยหรือไม่

เหมียวอี้ที่นั่งสง่าอยู่ข้างบนแสยะยิ้ม  เจ้ากำลังขู่อ๋องผู้นี้เหรอ? 

………………

 

แค่คิดก็รู้แล้วว่าคำพูดที่มาจากปากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่แฝงความอัปยศอดสูขนาดไหน ทำให้ชิงหยวนจุนรู้สึกสะเทือนใจโดยตรง ถึงขั้นรู้สึกมากกว่าอีกเท่าตัว มารดาได้รับความอัปยศใหญ่หลวงขณะนี้ ตัวเองในฐานะที่เป็นลูกชายกลับไร้ความสามารถจะช่วยเหลือ ความรู้สึกอัปยศและคับแค้นในใจแผ่ซ่านออกมาจากทุกรูขุมขน

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : หยวนจุน จำไว้นะ สิ่งที่ควรพยายามช่วงชิงก็ต้องช่วงชิงมา ถ้าเพ้อฝันมากไม่ได้ ก็ปกป้องชีวิตตัวเองไว้ก่อน สำหรับฝ่าบาท แม่ไม่มีความหวังใดๆ แล้ว!

สิ่งที่นางพูดย่อมหมายถึงตำแหน่งราชันสวรรค์

ชิงหยวนจุนเก็บกดความทุกข์ในใจจนรู้สึกทรมาน : เสด็จแม่ ท่านมาหาเขาเถอะ อย่ารับความทรมานอยู่ในวังอีกเลย!

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : ข้าไม่ไป! ถ้าข้าไปแล้ว นางแพศยานั่นจะไม่ได้ประโยชน์หรอกหรือ ตราบใดที่ข้ายังอยู่ นางก็ต้องอยู่ที่ตำหนักเย็น ถ้าข้าทรมาน นางก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้อยู่อย่างสบายดี!

ชิงหยวนจุน : เสด็จแม่ นางนับเป็นสิ่งใดกัน จะนำมาพูดเปรียบเทียบกับท่านได้ยังไง ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับนาง ท่านมาที่นี่เถอะ ที่นี่ไม่มีใครกล้าไม่เกรงใจท่านหรอก!

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : หยวนจุน สถานะอย่างข้าจะไปอยู่ที่ไหนได้! ถ้าข้าไปหาเจ้าแล้ว ฝ่าบาทจะคิดยังไง? มีแต่จะทำร้ายเจ้านะ! ไปหาเจ้าแล้วจะยังไงต่อล่ะ ทางฝั่งเจ้าฝ่าบาทก็มีอำนาจตัดสินใจเหมือนกัน ไม่มีประโยชน์ แม่มีชะตาชีวิตขื่นขม หวังอะไรอีกไม่ได้แล้ว หวังแค่ให้เจ้าได้อยู่อย่างสบายดี เจ้าต้องรู้จักกล้าหาญหลังจากได้รับความอัปยศนะ!

คำพูดนี้กล่าวไว้ไม่ผิด การที่เขาอยู่ที่นี่ก็เป็นอำนาจการตัดสินใจของประมุขชิงเช่นกัน ในอกชิงหยวนจุนเต็มไปด้วยความรู้สึกและความสามารถ ความรู้สึกยามเห็นมารดาตัวเองได้รับความอัปยศแต่กลับไร้ความสามารถช่วยเหลือ ทำให้เขาน้ำตานองหน้า ในลำคอคำรามเสียงต่ำเรากับสัตว์ป่า…

บนหน้าผา เถิงจงเก็บระฆังดาราในมือ แล้วพูดกับเถิงเฟยที่กำลังยืนเอามือไขว้หลังว่า  ท่านอ๋อง ทำเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว ทางสนมลี่ก็เก็บกวาดสะอาดแล้ว ไม่ได้ทิ้งจุดอ่อนใดๆ ไว้ 

เถิงเฟยถอนหายใจเบาๆ  เรื่องนี้ชัดเจนเกินไปแล้ว เกรงว่าถ้าไม่อยากให้ประมุขชิงสงสัยเขาก็คงยาก หนิวโหย่วเต๋อนั้นปลิ้นปล้อน ประมุขชิงส่งคนไปลอบสังหารเขา เขาไม่พูดอะไร กลับผลักข้าออกไปข้างหน้าแทน…ก็ช่วยไม่ได้ ง้างลูกธนูบนสายแล้วจะไม่ยิงก็ไม่ได้ ไม่ว่าประมุขชิงจะสงสัยหรือไม่สงสัย และไม่สนด้วยว่าประมุขชิงจะโจมตีกลับยังไง สิ่งที่พวกเราควรทำก็ยังต้องทำ เจ้าจัดการเรื่องสนมลี่สักหน่อย สนมลี่ถูกทำร้ายพี่วังสวรรค์ ข้าต้องขอคำชี้แจงจากประมุขชิง! 

แบบนี้เรียกว่าโจรตะโกนร้องให้จับโจร ยัดข้อหากลับ เถิงจงพยักหน้า  เข้าใจขอรับ…เพียงแต่ฝั่งหนิวโหย่วเต๋อ จะกลืนคำพูดตัวเองหรือเปล่า? 

สำหรับจุดนี้ เถิงเฟยกล่าวอย่างมั่นใจว่า  ก็อย่างที่เขาบอก ถ้าข้าเปิดเผยแผนการนี้ของเขา เขาก็รับผลที่ตามมาไม่ไหว! 

จวนอ๋องสวรรค์หนิว เหมียวอี้ที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีอารมณ์สุนทรีย์ ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่เพียงลำพัง ในมือถือสุรารสเลิศขณะชมการเต้นระบำ แต่ก็มองออกว่าเขาใจลอยเล็กน้อย สายตาและความสนใจไม่ได้อยู่บนเรือนร่างอันงดงามของนางระบำเลย ไม่รู้ว่าความคิดลอยไปไหนแล้ว

หยางเจาชิงเดินมาจากอีกด้านหนึ่ง โน้มตัวลงกระซิบข้างหูพักหนึ่ง เหมียวอี้วางจอกสุราลง ลุกขึ้นเดินไปพิงระเบียงแล้วทอดสายตามองไปไกลเงียบๆ นานมาก

หยางเจาชิงโบกมือให้นางระบำเหล่านั้น เสียงดนตรีเงียบลง กลุ่มนางระบำทยอยกันถอยหลังออกไปเงียบๆ

เหมียวอี้ใจลอยเล็กน้อย เถิงเฟยกับตระกูลเซี่ยโห้วส่งข่าวมาแล้ว เขารู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางฝั่งตำหนักเย็นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน จ้านหรูอี้โดนตบตีอย่างไร ประมุขชิงเดือดดาลอย่างไร เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถูกกักบริเวณ สนมลี่ถูกฆ่าปิดปาก ที่นี่ล้วนรู้ชัดเจน

ตั้งแต่เริ่มแผนการ เหมียวอี้ก็คิดว่าด้วยนิสัยอย่างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะฆ่าจ้านหรูอี้ทิ้งโดยตรง จากนั้นก็ยั่วโมโหประมุขชิงอย่างถึงที่สุด จนเป็นไปได้ว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่อาจจะไม่รอดพ้นความตาย สุดท้ายแค่คิดก็รู้แล้วว่าฝั่งชิงหยวนจุนจะเป็นอย่างไร ส่วนคำสัญญาของเซี่ยโห้วท่า เขาไม่ได้บอกว่าจะต้องทำให้ได้แน่นอน เขาไม่มีทางทำให้งานใหญ่พังเพื่อปกป้องเซี่ยโห้วเฉิงอวี่

ใครจะคิดว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะโง่เง่าขนาดนี้ สนใจแต่จะระบายความแค้น ไม่รู้จักฉวยโอกาสตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยให้จ้านหรูอี้พ้นเคราะห์ไปได้ ส่วนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็พ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้เช่นกัน ถึงแม้ผลลัพธ์จะไม่ผิดคาด แต่ขั้นตอนเหล่านี้กลับไม่ใช่สิ่งที่เขาหวังจะเห็น

เรื่องบางเรื่อง ถ้าคนตายแล้วปัญหาทุกอย่างก็จบ ถ้าจ้านหรูอี้ตายแล้ว เขาก็ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับบางสิ่งในอนาคต สามารถหลบเลี่ยงได้ แต่ตอนนี้จ้านหรูอี้ยังมีชีวิตอยู่ เรื่องบางเรื่องปิดบังไม่ได้ ในอนาคตช้าเร็วจ้านหรูอี้ก็ต้องรู้ความจริง เขายังไม่รู้เลยว่าจะไปเผชิญหน้ากับจ้านหรูอี้อย่างไร

ในห้องนั้น ฉากที่จ้านหรูอี้ถอดเสื้อผ้าร้องไห้วิงวอนปรากฏชัดเจนในหัวเขาอีกครั้ง เป็นฉากที่ลบไม่ออก กอปรกับเรื่องในครั้งนี้ ทั้งชีวิตนี้เขายังไม่เคยรู้สึกติดค้างผู้หญิงที่ไหนแบบนี้มาก่อน ถ้าจ้านหรูอี้ไม่ตาย ในใจเขาก็ไม่มีวันสงบสุขตลอดไป!

พยายามควบคุมความคิดฟุ้งซ่านในหัวตัวเอง เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมา ติดต่อไปหาเซี่ยโห้วเฉิงอวี่โดยตรง…

ตำหนักนารีสวรรค์ ซ่างกวนชิงมาคำนับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ด้วยตัวเอง ย่อมมาเพื่ออธิบายความเข้าใจผิด ประมุขชิงไม่กล้ามาเจอเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ไม่อย่างนั้นถ้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กัดจ้านหรูอี้ไม่ปล่อย ก็มีแต่จะทำให้ประมุขชิงสุดทน และถ้าประมุขชิงไม่ยอม ก็ยิ่งยั่วโมโหเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มากขึ้น

ซ่างกวนชิงรายงานเรื่องที่สนมลี่ถูกฆ่าปิดปาก เน้นย้ำว่าเรื่องนี้มีคนวางกับดัก มีคนจงใจล่อให้นางเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ติดกับดัก โน้มน้าวให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อย่าตกหลุมพรางแผนชั่วของคนอื่น

คำพูดที่ดีและคำพูดประจบประแจง ต่อให้พูดไปหมดก็ไม่มีประโยชน์อะไร เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ตาแดงก่ำถามเพียงว่า  นางแพศยามั่นออกจากตำหนักเย็นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? ข้าแค่ถามว่านางแพศยานั่นทำผิดกฎสวรรค์หรือเปล่า? 

ซ่างกวนชิงน้ำท่วมปาก ที่ประมุขชิงบอกว่าหุบเขานั่นคือตำหนักเย็นก็คือตำหนักเย็น หรือพูดได้ว่ากำหนดหุบเขาแห่งนั้นให้อยู่ในเขตตำหนักเย็นนานแล้ว แต่คำพูดนั้นพูดกับขุนนางและคนอื่นก็ยังพอไหว แต่นำมาเถียงกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะมีประโยชน์เหรอ? ถ้ากล้าพูดอย่างนี้ จะต้องทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่สู้สุดชีวิตแน่นอน เช่นนั้นก็ไม่ใช่การมาปลอบโยนโน้มน้าวแล้ แต่เป็นการมาราดน้ำมันใส่บนกองเพลิง!

ซ่างกวนชิงตอบอย่างคลุมเครือ  เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีคนวางแผน ฝ่าบาทยังคงสืบอยู่ บางทีในนั้นอาจจะมีแผนชั่วอะไรก็ได้ขอรับ! 

ปั้ง! เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตบโต๊ะยืนขึ้น ชี้จมูกเขาพลางตะคอกอย่างโมโห  ซ่างกวนชิง อย่ามาเล่นลูกไม้นี้กับข้า ฝ่าบาทมีความคิดยังไงเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ ไม่ต้องมาตบตาข้าเหมือนเป็นคนโง่! วางกับดักเหรอ? วางกับดักอะไร? นางตัวแสบนั่นออกจากตำหนักเย็นไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว ข้าเห็นกับตาตัวเอง จับได้กับมือตัวเอง เจ้ายังคิดจะช่วยบิดเบือนความจริงอีกเหรอ? มโนธรรมของเจ้าโดนสุนัขกินไปหมดแล้วหรือไง? เจ้าเป็นผู้การใหญ่วังสวรรค์ผู้ส่งาผ่าเผย เห็นกฎระเบียบของวังสวรรค์เป็นของเด็กเล่นเหรอ? นางแพศยานั่นมีความผิดติดตัว ตอนนี้ก็ทำผิดกฎสวรรค์อีก ข้าถามแค่คำเดียวว่าสมควรจะฆ่าทิ้งหรือเปล่า! 

นางไม่ฟังเหตุผลร้อยแปดพันเก้าพวกนั้น นางไม่อยากสนใจเหตุผลพวกนั้น จดจ่ออยู่แค่ความจริงจุดเดียว ขอคำชี้แจงซ้ำไปซ้ำมา

สมควรฆ่าทิ้งหรือไม่สมควรฆาทิ้ง ซ่างกวนชิงจะตัดสินใจได้อย่างไร เมื่อโดนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่บีบจุดที่ไม่มีเหตุผลไม่ยอมปล่อย ซ่างกวนชิงก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน สุดท้ายก็ถอยกลับอย่างพ่ายแพ้ มาโดนด่าเฉยๆ โดยไม่ได้อะไร ทั้งยังทําได้เพียงก้มหน้ารับไว้ ที่สำคัญก็คือฝั่งประมุขชิงไม่มีเหตุผล ในเมื่อเจ้าไม่สามารถถอดราชินีสวรรค์ออกจากตำแหน่งได้ เช่นนั้นเจ้าก็ทำได้เพียงอธิบายเหตุผล แต่เจ้าก็ดันไม่มีเหตุผลอีก แล้วจะทำอย่างไรได้? ทำได้เพียงหนีเตลิดไป

เมื่อเห็นว่าซ่างกวนชิงหนีไปโดยไม่ให้คำชี้แจง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ด่าด้วยความโมโหอีกครั้ง บอกอย่างชัดเจนว่า ประมุขชิงก็แค่ต้องการปกป้องนางแพศยานั่น!

ส่วนเหมียวอี้ก็ติดต่อมาในเวลานี้เช่นกัน พอเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ เหมียวอี้ก็ถามทันทีว่า : เหนียงเหนียง ข้าน้อยได้รับข่าวแล้ว บอกว่าท่านถูกฝ่าบาทกักบริเวณอยู่ท่ตำหนักนารีสวรรค์ ไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่ขอรับ?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ่งรู้สึกเป็นทุกข์ในใจกว่าเดิม นึกไม่ถึงว่าข่าวจะแพร่ออกไปแล้ว จ้านหรูอี้ไม่เป็นอะไร แต่นางกลับถูกกักบริเวณ แล้วหลังจากนี้จะให้นางมีหน้าไปเจอคนในวังหลังได้อย่างไร?

ความรู้สึกคับแค้น ผิดหวัง ปวดใจและได้รับความไม่ยุติธรรมสุมอยู่เต็มอก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถามเพียงว่า : อ๋องสวรรค์หนิว สิ่งที่เจ้าเคยพูดไว้ตอนแรก เจ้ารักษาคำพูดหรือเปล่า?

เหมียวอี้ถามว่า : ไม่ทราบว่าเหนียงเหนียงหมายถึงอะไร?

ยังจะเป็นอะไรไปได้อีก ก็ที่บอกว่าปกป้องราชินีสวรรค์ จงรักภักดีต่อโอรสสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่นำสิ่งนี้มาหยั่งท่าทีเขาอีกครั้ง นางไม่กล้าขอร้องอะไรเขาเช่นกัน รู้ว่าในตอนนี้ตัวเองไม่มีความสามารถจะขอร้องอะไรอีกฝ่ายได้แล้ว ฐานะราชินีสวรรค์ของตนขู่อีกฝ่ายไม่ได้แล้ว

เหมียวอี้อึ้งเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดจะพูดไปในทางนี้ จะชักจูงให้คิดไปทางนี้ แต่ใครจะคิดว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะเป็นฝ่ายชักนำพามาทางนี้เอง ลดความยุ่งยากไปได้ไม่น้อย ดูท่าแล้วผู้หญิงคนนี้คงจะโมโหไม่เบาจริงๆ

เหมียวอี้บอกว่า : ข้าน้อยรับประกันอะไรกับเหนียงเหนียงไม่ได้ และไม่พูดอะไรที่เกินความจริงเช่นกัน แต่จะพยายามทำสุดความสามารถแน่นอน ในภายหลังเหนียงเหนียงจะได้เห็น

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : ข้าไม่กล้าเรียกร้องอะไรจากท่านอ๋องมาเกินไป ถ้าท่านอ๋องยังนึกถึงน้ำใจที่ข้าเคยดูแลในปีนั้น ถ้าในอนาคตหยวนจุนลูกชายข้าประสบปัญหาอะไร หวังว่าท่านอ๋องจะไม่นิ่งดูดาย อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าลูกชายข้าจะไม่ต้องกังวลเรื่องที่อันตรายถึงชีวิต!

การที่พูดอะไรอย่างนี้ออกมาได้ ก็ย่อมเป็นเพราะหลายปีมานี้เหมียวอี้ช่วยเหลือด้านทรัพยากรให้กับชิงหยวนจุนมาตลอด และไม่เคยหาผลประโยชน์ใดๆ จากตัวสองแม่ลูกคู่นี้ ทำให้สองแม่ลูกได้เห็น ‘จริงใจ’ ของเหมียวอี้แล้วจริงๆ นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าหยางชิ่งวางแผนไว้นานมากแล้ว หลายปีมานี้จ่ายไปเปล่าๆ เพื่อเอาความเชื่อใจจากสองแม่ลูก รอให้วันนี้มาถึง โยนสายเบ็ดยาวตกปลาใหญ่!

เหมียวอี้ : สถานการณ์ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เหนียงเหนียงคิด ทางฝั่งองค์ชาย อ๋องผู้นี้ไม่นิ่งดูดายแน่นอน จะส่งคนไปช่วยเหลือองค์ชายอย่างลับๆ…

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จเรียบร้อย เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ลองให้อีกครั้ง

เหมียวอี้ที่ยืนพิงระเบียงตกสู่ความเงียบ หลับตาลงช้าๆ ในหัวยังคงปรากฏภาพของจ้านหรูอี้

อวิ๋นจือชิวย่องเบาขึ้นมาปรากฏตัวบนตึกศาลา ก่อนหน้านี้ตอนที่เหมียวอี้ชมระบำอยู่คนเดียว นางรู้ข่าวแต่กลับไม่มารบกวน จากนั้นพอได้ยินว่ากันนางระบำออกไปแล้ว นางถึงได้เดินเนิบนาบเข้ามา พอเดินมาถึงข้างกายก็ถามว่า  ทางด้านเถิงเฟยราบรื่นหรือเปล่า? 

เหมียวอี้ลืมตาขึ้น  ราบรื่น ปล่อยให้จ้านหรูอี้รอดพ้นเคราะห์ภัยครั้งนี้ไปได้ ไม่ตาย!  ในน้ำเสียงที่ราบเรียบไม่มีแฝงอารมณ์ร้ายๆ พูดจบก็หันตัวไป ไม่พูดอะไรมากกับอวิ๋นจือชิว แล้วไม่มีท่าทีว่าจะรออวิ๋นจือชิวด้วย

อวิ๋นจือชิวหันตัวไป ยืนมองส่งเขาอยู่ที่เดิม นางถอนหายใจเบาๆ แล้วโบกมือบอกใบ้ให้หยางเจาชิงตามไป…

เมื่อได้รู้ว่าเหมียวอี้มาด้วยตัวเอง หยางชิ่งกับชิงจวี๋ที่อยู่ในเขตลานบ้านก็รีบเดินออกมาต้อนรับ

หลังจากนั่งลงในโถงหลัก เห็นหยางเจาชิงเฝ้าอยู่ตรงประตูแล้ว หยางชิ่งก็บอกใบให้ชิงจวี๋ถอยไป จากนั้นถึงได้ถามว่า  ท่านอ๋อง ทางด้านเถิงเฟยเป็นยังไงบ้าง? 

เหมียวอี้ตอบ  ราบรื่น! ทางด้านให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ข้าให้นางบอกชิงหยวนจุนก่อนแล้ว บอกว่าจะส่งคนไปช่วยเหลืออย่างลับๆ ต่อไปที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลก็ขึ้นอยู่กับท่านบุรุษแล้ว เพียงแต่ท่านบุรุษไปคนเดียวอาจจะมีอันตรายนิดหน่อย ไม่ทราบว่ามีความมั่นใจหรือเปล่า? 

 ถ้ามีอันตราย ก็แสดงว่าหลายปีมานี้ข้าน้อยเตรียมตัวไม่รอบด้าน เป็นปัญหาที่ข้าน้อยสร้างขึ้นเอง  หยางชิ่งกล่าว

เหมียวอี้โบกมือ  ความปลอดภัยต้องมาอันดับหนึ่ง ถ้าเจ้าเป็นอะไรไป นั่นก็เท่ากับเรื่องนี้ถูกเปิดโปง เช่นนั้นเจ้าไปก็ไม่มีความหมายแล้ว 

หยางชิ่งจึงบอกว่า  ท่านอ๋องวางใจได้ น่าจะไม่มีปัญหาอะไร หลายปีมานี้ได้แทรกซึมไปแล้วไม่น้อย ข้าน้อยมีแผนในใจแล้ว 

เหมียวอี้พยักหน้า  หวังติ้งเฉานั่นจงรักภักดีต่อประมุขชิง เจ้าต้องระวังไว้หน่อย ถ้าอยากจะจุดชนวนเรื่องนี้ ก็ต้องคิดหาทางกำจัดเขา จำไว้ มีแต่ต้องให้ชิงหยวนจุนลงมือกำจัดเขาเองเท่านั้น ถึงจะบีบให้ชิงหยวนจุนไม่มีทางถอยกลับได้! 

หยางชิ่งกุมหมัดคารวะ  ข้าน้อยเข้าใจแล้ว! 

………………

 

เมื่อถามทหารอารักขาที่คุ้มกันส่งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ก็ยิ่งแน่ใจแล้ว

จากคำให้การของทหารอารักขา ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ความบังเอิญแน่นอน พอเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มาถึงฝั่งนี้ก็เหาะลงมาจากฟ้าโดยตรง เห็นได้ชัดว่าพุ่งเป้าหมายมาที่ตำหนักเย็น เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะรู้ได้อย่างไรว่าจะบังเอิญพบกับจ้านหรูอี้ในเวลานี้? สาเหตุก็เรียบง่ายมาก นั่นก็คือมีคนรู้จังหวะเวลาที่จ้านหรูอี้ออกมาข้างนอก รู้ว่าจ้านหรูอี้จะออกมาตอนพลบค่ำ

วิถีชีวิตแบบนี้ของจ้านหรูอี้ต่อเนื่องกันมาแล้วหลายปี ถ้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่รู้ตั้งแต่แรกก็ต้องมาตั้งนานแล้ว ด้วยเหตุนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่า เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เพิ่งรู้สถานการณ์นี้ได้ไม่นาน

พอฝั่งนี้เกิดความสงสัย ด้วยความสามารถของซ่างกวนชิงที่วังสวรรค์ พอซ่างกวนชิงตรวจสอบ ก็ค้นพบได้อย่างง่ายดายมาก ว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับสนมลี่มีพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลที่อุทยานสายัณห์ อีกทั้งตอนที่เกิดเรื่องสนมลี่ก็อยู่ด้วย

พออู๋ฉวี่มาถึง ซือหม่าเวิ่นเทียนก็เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้เขาฟัง

 ให้คนไปควบคุมสนมลี่ไว้เดี๋ยวนี้ ตรวจสอบให้เข้มงวด!  ประมุขชิงกล่าวเสียงต่ำ

 รับทราบ!  อู๋ฉวี่กุมหมัดเอ่ยรับ

ทางฝั่งวังสวรรค์ตอบสนองเร็วมาก กำลังพลกองทัพองครักษ์กลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในเขตตำหนักของสนมลี่ สาวใช้ที่อยู่ข้างในตกใจจนตัวสั่นระริด ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ทุกคนล้วนมองออกว่าผู้ที่มาไม่ได้มาดี

จนกระทั่งแม่ทัพนำคนบุกเข้าไปในโถงหลัก ผลก็คือพบว่าสนมลี่นอนเอนตัวอยู่บนเก้าอี้แล้ว ดวงตาเบิกโพลง ท่าทางเหมือนตายตาไม่หลับ ใบหน้าเป็นสีเขียวคล้ำ เลือดออกจากรูทวารทั้งเจ็ด สาวใช้ประจำตัวสองคนก็ล้มอยู่บนพื้นเช่นเดียวกัน มีอาการเหมือนกัน

แม่ทัพยื่นมือไปตรวจสอบ พบว่าบนตัวทั้งสามคนยังมีอุณหภูมิร่างกายอยู่ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งตายได้ไม่นาน

ข่าวถูกส่งไปที่ตำหนักเย็นอย่างรวดเร็ว ประมุขชิงที่อยู่ในตำหนักใหญ่พลันหันตัวมา กวาดสายตาเย็นเยียบมองหลายคนที่อยู่ตรงนั้น แล้วถามด้วยน้ำเสียงดุดันว่า  โดนคนวางยาพิษเหรอ? 

อู๋ฉวี่พยักหน้า  จากสถานการณ์เบื้องต้นสันนิษฐานได้อย่างนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าทั้งสามตายด้วยน้ำมือคนที่คุ้นเคยและเชื่อใจ ไม่อย่างนั้นบ่าวรับใช้ข้างนอกคงไม่ถึงขั้นไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวอะไรเลยสักนิด  ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ เขาก็หยิบระฆังดาราขึ้นมาอีก หลังจากติดต่อกันสักพัก ก็กล่าวเสียงต่ำว่า  ในห้องด้านข้าง พบว่ามีนางในคนหนึ่งเพิ่งตายได้ไม่นาน วินิจฉัยจากขวดยาในมือ พบว่าเหมือนจะเป็นการกินยาฆ่าตัวตาย อาการเหมือนกับพวกสนมลี่ นางในคนนี้ก็คือคนที่สนมลี่ไว้ใจ 

 ดูท่าแล้ว คงมีคนตัดเบาะแสทั้งหมดไปแล้ว!  ประมุขชิงหัวเราะหึหึ  น่าสนุกจริงๆ ในวังหลังของข้ามักเกิดเรื่องแปลกประหลาด แต่ละคนล้วนไม่เห็นว่าชีวิตตัวเองสำคัญเลย เอะอะบทจะฆ่าตัวตายก็ฆ่าตัวตาย! ถ้าข้าจำไม่ผิด สนมลี่คนนี้เป็นคนของเถิงเฟยใช่มั้ย? 

ซ่างกวนชิงพยักหน้า  ไม่ผิดขอรับ ฝ่าบาทเคยไปค้างด้วยสองครั้ง 

ประมุขชิงกวาดสายตามองหน้าหลายคนที่อยู่ตรงนั้น  เป็นอุบายของเถิงเฟยหรือเปล่า? เขามีจุดประสงค์อะไร! 

หลายคนเงียบไป ไม่สะดวกจะพูดเรื่องนี้ ถ้ามองตามตรง ก็เป็นอุบายของเถิงเฟยจริงๆ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ว่ามีคนยัดข้อหาให้เถิงเฟย ที่วังหลังเกิดเรื่องแบบนี้ไม่แปลกอะไร ที่สำคัญก็คือไม่มีพยานบุคคลแล้วก็หาคำให้การไม่ได้ ยังมีอีกปัญหาก็คือ ตอนนี้เกรงว่าประมุขชิงจะไม่อยากทำให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตแล้ว ถ้านำเรื่องนี้มาสืบจริงๆ เรื่องที่จ้านหรูอี้ออกจากตำหนักเย็น เรื่องที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก่อก็ล้วนปิดบังไม่ได้ ที่สำคัญก็คือประมุขชิงไม่ยอมทิ้งจ้านหรูอี้ ไม่มีทางให้คนไปเอาเรื่องจ้านหรูอี้

อู๋ฉวี่กล่าวช้าๆ ว่า  ถ้าเป็นเถิงเฟยวางอุบาย เกรงว่าเถิงเฟยคงเตรียมตัวจะรวมทัพตะวันออกแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำเรื่องอย่างนี้ 

ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าวอย่างไม่แน่ใจ  ถ้าเป็นอย่างนี้จริง การเริ่มลงมือจากราชินีสวรรค์และสนมสวรรค์หมายความว่าอะไร? อย่าบอกนะว่าเขาคิดจะเสี้ยมฝ่าบาทกับองค์ชายให้ขัดแย้งกัน คิดจะก่อเรื่องให้ฝ่าบาทไม่มีสมาธิมาสนใจ จะได้ลงมือสะดวก? แต่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลถูกควบคุมอยู่ในมือฝ่าบาท องค์ชายไม่มีความสามารถที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม! 

หลายคนตรงนั้นเริ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ว่าจะอย่างไร ถ้าเถิงเฟยตัดสินใจลงมือแล้ว ก็จะต้องมีความมั่นใจมากพอว่าจะได้รับการสนับสนุนจากอำนาจฝ่ายอื่น ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำอะไรบ่มบ่ามง่ายๆ ก็เพราะสงสัยอย่างนี้ ประมุขชิง ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนจึงสบตากันโดยจิตใต้สำนึก พอเป็นแบบนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมจู่ๆ หนิวโหย่วเต๋อถึงออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์กะทันหันแล้วไม่กลับไปเสียที ก็เพราะว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ หนิวโหย่วเต๋อต้องกลับมาคุมเอง!

ประมุขชิงแค้นจนคันฟัน ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ เขาก็โดนเถิงเฟยทำลายงานใหญ่แล้วจริงๆ

แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเถิงเฟย หนิวโหย่วเต๋อก็อาจไม่ออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ได้ กำลังพลที่เตรียมไว้ก็อาจหาโอกาสส่งกำลังพลลอบสังหารเข้าไปได้ กับเรื่องบางเรื่อง โชคดีหรือวาสนาก็เป็นสิ่งที่พูดยากจริงๆ

สำหรับเรื่องนี้ อู๋ฉวี่ยังไม่รู้ความจริง ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิด

ในตำหนักเงียบไปนานมาก ก่อนที่ประมุขชิงจะแสยะยิ้ม  ไม่ว่าเถิงเฟยจะวางอุบายหรือไม่ แต่ควรกันไว้ดีกว่าแก้ คนที่ควรเครียดก็คือเฉิงไท่เจ๋อ แจ้งไปทางเฉิงไท่เจ๋อให้เตรียมป้องกันให้ดี ให้เขาคิดหาทางประนีประนอมกับอำนาจฝ่ายอื่น ที่ข้าให้เขาคุมทัพตะวันออกครึ่งหนึ่ง ก็เพราะต้องการให้เขาออกแรงคานอำนาจเมื่อถึงเวลาสำคัญ แล้วให้หน่วยองครักษ์ขวาระดมทัพใหญ่เพื่อเตรียมช่วยสนับสนุนเฉิงไท่เจ๋อ ถ้าเถิงเฟยอยากจะก่อเรื่องวุ่นวายจริงๆ ก็ให้เฉิงไท่เจ๋อลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบทันที! ให้หน่วยตรวจการซ้ายเริ่มเตรียมตัวปลุกระดมลูกน้องของเถิงเฟยเดี๋ยวนี้! ส่วนทางฝั่งแดนสุขาวดี ข้าจะแจ้งให้พี่ใหญ่พุทธะสร้างสถานการณ์อีกที ให้เตรียมพร้อมเดินทัพได้ทุกเมื่อ ข่มขู่พวกที่คิดไม่ซื่อพวกนั้นไว้! 

 ขอรับ!  พวกเขาเอ่ยรับคำสั่ง

ทว่าจากนั้นอู๋ฉวี่ก็เตือนอีกว่า  ฝ่าบาท ถ้าเถิงเฟยลงมือจากฝั่งราชินีสวรรค์กับสนมสวรรค์ ก็ต้องมีสาเหตุแน่นอน เถิงเฟยจะอยากอาศัยราชินีสวรรค์เพื่อขอการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้วหรือเปล่า? 

 จัดการเดี๋ยว…  ประมุขชิงพูดได้ครึ่งคำก็ต้องหยุดอีก เดิมทีเขาอยากจะสั่งให้คนตัดการติดต่อระหว่างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับภายนอก จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยุยงตระกูลเซี่ยโห้ว แต่พอลองเปลี่ยนความคิด ถ้าเป็นเถิงเฟยวางอุบายจริงๆ การตัดขาดการติดต่อระหว่างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับภายนอกก็ปิดบังตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้อยู่ดี เถิงเฟยจะต้องหาทางทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้แน่ ตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เพื่อถามสถานการณ์ให้ชัดเจนแน่นอน สุดท้ายก็ไม่ต่างกัน ดังนั้นจึงไม่ต้องทำสิ่งที่เกินความจําเป็น

หลังจากเงียบไปครู่เดียวก็บอกว่า  ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้โง่ เพราะถ้าทำให้ใต้หล้าวุ่นวายเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ก็ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของพวกเขาเหมือนกัน เฉิงอวี่ไม่ได้มีอิทธิพลต่อตระกูลเซี่ยโห้วมากขนาดนั้น ซ่างกวน เดี๋ยวเจ้าไปคุยกับเฉาหม่านด้วยตัวเอง บอกเขาว่าเฉิงอวี่ไปพาลหาเรื่องที่พระตำหนักอุทยาน ข้าแค่ลงโทษนางนิดหน่อย ใช้เวลาไม่นานก็จะคืนอิสระให้เฉิงอวี่ ไม่ได้มีเจตนาจะขัดแย้งกับตระกูลเซี่ยโห้ว ต้องเตือนเฉาหม่านด้วยว่า เขาไม่ใช่เซี่ยโห้วท่า ถ้าทำให้ใต้หล้าวุ่นวายใหญ่โต เขาแน่ใจหรือว่าจะยุติเรื่องราวได้? แบบนี้ก็น่าจะไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของเขาเหมือนกัน เขาเองก็จะต้องมาบริหารตระกูลเซี่ยโห้วในเวลาที่เหมาะสม บอกเส้นตายของข้าให้เขาดูให้ชัดเจน ถ้าไม่อนุญาตให้ทัพตะวันออกที่แยกกันแล้วกลับมารวมกันได้อีก ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วกล้าทำซี้ซั้ว บีบให้ข้าไม่มีทางเลือก ตระกูลเซี่ยโห้วก็อย่าได้คิดว่าจะได้อยู่อย่างมีความสุขเลย! 

แม้ชื่อของเฉาหม่านจะเปลี่ยนกลับมาเป็นเซี่ยโห้วหม่านแล้ว แต่ด้วยความเคยชินส่วนตัวก็ยังเรียกว่าเฉาหม่านเหมือนเดิม

 รับทราบ!  ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ

อู๋ฉวี่กลับฟังแล้วหัวใจเต้นตึกตัก มีคนลงมือกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แบบนี้เท่ากับล้ำเส้นตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ในเวลานี้เป็นฝ่ายไปเจรจากับตระกูลเซี่ยโห้วก่อน มีหรือที่ตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่ฉวยโอกาสเสนอเงื่อนไข แม่ทัพที่ยอมเสี่ยงชีวิตปกป้องจ้านหรูอี้เกิดปัญหาแล้ว เกรงว่าจะต้องเป็นหมากที่ถูกทิ้งแล้ว!

ใช้ความคิดเร็วมาก เตรียมตัวแล้วว่ากลับไปจะต้องแอบส่งแม่ทัพคนนั้นออกไปทันที ประมุขชิงมีการพิจารณาสถานการณ์ภาพรวมของประมุขชิง เขาเองก็ต้องพิจารณาถึงปัญหาขวัญกำลังใจทหารเช่นกัน ต้องปกป้องแม่ทัพคนนั้นให้ได้ เรื่องบางเรื่องถ้าขายผ้าเอาหน้ารอดสักหน่อยก็ผ่านไปแล้ว!

หลังจากความคิดนี้เป็นรูปธรรมแล้ว อู๋ฉวี่ก็เตือนอีกว่า  ไม่ว่าจะอย่างไร องค์ชายก็เป็นหลานนอกของตระกูลเซี่ยโห้ว มีคนคิดไม่ซื่อวางแผนนี้ ฝ่าบาทก็ต้องระวังเอาไว้! 

คำพูดนี้ไม่ได้ชัดเจน แต่ทุกคนล้วนเข้าใจ ตระกูลเซี่ยโห้วผลักดันประมุขชิงให้ขึ้นสู่ตำแหน่ง หรือผลักดันให้ชิงหยวนจุนขึ้นสู่ตำแหน่งก็เหมือนกัน แม้จะมีความเป็นไปได้ไม่มาก แต่อำนาจของชิงหยวนจุนก็อ่อนแอเกินไป ถ้าอาศัยให้ตระกูลเซี่ยโห้วผลักดันอย่างเดียว ราคาที่ต้องจ่ายก็สูงเกินไป สำหรับตอนนี้ ตระกูลเซี่ยโห้วไม่น่าจะมีความคิดที่จะให้ชิงหยวนจุนมาแทนที่ แต่กลัวก็แต่ว่าหลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะมีผลกระทบต่อชิงหยวนจุนมากขนาดไหนกันแน่ ไม่ว่าใครก็รู้ ว่าความผูกพันระหว่างประมุขชิงกับลูกชายสู้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ได้ มารดาของตัวเองได้รับความอัปยศ! มีหรือที่ในใจจะไม่เครียดแค้น!

พวกซ่างกวนชิงรู้อยู่แก่ใจ ว่ากันตามจริงแล้ว ต้นเรื่องก็มาจากตัวจ้านหรูอี้ ขอเพียงฝ่าบาทเด็ดขาดสักหน่อย สังหารจ้านหรูอี้ทิ้งเสีย ความโกรธของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็จะหายไปแน่นอน กลับจะดีใจมากด้วยซ้ำ คงไม่วุ่นวายอย่างนั้น แต่ฝ่าบาทจะทำอย่างนั้นได้เหรอ?

ความสับสนในใจประมุขชิงคือสิ่งที่คนนอกไม่มีทางรู้ได้ เห็นเพียงเขาเม้มริมฝีปากแน่นอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็กล่าวช้าๆว่า  ถ้าเถิงเฟยจุดชนวนเรื่องนี้จริงๆ แสดงว่าทัพใต้คงส่งทัพมาสนับสนุน ถ้าทัพใต้มีการเคลื่อนไหว ก็ให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเคลื่อนกำลังพลออกจากแดนรัตติกาลไปควบคุมหนิวโหย่วเต๋อทันที…ให้ทางหวังติ้งเฉาจับตาดูไว้ ถ้าหยวนจุนมีความคิดอะไรอย่างอื่น ก็ให้ถอดอำนาจทางทหารทันที ควบคุมเขาเอาไว้ก่อน แล้วค่อยหาสถานที่ที่เหมาะสมให้เขาไปฝึกประสบการณ์อีกที ถึงตอนนั้นตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลก็ให้หวังติ้งเฉาคอยฟังคำสั่งจากเบื้องบน! 

ทุกคนแอบถอนใจ สุดท้ายฝ่าบาทก็ยังต้องการปกป้องจ้านหรูอี้ ยอมให้ครอบครัวไม่ปรองดอง ยอมควบคุมลูกชายตัวเอง แต่ไม่ยอมสละชีวิตจ้านหรูอี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าจ้านหรูอี้มีดีตรงไหน ทำให้คนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี…

ในตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พี่กำลังคับแค้นเดือดดาลติดต่อเฉาหม่านทันที เล่าสถานการณ์ให้ฟัง พร้อมถามด้วยว่าตระกูลเซี่ยโห้วรู้เรื่องนี้หรือเปล่า

ที่จริงเฉาหม่านก็รู้ทันทีที่เกิดเรื่องขึ้น ตอนหลังเอ๋อเหมยก็รายงานเขาเช่นกัน แต่เฉาหม่านแกล้งโง่ บอกว่าไม่รู้เรื่องนี้

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่สนว่าเขาจะรู้หรือไม่ บอกเพียงว่าให้เฉาหม่านออกหน้าให้นาง

เฉาหม่าน : เจ้าวางใจได้ คนที่กล้าลงมือกับเจ้า ตระกูลเราไม่ปล่อยไปแน่นอน ต้องให้คำชี้แจงกับเจ้าได้แน่!

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : แล้วจะทำยังไงกับนางแพศยานั่น? ท่านอาสาม นางนั่นมันแอบออกจากตำหนักเย็นตำหนักเย็น ทำผิดกฎ ต้องปลุกระดมให้ขุนนางบีบฝ่าบาทให้ลงโทษประหาร!

เฉาหม่าน : เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ ข้ามีแผนของตัวเองแล้ว!

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : ท่านอาสาม นางแพศยานั่นวางแผนจะมีทายาทให้ฝ่าบาท จะทำให้ตำแหน่งรัชทายาทของหยวนจุนสั่นคลอน ปล่อยไปไม่ได้นะ!

เฉาหม่าน : ไม่ต้องให้เจ้าเตือนหรอก ข้าบอกแล้ว ว่าข้ามีแผนของตัวเอง!

เขาเองก็เดือดดาลในใจเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเซี่ยโห้วท่าคิดอย่างไรกันแน่ คิดจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่ คำตอบที่ให้จึงค่อนข้างฉุนเฉียว

หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไหล่สั่นน้ำตาไหล ก้มหน้าผากบนเสาข้างๆ ส่ายหน้าที่เปี่ยมนองไปด้วยน้ำตา ข่าวที่แม้แต่สนมลี่ก็ยังรู้ นางไม่เชื่อว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่รู้ เห็นได้ชัดว่ากำลังหลอกลวงนาง! สิ่งที่ทำให้นางยิ่งปวดใจก็คือ นางแพศยานั่นทำผิดกฎสวรรค์แต่กลับไม่เป็นอะไร ส่วนราชินีสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยอย่างนางถูกทหารรับใช้ล่วงเกิน แต่กลับถูกกักบริเวณแล้ว สำหรับนาง ประมุขชิงโหดร้ายเกินไปแล้ว ปล่อยน้ำใจเกินไปแล้ว!

 กักบริเวณ…กักบริเวณ…ฮ่าๆ…  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กอดเสาด้วยน้ำตานองหน้า ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ ประมุขชิงปฏิบัติต่อนางขนาดนี้ ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของลูกชายเลยสักนิด ถ้ามารดาอย่างตนไร้ฐานะในวัง ก็จะส่งผลกระทบต่ออนาคตลูกชายตัวเอง นางรู้สึกว่าตัวเองไม่มีประโยชน์ในฐานะมารดา รู้สึกผิดต่อลูกชายตัวเอง

พวกนางในถูกไล่ไปไกลแล้ว ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่กำลังปวดใจสิ้นหวังหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อชิงหยวนจุน พูดอย่างคับแค้นใจว่า : หยวนจุน แม่ไร้ประโยชน์ แม่ทำผิดต่อเจ้า เจ้าจำไว้นะ พึ่งพาใครก็ไม่สู้พึ่งพาตัวเอง เจ้าต้องมุมานะต่อสู้เพื่อช่วงชิงชัยชนะ!

ชิงหยวนจุนตกใจ รีบถามว่า : เสด็จแม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังทันที แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่นางคิดและรู้สึกด้วย

พอได้ยินว่าจ้านหรูอี้อาจจะมีลูกชายให้ประมุขชิงแล้วมาแทนที่ตน ก็สะกิดปมที่อ่อนไหวของชิงหยวนจุนแล้ว แล้วก็ได้ยินว่ามารดาถูกหยามเกียรติอีก ถูกทหารลงมือรังแก ไม่น่าเชื่อว่าประมุขชิงยังจะส่งมารดาตัวเองไปกักบริเวณด้วย

ชั่วพริบตานี้ ชิงหยวนจุนก็โกรธจนน้ำตาไหล หย่อนขาลงจากเตียงในห้องสมาธิ ใช้ฝ่ามือตบเตียงหินจนพังแหลก ท่ามกลางฝุ่นที่ตลบอบอวล เขาโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวเสียงสั่นว่า  ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะรังแกมารดาของข้าเพื่อนางแพศยาคนเดียว…จ้านหรูอี้ ต้องมีสักวันที่ข้าได้สับร่างเจ้าเป็นหมื่นดาบพันดาบ ล้างความอัปยศนี้ให้ได้! 

………………

 

เมื่อเห็นประมุขชิงเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าขึงขัง ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนก็โค้งตัวเล็กน้อยเพื่อต้อนรับ

 สนมสวรรค์ยังสบายดีหรือไม่ครับ?  ซ่างกวนชิงถามหยั่งเชิง

ประมุขชิงจ้องเขาอย่างเย็นเยียบ แล้วถามอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า  นางตัวแสบนั่งอยู่ที่ไหน? 

ซือหม่าเวิ่นเทียนก้มหน้าเงียบๆ ย่อมรู้ว่า ‘นางตัวแสบ’ หมายถึงใคร

ซ่างกวนชิงไม่กล้าบอก เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งได้ข่าว ว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไปพาลก่อเรื่องที่พระตำหนักอุทยาน พอไปหาแล้วไม่เจอประมุขชิง ก็ทำลายเรือนที่พระตำหนักอุทยานพังไปหลายหลัง อู๋ฉวี่สั่งให้คุมตัวเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็อาจจะพังทั้งพระตำหนักอุทยานได้

โชคดีที่ซ่างกวนชิงเตรียมตัวไว้ก่อนพอ ปล่อยเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าพระตำหนักอุทยานไป ก็ปิดข่าวทันที ไม่ให้ใครรู้ความเคลื่อนไหวในพระตำหนักอุทยาน เพราะเขาเดาออกแล้วว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะก่อเรื่อง

ประมุขชิงพลันปะทุอารมณ์ ชี้ไปด้านนอกพร้อมคำรามอย่างเกรี้ยวกราด  ถ่ายทอดคำสั่งข้า ประหารนางตัวแสบนั่นซะ! 

ซ่างกวนชิงก้มหน้าแล้วเช่นกัน ไม่กล้าพูดอะไรเหมือนกับซือหม่าเวิ่นเทียน ต่างก็ไม่กล้าถ่ายทอดคำสั่งนี้ลงไป ถ้าถ่ายทอดคำสั่งนี้ลงไปจริงๆ ก็ต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่นอน ตระกูลเซี่ยโห้วจะเดือดร้อนมาก ใต้หล้าวุ่นวายใหญ่โต ยังต้องการอำนาจนี้อยู่หรือเปล่า?

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเอ่ยรับคำสั่ง ไฟโกรธในใจประมุขชิงก็ปะทุรุนแรงยิ่งขึ้น เตะซ้ายเตะขวา เตะซ่างกวนชิงกัลซือหม่าเวิ่นเทียนลงบันไดไป

ทั้งสองไถลตัวลุกขึ้นมา แล้วก็ก้มหน้ายืนอยู่อย่างนั้นอีก ยังไม่กล้าพูด ต่างก็รู้ว่าประมุขชิงกำลังหัวร้อน ยอมให้ประมุขชิงลงไม้ลงมือกับตัวเองสักยกให้ใจเย็นลงสักหน่อย ดีกว่าช่วยประมุขชิงที่กำลังหัวร้อนถ่ายทอดคำสั่ง

ประมุขชิงกลับโมโหจนระเบิดอารมณ์แล้ว ชี้พวกเขาสองคนด้วยนิ้วที่สั่นเทิ้ม  พวกเจ้า…พวกเจ้า…พวกเจ้าทุกคนไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแล้วใช่ไหม? ทหาร! ทหาร!  เสียงคำรามเกรี้ยวกราดดังขึ้นต่อเนื่อง สะเทือนพระตำหนักอุทยาน

ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งวิ่งกรูเข้ามาจากสี่ด้านอย่างรวดเร็ว กุมหมัดคารวะรับคำสั่ง

ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนหันไปมอง แล้วแอบร้องในใจ คนพวกนี้ไม่ได้รับการควบคุมจากพวกเขา

ประมุขชิงโบกมือชี้ไปทางพระตำหนักอุทยาน พลางตะโกนสั่งอย่างโมโห  ถ่ายทอดคำสั่งของข้า ประหารนางตัวแสบนั่นซะ ฆ่าไม่ละเว้น! 

กลุ่มทหารพูดไม่ออก สบตากันเงียบๆ แวบหนึ่ง ที่ตำหนักเย็นเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนั้น พวกเขาย่อมรู้เช่นกันว่า ‘นางตัวแสบ’ หมายถึงใคร แต่ว่าจะฆ่าราชินีสวรรค์เหรอ? จริงเหรอ? พวกเขาลังเลนิดหน่อย แต่พวกเขาไปเทียบกับซ่างกวนชิงและซือหม่าเวิ่นเทียนไม่ได้ พวกเขารับผลที่ตามมาจากการขัดคำสั่งไม่ไหว

ภายใต้ความจนใจ ทหารทุกคนกำลังจะเอ่ยรับคำสั่ง จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงราบเรียบอันน่าเกรงขามดึงขึ้น  ช้าก่อน! 

ทุกคนหันกลับไปมอง เห็นเพียงอู๋ฉวี่ปรากฏตัวอยู่นอกประตูใหญ่ กำลังเดินเข้ามาช้าๆ อย่างองอาจผึ่งผาย พอซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนเห็นเขามา ทั้งสองก็แอบโล่งอก ถ้าคนที่มีอำนาจทางทหารมาแล้วก็จัดการง่าย

อู๋ฉวี่ที่เดินเข้ามาท่ามกลางกลุ่มคนโบกมือไปทางซ้ายและขวา  ถอยออกไปให้หมด! 

เขารู้สถานการณ์แล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถูกเขาควบคุมไว้แล้ว ที่จริงเขารู้เรื่องที่ตำหนักเย็นแล้ว อย่างไรเสียคนที่เฝ้าอยู่ที่นี่ก็เป็นคนของเขาทั้งหมด

 รับทราบ!  กลุ่มกำลังพลที่เพิ่งเข้ามาเอ่ยรับคำสั่ง แล้วก็หายไปหมดสิ้นอีกครั้งราวกับกระแสน้ำ

ประมุขชิงจ้องอู๋ฉวี่ด้วยสายตาเกรี้ยวโกรธ

อู๋ฉวี่เดินมากุมหมัดคารวะตรงคีนบันได  ข้าน้อยคารวะฝ่าบาท! 

 เจ้า…  ประมุขชิงโบกมือชี้เขา  หรือเจ้าคิดจะขัดบัญชาข้าเพื่อช่วยนางตัวแสบนั่น! 

 ข้าน้อยมิกล้าขัดบัญชา!  อู๋ฉวี่กุมหมัดคารวะพลางส่ายหน้าอย่างจนใจ  เพียงแต่วังสวรรค์ไม่มีนางตัวแสบนั่น ราชินีสวรรค์ก็ยิ่งไม่ใช่นางตัวแสบ เหนียงเหนียงคือราชินีสวรรค์ซึ่งเป็นมารดาแห่งใต้หล้า จะเป็นนางตัวแสบได้อย่างไรขอรับ! 

เมื่อพบว่าไม่มีใครฟังคำสั่งตัวเอง ประมุขชิงก็โมโหไม่เบา เขาชี้หน้าทั้งสามทีละคน ตวาดเสียงดุดัน  พวกเจ้าคิดจะก่อกบฏใช่ไหม? 

อู๋ฉวี่ส่ายหน้า  ข้าน้อยมิบังอาจ! 

 เจ้าเองก็อยากจะอาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบนเหมือนกันเหรอ? คิดว่าข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้หรือไง?  ประมุขชิงตำหนิอย่างขุ่นเคือง

อู๋ฉวี่ถอนหายใจ  ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นเลย ตอนนี้ต่อให้ฝ่าบาทถ่ายทอดคำสั่งถอดตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ขวา ข้าน้อยก็ไม่กล้าบ่นแม้แต่น้อย 

 เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าเหรอ?  ประมุขชิงกัดฟัน

อู๋ฉวี่พูดเกลี้ยกล่อมไม่ยอมหยุด  ฝ่าบาท! ไม่ควรทำให้เรื่องนี้ใหญ่โต ตอนนี้ข้าน้อยสั่งให้ปิดข่าวเรื่องนี้กับโพ่จวิน ถ้าฝ่าบาททำให้เรื่องราวใหญ่โตแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะทำยังไง โพ่จวินไม่ยอมให้ทรายเข้าตาหรอก ต้องนำคนบุกเข้าตำหนักเย็นมาหั่นบดเนื้อสนมสวรรค์แน่นอน ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้วยังไม่ฆ่าสนมสวรรค์ โพ่จวินจะต้องไม่หยุดแน่ ถ้าโพ่จวินใช้กำลังทหารเกลี้ยกล่อม ฝ่าบาทก็เท่ากับทำร้ายสนมสวรรค์นะขอรับ! 

คำพูดนี้พูดได้ดีมาก ซือหม่าเวิ่นเทียนตาสว่างทันที รีบกุมหมัดคารวะ  ใช่แล้ว! ฝ่าบาท ต่อให้ท่านไม่พิจารณาเพื่อสิ่งอื่น แต่ก็ต้องพิจารณาเพื่อสนมสวรรค์สิ เหตุใดต้องทำให้สนมสวรรค์ลำบากไปด้วยทั้งที่ไม่ผิดอะไร? 

พอเอ่ยถึงชื่อเจ้าคนน่าตายอย่างโพ่จวิน ประมุขชิงก็ใบหน้ากระตุก เขาจินตนาการออกแล้ว ถ้าให้โพ่จวินรู้ว่าฝั่งนี้ทำให้เรื่องราวใหญ่โตเพราะเรื่องประเภทนี้ จะต้องมองว่าจ้านหรูอี้เป็นคนอัปมงคลที่่ก่อหายนะให้วังหลังแน่นอน เจ้าคนน่าตายนั่นจะต้องใช้กำลังทหารแก้ปัญหาแน่นอน เรื่องนี้ใช่ว่าโพ่จวินจะไม่เคยทำมาก่อน ครั้งก่อนนำกำลังทหารมาล้อมวังสวรรค์ แทบจะทำให้เขาหาทางลงไม่เจอ

ซ่างกวนชิงก็ถอนหายใจเช่นกัน  ฝ่าบาท ยังมีทางองค์ชายหยวนจุนอีก ถ้าราชินีสวรรค์เป็นอะไรไป ให้องค์ชายทนความรู้สึกได้อย่างไร! นั่นคือมารดาขององค์ชายนะขอรับ! 

ตรงนั้นเหลือเพียงเสียงลมหายใจที่หนักอึ้งของประมุขชิง ประมุขชิงหน้าอกกระเพื่อมถี่กระชั้น

หยินซวงแนบหูแอบฟังบทสนทนาอยู่ในประตูตำหนักบรรทมที่แง้มไว้ รู้สึกได้ว่าประมุขชิงข่มไฟโกรธได้แล้ว นางแอบด่าพวกอู๋ฉวี่ทันทีว่าทำเสียเรื่อง ที่จริงนางทนความโกรธที่ได้รับความอัปยศในหุบเขาก่อนหน้านี้ไม่ได้ อาศัยความรักที่ประมุขชิงมีต่อจ้านหรูอี้ นางหวังให้เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โต ให้ประมุขชิงฆ่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทิ้งด้วยอารมณ์โกรธ เห็นอยู่กับตาว่าเรื่องนี้จะสำเร็จแล้ว ผลปรากฏว่าโดนตาแก่น่าตายสามคนขัดขวางไว้แล้ว

เมื่อเห็นว่าทำให้สำเร็จอย่างเดียว หยินซวงก็ย่องกลับเข้ามาข้างเตียง แอบด่าประมุขชิงว่าไร้ประโยชน์ ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกลูกน้องสามคนบงการ ไม่น่าเชื่อว่าราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยจะออกคำสั่งไม่สำเร็จ

นางเพียงนึกถึงความรู้สึกส่วนตัวที่อยากล้างแค้น แต่กลับไม่รู้ว่าการบุกยึดใต้หล้านั้นง่ายแต่การปกครองใต้หล้านั้นยาก เรื่องนี้ยากที่จะทำให้ทั่วถึงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว!

ตอนที่บุกยึดใต้หล้าทุกคนล้วนทำเพื่อนเป้าหมายเดียวกัน ใจคิดไปทางเดียวกันได้ง่าย ร่วมแรงในที่เดียวกันได้ง่าย แต่พอบุกยึดใต้หล้าได้แล้ว รูปแบบของผลประโยชน์ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแล้ว จะคิดอะไรให้เรียบง่ายเหมือนเมื่อก่อนอีกก็ยากแล้ว

แต่พอนึกถึงตอนที่อู๋ฉวี่เอ่ยถึงโพ่จวิน นางก็กลัวเช่นกัน ครั้งก่อนโพ่จวินใช้กำลังทหารแก้ปัญหา ไม่เพียงแค่ทำให้นางตกใจมาก แต่ทั้งวังหลังถูกโพ่จวินทำให้ตกตะลึงพรึงเพริด ผู้หญิงบางคนที่อยากจะฉวยโอกาสสร้างผลงานตอนสถานการณ์วุ่นวายจะเคยเห็นสถานการณ์นี้เสียทที่ไหนกัน พากันตกใจจนเลิกคิดใช้อุบายตื่นๆ แล้ว!

 กับบริเวณนางตัวแสบนั่นไว้ที่ตำหนักนารีสวรรค์ ถ้าไม่มีบัญชาจะข้า ก็ห้ามออกจากตำหนักแม้แต่ก้าวเดียว!  ประมุขชิงกัดฟัน เป็นเรื่องยากมากที่เขาจะทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น!

อู๋ฉวี่ยังคิดจะพูดอะไรอีก แต่พอสบกับสายตาที่เย็นเยียบของประมุขชิง ก็จำต้องปล่อยผ่านไป รู้ว่าประมุขชิงยอมถอยให้มากที่สุดแล้ว ถ้ายังไม่ฟังคำสั่งอีก เมื่อเห็นว่าคำสั่งของตัวเองไม่มีประโยชน์โดยสิ้นเชิงแล้ว ก็เกรงว่าจะยั่วโมโหท่านนี้อีก ทำได้เพียงกุมหมัดคารวะเอ่ยรับคำสั่ง  ข้าน้อยน้อมรับบัญชา! 

เมื่อรอได้ครู่เดียว ประมุขชิงก็เรียกหัวหน้าทหารอารักขาที่เฝ้าที่นี่มาอีก

แม่ทัพยืนห้อยมือก้มหน้า ปกป้องจ้านหรูอี้ไม่ได้ ปล่อยให้จ้านหรูอี้โดนทำร้ายจนกลายเป็นอย่างนี้ แทบจะโดนราชินีสวรรค์สังหารแล้ว มิหนำซ้ำเขาก็ไม่รู้ว่าประมุขชิงจะลงโทษเขาอย่างไร ในใจหวาดระแวงกลัวมาก

ประมุขชิงจ้องเขาด้วยแววตาที่เหมือนจะมีไฟลุก ชอบในความสามารถของเขา จึงให้เป็นทหารอารักขาความปลอดภัยของจ้านหรูอี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยให้จ้านหรูอี้รับความทรมานอย่างนี้ ประมุขชิงอยากจะออกคำสั่งให้ลากไปประหารจริงๆ แต่พอนึกถึงสิ่งที่สาวใช้สองคนบรรยาย ถ้าไม่ใช่เพราะท่านนี้ฝืนช่วยจ้านหรูอี้มากจากมือเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ จ้านหรูอี้ก็คงไม่เหลือชีวิตอยู่แล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป เกรงว่าคงไม่มีใครกล้าเสี่ยงล่วงเกินราชินีสวรรค์เพื่อช่วยคน เพราะนั่นคือการลงมือกับราชินีสวรรค์!

พอนึกถึงจุดนี้ ประมุขชิงก็บอกเพียงว่า  ตบรางวัลอย่างงาม! 

แม่ทัพเงยหน้าอย่างงุนงง หลังจากแน่ใจแล้ว เรื่องรางวัลนั้นเอาไว้ก่อน ในใจราวกับได้ปล่อยหนหนักอึ้งทิ้งลงพื้น

ทว่าพอหันกลับมา อู๋ฉวี่ก็เดินมาหาเขาอีก แล้วเตือนว่า  ในเมื่อฝ่าบาทเอ่ยปากแล้ว ก็ย่อมต้องตบรางวัล แต่เจ้าก็รู้เบื้องหลังของราชินีสวรรค์ เจ้าลงมือกับราชินีสวรรค์แล้ว ตามกฏแล้วฝ่าบาทอาจจะช่วยประนีประนอมให้เจ้าได้ แต่ครั้งนี้แตะขีดจำกัดของตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะไม่ปล่อยเจ้าไป ถ้าประกาศให้รางวัลกับเจ้าตอนนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องดีต่อตัวเจ้าเหมือนกัน รอให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปก่อนแล้วค่อยให้รางวลัเจ้า แล้วเจ้าก็อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วไม่สะดวกจะแตะต้องเจ้าอย่างเปิดเผย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะลอบทำร้ายไม่ได้ ทางครอบครัวเจ้า ข้าเตรียมให้ย้ายที่อยู่แล้ว ต่อไปนี้เจ้าก็มาอยู่ที่ศูนย์บัญชาการองครักษ์ขวาแล้วกัน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ไม่ให้เจ้าได้รับความลำบากโดยสูญเปล่าหรอก 

 ข้าน้อยเข้าใจ ขอบคุณนายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ขวา  แม่ทัพกุมหมัดคารวะ

 ครั้งนี้ทำให้เจ้าลำบากแล้ว  อู๋ฉวี่ยกมือขึ้นตบบ่าเขาพลางถอนหายใจ ขณะเดียวหันก็หันกลับไปมองตำหนักเย็นแวบหนึ่ง คนที่ครอบครองใต้หล้า ไม่น่าเชื่อว่าก่อเรื่องวุ่นวายเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่รู้จริงๆ ว่าจะว่าประมุขชิงอย่างไรดี ถ้าให้โพ่จวินรู้เรื่องนี้ จะต้องประณามว่าจ้านหรูอี้เป็นคนอัปมงคลแน่นอน มองจ้านหรูอี้เป็นหญิงหายนะที่ทำให้ใต้หล้าวุ่นวาย

ทว่าในใจอู๋ฉวี่ก็รู้ชัดเช่นกัน ตัวอัปมงคลหรือหญิงหายนะอะไรนั่นไม่เกี่ยวกับจ้านหรูอี้ แล้วจ้านหรูอี้ก็ไม่ได้ทำผิดอะไร เป็นเพราะมีผู้ชายคนหนึ่งมาชอบนางเท่านั้น นางถึงขั้นไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธด้วยซ้ำ ที่จริงตั้งแต่สมัยโบราณนานมา ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่เข้ามาอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ทางอำนาจแบบนี้ ต่องดงามกว่านี้หรือเป็นที่โปรดปรานกว่านี้ก็ล้วนเป็นเรื่องจอมปลอม ถ้าไม่มีกำลังที่จะปกป้องตัวเอง ก็จะกลายเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดได้ง่ายๆ บาปล้วนต้องมีแพะมารับ ราชันไม่ผิด ขุนนางไม่ผิด เช่นนั้นคนผิดมีเพียงแค่นางเท่านั้น!

แม้ในใจลึกๆ เขาจะเห็นใจจ้านหรูอี้เช่นกัน แต่ถ้าคำนึงถึงสถานการณ์ภาพรวม เขาก็ไม่คิดว่าประมุขชิงจำเป็นต้องมีรักแท้อะไร คนที่อยู่ในตำแหน่งอย่างประมุขชิง เดิมทีสิ่งที่เรียกว่ารักแท้ก็คือคำขอที่เกินตัวอยู่แล้ว เขาเองก็คิดว่าจ้านหรูอี้ไม่ควรใช้ฐานะผู้หญิงอ่อนแอมาปรากฏตัวอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ วังสวรรค์คือศูนย์กลางของการต่อสู้ทางอำนาจในใต้หล้า ถ้าอยู่ที่วังสวรรค์โดยไม่มีอำนาจหนุนหลัง ก็ถือเป็นเรื่องเด็กเล่นแท้ๆ เลย พออิ๋งจิ่วกวงล้มลง จ้านหรูอี้ก็สมควรถูกฆ่า สมควรตาย ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะทำร้ายทั้งคนอื่นทำร้ายทั้งตัวเอง!

แต่จนใจที่เรื่องบางเรื่องโพ่จวินสามารถทำได้ แต่ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะทำได้

 ผู้บัญชาการองครักษ์ขวา ฝ่าบาทเชิญ!  ทหารคนหนึ่งออกจากตำหนักเย็นมากุมหมัดคารวะรายงาน

อู๋ฉวี่พยักหน้า เดินก้าวยาวเข้าไปข้างใน

ในตำหนักหลักของตำหนักเย็น ประมุขชิงเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาด้วยสีหน้าเย็นเยียบ

ก่อนหน้านี้ตอนเกิดอารมณ์ชั่ววูบก็ยังไม่รู้สึกอะไร รอจนกระทั่งใจเย็นลงแล้ว เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล ไม่ได้ธรรมดาเหมือนที่เห็นภายนอก ตอนแรกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่บอกว่าจะมาหาเขาที่พระตำหนักอุทยาน ทำไมถึงอ้อมมาตำหนักเย็นได้ล่ะ? ปกติจ้านหรูอี้ก็ไม่ออกจากตำหนักเย็นด้วย ทำไมเซี่ยโห้วเฉิงอวี่บังเอิญมาเจอจ้านหรูอี้ตอนออกมาข้างนอกยามพลบค่ำและเกิดเรื่องนี้ขึ้นพอดี?

…………………

 

เมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของประมุขชิง ซือหม่าเวิ่นเทียนก็งงเป็นไก่ตาแตกแล้ว เขายังรอประมุขชิงชี้แนะไม่เสร็จเลย ใครจะคิดว่าพอเกิดเรื่องของจ้านหรูอี้ขึ้น ก็เหมือนไม่มีเรื่องอะไรของเขาทันที สรุปว่าผู้หญิงสำคัญกว่าหรือใต้หล้าสำคัญกว่า!

เขาคิดไม่ตกแล้ว วังหลังมีสนมที่งามล้ำเลิศมากมายขนาดนั้น มีคนที่สวยกว่าจ้านหรูอี้นับไม่ถ้วน มีให้เลือกหลายรูปแบบ ทำไมต้องยึดติดกับจ้านหรูอี้คนเดียว ราชันสวรรค์สวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยอย่างท่านมาอยู่ที่พระตำหนักอุทยานเป็นประจำเพื่อจ้านหรูอี้คนเดียว จนกลายเป็นเรื่องน่าขำขันของคนอื่นแล้ว ทำอย่างนี้คุ้มเหรอ?

พอประมุขชิงพูดจบ ก็ผลักซ่างกวนชิงจนโซเซ

ซ่างกวนชิงไม่กล้าลังเล รีบถ่ายทอดคำสั่งผ่านระฆังดาราในมือ

ในความเป็นจริง ถ้าสถานการณ์ฝั่งนั้นรอการตอบกลับจากฝั่งนี้ เกรงว่าจ้านหรูอี้คงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว โชคดีที่แม่ทัพอารักขาฝั่งนั้นค่อนข้างเด็ดขาด ยอมทุ่มเทเอาหัวเข้าไปเสี่ยงเพื่อล่วงเกินราชินีสวรรค์ ดันทุรังชิงตัวจ้านหรูอี้มาได้

ดังนั้นเมื่อรอจนซ่างกวนชิงถ่ายทอดคำสั่งมาอีกครั้ง ทหารอารักขาที่ได้รับข่าวก็ชิงตัวจ้านหรูอี้กลับมาที่ตำหนักเย็นได้แล้ว จึงได้ถามเรื่องราวโดยละเอียดอีก

ประมุขชิงเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายอยู่ข้างๆ ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าต่อให้ตัวเองไปก็ไปไม่ทัน เกรงว่าคงจะไปที่นั่นด้วยตัวเองแล้ว ตอนนี้ทำได้เพียงรอดูสถานการณ์ก่อน รอจนซ่างกวนชิงวางระฆังดาราลงแล้ว ก็รีบถามว่า  เป็นยังไงบ้าง? 

ซ่างกวนชิงถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วตอบว่า  ทหารอารักขาขัดขวางราชินีสวรรค์ได้แล้วขอรับ ตอนนี้สนมสวรรค์ยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต! 

ประมุขชิงฟังออกถึงความหมายที่อ้อมค้อมของเขาทันที ถามอย่างโมโหว่า  ทำไมบอกว่ายังไม่มีอันตรายถึงชีวิต สนมสวรรค์เป็นยังไงกันแน่? 

ซ่างกวนชิงส่ายหน้า  ยังไม่มีผลอะไรใหญ่โตขอรับ!  เขาไม่กล้าบอกความจริง ถ้าพูดออกไปก็ยังไม่รู้เลยว่าท่านนี้จะทำอะไรได้บ้าง ทุกคนล้วนมีจุดอ่อน เขาพบว่าตอนนี้จ้านหรูอี้นับว่าเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของท่านนี้อย่างแท้จริง

เมื่อเห็นเขาไม่ยอมบอกสถานการณ์ ประมุขชิงก็ตระหนักได้แล้วว่าจ้านหรูอี้คงจะประสบกับเรื่องอะไรที่ทำให้ซ่างกวนชิงยากจะเอ่ยปากบอกเขา

ประมุขชิงทนไม่ไหวแล้ว หันหน้าหนีไปทันที ถ้าไม่ได้เห็นสถานการณ์ของจ้านหรูอี้ เขาก็ไม่มีทางสงบใจได้

 ฝ่าบาท!  ซ่างกวนชิงตะโกนเรียกอยู่ข้างหลังด้วยความกังวล ถ้าให้ประมุขชิงเห็นสภาพของจ้านหรูอี้จริงๆ เขาก็กลัวว่าประมุขชิงจะฆ่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ด้วยอารมณ์โกรธ นั่นเท่ากับยั่วโมโหตระกูลเซี่ยโห้วอย่างถึงที่สุด ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากคิดถึงเลย ตอนนี้ไม่สะดวกจะให้ประมุขชิงเจอเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จริงๆ

เมื่อเห็นซ่างกวนชิงส่งสายตาขอให้ช่วยกันเกลี้ยกล่อม ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ จึงช่วยเกลี้ยกล่อมด้วยเช่นกัน

ตอนนี้เกลี้ยกล่อมประมุขชิงไม่ไหวเลย เหาะไปยังพระตำหนักอุทยานโดยตรงแล้ว

ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ตามมาด้วยรู้สึกเศร้าในใจ อดไม่ได้ที่จะปลงอนิจจัง สงสัยนี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ในปีนั้นประมุขไป๋ตกต่ำเพราะทำเพื่อประมุขปีศาจคนเดียว ฝ่าบาทในตอนนี้ก็เป็นแบบเดียวกันเพราะผู้หญิงคนเดียวอีก แตกต่างอะไรกับประมุขไป๋ล่ะ? เมื่อก่อนเขายังนึกว่าคนอย่างประมุขชิงไม่มีทางเป็นอย่างนั้นเพราะผู้หญิงแน่ ตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าใจ ว่าก่อนหน้านี้เป็นเพราะประมุขชิงก็แค่ยังไม่เคยเจอคนที่ตัวเองชอบจริงๆ ก็เท่านั้นเอง

ระหว่างทาง จู่ๆ ซ่างกวนชิงที่ถือระฆังดาราก็ตะโกนบอกว่า  ฝ่าบาท! ราชินีสวรรค์มาทางนี้แล้วขอรับ คาดว่าคงต้องการจะมาหาท่านที่พระตำหนักอุทยาน…  เขาไม่ได้พูดว่าจะมาสะสางบัญชี รู้ว่าถ้าไม่หลบสักหน่อยจะต้องเจอเซี่ยโห้วเฉิงอวี่แน่ ฝั่งนี้กำลังไปทางตำหนักเย็น ส่วนฝั่งนั้นก็กำลังมาทางฝั่งนี้ ถ้าไม่บังเอิญเจอกันระหว่างทางก็แปลกแล้ว

 นางยังกล้ามาพบข้าอีกเหรอ ข้าก็อยากจะเห็นว่านางคิดจะทำอะไรกันแน่!  ประมุขชิงกล่าวอย่างโมโห

ซ่างกวนชิงเกลี้ยกล่อมอย่างลำบากลำบน  ฝ่าบาท ตามหลักแล้ว ราชินีสวรรค์ไม่ได้ทำอะไรผิดนะขอรับ! ตามหลักแล้วสนมสวรรค์ออกจากตำหนักเย็นไม่ได้ การที่สนมสวรรค์ออกจากตำหนักเย็นไปหุบเขาด้านหลังนั้นไม่สมควรจริงๆ เหนียงเหนียงบังเอิญเจอแล้วรักษากฎระเบียบไว้ก็สมควรแล้วขอรับ! ถ้าบังเอิญเจอเหนียงเหนียง แล้วเหนียงเหนียงนำเรื่องนี้มาเอาผิด ฝ่าบาทจะชี้แจงได้อย่างไร! 

ประมุขชิงหันกลับมาคำราม  ข้าจำเป็นต้องให้คำชี้แจงต่อนางด้วยเหรอ? ใต้หล้านี้เป็นของข้า ข้าบอกว่าหุบเขานั่นคือตำหนักเย็นก็คือตำหนักเย็น ใครกล้าตั้งคำถาม? 

ซ่างกวนชิงร้อนใจมาก พลันถามเสียงดังว่า  ฝ่าบาท อย่าบอกนะว่าท่านอยากจะแตกหักกับตระกูลเซี่ยโห้วจนถึงที่สุดจริงๆ? 

เมื่อกล่าวถามเช่นนี้ ก็เท่ากับนำน้ำเย็นไปสาดใส่ศีรษะประมุขชิงที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทำให้ประมุขชิงใจเย็นลงแล้วไม่น้อย ความเร็วในการเหาะก็ช้าลงเช่นกัน

ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนรีบตามไป ซ่างกวนชิงใช้คำพูดดีๆ โน้มน้าว  ฝ่าบาท ตอนนี้เหนียงเหนียงกำลังโมโห ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น ถ้าเหนียงเหนียงทำเรื่องอะไรที่ล้ำเส้นขึ้นมา ฝ่าบาทจะลงโทษหรือเปล่าขอรับ? หรือว่าจะหลบเลี่ยงสักหน่อย รอให้เหนียงเหนียงได้สติแล้ว รอให้ใจเย็นแล้วค่อยพูดกันก็ยังไม่สาย! 

 ใช่แล้วๆ!  ซือหม่าเวิ่นเทียนคอยพูดเสริมอยู่ข้างๆ  ไม่ควรทำให้เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โต เพราะถ้าเรื่องใหญ่แล้วก็ไม่ดีต่อสนมสวรรค์เช่นกัน ต่อไปถ้ามีคนมาเอาเรื่องที่สนมสวรรค์ถือวิสาสะออกจากตำหนักเย็น จะไม่เป็นการทำร้ายสนมสวรรค์หรือขอรับ? ต่อให้พิจารณาเพื่อสนมสวรรค์ ฝ่าบาทก็อดทนไว้ก่อนจะดีกว่า! 

ประมุขชิงหยุดลอยอยู่บนฟ้าด้วยใบหน้านิ่งตึง

รู้ว่าถ้าประมุขชิงตอบตกลงเร็วเกินไปก็จะเสียหน้า ต้องมีคนหาบันไดให้ประมุขชิงลง ซ่างกวนชิงจึงส่งสายตาให้ซือหม่าเวิ่นเทียน ทั้งสองคนอยู่ฝั่งซ้ายและขวา แล้งลงมือพร้อมกัน ฉุดแขนประมุขชิงคนละข้าง

 พวกเจ้าสองคนนี่มันน่าตาย คิดจะก่อกบฏเหรอ?  ประมุขชิงโวยวายอย่างไร้เหตุผล

ทั้งสองไม่สนใจ ดันทุรังดึงประมุขชิงลงมาบนพื้น แล้วซ่อนตัวอยู่ในป่าด้านล่างชั่วคราว

ซือหม่าเวิ่นเทียนดึงแขนประมุขชิงอีกข้างไม่ยอมปล่อย ส่วนประมุขชิงก็ใช้ระฆังดาราติดต่อไปทั่ว ต้องการวางแผนเพื่อจัดการกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง

รออยู่ครู่เดียว บนฟ้าก็มีเงาคนกลุ่มหนึ่งแฉลบผ่านไป เซี่ยโห้วเฉิงอวี่นำหน้ามา สีหน้าเดือดดาลยากจะเลือนหายไป กำลังจะไปคิดบัญชีกับใครบางคนที่พระตำหนักอุทยาน!

ประมุขชิงที่เงยหน้ามองแค้นจนกัดฟันกรอด ตัวเองเป็นราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยแต่ยังต้องหลบผู้หญิงคนนี้ ช่างไร้เหตุผลจริงๆ!

แต่ก็ไม่มีทางเลือก ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงเป็นราชินีสวรรค์ไม่ได้ แม้แต่เขาเองก็ถูกสนับสนุนให้ขึ้นสู่ตำแหน่งโดยตระกูลของราชินีสวรรค์ แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีภูมิหลังอย่างนั้น เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่มีสิทธิ์ทำตัวเจ้าอารมณ์อย่างนี้เช่นกัน และไม่กล้าพาลหาเรื่องอย่างนี้ด้วย ต่อให้โมโหอย่างไรก็ต้องอดทนเอาไว้

รอจนกระทั่งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไปไกลแล้ว ประมุขชิงก็ผลักซือหม่าเวิ่นเทียนออกไป แล้วถลันตัวออกจากภูเขา เหาะไปทางตำหนักเย็นอีกครั้ง

ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนสบตากันแล้วส่ายหน้า ถลันตัวตามไปเช่นกัน

พอไปถึงตำหนักเย็นแล้ว ทั้งสองก็หยุดอยู่หน้าประตูตำหนักบรรทม ไม่สะดวกจะตามเข้าไปอีก มีเพียงประมุขชิงที่สาวเท้าเดินเข้าไปคนเดียว

หยินซวงกับไป๋เสวี่ยที่อยู่ในตำหนักบรรทมส่งเสียงร้องเป็นระยะ จ้านหรูอี้ที่นอนอยู่บนเตียงกำลังมองเพด้านอย่างเหม่อลอย ราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด

บนตัวนางมีเพียงชุดชั้นในตัวเดียว ไม่ได้ร่ายอิทธิฤทธิ์ห้ามเลือดบนบาดแผลตรงแอ่งไหล่เช่นกัน มีแต่หยินซวงที่ใช้มือข้างหนึ่งกดบาดแผลและร่ายอิทธิฤทธิ์ห้ามเลือดให้อยู่ข้างๆ ส่วนมืออีกข้างก็เป่าหมอกดาวจากสมุนไพรเซียนซิงหัวให้เยียวยาบาดแผลเหวอะหวะที่โดนแทง

ส่วนไป๋เสวี่ยยืนอยู่อีกด้าน ช่วยทำความสะอาดรอยเลือดบนใบหน้าจ้านหรูอี้อย่างระมัดระวัง

ประมุขชิงที่สาวเท้าเดินเข้ามาหยุดชะงัก ภาพแรกที่เห็นก็คือเสื้อผ้าเปื้อนเลือดที่ถูกกองทิ้งไว้บนพื้น เขาเบิกตากว้างทันที

เห็นเลือดมาจนชินแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าประมุขชิงที่เคยเห็นภูเขากระดูกทะเลเลือดมาก่อนจะรู้สึกว่าเสื้อผ้าเปื้อนเลือดชุดนี้จะบาดตาขนาดนี้ รู้สึกใจหายใจคว่ำขนาดนี้

หยินซวงกับไป๋เสวี่ยสังเกตเห็นว่าเขามาแล้ว จึงรีบเข้ามา แล้วคุกเข่าบนพื้นพร้อมกัน  คำนับฝ่าบาท! 

ทั้งสองเช็ดนำตา หยินซวงถึงขั้นส่ายหน้าบอกว่า  ฝ่าบาท ท่านต้องทวงความยุติธรรมให้เหนียงเหนียงนะเพคะ! 

ประมุขชิงก้าวเข้ามาตรงหน้าเตียง เห็นแอ่งไหล่ของจ้านหรูอี้กำลังมีเลือดไหลโดยไม่ใช่พลังอิทธิฤทธิ์ควบคุม บาดแผลที่สะดุดตานั่นราวกับแทงหัวใจของเขา

ที่จริงนี่คือเจตนาของหยินซวง จ้านหรูอี้อาจจะไม่สนใจสิ่งนี้ แต่นางข่มความโกรธนี้ไม่ไหวจริงๆ!

ประมุขชิงชี้ที่บ่าจ้านหรูอี้ ควบคุมไม่ให้เลือดไหล พอมองใบหน้าจ้านหรูอี้อีกครั้ง ก็พบว่าถูกตบจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม รอยฝ่ามือซ้อนทับกันเยอะจนตาเปล่าเห็นได้ ภาพนี้ราวกับมีคนเอาดาบมาสับหัวใจเขาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง เขาควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ทันที อารมณ์เพิ่งสงบไปก่อนหน้านี้เสียการควบคุมอีกครั้ง ทั้งตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ

ขณะมองหัวไหล่ของจ้านหรูอี้ที่เดิมทีขาวหมดจดเปิ้อนเลือดสดจนกลายเป็นสีแดง แล้วเห็นใบหน้าของจ้านหรูอี้ในความทรงจำกลายเป็นอย่างนั้น ประมุขชิงก็เงยหน้าถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ส่งเสียงคำรามราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ  ยังคุกเข่าอยู่ตรงนั้นทำไม ยังไม่รีบมาช่วยคนอีก! 

ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนที่รออยู่ข้างนอกหันกลับมามอง อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันเลิกลั่ก ฝ่าบาทคำรามแบบนี้หมายความว่าอะไร อย่าบอกนะว่าอาการบาดเจ็บของจ้านหรูอี้ร้ายแรงถึงขั้นนั้น?

 ซ่างกวน อาการบาดเจ็บของท่านนั้นเป็นยังไงบ้าง?  ซือหม่าเวิ่นเทียนอดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงถาม ถ้าตายขึ้นมาจริงๆ เขาก็กังวลว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น

ซ่างกวนชิงขมวดคิ้วส่ายหน้า ฟังจากเสียงประมุขชิง เขาก็รู้แล้วว่าไม่ได้เดือดดาลธรรมดา

ในห้องนั้น หยินซวงกับไป๋เสวี่ยรีบลุกขึ้น แล้วลงมือช่วยเยียวยาต่อไป

เสียงเกรี้ยวกราดดังขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจ้านหรูอี้ที่กำลังนอนอยู่อย่างนั้นกลับไม่ขยับตาแม้แต่น้อย ไม่สะทกสะท้านราวกับเป็นผีดิบ ดวงตาสองข้างหดหู้ไร้แวว ในหัวมีเพียงภาพหนึ่งฉายซ้ำไปซ้ำมา นั่นก็คือวันที่นางภาคภูมิใจที่สุด ตัวเองสวมเกราะรบสีสดใสอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ถือทวนชูขึ้นสูง ตะโกนเสียงดังบัญชาการลูกน้อง นางในตอนนั้นฮึกเหิมมีชีวิตชีวา เหยียดหยามบรรดาเพื่อนสาวที่กลัดกลุ้มเพราะความรัก…

เดิมทีเป็นแม่ทัพหญิงแกร่ง แต่กลับทำตามใจตัวเองไม่ได้ ต้องถอดเกราะรบเปลี่ยนมาใส่ชุดเจ้าสาว รอปรนนิบัติอยู่ในวังเงียบๆ

ประมุขชิงที่ยืนสีหน้าขึงขังอยู่ข้างๆ พลันกล่าวว่า  เล่ามา! เล่ารายละเอียดให้ข้าฟังให้ชัดเจน! 

แม้แต่ซ่างกวนชิงก็ยังถามแล้วไม่รู้ชัดเจน ซ่างกวนชิงจงใจตอบคลุมเครือ ไม่อยากทำให้เรื่องราวใหญ่โต คาดว่าคนอื่นก็ไม่อยากให้เรื่องราวใหญ่โตเช่นกัน ตอนนี้เขาทำได้เพียงถามความจริงที่นี่

 ปกติเหนียงเหนียงจะอยู่ในตำหนักไม่ออกไปไหน พอใกล้จะพลบค่ำ เหนียงเหนียงก็จะไปที่หุบเขาด้านหลังเป็นปกติ…  ผู้หญิงทั้งสองผลัดกันเล่ารายละเอียดหลังจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ปรากฏตัวกะทันหันให้ฟัง เล่าทุกการกระทำให้ฟังอย่างละเอียด หยินซวงพูดเกินจริงไปเล็กน้อย

เมื่อรู้ว่าพอเจอหน้ากันเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ตบจ้านหรูอี้ล้มโดยไม่ถามไถ่อะไร แล้วก็ตบอีกฉาด ตบซ้ายตบขวาท่ามกลางฝูงจ้านหรูอี้ไปกี่ครั้ง ทั้งยังบีบให้จ้านหรูอี้คุกเข่า ชักกระบี่ออกมาแทบจะเอาชีวิตจ้านหรูอี้ แต่จ้านหรูอี้ไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ และไม่หลบเลี่ยงด้วย ปล่อยให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตบตีรังแกไม่หยุด ต่อให้เกือบเอาชีวิตไม่รอดก็ไม่ยอมบอกว่าประมุขชิงอนุญาตให้นางออกจากตำหนักเย็น

ผู้หญิงคนนี้แม้ใกล้ตายก็ยังปกป้องเขา แต่ราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยอย่างเขาไม่เพียงแค่ปกป้องนางไม่ได้ ทั้งยังทำให้นางได้รับความลำบากอย่างนี้ด้วย!

น้ำตาร้อนๆ สองสายไหลอาบแก้มประมุขชิง เขาส่ายหน้าช้าๆ จ้องจ้านหรูอี้ที่อยู่บนเตียงพลางพึมพำว่า  ข้าทำผิดต่อเจ้า ข้าทำผิดต่อเจ้า… 

ถ้าให้คนอื่นเห็นฉากนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมากมายเท่าไรตกตะลึง ไม่น่าเชื่อว่าประมุขชิงจะยอมเสียน้ำตาเพื่อผู้หญิงคนเดียว!

ยกมือเช็ดน้ำตาบนใบหน้า มองเสื้อผ้าเปื้อนเลือดที่อยู่บนพื้นอีกครั้ง ในหัวปรากฏฉากที่จ้านหรูอี้ถูกตบหน้าข้างซ้ายทีขวาที ประมุขชิงหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโกรธ เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง สองมือในแขนเสื้อกำหมัดแน่น เสียงกระดูกดังกร๊อบแกร๊บ ปล่อยกลิ่นอายสังหารออกมาจางๆ ราวกับสัตว์ป่าดุร้ายที่ถูกยั่วโมโห…

……………

 

สำหรับเรื่องนี้ ทหารอารักขาที่สามารถปรากฏตัวบริเวณใกล้เคียงตำหนักเย็นได้ต่างก็รู้ว่าเป็นประสงค์ของฝ่าบาท ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่าบาท แล้วจะให้จ้านหรูอี้ที่ถูกขังไว้ในตำหนักเย็นออกมาได้อย่างไร แต่ก็ไม่มีทางอธิบายได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ยิ่งไม่มีทางอธิบายได้

 หลีกไป!  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตะคอกใส่แม่ทัพอารักขาที่เข้ามาขวาง

แม่ทัพอารักขาแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว กล่าวด้วยใบหน้าตึงเครียดว่า  เหนียงเหนียง ตำหนักเย็นคือเขตหวงห้ามของฝ่าบาท ไม่ว่าใครก็บุกเข้าไปไม่ได้ โปรด… 

ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตะคอกกลับแล้วว่า  ตำหนักเย็นก็คือตำหนักเย็น ที่นี่ก็คือที่นี่ ฝ่าบาทไม่ได้จำกัดอิสระในการไปไหนมาไหนของข้าที่นี่ คำพูดของเจ้าเป็นตัวแทนของฝ่าบาทได้เหรอ? เจ้าใหญ่กว่าฝ่าบาทเหรอ? 

แม่ทัพอารักขาอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง สายตาชำเลืองไปรอบๆ ที่นี่ไม่ใช่ตำหนักเย็นจริงๆ ที่สำคัญก็คือเขาไม่มีทางอธิบายได้ ไม่กล้าบอกว่านี้คือประสงค์ของฝ่าบาท

 ไสหัวไป!  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตะคอกอย่างเดือดดาล แล้วยืดอกรับโดยตรง

แม่ทัพอารักขายื่นมือจะผลัก แต่เกือบจะโดนหน้าอกนางแล้ว เขาตกใจจนรีบเก็บมือ ไม่กล้าแตะต้องร่างกายของนางเช่นกัน ขณะที่ถอยกลับก็กล่าวเสียงต่ำว่า  พาจ้านหรูอี้กลับตำหนักเย็น! 

 ใครอยากจะเห็นว่าใครกล้า!  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตวาดอย่างโมโห แล้วถลันตัวเข้าไป ร่ายอิทธิฤทธิ์พุ่งเข้าชน แม่ทัพอารักขาที่กางแขนขัดขวางถูกผลักออกไปแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็มีวรยุทธ์ไม่ใช่ต่ำๆ

ชั่วพริบตานี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มาถึงตรงหน้าจ้านหรูอี้แล้ว หยินซวงกับไป๋เสวี่ยตกใจเหมือนนกกระทาน้อย เข้ามาขวางตรงหน้าจ้านหรูอี้อย่างตัวสั่นหวาดกลัว

จ้านหรูอี้เม้มริมฝีปากเล็กน้อย นางพอจะเดาอะไรบางอย่างออกแล้วนิดหน่อย

 นางบ่าวชั้นต่ำสองคนกล้ามาขวางข้าเหรอ?  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตำหนิอย่างโมโห

หยินซวง

ไป๋เสวี่ยตกใจแทบแย่ แต่กลับฝืนไม่หลีกทาง กลัวว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะทำร้ายจ้านหรูอี้

กลับเป็นจ้านหรูอี้ที่กล่าวเสียงเรียบว่า  พวกเจ้าสองคนถอยไป! 

นางยังไม่ทันพูดจบ พออ้าปาก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ตบนางฝั่งซ้ายฝั่งขวาสองฉาด ทำเอาหยินซวง ไป๋เสวี่ยเลือดกลบปากล้มไปด้านข้างคนละฝั่ง

ยังไม่ทันรอให้จ้านหรูอี้เอ่ยปากพูดอะไร เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ก้าวขึ้นมาตบหน้าจ้านหรูอี้อย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังฟังชัดแล้ว จ้านหรูอี้ล้มลงบนพื้น

พวกแม่ทัพอารักขาก้าวขึ้นมาอย่างตกใจ บรรดานางในที่อยู่ข้างกายเซี่ยโห้วเฉิงอวี่รีบเข้ามาขวาง ล้อมเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับจ้านหรูอี้เอาไว้ข้างใน สนมลี่ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

ที่จริงสนมลี่หวาดระแวงกลัวพอสมควร

เอ๋อเหมยชี้แม่ทัพอารักขาพลางตะโกนว่า  ใครกล้าล่วงเกินเหนียงเหนียงก็ลองดู!  ชวิ้ง นางชักกระบี่มาไว้ในมือโดยตรง จ่อบนคอแม่ทัพหลักแล้ว

แม่ทัพหลักแอบร้องในใจ ในใจเอ๋อเหมยก็ไม่ได้รู้สึกดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ใช้สายตาเย็นเยียบเหล่มองสนมลี่แวบหนึ่ง นางเดาออกโดยสัญชาตญาณว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสนมลี่ ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ในฐานะที่นางเป็นสาวใช้ประจำกายราชินีสวรรค์ ก็ได้แค่ทำอย่างนี้เช่นกัน

เดือดดาลมาก! ขณะใช้สายตาเย็นเยียบจ้องจ้านหรูอี้บนพื้น ในใจเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็มีเพียงความเดือดดาลไร้ที่สิ้นสุด

อยู่ในวังมาหลายปี ต่อให้จะโง่ขนาดไหนแต่ก็ยังมีความระวังตัวอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าคำพูดของสนมลี่มีเจตนาอื่น ทว่านั่งนึกไม่ถึงจริงๆ นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เรียกว่าข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง นางตัวดีที่ถูกขังไว้ในตำหนักเย็นสามารถเข้าออกตำหนักเย็นได้อย่างอิสระแล้วจริงๆ ดูอิสระเสรีมากในสภาพแวดล้อมที่เลิศหรูแบบนี้ อัปยศยิ่งนัก นางรู้สึกได้ถึงความอัปยศไร้ที่สิ้นสุด!

เมื่อได้ฟังความหมายในคำพูดสนมลี่ ก็เหมือนว่าทุกคนจะรู้เรื่องนี้หมดแล้ว มีแค่นางคนเดียวที่ไม่รู้ พอนึกถึงว่าตัวเองไปมาวังหลังได้อย่างน่าภาคภูมิใจ ภายนอกผู้หญิงพวกนี้เคารพนอบน้อมต่อนาง แต่ความจริงแล้วไม่รู้ว่ามีคนมากเท่าไหร่ที่หัวเราะเยาะนางลับหลัง คิดไปคิดมาก็แทบเสียสติ ไม่น่าเชื่อว่าประมุขชิงจะสร้างความอัปยศให้นาขนาดนี้โดยไม่สนกฎระเบียบ จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร เห็นนางเป็นอะไรไปแล้ว? เห็นเป็นสัตว์เดรัจฉานที่เทียบหมูเทียบหมาไม่ได้อย่างนั้นหรือ?

เมื่อพิสูจน์ข่าวลือนี้ได้แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดบางคำของสนมลี่ นางตัวแสบนี่อยากจะหวนคืนสู่ตำแหน่งอีกครั้ง คิดจะมีทายาทให้ฝ่าบาท นางแพศยานี่คิดจะทำอะไรกันแน่? แค่นางคิดก็รู้สึกกลัวจนตัวสั่น ขั้นต่อไปก็จะมาแทนที่นางและลูกชายของนางได้โดยธรรมชาติ!

นอกจากนี้ ทุกคนก็รู้ข่าวลือนี้หมดแล้ว อย่าบอกนะว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่บอกให้นางรู้จริงๆ? ตระกูลเซี่ยโห้วปิดบังตนไว้หมายความว่าอย่างไร?

นางรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าตระกูลเซี่ยโห้วจงใจจะปิดข่าวนาง!

ชั่วพริบตานี้ โลกทั้งใบของนางสั่นคลอนหมดแล้ว รู้สึกว่าคนทั้งโลกกำลังหลอกลวงนาง คับแค้นใจ คับแค้นใจ ยังคงคับแค้นใจ!

หารู้ไม่ ว่าแม้ตระกูลเซี่ยโห้วจะรู้ความจริงแล้ว แต่กลับไม่ได้ปิดข่าวนาง ที่จริงประมุขชิงทำเรื่องนี้อย่างเป็นความลับอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดข่าวเลย ส่วนจุดประสงค์ที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่บอกนางก็เรียบง่ายมาก ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เหตุการณ์อย่างตรงหน้านี้เกิดขึ้น สำหรับตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว เมื่อปัญหาเล็กน้อยบางอย่างก็ปิดตาข้างเดียวไว้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องราวใหญ่โต ประมุขชิงชอบจ้านหรูอี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็แค่ไปที่ตำหนักเย็นบ่อยๆ เท่านั้นเอง ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง!

จ้านหรูอี้ลุกขึ้นอย่างโซเซ

จ้านหรูอี้เงียบงันไม่พูดอะไร

เพี้ยะ! ตบอีกฉาดหนึ่ง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่บอกว่า  ไม่บอกเหรอ? ตอนนี้ข้าสามารถลงโทษประหารนางแพศยาที่ขัดคำสั่งได้เลย! 

จ้านหรูอี้ยังคงไม่พูด

เพี้ยะ ตบอีกฉาดเสียงดังสนั่น

เพี้ยะ ตบเสียงดังชัดเจน

จ้านหรูอี้เลือดกลบมุมปาก แต่กลับยืนให้ตบหน้าอยู่อย่างนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ฝืนทนอยู่อย่างนั้น!

ไม่เห็นว่านางปกป้องผู้ชายคนนั้นไม่ยอมเอ่ยปาก ไม่น่าเชื่อว่าจะเสแสร้งรักกันต่อหน้า เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดือดดาลจนคิดอยากจะฆ่านางเสียเลย แต่ก็ไม่อยากให้จ้านหรูอี้ตายง่ายเกินไป หลังจากตบอีกฉาด ก็ตะคอกว่า  นางแพศยา คุกเข่าลงไป! 

บนคอเสื้อสีขาวดุจหิมะเปื้อนเลือดสด จ้านหรูอี้เงียบงัน คุกเข่าลงช้าๆ ตรงหน้านาง

 ฮือๆ…  หยินซวงกับไป๋เสวี่ยร้องไห้อยู่ข้างๆ แต่กลับถูกขนของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ใช้เท้าเหยียบไว้บนพื้น

ชวิ้ง! จู่ๆ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็พลิกมือช้อนกระบี่วิเศษด้ามหนึ่งออกมา นางแทงกระบี่ออกมาอย่างไม่ปราณีเลยสักนิด แทงทะลุแอ่งไหล่ของจ้านหรูอี้อย่างไม่ลังเล เลือดสดไหลออกมา ตอนที่กระบี่อยู่บนตัวจ้านหรูอี้ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงดุร้ายว่า  นางตัวดี ยังไม่พูดอีกเหรอ งั้นข้าจะฆ่าเจ้า! 

แม่ทัพอารักขาที่ถูกกระบี่จ่อคออยู่ข้างๆ ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกมา ถ้าจ้านหรูอี้ตายอยู่ที่นี่จริงๆ เขาก็ไม่มีทางจินตนาการถึงผลที่ตามมาได้เลย เกรงว่าคงยากที่ประมุขชิงจะไว้ชีวิตเขา มีความเป็นไปได้สูงว่าคนกลุ่มใหญ่จะต้องลงหลุมศพเป็นเพื่อนจ้านหรูอี้ไปด้วย!

เมื่อเห็นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ประสาทเสีย รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าเป็นผู้หญิงที่ฝ่าบาทรักที่สุด แต่ก็ยังกล้าใช้กระบี่แต่ะต้อง แม่ทัพอารักขาตระหนักได้ว่าจะรอให้ฝ่าบาทมาตัดสินใจเองไม่ได้อีกแล้ว ผู้หญิงคนนี้ขาดสติสัมปชัญญะแล้วจริงๆ!

ฉวยโอกาสตอนที่เอ๋อเหมยหันไปมอง จู่ๆ เขาก็ลงมือตีกระบี่ในมือเอ๋อเหมยออกไป แล้วตะโกนออกคำสั่งว่า  ช่วยคน! 

ขณะเดียวกันก็ใช้เท้าเตะท้องเอ๋อเหมย ทำให้เอ๋อเหมยกระเด็นออกไป แล้วก็ใช้ฝ่ามือตบฝ่าอากาศไปทางจ้านหรูอี้ พลังฝ่ามือที่ใหญ่หนาตบโดนจ้านหรูอี้ สมกับเป็นแม่ทัพเก่าแก่ของกองทัพองครักษ์ที่ผ่านสนามรบมานาน ดูเหมือนโจมตีจ้านหรูอี้ แต่ที่จริงแล้วกำลังใช้ฝ่ามือตีจ้านหรูอี้ให้ลอยไปด้านหลัง ทำให้จ้านหรูอี้หลุดพ้นจากกระบี่ด้ามนั้นที่สามารถทำอันตรายถึงชีวิตได้ตลอดเวลา

จ้านหรูอี้แอ่งไหล่เลือดสาดขณะกระเด็นไปข้างหลัง ทหารอารักขาที่อยู่ข้างกายก็ออกอาวุธทันทีเช่นกัน โจมตีคนของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ล้มเป็นแถบ มีสองคนรีบมารับจ้านหรูอี้เอาไว้ หิ้วแขนคนละข้างถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว

แม่ทัพอารักขาถลันตัวเข้ามาลงมือ ตบมือข้างหนึ่งไปที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ มีจุดประสงค์เพื่อช่วยแก้ไขวิกฤตให้จ้านหรูอี้

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โกรธจนตัวสั่น ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้าลงมือกับนาง หันขวับไปใช้ฝ่ามือตบหนึ่งที

ปั้ง! ภูเขาถล่มแผ่นดินแยกเลยทันที แม่ทัพอารักขาวรยุทธ์คนละระดับเลย โดนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตบฝ่ามือเดียวจนกระเด็นออกไป

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็โซเซถอยหลังหลายก้าวเช่นกัน แต่นางก็ยังไม่คิดจะปล่อยจ้านหรูอี้ไป ใช้มืออีกข้างชักกระบี่ออกมา คิดจะเอาชีวิตจ้านหรูอี้ ทว่าฝ่ามือของแม่ทัพอารักขาคนนั้นก็ช่วงชิงโอกาสให้จ้านหรูอี้ได้บ้าง จากนั้นคนที่คุ้มกันจ้านหรูอี้ให้ถอยหลังก็โบกอาวุธปัดกระบี่ของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ออกไป แต่วรยุทธ์ของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่ธรรมดาจริงๆ กระบี่ดีที่ขว้างออกมายังคงโจมตีให้คนล้มไปหลายคน

ท่ามกลางความอลหม่าน คนของกองทัพองครักษ์พุ่งออกมา ชิงตัวหยินซวงกับไป๋เสวี่ยไปแล้วเช่นกัน

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่สนหยินซวง ไป๋เสวี่ยอะไรทั้งนั้น คิดแต่จะสังหารจ้านหรูอี้ พอถลันตัวออกมา ก็พุ่งไปหาจ้านหรูอี้ที่มีคนกลุ่มใหญ่ปกป้อง พลังอำนาจอย่างนั้นเหมือนไม่เห็นกำลังพลจำนวนมากอยู่ในสายตาเลยจริงๆ บุกเข้าไปเพียงลำพัง

 ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!  แม่ทัพคนหนึ่งที่กระเด็นออกไปตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

พรึ่บ! คนกลุ่มหนึ่งคุ้มกันจ้านหรูอี้ให้ถอยไปอย่างรวดเร็ว กำลังพลที่ขวางอยู่แถวหน้าเผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมา เล็งไปยังเซี่ยโห้วเฉิงอวี่รวมทั้งกลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ กดดันให้พวกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หยุดอยู่กลางอากาศ

 พวกเจ้าคิดจะกบฏหรอ? ข้าอยากจะเห็นว่าใครจะกล้า!  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โมโหจนเป็นบ้าแล้วจริงๆ นอกจากจะมีคนลงมือกับนางแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากขนาดนี้เล็งใส่นาง ตั้งแต่วันที่นางแต่งงานเข้ามาอยู่ที่วังสวรรค์ ก็ไม่เคยประสบกับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน

 ข้าน้อยมีโทษตาย! ไม่คิดจะมีชีวิตอยู่เช่นกัน หากเหนียงเหนียงกล้าก็ลองก้าวเข้ามาสิ! แม่ทัพทุกคนฟังคำสั่ง หากเกิดเรื่องขึ้น ข้าจะรับผิดชอบคนเดียว ใครกล้าบุกเข้ามาก็ฆ่าไม่ละเว้น!  แม่ทัพอารักขาที่กระเด็นออกไปเหาะกลับมาตะโกนเสียงดุเร็วมาก

เมื่อมีคำสั่งนี้ออกมา กองทัพองครักษ์ก็ไม่สนใจอะไรอีก กลิ่นอายสังหารพวยพุ่งในชั่วพริบตาเดียว ทำเอาพวกสนมลี่ตัวสั่นวัดกลัว

และในเวลานี้เอง จ้านหรูอี้ถูกคนกลุ่มหนึ่งชิงตัวกลับเข้าตำหนักเย็นแล้ว ขณะเดียวกันก็มีกองทัพองครักษ์กลุ่มหนึ่งออกมาคุ้มกันนอกกำแพงตำหนัก ท้ังหมดง้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เล็งมาฝั่งนี้ ท่าทางเหมือนจะยิงสังหารคนที่บุกเข้ามาได้ทุกเมื่อ

 พวกเจ้า…พวเจ้า…  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ชี้กำลังพลกองทัพองครักษ์ นางโมโหจนตัวสั่น สำหรับนางแล้ว นี่คือการหยามเกียรติที่ใหญ่ที่สุด กองทัพองครักษ์ปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นราชินีสวรรค์เสียที่ไหนกัน ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป จะเป็นความอัปยศอดสูขนาดไหน!

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ สำหรับนางแล้ว ร้ายแรงกว่าความอัปยศที่นางเผชิญมาทั้งชีวิตเสียอีก

พระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงที่เดินไปเดินมาอยู่ในตึกศาลากำลังกำชับซือหม่าเวิ่นเทียนเรื่องวางกำลังคน อย่างไรเสียแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็อยู่ในอาณาเขตทัพใต้ การวางกำลังคนไว้บนอาณาเขตของหนิวโหย่วเต๋อเพื่อร่วมมือกับแผนของโพ่จวิน เป็นสิ่งที่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง

ซ่างกวนชิงที่ถือระฆังดาราอยู่ข้างๆ พลันสีหน้าเปลี่ยน เขาก้าวขึ้นมาข้างกายประมุขชิง แล้วรายงานอย่างร้อนใจว่า  ฝ่าบาท สถานการณ์ไม่ดีแล้ว ราชินีสวรรค์พบสนมสวรรค์ที่หุบเขาหลังตำหนักเย็น!  แม้จ้านหรูอี้จะถูกถอดบรรดาศักดิ์แล้ว แต่ยามอยู่ต่อหน้าประมุขชิง เขาก็ยังเรียกจ้านหรูอี้ว่าสนมสวรรค์ เพราะเขารู้ว่าในใจประมุขชิง จ้านหรูอี้ยังไม่ถูกถอดทิ้งไป

ประมุขชิงตกใจจนเหงื่อออกขนลุก ชั่วพริบตานั้นโยนทิ้งเรื่องใหญ่ทุกอย่างไว้ข้างหลังกันที พลันหันตัวกลับมาถามว่า  สนมสวรรค์เป็นยังไงบ้าง?  ความคิดแรกของเขาก็คือกังวลว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะทำร้ายจ้านหรูอี้

ซ่างกวนชิงยังไม่หยุดเขย่าระฆังดาราในมือ รออยู่ครู่เดียวก็ตอบกลับมาว่า  ฝ่าบาท ราชินีสวรรค์ลงมือกับสนมสวรรค์แล้ว สถานการณ์เร่งด่วน! 

 นางตัวแสบ!  ประมุขชิงถลึงตาตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด ชี้ซ่างกวนชิงพลางตำหนิว่า  ทหารอารักขาที่ตำหนักเย็นมัวไปทำอะไรกิน? 

ซ่างกวนชิงจนใจ  หุบเขาด้านนอกไม่ได้เป็นของตำหนักเย็น จู่ๆ ราชินีสวรรค์ก็เดินทางผ่าน ไม่มีใครมีอำนาจขัดขวางาชินีสวรรค์ได้ขอรับ! 

ประมุขชิงกระชากคอเสื้อซ่างกวนชิง  ข้าบอกว่าหุบเขานั่นอยู่ในเขตตำหนักเย็นก็คืออยู่ในเขตตำหนักเ เย็น ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป ถ้าปกป้องสนมสวรรค์ไม่ได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับสนมสวรรค์ ข้าจะเด็ดหัวพวกเขา เร็วเข้า! 

………………

 

 …  ประมุขชิงพูดไม่ออก กลุ้มใจนิดหน่อย สุดท้ายก็บอกว่า  ตามใจนาง เจ้าแจ้งให้ฝั่งโพ่จวินรู้ด้วย 

 ขอรับ!  ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ

จากนั้นพวกเขาก็คุยธุระสำคัญกันต่อ…

จวนอ๋องสวรรค์เถิง ริมหน้าผาที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ในป่าที่มืดสลัว เถิงเฟยเอามือไขว้หลังยืนอยู่เงียบๆ

เถิงจงเดินออกจากป่า ย่องเบามาถึงข้างกายเขา แล้วบอกว่า  ท่านอ๋อง เป็นอย่างที่คาดไว้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทนการยั่วยุไม่ไหวเลย ออกเดินทางแล้วขอรับ 

เถิงเฟยกล่าวอย่างกังวลเล็กน้อย  วิธีการแบบนี้ใช้ได้แค่ครั้งเดียว ถ้าให้ประมุขชิงสังเกตเห็นว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่คิดจะทำอะไร ก็จะไม่มีโอกาสครั้งที่สองแล้ว หนิวโหย่วเต๋อยืนยันได้แล้วใช่ไหมว่าวันนี้จ้านหรูอี้จะออกจากตำหนักเย็น? 

 ตามที่ฝั่งนั้นบอกมา ช่วงนี้จ้านหรูอี้ไปที่หุบเขาหลังตำหนักเย็นทุกวัน  เถิงจงตอบ

เถิงเฟยพยักหน้าเบาๆ กล่าวอย่างแปลกใจเล็กน้อย  ด้านหลังตำหนักเย็นที่ใช้กักบริเวณจ้านหรูอี้สร้างหุบเขาที่มีสภาพแวดล้อมงดงามไว้แห่งหนึ่ง ทำไมข้าไม่รู้ข่าวเลยสักนิด? ถ้าประมุขชิงทำสิ่งนี้ให้จ้านหรูอี้จริง จะต้องปิดข่าวไว้อย่างดีแน่นอน แถวนั้นต้องมีกองทัพองครักษ์เตรียมป้องกันแน่ ไม่มีทางปล่อยให้คนนอกรู้ว่าจ้านหรูอี้ทำลายกฎระเบียบ เข้าออกตำหนักเย็นได้ตามอำเภอใจ ไม่อย่างนั้นถ้าข่าวหลุดออกไป ประมุขชิงก็ไม่มีทางชี้แจงได้ แล้วหนิวโหย่วเต๋อรู้ได้ยังไง? 

เถิงจงตอบว่า  จะเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้วหรือเปล่าขอรับ? ถึงอย่างไรตระกูลเซี่ยโห้วก็มีช่องทางข่าวสารที่ไม่ธรรมดา 

เถิงเฟยลังเล  ตระกูลเซี่ยโห้วรู้แล้วจะไม่บอกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เชียวหรือ? เจ้ายืนยันกับฝั่งนั้นอีกที ยืนยันว่าจ้านหรูอี้จะปรากฏตัวหรือเปล่า ถ้าครั้งนี้ไม่ได้ ก็รอให้จ้านหรูอี้ปรากฏตัวครั้งหน้าแล้วค่อยว่ากัน ทางฝั่งสนมลี่จะได้เกลี้ยกล่อมเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้สะดวก จะได้ไม่ทำให้ประมุขชิงสังเกตเห็นเจตนาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ 

เถิงจงพยักหน้าแล้วหยิบระฆังดาราออกมา

จวนอ๋องสวรรค์หนิว เหมียวอี้กำลังยืนพิงระเบียงศาลาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ย่อมรู้ข่าวที่เถิงเฟยจะลงมือที่วังสวรรค์วันนี้แล้ว ฝั่งนี้กำลังรอฟังสถานการณ์จากฝั่งนั้น

พอนึกถึงจ้านหรูอี้ ความคิดของเหมียวอี้ก็ลอยไปไกล ฉากที่อเนจอนาถในปีนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำอย่างยากจะลบเลือน ฉากที่ผู้หญิงคนนั้นขอร้องวิงวอน รวมทั้งตอนที่เขาควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ จนยอมจ่ายเพื่อพูดสิ่งนั้นกับอิ๋งจิ่วกวง เรื่องในครั้งนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบแค่เขา แต่ยังทำร้ายชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งด้วย ไม่ใช่แค่การเห็นคนเดือดร้อนแล้วไม่ช่วย แต่นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาเริ่มละทิ้งทัศนคติต่อคุณค่าที่ตัวเองยึดถือทีละก้าว ส่งผลกระทบต่อใจเขาอย่างลึกซึ้งที่สุด จนกระทั่งวันนี้ยามนึกถึงก็ยังปวดใจ

เขาทำเรื่องที่ทำร้ายผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาก็รู้อย่างชัดเจน ว่าเพื่องานใหญ่ของตัวเขาเอง เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ภายใต้การวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะสร้างความเจ็บปวดให้หญิงที่เป็นผู้บริสุทธิ์คนนั้นอีกครั้ง เขาไม่กล้าคิดถึงแววตาที่ผู้หญิงคนนั้นมองเขาหลังจากรู้ความจริง…

หลังจากหยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ ก็รายงานว่า  ทางฝั่งนั้นบอกว่า พอประมุขชิงสังเกตได้ถึงเจตนาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เกรงว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่คงไม่มีโอกาสจับได้คาหนังคาเขาอีก หวังว่าพวกเราจะยืนยันได้ว่าวันนี้จ้านหรูอี้จะปรากฏตัวที่หุบเขานั่น 

เหมียวอี้สีหน้าตึงเครียด  ให้เว่ยซูถามสักหน่อย 

แม้เซี่ยโห้วท่าจะตายไปแล้ว แต่เว่ยซูที่เป็นโฆษกของเซี่ยโห้วท่าก็ยังอยู่ในมือเขา ทั้งสมาคมอาวุโสยังอยู่ในมือเขา ตอนนี้ตระกูลเซี่ยโห้วหนีไม่พ้นการครอบงำของเขา ประมุขชิงปิดสถานการณ์ทางตำหนักเย็นเป็นความลับสุดยอด สายข่าวของเหมียวอี้ก็ไม่รู้สถานการณ์ทางฝั่งนั้นเช่นกัน กองทัพองครักษ์ที่เฝ้าล้วนเป็นคนของอู๋ฉวี่ ประมุขชิงเหมือนไม่กล้าให้รบกวนโพ่จวิน ในบรรดากองทัพองครักษ์เหล่านั้นก็ไม่มีคนของเหมียวอี้ แต่กลับมีคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลเซี่ยโห้วรู้อยู่แก่ใจว่าสถานการณ์ทางตำหนักเย็นเป็นอย่างไร เพียงแต่ไม่บอกเท่านั้นเอง

หยางเจาชิงรีบติดต่อตามที่บอก แล้วไม่นานก็รายงานว่า  จ้านหรูอี้ปรากฏตัวแล้วขอรับ! 

เหมียวอี้พยักหน้า หยางเจาชิงที่ได้รับการชี้แนะจากเขาแล้วตอบกลับเถิงจงด้วยข่าวจริงทันที…

จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม เฉาหม่านเก็บระฆังดาราในมือเงียบๆ ตอนนี้เป็นเซี่ยโห้วหม่านแล้ว เงยหน้าช้าๆ มองต้นไม้โบราณสูงระฟ้าตรงหน้า ในดวงตาที่สื่อแววหลากหลายอารมณ์เจือความรู้สึกอดทนรอ

เว่ยซูแค่ถ่ายทอดความคิดของบิดามาเท่านั้น เขากลับมิอาจไม่ปฏิบัติตาม เขาไม่รู้และถึงขั้นไม่เข้าใจว่าบิดาคิดจะทำอะไรกันแน่ เขาไม่เคยเคลือบแคลงในความสามารถของบิดาตัวเองเลย ก็เหมือนต้นไม้ใหญ่โบราณสูงระฟ้าต้นนี้ คอยปกป้องทั้งตระกูลเซี่ยโห้ว บังล้มบังฝนให้ตระกูลเซี่ยโห้วเสมอมา

แต่ตอนนี้เริ่มไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ในการกระทำของบิดาแล้ว แต่กลับมองออกว่าบิดาเพียงซ่อนอยู่หลังม่านเท่านั้น ไม่อยากละทิ้งอำนาจในการควบคุมตระกูลเซี่ยโห้ว ทุกครั้งที่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายก็จะยื่นมือเข้ามาแทรกแซง เขาคิดมาตลอดว่าต้องการกำจัดหนิวโหย่วเต๋อโดยเร็ว แต่บิดายืนกรานไม่อนุญาต บอกว่าตัวเองมีแผนแล้ว เขาไม่รู้จริงๆ ว่าบิดาคิดอย่างไรกันแน่ แต่เขาก็ไม่กล้าซักถามข้อสงสัย! บางครั้งเข้าก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นหุ่นเชิด แต่เขาไม่กล้าไม่เชื่อฟัง เพราะเขาเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ว่าถ้าทำให้บิดาไม่พอใจ บิดาก็สามารถยึดอำนาจจากมือเขากลับคืนไปได้ทั้งหมดอย่างง่ายดาย

เขาเตือนสติตัวเองอยู่เสมอ ว่าให้อดทน ต้องอดทน ถึงแม้ตาแก่นั่นจะแกล้งตาย แต่ถ้านับตามอายุขัยจริงๆ ก็มีเวลาอยู่อีกไม่นานแล้ว ตราบใดที่ทำให้ตาแก่พอใจ พอตาแก่จากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ ตัวเองก็จะเป็นเจ้าบ้านที่แท้จริงของตระกูลเซี่ยโห้ว…

 เหนียงเหนียง! ท่านกำลังจะไปไหน? 

ในดาราจักร เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่มาถึงนอกดาวเคราะห์ของอุทยานหลวงกลับไม่ได้เข้าไปโดยตรง เนางกำลังเหาะวนอ้อมหัวหน้าทหารอารักขาที่ติดตามมาจึงก้าวเข้ามาสอบถาม

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตอบเสียงเรียบว่า  ดาวเคราะห์ดวงนี้ ข้าเคยมาแล้วไม่รู้ตั้งกี่รอบ แต่ยังไม่เคยตั้งใจมองจากด้านนอกเลย ทำไมล่ะ? อย่าบอกนะว่าเจ้ารู้สึกว่าข้าไปดูไม่ได้? 

 มิบังอาจ!  หัวหน้าทหารอารักขาตอบรับอย่างอึดอัดแล้วถอยไปข้างหลัง

ตำหนักเย็น? ตำหนักเย็นคืออะไรล่ะ? หนาวเหน็บเย็นเยียบ โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา มีแต่สิ่งปลูกสร้างที่เย็นเหมือนน้ำแข็ง ไม่มีตึกศาลางดงามให้เจ้าชมทิวทัศน์ ไม่มีดอกไม้ที่สวยสดใส ไม่มีต้นไม้เขียวชอุ่มร่มรื่น ถึงขั้นไม่มีพืชพันธุ์อะไรเลย นอกจากคนเย็นชาจำนวนหนึ่งที่เดินไปเดินมา ก็แทบจะมองไม่เห็นความมีชีวิตชีวาใดๆ ถ้าต้องอยู่ที่ตำหนักเย็นจริงๆ สิ่งที่เผชิญหน้าด้วยส่วนใหญ่ก็คือสิ่งปลูกสร้างที่เหน็บหนาวตลอดไป

ประมุขชิงจะทนดูจ้านหรูอี้กับความลำบากนี้ได้อย่างไร แต่ตำหนักเย็นก็คือตำหนักเย็น ไม่ว่าใครก็ไม่สะดวกจะแก้ไขให้เป็นสวนดอกไม้ที่งดงามดุจผ้าแพร เพราะจะถูกคนนำไปเป้นจุดอ่อนได้ง่าย

ดังนั้นประมุขชิงจึงคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาทางอ้อม เขาไม่แตะต้องตำหนักเย็น แต่จัดแต่งป่าภูเขาที่อยู่ด้านหลังตำหนักเย็นก็ย่อมได้ แน่นอนว่าให้คนมาจัดการตกแต่งอย่างเงียบๆ

ไม่ใช่แค่แอบปรับแต่งอย่างเงียบๆ เรื่องนี้ประมุขชิงไม่บอกแม้แต่จ้านหรูอี้ด้วยซ้ำ บอกจ้านหรูอี้เพียงว่าป่าภูเขาด้านหลังอยู่ในอาณาเขตตำหนักเย็นเหมือนกัน บอกจ้านหรูอี้ว่าสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ บางครั้งก็จะเตรียมให้จ้านผิงและฮูหยินมาพบกับจ้านหรูอี้เงียบๆ ในความเป็นจริง ตำหนักเย็นก็คืออยู่ในกำแพงน้ำแข็งเย็น ป่าภูเขาด้านหลังไม่เกี่ยวข้องกับตำหนักเย็นเลยสักนิด ทว่าประมุขชิงโกหกด้วยความหวังดี เขากลัวว่าหลังจากจ้านหรูอี้รู้ความจริงแล้วจะปฏิเสธความหวังดีของเขา ด้านที่ดื้อด้านของจ้านหรูอี้ทำให้ราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยอย่างเขาทำอะไรนางไม่ได้ ทำได้เพียงแอบเป็นห่วงนาง

ใต้น้ำตกที่ไหลลงมาเป็นเส้นตรงไกลๆ กระแสน้ำแรงเลี้ยวไปยังจุดไกลๆ พอมาถึงตรงหุบเขานี้ก็เหลือเพียงลำธารเท่านั้น ต้นไม้เขียวชอุ่มสูงระฟ้าซ้อนกันเป็นชั้น ภูเขาดอกไม้สวยสดงดงาม เสียงแมลงร้องระงม ใบไม้สีแดงเพลิงเติบโตอยู่สองฝั่งลำธารในหุบเขา ใบไม้แดงที่ปลิวตกลำธารใสหรรษากลิ้งม้วนไปตามกระแสน้ำ

กลัวว่าคนนอกจะมองเห็นเบาะแสอะไร กลัวว่าจ้านหรูอี้จะสังเกตเห็นอะไรด้วย จึงไม่ดัดแปลงให้งดงามหรูหรา มีเพียงความคิดที่จะสร้างสรรค์จุดเด่นด้วยความประณีต แสดงความงดงามของธรรมชาติอีกด้านหนึ่งออกมา

ท่ามกลางป่าใบไม้แดงสองฝั่งของลำธาร บนหน้าผาที่ยื่นออกมาแห่งหนึ่ง จ้านหรูอี้ที่สวมชุดขาวดุจหิมะ ผมยาวปลิวพลิ้วตามสายลมกำลังยืนอย่างสงบนิ่ง ไม่แต่งแต้มเครื่องประทินโฉมและไม่สวมเครื่องประดับใดๆ ยืนหันหน้ารับแสงอาทิตย์ยามอัศดงเงียบๆ อยู่อย่างนั้น สงบนิ่งเยือกเย็น

แสงอาทิตย์ยามอัศดงเฉิดฉาย แสงสว่างส่องทั่วผืนป่า บนหน้าผาสีดำที่อยู่บนใบไม้แดง ภาพที่สตรีชุดขาวดุจหิมะที่ผมยาวและกระโปรงปลิวพลิ้วกำลังอาบแสงอาทิตย์ยามอัศดงนั้นงดงามจนทำให้ใจเจ็บ

นี่คือเวลาที่งดงามที่สุดของที่นี่ ดังนั้นจ้านหรูอี้จึงชอบมาที่นี่ในเวลานี้

ทุกครั้งในเวลานี้ นางถึงได้รู้สึกว่าการได้ใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบคือความงดงามอย่างหนึ่ง

ริมลำธารใต้หน้าผา หยินซวงกับไป๋เสวี่ยหัวเราะคิกคักเป็นระยะ ทั้งสองนั่งยองเก็บตะไคร่น้ำสีเขียวจากบนก้อนหิน แล้ววางบนใบไม้แดงให้ลอยไปตามกระแสน้ำ ดูว่าของใครจะลอยไปไกลกว่ากันโดยไม่พลิกคว่ำ เป็นความสุขที่เรียบง่าย

ทว่าความสุขที่เรียบง่ายนี้อยู่ได้ไม่นาน จู่ๆ หยินซวง ไป๋เสวี่ยก็เงยหน้ามองบนท้องฟ้า แล้วในดวงตาก็ฉายแววตื่นตระหนกหวาดกลัว ทั้งสองลุกขึ้นยืนแล้ว

เสียงหัวเราะเงียบไปแล้ว จ้านหรูอี้สังเกตได้ จึงมองทั้งสองแวบหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าช้าๆ มองบนฟ้า นางทำสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติทันที บนฟ้ามีคนกลุ่มนึงเหาะลงมา ผู้ที่นำหน้ามาก็คือราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่

 เหนียงเหนียง! ที่นี่คือตำหนักเย็น ฝ่าบาทมีคำสั่งว่าห้ามไม่ให้ใครเข้ามาถ้าไม่ได้รับอนุญาต… 

ผู้บัญชาการทหารอารักขาที่ติดตามมาด้วยก็ตกใจเช่นกัน เพิ่งจะพบว่าสถานที่ที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะมาก็คือตำหนักเย็น จึงรีบลนลานห้ามนาง

 ข้าไม่ไปตำหนักเย็น หลีกไป!  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตะคอกอย่างเดือดดาล สองตาแทบจะไฟลุก นางเห็นแล้ว นางเห็นแล้วว่าจ้านหรูอี้อยู่นอกตำหนักเย็น ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรื่องพรรค์นี้จริงๆ นางตัวแสบนั่นเข้าออกตำหนักเย็นได้อย่างอิสระ ไฟโกรธในใจนางแทบจะเผ้าไหม้ทั้งตัว นางไม่สนใจการห้ามของผู้บัญชาการทหารอารักขา ดันทุรังจะบุกเข้าไป

ผู้บัญชาการทหารอารักขาลนลานทำอะไรไม่ถูก ราชินีสวรรค์บอกว่านางไม่ไปตำหนักเย็น ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน เขาก็ไม่กล้าถือวิสาสะลงมือกับราชินีสวรรค์

หยินซวง ไป๋เสวี่ยที่อยู่ด้านล่างกระโดดขึ้นมาบนหน้าผาแล้ว พวกนางมีสีหน้าลนลานหวาดกลัว เมื่อเห็นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ราวกับหนูเห็นแมว รีบประคองแขนจ้านหรูอี้ฝั่งซ้ายฝั่งขวา พูดเร่งอย่างร้อนใจว่า  เหนียงเหนียง เกรงว่าราชินีสวรรค์คงไม่ได้มาดี พวกเรารีบกลับเถอะเพคะ กลับเข้าตำหนักกัน นางไม่กล้าบุกเข้ามาหรอก! 

จ้านหรูอี้ลังเลนิดหน่อย เมื่อเห็นราชินีสวรรค์แล้วไม่ทำความเคารพก็ใช่เรื่อง ที่นี่ก็อยู่ในอาณาเขตตำหนักเย็นเหมือนกัน ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด ทหารอารักขาที่อยู่รอบๆ ก็คงไม่ปล่อยให้ราชินีสวรรค์ทำอะไรซี้ซั้วเช่นกัน แต่ก็พิจารณาว่าไม่อยากสร้างปัญหาอะไร นางเองก็รู้สึกว่าไม่เห็นถือว่าไม่ผิด หลบเลี่ยงสักหน่อยดีกว่า

แต่ก็สายไปแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถูกไฟโกรธเผาจนสมองเลอะเลือน พุ่งเข้าไปอย่างไม่สนใจอะไร ดันทุรังไปเหยียบลงอีกฝั่งหนึ่งของหน้าผา ขวางจ้านหรูอี้ที่อยากจะกลับตำหนัก กำลังจ้องจ้านหรูอี้ด้วยแววตาเย็นเยียบ

 คำนับราชินีสวรรค์!  จ้านหรูอี้ย่อเข่าคำนับ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่สนใจ ค่อยๆ เดินเข้าไปประชิดจ้านหรูอี้

สะเทือนจนกองทัพองครักษ์รอบๆ รีบก้าวขึ้นมา รีบมาขวางหน้าจ้านหรูอี้ไว้ หัวหน้ากลุ่มกุมหมัดคารวะ  ข้าน้อยคำนับราชินีสวรรค์!  ชำเลืองตามองผู้บัญชาการทหารอารักขาที่คุ้มกันส่งราชินีสวรรค์ข้างล่าง เหมือนกำลังถามว่า เจ้ากำลังคิดจะทำอะไร?

ผู้บัญชาการทหารอารักขาคนนั้นก็แอบร้องในใจเช่นกัน เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะหาข้ออ้างเพราะอยากมาที่นี่ ยิ่งนึกไม่ถึงว่าจ้านหรูอี้จะอยู่นอกตำหนักเย็น เขาย่อมรู้ว่าประมุขชิงโปรดปรานจ้านหรูอี้ขนาดไหน แต่ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน ราชินีสวรรค์ก็บุกเข้าตำหนักเย็นไม่ได้ เขาก็คงจับตัวราชินีสวรรค์ไม่ได้เช่นกัน ถ้าไม่มีคำสั่งจากฝ่าบาทแล้วล่วงเกินราชินีสวรรค์ นั่นก็ถือเป็นโทษตาย ใครจะไปกล้าล่ะ!

ในดวงตาเขาก็ฉายแววตำหนิอีกฝ่ายเช่นกัน เจ้าให้จ้านหรูอี้ออกมาได้อย่างไร ตำหนักเย็นเหรอ? ถ้าอยู่ในตำหนักเย็น ทหารยามมีคำสั่งของฝ่าบาทอยู่ในมือ ราชินีสวรรค์ก็บุกเข้าไปไม่ได้เช่นกัน นี่พวกเจ้าไม่ได้หาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ

ทหารยามที่คุ้มครองจ้านหรูอี้ก็น้ำท่วมปากเช่นกัน นี่คือความลับส่วนตัวของฝ่าบาทนะ!

………………

 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินเดือดทันที ไม่ต่างอะไรกับการถูกคนเหยียบเท้า กล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบทันที  สนมลี่ เจ้ารู้แล้วยังแสร้งถามทำไม? ไม่ใช่เพราะนางตัวดีนั่นหรอกเหรอ ไม่รู้ว่าใช้วิชามารอะไร ยั่วยวนจนฝ่าบาทหลงไม่ลืมหูลืมตา ตามความเห็นของข้า นางตัวดีนั่นน่ารังเกียจกว่าพระปีศาจเสียอีก! 

 เฮ้อ!  สนมลี่ถอนหายใจ จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง  หม่อมฉันได้ยินข่าวบางอย่างมาเพคะ ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ หวังว่าเหนียงเหนียงจะระวังไว้นะเพคะ อย่าตกหลุมพรางคนต่ำช้า! 

 ข่าวอะไร?  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตื่นตัวทันที

สนมลี่อึกอักเหมือนพูดไม่ออก สุดท้ายก็ส่ายหน้า  เป็นแค่ข่าวลือเล็กน้อยเท่านั้น อาจไม่น่าเชื่อถือ หม่อมฉันไม่กล้าบอก 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จึงกล่าวเสียงต่ำว่า  สนมลี่ อย่ามาเล่นลูกไม้กับข้านะ ข้าอยู่ที่วังสวรรค์มาไม่ใช่แค่วันสองวัน มีผู้หญิงแบบไหนบ้างที่ไม่เคยเจอ เจ้าอ้อมค้อมอยู่ตั้งนาน ไม่คิดจะบอกอะไรข้าสักหน่อยเหรอ? ทำไมต้องแสร้งระวังตัว ว่ามาเถอะ ข้าไม่ลงโทษเจ้าก็สิ้นเรื่อง! 

โดนอีกฝ่ายพูดแทงใจดำ สนมลี่เก้อเขินนิดหน่อย กวาดสายตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าข้างกายไม่มีใคร ก็กล่าวอย่างระวังตัวว่า  หม่อมฉันได้ยินว่าฝ่าบาทอยู่ที่พระตำหนักอุทยาน จะได้แอบเข้าไปหาสนมสวรรค์ที่ตำหนักเย็นได้สะดวก! 

 สนมลี่ เจ้าต้องเข้าใจเรื่องบางอย่างเอาไว้นะ ว่านางตัวดีนั่นโดนถอดบรรดาศักดิ์สนมสวรรค์ไปแล้ว! 

 เพคะๆๆๆ หม่อมฉันปากไม่มีหูรูด เหนียงเหนียงโปรดระงับโทสะ! 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำเสียงฮึดฮัด  ยังต้องให้เจ้ามาบอกเรื่องนี้กับข้าอีกเหรอ? ฝ่าบาทอยู่ที่นั่นเพราะคิดจะทำอะไร คนเขารู้กันทั้งนั้น แล้วใครจะทำอะไรฝ่าบาทได้? ต่อไปไม่ต้องมาพูดเรื่องไร้สาระไร้ประโยชน์แบบนี้ต่อหน้าข้าอีก! 

สนมลี่เตือนว่า  เหนียงเหนียง หม่อมฉันได้ยินว่าเรื่องไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น อย่าบอกนะว่าเหนียงเหนียงไม่เคยได้ยินข่าวเลยสักนิด? 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หรี่ตา  เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่? อย่ามัวพูดอ้อมค้อม ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด! 

สนมลี่เข้ามาใกล้อีกเล็กน้อย แล้วกระซิบเสียงเบาว่า  หม่อมฉันได้ยินว่าหญิงนักโทษคนนั้นอยากจะหวนกลับคืนตำแหน่งอีกครั้ง! 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หลุดขำ  ฝันไปเถอะ! นางจะอาศัยอะไรมาหวนกลับคืนตำแหน่ง? คิดอยากจะหวนกลับคืนตำแหน่งแล้วจะทำได้เลยเหรอ? 

 ถ้านางมีทายาทให้ฝ่าบาทล่ะเพคะ?  สนมลี่ถาม

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิงสายตาดุร้ายเข้ามาโดยตรง  เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?  คำพูดนี้ผิดข้อห้ามของนางแล้ว

สนมลี่ไม่กลัว พูดต่อไปว่า  ขออนุญาตถามเหนียงเหนียง ท่านคิดว่าหญิงนักโทษคนนั้นจะยอมถูกขังในตำหนักเย็นไปทั้งชีวิตหรือเพคะ? ท่านรู้สึกว่าฝ่าบาทจะทำใจกักบริเวณนางไว้ที่ตำหนักเย็นตลอดไปได้หรือเพคะ? 

ในใจเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มีคำตอบปฎิเสธแล้ว ในสายตานาง จ้านหรูอี้กำลังเสแสร้งมาตลอด เมื่ออยู่ในวังมีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่เปลี่ยนเป็นมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว สุดท้ายเป้าหมายก็มีเพียงอย่างเดียว มีหรือที่จะยอมโดนขังอยู่ที่ตำหนักเย็นไปตลอด ด้วยนิสัยอย่างประมุขชิง จะต้องไม่หวังให้จ้านหรูอี้อยู่ที่ตำหนักเย็นไปตลอดแน่นอน แต่นางกลับไม่ยอมพูด ได้แต่จ้องสนมลี่อย่างเย็นเยียบ รอให้นางพูดต่อไป

สนมลี่เห็นนางไม่พูดต่อ ทำได้เพียงบอกว่า  หม่อมฉันได้ยินมา หญิงนักโทษคนนั้นเหมือนจะอยากมีทายาทให้ฝ่าบาทเงียบๆ ฝ่าบาทเหมือนจะเห็นด้วย กำลังพิจารณาอยู่ แล้วบางข่าวก็บอกว่า ที่จริงแล้วหญิงนักโทษคนนั้นมีทายาทให้ฝ่าบาทแล้ว บอกว่าหมอตำแยที่ทำคลอดโดนฆ่าปิดปากแล้ว เอาเป็นว่าข่าวนี้ฟังดูเหมือนจริง แต่จนใจที่ตำหนักเย็นถูกปิดกั้นจากโลกภายนอก ไม่มีใครรู้ถึงเหตุการณ์ข้างใน เพราะเหตุนี้จึงเป็นข่าวลือทั้งหมด หม่อมฉันเองก็ไม่กล้ายืนยันด้วยเพีคะ 

ทว่าคำพูดนี้ทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตกใจแล้ว นางตกใจจนหนังศีรษะชาวาบ ใช่แล้ว! ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าในตำหนักเย็นเกิดเหตุการณ์อะไร ตัวเองประมาทเกินไปจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะมองข้ามช่องโหว่ที่ใหญ่ขนาดนี้ไปได้ เกรงว่าต่อให้นางตัวดีนั่นท้องยื่นแต่นางก็ไม่รู้อยู่ดี นางรู้ว่าประมุขชิงโปรดปรานนางตัวดีนั่นขนาดไหน ถ้านางตัวดีนั่นใช้อุบายนั้นจริงๆ ประมุขชิงไปขลุกอยู่กับนางตัวดีนั่นบ่อยๆ แล้วจะทนนางตัวดีนั่นใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งได้เหรอ?

นางยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจ ที่สำคัญก็คือในสายตานาง ถ้าจ้านหรูอี้คิดจะพลิกชะตาอีกครั้ง ก็จะต้องมีแผนการอย่างนั้นแน่นอน แต่ไหนแต่ไรมามารดาก็ล้วนมีวาสนาได้เพราะลูกชาย แล้วยามอยู่ต่อหน้าประมุขชิง คำพูดของนางก็ดันไม่มีน้ำหนักเท่านางแพศยานั่น ถ้าอีกฝ่ายมีลูกชายขึ้นมา ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงจนไม่กล้าจินตนาการถึงจริงๆ ในอนาคตก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกชายนางจะมีจุดจบอย่างไร ในใจนางเริ่มหวาดกลัวแล้วจริงๆ โดนคำพูดของสนมลี่จี้จุดสำคัญแล้ว อนาคตของลูกชายเป็นเพียงความหวังเดียวที่นางลำบากสนับสนุนมาหลายปี!

สนมลี่สังเกตสีหน้าของนางอย่างเงียบๆ เห็นในดวงตานางฉายแววหวาดกลัวแล้ว

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฝืนข่มความกระวนกระวายในใจเอาไว้ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า  ทำไมข้าไม่เคยได้ยินข่าวแบบนี้มาก่อน? 

สนมลี่ถอนหายใจเบาๆ  เหนียงเหนียง ข่าวนี้จริงหรือเท็จหม่อมฉันก็ไม่ทราบ แต่ต่อให้เป็นความจริง ถ้าในวังสวรรค์นี้มีคนอยากจะปิดบังเหนียงเหนียงจริงๆ เกรงว่าเหนียงเหนียงคงเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องนี้…ใช่แล้ว เหนียงเหนียง ตามหลักแล้วตระกูลเซี่ยโห้วควรจะมีข่าวนี้สิ อย่าบอกนะว่าไม่เคยบอกข่าวให้เหนียงเหนียงรู้เลย? 

ประโยคสุดท้ายแทบจะทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กระอักเลือด ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วรู้เรื่องจริงๆ แต่กลับไม่บอกนาง แบบนั้นหมายความว่าอะไรล่ะ? นางกล่าวด้วยสีหน้าดุร้ายว่า  ฝ่าบาทมีคำสั่ง ว่าแม้แต่ข้าก็เข้าไปในตำหนักเย็นของนางตัวดีนั่นไม่ได้ ข้าไม่มีทางตรวจสอบได้เลย ดังนั้นสนมลี่ เจ้าจะพูดจาซี้ซั้วไม่ได้ ข่าวพวกนั้นที่เจ้าได้ยินมามีหลักฐานหรือเปล่า? 

สนมลี่รีบโบกมือ  เหนียงเหนียง หม่อมฉันบอกแล้วไงเพคะ หม่อมฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข่าวนี้จริงหรือเท็จ ล้วนเป็นข่าวที่กึ่งจริงกึ่งเท็จทั้งนั้น หม่อมฉันแค่ไม่ชอบที่เห็นหญิงนักโทษคนนั้นใช้อุบายทำให้คนสับสน ทำให้ฝ่าบาทหลงใหลจนไม่กลับวังสวรรค์ ไม่เข้าท่าเลยจริงๆ ที่จริงก็ไม่ใช่แค่หม่อมฉันหรอกเพคะ ในวังมีพี่น้องไม่น้อยที่รู้สึกไม่พอใจ โทษว่าฝ่าบาทลำเอียงเกินไป หม่อมฉันหาหลักฐานอะไรไม่ได้จริงๆ เพียงแต่…อย่าบอกนะว่าเหนียงเหนียงไม่รู้จริงๆ ว่าหญิงนักโทษคนนั้นได้ชื่อว่าถูกกักบริเวณ แต่ความจริงเข้าออกตำหนักเย็นได้อย่างอิสระมาตั้งนานแล้ว? 

 มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดือดดาล ต้องการจะไปถามความจริงจากใครสักคน

สนมลี่กลับดึงแขนเสื้อนางไว้ แล้วตะโกนห้าม  เหนียงเหนียง เรื่องนี้ถ้าแม้แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็ยังไม่บอกท่าน เกรงว่าต่อให้ถามคนข้างกายท่านก็อาจจะไม่น่าเชื่อถือ! ถึงตอนนั้นถ้ามีคนยัดข้อหากลับ บอกว่าหม่อมฉันกำลังกลับผิดเป็นถูก กลับถูกเป็นผิด หม่อมฉันก็รับผิดชอบไม่ไหวนะเพคะ! 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำหมัดที่สั้นเทิ้มอยู่ในกระบอกแขนเสื้อ  เจ้าบอกว่านางตัวดีนั้นเข้าออกตำหนักเย็นได้อย่างอิสระ มีหลักฐานเหรอ?  ถ้ามีหลักฐาน นางก็จะไปต่อว่าประมุขชิงสักหน่อย และต้องให้ตระกูลเซี่ยโห้วให้คำชี้แจงกับตนด้วย!

สนมลี่ส่ายหน้า  เหนียงเหนียง หม่อมฉันไม่มีหลักฐานจริงๆ เพคะ เพียงได้ยินว่าด้านหลังตำหนักเย็นมีหุบเขาแห่งหนึ่งถูกสร้างไว้สวยงามมาก ได้ยินว่าหญิงนักโทษนั่นออกจากตำหนักเย็นไปเที่ยวเล่นที่หุบเขาแห่งนั้นทุกเย็น 

หุบเขาด้านหลังตำหนักเย็น? ถูกสร้างไว้สวยงามมากเหรอ? ทั้งยังออกจากตำหนักเย็นไปเที่ยวเล่นทุกเย็นอีก? เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโกรธ ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ เช่นนั้นยังจะเรียกว่าขังในตำหนักเย็นได้อย่างไรอีก ถ้ามีเรื่องนี้จริง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าใครอนุญาต ถ้าไม่มีประมุขชิงอนุญาต นางตัวแสบนั่นจะออกจากตำหนักเย็นได้อย่างไร?

 เหนียงเหนียง!  เมื่อเห็นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หันหน้าจะเดินออกไป สนมลี่ก็รีบขวางนางไว้อีก กล่าวอย่างหวาดกลัวว่า  เหนียงเหนียง! หม่อมฉันทนเห็นหญิงนักโทษนั่นใช้มารยาล่อลวงไม่ได้ ก็เลยบ่นเท่านั้นเอง ท่านจะพูดออกไปไม่ได้เชียวนะเพคะ ไม่อย่างนั้นในภายหลังหม่อมฉันใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้แน่ 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แสยะยิ้ม  เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ใช่คนที่ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง ตอนนี้ข้าจะไปดูที่หุบเขาอะไรนั่นสักหน่อย ถ้ามีเรื่องนี้จริง ก็ไม่ต้องให้ใครเตือนหรอก ข้าจะเห็นเรื่องนี้เองกับตา จะบังเอิญไปเจอเอง! 

สนมลี่ส่ายหน้า  เหนียงเหนียง ไม่ได้เพคะ! ในวังมีหูมีตาของฝ่าบาทอยู่ทุกที่ ถ้าตอนนี้เหนียงเหนียงไปที่นั่น หญิงนักโทษคนนั้นยังจะโผล่หน้ามาอีกหรือเพคะ 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขมวดคิ้ว ไม่ผิดหรอก คำพูดนี้มีเหตุผล ถ้าตัวเองไปรอที่นั่นจริงๆ แล้วผู้ชายเสเพลนั่นรู้ขึ้นมา ตนก็จะไม่มีทางจับได้คาหนังคาเขาแน่นอน นางไตร่ตรองครู่หนึ่ง แล้วถามว่า  เจ้าบอกว่านางตัวแสบนั่นไปที่หุบเขาหลังตำหนักเย็นทุกพลบค่ำเหรอ? 

 หม่อมฉันไม่ได้พูดนะเพคะ หม่อมฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน  สนมลี่ตอบ

ใครจะคิดว่าจู่ๆ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะทำสีหน้าสุขุมเยือกเย็น แล้วบอกนางว่า  ข้าไม่ได้ไปเดินเล่นที่อุทยานสายัณห์นานมากแล้ว สนมลี่ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยเถอะ 

 เพคะ!  สนมลี่เอ่ยรับอย่างว่าง่าย

เมื่อเห็นทั้งสองเดินเล่นในสวนอย่างสงบใจเย็นอีก เอ๋อเหมยที่ตามอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็ระแวงสงสัยไม่หยุด ไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้ทั้งสองคนทำอะไร ทำไมรู้สึกเหมือนมีการถกเถียงอะไรสักอย่างเกิดขึ้น แต่จนใจที่สองคนนั้นแอบถ่ายทอดเสียงคุยกันตลอด ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังพูดเรื่องอะไร นางรู้สึกว่าสนมลี่น่าสงสัยนิดหน่อย เตรียมกลับไปรายงานเรื่องในวันนี้ให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้

วันนี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เหมือนมีอารมณ์สุนทรีย์เป็นพิเศษ เดินเล่นที่อุทยานสายัณห์นานมาก แต่ความจริงนิ้วที่อยู่ในกระบอกแขนเสื้อกำลังนับเวลาอยู่ตลอด

หลังจากรอไปพอสมควร คนก็เดินเล่นมาถึงประตูวังสวรรค์แล้วเช่นกัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มองไปนอกประตูวังที่สูงใหญ่แวบหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็บอกว่า  ไม่ได้เห็นฝ่าบาทมานานแล้ว ไหนๆ ก็เดินมาถึงตรงนี้แล้ว พวกเราไปดูสักหน่อยเถอะ 

 เพคะ!  คนอื่นๆ ย่อมเอ่ยรับ

เพียงแต่ทหารยามตรงประตูวังกลับขวางไว้แล้วเอ่ยถาม แม้ราชินีสวรรค์จะมีอำนาจในการไปมาอย่างอิสระในเขตวังสวรรค์ เพียงแต่ยังต้องสอบถามทิศทางที่นางจะไปตามระเบียบ พอรู้ว่าจะไปพบฝ่าบาทที่พระตำหนักอุทยาน หลังจากปล่อยนางไปแล้วก็รีบรายงานขึ้นไปทันที แล้วให้ทหารอารักขาที่เกี่ยวข้องเตรียมตัว ไม่อย่างนั้นหากเกิดอะไรขึ้นกับราชินีสวรรค์ ไม่ว่าใครก็รับผิดชอบไม่ไหวทั้งนั้น

ภายใต้การคุ้มกันจากทหารองครักษ์ที่ถูกดึงตัวไปชั่วคราว พวกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เหาะออกจากวังสวรรค์อย่างรวดเร็ว มุ่งตรงไปยังดาวเคราะห์ที่ตั้งอุทยานหลวง

ในพระตำหนักอุทยาน ระหว่างตึกศาลา ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างกวนชิงกำลังเดินช้าๆ อยู่ข้างกายประมุขชิง

 รู้สถานการณ์ชัดเจนหรือยัง? ทำไมตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อยังไม่กลับไปฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์อีก? เมื่อเทียบการเว้นระยะของครั้งนี้กับครั้งก่อนแล้ว ทำไมข้ารู้สึกว่านานกว่า?  ประมุขชิงเอ่ยถาม ทางฝั่งโพ่จวินก็ซักไซ้เรื่องนี้อยู่บ่อยๆ เช่นกัน ให้คนมากมายขนาดนั้นเสียเวลาเตรียมรบอยู่ตลอด ค่ายกลป้องกันกำลังถูกกัดกร่อนจากปราณชั่วร้าย ในแต่ละวันมีการสิ้นเปลืองแล้วไม่น้อย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปจะทนได้ไม่นานนัก

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบอย่างจนปัญญา  การเว้นระยะยาวกว่าเมื่อก่อนจริงๆ ขอรับ แต่หนิวโหย่วเต๋อออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไปครั้งนี้ก็ผิดปกตินิดหน่อย ไม่เห็นว่าในอาณาเขตทัพใต้มีเรื่องด่วนอะไรให้ออกไปกะทันหัน บางทีอาจมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรที่พวกเรายังไม่รู้ก็ได้ แต่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มีประโยชน์ต่อการฝึกตนของหนิวโหย่วเต๋อ เขาต้องกลับไปอีกครั้งแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ระยะเวลาสั้นยาว ฝ่าบาท ครั้งนี้ส่งคนเข้าไปไม่ง่ายเลยจริงๆ ถ้าเลิกล้มตอนนี้ แล้วครั้งหน้าอยากจะหาโอกาสอีกก็ไม่ง่ายแล้วขอรับ! 

ประมุขชิงเงียบไปครู่เดียว แล้วเอียงหน้าบอกซ่างกวนชิงว่า  บอกโพ่จวิน ให้ทำตามแผนของเขาเถอะ 

ความคิดของโพ่จวินก็คือ เสียเวลาต่อไปอย่างนี้ไม่ใช่วิธีการที่ดี ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องสิ้นเปลืองพลังงานไปกับค่ายกลป้องกัน คนก็จะตึงเครียดระยะยาวโดยไม่ผ่อนคลายเลยไม่ได้ ดังนั้นโพ่จวินแนะนำว่า ให้คนที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟพวกนั้นเก็บทัพใหญ่เข้ากระเป๋าสัตว์ และแอบวางกำลังคนที่ไว้ใจได้ไว้บริเวณรอบนอกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ พอมีคนเข้าใกล้เมื่อไร ก็ค่อยแจ้งให้คนข้างในเตรียมตัวใหม่อีกครั้งทันที แบบนี้จะสามารถรักษาสภาพที่ดีที่สุดของทัพใหญ่เอาไว้ได้ ทั้งยังประหยัดทรัพยากรจำนวนมาก ถึงอย่างไรก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานเท่าไร โพ่จวินเองก็รู้ว่าการเข้าไปแต่ละครั้งนั้นไม่ง่าย จึงเตรียมตัวเพื่อให้กำลังพลกลุ่มนั้นยืนหยัดอยู่ในระยะยาวแล้ว

ซ่างกวนชิงที่กำระฆังดารากลับไม่รีบตอบเขา แต่ถามอย่างงงงวยว่า  ฝ่าบาท มีข่าวมาจากวังสวรรค์ เหนียงเหนียงออกจากวังมาแล้ว บอกว่ากำลังมาหาท่าน 

……………

 

จวนอ๋องอ๋องสวรรค์เถิง ทางเดินที่มีร่มไม้สูงระฟ้าทอดตรงไปถึงเรือนชั้นในของจวนท่านอ๋อง เป็นเรือนหลักของเรือนชั้นใน จูโยวเหม่ยถือถาดอาหารใบหนึ่งเดินเข้ามา ทหารยามที่เฝ้าตรงประตูเรือนไม่มีใครขวางนาง นางคือหนึ่งในอนุภรรยาเพียงไม่กี่คนที่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษจากท่านอ๋องให้เข้ามาได้โดยตรง

พอพ่อบ้านคนหนึ่งที่อยู่ข้างในเห็น ก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับ แล้วกุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้ม  ฮูหยินหกมาแล้ว  เขามองถาดอาหารในมือนางแวบหนึ่ง รู้ว่าเตรียมมาให้ท่านอ๋องแน่นอน จึงยื่นมือเข้าไปรับ

แต่จูโยวเหม่ยยกมือห้ามไว้ เห็นได้ชัดว่าต้องการจะถือเข้าไปส่งให้ด้วยตัวเอง นางยิ้มและถามว่า  ท่านอ๋องอยู่ที่ไหน? 

 อยู่ในห้องหนังสือขอรับ  พ่อบ้านตอบ

 อ้อ!  จูโยวเหม่ยพยักหน้า เดินไปด้วยถามไปด้วยว่า  มีแค่ท่านอ๋องเหรอ? 

 พ่อบ้านใหญ่ก็อยู่ขอรับ ผู้น้อยจะไปรายงานสักหน่อย  พ่อบ้านตอบ

 ไม่ต้องแล้ว!  จูโยวเหม่ยหยุดเท้าแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากท่านอ๋องกลับมาจากจวนท่านอ๋องหนิวอุดอู้อยู่แต่ในห้องหนังสือ นางพอจะเดาออกว่าเถิงเฟยกำลังปรึกษาเรื่องสำคัญอะไรอย่างอย่าง จึงโบกมือบอกว่า  ช่างเถอะ ข้ายังไม่ไปรบกวนแล้วกัน  ตอนที่เพิ่งจะหันตัวกลับ พอเดินไปถึงต้นไม้ก็ถูกดึงให้หยุดเดินแล้วถอยกลับมาตรงหัวมุม

พ่อบ้านงุนงง จะทำตัวเหมือนโจรทำไม?

จูโยวเหม่ยกำชับด้วยเสียงต่ำเบาแล้วว่า  อย่าบอกคนอื่นว่าข้ามาแล้ว  พูดจบก็เหลียวซ้ายแลขวา แล้วเดินเข้าไปในตึกเล็กที่อยู่ใกล้ๆ

พ่อบ้านไม่เข้าใจว่านางทำแบบนี้หมายความว่าอะไร ตอนที่เพิ่งเดินออกมาจากหัวมุมด้วยความงุนงงราวกับหมอกลงสมอง ก็เห็นเสิ่นอี๋ ฮูหยินสามผู้สดใสเปล่งประกายที่สวมเครื่องประดับจนเสียงดังกรุ๊งกริ๊งเดินถือถาดอาหารเข้ามา ในใจก็อึ้งเช่นกัน แล้วก็แอบยิ้มเจื่อนทันที สงสัยเมื่อครู่นี้ท่านนั้นคงจะเห็นแล้ว

 ฮูหยินสาม  พ่อบ้านเข้าไปต้อนรับ

 ท่านอ๋องอยู่ที่ไหน?  เสิ่นอี๋ถาม ห้ามไม่ให้พ่อบ้านช่วยถือเช่นเดียวกัน ต้องการจะออกแรงด้วยตนเอง

เมื่อรู้อยู่ที่ห้องหนังสือ เสิ่นอี๋ก็เดินตรงเข้าไป

จูโยวเหม่ยที่หลบอยู่บนตึกศาลาเอียงตัวแง้มหน้าต่างแอบจ้อง เห็นเสิ่นอี๋กำลังรออยู่ตรงประตูห้องหนังสือ ส่วนพ่อบ้านก็เข้าไปรายงาน

ไม่นานพ่อบ้านก็ออกมาอีก ไม่รู้ว่าพูดอะไรกับเสิ่นอี๋ แต่มองออกเลยว่าเหมือนเสิ่นอี๋ไม่อยากไป สุดท้ายก็เห็นพ่อบ้านเดพินเข้ามาในห้องหนังสืออีก รอจนพ่อบ้านออกมาอีกครั้ง สุดท้ายเสิ่นอี๋ก็เข้าไปในห้องหนังสือไม่ได้ เดินถือถาดอาหารกลับไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ พ่อบ้านเดินตามยิ้มเจื่อนอยู่ข้างหลัง ทั้งยังชำเลืองไปด้านบนตึกเป็นระยะ

จูโยวเหม่ยที่แอบมองอยู่ด้านหลังหน้าต่างตึกยกยิ้มมุมปาก ค่อนข้างอิ่มอกอิ่มใจ ยังดีที่ตัวเองไหวตัวเร็ว พอเห็นแบบนี้ ก็พบว่าท่านอ๋องกำลังวางแผนงานใหญ่จริงๆ ด้วย ไม่อยากให้มีคนรบกวน

นางเองก็ไม่ได้ไปเช่นกัน ในใจมีความคิดบางอย่าง เพียงรออยู่บนตึก

การรอคอยนี้ใช้เวลาไปเกือบครึ่งวัน เห็นคนเดินมาต่อเนื่องเป็นระลอก ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรอง ฮูหยินสี่ ฮูหยินห้า ไม่มีใครมีสิทธิ์เข้าไปได้สักคน มากันหมดแล้ว มองคนเดินมาคนแล้วคนเล่า มองคนเดินไปคนแล้วคนเล่า ไม่มีใครเดินเข้าห้องหนังสือไปได้สักคน จูโยวเหม่ยที่อยู่บนตึกอารมณ์ดีมาก นางจินตนาการได้เลยว่าเถิงเฟยที่กำลังครุ่นคิดงานใหญ่อย่างจริงจังแล้วถูกรบกวนอย่างต่อเนื่องรู้สึกอย่างไร

เป็นอย่างที่คาดไว้ เถิงเฟยที่อยู่ในห้องหนังสือสีหน้าแย่จริงๆ คนมาไม่รู้จักจบจักสิ้น เมื่อเห็นคนอื่นมาแล้วก็ไม่ยอมน้อยหน้า เขารู้อยู่แก่ใจว่าทุกคนอยากทำอะไร เมื่อตัวเองทำอะไรไม่สำเร็จก็อยากจะทำให้ความกระตือรือร้นเอาใจใส่ของคนอื่นเจือจางลง เขาเองก็ไม่ได้ถือสาที่พวกนางแข่งขันกัน แต่ไม่มีใครรู้จักแยกแยะความสำคัญสักคน แม้แต่สายตาก็ไม่มีสักนิด แล้วจะเป็นนายหญิงของตระกูลเถิงได้เหรอ?

ข่มความไม่พอใจไว้ชั่วคราว ปรึกษารายละเอียดงานกับเถิงจง

หลังจากคิดทบทวนอย่างรอบคอบหลายรอบ เถิงจงก็จำต้องเตือนว่า  ท่านอ๋อง ถ้าเกิดเรื่องขึ้น เกรงว่าคงรักษาชีวิตของสนมลี่ไว้ไม่ได้แล้ว 

พอลุกขึ้นยืนด้านหลังโต๊ะ เถิงเฟยก็ถอนหายใจเบาๆ  หนิวโหย่วเต๋อไม่จัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ก็เพราะหวังให้ข้ามาเป็นแพะรับบาปไม่ใช่เหรอ? เรื่องแบบนี้วังสวรรค์ปิดบังหูตาประมุขชิงไม่ได้หรอก แล้วข้าก็ต้องรับบาปนี้ไว้เองด้วย เอาเป็นว่าต้องทำเรื่องนี้ให้สะอาดเรียบร้อยหน่อย อย่าทิ้งจุดอ่อนอะไรไว้โดยตรง 

 ขอรับ!  เถิงจงพยักหน้าเอ่ยรับ

ความสนใจของเถิงเฟยหลุดออกจากเรรื่องนี้ชั่วคราว เขาเดินอ้อมโต๊ะออกมา แล้วจู่ๆ ก็ถามว่า  เหมือนฮูหยินหกจะไม่ได้เข้ามาประสมโรงด้วยใช่มั้ย? 

 ขอรับ!  เถิงจง

เถิงเฟยเงียบไปครู่เดียว แล้วพยักหน้าเบาๆ

ทว่าพอทั้งสองเดินออกมา ก็เห็นประตูตึกชั้นล่างที่อยู่ไม่ไกลเปิดอยู่ จูโยวเหม่ยถือถาดอาหารเดินยิ้มอย่างสนิทสนมเข้ามา  ท่านอ๋องงานยุ่งมาตั้งนาน พักสักหน่อยค่ะ ผู้น้อยตุ๋นน้ำแกงมาให้ ท่านอ๋องลองชิมดูสิ 

เถิงเฟยยิ้มแล้วเดินตามเข้าไปนั่งในศาลาข้างๆ ถามว่า  เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร? 

จูโยวเหม่ยนำน้ำแกงอุ่นออกจากถาด พร้อมบอกว่า  มาตั้งนานแล้ว เห็นท่านอ๋องกำลังยุ่ง ผู้น้อยเลยไม่กล้าไปรบกวน รออยู่ด้านข้างตลอด จวนท่านอ๋องลองชิมดูสิคะ 

เถิงจงยืนตรงอยู่ด้านข้างโดยไม่พูดอะไร ในใจพึมพำว่า คำพูดนี้เท่ากับเหยียบย่ำหลายคนก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าพวกนางไม่รู้ความ

เถิงเฟยพยักหน้ายิ้มอย่างที่คาดไว้ ซดน้ำแกงแล้วพบว่าความร้อนเหมาะสม จะเห็นได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้ใส่ใจจริงๆ แม้จะรู้ว่าความคิดของผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างจากคนอื่น แต่ความใส่ใจในการทำเรื่องต่างๆ ก็ยังแตกต่างกับคนอื่น

ดื่มน้ำแกงเงียบๆ จนเหลือก้นถ้วย จูโยวเหม่ยยังจะเติมให้อีก แต่เถิงเฟยยกมือห้าม แล้วบอกว่า  ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าย้ายจากเขตเรือนตัวเองมาที่เรือนหลักเถอะ ต่อไปเจ้าเป็นคนดูแลเรื่องในเรือนชั้นในแล้วกัน 

แกร๊ง! ถือช้อนแกงไว้ไม่อยู่ ช้อนตกลงในชาม จูโยวเหม่ยเอามือปิดปากไว้ หันตัวไปด้วยแววตาเป็นประกาย บีบน้ำตาออกมาแล้ว นางเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น ไหล่งามสั่นเทิ้ม

เถิงเฟยลุกขึ้นเดินเข้าไปประคองบ่านาง  เป็นอะไรไป อยู่ดีๆ ร้องไห้ทำไม? 

จูโยวเหม่ยสะอื้นพลางส่ายหน้า  ผู้น้อยดีใจค่ะ  นางไม่พูดจาปิดบังอะไร

แต่ท่าทางอ่อนปวกเปียกตื้นตันใจที่นางประสบกับเหตุการณ์ต้นร้ายปลายดี ทำให้เถิงเฟยสะเทือนใจมาก เขาคว้ามือนางแล้วลูบเบาๆ  เข้าใจ ข้าเข้าใจทุกอย่าง หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว 

จูโยวเหม่ยส่ายหน้า  ท่านอ๋องมีน้ำใจอย่างนี้ ผู้น้อยก็รู้จักพอค่ะ เพียงแต่ถ้าเข้ามาอยู่ในเรือนหลักโดยมีสถานะไม่ถูกต้อง ผู้น้อยมีคุณธรรมหรือความสามารถอะไรคะ กลัวว่าพี่สาวคนอื่นจะไม่พอใจ รอให้งานใหญ่ของท่านอ๋องเรียบร้อยก่อน แล้วค่อยเติมเต็มความปรารถนาของผู้น้อยก็ยังไม่สาย ผู้น้อยรอมาหลายปีขนาดนี้ ไม่ถือสาที่จะรออีกสักหน่อยหรอกค่ะ ลำบากนิดหน่อยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร 

เถิงเฟยหันกลับมากำชับเถิงจงทันที  เช่นนั้นก็เริ่มประกาศสถานะที่ถูกต้องเลยแล้วกัน ตั้งแต่วันนี้ไป จวนท่านอ๋องมีนายหญิงแล้ว ข้าจะคอยดูว่าใครจะกล้าพูดจาซี้ซั้ว! 

จูโยวเหม่ยตื่นเต้นจนใจสั่น

 รับทราบ!  เถิงจงโค้งตัวเอ่ยรับ เหลือบตามองจูโยวเหม่ยแวบหนึ่ง แล้วก็อยู่ในความเงียบต่อไป ในใจกลับแอบทึ่ง ท่านนี้คือผู้ที่โดดเด่นท่ามกลางกลุ่มอนุภรรยา กลายเป็นหนึ่งในคนที่เข้าออกที่นี่ได้ ตอนนี้ก็กำลังจะข้ามหน้าคนอื่นมาเข้าพักที่นี่ กำลังจะกลายเป็นนายหญิงที่แท้จริงของจวนท่านอ๋องแห่งนี้แล้ว พวกผู้หญิงที่แพ้ให้นาง เกรงว่าคืนนี้คงจะทรมานเต็มที่ ด้วยเล่ห์เหลี่ยมของท่านนี้ก็คงจะไม่ให้โอกาสผู้หญิงพวกนั้นได้กลับตัวอีก หวังเพียงว่าท่านนี้จะฉลาดพอที่จะไม่ก่อเรื่องอะไรในจวนท่านอ๋องในเวลานี้

ที่จริงเขาไม่เห็นด้วยที่จะเลือกนายหญิงของจวนท่านอ๋องในเวลานี้ เพียงแต่บางเรื่องเขาไม่สะดวกจะแทรกแซง ถ้าเขากล้าทักท้วงเรื่องนี้ เช่นนั้นก็เท่ากับล่วงเกินจูโยวเหม่ยอย่างร้ายแรง ถ้ามองจากจุดยืนของจูโยวเหม่ย ก็ไม่สนใจว่าจะเป็นคนนั้นหรือคนนี้ เจ้าตัวแค่กังวลว่าค่ำคืนยาวนานแล้วจะฝันมาก อยากจะกำหนดเรื่องนี้โดยเร็ว ถึงขั้นยอมให้คนนอกมาแทรกแซงด้วย ถ้าเขาไปห้ามเมื่อไร เกรงว่าจูโยวเหม่ยคงจะไม่ให้อภัยเขาไปทั้งชีวิต นอกเสียจากว่าหลังจากนี้เขาจะดันทุรังกดจูโยวเหม่ยไม่ให้ลืมตาอ้าปากได้อีก ไม่อย่างนั้นต่อไปจะอยู่ร่วมกับนายหญิงท่านนี้อย่างอึดอัด และถ้าตอนหลังเขาดันทุรังขัดขวางการขึ้นสู่ตำแหน่งของจูโยวเหม่ย ดีไม่ดีท่านอ๋องอาจเข้าใจผิดว่าเขาเริ่มเลือกฝั่งของทายาทรุ่นถัดไปแล้ว…

 หวังเฟย?  เหมียวอี้ที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในอุทยานชะงักไป แล้วถามว่า  เถิงเฟยสัญญาแล้วไม่ใช่เหรอว่ารอให้จบเรื่องก่อน? ทำไมเร็วขนาดนี้? 

อวิ๋นจือชิวที่เพิ่งได้รับข่าวจากจวนท่านอ๋องเถิงตอบพร้อมรอยยิ้มว่า  บอกแล้วว่าผู้หญิงคนนี้มีความสามารถไม่ธรรมดา เถิงเฟยให้สถานะฮูหยินเอกกับนางในเวลานี้ได้ ถ้านางไม่ได้ใช้อุบายก็แปลกแล้ว ผู้หญิงคนนี้ถึงขั้นยอมให้อาศัยอำนาจภายนอกมาแทรกแซงในจวนท่านอ๋องเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แม้จะดูล้ำเส้นไปหน่อย แต่ถ้าถ่วงเวลาไปก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเถิงเฟยทำให้นางสงบในเวลานี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ไม่สนใจนางแล้ว ข้าจะเตรียมของขวัญล้ำค่าแล้วให้คนส่งไปแล้วกัน 

 เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน!  เหมียวอี้พยักหน้า

อุทยานสายัณห์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังเดินอยู่ในสวนที่สวยสดงดงามด้วยความรู้สึกว่างเปล่าเงียบเหงา ข้างหลังมีนางในตามกลุ่มหนึ่ง

บังเอิญเหลือบไปเห็นนางในหลายคนกำลังห้อมล้อมอยู่ข้างกายผู้หญิงคนหนึ่ง เหมือนกำลังเก็บดอกไม้หลากสีสัน กำลังปักดอกไม้ไว้บนมวยผมของผู้หญิงคนนั้น

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เป็นประเภทที่เมื่อเห็นผู้หญิงในวังแต่งตัวฉูดฉาดสวยงามกว่านางแล้วจะไม่พอใจ เป็นฝ่ายเดินเข้าไปเอง หลังจากมองเห็นอีกฝ่ายชัดเจนแล้ว อารมณ์หงุดหงิดก็เบาลงไปหลายส่วน  ที่แท้ก็เป็นสนมลี่นี่เอง! มีอารมณ์สุนทรีย์ดีนะ 

 เหนียงเหนียง!  สนมลี่รู้ตัวและหันมามองแวบหนึ่ง รีบนำดอกไม้ที่เสียบไว้บนช่อผมออกแล้วคำนับ ก่อนจะเดินตามข้างกายเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม

เอ๋อเหมยที่อยู่ข้างหลังจ้องสนมลี่อย่างระแวะระวัง นางสังเกตได้ถึงความผิดปกติบางอย่างแล้ว ช่วงนี้สนมลี่เหมือนพยายามเข้าใกล้ราชินีสวรรค์ ไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่มีธุระก็ล้วนบังเอิญเจอ ค่อนข้างประจบประแจง ทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มองด้วยสายตาใหม่แล้วไม่น้อย

หลังจากคุยเป็นเพื่อนพักหนึ่ง จู่ๆ สนมลี่ก็เด็ดดอกไม้สดสีชมพูดดอกหนึ่ง แล้วขออนุญาตประดับบนศีรษะให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ จากนั้นถามกลุ่มนางในว่า  ดอกไม้นี้เหมาะสมกับเหนียงเหนียงมาก ทุกคนว่าสวยมั้ย? 

 สวยเพคะ! สวยเพคะ… 

ด้านข้างมีเสียงกล่าวชมดังเกรียวกราว ต่างก็ชมว่าสวย แม้แต่เอ๋อเหมยก็ไม่เว้น ที่สำคัญก็คือต่อให้ไม่สวยก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าไม่สวย ราชินีสวรรค์ค่อนข้างใจแคบ ถ้าพูดไม่ถูกคำเดียวก็อาจทำให้นางแค้นเคืองได้

ท่ามกลางเสียงประจบเยินยอ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถูกหยอกจนยักคิ้วหลิ่วตาบอกว่า  สนมลี่ปากหวานจริงๆ ข้าไม่ได้งดงามปานจันทราบุปผาอย่างพวกเจ้า  แม้จะพูดอย่างนี้ แต่ก็ยังยกมือลูบดอกไม้บนมวยผม สุดท้ายก็ตัดใจเด็ดทิ้งไม่ลง

 เหนียงเหนียงกล่าวเช่นนี้ หม่อมฉันไม่ชอบฟังเลยเพคะ คนเราจะหน้าตาเหมือนกันหมดโลกได้อย่างไร คนเราล้วนมีจุดเด่นที่ต่างกัน แค่ดูว่าแต่งกายอย่างไร ที่จริงการแต่งกายก็มีหลักการเช่นกัน จะแต่งกายมั่วซั่วไม่ได้ หากแต่งกายเหมือนกันอาจไม่เหมาะกับทุกคน ต้องเน้นเฉพาะบุคคลถึงจะแสดงจุดเด่นได้…  สนมลี่สวดไปยกหนึ่ง

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับฟังอย่างใส่ใจ พูดแทรกเป็นระยะ ฟังที่นางพูดก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังขอคำชี้แนะ ทั้งสองสนิทกันแล้ว

รอจนกระทั่งบรรยากาศได้ที่ จู่ๆ สนมลี่ก็ถามเสียงต่ำว่า  เหนียงเหนียง มีบางสิ่งที่ไม่รู้ว่าหม่อมฉันควรจะพูดหรือเปล่าเพคะ? 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฟังออกแล้วว่านางมีเรื่องจะพูดเป็นการส่วนตัว กอปรกับมีทัศนคติต่ออีกฝ่ายค่อนข้างดี จึงโบกมือให้พวกนางในถอยออกไปไกลๆ หน่อย

ตอนนี้สนมลี่ถึงได้กล่าวเสียงเบาว่า  เหนียงเหนียง ตอนนี้นอกจากฝ่าบาทจะยุ่งอยู่กับราชกิจแล้ว แต่พักอยู่ที่พระตำหนักอุทยานระยะยาวหมายความว่าอย่างไรเพคะ? วังสวรรค์นี่ต่างหากที่เป็นบ้านของฝ่าบาทอย่างแท้จริง! เหตุใดเหนียงเหนียงไม่โน้มน้าวเพคะ? 

………………

 

สุราอาจจะไม่ได้ดีกว่าที่เคยดื่มก่อนหน้านี้ แต่อารมณ์ดีมากคือเรื่องจริง ไม่ว่าดื่มอะไรก็ออกรสออกชาติ

เขาหันไปดูประตูหน้าต่างๆ โดยรอบที่ปิดสนิท แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า  สุราดีอย่างนี้ถ้าดื่มอย่างเดียวก็จะน่าเสียดายไปหน่อย! 

เหมียวอี้ยิ้มพลางหันกลับมาบอกใบ้ หยางเจาชิงส่งสัญญาณมือให้เปิดหน้าต่างทั้งหมดทันที มีทิวทัศน์ด้านนอกคอยขับดุน เพิ่มสีสันให้บรรยากาศการเดิมในตึกศาลาแล้วไม่น้อย

พอตรงนี้เปิดหน้าต่างออก ผู้หญิงสองคนที่เดินเล่นพูดคุยสัพเพเหระกันด้านนอก ที่จริงแล้วความสนใจยังไม่พ้นทางฝั่งนี้ หลังจากสังเกตเห็น นางก็สบตากันแวบหนึ่ง รู้ว่าพวกนางสามารถกลับไปได้แล้ว ไม่นานก็กลับมาพร้อมกัน ยังคงสนิทกันเหมือนพี่น้อง ต่างคนต่างมานั่งลงข้างกายผู้ชายของตัวเอง

ผู้ชายทั้งสองก็ไม่ได้คุยอะไรที่เป็นการเป็นงานอีก ทำเรื่องสำคัญให้เป็นรูปธรรมก็พอ ขอเพียงสร้างความสัมพันธ์ที่เชื่อใจกันได้แล้ว เรื่องรายละเอียดก็สามารถพูดคุยกันโดยตรงได้เลย สามารถเจรจาหรือเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ ถึงอย่างไรต่อให้ตอนนี้แผนการจะละเอียดขนาดไหน แต่ก็รับประกันได้ยากว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงกะทันหัน ดังนั้นยากจะกำหนดรายละเอียดให้ได้ภายในครั้งสองครั้ง เถิงเฟยเองก็ต้องกลับไปย่อยข้อมูลก่อนแล้วค่อยวางแผนเช่นกัน จะให้เชื่อทั้งหมดที่เหมียวอี้พูดไม่ได้

 ไม่ได้ทำให้หวังเฟยโมโหใช่ไหม?  เถิงเฟยถามจูโยวเหม่ยปนเสียงหัวเราะ

เมื่อพวกนางเห็นสีหน้าของผู้ชายทั้งสอง ก็รู้ทันทีว่าเป็นสถานการณ์ที่น่ายินดีมาก จูโยวเหม่ยแอบส่งสายตาให้อวิ๋นจือชิวทันที แล้วพูดถ่อมตัวว่า  ไม่รู้ว่าผู้น้อยทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะสมไปหรือเปล่า 

อวิ๋นจือชิวพูดต่อทันที  จะเป็นไปได้ยังไง! น้องโยวเหม่ยมักรู้สึกว่าตัวเองอยู่ต่ำกว่าข้าหนึ่งระดับ เอาแต่เคารพข้าเหมือนเป็นหวังเฟยอะไรนั่น ทำเอาข้าอึดอัดไปทั้งตัว! พอพูดถึงเรื่องนี้ เกรงว่าสตรีอายุน้อยอย่างข้าจะพูดสิ่งที่ทำให้ท่านอ๋องไม่ชอบฟัง ท่านอ๋องเถิงฟังแล้วอย่าโกรธเคืองเชียวนะคะ! 

 อ้อ!  เถิงเฟยร่าเริง  งั้นก็ต้องตั้งใจฟังแล้ว!  ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็คงทำลายอารมณ์ดีของเขาไม่ได้

เหมียวอี้เผยแววตาเฝ้าคอยเช่นกัน เขาวางใจกับจุดนี้มาก ในด้านการต้อนรับขับสู้คน อวิ๋นจือชิวรู้จักควบคุมความเหมาะสมมากกว่าเขา ไม่พูดอะไรซี้ซั้วแน่นอน

อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า  ข้าเห็นน้องโยวเหม่ยแล้วถูกชะตาเหมือนรู้จักกันมานาน รู้สึกว่าน้องสาวไม่เลวเลย ไม่รู้ว่าทำไมท่านอ๋องเถิงถึงปล่อยให้ตำแหน่งฮูหยินเอกว่างไว้ ไม่เลือกคนดีๆ มาเสียที อย่าบอกนะว่าน้องโยวเหม่ยไม่คู่ควรกับสถานะหวังเฟ?  คำพูดนี้ตรงไปตรงมาพอสมควร ค่อนข้างไม่น่าฟังเท่าไหร่

เหมียวอี้รู้สึกอึ้งในใจเล็กน้อย แอบพึมพำอย่างแปลกใจว่า อวิ๋นจือชิวกินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำเหรอ? ไปแทรกแซงเรื่องในครอบครัวคนอื่นทำไม? พวกเรายังไม่ถึงขั้นบังคับเรื่องในครอบครัวอีกฝ่ายได้กระมัง?

หารู้ไม่ว่าจูโยวเหม่ยก็ไม่ใช่เล่นๆ ทำกลางอนุภรรยามากมาย นางสามารถโดดเด่นออกมาช่วยเถิงเฟยชักใยได้ก็ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว คนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกๆ ต่างก็รู้ว่าอวิ๋นจือชิวมีอิทธิพลทางคำพูดต่อหนิวโหย่วเต๋อมาก เรื่องในครั้งนี้ทำให้จูโยวเหม่ยมองเห็นโอกาสแล้ว ตอนที่เพิ่งออกไปเดินเล่น นางระบายทุกข์ให้อวิ๋นจือชิวฟัง หวังว่าอวิ๋นจือชิวจะช่วยน้ำสักหน่อย บอกว่าในภายหลังจะต้องตอบแทนอย่างดีแน่

จะขอบคุณหรือไม่ขอบคุณอวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้ใส่ใจ ก็แค่พูดสิ่งที่อยู่นอกประเด็นสำคัญก็เท่านั้นเอง การถือโอกาสแสดงน้ำใจไม่ได้มีอุปสรรคมากนัก ไม่แน่ว่าในภายหลังอาจต้องให้จูโยวเหม่ยช่วยท่านอ๋องก็ได้ ถ้าใช้ผลประโยชน์ผูกมัดจูโยวเหม่ยไว้ จูโยวเหม่ยก็ต้องอยากพยายามสุดความสามารถเพื่อให้เรื่องนี้สำเร็จอยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุด ถ้าจูโยวเหม่ยอยากจะเป็นหวังเฟยจริงๆ มีน้ำหนักมากพอที่จวนอ๋องเถิง รักษาความสัมพันธ์อันดีไว้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ต่อจากนี้ถ้าโถงชุมนุมอัจฉริยะมีปัญหาอะไรในเขตทัพตะวันออก บอกจูโยวเหม่ยคำเดียวแล้วจะช่วยไม่ได้เชียวเหรอ?

ส่วนในตำหนักสวรรค์จะมีหวังเฟยเพิ่มขึ้นอีกคนหรือไม่ จะทำลายสง่าราศีหรือคุณภาพทองของมงกุฎหวังเฟยหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นจือชิวสนใจ

เถิงเฟยอึ้งทันที นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นจือชิวจะเอ่ยถึงสิ่งนี้ มองเหมียวอี้โดยจิตใต้สำนึก ไม่รู้ว่าเป็นความคิดของเหมียวอี้หรือเปล่า มองออกว่าเหมียวอี้มีสีหน้าเหนือความคาดหมายเช่นกัน คงจะไม่ใช่ความคิดของเหมียวอี้ รู้สึกว่าเหมียวอี้ไม่น่าจะเข้ามายุ่งเรื่องประเภทนี้ น่าจะเป็นเรื่องระหว่างผู้หญิงด้วยกัน

แต่พออวิ๋นจือชิวเอ่ยปากอย่างนี้แล้ว เขาก็ไม่ถึงขั้นมองข้าม รู้เช่นกันว่าอวิ๋นจือชิวมีความสำคัญยามอยู่ข้างกายเหมียวอี้

สิ่งที่เขาพิจารณาก็คือ งานใหญ่กำลังจะมาถึง ถ้าจูโยวเหม่ยได้รักษาความสัมพันธ์อันดีกับผู้หญิงที่มีความสำคัญข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร อวิ๋นจือชิวเอ่ยปากแบบนี้แล้ว ถ้าเขาปฏิเสธก็จะทำให้จูโยวเหม่ยผิดหวัง อย่าทำอะไรวุ่นวายจะดีที่สุด ด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวของผู้หญิง บางครั้งก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำเรื่องโง่อะไรออกมาได้บ้าง อย่างไรเสียจูโยวเหม่ยก็เข้ามาเกี่ยวข้องกับงานใหญ่นี้แล้ว รู้สถานการณ์อยู่บ้าง ทั้งยังสนิทกับอวิ๋นจือชิวด้วย

และการที่อวิ๋นจือชิวพูดสิ่งนี้ออกมาได้ เขาเองก็กำลังพิจารณาเช่นกัน ว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกว่าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดหรือเปล่า เลยกำลังเตือนให้ตัวเองคุมจูโยวเหม่ยเอาไว้?

ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง ทำกลางอนุภรรยาของเขา จูโยวเหม่ยนับเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ให้นางเข้ามายุ่งเรื่องนี้ด้วย ถ้าทำงานใหญ่ครั้งนี้สำเร็จ จูโยวเหม่ยก็ถือว่าได้สร้างผลงานอยู่บ้าง สร้างผลงานก็ต้องตบรางวัลไม่ถือว่าเกินไป

เพียงแต่ว่า มีหลายเรื่องที่เขาจะไม่พิจารณาก็ไม่ได้ ต้องพิจารณาอีกว่าถ้าแต่งตั้งจูโยวเหม่ยเป็นหวังเฟยแล้ว จะสร้างผลกระทบอะไรในครอบครัว

จูโยวเหม่ยที่อยู่ข้างกันรู้สึกกังวลเล็กน้อย การที่นางขอร้องไห้อวิ๋นจือชิวช่วยเอ่ยปากได้ ก็ย่อมเป็นเพราะมองเห็นโอกาสแล้ว ไม่อย่างนั้นจะขอร้องให้ฝ่ายนี้เข้ามายุ่งเรื่องในครอบครัวของตระกูลเถิงได้อย่างไร ชอบแบบนี้ไม่เหมาะสมกับธรรมเนียมและไม่เข้าท่าด้วย แต่ถ้าปล่อยให้โอกาสดีๆ อย่างนี้ผ่านไป เมื่อพลาดแล้วก็น่าเสียดายมาก สถานการณ์ผันผวนข้างนอกมีผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้ชายตำแหน่งสูงเยอะมาก ถ้ามีผลกระทบอะไรนิดเดียว ก็ร้ายแรงกว่าการแข่งขันของผู้หญิงในบ้านอย่างพวกนางเป็นร้อยเท่า

ตอนนี้เรียกได้ว่ากระสับกระส่าย กำลังแอบสังเกตปฏิกิริยาของเถิงเฟย นางอยากจะใช้โอกาสครั้งนี้ทดสอบเถิงเฟยจะมีโอกาสให้ตำแหน่งแก่นางหรือไม่

ไม่เห็นเถิงเฟยเงียบไป เหมียวอี้ก็นึกว่าเขาไม่เต็มใจ กล่าวด้วยรอยยิ้มทันทีว่า  ฮูหยินของข้าเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาตลอด ท่านอ๋องอย่าเก็บไปใส่ใจ  ขณะที่พูดก็ส่งสายตาตำหนิอวิ๋นจือชิว

เถิงเฟยที่เคยครุ่นคิดถึงสถานการณ์ในบ้านกลับโบกมือ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า  คำเตือนของหวังเฟยใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล!  เขาหันไปมองจูโยวเหม่ยที่อยู่ข้างกัน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม  ถ้าครั้งนี้ได้ร่วมงานกับท่านอ๋องหนิวอย่างมีความสุข ข้าก็ขอสัญญาตรงนี้เลย หลังจากจบเรื่องข้าจะให้เจ้าดูแลงานในตระกูลเถิงอย่างชอบธรรมตามฐานะ! 

เมื่อได้ยินแบบนี้ จูโยวเหม่ยก็ดีใจจนแทบคลั่ง อดทนมาตั้งหลายปี แข่งขันกับพวกนางตัวดีครั้งแล้วครั้งเล่ ในที่สุดก็ได้ยินประโยคที่รอมานานแล้ว

ไม่ดีใจแทบบ้าก็แปลกแล้ว ถ้าสามารถร่วมงานกันอย่างมีความสุขได้หมายความว่าอะไรล่ะ? ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ ถ้าทำไม่สำเร็จก็อาจบ้านแตกสาแหรกขาด อาจจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ยังจะหวังตำแหน่งฮูหยินเอกอะไรกัน? แต่ถ้าเรื่องนี้สำเร็จ เช่นนั้นนางก็จะได้เป็นหวังเฟยของทั้งทัพตะวันออกแล้ว ไม่ใช่เป็นแค่หวังเฟยครึ่งทัพตะวันออก ถ้าสมปรารถนาเมื่อไหร่ ฐานะก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นแค่เท่าเดียว!

พูดตามตรงว่านางมีความมั่นใจในการร่วมงานกับฝั่งเหมียวอี้มาก เป็นเพราะผลงานการรบของเหมียวอี้เจิดจรัสมาก ไต่เต้าขึ้นมาตลอดทางแบบเทพขวางก็ฆ่าเทพ พระขวางก็ฆ่าพระ ไม่มีศึกไหนที่รบไม่ชนะ!

แต่ภายนอกนางกลับกล่าวอย่างกระบิดกระบวนว่า  ท่านอ๋อง พูดเรื่องในบ้านที่นี่ได้ไงคะ 

อวิ๋นจือชิวเม้มปากยิ้ม รู้สึกได้ว่าจูโยวเหม่ยส่งสายตาซาบซึ้งมาให้ พบว่าผู้หญิงคนนี้เล่นละครได้แนบเนียนจริงๆ วางอุบายไว้แล้วยังมาอวดฉลาดต่อหน้านาง เป็นคนที่ถูกหล่อหลอมมาจากการแข่งขันในเรือนชั้นในจริงๆ ไม่แปลกใจที่โดดเด่นขึ้นมาได้ในจวนอ๋องสวรรค์เถิง

เถิงเฟยโบกมืออย่างใจกว้าง แล้วหัวเราะเสียงดัง  ไม่เป็นไร ไม่โทษคนนอกเลย ในเมื่อหนิวหวังเฟยเอ่ยปากทวงความยุติธรรมให้เจ้าแล้ว อ๋องผู้นี้ก็ต้องตอบรับสิ! 

จูโยวเหม่ยก้มหน้าอย่างเขินอายเล็กน้อย ทำท่าเหมือนเกรงใจ

ครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่นางลงมือได้แม่นยำแล้วจริงๆ อาศัยแรงภายนอกมาเอาชนะอนุภรรยาทั้งหมดของเถิงเฟยได้ในรวดเดียว

เถิงจงที่อยู่ข้างๆ กลับรีบมองจูโยวเหม่ยแวบหนึ่ง ในดวงตาฉายแววระแวดระวัง

หยางเจาชิงที่อยู่ตรงข้ามก็มองจูโยวเหม่ยหลายทีด้วยสีหน้าครุ่นคิดเช่นกัน

ในฐานะที่เป็นพ่อบ้าน เห็นการสมคบแย่งชิงความโปรดปรานของเรือนชั้นในมาจนชินแล้ว ในบ้านของเหมียวอี้น้ำก็ขุ่นเช่นกัน คนที่อยู่นอกสถานการณ์มองเห็นอะไรได้ชัดเจน อย่างน้อยพ่อบ้านทั้งสองก็รู้ชักว่าเถิงเฟยและเหมียวอี้…

หลังจากนั้น เหมียวอี้ที่อยู่ในฐานะเจ้าบ้านก็ยอมต้องรั้งให้เถิงเฟยอยู่เที่ยวเล่นหลายวัน

แต่เป็นคำพูดตามมารยาทล้วนๆ เรื่องนี้ถูกกำหนดแล้ว นอกจากเถิงเฟยจะต้องรีบกลับไปวางแผน มาที่นี่ก็ไม่ได้มาเพื่อเที่ยวเล่น เดิมทีก็มาอย่างเป็นความลับอยู่แล้ว ยิ่งอยู่นานก็จะยิ่งถูกเปิดโปงได้ง่าย ย่อมต้องกล่าวขอตัวจากไป

เหมียวอี้กับฮูหยินไม่สะดวกจะออกไปส่ง และไม่สะดวกจะออกไปพร้อมกับพวกเขาด้วย ดังนั้นทั้งสองจึงออกมาจากตึกศาลาก่อน ปล่อยให้อีกสองคนปลอมตัว ส่วนเรื่องส่งพวกเขาออกไปนั้นเป็นหน้าที่ของหยางเจาชิง เรื่องเล็กแค่นี้พ่อบ้านหยางไม่ถึงขั้นเตรียมการได้ไม่ดี

เมื่อออกจากอุทยานเล็กแล้ว เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า  เจ้าไปยุ่งเรื่องในครอบครัวเขาทำไม? 

 ข้าอยากยุ่งเสียที่ไหนล่ะ เป็นจูโยวเหม่ยที่ขอร้องข้า…  อวิ๋นจือชิวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังทันที และบอกสาเหตุที่ตัวเองช่วยให้ฟังด้วย สุดท้ายก็วิจารณ์จูโยวเหม่ยว่า  ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน! 

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ  เจ้าก็กำลังใช้ประโยชน์อีกฝ่ายเหมือนกันเหรอ? ต่อให้ไม่ธรรมดาขนาดไหน แต่ก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือตลอด 

ใช้ประโยชน์? คำพูดนี้อวิ๋นจือชิวไม่ชอบฟัง นางทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า  นางจะหนีพ้นเงื้อมมือข้าได้หรือเปล่าแล้วเกี่ยวอะไร ขอแค่ทำให้เจ้าหนีไม่พ้นเงื้อมมือข้าไปทั้งชีวิตก็พอแล้ว 

 …  เหมียวอี้พูดไม่ออก กลอกตามองบน สะบัดแขนเสื้อสองข้าง เอามือไขว้หลังเดินก้าวยาวออกไป

อวิ๋นจือชิวอารมณ์ดี นางหลุดขำออกมา แล้วรีบเดินตามไป…

เมื่อส่งเถิงเฟยกลับไปแล้ว ตอนหยางเจาชิงกลับมาก็ผ่านศาลาหลังหนึ่ง เห็นหยางชิ่งยืนเอามือไขว้หลังมองเขาด้วยรอยยิ้ม จึงรีบเดินเข้าไปถามว่า  มีเรื่องอะไร? 

 ไม่มีเรื่องอะไร  หยางชิ่งส่ายหน้า แล้วถามอีกว่า  คนไปแล้วเหรอ? 

 ไปแล้ว!  หยางเจาชิงไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ จู่ๆ ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า  ใต้หล้านี้คงกำลังจะวุ่นวายใหญ่โตแล้ว 

หยางชิ่งยิ้มเรียบ  แต่ไหนแต่ไรมาไปใต้หล้านี้ก็ไม่เคยวุ่นวาย จะวุ่นวายก็เพราะมีคนกำลังก่อกวน วุ่นวายไปวุ่นวายมาก็เพราะคนเท่านั้น ใต้หล้าก็ยังคงเป็นใต้หล้าเดิม…จะว่าไปแล้ว ถ้าใต้หล้านี้ไม่วุ่นวาย แล้วท่านอ๋องจะลงมือจากตรงไหนล่ะ? 

ดูจากความปลงของทั้งสองคน ก็เห็นได้ชัดว่ารู้สึกกังวลกับการตัดสินใจของเหมียวอี้ แต่ก็รู้ว่าเกลี้ยกล่อมไม่ไหว ถ้าเป็นเรื่องที่เหมียวอี้ตัดสินใจแล้ว ก็ยากที่จะมีคนเปลี่ยนแปลงได้

จู่ๆ ทั้งสองที่กำลังรู้สึกปลงก็หุบปาก รู้สึกได้ว่าตรงทางเดินด้านล่างมีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้

สาวใช้สองคนที่เก็บกวาดอุทยานเล็กแล้วมาทางนี้ หลบแอบกินอาหารอยู่ใต้บันไดตรงหัวมุม ทั้งยังซุบซิบกันอยู่ด้วย

 ไม่รู้ว่ามีแขกที่ไหนมา ต้องให้ท่านอ๋องกับหวังเฟยมารับรองด้วยตัวเอง อาหารดีๆ ที่หากินได้ยากพวกนี้ ยังไม่ทันกินก็จะโยนทิ้งหมดแล้ว น่าเสียดายเกินไป 

 พวกเขาได้กินดีๆ จนชิน จะแยแสของพวกนี้ได้ยังไง ไม่กินก็ดีแล้ว ถ้าไม่ทำสกปรกก็พอให้พวกเราได้ลิ้มลองของใหม่พอดี 

 ก็ใช่ เป็นหวังเฟยนี่ดีจริงๆ เจ้าดูสิว่าวันๆ ก็ไม่ทำอะไร เที่ยวเล่นกินดื่มสบายใจ ทั้งยังมีคนคอยปรนนิบัติเป็นโขยง… 

พอได้ยินเสียงหัวเราะของหยางชิ่งดังแว่วมาจากข้างบน ไม่รู้ว่าถ้าให้เหมียวอี้ได้ยินแล้วจะคิดอย่างไร เวลาเหมียวอี้ไม่ฝึกตนก็จะยุ่งอยู่กับการใช้กำลังความคิดกับงาน มีความกังวลเรื่องชีวิตตลอดเวลา ทุกการเคลื่อนไหวมีผลกระทบกับสถานการณ์ภาพรวมของใต้หล้า นึกไม่ถึงว่าในสายตาคนพวกนี้จะเป็นการเที่ยวเล่นกินดื่มสบายใจทั้งวัน แต่ที่พูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน สาวใช้สองคนนี้จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเหมียวอี้กำลังยุ่งอยู่กับอะไร จะไปรู้ได้อย่างไรว่าการกินอาหารมื้อเดียวนั้นตัดสินชะตากรรมของคนในใต้หล้ามากมายขนาดไหน ในสายตาคนบางคนจับจ้องอยู่แค่เพียงอาหารเลิศรสบนโต๊ะเท่านั้น

หยางชิ่งถอนหายใจ หันตัวส่ายหน้าเดินออกไป ส่ายหน้าให้กับสาวใช้สองคนนั้น โชคร้ายหรือไม่ล่ะ แอบนินทาลับหลังแต่ดันให้พ่อบ้านใหญ่จวนท่านอ๋องอย่างหยางเจาชิงได้ยินเข้าแล้ว ถ้าแค่แอบกินอาหารก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถึงอย่างไรก็เป็นของที่ต้องจัดการอยู่แล้ว มีคนกินก็ดีกว่าไม่มีคนกิน ดีกว่าทิ้งขว้างให้สิ้นเปลือง เขารู้ว่าหยางเจาชิงไม่ถือสาเรื่องนี้แน่นอน แต่ประเด็นก็คือนินทาในสิ่งที่ไม่ควรนินทา ท่านอ๋องเชิญใครมาเป็นแขก พวกเจ้าพูดซี้ซั้วได้เหรอ? ไม่คิดเสียบ้างว่าท่านอ๋องกับหวังเฟยไปต้อนรับด้วยตัวเองหมายความว่าอย่างไร ถ้าเรื่องนี้ได้ยินถึงหูคนอื่น ดีไม่ดีอาจจะสังเกตเห็นเบาะแสอะไรก็ได้

เขาเดาชะตากรรมของสาวใช้สองคนนี้ได้แล้ว แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะสนใจ ถ้าไม่จำเป็นเขาก็จะไม่เข้าไปแทรกแซงงานในจวนท่านอ๋อง นั่นคือสิ่งที่หยางเจาชิงดูแล มิหนำซ้ำจวนท่านอ๋องก็กว้างใหญ่ขนาดนี้ ทุกปีล้วนมีทั้งคนที่น่าสงสารและไม่น่าสงสารตายไป ที่จวนอ๋องสวรรค์หนิวยังดีหน่อย มีอวิ๋นจือชิวข่มอยู่จึงไม่กล้าทำอะไรเกินไป

พอเสียงฝีเท้าบนบันไดเงียบลง สาวใช้สองคนที่หลบอยู่ใต้บันไดก็ปิดปากสนิทและหยุดหายใจ

หารู้ไม่ว่าหยางเจาชิงที่ยืนนิ่งอยู่ตรงบันไดเริ่มทำสีหน้าบูดบึ้งแล้ว

ผ่านไปครู่เดียว พ่อบ้านคนหนึ่งของจวนท่านอ๋องก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา พอเห็นสีหน้าหยางเจาชิง เขาก็ตกใจแทบแย่ ทำความเคารพอย่างหวาดกลัวตัวสั่น  คำนับพ่อบ้านใหญ่! 

หยางเจาชิงจ้องเขาอย่างเย็นเยียบ  เรื่องที่ควรพูดหรือไม่ควรพูดในจวนท่านอ๋อง ยังต้องให้ข้าสอนเจ้าอีกไหม? เจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง? 

พ่อบ้านคนนั้นตกใจจนเหงื่อกาฬแตก

ในวันนั้น สาวใช้กลุ่มหนึ่งถูกเรียกมารวมกัน แล้วสาวใช้สองคนนั้นก็ถูกพ่อบ้านตีตายท่ามกลางสาวใช้เหล่านั้น…

……………

 

เถิงเฟยได้ฟังสิ่งเหล่านี้แล้วตกใจไม่เบา เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อฝึกตนในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ สำหรับคนระดับพวกเขาแล้วไม่ใช่ความลับอะไร สถานที่อันตรายถึงชีวิตขนาดนั้น มีหรือที่หนิวโหย่วเต๋อจะไม่เตรียมป้องกันอย่างเข้มงวด แต่ไม่น่าเชื่อว่าประมุขชิงจะหาทางแทรกทัพใหญ่เข้าไปได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ไม่ว่าใครก็ต้องนึกกลัวทีหลังทั้งนั้น

เขาไม่รู้ว่าเหมียวอี้พูดจริงหรือโกหก แต่การที่ประมุขชิงกล้าทำอย่างนี้ก็ไม่แปลก ราชันคนหนึ่งที่ไม่สามารถควบคุมขุนนางเจ้าอาณาเขตได้อย่างเบ็ดเสร็จ จะใช้วิธีการไร้ยางอายบ้างก็ไม่น่าแปลกใจ สิ่งที่เขาอยากจะรู้ตอนนี้ก็คือ การที่เหมียวอี้พูดเรื่องประมุขชิงจะลงมือสังหารตัวเองไม่หยุดนั้นมีเจตนาอะไร อย่าบอกนะว่าจะดึงข้าไปร่วมก่อกบฏด้วย?

เถิงเฟยตกใจกับความคิดของตัวเอง แต่ปากก็พูดคล้อยตามอีกครั้ง  นึกไม่ถึงว่าจะทำกับขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์อย่างนี้ ทำให้คนหวาดระแวงจริงๆ 

เมื่อเห็นเขาตอบไม่ตรงประเด็นเสียที เหมียวอี้จึงพูดเปิดเผยโดยตรงเลยว่า  คนที่รู้จักหนิวผู้นี้น่าจะรู้จักการวางตัวของข้า เรื่องบางเรื่องสามารถทนได้ แต่ไม่มีทางทนไปตลอด ประมุขชิงไร้คุณธรรมก่อน ก็อย่าโทษว่าอ๋องผู้นี้ว่าขาดศีลธรรมก็แล้วกัน ทำมาแล้วไม่ทำกลับจะเสียมารยาท! 

เถิงเฟยเงียบไปครู่หนึ่ง รู้ว่าไม่มีทางหลบเลี่ยงได้แล้ว  ท่านอ๋องอยากจะให้เถิงช่วยอะไร? 

เหมียวอี้ยกจอกสุราคำนับ  จะช่วยหรือไม่ช่วยก็ต้องดูว่าท่านอ๋องคิดยังไง ถ้าพูดจากบางระดับ ก็แค่ช่วยท่านอ๋องเท่านั้นเอง 

 อ้อ!  เถิงเฟยตอบกลับอย่างครบ  เช่นนั้นก็จะล้างหูรอฟัง 

เหมียวอี้เงยหน้ากรอกสุราลงท้อง แล้วถือโอกาสผลักจอกสุราออกไป ให้หยางเจาชิงรินให้ แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า  มิอาจยอมให้ผู้อื่นมานอนกรนอยู่ข้างเตียง! 

เถิงเฟยชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด  ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเหรอ? 

สิ่งนี้เดาได้ไม่ยาก บรรดาอ๋องสวรรค์พึ่งพากันและกัน เป็นความสัมพันธ์กึ่งร่วมมือกึ่งแข่งขัน ไม่ถึงขั้นเก็บอีกฝ่ายไว้ไม่ได้ และในเวลานี้มีเพียงทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่ทำให้หนิวโหย่วเต๋อมองว่าเป็นคนที่มานอนกรนอยู่ข้างเตียงได้ เพราะนั่นคือกำลังพลที่ประมุขชิงควบคุม กอปรกับทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่มีความเสียหายในการรบอะไร กำลังเพิ่มขึ้นตลอดไม่เคยลด ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นใครก็รู้สึกไม่สงบใจทั้งนั้น เท่ากับว่าข้างหลังมีมีดสั้นจ่อและพร้อมจะแทงเข้ามาได้ทุกเมื่อ

เหมียวอี้ส่ายหน้า  ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือชิงหยวนจุน! 

 มีอะไรต่างกัน?  เถิงเฟยแปลกใจ

 ถ้าชิงหยวนจุนอยากจะก่อกบฏล่ะ?  เหมียวอี้ถามกลับ

เถิงเฟยสูดลมหายใจอย่างตระหนก ถามอย่างตกใจว่า  จะเป็นไปได้ยังไง? ทัพใหญ่แดนรัตติกาลอยู่ในการควบคุมของประมุขชิง ต่อให้ชิงหยวนจุนมีความคิดนั้นแต่ก็ไม่กล้าทำหรอก!  พอเพิ่งจะพูดจบก็รู้สึกว่าไม่ถูกอีก รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะยิงธนูโดยไร้เป้า อดไม่ได้ที่จะถามว่า  หรือว่าชิงหยวนจุนบอกจุดประสงค์อะไรให้ท่านอ๋องรู้? 

เหมียวอี้โค้งมุมปากแสยะยิ้ม  ถ้าเขาไม่กบฏ ข้าก็จะบีบให้เขากบฏ! 

เถิงเฟยส่ายหน้า  ในมือเขาไม่มีกำลังพล ต่อให้บีบไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่าบอกนะว่าท่านอ๋องเตรียมจะช่วยเขาอีกแรง?  เขาไม่คิดว่าเหมียวอี้จะสามารถส่งกำลังทหารไปช่วยชิงหยวนจุนต่อต้านประมุขชิงโดยตรง

เหมียวอี้ตอบว่า  ชิงหยวนจุนจะก่อกบฏสำเร็จหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือทำให้ประมุขชิงคิดว่าลูกอกตัญญูคนนี้คิดจะแทนที่เขาจริงๆ ก็พอแล้ว! 

 ประมุขชิงไม่ได้โง่ขนาดนั้น เกรงว่าคงไม่เกิดความเข้าใจผิดนี้ได้ง่ายๆ  เถิงเฟยกล่าว

เหมียวอี้กล่าวอย่างใจเย็น  ถ้าประมุขชิงคิดจะให้ลูกของจ้านหรูอี้มาแทนที่ชิงหยวนจุนล่ะ? 

เถิงเฟยส่ายหน้า  เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ต่อให้ประมุขชิงจะมีความคิด แต่มีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะทำจริง การเปลี่ยนองค์รัชทายาทไม่ใช่เรื่องเล็ก ทำให้ใต้หล้าเกิดความวุ่นวายใหญ่โตได้ง่าย นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมประมุขชิงประกาศชัดเจนมาตั้งแต่แรกว่าโอรสสวรรค์ต้องถือกำเนิดจากราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เท่านั้น ต่อให้ประมุขชิงจะชอบจ้านหรูอี้ขนาดไหน แต่ก็ไม่คิดจะถอดเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ออกจากตำแหน่งแล้วให้จ้านหรูอี้มาแทนที่ได้ง่ายๆ ในเมื่อประมุขชิงกล้าให้ชิงหยวนจุนแยกตัวออกมาเป็นเจ้าอาณาเขต คาดว่าคงมีมาตรการอะไรที่ทำให้ชิงหยวนจุนสงบใจได้ คงไม่ให้ใครมาเสี้ยมสองพ่อลูกได้ง่ายๆ ชิงหยวนจุนจะได้ไม่ถูกหลอกใช้! 

เหมียวอี้ชูตะเกียบบอกใบ้ให้อีกฝ่ายกินอาหาร อย่ามัวแต่พูดอย่างเดียว หลังจากลิ้มลองอาหารเลิศรสแล้ว ก็กล่าวกลั้วหัวเราะอีกว่า  หลักการน่ะ พวกเราล้วนเข้าใจ แต่ความแตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงมักจะอยู่ตรงนี้ เกรงว่าผู้หญิงคงจะไม่คิดอย่างนี้ ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่! 

เถิงเฟยที่กำลังขบเคี้ยวอาหารอร่อยเริ่มหยุด เผยแววตาเข้าใจในฉับพลัน เขาเข้าใจแล้ว ชิงหยวนจุนจะก่อกบฏสำเร็จหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ประมุขชิงจะอยากให้ลูกที่เกิดกับจ้านหรูอี้มาแทนที่ชิงหยวนจุนหรือไม่ก็ไม่สำคัญเช่นกัน ขอเพียงทำให้คิดว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างนี้ก็พอแล้ว

พอคิดได้อย่างนี้ ก็แอบรู้สึกตกใจทันที ช่างเป็นแผนที่ชั่วร้ายเลวทรามยิ่งนัก นี่คิดจะใช้ประโยชน์จากความริษยาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เพื่อเสี้ยมให้ชิงหยวนจุนกับประมุขชิงสองพ่อลูกกลายเป็นศัตรูกัน! เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า  ดูท่าแล้วท่านอ๋องคงคิดจะเริ่มลงมือจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับจ้านหรูอี้ผู้หญิงสองคนนี้! 

คุยกับคนฉลาดก็ลดความยุ่งยากไปได้เยอะ เหมียวอี้ยิ้มพลางโบกมือเบาๆ  ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะลงมือกับผู้หญิงสองคนนี้ แต่เป็นท่านต่างหากที่อยากลงมือกับผู้หญิงสองคนนี้! 

 อ้อ!  เถิงเฟยวางตะเกียบ รู้ว่าในที่สุดก็คุยกันจนถึงขั้นตอนต่อรองเงื่อนไขแล้ว เขายิ้มพร้อมบอกว่า  ข้ารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้นะ 

เหมียวอี้เอนตัวพิงเก้าอี้ด้านหลัง สีหน้าท่าทางผ่อนคลายแล้ว กล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า  ท่านอ๋องจะคิดถึงแต่ตัวเองไม่ได้นะ ต้องคำนึงถึงข้าด้วยสิ! ข้าบอกแล้ว ถ้าทำมาแล้วไม่ทำกลับจะเสียมารยาท ประมุขชิงกดดันทำร้ายข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าไม่มีทางถอยแล้ว ทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ ว่าต่อให้ครั้งนี้ข้าจะยอมถอยให้ แต่ประมุขชิงก็ต้องมีครั้งหน้าแน่นอน สรุปก็คือถ้าข้าไม่ตาย ประมุขชิงก็จะไม่หยุด! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เลยตัดสินใจจะสั่งสอนเขาคืนสักหน่อย กองทัพองครักษ์สิบล้านที่ดักซุ่มอยู่ไหนแดนมรณะดึกดำบรรพ์นั่น ข้าจะให้เขากลับไปง่ายๆ ได้ยังไงล่ะ? ในเมื่อประมุขชิงไร้ศีลธรรมก่อน ข้าก็ไม่มีอะไรต้องเกรงใจเช่นกัน เมื่อทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ถือโอกาสกำจัดภัยพิบัติในภายภาคหน้าอย่างทัพใหญ่แดนรัตติกาลไปด้วยเสียเลย ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล 

เถิงเฟยแววตาวูบไหว  ในเมื่อท่านอ๋องมีแผนการที่ละเอียดรอบด้านแล้ว ก็สามารถดำเนินการเองได้เลย จำเป็นต้องให้ข้าช่วยด้วยเหรอ? 

เหมียวอี้บอกว่า  จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้ ในใจท่านอ๋องน่าจะรู้ชัด ว่าพวกเราไม่มีศักยภาพที่จะแตกหักกับประมุขชิงจนถึงที่สุด ใครใช้ให้อีกฝ่ายมีประมุขพุทธะล่ะ ไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องลำบากฟังคำสั่งประมุขชิงอย่างนี้ด้วยเหรอ การสั่งสอนคืนหรือกำจัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง ก็ไม่ได้แปลว่าข้าจะแตกหักกับประมุขชิง เวลาที่ควรจะทำแต่พอดีก็ต้องทำแต่พอดี ดังนั้นเรื่องบางเรื่องข้าไม่สะดวกจะทำเอง ถ้าข้าวางแผนทำอะไรกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่และจ้านหรูเมื่อไหร่ เนื่องจากแผนการลอบสังหารข้า ประมุขชิงจะต้องสงสัยข้าทันที ปฏิกิริยาของชิงหยวนจุนน่าจะทำให้เขามองออกได้ง่ายมาก ดังนั้นเรื่องนี้ข้าไม่สะดวกจะออกหน้า ให้ท่านอ๋องทำเหมาะสมที่สุด! เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะท่านอ๋องอยากจะคุมอาณาเขตทัพตะวันออกแต่เพียงผู้เดียวไง ข้าเองก็เปลืองแรงช่วยท่านอ๋องเฉยๆ ไม่ได้ ต่อให้ข้าสนับสนุนท่านอ๋อง แต่ถ้าประมุขชิงไม่ตอบตกลง มีมีดอย่างทัพใหญ่แดนรัตติกาลจ่ออยู่ข้างหลังข้า ข้าจะกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเหรอ? ประมุขชิงตัดสินใจแน่แล้วว่าจะกำจัดข้าทิ้ง ข้าอาจจะโดนศัตรูขนาบทั้งข้างหน้าข้างหลังได้ทุกเมื่อ จะให้ข้าสงบใจไปสนับสนุนท่านอ๋องได้ยังไง? 

เถิงเฟยเงียบไป พอพูดแบบนี้ก็ถือว่าเป็นปัญหาจริงๆ ที่บอกว่าจะสนับสนุนตนต้องไม่ใช่คำพูดปากเปล่าแน่นอน จะต้องส่งกำลังพลออกมาเพื่อแสดงท่าทีต่อต้านวังสวรรค์แน่นอน ถ้าอีกฝ่ายส่งกำลังพลออกมาสนับสนุนฝั่งนี้ แต่ทัพเกรียงไกรห้าสิบล้านของแดนรัตติกาลฉวยโอกาสเข้ามา อาณาเขตทัพใต้จะต้องวุ่นวายใหญ่โตแน่นอน นี่คือเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อมิอาจไม่กังวล แบบนี้พออยากจะได้การสนับสนุนจากอีกฝ่าย เขาก็ต้องช่วยอีกฝ่ายกำจัดหอกข้างแคร่อย่างทัพใหญ่แดนรัตติกาลทิ้งก่อน

ขณะสังเกตปฏิกิริยาอีกฝ่ายที่กำลังครุ่นคิด เหมียวอี้พูดต่อไปว่า  แต่ถ้าประมุขชิงกับลูกชายกลายเป็นศัตรูกัน สถานการณ์ก็จะแตกต่างออกไปมาก ท่านอ๋องก็ไม่ต้องขอร้องให้คนอื่นมาสนับสนุนมากเท่าไหร่ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะยอมให้ชิงหยวนจุนก่อกบฏ ถึงตอนนั้นประมุขชิงคงยุ่งอยู่กับการเก็บกวาดขยะในบ้าน ถ้าในเวลานี้ท่านอ๋องอยากจะเคลื่อนพลรวมทัพตะวันออกเป็นหนึ่งเดียว ก็จะไม่กดดันมากแล้ว และถ้าข้าต้องการจะลงมือกับกองทัพองครักษ์ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ก็ต้องทำตอนที่ประมุขชิงแบ่งสมาธิไปยุ่งอยู่กับการเก็บกวาดขยะในบ้าน ถึงตอนนั้นประมุขชิงไม่มีเวลามาสนใจ ทำได้เพียงมองดูข้ากินกำลังพลที่เขาส่งมาดักซุ่มในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ หลังจากนั้น ทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็ถูกประมุขชิงกำจัดทิ้งแล้ว จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลได้ชื่อว่าก่อกบฏ ตอนพวกเราอยู่ในที่ประชุมขุนนาง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลตั้งขึ้นมาใหม่อย่างสง่าผ่าเผยอีก ทุกคนล้วนยินดีที่จะเห็นประมุขชิงสูญเสียกำลัง ท่านอ๋องรวมทัพตะวันออกได้ ส่วนข้าในเมื่อกำจัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลังได้แล้ว ก็สามารถกำจัดทหารดักซุ่มของประมุขชิงทิ้งได้อย่างราบรื่น เรียกได้ว่าเป็นเรื่องดีที่ทำครั้งเดียวได้ประโยชน์หลายอย่าง มีแค่ประมุขชิงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ดีใจ! ท่านอ๋อง ขอร้องใครก็ไม่เท่าพึ่งพาตัวเอง เรื่องที่ทุกคนล้วนได้ประโยชน์ ล้วนดีกว่าคำสัญญาอะไรทั้งนั้น! 

เถิงเฟยเอียงหน้ามองเถิงจง พ่อบ้านของตัวเองแวบหนึ่ง แล้วยกสุราดื่มหมดจอก เถิงจงส่งสายตาสื่อสารกับเขา จากนั้นก็หยิบกาสุรามารินให้

หลังจากชูจอกสุราคารวะเหมียวอี้ เถิงเฟยก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม  ถ้านท่านอ๋องก็พูดแบบนี้กับเฉิงไท่เจ๋อเหมือนกัน หลังจากเกิดเรื่องแล้วข้าก็จะพบปัญหานะ 

เหมียวอี้ส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ  ท่านอ๋องพูดล้อเล่นอย่างนี้ทำไม? ความลับสุดยอดขนาดนี้ข้าจะตีสองหน้าได้เหรอ หลังจากเกิดเรื่องแล้วถ้าท่านหรือเฉิงไท่เจ๋อพบว่าตัวเองตกหลุมพราง ถามหน่อยว่าจะมีคนไหนรักษาความลับให้ข้าไหม? ถ้ามีคนเปิดโปงแผนการเสี้ยมประมุขชิงกับลูกชาย คาดว่าพอถึงตอนที่พ่อลูกสู้กันอย่างดุเดือดแล้วพบว่าตัวเองตกหลุมพราง ก็คงได้สติแล้วร่วมมือกันหันหัวหอกมาสู้กับข้าแทนทันที ข้าจะเสี่ยงอันตรายนี้ได้ยังไง? ตอนที่ประมุขชิงใช้กำลังทหารกับชิงหยวนจุน นั่นก็คือเวลาที่ท่านอ๋องลงมือ ตอนที่ท่านอ๋องเคลื่อนกำลังพล ก็เป็นเวลาที่ข้าลงมือเช่นกัน ไฟลุกพร้อมกันหลายด้าน ประมุขชิงทำได้เพียงรับมือกับด้านเดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะกระจายกำลังทหารรับมือทั่วทุกด้าน ไม่อย่างนั้นเขาก็จะคุมฝั่งไหนไม่ได้เลย ทั้งเจ้าทั้งข้าจะทำสำเร็จได้อย่างสบายๆ! ตราบใดที่ข้าสนับสนุนท่านอ๋อง แล้วก็มีตระกูลเซี่ยโห้วกดดันอีก ต่อให้เฉิงไท่เจ๋อจะใช้วาทศิลป์โน้มน้าวยังไง แต่โค่วหลิงซวีกับก่วงลิ่งกงก็ไม่มีทางแตกความร่วมมือกันเพื่อเขาจนโดนประมุขชิงฉวยโอกาส มีแต่ต้องส่งกำลังทหารมาสนับสนุนท่านอ๋อง ถึงตอนนั้นเฉิงไท่เจ๋อตายแน่นอน ท่านอ๋องจะต้องได้คุมทัพตะวันออกคนเดียวแน่ แบบนี้จะสร้างสถานการณ์กึ่งร่วมมือกึ่งแข่งขันของสี่ทัพได้อีกครั้ง! 

เมื่อได้ยินแบบนี้ เถิงจงก็รินสุราด้วยรอยยิ้ม ก้อนหินใหญ่ในใจเถิงเฟยตกลงพื้นทันที ที่ยิ่งกว่านั้นคือแอบซ่อนอารมณ์ตื่นเต้นดีใจเอาไว้ เรื่องที่ทุกคนล้วนได้ผลประโยชน์แบบนี้ใช้ได้ผลกว่าคำสัญญาอะไรทั้งนั้น เขาอารมณ์ดีมาก พูดหยอกล้อว่า  ท่านอ๋องไม่กลัวว่ากลับไปข้าจะเอาแผนนี้ไปขายให้ประมุขชิงเหรอ? 

เหมียวอี้กลับทำหน้าตึง ไม่ล้อเล่นกับเขา  ประมุขชิงอยากจะแบ่งอำนาจฝ่ายต่างๆ ให้อ่อนแอลงใจจะขาด ถ้าท่านอ๋องเอาแผนการนี้ไปขายให้ประมุขชิง แล้วประมุขชิงจะสนับสนุนให้ท่านอ๋องรวมทัพตะวันออกเหรอ? อย่าบอกนะว่าท่านอ๋องชอบเงินรางวัลเล็กน้อยพวกนั้น? และเรื่องราวก็ยังไม่เกิดขึ้น ต่อให้ท่านอ๋องเปิดเผยความลับแล้วยังไงล่ะ? ประมุขชิงจะลงโทษข้าเพียงเพราะคำพูดปากเปล่าไม่กี่คำงั้นเหรอ? ถ้าท่านอ๋องจะทำอย่างนั้นจริงๆ เท่ากับบีบให้ข้ายืนฝั่งเฉิงไท่เจ๋อโดยสิ้นเชิงแล้ว คาดว่าท่านอ๋องก็คงไม่อยากเห็นผลที่ตามมาเช่นกัน! 

 ล้อเล่นน่า ท่านอ๋องไม่ต้องคิดเป็นจริงเป็นจัง เป็นข้าที่พูดผิดเอง ควรจะดื่มลงโทษตัวเอง!  เถิงเฟยหัวเราะลั่นพลางสุราดื่มลงโทษตัวเอง พอวางจอกสุราลงแล้วก็พยักหน้าชมซ้ำๆ  เป็นสุราดีจริงๆ ด้วย! 

………………

 

หยางชิ่งห้ามอย่างร้อนใจว่า  ไม่รู้ว่าพระปีศาจจะออกมาก่อเรื่องเมื่อไหร่ ตอนนี้ถ้าสู้กับประมุขชิงอีก เป็นทางเลือกที่ไม่ฉลาดจริงๆ จวนท่านอ๋องโปรดไตร่ตรอง! 

เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำว่า  ขนาดประมุขชิงยังไม่กลัวพระปีศาจก่อเรื่องวุ่นวายเลย แล้วทำไมข้าต้องกลัวล่ะ? ถ้าใต้หล้านี้วุ่นวายก็เป็นใต้หล้าของประมุขชิง เขากลัวเรื่องนี้ยิ่งกว่าข้าอีก คนที่วิตกกังวลควรจะเป็นเขา! เซี่ยโห้วท่าคำนวณไว้ว่าอีกประมาณหนึ่งหมื่นปีพระปีศาจจะหวนกลับคืนมา น่าจะยังมีเวลาอีกนิดหน่อย ถ้าตอนนี้ไม่จัดการประมุขชิง ต่อไปพอพระปีศาจออกมาอีก ข้างหน้าข้าก็มีหมาป่าดุ ข้างหลังมีเสือโหด แบบนั้นต่างหากที่แย่จริงๆ! 

หยางชิ่งกุมหมัดคารวะซ้ำๆ  ท่านอ๋อง เรื่องนี้ไม่ควรเป็นท่านอ๋องที่กระโดดออกมาเอง ตอนนี้ถ้าเล่นตุกติกกับจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ประมุขชิงจะต้องคิดว่าเรื่องที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ล้มเหลวจนท่านอ๋องโต้ตอบแน่ เดิมทีประมุขชิงก็คิดอยากกำจัดท่านอ๋องอยู่แล้ว ถ้าให้ประมุขชิงรู้ว่าท่านคิดจะทำอะไรกับชิงหยวนจุน สองเรื่องทบกัน ถ้ายั่วโมโหจนประมุขชิงยอมแลกทุกอย่างเพื่อลงมืออย่างเปิดเผย…ท่านอ๋อง ไม่ควรใช้ประโยชน์ของชิงหยวนจุนจากอารมณ์ชั่ววูบ! 

 ใครบอกว่าข้าจะเป็นฝ่ายกระโดดออกมาเอง?  เหมียวอี้แสยะยิ้ม เหล่ตามองอวิ๋นจือชิว  หวังเฟย เจ้าติดต่อจูโยวเหม่ย อนุภรรยาคนโปรดของเถิงเฟย บอกว่าข้ามีสุราดี เชิญให้เถิงเฟยมาชิมสักหน่อย! 

ฝั่งเถิงเฟยให้จูโยวเหม่ยคอยยักคิ้วหลิ่วตากับฝั่งนี้ตลอด จูโยวเหม่ยก็ติดต่อกับอวิ๋นจือชิวอยู่เสมอเช่นกัน อย่างไรเสียเรื่องบางเรื่องเถิงเฟยก็ไม่สะดวกจะขอร้องเหมียวอี้โดยตรง ถ้าเขาทำอย่างนั้นมากเกินไป ไม่สะดวกจะต่อรองกับหมียวอี้ คงจะให้ทำเรื่องที่ขาดทุนไม่ได้ เหมียวอี้รู้เจตนาของเถิงเฟย ให้จูโยวเหม่ยหยั่งท่าทีของฝั่งนี้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ก่อนหน้านี้เหมียวอี้แสดงออกอย่างคลุมเครือมาตลอด ถ้าเขาเป็นฝ่ายเชื้อเชิญเองเมื่อไหร่ เถิงเฟยต้องยินดีมาตามนัดแน่นอน

อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเงียบๆ

ไปสมคบกับเถิงเฟยตั้งแต่เมื่อไหร่? หยางชิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ยังคงพยายามโน้มน้าวว่า  ท่านอ๋อง ตอนนี้พวกเรามีศักยภาพไม่พอ ยังไม่มีความเสี่ยงที่จะต่อต้านฝั่งประมุขพุทธะ! 

 ฝั่งแดนสุขาวดี ถ้ามีความจำเป็นอะไร ย่อมมีกำลังพลควบคุมประมุขพุทธะได้อยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมาก!  เหมียวอี้กล่าวอย่างใจเย็น

หยางชิ่งตกใจ ฝั่งแดนสุขาวดีก็มีกำลังพลเหมือนกันเหรอ? ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะไม่สังเกตเห็นเบาะแสเลยสักนิด! ตอนนี้เขาเพิ่งจะตระหนักได้ ว่าท่านนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วจริงๆ มีความมั่นใจที่จะงัดข้อกับประมุขชิงแล้ว ถึงได้พูดว่าจะสู้กับเขาให้ถึงที่สุดได้!

พอเขามองอวิ๋นจือชิวที่นี่เงียบอีก แม้แต่ท่านนี้ก็ยังไม่ห้าม…เขาเข้าใจแล้ว เกรงว่าสองสามีภรรยาคงวางแผนลับกันมานานแล้วจริงๆ ปรึกษาหารือกันมานานแล้ว จิตใจที่ทะเยอทะยานของสองผัวเมียเปิดเผยออกมาหมดแล้ว!

 สถานการณ์ฝั่งจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เจ้าต้องควบคุมไว้อย่างสุขุมมั่นคง เตรียมไว้ให้ข้าใช้งานได้ทุกเมื่อ!  เหมียวอี้จ้องหยางชิ่ง

 รับทราบ!  หยางชิ่งเอ่ยรับเงียบๆ แล้วจู่ๆ ก็ถามว่า  กำลังพลของประมุขชิงที่ดักซุ่มอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ไม่รู้ว่าจวนท่านอ๋องเตรียมจะจัดการยังไง? 

 หึหึ! ถ้าข้าไม่รู้ก็แล้วไป แต่ในเมื่อข้ารู้แล้ว ข้าจะคอยดูว่าพวกเขาจะหนีไปไหน!  เหมียวอี้แสยะยิ้ม สายตาจ้องไปที่หยางเจาชิง  หลังจากสืบเจอสายลับที่ประมุขชิงแทรกไว้ที่ทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว ก็อย่าเพิ่งไปแตะต้อง อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น! 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับ

หลังจากนั้นหลายวัน คนกลุ่มหนึ่งก็มาถึงอย่างเงียบๆ เข้ามาที่จวนท่านอ๋องผ่านประตูด้านข้าง ทั้งหมดแต่งตัวเหมือนบ่าวรับใช้ เดินเข้ามาในสวนเล็กๆ ที่เงียบสงบในจวนท่านอ๋องโดยตรง

มีสองคนที่ถูกนำไปห้องเล็ก ส่วนผู้ติดตามที่เหลือกระจายตัวกันเฝ้าระวังอยู่ตามมุมต่างๆ ของสวน

จนกระทั่งสองคนนั้นเดินออกมาจากห้องเล็กอีกครั้ง ก็เปลี่ยนเป็นแต่งกายด้วยชุดสวยงามหรูหราแล้ว คนหนึ่งคือมีสง่าราศี คนหนึ่งงามมีเสน่ห์ เป็นเถิงเฟยกับจูโยวเหม่ยนั่นเอง

เถิงเฟยไม่ใช่คนโง่ รู้ว่าเหมียวอี้คลุมเครืออยู่นานขนาดนั้นแต่จู่ๆ ก็เป็นฝ่ายเชื้อเชิญ แสดงว่าจะต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาพอใจกับการรอคอยแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการล้อเขาเล่น ควรทราบไว้ว่าครั้งนี้คือการพบกันอย่างลับๆ ปล่อยให้ข่าวหลุดไม่ได้แม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อปลอมตัวแล้วถึงได้มา หลังจากมาแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพบเหมียวอี้ดูรูปลักษณ์ของบ่าวไพร่ ย่อมต้องแต่งกายเรียบร้อยแล้วค่อยโผล่หน้าออกมา ส่วนฝั่งนี้ก็เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

เดินทางมาอย่างลับๆ ก็ไม่กังวลว่าเหมียวอี้จะทำร้ายเขาเช่นกัน เพราะปัจจุบันเหมียวอี้ไม่มีความจำเป็นนั้นเลย ถ้าทำร้ายเขาแล้วเหมียวอี้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร กลับจะดึงดูดปัญหายุ่งยากอีกเป็นพรวนด้วยซ้ำ

เสวี่ยเอ๋อร์รออยู่ตรงประตูแล้ว นางย่อตัวคำนับ  อ๋องสวรรค์เถิง ฮูหยินโยวเหม่ย ท่านอ๋องกับหวังเฟยกำลังรอทั้งสองท่านอยู่เจ้าค่ะ! 

จูโยวเหม่ยถ่ายทอดเสียงบอกเถิงเฟยสองสามประโยคทันที ตอนแรกเถิงเฟยนึกว่าเสวี่ยเอ๋อร์เป็นแค่บ่าวไพร่เท่านั้น ไม่เห็นว่าสำคัญอะไร ตอนนี้ถึงได้มองประเมินเสวี่ยเอ๋อร์อย่างจริงจังแวบหนึ่ง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า  เจ้าก็คือแม่นางเสวี่ยเอ๋อร์สินะ  ท่าทีเปลี่ยนเป็นสุภาพในชั่วพริบตาเดียว

 มิบังอาจ!  เสวี่ยเอ๋อร์รีบคำนับกลับ

จูโยวเหม่ยกลับก้าวขึ้นมาจับมือที่อ่อนนุ่มของเสวี่ยเอ๋อร์ ใส่กำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งไว้บนข้อมือเสวี่ยเอ๋อร์ แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า  ข้าเห็นน้องเสวี่ยเอ๋อร์แล้วถูกชะตาเหมือนรู้จักกันมานาน นี่คือน้ำใจเล็กน้อย อย่ารังเกียจเลยนะจ๊ะ 

เสวี่ยเอ๋อร์ปฏิเสธนิดหน่อย พอเห็นว่าปฏิเสธไม่สำเร็จก็ปล่อยเลยตามเลย อย่างไรเสียนางก็เป็นสาวใช้ข้างกายท่านอ๋องกับหวังเฟย ไม่ขาดของกินของใช้รวมทั้งทรัพยากรฝึกตน สิ่งของที่ใช้ตอนนี้ก็เป็นประเภทระดับสูงสุดในสังคม เป็นคนที่ไม่ขาดของขวัญจากคนอื่นเลย มีของแปลกๆ อะไรสวีถังหรานก็มักจะเสาะหามาให้นาง หากต้องการอะไรแค่บอกสวีถังหรานคำเดียวก็พอแล้ว ส่วนเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้สนใจของบางอย่างที่คนว่ากันว่าเป็นของดีสักเท่าไหร่ ของที่คนอื่นให้มาส่วนใหญ่พวกเขาก็โยนให้นางกลับเชียนเอ๋อร์ไปเล่น ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกขาดแคลนของขวัญหายากเลย

แต่นางรับของขวัญจากคนอื่นจนชินแล้ว ในแต่ละปีไม่รู้ว่ามีบุคคลสำคัญเท่าไหร่ต้องการส่งของขวัญให้นาง ของขวัญที่ได้รับมาขอให้ใช้สิบชาติก็ใช้ไม่หมด สรุปก็คือไม่ว่าใครจะส่งของขวัญเข้ามาในจวนท่านอ๋อง ต่อให้คนอื่นจะขาดของแต่พวกนางไม่ขาดของ พูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ อนุภาคระยะมากมายในจวนท่านอ๋องยังไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างนี้เลย ห่างกันไกลมาก นางเองก็ไม่ได้อยากรับของขวัญอะไร เพียงแต่ของขวัญบางอย่างถ้าไม่รับไว้ก็จะดูไม่ดี กลัวคนอื่นคิดมาก เดินมาถึงตำแหน่งอย่างทุกวันนี้แล้ว จำเป็นต้องมีโลกทัศน์บ้าง จะทำให้งานของท่านอ๋องพังไม่ได้ อย่างมากก็แค่ต้องแน่ใจว่ารับของของใครได้และรับของของใครไม่ได้ก็เท่านั้นเอง

 อ๋องสวรรค์เถิง ฮูหยินโยวเหม่ย เชิญตามข่าวมาค่ะ!  เสวี่ยเอ๋อร์ยื่นมือเชิญ

เถิงเฟยพยักหน้า  รบกวนแล้ว! 

เดินผ่านทางเดินที่เป็นวงกลมตลอดทาง เถิงจง พ่อบ้านของเถิงเฟยก็เดินตามอยู่ข้างหลังเช่นกัน

พวกเขาไม่ได้ไปที่อื่น ไปที่ตึกศาลากลางน้ำในสวนนี้ ตึกศาลาตั้งอยู่กลางน้ำ รอบข้างมีใบบัวสีมรกต ดอกบัวสีขาวและสีชมพูชูตระหง่าน

เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวยืนรออยู่ตรงประตูศาลาแล้ว ทั้งสองฝ่ายกุมหมัดคารวะทักทายกันตั้งแต่อยู่ไกลๆ อวิ๋นจือชิวกับจูโยวเหม่ยจูงมือเดินด้วยกันแล้ว ทั้งสองยิ้มสดใสดุจดอกไม้ เรียกขานกันว่าพี่สาวน้องสาวอย่างสนิทสนม จูงมือกันไม่ยอมปล่อย คนที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกคงนึกว่าพวกนางเป็นพี่น้องแท้ๆ

ว่ากันตามจริง เมื่อเจอเหมียวอี้อีกครั้ง ในใจเถิงเฟยก็รู้สึกสะท้อนใจมาก นึกถึงการทดสอบที่แดนอเวจีในปีนั้น ภาพที่เหมียวอี้ถูกรังแกสารพัดยังติดตาเหมือนเกิดขึ้นใหม่ แต่ตอนนี้แม้แต่ตัวเองยังต้องมาขอร้องอีกฝ่าย อีกฝ่ายบอกคำเดียวว่ามีสุราดี ตัวเองก็ต้องรีบถ่อมาตามนัด

พูดจาทักทายตามมารยาทตรงประตูพักหนึ่ง เถิงเฟยมองไปรอบๆ แล้วบอกว่า  ช่างเป็นสถานที่ที่สง่าสง่างามสงบเงียบ! 

มีอะไรสง่างามหรือไม่สง่างามล่ะ ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยเห็นของดีๆ เสียเมื่อไหร่! เหมียวอี้แสยะยิ้มในใจ ฟังออกถึงความหมายแฝงอย่างอื่นแล้ว เขาไม่ได้พูดจาตามมารยาทอีก ยื่นมือเชิญเลย  เตรียมสุราเบาๆๆ เชิญด้านใน! 

เถิงเฟยยื่นมือพร้อมรอยยิ้ม  เชิญ! 

พอพวกเขาเข้ามาด้านใน นอกจากแขกกับเจ้าบ้านที่นั่งลงแล้ว ก็มีแค่หยางเจาชิงกับเถิงจงที่เป็นพ่อบ้านของสองฝ่ายยืนอยู่ข้างหลัง คอยช่วยรินสุราให้

สุราชั้นดีย่อมไม่ขาด อาหารเลิศรสทั้งโต๊ะก็ยิ่งบริบูรณ์ แต่ไม่ว่าใครก็ไม่ได้มาเพื่อจะกินอาหารอย่างเดียว เพียงแต่เถิงเฟยกับจูโยวเหม่ยยอมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม ชมว่าสุราดีอาหารดีเพื่อไว้หน้าเจ้าบ้าน

ชิมสุราเลิศรสนิดหน่อย ชิมอาหารชั้นเลิศเล็กน้อย จู่ๆ จูโยวเหม่ยก็กล่าวกลับอวิ๋นจือชิวด้วยรอยยิ้มว่า  พี่สาว ทิวทัศน์ในสวนดูโบราณเรียบง่ายแต่น่าสนใจ ข้าชอบมากเลย พี่สาวพาข้าไปดูหน่อยได้ไหม? 

อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นด้วยความยินดี หัวเราะคิกคักแล้วบอกว่า  ได้สิ!  แล้วหันกลับมาบอกเหมียวอี้กับเถิงเฟยว่า  ท่านอ๋องทั้งสอง พวกเราจะไปเดินเล่นกันสักหน่อย พวกท่านไม่ว่าอะไรใช่ไหม? 

เถิงเฟยหัวเราะเสียงดัง  แขกตามใจเจ้าบ้าน! 

ส่วนเหมียวอี้ก็กล่าวเสียงต่ำว่า  ถ้าดูแลอนุภรรยาคนโปรดของท่านอ๋องเถิงไม่ดี ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่! 

 มีหรือจะกล้า น้องสาว พวกเราไปกันเถอะ!  อวิ๋นจือชิวยิ้มพลางจูงมือจูโยวเหม่ย แล้วทั้งสองก็พูดคุยยิ้มแย้มเดินออกไป

เมื่อผู้หญิงทั้งสองจูงมือกันเดินข้ามสะพานไปก็หมดบทบาทแล้ว ที่เหลือก็เป็นเรื่องของผู้ชายแล้ว

เมื่อผู้หญิงหายไปสองคน บรรยากาศผ่อนคลายสนุกสนานในห้องนั้นก็หายไปทันที หลังจากเหมียวอี้ชูจอกสุราดื่มคำนับ ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า  ทางฝั่งเฉิงไท่เจ๋อ เกรงว่าท่านอ๋องคงต้องระวังไว้หน่อย 

เถิงเฟยขยับหัวคิ้วเล็กน้อย วางจอกสุราลงและถามว่า  หมายความว่ายังไง? 

เหมียวอี้บอกว่า  ท่านอ๋องรู้อยู่แก่ใจแล้วยังจะถามทำไม เฉิงไท่เจ๋อไม่รู้เจตจำนงของท่านอ๋องน หรือว่าท่านอ๋องไม่รู้เจตจำนงของเฉิงไท่เจ๋อ? ไม่ปิดบังท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้เฉิงไท่เจ๋อส่งคนมาติดต่อกับข้านานแล้ว ตอนหลังพอได้รู้เจตนาของท่านอ๋อง ข้าก็ลำบากใจจริงๆ! ถ้ายืนอยู่ในมุมของโค่วหลิงซวี ก่วงลิ่งกง พวกเราย่อมอยากจะให้ทัพตะวันออกรวมเป็นหนึ่งเดียวอยู่แล้ว ทุกคนจะได้กำหมัดต่อต้านกับท่านนั้นที่วังสวรรค์ได้สะดวก ถ้ามีนิ้วเพิ่มขึ้นมาหนึ่งนิ้ว หมัดนี้ก็กำไม่สบายมือแล้ว ดีไม่ดีอาจจะถูกคนอื่นหักนิ้วออก 

เถิงเฟยพยักหน้า  ท่านอ๋องพูดถูก! 

เหมียวอี้ถอนหายใจ  แต่สำหรับพวกเราสามคน ไม่ว่าจะสนับสนุนเฉิงไท่เจ๋อหรือสนับสนุนท่านอ๋องเถิง ก็เหมือนจะไม่มีอะไรต่างกัน! ตัดสินใจยากจริงๆ 

 ฝั่งโค่วหลิงซวีกับก่วงลิ่งกง ท่านอ๋องไม่ต้องคิดมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะคิดยังไงนะสิ?  เถิงเฟยถาม

เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ  ข้ายังต้องปรึกษากับตระกูลเซี่ยโห้วอีกสักหน่อย 

จู่ๆ ก็มีตระกูลเซี่ยโห้วโผล่มา เถิงเฟยเลิกคิ้วเล็กน้อย มองออกแล้วว่าอีกฝ่ายพูดจาแฝงความนัย ความหมายที่แฝงในคำพูดก็คือ พวกเจ้าสองคนจะเทียบกับข้าได้เหรอ? ข้าสามารถดึงตระกูลเซี่ยโห้วมาสนับสนุนได้ ถ้ามีการสนับสนุนจากข้าเจ้าก็มีโอกาสชนะมากกว่า!

 ในเมื่อท่านอ๋องเชิญข้ามาชิมสุราชั้นดี คาดว่าคงตัดสินใจแล้ว มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ได้เลย ขอเพียงไม่ใช่เงื่อนไขที่โหดร้ายเกินไป ก็ล้วนเจรจาได้!  เถิงเฟยยกจอกสุราคำนับ พูดเปิดอกตรงๆ เสียเลย

หลังจากเหมียวอี้ดื่มคำนับกลับ ก็บอกว่า  เรื่องที่เฟยหงอนุภรรยาของข้าเป็นสายลับของหน่วยตรวจการซ้าย เป็นความจรง! ที่ประมุขชิงออกคำสั่งลับให้เฟยหงนำพาองครักษ์เงามาลอยสังหารข้า ก็เป็นความจริงๆ! 

เถิงเฟยไม่รู้ว่าจู่ๆ เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้หมายความว่าอะไร เพียงทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า  ราชันสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐาน แต่ทำเรื่องน่าอับอายมานับไม่ถ้วน! 

เหมียวอี้หรี่ตา  ข้าฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ หลังจากออกมารอบนี้ คิดจะกลับไปฝึกตนอย่างสงบอีกครั้ง แต่กลับบังเอิญพบว่าในแดนมรณะดึกดำบรรพ์มีกองทัพองครักษ์สิบล้านดักซุ่มอยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าค้นพบทันเวลา เกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้มาร่ำสุราพูดคุยกับท่านอ๋องอีกแล้ว! 

…………………

 

 ใช่แล้ว! 

 ไม่ผิดหรอก! 

 ถ้าใครไม่พอใจ แสดงว่าเป็นศัตรูกับข้าหู่เสี้ยว! 

กลุ่มวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ตรงนี้ฮึกเหิม พากันแสดงท่าทีกระตือรือร้นอย่างนั้น ฉากนี้ทำให้เฮยทั่นเห็นแล้วพอใจมาก

เดิมทีแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาอยู่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ยามเจอวิญญาณชั่วร้ายก็จะฆ่าทันที ตอนหลังไปอยู่กับเหมียวอี้ระยะหนึ่ง ถึงได้พบว่าอย่างเหมียวอี้ต่างหากที่เรียกว่ามีสง่าราศี เดินไปทางไหนล้วนมีเสียงเคารพดังเป็นแถบ ดังนั้นหลังจากตามเหมียวอี้กลับมาฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ เขาก็เปลี่ยนกลยุทธ์แล้วเช่นกัน ผลก็คือเปลี่ยนเป็นมีสง่าราศีมาก นอกจากจะไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว นึกว่าไปที่ไหนก็ล้วนมีคนเรียกอย่างสุภาพว่าคุณชายเฮยแล้วจริงๆ ถูกประจบสอพลอจนรู้สึกผ่อนคลาย

 ดี!  เฮยทั่นตบฝ่ามือบนโต๊ะ ตรงนั้นเงียบสงบลงทันที เขาคว้าไข่มุกวิญญาณขึ้นมาอีกกำ พิงบนเก้าอี้อย่างไม่เรียบร้อย ถือโอกาสโยนไข่มุกวิญญาณเม็ดหนึ่งขึ้นมาด้านบน เงยหน้าอ้าปากกว้างรับไว้ แล้วถึงได้กล่าวเสียงดังว่า  ทุกคนฟังข้าให้ดี ช่วงนี้อาจจะมีคนที่ขัดหูขัดตาข้าปะปนเข้ามาแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แจ้งทุกคนให้เข้าประจำที่ ตรวจสอบให้ข้า โดยเฉพาะบริเวณทางออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ตรวจสอบให้ข้าอย่างเข้มงวด ถ้าพบสถานการณ์อะไรก็รายงานข้าทันที ถ้ากล้าปิดบัง…  ปั้ง ของที่อยู่บนโต๊ะเด้งขึ้นมา ไข่มุกวิญญาณเม็ดหนึ่งกรอกเข้าปากเขา แล้วส่งสายตาที่ทุกคนล้วนเข้าใจให้

 คุณชายเฮยวางใจ จะตรวจสอบอย่างละเอียดแน่นอน… 

เบื้องล่างส่งเสียงรับประกันดังต่อเนื่องเป็นระลอกทันที

หลังจากนั้นหลายเดือน มังกรดำตัวหนึ่งก็บินร่อนเข้ามา แปลงร่างเป็นคนแล้วเหยียบลงบนภูเขาแห่งหนึ่ง ชายรูปร่างผอมคนหนึ่งกล่าวอย่างเคารพนอบน้อมว่า  คุณชายเฮย! 

เฮยทั่นเหลียวซ้ายแลขวาครู่หนึ่ง แล้วถามว่า  แน่ใจนะว่ามีคนจริงๆ? ซ่อนอยู่ที่ไหน? พาข้าไปดูหน่อย 

ชายร่างผอมรีบกุมหมัดคารวะขวางไว้  คุณชายเฮย ไปข้างหน้าต่ออีกไม่ได้แล้ว ในรัศมีของทางเข้าหลายสิบลี้ล้วนมีคน ส่วนใหญ่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน นับไม่หมดว่ามีอยู่กี่คน ทั้งยังวางสายลับไว้ทั่วทุกที่ หากท่านเข้าใกล้เกินไปจะถูกพบได้ง่าย ลูกน้องของผู้น้อยถูกสังหารไปมากมายแล้ว! 

เฮยทั่นตกใจอยู่บ้าง ภายในรัศมีหลายสิบลี้ล้วนมีคน แบบนี้ต้องมีคนจำนวนมากเท่าไหร่กัน? ถึงแม้เขาจะสู้รบเก่ง แต่ก็ไม่ใช่คนที่อ่านสถานการณ์ไม่ออก เขาไม่กล้าเอาชีวิตไปทิ้ง จึงดับความคิดที่จะบุกเข้าไปทันที แล้วถามว่า  เจ้าแน่ใจนะว่าใต้ดินมีคนซ่อนอยู่จำนวนมาก? 

ชายร่างผอมสูงตอบว่า  ปราณชั่วร้ายที่มีสติปัญญาสามารถตอบสนองกับร่างกายที่มีเลือดเนื้อได้ ปราณชั่วร้ายบริเวณทางเข้าไม่ปกติ มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้คุณชายเฮยก็เตือนว่าให้เน้นตรวจสอบบริเวณนั้น ข้าส่งคนไปตรวจสอบแล้วไม่น้อย พวกเขาถูกสังหารหมดเลย ตอนหลังให้คนกลายเป็นปราณชั่วร้ายเข้าไปตรวจสอบ ถึงได้แอบปะปนเข้าไปได้ ตอนที่ปะปนลงไปตรวจสอบใต้ดินพร้อมปราณชั่วร้ายอื่นๆ ก็พบว่าใต้ดินมีคนอยู่เยอะมาก ทั้งหมดล้วนสวมเกราะรบของตำหนักสวรรค์ ในมือทุกคนล้วนมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ทุกคนเหมือนพร้อมลงมือตลอดเวลา น่าตกใจมาก พวกเขาแบ่งกลุ่มกันหลบอยู่ในค่ายกลป้องกันใต้ดิน อาศัยพลังงานของค่ายกลป้องกันเพื่อต่อต้านการกัดกร่อนของปราณชั่วร้าย…  เขาเล่ารายละเอียดที่ตัวเองรู้ให้ฟัง

ทั้งหมดล้วนสวมเกราะรบของตำหนักสวรรค์ ทั้งยังมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ทุกคน เฮยทั่นตกใจอีกครั้ง นี่คือกองทัพองครักษ์ของตำหนักสวรรค์ชัดๆ เขายิ่งไม่กล้าไปเสี่ยงอันตรายแล้ว

สถานการณ์นี้สำคัญมาก เฮยทั่นไม่กล้าลังเล รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ทันที

ในห้องหนังสือของจวนท่านอ๋อง พวกหยางชิ่งมารออยู่ก่อนแล้วครู่หนึ่ง ถึงได้เห็นเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมาด้วยกัน

อวิ๋นจือชิวชำเลืองมองหยางชิ่ง ไม่ได้ที่จะหรี่ตายิ้มถามว่า  เตรียมตัวจะจัดงานมงคลเมื่อไหร่ล่ะ? ข้ากับท่านอ๋องเพิ่งคุยกันเรื่องนี้ อยากจะถามว่าเจ้าจะจัดยังไง 

ความเคลื่อนไหวในจวนท่านอ๋องปิดบังตาอวิ๋นจือชิวไม่พ้น ถึงอย่างไรเสียงตบหน้าก็ดังถึงขนาดนั้น จะไม่ให้คนสังเกตเห็นก็คงยาก มีคนไม่น้อยเห็นแล้ว ตอนนั้นซูอวิ้นถูกหยางชิ่งอุ้มเข้าไปในบ้าน จากนั้นหยางชิ่งก็อยู่ในบ้านหนึ่งวันหนึ่งคืนโดยไม่ออกมา ยิ่งไปกว่านั้นช่วงนี้หยางชิ่งก็ไปนอนค้างกับซูอวิ้นแทบทุกคืน แต่ก็ไม่เห็นซูอวิ้นจะไล่เขาออกมา ถ้ายังไม่เข้าใจเรื่องราวก็แสดงว่าโง่แล้ว

พวกเหมียวอี้ทำสีหน้าหยอกล้อเล็กน้อย นับว่ายอมเจ้าหมอนี่แล้วจริงๆ ผู้หญิงที่จะเป็นจะตายเพราะฮ่าวเต๋อฟางจนกลายเป็นเรื่องงดงามที่ถูกกล่าวขาน ไม่น่าเชื่อว่าจะยอมหยางชิ่งแล้วจริงๆ ถูกหยางชิ่งสยบแล้วจริงๆ แต่คนที่รู้สถานการณ์เบื้องลึกต่างก็รู้ เมื่อไหร่ปีใหม่นี้ซูอวิ้นถูกหยางชิ่งรังแกจนยับเยิน คาดว่าตอนที่ฮ่าวเต๋อฟางยังมีชีวิตอยู่ ซูอวิ้นคงไม่เคยได้รับความอยุติธรรมอย่างนี้มาก่อน

หยางชิ่งยังคงสวมใส่หน้ากากบนใบหน้า ทุกคนต่างก็รู้สาเหตุที่ไม่ได้ถอดหน้ากากออก ไม่ใช่เพื่อซูอวิ้นอะไรหรอก แต่เป็นเพราะหยางชิ่งอยู่ในรายชื่อทหารที่รบตายของตำหนักสวรรค์แล้ว จะให้คนตายแล้วฟื้นคืนชีพกลับมาก็ใช่เรื่อง? ตอนที่ยังไม่ได้แตกคอกับตำหนักสวรรค์ เป็นไปไม่ได้ที่จะเปิดเผยหน้าโดยไม่ปลอมตัว ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางชี้แจงกลับตำหนักสวรรค์ได้

พอถูกถามอย่างนี้ หยางชิ่งก็ยิ้มเจื่อน  ข้าเองก็อยากจะแต่งงานรับนางเข้าบ้าน แต่นางไม่ยอมแต่งงานด้วย 

หยางเจาชิงแปลกใจ  ทำไมไม่ยอมแต่งงาน? ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าได้…  คำพูดที่เหลือไม่ต้องออกมา

หยางชิ่งถอนหายใจ  เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น นางยังคงแน่วแน่กับเวลาสามแสนปี บอกว่าเมื่อถึงตอนนั้นถ้ายังอยากแต่งงานกับนาง นางก็จะแต่งให้ ตอนนี้นางไม่มีทางแต่งงานกับใคร 

เรื่องนี้แม้แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าซูอวิ้นคิดอย่างไรกันแน่ ถามแล้วก็ไม่ยอมตอบ ซูอวิ้นไม่ยอมอยู่กับเขาด้วย หยางชิ่งอยากจะย้ายเข้าไป แต่ซูอวิ้นไม่อนุญาต จะให้นางย้ายเข้ามา นางก็ไม่ยอมเช่นกัน ปฏิเสธที่จะร่วมใช้ชีวิตกับหยางชิ่งตั้งแต่เช้ายันค่ำ ที่จริงซูอวิ้นก็ไม่ยอมให้หยางชิ่งไปหานางอีก แล้วไม่ยอมให้หยางชิ่งไปค้างกับนางเช่นกัน แต่หยางชิ่งดึงดันที่จะไป สุดท้ายซูอวิ้นก็ยอมรับโดยนัยแล้ว ถึงอย่างไรก็กลายเป็นอย่างนั้นไปแล้ว

สถานการณ์ในตอนนี้ก็คือ ทุกครั้งที่หยางชิ่งไปหาซูอวิ้น เหมือนไปเพราะเรื่องระหว่างชายหญิงเท่านั้น สรุปก็คือนางถามแค่ว่าเจ้ามีธุระอะไร ถ้าเจ้าบอกว่ามีธุระก็คุยธุระ อยากจะทำอะไรก็ตามใจเจ้า ถ้าไม่มีธุระก็เชิญให้กลับทันที ไม่อย่างนั้นถ้าเจ้าไม่ไปข้าก็จะไปเอง

เรื่องนี้เขายากจะเอ่ยปากกับคนอื่นได้ ทำเอาเขารู้สึกกลุ้มใจแปลกๆ ไม่เข้าใจจริงๆว่าซูอวิ้นคิดอย่างไรกันแน่

ที่จริงถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ทั้งสองคนนอกจากความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ซูอวิ้นไม่แม้แต่จะเปลี่ยนคำเรียกของเขาด้วยซ้ำ หยางชิ่งดันทุรังคิดหาคำตอบแต่ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร

เพียงแต่หยางชิ่งพอจะตระหนักได้แล้วว่า ระหว่างทั้งสองเหมือนยังมี ‘ฮ่าวเต๋อฟาง’ กั้นอยู่ สิ่งนี้ทำให้ในใจหยางชิ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้ ต่อให้ตัวเองจะเจ้าเล่ห์มากกลอุบาย ได้ร่างกายของนางมาแล้ว แต่กลับไม่ได้หัวใจนาง

พอหลายคนที่อยู่ตรงนี้ได้ฟัง ก็พอจะรู้สึกได้เช่นกันว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับ ‘ฮ่าวเต๋อฟาง’

อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะมองเหมียวอี้ เหมียวอี้ลังเลนิดหน่อย เดิมทีสองสามีภรรยาเคยปรึกษากันแล้ว ถ้าซูอวิ้นอยู่กับหยางชิ่งจริงๆ ในภายหลังเมื่อมีการประชุมแบบนี้ก็สามารถเรียกซูอวิ้นมาด้วยได้ อย่างไรเสียเรื่องบางเรื่องถ้ามีหลายหัวช่วยกันคิดก็จะดีกว่า แต่ดูจากสถานการณ์ของซูอวิ้นแล้ว ใครจะกล้ารับประกันว่าซูอวิ้นจะไม่มีความคิดที่จะล้างแค้นให้ฮ่าวเต๋อฟางเลยสักนิด ความลับบางอย่างรักษาไว้ก่อนจะดีกว่า เหมียวอี้จำเป็นต้องล้มเลิกความคิดนี้เอาไว้ชั่วคราว

 พอแล้ว คุยเรื่องสำคัญกันเถอะ  เหมียวอี้ปัดเรื่องนี้เอาไว้ก่อน แล้วเล่าสถานการณ์ที่เฮยทั่นรายงานเข้ามาให้ฟัง

พอยืนยันได้แล้วว่าประมุขชิงส่งกำลังพลกลุ่มใหญ่เข้ามาดักซุ่มในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เพื่อจะทำร้ายเหมียวอี้ หยางชิ่งก็แอบสูดหายใจอย่างตกตะลึง ส่ายหน้าบอกว่า  เซี่ยโห้วท่าเป็นเฒ่าสารพัดพิษ ข้าเทียบไม่ติด ครั้งนั้นที่จับเขามา เขาอยู่ในที่แจ้ง พวกเราอยู่ในที่ลับ ได้เปรียบเต็มที่จริงๆ และเขาก็โชคไม่ดีด้วย ไม่อย่างนั้นเกรงว่าพวกเราคงทำสำเร็จได้ยาก! 

ก่อนที่จะยืนยันได้จริงๆ แม้หยางชิ่งจะยอมรับว่าสิ่งที่เซี่ยโห้วท่าบอกมีเหตุผล แต่ในใจก็ยังมีความหวาดระแวงอยู่บ้าง ที่สำคัญก็คือเซี่ยโห้วท่าถูกคุมขังมาหลายปีขนาดนี้ ไม่รู้สถานการณ์ข้างนอกเลยสักนิด ไม่น่าเชื่อว่าจะคาดการณ์ได้ว่าเหมียวอี้จะมีภัยที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ถึงขั้นเดาออกว่าประมุขชิงจะส่งหน่วยองครักษ์ซ้ายมาปฏิบัติการ เดาออกว่าส่งกำลังพลมาเท่าไหร่ แบบนี้ลึกซ้ำเกินไปหน่อยแล้วกระมัง ตอนนี้จำเป็นต้องยอมแพ้แล้ว เพิ่งจะรู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วผงาดขึ้นมาในมือเซี่ยโห้วท่าไม่ใช่เรื่องแปลก

อวิ๋นจือชิวปลอบใจว่า  ท่านบุรุษไม่จำเป็นต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เซี่ยโห้วท่าก็แค่รู้จักพวกประมุขชิงดีกว่า ในสถานการณ์เดียวกันนี้ ถ้าท่านบุรุษรู้จักประมุขชิงดีเหมือนกัน ข้าว่าท่านบุรุษก็อาจสู้เขาได้! 

 ไม่ต้องพูดจาตามมารยาทแล้ว  เหมียวอี้ยกมือห้าม แล้วกล่าวด้วยดวงตาที่ฉายแววเยียบเย็นดุร้าย  ก่อนหน้านี้ข้าเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้วไม่เป็นอะไร กำลังพลที่ดักซุ่มจะต้องเข้าไปช่วงที่ข้าออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์มาแน่นอน เจาชิว เจ้าไปตรวจสอบอีกสักหน่อย สืบดูว่าตอนที่ข้าออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ครั้งนี้ การจัดกระบวนทัพมีสถานการณ์เป็นอย่างไร ดูว่าใครมีโอกาสเล่นตุกติกแบบนี้มากที่สุด คนคนนี้น่าจะไม่ได้อยู่ในระดับต่ำ อาจจะยศไม่ต่ำ เบื้องล่างล้วนมีเพื่อร่วมงานดูอยู่ ไม่มีโอกาสเล่นตุกติกอะไรซี้ซั้ว จะต้องเป็นคนในทัพที่ไม่มีโอกาสหันกลับมามอง ถึงได้ทำสำเร็จภายใต้หนังตาคนจำนวนมากขนาดนี้ได้! 

พอการคาดคะเนสถานการณ์ของเซี่ยโห้วท่าได้รับการยืนยันแล้ว แค่ลองคิดเรื่องนี้เขาก็ยังนึกกลัวทีหลัง ถ้าไม่ใช่เพราะเซี่ยโห้วท่าเอ่ยเตือนได้ทันเวลา ถ้าเขาพุ่งเข้าไปอย่างนี้จริงๆ แล้วมีกองทัพองครักษ์สิบล้านรอเขาอยู่ ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากคิดถึง ดีไม่ดีจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่นแล้ว

ในใจเขาก็รู้ชัดเช่นกัน พอลองคิดดูแบบนี้ ถ้าจะบอกว่าเซี่ยโห้วท่าเจตนาดีช่วยเขาจริงๆ นั่นก็ไม่แน่ ถ้ามีเจตนาดีอย่างนั้นจริง ก็ควรจะเตือนตั้งนานแล้ว ที่ก่อนหน้านี้ไม่เตือนก็เพราะอยากจะนั่งดูเหมียวอี้โดนโค่นล้ม ตอนหลังเตือนก็เพราะว่าอายุไขมาถึงแล้ว น่าจะยังมีสาเหตุอื่นอีก เลยไม่สู้ซื้อน้ำใจสักครั้งดีกว่า ช่างเป็นจิ้งจอกเฒ่าที่เจ้าเล่ห์อย่างแท้จริง!

หยางชิ่งพยักหน้าเบาๆ ยอมรับสิ่งที่เหมียวอี้บอกเช่นกัน คนที่เงื่อนไขน้อยยศต่ำไม่มีโอกาสเล่นตุกติกอย่างนี้แน่นอน

 ขอรับ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับ  จะไปเตรียมตรวจสอบเดี๋ยวนี้ 

เหมียวอี้จ้องไปที่หยางชิ่งอีก  เรื่องที่ตระกูลเซี่ยโห้วแทรกซึมจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ไม่มีอะไรใหม่ๆ คืบหน้าเลยเหรอ? 

ตอนนี้เรื่องที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลหลักๆ แล้วส่งให้หยางชิ่งติดตาม อวิ๋นจือชิวกับหยางเจาชิงล้วนเคยถามแล้ว แต่รายละเอียดอยู่กับหยางชิ่ง เขารู้รายละเอียดฝั่งจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลชัดเจนที่สุด

หยางชิ่งรายงานว่า  ตระกูลเซี่ยโห้วอยากจะแทรกซึมควบคุมทั้งหมดเป็นไปไม่ได้ แต่ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ถ้าต้องการให้ตระกูลเซี่ยโห้วออกแรงสนับสนุนจริงๆ ประมุขชิงคิดจะบัญชาการทัพใหญ่แดนรัตติกาลได้ราบรื่นอีกก็เป็นไปไม่ได้ ถึงยังไงก็หลุดออกจากกองทัพองครักษ์มานานขนาดนั้นแล้ว ตำแหน่งว่างของทัพใหญ่แดนรัตติกาลมีจำกัด คนจำนวนมากที่มีพื้นที่ให้เติบโตกำลังแอบไม่พอใจ มิหนำซ้ำแดนรัตติกาลก็ไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไร ถ้ามีสาเหตุจากภายนอกอีก อย่างเช่นท่านอ๋องแบ่งดินแดนให้เป็นผลประโยชน์จำนวนมหาศาล ถึงตอนนั้นเมื่อชิงหยวนจุนเอ่ยปาก ในทัพใหญ่แดนรัตติกาลคงจะมีคนเชื่อฟังประมุขชิงอยู่ไม่เยอะแล้ว ความฝันในตอนแรกของพวกเราสามารถเป็นจริงได้! 

เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบนิ่งว่า  ในเมื่อทำให้เป็นจริงได้ เช่นนั้นพวกเราก็เริ่มปฏิบัติการเลยแล้วกัน 

เมื่อเขากล่าวแบบนี้ ทุกคนก็พากันตกใจ หยางชิ่งรีบบอกว่า  ท่านอ๋อง ตอนนี้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนไม่ใช่เหรอ? 

ปั้ง! เหมียวอี้ตบโต๊ะยืนขึ้น คนที่เหลือตกใจ เห็นเพียงในดวงตาเขาฉายแววขุ่นเคืองพร้อมกล่าวเสียงเย็น  ประมุขชิงต้องการจะทำร้ายข้าสองสามครั้งแล้ว เพราะมั่นใจว่าข้าไม่กล้าแตกคอกับเขา เรื่องขององครักษ์เงาครั้งก่อนข้าก็อดทนไว้แล้ว ครั้งนี้ก็มาอีก ครั้งหน้ายังไม่รู้เลยว่าเขาจะเล่นงานยังไง ทำมาไม่ทำกลับก็เสียมารยาท ครั้งนี้ข้าจะเล่นเป็นเพื่อนเขาให้ถึงที่สุด! 

แผนการสังหารของประมุขชิงครั้งนี้ทำให้เขาตกใจมากจริงๆ วิธีการร้ายกาจขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เขาโมโหแล้วจริงๆ!

…………

 

เหมียวอี้ที่แนบหูอยู่ข้างปากก็นิ่งค้างไปเช่นกัน รู้สึกได้ว่าพลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มสุดท้ายที่ประคับประคองอยู่ในร่างกายของเซี่ยโห้วท่าได้หายไปเหมือนสายน้ำแล้ว ผ้าห่มที่มือสัมผัสทรุดลงไป สายตาค่อยๆ มองไปบนมือของเซี่ยโห้วท่าที่ตัวเองกุมอยู่ มือทรุดสลายกลายเป็นฝุ่นผงตบอบอวล มือหายไปแล้ว

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ กระแสลมที่ตีกวนเล็กน้อยพัดเซี่ยโห้วท่าที่นอนนิ่งลอยเป็นเถ้าถ่านปลิวไป เถ้าถ่านที่ปลิวสลายไปทำให้เซี่ยโห้วท่าไม่เหลือสภาพมนุษย์ ราวกับเป็นรูปสลักจากผงแป้งที่อ่อนแอจนทนแรงลมไม่ไหว

เหมียวอี้พลิกมือนำแหวนเก็บสมบัติออกมาวงหนึ่ง แล้วโบกแขนเสื้อร่ายอิทธิฤทธิ์ม้วนไว้ ขี้เถ้าที่ปลิวสลายเหมือนควันหมุนวนเป็นรูปเสา ม้วนเข้ามาอยู่ในแหวนเก็บสมบัติแล้ว

 เฮ้อ!  ขณะมองแหวนเก็บสมบัติในมือ เหมียวอี้ก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วดีดแหวนไปให้เหยียนซิวจัดการ

พอหันตัวมาอีกครั้ง ก็เห็นอวิ๋นจือชิวยืนเงียบอยู่ข้างหลัง เขาถอนหายใจแล้วบอกอีกว่า  ชีวิตนี้ของเซี่ยโห้วท่าเห็นความผันผวนเปลี่ยนแปลงมาเต็มที่ หลังจากตายแล้วก็เท่านี้เอง! 

มองออกเลยว่าเหมียวอี้อารมณ์หดหู่ อวิ๋นจือชิวก้าวขึ้นมากุมมือเขา แล้วถามว่า  สุดท้ายเขาพูดว่าอะไร? 

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า  พูดจาคลุมเครือ เหมือนจะบอกว่าเกาก้วน 

 เกาก้วน?  อวิ๋นจือชิวสงสัย  ทูตตรวจการขวาเกาก้วนของตำหนักสวรรค์เหรอ? 

 เกาก้วนที่เอ่ยออกมาจากปากเขาได้ น่าจะไม่มีคนอื่นแล้วมั้ง?  เหมียวอี้ถาม

 เขาเอ่ยถึงเกาก้วนหมายความว่ายังไง?  อวิ๋นจือชิวถาม

หมายความว่าอย่างไรเหรอ? เหมียวอี้หันกลับไปมองเตียงหินที่ว่างเปล่า เขาเองก็อยากรู้ว่าจู่ๆ เซี่ยโห้วท่าเอ่ยถึงเกาก้วนหมายความว่าอะไร ทว่าอดไม่ได้ที่จะนึกเชื่อมโยง ตรงนี้กำลังพูดถึงประมุขไป๋ เซี่ยโห้วท่าคงจะไม่เอ่ยถึงเกาก้วนโดยไม่มีปีไม่มีขลุ่ย มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเอ่ยถึงความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างเกาก้วนและประมุขไป๋ อย่าบอกนะว่าสายลับที่อยู่ทางตำหนักสวรรค์ก็คือเกาก้วน? เซี่ยโห้วท่าไม่ทันได้พูดอะให้ชัดเจน จู่ๆ ก็เอ่ยชื่อเกาก้วนออกมาอย่างไม่ค่อยชัดเจน เหมียวอี้ทำได้เพียงนึกเชื่อมโยงไปทางด้านนั้น แต่กลับไม่อาจแน่ใจ ถ้าไม่ใช่ความหมายนี้ขึ้นมาแล้วตัวเองไปหาเกาก้วน ดีไม่ดีอาจจะเป็นการแสดงความโง่ก็ได้

เกาก้วนจะเป็นสายลับคนนั้นหรือเปล่า? เหมียวอี้ครุ่นคิดขณะเดินช้าๆ ออกมาจากห้องสมาธิ ในหัวกำลังจัดระเบียบความคิดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเกาก้วน

อวิ๋นจือชิวที่เดินตามอยู่ข้างกายไม่ได้รบกวนเขา นางกำลังสังเกตสีหน้าด้านข้างของเขาที่กำลังทำสีหน้าจริงจัง ในใจแอบทอดถอนใจ เด็กหนุ่มซื่อบื้อที่วัดเมี่ยวฝ่า บริกรต่ำต้อยที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุ มองไม่เห็นฉากที่มีใบหน้ายิ้มทะเล้นหรือยามคำรามอย่างเลือดร้อนจากตัวเขาอีกแล้ ความสุขที่เรียบง่ายบางอย่างห่างจากตัวเขาไปไกลแล้ว แทนที่ด้วยอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว

พูดจากใจจริง นางไม่ชอบอ๋องสวรรค์หนิวที่พอขยับคิ้วและดวงตานิดเดียวก็ทำให้คนตกใจได้ นางชอบเด็กหนุ่มซื่อบื้อที่มีใบหน้ายิ้มทะเล้นคนนั้นมากกว่า…

หลังจากนั้นหลายวัน ในห้องหนังสือ หลังจากเหมียวอี้นั่งลงหลังโต๊ะยาว อวิ๋นจือชิวก็นำน้ำชามาวางตรงหน้าเขา ดวงตางามกวาดมองหยางชิ่ง แล้วเอ่ยว่า  คนฝั่งหน่วยองครักษ์ซ้ายส่งข่าวมาแล้ว พวกเขารู้จักคนทางหน่วยองครักษ์ซ้าย มีคนจำนวนหนึ่งหายตัวไปหลายพันปีจริงๆ ส่วนรายละเอียดพวกเขาไม่รู้ชัดเจน กองทัพองครักษ์ไม่อนุญาตให้สืบภารกิจระหว่างกัน ถ้ารวมจำนวนคนของแต่ละหน่วยที่พวกเขารู้จัก ก็มีประมาณสองสามแสนคน ทั้งหมดล้วนเป็นทหารเกรียงไกร จำนวนโดยละเอียดไม่ได้มีเท่านี้แน่ 

เหมียวอี้ยกน้ำชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง วางถ้วยน้ำชาลงแล้วบอกว่า  ตระกูลเซี่ยโห้วส่งข่าวมาแล้ว ซีเหมินอู๋เหย่ ผู้ช่วยของโพ่จวินก็ไม่โผล่หน้ามาหลายพันปีแล้วเช่นกัน เบื้องล่างยังมีแม่ทัพบางส่วนที่เป็นแบบนี้ เวลาสอดคล้องกับคนที่ขาดการติดต่อกับพวกเราไป คนที่หายไปในเวลานั้นล้วนเป็นคนของหน่วยองครักษ์ซ้าย หน่วยองครักษ์ขวาไม่มีสถานการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น 

หยางชิ่งกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า  ดูท่าแล้วเซี่ยโห้วท่าคงจะพูดถูกจริงๆ เพียงแต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ท่านอ๋องเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์หลายครั้งแต่ไม่เป็นอะไร ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาหาโอกาสลงมือไม่ได้หรือว่ายังไง หรือว่าพวกเราเดาผิด 

 ไม่ว่าจะยังไง ในเมื่อคาดคะเนอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้แล้ว ตอนนี้จะให้ท่านอ๋องไปเสี่ยงอันตรายอีกไม่ได้ สืบเรื่องนี้ให้กระจ่างก่อนแล้วค่อยว่ากัน  หยางเจาชิงกล่าว

 เรื่องนี้ไม่ยาก เฮยทั่นอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์พอจะมีอำนาจอยู่บ้าง พวกวิญญาณชั่วร้ายที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ถูกเฮยทั่นโจมตีจนกลัวแล้ว ไม่มีใครกล้าไม่ไว้หน้าเฮยทั่น เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจะให้เฮยทั่นสั่งวิญญาณชั่วร้ายให้สำรวจแดนมรณะดึกดำบรรพ์ดีๆ สักรอบ สิ่งที่ข้าคิดตอนนี้ก็คือ ไม่ว่าคนของประมุขชิงจะแทรกซึมเข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์หรือไม่ ถ้าเขาวางแผนจะทำอย่างนี้จริงๆ แล้วพวกเราจะรับมือยังไง จะต้องเริ่มฉีกหน้ากันจริงๆ แล้วเหรอ?  เหมียวอี้ถาม

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ…

พอออกจากเรือนชั้นในของจวนท่านอ๋องไป หยางชิ่งที่กำลังครุ่นคิดก็เดินช้าๆ เข้ามาใกล้เรือนพักของตัวเอง ตอนที่เพิ่งเลี้ยวผ่านประตูไปได้ไม่นาน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงพูดหยามเหยียด  วันๆ ในท้องมีแต่ความคิดเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายขายขี้หน้า 

หยางชิ่งเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา ช่างบังเอิญจริงๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นซูอวิ้นที่เพิ่งเดินออกจากเรือนมาพอดี

ด้านข้างก็คือเรือนพักของซูอวิ้น ที่จริงบริเวณนี้ล้วนเป็นที่พักของลูกน้องหรือไม่ก็ผู้ช่วยในจวนท่านอ๋อง หยางชิ่งก็พักอยู่บริเวณนี้เช่นกัน อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลมาก

 ข้าจะเอาความคิดเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายขายขี้หน้ามาจากไหน?  หยางชิ่งเดินเข้ามาใกล้แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ซูอวิ้นจ้องใบหน้าของเขาพลางแสยะยิ้ม  เจ้ามีหน้าไปเจอคนอื่นหรือเปล่าล่ะ? 

 อยากจะถอดก็ถอด ข้าไม่หลบหรอก ถึงยังไงต่อให้เจ้าจะถอดหรือไม่ถอดก็เป็นอย่างนี้อยู่ดี  หยางชิ่งกล่าวกลั้วหัวเราะ

พอซูอวิ้นได้ฟัง ก็แค้นจนกัดฟันกรอด ชั่วขณะนั้นข่มไฟโกรธไม่ได้ ลงมือกะทันกัน ฉีกหน้ากากบนใบหน้าหยางชิ่งออกมา

หยางชิ่งอึ้งทันที นึกไม่ถึงนิดหน่อย

พอฉีกหน้ากากติดมือมา ซูอวิ้นก็อึ้งเช่นเดียวกัน นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะทำอย่างนี้ลงไป เป็นเพราะหลายปีมานี้ถูกหยางชิ่งรังแกจนขื่นขมแล้วจริงๆ ควบคุมไฟโกรธไม่ไหว ดวงตางามอดไม่ได้ที่จะจ้องใบหน้าซูบผอมและจอนของข้างที่แซมด้วยผมขาวของหยางชิ่ง รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ก็เหมือนไม่เคยเห็น ดวงตาทั้งคู่ของอีกฝ่ายเผยความลึกล้ำ

หยางชิ่งยื่นมือไปหยิบหน้ากากกลับมา ซูอวิ้นก็รีบยื่นคืนให้เช่นกัน

ใครจะคิดว่าความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นตอนนี้ หยางชิ่งคว้ามือที่กำลังถือหน้ากาก แล้วจู่ๆ ก็ถือโอกาสดึงข้อมือซูอวิ้นเข้ามา ซูอวิ้นไม่ได้เตรียมใจเลยแม้แต่น้อย นางทำอะไรไม่ถูก ชนกระแทกเข้ามาในอ้อมอกของหยางชิ่โดยตรง ถูกหยางชิ่งกอดไว้ในอ้อมอกแล้ว ริมฝีปากที่หนาและอบอุ่นประทับลงบนริมฝีปากนางโดยตรง

ซูอวิ้นราวกับถูกฟ้าผ่า นางเบิกตากว้าง ดิ้นรนผลักหยางชิ่งออกไป พร้อมถือโอกาสตบเขาอย่างแรงหนึ่งฉาด

นางเห็นหยางชิ่งยื่นนิ่งไม่ขยับ กำลังมองนางพร้อมยิ้มบางๆ นางคิดแวบหนึ่งว่าจะหยุดมือ แต่ก็ไม่ได้หยุดมือ

หยางชิ่งไม่ขยับเขยื้อน และไม่หลบด้วย

เพี้ยะ! เสียงตบหน้าดังฟังชัด ตบหน้าหยางชิ่งอย่างแรง หยางชิ่งไม่ได้ป้องกันใดๆ หน้ากากเบี้ยวเล็กน้อย เลือดสดไหลออกจากรูจมูก เลือดสดกระเด็นออกมาไกลมาก

ใบหน้าด้านข้างปรากฏรอยมือชัดเจน เลือดสดกำลังไหลออกจากจมูก หยางชิ่งหันช้าๆ กลับไปมองนาง ใบหน้าฝืนยิ้มโดยไม่พูดอะไร

ซูอวิ้นตะลึงค้างอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่าหยางชิ่งจะไม่หลบ และไม่ป้องกันใดๆ ทนรับฝ่ามือของนางอย่างนี้ เลือดสดที่ไหลหยดลงบนคอเสื้อของเขาชัดเจนมาก

หยางชิ่งก้าวขึ้นมา ก้าวเข้ามาใกล้นาง ยื่นมือหยิบหน้ากากบนมือนางอีก แล้วก็คว้าข้อมือนางดึงเข้ามา ดึงมาไว้ในอ้อมกอดเสียเลย

ซูอวิ้นก็ไม่รู้ชัด่วาเพราะอะไร หลังจากดิ้นรนสองสามครั้งแล้วหยางชิ่งไม่ยอมปล่อย จู่ๆ นางก็มุดหน้าซบอกหยางชิ่งร้องไห้ นางสะอื้นพลางกำหมัดทุบหน้าอกเขา  ทำไมต้องรังแกข้าอย่างนี้ ทำไมไม่ยอมปล่อยข้าไป…  แม้นางจะพยายามควบคุมเสียงร้องไห้ แต่ก็เหมือนจะร้องไห้อย่างปวดใจแล้วจริงๆ

นางรู้สึกว่าได้รับความไม่ยุติธรรมแล้วจริงๆ ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ หลังจากลงนามสัญญา ‘ตายแล้วฝังหลุมศพเดียวกัน’ ฉบับนั้น หยางชิ่งก็ไม่เคยปล่อยนางไปเลย เปลี่ยนวิธีการมาทรมานนางตลอด ซูอวิ้นที่เดิมทีมีความมั่นใจกับสมองของตัวเองมาก ตอนนี้แทบจะประสาทเสียเพราะหยางชิ่งแล้ว สติปัญญาโดนบดขยี้แล้วจริงๆ หลายปีมานี้อีกฝ่ายรังแกนางเพื่อความบันเทิง ทำเอานางเกิดความสงสัยในชีวิต พอเห็นหยางชิ่งก็รู้สึกไม่มั่นใจ แทบจะเสียความมั่นใจในตัวเองแล้ว ยามเผชิญหน้ากับหยางชิ่งก็เหลือแค่ความปากแข็งเท่านั้น

 ขอโทษ เพราะข้าชอบเจ้าถึงได้ทำอย่างนี้!  หยางชิ่งพึมพำข้างหูนาง

ซูอวิ้นน้ำตาไหลอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ออกแรงผลักเขา

หยางชิ่งโน้มตัวรวบสองขาของนาง อุ้มนางเข้าไปในเรือนของนางโดยตรง…

บนเตียงนอน ซูอวิ้นที่นอนเปลือยขดตัวอยู่บนเตียงปล่อยผมยาวสยาย นางกำลังหันหลังให้หยางชิ่ง แววตาค่อนข้างเลื่อนลอย นางสับสนแล้วจริงๆ พอนึกถึงเหตุการณ์หยาบคายเกินทนมองที่เพิ่งเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองเลอะเลือนทำเรื่องอย่างนั้นกับเขาแล้ว น้ำตาไหลขณะทำอย่างนั้นกับเขา ถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นคนอย่างไร

หยางชิ่งที่นอนแนบแผ่นหลังนางได้แต่กอดนางเงียบๆ มือข้างหนึ่งเลื้อยขึ้นเลื้อยลงบนตัวนาง

หลังจากเงียบไปนาน แสงสว่างนอกหน้าต่างเริ่มมืดลง หยางชิ่งก็กล่าวเสียงเบาว่า  นึกไม่ถึงว่าเจ้ายังมีร่างกายที่บริสุทธิ์ ข้าจ่ายด้วยเลือด เจ้าเองก็จ่ายด้วยเลือดเช่นกัน พวกเราเท่าเทียมกันแล้ว! 

 ไร้ยางอาย!  ซูอวิ้นพึมพำด่า

 ยังอยากด่าอีกเหรอ?  หยางชิ่งถาม

 ไสหัวไป!  ซูอวิ้นกัดริมฝีปากตะคอก

หยางชิ่งลุกนั่งข้างกายนาง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า  ที่จริงเซี่ยโห้วท่ายังไม่ตาย 

ซูอวิ้นพลันหันมามองนาง แววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง  เรื่องเป็นยังไง? 

 ข้าไปก่อนละ  หยางชิ่งหยิบเสื้อผ้าทำท่าจะสวมใส่

 พูดมาให้ชัดเจน!  ซูอวิ้นกล่าวอย่างหมั่นไส้

หยางชิ่งโยนเสื้อผ้าทิ้ง แล้วโถมตัวลงกอดนางอีกครั้ง  นี่เจ้าไม่ให้ข้าไปเองนะ… 

แดนมรณะดึกดำบรรพ์ บนยอดเขาที่มีปราณมรณะก่อตัวเป็นป่า เฮยทั่นเดินวางมาดเข้ามาในค่ายภูเขาแห่งหนึ่งท่ามกลางการรายล้อมของบรรดาวิญญาณชั่วร้าย

ในค่ายภูเขามีกลุ่มวิญญาณชั่วร้ายมารวมตัวกันอยู่นานแล้ว พอเห็นเฮยทั่นเข้ามา ทั้งชายทั้งหญิงก็พากันกุมหมัดคารวะ  คุณชายเฮย! 

ในน้ำเสียงเผยความเป็นมิตร และเผยความเคารพนับถือ ทั้งยังแฝงความเกรงกลัวด้วย

 หึหึ!  เฮยทั่นยิ้มพลางโบกมือให้ทุกคน แล้วเดินขึ้นบันไดไปนั่งประจำที่นั่งที่เตรียมไว้แล้ว นั่งลงท่ามกลางทุกคนอย่างไม่ยี่หระ ทำท่าเหมือนตัวเองยิ่งใหญ่ที่สุด

บนโต๊ะตรงหน้าวางไข่มุกวิญญาณไว้สองถาด เป็นไข่มุกวิญญาณหลายสี เฮยทั่นคว้าเข้าปากอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง พอกลืนลงไปแล้วก็เหมือนยังไม่หนำใจ ยกถาดใหญ่ที่ใส่ไข่มุกวิญญาณขึ้นมากระดกหน้ากรอกใส่ปากเสียเลย

กลุ่มวิญญาณชั่วร้ายที่ยืนอยู่ด้านล่างขนหัวลุก ต่างก็รู้ว่าคุณชายเฮยไม่เพียงแค่กินสิ่งนี้ ทั้งยังกินคนได้ด้วย เวลาไม่พอใจก็จับวิญญาณชั่วร้ายฉีกแขนฉีกขายัดเข้าปากเลย บางครั้งก็อุ้มคนขึ้นมากินโดยตรง

เมื่อกรอกไข่มุกวิญญาณหลากสีสองถาดเข้าปากอย่างต่อเนื่องแล้ว เฮยทั่นถึงได้เช็ดปากลูบท้อง แล้วพูดกับกลุ่มคนอย่างร่าเริงว่า  ที่เรียกรวมทุกคนมาครั้งน้ ก็เพราะมีเรื่องเล็กน้อยให้ทุกคนช่วยหน่อย ไม่รู้ว่าทุกคนจะเต็มใจหรือเปล่า 

ประมุขค่ายภูเขาที่อยู่ข้างๆ กล่าวเสียงดังทันทีว่า  คุณชายเฮยพูดแบบนี้แล้ว ถ้าคุณชายเฮยมีอะไรจะกำชับก็สั่งมาได้เลย ต่อให้พวกเราบุกน้ำลุยไฟก็ไม่เสียดาย! 

……………

 

พอหยางชิ่งได้ฟังก็พูดแทรกว่า  เป็นลูกน้องเก่าของท่านอ๋องที่กองทัพองครักษ์ใช่มั้ย? 

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า  ใช่แล้ว! มีสิบกว่าคน  ในเมื่อถามถึงแล้วก็ไม่มีอะไรน่าปิดบัง หยางชิ่งเองก็รู้เรื่องลูกน้องเก่าพวกนั้น

 ทั้งหมดอยู่หน่วยองครักษ์ซ้ายเหรอ?  หยางชิ่งถามอีก

อวิ๋นจือชิวฝืนยิ้มแล้วพยักหน้า นางเป็นคนรับหน้าที่ติดต่อกับคนพวกนั้น จึงรู้สถานการณ์ของพวกเขาดีที่สุด

 ขาดการติดต่อไปนานเท่าไหร่แล้ว? ขาดการติดต่อไปพร้อมกันเหรอ?  หยางชิ่งถาม

อวิ๋นจือชิวตอบว่า  ห้าพันปีกว่าแล้วมั้ง จู่ๆ ก็ขาดการติดต่อไป ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าตำหนักสวรรค์พบความผิดปกติอะไร ไม่อย่างนั้นจะบังเอิญหายไปพร้อมกันสิบกว่าคนได้ยังไง แต่คนอื่นๆ ก็ไม่เป็นอะไร ทำให้คนสงสัยอีก ว่าถ้าประมุขชิงสังเกตเห็นอะไรแล้ว ก็จะพบความเกี่ยวข้องที่อยู่ในนั้นได้ไม่ยาก เกรงว่าลูกน้องเก่าในปีนั้นของท่านอ๋องคงถูกจับไปหมดแล้ว จะจับไปแค่สิบกว่าคนได้ยังไง? หลังจากนั้นก็สงสัยนิดหน่อยว่ามีภารกิจลับอะไรหรือเปล่า เลยถูกควบคุมไม่ให้ติดต่อกับภายนอก แต่ก็คิดไม่ออกว่าภารกิจอะไรกันแน่ที่ต้องซ่อนตัวหลายปีขนาดนี้ ตอนนี้ได้ยินเซี่ยโห้วท่าชี้แนะแบบนี้ จะไม่ให้นึกเชื่อมโยงก็คงยาก 

หยางชิ่งกล่าวอย่างไม่แน่ใจ  ที่เซี่ยโห้วท่าพูดก็มีเหตุผล เพียงแต่ถ้าคิดจะส่งกำลังพลสักกลุ่มเข้าไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์โดยที่อยู่ใต้หนังตาท่านอ๋อง จะว่าไปก็ไม่ง่าย ท่านอ๋องเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์มาหลายปีขนาดนี้โดยไม่เป็นอะไร จะเห็นได้ว่าฝั่งประมุขชิงยังทำไม่สำเร็จ ห้าพันกว่าปี…อย่าบอกนะว่าประมุขชิงรอโอกาสมาตลอดตั้งหลายปี? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ แสดงว่าถ้าไม่บรรลุเป้าหมาย ประมุขชิงก็จะไม่ยอมหยุดแน่! 

อวิ๋นจือชิวบอกว่า  ประมุขชิงคือคนที่เซี่ยโห้วท่าสนับสนุนขึ้นมาเองกับมือ เขาต้องรู้จักประมุขชิงดีกว่าพวกเราแน่นอน ในเมื่อเซี่ยโห้วท่าพูดแบบนี้แล้ว…  นางจ้องเหมียวอี้พร้อมโน้มน้าว  ท่านอ๋อง เซี่ยโห้วท่าพูดถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือเท็จ ตอนนี้ก็อย่าเพิ่งไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์ดีกว่า รอให้แน่ใจสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน! 

เหมียวอี้รู้สึกหนักใจเล็กน้อย ถ้าเซี่ยโห้วท่าพูดถูก ผลที่ตามมาจากการถูกกองทัพองครักษ์สิบล้านล้อมจะเป็นอย่างไร แค่คิดก็รู้แล้ว จึงกล่าวเสียงต่ำว่า  น้องชิว ให้คนของพวกเราที่กองทัพองครักษ์สืบอย่างระมัดระวังสักหน่อย เดี๋ยวข้าจะให้คนของสมาคมอาวุโสแอบสืบด้วย! 

 ได้!  อวิ๋นจือชิวพยักหน้า แล้วจู่ๆ ก็ถอนหายใจ  นึกไม่ถึงว่าเซี่ยโห้วท่าจะเตือนเรื่องนี้กับท่านอ๋องในเวลานี้ 

เหมียวอี้เม้มปากไม่พูดอะไร หยางชิ่งกล่าวช้าๆ ว่า  ตระกูลเซี่ยโห้วถูกบีบอยู่ในมือท่านอ๋อง ถ้าครั้งนี้เขาคำนวณถูกต้อง ท่านอ๋องก็จะติดหนี้น้ำใจเขาหนึ่งครั้ง ไม่ว่าในอนาคตน้ำใจนี้จะมีประโยชน์ต่อตระกูลเซี่ยโห้วหรือไม่…ก็ดีกว่าไม่มีน้ำใจอยู่แล้ว 

เหมียวอี้กลับนึกถึงอย่างอื่น หรี่ตาพูดว่า  ถ้าประมุขชิงวางแผนล่วงหน้าจริงๆ ในกองทัพที่เฝ้าตรงทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์คงมีหนอนบ่อนไส้ปะปน ไม่อย่างนั้นจะเตรียมตัวแบบนี้ได้ยังไง… 

เช้าตรู่วันต่อมา เหมียวอี้ยังคงนอนกอดกับอวิ๋นจือชิวเหมือนคู่แต่งงานใหม่เพราะห่างกันไปนาน จู่ๆ ก็ได้รับระฆังดารา รีบลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า

อวิ๋นจือชิวใช้มือข้างหนึ่งดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าอกตัวเอง ใช้มือยันตัวลุกขึ้นแล้วถามว่า  เป็นอะไรไป? 

เหมียวอี้บอก  เซี่ยโห้วท่าไม่ไหวแล้ว ข้าจะไปดูสักหน่อย 

อวิ๋นจือชิวดึงเสื้อคลุมที่อยู่ข้างๆ มาใส่ทันที แล้วรีบลุกลงจากเตียงเพื่อช่วยสวมเสื้อผ้าให้เหมียวอี้ กระทั่งเหมียวอี้เดินออกไปแล้ว นางก็รีบแต่งตัวให้ตัวเอง หวังเฟยผู้สง่าภูมิฐานอย่างนางไม่ควรออกไปโดยที่แต่งกายไม่เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นจะดูไม่เข้าท่า มาถึงขั้นนี้แล้ว ทุกการกระทำไม่อาจปล่อยตามอำเภอใจได้ มีคนมากมายกำลังดูอยู่

จนกระทั่งเหมียวอี้มาถึงห้องสมาธิ เซี่ยโห้วท่าก็ไม่ไหวแล้วจริงๆ แทบจะเหมือนตะเกียงที่ใช้น้ำมันหมดแล้ว แค่นั่งก็นั่งไม่ไหว เอนกายนอนลงไปแล้ว นอนหายใจรวยรินอยู่อย่างนั้น

เหมียวอี้รีบเดินมานั่งข้างเตียงหิน จับมือเซี่ยโห้วท่าเบาๆ แล้วถามอย่างใส่ใจว่า  ท่านปู่สวรรค์ ยังมีความปรารถนาอย่างอื่นที่ต้องให้ข้าไปทำให้อีกหรือเปล่า? 

ไม่ว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองจะมีบุญคุณความแค้นอะไรกัน ไม่สนด้วยว่าอำนาจจะตกอยู่ในมือใคร ตอนนี้ปล่อยวางบุญคุณความแค้นทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าจะพูดจากมุมไหน เซี่ยโห้วท่าก็ล้วนเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมแห่งยุค ตอนนี้ควรค่าที่จะให้เหมียวอี้เลิกวางมาดใหญ่โต

เซี่ยโห้วท่าลืมตาขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าแววตาที่ขุ่นมัวจะเปลี่ยนเป็นสดใสกระจ่างชัดแล้ว แสดงเค้ารางของคนใกล้ตาย เผยรอยยิ้มอ่อนๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นรอยยิ้มที่ลบล้างความแค้น ก่อนตายยังมีคนใส่ใจและอยู่เป็นเพื่อน จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้อนใจ เขากล่าวช้าๆ ว่า  บางทีข้าอาจจะเลอะเลือนแล้ว ก่อนหน้านี้อาจมีปัญหามากมายที่ไม่เข้าใจ สองวันนี้จู่ๆ สมองก็เปลี่ยนเป็นแจ่มชัดแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะเอาตัวเองมาอยู่นอกสถานการณ์แล้วจริงๆ พอมองย้อนกลับไปถึงเรื่องบางอย่าง กลับรู้สึกชัดเจนยิ่งขึ้น เบื้องหลังที่ท่านอ๋องผงาดขึ้นมาแบบนี้ ข้ามักรู้สึกว่ายังมีอีกมือหนึ่งดำรงอยู่ เมื่อก่อนข้าสงสัยว่าเป็นบุคคลระดับสูงของวังสวรรค์แอบช่วยท่านอ๋อง ไม่รู้ว่าข้าเดาถูกหรือเปล่า? 

เหมียวอี้เงียบไปชั่วครู่ แล้วถอนหายใจ  ทางวังสวรรค์มีคนจริงๆ แต่ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนไหน! 

 เจ้าก็ไม่รู้เหมือนกันหรอ?  เซี่ยโห้วท่าทำสีหน้าครุ่นคิด แล้วถามอีกว่า  อาศัยศักยภาพของท่านอ๋องในตอนนี้ หกลัทธิควบคุมท่านอ๋องไม่ไหวแล้ว ถ้าเป็นคนของหกลัทธิอยู่ที่ตำหนักสวรรค์ หกลัทธิหวังให้ท่านอ๋องผงาดขึ้นมา ก็ไม่ถึงขั้นปิดบังท่านอ๋องต่อไปหรอก อย่าบอกนะว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่ในตำหนักสวรรค์ไม่ใช่คนของหกลัทธิ? 

เหมียวอี้เงียบไปอีก หลังจากลังเล ก็กล่าวเบาๆ ว่า  เขากลับมาแล้ว! 

 เขากลับมาแล้วเหรอ?  เซี่ยโห้วท่าฉงนสนเท่ห์ ในดวงตาพลันฉายแววตระหนกตกใจ มือถือที่ถูกกุมอยู่ในมือของเหมียวอี้ขยับเล็กน้อย ถามว่า  เจ้าสามไป๋? 

เหมียวอี้พยักหน้าเงียบ

 เฮ่อ…  ร่างกายที่ตึงของเซี่ยโห้วท่าผ่อนคลายลงทันที ถอนหายใจออกมา แล้วพึมพำว่า  นึกไม่ถึง…นึกไม่ถึง…นึกไม่ถึงจริงๆ…ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะผลักดันคนอย่างนี้ออกมา… 

เหมียวอี้ถอนหายใจ  ถึงยังไงเขาก็ไม่มีทางโผล่หน้าอยู่ในตำหนักสวรรค์ได้! 

เซี่ยโห้วท่ามองเขาด้วยสายตาที่อ่อนแรงเล็กน้อย ทุกประโยคที่พูดอ่อนแรงลงส่วนหนึ่ง เสียงก็เบาลงด้วย  ท่านอ๋องเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว มีหรือที่จะให้ใครควบคุมง่ายๆ? ถ้ารอให้ท่านอ๋องเดินมาถึงขั้นที่บรรลุเป้าหมายของเขาจริงๆ เขาก็ยิ่งไม่มีทางควบคุมท่านอ๋องได้ เขาเจ้าสามไป๋เท่ากับบีบท่านอ๋องไว้ในมือ ถ้าท่านอ๋องอยากจะครองใต้หล้าเมื่อไร แม้แต่ประมุขชิงกับประมุขไป๋ก็ไม่เว้น การแย่งอำนาจระหว่างพ่อลูกก็อาจจะทำให้แตกคอจนกลายเป็นศัตรูกันได้ เกรงว่าจะบีบท่านอ๋องก็ไม่มีประโยชน์ ใครจะกล้ารับประกันว่าท่านอ๋องจะไม่กลายเป็นภัยในภายหลังของเขา? การที่เขากล้าเสี่ยงแบบนี้ ทำให้ข้านึกไม่ถึงจริงๆ! ใครจะไปนึกว่าเขาจะทำอย่างนี้ได้ล่ะ? 

คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เหมียวอี้เงียบไป เมื่อถึงวันนั้นจริงๆ ตัวเองจะยินยอมนำเนื้อที่กำลังจะเข้าปากให้คนอื่นเหรอ? คำตอบก็คือไม่ได้ ถ้าตัวเองเดินไปถึงขั้นนั้นแล้ว ก็จะไม่ให้ใครมาควบคุมชะตาชีวิตของคนในครอบครัวได้อีก! เขาจะมองอีกฝ่ายเป็นเสี้ยนหนามในอนาคตหรือเปล่า? เขาเองก็ไม่กล้ารับประกัน!

 เข้าใจแล้ว ตอนนี้ค่ะเข้าใจแล้ว เหอะๆ…  จู่ๆ เซี่ยโห้วท่าก็หัวเราะเบาๆ  การที่พระปีศาจหนานโปฟื้นชีพกลับมาอีกครั้งก็ไม่พ้นเกี่ยวข้องกับเขาหรอก บางทีเขาอาจจะจงใจปล่อยออกมาก็ได้…แค่กๆ!  เขาหายใจไม่ค่อยทัน

เหมียวอี้ได้ยินแล้วตกใจ  พระปีศาจหนีรอดออกไปใต้หนังตาประมุขชิงกับประมุขพุทธะแท้ๆ ทำไมกลายเป็นเขาปล่อยได้ล่ะ? 

เซี่ยโห้วท่ากล่าวเสียงต่ำว่า  เขาสามารถติดต่อกับหกลัทธิได้ ก็แสดงว่าหกลัทธิอยู่ในการควบคุมของเขาตั้งนานแล้ว การที่เขาควบคุมหกลัทธิได้ กล้าบอกไหมว่าไม่เกี่ยวข้องกับหกประมุขปราชญ์ในปีนั้น? ขอเป็นแบบนี้ ในปีนั้นที่เขาปล่อยผู้เหลือรอดของหกลัทธิไป คาดว่าคงทำข้อตกลงบางอย่างกับหกประมุขปราชญ์ ไม่ว่าจะทำข้อตกลงอะไรกัน มีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่งที่ไม่ผิดแน่ นั่นก็คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป! ถ้าควบคุมหกลัทธิได้ ก็แสดงว่าได้รู้ความลับเรื่องสถานที่ผนึกพระปีศาจมาจากปากหกประมุขปราชญ์ เคล็ดวิชาฝึกตนของเขาดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจได้ไม่ยาก น่าจะสังหารพระปีศาจไปตั้งนานแล้วสิ แต่ทำไมเขายังปล่อยไว้ล่ะ เจ้าไม่รู้สึกว่าแปลกหรอ? 

พอพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็เริ่มระแวงสงสัยแล้วจริงๆ ใช่แล้ว! ทำไมท่านนั้นถึงไม่สั่งหารพระปีศาจไปเสียเลยล่ะ?

เซี่ยโห้วท่าพูดต่อว่า  พระปีศาจสังหารอาจารย์ของเขา ไม่ว่าจะเป็นในด้านความรู้สึกหรือเหตุผล ต่อให้เพื่อกำจัดภัยพิบัติที่จะตามมาในภายภาคหน้า เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่สังหารพระปีศาจ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้โอกาสพระปีศาจผงาดขึ้นมาอีก เช่นนั้นก็กล้าเดาได้เลยว่า ตอนแรกที่เจ้าสามไป๋หาพระปีศาจเจอแล้ว จะต้องอยากสังหารพระปีศาจแน่นอน แต่พระปีศาจก็ไม่มีทางนั่งรอความตาย แต่พระปีศาจก็เป็นสัตว์ที่ถูกขังอยู่ในกรง ไม่มีทางหนีออกไปได้เลย แล้วพระปีศาจจะทำยังไงได้ล่ะ? สิ่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ พระปีศาจจะให้ผลประโยชน์อะไรกับเจ้าสามไป๋ได้บ้าง ถึงช่วงชิงโอกาสให้ตัวเองตายช้าได้ ผลปรากฏว่าตอนหลังเจ้าสามไป๋ประสบเรื่องยุ่งยากแล้ว พี่น้องกลับกลายเป็นศัตรูกัน ประมุขปีศาจรั่วสุ่ยตกอยู่ในมือประมุขชิงกับประมุขพุทธะ แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เขาก็ยังวางแผนได้แบบนี้ ก่อนจะถูกจับ ถ้าอยากจะสังหารพระปีศาจก็ยังมีเวลาเพียงพอ แต่เขาก็ยังไม่ลงมือ เป็นเพราะอะไรล่ะ? เป็นเพราะเขาเก็บพระปีศาจไว้แล้วมีประโยชน์ไง! ถ้าข้าจำไม่ผิด ในปีนั้นที่ปีศาจโลหิตผูกความแค้นกับเจ้า คนที่รู้เรื่องสมุนไพรจิตวิญญาณในมือปีศาจโลหิตคงมีไม่เยอะใช่ไหม? แต่ปีศาจโลหิตดันไปที่สถานที่ผนึกแล้วถูกพระปีศาจควบคุมเสียได้ เปิดโปงความลับเรื่องสมุนไพรจิตวิญญาณแล้ว เจ้าไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกเหรอ? 

เหมียวอี้ตกใจมาก  เจ้ากำลังบอกว่าเขาอยากให้พระปีศาจฟื้นชีพอีกครั้งเหรอ? ไม่ใช่สิ พระปีศาจหลุดมือประมุขชิงกับประมุขพุทธะไปแท้ๆ ถ้าเขาจะปล่อย ก็คงปล่อยไปนานแล้ว จำเป็นต้องถ่วงเวลาถึงตอนหลังด้วยเหรอ? 

เซี่ยโห้วท่ากล่าวเสียงเบา  ในจุดนี้ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้าสงสัย แม้พระปีศาจจะมีพรสวรรค์พิเศษ แต่สมองในด้านการวางอุบายอาจจะเทียบประมุขชิงกับปรุมุขพุทธะไม่ติด ไม่อย่างนั้นในปีนั้นข้าจะล้มเขาง่ายๆ ได้ยังไง แต่วิธีที่พระปีศาจหนีรอดไปได้ก็ไม่ธรรมดา อย่าบอกนะว่าอยู่ในสถานที่ผนึกนานจนสมองดีขึ้นได้? มีอยู่สิ่งหนึ่ง ถ้าจะบอกว่าใครที่รู้จักประมุขชิงกับประมุขพุทธะดี เจ้าสามไป๋รู้จักมากกว่าข้าแน่นอน ถ้าเจ้าสามไป๋วางแผนว่าจะช่วยพระปีศาจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เช่นนั้นการที่พระปีศาจหนีรอดออกไปต่อหน้าต่อตาประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็ไม่น่าแปลก! 

 เป็นอย่างนี้จริงๆ ทำไมเขาต้องทำด้วยล่ะ?  เหมียวอี้ถาม

 เจ้าไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่เข้าใจหรอกว่าเจ้าสามไป๋รักประมุขปีศาจขนาดไหน ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ เจ้าสามไป๋คงไม่ถูกคนอื่นบีบจุดอ่อนจนแพ้ย่อยยับ เพื่อที่จะช่วยประมุขปีศาจให้หนีออกมา ก็คงไม่มีเรื่องใดที่เจ้าสามไป๋จะทำไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เจ้าสามไป๋อาจจะทำข้อตกลงอะไรกับพระปีศาจแล้วก็ได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าเจ้าอาจจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่เจ้าสามไป๋เตรียมไว้ เพื่อรับประกันว่าจะช่วยประมุขปีศาจออกมาได้แน่นอน เจ้าสามไป๋อาจจะทิ้งแผนสำรองเอาไว้ อาจจะไม่ได้ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เจ้าคนเดียว มีความเป็นไปได้สูงว่าพระปีศาจจะเป็นอีกหนึ่งตัวสำรองที่เขาเตรียมไว้ แต่ในนั้นก็มีจุดที่ขัดแย้งกันมากมาย ตอนนี้ข้าไม่มีสมาธิมากนัก เกรงว่าคงไม่มีโอกาสคิดจนกระจ่าง…  พอพูดถึงตรงนี้ เซี่ยโห้วท่าก็ไม่ไหวแล้วจริงๆ น้ำเสียงเบาเหมือนยุงตัวหนึ่ง

เหมียวอี้สีหน้าตึงเครียด ในสมองสับสนมาก รอจนกระทั่งพบว่านิ้วมือของเซี่ยโห้วท่าขยับเล็กน้อย ถึงได้สติกลับมา เห็นเพียงเซี่ยโห้วท่าขยับปากเบาๆ เหมือนต้องการจะพูดอะไรกับเขาสักอย่าง

เหมียวอี้รีบยื่นหูเข้ามาใกล้

 เกา…เกาก้วน…  เซี่ยโห้วท่าทิ้งชื่อของคนคนหนึ่งเอาไว้ สุดท้ายปากกับสายตาก็นิ่งสนิท ทั้งตัวตกอยู่ในความเงียบตลอดไป

…………………

 

ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาใช้พลังอิทธิฤทธิ์ช่วยสนับสนุนนานเกินไป ในเมื่อฝั่งนี้กล้านำคนมาดักซุ่ม จะต้องมีการเตรียมตัวไว้แล้วแน่นอน

วินัยทหารของกองทัพองครักษ์ควรค่าแก่การยอมรับ ตามคำสั่งของซีเหมินอู๋เหย่ ทัพใหญ่ที่เสียระเบียบสงบลงอย่างรวดเร็ว กระจายตัวกันดักซุ่มอยู่ในขอบเขตที่ไม่กว้างมาก ขุดผิวดินโดยตรง ทัพใหญ่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน ใช้ค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่แบ่งกลุ่มกันป้องกัน ถึงแม้ปราณชั่วร้ายจะสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตและเริ่มแทรกซึมเข้ากัดกร่อนค่ายกลป้องกันที่อยู่ใต้ดิน แต่พลังงานที่ฝั่งนี้พกมาด้วยก็มีไม่น้อย เพียงพอให้ต้านทานได้เป็นเวลานาน

คนที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟบางส่วนที่อยู่ด้านนอกรีบทำให้ผิวดินกลับสู่สภาพเดิม จากนั้นก็วิ่งออกจากที่นี่ขึ้นไปซ่อนตัวบนภูเขาสูงที่อยู่ไกลๆ ไปคอยสังเกตการณ์

ส่วนทัพใหญ่ที่ดักซุ่มอยู่ตรงทางเข้า จุดประสงค์หลักก็เพื่อตัดทางหนีของเหมียวอี้ รวมทั้งป้องกันไม่ให้กองหนุนข้างนอกเข้ามา

ส่วนกำลังพลที่ดักซุ่มอยู่เส้นทางอื่น จุดประสงค์หลักเพื่อโจมตีเหมียวอี้

สำหรับคนที่มีชื่อเสียงด้านการรบและมักใช้กำลังน้อยเอาชนะกำลังเยอะอย่างอ๋องสวรรค์หนิว ไม่มีใครกล้าประเมินศัตรูต่ำ เตรียมตัวไว้แล้วว่าถ้าเหมียวอี้โผล่หน้ามา ก็จะไม่ให้โอกาสเตรียมตัวใดๆ จะต้องโจมตีเหมียวอี้ให้ตายในรวดเดียว ไม่อย่างนั้นปัญหาก็จะตามมาไม่จบไม่สิ้น…

ในห้องสมาธิ เซี่ยโห้วท่ามีลักษณะท่าทางแก่หง่อม นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหินหิน โดยมีเหยียนซิวยืนดูอยู่ข้างๆ

ประตูบานใหญ่ของห้องศิลาเปิดออก เหมียวอี้เดินก้าวยาวเข้ามา อวิ๋นจือชิวกับหยางชิ่งติดตามอยู่ทางซ้ายและขวา

เซี่ยโห้วท่าหลับตาไม่ขยับเขยื้อน เหมียวอี้เดินมาตรงหน้า แล้วถามได้ทางเคารพ  ท่านปู่สวรรค์ ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับข้า? 

เหมียวอี้ย่อมรู้ว่าเขาเรียกตัวเองมาเจอไม่ใช่เพราะจะเจอเป็นครั้งสุดท้ายเฉยๆ บอกว่า  ท่านปู่สวรรค์มีอะไรก็พูดมาตรงๆเลย 

เซี่ยโห้วท่าหัวเราะเบาๆ  ไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง สถานการณ์ของตระกูลเซี่ยโห้วเป็นยังไงบ้าง?  คำถามเหล่านี้เขาถามได้เพียงเหมียวอี้ ถ้าถามเหยียนซิว เหยียนซิวอาจจะไม่บอกสถานการณ์ใดๆ แก่เขาหากไม่ได้รับอนุญาต

เหมียวอี้ตอบว่า  สถานการณ์ภาพรวมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โดยทั่วไปตระกูลเซี่ยโห้วยังเหมือนเดิม ยังดำเนินงานเหมือนเดิม เพียงแต่เฉาหม่านลอยขึ้นมาอยู่บนเวทีแล้ว ภายใต้การผลักดันของประมุขชิง หกพันปีก่อนกลับมาใช้ชื่อเดิมของตัวเอง นั่นก็คือเซี่ยโห้วหม่าน เข้ามาอยู่ที่จวนท่านปู่สวรรค์อย่างเป็นทางการ เข้าประชุมในราชสำนัก เขาแข็งแกร่งกว่าเซี่ยโห้วลิ่ง รักษาสมดุลทั้งข้างล่างข้างบนได้ไม่เลว! 

เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้ายิ้มเจื่อน  สมดุลที่ได้มาเพราะท่านอ๋องมอบให้ อำนาจทั้งในที่ลับและที่แจ้งของตระกูลเซี่ยโห้วถูกท่านอ๋องสืบจนชัดเจนหมดแล้ว สมาคมอาวุโสก็อยู่ภายใต้การควบคุมของท่านอ๋องเช่นกัน ถ้าท่านอ๋องไม่อยากให้เขาสมดุล เขาจะหาความสมดุลมาจากไหนกัน 

 เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คาดว่าท่านปู่สวรรค์คงไม่ถือสาเรื่องนี้เช่นกัน  เหมียวอี้กล่าว

เซี่ยโห้วท่าบอกว่า  ตระกูลเซี่ยโห้วเฟื่องฟูขึ้นมาได้เพราะข้า แล้วตกอับจนฟื้นฟูกลับมาไม่ได้เพราะข้าเช่นกัน เรื่องที่ลึกลับซับซ้อนแบบนี้ทำให้ข้าได้แต่ถอนหายใจ คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต ท่านอ๋องต้องดูไว้เป็นบทเรียน…ถ้าจะบอกว่าไม่คิดถึงเลยสักนิดก็โกหกแล้ว ใครอยากจะรู้ว่าตอนสุดท้ายท่านอ๋องจะจัดการกับตระกูลเซี่ยโห้วอย่างไร 

เหมียวอี้เงียบไปครู่เดียว แล้วตอบตรงๆ ว่า  ถ้าไม่เก็บไว้ให้ข้าใช้งาน ก็ฆ่าให้หมด ตัดรากถอนโคนทิ้ง! 

เซี่ยโห้วท่าพยักหน้าเบาๆ  ช่างเป็นความจริง เช่นนั้นไว้หน้าข้าสักครั้งได้หรือเปล่า ให้โอกาสรอดกับตระกูลเซี่ยโห้วเป็นยังไง? 

เหมียวอี้ส่ายหน้า  สิ่งนี้ข้าไม่สะดวกจะรับปาก เพราะอำนาจในการเลือกไม่ได้อยู่ในมือข้า แต่ต้องดูว่าตอนสุดท้ายคนของตระกูลเซี่ยโห้วจะคิดยังไง ถ้ายอมสวามิภักดิ์ต่ออ๋องผู้นี้ ข้าก็จะพิจารณาได้ แต่ถ้าในใจรู้สึกไม่ยอม ข้าก็เกรงว่าตัวเองจะใจอ่อนเหมือนผู้หญิงได้ยาก!  จนป่านนี้แล้วไม่จำเป็นต้องพูดโกหกตตบตาอะไร ที่ว่ากันว่าคนใกล้ตายมักจะพูดอะไรจากใจ คำนี้ใช้ได้กับทั้งคนที่ใกล้ตาย และกับคยที่กำลังคุยกับคนใกล้ตาย

เซี่ยโห้วท่าไม่ได้ดันทุรังขอร้องเช่นกัน แต่ขอร้องสิ่งที่น้อยกว่านั้น เช่นนั้นปล่อยให้เวี่ยโห้วเฉิงอวี่แก่ตายตามธรรมชาติได้หรือไม่? 

หลายคนในห้องสบตากันแวบหนึ่ง เหมียวอี้แววตาวูบไหว ถามอย่างแปลกใจว่า  เหตุใดราชินีสวรรค์ถึงทำให้ท่านปู่สวรรค์ดีกับนางขนาดนี้ได้? 

เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจเบาๆ  ตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ในมือข้ามาหลายปีขนาดนี้ เรื่องอื่นข้าอาจจะทำไม่ได้ แต่โดยส่วนใหญ่ก็ไม่เคยทำเรื่องที่เอาลูกสาวไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ โดยส่วนใหญ่ถ้าเจอคนที่ถูกใจแล้วยินดีแต่งงานก็จะให้แต่งงาน ไม่เคยบีบบังคับมาก่อน ลูกชายหลานชายของตระกูลเซี่ยโห้วก็ได้เสพสุขกับความร่ำรวยมามากเช่นกัน ต่อให้สุดท้ายมันจะสิ้นสุดลงเพราะข้า แต่ข้าก็ไม่ติดค้างอะไรพวกเขาเช่นกัน มีเพียงนางเด็กเฉิงอวี้ หลายปีมานี้ทำให้นางไม่ได้รับความไม่ยุติธรรม ข้าติดค้างนานแล้ว ข้าจึงรู้สึกผิดในใจ ถ้าข้ายังมีอิทธิพลต่อตระกูลเซี่ยโห้ว ก็ย่อมปกป้องนางให้ตายอย่างสงบได้ แต่ตอนนี้ถ้าทำได้เพียงขอร้องท่านอ๋องแล้ว! 

เหมียวอี้ทอดถอนใจด้วยความตรง  ก็ได้! ข้ารับปากวิธี ถ้ามีวันนั้นที่ข้ามีอำนาจตัดสินใจได้จริงๆ ขอเพียงเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่รนหาที่ตายเอง ข้าก็จะพยายามปกป้องให้นางแก่ตาย! ถ้าสุดท้ายข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจ ข้าก็จะเอาคำขอนี้ของท่านปู่สวรรค์ไปบอกต่อให้คนที่มีอำนาจตัดสินใจ คาดว่าอีกฝ่ายคงไม่ถึงขั้นไม่ไหวหน้าท่านปู่สวรรค์ ท่านปู่สวรรค์วางใจได้หรือยัง? 

เซี่ยโห้วท่าพยักหน้าอย่างปลาบปลื้ม เหลือบตาขึ้นถามว่า  ไม่ทราบว่าท่านอ๋องสู้กับพระปีศาจแล้วมีโอกาสชนะบ้างหรือเปล่า? 

พอพูดถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็เริ่มขมวดคิ้ว  ไม่ปิดบังท่านปู่สวรรค์ บัวโลหิตตกอยู่ในมือพระปีศาจแล้ว พระปีศาจไม่ได้เคลื่อนไหวมาหลายปีแล้ว…  เขาเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง

 หึหึ ดูท่าแล้ว ท่านอ๋องก็ไม่พ้นใจอ่อนเหมือนผู้หญิง…  เซี่ยโห้วท่ายิ้มอย่างขื่นขมไม่หยุด สุดท้ายก็ถอนหายใจ  หนานโปมีพรสวรรค์ในเส้นทางการฝึกตน พบเห็นได้ยาก เคล็ดวิชาฝึกตนที่เขาเกี่ยวข้องซับซ้อนมา สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในอดีตของเขา สัมผัสกับวิชาต่างๆ มาอย่างกว้างขวางจนไม่มีใครเทียบเขาได้ ในเมื่อเขาสืบเจอช่องทางในการหลอมสร้างกายหยาบแล้ว อาศัยความสามารถในด้านนี้ของเขา เกรงว่าคงจะไม่มีอะไรผิดพลาด ไม่ได้เคลื่อนไหวมาหลายปีขนาดนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าได้กายหยาบกลับมาแล้ว และในอดีตเขาก็ผงาดขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเขามีเคล็ดวิชาพิเศษ สามารถดูดวรยุทธ์ของคนอื่นมาให้ตัวเองใช้ได้ ตามที่ข้ารู้มา อย่างมากก็หนึ่งหมื่นปี วรยุทธ์ชอ

 หนึ่งหมื่นปี…  เหมียวอี้ขมวดคิ้วมุ่น พวกหยางชิ่งก็ขมวดคิ้วคำนวณเวลาเช่นกัน

เซี่ยโห้วท่าบอกว่า  ตอนนี้พระปีศาจเป็นเหมือนมังกรที่เร้นกายอยู่ในหุบเขา แค่ไม่ส่งเสียงเท่านั้นเอง ถ้าส่งเสียงขึ้นมาสถานการณ์ต้องปั่นป่วนวุ่นวายแน่นอน ท่านอ๋องควรระวังไว้นะ! 

เหมียวอี้เห็นเขาดูไม่ค่อยสะทกสะท้าน จึงอดไม่ได้ที่จะถาม  ว่ากันว่าพระปีศาจควบคุมการเวียนว่ายตายเกิดได้ อย่าบอกนะว่าท่านปู่สวรรค์ไม่กังวล? 

เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจ  ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ข้ากังวลไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ไม่มีกำลังวังชาอย่างนั้นแล้ว ไม่ถึงคราวให้ข้ากังวลเช่นกัน ถ้าเขาควบคุมให้ข้ากลับชาติมาเกิดใหม่ แล้วดึงข้ากลับมาล้างแค้นอีก ถ้าฟื้นฟูความทรงจำของข้ากลับมาก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ใช่ว่าข้าจะไม่มีโอกาสรอดก่อนตาย ข้าสามารถล้มเขาได้รอบหนึ่ง ใครจะรับประกันได้ว่าจะไม่มีรอบสอง? หึหึ เอาเป็นว่าพระปีศาจแหกกฎธรรมชาติเกินไป ฟ้าดินไม่อาจปล่อยไว้ได้แน่นอน เจ้าเวรนั่นถึงขั้นทำเรื่องตัดขาดการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว สุดท้ายคงยากที่จะได้ตายอย่างสงบ ต้องถูกสวรรค์ลงโทษแน่นอน ต่อให้พวกเราจะจัดการไม่ได้ แต่ช้าเร็วก็ต้องมีคนที่สามารถจัดการเขาได้ปรากฏตัวขึ้นมา! ว่าแต่ท่านอ๋องเองเถอะ จะไม่ป้องกันประมุขชิงไม่ได้นะ! 

เรื่องที่ประมุขชิงจะสังหารตัวเอง เหมียวอี้รู้ตั้งนานแล้ว แต่อดไม่ได้ที่จะขานรับแล้วกล่าวอย่างเกรงใจ  ท่านปู่สวรรค์มีความเห็นอันเหนือชั้นเหรอ? 

เซี่ยโห้วท่าหลับตาลงอย่างอ่อนแรง พอรวบรวมกำลังวังชาได้เล็กน้อย ก็เอ่ยปากบอกอีกว่า  แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ท่านอ๋องต้องระวังเอาไว้มากๆ อาจจะมีภัยที่นั่น! 

แดนมรณะดึกดำบรรพ์? พวกเขาสบตากันเวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเน้นเอ่ยถึงแดนมรณะดึกดำบรรพ เหมียวอี้ถามว่า  หมายความว่ายังไงว? 

เซี่ยโห้วท่ากล่าวช้าๆ อย่างไร้เรี่ยวแรงว่า  ข้ารู้จักประมุขชิงดี แค่ท่านอ๋องมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับตระกูลเซี่ยโห้ว ก็เพียงพอที่จะทำให้ประมุขชิงอยากกำจัดภัยที่จะตามมาในภายหลังแล้ว ท่านอ๋องนั่งในตำแหน่งอย่างมั่นคงได้จนถึงทุกวันนี้ ก็อธิบายปัญหาได้เพียงว่า ท่านอ๋องควบคุมทัพใต้ได้อย่างมันคงแล้ว มีการพึ่งพาและอยู่ร่วมกับท่านอ๋องคนอื่นได้ค่อนข้างดี ทั้งยังได้การสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้วอีก ถ้าประมุขชิงอยากจะโค่นล้มท่านอ๋องจากเหตุการณ์ใหญ่ ก็อาจมีความเป็นไปได้น้อย ถ้าลงมือจากเหตุการณ์ใหญ่ไม่ไหว เขาก็ไม่ล้มเลิกที่จะลงมือจากเหตุการณ์เล็กๆ ตอนนี้ท่านอ๋องสามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างสบายดี ก็เพราะประมุขชิงอาจยังหาโอกาสลงมือไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่เกรงใจแบบนี้ จะเห็นได้ว่ายามท่านอ๋องออกข้างนอก ข้างกายมีทหารคุ้มกันแน่นหนา ยากที่จะลงมือได้ การป้องกันในจวนท่านอ๋องก็เข้มงวดยิ่งกว่า ถ้าตัดความเป็นไปได้เหล่านี้ออก ทัพใต้ถูกท่านอ๋องควบคุมไว้อย่างมั่นคง ท่านอ๋องควรจะมีเวลาว่างไปฝึกตนได้แล้ว ถ้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์เหมาะสมกับการฝึกตนของท่านอ๋องที่สุดจริงๆ หลายปีมานี้ เกรงว่าท่านอ๋องคงจะไปบ่อยสินะ? แดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่ใช่สถานที่ที่มีทหารคุ้มกันแน่นหนา ลงมือได้สะดวก ประมุขชิงน่าจะเพ่งเล็งมาตั้งนานแล้ว 

 ทางเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์อยู่ในการควบคุมของข้า ถ้าอยากจะเข้ามาสังหารข้าที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ก็ต้องถามค่าก่อนว่าอนุญาตหรือเปล่า ประมุขชิงพาลทำตามอำเภอใจไม่ได้หรอก!  เหมียวอี้กล่าว

เซี่ยโห้วท่าไม่ได้อธิบายเช่นกัน ไม่มีกำลังจะไปเถียงแล้วด้วย พึมพำกับตัวเองว่า  แดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่ใช่แดนที่มีทหารคุ้มกัน ไม่ได้มีกำลังพลจำนวนมากปกป้องท่านอ๋อง แต่ประมุขชิงก็ไม่รู้ชัดว่าท่านอ๋องมีสถานการณ์อย่างไรเมื่ออยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ โอกาสที่จะส่งองครักษ์เงาเข้าไปลอบสังหารก็มีไม่มาก การลอบสังหารอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ไม่ใช่เรื่องเล็ก มีแต่ต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น ปล่อยให้ผิดพลาดไม่ได้ ดังนั้นประมุขชิงจะต้องส่งกำลังทหารจำนวนมากเข้าไปปฏิบัติการแน่นอน เป็นกองทัพองครักษ์อย่างไม่ต้องสงสัย คนที่ทำให้ประมุขชิงฝากฝังเรื่องสำคัญขนาดนี้ได้ไม่ใช้อู๋ฉวี่ แต่เป็นโพ่จวินที่จะไม่ปฏิเสธหน้าที่นี้ ทั้งตำหนักสวรรค์ คนที่ประมุขชิงเชื่อใจอย่างแท้จริงก็คือโพ่จวิน! ระดมกำลังพลจำนวนมากเกินไปนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะจะถูกคนอื่นสังเกตเห็นได้ง่าย แต่ถ้าพาไปน้อยเกินก็กลัวจะพลาด

กองทัพองครักษ์ส่งกำลังพลสิบล้านคือจำนวนที่เหมาะสมที่สุด ท่านอ๋องอยากจะรู้ไหมว่าประมุขชิงมีเจตนาไม่ซื่อหรือเปล่า สืบไม่ยากหรอก ตระกูลเซี่ยโห้วมีคนบางส่วนอยู่ที่กองทัพองครักษ์ ท่านอ๋องเองก็รู้ ท่านอ๋องแค่ต้องสืบจากหน่วยองครักษ์ซ้ายของโพ่จวิน ดูว่ามีกำลังพลหายไปหรือเปล่า ที่สำคัญคือในบรรดาแม่ทัพคนสนิทของโพ่จวิน มีใครที่ไม่โผล่หน้ามาแล้วหลายปีหรือเปล่า โพ่จวินต้องส่งสมาชิกคนสำคัญให้ออกโรงด้วยตัวเองแน่ ถ้ามีเหตุการณ์อย่างนั้น ท่านอ๋องก็ควรระวังตัวเอาไว้มากๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขชิงกำลังรอโอกาสลงมือ แน่นอน ข้าไม่รู้สถานการณ์ข้างนอกชัดเจน บางทีกองทัพองครักษ์อาจจะไปปฏิบัติภารกิจอื่น แต่ท่านอ๋องก็รู้สถานการณ์ข้างนอกดี กองทัพองครักษ์ได้ใช้งานทหารเป็นเวลานานหรือไม่ น่าจะปิดบังสายตาของท่านอ๋องไม่ได้…แค่พูดจาเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ตาแก่คนนี้ก็แค่บ่นส่งเดชสองสามประโยค ท่านอ๋องแค่ฟังไว้ก็พอ อย่าไปคิดเป็นจริงเป็นจัง! 

เขาบอกว่าแค่บ่นส่งเดชสองสามประโยคเท่านั้น แต่อวิ๋นจือชิวที่ฟังอยู่ข้างๆ กลับทำสายตาระแวงสงสัยไม่หยุด ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้

เหมียวอี้ไม่สะทกสะท้านเห็น เซี่ยโห้วท่าพูดจบแล้วทำสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ก็พูดตามมารยาททันทีว่าให้เขาพักผ่อนก่อน นอกจากเหยียนซิวแล้ว คนอื่นๆ ก็ออกไปหมด

พอออกจากห้องสมาธิ เหมียวอี้ก็เริ่มมีสีหน้าจริงจัง มุ่งตรงไปที่ห้องหนังสือ หลังจากเงียบไปนานก็จ้องพู่กันบนโต๊ะพลางถามเสียงเรียบว่า  ยังไม่ได้ข่าวจากคนพวกนั้นของกองทัพองครักษ์อีกเหรอ? 

เขากำลังพูดถึงลูกน้องเก่าที่กองทัพองครักษ์ของเขาในปีนั้น ตามปกติจะติดต่อกันเป็นระยะ แต่ห้าพันปีก่อนจู่ๆ ก็ขาดการติดต่อไปสิบกว่าคน

อวิ๋นจือชิวกัดริมฝีปาก  ไม่ได้ข่าวเลย ไม่รู้ว่าเกิดปัญหาอะไร…  นางชะงัก แล้วพูดเสริมช้าๆ อีกว่า  ล้วนเป็นคนฝั่งหน่วยองครักษ์ซ้าย! 

………………

 

โพ่จวินมองประมุขชิง แล้วก็มองซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนอีก ไม่เห็นเกาก้วนกับอู๋ฉวี่ จะเห็นได้เลยว่าไม่อยากให้คนรู้เยอะเกินไปเพื่อจัดการเรื่องนี้อย่างเป็นความลับ มองออกเช่นกันว่าประมุขชิงจะต้องกำจัดหนิวโหย่วเต๋อให้ได้ หนิวโหย่วเต๋อกลับตระกูลเซี่ยโห้วสมคบกันแล้ว กลายเป็นตะปูที่ตำตาฝ่าบาทแล้ว หลายปีมานี้เกรงว่าคงคิดหาโอกาสลงมือมาตลอด ไม่ยอมให้อีกฝ่ายเติบโตยิ่งใหญ่ไปกว่านี้!

ทว่าเรื่องนี้เขาก็ทำได้เพียงสนับสนุน แม้เขาจะคิดว่าพระปีศาจหนานโปต่างหากที่เป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด ตามหลักแล้วต้องรวมพลังกับหนิวโหย่วเต๋อเพื่อกำจัดพระปีศาจหนานโปก่อนถึงจะเป็นกลยุทธ์ชั้นหนึ่ง แต่พระปีศาจหนานโปคือสิ่งที่มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ ผ่านไปหลายพันปีแต่ก็ไม่เห็นว่าพระปีศาจจะมีความเคลื่อนไหวอะไร แต่อันตรายที่หนิวโหย่วเต๋ออาจจะนำมานั้นคือเรื่องจริงที่อยู่ตรงหน้าแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ฝ่าบาทจะหยุดทำบางอย่างกะทันหันเพราะพระปีศาจ มองข้ามการเติบโตของหนิวโหย่วเต๋อต่อไป

หลังจากเงียบไปครู่เดียว โพ่จวินก็ถามอีกว่า  ฝ่าบาทอยากจะส่งกำลังพลหน่วยองครักษ์ซ้ายเข้าไปเท่าไหร่? 

 เจ้าต้องเตรียมกำลังพลสิบล้านอย่างเป็นความลับ เตรียมพร้อมใช้งานได้ทุกเมื่อ!  ประมุขชิงกล่าว

โพ่จวินขมวดคิ้ว  กำลังพลสิบล้าน? ถ้าทหารที่เฝ้าอยู่ข้างนอกได้ข่าวแล้วเข้าไปสนับสนุน เกรงว่าคงจะยุ่งยากนิดหน่อย 

 ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากระดมกำลังพลจำนวนมาก แต่กำลังพลสิบล้านถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว เรื่องนี้ใช่ว่าพอคนไปแล้วจะหาโอกาสลงมือได้ ถ้ากำลังพลจำนวนมากหายไปนานก็จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย เรื่องนี้จะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะพลาดโอกาสดี ส่วนกองทัพที่เฝ้าอยู่ด้านนอกจะไปสนับสนุนหรือไม่ ก็ยังต้องดูประสิทธิภาพในการลงมือของเจ้า รีบกำจัดหนิวโหย่วเต๋อโดยเร็ว ทัพใต้ที่เป็นมังกรไร้หัวจะต้องกระจัดกระจายแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งทัพใต้จะเชื่อฟังคนตายและร่วมมือกันต่อต้านกองทัพองครักษ์! ถ้าชักช้าไม่กำจัดทิ้งเสียที ต่อให้ข้าส่งกำลังพลไปมากกว่านี้ แต่ทหารที่เฝ้าอยู่ด้านนอกก็บุกเข้าไปช่วยหนิวโหย่วเต๋อได้อยู่ดี จากนั้นกองหนุนก็จะเข้ามาไม่จบไม่สิ้น เข้ามาแล้วดึงกำลังพลฝ่ายอื่นเข้ามาร่วมด้วย! โพ่จวิน อย่าบอกนะว่าทับเกรียงไกรสิบล้านจัดการหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวไม่ได้? ข้าจะส่งองครักษ์เงาไปช่วยอีกกลุ่ม!  ประมุขชิงกล่าว

คดีขององครักษ์เงาส่งให้หน่วยตรวจการขวากับกองทัพองครักษ์ร่วมมือกันสืบ แต่สุดท้ายก็จืดไม่เจอผลลัพธ์อะไร บวกกับข่าวลือในตอนหลังก็บอกอีกว่าพระปีศาจหนานโปเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องช่วยเหลือหลินอ้าวเสวี่ย ฝั่งนี้สงสัยว่ากัวเหยียนถิงถูกพระปีศาจควบคุมแล้วหรือเปล่า มีซ่างกวนชิงคอยพูดให้ท้ายอยู่ข้างกายประมุขชิง สุดท้ายก็ทำได้เพียงฝืนจบเรื่องนี้ ส่วนผลที่ตามมาก็คือ เห็นได้ชัดว่าประมุขชิงไม่กล้านำงานป้องกันรักษาส่งต่อให้องครักษ์เงาทั้งหมด กองทัพองครักษ์รับหน้าที่แทนองครักษ์เงาบางส่วนแล้ว

สุดท้ายโพ่จวินก็กุมหมัดคารวะ  ข้าน้อยน้อมรับบัญชา! 

 ดี!  ประมุขชิงคว้าข้อมือเขา แล้วกำชับโดยละเอียดว่า  ต้องให้ความร่วมมือกับฝั่งซือหม่า จำไว้ เรื่องนี้จะต้องปิดข่าวให้สนิท อย่าให้มีข่าวอะไรหลุด ห้ามแหวกหญ้าให้งูตื่นเด็ดขาด! 

ปกติแม้โพ่จวินจะต่อต้านประมุขชิงบ่อยๆ ทว่ายามเจอกับเรื่องแบบนี้ ประมุขชิงไม่เรียกหาอู๋ฉวี่ แต่เรียกให้โพ่จวินมาจัดการ ถ้ามองจากบางมุม จะเห็นได้ว่าประมุขชิงเชื่อใจโพ่จวินมากกว่า

 ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!  โพ่จวินพยักหน้า

ไม่รู้ว่ามนุษย์ในโลกเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วกี่ครั้ง ผ่านไปทีละพันปี ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าพันปีแล้ว

ในอุโมงค์น้ำแข็งแห่งหนึ่งของทุ่งน้ำแข็งโบราณ หมอกพลังจิตวิญญาณสลายไป แม้เหมียวอี้จะบรรลุระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นสองแล้ว แต่บนสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วตอนนี้กลับมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไร นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าระดับสำแดงฤทธิ์ซ่อนแฝง!

พอลืมตาขึ้นมา เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมา เป็นข้อความจากเหยียนซิว อายุขัยของเซี่ยโห้วท่าใกล้เข้ามาแล้ว ครั้งนี้ใกล้เข้ามาถึงแล้วจริงๆ เซี่ยโห้วท่าอยากจะพบเขา!

ว่ากันว่าหงส์ที่ตกจากฟ้ายังสู้ไก่ไม่ได้ ที่สิ่งเหมียวอี้ไม่ต้องสนใจเซี่ยโห้วท่าในตอนนี้เลยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้เซี่ยโห้วท่ามารบกวนการฝึกตนของตัวเอง แต่ต่อให้เป็นหงส์ที่ตกอับก็ยังแตกต่างกับไก่บ้าน เส้นสนกลในต่างกัน! อย่างน้อยหงส์ที่ตกอับก็ยังมีช่องทางให้เหมียวอี้สื่อสารได้ ยังมีโอกาสให้พบกันได้ แต่ไก่บ้านก็ต่อให้กระโดดโลดเต้นอย่างไรก็ยังเป็นไก่บ้าน เหมียวอี้ไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นด้วยซ้ำ นี่ก็คือความเป็นจริง

เหมียวอี้เก็บระฆังดาราแล้วออกจากอุโมงค์น้ำแข็ง ปล่อยตั๊กแตนทมิฬตัวหนึ่งออกมา ขี่มันทะยานขึ้นฟ้าไป ไม่รบกวนการฝึกตนของเฮยทั่น

บินผ่านดินแดนหนาวเหน็บรกร้างที่สูงต่ำไม่เสมอกัน หลังจากออกจากรอยแยกกลางอากาศแล้วก็เหยียบลงพื้น เหมียวอี้เก็บตั๊กแตนทมิฬ แล้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับภายนอกอีกครั้ง

ทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ด้านนอก มีการระดมกำลังพลของทัพใหญ่อย่างรวดเร็ว หนึ่งในนั้นคือเตรียมพร้อมว่ารอบด้านมีสถานการณ์ของศัตรูที่น่าสงสัยหรือไม่ ค่ายกลใหญ่ที่มีแสงสีขาวหมุนวนปิดสนิท แสงสีขาวเคยจางหายไปตรงทางเข้าปรากฏขึ้นด้านหลังอีกครั้ง

ผ่านไปครู่เดียว เงาร่างของเหมียวอี้ก็ถลันออกมาอย่างรวดเร็ว กำลัพลทัพอารักขากลุ่มหนึ่งรออยู่ข้างนอก คุ้มครองเหมียวอี้จากไป

กำลังพลที่เฝ้าอยู่ตรงทางเข้าเริ่มรวมตัว ตอนที่เปิดใช้ค่ายกลใหญ่เพื่อปิดทางเข้าอีกครั้ง แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งที่ชื่อซูฮุยหวงก็รีบกวาดสายตามองโดยรอบ ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครระวังตัวดีดแหวนเก็บสมบัติออกมาวงหนึ่ง ก่อนที่แสงสีขาวจะปิดทางเข้า แหวนเก็บสมบัติกระเด็นเข้าไปในทางเข้าแล้ว

ซูฮุยหวงรีบสังเกตโดยรอบอีกครู่หนึ่ง เมื่อไม่มีใครสังเกตเห็น ก็ถอนหายใจอย่างแรงด้วยความโล่ง แล้วตามหลังกำลังพลของตัวเองไปยังตำแหน่งที่ถูกกำหนดไว้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความจริงยังคงหวาดระแวงกลัว เพราะถ้าถูกจับได้เรื่องนี้ ไม่ต้องสงสัยเลย ต่อให้มีหนึ่งหมื่นหัวก็ไม่พอให้ประหาร อยู่ในทัพใหญ่ไม่มีทางหนีไปไหนได้เลย

แต่ก็ไม่มีทางเลือก แมลงวันไม่ตอมไข่ที่ไม่มีรอยแตก ถ้าถูกเพ่งเล็งเมื่อไหร่เจ้าก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้แล้ว ถ้าไม่มีจุดอ่อนของเจ้า อีกฝ่ายก็ไม่กล้าเสี่ยงมาใช้งานเจ้าหรอก

ที่จริงเขาถูกบงการให้ทำเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว ก่อนหน้านี้เหมียวอี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเข้าออก เพียงแต่หาโอกาสลงมือไม่ได้ เพราะตอนที่เปิดใช้งานค่ายกลใหญ่ ตำแหน่งที่เขาอยู่อาจไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้เขาลงมือทุกครั้ง กำลังพลที่ป้องกันก็มีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายตลอด จุดประสงค์ก็คือป้องกันไม่ให้ถูกคนที่คิดไม่ซื่อใช้ประโยชน์ บางครั้งจุดที่เขาอยู่ก็ได้เปรียบ แต่กลับเหมียวอี้ไม่ออกมา รอจนกระทั่งเหมียวอี้ออกมา เขาก็ถูกย้ายออกจากจุดที่ได้เปรียบนี้ไปแล้ว ครั้งนี้ในที่สุดเขาก็เจอโอกาสแล้ว

ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงกำลังเอามือไขว้หลังรอคอย ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนอยู่ข้างๆ

โพ่จวินรีบร้อนเข้ามาทำความเคารพ ประมุขชิงบอกใบ้เขาว่าไม่ต้องมากพิธี ในดวงตาเป็นประกายตื่นเต้นดีใจ กล่าวเสียงต่ำว่า  หน่วยตรวจการซ้ายทำสำเร็จแล้ว ต่อไปก็ต้องดูฝั่งเจ้าแล้ว! 

ในใจโพ่จวินรู้สึกสะท้อนใจ เพื่อที่จะรอโอกาสลงมือแบบนี้ กำลังพลนับสิบล้านซ่อนตัวอยู่เงียบๆ มาแล้วหลายพันปี นับว่าตั้งอกตั้งใจอย่างแท้จริง ถ้าลงมือพลาดขึ้นมาเกรงว่าเขาคงหนีไม่พ้นโทษ จึงต้องกล่าวอย่างระวังว่า  ฝ่าบาทแน่ใจนะว่าอีกไม่นานหนิวโหย่วเต๋อจะกลับไป? 

สำหรับเรื่องนี้ประมุขชิงก็รับประกันไม่ได้เช่นกัน ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า  รับประกันได้ยาก หนิวโหย่วเต๋อออกไปครั้งนี้แปลกนิดหน่อย ตามข่าวที่ส่งมาจากที่ต่างๆ ของทัพใต้ ในอาณาเขตทัพใต้เหมือนจะไม่มีความเคลื่อนไหวใหญ่ตัวอะไร ไม่รู้ว่าครั้งนี้ทำไมหนิวโหย่วเต๋อจึงออกไปกระทันหัน แต่โอกาสนี้ก็หาได้ยาก สายลับที่แทรกไว้ที่ฝั่งนั้นผลัดกันเข้าเวรปฏิบัติหน้าที่มาหลายปีขนาดนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้โอกาสนี้ มีหรือที่จะปล่อยให้พลาด ถ้าพลาดแล้วก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกกี่ปี ยิ่งไปกว่านั้นก็ส่งกำลังพลสิบล้านออกไปแล้วด้วย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องลองดู! 

 ที่พูดก็มีเหตุผล!  ประมุขชิงพยักหน้า จ้องโพ่จวินพลางกล่าวเสียงต่ำ  บอกให้คนของเจ้าเตรียมตัวให้ดี! 

โพ่จวินเตือนอีกครั้ง  ฝ่าบาท ทำต้องคิดดูให้ดีนะ ไม่มีเรื่องไหนแน่นอน ถ้าพลาดขึ้นมา… 

ประมุขชิงพูดตัดบทว่า  ต่อให้พลาดแล้วยังไง? ด้วยศักยภาพของเขาตอนนี้ยังไม่กล้าแต่คอกับข้าหรอก ต่อให้เสียเปรียบก็ไม่กล้าประกาศ อย่างมากข้าก็เสียกำลังพลสิบล้านนั่นไป แล้วข้าก็ไม่เชื่อด้วยว่ากำลังพลสิบล้านนั่นจะจัดการเขาไม่ได้ โอกาสชนะของข้ามีมากกว่าเขาตั้งเยอะ! ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เริ่มเถอะ! 

 ข้าน้อยน้อมรับบัญชา!  โพ่จวินออกแรงกุมหมัดคารวะ จากนั้นก็หยิบระฆังดาราออกมาถ่ายทอดคำสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

บนทะเลทรายหินแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลทางเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ มีแหวนเก็บสมบัติวางนอนอยู่เงียบๆ กำลังสัมผัสถึงกลิ่นอายโบราณของที่นี่

หลังจากนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน จู่ๆ แหวนเก็บสมบัติที่เคยนิ่งเงียบก็สั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็มีเสียงระเบิดพร้อมผงโลหะ เงาคนสิบเอ็ดคนออกมาท่ามกลางฝุ่นตลบอบอวลนั้น

สิบเอ็ดคนสบตากันแวบหนึ่ง ชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่เป็นหัวหน้าชื่อว่าซีเหมินอู๋เหย่ เป็นหนึ่งในผู้ช่วยของผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายโพ่จวิน เพื่อที่จะทำภารกิจครั้งนี้ ถึงกับยอมใช้งานผู้ช่วยผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายแล้ว จะเห็นได้ว่าให้ความสำคัญกับภารกิจครั้งนี้ขนาดไหน

เมื่อสิบเอ็ดคนนี้โผล่หน้ามา ซีเหมินอู๋เหย่ก็รีบกวาดสายตามองไปโดยรอบ พอส่งสัญญาณมือ สิบคนที่อยู่ข้างกายก็รีบโบกมือปล่อยคนออกมาหนึ่งพันคน

พอหนึ่งพันคนนี้ได้รับคำสั่ง ก็วิ่งตะบึงออกไปสี่ด้านแปดทิศทันที สำรวจโดยรอบจนทั่ว

ก็ช่วยไม่ได้ พื้นที่นี้มีลักษณะพิเศษเกินไป นักพรตไม่สามารถเหาะเหิน แน่นอนว่าได้เตรียมสัตว์พาหนะที่บินได้มาด้วยแล้วเช่นกัน แต่สัตว์พาหนะที่บินได้โดยทั่วไปก็ยากจะทนต่อสภาพแวดล้อมของที่นี่ไหว ตอนนี้ยังไม่ต้องใช้จะดีกว่า และถ้าบินสูงเกินไปก็จะเปิดโปงตัวเองได้ง่าย ถ้าหนิวโหย่วเต๋อส่งสายลับที่ไม่กลัวปราณชั่วร้ายเอาไว้ในนี้ล่ะ?

หมอกสีเทากลุ่มหนึ่งวนเวียนเข้ามาอยู่รอบกาย เงาร่างของซีเหมินอู๋เหย่ขยับเล็กน้อย มีเสียงดังพรึ่บ ร่างกายมีเพลิงเดือดโผล่ออกมา เผาไหม้หมอกสีเทาที่รุกรานเข้ามาจนมีเสียงดังฉ่าๆ ไม่สามารถรุกล้ำเข้ามาถึงตัวเขาได้สักนิด

ผ่านไปไม่นาน สิบคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็ทยอยกันปล่อยเพลิงเดือดออกมาจากตัวเช่นกัน ต่อต้านการชั่วร้ายของสถานที่นี้ แม่ทัพหลักสิบคนที่มาที่นี่เป็นคนที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟ จะเห็นได้ว่าใช้ความคิดมากขนาดไหนเพื่อให้สามารถลอบสังหารเหมียวอี้ที่นี่ได้อย่างราบรื่น

ไม่ใช่แค่แม่ทัพหลักสิบเอ็ดคนนี้ กำลังพลพันคนที่กระจายตัวกันไปสำรวจพื้นที่ก็ทยอยกันปล่อยเพลิงเดือดออกมาเช่นกัน

รอจนกระทั่งกวาดล้างสายลับที่อยู่โดยรอบและรายงานกลับมาแล้ว แน่ใจแล้วว่าไม่พบสายลับคนอื่น ซีเหมินอู๋เหย่ก็พยักหน้าให้ทั้งซ้ายและขวา  ทำตามแผนดักซุ่มที่กำหนดไว้ เริ่มเตรียมตัวเถอะ! 

สิบคนนี้รีบแยกย้ายกัน วิ่งไปยังตำแหน่งที่ที่ถูกกำหนดไว้แล้ว

ส่วนซีเหมินอู๋เหย่ก็ปล่อยทัพใหญ่หนึ่งล้านออกมาตรงบริเวณทางเข้าออก เพียงชั่วพริบตาเดียว กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่หนาแน่นก็ครอบคลุมพื้นที่ทางออกไปหมดแล้ว

 หา! 

ไอหมอกสีชมพูกลุ่มหนึ่งกระเพื่อมมาบนเกราะรบของของทหารคนหนึ่ง แล้วหดกลายเป็นเป็นลำแสงสีแดงอย่างรวดเร็ว แล้วซึมเข้าไปในรอยแยกของเกราะรบ กัดกร่อนร่างกายที่มีเลือดเนื้อเร็วมาก คนคนนี้ไม่ทันตั้งตัวและไม่เข้าใจสถานการณ์ ร้องออกมาอย่างเจ็บปวดราวกับโดนจู่โจม

ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวเท่านั้น พอทัพใหญ่หนึ่งล้านออกมา ก็มีคนไม่น้อยปะทะกับหมอกสีต่างๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นเพราะหมอกประหลาดที่ลอยอยู่ที่นี่มีเยอะเกินไป และหมอกพวกนี้ก็เริ่มมีวิญญาณขั้นต้นบ้างแล้ว พอพบเห็นสิ่งที่มีชีวิตก็จะเป็นฝ่ายเข้ามาใกล้ ชั่วขณะนั้นมีคนไม่น้อยเริ่มร้องโวยวาย ทัพใหญ่เกิดความวุ่นวายเสียระเบียบ คนจำนวนมากขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟกันหมด

ที่สำคัญคือเพื่อรักษาความลับ ก่อนหน้านี้คนส่วนใหญ่ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะไปปฏิบัติภารกิจอะไร ไม่รู้ด้วยว่าต้องไปที่ไหน ไม่รู้ว่าต้องเข้ามาที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ไม่ได้เตรียมใจเลยสักนิด รอจนรู้ตัวแล้ว ก็ทยอยกันร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทานไอหมอก แล้วก็พบว่าการกัดกร่อนของไอหมอกพวกนั้นน่าตกใจมาก แม้แต่เกราะอิทธิฤทธิ์ก็ยังกัดกร่อนได้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปช้าเร็วก็ต้องใช้พลังอิทธิฤทธิ์สิ้นเปลืองจนหมด ไม่มีทางอดทนได้นาน

……………

 

พูดจาโอ่อ่าสง่าผ่าเผยขนาดนี้ อวิ๋นจือชิวนับถือก็ส่วนนับถือ ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะด่าเขาว่าอะไรดี ในมุมมองของผู้หญิง นางไม่ชอบการกระทำอย่างนี้ นางเพียงอยากถามสักคำว่า หยางชิ่งทำอย่างนี้จะให้ฉินซีทนความรู้สึกได้อย่างไร? แม้ผู้ชายในโลกนี้จะมีภรรยาเยอะเป็นเรื่องปกติ แต่หยางชิ่งมองข้ามการมีอยู่ของฉินซี พูดจาอย่างมั่นอกมั่นใจและทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้ซูอวิ้น พฤติกรรมลำพองใจแบบนี้ทำให้นางไม่ชอบ

ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น สมมุติว่าเหมียวอี้กล้าทำอย่างนี้ อวิ๋นจือชิวจะต้องสู้ตายกับเหมียวอี้แน่นอน ก็ใช่! อนุภรรยาในจวนท่านอ๋องมีเป็นโขยงนั้นไม่ผิด แต่นั่นเป็นเพราะอีกเหตุผลหนึ่ง นางเผชิญหน้ากับสังคมนี้ก็เลยยอมรับแล้ว แต่ถ้าเหมียวอี้กล้าทำอย่างเปิดเผยเหมือนหยางชิ่ง นางก็ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด!

ค่านิยมในสังคมก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ในสายตาของเหมียวอี้ การที่หยางชิ่งทำอย่างนี้ก็ไม่มีอะไรผิด เมื่อเทียบกับเขาแล้ว หยางชิ่งค่อนข้างควบคุมตัวเองได้ดีในด้านผู้หญิง ดังนั้นจึงคิดเสียว่าได้เห็นละครตลกฉากหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังไม่คิดจะให้หยางชิ่งกลับไปที่แดนอเวจีตอนนี้ เพราะยืมมือหยางชิ่งปรับปรุงกำลังพลแดนอเวจีไปพอสมควรแล้ว เหมียวอี้ไม่อยากให้หยางชิ่งควบคุมต่อไป จะได้ไม่อำนาจเยอะแล้วควบคุมยาก

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เขาไม่อยากให้อำนาจทางทหารที่แดนอเวจีตกอยู่ในมือหยางชิ่ง ก่อนที่จะกลับมาจากแดนอเวจี เขาก็ปรึกษากับบุคคลระดับสูงของหกลัทธิอย่างเป็นทางการ แบ่งอำนาจมหาศาลในแดนอเวจีออกเป็นส่วนๆ การเข้าร่วมงานแต่งงานของอวิ๋นรั่วซวงเป็นเพียงจุดเปลี่ยนแปลงเท่านั้น เท่ากับปล้นอำนาจของหยางชิ่งที่หกลัทธิไปจนหมดแล้วเช่นกัน

ตอนที่เขากลับมาก็พาชิงจวี๋ออกจากแดนอเวจีด้วยเช่นกัน ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ไม่ให้หยางชิ่งกลับไปอีก หยางชิ่งเองก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่แดนอเวจีอีกเช่นกัน

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าหยางชิ่งตระหนักได้ถึงจุดนี้แล้วหรือเปล่า ควบคุมดูแลงานที่แดนอเวจีมาหลายปีขนาดนั้น หลังจากเหมียวอี้กลับมาจากแดนอเวจีแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องที่แดนอเวจีกับหยางชิ่งแม้แต่น้อยเลย ถามก็ไม่ถามอะไรด้วย ราวกับเรื่องที่แดนอเวจีไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับหยางชิ่งเลยสักนิด ทำท่าเหมือนกระตือรือร้นอยากจะเอาชนะซูอวิ้นให้ได้ ทำตัวเหมือนเอาสมาธิทั้งหมดไปลงกับเรื่องความรัก

เหมียวอี้ไม่สนว่าหยางชิ่งรู้แล้วหรือเปล่าหรือว่ามีความคิดอะไร แต่ท่าทีที่หยางชิ่งให้ความร่วมมือทำให้เขาดีใจมาก ตราบใดที่หยางชิ่งให้ความร่วมมือแต่โดยดี ทุกอย่างก็คุยง่าย อย่าว่าแต่ซูอวิ้นคนเดียวเลย ขอเพียงเหมียวอี้หามาให้ได้ ต่อให้เป็นซูอวิ้นพันคนหมื่นคน ขอเพียงหยางชิ่งต้องการเขาก็ให้ได้!

เข้าใจทุกอย่างโดยไม่ต้องพูด เหมียวอี้ไม่ได้รู้สึกขัดใจหรือเซ็งเหมือนอวิ๋นจือชิว เพียงยิ้มเรียบๆ พลางกำชับว่า  แม้หญิงงามจะดี แต่ก็อย่าให้เป็นอุปสรรคต่อการทำงานจะดีกว่า! 

 รับทราบ!  หยางชิ่งกุมหมัดเอ่ยรับ

แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ตรงจุดที่มีรอยแยกไม่หยุดหย่อน เหมียวอี้ถลันตัวออกมาเหยียบลงพื้น เดินสังเกตการณ์บริเวณรอบๆ แล้วโบกมือปล่อยเฮยทั่นออกมา

มาฝึกวิชาที่นี่ก็ย่อมต้องพาเฮยทั่นกลับมาฝึกด้วยกัน ตอนนี้เฮยทั่นสามารถเหาะที่นี่ได้แล้ว ทั้งยังเป็นพลังเท้าให้เขาได้ด้วย

เมื่อเห็นแดนมรณะดึกดำบรรพ์อีกครั้ง เฮยทั่นที่ปรากฏตัวที่นี่ก็ตื่นเต้นดีใจมาก ร่างกายยืดยาวขึ้น กลายเป็นมังกรดำตัวใหญ่ทะยานขึ้นไปบินวนบนท้องฟ้า เงยหน้าคำรามลากเสียงยาวประกาศว่าตัวเองกลับมาแล้ว

ตอนที่อยู่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ เขาคิดแต่จะออกไปเที่ยวข้างนอก ตอนอยู่ที่จวนท่านอ๋องเขาก็คิดอยากกลับมาเจอเทพสตรีเผ่าหงส์บ่อยๆ เป็นเพราะตอนอยู่ข้างนอกเหมียวอี้ควบคุมเข้มงวดเกินไป เหมียวอี้อยู่ในตำแหน่งนั้นแล้วก็ต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี ไม่มีทางส่งเสริมให้ลูกน้องคนสนิททำตัวเหลวไหลจนสร้างผลกระทบที่ไม่ดี ถามหน่อยว่าถ้าเป็นแบบนี้ เฮยทั่นอยู่ที่จวนท่านอ๋องแล้วยังจะมีความหมายอะไร?

เมื่ออยู่ที่นี่เขาสามารถกระโดดโลดเต้นไปทั่วได้ สามารถหลับหูหลับตาเล่นสนุกได้เต็มที่ เมื่อเทียบกันแล้วมีอิสระยิ่งกว่า ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีเทพสตรีเผ่าหงส์ที่เขาชอบด้วย

หลังจากเหาะระบำอยู่บนฟ้าอย่างตื่นเต้นดีใจพักหนึ่ง ก็เห็นเหมียวอี้พลันกระโดดขึ้นมา เฮยทั่นรีบพุ่งลงไปเอาหัวช้อน แบบเหมียวอี้เหาะไปยังหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ…

เพียงชั่วดีดนิ้ว ผ่านไปแล้วสามพันปี!

หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ ตรงตีนเขาริมทะเลสาบหินหนืด หมอกพลังจิตวิญญาณที่กระเพื่อมหายไปเร็วมาก หินก้อนหนึ่งริมทะเลสาบหินหนืดเริ่มปรากฏให้เห็น เผยร่างที่กำลังนั่งขัดสมาธิของเหมียวอี้ หมอกพลังจิตวิญญาณดูดกลับเข้าในร่างกายเหมียวอี้อย่างรวดเร็ว ส่วนตรงหว่างคิ้วของเหมียวอี้ก็มีสัญลักษณ์พลังเปลวเพลิงสีทองปรากฏให้เห็น แวววาวสะดุดตา อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ก็มองเห็นได้ และรอบกายเหมียวอี้ก็เกิดคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ในขอบเขตที่ใหญ่มาก เป็นคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ไร้ความเสถียร

สองมือของเหมียวอี้ใช้วิชาดัชนีไม่หยุด พยายามควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดอยู่ในร่างกายอย่างสุดชีวิต จะต้องควบคุมไม่ได้ เสียการควบคุมไม่ได้เด็ดขาด!

ในสระเพลิงมังกรบนภูเขา เปลวเพลิงเดือดที่เหมือนมังกรเลื้อยพลันกลายเป็นหัวมังกรเพลิงที่ดุร้ายเปี่ยมพลังอำนาจตัวหนึ่ง ดวงตาเพลิงกำลังจ้องแสงระยิบระยับนอกปากถ้ำ

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม ลำแสงก็เริ่มหายไปทีละนิด คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่วุ่นวายก็เริ่มสงบลงแล้วเช่นกัน หัวมังกรเพลิงพลันสลายไปอีก กลับมาเป็นเปลวเพลิงที่เหมือนมังกรเลื้อยอีกครั้ง

เหมียวอี้ทีนั่งขัดสมาธิอยู่บนหินริมทะเลสาบหินหนืด ใช้ฝ่ามือของข้างกดช้าช้าๆ ตรงหน้าอกลงไปถึงจุดตันเถียน ลำแสงตรงกว่างคิ้วหายไปหมดสิ้น สัญลักษณ์พลังเปลวเพลิงสีทองที่เป็นเหมือนเงาแนบติดตรงหว่างคิ้วเหมือนเป็นของจริง เป็นลายเปลวเพลิงสีทองจางๆ!

เหมียวอี้พลันลืมตา ดวงตาทั้งคู่คมกริบ พลังอิทธิฤทธิ์หมุนวน สองเขนพลันระเบิดออก ทั้งตัวแยกเป็นสิบร่าง เหมียวอี้เก้าคนที่หน้าตาเหมือนกันเด้งออกมาจากร่างเดิมที่กำลังนั่งสมาธิ มาตกลงที่ตีนเขาด้านหลัง ยืนในระดับความสูงที่ต่างกัน จ้องเงาหลังเหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ริมทะเลสาบพร้อมกัน กำลังมองประเมินกันและกัน

เหมียวอี้ที่พ่นลมหายใจออกมาช้าๆ หลับตาลงอีกครั้ง

เหมียวอี้อีกเก้าคนพลันต่างคนต่างวิ่งออกไป วิ่งไปทั่วสารทิศอย่างอิสระบนภูเขาสูง

ร่างเดิมนั่งขัดสมาธิไม่ขยับไปไหน กำลังสัมผัสความรู้สึกที่เป็นหนึ่งเดียวระหว่างทั้งสิบคน ใจเชื่อมถึงกันอย่างแท้จริง สิ่งที่ทั้งสิบคนได้ยินและได้เห็นล้วนอยู่ในการรับรู้ของกันและกัน ความรู้สึกแบบนี้อัศจรรย์มากจริงๆ

เหมียวอี้เริ่มสัมผัสได้ถึงข้อเสียเช่นกัน พลังอิทธิฤทธิ์ของร่างทิพย์ไม่อาจใช้อย่างต่อเนื่องได้ เหมือนพลังที่มีอยู่เต็มกำลังถูกใช้ให้หมดเปลืองไปอย่างช้าๆ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีก นอกเสียจากร่างทิพย์จะฝึกวิชาเอาเอง แต่ผลที่ตามมาทำให้เหมียวอี้ไม่กล้าทดลอง ถ้าทำอย่างนั้นจริงๆ เมื่อร่างทิพย์ฝึกตนเองได้จนทำลายความสมดุล สำนึกได้ว่าตัวเองแยกตัวเป็นอิสระได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะกลายไปเป็นอีกคนหนึ่ง ไม่กลับมารวมเป็นหนึ่งเดียวอีก!

และการนำพลังอิทธิฤทธิ์ของคนคนเดียวไปให้คนใช้สิบคน พลังอิทธิฤทธิ์ก็จะสิ้นเปลืองจนน่าตกใจมาก!

ร่างทิพย์เก้าร่างไปถึงบนยอดเขาแล้ววิ่งตะบึงลงมา ทยอยกันวิ่งไปหาร่างที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ริมทะเลสาบ หลอมรวมเข้าไปในร่างหลักทีละคน

เหมียวอี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง อมยิ้มเล็กน้อย บรรลุวรยุทธ์ระดับระดับสำแดงฤทธิ์อย่างเป็นทางการ…

วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร โพ่จวินมาถึงแล้ว เดินก้าวยาวตรงเข้ามา ในตำนักนอกจากประมุขชิงแล้ว ยังมีซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนอยู่ด้วย ประมุขชิงไม่ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งตัวเอง กำลังยืนสุมหัวพึมพำบางอย่างกับอีกสองคนอยู่กลางตำหนัก

โพ่จวินก้าวขึ้นมาทำความเคารพประมุขชิง  ฝ่าบาท! 

ประมุขชิงขานรับ แล้วพยักหน้าให้ซือหม่าเวิ่นเทียน  เจ้าบอกสถานการณ์ให้เขารู้สักหน่อย 

ซือหม่าเวิ่นเทียนมองโพ่จวินแล้วกระแอมหนึ่งที โพ่จวินชำเลืองเขาอย่างเย็นเยียบ ไม่รู้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบแทนด้วยใบหน้ายิ้ม  คืออย่างนี้นะ หนิวโหย่วเต๋อมีความคิดไม่ซื่อมาตั้งแต่แรกแล้ว หน่วยตรวจการซ้ายจับตาดูและรายงานฝ่าบาทมาตลอด ตอนนี้ยืนยันได้แล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อใช้เวลาส่วนใหญ่ฝึกตนอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ 

โพ่จวินกล่าวเสียงเรียบว่า  ตอนนี้ยังต้องยืนยันอีกเหรอ? แดนมรณะดึกดำบรรพ์เหมาะสมกับการฝึกตนของหนิวโหย่วเต๋อ ทางเข้าก็มีทหารเฝ้าแน่นหนา เสริมการป้องกันยิ่งกว่าเดิม ต่อให้ใช้ก้นคิดก็รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อเข้าไปฝึกตนในแดนมรณะดึกดำบรรพ์บ่อยแน่นอน ยังต้องจับตาดูอีกเหรอ? 

แค่ประโยคเดียวก็ทำให้ผลงานของหน่วยตรวจการซ้ายไร้ราคาทันที ประมุขชิงเผยสีหน้าแปลกๆ

พูดแบบนี้ต่อหน้าฝ่าบาท ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มไม่ออกทันที  จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะจับตาดู เจ้าจะรู้เหรอว่าเมื่อไหร่ที่เขาอยู่ข้างนอกเมื่อไหร่ที่เขาอยู่ข้างใน? 

ที่เขาพูดอย่างนี้ก็ไม่ผิด หลายปีมานี้ก็ใช่ว่าเหมียวอี้จะอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ตลอดโดยไม่ได้ออกมา ข้างนอกมีเรื่องที่ต้องให้เขาออกหน้าจัดการด้วยตัวเองอยู่แล้ว เขาเองก็ต้องออกมาเช่นกัน ไปกลับระหว่างข้างนอกและข้างในจนเป็นเรื่องปกติแล้ว

 ข้าจำเป็นต้องสนใจเรื่องนี้ด้วยเหรอ?  โพ่จวินถามอย่างเย็นชา

 …  ซือหม่าเวิ่นเทียนพูดไม่ออก รีบมองประมุขชิง เหมือนกำลังบอกว่า ถ้าเขาทำอย่างนี้ เรื่องนี้ก็ไม่มีทางคุยกันต่อได้แล้ว

 แค่กๆ!  ประมุขชิงส่งเสียงประนีประนอม  พูดคุยเรื่องสำคัญ 

ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดกับโพ่จวินต่อไปว่า  ในบรรดากำลังพลไม่กี่สาย แม้หนิวโหย่วเต๋อจะผงาดขึ้นมาทีหลังสุด แต่กลับมีความได้เปรียบของการมาทีหลัง การปรับปรุงกำลังพลทัพใต้ทำได้ดีกว่ากำลังพลสายอื่น กอปรกับหนิวโหย่วเต๋อมีจิตใจเป็นขุนนางทรราช ตามความเห็นของข้า ควรหาโอกาสกำจัดทิ้ง! 

เจ้ามีความกล้านี้ด้วยเหรอ? ไม่ใช่ว่าโพ่จวินดูถูกเขา เหล่ตามองประมุขชิงที่ลูบเคราเงียบๆ ถ้าให้เดาก็เดาออกว่าเป็นประสงค์ของประมุขชิง จึงถามว่า  หน่วยตรวจการซ้ายของเจ้าคุ้นเคยกับการทำเรื่องลับลวงพราง จำเป็นต้องปรึกษากับข้าด้วยเหรอ? 

ซือหม่าเวิ่นเทียนเริ่มเดือดดาลนิดหน่อย  ถ้าไม่มีหน่วยตรวจการซ้ายคอยแอบทำเรื่องลับลวงพราง หน่วยองครักษ์ซ้ายจะได้ทำตัวอย่างสง่าผ่าเผยได้ยังไง! 

 พอแล้ว!  เมื่อเห็นทั้งสองกำลังเริ่มจะเถียงกัน ประมุขชิงก็ออกเสียงข่มไว้  ไม่ได้ให้พวกเจ้ามาทะเลาะกัน ข้าให้พวกเจ้าคิดหาทางกำจัดโจร คุยเรื่องสำคัญกัน! 

โพ่จวินถามประมุขชิงโดยตรงเสียเลยว่า  ฝ่าบาทอยากจะให้กองทัพองครักษ์ลอบสังหารอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้เหรอ? ยังไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าทำเรื่องนี้พลาดแล้วใต้หล้าจะวุ่นวายใหญ่โต ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อมีกำลังทหารรายล้อมจำนวนมาก ถ้าอยากจะลอบสังหารก็ไม่มีทางสำเร็จ 

ซ่างกวนชิงยิ้มและพูดต่อว่า  ดังนั้นหน่วยตรวจการซ้ายถึงได้คิดจะลงมือที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มาตลอดไงล่ะ ตอนหนิวโหย่วเต๋ออยู่ข้างนอกจะต้องมีกำลังพลอารักขาทั้งในที่ลับและที่แจ้งแน่นอน แต่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์นั้นต่างกัน ที่นั่นไม่เหมาะให้ทัพใหญ่อยู่เป็นเวลานานเลย ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะนำกำลังพลจำนวนมากเข้าไปอยู่ในนั้น นี่ก็คือโอกาสดีในการลงมือ! 

 ที่บอกว่าเป็นโอกาสนั้นไม่ผิดหรอก แต่ทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์มีทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อเฝ้าอย่างเข้มงวด เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของหนิวโหย่วเต๋อ การตรวจสอบก็เข้มงวดมากเช่นกัน กำลังพลกองทัพองครักษ์จะปะปนเข้าไปได้ยังไง?  โพ่จวินถาม

ซ่างกวนชิงพยักหน้า  ดังนั้นหลายปีมานี้หน่วยตรวจการซ้ายใช้ความพยายามไปไม่น้อย กำลังพลตรงทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ถูกหน่วยตรวจการซ้ายซื้อตัวแล้ว ขอเพียงหาโอกาสที่เหมาะสมได้ ก็สามารถส่งมือสังหารของกองทัพองครักษ์เข้าไปได้เลย 

โพ่จวินเงียบไป ก่อนจะขมวดคิ้วบอกว่า  ทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋ออยู่ในนั้นนานไม่ได้ กองทัพองครักษ์ก็อยู่ในนั้นนานไม่ได้เช่นกัน ถ้าหลังจากหนิวโหย่วเต๋อออกมาแล้ว ไม่เข้าไปในนั้นอีกเป็นเวลานาน กำลังพลที่ส่งเข้าไปข้างในแล้วถูกปิดทางไว้ จะไม่เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งหรอกเหรอ? 

ซือหม่าเวิ่นเทียนพูดต่อว่า  ผู้บัญชาการองครักษ์ซ้ายคิดมากไปแล้ว หลายปีมานี้สายลับที่ส่งไปอยู่ฝั่งนั้นสังเกตเรื่องนี้อย่างรอบคอบมาตลอด เดาจังหวะการเข้าออกของหนิวโหย่วเต๋อได้แล้ว เมื่อเชื่อมโยงกับข่าวทางด้านอื่นๆ ก็สามารถตัดสินได้ ว่าหนิวโหย่วเต๋อทุ่งสมาธิไปกับการฝึกตน หลังจากออกมาจัดการกิจธุระแล้ว ก็จะรีบกลับเข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์อีก จะไม่อยู่ข้างนอกนาน 

ซ่างกวนชิงช่วยคลายความสงสัยให้โพ่จวินอีก  ต่อให้บังเอิญเจอกับช่วงที่หนิวโหย่วเต๋อไม่เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์เป็นเวลานาน แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลใจเกินไปนัก ถ้าไม่ไหวจริงๆ ฝ่าบาทจะหาข้ออ้างส่งทหารเข้าไปปราบวิญญาณชั่วร้ายในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ล่วงหน้า จากนั้นก็ฉวยโอกาสนี้นำกำลังพลที่อยู่ในนั้นออกมาเงียบๆ ไม่ส่งพี่น้องกองทัพองครักษ์ไปตายเฉยๆ แน่นอน! 

……………

 

หลังจากกลับมาที่จวนท่านอ๋อง อวิ๋นจือชิวก็รู้ว่าเหมียวอี้ออกไปข้างนอกได้ช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว พอกลับมาจะต้องเรียกคนมาถามเรื่องงานแน่นอน ขณะกำลังเตรียมตัวจะเดินออกไป เหมียวอี้ที่กำลังเดินขึ้นบันไดหันมาเรียกนาง  น้องชิว พวกเราคุยกันหน่อยได้มั้ย? 

อวิ๋นจือชิวเดินตามเขาไปอย่างงุนงง

หลังจากเหมียวอี้นั่งลงในโถงแล้ว ถึงได้ถามว่า  ตลอดทางที่กลับมา เหมือนเจ้าจะมีเรื่องในใจนะ? 

อวิ๋นจือชิวนั่งลงข้างโต๊ะน้ำชา ตอบเหมือนประหลาดใจว่า  เหมือนเหรอ?  เรื่องบางเรื่องนางไม่อยากเอ่ยถึง โดยเฉพาะอย่างนยิ่งไม่อยากเอ่ยกับเหมียวอี้

 เหมือน!  เหมียวอี้พยักหน้าอย่างมั่นใจมาก กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า  ไม่ได้เห็นเจ้าเป็นอย่างนี้มานานแล้ว…ท่าทางแบบนั้นของเจ้า ข้าเคยเห็นเมื่อนานมากแล้วที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ตระกูลของเจ้ามีเรื่องอะไรหรือว่าเป็นอะไรไป? มีเรื่องอะไรที่บอกข้าไม่ได้เหรอ? 

ในใจอวิ๋นจือชิวรู้สึกอบอุ่นทันที มองเหมียวอี้ด้วยแววตาอ่อนโยนเช่นกัน รู้สึกอบอุ่นในใจ ที่แท้ผู้ชายคนนี้ก็จดจำสีหน้าท่าทางของนางมาตลอด

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็พลันถอนหายใจแล้วบอกว่า  ซวงเอ๋อร์ ข้าทำผิดต่อเจ้าเด็กนั่น ทำให้นางไม่ได้รับความยุติธรรม 

เหมียวอี้แปลกใจ  เจ้ารักเอ็นดูนางมาตลอด ทำให้นางไม่ได้รับความยุติธรรมตรงไหน ข้ามองไม่ออกจริงๆ หรือเป็นเพราะขังนางไว้ที่แดนอเวจี? เจ้าก็รู้จักนิสัยของนางดี ถ้าอยู่ข้างนอกจะต้องก่อเรื่องแน่นอน ให้อยู่ที่แดนอเวจีก็เพราะหวังดีกับนาง คงไม่นับว่าไร้ความยุติธรรมต่อนางหรอก? 

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า กล่าวด้วยสีหน้าหดหู่ว่า  ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าบอกหรอก ซวงเอ๋อร์มีนิสัยป่าเถื่อน ไม่ใช่คนที่ยอมใช้ชีวิตเสียเปรียบใครมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ครั้งนี้ข้าไร้ความยุติธรรมต่อนางแล้วจริงๆ ไร้ความยุติธรรมต่อนางมาก! 

 เกิดเรื่องอะไรกันแน่ ไม่พอใจการแต่งงานครั้งนี้เหรอ ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง? นี่เป็นนางที่บีบบังคับฉู่หยวนนะ!  เหมียวอี้กล่าวอย่างเหงาๆ

 ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิดเหรอ เรื่องในใจเล็กน้อยของครอบครัวฝั่งผู้หญิงเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ  อวิ๋นจือชิวยื่นมือผลักศีรษะของเหมียวอี้ที่ยื่นเข้ามาใกล้หนึ่งที

นางลุกขึ้นยืนเตรียมตะไป แต่เสวี่ยเอ๋อร์กลับมารายงานว่า หยางชิ่งขอพบทั้งสองคน นางทำได้เพียงนั่งลงต่อไป

ผ่านไปครู่เดียว หยางชิ่งก็มาถึงแล้ว ไม่ได้มาเพราะเรื่องอื่น มาเรื่องที่เขาเผยไพ่ให้ซูอวิ้นรู้

 …  เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวเบิกตากว้างพูดไม่ออก ตกตะลึงกับหยางชิ่งแล้วจริงๆ ไม่เคยเจอหรือได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน

เหมียวอี้โน้มตัวเข้าใกล้โต๊ะน้ำชา เอามือปิดหน้าผากพลางยิ้มอย่างไม่สบายใจ เขาไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าตอนนั้นซูอวิ้นมีปฏิกิริยาอย่างไร

ส่วนอวิ๋นจือชิวก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก  หยางชิ่ง ไม่มีใครเขาทำอย่างเจ้าหรอก ใช้อุบายหลอกลวงแบบนี้ เจ้าจะให้ซูอวิ้นมองเจ้ายังไง เจ้าจะให้นางทนความรู้สึกได้ยังไง? 

หยางชิ่งถอนหายใจ  ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ต้องมีคนไปเจาะกระดาษหน้าต่าง[1]ชั้นสุดท้ายระหว่างนางกับฮ่าวเต๋อฟางอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นนางก็จะคิดเอาเองว่าตัวเองยังอยู่ในโลกของฮ่าวเต๋อฟาง ใครตะโกนเรียกนางอยู่ข้างนอกก็ไม่มีประโยชน์ เรียกออกมาไม่ได้หรอก ทำได้เพียงใช้วิธีการไม่ปกติ! นางเจาะกระดาษหน้าต่างของตัวเองดีกว่าให้ใครไปเจาะให้ทั้งนั้น 

อวิ๋นจือชิวครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วบอกเหมียวว่าอี้ว่า  ก็เหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง ว่ามั้ย? 

เหมียวอี้โบกมือกล่าวกลั้วหัวเราะ  อย่ามาถามข้า เรื่องแบบนี้ข้าจัดการไม่ได้ ไม่เข้าใจ! 

อวิ๋นจือชิวหันมามองหยางชิ่งอีก  เจ้าบอกเรื่องนี้ให้พวกเรารู้หมายความว่ายังไง? 

 เพราะหวังจะให้เหนียงเหนียงออกหน้าจัดการเรื่องนี้ให้ ให้นางมอบโอกาสขอโทษให้สักครั้ง  หยางชิ่งตอบ

อวิ๋นจือชิวยิ้มเจื่อน  สำหรับเรื่องนี้…นางอาจไม่ให้โอกาสเจ้าเหมือนกัน เจ้าไปหานางเองจะเหมาะสมกว่า 

 ช่วงนี้ไปพบนางที่เรือนทุกวัน แม้แต่ประตูก็เข้าไปไม่ได้ เลยจะขอให้เหนียงเหนียงช่วยแทนขอรับ  หยางชิ่งกล่าว

อวิ๋นจือชิวยักไหล่  เรื่องนี้นางอาจจะไม่ไว้หน้าข้า ข้าไปพูดขอร้องให้ นางก็อาจจะไม่มาพบเจ้า เรื่องนี้บังคับกันไม่ได้หรอกมั้ง? 

หยางชิ่งพยักหน้า  ข้ารู้ว่าช่วงนี้ตัวเองพบนางได้ยาก ถึงได้ไปหาที่เรือนนางทุกวัน รู้ด้วยว่าครั้งนี้นางอาจไม่ไว้หน้าเหนียงเหนียง แต่นั่นไม่ได้สำคัญ ที่สำคัญก็คือให้เหนียงเหนียงรู้ว่านางสาบานเรื่องนี้แล้ว ให้นางรู้ว่ามีคนอื่นรู้เรื่องนี้ด้วย 

 …  อวิ๋นจือชิวพูดไม่ออก

เหมียวอี้กระตุกมุมปากเล็กน้อย เข้าใจเจตนาของหยางชิ่งแล้วเช่นกัน อีกฝ่ายไม่หวังจะเห็นซูอวิ้นที่กำลังเดือดดาลเลย ที่ไปหาทุกวันก็แค่ทำเป็นพิธีเท่านั้น จงใจทำให้ซูอวิ้นปฏิเสธ แบบนี้เขาถึงหาข้ออ้างขอให้อวิ๋นจือชิวออกหน้าได้

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือหยางชิ่งอยากจะให้ซูอวิ้นรู้ว่าเรื่องสาบานแต่งงานนี้มีคนนอกรู้แล้ว แต่หยางชิ่งก็ไม่อยากให้ซูอวิ้นรู้สึกว่าหยางชิ่งกำลังใช้เรื่องนี้บีบบังคับซูอวิ้น จะได้ไม่ถูกซูอวิ้นรังเกียจ ก็เลยจงใจไปหาถึงประตูบ้านทุกวันเพื่อให้ถูกปฏิเสธ จากนั้นก็ทำท่าเหมือจนปัญญาถึงได้มาบอกให้อวิ๋นจือชิวรู้ ต่อไปซูอวิ้นคงคิดจะเอาหัวโขกกำแพงให้ตายแน่!

นี่เป็นแบบฉบับของโสเภณีที่อยากสร้างป้ายสรรเสริญตัวเองชัดๆ!

เหมียวอี้พึมพำในใจ ซูอวิ้นถูกเจ้าหมอนี่เพ่งเล็งก็ถือว่าโชคร้ายแล้ว จะขอความรักก็เล่นอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ ใครจะรับไหว?

เรื่องนี้เหมียวอี้ไม่สะดวกจะออกหน้า อวิ๋นจือชิวถูกขอร้องแล้ว มิหนำซ้ำตอนแรกที่จับเป็นเซี่ยโห้วท่าได้ ก็รับปากไว้แล้วว่าจะช่วยเป็นคนกลางให้ทั้งสอง นางเองก็ทำได้เพียงแข็งใจทำแล้ว

วันต่อมา อวิ๋นจือชิวมายังสวนเล็กๆ ในที่พักของซูอวิ้น ตำหนิความวู่วามของหยางชิ่ง ขอให้ซูอวิ้นมอบโอกาสขอโทษให้หยางชิ่งสักครั้ง แน่นอนว่านางไม่อาจบอกเรื่องที่ให้สัญญากับหยางชิ่งไว้

พอซูอวิ้นได้ยินว่ามีคนอื่นรู้เรื่องนี้แล้ว ก็แทบจะประสาทเสียทันที ทนรับความรู้สึกไม่ไหวแล้วจริงๆ ไฟโกรธเดือดดาลสามจั้ง ให้หยางชิ่งมาพบนางทันที

หยางชิ่งก็คุยง่าย รีบมาที่สวนโดยทันทีเช่นกัน มาขอโทษซูอวิ้นต่อหน้าอวิ๋นจือชิว

แต่ใครจะคิดว่าซูอวิ้นก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน แสยะยิ้มบอกว่า  ข้าไม่ใช่คนต่ำช้าที่พูดจาเชื่อถือไม่ได้ ในเมื่อสาบานไว้แล้ว ข้าก็ย่อมทำตามที่สาบานไว้ จะให้แต่งงานด้วยก็ได้ แต่ข้าไม่ได้บอกว่าจะแต่งเมื่อไร ขอเพียงเจ้ารอได้ ก็ตกลงตามนั้น! 

หยางชิ่งยิ้มบางๆ คำตอบแบบนี้อยู่ในการคาดหมายของเขานานแล้ว ตอนแรกที่ซูอวิ้นสาบาน เขาก็เตรียมวางแผนไว้รับมือกับช่องโหว่แล้ว และเตรียมแผนสำรองต่างๆ ไว้แล้วด้วย เรื่องนี้ไม่ได้เหนือความคาดหมายของเขา จึงถามว่า  ไม่ทราบว่าเจ้าจะให้ข้ารออีกนานแค่ไหน? 

 สามแสนปี! ถ้าสามแสนปีหลังจากนี้เจ้ายังชอบข้า ข้าก็จะแต่งงานกับเจ้า!  ซูอวิ้นตอบอย่างไม่ลังเล

อวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่ข้างๆ นวดขมับเบาๆ แอบยิ้มเจื่อน คิดในใจว่าทั้งสองช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ไม่ใช่เล่นๆ สักคน สามแสนปีงั้นเหรอ? ยังไม่ต้องพูดถึงว่าในระหว่างนั้นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่คนก็กลายเป็นยายแก่แล้ว หยางชิ่งจะแต่งงานกับเจ้าไปทำไม?

หยางชิ่งเอ่ยเสียงเรียบว่า  คำขอนี้โหดร้ายไปหน่อย 

ซูอวิ้นมองเหยียด  ทำไม รอไม่ไหวเหรอ? ถ้าเจ้ารอไม่ไหวเอง ก็อย่ามาหาว่าข้าไม่รักษาสัญญานะ! 

 ถ้าสามแสนปีหลังจากนี้เจ้าไม่แต่งกับข้า จะทำยังไง?  หยางชิ่งถามกลับ

 เจ้าอยากจะให้ข้าสาบานอีกครั้งเหรอ?  ซูอวิ้นถาม

 นั่นไม่จำเป็นหรอก ขอเพียงเจ้าตอบตกลง รอสามแสนปีแล้วยังไงล่ะ?  หยางชิ่งถาม

ซูอวิ้นพูดเหยียด  ต่ำช้าไร้ยางอาย! ข้าจำเป็นต้องตอบรับอะไรเจ้าอีกด้วยเหรอ? 

หยางชิ่งยิ้มบางๆ พลางหยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง ร่ายอิทธิฤทธิ์เขียนบางอย่างลงไป แล้วโยนให้ซูอวิ้น ก่อนจะพูดต่อไปว่า  เป็นเงื่อนไขที่เรียบง่ายมาก รับปากว่าหลังจากตายแล้วฝังหลุมเดียวกับข้าเป็นยังไง! 

พอซูอวิ้นอ่านดู ก็พบว่าเป็นสัญญาฝังหลุมศพเดียวกันจริงๆ จึงเงยหน้ายิ้มเย็น  เจ้าค่อยๆ ฝันของเจ้าไปคนเดียวเถอะ!  พูดจบก็โยนแผ่นหยกกลับไปทันที

หยางชิ่งรับมาไว้ในมือ แล้วส่ายหน้าถอนหายใจ  พอแต่งงานกับข้าแล้ว หลังจากตายไปฝังหลุมเดียวกันมันเกินไปเหรอ? ควรจะเป็นเรื่องปกติสิ? ในเมื่อสามแสนปีหลังจากนี้ยอมแต่งงานกับข้า ตายแล้วฝังหลุมเดียวกันจะเป็นไรไป? ถ้าแม้แต่คำขอเล็กน้อยที่ธรรมดาสุดๆ เจ้าก็ยังรับปากไม่ได้ ขอถามหน่อยว่าท่านซูรักษาสัญญาไปแล้วจะมีความหมายอะไร?  เขาเดินเข้ามาใกล้ แล้วยื่นแผ่นหยกให้อีกครั้ง

ซูอวิ้นไม่มีท่าทีว่าจะรับ ขมวดคิ้วมุ่นขณะจ้องแผ่นหยกที่ยื่นมาตรงหน้า นางเองก็จำเป็นต้องยอมรับเช่นกันว่าสิ่งที่หยางชิ่งพูดนั้นมีเหตุผล ถ้าแต่งงานกับอีกฝ่ายจริงๆ หลังจากตายแล้วฝังหลุมศพเดียวกันก็เป็นเรื่องปกติมาก จึงกัดฟันถามว่า  ถ้าข้าไม่รับปากแล้วจะทำไม? 

 ถ้าเจ้ากลับคำก่อน ข้าก็จะประกาศเรื่องคำสาบานให้รู้กันทั่ว ให้เจ้าไปแก้ตัวเอาเอง!  หยางชิ่งกล่าวอย่างใจเย็น

 เจ้า…  ซูอวิ้นพลันเดือดดาล ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป คนในใต้หล้าก็จะรู้เรื่องระหว่างนางกับฮ่าวเต๋อฟางกันหมด แล้วจะให้คนอื่นมองนางอย่างไร นางกล่าวเสียงเย็นว่า  ถ้าข้าตอบรับเจ้า เจ้ารับประกันได้เหรอว่าจะไม่พูด! 

หยางชิ่งสาบานว่า  ถ้าพูดออกไปแม้แต่ครึ่งคำ เจ้าก็สังหารข้าได้เลย ข้าจะไม่บ่นแม้แต่น้อย หวังเฟยเป็นพยานได้!  ขณะที่พูดก็กุมหมัดคารวะอวิ๋นจือชิว  เหนียงเหนียง ได้โปรดเป็นพยานให้ด้วย ถ้าข้าผิดสัญญา ให้ซูอวิ้นสังหารข้าโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เป็นข้าที่ยินดีรับไว้เอง จวนท่านอ๋องก็ไม่ต้องเอาเรื่องอะไรซูอวิ้นด้วยเช่นกัน! 

อวิ๋นจือชิวเอามือลูบหน้าผาก เห็นสองคนนี้เถียงกันไปเถียงกันมา ช่างน่าสนุกจริงๆ ทำให้คนปวดหัวด้วย ให้เป็นพยานเรื่องนี้ให้จะเหมาะสมเหรอ?

ท่ามกลางสายตาที่แฝงความขุ่นเคืองของซูอวิ้น อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างจนใจว่า  ก็ได้ ตามใจพวกเจ้าสองคน ขอเพียงพวกเจ้าสองคนเต็มใจ ข้าก็จะเป็นพยานให้! 

หยางชิ่งบอกใบ้ให้หยิบแผ่นหยกในมืออีก ซูอวิ้นแย่งมาไว้ในมือ แล้วลงนามอย่างกระฟัดกระเฟียด ลงตราอิทธิฤทธิ์ สะบัดใส่มือหยางชิ่ง แล้วตะคอกว่า  ไสหัวไป! 

หลังจากหยางชิ่งตรวจสอบเนื้อหาในแผ่นหยกแล้วพบว่าไม่ผิดพลาด ก็กุมหมัดคารวะ  ขอตัวก่อน! 

อวิ๋นจือชิวกระแอม ถ้าอยู่ต่อก็รู้สึกอึดอัด จึงลุกขึ้นบอกว่า  ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย ขอตัวก่อน  นางเองก็อยากจะเห็นว่าหยางชิ่งจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่

หลังจากทั้งสองออกไปแล้ว ซูอวิ้นก็ยากจะระงับไฟโกรธ คว้าถ้วยน้ำชามากรอกดื่มหลายถ้วยเพื่อดับไฟโกรธ

พอเดินออกจากศาลากลับมาในเรือน ตอนที่เพิ่งจะเดินขึ้นบันได จู่ๆ ซูอวิ้นก็หยุดฝีเท้า ร้อง  หา!  แล้วเอามือกุมหน้านั่งยองๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แทบจะร้องไห้ออกมาว่า  ตกหลุมพรางแผนชั่วของเจ้าสารเลวนั่นแล้ว… 

คนที่ท่าทางสุภาพเรียบร้อยกอปรกับอยู่ในฐานะนี้มานานอย่างนาง ภาพที่เสียอาการจนนั่งยองๆ กับพื้นแบบนี้แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย อย่างน้อยก็พบเห็นได้ไม่บ่อย ครั้งนี้โดนหยางชิ่งทารุณจนแทบจะร้องไห้แล้วจริงๆ

บรรดาสาวใช้ในเรือนเห็นฉากนี้แล้วยังตกใจมาก

ในเรือนหลักของจวนท่านอ๋อง อวิ๋นจือชิวกับหยางชิ่งกลับมาแล้ว พอได้ยินอวิ๋นจือชิวเล่าสถานการณ์ให้ฟัง เหมียวอี้ก็อดขำไม่ได้เช่นกัน ถามว่า  ตอนเป็นอยู่ด้วยกันไม่ได้ ตอนตายจะฝังหลุมเดียวกัน ทั้งยังไม่เต็มใจด้วย เจ้าทรมานอีกฝ่ายอย่างนี้สนุกนักเหรอ? 

หยางชิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า  หลังจากตายแล้วฝังหลุมเดียวกัน นั่นคือเรื่องของสามีภรรยา ต่างอะไรกับการแต่งงานกับข้าแล้วล่ะ? ถ้ามีสิ่งนี้อยู่กับมือ ใครจะปฏิเสธได้ว่านางคือผู้หญิงของข้า? คาดว่ารอให้นางใจเย็นลงแล้ว ก็น่าจะรู้ตัวกระมัง! 

 …  เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวอ้าปากค้าง ทำเอารออยู่ที่นี่ตั้งนาน แบบนี้เจ้าเล่ห์ร้ายกาจเกินไปหน่อยแล้วมั้ง!

อวิ๋นจือชิวนับว่ายอมแพ้เขาแล้ว ถอนหายใจแล้วเตือนว่า  สามแสนปีเชียวนะ! 

หยางชิ่งโบกแผ่นหยกในมือ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ  แม้แต่สถานะนี้ก็ถูกกำหนดไว้แล้ว นางลงนามเองกับมือ นางรู้ว่าตัวเองกลายเป็นผู้หญิงของข้าแล้ว ถ้ามาถึงขั้นนี้แล้วยังรอให้ถึงสามแสนปีค่อยจัดการนาง เช่นนั้นไม่สู้ให้ข้าหยางชิ่งปลิดชีพตัวเองเพื่อขออภัยฟ้าดินดีกว่า! 

………………………

 

ที่จริงเขาก็ลำบากเหมือนกัน เรื่องบางเรื่องไม่มีหนทางอื่น รีบร้อนไม่ได้ ฮ่าวเต๋อฟางเพิ่งตายไป เจ้าคิดจะให้ซูอวิ้นไปมีความสุขกับคนใหม่เหรอ? นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเจ้ารีบร้อนจะได้ผลตรงกันข้าม ต้องใช้เวลาทำทุกอย่างให้สงบลง

ทั้งสองชมทิวทัศน์โดยไม่พูดอะไร น้ำฝนหยดใต้ชายคา บางครั้งซูอวิ้นก็ชำเลืองมองหยางชิ่ง พอเห็นหยางชิ่งจงใจหาข้ออ้างเพื่อไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ในใจนางก็รู้สึกคันเหมือนมีแมวเกา หลังจากเสียเวลาไปได้สักพัก ถามเหมือนไม่ได้ใส่ใจว่า  เจ้าแน่ใจเหรอว่าให้เขาช่วยเแล้วจะทำสำเร็จ? 

หยางชิ่งถอนหายใจ  ทำสำเร็จแล้วยังไงล่ะ? 

ซูอวิ้นหันตัวแล้วเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้ม  บอกมาเถอะ เป็นใครกันแน่? เจ้าวางใจได้ ข้าไม่หัวเราะเยาะเจ้าหรอก ถ้าข้าช่วยได้จริงๆ ข้าจะช่วยเจ้าแน่นอน ข้าไม่จำเป็นต้องนำเรื่องนี้มาทำให้เจ้าเสียเวลาหรอก 

หยางชิ่งหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก  ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้า ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้อยู่ดี ใช่มั้ยล่ะ? ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าในภายหลังเจ้าจะหัวเราะเยาะข้าหรือเปล่า? 

ซูอวิ้นแปลกใจ  เจ้าหวาดกลัวขนาดนี้ คงไม่ได้ชอบผู้หญิงคนไหนของท่านอ๋องหรอกใช่มั้ย? ผู้หญิงที่เรือนชั้นในของจวนท่านอ๋อง บางส่วนก็สวยใช้ได้เลย… 

 …  หยางชิ่งมองนางอย่างตกใจมาก ลูกสาวของเขาก็คือผู้หญิงของท่านอ๋องเหมือนกัน ผู้หญิงคนนี้ช่างกล้าคิด! เขามองเหยียดแล้วกล่าวว่า  พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า? 

ซูอวิ้นวางใจแล้วนิดหน่อย ถ้าเป็นผู้หญิงของท่านอ๋อง นางก็คงช่วยเรื่องนี้ไมได้ ถ้าไม่ใช่ก็จัดการง่ายแล้ว นางถอนหายใจแล้วบอกว่า  ในฐานะที่เป็นสหายกัน เห็นเจ้ากลัดกลุ้มไม่มีความสุขบ ข้าเองก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน ว่ามาเถอะ ข้าสัญญาว่าจะช่วยเจ้า 

 ไม่คุยเรื่องนี้แล้วได้มั้ย?  หยางชิ่งถามอย่างจนใจ

ซูอวิ้นพูดเหน็บแนม  ใส่หน้ากากทั้งวันไม่ยอมถอด เจ้าไม่เหนื่อยบ้างเหรอ? ชอบก็ชอบสิ มีอะไรไม่สะดวกจะพูด หรือว่าคนนั้นเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว? 

 อย่าพูดเหลวไหล อีกฝ่ายยังไม่ได้แต่งงาน  หยางชิ่งกล่าว

ในเมื่อไม่ใช่ผู้หญิงของท่านอ๋อง แล้วก็ยังไม่ได้แต่งงานด้วย ซูอวิ้นยิ่งรู้สึกแปลกใจแล้ว  งั้นก็มีอะไรให้กลัวล่ะ ถ้าเจ้าบอกเรื่องนี้ให้ท่านอ๋องรู้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านอ๋องจะไม่ช่วยเจ้า? ขอเพียงท่านอ๋องยินดีช่วย ต่อให้เป็นผู้หญิงของประมุขชิง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน? 

หยางชิ่งบอกนางว่า  เรื่องส่วนตัว ไม่พูดก็ได้ 

ยั่วให้อยากแบบนี้ ซูอวิ้นวู่วามอยากจะขยุ้มหน้าเขา นางกล่าวอย่างตกใจ  เมื่อครู่จะบอกว่าถ้าข้าสาบานแล้วเจ้าจะพูด 

นางอยากรู้มากจริงๆ ว่าเป็นผู้หญิงคนไหนกันแน่ที่ทำให้ผู้ชายประเภทนี้ขวยอายได้แบบนี้

หยางชิ่งถามเหมือนประหลาดใจ  เจ้าคงไม่ได้จะสาบานจริงๆ หรอกใช่ไหม? 

 เจ้ากลับคำแล้วเหรอ?  ซูอวิ้นอมยิ้ม

 ไม่ถึงขั้นกลับคำหรอก แค่รู้สึกว่าเจ้าคงจะไม่สาบาน  หยางชิ่งตอบ

ใครบอกว่าไม่ล่ะ? ซูอวิ้นแสยะยิ้ม แล้วกล่าวสาบานเสียเลยว่า  ข้าซูอวิ้นขอสาบาน ถ้าค่าสามารถช่วยเรื่องนี้ได้ ก็จะช่วยแน่นอน ถ้าข้าไม่ช่วย ข้าก็จะแต่งงานกับเจ้าหยางชิ่ง ฟ้าดินเป็นพยานคำสาบานนี้ ไม่กลับคำเด็ดขาด! เป็นยังไง? ตอนนี้จะบอกได้หรือยัง? 

พอนางพูดจบ หยางชิ่งก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย  คนคนนี้เป็นคนข้างกายหวังเฟย แซ่ซู ชื่ออวิ้น นางยืนอยู่ตรงหน้าข้าแล้ว! 

 …  ซูอวิ้นตกตะลึงอ้าปากค้าง

หยางชิ่งมองนางเงียบๆ

ทั้งสองสบตากันเงียบๆ นานมาก ซูอวิ้นสีหน้าบึ้งตึงทันที นางโมโหแล้วจริงๆ  แซ่หยาง เล่นแบบนี้สนุกนักเหรอ? ไม่อยากพูดก็ช่างเถอะ ข้าอยากจะช่วยเจ้าอย่างจริงใจ ทำไมต้องปั่นหัวข้าเล่นแบบนี้?  นางยังนึกว่าหยางชิ่งหาข้ออ้างกลบเ

ใครจะคิดว่าหยางชิ่งจะยกฝ่ามือขึ้นมาทันที  ข้าหยางชิ่งขอสาบาน รักแรกพบของข้าก็คือซูอวิ้น ไม่ได้โกหกแน่นอน ถ้าหลอกลวงแม้เพียงครึ่งเดียว ก็ขอให้ฟ้าดินลงโทษ! 

 …  ชั่วขณะนั้นซูอวิ้นเผยสีหน้าเดือดดาลทันที ความคิดแรกก็คือจะหันหน้าวิ่งหนีไป แต่พอนึกถึงคำสานบานเมื่อครู่นี้ ถึงได้พบว่าตัวเองติดกับดักที่หยางชิ่งวางไว้แล้ว

สาบานไว้ล่วงหน้า ว่าจะช่วยให้หยางชิ่งได้แต่งงานกับนาง ถ้าไม่ช่วยก็ต้องแต่งงานกับเขาตามคำสาบาน จะซ้ายจะขวาก็หนีไม่พ้น แบบนี้ใช่เรื่องเสียที่ไหน?

หลังจากรู้ตัวแล้ว นางก็รู้สึกแค้นจนคันฟันนิดหน่อย นางคิดว่าที่ก่อนหน้านี้หยางชิ่งใส่หน้ากาก แล้วบอกว่ามีไว้ให้ผู้หญิงที่ตัวเองรักถอด เป็นการทำให้นางเข้าใจผิดล้วนๆ ทำให้นางไม่คิดมาถึงตัวเองเลยไม่น่าเชื่อว่าอุบายโง่เง่าจะทำให้นางตกหลุมพรางได้ง่ายๆ แล้ว

 เล่นอุบายเด็กๆ อย่างนี้สนุกนักเหรอ?  ซูอวิ้นกล่าวเสียงเย็น แล้วหันหน้าหนีสาวเท้าเดินจากไป

หยางชิ่งกลับเอามือไขว้หลังอย่างสบายๆ หรี่ตายิ้มมองคล้อยหลังนางจากไป ไม่หวังให้ซูอวิ้นตอบรับคำสาบานนี้ในทันทีเช่นกัน แต่นางติดกับดักของตนแล้ว ยังจะหนีจากเงื้อมมือตนไปได้อีกหรือ? ขอเป็นแบบนี้แล้ว ในภายหลังยังมีวิธีการบีบให้นางยอมจำนนอีก!

สาเหตุที่ทั้งสองมา ‘คุยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ’ ฉันอยู่ตรงนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวไม่อยู่ที่จวนท่านอ๋อง

ภายใต้แสงจันทร์ ดาวอู๋เลี่ยง นอกตำหนักปราชญ์ เหมียวอี้กับผังก้วนกำลังคุยสัพเพเหระกันอยู่ริมหน้าผา

สาเหตุที่เขากับอวิ๋นจือชิวมาที่แดนอเวจี ก็เพราะเป็นงานแต่งงานของอวิ๋นรั่วซวง น้องสาวที่อวิ๋นจือชิวรักที่สุด งานแต่งงานครั้งนี้ทำให้ตระกูลอวิ๋นปวดหัวจริงๆ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าตระกูลอวิ๋นจะช่วยแนะนำใครให้อวิ๋นรั่วซวง อวิ๋นรั่วซวงก็ไม่ถูกใจเลย เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์คือสิ่งที่ตระกูลอวิ๋นทำไม่ลง ด้วยนิสัยอย่างอวิ๋นรั่วซวงทำให้ไม่มีทางบีบให้นางชอบคนที่ไม่ชอบได้ และงานแต่งงานครั้งนี้ก็เกิดขึ้นเพราะตระกูลอวิ๋นถูกอวิ๋นรั่วซวงบีบจนไม่มีทางเลือก เป็นเพราะหนุ่มน้อยหน้าขาวคนหนึ่งที่ตระกูลอวิ๋นไม่ถูกใจเลย หนุ่มน้อยหน้าขาวคนนั้นก็ไม่ได้อยากแต่งงานกับอวิ๋นรั่วซวงเช่นกัน เพราะรู้สึกว่าอวิ๋นรั่วซวงหยาบคายป่าเถื่อน ไม่มีความเป็นกุลสตรี แต่อวิ๋นรั่วซวงดันถูกใจเขาแล้ว สุดท้ายก็ใช้วิชามารที่ผิดทำนองคลองธรรมเพื่อครอบครองหนุ่มน้อยหน้าขาว ทั้งยังได้เสียกันไปหลายรอบด้วย ใช้วิธีการต้มข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก ตั้งท้องลูกของหนุ่มน้อยหน้าขาวคนนั้นเสียเลย

การกระทำของอวิ๋นรั่วซวงทำให้ตระกูลอวิ๋นไม่มีทางเลือกแล้ว ทำได้เพียงใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องบีบให้หนุ่มน้อยหน้าขาวแต่งงานเข้าตระกูล

หลังจากเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวรู้ความจริงแล้วก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่เหมียวอี้ก็คิดว่าหนุ่มน้อยหน้าขาวคนนั้นวิจารณ์ถูกแล้ว อวิ๋นรั่วซวงไม่เหมือนกุลสตรีจริงๆ เมื่อก่อนเขาเคยได้รับบทเรียนมาจาก ‘หลัวซวงเฟย’ นั่นแล้ว ใครแต่งงานด้วยก็ซวยคนนั้น ดังนั้นก็ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่อวิ๋นรั่วซวงทำเรื่องแบบนี้ได้ เขาเห็นใจหนุ่มน้อยหน้าขาวคนนั้นมาก แต่งงานเข้าตระกูลอวิ๋นงั้นเหรอ? ตระกูลที่เหี้ยมหาญอย่างนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทนไหว ราวกับแกะน้อยตัวหนึ่งที่เข้าไปอยู่ในฝูงหมาป่า

หลังจากเสร็จพิธีการแล้ว เหมียวอี้ก็กลับมาทางนี้ก่อน ด้วยฐานะของเขาตอนนี้ไม่สะดวกจะอยู่กับพวกที่เล่นไม่รู้จักจบจักสิ้น ถ้าเขาอยู่ทุกคนก็อึดอัดด้วย

หลังจากคุยกันเรื่อยเปื่อยถึงสถานการณ์ข้างนอก เหมียวอี้ก็แสดงท่าทีต่อผังก้วนอย่างชัดเจน ว่าถ้าอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มีโอกาสเหมาะสม ก็จะให้ผังก้วนหวนกลับมามีอำนาจอีกครั้ง แต่ตอนนี้ให้ผังก้วนอยู่ที่นี่อย่างสงบใจไปก่อน

ผังก้วนฟังเข้าใจเจตนาที่อีกฝ่ายสื่อ เลิกคิ้วกล่าวว่า  ดูท่าแล้วเจ้าคงจะมีใจทะเยอทะยานต่อใต้หล้านี้จริงๆ…เพียงแต่เจ้ากับตระกูลเซี่ยโห้วสมคบกัน เกรงว่าประมุขชิงคงจะไม่เลิกรังควานเจ้าแน่! 

เหมียวอี้ตอบเขาว่า  หนานโปหวนกลับคืนมาได้ทุกเมื่อ ตอนนี้เกรงว่าเขาคงไม่กล้าทำเรื่องใหญ่ให้หนานโปเจาะช่องโหว่ ตราบใดที่ข้าไม่ห้โอกาสเขาลงมือ เขาก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม! 

 เฮ้อ! เจ้าจัดการเองตามเห็นสมควรแล้วกัน…เสี้ยวเสี้ยวนางเด็กนั่นก็ไม่ได้แย่ เป็นข้าที่ทำผิดต่อนาง เจ้าช่วยข้าดูแลนางให้ดี  ผังก้วนถอนหายใจ เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวเดินกลับมาจากที่ไกลๆ ก็บอกอีกว่า  ถ้าไม่มีเรื่องอะไรอย่างอื่นแล้ว ข้าขอตัวกลับไปนอนก่อน 

 เป็นอะไรไป ทรัพยากรฝึกตนไม่พอเหรอ?  เหมียวอี้ถามกลั้วหัวเราะ

 ถือโอกาสนี้อยู่บ้านกับผู้หญิงของตัวเองให้มากๆ มีลูกไว้เยอะๆ!  ผังก้วน

 อืม เป็นเรื่องที่ดี!  เหมียวอี้พยักหน้า แล้วมองส่งอีกฝ่ายเดินจากไป

พอหันกลับมาอีกครั้ง ก็พบว่าอวิ๋นจือชิวที่มีกลิ่นสุราติดตัวกำลังมองเขาด้วยแววตาสับสน จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า  เป็นอะไรไป? 

 ไม่มีอะไร  อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า แต่ความสับสนในดวงตากลับยากจะหายไป เพราะนางยากจะเอ่ยปากเล่าฉากที่นางคุยกับอวิ๋นรั่วซวงก่อนหน้านี้

อวิ๋นรั่วซวงดึงนางไปดื่มสุราด้วยกัน อาศัยฤทธิ์สุราพูดจาเหลวไหลบางอย่าง บอกว่าพี่สาวแย่งผู้ชายของนางไป บอกว่าเดิมทีนางกับเหมียวอี้อยู่ด้วยกันก่อนแล้ว ตอนที่นางร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเหมียวอี้ตั้งแต่ยังมีฐานะต่ำต้อย ก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับพี่สาวเลย นางชอบเหมียวอี้มาตลอด แต่พี่สาวแต่งงานกับเหมียวอี้แล้ว นางไม่มีทางเลือก ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น นางต้องแย่งกลับคืนมาแน่นอน มิสิทธิ์อะไรล่ะ? ไม่อย่างนั้นนางจะลำบากตัวเองเพื่อทำให้คนอื่นสมหวังทำไม? ที่อยากได้หนุ่มน้อยหน้าขาวคนนั้น ก็เพราะรู้สึกว่าบนตัวของหนุ่มน้อยหน้าขาวมีเงาของเหมียวอี้ ซื่อบื้อเหมือนกัน!

สรุปก็คืออวิ๋นรั่วซวงพร่ำบ่นเป็นชุด

ก็ได้ อวิ๋นจือชิวคิดแค่ว่านางดื่มมากเกินไป แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่แค่คำพูดของคนเมาแน่นอน ความรู้สึกหลากหลายที่ปนอยู่ในใจทำให้นางรู้สึกอึดอัด

เหมียวอี้รู้สึกว่านางแปลกไปนิดหน่อย จึงถามว่า  ไม่เป็นอะไรจริงเหรอ? 

 ไม่เป็นอะไรจริงๆ ซวงเอ๋อร์ได้แต่งงานแล้วข้าดีใจ!  อวิ๋นจือชิวยิ้มบางๆ พลางคล้องแขนเขา มองมหาสมุทรภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเคียงข้างกัน

เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ  ก็ควรจะดีใจอยู่แล้ว แต่คาดว่าคงมีคนดีใจไม่ออก นางเด็กนั่นไม่มีความเป็นกุลสตรีสักนิด น้องเขยคนนั้นของเจ้า ต่อไปได้ทรมานแน่ 

อวิ๋นจือชิวยิ้มเรียบๆ มองเขาพลางถามอย่างจริงจังว่า  ในสายตาเจ้า ซวงเอ๋อร์แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ? 

เหมียวอี้เบะปาก  ข้าไม่มีความเห็น! 

 เจ้าไม่เข้าใจผู้หญิง…  อวิ๋นจือชิวซบบ่าเขาพลางพึมพำ

จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจผู้หญิง เหมียวอี้ไม่ค่อยใส่ใจนัก เขาไม่มีความคิดทางด้านนี้มาตั้งนานแล้ว เขาเปลี่ยนประเด็นสนทนา  เวลาผ่านไปแล้วร้อยปี ตอนนี้พระปีศาจยังไม่มีการตอบสนองอะไรเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะโผล่ออกมาก่อความวุ่นวายตอนไหน ข้าเองก็รออยู่เฉยๆ ไปตลอดไม่ได้ ตอนนี้สถานการณ์ภาพรวมของทัพใต้ยังอยู่ในมือข้า ข้าเตรียมจะไปฝึกตนเงียบๆ ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์… 

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทั้งสองก็บอกลากันอย่างเป็นทางการ ก่อนจะไปเหมียวอี้มายืนบอกลากับบุคคลระดับสูงของหกลัทธิบนริมหน้าผา

คู่บ่าวสาวก็มาส่งด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรเหมียวอี้กับฮูหยินก็ตั้งใจมาที่นี่เพราะงานแต่งงาน

ด้านข้าง อวิ๋นรั่วซวงที่ท้องยื่นเล็กน้อยกำลังพูดคุยและยิ้มแย้มกับอวิ๋นจือชิว

ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสะอาดสะอ้านคนหนึ่งอยู่ข้างกาย ชื่อว่าฉู่หยวน เป็นสามีของอวิ๋นรั่วซวงนั่นเอง เขาดูสงบเสงี่ยมเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็ไม่สนิทกับอวิ๋นจือชิว กอปรกับฐานะของอวิ๋นจือชิวก็เห็นๆ กันอยู่

หลังจากบอกลาบุคคลระดับสูงของหกลัทธิแล้ว เหมียวอี้ก็เดินเข้ามา แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า  พวกเจ้าสองพี่สองคุยกันไม่รู้จักจบจริงๆ 

อวิ๋นรั่วซวงยิ้มจนดวงตากลมโตกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว บนแก้มสองข้างยังมีลักยิ้มด้วย บอกกับเขาอย่างไม่อายว่า  พี่เขย ข้ากำลังคุยกับพี่หญิงใหญ่ ต่อไปพวกเราสองสามีภรรยาล้วนต้องให้ท่านคุ้มครอง ท่านห้ามไม่สนใจ ปฏิบัติกับพวกเราเท่าเทียมกับคนอื่นนะ ต้องดูแลเป็นพิเศษ! 

อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างเป็นกันเอง แต่สายตากลับชำเลืองเหมียวอี้แล้วก็สังเกตสีหน้าของอวิ๋นรั่วซวง

 เหอะๆ!  เหมียวอี้หัวเราะพลางตบบ่าฉู่หยวน แม้จะไม่ได้รับประกันอะไร แต่ก็ตอบกลับด้วยการกระทำที่สนิทสนม เมื่ออยู่ในตำแหน่งระดับเขาแล้ว ไม่อาจให้คำสัญญากับใครง่ายๆ เขาพยักหน้าบอกอวิ๋นรั่วซวงอีกว่า  จะไปแล้ว พวกเจ้าสองคนก็ดูแลตัวเองดีๆ! 

อวิ๋นรั่วซวงกับสามีกุมหมัดคารวะพร้อมกัน  พี่เขย พี่สาวเดินทางปลอดภัย 

อวิ๋นจือชิวใช้แววตาล้ำลึกมองอวิ๋นรั่วซวงที่ทำตัวเหมือนไม่เป็นอะไรแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าจำตอนที่ดื่มจนเมามายเมื่อคืนได้หรือเปล่า อยางน้อยภายนอกก็ดูเหมือนจำไม่ได้

เหมียวอี้จูงมืออวิ๋นจือชิวเหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มคนข้างหลังกุมหมัดคารวะน้อมส่ง

เงาคนหายไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่เร็วมาก รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าอวิ๋นรั่วซวงเริ่มเปลี่ยนเป็นหมดอาลัยตายอยากทีละน้อย…

……………

 

กลิ่นคาวเลือดทะลักออกมาจากประตูที่เปิดออก ทั้งสองรีบหันกลับไปตรวจดูในห้องศิลาที่ว่างเปล่า ตอนนี้ยังไม่มีกะจิตกะใจมาเก็บกวาด รีบมาเดินตามหลังพระปีศาจหนานโป มองประเมินพระปีศาจหนานโปจากข้างหลังอย่างละเอียด แม้จะรู้ว่าพระปีศาจต้องการอาศัยบัวโลหิตเพื่อคืนชีพ แต่เมื่อได้เห็นกับตาว่ามีคนเป็นๆ ปรากฏตัว ก็ยังรู้สึกอยากรู้อยากเห็นและตื่นตาตื่นใจ เมื่อครู่นี้เป็นเพราะพระปีศาจเปลือยร่าง ทั้งสองจึงรู้สึกอับอายที่จะมองหน้าตาของเขาให้ละเอียด

แต่ทั้งสองก็ค้นพบความผิดปกติเร็วมาก สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าย่างก้าวของพระปีศาจไม่มั่นคง ค่อนข้างสะเพร่าและสั่นคลอน

กำลังพลที่เหลือของตระกูลอิ๋งติดตามอยู่กับพระปีศาจไปเพื่ออะไรล่ะ? ก็เพราะหวังให้เขาลืมตาอ้าปากอีกครั้งไม่ใช่หรือ? จะไม่ให้สนใจก็ไม่ได้ อิ๋งเยว่ลองถามว่า  ท่านอาจารย์ ราบรื่นหรือไม่คะ? 

หนานโปพลันหยุดเดิน ก้มหน้ามองเท้าตัวเอง ผิวฝ่าเท้าละเอียดอ่อนเกินไป เดินเท้าเปล่าเจ็บเท้านิดหน่อย เขาเงยหน้ามองไปด้านหน้า ตรงนี้อยู่ลึกลงไปใต้ดิน ถ้าอยากจะอาศัยพลังเท้าของตัวเองตอนนี้เดินขึ้นไป เกรงว่าจะทำไม่ไหวพี่ เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ  สำเร็จแล้ว! 

 เช่นนั้นร่างกายของท่าน…เหมือนจะอ่อนแอนิดหน่อย  อิ๋งเยว่เตือน

จั่วเอ๋อร์กลัวว่านางจะพูดผิดจนยั่วโมโหพระปีศาจ จึงช่วยพูดแก้สถานการณ์  ผู้อาวุโสเพิ่งจะได้เกิดใหม่ ยังปรับตัวกับกายหยาบไม่ได้ 

หนานโปก็ไม่ได้หลีกเลี่ยงที่จะพูดความจริง อย่างไรเสียเรื่องต่อๆ ไปก็ยังต้องให้พวกเขาช่วย  จะพูดว่ายังปรับตัวไม่ได้ก็ได้ กายหยาบนี้เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ดูเผินๆ เหมือนร่างกายแข็งแรง แต่มันก็แค่ภายนอกเท่านั้นแหละ ที่จริงไม่ต่างจากเด็กที่เพิ่งเกิดใหม่เท่าไหร่นะ ตอนนี้ข้าไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์เลย ถึงขนาดเทียบกับสถานะวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ด้วย วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่ในช่วงปรับตัวให้เข้ากับกายหยาบ จึงยับยั้งความสามารถพิเศษของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไว้ ไม่สามารถใช้เคล็ดวิชา โดยทั่วไปไม่มีความสามารถที่จะปกป้องตัวเอง มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งก็อาจจะสังหารกายหยาบของข้าได้ สภาพของข้าตอนนี้อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่เคยฝึกตนมา ต้องหาสถานที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อให้เวลาข้าฟื้นฟูพลัง! 

จั่วเอ๋อร์พยักหน้า  ผู้อาวุโสวางใจได้…เพียงแต่ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นานเกินไป ไม่อย่างนั้นจะถูกเปิดโปงได้ง่าย ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการฟื้นฟูพลัง คุณหน่อยจะได้วางแผนให้ละเอียดถี่ถ้วนล่วงหน้า!  นางกำลังใช้คำพูดทดสอบ

หนานโปไม่แม้แต่จะหันกลับมา สายตามองไปข้างหน้าอย่างมั่นคง  ข้าต้องหลอมร่างกาย ต้องฝึกตนเพื่อสร้างพื้นฐานบางอย่าง ในจุดนี้ไม่อาจขาดไปได้ ถ้าไม่มีพื้นฐาน การเพิ่มระดับพลังในช่วงหลังก็ทำได้ยาก ให้เวลาข้าสิบปี กายหยาบของข้าก็น่าจะสร้างพื้นฐานได้แล้ว หลังจากนั้นสิบปีก็จะมีความคืบหน้า อย่างนานสุดคือหมื่นปี ฟื้นพลังกลับมาอยู่ในจุดสูงสุดเหมือนปีนั้นคงจะไม่เป็นปัญหา ดังนั้นในเวลานี้ จะต้องให้ทุกคนรักษาความสงบเอาไว้ อย่าให้คนตามเจอร่องรอยของข้า รอให้ข้าฟื้นฟูพลังเสร็จแล้ว จะช่วยทวงของของพวกเจ้ากลับมาให้! 

 หนึ่งหมื่นปี…  จั่วเอ๋อร์ถอนหายใจ  เกรงว่าเบื้องล่างคงรอจนร้อนใจ! 

หนานโปหันหน้าช้าๆ กลับไปมองทั้งสอง  บอกเขาไปตรงๆ ว่าข้าฟื้นฟูกายหยาบกลับมาแล้ว จากนี้ไปพวกเขาก็จะได้ควบคุมใต้หล้า ตอนนี้อดทนไว้ก็เพื่ออนาคต! 

 เข้าใจแล้ว!  จั่วเอ๋อร์พยักหน้า…

ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบปี บนหาดทรายที่คลื่นเขียวมรกตซัดเป็นระลอก พระปีศาจหนานโปเดินเปลือยร่างเปียกชุ่มออกมาจากทะเล เดิมทีผิวขาวดุจหิมะ ตอนนี้ผิวกลายเป็นสีทองแดงแล้ว กล้ามเนื้อที่บึกบึนยิ่งระเบิดความรู้สึกมีพลังออกมา ตามที่ร่างนี้เดินขึ้นมาจากทะเล ที่ผิวทะเลข้างหลังก็ปรากฏเงาสีดำขนาดใหญ่ งูทะเลลายขาวดำตัวยาวเจ็ดแปดจั้งถูกเขาใช้มือข้างเดียวลากขึ้นมาบนชายหาด

จั่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ใต้ป่ามะพร้าวเดินเข้ามา พระปีศาจใช้มือข้างเดียวออกแรง สะบัดสัตว์ตัวใหญ่ออกจากผิวทะเลได้ สะบัดมาวางบนหาดทราย แล้วถึงได้ถามเสียงเย็นว่า  เตรียมตัวแล้วหรือยัง? 

จั่วเอ๋อร์พยักหน้าบอกว่า  เตรียมไว้ให้ผู้อาวุโสเรียบร้อยแล้ว  นิ้วชี้ไปที่ปากถ้ำตรงตีนเขา

พระปีศาจทิ้งรอยเท้าไว้บนหาดทราย เดินเข้าไปในปากถ้ำตรงตีนเขาอย่างไม่รีบร้อน

พื้นที่ว่างใต้ดินในถ้ำมีลักษณะเหมือนแอ่งกระทะ ตรงกลางมีแท่นเรียบ รอบๆ แท่นเป็นวงแหวนน้ำทะเลที่ทะลักเข้ามาจากทางลับ หนานโปเดินไปยืนบนหน้าผาในถ้ำแล้วมองลงไป เห็นเพียงบนเสาทองแดงตรงกลางแท่นมัดชายวัยกลางคนไว้หนึ่งคน เมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามา ชายวัยกลางคนก็ดิ้นรนเล็กน้อย แต่กลับหลุดออกไปไม่ได้ ที่ปากมีโซ่มัดไว้ กำลังพูดอู้อี้ใส่หนานโปที่อยู่ด้านบน

ตรงหว่างคิ้วของหนานโปเผยสัญลักษณ์พลังบงกชขาว งอเข่าดีดตัวออกมา พลิกตัวกลางอากาศราวกับเหยี่ยวหัวดำ ถือโอกาสยื่นมือช้อนโซ่เหล็กเส้นหนึ่งที่แขวนกลางอากาศ ทั้งตัวไหลลงมาตามโซ่เหล็ก ตกลงบนเสาทองแดงที่มัดคน ร่างกายพลิกล้มไปข้างหลัง สองเท้าหนีบเสาทองแดงแล้วไถลหลังลงมา ชนชายวัยกลางคนที่โดนมัดอยู่ข้างหลัง

ทั้งสองคนยอดศีรษะชนกัน ชายวัยกลางคนข้างล่างยังร้องอู้อี้ หนานโปกลับกางแขนซ้ายขวา แล้วหลับตาลงช้าๆ

ผ่านไปครู่เดียว ชายวัยกลางคนที่ถูกมัดไว้ก็สั่นเทิ้มทั้งตัว บนร่างเริ่มมีควันขาวลอยออกมา ถูกหนานโปสูดเข้าทวารทั้งเจ็ด

ใบหน้าของชายวัยกลางคนแก่ชราลงอย่างรวดเร็วตามควันขาวที่ลอยออกมา ใช้เวลาครึ่งชั่วยามควันขาวก็เจือจางไป ชายวัยกลางคนที่แก่ชราลงหยุดขยับแล้ว หลับตาลงช้าๆ ไม่มีเสียงอีกแล้ว

หนานโปที่ห้อยกลับหัวยกเท้าแตะเสาทองแดง แล้วพลิกตัวเหาะลงมา ตอนตกลงพื้นอยู่ในท่าประนมมือนั่งขัดสมาธิ เขาแยกสองมือออกจากกัน วางลงบนเข่าสองข้างอย่างช้าๆ แล้วหลับตาอยู่ในสภาพนิ่งเงียบ

จั่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่บนหน้าผาใต้ดินได้เห็นขั้นตอนนี้เองกับตา ขณะที่แอบตกใจนางก็กลับโล่งใจ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ ถ้าฝึกตนตามช่องทางปกติ จะฟื้นพลังระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร…

ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหนึ่งร้อยปี

ไอฝนขมุกขมัว หยางชิ่งเอามือไขว้หลังเดินไปที่ศาลา แววตาเลื่อนลอย ไม่รู้ว่าความคิดล่องลอยไปถึงไหนแล้ว

อีกฝั่งหนึ่งของสะพานโค้ง ซูอวิ้นที่สวมกระโปรงยาวสีขาวเดินเข้ามาช้าๆ ราวกับเป็นคนที่อยู่ในภาพวาด เดินมายืนข้างกายหยางชิ่ง นางหันตัวมาชมทิวทัศน์ด้านนอกด้วยกัน แล้วถือโอกาสถามด้วยรอยยิ้ม  ท่านบุรุษหยางกำลังคิดอะไรอยู่? หรือกำลังคิดเรื่องสำคัญในชีวิตเจ้าอีกแล้ว? 

เวลามักจะทำให้หลายสิ่งเจือจางลง มีคน มีเรื่องราว มีวัตถุ และมีความรู้สึกเช่นกัน

ในตอนนี้ความรู้สึกรักที่ซูอวิ้นมีต่อฮ่าวเต๋อฟางก็เริ่มห่างไกลแล้วเช่นกัน จะบอกว่าลืมรักก็ไม่ได้ แต่คนก็ไม่ได้จมอยู่ในความรู้สึกแบบนั้นบ่อยๆแล้ว ช้าหรือเร็วก็ต้องได้สติกลับมา ความเจ็บปวดในปีนั้นไม่มีทางลุกลามมาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวในอดีตคือสิ่งที่มองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้ มันเริ่มจืดจางลงทีละนิด คนละเรื่องราวในชีวิตจริงกลับแจ่มชัดมีชีวิตชีวาอยู่ตรงหน้าและตราตึงในความทรงจำไม่หยุดหย่อน บางสิ่งดับบางสิ่งเกิด ดังนั้นคนจึงกล่าวว่าเวลาคือสิ่งที่ไร้ความปราณีที่สุด

จะบอกว่าซูอวิ้นลืมฮ่าวเต๋อฟางแล้วก็ไม่ได้เช่นกัน คนที่ทำให้นางจดจำฝังลึกถึงกระดูก นางจะลืมเลือนได้อย่างไร เขายังอยู่ในหัวใจ สิ่งที่ทิ้งไว้มากกว่านั้นก็คือความเสียใจที่ยากจะลืมเลือน บางครั้งก็ถูกบรรยากาศพาให้เศร้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความเศร้าโศกที่เหมือนจะเป็นจะตายห่างไกลกับนางแล้วจริงๆ

สำหรับฮ่าวเต๋อฟางที่ยอมตายเพื่อปกป้องนางในปีนั้น นี่คือสิ่งที่ฮ่าวเต๋อฟางหวังจะได้เห็น หวังว่าหลังจากเขาไม่อยู่แล้วนางจะอยู่อย่างสบายดี

สำหรับหยางชิ่ง ทุกวันนี้นับว่าสนิทสนมกับซูอวิ้นมากแล้ว กอปรกับสถานะในจวนท่านอ๋อง ทั้งสองใกล้ชิดกันได้ง่าย มิหนำซ้ำยังมีเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวคอยสร้างโอกาสให้ทั้งสอง ตอนนี้นับว่าเป็นสหายที่ค่อนข้างสนิทกันแล้ว เพียงแต่สหายอย่างหยางชิ่งไม่พิถีพิถัน ซูอวิ้นไม่รู้ภูมิหลังอะไรของเขาเลย แต่หยางชิ่งกลับรู้ภูมิหลังของนางอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง สิ่งนี้ทำให้ซูอวิ้นรู้สึกเสียเปรียบอยู่บ้าง เพียงแต่เมื่อได้ใกล้ชิดกันนานขึ้น หัวสมองของหยางชิ่งก็ทำให้นางรู้สึกทึ่งเช่นกัน ยิ่งทำให้นางอยากรู้อยากเห็นประวัติของหยางชิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งอยากรู้ว่าใบหน้าภายใต้หน้ากากเป็นอย่างไร

หยางชิ่งดึงสติกลับมา มองนางแวบหนึ่ง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม  จะรู้ได้ยังไงว่าข้ากำลังคิดถึงเรื่องสำคัญในชีวิต? 

ซูอวิ้นเอามือกอดอก แล้วกล่าวอย่างสนใจว่า  ผู้หญิงคนนั้นที่เจ้าชอบเป็นใครกันแน่ บอกให้ข้าฟังสักหน่อยสิ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะช่วยได้บ้าง บางครั้งผู้หญิงคุยกันเองสะดวกกว่าคุยกับผู้ชาย  หยางชิ่งบอกนางไว้นานแล้ว ว่าเขาชอบผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นรักแรกพบ เพียงแต่ผู้หญิงคนนั้นไม่สนใจเขา หน้ากากนี้ใส่ไว้เพื่อให้ผู้หญิงคนนั้นถอด ถ้าไม่ได้ใจผู้หญิงคนนั้นก็สาบานว่าจะไม่ถอด

ดังนั้นซูอวิ้นจึงยิ่งรู้สึกแปลกใจ ผู้ชายที่สติปัญญามากจนเกือบเป็นปีศาจ ผู้หญิงที่เขาถูกใจจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ไม่อย่างนั้นอาศัยอำนาจและสมองของผู้ชายคนนี้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะจัดการไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ นางถูกหยางชิ่งยั่วให้อยากรู้แล้วจริงๆ

หยางชิ่งถอนหายใจ  ข้าว่านะ เจ้าจะมาสนใจผู้หญิงที่ข้าชอบไปทำไม? 

ซูอวิ้นตอบกลั้วหัวเราะว่า  ก็อยากให้เจ้าถอดหน้ากากออกมาเห็นแสงสว่างไวๆ ไม่ใช่ไง จะได้ไม่ต้องหลบหน้าคนเช้ายันค่ำ 

หยางชิ่งกล่าวปนเสียงหัวเราะเช่นกัน  ถ้าเจ้าอยากถอดหน้ากากขนาดนั้น เจ้าลงมือเองก็สิ้นเรื่องแล้ว ข้าไม่หลบหรอก 

ซูอวิ้นกลอกตามองบน ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่คำสาบานประหลาดนั่น นางก็จะถอดแล้วจริงๆ แต่มีคำสาบานนั้นอยู่ แล้วนางจะถอดได้ที่ไหน?

หยางชิ่งแววตาวูบไหว พูดเสริมว่า  เจ้าเองก็รู้จักผู้หญิงคนนั้นเหมือนกัน ข้ากลัวว่าพูดไปแล้วเจ้าจะตกใจ ไม่เอ่ยถึงดีกว่า 

 ข้ารู้จักเหรอ?  ซูอวิ้นประหลาดใจทันที เริ่มขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิด เป็นผู้หญิงคนไหนกันแน่ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขที่ฝ่ายบอก

หยางชิ่งเหล่ตามองท่าทางของนาง โค้งยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วพูดเสริมว่า  แต่เจ้าอย่าพูดเลย ถ้าให้เจ้าออกหน้า บางทีเรื่องนี้อาจจะมีหวังแล้วจริงๆ ถ้าเจ้าช่วยเต็มที่ เรื่องนี้จะสำเร็จแน่นอน กลัวว่าเจ้าจะไม่ยอมช่วยนะสิ 

ซูอวิ้นแววตาวูบไหวไม่หยุด  ข้าว่านะท่านมหาบุรุษหยาง ในเมื่อข้าสามารถช่วยเจ้าได้ ทำไมต้องรีบบอกมา จำเป็นต้องเสียเวลาอย่างนี้ไหม? รีบบอกให้ข้าฟัง เป็นใครกันแน่ เดี๋ยวข้าจะพยายามช่วยให้สมหวังแน่นอน! 

หยางชิ่งส่ายหน้า  พูดไม่ออก ถ้าจะไม่ช่วยขึ้นมา ให้เจ้ารู้ความจริงเบื้องลึกแล้ว ข้าจะไม่อับอายหรอกหรือ 

 ถ้าช่วยได้ข้าก็จะช่วยแน่นอน รีบบอกมา อย่ามัวอุบอิบ!  ปริศนาที่อยู่มานานหลายปีขนาดนี้อาจจะถูกแก้แล้ว ซูอวิ้นเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะฉีกปากเขาออก

หยางชิ่งหันตัวมามองนาง แล้วจู่ๆ ก็ถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า  เจ้ายินดีช่วยข้าจริงเหรอ? 

ซูอวิ้นตอบว่า  แน่นอน!  ในดวงตาฉายแววเฝ้าคอย

หยางชิ่งกลับชักช้า  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหน้าตาศักดิ์ศรีของข้า เจ้าสาบานสิ 

 ช่วยเจ้าให้สมปรารถนาเรื่องมงคล เจ้ายังจะให้ข้าสาบานอีกเหรอ? 

 …  หยางชิ่งทำเหมือนไม่เคยพูดอะไรทันที

 ได้ๆๆ! ช่างเป็นพวกยอมตายเพื่อรักษาหน้า ข้าซูอวิ้นขอสาบาน ถ้าข้าช่วยเจ้าได้แล้วไม่ยอมช่วย ขอให้ข้าไม่ตายดี! 

 ข้าจะให้เจ้าไม่ตายดีไปทำไม? ถ้าข้าเสียหน้าไปแล้ว เจ้าไม่ตายดีแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เอ่อ…ไม่สู้เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าเจ้าไม่ช่วย เจ้าต้องสาบานว่าจะแต่งงานกับข้า 

 แซ่หยาง อย่าทำเกินไปนัก! 

 แบบนี้ถึงจะยเท่าเทียม ถ้าข้าบอกความลับนี้ไปแล้ว ให้เจ้ารู้แล้วว่าเป็นใคร ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้าจะต้องหัวเราะเยาะข้าแน่นอน ข้าก็ต้องเอาเรื่องน่าขำระดับเดียวกันมาควบคุมเจ้าสิ? 

ซูอวิ้นขี้คร้านจะสนใจเขา หันตัวไปชมทิวทัศน์ฝนด้านนอกต่อ

หยางชิ่งชำเลืองมองนาง ในดวงตาอมยิ้มโดยไม่พูดอะไร หันตัวไปมองทิวทัศน์งดงามด้านนอกต่อ ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ในใจกลับพึมพำว่า วางแผนชี้นำเจ้าทีละขั้นตอนเพื่อให้เจ้าอยากรู้มาหลายปี อุตส่าห์เปิดออกมุมหนึ่งเพื่อให้ดมกลิ่น ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะทนความอยากรู้อยากเห็นไหว!

……………

 

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จ เหมียวอี้ก็สงบอารมณ์ได้ยาก

ปีศาจโลหิตบอกว่าเป็นความผิดของนาง ทว่าความเชื่อมโยงของเหตุและผลบางอย่าง แม้แต่เหมียวอี้ก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน ถ้าไม่ใช่เพราะบุญคุณความแค้นระหว่างเขากับปีศาจโลหิตในปีนั้น ปีศาจโลหิตจะมาเจอศีลแปดได้อย่างไร แล้วจะตกอยู่ในมือพระปีศาจได้อย่างไร? ถ้าพูดย้อนไปไกลอีกหน่อย ถ้าไม่มีพฤติกรรมกร่างอำนาจทั้งใต้หล้าของพระปีศาจ ก็ไม่มีเรื่องเหมือนอย่างวันนี้เช่นกัน ถ้าพูดให้ไกลกว่าเดิม ถ้าไม่ใช่เพราะในอดีตคนในใต้หล้ามองพระปีศาจเป็นศัตรู จะสร้างพระปีศาจหนานโปที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคได้อย่างไร? มีเรื่องราวมากมายที่พัวพันกับเรื่องบุญคุณความแค้น ไม่ว่าใครก็พูดได้ยากว่าเป็นความผิดของใคร นอกจากตัวบุคคลและฝ่ายอำนาจที่แสดงจุดยืนของตัวเอง ส่วนอย่างอื่นก็มีความเกี่ยวพันที่ไม่ชัดเจนเลย

เหมียวอี้ทอดสายตามองไปยังจุดไกลๆ ที่ถูกปกคลุมด้วยม่านละอองฝน เขาถอนหายใจเบาๆ ต่อให้มีตาทิพย์แต่ก็ยากจะมองความขัดแย้ง บุญคุณความแค้นและวงจรเวรกรรมที่ไม่หยุดหย่อนนี้ให้กระจ่างได้ บางทีสิ่งที่ไต้ซือศีลเจ็ดทำอาจจะถูกต้องแล้ว…

ในถ้ำใต้ดินที่อยู่ลึกลงไป หนานโปสะบัดแขนเสื้อโปรยหินยอดผลึกจำนวนมากออกมา วางค่ายกลไว้ในสระน้ำที่ขุดไว้เรียบร้อยแล้ว รอบสระน้ำมัดสัตว์ปีศาจรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไปไว้หลายตัว

เมื่อจัดสระน้ำเสร็จแล้ว ก็ฝั่งเลี่ยมหินผลึกห้าสีเอาไว้เต็มสระน้ำ กลายเป็นภาพประหลาดภาพหนึ่ง ถ้ามองหลายครั้งก็ทำให้รู้สึกตาลาย ตามที่หนานโปสะบัดแขนเสื้อ บนจานโลหะที่อยู่กลางสระน้ำก็มีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์แผ่ออกมา ท่อโลหะหลายอันที่อยู่รอบๆ มีเสียงโครกคราก ตามติดด้วยน้ำเลือดสีแดงที่พรั่งพรูออกมา กรอกเข้าไปในสระน้ำห้าสี ไม่นานในช่องว่างใต้ดินก็เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น

คลื่นเลือดที่ไม่แข็งตัวกระเพื่อมอยู่ในสระ จั่วเอ๋อร์กับอิ๋งเยว่ที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาของหนานโปรู้สึกขนพองสยองเกล้า กลั้นหายใจไม่สูดดมกลิ่นคาวเลือดที่แรงจนเตะจมูก แม้แต่จั่วเอ๋อร์ที่ชีวิตอยู่มาหลายปีก็ไม่เคยเห็นฉากที่มีคาวเลือดมากขนาดนี้มาก่อน ทั้งสองรู้ดีว่าสระเลือดที่ใหญ่ขนาดนี้ต้องสละชีวิตคนมากมายขนาดไหนกลั่นออกมา ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้นึกถึงคนเหล่านั้น รู้สึกชาวาบหนังศีรษะและมือเท้าแล้ว

จนกระทั่งเลือดสดที่กรอกเข้าสระเลือดหยุดแล้ว หนานโปก็พลิกฝ่ามือคว้าบัวโลหิต ร่ายอิทธิฤทธิ์โยนบัวโลหิตที่เปล่งแสงวิบวับออกมากลางอากาศ หลังจากกำหนดตำแหน่งแล้วก็ตกลงช้าๆ บัวโลหิตตกลงไปตรงตำแหน่งจานอิทธิฤทธิ์กลางสระเลือด

ชั่วพริบตาที่รากบัวขาวดุจหยกจมลงกลางน้ำเลือด หนานโปก็เริ่มมีสีหน้าตึงเครียด เห็นบัวโลหิตวางนิ่งอยู่บนจานอิทธิฤทธิ์โลหะไม่ขยับไปไหน น้ำเลือดแทบจะทำให้ใบบัวกับดอกบัวที่งอกจากกลีบเลี้ยงจมมิด เห็นแสงสลัวอยู่ในน้ำเลือด แต่บัวโลหิตกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร ปากหนานโปเริ่มท่องไม่หยุด  ฟื้นขึ้นมา ฟื้นขึ้นมา ฟื้นขึ้นมา… 

ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วยาม บัวโลหิตยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร หนานโปเม้มริมฝีปากแน่น สองตาจ้องบัวโลหิตไม่ละสายตา อย่างไรเสียของบางอย่างก็ได้ยินมาจากปากปีศาจโลหิต ส่วนสถานการณ์โดยละเอียดเป็นอย่างไร เขาเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ในใจไม่ค่อยมีความมั่นใจ รู้สึกกังวลสุดๆ

จั่วเอ๋อร์กับอิ๋งเยว่สบตากันเป็นระยะ แม้เหตุการณ์ตรงหน้าจะทำให้ทั้งสองรับไม่ค่อยไหว แต่อย่างไรเสียก็เป็นสิ่งที่ได้มาเพราะอำนาจที่เหลือของตระกูลอิ๋งทุ่มเทจ่ายในราคาสูง ถ้าทำไม่สำเร็จ เรียกได้ว่าทำให้พวกนางสะเทือนใจไม่น้อย

หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม จู่ๆ ทั้งสองก็จ้องไปในสระเลือด ดวงตาของหนานโปเบิกกว้างขึ้นหลายเท่า

แสงสว่างขมุกขมัวใต้น้ำเลือดเริ่มอับแสงลงทีละนิด กระทั่งชั่วพริบตาที่แสงนั้นดับลง ทุกอย่างก็หายไปแล้ว

ไม่นานก็เห็นใต้น้ำเลือดเปล่งแสงสีแดงอ่อนขึ้นมาอีก แสงสีแดงอ่อนสายหนึ่งขึ้นมาจากส่วนก้านราก ขึ้นไปที่ก้านใบของบัวโลหิตอย่างช้าๆ กระทั่งหลังจากแสงสีแดงอ่อนปกคลุมไปทั่วทั้งใบบัวโลหิตและดอกบัว ก้านใบบัวโลหิตก็เหมือนจะสั่นไหวเบาๆ ก้านและใบเหมือนจะแผ่ออกหลายส่วน ไม่เหมือนสิ่งไร้ชีวิตอีก เกิดแสงสว่างมันวาว บัวโลหิตราวกับได้รับชีวิตใหม่ แล้วก็เหมือนดูดกินน้ำเลือดอย่างหิวกระหายจนอิ่ม น้ำเลือดในสระเลือดเหมือนกำลังลดลงทีละขั้น

หนานโปตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้นทันที โบกไม้โบกมือหัวเราะลั่น  ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้ว บัวโลหิตฟื้นแล้ว! 

เขาหันกลับมาตะโกนบอกทั้งสองอีก  เร็วๆๆ! ไปทำตามที่ข้ากำหนดไว้ล่วงหน้าไว้! 

จั่วเอ๋อร์ชักกระบี่วิเศษออกมา ถลันตัวออกไป นักพรตปีศาจที่ถูกมัดไว้รอบสระเลือดและกลับคืนร่างเดิมถูกจั่วเอ๋อร์ใช้กระบี่ฟันเส้นเลือดอย่างรวดเร็ว เลือดสดทะลักออกมาจากเส้นเลือดของสัตว์ปีศาจหน้าตาดุร้ายตัวแล้วตัวเล่า ไหลกรอกเข้ามาในสระเลือด จากนั้นก็รีบเหาะขึ้นกลางอากาศแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเลือดปีศาจที่ทะลักออกมาให้กรอกไปยังตำแหน่งของบัวโลหิต แล้วเริ่มหมุนวนรอบรากของบัวโลหิตจนกลายเป็นน้ำวน

ส่วนอิ๋งเยว่ก็ถือกำไลเก็บสมบัติปล่อยเงาคนจำนวนมากลงในสระเลือด ชายหญิงเด็กคนชรามีหมด มีสภาพเป็นเงาคนรางๆ ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดจะเป็นวิญญาณหยิน พอวิญญาณหยินเหล่านี้ถูกปล่อยออกมา ก็เห็นได้ชัดว่ามีแนวโน้มจะหนีกระเจิดกระเจิงด้วยความหวาดกลัว หนานโปประนมมือสองข้าง ปากเริ่มท่องคาถา เห็นวิญญาณหยินเหล่านั้นราวกับขวัญผวา กระโดดลงน้ำเลือดแล้วเดินไปที่บัวโลหิต พอเข้าใกล้บัวโลหิตร่างกายก็เตี้ยลง แล้วถูกน้ำเลือดวนหมุนเข้าไป

รอจนกระทั่งวิญญาณหยินเหล่านั้นหายเข้าไปในร่างของบัวโลหิตหมดแล้ว น้ำเลือดหมุนวนก็เริ่มสงบลงทีละนิดเช่นกัน เลือดของสัตว์ปีศาจพวกนั้นไหลหายไปหมดแล้ว ทุกอย่างล้วนอยู่ในแผนการของหนานโป แผนการที่ตั้งใจเตรียมไว้อย่างสมบูรณ์แบบ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่ปีศาจโลหิตบอกเขา เป็นเขาเองที่พัฒนาปรับเปลี่ยนหลังจากศึกษาสิ่งที่ปีศาจโลหิตถ่ายทอดมา ถ้าไม่มีความมั่นใจเขาก็ไม่กล้านำบัวโลหิตต้นนี้ไปทดลอง ถ้าพูดจากบางด้าน สามารถเรียกได้ว่าเป็นพรสวรรค์ของเขาจริง!

ทว่าบัวโลหิตที่ดูดร่างกายเล็กๆ ราวกับกระหายนั้นทำให้คนตกใจจริงๆ ผนังเลือดรอบๆ ด้านในสระเลือดยังลดลงอย่างช้าๆ จะเห็นได้ว่าบัวโลหิตยังคงดูดซับอยู่ แต่บนใบบัวโลหิตกลับปรากฏเส้นสีเขียวและดำหลายเส้น ทำให้หนานโปตาลุกวาวอีกครั้ง ทำสายตาตื่นเต้นดีใจ

อิ๋งเยว่กับจั่วเอ๋อร์หันกลับไปมองฝั่งซ้ายและขวาของเขา สำรวจดูสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายอย่างละเอียด ภาพเหตุการณ์แบบนี้ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสได้เห็น

จนกระทั่งก้านและใบของบัวโลหิตโผล่พ้นผิวน้ำเลือดเกือบครึ่ง ในที่สุดบัวโลหิตก็หยุดดูดซับแล้ว แสงสีแดงอ่อนหมุนวนทั้งต้น รู้สึกได้เลยว่าในห้องศิลากำลังกลั่นของบางอย่าง อธิบายได้ไม่ชัดเจนว่าคืออะไร เหมือนมันอยู่ในความลึกลับ

สุดท้าย บัวโลหิตที่สะสมพลังงานเอาไว้เต็มเหมือนจะระเบิดแล้ว ในดอกบัวระเบิดแสงเลือดแววออกมา แสงพุ่งไปด้านบน ส่องสว่างทั้งห้องศิลา กลิ่นอายประหลาดแผ่ออกจากบัวโลหิต กระเพื่อมอยู่ในห้องศิลา ขณะเดียวกันก็มีหมอกเลือดแผ่ขึ้นมาจากบัวโลหิตเช่นกัน เป็นฉกอัศจรรย์อันน่าตื่นตาตื่นใจ แากที่แสงเลือดเริ่มกลายเป็นหมอกสีสันละลานตา เห็นรางๆ ว่าท่ามกลางหมอกเลือดมีกระแสอากาศสีเขียวดำกำลังพัวพันอยู่ในนั้น

จั่วเอ๋อร์กับอิ๋งเยว่มองหน้ากันเลิกลั่ก ต่างก็เห็นว่าอีกฝ่ายทำสายตาตกตะลึง

 เป็นอย่างนี้จริงด้วย ฮ่าๆ…  หนานโปกางแขนสองข้างกอดรับจากที่ไกลๆ หัวเราะลั่นอย่างดีใจไม่หยุด

กระทั่งหลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว ก็หันกลับมามองซ้ายมองขวาอีก  พวกเจ้าถอยไป เฝ้าด้านนอกไว้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ห้ามให้ใครบุกเข้ามาที่นี่! 

 รับทราบ!  ทั้งสองเอ่ยรับ หลังจากผลักประตูหินออกไป ก็ปิดประตูหินเอาไว้อีกครั้ง

หนานโปหลับตาลงช้าๆ ประนมมือนั่งขัดสมาธิ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นแสงสีทองระยิบระยับหลุดออกมา ลอยเข้าไปในน้ำเลือด แล้วก้าวเดินบนคลื่นน้ำ ราวกับเท้าทะยานคลื่น มุ่งหน้าไปที่บัวโลหิต หลังจากวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กับบัวโลหิตหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้วก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นแสงสีทองตกลงบนฝักบัว บัวโลหิตราวกับเป็นคบเพลิงที่มีเปลวเพลิงสีทองลุกโชน คลื่นเลือดสะท้อนเงากลับหัว โยกไหวสง่างาม

แสงทองเริ่มซึมเข้าไปในรูฝักบัว เห็นรางๆ ว่าแสงทองหลอมรวมเข้าไปในบัวโลหิต ไหลลงไปที่ก้านรากอย่างช้าๆ

เป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ แสงสีทองถึงได้จมหายไปในบัวโลหิตทั้งหมด บัวโลหิตทั้งต้นมีแสงสีทองอ่อนๆ เพิ่มมาหนึ่งชั้น

หลังจากเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นเวลาหลายวัน ก็เห็นส่วนรากของบัวโลหิตมีแสงสีขาวกรอกเข้าไปในก้านและใบ ราวกับในก้านและใบมีเส้นชีพจร

หลังจากนั้น บัวโลหิตก็เริ่มสูงใหญ่ขึ้นทุกวัน เปลี่ยนเป็นหยาบหนา หน้าตาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เติบโตราวกับถูกยืดให้ตึง

หลังจากนั้นสามเดือน บัวโลหิตก็เปลี่ยนไปจนไม่เหลือโฉมหน้าเดิม ผิวนอกเป็นสีดำแกมน้ำตาล ด้านในมีแสงสีแดงรางๆ

หลังจากนั้นสามเดือน บัวโลหิตก็ไม่เหลือสภาพบัวโลหิตแล้ว ราวกับเป็นหัวไชเท้าสีดำเสียบอยู่กลางน้ำเลือด ส่วนน้ำเลือดที่ไม่แข็งตัวในสระน้ำก็ถูกดูดจนลดลงเหลือก้นสระแล้ว

ในค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ขณะที่แสงจันทร์ส่องสว่างท้องฟ้า ผิวของ ‘หัวไชเท้า’ สีน้ำตาลดำในสระเลือดเริ่มมีรอยแยกหลายรอย ในรอยแยกกะพริบแสงสีแดง รอยแยกเพิ่มขึ้นเยอะเรื่อยๆ แสงสีแดงหนาแน่นราวกับใยแมงมุม ‘หัวไชเท้า’ กลับถูกเป่าให้พองขึ้นเร็วมาก สุดท้ายก็ระเบิดออกเสียงดัง ไอหมอกกระจายไปทั่วทิศ แสงสีแดงในนั้นกะพริบหายไป ในหมอกแดงที่อบอวลปรากฏร่างคนคนหนึ่งขึ้นมาอย่างช้าๆ เดินขากะเผลกเหมือนเดินไม่ถนัด

ไอหมอกสลายตัวอย่างช้าๆ เงาร่างที่เดินกะเผลกในห้องเริ่มปรากฏชัดเจนภายใต้แสงสว่างจากไข่มุกราตรีในห้อง ปรากฏร่างชายวัยกลางคนหัวโล้นร่างเปลือยเปล่า จมูกโด่ง กระดูกโหนกแก้มสูง ริมฝีปากหนา แก้มตอบ หน้าตาเหมือนชาวต่างชาติ แต่รูปร่างสูงใหญ่ แขนขายาว ลายกล้ามเนื้อชัดเจนสมบูรณ์แบบ ผิวขาวดุจหิมะ

เหยียบน้ำเลือดที่ไม่สูงเกินเท้า ชายวัยกลางคนร่างเปลือยเหมือนเริ่มคุ้นเคยกับการเดินทีละนิด แววตาที่คมกริบเหมือนเหยี่ยวมองสองมือของตัวเองที่ยกขึ้นมา สิบนิ้วกำแบไม่หยุด เดินไปข้างสระเลือดแล้วออกแรงปีนขึ้นไป

ผลปรากฏว่าพอเดินไปถึงประตูหินที่ปิดสนิท ก็เกิดปัญหาขึ้นอีกแล้ว ชายวัยกลางคนพบว่าตัวเองมีพลังกายเท่ามนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ไม่มีแรงผลักประตูออกเลย อดไม่ได้ที่จะแหกปากตะโกนขอความช่วยเหลือ ทว่าลองตะโกนหลายครั้งก็ยังไม่สามารถเปล่งเสียงแบบปกติได้ หลังจากเค้นเสียงซ้ำไปซ้ำมาถึงได้เปล่งเสียงสั่นเครือออกมาว่า  เปิดประตู! เปิดประตุ… 

ทว่าด้านนอกไม่มีปฏิกิริยาอะไร เขาจึงเก็บหินก้อนหนึ่งจากด้านข้าง แล้วแรงกระแทกประตูหิน ท่ามกลางเสียงดังปั้งๆ ในที่สุดด้านนอกก็มีเสียงอิ๋งเยว่ร่ายอิทธิฤทธิ์ถามว่า  ท่านอาจารย์ เป็นท่านเหรอ? 

ไม่ผิดหรอก ชายวัยกลางคนก็คือพระปีศาจหนานโปที่ได้ชีวิตใหม่ เขาพยายามออกแรงเปล่งเสียง  เป็นข้า! เปิดประตู! 

พุดซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ แล้วก็ใช้หินเคาะประตูอีกหลายครั้ง จนกระทั่งคนด้านนอกร่ายอิทธิฤทธิ์แทรกซึมเข้ามาสำรวจ ถึงได้ยินเสียงเขาชัดเจน

ตึง! ประตูหินพลันเปิดออกแล้ว

เมื่อจู่ๆ เห็นคนร่างเปลือยเปล่าปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า จั่วเอ๋อร์กับอิ๋งเยว่ก็อึ้งไปชั่วครู่ สายตามองประเมินศีรษะจดเท้าโดยจิตใต้สำนึก ถึงได้พบว่าหนานโปจริงใจเปิดเผยจนถึงขั้นไร้ความเป็นส่วนตัว สิ่งที่ไม่ควรให้เห็นก็เปิดเผยให้เห็นชัดเจน ทั้งสองรีบหันหน้าหลบ อิ๋งเยว่อับอายจนหน้าแดง

หนานโปกลับไม่ถือสาอะไร ยื่นมือไปที่ทั้งสองคน แล้วกล่าวอย่างยากลำบากว่า  เสื้อผ้า! 

จั่วเอ๋อร์รีบหยิบจีวรสีเทาตัวหนึ่งยื่นให้ หนานโปไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย แต่งตัวต่อหน้าทั้งสองจนเสร็จ แล้วเดินเท้าเปล่าผ่านหน้าทั้งสองไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย

………………

 

หลังจากส่งมู่เซินกลับไปแล้ว เหมียวอี้ก็กดความคิดบางอย่างไว้ชั่วคราว ตรงหน้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องจัดการ

บัวโลหิตตกอยู่ในมือพระปีศาจแล้ว ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าปีศาจจะหวนกลับคืนมาเมื่อไหร่ แต่ดูจากที่พระปีศาจละทิ้งวิธีการที่เคยทำในสถานที่ผนึก และใจร้อนอยากได้บัวโลหิต ก็พอจะมองเบาะแสบางอย่างออกแล้ว

ส่วนการแลกเปลี่ยนที่แพ้ย่อยยับนั้น มีคนเห็นเองกับตามากเกินไป ในจำนวนนั้นมีสายลับของคนอื่นหรือเปล่า ไม่ว่าใครก็พูดได้ไม่ชัดเจน ตอนนั้นคนพวกนั้นไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่คนที่เห็นกับตาว่าเขากับพระปีศาจตกลงทำข้อแลกเปลี่ยนกันกลับเป็นเรื่องจริง ตอนที่ยังไม่กลับมาก็ควบคุมไม่ให้คนพวกนี้ติดต่อกับภายนอก หลังจากกลับมาแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมไว้ตลอด มีความเป็นไปได้สูงว่าช้าเร็วก็ต้องมีข่าวหลุด

จำเป็นต้องแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ขณะเดียวกันก็ต้องเตือนคนเบื้องล่างไว้ด้วย ว่าพระปีศาจอาจจะหวนกลับคืนมาจริงๆ แล้ว ไม่อย่างนั้นเอาใส่เขาคนเดียวก็ป้องกันไม่ไหว!

หลังจากรีบเรียกหยางชิ่งมาปรึกษาหารือเรื่องนี้ สุดท้ายก็ให้เซี่ยโห้วท่าปล่อยข่าวลือผ่านตระกูลเซี่ยโห้วอีกครั้ง

ใช้เวลาไม่นาน ใต้หล้าก็ทยอยมีข่าวลือออกมา ว่าหนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลเซี่ยโห้วร่วมมือกันวางกับดักสู้กับพระปีศาจหนานโปแต่พลาด โดนพระปีศาจหนานโปใช้แผนซ้อนแผน แย่งชิงบัวโลหิตของบรรพจารย์มารโลหิตไปได้แล้ว บัวโลหิตนี้สามารถช่วยพระปีศาจหลอมสร้างกายหยาบขึ้นมาใหม่ได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าพระปีศาจจะได้ฟื้นฟูพลังในปีนั้นกลับมา

เมื่อข่าวนี้หลุดออกไป ใต้หล้าก็สั่นสะเทือนแรงมาก ใจคนล้วนหวาดหวั่น!

ตระกูลเซี่ยโห้วกับเหมียวอี้ออกมาแก้ข่าวอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่มีประโยชน์

นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ตำหนักสวรรค์ส่งซ่างกวนชิงมาด้วยตัวเอง ถามว่าสถานการณ์นี้จริงหรือเท็จ

โค่วหลิงซวี ก่วงลิ่งกง เถิงเฟย เฉิงไท่เจ๋อก็มาเยือนจวนอ๋องสวรรค์ที่ทัพใต้ด้วยตัวเอง ถามว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จเช่นกัน

ทว่าเหมียวอี้ปฏิเสธลูกเดียว บอกว่าไม่มีเรื่องแบบนี้ เป็นข่าวลือล้วนๆ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมรับเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน และรับผิดชอบไม่ไหวด้วย

จากนั้นถึงได้ยกเลิกข้อห้ามกับกำลังพลกลุ่มใหญ่ที่เห็นเรื่องนี้เองกับตาในตอนนั้น ข่าวไหนที่ควรจะหลุดไป ก็ปล่อยให้คนที่มีความตั้งใจปล่อยข่าวเถอะ

ใช้เวลาไม่นาน ความเคลื่อนไหวต่างๆ ในใต้หล้าก็พิสูจน์การคาดเดาของเหมียวอี้แล้ว ในทัพอารักขาของเขามีสายลับของอำนาจฝ่ายอื่นอยู่ด้วย อำนาจแต่ละฝ่ายเสริมการตรวจสอบและสอดส่องในเขตตัวเอง นี่ก็คือสิ่งที่เหมียวอี้หวังจะได้เห็น

เหมียวอี้เรียกชิงเยว่กับหลงซิ่นมาคุยนานมากเรื่องนี้ ขอให้พวกเขาคิดหาทางกวาดล้างสายลับในทัพอารักขา เผยเจตนาว่าต่อให้ฆ่าผิดตัวก็ดีกว่าปล่อยไป ล้อเล่นอะไรกัน ในกำลังพลทัพอารักขาของตัวเองมีสายลับของอำนาจภายนอกอยู่ด้วย ใครจะรับไหว? บางครั้งความผิดพลาดเล็กน้อยก็มักจะทำให้เกิดความเสียหายที่ประเมินไม่ได้

ยามเผชิญความกดดันกับการที่พระปีศาจอาจหวนคืนกลับมาได้ทุกเมื่อ เหมียวอี้ก็ไม่พอใจกับการควบคุมดูแลของทัพใต้เป็นอย่างมาก พวกที่มีความสามารถในการควบคุมไม่พอ มีความคืบหน้าช้ามาก บางทีถึงขั้นไม่มีความคืบหน้าอะไร เหมียวอี้ก็เลยเดือดดาล ถอดตำแหน่งคนที่ไม่มีความสามารถเพียงพอออก แล้วเปลี่ยนคนกลุ่มใหม่มา ไม่ต้องไว้หน้าอะไรกันทั้งนั้น

ต่อให้จะเป็นคนเก่าคนแก่ในจวนแม่ทัพภาคแดนรัตติกาล ก็โดนถอดไปเหมือนกัน

แน่นอนว่าในจำนวนนั้นมีทหารที่ยอมแพ้อยู่ด้วย ท่านโหวคนหนึ่งไม่พอใจกับสิ่งนี้ พูดจาเหน็บแนมประมาณว่าข้ามแม่น้ำแล้วหรือสะพานทิ้ง ปลุกปั่นลูกน้องเก่าให้กดดันเบื้องบน เหมียวอี้จึงไม่ปราณีเลยแม้แต่น้อย ส่งทหารไปปราบโดยตรง ล้างเลือดเสียเลย กำจัดทิ้งทั้งตระกูล!

เหมียวอี้ใช้วิธีการที่เข้มงวดและรวดเร็วยางต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ใช้อำนาจกดดัน ไปจนถึงกดดันให้เบื้องล่างให้คำชี้แจงกับเขา!

บนตึกศาลาของเรือนชั้นใน อวิ๋นจือชิวกำลังพูดคุยและชมทัศนียภาพกับกลุ่มอนุภรรยา ภาพเหตุการณ์ที่เหมียวอี้เดินเร่งฝีเท้ากลับเข้ามาในจวนท่านอ๋องดึงดูดความสนใจของผู้หญิงกลุ่มนี้แล้ว เสียงพูดคุยหัวเราะเบาลงแล้วไม่น้อย ต่างก็สังเกตเหมียวอี้ที่กลับมาจากข้างนอกโดยไม่ได้ตั้งใจ

สำหรับสาวๆ ในจวนท่านอ๋อง อ๋องสวรรค์หนิวมีความหมายต่อพวกนางอย่างไรก็ไม่จำเป็นต้องพูดมาก ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ พวกนางต่างเฝ้าคอยไม่มากก็น้อย

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วมองเหมียวอี้ที่เดินกลับมาเหมือนพยัคฆ์มังกรเยื้องย่าง ในใจรู้สึกกังวล รู้ช่วงนี้เหมียวอี้มีความกดดันเยอะมาก งานยุ่งมาก ยุ่งจนแทบไม่มีเวลาคุยกับนาง วิ่งเต้นไปทั่วทัพใต้อย่างที่พบเห็นได้บ่อย ไม่เสียดายที่จะลดฐานะท่านอ๋องเพื่อไปแก้ปัญหาบางอย่างด้วยตัวเองให้รวดเร็วฉับไว

มีคนอยากจะตามไปดูด้วยเช่นกัน แต่สถานที่สำคัญในจวนท่านอ๋อง ไม่ใช่ว่าอนุภรรยาคนไหนก็จะเข้าใกล้ได้ ส่วนใหญ่ยังไม่มีสิทธิ์นั้น

ตอนที่เข้าใกล้ห้องหนังสือ อวิ๋นจือชิวก็โบกมือให้เชียนเอ๋อร์ บอกไปว่าไม่ต้องรายงาน นางย่องเข้าไปฟังอยู่ตรงประตูห้องหนังสือ

เสียงของหยางเจาชิงดังขึ้นในนั้น  พอท่านโหวจ้าวตาย ในบรรดากำลังพลเดิมของสายตระกูลอวี่เหวินก็ก่อกวนความสงบสุขไม่น้อยจริงๆ ให้อวี่เหวินชวนไปปลอบโยน อวี่เหวินชวนก็กดดันมากเช่นกัน ลูกน้องเก่าตายไปอย่างนี้ เขาไม่ประกาศสนับสนุนทั้งยังต้องไปปลอบใจ ลำบากใจจริงๆ ขอรับ 

หลังจากเหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง ก็ถามว่า  ลูกสาวของอวี่เหวินชวนชื่ออวี่เหวินหรูเมิ่งใช่ไหม? 

หยางเจาชิงปาดเหงื่อเล็กน้อย แม้แต่ชื่อของอนุภรรยาตัวเองก็ยังไม่กล้าแน่ใจ นี่ต้องไม่ใส่ใจขนาดไหนกัน อย่างไรเสียอวี่เหวินหรูเมิ่งก็เป็นยอดหญิงงามคนหนึ่ง เขาพยักหน้าตอบว่า  ให้แล้วขอรับ! ชื่อว่าหรูเมิ่งจริงๆ 

เหมียวอี้เคาะนิ้วมือบนผิวโต๊ะ  แจ้งให้ฝั่งนั้นรู้สักหน่อย บอกว่าคืนนี้ข้าจะไปที่นั่น 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับ จากนั้นทั้งสองก็คุยกันเรื่องอื่นอีก

อวิ๋นจือชิวกัดริมฝีปากเล็กน้อย ล้มเลิกความคิดที่จะเดินเข้าไป นางเดินออกไปเงียบๆ แล้ว

ในคืนนั้น อวิ๋นจือชิวที่ยืนอยู่บนตึกเห็นกับตาว่าเหมียวอี้ไปที่เรือนพักของอวี่เหวินหรูเมิ่ง…

ช่วงเวลาและทิวทัศน์อันงดงามหลุดดั่งความฝัน ฉาเพียงนกยวนยาง ไม่อิจฉาเซียน ภายใต้ผ้าห่มแพรไหม อวี่เหวินหรูเมิ่งยังคงหน้าแดงเรื่อหลังจากฝนกระหน่ำหยุดลง กำลังนอนเปลือยเปล่าซบแขนข้างหนึ่งของเหมียวอี้ ทั้งสองกำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกัน

หลังจากกระอักกระอ่วนอยู่ครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็เอ่ยถึงเรื่องสำคัญ  หรูเมิ่ง ทางบ้านเจ้ายังดีอยู่ใช่ไหม? 

 ค่ะ!  อวี่เหวินหรูเมิ่งขานรับ ต่อให้ไม่ดีก็ไม่สะดวกจะพูดออกมา นางเองก็รู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์จะเอ่ยคำขอส่งเดช ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า  ที่บ้านฝากให้ผู้น้อยมาทักทายท่านอ๋อง เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้เจอท่านอ๋องเลย 

เหมียวอี้เอามือลูบไล้เอวอ่อนบางของนาง ถอนหายใจแล้วบอกว่า  ล้วนเป็นข้าที่สะเพร่า ช่วงนี้มีเรื่องรำคาญใจมากเกินไป เบื้องล่างมักมีคนออกนอกลู่นอกทางคอยก่อกวน เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าบอกพ่อเจ้าสักหน่อย ให้เขาหาเวลาที่เหมาะสมพาแม่เจ้ามาพบข้า…อืม ถ่ายทอดคำพูดข้าลงไป! 

เขาเชื่อว่าอวี่เหวินชวนไม่ได้โง่ น่าจะรู้ว่า ‘เวลาที่เหมาะสม’ คือเมื่อไหร่ ถ้าไม่ได้แก้ไขปัญหายุ่งยาก คาดว่าอวี่เหวินชวนก็ไม่กล้ามาพบเขาเช่น

 ค่ะ! ข้าจะจำไว้  อวี่เหวินหรูเมิ่งเอ่ยรับอย่างว่าง่าย ในเวลานี้นิสัยบางอย่างเปลี่ยนเป็นโอนอ่อนผ่อนตามแล้ว

 ต่อไปนี้ถ้าอยากจะพบข้า แล้วฝั่งหวังเฟยไม่สะดวก เจ้าก็บอกเข้าบ้านหยางได้โดยตรง ต่อไปก็บอกพ่อบ้านหยางได้  เหมียวอี้อนุญาตให้นางเป็นพิเศษ แน่นอนว่าสิทธิพิเศษนี้สามารถยกเลิกได้ทุกเมื่อ ต้องดูว่าอวี่เหวินชวนจะรู้กาลเทศะหรือไม่

พออวี่เหวินหรูเมิ่งได้ฟังก็แอบดีใจ แขนขาวดุจหยกกอดเขาไว้แน่น ร่างกายแนบชิดยิ่งกว่าเดิม…

ในวัดแห่งหนึ่งตรงตีนเขานอกเมือง ที่ชั้นบนสุดของตึก พระปีศาจหนานโปที่มีสีหน้าค่อนข้างซื่องซึมกำลังนั่งขัดสมาธิ พระสงฆ์ในวัดกำลังกำลังเดินไปเดินมาอยู่นอกกำแพงเจดีย์ ไม่มีใครคาดคิดว่าพระปีศาจที่คนทั้งใต้หล้าหวาดกลัวจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เป็นเพราะเจ้าอาวาสของวัดนี้เป็นคนที่ตระกูลอิ๋งเตรียมไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

จั่วเอ๋อร์ผลักประตูเล็กเข้ามา เดินมารายงานข้างๆ ว่า  ผู้อาวุโส ข่าวลือด้านนอกยังตึกเครียด ข่าวลือที่หนิวโหย่วเต๋อยังคงแพร่ออกไป 

หนานโปเหลือบหนังตาขึ้น แสยะยิ้มบอกว่า  บัวโลหิตอยู่ในมือข้าแล้ว ตอนนี้ข้าต้องคิดเล็กคิดน้อยกับเขาหรืออะไรนั่นด้วยเหรอ? ตอนนี้เขากำลังสร้างความกล้าหาญให้ตัวเองยามเดินทางตอนกลางคืน ไม่ต้องสนใจเขา อีกละเดี๋ยวก็ถึงเวลาคิดบัญชีกับเขาแล้ว ของที่หนานโป : ค้างให้ไปจัดการไปถึงไหนแล้ว? 

จั่วเอ๋อร์ตอบว่า  กำลังให้ลูกน้องหาเป้าหมายลงมือ เรื่องนี้ไม่ยาก แค่ต้องทำอย่างระมัดระวังเท่านั้น ขอเพียงผู้อาวุโสฟื้นตัวแล้ว ก็สามารถลงมือได้ทุกเมื่อ ตอนนี้ถ้าลงมือเร็วเกินไป เลี้ยงคนไว้เยอะขนาดนั้นก็เปลืองแรงมาก 

 เหลือแค่พยายามครั้งสุดท้ายแล้ว อย่าให้เกิดช่องโหว่อะไร  หนานโปกล่าว

 รับทราบ จะไม่ให้เกิดความผิดพลาดแน่นอน!  จั่วเอ๋อร์ตอบ

ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสามปี

หอสามรากฐาน หลังจากโค่วหลิงซวีนั่งลง ก็ใช้นิ้วเคาะโต๊ะพลางถามเสียงต่ำ  เมืองที่มีคนหนึ่งแสนคน ทำไมหายตัวไปเพียงชั่วข้ามคืน? 

ในเมืองแห่งหนึ่งของโลกมนุษย์ในอาณาเขตของเขา เพียงชั่วข้ามคืนคนก็หายไปแล้วหนึ่งแสน ทั้งชายทั้งหญิง ทั้งเด็กและคนชราหายไปหมด อย่าไปมองว่านี่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาหนึ่งแสนคน เพราะสะเทือนมาถึงเขาโดยตรง

ถังเฮ่อเหนียนตอบว่า  เรื่องนี้มีเงื่อนงำจริงๆ จากการตรวจสอบ น่าจะมีคนวางค่ายกลตัดขาดเมืองนี้กับโลกภายนอก จากนั้นก็ฉวยโอกาสลักพาตัวคนในเมืองไปทั้งหมดในตอนกลางคืน ความเร็วแบบนี้นอกจากนักพรตก็ไม่น่าจะมีคนอื่นแล้ว 

 พวกเจ้าที่ ผีหลักเมือง เทพประจำประตูมัวไปทำอะไรกิน เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ความจริงอีกเหรอ? จะเก็บพวกเขาไว้ทำประโยชน์อะไร เอาไปประหารให้หมด!  โค่วหลิงซวีกล่าว

ถังเฮ่อเหนียนจึงตอบว่า  ท่านอ๋อง พวกเจ้าที่ ผีหลักเมือง เทพประจำประตูก็หายตัวไปเช่นกัน แม้แต่พระสงฆ์ในวัดก็หายไปหมดด้วย บางแห่งมีร่องรอยการต่อสู้เล็กน้อย คาดว่าคงมีคนสืบหาพวกผีหลักเมืองเจ้าที่ แล้วควบคุมพวกเขาไว้ก่อน ก่อนจะลงมือลักพาตัวคนไป ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่จะไร้ข่าวเลย 

โค่วเจิงที่อยู่ข้างๆ กล่าวอย่างจริงจัง  ยังมีคนชาวพุทธด้วย เกรงว่าเรื่องนี้คงปิดบังไม่ได้แล้ว! 

เป็นอย่างที่เขาบอก ปิดบังไม่อยู่แล้วจริงๆ เรื่องนี้รู้ไปถึงตำหนักสวรรค์เร็วมาก แม้แต่กลุ่มขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็กำลังปรึกษาเรื่องนี้กัน มนุษย์ธรรมดาหนึ่งแสนคน บางทีสำหรับคนพวกนี้อาจจะเหมือนมดตัวเล็กๆ แต่ลักษณะของเรื่องนี้ไม่เหมือนกัน คนทั้งเมืองหายตัวไปแล้ว สะเทือนไปถึงหน่วยตรวจการขวาให้ต้องส่งคนไปตรวจสอบเอง

เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายที่ไม่จำเป็น ข่าวยังไม่แพร่ไปในวงกว้าง แต่ขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ระดับเหมียวอี้ได้รับข่าวเร็วมาก

พอจบการประชุมขุนนาง เหมียวอี้ก็ได้รับข่าวแล้ว เขาเดินไปเดินมาช้าๆ อยู่ในศาลา ทำไมถึงเกิดเรื่องประหลาดอย่างนี้ขึ้นได้? เขาตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหาปีศาจโลหิตที่พิภพเล็ก

หลังจากอธิบายสถานการณ์ให้ฟังแล้ว ก็ถามว่า : เจ้าเคยบอกว่าพระปีศาจอยากใช้บัวโลหิตลองสร้างกายหยาบขึ้นมาใหม่ ต้องใช้เลือดสดจำนวนมาก เจ้าคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระปีศาจหรือเปล่า?

ปีศาจโลหิต : ข้ายืนยันไม่ได้ แต่เป็นไปได้สูงว่าเกี่ยวข้องกัน โดยส่วนใหญ่นักพรตที่ไหนจะมาสนใจลักพาตัวเด็กสตรีและคนชราไปล่ะ? คนชราคนป่วยร่างกายอ่อนแอก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย

เหมียวอี้ : หรือพูดอีกอย่างว่า ถ้าเป็นพระปีศาจทำจริงๆ ก็แสดงว่าพระปีศาจเริ่มสร้างกายเนื้อใหม่แล้ว โอกาสสำเร็จสูงหรือเปล่า?

ปีศาจโลหิต : ข้าไม่รู้ว่าเขาต้องการลองสร้างกายหยาบแบบไหน ถ้าเป็นกายหยาบของนักพรตโดยทั่วไป ขอเพียงไม่เกิดอะไรผิดพลาด ก็น่าจะไม่มีปัญหา ถ้าเขาไม่มีความมั่นใจเกรงว่าคงจะไม่สิ้นเปลืองบัวโลหิตเพื่อไปทดลอง

เหมียวอี้ : ถ้าเป็นฝีมือของพระปีศาจ หลังจากเขาหลอมสร้างกายหยาบแล้ว เจ้ารู้สึกว่าเขาต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะฟื้นพลังกลับมาเหมือนในปีนั้น?

ปีศาจโลหิต : ข้าไม่รู้ ตามหลักแล้วกายหยาบก็คือกายหยาบ วรยุทธ์ก็คือวรยุทธ์ หลังจากหลอมสร้างกายหยาบขึ้นใหม่แล้วก็ต้องเริ่มฝึกวิชาทีละขั้น แต่ในเมื่อพระปีศาจใจร้อนอยากทำสำเร็จเร็วๆ แบบนี้ เกรงว่าคงศึกษาตามวิธีการปกติไม่ได้…นี่ล้วนเป็นบาปกรรมที่ข้าสร้างขึ้นมา เป็นข้าที่ถ่ายทอดวิชาหลอมสร้างกายหยาบให้เขา อาตมาบาปหนัก!

เหมียวอี้ยังจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงปลอบใจว่า : นี่คือสิ่งที่เจ้าไม่เต็มใจ ในปีนั้นเจ้าถูกเขาควบคุม!

……………

 

ทว่าเหมียวอี้ตอบไม่ตรงคำถาม จ้องนางพลางกล่าวช้าๆ ว่า  ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ที่ข้าให้ศีลแปดเก็บตัวฝึกฝนก็เพราะหวังดีกับเขา แต่เขาแอบออกจากสถานที่ฝึกตนมาพบกับเจ้า ทำไมเจ้าไม่บอกข้า? 

 …  อวี้หลัวช่าพูดไม่ออก ใบหน้าเผยความรู้สึกตกตะลึงแล้วก็ค้างไป ถามเรื่องพระปีศาจแต่ทำไมโยงมาเรื่องนี้ได้ล่ะ นางตอบอย่างเก้อเขินเล็กน้อยว่า  พี่ใหญ่ เรื่องระหว่างชายหญิงเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ สามีภรรยาแอบพบกัน จะบอกให้บุคคลที่สามรู้ส่งเดชได้ยังไง 

 ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!  เหมียวอี้ทำท่าเหมือนเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน และให้ความรู้สึกว่ากำลังเหน็บแนมด้วย จ้องนางพลางพยักหน้า  นอกจากศีลแปดจะแอบพบกับเจ้าแล้ว ยังแอบพบกับผู้หญิงคนอื่นด้วย ผู้หญิงคนนั้นท้องลูกของศีลแปด ศีลแปดพานางแอบหนี ไม่ทันระวังไปเจอกับพระปีศาจหนานโป…  แล้วก็เล่าเรื่องราวต่อจากนั้นโดยละเอียด

สีหน้าของอวี้หลัวช่าเรียกได้ว่าแพรวพราวสุดๆ มีทั้งโมโห มีทั้งคับแค้น มีทั้งสมน้ำหน้า อกสั่นขวัญแขวน ทุกข์ใจ เคียดแค้นที่ศีลแปดเป็นผู้ชายที่ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกของผู้หญิง หวาดเสียวที่ศีลแปดเอาชีวิตรอดมาได้ สมน้ำหน้าที่มู่น่าตายอนาถ ทุกข์ใจที่ไต้ซือศีลเจ็ดตายเพื่อช่วยผู้ชายหลายใจอย่างศีลแปด และเข้าใจเจตนาที่เหมียวอี้ถามแบบนี้เช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะนางช่วยศีลแปดปิดบัง ควบคุมให้เหมียวอี้ตั้งแต่แรก มีหรือที่จะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น นี่หรือที่ไต้ซือศีลเจ็ดจะตายอย่างอนาถ

ชั่วขณะนั้นนางไม่รู้จะพูดอะไร การตายอนาถของมู่น่าทำให้ความโกรธของนางลดลงแล้วไม่น้อย แต่จะว่าไปแล้วการตายของไต้ซือศีลเจ็ด นางก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเหมือนกัน มิหนำซ้ำนางยังปากมากพูดเอาใจให้ไต้ซือศีลเจ็ดมาร่วมงานบุญที่นี่ ภายใต้การหักลบกลบกันแบบนี้ ชั่วขณะนั้นก็ไม่นับว่าแค้นศีลแปดเท่าไรแล้ว แต่ก็ยังกล่าวอย่างแค้นใจว่า  ตอนนี้เจ้าเวรตะไลศีลแปดนั่นอยู่ที่ไหน? 

เหมียวอี้ทอดสายตามองไปไกล หลังจากเกิดเรื่องแล้วอวิ๋นจือชิวรู้ข่าว ก็เป็นฝ่ายติดต่อไปหาศีลแปดก่อน ศีลแปดบอกอวิ๋นจือชิวเพียงประโยคเดียวว่า ‘ถวายตัวเป็นศิษย์ตถาคต’ แล้วก็ไม่ได้ข่าวอีกเลย ส่วนเหยียนซิวที่ซุ่มอยู่ตรงปากทางลับก็เห็นกับตาว่าศีลแปดเข้าแดนสุขาวดีไปแล้ว เขาพอจะเดาได้ว่าศีลแปดไปที่ไหน แต่ปากก็ยังตอบว่า  หลังจากช่วยเขาออกมาแล้ว ข้าก็บอกเขาว่าต่อไปนี้จะไม่ด่าเขาอีก จะไม่ตีเขาอีก ต่อไปนี้จะไม่ควบคุมเขาแล้ว เขาอยากจะทำอะไรก็ตามใจเขา ข้าควบคุมพวกเจ้าสองคนไม่ไหวด้วย เขาอยากจะไปไหนก็ช่างเขาเถอะ ข้าไม่ไปถามอีกแล้ว 

อวี้หลัวช่ารู้สึกปลงในใจ แอบด่าศีลแปดว่าสารเลว นางรู้สึกได้ว่าศีลแปดทำร้ายหัวใจพี่ใหญ่คนนี้แล้วจริงๆ นางเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี มอบบัวโลหิตให้พระปีศาจเพื่อที่จะช่วยศีลแปด ถ้าพระปีศาจหวนคืนมาอีกครั้ง แค่คิดก็รู้แล้วว่าท่านนี้จะแบกรับความกดดันขนาดไหน

หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ก็บอกว่า  ศีลแปดก็ส่วนศีลแปด พี่ใหญ่อย่าลามไปโกรธซินหูนะ 

เหมียวอี้แสยะยิ้ม  ไม่เห็นแก่หน้าพระสงฆ์ ก็ควรเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป มีพุทธะหน้าหยกอย่างเจ้าอยู่ ข้าจะกล้าล่วงเกินลูกชายเจ้าได้ยังไง 

อวี้หลัวช่ารู้สึกอับอาย รู้ว่าลามมาโกรธตนที่ช่วยศีลแปดปิดบัง ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ นางกล่าวอย่างกินปูนร้อนท้องว่า  ถึงยังไงก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน พี่ใหญ่พูดอย่างนี้ ทำให้ข้าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว เจ้าเวรศีลแปดนั่น อย่าให้ข้าเจอเขานะ ข้าจะช่วยสั่งสอนแทนพี่ใหญ่เอง! 

เหมียวอี้ไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เปลี่ยนประเด็นสนทนาแล้ว  หนานโปได้บัวโลหิตไป สามารถหวนกลับมาใหม่ได้ทุกเมื่อ เรื่องบางเรื่องไม่สะดวกจะประกาศให้ภายนอกรู้ ไม่น่าเชื่อว่าหนานโปจะรู้จักทางรักทางนั้น ข้าสงสัยว่าเดิมทีเขาอยากจะเข้าแดนสุขาวดี ดังนั้นที่ฝั่งแดนสุขาวดี เจ้าต้องเตือนประมุขพุทธะมากๆ หน่อย เสริมการป้องกัน 

อวี้หลัวช่าพยักหน้า  ทางลับเข้ามาทางออกของฝั่งนี้ สงสัยข้าต้องเตรียมคนไปเฝ้าไว้แล้ว 

เหมียวอี้ยื่นแผ่นหยกให้แผ่นหนึ่ง  ไม่ได้มีแค่ทางลับเข้ามาที่นี่ ยังมีทางลับออกจากที่นี่ด้วย เจ้ารู้เอาไว้ก็พอ อย่าบอกคนนอกอีก ต่อไปยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก นับว่าเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ให้เจ้า ส่วนซินหูเจ้าก็ไม่ต้องห่วง ถ้าเป็นไปได้ อย่าให้เขาเข้ามายุ่งกับความขัดแย้งอะไรอีก ข้ามีประสบการณ์มามากพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เขากลายเป็นศีลแปดคนที่สอง และไม่อยากให้เขากลายเป็นไต้ซือศีลเจ็ดด้วย 

อวี้หลัวช่ารับแผ่นหยกมาตรวจอ่านในมือ พบว่าเป็นภาพเส้นทางสองเส้นทาง กะว่าถ้ามีโอกาสจะไปทำความคุ้นเคยไว้สักรอบ นางพยักหน้าบอกว่า  พี่ใหญ่พูดถูก ซินหูมีพี่ใหญ่ดูแลข้าก็วางใจแล้ว! 

เหมียวอี้เปลี่ยนเรื่องคิด ถามอีกว่า  เจดีย์สยบปีศาจเป็นมายังไงกันแน่ ทำไมถึงต้องเก็บรวบรวมความปรารถนาร้ายมากขนาดนั้น? 

อวี้หลัวช่านิ่งไปชั่วขณะ แล้วส่ายหน้าบอกว่า  คงจะนำมาใช้ควบคุมประมุขไป๋กับประมุขปีศาจ ส่วนรายละเอียดข้าก็ไม่รู้ชัด ในปีนั้นเรื่องที่แอบวางแผนทำร้ายประมุขไป๋กับประมุขปีศาจก็เป็นความลับสุดยอด พวกเราจำนวนไม่น้อยที่พอเรื่องเกิดแล้วถึงได้รู้ว่าสู้กับพวกเขา แม้แต่เจดีย์สยบปีศาจหลอมสร้างขึ้นมาเมื่อไรก็ยังไม่รู้เลย จะเห็นได้ว่าใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย คนฝั่งแดนสุขาวดีที่รู้ความจริงคงมีเพียงคนสนิทของประมุขพุทธะ มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้าแน่ใจได้ ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขไป๋กับประมุขปีศาจที่อยู่ในเจดีย์สยบปีศาจจะยังมีชีวิตอยู่ ไม่อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องคอยรวบรวมพลังปรารถนาจากใต้หล้ามาตลอดหรอก 

เหมียวอี้ส่ายหน้า  ความปรารถนาร้ายไม่มีทางสยบประมุขไป๋ได้ ในนั้นมีเงื่อนงำแน่นอน 

 ทำไมพี่ชายแน่ใจขนาดนี้?  อวี้หลัวช่าถาม

เหมียวอี้ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดารา จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสามารถเอาชนะเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาได้ อาศัยพลังของประมุขไป๋ ต่อให้มีความปรารถนาร้ายมากกว่านี้แต่ก็ยากจะเข้าใกล้ร่างกายของประมุขไป๋ การใช้ความปรารถนาร้ายมาสยบประมุขไป๋คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้ให้อวี้หลัวช่ารู้ ถามอีกว่า  ตามความเห็นของเจ้า คุณสมบัติประจำตัวของประมุขไป๋เป็นยังไง? 

 คุณสมบัติประจำตัว?  อวี้หลัวช่าพึมพำ พอพูดถึงสิ่งนี้ ความคิดของนางก็ค่อนข้างสับสน ขณะที่คิดก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน  เกรงว่าจะเป็นชายในฝันของผู้หญิงส่วนใหญ่ในใต้หล้า หน้าตาและความสามารถไม่เป็นรองใคร ผู้สง่างามแห่งยุค เป็นบุคคลที่น่าทึ่งอย่างแท้จริง ในปีนั้นไม่รู้ว่ามีสาวงามตั้งเท่าไหร่เทใจให้เขา ยินดีจะมอบร่างกายให้ แต่จนใจที่หัวใจของเขามีเจ้าของแล้ว เขารักเพียงประมุขปีศาจรั่วสุ่ย อาศัยแค่สิ่งเล็กน้อยพวกนี้ จะมีผู้ชายที่ไหนเทียบเขาได้ล่ะ? ไม่ปิดบังพี่ใหญ่ ในปีนั้นข้าก็เคยเทใจให้เจ้าเหมือนกัน เคยบอกกับเขาว่า ขอเพียงเข้าเต็มใจ ข้าก็จะยอมทิ้งทุกอย่างเพื่ออยู่กับเขา แต่เขาก็ไม่แยแสข้าเลย 

 เขาไม่ได้สนใจเรื่องรักใคร่ในอดีตของเจ้า ข้าถามว่าคุณสมบัติประจำตัวเขาเป็นยังไง ทำไมต้องรู้สึกใจหายกับเรื่องนี้?  เหมียวอี้ถาม

 เอ่อ…  อวี้หลัวช่าเก้อเขินอีกแล้ว เมื่อครู่นี้เพิ่งนึกขึ้นได้ อดไม่ได้ที่จะใจหายจริงๆ ที่จริงแล้วนางพูดแบบนี้ไม่ถูกต้อง ถึงอย่างไรก็เป็นแม่คนแล้ว ที่นางช่วยปิดบังเรื่องของศีลแปด ในใจก็รู้สึกผิดแล้ว จึงไม่ถือสากับคำพูดที่ไม่เกรงใจของเหมียวอี้ นางกล่าวว่า  ยามชักกระบี่ก็กระดูกกองเป็นภูเขา ยามซ่อนคมเป็นชายเจ้าสำราญ อยู่ระหว่างธรรมะและอธรรม คุณสมบัติประจำตัวก็ไม่นับว่าดีหรือเลว เป็นคนที่ถ้าใครไม่รังแกข้า ข้าก็ไม่รังแกใคร ส่วนรายละเอียดข้าก็ไม่ได้สนิทกับเขามาก ไม่ค่อยรู้ชัดเจน 

อยู่ระหว่างธรรมะและอธรรม? พูดแล้วก็เหมือนไม่ได้พูด เหมียวอี้เงียบไป หลายปีมานี้เขาสืบเรื่องนี้อยู่บ้าง บางคนก็บอกว่าดี บางคนก็บอกว่าชั่ว ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยโห้วท่าบอกว่าเจ้าเล่ห์มาก บางเรื่องเขามองไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงอยากรู้มากว่าประมุขไป๋เป็นคนอย่างไร เขาถามอีกว่า  แล้วประมุขปีศาจเป็นคนยังไง? 

ไม่รู้ว่าจะมีทฤษฎีกาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์หรือเปล่า เสวี่ยหลิงหลงเปลี่ยนไปหลังจากอยู่กับสวีถังหราน สิ่งนี้อยู่ในสายตาเขาตลอด เพราะมีตัวอย่างนี้ให้เห็น เขาจึงอยากสืบจากอีกด้านหนึ่ง

อวี้หลัวช่าตอบว่า  งดงาม! งดงามจนทำให้ข้าน้อยเนื้อต่ำใจที่ด้อยกว่า งดงามจนทำให้ข้าไม่กล้าแข่งกับนาง 

 งดงาม! นิสัยประจำตัวก็บรรยายได้แบบนี้เหมือนกัน  อวี้หลัวช่าตอบ

 …  เหมียวอี้มองนางอย่างอึ้งๆ ไปพักหนึ่ง แล้วถามอีกว่า  พาข้าไปดูที่เจดีย์สยบปีศาจหน่อยได้ไหม?  ในเมื่อมาที่นี่แล้ว เขาก็อยากสืบให้ลึกถึงก้นบึ้งสักหน่อย

อวี้หลัวช่าส่ายหน้า  ไม่ได้! แม้แต่ข้ายังไม่มีทางเข้าใกล้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพี่ใหญ่จะเข้าใกล้ได้…พี่ใหญ่ เหมือนท่านจะสนใจประมุขไป๋มากเลยนะ? 

เหมียวอี้หาข้ออ้างตอบว่า  ได้ยินเรื่องบางอย่างมา เลยอยากจะพิสูจน์สักหน่อย 

ในวันนั้น พวกเหมียวอี้ไปกราบทัพทายประมุขพุทธะที่วัดต้าเหลยอิน

วันต่อมา ประมุขพุทธะแสดงธรรมอย่างเป็นทางการ อยู่บนวัดต้าเหลยอินของวัดต้าเหลยอิน ลูกศิษย์ชาวพุทธที่มีฐานะในแดนสุขาวดีมารวมตัวกันอย่างเนืองแน่น พวกเหมียวอี้และพวกกอ๋องจากตำหนักสวรรค์นั่งขัดสมาธิอยู่แถวหน้าสุด ประมุขพุทธะกล่อมเกลาพวกเขาไม่ได้ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ด้วย ที่จริงประมุขพุทธะก็ไม่ได้ต้องการให้พวกเขาสนใจเช่นกัน สิ่งที่ต้องการก็คือให้พวกเขาลดฐานะเมื่ออยู่ที่นี่ สิ่งที่ต้องการก็คือท่าทีของพวกเขา มีลูกศิษย์ชาวพุทธมากมายที่ปักหลักอยู่ในอาณาเขตของบรรดาอ๋องสวรรค์ ถ้าจู่ๆ มีใครไม่ไว้หน้าประมุขพุทธะแล้ว ก็จะส่งผลกระทบมากมายต่อลูกศิษย์ชาวพุทธในอาณาเขต เบื้องหลังมีคนประจบสอพลอมากเกินไป

นั่งอยู่อย่างนี้ต่อเนื่องกันหลายวัน ระหว่างนั้นไม่มีการพัก เมื่อเทศนาธรรมจบ พวกเหมียวอี้ก็สนทนากับประมุขพุทธะตามมารยาทแล้วกล่าวอำลา แล้วประมุขพุทธะก็ส่งคนให้ไปส่งพวกเขาออกนอกอาณาเขต

ด้วยความที่ประมุขพุทธะจัดเตรียมงานโดยเน้นให้ความสำคัญและตัดสิ่งรบกวนทุกอย่างออกไป แม้แต่ตำหนักสวรรค์เองก็ต้องไว้หน้า งานบุญใหญ่จบลงอย่างราบรื่น ด้วยความร่วมมือของฝ่ายอำนาจใหญ่ในใต้หล้า ระหว่างทางไม่เกิดปัญหาใดๆ

ประมุขพุทธะย่อมใช้สิ่งนี้เพื่อแสดงการมีอยู่ของตัวเองในใต้หล้า บางทีนี่อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ประมุขพุทธะจัดงานบุญนี้ขึ้นมา ไม่แปลกใจเช่นกันที่ก่อนหน้านี้ต้องการจะกดดันตำหนักสวรรค์ กดดันไม่ให้มีข่าวลือวุ่นวายพวกนั้น แท้จริงแล้วต้องการจะตัดสิ่งรบกวนทุกอย่าง

เมื่อกลับมาถึงจวนท่านอ๋องแล้ว เหมียวอี้ก็พบแขกที่ตัวเองไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอ แต่ก็ถือว่าสมเหตุสมผล

ในดถงหลัก ผู้อาวุโสมู่เซินของเผ่าปีศาจถอดหน้ากากอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ เมื่อเห็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ท่านนี้ ก็มีภาพตราตรึงในความทรงจำลึกซึ้งมาก เคยไปมาหาสู่กันมาก่อน จะให้ลืมก็คงยาก เขาพบว่าอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ก็คือคนที่ไขปริศนาอักษรในปีนั้น มู่เซินผู้อาวุโสเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมประมุขปราสาทแมกไม้ให้เขามาที่นี่

ธิดาศักดิ์สิทธิ์เผ่าปีศาจหายตัวไปแล้ว ตอนแรกเผ่าปีศาจก็ยังไม่หวาดกลัวเท่าไหร่ ถึงอย่างไรศีลแปดก็บอกไว้แล้วว่าจะพามู่น่าไปทัศนาจร ด้วยความเชื่อถือที่มีต่อศีลแปด เผ่าปีศาจจึงไม่ค่อยใจร้อนในการตามหา ตอนแรกก็ยังติดต่อกับมู่น่าได้ แต่ตอนหลังมู่น่าขาดการติดต่อไป เผ่าปีศาจถึงได้รู้สึกกลัว มาขอให้ปราสาทแมกไม้ช่วยตามหา

ประมุขปราสาทแมกไม้บอกพวกเขาว่าไม่ต้องตามหาแล้ว แต่เผ่าปีศาจจะยอมได้อย่างไร แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าประมุขปราสาทแมกไม้มีเหตุผลอะไร จึงให้มู่เซินมาหาคำตอบจากอ๋องสวรรค์หนิวโหย่วเต๋อ

คำตอบของเหมียวอี้ก็เหมือนกับประมุขปราสาทแมกไม้ ถอนหายใจเราบอกว่า  ผู้อาวุโส ไม่ต้องตามหาแล้ว 

มู่เซินหัวใจกระตุกวูบ  ธิดาศักดิ์สิทธิ์มีความหมายไม่ธรรมดาต่อเผ่าปีศาจ จะเป็นหรือตายก็ขอให้บอกมาเถอะ! ไม่อย่างนั้นจะชี้แจงกับคนในเผ่าได้อย่างไร? 

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า  มู่น่ากับศีลแปดบังเอิญเจอพระปีศาจหนานโป โดนพระปีศาจหนานโปสังหารแล้ว ลาโลกนี้ไปแล้ว โปรดระงับความเศร้าโศก! 

 หา!  แม้มู่เซินจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะอุทานเสียงหลง น้ำตาไหลแล้ว คนอื่นเกลี้ยกล่อมเขาอาจจะไม่สำเร็จ แต่นี่คือคำพูดของคนที่แก้ไขอักษรปริศนาสำเร็จในปีนั้น เขาทำได้เพียงเชื่อ แล้วโค้งตัวทั้งน้ำตา  มิกล้ารบกวนท่านอ๋องแล้ว ผู้น้อยขอตัว! 

 ช้าก่อน!  เหมียวอี้เรียกเขา แล้วขมวดคิ้วถามว่า  ประมุขปราสาทแมกไม้หลินไห่ให้เจ้ามาหาคำตอบเรื่องนี้กับข้าเหรอ? 

 ใช่แล้ว!  มู่เซินพยักหน้า

เหมียวอี้หรี่ตา ข่าวเรื่องนี้ยังไม่แพร่ออกไปเลย ทำไมหลินไห่รู้ข่าวเร็วขนาดนี้? ทั้งยังชี้แนะให้มู่เซินมาหาเขาอีก…

………………

 

ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าไต้ซือศีลเจ็ดกำลังช่วยชีวิตศีลแปด เหมียวอี้กับพวกเหยียนซิวมองหน้ากันเลิกลั่กอย่างอดไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าปัญหาที่กลุ่มยอดฝีมือแก้ไขไม่ได้ แต่ศีลเจ็ดแก้ไขได้! สิ่งนี้ทั้งทำให้เหมียวอี้ดีใจ ทั้งทำให้เหมียวอี้นึกเสียใจทีหลัง ดีใจเพราะช่วยชีวิตศีลแปดได้แล้ว แต่เสียใจทีหลังเพราะไม่น่าปล่อยให้พระปีศาจหนีไปเลย!

ปุ่มบนตัวศีลแปดเล็กลงเรื่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ของต้องห้ามที่ลงไว้บนตัวยังไม่ถูกถอนออก ภายใต้การระงับด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ของไต้ซือศีลเจ็ด ร่างกายไม่สามารถขยับได้ แต่กลับกำลังร้องไห้ ส่ายหน้าบอกว่า  อย่านะ! ท่านอาจารย์ อย่านะ! ตาแก่โล้น ข้าไม่ต้องการให้ท่านทรมานแทนข้า ข้าสมควรตายเอง…พี่ใหญ่ รีบห้ามท่านอาจารย์! 

ไม่ได้ยินแบบนี้ บรรดาคนที่อยู่ข้างๆ ก็ตกใจจนขนลุก อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของไต้ซือศีลเจ็ดเมื่อครู่นี้ ที่บอกว่าหากข้าไม่ลงนรก แล้วใครจะลงนรก อย่าบอกนะว่าไต้ซือศีลเจ็ดไม่มีทางถอนพิษได้ แต่แค่ย้ายพิษจากตัวศีลแปดมาไว้บนร่างกายตัวเอง?

ทว่าไม่รอให้เหมียวอี้ตอบสนองอะไร ไต้ซือศีลเจ็ดก็ใช้ฝ่ามือสองข้างผลักเบาๆ ศีลแปดหงายหลังล้มลงนอนแล้ว

 ไต้ซือ!  เหมียวอี้รีบนั่งยองๆ ข้างกายไต้ซือศีลเจ็ด ประคองตัวไว้พลางร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูอาการ ที่จริงไม่ต้องตรวจดูก็รู้แล้วว่าอาการไม่ดี หลังจากปุ่มพวกนั้นย้ายร่างแล้ว ก็เหมือนจะเสียการควบคุม ความเร็วในการพองตัวเพิ่มขึ้นเยอะมาก ราวกับเป่าลูกโป่ง

เหมียวอี้อับจนปัญญา รู้สึกหวาดกลัวแล้ว คนอื่นก็ไม่มีหนทางแก้ไขปัญหาเช่นกัน

ไต้ซือศีลเจ็ดที่ทำเรื่องนี้เสร็จแล้วประนมมือกล่าวว่า  อามิตตาพุทธ!  บนใบหน้า บนหน้าผากมีห้อเลือดขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ศีลแปดทั้งกลิ้งทั้งคลานเพื่อลุกขึ้นมา ดึงแขนไต้ซือศีลเจ็ดเอาไว้ แล้วบอกกับเหมียวอี้ว่า  พี่ใหญ่ รีบคลายผนึกให้ข้า ข้าแก้ไขได้  เขาเตรียมจะใช้วิชาศีลย้ายวิชามารในร่างกายศีลเจ็ดกลับเข้ามาในร่างกายตัวเองอีกครั้ง

เหมียวอี้ดึงมือศีลแปดและรีบลงมือคลายผนึกบนตัว ศีลแปดคว้ามือศีลเจ็ดและเพิ่งจะนั่งขัดสมาธิ

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! ห้อเลือดบนใบหน้าไต้ซือศีลเจ็ดพลันระเบิดออกจุดแล้วจุดเล่า เลือดกระเด็นใส่หน้าศีลแปด

เสียงเปรี๊ยะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ห้อเลือดบนร่างกายไต้ซือศีลเจ็ดระเบิดอย่างต่อเนื่อง ช่วยพริบตาเดียวก็กลายเป็นมนุษย์เลือด ใบหน้าไม่เหลือโฉมหน้าเดิมแม้แต่น้อย ในร่างกายก็มีเสียงระเบิดดังมาเช่นกัน

พวกเหมียวอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ตกใจจนเหม่อ ต่างก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

 ไม่! อาจารย์…  ศีลแปดลนลานทำอะไรไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าสายไปแล้ว บนใบหน้าและร่างกายเต็มไปด้วยเลือดของศีลเจ็ด เขาจับมือศีลเจ็ดพลางร้องไห้เหมือนเด็กไร้ที่พึ่ง น้ำตาพรั่งพรูไม่หยุด เขาส่ายหน้าขณะมองศีลเจ็ดที่ไม่เหลือโฉมหน้าเดิม

เหยียนซิวรีบหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมา นั่งยองๆ ข้างกายเพื่อเยียวยาให้ศีลเจ็ด

ไต้ซือศีลเจ็ดที่หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวส่ายหน้าช้าๆ กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า ใช้ไม่ได้แล้ว! 

เหมียวอี้รีบแตะมือร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบ ถึงได้พบว่าหัวใจของไต้ซือศีลเจ็ดระเบิดหมดแล้ว ช่วยให้รอดไม่ได้เลย ตามหลักน่าจะขาดใจไปแล้ว แต่ลมหายใจในร่างกายกลับยังทำงานอย่างนุ่มนวล แขวนชีวิตของศีลเจ็ดเอาไว้ไม่ให้ขาดใจ แต่ลมหายใจที่อ่อนโยนนั่นทำงานอย่างอ่อนแอลงเรื่อยๆ

เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งกุมศีรษะพลางยืนขึ้น เอียงหน้ามองไปด้านข้าง พูดไม่ออกสักคำ!

ศีลแปดดิ้นรนคุกเข่าตรงหน้าศีลเจ็ด ร้องไห้ฟูมฟาย ตัวงอเหมือนกุ้ง กระแทกศีรษะบนหลังมือที่เหี่ยวย่นของศีลเจ็ด เอาหน้าผากดันหลังมือของศีลเจ็ดไว้ กอดไว้ที่หน้าผากตัวเองไม่ปล่อย ส่ายหน้ากล่าวเสียงสะอื้นว่า  เพราะอะไร? ท่านอาจารย์ ข้าไม่เข้าใจ ทำไมคนดีมักไม่ได้รับกรรมดี? 

ไต้ซือศีลเจ็ดกล่าวช้าๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง  ทำไมจะไม่ได้รับกรรมดี? ถ้าอาตมาเป็นคนดี ทำดีต่อเจ้า นี่ไม่ใช่ผลบุญของเจ้าหรอกหรือ? เจ้าไม่รู้สึกถึงกรรมดีเชียวหรื? 

 ฮือๆ…  ชั่วพริบตานี้ ศีลแปดร้องไห้จะเป็นจะตาย พยักหน้ากล่าวขณะน้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลออกมา  ศิษย์เข้าใจแล้ว! 

ไต้ซือศีลเจ็ดยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาอย่างยากลำบาก วางบนศีรษะศีลแปด ถามอย่างไร้เรี่ยวแรงต่อไปว่า  เด็กโง่! ทุกข์หรือไม่? 

 ทุกข์!  ศีลแปดพยักหน้าร้องไห้

 ปล่อยวางได้หรือ…  ไม่รู้ว่าไต้ซือศีลเจ็ดยังอยากจะพูดอะไรอีก ไม่มีแรงพูดให้จบแล้ว มือที่วางบนศีรษะศีลแปดก็ไหลตกลงมาอย่างสิ้นแรง ศีรษะหลุบลง ตกลงอยู่ตรงหน้าอก

 ฮือๆ…  ศีลแปดหมอบอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมเงยหน้า แต่สัมผัสได้แล้ว ร้องไห้จนแทบเสียสติ

เหมียวอี้หลับตาเงยหน้า นิ่งเงียบไปนานมาก

แม้พวกชิงเยว่จะไม่รู้จักไต้ซือศีลเจ็ด แต่ในเวลานี้ก็เหมือนกับเหยียนซิว มองร่างชำรุดที่กำลังนั่งมรณภาพของไต้ซือศีลเจ็ดอย่างเกิดความรู้สึกนับถือ

จนกระทั่งตอนที่เหมียวอี้โค้งกายให้ไต้ซือศีลเจ็ดที่นั่งมรณภาพ กลุ่มแม่ทัพก็โค้งกายตามเช่นกัน ทั้งหมดเผยสีหน้าเคารพนับถือที่มาจากใจ

จากนั้นคนอื่นก็ถอยออกไป ก่อนที่ชิงเยว่จะถอยออกไป ก็นำร่างของมู่น่าวางไว้บนพื้น

ตรงนั้นเหลือเพียงร่างไม่สมบูรณ์สองร่าง แล้วก็สองพี่น้อง คนหนึ่งหมอบร้องไห้อย่างเจ็บปวดทรมานตรงหน้าไต้ซือศีลเจ็ด คนหนึ่งยืนเอามือไขว้หลังเงยหน้ามองดาวบนฟ้า

จนกระทั่งความสนใจของศีลแปดย้ายไปบนตัวมู่น่า ไปคุกเข่าตรงหน้ามู่น่าและกอดไว้นานไม่ยอมปล่อย เหมียวอี้ก็ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า  บอกมาเถอะ! เรื่องเป็นยังไงกันแน่? 

 ที่จริงข้าหาวิธีเปิดคลังสมบัติจากด้านในได้นานแล้ว…  ขณะกอดมู่น่า ศีลแปดก็ร้องไห้พลางเล่าเรื่องที่ตัวเองแอบออกจากจุดซ่อนสมบัติสำนักหนานอู๋อย่างละเอียด

เหมียวอี้เงยหน้ามองฟ้าอย่างไม่สะทกสะท้าน ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว ที่แท้น้องชายคนนี้หลอกเขามาตลอดหลายปี เอะอะก็บอกว่าเหงาจนทนไม่ไหว ที่จริงกำลังตบตาเขามาตลอด และศีลแปดก็มักแอบไปพบกับอวี้หลัวช่า แต่อวี้หลัวช่ากลับช่วยศีลแปดปิดบัง

 ดี! เจ้ารอง เจ้าช่างดีจริงๆ หลอกข้ามาหลายปีขนาดนี้! มีคนตั้งมากมายเท่าไหร่ที่อยากได้โอกาสฝึกตนอย่างสงบใจแต่ก็ไม่ได้ มีคนตั้งมากมายเท่าไหร่ที่อยากได้โอกาสฝึกตนอย่างสงบใจแต่ก็ไม่ได้ ที่แท้สิ่งที่ข้าใส่ใจ สิ่งที่ข้าพยายามดิ้นรนมาหลายปีขนาดนี้ ในสายตาเจ้าเป็นสิ่งที่น่าเหยียดหยามขนาดนี้นี่เอง  เหมียวอี้ทำสีหน้าเยาะเย้ยตัวเอง ก้มหน้าเหล่ตามองศีลแปดอย่างเย็นเยียบ

ศีลแปดเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา  พี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว! 

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินมาตรงหน้าเขา โค้งตัวลง ใบหน้าแทบจะชนกับหน้าศีลแปด  เจ้ารอง เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเพื่อที่จะช่วยเจ้า ข้ามอบอะไรให้พระปีศาจไป? ข้าให้บัวโลหิตพระปีศาจไปแล้ว มันช่วยให้พระปีศาจสร้างกายหยาบขึ้นมาใหม่ได้ ถ้าพระปีศาจกลับมามีพลังเหมือนในปีนั้นเมื่อไร ก็ไม่รู้ว่าในใต้หล้าจะมีคนต้านทานเขาได้หรือเปล่า! ข้าช่วยเจ้าไว้ได้แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าในภายหลังจะต้องมีอีกกี่ชีวิตตายด้วยน้ำมือพระปีศาจ พระปีศาจไม่มีทางปล่อยข้าไปหรอก ไม่มีทางปล่อยพี่สะใภ้เจ้าไป ไม่มีทางปล่อยเจ้าสามไป แล้วไม่มีทางปล่อยลูกน้องคนสนิทพวกนี้ของข้าด้วย ไม่รู้ว่าตอนนี้ข้าใช้ชีวิตของคนตั้งมากมายเท่าไหร่เพื่อแลกกับชีวิตเดียวของเจ้า แต่ข้าจะทำยังไงได้ล่ะ? พอข้าเห็นเจ้า ก็นึกถึงพ่อแม่ของเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะบุญคุณที่เขาเลี้ยงดูข้า เกรงว่าข้าคงไม่รอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้ และไม่มีข้าในวันนี้ด้วย ดังนั้นข้าไม่มีทางเห็นเจ้าตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ทำอะไร ดังนั้นข้าไม่มีทางเห็นเจ้าตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ทำอะไร และไม่มีทางฆ่าน้องชายตัวเองต่อหน้าลูกน้องของตัวเองด้วย เพียงแต่ถ้านึกไม่ถึงว่าทำอย่างนี้จะทำร้ายให้ไต้ซือศีลเจ็ดตาย! ลองนับรวมๆ ดูแล้ว เจ้ารอง บาปของข้าหนักกว่าเจ้าเสียอีก! 

 พี่ใหญ่!  ศีลแปดส่ายหน้าร้องไห้  ล้วนเป็นความผิดของข้า ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ท่านจะด่าหรือจะตีข้าข้าก็รับได้หมด จะฆ่าข้าก็ได้ ท่านอย่าเป็นแบบนี้สิ! 

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน ส่ายหน้าถอนหายใจ  ข้าไม่ด่าเจ้าหรอก ไม่ตีเจ้าด้วย และไม่ฆ่าเจ้าด้วย ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เราโตแล้ว ข้าไม่ควรควบคุมเจ้าเหมือนเป็นเด็ก ควบคุมไม่ไหวด้วย! ควบคุมเจ้าไม่ไหวจริงๆ!  พูดจบก็หันตัวช้าๆ เดินไปข้างหน้าช้าๆ หันหลังโบกมือให้ กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า  ต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องห่วงแล้ว! ในเมื่อเจ้าเฝ้าหวังอิสระ เช่นนั้นก็ไปใช้ชีวิตอย่างอิสระเถอะ เจ้าอยากจะทำอะไรก็ตามใจเจ้า ถ้าเจ้าประสบปัญหาอะไรก็บอกมา ถ้าข้าช่วยได้ก็จะพยายามช่วยให้เต็มที่ ถ้าเข้าช่วยเจ้าไม่ได้ เจ้าก็อย่าโทษข้าแล้วกัน ต่อไปนี้ข้าจะไม่ด่าเจ้าอีกแล้ว จะไม่ตีเจ้าอีก ต่อไปนี้จะไม่ควบคุมเจ้าอีกแล้ว…อาจารย์เจ้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่เลวเลย ถึงอย่างไรก็ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ ฝังเขาไว้อย่างสงบเถอะ! 

ขณะที่พูดคำพูดเหล่านี้ น้ำเสียงของเหมียวอี้เหมือนแก่ชราลงหลายแสนปี เขาเดินไปข้างหน้าช้าๆ เหมือนหลังค่อมเล็กน้อย ทำให้คนเชื่อได้ยากว่าเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ที่องอาจห้าวหาญ เผด็จการเต็มเปี่ยมคนนั้น

ศีลแปดรู้สึกได้จากตัวเขาแล้ว ว่าอะไรที่เรียกว่า ‘เรื่องน่าเศร้าที่สุดไม่เศร้าเกินกว่าจิตใจตาย’ เขาตะโกนเสียงดัง  พี่ใหญ่! 

เหมียวอี้ถลันตัวเหาะขึ้นไปบนฟ้า ไม่หันกลับมาอีก เก็บกำลังพลเหาะไปยังจุดลึกในดาราจักรอย่างรวดเร็ว

 พี่ใหญ่…  ศีลแปดพึมพำอย่างเหม่อลอย แล้วมองใบหน้างามวิจิตรในอ้อมกอดตัวเองอีกครั้ง ก้มหน้ากอดอยู่หน้าร่างที่นั่งท่าขัดสมาธิของไต้ซือศีลเจ็ด…

หลังจากนั้นหลายวัน ดาวพิษ แม่น้ำใต้ดินที่มืดมิด ปากถ้ำทางเข้าคลังซ่อนสมบัติสำนักหนานอู๋ ศีลแปดประนมมือเดินเข้าไปช้าๆ จากนั้นประตูด้านหลังก็ปิดสนิท

ศีลแปดที่ก้าวขึ้นบนฐานดอกบัว ยิ้มบางๆ ขณะมองงูขาวที่ขดอยู่ในกลีบดอกบัว

สุดท้ายก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนแท่น นั่งท่าขัดสมาธิ พึมพำท่องด้วยเสียงต่ำว่า  มิใช่มารมิใช่เคราะห์ ไม่ยึดติดไม่เพ้อฝัน ไร้ฝุ่นไร้ราคี ไม่สัมผัสไม่คล้อยตาม อย่ารักอย่าโกรธ ยากจะหาจุดเริ่มต้น ยากจะหาจุดจบ หยิบยื่นบุปผา เป็นเพียงฝันฉากหนึ่ง! 

ปิดตาสองข้างลงช้าๆ…

เขาหลิงซาน ทัศนียภาพงดงามหลากหลาย บรรยากาศมงคลดุจสายรุ้ง หงส์ร่อนมังกรบิน เจดีย์สูงขาวดุจหยกตั้งเรียงราย เสียงระฆังดังแว่ว ศิษย์ชาวพุทธะมาจากทั่วสารทิศ แขกผู้มีเกียรติทยอยกันเหาะมาถึงที่นี่

เหมียวอี้ ก่วงลิ่งกง โค่วหลิงซวี เถิงเฟย เฉิงไท่เจ๋อ ห้าอ๋องสวรรค์มาถึงแล้ว เขาหลิงซานส่งคนระดับเดียวกันห้าคนมาต้อนรับด้วยตัวเอง พุทธะหน้าหยกก็รวมอยู่ในนั้นด้วย เป็นฝ่ายนำเหมียวอี้เดินไปยังที่พักซึ่งอยู่บนยอดเขาที่สูงตระหง่านแห่งหนึ่ง

บนยอดเขามีวัดที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่ง ข้างในมีเจดีย์ขาวหยกหนึ่งหลังที่สร้างจากพลังปรารถนา รอบข้างมีเจดีย์เล็กๆ ไม่น้อย สภาพแวดล้อมสงบเงียบ กำลังพลที่เฝ้าอยู่ที่นี่เปลี่ยนเป็นคนของเหมียวอี้หมดแล้ว ส่วนที่พักของเหมียวอี้ก็คือเจดีย์สูงสีหยกขาวหลังนั้น อวี้หลัวช่านำทางพาไปเยี่ยมชม เหมียวอี้กันผู้ติดตามออกไป แล้วทั้งสองก็เดินช้าๆ ขึ้นไปบนเจดีย์สูง

พวกเขายืนบนแท่นยอดเจดีย์ ทอดสายตามองทัศนียภาพที่งดงามหลากหลายของเขาหลิงซาน พลังจิตวิญญาณที่ลอยขึ้นมาขับกับทิวทัศน์ด้านล่าง ทำให้คนที่เห็นรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ ไม่ได้ดูงดงามหรูหรา แต่กลับแสดงความยิ่งใหญ่อลังการไร้ที่เปรียบของเขาหลิงซาน

เมื่อไม่มีคนนอก อวี้หลัวช่าก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า  พี่ใหญ่ไม่ต้องห่วง มือของประมุขชิงยังยื่นมาไม่ถึงที่นี่หรอก ประมุขพุทธะไม่มีทางปล่อยให้ประมุขชิงเป็นใหญ่เพียงผู้เดียว เขาหลิงซานคือสถานที่ปลอดภัย ถ้าเกิดความเคลื่อนไหวอะไรข้าจะแจ้งท่านทันที 

เหมียวอี้พยักหน้า  รบกวนแล้ว 

อวี้หลัวช่าบอกว่า  คนบ้านเดียวกันไม่พูดจาห่างเหิน พี่ใหญ่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมไต้ซือศีลเจ็ดไม่มาด้วย?  นางเตรียมต้อนรับไต้ซือศีลเจ็ดแล้ว แต่กลับติดต่อไม่ได้ เหมียวอี้ก็บอกเพียงว่าไต้ซือศีลเจ็ดมาไม่ได้แล้ว มีอะไรให้คุยกันต่อหน้า

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า  ไต้ซือศีลเจ็ดมรณภาพแล้ว 

อวี้หลัวช่าตกใจมาก  จะเป็นไปได้ยังไง? แม้อายุขัยของท่านจะเหลือไม่มากแล้ว แต่ก็น่าจะยังอยู่ได้อีกสักระยะ 

 จะบอกว่าตายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโปก็ได้!  เหมียวอี้ถอนหายใจ

อวี้หลัวช่าตกใจอีก  พระปีศาจ? เรื่องเป็นยังไงกันแน่? 

……………

 

พอพูดถึงเรื่องนี้หนานโปก็โมโห ตะคอกถามว่า  เจ้ายังเล่นอุบายนี้ไม่พอใช่ไหม? เหมือนเจ้าจะติดค้างอะไรบางอย่างข้านะ? 

เหมียวอี้เองก็นึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์การแลกเปลี่ยนแบบนี้กับหนานโปจะเกิดขึ้นอีก ระยะเวลาห่างกันเพียงสั้นๆ เวรกรรมตามทันเร็วขนาดนี้ เขาเข้าใจชัดเจนมาก ว่าครั้งนี้หนานโปไม่มีทางเชื่อเขาง่ายๆ อีกเขาพลิกฝ่ามือคว้าบัวโลหิตออกมา แสงระยิบระยับบนมือ เผยให้หนานโปเห็นต่อหน้าฝูงชน

หนานโปหรี่ตาจ้อง ถ้าบอกว่าไม่หวั่นไหวก็โกหกแล้ว เมื่อได้เห็นบัวโลหิตกับตาตัวเอง หัวใจก็เต้นรัวแล้ว แต่ก็รู้เช่นกันว่าจะต้องมีชีวิตเอาไว้เสพสุขด้วย

เหมียวอี้ยื่นบัวโลหิตพร้อมบอกว่า  ข้าให้ของเจ้าได้ แต่ปล่อยคน ปล่อยพวกเขาไปซะ ถ้าไม่ปล่อยคน ก็อย่าคิดว่าจะรอดไปได้แม้แต่คนเดียว! 

เมื่อเห็นว่าเขาสื่อสารกับตนได้ปกติ หนานโปก็แอบใช้มนต์คร่าชีวิต ผลปรากฏว่าเหมียวอี้ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ในใจรู้สึกอึดอัดสงสัย เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาแล้ว จึงตะโกนทันทีว่า  ส่งบัวโลหิตมาให้ข้าก่อน! 

 ปล่อยมาก่อนหนึ่งคน!  เหมียวอี้กล่าว

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ศีลแปดก็เคลื่อนไหวเรากลับเป็นบ้า ไม่รู้ว่ากำลังบอกใบ้อะไรให้ฟังนี้รู้ เหมียวอี้จึงพยักหน้าบอกว่า  ให้เขาพูด! 

หนานโปกลับเข้าใจเจตนาของศีลแปด เอียงศีรษะบอกใบ้ให้คนที่ควบคุมศีลแปด คนนั้นคลายผนึกให้ศีลแปดทันที แต่ก็ยังควบคุมศีลแปดเอาไว้

ศีลแปดตะโกนเสียงดังว่า  พี่ใหญ่ ปล่อยมู่น่าก่อน ช่วยมู่น่าก่อน ในท้องนางมีลูกของข้า นางกำลังท้องลูกของข้านะ!  เขากลัวว่าเหมียวอี้จะพาตัวเขาไปแล้วทิ้งมู่น่าไว้เป็นตัวประกัน เขารู้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เหมียวอี้อาจจะทำอย่างนี้

มู่น่าดีแล้ว มองเขาพลางน้ำตาไหล นางร้องไห้แล้ว

ลูก? เหมียวอี้จ้องมู่น่า จ้องที่ท้องของมู่น่า มุมปากกระตุกอย่างรุนแรง มองไปที่ศีลแปดด้วยแววตาที่เหมือนจะกินคน

หนานโปกวักมือ ให้คนคุมตัวมู่น่ามาอยู่ข้างกาย ยื่นมือลูบท้องมู่น่า รูดเสื้อผ้าตรงส่วนท้องลงไป เห็นท้องนูนขึ้นมาจริงๆ ด้วย

มู่น่าที่อยู่ใต้มือเขาทั้งตกใจทั้งกลัวจนตัวสั่นระริก

ศีลแปดเรากับเป็นบ้าไปแล้ว คำรามอย่างเกรี้ยวกราดว่า  พระปีศาจ ปล่อยมือเหม็นๆ ของเจ้า! 

หนานโปไม่แยแส ปล่อยมือแล้วมองเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้ม  ส่งบัวโลหิตมาให้ข้าก่อน! 

เหมียวอี้พยักหน้าให้มู่น่า  เจ้าปล่อยนางก่อน แล้วข้าจะมอบของให้เจ้า 

หนานโปยิ้มเห็นฟัน ยื่นมือคว้ามู่น่าเข้ามา ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งแนบบนแผ่นหลังมู่น่า แล้วจู่ๆ ก็เผยสิหน้าดุร้าย ดันพลังอิทธิฤทธิ์ให้พรั่งพรูออกมา

 อั้ก!  ตรงหัวใจของมู่น่าระเบิดออก มีดอกเลือดระเบิดออกมากลุ่มหนึ่ง

 ให้เจ้า!  หนานโปใช้มือข้างหนึ่งผลักมู่น่าออกไป ลงมือสังหารมู่น่าแล้ว

มู่น่าเผยอปากเล็กน้อย เบิกตากว้าง ทั้งตัวลอยออกมา ลอยไปทางฝั่งเหมียวอี้ การมองเห็นเริ่มเลือนรางทีละน้อย ปรากฏภาพป่าไม้เขียวชอุ่มที่เลือนราง นั่นคือสถานที่ที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูนาง เต็มไปด้วยพลังชีวิต ใบหน้าของผู้อาวุโสมู่เซินปรากฏตรงหน้านาง นั่งใต้ต้นไม้ใหญ่และบอกนางว่า  โลกภายนอกอันตรายมาก มีคนเลวเยอะ…  แล้วก็ปรากฏภาพเหตุการณ์ที่เจอกับศีลแปดครั้งแรก นางพยายามหันกลับไปมองศีลแปดอีกครั้ง แต่ภาพตรงหน้ากลับดำมืด มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น หยดน้ำตาดุจผลึกอัญมณีหยดออกจากหางตาและล่องลอยอยู่ในดาราจักร

 …  ศีลแปดตกใจจนค้างไปเลย น้ำตาพรั่งพรูออกมา ควบคุมอารมณ์ไม่ได้แล้ว พยายามดิ้นรนสุดชีวิต ตะโกนจนคอแทบแตกว่า  มู่น่า! มู่น่า…พระปีศาจ ข้าจะสู้ตายกับเจ้า! พี่ใหญ่ ฆ่าเขาเลย ฆ่าเขา พี่ใหญ่ ข้าไม่อยู่แล้ว ฆ่าเขาให้ข้าหน่อย ท่านช่วยฆ่าเขาให้ข้าสิ ข้าขอร้อง… 

เหมียวอี้กําหมัดแน่นอยู่ในกระบอกแขนเสื้อ เม้มริมฝีปากตึงแน่น

มู่น่าลอยเข้ามา ชิงเยว่ถลันตัวออกไปอุ้มร่างที่อ่อนยวบของมู่น่าเอาไว้ มองรอยน้ำตาบนใบหน้างามวิจิตรของมู่น่าแวบหนึ่ง แล้วรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอาการ พบว่าพระปีศาจลงมือโหดเหี้ยมผิดปกติ ไม่ใช่แค่ใช้หนึ่งฝ่ามือตีทำลายหัวใจเท่านั้น แม้แต่อวัยวะภายในก็สะเทือนแตกไปด้วย สภาพภายในท้องทำให้คนพูดไม่ออก

ชิงเยว่อุ้มมู่น่ามาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วส่ายหน้าให้เหมียวอี้ บอกใบ้ว่าเกินเยียวยาแล้ว

ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรแอบประเมินปฏิกิริยาของเหมียวอี้เงียบๆ

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย กำลังมองศีลแปดที่ตะโกนโวยวายราวกับเป็นบ้า ชิงเยว่เก็บศพของมู่น่าแล้วกลับมาอยู่ข้างกาย

พวกจั่วเอ๋อร์ก็ตะลึงค้างเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าพระปีศาจหนานโปจะบ้าระห่ำขนาดนี้ ตอนทำเงื่อนไขแลกเปลี่ยนเพื่อปกป้องชีวิต ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าทำอย่างนี้

หารู้ไม่ว่าสำหรับหนานโปแล้ว เป็นเพราะเคยมีบทเรียนมาก่อน เขาไม่เชื่อเลยว่าเหมียวอี้จะปล่อยเขาไปง่ายๆ เขาก็แค่นำชีวิตของมู่น่ามาใช้ล้างแค้นสิ่งที่เหมียวอี้ทำไว้ก่อนหน้านี้ก็เท่านั้นเอง นี่ก็คือราคาเล็กน้อยที่เจ้าต้องจ่ายหลังจากปั่นหัวข้า!

หนานโปกล่าวกับเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้มว่า  คน ข้าให้เจ้าแล้ว เอาของมาให้เขาสิ!  พูดจบก็ดึงศีลแปดออกมาอีก สกัดคอหอยศีลแปดเอาไว้เสียเลย ไม่ให้ศีลแปดกระดิกกระเดี้ยได้อีก ไม่สามารถร้องคำรามได้ ทำท่าเหมือนจะฆ่าศีลแปดได้ตลอดเวลา

ศีลแปดน้ำตาไหลไม่ขาดสาย เขานึกเสียใจทีหลัง เสียใจว่าทำไมไม่ตั้งใจฝึกตนให้ดี

 ถ้าฆ่าเขาแล้ว แล้วก็อย่าคิดว่าจะรอดชีวิออกไปได้เลย!  เหมียวอี้บอก

 เจ้าก็ลองดูได้! เร็วๆ เอาของมาให้ข้า!  หนานโปยิ้ม

สุดท้ายเหมียวอี้ก็ไม่มีทางมองดูศีลแปดตายไปต่อหน้าต่อตา สะบัดแขนเสื้อโยนบัวโลหิตออกไปแล้ว

พอบัวโลหิตลอยเข้ามาใกล้ หนานโปก็ใช้นิ้วทั้งห้าดูดเข้ามา วางบัวโลหิตไว้ตรงหน้าแล้วตรวจสอบอย่างละเอียดพักหนึ่ง ป้องกันไม่ให้เหมียวอี้เล่นตุกติก หลังจากตรวจสอบแล้ว ถึงได้ดูดเข้ามาในฝ่ามือ นำมาจ่อดมตรงจมูก แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ดูดเลือดสดหยดหนึ่งของมู่น่า เมื่อเลือดหยดลงบนรากบัวสีขาวหยกเปล่งประกาย เลือดก็ถูกดูดเข้าไปทันที

ตอนนี้หนานโปถึงได้เก็บบัวโลหิตไว้ เหมียวอี้ตวาดว่า  ปล่อยคน! แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป! 

หนานโปกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า  ก็ได้!  เขาพลันลงมือควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ของศีลแปด คลายมือปล่อยให้ศีลแปดลอยไปตรงหน้า

หนานโปกางแขนสองข้างเบาๆ อ่อนโยนไร้ที่เปรียบ หน้าอกกับแผ่นหลังกลับนูนขึ้นและเลื้อยไป สุดท้ายทั้งหมดก็เลยไปตรงขวามือ ทำให้ฝ่ามือสองข้างขยายใหญ่หนึ่งหลายเท่า

 ดม!  หนานโปตะโกน แล้วใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งตบแผ่นหลังศีลแปด ในฝ่ามือเหมือนมีของบางอย่างกรอกเข้าไปในร่างกายของศีลแปด ฝ่ามือที่ขยายใหญ่ข้างนั้นกลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว!

 ขาด!  หนานโปตะโกนอีกครั้ง แล้วใช้ฝ่ามือตบหลังศีลแปดอีกที เหตุการณ์เหมือนกับก่อนหน้านี้

เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ หนานโปเพิ่งจะหยุดมือ ตัวเองก็กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง เงาร่างสั่นไหวเล็กน้อย ใบหน้าขาวซีด มีเลือดซึมออกจากรูทวารทั้งเจ็ด

ทุกคนสังเกตเห็นฉากนี้หมดแล้ว เหมียวอี้เม้มริมฝีปากแน่น ไม่รู้ว่าหนานโปกำลังทำอะไรบนตัวศีลแปด แต่ศีลแปดดูเหมือนไม่มีอันตรายถึงชีวิต

จั่วเอ๋อร์รีบประคองหนานโป  ผู้อาวุโส ท่านเป็นอะไรไป? 

หนานโปหอบหายใจพลางตอบว่า  สุดท้ายร่างนี้ก็ไม่เหมาะกับข้า ไม่สามารถใช้มหาเคล็ดวิชาของข้าได้  ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้พูด นั่นก็คือเมื่อร่างนี้ดันทุรังใช้เคล็ดวิชาของเขา ก็ได้ทำให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาเสียหายหนักมากแล้ว

 ปล่อยคน!  เหมียวอี้ตะคอกอย่างโมโห

หนานโปโบกมือปัดจั่วเอ๋อร์ออกไป แล้วพูดกับเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้มว่า  คนน่ะข้าปล่อยอยู่แล้ว แต่การทำข้อตกลงกับเจ้า ถ้าไม่เชื่อเจ้า คาบูเดิมพันกับเจ้าด้วยชีวิต! 

 เจ้าจะเดิมพันยังไง?  เหมียวอี้ถามเสียงเย็น

หนานโปคว้าแขนศีลแปด  ข้าส่งตัวประกันให้เจ้าแล้ว เจ้าปล่อยพวกข้าไป ถ้ากล้าเล่นลูกไม้อะไร ข้าก็กระตุ้นสิ่งที่อยู่ในร่างกายเจ้าโจรน้อยนี้ได้ทุกเมื่อ ขอเพียงให้พวกเราหนีไปไกลได้อย่างปลอดภัยแล้ว ก็ย่อมไม่สามารถควบคุมได้ในระยะไกล เจ้าก็หาทางออกค่อยๆ คลายของที่อยู่ในตัวเขาได้เหมือนกัน 

 เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดเจ้าหรอ?  เหมียวอี้ถาม

หนานโปบอกว่า  ดังนั้นก็ง่ายมาก ดังนั้นก็ง่ายมาก ไม่ต้องเจรจาแลกเปลี่ยนอะไร พวกเราเอาชีวิตมาเดิมพัน! เจ้าจะสังหารพวกเราตอนนี้ หรือไม่ก็หลีกทางให้พวกเราไป ข้าจะทิ้งตัวประกันไว้ให้เจ้าที่นี่! 

เหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็สะบัดแขนเสื้อ ส่งสัญญาณมือให้ทหาร

ทัพใหญ่พี่โอบล้อมหลีกทางให้เส้นทางหนึ่งทันที

หนานโปมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง แล้วบอกกับจั่วเอ๋อร์ว่า  ไป! 

นี่คือการเดิมพันด้วยชีวิตจริงๆ พวกจั่วเอ๋อร์อกสั่นขวัญแขวน ประคองหนานโปที่ไร้เรี่ยวแรงแล้วรีบเหาะออกไปตรงช่องโหว่ที่เปิดเอาไว้

หนานโปทิ้งศีลแปดเอาไว้ตามสัญญา ไม่ได้พาไปด้วย

พวกเหมียวอี้รีบถลันตัวไปอยู่ข้างกายศีลแปด โดยเฉพาะเหมียวอี้ ใช้มือข้างเดียวคว้าข้อมือศีลแปดมาตรวจดูอาการ พบว่าร่างกายของศีลแปดสมบูรณ์ดีไม่มีอะไรเสียหาย แต่เมื่อพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาสัมผัสในร่างกายศีลแปด เส้นชีพจรในร่างกายศีลแปดก็ปูดขึ้นมาเป็นก้อนกลมหลายก้อนทันที ภายใต้การทำงานผิดปกติภายในร่างกาย ตรงจุดที่เลือดรวมตัวกันบวมขึ้นหลายจุด ศีลแปดที่ไร้ความอาลัยอาวรณ์ในชีวิตเผยสีหน้าขื่นขมทรมานทันที

เหมียวอี้ที่เห็นความผิดปกติรีบถอนพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองกลับมา ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร พลันเงยหน้ามองพวกพระปีศาจหนีไปไหล ภายใต้สายตาที่เฝ้าคอยของพวกชิงเยว่ สุดท้ายก็ไม่กล้าออกคำสั่งให้ไล่สังหาร ได้แต่มองพวกพระปีศาจหายไปเข้าไปในจุดลึกของดาราจักร

ถ้าจะตามอีกก็ตามได้ยากแล้ว พวกชิงเยว่แอบถอนหายใจ ไม่ง่ายเลยกว่าพระปีศาจจะมาติดกับดัก ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยไปเฉยๆ อย่างนี้

ทว่าสิ่งที่เหมียวอี้สนใจยิ่งกว่าก็คือจะช่วยศีลแปดอย่างไร เขาสั่งให้คนรีบกระจายกำลังบนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงนั้น จัดเตรียมสถานที่ที่เหมาะแก่การพักอาศัยชั่วคราว

จนกระทั่งตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้ง เหมียวอี้ก็โมโหจนแทบกระอักเลือด พบว่าตัวเองตกหลุมพรางพระปีศาจแล้ว ต่อให้เขาไม่ได้ร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้น ก้อนเนื้อที่นูนขึ้นมาในร่างกายศีลแปดก็ยังขยายตัวต่อไป บนผิวของศีลแปดนูนขึ้นมาหลายจุดแล้ว ขยายใหญ่ขึ้นช้าๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ศีลแปดต้องระเบิดกลายเป็นรูพรุนแน่นอน จะต้องตายแน่นอน

ทว่าวิธีการของพระปีศาจชั่วร้ายมาก เหมียวอี้จนปัญญาราวกับโดนมัดมือ ข้างกายเปลี่ยนยอดฝีมือมาช่วยคนแล้วคนเล่า ทุกคนล้วนส่ายหน้าว่าไม่มีทางช่วย

หารู้ไม่ว่าสำหรับพระปีศาจแล้ว ก็อย่างที่บอก เขาเคยเสียเปรียบให้เหมียวอี้แล้วครั้งหนึ่ง ไม่เชื่อเลยว่าเหมียวอี้จะปล่อยให้เขารอดชีวิตออกไป ดังนั้นจึงไม่คิดจะให้หนทางรอดกับศีลแปดเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงยอมให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองบาดเจ็บสาหัสเพื่อดันทุรังร่ายอิทธิฤทธิ์ลงของในร่างกายศีลแปด ถ้ารอดได้ก็ถือเป็นโชค ถ้ารอดไปไม่ได้ก็ถือว่าได้ดึงลงหลุมศพมาด้วยสักคน นี่ก็คือสิ่งที่เขาเรียกว่าเดิมพันด้วยชีวิต!

พระปีศาจเดิมพันชนะแล้ว เหมียวอี้แพ้เดิมพันแล้ว แพ้ย่อยยับ!

 อามิตตาพุทธ! 

นามพระพุทธเจ้าจากปากไต้ซือศีลเจ็ดดังขึ้นข้างหลัง เหมียวอี้หันกลับไปพยักหน้าทักทายด้วยสีหน้าขรึมเครียด ตอนนี้ไม่มีอารมณ์มาสุภาพแล้ว

เห็นได้ชัดว่าเหยียนซิวได้เตรียมตัวจะจัดการกับปัญหาที่ตามมาแล้ว ปล่อยไต้ซือศีลเจ็ดออกมา เตรียมจะให้ศิษย์และอาจารย์พบกันเป็นครั้งสุดท้าย เล่าสถานการณ์ให้ศีลเจ็ดฟังแล้วเช่นกัน

ศีลแปดนอนราบบนพื้น ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความทรมานและสั่นเทิ้ม

หลังจากไต้ซือศีลเจ็ดคุกเข่าตรวจอาการข้างกายศีลแปด ก็ประคองศีลแปดที่เจ็บปวดแสนสาหัสให้นั่งลง ส่วนตัวเองก็นั่งขัดสมาธิตรงข้ามกับศีลแปด ใช้ฝ่ามือสองข้างประสานมือกับศีลแปดเอาไว้ ใบหน้าเผยอารมณ์เศร้าสลด หลับตาลงช้าๆ พึมพำกับตัวเองว่า  ว่างคือไม่ว่าง ไม่ว่างคือว่าง ทุกสิ่งคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าคือทุกสิ่ง มิยึดถือธรรมลักษณ์ มิยึดถืออธรรมลักษณ์ มิยึดติดก็มิแยกจาก หากข้าไม่ลงนรก แล้วใครจะลงนรก… 

ศีลแปดส่งเสียงครางออกมา เห็นได้ชัดว่ายิ่งเจ็บปวดขึ้นเรื่อยๆ เห็นเพียงจุดที่นูนบนตัวศีลแปดเริ่มไหลกลิ้ง ไหลไปทางฝ่ามือ แต่ละก้อนไหลจากฝ่ามือสองข้างไปบนแขนของไต้ซือศีลเจ็ด ไหลไปบนร่างกายของไต้ซือศีลเจ็ดแล้ว

………………

 

เมื่อผ่านไปนานแล้วไม่เห็นเหมียวอี้ตอบกลับอีก เหยียนซิวก็ทำได้เพียงโน้มน้าวว่า : ท่านอ๋อง ล้อมพวกเขาไว้หมดแล้ว คุณชายรองกลายเป็นตัวประกันในมืออีกฝ่ายแล้ว ทำยังไงดี?

เหมียวอี้ : เหยียนซิว…อย่าให้พวกเขาพาศีลแปดไป เข้าใจใช่ไหม?

เหยียนซิวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า : ท่านอ๋อง ข้าเข้าใจ!

เหมียวอี้ : พระปีศาจไม่ได้สืบอะไรจากศีลแปดใช่ไหม?

เหยียนซิว : น่าจะไม่ได้สืบอะไรขอรับ คุณชายรองเพิ่งตกอยู่ในมือของพวกเขา ยังไม่ทันได้ทำอะไร

เหมียวอี้ : ครั้งนี้คงรั้งพระปีศาจไว้ไม่ได้แล้ว

เหยียนซิวเข้าใจความหมายของเขา เพื่อแลกกับชีวิตของคุณชายรอง ท่านอ๋องอาจจะต้องปล่อยพระปีศาจไป

เหมียวอี้ : ดังนั้นอย่าให้พระปีศาจรู้อะไรจากศีลแปด ถ้าพระปีศาจเริ่มสืบความลับจากศีลแปดเมื่อไหร่ เมื่อถึงเวลาจำเป็น ก็ยอมแลกทุกอย่างได้ เข้าใจหรือเปล่า?

เหยียนซิวย่อมเข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร ขอเพียงพระปีศาจไม่ได้สืบความลับจากศีลแปด ก็ยังมีความเป็นไปได้ว่าจะทำข้อแลกเปลี่ยนกับท่านอ๋อง แต่ถ้าได้รู้ความลับไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรท่านอ๋องก็ไม่อาจปล่อยให้พระปีศาจหนีไปได้ แบบนั้นหมายความว่าไม่มีความเป็นไปได้ที่จะทำข้อตกลงกันแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะปล่อยศีลแปดไปเฉยๆ เช่นกัน แต่ที่ท่านอ๋องบอกว่ายอมแลกทุกอย่างก็ย่อมรวมศีลแปดเอาไว้ในนั้นด้วย

มาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องบางเรื่องก็มีแต่ต้องทำเท่านั้น จะรอให้ท่านอ๋องมาทำไม่ได้ เมื่อท่านอ๋องมาถึงที่นี่เมื่อไหร่ ต่อให้รู้ว่าพระปีศาจสืบความลับจากศีลแปดได้แล้ว แต่เจ้าจะให้ท่านอ๋องมองดูน้องชายตัวเองไปตายโดยไม่ทำอะไรเลยได้อย่างไร? พระปีศาจจะปล่อยหรือไม่ปล่อยดีล่ะ? ถ้าปล่อยเมื่อไหร่ ข่าวลือบางอย่างก็จะปกปิดไว้ไม่ได้แล้ว ถ้าทัพใต้ล่มสลาย คนที่จงรักภักดีทำงานรับใช้ท่านอ๋องจะต้องบ้านแตกสาแหรกขาดอีกกี่ราย? ถ้าไม่ปล่อยไป ชื่อเสียงที่ฆ่าพี่น้องตัวเอง ท่านอ๋องก็รับไม่ไหว จะให้ท่านอ๋องเลือกอย่างไรล่ะ?

เหยียนซิวตอบว่า : เข้าใจแล้ว

เหมียวอี้ : ถ้ารอข้าไปถึงได้ ก็รอข้า ถ้ารอไม่ไหว เจ้าก็จัดการเองตามเห็นสมควร

เหยียนซิว : ขอรับ!

เหมียวอี้ที่วางระฆังดาราแล้วเผยสีหน้าห่อเหี่ยว เต็มไปด้วยความรู้สึกและความสามารถ หลังจากถ่ายทอดคำสั่งให้เหยียนซิว เขาเองก็เหม่อลอยแล้วเช่นกัน ช่วงไม่นานก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องลงมือกับศีลแปด ไม่มีทางเชื่อเลยว่าตัวเองจะถ่ายทอดคำสั่งแบบนี้ได้

บนใบหน้าเริ่มเผยรอยยิ้มอันน่าเวทนา เขายังหัวเราะเยาะอยู่เลยที่พวกก่วงลิ่งกงส่งลูกสาวของตัวเองไปนั่นไปนี่เหมือนเป็นสินค้า เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว ที่จริงแล้วตัวเองดีกว่ากันสักเท่าไหร่ล่ะ?

ในตอนนี้ เขานับว่าเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งที่พวกก่วงลิ่งกงทำแล้ว ก่วงเม่ยเอ๋อร์จะไม่ใช่ไข่มุกล้ำค่าในฝ่ามือที่ก่วงลิ่งกงรักที่สุดเชียวหรือ ก็เหมือนกับความรู้สึกที่เขามีต่อศีลแปด

เหยียนซิวที่เก็บระฆังดาราไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ และไม่ได้ถ่ายทอดคำสั่งใดๆ ด้วย สายตากวาดมองกลุ่มคนที่ถูกล้อม อยากจะเห็นว่าคนไหนคือพระปีศาจหนานโป แต่จนใจที่คนพวกนี้ล้วนสวมหน้ากาก มองไม่ออกเลย

เมื่อเห็นว่าถูกล้อมไว้แน่นหนา แอบถ่ายมนต์คร่าชีวิตก็ไม่มีประโยชน์ หนานโปรู้ว่าต่อให้วันนี้มีปีกก็หนีไปไม่ได้ ความรู้สึกอัดอั้นตันใจยากจะบรรยายออกมาได้ สิ่งที่เรียกว่าเรือล่มในคลองแคบคืออะไรล่ะ? วันนี้นับว่าเข้าใจแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะถูกจับเพราะไล่ตามจับเจ้าสองคนนั้น นี่ไม่ใช่กับดักอะไร กับดักทำอะไรเขาไม่ได้ แต่กลับปล่อยให้สิ่งที่ไม่คาดฝันจัดการเขาแล้ว คนคํานวณมิสู้ฟ้าลิขิตโดยแท้ แล้วจะให้เขาไปเรียกร้องความยุติธรรมที่ไหน!

แต่เขาไม่ยอม สายตาไปหยุดอยู่บนตัวไต้ซือศีลเจ็ด หัวเราะเสียงดังแล้วกล่าวว่า  พระมหา ตอนจากกันในหุบเขา นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกันอีกแล้วขนาดนี้ อยากจะช่วยพระน้อยหรือเปล่าล่ะ? ถ้าอยากช่วยก็ให้พวกเขาหลีกไป! 

สายตาของพวกเหยียนซิวรวมอยู่บนตัวเขาทันที เดาออกแล้วว่าเขาคือหนานโป

ไต้ซือศีลเจ็ดประนมมือ  อามิตตาพุทธ หนานโป อย่าก่อกรรมทำเข็ญอีกเลย ปล่อยพวกเขาเถอะ! 

หนานโปตอบว่า  หึหึ! พระมหากำลังพูดล้อเล่นอยู่หรือเปล่า? ฝึกบำเพ็ญวิชาพุทธมาหลายปีขนาดนี้ อย่าบอกนะว่ากลืนลงท้องหมาหมดแล้ว? ถ้าข้าปล่อยพวกเขา เจ้าบอกให้พวกเขาปล่อยพวกเราได้หรือเปล่าล่ะ? กลัวก็แต่ถ้าข้าปล่อยคนในมือไป กำลังพลที่อยู่ข้างกายข้าก็จะตายโดยไร้หลุมศพทันที จิตใจเปี่ยมเมตตาธรรมของพระมหาไปไหนหมดแล้ว? ถ้าจะให้ปล่อยคนก็ได้ แต่ต้องทำตามที่ข้าบอก ให้พวกเขาถอยไป รอให้ข้าไปถึงสถานที่ปลอดภัยแล้ว ก็ย่อมปล่อยพวกเขาเอง 

ไต้ซือศีลเจ็ดมองไปที่เหยียนซิว แต่กลับเห็นพวกเหยียนซิวมีสีหน้าเรียบเฉย นึกขึ้นได้ว่าคนพวกนี้ล้วนปิดประสาทสัมผัสทั้งหกหมดแล้ว ไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังสื่อสารอะไรกัน จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ทันที เหมียวอี้พูดปัดความรับผิดชอบ ไม่รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างนอก อำนาจทั้งหมดที่อยู่ตรงนั้นมอบให้เหยียนซิวรับผิดชอบแล้ว

ไต้ซือศีลเจ็ดทำได้เพียงหยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งส่งให้เหยียนซิว ให้เขาดู

หลังจากเหยียนซิวอ่านแล้ว ต่อให้จะเคารพนับถือเขา แต่ตอนนี้สายตาที่มองเขาก็เหมือนกับมองคนปัญญาอ่อนคนหนึ่ง ไม่ได้อธิบายอะไรกับศีลเจ็ด ร่ายอิทธิฤทธิ์กล่าวว่า  ถ้าไม่เชื่อใจเขา ขอเพียงไต้ซือสามารถเกลี้ยกล่อมให้เขาปล่อยคนก่อนได้ ข้าก็จะปล่อยพวกเขา 

ต้องรอให้เขาสมองป่วยเท่านั้นถึงจะยอมปล่อยคนก่อน

ไต้ซือศีลเจ็ดจนใจทันที อธิบายเหตุผลกับหนานโปต่อไป

ศีลแปดที่ได้เห็นฉากนี้กับตาตัวเองก็รู้สึกเมาเช่นกัน ในใจแอบด่าว่าตาแก่โล้นจะเข้ามาประสมโรงทำไม ถ้าเจ้าเถียงชนะได้จริง ในปีนั้นก็คงไม่กราบพระปีศาจเป็นอาจารย์หรอ ไม่เห็นหรือว่ากำลังพลที่อยู่ข้างกายเจ้ากำลังรอให้พี่ใหญ่มาถึง?

แต่จนใจที่ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ พูดอะไรตรงนี้อีกฝ่ายก็ไม่ได้ยิน ทำได้เพียงถลึงตาใส่ศีลเจ็ด ภายใต้สถานการณ์อย่างตอนนี้ เขากลับสงบนิ่งลงแล้ว ขอเพียงให้คนของพี่ใหญ่คุมสถานการณ์ได้ เขาเชื่อว่าพี่ใหญ่จะต้องมีหนทางช่วยเขาได้แน่ ทั้งยังเผยรอยยิ้มให้มู่น่าที่กำลังขวัญเสียเป็นระยะ พยายามปลอบใจนาง

ขณะที่หนานโปกำลังพูดไร้สาระกับไต้ซือศีลเจ็ด ข้างหูก็มีเสียงของจั่วเอ๋อร์ดังมา  ผู้อาวุโส เหมือนสองคนนี้จะสำคัญกับฝั่งหนิวโหย่วเต๋อมาก ใช่ว่าพวกเราจะไม่เหลือทางรอดแล้ว! 

หนานโปชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็มองไปรอบๆ เห็นเพียงทัพใหญ่พี่กำลังรอพวกเขาเล็งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เตรียมไว้ตลอด เพียงรออยู่อย่างนี้ ไม่มีใครลงมือ

ผู้ล้อมและผู้ถูกล้อมคงสภาพอยู่ในสถานการณ์คุมเชิงที่ประหลาดแบบนี้ หนานโปถึงได้รู้ตัว ใช่แล้ว จับพวกเขาไว้ในมือได้แล้ว ตามหลักแล้วก็ไม่น่าจะปล่อยเขาไปสิ แต่อีกฝ่ายชักช้าไม่ลงมือโดยไร้เหตุผล สาเหตุก็มีแค่ตัวประกันสองคนในมือนี้แล้ว

หนานโปมองประเมินศีลแปดศีรษะจดเท้าอย่างเป็นทางการ แม้เขาจะรู้ว่าศีลแปดกับเหมียวอี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา แต่ก็นึกว่าเป็นแค่ชื่อเรียกเท่านั้น มองไม่ออกว่ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ไม่คิดเลยว่าศีลแปดจะเทียบได้กับการจับตัวเขา ตอนนี้เขาเริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้ว

จากปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ศีลแปดตระหนักได้ถึงปัญหายุ่งยากแล้ว พอหนานโปกวักมือ คนที่คุมตัวศีลแปดก็ส่งศีลแปดมาตรงหน้าเขาทันที

เห็นเพียงหนานโปแกว่งแขนข้างเดียว วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นแสงทองวิบวับหลุดออกมาจากแขน กำลังจะกดลงบนศีรษะศีลแปด สืบดูความสัมพันธ์ระหว่างศีลแปดกับเหมียวอี้

เหยียนซิวที่จับตาดูพลันหรี่ตา นึกไม่ถึงว่าเขายังต้องเลือกทางที่ยากลำบาก พลันตะโกนเสียงดังว่า  พระปีศาจ ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าแตะต้องเขา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็รอให้ท่านอ๋องมาก่อนแล้วค่อยเจรจากันอีกที ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ! 

หนานโปเผยรอยยิ้มพร้อมพูดหยั่งเชิง  งั้นเหรอ? เขาอยู่ในมือข้า ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเจ้าจะกล้าลงมือ!  มือเขากดลงบนศีรษะของศีลแปดต่อไป

ชั่วขณะนี้ ศีลแปดตระหนักได้ว่าเกิดปัญหาใหญ่แล้ว รู้ว่าพระปีศาจคิดจะทำอะไร ตระหนักได้แล้วว่าตัวเองกำลังจะสร้างปัญหาที่ใหญ่โตมากให้พี่ใหญ่

แม้เหยียนซิวจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร แต่ก็พอจะเดาออกแล้ว  งั้นเจ้าลองดูก็ได้!  เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมา

ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่อยู่โดยรอบมีลำแสงไหลเวียนทันที ง้างสายธนูเล็งไปที่พวกพระปีศาจแล้ว แสดงพลังอำนาจกลัวอันเข้มแข็งออกมา

เห็นได้ชัดเจนมาก ขอเพียงเหยียนซิวปล่อยฝ่ามือข้างนั้นลง ทุกอย่างก็จะจบแล้ว

พอสัมผัสได้ถึงแววตาอันเยียบเย็นของเหยียนซิว มือของหนานโปก็ค้างอยู่กลางอากาศ ไม่กล้าลงมือสุ่มสี่สุ่มห้าแล้ว

พวกจั่วเอ๋อร์ก็เครียดแล้วเช่นกัน พูดขอร้องเสียงเบาว่า  ผู้อาวุโส ยังไม่ถึงท้ายที่สุด พวกเรายังมีความหวัง… 

 อย่านะ! อย่าทำอย่างนั้น! คนที่ยกมือคนนั้นเป็นใคร เจ้าเป็นใคร? เจ้าเคยถามพี่ใหญ่ของข้าแล้วหรือยัง ได้ถามพี่ใหญ่ของข้าหรือเปล่า? เคยถามท่านอ๋องของพวกเจ้าหรือเปล่า! ท่านอาจารย์ ท่านรีบห้ามเขา อย่าให้เขาทำซี้ซั้ว…  เมื่อเห็นลูกธนูง้างอยู่บนสาย ทำท่าเหมือนจะยิงตลอดเวลา อานุภาพของการโดนยิงอย่างต่อเนื่องอันน่ากลัวนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำของศีลแปดเหมือนยังเกิดขึ้นใหม่ รู้อย่างลึกซึ้งว่าถ้ายิงธนูออกมา เขากับมู่น่าก็ไม่รอดแน่ จึงรีบตะโกนร้องโวยวาย ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ยินว่าเขากำลังพูดอะไร เหยียนซิวสวมใส่หน้ากาก เขาจำหน้าไม่ได้เช่นกัน

ไต้ซือศีลเจ็ดเริ่มเครียดแล้ว รีบประนมมือขอร้องเหยียนซิว พอนึกขึ้นได้ว่าเหยียนซิวไม่ได้ยิน ก็เขียนบนแผ่นหยกแล้วส่งให้เหยียนซิวอ่าน

เหยียนซิวเหล่ตามองแวบหนึ่ง พอจะเดาออกแล้วว่าพระเฒ่าเขียนอะไร จึงไม่แม้แต่จะอ่าน บอกใบ้กำลังพลที่อยู่ข้างกายเสียเลย ทำให้มีคนมาควบคุมศีลเจ็ดเอาไว้ แล้วเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์โดยตรง

ทัพอารักขาของเหมียวอี้ส่วนใหญ่รู้ถึงฐานะของเหยียนซิว รู้ว่าเหยียนซิวมีฐานะอย่างไรในจวนท่านอ๋อง ถ้าพูดจากบางระดับ ท่าทีของเขาก็เป็นตัวแทนของท่านอ๋องแล้ว

เมื่อเห็นว่าแม้แต่ไต้ซือศีลเจ็ดยังถูกจับไว้ ศีลแปดก็ตกใจจนขวัญหนีดีกว่า ร่ำร้องอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อมู่น่าที่อยู่ข้างๆ เห็นท่าทางของศีลแปด ก็หวาดกลัวแล้ว หวาดกลัวแล้วจริงๆ บอกศีลแปดว่า  ข้ากลัว!  แต่ศีลแปดไม่ได้ยิน ตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจนาง นางจึงกัดปากไม่พูดอะไรแล้ว

สุดท้ายหนานโปก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม พอนึกถึงการยิงโจมตีระลอกแรกก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่าไม่สนใจความเป็นความตายของตัวประกันเลย อีกฝ่ายลงมือโดยทันที ภายใต้ความลังเล เขาเก็บมือกลับมาช้าๆ วางมือลงแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นฝั่งจั่วเอ๋อร์ หรือว่าฝั่งเหยียนซิว ทั้งหมดล้วนแอบถอนหายใจ เหยียนซิววางมือลงช้าๆ ลำแสงที่ไหลเวียนบนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็เริ่มจางลงแล้วเช่นกัน

ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในสภาพคุมเชิงกัน กำลังรอ รออยู่ตลอด

รอเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ ในที่สุดเหมียวอี้ก็มาถึงแล้ว คนที่เหยียนซิวส่งไปรออยู่บนเส้นทางพาพวกเหมียวอี้มาแล้ว

พวกชิงเยว่ที่ติดตามมาด้วยปิดประสาทสัมผัสทั้งหกตามคำสั่ง เหมียวอี้ร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดารา มีคลื่นที่มองไม่เห็นมาครอบตัวเขาไว้แล้ว

กำลังพลที่โอบล้อมแยกทางให้เส้นทางหนึ่ง ปล่อยให้เหมียวอี้เข้ามา อ๋องสวรรค์มาถึงแล้ว สั่นสะเทือนทั้งสนาม กำลังพลทั้งหมดกลับมากระปรี้กระเป่าฮึกเหิมอีกครั้ง

เหยียนซิวรีบก้าวขึ้นมาทำความเคารพ ถ่ายทอดเสียงเล่าสถานการณ์ทางฝั่งนี้ให้ฟัง จากนั้นก็ชี้หนานโปที่กำลังโดนล้อม บอกว่าคนคนนั้นคือพระปีศาจหนานโป

เหมียวอี้ลอยมาอยู่หน้ากระบวนทัพ สบตากับหนานโป ทั้งสองล้วนส่อเจตนาสังหาร!

เหมียวอี้ย้ายไปบนตัวศีลแปด เห็นเพียงศีลแปดทำสีหน้าดีใจแทบบ้า กำลังตะโกนโหวกเหวกโวยวายมาทางเขา

เหมียวอี้ค่อยๆ ย้ายสายตาไปบนใบหน้ามู่น่า อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่คือธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจไม่ใช่เหรอ?

เขาเองก็เคยเจอมู่น่าเช่นกัน เพราะเผ่าปีศาจเอลฟ์มีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ ลืมไม่ได้ง่ายๆ คิดไม่ตกว่ามู่น่ามามั่วอยู่กับศีลแปดได้อย่างไร

 หนิวโหย่วเต๋อ อ๋องสวรรค์หนิว ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว!  หนานโปแสยะหัวเราะ ในใจรู้สึกแค้นจนคันฟัน

 ปล่อยคน! ปล่อยพวกเขาไป แล้วข้าจะปล่อยเจ้า!  เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ

………………

 

เขารีบหันกลับมามองอวิ๋นจือชิวอีก  ทางเจ้ารองข้าไม่วางใจจริงๆ ตอนนี้ข้าจะตามไปเดี๋ยวนี้ คิดเสียว่าออกเดินทางล่วงหน้า เจ้า…เตรียมตัวหนีออกไปจากที่นี่! 

อวิ๋นจือชิวอึกอักเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง เหมียวอี้แจ้งหยางเจาชิงให้เตรียมกำลังคนติดตามแล้ว จากนั้นก็รีบปลอมแปลงใบหน้า ออกไปอย่างไม่กล้าชักช้าแม้แต่นิดเดียว…

อาณาเขตดาวนิรนาม เหยียนซิวที่กำลังเร่งเหาะเก็บระฆังดารา เรียกไต้ซือศีลเจ็ดออกมา แล้วเล่าสถานการณ์ให้ฟังอย่างชัดเจน

ไต้ซือศีลเจ็ดเริ่มมีสีหน้าเครียดขรึม เขาย่อมรู้ว่าสาเหตุอะไรทำให้ศีลแปดตกอยู่ในมือพระปีศาจหนานโป เขาตั้งฝ่ามือข้างเดียวตรงหน้าอก หลับตาลงช้าๆ สัมผัสรับตำแหน่งที่อยู่ของศีลแปด…

บนยอดเขา พระปีศาจประนมมือท่องมนต์คร่าชีวิตนานมาก แต่ก็ไม่เห็นมีความเคลื่อนไหวใดๆ ตัวอยู่บนฟ้าสูงและใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมอง แต่ก็ไม่พบอะไรเช่นกัน

จั่วเอ๋อร์มองพระปีศาจที่อยู่ข้างกันด้วยสีหน้าแปลกๆ เหมือนกำลังถามว่า เจ้าไหวหรือเปล่า?

หนานโปค่อยๆ ลืมตาขึ้น วางมือลง มุมปากขยับเล็กน้อย บังเอิญมาเจอสองคนนี้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากมนต์คร่าชีวิตของตน ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัดกลุ้ม มีหลายเรื่องที่ไม่ราบรื่น อย่าบอกนะว่าโลกนี้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ?

หลังจากเงียบไปครู่เดียว ก็กล่าวเสียงต่ำ  ทุกคน กระจายกำลังค้นหาให้ข้า! 

เขาไม่เชื่อหรอกว่าตัวเองจะดวงซวยขนาดนี้ แม้แต่สองคนที่มาอยู่ตรงหน้าตัวเองแล้วก็จับไม่ได้ อย่างไรเสียเมื่อดูจากความเร็วตอนเหาะแล้ว วรยุทธ์ก็ไม่ได้สูงเท่าไหร่!

จั่วเอ๋อร์ส่งสัญญาณมือทันที คนหลายพันคนปรากฏตัว แล้วเริ่มกระจายกำลังค้นหาแบบรอบด้าน

มีคนจับตาดูจากบนฟ้า มีคนร่ายพลังอิทธิฤทธิ์ค้นหาบนพื้นดิน แม้อาณาเขตกว้างใหญ่ แต่ก็ทนยอดฝีมือพวกนี้ที่ค้นหาซ้ำไปซ้ำมาไม่ไหวหรอก

ในถ้ำ มู่น่าไม่รู้สึกวิตกกังวลใดๆ นั่งขัดสมาธิอยู่อย่างนั้น นางเชื่อฟังศีลแปด รวบรวมสมาธิไม่ให้ถูกรบกวนจากสิ่งเร้าภายนอก

แต่สำหรับศีลแปดที่สังเกตได้ว่าเสียงมนต์คร่าชีวิตจบลงแล้ว กลับรู้ว่าความยุ่งยากเพิ่งเริ่มขึ้น เมื่อมนต์คร่าชีวิตใช้ประโยชน์ไม่ได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเริ่มค้นหาแล้ว

เขาทำได้เพียงภาวนาว่ากำลังคนฝ่ายตรงข้ามจะมีไม่มากพอ เพราะเมื่อครู่เห็นว่าอีกฝ่ายมีคนไม่กี่สิบคนเท่านั้น ถ้ามีกำลังคนไม่พอก็จะหาไม่พบในเวลาสั้นๆ สามารถรอให้คนของพี่ใหญ่มาช่วยเหลือได้ หรือไม่พระปีศาจหนานโปก็กลัวว่าฝั่งนี้จะเปิดเผยเส้นทางของตัวเองต่อภายนอก ไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่นาน แล้วถอนกำลังออกไปเอง

ถ้าว่าเห็นได้ชัดว่าเขาคิดถึงแต่ผลดีโดยไม่คิดถึงผลเสีย เขาไม่รู้เลยว่าพระปีศาจต้องการจะเข้ามาซ่อมตัวในแดนสุขาวดี ยิ่งไม่รู้ด้วยว่าพระปีศาจกังวลว่าจะถูกเปิดโปง จึงต้องรู้สถานการณ์นี้ให้ชัดเจน

เวลาผ่านไปทีละน้อย ทุกช่วงเวลาที่ผ่านไป สำหรับศีลแปดแล้วล้วนเป็นความทรมานไร้ที่สิ้นสุด อกสั่นขวัญแขวนไว้ที่เปรียบ นี่คือประสบการณ์ที่ศีลแปดไม่คเยเจอมาก่อน เขาไม่เคยเจอเรื่องอะไรที่น่ากลัวขนาดนี้มาก่อนเลย

ขณะมองดูมู่น่าที่มีสีหน้าสงบเงียบ ในใจศีลแปดนึกเสียใจทีหลังสุดๆ เสียใจที่ตัวเองไม่เชื่อฟังพี่ใหญ่ แค้นตัวเองที่ทำซี้ซั้ว แค้นตัวเองว่าไม่น่าแอบพามู่น่าหนีออกมาเลย เขาตำหนิตัวเองมาตลอด ภาวนาและเฝ้าคอยตลอดด้วยเช่นกัน

อาณาเขตดาวนิรนาม เหยียนซิวกำลังใช้ความเร็วทั้งหมดที่มีพุ่งไปข้างหน้า ในใจเหยียนซิวกระวนกระวายมากเช่นกัน รู้อย่างลึกซึ้งว่าถ้าศีลแปดตกอยู่ในมือพระปีศาจหนานโปแล้วผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร แม้แต่เขายังเดาได้ว่าพิภพเล็กกับประมุขไป๋มีความเกี่ยวข้องกัน ถ้าศีลแปดโดนพระปีศาจล้วงความลับเรื่องพิภพเล็กแล้ว นั่นก็จะเป็นหายนะสำหรับท่านอ๋อง ทัพใต้ที่ท่านอ๋องสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากก็จะพังทลายในชั่วพริบตาเดียว ประมุขชิงและประมุขพุทธะจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อทำลายท่านอ๋องเช่นกัน

ตอนนี้เหมียวอี้หน้าเครียดอยู่ในกระเป๋าสัตว์ ในมือถือแผนที่ดาว ตรวจดูสถานที่ที่เดินทางไปถึงไม่หยุด คาดว่าใช้เวลาอีกไม่นานก็จะตามมาถึงแล้ว

เหตุใดเขาจึงให้อวิ๋นจือชิวเตรียมตัวหนี? ในใจเขาร้อนรนยิ่งกว่าเหยียนซิวเสียอีก ไม่ใช่แค่สิ่งที่เหยียนซิวเท่านั้น ยังกังวลชีวิตของศีลแปดด้วย ที่เขาดิ้นรนต่อสู้มาทั้งชีวิตก็มีจุดประสงค์เพื่อให้คนในครอบครัวใช้ชีวิตอย่างดี

ด้านนอก ชิงเยว่เหาะด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี ผ่านประตูดวงดาวไปได้ตลอดทาง ไม่มีอุปสรรคขัดขวางใดๆ พอชิงเยว่มาถึง ก็ไม่ต้องถูกตรวจค้น ผ่านไปได้โดยตรง…

กลุ่มแม่ทัพที่เดินทางมาพร้อมเหยียนซิวถูกปล่อยออกมา พวกเขาไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังจะไปที่ไหน คอยสังเกตการณ์รอบด้านไม่หยุด

 คงจะเป็นด้านหลังของดาวเคราะห์ดวงนั้น! 

ไต้ซือศีลเจ็ดที่นำกลุ่มคนเบนออกจากเส้นทางชี้ไปยังดาวเคราะห์ที่รกร้างเงียบงันดวงหนึ่ง

 ด้านหลัง!  เหยียนซิวกล่าวเสียงเย็น ประกาศเป้าหมายให้คนที่อยู่ทางซ้ายและขวารู้ทัน  คนที่พวกเรามาสู้ด้วยครั้งนี้ก็คือพระปีศาจหนานโป ทุกคนแบ่งกำลังทหารเป็นสิบสาย ปิดประสาทสัมผัสทั้งหก โอบล้อมศัตรู! ใครหนีหรือขัดคำสั่ง ฆ่า! 

สู้กับพระปีศาจหนานโป? บรรดาแม่ทัพตกตะลึงพรึงเพริด

เหยียนซิวปล่อยทัพอารักขาห้าล้านออกมา กำลังพลรีบแบ่งกลุ่มเป็นสิบสาย แล้วพุ่งเข้าไปในดาวเคราะห์รกร้างเงียบสงัดดวงนั้นโดยตรง โอบล้อมไปทางด้านหลังของดาวเคราะห์ดวงนั้นจากสิบทิศทาง

จะเป็นวาสนาหรือหายนะ ถ้าเป็นหายนะก็หลบไม่พ้น สิ่งที่ควรจะมาก็ยังต้องมา

ตอนพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งแทรกซึมลงดินและกวาดผ่านศีลแปดกับมู่น่า ศีลแปดก็กลัวแล้ว รู้ว่าจบเห่แล้ว

บึ้ม! เสียงระเบิดราวกับฟ้าถล่มแผ่นดินแยก ศีลแปดพลันกระโจนไปบนตัวมู่น่า ร่ายอิทธิฤทธิ์บังให้นาง ภูเขาลูกใหญ่แยกออกจากกันแล้ว

เมื่อเกิดความเคลื่อนไหวนี้ พวกหนานโปที่อยู่บนยอดเขาไกลๆ ก็ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองมา รู้ว่าหาพบแล้ว รีบถลันตัวเหาะเข้าไป

ก้อนหินปลิวว่อน พอความเคลื่อนไหวนี้หยุดลง มู่น่าที่หมอบอยู่ใต้ร่างศีลแปดก็ตกใจแล้ว นางถามว่า  เกิดเรื่องอะไรขึ้น?  นางถึงขั้นยังไม่รู้ตัวว่าอันตรายมาเยือนแล้ว

ศีลแปดเงยหน้ามอง อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างน่าเวทนา บนฟ้ามีคนกลุ่มหนึ่งลอยอยู่ กำลังจ้องทั้งสองด้วยสายเยียบเย็น ส่วนทั้งสองก็เหมือนกระต่ายที่อยู่ในโพรงกับดัก

ศีลแปดดึงให้มู่น่าที่มีสีหน้าหวาดกลัวลุกขึ้น กวาดสายตามองกลุ่มคนแวบหนึ่ง ไม่รู้ด้วยว่าพระปีศาจหนานโปคือคนไหน กลัวว่าถ้าบุ่มบ่ามลงมือแล้วจะทำให้มู่น่าบาดเจ็บ เขาถอดหน้ากากออก แล้วตะโกนเสียงดัง  หนานโป ปู่อยู่นี่แล้ว! 

ที่เปิดเผยตัวตนก็เพราะคิดว่าจะไม่ตาย ขอเพียงให้หนานโปรู้ถึงความสำคัญของตัวเองกับพี่ใหญ่ ต้องจับตัวเขาเอาไว้ข่มขู่พี่ใหญ่แน่

ถ้าเป็นตัวเขาคนเดียว เขาจะไม่สร้างปัญหาอะไรให้พี่ใหญ่เด็ดขาด แต่มู่น่าอยู่ที่นี่ด้วย เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อปกป้องนาง ขอเพียงปกป้องไม่ให้ตายได้ พี่ใหญ่ก็จะหาทางช่วยพวกเขาให้พ้นเงื้อมมือหนานโปได้แน่นอน

ท่ามกลางชายฉกรรจ์ที่ลอยอยู่บนฟ้า หนึ่งในนั้นอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้าหัวเราะลั่น  เขาก็นึกว่าใครที่หลบมนต์คร่าชีวิตของข้าได้ ที่แท้ก็เป็นอาจารย์น้อยศีลแปดนี่เอง ข้าน่าจะนึกออกตั้งนานแล้ว!  จากนั้นก็ถลันตัวลงมือเหยียบพื้น เข้าใกล้ศีลแปดด้วยใบหน้าอมยิ้ม ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพระปีศาจหนานโปนั่นเอง

พวกจั่วเอ๋อร์ก็ถลันตัวลงมาแล้วเช่นกัน

ในขณะนี้เอง จู่ๆ คนที่รับหน้าที่เฝ้าระวังอยู่บนฟ้าก็ตะโกนว่า  แย่แล้ว! มีคนมา! 

พวกเขารีบเงยหน้ามอง เห็นเพียงทั้งสี่ด้านแปดทิศมีกำลังพลสวมเกราะรบของตำหนักสวรรค์กลุ่มใหญ่เหาะมาถึงอย่างรวดเร็ว มาโอบล้อมเอาไว้ทั้งสี่ทิศจริงๆ

ศีลแปดดีใจมาก คาดว่าคนของพี่ใหญ่ต้องมาถึงแล้วแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะมาถึงที่นี่อย่างแม่นยำได้อย่างไร เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าพี่ใหญ่จะมาถึงเร็วขนาดนี้ เพราะเขาไม่รู้ว่าพวกเหยียนซิวกำลังอยู่ระหว่างทางพอดี แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเสียดายอีก ถ้ามาเร็วกว่านี้สักหน่อยก็คงดี

เนื่องจากศีลแปดกับหนิวโหย่วเต๋อรู้จักกัน หนานโปก็ตระหนักได้แล้วเช่นกันว่าคนของหนิวโหย่วเต๋ออาจจะมาถึงแล้ว ทั้งตกใจทั้งโมโห ขณะเดียวกันก็นึกไม่ถึงว่าทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อจะมาถึงเร็วขนาดนี้ เขานึกเสียใจทีหลังที่ไม่ได้วางกำลังคนเอาไว้คอยแจ้งเตือนล่วงหน้าในดาราจักร ประมาทเลินเล่อแล้ว นึกไม่ถึงด้วยว่าเส้นทางลับนี้จะกลายเป็นเหมือนถนนที่คึกคักเจริญรุ่งเรือง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนสัญจรไปมา นี่ยังนับว่าเป็นทางลับบ้าอะไรล่ะ!

แต่เรื่องราวในโลกก็เป็นอย่างีน้ ถ้าเขาวางกำลังคนเอาไว้แจ้งเตือนล่วงหน้า เมื่อพบความผิดปกติก็จะต้องหนีไปแล้วแน่นอน ภายใต้ความแตกต่างของเวลา ฝั่งนี้ก็จะจับตัวศีลแปดไว้ไม่ได้ เหตุบังเอิญต่างๆ มาจากสิ่งที่อยู่ในความลึกลับ ไม่ใช่สิ่งที่กำลังของมนุษย์จะวัดได้!

หนานโปหันขวับ ตวาดด้วยเสียงดุดันว่า  เป็นคนที่ชอบติดต่อด้วย!  จากนั้นก็โบกมือ  พาตัวไป! 

 อย่าทำซี้ซั้ว พวกเราเชื่อฟังก็ได้!  ศีลแปดร้องโวยวาย ทำตามใจตัวเองไม่ได้เช่นกัน ทั้งสองถูกคนจับไปแล้ว แม้แต่ศีลแปดก็ยังต้องรีบบอกมู่น่าว่าอย่าขัดขืน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย กลัวว่ามู่น่าจะยั่วโมโหให้อีกฝ่ายทำร้ายมู่น่าเอง

กลุ่มของพระปีศาจรีบเหาะพุ่งไปยังช่องว่างที่ยังไม่ถูกปิดล้อม

เหยียนซิวที่เร่งเหาะเข้ามากวาดดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง ใจร้อนรนแล้ว จะให้อีกฝ่ายจับตัวศีลแปดไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่สนใจความเป็นความตายของศีลแปด เขาโบกมือทันที

ช่วยพริบตานั้น ทั้งสี่ด้านแปดทิศมีลำแสงยิงเข้ามาอย่างหนาแน่น พวกพระปีศาจทั้งตกใจใจทั้งกลัว ลูกธนูดาวตกส่วนใหญ่ไล่ตามความเร็วของพวกเขาไม่ทัน แต่กลับมีลำแสงหนึ่งพันสายที่โผล่ออกมาเร็วกว่าเพื่อน เร่งตามมาจนพวกพระปีศาจจำเป็นต้องรีบตั้งกระบวนทัพเกาะกลุ่มกันต้านทานกลางอากาศ

เสียงระเบิดดังสะเทือนดาราจักร มู่น่าที่ถูกกลุ่มคนโจมตีตกใจจนหน้าซีด ไม่เคยได้ยินเสียงดังขนาดนี้มาก่อน

หลังจากต้านทานได้ระลอกหนึ่งแล้ว พวกพระปีศาจก็รู้ว่าสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่ายังอยู่ตอนหลัง ทุกคนแทบจะโยนของวิเศษทั้งหมดออกมา ต่อให้ต้านทานได้แค่นิดเดียวก็ตาม

เป็นอย่างที่คาดไว้ พอช้าแค่นิดเดียว ลำแสงนับไม่ถ้วนด้านหลังก็ตามทันแล้ว ท่ามกลางเสียงดังสะเทือน ของวิเศษทั้งหมดที่โยนออกมาระเบิดกลายเป็นผุยผงแล้ว คนที่ถูกล้อมโจมตีเหาะกลุ่มกันใช้โล่ป้องกันอย่างสุดชีวิต

เมื่อเสียงระเบิดจบลง หลังจากพวกหนานโปพุ่งออกจากฝุ่นโลหะที่ตลบอบอวล แต่กลับต้องรีบหยุด

บนท้องฟ้า เงาคนหนานแน่นปิดล้อมด้านบนไว้หมดแล้ว รอบข้างก็มีทัพใหญ่ล้อมไว้หนาแน่น ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ง้างไว้บนสายอีกครั้ง

พวกจั่วเอ๋อร์ตระหนกกลัว ตอนนี้คนหลายพันเหลืออยู่ไม่กี่ร้อย ทั้งยังมีคนไม่น้อยที่บาดเจ็บ แค่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตีรอบเดียวก็กลายเป็นอย่างนี้แล้ว ถ้ามีอีกระรอก ก็อย่าหวังเลยว่าจะรอดไปได้แม้แต่คนเดียว

คนเดียวที่สีหน้าสุขุมเยือกเย็นก็คือหนานโป ประการแรกเป็นเพราะทั้งชีวิตนี้ผ่านความเป็นความตายมาไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว เจอคลื่นลมพายุมาจนชิน สาเหตุรองเป็นเพราะธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สังหารวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่ได้ แต่ยามเผชิญกับคนพวกนี้ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยากจะหนีไปก็หนีไม่พ้น

ศีลแปดเองก็ตกใจไม่เบาเช่นกัน ผ่านไปประเดี๋ยวเดียวทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์ก็โจมตีอย่างบ้าระห่ำขนาดนี้ อานุภาพที่เหมือนจะฉีกทำลายได้ทุกอย่างทำให้คนรู้สึกตัวสั่นหวาดกลัว

พอหันกลับมาเห็นมู่น่าตกใจกลัว เขาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ปลอบใจ  ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว เป็นพี่ใหญ่ที่มาช่วยพวกเราแล้ว  คนที่จับตัวพวกเขามารีบลงมือ ควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาเอาไว้ ให้เขาอ้าปากพูดแต่ก็ไม่มีเสียง ก่อนหน้านี้มัวหนีเอาชีวิตรอด จึงทำไม่ทัน

มู่น่ามองเขาพลางพยักหน้าอย่างหวาดกลัว เมื่อได้ยินเขาบอกว่าพี่ใหญ่มาช่วยแล้ว ในใจก็สงบลงบ้างแล้ว

ชั่วพริบตาเดียวก็เห็นคนมากมายขนาดนี้สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไต้ซือศีลเจ็ดเผยสีหน้าเวทนาสงสาร ประนมมือพึมพำกับตัวเอง

ต่อให้แค่รั้งคนพวกนี้ไว้ได้ แต่เหยียนซิวก็โล่งอกแล้ว รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ : ท่านอ๋อง ในที่สุดก็ตามมาถึงแล้วขอรับ เพียงแต่ช้าไปก้าวเดียว ตอนที่พวกเรามาถึง คุณชายรองกับผู้หญิงคนหนึ่งก็ตกอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว กลายเป็นตัวประกันแล้ว

เหมียวอี้ที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์หลับตาส่ายหน้า หลังจากสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้ว ก็ถามว่า : ผู้หญิงอะไร?

เหยียนซิวบรรยายหน้าตาของมู่น่า เหมียวอี้ได้ฟังแล้วพอจะเข้าใจ คงจะเป็นคนของเผ่าปีศาจเอลฟ์ เขาคิดไม่ตกว่าทำไมศีลแปดกับคนของเผ่าปีศาจถ่อไปที่นั่น

………………

 

 ดาวดวงเล็กระยิบระยับนั่นใช่ที่ที่พวกเราอยู่หรือเปล่า!  มู่น่าส่งเสียงตื่นตะลึง ดวงตาโตเปล่งประกายมองไปรอบๆ แปลกใจกับทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนกับเด็กที่เพิ่งเกิดใหม่

ศีลแปดจูงมือนาง หัวเราะเอิ๊กอ๊าก คอยชี้อธิบายตลอดทางว่าหมอกดาวที่เหมือนภาพมายาตรงไหนที่เข้าใกล้ได้ ตรงไหนที่อาจมีอันตรายต้องหลบเลี่ยง ให้มู่น่าเข้าใจว่าต่อให้วรยุทธ์สูงกว่านี้ แต่ยามเผชิญหน้ากับความแปลกประหลาดยากคาดเดาในดาราจักรอันกว้างใหญ่ วรยุทธ์แค่นี้ก็เล็กน้อยจนไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงเลย เมื่อเทียบกับจักรวาล พลังของนักพรตเล็กน้อยมากจริงๆ

มู่น่าอุทานอย่างตื่นตะลึงเป็นระยะ บางครั้งก็หัวเราะ นางมีความสุขมาก ราวกับปีศาจเอลฟ์น้อยตนหนึ่งที่โบยบินอย่างมีความสุขอยู่ในจักรวาล

ทว่าท่ามกลางความลึกลับเหมือนจะมีมือยักษ์ล่องหนที่ควบคุมทุกสิ่ง มองข้ามเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาของทุกคน มองข้ามอารมณ์ความรู้สึกทุกข์สุขของทุกคน

การพบเจอที่ไม่คาดฝันมาเยือนอย่างนี้แล้ว

 ข้างหลังพวกเราเหมือนจะมีคน  มู่น่าที่มองไปรอบๆ พลันร้องอย่างตกใจ

 มีคนเหรอ?  ศีลแปดรีบหันกลับไปมองแวบหนึ่ง มีเงาคนรางๆ กลุ่มหนึ่งกำลังเหาะมาทางนี้จริงๆ อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เพราะนี่คือทางลับ จะมีคนได้อย่างไร? เขาตระหนักได้ถึงเรื่องบางอย่างทันที พี่ใหญ่ก็เข้าร่วมงานบุญแดนสุขาวดี อย่าบอกนะว่าพี่ใหญ่มาแล้ว?

พอนึกถึงตรงนี้ ศีลแปดก็ตกใจทันที แอบร้องว่าคงไม่โชคร้ายขนาดนี้กระมัง ถ้าโดนพี่ใหญ่จับได้จะไม่แย่หรอกหรือ?

 เร็วเข้า พาข้าเหาะไปทางนั้น พวกเราหลบหน่อยดีกว่า!  ศีลแปดถ่ายทอดเสียงบอกมู่น่า ไม่มีทางเลือก วรยุทธ์ของเขาไม่มีความก้าวหน้าอะไร ส่วนมู่น่าก็ได้รับทรัพยากรฝึกตนจากคนทั้งเผ่าปีศาจ ได้เคล็ดวิชาฝึกตนที่ดีที่สุดในเผ่าปีศาจเช่นกัน วรยุทธ์ถึงระดับบงกชกลายแล้ว เหนือกว่าศีลแปดไกลมาก ถ้าไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้มู่น่าถูกศีลแปดที่ไม่ยอมสงบใจฝึกตนหลอกไปเที่ยวเล่น วรยุทธ์อาจจะสูงกว่านี้อีก

มู่น่าเชื่อฟังเขาทันที จูงมือเขาไว้ แล้วรีบเปลี่ยนวิถีเหาะ เหาะเบี่ยงทิศทางไปแล้ว เตรียมรอให้คนพวกนี้ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ถ้าศีลแปดรู้จักจั่วเอ๋อร์ ก็อาจจะจำได้ว่าคนข้างหลังคือใคร เพราะคนที่อยู่ข้างหลังก็คือพวกจั่วเอ๋อร์ แต่ต่อให้ศีลแปดรู้จัก แต่ก็มีความเป็นไปได้ต่ำมากที่เขาจะจำจั่วเอ๋อร์ได้ เพราะตอนนี้จั่วเอ๋อร์ปลอมตัวแล้ว

ด้วยวรยุทธ์ของจั่วเอ๋อร์ ก็ย่อมพบแล้วว่าข้างหน้ามีคน ทว่านางไม่เคยเจอศีลแปดเลย ไม่รู้ด้วยว่าศีลแปดคือใคร เพียงแปลกใจเล็กน้อยว่าเส้นทางลับนี้มีคนได้อย่างไร พระปีศาจบอกว่าไม่มีใครรู้ไม่ใช่เหรอ?

จั่วเอ๋อร์ให้ทุกคนผ่อนความเร็ว ไม่กล้าประมาทเช่นกัน เชิญพระปีศาจที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์ออกมา แล้วรายงานสถานการณ์ให้ฟัง

 มีคนเหรอ?  หนานโปรู้สึกแปลกใจเช่นกัน ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป เหมือนจะเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายเหมือนจะเป็นพระรูปหนึ่ง

 ผู้อาวุโส ดูจากเส้นทางการเหาะ น่าจะไม่ได้หลงข้ามา แต่รู้เรื่องเส้นทางลับนี้แล้ว เหมือนจะสังเกตเห็นพวกเราแล้วก็เลยเปลี่ยนเส้นทาง เหมือนจงใจหลบพวกเรา  จั่วเอ๋อร์กล่าว

หนานโปถามเสียงต่ำ  พวกเขาจำพวกเราได้เหรอ?  เขาไม่อยากให้ข่าวที่ตัวเองเข้ามาซ่อนตัวในแดนสุขาวดีเล็ดรอดสู่ภายนอก

 พวกเราปลอมตัวแล้ว น่าจะไม่มีใครจำได้ง่ายๆ  จั่วเอ๋อร์ตอบ

หนานโปเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า  ข่าวที่พวกเรามาที่นี่จะเล็ดรอดไม่ได้ ตามไปดูว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่ ดูว่าเป็นใครไปสืบให้ข้าว่าข่าวหลุดหรือยัง 

ไม่ต้องบอกเลย ไม่ว่าสองคนข้างหน้าจะปล่อยข่าวหรือเปล่า แต่ถ้าตกอยู่ในมือของเขาแล้ว เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้สองคนนี้รอดออกไปได้

 ตาม!  จั่วเอ๋อร์โบกมือสั่ง กำลังพลที่อยู่ฝั่งนี้เร่งความเร็วสุดขีดมุ่งหน้าไปทันที ไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว

อาศัยวรยุทธ์ของพวกเขา มู่น่ากับศีลแปดเทียบความเร็วไม่ติดเลย ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กันอย่างรวดเร็ว

 พวกเขาเหาะเร็วมาก เปลี่ยนทิศทางแล้ว เหมือนกำลังไล่ตามพวกเราอยู่เลยนะ  มู่น่าแปลกใจ ไม่รู้จักความอันตรายชั่วร้ายในสังคม ไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายที่มาเยือนเลยสักนิด

 หา!  ศีลแปดที่กำลังฉุกละหุกเปลี่ยนโฉมปลอมตัวหันกลับไปมองแวบหนึ่ง แอบร้องขื่นขมทันที ไม่ว่าจะใช่พี่ใหญ่หรือไม่ แต่เขาก็ไม่อยากตกอยู่ในมืออีกฝ่าย เขากวาดสายตามองซ้ายมองขวา ชี้บนดาวเคราะห์รกร้างที่อยู่ใกล้ๆ พวกเราไปหลบที่ดาวเคราะห์ดวงนั้นกันเถอะ

มู่น่ารีบพาเขาเหาะไป อ้อมไปที่ด้านหลังของดาวเคราะห์รกร้างดวงนั้น ทั้งสองหนีหายเข้าไปเร็วมาก เข้าไปหาถ้ำหลบมั่วๆ

แทบจะเป็นชั่วพริบตาเดียวที่พวกเขาเพิ่งซ่อนตัว พวกจั่วเอ๋อร์อ้อมมาถึงอีกฝั่งของดาวเคราะห์ดวงนี้แล้ว พอทอดสายตามองไปก็ไม่เห็นใคร และไม่เห็นใครอยู่ในดาราจักรด้วย

จั่วเอ๋อร์บอกกับพระปีศาจที่อยู่ข้างๆ ว่า  ผู้อาวุโส พวกเขาหลบแล้ว ดาวเคราะห์ใหญ่ขนาดนี้ ถ้าจะตามหาก็ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง 

 ลงไป!  หนานโปออกคำสั่ง หลังจากทุกคนถลันตัวลงไปเหยียบบนยอดเขาแห่งหนึ่งแล้ว หนานโปก็กล่าวเสียงเรียบอีกว่า  ให้ทุกคนปิดประสาทสัมผัสทั้งหก! 

ทุกคนรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ปิดประสาทสัมผัสทั้งหกของตัวเอง

หนานโปประนมมือสองข้าง ขยับปากพึมพำเล็กน้อย  มีมานีโอม… 

มนต์คร่าชีวิต? ศีลแปดที่หลบอยู่ในถ้ำตัวสั่น ในหัวมีเสียงเสียงสวดมนต์ดังก้อง รีบรวบรวมสมาธิต้านไว้ เขาคุ้นเคยกับความเคลื่อนไหวนี้ดีที่สุด ตระหนักได้ทันทีว่าตัวเองเจอกับใคร เรียกได้ว่าแอบร้องคร่ำครวญซ้ำๆ คงไม่ซวยขนาดนี้หรอกใช่มั้ย โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอกับพระปีศาจหนานโปแล้ว?

เขาไม่มีทางจินตนาการได้ว่าถ้าตกอยู่ในมือพระปีศาจหนานโปแล้วผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร นึกถึงตอนแรกที่ควบคุมพระปีศาจไว้หลายปีขนาดนั้น ถูกเขาทรมานอย่างทารุณ ปีศาจเฒ่านั่นจะไม่เอาคืนสิบเท่าร้อยเท่าหรอกเหรอ รับไม่ไหวหรอก!

สิ่งที่ทำให้เขากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ ข้างกายเขาพามู่น่ามาด้วย อีกทั้งมู่น่ายังอุ้มท้องลูกของเขา อย่างมากเขาก็โดดเดี่ยวอยู่คนเดียว ก่อเรื่องคนเดียวรับผิดชอบคนเดียว แต่ปีศาจเฒ่าคงไม่คิดอย่างนี้แน่ ถ้าให้มู่น่าตกอยู่ในมือพระปีศาจจริงๆ แล้วเขาควรจะทำอย่างไรดี!

แบบนั้นเขาไม่กล้าคิดถึงผลที่ตามมาเลยจริงๆ ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยหวาดกลัวขนาดนี้มาก่อน เขาแค้นตัวเองที่ในเวลานี้ทำไมไม่ตั้งใจฝึกตน ทำไมไม่เชื่อฟังพี่ใหญ่แล้วฝึกตนอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นต่อให้โจมตีไม่ชนะแต่ก็หนีออกมาได้!

มู่น่าที่อยู่ข้างกายตัวสั่นสะท้าน ศีลแปดรีบหันกลับไปมอง เห็นเพียงมู่น่าตกอยู่ในสภาพเหม่อลอย กำลังเดินโซเซไปข้างนอก

ศีลแปดอกสั่นขวัญแขวน รีบใช้วิชาดัชนีจิ้มเป็นกากบาทบนศีรษะมู่น่า แสดงสีหน้าผุดผ่องไร้ราคี ปากท่องว่า  มิใช่มารมิใช่เคราะห์ ไม่ยึดติดไม่เพ้อฝัน ไร้ฝุ่นไร้ราคี ไม่สัมผัสไม่คล้อยตาม อย่ารักอย่าโกรธ ยากจะหาจุดเริ่มต้น ยากจะหาจุดจบ หยิบยื่นบุปผา เป็นเพียงฝันฉากหนึ่ง…  จนกระทั่งรู้สึกว่ามู่น่าได้สติกลับมาแล้ว ก็รีบกำชับว่า  มู่น่า อย่ารับอิทธิพลจากสิ่งภายนอก เจ้าจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ ขอเพียงรวบรวมจิตใจเป็นหนึ่งเดียว มารปีศาจยากรุกราน นั่งลง! รวบรวมจิตใจเป็นหนึ่งเดียว อย่ามีความคิดฟุ้งว่าน! 

มู่น่าเชื่อฟังเขามาก นั่งสมาธิตามคำสั่ง ทั้งตัวอยู่ในความสงบ ไม่ได้รับอิทธิพลจากอารมณ์ฟุ้งซ้านแล้ว

ศีลแปดที่นั่งขัดสมาธิเป็นเพื่อนนางกลับไม่กล้าประมาท ใช้วิชาดัชนีสัมผัสอยู่บนศีรษะมู่น่าตลอด ขณะเดียวกันก็หยิบระฆังดารามาติดต่อเหมียวอี้ รีบขอความข่วยเหลือจากพี่ใหญ่

มาจนป่านนี้แล้ว ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขาก็ยังไม่เป็นไร แต่นี่เกี่ยวข้องกับชีวิตของมู่น่าและลูกในท้องมู่น่า สำหรับเขาแล้ว ชีวิตนางและลูกสำคัญกว่าชีวิตเขาเสียอีก เขาไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้น ให้พี่ใหญ่รู้ก็ให้รู้ไปเถอะ ขอเพียงปกป้องมู่น่าได้ก็พอแล้ว ถ้าไม่มีลูกแล้ว วันหลังก็ยังมีใหม่ได้ แค่ให้ผู้หญิงที่ตัวเองรักที่สุดไม่เป็นอะไรไปก็พอ กลับไปแล้วพี่ใหญ่จะทำโทษอย่างไรก็ได้

มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาทำได้เพียงขอความข่วยเหลือเร่งด่วนจากเหมียวอี้ ไม่มีทางไปหาคนอื่นได้แล้วจริงๆ ผลที่ตามมาหลังจากอวี้หลัวช่ารู้ความจริง แล้วอวี้หลัวช่าก็ไม่รู้จักเส้นทางนี้ด้วย คนที่เขารู้จักมีแค่พี่ใหญ่ที่รู้ดีที่สุด และมีเพียงพี่ใหญ่ที่ตามมาถึงที่นี่ได้ ไม่ให้ไปหาเหมียวอี้แล้วจะไปหาใคร?

ในเวลานี้ เหมียวอี้กลายเป็นเพียงความหวังเดียวของเขาแล้ว ดูจากความเร็วที่อีกฝ่ายตามมาทันก็เข้าใจ ล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น ตัวเองหนีไม่พ้นเลย ทำได้เพียงหวังว่าอำนาจมหาศาลของพี่ใหญ่จะช่วยเขาได้

ในจวนอ๋องสวรรค์หนิว เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวกำลังเดินเล่นช้าๆ อยู่ระหว่างตึกศาลา กำชับเรื่องที่อวิ๋นจือชิวต้องระวัง ก่อนที่เขาจะออกเดินทาง ก็มีเรื่องบางเรื่องที่ต้องเตรียมการไว้ก่อน

 ศีลแปดส่งข่าวมาแล้ว  เหมียวอี้หิ้วระฆังดาราออกมา ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร ยังนึกว่าศีลแปดจะมาระบายทุกข์กับตัวเองเสียอีก เตรียมตัวจะสั่งสอนศีลแปดแล้ว

อวิ๋นจือชิวเม้มปากยิ้ม ดูจากที่เหมียวอี้เลิกคิ้วก็เดาออกแล้วว่าศีลแปดกำลังจะโดนด่า น้องชายคนนั้นก็มาบ่นกับนางบ่อยๆ บอกว่าอยู่ที่นั่นอุดอู้อยู่ที่นั่นมานานเกินไป นางเองก็ทำได้เพียงใช้คำพูดดีๆ โน้มน้าว บอกประมาณว่าลำบากก็เพื่อจะอยู่เหนือคนอื่น

หารู้ไม่ ว่านี่คือวิธีการที่ศีลแปดใช้ตบตาพวกเขามาตลอด

เหมียวอี้ตอบกลับประโยคแรกว่า : เป็นอะไรอีก?

ใครจะคิดว่าศีลแปดกลับตอบว่า : พี่ใหญ่ ช่วยข้าด้วย รีบช่วยข้าด้วย ข้าเจอพระปีศาจหนานโปแล้ว!

เหมียวอี้ตกตะลึง นึกว่าพระปีศาจไปหาที่คลังซ่อนสมบัติสำนักหนานอู๋ รีบถามว่า : ตอนนี้เจ้าอยู่ตรงไหน?

อวิ๋นจือชิวเห็นปฏิกิริยาของเหมียวอี้ โดยเฉพาะสีหน้าเครียดกังวลของเหมียวอี้ที่ทำให้นางปวดใจไปด้วย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้ชายของตัวเองตอบสนองมากขนาดนี้

ศีลแปด : บนทางลับไปแดนสุขาวดีไง! พี่ใหญ่ จะมีคนตายแล้ว รีบมาช่วยข้า!

เหมียวอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า : เจ้าไม่ได้ฝึกตนอยู่ที่คลังซ่อนสมบัติเหรอ? ทำไมไปเจอเขาบนทางไปแดนสุขาวดีได้ล่ะ?

ศีลแปด : พี่ใหญ่ ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า ข้าทนเหงาไม่ไหวแอบหนีออกมาเที่ยวเล่น ใครจะคิดล่ะว่าจะซวยเจอปีศาจเฒ่านั่น! เดี๋ยวกลับไปข้าค่อยอธิบายกับท่าน ข้าซ่อนตัวได้อีกไม่นานแล้ว เขาใกล้จะเจอข้าแล้ว รีบมาช่วข้า!

 เวรตะไล!  เหมียวอี้อดไม่ไหวด่าออกมา โมโหศีลแปดจนแทบกระอักเลือด แต่ศีลแปดก็พูดไว้ไม่ผิด ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อย เหยียนซิวก็อยู่ระหว่างทางไปที่นั่นเหมือนกัน บางทีอาจจะไปทัน เขารีบถามว่า : บอกให้ละเอียดหน่อย อยู่ตรงไหนกันแน่?

ศีลแปด : เส้นทางนี้ไม่ได้อยู่บนแผนที่ดาว ไม่มีทางอธิบายโดยละเอียดได้ ข้ารู้แค่ว่าอยู่ใกล้ๆ ช่วงกลางของเส้นทาง

เหมียวอี้ : เจ้าพยายามถ่วงเวลาไว้ กำลังพลของข้ากำลังจะไปถึงแล้ว!

ศีลแปด : พี่ใหญ่ ให้ข้าเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ท่านก็ได้ ท่านต้องช่วยข้านะ ข้า…

เหมียวอี้ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับเขา รีบติดต่อเหยียนซิวอีก บอกรายละเอียดให้ฟัง ให้เหยียนซิวรีบพาคนไปช่วยเหลือ

เหยียนซิว : ท่านอ๋อง ไม่มีตำแหน่งโดยละเอียดเหรอ?

เหมียวอี้เดือดดาลมาก : หาวิธีตามหาให้เจอ!

หลังจากติดต่อเสร็จแล้ว มือก็ถือระฆังดาราเดินไปเดินมา สีหน้าร้อนรนกระวนกระวาย ก่อนหน้านี้วางกับดักพระปีศาจ นึกไม่ถึงว่าจะมาประสบกับเรื่องแบบนี้ เจ้าเวรตะไลจอมก่อเรื่องอย่างศีลแปดทำให้ป้องกันไม่ชนะจริงๆ

 เป็นอะไรไป เกิดเรื่องอะไรขึ้น?  อวิ๋นจือชิวถาม

 เจ้ารองบังเอิญเจอพระปีศาจหนานโปแล้ว…  เหมียวอี้รีบเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ

อวิ๋นจือชิวโมโหจนกระทืบเท้า  เลวทรามนักเจ้ารอง กลับมาเมื่อไรข้าจะบิดหูเขาให้ขาด! 

ตอนนี้ทั้งสองยังไม่รู้ว่าศีลแปดเป็นอย่างไรกันแน่ ถ้ารู้ว่าศีลแปดทำเรื่องมั่วๆ แบบนี้ จะต้องโมโหจนตายแน่นอน

 ใช่แล้ว!  จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ คว้าแขนเหมียวอี้ไว้  เร็วเข้า! ไต้ซือศีลเจ็ดอยู่ข้างกายเหยียนซิว ให้ไต้ซือศีลเจ็ดใช้วิชาศีลตอบสนองตำแหน่งที่อยู่ของศีลแปด! 

เพี้ยะ! เหมียวอี้ยกมือตบหน้าผาก ทำไมถึงลืมเรื่องนี้ไปได้ โชคดีที่อวิ๋นจือชิวคอยเตือน เขารีบติดต่อเหยียนซิวอีกครั้ง ให้เหยียนซิวเชิญไต้ซือศีลเจ็ดให้ช่วยหาตำแหน่งโดยละเอียด

………………

 

ทะเลป่ากว้างใหญ่ เขียวชอุ่มเจริญงอกงาม

ในโพรงต้นไม้ มู่น่านอนเงียบอยู่บนเตียงไม้ กระโปรงเลิกขึ้น เผยให้เห็นท้องที่นูนออกมา

ศีลแปดนอนหมอบอยู่ข้างๆ เอาหูแนบบนท้องที่นูนขึ้นมาของมู่น่า ใช้มือลูบสัมผัสเบาๆ สุดท้ายก็ลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิข้างๆ ถอนหายใจแล้วบอกว่า  ทำไมถึงใหญ่แล้วล่ะ?  ไม่รู้ว่าเขากล่าวคำถามแบบเดียวกันนี้กี่รอบแล้ว

เขาจนใจมาก นึกไม่ถึงว่าทำให้ท้องของมู่น่าใหญ่แล้ว จนกระทั่งมู่น่าท้องใหญ่แล้ว เขาถึงได้รู้ว่ามู่น่าไม่เข้าใจเรื่องวุ่นวายไร้ระเบียบพวกนั้นเลย ไม่มีประสบการณ์เหมือนอวี้หลัวช่า ไม่รู้ว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดแบบนี้ได้อย่างไร เวลาที่ทั้งสองมีความสุขกัน มู่น่าจึงไม่ได้ป้องกันใดๆ ตามหลักแล้วก็ไม่เป็นอะไรเช่นกัน เผ่าปีศาจกับมนุษย์ก็เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อนเหมือนกัน แต่ไม่เคยมีตัวอย่างการสืบเผ่าพันธุ์มีทายาท นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมผ่านมานานขนาดนี้แล้วมู่น่าถึงได้เริ่มท้องใหญ่

นี่คือกรณีพิเศษ แม้แต่ศีลแปดเองก็ตระหนักได้ว่าสิ่งนี้เหนือความคาดหมายสุดๆ แต่เขากลับบังเอิญประสบแล้ว

ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ มู่น่าคือธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจนะ เขาทำให้ธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจท้องโตแล้ว ถ้าให้เผ่าปีศาจรู้จะต้องอาละวาดแน่นอน เกรงว่าถ้าปล่อยให้เรื่องราวใหญ่โตแล้ว แม้แต่ปราสาทแมกไม้ก็ไม่ปล่อยเขาไปเช่นกัน ถ้าข่าวแพร่ไปถึงหูพี่ใหญ่ ผลที่ตามมาก็ทำให้เขาตัวสั่นหวาดกลัว ต้องโดนตีตายแน่นอน

ยังมีฝั่งอวี้หลัวช่าอีก ตอนนี้เขานับว่ารู้ถึงความเจ้าอารมณ์ของอวี้หลัวช่าแล้ว ถ้าให้อวี้หลัวช่ารู้เรื่อง อวี้หลัวช่าต้องฆ่าเขาแน่นอน

ผลที่ตามมาเป็นชุดร้ายแรงขนาดนี้ จะไม่ให้ศีลแปดถอนหายใจได้อย่างไร แต่เขาก็ทำเรื่องโหดร้ายกับมู่น่าไม่ได้ เพราะเขารักนางจริงๆ ที่รู้สึกกับอวี้หลัวช่าเป็นเพียงความใคร่ แต่กับมู่น่าคือรักแท้

มู่น่าลุกขึ้นมาแล้วเช่นกัน นั่งพิงข้างกายเขา กะพริบตาพลางลูบท้องถามว่า  เจ้าไม่ชอบเหรอ? 

ดวงตางามบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ราวกับอัญมณีสีฟ้าที่สะอาดที่สุดในโลก ตราตรึงอยู่ในใจคนได้โดยตรง

 ชอบสิ!  ศีลแปดฝืนยิ้ม เขามีเงามืดในใจกับสิ่งนี้ จำได้ว่าเรื่องที่เกิดกับอวี้หลัวช่าทำให้เขาไม่อยากนึกย้อนกลับไป

 อย่าไปเลยได้มั้ย?  มู่น่าคว้าแขนเขา

ศีลแปดถอนหายใจ  ไม่ไปไม่ได้หรอก ประมุขพุทธะเปิดพลับพลาเทศนาธรรมที่แดนสุขาวดี พี่ใหญ่ของข้าก็จะไปด้วย พอเขาไปแดนสุขาวดี ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะไปหาข้า ถ้าเขาพบว่าข้าไม่อยู่ จะต้องตัดขาข้าแน่นอน ข้าต้องกลับไปรับมือสักหน่อย เจ้าวางใจเถอะ รอให้เรื่องนี้ผ่านไปแล้วข้าจะกลับไป 

กลับมา? ตอนที่พูดว่ากลับมาเขาก็แทบร้องไห้ ถึงตอนนั้นจะอธิบายกับเผ่าปีศาจอย่างไรล่ะ!

 เจ้ากลัวพี่ใหญ่ของเจ้ามากเหรอ? พี่ใหญ่เจ้าดุมากเหรอ?  มู่น่าอยากรู้อยากเห็น

 เอ่อคือ…  ศีลแปดเอามือลูบคาง  บางครั้งก็ดุนิดหน่อย 

 พี่ใหญ่เจ้าทำอะไร วิชาพุทธธรรมล้ำลึกกว่าเจ้าเหรอ?  มู่น่าถาม

จนกระทั่งตอนนี้ ศีลแปดยังไม่เปิดเผยให้นางรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของตัวเอง ไม่ใช่ว่าต้องการจะหลอกนาง แต่ผู้หญิงคนนี้ไร้เดียงสาเกินไป บริสุทธิ์เหมือนกระดาษขาวเสมอ ไม่เคยสัมผัสกับของในด้านลบมาก่อน ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ เลย โดนคนวางอุบายเล่นงานได้ง่ายมาก

ศีลแปดเกาะปากแล้วบอกว่า  พุทธธรรมไม่สูงเท่าข้าหรอก แต่จะพูดยังไงดีล่ะ มีอำนาจเยอะมาก ถ้าเขาโมโหคนขึ้นมา ก็ข้าเสียเปรียบมาก… 

พอพูดถึงตรงีน้ เขาก็นับถือพี่ใหญ่จริงๆ แล้ว แม้ที่ผ่านมาเขาจะคิดว่าพี่ใหญ่ของตัวเองเก่งกาจมาก แต่ก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าพี่ใหญ่จะกลายเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ ส่วนเมียของเขาก็คือพุทธะหน้าหยกแห่งแดนสุขาวดี พี่ใหญ่เป็นบุคคลเรืองอำนาจที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของตำหนักสวรรค์ เมียก็เป็นบุคคลเรืองอำนาจที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแดนสุขาวดี ตามหลักแล้วเมื่อมีคนใหญ่คนโตสองคนนี้คุ้มครองอยู่ เขาก็สามารถหัวเราะเสียงดังได้เลย แต่เขาดีใจไม่ออกเลยสักนิดจริงๆ อยากจะหลบให้ไกลหน่อยดีกว่า

มู่น่าไม่มีแนวคิดอะไรกับฝ่ายอำนาจพวกนั้นเลย ทำได้เพียงคิดว่าน่าจะเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่มากๆ?

แต่นางก็ยังจับมือศีลแปดแน่น กล่าวอย่างกังวลว่า  ข้ากลัว! 

ศีลแปดตบมือนางเบาๆ พลางปลอบใจ  ไม่ต้องกลัว พี่ใหญ่ดุนิดหน่อย แต่มีคนที่เอาชนะเขาได้ พี่ใหญ่กลัวพี่สะใภ้ใหญ่ เดี๋ยวกลับไปข้าไปขอร้องพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ปากเหมือนมีดใจเหมือนเต้าหู้ ถ้ามีพี่สะใภ้ใหญ่ออกหน้าให้ พี่ใหญ่จะทำอะไรข้าได้ เจ้าวางใจได้เลย 

 ข้าไม่ได้กลัวพี่ใหญ่  มู่น่าส่ายหน้า นางลูบท้องนูนของตัวเอง กล่าวเสียงต่ำว่า  กระโปรงบังไม่อยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่อยู่ ข้ากลัวมาก! 

เขากังวลว่าถ้าศีลแปดไม่อยู่แล้วคนของเผ่าปีศาจมองออก ถ้าศีลแปดยังอยู่ ก็เป็นอย่างที่ศีลแปดบอก ว่าถ้ามีเขาอยู่ก็ไม่ต้องกลัว ส่วนมู่น่าก็เชื่อแล้วจริงๆ เชื่อว่าถ้ามีเขาอยู่ก็ไม่ต้องกลัว ความเชื่อใจนี้ทำให้ศีลแปดกดดันมาก!

 …  ศีลแปดเอามือเดาศีรษะล้าน เขาไม่มีทางอธิบายสิ่งนี้ได้ เขาเองก็กลัวเหมือนกันนะ!

เขาเคยคิดว่าจะไปหาพี่สะใภ้ใหญ่ดีไหม อาศัยอำนาจของพี่ใหญ่ทุกวันนี้ ถ้าออกหน้าคลายความขัดแย้งกับปราสาทแมกไม้และเผ่าปีศาจ ก็น่าจะทำได้นะ แต่ปัญหาก็คือ พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่จะช่วยเขาปิดบังอวี้หลัวช่าเหรอ? แบบนั้นอาจจะทำให้พี่ใหญ่กับอวี้หลัวช่าจะกลายเป็นศัตรูกันก็ได้! อวี้หลัวช่าจะว่าดีก็ดี ถ้าไปยั่วโมโหขึ้นมา นางก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ถึงตอนนั้นเกรงว่าต่อให้เขาทนโดนตีก็จบเรื่องไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายล้วนมีอำนาจมหาศาล ถ้าปะทะกันขึ้นมาเกรงว่าจะเจ็บตัวทั้งสองฝ่าย นี่คือสิ่งที่เขาไม่อยากเห็น เขาไม่อยากให้ความเห็นแก่ตัวและความโลภของตัวเองสร้างปัญหาให้ทุกคน

ดังนั้น ถ้ายังไม่ถึงคราวจนตรอก เขาก็ไม่อยากเปิดเผยเรื่องนี้

มู่น่าเขย่ามือนางเบาๆ  ข้ากลัว อย่าทิ้งข้านะ พาข้าไปด้วยได้ไหม? 

ศีลแปดตาเป็นประกายทันที โดนคำพูดมู่น่ากระตุ้นแล้ว ใช่แล้ว สามารถพามู่น่าไปด้วยกันได้นี่นา ทางใต้ดินยาวขนาดนั้น มู่น่าสามารถซ่อนตัวจนให้กำเนิดบุตรออกมาได้เลย จากนั้นก็พาลูกไปอยู่ในที่ปลอดภัย เมื่อมู่น่ากลับมาที่เผ่าปีศาจอีกครั้ง ก็น่าจะไม่มีใครมองออก แค่นั้นปัญหาทุกอย่างก็แก้ไขได้แล้วไม่ใช่หรอกเหรอ?

 ฮ่าๆ!  ศีลแปดหัวเราะอย่างลำพองใจ ในที่สุดก็เจอวิธีแก้ปัญหาแล้ว ทำไมก่อนหน้านี้ถึงคิดไม่ออกนะ

มู่น่าเห็นเขาเลิกทำสีหน้ากังวลแล้ว ก็ถามอย่างใสซื่อว่า  เจ้ายินดีจะพาข้าไปเหรอ? 

ศีลแปดพยักหน้าซ้ำๆ  ได้ๆๆ ข้าจะพาเจ้าไปด้วยกัน เดี๋ยวข้าจะทิ้งจดหมายไว้ บอกว่าข้าพาเจ้าออกไปทัศนาจร ขอเพียงเจ้าติดต่อกับฝั่งนี้ไว้เสมอ ยืนยันว่าเจ้าไม่เป็นอะไร อาศัยบารมีความน่าเชื่อถือที่ข้ามีต่อเผ่าปีศาจ ก็น่าจะปลอบโยนพวกเขาได้ 

มู่น่าดีใจแล้ว เอามือคล้องคอเขา  ข้าไม่เคยไปเห็นโลกภายนอกเลย  นางค่อนข้างเฝ้าคอย ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยออกจากป่าผืนนี้ ยิ่งไม่ต้องพุดถึงว่าออกไปจากดาวเคราะห์ดวงนี้ ทั้งยังได้อยู่กับคนที่ตัวเองชอบ เมื่อมีศีลแปดอยู่ด้วย นางก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ขอเพียงศีลแปดบอกว่าได้ นางก็คิดว่าได้แน่นอน

ศีลแปดทำสีหน้าสุขสันต์ เขารู้สึกประสบความสำเร็จยามอยู่ต่อหน้ามู่น่า เขาคือฟ้าของมู่น่า เขาก็คือเขาของมู่น่า ความรู้สึกแบบนี้เขาหาไม่พบจากตัวผู้หญิงคนไหน ยกตัวอย่างเช่นยามอยู่ต่อหน้าอวี้หลัวช่า เขามีสิทธิ์แค่แหงนหน้ามอง…

 ไต้ซือ! 

พอใต้ซือศีลเจ็ดโผล่หน้ามาในโถง เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวก็ประนมมือพร้อมกัน ส่วนเหยียนซิวที่พาใต้ซือศีลเจ็ดมาก็ถอยไปยืนข้างๆ

ส่วนปีศาจโลหิตกับซินหู ใต้ซือศีลเจ็ดก็ไม่อนุญาตให้พวกเขามาด้วยกัน จะเห็นได้เลยว่าเตรียมใจเพื่อป้องกันอันตรายและไม่ให้ใครมาพัวพันเอาไว้แล้ว

ใต้ซือศีลเจ็ดเผยรอยยิ้มเปร่ยมเมตตา ประนมมือกล่าวว่า  อาตมาทักทายท่านอ๋อง 

ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกสะท้อนใจ เขานึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มที่พบในเมืองโบราณฉางเฟิงในปีนั้นจะประสบความสำเร็จเหมือนวันนี้ ชื่อเสียงบารมีสะเทือนฟ้า

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน  เป้นแค่ชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าไต้ซือไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเลย 

ใต้ซือศีลเจ็ดถอนหายใจ  ยามอยู่ต่อหน้าท่านอ๋อง ยังไม่ถึงคราวให้อาตมาพูดอะไรหรอก แต่ขอบ่นสักหน่อย หวังว่าท่านอ๋องจะรักษาจุดมุ่งหมายเดิมเอาไว้! 

 จำไว้แล้วขอรับ!  เหมียวอี้พยักหน้ายิ้ม แต่ในใจกลับไม่คิดอย่างนั้น ถ้าทำตามจุดมุ่งหมายเดิม เกรงว่าตัวเองคงตายไปแปดร้อยรอบแล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องเถียงอะไรกับใต้ซือศีลเจ็ด พระเฒ่ารูปนี้ดื้อดึง ยิ่งเจ้าพูดอีกฝ่ายก็ยิ่งต้องการโปรดเจ้า อุดมการณ์ต่างกัน อธิบายได้ไม่ชัดเจน ภายนอกเอ่ยรับก็พอ

ใต้ซือศีลเจ็ดส่ายหน้าเบาๆ เห็นได้ชัดว่ามองอะไรบางอย่างออกแล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก จุดประสงค์ของการมาที่นี่ไม่ใช่เรื่องนี้ ประนมมือกล่าวว่า  รบกวนท่านอ๋องแล้ว 

เหมียวอี้ยิ้มพร้อมกล่าวว่า  ไต้ซือพูดแบบนี้ห่างเหินไปนะ! แต่สถานการณ์ของข้าที่นี่ซับซ้อน เกรงว่าไต้ซือคงไม่สะดวกจะปรากฏตัวอยู่ที่นี่นาน อวี้หลัวช่าเตรียมตัวต้อนรับอยู่ฝั่งแดนสุขาวดีไว้เรียบร้อยแล้ว นางต้องหาที่พักให้ไต้ซือก่อน ดังนั้นไต้ซือต้องเดินทางไปก่อน เดี๋ยวข้าจะให้เหยียนซิวส่งท่านไปก่อน ไม่ทราบว่าไต้ซือมีอะไรต้องกำชับหรือไม่? 

 อาตมาไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ฝั่งนี้ ทุกอย่างล้วนทำตามที่ท่านอ๋องเตรียมการ  ใต้ซือศีลเจ็ดกล่าว

 เช่นนั้นก็ได้ ข้าไม่รั้งไต้ซือไว้แล้ว  เหมียวอี้พยักหน้า แล้วพยักหน้าบอกใบ้เหยียนซิวอีก

 ไต้ซือเชิญตามข้ามา!  เหยียนซิวยื่นมือเชิญด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เป็นท่าทีเคารพนับถือที่หาได้ยากจากตัวเขาเช่นกัน

 อามิตตาพุทธ!  ใต้ซือศีลเจ็ดประนมมือให้สองสามีภรรยา จากนั้นก็หันตัวเดินไป

เหมียวอี้กับฮูหยินประนมมือกลับอย่างนอบน้อม หลังจากมองคล้อยหลังเขาจากไปแล้วถึงได้วางมือลง จากนั้นก็สบตากันด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ

มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ ว่าแม้พระเฒ่าท่านนี้จะดึงดัน แต่กลับใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายดี ตอนอยู่พิภพเล็กหกปราชญ์ก็ปฏิบัติด้วยอย่างมีมารยาท ตอนนี้มาถึงพิภพใหญ่แล้ว คนระดับอวี้หลัวช่าก็ไม่กล้าดูแลต้อนรับไม่ดี เมื่อเห็นเขาแล้วก็สุภาพเกรงใจทุกครั้ง แค่พระเฒ่ารูปนี้บอกคำเดียว ทั้งสองฝั่งล้วนช่วยเหลือเต็มที่

เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัย เหมียวอี้ไม่คิดจะส่งใต้ซือศีลเจ็ดไปแดนสุขาวดีผ่านอารามแปดทิศ เขาให้เหยียนซิวถือโอกาสพาใต้ซือศีลเจ็ดไปทางลับ ทำไมต้องถือโอกาสตอนผ่านทาง? เพราะเดิมทีเหยียนซิวต้องการแอบนำกำลังพลไปเตรียมซุ่มไว้นอกทางลัดล่วงหน้า ถ้าเหมียวอี้ประสบอันตรายอะไรที่คาดไม่ถึงที่แดนสุขาวดี เหยียนซิวก็จะนำกำลังพลบุกผ่านทางลับเข้าไปช่วยที่แดนสุขาวดีทันที จะได้โจมตีจนฝ่ายตรงข้ามลนลานทำอะไรไม่ถูก

เพื่อรับมือกับเรื่องที่งานบุญแดนสุขาวดี อาณาเขตสี่ทัพนำกำลังพลไปด้วยก็เป็นเรื่องปกติมาก ไม่ทำให้คนสงสัยว่ามีเจตนาไม่ซื่อ ฝั่งนี้แอบเตรียมกำลังพลร้อยล้านเอาไว้เป็นทัพหนุนผ่านทางลับล่วงหน้าแล้ว เหยียนซิวเป็นคนนำไปก่อน ใต้ซือศีลเจ็ดติดตามไป

ในดาราจักรอันกว้างใหญ่ หลังจากเข้ามาในอาณาเขตดาวนิรนาม ศีลแปดฉีกหน้ากากที่ปลอมตัวออก ปล่อยมู่น่าออกมาแล้วเช่นกัน

มู่น่าที่ถูกควบคุมด้วยกฏจากเผ่าปีศาจทำได้เพียงแหงนมองท้องฟ้าผ่านป่าลึก นี่เป็นครั้งแรกที่ตัวอยู่ในดาราจักรอย่างแท้จริง แม้ตอนแรกจะมีบางอย่างที่ปรับตัวไม่ได้ แต่เมื่อมีศีลแปดคอยชี้แนะอย่างสุดจิตสุดใจ ก็ปรับตัวได้เร็วมาก

ดาราจักรสีสันแพรวพราว ราวกับภาพฝันมายา มนุษย์เล็กน้อยกะจิ๊ดริด จักรวาลกว้างใหญ่ ทุกสิ่งทำให้มู่น่าจิตใจเบิกบานผ่อนคลาย

………………

 

ซ่างกวนชิงแทบจะเก็บกดตายกับคำตอบนี้ ทำไมบอกว่าข้ามีอิทธิพลต่อพวกเขามากเกินไปล่ะ ทำเหมือนข้าจะเข้าไปสมคบกันให้การเท็จอย่างนั้นแหละ

คำพูดแต่ละคำคมกริบราวกับมีดจริงๆ ต้องอดทนข่มความคิดที่จะเข้าไปดูเอาไว้ ซ่างกวนชิงโกรธจนหน้าเขียว  ฆ่าเอาศพไปได้หรือเปล่า? 

 เรื่องศพเชิญตามสะดวก แต่สิ่งของบนร่างกายไม่สะดวกจะให้ผู้การใหญ่เอาไป บางทีในนั้นอาจจะมีหลักฐานอะไรอยู่บ้าง  เกาก้วนตอบเสียงเรียบ

ซ่างกวนชิงตะคอกสั่ง  หามไป! 

ผู้ติดตามสองคนเข้ามาเก็บศพของเซี่ยงจง แล้วก้าวยาวเดินตามหลังซ่างกวนชิงออกไป

 ผู้การใหญ่!  จู่ๆ เกาก้วนก็เรียนอีก

ซ่างกวนชิงหยุดเดิน หันกลับมามองอย่างเยียบเย็น

เกาก้วนถอนหายใจแล้วบอกว่า  นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ข้าขอคำสั่งจากฝ่าบาทมาสืบคดี ไม่อาจเห็นแก่อามิสสินจ้าง ควรจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น! ข้ากับผู้การใหญ่ไม่มีความแค้นส่วนตัวต่อกัน เรื่องบางเรื่องผู้การใหญ่อย่าเก็บมาใส่ใจ! 

ไม่รู้จะฟังเข้าใจหรือเปล่า อย่างไรเสียซ่างกวนชิงก็หันหน้าเดินไปแล้ว ไม่พูดอะไรมากอีก

ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงพี่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาววางแผ่นหยกในมือ ถอนหายใจเบาๆ แล้วถามว่า  เซี่ยงจงตายแล้วเหรอ? เขาติดตามอารักขามาหลายปีแล้วใช่ไหม? 

ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ ก้มหน้าตอบ  ทนทรมานไม่ไหวจนเอาศีรษะโขกกำแพงตายแล้วขอรับ! 

จากนั้นก็รีบเดินลงมา เดินมาตรงหน้าโต๊ะยาวแล้วหันตัวมาคุกเข่าลง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกทรมาน  ฝ่าบาท! สืบต่อไม่ได้แล้วขอรับ! อย่างน้อยก็สุดต่อไปแบบนี้ไม่ได้! คุกใหญ่ของหน่วยตรวจการขวาเป็นสถานที่แบบไหน? เป็นนรกที่ทุกคนต่างรู้จักดี คนปกติทนการทรมานในนั้นไม่ไหว แต่ไหนแต่ไรมาคนที่เข้าไปก็มีไม่กี่คนที่ได้รอดออกมา คนที่เคยเข้าไปมีใครบ้างที่ไม่โดนถลกหนัง? เกาก้วนสืบคดีแบบไหน ฝ่าบาทเองก็ทราบ ถ้าไม่มีบัญชาจากฝ่าบาท เขาก็สืบคดีอย่างเลือดเย็นที่สุด มีคนตั้งเท่าไหร่แล้วที่ตายด้วยน้ำมือเขา? องครักษ์เงาคือหน่วยกล้าตาย ถ้าถูกเกาก้วนทรมานอย่างนี้ต่อไป เกรงว่าจะใช้งานไม่ได้อีกแล้ว! ฝ่าบาท ถ้าปล่อยให้เกาก้วนสืบแบบนี้ต่อไป องครักษ์เงาก็จะพัง แบบนั้นไม่สู้ประหารชีวิตทั้งหมดแล้วเริ่มฝึกเลี้ยงใหม่อีกชุด สืบอีกไม่ได้แล้วจริงๆ ครับ อย่างน้อยก็ให้เกาก้วนสืบต่อไปไม่ได้แล้ว! 

อาศัยการตายของเซี่ยงจงทำให้ประมุขชิงสะเทือนใจ เขารีบฉวยโอกาสดำเนินการ

ปัญหานี้ใช่ว่าประมุขชิงจะไม่เคยพิจารณามาก่อน ถามอย่างลังเลว่า  อย่าบอกนะว่าจะให้องครักษ์เงาสืบกันเอาเอง? 

 หากฝ่าบาทไม่วางใจ ก็ดึงตัวคนที่ไว้ใจได้จากหน่วยตรวจการซ้ายกับกองทัพองครักษ์มาร่วมมือกันสืบ ไม่ควรให้เกาก้วนสืบต่อไปอีกแล้วขอรับ!  ซ่างกวนชิงตอบ

ประมุขชิงลังเลซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วจู่ๆก็ถอนหายใจ  อนุญาต! ซ่างกวน ทีหลังอย่าก่อปัญหาให้ใครอีก! 

 ขอรับ!  ซ่างกวนชิงโขกศีรษะกับพื้นพลางกล่างเสียงสะอื่น  ขอบพระทัยที่ฝ่าบาทเชื่อใจ! 

หลังจากซ่างกวนชิงออกไปแล้ว ประมุขชิงก็ลุกขึ้นและหันตัวเดินเข้าไปในชั้นหนังสือ หยิบม้วนตำราโบราณขึ้นมาพลิกอ่าน เงาคนสวมชุดคลุมดำด้านหลังชั้นหนังสือแวบเข้ามาหยุด แล้วถ่ายทอดเสียงรายงานเรื่องลับบางอย่าง

ประมุขชิงเริ่มขมวดคิ้ว  คำพูดของเกาก้วนสื่อว่าสงสัยซ่างกวนเหรอ? 

 ทั้งสองทะเลาะกันต่อหน้าฝูงชน เกาก้วนเพียงบอกอย่างนั้น แต่ฟังดูแล้วก็มีเหตุผลอยู่บ้าง  เสียงนั้นตอบอย่างรวดเร็ว

ประมุขชิงเงียบงันพูดไม่ออก…

ตระกูลหวงฝู่ ในตึกร้านค้า ผู้ช่วยแต่ละเขตของร้านค้าสมาคมวีรชนทยอยกันมาถึง มารวมตัวกันในโถง

หวงฝู่จวินโหรวนั่งสง่าอยู่ด้านบน นี่คือการเรียกผู้ช่วยเขตมาประชุมครั้งแรกหลังจากนางรับตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ร้านค้าสมาคมวีรชนอย่างเป็นทางการ หวงฝู่ตวนหรงมารดาของนางเคยมีประสบการณ์ด้านนี้ คอยชี้แนะอยู่ข้างๆ เป็นระยะ

เมื่อการประชุมจบลง ผู้ช่วยแต่ละเขตบ้างก็อยู่บ้างก็ไป คนที่อยู่ก็พูดคุยกับหวงฝู่จวินโหรวต่อไป นับว่าเป็นลูกน้องเก่าของหวงฝู่ตวนหรง หลังจากหวงฝู่ตวนหรงออกจากตำแหน่งแล้ว ฝั่งนี้ก็เปลี่ยนคนไม่ทัน ตอนนี้หวงฝู่ตวนหรงนับว่าช่วยแนะนำให้ลูกสาว ให้ลูกน้องเก่าเหล่านี้ตั้งใจช่วยเหลือลูกสาวของนางต่อไป

หลังจากพูดคุยกันจบแล้ว ตอนที่สองแม่ลูกกลับมาที่บ้านตัวเอง กลับเห็นบรรดาภรรยาและลูกๆ ของหวงฝู่เยี่ยนมารวมตัวกันเกือบหมด อู่หนิงที่อยู่บนตึกข้างๆ กำลังพิงหน้าต่าง ยักไหล่ให้แม่ลูกที่เดินเข้ามา แสดงออกว่าจนปัญญา

โดยปกติเขตร้านบ้านนี้ไม่ชอบให้คนนอกบุกเข้ามา แต่คนพวกนี้ดึงดันจะมาให้ได้ อู่หนิงก็ไม่สะดวกจะห้ามเช่นกัน อย่างไรเสียในจำนวนนี้ก็มีไม่น้อยที่เป็นญาติผู้ใหญ่ของหวงฝู่ตวนหรง

สองแม่ลูกงงงวย แต่กลับเห็นบรรดาภรรยาและลูกๆ ของหวงฝู่เยี่ยนหลีกทางให้สองฝั่ง พากันยิ้มแสดงไมตรีต่อหวงฝู่จวินโหรว ไม่ได้ยิ้มให้หวงฝู่ตวนหรง แต่ยิ้มให้หวงฝู่จวินโหรว คนนั้นตะโกนเรียก  โหรวโหรว  คนนี้ตะโกนเรียก  พี่สาว 

ในตอนนี้สองแม่ลูกเพิ่งจะเข้าใจกระจ่างอย่างฉับพลัน ว่าหลังจากหวงฝู่เยี่ยนตายแล้ว อำนาจมากมายตกอยู่ในมือคนอื่น คนพวกนี้ก็สิ้นอำนาจตามไปด้วยเช่นกัน เท่ากับสูญเสียที่พึ่งพิง ตอนนี้หวงฝู่จวินโหรวได้ตำแหน่งสำคัญในตระกูลอีกครั้ง กุมอำนาจมหาศาลและช่องทางรายได้จำนวนมากของตระกูลหวงฝู่ หมายความว่าค่อนข้างมีอำนาจในการพูด ตั้งแต่นี้ไป สมาชิกตระกูลสายของหวงฝู่เยี่ยนก็จะมองหวงฝู่จวินโหรวเป็นม้าจ่าฝูงแล้ว ตั้งแต่นี้ไปจะต้องพึ่งพาหวงฝู่จวินโหรวให้ช่วงชิงผลประโยชน์ให้พวกเขา เพื่อให้ยืนหยัดในตระกูลได้

หวงฝู่จวินโหรวที่หยาดเยิ้มภูมิฐานเดินพยักหน้าอมยิ้มให้ฝั่งซ้ายและขวาตลอดทาง ไม่ถ่อมตัวและไม่เยอะหยิ่ง เดินผ่านกลางกลุ่มคนไป…

จวนอ๋องสวรรค์หนิว บนตึกศาลาที่สูงตระหง่าน เหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนพิงระเบียง ทอดสายตามองไปไกล

อวิ๋นจือชิวขึ้นมาบนตึก เดินเนิบนาบมาข้างหลังเขาแล้วถามพร้อมรอยยิ้ม  ท่านอ๋องกำลังคิดอะไรอยู่? 

ลักษณะท่าทางเปลี่ยนไปแล้วไม่น้อย ความองอาจห้าวหาญที่เคยมีแฝงด้วยความเคร่งขรึม เผด็จการ! มีความน่าเกรงขามในตัวเอง!

แต่หลังจากเผยรอยยิ้มอ่อนๆ ลักษณะแข็งกร้าวก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนในชั่วพริบตาเดียว  ได้ยินว่าทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ? 

อวิ๋นจือชิวกลอกตามองเขา  เนี่ยอู๋เยี่ยนนั่นทำให้คนปวดหัวจริงๆ แค่โดนคนด่าว่าไม่เหมือนผู้หญิง ก็วิ่งไปด่ากลับแล้ว ทั้งยังดึงอีกฝ่ายมาท้าสู้ตัวต่อตัวด้วย เจ้าไม่สนใจสักหน่อยเหรอ? 

เหมียวอี้หัวเราะลั่น  ข้าไม่ยุ่ง! พวกเราคุยกันไว้เรียบร้อยแล้ว เรื่องของเรือนชั้นในเจ้าเป็นคนดูแล! 

 แหม! เวลาแอบไปผ่อนคลายทำไมไม่พูดอย่างนี้บ้างล่ะ?  อวิ๋นจือชิวถาม

เหมียวอี้หัวเราะแห้งกลบเกลื่อนความอับอาย  เจ้ามาที่นี่เพื่อพูดเรื่องนี้เหรอ? 

อวิ๋นจือชิววังสองมือบนระเบียง ถอนหายใจแล้วบอกว่า  ใต้ซือศีลเจ็ดจะมาที่พิภพใหญ่ 

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว  อยู่ที่พิภพเล็กก็ดีอยู่แล้ว จะมาทำอะไรที่นี่ เขาไม่รู้หรอกว่าตัวเองไม่ควรโผล่หน้ามาอยู่ฝั่งนี้ 

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า  เขาได้ยินมาจากอวี้หลัวช่า เรื่องที่ประมุขพุทธะจะเปิดพลับพลาเทศนาธรรม ทนไม่ไหวอยากจะไปเข้าร่วมฟังธรรม 

 ไม่ได้! ทำไมต้องหาเรื่องใส่ตัว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจะทำยังไง?  เหมียวอี้ส่ายหน้า

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจอีก  เขาบอกประมาณว่าฟังเสียงพุทธธรรม ต่อให้ตายก็ไม่เสียดาย เขาเองก็อยากจะหาด้วยว่าวิชาศีลเกิดปัญหาตรงไหนกันแน่ จะได้ถ่ายทอดให้คนรุ่นหลัง บอกว่าตัวเองทำเรื่องอันพึงปฎิบัติ! พอเขาเอ่ยปาก อวี้หลัวช่าก็ตอบตกลงทันที รับประกันว่าจะเตรียมให้เขาอย่างเหมาะสม ตอนนี้ก็เหลือแค่เรื่องต้องมาจากพิภพเล็กแล้ว เจ้าจะให้ข้าห้ามยังไงล่ะ? เอาเป็นว่าข้าไม่สะดวกจะว่าเขา ถ้าจะปฏิเสธเจ้าก็ไปปฏิเสธเอง ข้าไม่รับบทเป็นคนเลวหรอก 

 อวี้หลัวช่ารับประกันได้จริงเหรอว่าจะไม่เป็นอะไร?  เหมียวอี้ลังเล

อวิ๋นจือชิวบอกว่า  ฟังจากที่อวี้หลัวช่าบอก ตามหลักแล้วไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไร ถึงตอนนั้นคนที่ไปฟังธรรมมีเยอะมาก ไม่มีใครเคยเจอใต้ซือศีลเจ็ดมาก่อนด้วย เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของใต้ซือศีลเจ็ดนิดหน่อย เวลาปะปนอยู่ในกลุ่มคน ก็น่าจะไม่มีใครจำได้ 

 เจ้ายืนยันกับอวี้หลัวช่าอีกสักหน่อย ถ้ารับประกันได้จริงๆ ว่าจะไม่เป็นอะไร…จะมาก็มาเถอะ ถึงยังไงก็เป็นอาจารย์ของเจ้ารอง พวกเราก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรด้วย  เหมียวอี้ถอนหายใจอย่างจนใจ เจอกับคนดื้อดึงอย่างใต้ซือศีลเจ็ด เขาก็หมดหนทางจริงๆ อยากจะด่าก็ไม่สะดวกใจ

 ใช่!  อวิ๋นจือชิวพยักหน้า แล้วถามอีกว่า  เจ้าจะไปจริงหรอ? จะไม่มีอันตรายใช่ไหม? 

เหมียวอี้วางมือบนระเบียง  ถ้าไม่ไปจะไม่เหมาะสม ถ้าพวกอ๋องสวรรค์ไม่ไปร่วมงาน จะไม่ถือว่าไม่ไว้หน้าประมุขพุทธะหรอกเหรอ งานบุญที่นานๆ ทีประมุขพุทธะจะจัดสักครั้ง ถ้าไม่ไปเป็นเกียรติ ก็เท่ากับล่วงเกินทั้งสองฝั่งแล้ว ประมุขชิงอยากกำจัดข้า ถ้าประมุขพุทธะสอดมือเข้ามาแทรก มันก็จะยุ่งยากนิดหน่อย ด้วยศักยภาพของพวกเราตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลาที่จะแตกหัก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็อนุญาตให้พวกเรานำกำลังพลไปด้วย ถ้าเกิดเรื่องขึ้น อาศัยกำลังพลของพวกเราหลายฝ่ายร่วมมือกัน ยังไม่ต้องพูดถึงเอาชนะ อีกฝ่ายจัดการพวกเราไม่ได้ภายในเวลาสั้นๆ แน่ ถ้าประมุขพุทธะทำซี้ซั้วจริงๆ อย่างมากข้าก็แค่รวบรวมกำลังพลจากหลายฝ่ายเข้าไปทางลับ โจมตีเข้าไปในแดนพุทธะโดยตรง ข้าจะคอยดูว่าเขาจะจบเรื่องนี้ยังไง! วางใจเถอะ ประมุขพุทธะก็ไม่อยากให้ประมุขชิงครองใต้หล้าคนเดียวอยู่แล้ว ไปครั้งนี้ไม่น่าจะเป็นอันตราย พวกโค่วหลิงซวีเคยถูกประมุขพุทธะ ‘รั้งไว้’ ครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไปอยู่ดี 

อวิ๋นจือชิวกล่าวเสียงต่ำ  เจ้ามีแผนการในใจแล้วก็ดี ข้าก็แค่อยากจะเตือนเจ้า ว่าตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว มีคนมากมายฝากความหวังไว้ที่เจ้า เจ้าอย่าทำเรื่องมุทะลุดุดันเหมือนคนเลือดร้อนอีก! 

 รู้แล้วๆ!  เหมียวอี้ตบหลังมือนางเบาๆ แล้วกุมมือไว้

ลมหนาวพัดวูบเข้ามาในถ้ำน้ำแข็ง หนานโปนั่งขัดสมาธิ ไม่แสดงสีหน้าท่าทาง ราวกับเป็นไม้แกะสลัก

 มีคนจากอีกหลายจุดที่ไม่ได้ข่าวคราว อำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเราจินตนาการจริงๆ ถ้าให้พวกเราสืบต่อไปทีละขั้นแบบนี้ ช้าเร็วพวกเราก็จะไม่มีคนให้ใช้งานข้างนอก สักวันก็จะกลายเป็นคนตาบอด ถึงตอนนั้นถ้าไม่มีเบื้องล่างส่งมอบกำลังทรัพย์ให้ คนฝั่งเราก็จะจิตใจว้าวุ่น เส้นทางของพวกเราอาจจะอยู่ในมือพวกเขานานแล้วก็ได้  จั่วเอ๋อร์ถอนหายใจอยู่ข้างๆ

เกล็ดหิมะที่ตกลงมาบนตัวหนานโปพลันปลิวออกไป หนานโปค่อยๆ ลุกขึ้น  ได้ยินว่าแดนสุขาวดีจะจัดงานบุญ ไปดูสักหน่อยเถอะ 

จั่วเอ๋อร์ยิ้มเจื่อย  อารามแปดทิศทางเข้าแดนสุขาวดีตรวจสอบเข้มงวดมาก หลังจากผู้อาวุโสออกมาแล้วก็ยิ่งสอบสวนเข้มงวดขึ้น เกรงว่าผู้อาวุโสคงจะไม่มีโอกาสเข้าไป  นางพึมพำในใจว่า เจ้ายังมีกะจิตกะใจจะไปดูงานบุญอีกเหรอ

หนานโปกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า ตัดขาดการติดต่อกับเบื้องล่างเถอะ ตอนนี้รักษากำลังทางนี้เอาไว้ก่อน ไปเริ่มต้นใหม่ที่แดนสุขาวดีแล้วกัน! ไม่ไปทางอารามแปดทิศ ข้ารู้ทางลับที่ใช้เข้าออกแดนสุขาวดีอีกทาง! 

จั่วเอ๋อร์งุนงง คิดในใจว่า ทำไมเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้?

เป็นเรื่องยากเช่นกันที่หนานโปจะตัดสินใจทำแบบนี้ เขาอยากได้บัวโลหิตในมือเหมียวอี้มาตลอด ถึงได้วุ่นวายอยู่ที่นี่ แต่ดูจากแนวโน้มสถานการณ์ตอนนี้ ฝั่งตำหนักสวรรค์ป้องกันเขาทั่วทุกหนแห่ง ไม่ให้โอกาสเขาได้ลงมือเลย โดยเฉพาะการกดดันทุกฝีก้าวจากตระกูลเซี่ยโห้ว ทำให้เขาตระหนักได้ถึงอันตราย ถ้าอยากจะได้บัวโลหิตมาง่ายๆ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว ส่วนทางเข้าแดนสุขาวดีแม้จะป้องกันเข้มงวด แต่ในแดนสุขาวดีกลับผ่อนปรนมากกว่าเยอะ เพราะทุกคนต่างก็คิดว่าเขายังอยู่ในอาณาเขตตำหนักสวรรค์ จะไปแล้วก็จะเติบโตได้สะดวก ยามเผชิญหน้ากับอันตรายที่อาจจะมาเยือน เขาจำต้องตัดสินใจทิ้งเรื่องบัวโลหิตชั่วคราว แฝงตัวเข้าไปเริ่มต้นใหม่ที่แดนสุขาวดี หาวิธีที่เหมาะสมในการหลอมสร้างกายหยาบขึ้นมาใหม่ แม้โอกาสสำเร็จจะต่ำมาก อาจจะต้องใช้เวลานานมาก แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว ถ้าไม่ได้บัวโลหิตเพื่อใช้เป็นทางลัด ก็ทำได้เพียงพยายามทีละก้าว คาดว่าทุกคนก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเขาไปซ่อนตัวในแดนสุขาวดีแล้ว จึงปลอดภัยกว่าฝั่งนี้

………………

 

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในป่าไผ่ ตรวจอ่านข่าวลือด้านนอกที่ถังเฮ่อเหนียนจัดเรียงข้อมูลมาให้

หลังจากอ่านละเอียดแล้ว ก็ยืนเอามือไขว้หลังเงียบๆ อยู่นานมาก ก่อนจะถามว่า  เรื่องนี้เจ้าคิดว่ายังไง? 

ถังเฮ่อเหนียนขมวดคิ้ว  ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่? 

 ยืนยันแล้วใช่ไหมว่าเขาพวกนี้ล้วนปล่อยออกมาจากโถงชุมนุมอัจฉริยะ?  โค่วหลิงซวีถาม

ถังเฮ่อเหนียนตอบว่า  ข่าวที่บอกว่าชิงหยวนจุนชอบก่วงเม่ยเอ๋อร์ถูกปล่อยมาจากจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลก่อน แต่โถงชุมนุมอัจฉริยะเหมือนไม่ชอบที่ข่าวจากจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลมีผลกระทบน้อยเกินไป เลยเติมไฟเข้าไปอีก ดึงหนิวโหย่วเต๋อเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อได้กับก่วงเม่ยเอ๋อร์แล้ว ดังนั้นก็สามารถดันทุรังอธิบายได้ว่าข่าวทั้งหมดล้วนมาจากหนิวโหย่วเต๋อ 

โค่วหลิงซวีหันตัวมองมา  แล้วที่เขาปล่อยข่าวว่าลูกน้องตัวเองฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางหมายความว่ายังไง ยังกล้าบอกด้วยว่าเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางสามารถควบคุมคนเพื่อล้วงความลับได้ด้วย ไม่กลัวว่าจะสร้างปัญหาให้ตัวเองเหรอ? 

ถังเฮ่อเหนียนกล่าวยังลังเล  นี่คงไม่นับว่าเป็นปัญหากระมัง? คำแก้ตัวบางอย่างก็ไม่ผิด เคล็ดวิชาที่ประมุขปราชญ์ลัทธิผีฝึกจะต้องเป็นเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางของแท้แน่นอน แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าประมุขปราชญ์ลัทธิผีจะควบคุมคนเพื่อล้วงความลับได้ แม้เหยียนซิวจะมีใบหน้านิ่งเหมือนคนตาย แต่เมื่อเคยคลุกคลีด้วยก็จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นคนเป็นๆ ไม่ใช่นักพรตผีแน่นอน 

โค่วหลิงซวีสงสัย  อนุภรรยาคนโปรดของหนิวโหย่วเต๋อ เฟยหงเป็นสายลับของหน่วยตรวจการซ้าย ทั้งยังมีหลินอ้าวเสวี่ยอะไรนั่นอีก ใต้พระตำหนักอุทยานเป็นสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ก่วงลิ่งกงสมคบกับพระปีศาจหนานโปเพื่อช่วยคนให้หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ารู้สึกว่ามีความจริงเท็จอยู่กี่ส่วน? 

ถังเฮ่อเหนียนใบหน้ากระตุกเล็กน้อย  เรื่องนี้วุ่นวายมาก ที่บอกว่าเฟยหงเป็นสายลับของหน่วยตรวจการซ้ายนั้นมีความเป็นไปได้ ใต้พระตำหนักอุทยานเป็นสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็เป็นไปได้เหมือนกัน ส่วนที่บอกว่าก่วงลิ่งกงสมคบกับพระปีศาจหนานโป เหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่เรื่องที่วังสวรรค์โดนลอบโจมตีสองครั้งก็น่าสงสัยจริงๆ คนของก่วงลิ่งกงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแล้ว เรื่องนี้นอกจากคนที่ก่อเรื่องแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ความจริงชัดเจน 

โค่วหลิงซวีมองแผ่นหยกบนมือ  เฉาหม่านสมทบกับหนิวโหย่วเต๋อเพื่อฆ่าเซี่ยโห้วหลิง? 

 อาจจะจริง แล้วก็อาจจะไม่ซิง สรุปก็คือข่าวลือต่างๆ ที่หนิวโหย่วเต๋อปล่อยครั้งนี้ล้วนทำให้ตัวเองอยู่ในจุดที่ไม่ได้ประโยชน์ ไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนเล่นงานตัวเอ แต่ก็ไม่มีเหตุผลอีก ทำให้คนรู้สึกเหมือนเขากำลังกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง  ถังเฮ่อเหนียนตอบ

โค่วหลิงซวีมือไขว้หลังอีกครั้ง หรี่ตาบอกว่า  ชิงหยวนจุนปล่อยข่าวออกมาข่าวเดียวก็ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวเป็นพรวน เป็นเรื่องที่วุ่นวายจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อกำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่? อย่าบอกนะว่ากำลังงัดข้อกับประมุขชิง? 

ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้า  เป็นไปได้จริงๆ ขอรับ หนิวโหย่วเต๋อสมคบกับตระกูลเซี่ยโห้ว ประมุขชิงต้องหวาดระแวงแน่นอน ต้องแอบเคลื่อนไหวโดยที่พวกเราไม่รู้แน่ ถ้าพวกเขาสองฝ่ายกำลังสู้กันจริงๆ ก็พอฟังขึ้น เพียงแต่ทำเหมือนอยู่ในหมอกเมฆหนา ไม่ว่าใครก็มองเห็นไม่ชัดว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่! 

 วิธีการของหนิวโหย่วเต๋อยิ่งเหนือชั้นขึ้นทุกวัน ถ้ามองไม่กระจ่างสิจะเป็นปัญหา ก่อนหน้านี้ที่เขาโค่นล้มฮ่าวเต๋อฟางก็หลอกพวกเราเหมือนกันไม่ใช่เหรอ  โค่วหลิงซวีไม่แน่ใจ

วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงหน้าขรึมราวกับน้ำนิ่ง กำลังฟังคนที่ยืนอยู่เบื้องล่างแสดงความเห็น คุยกันไปคุยกันมาก็ยังเหมือนอยู่ในหมอกหนา ไม่เข้าใจว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่

เมื่อไม่ได้บทสรุป สุดท้ายทุกคนก็แยกย้ายกันไป

เกาก้วนกลับมาที่หน่วยตรวจการขวา จุยหย่วนเข้ามาต้อนรับ แล้วรายงานลับว่า  คนพวกนั้นปากแข็งมาก ไม่มีเบาะแสอะไรที่เป็นประโยชน์ 

 ปากแข็งกับง้างปาก เริ่มจากเซี่ยงจงนั่นก่อน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่สังเกตเห็นสักนิดว่ากัวเหยียนถิงผิดปกติ  เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบ

จุยหย่วนปาดเหงื่อเล็กน้อย ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเซี่ยงจงคือผู้บัญชาการขององครักษ์เงา จึงเตือนว่า  นายท่าน ถ้าง้างปากอาจจะทำให้มีคนตายได้! 

เกาก้วนเหล่ตามองเขาอย่างเยียบเย็นแวบหนึ่ง แล้วตวาด  ความปลอดภัยของฝ่าบาทสำคัญ หรือชีวิตของเขาสำคัญ? จำไว้ ชะตากรรมของหน่วยตรวจการขวาผูกติดอยู่กับตัวฝ่าบาท ความปลอดภัยของฝ่าบาทถูกวางไว้อันดับหนึ่งตลอดไป เรื่องอื่นไม่สำคัญ อย่าปล่อยผ่านจุดที่น่าสงสัยใดๆ! 

ทหารยามที่อยู่แถวนั้นตกใจเสียงตวาดจนหันกลับมามอง

 ขอรับ!  จุยหย่วนกุมหมัดเอ่ยรับ

ภูเขาหิมะ ลมหนาวเย็นยะเยือก ปากถ้ำที่มีน้ำแข็งผนึกแห่งหนึ่ง พระปีศาจหนานโปกำลังยืนเงียบๆ จั่วเอ๋อร์คอยรายงานสถานการณ์ข่าวหรือด้านนอกอยู่ข้างๆ กัน

พอเกิดเรื่องขึ้นกับสงฉี ทางนี้ก็ย้ายออกจากดาวเกาะครามแล้ว

หลังจากฟังรายงานจบ หนานโปก็ค่อยๆ หลับตาลง หนิวโหย่วเต๋อมีอำนาจมากเกินไป เขาปล่อยข่าวลือพวกนี้ออกมาเพราะอยากให้หนิวโหย่วเต๋อได้รับผล แต่ใครจะคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะสรา้งกระแสใหญ่โตทันที ทำให้ข่าวที่เขาปล่อยออกมาเจือจางจนไม่เหลือเงาแล้ว ด้วยอำนาจอำนาจที่น้อยนิดอย่างเขา แม้กระทั่งจะพูดให้ดังกว่านี้ก็ทำไม่ได้ อำนาจเล็กน้อยของเขาทำให้ไม่กล้าเปิดเผยอย่างเอิกเกริก

เขาคิดว่าตัวเองทำอะไรหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้เลย นอกเสียจากจะออกหน้ามาพิสูจน์ด้วยตัวเอง แต่เขาจะออกมาด้วยตัวเองได้อย่างไร แบบนั้นแสดงว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ความรู้สึกไร้ความสามารถพรั่งพรูขึ้นมาในใจ นึกย้อนไปถึงปีนั้นว่าตัวเองเคยมีชื่อเสียงบารมีระดับไหน สภาพสังคมเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

จั่วเอ๋อร์เหมือนรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของเขา จึงเสนอแผนการว่า  ครั้งนี้ทำอะไรเขาไม่ได้ ครั้งหน้าหน้าพวกเราค่อยทำต่อก็ได้ เว้นช่วงเวลาแล้วค่อยปล่อยข่าวนี้อีก เป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะหาข้ออ้างมาทำให้ข่าวสับสนได้ทุกครั้ง ทำซ้ำหลายครั้งก็ย่อมดึงดูดความสนใจคนได้! 

หนานโปพยักหน้า  มีเหตุผล! 

แต่ยังไม่สามารถลดความรู้สึกพ่ายแพ้ในใจให้เบาลงได้ ตกอยู่ในความเงียบนานมาก…

คลื่นลมเริ่มสงบลงทีละนิด ทั้งยังสงบลงเร็วมาก เริ่มมีอำนาจอีกฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง อำนาจของแดนสุขาวดีเข้ามาเกี่ยวด้วยแล้ว อำนาจใหญ่ฝ่ายต่างๆ ของอาณาเขตตำหนักสวรรค์ล้วนให้ความร่วมมืออยู่บ้าง งานบุญเขาหลิงซานกำลังจะมาถึง ประมุขพุทธะจะบรรยายพุทธธรรมดูตัวเอง แดนสุขาวดีไม่อยากให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตจนส่งผลกระทบต่องานในครั้งนี้ ถึงอย่างไรก็มีชาวพุทธมากมายอยู่ในอาณาเขตตำหนักสวรรค์ ถ้ามัวเอาความคิดไปสนใจข่าวลือเหลวไหล ถือว่าใช่เรื่องเสียที่ไหน? ถ้าในอาณาเขตตำหนักสวรรค์เริ่มทำสงคราามอีก ประมุขพุทธะที่สนใจเรื่องสงครามจะแสดงธรรมอย่างสงบใจได้อย่างไร? ไม่ง่ายเลยกว่าประมุขพุทธะจะออกมาบรรยายธรรมสักครั้ง ไม่ควรก่อความวุ่นวายอย่างนี้สิ

ภายนอกคลื่นลมสงบ ก็ไม่ได้แปลว่าตามซอกมุมล้วนต่างๆ สงบสุข

คุกใหญ่หน่วยตรวจการขวา ศพร่างหนึ่งถูกย้ายออกจากกรงขัง สมาชิกหน่วยตรวจการขวาสองคนหำออกมาจากปลายคุก

ศพนี้ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ทุกส่วนของร่างกายมีบาดแผลชัดเจน มีหลายแผลที่ลึกจนเห็นกระดูก เลือดสดไหลหยดลงพื้นตลอดทาง ผู้ตายก็คือผู้บัญชาการองครักษ์เงา เซี่ยงจง

ในกรงขังโลหะที่อยู่ฝั่งซ้ายฝั่งขวาของทางเดินคุกใหญ่ สมาชิกองครักษ์เงาพากันกันจับราวกั้นและถลึงตามองไปข้างนอก

ว่ากันว่าคุกใหญ่ของหน่วยตรวจการขวาก็คือนรกบนดิน ดูจากสภาพบนตัวคนพวกนี้ ไม่เห็นใครสภาพดีสักคน แค่นี้ก็รู้แล้ว

คนที่เกาะอยู่บนราวกั้น บางคนกำลูกกรงโลหะแน่นจนข้อนิ้วปูดโปนขึ้นมา บางคนเริ่มตาแดงก่ำ หายใจถี่กระชั้น บางคนแก้มตึง เรากับจะขบฟันให้แตก บางคนคุกเข่าโดยไร้เสียง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก บางคนพึมพำว่า  นายท่าน! 

คนที่อยู่ในกรงขังฝั่งซ้ายและขวาทยอยกันคุกเข่า บางคนส่งเสียงร้องให้แว่วมา ส่งเซี่ยงจงที่ถูกหามออกไป

นอกคุกใหญ่ เกาก้วนสวมหมวกทรงสูงสีดำ สวมผ้าคลุมสีดำทั้งตัว ยืนเงียบอยู่ในศาลาที่อยู่ไม่ไกล

ข้างกายยังมีอีกคนอยู่ด้วย ซ่างกวนชิงมีสีหน้าบึ้งตึง ดวงตาฉายแววสังหาร ราวกับต้องการจะกินคน

เสียงประตูใหญ่คุกเปิดดังแกร๊ก ร่างของเซี่ยงจงถูกหามออกมาแล้ว ถูกนำมาวางไว้ข้างศาลา

มองเห็นสภาพอนาถของเซี่ยงจงตั้งแต่ไกลๆ ซ่างกวนชิงกำหมัดแน่นอยู่ในแขนเสื้อ เดินออกจากศาลาอย่างช้าๆ เดินมานั่งยองๆ ข้างศพ ยื่นมือไปเกลี่ยผมยุ่งเหยิงที่บังใบหน้าเซี่ยงจง กะโหลกยุบเข้าไปเกินครึ่ง เมื่อตรวจดูชีพจร ก็เพราะว่าตายแล้วจริงๆ

เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยถูกทรมานจนไม่เหลือสภาพคน นี่คือลูกน้องคนสนิทที่ซ่างกวนชิงสั่งสอนเลี้ยงดูมากับมือ จงรักภักดีมาก ติดตามรับใช้มาหลายปี สนิทกันเหมือนพ่อลูก ไม่น่าเชื่อว่าจะตายอยู่ในคุกใหญ่ของหน่วยตรวจการขวาอย่างคลุมเครือ ความเศร้าสลดในใจซ่างกวนชิงยากจะบรรยายออกมาจริงๆ

เขาพลันยืนขึ้น ชี้ไปที่ศพ พลางตะคอกถามในศาลาว่า  เกาก้วน เจ้าจะอธิบายยังไง? 

เกาก้วนกล่าวอย่างไม่แยแส  เขาเอาหัวโขกกำแพงตายในกรงขัง เพื่อนร่วมงานของเขาที่อยู่ในคุกข้างกันก็เห็นชัดเจน ข้าจำเป็นต้องอธิบายด้วยหรือ? 

ซ่างกวนชิงถลันตัวเข้ามา ดึงคอเสื้อเกาก้วน โมโหจนพูดเสียงสั่น  ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งอย่างเขาถูกเจ้าบีบให้ฆ่าตัวตาย เจ้ามันเดรัจฉาน! เจ้าทำอะไรกับเขากันแน่! 

เมื่อเห็นซ่างกวนชิงลงมือกับกาก้วนแล้ว ทุกคนของหน่วยตรวจการขวาก็แอบตกใจ ซ่างกวนชิงมีฐานะอะไรที่วังสวรรค์ มีใครบ้างที่ไม่รู้? เกรงว่าครั้งนี้หน่วยตรวจการขวาคงทำให้ผู้การใหญ่โกรธถึงขีดสุดแล้ว เกรงว่าทูตขวาคงต้องรับผลที่ตามมาเหมือนกัน

 ผู้การใหญ่ เจ้าสำรวมหน่อย นี่คือการสืบคดี อย่าใช้อารมณ์ทำงาน!  เกาก้วนกล่าวเสียงเย็น

 ถ้าเจ้าเก่งนักก็จับข้าไปด้วยสิ!  ซ่างกวนชิงตะคอกอย่างโมโห

เกาก้วนตะคอกกลับทันที  ข้าไม่กล้าจับเจ้าหรอก! แต่ผู้การใหญ่ได้โปรดบอกข้า ว่ากัวเหยียนถิงทำเรื่องแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าข้างกายไม่มีใครพบความผิดปกติสักคน เจ้าเชื่อหรือว่าโลกนี้มีเรื่องที่แนบเนียนไร้ช่องโหว่? พวกเขาตายแต่ไม่ยอมเปิดปากเพราะกำลังปกป้องใครล่ะ? เป็นใครกันที่ทำให้พวกเขายอมตายแต่ก็กัดฟันไว้แน่น? จะเป็นฝ่าบาทเชียวเหรอ! 

ซ่างกวนชิงถลึงตาถามทันที  นี่เจ้ากำลังสงสัยข้าเหรอ? 

เกาก้วนตะคอกอย่างไม่เกรงใจเลยว่า  แล้วทำไมปัญหาต้องเกิดกับกัวเหยียนถิงที่ไม่ได้ออกไปทำภารกิจล่ะ? โลกนี้มีเรื่องบังเอิญเยอะขนาดนั้นเสียที่ไหน ผู้การใหญ่ให้คำอธิบายกับข้าได้หรือเปล่า? ใครกล้ารับประกันว่าเรื่องนี้ไม่มีคนเตรียมการไว้ล่วงหน้า? ตามหลักการแล้ว เจ้าคือคนที่น่าสงสัยที่สุด! แต่ฝ่าบาทไม่เอ่ยปาก หน่วยตรวจการขวาก็ไม่มีอำนาจจะสืบสวนผู้การใหญ่ ทำได้เพียงคิดหาทางนางกวักพวกเขา หน่วยตรวจการขวาทำผิดตรงไหน? ถ้าเจ้ารู้สึกว่าผิด ก็ไปฟ้องฝ่าบาทได้เลย ไม่ใช่มารบกวนการสืบคดีที่นี่! 

เมื่อกล่าวคำพวกนี้ออกมา ก็แทงใจดำทุกคำพูด ทำให้ซ่างกวนชิงเสียวสันหลังวาบ ถ้าคำพูดพวกนี้ไปถึงหูฝ่าบาท เขาก็ไม่มีทางคาดเดาได้เลยว่าฝ่าบาทจะคิดอย่างไร!

แต่เขาจะแสดงความอ่อนแอได้อย่างไร ตะคอกกลับว่า  เกาก้วน เจ้าอย่ามาพูดเพ้อเจ้อ เจ้าจะมาใส่ร้ายโดยไม่มีหลักฐานไม่ได้! 

เกาก้วนใช้ฝ่ามือผลัก แล้วชีhที่เท้าซ่างกวนชิง  ถ้ามีหลักฐานแล้วยังต้องตรวจสอบอีกหรอ? ถ้ามีหลักฐาน ผู้การใหญ่ยังจะได้ยืนพูดอยู่ตรงนี้ไหม? ถ้ามีหลักฐาน ผู้การใหญ่จะรับไหวไหมหากฝ่าบาทเดือดดาลเหมือนฟ้าผ่า? 

พูดเรื่องหลักฐานกับคนที่ชอบทรมานนักโทษแบบนี้ถือเป็นการหาเรื่องใส่ตัวโดยแท้ ซ่างกวนชิงหันหน้าหนี ไม่เถียงเรื่องนี้อีก มองไปทางคุกใหญ่พลางกล่าวเสียงต่ำว่า  ข้าจะเข้าไปดูสักหน่อย!  เขาอย่าจะเห็นว่าตอนนี้คนข้างในมีสถานการณ์อย่างไรกันแน่

เกาก้วนปฏิเสธอย่างเด็ดขาด  ไม่ได้! ผู้การใหญ่มีอิทธิพลต่อพวกเขามากเกินไป ตอนนี้ไม่เข้าไปแทรกแซงจะดีกว่า! แน่นอน ถ้าผู้การใหญ่ขอบัญชาจากฝ่าบาทมาได้ ในหน่วยตรวจการขวาก็ไม่มีที่ไหนที่ผู้ตรวจการใหญ่ไปไม่ได้ หน่วยตรวจการขวาฟังแค่คำสั่งของฝ่าบาท! 

…………………

 

แม้จะตอบอย่างไม่ลังเล แต่กลางดึกก็ต้องลุกขึ้นมาจากแขนขาทั้งสี่อันอบอุ่นอ่อนโยนของหวงฝู่จวินโหรว

ออกจากเขตลานบ้านนั้นมา หยางเจาชิงกำลังรออยู่ด้านนอก เหมียวอี้ถามว่า  เกิดเรื่องอะไรขึ้น? 

ที่จริงหยางเจาชิงก็ไม่อยากรบกวน เมื่อมาที่นี่จนดึกดื่นแล้วแต่เหมียวอี้ยังไม่กลับ ยังจะมีเรื่องอะไรให้ทำได้อีกอีก เมื่อครู่ที่ติดต่อมาก็กังวลว่าจะทำลายอารมณ์สุนทรีย์ของท่านอ๋อง เขาก็แค่บอกใบ้ว่ารออยู่ข้างนอก ให้ท่านอ๋องประเมินเวลาแล้วออกมาเอง

ตอนนี้พอเหมียวอี้โผล่หน้ามา เขาก็ย่อมรายงานว่า  ด้านนอกมีข่าวลือบางอย่าง ยังคงเป็นเรื่องที่ท่านอ๋องเป็นคนของหกลัทธิ แต่ครั้งนี้เพิ่มเนื้อหาเข้าไป บอกว่าเหยียนซิวฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางของหกลัทธิ ทั้งยังเป็นคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางของแท้ด้วย สามารถสลับใช้หยินหยางได้อย่างอิสระ และสามารถควบคุมสติสัมปชัญญะของคนได้ ล่วงรู้ความลับของคนได้  พูดจบก็มองเหยียนซิวที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้แวบหนึ่ง

เหมียวอี้แสยะยิ้ม  คนที่รู้เรื่องนี้ นอกจากพระปีศาจก็ไม่มีคนอื่นแล้ว ครั้งก่อนเสียเปรียบข้า ครั้งนี้กำลังล้างแค้นข้า ไปกันเถอะ กลับ!  พูดจบก็หันไปมองประตูใหญ่ที่อยู่ข้างหลังแวบหนึ่ง รับปากหวงฝู่จวินโหรวแล้วว่าคืนนี้จะอยู่กับนาง ต้องกลืนคำพูดตัวเองแล้ว เป็นเพราะถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่ดีก็จะเกิดความวุ่นวาย อาศัยแค่เรื่องที่ควบคุมสติสัมปชัญญะของคนได้ สืบรู้ความลับของคนได้ก็เป็นปัญหาแล้ว เหตุใดพระปีศาจถึงใช้วิธีทำให้ทุกคนมีความเกลียดชังร่วมกัน สาเหตุหลักเป็นเพราะอยากให้คนรู้สึกหวาดกลัวกับเรื่องนี้

คนกลุ่มหนึ่งรีบเหาะขึ้นฟ้าไป เหมียวอี้ถึงขั้นไม่ได้บอกลาหวงฝู่จวินโหรวด้วยซ้ำ เขาคิดว่าหวงฝู่จวินโหรวคงจะเข้าใจ

หวงฝู่จวินโหรวคลุมผ้าปล่อยผมเดินออกจากประตูมา ยืนอยู่ในลานบ้านและมองคล้อยหลังเงาคนที่เหาะขึ้นฟ้าไป ดวงตาแดงก่ำ ในใจรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม แม้นางจะรู้ว่าทัพใต้ตั้งขึ้นมาใหม่จะต้องมีปัญหาเยอะ และการที่เขาไปในเวลานี้จะต้องมีเรื่องสำคัญแน่นอน แต่ก็บอกไว้แล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนนางที่นี่

ใบหน้างามเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง บางครั้งนางก็คิดเหมือนกัน ว่าอยู่กับผู้ชายคนนี้แล้วมีอะไรดี ไม่สู้อยู่กับคนธรรมดาที่สามารถอยู่กับนางได้ทั้งวันทั้งคืนดีกว่า…

ตอนที่กลับมาถึงจวนท่านอ๋อง หยางชิ่งก็มาถึงแล้วเช่นกัน หลายคนเข้าไปประชุมกันในห้องหนังสือแล้ว

 สงสัยจะเป็นอย่างที่คาดไว้ พระปีศาจจะล้างแค้นจริงๆ  เหมียวอี้นั่งพูดอยู่หลังโต๊ะ

หยางชิ่งบอกว่า  ทางหกลัทธิส่งข่าวมา ข่าวที่ถูกปล่อยออกมาพร้อมกันยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่จริงคราวนี้ปล่อยออกมาเร็วกว่าหนึ่งก้าว จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลปล่อยเขาออกมา บอกว่างหยวนจุนถูกตาต้องใจก่วงเม่ยเอ๋อร์! 

 ฮะ…  เหมียวอี้งงงวย  เป็นข่าวที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลปล่อยออกมาจริงเหรอ? 

 จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลไม่ได้ออกมาแก้ข่าวลือใดๆ  หยางชิ่ง :

 ชิงหยวนจุนเล่นบ้าอะไร? เขาประกาศอย่างเปิดเผยว่าชอบลูกสาวของก่วงลิ่งกง? ไม่กลัวประมุขชิงจะกังวลเชียวหรือ?  เหมียวอี้แปลกใจ

หยางชิ่งส่ายหน้า  ข้าน้อยก็กำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ไม่เข้าใจว่าชิงหยวนจุนมีเจตนาอะไร คาดว่าเรื่องนี้ประมุขชิงน่าจะรู้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลก็ไม่กล้าปล่อยข่าวนี้ออกมาหรอก คาดว่าเรื่องนี้คงเกี่ยวข้องกับครั้งก่อนที่โกวเยว่พาก่วงเม่ยเอ๋อร์ไปจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ไม่รู้เหมือนกันว่าระหว่างประมุขชิงกับก่วงลิ่งกงทำข้อตกลงอะไรกัน  เรื่องนี้ทำให้เขาไม่เข้าใจ นึกไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นเพราะชิงหยวนจุนชอบก่วงเม่ยเอ๋อร์ ที่ปล่อยข่าวมาก็แค่เพราะต้องการจะครอบครองดอกไม้อย่างก่วงเม่ยเอ๋อร์ จะได้ไม่มีคนมาเด็ดไป

เหมียวอี้เคาะนิ้วบนผิวโต๊ะครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า  เงินของข้าจะเอาไปเฉยๆ ไม่ได้  พูดจบก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อถามชิงหยวนจุนว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่

เรื่องนี้ชิงหยวนจุนไม่ได้ปิดบังเขา เล่าเจตนาที่แท้จริงให้ฟัง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถึงว่าได้รับอนุญาตจากประมุขชิงแล้ว

พอเก็บระฆังดารา เหมียวอี้ก็กล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก  ชิงหยวนจุนชอบก่วงเม่ยเอ๋อร์ แต่ไม่สะดวกจะแต่งงานด้วย ถึงได้ใช้แผนการระดับต่ำนี้…  เขาเล่าเจตนาให้ฟังคร่าวคร่าวๆ

หยางชิ่งพูดไม่ออก เป็นเพราะคาดไม่ถึงนิดหน่อย เขาส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วบอกว่า  แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน สองเรื่องนี้ถูกปล่อยออกมาพร้อมกัน จะได้กระจายผลกระทบจากข่าวลือที่พระปีศาจปล่อย กอปรกับพระปีศาจมีกำลังจำกัด ตอนนี้ข่าวยังไม่แพร่ไปวงกว้าง ฝั่งพวกเราต้องปล่อยข่าวกลบสักหน่อย ยังมีอีกจุดหนึ่ง ตอนนี้พระปีศาจทำได้แค่เรื่องเล็กๆ อย่างปล้นไก่ปล้นสุนัขเท่านั้น แสดงว่าเริ่มหมดวิธีการแล้ว! 

ที่จริงในใจเขาก็ยังรู้สึกว่าที่เหมียวอี้ก่อเรื่องเพื่อช่วยหลินอ้าวเสวี่ยก่อนหน้านี้นั้นไม่คุ้ม ไม่อย่างนั้นจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอย่างนี้หรือ ตอนหลังจะมีช่องโหว่อะไรอีกก็ไม่มีใครคาดเดาได้

 ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้แล้ว!  เหมียวอี้ยกมือห้าม แล้วบอกหยางเจาชิงว่า  ข่าวดีที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ ให้สวีถังหรานปล่อยข่าวได้! 

หยางชิ่งบอกว่า  เกรงว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย! 

พวกเขานำรายละเอียดของเรื่องนี้มาปรึกษากันอีกครั้ง

ใช้เวลาไม่นาน ใต้หล้าก็มีข่าวลืออีกแล้ว เรียกได้ว่าเดือดปุดๆ

เรื่องแรกก็คือชิงหยวนจุนชอบก่วงเม่ยเอ๋อร์ ลูกสาวของอ๋องสวรรค์ก่วง แต่ที่จริงแล้วก่วงเม่ยเอ๋อร์ได้กับหนิวโหย่วเต๋อตั้งนานแล้ว เมื่อก่อนไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนม เรื่องที่สองก็คือเรื่องที่ลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางจนสามารถควบคุมสติสัมปชัญญะคนอื่นได้ เรื่องที่สามก็คือ เฟยหงอนุภรรยาของหนิวโหย่วเต๋อเป็นลูกสาวของอดีตเทพประจำดาวมะโรงดินไท่ซูเหวินชาง แต่ถูกหน่วยตรวจการซ้ายจับมาแทรกไว้เป็นสายลับข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ และมารดาของนาง หลินอ้าวเสวี่ยก็ถูกบังคับให้ใช้แรงงานอยู่ในสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ซึ่งอยู่ใต้พระตำหนักอุทยาน ก่วงลิ่งกงสมคบกับพระปีศาจหนานโปโจมตีพระตำหนักอุทยาน ให้หนิวโหย่วเต๋อช่วยหลินอ้าวเสวี่ยออกมา เรื่องที่สี่ก็คือที่จริงแล้วเซี่ยโห้วหลิงตายเพราะเฉาหม่านกับหนิวโหย่วเต๋อสมคบกันลอบสังหาร

สรุปก็คือข่าวลือต่างๆ ไม่พ้นเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อ แต่ละเรื่องล้วนชี้ไปที่หนิวโหย่วเต๋อ ทำให้คนรู้สึกเหมือนต้องการจะเล่นงานให้หนิวโหย่วเต๋อตาย

ทุกเรื่องเพียงพอที่จะทำให้คนทั้งใต้หล้านำไปเป็นประเด็นสนทนาหลังอาหารและดื่มน้ำชา เรียกได้ว่าลือกันให้สนั่น

ในอาณาเขตทัพใต้ติดประกาศแก้ข่าวอย่างรวดเร็ว เรื่องแรกก็คืออ๋องสวรรค์กับก่วงเม่ยเอ๋อร์เป็นเพื่อนกันธรรมดา ไม่มีความสัมพันธ์อะไรที่เกินกว่านั้น เรื่องที่สองก็คือ เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางเป็นของพระปีศาจหนานโป ปราชญ์ผีจากหกลัทธิเป็นลูกศิษย์ของพระปีศาจ เคล็ดวิชาที่ปราชญ์ผีฝึกยังไม่ใช่เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางของแท้เชียวเหรือ? เคยได้ยินหรือเปล่าว่าปราชญ์ผีสามารถล้วงความลับคนอื่นผ่านการควบคุมสติสัมปชัญญะได้? เรื่องที่สาม เฟยหง อนุภรรยาของอ๋องสวรรค์ไม่ใช่สายลับ อ๋องสวรรค์ก่วงก็ไม่เคยช่วยอ๋องสวรรค์ช่วยชีวิตใครด้วย เรื่องที่สี่ การตายของเซี่ยโห้วหลิงไม่เกี่ยวอะไรกับอ๋องสวรรค์เลยสักนิด เรื่องที่ห้า มีคนมีเจตนาไม่ดี กำลังกุเรื่องใส่ร้ายทำลายชื่อเสียงอ๋องสวรรค์ เรื่องที่หก ถ้าพบว่าใครกุเรื่องทำลายชื่อเสียงขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ ฆ่าไม่ละเว้น!

เมื่อเห็นทัพใต้มาแก้ข่าวลือ วังสวรรค์ก็แก้ข่าวลือเช่นกัน แค่ประกาศสิ่งที่สอดคล้องกับทัพใต้ นั่นก็คือหน่วยตรวจการซ้ายไม่เคยแทรกสายลับไว้ข้างกายอ่องสวรรค์คุมทัพใต้ เตือนคนสร้างข่าวลือและปล่อยข่าวลือ

จากนั้นทัพตะวันตกก็แก้ข่าวเช่นกัน ว่าบุตรสาวของอ๋องสวรรค์ก่วงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ให้ใครมาทำให้เสื่อมเสียได้ง่ายๆ อ๋องสวรรค์ก่วงไม่มีทางสมคบกับพระปีศาจ และยิ่งไม่มีทางช่วยใครออกมาจากพระตำหนักอุทยาน

ตระกูลเซี่ยโห้วเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ออกมาแก้ข่าว บอกว่าเป็นข่าวที่ไม่มีมูลโดยแท้!

โอรสสวรรค์ชิงหยวนจุนเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้แก้ข่าวลือใดๆ แม้แต่วังสวรรค์ก็ไม่ได้ช่วยแก้ข่าวนี้ เหมือนทำเรื่องนี้เป็นความจริงแล้ว

จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ในสวนดอกไม้ ชิงหยวนจุนนั่งขัดสมาธิขมวดคิ้วอยู่ในศาลา

หวังติ้งเฉาเร่งฝีเท้าเดินเข้ามา รายงานข่าวลือต่างๆ จากภายนอกให้ฟัง

ชิงหยวนจุนตบต้นขา ชำเลืองมองหวังติ้งเฉาโดยไม่ขยับไปไหน และไม่พูดอะไรด้วย

หวังติ้งเฉาถูกมองจนอึดอัดไปทั้งตัว อดไม่ได้ที่จะถามว่า  องค์ชาย เป็นอะไรไปขอรับ? 

ชิงหยวนจุนกลุ้มใจนิดหน่อย  พวกเราทำให้เรื่องนี้ใหญ่โตแล้วไม่ใช่หรอ? ทำไมพอปล่อยข่าวนี้ออกไป ถึงมีข่าวลือตามมาอีกเป็นพรวน ทำเอาเดือดกันทั้งใต้หล้า แม้แต่ตำหนักสวรรค์ อ๋องสวรรค์ อ๋องสวรรค์ก่วง ตระกูลเซี่ยโห้วล้วนทยอยกันแก้ข่าว พวกเราทำให้วุ่นวายเกินไปหรือเปล่า? เรื่องนี้พุ่งเป้ามาที่ข้าหรือเปล่า? เสด็จแม้ต้องด่าข้าแน่! 

หวังติ้งเฉาเองก็เคยสร้างสถานการณ์อย่างนี้เป็นครั้งแรก ราวกับหญิงสาวที่ได้ขึ้นเกี้ยวแต่งงานเป็นครั้งแรก พอฝั่งนี้ปล่อยข่าวปล่อยออกไป เด็กดีเอ๋ย ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นทำให้แม้แต่เขาเองก็ยังตกใจ ไม่เคยก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้มาก่อน สงสัยเหมือนกันว่าตัวเองคิดแผนโง่ๆ หรือเปล่า ดังทุรังสอบว่า  คงจะไม่เกี่ยวกับฝั่งเราหรอกมั้ง ข่าวที่พวกเราปล่อยไป ฝ่าบาทอนุญาตแล้ว ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ ฝ่าบาทก็ไม่ยอมเช่นกัน  ประโยคสุดท้ายคือความเห็นที่ชัดเจนที่สุด  องค์ชายไม่จำเป็นต้องกังวล ตราบใดที่ฝ่าบาทยืนข้างองค์ชาย ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ฝ่าบาทก็จะช่วยแบกรับให้องค์ชาย ในเมื่อฝ่าบาทไม่พูดอะไร ก็แสดงว่าไม่เป็นอะไรแล้ว! 

เมื่อได้ฟังเขาพูดอย่างนี้ ชิงหยวนจุนก็พยักหน้า วางใจแล้วไม่น้อย แต่ก็ยังถอนหายใจอีก  ตระกูลก่วงเร่งให้ข้ารีบแสดงท่าที! 

หวังติ้งเฉาบอกคำเดียวว่า  ไม่ต้องสนใจเขา! 

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องหนังสือหยิบแผ่นหยกขึ้นมาอ่าน แล้วทำงานของตัวเองต่อไป เพียงแต่ใบหน้าไม่ได้แสดงรอยยิ้มมาหลายวันแล้ว

หลังจากโกวเยว่เข้ามา ก่วงลิ่งกงก็เหลือบตาขึ้นถามว่า  ชิงหยวนจุนว่ายังไงบ้าง? 

โกวเยว่ตอบอย่างเก้อเขิน  ยังไม่ยอมออกมาแก้ข่าว ยังยืนยันคำเดิมว่า มือสะอาดไม่จำเป็นต้องล้าง โอรสสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานอย่างเข้าไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องประเภทนี้! 

ก่วงลิ่งกงตบโต๊ะยืนขึ้น กล่าวอย่างโมโหว่า  เช่นนั้นเขาจะปล่อยข่าวออกมาทำไม? จะแต่งก็ไม่แต่ง ทั้งยังกล้าพูดจาเพ้อเจ้ออีก เขาคิดจะทำอะไร? คิดว่าข้ากลัวพ่อเขาจนไม่กล้าแตะต้องเขาอย่างนั้นเหรอ?  คำพูดนี้พูดไปเพราะอารมณ์โกรธ เพราะเขาไม่กล้าแตะต้องชิงหยวนจุนจริงๆ ผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลคนนี้ไม่ใช่หนิวโหย่วเต๋อ ในปีนั้นเขาสามารถระดมพลไปโจมตีแดนรัตติกาลได้ ก็เพราะรู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้มีอำนาจมากมายหนุนหลัง แต่คนที่หนุนหลังชิงหยวนจุนคือใครกันล่ะ? นั่นคือคนที่มีอำนาจอันดับหนึ่งในใต้หล้าเชียวนะ! ลองกล้าแตะต้องลูกชายของประมุขชิงดูสิ ประมุขชิงไม่มีทางนิ่งดูดาย ถ้าปล่อยให้คนอื่นมาแตะต้องลูกตัวเองโดยไม่สนใจจริงๆ เช่นนั้นประมุขชิงก็ไม่มีหน้าจะเป็นราชันสวรรค์ต่อไปแล้ว

เขายิ่งคิดก็ยิ่งโมโห นับว่าทั้งชีวิตลูกสาวถูกทำลายแล้ว หญิงสาวที่บริสุทธิ์คนหนึ่งมีชื่อเสียงอย่างนี้ เอาใส่แค่เรื่องของชิงหยวนจุน ใต้หล้านี้ยังจะมีใครกล้าแต่งงานกับลูกสาวอีก? ไม่เคยเห็นใครวางกับดักกันแบบนี้มาก่อน โอรสสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผย นึกไม่ถึงว่าจะทำเรื่องไร้ยางอายขนาดนี้ เหมือนกับบิดาของเขาไม่มีผิด อย่างน้อยบิดาของเขาก็ยังรู้จักปิดบังไว้บ้าง ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลัง รู้สึกว่าลูกสาวมีความงดงามพอสมควร หลายปีมานี้รอขายตอนราคาดีมาตลอด ใครจะคิดว่าทำไปทำมาดันได้เจอกับไอ้เวรตะไลไร้ยางอาย ทำลายลูกสาวคามือแล้ว

พอได้สติกลับมาก็ชี้โกวเยว่พร้อมด่าว่า  ดูแผนโง่ๆ ที่เจ้าคิดออกมาสิ! 

โกวเยว่ก้มหน้าไม่พูดจา ในใจพึมพำว่า เป็นความประสงค์ของท่านเองไม่ใช่หรือ เพียงแต่คำบางคำไม่สะดวกจะพูดออกมา ข้าก็แค่ช่วยพูดให้ท่านก็เท่านั้นเอง

ก่วงลิ่งกงเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา กระฟัดกระเฟียดไม่หาย ไม่ได้มีแค่เรื่องน่ารำคาญใจนี้ ด้านนอกยังลือกันอีกว่าเขาสมคบกับพระปีศาจหนานโปโจมตีพระตำหนักอุทยาน ทั้งยังลือกันอย่างมีเค้าโครงรูปร่างด้วย เพราะคนของเขาดันออกหน้าไปโจมตีพระตำหนักอุทยานจริงๆ ที่บอกว่าแก้ข่าวลือ ก็เป็นแค่การตบตาคนในใต้หล้าเท่านั้น บนราชสำนักมีใครไม่รู้เรื่องพระตำหนักอุทยานโดนโจมตีบ้าง ตอนนั้นบ่าวรับใช้ของเขาเหมือนถูกพระปีศาจควบคุมจริงๆ เรื่องสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ใต้พระตำหนักอุทยาน พอคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเป็นไปได้ สถานการณ์ที่เหมือนจะจริงแต่ก็ไม่จริงแบบนี้ทำให้คนว้าวุ่นใจ

ในห้องนอนหญิงสาว ก่วงเม่ยเอ๋อร์นอนหมอบร้องไห้บนเตียงจนน้ำตาแห้ง ดวงตาสองข้างเหม่อลอย

เม่ยเหนียงที่นั่งปลอบใจอยู่ข้างๆ ก็ปาดน้ำตาเป็นระยะเช่นกัน นางรู้ดีว่าลูกสาวชื่อเสียงฉาวโฉ่แล้ว ทั้งชีวิตนี้แต่งไม่ออกแล้ว พอนึกถึงความลำบากนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ไปด่าไป  พวกผู้ชายแย่งชิงอำนาจกัน ทำไมต้องเอาผู้หญิงอย่างพวกเราไปเป็นข้ออ้าง… 

……………………

 

 ของเด็กเล่น?  สวีถังหรานส่ายหน้าหลุดขำ  ท่านบุรุษเฒ่าต้องการคำขู่แบบไหนล่ะ? หรือรู้สึกว่าคำขู่นี้มีน้ำหนักไม่พอ? 

หวงฝู่เลี่ยนคงหรี่ตา  ไปบอกหนิวโหย่วเต๋อ ว่าควรจะหยุดได้แล้ว ส่งสองแม่ลูกนั่นมา แล้วก็หยุดเพียงเท่านี้ เรื่องในอดีตข้าจะทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่อย่างนั้นข้าก็ต้องรายงานขึ้นไปก่อน หนิวโหย่วเต๋อเข้ามาแทรกแซงเรื่องไหนสมาคมวีรชน ไม่พ้นต้องโดนสงสัยว่าจะก่อกบฏ เขาเองก็ไม่ได้ประโยชน์เหมือนกัน! 

สวีถังหรานพูดเหยียดหยามว่า  ส่งให้เหรอ คนของตระกูลหวงฝู่ก็ยังต้องส่งให้คนของตระกูลหวงฝู่จัดการอยู่แล้ว เพียงแต่เจตนาดีของท่านอ๋องนี้ ไม่รู้ว่าท่านบุรุษเฒ่าพิจารณาไปถึงไหนแล้ว? 

หวงฝู่เลี่ยนคงโค้งมุมปากแสยะยิ้ม  เจ้าคิดว่าข้าจำเป็นต้องพิจารณาเหรอ? 

 เฮ้อ!  สวีถังหรานเอียงตัวถอนหายใจ  สงสัยท่านบุรุษเฒ่าจะยังมีความฝันลมๆ แล้งๆ กับตำหนักสวรรค์ รู้สึกว่าประมุขชิงไม่นิ่งดูดายเมื่อเห็นท่านอ๋องกับตระกูลเซี่ยโห้วสมคบกัน คิดว่าประมุขชิงจะกำจัดท่านอ๋องของข้าทิ้งใช่มั้ย? 

หวงฝู่เลี่ยนคงยิ้มเย้ย  นั่นคือสิ่งที่เจ้าคิดเอาเองต่างหาก  ที่จริงเขาก็คิดอย่างนี้ แต่อยากจะถ่วงเวลาก่อน

 ถ้ามีนิทานเรื่องนึงจะเล่าให้ฟัง ท่านบุรุษเฒ่าอยากจะฟังหรือเปล่า?  สวีถังหรานถาม

หวงฝู่เลี่ยนคงตอบว่า  เกรงว่าต่อให้ข้าจะไม่อยากฟัง แต่ท่านโหวก็คงไม่หุบปากอยู่ดี ใช่มั้ยล่ะ? 

 จุจุ นึกไม่ถึงว่าสวีคนนี้จะได้คนรู้ใจอีกแล้ว!  สวีถังหรานยืนขึ้น เอามือไขว้หลังพร้อมค่อยๆ เล่า  เมื่อก่อนนี้หน่วยตรวจการซ้ายเคยแทรกสายลับคนหนึ่งไว้ข้างกายท่านอ๋อง ชื่อว่าเฟยหง! เฟยหงมีประวัติความเป็นมาอยู่บ้าง เป็นบุตรสาวของอดีตเทพประจำดาวมะโรงดินไท่ซูเหวินชาง ฮูหยินของไท่ซูเหวินชางหลินอ้าวเสวี่ยถูกคุมตัวอยู่ในสถานที่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ใต้พระตำหนักอุทยาน ช่วงนี้ประมุขชิงใช้งานสายลับอย่างเฟยหง ต้องการให้เฟยหงคอยให้ความร่วมมืออยู่ภายใน แอบส่งองครักษ์เงาออกมาทำงานประสานกัน ต้องการลอบสังหารท่านอ๋อง! ดังนั้นท่านอ๋องจึงลงมือโต้ตอบทันที โดยการช่วยหลินอ้าวเสวี่ยออกมาจากพระตำหนักอุทยาน แน่นอน แผนการลอบสังหารขององครักษ์เงาล้มเหลว ถอนกำลังกลับไปทั้งหมด…ท่านอ๋องได้รับการสนับสนุนจากทัพอื่นอีก ทั้งยังมีตระกูลเซี่ยโห้วคอยช่วยเหลือ ถ้าประมุขชิงคิดจะแตะต้องท่านอ๋องของข้า เกรงว่าช่วงนี้คงยังหาโอกาสไม่ได้ ไม่ทราบว่าท่านบุรุษเตรียมจะถ่วงเวลาไปถึงเมื่อไหร่? 

หวงฝู่เลี่ยนคงแววตาวูบไหว แอบรู้สึกตกใจ เขาย่อมได้ยินข่าวเรื่องที่วังสวรรค์โดนลอบโจมตี สองครั้ง อย่าบอกนะว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังสู้กับประมุขชิงแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อจะช่วยคนออกจากพระตำหนักอุทยานได้?

สวีถังหรานเดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้าหวงฝู่เลี่ยนคง  สถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ แค่คิดก็รู้แล้วว่าใครเป็นคนควบคุม สมาคมวีรชนก็ถูกควบคุมโดยซ่างกวนชิงเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ? เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว ซ่างกวนชิงจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเหรอ? ถ้าเปิดโปงข่าวที่ผู้หญิงตระกูลหวงฝูเสียตัวให้ท่านอ๋องอีก ชีวิตของซ่างกวนชิงที่วังสวรรค์จะต้องบันเทิงมากแน่ แน่นอน นั่นล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย ถ้าตระกูลหวงฝู่มีใจคิดทรยศตำหนักสวรรค์มาตั้งแต่แรก เปิดเผยความลับของวังสวรรค์ให้คนนอกรู้ ถ้าให้วังสวรรค์รู้เรื่องนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงหรอกว่าวันคืนของซ่างกวนชิงจะทรมานขนาดไหน อย่างน้อยวันคืนอันสงบสุขของตระกูลหวงฝู่ก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว! 

หวงฝู่เลี่ยนคงกล่าวอย่างเย็นชาว่า  ตระกูลหวงฝู่ไม่เคยมีใจคิดทรยศตำหนักสวรรค์ และไม่เคยเปิดโปงความลับอะไร ท่านโหวใช้คำพูดเหลวไหลขู่ตระกูลหวงฝู่ไม่ได้ผลหรอก ฝากท่านโหวไปบอกท่านอ๋องก็ได้ ก็อย่างที่บอก ว่าให้หยุดได้แล้ว เวลากระต่ายจนตรอกก็กัดคนได้เหมือนกัน สมาคมวีรชนเองก็ไม่ใช่เล่นๆ! ข้ายังมีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่เสียเวลาอยู่กับท่านโหวแล้ว!  พูดแบบนี้แสดงว่าจะส่งแขกกลับแล้ว

สวีถังหรานไม่ได้แยแสเลย  ไม่ได้เปิดเผยความลับจริงเหรอ? แล้วเรื่องโจรราคะเจียงอีอีคืออะไรล่ะ ใช่ว่าท่านจะไม่รู้นี่? 

หวงฝู่เลี่ยนคงชำเลืองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นชา สำหรับตระกูลหวงฝู่ เรื่องนี้เป็นอดีตไปแล้ว ขู่อะไรเขาไม่ได้อีกแล้ว  เชิญท่านโหวกลับไปเถอะ! 

สวีถังหรานหรี่ตายิ้ม  ตระกูลหวงฝู่เปิดเผยความลับให้ท่านอ๋องของข้ารู้เยอะขนาดนั้น จะไม่ยอมรับได้ยังไงล่ะ เหมือนจะทำตัวเองให้บริสุทธิ์จากเรื่องนี้ไม่ได้มั้ง? เออใช่ เจียงอีอีเหมือนจะมีน้องสาวชื่อเจียงอวิ๋น ใช่หรือเปล่่า? 

หวงฝู่เลี่ยนคงแอบตกตะลึง อย่าบอกนะว่านางเด็กนั่นเปิดเผยเรื่องนี้ให้หนิวโหย่วเต๋อรู้ด้วย? เป็นไปไม่ได้ เพราะนี่คือความลับสุดยอด เป็นไปไม่ได้ที่สองแม่ลูกจะรู้เรื่องนี้ เขาทำหน้าตึงพร้อมบอกว่า  ข้าไม่เข้าใจว่าท่านโหวกำลังพูดถึงอะไร! 

สวีถังหรานหันมามองหน้าเขาตรงๆ แล้วเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์  ความลับอย่างอื่นข้าจะไม่พูดถึงแล้วกัน ท่านอ๋องอยากรู้มากใช่ไหมว่าหลังจากจอมพลลั่วหม่างรู้เรื่องนี้แล้วมีปฏิกิริยายังไง ตระกูลหวงฝู่ก็มีอยู่ในอาณาเขตของลั่วหม่าง ถ้าลั่วหม่างเดือดดาลเพราะเรื่องนี้จนเดินทัพล้างเลือดตระกูลหวงฝู่ คาดว่าฝั่งวังสวรรค์ก็ต้องแกล้งโง่อยู่ดี เกรงว่าวังสวรรค์คงจะไม่ยอมรับว่าพวกเขาบงการเรื่องนี้ ซ่างกวนชิงจะต้องบอกแม่ว่าตระกูลหวงฝู่ถือวิสาสะทำเอง! คาดว่าคงมีคนไม่น้อยเหม็นขี้หน้าสมาคมวีรชน ท่านอ๋องของข้าจะได้ผลักดันให้อำนาจฝ่ายอื่นฟ้องร้องบนราชสำนักว่าตระกูลหวงฝู่มีเจตนาไม่ซื่อคิดกบฏ ให้อำนาจทั้งหมดร่วมมือกันตัดรากถอนโคนทั้งตระกูลหวงฝู่ทั้งสมาคมวีรชนไปเลย! ท่านบุรุษคิดว่าท่านอ๋องของข้าทำไม่ได้เหรอ? 

หวงฝู่เลี่ยนคงพลันจ้องใบหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ไม่ละสายตาราวกับเหยี่ยวดุ แค้นจนอยากใช้ฝ่ามือฟาดเขาทั้งเป็นๆ!

สวีถังหรานส่ายหน้า  ท่านนั้นข้างกายจอมพลลั่ว ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าคิดที่จะปิดปาก เพราะที่จริงจอมพลลั่วรู้ตั้งนานแล้ว สาเหตุที่ยังไม่ได้อาละวาด ก็เพราะถูกท่านอ๋องของข้าข่มไว้ แน่นอน ในเมื่อท่านอ๋องของข้าข่มไว้ได้ ก็สามารถทำให้เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โตได้เหมือนกัน! ถึงตอนนั้นท่านก็จินตนาการได้เลย โลกนี้ยังจะมีที่ยืนสำหรับตระกูลหวงฝู่อีกเหรอ? เกรงว่าเรื่องแรกที่ซ่างกวนชิงจะทำก็คือปิดปากตระกูลหวงฝู่น่ะสิ…ถ้าท่านอ๋องเดือด ศพเรียงเกลื่อนพื้นแน่ ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลเซี่ยโห้วต่ำต้อยจะต้านไหว ผู้รู้สถานการณ์ คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ! 

หวงฝู่เลี่ยนคงกัดฟันบอกว่า  ดูท่าแล้วอ๋องสวรรค์คงจะเป็นหมาป่าทะเยอทะยานจริงๆ เขาจะควบคุมสมาคมวีรชนได้เหรอ? 

สวีถังหรานโบกมือ  เจ้าคิดผิดแล้ว! ท่านอ๋องไม่เคยคิดจะควบคุมสมาคมวีรชน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา และยังไม่ถึงจังหวะนั้น แตงที่ฝืนเด็ดรสชาติย่อมไม่หวาน ท่านอ๋องก็แค่อยากให้ท่านบุรุษปฏิบัติอย่างเท่าเทียม เจ้าก็ทำงานรับใช้วังสวรรค์ด้วยความจงรักภักดีไป ส่วนฝั่งท่านอ๋องเจ้าก็ไม่ต้องเลือกที่รักมักที่ชัง อย่างน้อยถ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อท่านอ๋อง ก็ต้องปรึกษากับท่านอ๋องก่อนสักหน่อย ถ้าสามารถทำได้ ท่านอ๋องก็รับรองว่าจะไม่ให้ตระกูลหวงฝู่ลำบากใจ รอให้ตระกูลหวงฝู่รู้สึกเองว่าโอกาสที่จะพึ่งพาท่านอ๋องมาถึงแล้ว ก็ตัดสินใจเองได้เลย จะไม่บังคับแน่นอน ท่านบุรุษเฒ่า สมาคมวีรชนนั้นไม่เกี่ยว เรื่องนี้มีแต่ประโยชน์ต่อตระกูลหวงฝู่ ทั้งปกป้องตัวเองจากฝั่งวังสวรรค์ได้ ทั้งไม่ผิดใจกับท่านอ๋องของข้า ทั้งยังได้พึ่งพากำลังของทั้งฝ่าย พอสถานการณ์พลิกเมื่อไร จะไปอยู่ฝ่ายไหนก็ได้ทั้งนั้น ตระกูลหวงฝู่ยืนอยู่ในจุดที่จะไม่แพ้แล้ว ทำไมไม่ยินดีที่จะทำล่ะ? 

หวงฝู่เลี่ยนคงเงียบไป หวั่นไหวแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่กดดันให้ตระกูลหวงฝู่ไปพึ่งพา ไม่มีความเสี่ยงใดๆ เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแย่เลยจริงๆ จึงเลิกคิ้วถามว่า  ง่ายๆ ขนาดนี้เชียวเหรอ? 

สวีถังหรานตอบว่า  แน่นอนว่ามีเงื่อนไข ตระกูลหวงฝู่ต้องปฏิบัติต่อครอบครัวนางอย่างดี ไม่อย่างนั้นท่านอ๋องจะฆ่าล้างตระกูลหวงฝู่แน่ ฆ่าไม่เหลือแม้แต่ไก่หรือสุนัข! ยังมีอีกนะ ตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ของร้านค้าสมาคมวีรชน ท่านอ๋องรู้สึกว่าเหมาะสมกับหวงฝู่จวินโหรวมาก ท่านบุรุษคิดว่ายังไง? 

หวงฝู่เลี่ยนคงเงียบอีก จากนั้นก็ตอบเสียงดังอย่างมีพลังว่า  ตกลง! 

พอเดินวางโตออกจากประตูใหญ่ของตระกูลหวงฝู่ สวีถังหรานก็หันกลับไปมองแวบหนึ่ง นึกถึงในปีนั้นที่ตระกูลหวงฝู่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ตอนนี้แม้แต่หัวหน้าตระกูลหวงฝู่ก็ยังต้องทำตัวว่านอนสอนง่ายกับเขา เกิดความรู้สึกประสบความสำเร็จเองโดยธรรมชาติ สิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นดีใจกว่านั้นก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าท่านอ๋องจะให้เขามาเข้าร่วมจัดการเรื่องที่เป็นความลับระดับนี้ จะเห็นได้เลยว่าเชื่อใจเขาแค่ไหน

ชัดเจนมาก การที่ให้ตนเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องระดับนี้ แสดงว่าตนเป็นลูกน้องคนสนิทอย่างแท้จริงแล้ว!

นับว่ายกหินออกจากอกแล้ว เขารู้อย่างชัดเจน ว่าอยู่ที่ตำหนักสวรรค์ต่อให้ตัวเองจะชีวิตดีขนาดไหน แต่ก็ไม่มีพื้นที่ให้ก้าวหน้ามากนัก บนตัวประทับตราของเหมียวอี้ไว้แล้ว ตอนนี้ลบไม่ออกเช่นกัน ทำได้เพียงเดินเส้นทางเดียวกับเหมียวอี้ไปจนฟ้ามืด มีอนาคตกว่าทำงานกับตำหนักสวรรค์!

พอคนเดินออกมา ผู้ติดตามที่อยู่ข้างนอกก็โผล่หน้ามา จากนั้นก็ออกไปพร้อมกับสวีถังหราน ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ เขาก็พัฒนามาถึงขั้นที่มีลูกน้องคนสนิทของตัวเองแล้วเช่นกัน…

นอกคฤหาสน์หลังเล็ก เหมียวอี้ลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงตรงประตู

เหยียนซิวที่ติดตามมามองไปรอบๆ ในใจแอบร้องว่าแย่แล้ว อย่าให้โดนหวังเฟยจับได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคนที่ช่วยเป็นบางอย่างเขาก็จะแย่เอา

เรื่องที่จัดที่อยู่ให้หวงฝู่จวินโหรวที่นี่ ตอนนี้ยังไม่มีใครกล้าบอกอวิ๋นจือชิว

เมื่อเจอเหมียวอี้อีกครั้ง อู่หนิงก็มีสีหน้าสับสน โดยเฉพาะตอนที่ลูกสาวกับเหมียวอี้แอบยักคิ้วหลิ่วตาให้กัน อีกทั้งฮูหยินยังมีท่าทางปล่อยปละละเลยอีก ยิ่งทำให้ใจเขามีหลากหลายอารมณ์คนกัน

ถ้าไม่ใช่เพราะมีพ่อแม่อยู่ตรงนี้ หวงฝู่จวินโหรวคงเข้าไปคล้องแขนเหมียวอี้แล้ว การที่สามารถทำให้บิดากลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวได้ นางก็ดีใจมากแล้ว

ทั้งครอบครัวเข้ามานั่งในศาลา มีเพียงเหยียนซิวที่เงียบอยู่ข้างหลังเหมียวอี้

หวงฝู่ตวนหรงกล่าวยังกังวลนิดหน่อยว่า  ท่านอาเจ้าบ้านให้พวกเรากลับไป บอกว่าจะให้โหรวโหรวรับตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ร้านสมาคมวีรชน ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือโกหก ไม่รู้ว่าอยากหลอกให้พวกเรากลับไปหรือเปล่า 

เหมียวอี้ยิมบางๆ  พวกเจ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอิสระ กลับไปจะอิสระกว่า กลับไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก 

 ไม่เป็นอะไรจริงเหรอ? เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าพอพวกเรากลับไป ตระกูลหวงฝู่ก็จะฆ่าปิดปาก?  หวงฝู่ตวนหรงกลุ้มใจ

เหมียวอี้มองหวงฝู่จวินโหรวพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม  ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เรื่องที่โหรวโหรวได้รับตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ ข้าเป็นคนเตรียมการเอง  แล้วก็มองหวงฝู่ตวนหรงอีก  ข้าจำเรื่องที่เจ้าบอกได้ ที่บอกว่าอยากให้โหรวโหรวรับตำแหน่งต่อจากเจ้า 

 …  สามคนพ่อแม่ลูกตกตะลึงพูดไม่ออก แอบตกใจไม่เบา หนิวโหย่วเต๋อสามารถบงการเรื่องคัดเลือกคนรับตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ของร้านค้าสมาคมวีรชนได้ด้วยเหรอ?

หวงฝู่จวินโหรวรู้สึกหวานชื่นในใจ แต่ภายนอกกลับถลึงตา  ทำไมเจ้าไม่เคยบอกเรื่องนี้กับข้าสักคำ? 

เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม  ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรสักหน่อย เจ้าจำไว้นะ ตอนนี้ยังเปิดเผยเรื่องนี้ไม่ได้ กลับไปเถอะ ตระกูลหวงฝู่ไม่กล้าแตะต้องพวกเจ้าหรอก ถ้าในตระกูลมีคนมาหาเรื่องเจ้า เจ้าก็ไปหาหวงฝู่เลี่ยนคงได้เลย ถ้าเจออุปสรรคที่ผ่านไปไม่ได้จริงๆ ติดต่อข้า ข้าจะหนุนหลังให้เอง! 

แค่ประโยคนี้ ก็ทำให้หวงฝู่จวินโหรวตึงหน้าไม่ไหวทันที ทำเสียงฮึดฮัด แล้วหันหน้าหนีไปแอบยิ้ม ราวกับมีระลอกน้ำแห่งความสุขกระเพื่อมผ่านใบหน้า

หวงฝู่ตวนหรงก็หลุดยิ้มเช่นกัน นางชอบฟังสิ่งนี้ ช่วยกวาดอุปสรรคที่ขวางทางให้ลูกสาวได้ จะไม่ชอบฟังได้เหรอ

มีเพียงอู่หนิงที่หน้าผากเต้นตุ้บๆ มองลูกสาวด้วยสีหน้ารักและสงสารสุดๆ ในใจแอบรู้สึกปลง หมดกัน นางหนูนี่เกินเยียวยาแล้ว เคยเป็นคนที่ฉลาดปราดเปรื่องมาก ทำไมโดนหลอกได้ง่ายแบบนี้?

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง อู่หนิงก็หาข้ออ้างเรียกเหมียวอี้ไปข้างๆ เหยียนซิวกลับตามติดไม่ห่าง มองอู่หนิงอย่างระมัดระวัง

อู่หนิงแสยะยิ้ม  เรื่องของโหรวโหรวเจ้าเตรียมจะทำยังไงกันแน่? หรือจะให้นางอยู่โดยไร้สถานะไปทั้งชีวิต?  เขาจะสื่อว่าต่อให้เป็นอนุภรรยาก็ยอมรับได้

ตอนนี้ถึงคราวที่เหมียวอี้ต้องปวดหัวแล้ว ยิ้มเจื่อนตอบว่า  ข้าก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี 

 เจ้า…หึ!  อู่หนิงสะบัดชายเสื้อเดินออกไปด้วยสีหน้าดเกรี้ยวโกรธ

ทิ้งให้เหมียวอี้ยืนพูดไม่ออกอยู่ริมศาลากลางน้ำ เหยียนซิวถอยออกไปทันที หวงฝู่จวินโหรวมาแล้ว ถ้าเขาไม่เห็นก็ย่อมไม่รู้สึกผิด

หวงฝู่จวินโหรวกอดเหมียวอี้จากข้างหลัง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้ง  พรุ่งนี้ก็จะไปแล้ว คืนนี้อยู่ค้างกับข้าสักหน่อยดีไหม? 

ในมือยังมีงานต้องทำอีกมากมาย เหมียวอี้เจียดเวลามาที่นี่ แต่เขาก็ยังฝืนยิ้มตอบ  ได้! 

……………

 

ความเดือดดาลในใจของเขานั้นไม่มีทางบรรยายออกมาได้ แต่อาศัยอำนาจของเขาในตอนนี้ก็ทำอะไรหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ ทำได้เพียงแอบสาบานว่า ถ้าพลังของตัวเองฟื้นกลับมาถึงระดับสูงสุดเมื่อไหร่ จะต้องทำให้หนิวโหย่วเต๋อทรมานจนอยู่มิสู้ตายแน่!

การออกปฏิบัติการครั้งนี้ทำให้สูญเสียกำลังทหารอีก ทั้งยังเอาชีวิตของพวกสงฉีไปทิ้ง! จั่วเอ๋อร์แอบถอนหายใจ แล้วถามว่า  ผู้อาวุโส หรือว่าในมือหนิวโหย่วเต๋อมียาถอนพิษ? 

หนานโปกล่าวอย่างแค้นใจว่า  พิษนี้ไม่เคยตกอยู่ในมือคนอื่นมาก่อน ที่จริงมันก็ไม่ใช่พิษหรอก ต่อให้มียาถอนพิษฉันดีแต่ก็แก้พิษไม่ได้ จะเอายาถอนพิษมาจากที่ไหนกัน ทั้งใต้หล้าคนที่รู้จักยาถอนพิษมีข้าแค่คนเดียว เจ้าเวรนั่นจะต้องอาศัยวิชาของเหยียนซิวล้วงเรื่องที่อยู่ของยาถอนพิษจากสงฉีแน่ เจ้าแจ้งไปที่คนถือยาถอนพิษเดี๋ยวนี้ ให้ทำลายยาถอนพิษซะ! 

จั่วเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร หยิบระฆังดาราออกมาทำตามที่สั่ง

หนานโปเองก็ไหวตัวแล้วเช่นกัน ถ้าการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ไม่ราบรื่นก็จะทำลายยาถอนพิษ สงฉีจะไม่บอกสิ่งนี้กับหนิวโหย่วเต๋อให้ชัดเจนเชียวหรือ? หรือว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่สนใจความเป็นความตายของหลินอ้าวเสวี่ยจริงๆ? หรือไม่หนิวโหย่วเต๋อก็สามารถถอนพิษนี้ได้จริงๆ?

 ผู้อาวุโส ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน เกรงว่ากำลังพลของทัพใต้จะค้นหามาถึงที่นี่ในอีกไม่นาน  จั่วเอ๋อร์ที่เก็บระฆังดาราเอ่ยเตือน

 รวบรวมกำลังพลแล้วออกจากที่นี่ ออกผ่านประตูดวงดาวอีกแห่ง บัญชีนี้ข้าจะหาโอกาสสะสางกับเขา…  หนานโปกัดฟัน

ดาวอ๋องสวรรค์หนิว สมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิงในเรือนพักด้านนอกย้ายเข้ามาอยู่ในจวนท่านอ๋องหมดแล้ว มีคนใหม่เข้ามาอยู่แล้ว

ในลานบ้าน เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวพี่กำลังพูดคุยกับคนอื่นๆ หันกลับมาพร้อมกัน เห็นเพียงตรงด้านหลังประตูที่เปิดออก หลินอ้าวเสวี่ยที่เพิ่งอาบน้ำแต่งตัวใหม่และสวมเสื้อผ้าหรูหราสวยงามกำลังเดินออกมาพร้อมลูกสาว พอเดินมาตรงหน้าทั้งสอง หลินอ้าวเสวี่ยก็กล่าวด้วยความเคารพ  ขอบคุณในบุญคุณที่ท่านอ๋องกับเหนียงเหนียงช่วยชีวิต! 

อวิ๋นจือชิวรีบประคองแขนนางขึ้นพร้อมยิ้มอย่างเป็นกันเอง  ข้ากับเฟยหงสนิทกันเหมือนพี่น้อง ทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่มีบุญคุณอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างล้วนพึงกระทำ 

ทั้งสองพูดเยิ่นเย้อกันอยู่ตรงนั้น เฟยหงมองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวานชื่นอ่อนโยน ความซาบซึ้งก็ยิ่งเปี่ยมล้นเต็มอก ที่จริงก่อนหน้านี้นางแอบกังวลมาตลอด ว่าผู้ชายคนนี้จะไม่สนใจงานใหญ่ของตัวเองและทำเพื่อนางได้เหรอ? เรื่องนี้พิสูจน์แล้วว่านางมองคนไม่ผิด ผู้ชายคนนี้ไม่ทำให้นางผิดหวัง!

เหมียวอี้กะพริบตาส่งสัญญาลับให้นาง ทำสีหน้าแปลกๆ ใส่นาง สำหรับสีหน้าแบบนี้เฟยหงรู้อยู่แก่ใจ อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงเรื่อ แอบชำเลืองอวิ๋นจือชิวเงียบๆ

รอจนผู้หญิงทั้งสองคุยกันได้พอสมควรแล้ว เหมียวอี้ก็พูดแทรกว่า  ท่านแม่ยาย เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วไป อย่าเก็บเอามาใส่ใจ แต่เรื่องบางเรื่องท่านก็ต้องเตรียมใจเอาไว้สักหน่อย แม้ตอนนี้ท่านจะปลอดภัยแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ถูกชิงตัวมาจากมือตำหนักสวรรค์ ยังได้ชื่อว่ามีความผิดติดตั ยังไม่ถึงเวลาที่ข้าจะแตกคอกับตำหนักสวรรค์อย่างเปิดเผย ไม่สะดวกจะให้ท่านเผยโฉมต่อสาธารณชน ไม่อย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นด้านคุณธรรมหรือกฎระเบียบ ข้าก็ล้วนไม่มีที่ยืน ดังนั้นข้าจึงเตรียมส่งท่านไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัย ท่านสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ข้าจะให้เฟยหไปเยี่ยมท่านบ่อยๆ 

หลินอ้าวเสวี่ยมองลูกสาวแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าบอกว่า  เข้าใจแล้ว เสียวเสวี่ยบอกความคิดของท่านอ๋องให้ข้ารู้แล้ว ความใส่ใจนี้ของท่านอ๋อง ข้าจะไม่รับไว้ได้ยังไง 

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน  แม่ลูกเพิ่งจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน ก็ต้องให้พวกเจ้าแยกกันอีกแล้ว ไม่ยุติธรรมกับท่านแล้ว 

หลินอ้าวเสวี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า  เสียวเสวี่ยมีที่พึ่งในชีวิตแล้ว มารดาอย่างข้าก็วางใจแล้วเช่นกัน ตอนนี้ยังมีอะไรไม่พอใจอีกล่ะ  นางหันกลับมาจูงมือเฟยหง แล้วกำชับว่า  ท่านอ๋องกับเหนียงเหนียงดูแลเจ้าเป็นอย่างดี ในเมื่อเจ้าเป็นผู้หญิงของท่านอ๋องแล้ว ต่อไปนี้ก็ต้องปฏิบัติท่านอ๋องให้ดี เชื่อฟังเหนียงเหนียง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เข้าใจไหมลูก? 

ก่อนหน้านี้เคยคุยกับลูกสาวแล้ว ถามถึงสภาพเหตุการณ์ของที่นี่ รู้ว่าอวิ๋นจือชิวมีความสำคัญในจวนท่านอ๋อง รู้เช่นกันว่าลูกสาวของตัวเองไม่มีอำนาจใดๆ หนุนหลัง นางมีพื้นเพมาจากตระกูลใหญ่มีหรือจะไม่รู้เรื่องความไม่จริงใจในเรือนชั้นใน จึงกำชับเฟยหงให้ตามติดพึ่งพาอวิ๋นจือชิว อย่าได้คิดจะแย่งชิงความโปรดปรานและท้าทายอวิ๋นจือชิว ที่พูดตอนนี้ที่จริงแล้วก็เพื่อจะพูดให้เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวได้ยินเท่านั้น

 ลูกเข้าใจแล้วค่ะ  เฟยหงพยักหน้า

หลินอ้าวเสวี่ยถามเหมียวอี้อย่างกังวลเล็กน้อยว่า  ท่านอ๋องช่วยข้าออกมาจากเงื้อมมือตำหนักสวรรค์ ตำหนักสวรรค์จะไม่ทำอะไรไม่ดีต่อเสียวเสวี่ยใช่ไหม? 

เหมียวอี้กล่าวปนเสียงหัวเราะว่า  เรื่องนี้ท่านไม่ต้องกังวล ถ้ามีโอกาสข้าจะให้เฟยหงไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงสักหน่อย ข้าก็อยากจะเห็นนะว่าใครจะกล้าแตะต้องนาง! 

ฟังออกถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยม หลินอ้าวเสวี่ยสงบใจแล้วไม่น้อย พยักหน้าบอกว่า  เช่นนั้นก็ดี ดีแล้ว! 

อวิ๋นจือชิวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม  ไหนๆ มาแล้ว พักอยู่ที่นี่สักหลายๆ วันก็ไม่เป็นไรหรอก เฟยหง หลายวันนี้ก็อยู่เป็นเพื่อนแม่เจ้าให้ดีเถอะ ถ้าต้องการอะไรก็บอกข้าได้เลย หรือไม่ก็บอกพ่อบ้านโดยตรงเลยก็ได้ ทางท่านอ๋องยังมีงานอีก พวกเราไม่รบกวนเวลาแม่ลูกแล้ว ขอตัวก่อน 

สองแม่ลูกน้องส่งด้วยความเคารพ หลังจากน้องคล้อยหลังสองสามีภรรยาเดินออกไปแล้ว หลินอ้าวเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ  อายุน้อยแค่นี้ก็ได้กลายเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้แล้ว แม้แต่ตำหนักสวรรค์ก็ยังไม่อยู่ในสายตาเขา กล้าสู้กับพระปีศาจหนานโป เสียวเสวี่ย ผู้ชายของเจ้าเหมือนสิงห์ร้ายที่ทะเยอะทะยานนะ! 

 คนธรรมดาย่อมเทียบท่านอ๋องไม่ติดอยู่แล้ว!  เฟยหงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

ขณะมองสีหน้าท่าทางของลูกสาว หลินอ้าวเสวี่ยก็หลุดขำ ตบมือเรียวขาวของเฟยหงเบาๆ พลางกล่าวอย่างสะท้อนใจ  เสียวเสวี่ยของข้าโตเป็นสาวแล้วจริงๆ เวลาพูดจาเริ่มไม่อายแล้ว 

 ท่านแม่คะ!  เฟยหงกระเง้ากระงอด โดนว่าจนรู้สึกอับอาย ทำท่าเหมือนลูกสาวตัวน้อยที่จากกันมานาน

ในเจดีย์งามวิจิตร โลกอีกใบที่สร้างขึ้นเอง เหมียวอี้นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างหลังอู่หนิง ฝ่ามือสองข้างยันแผ่นหลังอู่หนิง หลังจากผ่านไปนานก็คลายมือออก ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินออกไป จากนั้นเหยียนซิวก็เดินมาข้างกายอู่หนิงและคลายผนึกบนตัวอู่หนิงให้ ทำให้อู่หนิงฟื้นขึ้นมา

อู่หนิงที่ฟื้นและลืมตาขึ้นมาช้าๆ เห็นเหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่ไม่ไกล รู้สึกได้เช่นกันว่าพลังอิทธิฤทธิ์ในร่างกายที่ถูกควบคุมไว้ ตอนนี้ถูกคลายออกแล้ว เขาพลันลุกขึ้นยืน กำหมัดสองข้างแน่น รู้สึกได้ว่าพลังอิทธิฤทธิ์ในร่างกายกำลังโหมซัดสาด

เหมียวอี้กล่าวอย่างสบายๆ ว่า  เมื่อครู่ข้ากำจัดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่สะสมอยู่ในร่างกายเจ้าออกไปหมดแล้ว เจ้าลองตรวจสอบดูได้ 

 …  อู่หนิงขมวดคิ้ว แต่ก็ยังร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบดู พอพบว่าเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่สะสมในร่างกายถูกกวาดล้างไปหมดแล้วจริงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางเหมียวอี้ ในใจเต็มไปด้วยคำถาม ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะทำได้จริงๆ!

เขายังไม่ค่อยจะเชื่อ รีบนับนิ้วคำนวณรอบโคจรพลังของร่างกาย พบว่าหลังจากตัวเองถูกนำตัวเข้ามาในนี้ ก็สลบไปเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น หรือพูดได้อีกอย่างว่าอีกฝ่ายใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามเพื่อทำลายเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่สะสมอยู่ในร่างกายตน ก็ตกอยู่ในความเงียบ นึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เหมียวอี้พูดไว้ก่อนหน้านี้ พลังของข้าเยอะกว่าที่เจ้าจินตนาการไว้!

เหมียวอี้มองเขาเงียบๆ กำลังรอคำตอบจากเขา…

คฤหาสน์หลังหนึ่งในป่าภูเขาที่เงียบสงบ หวงฝู่ตวนหรงกับหวงฝู่จวินโหรวคล้องแขนกันเดินเล่นช้าๆ ในสวนราวกับเป็นพี่สาวน้องสาว พูดคุยกันเป็นระยะ สีหน้ากังวลตรงหว่างคิ้วยากจะเลือนหายไป

ตระกูลหวงฝู่กำลังกดดัน บีบให้พวกนางกลับไป แต่เหมียวอี้ก็ไม่ให้พวกนางไป บอกว่าถ้าพวกนางกลับไปเมื่อไหร่ ตระกูลหวงฝู่จะต้องสังหารพวกนางเพื่อให้คำชี้แจงและพ้นผิดจากตำหนักสวรรค์แน่นอน บอกว่ารอให้จัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วจะปล่อยให้พวกนางไป

เรื่องนี้สองแม่ลูกกังวลจริงๆก็คืออู่หนิง ตอนนี้ไร้ข่าวคราวของอู่หนิง ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว

เสียงของประตูใหญ่คฤหาสน์ที่ผลักออกทำให้สองแม่ลูกหันไปมองพร้อมกัน เห็นเพียงอู่หนิงที่มีสีหน้าอเดินเข้ามาช้าๆ

สองแม่ลูกทำสีหน้าเหลือเชื่อ อู่หนิงหาที่นี่เจอได้อย่างไร? แต่ไม่นานก็เดาออกแล้วว่าเพราะอะไร อย่าไปมองว่าที่นี่เป็นแค่คฤหาสน์หลังเล็กๆ เพราะรอบข้างล้วนมีทหารประจำอยู่ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่อนุญาต คนนอกก็บุกเข้ามาไม่ได้

เป็นหนิวโหย่วเต๋อที่พามา! พอหวงฝู่จวินโหรวเข้าใจแล้วก็เผยสีหน้ายินดี วิ่งเข้าไปคว้าแขนอู่หนิง  ท่านพ่อ! 

อู่หนิงยิ้มอย่างขื่นขม สุดท้ายสายตาก็ค่อยๆ ย้ายไปบนใบหน้าหวงฝู่ตวนหรง สองสามีภรรยาสบตากันพักหนึ่ง อู่หนิงกล่าวอย่างยากลำบากว่า  วังสวรรค์ควบคุมข้าไม่ได้อีกแล้ว ข้ายืนอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเจ้า! 

หวงฝู่ตวนหรงยิ้มออกมาจากใจทันที กระโจนเข้าอ้อมอกเขา ทั้งสองกอดกัดแล้ว

หวงฝู่จวินโหรวเอามือป้องปากยิ้มอย่างมีความสุข นางสามารถจินตนาการได้เลย ต้องเป็นหนิวโหย่วเต๋อที่จัดการบิดาของตัวเองได้แล้ว คนในครอบครัวสามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข หนิวโหย่วเต๋อทำได้อย่างที่เคยพูดปลอบโยนเอาไว้แล้ว นางมีความสุขมากจริงๆ…

ตระกูลหวงฝู่ ภายในการนำทางของพ่อบ้าน สวีถังหรานที่สวมใส่หน้ากากแล้วเอามือไขว้หลัง เดินก้าวยาววางโตเข้าไปในสถานที่หวงห้ามภายในของตระกูลหวงฝู่ ตอนเดินปลายเท้าชี้ออกจากกันเล็กน้อย เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ ท่าทางเหมือนไม่เห็นใครอยู่ในสายตา

แม้จะเข้ามาในตระกูลหวงฝู่เพียงลำพัง แต่เขาก็ไม่ได้เห็นตระกูลหวงฝู่อยู่ในสายตาเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเกรงกลัวอะไร รู้สึกว่าตัวเองคือหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐาน การที่มาเหยียบถึงประตูบ้านด้วยตัวเองก็ถือว่าไว้หน้าหวงฝู่มากพอแล้ว

ทำตัวเคารพนอบน้อมตอนอยู่ต่อหน้าเหมียวอี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง ตอนอยู่ต่อหน้าคนนอกก็อีกเรื่องหนึ่ง การทำตัวเคารพนบนอบต่อหน้าเหมียวอี้ ก็เพื่อให้ตัวเองดูมีเกียรติมีศักดิ์ศรียามอยู่ข้างนอกไม่ใช่หรอ?

ในเขตลานบ้านโบราณที่ลึกและเงียบ พ่อบ้านเชิญสวีถังหรานเข้ามาในโถงหลักแล้วถอยออกไป

หวงฝู่เลี่ยนคงที่ผมขาวดุจหิมะใช้สายตาเย็นเยียบจ้องสวีถังหราน ในใจรู้สึกเซ็งมาก รำคาญ!

สวีถังหรานเดินตรงขึ้นมานั่งบนตำแหน่งหัวหน้าตระกูล เอนกายพิงเก้าอี้ ยกขานั่งไขว่ห้างแล้วกล่าวอย่างสนใจว่า  หัวหน้าตระกูลดูเหมือนไม่ค่อยต้อนรับสวีนะ! แม้แต่น้ำชาก็ไม่นำมาวาง! 

หวงฝู่เลี่ยนคงหันตัวมา แสยะยิ้มตอบว่า  ท่านโหวมาโดยไม่ได้รับเชิญ ยังสนใจสิ่งนี้อยู่อีกหรือ? 

 สงสัยจะไม่ต้อนรับข้าจริงๆ!  สวีถังหรานกล่าวปนเสียงหัวเราะ

 ไม่ต้อนรับแล้วมีประโยชน์อะไร? ท่านโหวพูดมาให้ชัดเจนเถอะ เมื่อไรเจ้าจะยอมรามือที่ตลาดมืดสักที?  หวงฝู่เลี่ยนคงถาม

ฝั่งนี้ไม่อยากคบสวีถังหรานเลยจริงๆ ก่อนหน้านี้ไม่นานสวีถังหรานเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง พอมาครั้งที่สอง โดนปิดประตูใส่ สวีถังหรานก็เลยไม่เกรงใจแล้ว เริ่มระบุร้านค้าบางส่วนที่ตลาดมืดเพื่อให้คนของโถงชุมนุมอัจฉริยะแอบลงมือ ในแต่ละวันกำจัดทิ้งไปหลายสิบร้าน สถานการณ์ชัดเจนแม่นยำมาก ที่จริงร้านค้าที่โดนกำจัดทิ้งล้วนเป็นของสมาคมวีรชน ไม่ว่าเจ้าจะซ่อนตัวลึกล้ำแค่ไหน ก็ไม่ลงมือพลาดเลยสักนิด ที่สำคัญคือฝั่งนี้รู้เบื้องหลังของสวีถังหรานดี ใครจะไปรู้ว่าฝั่งสวีถังหรานเตรียมกำลังพลของทัพใต้เอาไว้เท่าไร? สมาคมวีรชนไม่กล้าโต้ตอบเลย ทำเอาหวงฝู่เลี่ยนคงทนไม่ได้ ในที่สุดก็ตอบตกลงที่จะพบกันแล้ว

 เช่นนั้นก็ต้องดูว่าท่านบุรุษเฒ่าจะเจรจาสันติอย่างจริงใจหรือเปล่า  สวีถังหรานกล่าวเชิงหยอกล้อ

หวงฝู่เลี่ยนคงพ่นเสียงทางจมูก  ท่านโหว ข้าขอเตือนเจ้านะ ว่าอย่าทำเกินไปนัก! 

สวีถังหรานกล่าวเหมือนประหลาดใจ  รู้สึกว่าเกินไปเหรอ? สิ่งที่เกินไปยังรออยู่ตอนหลัง เบื้องหลังของสมาคมวีรชนคือวังสวรรค์ไม่ใช่เหรอ? เจ้ารายงานขึ้นไปก็พอแล้ว ไม่ต้องปิดบังแทนคข้า ถ้าวังสวรรค์ตำหนิลงมือ สวีจะรับไว้เอง สวีผู้นี้ยังมีจิตใจทระนงอยู่บ้าง! 

……………

 

พอเหมียวอี้กวักมือ เฟยหงก็ถูกปล่อยออกมาแล้วเช่นกัน

ดวงตางามมองไปรอบๆ พอเห็นมารดาตกอยู่ในมือสงฉี เฟยหงก็ตะโกนร้องเสียงหลงทันที  ท่านแม่! 

ไม่เห็นมารดาหลับตาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไร ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เฟยหงก็เริ่มกลัวแล้ว เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะพุ่งเข้าไป

เหมียวอี้คว้าแขนนางเอาไว้ ไม่ให้นางบุ่มบาม ตะคอกว่า  ยังไม่รู้เลยว่าใช่แม่เจ้าหรือเปล่า!  สมกับเป็นคนที่ผ่านโลกมาเยอะแล้ว แค่ประโยคเดียวก็ทำให้เฟยหงสงบลงทันที

เฟยหงหันมามองเขาด้วยสีหน้าร้อนรน ผ่านประสบการณ์มาน้อย เรื่องบางเรื่องนางไม่สามารถตัดสินใจเองได้เลย ตอนนี้ก็ยิ่งจิตใจว้าวุ่นกังวล

เหมียวอี้บอกด้วยน้ำเสียงดีๆ ว่า  ตอนนี้ต้องการให้เจ้าไปพิสูจน์ว่าเป็นแม่เจ้าจริงหรือเปล่า เจ้าต้องใจเย็นแล้วพิสูจน์ให้ชัดเจน…อย่ากลัว มีข้าอยู่ตรงนี้เจ้าไม่เป็นอะไรหรอก ไปเถอะ!  เขาปล่อยมือนางออก ตบเอวนางเบาๆ แล้วผลักออกไป

เฟยหงเดินช้าๆ เข้าไป สงฉีที่อยู่ตรงหน้าเอียงหน้าเล็กน้อย ข้างกายมีคนเดินออกมาคนหนึ่ง

คนที่ถูกส่งออกจากสองฝั่งเดินผ่านกัน แล้วทั้งสองฝ่ายก็ส่งคนออกไปดักคนจากฝ่ายตรงข้ามที่เข้ามาพร้อมกัน ตรวจสอบฝ่ายตรงข้าม

เห็นได้ชัดว่าฝั่งเฟยหงถูกตรวจสอบเพิ่มอีกหนึ่งขั้นตอน คนที่เข้ามาขวางและค้นตัวนางนำแผ่นหยกออกมาให้นางลงตราอิทธิฤทธิ์ นางหันกลับมามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง พอเห็นเหมียวอี้พยักหน้าแล้วถึงได้ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายเคยเห็นตราอิทธิฤทธิ์ของเฟยหงมาจากที่ไหน สรุปก็คือหลังจากยืนยันแล้ว ก็หันกลับมาพยักหน้าบอกใบ้สงฉีว่าเป็นคนนี้ไม่ผิดแน่ เสร็จแล้วถึงได้ให้เฟยหงเดินเข้าไป

คนที่มาตรวจสอบบัวโลหิตตรงหน้าเหมียวอี้สังเกตอย่างละเอียด แล้วก็นำมาจ่อจมูกดมอีก สุดท้ายก็กัดปลายนิ้วตัวเอง พอเม็ดเลือดหยดลงบนรากบัวสีขาวหยก ก็เห็นเม็ดเลือดสีแดงถูกรากบัวสีขาวหยกดูดกลืนเข้าไปทันที ทว่ารากบัวสีขาวหยกที่มีเลือดซึมลงไปยังคงสีขาวบริสุทธิ์เหมือนเดิม ไม่เห็นว่าเปลี่ยนสีเลยสักนิด มหัศจรรย์มาก

เหมียวอี้รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่ายังมีวิธีทดสอบบัวโลหิตแบบนี้อยู่ด้วย แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะรู้ แต่พอลองคิดดูก็เข้าใจแล้ว คาดว่าพระปีศาจคงจะรู้เรื่องนี้มาจากปีศาจโลหิต

คนที่ตรวจสอบบัวโลหิตหันกลับไปพยักหน้าให้สงฉี บอกไปว่าไม่ผิดแน่ จากนั้นก็คืนบัวโลหิตให้เหมียวอี้ อยากจะฝืนแย่งนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะยอดฝีมือทางฝั่งซ้ายและขวาของเหมียวอี้ล้วนกำลังจับจ้องดุร้าย ถ้ากล้าขยับซี้ซั้วนิดเดียว ก็จะทำให้เขาตายโดยไร้หลุมศพได้เลย เป็นไปไม่ได้ที่จะแย่งไป

หลังจากเฟยหงตรวจสอบมารดาตัวเองอย่างละเอียดแล้ว ในดวงตาก็มีน้ำตาคลอ หันกลับมาพยักหน้าให้เหมียวอี้ สื่อว่านี่คือมารดาของนาง

สงฉีทำเสียงดังว่า  ท่านอ๋องหนิว คนก็ยืนยันแล้ว จะเริ่มแลกของได้หรือยัง? 

 แลกได้! อย่าถอนพิษล่ะ?  เหมียวอี้ถาม

สงฉีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม  ตอนนี้ยาถอนพิษอยู่ในมือคนอีกคน ข้ารู้ว่าคนคนนั้นอยู่ที่ไหน ขอเพียงข้าแน่ใจแล้วว่าสามารถออกไปจากตรงนี้ได้อย่างราบรื่น ก็ย่อมบอกให้ท่านอ๋องรู้ว่ายาถอนพิษอยู่ที่ไหน มีเวลาเพียงพอที่จะนำมาไว้ในมือก่อนพิษกำเริบ! ถ้าท่านอ๋องกล้าเล่นตุกติก ห้ามไม่ให้ฝ่ายพวกเรานำของไป คนที่ถือยาถอนพิษก็จะทำลายยาถอนพิษทันที! 

เฟยหงฟังแล้วหวาดระแวงกลัว ยาถอนพิษอะไรกัน?

 เจ้าล้อเล่นอะไรกัน? พอเจ้าเอาของไปแล้ว ถ้าจะยืนยันได้ยังไงว่ายาเป็นของจริงหรือของปลอม แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าพวกเจ้าจะรักษาสัญญา ส่งยาถอนพิษมาให้หรือเปล่า?  เหมียวอี้ถาม

 ข้าไปเป็นตัวประกันอยู่ในมือท่านอ๋องเป็นไง? ขอเพียงท่านอ๋องให้คนของข้านำของออกไปได้อย่างราบรื่น ข้าก็จะเป็นตัวประกันในมือท่านอ๋อง รอให้ท่านอ๋องแน่ใจแล้วว่ายาถอนพิษไม่มีปัญหา แล้วค่อยปล่อยข้าไป ถ้าอยากถอนพิษมีปัญหา ข้าก็ชดเชยด้วยชีวิตได้ แบบนี้เป็นยังไง? สงฉีคนนี้ไปเป็นตัวประกันมีน้ำหนักมากพอหรือเปล่า?  สงฉีถาม

ผู้ตรวจการขวาทัพอารักขาของงอิ๋งจิ่วกวงมาเป็นตัวประกัน ก็ย่อมมีน้ำหนักเพียงพออยู่แล้ว แต่เหมียวอี้กลับพบว่าตัวเองถูกพระปีศาจวางกับดักแล้ว ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าใช้วิธีการนี้แลกเปลี่ยน เขาอาจจะไม่ตอบรับก็ได้ เพราะไม่มีหลักประกันความเสี่ยง การที่สงฉีกล้ามาเป็นตัวประกัน ก็เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวจะเป็นหน่วยกล้าตายแล้ว หากทำการแลกเปลี่ยนราบรื่น เขายังจะปล่อยสงฉีไปได้อีกเหรอ? ถ้าอีกฝ่ายนำของไปแล้ว ผลปรากฏว่าฝั่งนี้พบว่าเป็นยาปลอม ถ้าไม่ให้ยาถอนพิษกับเขา ต่อให้เขาฆ่าสงฉีแล้วจะมีประโยชน์อะไร!

แต่ตอนนี้จะไม่ตอบรับการแลกเปลี่ยนนี้ก็ไม่ได้แล้ว เฟยหงดูอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่ตอบตกลงแล้วปล่อยให้มารดาของเฟยหงเป็นอะไรไป ก็ไม่สะดวกจะชี้แจงกับเฟยหงแล้ว

เฟยหงมองเหมียวอี้ตาปริบๆ หลังจากเหมียวอี้ลังเลเล็กน้อย ก็กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า  ได้! 

สงฉียิ้มพลางยื่นมือเชิญเฟยหงให้กลับไปก่อน พอเฟยหงลังเล เขาก็ออกแรงบีบคอหลินอ้าวเสวี่ยทันที เฟยหงจึงรีบกลับไป

จากนั้นสงฉีก็บอกอีกว่า  ท่านอ๋อง ส่งมอบของให้เขาเถอะ!  แล้วก็บอกใบคนที่ตรวจสอบบัวโลหิตก่อนหน้านี้

เหมียวอี้ส่งบัวโลหิตให้คนคนนั้น ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาให้ชิงเยว่ด้วย

สงฉีบีบคอหลินอ้าวเสวี่ยเดินเข้ามา แล้วบอกคนที่ไปเอาบัวโลหิตตอนเดินสวนกันว่า  พวกเจ้าไปก่อน! 

คนคนนั้นเก็บบัวโลหิตและถลันตัวจากไปไปพร้อมกับคนอื่นทันที พอชิงเยว่โบกมือ ตรงจุดไกลๆ ก็ปรากฏกำลังพลกลุ่มหนึ่งขึ้น มาขวางทางคนพวกนั้นเอาไว้ ล้อมเอาไว้แล้ว

สงฉีที่หันขวับกลับมามองตะคอกด้วยสีหน้าโกรธแค้นทันที  หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอยากจะให้นางตายเหรอ? ให้คนของเจ้าหลีกไป ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่านางซะ!  ขณะที่พูดก็ออกแรงบีบคอหลินอ้าวเสวี่ยแรงขึ้น

 ท่านอ๋อง…  เฟยหงตกใจ คว้าแขนเหมียวอี้พร้อมทำสีหน้าอ้อนวอน

เหมียวอี้ถือโอกาสลงมือ ตีให้เฟยหงสลบและเก็บเอาไว้ จากนั้นก็จ้องสงฉีพร้อมกล่าวเสียงเย็น  ของยังไม่ส่งถึงมือข้าโดยสมบูรณ์ ตัวประกันอย่างเจ้าก็ยังไม่ตกอยู่ในมือข้า เจ้าก็คิดจะเอาของไปแล้วเหรอ? พระปีศาจเคยชินกับการควบคุมให้คนเป็นผีดิบ เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นหน่วยกล้าตาย ใครจะไปรู้ว่าเจ้าโดนพระปีศาจควบคุมอยู่หรือเปล่า? ถ้าเจ้าฆ่าตัวประกันแล้วฆ่าตัวตายล่ะ ข้าจะไปเอาเรื่องกับใคร เจ้ากำลังล้อเล่นกับข้าอยู่เหรอ? ถ้าไม่มีความจริงใจในการแลกของ ข้าว่าก็ไม่จำเป็นต้องแลกของกันต่อไปแล้ว ถ้าเจ้าปล่อยคน ข้าก็จะปล่อยคน! 

สงฉีลังเลนิดหน่อย หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อพระปีศาจ ถ่ายทอดเจตนาของเหมียวอี้ให้รู้ หลังจากได้คำตอบแล้ว ก็บีบคอหลินอ้าวเสวี่ยก้าวมาข้างหน้าต่อ

พระปีศาจหนานโปอนุญาตให้ทำตามเหมียวอี้แล้ว ถึงอย่างไรก็ปลูก ‘พันธุ์ปีศาจ’ ไว้บนตัวหลินอ้าวเสวี่ยแล้ว ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่แยแสความเป็นความตายของหลินอ้าวเสวี่ยจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องชักช้าอย่างนี้ ดังนั้นคิดไปคิดมาก็พบว่าตัวเองยังมีหลักประกันอยู่

พระปีศาจใช้ประโยชน์เฟยหงเพื่อกดดันเหมียวอี้ให้รีบแลกเปลี่ยน ส่วนเหมียวอี้ก็ใช้ประโยชน์ความร้อนรนอยากได้บัวโลหิตของพระปีศาจเพื่อใช้วิธีแลกเปลี่ยนอย่างที่ตัวเองต้องการ

ตอนที่เข้าใกล้ฝ่ายตรงข้าม สงฉีร่ายอิทธิฤทธิ์ตบหลังหลินอ้าวเสวี่ยหนึ่งที กระตุ้นหลิน ‘พันธุ์ปีศาจ’ ในตัวอ้าวเสวี่ย ขณะเดียวกันก็ปลุกให้หลินอ้าวเสวี่ยตื่น หลินอ้าวเสวี่ยถูกฝ่ามือของเขาผลักลอยไปหาเหมียวอี้แล้ว

ชิงเยว่ถลันตัวมาตรงหน้าเหมียวอี้ในชั่วพริบตาเดียว รับหลินอ้าวเสวี่ยเอาไว้ ป้องกันไม่ให้มีกับดัก ถึงอย่างไรพระปีศาจก็ถนัดเรื่องควบคุมคนอยู่แล้ว

ขณะใช้แขนข้างเดียวรับหลินอ้าวเสวี่ยไว้ ชิงเยว่ก็โบกมืออีกข้าง ปล่อยคนจำนวนมากออกมาจับสงฉีไว้

หลินอ้าวเสวี่ยที่ฟื้นขึ้นมามองไปรอบๆ อย่างงุนงง แล้วก็ทำสีหน้าหวาดกลัว

หลังจากแน่ใจแล้วว่าหลินอ้าวเสวี่ยถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ ชิงเยว่ถึงได้ผลักหลินอ้าวเสวี่ยไปให้เหมียวอี้

เหมียวอี้คว้าข้อมือหลินอ้าวเสวี่ยเอาไว้ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบสภาพภายในร่างกาย

สงฉีที่ถูกควบคุมไว้ตะโกนเสียงดังว่า  หนิวโหย่วเต๋อ ยังไม่ให้คนของเจ้าหลีกไปอีกเหรอ? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ พิษในร่างกายนางยืดเวลาได้ไม่นานนักหรอก! 

เหมียวอี้ไม่สนใจเลย จ้องตรวจสอบของตัวเองต่อไป และไม่นานก็พบว่ามีสีเขียวเลื่อมระบายออกมาอย่างรวดเร็วโดยเริ่มจากกระดูกสันหลังของหลินอ้าวเสวี่ย มันลุกลามไปทั้งร่างกายหลินอ้าวเสวี่ยเร็วมาก และกายเนื้อของหลินอ้าวเสวี่ยก็เหมือนจะมีปฏิกิริยาแล้ว เรากลับถูกเพลิงเผา อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ใบหน้าแดงก่ำ เริ่มทำสีหน้าเจ็บปวดทรมานทีละนิด

การตอบสนองแรกของเหมียวอี้ก็คือร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับเส้นสีเขียวที่กำลังกระจายตัวนั้นไว้ ทว่าสิ่งนี้กำลังลุกลามอยู่ในเลือดเนื้อ ราวกับว่าถ้าไม่ตัดเนื้อทิ้งก็ไม่มีทางหยุดยั้งไม่ให้มันลุกลามได้ เหมียวอี้รีบใช้เคล็ดวิชาอัคนีดาราอีก เพลิงจิตสายหนึ่งกรอกเข้ามาในร่างกายหลินอ้าวเสวี่ย กวาดไปทั้งร่างกายที่มีเลือดเนื้อของหลินอ้าวเสวี่ย กรองสีเขียวที่กำลังลุกลามอยู่ในเลือดเนื้อ ยับยั้งแนวโน้มที่กำลังลุกลามได้ทันที มีควันสีเทาบางๆ ลอยขึ้นมา กำจัดพิษตลอดทางจนหมดแล้วถึงได้หยุด

เมื่อเห็นว่าได้ผล ก็กรอกเพลิงจิตเข้าไปอีกครั้ง ทำลายเส้นสีเขียวที่กำลังแผ่ขยายได้หลายกลุ่ม พยายามระวังไม่ให้ทำร้ายไก่เนื้อของหลินอ้าวเสวี่ย เผาไหม้แสงสีเขียวจนหดไป

ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้เหลือบตาขึ้นแล้วตะโกนว่า  จัดการ! 

ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ว่า ‘พันธุ์ปีศาจ’ คือพิษอะไร ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ไม่รู้สถานการณ์ ตอนแรกจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม จนกระทั่งแน่ใจว่าตัวเองสามารถกำจัดพิษนี้ได้ ถึงได้ออกคำสั่งให้ลงมือ ถ้าไม่สามารถขจัดพิษนี้ได้ เหมียวอี้ก็ทำได้เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายนำของไป

ชิงเยว่โบกมือส่งสัญญาณ กำลังพลที่ขวางทางคนที่นำของไปลงมือทันที ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงพร้อมกัน พอลงมือก็ใช้ท่าไม้ตายเลย!

ไม่เห็นตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ถึงตาย สงฉีก็คำรามว่า  หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าบังอาจกลับคำพูด! 

โชคดีที่พิษในร่างกายหลินอ้าวเสวี่ยเพิ่งจะเริ่มลุกลาม ไม่อย่างนั้นเกรงว่าต้องใช้เวลาพักใหญ่ หลังจากกำจัดพิษหมดแล้ว เหมียวอี้ที่เก็บเพลิงจิตแล้วก็แอบโล่งอก แล้วหยิบยาเม็ดอะไรสักอย่างขึ้นมา ยัดเข้าไปในป่าหลินอ้าวเสวี่ย  ยาถอนพิษของพิษชนิดมีข้ามีตั้งนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องขอพวกเจ้าหรอก!  เสร็จแล้วก็ถือโอกาสเก็บหลินอ้าวเสวี่ยเอาไว้เลย

ยาถอนพิษนั้นเป็นของปลอม เขากำลังแสดงให้คนข้างกายดู

เหิงอู๋เต้าที่อยู่ข้างกายแอบบันเทิง นี่ท่านอ๋องวางกับดักใส่พระปีศาจเสียแล้ว

เหยียนซิวที่ยืนอยู่ข้างเหมียวอี้ก้าวออกมา หิ้วสงฉีเดินไปแล้ว

การล้อมโจมตีจบลงเร็วมาก มีคนส่งกำไลเก็บสมบัติเข้ามา ชิงเยว่หยิบบัวโลหิตต้นนั้นมาดูครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคือของอะไร เดินกลับมามอบให้เหมียวอี้แล้ว

พอเก็บบัวโลหิตแล้ว เหมียวอี้ก็ออกคำสั่งกับเหิงอู๋เต้าว่า  ดึงกำลังพลมาที่นี่ ค้นหาให้ค่ะ!  ก่อนหน้านี้ไม่ให้เหิงอู๋เต้าพาคนมาเยอะเกินไป ก็เพราะไม่อยากให้คนเห็นฉากการแลกเปลี่ยนของในวันนี้เยอะเกิน และตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้เอ่ยด้วยว่าแลกเปลี่ยนของกับพระปีศาจ บอกเหิงอู๋เต้าไปแค่คนเดียว

 ขอรับ!  เหิงอู๋เต้าเอ่ยรับคำสั่ง แล้วรีบระดมพล

เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง นำกำลังพลกลุ่มหนึ่งเลี้ยวกลับทันที เขาเองก็ไม่หวังว่าจะจับพระปีศาจได้ง่ายๆ ขี้คร้านจะเสียเวลาอยู่กับพระปีศาจที่นี่

ส่วนหนานโปก็ย่อมวางกำลังคนไว้สังเกตการณ์อยู่แล้ว แม้เหมียวอี้จะไม่ให้โอกาสพวกสงฉีได้รายงานข่าว แต่เหตุการณ์ตอนที่ออกคำสั่งให้ลงมือก็อยู่ในสายตาของกำลังคนที่วางไว้แล้ว หลังจากได้รับข่าว หนานโปก็โกรธจนหน้าเขียว รู้ว่าถูกหนิวโหย่วเต๋อปั่นหัวแล้ว ตัวเองวิ่งเต้นไปทั่วเพื่อช่วยคนให้หนิวโหย่วเต๋อ ทุ่มกำลังความคิดทุกอย่าง ป้องกันแล้วป้องกันอีก ผลปรากฏว่าป้องกันไม่ชนะ อีกทั้งหนิวโหย่วเต๋อยังทำสำเร็จด้วย ตัวเองลำบากลำบนมานานแต่ความพยายามกลับสูญเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนคนอื่นปั่นหัวเล่นเหมือนเป็นสุนัขตัวหนึ่ง!

……………

 

เหยียนซิวเรียกเซี่ยโห้วท่าออกมาถามตรงนั้นเลย ไม่ได้หลบเลี่ยงคนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนั้น ถึงอย่างไรคนพวกนี้ก็รู้ถึงพลังอภินิหารของเขาหมด

เซี่ยโห้วท่าตอบอย่างทึ่มๆ  เป็นพิษพิเศษชนิดหนึ่งที่พระปีศาจหลอมสร้างขึ้นในปีนั้น คนที่โดนพิษจะเกิดการกลายพันธุ์ แขนขาและร่างกายจะกลายพันธุ์จนน่ากลัว จะกลายเป็นปีศาจที่ไม่เหลือโฉมหน้าเดิม น่าสะอิดสะเอียนที่สุด คนที่พิษกำเริบจะเจ็บปวดมาก แต่การหลอมสร้างพิษนี้ไม่สำเร็จ คนที่กลายเป็นปีศาจจะจิตใจสับสน ควบคุมตัวเองไม่ได้ และไม่นานก็จะตายเพราะหมดแรง ข้อเสียนี้พระปีศาจยังแก้ไขไม่ได้เลย 

แม้น้ำเสียงของเซี่ยโห้วท่าจะฟังดูเชื่องช้า แต่เนื้อหาที่อยู่ในนั้นก็ทำให้คนฟังรู้สึกขนลุกขนพอง

 แต่มียาถอนเหรอ? 

 ของนี้มาจากพระปีศาจ คนนอกไม่รู้ชัดว่ามันคืออะไร ยาถอนมีเพียงพระปีศาจที่หลอมสร้างได้ แต่ต้องกินก่อนที่จะกลายพันธุ์ เพราะถ้ากลายพันธุ์แล้ว แม้แต่พระปีศาจเองก็แก้ไขอะไรไม่ได้ 

สองหยางมองหน้ากันเลิกลั่ก นึกไม่ถึงว่าพระปีศาจจะเคยทำของแบบนี้ด้วย ที่บอกว่าเขาเป็นพระปีศาจนั้นไม่ผิดเลยสักนิด นี่ต้องวิปริตขนาดไหนกันถึงคิดทำของเล่นแบบนี้ออกมาได้ หรือเป็นเพราะพื้นเพชาติกำเนิดของตัวเอง อยากจะให้คนอื่นกลายร่างเป็นปีศาจเหมือนกัน?

ยาพิษ? เหมียวอี้ครุ่นคิดเลขเงียบๆ ถ้าเป็นยาพิษจริงๆ ข้าก็สามารถลองดูได้ ตอนนี้พอจะเข้าใจแล้วว่าพระปีศาจให้เฟยหงไปด้วยตัวเองหมายความว่าอะไร ถ้าให้เฟยหงเห็นมารดากลายพันธุ์กับตาตัวเอง เกรงว่าคงทำใจรับได้ยาก ทำแบบนี้เพื่อต้องการกดดันเขา!

หลังจากบอกให้เหยียนซิวเก็บเซี่ยโห้วท่าแล้ว เขาก็กล่าวยังลังเลอีก  การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ ข้าจะไปด้วยตัวเอง! 

หยางชิ่งรีบโน้มน้าว  ยังไม่รู้เลยว่าพระปีศาจจะเล่นตุกติกอะไร อุบายของพระปีศาจมีหลายจุดที่พิลึกพิลั่น ท่านอ๋องไม่ควรวิ่งเข้าหาอันตราย การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ไม่ต้องให้ท่านอ๋องลงมือด้วยตัวเองหรอก ถ้าท่านอ๋องไม่วางใจ เบื้องล่างก็ใช้ยอดฝีมือกับกำลังพลเยอะๆ ก็พอแล้ว 

หยางเจาชิงก็บอกเช่นกันว่า  ที่ท่านบุรุษพูดก็มีเหตุผล เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องให้ท่านอ๋องออกโรงด้วยตัวเอง ใช่ว่าทัพใต้จะไม่มีคนเสียหน่อย 

ถ้าหากเหมียวอี้เป็นอะไรไป ทั้งทัพใต้ก็จะต้องวุ่นวายใหญ่โตแน่นอน จะส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของคนจำนวนมากเกินไป ไม่มีใครกล้าให้เหมียวอี้ไปเสี่ยงอันตราย ทุกคนพากันห้าม

้เรื่องที่เคล็ดวิชาอัคนีดาราสามารถแก้พิษได้ เหมียวอี้ไม่สะดวกจะบอกพวกเขามาก ได้แต่ยกมือห้าม  ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ตกลงตามนี้แล้วกัน เตรียมออกเดินทาง!  พูดจบก็เดินไปตรงหน้าแผนที่ดาวในห้องหนังสือ ปรับขนาดตรงจุดที่พระปีศาจระบุไว้ขึ้นมาตรวจสอบ

 ขอรับ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับอย่างจนใจ แล้วถอยออกไปช้าๆ ไปบอกให้กำลังพลเบื้องล่างเตรียมตัว

 เป็นบริเวณที่อยู่ใกล้อาณาเขตดาวนิรนาม  เหมียวอี้ชี้แผนที่ดาว บอกใบ้ให้หยางชิ่งเข้ามาดู

หลังจากหยางชิ่งเข้ามาดูใกล้ๆ ก็พยักหน้าเล็กน้อย  ดูท่าแล้ว พระปีศาจคงกลัวว่าหลังจากแลกเปลี่ยนแล้วท่านอ๋องจะกลับคำพูด นี่คือการเตรียมตัวว่าถ้าแลกเปลี่ยนสำเร็จเมื่อไหร่ ก็จะหนีเข้าไปซ่อนตัวที่อาณาเขตดาวนิรนามทันที ถ้าตัดสินจากระยะทางและเวลา การเลือกสถานที่ไว้ตรงนี้ ทำให้ท่านอ๋องส่งคนไปวางกำลังไม่ทัน ดูท่าแล้วคนของพระปีศาจน่าจะมาถึงก่อนล่วงหน้าแล้ว สามารถพบความผิดปกติได้ทุกเมื่อ คงจะไม่ให้โอกาสพวกเราเล่นตุกติก 

ถ้าเขาเดาไม่ผิด ไม่ใช่แค่คนของพระปีศาจที่มาถึงแล้ว ตัวพระปีศาจหนานโปเองก็น่าจะถึงจุดแลกเปลี่ยนแล้วเช่นกัน เขากับจั่วเอ๋อร์เพราะลงไปเหยียบบนดาวเคราะห์ที่รกร้างแห่งหนึ่ง ตอนนี้กำลังหันมองโดยรอบ

 วางกำลังคนไว้แล้ว สำรวจโดยรอบแล้ว ที่จริงผู้อาวุโสไม่ต้องมาด้วยตัวเองก็ได้  จั่วเอ๋อร์กล่าว

หนานโปยิ้มบางๆ  ข้าต้องเข้าร่วมกันแลกเปลี่ยน จะไม่มาด้วยตัวเองได้ยังไง ข้าไม่วางใจที่ของตกอยู่ในมือคนอื่น 

จั่วเอ๋อร์ตกใจมาก  ผู้อาวุโสจะไปแลกของด้วยตัวเองเหรอ? ไม่ได้! สำหรับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ผู้อาวุโสสำคัญกว่าหลินอ้าวเสวี่ยตั้งเยอะ ถึงตอนนั้นเขาอาจไม่สนใจชีวิตของหลินอ้าวเสวี่ยแล้วก็ได้ ทั้งจะลงมือทำร้ายผู้อาวุโสด้วย! 

หนานโปส่ายหน้า  คิดมากไปแล้ว ข้าย่อมไม่โผล่หน้าออกไปแลกเปลี่ยนด้วยตัวเอง หลบอยู่ไกลๆ ให้สามารถถอนตัวได้ทุกเมื่อก็พอ 

จั่วเอ๋อร์กล่าวอย่างระมัดระวัง  แบบนั้นก็ไม่ปลอดภัยอยู่ดี ถ้าแลกเปลี่ยนกันสำเร็จแล้ว ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อยังมีแผนสำรองอะไรอีกหรือเปล่า ถึงอย่างไรบริเวณนี้ก็เป็นถิ่นของหนิวโหย่วเต๋อ ที่นี่หนิวโหย่วเต๋อมีกำลังอำนาจเยอะมาก ถ้าผู้อาวุโสอยู่ใกล้เกินไปก็จะไม่ปลอดภัย ต้องรีบถอนกำลังให้เร็วที่สุด เรื่องแลกเปลี่ยนให้คนเบื้องล่างไปจัดการก็ได้ คนที่เตรียมไว้ครั้งนี้ ผู้อาวุโสสามารถวางใจได้เลย ไม่มีปัญหาอะไรแน่ 

หนานโปหัวเราะลั่น  ใต้หล้านี้เคยเป็นใต้หล้าของข้ามาก่อน เรื่องบางเรื่องที่ข้ารู้ พวกเจ้าอาจจะไม่รู้ รู้หรือเปล่าว่าทำไมข้าเลือกแลกเปลี่ยนของกันที่นี่? ในจุดลึกของอาณาเขตดาวนิรนามผืนนี้มีประตูดวงดาวอยู่แห่งหนึ่ง สามารถผ่านเข้าไปในอาณาเขตทัพเหนือได้ เดี๋ยวต่อไปข้าจะพาพวกเจ้าไปเปิดประสบการณ์ดูสักหน่อยก็ได้ ขอเพียงได้ของนั้นมาแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะวางกำลังอะไรไว้ ก็ไม่ต้องสนใจ พวกเราสนใจแค่หนีไปก็พอ ปล่อยให้พวกเขาค่อยๆ วางกำลังกันไปเถอะ 

ตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเฝ้าคอย เรื่องที่รู้จักปีศาจโลหิตน่าจะไม่ผิดพลาด ถ้าได้บัวโลหิตมาเมื่อไหร่ ก็สามารถหลอมสร้างร่างกายให้สำเร็จได้ในรวดเดียว ไม่จำเป็นต้องเลือกกายเนื้อมาผ่านขั้นตอนการหลอมสร้างที่ทรมานใหม่อีก แบบนั้นมีโอกาสสำเร็จต่ำไป ขอเพียงหลอมร่างกายสำเร็จ เขาก็ย่อมมีวิชาลับที่จะฟื้นฟูพลังให้กลับมาอยู่ในจุดสูงสุดได้โดยเร็วอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องหวาดกลัวและหลบซ่อนอีกแล้ว บัญชีแค้นที่ควรจะชำระก็จะชำระทีละบัญชีให้ชัดเจน

จั่วเอ๋อร์มองไปยังจุดลึกของดาราจักรอย่างงุนงง ตรงนั้นยังมีประตูดวงดาวที่ยังไม่ถูกค้นพบด้วยเหรอ?

ในห้องหนังสือ หยางเจาชิงเข้ามารายงานว่า  ท่านอ๋อง คนประจำที่เรียบร้อยแล้ว สามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ หวังเฟยกับเฟยหงฮูหยินก็มาแล้วเช่นกันขอรับ 

เหมียวอี้ขานรับ สายตาย้ายออกจากแผนที่ดาว ชี้บนสถานที่เป้าหมายพร้อมบอกว่า  ถ่ายทอดคำสั่งไปให้เหิงอู๋เต้า สั่งให้เขาปิดประตูดวงดาวบริเวณนั้นให้หมด ห้ามใครเข้าออก! 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับ

นอกห้อง อวิ๋นจือชิวกับเฟยหงกำลังรออยู่ เมื่อเห็นเหมียวอี้เดินออกมาจากในห้อง เฟยหงก็ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่เงียบไว้

เหมียวอี้เดินมาตรงหน้านาง แล้วพยักหน้าบอกว่า  กำลังจะเริ่มแลกเปลี่ยนกันแล้ว จะไม่ต้องกังวล ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก 

เฟยหงออกแรงพยักหน้า  ข้าเข้าใจค่ะ 

เหมียวอี้หันกลับมามองอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง นางฝืนยิ้มพร้อมบอกว่า  พระปีศาจ…  สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดอะไรที่น่ากลัวมา เปลี่ยนเป็นบอกว่า  ระวังตัวหน่อย 

 อืม ไม่ต้องห่วง ข้ามีแผนในใจแล้ว 

 คนที่อยู่เรือนพักข้างนอก อีกไม่นานก็จะย้ายเข้าจวนได้แล้ว ท่านอ๋องเตรียมจะจัดการอย่างไร? 

 จัดการตามที่เจ้าเห็นสมควรแล้วกัน 

เหมียวอี้พูดพร้อมคว้ามือเรียวสวยของเฟยหง จูงมือเฟยหงเดินก้าวยาวออกไป

ฝ่ามืออบอุ่นแล้วมีพลัง เมื่อมีมือที่เป็นตัวแทนของอำนาจกุมอยู่ ทำให้เฟยหงที่ในใจเต็มไปด้วยความวิตกกังวลสงบใจลงแล้วไม่น้อย

กำลังพลหนึ่งหมื่นนาย หลังจากไปถึงอาณาเขตดาวบริเวณใกล้เคียงกับสถานที่เป้าหมาย จอมพลสายมะเส็งเหิงอู๋เต้าก็ตามมาคอยรับใช้ด้วยตัวเอง

หลังจากทำความเคารพแล้ว เหิงอู๋เต้าก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า  ท่านอ๋อง เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?  เหมียวอี้สั่งปิดอาณาเขตดาวบริเวณนี้กะทันหัน ทั้งยังจะมาด้วยตัวเอง ทำให้เขากังวลนิดหน่อยว่าอาณาเขตของตัวเองเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า

 ตัวตนที่แท้จริงของเฟยหงก็คือไท่ซูอ้าวเสวี่ย ลูกสาวของไท่ซูเหวินชางอดคเทพประจำดาวมะโรงดิน นางกับมารดาหลินอ้าวเสวี่ยถูกหน่วยตรวจการซ้ายควบคุมไว้ จับหลินอ้าวเสวี่ยเป็นตัวประกัน ส่วนเฟยหงก็กลายเป็นสายลับข้างกายข้า หลังจากเกิดเรื่องที่ทัพใต้ หน่วยตรวจการซ้ายก็มีคำสั่งลับให้เฟยหงร่วมมือกับองครักษ์เงาลอบสังหารข้า เพื่อไม่ให้เฟยหงพะว้าพะวง ข้าเลยทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกับพระปีศาจหนานโป เขารับหน้าที่ช่วยหลินอ้าวเสวี่ยออกมา ส่วนข้าก็ต้องทำของไปให้เขา ใต้พระตำหนักอุทยานก็คือสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ตำหนักสวรรค์นำสมาชิกในครอบครัวของขุนนางที่ทำผิดไปทใช้แรงงานอยู่ในนั้นอย่างลับๆ หลินอ้าวเสวี่ยก็อยู่ในนั้น…  เหมียวอี้ไม่ปิดบังเขา เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ

เหิงอู๋เต้าฟังจบแล้วตกตะลึงพรึงเพริด เรื่องที่เฟยหงเป็นสายลับไม่พอจะทำให้เขาตกตะลึงได้ หน่วยตรวจการซ้ายทำเรื่องแบบนี้บ่อยจนชินแล้ว ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ แต่ที่ตกตะลึงก็คือเรื่องที่ท่านอ๋องกล้าไปทำข้อตกลงกับพระปีศาจ ที่ทำให้เขาแอบตกใจกว่านั้นก็คือท่านอ๋องบอกความลับนี้ให้เขารู้

เขาอดไม่ได้ที่จะมองประเมินเหมียวอี้เงียบๆ รู้สึกได้ว่าในตัวเหมียวอี้แผ่รังสีความมั่นใจในตัวเองออกมา ความมั่นใจนี้ทำให้เขารู้สึกกดดัน

 พูดแบบนี้ แสดงว่าเรื่องที่เกิดกับพระตำหนักอุทยานช่วงนี้คือฝีมือพระปีศาจหรือขอรับ?  เหิงอู๋เต้าลองถาม

เหมียวอี้พยักหน้า  ช่วยคนไงล่ะ มีความเคลื่อนไหวบ้างก็เป็นเรื่องปกติ 

เหิงอู๋เต้ารู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย พระปีศาจน่ากลัวจริงๆ ด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยคนออกมาจากพระตำหนักอุทยานได้ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นใต้หนังตา คาดว่าประมุขชิงคงโมโหจนเป็นบ้าไปแล้ว เห็นเหมียวอี้มีท่าทางไม่แยแสแบบนี้ กล้ายอมรับเรื่องนี้ เหมือนไม่เห็นตำหนักสวรรค์อยู่ในสายตาเลย เขาก็แสดงท่าทีว่ายืนฝั่งเหมียวอี้และประณามทันที  ฝ่าบาททำเกินไปจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าลอบสังหารขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ ที่ตำหนักสวรรค์ยังมีกฎระเบียบอยู่ไหม? 

เหมียวอี้รู้ว่าเขาก็แค่พูดเท่านั้น เรื่องแบบนี้ถ้าไม่ถึงคราวจำเป็น ไม่ว่าใครก็ไม่อยากฉีกหน้ากัน กล่าวเสียงเรียบว่า  เรื่องลอบสังหารขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ ประมุขชิงทำมาน้อยหรือไง? ช่างเขาเถอะ! ว่าแต่เจ้า เตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว พบความผิดปกติอะไรหรือเปล่า? 

 เมื่อได้รับคำสั่งจะท่านอ๋อง ก็ปิดประตูดวงดาวทั้งหมดของบริเวณนี้ทันที ข้าน้อยตรวจสอบอย่างเข้มงวดแล้ว ไม่ปล่อยให้ใครเข้าออก  เหิงอู๋เต้าตอบ

เหมียวอี้เงียบไปครู่เดียว ไม่ได้รับข่าวจากพระปีศาจว่าให้เปลี่ยนแปลงสถานที่แลกของ สงสัยคนของพระปีศาจจะเข้าประจำที่ล่วงหน้าแล้วจริงๆ

ไม่สะดวกจะอยู่ตรงนี้นาน พอออกคำสั่งแล้ว กำลังพลก็ข้ามผ่านประตูดวงดาวที่อยู่ตรงหน้าไป

เดิมที่เหิงอู๋เต้าอยากจะนำกำลังพลเข้าไปคุ้มครองเยอะๆ หน่อย แต่เหมียวอี้ไม่เอา ให้เหิงอู๋เต้าพาทหารอารักขาไปด้วยไม่กี่คนเท่านั้น

หลังจากมาถึงจุดแลกเปลี่ยนแล้ว กำลังพลกลุ่มนี้ก็เหยียบลงบนดาวเคราะห์ที่รกร้าง ชิงเยว่โบกมือวางกำลังทัพอารักขาหนึ่งหมื่นทันที ภายนอกมีเพียงหนึ่งหมื่น แต่ความจริงย่อมไม่ได้มีเท่านี้อยู่แล้ว

เหิงอู๋เต้าที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้เครียดนิดหน่อย ไม่รู้ว่าพระปีศาจจะปรากฏตัวหรือเปล่า ชื่อเสียงของคนก็เหมือนเงาของต้นไม้ ขนาดประมุขชิงกับประมุขพุทธะไปที่สถานที่ผนึกด้วยตัวเอง แต่ก็ยังจับพระปีศาจไม่ได้ ขนาดคนในพระตำหนักอุทยานยังช่วยออกมาได้ คิดไปคิดมาแล้วก็เครียดจริงๆ

ทว่าพระปีศาจยังไม่ทันปรากฏตัว ในจุดลึกของดาราจักรรอบๆ ก็มีคนหลายคนเหาะเข้ามา ผู้ที่นำหน้ามานั้นเป็นคนที่เหิงอู๋เต้ารู้จัก สงฉี ผู้ตรวจการขวาทัพอารักขาของอิ๋งจิ่วกวง!

สงฉีก็ใจกล้าเช่นกัน มาเหยียบตรงหน้ากระบวนทัพของฝั่งนี้โดยตรง มองข้ามเหิงอู๋เต้าไป จองบนใบหน้าเหมียวอี้เลย แสยะยิ้มแล้วบอกว่า  นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องหนิวจะมาแลกเปลี่ยนด้วยตัวเอง ดีมากๆ นำของมาหรือยัง? 

 คนล่ะ?  เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ

พอสงฉีโบกมือ ก็คว้าสตรีวัยกลางคนออกมาคนหนึ่ง เป็นหลินอ้าวเสวี่ยนั่นเอง ใช้นิ้วบีบหลังคอของหลินอ้าวเสวี่ย สามารถปลิดชีพหลินอ้าวเสวี่ยได้ทุกเมื่อ ตอนนี้หลินอ้าวเสวี่ยหลับตาสนิท ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย สงฉีตะโกนถามว่า  คนอยู่นี่แล้ว ท่านอ๋องควรจะนำของออกมาแสดงหน่อยหรือเปล่า? 

เหมียวอี้พลิกมือ เผยบัวโลหิตออกมา รากบัวสีขาวหยกเปล่งแสงระยิบระยับ แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของดี ไม่ต้องพูดอะไรมาก

เหิงอู๋เต้าที่อยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะมองสองครั้ง พึมพำในใจว่ามันคือของอะไรกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้ควบคุมพระปีศาจได้ กำลังคิดว่าคงเป็นของรำคาญที่ไม่ธรรมดาแน่นอน

สงฉีใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองบัวโลหิต แล้วตะโกนถามอีก  เฟยหง อนุภรรยาที่รักของท่านอ๋องล่ะ? ให้นางมาพิสูจน์ด้วยตัวเองดีกว่าว่าเป็นมารดาของนางหรือเปล่า ฝั่งข้าก็จะส่งคนไปตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือของปลอมเช่นกัน เป็นยังไง? 

………………

 

พ่อหวง? เหมียวอี้ลองไตร่ตรองดูครู่เดียวก็นึกเชื่อมโยงไปถึงคนคนหนึ่ง พ่อของหวงฝู่จวินโหรว อู่หนิง

ถ้าเป็นอู่หนิงจริงๆ เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะนึกเชื่อมโยงถึงอีกตัวตนหนึ่งของอู่หนิง องครักษ์เงา!

ตอนนี้สองแม่ลูกหวงฝู่ถูกเขาพาไปอยู่ไว้ในสถานที่ปลอดภัยแล้ว ทั้งสองฝ่ายติดต่อกันบ่อยๆ เขาเองก็รู้เช่นกันว่าอู่หนิงรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับหวงฝู่จวินโหรวแล้ว รู้ด้วยว่าอู่หนิงออกจากบ้านไปแล้ว ที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็เคยสงสัย ว่าเรื่องที่องครักษ์เงาลอบสังหารเขาเกี่ยวข้องกับที่อู่หนิงออกจากบ้านหรือเปล่า?

อีกฝ่ายอยากจะมาเจรจากับเขาเรื่องหวงฝู่จวินโหรว หรืออยากจะมาลอบสังหารเขา?

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าพระปีศาจเคยใช้วิธีการแบบไหน ไม่รู้เรื่องกัวเหยียนถิงด้วย จึงไม่รู้เช่นกันว่าองครักษ์เงาหยุดภารกิจลอบสังหารเขากลางคันแล้ว ตอนนี้มีคนจะองครักษ์เงามาพบเขา จะไม่ให้สงสัยว่ามาลอบสังหารเขาก็คงยาก

ถ้ามาลอบสังหารจริงๆ เมื่อลงมือขึ้นมา ทหารอารักขาข้างกายเขาไม่เกรงใจแน่นอน แต่เขาก็ไม่อยากให้เรื่องลุกลามจนอธิบายกับหวงฝู่จวินโหรวลำบาก

ตบแผ่นหยกในมือเบาๆ หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็บอกว่า  จับตัวเอาไว้แล้วพามา จำไว้นะ ว่าอย่าทำให้เขาบาดเจ็บ! 

 เข้าใจแล้วขอรับ  หยางเจาชิงพยักหน้า รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร

ด้านนอกประตูดวงดาว กำลังพลกลุ่มเล็กมาขวางอยู่ตรงหน้าอู่หนิง อู่หนิงที่สวมหน้ากากบนใบหน้ารออย่างใจเย็น รอให้อีกฝ่ายเป็นรายงาน

เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะยอมพบเขาหรือเปล่า เขาไม่เชื่อว่าเหมียวอี้เดาสถานะของเขาไม่ออก ถ้าหากไม่ยอมพบเขา เขาก็จะรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับลูกสาวตัวเองแล้วจริงๆ อาศัยฐานะของเหมียวอี้ตอนนี้ ถ้าไม่อยากจะพบเขา แผนเขาก็ล้มเหลวแล้ว เพราะไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เหมียวอี้เลย

ผ่านไปไม่นาน บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีกำลังพลประจำการอยู่ใกล้ๆ ก็มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งเหาะมา แม่ทัพหนึ่งในนั้นก้าวขึ้นมา แล้วถามเสียงเรียบว่า  เจ้าแซ่อู่หรือเปล่า? 

อู่หนิงรู้แล้วว่าคงจะเป็นคนที่เหมียวอี้ส่งมารับ จึงพยักหน้าตอบว่า  ใช่! 

แม่ทัพคนนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม  ขออภัย ตามกฎแล้วต้องตรวจสอบก่อน โปรดให้ความร่วมมือด้วย! 

อู่หนิงทำท่าเหมือนให้ฝ่ายตรวจได้ตามสบาย แม่ทัพคนนั้นโบกมือให้คนข้างหลัง มีทหารหลายคนเข้ามาลองตรวจสอบอู่หนิงทันที

อู่หนิงกางแขนสองข้างปล่อยให้ตรวจสอบ ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือ จู่ๆ คนที่อยู่ข้างหลังก็ลงมือ จิ้มบนตัวเขาติดต่อกันหลายครั้ง จิ้มบนตัวเขาติดต่อกันหลายครั้งควบคุม ควบคุมเขาเอาไว้เสียเลย

 พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?  อู่หนิงอ้าปากร้องโวยวาย เมื่อไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์ก็ไม่สามารถส่งเสียงดังในดาราจักรได้ คนที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไร แต่ดูจากใบหน้าเกรี้ยวโกรธของอู่หนิงก็เดาออกแล้ว

 พาตัวไป!  แม่ทัพคนนั้นโบกมือสั่ง

แล้วก็เป็นแบบนี้ ต่อให้อู่หนิงนอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะเกิดสถานการณ์อย่างนี้ เขาอุตส่าห์เตรียมตัวแล้วอาจจะไม่ได้พบ แล้วทำไมต้องจับเขาล่ะ?

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าองครักษ์เงายกเลิกภารกิจลอบสังหารแล้ว ส่วนอู่หนิงก็ไม่รู้ว่าเหมียวอี้รู้ตั้งนานแล้วว่าองครักษ์เงาจะลอบสังหารเขา วิ่งเข้ามาชนประตูบ้านแบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้ามาติดบ่วงเอง

ตอนที่โผล่หน้ามาอีกครั้ง ตัวเองก็อยู่ในโถงหลักของจวนท่านอ๋องแล้ว พออู่หนิงเงยหน้าขึ้นมา แม่ทัพที่อยู่ตรงหน้าก็ฉีกหน้ากากบนใบหน้าเขา พอแม่ทัพหลีกไป อู่หนิงก็เห็นเหมียวอี้กำลังยิ้มตาหยีให้เขาอยู่

จากนั้นเหมียวอี้ก็โบกมือให้แม่ทัพคนนั้นถอยออกไป

 ท่านบุรุษอู่ ไม่เจอกันนาน ไม่รู้ว่าสบายดีหรือเปล่า!  เหมียวอี้กุมหมัดคารวะปนเสียงหัวเราะ การที่สามารถทำให้อ๋องสวรรค์คุมทัพใต้เป็นฝ่ายกุมหมัดคารวะก่อนได้ ก็ย่อมเป็นเพราะหวงฝู่จวินโหรว

เมื่อรู้สึกได้ว่าร่างกายถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ ใบหน้าอู่หนิงก็ฉายแววเดือดดาล  หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าหมายความว่ายังไง? 

เหมียวอี้ยกมือห้าม  ท่านบุรุษอย่าเข้าใจผิด ก็แค่ช่วงนี้ได้ยินมาว่าองครักษ์เงาจะลอบสังหารข้า เวลาลูกน้องทำงานจะไม่ระวังหน่อยก็ไม่ได้! 

 …  อู่หนิงอึ้งนิดหน่อย เจ้าเวรนี่รู้ด้วยหรอว่าองครักษ์เงาต้องการจะลอบสังหารเขา? นี่คือการปฏิบัติงานลับขององครักษ์เงา เขารู้ได้อย่างไร? ตอบอย่างโมโหว่า  นี่เป็นวิธีการรับแขกของเจ้าเหรอ? คลายผนึกให้ค่า! 

เหมียวอี้ที่จองปฏิกิริยาของเขายิ้มแข็งๆ  ถ้ามีตรงไหนที่ต้อนรับไม่ดีก็อย่าถือสา ท่านต้องการมาสังหารข้าเหรอ? 

อู่หนิงอยากจะเอาหัวชนพื้นให้ตาย เขายังนึกว่าเหมียวอี้วรยุทธ์ไม่สูง ขอเพียงมีโอกาสเข้าใกล้ ก็จะสังหารให้ตายได้ในครั้งเดียว อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวกับหนิวโหย่วเต๋อ โอกาสที่ทั้งสองจะได้พบกันตามลำพังก็มีเยอะมาก ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะทำสำเร็จได้สูงมาก ใครจะคิดว่าจะมีเหตุผิดพลาดระหว่างนั้น ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะหลับหูหลับตาบุกเข้ามาอย่างนี้แล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่าขำจริงๆ

อู่หนิงย่อมไม่ยอมรับว่าตัวเองจะมาลอบสังหาร  เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้ารู้เรื่องของเจ้ากลับโหรวโหรวแล้ว วันนี้เราต้องคุยเรื่องนี้กันให้ชัดเจน 

 ได้!  เหมียวอี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

จู่ๆ อู่หนิงก็รู้สึกว่าหลังคอตัวเองโดนคนบีบไว้ ตาเหลือกสลบไปแล้ว ทั้งร่างล้มลงพื้นช้าๆ เหยียนซิวปรากฏตัวข้างหลัง ใช้แขนข้างเดียวรองเขาเอาไว้ แล้วพาตัวไปที่โถงด้านหลัง

เหมียวอี้เดินไปใต้ชายคานอกโถง แล้วยืนเอามือไขว้หลังด้วยสีหน้าเรียบเฉย

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เหยียนซิวก็เดินออกมาจากห้องแล้ว ถ่ายทอดเสียงบอกข้างกายว่า  ท่านอ๋อง มาลอบสังหารจริงๆ ขอรับ 

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว  เขาจะไม่รู้เชียวเหรอ ว่าต่อให้ทำสำเร็ แต่เขาก็รอดชีวิตออกไปจากที่นี่ไม่ได้อยู่ดี? อย่าบอกนะว่าตำหนักสวรรค์รู้เรื่องของข้ากลับจวินโหรวแล้ว ก็เลยตั้งใจส่งเขามาเพื่อหาช่องโหว่ในการลอบสังหาร? 

เหยียนซิวพึมพำในใจว่า หนี้ชู้ที่เจ้าก่อไว้ไงล่ะ โชคดีที่หวังเฟยอยู่กับเฟยหง ไม่อย่างนั้นถ้าให้หวังเฟยรู้ คอยดูสิว่าเจ้าจะทำอย่างไร  เขาไม่ได้หวังเลยว่าจะมีชีวิตรอดออกไปได้ มาครั้งนี้ก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าต้องตายแน่นอน คิดว่าหลังจากกำจัดท่านอ๋องได้แล้ว ปัญหาของภรรยาและลูกสาวของเขาก็จะหมดไปด้วย…  บอกเล่าจุดประสงค์ที่อู่หนิงมาในครั้งนี้ให้ฟัง แล้วเสริมอีกว่า  เดิมทีเขาเข้าร่วมปฏิบัติการที่องครักษ์เงาจะลอบสังหารท่านอ๋องแล้ว ส่วนตัวอยู่บนดาวเคราะห์ใกล้ๆ นี้มาตลอด แต่ไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้านี้ จู่ๆ ผู้บัญชาการองครักษ์เงาเซี่ยงจงก็ถ่ายทอดคำสั่งมา ไว้หยุดแผนลอบสังหารไว้กลางคัน เหมือนจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พระตำหนักอุทยานโดนลอบโจมตี องครักษ์เงาถอนกำลังกลับไปหมดแล้ว 

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ องครักษ์เงาถอนกำลังไปแล้วก็ไม่แปลก พอหลินอ้าวเสวี่ยหายตัวไป แล้ววังสวรรค์ยังเดาไม่ออกว่าเกี่ยวข้องกับเฟยหง แบบนั้นก็ไม่ต่างจากคนโง่แล้ว ถ้าไม่มีคนในให้ความร่วมมือ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะลอบสังหารตนได้ นอกเสียจากจะใช้ทัพใหญ่มาโจมตีเท่านั้น แต่เขาก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าอู่หนิงจะยอมทำอย่างนี้เพื่อลูกเมีย เอาหนึ่งชีวิตมาทิ้งเปล่าๆ คุ้มแล้วหรอ? แอบมาอยู่ฝ่ายเขาก็ได้ไม่ใช่เหรอ?

ขณะที่กำลังครุ่นคิด ก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องหนึ่ง หันตัวเดินกลับเข้ามาในห้อง เดินไปที่โถงด้านหลัง มองอู่หนิงที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ พร้อมบอกเหยียนซิวที่เดินตามเข้ามาว่า  ลองถามเขาหน่อย ว่าตำหนักสวรรค์ควบคุมพวกเขาได้ยังไง 

เหยียนซิวทำตามที่สั่ง ใช้วิชาควบคุมบนตัวอู่หนิง แล้วให้เหมียวอี้ถามเอาเอง

สาเหตุก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของเหมียวอี้เช่นกัน วิชาที่องครักษ์เงาฝึกเป็นมหาอิทธิฤทธิ์มารดูดกลืนจริงๆ ด้วย เหมือนกับเคล็ดวิชาของเยี่ยนเป่ยหง และสาเหตุที่ประมุขชิงควบคุมพวกเขาได้ ก็เป็นเพราะประมุขชิงสามารถแก้ไขการย้อนทำร้ายของเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาบนร่างกายพวกเขาได้

 ประมุขชิงขจัดพลังมารที่ย้อนทำร้ายพวกเจ้าได้ยังไง?  เหมียวอี้ขมวดคิ้วถาม

อู่หนิงตอบอย่างทึ่มๆ  ข้างกายฝ่าบาทมีคนคอยดูดซับเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่สะสมอยู่ในร่างกายพวกเรา 

ดูดซับ? มีคนแบบนี้ด้วยเหรอ? เหมียวอี้ประหลลาดใจ ถามว่า  เป็นใครกัน? 

 ไม่รู้ ลึกลับมาก ทุกครั้งที่โผล่หน้ามาล้วนอยู่ในชุดคลุมดำ มองใบหน้าไม่ชัดเจน  อู่หนิงตอบ

เหมียวอี้เอามือลูบคางขณะจมอยู่ในความคิด คนที่สามารถทำเรื่องอย่างนี้ให้ประมุขชิงได้ จะต้องเป็นคนสนิทพี่เชื่อใจได้ของประมุขชิงแน่นอน และข้างกายประมุขชิงมีคนสนิทคนไหนที่ไม่เผยโฉมหน้าที่แท้จริงพบคนบ้าง? ซ่างกวนชิง? ซือหม่าเวิ่นเทียน? เกาก้วน? โพ่จวิน? อู๋ฉวี่? คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าคนพวกนี้เข้าออกวังสวรรค์บ่อย ไม่จำเป็นต้องปิดบังใบหน้า ทั้งยังมีเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถดูดซับเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาได้ ใครจะไปดูดซับเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาได้มากมายขนาดนั้น ทนรับไหวได้อย่างไร?

เขาพอจะตระหนักได้ว่าข้างกายประมุขชิงยังมีคนสนิทคนอื่นที่ทำงานให้นอกจากพวกซ่างกวนชิง

 เรียกให้เขาได้สติ  เหมียวอี้กล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบ เหยียนซิวยกมือกักบนศีรษะอู่หนิง

ได้สติกลับมาจากความสะลึมสะลือ พอเห็นว่ามาปรากฏตัวอยู่ในฉากใหม่อีกแล้ว ก็พยายามลุกขึ้นยืน แต่กลับถูกเหยียนซิวใช้มือข้างเดียวกดบ่านั่งกลับไป ถลึงตาจ้องเหมียวอี้พร้อมดิ้นรนอยู่ไม่กี่ที แต่ไม่สามารถหลุดออกไปได้ จึงทำได้เพียงนั่งอยู่ตรงนั้นแต่โดยดี แล้วกัดฟันถามว่า  เจ้าจะเอายังไง? 

เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น  เจ้าทำอย่างนี้คุ้มเหรอ? ทำไมไม่คำนึงถึงโหรวโหรวกับแม่นางบ้าง ถ้าเจ้าไม่อยู่แล้ว พวกนางจะเสียใจขนาดไหน 

ฟังจากคำพูดดูเหมือนแน่ใจแล้วว่าตนจะมาลอบสังหาร อู่หนิงตะคอกอย่างโมโหสุดขีด  ดีกว่าให้เจ้าทำร้ายจนพวกนางตาย! 

 ทำไมเจ้าเชื่อนักล่ะว่าสังหารข้าแล้วจะปกป้องพวกนางได้? หรือว่าข้า…กับเจ้าปกป้องพวกนางไม่ได้เชียวหรือ?  เหมียวอี้ถาม

อู่หนิงโมโหจนหัวเราะประชด  เหลวไหล! เจ้าน่ะเหรอจะปกป้อง? นอกจากทำร้ายพวกนางแล้ว เจ้ายังให้อะไรโหรวโหรวได้อีก? 

เหมียวอี้จึงตอบกลับ  เช่นนั้นตำหนักสวรรค์ให้อะไรโหรวโหรวได้ล่ะ? อย่างน้อยสิ่งที่ตำหนักสวรรค์ให้ได้ ข้าก็ให้ได้ทุกอย่างเหมือนกัน โดนพลังย้อนทำร้ายจากมหาอิทธิฤทธิ์มารดูดกลืน ข้าก็มีวิธีแก้ไขให้ได้เหมือนกัน! 

 …  สีหน้าเกรี้ยวโกรธของอู่หนิวเปลี่ยนเป็นหวาดระแวงสงสัยไม่หยุด

เหมียวอี้บอกอีกว่า  เจ้าไม่ต้องสงสัย ข้าพิสูจน์ให้เจ้าเห็นได้ พลังของข้าเยอะกว่าที่เจ้าจิตนาการเอาไว้! ฝั่งตระกูลหวงฝู่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเช่นกัน ที่จริงหวงฝู่เลี่ยนคงรู้เรื่องของข้ากับจวินโหรวแล้ว ถ้ามีข้าอยู่ พวกเขาก็ไม่กล้าแตะต้องจวินโหรวกับแม่ของนางหรอก เพราะข้าไม่ให้โอกาสพวกเขาเอาตัวรอดจากเรื่องนี้ นอกจากนี้ ข้าก็สนใจองครักษ์เงาของประมุขชิงมากด้วย หวังว่าเจ้าจะช่วยติดต่อให้ข้าได้… 

ตอนนี้สมาธิของเหมียวอี้ไม่ได้อยู่ที่อู่หนิง การรับมือกับพระปีศาจหนานโปคือเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้

ยังไม่ถึงสามวันตามกำหนด เหยียนซิวพาจางผิงเข้ามาในห้องหนังสือของเหมียวอี้อีก บอกเวลาและสถานที่ที่พระปีศาจกำหนดเอาไว้แลกเปลี่ยนของอย่างชัดเจน ให้ฝั่งนี้นำของไปแลก

 ได้!  เหมียวอี้พยักหน้า

จางผิงบอกอีกว่า  ท่านผู้สูงศักดิ์ให้เข้ามาบอกให้ท่าน ว่าเขาปลูก ‘พันธุ์ปีศาจ’ ลงในร่างกายหลินอ้าวเสวี่ยแล้ว ถ้านายท่านรู้สึกสนใจ ก็ไปสืบจากตระกูลเซี่ยโห้วสักหน่อยก็ได้ว่า ‘พันธุ์ปีศาจ’ คืออะไร ถึงอย่างไรนายท่านกับตระกูลเซี่ยโห้วก็มีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีต่อกัน ท่านผู้สูงศักดิ์แนะนำว่าทางที่ดีนายท่านอย่าเล่นลูกไม้ ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหลินอ้าวเสวี่ย เขาก็จะไม่รับผิดชอบ 

เหมียวอี้ตบโต๊ะยืนขึ้นทันที ตะคอกอย่างเดือดดาลว่า  ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องแลกเปลี่ยนกันแล้ว! 

จางผิงโบกมือแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม  มียาถอนเตรียมไว้ให้นายท่านเรียบร้อยแล้ว จะมีวิธีการแลกเปลี่ยนที่ทำให้นายท่านวางใจแน่นอน ขอเพียงนายท่านไม่เล่นตุกติก ก็จะไม่มีปัญหาแน่นอน ถึงตอนนั้นถ้านายท่านพบว่ามีปัญหาอะไร ก็สามารถหยุดการแลกเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ นายท่านก็ไม่มีอะไรเสียหาย คิดว่าเป็นยังไงบ้าง? 

เหมียวอี้ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องคนตรงหน้าที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ โบกมือสั่งให้เหยียนซิวเก็บคน แล้วหันกลับมาถามสองหยางว่า  พันธุ์ปีศาจคืออะไร พวกเจ้าเคยได้ยินหรือเปล่า? 

ทั้งสองส่ายหน้า ต่างก็ไม่เคยได้ยินชื่อของสิ่งนี้มาก่อน หยางชิ่งบอกว่า  ในเมื่อพระปีศาจเอ่ยถึงตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว คาดว่าตระกูลเซี่ยโห้วคงจะรู้ ลองถามดูหน่อยก็ได้ขอรับ 

เหมียวอี้บอกทันทีว่า  ถามเซี่ยโห้วท่าหน่อยว่ามันคืออะไร 

……………

 

 …  จางผิงพูดไม่ออก แบบนี้ไม่มีทางเจรจากันได้แล้ว ทำได้เพียงบอกต่อหนานโปอย่างนั้น

บนเนินทรายที่รกร้าง พายุหมุนพัดเม็ดทรายเข้ามา หนานโปกำระฆังดาราพลางแสยะยิ้ม

จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ถามว่า  เขาพูดว่ายังไง? 

 เดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเวรนี่คงไม่ยอมจำนนง่ายๆ ดึงดันจะให้ข้าส่งคนไปก่อน เขาถึงจะมอบของกลับมา  หนานโปกล่าว

จั่วเอ๋อร์รีบโบกมือห้าม  ผู้อาวุโส ห้ามเชื่อเขาเด็ดขาด คนประเภทนี้ทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีโอกาสไปคุมทัพใต้หรอก! 

 ข้าจะเชื่อเขาง่ายๆ ได้ยังไง!  หนานโปทำเสียงฮึดฮัด แล้วหันกลับมาถามว่า  ของที่ให้เจ้าเตรียมไว้จะส่งมาทันเวลาหรือเปล่า? 

 เสาะหารวบรวมไว้แล้ว กำลังให้คนนำมาส่งที่นี่ น่าจะไม่มีปัญหา  จั่วเอ๋อร์ตอบ

หนานโปพยักหน้า แล้วตอบกลับระฆังดารา

ในห้องหนังสือ หลังจากต่อรองกับแล้ว สุดท้ายก็กำหนดไว้ว่าอีกสามวันจะส่งคนและส่งของพร้อมกัน วิธีการแลกเปลี่ยนแบบนี้เหมียวอี้สามารถยอมรับได้ อย่างน้อยอาศัยกำลังของเขา ก็ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะเสียเปรียบ ที่ควรกังวลก็คือสัตว์พระปีศาจ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้คนไม่เข้าใจก็คือ พระปีศาจขอให้ฝั่งนี้พาเฟยหงมาด้วย ต้องการให้เฟยหงเป็นพยานการแลกเปลี่ยนนี้เองกับตาตัวเอง ซึ่งเหมียวอี้ก็ตอบตกลงแล้ว

ทั้งยังมีสถานที่แลกเปลี่ยนของโดยละเอียดอีก หนานโปยังไม่ได้บอกให้รู้ บอกว่าเมื่อถึงเวลาก็ย่อมรู้เอง เหมียวอี้ไม่ยอมเพ่นพ่านไปไหนซี้ซั้ว แต่หนานโปกลับบอกว่าอยู่ในอาณาเขตทัพใต้

 อยู่ในอาณาเขตทัพใต้เหรอ?  หยางชิ่งประหลาดใจนิดหน่อย ขมวดคิ้วครุ่นคิดพร้อมบอกว่า  พระปีศาจอวดดีเกินไปหน่อยหรือเปล่า ไม่กลัวหรือว่าในระหว่างนั้นจะมีอุบาย?  จนใจที่สถานการณ์ที่รู้ในตอนนี้มีจำกัด ยากที่จะศึกษาอย่างละเอียด

 เขาต้องเตรียมอะไรบางอย่างไว้แน่นอน ตั้งตารอเถอะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะเล่นลูกไม้อะไรบนอาณาเขตของข้า!  เหมียวอี้หน้านิ่ง หันไปมองหยางเจาชิงแล้วสั่งว่า  เตรียมกำลังพลให้พร้อม เตรียมตัวให้ดี! 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงกุมหมัดเอ่ยรับ

 ถือโอกาสเชิญฮูหยินกับฟยหงมาที่นี่สักหน่อย  เหมียวอี้โบกมือสัก

หลังจากสองหยางออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็รู้สึกหนักใจนิดหน่อย ถ้าจะบอกว่าไม่กังวลเลยสักนิดก็โกหกแล้ว ชื่อเสียงบารมีในปีนั้นของพระปีศาจหนานโปก็เห็นๆ กันอยู่ โดยเฉพาะเรื่องที่ช่วยหลินอ้าวเสวี่ยออกมาจะพระตำหนักอุทยาน วิธีการนี้ทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ ทำให้เขากังวลใจ

แต่ถ้าอยากจะช่วยหลินอ้าวเสวี่ย จะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้ อีกฝ่ายทำถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเขาไม่ตอบตกลง พระปีศาจก็จะไม่เชื่อว่าเขาทำข้อตกลงอย่างจริงใจอีก

ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็พาเฟยหงเข้ามาในห้องหนังสือแล้ว

ตั้งแต่เข้าพักในจวนท่านอ๋อง เฟยหงก็ไม่เคยเข้ามาที่นี่เลย นางอดไม่ได้ที่จะมองสำรวจสภาพแวดล้อมในห้องหนังสือ

หลังจากผู้หญิงทั้งสองทำความเคารพ เหมียวอี้ก็บอกใบ้ว่าไม่ต้องมาพิธี สายตาจ้องเฟยหงเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า  เฟยหง ช่วยแม่เจ้าออกมาจากเงื้อมมือของตำหนักสวรรค์ได้แล้ว 

 หา!  เฟยหงมองมาด้วยความดีใจ ในช่วงเวลานี้ถ้าจะบอกว่านางไม่หวาดระแวงเลยสักนิดก็โกหกแล้ว เพราะไม่เห็นฝั่งเหมียวอี้เคลื่อนไหวสักที ตอนนี้จู่ๆ ก็ได้ยินข่าวดี นางพบว่ารู้สึกผิดต่อเหมียวอี้จริงๆ ที่ก่อนหน้านี้ตัวเองคิดมาก นางคำนับซ้ำๆ กล่าวเสียงเกือบสะอื้นว่า  ขอบคุณท่านอ๋อง! ขอบคุณท่านอ๋อง! 

เหมียวอี้ยกมือห้าม  เจ้าอย่าเพิ่งขอบคุณข้า แม้จะช่วยแม่เจ้าออกมาจากมือตำหนักสวรรค์แล้ว แต่ตัวกลับอยู่ในมือพระปีศาจหนานโป ถ้านัดแลกเปลี่ยนกับเขาอีกสามวันหลังจากนี้!  ที่จริงเขาไม่อยากบอกเรื่องนี้กับเฟยหงเลย กลัวว่าเฟยหงจะกังวลโดยไม่จำเป็น เตรียมจะบอกหลังจากทำเรื่องนี้สำเร็จ แต่พระปีศาจยืนกรานจะให้เฟยหงไปเป็นประจักษ์พยานเอง บอกว่าจะตรวจสอบตราอิทธิฤทธิ์ของเฟยหง ไม่มีทางปิดบังได้ เขาก็เลยทำได้เพียงบอกล่วงหน้า

ดีใจเร็วเกินไปจริงๆ พอได้ยินว่ามารดาตกอยู่ในมือพระปีศาจหนานโป สำหรับเฟยหงแล้ว ก็จินตนาการได้ไม่ยากว่าการมีอยู่ของพระปีศาจนั้นน่ากลัวขนาดไหน เฟยหงดีใจไม่ออกแล้ว ถามด้วยสีหน้ากังวลว่า  ท่านอ๋อง ท่านแม่ของข้าอยู่ในมือเขาจริงเหรอ? เป็นแผนการของเขาหรือเปล่า? 

เหมียวอี้โบกมือ  จุดนี้ไม่ต้องสงสัยเลย แม่เจ้าอยู่ในมือเขาแน่นอน  มีข่าวระดับนั้นจากวังสวรรค์ กอปรกับพระปีศาจรู้ความสัมพันธ์ระหว่างหลินอ้าวเสวี่ยกับเฟยหง หลินอ้าวเสวี่ยจะต้องอยู่ในมือพระปีศาจแน่นอน

เฟยหงมองออกแล้วเช่นกันว่าเหมียวอี้มีสีหน้าค่อนข้างจริงจังหนักแน่น ตระหนักได้แล้วว่าเรื่องในครั้งนี้ไม่ธรรมดา ถามอย่างร้อนใจสุดๆ  แลกเปลี่ยนกันยังไงคะ? 

 เขาเสนอเงื่อนไขหนึ่งขึ้นมา ต้องการให้เจ้าไปเป็นพยานการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ด้วยตัวเอง เรื่องนี้ไม่เป็นอะไรหรอก จะได้ยืนยันได้ว่าเป็นแม่ของเจ้าตัวจริงหรือเปล่า ดังนั้นเรื่องนี้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ปัญหาในตอนนี้ก็คือ ข้ารู้สึกสงสัยข้อแลกเปลี่ยนที่เขาเสนอมา กังวลว่าเขาจะเล่นตุกติกกับการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ ที่เรียกตัวมา ก็เพราะอยากให้เจ้ารู้ ถ้าการแลกเปลี่ยนราบรื่นก็แล้วไป ข้าจะต้องเห็นการช่วยแม่เจ้าสำคัญที่สุดอยู่แล้ว แต่ถ้าพระปีศาจเล่นตุกติก ก็อาจเกิดเหตุไม่คาดคิดกับแม่ก็ได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะเตรียมใจไว้ให้ดี!  เหมียวอี้ตอบ

เฟยหงกัดริมฝีปากทันที หลังจากเงียบไปนาน นางก็พยักหน้าเบาๆ ความรู้สึกกลัดกลุ้มตรงหว่างคิ้วยากที่จะหายไป

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วเงียบๆ อยู่ข้างกัน นางไม่พูดอะไรสักคำ ในเวลานี้นางไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก ต่อให้อยากหวังดีเตือนเหมียวอี้ให้ระวังตัวก็ไม่สะดวกจะพูด ถ้าพูดอะไรไปโดยไม่ระวัง ก็อาจทำให้เฟยหงเข้าใจผิดว่าตนไม่อยากให้เขาไปเสี่ยงอันตรายเพื่อมารดาของนาง

เหมียวอี้ส่งสายตาให้อวิ๋นจือชิว

อวิ๋นจือชิวเข้าใจ เขาต้องการให้สามวันนี้นางดูแลปลอบโยนเฟยหงให้ดี จากนั้นก็บอกให้เฟยหงออกไป

 ฟู่ว!  เหมียวอี้เงยหน้าเอนกายพิงเก้าอี้ แล้วถอนหายใจยาวออกมาเครื่องหนึ่ง ยามเผชิญหน้ากับการรุกเคลื่อนไหวของพระปีศาจผู้มีชื่อเสียงบารมีน่าเกรงขาม เขากดดันไม่ใช่ในน้อยๆ

และตั้งแต่ช่วงนั้นเป็นต้นมา งานในมือเขาก็มีเยอะมากจริงๆ ทัพใต้ที่จัดกลุ่มใหม่มีหลายคนและหลายเรื่องที่มาขอความเห็นให้เขาตัดสินใจ บวกกับเรื่องร้อยแปดพันเก้าที่อยู่ตรงหน้า แทบจะทำให้เขาไม่เคยได้ฝึกตนอย่างสงบใจเลย…

โลกมนุษย์ ในเมืองเล็กที่เจริญรุ่งเรือง ฟ้าเพิ่งจะสว่าง ประตูเมืองเพิ่งเปิดออก ประตูรั้วของบ้านเล็กหลังหนึ่งเปิดออกแล้ว

อู่หนิงเดินออกมา หันตัวไปลงกลอนประตูอย่างรอบคอบ แล้วทักทายกับเพื่อนบ้านที่ผ่านมาบนถนนราวก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

เดินทะลุตรอกซอกซอยตลอดทางจนออกจากประตูเมือง แล้วก็ตรงไปยังป่าภูเขาที่อยู่ไม่ไกล พอมาถึงในภูเขา ถึงได้อาศัยสภาพพื้นที่พรางตัวเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว พอมาถึงหุบเขาที่ระบุไว้ เขาก็กระโจนตัวกระโดดลงไป หลังจากลงไปข้างล่างแล้ว ก็พบว่าตรงหน้าผาที่อยู่ก้นหุบเขามีหลายคนกำลังเอนกายพิงและยิ้มให้เขา มีคนมาถึงก่อนแล้ว

อู่หนิงยิ้มให้พวกเขาเบาๆ แล้วตัวเองก็หาหน้าผาที่เว้าเข้าไปยืนพิงแล้ว ด้านบนมีคนมองลงมาก็มองไม่เห็น

ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนทยอยมาอีกหลายคน หลังจากพยักหน้าให้กันแล้วก็ซ่อนตัวอยู่สองฝั่งใต้หน้าผา

ตอนที่แสงแดดจากที่ไกลๆ ส่องเฉียงลงมาในหุบเขา ก็มีเงาคนคนหนึ่งถลันตัวเข้ามาแล้ว เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำที่จอนสองข้างแซมผมขาว แววตามีประกายมุ่งมั่น เขามองคนที่ซ่อนตัวอยู่ฝั่งซ้ายและขวาของหุบเขา แล้วยกมือถอดหน้ากากบนใบหน้าออก ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้บัญชาการองครักษ์เงา เซี่ยงจง

คนสิบกว่าคนที่อยู่สองฝั่งก้าวขึ้นมาเรียงแถวหน้ากระดานสองแถวทันที แล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกัน  นายท่าน! 

เซี่ยงจงพยักหน้าเบาๆ หลังจากมองสำรวจบนใบหน้าคนกลุ่มนี้สักพักหนึ่ง ก็กล่าวเสียงต่ำว่า  ยกเลิกภารกิจครั้งนี้! 

ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก โดยเฉพาะอู่หนิงที่ประหลาดใจเป็นสองเท่า เขามาที่นี่เพื่อฆ่าเหมียวอี้ ทุกคนซ่อนตัวอยู่ที่นี่ตลอดเพื่อรอโอกาสลงมือ จึงกุมหมัดคารวะถามทันที  นายท่าน ทำไมต้องยกเลิกภารกิจขอรับ? 

เซี่ยงจงถอนหายใจเบาๆ เบื้องบนเรียกให้พวกเขากลับไป ซ่างกวนชิงไม่ได้ปิดบังพวกเขา ไม่อย่างนั้นถ้าสมาชิกองครักษ์เงากลับไปแล้วพบว่าถูกหน่วยตรวจการขวากักตัวไปสอบสวน ก็จะทำให้สงสัยว่าหลอกพวกเขากลับไป ดังนั้นจึงบอกความจริงให้รู้แล้ว ซ่างกวนชิงก็บอกมาแล้วเช่นกัน ครั้งนี้เขาพูดต่อหน้าฝ่าบาทจนทำให้ฝ่าบาทอนุญาตแล้ว เพราะเรื่องนี้เกิดกับคนฝั่งวังสวรรค์ ตรวจสอบแค่สมาชิกที่อยู่วังสวรรค์เท่านั้น ส่วนสมาชิกที่มาดักซุ่มอยู่ข้างนอกไม่สะดวกจะเปิดเผยตัวตน ด้วยเหตุนี้จึงเรียกแค่คนฝั่งวังสวรรค์กลับไป ส่วนสมาชิกที่ดักซุ่มเหล่านี้ พอแยกย้ายแล้วก็ไปดักซุ่มที่อื่นต่อ

เมื่อเห็นเขาไม่พูด ฝั่งนี้ก็มีคนถามหยั่งเชิงว่า  นายท่าน ได้ยินว่ามีคนลอบโจมตีที่พระตำหนักอุทยาน เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือเปล่า?  คนนี้รู้ข่าวมาจากคนที่ดักซุ่มอยู่ที่อื่นว่าเกิดเรื่องขึ้นกับวังสวรรค์

 พระตำหนักอุทยานโดนลอบโจมตี?  ทุกคนตกใจ มีคนถามอย่างประหลาดใจว่า  อย่าบอกนะว่าเกี่ยวข้องกับคนในของพวกเรา? 

เซี่ยงจงจึงกล่าวเสียงต่ำ  สิ่งที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม ยกเลิกภารกิจแล้ว พวกเจ้าต่างคนต่างกลับไปที่ของตัวเองเถอะ ปฏิบัติภารกิจเดิมของตัวเองต่อไป…  พอพูดถึงตรงนี้ สุดท้ายก็กำชับอีกว่า  จำไว้นะ หลังจากกลับไปแล้วก็อย่าสืบข่าวส่งเดช ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า ทุกคนเข้าใจนะ? 

นี่ก็คือสาเหตุที่เขาเรียกรวมคนพวกนี้ให้มาเจอกัน ไม่อย่างนั้นก็สามารถพูดผ่านระฆังดาราได้เลย เนื่องจากจุดที่คนพวกนี้ดักซุ่มอยู่มีช่องทางข่าวสารอยู่บ้างไม่มากก็น้อย วังสวรรค์เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีข่าวลือออกมา จากนั้นก็ต้องสงสัยแน่นอนว่าเกี่ยวข้องกับการยกเลิกภารกิจครั้งนี้ ไม่แน่ว่าอาจมีคนอดใจไม่ไหวจนสืบว่าเกิดอะไรขึ้นกับองครักษ์เงากันแน่ ที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับทุกคน ไม่อย่างนั้นถ้าถูกหน่วยตรวจการขวาเพ่งเล็งขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ถ้าให้เกาก้วนรู้ว่ายังไม่ได้ส่งมอบรายชื่อองครักษ์เงาที่กำลังปฏิบัติภารกิจดักซุ่มไปให้ เช่นนั้นก็เกรงว่าจะคุยกับผู้พิพากษาหน้าตายนั่นยากแล้ว เขาเคยโดนทรมานในคุกใหญ่ของหน่วยตรวจการขวามาก่อน ได้รับความทุกข์ทรมานเต็มที่ เกือบเอาชีวิตไม่รอด จึงไม่อยากให้พี่น้องเข้าไปรับความทรมานนั้นอีก

 เข้าใจแล้ว  ทุกคนรับปากอย่างมึนงง

 ทุกคนแยกย้ายกันกลับไป อย่ารวมตัวกันกลับไป…แยกย้ายเถอะ!  เซี่ยงจงโบกมือย่างหงอยเหงาเล็กน้อย หลังจากสวมหน้ากากแล้ว ก็ขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว นำทุกคนไปก่อนแล้ว

คนในหุบผามองหน้ากันไปมองหน้ากันมา มีบางคนอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ปฏิบัติตามกฎขององครักษ์เงา ไม่สืบข่าวอะไรจากคนอื่นอีก

จากนั้นทุกคนก็ทยอยกันออกไป สุดท้ายเหลืออู่หนิงที่ยืนเงียบอยู่ในหุบผาคนเดียว

เขาสังเกตได้จากหวงฝู่ตวนหรงตั้งนานแล้ว ว่าลูกสาวตัวเองกับหนิวโหย่วเต๋อมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยปกติ เขาไม่กล้าถาม กลัวว่าจะเป็นเหมือนที่ตัวเองเดา เพราะผลที่ตามมาไม่ใช่สิ่งที่สองแม่ลูกจะรับไหว จึงรับภารกิจลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อเสียเลย เขาถึงได้เอ่ยปากยืนยันความจริงจากหวงฝู่ตวนหรง ทำให้เขายิ่งแน่วแน่ที่จะกำจัดหนิวโหย่วเต๋อทิ้ง ถึงขั้นตัดสินใจแน่ๆ เลยว่าต้องฆ่าให้ได้ มีแค่ต้องให้หนิวโหย่วเต๋อตายเท่านั้น ถึงจะปิดบังเรื่องของลูกสาวกับหนิวโหย่วเต๋อได้ แล้วเรื่องนี้ก็จะผ่านไป ไม่อย่างนั้นช้าหรือเร็วก็ต้องถูกเปิดโปงแน่ ถึงตอนนั้นคงไม่ต้องรอให้ตำหนักสวรรค์ลงมือ เกรงว่าตระกูลหวงฝู่จะสังหารสองแม่ลูกนี้ก่อนแล้ว เขาทนเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้

ใครจะไปคิด ว่าจู่ๆ จะได้รับคำสั่งนี้ ยกเลิกภารกิจ!

ยืนเหม่อลอยในหุบเขานานมาก สายตาเริ่มกระจ่างชัดทีละนิด เริ่มฉายแววเด็ดเดี่ยว กัดฟันพูดกับตัวเองว่า  หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าต้องตาย! 

ทันใดนั้นก็ถลันตัวพุ่งขึ้นฟ้าไป…

ระหว่างตึกศาลา เหมียวอี้เดินเล่นเพียงลำพัง ดูเหงานิดหน่อย ถึงแม้อนุภรรยาของทั้งอ๋องสวรรค์จะช่วยให้หายเหงาได้ แต่ถ้าอวิ๋นจือชิวไม่อยู่ข้างกาย เขาก็พบว่าแม้แต่คนที่จะคุยด้วยอย่างจริงใจสักคนก็ไม่มี

หยางเจาชิงเร่งฝีเท้าเดินมา มารายงานข้างหลังเหมียวอี้  ท่านอ๋อง ด้านนอกมีคนมาขอพบขอรับ บอกว่าเป็นสหายเก่าของท่าน 

เหมียวอี้หันกลับมาถาม  ใครกัน? 

หยางเจาชิงยื่นแผ่นหยกให้แผ่นหนึ่ง  ตามที่คนรายงานบอกมา เขาไม่ยอมเปิดเผยตัวตน บอกว่าท่านอ๋องเห็นสิ่งนี้แล้วก็จะรู้ว่าเขาคือใคร 

เหมียวอี้รับมาดูในมือ เห็นในนั้นเขียนเอาไว้แค่สองคำว่า : พ่อหวง!

………………

 

จวนอ๋องสวรรค์หนิว ทหารยามของเรือนชั้นในไม่ได้ขวาง ปล่อยให้หยางชิ่งเข้ามาแล้ว

ตอนที่เข้าใกล้เรือนหลัก หยางเจาชิงที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ด้านนอกกลับห้ามไว้ หยางชิ่งจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม  ได้ยินว่าโกวเยว่พาก่วงเม่ยเอ๋อร์ไปจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ข้าจะไปพบท่านอ๋องสักหน่อย 

หยางเจาชิงส่ายหน้า  กลับไปเถอะ ท่านอ๋องกำลังพบแขก 

 พบแขก?  หยางชิ่งมองเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วถามอย่างแปลกใจ  แขกอะไร ต้องให้เจ้าหลบเลี่ยงด้วยเหรอ? 

 ก็ไม่นับว่าหลบเลี่ยงหรอก จอมพลสายวอกลั่วหม่างกับถงเหลียนซีมาแล้ว  หยางเจาชิงตอบ

 อ้อ!  หยางชิ่งขานรับด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหมายล้ำลึก เข้าใจแล้ว สงสัยจะถึงเวลาแบไพ่แล้ว จะบอกว่าท่านอ๋องต้องการหลบเลี่ยงหยางเจาชิงก็ไม่ได้ แต่กลัวว่าแขกจะไม่กล้าพูดอะไรบางอย่างยามอยู่ต่อหน้าคนอื่น

ในโถงหลัก เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ถอยออกไปแล้วเช่นกัน เหลือเพียงเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิว ลั่วหม่างกับถงเหลียนซี

การที่ลั่วหม่างมาครั้งนี้ ย่อมเป็นผลงานของถงเหลียนซีเช่นกัน พวกเขาเที่ยวเล่นมาถึงฝั่งนี้ เลยถือโอกาสมาเยี่ยมคำนับอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้สักหน่อย

แต่ถงเหลียนซีในตอนนี้กลับน้ำตานองหน้า คุกเข่าตรงหน้าลั่วหม่าง เล่าต้นสายปลายเหตุที่ตัวเองเป็นสายลับออกมาหมด

เหมียวอี้แอบทอดถอนใจเงียบๆ อวิ๋นจือชิวยืนอยู่ข้างถงเหลียนซี ป้องกันไม่ให้ลั่วหม่างลงมือกับถงเหลียนซี

หลังจากอธิบายจบ ถงเหลียนซีก็สะอึกสะอื้น ร้องไห้จนพูดไม่เป็นภาษา หมอบศีรษะกับพื้นไม่ยอมลุกขึ้นมา

ลั่วหม่างนั่งสง่าอย่างไม่สะทกสะท้าน มองสีหน้าไม่ออกเลยสักนิด จ้องถงเหลียนซีที่กำลังคุกเข่าด้วยสายตาสงบนิ่ง

ปฏิกิริยาของเขาทำให้เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวแอบแปลกใจ เพราะตั้งแต่ต้นจนจบไม่เห็นลั่วหม่างแสดงความผิดปกติเลยสักนิด ได้ฟังเรื่องแบบนี้แล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย หรือว่าเล่ห์เหลี่ยมของเขาล้ำลึกจนถึงขั้นน่ากลัว? ที่ว่ากันว่าสุขทุกข์ล้วนไม่แสดงออกทางสีหน้าเป็นแค่คำพูดเหลวไหล คนเราล้วนมีอารมณ์ความรู้สึก สุขทุกข์ล้วนไม่แสดงออกทางสีหน้าจริงๆ มีเสียที่ไหนกัน ถ้าได้ยินเรื่องที่ทำให้โกรธจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องมีปฏิกิริยาบ้าง ถ้าไม่มีปฏิกิริยาก็แสดงว่าไม่ได้สะเทือนใจอีกฝ่ายเลย

ดันเป็นในเวลานี้ เหมียวอี้กับลั่วหม่างแทบจะหยิบระฆังดาราขึ้นมาพร้อมกัน ได้รับข่าวสถานการณ์ที่ผิดปกติทางฝั่งพระตำหนักอุทยานพร้อมกัน

ทั้งสองต่างมองประเมินระฆังดาราในเมื่ออีกฝ่ายแวบหนึ่งเช่นกัน ลั่วหม่างยังดีหน่อย แต่เหมียวอี้กลับเกิดความคิดบางอย่างในใจ เกิดเรื่องที่พระตำหนักอุทยานแล้ว อย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือของพระปีศาจ?

ทั้งสองล้วนไม่เปิดเผยความคิดออกมา เพียงเก็บระฆังดาราเงียบๆ

เมื่อเห็นว่าถ้าให้ถงเหลียนซีคุกเข่าอยู่อย่างนี้ไปตลอดไม่ใช่วิธีการที่ดี ลั่วหม่างก็ไม่แสดงท่าทีเช่นกัน ในที่สุดอวิ๋นจือชิวก็ช่วยพูดแทรก  จอมพลลั่ว คืออย่างนี้นะ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ต้องเริ่มพูดตั้งแต่งานเลี้ยงอุทยานหลวงครั้งก่อน…  นางเล่าที่มาที่ไปของเรื่องนี้ให้ฟังทันที และเน้นย้ำว่าการที่ถงเหลียนซีถือโอกาสพาลั่วหม่างมาที่นี่ไม่ใช่ความคิดของถงเหลียนซี บอกถึงความคิดของถงเหลียนซีในตอนนั้น เป็นอวิ๋นจือชิวที่อยากทำตามคำขอของเจียงอีอีให้สำเร็จ ถึงได้บีบถงเหลียนซีให้ทำอย่างนี้

เท่ากับเปิดเผยต่อหน้าลั่วหม่างแล้ว อยากจะปกป้องชีวิตของถงเหลียนซี

หารู้ไม่ว่า สิ่งที่ลั่วหม่างรอคอยก็อยู่ตรงนี้ แค่อยากจะรู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวคืออะไร เหตุใดจึงเข้ามาแทรกแซงเรื่อง

 ชื่อเดิมของเจ้าคือเจียงอวิ๋นเหรอ?  ลั่วหม่างจ้องถงเหลียนซี

 ค่ะ!  ถงเหลียนซีพยักหน้าขณะร้องไห้สะอื้น

ลั่วหม่างถอนหายใจเบาๆ  เรียกจนชินแล้ว ให้เขาเรียกเจ้าว่าเหลียนซีดีกว่า ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว ลุกขึ้นมาเถอะ 

ถงเหลียนซีส่ายหน้า ตอนนี้สภาพจิตใจที่อยากชดเชยความผิดนั้นยากจะบรรยายออกมาได้ ทำได้เพียงคุกเข่าแสดงความรู้สึก

ลั่วหม่างถอนหายใจอีกครั้ง  เหลียนซี ลุกขึ้นเถอะ ที่จริงข้ารู้ตั้งนานแล้วว่าเจ้าคือสายลับที่คนอื่นแทรกเอาไว้ข้างกายข้า ในปีนั้นหลังจากโดนลอบสังหาร หนึ่งปีหลังจากนั้นหนึ่งในมือสังหารตกอยู่ในมือข้า ข้าสืบจนเจอเบาะแสแล้ว! 

 …  ถงเหลียนซีพลันเงยหน้า บนใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา มองเขาด้วยแววตาเหลือเชื่อ

เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวตะลึงค้าง มิน่าล่ะเจ้าหมอนี่ถึงไม่มีท่าทางแปลกใจเลยสักนิด ที่แท้ก็รู้ตั้งนานแล้วนี่เอง

เหมียวอี้ลองถามหยั่งเชิงว่า  เจ้ารู้ตั้งนานแล้วเหรอว่านางเป็นสายลับ แล้วทำไมยังเก็บนางไว้ข้างกายอีก? 

ลั่วหม่างลุกขึ้นแล้วก้าวเข้ามาประคองถงเหลียนซี  เก็บสายลับสักคนไว้ข้างกาย ก็อาจไม่ใช่เรื่องแย่ ไล่คนเก่าออกไปก็ยังมีคนใหม่มาอีก ดีกว่าแยกไม่ออกว่าใครคือสายลับ เมื่อมีเป้าหมายให้รับมือแล้ว ก็ลดเรื่องยุ่งยากได้เยอะ หลายปีมานี้ที่ข้าไม่มีปัญหายุ่งยากอะไร ก็เป็นผลงานของเจ้าเช่นกัน  ขณะที่พูดก็ยกมือปาดน้ำตาให้ถงเหลียนซี

เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมองหน้ากันเลิกลั่ก พอจะเข้าใจแล้ว ที่จริงแล้วความหมายเดียวกับที่ฝั่งนี้เก็บเฟยหงไว้ข้างกาย

ถงเหลียนซีตะลึงค้าง จ้องลั่วหม่างด้วยอารมณ์เหมือนลอยนานมาก

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน  พอเป็นแบบนี้ จอมพลลั่วก็ไม่คิดจะถือสาเอาความเรื่องนี้ใช่ไหม?  เขากำลังสื่อว่าจะปล่อยถงเหลียนซีไปได้หรือเปล่า

ลั่วหม่างประคองให้ถงเหลียนซีนั่งลงข้างกาย ผันตัวมาเผชิญหน้ากับเหมียวอี้  ท่านอ๋องกับฮูหยินออกหน้าตัดสินใจให้ ข้าก็ไม่ถึงขั้นไม่รู้กาละเทศะ 

เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ  ข้าไปควบคุมจอมพลลั่วไม่ได้หรอก 

ลั่วหม่างส่ายหน้าถอนหายใจ  แต่ถ้าอยากจะคบหาเป็นสหายกับท่านอ๋อง เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะอาจเอื้อมได้หรือเปล่า 

เหมียวอี้กับฮูหยินสบตากันแวบหนึ่ง รู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าลั่วหม่างจะพูดอะไรอย่างนี้ออกมา เหมียวอี้กล่าวด้วยความสงสัย  ไม่มีคำว่าอาจเอื้อมหรือไม่อาจเอื้อมหรอก เพียงแต่ถ้าให้ก่วงลิ่งกงรู้เข้า เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อเจ้า! 

ลั่วหม่างเดินไปเดินมาอยู่ในโถงอย่างช้าๆ แล้วพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง  ใต้หล้านี้เกิดความวุ่นวายไม่หยุดหย่อน เหมือนจะไม่สงบสุขอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว อิ๋งจิ่วกวงล้มแล้ว ฮ่าวเต๋อฟางก็ล้มแล้วเช่นกัน พระปีศาจหนานโปกลับมาแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วเกิดความวุ่นวาย ทั้งยังมีเรื่องวุ่นวายไร้ระเบียบเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน คาดว่าท่านอ๋องก็คงได้ข่าวมาแล้วเช่นกัน ทางวังสวรรค์โดนลอบจู่โจมสองครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น! ใต้หล้านี้เหมือนยิ่งนับวันจะยิ่งผิดปกติขึ้นเรื่อยๆ ความผันผวนที่ซ่อนอยู่ในนั้น ข้าไม่รู้เลยสักนิดว่ามันคืออะไรกันแน่ ข้ากังวลนิดหน่อย…พอคิดไปคิดมา ผูกมิตรกับสหายไว้เยอะๆ ก็ไม่เลวเหมือนกัน 

เดินไปเดินมาแล้วก็มาหยุดตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วกล่าวด้วยแววตาล้ำลึกว่า  ท่านอ๋องผงาดขึ้นมาท่ามกลางความวุ่นวาย อย่างอื่นข้าไม่รู้หรอก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้ามองออก แม้แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็ยังทุ่มแรงช่วยเหลือ ท่านอ๋องมีช่องทางกว้างขวางมาก! ในปีแรกๆ ท่านอ๋องใจกว้างเมตตาลูกชายข้า ตอนนี้ก็เป็นห่วงเหลียนซีเพราะคำสัญญาคำเดียวอีก เป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตร มีหรือที่จะแอบเปิดเผยเรื่องผูกมิตรให้ก่วงลิ่งกงรู้? จอมพลผู้นี้เชื่อใจท่านอ๋อง! ถ้าท่านอ๋องเชื่อใจข้า ในภายหลังถ้ามีอะไรจะกำชับก็มาปรึกษากันได้เลย… 

ลั่วหม่างกับถงเหลียนซีไม่ได้อยู่ที่นี่นาน ถือโอกาสแวะมาตอนผ่านทาง เมื่อถึงเวลาต้องกลับก็กลับแล้ว

เมื่อแขกไปแล้ว หยางชิ่งก็เข้ามาอีก เล่าเรื่องที่โกวเยว่พาตัวก่วงเม่ยเอ๋อร์ไปที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลให้ฟัง ความคิดนั้นของก่วงลิ่งกง ไม่ว่าใครก็มองออกทั้งนั้น ฝั่งเหมียวอี้ไม่ยินดีที่จะเห็นชิงหยวนจุนกับก่วงเม่ยเอ๋อร์สมหวังกัน ถ้าหากประมุขชิงถอดอำนาจทางทหารของชิงหยวนจุนเพราะเรื่องนี้ เช่นนั้นในภายหลังเขาก็ไม่ต้องเล่นอะไรแล้ว เขาให้คนฝั่งจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลจับตาดูอย่างเข้มงวด เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่จำเป็น เขาก็จะติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทันที คิดหาทางหยุดยั้งไว!

สรุปก็คือก่วงเม่ยเอ๋อร์จะแต่งงานกับใครก็ได้ จะรักใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ชิงหยวนจุน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ชิงหยวนจุนจะแต่งงานกับก่วงเม่ยเอ๋อร์!

จากนั้นก็คุยกันเรื่องที่วังสวรรค์โดนลอบจู่โจม พวกเขาสงสัยว่าเป็นฝีมือของพระปีศาจหนานโป เหตุผลก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย เพราะบ่าวไพร่ที่โจมตีพระตำหนักอุทยาน ถ้าไม่ได้เป็นบ้าก็ต้องเป็นหน่วยกล้าตายของใครสักคน ไม่อย่างนั้นบ่าวไพร่คนหนึ่งจะถ่อไปลอบโจมตีพระตำหนักอุทยานทำไม แบบนั้นไม่ใช่การนหาที่ตายหรอกหรือ? ดูจากอาการแล้วเหมือนจะโดนพระปีศาจควบคุม บวกกับสถานที่เกิดเรื่องก็คือพระตำหนักอุทยาน ซึ่งซ่อนสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เอาไว้ เมื่อคิดถึงสองปัจจัยนี้รวมกัน จะไม่ให้สงสัยพระปีศาจก็คงยาก

เพียงแต่ไม่รู้ว่าพระปีศาจทำสำเร็จหรือเปล่า ข่าวจากฝั่งวังสวรรค์ไม่ได้บอกชัดเจน

หยางชิ่งบอกว่า  ถ้าพระปีศาจทำสำเร็จแล้ว คาดว่าอีกไม่นานคงติดต่อมาหาท่านอ๋องแน่ และถ้าหลินอ้าวเสวี่ยถูกพาตัวไปได้แล้วจริงๆ เกรงว่าวังสวรรค์จะต้องสงสัยท่านอ๋องก่อนคนแรก เฟยหงฮูหยินก็ถูกเปิดโปงแล้วเช่นกัน! 

เหมียวอี้ยิ้มเหยียด  สงสัยข้าแล้วยังไงล่ะ มาแทรกสายลับไว้ข้างกายข้า พวกเขามีเหตุผลแล้วหรือไง? ประมุขชิงกล้าประกาศหรือเปล่า? ถ้าช่วยหลินอ้าวเสวี่ยออกมาแล้วจริงๆ วันหลังจะให้เฟยหงไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงอีก ข้าอยากจะเห็นนักว่าใครจะกล้าแตะต้อง! 

 ถ้าพระปีศาจทำสำเร็จแล้วจริงๆ อาศัยพลังอภินิหารของพระปีศาจ เกรงว่าจะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลินอ้าวเสวี่ยกับเฟยหง ถ้าอีกฝ่ายจับหลินอ้าวเสวี่ยเป็นตัวประกัน แล้วท่านอ๋องจะให้สมุนไพรจิตวิญญาณต้นนั้นหรือเปล่า?  หยางชิ่งถาม

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา ตกอยู่ในความเงียบแล้ว

เห็นเขามีท่าทางลังเลตัดสินใจไม่ได้ หยางชิ่งก็เหมือนจะเดาผลลัพธ์ออกแล้ว ได้แต่แอบถอนหายใจ

จากนั้นฝั่งนี้ก็เฝ้ารอ รอให้พระปีศาจติดต่อมา ไม่สะดวกจะเป็นฝ่ายถามก่อน ถ้าเขาถามไปแบบนี้ เผื่อไม่ใช่ฝีมืออีกฝ่ายขึ้นมา อีกฝ่ายก็จะเล่นไปตามน้ำว่าเป็นฝีมือตัวเอง แบบนั้นเขาก็จะเป็นฝ่ายถูกกระทำแล้ว

รออยู่ครึ่งวันเต็มๆ ในที่สุดเหยียนซิวก็นำตัวจางผิงมาแล้ว

เหมียวอี้ที่กำลังหลับตานั่งสมาธิอยู่ในห้องหนังสือลืมตาขึ้น หยางชิ่งกับหยางเจาชิงสบตากันแวบหนึ่ง พอเห็นจางผิง ก็ย่อมเข้าใจแล้ว ว่าเรื่องที่พระตำหนักอุทยานเป็นฝึมือของพระปีศาจจริงอย่างที่คาดไว้

จางผิงยังคงมีท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวและไม่หวาดกลัว กุมหมัดคารวะอย่างสุภาพ  ท่านผู้สูงศักดิ์ให้มาบอกนายท่าน ว่าหลินอ้าวเสวี่ยอยู่ในมือท่านผู้สูงศักดิ์แล้ว 

ว่ากันตามจริง แม่จะเดาออกแล้ว แต่เหมียวอี้ก็ยังตกใจไม่เบา พระปีศาจช่างมีความสามารถจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยคนออกมาจากพระตำหนักอุทยานได้ นึกไม่ถึงว่าการป้องกันที่เข้มงวดของวังสวรรค์จะถูกพระปีศาจเจาะช่องโหว่แล้ว เหตุการณ์นี้ได้เตือนเขา ว่าต้องเสริมการป้องกันฝั่งนี้ให้ดีกว่าเดิม

 เขาบอกว่าอยู่ในมือเขาก็แปลว่าอยู่ในมือเขาเหรอ?  เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ

 ยอมต้องเจรจากับนายท่านว่าจะแลกเปลี่ยนกันอย่างไร  จางผิงยิ้ม

เหมียวอี้ตอบว่า  ยังจะแลกเปลี่ยนยังไงได้อีก ก็ย่อมต้องมือหนึ่งแรกของ มือหนึ่งและคนสิ แบบนี้ยุติธรรมที่สุด! ให้คนที่อยู่เบื้องหลังเจ้ากำหนดเวลาและสถานที่ ข้าจะทำการแลกเปลี่ยนต่อหน้าเขา! 

จางผิงบอกว่า  ทำผู้สูงศักดิ์บอกแล้ว ว่านายท่านมีกำลังทหารแข็งแกร่ง ถ้ากลับคำพูดขึ้นมา ท่านผู้สูงศักดิ์ก็จะเสี่ยงอันตรายเกินไป จะไม่เจอกับนายท่านซึ่งๆ หน้าแล้ว แค่นายท่านให้ข้านำของออกไปก็พอ จากนั้นก็จะนำคนส่งกลับมาให้ ไม่ผิดคำพูดแน่นอน 

เหมียวอี้จึงบอกว่า  แล้วทำไมเขาไม่ส่งคนมาก่อนล่ะ? หลังจากข้าแน่ใจแล้วว่าคนอย่างปลอดภัย ก็ยอมให้เจ้านำของกลับไปเอง 

ตอนนี้เขาบีบตระกูลเซี่ยโห้วแหวนนิ้วมือได้แล้ว ไม่ค่อยอยากแสจุดอ่อนที่อยู่ในมือพระปีศาจแล้ว ถ้าได้หลินอ้าวเสวี่ยมาแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอะไรคุยกับพระปีศาจอีก

 แบบนี้เป็นไปไม่ได้ ถ้าในายท่านได้คนไปแล้วไม่ยอมส่งของมา เกรงว่าท่านผู้สูงศักดิ์คงไม่รู้จะไปทวงความยุติธรรมที่ไหนด้วยซ้ำ  จางผิงตอบ

เหมียวอี้จึงบอกว่า  ก็เหตุผลเดียวกันนั่นแหละ ข้าจะอาศัยอะไรไปเชื่อเขาล่ะ? ข้าพูดแค่คำเดียว ให้เขาส่งคนมา แล้วข้าค่อยส่งของไปให้เขา ถ้าเขาไม่ทำตาม เช่นนั้นก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว! 

จางผิงทำได้เพียงเขย่าระฆังดาราติดต่อพระปีศาจ สักครู่ก็ตอบว่า  ท่านผู้สูงศักดิ์ให้ข้าเตือนในท่าน ว่ารู้ความสัมพันธ์ระหว่างหลินอ้าวเสวี่ยกับเฟยหงชัดเจนแล้ว เหตุใดต้องอวดดี? 

เหมียวอี้เอนกายบนเก้าอี้ แล้วกล่าวอย่างสบายๆ  รู้แล้วยังไงล่ะ? ก็บอกเขาไปตอนนี้เลย ว่าถ้าเก่งนักก็ให้เขาฆ่าหลินอ้าวเสวี่ยไปซะ! 

……………

 

 …  ประมุขชิงเถียงไม่ออก

นึกออกแล้ว ในปีนั้นเกิดเรื่องนี้ขึ้น แต่สุดท้ายก็เป็นซ่างกวนชิงที่มาหาเขาและบอกให้เขาเปรียบเทียบผลได้ผลเสีย สุดท้ายเขาก็รู้สึกว่าไม่ควรจะลงโทษต่อไปอีก ให้องครักษ์เงาตรวจสอบตนเองภายใน ขณะเดียวกันก็อนุญาตซ่างกวนชิงว่าไม่ต้องส่งรายชื่อองครักษ์เงาที่กำลังปฏิบัติภารกิจซุ่มโจมตีมาให้ ตอนนี้ถูกเกาก้วนเถียงประโยคเดียวจนตัวเองโวยวายไม่ออกแล้ว

ฟังจากความหมายที่เขาพูด กลับกลายเป็นความรับผิดชอบของประมุขชิงไปแล้ว แต่เขาก็ทำได้แค่มองดูด้วยความสิ้นหวัง!

ประมุขชิงหันตัวไป เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาในตำหนักอีก จมลึกอยู่ในความคิดแล้ว

ภายในองครักษ์เงามีหนอนบ่อนไส้แล้ว เป็นกัวเหยียนถิงแค่คนเดียวหรือเปล่าที่มีปัญหา จะตรวจสอบหรือไม่ตรวจสอบดี?

เขาอยากจะตรวจสอบ แต่ถ้าเกิดปัญหากับกำลังทหารที่อยู่ข้างกาย จะไม่แย่หรอกเหรอ? แต่องครักษ์เงาส่วนหนึ่งก็กำลังปฏิบัติภารกิจ อีกส่วนกำลังดักซุ่ม อีกส่วนกำลังหาโอกาสเหมาะเพื่อลงมือลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อ ทว่าเฟยหงที่แฝงตัวอยู่ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้จะไม่สร้างโอกาสให้องครักษ์เงาอีกแล้ว ถ้าไม่มีสมาชิกที่แฝงตัวคอยให้ความร่วมมือ การจะลอบสังหารอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ก็เป็นแค่เรื่องล้อเล่นแท้ๆ ตอนนี้กำลังพลที่จะลอบสังหารไม่มีโอกาสลงมือแล้ว!

พอนึกถึงตรงนี้ ประมุขชิงก็หันตัวมา กล่าวเสียงต่ำว่า  องครักษ์เงา…ตรวจสอบ! 

ตั้งใจประกาศว่าจะตรวจสอบองครักษ์เงา ไม่ใช่ตรวจสอบหนิวโหย่วเต๋อ ประเด็นก็คือเจ้าไม่มีทางตรวจสอบอีกฝ่ายได้ ต่อให้เจ้ารู้อยู่แจ่มแจ้งว่าอีกฝ่ายเป็นคนทำ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไปตรวจสอบ จะให้บอกว่าอนุภรรยาของหนิวโหย่วเต๋อเป็นสายลับที่หน่วยตรวจการซ้ายแทรกไว้งั้นเหรอ? เรื่องแบบนี้พูดกันอย่างเปิดเผยได้หรือไง?

เกาก้วนสีหน้าไร้อารมณ์ กุมหมัดเอ่ยรับคำสั่งอย่างช้าๆ…

ผ่านไปไม่นาน เกาก้วนก็ปรากฏตัวในลานบ้านแห่งหนึ่ง ใช้แววตาสงบนิ่งมองซ่างกวนชิงที่นอนหมอบอย่างสาหัสอยู่บนเตียงหลังจากถูกลงโทษ

ซ่างกวนชิงตัวสั่นเทิ้ม สาเหตุเป็นเพราะเจ็บแผล และเป็นเพราะในใจเต็มไปด้วยเศร้ารันทดด้วย พยายามเอียงหน้ามองเกาก้วน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ครั้งก่อนเกาก้วนส่งองครักษ์เงาเข้าไปทรมานทในคุกใหญ่ของหน่วยตรวจการขวา ครั้งนี้ก็ตกอยู่ในมือเกาก้วนอีก โดยเฉพาะเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มีหรือที่เกาก้วนจะลงมืออย่างปรานี?

องครักษ์เงาเปป็นหน่วยกล้าตายนะ! ส่งหน่วยกล้าตายไปทรมานซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วยังจะให้พวกเขาทุ่มเทชีวิตทำงานได้อย่างไร?

แต่เขาจะพูดอะไรได้? ครั้งก่อนที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงโดนแทง ก็แค่สงสัยว่าองครักษ์เงามีปัญหา แต่ครั้งนี้มีหลักฐานพิสูจน์ชัดเจนละว่าในองครักษ์เงามีหนอนบ่อนไส้ องครักษ์ข้างกายฝ่าบาทเกิดปัญหาขึ้นแล้ว จะไม่ตรวจสอบได้อย่างไร? เขาจะหาเหตุผลอะไรไปห้าม? มิหนำซ้ำตอนนี้เขาก็มีความผิดติดตัวอยู่ด้วย!

แต่เขาก็ไม่เข้าใจอีกว่าในองครักษ์เงามีหนอนบ่อนไส้ได้อย่างไร เขาควบคุมดูแลองครักษ์เงามาหลายปี ตามที่ตัวเองสันนิษฐาน เป็นไปไม่ได้ที่องครักษ์เงาจะมีเกลือเป็นหนอน ตามหลักแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่กัวเหยียนถิงจะถูกคนอื่นปลุกระดมให้กบฏ แต่ดันเกิดช่องโหว่จากกัวเหยียนถิงแล้ว กัวเหยียนถิงเป็นอะไรกันแน่? เขาอยากจะถามกัวเหยียนถิงให้ชัดเจนไปเลย ว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่?

แต่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นแล้ว ใครจะไปเชื่อคำพูดเขาได้?

 เฮ้อ!  ซ่างกวนชิงควงหมัดชกข้างหมอนอย่างไร้เรี่ยวแรง ส่ายหน้าด้วยความจนใจ สุดท้ายก็วุกหัวลงบนหมอน…

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงขมวดคิ้วพลางเดินไปเดินมาอยู่ในสวนป่า ในใจรู้สึกกลัดกลุ้มมาก

เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ บ่าวไพร่ที่ส่งไปเฝ้าบ้านพักหลังนั้นไปโจมตีพระตำหนักอุทยานได้อย่างไร? ถ้าจะให้ส่งบ่าวไพร่คนหนึ่งไปโจมตีพระตำหนักอุทยาน แบบนั้นแสดงว่าสมองของเขามีปัญหาแล้วล่ะ? แต่คนที่ลงมือก็เป็นคนของเขา ตอนนี้ตำหนักสวรรค์ขอคำชี้แจงจากเขานั้นผิดด้วยหรือ?

เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้เรื่องแบบนี้มาทำอะไรเขา แค่ฝั่งนี้อ้างเหตุผลส่งเดชไป ผลักความรับผิดชอบให้บ่าวไพร่ไปก็สิ้นเรื่องแล้ว ตำหนักสวรรค์เองก็ไม่ได้โง่ น่าจะรู้เช่นกันว่าเขาไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ ตำหนักสวรรค์เองก็ไม่มีทางเปิดฉากต่อสู้กับเขาเพราะเหตุผลนี้เช่นกัน ลงโทษแต่ในนามนิดหน่อยเดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว

ตำหนักสวรรค์ถูกลอบจู่โจมสองครั้ง เขาเองก็สังเกตได้เช่นกันว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล เคยอยากจะถามรายละเอียด แต่ตำหนักสวรรค์ก็ปฏิเสธอย่างคลุมเครือ เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมพูดรายละเอียดให้ชัดเจน ในนั้นต้องมีอะไรในกอไผ่แน่นอน

ส่วนโกวเยว่ในตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ข้างกายเขา เพราะพาก่วงเม่ยเอ๋อร์บุตรสาวของเขาไปที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ไปเยี่ยมคำนับชิงหยวนจุน

เหตุผลก็เป็นเพราะก่วงเม่ยเอ๋อร์ชอบสภาพแวดล้อมที่อยู่ทางนั้น ก่อนหน้านี้ไปบ่อย แต่สาเหตุที่แท้จริงก็คืออยากจะให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์แต่งงานกับชิงหยวนจุน ข่าวที่เซี่ยโห้วลิ่ง ‘ป่วยตาย’ แล้วอำนาจมหาศาลของตระกูลเซี่ยโห้วตกอยู่ในมือเฉาหม่านแพร่ออกไปแล้ว ประจวบเหมาะกับที่ตระกูลเซี่ยโห้วมีการเปลี่ยนแปลง ไม่รู้ว่าประมุขชิงเกิดความคิดอะไรหรือเปล่า เขาอยากจะฉวยโอกาสนี้ทดสอบดู

สำหรับความงามของลูกสาว เขายังค่อนข้างมีความมั่นใจ จะบอกว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่ง แห่งยุคก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป ถ้าชิงหยวนจุนอดใจไม่ไหวและเกิดความสัมพันธ์กับลูกสาวตัวเอง เช่นนั้นประมุขชิงก็จะบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้แล้ว เพราะอ๋องสวรรค์คุมทัพตะวันตกอย่างเขาก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน

บางทีสำหรับชิงหยวนจุนแล้ว การแต่งงานกับก่วงเม่ยเอ๋อร์ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ในมือมีกำลังทหาร แล้วก็มีการสนับสนุนจากก่วงลิ่งกงอีก เห็นได้ชัดว่าจะทำให้ประมุขชิงเป็นกังวลได้ ดีไม่ดีอาจจะถอดอำนาจทางทหารของชิงหยวนจุนไป เพียงแต่ขอแค่ตาไม่บอดก็น่าจะดูออก ว่าแท้จริงแล้วอำนาจทางทหารของจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลไม่ได้อยู่ในมือชิงหยวนจุน แต่อยู่ในมือของประมุขชิง สำหรับก่วงลิ่งกง ตอนนี้ชิงหยวนจุนจะมีอำนาจทางทหารหรือเปล่าก็ไม่สำคัญ ต่อให้ถูกประมุขชิงตัดอำนาจทางทหารแล้วอย่างไรล่ะ? ที่สำคัญก็คือการวางหมากไว้เพื่ออนาคต ขอเพียงชิงหยวนจุนแต่งงานกับก่วงเม่ยเอ๋อร์ แล้วประมุขชิงลาโลกไปเมื่อไร ด้วยรากฐานของชิงหยวนจุน จะต้องขอการสนับสนุนจากพ่อตาอย่างเขาแน่นอน สามารถช่วยให้เขาหลบเลี่ยงไม่ให้ถูกประมุขชิงกวาดล้างคนก่อนสละราชสมบัติ ในอนาคตบ้านเขาก็จะมีราชินีสวรรค์ที่คุมวังหลัง ถือเป็นเรื่องที่ไม่เลวเลย

ที่ให้โกวเยว่ไปด้วย ก็เพราะจะให้โกวเยว่โน้มน้าวชิงหยวนจุน ว่าอย่าเอาแต่สนใจอำนาจทางทหารเล็กน้อยที่อยู่ตรงหน้า อำนาจนี้เจ้าคุมไม่ไหวหรอก ไม่สู้นำมาแลกกับการสนับสนุนจากทัพตะวันตกดีกว่า

ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล บนตึกศาลา โกวเยว่ที่เดินเล่นกับชิงหยวนจุนกำลังพูดโน้มน้ามอย่างนี้

ชิงหยวนจุนเอียงหน้ามองก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่เดินเล่นอยู่ในลานบ้านเป็นระยะ ยากจะย้ายสายตาออกจากเรือนร่างเย้ายวนของก่วงเม่ยเอ๋อร์ได้ เมื่อก่อนเขายังไม่เคยเจอหน้ากับก่วงเม่ยเอ๋อร์แบบจริงจัง แค่ได้ยินว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์สวยมาก มีคนบอกว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของตำหนักสวรรค์ เมื่อครู่เพิ่งได้เจอหน้ากันอย่างเป็นทางการ เรียกได้ว่าน่าตกตะลึงจริงๆ

จะบอกว่าเขาไม่เคยยุ่งกับผู้หญิงก็ไม่ได้ แต่เพื่อแสดงให้บิดาเห็น เพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่ได้หมกมุ่นเรื่องผู้หญิง จึงไม่เคยเก็บผู้หญิงคนไหนไว้ข้างกายเลย โดยเฉพาะหลังจากเกิดเรื่องกับสนมฉิน เขาก็ยิ่งสงบเสงี่ยมมากขึ้น ข้างกายมีเพียงสาวใช้สองคนคอยปรนนิบัติ ความงามอยู่แค่ระดับบนๆ แต่ตอนนี้ก่วงเม่ยเอ๋อร์อยู่ในช่วงอายุที่กำลังเปล่งประกาย กอปรกับลักษณะท่าทางเย้ายวนที่มาจากภายใน เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดสตรีที่มีความยั่วเพศอย่างแท้จริง ทำให้เขาตกหลุมรักสุดจิตสุดใจ หัวใจเต้นแรงทันทีที่ได้พบ

และพื้นเพชาติกำเนิดของก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็คู่ควรกับเขา เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะเป็นพระชายาโอรสสวรรค์!

โกวเยว่สังเกตปฏิกิริยาของเขาเล็กน้อย รู้ว่าชิงหยวนจุนหวั่นไหวแล้วจริงๆ ถึงพูดโน้มน้าวต่อไปว่า  องค์ชาย ท่านลองคิดดูสิ ฝ่าบาทจะยอมทนให้ตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมวังหลังไปตลอดเหรอ? ในอนาคตมีเรื่องมากมายที่พูดได้ไม่ชัดเจน! ใครจะกล้ารับประกันว่าในอนาคตฝ่าบาทจะไม่มีทายาทคนอื่นอีก? สนมสวรรค์จ้านหรูอี้คือภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด! แต่ถ้าองค์ชายแต่งงานกับคุณหนูบ้านเรา ผลที่ตามมาก็จะต่างออกไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงตระกูลเซี่ยโห้วเลย มีท่านอ๋องบ้านค่าคอยสนับสนุน ต่อให้ฝ่าบาทอยากะมีทายาทอีก แต่ก็จะต้องชั่งน้ำหนักแน่! สามารถพูดได้ว่า ถ้าองค์ชายแต่งงานกับคุณหนูของเราแล้ว ก็จะช่วยกวาดล้างอุปสรรคที่จะมาขวางทางการขึ้นครองราชย์ขององค์ชายในอนาคตได้! 

ชิงหยวนจุนถูกโน้มหนาวจนเริ่มลังเลนิดหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะช่วงนี้ได้รับการสนับสนุนทรัพยากรจำนวนมากจากเหมียวอี้ กอปรกับมีลูกน้องแอบบอกใบ้ว่ายินดีจงรักภักดีต่อเขา เกรงว่าเขาคงตอบตกลงไปแล้ว

 องค์ชาย! อำนาจทางทหารอันน้อยนิดที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นแค่ซี่โครงไก่ไร้ประโยชน์ ไม่ได้รับการควบคุมจากองค์ชายเลย องค์ชายจะมองแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ ต้องมองให้ไกล!  โกวเยว่โบกมือชี้ไปยังเงาร่างอรชรเย้ายวนที่กำลังเดินเล่นอยู่ในลานบ้าน  ขอเพียงองค์ชายตอบตกลง บ่าวก็กล้ารับประกันได้เลย เมื่อคืนนี้จะให้คุณหนูไปปฏิบัติองค์ชาย! เป็นสาวโสดบริสุทธิ์ของแท้แน่นอน ไม่มีมลทินใดๆ! ถ้าได้เป็นสามีภรรยากันในทางปฏิบัติแล้ว ฝ่าบาทก็ไม่มีทางไม่ไว้หน้าท่านอ๋อง จะต้องช่วยทำให้เกิดเรื่องมงคลแน่! องค์ชาย ยามบุปผาเบ่งบานให้รีบเด็ด อยากทำให้สาวงามผิดหวัง! 

ชิงหยวนจุนกล่าวอย่างลังเล  ให้ข้าไตร่ตรองดูสักหน่อยเป็นไร?  แม้อีกฝ่ายจะโน้มน้าวจนเขาหวั่นไหวสุดๆ แต่เขาก็ยังกลัวว่าจะยั่วให้ประมุขชิงไม่พอใจ อยากจะกลับไปปรึกษากับมารดาก่อน ไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง

ทิวทัศน์ในสวนดอกไม้ยังคงเหมือนเดิม ก่วงเม่ยเอ๋อร์ไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก เพียงแต่ที่นี่เปลี่ยนเจ้าของแล้ว

ความรู้สึกของนางเหมือนกับดอกไม้ที่ร่วงโรยอยู่ตรงหน้าดอกนี้ หดหู่!

ท่านดันพ่อให้นางมาเที่ยวเล่นที่นี่ มีหรือที่นางจะไม่รู้ถึงความคิดของท่านพ่อ? แต่นางไม่มีทางเลือก!

ก่อนหน้านี้ท่านพ่ออยากจะส่งนางให้หนิวโหย่วเต๋อ ผลปรากฏว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ยอมรับไว้

ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ยังคิดจะส่งให้นางเข้าไปเป็นสนมปรนนิบัติฝ่าบาทด้วย ผลก็คือฝ่าบาทไม่ยอมแต่งตั้งสนมสวรรค์อีก และไม่ยอมรับนางไว้ด้วย

ตอนนี้ท่านพ่อส่งนางมาให้องค์ชายโอรสสวรรค์ ไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไรอีก?

ในใจเศร้าสลดอย่างบอกไม่ถูก พบว่าตัวเองเหมือนเป็นสินค้าชิ้นหนึ่ง รอขายตอนราคาสูงมาตลอด ถูกส่งไปส่งมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ก่อนหน้านี้ท่านแม่ก็ร้องไห้และบอกกับนางเพียงคำเดียวว่า เชื่อฟัง!

โกวเยว่ออกไปได้ไม่นาน รองผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลหวังติ้งเฉาก็ทำหน้านิ่งเดินก้าวยาวมาอยู่ข้างกายชิงหยวนจุน กุมหมัดคารวะ  องค์ชาย! 

ชิงหยวนจุนเห็นเขาแล้วรำคาญ กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า  ที่นี่ไม่มีองค์ชาย! 

 นายท่านผู้สำเร็จราชการ!  หวังติ้งเฉาเปลี่ยนคำเรียก ชี้ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่เดินเล่นอยู่ในสวนพร้อมถามเสียงต่ำว่า  โกวเยว่พาผู้หญิงช่างยั่วคนนี้มาเพราะมีจุดประสงค์อะไรขอรับ? 

ผู้หญิงช่างยั่ว? ชิงหยวนจุนจ้องเขาอย่างเย็นเยียบ  เจ้ากำลังยุ่งมากเกินไปหรือเปล่า? 

หวังติ้งเฉาบอกว่า  นายท่านผู้สำเร็จราชการเหมือนจะถูกผู้หญิงช่างยั่วคนนี้มอมเมาให้หวั่นไหวแล้วนะขอรับ! ข้าน้อยเพียงอยากจะเตือนนายท่านผู้สำเร็จราชการไว้สักหน่อย ต่อให้ผู้หญิงช่างยั่วจะสวยกว่านี้ แต่ก็ใช่ว่าใครจะแตะต้องได้ เดี๋ยวจะลวกมือเอาขอรับ! 

ชิงหยวนจุนเดือดดาลนิดหน่อย กัดฟันถามว่า  ถ้าข้าชอบ ถ้าข้าจะแตะต้องนางให้ได้ล่ะ? 

เมื่อเห็นเขากำลังจะระเบิดอารมณ์ หวังติ้งเฉาก็ขมวดคิ้ว ผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนลง พร่ำบ่นด้วยความหวังดี  องค์ชาย ทุกอย่างล้วนต้องให้ความสำคัญกับสถานการณ์ภาพรวม! ถามความเห็นของฝ่าบาทก่อนก็ได้ ถ้าฝ่าบาทอนุญาตก็ว่าไปอย่าง แค่นั้นทุกอย่างก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว! ถ้าฝ่าบาทไม่อนุญาต ก็จะถือวิสาสะตัดสินใจเองไม่ได้เด็ดขาด! องค์ชาย ข้าน้อยรู้ว่าท่านไม่พอใจที่ฝ่าบาทจับตาดู แต่หากองค์ชายกลายเป็นคนที่ควบคุมไม่ได้ในสายตาฝ่าบาท แบบนั้นจะดีจริงเหรอ? ถ้ามีภาพลักษณ์แบบนี้ แล้วไปสมคบกับทัพตะวันตกอีก ท่านจะให้ฝ่าบาทคิดยังไง! อดใจไม่ไหวขนาดนั้นเชียวหรือขอรับ? 

คำพูดในช่วงแรก ชิงหยวนจุนฟังไม่เข้าหูเลย แต่คำพูดตอนท้ายกลับทำให้เขามีสีหน้าสะเทือนใจ!

จู่ๆ หวังติ้งเฉาก็คุกเข่าข้างเดียวอีก กุมหมัดคารวะกล่าวว่า  ไม่ปิดบังองค์ชาย! ก่อนที่ข้าน้อยจะมารับตำแหน่งกับองค์ชายที่นี่ ฝ่าบาทเคยมอบภารกิจลับให้ข้าน้อย ฝ่าบาทบอกข้าน้อยไว้อย่างชัดเจน ว่าให้ข้าน้อยไม่ต้องจงรักภักดีต่อฝ่าบาท แค่ต้องจงรักภักดีต่อองค์ชายคนเดียวเท่านั้น อย่าให้คนนอกมาเสี้ยมความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทกับองค์ชาย ฝ่าบาทบอกข้าน้อยไว้ชัดเจน ว่าภาารกิจของข้าน้อยมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือสนับสนุนให้องค์ชายขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น! บอกว่าถ้าองค์ชายไม่เชื่อฟัง ก็ให้ข้าน้อยอธิบายความประสงค์นี้ได้ ว่าผู้ที่สืบทอดตำแหน่งราชันสวรรค์ นอกจากองค์ชายก็ไม่มีใครแล้ว นอกเสียจากว่าองค์ชายจะวางแผนก่อกบฏ! 

 …  ชิงหยวนจุนตกใจไม่เบา เขารู้ว่าคำพูดแบบนี้หวังติ้งเฉาไม่มีทางพูดซี้ซั้ว ต้องเป็นเรื่องจริงแน่ๆ รีบลุกลี้ลุกลนประคองหวังติ้งเฉาขึ้นมาทันที ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

หลังจากหวังติ้งเฉายืนขึ้น ก็มองเงาร่างอ้อนแอ้นในสวนพร้อมบอกว่า  ถ้าองค์ชายชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ ตอนนี้ก็ยังไม่ต้องรีบขอรับ อย่าให้เรื่องนี้ทำเสียงานใหญ่ รอให้ขึ้นตำแหน่งราชันได้ก่อน มีหญิงงามแบบไหนบ้างที่อยากได้แล้วจะไม่ได้? ถ้าองค์ชายต้องการจากใจจริง ข้าน้อยก็มีแผนดีๆ ให้องค์ชาย รับรองว่าช้าเร็วผู้หญิงคนนี้ก็ต้องเป็นองค์ชาย ไม่มีใครกล้าแตะต้อง จะกลายเป็นสิ่งของในกระเป๋าองค์ชายแน่นอน! 

ชิงหยวนจุนงุนงง พอได้ยินแบบนี้แล้วก็ทำลายความรู้สึกเดิมที่เขาเคยมีต่อหวังติ้งเฉานิดหน่อย กล่าวว่า  ยินดีฟังรายละเอียด! 

 องค์ชายก็แค่ต้องประกาศออกไป เปิดเผยไปเลยว่าชอบผู้หญิงคนนี้ ถามหน่อยว่าในใต้หล้าจะมีใครกล้าแตะต้องผู้หญิงคนนี้อีกไหม ใครกล้ามาแย่งผู้หญิงกับองค์ชายบ้างล่ะ? ก่วงลิ่งกงที่วางแผนชั่วจะได้แพ้ภัยตัวเอง ทั้งยังต้องชดเชยด้วยลูกสาวหนึ่งคนอีก เขาจะได้ไม่ก่อกวนหาเรื่องอีก! ส่วนทางฝ่าบาท ข้าน้อยยอมอธิบายให้เองขอรับ!  หวังติ้งเฉากล่าว

 แผนนี้ดีมาก!  ชิงหยวนจุนหลุดขำ เพียงแต่ยังหันกลับไปมองเรือนร่างเย้ายวนในสวนอย่างเสียดายเล็กน้อย ในภายหลังก็ยังไม่รู้เลยว่าเมื่อไร กลัวว่าสาวงามจะแก่ง่าย!

แต่พอถูกหวังติ้งเฉาปลุกปั่นแบบนี้ เขาก็ไม่ร้อนใจอีกแล้ว เรื่องที่ประมุขชิงเตรียมไว้ล่วงหน้าทำให้ทัศนคติที่เขามีต่อหวังติ้งเฉาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง…

………………

 

 เกิดการลอบจู่โจมทั้งข้างนอกข้างในไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เกรงว่าจะพุ่งเป้ามาที่หลินอ้าวเสวี่ย…  มาถึงขั้นนี้แล้ว ซ่างกวนชิงไม่ปิดบังเขาเช่นกัน เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ

หลังจากฟังจบ ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ไม่มีอารมณ์มาสำราญบานใจบนความทุกข์ของคนอื่นอีก ยกแขนเสื้อปาดเหงื่อตรงหน้าผาก รู้สึกเหมือนเหงื่อซึมนิดหน่อย เขาเดาได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของหนิวโหย่วเต๋อ หรือพูดได้อีกอย่างว่า หนิวโหย่วเต๋อรู้ถึงเบื้องลึกของเฟยหงตั้งนานแล้ว หลายปีมานี้ใช้ประโยชน์เฟยหงเพื่อตบตาประมุขชิงมาตลอด ส่วนเฟยหงก็คือคนที่หน่วยตรวจการซ้ายแทรกไว้ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ เกิดช่องโหว่แบบนี้ขึ้นแต่เขากลับไม่รู้ความจริงเลยสักนิด โดยเฉพาะในเวลานี้ที่ประมุขชิงตัดสินใจจะกำจัดหนิวโหย่วเต๋อแล้ว เกรงว่าเฟยหงคนเปิดเผยข่าวเรื่องที่จะลงมือให้หนิวโหย่วเต๋อรู้ตั้งนานแล้ว ไม่แปลกใจที่ฟังเฟยหงบอกมาตลอดว่าไม่มีโอกาสเข้าใกล้หนิวโหย่วเต๋อ

และเพราะด้วยเหตุนี้เอง แสดงว่าฝั่งนั้นรู้แล้วว่าเฟยหงกำลังจะถูกเปิดโปง หนิวโหย่วเต๋อถึงได้ลงมือช่วยคนเพื่อคลายความห่วงหน้าพะวงหลังให้เฟยหง!

หรือพูดได้อีกอย่างว่า เมื่อก่อนที่ประมุขชิงปิดตาข้างเดียวให้พฤติกรรมของหนิวโหย่วเต๋อมาตลอด ก็เป็นเพราะหน่วยตรวจการซ้ายรายงานข่าวผิดๆ มาให้ เท่ากับว่าการที่หนิวโหย่วเต๋อเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ได้ เติบโตถึงขั้นที่ทำให้ประมุขชิงกังวลได้ เป็นผลงานจากหน่วยตรวจการซ้ายของเขา คิดแล้วก็เหงื่อกาฬแตกแล้วจริงๆ!

ตอนนี้เขายิ้มไม่ออกแล้วจริงๆ ความรับผิดชอบไม่ได้น้อยกว่าซ่างกวนชิงเลย เมื่อเทียบกับพวกโพ่จวินที่อยู่ข้างนอกแล้ว เขาเกิดปัญหาใหญ่ยิ่งกว่า ยังจะมีอารมณ์มาหัวเราะเยาะความทุกข์ของคนอื่นได้อย่างไร เขาเริ่มพูดจาไม่คล่องแล้ว ถามอย่างวิตกกังวลว่า  ซ่างกวน ทำยังไงดี? 

 เรียกเจ้ามาเพราะอยากจะฟังความเห็นของเจ้า แล้วเตรียมจะทำยังไง?  ซ่างกวนชิงถาม

ซือหม่าเวิ่นเทียนคว้าข้อมือเขา  ซ่างกวน นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เดี๋ยวถ้าฝ่าบาทรู้แล้ว ทั้งเจ้าทั้งข้าก็ผลักความผิดไปให้ใครไม่ได้! 

ซ่างกวนชิงผลักมือเขาออก มองไปรอบๆ แล้วกล่าวเสียงต่ำอย่างแฝงความหมายล้ำลึก  มีความเป็นไปได้มากว่าอีกประเดี๋ยวฝ่าบาทจะเรียกเกาก้วน ต้องให้เกาก้วนสืบเรื่องนี้แน่! 

 อืม!  ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้า แล้วกล่าวเสียงต่ำ  ทำไมผู้การใหญ่ไม่เชิญเกาก้วนมาคุยกันสักหน่อยล่ะ? 

ซ่างกวนชิงบอกว่า  ติดต่อเกาก้วนไปแล้ว อีกไม่นานก็คงมาถึง 

ซือหม่าเวิ่นเทียนกะพริบตา รู้ถึงความคิดของซ่างกวนชิงแล้ว สงสัยจะเรียกคนมาเพื่อปรึกษาเรื่องนี้กันก่อน กลัวว่าคนเดียวจะโน้มน้าวเกาก้วนไม่ไหว ก็เลยต้องดึงเขามาเพิ่มน้ำหนักด้วย จะได้โน้มน้าวให้เกาก้วนลงมืออย่างปรานีได้

เป็นอย่างที่ซ่างกวนชิงบอก เกาก้วนมาแล้ว นำกำลังพลของหน่วยตรวจการขวากลุ่มหนึ่งลงมาเหยียบนอกประตูใหญ่ของพระตำหนักอุทยาน

อุดมการณ์สูงส่ง สีหน้าเรียบเฉยเหมือนอย่างเคย มีลักษณะท่าทางไม่น่าเข้าใกล้อยู่ตลอด สวมหมวกทรงสูงสีดำ ชุดคลุมสีดำทั้งตัวปลิวสะบัดตามลม

พอเขามาถึง สมาชิกที่รวมตัวอยู่ตรงประตูก็หลีกทางให้เดิน ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น ว่าเมื่อเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ก็ย่อมต้องให้หน่วยตรวจการขวาของเกาก้วนดูแล ใครกล้าขวางทาง ผู้พิพากษาหน้าตายคนนี้ก็ฆ่าคนแบบตาไม่กะพริบได้เลย ต่อให้เป็นโพ่จวินที่เคยด่าเกาก้วนว่าขุนนางทรราช ตอนนี้ก็ต้องโบกไม้โบกมือให้ลูกน้องหลีกทางเช่นกัน

ทำกลางสายตาฝูงชน เกาก้วนยืนตรง รองเท้ายาวสีดำพื้นขาวใต้ชุดคลุมก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ผ้าคลุมปลิวสะบัดอยู่ข้างหลัง มาหยุดยืนตรงหน้าศพร่างนั้น จ้องประเมินศพด้วยสายตาเย็นชา สมาชิกหน่วยตรวจการขวายืนเรียงแถวอยู่ทางฝั่งซ้ายและขวาของเกาก้วน

เกาก้วนพาคนมา ย่อมเป็นเพราะได้ยินเรื่องนี้แล้วเช่นกัน

 มีใครรู้บ้างว่าคนตายคือใคร?  เกาก้วนกวาดสายตาเย็นชามองกลุ่มคนพร้อมเอ่ยถามเสียงเรียบ

คนที่ยศน้อยพยายามไม่พูดอะไร ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องนี้จริงๆ แล้วถูกเกาก้วนพาตัวไปหน่วยตรวจการขวา แบบนั้นก็จะอึดอัดแล้ว

กลับเป็นโพ่จวินที่โบกมือให้ลูกน้อง มีคนผลักพ่อบ้านชั่วคราวที่ดูแลเรือนพักของก่วงลิ่งกงออกมา โพ่จวินบอกบว่า  คนลอบโจมตีที่ตายไปเป็นบ่าวในเรือนพักที่อุทยานหลวงของจวนตระกูลก่วง พ่อบ้านของเรือนพักจวนตระกูลก่วงยืนยันแล้ว 

เกาก้วนจ้องพ่อบ้านคนนั้นพร้อมเอ่ยถาม  จริงหรือเปล่า? 

พ่อบ้านคนนั้นพยักหน้าอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย  ใช่ขอรับ! แต่ว่านายท่านเกา เรื่องนี้จวนตระกูลก่วงของพวกเราไม่รู้เรื่องจริงๆ! 

 นำตัวคนกับศพไป!  เกาก้วนกล่าวเรียบๆ แล้วเอียงหน้าบอกอีกว่า  ควบคุมทุกคนที่อยู่ในเรือนพักจวนตระกูลก่วงเอาไว้! 

 ขอรับ!  มีคนเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไปปฏิบัติตามทันที หิ้วพ่อบ้านคนนั้นเดินออกไปเลย ศพบนพื้นก็เก็บไปแล้วเช่นกัน

เกาก้วนบอกโพ่จวินอีกว่า  รบกวนผู้บัญชาการองครักษ์ซ้ายส่งกำลังพลกลุ่มหนึ่งไปให้ความร่วมมือด้วย 

โพ่จวินพยักหน้า แล้วโบกมือชี้เลือกแม่ทัพคนหนึ่งให้นำคนตามคนของหน่วยตรวจการขวาไปที่เรือนพักจวนตระกูลก่วง

เกาก้วนกวาดสายตามองกลุ่มคน แล้วถามอย่างเยียบเย็นว่า  ใครคือพยานที่เห็นกับตา? 

ผ่านไปครู่เดียว ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งก็ยืนออกนอกแถวอย่างอึดอัดเล็กน้อย

เกาก้วนบอกเพียงประโยคเดียวว่า  พาทั้งหมดกลับไปสืบสวนอย่างเข้มงวดที่หน่วยตรวจการขวา! 

จับพวกเราไปทำไม? ทหารสวรรค์พวกนั้นรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม พากันมองไปทางโพ่จวิน วันนี้เป็นเวรของหน่วยองครักษ์ซ้ายของโพ่จวินพอดี ทว่าโพ่จวินก็คงความเงียบไว้ตลอดเช่นกัน เมื่อเกิดเรื่องประเภทนี้ขึ้น เขาเองก็ไม่สะดวกจะห้ามไม่ให้เกาก้วนสืบคดี

เมื่อนำพยานกลุ่มนี้ไป เกาก้วนก็กล่าวอย่างเยียบเย็นอีก  เก็บกวาดพื้นที่ ตรวจสอบกันตรงนี้เลย! 

พอสมาชิกในที่เกิดเหตุเก็บกวาดแล้ว เกาก้วนสะบัดชายเสื้อ เดินเข้าไปในพระตำหนักอุทยานอย่างไม่รีบร้อน ไม่มีใครกล้าขัดขวาง

ในตึกศาลา เมื่อเห็นเกาก้วนมาถึง ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนก็เข้ามาต้อนรับด้วยกัน

เดินเข้ามาในทางเดินของตึก พอเกาก้วนเห็นท่าทีของสองคนนี้ ก็ตระหนักได้ทันทีว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แค่ถามเสียงเรียกว่า  ผู้การใหญ่นัดข้ามา ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรจะกำชับ? 

ซ่างกวนชิงส่ายหน้าถอนหายใจ  เกาก้วน ไม่ปิดบังเจ้านะ เกรงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะยุ่งยากแล้ว…  เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ ทันที

หลังจากเกาก้วนฟังจบ ดูจากสายตาสื่อความหวังของทั้งสองก็พอเข้าใจอะไรบางอย่างได้แล้ว ถามอย่างใจเย็นว่า  รายงานเรื่องนี้ต่อฝ่าบาทหรือยัง? 

ซือหม่าเวิ่นเทียนกุมหมัดคารวะยิ้มเจื่อน  เรื่องนี้พวกเราต้องรับผิดชอบไม่น้อยเลยจริงๆ อีกประเดี๋ยวฝ่าบาทต้องให้เจ้าไปตรวจสอบแน่ หวังว่าพี่เกาจะใจกว้างปรานี ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทคงไม่ให้อภัยพวกเราง่ายๆ แน่! 

ซ่างกวนชิงก็พยักหน้ายิ้มอย่างขมขื่นเช่นกัน เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาเดียวกัน

เกาก้วนเงียบไปพักหนึ่ง แล้วถามด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ว่า  ทั้งสองรู้ถึงผลที่ตามมาจากการปิดบังเรื่องนี้หรือเปล่า? เรื่องแบบนี้ถ้าพวกเราร่วมมือกันปิดบัง ผู้การข้างกายฝ่าบาท หน่วยตรวจการซ้ายขวา ทั้งสองลองชั่งน้ำหนักดูสักหน่อยเถอะ ถ้าให้ฝ่าบาทรู้เข้า เกรงว่าพวกเราจะรักษาหัวไว้ไม่ได้ แบบนี้เท่ากับบีบให้ฝ่าบาทเปลี่ยนคน! แล้วฝั่งหนิวโหย่วเต๋อเราก็ยังไม่รู้สถานการณ์ว่าเป็นยังไง ถ้าหลินอ้าวเสวี่ยโผล่หน้าอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋ออย่างเปิดเผยจะทำยังไง? พวกเราจะแอบติดต่ออย่างลับๆ กับหนิวโหย่วเต๋อได้เชียวเหรอ? 

 หลินอ้าวเสวี่ยคือนักโทษที่ถูกกำหนดชื่อไว้แล้ว ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อใจกล้ากว่านี้ แต่ก็ไม่มีทางให้หลินอ้าวเสวี่ยเปิดเผยตัวต่อสาธารณะหรอก?  ซือหม่าเวิ่นเทียนไม่แน่ใจ

 เรื่องนี้มีความเคลื่อนไหวไม่ใช่เล็กๆ เจ้ากล้ารับประกันไหมว่าในมือฝ่าบาทไม่มีสายลับคนอื่นแล้ว?  เกาก้วนถามเสียงเย็น

แค่ประโยคเดียวเท่านั้น ก็ทำให้ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนพูดไม่ออก ถ้าฝ่าบาทรู้เรื่องนี้จากช่องทางอื่นล่ะ ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงจนไม่อยากจินตนาการถึง

เกาก้วนถอนหายใจอย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก  ตามความเห็นของข้า ทั้งสองรายงานต่อฝ่าบาทอย่างซื่อสัตย์เถอะ! แม้ฝ่าบาทจะเดือดดาล และอาจจะทำโทษ แต่โทษก็ยังไม่ถึงตาย อีกทั้งเรื่องนี้ก็ยังเกี่ยวข้องกับโพ่จวินและอู๋ฉวี่ด้วย ฝ่าบาทจะฆ่าพวกเราตายให้หมดเชียวหรือ? คนทำผิดเยอะก็ลงโทษไม่ไหว ถ้าพวกเราปิดบัง เช่นนั้นโพ่จวินกับอู๋ฉวี่ก็จะไม่เป็นอะไร แต่พวกเราต้องตายแน่นอน! 

ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนสบตากันอย่างพูดไม่ออก…

ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงวางฝ่ามือสองข้างบนโต๊ะ เอนกายมาข้างหน้าเล็กน้อย เรากับเสือดุที่ซุ่มหมอบ แววตาเยียบเย็นล้ำลึก กวาดสายตามองคนที่อยู่เบื้องล่างทีละคน แล้วกล่าวอย่างแข็งกระด้างว่า  ขนาดอยู่ใต้หนังตาข้า ดาบเกือบจะมาพาดคอข้าแล้ว! 

ซ่างกวนชิง ซือหม่าเวิ่นเทียน โพ่จวิน อู๋ฉวี่ ทั้งหมดก้มหน้าเล็กน้อยและไม่พูดอะไร มีเพียงเกาก้วนยืนตรงด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ เพราะเขาไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้เลยสักนิด

สถานการณ์ของเรื่องนี้ พวกเขาปรึกษากันคร่าวๆ ก่อนแล้ว เมื่อเปิดเผยเรื่องนี้ให้คนปากมากอย่างโพ่จวินรู้ ก็หมายความว่าไม่มีใครกล้าปิดบังอีก อีกฝ่ายเพิ่งจะรายงานเรื่องทั้งหมดให้ประมุขชิงฟัง และเมื่อคนพวกนี้ปรึกษากัน ความเป็นไปของเรื่องราวก็ยิ่งเด่นชัด กัวเหยียนถิงฉวยโอกาสหนีไปแล้วจริงๆ ฝั่งกองทัพองครักษ์มีคนเห็นกับตา

คนที่ยืนอยู่เบื้องล่างไม่มีใครกล้าพูดอะไร

ประมุขชิงเดินอ้อมออกมาจากโต๊ะยาว เดินเนิบนาบมาถึงข้างกายของพวกเขา แล้วยกเท้าเตะซ่างกวนชิงล้มลงพื้น

ซ่างกวนชิงเอามือเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก แล้วรีบลุกขึ้นมาคุกเข่าก้มหน้า

ประมุขชิงชี้เขาพลางแสยะยิ้ม  ไม่น่าเชื่อว่าในองครักษ์เงาจะมีหนอนบ่อนไส้ ยังเข้าออกสถานที่ฝึกตนของข้าบ่อยอีก ถ้าจะเชื่อใจเจ้าได้ยังไง เจ้าตอบแทนข้าอย่างนี้น่ะเหรอ? 

ซ่างกวนชิงโขกศีรษะกับพื้น กล่าวอย่างเกรงกลัวว่า  บ่าวทรยศความเมตตาของฝ่าบาท โทษนี้สมควรตายหมื่นครั้ง! 

 ทหาร!  ประมุขชิงตะโกนไปด้านนอกประตู

ด้านนอกประตูมีทหารพุ่งเข้ามาหลายคน ซ่างกวนชิงเงยหน้า มองประมุขชิงด้วยแววตาน่าสงสาร

ประมุขชิงชี้เขา  ลากเขาออกไป…  สบตากับซ่างกวนชิงครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็สั่งว่า  ลงโทษ ยี่สิบแส้สยบมังกร! 

 ขอบพระทัยฝ่าบาท! ขอบพระทัยฝ่าบาท…  ซ่างกวนชิงแทบจะสะอื้น ไม่ได้สั่งตัดหัวเขา ก็แสดงว่าจะไว้ชีวิตเขา ยี่สิบแส้สยบมังกรแม้จะทำให้คนตายได้ แต่ก็ใช่ว่าเบื้องล่างจะไม่รู้กาลเทศะจนทำให้เขาถึงตาย

มีคนมาดึงแขนซ้ายขวาออกไปทันที ซ่างกวนชิงตะโกนขอบคุณตลอดทาง

 เจ้า!  ประมุขชิงเอานิ้วจิ้มหน้าอกซือหม่าเวิ่นเทียน เขาคุกเข่ากับพื้นทันที

ประมุขชิงแค้นจนกัดฟันกรอด  นี่คือสายลับที่เจ้าแทรกไว้เหรอ? นี่คือผลงานที่เจ้าภูมิใจนักภูมิใจหนางั้นเหรอ? ไม่น่าเชื่อว่าหน่วยตรวจการซ้ายของข้ากำลังสู้กับข้า! 

 ข้าน้อยสมควรตายหมื่นครั้ง!  ซือหม่าเวิ่นเทียนเอาศีรษะโขกพื้นอย่างหวาดกลัว

 ทหาร! ลากออกไป ลงโทษยี่สิบแส้สยบมังกร! 

มีทหารหลายคนเพิ่งเข้ามา หนีบแขนซือหม่าเวิ่นเทียนลากออกไปโดยตรง

 ยังมีพวกเจ้าสองคนอีก!  ประมุขชิงโบกมือชี้ไปที่โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ ตะคอกอย่างโมโห  ทักอารักขาของข้าตาบอดกันหมดหรือไง? ปล่อยให้ใครคิดจะเข้าก็เข้ามาได้ คิดจะออกก็ออกไปได้ เห็นบ้านของข้าเป็นสถานที่ไร้คนเหรอ ข้าจะมีพวกเจ้าไว้ทำอะไร? ปกติจะชอบโวยวายไม่ใช่เหรอ?  เข้าเน้นชี้ไปที่โพ่จวิน โมโหจนแทบคำรามแล้ว!

โพ่จวินกับอู๋ฉวี่คุกเข่าข้างเดียวทันที ก้มหน้าบอกว่า  ข้าน้อยสมควรตายหมื่นครั้ง! 

 ทหาร! ลากออกไป ลงโทษด้วยแส้สยบมังกรคนละห้าที ถ้ามีครั้งหน้าอีก ตัดหัวไม่ละเว้น! 

 ขอบพระทัยฝ่าบาท!  ทั้งสองกุมหมัเคารวะพร้อมกัน ครั้งนี้โพ่จวินไม่กล้าเถียงแม้แต่ครึ่งคำ

มีทหารพุ่งเข้ามาอีกหลายคน ลากทั้งสองออกไปเช่นกัน

ประมุขชิงเหล่ตามองเกาก้วนแวบหนึ่ง หาเหตุผลมาตำหนิเกาก้วนไม่ได้ โมโหจนเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา

เกาก้วนไม่พูดอะไร ยืนนิ่งอย่างเย็นชาอยู่อย่างนั้น

สุดท้ายประมุขชิงก็หยุดอยู่ตรงหน้าเกาก้วน ถามว่า  เรื่องนี้เจ้าคิดว่ายังไง? 

 น่าจะเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อขอรับ!  เกาก้วนกล่าว

 ตอนนี้ข้ายังต้องฟังเจ้าพูดเหลวไหลอีกมั้ย?  ประมุขชิงจิ้มหน้าอกเขา แล้วถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ  ข้าถามเจ้าว่าควรจะทำอย่างไร? 

เกาก้วนตอบเสียงเย็นว่า  ในปีนั้นที่ตรวจสอบองครักษ์เงา ข้าน้อยก็เคยบอกแล้ว รู้สึกว่าองครักษ์เงามีปัญหา แต่สุดท้ายฝ่าบาทก็ทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก ตอนนี้…ข้าน้อยไม่มีอะไรจะพูดแล้ว! 

………………

 

อาณาเขตดาวนิรนาม บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง จั่วเอ๋อร์กับหนานโปกำลังยืนรอเงียบๆ บนยอดเขา

หลังจากสร้างความเคลื่อนไหวตรงทางออกอาณาเขตดาววังสวรรค์แล้ว พวกเขาก็หนีเข้ามาในอาณาเขตดาวนิรนามเสียเลย หลบเลี่ยงการตรวจสอบ ก่อนหน้านี้สำรวจเส้นทางไว้เรียบร้อยแล้ว

 ผู้อาวุโส คนมาแล้ว  จั่วเอ๋อร์เตือน

หนานโปที่กำลังหลับตานั่งสมาธิลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เห็นเพียงตรงจุดลึกในดาราจักรมีเงาคนเหาะมาอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นกัวเหยียนถิงนั่นเอง

กัวเหยียนถิงเหาะมาเหยียบลงแล้วทำความเคารพตรงหน้าหนานโป จากนั้นก็มอบแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งให้

หนานโปมองของในแหวนเก็บสมบัติแวบหนึ่ง เป็นสตรีวัยกลางคนนอนเงียบอยู่ในนั้น ถามว่า  นางคือหลินอ้าวเสวี่ยเหรอ? 

 ไม่ผิดแน่ นางคือหลินอ้าวเสวี่ย ฮูหยินของอดีตเทพประจำดาวมะโรงดิน ไท่ซูเหวินชาง ก่อนที่จะเข้ามารับโทษในนี้ ผู้น้อยรู้จักนาง  กัวเหยียนถิงตอบ

หนานโปนำแหวนเก็บสมบัติให้จั่วเอ๋อร์แยกแยะอีก

จั่วเอ๋อร์เห็นแล้วแอบทึ่ง ตอนนี้เอาคนออกมาแล้ว คาดว่าอีกประเดี๋ยวประมุขชิงต้องโมโหจนเป็นบ้าแน่นอน หนังพยักหน้า  ไม่ผิดหรอก เป็นหลินอ้าวเสวี่ย 

ได้รับการยืนยันแล้วก็พอ หนานโปลงมือจิ้มบนตัวกัวเหยียนถิงหลายครั้ง เขาไม่มีทางหลบได้ ปล่อยให้หนานโปควบคุมวรยุทธ์ตัวเอง

หนานโปใช้ฝ่ามือตบกบาลกัวเหยียนถิงหนึ่งที กัวเหยียนถิงตาเหลือกสลบไป โดนหนานโปควบคุมไว้ จากนั้นถือโอกาสนั่งขัดสมาธิบนพื้น

ผ่านไปไม่นาน ด้ายสีทองห้าเส้นก็โผล่ออกมาจากศีรษะของกัวเหยียนถิง กลับเข้ามาในมือของหนานโป

พระปีศาจสะบัดแขนเสื้อเก็บกัวเหยียนถิง แล้วโบกมือปล่อยตู้เฉียวที่กำลังสลบออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ปล่อยด้ายสีทองเขาศีรษะตู้เฉียวอีกครั้ง

ไม่อาจปล่อยกัวเหยียนถิงกลับไปได้อีกแล้ว เมื่อเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น อีกไม่นานทางตำหนักสวรรค์จะต้องสืบมาถึงตัวกัวเหยียนถิงแน่ สำหรับหนานโปแล้ว ตอนนี้กัวเหยียนถิงไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ทำได้เพียงเก็บไว้เตรียมใช้งาน แต่สำหรับตู้เฉียวนั้นไม่เหมือนกัน ยังไม่โดนเปิดโปง บางทีอาจจะแสดงประโยชน์ได้มากกว่านี้

หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว หนานโปก็ให้ตู้เฉียวฟื้นขึ้นมา ตู้เฉียวที่กำลังนั่งสมาธิอยู่บนพื้นลุกขึ้นยืนทำความเคารพ

หนานโปกำชับว่า  ทางวังสวรรค์เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย จะรีบกลับไป จะได้ไม่มีใครสงสัยมาถึงตัวเจ้า ตรงไปตามทิศทางนั้น ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็จะถึงอาณาเขตดาวที่เจ้าคุณเคย  ขณะที่พูดมือก็ชี้ไปทางนั้น

 รับทราบ!  ตู้เฉียวเอ่ยรับคำสั่งแล้วจากไป เหาะตรงไปยังทิศทางที่หนานโปชี้บอก ไม่เคลือบแคลงสักนิด

หนานโปหันกลับมาบอกใบเล็กน้อย จั่วเอ๋อร์เข้าใจ จึงปล่อยหลินอ้าวเสวี่ยออกมา คลายผนึกวรยุทธ์บนตัวนาง ทำให้นางฟื้นขึ้นมาแล้ว

เมื่อเห็นคนแปลกหน้าสองคน ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเป็นคนรู้จักคนหนึ่ง หลินอ้าวเสวี่ยที่ฟื้นขึ้นมาจำจั่วเอ๋อร์ได้ กล่าวอย่างตกใจว่า  พ่อบ้านจั่วเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าท่าน…  แม้เฟยหงจะไม่เคยบอกนางเรื่องตระกูลอิ๋ง แต่ก็มีคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลอิ๋งที่ถูกลงโทษส่งเข้าไปในสถานที่เดียวกับนาง เคยได้ยินนักโทษหญิงพูดถึง ดังนั้นนางจึงรู้ว่าอิ๋งจิ่วกวงถูกโค่นล้มแล้ว

เมื่อมองไปรอบๆ อีกครั้ง หลินอ้าวเสวี่ยก็หวาดระแวงสงสัยไม่หยุด ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดจั่วเอ๋อร์จึงมาปรากฏอยู่ข้างกายตน

เงาคนที่เป็นแสงสีทองชนเข้ามาในแผ่นหลังนาง วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปออกจากร่างแล้ว เข้ามาสิงในร่างกายนางแทน นางสะลึมสะลือทันที

หลังจากรอไปสักพัก วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ออกมาอีกครั้ง กลับเข้าไปในกายหยาบก่อนหน้านี้

หนานโปที่นั่งขัดสมาธิลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ จ้องหลินอ้าวเสวี่ยที่กำลังหลับตา เขาทำสีหน้าแปลกใจ พึมพำว่า  น่าสนใจ ที่แท้จุดประสงค์ที่แท้จริงของหนิวโหย่วเต๋อก็คืออยากช่วยผู้หญิงคนนี้มา เกือบแสดงความโง่เขลาแล้ว… 

 ผู้อาวุโส มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?  จั่วเอ๋อร์ถาม

หนานโปถามกลับ  หนิวโหย่วเต๋อมีอนุภรรยาคนหนึ่ง ชื่อว่าเฟยหง เจ้าเคยได้ยินหรือเปล่า? 

จั่วเอ๋อร์พยักหน้า  ใช่แล้ว! มีคนคนนี้อยู่ เดิมทีผู้หญิงคนนี้อยู่ที่หอคณิกา แต่กลับถูกหนิวโหย่วเต๋อบังคับขืนใจ ตอนหลังได้แม่บุญธรรมออกหน้าให้ เป็นแม่เฒ่าลวี่ของสวนกลางเขียวขจี หนิวโหย่วเต๋อเลยถูกบีบให้รับไว้เป็นอนุภรรยา ได้ยินว่าตอนนี้อยู่กับหนิวโหย่วเต๋ออย่างสบายดี 

หนานโปกล่าวกลั้วหัวเราะ  เฟยหงนั่นคือสายลับที่หน่วยตรวจการซ้ายแทรกไว้ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ ส่วนหลินอ้าวเสวี่ยคนนี้ก็คือมารดาแท้ๆ ของเฟยหง! 

 เฟยหงเป็นสายลับของหน่วยตรวจการซ้ายเหรอ? เช่นนั้นทำไมหนิวโหย่วเต๋อต้องช่วย…  จั่วเอ๋อร์ที่กำลังตกใจชะงักไปชั่วขณะ แล้วก็ตบหน้าผากตัวเอง เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน  ค่ะเข้าใจแล้ว หนิวโหย่วเต๋อคงจะรู้ถึงตัวตนเฟยหงมาตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งสองฝ่ายน่าจะทำข้อตกลงกันเรียบร้อย เฟยหงกลายเป็นแผนซ้อนแผนในมือหนิวโหย่วเต๋อ ส่วนหนิวโหย่วเต๋อก็ช่วยมารดาของเฟยหง! หรือพูดได้อีกอย่างว่า หนิวโหย่วเต๋อใช้ประโยชน์เฟยหงเพื่อได้ความเชื่อใจจากวังสวรรค์มาตลอด มิน่าล่ะ ไม่แปลกใจที่เมื่อก่อนประมุขชิงปิดตาข้างเดียวกับพฤติกรรมของหนิวโหย่วเต๋อเสมอ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้… 

หนานโปส่ายหน้าเดาะลิ้น  อ้อมค้อมอยู่ตั้งนาน ไม่น่าเชื่อว่าจะต้องการช่วยผู้หญิงคนนี้ ไอ้เด็กนี่ไม่ได้ปลิ้นปล้อนธรรมดา! 

จั่วเอ๋อร์ขมวดคิ้วสงสัยอีก  ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่ธรรมดา ไม่ใช่แค่บรรลุข้อตกลงร่วมกัน หนิวโหย่วเต๋อเดินมาถึงขั้นนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องสนใจมาทำข้อตกลงอะไรกับเฟยหงเลย แต่หนิวโหย่วเต๋อก็ยังทุ่มกำลังความคิดเพื่อช่วยเหลือ พอเป็นแบบนี้ ก็รู้เลยว่าหนิวโหย่วเต๋อมีคุณธรรมน้ำมิตรต่อเฟยหงจริงๆ…ไท่ซูเหวินชางประสบเคราะห์กรรมทั้งตระกูล แต่ลูกสาวเขาก็ยังเจอกับผู้ชายแบบนี้ได้ นับว่าวิญญาณของไท่ซูเหวินชางอวยพรแล้ว  ในคำพูดแฝงความรู้สึกสะท้อนใจอยู่หลายส่วน

 แบบนี้ก็พอดีเลยไม่ใช่เหรอ?  หนานโปยิ้มเรียบ

จั่วเอ๋อร์พยักหน้า เข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อรักเฟยหงขนาดนั้น ก็ยิ่งมีความมั่นใจที่จะนำหลินอ้าวเสวี่ยมาแลกกับสมุนไพรจิตวิญญาณแล้ว

 ไปกันเถอะ!  หนานโปโบกแขนเสื้อเก็บหลินอ้าวเสวี่ย แล้วเหาะนำไปที่ดาราจักร

ในเมื่อทั้งสองมีหนทางมา ก็ย่อมมีหนทางออกไปจากที่นี่…

พระตำหนักอุทยาน ซ่างกวนชิงกำลังเดินไปเดินมาอย่างร้อนรนอยู่บนตึกศาลา ร้อนใจเรากับถูกไฟเผา

สำหรับเขา ต้นตอของเรื่องนี้สืบได้ไม่ยาก ตอนแรกมีคนจู่โจมตรงนอกประตูใหญ่ของพระตำหนักอุทยาน ตามติดด้วยการโจมตีตรงทางออกอาณาเขตดาววังสวรรค์ สองเรื่องนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน จะไม่ให้นำสองเรื่องนี้มาคิดโยงกันก็คงยาก มีเรื่องบังเอิญอย่างนี้เสียที่ไหน ทั้งสองแห่งล้วนไม่ใช่สถานที่ธรรมดา จะถูกลอบจู่โจมได้อย่างไร?

เรื่องทางออกอาณาเขตดาววังสวรรค์ เขาจะไม่ต้องสนใจก็ได้ เพราะนั่นคือความรับผิดชอบของกองทัพองครักษ์ แต่เรื่องที่เกิดทางฝั่งพระตำหนักอุทยาน เขาย่อมต้องสืบให้รู้ชัดเจน เหตุใดจึงเกิดเรื่องที่พระตำหนักอุทยานได้ล่ะ? ในพระตำหนักอุทยานซ่อนความลับอะไรเอาไว้ เขานั้นรู้ดีที่สุด หลังจากเกิดเรื่องก็ไปตรวจสอบสถานที่หลอมสมบัติทันทีว่ามีพิรุธอะไรหรือเปล่า

ตอนยังไม่ตรวจสอบก็ยังดีอยู่ พอตรวจสอบแล้วถึงได้ตกใจ พบว่าคนในสถานที่หลอมสมบัติหายไปคนหนึ่ง ดันไม่ใช่ใครที่ไหน ไม่น่าเชื่อว่าหลินอ้าวเสวี่ยจะหายไป!

หลินอ้าวเสวี่ยเป็นมารดาของเฟยหง เฟยหงเป็นอนุภรรยาคนโปรดของหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ ตอนนี้ฝ่าบาทต้องการยืมแรงเฟยหงกำจัดหนิวโหย่วเต๋อ ต้องการวางอุบายกำจัดอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก และเป็นเรื่องน่าอับอายที่เปิดเผยไม่ได้ด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจุดที่ตัวเองเฝ้าดูแลจะเกิดช่องโหว่อย่างนี้ขึ้น!

ทำไมถึงเป็นหลินอ้าวเสวี่ยที่หายไป? เรื่องนี้ไม่ต้องทบทวนอะไรมากเลย แค่ลองคิดเชื่อมโยงดูก็รู้ความจริงแล้ว ใต้หล้านี้จะมีใครที่ทุ่มกำลังความคิดเพื่อช่วยหลินอ้าวเสวี่ยล่ะ? นอกจากเฟยหงแล้วยังมีคนอื่นอีกหรือ? เป็นไปไม่ได้ที่เฟยหงจะมีความสามารถอย่างนี้ ใช่ว่าทุกคนจะมีหนทางลงมือในอาณาเขตวังสวรรค์? มีเพียงผู้ชายที่อยู่เบื้องหลังเฟยหงที่อาจจะมีความสามารถนี้ ถ้าจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อ ซ่างกวนชิงก็กล้าเอาหัวเป็นประกันได้เลย!

เมื่อสืบเจอว่าหลินอ้าวเสวี่ยหายตัวไป ก็ย่อมต้องสืบว่าหายไปได้อย่างไร ก่อนเกิดเรื่องมีใครเข้าออกบ้าง แค่ถามก็กระจ่างแล้ว กำหนดเป้าหมายไปที่กัวเหยียนถิงทันที ซ่างกวนชิงยอมติดต่อกัวเหยียนถิงเพื่อยืนยันทันที ผลปรากฏว่ากัวเหยียนถิงหายไปแล้ว หาไม่พบแล้ว ขาดการติดต่อไปแล้ว!

หลังจากรู้ข่าวนี้แล้ว ซ่างกวนชิงก็รู้สึกโง่ไปเลย ตกใจจนเหงื่อท่วมตัว น่ากลัวกว่าการที่หลินอ้าวเสวี่ยหายตัวไปเสียอีก ไม่น่าเชื่อว่าในองครักษ์เงาจะมีหนอนบ่อนไส้ ทั้งยังเป็นคนตำแหน่งสำคัญในองครักษ์เงาด้วย!

ครั้งนี้ทำให้ซ่างกวนชิงตกตะลึงพรึงเพริดแล้วจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าคนขององครักษ์เงาจะสมคบกับหนิวโหย่วเต๋อ ข้างนอกและข้างในทำงานประสานกัน ช่วยหลินอ้าวเสวี่ยออกไปใต้หนังตาประมุขชิง จะให้เขาชี้แจงกลับประมุขชิงอย่างไร? ที่ประมุขชิงเคยสั่งไว้ว่าให้สืบให้ชัดเจนคืออะไร หลังจากสืบชัดแล้วเขาจะกล้ารายงานขึ้นไปได้อย่างไร? ถ้าประมุขชิงรู้แล้วจะต้องถลกหนังเขาแน่นอน อุตส่าห์มอบกำลังทหารที่ไว้ใจได้ที่สุดให้เขาดูแล แต่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะทำให้กลายเป็นอย่างนี้ไปแล้ว!

นอกพระตำหนักอุทยาน เรื่องนี้สะเทือนไปถึงโพ่จวินกับอู๋ฉวี่แล้ว มีคนลอบโจมตีอยู่ด้านนอกก็ว่าหนักแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนลอบจู่โจมพระตำหนักอุทยานที่ราชันสวรรค์ไปพักบ่อยๆ อีก ทหารยามล้วนเป็นคนของกองทัพองครักษ์ มีหรือที่ทั้งสองจะไม่รีบสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจน อย่างน้อยก็ต้องแน่ใจว่าไม่มีเรื่องอะไรร้ายแรง

ผ่านไปครู่เดียวก็มีคนเหาะลงมาอีกคน เป็นทูตซ้ายซือหม่าเวิ่นเทียน ชำเลืองมองสภาพประตูแวบหนึ่ง แล้วเดินไปข้างกายอู๋ฉวี่ ถามว่า  เรื่องเป็นยังไง? 

อู๋ฉวี่มองคนที่นอนตายอยู่บนพื้น ขมวดคิ้วตอบว่า  มีคนบ้าโผล่มารนหาที่ตาย ไม่น่าเชื่อว่าจะเอาชีวิตมาทิ้งโดยไม่มีเหตุผล 

ซือหม่าเวิ่นเทียนแสยะยิ้ม  เกรงว่าจะไม่ธรรมดาขนาดนั้นมั้ง? ข้าได้ยินมาว่าข้างนอกก็โดนจู่โจมแล้วเหมือนกัน บริเวณวังสวรรค์เกิดเรื่องต่อเนื่องกัน จะบังเอิญได้ยังไง? ตรวจสอบตัวตนของเขาหรือยัง? 

อู๋ฉวี่ขมวดคิ้วมุ่น  ยืนยันแล้ว เป็นบ่าวคนหนึ่งในเรือนพักของก่วงลิ่งกง 

 ก่วงลิ่งกงกินยาผิดแล้วละมั้ง? ส่งบ่าวมาโจมตีพระตำหนักอุทยานเหรอ?  ซือหม่าเวิ่นเทียนหัวเราะหึหึ ชำเลืองมองใบหน้าที่คร่ำเครียดของโพ่จวิน ปกติท่านนี้ไม่เคยพูดอะไรเกรงใจเขา เขามาดูเอาสนุก แล้วหันตัวเดินเข้าไปในประตูใหญ่ของพระตำหนักอุทยาน ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา

พอมาถึงตึกศาลาในตำหนัก เจอกับซ่างกวนชิงที่นัดเขาไว้ ก็เดินวางมาดเข้าไป แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า  ผู้การใหญ่ทำไมท่าทางกระวนกระวายอย่างนั้นล่ะ?  เขาถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ย่อมรู้ว่าซ่างกวนชิงกลุ้มใจเรื่องที่ถูกลอบโจมแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะมีเรื่องขอร้องก็ได้

ซ่างกวนชิงหันตัวมาชี้เขา เหมือนกำลังตำหนิว่าเขามัวชักช้า กวักมือเรียกให้เขาเดินเข้ามาเร็วๆ รอจนกระทั่งเขาเดินเข้ามาใกล้ ก็กระซิบข้างหูทันทีว่า  ซือหม่า ครั้งนี้เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เกรงว่าเจ้ากับข้าจะเกิดปัญหาแล้ว! 

ซือหม่าเวิ่นสงสัยอยู่ในใจ ว่าเกี่ยวอะไรกับข้า ใบหน้ายิ้มแข็งๆ ขณะถามว่า  ทำไมผู้การใหญ่พูดซะน่าตกใจอย่างนั้น ก็แค่มีคนต่ำต้อยมาโจมตีก่อกวนทั้งข้างในข้างนอกไม่ใช่เหรอ ตามที่ข้าเข้าใจ เหมือนจะไม่มีอะไรเสียหายนะ? 

ซ่างกวนชิงกระทืบเท้าอย่างร้อนใจ เตือนว่า  หลินอ้าวเสวี่ยถูกคนลักพาตัวไปแล้ว คาดว่าคงถูกพาออกจากอาณาเขตวังสวรรค์ไปแล้ว 

 …  ซือหม่าเวิ่นเทียนตะลึงค้าง แล้วค่อยๆ เบิกตากว้าง  ซ่างกวน ล้อเล่นอะไรของเจ้า…  จากนั้นก็มองซ้ายมองขวา แล้วถามว่า  เจ้าซ่อนหลินอ้าวเสวี่ยไว้ที่พระตำหนักอุทยานไม่ใช่เหรอ? อย่าบอกนะว่าสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่ใต้พระตำหนักอุทยานจริงๆ?  สถานที่ที่แม้แต่ตู้เฉียวก็ยังเดาได้ เขาย่อมสงสัยตั้งนานแล้วเช่นกัน เพียงแต่บางอย่างทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ ไม่ได้ไปพิสูจน์ก็เท่านั้นเอง

ซ่างกวนชิงส่ายหน้ายิ้มขื่นขม นับว่ายอมรับแล้ว ขนาดหนิวโหย่วเต๋อยังรู้จักสถานที่นั้น ก็นับว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไรอีกต่อไปแล้ว

ซือหม่าเวิ่นเทียนตกใจมาก  สถานที่ที่ป้องกันเข้มงวดขนาดนี้ ทำไมถึงพาคนออกไปจากวังสวรรค์ได้ง่ายๆ ล่ะ คนของเจ้ามัวนอนหลับกันอยู่หรือไง? 

………………

 

คนที่จะเข้าไปช่วยชื่อว่ากัวเหยียนถิง

ตู้เฉียวเองก็ถูกหนานโปบีบบังคับจนไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ซ่างกวนชิงไม่มีทางพาหนานโปมาที่นี่ได้เลย เซี่ยงจงก็ไม่มีหนทางเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ก็ไม่สามารถรู้ชัดได้ว่าเซี่ยงจงอยู่ที่ไหน สุดท้ายหนานโปก็ชี้แนะตู้เฉียวว่าขอแค่เป็นคนขององครักษ์เงาก็พอ หนานโปเตรียมจะคลำหาเบาะแสจากหน่วยงานภายในขององครักษ์เงา ดังนั้นตู้เฉียวจึงลงมือกับคนที่ชื่อกัวเหยียนถิง กัวเหยียนถิงเป็นลูกน้องของเซี่ยงจง คาดว่าคงเป็นคนขององครักษ์เงาเช่นกัน มีสถานะอะไรอยู่ในองครักษ์เงา ตู้เฉียวก็ไม่รู้ชัดเจน เป็นเพราะองครักษ์เงาลึกลับเกินไป คนนอกสืบหารายละเอียดของคนพวกนี้ได้ยากมาก

ที่โชคดีก็คือ หลังจากพระปีศาจควบคุมกัวเหยียนถิงสำเร็จ ก็พบว่ากัวเหยียนถิงเป็นหนึ่งในหัวหน้าคนสำคัญขององครักษ์เงา ยืนยันกับกัวเหยียนถิงจนแน่ใจแล้วว่าทางเข้าสถานที่หลอมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่ตรงสถานที่ฝึกตนของประมุขชิงที่พระตำหนักอุทยานจริงๆ ที่นั่นมีองครักษ์เงารับหน้าที่เฝ้าอยู่ กัวเหยียนถิงก็เคยผลัดเวรยามไปเฝ้าที่นั่นบ่อยๆ เช่นกัน และกัวเหยียนถิงกับกำลังพลของตัวเองก็ไม่ได้ออกไปทำภารกิจกับเซี่ยงจง ตอนนี้คนที่รับหน้าที่เฝ้าที่หลอมสมบัติก็บังเอิญเป็นกลุ่มของกัวเหยียนถิงพอดี นี่ก็คือสาเหตุที่ตู้เฉียวจับกัวเหยียนถิงได้

ดูจากสถานการณ์ของสถานที่หลอมสมบัติที่กัวเหยียนถิงให้ข้อมูลมา เกรงว่าต่อให้ควบคุมกัวเหยียนถิงได้แล้ว แต่การจะช่วยหลินอ้าวเสวี่ยออกมาก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าจะเข้าสถานที่หลอมสมบัติก็ต้องผ่านการตรวจสอบ ตอนจะออกก็ต้องผ่านการตรวจสอบ นอกเสียจากจะได้หนังสือแนะนำจากซ่างกวนชิง และต่อให้นำคนออกจากพระตำหนักอุทยานได้ วังสวรรค์ก็จับตาดูคนที่เข้าออกวังสวรรค์อย่างเข้มงวด จะเข้าจะออกก็ล้วนต้องผ่านการตรวจสอบ คนที่สามารถเข้าออกวังสวรรค์ได้โดยไม่ต้องตรวจสอบมีน้อยจนนับนิ้วได้

นอกเสียจากจะปฏิบัติภารกิจลับ ไม่อยากให้คนจำนวนมากรู้ความลับ ซ่างกวนชิงถึงจะมอบหนังสือแนะนำให้ พวกขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ที่ได้เข้าประชุมราชสำนักไม่ต้องผ่านการตรวจสอบ แต่ตอนเข้าออกก็ต้องรายงานวังสวรรค์ก่อนอยู่ดี มีผู้คุมงานทั้งขั้นตอนจากวังสวรรค์

ถามหน่อยว่าภายใต้สถานการณ์อย่างนี้จะพาคนออกมาได้หรือ? โดยทั่วไปไม่มีโอกาสช่วยออกมาได้เลย แต่นั่นคือสำหรับคนทั่วไป ถ้าเป็นสำหรับพระปีศาจหนานโป ก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง แต่ก็อันตรายมาก ต้องเสี่ยงดวง ตอนนี้พระปีศาจก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วเช่นกัน ทำได้เพียงลองดูสักครั้ง ต่อให้เป็นแค่การสร้างความเคลื่อนไหวเพื่อให้หนิวโหย่วเต๋อแน่ใจว่าสถานที่หลอมสมบัติอยู่ที่พระตำหนักอุทยานจริงๆ ก็ได้ เขาไม่รู้อีกว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเหมียวอี้คือต้องการจะช่วยหลินอ้าวเสวี่ยออกมา

ส่วนตู้เฉียว ตอนนี้ก็ถูกพระปีศาจคุมไว้ชั่วคราว ดึงวิญญาณออกมาควบคุม ไม่อย่างนั้นพระปีศาจก็ยังไม่สามารถใช้วิชานี้ควบคุมคนจำนวนมากเกินไป ถ้าสามารถจบเรื่องนี้ได้อย่างราบรื่น ก็ยอมควบคุมตู้เฉียวต่อไปอีก

ระฆังดารามีความเคลื่อนไหว หนานโปหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเรียบๆ

จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกันลองถามว่า  เริ่มแล้วเหรอ?  หนานโปตอบ  อืม 

นอกประตูใหญ่พระตำหนักอุทยาน กัวเหยียนถิงถลันตัวมาเหยียบลงตรงนั้น แม้ทหารยามทั้งหมดจะรู้จักเขา แต่เขาก็ยังต้องแสดงป้ายคำสั่งถึงจะผ่านเข้าไปได้อย่างราบรื่น

เดินมาตลอดทางจนถึงตำหนักต้องห้ามที่อยู่ลึกในพระตำหนักอุทยาน นอกลานตำหนักที่มีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบมีกองทัพองครักษ์เฝ้าอยู่ ขอแสดงป้ายคำสั่งอีกครั้งแล้วถึงได้เข้าไป หลังจากเข้ามาข้างในแล้ว ในลานตำหนักก็มีสายตาจับจ้องมาทั้งจากที่ลับและที่แจ้ง เขาเป็นฝ่ายเดินเข้าไปในศาลาหลังหนึ่ง คนที่อยู่ในนั้นกุมหมัดคารวะเขา  นายท่าน! 

กัวเหยียนถิงรูดกำไลเก็บสมบัติออกจากข้อมือ หยิบระฆังดาราในนั้นออกมา แล้วบอกกับทั้งสองว่า  ต้องเอาอันนี้เข้าไปด้วย มีภารกิจ 

ทั้งสองพยักหน้า นำระฆังดาราเข้าไปอันเดียวไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้าในนี้มีความลับอะไรจะเปิดเผยจริงๆ แค่กัวเหยียนถิงรู้คนเดียว ต่อให้ไม่ใช้ระฆังดาราก็เปิดเผยความลับได้อยู่ดี ส่วนกำไลเก็บสมบัติอันนั้น กัวเหยียนถิงวางไว้ในถาดอันหนึ่งบนโต๊ะ ทางถามว่า  ไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหม? 

หนึ่งในนั้นทำการตรวจสอบ แม้ในตอนนี้สมาชิกองครักษ์เงาที่อยู่ที่นี่จะเป็นลูกน้องของกัวเหยียนถิงหมด แต่ก็ยังต้องปฏิบัติตามระเบียบการอย่างเข้มงวด

อีกคนหนึ่งนำถ้ำถ้วยน้ำชาเปล่ามาคว่ำกำไลเก็บสมบัติที่อยู่บนถาดเอาไว้ ก่อนที่กัวเหยียนถิงจะออกมาก็จะไม่มีใครแตะต้องของของเขา รอให้กัวเหยียนถิงออกมาแล้วก็ย่อมส่งให้เขาเอง ขณะทำอย่างนั้นก็ตอบว่า  ทุกอย่าปกติขอรับ! 

 ฝ่าบาทไม่อยู่เหรอ?  กัวเหยียนถิงถาม

คนที่คว่ำถ้วยน้ำชาตอบว่า  ไม่อยู่ที่พระตำหนักอุทยาน น่าจะอยู่ที่วังสวรรค์ขอรับ 

หลังจากคนที่ตรวจสอบแน่ใจแล้วว่าบนตัวกัวเหยียนถิงไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ส่งสัญญาณมือให้คนที่คอยดักซุ่มอยู่รอบๆ บอกใบ้ว่าทุกอย่างปกติ

กัวเหยียนถิงมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง เดินออกจากศาลามาที่เขตลานบ้านอีกแห่ง เดินตรงไปนอกห้องที่ประตูปิดสนิท พอเคาะประตู ด้านในก็มีคนเปิดประตูออก แล้วก็มีคนอีกสองคนตรวจสอบเขา หลังจากแน่ใจว่าทุกอย่างปกติแล้วถึงได้ปล่อยเขาเข้าไป

ในห้องมีทางเข้าแค่ทางเดียว มีบันไดหินยาวลงไปข้างล่าง ท่ามกลางความมืดสลัวมีไข่มุกราตรีคอยส่องแสงสว่าง

เดินลงไปตามบันไดได้ประมาณหนึ่งพันจั้ง ระหว่างทางล้วนมีทหารยามเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นเขาก็จะกล่าวทำความเคารพ  นายท่าน! 

เดินผ่านถึงประตูใหญ่ของตำหนักใต้ดินที่ทำจากดวงจิตน้ำแข็ง พอเข้าไปก็มีไอร้อนโผเข้ามา

เป็นโลกที่เต็มไปด้วยทะเลเพลิงและหินหนืด เห็นคนเดินไปเดินมา มีเสียงเหล็กโลหะกระทบกันดังออกมา กัวเหยียนถิงเดินหาไปทั่วอยู่ครู่หนึ่ง ถามถึงสถานการณ์จากลูกน้องตัวเอง ระหว่างทางยืมแหวนเก็บสมบัติมาจากมือของช่างฝีมือคนหนึ่ง หลังจากเตรียมตัวนิดหน่อย สุดท้ายถึงได้มายังจุดที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องอาหารของทุกคน ที่พักทุกแห่งล้วนมีดวงจิตน้ำแข็งขอลดอุณหภูมิ ดังนั้นจึงเหมาะกับการอยู่อาศัย

หลินอ้าวเสวี่ยมารดาของเฟยหง ทุกวันนี้ไม่ต้องทำงานเบ็ดเตล็ดพวกนั้นอีกแล้ว นางรับหน้าที่คอยคุมสมาชิกครอบครัวผู้หญิงที่ถูกลงโทษให้มาอยู่ที่นี่ให้จัดการปัญหาเรื่องอาหารการกินของที่นี่

เมื่อเห็นหลินอ้าวเสวี่ย กัวเหยียนถิงก็บอกทันทีว่า  เจ้าตามข้ามานี่หน่อย 

 ค่ะ!  หลินอ้าวเสวี่ยเดินตามกัวเหยียนถิงไปยังเคารพยำเกรง เมื่ออยู่ในนี้ คนพวกนี้มีอำนาจสั่งหารผู้หญิงที่ทำผิดอย่างพวกนาง นางเคยเห็นกับตาว่านักโทษหญิงที่ไม่รักษากฎระเบียบถูกคนพวกนี้ประหารอย่างไร้เหตุผล ทำเหมือนฆ่าแล้วก็ไร้ประโยชน์

เดินมาถึงห้องศิลาห้องหนึ่ง หลินอ้าวเสวี่ยยังไม่ทันรู้ว่ามีเรื่องอะไร กัวเหยียนถิงก็หันตัวมาใช้นิ้วจิ้มให้นางสลบ แล้วเก็บเข้าแหวนเก็บสมบัติเสียเลย

หลังจากหลับตาเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง กัวเหยียนถิงก็ยัดแหวนเก็บสมบัติไว้ในหน้าอก เสร็จแล้วถึงได้เดินออกไป เขาคอยระวังรอบข้างตลอดทาง เดินมาถึงทางออกอย่างไม่รีบร้อน แล้วก็เดินขึ้นบันไดมาอีก ตอนที่ใกล้จะถึงทางออกบนพื้นดิน เขาก็ผ่อนฝีเท้าตัวเองให้เดินช้าลง แล้วเขย่าระฆังดาราที่อยู่ในกระบอกแขนเสื้อติดต่อกับภายนอก

อุทยานหลวง เรือนพักของอ๋องสวรรค์ก่วง มีบ่าวไพร่คนหนึ่งเดินออกมา แล้วห่อไปทางพระตำหนักอุทยาน

ทหารยามที่อยู่พระตำหนักอุทยานรีบหันไปมอง ไม่รู้ว่าคนๆ นี้มาด้วยธุระอะไร เมื่อเห็นผู้ที่มาเหยียบลงพื้นแล้วเดินไม่หยุด ทหารยามหนึ่งในนั้นก็ยกมือส่งสัญญาณให้หยุดเดิน

ใครจะคิดว่าผู้ที่มาจะชักดาบออกมากะทันหัน แล้วฟันดาบออกมาสุดกำลังหนึ่งครั้ง พลังอิทธิฤทธิ์โหมซัดสาดออกมา

ทหารยามตกใจมาก ถ้าปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นที่นี่ ไม่ว่าใครก็รับผิดชอบไม่ไหว นึกไม่ถึงด้วยว่าจะมีคนใจกล้าขนาดนี้ บังอาจมาทำตัวกำเริบเสิบสานที่นี่!

 บึ้ม! 

เสียงระเบิดดังสะเทือน ทหารยามหนึ่งในนั้นโบกทวนแทงออกมาเสียเลย ทำลายพลังอิทธิฤทธิ์ที่คนนั้นโจมตีเข้ามา แค่โจมตีครั้งเดียวก็ทำให้ดาบในมืออีกฝ่ายสะเทือนกระเด็นหลุดไปแล้ว บ่าวคนนั้นก็กระอักเลือดกระเด็นออกไปเช่นกัน แต่กลับไม่ยอมหยุด ยังคงควงหมัดถล่มยิงพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาใส่พื้นดินอีกหลายครั้งต่อเนื่องกัน

ทหารยามสองคนถลันตัวเข้ามา จับตัวบ่าวคนนั้นไว้อย่างไม่เปลืองแรง

บ่าวที่เฝ้าอยู่ในเรือนพักบนแนวเทือกเขารอบๆ ตกใจแล้ว ทยอยกันออกมาดูความเคลื่อนไหว มองดูผิวดินที่เป็นพังทลายะนอกพระตำหนักอุทยาน ทั้งยังมีการจับกุมอีก ทุกคนต่างก็อกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ว่าใครกันที่เบื่อหน่ายจะมีชีวิตอยู่แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะถ่อไปก่อกวนที่พระตำหนักอุทยาน

ทว่าเมื่อเกิดความเคลื่อนไหวนี้ กัวเหยียนถิงที่เดินช้าๆ อยู่ระหว่างทางใต้ดินก็ตาเป็นประกายทันที รีบถลันตัวออกมา ตะคอกถามสองคนที่ตรวจสอบอยู่ในห้องทางออกว่า  มีเรื่องอะไร? 

ทั้งสองก็กำลังแปลกใจเหมือนกันว่าด้านนอกมีความผิดปกติอะไร ต่างก็ส่ายหน้าตอบว่า  ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรเหมือนกันขอรับ! 

 ออกไปดูหน่อย!  กัวเหยียนถิงตวาด

สองคนนี้รีบเปิดประตู แล้วกัวเหยียนถิงก็นำออกไป โดยมีสองคนนี้ตามหลัง

พอมาถึงลานตำหนักด้านนอก กัวเหยียนถิงก็ตะคอกอีกว่า  เรียกคนมาตามข้าออกไปดูอีก ส่วนคนที่เหลือเตรียมป้องกันอย่างเข้มงวด!  ขณะเดียวกันก็โบกมือขยุ้ม ถ้วยน้ำชาที่คว่ำอยู่ในศาลาเกิดรอยแยกแตกออก กำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งตกมาอยู่ในมือเขา แล้วก็สวมเอาไว้บนข้อมือเสียเลย。

ทั้งที่ลับและที่แจ้งมีคนถลันตัวออกมาหกคน เพราะตามหลังกัวเหยียนถิงไปอย่างรวดเร็ว

พอมาถึงประตูพระตำหนักอุทยาน เห็นบ่าวคนนั้นนอนตาเหลือกเลือดไหลออกมุมปากอยู่บนพื้น กัวเหยียนถิงก็ถามทหารยามคนหนึ่งว่า  เกิดเรื่องอะไรขึ้น? 

ทหารยามคนนั้นขมวดคิ้ว  อยู่ดีๆ ก็วิ่งเข้ามาก่อกวน เพิ่งจะจับตัวได้ก็ตัดชีพจรฆ่าตัวตายเองแล้ว 

กัวเหยียนถิงหันกลับไปถ่ายทอดเสียงบอกลูกน้องที่อยู่ข้างหลังทันที  ระวังจะมีอุบาย พวกเจ้ากลับไปเสริมการป้องกัน ใครบุกเข้ามาฆ่าไม่ละเว้น! 

พวกลูกน้องกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง แล้วรีบถลันตัวกลับไป

คนที่อยู่ในเรือนตามแนวภูเขาต่างก็มองไปทางประตูพระตำหนักอุทยาน ส่วนทหารยามที่เฝ้าพระตำหนักอุทยานก็รีบรายงานสถานการณ์เร่งด่วนขึ้นไป กัวเหยียนถิงฉวยโอกาสออกไปเงียบๆ

หลังจากมาถึงดาราจักร กัวเหยียนถิงตรงไปที่ทางออกอาณาเขตดาว เขย่าระฆังดาราที่อยู่ในแขนเสื้ออีกครั้ง ติดต่อภายนอกเพื่อรายงานเวลาที่จะไปถึง

หนานโปที่ซ่อนตัวอยู่บนดาวเคราะห์รกร้างตอบกลับระฆังดารา แล้วพูดกับจั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายทันที  เตรียมลงมือ! 

จั่วเอ๋อร์หันตัวออกมาจากปากถ้ำ มองไปรอบๆ ก่อนจะกระโดดลงในหุบเขาด้านล่าง จากนั้นปล่อยคนออกมาพันคน แล้วกำชับสั่งงาน

พันคนนี้ล้วนสวมเครื่องแบบเกราะรบตำหนักสวรรค์ สวนเป็นทหารยอดฝีมือที่อยู่ในทัพอารักขาของอิ๋งจิ่วกวงปีนั้น

รอจนกระทั่งหนานโปที่คำนวณเวลาแล้วส่งสัญญาณให้ลงมือ พันคนนั้นก็ถลันตัวเหาะออกมาจากดาวเคราะห์รกร้าง จัดกระบวนทัพเหาะออกมา ตรงไปยังซุ้มประตูนอกทางออกอาณาเขตดาววังสวรรค์

จั่วเอ๋อร์กลับเข้ามาในถ้ำ เฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวกับหนานโป

ทัพที่เฝ้าอยู่รอบๆ ซุ้มประตูเห็นกำลังพลกลุ่มหนึ่งของตำหนักสวรรค์มาถึง ก็พากันต้องมองอย่างระแวดระวัง

จนกระทั่งคนเข้ามาใกล้ ตอนที่ฝั่งนี้ส่งกำลังพลกลุ่มหนึ่งเข้าไปตรวจสอบ จู่ๆ ทหารพันคนนั้นก็จัดกระบวนทัพสังหาร ทั้งหมดมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่ในมือ ยิงมาทางกำลังพลที่เข้ามาตรวจสอบอย่างบ้าคลั่ง สังหารกำลังพลกลุ่มเล็กร้อยคนที่เข้ามาตรวจสอบจนต้องรีบป้องกัน

ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เปลี่ยนทิศทางโจมตีไปทางซุ้มประตูหลังนั้น ลูกธนูดาวตกกระหน่ำยิงอย่างบ้าคลั่ง พอยิงเสร็จรอบหนึ่งก็หันเลี้ยวหนีไปเลย

เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนี้ หนานโปกับจั่วเอ๋อร์ก็รีบออกจากถ้ำเช่นกัน หนีออกไปอย่างรวดเร็ว

กำลังพลที่เฝ้าคุ้มกันอยู่นอกซุ้มประตูตกใจมาก ขณะกำลังจะวางกำลังรับมือการบุกโจมตี ใครจะคิดว่าทัพฝ่ายศัตรูจะหนีไปแล้ว

 กำลังพกองขวาตามโจมตี!  แม่ทัพคนหนึ่งคำรามอย่างเกรี้ยวโกรธ

กำลังพลแสนกว่าคนไล่ตามไปทันที

ประตูดวงดาวตรงทางออกวังสวรรค์ก็ยิ่งมีกำลังทหารป้องกันหนาแน่น ตอนที่กัวเหยียนถิงเข้าใกล้ ก็มีกำลังพลเข้ามาหาและตรวจสอบเขาเช่นกัน

กัวเหยียนถิงก็นับว่าเป็นคนหน้าคุ้น ทหารยามรู้จักเขา แต่ก็ยังต้องดำเนินตามระเบียบการ

กัวเหยียนถิงเพิ่งจะเผยป้ายคำสั่ง ทหารที่เข้ามาตรวจสอบยังไม่ทันถามอะไร จู่ๆ ข้างหลังก็มีเสียงระเบิดสะเทือนฟ้าดังขึ้น มีคำสั่งเรียกรวมทัพใหญ่!

ทหารยามที่ตรวจสอบไม่สนใจกัวเหยียนถิงแล้ว รีบเลี้ยวกลับไปอย่างรวดเร็ว ได้รับคำสั่งทหารให้ไปรวมตัวกัน

กัวเหยียนถิงย่อมรู้สถานการณ์ของที่นี่ดี ไม่อย่างนั้นคงไม่เตรียมการอย่างนี้ รู้ว่าอีกไม่นานประตูดวงดาวจะถูกปิด จึงฉวยโอกาสตอนวุ่นวายพุ่งไปที่ประตูดวงดาว หนีออกไปแล้ว

พอถูกพ่นออกมาในอวกาศ ตัวก็มาอยู่ที่ซุ้มประตูใหญ่ด้านนอกแล้ว ภายใต้การจับตาดูของทหารที่เฝ้าซุ้มประตู เขาเผยป้ายคำสั่งในมือ เมื่อเห็นด้านนอกตั้งกระบวนทัพเตรียมโจมตี ก็ยังถามว่า  เกิดเรื่องอะไรขึ้น? 

ทหารยามมองป้ายคำสั่งในมืออีกฝ่ายแวบหนึ่ง ในเมื่อผ่านการตรวจสอบออกมาแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องถามว่า ตอบเพียงคำเดียวว่า  มีคนจู่โจม! 

กัวเหยียนถิงพยักหน้า เหมือนไม่อยากถามเช่นกัน ขอให้ทัพป้องกันให้ทางสะดวก แล้วก็ออกไปอย่างนี้

ตอนที่เขาเพิ่งจะออกไป อวกาศก็มีกองทัพอีกหลายกลุ่มถูกพ่นออกมา แม่ทัพที่ออกมาถามถึงสถานการณ์ข้างนอก

ยังจะมีสถานการณ์อะไรได้ ทัพอารักขาของอิ๋งจิ่วกวงมีศักยภาพไม่ธรรมดา หนีเร็วสุดๆ ฝั่งนี้ก็กลัวว่าจะเป็นแผนล่อเสือออกจากภูเขา ปล่อยให้คนหนีไปได้แล้ว ทำได้เพียงรายงานขึ้นไปเบื้องบน บอกว่าจะปิดประตูดวงดาวเพื่อตรวจสอบอาณาเขตดาวผืนนี้

………………

 

มองจวนผู้สำเร็จราชการที่กว้างใหญ่ ชิงหยวนจุนที่ติดต่อกับมารดาเสร็จแล้วยืนอยู่บนตึกศาลาและมองไปรอบๆ ที่นี่ก็คือสิ่งที่หนิวโหย่วเต๋อสร้างขึ้นมากับมือ เขารู้สึกได้รางๆ ว่าคำพูดของมารดามีความหมายแฝง ราวกับว่าระหว่างนางกับหนิวโหย่วเต๋อมีความลับอะไรที่บอกใครไม่ได้

เพียงแต่การเอ่ยปากขอหนิวโหย่วเต๋อทำให้เขาเสียหน้านิดหน่อย ในปีก่อนๆ แม้หนิวโหย่วเต๋อจะแอบสนับสนุนทรัพยากรเขามาตลอด แต่ครั้งก่อนเขาก็เคยตำหนิพฤติกรรมของหนิวโหย่วเต๋อที่นอกจวนท่านอ๋อง…

ส่วนเหมียวอี้ในตอนนี้ก็กำลังจ้องไปทางจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล หลายคนกำลังรวมตัวปรึกษาหารือกันอยู่ในห้องหนังสือ ปรึกษาว่าจะจับตัวใครดี

ฝั่งพระปีศาจชักช้าไม่ตอบกลับมาเสียที เรื่องช่วยมารดาเฟยหงเลื่อนเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องเริ่มพิจารณาว่าจะจับใครไปเป็นตัวประกัน

 จับคนที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเหรอ?  เหมียวอี้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย จ้องหยางชิ่งพลางขมวดคิ้วถาม  เจ้าคงไม่ได้คิดจะจับชิงหยวนจุนหรอกใช่มั้ย เจ้าบอกว่าต้องผูกมิตรไว้ไม่ใช่เหรอ? 

หยางชิ่งเองก็จนใจเช่นกัน ในมุมมองของเขานั้น ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายเพื่อช่วยเฟยหงเลย แต่เหมียวอี้ดึงดันจะทำอย่างนี้ให้ได้ ทั้งยังดึงเขามาปรึกษาด้วย เขาเองก็ทำได้เพียงช่วยวางแผน ส่ายหน้าบอกว่า  ไม่ใช่ชิงหยวนจุน แต่เป็นหวังติ้งเฉา ผู้ช่วยของชิงหยวนจุน! 

 หวังติ้งเฉา?  เหมียวอี้พึมพำ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็กล่าวอย่างลังเล  แม้ตำแหน่งของหวังติ้งเฉาจะไม่ต่ำต้อย แต่ก็ไม่นับว่าสูง อาจจะไม่ทำให้วังสวรรค์ประนีประนอม 

 ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ก็ไม่ต้องเอาเขามาพิจารณาหรอก แต่ช่วงนี้ได้ข่าวมา ว่าประมุขชิงประทานกระบี่เก้าเตาที่ตัวเองเคยใช้บุกยึดใต้หล้าในปีนั้นให้หวังติ้งเฉา ว่ากันว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของหวังติ้งเฉาก็เป็นประมุขชิงประทานให้เช่นกัน พอมาดูตอนนี้แล้ว ในปีนั้นที่ประมุขชิงย้ายหวังติ้งเฉาไปเป็นผู้บังคับบัญชาของชิงหยวนจุนก็เพราะมีจุดประสงค์ ตอนนี้ย้ายหวังติ้งเฉาไปเป็นผู้ช่วยชิงหยวนจุนอีก จะเห็นได้ว่าตั้งใจจะชุบเลี้ยงหวังติ้งเฉาคนนี้  หยางชิ่งกล่าว

เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ ขณะครุ่นคิด เข้าใจความหมายของหยางชิ่งแล้ว จุดสำคัญก็คือหวังติ้งเฉาคือคนที่ได้รับกระบี่เก้าเตาจากประมุขชิง

หยางชิ่งพูดต่อว่า  ยังมีอีกจุดหนึ่ง จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเดิมทีมีคนของท่านอ๋อง สืบหาทิศทางความเคลื่อนไหวของหวังติ้งเฉาได้ง่าย ทำให้ท่านอ๋องลงมือได้สะดวก ถ้าลงมือกับคนอื่นที่ยศสูงเกินไปก็อันตรายเกิน กอปรกับแดนรัตติกาลกับที่นี่เป็นเพื่อนบ้านกัน ลงมือได้สะดวก 

 ได้! จับหวังติ้งเฉาแล้วกัน!  เหมียวอี้ตบโต๊ะเบาๆ กำหนดเป้าหมายได้แล้ว

แต่ยังไม่ทันปรึกษารายละเอียด เหมียวอี้ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ  ชิงหยวนจุนส่งข่าวมา เมื่อครู่ยังพูดถึงเขาอยู่เลย ทนความคิดถึงไม่ไหวจริงๆ 

หยางชิ่งกับหยางเจาชิงสบตากันแวบหนึ่ง

หลังจากติดต่อกับชิงหยวนจุนแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดารา แล้วพูดหยอกล้อกับทั้งสอง  พอเอ่ยปากก็มาขอเงินเลย กระเพาะไม่เล็กซะด้วย  เขายิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ยกมือขึ้นเขียนจำนวน

หยางชิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า  เขาคนเดียวใช้เงินไม่เยอะขนาดนั้นหรอก ทางตำหนักสวรรค์คงไม่จ่ายค่าจ้างกำลังพลฝั่งเขาน้อยเช่นกัน เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะดูแลกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่ปรับใหม่ไม่ดี สวัสดิการไม่น่าจะแย่ขนาดนั้น นี่เพิ่งไม่นานเท่าไร…ดูท่าแล้วคงไม่ต้องให้พวกเราไปหว่านเมล็ดก่อน เจ้าเด็กนี่ทนเหงาไม่ไหวแล้ว 

เขาเดาไม่ผิด ที่ชิงหยวนจุนระบายทุกข์กับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่นั้นเกินจริงไปหน่อย พูดจาน่าสงสารขนาดนั้น จริงๆ แล้วก็ยังหวังให้ทางมารดาช่วยอีกสักหน่อย

 จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลมีท่านอ๋องเป็นตัวอย่างให้เห็นแลว เกรงว่าเขาคงอยากสร้างผลงานมาก  หยางเจาชิงยิ้ม

 เขาไม่เพียงแค่ต้องการเงิน ทั้งยังหยั่งเชิงข้าด้วย ฟังจากที่เขาพูด เขาอยากให้ข้าหาช่องทางรายได้ให้เขาสักทาง! หึ ในปีนั้นเจ้าเด็กนี่เอาของข้าไปจนชินแล้ว ไม่รู้จักพอ ข้าไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้รับปาก แค่บอกว่าจะรวบรวมให้สักหน่อย ให้เขารอฟังข่าว พวกเจ้าคิดว่ายังไง?  เหมียวอี้ถาม

หยางเจาชิงบอกว่า  ในด้านการเงิน ขอเพียงไม่มากเกินไป ก็ให้เขาได้ ส่วนช่องทางรายได้ ปล่อยให้เขาอยากไปก่อน ยังไม่ถึงเวลาที่จะให้เขา ถ้าให้เขาตอนนี้ ฝั่งประมุขชิงจะต้องสังเกตเห็นแน่นอน รอให้ฝั่งท่านอ๋องเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วค่อยให้เขาจะเหมาะสมกว่า จะได้ผลแบบราดน้ำมันบนกองไฟ! 

 อืม!  เหมียวอี้ไตร่ตรองแล้วพยักหน้า สื่อว่าเห็นด้วย แล้วบอกหยางเจาชิงว่า  สมบัติที่ได้มาจากฝั่งเซี่ยโห้วท่า นำออกมาส่วนหนึ่ง เพื่อแสดงความจริงใจ ข้าไม่ตระหนี่ที่จะให้เขามากขึ้น ให้เขาอีกเท่าหนึ่ง! 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับ

หยางชิ่งกลับหัวเราะ  ในเมื่อท่านอ๋องใจกว้างจะให้เขาอีกเท่าหนึ่ง ก็ติดต่อกับราชินีสวรรค์ก่อนสักหน่อยก็ได้ ครึ่งหนึ่งเพื่อไว้หน้าองค์ชาย อีกครึ่งหนึ่งก็เพื่อไว้หน้าราชินีสวรรค์ จะได้ทำให้เหนียงเหนียงเบิกบานใจหน่อย 

 ฮ่าๆ!  เหมียวอี้หัวเราะลั่นพลางตบโต๊ะ พอพูดว่าจะทำก็ทำเลย หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่โดยตรง

ในตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังครุ่นคิดเรื่องลูกชาย จู่ๆ ก็ได้รับการติดต่อจากเหมียวอี้ก่อน นางพอจะเดาเหตุผลที่เหมียวอี้ติดต่อมาหานางได้แล้ว นางอับอายนิดหน่อย ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับหรือไม่ ราชินีสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานเป็นฝ่ายขอเงินคนอื่นก่อน ทำแบบนี้ค่อนข้างเสียหน้า

แต่พอพิจารณาถึงว่ามีคนที่ฆ่าได้แม้กระทั่งพี่น้องตัวเองเพื่อจะขึ้นสู่ตำแหน่ง คิดถึงอนาคตของตัวเองและลูกชาย นางก็พบว่าเสียหน้านิดหน่อยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จึงแข่งใจตอบกลับไปว่า : ท่านอ๋องมีเวลาว่างติดต่อข้าได้เหรอ!

เหมียวอี้กล่าวทักทายตามมารยาท จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ชิงหยวนจุนติดต่อมาหาตนให้ฟัง สุดท้ายก็ถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า : เหนียงเหนียงทราบเรื่องนี้หรือเปล่าขอรับ?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยังคงรักษาหน้าตาตัวเอง โดยเฉพาะจำนวนเงินที่ลูกชายตัวเองเอ่ยปากขอ แม้แต่นางก็ยังรู้สึกอายแล้ว พูดปิดบังว่า : ก็เคยได้ยินเรื่องที่เขาบอกว่าขัดสนเงินทองเหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าจะไปหาท่านอ๋องแล้ว ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ ข้าจะต้องสั่งสอนเขาสักหน่อย ให้เขาสำรวมเสียบ้าง!

เหมียวอี้ : เหตุใดเหนียงเหนียงกล่าวเช่นนี้ล่ะ? ในเมื่อองค์ชายลำบาก อ๋องผู้นี้ก็มิอาจผลักหน้าที่ให้ผู้อื่น เหนียงเหนียงควรจะบอกข้าให้เร็วกว่านี้สิ! เหนียงเหนียงวางใจเถอะ ในเมื่อเหนียงเหนียงทราบเรื่องนี้แล้ว ข้าก็ไม่อาจนิ่งดูดาย ต่อให้ต้องทุบหม้อขายเหล็ก

แต่ก็ไม่อ่านปฏิบัติต่อองค์ชายไม่ดี เหนียงเหนียงโปรดบอกให้องค์ชายทราบ ว่าอ๋องผู้นี้จะหาทางรวบรวมเงินให้องค์ชายเป็นสองเท่า!

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินแล้วดีใจมาก จำนวนเงินมากขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะให้เป็นสองเท่างั้นเหรอ? น่าจะเพียงพอให้ลูกชายผ่อนคลายสถานการณ์ลำบากในตอนนี้ ชั่วพริบตานั้นนางก็กระปรี้กระเป่าทันที อารมณ์ดีแล้ว ตอบกลับไปว่า : ท่านอ๋องใส่ใจแล้ว! ในเมื่อเป็นความหวังดีจากท่านอ๋อง ข้าก็ขอบคุณแทนหยวนจุนแล้วกัน! ท่านอ๋องเป็นบุคคลที่มีอำนาจอิทธิพล ทั้งยังเป็นเพื่อนบ้านกับหยวนจุน เมื่อไหร่ที่ควรจะชี้แนะ ก็ต้องชี้แนะเขาให้มากๆ หน่อย

ตอนนี้นางเชื่อคำพูดของอวิ๋นจือชิวไปแล้วเก้าส่วน ยอมรับแล้วว่าตอนแรกเหมียวอี้มีความลำบากใจจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้ทรัพยากรที่มหาศาลขนาดนี้ ตอนนี้ราชินีสวรรค์อย่างนางช่วยอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ ไม่มีมูลค่าให้ใช้ประโยชน์ ส่วนอีกหนึ่งส่วนที่ไม่เชื่อ ก็เป็นเพราะรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเหมือนเสียเปรียบให้เหมียวอี้ ยังต้องดูผลที่ตามมาในภายหลังอีกว่าเหมียวอี้จะสนับสนุนพวกนางสองแม่ลูกต่อไปหรือเปล่า

เหมียวอี้ : ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าน้อยควรทำ เพียงแต่เรื่องนี้เหนียงเหนียงควรบอกให้องค์ชายเก็บเป็นความลับ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าฝ่าบาทจะถือข้อห้ามนี้

ปากก็พูดแบบนี้ แต่ในใจกลับเข้าใจชัดเจน ว่างเมื่อไหร่ที่ชิงหยวนจุนเริ่มใช้เงินฟุ่มเฟือย ประมุขชิงไม่สังเกตเห็นก็แปลกแล้ว

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ควรทำยังไง ใช่แล้ว เหมือนช่วงนี้ท่านอ๋องจะส่งสนมมาให้ฝ่าบาทไม่ใช่เหรอ? ท่านอ๋องไม่ต้องห่วง ในเมื่อเป็นคนของท่านอ๋อง ข้าจะดูแลแทนเอง!

นางทำแบบนี้เพื่อแสดงไมตรี ได้ทรัพยากรก้อนใหญ่มาจากอีกฝ่ายแล้ว จึงแสดงไมตรีให้ก่อน

เหมียวอี้ปาดเหงื่อทันที เจ้าไม่ดูแลก็ดีอยู่แล้ว พอเจ้าดูแลก็จะเผยพิรุธทันที ตอนนี้ประมุขชิงกำลังคิดกำจัดเขา มีหรือที่จะเปิดโปงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายเร็วขนาดนี้ได้ ตอนนี้เขากำลังคิดหาทางแก้ปัญหาเรื่องนี้ ถึงรีบห้ามว่า : เหนียงเหนียง! สนมพวกนั้น ท่านปล่อยพวกนางไปเถอะ เหนียงเหนียงอย่าดูแลเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทจะสังเกตเห็น!

ในใจพึมพำคำว่า ตราบใดที่เจ้าไม่ไปหาเรื่องพวกนาง ก็เท่ากับเป็นการดูแลที่ดีที่สุดสำหรับพวกนางแล้ว

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : ได้ ข้าเข้าใจแล้ว!

หลังจากทั้งสองฝ่ายติดต่อกันจบ นางก็ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม สงสัยตัวเองจะไม่มีประโยชน์ต่ออีกฝ่ายแม้แต่น้อยเลยจริงๆ ขนาดเป็นฝ่ายเสนอตัวช่วยเหลือก่อนก็ยังช่วยไม่ได้ จะไม่รู้สึกกลัดกลุ้มได้อย่างไร

แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดี นางติดต่อลูกชายตัวเองทันที บอกว่าเหมียวอี้จะให้เงินเขาเป็นสองเท่า!

แต่ในใจเขาก็ยิ่งเกิดความสงสัย ว่าทำไมเพราะเรื่องนี้ไปถึงมารดาแล้วถึงกลายเป็นสองเท่าได้? อดไม่ได้ที่จะซักไซ้ : เสด็จแม่ ระหว่างท่านกับหนิวโหย่วเต๋อมีความลับอะไรกันแน่?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตำหนิทันที : สิ่งที่ไม่ควรถามก็อย่าถามมาก สิ่งที่เจ้าต้องการ แม่จะพยายามหามาให้ ตั้งใจทำงานของตัวเองให้ดีก็พอ!

ที่ไม่บอกลูกชายก็เพราะนางเคยได้บทเรียนเพราะความล้มเหลวมาแล้ว ป้องกันเอาไว้สักหน่อย ลูกชายจะได้ไม่ถูกหนิวโหย่วเต๋อหลอกใช้ประโยชน์ได้ง่ายๆ

หารู้ไม่ว่า เหมียวอี้ที่อยู่ในห้องหนังสือตอนนี้กลับนำสองแม่ลูกมาพูดคุยกับอีกสองหยางเหมือนเป็นเรื่องตลก ไม่เห็นสองแม่ลูกอยู่ในสายตาเลย นี่ก็คือขุนนางผู้มีอำนาจ!

หลังจากหัวเราะจบ เรื่องมอบทรัพยากรก้อนใหญ่ก็ให้หยางเจาชิงไปจัดการ แล้วปรึกษารายละเอียดกับหยางชิ่งเรื่องจับตัวหวังติ้งเฉาต่อ จากนั้นก็แจ้งไปหาคนของตัวเองที่อยู่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ว่าให้จับตาดูความเคลื่อนไหวของหวังติ้งเฉา รอโอกาสลงมือ!

ก่อนจะออกไปจากห้องหนังสือ หยางชิ่งเตือนไว้ว่า  ท่านอ๋อ ในเมื่อสองแม่ลูกติดเบ็ดแล้ว ทางทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็ควรเริ่มให้ตระกูลเซี่ยโห้วแทรกซึมเข้าไปได้แล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าชิงหยวนจุนไม่มีลูกน้องที่เชื่อฟังเลย ในอนาคตเกรงว่าเขาคงไม่มีความกล้าที่จะต่อต้านพ่อตัวเอง มีคนของท่านอ๋องให้ความร่วมมืออยู่ภายใน แล้วอาศัยวิธีการของตระกูลเซี่ยโห้วอีก ถ้าได้แทรกซึมเข้าไปก็น่าจะสำเร็จง่ายโดยไม่เปลืองแรง! 

เหมียวอี้ครุ่นคิดพลางพยักหน้า เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง…

ดาราจักรกว้างใหญ่ไพศาล ซุ้มประตูใหญ่อันทรงพลังน่าเกรงขามซึ่งฉลุลายจากดวงดาวขนาดใหญ่ ลอยอยู่ในอวกาศ ทหารสวรรค์วนเวียนเฝ้าอยู่ระหว่างนั้น ทหารสวมเกราะกลุ่มใหญ่กำลังลาดตระเวนอยู่โดยรอบ

ที่นี่ดูเหมือนมีเพียงอวกาศ นอกจากซุ้มประตูใหญ่ก็เหมือนจะไม่มีอย่างอื่นแล้ว แต่ที่จริงนี่คือทางออกจากวังสวรรค์ไปสู่อาณาเขตดาวภายนอก คนที่ออกมาจากฝั่งงวังสวรรค์ล้วนถูกพ่นออกมาที่อวกาศนี้ ด้วยเหตุนี้จึงมีกองทัพองครักษ์จำนวนมากเฝ้าไว้

บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง พระปีศาจหนานโปกับจั่วเอ๋อร์หลบอยู่ในนั้น มองดูความเคลื่อนไหวของอวกาศตรงประตูดวงดาวทางออกอยู่ไกลๆ การที่ทั้งสองเข้าใกล้จุดนี้ได้ก็ใช้ความพยายามไปไม่น้อยเช่นกัน

การที่พระปีศาจหนานโปถ่อมาถึงเขตแดนที่มีกำลังทหารหนาแน่นได้ ก็ย่อมมีเหตุผลอยู่แล้ว

ฝั่งเหมียวอี้กำลังวางแผนเรื่องช่วยมารดาของเฟยหง ฝั่งหนานโปกลับลงมือปฏิบัติจริงแล้ว หนานโปย่อมไม่บุกเข้าไปด้วยตัวเองอยู่แล้ว นอกเสียจากจะอยากรนหาที่ตาย

…………………

 

เมื่อมีข่าวออกมา เขาก็พอจะเดาออกแล้ว สงสัยว่าเป็นฝีมือของฝั่งหนิวโหย่วเต๋อ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้เขาก็เพิ่งขู่หนิวโหย่วเต๋อไป ตอนนี้ก็ยิ่งพิสูจน์แล้วว่าเป็นฝีมือของหนิวโหย่วเต๋อ เขาเพิ่งข่มขู่อีกฝ่ายไป อีกฝ่ายก็สั่งสอนเขากลับทันที เหมือนกำลังเตือนเขาว่า สามารถเปิดโปงได้ทุกเมื่อว่าเขาวางแผนสังหารเซี่ยโห้วลิ่ง

เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ เว่ยซูยืนอยู่ฝั่งเขาแล้ว อธิบายต่อพี่น้องของเขาแล้วว่าเซี่ยโห้วลิ่งถูกพระปีศาจทำร้าย ถ้ามองจากบางระดับคำพูดของเว่ยซูก็ยังมีพลังอยู่บ้าง อย่างไรเสียข้างหลังก็ยังมีสมาคมอาวุโสหนุน ประเด็นสำคัญก็คือทายาทและลูกน้องเก่าของเซี่ยโห้วลิ่ง เกรงว่าจะไม่ยอมทิ้งอำนาจในมือ เขาได้รับข่าวแล้ว ว่าลูกชายของเซี่ยโห้วลิ่งกำลังติดต่อกับลูกน้องเก่าของเซี่ยโห้วลิ่ง ไม่รู้ว่ากำลังวางแผนลับอะไรกัน

ถ้าอิงตามแผนของเขา จะต้องจัดการอย่างลับๆ แน่นอน เพราะเขาได้ดูแลตระกูลแล้ว ย่อมไม่ยอมให้คนเบื้องล่างทำอะไรซี้ซั้ว ศึกภายในต้องสงบก่อน ถึงจะสู้ศึกภายนอกได้! แต่ประเด็นก็คือเซี่ยโห้วท่ายังมีชีวิตอยู่ ถ้าเขาถือวิสาสะทำให้คนอื่นของตระกูลเซี่ยโห้วเข่นฆ่ากันเอง ก็ไม่รู้ว่าเซี่ยโห้วท่าจะคิดอย่างไร

หลังจากลังเลซ้ำไปซ้ำมา เขาก็ยังหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อเซี่ยโห้วท่า ผลักปัญหานี้ไปให้เซี่ยโห้วท่าโดยตรง หยั่งท่าทีของเซี่ยโห้วท่า

ส่วนคำตอบที่เซี่ยโห้วท่าให้กลับมาก็เรียบง่ายมาก นั่นก็คือไม่อนุญาตให้ในตระกูลเซี่ยโห้วมีคนสร้างความแตกแยก หัวหน้าตระกูลอย่างเจ้าไม่มีแม้แต่ความเด็ดเดี่ยวที่จะตัดสินใจหรือไง? ยังต้องถามข้าอีกหรือ?

เมื่อได้ยินแบบนี้ เฉาหม่านก็ฮึกเหิมทันที เท่ากับได้รับการสนับสนุนจากเซี่ยโห้วท่าแล้ว รู้แล้วว่าควรต้องทำอย่างไร

เพียงแต่หลังจากเว่ยซูไม่อยู่แล้ว ก็มีหลายเรื่องที่เฉาหม่านทำไม่สะดวก เรื่องบางเรื่องถ้ากำชับเว่ยซู เว่ยซูก็ย่อมรู้ว่าต้องไปหาใคร เรื่องที่ชีเจวี๋ยชำนาญในตระกูลเซี่ยโห้วก็มีแต่ตลาดมืด บางเครือข่ายชีเจวี๋ยไม่ได้เป็นคนสร้างขึ้นมา มีบางเรื่องที่ยังต้องให้เขาติดต่อไปเกลี้ยกล่อมกับพี่น้องพวกนั้นด้วยตัวเอง ถ้าให้ชีเจวี๋ยติดต่อไป ก็เห็นได้ชัดว่าความน่าเชื่อถือของชีเจวี๋ยยังเทียบกับเว่ยซูไม่ติด

ส่วนฝั่งเหมียวอี้ บัญชีแค้นนี้เขาทำได้เพียงติดไว้ก่อน เซี่ยโห้วท่าสั่งแล้วว่าไม่ให้เขาแตะต้อง เขาย่อมไม่กล้าแตะต้อง

ตามที่เขาคาดเดา เซี่ยโห้วท่าก็คงจะมีชีวิตอยู่ไม่นานเช่นกัน เรื่องบางเรื่องก็แค่อดทนไว้ก่อน รอให้เซี่ยโห้วท่าตายแล้วจริงๆ ก็ค่อยไปสะสางบัญชีนี้กับหนิวโหย่วเต๋อ สิ่งที่ทำให้เขาเสียดายก็คือ ไม่ได้ฉวยโอกาสลงมือตอนที่หนิวโหย่วเต๋อยังยืนไม่มั่นคง ถ่วงเวลามาถึงตอนหลังแล้ว การจัดการหนิวโหย่วเต๋อก็ต้องจ่ายมากกว่าเดิมแน่นอน

ตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อยู่ในห้องที่ปิดสนิท ในมือกำระฆังดาราแน่น นั่งกัดฟันเงียบๆ อยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความคับแค้น

คนที่ติดต่อกับนางก็คือชิงหยวนจุนลูกชายของนาง ชิงหยวนจุนกำลังถามเรื่องที่เซี่ยโห้วลิ่งป่วยตาย ถามมารดาว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่

กว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะรู้ ข่าวนี้ก็แพร่ไปทั้งใต้หล้าแล้ว แพร่ไปนานแล้ว ไม่น่าเชื่อว่านางจะไม่ได้ยินข่าวเลยสักนิด ที่นางคิดได้ก็คือคนข้างกายล้วนปิดบังนาง พวกเอ๋อเหมยถูกเฉาหม่านควบคุมได้แล้ว

ชิงหยวนจุนถามต่อว่า : เสด็จแม่ อย่าบอกนะว่าท่านไม่รู้เรื่องนี้?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับฝืนรักษาหน้าเอาไว้ : ตอนที่เซี่ยโห้วลิ่งอ้างเหตุไม่เข้าประชุมขุนนาง แม่ก็รู้แล้วว่าเฉาหม่านมาแทนที่เขาแล้ว พวกเราไปแทรกแซงเรื่องภายในตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ เจ้าไม่ต้องสนใจมากขนาดนั้น ว่าแต่ฝั่งเจ้าเถอะ สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?

ชิงหยวนจุนเหมือนจนใจเล็กน้อย : เสด็จแม่ ลูกอยู่ฝั่งนี้เกรงว่าจะทำอะไรได้ยาก!

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หน้าบึ้งทันที ถามว่า : มีเรื่องอะไร? หนิวโหย่วเต๋อกลั่นแกล้งเจ้าเหรอ หรือว่าตระกูลเซี่ยโห้วมาหาเรื่องเจ้า?

นางคิดมากไปหน่อย เหมียวอี้กับเฉาหม่านตอนนี้ไม่มีอารมณ์มาคิดเรื่องนาง ทั้งสองล้วนมีเรื่องเร่งด่วนกว่าให้ต้องแก้ไข ถ้าจะสู้กับชิงหยวนจุนก็เป็นเรื่องในภายหลัง ขอเพียงชิงหยวนจุนไม่กระโดดซี้ซั้วเอง ก็ย่อมไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว

ชิงหยวนจุน : สองฝั่งนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ตอนนี้ยังอยู่กับลูกอย่างสงบ แต่เสด็จแม่ก็รู้ ว่าช่องทางรายได้ในมือลูกมีจำกัด อยากจะทำอะไรก็ยากมาก ลูกอยากจะให้รางวัลคนที่ทำงาน แต่ก็หาของอะไรมาให้ไม่ได้เลย แล้วยังจะให้คนทำงานให้ได้ยังไง?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : กำลังพลในมือเจ้าถูกเลี้ยงด้วยทรัพยากรของตำหนักสวรรค์ไม่ใช่เหรอ? อย่าบอกนะว่าคนฝั่งตำหนักสวรรค์เล่นตุกติก หักค่าจ้างที่จะเลี้ยงกำลังพลฝั่งเจ้า?

ชิงหยวนจุน : ไม่ใช่อย่างนั้น แต่งเงินที่ฝั่งตำหนักสวรรค์จ่ายมาเลี้ยงฝั่งนี้เป็นค่าจ้างตายตัวแบบปกติ แดนรัตติกาลไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไรนัก ถ้าไม่ให้ค่าตอบแทนดีๆ ก็จะไม่เหมาะสม

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : ในมือเจ้ายังควบคุมรายได้ที่เก็บจากทางเข้าออกน้ำพุวังเวงไม่ใช่เหรอ? ในปีนั้นหนิวโหย่วเต๋อยังรับมือไหว ทำไมเจ้าทำไม่ได้แล้วล่ะ? จุนเอ๋อร์ เรื่องบางเรื่องก็ต้องหาเหตุผลจากตัวเองบ้างนะ ตอนนี้เจ้ายืนด้วยลำแข้งตัวเองแล้ว จะเอาแต่ยื่นมือขอคนอื่นทุกเรื่องไม่ได้! เจ้าลองศึกษาดูหน่อยก็ได้ว่าตอนแรกหนิวโหย่วเต๋อทำยังไง เรียนรู้ข้อดีจากตัวอีกฝ่ายเอาไว้สักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร

ชิงหยวนจุนบ่นทันที : เสด็จแม่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว! น้ำพุวังเวงก็เป็นรายได้ก้อนหนึ่ง แต่ตอนที่หนิวโหย่วเต๋ออาศัยรายได้จากน้ำพุวังเวง ในมือเขามีแค่กำลังพลหนึ่งแสน จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลตอนนั้นยังเป็นจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล รายได้จากน้ำพุวังเวงเหลือเฟือสำหรับเลี้ยงกำลังพลหนึ่งแสน รางวัลที่ควรจะให้ก็มีให้ แต่ตอนนี้มีกำลังพลห้าสิบล้านนะ! ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อกุมกำลังพลห้าสิบล้าน ในมือไม่ได้มีแค่ช่องทางรายได้จากน้ำพุวังเวง ทั้งยังมีช่องทางรายได้ที่โถงชุมนุมอัจฉริยะหามาจากทั่วสารทิศ ฟังตลาดมืดก็ยื่นมือเข้าไปอย่างกำเริบเสิบสาน ตระกูลเซี่ยโห้วปิดตาข้างเดียวทำเป็นไม่เห็น ทางฝั่งตลาดสวรรค์ก็ไม่ออมมือ เขามีอิทธิพลที่ตลาดสวรรค์มาก ที่ตลาดสวรรค์มีใครกล้าไม่ไว้หน้าเขาบ้าง? ทั้งยังร่วมมือกับฮ่าวเต๋อฟางวางจำหน่ายระฆังดาราแบบใหม่อีก นั่นคือรายได้มหาศาลมาก! เขายังแอบส่งเสริมให้ลูกน้องออกปล้นด้วย ใครกล้าขวางช่องทางการเงินของเขา เขาก็จะส่งทหารเป็นล้างเลือดโดยอ้างว่าปราบโจร แค่ศึกที่โจมตีอิ๋งจิ่วกวงที่สระน้ำมังกรดำจนแพ้แล้วบีบให้อิ๋งจิ่วกวงจ่าย จำนวนค่าชดเชยนั้นก็มากจนน่าตกใจแล้ว ได้ยินว่าเขายังปล้นร้านค้าที่สระน้ำมังกรดำมาแล้วไม่น้อย

ได้ยินว่าให้ท้ายทหารตัวเองปล้นทรัพย์เหมือนเป็นโจรแบบสง่าผ่าเผย ปล้นแบบไม่ปิดบังเลยสักนิด เสด็จแม่ลองนับช่องทางรายได้ของเขาดูสิ แล้วนับสิ่งที่อยู่ในมือลูกดู อาศัยแค่รายได้จากน้ำพุวังเวง ไปเทียบกับรายได้ทั้งหมดของหนิวโหย่วเต๋อไม่ติดเลย น้อยจนยัดซอกฟันอีกฝ่ายไม่ได้ด้วยซ้ำ ลูกก็อยากจะเรียนรู้จักเขานะ แต่ลูกคือโอรสของราชันสวรรค์ ลูกจะละโมบแบบเขาได้เหรอ? ลูกส่งกำลังทหารไปโจมตีตามอำเภอใจได้เหรอ? ลูกส่งเสริมให้ทหารทำตัวเป็นโจรได้เหรอ? ลูกจะส่งกำลังทหารไปล้อมตลาดสวรรค์ ถึงขั้นล้างเลือดตลาดสวรรค์เหมือนเขาได้เหรอ? ต่อไปลูกจะต้องถูกขุนนางในราชสำนักกล่าวโทษตายแน่นอน! ถ้าลูกยื่นมือเข้าไปทางตลาดมืด ตระกูลเซี่ยโห้วจะปิดตาข้างเดียวให้ลูกได้เหรอ? ถ้าลูกสร้างกลุ่มลับส่วนตัวเหมือนโถงชุมนุมอัจฉริยะ แบบนั้นจะเหมาะสมหรือเปล่า? ถ้าให้เสด็จพ่อรู้แล้วท่านจะคิดยังไง?

มีเรื่องมากมายที่ลูกอยากจะลองทำ แต่แม่ทัพของลูกคอยห้ามเต็มที่ โดยเฉพาะรองผู้สำเร็จราชการหวังติ้งเฉา เป็นคนดื้อรั้นโดยสมบูรณ์ เอะอะก็อ้างเสด็จพ่อมาขู่ลูก เสด็จแม่ ในสายตาเสด็จพ่อ ฝั่งนี้ไม่มีอะไรที่เป็นความลับเลย ข้างกายข้าไม่มีแม้แต่เสนาธิการสักคน อยากจะหาคนคอยปรึกษาวางแผนด้วยก็หาไม่เจอ!

ประโยคสุดท้ายแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย แทบจะพูดออกมาอยู่แล้วว่าตัวเองเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าใจสถานการณ์ลำบากของลูกชายทันที เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าเมื่อไม่มีกำลังทรัพย์สนับสนุน ต่อให้ลูกชายคิดจะแสดงความสามารถแต่ก็เป็นไปไม่ได้ ถ้าจะให้ส่งกำลังทหารออกรบจริงๆ เมื่อไม่มีกำลังทรัพย์สนับสนุนก็สู้ไม่ได้เลย อย่าบอกนะว่าพลังงานที่ใช้เติมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็ต้องให้ลูกน้องควักกระเป๋าเอง? ค่าใช้จ่ายในการรักษาการบาดเจ็บจากสงครามรวมทั้งเงินบำรุงขวัญของคนที่รบตาย ก็ล้วนต้องมีกำลังทรัพย์สนับสนุนทั้งนั้น

เมื่อก่อนนางคิดถึงเรื่องในด้านนี้น้อยมาก ตอนที่ควบคุมหนิวโหย่วเต๋อ หนิวโหย่วเต๋อก็จัดการเรื่องทุกอย่างได้อย่างเรียบร้อยดี ไม่ต้องให้นางกังวลใจเลย ตอนนี้พอลูกชายเอ่ยถึงขึ้นมา นางถึงได้พบว่าการเลี้ยงคนมากมายขนาดนั้นมีจุดให้ใช้เงินเยอะเกินไป จากที่ลูกชายพูดก็ฟังออก ว่าในมือมีกำลังทรัพย์ไม่พอ แม้แต่การซื้อหัวใจคนขั้นพื้นฐานก็ทำไม่ได้ เมื่อไม่มีกำลังทรัพย์สนับสนุน กำลังพลกลุ่มนั้นก็ไม่มีวันเป็นของลูกชายนาง การตบรางวัลทั้งหมดล้วนต้องเพิ่งการสนับสนุนจากวังสวรรค์ กำลังพลอยู่ในมือของวังสวรรค์ตลอดไป

เมื่อเผชิญหน้ากับการระบายทุกข์ของลูกชาย เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็อยู่ไม่สุขแล้ว ลุกขึ้นยืนเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง นางก็อยากจะช่วยลูกชายสักหน่อย สนับสนุนกำลังทรัพย์บางส่วนให้ แต่นั่นคือกำลังพลห้าสิบล้านเชียวนะ! กำลังทรัพย์ที่นางให้ได้ไม่เพียงแค่เหมือนใช้น้ำแก้วเดียวราดดับกองฟืน แม้จะให้ได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่ก็ให้ในระยะยาวไม่ได้ ในมือจะต้องมีแหล่งทำเงินเอาไว้ นั่นต่างหากคือหนทางที่จะอยู่ได้ยาวนาน

พอนึกถึงตรงนี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะคับแค้นกับความใจดำของประมุขชิง แทรกคนไว้ข้างกายลูกชายมากมาย ไม่ให้โอกาสลูกชายได้แสดงความสามารถเลย นี่ยังดีที่ลูกชายของตัวเองเชื่อฟัง ลองเปลี่ยนเป็นแม่ทัพคนอื่นดูสิ มีหรือที่จะว่านอนสอนง่ายอย่างนี้

นางก็ไม่ลองคิดดูบ้างว่า ก่อนหน้านี้คนที่อยากจะย้ายกองทัพองครักษ์ไปช่วยลูกชายก็คือนาง ตอนนี้รู้สึกว่ากองทัพองครักษ์เป็นอุปสรรคก็คือนางเอก คาดว่าถ้าประมุขชิงปล่อยให้ชิงหยวนจุนทำซี้ซั้วจนโดนคนอื่นเล่นงานถึงตาย นางก็ยังจะโทษประมุขชิงอีก

นางไม่เข้าใจแล้ว ตอนแรกหนิวโหย่วเต๋อทั้งปล้นทั้งฆ่า ทำเรื่องชั่วต่างๆ นานามาหมด ทำไมลูกชายตัวเองจะทำบ้างไม่ได้? คิดไปคิดมาก็ยังเป็นเรื่องที่ชอบธรรม ตอนแรกไม่ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะทำเรื่องชั่วอะไร ก็ล้วนหาข้ออ้างที่ชอบธรรมได้เสมอ ถ้าไม่มีข้ออ้างก็จะโดนทำโทษแต่โดยดี

ในตอนนี้นางถึงได้เข้าใจ ว่าขุนนางคนสำคัญที่กุมอำนาจทางทหาร เวลาจะเติบโตขึ้นมารอยเท้าแต่ละก้าวนั้นมีความสำคัญมากขนาดไหน ถ้าไม่มีกำลังหลับของตัวเอง ก็มีแต่จะถูกคนอื่นควบคุม

พอนึกถึงข่าวที่เซี่ยโห้วลิ่งป่วยตาย เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่อวิ๋นจือชิวบอกในตอนแรก พอมาดูตอนนี้แล้วสงสัยจะเป็นเรื่องจริง เฉาหม่านปล้นตำแหน่งแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าคำพูดของอวิ๋นจือชิวตอนนั้นจริงเท็จกี่ส่วน อย่างไรเสียนางก็เคยโดนหนิวโหย่วเต๋อหลอกใช้มาแล้วครั้งหนึ่ง จะไม่กังวลเลยสักนิดได้อย่างไร

อีกด้านนึงก็โมโหในความใจดำของตระกูลเซี่ยโห้ว การแย่งอำนาจผลประโยชน์ในตระกูลทำให้คนใช้วิธีการต่ำช้าโดยไม่เลือก ขนาดหัวหน้าตระกูลก็ยังกล้าวางแผนทำร้าย มีสิทธิ์อะไรมาควบคุมนางเอาไว้ แล้วทำไมนางจะยืนด้วยลำแข้งตัวเองไม่ได้? อีกด้านหนึ่งก็กำลังครุ่นคิดว่าสิ่งที่หนิวโหย่วเต๋อฝากมาบอกเป็นเรื่องจริงหรือโกหก

นางเองก็เผชิญสถานการณ์ลำบากเหมือนกับลูกชาย ข้างกายไม่มีคนที่ไว้ใจได้คอยช่วยคิดแผน ถ้าพูดออกไปก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว

คิดไปคิดมา ก็เขย่าระฆังดาราตอบลูกชายตัวเองว่า : จุนเอ๋อร์ เจอความลำบากอะไรก็แอบขอความช่วยเหลือจากหนิวโหย่วเต๋อได้!

ชิงหยวนจุนตกใจทันที ถามว่า : เสด็จแม่ สุนัขตัวนั้นมีใจทะเยอทะยาน ถ้ายังเชื่อเขาอีกเหรอ?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : มีบางเรื่องที่เจ้ายังไม่รู้ชัดเจน เอาอย่างนี้แล้วกัน ในมือเจ้าขาดเงินไม่ใช่เหรอ? เจ้าเอ่ยปากขอทรัพยากรจากเขาสักก้อน ดูว่าเขาจะให้หรือเปล่า

ครั้งนี้นางเตรียมจะหยั่งเชิง นางรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองไม่มีคุณค่าอะไรให้หนิวโหย่วเต๋อใช้ประโยชน์แล้ว ถ้าภายใต้สถานการณ์แบบนี้หนิวโหย่วเต๋อยังยินดีมอบทรัพยากรก้อนใหญ่ให้นาง เช่นนั้นก็แสดงว่าคำพูดของอวิ๋นจือชิวควรค่าให้เชื่อถือ

ชิงหยวนจุนลังเล : เสด็จแม่ แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : เจ้าไปลองดูก็ได้ ไม่เสียหายอะไรหรอก แต่เรื่องนี้เจ้าติดต่อเงียบๆ นะ อย่าให้ตกอยู่ในมือคนอื่นเด็ดขาด เสด็จพ่อของเจ้าขี้ระแวงมาก เรื่องนี้เจ้าเองก็รู้

…………………

 

พอได้ยินแบบนี้ หยางชิ่งก็มุมปากกระตุกเล็กน้อย โชคดีที่ใส่หน้ากากไว้จึงเห็นไม่ชัดเจน

บางเรื่องแม้จะเป็นเรื่องจริง แต่เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ปกติก็ไม่มีทางประกาศต่อภายนอก เพราะจะทำลายชื่อเสียงบารมีเหมียวอี้ หยางชิ่งเองก็ไม่เคยโอ้อวดกับใครว่าเป็นผลงานของตัวเอง ตอนนี้อวิ๋นจือชิวพูดออกมาแล้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังอวดเขา ช่วยเป็นคนกลางให้อย่างเต็มความสามารถจริงๆ ทำให้หยางชิ่งซาบซึ้งอยู่ในใจ

ในจุดนี้หยางชิ่งจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ ว่าอวิ๋นจือชิวซื้อใจคนเก่งจริงๆ เขาสังเกตเห็นมาตั้งนานแล้ว ขอเพียงได้คลุกคลีกับอวิ๋นจือชิวมานาน ต่อที่เดิมทีจะเป็นคนของเหมียวอี้ แต่สุดท้ายถ้ามองจากบางมุมก็ถือว่ากลายเป็นคนของอวิ๋นจือชิวแล้ว ล้วนนับถือยำเกรงอวิ๋นจือชิวอย่างสุดจิตสุดใจ ถ้ามองจากบางมุมก็ถือว่ารักษาสถานะนายหญิงของอวิ๋นจือชิวไว้ได้อย่างมั่นคง คาดว่าในจวนท่านอ๋องถ้ามีใครอยากแทนที่อวิ๋นจือชิว คนข้างกายเหมียวอี้ก็จะไม่มีใครยอมรับด้วยสักคน

พอคำนึงถึงฉินเวยเวยลูกสาวตัวเอง สำหรับหยางชิ่งแล้ว สิ่งนี้คือความกังวลที่ซ่อนอยู่ในใจ

สำหรับอวิ๋นจือชิว ซูอวิ้เป็นใครกันล่ะ เคยเป็นผู้หญิงของฮ่าวเต๋อฟางมาแล้ว มีหรือที่ชอบผู้ชายคนไหนก็ได้ ย่อมต้องพิสูจน์ว่าหยางชิ่งเก่งกว่าฮ่าวเต๋อฟาง ถ้ามองจากบางมุม การที่อวิ๋นจือชิวสนับสนุนมากขนาดนี้ ก็ถือว่ากำลังแลกกับผลงานของหยางชิ่งเช่นกัน

วิธีการนี้ของอวิ๋นจือชิวได้ผลจริงๆ ชั่วพริบตานี้ ซูอวิ้นถูกทำให้ตะลึงค้างแล้ว หันขวับไปจ้องประเมินหยางชิ่งศีรษะจดเท้าอีกครั้ง คิดมาตลอดว่าอุบายห่วงสัมพันธ์ที่ใช้กับท่านอ๋องเป็นฝีมือของหนิวโหย่วเต๋อ นึกไม่ถึงว่าผลงานที่สูงส่งลำเลิศขนาดนี้จะเป็นฝีมือเขา ไม่น่าเชื่อว่าคนผู้นี้จะมองข้ามหัววีรบุรุษในใต้หล้า! นึกไม่ถึงว่าข้างกายหนิวโหย่วเต๋อจะมีเสนาธิการคนนี้อยู่ เมื่อก่อนจวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวไม่รู้เรื่องนี้เลยสักนิด ซ่อนเร้นได้ล้ำลึกมากทีเดียว!

นางแน่ใจได้เลยว่าอวิ๋นจือชิวไม่พูดโกหก เรื่องแบบนี้พูดซี้ซั้วได้ที่ไหนกัน ตอนนี้นางเกิดความอยากรู้อยากเห็นอย่างแรงกล้า อยากจะเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงภายใต้หน้ากากนั้น จะดูว่าเป็นคนอย่างไรกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะเล่นกับวีรบุรุษในใต้หล้าด้วยฝ่ามือเดียว!

 เหนียงเหนียงชมเกินไปแล้ว มิบังอาจรับไว้ วางแผนการรบบนกระดาษ มิสู้ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของท่านอ๋อง!  หยางชิ่งกุมหมัดด้วยสีหน้าเขินอาย

 เจ้ารับไหว เจ้ารับได้!  อวิ๋นจือชิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม:

ซูอวิ้นกลับชำเลืองหยางชิ่ง  เหตุใดท่านบุรุษหยางจึงสวมหน้ากากไว้ตลอด อย่าบอกนะว่าอับอายไม่กล้าพบหน้าคน?  ในน้ำเสียงแฝงการเหน็บแนม

แววตาที่ลึกล้ำของหยางชิ่งสบประสานกับดวงตางามซูอวิ้นแล้ว ตอบเสียงเรียบว่า  ไม่ใช่ว่าอับอาย แต่แต่ข้าสาบานเอาไว้! 

 ไม่ทราบว่ามีคำสาบานอะไรควบคุมไว้?  ซูอวิ้นถาม

หยางชิ่งตอบว่า  สาบานเอาไว้ตอนสวมหน้ากากนี้ ว่าถ้าพบคนที่ข้าอยากแต่งงานด้วย แล้วนางเป็นผู้หญิงที่ดีจะแต่งงานกับข้า ขอเพียงนางให้ข้าถอด ข้าก็จะถอดให้นางดู! 

 …  ซูอวิ้นพูดไม่ออก เจอประโยคนี้เข้าไปก็ไม่มีความสามารถที่จะโต้ตอบ นึกไม่ถึงว่าจะมีคำสาบานประเภทนี้อยู่ด้วย ถ้าตัวเองอยากให้ฝ่ายถอดหน้ากาก แบบนี้จะไม่…ทำเอารู้สึกเขินอายทันที ไม่กล้าสบตากับหยางชิ่ง เรากับทนรับสายตาแบบนั้นของหยางชิ่งไม่ไหว เอียงหน้าหนีโดยไม่รู้ตัว แก้มแดงเรื่อ เขินอายนิดหน่อย พบว่าตัวเองไม่ควรถามคำถามนี้ ดูเหมือนตัวเองเสียมารยาทแล้ว

ต่อให้นางนอนฝันก็คงนึกไม่ถึงว่าหยางชิ่งจะวางกับดักนางเพราะรักและชื่นชมนาง โดนวางกับดักแล้วยังนึกว่าตัวเองพูดจาไม่เกรงใจ เป็นฝ่ายเสียมารยาทก่อน

อวิ๋นจือชิวกลับตกตะลึงกับคำพูดของหยางชิ่ง นางแทบจะกลอกตามองบน พูดคำโกหกออกมาได้อย่างสบายปากจริงๆ วางกับดักให้ซูอวิ้นเดินเข้าไปเอง คำสาบานบ้าบออะไรกัน เคยเห็นคนไร้ยางอายมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายขนาดนี้ นี่คือการพูดจาแทะโลมอย่างเปิดเผย นางนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าคนที่สุขุมอย่างหยางชิ่งจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้ นางพบว่าผู้ชายคุณภาพเดียวกันหมด ไร้ยางอาย!

แต่นางก็ต้องยอมรับ ว่าหยางชิ่งลงมือได้โหดมากทีเดียว ต่อจากนี้ซูอวิ้นยังจะกล้ามองเขาตรงๆ อีกหรือ? ถ้าเจอหยางชิ่งแล้วหันหน้าหลบ จะกลัวคนเข้าใจผิดหรือเปล่า? ช้าเร็วก็ต้องทำให้ซูอวิ้นอึดอัด ความอึดอัดนี้จะต้องทำให้เกิดปัญหาแน่

 ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย…  อวิ๋นจือชิวพูดทิ้งท้ายแล้วเดินออกไปก่อน ขนาดตามจีบผู้หญิงยังทำเหมือนประลองกับยอดฝีมือ รับไม่ไหวจริงๆ นางเริ่มสงสัยนิดว่าซูอวิ้นอาจจะหนีไม่พ้นเงื้อมมือมารของหยางชิ่งแล้ว ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหยางชิ่งเลย! พอเจอกันก็ถูกหยางชิ่งพาเข้ากับดักแล้ว

วันนี้มีความคืบหน้ามากพอแล้ว หยางชิ่งควบคุมระดับได้ดีสุดๆ พูดเพียงเท่านี้ กุมหมัดคารวะซูอวิ้น  ขอตัว! 

 ส่งตรงนี้!  ซูอวิ้นกุมหมัดคารวะเช่นกัน มองคล้อยหลังหยางชิ่งหันตัวเดินไป จ้องเงาหลังหยางชิ่งที่เดินออกไปอยู่ตลอด หลังจากได้ฟังคำพูดของอวิ๋นจือชิววันนี้ จะไม่ให้นางอยากเห็นใบหน้าที่อยู่ใต้หน้ากากนั้นได้อย่างไร อยากจะเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงกับตา แต่พอนึกถึงคำพูดของหยางชิ่ง ใบหน้าก็รู้สึกร้อนผ่าวอย่างควบคุมไม่อยู่ พยายามหลีกเลี่ยงไม่เอ่ยให้อีกฝ่ายถอดหน้ากากอีก ถูกทำให้อดทนทรมานนิดหน่อย…

ตอนกลางคืน นอกเรือนระดับหนึ่งหลังหนึ่ง บนวงกบประตูเปลี่ยนชื่อเป็น ‘หวนจู’ แล้ว เหมียวอี้เดินเข้ามาข้างใน ทหารอารักขาเฝ้าอยู่ข้างนอก

ท่านอ๋องมาเยือน บ่าวไพร่ที่อยู่ในเรือนรีบรายงานไปบอกเจ้านาย ไม่รอให้เหมียวอี้เดินลึกเข้าไป หมิงจูก็รีบเดินมาต้อนรับแล้ว  คำนับท่านอ๋องค่ะ! 

เหมียวอี้บอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี เงยหน้ามองสีของท้องฟ้า แล้วบอกว่า  คืนนี้ข้าจะค้างที่นี่! 

ที่มาวันนี้เพราะมีเจตนาจะกู้หน้ากลับคืนมาด้วย อยากจะให้ทุกคนเห็นว่าข้าไม่กลัวหวังเฟยเสียหน่อย ก็ยังจะมาเหมือนเดิม

หมิงจูได้รับผลกระทบจากเรื่องคราวก่อน ยังอกสั่นขวัญแขวนนิดหน่อย แต่ก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธ ทำได้เพียงเอ่ยรับเสียงอ่อนปวกเปียก  ค่ะ! 

จากนั้นก็เดินเล่นอยู่ในเขตลานบ้านเคียงข้างเหมียวอี้ ไม่เห็นว่าสภาพแวดล้อมของเรือนพักค่อนข้างดี เหมียวอี้ก็ถามไปเรื่อยเปื่อยประมาณว่าอยู่ที่นี่ชินแล้วหรือยัง

ส่วนสาวใช้ก็รีบไปเก็บกวาดเตรียมตัวแล้ว…

วันต่อมา หมิงไป่พาลูกชายสองคนมาถึงจวนท่านอ๋อง มาคำนับอวิ๋นจือชิว หลังจากได้รับแจ้งจากลูกสาว หมิงไป่ก็ไม่กล้าชักช้า เรียกได้ว่าออกเดินทางทันที

ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าลูกสาวถูกหยามหมิ่น หมิงไป่ก็ทั้งอกสั่นขวัญแขวนทั้งโมโหจนด่าว่าคนในจวนท่านอ๋องรังแกกันเกินไปแล้ว ตอนหลังพอได้ยินว่าลูกสาวมีโชคมาเยือน ได้ย้ายเข้าเรือนระดับหนึ่งของจวนท่านอ๋อง ก็เลยถามรายละเอียด ลูกสาวไม่รู้ความ แต่หมิงไป่กลับฟังออกว่าเรื่องนั้นอาจจะเป็นการแสดงละคร ทำให้คนอื่นเห็นเฉยๆ ลูกสาวอาจจะโชคดีบนความโชคร้าย ระหว่างทางที่มาได้ยินสาวใช้ของลูกสาวรายงานว่าท่านอ๋องมาค้างแรมกับลูกสาวอีก หมิงไป่ก็ดีใจมาก คิดว่าลูกสาวได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องแล้ว

ก่อนหน้านี้ยังกังวล ตอนหลังก็คิดว่าสมเหตุสมผลแล้ว คนเป็นพ่อเป็นแม่ล้วนรู้สึกว่าลูกสาวตัวเองดีอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นลูกสาวของเขาก็หน้าตาไม่ธรรมดาจริงๆ

สรุปก็คือไม่ว่าจะเป็นอย่างไร สำหรับตระกูลหมิงแล้ว หากลูกสาวได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋อง ก็รอวันที่ตระกูลหมิงจะกลับมามีอำนาจอีกครั้งได้เลย บางทีอาจจะมีอำนาจมากกว่าตอนแรกด้วยซ้ำ!

มีอวิ๋นจือชิวช่วยพูดให้ เหมียวอี้ก็ไม่ค่อยคัดค้านเท่าไหร่ ตอนนี้ยังคืนตำแหน่งเดิมให้หมิงไป่ไม่ได้ แต่กลับแบ่งให้ไปอยู่บนอาณาเขตของสวีถังหรานแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือให้หลงซิ่นดูแล ตอนนี้ช่วยหมิงไป่รับหน้าที่ทำงานเบ็ดเตล็ดไปก่อน ส่วนลูกชายทั้งสองของหมิงไป่ก็มีตำแหน่งว่างให้แล้ว แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งหลักอะไร แต่ก็ถือว่ากลับมาสภาพเดิมแล้วแล้ว

แต่เหมียวอี้ก็ยังเตือนต่อหน้าสามพ่อลูกตระกูลหมิง ว่าเขาไม่อยากให้ทัพใต้กลายเป็นทัพใต้แบบเมื่อก่อน สามารถให้โอกาสพวกเขาได้ แต่ถ้ารักษาไว้ไม่ได้ก็อย่าหาว่าเขาไม่เกรงใจ

พอบอกลาท่านอ๋องกับหวังเฟยแล้ว สามพ่อลูกก็ไปเจอหมิงจูที่สวนหวนจูอีก

หมิงจูที่อารมณ์ค้างจากเมื่อคืนยังคงแก้มแดง คิดไปคิดมาก็เหมือนฝันจริงๆ พอบิดากับพี่ชายมาแล้วนางถึงได้สติกลับมา

เมื่อครอบครัวพบหน้ากัน แม้หมิงจูจะปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะบิดาและพี่ชาย แต่ท่าทีของบิดาและพี่ชายก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่กล่าวสั่งสอนลูกสาวและน้องสาวตามอำเภอใจอีก ทั้งพี่ชายและบิดาล้วนเคารพนางมาก สิ่งที่นางพูดไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผล บิดาและพี่ชายก็ล้วนทำท่าตั้งใจฟัง สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกอึดอัดมาก

แต่ก็ทำให้นางตระหนักได้แล้วจริงๆ วันหลังจากได้เป็นสามีภรรยากับผู้ชายคนนั้นแล้ว สถานะของนางก็เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนอย่างฉับพลัน ก่อนหน้านี้ตอนท่านอ๋องล้างหน้าแปรงฟันออกไปแล้ว นางก็สังเกตได้ว่าบ่าวไพร่เปลี่ยนท่าทีเป็นเคารพนางมากขึ้น สาวใช้สองคนของนางกล้าเชิดหน้าเรียกใช้บ่าวไพร่พวกนั้นแล้ว บ่าวใครที่ก่อนหน้านี้ยังต้องคอยเกรงใจสีหน้าของหวังเฟย ตอนนี้สงบเสงี่ยมโดยสิ้นเชิงแล้ว

คนที่พักอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสมาชิกครอบครัวผู้หญิง พ่อลูกตระกูลหมิงไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน ก่อนจะกล่าวอำลา สาวใช้ของหมิงจูก็ได้รับรางวัลจากหมิงไป่อย่างที่คาดไว้จริงๆ หมิงไป่กำชับให้ทั้งสองดูแลหมิงจูให้ดี ถ้าต้องการอะไรก็ติดต่อเขาให้ทันเวลา

สาวใช้ทั้งสองไม่ได้พอใจแค่เท่านี้ มีพื้นเพมาจากตระกูลใหญ่ รู้ว่าจะสร้างอำนาจให้เจ้านายตัวเองอย่างไร ระหว่างทางกลับหลังจากไปส่งพ่อลูกตระกูลหมิง พวกนางก็จงใจเปิดเผยข่าวดีนี้ให้สาวใช้ของเรือนอื่นรู้

ใช้เวลาไม่นาน หมิงจูก็ได้เข้าพักในเรือนระดับหนึ่ง ท่านอ๋องไปค้างแรมกับหมิงจู พอลูกตระกูลหมิงหวนคืนสู่ตำแหน่ง ข่าวนี้แพร่ไปยังบรรดาอนุภรรยาที่เข้ามาใหม่เร็วมาก

อวี่เหวินหรูอวี้กับกงหนีฉางเข้าพักที่เรือนระดับหนึ่งได้ก็เพราะพื้นเพชาติกำเนิด แต่การที่หมิงจูได้ใช้ชีวิตมีหน้ามีตาอย่างนี้ ก็เป็นเพราะได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องอย่างแท้จริง โชคชะตาของหมิงจูไม่ใช่แค่ทำให้ได้โอ้อวดความรวยของตัวเองเท่านั้น ทั้งยังได้แสดงความกตัญญูกับคนในครอบครัวด้วย นับว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตตำหนักหลังในจวนท่านอ๋อง ทำให้ทุกคนรับรู้พลังของการปรนนิบัติท่านอ๋อง ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงตั้งมากมายเท่าไหร่ก็อิจฉา

ความอิจฉามักจะแฝงความหมายริษยาไว้ด้วย ทุกคนล้วนเข้ามาจวนท่านอ๋องด้วยสถานการณ์เดียวกัน หมิงจูมีสิทธิ์อะไรได้รับเกียรติอย่างนี้ พื้นเพของหมิงจูนับว่าอยู่ระดับต่ำสุดในบรรดาคนที่เข้ามาใหม่ ย่อมต้องมีคนอิจฉาอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนที่มีพื้นเพชาติกำเนิดดีกว่าหมิงจู บางคนจะแอบพูดนินทาลับหลังบ้างก็เลี่ยงไม่ได้ แต่ต่อให้ในใจรู้สึกไม่ยอมแพ้ไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกฝ่ายอยู่สูงกว่าเจ้าหนึ่งระดับแล้ว เวลาออกเดินทางก็มีบ่าวไพร่ติดตามเยอะกว่าเจ้า อีกฝ่ายสามารถพูดกับท่านอ๋องได้โดยตรง ถ้าฟ้องเรื่องไม่ดีของเจ้าให้ท่านอ๋องรู้ขึ้นมา เจ้าจะรับโทษไหวเหรอ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าบิดาและพี่ชายของนางหวนคืนสู่อำนาจแล้ว สามารถไปหาเรื่องครอบครัวเจ้าได้เลย ดังนั้นเวลาบังเอิญเจอกันบนทางเดินเจ้าก็ต้องทำตัวสงบเสงี่ยม เคารพและยิ้มสู้

หลังจากนั้นไม่กี่วัน เป็นเพราะฝั่งนี้ก็เรื่องขึ้นนิดหน่อย สาวใช้ของหมิงจูบังเอิญได้ยินสาวใช้ของคนอื่นพูดลับหลังหมิงจูในทางที่ไม่ดี สาวใช้ของหมิงจูโผล่หน้ามาทันที พวกเราไม่เกรงใจเลย เข้าไปตบสองสามฉาด ทะนงตนเต็มที่ สาวใช้ของคนอื่นโดนตบแต่ไม่กล้าโต้ตอบ สาวใช้ที่เหลือที่ร่วมนินทาด้วยได้แต่ก้มหน้า ไม่กล้ามาช่วยพวกนาง

เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นในจวนท่านอ๋อง มีหรือที่จะผ่านหูผ่านตาอวิ๋นจือชิวไปได้ สำหรับเรื่องนี้อวิ๋นจือชิวรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่กลับคอยดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้สนใจอะไร เวลาคนน้อยก็มีวิธีควบคุมอีกแบบ เวลาคนมากก็มีวิธีควบคุมอีกแบบ นางจงใจจะสร้างธรรมเนียมความแตกต่างของระดับ

ส่วนข่าวเรื่องที่เซี่ยโห้วลิ่งป่วยตาย ข่าวตำแหน่งหัวหน้าตระกูลตกอยู่ในมือเฉาหม่าน ในที่สุดก็ปะทุแล้ว สั่นสะเทือนทั้งใต้หล้า ผู้คนพากันกล่าวถึง!

 นายท่าน เจอต้นตอของข่าวแล้ว เป็นคนของโถงชุมนุมอัจฉริยะที่ปล่อยข่าว 

ในเขตลานบ้านที่ร่มรื่น ชีเจวี๋ยรายงานต่อเฉาหม่าน เฉาหม่านสีหน้าพยับเมฆ แค้นจนกัดฟันกรอด

…………………

 

เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันอย่างนี้ ทำให้หมิงจูไม่เข้าใจทิศทางเลย จนกระทั่งสาวใช้ที่อยู่ข้างหลังเอ่ยเตือน หมิงจูถึงได้รีบเอ่ยรับ

หลังจากขอตัวถอยออกไปจากเรือนหลักแล้ว หมิงจูก็ยังมึนงงนิดหน่อย ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ กลายเป็นอย่างนี้ไปได้

แต่สาวใช้ทั้งสองกลับตื่นเต้นดีใจจนตาลุกวาว ถ้าเรื่องนี้กลายเป็นจริงเมื่อไหร่ นายท่านของตระกูลหมิงมาถึง พวกนางก็จะได้รับการตบรางวัลอย่างงามแน่นอน

หลังจากหลบมุมมองสามคนนั้นเดินคล้อยหลังออกไป หยางเจาชิงถึงได้บอกใบ้หลินผิงผิงว่าให้กลับไป เหมียวอี้กลัวว่าอวิ๋นจือชิวจะทำซี้ซั้ว จึงให้หยางเจาชิงดึงตัวหลินผิงผิงมา ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา จะได้ให้หลินผิงผิงโน้มน้าวอวิ๋นจือชิวได้สะดวก

 พวกเจ้าสองคนทำตัวลับๆ ล่อๆ ทำไม? 

หลินผิงผิงเพิ่งจะหันตัวมา จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแสยะยิ้มของอวิ๋นจือชิว

สองสามีภรรยาหันกลับมามอง เห็นเพียงอวิ๋นจือชิวยืนอยู่ตรงประตูโถงหลักและกำลังจ้องพวกเขาด้วยสายตาเยียบเย็น

ทั้งสองก็เขินเล็กน้อย รีบหันตัวกลับไปทำความเคารพ แต่อวิ๋นจือชิวไม่รับไมตรีแม้แต่น้อย บอกหลินผิงผิงว่า  ดูแลผู้ชายบ้านเจ้าให้ดี เรื่องจับผู้หญิงไปยัดให้อยู่ข้างกายท่านอ๋อง ไม่ต้องให้เขายุ่งมากนัก ถ้ามีครั้งหน้าอีก ข้าก็ไม่ถือสาที่จะทำให้ในบ้านเจ้ามีสาวๆ เพิ่มขึ้นมาอีก! 

 ค่ะ!  หลินผิงผิงพยักหน้าอยากก็เขิน

หยางเจาชิงก้มหน้าไม่กล้ามอง และไม่แก้ตัวเช่นกัน รู้ว่ายิ่งอธิบายก็ยิ่งซวย

โชคดีที่อวิ๋นจือชิวไม่ได้กัดไม่ปล่อย ทำเสียงฮึดฮัดแล้วก็เดินออกไป ทำให้เขาโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก

หลังจากรู้ว่าอวิ๋นจือชิวจัดการหมิงจูแล้ว เหมียวอี้ที่หลบอยู่ในห้องหนังสือก็โล่งใจเช่นกัน

เสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนรายงานอยู่ตรงหน้ากล่าวเสริมอีกว่า  เหนียงเหนียงบอกว่าคืนนี้ให้ท่านอ๋องไปปลอบโยนหมิงจูฮูหยินดีๆ สักหน่อย ให้ดูด้วยว่าจัดหาที่อยู่ให้ดีหรือไม่ จะได้ไม่มีคนกังวลว่าฮูหยินโหดร้ายใจดำเกินไปค่ะ 

เหมียวอี้ทำหน้านิ่งแล้วตอบว่า  อ๋องผู้นี้รู้ว่าควรทำยังไง ไม่ต้องให้นางสอน 

เสวี่ยเอ๋อร์ย่อเข่าข้างเดียวคำนับแล้วขอตัวออกไป

หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ กลับพึมพำในใจว่า ถ้าเก่งนักก็ไปพูดต่อหน้าเหนียงเหนียงสิ มาเสแสร้งต่อหน้าพวกเรามีความหมายเหรอ?

เขาโดนหลินผิงผิงตำหนิไปแล้วยกหนึ่ง ผู้หญิงล้วนต่อต้านเรื่องนี้ทั้งนั้น

เหมียวอี้ดึงความคิดออกมาจากเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว เอนกายพิงเก้าอี้แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมา หัวเราะหึหึแล้วบอกว่า  เฉาหม่านส่งข่าวมา! ข้าก็นึกว่าเขาจะทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ข่มใจด้วยเก่งจริงๆ 

เขาเขย่าระฆังดาราถามว่า : ท่านบุรุษเฉามีอะไรจะชี้แนะ?

เฉาหม่านอดกลั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ เว่ยซูรวมทั้งสมาชิกผู้ติดตามหายตัวไปหมด ติดต่อไม่ได้เลย จากการตรวจสอบ ฝั่งจวนอ๋องสวรรค์หนิวก็เหมือนจะไม่เกิดความเคลื่อนไหวอะไร แต่ตอนนี้หาเบาะแสเว่ยซูไม่เจอเลยสักนิด พอคิดไปคิดมา ก็มีแต่ต้องให้เหมียวอี้ชี้แจง

เฉาหม่าน : เจ้าทำอะไรเว่ยซู?

การที่พูดแบบนี้ออกมาได้ ก็แสดงว่าเขาต้องการจะเอาเรื่องเหมียวอี้แล้ว ถ้าสามารถสืบที่อยู่ของเว่ยซูจากเหมียวอี้ได้ก็แล้วไป แต่ถ้าสืบไม่เจอ ไม่ว่าเหมียวอี้จะทำหรือไม่ อย่างไรเสียบัวโลหิตก็หายไปแล้ว เขาเองก็ไม่มีอะไรต้องพะวงอีก เหมียวอี้ทำให้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามแล้ว ต้องการจะฉวยโอกาสลงมือตอนที่เหมียวอี้ยังไม่สามารถคุมทัพใต้ได้อย่างมั่นคง!

เหมียวอี้ : สิ่งที่ท่านบุรุษเฉากล่าวมา อ๋องผู้นี้ฟังไม่เข้าใจแล้ว

เฉาหม่าน : เว่ยซูยังไม่ได้กลับมาจากฝั่งของท่านอ๋อง ข้ายังจำเป็นต้องพูดอย่างอื่นมากอีกเหรอ? อย่าบอกนะว่าท่านอ๋องจะไม่ชี้แจงกับข้าสักหน่อย?

เหมียวอี้เลิกคิ้ว ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ถามว่า : ท่านบุรุษเฉาคิดจะใส่ความกันใช่ไหม คิดจะโจมตีกันใช่ไหม?

ขณะเดียวกันก็โบกมือให้หยางเจาชิง  เรียกเหยียนซิวเข้ามา 

เฉาหม่านยืนกรานว่า : เว่ยซูหายตัวไปในอาณาเขตทัพใต้ ในพื้นที่ทัพใต้นอกจากท่านอ๋องที่มีกลอุบายนี้แล้ว ถ้านึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครทำได้อีก

เหมียวอี้ : ท่านบุรุษเฉาแน่ใจนะว่าเว่ยซูแน่ใจนะว่าหายตัวไปแล้ว ไม่ใช่ว่าไปหาท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วท่าหรอกเหรอ?

เฉาหม่าน : ท่านอ๋องกำลังจะพูดว่า เจ้าฆ่าเว่ยซูไปแล้วเหรอ?

เหมียวอี้ : เฉาหม่าน เจ้าอย่ามาเล่นมุขนี้หน่อยเลย เซี่ยโห้วท่าพ่อเจ้าแกล้งตายแล้วซ่อนตัวอยู่หลังม่าน อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ ถ้าเจ้าคิดจะหาเรื่องข้า ข้าก็เล่นด้วยได้ทุกเมื่อ คิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือไง!

เฉาหม่านที่ยืนอยู่ข้างเก้าอี้โยกใต้ต้นไม้อึ้งทันที ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือตกตะลึงพรึงเพริด เซี่ยโห้วท่าแกล้งตายงั้นเหรอ? ท่านพ่อแกล้งตายเหรอ?

ชีเจวี๋ยที่อยู่ข้างๆ เห็นสีหน้าเขาผิดปกติ จึงลองถามว่า  นายท่าน เป็นอะไรไปแล้ว? 

เฉาหม่านไม่สนใจว่าเขาถามอะไร เขย่าระฆังดารารีบถามอีก : เจ้าบอกว่าท่านพ่อยังไม่ตายเหรอ?

เหมียวอี้ : แกล้งโง่อะไรกัน เราจะไม่รู้เชียวหรือว่าตายหรือไม่ตาย ข้าเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ อย่าบีบให้ข้าร้อนรน เพราะอย่างมากข้าก็แค่ร่วมมือกับพระปีศาจ!

พูดจบก็ตัดขาดการติดต่อไปเลย ไม่สนใจเฉาหม่านอีก เหลือบตาขึ้นมองเหยียนซิวที่เดินเข้ามา แล้วพยักหน้าบอกใบ้เบาๆ

เหยียนซิวเรียกเซี่ยโห้วท่าที่กำลังสับสนงงงวยออกมา แล้วก็รออยู่อย่างนั้น

เหมียวอี้พิงเก้าอี้หลับตาพักผ่อนแล้ว

ในเขตลานบ้านที่ลึกและเงียบ เฉาหม่านเดินไปเดินมา จิตใจว้าวุ่นสับสน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้พูดจริงหรือเปล่า แต่เหมียวอี้พูดอย่างมั่นใจขนาดนี้ ทำให้เขาสงสัยแล้วนิดหน่อย มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจได้ นั่นก็คือในปีนั้นยังไม่ถึงเวลาที่ท่านพ่อจะสิ้นอายุขัยจริงๆ กอปรกับความเจ้าเล่ห์แผนสูง มีความเป็นไปได้อย่างที่หนิวโหย่วเต๋อบอกจริงๆ สุดท้ายก็หยุดเดินแล้วหยิบระฆังดาราออกมา จ้องระฆังดาราอันนี้อย่างตะลึงงันนานมาก นี่ก็คือระฆังดาราที่เขาใช้ติดต่อกลับเซี่ยโห้วท่าผู้เป็นบิดา ไม่ได้ใช้งานมานานมากแล้ว

หลังจากลังเลอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเฉาหม่านก็ร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าระฆังดาราในมือ ทว่าอีกฝ่ายไม่มีอะไรตอบกลับมาเลย

พอเป็นแบบนี้ เขากลับเขย่าระฆังติดต่อไม่หยุด ร้อนใจอยากได้คำตอบ

ตอนที่ระฆังดารามีเสียงตอบกลับมา เซี่ยโห้วท่าถามว่า : เจ้าสาม เจ้ารู้แล้วเหรอ?

เฉาหม่านรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางกบาลทันที ใบหน้าขาวซีด ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่จริงๆ!

ในปากเฉาหม่านเต็มไปด้วยความขื่นขม ตอบว่า : ท่านพ่อ ท่านปิดบังข้าได้โหดร้ายนัก!

เซี่ยโห้วท่า : เจ้ารู้ได้ยังไง? เว่ยซูไม่ได้บอกเจ้าเสียหน่อย

เฉาหม่าน : ข้าเพิ่งรู้มาจากหนิวโหย่วเต๋อ

เซี่ยโห้วท่า : เขารู้ได้ยังไง?

เฉาหม่าน : ลูกก็ไม่ทราบ เมื่อครู่เพิ่งสืบถามที่อยู่ของเว่ยซู ลูกลองขู่นิดหน่อย เขาก็เลยเริ่มร้อนรน ลูกถึงได้รู้ว่าท่านพ่อยังอยู่

เซี่ยโห้วท่า : เว่ยซูนำของมาให้ข้า ข้าย่อมมีแผนการของข้าแล้ว

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! เฉาหม่านยิ้มเจื่อน คนที่เว่ยซูเชื่อฟังจริงๆ ก็ยังเป็นบิดาของตน ตนควบคุมไม่ได้เลย เขาเงยหน้าถอนหายใจยาว แล้วเขย่าระฆังดาราถามอีก : ท่านพ่อ ลูกควรจะไปเยี่ยมคำนับท่านพ่อที่ไหน?

เซี่ยโห้วท่า : แค่มีความตั้งใจนั้นอยู่ในใจก็เพียงพอแล้ว ข้าไม่สะดวกจะเผยหน้าออกไป ในเมื่อมอบงานในตระกูลให้เจ้าแล้ว เจ้าจัดการให้ดีก็พอ เว่ยซูอยู่ข้างกายข้า ตอนนี้คงยังกลับไปไม่ได้ ส่วนฝั่งหนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอย่าไปแตะต้องเขา ทำงานของเจ้าให้ดี เรื่องอื่นถ้ามีแผนแล้ว!

หลังจากสองพ่อลูกติดต่อกันเสร็จ เฉาหม่านก็เอนกายบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว ท่านพ่อพูดชัดเจนว่ามอบงานในตระกูลให้เขาดูแลแล้ว เดิมทีเขาควรจะดีใจ แต่ก็ดีใจไม่ออกจริงๆ ในใจเขารู้ชัดมาก ว่าไม่มีใครควบคุมตระกูลเซี่ยโห้วได้เหนือกว่าท่านพ่อ ท่านพ่อพูดได้ทุกเมื่อว่าจะมอบให้เขาหรือจะทวงคืน ส่วนเขาก็ไม่มีความสามารถจะต่อต้านเลย ถ้าท่านพ่อคิดจะมอบอำนาจให้จริงๆ ก็ควรจะส่งสมาคมอาวุโสให้เขาด้วย แต่ท่านพ่อไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องสมาคมอาวุโส

ชั่วพริบตานั้นที่เขาคิดจะไปเยี่ยมคำนับ เขาถึงขั้นเกิดอารมณ์ชั่ววูบจะสังหารเซี่ยโห้วท่า คิดจะช่วยโอกาสกำจัดเซี่ยโห้วท่าและกุมอำนาจในรวดเดียว! ทว่าความคิดนี้ก็แค่แวบเข้ามาเท่านั้น ตามที่เซี่ยโห้วท่าบอกว่าจะไม่มาพบ เขาก็รีบดับความทะเยอะทะยานนั้น เพราะสุดท้ายอำนาจบารมีของเซี่ยโห้วท่าก็ทำให้เขาไม่กล้าบุ่มบ่าม

 นายท่าน เป็นอะไรไป?  ชีเจวี๋ยถามอีก

เฉาหม่านโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่พูดอะไรทั้งนั้น เพียงหลับตาลงอย่างช้าๆ…

เหมียวอี้ที่อยู่ในห้องหนังสือกลับแสยะยิ้ม  ยังคิดจะแตะต้องข้าอีกเหรอ ตอนนี้ต่อให้เฉาหม่านมีน้ำดีอีกร้อยอันก็ไม่กล้าทำหรอก!  เขาโบกมือให้เหยียนซิวอีก

เหยียนซิวเก็บเซี่ยโห้วท่าแล้วหายตัวไปอีกครั้ง

 มีเซี่ยโห้วท่าอยู่ในมือ อำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วก็ถูกคุมอยู่ในมือท่านอ๋องแล้ว!  หยางเจาชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เหมียวอี้เงียบไปครู่เดียว แล้วชี้บอกอีก  เรื่องของตระกูลเซี่ยโห้ว ตอนนี้พวกเราก็ต้องคำนึงถึงพร้อมกันหลายด้าน เรื่องที่เซี่ยโห้วลิ่งไม่เคยเข้าประชุมขุนนางเลยก็ไม่ดี ปล่อยข่าวออกไป บอกว่าเซี่ยโห้วลิ่งป่วยตาย เฉาหม่านรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วต่อแล้ว! 

ป่วยตาย? หยางเจาชิงกลั้นขำ  ป่วยตาย ข้ออ้างนี้จะทำให้คนคิดเหลวไหลได้ง่าย  

เหมียวอี้ก็หัวเราะเช่นกัน ทำให้คนคิดเหลวไหลได้ง่ายจริงๆ คนที่วรยุทธ์ระดับเซี่ยโห้วลิ่งจะป่วยตายได้อย่างไร ไม่ว่าใครก็สงสัยทั้งนั้นว่าเฉาหม่านวางแผนชิงอำนาจจนสังหารเซี่ยโห้วลิ่งแล้ว เขายิ้มเรียบๆ  พอเสียงคัดค้านบางส่วนโผล่มา ทำให้เฉาหม่านดูเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ จะได้ให้ข้าใช้งานตระกูลเซี่ยโห้วได้สะดวก เฉาหม่านเองก็ไม่ควรโผล่ครีบออกมาแล้วเช่นกัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะได้ไม่คิดว่าข้าหลอกนาง 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงยิ้มรับ คาดว่าท่านอ๋องคงคิดจะลงมือกับสองแม่ลูกนั้นแล้ว

ริมแม่ร้ำที่อ้อมผ่านสวนป่าสุสานราวกับริ้วผ้า ใต้ต้นไม้ใหญ่ หยางชิ่งมองเข้ามาในสวนป่าสุสานอย่างเงียบๆ

บางทีเวลาอาจจะเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้จริงๆ เสียงดนตรีที่แฝงความเศร้าโศกไม่ดังขึ้นเป็นระยะอีกแล้ว ความคนึงหาอาจยังคงอยู่ แต่ความรู้สึกกลับสงบลงแล้ว ไม่ได้สุดแสนเจ็บปวดทรมานเหมือนตอนแรกอีก

ก่อนที่อวิ๋นจือชิวจะโดนกักบริเวณ ก็ให้ซูอวิ้นกลับมาที่นี่ชั่วคราว

รอจนกระทั่งร่างที่สวมชุดกระโปรงสีขาวปรากฏตัวในสวนป่าสุสานและเก็บกวาดรอบหลุมศพอีกครั้ง หยางชิ่งก็ถลันตัวข้ามแม่น้ำมาแล้ว มาเหยียบลงตรงประตูของสวนป่าสุสาน นี่คือครั้งแรกที่เขาข้ามแม่น้ำสายนี้มาหลังจากได้เจอซูอวิ้น

ซูอวิ้นพลันหันตัวกลับมา จ้องคนที่เดินเข้ามาโดยไม่ได้ห้าม นางสงสัยถึงตัวตนของคนผู้นี้มาตลอด

เมื่อเดินมาถึงหน้าป้ายหลุมศพ หยางชิ่งก็ประสานมือคารวะป้ายหลุมศพของฮ่าวเต๋อฟาง เสร็จแล้วถึงได้หันตัวมาพูดกับซูอวิ้นด้วยรอยยิ้มเรียบๆ  เหนียงเหนียงเชิญเจ้าไปพบ 

ซูอวิ้นพยักหน้า  เหนียงเหนียงมีอะไรจะสั่งก็จะส่งข่าวมาโดยตรง จะรบกวนให้ท่านบุรุษมาด้วยตัวเองได้อย่างไร? 

 อยากจะมาดูที่นี่สักหน่อย  หยางชิ่งพูดความจริง จากนั้นก็ยื่นมือเชิญ

ทั้งสองออกจากสวนป่าสุสานด้วยกัน กลับมาอยู่ระหว่างทางไปจวนท่านอ๋อง ซูอวิ้นสังเกตผู้ชายที่ไม่เผยโฉมหน้าที่แท้จริงคนนี้อย่างเงียบๆ ตลอดทาง

ในที่พักของซูอวิ้นที่จวนท่านอ๋อง อวิ๋นจือชิวกำลังนั่งรออยู่ในศาลา โดยมีเสวี่ยเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างกาย

 เหนียงเหนียง!  ซูอวิ้นเข้ามาทำความเคารพ หยางชิ่งก็ตามมากุมหมัดคารวะเช่นกัน

อวิ๋นจือชิวพูดกับซูอวิ้นด้วยรอยยิ้มว่า  ช่วงก่อนหน้านี้เกิดเรื่องนิดหน่อย ก็เลยให้ท่านบุรุษหลบเลี่ยงไปชั่วคราว หวังว่าท่านบุรุษจะไม่คิดมาก 

ซูอวิ้นยิ้มโดยไม่ตอบอะไร ถ้าอวิ๋นจือชิวไม่อธิบาย นางก็ไม่ถามเช่นกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

อวิ๋นจือชิวมองหยางชิ่งแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า  ท่านบุรุษหยางบอกว่าจะไปเชิญเจ้าด้วยตัวเอง พวกเจ้าได้พบกันแล้ว คงจะรู้จักกันแล้วสินะ 

ซูอวิ้นมองหยางชิ่งด้วยแววตาที่แฝงความหมายล้ำลึก  ที่แท้ก็เป็นท่านบุรุษหยาง! ท่านบุรุษหยางแผนสูงยากคาดเดา เพิ่งจะรู้ชื่อแซ่เมื่อครู่นี้ แม้แต่โฉมหน้าที่แท้จริงก็ไม่เคยเห็น ไม่นับว่ารู้จักกัน 

หยางชิ่งเงียบไป

………………

 

เซี่ยโห้วท่ารู้สึกบีบหัวใจ จ้องเหมียวอี้อยู่นานมาก สุดท้ายก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเหมียวอี้ต้องการตีฝีปากกับเขา คนที่อยู่ตรงหน้าคือหนิวโหย่วเต๋อ ไม่ใช่หยางชิ่ง เขาหลับตาลงช้าๆ แล้วกล่าวว่า  ตาแก่คนนี้แพ้แล้ว!  ในน้ำเสียงแฝงอารมณ์หดหู่อยู่ลึกๆ

และนี่ก็คือท่าทีที่เหมียวอี้ต้องการได้ยิน ตกต่ำจนถึงขั้นนี้แล้ว ยังมาวางมาดสุขุมเยือกเย็นที่นี่อีก ทั้งยังใช้อุบายจะเสี้ยมหยางชิ่ง ไม่มีสำนึกของความพ่ายแพ้เลยสักนิด เหมียวอี้ต้องการให้เขาก้มหัวยอมรับความพ่ายแพ้ ต้องการให้เขารู้ว่า ไม่ว่าเจ้าจะเดิมพันอย่างไรก็คือแพ้ แพ้แล้วก็คือแพ้ ต่อให้เถียงชนะแต่ก็แพ้อยู่ดี!

 อืม!  เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้ เหยียนซิวเก็บเซี่ยโห้วท่าเอาไว้อีกครั้ง สำหรับเซี่ยโห้วท่าเขายังต้องขุดหาข้อมูลอีกสักพัก

ตอนนี้เฮยทั่นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียกอีกว่า  ท่านอ๋อง ต่อให้ครั้งนี้ข้าจะไม่ได้สร้างผลงานแต่ก็ลำบากทำงานนะ…  เขากำลังเตือนเหมียวอี้ว่าอย่าลืมให้ผลประโยชน์กับเขาสักหน่อย ไม่เจอกันหลายหมื่นปี เขาเองก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าพลังอำนาจบนตัวเหมียวอี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ทำให้คนรู้สึกกดดัน เวลาพูดจะต้องระวังตัวขึ้นเยอะ

เหมียวอี้เหล่ตามอง  ข้าจะจดจำผลงานของเจ้าไว้ก่อน 

 …  เฮยทั่นเบะปาก พูดไม่ออก เกือบจะกลอกตามองบนแล้ว

เหมียวอี้ไม่สนใจเขา บอกกับหยางเจาชิงว่า  คลายผนึกให้พวกหวังเฟยเถอะ 

เรื่องนี้ทำให้เขาปวดประสาทนิดหน่อย เรื่องจับชู้รักที่สร้างขึ้นมา ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนั้น ใครจะไปรู้ว่าทำให้คนทั้งใต้หล้ารู้แล้วหรือเปล่า ถึงแม้หลังจากจบเรื่องแล้วจะนำเหตุผลนี้มาใช้กักบริเวณพวกอวิ๋นจือชิวอย่างชอบธรรม แต่ก็ไม่สะดวกจะแก้ตัวว่านี่คือแผนชั่ว เพราะทะเลาะกันจนเสียหน้าหมดแล้ คาดว่าอีกไม่นานคนทั้งใต้หล้าก็จะรู้ว่าเขากลัวเมีย

แต่สำหรับเรื่องบางเรื่องแล้ว หน้าตาศักดิ์ศรีไม่ได้สำคัญ ถ้าเทียบกับการกำจัดสมาคมอาวุโส จับตัวเซี่ยโห้วท่าแล้ว เสียหน้านิดหน่อยก็คุ้ม รู้ถึงผลที่จะตามมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็ยังแข็งใจทำเรื่องนี้

 ขอรับ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับ แล้วไปจัดการทันที

ใช้เวลาไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็กลับมาอย่างรีบร้อน บุกเข้ามาในห้องหนังสือของเหมียวอี้โดยตรง ใช้สองมือยันบนผิวโต๊ะ เบิกตากว้างถามอย่างตื่นเต้นดีใจ  ฟังจากที่เจาชิงบอก เรื่องนี้สำเร็จแล้วเหรอ? 

เหมียวอี้ตอบด้วยรอยยิ้ม  กำจัดสมาคมอาวุโสหมดแล้ว เซี่ยโห้วท่าถูกจับแต่โดยดี ไพ่ลับของตระกูลเซี่ยโห้วถูกกำจัดหมดในรวดเดียว! 

อวิ๋นจือชิวยืนขึ้นตบหน้าอกที่อิ่มเอิบแล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง  เช่นนั้นก็ดี ดีแล้ว  ความรู้สึกยินดีปรีดาบนใบหน้ายากจะปิดบังไว้ นางย่อมรู้ว่าสิ่งนี้หมายความว่าอะไรสำหรับเหมียวอี้ ครองตระกูลเซี่ยโห้วได้ ก็ครองใต้หล้าได้!

เหมียวอี้เปลี่ยนมานั่งในท่าผ่อนคลาย เอนกายพิงเก้าอี้ แล้วพูดหยอกว่า  น้องชิว ตอนนี้ยังคิดว่าข้าตัดสินใจผิดอยู่ไหม? 

อวิ๋นจือชิวชำเลืองมองท่าทางอวดดีของเขา แล้วพูดเหน็บแนมว่า  ย่อมไม่ผิดอยู่แล้ว หาข้ออ้างที่ดีขนาดนี้เพื่อเด็ดดอกไม้สดมาเชยชม ข้ายังเถียงไม่ออกเลย ทั้งยังต้องร่วมแสดงละครเพื่อให้เจ้าสมปรารถนาด้วย ตอนนี้เจ้าของภูมิใจมากสินะ? 

 …  เหมียวอี้พูดไม่ออกทันที ย่อมรู้ว่าดอกไม้สดที่บอกหมายถึงหมิงจู พอนึกถึงฉากจับชู้ ก็ไม่อยากนึกย้อนไปอีกแล้ว พลังอำนาจอ่อนลงสามส่วนทันที พึมพำว่า  ก็ข้าไม่มีทางเลือกนี่นา 

 อะไรที่เรียกว่าไม่มีทางเลือก? งั้นข้าก็ต้องการเหตุผลที่ชัดเจนสักหน่อยแล้ว!  อวิ๋นจือชิวหันกลับมาบ่นทันที  เชียนเอ๋อร์ ถ่ายทอดคำสั่งข้า พาตัวหมิงจูเข้ามา! 

 ค่ะ!  เสียงตอบของเชียนเอ๋อร์ดังมาจากข้างนอก

เหมียวอี้ยืนขึ้นแล้ว ขมวดคิ้วถามว่า  นางเองก็ไร้ความผิด ทำไมเจ้าต้องกลั่นแกล้งนาง? 

 แหม!  อวิ๋นจือชิวเดินอ้อมมาตรงหน้าเขา ใช้นิ้วจิ้มหน้าอกเหมียวอี้สองที แล้วพูดจาแปลกๆ  ไม่ทันไรก็เป็นห่วงนางตัวดีนั่นแล้วเหรอ? ได้ ข้าจะไปโขกหน้าผากยอมรับผิดต่อนางให้ทุกคนได้เห็นเดี๋ยวนี้เลย!  พูดจบก็หันตัวเดินออกไป

เหมียวอี้ดึงแขนนางเอาไว้ ดึงกลับมาแล้วประสานมือคารวะซ้ำๆ  แม่ทูนหัวของข้า ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้าเอง เจ้าอย่าชวนทะเลาะเลยได้ไหม? 

อวิ๋นจือชิวถามด้วยสีหน้าดุร้าย  ยอมรับผิดแล้วจริงเหรอ? 

 ยอมรับผิดจากใจจริง!  เหมียวอี้พยักหน้า

อวิ๋นจือชิวถามเสียงเย็น  งั้นก็ให้ข้าจัดการนางตัวดีนั่นเป็นไง? 

 …  เหมียวอี้ปวดประสาท สุดท้ายก็แข็งใจบอกว่า:  ให้เจ้าจัดการเหรอ! แต่ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้นะ อย่าทำเกินไปนัก ตอนนี้ทัพใต้อยู่ในช่วงสร้างระบบใหม่ จะให้ทหารที่ยอมแพ้พวกนั้นคิดว่าข้าข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานไม่ได้ ไม่อย่างนั้นถ้ามีคนคิดไม่ซื่อปลุกปั่นเจ้าก็รู้ถึงผลที่ตามมา ไม่มีผลดีอะไรต่อเจ้าเหมือนกัน! 

อวิ๋นจือชิวหน้านิ่วคิ้วขมวดทันที  หนิวเอ้อร์ หมายความว่ายังไง เพื่อผู้หญิงคนเดียวเจ้าถึงกับขู่ข้าเลยใช่ไหม? ข้าน่ะ แม้แต่ผู้ชายของตัวเองก็ใกล้จะโดนผู้หญิงคนอื่นยั่วเอาไปแล้ว ไม่มีทางใช้ชีวิตแบบนี้ได้หรอก ใครยังจำเป็นต้องแยแสผลกระทบอย่างอื่นด้วยเหรอ?  พูดจบก็หันหน้าเดินออกไป ทำท่าเหมือนจะเอาเรื่องให้ได้

 ข้า…  เหมียวอี้รีบดึงแขนนางอีกครั้ง ถอนหายใจแล้วบอกว่า  น้องชิว เลิกพาลหาเรื่องได้ไหม เจ้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้ ข้าให้เจ้าจัดการได้ตามใจ ตกลงไหม? ข้าก็แค่ให้เจ้าควบคุมผลกระทบ ข้าพูดผิดด้วยเหรอ? อ้อใช่ จะคุยเรื่องสำคัญกับเจ้าสักหน่อย ครั้งนี้หยางชิ่งสร้างผลงานใหญ่ แล้วเอ่ยคำขอที่มากเกินไปด้วย 

อวิ๋นจือชิวหมดอารมณ์จะหาเรื่องทันที สะบัดแขนออกจากมือเขา แล้วถามด้วยสีหน้าระมัดระวัง  คำขอที่มากเกินไปอะไร? 

เมื่อเห็นว่าเบี่ยงเบนความสนใจของนางสำเร็จ เหมียวอี้ก็โล่งอกแล้ว ตอบว่า  ซูอวิ้น! หยางชิ่งบอกว่าชอบซูอวิ้น ต้องการให้ข้าช่วยให้สมปรารถนา…  แล้วก็เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ ทันที

ยังนึกว่าเรื่องสำคัญอะไร ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง อวิ๋นจือชิวปรายตามองเขาแวบหนึ่ง รู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าเวรนี่กำลังเปลี่ยนหัวข้อสนทนา แต่ก็ไม่ได้เปิดโปงเช่นกัน ถือโอกาสหาบันไดลงเสียเลย ขมวดคิ้วบอกว่า  เกรงว่าเรื่องนี้ซูอวิ้นคงจะไม่ตอบตกลงง่ายๆ โอกาสน่ะข้าสร้างให้ได้ แต่จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ขึ้นอยู่กับหยางชิ่งแล้ว 

 หยางชิ่งสร้างผลงานใหญ่ขนาดนี้ ในเมื่อเอ่ยปากแล้ว คงไม่ดีถ้าข้าจะไม่รับปาก ซูอวิ้นอยู่ข้างกายเจ้าระยะยาว เจ้ารู้สถานการณ์ได้ง่าย พยายามสร้างโอกาสให้พวกเขาสักหน่อยแล้วกัน  เหมียวอี้กล่าว

 ข้าจะลองดูก็แล้วกัน  อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเบาๆ

ผ่านไปไม่นาน ร่างของเชียนเอ๋อร์ก็ปรากฏตัวอยู่ตรงประตูห้องหนังสือ นางทำความเคารพแล้วบอกว่า  เหนียงเหนียง พาหมิงจูมาแล้วค่ะ 

อวิ๋นจือชิวไม่พูดพร่ำทำเพลง หันหน้าเดินออกไปแล้ว

 …  เหมียวอี้พูดไม่ออก เพราะทั้งสองทำข้อตกลงกันไว้นานแล้ว ว่าอวิ๋นจือชิวมีอำนาจตัดสินใจเรื่องที่เรือนชั้นใน

เชียนเอ๋อร์ที่เดินตามออกไปด้วยหันมามองแวบหนึ่ง แล้วเม้มปากกลั้นขำ อย่าไปมองว่าท่านอ๋องมีอำนาจบารมี ฆ่าคนอย่างเด็ดเดี่ยวตอนอยู่ข้างนอก เพราะตอนอยู่ในบ้านมักถูกหวังเฟยจัดการจนเถียงไม่ออก แต่ถ้ามองจากบางมุม ผู้หญิงเข้าใจผู้หญิงด้วยกันมากกว่าผู้ชาย เชียนเอ๋อร์เข้าใจความรู้สึกของอวิ๋นจือชิวมากกว่า ถึงได้แอบหัวเราะเยาะ

ความจริงแล้ว เรื่องที่อวิ๋นจือชิวจับชู้ส่งผลกระทบเยอะมากในจวนท่านอ๋อง คนทั้งระดับบนระดับล่างของจวนท่านอ๋องนับว่าได้รู้จักความร้ายกาจของหวังเฟยแล้ว มีผู้หญิงคนไหนของอ๋องสวรรค์กล้าทำอย่างนี้บ้าง? ต่อให้เป็นหวังเฟยท่านนั้นของอ๋องสวรรค์ก่วง ลองกล้าชักสีหน้าใส่ก่วงลิ่งกงดูสิ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจับชู้เลย

กลุ่มอนุภรรยาที่เข้ามาใหม่ได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว ลับหลังด่าสาดเสียเทเสียทุกอย่าง แสดงความเหยียดหยามกับวิธีการที่อวิ๋นจือชิวใช้ครอบครองผู้ชาย พูดเหน็บแนมทุกอย่าง ทว่าก็ได้รับรู้ถึงความห้าวหาญของอวิ๋นจือชิวแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะอาละวาดท่านอ๋องผู้สง่าผ่าเผยจนหน้าม่อยคอตกท่ามกลางสายตาฝูงชน ในใจเกิดความเกรงกลัวอวิ๋นจือชิวแล้วจริงๆ

ในโถงหลัก หมิงจูสวมชุดสีขาวทั้งตัวยืนก้มหน้า บนศีรษะไม่สวมเครื่องประดับ สองมือประสานกัน ในใจรู้สึกกระวนกระวายมาก

ฉากที่อวิ๋นจือชิวเตะประตูบุกเข้ามาราวกับยังเกิดขึ้นตรงหน้า มีครั้งแรกก็ประสบกับเรื่องแบบนี้แล้ว เพียงพอที่จะทิ้ปมเอาไว้ในใจหมิงจู โดยเฉพาะรอยฝ่ามือที่อวิ๋นจือชิวประทับไว้บนหน้านางอย่างแรง โดนตบจนเหม่อไปเลย ทั้งยังถูกเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ลากลงมาจากเตียงทั้งที่ยังไม่ได้สวมเสื้อผ้าอีก ตอนนั้นหวาดกลัวสุดขีด เสียหน้าขนาดนั้น หลังจากจบเรื่องนางถึงขั้นคิดจะฆ่าตัวตายแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสาวใช้เรียกทหารยามให้มาช่วยทันเวลา ทั้งยังถูกสาวใช้เอาความเป็นความตายของคนในครอบครัวมาเกลี้ยกล่อม เกรงว่าในจวนท่านอ๋องคงต้องจัดงานศพแล้ว

สาวใช้สองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังนางก็ยิ่งวิตกกังวลไม่หยุด ภาพเหตุการณ์ยังติดตาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ พวกนางอยากจะขวางไว้แต่ก็ขวางไม่อยู่ ทั้งยังโดนเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ตบไปยกหนึ่งด้วย ตอนนี้หวังเฟยเรียกพวกนางมาอีก ไม่รู้ว่าจะสะสางบัญชีอะไรอีก อย่าบอกนะว่าต้องบีบให้พวกนางตายก่อนถึงจะพอใจ?

สาวใช้ทั้งสองรู้สึกว่าไม่คุ้มแทนหมิงจู คิดว่าตอนอยู่ที่บ้านคุณหนูเป็นที่รักและโปรดปรานสำหรับทุกคน ดีดฉิน เล่นหมากล้อม เขียนอักษร วาดภาพก็ล้วนเชี่ยวชาญ มีมารยาทและการศึกษามาตั้งแต่เด็ก อ่อนโยนเรียบร้อย หน้าตาก็นับว่างามล้ำเลิศ ไม่รู้ว่ามีผู้ชายมากมายขนาดไหนเฝ้าปรารถนา ไม่ว่าใครก็คิดว่าคุณหนูมีอนาคตไกล ในอนาคตจะต้องได้แต่งงานกับคนดีๆ แน่นอน ใครจะคิดว่าวันนี้จะตกต่ำถึงขั้นนี้

ในใจของทั้งสามเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและหวาดกลัว เหมือนเป็นเนื้อปลาที่อยู่บนเขียง อยู่ที่นี่มีสิทธิ์แค่ให้คนอื่นโขกสับเท่านั้น หวังเฟยแตะต้องพวกนาง ทหารยามก็ไม่ยุ่ง ถ้าพวกนางกล้าขัดขืนหวังเฟย ทหารยามกลุ่มนั้นก็จะไม่เกรงใจพวกนางแล้ว

เสียงเครื่องประดับกระทบกัน อวิ๋นจือชิวเดินเนิบนาบออกมาจากโถงด้านหลัง ทั้งสามรีบทำความเคารพ  คำนับหวังเฟย! 

อวิ๋นจือชิวชำเลืองทั้งสามแวบหนึ่ง แล้วสายตาก็หยุดอยู่บนตัวหมิงจูที่กำลังก้มหน้า หลังจากเกิดเรื่องแล้วนางก็ให้ความสนใจและให้เหยียนซิวส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับหมิงจู พบว่าสะอาดบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ด้านลักษณะนิสัยเหยียนซิวไม่สะดวกจะวิจารณ์มาก แต่อวิ๋นจือชิวกลับสั่งเหยียนซิวให้จัดการเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่ตัวนางยังอยู่พิภพเล็กแล้ว เหยียนซิวประเมินหมิงจูเอาไว้ที่ ‘ระดับหนึ่ง’ นี่คือระดับหนึ่งที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ท่ามกลางอนุภรรยาพันกว่าคนที่เข้ามาใหม่ เท่านี้ก็เพียงพอที่จะอธิบายปัญหาได้แล้ว

ถ้าพูดจากอีกมุม นางก็เตรียมจะไปสั่งสอนหยางเจาชิงสักหน่อย ยังต้องพูดอีกเหรอ หยางเจาชิงเตรียมผู้หญิงคนนี้ให้อย่างเหมาะเจาะแสดงว่าไม่ไร้เหตุผล จะต้องคัดสรรมาแล้วล่วงหน้าแน่นอน ช่างใส่ใจจริงๆ

 ได้ยินว่าเจ้าคิดจะฆ่าตัวตายเหรอ?  วิ๋นจือชิวจ้องหมิงจูพร้อมเอ่ยถามเสียงเรียบ

หมิงจูคุกเข่าทันที น้ำตาไหลพราก ใส่หน้าบอกว่า  ผู้น้อยผิดไปแล้ว เหนียงเหนียงได้โปรดเมตตา! 

สาวใช้ก็คุกเข่าตามเช่นกัน หวาดกลัวจนตัวสั่น

 เฮ้อ!  อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ แล้วน้องตัวประคองนางให้ลุกขึ้นด้วยตัวเอง ช่วยเช็ดน้ำตาให้นางแล้วบอกว่า  น้องหญิง เรื่องบางเรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด และไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าเห็นด้วย ท่านอ๋องเป็นคนที่ทำงานใหญ่ เรื่องบางเรื่องไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้าจินตนาการ ตอนนั้นที่ข้าทำแบบนั้นก็เพื่อแสดงให้คนอื่นเห็น ส่วนสาเหตุว่าทำไมต้องทำให้คนอื่นเห็น เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก และไม่ต้องถามด้วย และยิ่งไม่ต้องบอกให้ภายนอกรู้ วันนี้ข้าช่วยทำให้เจ้าเด่น ก็เพื่อให้เจ้ามีข้อมูลอยู่ในใจ เส้นทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล อย่าคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ พี่สาวจะขออภัยเจ้าตรงนี้ ที่ทำให้เจ้าตกใจ!  พูดจบก็ถอยหลังก้าวหนึ่ง แล้วโค้งคำนับขออภัย

หมิงจูประคองนางขึ้นมาอย่างฉุกละหุกทันที ในดวงตายังมีน้ำตา รู้สึกงงนิดหน่อย ไม่รู้ว่าอวิ๋นจือชิวทำแบบนี้หมายความว่าอะไร

อวิ๋นจือชิวไม่เกรงใจนาง หันกลับมาสั่งว่า  เชียนเอ๋อร์ เดี๋ยวกลับไปเตรียมเรือนระดับหนึ่งให้นางด้วย เตรียมบ่าวไพร่ผอม! 

 เจ้าค่ะ!  เชียนเอ๋อร์เอ่ยรับคำสั่ง

สาวใช้ทั้งสองเงยหน้าอย่างมึนงง รู้สึกผิดพลาดมาก ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป เรือนชั้นในของจวนท่านอ๋องแบ่งเป็นสี่ระดับ ระดับ ระดับต่ำสุดที่พวกนางพักอาศัยอยู่ตอนนี้ก็คือเรือนระดับสาม ส่วนใหญ่จะเป็นที่อยู่ของผู้หญิงที่ท่านอ๋องไม่เคยแตะต้อง ส่วนเรือนระดับสองก็คือที่อยู่ของผู้หญิงที่ท่านอ๋องเคยเข้าห้องด้วย เรือนระดับหนึ่งก็ย่อมเป็นที่พักของผู้หญิงที่ค่อนข้างมีฐานะในจวนท่านอ๋อง ส่วนท่านอ๋องกับหวังเฟยก็ย่อมต้องพักอยู่ในระดับเดียวกันอยู่แล้ว พอเข้ามาถึงก็ได้เข้าเรือนระดับหนึ่งเลย ทำให้สาวใช้ทั้งสองประหลาดใจ

อวิ๋นจือชิวคว้ามือที่เรียวสวยของหมิงจูมาตบเบาๆ  พ่อของเจ้าถูกลดตำแหน่ง จะให้กลับมาอยู่ตำแหน่งเดิมทันทีเป็นไปไม่ได้ เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้ากลับไปบอกพ่อเจ้าสักหน่อย ให้พ่อเจ้ากับพี่ชายสองคนของเจ้ามาพบข้า ข้าจะแนะนำให้พวกเขาไปพบท่านอ๋องเอง ดูว่าจะช่วยพวกเขาหางานที่เหมาะสมให้ได้หรือเปล่า ข้าเตรียมการให้อย่างนี้ สามารถชดเชยความอยุติธรรมที่น้องสาวประสบได้หรือเปล่าไง? 

………………

 

เหยียนซิวกับเฮยทั่นสังเกตเซี่ยโห้วท่า ขณะเดียวกันก็สนใจปฏิกิริยาของหยางชิ่งด้วย

ในใจหยางชิ่งรู้สึกเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก ที่มากกว่านั้นก็คือตกตะลึง แต่บนใบหน้ายังเจือรอยยิ้มอ่อนๆ  ท่านปู่สวรรค์ยังคิดจะพูดอะไรอีก? 

เซี่ยโห้วท่าหดหน้าที่ยืนเข้าไปใกล้กลับมาแล้ว  เจ้ารู้ว่าตาแก่คนนี้ต้องการอะไร เจ้ารู้ด้วยว่าตาแก่คนนี้ให้อะไรกับเจ้าได้บ้าง… 

ตุ้บ! เฮยทั่นพลันลงมือ กำหมัดชกบนใบหน้าเซี่ยโห้วท่า ฟันกระเด็นเลือดสาด เซี่ยโห้วท่าล้มลงและสลบไปแล้ว

 ปู่เจ้าสิ น่ารำคาญจะตายอยู่แล้ว  เฮยทั่นบ่นด่า แล้วก็เตะเซี่ยโห้วท่าอีกที ก่อนจะพูดกับหยางชิ่งด้วยรอยยิ้มว่า  อย่าไปฟังเขาพูดเหลวไหล ตาเฒ่านี่ฝีปากร้ายกาจ เขากำลังใช้แผนเสี้ยมอะไรนะ…ใช่แล้ว เสี้ยมให้แตกคอกัน ทุกคนอย่าตกหลุมพราง 

หยางชิ่งยิ้มบางๆ  จิ้งจอกเฒ่านี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ข้าเทียบไม่ติด! 

เหยียนซิวก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วเก็บเซี่ยโห้วท่าเอาไว้อย่าเงียบๆ

ผ่านไปไม่นาน ประมุขขุนพลหกลัทธิก็มาด้วยกันแล้ว พอเข้ามาก็สังเกตการณ์รอบๆ อยู่พักนึง แล้วตานฉิงก็เดาะลิ้นบอกว่า  ที่แท้ที่นี่ก็คือที่ซ่อนตัวของเซี่ยโห้วท่า 

 ข้างนอกจัดการเป็นยังไงบ้าง?  หยางชิ่งถาม

อ๋าวเถี่ยตอบว่า  เก็บกวาดสะอาดแล้ว  พร้อมยื่นกำไลเก็บสมบัติหลายวงให้

หยางชิ่งผลักมือห้าม  ท่านอ๋องบอกไว้แล้ว ว่าของที่ได้จากการรบให้หกลัทธิไปแบ่งกัน ไม่ต้องผ่านมือท่านอ๋องแล้ว  ทรัพย์สมบัติที่เขาได้จากตัวเซี่ยโห้วท่า เขาย่อมเตรียมจะนำไปรายงานต่อเหมียวอี้อยู่แล้ว

หกคนกุมหมัดคารวะพร้อมกัน  เคารพมิสู้ทำตามคำสั่ง!  จากนั้นก็สบตากันแล้วหัวเราะเสียงดัง

สำหรับพวกเขาแล้ว ครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่หวาดเสียวแต่ไม่อันตราย ได้ขุดรากฐานของตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว แม้แต่เซี่ยโห้วท่าที่ยึดครองใต้หล้ามาหลายปีก็ยังตกอยู่ในมือพวกเขาแล้ว ทั้งยังได้ทรัพย์สินก้อนใหญ่ด้วย สุขสำราญบานใจจริงๆ! กวาดล้างความหดหู่ใจที่อยู่แดนอเวจีมาหลายปี!

 ไปเถอะ กลับไปรายงานผลภารกิจ!  หยางชิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เดินก้าวยาวออกไปจากกุฏิใหญ่ แล้วกลุ่มคนที่เหลือก็เดินตามออกไป…

เมืองหลวงเจริญรุ่งเรือง ความสงบเงียบอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย ในเขตลานบ้านที่เงียบและลึกแห่งหนึ่ง เก้าอี้โยกใต้ต้นไม้ใหญ่ว่างเปล่า

ตรงจุดที่อยู่ไม่ไกล เฉาหม่านกำลังเดินไปเดินมาไม่หยุด จิตใจก็ไม่สงบเช่นกัน เว่ยซูไม่กลับมาเสียที ทั้งยังติดต่อไม่ได้ ทำให้เขากังวลสุดๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบย้ายที่พัก เขากังวลว่าหนิวโหย่วเต๋อเล่นตุกติกอะไรแล้วหรือเปล่า แต่ก็ไม่สะดวกจะถาม เพราะหากไม่ได้เป็นเพราะหนิวโหย่วเต๋อ แล้วบุ่มบ่ามไปถาม ก็จะทำให้หนิวโหย่วเต๋อรู้ว่าเว่ยซูหายตัวไปแล้ว ถ้าข่าวเรื่องเว่ยซูหายตัวหลุดออกไป ก็จะดึงดูดความสนใจของผู้คนในใต้หล้าแน่นอน เพราะบนตัวเว่ยซูมีความลับของตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ตั้งมากมายเท่าไหร่ก็ไม่รู้…

จวนอ๋องสวรรค์หนิว เมื่อรู้ข่าวว่าพวกหยางชิ่งได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ เหมียวอี้ก็ยืนต้อนรับอยู่ตรงประตูเรือนชั้นในด้วยตัวเอง หยางเจาชิงออกไปรับเอง

เมื่อเห็นพวกหยางชิ่งมาถึงแล้ว บนใบหน้าเหมียวอี้ก็เผยรอยยิ้ม

พอเห็นเหมียวอี้มาต้อนรับด้วยตัวเอง พวกหยางชิ่งก็รีบเร่งฝีเท้าเช่นกัน พอเข้ามาใกล้ก็ทำความเคารพพร้อมกัน  ท่านอ๋อง! 

เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาใช้สองมือประคองแขนหยางชิ่ง  ไม่ต้องมากพิธี! ลำบากแล้ว! ตรงนี้ไม่ใช่ที่คุยกัน เชิญข้างใน!  เขาคว้าข้อมือหยางชิ่ง จงเดินไปด้วยตัวเอง

หยางชิ่งแสดงความหวาดเกรงซ้ำๆ แต่เหมียวอี้ที่กำลังตื่นเต้นดีใจกลับไม่ยอมปล่อย ดูแลอย่างดีสุดๆ

ส่วนเหยียนซิวกับเฮยทั่น เหมียวอี้ก็ไม่ได้สนใจพวกเขาสองคน ถ้าพูดจากบางมุมก็คือ ความสนิทคุ้นเคยต่างกัน

พอเข้ามาในโถงหลัก เหมียวอี้ก็ปล่อยหยางชิ่ง แล้วจู่ๆ ก็จัดแต่งเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วโค้งกายกุมหมัดคารวะหยางชิ่งค้างไว้นานมาก  ครั้งนี้ท่านบุรุษสร้างผลงานใหญ่แล้ว ไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร โปรดรับการคารวะจากค่าสักครั้ง! 

หยางชิ่งรีบหลบแล้วเข้ามาประคอง กล่าวอย่างเกรงกลัวว่า  ท่านอ๋องเกรงใจข้าน้อยเกินไปแล้วแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ข้าน้อยสมควรทำ 

มีเรื่องมากมายที่กำลังเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้ตัว ในปีแรกๆ ต่อให้ติดตามเหมียวอี้แต่ก็ไม่เป็นอย่างนี้ ตอนนี้ยามหยางชิ่งเผชิญหน้ากับเหมียวอี้กลับต้องระวังมากกว่าเดิม ส่วนบนตัวเหมียวอี้ก็ปรากฏให้เห็นลักษณะของราชันโดยไม่รู้ตัว พลังอำนาจที่ดูน่าเกรงขามแม้จะไม่ได้กำลังรู้สึกโกรธเริ่มปรากฏให้เห็นทีละน้อยแล้ว

เหมียวอี้คว้าแขนเขาพลางหัวเราะลั่น  พูดแบบนี้ไม่ถูกนะ นี่คือผลงานที่ใหญ่ที่สุด ไม่มีอะไรเทียบได้! เซี่ยโห้วท่ามีบารมีข่มใต้หล้ามาทั้งชีวิต ไม่ว่าใครก็ต้องหวาดกลัวสามส่วน ตอนนี้กลับมีจุดจบอยู่ในมือท่านบุรุษแล้ว ชาตินี้ท่านบุรุษไม่มีอะไรให้นึกเสียใจทีหลังแล้ว! ข้ารับรองกับท่านบุรุษได้เลย หากมีโอกาสเหมาะสมเมื่อไหร่ ข้าจะประกาศผลงานของท่านบุรุษต่อใต้หล้า จะกลายเป็นเรื่องราวที่ทำให้คนอื่นสรรเสริญแน่นอน! 

หยางชิ่งรีบปฏิเสธผลงาน  ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว ครั้งนี้เป็นท่านอ๋องที่วางแผนก่อนลงมือปฏิบัติ ข้าน้อยก็แค่ปฏิบัติตามคำสั่ง ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอ๋องฝืนผลักดันเรื่องนี้ ข้าน้อยก็แทบจะโง่เขลาจนทำเสียงานแล้ว ถ้าจะบอกว่ามีผลงาน ข้าน้อยก็บอกได้เพียงว่าได้อาศัยบารมีท่านอ๋อง ไม่กล้าครองผลงานใหญ่นี้จริงๆ! 

เหมียวอี้หัวเราะลั่น  ผิดแล้ว! ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่ท่านบุรุษออกโรงด้วยตัวเอง ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากจินตนาการถึง ผลงานของท่านบุรุษก็คือผลงานของท่านบุรุษ ไม่จำเป็นต้องบ่ายเบี่ยง! ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าควรจะตบรางวัลอะไรท่านบุรุษดี ไม่สู้ให้ท่านบุรุษพูดเองดีกว่า อยากได้อะไรก็เอ่ยปากได้เลย ต่อให้เป็นสนมของประมุขชิง ข้าก็จะหามาให้เจ้า! 

เขาดีใจเกินไปแล้วจริงๆ ไม่ให้ดีใจคงไม่ได้หรอก การทำเรื่องในครั้งนี้สำเร็จหมายความว่าอะไรล่ะ? หมายความว่าตระกูลเซี่ยโห้วที่เคยครองใต้หล้าไม่มีอนาคตอีกแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ในกำมือเขาแล้ว ว่ากันว่าหากครองตระกูลเซี่ยโห้วได้ ก็ครองใต้หล้าได้ ครั้งนี้หยางชิ่งสร้างผลงานใหญ่มากจริงๆ ถ้าไม่ตบรางวัลก็จะฟังดูเหลวไหล ขอเพียงแค่เป็นสิ่งที่หยางชิ่งต้องการ ครั้งนี้เขาจะทำให้พอใจแน่นอน เขาเชื่อเช่นกันว่าหยางชิ่งคงไม่เสนอขออะไรที่ไร้เหตุผล

ถ้าให้ประมุขชิงได้ยินคำพูดนี้ จะต้องโมโหจนกระอักเลือดแน่นอน

แบบนี้แสดงว่าอยากได้อะไรก็ให้หมด! เฮยทั่นที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วอิจฉาไม่หยุด ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา เขาจะขอให้ท่านอ๋องมอบเทพสตรีผู้พิทักษ์สองคนนั้นเป็นรางวัลให้เขา

เหยียนซิวยังคงมีใบหน้านิ่งเฉยเหมือนคนตาย

ส่วนหยางเจาชิงก็ยิ้มตาหยี เขาย่อมรู้ว่าถ้าทำเรื่องในครั้งนี้สำเร็จหมายความว่าอะไร รู้สึกดีใจสุดๆ เช่นกัน ในใจแอบทึ่ง โชคดีที่ตอนแรกท่านอ๋องยืนกรานความคิดเห็นของตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์นี้ได้อย่างไร

ทว่าพอหยางชิ่งได้ฟังถึงประโยคสุดท้าย จากที่ตอนแรกคิดจะปฏิเสธ เขาก็ชะงักไปทันที หลังจากลังเลอยู่ครู่เดียว ก็กุมหมัดคารวะ  ข้าน้อยมีคำขอที่เหลวไหล หวังว่าท่านอ๋องจะช่วยให้สมปรารถนา! 

เหมียวอี้โบกมืออย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย  บอกมาได้เลย! 

ในดวงตาหยางชิ่งฉายแววเก้อเขิน ก่อนจะบอกว่า  สนมของประมุขชิงข้าน้อยไม่ต้องการ ข้าน้อยถูกใจซูอวิ้น เกิดความรักและชื่นชม ท่านอ๋องได้โปรดช่วยให้สมปรารถนา! 

ถ้าสร้างผลงานใหญ่แล้วไม่อยากได้อะไรเลย เขาก็กังวลว่าจะทำให้เหมียวอี้คิดมาก จึงถือโอกาสเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาเสียเลย

 เอ่อ…  เหมียวอี้หัวเราะไม่ออกทันที มองหยางชิ่งอย่างเหม่องง ตกใจแล้ว ตกตะลึงแล้ว งงเป็นไก่ตาแตกแล้ว

เฮยทั่นยังดีหน่อย ยังทำสีหน้าอิจฉาอยู่ หยางเจาชิงกับเหยียนซิวกลับตะลึงค้าง ใบหน้านิ่งเฉยเหมือนคนตายของเหยียนซิวเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

เหมียวอี้กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก  เจ้ากำลังพูดถึงซูอวิ้นเหรอ? เจ้าชอบซูอวิ้นเหรอ? 

หยางชิ่งกุมหมัดคารวะ  ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นนาง ข้าน้อยก็ตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบแล้ว ถ้าได้อยู่ร่วมกับนาง ทั้งชีวิตนี้หยางชิ่งก็จะไม่เสียใจทีหลังเลยจริงๆ! 

เหมียวอี้เลิกคิ้ว  มิน่าล่ะ สงสัยตอนแรกที่เจ้าช่วยออกหน้าพูดให้นาง เพราะซ่อนความรู้สึกส่วนตัวนี้ไว้ 

หยางชิ่งรีบบอกว่า  ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ! ตอนแรกซ่อนความรู้สึกส่วนตัวไว้จริงๆ แต่ก็คำนึงถึงท่านอ๋องจริงเช่นกัน! 

 พอแล้ว ความรักความปรารถนาคืออารมณ์ปกติของมนุษย์เรา เจ้าไม่ได้ทำผิด!  เหมียวอี้โบกมืออย่างใจกว้าง อาศัยผลงานที่หยางชิ่งตั้งไว้ครั้งนี้ เรื่องเล็กน้อยแค่นั้นไม่เป็นปัญหาเลย เพียงแต่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก  ข้ายอมให้เจ้าอยากได้สนมของประมุขชิงยังดีกว่า ซูอวิ้นคนนี้…หยางชิ่งเอ๊ยหยางชิ่ง เจ้าให้โจทย์ยากกับข้าแล้วจริงๆ! 

ถ้าเป็นผู้หญิงของอำนาจฝ่ายอื่น เขาจะช่วยชิงตัวมาให้แล้ว ทำเหมือนที่เขาช่วยสวีถังหรานกับเสวี่ยหลิงหลงตอนแรกก็ได้ แต่ประเด็นก็คือตอนนี้ซูอวิ้นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา จะให้เขาบีบบังคับได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้ด้วยที่จะทำเรื่องนี้!

หยางชิ่งแข็งใจโคง้ตัวอยู่นานมาก  ท่านอ๋องได้โปรดช่วยให้สมปรารถนา! 

เหมียวอี้อยากจะตบปากตัวเองจริงๆ พบว่าเมื่ออยู่ในตำแหน่งอย่างทุกวันนี้แล้ว ก็ไม่อาจให้สัญญากับใครซี้ซั้ว ใช้สองมือประคองเขาขึ้นมา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น  หยางชิ่งเอ๊ย ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยให้เจ้าสมปรารถนานะ แต่เจ้าก็รู้สถานการณ์ของซูอวิ้นดี ต่อให้ข้ามีคำสั่งลงไป นางก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี จะให้ข้าฝืนจับตัวนางมาไม่ได้หรอก จะบังคับให้นางเข้าห้องหอกับเจ้าไม่ได้หรอกมั้ง? ต่อให้เจ้าต้มข้าวสุกให้กลายเป็นข้าวสารก็ไม่มีประโยชน์ นางมีความรักต่อฮ่าวเต๋อฟางลึกซึ้งเกินไป ถ้าเจ้าทำซี้ซั้วก็เกรงว่าจะบีบให้นางตาย นี่คงเป็นเรื่องที่เจ้าไม่อยากเห็นเหมือนกันใช่ไหมล่ะ? 

หยางชิ่งตอบว่า  ข้าน้อยรู้ว่านางมีความรักลึกซึ้งต่อฮ่าวเต๋อฟาง แต่ข้าน้อยก็เชื่อว่าเรื่องในอดีตไม่มีทางคงอยู่ตลอดไป เวลาสามารถทำให้ทุกอย่างเจือจางลงได้ ข้าน้อยไม่ขอให้ท่านอ๋องบังคับประทานงานแต่งงานเช่นกัน แค่อยากให้ท่านอ๋องรู้ถึงความรู้สึกที่ข้ามีต่อนาง แอบช่วยเป็นพ่อสื่อให้ก็พอ ส่วนจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จนั้น ข้าน้อยจะพยายามให้เต็มที่ จะไม่ฝืนใจนาง จะสำเร็จหรือไม่ก็เป็นเรื่องของข้าน้อยเองขอรับ 

เหมียวอี้เข้าใจแล้ว เขาต้องการไม่ให้ฝั่งนี้ขัดขวางยามเขาตามจีบซูอวิ้น ให้ช่วยสร้างโอกาสให้เขาสักหน่อย แบบนี้ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เขาหัวเราะลั่นทันที  ได้! เจ้าไปจัดการเองเถอะ ถ้ารู้สึกว่ามีโอกาสอะไรเหมาะสมก็บอกมาได้เลย ข้าจะช่วยเป็นคนกลางให้เต็มที่แน่นอน! 

 ขอบคุณท่านอ๋องที่ช่วยให้สมปรารถนา!  หยางชิ่งกุมหมัดคารวะอย่างปลาบปลื้มดีใจ

วางเรื่องนี้ไว้ชั่วคราวก่อน หลังจากรายงานเรื่องที่ทำครั้งนี้ด้วยละเอียดแล้ว ก็นับว่าได้รายงานผลภารกิจแล้ว หยางชิ่งจึงถอยออกไป

เหยียนซิวปล่อยชิงเยว่ออกมาอีก

เมื่อเห็นว่าตัวเองกลับมาอยู่ที่จวนท่านอ๋องอีกครั้ง เหมือนจะยังไม่ได้ทำอะไรเลย ชิงเยว่ก็รู้สึกเลอะเลือนนิดหน่อย  ท่านอ๋อง นี่คือ? 

เหมียวอี้บอกคำเดียวว่า  เรื่องก่อนหน้านี้ให้ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เข้าใจไหม? 

ชิงเยว่อึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็กุมหมัดเอ่ยรับทันที  ข้าน้อยเข้าใจแล้ว 

เหมียวอี้โบกมือให้นางถอยออกไป

เมื่อเห็นว่าไม่มีคนนอก เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะอยากเจอหน้าเซี่ยโห้วท่า เหยียนซิวเล่าเรื่องที่หยางชิ่งคุยกับเซี่ยโห้วท่าให้ฟังทันที เหมียวอี้ฟังจบแล้วครุ่นคิดคิดเงียบๆ นานมาก

เซี่ยโห้วท่าถูกปล่อยออกมาแล้ว โดนเฮยทั่นชกจนสภาพสะบักสะบอม เขามองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่เหมียวอี้

เหมียวอี้เดินเข้ามาตรงหน้าเขาด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง แล้วกุมหมัดคารวะอย่างสุภาพ  คารวะท่านปู่สวรรค์ 

เซี่ยโห้วท่าที่ฟันหักไปครึ่งปากกล่าวกลั้วหัวเราะว่า  พวกเราไม่ได้พบกันมาหลายปีแล้ว 

เหมียวอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม  ท่านปู่สวรรค์ไม่ยอมพบคนในใต้หล้า อ๋องผู้นี้ก็จนใจมากเช่นกัน แต่ว่าคิดถึงท่านปู่สวรรค์มากเกินไป ทำได้เพียงเชิญให้ท่านปู่สวรรค์มาพบกันอย่างไม่มีทางเลือก 

เซี่ยโห้วท่าพยักหน้ายิ้มเบาๆ รู้ว่าพูดเหลวไหลทั้งนั้น อารมณ์ของผู้ชนะเขาเข้าใจดี ในเมื่อจับตัวเขามาแล้ว ถ้าไม่เจอหน้าสักหน่อย ก็เหมือนส่วนชุดหรูหราเดินอวดตอนกลางคืน อวดไปก็ไม่มีใครเห็น จะทำให้ในใจจะเก็บกดจนเป็นทุกข์ เขาถามด้วยรอยยิ้ม  ไม่ทราบว่าอ๋องสวรรค์หนิวเตรียมจะจัดการข้าอย่างไร? 

 ก็ย่อมส่งให้พระปีศาจหนานโปอยู่แล้ว ไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง!  เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

เซี่ยโห้วท่าแสยะยิ้ม  ถ้าเจ้ากล้าก็ต้องพูดจริงทำจริง ถ้าไม่ส่งตัวข้าให้พระปีศาจ ก็จะถือว่าเจ้าเป็นไอ้พันธุ์ถ่อย! 

ในใจเขารู้อย่างชัดเจน ว่าเหมียวอี้จะขู่ให้เขากลัวเฉยๆ เป็นไปไม่ได้ที่เหมียวอี้จะส่งเขาไปให้ใคร ถ้าเขาเผยความลับของตระกูลเซี่ยโห้วขึ้นมา ความพยายามของเหมียวอี้ก็จะสูญเปล่าหมดแล้ว เป็นเพราะในใจมีความโกรธ เจอกับคนที่ไม่เล่นตามหลักการปกติแบบนี้ รู้สึกว่าแพ้อย่างไร้ความยุติธรรมไปหน่อย

เหมียวอี้กลับไม่โกรธเลยสักนิด ใบหน้ายังคงรอยยิ้มเอาไว้  ข้าไม่กล้าส่งเจ้าให้พระปีศาจหรอก แต่ด้วยความสามารถของพระปีศาจ ท่านปู่สวรรค์เองก็รู้ ต่อให้ข้าส่งท่านปู่สวรรค์ไปสบาย แต่ก็เกรงว่าท่านปู่สวรรค์จะตายอย่างไม่สงบใจ! 

เซี่ยโห้วท่าเอามือไขว้หลังพร้อมกล่าวเสียงเรียบ  ตาแก่คนนี้ต้องกังวลด้วยเหรอ? ท่านอ๋องย่อมยอมจ่ายทุกอย่างเพื่อช่วยข้ากำจัดพระปีศาจอยู่แล้ว! 

เพียงไม่ชนะ เหมียวอี้ก็ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดเช่นกัน  ไม่สู้ฉวยโอกาสตอนท่านปู่สวรรค์ยังมีอารมณ์สุนทรีย์ดีกว่า ข้าเดิมพันกับท่านปู่สวรรค์สักตั้งเป็นไง? 

 อ้อ!  เซี่ยโห้วท่าถามอย่างสนใจ  เดิมพันอะไร? 

เหมียวอี้หุบยิ้มทันที กล่าวเน้นทีละคำอย่างเยียบเย็นว่า  ก็เดิมพันว่าอ๋องผู้นี้จะตัดรากถอนโคนตระกูลเซี่ยโห้ว ฆ่าหมดจนไม่เหลือแม้แต่ไก่หรือสุนัขหรือเปล่า! 

…………………

 

บึ้ม!

บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง กำลังพลหนึ่งแสนเพิ่งจะเหยียบลงมา ก็ถูกกำลังพลนับสิบล้านมาล้อมไว้ทั่วทิศแล้ว ลำแสงนับไม่ถ้วนยิงเข้ามาอย่างบ้าคลั่งราวกับห่าฝน

ตระหนก ตกใจ งุนงง สับสน หวาดกลัว สีหน้าอารมณ์ที่เหนือความคาดหมายปรากฏบนใบหน้าของคนที่ถูกกำลังพลล้อมไว้ เหมือนทุกคนจะนึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น จากนั้นก็ดิ้นรนต่อต้านสุดชีวิต ทว่ายามเผชิญกับการล้อมโจมตีของกำลังพลสิบล้าน เผชิญกับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากยิ่งเข้ามาพร้อมกัน ความกรระวนกระวายและความเดือดดาลทั้งหมดถูกกลบไปแล้

ตอนที่คนสุดท้ายถูกตานฉิงใช้ค้อนใหญ่ทุบจนหัวเละ ตานฉิงก็ค้ำค้อนไว้กับพื้น มองตำแหน่งบนแขนตัวเองที่ถูกฟันจนเกราะรบทะลุ เห็นเลือดสดไหลหยดออกมา แล้วก็มองศพตรงหน้าอีก ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

หกขุนพลใหญ่มารวมตัวกันช้าๆ อ๋าวเถี่ยเขย่าระฆังดาราในมือ  ชุดที่สิบ ตอนหลังไม่มีแล้ว ถูกกำจัดหมดแล้ว 

เมิ่งหรูถือดาบค้ำพื้น กล่าวเสียงต่ำว่า  ตระกูลเซี่ยโห้วนี่มีศักยภาพน่ากลัวจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะซ่อนยอดฝีมือไว้เยอะขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะรวบรวมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้ไว้ล่วงหน้า แล้วก็แบ่งกำลังพลพวกนี้มาล้อมปราบทีละแสนคน กำลังพลสิบล้านก็ต้านพวกเขาไม่ไหวเลย! 

สีหน้าของคนที่เหลือมีแต่ความเคร่งเครียดจริงจัง แม้อีกฝ่ายจะมีกำลังน้อยกว่า ทั้งยังถูกลอบจู่โจม แต่กลับยังมีคนโผล่มาสังหารฝั่งนี้ไปแล้วหลายแสน เกือบจะทำให้คนพวกนี้หนีไปแล้ จะว่าไปแล้วธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่อยู่ในมือของทุกคนก็ยังน้อยไปหน่อย

อ๋าวเถี่ยเก็บระฆังดาราในมือแล้วบอกว่า  ทุกคนเก็บกวาดสักหน่อย ผู้ช่วยใหญ่สั่งให้พวกเรารีบไปรวมตัวกัน 

ในอารามเต๋า พอได้ข่าวว่ากำลังพลหนึ่งล้านของตระกูลเซี่ยโห้วถูกปราบแล้ว หยางชิ่งก็โผล่หน้าออกมา ให้คนเปิดประตูใหญ่ของอารามเต๋าออก รอประชุมกับคนของหกลัทธิ

เฮยทั่นเดินวนสำรวจเซี่ยโห้วท่าที่นั่งหลับตาเงียบๆ อยู่หน้าโต๊ะเล็ก พลางเดาะลิ้นบอกว่า  ตาแก่นี่ก็ไม่เท่าไรนี่นา ไร้ประโยชน์มาก ถูกจัดการง่ายขนาดนี้เลย ทำไมมีคนกลัวเขาเยอะขนาดนั้น? 

หยางชิ่งเดินช้าๆ ไปข้างโต๊ะเล็ก จ้องเซี่ยโห้วท่าครู่หนึ่ง ถ้าพูดแบบไม่น่าฟังก็คือ ฝั่งนี้ถูกขุดรากถอนโคนแล้ว ถ้าท่านอ๋องต้องการจะลงมือกับอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วที่อยู่ภายนอก ตระกูลเซี่ยโห้วที่ยึดใต้หล้ามาหลายปีก็จะล้มลงในชั่วพริบตาเดียว เขาอยากจะเห็นนักว่าหลังจากเซี่ยโห้วท่ารู้ความจริงแล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

 ให้เขาฟื้นขึ้นมา  หยางชิ่งบอกเหยียนซิว

 ทำแบบนี้จะเหมาะเหรอ?  เหยียนซิวขมวดคิ้ว

 ไม่เป็นไร เขาทำเรือคว่ำในคลองแคบแล้ว ก่อเรื่องอะไรไม่ไหวแล้ว  หยางชิ่งกล่าว

เหยียนซิวเงียบไป ก่อนจะดินไปข้างหลังเซี่ยโห้วท่า กางนิ้วทั้งห้าขยุ้มเหนือศีรษะเซี่ยโห้วท่า ผ่านไปไม่นาน รูทวารทั้งเจ็ดของเซี่ยโห้วท่าก็มีควันดำถูกดูดเข้าในฝ่ามือเหยียนซิว

รอจนกระทั่งเหยียนซิวหยุดใช้วิชาแล้ว เซี่ยโห้วท่าก็ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ฉากแรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คือ หยางชิ่งกำลังยืนเอามือไขว้หลังมองเขาด้วยความสนใจ ข้างกายยังมีเฮยทั่นที่ยื่นหัวเข้ามาเป็นระยะ

เซี่ยโห้วท่ากับหยางชิ่งสบตากันพักหนึ่ง จากนั้นก็กวาดสายตามองไปรอบๆ พบว่าตัวเองมาอยู่ในอารามเต๋าแล้ว แต่ในอารามเต๋ามีภาพเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ ไม่น่าเชื่อว่าจะจัดโต๊ะเลี้ยงสุราที่กินไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนตำแหน่งที่ตัวเองนั่ง…กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกอย่างรุนแรง เหมือนเขาจะตระหนักอะไรบางอย่างได้แล้ว สายตาจับจ้องบนใบหน้าหยางชิ่งอีก ถามว่า  พวกเจ้าเป็นคนของอำนาจฝ่ายไหน? 

หยางชิ่งกล่าวยังสนใจ  ได้ยินนามอันยิ่งใหญ่ของท่านปู่สวรรค์มานาน ลองเดาสักหน่อยสิ 

เซี่ยโห้วท่าหันกลับไปโมงเหยียนซิวแวบหนึ่ง ตอนอยู่ในเรืออูเผิง เขาเห็นกับตาว่าหลังจากเหยียนซิวปล่อยแสงสีดำโจมตีบนตัวเขาแล้ว เขาก็ไม่ได้สติ สายตาจับจ้องอยู่บนใบหน้านิ่งเฉยเหมือนคนตายของเหยียนซิว แล้วกล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า  เจ้าคือเหยียนซิว ลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? พวกเจ้าคือคนของหนิวโหย่วเต๋อ หรือเป็นคนของแดนอเวจี? ใช่แล้ว อาศัยอำนาจของผู้รอดชีวิตหกลัทธิตอนนี้ จะควบคุมหนิวโหย่วเต๋อได้ยังไง พวกเจ้าคือคนของหนิวโหย่วเต๋อ! 

แล้วก็หันไปมองหยางชิ่งอีก  ขออภัยที่ตาแก่คนนี้ตาไม่ดี ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อเหมือนจะไม่มีบุคคลที่รูปร่างหน้าตาอย่างเจ้า เจ้าเป็นใคร?  เขามองออกว่าหยางชิ่งคือผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจตรงนี้

 จะว่ามีก็มี เพียงแต่ผู้น้อยออกจากข้างกายท่านอ๋องไปนานมากแล้ว ช่วงนี้ถึงได้กลับมา ท่านปู่สวรรค์ลองคิดดูสักหน่อยก็น่าจะจำได้  หยางชิ่งพูดพร้อมกุมหมัดคารวะ  หยางชิ่งคารวะท่านปู่สวรรค์! 

 หยางชิ่ง…หยางชิ่ง…  เซี่ยโห้วท่าพึมพำ แล้วพยักหน้าช้าๆ  คุ้นหูอยู่บ้าง ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อเหมือนเคยมีคนชื่อนี้ หนิวโหย่วเต๋อล่ะ? ในเมื่อมาแล้ว ทำไมไม่พบหน้าตาแก่คนนี้สักครั้ง? 

 ในมือท่านอ๋องมีงานสำคัญมากมายต้องจัดการ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ต้องรบกวนให้ท่านอ๋องมาด้วยตัวเอง  หยางชิ่งกล่าว

 เรื่องเล็กน้อย? ฮ่าๆๆ!  เซี่ยโห้วท่าเอาฝ่ามือตบโต๊ะพลางหัวเราะลั่น หัวเราะเหมือนน้ำตาจะไหล ใช้สองมือค้ำโต๊ะยืนขึ้นช้าๆ ส่ายหน้าหยุดหัวเราะ จ้องหยางชิ่ง  เจ้ามายืนพูดโอ้อวดอยู่ตรงนี้ได้ คาดว่าตัวหลักในครั้งนี้คงจะเป็นเจ้าสินะ? 

หยางชิ่งยิ้มบางๆ ไม่ได้ตอบอะไร ไม่ได้ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธ

 ได้ๆๆ!  เซี่ยโห้วท่าพยักหน้า เดินออกจากโต๊ะ เดินไปเดินมาอยู่ในกุฏิใหญ่ของอารามเต๋าสักพัก มองที่นั่งสองแถวทางฝั่งซ้ายและขวา แล้วก็มองที่นั่งของตัวเองอีก  ลูกชายของข้าถูกพวกเจ้าจัดการหมดแล้วสินะ? 

 ทั้งหมดยังมีชีวิตอยู่ดี ตอนนี้ยังไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย!  หยางชิ่งกล่าว

 เช่นนั้นแสดงว่า ยังมีมูลค่าให้ใช้ประโยชน์  เซี่ยโห้วท่าพยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็เอียงหน้าชำเลืองไปทางหยางชิ่งอีก  แตะต้องฝั่งนี้ แต่กลับไม่แตะต้องอำนาจที่อยู่ภายนอกของตระกูลเซี่ยโห้ว ดูท่าแล้ว พวกเจ้าคงพุ่งเป้ามาที่สมาคมอาวุโส 

 ทำไมถึงพุ่งเป้ามาที่เจ้าไม่ได้ล่ะ?  หยางชิ่งถามด้วยรอยยิ้ม

เซี่ยโห้วท่าแสยะยิ้ม  ข่าวที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าพวกเจ้าของรู้มาจากปากของเว่ยซูสินะ? 

หยางชิ่งยิ้มบางๆ  ทำไมคิดอย่างนั้น? 

เซี่ยโห้วท่าหันกลับไปมองนอกประตูใหญ่ ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า  เฉาหม่านไปหาหนิวโหย่วเต๋อเพื่อขอดูบัวโลหิต หนิวโหย่วเต๋อหาข้ออ้างถ่วงเวลา เฉาหม่านย่อมรู้สึกระวังตัวอยู่แล้ว ไม่มีทางไปตามเวลาที่หนิวโหย่วเต๋อนัดไว้ คนที่มีสิทธิ์ไปดูบัวโลหิตกับตาตัวเองอีกครั้ง นอกจากเว่ยซูก็ไม่มีใครแล้ว หรือพูดได้อีกอย่างว่า จุดประสงค์ที่หนิวโหย่วเต๋อถ่วงเวลาก็คือจะพุ่งเป้ามาที่เว่ยซู ก่อนที่จะควบคุมเว่ยซูเอาไว้ เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นก็ชัดเจน เป้าหมายเริ่มแรกที่พวกเจ้าแต่ต้องเว่ยซูก็คือพุ่งเป้ามาที่สมาคมอาวุโส เพียงแต่บังเอิญรู้จักปากเว่ยซูว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ สมาคมอาวุโส…ความลับนี้ หัวหน้าสมาคมลับต่างๆ ของตระกูลเซี่ยโห้วไม่กล้าเปิดเผยต่อภายนอกแน่ นอกจากพวกเขาก็ไม่มีคนอื่นรู้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เฉาหม่านจะบอกพวกเจ้า ในตอนที่ยังไม่รู้เส้นสนกลในของตระกูลเซี่ยโห้ว แม้พวกเจ้าจะมีความสามารถควบคุมคนและขุดความลับ แต่อาศัยอำนาจของหนิวโหย่วเต๋อก่อนหน้านี้ ก็ยังไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือกับคนจากสมาคมลับแต่ละแห่งของตระกูลเซี่ยโห้ว เพราะหนิวโหย่วเต๋อรับผลที่ตามมาไม่ไหว นอกเสียจากคนตายแล้ว ถึงจะไม่เปิดโปงเรื่องที่ถูกพวกเจ้าควบคุม คนที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดก็มีแค่เซี่ยโห้วลิ่งที่ตายไปแล้ว สงสัยก่อนที่เซี่ยโห้วลิ่งจะตาย คงจะถูกพวกเจ้าขุดความลับไปแล้วไม่น้อย พวกเจ้ารู้สถานการณ์ของสมาคมลับแต่ละแห่งจากปากเขา และรู้เรื่องการมีอยู่ของสมาคมอาวุโสด้วย แต่เซี่ยโห้วลิ่งไม่รู้ว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ ต่อให้พวกเจ้ารู้สถานการณ์ของแต่ละสมาคมลับแล้ว แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่ดี เพราะพวกเจ้ารู้ว่าสมาคมอาวุโสสามารถฟื้นกำลังของสมาคมลับขึ้นมาใหม่ได้ทุกเมื่อ พวกเจ้าก็เลยอยากตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ถึงได้ลงมือกับเว่ยซู บังเอิญรู้จากปากเว่ยซูว่าข้ายังไม่ตาย ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหม?  เขาหันกลับมาจ้องหยางชิ่งด้วยสายตาเย็นเยียบ

หยางชิ่งยิ้มโดยไม่ตอบอะไร ในใจกลับแอบทึ่ง เซี่ยโห้วท่าสมกับเป็นคนที่มีชื่อเสียงบารมีสะท้านทั้งใต้หล้่า ใช้เวลาแค่นี้ก็สามารถไล่เรียงที่มาที่ไปของเรื่องนี้ได้แม่นยำแปดส่วนแล้ว

เซี่ยโห้วท่าหันตัวเดินกลับมาอีก เดินมาตรงหน้าหยางชิ่ง จ้องหยางชิ่งพร้อมบอกว่า  เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ ดูจากความเคลื่อนไหวของพวกเจ้าแล้ว เหมือนจะรู้ว่าเว่ยซูคือกับดัก เรื่องนี้นอกจากข้าแล้วก็ไม่มีใครรู้ความจริงอีก ต่อให้ควบคุมเว่ยซูได้ก็ไม่มีประโยชน์ ข้าอยากจะรู้ว่าพวกเจ้ามองออกได้ยังไง 

 เพราะเจ้ายังมีชีวิตอยู่!  หยางชิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

 ง่ายๆ แบบนี้นะเหรอ?  เซี่ยโห้วท่าถาม

หยางชิ่งกล่าวอย่างใจเย็น  เพราะข้าไม่เชื่อเจ้า! ฟังจากปากเว่ยซูก็มองไม่ออกเลยว่ามีกับดักอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าเจ้าจงใจปล่อยให้เซี่ยโห้วลิ่งตาย ข้าก็เกือบจะเชื่อแล้ว เกือบจะคิดจริงๆ ว่าไม่มีกับดักอะไร แต่ท่านปู่สวรรค์เป็นคนยังไงกันล่ะ? สละได้แม้กระทั่งชีวิตลูกชายเพื่อให้ตัวเองบรรลุเป้าหมาย ข้าทำใจเชื่อได้ยากจริงๆ ว่าท่านปู่สวรรค์จะมอบชีวิตของทุกคนในตระกูลไว้ในมือเว่ยซู เพราะเหตุนี้ แม้พวกเราจะขุดความจริงจากปากเว่ยซูซึ่งเพียงพอที่จะทำให้เชื่อได้ และมองไม่ออกว่ามีกับดักอะไรด้วย ข้าจึงไม่เชื่อในความประพฤติของท่านปู่สวรรค์ เลยฝืนตัวเองตามหาจุดที่น่าสงสัย เลยวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากเว่ยซูซ้ำๆ ถ้าจะบอกว่ามีจุดไหนน่าสงสัย ก็คงมีแค่ทางเข้าอย่างอาเขตดาวหินลอยระเกะระกะ เพราะทุกครั้งเว่ยซูล้วนออกเดินทางจากจุดนั้น เลยจับตาดูที่นี่แล้วสันนิษฐานคาดเดาต่างๆ นานา สุดท้ายก็เจอความเป็นไปได้อันน่าตกใจ พบว่าเว่ยซูอาจจะเป็นกับดักที่ท่านปู่สวรรค์วางไว้! ก็เลยใช้บัวโลหิตหยั่งเชิงท่านปู่สวรรค์อีก ก็พบว่าเป็นอย่างที่คาดไว้! 

เซี่ยโห้วท่าเงียบไปครู่เดียว แล้วก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน  ดูท่าแล้ว เรื่องที่อวิ๋นจือชิวหึงหวงจนถล่มจวนก็คงเป็นแผนของพวกเจ้าเหมือนกัน ตามหลักแล้ว ถ้าหนิวโหย่วเต๋อจะใช้แผนชั่วเล่นงานข้าจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างเรื่องผิดปกติในเวลานี้เลย ผลปรากฏว่าทำตรงกันข้าม หึหึ ทำลายความเคลือบแคลงของข้าได้จริงๆ ดีๆๆ!  เขายกมือตบบ่าหยางชิ่ง  คลื่นลูกใหม่มาแรงกว่าคลื่นลูกเก่าจริงๆ ด้วย! 

 ข้ากลับไม่คิดอย่างนี้ ท่านปู่สวรรค์อยู่ในที่แจ้ง พวกเราอยู่ในที่ลับ ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบขนาดนี้แล้วยังแพ้ให้ท่านปู่สวรรค์ แบบนั้นก็ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว ตามความเห็นของข้า ไม่ใช่เรื่องคลื่นลูกใหม่คลื่นลูกเก่าอะไรหรอก คำโบราณกล่าวไว้ว่าคนเรารวยไม่เกินสามรุ่น โชคร้ายไม่เกินสามรุ่น จากพระปีศาจถึงหกลัทธิ แล้วก็มาถึงประมุขชิงกับประมุขพุทธะ…  หยางชิ่งชะงักไป ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า  แม้ในระหว่างนี้จะมีคนวางแผน ทว่าคนคํานวณมิสู้ฟ้าลิขิต ความบังเอิญต่างๆ ได้อธิบายไว้แล้ว โชคดีของท่านปู่สวรรค์หมดลงแล้ว โชคไม่เข้าข้างตระกูลเซี่ยโห้วอีกแล้ว ท่านอ๋องของข้าต่างหากที่รุ่งเรืองดุจดวงอาทิตย์กลางฟ้า! 

ประโยคสุดท้ายทำให้เซี่ยโห้วท่าสั่นเทิ้มไปทั่งตัว สีหน้าค่อนข้างเหม่อลอย หลังจากตั้งสติแล้ว ก็จ้องหยางชิ่งพร้อมบอกว่า  เมื่อก่อนข้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อมีไหวพริบแต่กลับไม่ถนัดเรื่องวางแผนระยะยาว ข้าถึงได้ไม่สนใจเขา ทว่าอุบายต่างๆ ที่หนิวโหย่วเต๋อแสดงออกมาในตอนหลังทำให้ข้าสงสัย ก่อนหน้านี้ยังไม่เข้าใจ ตอนนี้พอจะรู้บ้างแล้ว เบื้องหลังคงจะมีเจ้าคอยวางแผนให้ ถ้าข้าเดาไม่ผิด อุบายห่วงสัมพันธ์ที่ใช้โค่นล้มฮ่าวเต๋อฟางก็เป็นฝีมือเจ้าใช่ไหม ดูจากที่หนิวโหย่วเต๋อให้เจ้าเป็นคนรับมือกับข้าก็รู้แล้ว และแม้เจ้าจะทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาหนิวโหย่วเต๋อ แต่หนิวโหย่วเต๋อกลับไม่เชื่อใจเจ้า ไม่ให้ในมือเจ้ามีอำนาจทางทหาร ข้าพูดผิดหรือเปล่า? 

หยางชิ่งหัวใจกระตุกวูบ เขาเพิ่งพูดแทงใจดำจนทำให้เซี่ยโห้วท่าตัวสั่น แม้เซี่ยโห้วท่าจะโดนรุกจนแต้ม แต่ก็ยังสวนกลับเขาได้ในทันที พูดแทงใจดำเรื่องที่เขาพูดออกมาไม่ได้

ทว่าภายนอกหยางชิ่งยังคงยิ้ม  ท่านปู่สวรรค์มั่นใจกับความสามารถในการวินิจฉัยของตัวเองเกินไปแล้ว! 

เซี่ยโห้วท่ายื่นใบหน้าชราเข้าไปใกล้เขา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์  ด้วยพลังสยบที่ข้ามีต่อตระกูลเซี่ยโห้ว ทำให้ข้าความมั่นใจอยู่หลายส่วน ถ้าหนิวโหย่วเต๋อเชื่อใจเจ้าจริงๆ ข้าก็คงไม่ตกอยู่ในมือเจ้าหรอก เพราะก่อนเกิดเรื่อง เจ้าจะต้องห้ามไม่ให้เขาลงมือแน่นอน เพราะคนที่ถนัดเรื่องวางแผนการอย่างเจ้าจะไม่ทำเรื่องที่ตัวเองไม่มั่นใจ ตอนที่ยังไม่ได้แตะต้องเว่ยซู เจ้าก็ยังไม่รู้สถานการณ์ของที่นี่โดยละเอียดเลยด้วยซ้ำ มีความเปลี่ยนแปลงเยอะเกินไป เจ้าจะมาเสี่ยงทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร? มีแค่คนที่เคยชินกับการสู้สุดชีวิตอย่างหนิวโหย่วเต๋อเท่านั้น ที่พอเห็นโอกาสรบก็กล้าเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงเพื่อโจมตีอย่างไม่ลังเล! หลังจากเจ้ารู้เรื่องแล้วจะต้องห้ามเขาแน่นอน แต่เจ้าห้ามไม่ไหว ถ้าข้าเดาไม่ผิด หนิวโหย่วเต๋อจะต้องลงมือกับเว่ยซูก่อนโดยปิดบังเจ้าไว้แน่นอน กดดันจนเจ้าไร้ทางให้ถอยกลับ เจ้าถึงต้องทำตาม! ถ้าเปลี่ยนเป็นแม่ทัพใหญ่บางคนที่มีอำนาจทางทหารมาก ก็สามารถหาข้ออ้างมาปฏิเสธได้อยู่แล้ว เพราะไม่กล้ารับผิดชอบผลที่ตามมาหลังจากทำพลาด หนิวโหย่วเต๋อจะกล้าบีบบังคับแบบนี้ได้ยังไง? นี่แสดงว่าแม้เจ้าจะทำงานหนักสร้างผลงานใหญ่ แต่กลับไม่มีอำนาจทางทหารให้ปฏิเสธได้ เจ้ายังกล้าบอกอีกเหรอว่าหนิวโหย่วเต๋อเชื่อใจเจ้า? 

………………

 

เมื่อออกจากโรงเตี๊ยมมาแล้ว หยางชิ่งก็เดินไปเดินมาอยู่บนถนน หลังจากได้ข่าวจากไป๋เฟิ่งหวงมา เขาก็กำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ร้อยเรียงเรื่องราวดูว่ามีช่องโหว่หรือไม่ การที่ไป๋เฟิ่งหวงทำสำเร็จได้ง่ายทำให้เขากังวลนิดหน่อย รู้สึกว่าแบบนี้ธรรมดาเกินไปหรือเปล่า ถึงอย่างไรคนที่สู้ด้วยก็คือเซี่ยโห้วท่า ทว่าพอคิดไปคิดมา ก็ไม่รู้สึกว่ามีปัญหาตรงไหน เขาจึงเปลี่ยนความคิด เซี่ยโห้วท่าแล้วยังไงล่ะ? ที่เตรียมตัวแต่ละอย่างไว้อย่างละเอียดรอบคอบก่อนหน้านี้ ก็เพื่อให้ง่ายดายในตอนสุดท้ายไม่ใช่หรอกเหรอ?

เซี่ยโห้วท่า ชื่อที่สร้างความกดดันให้เขาได้รับการปลดปล่อยในชั่วพริบตาเดียว เขาเดินขึ้นไปทางต้นน้ำเพื่อหาเรือลำหนึ่ง แล้วบอกให้คนขับเรือลอยเรือลงไปตามกระแสน้ำ

เรือลอยเข้ามาใกล้ตามกระแสน้ำ ตอนที่ลอยผ่านเรือของเซี่ยโห้วท่าไปสิบกว่าจั้ง ก็ดีดนิ้วปล่อยแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมา แล้วยิงเข้าไปในกระโจมเรือของเซี่ยโห้วท่า ระหว่างนี้คนบนเรือสองลำไม่ได้เข้าใกล้หรือเจอหน้ากัน

หลังจากไป๋เฟิ่งหวงที่อยู่ในกระโจมเรือรับแหวนเก็บสมบัติมาแล้ว หยางชิ่งก็กำชับนางอีก สอนนางว่าต้องทำอย่างไร

ไป๋เฟิ่งหวงเรียกเหยียนซิวออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ แล้วเร่งว่า  ท่าทางลับๆ ล่อๆ ของพวกเจ้าทำให้ข้าเครียดแทบแย่ เร็วๆ หน่อย! 

เหยียนซิวไม่เปลืองคำพูดกับนาง โบกมือเก็บนางเอาไว้ เปลี่ยนให้ตัวเองมานั่งแทนที่ไป๋เฟิ่งหวง เขาพลิกฝ่ามือ บนกลางฝ่ามือมีธงเรียกวิญญาณที่ยังหมุนวนและยังไม่ขยายใหญ่ แสงสีดำถูกยิงออกมาสายแล้วสายเล่า โจมตีไปที่หน้าอกของเซี่ยโห้วท่า เป็นลำแสงสีดำหลายสิบสาย

เรือที่หยางชิ่งนั่งยังคงลอยลงไปตามกระแสน้ำ ไม่มีท่าทีว่าจะกลับมา รอจนกระทั่งเหยียนซิวส่งข่าวกลับมาแล้ว หยางชิ่งถึงได้หยิบระฆังดาราเอาไว้ในกระบอกแขนเสื้อ แล้วถามสถานการณ์ : เป็นยังไงบ้าง?

เหยียนซิว : ไม่ผิดหรอก เป็นเซี่ยโห้วท่าตัวจริง!

บนใบหน้าหยางชิ่งฉายแววปลาบปลื้มดีใจ ถามว่า : ข้างกายเขามีคนดักซุ่มอยู่หรือเปล่า?

เหยียนซิว : ข้างกายเขามีคนจับตาดูทางนี้อยู่ แต่ไม่รู้รายละเอียดแน่ชัดว่ากี่คน เรื่องทางด้านนี้เขาไม่ได้เตรียมการด้วยตัวเอง ล้วนเป็นหน้าที่ของเซี่ยโห้วยง ลูกชายคนโตของเขา

หยางชิ่งตะลึงทันที ถามว่า : เซี่ยโห้วยง? ไม่ใช่ว่าตายไปแล้วหรอกเหรอ? อย่าบอกนะว่าแกล้งตาย?

เหยียนซิว : ไม่ผิดหรอก แกล้งตาย กิจวัตรประจำวันของสมาคมอาวุโสก็เป็นเซี่ยโห้วยงที่รับผิดชอบ

หยางชิ่งถามทันที : สมาคมอาวุโสอยู่ที่นี่?

เหยียนซิว : ดาวเคราะห์ดวงนี้ก็คือฐานที่มั่นของสมาคมอาวุโส คนของสมาคมอาวุโสถูกควบคุมไว้ที่นี่ การสันนิษฐานของเจ้าไม่ผิด เว่ยซูคือกับดักที่เขาวางเอาไว้รับสัญญาณอันตรายจริงๆ โจรเฒ่าเตรียมกับดักนี้เอาไว้รับมือกับพระปีศาจ ยังมีอีก เส้นทางที่ใช้เดินทางเข้าเขตตำหนักสวรรค์ ไม่ได้มีแค่เว่ยซูที่รู้ ยังมีอีกเส้นทางหนึ่งที่ไม่ให้คนอื่นรู้

เรื่องอื่นไม่สำคัญ ขอเพียงสืบเจอกำพืดของสมาคมอาวุโสได้ละเอียดก็พอแล้ว! หยางชิ่งดีใจมาก ถามอีกว่า : บนดาวเคราะห์ดวงนี้มีกำลังพลของตระกูลเซี่ยโห้วอยู่เท่าไร?

เหยียนซิว : มีคนไม่มาก มีประมาณล้านกว่า แต่เป็นระดับสุดยอดทั้งนั้น ศักยภาพแข็งแกร่งไม่ธรรมดา ประมาณเจ็ดแสนกว่าคนที่มีวรยุทธ์ต่ำสุดก็ปาไประดับบงกชกลายแล้ว องครักษ์ของหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วก็มาจากที่นี่!

หยางชิ่งตกใจมาก แบบนี้หมายความว่าในมือตระกูลเซี่ยโห้วมีนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพอยู่เจ็ดแสนกว่าคน ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับทัพใหญ่ทัพไหนในใต้หล้า ก็ล้วนมีศักยภาพที่จะโจมตีซึ่งๆ หน้าได้ เบื้องลึกของตระกูลเซี่ยโห้วน่าตกใจจริงๆ ด้วย แต่ก็พอจะจินตนาการได้ ตระกูลเซี่ยโห้วสะสมกำลังทรัพย์มาหลายยุค ย่อมมีไม่น้อยอยู่แล้ว เลี้ยงไหวอยู่แล้ว

อยู่ที่โลกภายนอกมีอำนาจมหาศาลขนาดนั้น ที่นี่ก็มีกำลังทหารที่แข็งแกร่งขนาดนี้อีก ตระกูลเซี่ยโห้วมีความสามารถที่จะครองใต้หล้านี้ได้เลย ทว่ากลับไม่มีท่าทีว่าจะไปแทรกแซง ทำให้หยางชิ่งต้องคิดมากอยู่ครู่หนึ่ง

เหยียนซิว : ต่อไปจะทำยังไง?

หยางชิ่งดึงสติกลับมา แล้วบอกว่า : รอสักประเดี๋ยว ข้าจะถามความเห็นท่านอ๋อ!

ระฆังดาราในมือเปลี่ยนเป้าหมายในการติดต่อ เขาติดต่อไปหาเหมียวอี้แล้วบอกว่า : ท่านอ๋อง ควบคุมเซี่ยโห้วท่าไว้ได้อย่างราบรื่น!

เหมียวอี้ที่กำลังอุดอู้อยู่ในห้องหนังสือพลันลุกขึ้น ในดวงตาเผยความรู้สึกดีใจ รีบเขย่าระฆังดาราตอบว่า : ดี! ทำได้สวยงาม!

หยางชิ่ง : ท่านอ๋อง ศักยภาพของตระกูลเซี่ยโห้วแข็งแกร่งกว่าที่พวกเราจินตนาการเอาไว้เยอะมาก ตระกูลเซี่ยโห้วมีกำลังพลอยู่ที่นี่ล้านกว่าคน ในจำนวนนั้นคนวรยุทธ์ระดับบงกชกลายขึ้นไปก็เจ็ดแสนกว่าแล้ว!

เหมียวอี้ตกตะลึงพรึงเพริด : เจ้ากำลังบอกว่าฝั่งนั้นมีนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเจ็ดแสนกว่าคนเหรอ?

หยางชิ่ง : ใช่แล้ว! ท่านอ๋องคิดจะจัดการคนพวกนี้ยังไง?

เหมียวอี้ครุ่นคิดนิดหน่อย แล้วถามว่า : มีความเป็นไปได้ไหมว่าจะดึงมาเป็นพวกได้?

หยางชิ่งเข้าใจความคิดของเขา ถ้าสามารถได้รับความช่วยเหลือจากคนกลุ่มนี้ได้ เขาก็จะได้เป็นเสือติดปีกในใต้หล้านี้ หลังจากครุ่นคิดแล้วก็ตอบว่า : เกรงว่าจะยากมาก! ทั้งหมดล้วนเป็นทหารประจำตระกูลเซี่ยโห้ว ถูกผูกมัดจิตใจอยู่ในมือตระกูลเซี่ยโห้วไม่รู้ตั้งกี่ปี แค่คิดก็รู้แล้วว่าจงรักภักดีต่อตระกูลเซี่ยโห้วขนาดไหน ทรัพยากรที่ใช้เลี้ยงคนพวกนี้ก็ไม่ใช่น้อยๆ กำลังทรัพย์ของท่านอ๋องเลี้ยงไม่ไหว ท่านอ๋องไม่มีกำลังทรัพย์เลี้ยงดู และไม่มีตำแหน่งดีๆ มากมายขนาดนั้นให้พวกเขาด้วย ติดตามตระกูลเซี่ยโห้วดีกว่าหรือติดตามท่านอ๋องดีกว่า พวกเขามีแนวโน้มจะเลือกแบบแรกมากกว่า พอเป็นแบบนี้ ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วบัญชาการเมื่อไหร่ ผลที่ตามมาก็ไม่มีทางคาดเดาได้ นอกเสียจากท่านอ๋องจะสังหารพี่น้องตระกูลเซี่ยโห้วให้หมด แต่ถ้าพูดในทางกลับกัน พอไม่มีการควบคุมจากตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ถ้าจะให้คนมากมายขนาดนี้เปลี่ยนจุดยืน เปลี่ยนไปจงรักภักดีกับคนอื่น ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก! คนพวกนี้ถูกเลี้ยงโดยตระกูลเซี่ยโห้วมาตลอด สถานการณ์แตกต่างกับการแย่งชิงอำนาจผลประโยชน์ของกำลังพลตำหนักสวรรค์

ประโยคสุดท้ายต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญ!

เหมียวอี้ : คนที่พวกเราพาไปด้วยสามารถจัดการคนพวกนี้ได้หมดไหม?

หยางชิ่ง : เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา ตอนนี้เซี่ยโห้วท่าตกอยู่ในมือพวกเราแล้ว ถ้าจะเริ่มปฏิบัติการก็ง่ายมาก!

เหมียวอี้ : เจ้ามีความคิดยังไงกับคนพวกนี้?

หยางชิ่ง : สามารถเอามาหลอมเป็นยาได้ จะกลายเป็นทรัพย์สินก้อนหนึ่งที่มีจำนวนไม่น้อย!

เหมียวอี้เดินไปเดินมาอยู่ในห้องหนังสือพักหนึ่ง สุดท้ายก็ทำหน้าตึง เขย่าระฆังดาราตอบไปว่า : คนมากมายขนาดนี้ ถ้าจะหลอมเอายาก็ยุ่งยากเกินไป รีบสู้รีบจบ ฆ่า!

หยางชิ่งตกใจ : ท่านอ๋องโปรดไตร่ตรอง ทรัพย์สินก้อนนี้ไม่ใช่น้อยๆ ทิ้งไปจะเสียดายนะ!

เหมียวอี้ : ทรัพย์สินที่เซี่ยโห้วท่าสะสมไว้คงไม่น้อย ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากอีก เหลือสมาชิกบางส่วนที่มีประโยชน์เอาไว้ ส่วนที่เหลือ ฆ่า! ฆ่าอย่าให้เหลือ!

หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว เขาก็เดินช้าๆ อ้อมไปนั่งหลังโต๊ะอีก ทั้งตัวจมอยู่ในความเงียบในห้องหนังสือ ดูค่อนข้างเย็นชามืดมน

เขาเข้าใจความคิดของหยางชิ่ง การที่หยางชิ่งคิดจะช่วงชิงความรวยให้เขานั้นเป็นเรื่องดี แต่เขามาถึงขั้นนี้แล้ว ความคิดบางอย่างไม่เหมือนหยางชิ่งแล้ว ในเมื่อคนพวกนั้นควบคุมยาก เขาก็ต้องรีบกำจัดทิ้ง ไม่ทิ้งปัญหาที่จะตามมาในภายหลังเอาไว้ ไม่จำเป็นต้องเปลืองพลังกับเรื่องนี้ ตอนนี้กำลังความคิดหลักของเขาอยู่ที่ฝั่งตำหนักสวรรค์ มีเรื่องที่เร่งด่วนกว่าต้องจัดการ และถ้าให้คนมากมายขนาดนั้นเห็นว่าในมือเขามีทรัพย์สินก้อนใหญ่ ก็อาจไม่ใช่เรื่องดี ถ้ามองจากมุมของเขาที่เห็นสถานการณ์ภาพทั้งหมด ทรัพยากรฝึกตนที่แดนอเวจีไม่ได้เหลือกินเหลือใช้ เจ้าจะให้หรือไม่ให้ล่ะ? พอมีเงินมากแล้ว พวกเขาจะต้องร้องขอทรัพยากรฝึกตนจำนวนมากเพื่อมาเป็นหลักประกันแน่นอน ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ยากจนถึงขั้นทำให้ผวา และทรัพยากรทั้งใต้หล้าก็หายไปอย่างกะทันหันแบบนั้นไม่ไหว ต้องส่งเข้าไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่คนเบื้องล่างไม่ได้คิดอย่างนั้น พอคนเรามีเจตจำนงร่วมกัน เจ้าก็ควบคุมไม่ได้ง่ายๆ แล้ว ที่สำคัญก็คือแม้จะให้ไปแล้ว แต่ก็ไม่สามารถอาศัยทรัพย์สินก้อนนี้เพื่อเพิ่มศักยภาพกำลังพลของตัวเองในระยะสั้นได้อยู่ดี เพราะการฝึกตนต้องอาศัยขั้นตอน

ในเมื่อเป็นแบบนี้ ไม่สู้แก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว เขาเองก็ไม่มีทางยื่นมือไปเอา!

ในห้องโดยสารเรือ หยางชิ่งที่กำลังกำระฆังดาราเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็เหมือนคิดอะไรบาองย่างได้ ถอนหายใจเบาๆ แล้วพึมพำว่า  มีปณิธานต่อใต้หล้าจริงๆ ด้วย กลับเป็นข้าคิดอะไรง่ายๆ ไป… 

จากนั้นก็ใช้ระฆังดาราติดต่อไปบอกเหยียนซิวว่า : ให้เซี่ยโห้วท่าถอนกำลังทั้งหมดที่จับตาดูอยู่ ให้เขารวบรวมคนทั้งหมดไว้ที่นี่…

บนตึกกำแพงเมือง เซี่ยโห้วยงกำลังนั่งจิบน้ำชา มองเรืออูเผิงที่ลอยอยู่กลางแม่น้ำเป็นระยะ

ตอนที่เขาได้รับข่าวจากเซี่ยโห้วท่า ก็รู้สึกงงอยู่บ้าง ถามว่า : ท่านพ่อ ทำไมต้องเรียกรวมคนทั้งหมด?

เซี่ยโห้วท่า : แก้ไขปัญหาเรื่องพระปีศาจได้แล้ว เจ้าทำตามที่ข้าบอก ข้ามีแผนของข้า

เซี่ยโห้วยง : ท่านพ่อ จะเหลือคนไว้ที่นี่สักหน่อยมั้ย?

เซี่ยโห้วท่า : ทำตามที่ข้าบอก

เซี่ยโห้วยง : ขอรับ!

ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินออกมาจากตึกนั้น เขาก็จ้องไปที่เรืออูเผิงกลางแม่น้ำอีกครั้ง จากนั้นก็รีบไป…

ประตูใหญ่ของอารามเต๋าปิดสนิท ด้านนอกอารามเต๋ามีกำลังพลหนาแน่น ระหว่างแม่น้ำและภูเขาเต็มไปด้วยคน

คนของสมาคมอาวุโสหลายสิบคนมากันครบ รวมตัวกันมาถึงนอกอารามเต๋า หนึ่งในนั้นกุมหมัดคารวะเซี่ยโห้วยง  พี่ใหญ่ ท่านพ่อเรียกรวมคนเยอะขนาดนี้มีจุดประสงค์อะไร? 

คนที่พูดไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือหยวนกง อดีตลูกน้องของเหมียวอี้

เซี่ยโห้วยงส่ายหน้า  ท่านพ่อคงเตรียมตัวจะลงมือกับพระปีศาจ เรื่องรายละเอียดข้าไม่รู้ชัดเจน เดี๋ยวพอเข้าไปพบท่านพ่อข้างใน ก็ย่อมเข้าใจเองว่าวางแผนไว้แบบไหน ท่านพ่อกำลังรอทุกคนอยู่ข้างใน เชิญ!  เขายื่นมือเชิญ

จะลงมือกับพระปีศาจแล้วเหรอ? ทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ทั้งหมดเริ่มทำสีหน้าจริงจังแล้วทยอยกันเข้าไป

ประตูใหญ่ของอารามใหญ่ในอารามเต๋าผลักเปิดออก เซี่ยโห้วท่ากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องบน หลับตาอย่างสงบใจ ตรงหน้าคือสุราอาหารโต๊ะเล็ก ทั้งสองฝั่งยังมีคนยืนอยู่หลายคนด้วย

ทุกคนไม่รู้ว่าเขาทำแบบนี้หมายความว่าอะไร แต่ยังเข้าไปยืนคำนับพร้อมกัน

เซี่ยโห้วท่าไม่ลืมตา เพียงกล่าวเสียงเรียบว่า  ปิดประตูไว้ ทุกคนหาที่นั่งเถอะ 

ทุกคนทำตามที่บอก ทยอยกันเข้ามานั่งลง เซี่ยโห้วยงปิดประตูใหญ่ แล้วหันตัวเดินกลับมานั่งลงตรงตำแหน่งถัดจากเซี่ยโห้วท่า

 เจ้าใหญ่ เจ้าช่วยดื่มกับทุกคนแทนข้าหน่อยเถอะ  เซี่ยโห้วท่ากล่าวเสียงเรียบ

เซี่ยโห้วยงไม่เข้าใจว่าบิดาทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร แต่บิดามีความคิดล้ำลึกยากคาดเดามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทำแบบนี้แสดงว่ามีเหตุผลแน่นอน จึงรินสุราและยกจอกสุราชูให้ทุกคน  ไม่ง่ายเลยกว่าครอบครัวพวกเราจะได้กินข้าวด้วยกันสักมื้อ วันนี้มากันครบแล้ว ทุกคนดื่มจอกนี้ร่วมกัน! 

ทุกคนชูจอกสุราดื่มหมด จากนั้นทุกคนก็รอเซี่ยโห้วท่าให้โอวาท รออยู่ครู่หนึ่งไม่เห็นเซี่ยโห้วท่ามีปฏิกิริยาอะไร เซี่ยโห้วยงจึงกุมหมัดคารวะถาม  ท่านพ่อ ให้พวกเรามารวมตัวกันวันนี้ มีเรื่องอะไรจะประกาศหรือเปล่า? 

เซี่ยโห้วท่ายังไม่ลืมตา กล่าวยังใจเย็นว่า  พวกเจ้ากินไปเถอะ 

 …  เซี่ยโห้วยงงงทันที แต่สุดท้ายก็หยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างว่าง่าย แล้วโบกตะเกียบบอกใบ้ทุกคนว่าให้กินเหมือนกัน จากนั้นตัวเองก็เริ่มกินก่อน แล้วทุกคนก็ทยอยกันคีบอาหารเข้าปาก กินอย่างสงบมาก ต่างก็กำลังมองสำรวจเซี่ยโห้วท่าอย่าเงียบๆ ไม่รู้ว่าท่านพ่อกำลังคิดอะไร…

สรุปก็คือคนที่อยู่นอกอารามเต๋าก็ไม่ได้เห็นคนที่เข้าไปออกมาอีก แต่ก็มีคนได้รับข้อความไม่หยุด กำลังพลรวมตัวกันทยอยออกไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า

ชิงเยว่ที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์เก็บระฆังดาราอย่างช้าๆ นางขมวดคิ้วมุ่น

ถูกเก็บอยู่ในกระเป๋าสัตว์มานานเกินไป ชิงเยว่รู้สึกได้รางๆ ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ แล้วหยางชิ่งก็ให้นางนำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดของกำลังพลห้าล้านออกมาอีก

เรื่องนี้มีความเกี่ยวโยงสำคัญ นางจำเป็นต้องรายงานเหมียวอี้ ทว่าเหมียวอี้ตอบเพียงสองคำ : ทำตาม!

……………

 

หลังจากแน่ใจแล้วว่ารอบข้างไม่มีปัญหา เว่ยซูก็โปบกมือปล่อยพวกหยางชิ่งออกมา

พอพวกหยางชิ่งโผล่หน้ามาก็มองไปรอบๆ ทันที คอยระแวดระวังตัวอย่างสูงไว้ตลอด

แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน ประมุขขุนพลหกลัทธิก็ต่างคนต่างปล่อยมาอีกสองคน พอส่งสัญญาณมือ สิบสองคนก็แยกกันไปหกทิศทาง เตรียมป้องกันโดยรอบ

มีข่าวทยอยส่งมาเรื่อยๆ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีเรื่องอะไร หยางชิ่งก็ถามยืนยันทิศทางกับเว่ยซู จากนั้นถึงได้ชี้บอกทิศทางกับไป๋เฟิ่งหวง  จากตรงนี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณแปดสิบลี้ จะมีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง โรงเตี๊ยมตั้งเรียงรายติดทะเลแม่น้ำ ใต้ทำนบกั้นแม่น้ำตรงข้ามประตูทางออกเมืองก็คือจุดจอดเรือสัญจร เซี่ยโห้วท่าอยู่บนเรืออูเผิงที่อยู่ท่ามกลางเรือเหล่านั้น สีแดงที่แต้มไว้ด้านล่างของหัวเรืออูเผิงก็คือเป้าหมาย เจ้ารู้จักเซี่ยโห้วท่า… 

ไป๋เฟิ่งหวงทนรำคาญไม่ไหว  ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าพูดจนหูข้าจะด้านเป็นรังไหมอยู่แล้ว ยิ่งเจ้าพูดข้าก็ยิ่งกังวล 

หยางชิ่งสีหน้าเคร่งขรึม พูดต่อไปว่า  จำเอาไว้ ว่าเว่ยซูเคยไปที่นั่นมาแล้วครั้งหนึ่ง พอไปถึงก็อย่าเหลียวซ้ายแลขวา จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย และท่ามกลางมนุษย์ธรรมดาพวกนั้นก็อาจจะมีคนของเซี่ยโห้วท่าแฝงตัวอยู่ แล้วก็ก่อนไปพบเซี่ยโห้วท่า ต้องไปซื้อกับข้าวจากกุ้งหอยปูปลาสองสามอย่างจากโรงเตี๊ยมริมแม่น้ำก่อน อย่าเอาของแพง ซื้อแค่กับข้าวที่ชาวบ้านกินกัน 

 จำได้แล้ว จำได้แล้ว  ไป๋เฟิ่งหวงตอบ

หยางชิ่งกำชับต่อว่า  จำไว้นะ ขวดสีดำคือยาพิษ ขวดสีขาวคือยาถอนพิษ ต้องลงมือให้รวดเร็วและอำพรางให้ดี อย่าให้ใครเห็น ต้องจำไว้ด้วยว่าเงินของที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น ต้องใช้เงินจื่อเฉียนที่ข้าให้เจ้าไว้ก่อนหน้านี้… 

หลังจากกำชับซ้ำไปซ้ำไปซ้ำมา ไป๋เฟิ่งหวงก็บอกว่าจำได้แล้ว แล้วก็ถามอีกว่า  พวกเจ้าให้ข้าไปคนเดียวเหรอ? 

หยางชิ่ง  มีแต่ต้องให้เจ้าไปคนเดียวเท่านั้น พวกเราไม่มีทางไปเป็นเพื่อนเจ้าได้ ไม่อย่างนั้นต้องทำให้คนสงสัยแน่ เจ้าไม่ต้องกังวล พวกเราจะตามไปทีหลัง จะดักซุ่มอยู่รอบๆ ตัวเจ้า เข้าใจมั้ย? 

ไป๋เฟิ่งหวงชี้เขา  อย่ามาหลอกข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะเปิดโปงกำพืดพวกเจ้าให้เซี่ยโห้วท่ารู้ 

หยางชิ่งขมวดคิ้ว  ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดมาก รีบไป ไม่อย่างนั้นถ้าเจ้าไม่โผล่หน้าไปเสียทีจะทำให้คนสงสัยได้ 

 ซวย…  ไป๋เฟิ่งหวงพึมพำ แล้วรีบเหาะไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ด้วยรูปลักษณ์ของเว่ยซู

 จุดนัดพบที่เพิ่งบอกไปเมื่อครู่นี้ พวกเจ้าได้ยินหมดแล้วใช่มั้ย?  หยางชิ่งหันตัวไปมาขุนพลใหญ่หกลัทธิ

 จำได้แล้ว  หกคนพยักหน้า

หยางชิ่งจึงกล่าวเสียงต่ำว่า  เว่ยซูเหาะลงมาเหยียบลงที่นี่ สายลับของโจรเฒ่าอาจจะสังเกตเห็นแล้ว ตามที่เว่ยซูบอก ทางทิศเหนือที่อยู่ไม่ไกลจากนี้มีแม่น้ำสายเล็กที่สามารถผ่านไปแม่น้ำสายใหญ่ทางตะวันออกเฉียงใต้ได้ อย่าเดินบนพื้น และไม่ต้องไหลลงไปตามแม่น้ำด้วย ให้ขึ้นทวนแม่น้ำไป หลังจากอยู่ห่างเป้าหมายสามร้อยลี้แล้ว ก็กระจายกันล้อมเป้าหมายเอาไว้ หกจุดที่ทุกคนล้อมไว้จะต้องห่างจากเป้าหมายสามร้อยลี้ขึ้นไป ข้าสงสัยว่าใกล้ๆ โจรเฒ่าจะแอบวางหน่วยรักษาการณ์ลับเอาไว้แล้ว ดีไม่ดีอาจมีคนรู้จักพวกเจ้าก็ได้ แล้วลักษณะท่าทางของพวกเจ้าก็ไม่เหมือนคนทั่วไป ไม่ว่าเข้าใกล้ใครก็อาจถูกจับได้ทั้งนั้น ดังนั้นพวกเราต้องเดินในทิศทางตรงกันข้าม พยายามอยู่ให้ห่างจากจุดที่อาจจะมีหน่วยรักษาการณ์ลับทั้งในและนอกเมือง ส่วนข้าก็จะสังเกตการณ์ต่อไป พวกเจ้าคอยดำเนินการตามคำสั่งข้า ถ้าเรื่องราวมีการเปลี่ยนแปลง พวกเจ้าต้องรีบไปถึงให้เร็วที่สุด 

เขาเตรียมตัวเอาไว้เผื่อในกรณีที่แผนล้มเหลว ถ้าไป๋เฟิ่งหวงพลาดขึ้นมา เช่นนั้นฝั่งนี้ก็ทำได้เพียงใช้กำลังจับตัวเซี่ยโห้วท่าไว้เป็นตัวประกันแล้ว

 จำได้แล้ว!  หกขุนพลเอ่ยรับ

หยางชิ่งมองไปทางทิศเหนือ  บนทางระหว่างที่นี่ไปที่แม่น้ำทิศเหนือ ต้องระวังว่าจะมีหน่วยรักษาการณ์ลับ ยอมไปช้าๆ หน่อยดีกว่า ไม่ได้รีบร้อนหรอก ต้องระวังในน้ำเอาไว้มากๆ อย่าให้ใครสังเกตเห็นเด็ดขาด ไปเถอะ! 

 เข้าใจแล้ว!  หกคนเอ่ยรับ แล้วรีบไปทางทิศเหนือ

หยางชิ่งหันกลับไปบอกเหยียนซิวอีก  ถ้าเซี่ยโห้วท่าไม่ได้ติดต่ออะไรกับเว่ยซูเลย เจ้าต้องบอกข้าทันที 

เหยียนซิวพยักหน้า แล้วเขากับเว่ยซูก็ถูกหยางชิ่งเก็บไว้อีกแล้ว

เฮยทั่นเห็นว่าไม่มีคนอื่นแล้ว จึงถูไม้ถูมือถามกลั้วหัวเราะว่า  ท่านบุรุษจะแบ่งภารกิจอะไรให้ข้า?  ใจร้อนอยากแสดงความสามารถ

หยางชิ่งเงียบไปครู่เดียว แล้วบอกว่า  เจ้าดีใจจนออกนอกหน้า ไม่เหมาะจะโผล่หน้าไป 

เฮยทั่นถลึงตา  ข้าต้องโผล่หน้าไปสิถึงจะปลอดภัย ไม่มีใครเคยเห็นข้า! 

หยางชิ่งจึงบอกว่า  ที่เคยเห็นคนของข้าก็มีไม่เยอะ ฝั่งนี้ก็ยิ่งน้อย ไม่ว่าการแต่งตัวหรือสีหน้าของข้าจะเปลี่ยนไปก็ไม่มีใครจำได้  พูดจบก็โบกมือเก็บเขาเอาไว้ แล้วหันไปมองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อีกครั้ง ไม่ได้ไปตามไป๋เฟิ่งหวง แต่เลือกอ้อมไปอีกทาง

คนอื่นต้องระวังว่าจะมีหน่วยรักษาการณ์ลับ แต่สำหรับไป๋เฟิ่งหวง ความกดดันไม่ได้อยู่กับเรื่องนี้เลย นางเหาะเข้าไปในป่าภูเขานอกเมืองอย่างสง่าผ่าเผย แล้วเดินออกมาจากป่าอย่างไม่รีบร้อน เดินตรงไปริมแม่น้ำนอกเมือง

มองออกเลยว่าที่นี่คือคูเมืองที่ค่อนข้างเจริญรุ่งเรือง แม่น้ำที่อยู่นอกเมืองกลายเป็นช่องทางสัญจร ริมแม่น้ำมีโรงเตี๊ยมตั้งเรียงราย ผู้คนเดินขวักไขว่ มีการขนถ่ายสินค้าขึ้นบนเรือของพ่อค้าที่จอดอยู่ริมฝั่งไม่หยุด

ไป๋เฟิ่งหวงที่ปรากฏตัวด้วยรูปลักษณ์ของเว่ยซูจำสิ่งที่หยางชิ่งกำชับได้ แววตาของนางยังมองสำรวจอยู่ แต่กลับไม่เหลียวซ้ายแลขวา บุกเข้าไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่อยู่บนถนนสายนี้แล้ว

เมื่อเห็นทางออกที่อยู่ห่างจากคูเมืองไม่ไกล ไป๋เฟิ่งหวงก็มองไปที่โรงเตี๊ยมหลังหนึ่งข้างๆ เข้าไปซื้ออาหารทะเลแบบชาวบ้านไม่กี่อย่าง ซื้อสุราหนึ่งกา แล้วก็หันตัวเดินออกมาอย่างไม่รีบร้อน แม้แต่ท่าทางการถือของก็เลียนแบบความเคยชินของเว่ยซู

พอเดินมาถึงข้างประตูเมืองที่อยู่ตรงข้ามแม่น้ำ ก็เห็นบันไดทางลงไปที่แม่น้ำแล้ว นางยืนอยู่บนบันไดและกวาดมองเรือที่จอดเรียงแถวอยู่ริมฝั่ง ในใจสับสนตึงเครียดอยู่ครู่นึง แอบด่าในใจว่า จิ้งจอกเฒ่านี่ยังไม่ตายจริงๆ ด้วย!

นางมองปราดเดียวก็เห็นเรืออูเผิงที่ทาสีแดงไว้บนหัวเรือแล้ว บนหัวเรือมีชายชราที่สะพายหมวกงอบไว้ข้างหลัง ถ้าไม่ใช่เซี่ยโห้วท่าแล้วจะเป็นใครไปได้อีก นางรู้จักเซี่ยโห้วท่ามานานแล้ว

พอนึกได้ว่ารอบข้างมีคนแอบซุ่มช่วยตัวเองอยู่ ไป๋เฟิ่งหวงก็เลิกกังวล พยายามสงบสติอารมณ์ แล้วถือของเดินลงบันไดไป

เซี่ยโห้วท่าเหลือบตามองนางแวบหนึ่ง จากนั้นลงเรือแล้วเริ่มแก้เชือกใหญ่ออก

ไป๋เฟิ่งหวงทำตามที่เว่ยซูเคยบอกไว้อีก ไม่พูดอะไรทั้งนั้น ค่อนข้างตามใจอีกฝ่าย ขึ้นไปบนเรือของเซี่ยโห้วท่าโดยตรง เข้าไปนั่งขัดสมาธิอยู่ในเรือ

เซี่ยโห้วท่าโยนเชือกไว้บนเรือ พอขึ้นเรือมาก็ใช้ไม้ไผ่ค้ำเรือไว้ พอเรือออกจากฝั่งก็วางไม้ไผ่ไว้อีก แจวเรือไปทางใจกลางแม่น้ำ

รอจนกระทั่งพักเรืออยู่กลางแม่น้ำแล้ว เซี่ยโห้วท่าถึงได้วางไม้พายแล้วหันตัวมา ไป๋เฟิ่งหวงรินสุราวางอาหารให้เขาเรียบร้อย

เซี่ยโห้วท่านั่งขัดสมาธิอยู่ฝั่งตรงข้ามของตัวเล็ก จ้องกับข้าวที่ทำจากสัตว์น้ำไม่กี่ด้วยดูแววตาเลื่อนลอย  เฮ้อ  แล้วก็ส่งเสียงถอนหายใจเบาๆ ของคนวัยไม้ใกล้ฝั่ง

ไป๋เฟิ่งหวงรินสุราให้เขาเรียบร้อยแล้ว กล่าวอย่างหดหู่ใจเล็กน้อยว่า  อาหารในโรงเตี๊ยมฝีมือไม่ดีเท่าของคุณชายรอง 

เซี่ยโห้วท่าถือตะเกียบขึ้นมา คีบกุ้งตัวเล็กขึ้นมาเคี้ยวในปากอย่างช้าๆ สุดท้ายก็เงยหน้าดื่มสุราอึกเดียวหมดจอก จากนั้นตบจอกสุราลงบนโต๊ะ แล้วกินอาหารเงียบๆ อีก

พอเขาไม่พูดจาอะไรแบบนี้ กอปรกับอำนาจบารมีที่สะสมมานาน สำหรับไป๋เฟิ่งหวงแล้ว ให้ความรู้สึกว่าลึกล้ำยากคาดเดา ทำเอานางหวาดระแวงกลัวนิดหน่อย กังวลว่าตัวเองเผยพิรุธอะไรไปแล้วหรือเปล่า นางพยายามควบคุมอารมณ์ที่ตื่นเต้น แล้วรินสุราให้เซี่ยโห้วท่าอีกครั้ง

ขณะเดียวกันนางก็หยิบตะเกียบขึ้นมาชิมอาหารเล็กน้อย สุราก็ดื่มไปจอกเดียว ก่อนหน้านี้นางกินยาถอนพิษไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงไม่กลัวอะไร

เซี่ยโห้วท่ายังคงไม่พูดอะไร กินอาหารดื่มสุราต่อไป ดื่มหลายจอกติดต่อกัน

ไป๋เฟิ่งหวงแอบดีใจ ยังกังวลอยู่เลยว่าอีกฝ่ายจะไม่กิน นึกไม่ถึงว่าจะดื่มอย่างสบายใจขณะนี้ นางจึงรินสุราให้ต่อไป ในใจพึมพำว่าใกล้แล้ว…ใกล้ล้มแล้ว…ใกล้แล้ว…

ดื่มสุราไปเกือบครึ่งกา เซี่ยโห้วท่าที่กลัดกลุ้มมานานถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง  เจ้ารองจากไปแล้ว ต่อไปไม่ต้องเอ่ยถึงอีก…ต่อไปไม่ต้องนำอาหารทะเลมาอีกเช่นกัน 

 ขอรับ!  ไป๋เฟิ่งหวงเอ่ยรับเสียงเบา

เซี่ยโห้วท่าวางตะเกียบแล้วเช่นกัน ถามว่า  บัวโลหิตล่ะ? 

ไป๋เฟิ่งหวงหยิบแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งมามอบให้

เซี่ยโห้วท่ารับมาไว้ในมือ ไม่ถือสาที่แสงของสมบัติชิ้นนี้จะเปล่งออกมาด้านนอก นำบังโลหิตออกมาจากแหวนเก็บสมบัติโดยตรง เหมือนไม่กังวลเลยสักนิดว่าคนอื่นจะเห็น

ที่จริงที่นี่มีหลังคาเรือบังอยู่ กอปรกับสายตาของมนุษย์ธรรมดาคงเห็นสภาพกลางแม่น้ำไม่ชัดเจนนัก มิหนำซ้ำนี่ก็คือถิ่นของเซี่ยโห้วท่า ไม่ต้องกังวลมากเกินไป

ในเกสรบัวสีทับทิมมีฝักบัวที่ไร้เม็ดบัววางอยู่เงียบๆ สีแดงสดหยดย้อย รากบัวสีขาวหยกนั่นก็ยิ่งเปล่งแสงสว่างสดใส

เซี่ยโห้วท่าถือบัวโลหิตพลิกดูและลูบคลำนานมาก จากนั้นเอามาจ่อจมูกดมอีก ตอนอยู่ไกลดมไม่เจออะไร แต่พอดมใกล้ๆ แล้วได้กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นมาก สายตาหยุดอยู่บนรากบัวสีขาวเปล่งประกาย พยักหน้าบอกว่า  มหัศจรรย์ขนาดนั้นหรือเปล่าข้าก็ไม่รู้ แต่น่าจะเป็นสมุนไพรจิตวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย ทำของปลอมไม่ได้ เป็นของดี! เว่ยซู ข้าจะว่าอะไรเจ้าดี ในปีนั้นที่ใช้ให้เจ้าไปหาสิ่งนี้จากบรรพาจารย์อาวุโสมารโลหิต ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะทำพลาด ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องเปลืองแรงยุ่งยากขนาดนี้หรอก  ขณะที่พูดก็เก็บบัวโลหิตไว้ แล้วหยิบตะเกียบขึ้นมาอีก

พอได้ยินแบบนี้ ไป๋เฟิ่งหวงก็หัวใจกระตุกวูบ บรรพาจารย์อาวุโสมารโลหิตอะไรกัน? ไม่เคยมีใครบอกเรื่องนี้กับนางนะ! นางทำได้เพียงเอ่ยรับ  เป็นบ่าวเองที่ทำงานไม่ดี 

ในขณะนี้เอง จู่ๆ เซี่ยโห้วท่าก็ครางเสียงต่ำ มือที่ถือจอกสุราสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัดเจน น้ำสุรากระฉอกออกมา เซี่ยโห้วท่าแทบจะจ้องเว่ยซูที่อยู่ตรงข้ามทันที

ไป๋เฟิ่งหวงสังเกตปฏิกิริยาของเขามาตลอด ในใจภาวนาขอให้ยาออกฤทธิ์เร็วๆ ไม่รู้ตั้งกี่รอบ ตอนนี้แทบจะไม่ลังเลอะไรแล้ว ดีดนิ้วปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งโจมตีตรงหน้าอกเซี่ยโห้วท่า ใต้โต๊ะก็ยื่นเท้ากดไว้บนขาเซี่ยโห้วท่าเช่นกัน ร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมไม่ให้เซี่ยโห้วท่าขยับตัว กลัวว่าจะสะเทือนไปถึงสายลับที่อยู่รอบๆ อย่างที่หยางชิ่งบอกไว้

เซี่ยโห้วท่าถูกควบคุมไว้จนขยับไม่ได้ แม้แต่พูดก็พูดไม่ออก ในดวงตาที่เกรี้ยวโกรธเริ่มฉายแววหวาดกลัวทีละนิด

ไป๋เฟิ่งหวงโน้มตัวใช้นิ้วจิ้มบนตัวเซี่ยโห้วท่าสิบกว่าครั้งต่อเนื่องกัน หลังจากควบคุมเซี่ยโห้วท่าได้โดยสิ้นเชิงแล้ว ถึงได้หยิบขวดสีขาวใบหนึ่งออกมา นำยาถอนพิษออกมาเม็ดหนึ่ง รีบยัดเข้าปากเซี่ยโห้วท่าแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยให้กลืน

จนกระทั่งตอนนี้ ไป๋เฟิ่งหวงถึงได้ถอนหายใจแรงๆ ตบอกพร้อมบอกว่า  โจรเฒ่า ทำแม่ตกใจแทบตาย 

พอได้ยินเว่ยซูพูดเป็นเสียงผู้หญิง เซี่ยโห้วท่าก็แววตาวูบไหวไม่สงบ แต่ก็ขยับตัวไม่ได้อีก พูดไม่ได้ด้วย

ไป๋เฟิ่งหวงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับหยางชิ่ง : สำเร็จแล้ว ควบคุมคนไว้แล้ว รีบมารับไวๆ

หยางชิ่งกำลังนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง กำลังจ้องความเคลื่อนไหวของเรืออูเผิงกลางแม่น้ำผ่านหน้าต่าง พอได้ยินข่าวดีแล้ว ก็นึกไม่ถึงว่าไป๋เฟิ่งหวงจะทำสำเร็จได้ง่ายขนาดนี้ กำชับทันทีว่า : อย่าให้มีความเคลื่อนไหวอะไร รอก่อน! ถ้ามีอะไรผิดปกติให้จับโจรเฒ่าเป็นตัวประกันทันที!

เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เก็บระฆังดาราอย่างระมัดระวัง พยายามควบคุมไม่ให้พลังอิทธิฤทธิ์รั่วไหลไปข้างนอก

เขาไม่ได้รีบออกไปจากที่นี่ แต่นั่งกินดื่มต่อไป เสร็จแล้วถึงได้ชำระเงินแล้วออกจากโรงเตี๊ยมไปอย่างแนบเนียน

…………………

 

เมื่อได้รับข่าวจากจวนท่านอ๋องแล้ว หยางชิ่งก็เก็บระฆังดารา เอียงหน้ามอเหยียนซิว พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็โบกมือเก็บเหยียนซิวกับเว่ยซูเอาไว้

หันตัวไปพูดกับขุนพลใหญ่หกลัทธิอีก  หยุดการเดินทางชั่วคราวได้ รบกวนทุกคนคำนวณเวลาที่เว่ยซูจะไปถึงอาเขตดาวหินลอยระเกะระกะให้แม่นยำ พวกเราจะต้องควบคุมเวลาหลังจากเว่ยซูออกจากจวนท่านอ๋องไปยังจุดออกเดินทาง 

หกขุนพลเข้าใจความหมายของเขา ทำแบบนี้เพื่อไม่ให้จิ้งจอกเฒ่าเกิดความสงสัยเรื่องเวลา พวกเขาถึงได้ปรึกษาและคำนวณเวลากัน…

มีภูเขา มีหมอกบางลอยวนเวียน เหมือนอยู่ระหว่างกึ่งความจริงและความฝัน

ในภูเขามีอารามเต๋าหลังหนึ่ง มีกลิ่นอายโบราณ ประตูของกุฏิหลักเปิดอยู่ บนเบาะรองนั่งข้างใน เซี่ยโห้วท่าที่ผมขาวโพลนกำลังปล่อยผมนั่งสมาธิ หลับตาสงบจิตใจ

เมื่อได้รับข้อความจากเว่ยซู ก็ลืมตาเล็กน้อยแล้วหยิบระฆังดาราออกมา ตอนแรกก็ยังไม่เห็นว่าสำคัญอะไร แต่พอได้ยินว่าเว่ยซูได้สมุนไพรจิตวิญญาณมาจากเหมียวอี้แล้ว ดวงตาก็พลันเบิกโพลงขึ้นหลายเท่า เว่ยซูไปดูว่าสมุนไพรจิตวิญญาณอยู่ในมือเหมียวอี้จริงหรือเปล่า เขารู้เรื่องนี้ อีกฝ่ายบอกเขาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะมอบสมุนไพรจิตวิญญาณให้เว่ยซู

เขารีบถามระฆังดาราในมือ : ยืนยันว่าเป็นบัวโลหิตจริงๆ ใช่มั้ย?

เว่ยซู : ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว คงจะเป็นบัวโลหิตไม่ผิดแน่

เซี่ยโห้วท่า : หนิวโหย่วเต๋อมอบบัวโลหิตให้เจ้าง่ายๆ ได้ยังไง? ถ้าไม่มีบัวโลหิตแล้ว เขาจะไม่กลัวเชียวหรือว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะกลับคำพูด ไม่ช่วยเขาคุมทัพใต้ให้สงบ?

เว่ยซู : บ่าวเองก็รู้สึกแปลก เลยถามเขาไป เขาตอบมาตรงๆ ว่า เขาจะทำให้พระปีศาจรู้ว่าบัวโลหิตอยู่ในมือตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ให้ตระกูลเซี่ยโห้วกับพระปีศาจค่อยๆ สู้กันไป เขาถามบ่าวกลับด้วยว่า แบบนี้ตระกูลเซี่ยโห้วยังจะมีกะจิตกะใจมาหาเรื่องเขาอีกไหม? เขาไม่เชื่อว่าอ๋องสวรรค์ที่เหลือจะอยากเห็นทัพใต้เกิดการเปลี่ยนแปลงอีก เขามั่นใจว่าจะได้รับการสนับสนุนจากอ๋องสวรรค์ที่เหลือ เขายังเตือนด้วยว่า ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วกล้าทำซี้ซั้ว บีบให้เขาจนตรอกจนทำได้ทุกอย่าง เขาก็ไม่ถือสาที่จะร่วมมือกับพระปีศาจเพื่อสู้กับตระกูลเซี่ยโห้ว บอกว่าความแค้นระหว่างตระกูลเซี่ยโห้วกับพระปีศาจ ให้พวกเราไปจัดการเอาเอง เขาเองก็ไม่อยากเห็นพระปีศาจก่อหายนะเหมือนกัน ถ้าช่วยได้ก็จะช่วยแน่นอน แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นหนังหน้าไฟเพื่อตระกูลเซี่ยโห้ว ให้ค่าแนะนำสมุนไพรจิตวิญญาณกลับมาให้คุณชายสาม

เซี่ยโห้วท่าแสยะยิ้ม ตอบกลับว่า : ที่เขาทำแบบนี้ก็ไม่แปลก ถ้าไม่ได้หวังให้เขาเป็นหนังหน้าไฟให้ตระกูลเซี่ยโห้วอยู่แล้ว บัญชีแค้นนี้เอาไว้ดูสถานการณ์ก่อนค่อยว่ากันทีหลัง แล้วเจ้าสามว่ายังไง?

เว่ยซู : คุณชายสามไม่ได้พูดอะไร ให้บ่าวนำสมุนไพรจิตวิญญาณกลับไปให้เขา

เซี่ยโห้วท่าเงียบไปครู่เดียว แววตาวูบไหวเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า : ไปเถอะ

เว่ยซู : ขอรับ!

ในกระเป๋าสัตว์ เหยียนซิวสร้างความเคลื่อนไหวและถูกเรียกออกมาอีกครั้ง หยางชิ่งเจอหน้าแล้วถามทันทีว่า  โจรเฒ่าพูดว่ายังไงบ้าง? 

 โจรเฒ่าไม่ได้ให้ส่งบัวโลหิตไป แต่ให้ส่งไปให้เฉาหม่าน  เหยียนซิวตอบ

 เอ่อ…  พวกอ๋าวเถี่ยมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ตานฉิงยักไหล่  พอเป็นแบบนี้ แผนพวกเราจะไม่พังหรอกเหรอ? 

ไป๋เฟิ่งหวงพี่ฟังอยู่ข้างๆ กลับโล่งใจ สำหรับนางแล้ว แผ่นนี้ต้องพังถึงจะดี นางจะได้ไม่ต้องไปแบกรับความเสี่ยงอะไร

 ผู้ช่วยใหญ่ พวกเราคาดเดาผิดพลาดหรือเปล่า หรือที่จริงเว่ยซูจะไม่ใช่กับดักอะไรเลย  เมิ่งหรูกล่าวเสียงต่ำ

ตานฉิงแสยะยิ้ม  หึหึ! แบบนั้นก็ดีไม่ใช่เหรอ พวกเราจะได้สังหารเข้าไปได้เลย! 

หยางชิ่งกลับยกมือห้าม จ้องเหยียนซิวเขาบอกว่า  ทั้งสองฝ่ายติดต่อกันเป็นยังไงบ้าง บอกข้ามาให้ละเอียด อย่าให้ขาดตกแม้แต่คำเดียว! 

 เว่ยซูรายงานไปว่าเขาเห็นบัวโลหิตในมือท่านอ๋องแล้ว…  เหยียนซิวเล่าขั้นตอนให้ฟังอย่างละเอียดทันที สำหรับคำตอบที่ให้กับเซี่ยโห้วท่า ที่จริงล้วนเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่หยางชิ่ง เตรียมเอาไว้รับมือ

หลังจากฟังจบแล้ว หยางชิ่งก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามว่า  เขาไม่ได้ถามเรื่องบัวโลหิตมากกว่านี้แล้วใช่ไหม? 

 ใช่!  เหยียนซิวตอบ

หยางชิ่งกวาดสายตามองคนที่เหลือทันที  โจรเฒ่าแค่สนใจว่าได้บัวโลหิตมาได้ยังไง สำหรับตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว บัวโลหิตที่เป็นของสำคัญขนาดนี้ แต่เขากลับไม่สนใจปัญหาว่าจะเก็บไว้ที่ไหน แบบนี้ผิดปกติมาก! 

 ผู้ช่วยใหญ่กำลังจะสื่อว่า?  อ๋าวเถี่ยลังเล

 รอ!  หยางชิ่งกล่าวเสียงต่ำ

นอกอารามเต๋า ใต้ต้นสนเก่าแก่ต้นหนึ่ง ชายวัยกลางคนที่ร่างกายแข็งแรงทรงพลังกำลังนั่งขัดสมาธิ หน้าตาคล้ายเซี่ยโห้วท่าอยู่เจ็ดแปดส่วน แต่เห็นได้ชัดว่าอ่อนวัยกว่าเซี่ยโห้วท่าเยอะ

 เจ้าใหญ่!  ในอารามเต๋ามีเสียงของเซี่ยโห้วท่าเอ่ยเรียก

ชายวัยกลางคนลืมตาขึ้นช้าๆ หยุดฝึกวิชาแล้วลุกขึ้นยืน รีบเดินเข้าไปในอารามเต๋า กุมหมัดคารวะเซี่ยโห้วท่า  ท่านพ่อ 

ที่จริงคนฝั่งตำหนักสวรรค์ที่รู้จักชายวัยกลางคนผู้นี้มีอยู่ไม่น้อย เขาก็คือบุตรชายคนโตของเซี่ยโห้วท่า เซี่ยโห้วยง เมื่อหลายปีก่อนถูกแทงตาย แต่ตอนนี้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ควรค่าที่จะให้ครุ่นคิด

เซี่ยโห้วท่ายื่นมือ เซี่ยโห้วยงใช้สองมือประคองเขาขึ้นมาทันที

สองพ่อลูกเดินลงจากบันไดอารามเต๋าช้าๆ เซี่ยโห้วท่าบอกว่า  ให้คนถามสายลับที่อยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย ดูว่าทางฝั่งหนิวโหย่วเต๋อมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า 

 ขอรับ!  เซี่ยโห้วยงเอ่ยรับแล้วถลันตัวออกไ ไม่นานก็เหาะไปถึงนอกเรือนพักอีกแห่งของอารามเต๋า เดินก้าวยาวเข้าไป พบกับนักพรตเต๋าคนหนึ่งที่กำลังควงกระบี่อยู่ใต้ต้นสน

เซี่ยโห้วยงหยิบระฆังดาราอันหนึ่งยื่นให้เขา  ติดต่อคนที่อยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย ดูว่ามีความผิดปกติอะไรหรือเปล่า 

นักพรตเต๋ารับระฆังดารามาไว้ในมือแล้วจัดการ

จนกระทั่งเซี่ยโห้วยงกลับมาที่อารามเต๋าอีกครั้ง เซี่ยโห้วท่าก็กำลังเดินเล่นช้าๆ อยู่ในป่าภูเขานอกอารามเต๋าแล้ว

เซี่ยโห้วยงถลันตัวเข้าไป รายงานว่า  ท่านพ่อ ฝั่งหนิวโหย่วเต๋อมีความผิดปกติแล้วจริงๆ 

เซี่ยโห้วท่าพลันหรี่ตา แล้วค่อยๆ หันกลับมามองเขา  มีความผิดปกติอะไร? 

เซี่ยโห้วยงตอบว่า  หนิวโหย่วเต๋อเดินเล่นในจวนท่านอ๋องแล้วบังเอิญเจออนุภรรยาหน้าตาสวยที่มาใหม่ ตอนที่กำลังเข้าห้องกัน โดนอวิ๋นจือชิวบุกอาละวาดแล้ว ทั้งสองใช้กำลังต่อสู้กัน ทำให้หนิวโหย่วเต๋อสะบักสะบอมมา เสียหน้าหมดแล้ว! 

เซี่ยโห้วท่างงอยู่พักหนึ่ง เลิกหรี่ตาทีละนิด หลังจากแววตาวูบไหวอยู่สักพักก็ถามว่า  แค่นี้เหรอ? 

 ตอนนี้มีแค่เท่านี้ ด้านอื่นยังไม่มีความผิดปกติอะไรขอรับ  เซี่ยโห้วยงตอบ

เซี่ยโห้วท่าหยุดฝีเท้า หลังจากทอดสายตามองไปไกลเงียบๆ ครู่เดียว ก็บอกว่า  เว่ยซูต้องการจะมาที่นี่ เตรียมการสักหน่อย 

 ขอรับ!  เซี่ยโห้วยงเอ่ยรับแล้วไปจัดการ

ส่วนเซี่ยโห้วท่าก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเว่ยซูอีกครั้ง

ในกระเป๋าสัตว์ เมื่อได้รับการตอบสนองจากเหยียนซิว หยางชิ่งก็เรียกเหยียนซิวออกมาอีกครั้ง

เหยียนซิวโผล่หน้ามาก็บอกเลยว่า  เซี่ยโห้วท่าส่งข่าวมาให้เว่ยซูอีก ให้เว่ยซูนำบัวโลหิตส่งไปให้เขาโดยตรง 

หกขุนพลมองหน้ากันอย่างอึ้งๆ อ๋าวเถี่ยด่าว่า  สงสัยจะเป็นกับดักจริงๆ จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์จริงด้วย โชคดีที่ก่อนหน้านี้ทำตามใจนำเขา ถ้าเว่ยซูเป็นฝ่ายเสนอก่อนว่าต้องการไปพบเขา เกรงว่าคงทำให้เขาสงสัยทันทีแน่ 

 เซี่ยโห้วท่าบอกหรือเปล่าว่าไม่ให้นำบัวโลหิตมอบให้เฉาหม่าน เว่ยซูชี้แจงกับเฉาหม่านยังไง?  หยางชิ่งถาม

เหยียนซิวตอบว่า  ให้เว่ยซูถามแล้ว เซี่ยโห้วท่าบอกว่าจะเตรียมการเอง ให้ส่งบัวโลหิตไปให้เขาดูก่อน 

 เพี้ยะ!  หยางชิ่งกำหมัดชกฝ่ามือทันที กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า  สำเร็จแล้ว! โจรเฒ่าติดกับแล้ว! 

หกขุนพลเผยสีหน้าดีใจ หยางชิ่งชี้ทั้งหกคนอีก  คำนวณใหม่ คำนวณเวลาที่จะไปถึงอาเขตดาวหินลอยระเกะระกะให้เหมาะสม อย่าให้เกิดช่องโหว่อะไรที่จุดหัวเลี้ยวหัวต่อนี้เด็ดขาด! 

 รับทราบ!  หกขุนพลกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่งอย่างตื่นเต้น

หยางชิ่งถ่ายทอดเสียงบอกเหยียนซิวอีก  หลังจากถึงอาเขตดาวหินลอยระเกะระกะแล้ว ทุกคนต้องอยู่บนตัวเว่ยซู เจ้าต้องแน่ใจว่าเจ้าควบคุมเว่ยซูได้ไม่ผิดพลาด! 

เหยียนซิวพยักหน้าเบาๆ

ไป๋เฟิ่งหวงที่คอยฟังอยู่ข้างๆ มองคนพวกนี้ด้วยอย่างพูดไม่ออก พบว่าสุดท้ายตัวเองก็ยากจะพ้นเคราะห์ ยังคงต้องไปเสี่ยงอันตรายนี้

คลื่นหมอกกว้างสุดลูกหูลูกตา ทิวทัศน์ภูเขาทะเลสาบ เรือลำเล็กลอยเอื่อย ชายชราตกปลาหยิบระฆังดาราออกมาตั้งใจฟัง แล้วเก็บเบ็ดตกปลาอย่างไม่รีบร้อน

ชายชราคือเทพคงคาของที่นี่ ชื่อว่าถังตั๋ว เป็นเทพคงคาอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว เมื่อก่อนเคยเป็นผู้บัญชาการใหญ่ ตอนหลังทำผิดเกือบโดนโทษประหาร แต่ได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลชั้นสูงอย่างลับๆ ภายหลังได้มาอยู่ในสถานที่ลับตาคนแห่งนี้ คนที่ช่วยชีวิตเขาไว้คือใคร เขาเองก็ไม่รู้ชัดเจน และไม่เคยคิดจะถามด้วย แต่คนที่แอบช่วยเหลือเขาให้ทรัพยากรฝึกตนเขามานานแล้ว เขาไม่มีความกังวลเรื่องขาดทรัพยากร หลายปีมานี้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี

แน่นอน ผู้สูงศักดิ์คนนั้นก็ไม่ช่วยเขาไว้อย่างไร้เหตุผลเช่นกัน บางครั้งก็จะมีเรื่องให้เขาไปทำ เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่เสี่ยงอันตรายใดๆ ผ่านมาหลายปีแต่เรียกใช้งานเขาแค่ไม่กี่รอบ

เมื่อครู่นี้เอง ผู้สูงศักดิ์ส่งข่าวมาอีกแล้ว ยังคงเป็นเรื่องนั้น

หลังจากเก็บเบ็ดตกปลาแล้ว ถังตั๋วก็ไม่กล้าชักช้า แม้แต่เรือก็เก็บเอาไว้แล้ว รีบเหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อมาถึงดาราจักรอันกว้างใหญ่ เขาก็แยกแยะทิศทาง แล้วเหาะไปด้วยความเร็วสูง

จุดหมายที่ไปก็ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เป็นอาเขตดาวหินลอยระเกะระกะ นอกอาเขตดาวหินลอยระเกะระกะผืนนั้น ก็คืออาณาเขตดาวนิรนามอันไร้ขอบเขต

หลังจากมาถึงอาเขตดาวหินลอยระเกะระกะ ถังตั๋วก็เหาะฝ่าเข้าไปในนั้น สุดท้ายก็ไปซ่อนตัวอยู่ตรงส่วนปลายของอาเขตดาวหินลอยระเกะระกะ เข้ามาอยู่ในโพรงของหินก้อนใหญ่ แล้วสังเกตการณ์ดาราจักรรอบๆ ผ่านรูลับที่เจาะไว้

การรอครั้งนี้ใช้เวลาไปเกือบห้าชั่วยาม สุดท้ายพบคนคนหนึ่งก็เหาะผ่านหินระเกะระกะเข้ามา ดูจากท่าทางที่หลบหลีกหิน ก็เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างคุ้นเคยกับสภาพของที่นี่

รอจนกระทั่งคนเข้ามาใกล้ หลังจากใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์เห็นชัดเจนแล้ว แม้ผู้ที่มาจะสวมหน้ากากปลอมแปลงใบหน้า แต่ถังตั๋วก็ตัดสินได้จากรูปร่างที่เป็นเอกลักษณ์ ว่าเป็นคนเดียวกับที่เคยมาหลายครั้งก่อนหน้านี้

หลังจากมองคล้อยหลังผู้มาเยือนเหาะผ่านอาเขตดาวหินลอยระเกะระกะส่วนปลายเข้าไปในจุดลึกของดาราจักรแล้ว ถังตั๋วก็หยิบระฆังดาราออกมารายงานสถานการณ์โดยละเอียดต่อผู้สูงศักดิ์ที่อยู่เบื้องหลัง

ผู้สูงศักดิ์ยังคงยึดตามธรรมเนียมเดิม ให้เขาจับตาดูรอบๆ ดูว่ามีคนอื่นติดตามหรือเข้าใกล้หรือเปล่า

ถังตั๋วทำตามคำสั่ง สังเกตการณ์รอบข้างอย่างเงียบๆ ต่อไป

ที่จริงเขาก็แอบสงสัยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าผู้สูงศักดิ์จะพิถีพิถันแบบนี้ไปทำไม ทั้งยังมีคนผู้นั้นที่มาเยือนเป็นครั้งคราว ทำไมต้องไปที่อาณาเขตดาวนิรนามนั้นอีก ที่นั่นมีความลับอะไรกันแน่?

เว่ยซูที่เร่งเหาะมาตลอดทางซ่อนระฆังดาราไว้ในแขนเสื้อ คอยติดต่อกับเหยียนซิวเป็นระยะ

เริ่มตั้งแต่ตอนเข้าใกล้อาเขตดาวที่มีหินลอยระเกะระกะ ทุกคนล้วนอยู่บนตัวเว่ยซู ไม่กล้าโผล่ออกมา

พูดตามตรงว่าทำแบบนี้อันตรายมาก เพราะไม่รู้เลยว่าจะมีอันตรายอะไรเข้าใกล้ ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเหยียนซิวที่ควบคุมเว่ยซู แต่สำหรับพวกหยางชิ่งแล้ว การเผชิญหน้ากับคนอย่างเซี่ยโห้วท่าทำให้ไม่กล้าประมาทเลย จะต้องเสี่ยงอันตรายนี้

เดินทางผ่านไปนานแล้ว แต่ยังเหลือเวลาอีกนาน รอบข้างไม่มีสถานการณ์อะไรผิดปกติ เว่ยซูรายงานเหยียนซิวเป็นระยะ ส่วนเหยียนซิวก็บอกพวกหยางชิ่งต่อ

รอจนกระทั่งเลยครึ่งทางไปแล้ว หยางชิ่งที่เฝ้าอยู่หน้าแผนที่ดาวเงียบๆ ถึงได้โล่งอก หันไปมองไป๋เฟิ่งหวงข้างๆ ที่แปลงร่างเป็นเว่ยซู นางกำลังฝึกการพูดและสีหน้าท่าทางของเว่ยซูซ้ำไปซ้ำมา

ตอนที่ใกล้ถึงจุดหมายปลายทาง เว่ยซูก็ติดต่อเซี่ยโห้วท่าอีกครั้ง ถามสถานที่นัดพบโดยละเอียด หลังจากได้รับคำตอบแล้วก็บอกเหยียนซิวต่อ

เมื่อรู้ว่าใกล้จะได้เจอเซี่ยโห้วท่าแล้ว ทุกคนก็เริ่มมีสีหน้าตึงเครียด

พอมาถึงจุดหมาย เว่ยซูก็ฝ่าชั้นบรรยากาศเข้าไปในภูเขาลึกแห่งหนึ่ง แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบรอบๆ

……………

 

 ไม่ผิดหรอก!  อ๋าวเถี่ยถูฝ่ามือด้วยรอยยิ้ม

คนที่เหลือเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที มองหยางชิ่งด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความนับถือ

กลับเป็นเหยียนซิวที่มีสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง เพียงชำเลืองหยางชิ่งอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง เหมือนไม่รู้สึกผิดพลาดกับการวางแผนของหยางชิ่งเลยสักนิด เซี่ยโห้วท่าแผนสูงมองการณ์ไกล ในสายตาเขาหยางชิ่งกลับวางแผนเข้าถึงจิตใจคน แค่คิดว่าตอนนั้นจู่เก๋อชิงตายอย่างไรก็รู้แล้ว

ไป๋เฟิ่งหวงที่อยู่ข้างๆ ได้ยินว่าคนพวกนี้เล่นใหญ่ก็หวาดระแวงแล้ว ตอนนี้มาได้ยินแผนการครั้งแล้วครั้งเล่าอีก นางก็ยิ่งมองคนพวกนี้ด้วยแววตาประหลาดใจสงสัย แอบขนลุกนิดหน่อย คนพวกนี้เป็นอะไรกันไปหมด!

ตอนนี้นางนับว่าเข้าใจแล้ว ว่าทำไมผ่านมาหลายปีแต่ตัวเองทำได้เพียงหลบไปทางนั้นทีทางนี้ที ที่แท้คนพวกนี้ก็เล่นกันอย่างนี้นี่เอง ต่อไปนี้ต้องอยู่ห่างๆ จากพวกเขาสักหน่อย ไม่อย่างนั้นจะถูกขายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย

หยางชิ่งกวาดสายตามองทุกคน  ทุกคนไม่มีอะไรสงสัยแล้วใช่ไหม? 

ครั้งนี้ลงมือกับเซี่ยโห้วท่า เขาไม่ยอมให้มีใครสะเพร่า ต้องการให้ทุกคนร่วมมืออย่างเต็มที่ นี่ก็คือสาเหตุที่เขาพูดไว้ค่อนข้างชัดเจน!

หกขุนพลกุมหมัดคารวะ  ยินดีทำตามคำสั่งผู้ช่วยใหญ่ 

หยางชิ่งเหล่ตามองไป๋เฟิ่งหวง ส่วนไป๋เฟิ่งหวงก็เบะปากโดยไม่พูดอะไร

หยางชิ่งก็เลยมองข้ามความเห็นของนาง หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้อีกครั้ง

เหมียวอี้ถามทันทีว่า : เป็นยังไงบ้าง?

หยางชิ่งถามว่า : ท่านอ๋อง ในจวนท่านอ๋องมีความผิดปกติอะไรหรือเปล่า?

เหมียวอี้ : ตอนนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกติ! เจ้าวางใจได้ ฝั่งนี้ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่นหรอก ข้าไม่ให้ฟังนี้เกิดความผิดปกติอะไรแน่!

หยางชิ่ง : ไม่ขอรับ! เว่ยซูได้รับบัวโลหิตอย่างราบรื่นเกินไป ถ้าจะรับมือกับคนประเภทเซี่ยโห้วท่า เดินในเส้นทางที่ตรงกันข้ามจะได้ผลกว่า ถ้าท่านอ๋องวางอุบายกับเขา มีหรือที่จะสร้างความขัดแย้งในเวลานี้ ทำให้เกิดความผิดปกตินิดหน่อยจะดีกว่า…

หลังจากปรึกษากันสักพัก เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดารา เดินออกมาจากประตูตึก แล้วเดินตรงไปที่เขตลานบ้านขิงผังเสี้ยวเสี้ยว

อวิ๋นจือชิวที่ถูกเรียกเดินออกมาจากห้องนอนของผังเสี้ยวเสี้ยว มาถึงศาลาที่พบกันก่อนหน้านี้ เหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนรออยู่ในศาลาแล้ว กำลังหันหลังให้

อวิ๋นจือชิวเดินมาข้างหลังเขา แล้วถามอย่างกังวล  สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง? 

เหมียวอี้ยืนเงียบอยู่ที่เดิม

อวิ๋นจือชิวกังวลทันที ก้าวขึ้นมาจับแขนเขา ถามว่า  เกิดเรื่องขึ้นแล้วใช่ไหม? 

เหมียวอี้ค่อยๆ หันตัวมา แล้วก็มองนาง จ้องนางอยู่อย่างนั้น…

ท้องฟ้าสีครามใสดุจผ่านการชำระล้าง จวนท่านอ๋องโอ่อ่างดงาม ขณะที่เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินอย่างเอื่อยเฉื่อย หยางเจาชิงก็คอยพูดคุยอยู่ข้างกาย

ตอนที่เดินผ่านทุ่งดอกไม้ที่งดงามดุจผ้าแพร เห็นสตรีที่มีเสน่ห์เย้ายวนชวนมองคนหนึ่งกำลังเลือกเด็ดดอกไม้ เรียกได้ว่าคนอ่อนช้อยยิ่งกว่าบุปผา ข้างหลังมีสาวใช้สองคนกำลังถือตะกร้า

เหมียวอี้มองสองครั้ง แล้วอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไป

พอสามคนที่อยู่ฝั่งนี้เห็นว่าเหมียวอี้เดินเข้ามา ก็รีบจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วย่อเข่าคำนับ  ท่านอ๋อง 

เหมียวอี้มองประเมินครูหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้จมูกโด่งเหมือนแท่งหยก ปากแดงกลมเหมือนผลไม้ คิ้วตางดงามดุจภาพวาด ดวงตาสดใสเป็นประกาย ผิวขาวเนียนดุจหิมะ ลักษณะท่าทางดูมีการศึกษา เป็นยอดหญิงงามอย่างแท้จริง เพียงแต่ตอนนี้ดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัด สาวใช้สองคนที่อยู่ข้างหลังก็ยิ่งเกรงกลัว เหมียวอี้จ้องผู้หญิงคนนั้นพร้อมถามว่า  เจ้าเป็นคนในตัวนี้หรือ? 

 ตอบท่านอ๋อง ผู้น้อยหมิงจูค่ะ!  ผู้หญิงคนนั้นตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 หมิงจู?  เหมียวอี้ขมวดคิ้วพึมพำ  ค่อนข้างคุ้นหู 

หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆแนะนำว่า  ท่านอ๋อง นี่คืออนุภรรยาที่เข้ามาใหม่ เป็นบุตรสาวของหมิงไป่ อดีตหัวหน้าภาค 

ที่แท้ก็เป็นอนุภรรยาที่ตัวเองรับเข้ามาใหม่ เหมียวอี้ทำท่าเหมือนเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน แต่ในใจกลับยิ้มเจื่อน ทำกลางผู้หญิงนับพันคน คนที่นับว่างามเลิศล้ำมีไม่มาก นับว่าหยางเจาชิงเตรียมการอย่างใส่ใจแล้ว

 ไม่ต้องมากพิธี  เหมียวอี้ยกมือบอกใบ้ แต่สายตายังจ้องใบหน้าสวยเย้ายวนของหมิงจูไม่ละไปไหน

หมิงจูถูกเขามองจนเขินอายเล็กน้อย เป็นเพราะสายตาของเหมียวอี้ไม่ปิดบังอะไรเลย ทำให้นางใจเต้นรัวนิดหน่อย

สาวใช้สองคนที่อยู่ข้างหลังนางแอบสงสายตาดีใจ

 เจ้าพักอยู่ที่ไหน?  จู่ๆ เหมียวอี้ก็ถาม

หมิงจูมองไปที่กำแพงดอกไม้ พร้อมตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล  ตอบท่านอ๋อง อยู่ในเขตลานบ้านด้านหลังแพงดอกไม้ค่ะ 

 พอข้าเข้าไปดูหน่อยได้หรือไม่?  เหมียวอี้ถามอีก

 ได้ค่ะ!  หมิงจูเลยรับเสียงเบา ยกแขนเสื้อนำทาง เรือนร่างอรชรอ่อนช้อยเดินเนิบนาบอยู่ข้างหน้า

สาวใช้ทั้งสองเดินอ้อมออกไป รีบกลับไปเตรียมตัวก่อน

นี่คือเรือนชั้นในของจวนท่านอ๋อง มีสายตาที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวาไม่ขาดอยู่แล้ว คนเป็นเจ้านายไม่ได้มีอารมณ์มาทำแบบนั้น แต่คนเบื้องล่างกลับใส่ใจ พอท่านอ๋องออกมาเดินเล่นจนถึงที่พักของผู้หญิงในครอบครัว ในที่ลับก็เกิดการแตกตื่นอยู่พักหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีสาวใช้มากมายเท่าไหร่รีบวิ่งเต้นทำงานอยู่ในเรือนชั้นใน รีบไปรายงานเจ้านายตัวเอง ร้อนใจยิ่งกว่าเจ้านายตัวเองเสียอีก

ใช้เวลาไม่นาน ในเขตลานบ้านแต่ละแห่งก็มีผู้หญิงหลายคนขึ้นตึกมาชะโงกหน้ามอง บางก็พรางตัวมาแอบมอง บ้างก็เงยหน้ามองอย่างเปิดเผย เอาเป็นว่าทั้งใกล้และไกลต่างก็กำลังจับตาดูเพื่อรอให้เหมียวอี้เดินมาถึง ถึงขั้นมีคนนำสาวใช้เดินออกจากเขตลานบ้านตัวเองมาทางนี้ด้วย เตรียมจะมาบังเอิญเจอท่านอ๋องสักครั้ง

มีบางคนที่ไม่ได้สนใจเหมียวอี้เช่นกัน แค่โผล่หน้ามาดูเฉยๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่

การพบกันโดยบังเอิญระหว่างเหมียวอี้กับหมิงจูใต้กำแพงดอกไม้ เรื่องนี้ย่อมอยู่ในสายตาของคนจำนวนไม่น้อยแล้ว เมื่อเห็นท่านอ๋องตั้งใจเดินไปหาหมิงจู ทั้งยังยืนคุยกับหมิงจูด้วย บางคนต่อให้ในใจไม่ได้คิดอะไรแต่ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ดี เมื่ออยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ ไม่มีที่ไหนให้พึ่งพา สภาพจิตใจของบางคนก็ได้รับผลกระทบจากบรรยากาศอย่างเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรเสียไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้นว่าตัวเองกลายเป็นผู้หญิงของผู้ชายคนนี้แล้ว และความอิจฉาก็เป็นนิสัยโดยธรรมชาติของผู้หญิงด้วย

จากนั้นพอได้เห็นหมิงจูพาท่านอ๋องเข้ามาในเขตลานบ้านตัวเองอีก ก็มีคนไม่น้อยทำสีหน้าไม่พอใจทันที

ตู้อิ๋นเจียวที่ยืนพิงตึกกำลังมองตาปริบๆ

หลังจากเดินเล่นในเขตลานบ้านของหมิงจูรอบหนึ่ง เหมียวอี้กับหมิงจูก็เข้าไปนั่งพักในศาลา ส่วนสาวใช้ทั้งสองก็นำน้ำชามาวาง

หลังจากหมิงจูล้างมือในอ่างทองที่อยู่ข้างๆ แล้ว ก็รินน้ำชาให้ด้วยตัวเอง ท่วงท่างามสง่า เห็นแล้วสบายตาสบายใจ ยกถ้วยน้ำชามาตรงหน้าเหมียวอี้  ท่านอ๋องเชิญดื่มน้ำชาค่ะ 

เหมียวอี้กลับไม่รับน้ำชา สายตาจ้องบนใบหน้านาง จ้องจนนางอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าหลบเล็กน้อย

เหมียวอี้ยื่นมือเชยคางอ่อนนุ่มของนางขึ้นมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า  เจาชิง วันนี้ถ้าไม่มีธุระสำคัญอะไรก็อย่าให้ใครมารบกวนข้า 

สาวใช้ทั้งสองแอบกัดฟันอย่างดีใจ มาแล้ว มาแล้วจริงๆ กะไว้แล้วเชียว อาศัยความงามของคุณหนู มีคนตั้งมากมายเท่าไหร่ที่อาจเอื้อมไม่ถึง ท่านอ๋องจะไม่โปรดปรานได้อย่างไร พวกหน้าตาพื้นๆ เหล่านั้นจะมาสู้กับคุณหนูได้อย่างไรกัน!

ทั้งสองเตรียมตัวรายงานข่าวดีให้ตระกูลหมิงรู้ แม้จะเป็นเพียงสาวใช้ แต่กลับรู้ว่าถ้าคุณหนูได้เข้าห้องกับท่านอ๋องเมื่อไร ก็นับวันรอให้ตระกูลหมิงหวนคืนสู่อำนาจได้เลย ถ้าท่านอ๋องเอ่ยปากเพียงประโยคเดียว ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนของตระกูลหมิงมากมายเท่าไรที่ได้รับผลประโยชน์ ตอนที่ทุกคนของตระกูลหมิงดีใจ ก็เป็นเวลาที่ทั้งสองจะได้สร้างผลงานเรื่องปรนนิบัติคุณหนู ไม่พ้นต้องถูกตบรางวัลอย่างงาม ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือฐานะของทั้งสองในจวนท่านอ๋องก็จะขึ้นสูงเหมือนเรือที่ขึ้นตามน้ำ ไม่แน่ว่าวันหลังอาจจะได้กลายเป็นคนที่มีสถานะในจวนท่านอ๋องก็ได้ คนใหญ่คนโตที่อยู่ข้างนอกยามเจอพวกนางก็ต้องไว้หน้าบ้าง พอผ่านวันนี้ไปคงจะได้ย้ายจากเรือนเล็กไปเรือนใหญ่ตามคุณหนูแล้ว

ทั้งสองมีพื้นเพมาจากตระกูลใหญ่ ยอมเข้าใจว่าฐานะของสาวใช้จะขึ้นลงตามเจ้านายตัวเอง

 ขอรับ!  หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะ จากนั้นก็หันตัวเดินออกไปอย่างรู้กาละเทศะ

หมิงจูไม่รู้ว่าจะหลบสายตาไปทางไหนดี

มือที่ช้อนคางนางย้ายมาอยู่บนถ้วยน้ำชา เขาหยิบถ้วยขึ้นมาแล้ว แต่กลับวางไว้บนโต๊ะด้านข้างอีก จากนั้นคว้ามือที่อ่อนนุ่มของนางดึงเข้ามา หมิงจูเข้าสู่อ้อมกอดของเขาด้วยความตกใจ เขาโน้มตัวรวบสองขาของนางขึ้นมาอย่างไม่ลังเล อุ้มนางเอาไว้แล้ว

หมิงจูใช้สองมือผลักหน้าอกเหมียวอี้โดยจิตใต้สำนึก คิดจะผลักเขาออกไป แต่สุดท้ายก็ยังเก็บแรงไว้ แล้วก้มหน้าลงด้วยสองแก้มแดงเรื่อ เสียงหัวใจเต้นแรงจนตัวเองยังได้ยิน ตระหนักได้แล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

 นำทาง!  จู่ๆ เหมียวอี้ที่อุ้มหมิงจูก็กล่าวเสียงเรียบ

ตอนแรกสาวใช้ทั้งสองก็อึ้งก่อน พอตั้งสติได้แล้วก็รีบนำทาง  ท่านอ๋อง ห้องนอนของคุณหนูไปทางนี้ค่ะ!  ทั้งสองนำทางอยู่ข้างหน้า

ประตูห้องนอนปิดแล้ว…

พอหยางเจาชิงเดินออกมาจากเขตลานบ้าน ก็ค้นพบทันทีว่าบนทางเดินที่ก่อนหน้านี้ยังเงียบเชียบมีสมาชิกผู้หญิงปรากฏตัวแล้วไม่น้อย พอเห็นเขาก็ทักทายก่อน  พ่อบ้านหยาง! 

ผู้หญิงที่มาปรากฏตัวตรงนี้ได้ล้วนมีทักษะการเข้าสังคมที่ดีมาก ต้องทุ่มเทสุดกำลังเช่นกัน ทุกคนล้วนเข้าใจหลักการข้อหนึ่ง นั่นก็คือพ่อบ้านท่านนี้คือสุดยอดลูกน้องคนสนิทข้างกายท่านอ๋อง มีอิทธิพลต่อท่านอ๋องมาก ถ้าสามารถช่วยพูดอะไรดีๆ ไม่กี่คำต่อหน้าท่านอ๋องได้ ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาตระกูลของพวกนางได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นถ้าเผลอไปล่วงเกินใครเข้า แล้วมีพ่อบ้านท่านนี้ช่วยพูดให้ สถานการณ์ก็จะแตกต่างออกไปแล้ว ทุกคนของทัพใต้จะไม่ไว้หน้าท่านนี้ได้หรือ?

ส่วนหยางเจาชิงก็กุมหมัดคารวะกลับทีละคน สำหรับการปรากฏตัวของผู้หญิงเหล่านี้ เขานั้นรู้อยู่แก่ใจตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ได้หาข้ออ้างอะไรมาก ทักทายตามมารยาทแล้วก็ไป แต่ในใจกลับแอบจดจำคนเหล่านี้ไว้ จดจำผู้หญิงที่ค่อนข้างมีจิตใจฝักใฝ่ผลประโยชน์เอาไว้ ในอนาคตเวลามีเรื่องเกิดขึ้น จะได้ให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจแก่เหมียวอี้ได้ทันเวลา นี่ก็คือหน้าที่ของพ่อบ้านอย่างเขา

เมื่อหยางเจาชิงออกไปแล้ว ไม่นานก็มีกำลังพลกลุ่มเล็กเข้ามา เฝ้าอยู่ตรงประตูเขตลานบ้านของหมิงจู แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนง่ายๆ

เป็นเวลาครึ่งชั่วยามเต็มๆ ยังไม่เห็นเหมียวอี้ออกมาจากเขตลานบ้านของหมิงจู ท่านอ๋องผู้สง่าภูมิฐานจะมีอะไรให้คุยกับผู้หญิงคนใหม่ไม่จบไม่สิ้นขนาดนั้น คิดไปคิดมาก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไร บางคนเริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้ว รสชาติยามโดนคนอื่นแย่งของไปครอบครองนั้นทรมาน

กำแพงลานบ้านของที่นี่ออกแบบไว้อย่างพิถีพิถันมาก ต่อให้ยืนอยู่บนตึก ก็จะเห็นนอกกำแพงลานบ้านเท่านั้น จะไม่เห็นเหตุการณ์ข้างในเขตลานบ้าน เป็นเพราะตึกของที่นี่ไม่สูง ไม่เหมือนตึกในเรือนหลักของจวนท่านอ๋อง ที่จุดสูงสุดสามารถมองเห็นทั้งจวนท่านอ๋องได้

ปกติแล้วระดับความสูงของตึกที่พัก ขนาดเขตลานบ้านของผู้หญิงในจวนท่านอ๋องล้วนแสดงออกถึงฐานะของผู้หญิงคนนั้นในจวนท่านอ๋อง ถ้าเป็นเรือนใหญ่ก็ย่อมใช้คนดูแลมากกว่า หมายความว่ามีคนปรนนิบัติเยอะกว่า

บนตึกมีบางคนพูดจาไม่ดีแล้ว ต้องทราบไว้ว่าในบรรดาอนุภรรยาของเหมียวอี้มีคนที่นิสัยคุณหนูอยู่ไม่น้อย

มีบางคนพูดเหน็บแนมว่า  หมิงจูคนนี้ปกติดูเป็นคนเรียบร้อยสง่างาม นึกไม่ถึงว่าจะมีวิธียั่วผู้ชายมากมาย เจ้าเล่ห์ไม่ใช่น้อย คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ บังเอิญไปเก็บดอกไม้งั้นเหรอ? สง่างามนักนะ เล่นละครเก่งจริงๆ 

บางคนที่เจ้าอารมณ์มากก็ด่าไปโดยตรงเลย  นางตัวดีนี่ไม่ใช่ชะโงกดูเงาตัวเองเสียบ้างว่าเป็นใคร แค่ลูกสาวหัวหน้าภาคกระจอกๆ ก็กล้ามายั่วท่านอ๋องแล้วเหรอ สักวันจะโดนกรรมตามสนอง! 

บางคนก็ระบายอารมณ์กับสาวใช้ของตัวเอง  พวกเจ้าดูสาวใช้ของคนอื่นสิ ช่วยเจ้านายตัวเองแสดงละครได้ดีขนาดไหน พวกนั้นเล่นละครกันจบแล้ว พวกเจ้าถึงรู้ว่าท่านอ๋องมา บ้านข้าส่งพวกเจ้ามาทำประโยชน์อะไร?  ด่าจนสาวใช้ของตัวเองไม่กล้าเงยหน้า

บางคนก็แค่แสดงความไม่พอใจ  ก็แค่เก็บดอกไม้ไม่ใช่เหรอ อย่างกับคนอื่นทำไม่ได้อย่างนั้นแหละ 

ในขณะที่บริเวณนี้มีสถานการณ์แตกต่างกันไป บนทางเดินที่อยู่ระหว่างกำแพงจวนไกลๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัว อวิ๋นจือชิวเดินนำหน้าด้วยสีหน้าเยียบเย็น ตามหลังด้วยเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ข้างหลังยังมีทหารอารักขาอีกกลุ่มหนึ่ง ดึงดูดความสนใจของคนที่กำลังมองดูทันที

ผู้หญิงที่เดินไปเดินมาอยู่ระหว่างทางเห็นอวิ๋นจือชิวแล้วหลีกทางคำนับ แต่อวิ๋นจือชิวไม่ชายตามองเลยสักนิด

เห็นเพียงอวิ๋นจือชิวเดินตรงเข้าไปที่ประตูเขตลานบ้านของหมิงจู แล้วตะคอกทหารยามว่า  หลีกไป!  ขณะที่พูดก็บุกเข้าไปเลย

ทหารยามตรงประตูไม่กล้าขวางนาง ปล่อยให้เข้าไปแล้ว

บนตึกมีคนหัวเราะเยาะ  แม่เสือมาแล้ว ตอนนี้มีฉากเด็ดให้ดูแล้ว 

เป็นอย่างที่คาดไว้ ผ่านไปครู่เดียว ในเรือนพักของหมิงจูก็มีเสียงตำหนิของอวิ๋นจือชิวดังแว่วมา จากนั้นก็ตามด้วยเสียงต่อสู้ มีห้องพังถล่มโครมคราม…

…………………

 

ไม่กลัวก็แปลกแล้ว ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือ จะให้นางไปจับตัวเซี่ยโห้วท่าแบบซึ่งๆ หน้า ไม่ผิดหรอก สิ่งที่หยางชิ่งต้องการก็คือให้นางไปจับคน จะไม่กลัวได้เหรอ?

ในฐานะคนเก่าคนแก่ที่เคยผ่านมาก่อน เซี่ยโห้วท่าคือการดำรงอยู่ที่น่าหวาดกลัวขนาดไหน ไม่มีทางที่นางจะไม่รู้ชัดเจน ผ่านไปหลายปีแล้ว ทั้งใต้หล้าล้วนถูกครอบงำอยู่ภายใต้เงามืดของเซี่ยโห้วท่า ยามเผชิญหน้ากับคนอื่น ไป๋เฟิ่งหวงกล้าแสดงอารมณ์ไม่พอใจ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยโห้วท่านางไม่กล้าเลยจริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการลงมือจับอีกฝ่ายด้วยตัวเอง แบบนี้ไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกหรือ?

พวกตานฉิงรู้สึกบันเทิงแล้ว ต่างก็เข้าใจความรู้สึกของไป๋เฟิ่งหวง

หยางชิ่งขมวดคิ้ว เขาไม่ได้รู้จักไป๋เฟิ่งหวงมากนัก กลุ้มใจว่าทำไมเหมียวอี้ถึงให้พวกทิ้งงานแบบนี้กับเขา จึงเตือนว่า  นี่คือความคิดของอ๋องสวรรค์หนิว 

ไป๋เฟิ่งหวงถลึงตาทันที  เขาเป็นอ๋องสวรรค์ของบ้านเจ้า ไม่ใช่อ๋องสวรรค์ของบ้านข้า ข้าไม่สนหรอกว่าจะเป็นความคิดของเขา ใครส่งข้าไปตายข้าก็ร้อนใจกับคนนั้นแหละ!  สายตาจ้องไปที่ใต้เท้า แล้วจู่ๆ ก็กล่าวอย่างดุดัน  ข้าจะพูดอีกครั้งนะ ปล่อยข้าออกไป ไม่อย่างนั้นอย่าโทษว่าข้าทำลายที่นี่ออกไปเอง! 

เรื่องนี้หยางชิ่งฝืนใจนางไม่ได้ ถ้าอีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือ ฝืนใจให้ไปทำก็ไม่มีประโยชน์ อดไม่ได้ที่จะกล่าวเสียงต่ำว่า  ถ้าเจ้าจะไปข้าก็ไม่ห้ามเจ้า แต่ข้าต้องบอกท่านอ๋องก่อน! 

ไป๋เฟิ่งหวงคำรามทันที  เร็วๆ หน่อย ถ้าเลยเวลาจะไม่รอ! 

หยางชิ่งยอมหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้แล้ว เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง

เหมียวอี้ที่ปิดตัวเองอยู่คนเดียวในห้องบนตึกมีสีหน้าคร่ำเครียดเล็กน้อย หยิบระฆังดาราติดต่อไป๋เฟิ่งหวงทันที

 มองอะไร?  ไป๋เฟิ่งหวงที่รออยู่ในกระเป๋าสัตว์ตะคอกใส่หลายคนที่กำลังจ้องตัวเอง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้

เหมียวอี้ถามว่า : ไป๋เฟิ่งหวง เจ้าเป็นอะไรไป?

ไป๋เฟิ่งหวง : ไม่ได้เป็นอะไร ข้าไม่มีความสามารถนั้น เรื่องนี้ข้าทำไม่ได้!

เหมียวอี้ : เจ้าต้องทำความเข้าใจเอาไว้เรื่องหนึ่งนะ ข้าเป็นเจ้านายของเจ้า เจ้าเป็นทาสของข้า เจ้ากล้าขัดคำสั่งเหรอ?

ไป๋เฟิ่งหวง : อย่ามาใช้มุขนี้…

ยังไม่ทันพูดจบ ไป๋เฟิ่งหวงก็สีหน้าเปลี่ยนทันที ในดวงตาถึงขั้นฉายแววหวาดกลัว มืออีกข้างหยิบระฆังดาราอีกอันที่กำลังสั่นออกมา แล้วเขย่าตอบกลับไปว่า : เจ้า…เจ้ายังไม่ตายจริงเหรอ? เจ้าอยู่ที่ไหน?

ระฆังดาราอันนั้นตอบกลับมาว่า : เสี่ยวไป๋ ข้าตามใจเจ้ามาหลายปีขนาดนี้ ควรควบคุมจิตใจสักหน่อย ปฏิบัติตามที่พวกเขาบอกเถอะ

ไป๋เฟิ่งหวง : แบบนี้เท่ากับให้ข้าไปตายชัดๆ! ข้าไม่ทำ!

ระฆังดาราตอบกลับมา : เสี่ยวไป๋ อย่าดื้อ!

ไป๋เฟิ่งหวงตาแดงก่ำทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม หยดน้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจก็ยิ่งพรั่งพรูออกมา ตอบอย่างกล้ำกลืนว่า : รู้แล้ว!

นางกระทืบเท้าระบายอารมณ์ขณะเก็บระฆังดาราอันนี้ แล้วเขย่าระฆังดาราตอบเหมียวอี้อีก : นับว่าเจ้าโหด! ข้าทำก็ได้ ยังไม่พอใจอีกเหรอ?

เหมียวอี้โล่งอก ตอบกลับไปว่า : หลังจากเรื่องนี้สำเร็จแล้ว ข้าจะตบรางวัลเจ้าอย่างงามแน่!

ไป๋เฟิ่งหวง : ตบรางวัลกับผีนะสิ ใครต้องการรางวัลเส็งเคร็งของเจ้า ไปให้ไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ทีหลังอย่ามารบกวนข้าอีก ไอ้สารเลว ตั้งแต่ได้เจอเจ้า ข้าก็ซวยไปแปดชาติ!

นางพลิกมือเก็บระฆังดารา แล้วคำรามใส่หยางชิ่งอีก  จะให้ทำยังไง พูดให้ชัดเจนหน่อย แต่เรื่องรนหาที่ตายข้าไม่ทำหรอกนะ! 

แบบนี้เท่ากับรับปากแล้ว หยางชิ่งยิ้มบางๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อครู่ที่นางถือระฆังดารา สองอันหมายความว่าอะไร นึกเพียงว่าเหมียวอี้มีวิธีการควบคุมนาง ว่ากันตามหลักเหตุผล เขาต้องคิดอยู่แล้วว่าถ้าเหมียวอี้ไม่มีวิธีการควบคุมนาง มีหรือที่จะแนะนำให้นางมาได้

หยางชิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า  เจ้าวางใจได้ พวกเราไม่ได้หวังให้เจ้าไปตายแน่นอน เพราะเมื่อไหร่ที่เจ้าไปตาย ก็หมายความว่าแผนของพวกเราล้มเหลวเช่นกัน หลังจากแผนการล้มเหลว พวกเราก็รับผลที่ตามมาไม่ไหว ดังนั้นไม่ให้เจ้าไปตายแน่นอน ตราบใดที่เจ้ากล้าหาญรอบคอบ ก็ไม่มีคำว่ารนหาที่ตาย แล้วเจ้าก็ตายไม่ได้ด้วย พวกเรารับประกันความปลอดภัยของเจ้าได้แน่นอน! 

ไป๋เฟิ่งหวงพูดดูถูกว่า  ช่างพูดโกหกได้แบบตาไม่กะพริบจริงๆ ให้ข้าไปเผชิญหน้ากับจิ้งจอกเฒ่านั่นคนเดียว ในใต้หล้านี้มีใครกล้าบอกบ้างว่ารับประกันความปลอดภัยให้ข้าได้? 

หยางชิ่งกล่าวกลั้วหัวเราะว่า  ให้ไปเผชิญหน้ากับเซี่ยโห้วท่าเพียงลำพังข้าไม่เถียง แต่ตอนแรกคนของตำหนักสวรรค์มากมายขนาดนั้นยังจับเจ้าไม่ได้เลย อาศัยความสามารถของเจ้า ยามต้องสู้กับเซี่ยโห้วท่าคงไม่ถึงขั้นหลบไม่เป็นหรอกใช่ไหม? พวกเรามีกำลังพลมาด้วยสิบล้าน ทั้งยังมียอดฝีมือจำนวนมากของแดนอเวจีแฝงตัวอยู่รอบกายเจ้า ถ้าเรื่องนี้ล้มเหลว พวกเขาทั้งหมดจะลงมือ อย่างน้อยก็กู้สถานการณ์ให้เจ้าได้อย่างไม่มีปัญหา! 

 จริงเหรอ? ไม่ได้หลอกข้าใช่ไหม?  ไป๋เฟิ่งหวงสงสัย

หยางชิ่งรับประกันว่า  ที่นี่มีคนอยู่เยอะ ข้าจะรับประกันให้เจ้าต่อหน้าทุกคน ถ้าหลอกเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าสามารถปฏิเสธภารกิจครั้งนี้ได้เลย ตอนหลังถ้าท่านอ๋องถามถึง เจ้าก็ผลักความรับผิดชอบมาให้ข้าได้เลย! 

 นี่เจ้าพูดเองนะ เราต้องสร้างหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรให้ข้า ไม่อย่างนั้นพวกเขาเป็นคนที่อยู่ฝั่งเจ้าทั้งหมด ใครจะเป็นพยานให้ข้าได้ล่ะ?  ไป๋เฟิ่งหวงยื่นมือทวง

 ก็ได้!  หยางชิ่งหยิบแผ่นหยกออกมาทันที เขียนหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ลงตราอิทธิฤทธิ์แล้วส่งให้นาง

หลังจากรับมาตรวจอ่านอย่างจริงจัง ไป๋เฟิ่งหวงก็เลิกคิ้วนิดหน่อย ในที่สุดตอนนี้ก็วางใจแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้จริง ก็เหมือนจะไม่อันตรายมาก

หารู้ไม่ว่าหยางชิ่งพูดแบบนี้เพื่อให้นางวางใจเท่านั้น ต้องทำให้นางมีความมั่นใจ ถึงจะเผชิญหน้ากับเซี่ยโห้วท่าอย่างสุขุมเยือกเย็นได้ ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปได้สูงว่านางจะเผยพิรุธต่อหน้าจิ้งจอกเฒ่า แน่นอน ความจริงก็ไม่แตกต่างจากที่พูดไปสักเท่าไหร่ ไม่ถือว่าเขาหลอกลวงนาง

อ๋าวเถี่ยที่อยู่ข้างๆ พลันถ่ายทอดเสียงถามหยางชิ่ง  ตอนนี้ยังยืนยันเรื่องในตอนหลังไม่ได้ เมื่อถึงตอนนั้นแล้วสถานการณ์ไม่ได้เป็นแบบที่คิดไว้ นางไม่ได้เผชิญหน้ากับโจรเฒ่าเพียงลำพัง ข้างกายโจรเฒ่ามีคนเยอะ ผู้ช่วยใหญ่จะไม่ผิดสัญญาตอนนั้นหรอกเหรอ? 

หยางชิ่งถ่ายทอดเสียงตอบ  แล้วยังไงล่ะ? ถ้านางลงสนามแล้ว เจอเซี่ยโห้วท่าแล้ว ยังกล้าให้ตัวเองถูกเปิดโปงง่ายๆ อยู่ไหม? ถึงตอนนั้นนางจะไม่ทำได้เหรอ? เพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง นางก็ต้องคิดหาทางกัดฟันอดทนให้ผ่านไปอยู่แล้ว 

อ๋าวเถี่ยปาดเหงื่อเล็กน้อย สงสัยการรับประกันนี้จะไม่มีประโยชน์อะไร เป็นแค่กับดัก! พูดไปเพื่อทำให้ไป๋เฟิ่งหวงสงบลงล้วนๆ ท่านนี้ช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก

หยางชิ่งถ่ายทอดเสียงบอกอีกว่า  แต่ดูจากสถานการณ์การพบกันในอดีตตามที่เว่ยซูบอกไว้ มีความเป็นไปได้ต่ำพี่จะมีคนจำนวนมากโผล่มาเจอเว่ยซู โดยเฉพาะหลังจากพระปีศาจหนานโปหวนกลับมาแล้ว ความเป็นไปได้นี้ก็ยิ่งเล็กน้อยมาก โจรเฒ่าจะใช้รูปแบบการพบกันเพียงลำพังฝังเข้าไปในความทรงจำของเว่ยซู 

อ๋าวเถี่ยสงสัยนิดหน่อย ;jkเกี่ยวข้องอะไรกับพระปีศาจหนานโป? พบว่าความคิดตัวเองตามผู้ช่วยใหญ่ท่านนี้ไม่ค่อยทัน

หลังจากตรวจสอบละเอียดและเก็บแผ่นหยกแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็กวาดตามองทั้งสอง แล้วเตือนว่า  มีคำพูดน่าอายอะไรให้ต้องแอบลักลอบคุยกัน?  หลังจากทำเสียงฮึดฮัด นางก็บอกหยางชิ่งอีกว่า  บอกสถานการณ์ให้ข้าฟังโดยละเอียดหน่อย 

หยางชิ่งบอกว่า  รีบพูดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ยังต้องรอดูสถานการณ์ในภายหลัง เจ้าวางใจเถอะ ข้าบอกเจ้าล่วงหน้าแน่นอน 

เมิ่งหรูที่คุณคิดเงียบๆ อยู่นานพลันเอ่ยว่า  ถ้าเว่ยซูเป็นกับดักที่โจรเฒ่าวางไว้เหมือนที่ผู้ช่วยใหญ่สันนิษฐานจริงๆ ถ้าเว่ยซูมีความผิดปกตินิดเดียว ก็จะทำให้โจรเฒ่าตื่นตัวได้ง่ายมาก เว่ยซูจะไปหาโจรเฒ่า ควรหาข้ออ้างอะไรถึงจะไม่ทำให้โจรเฒ่าสงสัย? 

คำถามนี้ทำให้ทุกคนเงียบทันที อู๋กุยพยักหน้า  โจรเฒ่าเจ้าเล่ห์เกินไป มีพิรุธนิดเดียวก็อาจเป็นปัญหาได้ นี่คือกุญแจสำคัญ ถ้าทำให้โจรเฒ่าเชื่อใจไม่ได้ ตอนหลังก็จะยุ่งยากแล้ว 

ใครจะคิดว่าหยางชิ่งจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า  เช่นนั้นก็ให้เขาเป็นฝ่ายเรียบเว่ยซูไปหาเอง! 

สายตาของทุกคนมองมา จ่างหงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า  ดูท่าผู้ช่วยใหญ่คงวางแผนไว้นานแล้ว! 

หยางชิ่งจ้องบนแผนที่ดาว พร้อมกล่าวอย่างใจเย็น  แม้โจรเฒ่าจะเจ้าเล่ห์ แต่คนเราต่อให้เจ้าเล่ห์แค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ช่องโหว่ให้โจมตี ข้าไม่เชื่อหรอกว่าโลกนี้จะมีคนที่สามารถวางแผนได้โดยไร้ช่องโหว่! พวกเราอยู่ในที่ลับ เขาอยู่ในที่แจ้ง พวกเราได้โอกาสลงมือก่อน ถ้าล้อมวางอุบายใส่เขาโดยที่เขาไม่รู้ความจริง แล้วยังปล่อยให้เขาหนีไปได้ ข้าก็พูดได้เพียงว่าพวกเราไร้ความสามารถ! 

 พูดแบบนี้ เกรงว่าผู้ช่วยใหญ่คงมีแผนในใจแล้ว เป็นพวกเราที่คิดมากไป พวกเรายินดีฟังความเห็นอันสูงส่ง!  เหลิ่งจัวฉุนกล่าวปนเสียงหัวเราะ

 แค่ต้องให้เว่ยซูบอกเขาสักหน่อย ว่าได้บัวโลหิตมาจากมือท่านอ๋องแล้ว!  หยางชิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

คนที่เหลือมองหน้ากันเลิกลั่ก อ๋าวเถี่ยกุมหมัดกล่าวขอคำชี้แนะด้วยความไม่มั่นใจ  หมายความว่ายังไงเหรอ? 

 เพื่อกำจัดพระปีศาจ เซี่ยโห้วท่าไม่เสียดายที่จะเปิดโปงสายลับของตระกูลเซี่ยโห้วจำนวนมากเพื่อสนับสนุนให้ท่านอ๋องขึ้นตำแหน่งคุมทัพใต้ ไม่ใช่เพราะต้องการอำนาจของทัพใต้มาสนับสนุนหรอก ต่อให้ท่านอ๋องไม่ได้คุมทัพใต้ ในเรื่องกำจัดพระปีศาจ ที่จริงแล้วตระกูลเซี่ยโห้วให้ยืมกำลังได้ง่ายมาก ไม่จำเป็นต้องโค่นล้มฮ่าวเต๋อฟางเลย สาเหตุที่แท้จริงก็เป็นเพราะบัวโลหิตในมือของท่านอ๋องสามารถช่วยให้พระปีศาจกลับมามีกายหยาบอีกครั้งได้ นี่คือของที่พระปีศาจหวังอยากได้มากที่สุด  หยางชิ่งใช้ฝ่ามือตบบนเข็มทิศเบาๆ ขณะที่ครุ่นคิด แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า  ก่อนหน้านี้ก็ยังคิดอยู่เลย ว่าตระกูลเซี่ยโห้วกับท่านอ๋องจะร่วมมือกันสู้กับพระปีศาจได้ยังไง ต้องรู้เอาไว้ว่าพระปีศาจก็ไม่ใช่เล่นๆ จะติดกับดักง่ายขนาดนั้นเสียที่ไหนกัน เป็นไปได้ยากที่จะมีวิธีการที่เหมาะสม จนกระทั่งวันนี้ข้าถึงได้เข้าใจ ว่าเซี่ยโห้วท่าทุ่มทุนเยอะมากเพื่อกำจัดพระปีศาจ เรียกได้ว่ายอมแลกทุกอย่าง การเคลื่อนไหวที่อึกทึกครึกโครมอย่างอื่นล้วนทำไปเพื่ออำพรางความจริง เขาวางกับดักสำเร็จรูปที่ไร้ความผิดพลาดเอาไว้รอพระปีศาจตั้งนานแล้ว ท่าไม้ตายของจริงที่เซี่ยโห้วท่าใช้สู้กับพระปีศาจก็คือเขา!  ขณะที่พูดก็ชี้ไปยังเว่ยซูที่มีท่าทางเลื่อนลอยอยู่ข้างๆ

ทุกสายตาจับจ้องไปที่เว่ยซูทันที ทุกคนคิดตาม

ผ่านไปสักประเดี๋ยวเดียว อ๋าวเถี่ยก็ตาเป็นประกาย  ข้าเข้าใจความหมายที่ผู้ช่วยใหญ่บอกแล้ว กับดักอย่างเว่ยซู เซี่ยโห้วท่าอยากจะใช้เอาไว้สู้กับพระปีศาจ! ทุกคนลองคิดดูสิ ถ้าพระปีศาจรู้ว่าบัวโลหิตอยู่ในมือตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว เซี่ยโห้วท่าคิดจะวางกับดักให้เว่ยซูตกอยู่ในมือพระปีศาจก็ง่ายมาก ถ้าเว่ยซูตกอยู่ในมือพระปีศาจเมื่อไร พระปีศาจจะต้องใช้พลังอภินิหารของตัวเองสืบหาที่อยู่บัวโลหิตแน่ แล้วก็จะรู้ทันทีว่าเซี่ยโห้วท่ายังไม่ตาย อีกครั้งบัวโลหิตก็อยู่ในมือเซี่ยโห้วท่าแล้ว เซี่ยโห้วท่าไม่อยากให้เขาได้บัวโลหิตก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก และสามารถอธิบายได้ด้วยว่าทำไมตระกูลเซี่ยโห้วถึงยอมสนับสนุนให้ท่านอ๋องขึ้นสู่ตำแหน่ง ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ แม้แต่เว่ยซูเองก็ไม่รู้ว่าเซี่ยโห้วท่าวางกับดักไว้ พระปีศาจจะเชื่ออย่างสนิทใจว่าข้อมูลที่ตัวเองขุดได้จากเว่ยซูไม่มีอุบายซ่อนอยู่ สามารถเชื่อได้เต็มที่ว่าไม่มีการเล่นตุกติก เพราะเซี่ยโห้วท่าแกล้งตายก่อนที่พระปีศาจจะหลุดออกมาจากสถานที่ผนึก ต่อให้พระปีศาจจะมีพลังอภินิหารมากมายกว่านี้ แต่ก็คงนึกไม่ถึงว่าเซี่ยโห้วท่าจะวางกับดักรอตนเอาไว้ล่วงหน้าหลายหมื่นปี นี่คือกับดักที่สมบูรณ์แบบจริงๆ! ถ้าเซี่ยโห้วท่าได้บัวโลหิตไปเมื่อไหร่ ก็จะต้องเตรียมกับดักที่ถึงตายเอาไว้รอพระปีศาจที่จุดหมายปลายทางแน่นอน ส่วนพระปีศาจก็วิ่งเข้าใส่โดยไม่เคลือบแคลงใจ จะต้องใช้แหฟ้าตาข่ายดินล้อมเขาไว้ หนีไปไม่ได้อีก! 

ขณะที่ทุกคนเข้าใจกระจ่าง ก็รู้สึกแอบตกใจเช่นกัน

เมิ่งหรูบอกว่า  ดูท่าแล้วเซี่ยโห้วท่าจะไม่ได้กลัวพระปีศาจแบบธรรมดาจริงๆ ยอมสละได้แม้กระทั่งลูกชายตัวเอง แม้แต่พ่อบ้านที่ตัวเองสนิทที่สุดก็เอามาเป็นตัวหมากให้สละชีวิตได้ 

ตานฉิงหัวเราะหึหึ  อาศัยแค่เรื่องพวกนั้นที่เขาเคยทำไว้กับพระปีศาจ จะไม่กลัวได้เหรอ? ถ้าไม่กำจัดพระปีศาจ เกรงว่าต่อให้เขาตายก็ยังอกสั่นขวัญแขวนอยู่ดี 

หยางชิ่งใช้สองมือค้ำบนเข็มทิศดาว พร้อมกล่าวช้าๆ ว่า  จะได้นำบัวโลหิตมาทดลองว่าใช่กับดักหรือเปล่า ถ้าเป็นกับดักจริงๆ เมื่อเซี่ยโห้วท่ารู้ว่าบัวโลหิตอยู่ในมือเว่ยซูแล้ว จะต้องให้เว่ยซูส่งไปให้ทันทีแน่นอน…ตอนนี้เขาก็จะเรียกเว่ยซูไปหาเองแล้ว! 

…………………………

 

 รับทราบ! เชื่อฟังผู้ช่วยใหญ่ทั้งหมด!  หกขุนพลใหญ่รับปากพร้อมกันด้วยท่าทางจริงจัง มองไปที่หยางชิ่งด้วยสีหน้านับถือ ครั้งนี้นับว่าเต็มใจเชื่อฟังคำสั่งหยางชิ่งแล้ว

พูดตามตรงว่าหกคนไม่ค่อยรู้จักหยางชิ่งสักเท่าไหร่ ในปีนั้นที่หยางชิ่งไปแดนอเวจี หกคนนี้ก็ถูกเหมียวอี้พาออกจากแดนอเวจีมาคุมงานข้างนอกแล้ว ไม่ค่อยได้ติดต่อกลับหยางชิ่งเท่าไหร่ มีหลายเรื่องที่รู้เพราะติดต่อกับคนในแดนอเวจี แค่ได้ยินมาว่าคนๆ นี้ปรับให้หกลัทธิรวมกันได้ มีความสามารถและอุบายมากมายทีเดียว วันนี้นับว่าได้เห็นกับตาแล้วว่าเป็นความจริง

ถ้าไม่ใช่เพราะหยางชิ่งมองพิรุธออก แล้วทุกคนพุ่งเข้าชนแบบนี้ ก็ไม่อยากจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย คิดแล้วก็รู้สึกกลัวจนเหงื่อแตก

เรื่องมากมายล้วนเป็นอย่างนี้ การจะอธิบายให้ชัดเจนดูเหมือนเรียบง่าย แต่ก่อนจะอธิบายให้ชัดเจนได้ กลับไม่ใช่ทุกคนที่สามารถมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ระหว่างคนสองคนดูเหมือนแตกต่างกันไม่มาก แต่ความจริงแล้วมันกำลังแสดงออกว่าสมองของคนเราต่างกันมาก อย่างน้อยก่อนหน้านี้ทั้งหกคนก็มองพิรุธไม่ออก เกือบจะทำให้งานพังแล้ว

ตานฉิงชำเลืองเว่ยซูที่มีท่าทางค่อนข้างโง่เขลา อดไม่ได้ที่จะถามว่า  ผู้ช่วยใหญ่ใช้วิธีการอะไรถึงทำให้เขาว่านอนสอนง่ายได้ขณะนี้? 

หยางชิ่งยอมรู้ว่าตอนนี้ยังไม่สะดวกจะเปิดโปงวิธีการของเหยียนซิว จึงพูดปิดบังด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  ก็แค่ใช้ยามอมวิญญาณนิดหน่อยเท่านั้น 

พวกเขาสบตากันอวบหนึ่ง แล้วตานฉิงก็ถามอย่างแปลกใจ  ยามอมวิญญาณอะไรนั่นสามารถมอมนักพรตที่เคยขัดเกลาสามวิญญาณเจ็ดดวงจิตได้ด้วยเหรอ ผู้ช่วยใหญ่ให้ข้าสักหน่อยได้ไหม? 

หยางชิ่งเหล่ตามองเขาพร้อมถามเสียงเย็น  เจ้าต้องการจริงเหรอ? 

 เอ่อ…  ตานฉิงฟังออกว่าอีกฝ่ายมีน้ำเสียงไม่เป็นมิตร จึงตระหนักได้ทันทีว่าของบางอย่างไม่เอาไว้จะดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว โบกมือกล่าวปนเสียงหัวเราะทันที  ล้อเล่น ล้อเล่น ผู้ช่วยใหญ่อย่าเก็บมาใส่ใจเลย  จากนั้นก็หันไปพูดกับเหยียนซิวพร้อมชี้เว่ยซู  น้องชาย เจ้ารีบจัดการเขาสักหน่อย พวกเราจะได้เดินทางต่อสะดวก 

 ไม่ต้องรีบเดินทาง ยังต้องรออีกคน!  หยางชิ่งกล่าว

ตานฉิงกลอกตา ถามว่า  รอใคร? 

หยางชิ่งจ้องบนเข็มทิศดวงดาวพร้อมกล่าวเสียงต่ำ  ถ้าอยากจะจับเป็นโจรเฒ่าเซี่ยโห้ว จะง่ายเหมือนพูดเสียที่ไหนกัน ต่อให้เขาซ่อนตัวอีก แต่เป็นไปไม่ได้ที่ข้างกายจะขาดคน ถ้าทำอะไรวู่วาม ต่อให้จับตัวโจรเฒ่าได้ แต่ก็จะแหวกหญ้าให้งูตื่น ถ้าสะเทือนไปถึงสมาคมอาวุโส ความพยายามที่ผ่านมาก็จะสูญเปล่าแล้ว ต้องไปขอยืมคนจากราชาปราชญ์! 

ส่วนยืมใครนั้นเขาไม่ได้บอก แต่หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้

เหมียวอี้กำลังเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายอยู่ในศาลาที่จวนท่านอ๋อง พอรู้ว่าหยางชิ่งส่งข้อความมา ก็ไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย หยิบระฆังดาราออกมาถามทันที : เป็นยังไงบ้าง?

ตอนนี้เขากังวลจริงๆ ว่าจะเกิดความผิดพลาด

หยางชิ่งเราสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟังทันที เหมียวอี้ได้ฟังแล้วตกใจจนเหงื่อท่วมตัว เพิ่งจะรู้ว่าการตัดสินใจของตัวเองนั้นสะเพร่าเกินไป ถ้าเปลี่ยนให้คนที่อยู่ตรงนั้นเป็นตัวเอง เกรงว่าจะต้องติดกับดักจิ้งจอกเฒ่าเซี่ยโห้วแน่นอน ลองคิดดูสิว่าให้เหยียนซิวใช้พลังอภินิหารขุดความลับจากเว่ยซูมาแล้ว มีหรือที่จะสงสัยว่าเป็นเรื่องโกหก ถ้าเว่ยซูบอกว่าระหว่างทางไม่มีกับดัก ตัวเองจะต้องเชื่อแน่นอน จะต้องนำคนไปที่นั่นโดยตรงแล้ว ส่วนผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากคิดถึง!

 จิ้งจอกเฒ่าสับปลับเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะวางกับดักแบบนี้…  เหมียวอี้คิดแล้วอดไม่ได้ที่จะแอบด่า

แต่ก็ต้องนับถือในอุบายของเซี่ยโห้วท่าเช่นกัน ทั้งได้รับความเชื่อใจจากเว่ยซู ให้เว่ยซูขายชีวิตเพื่อตัวเอง ทั้งยังปกป้องตัวเองได้ด้วย ถามหน่อยว่าต่อให้เว่ยซูตกอยู่ในมือของคนอื่น เว่ยซูที่จงรักภักดีจะเปิดปากคายความลับได้อย่างไร ต่อให้ยอมเปิดปาก ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางปล่อยให้เว่ยซูจากไปคนเดียว จะต้องคุมตัวเว่ยซูไปแน่นอน การเคลื่อนไหวนี้จะต้องถูกเปิดโปงแน่นอน แต่ต่อให้เว่ยซูจะตกอยู่ในมือพระปีศาจหนานโป แม้แต่เว่ยซูเองก็ยังไม่รู้ว่ามีกับดัก แล้วเรื่องที่พระปีศาจใช้พลังอภินิหารของตัวเองขุดออกมา มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เชื่อล่ะ ขอแค่ไปก็จะถูกเปิดโปงทันที ถึงตอนนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าเซี่ยโห้วท่าจะวางกับดักแบบไหนรอพระปีศาจหนานโป พระปีศาจจะต้องถูกเซี่ยโห้วท่าเล่นงานจนถึงตายอีกรอบแน่นอน

เหมียวอี้ถึงขั้นสงสัย ว่าถ้าให้เซี่ยโห้วท่ารู้ทิศทางความเคลื่อนไหวของพระปีศาจเมื่อ ก็จะวางกับดักนี้แล้วรอให้พระปีศาจเข้าไปติดกับเอง

สรุปก็คือแผนนี้สมบูรณ์แบบจริงๆ ไม่ว่าเว่ยซูจะถูกควบคุมหรือไม่ ขอแค่กล้าไปหาเซี่ยโห้วท่า ก็จะถูกเซี่ยโห้วท่าจับสังเกตได้แล้ว จิ้งจอกเฒ่านี่น่าหวาดกลัวจริงๆ อย่างน้อยในสายตาเขา คนประเภทนี้ก็น่ากลัวกว่าพระปีศาจหนานโปตั้งเยอะ!

โชคดีที่หยางชิ่งก็ไม่ใช่เล่นๆ ไม่น่าเชื่อว่าหยางชิ่งจะมองพิรุธออก เหมียวอี้รู้สึกโชคดีที่ตัวเองส่งหยางชิ่งไป ไม่อย่างนั้นคงได้จบเห่แล้วจริงๆ แน่

เมื่อเห็นเซี่ยโห้วท่าวางแผนล้ำลึกมองการณ์ไกลขนาดนี้ ในปีนั้นตอนที่แกล้งตายก็ยังวางแผนนี้ไว้รับมือกับปัญหาในภายหลัง เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะถามอย่างกังวล : มั่นใจหรือเปล่าว่าจะจับเป็นโจรเฒ่าได้?

หยางชิ่ง : บอกได้เพียงว่าท่านอ๋องโชคดี ถ้าไม่มีพลังอภินิหารของเหยียนซิว แผนการนี้ของเซี่ยโห้วท่าก็เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ถ้าคิดจะจับเป็นเซี่ยโห้วท่าแล้วกำจัดสมาคมอาวุโส ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เมื่อมีพลังอภินิหารของเหยียนซิวแล้ว ก็พอจะมีโอกาสอยู่บ้าง แต่ก็ยังต้องขอยืมคนจากท่านอ๋องสักหน่อย ถึงจะมีโอกาสชนะมากกว่าเดิม

เหมียวอี้ : ขอยืมใคร?

หยางชิ่ง : จิ้งจอกพันหน้า! รอบกายเซี่ยโห้วท่าต้องมีคนแน่นอน ถ้าจะฝืนจับตัวเซี่ยโห้วท่าโดยตรงนั้นง่าย แต่ถ้าเคลื่อนไหวเมื่อไหร่ จะต้องสะเทือนถึงสมาคมอาวุโสแน่นอน เอามาไม่ได้แน่ อีกทั้งสถานที่นั้นก็ใหคือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นถ้าอยากจะจับเป็นเซี่ยโห้วท่า ก็ต้องเจอกับเซี่ยโห้วท่าแบบต่อหน้า ใช้วิธีพิเศษจับเขา ไม่อย่างนั้นต่อให้หาพบแล้ว แต่ก็ยากที่จะลงมือ นอกจากจิ้งจอกพันหน้าแล้ว ต้องให้ท่านอ๋องตามหาพิษพิเศษมาช่วย ทั้งสามารถควบคุมเซี่ยโห้วท่า แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้เซี่ยโห้วท่าต่าย

เหมียวอี้ : จิ้งจอกพันหน้ายังอยู่ที่แดนอเวจี เจ้าคิดจะให้จิ้งจอกพันหน้าแปลงร่างเป็นเว่ยซูเหรอ?

หยางชิ่ง : ใช่แล้ว!

เหมียวอี้ : ถ้าแค่เพราะเรื่องนี้ งั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปหาจิ้งจอกพันหน้าที่แดนอเวจีอีก ด้วยกําพืดของปีศาจตนนี้ เกรงว่าถ้าเห็นเซี่ยโห้วท่าแล้วคงตัวสั่น เผยพิรุธได้ง่าย…เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าจะส่งคนที่เหมาะสมคนอื่นไปให้ แต่พิษพิเศษที่เจ้าต้องการนี่สิ ในเวลาแบบนี้ ข้าจะหาพิษพิเศษเหมาะๆ จากไหนไปให้ ที่ข้าก็มีของประเภทเดียวกันอยู่ ‘ยาเทพเซียนล้ม’ ที่หลอมสร้างจากปราสาทดำเนินจันทร์ แต่ของสิ่งนี้มีข้อเสีย คือออกฤทธิ์ช้า ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะได้ผล ใช้ของสิ่งนี้ได้หรือเปล่า?

หยางชิ่ง : ถ้าเป็นพิษที่ปล่อยฤทธิ์ออกมาช้าๆ เกรงว่าคนที่ไปจะโดนเซี่ยโห้วท่าสอบถามจนเผยพิรุธ เซี่ยโห้วท่าคุ้นเคยกับเว่ยซูเกินไป ไม่ปลอดภัย! ถ้าในช่วงนี้หาของอื่นมาแทนไม่ได้ เกรงว่าจะต้องให้ท่านอ๋องหาของแบบเดียวกันมาใช้ร่วมกัน

เหมียวอี้ : อะไร?

หยางชิ่ง : บัวโลหิต!

เหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็กล่าวยังไม่ลังเลว่า : ได้! ข้าจะส่งคนให้นำของไปให้เจ้าเดี๋ยวนี้

ครั้งนี้ขอเพียงบรรลุเป้าหมาย ต่อให้ต้องเสียสละบัวโลหิตต้นนี้ก็ไม่เสียดาย

เมื่อติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็ใช้ระฆังดาราติดต่อไปที่ไหนสักแห่งอีกพักหนึ่ง หลังจากเก็บระฆังดารา ก็ค้นหาของในกำไลเก็บสมบัติ สุดท้ายก็หยิบขวดใบเล็กออกมาสองใบ สีดำใบหนึ่งสีขาวใบหนึ่ง สีดำคือยาพิษ สีขาวคือยาถอนพิษ นี่ก็คือยาเทพเซียนล้ม ของสิ่งนี้สวีถังหรานหามาได้ในปีก่อนๆ ใช้ยานี้กับคนกลุ่มใหญ่ที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทอย่างแนบเนียน นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้ยังมีประโยชน์อีก

จากนั้นก็หยิบแหวนเก็บสมบัติออกมาอีกวง ตรวจดูบัวโลหิตที่อยู่ข้างใน ยาเทพเซียนล้มก็อยู่ข้างในเช่นกัน หันตัวไปยื่นให้หยางเจาชิงพร้อมบอกว่า  ของนี้ไม่สะดวกจะให้อยู่ในมือคนอื่น หยางชิ่งกำลังอยู่ระหว่างทาง เจ้าไปด้วยตัวเองสักรอบ ต้องส่งให้ถึงมือเขา อย่าให้ผิดพลาด! 

ทำเอาต้องเทียวไปเทียวมา เหมียวอี้รู้ว่าเรื่องนี้โทษหยางชิ่งไม่ได้ เป็นเขาเองที่ปิดบังหยางชิ่งไว้ก่อนหน้านี้ หยางชิ่งเพิ่งได้รับคำสั่งเมื่อเรื่องจวนตัว ก่อนหน้านี้ไม่ได้เตรียมตัวสักนิดเลย ตอนนี้เกิดปัญหาขึ้นก็ย่อมต้องแก้ไข

 ขอรับ!  หยางเจาชิงรับของมาแล้วรีบออกไป

ระหว่างตึกศาลาเหลือเหมียวอี้อยู่เพียงคนเดียว เขาพิงระเบียงและทอดสายตามองไปไกล ถอนหายใจเบาๆ หวังว่านิสัยรอบคอบระมัดระวังและคิดคำนวณจุดน่าสงสัยซ้ำแล้วซ้ำอีกของหยางชิ่งจะทำให้บรรลุเป้าหมายในครั้งนี้ ไม่อย่างนั้นครั้งนี้ก็จะเกิดปัญหาใหญ่แล้ว

ส่วนอวิ๋นจือชิวที่อยู่ในห้องนอนของเฟยหง แม้ภายนอกจะยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นกันเอง แต่กลับสงบจิตใจได้ยาก เป็นเพราะครั้งนี้เหมียวอี้เล่นใหญ่เกินไปจริงๆ เป้าหมายที่จะลงมือคือเซี่ยโห้วท่า พระปีศาจหนานโปกับประมุขปราชญ์หกลัทธิล้วนให้แผลด้วยน้ำมือคนผู้นี้ ประมุขไป๋กับประมุขปีศาจตกอยู่ในความลำบากก็ไม่พ้นเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้ เป็นตัวละครที่คอยควบคุมใต้หล้าอยู่หลังม่านมาหลายยุค แม้แต่อำนาจของประมุขชิงกับประมุขพุทธะ ยามเผชิญหน้ากับเขาก็ยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ถ้าคิดจะสู้กับคนประเภทนี้ จะไม่ให้อวิ๋นจือชิวไม่กังวลได้อย่างไร…

ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน หยางเจาชิงสามารถไล่ตามหยางชิ่งได้อย่างราบรื่น โชคดีที่หยางชิ่งหยุดรอได้ทันเวลา หลังจากรับส่งของและติดต่อเหมียวอี้ได้เรียบร้อยแล้ว หยางเจาชิงก็รีบกลับมา

ส่วนหยางชิ่งก็ยังไม่รีบออกเดินทาง เพราะคนที่เหมียวอี้ส่งมายังมาไม่ถึง

หลังจากหยางเจาชิงออกไปได้สองชั่วยาม ถึงได้มียายแก่คนหนึ่งมาถึงอย่างเชื่องช้า มาเหยียบลงบนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง มาพบกับเฮยทั่นแล้ว

หลังจากทั้งสองยืนยันตัวตนผ่านเหมียวอี้แล้ว เฮยทั่นถึงได้เก็บยายแก่คนนี้เอาไว้ เมื่อได้รับแจ้งจากหยางชิ่งแล้วถึงได้ออกเดินทางต่อ

ยายแก่คนนี้จะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่ไป๋เฟิ่งหวง

พอไป๋เฟิ่งหวงเข้ามาในกระเป๋าสัตว์ สีหน้าไม่พอใจก็นิ่งค้างทันที เมื่อเห็นขุนพลใหญ่หกลัทธิ ก็กล่าวอย่างตกตะลึง  เหลิ่งจัวฉุน อู๋กุย จ่างหง อ๋าวเถี่ย ตานฉิง เมิ่งหรู พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?  นางยังไม่รู้ว่าเหมียวอี้ให้นางมาทำอะไร

พวกเขามองสำรวจยายแก่คนนี้ด้วยความสงสัยว่าเป็นใคร ไม่น่าเชื่อว่าราชาปราชญ์จะให้คนแปลกหน้ามาเจอกับพวกเขา พอเห็นนางแวบเดียวก็ตะโกนชื่อของทุกคนออกมาแล้ว หกขุนพลมองหน้ากันเลิกลั่ก ในดวงตาของทุกคนฉายแววตั้งคำถามว่า เจ้ารู้จักเหรอ?

ตานฉิงเอามือเกาหน้าผาก แล้วถามอย่างสงสัย  ยายแก่ เจ้าเป็นใครกัน? 

ไป๋เฟิ่งหวงทำเหมือนไม่ได้ยิน จ้องเว่ยซูอย่างตะลึงงัน หลังจากสังเกตได้ว่าเว่ยซูถูกคนพวกนี้ควบคุม ก็ทานถามว่า  เว่ยซู? พวกเจ้ากล้าจับแม้กระทั่งเขาเหรอ? พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?  นางเริ่มกลัวแล้ว ตระหนักได้ว่าครั้งนี้เรียกตนมาไม่ใช่เรื่องดีอะไร

หยางชิ่งก็รู้สึกประหลาดใจกับยายแก่คนนี้เช่นกัน แต่ในเมื่อเหมียวอี้ไม่เปิดเผยตัวตนของคนคนนี้ เขาเองก็สำนึกได้ว่าไม่ควรไปสืบถาม แต่เหมียวอี้บอกมาว่าให้เรียกใช้งานได้เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจ

หยางชิ่งชี้ไปที่เว่ยซู  เจ้าลองเปลี่ยนร่างเป็นเขาดูหน่อย 

 มีสิทธิ์อะไร?  ไป๋เฟิ่งหวงเถียงทันที แต่สุดท้ายก็ยังเปลี่ยนร่าง ชั่วพริบตาเดียวหน้าตาก็กลายเป็นเหมือนเว่ยซูทุกอย่างแล้ว

หยางชิ่งเดินอ้อมตัวนางเพื่อเปรียบเทียบกับเว่ยซูครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ

 เจ้า…  ตานฉิงพลันยกมือขึ้นมา เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ชี้ไป๋เฟิ่งหวงพร้อมกล่าวอย่างตกใจ  เจ้าคือไป๋เฟิ่งหวง สาวใช้ข้างกายประมุขปีศาจใช่มั้ย? 

อีกห้าคนเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน คนที่มีพลังอภินิหารอย่างนี้ได้ ทั้งยังเห็นพวกเขาปราดเดียวแล้วจำได้ คาดว่าคงจะเป็นปีศาจตนนั้น

หยางชิ่งชำเลืองไป๋เฟิ่งหวงพลางครุ่นคิด มิน่าล่ะเหมียวอี้ถึงบอกว่าเป็นคนที่เหมาะสมกว่า อาศัยที่นางอยู่ต่อหน้าขุนพลใหญ่หกลัทธิแล้วไม่แยแสอะไร สุขุมใจเย็นกว่าให้จิ้งจอกพันหน้าเผชิญหน้ากับเซี่ยโห้วท่าจริงๆ

 พวกตาบอด  ไป๋เฟิ่งหวงเหยียดหยาม จากนั้นตบแผนที่ดาวพร้อมพูดกับหยางชิ่งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด  มีอะไรก็รีบพูดมา จะให้แม่ทำอะไรกันแน่? 

 ขอให้เจ้าไปพบกับเซี่ยโห้วท่าสักครั้ง  หยางชิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ

 เซี่ยโห้วท่า?  ไป๋เฟิ่งหวงถามอย่างงุนงง  ล้อข้าเล่นเหรอ? จิ้งจอกเฒ่านั่นตายไปแล้วไม่ใช่รึไง? 

 ยังไม่ตาย เขาแกล้งตาย…  หยางชิ่งเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟังทันที ไม่สามารถปิดบังนางได้ ต้องให้นางรู้สถานการณ์ให้ชัดเจนถึงจะรับมือได้

ทว่าหลังจากไป๋เฟิ่งหวงฟังจบว่าจะให้ตัวเองทำเรื่องนี้ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เบิดตากว้างอ้าปากค้างอยู่นาน จานกั้นก็ลุกลี้ลุกลนโบกมือ  ข้าไม่ไป! พวกเจ้าล้อเล่นอะไรกัน จิ้งจอกเฒ่านั่นเป็นปีศาจเฒ่าที่น่ากลัวที่สุดในใต้หล้า ขนาดพระปีศาจยังถูกเขาล้ม จะให้ข้าไปเล่นลูกไม้ต่อหน้าเขาเนี่ยนะ ถ้าเทียบกันแล้วข้าเป็นรุ่นเล็กไปเลย ไม่พอยัดซอกฟันเขาด้วยซ้ำ พวกเจ้าเปลี่ยนให้คนอื่นทำเถอะ ข้าไม่เล่นแล้ว ให้ข้าออกไป!  แม้แต่สายตาก็ยังแสดงความหวาดกลัว

……………

 

รอจนกระทั่งได้ข่าวพวกหยางชิ่งออกเดินทางอย่างลับๆ แล้ว เหมียวอี้ก็กำชับหยางเจาชิงว่า  จับตาดูให้เข้มงวดว่าในจวนมีความเคลื่อนไหวผิดปกติอะไรหรือเปล่า 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วเตือนอีกว่า  ทางด้านหวังเฟยยังถูกควบคุมอยู่ขอรับ 

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ที่ควบคุมทางนั้นไว้ ประการแรกเป็นเพราะไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวเข้ามาแทรกแซงและห้ามเขา ประการต่อมาก็เพื่อปกป้องพวกอวิ๋นจือชิว ป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดอะไรตอนลงมือกับเว่ยซู หลังจากนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก็บอกว่า  ควบคุมต่อไป ในลานบ้านนั้นไม่ว่าใครก็ห้ามติดต่อกับภายนอก รอให้ฝั่งหยางชิ่งได้ผลลัพธ์ก่อนแลวค่อยว่ากัน 

ไหนๆ ก็ทำเรื่องนี้ไปแล้ว ตอนนี้ไม่สะดวกจะเลิกควบคุม เป็นเพราะฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วลึกล้ำจนทำให้สืบไม่เจอความจริง เขาลองคนึกถึงฝั่งฮ่าวเต๋อฟาง ขนาดลูกน้องคนสนิทยังมีโอกาสเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วเลย ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ารับประกันว่าในลานบ้านนั้นจะไม่มีสายลับของตระกูลเซี่ยโห้ว ถ้ามีสายลับของตระกูลเซี่ยโห้วอยู่จริง หลังจากตระกูลเซี่ยโห้วรู้ว่าเว่ยซูมาที่นี่แล้วทางนี้มีความเคลื่อนไหวผิดปกติ ก็จะทำให้คนสงสัยได้ง่ายมาก ยามเผชิญหน้ากับคนอย่างเซี่ยโห้วท่า เขาไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย ไม่กล้าแหวกหญ้าให้งูตื่นเลย

 ถ้าไม่ให้คำชี้แจงกับฝั่งหวังเฟยสักที เกรงว่า…  หยางเจาชิงกล่าว

 ข้าจะไปดูสักหน่อย  เหมียวอี้กล่าว

พูดจบก็ออกจากโถงหลัก มุ่งหน้าไปที่เขตลานบ้านของเฟยหง

ตอนนี้ด้านนอกเขตลานบ้านของเฟยหงมองเบาะแสอะไรไม่ออก ภายนอกผ่อนคลายภายในตึงเครียด ต้องเข้าไปข้างในถึงจะค้นพบความผิดปกติ

เหมียวอี้เข้ามาก็ย่อมไม่มีใครขัดขวาง เดินตรงเข้ามาในห้องนอนของเฟยหงที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด

พอเขาเข้ามาแล้ว ทหารในห้องก็ไม่ขยับไปไหน ยังคงล้อมคนในห้องเอาไว้เหมือนเดิม ส่วนผู้หญิงในห้องก็ลุกขึ้นทันที ได้แต่มองเขาตาปริบๆ อวิ๋นจือชิวหน้าตึง สวีถังหรานที่ยืนด้านข้างยิ้มเจื่อน

 เจ้าออกมานี่หน่อย  เหมียวอี้บอกอวิ๋นจือชิว แล้วหันหน้าเดินออกไป

อวิ๋นจือชิวถลึงตาจ้องสวีถังหรานทีหนึ่ง แล้วถึงเดินก้าวยาวออกไป ตอนนี้ย่อมไม่มีใครขวางนางได้ ทำเอาสวีถังหรานต้องพยักหน้าโค้งกายด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ต้องรับบทเป็นคนเลว

สามีภรรยาเดินตามกันออกมาถึงศาลาที่ลับตาคนหลังหนึ่ง อวิ๋นจือชิวเตะน่องเหมียวอี้ไปทีเดียว  หนิวเอ้อร์ หมายความว่ายังไง? 

 เซี่ยโห้วท่ายังไม่ตาย…  เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ อย่างใจเย็น

อวิ๋นจือชิวได้ฟังแล้วอกสั่นขวัญแขวน ตกตะลึงอ้าปากค้างไปพักใหญ่ สุดท้ายก็กดเสียงต่ำถามว่า  เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ? เรื่องที่ไม่มีความมั่นใจแบบนี้ แต่เจ้าก็ยังทำงั้นเหรอ? เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้ากำลังทำอะไร? เจ้ากำลังเอารากฐานของทั้งทัพใต้ไปเดิมพันนะ ถ้าพลาดขึ้นมา เจ้ารู้ถึงผลที่จะตามมาหรือเปล่า? 

 หลังจากเรื่องพระปีศาจผ่านไปแล้ว ข้าไม่คิดว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะปล่อยข้าไป ช้าเร็วเฉาหม่านก็ต้องลงมือกับข้า ถ้าจะรอให้เขาลงมือ ไม่สู้ข้าชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ!  เหมียวอี้กล่าว

อวิ๋นจือชิวพยักหน้าอย่างปวดใจ  เฉาหม่านจะแตะต้องเจ้าก็เป็นเรื่องในภายหลัง อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสวางแผนให้ดี เจ้าต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายแบบนี้มันใช่เรื่องเสียที่ไหน? ท่านอ๋องของข้า ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องการต่อสู้เล็กๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เจ้าแพ้ไม่ไหวหรอก! 

 จะให้ข้าออกคำสั่งหยุดมือตอนนี้เลยไหมล่ะ?  เหมียวอี้ยิ้มหยอกล้อ

 เจ้า…  อวิ๋นจือชิวถูกเขายั่วโมโหจนไม่รู้จะพูดอะไรดี ตอนนี้ยังหยุดได้ที่ไหนกันล่ะ ลูกธนูที่ยิงออกไปแล้วไม่มีทางเก็บกลับมาได้อีก หยุดมือตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ขณะที่นางโมโหจนกระทืบเท้า ก็ยื่นมือไปหยิกเอวเขาอย่างแรงหนึ่งที แต่ก็เข้าใจแล้วว่าตอนนี้เขากักบริเวณทุกคนไว้หมายความว่าอะไร แต่อดไม่ได้ที่จะถามอย่างหมั่นไส้ว่า  แม้แต่ข้า เจ้าก็ไม่เชื่อใจงั้นเหรอ? 

เหมียวอี้ส่ายหน้าบอกว่า  เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว ถ้าตอนนี้ข้าปล่อยเจ้าออกไป แต่ไม่ปล่อยพวกนาง พวกนางจะคิดยังไงล่ะ? เจ้าอยู่ที่นี่จะได้ปลอบโยนพวกนางได้ เรื่องนี้อย่างช้าๆ ก็อีกหลายวันกว่าจะจบ ลำบากฮูหยินแล้ว 

 ไอ้เวรเอ๊ย!  อวิ๋นจือชิวเตะขาเขาอีกที แต่ก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ตอนนี้ก็ทำได้เพียงเท่านี้แล้ว

ในดาราจักรเวิ้งว้างกว้างใหญ่ เฮยทั่นเร่งเหาะอยู่เพียงลำพัง เหาะไปตามจุดที่หยางชิ่งบอก

กำลังพลส่วนใหญ่ที่ซ่อนไว้อยู่บนตัวเฮยทั่น คนที่ระบุให้เฮยทั่นเป็นพาหนะก็คือหยางชิ่งเช่นกัน ไม่ใช้ชิงเยว่ และไม่ได้ใช้คนของหกลัทธิ ภายใต้สถานการณ์ที่ออกไปข้างนอกแล้วไร้คนจับตาดู ในเวลานี้เขายอมเลือกคนที่เหมียวอี้เชื่อใจ ทุกครั้งที่ผ่านประตูดวงดาว หยางชิ่งก็จะให้คนที่สามารถผ่อนผันได้พาทุกคนผ่านด่านไป

และในกระเป๋าสัตว์ที่อยู่บนตัวเฮยทั่นตอนนี้ หยางชิ่งยืนอยู่ตรงหน้าแผนที่ดาว สายตาจับจ้องแผนที่ดาวฉบับหนึ่ง ขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด ที่ยืนอยู่ข้างกันก็คือเหลิ่งจัวฉุนและบรรดาขุนพลใหญ่หกลัทธิ ขุนพลใหญ่หกลัทธิย่อมรู้จักเขา มายืนดูแผนที่ดาวเป็นเพื่อนคู่หนึ่งเช่นกัน แต่มองเบาะแสอะไรไม่ออก ไม่รู้ด้วยว่าหยางชิ่งจะจ้องไม่รับสายตาอย่างนั้นไปทำไม แต่ละคนเริ่มอดทนไม่ไหว ตานฉิงจึงพูดหยอกว่า  ผู้ช่วยใหญ่ เจ้ามองแผนที่ดาวจนมันแทบจะมีดอกไม้บานออกมาอยู่แล้ว 

หยางชิ่งไม่พูดอะไร ตอนนี้เขารู้สึกหนักใจมาก ไม่มีอารมณ์มาล้อเล่น ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยโห้วลิ่ง เฉาหม่านหรือว่าเว่ยซู ก็ไม่มีใครรู้ถึงสถานการณ์ของสมาคมอาวุโสเลย เช่นนั้นเซี่ยโห้วท่าก็กลายเป็นเบาะแสเดียวแล้ว ถ้าอยากกำจัดสมาคมอาวุโสก็ต้องจับตัวเซี่ยโห้วท่าให้ได้ หมายความว่าต้องจับเป็นด้วย ถ้าเซี่ยโห้วท่าตายไป ก็จะตัดเบาะแสของสมาคมอาวุโส ขณะเดียวกันก็อาจจะแหวกหญ้าให้งูตื่นได้ ถ้าปล่อยให้สมาคมอาวุโสแอบหนีไปเงียบๆ เกรงว่าสมาคมลับต่างๆของตระกูลเซี่ยโห้วก็คงจะหนีไปตามสายลมเช่นกัน ต่อให้สมาคมลับต่างๆของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ซ่อนตัว ต่อให้ถูกท่านอ๋องทำลายไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี เพราะอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วกระจายอยู่ในที่ลับที่ลึกมาก ถ้าอาศัยกำลังทหารก็ไม่มีทางขุดรากถอนโคนได้เลย ต่อให้มีกำลังทหารเข้มแข็งกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วมีผู้ควบคุมสถานการณ์ออกมาดึงแหอีกครั้ง อำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วก็จะฟื้นกลับมาทำงานอีกครั้ง ผลที่ตามมาหลังจากนั้นไม่ใช่สิ่งที่ฝั่งนี้จะรับไหว

หรือพูดได้อีกอย่างว่า จะต้องจับตัวเซี่ยโห้วท่าแบบเป็นๆ ทั้งยังต้องทำอย่างแนบเนียนด้วย อย่าให้สะเทือนถึงใครก็ตามในตระกูลเซี่ยโห้ว แค่คิดก็รู้ถึงระดับความยากแล้ว

ในเวลาแบบนี้ เหมียวอี้สามารถส่งหยางชิ่งออกมาได้ ให้อำนาจทางทหารมากขนาดนี้กับหยางชิ่ง ถึงขั้นให้อำนาจเขายอมสละชีวิตกำลังพลพวกนี้ได้ตามอำเภอใจ จะเห็นได้ว่าฝากความหวังไว้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน หยางชิ่งกดดันไม่ใช่ในน้อยๆ!

หลังจากนั้นไม่นาน หยางชิ่งก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติในกระเป๋าสัตว์ จึงโบกมือเรียกเหยียนซิวออกมา

พอเหยียนซิวโผล่หน้าออกมา ก็รายงานทันทีว่า  ท่านบุรุษ ทำให้ฝั่งเฉาหม่านสงบได้แล้ว 

หยางชิ่งย้ายสายตาออกจากแผนที่ดาว แล้วถามช้าๆ ว่า  เฉาหม่านไม่ได้พูดอะไรเหรอ? 

เหยียนซิวตอบว่า  เฉาหม่านกำชับแค่ประโยคเดียว ให้เว่ยซูรีบกลับไปให้เร็วที่สุด 

หยางชิ่งพยักหน้าเบาๆ แล้วโบกมือเรียกเว่ยซูออกมาอีก ชี้ไปยังจุดที่ทำเครื่องหมายเอาไว้จำนวนมากของอาณาเขตดาวนิรนามบนแผนที่ดาว ถามว่า  ทุกครั้งที่เจ้าไปพบเซี่ยโห้วท่า จะต้องผ่านบริเวณที่มีหินระเกะระกะพวกนี้ตลอดเลยเหรอ? 

เหยียนซิวรู้ว่าคนที่เขาถามก็คือเว่ยซู จึงใช้มือข้างหนึ่งแต่บนบ่าเว่ยซู จากนั้นเว่ยซูก็ตอบอย่างเชื่องช้าว่า  ใช่แล้ว 

 ทำไมต้องไปบริเวณที่ซับซ้อนแบบนี้ หรือว่าไปที่อื่นแล้วอ้อมไกล?  หยางชิ่งถามอีก

 ไม่รู้ว่าอ้อมทางหรือเปล่า ตำแหน่งตรงบริเวณที่มีหินระเกะระกะเท่ากับเครื่องหมายบอกทิศทางไป มีแต่ต้องไปตามทิศทางนี้เท่านั้น ถึงจะหาพิกัดบอกทิศทางต่อไปได้  เว่ยซูตอบ

 ทุกครั้งที่เจ้าไปพบเซี่ยโห้วท่า จะต้องติดต่อกับเขาล่วงหน้าก่อนไหม?  หยางชิ่งถาม

 ใช่แล้ว นายท่านบอกว่าถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามไปพบเขา  เว่ยซูตอบ

หยางชิ่งหันขวับไปบอกเหยียนซิว  บอกเฮยทั่น อย่าเพิ่งรีบเดินทาง หาที่พักก่อน 

ตานฉิงที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้ว  ผู้ช่วยใหญ่ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เสียเวลาไม่ได้แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพักผ่อน 

หยางชิ่งกลับพยักหน้าไปทางเว่ยซู  รักษาบาดแผลให้เขาก่อน จัดการภายนอกของเขาให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไม่อย่างนั้นเกรงว่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ทำให้เซี่ยโห้วท่าหนีไปตั้งแต่ตอนพวกเรายังเข้าไม่ถึงอาณาเขตดาวนิรนามด้วยซ้ำ 

ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เหลิ่งจัวฉุนถามว่า  เพราะอะไร? 

หยางชิ่งถามกลับ  พวกเจ้าไม่รู้สึกแปลกเหรอ? เซี่ยโห้วท่าเป็นใครกัน เขาจะเอาความปลอดภัยของตัวเองไปไว้ในมือใครบางคนได้ยังไง จิ้งจอกเฒ่าอยู่มานานได้ขนาดนี้ จะต้องระวังตัวมากแน่นอน ต่อให้เว่ยซูจะเป็นคนที่เขาเชื่อใจที่สุด แต่โดยส่วนตัวข้าคิดว่า คนอย่างเซี่ยโห้วท่าไม่น่าจะฝากชีวิตของทุกคนในตระกูลไว้กับเว่ยซูคนเดียว ต้องรู้เอาไว้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนทั้งตระกูลเซี่ยโห้ว ในทางกลับกัน เว่ยซูกลับเป็นเพียงคนนอกเพียงคนเดียวที่รู้ที่ซ่อนตัวของเขา และเป็นคนเดียวที่รู้ทาง ดังนั้นการที่เว่ยซูสามารถพบเขาได้ทุกครั้ง ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นความเชื่อใจที่เขามีต่อเว่ยซูแล้ว 

พวกเขาเหมือนจะฟังเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ อ๋าวเถี่ยจึงบอกว่า  ผู้ช่วยใหญ่ คำพูดของท่านดูเหมือนจะขัดแย้งในตัวเองนิดหน่อยนะ 

หยางชิ่งบอกว่า  ไม่ใช่ขัดแย้งในตัวเอง แต่เป็นกับดัก มีความเป็นไปได้สูงว่าโจรเฒ่าเซี่ยโห้วจะใช้ประโยชน์จากเว่ยซูเพื่อวางกับดัก! 

กับดัก? พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง จ่างหงถามว่า  ผู้ช่วยใหญ่พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? 

 อย่างน้อยในสายตาเว่ยซู นี่ก็คือความเชื่อใจแท้จริงที่เซี่ยโห้วท่ามีต่อเขา เพราะเหตุนี้ต่อให้เว่ยซูโดนพระปีศาจหนานโปควบคุม ไม่ว่าใครจะง้างปากเว่ยซูได้ ก็จะไม่สงสัยว่ามันเป็นเรื่องโกหก เช่นนั้นเว่ยซูก็กลายเป็นแนวป้องกันเส้นสุดท้ายของโจรเฒ่าเซี่ยโห้วแล้ว กลายเป็นหนวดสัมผัสอันตรายของโจรเฒ่าเซี่ยโห้ว คอยสัมผัสวิกฤตคอขาดบาดตายที่มาเยือนตระกูลเซี่ยโห้ว  น้ำเสียงหยางชิ่งค่อนข้างหนักใจ ชี้อาณาเขตดาวที่มีหินระเกะระกะบนแผนที่ดาว  ถ้าการคาดคะเนก่อนหน้านี้ไม่ผิดพลาด สมมุติว่าเว่ยซูคือกับดักที่โจรเฒ่าเซี่ยโห้ววางไว้จริงๆ ทุกคนลองคิดย้อนกลับไปสิ อาณาเขตดาวที่มีหินระเกะระกะนี้น่าสงสัยมาก เพราะนี่คือจุดที่เว่ยซูต้องผ่านทุกครั้งที่มาพบเซี่ยโห้วท่า!  เขาใช้นิ้วจิ้มเน้นลงไปที่ตำแหน่งนั้น

ทุกคนตระหนักได้ในฉับพลัน พากันตกใจไม่หยุด อ๋าวเถี่ยถามเสียงต่ำว่า  ผู้ช่วยใหญ่กำลังจะบอกว่า อาณาเขตดาวที่มีหินระเกะระกะนี้มีสายลับของเซี่ยโห้วท่าอยู่เหรอ? 

หยางชิ่งกล่าวช้าๆ ว่า  เป็นเพียงการคาดเดา แต่ด้วยความเจ้าเล่ห์ของโจรเฒ่าเซี่ยโห้ว สิ่งนี้มีความเป็นไปได้มาก! ถ้าเดาถูก สถานที่ที่คนเข้าถึงยากแบบนี้มีแต่เว่ยซูเข้าไปได้คนเดียว ถ้าเปลี่ยนให้มีคนอื่นผ่านมา หรือมีคนจำนวนมากผ่านไปพร้อมกับเว่ยซู ต่อให้เว่ยซูจะดูปกติ แต่ฝั่งฝั่งเซี่ยโห้วท่าจะต้องสังเกตได้ทันที ต่อให้เว่ยซูมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว แต่ก็อาจไม่ได้พบเซี่ยโห้วท่าอยู่ดี ถ้าเว่ยซูไม่บอกเซี่ยโห้วท่าล่วงหน้ ถือวิสาสะเข้าไปเอง ก็คงไม่ได้พบเซี่ยโห้วท่าเหมือนเดิม ถ้าเป็นอย่างนี้ แล้วพวกเราบุ่มบ่ามบุกเข้าไป จะต้องแหวกหญ้าให้งูตื่นจนเซี่ยโห้วท่าหนีไปแน่นอน! 

พวกเขาคุณคิดเงียบๆ ตานฉิงพึมพำว่า  จิ้งจอกเฒ่านี่ช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ ถ้าวางสายลับไว้ตลอดทาง เกรงว่าพวกเราคงโผล่หน้าออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ 

หยางชิ่งส่ายหน้า  เป็นไปไม่ได้ที่จะวางสายลับไว้ตลอดทาง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ กลับไม่ปลอดภัยต่อตัวเขาเอง ถ้าคนรู้ที่ซ่อนของเขาเยอะเกินไป ก็เท่ากับเปิดโปร่งที่ซ่อนของเขาแล้ว ไม่สะดวกให้เขาควบคุมแล้ว ยิ่งมีคนรู้เส้นทางน้อย เขาถึงจะยิ่งปลอดภัย ตามหลักแล้วถ้ามีระฆังดาราติดต่อกัน แม้แต่เว่ยซูก็อย่าให้รู้ถึงจะปลอดภัยที่สุด เพราะคาดการณ์ย้อนกลับไปแบบนี้ ข้าก็ยิ่งมีเหตุผลให้สงสัยว่าเว่ยซูคือกับดักที่โจรเฒ่าวางไว้ เป็นจุดอ่อนที่เขาจงใจทิ้งไว้ให้คนอื่นจับได้เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด! ดังนั้นจุดเริ่มต้นและจุดหมายที่จะไปอาณาเขตดาวนิรนาม ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปลายทางจะต้องระวังมากขึ้นหลายเท่า แน่นอน เพื่อป้องกันความผิดพลาด ก็ต้องป้องกันว่าเขาอาจจะวางสายลับไว้ตลอดทางเช่นกัน…ทุกคน พวกเราแพ้ไม่ได้ มีแต่ต้องชนะเท่านั้น ห้ามล้มเหลว ต้องรอบคอบระมัดระวังกว่านี้ อย่าไปคิดว่าง้างปากเว่ยซูได้แล้วจะตามจับโจรเฒ่าได้อย่างราบรื่นเด็ดขาด! 

………………………

 

ทั้งหกคนต่างก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เมื่อฝั่งนี้แตะต้องเว่ยซูก็เท่ากับไม่มีทางถอยแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเซี่ยโห้วท่าจะยังมีชีวิตอยู่ โจรเฒ่าเซี่ยโห้วนั่นไม่ใช่ไก่อ่อน ถ้าจับตัวโจรเฒ่าไม่ได้แล้วโดนล้างแค้น ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงจนไม่อยากคิดถึงจริงๆ

ขณะเดียวทั้งทั้งหกก็ตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะนี่คือการลงมือกับเซี่ยโห้วท่า!

ทั้งหกรีบถลันตัวไปเก็บกำลังพลของตัวเอง

ส่วนเหมียวอี้ก็ค่อนข้างเครียดเหมือนกัน หากรู้ตั้งแต่แรกว่าเซี่ยโห้วท่ายังมีชีวิตอยู่ เขาก็อาจไม่กล้าแตะต้องเว่ยซู ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เขาไม่กลัวพวกเฉาหม่าน แต่ถ้าเป็นเซี่ยโห้วท่านั้นก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะอีกฝ่ายเจ้าเล่ห์แผนสูง เป็นคนที่โค่นล้มและอุ้มชูประมุขมาหลายยุค ในใต้หล้านี้มีใครบ้างที่ไม่หวาดกลัว ใครจะกล้าไปหาเรื่องง่ายๆ ล่ะ? การแตะต้องเว่ยซูครั้งนี้กลายเป็นการถอนฟันในปากเสือแล้ว ล้ำเส้นตระกูลเซี่ยโห้วอย่างร้ายแรง ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้วจริงๆ ถ้าจับตัวเซี่ยโห้วท่าไม่ได้ก็จะยุ่งยากใหญ่แล้ว คนที่สามารถควบคุมและบัญชาการอำนาจตระกูลเซี่ยโห้วได้เหมือนชี้นิ้ว สามารถโค่นล้มเหมียวอี้ได้ง่ายจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้เขาต้องกัดเซี่ยโห้วท่าไม่ปล่อย ไม่อย่างนั้นก็เป็นเหมือนที่เว่ยซูประกาศก่อนหน้านี้ วันตายของเจ้ามาถึงแล้ว!

 เหยียนซิว เรื่องนำทางและหาคนเป็นหน้าที่เจ้าแล้วกัน!  เหมียวอี้จ้องเหยียนซิวพลางกล่าวเสียงต่ำ

 ขอรับ!  เหยียนซิวพยักหน้า ใบหน้านิ่งเฉยเหมือนคนตายฉายแววตึงเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเองก็รู้เช่นกันว่าเรื่องในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าปล่อยให้เซี่ยโห้วท่าหนีไป รากฐานที่ฝั่งนี้สร้างขึ้นมาอย่างลำบากลำบนหลายปีก็จะสูญเปล่าในรวดเดียวแล้ว

เหมียวอี้ลอยตัวขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง จ้องมังกรดำพร้อมกล่าวว่า  เฮยทั่น ครั้งนี้เจ้าติดตามอยู่ข้างกายเหยียนซิว ปกป้องอยู่ข้างกายเหยียนซิวไม่ให้ห่างแม้แต่ก้าวเดียว 

มังกรดำร่างสั่นแวบหายไป หดเล็กลงกลายเป็นเฮยทั่นในร่างคน กุมหมัดคารวะอย่างตื่นเต้นดีใจว่า  ขอรับ!  กำลังจะได้ต่อสู้อีกแล้ว

เมื่อเห็นเขาทำท่าทางตื่นเต้นดีใจ เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าเครียดขรึมทันที เตือนอย่างเข้มงวดว่า  ครั้งนี้เจ้าต้องฟังคำบัญชาการของเหยียนซิวทุกอย่าง ถ้ากล้าตฝ่าฝืนคำสั่งแล้วทำซี้ซั้ว ฆ่าไม่ละเว้นแน่! 

เฮยทั่นทำหน้าราวกับโดนตะคริวกิน ความตื่นเต้นดีใจเหี่ยวแห้งลงในชั่วพริบตาเดียว ยิ้มแห้งพร้อมตอบว่า  ขอรับ! 

กำลังพลหกลัทธิเก็บคนเข้าประเป๋าสัตว์ หลังจากเก็บทั้งหมดไว้บนตัวเหยียนซิวแล้ว เหมียวอี้ก็โบกมือเปิดทางออก คนไม่กี่คนรีบเหาะออกมา เดินออกจากทางเชื่อม แล้วเร่งฝีเท้าเดินมาถึงโถงหลัก

ในโถงหลัก หยางชิ่งมาถึงแล้ว กำลังเดินไปเดินมารออยู่ในโถง ไม่รู้ว่าเหมียวอี้เรียกตนมาด้วยธุระอะไร

รอจนกระทั่งพวกเหมียวอี้รีบเดินเข้ามา จากสีหน้าและความเร็วที่ทุกคนเดินมา หยางชิ่งก็สังเกตได้แล้วว่าอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็ยังกุมหมัดคารวะก่อน  ท่านอ๋อง! 

เหมียวอี้ไม่เปลืองคำพูด พอเห็นหน้าก็บอกเลยว่า  เซี่ยโห้วท่ายังไม่ตาย! 

 …  หยางชิ่งอึ้งไปชั่วครู่ สงสัยนิดหน่อยว่าตัวเองฟังผิดไปแล้วหรือเปล่า จึงลองถามว่า  ท่านอ๋องบอกว่าเซี่ยโห้วท่ายังไม่ตายเหรอ? 

เหมือนทุกคนที่ได้ยินข่าวบนี้จะมีปฏิกิริยาแบบนี้ทั้งนั้น ล้วนต้องยืนยันความจริงสักหน่อย เหมียวอี้พยักหน้า  ใช่แล้ว เป็นโจรเฒ่าเซี่ยโห้ว เขายังไม่ตาย แกล้งตายแล้วไปหลบอยู่หลังม่าน ตอนนี้ข้ายืนยันได้ คนที่เจ้าสงสัยก่อนหน้านี้ไม่ใช่เว่ยซูอะไรหรอก ไม่ใช่สมาคมอาวุโสอะไรนั่นด้วย เป็นเซี่ยโห้วท่าเองที่ควบคุมเรื่องทั้งหมด! 

หยางชิ่งทำหน้าเหมือนโดนตะคริวกินทันที สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างเด่นชัดมาก มิน่าล่ะตอนที่ลงมือกับเซี่ยโห้วลิ่งถึงรู้สึกไม่ชอบมาพากล สงสัยข้อสันนิษฐานจะผิดพลาดหมด ที่สำคัญคือใครจะไปคาดคิดว่าเซี่ยโห้วท่าจะเล่นวิธีนี้ ใครจะไปคิดว่าการแกล้งตายของเซี่ยโห้วท่าจะปิดบังได้ตั้งแต่ประมุขชิงไปยันขุนนางทั้งตำหนักสวรรค์ นี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ

 ท่านอ๋อง เข้าใจผิดแล้วหรือเปล่า ตามที่ข้ารู้มา ก่อนที่เซี่ยโห้วท่าจะตาย ขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ทั้งหมดรวมทั้งประมุขชิงล้วนไปเยี่ยมเซี่ยโห้วท่า คนมากมายขนาดนั้นเห็นเองกับตา ประมุขชิงถึงขั้นลงมือตรวจสอบด้วยตัวเอง ถ้าเซี่ยโห้วท่าแกล้งตายก็ไม่น่าจะมองไม่ออกสิ  หยางชิ่งวิเคราะห์จุดที่น่าสงสัย นี่คือความเคยชินของเขา

เหยียนซิวที่ไม่ค่อยพูดอะไร จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า  ไม่ผิดพลาดหรอก คนที่ตายไปก็คือตัวตายตัวแทนของเซี่ยโห้วท่า! เซี่ยโห้วท่าหาคนที่หน้าตาเหมือนเขาเตรียมเอาไว้นานแล้ว ให้เขาฝึกเคล็ดวิชาเดียวกับตัวเอง ก่อนแกล้งตายก็ผลักตัวแทนออกมา ใช้พิษพิเศษกระตุ้นให้ตัวแทนใช้อายุขัยให้หมดไวๆ ปิดบังทุกคนไว้แล้ว! 

หยางชิ่งตกตะลึงอ้าปากค้างครู่หนึ่ง แล้วรียถามว่า  ท่านอ๋อง ความลับแบบนี้ พวกท่านรู้ได้ยังไง? 

เหมียวอี้กล่าวเสียงเย็น  ช่วงก่อนหน้านี้เฉาหม่านเคยมา ต้องการเห็นบัวโลหิต ข้าเลยถ่วงเวลาเขาไว้หลายวัน วันนี้เว่ยซูก็มาแทนเขาอีก 

หยางชิ่งเหมือนตระหนักอะไรได้กะทันหัน มองไปที่เหยียนซิวโดยจิตใต้สำนึก แล้วก็ค่อยๆ มองไปที่เหมียวอี้ บนใบหน้าเริ่มฉายแววตกตะลึง ก่อนจะถามอย่างตกใจว่า  อย่าบอกนะว่าท่านอ๋องลงมือกับเว่ยซู?  จากนั้นก็ยิ้มเจื่อน  เป็นกำลังพลของแดนอเวจีเหรอ? 

ก่อนหน้านี้เขารู้ว่าเหมียวอี้ดึงกำลังพลสิบล้านมาจากแดนอเวจี แต่ไม่รู้ว่ากำลังพลแดนอเวจีไปที่ไหนแล้ว ยังนึกว่าเหมียวอี้จะเคลื่อนไหวอะไรในแดนอเวจีเสียอีก ในเมื่อเหมียวอี้จงใจหลบเลี่ยงไม่บอกเขา เขาก็ไม่ถามมากแล้ว ได้แต่ดูอยู่เงียบๆ สังแกตความเคลื่อนไหวในแดนอเวจี อยากเห็นว่าหมียวอี้จะมาไม้ไหน ตอนนี้เพิ่งจะเข้าไปใจว่าตัวเองคิดผิดไป กำลังพลกลุ่มนั้นน่าจะแอบออกจากแดนอเวจี ตอนนี้เกรงว่าจะอยู่ในจวนท่านอ๋องแล้ว

เหมียวอี้ไม่ได้ปฏิเสธ กล่าวเสียงต่ำว่า  ฝั่งพวกเรามีหนทางตามหาที่ซ่อนตัวของเซี่ยโห้วท่าแล้ว เหยียนซิวจะบีบเว่ยซูให้นำทางด้วยตัวเอง ให้กำลังพลแดนอเวจีสิบล้านกับเจ้า แล้วให้ชิงเยว่บัญชาการทัพอารักขาห้าล้านของข้าอีก แล้วเจ้าก็บัญชาการพวกเขาอีกที! ครั้งนี้ให้เจ้าบัญชาการทัพใหญ่ไปจับตัวอย่างลับๆ ด้วยตัวเอง ต้องวางแผนให้รอบคอบ ต่อให้ต้องแลกกับอะไรก็ตาม ก็ต้องจับตัวเซี่ยโห้วท่าให้ได้ ห้ามผิดพลาด! 

เมื่อเจอกับจิ้งจอกเฒ่าอย่างเซี่ยโห้วท่า เขาก็กังวลว่าจะพลาดเหมือนกัน ส่วนหยางชิ่งที่อยู่ข้างกายเขาก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าเหมือนกัน เรื่องนี้มีแต่ต้องให้หยางชิ่งไปจัดการ ถึงจะทำให้เขาวางใจที่สุด

 ฮะ!  หยางชิ่งหยุดเดิน ตอนนี้เขาพอจะเดาออกแล้ว ว่าเหมียวอี้คงพุ่งเป้าไปที่สมาคมอาวุโส พอบังเอิญโชคดีขุดเจอความลับใหญ่ที่เซี่ยโห้วท่ายังไม่ตาย ก็ถูกบีบให้จนตรอกทันที แม้แต่ยารักษาอาการเสียใจทีหลังก็ไม่ได้กิน ไม่สู้ไม่ได้แล้ว เขาส่ายหน้ายิ้มเจื่อน  ท่านอ๋อง ท่านเลอะเลือนนะ! เรื่องนี้จะบุ่มบ่ามได้ยังไง ก่อนหน้านี้ท่านไม่ปรึกษาหารืออะไรเลย เซี่ยโห้วท่าเจ้าเล่ห์แผนสูง จะลงมือได้ง่ายๆ ขนาดนั้นเหรอ ถ้าพลาดขึ้นมา สมาคมอาวุโสจะต้องหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอยแน่ สิ่งที่ตามมาก็คือพวกเราจะต้องเจอกับการล้างแค้นอันบ้าคลั่งจากตระกูลเซี่ยโห้ว! 

เหมียวอี้ชี้เหยียนซิว  ถ้าไม่มีพลังอภินิหารของเหยียนซิว ก็ย่อมไม่มีความมั่นใจอยู่แล้ว แต่ตอนนี้พวกเรามีโอกาสนำหน้าอีกฝ่าย มีอะไรน่าลังเล? อย่าบอกนะว่าจะพลาดโอกาสที่มาถึงมือแล้ว? 

หยางชิ่งเงียบไป ไม่ผิดหรอก นี่คือที่พึ่งที่ใหญ่มากจริงๆ และเป็นโอกาสสำเร็จที่สูงมากด้วย แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ  แต่ถ้าพวกเรายังพลาดอีกล่ะ ท่านอ๋องไม่เคยคิดถึงผลที่ตามมาเชียวหรือ? 

เหมียวอี้แสยะยิ้ม  อย่างมากข้าก็แค่ร่วมมือกับพระปีศาจ มอบบัวโลหิตให้พระปีศาจ ข้าก็อยากจะเห็นว่าเซี่ยโห้วท่าจะกลัวหรือไม่กลัว? ถึงตอนนั้นโจรเฒ่าคงตายไม่สงบด้วยซ้ำ! 

 …  หยางชิ่งพูดไม่ออก ถ้าเจ้าดึงดันจะทำอย่างนี้ ไม่เสียดายที่จะละทิ้งรากฐานดีๆ ที่อยู่ในมือ เช่นนั้นก็คิดเสียว่าข้าไม่เคยพูดอะไรก็แล้วกัน

 เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าท่านบุรุษกลัวเซี่ยโห้วท่า เลยจะปฏิเสธ?  เหมียวอี้ถาม

 ถ้าจะบอกว่าไม่กลัวก็โกหกแล้ว แต่มาถึงขั้นนี้แล้วยังมีทางเลือกอื่นด้วยเหรอ?  หยางชิ่งยิ้มเจื่อน แต่ก็ยังกุมหมัดคารวะ  ข้าน้อยยินดีจะลองพยายามสุดความสามารถ! 

 ดี!  เหมียวอี้หันไปมองหยางเจาชิง  ให้ชิงเยว่มาพบข้าเดี๋ยวนี้! 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อชิงเยว่

หลังจากหยางชิ่งใจเย็นแล้ว ก็มองเหยียนซิว  เว่ยซูกล้ามา แสดงว่ามีหลักประกันแน่นอน ข้างนอกจะต้องมีกำลังพลมาสนับสนุนแน่ ทั้งสองฝ่ายจะต้องติดต่อกันเพื่อยืนยันความปลอดภัย เจ้าควบคุมเว่ยซูให้รับมือไหวมั้ย? 

 ด้านนอกยืนยันว่ามีกำลังพลสนับสนุนจริงๆ ทุกครึ่งชั่วยามเว่ยซูจะติดต่อพวกเขาหนึ่งครั้ง ไม่มีปัญหาสักนิดเลยขอรับ  เหยียนซิวกล่าว

หยางชิ่งกล่าวเสียงต่ำว่า  ยังมีฝั่งเฉาหม่านอีก! พวกเราไปตามจับโจรเฒ่าเซี่ยโห้วครั้งนี้ คงไม่ได้กลับมาในเร็วๆ นี้แน่ ถ้าเว่ยซูชักช้าไม่ยอมกลับ เฉาหม่านจะต้องสงสัยแน่นอน จะต้องทำเว่ยซูคุมเฉาหม่านให้สงบให้ได้ ฝั่งเซี่ยโห้วท่าก็จะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้! 

 เข้าใจแล้วขอรับ!  เหยียนซิวพยักหน้า

 เจ้าต้องทำความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเว่ยซูกับเฉาหม่านให้ดี เดี๋ยวพวกเราค่อยคุยรายละเอียดเรื่องวิธีการให้เว่ยซูรับมือกับเฉาหม่านอีกที จะให้เฉาหม่านสงสัยไม่ได้เด็ดขาด นอกจากนี้ จะต้องสืบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเว่ยซูกับเซี่ยโห้วท่าให้ละเอียด ข้าต้องการรู้เรื่องราวโดยละเอียด!  หยางชิ่งกล่าว

เหยียนซิวพยักหน้า  ขอรับ!  หันกลับไปมองเหมียวอี้ แล้วถอดกำไลเก็บสมบัติที่เก็บทัพใหญ่แดนอเวจีออกมา

หลังจากเหมียวอี้รับมาดูในมือแล้ว ก็โบกมือเก็บเขาเอาไว้ แล้วถอดกำไลเก็บสมบัติที่ใส่เหยียนซิวกับเว่ยซูและอันที่ใส่ทัพใหญ่แดนอเวจียื่นให้หยางชิ่งหมด

หยางชิ่งรับมาแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู พบว่าเว่ยซูถูกจับไว้ข้างในแล้วจริงๆ สภาพสะบักสะบอม เขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ ท่านอ๋องของพวกเราใจกล้าจริงๆ มาถึงขั้นนี้แล้ว เดินมาถึงขั้นนี้แล้วก็ยังนำทุกสิ่งในบ้านมาเดิมพันได้อีก เล่นอะไรซี้ซั้ว!

เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่สงสารตัวเองที่ช่วงนี้ใช้ทั้งแรงกายแรงใจวางแผนรับมือกับสมาคมอาวุโสอย่างละเอียด ไม่รู้ว่าทุ่มเทความพยายามไปมากเท่าไร หมดกัน ฝั่งนี้กลับปิดบังเขาไว้แล้วเดินเนินการเองอย่างถึงอกถึงใจ บีบทุกคนขึ้นมาบนหน้าผา จะไม่เล่นเป็นเพื่อนเขาต่อก็ไม่ได้ เรื่องที่เขาคิดซ้ำไปซ้ำมาดันสูญเปล่าแล้ว แบบนี้มันใช่เรื่องเสียที่ไหน?

ผ่านไปครู่เดียว ชิงเยว่เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา เหมียวอี้ไม่ได้ปิดบังนาง นอกจากพลังอภินิหารของเหยียนซิวแล้ว อย่างอื่นก็บอกนางหมด ชิงเยว่เรียกได้ว่างงเป็นไก่ตาแตก ตะลึงค้างแล้ว เซี่ยโห้วท่ายังไม่ตายงั้นเหรอ? จับเว่ยซูไว้แล้ว ทั้งยังจะจับเซี่ยโห้วท่าอีก? เป็นบ้าไปแล้วใช่มั้ย?

แต่นางก็นึกตามทันอย่างรวดเร็ว แม้แต่เว่ยซูก็แตะต้องแล้ว ยังมีทางให้ถอยกลับอีกเหรอ?

นางมองเหมียวอี้ด้วยแววตาสับสน ในใจร่ำร้องว่า ท่านอ๋อง ท่านไม่ควรเล่นอย่างนี้สิ ทุกคนเพิ่งจะดีใจที่ได้ผลประโยชน์มาไว้ในมือ ยังไม่ทันนำมาห่มให้ร้อน ท่านก็จะนำออกไปเดิมพันทั้งหมดแล้ว ให้ไปควบคุมทรัพย์สินมากขนาดนี้ เสี่ยงทำเรื่องที่ไม่มีความมั่นใจแบบนี้ได้อย่างไร ท่านบุ่มบ่ามเกินไปหรือเปล่า?

สุดท้ายชิงเยว่ก็กุมหมัดคารวะและฟัดฟันบอกว่า  ท่านอ๋อง ชิงเยว่มีความสามารถจำกัด เกรงว่าจะทำให้งานใหญ่ของท่านอ๋องเสียหาย ท่านอ๋องได้โปรดบัญชาการด้วยตัวเอง!  ในใจนางพึมพำว่า ข้ารับผิดชอบสิ่งนี้ไม่ไหว

เหมียวอี้บอกนางว่า  ไม่ใช่ว่าให้เจ้าไปเป็นผู้บัญชาการสูงสุดหรอก เจ้าแค่ต้องควบคุมห้าล้านทัพอารักขาให้ดี เมื่อไรที่ต้องใช้งานพวกเจ้า ไม่ว่าจะเห็นอะไร ก็อย่าให้เสียระเบียบเด็ดขาด เจ้าแค่ต้องคอยฟังคำสั่งท่านหยางก็พอ!  เขาชี้ไปที่หยางชิ่ง

ชิงเยว่อดไม่ได้ที่จะมองไปทางหยางชิ่ง นางสังเกตเห็นชายลึกลับที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้มาตั้งนานแล้ว สวมหน้ากากปลอมไว้ตลอด ไม่ยอมเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร นางกุมหมัดคารวะ  รับทราบ!  จากนั้นก็กุมหมัดคารวะหยางชิ่งอีก  คารวะท่านหยาง ได้รับคำสั่งท่านอ๋องให้ฟังคำบัญชาการของท่านหยาง! 

หยางชิ่งกุมหมัดคารวะตอบ  รบกวนผู้ตรวจการซ้ายด้วย! 

เรื่องนี้ก็ถูกกำหนดไว้อย่างนี้แล้ว ชักช้าไม่ได้ ถ่วงเวลาต่อไปไม่ได้ด้วย พวกเขารีบร้อนออกไปปฏิบัติงาน เหลือเพียงหยางเจาชิงที่ยืนอยู่ข้างกายเหมียวอี้เงียบๆ รู้สึกบีบหัวใจ!

………………

 

สำหรับเว่ยซู นี่คือระยะที่ใกล้เกินไป จะหลบก็หลบไม่ทันแล้ว มิหนำซ้ำลูกธนูดาวตกยังไล่ตามโจมตีได้อีก

แม้จะรู้ว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดมีอานุภาพมาก แต่ผู้คุ้มกันห้าคนข้างกายเว่ยซูยังก้าวขึ้นมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ยกโล่ขึ้นมากำบังไว้พร้อมกัน ต่อให้ต้านไม่ไหวแต่ก็คลายประสิทธิภาพการไล่โจมตีของลูกธนูดาวตกได้ ทุ่มสุดชีวิตจริงๆ

บึ้ม! คลื่นโจมตีแผ่ไปทั่วสารทิศราวกลับคลื่นยักษ์ โล่ที่ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ห้าคนตั้งขึ้นมาถูกโจมตีฉีดขาดในชั่วพริบตาเดียว ตอนคนที่อยู่หน้าสุดถูกลูกธนูสามดอกยิงใส่ โล่ในมือระเบิดกลายเป็นผุยผง อานุภาพแรงที่หลงเหลือกระทบบนกายเนื้อ ทั้งตัวระเบิดออก สี่คนที่อยู่ข้างหลังกระอักเลือดล้มลง

ยอมทุ่มทุนเพื่อต้านไว้ ทำให้ลูกธนูดาวตกไล่ตามโจมตีไม่ได้ เว่ยซูฉวยโอกาสถลันหลบ แยกร่างเป็นสิบร่างหนีกระจัดกระจาย ต้องการทำให้ฝั่งเหมียวอี้แยกไม่ออกว่าต้องไล่สังหารร่างไหน พร้อมเจียดเวลาบอกข่าวให้ข้างนอกรู้ ทว่าแทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่เหมียวอี้ลงมือ ตรงจุดที่มีรอยแยกมีเงาคนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา ลำแสงนับไม่ถ้วนยิงออกมาพร้อมกัน แทบจะยิงคนที่มาต้านลูกธนูให้เว่ยซูในทันที ไม่ให้โอกาสเว่ยซูได้พักหายใจเลย ไม่ให้เวลาว่างติดต่อกับภายนอกเลยสักนิด

ร่างทิพย์ทั้งเก้าของเว่ยซูแทบจะจมหายไปท่ามกลางลำแสงและเสียงระเบิด

ชั่วพริบตาที่บนพื้นมีลำแสงยิงออกมา ร่างคนหกคนก็ไล่ตามหลังลำแสงออกมาด้วย หลังจากการโจมตีระลอกแรก ทั้งหกคนก็มาดักร่างทิพย์ของเว่ยซูเอาไว้กลางอากาศ

เหลิ่งจัวฉุน ขุนพลใหญ่ลัทธิผี กุยอู๋ ขุนพลใหญ่ลัทธิพุทธ ตานฉิง ขุนพลใหญ่ลัทธิมาร จ่างหง ขุนพลใหญ่ลัทธิปีศาจ เมิ่งหรู ขุนพลใหญ่ลัทธิเซียน อ๋าวเถี่ย ขุนพลใหญ่ลัทธิอู๋เลี่ย เพื่อป้องกันไม่ให้มีอะไรผิดพลาด ขุนพลใหญ่หกลัทธิออกมาร่วมมือกันแล้ว ร่วมมือกันล้อมโจมตีเว่ยซูคนเดียว

 หึหึ! ยังคิดจะหนีอีกเหรอ?  ตานฉิงแสยะยิ้ม แกร๊ง! ควงค้อนทุบหลังเว่ยซูหนึ่งที

 อั้ก!  เว่ยซูกระอักเลือดสดออกมาอย่างบ้าคลั่ง พื้นดินถูกกระแทกเป็นหลุมลึก

ทั้งหกคนเหยียบลงพื้นพร้อมกัน มาล้อมเว่ยซูเอาไว้ทุกทิศ ก้มมองเว่ยซูที่กำลังตะเกียกตะกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก

เว่ยซูออกแรงพลิกตัวเข้ามา เลือดออกปากออกจมูก ในฐานะพ่อบ้านของตระกูลเซี่ยโห้ว แม้แต่เขาเองก็ยังจินตนาการไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าทำอย่างนี้กับเขา

ตอนที่เขาโยกศีรษะอย่างมึนงง มองเห็นใบหน้าของทั้งหกที่อยู่ข้างกายชัดแล้ว เขาก็เบิกตากว้างทันที อุทานอย่างตกใจไม่หยุดว่า  พวกเจ้า…เป็นพวกเจ้า…  มือพยายามหยิบระฆังดารา ต้องการจะรายงานข่าว

ทว่าเหมียวอี้ต้องการป้องกันความผิดพลาด ไม่เสียดายที่จะดึงทัพใหญ่หกลัทธิออกมาลงมือ มาถึงขั้นนี้แล้วมีหรือที่จะให้โอกาสเขารายงานข่าวไปข้างนอก

อ๋าวเถี่ยเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ยื่นเท้าข้างหนึ่งออกมา เหยียบข้อมือของเขาเอาไว้ พอบิดฝ่าเท้า ก็มีเสียงกระดูดหักดังกร๊อบ เว่ยซูกางนิ้วทั้งห้า ระฆังดารากลิ้งออกมาอยู่ในฝ่ามือเขาแล้ว

จ่างหงนั่งตรงหน้าเขา แล้วแสยะยิ้ม  ลูกชายของเหล่าเว่ย ไม่เจอกันนานเลยนะ  พอพูดจบก็ลงมือควบคุมวรยุทธิ์บนตัวเว่ยซูทันที ป้องกันไม่ให้เขาฆ่าตัวตาย จากนั้นใช้มือข้างหนึ่งดึงคอเสื้อเว่ยซู ดึงขึ้นมาเผชิญหน้าแล้วถามว่า  คิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าลงมือกับตระกูลเซี่ยโห้วใช่มั้ย? 

เว่ยซูหันหน้าช้าๆ ไปมองทางฝั่งเหมียวอี้ แล้วจู่ๆ ก็คำรามว่า  หนิวโหย่วเต๋อ คิดจะจับข้าเป็นตัวประกันเหรอ ไม่มีประโยชน์หรอก เจ้ารอตระกูลเซี่ยโห้วมาล้างแค้นเถอะ วันนั้นของเจ้ามาถึงแล้ว! 

เพี้ยะ! จ่างหงตบหน้าเขาฉาดหนึ่ง ตบจนฟันร่วงเลือดไหลไปหลายซี่  ยังกล้าปากดีอีก! 

เหมียวอี้ยืนอยู่ระหว่างเขามังกรดำ ยื่นมือคว้าลูกธนูดาวตกสามดอกกลับมา เก็บเอาไว้พร้อมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ สายตาเยียบเย็นค่อยๆ ชำเลืองไปหาเว่ยซูที่มีสภาพจนตรอก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา  รีบทำเวลา 

ด้านล่างของมังกรดำ เหยียนซิวที่ยืนอยู่บนยอดเขารีบถลันตัวออกไป รับเว่ยซูมาจากมือจ่างหง ยัดสมุนไพรเซียนซิงหัวต้นหนึ่งเข้าไปในปากเว่ยซูที่เต็มไปด้วยเลือด ขณะร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยเยียวยา เขาก็เหาะกลับมาอย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้สะบัดแขนเสื้อ เหยียนซิวกับเว่ยซูหายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย

หยางเจาชิงที่ยืนอยู่บนฟ้ากวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นเพียงรอบด้านมีเงาคนหนาแน่น ใบหน้าของทุกคนเผยแววตาเย็นชาและเชื่องช้า แม้แต่เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าเหมียวอี้หากำลังพลมากขนาดนี้มาตั้งแต่เมื่อไร เขามองไปมองมาก็เหมือนไม่รู้จักสักคน อีกทั้งลักษณะท่าทางบนตัวคนพวกนี้ เหมือนเขาจะไม่เคยเห็นจากตัวกำลังพลกลุ่มไหนมาก่อน

เหตุใดเหมียวอี้ต้องบอกเฉาหม่านว่าอีกสองวันหลังจากนั้น ก็เพราะจะช่วงชิงเวลาให้ระดมทัพใหญ่แดนอเวจี เหมียวอี้ไม่มั่นใจว่าท่ามกลางกำลังพลของตัวเองมีสายลับของตระกูลเซี่ยโห้วอยู่เท่าไหร่ มีเพียงการระดมทัพใหญ่แดนอเวจีเท่านั้นถึงจะรู้สึกมั่นคงปลอดภัยที่สุด อย่างไรเสียก็ถูกหกลัทธิกวาดล้างซ้ำแล้วซ้ำอีกมาหลายปีแล้ว

ลงมือกะทันหันอย่างนี้ ทั้งยังจบอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ไม่ให้โอกาสฝั่งเว่ยซูรายงานข่าว ความสำเร็จในก้าวแรกนี้ทำให้หยางเจาชิงเบาใจพอสมควร แต่ความกังวลที่แสดงออกตรงหว่างคิ้วยังยากที่จะหายไป เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อมาทำให้เขากังวลสุดๆ

เหลิ่งจัวฉุนและอีกห้าคนถลันตัวเข้ามา ยืนเรียงแถวหน้ากระดานกลางอากาศ กุมหมัดคารวะพร้อมกัน  ราชาปราชญ์! 

หลังจากวางมือลงแล้ว ตานฉิงก็มองไปรอบๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม  ราชาปราชญ์ จู่ๆ เรียกพวกเรามาที่นี่ แต่ไม่เห็นตอบอะไรสักที ยังนึกว่าจะทิ้งพวกเราเอาไว้โดยไม่สนใจเสียแล้ว 

เหมียวอี้ไม่เล่นลิ้นกับเขา  ยังมีปัญหาตอนหลังที่ต้องแก้ไข เก็บกำลังพลเดี๋ยวนี้ จำเอาไว้นะ ถ้าลงมือเมื่อไหร่ ต้องจัดการให้รวดเร็ว อย่าปล่อยให้อีกฝ่ายส่งข่าวเด็ดขาด! 

 ขอรับ!  ทั้งหกกุมหมัดคารวะ จากนั้นก็รีบเก็บกำลังพลแล้วซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว

นอกตำหนักใต้ดิน ตอนที่ผู้คุ้มกันสองคนของเว่ยซูกำลังมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง หนึ่งในนั้นก็หยิบระฆังดาราออกมาคุยพักหนึ่ง ก่อนจะบอกกับอีกคนว่า  พ่อบ้านเว่ยให้พวกเรารีบเข้าไปช่วยเก็บของ 

สองคนนั้นหันตัวเข้ามาในตำหนักใต้ดินทันที ทั้งสองเจอกับอีกสามคนตรงทางผ่าน พอถามแล้วถึงได้รู้ว่าสามคนข้างในก็ได้รับข้อความจากเว่ยซูเหมือนกัน แม้ทั้งห้าจะไม่รู้ว่าเว่ยซูให้พวกเขาเก็บของอะไร แต่ก็ต้องทำตามคำสั่งอยู่แล้ว

เพียงแต่ประตูโลหะบานนี้ปิดสนิท ห้าคนเข้าไปไม่ได้ หลังจากติดต่อกับเว่ยซูแล้ว เว่ยซูก็ให้รออยู่ที่นี่

ผ่านไปไม่นาน ประตูโลหะก็เปล่งแสงและเปิดออกอีกครั้ง ห้าคนถลันตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว

พอออกมาจากความมืดก็เห็นแสงสว่าง ห้าคนเพิ่งจะพบว่าตัวเองได้เข้ามาในโลกอีกใบหนึ่งแล้ว เหนือศีรษะมีความเคลื่อนไหว พอเงยหน้ามอง ก็เห็นโพรงงทางเข้าบนฟ้าปิดลงอีกครั้ง

ห้าคนยังไม่ทันรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร รอบข้างก็มีเสียงระเบิดนับไม่ถ้วน ตอนที่มองดูอีกครั้ง ทุกคนก็ตกใจจนหน้าถอดสี ลำแสงนับไม่ถ้วนยิงเข้ามาแล้ว

ชั่วพริบตาเดียว ห้าคนนี้ก็จมหายไปในลำแสงนับไม่ถ้วน เสียงระเบิดตูมตามดังนานมาก

รอจนกระทั่งฝนลูกธนูจำนวนมากลอยกลับมา ห้าคนก็หายไปในอากาศแล้ว เหลือเพียงหมอกเลือดที่ลอยกระเพื่อม

ตอนนี้แผนการยังไม่มีช่องโหว่ เหมียวอี้ที่ยืนอยู่เหนือหัวมังกรดำไม่แสดงอาการดีใจแม้แต่น้อย กลับสีหน้าเปลี่ยนไปด้วยซ้ำ โบกมือเรียกเหยียนซิวออกมา แล้วถามเสียงต่ำว่า  เจ้าว่าอะไรนะ เซี่ยโห้วท่ายังไม่ตายเหรอ?  ตอนที่เพิ่งติดต่อกับเหยียนซิว ก็ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป

เหยียนซิวที่เคยหน้านิ่งเหมือนคนตาย ตอนนี้ทำสีหน้าจริงจังสุดๆ พยักหน้าบอกว่า  ไม่ผิดแน่ครับ เว่ยซูบอกว่ายังไม่ตาย ตอนแรกที่เซี่ยโห้วท่าตาย ก็เป็นแค่การตบตาเท่านั้น ภายนอกดูเหมือนส่งต่อตระกูลเซี่ยโห้วให้เซี่ยโห้วลิ่งดูแล ตอนนี้ดูเหมือนตกอยู่ในมือเฉาหม่าน แต่ความจริงแล้วอยู่ในการควบคุมอย่างลับๆ ของเซี่ยโห้วท่ามาตลอด ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเซี่ยโห้วท่า ก็เป็นไปไม่ได้ที่เฉาหม่านจะรับช่วงต่อตระกูลเซี่ยโห้วได้อย่างราบรื่น ส่วนการตายของเซี่ยโห้วลิ่ง ที่จริงเซี่ยโห้วท่ารู้ตั้งนานแล้วว่าเป็นฝีมือของท่านอ๋อง ก่อนที่จะเกิดเรื่องกับเซี่ยโห้วลิ่ง เซี่ยโห้วท่าก็คาดคะเนได้แล้วว่าท่านอ๋องจะลงมือกับเซี่ยโห้วลิ่ง เว่ยซูบอกว่าแผนการบางอย่างของท่านอ๋อง เป็นสิ่งที่เซี่ยโห้วท่ารู้อยู่แก่ใจมาตั้งแต่แรกแล้ว 

สร้อยลูกประคำสีเขียวเข้มตรงคอเสื้อเหมียวอี้กะพริบแสงสลัว

ส่วนเหมียวอี้ก็รู้สึกว่าแผ่นหลังหลังชุ่มฉ่ำไปด้วยเหงื่อกาฬ ถามว่า  เฉาหม่านรู้ความจริงเหรอ? 

หยางเจาชิงที่อยู่ข้างกันขนลุก ตกตะลึงเป็นพิเศษ ไม่น่าเชื่อว่าเซี่ยโห้วท่าจะยังไม่ตาย? นึกไม่ถึงว่าจะแกล้งตาย? เขานึกไม่ถึงเลยว่าพอท่านอ๋องจับตัวเว่ยซูแล้วจะขุดความลับอันน่าตกใจขนาดนี้ได้ ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป เกรงว่าแม้แต่ประมุขชิงก็ต้องเหงื่อแตก

เหยียนซิวตอบว่า  เฉาหม่านไม่รู้ความจริง เว่ยซูแอบดำเนินการโดยรับคำสั่งจากเซี่ยโห้วท่ามาตลอด 

เหมียวอี้รีบถามว่า  สมาคมอาวุโส เว่ยซูรู้มากขนาดไหน? 

 ถามอย่างละเอียดแล้วขอรับ เว่ยซูแค่รู้ว่ามีสมาคมอาวุโสอยู่ แต่กลับไม่เคยติดต่อด้วย ไม่รู้ด้วยว่าสมาคมอาวุโสอยู่ที่ไหน เฉาหม่านก็เช่นเดียวกัน แต่เซี่ยโห้วท่ารู้แน่นอน เพราะเซี่ยโห้วท่าเป็นคนก่อตั้งสมาคมอาวุโส ตอนนี้อยู่ในการควบคุมเซี่ยโห้วท่ามาตลอด  เหยียนซิวตอบ

 เว่ยซูรู้หรือเปล่าว่าเซี่ยโห้วท่าอยู่ที่ไหน?  เหมียวอี้รีบถามอีก

เหยียนซิวพยักหน้า  เขารู้ว่าเซี่ยโห้วท่าซ่อนตัวอยู่บนดาวเคราะห์ในอาณาเขตดาวนิรนาม นั่นคือดาวสำหรับดำรงชีวิตที่ตระกูลเซี่ยโห้วค้นพบเมื่อนานมาแล้ว หลังจากเซี่ยโห้วท่าแกล้งตายก็อยู่ที่นั่นมาตลอด เว่ยซูเคยไปไม่กี่ครั้ง รู้เส้นทาง 

เหมียวอี้สั่งหยางเจาชิงที่อยู่ข้างกันทันที  ให้หยางชิ่งมาพบข้าเดี๋ยวนี้ 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่ง

เหมียวอี้กวักมืออีก พวกเหลิ่งจัวฉุนรีบเหาะเข้ามา

เหมียวอี้รีบบอกทั้งหกคนว่า  เก็บกำลังพลเดี๋ยวนี้ ป้องกันอย่าให้ข่าวหลุดเด็ดขาด มีภารกิจสำคัญจะให้พวกเจ้าไปจัดการ 

อ๋าวเถี่ยกุมหมัดคารวะ  ไม่ทราบว่าภารกิจอะไรขอรับ? 

เหมียวอี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า  จับตัวโจรเฒ่าเซี่ยโห้วท่า!  เขาแค้นจนกัดฟันกรอดจริงๆ พอนึกว่าเซี่ยโห้วท่ารู้แผนของตัวเองนานแล้ว แม้แต่ตอนเซี่ยโห้วลิ่งลูกชายตัวเองโดนฆ่าก็ไม่ห้าม คอยจแอบจ้องอยู่เฉยๆ มาตลอด เขาก็รู้สึกขนหัวลุกแล้ว

 เซี่ยโห้วท่า?  ทั้งหกนึกว่าตัวเองฟังผิดไป อ๋าวเถี่ยถามด้วยความงง  เซี่ยโห้วท่าตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ? 

 เพิ่งได้ข่าวมา โจรเฒ่าแกล้งตาย เปลี่ยนจากอยู่ในที่แจ้งไปอยู่ในที่ลับ หลบอยู่หลังม่าน!  เหมียวอี้กล่าวอย่างคับแค้น

 ซี้ด!  ทั้งหกสูดหายใจลึกพร้อมกัน ตกใจจนหน้าถอดสี ตานฉิงก็ยิ่งอุทานเสียงหลง  แบบนี้ก็ได้เหรอ? ประมุขชิงเป็นคนโง่รึไง? โจรกบฏพวกนั้นตาบอดกันหมดแล้วเหรอ? ตอนเซี่ยโห้วท่าตายไม่มีใครตรวจสอบเลยเหรอว่าตายจริงหรือตายปลอม? ช่างเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ หลอกลวงคนทั้งใต้หล้า โชคดีที่รู้ความจริง ถ้าไม่ระวังคงติดกับดักเขาไปแล้ว! 

 ไม่รู้ว่าที่ซ่อนตัวของโจรเฒ่ามีการป้องกันยังไงบ้าง?  เมิ่งหรูถามเสียงต่ำ

เหมียวอี้เผยสีหน้าดุร้าย ชี้เขาพร้อมกัดฟันบอกว่า  ไม่ว่าจะป้องกันเป็นยังไง ก็ต้องยอมแลกทุกอย่างเพื่อจับตัวมาให้ข้าให้ได้! เดี๋ยวข้าจะดึงตัวกำลังพลจากทัพอารักขาให้พวกเจ้าอีกห้าล้าน เพื่อป้องกันไม่ให้พลาด! จำไว้นะ ใช้งานกำลังพลของหกลัทธิก่อน ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อย่าให้ทัพอารักขาของข้าเจอหน้าพวกเจ้า ตอนหลังข้าจะดูสถานการณ์แล้วเตรียมกองหนุนให้! ทุกคน โจรเฒ่ามีความเชื่อมโยงสำคัญ โอกาสดีที่ฟ้าประทานมาให้แบบนี้ อย่าให้พลาด จะรับมือกับตระกูลเซี่ยโห้วได้หรือไม่ แพ้ชนะวัดกันที่ครั้งนี้ สรุปก็คือครั้งนี้อย่าให้โจรเฒ่าหนีไปเด็ดขาด ต้องจับเป็น! 

ขุนพลใหญ่หกลัทธิเผยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง กุมหมัดคารวะพร้อมกัน  รับทราบ! 

……………………

 

อาศัยแค่สองคนนี้อยู่ในจุดที่มีกำลังทหารของเหมียวอี้รวมตัวกันอยู่ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะคุ้มครองอะไรอยู่แล้ว เป้าหมายที่แท้จริงก็คือจะเตือน ว่าถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้นมา ว่าอาศัยพลังของทั้งสองคน การจะกำจัดพวกเขาอย่างเงียบเชียบไร้เสียงนั้นเป็นไปไม่ได้

เหมียวอี้ก็หันกลับมามองแวบหนึ่งเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

เมื่อมาถึงในตำหนักใต้ดิน คนกลุ่มนี้ก็หยุดอยู่ตรงหน้าประตูโลหะทางเข้า เห็นได้ชัดว่าเว่ยซูรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่อยู่บนประตูโลหะ

พอเหมียวอี้โบกมือ บนประตูโลหะก็กะพริบแสง ประตูเปิดออก โพรงที่มีแสงประหลาดหมุนวนซ่อนอยู่ปรากฏขึ้น

เหมียวอี้ยื่นมือ  เชิญ! 

เว่ยซูกลับหยุดฝีเท้าไม่ก้าวไปข้างหน้าต่อ สายตามองสำรวจเข้าไปในโพรงทางเข้านั้น แล้วขมวดคิ้ว  สิ่งนี้คือของวิเศษ ท่านอ๋องให้ข้าเข้าไปในของวิเศษ หมายความว่ายังไง? 

เหมียวอี้ตอบว่า  นี่คือคลังเก็บสมบติของข้า คนทั่วไปไม่มีโอกาสได้เห็นหรอก อย่าบอกนะว่าท่านบุรุษเว่ยกลัวข้าวางแผนสังหาร? 

เว่ยซูป้องกันเรื่องนี้จริงๆ แต่ก็รู้สึกอีกว่าเหมียวอี้ไม่น่าจะทำไม่ได้ นอกเสียจากเหมียวอี้จะเป็นคนโง่เท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ควรจะรู้ผลที่ตามมาหากเลยกำหนดเวลาแล้วตนยังไม่ติดต่อภายนอก แต่เขาก็ยังระมัดระวัง  ข้าก็แค่รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะให้ข้าเข้าไปดูคลังสมบัติที่คนนอกยากจะได้เห็น แทนที่จะนำของออกมาให้ดูล่ะ กลับเผยความลับเรื่องคลังสมบัติให้รู้ 

เหมียวอี้ชำเลืองผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังเขา แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง  สิ่งที่เรียกว่าคลังเก็บสมบติก็ไม่ได้มีสมบัติอะไรมากหรอก มีของอยู่สิ่งเดียว ที่สร้างคลังสมบัติขึ้นมา ก็เพื่อปกป้องของสิ่งนั้น ของที่ท่านต้องการไม่ใช่ของธรรมดา ท่านเองก็รู้กลอุบายของพระปีศาจ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ข้าส่งของสิ่งนั้นให้เผ่ามังกรเฝ้าไว้ เผ่ามังกรกับตระกูลเซี่ยโห้วล้วนไม่อยากเห็นพระปีศาจฟื้นชีพ เพราะข้ากับเผ่ามังกรตกลงกันไว้แล้ว ต่อให้เป็นข้าก็ไม่อาจนำของสิ่งนั้นออกมาได้ง่ายๆ 

เว่ยซูงุนงง ถ่ายทอดเสียงถามว่า  เจ้ากำลังพูดถึงเผ่ามังกรเหรอ?  เขานึกว่าตัวเองฟังผิดไป

เหมียวอี้เหล่ตาถาม  ท่านคิดว่าตอนเฉาหม่านมาหาข้าครั้งก่อน ข้าจงใจปฏิเสธงั้นเหรอ? เช่นนั้นพวกท่านก็คิดมากไปแล้ว ตอนนี้ข้าจำเป็นต้องเป็นศัตรูกับพวกท่านด้วยเหรอ? ไม่ปิดบังความจริง หลังจากเฉาหม่านมาที่นี่ ข้าก็ตั้งใจนำของกลับมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว 

เห็นได้ชัดว่าเว่ยซูรู้สึกผิดคาด  แดนมรณะดึกดำบรรพ์ยังมีเผ่ามังกรอยู่อีกเหรอ?  เขารู้ว่าหลังจากเหมียวอี้สมคบกับฮ่าวเต๋อฟางแล้ว ก็สามารถเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้สะดวก ตอนนี้อีกฝ่ายคุมอาณาเขตทัพใต้ จะเข้าออกก็ย่อมสะดวกกว่าเดิม แต่สถานการณ์ของเผ่ามังกรเป็นอย่างไรล่ะ?

เหมียวอี้พยักหน้าเข้าไปข้างใน  หลังจากเข้าไปดูแล้วก็ย่อมเข้าใจเอง ถ้าไม่ใช่เพื่อทำลายความเคลือบแคลงของพวกท่าน ก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกท่านดูเลย 

 เข้าไปดูหลายๆ คน!  เว่ยซูหันกลับมาสั่งคนที่อยู่ข้างหลัง

 ช้าก่อน!  เหมียวอี้ห้ามไว้

 หรือว่าท่านอ๋องไม่มั่นใจ?  เว่ยซูถามอย่างระวังตัวทันที

เหมียวอี้แอบด่าว่าตาแก่นี่ช่างระมัดระวังตัวเสียจริง รับมือยากกว่าเซี่ยโห้วลิ่งเยอะมาก

เขากล่าวเสียงเย็นว่า  ข้าแค่อยากจะเตือนท่านบุรุษเว่ยสักหน่อย พวกท่านจะเข้าไปดูก็ได้ แต่หลังจากกลับออกมาแล้วต้องคุมปากตัวเองให้ดี ห้ามเปิดเผยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างใน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าพระปีศาจจะทำอะไร ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดจริงๆ ก็อย่าโทษว่าข้าผิดสัญญาแล้วกัน! 

 เรื่องนี้จะวางใจได้ ปากพวกเขาเชื่อถือได้แน่นอน ถ้าไม่ได้รับอนุญาต แม้แต่ครึ่งคำก็ไม่ให้หลุดออกไปข้างนอก  เว่ยซูกล่าว

เหมียวอี้เอียงหน้าบอกหยางเจาชิง  ในเมื่อท่านบุรุษเว่ยวางใจแล้ว เจ้าก็พาพวกเขาเข้าไปดูก่อน 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงกุมหมัดเอ่ยรับ จากนั้นก็ถลันตัวเข้าไปในช่องว่างที่มีแสงสลัวหมุนวน

เว่ยซูโบกมือดึงคนออกมาสองคน  พวกเจ้าเข้าไปดูก่อน 

สองคนนั้นถลันตัวเข้าไปทันที พอผ่านความดำมืด ตรงหน้าก็ปรากฏแสงสว่างอย่างรวดเร็ว อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันเลิกลั่ก พบว่าจู่ๆ ก็มาอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง มีภูเขามีแม่น้ำ

หยางเจาชิงที่ลอยอยู่ไม่ไกลตะโกนบอกทั้งสองว่า  มองมาทางนี้  เขาชี้ไปที่ภูเขาลูกหนึ่ง

ทั้งสองใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป ในดวงตาฉายแววตกตะลึง พบว่าบนยอดเขามีมังกรใหญ่ตัวหนึ่งนอนขดอยู่บนนั้น เป็นมังกรตัวใหญ่สีดำกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนยอดเขา

 ตามข้ามา  หยางเจาชิงเรียก

สองคนนั้นเหาะตามเขาไป ไปลอยอยู่ตรงหน้ายอดเขาแห่งหนึ่ง มังกรยักษ์ที่มีเกล็ดดำวาวเหมือนจะสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ พลันลืมตาสีแดงฉานขึ้นมา จมูกพ่นลมหายใจแรง จู่ๆ ก็กระพือให้ฝุ่นดินพุ่งขึ้นฟ้า สะบัดร่างยาวเหาะวนบนฟ้า บินวนทั้งสามคน จ้องด้วยสายตาดุร้าย เหมือนมีเจตนาเป็นศัตรู ดูดุร้ายมีพลัง

 รับบัญชาจากท่านอ๋อง ให้มาตรวจสอบสภาพของ  หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะ

 ทำไมมีคนแปลกหน้าโผล่มาสองคน?  มังกรดำถามด้วยเสียงทุ้มก้อง

 เป็นประสงค์ของท่านอ๋อง เจ้าน่าจะรู้นะ ว่าถ้าท่านอ๋องไม่อนุญาต พวกเราก็เข้ามาไม่ได้อยู่ดี  หยางเจาชิงกล่าว

มังกรดำที่สั่นหัวส่ายหางหยุดเหาะ มองไปที่ทั้งสามคน แล้วจู่ๆ ก็อ้าปากสีแดงเหมือนอ่างเลือดที่มีฟันแหลมคม แลบลิ้นที่ม้วนอยู่ในปากออกมา เห็นแสงระยิบระยับทันที

ดอกบัวขนาดใหญ่ที่มีทั้งใบทั้งต้น ใบบัว ก้าน กลีบดอกเป็นสีแดงสวยราวกับทับทิม ฝักบัวที่อยู่ตตรงใจกลางไม่มีเม็ดบัว และส่วนรากที่เชื่อมติดกันก็เป็นสีขาวดุจหยก แตกต่างกับด้านบนโดยสิ้นเชิง แสงระยิบระยับนั้นเปล่งออกมาจากรากบัว แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าของสิ่งนี้ไม่ธรรมดา

มังกรดำก็แสดงของสิ่งนี้ให้เห็นเล็กน้อยเช่นกัน จากนั้นก็ม้วนลิ้นกลับเข้ามาในปากอีก  เห็นแล้วใช่มั้ย ของยังอยู่ดี ไสหัวไปได้แล้ว 

หยางเจาชิงบอกกับสองคนที่อยู่ข้างกาย  เป็นยังไง? กลับไปรายงานได้แล้วหรือยัง! 

ทั้งสองพยักหน้า แล้วเหาะตามหยางเจาชิงขึ้นฟ้าไป เหาะไปในรูโหว่บนท้องฟ้า ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่มองประเมินไปรอบๆ

ผ่านไปไม่นาน ทั้งสามก็ทยอยกันออกมา ประตูโลหะปิดสนิทเสียงดังครืน

เว่ยซูมองทั้งสองที่เพิ่งเข้าไปด้วยสายตาสอบถาม แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า  เป็นยังไงบ้าง? 

 ข้างในเหมือนมีวิมานอีกแห่ง…  ทั้งสองรายงานสถานการณ์ข้างใน

เว่ยซูได้ยินแล้วตาลุกวาวไม่หยุด ไม่น่าเชื่อว่าในมือหนิวโหย่วเต๋อจะมีของวิเศษที่สร้างโลกขึ้นมาอีกแห่งได้ ทั้งยังมีเผ่ามังกรอยู่ด้วยจริงๆ สงสัยบนตัวหนิวโหย่วเต๋อจะมีไพ่ลับซ่อนอยู่ไม่น้อย

 เป็นยังไง ไม่ได้หลอกท่านใช่มั้ย?  เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ

เว่ยซูจ้องประตูโลหะ  ของวิเศษนี้หายาก นึกไม่ถึงว่าเว่ยซูจะประสบการณ์น้อยไม่เคยเห็น สงสัยจะมีของดีซ่อนอยู่จริงๆ 

เหมียวอี้ไม่แปลกใจกับสิ่งนี้เลยสักนิด ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนอยู่พิภพเล็ก เขาก็อาจจะคิดว่าของที่พิภพใหญ่ที่ดีสุด คาดว่านักพรตที่พิภพเล็กก็คงคิดเหมือนกัน กระทั่งหลังจากเขารู้จักพิภพใหญ่ดีแล้ว ถึงได้พบว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย พิภพเล็กก็มีข้อดีของพิภพเล็กเหมือนกัน อย่าไปมองว่าพิภพเล็กมีขนาดเล็ก เพราะความจริงเมื่อเทียบกับพิภพใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนหรือว่าอะไร ก็เรียกได้ว่ามีแต่สิ่งสุดยอดมารวมตัวกัน

และเจดีย์งามวิจิตรที่อยู่ข้างหน้านี้ก็เป็นสิ่งที่เยารั่วเซียนปรับปรุงพัฒนาอีกครั้ง ที่จริงทั้งสำนักงามวิจิตรกลายเป็นกลุ่มหลอมสมบัติส่วนตัวของเขาไปแล้ว มอบของวิเศษชั้นดีที่สอดคล้องกับความหน้าหน้าทางวรยุทธ์ของเขามาตลอด กอปรกับกำลังทรัพย์ที่มหาศาลของเขาในตอนนี้ ขอเพียงเหมียวอี้บรรลุวรยุทธ์ที่สูงกว่านี้ ก็จะมีของวิเศษที่สอดคล้องกันมาเปลี่ยนทันที

 ท่านบุรุษเว่ย ของก็ยืนยันได้แล้ว ตอนนี้สงบใจแล้วสินะ  เหมียวอี้ยื่นมือเชิญไปทางนอกตำหนักใต้ดิน สื่อว่าพวกเราสามารถออกไปได้แล้ว

 ในเมื่อมาแล้ว ท่านอ๋องไม่ต้องสนใจแล้วใช้มั้ยถ้าข้าจะเห็นกับข้าตัวเอง?  เว่ยซูถามกลั้วหัวเราะ

 คิดว่าลูกน้องเจ้าจะหลอกเจ้าหรือไง?  เหมียวอี้รู้สึกทนรำคาญไม่ไหวนิดหน่อย

เว่ยซูบอกว่า  พวกลูกน้องตาไม่มีแวว ถ้าได้เห็นกับตาตัวเองจะวางใจมากกว่า ถึงยังไงข้าก็ต้องรายงานกับหัวหน้าตระกูลด้วยตัวเอง ถ้าอธิบายไม่ชัดเจนแล้วเกิดความเข้าใจผิดก็จะไม่ดีแล้ว ท่านอ๋อง ท่านคิดว่ายังไง?  ที่จริงเขาอยากจะเข้าไปสำรวจสภาพภายในของเจดีย์งามวิจิตร

เหมียวอี้แสยะยิ้มในใจ รู้อยู่แล้วว่าเจ้าเวรนี้ต้องอยากเข้าไปข้างในแน่นอน แต่ภายนอกยังเตือนว่า  ข้าแนะนำว่าท่านอย่าเล่นตุกติกอะไรดีกว่า ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าแปรพักตร์! 

 ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว ข้าจะกล้าเล่นตุกติกอะไรบนอาณาเขตของท่าน แบบนั้นไม่ถือว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ?  เว่ยซูกุมหมัดคารวะ

เหมียวอี้ส่งสายตาสื่อว่า ‘นับว่าเจ้ารู้กาลเทศะ’ ให้เขา แล้วโบกมือเปิดประตูโลหะอีกครั้ง ครั้งนี้เหมียวอี้ถลันตัวนำเข้าไปก่อนแล้ว

เว่ยซูโบกมือเรียกลูกน้องห้าคนตามเข้าไป ด้านนอกมีเหลือไว้เตรียมป้องกันสามคน

แต่หลังจากพวกเว่ยซูเข้าไปแล้ว ประตูโลหะก็ปิดทันที สามคนที่เฝ้าระวังอยู่ด้านนอกสบตากันแวบหนึ่ง หนึ่งในนั้นรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเว่ยซู คอยบอกสถานการณ์ให้รู้

พอเข้ามาในเจดีย์งามวิจิตรแล้ว เว่ยซูที่ถือระฆังดาราในมือก็ชะงักไป หันกลับมามองบนฟ้า พบว่าทางเข้าปิดแล้ว จึงชี้ไปด้านบนและถามเหมียวอี้ทันที  ท่านอ๋อง ทำไมต้องปิดทางเข้าออก? 

เหมียวอี้แสยะยิ้ม  ข้าจะควบคุมของวิเศษนี้เอง พอข้าเข้ามามันก็ต้องปิดอยู่แล้ว ถ้าต้องการจะออกไปเดี๋ยวมันก็ปิดเอง ถ้าพ่อบ้านเว่ยรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ตอนนี้ข้าจะเปิดให้ท่านออกไปก็ได้ 

เว่ยซูหัวเราะเบาๆ  ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น  เขาเขย่าระฆังดาราบอกข้างนอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร แล้วกวาดสายตาควานหาไปรอบด้าน เดาะลิ้นชมว่า  ของวิเศษชิ้นนี้น่าสนใจจริงๆ เหนือกว่าชัยภูมิถ้ำสวรรค์ไม่รู้ตั้งเท่าไร 

หนึ่งก่อนที่เคยเข้ามาก่อนหน้านี้ชี้บอกอยู่ข้างกาย เว่ยซูมองตามไป เห็นมังกรดำนอนยึดครองอยู่บนยอดเขา เขาหรี่ตามอง คิดในใจว่าเป็นเผ่ามังกรจริงๆ ด้วย นึกไม่ถึงว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ยังมีเผ่ามังกรอยู่ ตำหนักสวรรค์ไปกวาดล้างหลายครั้งแต่ก็ไม่พบ ไม่รู้เหมือนกันว่าหนิวโหย่วเต๋อทำข้อตกลงอะไรไว้กับเผ่ามังกรกันแน่ ดูท่าตอนหลังจะต้องสำรวจให้ดีสักหน่อยแล้ว

ส่วนเหมียวอี้กับหยางเจาชิงก็ถลันตัวไปที่ยอดเขาแล้ว เหมียวอี้ลอยอยู่เหนือหัวมังกร ใต้เท้าคือมังกรดำเบิกตาแดงโพลง หัวมังกรลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ ขับให้เหมียวอี้ที่ยืนเอามือไขว้หลังดูมีพลังอำนาจไปอีกแบบ

มังกรดำอ้าปปากแลบลิ้น เผยบัวโลหิตที่เปล่งแสงระยิบระยับ

เว่ยซูตาลุกวาวทันที นำคนเหาะเข้าไปดูใกล้ๆ

ใครจะคิดว่าในขณะนี้เอง จู่ๆ มังกรดำก็กะพริบตาอย่างซุกซน กลืนของวิเศษในปากกลับเข้าไปอีก แล้วก็ปิดปากสนิทแล้ว

เหมียวอี้กำลังยืนอยู่เหนือหัวมัน สองมือที่ไขว้หลังพลันเปล่งแสง ง้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในมืออย่างรวดเร็ว ลูกธนูสามดอกตั้งอยู่บนสาย ลำแสงไหวเวียน บนก้านของลูกธนูสามดอกอบอวลไปด้วยหมอกลายงู ลายเสือ ลายเหยี่ยว กระแสลมกระเพื่อมตามสายธนูที่ง้างออก

ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด? เว่ยซูตกใจมาก พวกเขารีบหยุดกะทันหัน

ชวิ้ง! เสียงดังสะเทือนฟ้าดิน ลำแสงสามสายยิงออกมาพร้อมกัน ราวกับจะทำให้ทุกอย่างพังลง

ต่อให้นอนฝันแต่เว่ยซูก็นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะกล้าลงมือกับเขาจริงๆ ไม่รู้เชียวเหรอว่าถ้าเขาไม่กลับออกไป ผลที่ตามมาคืออะไร?

อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่หยางเจาชิงก็อกสั่นขวัญแขวน ถ้ามีความผิดพลาดนิดเดียว จนเว่ยซูส่งข่าวออกไปข้างนอกไม่ได้ แบบนั้นก็จะยุ่งยากแล้ว เรื่องที่เกิดช่องโหว่ได้ง่ายแบบนี้มีเพียงท่านอ๋องเท่านั้นที่กล้าเสี่ยง ต้องทราบไว้ว่าไม่ใช่แค่คนที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น ถ้าเว่ยซูไม่ได้รู้สถานการณ์สมาคมอาวุโสเลย เรื่องนี้จะต้องถูกเปิดโปงแน่นอน มีความเป็นไปได้สูงว่าเว่ยซูจะไม่ได้รู้สถานการณ์ของสมาคมอาวุโส!

ทว่าท่านอ๋องตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่รอให้ตระกูลเซี่ยโห้วมาบีบให้สละอำนาจ ต้องการชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ ทำให้คนพูดไม่ออกจริงๆ คาดว่าตระกูลเซี่ยโห้วก็คงนึกไม่ถึงเช่นกัน!

………………

 

 …  เหมียวอี้มองนางอย่างตะลึงงัน ราวกับเห็นลวดลายอะไรบนใบหน้านาง

นึกออกแล้ว นึกออกแล้วจริงๆ เหตุการณ์คืนนั้นยากจะลืมเลือน ตอนนั้นเขาเพิ่งมาที่พิภพใหญ่ได้ไม่นาน เห็นกับตาว่าโลกมนุษย์เกิดไฟสงคราม แตกต่างกับพิภพเล็กโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะฉากที่หมาป่าหิวโหยไล่กัดคนก็ยิ่งทำให้เขาจดจำฝังใจ เขาราวกับได้ย้อนกลับไปในคืนนั้นอีกครั้ง นี่คือเสียงขลุ่ยที่ทำให้เขาทอดสายตามองดาวบนท้องฟ้าคืนนั้น

อวิ๋นจือชิวมาปรากฏตัวอยู่บนสะพานทางเดินตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ด้านนอกฝนตกแล้ว ไม่สะดวกจะเดินเล่นอีก พอกลับมาแล้วเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งเดินเล่นอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ทั้งยังเป็นคนที่ตนไม่รู้จักด้วย ก็อดไม่ได้ที่จะมาดูสักหน่อย ค่อยๆ เดินมายืนอยู่ตรงจุดที่ไม่ไกลจากทั้งสอง ได้ยินสิ่งที่ผู่หลันพูดเมื่อครู่นี้ชัดเจนแล้วเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มในใจ ในปีนั้นหนิวเอ้อร์เป็นคนเลือดร้อนที่ทำเรื่องแบบนั้นจริงๆ ต่อให้เป็นตอนนี้ก็ตาม ถ้าไม่มีเงื่อนไขอื่นควบคุมไว้ ก็ไม่มีทางเห็นคนเดือดร้อนแล้วไม่ช่วยเหลือ นี่ก็คือหนิวเอ้อร์

 นี่…ท่านคือฮูหยินน้อยคนนั้นเหรอ?  ในดวงตาเหมียวอี้เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ สาวงามตรงหน้าไม่เหมือนสตรีวัยกลางคนที่สกปรกมอมแมมคนนั้นเลย

ผู่หลันยิ้มอย่างสดใส  หนีพ้นความทุกข์ยากมาได้ ทหารก่อความวุ่นวายไม่หยุด ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงมากมายเท่าไหร่ที่ประสบหายนะเพราะทหาร ถ้าไม่ทำตัวเองให้ดูสกปรกเสียหน่อย เกรงว่าคงไม่รอดมาถึงทุกวันนี้ ท่านอ๋องจำไม่ได้ก็ไม่แปลก  สายตานั่งมองไปทางอวิ๋นจือชิวที่เดินเข้ามาข้างหลังเหมียวอี้

เพี้ยะ! เหมียวอี้ยกมือตบหน้าผาก  พอพูดแบบนี้ ข้าก็ติดหนี้น้ำใจพระชายาเหลียงจริงๆ ไม่รู้ว่าพระชายาเหลียงยังอยู่หรือเปล่า?  จะเห็นได้ว่าจำได้แล้วจริงๆ

 ตัวเองจำไม่ได้ ยังมีหน้ามาพูดอีก  อวิ๋นจือชิวเดินมายืนข้างกายเหมียวอี้กล่าว ขณะเดียวกันก็พยักหน้าทักทายผู่หลัน

ผู่หลันมองหนังศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า  ท่านนี้คงจะเป็นหวังเฟยเหนียงเหนียงสินะ 

 อืม…  เหมียวอี้แนะนำทั้งสองให้รู้จักกันทันที

จากนั้นผู่หลันก็บอกว่า  พระชายาเหลียงจากโลกนี้ไปนานแล้ว แต่ท่านอ๋องไม่ต้องห่วง น้ำใจส่วนนั้น อาตมาตอบแทนคืนให้แล้ว ช่วยให้เหลียงซื่อได้เป็นประมุขของแคว้นต้าเยี่ยนแล้ว 

 พอพูดแบบนี้ ก็แสดงว่าท่านช่วยเหลือตัวท่านเอง ไม่ได้ติดค้างอะไรข้า  เหมียวอี้ยิ้มแห้ง

ผู่หลันส่ายหน้า  ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอ๋องช่วยชีวิต อาตมากับลูกชายก็อยู่ในท้องหมาป่าไปนานแล้ว ถ้าไม่ใช่ท่านอ๋องแนะนำช่องทางให้ไปหาพระชายาเหลียง อาตมากับลูกชายจะยืนหยัดอยู่ท่ามกลางสงครามอันวุ่นวายได้ยังไง? 

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ สำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ประเด็นคือได้คลายปริศนาเรื่องนี้แล้ว ไม่อย่างนั้นก็เคลือบแคลงใจมาโดยตลอดว่าทำไมตอนนั้นนางถึงช่วยเขา

อวิ๋นจือชิวพูดต่อว่า  เป็นเรื่องที่ง่ายมาก แล้วตอนหลังฆราวาสกลายมาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของพุทธะจิ้งฮวาได้ยังไงคะ? 

ผู่หลันถอนหายใจ  สำหรับท่านอ๋องในตอนนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายมากจริงๆ แต่สำหรับอาตมากับลูกชาย นั่นคือบุญคุณการช่วยชีวิตยามตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง ความรู้สึกทุกข์ยากภายใต้สถานการณ์แบบนั้น คุณนอกยากจะเข้าใจได้ ส่วนเรื่องว่ากลายเป็นศิษย์คนสุดท้ายได้ยังไง คงเป็นเพราะความบังเอิญเท่านั้น พระอาจารย์แสงทองที่อยู่ข้างกายเหลียงอ๋องเป็นคนของแดนพุทธ ตอนที่อาตมาติดตามอยู่ข้างกายพระชายาเหลียง พระอาจารย์แสงทองเห็นว่าอาตมากับลูกชายมีพรสวรรค์ด้านการฝึกตน จึงแนะนำให้อาตมากับลูกชายเป็นลูกศิษย์ของพุทธะจิ้งฮวา 

 ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้  อวิ๋นจือชิวพยักหน้า

ทั้งสามเดินอยู่ระหว่างตึกศาลาพักหนึ่ง ผู่หลันไม่อยากอยู่ที่นี่นาน ยังต้องไปแจกบัตรเชิญให้ฝ่ายอื่นอีก แต่ก่อนจะไปก็ยังเตือนว่า  แดนสุขาวดีสามารถดูการต่อสู้ของทัพใต้ฝั่งตำหนักสวรรค์เฉยๆได้ ทว่าการต่อสู้ของทัพใต้ส่งผลกระทบต่อการเก็บรวบรวมความปรารถนาร้ายไม่น้อย ท่านอ๋องต้องรีบชดเชยโดยเร็ว ถ้าสิ่งนี้ได้รับผลกระทบไปด้วย เกรงว่าประมุขพุทธะคงไม่นิ่งดูดาย ถ้าประมุขพุทธะกับประมุขชิงร่วมมือกันกดดันขึ้นมา เกรงว่าสถานการณ์คงจะไม่ดีต่อท่านอ๋อง 

เรื่องนี้เหมียวอี้ย่อมรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ยังอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว  ประมุขชิงช่วยเขาหลิงซานเก็บรวบรวมความปรารถนาร้ายมากขนาดนั้นไปทำอะไรกันแน่? 

 รายละเอียดอาตมาไม่รู้ชัดเจน ได้ยินว่าประมุขปีศาจที่อยู่ในเจดีย์สยบปีศาจยังมีชีวิตอยู่ เหมือนจะนำมาใช้ควบคุมประมุขปีศาจ  ผู่หลันตอบ

อวิ๋นจือชิวประหลาดใจ  ใช้ความปรารถนาร้ายมาควบคุมประมุขปีศาจเหรอ? ประมุขปีศาจแค่คนเดียวจำเป็นต้องใช้ความปรารถนาร้ายจากทางใต้หล้ามาควบคุมเลยเหรอ? ทำไมข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มันผิดปกติล่ะ  นางเคยถามเรื่องนี้กับซูอวิ้นเหมือนกัน แต่ซูอวิ้นก็ไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของประมุขชิงกับประมุขพุทธะเหมือนกัน คำตอบที่ได้ไม่ค่อยต่างจากผู่หลัน

ผู่หลันส่ายหน้า  สถานการณ์โดยละเอียด อาตมาก็ไม่รู้จริงๆ แม้แต่อาจารย์พุทธะจิ้งฮวาก็ยังไม่รู้ชัดเจน เรื่องจริงโดยละเอียด คงมีเพียงผู้ริเริ่มอย่างประมุขชิงกับประมุขพุทธะที่รู้อยู่แก่ใจ 

เหมียวอี้ขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร

หลังจากผู่หลันกล่าวอำลาจากไปแล้ว เหมียวอี้ก็ยังคุณคิดเรื่องนี้อยู่ คิดไปคิดมาก็ยังให้หยางเจาชิงออกคำสั่งลงไป ว่าให้รีบเก็บรวบรวมความปรารถนาร้าย

หลังจากผู่หลันออกไปได้สามวัน เว่ยซูก็มาแล้ว

เป็นอย่างที่สั่งมีค่าตัวไว้ เฉาหม่านไม่มาด้วยตัวเองอีก แล้วไม่ได้ทำตามกำหนดเวลาสองวันที่บอกไว้ด้วย ฝั่งนี้ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะมาเมื่อไหร่

ละอองฝนที่โปรยลงมาเป็นพักๆ ทำให้ชายคามีเสียงน้ำหยด แสงแดดที่หักเหอยู่ในหยดน้ำฝนใสดุจอัญมณีส่องสะท้อนโลกที่อยู่โดยรอบ เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังพิงระเบียงของตึกศาลา สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ เหยียนซิวยืนเงียบอยู่ข้างๆ

หยางเจาชิงสีหน้าตึงเครียด ท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

 มากันกี่คน?  เหมียวอี้มองละอองฝนขมุกขมัวด้านนอกพลางเอ่ยถาม

 ข้างกายมีคนมาด้วยสิบคน ตอนนี้ยังถูกกักค้นตัวอยู่นอกประตูดวงดาว ยังไม่ทราบรายละเอียดมากันกี่คน คาดว่าคนที่มาที่นี่โดยตรงคงมีไม่เยอะ แต่ด้านนอกต้องมีกำลังพลคอยสนับสนุนแน่ ภายในของพวกเราก็คงมีสายลับของตระกูลเซี่ยโห้วเช่นกัน ถ้าเลยกำหนดเวลาแล้วเว่ยซูไม่ตอบกลับ หรือมีการต่อสู้ดังเกินไป ตระกูลเซี่ยโห้วคงไหวตัวทันทีแน่นอน ท่านอ๋องโปรดไตร่ตรองอีกที!  หยางเจาชิงกล่าว

 ฝั่งพวกเราเตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง?  เหมียวอี้เอ่ยถามอย่างใจเย็น

หยางเจาชิงแอบถอนหายใจ สงสัยท่านอ๋องจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วจริงๆ พยักหน้าตอบว่า  อาศัยการระดมพลช่วงนี้ แอบซ่อนกำลังพลไว้สิบล้านแล้ว ควบคุมการติดต่อกับภายนอกเอาไว้ทั้งหมด เตรียมพร้อมทุกเมื่อ กำลังพลส่วนหนึ่งมาถึงจุดที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว สามารถลงมือได้ทุกเมื่อ! 

เหมียวอี้เม้มริมฝีปากแน่นครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ  เชิญ! 

หยางเจาชิงกุมหมัดเอ่ยรับอย่างลำบากใจ  ขอรับ!  แล้วหันตัวเดินออกไป

เหมียวอี้ค่อยๆ เอียงหน้ามองเหยียนซิวที่อยู่ด้านข้าง แล้วพยักหน้าเบาๆ

เหยียนซิวพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

เรือนชั้นใน ในสวนของผังเสี้ยวเสี้ยว ในห้องที่กว้างใหญ่สบาย อวิ๋นจือชิว เฟยหง หลินผิงผิง เสวี่ยหลิงหลงและพวกกงหนีฉางกำลังพูดคุยหัวเราะอยู่ด้วยกัน

จู่ๆ ก็มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวเงียบๆ ควบคุมในสวนเอาไว้ สวีถังหรานนำกำลังพลมาด้วยตัวเอง

สวีถังหรานนำกำลังพลกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในห้องนอนของผังเสี้ยวเสี้ยว ล้อมคนที่อยู่ในห้องนอนเอาไว้อย่างรวดเร็ว

กลุ่มคนที่อยู่ในห้องตกใจ ทยอยกันลุกขึ้น อวิ๋นจือชิวก็ยิ่งถลึงดวงตางามถามว่า  สวีถังหราน เจ้าไปกินน้ำดีหมีมาหรือไง? คิดจะทำอะไร? 

สวีถังหรานกุมหมัดขออภัย กล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขมว่า  เหนียงเหนียง! นี่คือประสงค์ของท่านอ๋อง ให้พวกเรามาคุ้มครองเหนียงเหนียงกับอนุภรรยา ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิด นอกจากนี้ คนที่อยู่ในส่วนนี้นอกจากหวังเฟยแล้ว คนอื่นก็ห้ามติดต่อกับโลกภายนอก ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกควบคุมเอาไว้ขอรับ 

เสวี่ยหลิงหลงมองสีหน้าอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง แล้วแกล้งพูดเหมือนโมโห  สวีถังหราน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? 

สวีถังหรานถอนหายใจ  ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องอะไร ก็แค่ดำเนินการตามคำสั่งท่านอ๋อง ท่านอ๋องบอกไว้แล้ว ว่าถ้ามีช่องโหว่อะไร ข้าก็จะโดนตัดหัว รบกวนทุกท่านช่วยให้ความร่วมมือด้วย 

อวิ๋นจือชิวที่สีหน้าเย็นเยียบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ทันที ยังติดต่อได้อยู่ แต่กลับไม่ได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์จากเหมียวอี้เลย เหมียวอี้บอกประโยคเดียวว่า ให้นางอยู่ที่นั่นแต่โดยดี ตอนนี้อย่าเพิ่งถามอะไรมาก หลังจากจบเรื่องแล้วจะอธิบายให้ฟังอีกที

อวิ๋นจือชิวรู้ทันทีว่ากำลังจะเกิดเรื่องแล้ว จึงเปลี่ยนระฆังดาราติดต่อไปถามคนอื่น ในขณะนี้เอง ทหารหลายคนที่สวมเกราะรบยื่นอาวุธออกมาพร้อมกัน มาจ่ออยู่ตรงหน้าอวิ๋นจือชิว

พวกผู้หญิงตกใจมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าใช้อาวุธกับหวังเฟย อวิ๋นจือชิวตวาดว่า  พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? คิดจะก่อกบฏเหรอ? 

สวีถังหรานประสานมือโค้งกายด้วยรอยยิ้มเจื่อนอีกครั้ง  เหนียงเหนียงอย่าโทษข้าน้อยเลย ท่านอ๋องบอกไว้แล้ว ว่าครั้งแรกที่เหนียงเหนียงติดต่อกับข้างนอกนั้นไม่ต้องห้าม แต่จากนั้นห้ามให้ติดต่อกับใครที่อยู่ภายนอกอีก…เหนียงเหนียง คำสั่งทหารของท่านอ๋องไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ท่านอย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย ไม่อย่างนั้นพวกเราจะหัวขาดกันหมด 

 ไอ้สารเลว!  อวิ๋นจือชิวได้อย่างเครียดแค้น นับว่ามองออกแล้ว ว่าเหมียวอี้ให้โอกาสนางติดต่อกับเหมียวอี้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น จะได้ทำให้นางเบาใจ นางเดาว่าเหมียวอี้จะต้องทำเรื่องบางอย่างที่นางจะห้ามแน่นอน จึงไม่ให้นางติดต่อกับใครที่อยู่ภายนอกเลยเลย ไม่ให้นางสั่งใครให้มาห้าม

นางจินตนาการออกเลย ว่าเขาระมัดระวังตัวขนาดนี้ ถึงขนาดควบคุมพวกผู้หญิงของตัวเองไว้แล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน…

นอกจวนท่านอ๋อง พวกเว่ยซูมาถึงแล้ว ข้างกายมีผู้ติดตามสิบคน อีกฝ่ายรู้เช่นกันว่าต่อให้พาคนมาเยอะกว่านี้ก็เข้าจวนท่านอ๋องไม่ได้ เพียงแต่สิบคนนี้กลับตามติดไม่ห่างอยู่ข้างกายเว่ยซู

หยางเจาชิงรับคนเข้ามาทางประตูด้านข้างด้วยตัวเอง มุ่งตรงไปยังจุดสำคัญของเรือนชั้นใน

ในโถงหลัก เหมียวอี้ที่กำลังเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยหยุดฝีเท้า เอียงหน้ามองพวกเว่ยซูที่เดินเข้ามาแล้วเผยร้อยยิ้มเล็กน้อย

เว่ยซูที่เดินเข้ามาในโถงหลักดึงหน้ากากลงมา แล้วกุมหมัดคารว  คารวะท่านอ๋อง 

เหมียวอี้หันตัวมานั่งลง แล้วยื่นมือเชิญ  ท่านบุรุษเว่ยมาเยือนด้วยตัวเอง เป็นแขกที่มาไม่บ่อย วางน้ำชา! 

หยางเจาชิงกำลังจะถ่ายทอดคำสั่ง แต่เว่ยซูยกมือห้าม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง  น้ำชาน่ะไม่ต้องแล้ว ท่านอ๋อง จัดการธุระสำคัญกันดีกว่า 

 ธุระสำคัญอะไร?  เหมียวอี้ถามเหมือนแปลกใจ

เว่ยซูยืนขึ้นในโถง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง  ทำไมท่านอ๋องต้องแกล้งโง่ เรื่องที่ครั้งก่อนหัวหน้าตระกูลมานัดกับท่านอ๋องไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านอ๋องทำไมลืมเร็วขนาดนี้? 

 อ้อ?  เหมียวอี้เหมือนนึกขึ้นได้ ยืนขึ้นเช่นกัน พยักหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า  เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะลืมยังไง ย่อมจำได้อยู่แล้ว แต่ข้าจำได้ว่านัดกับท่านบุรุษเฉาไว้สองวันหลังจากนั้น ตอนนี้ผ่านไปนานเท่าไรแล้วล่ะ? 

เว่ยซูสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย  สองวันหลังจากนั้น แต่ไม่ได้บอกละเอียดว่าเมื่อไร ตอนนี้ก็ยังอยู่ในขอบเขตสองวันหลังจากนั้นไม่ใช่เหรอ ให้เวลาท่านอ๋องมากๆ หน่อย ก็เพื่อให้ท่านอ๋องเตรียมตัวได้เต็มที่ จะได้ไม่มีข้ออ้างอีก ฟังจากคำพูดท่านอ๋องแล้ว อย่าบอกข้าเชียวนะว่าส่งของไปให้คนอื่นแล้ว หรือว่าท่านอ๋องคิดจะกับคำพูด? 

 กล่าวเกินไปแล้ว  เหมียวอี้โบกมือ แล้วถามว่า  จะดูตอนนี้เลยมั้ยล่ะ? 

เว่ยซูพยักหน้า  ได้สิ! เรื่องเล็กแค่นี้ไม่คุ้มให้ท่านอ๋องเสียเวลาหรอก 

 ตามข้ามา  เหมียวอี้เดินผ่านเขาพลางพูดทิ้งท้าย แล้วเดินก้าวยาวออกไปข้างนอก

เว่ยซูและพรรคพวกหันตัวเดินตามไปทันที

เมื่อคนกลุ่มนี้ออกจากโถงหลัก ก็เดินไปยังสถานที่ลับตาของจวนท่านอ๋อง เดินมาถึงทางเข้าตำหนักใต้ดินที่มีต้นไม้แผ่คลุมเป็นร่ม ผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังเว่ยซูหยุดเฝ้าอยู่ด้านนอกทางเข้าสองคน คอยระแวดระวังรอบๆ

……………

 

เมื่อเห็นเขาเหมือนจะปลงและใจคอแห้งเหี่ยว หยางเจาชิงก็พูดปลอบใจว่า  ไม่มีใครที่สุขสำราญใจไปตลอดได้หรอกขอรับ ชาวบ้านก็มีเรื่องทุกข์ใจของชาวบ้าน ที่ไหนมีมนุษย์ที่นั่นก็มีบุญคุณความแค้น ทุกคนล้วนมีเวลาที่ต้องจ่ายทั้งนั้น ท่านอ๋องถือว่าทำดีต่อเหนียงเหนียงมากแล้ว 

 เจ้ากำลังบอกว่าข้าไม่รู้จักพอเพียงเหรอ?  เหมียวอี้ยิ้ม

 มิบังอาจ!  หยางเจาชิงรู้ว่าเขากำลังพูดเล่น จึงโค้งตัวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา ไม่รู้ว่าใครส่งข่าวมา ในฐานะที่เป็นพ่อบ้านของจวนท่านอ๋อง งานเบ็ดเตล็ดมักจะเยอะ หลังจากกำระฆังดาราไว้ หยางเจาชิงก็รายงานมา  ท่านอ๋อง มีแขกมาขอรับ แขกจากแดนสุขาวดี บอกว่าเป็นคนรู้จักเก่าของท่านอ๋อง 

 คนรู้จักเก่า?  จิตใต้สำนึกเหมียวอี้คิดว่าเป็นอวี้หลัวช่า  ใคร? 

 อรหันต์ผู่หลัน  หยางเจาชิงตอบ

 อรหันต์ผู่หลัน?  เหมียวอี้อึ้งเล็กน้อย ฝั่งนี้ได้รายชื่อสายลับที่ฮ่าวเต๋อฟางแทรกไว้แดนพุทธจากมือซูอวิ้น แต่คนรู้จักของเขาที่แดนสุขาวดีมีไม่มาก ดังนั้นถ้าเป็นคนรู้จักก็จำได้ง่ายมาก จึงถามว่า  ผู่หลันศิษย์คนสุดท้ายของพุทธะจิ้งฮวา? 

 ไม่ผิดหรอก เป็นนางขอรับ  หยางเจาชิงกล่าว

 อ้อ!  เหมียวอี้พยักหน้า  เช่นนั้นก็เป็นคนคุ้นเคย ในปีนั้นข้าติดหนี้น้ำใจนาง เจ้าช่วยข้าต้อนรับด้วยตัวเองสักหน่อย!  ในใจพึมพำว่า นักบวชหญิงคนนี้จะถ่อมาทำอะไรถึงนี่ แต่ตอนที่รู้จักกันในปีนั้น ผู่หลันคนนี้ก็ดีกับเขาจริงๆ ขอร้องอะไรก็ช่วยเหลือ

ผู่หลันมีพระสงฆ์ติดตามเพียงร้อยคน นางไม่ได้นำคนเข้ามาเยอะเกินไป นำเข้ามาเพียงสองคนเท่านั้น ที่เหลือรออยู่นอกจวนท่านอ๋อง จะเห็นได้ว่าไม่ได้คิดจะอยู่นาน

ถ้าพูดถึงฐานะ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ผู่หลันเทียบเหมียวอี้ไม่ติด แต่เห็นแก่ไมตรีที่อีกฝ่ายดูแลเขาในปีนั้น เหมียวอี้เฝ้ารออยู่ตรงประตูบันไดบนตึกศาลา ยิ่งไปกว่านั้นก็ส่งหยางเจาชิงไปต้อนรับด้วยตัวเองแล้วด้วย นับไว้หน้ามากพอแล้ว

ผู้หญิงหน้าตางดงามไม่ธรรมดาคนหนึ่งเดินตามข้างกายหยางเจาชิงขึ้นมาบนตึก บนมวยผมครอบผ้ามุ้งสีขาวลงมาถึงบ่า ใบหน้าเรียบร้อยภูมิฐาน หน้าผากอิ่มเกลี้ยงเกลา ยามกลอกตามองดูไม่ธรรมดา ราวกับดาวระยิบระยับในดาราจักร เปล่งประกายแวววับ แม้จะเป็นคนที่ออกบวช แต่กลับแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีขาวแบบฆราวาส สร้อยหยกห้อยลงตรงหน้าอกอิ่มเอิบ อากัปกิริยาสงบเงียบ

หน้าตาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังแต่งกายเหมือนเดิม เพียงสง่าราศีดูเหมือนนักบวช เหมียวอี้มองปราดเดียวก็จำได้แล้ว อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มบางๆ

ผู่หลันเผยฟันเล็กน้อย บนใบหน้าอมยิ้มเช่นกัน ก้าวเข้ามาประนมมือ  รบกวนท่านอ๋องให้มาต้อนรับด้วยตัวเอง  ผู้ติดตามสองคนที่อยู่ข้างหลังนางประนมมือตาม

เหมียวอี้ประนมมือตอบ  ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปี ฆราวาสสง่างามยิ่งกว่าในปีนั้นอีก  ขณะที่พูดก็ยื่นมือเชิญให้นั่ง

แขกและเจ้าบ้านนั่งลง สาวใช้นำน้ำชามาวาง ผู่หลันจ้องมองเหมียวอี้ด้วยสายตาบริสุทธิ์ กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า  แม้จะมองออกตั้งนานแล้วว่าท่านอ๋องไม่ใช่คนธรรมดา แต่อาตมาก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าชั่วพริบตาเดียวโยมหนิวในปีนั้นจะกลายเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ได้  ทำให้คนส่ายหน้าด้วยความปลงจริงๆ

เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ  ฆราวาสก็กลายเป็นอรหันต์แล้วเช่นกัน ประสบความสำเร็จไม่ธรรมดา 

อรหันต์มีระดับเทียบเท่าท่านโหวของตำหนักสวรรค์ อาศัยอย่างวรยุทธ์ผู่หลันแล้วกลายเป็นอรหันต์ได้ ก็นับว่าประสบความสำเร็จไม่ธรรมดาจริงๆ

 ท่านอาจารย์เมตตา ก็แค่ไม่กล้าไม่รับไว้ เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านอ๋องก็ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงหรอก  ผู่หลันบอกตรงๆ ว่าอาศัยว่ามีอาจารย์หนุนหลัง

หลังจากเหมียวอี้เชิญให้ดื่มน้ำชา ก็ถามว่า  ฆราวาสมาเยือนถึงประตูบ้าน เกรงว่าคงไม่ได้มาเพื่อรำลึกอดีตหรอกใช่ไหม? 

ผู่หลันหยิบแผ่นหยกออกมา ส่งต่อให้นักบวชหญิงที่อยู่ข้างหลัง นักบวชหญิงหันตัวไปหาหยางเจาชิง สุดท้ายพอของวางอยู่ในมือเหมียวอี้ ผู่หลันถึงได้บอกว่า  พุทธะจิ้งฮวาอาจารย์ของข้าได้รับคำสั่งจากประมุขพุทธะให้เชิญบรรดาอ๋องสวรรค์ไปฟังธรรม อาตมานึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เจอท่านอ๋องหลายปีแล้ว เลยเป็นฝ่ายขอมาส่งบัตรเชิญแทนท่านอาจารย์ 

 อ้อ ประมุขพุทธะจะเปิดพลับพลาเทศนาธรรมอีกแล้วเหรอ?  เหมียวอี้ขานรับ แล้วหยิบแผ่นหยกในมือขึ้นมาอ่าน

ฝั่งแดนสุขาวดี ประมุขพุทธะจะเปิดพลับพลาเทศนาธรรมที่เขาหลิงซานโดยเว้นระยะเป็นช่วงๆเทศนาธรรมครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาหลายวันหลายคืน เป็นงานใหญ่งานหนึ่งของแดนพุทธ นอกจากชาวพุทธที่เกี่ยวข้องกับแดนสุขาวดีที่ไปร่วมฟังได้ ก็จะเชิญขุนนางชั้นสูงบางส่วนของตำหนักสวรรค์มาด้วย เรื่องนี้เหมียวอี้รู้ดี แต่เวลาเปิดพลับพลาเทศนาธรรมที่ระบุในแผ่นหยกเป็นหนึ่งปีหลังจากนี้ จะว่าเร็วก็ไม่เร็ว จะว่าช้าก็ไม่ช้า

 ได้ ถึงตอนนั้นข้าจะไปฟังเสียงสวรรค์ของประมุขพุทธะ  เหมียวอี้รับปากทันที ส่วนตอนหลังจะไปหรือไม่ก็ต้องดูสถานการณ์ก่อน ถ้าไม่อยากไปขึ้นมา ก็หาข้ออ้างปฏิเสธได้ทุกเมื่อ

ผู่หลันประนมมือขอบคุณ แล้วจู่ๆ ก็ลุกขึ้นเดินเนิบนาบไปข้างระเบียงของตึกศาลา พิงระเบียงพลางทอดสายตามองจวนท่านอ๋องอันกว้างใหญ่ไพศาล  ตั้งแต่อ๋องสวรรค์ฮ่าวจากไป อาตมาก็มาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมีสนใจจะเดินเล่นเป็นเพื่อนอาตมาสักหน่อยไหม? 

คำพูดนี้หลงตัวเองเกินไปหน่อย นึกไม่ถึงว่าอรหันต์ต่ำต้อยคนหนึ่งจะขอให้อ๋องสวรรค์ผู้สง่าน่าเกรงขามเดินเล่นเป็นเพื่อนตัวเอง แต่คนที่อยู่ตรงนั้นล้วนฟังออกว่านางมีเรื่องจะคุยเป็นการส่วนตัวกับเหมียวอี้ เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือเชิญ  ทำไมจะไม่ได้ล่ะ 

ผู่หลันเหมือนไม่อยากลงไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ข้างล่าง นั่งมองไปบนสะพานทางเดินที่ทอดข้ามระหว่างตึกศาลา

เหมียวอี้ยิ้มแล้วยื่นมือเชิญไปที่สะพานทางเดิน จากนั้นทั้งสองก็เดินเล่นช้าๆ อยู่บนสะพาน

นักบวชหญิงสองคนอยู่ที่นี่ต่อ ส่วนหยางเจาชิงก็รีบหยิบระฆังดาราขึ้นมา สั่งให้คนกันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากบริเวณที่แขกกับเจ้าบ้านกำลังอยู่ด้วยกัน

ชมทิวทัศน์งดงามในจวนท่านอ๋องขณะเดินเล่นช้าๆ อยู่ในตึกศาลา ที่นี่มีเสน่ห์ไปอีกแบบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความงดงามหรูหราแลของหายากของทั้งจวนท่านอ๋อง ผู่หลันกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า  ช่างเป็นสถานที่งดงามเหมือนสวรรค์ในโลกมนุษย์จริงๆ! 

 คาดว่าสถานที่ฝึกบำเพ็ญของพุทธะจิ้งฮวาก็คงไม่ได้ไปกว่ากัน ได้ยินว่าเขาหลิงซานก็ยิ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพลังจิตวิญญาณ น่าเสียดายที่มีงานติดพันอยู่ตลอด หาโอกาสไปไม่ได้เลย  เหมียวอี้กล่าวตามมารยาท พอพูดถึงเขาหลิงซาน เขาก็นึกถึงเรื่องในปีนั้น กล่าวพร้อมยิ้มเรียบๆ  ในปีนั้นเคยไปเที่ยวที่เขาหลิงซาน ฆราวาสตั้งใจเตรียมให้ แต่ใครจะคิดว่ากลับเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด 

 อาศัยฐานะของท่านอ๋องตอนนี้ ถ้าอยากไปเขาหลิงซานก็สามารถไปได้ทุกเมื่อ เขาหลิงซานย่อมมองว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติ ไม่ต้องให้อาตมาเตรียมการให้หรอก  ผู่หลันกล่าว

ไม่เห็นนางชักช้าไม่เข้าประเด็นหลักเสียที เหมียวอี้ก็พูดหยอกว่า  ดูท่าแล้ว ฆราวาสคงจะมาที่นี่เพื่อรำลึกความหลังจริงๆ 

ผู่หลันกล่าวยังใจเย็นว่า  แม้อาตมาจะเป็นชาวพุทธ แต่กลับให้ความสนใจกับท่านอ๋องมาตลอด อุบายปลุกปลั่นสถานการณ์เหนือการคาดเดาที่ท่านอ๋องใช้มาตลอดหลายปีนี้ สามารถทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ ไม่รู้ว่ามีตั้งกี่ชีวิตที่ต้องตายเพราะท่านอ๋อง การต่อสู้ชิงตำแหน่งอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ ท่านอ๋องก็แสดงความทะเยอทะยานมาเต็มที่ กระพือลมคาวฝนเลือด คนที่ตายไปไม่ใช่แค่ร้อยล้าน ขอบังอาจถามท่านอ๋องสักคำ เคยรู้สึกผิดบ้างไหม? 

เหมียวอี้เหล่ตามองนางแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีเจตนาอะไร  ทำไมอ๋องผู้นี้จะไม่รู้สึกกังวลใจทุกข์ใจ ทำไมจะไม่อยากอยู่อย่างสงบ ทว่าต้นไม้หวังอยู่นิ่ง แต่ลมกลับไม่หยุดพัด ก่อนหน้านี้พ่อบ้านยังบอกกับข้าอยู่เลย ว่าที่ไหนมีมนุษย์ที่นั่นก็มีบุญคุณความแค้น จะทำยังไงได้ล่ะ? ฆราวาสเห็นเพียงตอนที่ข้าบีบบังคับผู้อื่น แต่เคยเห็นตอนที่ข้าถูกบีบให้จนตรอกหรือเปล่า นึกถึงตอนที่กำลังพลหนึ่งล้านต้องการจะเล่นงานข้าคนเดียวให้ถึงตายตอนเข้าร่วมการทดสอบแดนอเวจี แล้วตอนนี้ก็มีคนอยากได้หัวของข้าอีก มีใครเคยรู้สึกผิดบ้างหรือเปล่าล่ะ? เกรงว่าคงแค่แค้นที่ข้าไม่รีบตายเร็วๆ! ถ้าครั้งนี้ข้าไม่ชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ ก็จะมีคนมาลงมือกับข้าอยู่ดี ถ้าเปลี่ยนเป็นฆราวาสบ้าง ท่านจะทำอย่างไร? ฆราวาสเห็นแค่ภายนอกของข้า ไม่เคยเห็นเหตุผลที่อยู่ภายใน ถึงได้กล่าวเช่นนี้ ชาวพุทธมีคำกล่าวว่าสละร่างกายให้เสือกิน มีคนประเภทนั้นอยู่จริงหรือ? อย่างน้อยอ๋องผู้นี้ก็ไม่เคยเห็น แล้วก็ทำไม่ได้ด้วย ฆราวาสถามถึงใจของข้า ถ้าคิดจะพูดว่าทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฝากฝั่ง ข้าก็ขอบอกฆราวาสเอาไว้เลย ข้าไม่เคยรู้สึกผิด ไม่มีทางหันหลังกลับ และจะไม่หันหลังกลับด้วย ปล่อยให้ข้างหน้ามีทะเลทุกข์ทะเลเลือด ข้าจะขึ้นเรือกระดูกขาวข้ามไป! ฆราวาสพอใจหรือยัง? 

ผู่หลันส่ายหน้าถอนหายใจ  ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว อย่าโกรธเคือง อาตมาไม่ได้มีเจตนาจะประณาม เพียงแต่รู้สึกสะท้อนใจเมื่อนึกถึงตอนเจอท่านอ๋องครั้งแรก ท่านอ๋องในตอนนั้นกล้าหาญที่จะช่วยผู้อื่น ช่วยเหลือคนอ่อนแอ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอ๋องช่วยไว้ อาตมาก็ไม่มีวันนี้เช่นกัน ท่านอ๋องที่กล้าหาญช่วยเหลือผู้อื่น ในปีนั้น ตอนนี้ใต้เท้ากลับเหยียบภูเขากระดูกทะเลเลือด อาตมารู้สึกเหมือนฝันไป 

พอพูดถึงตรงนี้ ก็เป็นสิ่งที่หมียวอี้ฉงนสนเท่ห์มาตลอด อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว  ตามเวลาที่ฆราวาสกล่าวถึง ขอกล่าวอย่างล่วงเกิน อาศัยความงดงามของฆราวาส ถ้าเคยเห็นในปีนั้น คงไม่ถึงขั้นจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด ข้านึกไม่ออกจริงๆ ว่าเคยช่วยชีวิตฆราวาสไว้ตอนไหน 

 ฝนตกแล้ว!  ผู่หลันพึมพำ แล้วจู่ๆ ก็ก้าวออกไป ยื่นมือไปนอกชายคาของสะพานทางเดิน สัมผัสเม็ดฝนที่โปรยปรายเงียบๆ

เหมียวอี้มองไปด้านนอก พบว่าฝนตกแล้วจริงๆ จึงพูดไปเรื่อยเปื่อยว่า  ที่นี่มีฤดูฝนค่อนข้างยาวนาน ได้ยินว่าซูอวิ้น พ่อบ้านของฮ่าวเต๋อฟางชอบดูฝนตก ทุกครั้งที่ฮ่าวเต๋อฟางสร้างจวน ก็จะเลือกสถานที่ที่มีฤดูฝนมากก่อน 

ผู่หลันกลับหยิบขลุ่ยออกมาเลาหนึ่ง แล้วเป่าบรรเลงขณะมองไปยังเม็ดฝนขมุกขมัวด้านนอก นิ้วเรียวขาวขยับขึ้นลง เสียงขลุ่ยแฝงอารมณ์สะอื้นอยู่ลึก

 …  เหมียวอี้อ้าปากค้างพูดไม่ออ รู้สึกเหมือนเจอกับคนบ้าเข้าแล้ว ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าผู้หญิงคนนี้มีเจตนาอะไรกันแน่ ผู้หญิงออกบวชคนหนึ่งถ่อมาเป่าขลุ่ยอยู่ที่นี่ เล่นบ้าอะไรกัน? แต่เหมือนเขาเคยได้ยินเพลงนี้ที่ไหนมาก่อน เป็นเพราะเขาไม่ใช่คนมีอารมณ์สุนทรีย์ ฟังเพลงจากขลุ่ยมาน้อยมาก เป็นเพราะฟังมาน้อย บางครั้งเวลาได้ฟังจึงจำได้บ้าง ท่วงทำนองเพลงกระตุ้นเค้าโครงเหตุการณ์บางอย่างที่เลือนรางอยู่ในสมองของเขาขึ้นมา

บรรเลงเพลงแค่ช่วงเดียว หลังจากวางขลุ่ยไว้ในมือแล้ว ผู่หลันก็หันตัวมาถามด้วยรอยยิ้ม  เพลงนี้อาตมาแต่งเองเมื่อหลายปีก่อน คงจะไม่ค่อยเหมือนคนอื่น ไม่ทราบว่าท่านอ๋องฟังแล้วพอจะจำได้บ้างไหม? กลางดึกวงัดในปีนั้น เห็นท่านอ๋องอ้างว้าง เลยตั้งใจบรรเลงให้ท่านอ๋องฟังตรงตีนเขา 

 เคยเป่าขลุ่ยให้ข้าฟังเหรอ?  เหมียวอี้ชี้ที่ตัวเอง ในดวงตาเต็มไปด้วยความงุนงง เขาฟังขลุ่ยมาน้อย ทั้งยังมีคนเคยตั้งใจเป่าให้เขาฟังอีก เป็นไปไม่ได้ที่จะจำไม่ได้ พอจะคุ้นกับทำนองเพลงอยู่บ้างจริงๆ

ผู่หลันเล่าว่า  ในปีนั้นที่ดาวไร้ลักษณ์ โลกมนุษย์เผชิญไฟสงคราม อาตมาบ้านแตกสาแหรกขาด อุ้มลูกน้อยหลบหนีอยู่ท่ามกลางชาวบ้านที่ตกทุกข์ได้ยาก ตอนที่นอนค้างแรมในป่า จู่ๆ ก็มีฝูงหมาป่าบนภูเขาโจมตี ชาวบ้านหนีกระจัดกระจาย อาตมาหิวโหย ทั้งยังอุ้มลูกน้อย ไม่มีแรงวิ่งเลย ตอนที่สะดุดล้มลง มีหมาป่าหิวโหยหลายตัวกระโจนเข้ามา เดิมทีคิดว่าจะไม่รอดแล้ว แต่ใครจะคิดว่าท่านอ๋องจะปรากฏตัวขึ้น หมาป่าหิวโหยพวกนั้นถูกท่านอ๋องควงกระบี่ฟันสังหารหมด แล้วก็เห็นท่านอ๋องชีวิตคนตกทุกข์ได้ยากคนอื่น ไล่หมาป่าหิวโหยกระเจิง ตอนนั้นคนที่ร่วมเดินทางกับท่านอ๋องยังมีอีกสองคน แต่กลับมีแค่ท่านอ๋องที่ชักกระบี่ออกมาช่วยชีวิตมนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเรา จากนั้นท่านอ๋องก็ตัดต้นไม้จากในป่า ก่อฟืนวางหม้อ ปรุงเนื้อหมาป่าให้ชาวบ้านที่อดอยาก อาตมายังเคยนำเนื้อที่สุกแล้วชิ้นหนึ่งให้ท่านอ๋อง แต่ท่านอ๋องไม่รับไว้ อาตมาจึงลูกชายมาคุกเข่าตรงหน้าท่านอ๋อง ขอให้ท่านอ๋องรับเป็นลูกศิษย์ แต่ก็ถูกท่านอ๋องปฏิเสธเหมือนเดิม แต่ท่านอ๋องกลับสีหนทางรอดให้อาตมา ให้อาตมาไปที่เมืองต้าเหลียง อาณาเขตของเหลียงอ๋อง ไปหาพระชายาเหลียง บอกเพียงว่าลูกพี่ลูกน้องของพระชายาให้ไปหาก็พอ ทั้งยังบอกพระชายาด้วยว่า ขอเพียงพระชายายอมรับไว้ ท่านก็จะติดหนี้น้ำใจนาง…เป็นคืนนั้นเอง ที่อาตมาเคยเป่าขลุ่ยบรรเลงเพลงนี้ให้ท่านอ๋องฟัง 

……………

 

สำหรับเฮยทั่นแล้ว เหมียวอี้จะได้เป็นอ๋องสวรรค์เร็วขนาดนั้นได้อย่างไร รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าตาเฒ่าคนนี้มีปัญหา กำลังหลอกลวงตนอยู่

เรียกได้ว่าไม่พูดพร่ำทำเพลง ปล่อยหมัดใส่หน้าฝูชิงอย่างแรงทันที พอคุยกันไม่รู้เรื่องก็ลงมือแล้ว

ลงมือกะทันหันในระยะใกล้ขนาดนี้ แบบนี้ต่างอะไรกับการลอบโจมตีล่ะ? ฝูชิงตกใจทันที นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะให้เขามารับคนสาระเลวแบบนี้ เขาเองก็ไม่ใช่คนที่จะนั่งรอความตาย โบกหมัดโจมตีกลับไปเหมือนกัน

ชั่วพริบตาที่หมัดชนกัน ฝูชิงก็แอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว เสียงระเบิดดังบึ้ม ที่แขนมีเสียงกระดูกหักดังกร๊อบ  อั้ก  กระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง สะเทือนจนตัวกระเด็นออกไป

คนกระเด็นออกไปหลายลี้ ถึงได้หยุดอยู่กลางอวกาศ

ในดวงตาฝูชิงเต็มไปด้วยความหวาดระแวงสงสัย ร่างเดิมของเขาคือวานรยักษ์หลังเขียวสายเลือดโบราณ ฝึกตนมาจนถึงทุกวันนี้ สายเลือดถูกกระตุ้น แม้วรยุทธ์จะไม่สูงมาก แต่พลังก้าวหน้าเร็วมาก กระดูกแข็งแรงทนทานดุจเหล็ก กายเนื้อทนทานการโจมตี ในด้านพละกำลังก็เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ แม้จะมีเพียงวรยุทธ์บงกชกลายขั้นสาม แต่ถ้าใช้กำลังปะทะกันตรงๆ ก็สู้กับนักพรตที่ระดับสำแดงฤทธิ์ลงมาได้หมด แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกหมัดของอีกฝ่ายทำให้แขนหัก อีกฝ่ายใช้หมัดเดียวก็ทำให้ตนบาดเจ็บสาหัส

ถ้าอีกฝ่ายวรยุทธ์สูงมากก็ว่าไปอย่าง แต่ดูจากสัญลักษณ์พลังตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่าย ก็เห็นได้ชัดว่ามีพลังแค่ระดับบงกชกลายขั้นห้า เทียบกับเขาแล้วสูงกว่าสองขั้นเท่านั้น ตามหลักแล้ว ตอนนี้สายเลือดที่มีพรสวรรค์ของเขาถูกกระตุ้นแล้ว ถ้าใช้กำลังปะทะกันตรงๆ อีกฝ่ายก็ไม่น่าจะสู้เขาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะโจมตีจนเขาบาดเจ็บ ทว่าเขาตระหนักได้อย่างชัดเจน ว่าเจ้าหนุ่มวรยุทธ์บงกชกลายขั้นห้าคนนี้ พอปล่อยหมัดออกมาครั้งเดียว อานุภาพการโจมตีก็น่าตกใจมาก ไม่ด้อยกว่านักพรตระดับระดับสำแดงฤทธิ์เลย ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นนักพรตประเภทที่มีพรสวรรค์ด้านพละกำลัง เหมือนพรสวรรค์นี้จะเหนือกว่าเขาด้วย

พอเอาชนะศัตรูได้ด้วยหมัดเดียว เฮยทั่นก็ตื่นเต้นไม่หยุด จิตวิญญาณนักสู้เพิ่มขึ้นหลายเท่า หัวเราะเสียงดังแล้วบอกว่า  โจรเฒ่าเอ๊ย ยังไม่ยอมให้จับแต่โดยดีอีก!  ปากก็พูดอย่างนี้ แต่ท่าทางตอนพุ่งเข้ามาก็ชัดเจนมากว่าจะโจมตีต่อ เขาเตรียมจะจัดการฝูชิงแล้วเอาไปขอรางวัลกับเหมียวอี้

ทว่าพอพุ่งมาได้ครึ่งทางก็งงเป็นไก่ตาแตก เบิกตาโพลงและหยุดอย่างกะทันหัน

พอฝูชิงโบกมือ ฝั่งซ้ายและฝั่งขวาก็ปรากฏกำลังพลนับหมื่น ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์นับพันเล็งไปที่เฮยทั่นแล้ว ในจำนวนนั้นมีไม่น้อยที่เป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหก

กำลังพลทัพอารักขาของเหมียวอี้ย่อมฝีมือไม่แย่อยู่แล้ว

 ไอ้แก่นี่ ยังมียางอายอยู่ไหม?  เฮยทั่นที่สีหน้าบิดเบี้ยวร้องโวยวาย กำลังจะสื่อว่าพวกเยอะกว่าแล้วเก่งตรงไห

 ถุย!  ฝูชิงถ่มน้ำลายปนเลือด เกิดอารมณ์ชั่ววูบจะสั่งให้ล้อมโจมตรี แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเป็นคนที่เหมียวอี้สั่งให้ตนมารับ เขาก็ยังข่มใจไว้ มือข้างหนึ่งหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ ถามว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่

ผ่านไปคู่เดียว เฮยทั่นก็ได้รับการติดต่อจากเหมียวอี้ผ่านระฆังดาราเช่นกัน ทำหน้าไม่ถูกกันที หลังจากเก็บระฆังดาราแล้วก็ชูสองมือ ทำสีหน้าเหมือนไร้ความผิดพร้อมบอกว่า  ฝูชิง เข้าใจผิดไง! 

 มัดเลย!  ฝูชิงตะคอก

ทหารจำนวนมากพุ่งเข้าไปทันที เชือกมัดเซียนขั้นหกสองเส้น เชือกมัดเซียนขั้นห้าสิบกว่าเส้น มัดเฮยทั่นเอาไว้จนเหมือนบ๊ะจ่าง แล้วหิ้วกลับมาโยนไว้ตรงเท้าฝูชิง

ตุ้บๆๆ! ฝูชิงที่กำลังยัดสมุนไพรเซียนเข้าปากเตะเขาอย่างแรงหลายที เหมียวอี้สั่งให้ซ้อมแล้วพากลับมา ไม่ซ้อมจนตายก็พอแล้ว

 ฝูชิง เข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดจริงๆ!  เฮยทั่นครวญคราง นึกไม่ถึงว่าพอออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็เจอเรื่องซวยแบบนี้เลย

ฝูชิงมีหรือจะสนใจว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า นอกจากเตะระบายความโกรธไปหลายทีแล้ว ตอนหลังก็เก็บเขาไว้โดยตรง หลังจากเก็บกำลังพลแล้ว ก็เหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

อาณาเขตทัพใต้ จวนอ๋องสวรรค์ บนตึกศาลาสูงตระหง่าน เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวกำลังเดินอยู่ด้วยกัน เห็นฝูชิงเดินเข้ามานะจวนท่านอ๋องแล้ว

อวิ๋นจือชิวกล่าวกับเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ด้วยรอยยิ้มว่า  ไม่เจอกันหลายปี ต้องโทษที่ยังคิดถึงเจ้าเด็กดำนั่น ก็แค่ซุกซนไปหน่อย ที่จริงแล้วนิสัยดีใช้ได้เลย  ขณะที่พูดก็ปรายตามองเหมียวอี้ที่หน้าดำคร่ำเครียด สงสัยจะช่วยพูดให้เฮยทั่น

นางรู้สถานการณ์แล้วเช่นกัน เดิมทีให้ฝูชิงพาตัวเฮยทั่นกลับมาเงียบๆ ผลปรากฏว่าเจ้าเวรตะไลเฮยทั่นลงมือกะทันหัน ทำเอาฝูชิงต้องใช้กำลังพลปกป้องตัวเอง ถึงขนาดทำให้ทหารยามที่เฝ้าตรงทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์เห็นแล้ว แบบนี้เรียกว่าไปรับมาเงียบๆ เสียที่ไหนกัน พอออกมาก็ก่อเรื่องเลย เหมียวอี้โมโหแล้ว

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์พยักหน้าเม้มปากหัวเราะพร้อมกัน

สองหมื่นกว่าปีก่อน ตอนที่เฮยทั่นกลายร่างเป็นมนุษย์ครั้งแรก เพื่อหลบการล้อมปราบวิญญาณชั่วร้ายของตำหนักสวรรค์ เหมียวอี้พาเฮยทั่นกับเทพสตรีผู้พิทักษ์ออกมาแล้วรอบหนึ่ง ดังนั้นพวกนางถึงเคยเห็นเฮยทั่นแล้ว

ผ่านไปครู่เดียว หยางเจาชิงก็นำฝูชิงขึ้นมาบนตึกศาลา

ฝูชิงโยนเฮยทั่นที่โดนมัดเหมือนบ๊ะจ่างออกมา แล้วกุมหมัดคารวะ  คารวะท่านอ๋อง คารวะหวังเฟยเหนียงเหนียง 

เดินมาถึงตำแหน่งอย่างทุกวันนี้แล้ว คำเรียก ‘เจ้าห้า’ กับ ‘น้องห้า’ ไม่ถูกเอ่ยถึงอีก แค่ทำเหมือนกับเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถ้ายังจดจำเรื่องพี่น้องร่วมสาบานในอดีตอีก แบบนั้นก็แปลว่าไม่รู้กาลเทศะแล้ว

ท่านอ๋อง? หวังเฟย? เฮยทั่นที่นอนอยู่บนพื้นกลอกตามองทั้งสอง จากนั้นในดวงตาก็ฉายแววตื่นตระหนกตกใจ

เห็นเพียงเหมียวอี้เดินมาตรงหน้าเขาอย่างช้าๆ แล้วยกเท้าเตะอย่างบ้าคลั่งยกหนึ่ง เตะจนเฮยทั่นร้องโอดโอย  ฮูหยิน ช่วยข้าด้วย เหนียงเหนียง ช่วยข้าด้วย! 

การซ้อมยกนี้ เหมียวอี้ทั้งโมโหทั้งซ้อมให้ฝูชิงดูด้วย

ผ่านไปสักครู่หนึ่ง อวิ๋นจือชิวทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่าเหมียวอี้ลงมือโหดเหี้ยมเกินไปหน่อย เริ่มปวดใจแล้วเช่นกัน ถึงอย่างไรก็เป็นสัตว์พาหนะที่ติดตามเหมียวอี้มาตั้งแต่ตอนก้าวเข้าแดนฝึกตน ในปีก่อนๆ เฮยทั่นก็มักแสดงนางวิ่งฝ่าลมเหมือนกัน ช่วงเวลาที่เหมียวอี้ไม่อยู่ข้างกาย นางก็เลี้ยงอาชามังกรที่นอนหลับตรงประตูเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวน้อยตัวหนึ่ง จะปล่อยให้ตีไม่หยุดอย่างนี้ได้อย่างไร จึงบอกทันทีว่า  นิสัยเขาก็ดื้อรั้นอย่างนี้แหละ สั่งสอนแล้วก็พอได้แล้ว 

แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว มันกลับไม่ใช่อย่างนั้นเลย เขารู้จักสันดานเฮยทั่นดีที่สุด เจ้าเวรตะไลนี่มันคันหนัง ถ้าไม่ให้บทเรียนยาวๆ กับเขา ก็ไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องอะไรอีก ต้องตีให้เจ็บถึงจะจำไปยาวๆ

อวิ๋นจือชิวมองไปที่ฝูชิงทันที  พี่รอง คนคนนี้เจ้าก็รู้จัก อาชามังกรของท่านอ๋องตอนอยู่พิภพเล็ก เฮยทั่นไง! 

เฮยทั่น? ฝูชิงอึ้งทันที แล้วก็ตกใจเอง เฮยทั่นกลายร่างเป็นมนุษย์แล้วหรือ มีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ?

จากนั้นก็เข้าใจคำพูดของอวิ๋นจือชิวทันที นางต้องการให้ตนช่วยพูด จึงก้าวเข้าไปขวางและกุมหมัดคารวะเหมียวอี้ทันที  ท่านอ๋อง เข้าใจผิดแล้ว ที่จริงแล้วเป็นความเข้าใจผิด 

เหมียวอี้ชี้ด่าเฮยทั่นที่ร้องคราง  ชอบโดนตีนักไม่ใช่เหรอ? ถ้าครั้งหน้าพาลเกเรอีก ข้าจะสับกรงเล็บเจ้าซะ 

 ไม่กล้าแล้ว  เฮยทั่นร้องไห้จนคัดจมูก โดนซ้อมจนหน้าเขียวเลือดออกปากออกจมูก

ฝูชิงหันตัวมาคลายมัดให้เขาทันที จากนั้นก็กล่าวขอตัว  ท่านอ๋อง เหนียงเหนียง ถ้าไม่มีอะไรกำชับแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน 

 พี่รอง ในเมื่อมาแล้ว ไปอยู่หลายๆ วันก่อนแล้วค่อยไปสิ  อวิ๋นจือชิวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ฝูชิงบอกว่า  ยังมีงานต้องทำอีกไม่น้อยขอรับ  ถือว่าปฏิเสธแล้ว คนระดับเขาสามารถเข้าออกจวนท่านอ๋องได้ก็นับว่าอยู่สูงกว่าคนอื่นแล้ว ถ้าอยู่เล่นที่นี่โดยไม่มีธุระอะไรก็จะเกินไปหน่อย

 รบกวนแล้ว  เหมียวอี้ยกมือบอกใบ้ หยางเจาชิงยื่นมือเชิญทันที ออกไปส่งฝูชิงด้วยตัวเอง

เฮยทั่นยังขดตัวอยู่บนพื้น ไม่กล้าขยับไปไหน

อวิ๋นจือชิวเดินเข้าไปนั่งยองๆ ข้างกายเขา ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเขาพลางตำหนิว่า  ตีได้ดี! ใครใช้ให้เจ้าคุยไม่ถูกคอก็ลงมือเลย ยังไม่ถามเรื่องราวให้กระจ่างก็ลงมือแล้ว โชคดีนะที่เจอคนของตัวเอง ถ้าเป็นคนอื่น มีหรือที่จะเกรงใจเจ้าแบบนี้? แกล้งตายทำไม ลุกขึ้นมา! 

เฮยทั่นลุกขึ้นยืน ไปหลบอยู่ข้างหลังอวิ๋นจือชิวด้วยท่าทางอ่อนปวกเปียก เหมือนซ่อนข้างหลังนางเพื่อหลบสายตาเหมียวอี้

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์แอบหัวเราะ ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นเฮยทั่นโดนซ้อม ในปีนั้นตอนอยู่พิภพเล็กก็เห็นฉากนี้บ่อยๆ

 พอแล้ว เลิกโมโหได้แล้ว  อวิ๋นจือชิวผลักไหล่เหมียวอี้

เหมียวอี้ยื่นมือผลักนางไปอีกด้าน แล้วจ้องเฮยทั่น  เอาของมาแล้วหรือยัง? 

เฮยทั่นพยักหน้าซ้ำๆ ใช้สองมือหยิบกำไลเก็บสมบัติหลายวงมอบให้  ของในหินหนืดที่หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญถูกวิญญาณอัคคีพวกนั้นสอยมาหมดแล้ว ทั้งหมดอยู่ในนี้ 

สาเหตุที่ครั้งนี้เขาออกมาได้ เป็นเพราะเวลาว่างๆ เขามักใช้ระฆังดาราติดต่อขอร้องอวิ๋นจือชิว นางเองก็รู้สึกว่าการที่เขาถูกขังอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์นานขนาดนั้นน่าสงสาร จึงช่วยพูดให้เขาสักหน่อย คำพูดของนางมีอิทธิพลต่อเหมียวอี้พอสมควร สาเหตุรองเป็นเพราะสมบัติที่อยู่ในหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ เมื่อมีโอกาสเหมาะแล้ว เหมียวอี้ก็ย่อมต้องเอาออกมา จะได้ไม่มีคนอื่นมาชุบมือเปิบ เขาเตรียมนำสมบัติชุดนี้ไว้เลี้ยงกำลังพลในแดนอเวจี

เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้อวิ๋นจือชิว เรื่องนี้ส่งให้อวิ๋นจือชิวไปจัดการแล้ว

อวิ๋นจือชิวตรวจดูของในกำไลเก็บสมบัติคร่าวๆ นางตาลุกวาวและเดาะลิ้นไม่หยุด จากนั้นก็บอกเฮยทั่นว่า  ยังโดนซ้อมไม่พอใช่ไหม? ไปกับข้า อย่าอยู่ตรงนี้ให้ขัดหูขัดตาคน 

เฮยทั่นปวดหัวทันที หลบสายตาเหมียวอี้ แล้วรีบวิ่งตามหลังนางออกไป

ผ่านไปไม่นาน ที่ชั้นล่างของตึกศาลา มีเสียงประจบสอพลอของเฮยทั่นดังขึ้น  ฮูหยิน ท่านกลายเป็นหวังเฟยได้ยังไงเนี่ย? 

 ทำไมล่ะ? เจ้ารู้สึกว่าข้าไม่คู่ควรเหรอ? 

 ที่ไหนกันล่ะ ข้าก็สงสัยว่าทำไมรู้สึกว่าฮูหยินสวยขึ้น ที่แท้ก็เพราะเป็นหวังเฟยแล้วนี่เอง 

อวิ๋นจือชิวหัวเราะคิกคักไม่หยุด  งั้นก็แปลว่า ถ้าข้าไม่ใช่หวังเฟยก็ไม่สวยน่ะสิ? ถ้าประจบไม่เป็นก็อย่าประจบเลย 

 เปล่านะๆ ฮูหยินเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในใต้หล้ามาโดยตลอด ถ้าใครกล้าบอกว่าตัวเองสวยกว่าฮูหยิน ข้าจะสับนางให้เละเป็นเนื้อทันที ไม่ได้พูดจะจบจริงๆ นะ ข้าพูดจริงทำจริง! 

 เหอะๆ!  เสียงหัวเราะของเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ดังขึ้น

 เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าก็สวยขึ้นทุกวันเหมือนกัน นอกจากฮูหยินแล้ว ก็มีพวกเจ้าสองคนนี่แหละที่สวยที่สุด 

เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ด้านบนได้ยินชัดเจน สีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย คิดในใจว่าหน้าด้านยิ่งกว่าสวีถังหรานเสียอีก

หยางเจาชิงที่ออกไปส่งฝูชิงเรียบร้อยแล้วกลับมาบนตึกศาลา พอเห็นเหมียวอี้หน้าตึง ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า  ท่านอ๋อง ครั้งนี้ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ เฮยทั่นโดนขังอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์หลายปีขนาดนี้ ไม่รู้เรื่องทางฝั่งนี้จริงๆ พอให้อภัยได้ขอรับ 

 ถ้ากังวลเรื่องนิสัยของเจ้าเวรนี่ เขาจะออกไปสร้างความขัดแย้งข้างนอกได้ง่ายๆ ถ้าไม่ใช่เพราะหวังเฟยขอร้องอยู่ข้างหูข้าตลอด ทางที่ดีที่สุดคือให้เขาอยู่ฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ต่อไป  เหมียวอี้พูดแล้วก็หยุด ชี้ลงไปด้านล่าง  เจ้าดูสิ เจ้าดู เขานิสัยเสียเพราะผู้หญิงพวกนี้ให้ท้ายทั้งนั้น! 

หยางเจาชิงมองลงไปข้างล่าง เห็นเพียงเฮยทั่นทำตัวเหมือนเป็นเด็กน้อยขี้สงสัย เดินเพ่นพ่านไปทั่วทั้งจวนท่านอ๋องอันกว้างใหญ่ หวังเฟยดันนำเชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์เดินเป็นเพื่อนเขาด้วยตัวเอง พูดคุยยิ้มแย้มกันตลอดทาง เขาอดไม่ได้ที่จะใส่หน้าเช่นกัน  เหนียงเหนียงเป็นคนที่รู้จักควบคุมระดับให้พอดี ถ้าให้เฮยทั่นไปทางทิศตะวันออก เขาก็ไม่กล้าไปทางทิศตะวันตกหรอก เขาเชื่อฟังเหนียงเหนียงที่สุด เหนียงเหนียงมีวิธีการควบคุมเฮยทั่นอยู่แล้ว บางทีอาจได้ผลกว่าการใช้หมัดใช้เท้าของท่านอ๋องก็ได้ มิหนำซ้ำก็มีท่านอ๋องคอยดูอยู่ น่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกขอรับ ขอเพียงเหนียงเหนียงมีความสุขก็พอแล้ว…เรือนว่างในจวนนี้กำลังจะมีคนเข้ามาอยู่ไม่น้อยเลย ในใจเหนียงเหนียงรู้สึกขื่นขมจริงๆ ไม่มีผู้หญิงคนไหนเต็มใจจริงๆ หรอกขอรับ กับบางเรื่องท่านอ๋องแกล้งปิดตาข้างเดียวก็พอแล้ว 

เหมียวอี้เงียบไป จ้องเงาร่างของอวิ๋นจือชิวที่กำลังสนุกสนานอยู่กับเฮยทั่นในสวน พลางถอนหายใจเบาๆ  ข้าก็หวังว่านางจะมีความสุขสำราญใจไปทั้งชีวิต เพียงแต่เมื่อเดินมาถึงวันนี้แล้ว เรื่องบางเรื่องก็ทำได้เพียงปฏิบัติต่อนางอย่างไม่เป็นธรรม… 

……………

 

 โยวเหม่ยช่างใส่ใจจริงๆ  อวิ๋นจือชิวยิ้มเจื่อน

จูโยวเหม่ยป้องปากหัวเราะ  คนที่ขาดคุณธรรมน้ำมิตรแบบนี้ ตระกูลเถิงก็ไม่กล้าเก็บไว้เช่นกันค่ะ 

เมื่อเห็นมู่หรงซิงหัวมีอารมณ์แปลกไป อวิ๋นจือชิวก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก โบกมือบอกไปว่าเดินทางต่อไป

มู่หรงซิงหัวสับสนมึนงงนิดหน่อย สำหรับการตายของเฉาว่านเสียง นางก็ไม่ถึงขั้นทุกข์ใจอะไร และไม่ได้เจ็บปวดใจด้วย เพียงแต่รู้สึกว่าตายอย่างกะทันหันเกินไป ในสมองว่างเปล่าไปเลย

ซูอวิ้นถอนหายใจเบาๆ แล้วจูงแขนนางเหาะไปด้วยกัน…

ดาราจักรกว้างใหญ่ไพศาล เส้นทางยาวไกล ทุกคนของทัพใต้ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงอุทยาน รวมตัวกันคุ้มครองส่งอวิ๋นจือชิวกลับจวนท่านอ๋องก่อน หลังจากคำนับท่านอ๋องแล้วถึงได้ขอตัวออกไป

ส่วนอวิ๋นจือชิวก็พาจูโยวเหม่ยที่บอกว่าจะมาเยี่ยมชมจวนท่านอ๋องเที่ยวเล่นในจวนท่านอ๋อง ไม่สนใจว่าเที่ยวชมจริงหรือไม่ จูโยวเหม่ยย่อมต้องชมว่าทิวทัศน์งดงามอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว

เมื่อเห็นเขตลานบ้านส่วนใหญ่ในจวนท่านอ๋องยังว่างอยู่ จูโยวเหม่ยก็แปลกใจอยู่บ้าง  เหนียงเหนียง ทำไมมีลานบ้านว่างอยู่เยอะขนาดนี้คะ? 

อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม  ว่างเหรอ? ท่านอ๋องของข้ารับอนุภรรยาเข้ามานับพันในรวดเดีย ตอนนี้ยังรอตรวจสอบตัวตนอยู่ข้างนอก ถ้าผ่านช่วงนี้ไปแล้วเจ้าค่อยมาใหม่ก็ได้ คาดว่าในจวนท่านอ๋องคงจะคึกคักมาก 

ตอนนี้จูโยวเหม่ยเพิ่งจะเข้าใจ เรื่องรับอนุภรรยานับพันในรวดเดียว นางเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว นางป้องปากหัวเราะ  ท่านอ๋องเป็นคนองอาจห้าวหาญจริงๆ ด้วย ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปคงรับไม่ไหว 

องอาจห้าวหาญ? อวิ๋นจือชิวพึมพำในใจว่า แค่เนี่ยอู๋เยี่ยนคนเดียวก็ทำให้ท่านขุนนางเหมียวรับไม่ไหวแล้ว

และในตอนนี้เอง หยางเจาชิงก็มาหาพวกนางแล้ว  เหนียงเหนียง บรรดาท่านจอมพลไปหมดแล้ว ท่านอ๋องเชิญเถิงฮูหยินขอรับ 

แค่ได้ยินคำว่า ‘เถิงฮูหยิน’ ก็ทำให้จูโยวเหม่ยราวกับมีดอกไม้บานในใจแล้ว จูโยวเหม่ยโบกมือเล็กน้อย ให้คนตบรางวัลแก่หยางเจาชิงทันที ถ้าต้องการแสดงไมตรีต่อเหมียวอี้ การแสดงน้ำใจต่อลูกน้องคนสนิทข้างกายเหมียวอี้ย่อมได้ประโยชน์มาก

หยางเจาชิงก็ไม่เกรงใจเช่นกัน เมื่ออยู่ในตำแหน่งที่สูงระดับหนึ่ง ของขวัญบางอย่างถ้าไม่รับไว้ก็จะไม่เหมาะสม ของขวัญที่ไม่ติดหนี้น้ำใจสามารถรับไว้ได้

 โยวเหม่ย เดี๋ยวกลับมาค่อยเดินเล่นต่อเหรอ?  อวิ๋นจือชิวถาม

จูโยวเหม่ยรีบตอบว่า  แน่นอนอยู่แล้วค่ะ จะให้ท่านอ๋องหนิวรอนานได้ยังไง ควรจะไปคำนับก่อนค่ะ 

การมาเที่ยวเล่นที่นี่ย่อมไม่ใช่เป้าหมาย การมาพบเหมียวอี้ต่างหากที่เป็นจุดสำคัญ ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าเหมียวอี้จะไปพบแม่ทัพใต้บังคับบัญชา นางคงไปคำนับทันทีที่มาถึงแล้ว

ในโถงหลักสำหรับรับแขก พอเข้ามาก็เห็นเหมียวอี้กำลังรออยู่แล้ว จูโยวเหม่ยรีบก้าวขึ้นมาคำนับ  ผู้น้อยคำนับท่านอ๋องหนิว รบกวนให้ท่านอ๋องรอ ขออภัยจริงๆ ค่ะ 

เหมียวอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า  ไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่งเถอะ  เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ ถือโอกาสมองประเมินผู้หญิงคนนี้ศีรษะจดเท้าอย่างเป็นทางการ เมื่อก่อนเคยเจอผู้หญิงคนนี้ที่อุทยานหลวง แต่ไม่เคยเจอใกล้ๆ พอได้เจออีกครั้งตอนนี้ ก็พบว่าเป็นยอดหญิงงามที่หาพบได้ยากเช่นกัน ถูกเถิงเฟยส่งมาจัดการเรื่องนี้ได้ ดูท่าแล้วคงได้รับความเชื่อใจจากเถิงเฟยพอสมควร

เขาย่อมรู้ผ่านอวิ๋นจือชิวแล้วว่าผู้หญิงคนนี้มีจุดประสงค์อะไร

 ขอบคุณที่ท่านอ๋องเชิญนั่ง  จูโยวเหม่ยกล่าวอย่างสุภาพ ท่าทีสงบเสงี่ยม พร้อมทั้งมองประเมินเหมียวอี้เช่นกัน

ถ้าพูดถึงภาพลักษณ์ภายนอก เหมียวอี้ย่อมดีกว่าเถิงเฟยมาก อย่างน้อยก็ดูหนุ่มกว่าเยอะ พอนึกว่าอีกฝ่ายอายุน้อยแต่ได้เป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้แล้ว จูโยวเหม่ยก็แอบรู้สึกทอดถอนใจเช่นกัน ท่านอ๋องของตัวเองแม้จะถูกเรียกว่าอ๋องสวรรค์มาหลายปี แต่ความจริงแล้วต้องใช้สองคนรวมกันถึงจะเทียบกับอีกฝ่ายได้ ความแตกต่างที่อยู่ในนั้นทำให้คนปวดใจ โดยเฉพาะคนที่ตัวเองเคยดูถูกในปีนั้น ชั่วพริบตาเดียวก็ก้าวถึงตำแหน่งนี้แล้ว ตอนนี้นางมีสิทธิ์แค่ตีสนิทกับคนที่มีฐานะสูงกว่าเท่านั้น

เมื่อทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน ถ้าจะบอกว่านางไม่อิจฉาอวิ๋นจือชิวเลยสักนิดก็โกหกแล้ว ในใจก็สงสัยเหมือนกับคนส่วนใหญ่ ว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยแต่งงานมาแล้วมีวาสนาขณะนี้ได้อย่างไร จะไปทวงความยุติธรรมที่ไหนดี

ทั้งสองทักทายกันตามมารยาทไม่กี่ประโยค จูโยวเหม่ยย่อมไม่ลืมจุดประสงค์ของการมาที่นี่ จากคำพูดที่เหมียวอี้ชมเถิงเฟยตามมารยาท นางเริ่มมีเรื่องให้หยั่งเชิง  ท่านนั้นของบ้านข้าจะเทียบท่านอ๋องได้ยังไงคะ ท่านอ๋องคุมทั้งทัพใต้ ท่านอ๋องของข้าได้แต่ถอนใจที่เทียบไม่ติด เสียดายที่ตัวเองเป็นคนบาปที่แบ่งแยกทัพตะวันออก ตั้งใจจะสร้างผลงานชดเชยความผิด แต่ก็กลัวว่าคนอื่นจะว่าเขาเสแสร้ง สนใจที่ถูกสถานการณ์บีบบังคับ ไม่รู้จะไประบายความทุกข์ใจที่ไหน! พอเห็นท่านอ๋องของข้าตำหนิตัวเองอย่างนั้น ข้าก็ทุกข์ใจเหมือนกัน ถ้าท่านอ๋องมีเวลาว่าง ก็ช่วยข้าโน้มน้าวเขาสักหน่อยเถอะ เขาอาจจะฟังความเห็นของท่านอ๋องก็ได้ 

เหมียวอี้จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม  ตอนนี้ข้าก็ยังเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน ปรับปรุงทัพใต้ใหม่ มีเรื่องยุ่งยากไม่น้อย รอให้ทัพใต้มีเสถียรภาพเต็มที่ก่อน แล้วข้าจะหาโอกาสไปคุยกับท่านอ๋องเถิง 

เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตอบตกลงเรื่องนี้ในตอนนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าก้นตัวเองยังเช็ดไม่สะอาด ทำไมเขาต้องไปช่วยเถิงเฟยด้วยล่ะ? ช่วยเฉิงไท่เจ๋อไม่ได้เหรอ? อย่างน้อยก็ต้องสังเกตการณ์สักหน่อยว่าช่วยคนไหนแล้วได้ประโยชน์มากกว่า แค่ตัดหัวเฉาว่านเสียงกับฮูหยินได้ก็จะให้ตนออกแรงช่วยแล้วเหรอ จะเป็นไปได้ยังไง? ยิ่งไปกว่านั้นเถิงเฟยก็เหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้เขา ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้อนุภรรยามาหยั่งเชิงเขาก่อน

แบบนี้เท่ากับปฏิเสธแล้ว จูโยวเหม่ยสีหน้าเปลี่ยนนิดหน่อย แต่ก็หาคำพูดมาพยายามตอบไม่หยุด ถึงขนาดแอบบอกใบ้ให้เหมียวอี้เสนอเงื่อนไขด้วย ทว่าเหมียวอี้ไม่ยอมรับปากเลย นางผมได้เข้าใจว่าครั้งนี้มาเสียเที่ยวแล้ว

ส่วนเหมียวอี้ก็ไม่อยากเสียเวลากับนางต่อไป หาข้ออ้างว่ามีงานต้องทำ ให้อวิ๋นจือชิวมาดูแลแขก ทิ้งจูโยวเหม่ยเอาไว้แล้วเดินออกไปแล้ว

จากนั้นพอเจออวิ๋นจือชิวอีก ก็บอกอวิ๋นจือชิวว่าให้ทำให้จูโยวเหม่ยออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

ฝั่งเฉาหม่านไม่รู้ว่าจะส่งคนมาเมื่อไหร่ เขาต้องเตรียมตัวเคลื่อนไหว ไม่อยากให้คนนอกเห็นความวุ่นวาย

รออยู่สองวัน เห็นว่าไม่สามารถทำให้เหมียวอี้รับปากได้จริงๆ ถึงขั้นไม่เห็นแม้แต่หน้าเหมียวอี้ จูโยวเหม่ยก็ทำได้เพียงขอตัวลา

อวิ๋นจือชิวส่งจูโยวเหม่ยออกจากจวนท่านอ๋องด้วยตัวเอง โบกมือส่งด้วย

ซูอวิ้นที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับแววตาวูบไหว มองไปที่ด้านข้าง เห็นคนนั้นที่มักปรากฏตัวอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อีกฝั่งของแม่น้ำตรงสวนป่าสุสานก่อนหน้านี้

คนผู้นิยมไม่ใช่ใครที่ไหน หยางชิ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก กุมหมัดคารวะอวิ๋นจือชิว แล้วสบตากับซูอวิ้น จากนั้นก็หลบสายตาแล้วเดินตรงเข้าจวนท่านอ๋องไป

ซูอวิ้นสังเกตเห็นแล้วว่าท่าทีที่อวิ๋นจือชิวมีต่อคนผู้นี้ไม่เหมือนคนทั่วไป พอหันกลับไปมองอีกครั้ง ก็ยิ่งพบเงื่อนงำ ไม่น่าเชื่อว่าคนคนนี้จะเข้าจวนท่านอ๋องได้โดยไม่ต้องค้นตัวก่อน เดินเข้าไปโดยตรงอย่างนี้เลย สิ่งนี้ทำให้ดวงตางามของนางฉายแววครุ่นคิดเล็กน้อย

วันต่อๆ มา บางครั้งซูอวิ้นก็จะเห็นคนนี้อยู่กับอวิ๋นจือชิว บางครั้งตอนที่ไปเจอเหมียวอี้ ก็จะพบว่าคนคนนี้พูดคุยอยู่ข้างกายเหมียวอี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ลูกน้องธรรมดาทั่วไป แม้แต่หยางเจาชิงก็ค่อนข้างเกรงใจคนคนนี้

สิ่งที่ทำให้ซูอวิ้นแปลกใจที่สุดก็คือ ทำไมคนคนนี้ใส่หน้ากากไว้ตลอด ไม่เผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้คนเห็นเลย?

ดังนั้นทุกครั้งที่เจอหยางชิ่ง นางก็จะสังเกตอย่างละเอียด แอบสังเกตอย่างแนบเนียน ผลก็คือพบว่าอีกฝ่ายก็เหมือนกำลังสังเกตตนอยู่เหมือนกัน ทั้งสองมักจะสบตากันโดยไม่รู้ตัว…

ในดาราจักรที่เงียบสงบ บนดาวเคราะห์รกร้างดวงหนึ่ง ฝูชิงยืนทอดสายตามองอยู่บนยอดเขา ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องจุดที่วางค่ายกลใหญ่ผนึกไว้ เป็นทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์นั่นเอง

จู่ๆ กำลังลาดตระเวนอยู่นอกค่ายกลผนึกก็มีความเคลื่อนไหว ฝูชิงที่จ้องอยู่นานกระปรี้กระเปร่าทันที เห็นเพียงกำลังพลที่ลาดตระเวนกำลังหลบ ทั้งหมดเข้าไปในดาวเคราะห์หกดวงที่เป็นค่ายกลผนึกแล้ว ใช้เวลาไม่นาน ดาวเคราะห์หกดวงก็ยิงลำแสงสีขาวหกสายออกมา กลายเป็นภาพดาวหกแฉกอยู่ระหว่างค่ายกลใหญ่ พอแสงสียาวที่หมุนวนอยู่ในภาพนั้นหายไป ก็ปรากฏช่องโหว่ที่เป็นรอยแยกขึ้นมา

ฝูชิงหยิบระฆังดาราออกมาส่งข่าวบอกเหมียวอี้ทันที รออยู่ครู่เดียว ก็เห็นรางๆ ว่ามีเงาคนคนหนึ่งแวบออกมาจากรอยแยกนั้น เหาะตรงมาทางนี้

พออีกฝ่ายเหาะมาถึงดาวเคราะห์ก็เห็นฝูชิงแล้วเช่นกัน ถลันตัวลงมายืนข้างกายฝูชิง แล้วจ้องประเมินฝูชิงอย่างร่าเริง

ฝูชิงก็มองสำรวจอีกฝ่ายเช่นกัน เป็นผู้ชายที่ทั้งอ้วนทั้งดำ ดวงตาทั้งคู่มีแววเป็นพิเศษ ทั้งยังกลมใหญ่มาก กลอกไปกลอกมาไม่หยุด

เขาย่อมไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเฮยทั่นที่กลายร่างเป็นคนแล้วนั่นเอง ยังจะมีใครที่ออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้อีก

หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่เหมียวอี้ต้องการให้ตนมารับ ฝูชิงก็เขย่าระฆังดาราติดต่อเหมียวอี้อีกครั้ง ผ่านไปไม่นาน ค่ายกลใหญ่ของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก้ปิดทางเข้าอีกครั้ง

เฮยทั่นมองตามฝูชิงที่กำลังมองค่ายกลใหญ่ปิดลง แล้วส่ายหน้าทอดถอนใจ  ท่านย่าเอ๊ย ในที่สุดก็ได้ออกมาแล้ว 

 เชิญตามข้าไป  ฝูชิงกลับยื่นมือเชิญด้วยท่าทางจริงจัง

 ไปไหน?  เฮยทั่นหันกลับมาถามทันที

 ก็ต้องไปหาท่านอ๋องสิ  ฝูชิงตอบ

 ท่านอ๋อง?  เฮยทั่นทำสีหน้ามึนงงทันที ถามด้วยความสงสัยว่า  ไม่ไปพบนายท่านเหรอ ไปพบท่านอ๋องอะไรนั่นทำไม? ข้าว่านะตาแก่ฝูชิง ไม่เจอกันมาหลายปี คงไม่คิดจะหลอกปู่ตั้งแต่ปู่ออกมาหรอกใช่มั้ย?  เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเหมียวอี้กลายเป็นท่านอ๋องแล้ว

ฝูชิงก็อึ้งเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเรียกชื่อตัวเอง แน่นอนว่าเหมียวอี้อาจจะบอกอีกฝ่ายไว้ แต่ทำไมมาบอกว่าไม่ได้เจอกันหลายปีแล้วล่ะ

ฝูชิงอดไม่ได้ที่จะถอยหลังสองสามก้าว พอมองประเมินอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าไม่ถูก ไม่มีภาพติดอยู่ในความทรงจำสักนิดเลย ในแดนฝึกตนมีคนอ้วนอยู่ไม่เยอะ ทั้งยังเป็นประเภททั้งอ้วนทั้งดำ หน้าตามีเอกลักษณ์ขนาดนี้ ต่อให้ตนเคยเจอครั้งเดียวก็ต้องทำได้สิ ถึงได้ถามอย่างสงสัยว่า  น้องชายคนนี้ เจ้ารู้จักข้าเหรอ? 

 ว่ะฮ่าๆ!  เฮยทั่นเงยหน้าหัวเราะลั่น เอามือข้างหนึ่งเท้าเอว ใช้มืออีกข้างชี้ฝูชิงหลายครั้ง พร้อมกล่าวอย่างภูมิใจสุดๆ ว่า  ตาเฒ่าฝูชิง ต่อให้เจ้ากลายเป็นขี้เถ้าข้าก็จำได้อยู่ดี ก็เป็นประมุขตำหนักดาวประจิมไม่ใช่หรือไง ข้าไม่ได้พูดผิดใช่มั้ยล่ะ? 

ฝูชิงแปลกใจกว่าเดิม ไม่น่าเชื่อว่าจะรู้ฐานะในอดีตของตนด้วย เดิมทีคิดว่าไม่อยากสืบความลับของเหมียวอี้มาก เลยไม่อยากถามมากว่าให้มารับใคร แต่ตอนนี้อดไม่ได้ที่จะถามแล้ว  เจ้าเป็นใคร? 

เฮยทั่นยื่นหน้าอ้วนๆ เหมือนม้าเข้าไปใกล้ฝูชิง เหมือนต้องการจะให้อีกฝ่ายเห็นให้ชัดเจน  เดาสิ! เจ้าเดาสิ! เดาๆๆๆ เดาว่าข้าเป็นใคร? เดาไม่ออกล่ะสิ? ลองคิดให้ดีสิ เดาต่อไป!  ทำสีหน้าอวดดีลำพองใจ ให้ความรู้สึกเหมือนภูมิใจในภาพลักษณ์ของตัวเองมาก

ฝูชิงนึกไม่ออกจริงๆ ว่าตัวเองเคยเห็นคนแบบนี้เมื่อไร เขาเงียบไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าบางเรื่องตัวเองก็ไม่ควรถามมาก ได้แต่บอกว่า  อย่าให้ท่านอ๋องรอนาน ไปกันเถอะ! 

 ท่านอ๋อง?  จู่ๆ เฮยทั่นก็หัวเราะหึหึ  ฝูชิง เจ้านี่ใจกล้าไม่เบานะ! รีบบอกมา แอบวางแผนชั่วอะไรลับหลังนายท่านใช่มั้ย? ถ้าไม่บอกความจริง ก็อย่าหาว่าหมัดของปู่ซัดคนไม่เลือกหน้าก็แล้วกัน! 

ฝูชิงมองไปทางแดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่ถูกปิดแวบหนึ่ง เหมือนตระหนักอะไรได้ จึงถามว่า  นายท่านของเจ้าใช่หนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า? 

เฮยทั่นเบิกตากว้าง  ตาเฒ่านี่รนหาที่ตายเหรอ เจ้าวิ่งเต้นทำงานให้คนอื่นอีกรึไง?  สองมือม้วนแขนเสื้อ ทำท่าเหมือนจะลงไม้ลงมือ

มารดาเจ้าเถอะ พูดจาหยาบคายขนาดนี้ มันเป็นใครกันแน่? ฝูชิงได้ยินแล้วโมโห ถ้าไม่ใช่คนที่เหมียวอี้สั่งไว้ เขาก็ไม่ถือสาที่จะลองดูว่าใครจะได้สั่งสอนใครกันแน่ กล่าวเสียงต่ำว่า  ท่านอ๋องที่ข้าพูดถึงก็คือหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้นายท่านหนิวได้เป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้แล้ว! 

 ตดหมามารดาเจ้าสิ! เจ้าคิดว่าปู่คนนี้โง่นักรึไง? 

……………

 

ช่วงนี้เหยียนซิวไม่ค่อยได้อยู่ข้างกายเหมียวอี้ ยังคงแอบสืบภูมิหลังของบรรดาอนุภรรยาเหล่านั้น คนหนึ่งพันกว่าคนเพียงพอที่จะทำให้เขาต้องทำเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมาสักระยะหนึ่ง สาเหตุหลักที่ทำให้เสียเวลาก็คือไม่อาจค้นหาหลักฐานอย่างสง่าผ่าเผยได้

ทั้งสองมารอที่ห้องหนังสือได้พักหนึ่งถึงได้เห็นเหยียนซิวมาถึง จางผิงถูกดึงออกมาอีกครั้ง

เหมียวอี้บอกตรงๆ เลยว่า  ติดต่อคนที่อยู่เบื้องหลังเจ้า ข้าต้องการผลลัพธ์ของเงื่อนไขข้อที่สอ 

 ได้!  จางผิงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อพระปีศาจ

เหมียวอี้กวาดสายตามองระฆังดาราในมืออีกฝ่าย รู้สึกกลุ้มใจนิดหน่อย เขาขอตราอิทธิฤทธิ์ของพระปีศาจจากเฉาหม่าน จะแอบเปรียบเทียบกับของในมือจางผิง แต่เปรียบเทียบไม่ได้เลย ตามที่เฉาหม่านบอก ถ้าคิดจะอาศัยตราอิทธิฤทธิ์ตามหาพระปีศาจ ความหวังก็มีไม่มาก เพราะวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจสามารถเปลี่ยนคนได้ทุกเมื่อ สามารถควบคุมตราอิทธิฤทธิ์ของกายหยาบคนอื่นได้ทุกเมื่อ

ผ่านไปครู่เดียว จางผิงก็ตอบว่า  ผู้สูงศักดิ์บอกว่า เขายังไม่เห็นความจริงใจของนายท่าน ให้ส่งของมาก่อน แล้วเขาจะบอกที่อยู่กับท่าน 

 บอกสถานที่มาก่อน แล้วข้าค่อยให้ของ  เหมียวอี้ :

จางผิงถ่ายทอดคำพูดแล้วตอบกลับมาอีก  ผู้สูงศักดิ์บอกว่า ทางที่ดีนายท่านควรรักษาสัญญา ไม่อย่างนั้นจะทำให้นายท่านเสียใจทีหลังแน่นอน แค่ความลับเรื่องข้อตกลงระหว่างท่านกับผู้สูงศักดิ์เปิดโปงออกมา อำนาจแต่ละฝ่ายคงไม่ปล่อยท่านไปแน่ โดยเฉพาะตระกูลเซี่ยโห้ว! 

 พูดเหลวไหลให้มันน้อยๆ หน่อย  เหมียวอี้

 ผู้สูงศักดิ์บอกว่า สถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่ที่พระตำหนักอุทยานในอุทยานหลวง ทางเข้าอยู่ตรงสถานที่ฝึกตนของประมุขชิง  จางผิงตอบ

พวกเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกผิดคาดนิดหน่อย ไม่รู้ว่าพระปีศาจพูดจริงหรือโกหก แต่พอคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเป็นไปได้จริงๆ สถานที่หลอมสมบัติอยู่ใต้หนังตาวังสวรรค์จะปลอดภัยที่สุด บริเวณนั้นมีทหารป้องกันแน่นหนา ต่อให้โดนเปิดโปงแล้ว แต่คนอื่นก็เลิกคิดได้เลยว่าจะวางแผนได้มาง่ายๆ

 ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าจริงหรือโกหก?  เหมียวอี้ถาม

 ผู้สูงศักดิ์บอกว่า ต้องให้นายท่านไปพิสูจน์เอง  จางผิงตอบ

เหมียวอี้จึงบอกว่า  ล้อเล่นอะไรกัน ข้าจะไปพิสูจน์สถานที่แบบนั้นได้ยังไง? ถ้าเขากุเรื่องหาสถานที่ที่เข้าใกล้ได้ยากมาหลอกข้าล่ะ ข้าไม่มีทางตรวจสอบความจริงได้ด้วยซ้ำ ถ้าทำอย่างที่เขาบอก ถ้าบอกว่าอยู่ในสถานที่ฝึกตนของประมุขพุทธะก็ยังได้ ถึงยังไงข้าก็ไม่มีทางตรวจสอบความจริงได้อยู่แล้ว 

จางผิงถ่ายทอดคำพูดแล้วตอบกลับมาอีก  ผู้สูงศักดิ์บอกว่า นายท่านทำอย่างนี้เพราะจะหาข้ออ้างกลับคำพูดใช่มั้ย? 

เหมียวอี้ตอบว่า  ไม่ใช่ว่าข้าคิดจะกลับคำพูด แต่สิ่งที่เขาพูดไม่มีเหตุผล เจ้าบอกเขาไป ว่าหลินอ้าวเสวี่ย ฮูหยินของอดีตเทพประจำดาวมะโรงดินไท่ซูเหวินชางถูกขังอยู่ในสถานที่หลอมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ให้เขาช่วยหลินอ้าวเสวี่ยออกมาแลกเปลี่ยนกับของของข้า แล้วข้าก็จะเชื่อว่าเขาหาสถานที่หลอมสมบัติเจอแล้ว ต้องจัดการโดยเร็วด้วย ข้าไม่มีความอดทนจะมาเสียเวลากับเขาต่อไป 

สาเหตุที่ตอนแรกแค่บอกให้พระปีศาจตามหาสถานที่หลอมสมบัติ ไม่ได้บอกให้ช่วยมารดาของเฟยหง ตอนนี้เพิ่งจะมาบอก ก็ยังมีสาเหตุจากหลายด้าน

ดาวเกาะคราม ปากถ้ำหน้าผาริมทะเล พระปีศาจหนานโปที่ยืนพิงระเบียงหันหน้าเข้าหาทะเลถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง รู้สึกกลุ้มใจนิดหน่อย เขาเองก็ยืนยันสถานที่หลอมสมบัติได้ลำบาก ถึงได้บอกว่าอยู่พระตำหนักอุทยานเพื่อให้คำชี้แจง ให้หนิวโหย่วเต๋อไปยืนยันเอาเอง ขณะเดียวกันก็อยากจะทดสอบความจริงใจในการแลกเปลี่ยนของหนิวโหย่วเต๋อด้วย ใครจะคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะทิ้งแผนสำรองเอาไว้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนรู้จักอยู่ในสถานที่หลอมสมบัติ

 ไอ้จัญไรปลิ้นปล้อน!  หนานโปพึมพำ ก็ช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงดำเนินการตามแผนที่ก่อนหน้านี้หยุดไว้ชั่วคราว หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อตู้เฉียว ให้ตู้เฉียวหาทางลงมือกับองครักษ์เงาต่อไป ทางที่ดีก็ให้เซี่ยงจงมาเจอหน้าเขา ถ้าสามารถเจอซ่างกวนชิงได้ก็ย่อมดีอยู่แล้ว

ส่วนเหมียวอี้ก็ครุ่นคิดพลางเดินไปเดินมาอยู่ในห้องหนังสือ

หยางเจาชิงเตือนว่า  เหนียงเหนียงอยู่ที่อุทยานหลวงพอดี จะให้เหนียงเหนียงหาทางสืบสักหน่อยหรือไม่ขอรับ? 

เหมียวอี้ส่ายหน้า ปฏิเสธอย่างไม่ลังเล  อันตรายเกินไป อย่าเพิ่งให้นางรู้เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นนางจะต้องหาทางสืบแน่นอน  เพื่อที่จะช่วยมารดาของเฟยหง เขาดึงอวิ๋นจือชิวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแล้ว แต่จะให้อวิ๋นจือชิวเสี่ยงอันตรายนี้ไม่ได้

ในขณะนี้เอง เขาก็หยิบระฆังดาราอีกอันออกมา แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย เป็นเฉาหม่านที่ส่งข่าวมา คาดว่าคงกำลังเร่งรัดเขาอีก

หลังจากติดต่อแล้ว กลับพบว่าไม่ใช่เรื่องนั้นเลย บอกหยางเจาชิงว่า  เฉาหม่านมาแล้ว ถูกกันอยู่ด้านนอก เจ้าไปเตรียมการสักหน่อย 

หยางเจาชิงงงไปชั่วขณะ รู้สึกผิดพลาดนิดหน่อย ตอนนี้เส้นทางการเคลื่อนไหวของเฉาหม่านผิดปกติ เรื่องคุมตึกศาลาสัตยพรตส่งต่อให้เฉาเฟิ่งฉือ เฉาหม่านในตอนนี้อยู่ในฐานะหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้ว ถ้าตัวอยู่ในวงล้อมของทัพใหญ่แดนรัตติกาลต่อไปก็เห็นได้ชัดว่าไม่ปลอดภัย จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น การที่เขากล้ามาที่นี่ด้วยตัวเองถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก

จนกระทั่งนำคนเข้ามาแล้ว กลุ่มคนเดินไปที่ประตูหลัก แล้วเข้ามาทางประตูด้านข้าง เฉาหม่านมีผู้ติดตามแปดคน ทั้งหมดสวมใส่หน้ากาก

พอเจอกันที่โถงรับแขก เฉาหม่านก็ดึงหน้ากากออก แล้วกล่าวเสียงเรียกว่า  อยากจะเจอหน้าท่านอ๋องสักครั้งก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ 

เหมียวอี้กวาดสายตามองผู้ติดตามของเขา ลองแยกแยะจากรูปร่างนิดหน่อย แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า  ถ้าท่านบุรุษเฉาอยากจะเจอข้าก็บอกคำเดียวเท่านั้น ยากตรงไหน? ใช่แล้ว ทำไมไม่เห็นพ่อบ้านเว่ยเลยล่ะ? 

 มีเรื่องอะไรบ้างล่ะที่ท่านอ๋องทำไม่ได้? ข้าก็ต้องป้องกันสักหน่อยสิ  เฉาหม่านตอบอย่างไม่เกรงใจ

ในคำพูดแฝงความหมายล้ำลึก เหมียวอี้ฟังเข้าใจ อีกฝ่ายแอบสื่อว่าแม้แต่เรื่องสังหารหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วเขาก็เคยทำมาแล้ว อีกฝ่ายต้องเตรียมแผนสำรองเอาไว้สักหน่อย เหมียวอี้จะได้ไม่ทำซี้ซั้ว

ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเฉาหม่านนั่งตำแหน่งหัวหน้าตะกูลได้อย่างมั่นคงแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลัวเหมียวอี้อีก ไม่จำเป็นต้องพูดจาสุภาพเกรงใจอีก

 นั่นก็เป็นเพราะท่านบุรุษเฉาบัญชาการได้ดี  เหมียวอี้พูดเหน็บแนม จากนั้นก็ยื่นมือเชิญให้นั่งลง

เมื่อแขกและเจ้าบ้านนั่งลงแล้ว เหมียวอี้ก็ถามว่า  ท่านบุรุษเฉาให้เกียรติมาเยือน ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับ? 

เฉาหม่านบอกว่า  ถ้าท่านอ๋องถ่วงเวลาเรื่องนั้นอีก ข้าก็ต้องสงสัยในความจริงใจของท่านอ๋องแล้ว ถึงขั้นสงสัยด้วยว่าในมือท่านอ๋องมีของสิ่งนั้นหรือไม่กันแน่ ก็ช่วยไม่ได้ มีแต่ต้องมาดูกับตาตัวเองเท่านั้น คาดว่าท่านอ๋องคงไม่ถึงขั้นไม่ให้โอกาสข้าดูหรอกใช่ไหม? 

เหมียวอี้เข้าใจแล้ว ว่าพฤติกรรมของตัวเองทำให้อีกฝ่ายสงสัยว่าในมือมีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์อยู่จริงหรือเปล่า อีกฝ่ายต้องการมาพิสูจน์กับตาตัวเอง

สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ก็ย่อมอยู่ในมือของเหมียวอี้จริงๆ ตอนนี้เหมียวอี้ก็สามารถนำออกมาให้ดูได้เช่นกัน แต่ในใจมีแผนการบางอย่าง จึงส่ายหน้าบอกว่า  ตอนนี้คงไม่ได้เห็นหรอก 

เฉาหม่านพลันลุกขึ้นยืน สีหน้าบูดบึ้งลงแล้ว จ้องเหมียวอี้ด้วยสายตาเยียบเย็น  เจ้ากล้าล้อข้าเล่นเหรอ? 

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนตามเขา  ท่านบุรุษเฉาคิดมากไปแล้ว ของนั้นข้าซ่อนไว้เอ ซ่อนไว้ในสถานที่ปลอดภัยแน่นอน ไม่ได้อยู่ข้างกายข้า ตอนนี้ข้าให้คนไปเอา ท่านบุรุษเฉารออยู่ที่นี่สักสองวัน ภายใน สองวันนี้จะให้ท่านเห็นก่อนแน่นอน 

 แค่สองวันเอง! อีกสองวันข้าค่อยมาก็ได้ ถ้าข้าไม่ได้เห็นของนั่น เจ้าก็รับผลที่ตามมาเองแล้วกัน ตระกูลเซี่ยโห้วสนับสนุนเจ้าขึ้นตำแหน่งได้ ก็ล้มจะได้เหมือนกัน!  เฉาหม่านพูดทิ้งท้าย ใส่หน้ากากเหมือนเดิม แล้วหันตัวเดินออกไปทันที ไม่อยากอยู่ที่นี่แม้สักนาทีเดียว เขาเองก็หวาดกลัวเหมียวอี้มากเหมือนกัน มีหรือที่จะรออยู่ที่นี่เฉยๆ สองวัน แบบนั้นอันตรายเกินไปแล้ว

คำพูดที่เต็มไปด้วยการข่มขู่ทำให้เหมียวอี้หรี่ตามองคล้อยหลังเขาเดินจากไป ในดวงตาฉายแววดุร้าย

หลังจากหยางเจาชิงส่งแขกกลับมาแล้ว ก็ถามว่า  ท่านอ๋อง จะให้เหยียนซิวมาหรือไม่ขอรับ?  เขากำลังคิดว่าท่านอ๋องอาจจะต้องการให้เหยียนซิวไปนำของสิ่งนั้นมาให้เฉาหม่านดู

เหมียวอี้แสยะยิ้ม  เจ้าคิดว่าอีกสองวันเฉาหม่านยังจะมาด้วยตัวเองอีกหรือ? 

หยางเจาชิงครุ่นคิดตาม แล้วพยักหน้าบอกว่า  ใช่แล้ว เฉาหม่านระวังตัวขนาดนี้ ต่อให้มาอีก แต่เขาก็อาจจะไม่มาด้วยตัวเองก็ได้ ยิ่งไม่มีทางทำตามเวลาที่ท่านอ๋องกำหนด! 

เหมียวอี้พยักหน้าซ้ำๆ  ถึงตอนนั้น คนที่มาจะต้องเป็นเว่ยซูแน่นอน! 

หยางเจาชิงอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะถามอย่างตกใจมากกว่า  นายท่านคิดจะฉวยโอกาสลงมือกับเว่ยซู? แบบนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะสม ควรรอให้ฝั่งหยางชิ่งวางแผนให้รอบด้านก่อนแล้วค่อยลงมือ ไม่อย่างนั้นถ้ามีช่องโหว่อะไรขึ้นมา ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากจะคิดถึง! 

 หยางชิ่งหวาดกลัวอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วเกินไป กังวลถึงด้านต่างๆ เยอะเกินไป กลัวว่าในบรรดาคนที่ลงมือด้วยจะมีสายลับของตระกูลเซี่ยโห้ว แม้แต่ตัวเลือกที่จะลงมือก็ยังคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ตระกูลเซี่ยโห้วทนไม่ไหวแล้ว ข้าก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ในเมื่อวางแผนให้ครอบคลุมไม่ได้ ในเมื่อกำหนดเป้าหมายเป็นสมาคมอาวุโสแล้ว เช่นนั้นก็แข่งกันที่ความเร็ว ต้องทำให้รวดเร็ว!  เหมียวอี้กล่าวอย่างเฉียบขาด เห็นได้ชัดว่าตัดสินใจแน่วแน่ในชั่วพริบตาเดียว!

หยางเจาชิงรีบโน้มน้าว  ท่านอ๋อง ไม่ได้เด็ดขาด! ท่านอ๋องลองคิดดูสิ ในเมื่อสมาคมอาวุโสเป็นไพ่ลับของตระกูลเซี่ยโห้ว มีหรือที่จะให้เว่ยซูรู้เรื่องทั้งหมด ถ้าปกติเว่ยซูใช้แค่ระฆังดาราติดต่อกลับสมาคมอาวุโสล่ะ? ถ้าสมาคมอาวุโสกระจายกันอยู่ล่ะ ถ้าเว่ยซูก็แค่ติดต่อกับหนึ่งคนที่อยู่ในนั้นล่ะ? ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้พวกเราลงมือเร็วแต่ก็ไม่สำเร็จอยู่ดี ต้องแหวกหญ้าให้งูตื่นแน่นอน จะต้องเผชิญหน้ากับการโต้ตอบที่รุนแรงจากตระกูลเซี่ยโห้วแน่ ทัพใต้ยังไม่มีเสถียรภาพเต็มที่ อีกทั้งประมุขชิงก็จ้องจะเล่นงานท่านอ๋อง ท่านอ๋องโปรดไตร่ตรองเถอะ! 

เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำ  ถ้าแผนล้มเหลว ข้าก็จะทำลายสมาคมลับทุกแห่งของตระกูลเซี่ยโห้วทันที ตระกูลเซี่ยโห้วจะรู้ถึงความตื้นลึกหนาบางของข้าได้ยังไง ต่อให้โจมตีโค่นล้มเขาไม่ได้ แต่ก็ทำให้เขาตกใจได้เหมือนกัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะมัวแต่นึกถึงข้าโดยไม่จัดการตัวเองก่อน? ถ้าอยากจะล้างแค้นข้าก็ต้องจัดการความเสียหายในบ้านตัวเองให้ได้ก่อน! เรื่องบางเรื่องในเมื่อยากที่จะวางแผนให้ครอบคลุมได้ เช่นนั้นก็ทำให้พวกเขาเสียหายก่อนแล้วค่อยเริ่มใหม่ อ้อมไปอ้อมมาแบบนี้ข้าปวดหัว ข้าก็อยากจะเห็นนักว่าอำนาจแต่ละฝ่ายจะยืนอยู่ข้างใคร ทุกคนอย่าได้คิดว่าจะอยู่อย่างสงบสุขเลย! เรื่องนี้อย่าบอกหวังเฟยกับหยางชิ่ง ข้าตัดสินใจของข้าเอง! 

 …  หยางเจาชิงพูดไม่ออก

งานเลี้ยงอุทยานหลวงจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างกลับบ้านตัวเอง พวดอวิ๋นจือชิวออกจากอาณาเขตดาววังสวรรค์ กำลังพลที่ติดตามมาเตรียมตัวรออยู่ด้านนอกแล้ว

หลังจากออกเดินทางได้ไม่นาน ก็บังเอิญเจอจูโยวเหม่ยระหว่างทาง

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ดึงดูดสายตาผู้คนมากเกินไป จูโยวเหม่ยนำกำลังพลกลุ่มหนึ่งมารอตรงนี้ล่วงหน้า ก่อนหน้านี้บอกไว้แล้วว่าจะไปที่จวนอ๋องสวรรค์หนิวด้วยกัน

พอเจอกันแล้วก็พูดทักทายตามมารยาทอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่สายตาของจูโยวเหม่ยไปอยู่บนตัวมู่หรงซิงหัวเร็วมาก แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม  ท่านนี้คงจะเป็นแม่ทัพมู่หรงสินะ 

มู่หรงซิงหัวกุมหมัดคารวะทักทาย

 ถ้าบ่าวไพร่ของข้าล่วงเกินตรงไหน แม่ทัพมู่หรงก็อย่าเก็บมาใส่ใจ นี่คือน้ำใจเล็กน้อย  จูโยวเหม่ยดีดแหวนเก็บสมบัติเข้ามาด้วยรอยยิ้ม

มู่หรงซิงคว้าเอาไว้ในมือ ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูของในแหวนเก็บสมบัติ พบว่าเป็นศรีษะคนสองใบ พอมองให้ละเอียด ถ้าไม่ใช่เฉาว่านเสียงกับเถียนจื่อจวินแล้วจะเป็นใครไปได้? มู่หรงซิงหัวยืนเหม่ออยู่ที่เดิมทันที มองจูโยวเหม่ยอย่างตะลึงงัน คลายนิ้วออกอย่างช้าๆ แหวนเก็บสมบัติลอยขึ้นมาเบาๆ อย่างไร้แรงโน้มถ่วง

ซูอวิ้นที่อยู่ข้างๆ ยื่นมือดูดเข้ามา พอดูในแหวนเก็บสมบัติ ก็เห็นศีรษะคนสองใบที่มีเลือดหยด แม้นางจะไม่รู้จัก แต่ก็เดาออกแล้วว่าเป็นใคร นางถ่ายทอดเสียงบอกอวิ๋นจือชิวที่มองมา  ศีรษะคนสองใบ คงจะเป็นของเฉาว่านเสียงกับเถียนจื่อจวิน 

อวิ๋นจือชิวอึ้งไปเลย เพราะได้ฟังคำพูดของซูอวิ้นแล้ว ตอนแรกที่จูโยวเหม่ยเอ่ยถึงเฉาว่านเสียงกับภรรยา ก็ไม่อยากจะทำร้ายพวกเขาโดยไร้เหตุผล นางถึงได้หลบเลี่ยงไม่สนทนาเรื่องนั้น แต่ใครจะคิดว่าจูโยวเหม่ยยังจะส่งศีรษะของสองคนนั้นมาให้

ก่อนหน้านี้แม้จะรู้ว่าคำพูดของซูอวิ้นมีความหมายแฝง แต่ตอนนี้พอได้รับศีรษะ นางถึงได้ตื่นตัวอย่างแท้จริง ฝั่งเถิงเฟยจำเป็นต้องสังหารบ่าวไพร่ในบ้านตัวเองเพื่อขอโทษมู่หรงซิงหัวด้วยเหรอ? นี่คือการสังหารให้ฝั่งนี้ได้เห็น ว่าไม่เสียดายที่จะสังหารบ่าวในบ้านเพื่อระบายความแค้นให้แม่ทัพของเจ้า แสดงความจริงใจขนาดนี้ ถ้ายังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังแสดงไมตรี ก็แสดงว่าโง่แล้ว

อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ซูอวิ้นพูดถูกแล้วจริงๆ เฉาว่านเสียงกับภรรยามีชีวิตอยู่ได้ไม่นานอย่างที่คาดไว้ ดูท่าแล้ว ตัวเองยังขาดความชำนาญเรื่องศึกษาความคิดคน ยังห่างชั้นกับซูอวิ้นตั้งไกล

……………

 

พูดถึงขั้นนี้แล้ว ถงเหลียนซีจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านางหมายความว่าอะไร นางสายหน้ากล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง  ข้าคือเจียงอวิ๋น! 

ที่รอก็คือประโยคนี้แหละ ถ้าถงเหลียนซีไม่ใช่เจียงอวิ๋น ก็น่าจะไม่พูดชื่อนี้ออกมา นอกเสียจากว่าพระปีศาจหนานโปติดต่อไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นอวิ๋นจือชิวจะไม่ป้องกันก็ไม่ได้ ถามอีกว่า  ตอนที่เจ้ากับพี่ชายยังเด็ก ในบ้านมีผ้าห่มกี่ผืน? 

ถงเหลียนซีรู้ว่าอีกฝ่ายอยากจะตรวจสอบ ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ น้ำตาของนางพรั่งพรูออกมาราวกับน้ำพุ ร้องไห้จนพูดไม่เป็นภาษา  ผ้าห่มขาดที่ยาวแค่ครึ่งเตียง! ตอนที่อากาศหนาว พี่ชายมักจะเสียสละให้ค่า 

สิ่งนี้เชื่อมโยงกับเรื่องที่เจียงอีอีเล่าให้อวิ๋นจือชิวฟัง และเพื่อให้อวิ๋นจือชิวยืนยันตัวตนของน้องสาวได้สะดวก เจียงอีอีบอกว่า บางทีตอนเด็กคงจะหนาวจนหวาดกลัว ดังนั้นเจียงอีอีมักจะชอบสวมผ้าขนสัตว์ อวิ๋นจือชิววางใจแล้ว กล่าวอย่างช้าๆ ว่า  เจียงซ่างไหว้วานข้ามา ให้มาหาเจ้า! 

ถงเหลียนซีลุกขึ้นแล้วก้าวไปข้างหน้า คว้าข้อมืออวิ๋นจือชิวเอาไว้ แล้วถามยังเจ็บปวด  หวังเฟย บอกข้ามา ใครฆ่าพี่ชายของข้า? 

อวิ๋นจือชิวลังเลนิดหน่อย ก่อนจะบอกว่า  น้องสาว ข้ารู้ว่าเจ้าอยากรู้จักศัตรูเพื่อล้างแค้นให้พี่ชายเจ้าไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมบอกเจ้า แต่พี่ชายของเจ้าเคยกำชับไว้ ว่าไม่ให้บอกเจ้า บางทีเขาคงไม่หวังให้เจ้าช่วยล้างแค้นให้เขาก็ได้ แค่อยากให้เจ้ารู้เฉยๆ ว่าเขาตายไปแล้ว ให้เจ้าไม่ต้องถูกสมาคมวีรชนขู่บังคับอีก ให้ข้าหาสถานที่ปลอดภัยให้เจ้าอยู่ ให้เจ้ามีชีวิตอยู่อย่างสบายดีต่อไป นี่คือคำขอสุดท้ายของเขาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ 

นางไม่ได้พูดมั่ว เป็นเจตนารมณ์ของเจียงอีอีก่อนตายจริงๆ เพราะเขารู้ว่าน้องสาวของตัวเองไม่มีความสามารถที่จะล้างแค้น ถ้าดันทุรังก็มีแต่จะต้องชดใช้ด้วยชีวิต

 ไม่! บอกข้ามา ใครเป็นคนฆ่าเขา หรือว่าจะเป็นพวกเจ้าที่ฆ่าเขาเหมือนที่ข่าวลือบอก?  ถงเหลียนซีสะอึกสะอื้น

 เฮ้อ ถ้าเป็นพวกเราฆ่าจริงๆ ข้ายังจำเป็นต้องมาตามหาเจ้าอีกเหรอ?  อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ ไม่นับว่าพูดโกหก ตอนนั้นนางก็แค่ทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกับเจียงอีอี ให้ความหวังสุดท้ายกับเจียงอีอีเท่านั้น แม้การฆ่าตัวตายของเจียงอีอีจะเกี่ยวข้องกับนางอยู่บ้าง แต่ต่อให้เจียงอีอีไม่ฆ่าตัวตาย เมื่อถูกหน่วยตรวจการขวาจับไปแล้วก็ต้องตายอยู่ดี

อวิ๋นจือชิวหยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้นาง  นี่คือจดหมายที่พี่ชายของเจ้าทิ้งไว้ให้ก่อนตาย ให้ข้านำมาให้เจ้าหลังจากหาเจ้าพบแล้ว ถ้าเจ้าอ่านแล้วก็จะเข้าใจ  ของสิ่งนี้นางเก็บไว้นานแล้ว จนกระทั่งออกมาครั้งนี้นางถึงได้พกติดตัวไว้อีกครั้ง

ถงเหลียนซีรับแผ่นหยกมาอ่านอย่างอดใจรอไม่ไหว ยิ่งอ่านก็ยิ่งควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ แทบจะยืนไม่ไหวแล้ว ประคองจับระเบียงแล้วร้องไห้อย่างเจ็บปวด ข่มเสียงเอาไว้ไม่กล้าร้องไห้เสียงดัง

จดหมายนี้เป็นของพี่ชายนางจริงๆ ตราอิทธิฤทธิ์ที่อยู่บนนั้นนางมองปราดเดียวก็จำได้แล้ว เป็นอย่างที่อวิ๋นจือชิวบอกไว้ พี่ชายยอมรับแล้วว่าตัวเองคือเจียงอีอี บอกเพียงว่าตอนที่นางได้อ่านจดหมายนี้ เขาคงไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์แล้ว ไม่ได้บอกว่าศัตรูคือใคร บอกนางว่าไม่ต้องล้างแค้น อย่าถูกสมาคมวีรชนบีบบังคับอีก ให้นางหนีไป อธิบายชัดเจนแล้วว่าไหว้วานอวิ๋นจือชิว

ที่แปลกก็คือ พี่ชายตายไปหลายปีขนาดนี้แล้ว แต่บางครั้งนางก็ยังได้รับจดหมายจากพี่ชายอยู่เลย เบื้องบนก็มีตราอิทธิฤทธิ์ของพี่ชายเหมือนกัน ดังนั้นนางจึงคิดมาตลอดว่าพี่ชายยังมีชีวิตอยู่

จดหมายสามารถปลอมแปลงได้ แต่ตราอิทธิฤทธิ์ไม่สามารถปลอมแปลงได้ โดยทั่วไปผู้เขียนจดหมายจะลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองตรงตำแหน่งสำคัญบนตัวอักษร ทำให้คนเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นตอนที่ลบตัวอักษร ก็จะทำให้ตราอิทธิฤทธิ์เสียหายไปด้วย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้น้อยที่จะนำจดหมายที่มีตราอิทธิฤทธิ์อยู่แล้วมาแก้ไข

เมื่อนำทั้งสองฉบับมาเปรียบเทียบกัน ก็เห็นได้ชัดว่าสมาคมวีรชนมีโอกาสเล่นตุกติกมากกว่า เพราะตอนที่นางอยู่สมาคมวีรชน มีคนให้นางลงตราอิทธิฤทธิ์บนแผ่นหยกเปล่าไว้เยอะๆ โดยอ้างว่าเป็นการฝึกฝน เกรงว่าทางฝั่งพี่ชายก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่พี่ชายจะทิ้งแผ่นหยกที่ลงตราตราอิทธิฤทธิ์ไว้ให้อวิ๋นจือชิว

ที่สำคัญก็คือ ระยะห่างที่นางกับพี่ชายส่งจดหมายติดต่อกันก็ยาวนานขึ้นมาก นางเคยสงสัยถึงความผิดปกตินี้ แต่พี่ชายอธิบายว่ากำลังปฏิบัติภารกิจ จึงไม่สะดวกจะตอบจดหมาย ตอนนี้นางเข้าใจแล้ว ว่าพี่ชายประสบเหตุร้ายแล้ว มีคนปลอมแปลงจดหมายมาตบตานาง

 หวังเฟย บอกข้ามาเถอะ ใครกันแน่ที่ฆ่าเขา  ถงเหลียนซีที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งจับข้อมืออวิ๋นจือชิว

ถ้าไม่ใช่เพราะให้คนเฝ้าดูอยู่รอบๆ อวิ๋นจือชิวก็กลัวจริงๆ ว่าจะมีคนมาเห็นฉากนี้เข้า นางกล่าวเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาดีว่า  ถ้าเจ้ารู้แล้วยังไงต่อล่ะ? เจ้าชำระแค่นี้ไม่ไหวหรอก เจ้าเชื่อฟังพี่ชายเจ้าไว้ดีกว่า เดี๋ยวข้าจะให้คนส่งเจ้าไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัย นับว่าทำภารกิจที่พี่ชายเจ้าฝากฝังไว้สำเร็จแล้ว อย่างอื่นเจ้าก็ไม่ต้องคิดถึงอีกแล้ว 

 ไม่! ข้าไม่มีความสามารถที่จะล้างแค้น แต่ข้าขอร้องท่านจอมพลให้ช่วยข้าได้  ถงเหลียนซีส่ายหน้า

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ  น้องสาว ทำไมเจ้าโง่อย่างนี้ อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เข้าใจ? ว่าคนที่ทำให้พี่ชายเจ้าตาย ก็ต้องเป็นคนที่ไม่อยากให้พี่ชายของเจ้าเปิดเผยตัวตนอยู่แล้ว 

 สมาคมวีรชน?  ถงเหลียนซีปาดน้ำตาแล้วจ้องนาง

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า  ถ้าจะถามว่าพี่ชายเจ้าตายได้ยังไง เขาระเบิดเส้นชีพจรตัวเอง ไม่มีใครฆ่าเขา เขาฆ่าตัวตายเอง 

 เป็นไปไม่ได้ คนอยู่ดีๆ จะฆ่าตัวตายได้ยังไง!  ถงเหลียนซีตกใจ

อวิ๋นจือชิวบอกว่า  เป็นไปได้ยังไงน่ะเหรอ? พี่ชายเจ้าตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตก่อน แล้วตึกศาลาสัตยพรตก็ส่งต่อให้จวนแม่ทัพภาคตลาดผี ตอนที่หน่วยตรวจการขวามารับคนที่ตลาดผี พี่ชายเจ้าก็รู้ว่าไปครั้งนี้จะต้องไม่มีทางรอดชีวิตแน่นอน อาศัยแค่เรื่องบางอย่างที่เขาเคยทำ ถ้าตัวตนถูกเปิดโปงขึ้นมา ก็ไม่มีโอกาสรอดชีวิตแน่นอน เขาเลยต้องปลิดชีพตัวเองเพื่อช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตให้เจ้าไงล่ะ เขาปลิดชีพตัวเองต่อหน้าคนของหน่วยตรวจการขวา ในที่เกิดเหตุมีพยานมากมายเห็นเองกับตา ประโยคสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ให้หน่วยตรวจการขวาก็คือ อย่าแตะต้องน้องสาวของข้า แน่นอน ถ้าเจ้าจะบอกว่าสมาคมวีรชนทำให้เขาตายก็ได้เหมือนกัน แต่สมาคมวีรชนถูกใครบงการอยู่ล่ะ ไม่มีทางที่จะเอาจะไม่รู้ ถ้าเบื้องบนไม่อนุญาต ต่อให้สมาคมวีรชนจะกล้าหาญกว่านี้อีกร้อยเท่า แต่ก็ไม่มีทางกล้าบีบบังคับให้พี่ชายของเจ้าทำเรื่องแบบนั้น ความแค้นของพี่ชายเจ้าไม่มีคู่แค้นที่เจาะจง เจ้าให้ใครล้างแค้นให้ล่ะ? สมาคมวีรชนก็ยังเป็นตำหนักสวรรค์ไม่ใช่เหรอ? ต่อให้เจ้ามีความสามารถที่จะโน้มน้าวลั่วหม่างได้ แต่ลั่วหม่างก็ไร้ความสามารถที่จะล้างแค้นให้เจ้า แล้วอีกอย่าง เจ้าให้ลั่วหม่างรู้ถึงตัวตนของเจ้าได้เหรอ? ถ้าเจ้าเอ่ยปากขอจริงๆ นอกจากลั่วหม่างจะไม่ล้างแค้นไม่ต้องแล้ว เกรงว่าลั่วหม่างคงจะเป็นคนแรกที่จะจัดการเจ้า เจ้าเลิกโง่ได้แล้ว หาโอกาสเหมาะหนีไปดีกว่า หนีไปให้ทันเวลา ข้าจะให้คนพาเจ้าไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัยแน่นอน 

ถงเหลียนซีปาดน้ำตาอีกครั้ง ยังคงส่ายหน้า  ข้าไปไม่ได้ 

 เจ้า…  อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน  เจ้าทิ้งลูกชายไม่ได้ใช่ไหม? เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลูกชายเจ้า ไม่ว่ายังไงลั่วหม่างก็ไม่จำเป็นต้องแตะต้องลูกชายตัวเอง เอาอย่างนี้ ถ้าเจ้าไม่วางใจจริงๆ เจ้าก็พาลูกชายเจ้าไปด้วยก็ได้ ข้าจะให้พวกเจ้าสองแม่ลูกอยู่ด้วยกัน เป็นยังไง? 

ถงเหลียนซีฝืนยิ้มอย่างน่าเวทนา  ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของหวังเฟยแล้ว ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ท่านจอมพลมีความรักลึกซึ้งต่อข้า แค่นี้ข้าก็ทำผิดต่อท่านจอมพลแล้ว จะพาลูกชายของเขาไปด้วยได้ยังไง เรื่องบางเรื่องข้าอดทนมาตั้งหลายปี ก็เพื่อจะตอบแทนท่านจอมพล พอกลับไปครั้งนี้ ข้าก็จะบอกความจริงให้ท่านจอมพลรู้ ขอร้องไห้ท่านจอมพลช่วยข้า ถ้าท่านจอมพลต้องการจะฆ่าข้า เช่นนั้นก็ตามใจเขาเถอะ! ถือว่าค่าชำระหนี้คืนเขาแล้ว 

อวิ๋นจือชิวยกมือตบหน้าผากตัวเอง นั่งพิงระเบียงด้วยสีหน้าจนปัญญา รู้สึกปวดหัวมาก ในปีนั้นนางคือคนที่ใช้วิธีการบีบให้เจียงอีอีทำข้อตกลงกับนาง ในใจมีความรู้สึกผิด อยากจะพยายามสุดความสามารถเพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจียงอีอี แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเมื่อเจอเจียงอวิ๋นแล้วบอกความจริงให้รู้แล้ว กลับกลายเป็นการทำร้ายเจียงอวิ๋น นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว  น้องสาว แล้วข้าจะชี้แจงกับพี่ชายของเจ้าที่ตายไปแล้วยังไง? 

ถงเหลียนซีลุกขึ้นยืน หลังจากโค้งตัวให้อวิ๋นจือชิวค้างไว้นาน ก็หันตัวทำท่าจะเดินออกไป

 ช้าก่อน!  จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็ลุกขึ้นตะโกนเรียกนาง

ถงเหลียนซีน้ำตาคลอ  หวังเฟย ข้าไม่อาจพาลูกชายของท่านจอมพลไปด้วย ไม่อยากทำผิดต่อท่านจอมพลอีกแล้ว! ถ้าทั้งล้างแค้นให้พี่ชายไม่ได้ ทั้งต้องทำผิดต่อท่านจอมพลกับลูกชายของข้า ถ้าเป็นแบบนี้ ข้าแอบหนีไปใช้ชีวิตคนเดียวแล้วจะมีความหมายอะไร? ท่านไม่ต้องเกลี่ยกล่อมแล้ว ข้าตัดสินใจแน่วแน่ๆแล้ว! 

 เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่เกลี้ยกล่อมเจ้าอีกแล้ว แต่ข้าใช้ความพยายามมากมายกว่าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ชายเจ้าได้ ผลปรากฏว่าเจ้าบอกว่าจะไม่ไปคำเดียวก็จบแล้ว นอกจากพี่ชายของเจ้าจะติดค้างน้ำใจข้าเเล้ว เจ้าไม่รู้สึกว่าเจ้าติดค้างอะไรข้าเหรอ? อย่าบอกนะว่าเจ้าจะไม่ตอบแทนน้ำใจก่อนที่จะจบเรื่องนี้?  อวิ๋นจือชิวถาม

 หวังเฟยต้องการอะไร?  ถงเหลียนซีถาม

 ข้าต้องการให้เจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่ง เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ไปขัดขวางเรื่องที่เจ้าจะทำแน่นอน  อวิ๋นจือชิวกล่าว

 หวังเฟยบอกมาได้เลย ขอเพียงข้าทำได้ ข้าไม่ปฏิเสธแน่นอน!  ถงเหลียนซีบอกนาง

 เจ้าทำได้แน่นอน!  อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างแน่วแน่  เจ้าบอกความจริงกับจอมพลลั่วได้เลย แต่ข้ามีคำขอหนึ่งอย่าง เจ้าจะต้องเชิญจอมพลลั่วมาบ้านข้าให้ได้ ต้องอยู่ต่อหน้าท่านอ๋องถึงจะพูดความจริงได้! 

ก็อย่างที่บอก เรื่องในปีนั้นทำให้นางรู้สึกผิดอยู่ในใจ นางยังอยากพยายามสุดความสามารถเพื่อปกป้องอีกฝ่าย ตราบใดที่ลั่วหม่างกับภรรยามาที่จวนท่านอ๋อง ต่อให้ลั่วหม่างจะรู้แล้วว่าถงเหลียนซีเป็นสายลับ แต่ก็จะสังหารตามใจตัวเองไม่ได้ นางสามารถโน้มน้าวให้เหมียวอี้ห้ามได้ทุกเมื่อ แบบนั้นจะยังสามารถปกป้องชีวิตถงเหลียนซีไว้ได้

ถงเหลียนซีเข้าใจเจตนาของนางในชั่วพริบตาเดียว ซาบซึ้งจนน้ำตาไหล นึกไม่ถึงว่าพี่ชายจะมีสหายที่จริงใจขนาดนี้ได้ นางส่ายหน้า  เหนียงเหนียง ไม่คุ้มที่จะทำเพื่อข้าหรอก! 

อวิ๋นจือชิวจึงบอกนางว่า  เอาไปคิดดูให้ดี อาศัยให้ลั่วหม่างคนเดียวช่วยเจ้าล้างแค้น ความสามารถอาจมีจำกัด แต่ถ้ามีท่านอ๋องของข้าเข้าร่วมด้วยล่ะ? ตอนข้าอยู่ต่อหน้าท่านอ๋อง คำพูดของข้ามีน้ำหนักอยู่บ้าง และอิทธิพลคำพูดท่านอ๋องของข้า คาดว่าจอมพลลั่วก็ต้องชั่งน้ำเช่นกัน ดีกว่าให้เจ้าไปขอร้องคนเดียว ขอเพียงเจ้ารับปากเงื่อนไขนี้ ข้าก็รับประกันกับเจ้าได้ ว่าข้าจะพยายามโน้มน้าวให้ท่านอ๋องช่วยเจ้า น้องสาว เจ้าจะโหดร้ายกับลูกชายเจ้าอย่างนั้นไม่ได้นะ ถ้าวันไหนเขารู้ว่าพ่อฆ่าแม่แม่ตัวเอง ผลที่ตามมาจะเป็นยังไงล่ะ? 

เมื่อเผชิญกับการกดดันอย่างต่อเนื่องจากอวิ๋นจือชิว ถงเหลียนซีก็แทบจะไม่เหลือทางเลือกแล้ว

สุดท้ายถงเหลียนซีก็พยักหน้า นับว่ารับปากแล้ว

แต่อวิ๋นจือชิวไม่วางใจ  ข้าเกลียดที่สุดเวลาโดนคนอื่นปั่นหัว ถ้าเจ้าหลอกข้า ข้าก็รับประกันได้เลย ถ้าเจ้าตายด้วยน้ำมือลั่วหม่าง ข้าจะบอกให้ลูกชายเจ้ารู้ความจริงแน่นอน ให้พวกเขาสองพ่อลูกหันมาเป็นศัตรูกันเอง! 

ถงเหลียนซีส่ายหน้า มองนางพร้อมยิ้มทั้งน้ำตา โค้งตัวอีกครั้ง  ขอบคุณ! 

ในขณะนี้เอง เฟยหงก็ถ่ายทอดเสียงบอกอวิ๋นจือชิว : พี่สาว มีคนมาค่ะ

 มีคนมาแล้ว เจ้ารีบจัดการตัวเองสักหน่อย  อวิ๋นจือชิวกระซิบบอกถงเหลียนซี จากนั้นก็เดินก้าวยาวออกจากศาลาไป ไม่ยอมให้ใครเห็น

หลังจากเจอกับพวกเฟยหงแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ใช้นิ้วเรียวลูบศีรษะตัวเอง นับว่าโล่งใจแล้ว จากนั้นก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ทันที บอกเหมียวอี้ว่ายืนยันได้แล้วว่าถงเหลียนซีคือเจียงอวิ๋น และเล่าสถานการณ์ให้ฟังด้วย

ตึกศาลาที่อยู่ภายใต้การปกคลุมของหมอกฝน เหมียวอี้ที่กำลังเดินเนิบนาบเก็บระฆังดารา แล้วก็ก้าวยาวหันตัวกลับมา  ให้เหยียนซิวนำตัวจางผิงมาเจอข้าที่ห้องหนังสือ 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงที่เดินตามหลังเอ่ยรับ

…………

 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่นั่งประจำที่ คำพูดแสดงอำนาจบารมีสองสามประโยคคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ จากนั้นเหล่าเทพธิดาก็เดินขวักไขว่อยู่ทั้งข้างในข้างนอกงานเลี้ยง สุราชั้นดีกับอาหารชั้นเลิศถูกจัดวางขึ้นโต๊ะแล้ว

ราชินีสวรรค์ชูจอกสุราไปไกลๆ ร่วมดื่มกับกลุ่มผู้ร่วมงาน นับว่าเริ่มงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการแล้ว

ระหว่างงานเลี้ยง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่นอกจากเริ่มทักทายอวิ๋นจือชิวตามมมารยาทสองสามประโยคแล้ว ตอนหลังก็แทบไม่ได้มองอวิ๋นจือชิวตรงๆ อีกเลย พูดคุยยิ้มแย้มกับเม่ยเหนียงที่อยู่อีกข้างเท่านั้น มีท่าทีเย็นชาต่ออวิ๋นจือชิว

บรรดาสนมของราชันสวรรค์ที่นั่งอยู่สองฝั่งและเข้าใกล้ได้ก็ไม่มีใครคุยกับอวิ๋นจือชิวเช่นกัน ส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอวิ๋นจือชิว คนที่พอจะมีความใกล้ชิดกับทัพใต้ได้อยู่บ้าง ตอนนี้ก็ยังไม่ได้สานสัมพันธ์ที่ควรค่าให้เชื่อใจกับฝั่งเหมียวอี้ พวกสนมที่ทหารรบแพ้ส่งเข้าวังก็ถูกเบียดออกไปเพราะคนที่หนุนหลังพวกนางสิ้นอำนาจ ตำแหน่งที่นั่งไม่อาจอยู่ใกล้ฝั่งนี้ได้ อวิ๋นจือชิวถูกเมินเฉยท่ามกลางสายตาฝูงชน แต่นางก็ยังชูจอกสุราอย่างไม่สะทกสะท้าน ท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจอะไร

เหตุการณ์ทุกอย่างนี้ เสวี่ยหลิงหลงที่นั่งอยู่เบื้องล่างเห็นอยู่ในสายตาหมดแล้ว ในใจรู้สึกกังวล คิดแต่ว่ากลับไปจะต้องเตือนสวีถังหรานสักหน่อย ท่านอ๋องให้สวีถังหรานจัดการเรื่องส่งสนมเข้าวัง เรื่องในวันนี้ทำให้หวังเฟยเสียหน้าอย่างเห็นได้ชัด

ผ่านไปไม่นาน นางระบำเรียงแถวขึ้นเวที ดึงดูดสายตาคนในงาน

ในตำหนักหลักของพระตำหนักอุทยาน ที่นั่งของขุนนางใหญ่เต็มราชสำนัก มีการระบำเฉลิมฉลองเช่นกัน ขุนนางราชันร่วมยินดี สวีถังหรานจิตใจเร่าร้อนฮึกเหิม ได้พบกับความรู้สึกสูงส่งยิ่งใหญ่แล้ว

ในอุทยาน สาวงามมากมายดุจมฆบนท้องฟ้า ทิวทัศน์งดงามไร้ที่เปรียบ เศรษฐีใหม่เผยตัว

หลังจากรับประทานสุราอาหารเลิศรส เสียงระฆังดังก้อง งานเลี้ยงจบลง เหล่าขุนนางให้ประมุขชิงเป็นผู้นำ เหล่าสนมให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เป็นผู้นำ ทยอยกันออกจากพระตำหนักอุทยาน เริ่มเที่ยวชมอุทยานหลวง ชายหญิงเที่ยวคนละเส้นทาง

สวนท้อเซียนสามพันลี้ที่ยามปกติไม่เปิดให้ชม เซี่ยโห้วเฉิงอวี่นำกลุ่มผู้หญิงเข้ามา ให้ทุกคนเที่ยวชมได้ตามใจชอบ ไอเซียนในสวนลอยวนเวียนเป็นเกลียว กลิ่นหอมทำให้ใจผ่อนคลาย

อวิ๋นจือชิวมองหารอบๆ อย่างแนบเนียน เจอเป้าหมายยังถงเหลียนซีแล้ว เตรียมจะหาโอกาสเข้าไปตีสนิท

ใครจะคิดว่าจูโยวเหม่ย อนุภรรยาคนโปรดของเถิงเฟยเข้ามาตีสนิทกับนางอย่างแนบเนียนแล้ว ทำท่าทางเมืองบังเอิญเจอ คำนับอย่างอ่อนน้อม  หวังเฟยเหนียงเหนียง 

อวิ๋นจือชิวพยักหน้ายิ้มอย่างเป็นกันเอง ถ้าไม่ใช่เพราะซูอวิ้นเตือนไว้ นางคงคิดว่าเป็นความบังเอิญจริงๆ แล้ว ในใจรู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว

ไม่รอให้พูดอะไร จูโยวเหม่ยก็เข้ามาใกล้ตรงหน้านางแล้ว พออ้าปากก็กล่าวขออภัยทันที  ก่อนหน้านี้ข้าอบรมคนไม่ดี ล่วงเกินหวังเฟยเข้าแล้ว หวังเฟยเหนียงเหนียงโปรดอย่าถือสา 

 โยวเหม่ย ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ เจ้ามาล่วงเกินข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?  อวิ๋นจือชิวถามเหมือนแปลกใจ

จูโยวเหม่ยส่ายหน้ายิ้มเจื่อน  เรื่องนี้ต้องโทษข้า ก่อนหน้านี้ข้าเรียกบ่าวรับใช้ไปเก็บกวาดเรือนพัก ไม่คิดว่าบ่าวสองคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจะถือวิสาสะบุกเข้าไปที่เรือนพักของจวนท่านอ๋อง ไปรบกวนหวังเฟยเหนียงเหนียงแล้ว 

 มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ทำไมข้าไม่รู้เลย?  อวิ๋นจือชิวทำเหมือนประหลาดใจ

จูโยวเหม่ยปัดกิ่งไม้ที่ยื่นมาบังตรงหน้าออก  สงสัยเหนียงเหนียงจะเป็นผู้ใหญ่ที่ใจกว้างจริงๆ ก็เลยไม่เก็บมาใส่ใจ ที่จริงก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ตอนหลังถึงได้รู้ว่ามีบ่าวรับใช้ไปรบกวนที่เรือนพักของจวนท่านอ๋อง พอถามแล้วถึงได้รู้ บ่าวที่ไปรบกวนชื่อว่าเฉาว่านเสียงกับเถียนจื่อจวิน เฉาว่านเสียงคนนี้คืออดีตสามีของเแม่ทัพมู่หรง เป็นแม่ทัพของหนียงเหนียง ในปีนั้นเพื่อที่จะใต้เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งสูง เขายอมทิ้งแม่ทัพมู่หรงเพื่อไปแต่งงานกับเถียนจื่อจวินนั่น อิ๋งจิ่วกวงวางแผนชั่วล้มเหลว ชายหญิงคู่นี้ไปขอยอมแพ้ให้ท่านอ๋อง เดิมทีก็เก็บไว้ด้วยเจตนาดี แต่ใครจะคิดว่าจะกล้าไปรบกวนแม่ทัพมู่หรง ข้าสั่งสอนไม่ดีเอง เหนียงเหนียงอย่าเก็บไปใส่ใจเชียวนะคะ 

อวิ๋นจือชิวบอกว่า  อ้อ! โยวเหม่ยพูดถึงพวกเขาเหรอ ยังนึกว่าเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก คนประเภทนี้ไม่มีใครเอ่ยถึงหรอก ไม่ต้องพูดถึงก็ได้  นางไม่อยากสอบถามเอาเรื่อง ถ้าเป็นอย่างที่ซูอวิ้นบอกจริงๆ ขนาดมู่หรงซิงหัวยังไม่แสดงท่าที นางก็ไม่จำเป็นต้องไปถือสาจนทำร้ายชีวิตของพวกเขา

 เหนียงเหนียงเป็นคนใจกว้างจริงด้วย  จูโยวเหม่ยยิ้มพร้อมเคยชม ในเมื่ออวิ๋นจือชิวบอกว่าไม่ต้องเอ่ยถึง นางก็ไม่เอ่ยถึงอีกเช่นกัน แต่ในเมื่อได้คุยกันแล้ว ก็จะจบบทสนทนาง่ายๆ ไม่ได้ เป็นฝ่ายหาประเด็นสนทนาก่อน  ได้ยินว่าจวนของท่านอ๋องสวรรค์หนิวทิวทัศน์งดงาม ข้ายังไม่เคยไปเลย วันนี้ได้เจอเหนียงเหนียง อดไม่ได้ที่จะคิดถึง ต้องมาขอให้เหนียงเหนียงแก่ไมตรีสักหน่อย ไม่ทราบว่าถ้าว่างๆ ข้าจะไปเที่ยวที่นั่นได้หรือเปล่า? 

 เดิมทีเป็นที่อยู่เก่าของจวนท่านอ๋องฮ่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถ้าโยวเหม่ยสนใจ ก็ถือว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติพี่เชิญมาได้ยาก ข้าย่อมต้องยินดีต้อนรับอยู่แล้ว  อวิ๋นจือชิวกล่าว

จูโยวเหม่ยเอามือป้องปากหัวเราะคิกคัก  ในเมื่อเหนียงเหนียงพูดอย่างนี้แล้ว เช่นนั้นก็ถือเป็นความสิริมงคล เลือกวันอื่นไม่สู้เลือกวันนี้ หลังจากจบงานเลี้ยงอุทยาน ข้าก็จะอาศัยบารมีเหนียงเหนียงติดตามไปด้วยกันเลยดีไหม? 

อวิ๋นจือชิวพยักหน้ายิ้มตอบ  ได้สิ! 

ในหัวกลับนึกถึงภาพในปีนั้นตอนที่ไปเยี่ยมคำนับผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนนี้หยิ่งยโส ท่าทางเย็นชา แต่ตอนนี้กลับพูดประจบสอพลอทุกคำ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลง ท่าทีของคนเราเปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจจริงๆ

คำพูดดีๆ ที่ฟังมาตลอดทางก็แค่ฟังเฉยๆ ไม่นับว่าเป็นเรื่องงดงามอะไรเช่นกัน ทว่าจูโยวเหม่ยเหมือนไม่อยากให้คนเห็นเยอะเกินไปว่าตัวเองใกล้ชิดกับอวิ๋นจือชิว ระหว่างทางจึงหาข้ออ้างเดินออกไปก่อน

สวนท้อเซียนกว้างใหญ่ไพศาล ต้นท้อโบราณสูงบังแดด ไอเซียนหมุนเป็นเกลียวคลื่น ถ้าจะตามหาคนก็ไม่ง่าย แต่กลับเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับคุยเรื่องส่วนตัวที่ไม่อยากให้ใครเห็น

ยังเหลือเวลาอีกมากก่อนมารวมตัวกันนอกสวนท้อ อวิ๋นจือชิวแอบกำชับเฟยหงกับเสวี่ยหลิงหลงแล้ว ว่าให้แบ่งกันตามหาถงเหลียนซี

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เสวี่ยหลิงหลงก็ส่งข่าวมาแล้ว บอกว่าเจอแล้ว

ตอนที่อวิ๋นจือชิวไปถึง ก็เห็นถงเหลียนซีนั่งอยู่ในศาลาหลังหนึ่ง กำลังพูดคุยยิ้มแย้มกับสตรีวัยกลางคนคนหนึ่ง อวิ๋นจือชิวสั่งให้เสวี่ยหลิงหลงไปเยี่ยมคำนับ ให้นางหาข้ออ้างดึงตัวผู้หญิงอีกคนแยกออกไป ขณะเดียวกันก็ให้คนคอยเฝ้ารอบๆ เอาไว้ เสร็จแล้วถึงได้เดินออกมาจากป่าท้อ เดินตรงเข้าไปในศาลานั้น

เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวเดินเข้ามา ถงเหลียนซีก็รีบก้าวขึ้นมาคำนับ  หวังเฟยเหนียงเหนียง 

 ที่แท้ก็เป็นเหลียนซีนี่เอง!  อวิ๋นจือชิวทำท่าเหมือนประหลาดใจ รีบยื่นมือบอกไปว่าไม่ต้องมากพิธี ขณะเดียวกันก็เชิญให้นั่งลง  เดินเล่นน่าเบื่อ เห็นศาลาเลยจะมานั่งสักหน่อย นึกไม่ถึงว่าจะเจอเหลียนซีแล้ว ช่างมีวาสนาต่อกันจริงๆ 

ถงเหลียนซียิ้มอย่างสำรวม นั่งลงข้างๆ ด้วยความสง่าทว่านุ่มนวล นางไม่เหมือนคนสดใสเปิดเผย เป็นคนพูดน้อย ต้องรอให้อวิ๋นจือชิวต้องถามนางถึงจะตอบ

อวิ๋นจือชิวใช้คำพูดทดสอบนิดหน่อย ในใจเชื่อคำพูดของพระปีศาจไปแล้วสามส่วน นางเคยเห็นเจียงอีอีมาแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับภาพของเจียงอีอีที่อยู่ในความทรงจำ ก็พบว่าตรงช่วงหว่างคิ้วของถงเหลียนซีคล้ายกับเจียงอีอีอยู่หลายส่วน ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาของเจียงอีอี หน้าตาของน้องสาวเขาก็ย่อมไม่แย่แน่นอน ไม่แปลกใจที่ได้กลายเป็นอนุภรรยาคนโปรดของลั่วหม่าง

ขณะที่สมองกำลังคิด จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็ถอนหายใจ  เมื่อเห็นเหลียนซี ก็ไม่รู้ว่าข้ารู้สึกไปเองหรือเปล่า มักรู้สึกว่าเหลียนซีคล้ายสหายเก่าของข้าคนหนึ่ง หน้าตาค่อนข้างเหมือนกัน สหายเก่าของข้าแซ่เจียง เจียงจากคำว่าเจียงหู ไม่รู้ว่าเหลียนซีรู้จักหรือเปล่า?  ขณะที่พูดแบบนี้ นางก็สังเกตความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของอีกฝ่ายอย่างละเอียด

สิบนิ้วของถงเหลียนซีที่อยู่นอกแขนเสื้อหดเข้ามาอย่างเห็นได้ชัด แววตาวูบไหวชัดเจน แต่ภายนอกกลับไม่แสดงปฏิกิริยามากนัก นิ่งสงบมาก นางเงยหน้ามองไปรอบๆ แล้วถามว่า  หวังเฟยมาคนเดียวหรือคะ?  ในที่สุดนางก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติ ด้วยสถานะในตอนนี้ของอวิ๋นจือชิว เป็นชนชั้นสูงคนใหม่ที่มีคนรายล้อมเหมือนดาวล้อมเดือน จะมาเดินเล่นคนเดียวได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าไม่ได้บังเอิญอย่างที่อีกฝ่ายบอก แต่เป็นการจงใจทำให้บังเอิญ

อวิ๋นจือชิวสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแล้ว จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง  ชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ เหลียนซีก็เหมือนจะชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ เหมือนกัน พวกเราพี่น้องจะได้คุยเล่นกันพอดี ไม่มีใครรบกวน เจ้าคิดว่ายังไง? 

ถงเหลียนซีลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ คงตัวคำนับ แล้วกล่าวขณะที่ยิ้มบางๆ  เกรงว่าจะทำลายอารมณ์สุนทรีย์ของเหนียงเหนียงแล้ว ข้ายังต้องไปอยู่กับก่วงหวังเฟยอีก ไม่รบกวนเหนียงเหนียงแล้วค่ะ  พูดจบก็เดินเนิบนาบออกไปด้วยท่วงท่าสง่างาม

อวิ๋นจือชิวรุดแขนเสื้อ แล้วกล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า  สหายเก่าแซ่เจียงคนนั้นตามหาน้องสาวของเขามาโดยตลอด ก็หาไม่พบเลย ตอนหลังก็หมดหนทางแล้วจริงๆ เลยมาหาข้า ไหว้วานให้ข้าช่วยหา เพื่อที่จะช่วยเหลือเรื่องนี้ ข้าเองก็ใช้ความพยายามไปเต็ม ถึงได้สืบเจอเบาะแสแล้วนิดหน่อย 

ถงเหลียนซียืนตัวแข็งอยู่ตรงทางออกศาลาแล้ว นางก้าวขาไม่ออก ร่างงามสั่นเทิ้มเล็กน้อย

อวิ๋นจือชิวปรายตามองแวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างสบายๆ ต่อไป  สงสัยเบาะแสที่ข้าได้มาจะผิดพลาด เกรงว่าจะทำให้สหายเก่าของข้าผิดหวังแล้ว 

ตอนที่ถงเหลียนซีหันตัวกลับมาอีกครั้ง สีหน้าก็กลับมานิ่งสงบเหมือนเดิมแล้ว นางจ้องอวิ๋นจือชิว  ข้าไม่เข้าใจว่าหวังเฟยหมายความว่ายังไง หวังเฟยหวังจะให้ข้าช่วยหาคนเหรอ? 

อวิ๋นจือชิวแอบคิดในใจ สมกับที่ถูกฝึกมาจากสมาคมวีรชน มีการเตรียมพร้อมทางด้านจิตใจดีมาก ไม่ยอมรับปากง่ายๆ ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ นางยืนมือบอกใบ้  ถ้าเหลียนซีอยากจะช่วยฆ่าเรื่องนี้ ก็นั่งลงค่อยๆ คุยกันได้ 

ถงเหลียนซีเดินเนิบนาบกลับมานั่งลงที่เดิม

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ น่าเสียดายที่เจียงอีอีในปีนั้นทำอะไรระมัดระวังตัว ไม่ได้เก็บจดหมายของน้องสาวไว้ข้างกาย ไม่อย่างนั้นแค่เปรียบเทียบตราอิทธิฤทธิ์ก็จบเรื่องได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้ นางถามว่า  ยินดีฟังข้าเล่าหรือเปล่าล่ะ? 

 ข้าจะตั้งใจฟัง  ถงเหลียนซีกล่าว

อวิ๋นจือชิวครุ่นคิดเล็กน้อย ถอนหายใจ แล้วบอกว่า  สหายของข้าคนนั้นแซ่เจียง มีน้องสาวคนหนึ่ง สองพี่น้องมีชีวิตเพื่อกันและกัน เขาบอกว่าตอนเด็กๆ น้องสาวของเขาชอบกินถังหูลู่ แต่เขามักไม่มีเงินซื้อ อยู่มาวันหนึ่งสมาคมวีรชนปรากฏตัว แล้วพาตัวพวกเขาไป หลังจากสองพี่น้องที่อยู่สมาคมวีรชนก้าวเข้าสู่แดนฝึกตน ก็ถูกจับแยกกัน จากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกเลย ไม่รู้ว่าน้องสาวหน้าตายังไง กำลังทำอะไร ตัวอยู่ที่ไหน วิธีการเดียวที่ยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ก็คือ ได้รับจดหมายที่มีตราอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายเป็นระยะ เนื่องจากน้องสาวอยู่ในมือสมาคมวีรชน ด้วยความที่ถูกกดดัน เรื่องบางเรื่องเขาก็จำเป็นต้องทำ เขาเปลี่ยนชื่อเป็นเจียงอีอี กลายเป็นโจรราคะที่คนในใต้หล้าอยากกำจัดทิ้ง เขาต้องช่วยคนบางคนทำเรื่องน่าละอาย เขาเลยกังวลสุดๆ ว่าน้องสาวเขาก็จะถูกบีบบังคับเหมือนกัน ถึงได้ขอร้องให้ข้ามาช่วยชีวิตน้องสาวของเขา 

พอได้ฟังตอนแรก ถงเหลียนซีก็ร้องไห้แล้ว น้ำตานองหน้าอย่าเงียบๆ เรื่องที่ตอนเด็กนางชอบกินถังหูลู่ นอกจากพี่ชายแล้ว แม้แต่สมาคมวีรชนก็ไม่รู้เช่นกัน ตอนที่อวิ๋นจือชิวพูดถึงเรื่องนี้ นางก็แน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายถูกไหว้วานจากพี่ชายให้มาหานางจริงๆ

แต่ตอนที่ได้ยินคำว่า ‘เจียงอีอี’ นางก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เป็นเพราะในปีนั้นโจรราคะมีชื่อเสียงเกินไป แม้แต่นางเองเวลาจะออกไปข้างนอกก็ยังต้องป้องกัน ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ นางรู้แล้วว่าโจรราคะคนนั้นมีจุดจบที่อนาถมาก เหมือนจะตายด้วยน้ำมือหนิวโหย่วเต๋อตอนที่ยังเป็นแม่ทัพภาคตลาดผี นางพลันเหลือบตาขึ้น ในดวงตาที่คลอน้ำตาราวกับมีไฟลุก  พวกเจ้าฆ่าเขาเหรอ? 

อวิ๋นจือชิวจ้องนาง  ไม่ใช่พวกเราฆ่าเขาหรอก ที่เจ้าฟังมาเป็นข่าวลือทั้งนั้น มีคนจงใจปกปิดความจริง ไม่อยากให้คนรู้ว่าเจียงอีอีกับสมาคมวีรชนเกี่ยวข้องกัน แล้วความจริงก็ไม่เหมือนข่าวลือ ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ ข้าจะรู้เรื่องนี้ได้ยังไง ข้าจะช่วยเขาตามหาน้องสาวมาตลอดหลายปีขนาดนี้ได้ยังไง มีใครเขาขอให้ศัตรูช่วยทำเรื่องแบบนี้บ้าง? 

ถงเหลียนซีสะอื้นพลางส่ายหน้า  ใครเป็นคนฆ่าเขา? 

 อยากรู้ความจริงเหรอ? แต่ทำไมข้าต้องบอกเจ้าล่ะ? ข้าแค่มาขอให้เจ้าช่วย เหมือนเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องรู้เยอะเกินไปนะ  อวิ๋นจือชิวตอบด้วยน้ำเสียงปกติ

………………

 

 แสดงไมตรีต่อข้า?  อวิ๋นจือชิวถามอย่างลังเล สายตาชำเลืองมองทิศทางที่มู่หรงซิงหัวเดินออกไป

พอจะเข้าใจความหมายที่ซูอวิ้นอธิบายแล้ว บางอย่างไม่สะดวกจะพูดต่อหน้ามู่หรงซิงหัว ต้องรอให้มู่หรงซิงหัวออกไปก่อน นางถึงอธิบายออกมา

ในขณะนี้เอง เฟยหงก็กลับมาแล้วเช่นกัน หลังจากมาคำนับอวิ๋นจือชิวแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ถามในรอยยิ้มว่า  ได้พบกับท่านแม่บุญธรรมของเจ้าแล้วเหรอ? 

 พบแล้วค่ะ  เฟยหงฝืนยิ้ม จากนั้นก็หาข้ออ้างขอตัวไป กลับมาพักผ่อนในห้องตัวเอง

อวิ๋นจือชิวกับซูอวิ้นมองหน้ากันเลิกลั่ก ต่างก็มองออกแล้วว่าเฟยหงมีอารมณ์หดหู่นิดหน่อย ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไปแล้ว

ผ่านไปสักครู่เดียว อวิ๋นจือชิวก็กลับเข้ามาในเรือนชั้นในเช่นกัน มาที่เขตลานบ้านของเฟยหง เคาะประตูห้องเฟยหงแล้ว

พอเปิดประตูมาแล้วเห็นว่าเป็นอวิ๋นจือชิว เฟยหงก็รีบให้นางเข้ามา  เหนียงเหนียงมาแล้วหรือคะ 

อวิ๋นจือชิวเข้ามาในห้องแล้วมองไปรอบๆ ด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง  น้องสาว เราพอใจกับการตกแต่งห้องนี้ไหม? ถ้าไม่พอใจข้าจะเรียกให้คนมาตกแต่งให้ใหม่ 

 พอใจแล้วค่ะ ไม่ต้องยุ่งยากแล้วค่ะ  เฟยหงตอบ

อวิ๋นจือชิวเดินวนรอบห้อง ไม่มีท่าทีว่าจะออกไป เดินมานั่งลงบนเก้าอี้โดยตรง จ้องเฟยหงครู่หนึ่งแล้วถามว่า  เจอมารดาเจ้าแล้วเหรอ? 

เฟยหงพยักหน้า

 อารมณ์เจ้าดูไม่ปกติ เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วใช่ไหม?  อวิ๋นจือชิวถาม

สำหรับคำพูดของแม่เฒ่าลวี่ นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี ในใจรู้อย่างชัดเจน ว่าอารมณ์ของตัวเองได้รับผลกระทบมาจากคำพูดของแม่เฒ่าลวี่ ถึงอย่างไรแม่เฒ่าลวี่ก็ไม่ได้พูดซี้ซั้ว ที่อีกฝ่ายพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของนาง อวิ๋นจือชิวก็เข้าใจแล้ว สงสัยจะมีเรื่องจริงๆ จึงยื่นมือไปที่เก้าอี้ข้างโต๊ะชา  น้องสาว มานั่งตรงนี้สิ มีอะไรก็คุยกับข้าได้ เราไม่ใช่คนนอกเสียหน่อย ไม่ต้องกังวลอะไร 

เฟยหงเดินเข้ามา นั่งลงช้าๆ หนังไม่รู้จะเอ่ยปากพูดอย่างไร ได้แต่ก้มหน้า

 เกิดเรื่องขึ้นกับแม่เจ้าเหรอ?  อวิ๋นจือชิวถาม

เฟยหงส่ายหน้า แต่กลับไม่บอกเหตุผล

อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้บีบบังคับนางเช่นกัน ใช้สองมือจับกระโปรง ยกขาขึ้นมานั่งไขว่ห้าง เอนกายพิงเก้าอี้รอต่อไป

ในห้องตกสู่ความเงียบ ทนรอต่อไปอย่างนี้เรื่อยๆ หลังจากผ่านไปนาน เฟยหงเองก็ทนไม่ไหวแล้ว บอกด้วยเสียงต่ำเบาที่สุดว่า  แม่เฒ่าลวี่อาจจะมองออกตั้งนานแล้วว่าข้ามาอยู่ฝ่ายท่านอ๋อง 

เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ อวิ๋นจือชิวก็ตกใจทันที โน้มตัวไปด้านข้างโต๊ะชา แล้วถามด้วยสีหน้าจริง  เรื่องเป็นยังไงกันแน่? 

 ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่านางมองออกได้ยังไง…  เฟยหงค่อยๆ เล่าเรื่องที่แม่เฒ่าลวี่แอบบอกใบ้นางที่สวนกลางเขียวขจี

อวิ๋นจือชิวฟังจบแล้วโล่งใจ แม่เฒ่าลวี่มองออกแล้วจริงๆ แต่น่าจะยังไม่เปิดเผยต่อภายนอก ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดสถานการณ์อย่างนี้ขึ้น นั่งถอนหายใจแล้วบอกว่า  ดูท่าแล้ว ท่านแม่บุญธรรมที่เจ้าเรียกมาหลายปีนี้จะไม่สูญเปล่า นางจริงใจต่อเจ้านั้นไม่ผิด ไม่อาจปฏิเสธได้ สิ่งที่น้องพูดก็มีเหตุผล และหวังดีต่อเจ้าจริงๆ  ขณะที่พูดอยู่นั้น จู่ๆ ก็ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเฟยหง  แต่นางหนูเอ๋ย เจ้านี่มันจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงหมาป่า ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว! 

เฟยหงที่โดนนิ้วจิ้มมองนางด้วยความงุนงง

อวิ๋นจือชิวถลึงตา  พอเห็นท่าทางเหม่อลอยของเจ้าแล้ว ข้าอยากจะตบเรียกสติเจ้าสักฉาดจริงๆ เลอะเลือน! แม่เฒ่าลวี่พูดไม่ผิดหรอก คนที่อยู่ในตำแหน่งแบบท่านอ๋อง เป็นไปได้ว่าจะกลายเป็นคนทำการใหญ่ที่ไม่สนใจเรื่องเล็กน้อย แต่ก็ต้องดูด้วยว่าปฏิบัติต่อใคร สำหรับเจ้าแล้ว ท่านอ๋องเป็นคนประเภทนั้นเหรอ? เจ้าอยู่กับท่านอ๋องมาหลายปีขนาดนี้ ยังมองไม่ออกอีกเหรอว่าท่านอ๋องดีกับเจ้าจากใจจริงหรือเปล่า? ตราบใดที่เจ้าไม่ทรยศท่านอ๋อง ท่านอ๋องจะทรยศเจ้าได้ยังไง? เจ้ารู้หรือเปล่าว่าท่านอ๋องทนรับความกดดันขนาดไหน ต้องเสียสละมากขนาดไหนเพื่อจะช่วยแม่เจ้าออกมา? เดิมทีข้าก็ไม่อยากจะบอกเจ้าเลย กลัวว่าเจ้าจะกังวล แต่ในเมื่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ ว่าก่อนที่ท่านอ๋องจะลงมือกับทัพใต้ เพื่อที่จะช่วยแม่เจ้าออกมาน่ะ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าท่านอ๋องต้องจ่ายเยอะขนาดไหน? ท่านอ๋องยอมแอบทำข้อตกลงลับกับพระปีศาจหนานโป ให้พระปีศาจใช้พลังอภินิหารของตัวเองช่วยหาที่อยู่ของแม่เจ้า เจ้ารู้หรือเปล่าว่าหมายความว่าอะไร? หมายความว่าเจรจากับเสือเพื่อเอาหนังเสือไง หมายความว่าท่านอ๋องเป็นฝ่ายส่งจุดอ่อนของตัวเองไปไว้ในมือพระปีศาจ เท่านี้ยังไม่พอนะ ท่านอ๋องยังเตรียมแผนสำรองอีกอย่างไว้ด้วย ว่าทางฝั่งพระปีศาจทำไม่สำเร็จ ท่านอ๋องก็ถึงขั้นไม่เสียดายที่จะจับตัวโอรสสวรรค์ชิงหยวนจุนหรือไม่ก็แม่ทัพคนสำคัญของกองทัพองครักษ์มาเป็นตัวประกันเพื่อแลกกับแม่เจ้า 

เฟยหงเบิกตากว้างมองอวิ๋นจือชิว ดวงตาแดงก่ำแล้ว รู้สึกตกตะลึงมาก ก่อนหน้านี้เหมียวอี้เคยบอกนางว่า ก่อนจะลงมือกับทัพใต้ก็ได้วางแผนช่วยแม่นางเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะยอมทำข้อตกลงกับพระปีศาจหนานโปที่น่ากลัวเพื่อช่วยมารดานาง ทั้งยังเตรียมจะจับโอรสสวรรค์มาเป็นตัวประกัน นี่คือเรื่องที่นางจินตนาการได้ยากจริงๆ

อวิ๋นจือชิวตำหนิไม่หยุด  ในปีแรกๆ ท่านอ๋องไม่ทำอย่างนี้ ก็เพราะทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่มีความสามารถที่จะไปเสี่ยงอันตราย ตอนนี้ท่านอ๋องเพิ่งจะได้อาณาเขตทัพใต้ พอจะมีความสามารถในการเสี่ยงอันตรายบ้างแล้ว ตอนที่อาณาเขตยังไม่มีเสถียรภาพเต็มที่ เขาก็ยังจะทำเรื่องนี้เพื่อเจ้าแล้ว เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเขาต้องแบกรับอันตรายมากขนาดไหน? นางเด็กโง่เอ๊ย เจ้ามีสมองหน่อยได้ไหม? ถ้าท่านอ๋องไม่เห็นความสำคัญกับพวกเจ้าสองแม่ลูกจริงๆ ยังจำเป็นต้องคิดหาทางให้เจ้าถ่วงเวลาอยู่ไหม? แค่หลอกใช้เจ้าให้วางกับดักล่อมือสังหารมากำจัดพร้อมกันก็สิ้นเรื่องแล้ว จำเป็นต้องปล่อยให้เวลายืดเยื้อจนเสี่ยงโดนลอบสังหารได้ตลอดเวลาแบบนี้ไหม? ยังมีอีกนะ ที่ข้ามาครั้งนี้ ท่านอ๋องก็มอบภารกิจให้ข้าเหมือนกัน พระปีศาจให้เบาะแสบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับแม่เจ้า หนึ่งในจุดประสงค์ที่ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อตรวจสอบความจริงจากเบาะแสที่พระปีศาจให้มา ฝั่งนี้ทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยแม่เจ้า แต่ดูเจ้าสิ พอมีคนพูดด้วยนิดเดียวก็หวั่นไหวแล้ว เจ้ารู้ถึงจิตใจทุ่มเทของท่านอ๋องหรือเปล่า? 

เฟยหงไหล่งามสั่นเทิ้ม น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่า ลุกขึ้นคุกเข่าตรงหน้าอวิ๋นจือชิว  พี่สาว ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วค่ะ 

อวิ๋นจือชิวใช้สองมือประคองใบหน้านาง พร้อมกล่าวอย่างเวทนา  จะบอกว่าเจ้าผิดก็ไม่ได้ เจ้าก็แค่อยากจะช่วยแม่ของเจ้ามาก เพื่อที่จะช่วยแม่เจ้า เจ้าก็กล้าทิ้งแม้แต่โอกาสรอดชีวิตที่แม่เฒ่าลวี่มอบให้เจ้า ใครกล้าบอกว่าความกตัญญูของเจ้าเป็นเรื่องผิดล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าก็พูดเรื่องนี้ออกมาแล้ว แสดงว่าใจของเจ้าเอนเอียงไปทางท่านอ๋อง ไม่อย่างนั้นเจ้าก็สามารถปิดบังเรื่องนี้ได้เลย แต่เจ้าไม่ควรสงสัยความจริงใจของท่านอ๋อง ในโลกนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนดีกับเจ้าได้เท่านี้อีกแล้ว นี่คือวาสนาของเจ้า เจ้าต้องเห็นค่านะ! น้องสาว เจ้าฟังให้ดี ท่านอ๋องไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าจะทิ้งเจ้ากับแม่เจ้า ถ้าฝั่งพระปีศาจทำไม่สำเร็จ ท่านอ๋องก็จะจับตัวประกันที่มีน้ำหนักมากพอมาแลกกับแม่เจ้า เอาเป็นว่าท่านอ๋องจะช่วยแม่เจ้าออกมาแน่นอน เจ้าต้องเชื่อใจท่านอ๋อง ให้เวลาท่านอ๋องอีกสักหน่อย ดีไหม? 

เฟยหงหมอบบนตักนาง กล่าวเสียงสะอื้น แล้วสุดท้ายก็ร้องไห้จนพูดไม่เป็นภาษา

อวิ๋นจือชิวแอบถอนหายใจขณะเอามือลูบศีรษะนาง พอในบ้านมีคนเยอะแล้ว เรื่องในบ้านก็มากขึ้นด้วย ถ้าอยากจะดูแลให้ทั่วถึงทุกด้านก็ไม่ใช่เรื่องง่าย คิดไปคิดมาก็อดไม่ได้ที่จะแอบด่าเหมียวอี้ สร้างปัญหาเรื่องผู้หญิงมากมาย แต่ยังต้องให้นางมาปลอบใจ มาช่วยเช็ดก้น เห็นนางเป็นอะไรไปแล้ว…

งานเลี้ยงอุทยานวันต่อมา แม่ทัพทุกคนของทัพใต้ที่มีสิทธิ์มาที่นี่ล้วนมาคำนับหวังเฟยที่เรือนพัก สวีถังหรานกับภรรยาก็มาแล้วเช่นกัน สวีถังหรานสุขสมหวังจริงๆ เสวี่ยหลิงหลงก็ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

สำหรับเสวี่ยหลิงหลงแล้ว นี่คือเรื่องที่เมื่อก่อนนางไม่เคยนึกถึงเลย ในปีนั้นตอนที่อยู่หอกลิ่นสวรรค์ นางเคยคิดเสียที่ไหนว่าจะมีวันที่ได้เป็นฮูหยินท่านโหวและมาเข้าร่วมงานเลี้ยงอุทยานหลวงอย่างสง่าผ่าเผย เพียงแต่เสียดายที่พวกท่านแม่สวีของหอกลิ่นสวรรค์ไม่มีโอกาสได้เห็นชีวิตอันมีเกียรติมีหน้ามีตาของนางอีกแล้ว อดไม่ได้ที่จะนึกเสียดาย

เสวี่ยหลิงหลงอยากจะตามหาผู้ร้ายที่ลงมือสังหารพวกท่านแม่สวีมาตลอด ไม่รู้ว่ากำชับสวีถังหรานไปตั้งกี่ครั้งแล้ว แต่สวีถังหรานมักจะบอกว่าพยายามสุดความสามารถแล้วแต่สืบไม่เจอ

สุดท้ายกลุ่มผู้ชายก็ไปที่พระตำหนักอุทยานก่อน ส่วนพวกผู้หญิงก็อยู่ต่อเป็นเพื่อนอวิ๋นจือชิว ฝั่งนี้ต่างก็รู้ว่าราชินีสวรรค์กับท่านอ๋องมีความขัดแย้งกัน กังวลว่าราชินีสวรรค์ใจเย็นชากับหวังเฟย ย่อมต้องเหลือผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเอาไว้ช่วยหวังเฟยรักษาภาพพจน์อยู่แล้ว

จากนั้น ผู้หญิงกลุ่มนี้ก็เหมือนดาวล้อมเดือน เดินออตามอวิ๋นจือชิวไปถึงพระตำหนักอุทยาน

พวกผู้หญิงที่เข้าร่วมงานเข้าไปที่อุทยานด้านหลังโดยตรง ยอดหญิงงามที่อยู่ในอุทยานมีเยอะจนนับไม่ถ้วน ในตอนนี้ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นโอกาสที่หญิงงามระดับบนๆของ ใต้หล้ามารวมตัวกัน แม้แต่เสวี่ยหลิงหลงที่มาเป็นครั้งแรกก็ยังมองจนตาลาย พบว่าผู้หญิงที่งดงามกว่านางมีนับไม่ถ้วน เป็นมวลหมู่บุปผาแข่งกันอวดความงามอย่างแท้จริง กลับเป็นอวิ๋นจือชิวพี่แต่งตัวข้างๆเรียบร้อย มีเพียงมงกุฎบนศีรษะที่ค่อนข้างสะดุดตา

ไม่เหมือนตอนแรกที่มาด้วยฐานะของลูกสาวบุญธรรมตระกูลโค่ว ครั้งนี้บนศีรษะประดับด้วยมงกุฎหวังเฟย มีสาวงามจากจวนต่างๆ ในอุทยานทยอยกันมาทักทายคำนับแล้วไม่น้อย

ในจำนวนนั้นมีไม่น้อยที่หลายปีก่อนอวิ๋นจือชิวต้องคำนับพวกนาง อวิ๋นจือชิวในวันนี้ไม่เหมือนในอดีตแล้วจริงๆ ไม่ว่าคนที่มาคำนับจะรู้สึกเหยียดหยามในใจหรือไม่ แต่ภายนอกกลับต้องทำตัวเกรงอกเกรงใจ ก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ผู้ชายของนางเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ มีอำนาจทั้งอาณาเขต

ในงานนี้คนที่มีฐานะหวังเฟยจริงๆ มีเพียงอวิ๋นจือชิวกับเม่ยเหนียง

และสุดท้ายอวิ๋นจือชิวกับเม่ยเหนียงก็มาเจอกัน ต่างคนต่างพูดประจบสอพลอใส่กันตามมารยาท ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ มีสีหน้าหลากหลายอารมณ์ปนกัน

ที่จริงเม่ยเหนียงก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน พอเห็นอวิ๋นจือชิวมีคนรายล้อมเหมือนดาวล้อมเดือนก็ปวดใจ ถ้าพูดถึงความงดงามของลูกสาวตัวเอง มีหรือที่อวิ๋นจือชิวจะเทียบติด ถ้าไม่ใช่เพราะปีนั้นตัวเองคัดค้านไม่ให้ลูกสาวแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อ ไม่แน่ว่าตอนนี้พวกนางสองแม่ลูกอาจจะโดดเด่นไม่มีใครเกินไปแล้วก็ได้ กลายเป็นตำนานตลอดกาล เป็นที่อิจฉาของผู้หญิงทั้งใต้หล้า แล้วดูตอนนี้สิ ลูกสาวของตัวเองถูกถ่วงเวลา กลายเป็นสาวแก่ที่มีอยู่ไม่กี่คนในยุคนี้ บางทีอาจจะกลายเป็นที่น่าขบขันในสายตาคนอื่นแล้วด้วย

ผู้หญิงของฝั่งตระกูลโค่วก็มาเรียกอวิ๋นจือชิวว่าน้องสาวหวังเฟยก็มี เรียกว่าท่านอาหญิงก็มี

สรุปสถานการณ์ตรงนี้ก็คือ อวิ๋นจือชิวที่เมื่อก่อนทำได้เพียงเป็นฝ่ายไปเข้าหาคนอื่นก่อน ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวแล้ว ก็แค่ต้องยืนอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องอาศัยคนที่มีฐานะสูงกว่า ก็สามารถกลายเป็นจุดศูนย์รวมให้คนมาสรรเสริญเยินยอได้อย่างเป็นธรรมชาติ ข้างกายมีคนมากมายล้อมประจบเอาใจ ชมว่านางสวย ชมว่าเครื่องประดับของนางดูดี ชมว่าเสื้อผ้าของนางงดงาม ไม่รู้ว่าทำให้ผู้หญิงมากมายเท่าไหร่แอบอิจฉา

ขณะที่อวิ๋นจือชิวรับมือกับกลุ่มคน ดวงตางามก็ชำเลืองถงเหลียนซีที่ยืนอยู่ฝั่งตระกูลก่วงเป็นระยะ พบว่าผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างสงบเสงี่ยม เนื่องจากสถานะในปัจจุบัน ทำให้นางไม่สะดวกจะเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน

 หวังเฟยเหนียงเหนียง ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ยิ่งงดงามมีเสน่ห์มากขึ้นทุกวันเลยนะ  จูโยวเหม่ย อนุภรรยาคนโปรดของเถิงเฟยเข้ามาทักทายข้างหลัง เป็นยอดหญิงงามที่หาพบได้ยากในใต้หล้าเช่นกัน

จากที่ซูอวิ้นเตือนไว้ อวิ๋นจือชิวจึงสังเกตผู้หญิงคนนี้แล้ว แต่อาจเป็นเพราะคนเยอะเกินไป หลังจากทักทายกันสองสามประโยค จูโยวเหม่ยก็ถอยออกไปแล้ว แต่สายตายังมองอวิ๋นจือชิวเป็นระยะ

ผ่านไปไม่นาน ก็มีเทพธิดาเดินเข้ามา เชิญให้อวิ๋นจือชิวกับเม่ยเหนียงเข้าไปนั่งในศาลาหลัก ที่ว่างตรงกลางระหว่างทั้งสองก็ไม่ต้องบอกเลยว่าเป็นของใคร เป็นของราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แน่นอน ตามเสียงระฆังที่ดังก้องของพระตำหนักอุทยาน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดินเข้ามาอย่างสง่าน่าเกรงขาม ผู้หญิงทั้งอุทยานกล่าวคำนับพร้อมกัน

………………

 

มู่หรงซิงหัวเงียบไปครู่หนึ่ง ที่จริงนางไม่อยากพัวพันอะไรกับเฉาว่านเสียงอีกแล้ว

ประการแรกเป็นเพราะทั้งสองยืนอยู่คนละฝั่ง นางกลัวฝั่งเหมียวอี้จะคิดมาก ไม่อยากติดต่อเฉาว่านเสียงอีก แม้แต่ระฆังดาราที่เฉาว่านเสียงลงตราอิทธิฤทธิ์ไว้นางก็ลบทิ้งไปแล้ว

ประการต่อมาเป็นเพราะนางติดตามคนที่อยู่ตำแหน่งสูงระดับนี้ ถ้าไปพบกับเฉาว่านเสียงอีก อีกฝ่ายก็เป็นคนธรรมดาสามัญสุดๆ ถ้าจะถามว่าทำไมนางไม่แค้นเฉาว่านเสียง ก็เพราะตอนแรกที่เฉาว่านเสียงหย่ากับนาง เขาก็ยังเห็นแก่ไมตรีระหว่างสามีภรรยาอยู่บ้าง ปกป้องนางแล้วนิดหน่อย ไม่ได้ทำให้นางจนตรอก ปล่อยให้นางออกมาอย่างปลอดภั

แต่ในเมื่อซูอวิ้นพูดแบบนี้แล้ว นางก็พยักหน้าตกลงแล้วเช่นกัน หันตัวเดินออกไปแล้ว

ไม่ให้คนปล่อยเฉาว่านเสียงเข้ามา ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือเรือนพักของจวนท่านอ๋อง ไม่ใช่ว่าใครก็บุกเข้ามาได้หมด มู่หรงซิงหัวออกมาพบนอกเรือนพัก

ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งข้างเรือนพัก เฉาว่านเสียงที่รูปร่างเตี้ยล่ำยังหน้าตาเหมือนเดิม จอนผมสองข้างแซมด้วยสีขาวเล็กน้อย ลักษณะท่าทางดูต่ำต้อย เสื้อผ้าที่สวมใส่บนตัวไม่ได้งดงามหรูหราอีกแล้ว เป็นบ่าวรับใช้ก็ย่อมมีลักษณะของบ่าวรับใช้ จะเห็นได้ว่าปัจจุบันใช้ชีวิตไม่ค่อยได้ดั่งใจเท่าไร

ข้างกายเฉาว่านเสียงมีผู้หญิงหน้าตาบ้านๆ ยืนอยู่ ตรงหว่างคิ้วที่ดูกลัดกลุ้มให้ความรู้สึกเหมือนนางได้รับความทรมานและมีความแค้นใหญ่หลวง นอกจากจะหน้าตาไม่ดีแล้ว ยังมีลักษณะเย็นชาด้วย รูปร่างสูงกว่าเฉาว่านเสียงเล็กน้อย นางก็คือเถียนจื่อจวิน ฮูหยินคนปัจจุบันของเฉาว่านเสียง การแต่งกายเหมือนบ่าวไพร่เช่นกัน

เฉาว่านเสียงกำลังจ้องประตูใหญ่ของเรือนพักตาปริบๆ ในใจรู้สีกกังวล กลัวว่ามู่หรงซิงหัวจะไม่ยอมพบ อย่างไรเสียในตอนแรกเขาก็เคยทำผิดต่อนาง แต่ถ้าไม่มาพบ เขาก็ค่อนข้างหวาดกลัวกับผลที่ตามมา ในตอนแรกที่รอดชีวิตมาได้ก็เพราะเขาเอาแต่บอกว่ายังมีความผูกพันกับมู่หรงซิงหัวอยู่ อาศัยบารมีที่มู่หรงซิงหัวเป็นลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อ เขาถึงได้เก็บชีวิตกลับมาได้ ตอนนี้เบื้องบนให้เขามาพบมู่หรงซิงหัว ถ้าแม้แต่หน้าก็ไม่ได้พบ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะโดนข้อหาหลอกลวงเบื้องบน ประการแรกเลยคือเบื้องบนจะมองว่าเขาหมดประโยชน์แล้ว ยังจะเก็บเขาไว้ทำไมอีก?

จนกระทั่งสตรีที่สวมชุดเกราะของแม่ทัพใหญ่โผล่หน้ามา เฉาว่านเสียงก็ตาเป็นประกายทันที ประสานมือสองข้างอย่างประหม่าเล็กน้อย

ส่วนเถียนจื่อจวินก็รีบมองปฏิกิริยาของเฉาว่านเสียง ในดวงตาฉายแววโกรธเคือง

เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ มู่หรงซิงหัวก็เดินก้าวยาวเข้ามาอย่างองอาจห้าวหาญ มายืนอยู่ตรงหน้าทั้งสอง รูปร่างนางสูงกว่าเฉาว่านเสียงครึ่งศีรษะอย่างเห็นได้ชัด ดวงตางามกวาดมองทั้งสองปราดเดียว แล้วถามอย่างใจเย็นว่า  มาหาข้ามีธุระอะไร? 

ชั่วขณะนั้นเฉาว่านเสียงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี นึกเสียใจทีหลังจนไส้เขียวไปหมด มองมู่หรงซิงหัวด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ นอกจากความงามของมู่หรงซิงหัวจะทิ้งห่างจากเถียนจื่อจวินหนึ่งแสนแปดพันลี้แล้ว ตอนนี้ยังอยู่ในระดับแม่ทัพใหญ่ด้วย จะเห็นได้ว่าอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อแล้วชีวิตดี ไม่ว่าจะเป็นความงามหรือคุณสมบัติประจำตัว อดีตภรรยาก็จัดว่าอยู่ระดับบนๆ ตอนนี้เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตอนแรกถึงหย่ากับนางแล้วมาแต่งงานกับนางตัวแสบที่อยู่ข้างกายนี่ ช่างตามืดบอดเหมือนโดนผีสิงจริงๆ ถ้าไม่ได้หย่ากันแล้วตามมาขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อด้วยกัน ตอนนี้คงไม่มีจุดจบอย่างนี้หรอก ไม่แน่ว่าอาจได้นั่งตำแหน่งโหวแล้วด้วยซ้ำ

 คารวะแม่ทัพมู่หรง  เฉาว่านเสียงกุมหมัดคารวะ เถียนจื่อจวินแม้จะอยากฉีกร่างมู่หรงซิงหัวเป็นชิ้นๆ แต่ก็ยังต้องฝืนใจก้มหน้าคำนับ

มู่หรงซิงหัวถูกสายตาของเฉาว่านเสียงมองจนรู้สึกอึดอัด เรื่องบางเรื่องใช่ว่าบทจะลืมก็ลืมได้ ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงผิดปกติ ตอนนี้นางอาจจะมีลูกให้เฉาว่านเสียงแล้วก็ได้ นางกล่าวอีกครั้งว่า  มีเรื่องอะไรก็ว่ามาเถอะ 

 มู่หรง หลายปีมานี้เจ้ายังสบายดีใช่มั้ย  เฉาว่านเสียงฝืนยิ้ม

มู่หรงซิงหัวพยักหน้า  ดีมาก! พวกเจ้ามาหาข้าคงไม่ใช่เพราะถามเรื่องแค่นี้หรอกใช่มั้ย? 

 ในปีนั้นเป็นข้าเองที่ทำผิดต่อเจ้า  เฉาว่านเสียงยิ้มอย่างขื่นขม แล้วก็แอบดึงแขนเสื้อเถียนจื่อจวินเงียบๆ

เถียนจื่อจวินเข้าใจ โค้งตัวกล่าวขออภัยว่า  แม่ทัพมู่หรง ในปีนั้นข้าผิดไปแล้ว ถ้ามีจุดไหนที่ทำผิดไป ท่านเป็นผู้ใหญ่อย่าถือสาผู้น้อยเลย ท่านอย่าเก็บมาใส่ใจเลยค่ะ 

ทำตัวต่ำต้อยและกล่าวอะไรแบบนี้ออกมา แต่ในใจกลับเหมือนมีเลือดหยด ตั้งแต่อิ๋งจิ่วกวงถูกโค่นล้ม พอเฉาว่านเสียงสิ้นอำนาจแล้ว ก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อนางด้วยความเกรงใจอีก มักจะนำนางกับมู่หรงซิงหัวมาเปรียบเทียบกัน มักจะว่านางว่าไม่มีค่ามีราคาเลยสักนิด นางเองก็ไม่ใช่คนอารมณ์เย็น พอทั้งสองทะเลาะกันขึ้นมา เฉาว่านเสียงก็จะตบหน้านาง จนถึงขั้นซ้อมนางเลยก็มี เมื่อไม่มีใครหนุนหลังแล้ว มีหรือที่เฉาว่านเสียงจะกลัวนางอีก ด้วยเหตุนี้นางจึงเกลียดมู่หรงซิงหัวเข้ากระดูกดำ ตอนนี้ยังต้องมาทำอะไรแบบนี้อีก ถือเป็นความอัปยศอันใหญ่หลวงของนางจริงๆ นางอยากจะเอาศีรษะโขกกำแพงให้ตาย

แต่นางก็กลัวอีก ไม่อย่างนั้นคงไม่ถ่อมาก้มหน้าที่นี่หรอก

 เรื่องในอดีตผ่านไปหมดแล้ว บุญคุณความแค้นหมดสิ้นไปนานแล้ว พูดถึงอีกก็ไม่มีความหมายอะไร พูดธุระสำคัญเถอะ  มู่หรงซิงหัวกลับดูใจกว้าง เมื่ออยู่ในตำแหน่งสูงแล้ว ลักษณะท่าทางก็ย่อมสูงไปด้วย มีความสุขุมเยือกเย็นยามมองคนที่อยู่ต่ำกว่าอย่างเลี่ยงไม่ได้

ทว่าเฉาว่านเสียงกับเถียนจื่อจวินไม่ได้มาที่นี่ด้วยธุระสำคัญอะไรเลย จู่ๆ เบื้องบนก็ให้พวกเขาสองคนมาที่อุทยานหลวง ให้พวกเขามาพบมู่หรงซิงหัวสักหน่อย ไม่ได้บอกให้ทำอะไร ทั้งสองก็คิดแค่ว่าให้มาขอโทษมู่หรงซิงหัวเท่านั้น

ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบพักหนึ่ง แต่ไม่เห็นเอ่ยถึงเรื่องสำคัญอะไร มู่หรงซิงหัวก็ทนฟังคำขอโทษที่จอมปลอมนั่นไม่ไหว บังเอิญว่าพวกอวิ๋นจือชิวกลับมาจากตำหนักนารีสวรรค์พอดี เสวี่ยเอ๋อร์กับช่างไม้ติดตามมาด้วย

มู่หรงซิงหัวทำได้เพียงกล่าวขออภัย แล้วรีบหันตัวเดินไปต้อนรับอวิ๋นจือชิวที่ประตู

สำหรับเฉาว่านเสียง เขาเคยเห็นอวิ๋นจือชิวมาก่อน พอมองมาทางนี้แวบหนึ่ง ก็รู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย

ปัจจุบันท่านนี้ได้เป็นหวังเฟยแล้ว ในบรรดาผู้หญิงทั้งหมดในใต้หล้า ฐานะเป็นรองเพียงราชินีสวรรค์ เฉาว่านเสียงกับฮูหยินพยักหน้าโค้งเอวให้อยู่ไกลๆ

สำหรับอวิ๋นจือชิว เถียนจื่อจวินไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะริษยาด้วยซ้ำ แค่อิจฉาจนน้ำลายไหลเท่านั้น ดูว่าผู้ชายของอีกฝ่ายมีความสามารถอะไร สร้างตัวจากสองมือเปล่า ขนาดแม่หม้ายคนหนึ่งที่แต่งงานใหม่ยังสามารถกลายเป็นหวังเฟยได้เลย พอย้อนมองตัวเองว่าได้ผู้ชายแบบไหนมา ตัวเองมีพื้นเพครอบครัวที่ดีขนาดนี้ แต่ก็ยังถูกเล่นงานจนไม่เหลืออะไรเลย เวลาเจอใครก็เงยหน้าไม่ขึ้น ว่ากันว่าผู้ชายกลัวเลือกงานผิด ผู้หญิงกลัวเลือกแต่งงานผิดคน นางเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้เป็นอย่างยิ่ง ผู้หญิงที่อยู่ในสังคมนี้ ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศหรือความอัปยศก็ล้วนผูกไว้กับผู้ชายที่ตัวเองแต่งงานด้วย

แม้ในใจนางจะคับแค้นที่เฉาว่านเสียงทำตัวเป็นขยะไร้ประโยชน์ เมื่อเทียบกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่ถ้าจะให้นางตัดขาดกับเฉาว่านเสียง นางก็เสียดายอีก แม้นางจะไม่คิดว่าตัวเองมีอะไรไม่ดี แต่ในใจจะไม่รู้เชียวหรือว่าตัวเองมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ถ้าแยกกับเฉาว่านเสียงก็อาจจะไม่มีใครต้องการนางแล้วจริงๆ ถ้านางมีทางเลือก นางคงทิ้งเฉาว่านเสียงแล้วหาคนที่ตำแหน่งสูงกว่าไปนานแล้ว

 นั่นคือเฉาว่านเสียงเหรอ?  อวิ๋นจือชิวถามมู่หรงซิงหัวที่ออกมาต้อนรับ นางไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับเฉาว่านเสียงอยู่แล้ว คนที่ทิ้งเมียตัวเองเพื่อไต่เต้าขึ้นตำแหน่งสูง นางจะรู้สึกดีอะไรด้วยได้ ไม่ให้คนไล่ตะเพิดออกไปก็ถือว่าไว้หน้ามู่หรงซิงหัวแล้ว นางย่อมไม่อยู่ที่นี่ต่อเพื่อเขา ไม่อยากชายตามองแม้แต่ครั้งเดียว จึงเดินเข้ามาในเรือนพักแล้ว

 เป็นเขาค่ะ  มู่หรงซิงหัวตอบ แล้วเดินตามเข้าไป

 เฮ้อ! ยังเป็นมู่หรงยืนถูกฝั่ง!  เฉาว่านเสียงที่ได้เห็นพลังอำนาจของหวังเฟยกล่าวอย่างทอดถอนใจ

 นางมีคุณธรรมความสามารถอะไรให้หนิวโหย่วเต๋อเลือกได้? วันๆ ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหนิวโหย่วเต๋อ ไม่โดนหนิวโหย่วเต๋อเอาไปนอนด้วยก็แปลกแล้ว ผ้าคาดเอวคงพรุนหมดแล้วมั้ง  เถียนจื่อจวินพึมพำว่าร้าย

เฉาว่านเสียงหันกลับมาตำหนิด้วยเสียงดุร้าย  ถ้าพูดดีๆ ไม่เป็นก็หุบปากเหม็นๆ ของเจ้าซะ 

เถียนจื่อจวินยืดคอ  ข่าวพูดผิดด้วยเหรอ? ในปีนั้นที่นางเกาะเจ้า ก็อาศัยว่าถอดกระโปรงขึ้นสู่ตำแหน่ไม่ใช่หรือไง? สุนัขแก้สันดานกินขี้ไม่ได้หรอก นางน่ะนอกจากผิวสวยทั้งตัวแล้วมีความสามารถอะไร? ถ้าไม่เคยนอนกับหนิวโหย่วเต๋อนางจะมีวันนี้ได้เหรอ? ถ้านางไม่เคยถอดกระโปรงให้หนิวโหย่วเต๋อ ข้ายอมตัดหัวมาเดิมพันเลย 

 เจ้า…  เฉาว่านเสียงแยกเขี้ยวยิงฟัน ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ที่นี่ เขาคงตบหน้านางไปแล้ว

 ราชินีสวรรค์เป็นคนใจแคบ คงจะไม่ทำสีหน้าดีๆให้ เหนียงเหนียงดูหรอกใช่มั้ย? 

ซูอวิ้นรอต้อนรับอวิ๋นจือชิวอยู่ในลานบ้าน เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มจืดชืด

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้ายิ้มเจื่อน นับว่ายอมรับแล้ว ส่วนรายละเอียดถือว่าเป็นความลับ สถานการณ์ของซูอวิ้นตอนนี้ยังทำให้คนวางใจเต็มร้อยไม่ได้ แผนการของหยางชิ่งแม้จะดูเหมือนไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรมาก แต่ความจริงแล้วมีความเชื่อมโยงที่สำคัญ ตอนยังไม่เคลื่อนไหวก็นิ่งสงบ แต่พอได้เคลื่อนไหวแล้วเหมือนคลื่นโหมซัดสาด ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่สะดวกจะบอกซูอวิ้น

อวิ๋นจือชิวหันกลับไปถามมู่หรงซิงหัวอีก  เฉาว่านเสียงนั่นยังมีหน้ามาเจอเจ้าอีกเหรอ? 

มู่หรงซิงหัวขมวดคิ้วตอบ  ข้าเองก็รู้สึกแปลก ถามไปถามมาอยู่ตั้งนานแต่ไม่คุยธุระสำคัญอะไร สองสามีภรรยาเอาแต่ขอโทษข้าซ้ำๆ 

ซูอวิ้นแววตาวูบไหว แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะเบาๆ  เถิงเฟยคงมีความคิดจะรวมทัพตะวันออกแล้ว 

 หืม!  อวิ๋นจือชิวถามเรื่องส่วนตัว  หมายความว่ายังไง? 

 เฉาว่านเสียงกับฮูหยินมีสิทธิ์มาอุทยานหลวงเสียที่ไหน ต่อให้ตระกูลเถิงจะพาลูกน้องมาด้วย แต่ก็ยังไม่ถึงคราวของพวกเขาหรอก ถ้าพวกเขาไม่ถูกสั่งก็คงไม่บุ่มบ่ามมาที่นี่ ฮูหยินคนนั้นของเฉาว่านเสียงชื่ออะไรข้าก็ลืมแล้ว แต่นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คงอิจฉาริษยาแม่ทัพมู่หรงด้วยซ้ำ จะตามมาขอโทษด้วยได้ยังไง ไม่ต้องสงสัยเลย เป็นเถิงเฟยที่เตรียมการเรื่องนี้  ซูอวิ้นอธิบาย

 เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับที่เถิงเฟยอยากรวมทัพตะวันออก?  อวิ๋นจือชิวไม่ค่อยเข้าใจ

ซูอวิ้นอธิบายว่า  เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อแม้จะเป็นอ๋องสวรรค์เหมือนกัน แต่คนในใต้หล้าก็คุ้นเคยกับคำว่า ‘สี่ทัพ’ ไปแล้ว เรียกพวกเขารวมๆ ว่าทัพตะวันออก ทำให้ทั้งสองรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ถ้าประมุขชิงสามารถแบ่งอีกสามทัพได้ก็แล้วไป แต่ครั้งนี้ประมุขชิงดันทำพลาดกับทัพใต้ คงทำให้เถิงเฟยเห็นถึงความยากที่ประมุขชิงจะแบ่งอีกสามทัพสำเร็จ ขนาดท่านอ๋องยังสามารถบัญชาการทัพแดนรัตติกาลให้รวมอาณาเขตทัพใต้ได้ อำนาจที่อยู่ในมือเถิงเฟยก็ไม่ได้ด้อยกว่าท่านอ๋อง ถ้าคิดจะรวมทัพตะวันออกก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่ถ้าคิดจะฮุบอาณาเขตของเฉิงไท่เจ๋อ ก็ต้องอาศัยให้อีกสามอ๋องสนับสนุน ถ้าไม่มีการสนับสนุนจากอีกสามทัพเพื่อต้านภัยคุกคามจากกองทัพองครักษ์ เถิงเฟยก็ไม่มีทางทำสำเร็จได้ เฉาว่านเสียงกับฮูหยินคือคนที่เถิงเฟยส่งมาหยั่งเชิงก่อน ถ้าข้าเดาไม่ผิด จูโยวเหม่ย อนุคนโปรดของเถิงเฟยคงจะมาแล้ว อีกประเดี๋ยวนางคงจะหาเรื่องมาใกล้ชิดหวังเฟย คงจะทักทายตามมารยาทไปตลอดไม่ได้ ต้องมีเรื่องจริงจังมาคุยถึงจะคุยกับหวังเฟยได้นาน ถึงจะสานสัมพันธ์กับหวังเฟยได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แล้วต่อมา พองานเลี้ยงอุทยานจบลงก็ต้องหาโอกาสไปเยี่ยมหวังเฟยที่จวนท่านอ๋องแน่ 

อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเงียบๆ สำหรับเรื่องราวระดับนี้ ซูอวิ้นรู้ดีอย่างไม่ต้องสงสัย ในเมื่อซูอวิ้นพูดอย่างนี้แล้ว คาดว่าคงมีเหตุผล

เมื่อได้ยินแบบนี้ มู่หรงซิงหัวก็ไม่รู้ว่าควรจะสงสัยเฉาว่านเสียงกับภรรยาดีหรือไม่ วุ่นวายอยู่ตั้งนานแต่ได้เป็นแค่ตัวประกอบโหมโรงในสายตาคนอื่นเท่านั้น

กระทั่งมู่หรงซิงหัวออกไปแล้ว จู่ๆ ซูอวิ้นที่มองคล้อยหลังก็ถอนหายใจ  เฉาว่านเสียงกับภรรยาของเขาคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว 

 เพราะอะไร?  อวิ๋นจือชิวแปลกใจ

 มาแสดงไมตรีต่อหวังเฟย  ซูอวิ้นตอบ

………………

 

เซี่ยโห้วลิ่งไม่โผล่หน้ามานานมาก ทำให้คนไม่น้อยรู้สึกแปลกใจ นางเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น จู่ๆ ได้ยินว่าเฉาหม่านชิงตำแหน่งฆ่าเซี่ยโห้วลิ่งแล้ว แค่คิดก็รู้แล้วว่าจะตกตะลึงพรึงเพริดขนาดไหน รู้สึกตระหนักได้ถึงความผิดพลาดเช่นกัน

อวิ๋นจือชิวรีบเตือนว่า  เหนียงเหนียงตกใจจนเสียอาการขนาดนี้ หม่อมฉันจะกล้าบอกความจริงต่อไปหรือเพคะ? เหนียงเหนียงรีบเก็บอาการเถอะ ต้องทราบไว้ว่าข้างกายท่านมีสายลับของตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ไม่น้อย 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ตระหนักได้เช่นกันว่าตัวเองเสียอาการแล้ว จึงรีบเก็บอาการไว้ แต่ความระแวงสงสัยในดวงตานั้นยากจะหายไป  ที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกกันแน่? 

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ  เหนียงเหนียง เรื่องแบบนี้ข้าจะโกหกได้ยังไงเพคะ ท่านตั้งตารอได้เลย ดูว่าเซี่ยโห้วลิ่งยังจะปรากฏตัวในการประชุมราชสำนักได้อีกมั้ย 

 ทำไมต้องรอให้ถึงการประชุมราชสำนัก ข้าจะไปยืนยันกับเว่ยซูเดี๋ยวนี้  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าว

อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า  เหนียงเหนียง ถ้าเฉาหม่านต้องการจะทำเรื่องนี้ คนแรกที่เขาต้องซื้อตัวก็คือเว่ยซู ตอนนี้เว่ยซูหันไปอยู่ฝั่งเขาแล้ว ถ้าไม่มีเว่ยซูให้ความร่วมมือ จะวางแผนกำจัดหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วง่ายๆ ได้ยังไง? เฉาหม่านช่วงชิงตำแหน่ง ปิดบังคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ปิดบังคนทั้งใต้หล้า เรื่องสังหารหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วไม่อาจเปิดเผยได้ หากเหนียงเหนียงถามถึง ทราบหรือเปล่าว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง? เหนียงเหนียงอยากจะยั่วให้เฉาหม่านอับอายจนโมโหหรือเพคะ? ตอนนี้ตระกูลเซี่ยโห้วถูกควบคุมอยู่ในมือเฉาหม่านแล้ว ถ้าเหนียงเหนียงปิดบังความลับนี้ไม่ได้ ก็จะมีอันตรายถึงชีวิต เฉาหม่านฆ่าได้แม้กระทั่งหัวหน้าตระกูล มีหรือที่จะแยแสเรื่องเปลี่ยนคนมารับตำแหน่งราชินีสวรรค์? ดังนั้นเหนียงเหนียง เรื่องนี้ท่านต้องแกล้งไม่รู้ อย่าบอกใครทั้งนั้น รวมทั้งฝ่าบาทกับองค์ชายด้วย ท่านแค่ต้องทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น บางเรื่องไม่ต้องรีบร้อน ต้องวางแผนระยะยาว อย่างน้อยก็ต้องรอให้องค์ชายขึ้นเป็นราชันก่อน! 

นั่นคือหัวหน้าของตระกูลเซี่ยโห้วเชียวนะ! ความตกตะลึงในใจเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยากจะเลือนหายไป นางแอบกัดฟัน  เฉาหม่านบังอาจทำเรื่องที่อกตัญญูขนาดนี้! 

ที่จริงไม่ต้องพิสูจน์นางก็เชื่อแล้ว เพราะหลักการไม่ได้ซับซ้อน ก็อย่างที่อวิ๋นจือชิวบอก เรื่องบางเรื่องแค่ตั้งตารอดูก็พอ

 ตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่น่าแปลกใจอะไร หลังจากท่านปู่สวรรค์คนก่อนจากไป พวกเขาพี่น้องจะมีใครยอมใครได้ล่ะ? แล้วเป็นเพราะโอกาสนี้ เฉาหม่านต้องการให้ทัพใหญ่ของท่านอ๋องให้ความร่วมมือ ถือเป็นข้อแลกเปลี่ยนกัน เฉาหม่านสนับสนุนให้ท่านอ๋องช่วงชิงอาณาเขตทัพใต้  อวิ๋นจือชิวกล่าว

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พูดไม่ออก เข้าใจกระจ่างแล้ว ไม่แปลกใจที่จู่ๆ ตระกูลเซี่ยโห้วถึงสนับสนุนให้หนิวโหย่วเต๋อเครื่องสู่ตำแหน่ง ที่แท้ก็มีเบื้องหลังอย่างนี้นี่เอง สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเกินคาดเดาในระหว่างนั้นทำให้คนรู้สึกตัวสั่นเพราะความกลัวจริงๆ

อวิ๋นจือชิวบอกอีกว่า  ตอนนั้นที่ท่านอ๋องวางแผนนี้ ก็คาดคะเนได้แม่นยำแล้วว่าองค์ชายจะต้องมารับช่วงต่อจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลแน่ พอท่านอ๋องช่วงชิงอาณาเขตทัพใต้ได้ องค์ชายก็จะได้จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล แบบนี้กำลังทหารของสองอาณาเขตก็จะอยู่ในมือเหนียงเหนียงแล้ว กำลังทหารหนึ่งในห้าส่วนของตำหนักสวรรค์อยู่ในมือเหนียงเหนียงอย่างลับๆ แล้วเพคะ! 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ปรายตามอง แล้วแสยะยิ้ม  ช่างมีวาทศิลป์ล้ำเลิศจริงๆ เรื่องที่หยวนจุนไปประจำที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เป็นข้าที่ขอร้องฝ่าบาท กลายเป็นแผนการของหนิวโหย่วเต๋อไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? 

อวิ๋นจือชิวยิ้มเจื่อน  เหนียงเหนียงคิดจริงหรือว่าพอท่านเอ่ยปากแล้วฝ่าบาทก็จะยอมปล่อยอำนาจทางทหารให้เลย? ถ้าไม่มีท่านอ๋องจงใจสร้างสภาพแวดล้อมนี้ขึ้นมา จะมีเรื่องดีอย่างนี้เสียที่ไหนกัน ต่อให้เหนียงเหนียงไม่แสดงความเห็น ท่านอ๋องก็จะแอบส่งคนมาเสนอแนะอยู่ดี ให้องค์ชายฉวยโอกาสเข้ามาประจำอยู่ที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล พอเข้ามาแล้วก็ออกจากการควบคุมของกองทัพองครักษ์ต พูดในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ตอนนี้อำนาจทางทหารของทัพใหญ่แดนรัตติกาลยังไม่ได้อยู่ในมือขององค์ชาย ถือว่ายังเป็นของฝ่าบาท เหนียงเหนียงยังจำตอนที่สี่ทัพต้องการจะร่วมมือกันโจมตีจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลได้หรือเปล่า? จุดประสงค์คืออะไรล่ะ? ก็เพราะไม่อยากให้ฝ่าบาทฉวยโอกาสขยายอำนาจทางทหารและอำนาจในมือไง ส่วนตอนนี้ก็หลักการเดียวกัน ถ้าท่านอ๋องไม่อยากให้องค์ชายมีตำแหน่งมั่นคงที่แดนรัตติกาล สี่ทัพก็ย่อมมีวิธีการวางอุบายอยู่แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วเองก็ไม่อยากให้เหนียงเหนียงมีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ ถ้าอำนาจใหญ่แต่ละฝ่ายเหล่านี้ร่วมมือกันขึ้นมา แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังต้องหวาดกลัวสามส่วน เหนียงเหนียงรู้สึกว่าองค์ชายจะคุมแดนรัตติกาลได้หรือเปล่าเพคะ? อย่างน้อยก็จะมีปัญหายุ่งยากไม่หยุดหย่อน แต่ตราบใดที่ท่านอ๋องยินดีจะเป็นแนวหน้าให้ คอยแอบแก้ไขปัญหาให้ องค์ชายก็ย่อมไร้ความกังวลอยู่แล้ว 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แสยะยิ้ม  จะพูดตรงๆ ก็คือเจ้ามีเหตุผล จะพูดอ้อมๆ เจ้าก็มีเหตุผลเหมือนกัน เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าหรอ? 

อวิ๋นจือชิวตอบว่า  เหนียงเหนียง หม่อมฉันถามท่านเพียงคำเดียว ถ้าท่านอ๋องตั้งใจจะทรยศเหนียงเหนียงจริงๆ อาศัยอำนาจของท่านอ๋องตอนนี้ จำเป็นต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับเหนียงเหนียงหรือเปล่า? ถ้าจะพูดแบบไม่เคารพก็คือ ด้วยศักยภาพของท่านอ๋องตอนนี้ เหนียงเหนียงยังมีประโยชน์อะไรให้ท่านอ๋องใช้งานด้วยหรือเพคะ? ถ้าอาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบน ไม่เห็นเหนียงเหนียงอยู่ในสายตาจริงๆ เหนียงเหนียงคิดว่าท่านอ๋องจำเป็นต้องให้ข้ามาอธิบายต่อเหนียงเหนียงให้ชัดเจนหรือไม่เพคะ? 

 …  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พูดไม่ออก เพราะอีกฝ่ายพูดได้ตรงจุด คิดไปคิดมาก็พบว่าอีกฝ่ายพูดไม่ผิด ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อมีตำแหน่งสูง ไม่จำเป็นต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมต่อหน้านางเลย ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรต่อนางด้วย แววตานางวูบไหว ถามว่า  หนิวโหย่วเต๋อต้องการอะไร? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะช่วยข้าโดยไม่มีเหตุผล? 

 ไม่ใช่ว่าท่านอ๋องต้องการอะไรหรอกเพคะ ต้องถามว่าท่านอ๋องไม่ต้องการอะไรมากกว่า ไม่ได้จะช่วยเหนียงเหนียงโดยไร้เหตุผลด้วย แต่เป็นเพราะฝ่าบาทเก็บท่านอ๋องไว้ไม่ได้ ดังนั้นท่านอ๋องหวังว่าองค์ชายจะได้เป็นราชันสวรรค์!  อวิ๋นจือชิวตอบ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มองไปรอบๆ โดยจิตใต้สำนึก คำพูดนี้ทำให้นางหวาดระแวงจริงๆ

อวิ๋นจือชิวพูดต่อว่า  ท่านอ๋องบอกไว้แล้ว ว่าเขายังต้องทำเหมือนอาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบนต่อไป เหนียงเหนียงก็ต้องแกล้งเกลียดท่านอ๋องต่อไปด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นถ้าฝ่าบาทรู้ว่าเหนียงเหนียงสามารถบงการท่านอ๋องได้ แล้วฝ่าบาทบีบให้เหนียงเหนียงออกคำสั่งต่อท่านอ๋องขึ้นมา ท่านอ๋องจะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังล่ะเพคะ? นี่ก็คือสาเหตุที่ก่อนหน้านี้ต้องทำให้เหนียงเหนียงเข้าใจผิด ท่านอ๋องยังให้ข้ามากำชับเหนียงเหนียงด้วยว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดโปงทุกอย่าง ตอนนี้องค์ชายยังไม่ได้ควบคุมแม้แต่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลด้วยซ้ำ ยังไม่ถึงเวลาที่จะหวังอย่างอื่น เหนียงเหนียงยังต้องกล้ำกลืนความอัปยศต่อไปเพคะ! 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย วันคืนที่ไม่ต้องถูกคนอื่นบงการ นางเฝ้ารอมานานแสนนานแล้ว นางเบะปากเล็กน้อย  เป็นคำพูดปากเปล่าทั้งนั้น จะให้ข้าเชื่อได้ยังไง? 

 ไม่ว่าท่านอ๋องจะพูดยังไง เหนียงเหนียงไม่ต้องเชื่อก็ได้ แค่คอยดูก็พอว่าท่านอ๋องจะทำอะไร ถึงยังไงท่านอ๋องก็ไม่ต้องใช้ประโยชน์อะไรเหนียงเหนียงอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องใช้ให้องค์ชายทำอะไรด้วย เหนียงเหนียงจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีอะไรเสียหาย นี่ก็คือความจริงใจของท่านอ๋องเพคะ!  อวิ๋นจือชิวตอบ

ความจริงก็เป็นอย่างนี้ เหมียวอี้ส่งอวิ๋นจือชิวมาปลุกปั่นในเวลานี้ก็เพราะมีจุดประสงค์นี้ ไม่ได้ต้องการให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต้องจ่ายอะไร และไม่ให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำอะไรด้วย แค่ให้อวิ๋นจือชิวคิดหาทางปลอบโยนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็พอ ให้ซ่อมแซมรอยร้าวก่อนหน้านี้ เตรียมไว้เสริมฤทธิ์ยาในขั้นต่อไป!

ด้วยสถานการณ์ของเหมียวอี้ตอนนี้ ทำให้ไม่มีทางมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้ ทำได้เพียงให้ฮูหยินออกโรง อาศัยความสามารถในการเข้าสังคมของอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้มีความมั่นใจมาก

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เงียบไปแล้ว

อวิ๋นจือชิวบอกอีกว่า  ทางฝั่งองค์ชาย เหนียงเหนียงก็ยังไม่ต้องบอกความจริงเขาเช่นกัน แค่ต้องบอกองค์ชายไปว่า ถ้ามีอะไรที่จำเป็นให้ช่วย ก็สามารถขอความช่วยเหลือจากท่านอ๋องอย่างลับๆ ได้ อย่าให้คนข้างกายองค์ชายรู้ เพราะคนที่อยู่ข้างกายองค์ชายล้วนเป็นคนของฝ่าบาท ในเวลานี้ยิ่งองค์ชายรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ไม่อย่างนั้นกลับจะทำให้ฝ่าบาทสงสัยได้ง่าย องค์ชายเป็นคนฉลาด ถ้าเหนียงเหนียงแอบสื่อความนัยได้เหมาะสม องค์ชายจะต้องมีข้อมูลอยู่ในใจแน่นอน…หม่อมฉันไม่สะดวกจะอยู่ที่ตำหนักนารีสวรรค์นานเกินไป ครั้งนี้หม่อมฉันอ้างว่าหวังเฟยมาเยี่ยมเยียนเหนียงเหนียงครั้งแรกตามธรรมเนียม เลยถือโอกาสพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจน ต่อไปนี้ไม่สะดวกจะมาพบเหนียงเหนียงบ่อยแล้ว เหนียงเหนียงโปรดอภัยด้วย อีกประเดี๋ยวเหนียงเหนียงก็ไม่จำเป็นต้องแสดงออกว่าเกรงใจหม่อมฉันเช่นกัน แสดงออกอว่าไม่พอใจเหมือนเดิม ถึงจะไม่ทำให้คนสงสัย ขอตัวเพคะ! 

 ส่งแขก! 

เป็นปฏิกิริยาและน้ำเสียงที่ไม่พอใจเอามากๆ นี่ก็คือท่าทีของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หลังจากทั้งสองกลับมาจากเดินเล่นที่อุทยาน ถ้ามองจากบางมุมก็นับว่าเป็นการตอบสนองกับคำพูดของอวิ๋นจือชิวเมื่อครู่นี้แล้ว ส่วนเรื่องในภายหลังนั้น ทั้งสองฝ่ายล้วนตั้งตารอ

อุทยานหลวง เรือนพักของอ๋องสวรรค์หนิว เดิมทีเป็นที่พักของฮ่าวเต๋อฟาง ก่อนที่พวกอวิ๋นจือชิวจะมาร่วมงาน ก็ได้ส่งคนมาทำความสะอาดล่วงหน้าแล้ว โดยทั่วไปก็รักษาสภาพเดิมไว้ตลอด

ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ข้าวของยังเหมือนเดิม ซูอวิ้นยืนอยู่ศาลาริมน้ำด้วยสีหน้าด้วยใจคอแห้งเหี่ยว

การเข้าร่วมงานเลี้ยงอุทยานแบบนี้ อวิ๋นจือชิวไม่มีประสบการณ์สักเท่าไหร่ โดยเฉพาะฐานะในตอนนี้ที่ผงาดขึ้นมากะทันหัน แต่ซูอวิ้นกลับคุ้นเคยกับเรื่องระดับนี้ดี ครั้งนี้จึงถูกเหมียวอี้ส่งมาเป็นเพื่อนอวิ๋นจือชิว จะได้คอยชี้แนะได้สะดวก

มู่หรงซิงหัวสวมเกราะรบ เดินช้าๆ อยู่ข้างกายซูอวิ้น สวมเกราะแดงหนึ่งแถบ ได้ถือโอกาสเลื่อนยศแบบก้าวกระโดดจากครั้งนี้เช่นกัน

เป็นเพราะระดับของเหมียวอี้ทุกวันนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว นางเข้าออกเรือนชั้นในในระยะยาว ถ้าสวมเกราะรบสีทองหรือเกราะรบสีม่วงก็จะสะดุดตาเกินไป

การให้นางมารับค่าจ้างของแม่ทัพ นับว่าดูแลนางเป็นพิเศษแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีอำนาจทางทหาร และไม่มีใครว่าอะไรด้วย

สาเหตุที่มาที่นี่ก็เพราะว่าเป็นผู้หญิงเหมือนกัน จะได้ตรวจสอบที่อยู่ของผู้หญิงได้สะดวก เพราะเรื่องในอดีตทำให้อวิ๋นจือชิวถือสาเรื่องนี้ พวกช่างไม้มักอยู่ข้างกายนาง นางไม่อยากให้มีข่าวลือเรื่องชู้สาวอีก

 ท่านซู เรื่องบางเรื่องล้วนเป็นอดีตไปแล้ว  มู่หรงซิงหัวกล่าวปลอบใจ นางควบหน้าที่จับตาดูซูอวิ้นนิดหน่อย เรื่องบางเรื่องไม่ใช่เพราะเหมียวอี้ขี้ระแวง แต่จะไม่ป้องกันก็ไม่ได้

 คนไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า!  ซูอวิ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ในขณะนี้เอง มีทหารมารายงานว่า  แม่ทัพมู่หรง ข้างนอกมีคนที่เรียกตัวเองว่าเฉาว่านเสียงมาขอพบท่านขอรับ 

 เฉาว่านเสียง? เขามาที่นี่ได้ยังไง?  มู่หรงซิงหัวอึ้งไปชั่วขณะ หลังจากโบกมือเบาๆ ให้ทหารคนนั้นออกไป ตอนนี้ถึงคราวที่นางต้องทำสีหน้าเหม่อลอยบ้างแล้ว สำหรับผู้ชายที่บังคับขืนใจให้นางกลายเป็นผู้หญิงของเขา จนทำให้นางไปเผชิญประสบการณ์อัปยศที่สถานที่ไร้ชีวิต ทั้งยังเปลี่ยนแปลงชะตาของนางไปทั้งชีวิตด้วย แม้แต่นางเองก็ยังไม่รู้เลยว่าควรจะโทษเขาหรือไม่

ซูอวิ้นเอียงหน้าสังเกตปฏิกิริยาของนาง  ถ้าข้าจำไม่ผิด คงจะเป็นอดีตสามีของเจ้าใช่มั้ย? 

 เขามีสิทธิ์เข้ามาในอุทยานหลวงได้ยังไง?  มู่หรงซิงหัวขมวดคิ้ว

หลังจากซูอวิ้นครุ่นคิด ก็บอกว่า  ตอนแรกเขาไม่ได้ติดตามจ้านผิงไปสู้รบ แต่ไปขอพึ่งพาเถิงเฟย ตอนหลังไปเป็นบ่าวในบ้านเถิงเฟย…  ซูอวิ้นชำเลืองนางแวบหนึ่ง แล้วพูดต่อ  เขาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้คงจะเกี่ยวข้องกับเถิงเฟย 

มู่หรงซิงหัวมองนางด้วยความตกใจ ขนาดตัวเองยังไม่รู้ข่าวนี้ แต่อีกฝ่ายรู้อย่างชัดเจนขนาดนี้ได้อย่างไร เฉาว่านเสียงคนเดียวควรค่าให้นางสนใจด้วยเหรอ?

 ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ ด้วยจุดยืนของข้าตอนแรก ข้าต้องจับตาดูลูกน้องคนสนิทข้างกายหนิวโหย่วเต๋ออยู่แล้ว แล้วนี่ก็ไม่ใช่ความลับที่สืบยากอะไร ที่เถิงเฟยเก็บเขาไว้เป็นบ่าวในบ้านได้ คงไม่พ้นเกี่ยวข้องกับเจ้า ไปหาสักหน่อยสิ อยากจะเห็นว่าเถิงเฟยจะใช้อุบายอะไร  ซูอวิ้นกล่าว

………………

 

คำพูดนี้ฟังดูประหลาดชอบกล แต่กลับทำให้เฟยหงแอบรู้สึกหวาดระแวง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงนางหรือเปล่า

นางฝืนยิ้มพร้อมกล่าวว่า  ท่านแม่บุญธรรม ลูกไม่เข้าใจว่าท่านกำลังพูดอะไร 

 ไม่เข้าใจเหรอ? ไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่าแกล้งโง่?  แม่เฒ่าลวี่เก็บมือที่ลูบคลำกลีบดอกไม้กลับมา แล้วเอียงหน้าจ้องนาง  นางหนู บางอย่างข้าก็ไม่ควรพูดเลย แต่ท่านแม่บุญธรรมเห็นว่าเจ้าเป็นเด็กดี ดูไม่เหมือนคนที่จะทำเรื่องชั่ว เจ้าเรียกข้าว่าท่านแม่บุญธรรมมาหลายปี ข้าไม่ให้สิ่งนี้สูญเปล่าหรอก ต้องแนะนำเจ้าสักหน่อย ปลีกตัวออกมา หนีไปเถอะ! 

เฟยหงไม่กล้าสบตากับนางตรงๆ ก้มหน้าเล็กน้อย แล้วถามอย่างคลุมเครือ  ไปไหน? 

แม่เฒ่าลวี่ตอบว่า  จุดประสงค์ที่เจ้าไปอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ เจ้าเองก็รู้ดี แม้ข้าจะไม่รู้ว่าจุดอ่อนอะไรของเจ้าอยู่ในมือหน่วยตรวจการซ้าย แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้าต้องเตือนเจ้าไว้หน่อย คนที่ตกอยู่ในมือหน่วยตรวจการซ้ายแล้ว หน่วยตรวจการซ้ายไม่มีทางปล่อยไป เจ้าช่วยออกมาไม่ได้ด้วย ถ้าจะให้โชคร้ายกันไปทั้งคู่ ไม่สู้ให้เจ้ารอดไปได้สักคนดีกว่า ขอเพียงเจ้าตอบตกลง ยายแก่คนนี้ก็พอจะรู้จักสหายอยู่บ้าง จะจัดเตรียมที่ไปให้เจ้าได้ไม่มีปัญหา เกียรติยศความร่ำรวยไม่มีแล้ว ตราบใดที่เจ้าสงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่โผล่หน้าออกมา ก็ใช้ชีวิตสงบสุขได้ไม่มีปัญหา จุดนี้ข้ารับประกันกับเจ้าได้ 

 จากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่กับความรู้สึกผิดทุกวันเหรอ?  เฟยหงถามเสียงต่ำ

แม่เฒ่าลวี่คำไม้เท้าหันตัวเดินไปช้าๆ  หนิวโหย่วเต๋อรู้ตัวตนของเจ้าหรือไม่ หน่วยตรวจการซ้ายไม่แน่ใจ แต่เจ้ารู้ชัดอยู่แก่ใจ ข้าไม่ได้สนิทกลับหนิวโหย่วเต๋อนักหรอก แม้จะไม่รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง แต่ก็ได้ยินข่าวมาไม่น้อย ชำนาญการรบ ในสมองมีแผนร้าย ใช้อุบายปลุกปั่นสถานการณ์เหมือนคว่ำเมฆพลิกฝนให้คนตื่นตกใจทุกอย่างก้าวจนเดินมาถึงทุกวันนี้ได้ นี่เป็นคนแบบไหนกันล่ะ? เห็นได้ชัดว่าเป็นสิงห์ร้ายเห่อเหิมทะเยอทะยานแห่งยุค ไม่รู้ว่าเท้าเขาเหยียบกระดูกคนมากมายเท่าไหร่เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง เรื่องใหญ่ในใต้หล้าข้าไม่เข้าใจหรอก ถ้าไม่เข้าใจหนิวโหย่วเต๋อด้วย แต่กลับเข้าใจประมุขชิง คนที่มีอำนาจอย่างหนิวโหย่วเต๋อไปสมคบกับตระกูลเซี่ยโห้ว ประมุขชิงต้องไม่ปล่อยเขาไปแน่ ถ้าข้าเดาไม่ผิด เกรงว่าเจ้าคงได้รับคำสั่งลับจากหน่วยตรวจการซ้ายให้กำจัดหนิวโหย่วเต๋อแล้วสินะ? ตัวละครอย่างหนิวโหย่วเต๋อ เวลานอนต้องลืมตาไว้ข้างหนึ่ง จะโดนลอบสังหารง่ายขนาดนั้นได้ยังไง? ต่อให้เจ้าทำสำเร็จแล้วยังไงต่อ ข้างกายเขามียอดฝีมือมากมาย มีกำลังทหารอยู่ทั่วทุกที่ ตอนที่เจ้าทำสำเร็จก็คือตอนที่เจ้าต้องสิ้นชีวิต เจ้าคิดว่าพอเจ้าทำสำเร็จแล้ว หน่วยตรวจการซ้ายจะใจกว้างไม่กำจัดคนของเจ้าทิ้งเหรอ? ถ้าหนิวโหย่วเต๋อรู้ถึงตัวตนของเจ้าแล้ว ข้าไม่สนใจว่าหลายปีมานี้เขาจะหลอกใช้ให้เจ้าทำอะไรกับตำหนักสวรรค์บ้าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องเข้าใจเอาไว้ ถ้าหน่วยตรวจการซ้ายสั่งให้เจ้ากำจัดหนิวโหย่วเต๋อเมื่อไหร่ สำหรับหนิวโหย่วเต๋อ เจ้าก็หมดประโยชน์แล้ว ตัวละครที่ทะเยอทะยานอย่างหนิวโหย่วเต๋อ ข้าเห็นมาเยอะแล้ว มีใครบ้างที่ไม่โหดร้าย พวกเขาสนใจแค่ผลประโยชน์ของตัวเอง ถ้าเจ้าหวังว่าเขาจะเสียสละผลประโยชน์มหาศาลของเขาเพื่อช่วยคนของเจ้าออกมา นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

แต่ถ้าเจ้าไม่ฆ่าหนิวโหย่วเต๋อ คนที่เจ้าห่วงใยก็จะต้องตาย ถ้าเจ้าฆ่าหนิวโหย่วเต๋อแล้ว เจ้าเองก็ต้องตาย คนที่เจ้าห่วงใยก็รอดชีวิตออกไปไม่ได้เช่นกัน ในเมื่อซ้ายขวาล้วนเป็นอย่างนี้ ไม่สู้ปกป้องไว้สักคนหนึ่ง ปกป้องตัวเอง ข้าพูดผิดหรือเปล่า? นางหนู การต่อสู้แก่งแย่งระหว่างคนประเภทนั้น คนที่ตายมักจะเป็นคนที่อยู่ข้างกาย คนอย่างเจ้ากับข้าไปเกี่ยวข้องด้วยไม่ไหวหรอก จะโดนบดจนกระดูกแหลกได้ง่ายมาก รีบเอาตัวออกมาแต่เนิ่นๆ ไปเถอะ! 

เฟยหงที่เดินตามอยู่ข้างหลังตกตะลึงพรึงเพริด คำพูดของอีกฝ่ายแสดงให้เห็นชัดเจน ว่ารู้มานานแล้วว่าตัวเองไปพึ่งพาฝ่ายหนิวโหย่วเต๋อ ในใจหวาดกลัวถึงขีดสุด ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแอบรายงานให้ตำหนักสวรรค์รู้หรือเปล่า ทว่าไม่นานก็เปลี่ยนความคิด เพราะถ้าเปิดเผยให้ตำหนักสวรรค์รู้แล้ว ยังจะเกิดสถานการณ์อย่างนี้ได้อย่างไรกัน เริ่มรู้สึกเบาใจทีละนิด ขณะเดียวกันก็รู้สึกซาบซึ้งใจกับท่านแม่บุญธรรมผู้นี้

หลังจากเงียบไปนาน เฟยหงก็กล่าวเสียงต่ำอีกว่า  เขาไม่ใช่คนอย่างที่ท่านคิด ข้าเชื่อใจเขา 

แม่เฒ่าลวี่หยุดเดิน แล้วหันตัวมาจ้องนางด้วยสายตาเยียบเย็น  นางหนู ในปีนั้นข้าก็เชื่อใจผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกับเจ้านี่แหละ แต่ผู้ชายในโลกนี้ไม่มีดีสักตัวหรอก 

เฟยหงกัดริมฝีปาก รวบรวมความกล้าบอกว่า  ถ้าข้าเชื่อใจเขา อย่างน้อยคนที่ฆ่าเชื่อใจก็ยังมีโอกาสรอดอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่เชื่อใจเขา โอกาสรอดก็ไม่มีเลย! 

 ช่างเป็นเด็กสาวที่ดื้อรั้น คนหนุ่มคนสาว ถ้าไม่ชนกำแพงก็ไม่หันเลี้ยวกลับจริงๆ ทำไมต้องเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง ตอนที่เจ้ามานึกเสียใจทีหลัง โลกนี้ก็ไม่มีเรื่องที่น่าเจ็บปวดใจกว่านี้อีกแล้ว ไม่มีใครเจ็บปวดกับการสูญเสียญาติมากกว่าเจ้าอีกแล้ว เฮ้อ!  แม่เฒ่าลวี่ส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ กล่าวช้าๆ ว่า  เจ้าไปไตร่ตรองเอาเองแล้วกัน ถ้าจะคิดได้ ก็ติดต่อใครทันเวลา ข้าจะเตรียมที่ให้เจ้าหนีไป แต่บอกเร็วๆ หน่อยแล้วกัน ถ้าสายเกินไป ข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้เหมือนกัน ยายแก่พูดเพียงเท่านี้ นับว่าแสดงน้ำใจในการเป็นแม่ลูกกันช่วงหนึ่งแล้ว เจ้าไปตัดสินใจเอาเอง 

เมื่อถูกนางสั่งสอนแบบนี้ ถ้าจะบอกว่าในใจเฟยหงไม่ลังเลสักนิดเลยก็โกหกแล้ว นางเองก็กังวลว่าเหมียวอี้จะหลอกใช้ประโยชน์ตนจริงหรือเปล่า แต่กังวลก็ส่วนกังวล แต่นางก็ยังเชื่อว่าหลายปีมานี้ตัวเองมองคนไม่ผิด เชื่อว่าเหมียวอี้ปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจ ไม่เชื่อว่าเหมียวอี้จะทิ้งนาง

แต่ในใจนางก็แบกรับความกดดันมหาศาลเพราะแม่เฒ่าลวี่จริงๆ

เมื่อออกจากสวนกลางเขียวขจี มาถึงหุบเขาลับตาคนของอุทยานหลวง ตอนที่มาถึง ในหุบเขาก็มีคนรอนางอยู่แล้ว เป็นสตรีวัยกลางคนหน้าตาสวยที่สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา

 ท่านแม่!  เฟยหงเรียกด้วยความดีใจ วิ่งเข้าไปหาแล้วโผเข้าอ้อมกอดมารดา สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้

กระทั่งทั้งสองฝ่ายสงบสติอารมณ์ได้แล้ว คลายกอดแล้ว เฟยหงก็มองสำรวจมารดาให้ละเอียดอีกครั้ง แม้จะยังแต่งตัวเรียบง่ายธรรมดา แต่สีหน้าท่าทางก็ไม่ได้ดูสิ้นหวังเหมือนที่เจอกันตอนแรก กลับมางดงามภูมิฐานเหมือนในปีก่อนๆ แล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าเมื่อก่อนเป็นระดับยอดหญิงงาม ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้ว่าหลายปีมานี้มารดาใช้ชีวิตได้ค่อนข้างดี นางเข้าใจอยู่แล้วว่าเป็นเพราะผลงานของนางตอนอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อทำให้หน่วยตรวจการซ้ายพอใจ

ทั้งสองถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เฟยหงฉวยโอกาสนี้แอบถ่ายทอดเสียงถามอีกครั้ง  ท่านแม่ ท่านยืนยันจุดที่ท่านถูกขังได้หรือเปล่า? 

นี่เป็นคำถามที่นางถามแทบทุกครั้งที่ได้พบมารดา นางรู้ว่าหลายปีมานี้เหมียวอี้ไม่มีทางลงมือช่วยเหลือได้ ก็เพราะไม่สามารถยืนยันได้ว่ามารดาถูกขังอยู่ที่ไหน ไม่รู้จะเริ่มลงมือจากตรงไหนเลย

มารดานางตอบว่า  ที่ที่แม่อยู่มืดมิดไร้แสงแดด ยืนยันไม่ได้ ลูกรัก ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไม่ต้องสนใจแม่แล้ว คนพวกนั้นไม่มีทางปล่อยแม่ไป เจ้าไม่ต้องหวังอีกแล้ว ขอแค่เจ้ายังใช้ชีวิตต่อไปให้ดี แบบนั้นดีกว่าอะไรทั้งนั้น 

 ไม่ได้ค่ะ! ต่อให้ยังมีความหวังสุดท้ายเพียงน้อยนิด พวกเราก็จะยอมแพ้ไม่ได้ ข้าจะหาทางช่วยท่านแม่ออกไปแน่นอน… 

ในตำหนักนารีสวรรค์ หวังเฟยคนใหม่อย่างอวิ๋นจือชิวไปเยี่ยมคำนับราชินีสวรรค์ กำลังเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้กับราชินีสวรรค์ เห็นได้ชัดเจนว่าสีหน้าของราชินีสวรรค์ไม่ค่อยดีนัก

 รับไม่ไหวหรอก อ๋องสวรรค์หนิวตำแหน่งสูง อำนาจเยอะ ยังเห็นข้าอยู่ในสายตาอีกเหรอ? 

 เหนียงเหนียง หม่อมฉันคิดว่ามีหลายเรื่องที่ท่านอาจจะเข้าใจผิดแล้วเพคะ 

 เข้าใจผิดเหรอ? หึหึ พอรู้สึกว่าข้าหมดประโยชน์ให้ใช้งานก็สลัดทิ้ง ช่างเป็นความเข้าใจผิดที่ใหญ่มากจริงๆ 

 สงสัยเหนียงเหนียงจะเข้าใจผิดแล้วจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องเข้าใจผิดบางอย่างก็เป็นท่านอ๋องที่จงใจทำ มีจุดประสงค์ก็คือให้เหนียงเหนียงเข้าใจผิด ไม่อย่างนั้นคนที่ถูกโค่นล้มครั้งนี้คงไม่ใช่ฮ่าวเต๋อฟาง แต่เป็นจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อึ้งเล็กน้อย กลอกสายตาถามว่า  หมายความว่ายังไง? 

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ  เหนียงเหนียงรู้หรือเปล่าว่าในปีนั้นที่ท่านอ๋องอยู่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล สถานการณ์ของเขาอันตรายขนาดไหน? ทัพเกรียงไกรห้าสิบล้านของลิ่งหูโต้วจ้งไปขอพึ่งพาแดนรัตติกาล อย่าบอกนะว่าเหนียงเหนียงคิดว่าท่านอ๋องเป็นคนวางแผน? ไม่ใช่เลย คนที่วางแผนอยู่เบื้องหลังจริงๆ ก็คือฝ่าบาท ก่อนหน้านี้ต่อให้นอนฝันท่านอ๋องก็นึกไม่ถึง ว่าลิ่งหูโต้วจ้งจะนำกำลังพลไปขอพึ่งพาเขา เป็นฝ่าบาทที่บีบให้ลิ่งหูโต้วจ้งไปพึ่งพาแดนรัตติกาล จุดประสงค์ของฝ่าบาทคืออะไรล่ะ? ตลาดผี ตึกศาลาสัตยพรต! จู่ๆ แดนรัตติกาลก็มีกำลังพลเยอะขนาดนั้นโผล่มา เท่ากับควบคุมแดนรัตติกาลโดยสมบูรณ์แล้ว เหนียงเหนียงคิดว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะปล่อยไปโดยไม่สนใจเหรอ? ฝ่าบาทต้องการจะยืมดาบฆ่าคน บีบให้ท่านอ๋องกับตระกูลเซี่ยโห้วแตกหักกัน เพราะท่านอ๋องเป็นคนของเหนียงเหนียง และกำลังบีบให้เหนียงเหนียงกับตระกูลเซี่ยโห้วแตกหักด้วย ฝ่าบาทไม่หวังให้เหนียงเหนียงถูกตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมไปตลอด และตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่หวังให้ท่านอ๋องกับเหนียงเหนียงสนิทกันเกินไปเช่นกัน เพราะจุดประสงค์ของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ใช่แค่ควบคุมเหนียงเหนียง ทั้งยังคิดจะควบคุมราชันสวรรค์องค์ต่อไปด้วย นั่นก็คือองค์ชายหยวนจุน! เหนียงเหนียงคิดว่าตระกูลเซี่ยโห้วหวังจะให้ในมือเหนียงเหนียงมีกำลังพลมากขนาดนั้นหรือเปล่าเพคะ? 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กระตุกมุมปาก ในดวงตาฉายแววดุร้าย

อวิ๋นจือชิวพูดต่อไปว่า  ทว่าท่านอ๋องก็รู้อย่างลึกซึ้งว่ากำลังพลเหล่านี้มีความหมายมากต่อเหนียงเหนียงกับองค์ชาย จำเป็นต้องทุ่มกำลังความคิดเพื่อปลอบโยนฝั่งตระกูลเซี่ยโห้ว จะต้องทำตัวเหมือนอาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบน ทำให้เหนียงเหนียงเข้าใจผิด 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แสยะยิ้ม  คิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไง? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ทำไมไม่บอกข่าวให้ข้ารู้สักหน่อย ข้าจะเป็นคนไร้เหตุผลเชียวหรือ? 

อวิ๋นจือชิวเดินช้าๆ อยู่ข้างกายนาง  ก็เพราะแบบนี้ไง เพราะข้างกายเหนียงเหนียงมีหูตาเยอะเกินไป ทุกการกระทำของเหนียงเหนียงล้วนอยู่ในการจับตามองของคนอื่น เรื่องนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ถ้าเหนียงเหนียงเผยพิรุธทางด้านอารมณ์นิดเดียว ตระกูลเซี่ยโห้วก็จะลงมือสังหารที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลทันที ไม่ยอมให้ในมือเหนียงเหนียงมีกำลังพลเยอะขนาดนั้นจนเสียการควบคุมแน่นอน สิ่งที่ตระกูลเซี่ยโห้วต้องการก็คือควบคุมเหนียงเหนียงอย่างเบ็ดเสร็จ ควบคุมองค์ชายหยวนจุน ควบคุมราชันสวรรค์องค์ต่อไป ทำแบบนี้เพื่อรับประกันว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะสามารถยึดครองใต้หล้าได้ตลอดไป 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เม้มริมฝีปากแน่นอีกครั้ง ควบคุมนาง ควบคุมลูกชายของนาง อวิ๋นจือชิวเอ่ยถึงสิ่งนี้ซ้ำๆ กระตุ้นสิ่งที่อยู่ในใจนางได้หลายเท่า เพราะนางเข้าใจดี ว่านี่คือจุดประสงค์ของตระกูลเซี่ยโห้วจริงๆ อยากจะควบคุมนางตลอดไปเหมือนนางเป็นผีดิบ อย่างน้อยนางก็รู้สึกอย่างนี้มาตลอด

เมื่อสังเกตปฏิกิริยาของนางเล็กน้อย อวิ๋นจือชิวก็พูดต่อว่า  ท่านอ๋องน่ะข้างบนเคารพฝ่าบาท ข้างในปลอบโยนตระกูลเซี่ยโห้ว ข้างนอกติดต่อฮ่าวเต๋อฟาง ไม่ล่วงเกินใครเลย ทำไมต้องทำผิดต่อเหนียงเหนียงอยู่ฝ่ายเดียวด้วยล่ะ? ท่านอ๋องสานสัมพันธ์อันดีกับทุกฝ่ายไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือเพคะ? หรือเป็นเพราะรู้สึกว่าเหนียงเหนียงมีกำลังอ่อนแอจึงรังแกได้ง่าย? เหนียงเหนียงรู้สึกว่าท่านอ๋องจำเป็นต้องจิตใจคับแคบแบบนี้ด้วยหรือ? เหนียงเหนียงไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อนหรือเพคะ? รอให้ท่านอ๋องสร้างความมั่นคงให้กำลังพลแดนรัตติกาลได้แล้ว ปัญหาก็จะมาอีก ภายในกำลังพลของสี่ทัพปัดแข้งปัดขากันไม่หยุด รักษากำลังให้คงที่มาตลอด มีเพียงทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่ได้รับสภาพแวดล้อมสะดวกสบาย ใช้เวลาไม่กี่หมื่นปีก็เติบโตขึ้นเยอะมาก เป็นภัยคุกคามถึงฮ่าวเต๋อฟางแล้ว ส่วนฝ่าบาทก็จงใจเสี้ยมให้ภายในของอำนาจแต่ละฝ่ายวุ่นวาย ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย อยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม จู่ๆ ก็มีโอกาสโผล่มา ท่านอ๋องเลยไม่ลังเลที่จะลงมือ เคลื่อนทัพออกจากแดนรัตติกาล ไม่รอให้ฮ่าวเต๋อฟางลงมือ เขาลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ สถานการณ์ถึงได้เป็นอย่างทุกวันนี้ เหนียงเหนียง ท่านรู้หรือเปล่าว่าท่านอ๋องอาศัยโอกาสอะไรเพื่อลงมือ? 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่กำลังครุ่นคิดปรายตามองนาง  ไม่รู้! 

แม้รอบข้างจะไม่มีคน แต่อวิ๋นจือชิวก็ยังเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง  ตระกูลเซี่ยโห้วเกิดความวุ่นวายภายใน เฉาหม่านแย่งชิงตำแหน่ง ฆ่าหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วลิ่งแล้ว ต้องการให้ทัพใหญ่ของท่านอ๋องปกป้องอยู่ใกล้ๆ! 

 อะไรนะ?  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อุทานเสียงหลง ตกใจจนหน้าถอดสี

…………………

 

เหมียวอี้พยักหน้า เขาต้องยอมรับจุดนี้ นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมเขาไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือแม้จะรู้สถานการณ์ของสมาคมลับต่างๆ ผ่านเซี่ยโห้วลิ่งแล้วก็ตาม การทำลายสมาคมลับต่างๆ นั่นง่าย แต่กลับทำลายไม่ถึงรากฐานของตระกูลเซี่ยโห้ว เขาไม่กล้าไปควบคุมสมาคมลับแต่ละแห่งส่งเดชเช่นกัน เพราะสมาคมอาวุโสควบคุมสมาคมลับลึกขนาดไหน มีสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ แม้แต่เซี่ยโห้วลิ่งก็ยังไม่รู้ชัด เขาย่อมไม่รู้ความจริงเลยสักนิดเหมือนกัน ถ้าทำอะไรบุ่มบ่ามแล้วถูกตระกูลเซี่ยโห้วจับได้ขึ้นมา ตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องโต้กลับแบบไม่ตายไม่เลิกแน่นอน!

แต่พอลองเปลี่ยนความคิดก็อึ้งไป เหมียวอี้จ้องหยางชิ่งพร้อมถามว่า  เจ้าถามเรื่องนี้หมายความว่ายังไง? อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะแตะต้องสมาคมอาวุโส? 

หยางชิ่งกลับไม่ตอบ ได้แต่มองเขาอยู่อย่างนั้น ทำท่าเหมือนรอให้เขาตัดสินใจเลือก

เหมียวอี้เริ่มอ่านสายตาของเขาออกแล้ว

เดิมทีฝั่งนี้เตรียมตัวไว้ว่า ถ้าพระปีศาจสืบเรื่องสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไม่ทัน เขาก็จะลงมือกับชิงหยวนจุน จะมัดชิงหยวนจุนไปแลกกับมารดาของเฟยหง สำหรับเขาแล้ว ถ้าวางแผนดีๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะข้างกายชิงหยวนจุนมีคนของเขาอยู่ ตราบใดที่ฝั่งนี้ไม่ประกาศอย่างเปิดเผย ประมุขชิงก็ไม่กล้าแตกหักกับเขาเช่นกัน เอย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้อยากเอาชีวิตชิงหยวนจุน เพราะตอนนี้ชิงหยวนจุนมีประโยชน์มากกว่านั้น ต่อให้คนของเขาลงมือโดยไม่เปิดเผยตัวตน ต่อขอเพียงจับชิงหยวนจุนไปแลกกับมารดาของเฟยหง ฝั่งประมุขชิงก็จะรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือเขา เมื่อชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้ว ประมุขชิงก็ย่อมแลกคนกับเขา แต่แบบนั้นจะทำให้ชิงหยวนจุนกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่พอใจ จะทำลายแผนการใหญ่ที่อยู่ในครึ่งหลัง

พอเป็นแบบนี้ เขาก็ต้องหาผลลัพธ์จากฝั่งพระปีศาจหนานโปก่อน แต่เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลเซี่ยโห้วจะมาเสียเวลากับเจ้ามากเกินไป ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน

 รอให้ยืนยันตัวตนของถงเหลียนซีก่อน ก็จะให้พระปีศาจลงมือช่วยคนได้แล้ว  เหมียวอี้กล่าวยังไม่แน่ใจ

หยางชิ่งถอนหายใจ  ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพระปีศาจจะสืบเจอสถานที่หลอมสมบัติหรือเปล่า ต่อให้สืบเจอแล้ว แต่ข้าน้อยก็ทำใจเชื่อได้ยากจริงๆ ว่าพระปีศาจจะช่วยคนออกมาจากสถานที่สำคัญที่ป้องกันเข้มงวดอย่างสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ได้ง่ายๆ ยังไม่รู้เลยว่าต้องถ่วงเวลาอีกนานแค่ไหน ก็ได้ ต่อให้พระปีศาจมีพลังอภินิหารมากมายจนช่วยคนออกมาได้ แต่ถ้าพระปีศาจไม่ได้สมุนไพรจิตวิญญาณมาไว้ในมือ มีหรือที่เขาจะยอมส่งคนมาให้? แต่ถ้าส่งสมุนไพรจิตวิญญาณให้ไปแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วจะยอมเลิกรากับท่านอ๋องได้ยังไง? 

ที่จริงแล้ว ตั้งแต่เริ่มวางแผนช่วงชิงทัพใต้ หยางชิ่งก็ไม่ได้คำนึงถึงความเป็นความตายของเฟยหงกับมารดาเลย ไม่เกี่ยวว่าเขาไร้น้ำใจหรือไม่ไร้น้ำใจ แต่เขาไม่ได้มีความผูกพันอะไรกับเฟยหงและมารดา แผนการใหญ่โตขนาดนั้นจะต้องมีคนตายอยู่แล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนเป็นเหมียวอี้ที่แอบปกป้องเฟยหงกับมารดาอยู่ฝ่ายเดียว หยางชิ่งโน้มน้าวไม่ได้ผลจึงขี้คร้านจะโน้มน้าวแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เดาออกตั้งนานแล้วว่าหลังจากจบเรื่องนี้เหมียวอี้จะต้องปวดหัว

เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำ  เช่นนั้นก็เปลี่ยนเป้าหมายที่จะลงมือ จับตัวสมาชิกคนสำคัญของกองทัพองครักษ์ไปแลก! 

หยางชิ่งจึงบอกว่า  เรื่องของเฟยหงกับมารดาเป็นเรื่องในครอบครัวของท่านอ๋อง ข้าน้อยไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก ไม่ว่าท่านอ๋องจะตัดสินใจยังไง ข้าน้อยก็จะไม่คัดค้าน แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ต้องเตือนท่านอ๋องเอาไว้ หลังจากช่วงชิงทัพใต้ด้วยวิธีการอย่างนั้นมาแล้ว ไม่ใช่แค่ประมุขชิงที่จะเก็บท่านอ๋องไว้ไม่ได้ ตระกูลเซี่ยโห้วก็จะต้องรู้สึกกลัวท่านอ๋องแล้วแน่นอน เกรงว่าคงคิดจะกำจัดท่านอ๋องทิ้งหลังจากจบเรื่อง ท่านอ๋องเตรียมตัวป้องกันไว้แล้วหรือยัง? มีเพียงการกำจัดสมาคมอาวุโสที่อยู่เบื้องหลังตระกูลเซี่ยโห้ว ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วขาดความสามารถในการตั้งสมาคมใหม่อย่างรวดเร็ว ถึงตอนนั้นขอเพียงตระกูลเซี่ยโห้วกล้าเคลื่อนไหวอุกอาจ ท่านอ๋องก็สามารถโจมตีสมาคมลับแต่ละแห่งแบบสายฟ้าแลบได้ทันที โจมตีให้ตระกูลเซี่ยโห้วกระจายเหมือนเม็ดทราย กลับมารวมตัวกันอีกไม่ได้ง่ายๆ ตระกูลเซี่ยโห้วถึงจะซื่อสัตย์ได้ 

เหมียวอี้เดินมานั่งลงหลังโต๊ะหนังสือแล้ว หรี่ตาบอกว่า  กลัวว่าเฉาหม่านจะเหมือนกับเซี่ยโห้วลิ่งน่ะสิ อาจจะไม่รู้เบื้องลึกของสมาคมอาวุโส! 

 แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ติดต่อกับสมาคมอาวุโสแน่นอน  หยางชิ่งกล่าว

เหมียวอี้แววตาวูบไหว  เจ้ากำลังพูดถึงเว่ยซู? 

หยางชิ่งพยักหน้า  ก่อนหน้านี้พวกเราสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากล ทั้งยังสงสัยว่าเว่ยซูคนนี้ไม่ธรรมดา ตอนหลังถึงได้รู้ว่าเบื้องหลังของตระกูลเซี่ยโห้วซ่อนสมาคมอาวุโสเอาไว้ เมื่อลองเชื่อมโยงเรื่องเรื่องก่อนหน้าและตอนหลัง ก็เห็นได้ชัดว่าสมาคมอาวุโสยอมสละให้หัวหน้าตระกูลอย่างเซี่ยโห้วลิ่งมาร่วมงานกับท่านอ๋องเพื่อกำจัดพระปีศาจหนานโป จะเห็นได้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วหวาดกลัวพระปีศาจขนาดไหน แต่ก็พอจะเข้าใจได้ ในใต้หล้าตอนนี้ ที่จริงอำนาจในที่แจ้งทำให้พระปีศาจจนใจ ไม่ว่าเขาจะควบคุมใคร แต่ก็ไม่สามารถควบคุมทั้งใต้หล้าได้ ต่อให้เขาสามารถควบคุมประมุขชิงได้แล้วยังไงล่ะ? อำนาจแต่ละฝ่ายก็ไม่ได้เชื่อฟังประมุขชิงทุกอย่างเหมือนกัน คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของประมุขชิงต้องพบความผิดปกติเข้าสักวัน มีแต่จะหวาดกลัวพระปีศาจยิ่งกว่าเดิม ไม่นานก็จะแยกย้ายกันไปเอง หรือไม่ก็หันหัวหอกมาสู้กับเขาแทน ก็อย่างที่ท่านอ๋องบอก พระปีศาจชื่อเสียงฉาวโฉ่แล้ว ครองหัวใจคนในใต้หล้าไม่ได้แล้ว เป็นศัตรูกับคนทั้งใต้หล้า แต่ด้วยวิธีการดำรงอยู่ของตระกูลเซี่ยโห้วนั้น ซ่อนตัวลึกลับอยู่หลังม่าน มีอำนาจกระจายทั่วไป ไม่สามารถเจอหน้ากันและกันได้ง่ายๆ ไม่กลัวการโจมตีอย่างเปิดเผย กลัวก็แต่จะมีคนใช้วิธีการเอาพิษถอนพิษเพื่อขุดรากถอนโคนของพวกเขาขึ้นมา วิธีการของพระปีศาจถือเป็นดาวอริของตระกูลเซี่ยโห้วจริงๆ เพราะพระปีศาจคนเดียวก็อาจจะโค่นล้มทั้งตระกูลเซี่ยโห้วได้ ตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่กลัวได้ยังไง? 

 เว่ยซูไม่ได้แตะต้องง่ายๆ ขนาดนั้น ถ้าพวกเราสันนิษฐานไม่ผิดพลาด ถ้าแตะต้องเว่ยซูเมื่อไหร่ เกรงว่าผลที่ตามมาจะร้ายแรงยิ่งกว่าแต่ต้องเฉาหม่านเสียอีก ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น อย่างน้อยก็แหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว ถ้าคิดจะบีบสมาคมอาวุโสออกมาอีกก็ยากแล้ว เรื่องนี้เจ้าวางแผนให้ละเอียดทั่วทุกด้านก่อน ต้องทำแบบไม่ให้ผิดพลาดแม้แต่น้อย ไม่อย่างนั้นก็ไปแตะต้องไม่ได้เลย  เหมียวอี้แสดงความเห็น

 ขอรับ!  หยางชิ่งเอ่ยรับ จากนั้นก็ถอยออกไป

พอเดินออกมาจากห้องหนังสือ เห็นอวิ๋นจือชิวรออยู่ข้างนอกโดยไม่เข้าไปรบกวน หยางชิ่งก็ทำความเข้า  คำนับหวังเฟยเหนียงเหนียง ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่าเหนียงเหนียงกลับมาแล้ว เดิมทีจะไปคำนับ แต่ได้ข่าวว่าเหนียงเหนียงงานยุ่ง เลยไม่ได้ไปรบกวน หวังว่าเหนียงเหนียงจะให้อภัย 

 เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น คำพูดพวกนี้ไม่มีความหมาย เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ  อวิ๋นจือชิวกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง

หยางชิ่งก้มศีรษะกล่าวขอตัว แล้วหันตัวเร่งฝีเท้าเดินออกไป

ตอนนี้อวิ๋นจือชิวถึงได้ก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะมองนางแค่ปราดเดียว แล้วก็หลับตาเอนอายพิงเก้าอี้ไปเลย ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เท่านั้น

อวิ๋นจือชิวเดินมาคลำถ้วยน้ำชาตรงข้างโต๊ะ พบว่ายังอุ่นอยู่เลย นางจึงเดินอ้อมไปหลังเก้าอี้ วางสองมือบนหน้าผากของเขา ใช้นิ้วเรียวนวดให้เขาเบาๆ พร้อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน  เหนื่อยเพราะช่วงนี้มีเรื่องว้าวุ่นใจเยอะ หรือปวดหัวเพราะเรื่องเฟยหงล่ะ? 

 เจ้าได้ยินหมดแล้วเหรอ?  เหมียวอี้หลับตาถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

อวิ๋นจือชิวขานรับ  สิ่งที่หยางชิ่งบอกใบ้ก็มีเหตุผล แต่การที่เจ้าแน่วแน่กับเรื่องนี้ก็ไม่ผิด 

 แล้วเจ้ายืนอยู่ฝั่งไหน?  เหมียวอี้ถามช้าๆ

อวิ๋นจือชิววางมือบนคอเขา โน้มตัวลงจูบแก้มเขา แนบศีรษะกับใบหน้าเขา พร้อมบอกว่า  ข้ายืนหยัดที่จะสนับสนุนเจ้า ช่วยสิ ทำไมจะไม่ช่วยล่ะ ก็แค่ยุ่งยากนิดหน่อยเองไม่ใช่เหรอ? พวกเรารับไหวอยู่แล้ว!  ขณะที่พูดใบหน้าก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยน หลับตาพร้อมกับเขา แล้วพึมพำด้วยสีหน้าดื่มด่ำ  เรื่องของถงเหลียนซีเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะสืบเบื้องลึกของนางให้เร็วที่สุด 

ที่จริงหลังจากได้รู้ว่าเหมียวอี้ใช้วิธีการแบบนั้นไปเต้าขึ้นสู่ตำแหน่งอ๋อง ในใจนางก็รู้สึกหวาดกลัวนิดหน่อย เพราะนางได้เห็นแล้วว่าเหมียวอี้ทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ความหวาดกลัวอันแปลกพิลึกบางอย่างวนเวียนอยู่ในใจนาง จนกระทั่งเมื่อครู่ที่อยู่ตรงประตูแล้วได้ยินเหมียวอี้ปฏิเสธคำบอกใบ้ของหยางชิ่ง ในที่สุดก็ได้โล่งใจเสียที ความหวาดกลัวที่วนเวียนอยู่ในใจสลายไปราวกับเมฆหมอก หนิวเอ้อร์ยังคงเป็นหนิวเอ้อร์คนนั้นของนาง แม้จะถูกสถานการณ์บีบบังคับให้เปลี่ยนไป แต่ก็ยังกระทำสิ่งที่พึงกระทำ และละวางสิ่งที่พึงละวาง บางสิ่งบางอย่างก็ยังรักษาไว้ได้เหมือนเดิม

ถ้าเขาทิ้งได้แม้กระทั่งเฟยหงที่สนับสนุนเขามาหลายปีและไม่เคยทำผิดอะไร แบบนั้นนางคงหวาดกลัวจนตัวสั่น

เหมียวอี้ยกมือข้างหนึ่งลูบบนใบหน้านาง สูดดมกลิ่นกายหอมอ่อนๆ ที่ทำให้สบายใจของนาง ดื่มด่ำกับสัมผัสมือที่อ่อนนุ่มเรียบลื่น  มาเย็นขนาดนี้ เจ้าของงานยุ่งมาทั้งวันแล้วสินะ? 

พอเขาพูดถึงเรื่องของนาง นางก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกมาจากข้างหลังเขา อ้อมมารูดกระโปรงนั่งตักเขา เอาแขนคล้องคอเขาไว้ แล้วเล่าเรื่องที่แต่งงานรับสายลับเข้าบ้านมา โดยเฉพาะเรื่องของตู้อิ๋นเจียว  เจ้ารู้สึกว่าตู้อิ๋นเจียวเป็นคนของฝ่ายไหน? 

เหมียวอี้แสยะยิ้ม  ยังจะเป็นคนของฝ่ายไหนได้ล่ะ เป็นไปได้เก้าในสิบว่าฝ่ายตระกูลเซี่ยโห้ว 

 อ้อ!  อวิ๋นจือชิวกระพริบตาปริบๆ  ทำไมคิดอย่างนั้น? 

เหมียวอี้อธิบายว่า  เรื่องบางเรื่องถ้าหยียนซิวไม่ไปถามก็ไม่รู้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นเขาก็เดาได้เหมือนกัน ช่วงก่อนหน้านี้เพื่อที่จะช่วยสนับสนุนข้า ตระกูลเซี่ยโห้วเปิดโปงสายลับไปแล้วไม่น้อย ก่อนที่จะโดนข้าเตะออกจากกระดาน ข้าลองเรียกหลายคนมาคุย ผลปรากฏว่าสายลับส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกอำนาจฝ่ายไหนควบคุม จนกระทั่งหลังจากเกิดเรื่องแล้ว ถึงได้รู้ว่าถูกควบคุมโดยตระกูลเซี่ยโห้ว ก่อนหน้านั้นรู้แค่ว่าตัวเองถูกคนอื่นบีบบังคับ สถานการณ์และวิธีการคล้ายกับตู้อิ๋นเจียว จะไม่ให้ข้าสงสัยตระกูลเซี่ยโห้วก็คงยาก ก่อนหน้านี้ไม่ได้ใช้งานผู้หญิงคนนั้น คงเพราะยังไม่จำเป็น ตอนนี้พอมาถึงถิ่นของข้าแล้วถึงได้ถูกใช้งาน ยอมเป็นเพราะมีมูลค่าให้ใช้งาน 

อวิ๋นจือชิวกลับแอบตกใจ  ตระกูลเซี่ยโห้วน่ากลัวจริงๆ ใช้ประโยชน์กับทุกอย่าง ใช้วิธีการเงียบเชียบและปล่อยตามธรรมชาติไม่แต่งแต้มอะไรเพิ่มเติม ทำให้คนป้องกันไม่ชนะ ขณะเดียวกันก็รับประกันได้ในระดับสูงสุดด้วยว่าจะไม่ถูกเปิดโปง ไม่รู้จริงๆ ว่าในใต้หล้านี้มีคนประเภทตู้อิ๋นเจียวอีกเท่าไหร่ 

 วางแผนจัดการมาสามยุคแล้ว ประสบการณ์ความรู้ย่อมไม่ธรรมดา เจ้าคิดว่าคำกล่าว ‘ครองตระกูลเซี่ยโห้วได้ ก็ครองใต้หล้าได้’ เป็นเรื่องโกหกหรือไง? ช้าเร็วข้าก็ต้องขุดรากถอนโคนสัตว์ประหลาดที่ยึดครองใต้หล้าให้ได้!  เหมียวอี้แสยะยิ้ม แล้วจู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ หรี่ตาพึมพำ  สายลับของตระกูลเซี่ยโห้ว… 

อุทยานหลวง งานเลี้ยงอุทยาน หนึ่งพันปีจัดหนึ่งครั้ง แต่กลับมีเพียงขุนนางระดับสูงจริงๆ ถึงจะมาที่นี่ได้ มีกฎกติกามากมายควบคุมไว้ อาจจะเที่ยวเล่นไม่สนุกสักเท่าไร ที่ชัดเจนก็คือฐานะ ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไหร่ที่หวังจะมาถูกกติกาของที่นี่ควบคุม

สวนกลางเขียวขจี เรือนร่างอรชรของเฟยหงเดินเนิบนาบเข้ามา นางนับว่าคุ้นเคยกับที่นี่ ติดตามอวิ๋นจือชิวมาเข้าร่วมงานเลี้ยงอุทยาน เมื่อมาแล้วก็ย่อมต้องมาเยี่ยมท่านแม่บุญธรรมของตัวเอง ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ไปเยี่ยมคำนับราชินีสวรรค์ที่ตำหนักนารีสวรรค์

ส่วนคนของสวนกลางเขียวขจีก็นับว่าคุ้นเคยกับเฟยหงเช่นกัน ด้วยความที่มีคนชี้บอก นางก็ได้เจอกับแม่เฒ่าลวี่ที่กำลังสั่งให้เทพธิดาทำงานอยู่ในสวนเขียวขจีแล้ว

 ท่านแม่บุญธรรม!  เฟยหงก้าวขึ้นมาคำนับ

แม่เฒ่าลวี่มองนางแวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างร่าเริง  มาแล้วเหรอ 

เฟยหงขานรับ จากนั้นก็เดินเล่นอยู่ในสวนเป็นเพื่อนแม่เฒ่าลวี่

พอเดินไปถึงจุดที่ไม่มีคน แม่เฒ่าลวี่ก็เดินไปหาดอกไม้สีแดงสดที่มีขนาดใหญ่เท่าชามข้าวดอกหนึ่ง จ้องอยู่พักหนึ่งแล้วจะจู่ๆ ก็ถอนหายใจ  เป็นอ๋องสวรรค์แล้ว เก่งกาจมาก เก่งกาจมาก ช่างทำงานใหญ่ เจ้่าว่าไหม? 

 เรื่องของผู้ชาย ลูกสาวไม่เคยอยากเข้าไปยุ่ง  เฟยหงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

แม่เฒ่าลวี่ยื่นมือเป็นรูปกลีบดอกไม้สวยอย่างเวทนา  ไม่เข้าไปยุ่ง…เรื่องใหญ่ในใต้หล้านี้ข้าก็ไม่เข้าใจหรอก แต่หลายปีมานี้ข้าเห็นความไม่แน่นอนมาเยอะ ทุกครั้งที่ใต้หล้ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แม้จะมีบางคนได้หน้าได้ตาไร้ที่สิ้นสุด แต่สิ่งที่ตามมานั้น ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด บางคนก็เอาแต่เฝ้าคอย แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองถูกใช้ประโยชน์จนหมดคุณค่าแล้ว สุดท้ายก็เหลือเพียงความแค้น ถ้าได้สติกลับมาไว้ บางทีอาจจะยังรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้ นางหนูเอ๊ย เจ้าว่าที่ข้าพูดมีเหตุผลมั้ย? 

………………

 

อวิ๋นจือชิวหัวเราะจนเหนื่อย ถือโอกาสนั่งลงบนเก้าอี้ ตบอกตัวเองให้หายใจคล่อง เราตอบว่า  ทางฝั่งซูอวิ้นไม่ต้องกังวลแล้ว นางรับปากแล้วว่าจะทำงานให้ฝั่งนี้ 

 อ้อ?  เหมียวอี้พยักหน้า  นำเรื่องทายาทของตระกูลฮ่าวมาขู่ยังได้ผล 

รอยยิ้มบนใบหน้าอวิ๋นจือชิวอ่อนลง แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า  เจตนาของเจ้าชัดเจนเกินไป นางมองออกแล้ว นางไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าไม่อยากให้นางตายเพราะให้คำสัญญากับฮ่าวเต๋อฟางเอาไว้ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือมองเห็นมูลค่าในการใช้ผลประโยชน์จากนาง ต่อไปถ้านางหมดประโยชน์แล้วจะทำยังไงล่ะ? นางบอกว่านางสามารถรับปากก่อนได้เพื่อให้คลายผนึกบนตัว แต่นางก็ถามอีก ว่าเจ้าไม่กลัวเหรอว่านางจะฉวยโอกาสที่ได้คลุกคลีกับคนฝั่งนี้จับคนของเจ้าไปเป็นตัวประกันแลกกับฮ่าวอวิ๋นเทียน? 

เหมียวอี้เงียบไป แล้วถามอีกว่า  แล้วเจ้าทำให้นางยอมได้ยังไง? 

อวิ๋นจือชิวตอบว่า  ข้าก็เลยถามนาง ว่าต่อให้เจ้าช่วยฮ่าวอวิ๋นเทียนไปได้แล้วยังไงต่อ ใต้หล้านี้ยังมีที่ให้เขายืนอีกหรือ? เขาทำได้เพียงหลบซ่อนตลอดไป ตระกูลฮ่าวไม่มีอนาคตแล้ว ไม่มีใครอยากเห็นตระกูลฮ่าวผงาดขึ้นมาอีกครั้งเพื่อมีส่วนแบ่งกับผลประโยชน์ของพวกเขา อาศัยแค่เจ้ากับเขาก็ก็กลับตัวไม่ได้หรอก ฮ่าวอวิ๋นเทียนเทียบกับฮ่าวเต๋อฟางไม่ติด ไม่มีความสามารถที่จะผงาดขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าเจ้าจะช่วยเขาก็สิ้นเปลืองกำลังความคิดมาก เจ้าเห็นเขามาตั้งแต่เด็กจนโต ความสามารถของเขาเป็นยังไงเจ้าก็รู้ดีที่สุด ข้าให้คำสัญญากับนาง ว่าตราบใดที่นางสามารถทำงานรับใช้เจ้าได้ ถ้าเจ้าทำให้ใต้หล้าสงบเมื่อไหร่ ก็จะคืนอิสระให้ตระกูลฮ่าวอย่างแท้จริง! ข้าบอกนางว่า ต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มีคนทำให้ใต้หล้าสงบเท่านั้น ตระกูลฮ่าวถึงจะได้รับอิสระที่แท้จริง ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่ที่เขาเป็นลูกชายของฮ่าวเต๋อฟาง แค่เขาโผล่หน้ามาเมื่อไหร่ อำนาจแต่ละฝ่ายก็ยินดีมากที่จะจับเขาไว้ใช้ผลประโยชน์! สุดท้ายนางจึงยอมรับปากข้า! 

 ทำให้ใต้หล้าสงบ?  เหมียวอี้ขมวดคิ้ว  จะเปิดเผยจุดประสงค์ของข้าให้นางรู้เหรอ? 

 แล้วยังไงล่ะ?  อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้วแล้วยืนขึ้น กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า  ในสายตาคนนอก ในสายตาตำหนักสวรรค์ มีอ๋องสวรรค์คนไหนบ้างที่ไม่อยากก้าวหน้าไปอีกขั้น เพียงแต่ไม่มีโอกาสเท่านั้นแหละ เมื่อเดินมาถึงจุดเดียวกับเจ้าอย่างทุกวันนี้แล้ว เจ้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่อยากก่อกบฏ หรือบอกว่าตัวเองไม่มีทางก่อกบฏ ประมุขชิงจะเชื่อและไม่ป้องกันเจ้าเหรอ? ตราบใดที่เจ้าไม่ประกาศ ต่อให้นางรู้แล้วปล่อยข่าวสู่ภายนอก แล้วยังไงต่อล่ะ ประมุขชิงจะรู้สึกเหนือความคาดหมายเหรอ? ตราบใดที่ในมือเจ้ามีอำนาจ และไม่มั่นใจว่าจะกำจัดเจ้าทิ้งได้ ประมุขชิงก็ไม่กล้าทำซี้ซั้วหรอก! ข้าต้องการบอกให้นางรู้อย่างสง่าผ่าเผย ว่าผู้ชายของข้ามีเป้าหมายชัดเจนมาก ต้องการจะช่วงชิงใต้หล้า เก่งกว่าฮ่าวเต๋อฟาง ทำงานให้เจ้าไม่ถือว่าทำให้ฮ่าวเต๋อฟางอับอาย ให้นางยอมรับจากใจ นี่ก็คือเส้นทางของราชัน! 

เหมียวอี้พูดไม่ออก พบว่าผู้หญิงคนนี้ขวดดีอีกแล้ว เหมือนเห็นเงาของปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนในปีนั้นแรงๆ เขาเกาหน้าผาก  พอแล้ว เจ้าแน่ใจว่านางรับปากแล้วก็พอ 

อวิ๋นจือชิวบอกเขาว่า  รับปากน่ะรับปากแล้ว แต่นางก็มีเงื่อนไข เรื่องนี้ข้ายังต้องถามความเห็นเจ้าก่อน นางกำลังรอคำตอบเช่นกัน ถ้าเจ้าตอบรับ นางถึงจะย้ายออกจากสวนป่าสุสานอย่างเป็นทางการ 

 เงื่อนไขอะไร?  เหมียวอี้ถาม

อวิ๋นจือชิวพูดไม่ออกนิดหน่อย  ชายหญิงมีความแตกต่าง นางไม่อยากให้คนเข้าใจผิดว่าระหว่างนางกับเจ้าเป็นเหมือนตอนที่นางอยู่กับฮ่าวเต๋อฟาง นางรู้สึกว่าอยู่ข้างกายข้าจะสะดวกกว่า ถ้ามีเรื่องอะไรก็เรียกนางได้ทุกเมื่อ 

ก็ยังนึกว่าเรื่องใหญ่อะไร เหมียวอี้พยักหน้า  คุยได้ 

เมื่อเห็นเขาไม่กังวลเลยสักนิดว่าอำนาจในมือตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ อวิ๋นจือชิวตาเป็นประกาย นั่งไขว่ห้างอีก ยื่นปลายเท้าออกมาคลอเคลียอยู่บนต้นขาเขาพร้อมถามอย่างออดอ้อน  หนิวเอ้อร์ ตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์ แม่นางน้อยสาวๆ น่าสนใจกว่าหญิงแก่อย่างข้าใช่ไหม?  สายตาค่อนข้างออดอ้อน

ท่านขุนนางเหมียวมองตาแล้วเข้าใจ ดึงแขนนางขึ้นมา แล้วอุ้มนางเดินเข้าไปในห้องนอน ในใจรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย โชคดีที่มีหลายคนหน้าตาอัปลักษณ์ ในที่สุดก็ผ่านด่านนี้ไปได้แล้ว

หารู้ไม่ว่าอวิ๋นจือชิวที่กำลังกอดคอเขาทำสายตาเจ้าเล่ห์แล้ว นางเป็นคนอนุญาตให้รับอนุภรรยาพวกนั้น คนแต่งงานเข้ามาแล้ว นางยังจะหาเรื่องแตกหักได้อีกเหรอ? แต่นางจะให้เหมียวอี้รู้สึกว่านางผ่อนผันไม่ได้ นางก็แค่ทั้งชักสีหน้าข่มขู่ พอบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว ก็หาทางลงให้ตัวเองอีกก็เท่านั้น

สรุปก็คือ ผู้ชายคนนี้มีอำนาจมากขึ้นทุกวัน ถ้าควบคุมไม่ได้จะไม่แย่หรอกหรือ?

วันต่อมา สวีถังหรานกับเสวี่ยหลิงหลงมาเยี่ยมคำนับอวิ๋นจือชิวด้วยกัน สวีถังหรานรู้กาละเทศะมาก รู้ว่าท่านอ๋องกับหวังเฟยแยกจากกันไปนานจนเกิดความรู้สึกเหมือนคู่แต่งงานใหม่ วันนั้นจึงไม่ได้มารบกวน ตอนนี้เพิ่งจะมาหาด้วยเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวก็คือรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ ส่วนเรื่องงานก็คือมารายงานความคืบหน้า ในสายตาของสวีถังหราน ท่านที่อยู่ตรงหน้ามีความสำคัญยิ่งกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหมียวอี้ได้บอกไว้แล้ว ว่าอวิ๋นจือชิวเป็นคนช่วยพูดให้สวีถังหราน ถึงได้มีตำแหน่งโหวให้สวีถังหรานได้ สองสามีภรรยาย่อมมีท่าทีที่ดีต่ออวิ๋นจือชิวอยู่แล้ว

อวิ๋นจือชิวก็เริ่มงานยุ่งแล้วเช่นกัน

ตอนหลังพอซูอวิ้นรู้ข่าว ก็ย้ายเข้ามาอยู่ในจวนท่านอ๋องแล้วเช่นกัน ยังคงอยู่บ้านหลังเดิมที่เคยอยู่เมื่อก่อนนี้ อวิ๋นจือชิวมาคอยไถ่ถามทุกข์สุขด้วยตัวเอง ถามประมาณว่ามีอะไรที่ต้องการใช้หรือเปล่า

เมื่อหาที่พักให้ซูอวิ้นเรียบร้อยแล้ว ก็เรียกเหยียนซิวเข้ามาอีก ถามว่าตรวจสอพวกอนุภรรยาคนใหม่ไปถึงไหนแล้ว ต้องการจะเตรียมที่พักให้ที่เรือนชั้นใน

 ตู้อิ๋นเจียวก็เป็นสายลับเหมือนกันเหรอ? 

รายชื่อที่ตรวจสอบแล้วในตอนนี้ พบว่ามีสายลับสามคนแล้ว จะมีสายลับบ้างก็เป็นเรื่องปกติมาก แต่หลังจากได้รู้ว่าตู้อิ๋นเจียวก็เป็นสายลับเหมือนกัน อวิ๋นจือชิวก็ตกใจอยู่บ้าง แต่งงานอีกรอบทั้งยังเคยมีลูกมาแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะส่งคนแบบนี้มาเป็นสายลับ คนที่อยู่เบื้องหลังช่างเดินในทิศทางตรงกันข้าม ถ้าไม่ใช่เพราะสืบจนรู้กำพืดชัดเจน ก็ทำใจเชื่อได้ยากจริงๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าตู้อิ๋นเจียวเป็นนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ชอบโอ้อวดความรวยและเกาะอำนาจคนใหญ่คนโต นึกไม่ถึงว่าจะเป็นสายลับ

เหยียนซิวบอกว่า  ใช่แล้วครับ ที่จริงตู้อิ๋นเจียวเป็นสายลับที่ภายนอกแทรกเข้ามาในทัพใต้ แม้แต่บิดาของนางก็ยังไม่รู้ว่านางเป็นสายลับ แต่การที่นางยอมให้คนอื่นใช้งานเป็นสายลับ บิดาของนางก็ผลักความรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ได้ หลายปีก่อนบิดาของนางต้องการขึ้นสู่ตำแหน่ง จึงหย่ากับมารดาของนางแล้วแต่งงานกับอีกคน ตอนหลังมารดาของนางตายโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน ต่อมาบิดาของนางก็รังเกียจว่าผู้ชายที่นางรักมีชาติกำเนิดต่ำต้อย เลยขู่ว่าจะฆ่าผู้ชายคนนั้น บีบให้นางแต่งงานกับผู้ชายคนปัจจุบัน ตอนหลังมีคนนำหลักฐานที่ชัดเจนมาให้นาง นางถึงได้รู้ว่ามารดาของนางตายด้วยน้ำมือของเสียง บิดาของนางที่รู้ความจริงกลับไม่ห้าม ส่วนผู้ชายคนนั้นของนาง ขนาดนางเลิกกับเขาแล้วก็ยังไม่ก็ไม่พ้นเคราะห์ ถูกบิดาของนางฆ่าตายอย่างลับๆ เช่นกัน หลังจากรู้ความจริงแล้วนางสะเทือนใจมาก จึงถูกคนอื่นหาช่องโหว่ใช้ประโยชน์นางตั้งแต่นั้นมา เขียนใบมอบตัวแล้วไม่อาจหันหลังกลับ ตอนนี้ถูกบิดาบังคับให้หย่าแล้วมาแต่งงานกับท่านอ๋องอีก จนกระทั่งตอนนี้นางก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นของอำนาจฝ่ายไหน พวกเราก็สืบไม่เจอที่มาที่ไปของนางเช่นกัน ที่แปลกกว่านั้นก็คือ หลังจากนางถูกคนควบคุมแล้ว คนที่ควบคุมนางก็ไม่เคยใช้ให้นางทำเรื่องอะไรเลย เมื่อก่อนไม่เคยใช้งานนาง แต่เวลานางต้องการกลับช่วยเหลือนาง เรื่องแรกก็คือช่วยนางฆ่าแม่เลี้ยงเพื่อล้างแค้น จนกระทั่งช่วงนี้ที่นางแต่งงานกับท่านอ๋อง จู่ๆ ถึงได้รับภารกิจลับ ว่าให้นางเข้าใกล้ท่านอ๋อง ส่วนอีกสองคนล้วนเป็นคนของหน่วยตรวจการซ้ายตำหนักสวรรค์ 

อวิ๋นจือชิวเงียบไป แล้วถามว่า  ท่านอ๋องรู้เรื่องนี้หรือเปล่า? เตรียมจะจัดการยังไง? 

 ทราบแล้วขอรับ ท่านอ๋องบอกว่าตอนนี้อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น ยังไม่ต้องให้สายลับเข้ามาในจวน รอให้ตรวจสอบสมาชิกทุกคนเสร็จก่อน แล้วค่อยจัดการทิ้งรวมกันรวดเดียว  เหยียนซิวตอบ

อวิ๋นจือชิวครุ่นคิด แล้วบอกว่า  เอาอย่างนี้ อย่าเพิ่งไปแตะต้องพวกนาง สำหรับพวกนางข้ามีแผนแล้ว เจ้าบอกหยางเจาชิง ว่าเตรียมให้พวกนางเข้ามาในจวนได้เลย ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง เดี๋ยวข้าจะบอกท่านอ๋องเอง 

 ขอรับ!  เหยียนซิวเอ่ยรับ

หลังจากเหยียนซิวไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ออกประตูมามองสีของท้องฟ้า งานยุ่งตั้งแต่เช้ามืดไม่ได้หยุดหย่อน ตอนนี้สีของท้องฟ้าดูโพล้เพล้แล้ว

 ท่านอ๋องกำลังทำอะไร?  อวิ๋นจือชิวเอ่ยถามขณะมองท้องฟ้ายามพลบค่ำ

เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ หยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อเชียนเอ๋อร์ที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายเหมียวอี้ จากนั้นก็ตอบว่า  เหนียงเหนียง พี่เชียนเอ๋อร์บอกว่า ท่านอ๋องงานยุ่งยังไม่ได้พักเลย เมื่อครู่ก็เพิ่งเรียกหยางชิ่งเข้าไปประชุมลับในห้องหนังสือ 

ในมือเหมียวอี้มีงานไม่น้อย ตอนนี้เขากำลังแอบจับตาดูสถานการณ์ของที่ต่างๆ ในทัพใต้ ที่ยุ่งยากที่สุดก็คือ เมื่อครู่นี้เฉาหม่านเพิ่งติดต่อมาเร่งรัด บอกว่าเขาต้องทำตามสัญญา นั่นก็คือร่วมมือกันกำจัดพระปีศาจหนานโป

เหมียวอี้ทำได้เพียงอ้างว่าทัพใต้ยังไม่มั่นคง กลัวว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะข้ามแม่น้ำแล้วหรือสะพานทิ้ง รอให้ทัพใต้มั่นคงก่อนแล้วค่อยลงมือก็ยังไม่สาย อ้างเหตุผลนี้เพื่อถ่วงเวลาต่อไป

จากนั้นก็เรียกหยางชิ่งมาปรึกษาหารือเรื่องนี้ ปรึกษาไปปรึกษามา ประเด็นของปัญหาก็คือเหมียวอี้ต้องช่วยมารดาของเฟยหงออกมาก่อน ตระกูลเซี่ยโห้วกับพระปีศาจล้วนต้องต้านเอาไว้ทั้งสองฝั่ง ไม่สามารถหันเลี้ยวกลับได้อย่างอิสระ

หยางชิ่งแอบบอกใบ้เล็กน้อย ว่าตั้งแต่ที่หน่วยตรวจการซ้ายต้องการให้เฟยหงลอบสังหารเขา เฟยหงก็หมดประโยชน์ให้ใช้งานแล้ว ทว่าเหมียวอี้ก็ปฏิเสธไปโดยตรง

หยางชิ่งจำต้องตกอยู่ในความเงียบ เรื่องแบบนี้เขาไม่สะดวกจะพูดมากเกินไป เขาแค่รู้สึกว่า เจ้าเดินมาถึงวันนี้แล้ว ควรจะเข้าใจว่าอะไรคือสถานการณ์ภาพรวม การสละบางสิ่งนั้นคือความคุ้มค่า เจ้าแต่งงานกับผังเสี้ยวเสี้ยวแล้วโค่นล้มผังก้วนได้ เพื่อทำให้อาณาเขตทัพใต้สงบมั่นคง เจ้ายังแต่งงานกับผู้หญิงอัปลักษณ์ได้ เฟยหงนั่นสำคัญมากหรือ?

หลังจากในห้องหนังสือเงียบอยู่พักหนึ่ง หยางชิ่งก็ถามช้าๆ ว่า  ประมุขชิงกับประมุขพุทธะ พระปีศาจหนานโป ตระกูลเซี่ยโห้ว ท่านอ๋องรู้สึกว่าในบรรดาสามฝ่ายนี้ ใครคือหินขวางทางก้อนใหญ่ที่สุด? 

เหมียวอี้ไตร่ตรองแล้วตอบว่า  ประมุขชิงกับประมุขพุทธะดูเหมือนเป็นยักษ์ใหญ่ แต่กลับอยู่ในที่แจ้ง ขอเพียงใช้ความพยายามมากพอก็ย่อมสำเร็จได้เอง! ส่วนพระปีศาจหนานโปดูเหมือนน่ากลัว แต่ที่จริงแล้วคนทั้งใต้หล้าล้วนป้องกันเขา ชื่อเสียงฉาวโฉ่ ใจคนห่างหายหมดแลเว เท่ากับเป็นศัตรูกับคนทั้งใต้หล้า ขึ้นสังเวียนไม่ได้ อยู่ในที่แจ้งไม่ได้ด้วย แค่อาศัยวิธีการลึกลับซับซ้อนบางอย่างขู่ให้คนกลัว ขอเพียงมีใครสักคนควบคุมแนวโน้มสถานการณ์ไว้ให้มั่นคง เขาก็กระพือคลื่นลมได้ยากมาก อย่างมากก็แค่แอบทำให้บางอย่างเสียหาย ยุคของเขาผ่านไปแล้ว ที่จริงอ่อนแอที่สุดในบรรดาทั้งสามฝ่าย ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่จิตนาการไว้เลย ผู้ที่หลบในที่มืดจนยากจะหยั่งถึงจริงๆ ก็คือตระกูลเซี่ยโห้ว ใต้หล้าของประมุขชิงกลายเป็นอย่างนั้นได้ ก็เพราะมีตระกูลเซี่ยโห้วคอยแอบขัดแข้งขัดขา ตระกูลเซี่ยโห้วต่างหากคือหินขวางทางก้อนใหญ่สุด 

หยางชิ่งกล่าวเสริมว่า  เป็นอย่างนี้จริงๆ แต่ท่านอ๋องรู้สมาคมลับต่างๆ ของตระกูลเซี่ยโห้วผ่านปากเซี่ยโห้วลิ่งแล้ว สามารถโจมตีตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนฟ้าผ่าได้ทุกเมื่อ อีกฝ่ายต้านทานทัพใหญ่ของท่านอ๋องไม่ไหวเลย สำหรับท่านอ๋องแล้ว สิ่งที่ต้องระวังก็คือสมาคมอาวุโสอะไรนั่น สมาชิกของสมาคมอาวุโสที่ลึกลับแบบนี้ล้วนเป็นคนที่เคยรับหน้าที่ดูแลอำนาจฝ่ายต่างๆ ของตระกูล จิ้งจอกเฒ่าอย่างเซี่ยโห้วท่าร้ายกาจมาก แม้ตระกูลเซี่ยโห้วจะมีอำนาจมากแต่กลับกระจายอยู่ในที่ลับ ต่อให้มีคนสามารถทำลายสมาคมลับพวกนั้นได้ แต่ก็ไม่มีทางตัดรากถอนโคน เมื่อคนของสมาคมอาวุโสลงมือเมื่อไร ก็สามารถตั้งสมาคมลับใหม่ได้ทุกเมื่อ สามารถฟื้นฟูอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วขึ้นมาใหม่ได้ในเวลาสั้นๆ 

………………

 

คนที่ยืนเอนกายกางร่มอยู่ตรงนี้รีบเก็บร่มเช่นกัน สภาพวุ่นวายในสวนดอกไม้หายไปทันที

นางพวกผู้หญิงกลุ่มนี้! มู่หรงซิงหัวพึมพำในใจ ทั้งโมโหทั้งอยากขำจริงๆ นางรีบเดินไปข้างกายเหมียวอี้ รู้สึกโล่งใจแล้วเช่นกัน ในที่สุดเขาก็มาแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าปฏิบัติตามประสงค์ของหวังเฟย เกรงว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่

เหมียวอี้ก็ไม่ใช่คนตาบอด เขาเห็นสภาพวุ่นวายเมื่อครู่นี้หมดแล้ว นี่น่ะหรือที่เรียกว่าลูกสาวของตระกูลใหญ่? ยืนบิดยืนเอียงเหมือนคนขี้เกียจ คนนอกที่ไม่รู้ความจริงคงนึกว่าเขาเปิดหอนางโลมที่นี่แล้ว ไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย!

โดยเฉพาะฉากที่เปลี่ยนจากผู้หญิงขี้เกียจเป็นผู้หญิงเรียบร้อย ทำให้เหมียวอี้สีหน้าบึ้งตึงแล้วไม่น้อย สายตายิ่งล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ ในใจรู้สึกรังเกียจผู้หญิงกลุ่มนี้มากขึ้นหลายส่วน

เขาเองก็ไม่มีกะจิตกะใจทำไมแยกแยะว่าเดิมทีแล้วคนพวกนี้ภูมิฐานเรียบร้อยมาตลอดหรือเปล่า เอาเป็นว่าครั้งแรกที่เจอคนกลุ่มนี้พร้อมกัน เขาไม่มีความประทับใจแรกพบเลย มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้หยางเจาชิงก็เคยเตือนเขาแล้วด้วย ว่าถ้าจำเป็นเขาจะต้องมาหนุนหลังเฟยหงสักหน่อย ตอนนั้นตนสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจากผู้หญิงกลุ่มนี้แล้ว ตอนนี้ก็แค่รอให้เขามาพิสูจน์การคาดเดาของตัวเอง

มีคนไม่น้อยสังเกตเห็นแล้วว่าสีหน้าของเหมียวอี้เปลี่ยนไป ในใจแอบร้องว่าแย่แล้ว ท่านอ๋องจะมาก็ไม่บอกสักคำ พวกนางด่าอวิ๋นจือชิวว่าชั่วร้ายเกินไปแล้ว จงใจให้พวกนางปล่อยไก่ต่อหน้าท่านอ๋อง

ส่วนผู้หญิงพวกนี้ก็ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อะไร เดิมทีก็ไม่พอใจที่ครอบครัวทำอย่างนี้อยู่แล้ว ไม่แยแสอยู่แล้วว่าจะได้รับความโปรดปรานจากเหมียวอี้หรือเปล่า

หยางเจาชิงที่เดินมาด้วยกันเห็นปฏิกิริยาของทุกคนอยู่ในสายตา เขาแอบถอนหายใจ ว่ากันว่าผู้หญิงสามคนมาอยู่ร่วมกันจะวุ่นวาย แต่นี่มีเป็นฝูง กอปรกับมาจากตระกูลที่ร่ำรวยมีอำนาจ เติบโตมาจากสภาพแวดล้อมที่ได้ยินและได้เห็นจากครอบครัว รูปแบบการแย่งชิงความโปรดปรานของวังหลังคงจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาแค่หวังว่าผู้หญิงพวกนี้จะรู้กาลเทศะสักหน่อย อย่าไปยั่วโมโหอวิ๋นจือชิว เพราะความจริงแล้วอวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกายท่านอ๋องกุมอำนาจมหาศาลอย่างที่คนนอกไม่รู้ บทบาทบางอย่างไม่อาจมีใครแทนที่ได้ มีอิทธิพลต่อท่านอ๋องทุกด้าน และเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้ท่านอ๋องยอมแพ้ได้ ไม่ใช่ว่าใครคิดจะแทนที่ก็แทนที่ได้ เขาหวังว่าผู้หญิงพวกนี้จะไม่หาเรื่องใส่ตัว

มู่หรงซิงหัวก้าวขึ้นมาทำความเคารพ เหมียวอี้ถามเสียงเรียบว่า  หวังเฟยล่ะ? 

 กำลังรอท่านอ๋องอยู่ที่โถงหลักของเรือนชั้นใน!  มู่หรงซิงหัว

เหมียวอี้ไม่ได้ทักทายอนุภรรยากลุ่มนี้ หันหน้าแล้วเดินออกไปเลย เดินตรงไปที่เรือนชั้นใน

กลุ่มผู้หญิงที่เตรียมตัวรอทำความเคารพท่านอ๋องพูดไม่ออก พวกนางมองแสงอาทิตย์บนฟ้าอีกครั้ง เวลานี้ไม่มีใครกล้าขี้เกียจอีกแล้ว กัดฟันยืนตากแดด ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะโผล่มาเมื่อไหร่

พอเดินมาถึงนอกโถงหลัก ได้ยินเสียงหัวเราะของอวิ๋นจือชิว ฟังดูเหมือนอารมณ์ดี เหมียวอี้ก็รีบเดินเข้าไปด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม

พอเขามาถึง กลุ่มคนที่อยู่ตรงนี้ก็ทยอยกันยืนขึ้นทำความเคารพ  ท่านอ๋อง! 

เห็นได้ชัดว่ากงหนีฉางกับอวี่เหวินหรูอวี้ค่อนข้างหวาดกลัว รอยยิ้มบนใบหน้าอวิ๋นจือชิวกลับหายไป นางลุกขึ้นย่อตัวทำความเคารพ  หญิงผู้ต่ำต้อยคำนับท่านอ๋อง! 

เพราะเห็นปฏิกิริยาของนาง ในใจเหมียวอี้ก็กระวนกระวายนิดหน่อย ยิ้มแห้งพร้อมบอกว่า  ไม่ต้องมากพิธี 

 น้องๆ ด้านนอกรอนานแล้ว ในเมื่อท่านอ๋องมาแล้ว เราก็ออกไปดูด้วยกันเถอะ  อวิ๋นจือชิวกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย

เหมียวอี้หัวเราะแห้ง  เป็นเรื่องของพวกผู้หญิง ส่วนอ๋องผู้นี้…  ผลปรากฏว่าอวิ๋นจือชิวชำเลืองมองด้วยแววตาไม่ชอบมาพากล เขาจึงกระแอมแล้วบอกว่า  ก็ดี ถือว่าไปมุงดูด้วยก็แล้วกัน 

คนกลุ่มหนึ่งออกจากโถงหลัก ออกจากเรือนชั้นใน เดินตรงไปที่สวนดอกไม้

ท่านอ๋องปรากฏตัวอีกครั้ง ผู้หญิงสวยหยาดเยิ้มทว่าสง่าภูมิฐานคนนั้นที่อยู่ข้างกาย บางคนเคยเจอแล้ว บางคนยังไม่เคยเจอ แต่ทุกคนล้วนเดาออกแล้วว่าคนที่สามารถเดินเคียงข้างท่านอ๋องได้ นอกจากหวังเฟยอวิ๋นจือชิวก็น่าจะไม่มีใครแล้ว

 ท่านอ๋อง หวังเฟย 

เมื่อเผชิญหน้าในระยะใกล้อย่างเป็นทางการ ผู้หญิงกลุ่มนี้ก็ทยอยกันทำความเคารพ

อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างสนิทสนม ทักทายพวกนางทีละคนจนครบ ส่วนเหมียวอี้ก็ฝืนยิ้มพลางพยักหน้าเบาๆ

 ท่านอ๋อง  เสียงที่อ่อนหวานเย้ายวนดังขึ้น อวิ๋นจือชิวปรายตามองแวบหนึ่ง พบว่าเจ้าของเสียงก็สวยพราวเสน่ห์มากเช่นกัน แววตาที่มองเหมียวอี้ก็ดูเขินอายปนออดอ้อนด้วย ยั่วยวนผู้ชายมาก

เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองสองครั้ง ก็คนมันสวย ช่วยไม่ได้ ถูกสัญชาตญาณดึงดูดให้มองสองครั้ง

เสียงหัวเราะที่เป็นกันเองของอวิ๋นจือชิวดังขึ้น  น้องสาวคนนี้สวยจริงๆ ไม่ทราบว่าชื่ออะไร? 

 ตอบเหนียงเหนียง ชื่อตู้อิ๋นเจียวค่ะ  หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

 …  อวิ๋นจือชิวชะงักนิดหน่อย ในหัวนึกถึงสิ่งที่พึ่งอ่านในรายชื่อ นางจำชื่อนี้ได้ดีมาก ทำไมถึงจำได้ดีนะหรือ? ก็เพราะผู้หญิงคนนี้เป็นประเภทที่เพิ่งรีบหย่าร้างกับสามีตอนก่อนจะมาไงล่ะ ก่อนแต่งงานเข้ามาก็มีลูกสาวแล้วหนึ่งคน พอหายอึ้งแล้ว นางก็พยักหน้าซ้ำๆ  เป็นชื่อที่ดี คนก็เหมือนกับชื่อ  พูดจบก็ปรายตามองเหมียวอี้ เดาว่าเหมียวอี้คงยังไม่รู้กำพืดผู้หญิงคนนี้

ตอนอยู่ที่พิภพเล็ก นางก็ให้ความสนใจกับฝั่งนี้มาตลอด จับตาดูว่าเหมียวอี้จะทำอะไรกับผู้หญิงกลุ่มนี้ ผลปรากฏว่าการวางตัวของเหมียวอี้ทำให้นางพอใจมาก ไม่เคยพบหน้ากับผู้หญิงกลุ่มนี้อย่างเป็นทางการเลย

หารู้ไม่ เหมียวอี้เองก็กังวลว่าจะถูกหึงหวง มีหรือที่จะกล้าทำซี้ซั้ว เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าอวิ๋นจือชิวมีหูตาคอยสอดส่องอยู่ที่นี่ ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัว

ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เป็นฝ่ายเข้ามาใกล้ก่อน ก็ย่อมเป็นเพราะมั่นใจในตัวเอง เป็นประเภทที่มั่นใจว่าตัวเองนั้นงดงามไม่ธรรมดา ยิ่งเดินไปข้างหลัง การแบ่งระดับความงามก็ยิ่งชัดเจน หน้าตาธรรมดาก็ว่าหนักแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีบางส่วนที่หน้าตาอัปลักษณ์ด้วย

จะหน้าตางดงามหรืออัปลักษณ์ก็ล้วนเป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าเป็นคนทั่วไปก็ไม่มีทางเลือกเข้ามา แต่สำหรับทหารแพ้ศึกที่ต้องการให้ลูกสาวแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ นี่ก็คือเรื่องที่ไม่มีทางเลือก ตัวเองมีสายเลือดที่แย่ ลูกสาวที่ให้กำเนิดก็ได้รับถ่ายทอดจากกรรมพันธุ์ เบื้องล่างไม่มีลูกสาวสวย ถึงอย่างไรทุกคนก็รู้จุดประสงค์ของการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ชัดเจน ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงล้วนต้องยอมรับแก้ขัดไปก่อน ขอเพียงบรรลุเป้าหมายในการเป็นญาติของท่านอ๋อง ปกป้องครอบครัวให้ผ่านวิกฤตไปได้ก็พอแล้ว ส่วนเรื่องช่วงชิงความโปรดปรานก็ไม่หวังแล้ว แน่นอนว่าบางทีท่านอ๋องอาจจะถูกใจหรือมีรสนิยมแปลกก็ได้

อวิ๋นจือชิวก็ได้พบพวกผู้หญิงกลุ่มนี้อย่างเป็นทางการครั้งแรกเช่นกัน ตอนไม่เจอก็ยังไม่รู้ แต่พอได้เจอแล้วก็ตกตะลึงนิดหน่อย

ก่อนหน้านี้นางคิดว่าคนที่สามารถส่งลูกสาวมาแต่งงานได้ จะต้องคัดสรรจากครอบครัวมาอย่างดีแล้ว จะต้องหน้าตาสวยมากแน่นอน แต่นางประเมินพันธุกรรมต่ำไป ไม่ใช่ทุกคนที่จะให้กำเนิดลูกสาวสวยได้ ส่วนคนที่ยอมโผล่หน้ามาในงานเลี้ยงต่างๆ ที่นางเคยไปเข้าร่วมเมื่อหลายปีก่อน ที่จริงล้วนเป็นคนที่พอจะมีความสวยอยู่บ้าง ทำหน้าตาอัปลักษณ์จะยอมโผล่หน้ามาโอ้อวดรูปโฉมเหรอ? ส่วนตอนที่ลูกน้องรายงานสถานการณ์ของฝั่งนี้ให้นางรู้ ก็ไม่มีใครว่างจนไปวิจารณ์หน้าตาอนุภรรยาของท่านอ๋อง ตอนนี้อวิ๋นจือชิวถึงได้ตกตะลึงหลังจากเห็นพวกนาง

ตอนนี้อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะจินตนาการออก ว่าทหารรบแพ้พยายามยัดลูกสาวเข้าจวนท่านอ๋องเพียงเพื่อจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์มีสภาพเหตุการณ์เป็นอย่างไร

อวิ๋นจือชิวนับว่าเข้าใจแล้วว่าอะไรเรียกว่า คนเราแม้สูงเตี้ยอ้วนผอมแต่ก็มีจุดเด่นของตัวเอง คนที่พอจะโดดเด่นก็อ้วนเกินไปหน่อยจริงๆ คาดว่าในบรรดาท่านอ๋องทั้งหมดในใต้หล้า เหมียวอี้คงเป็นคนแรกที่รับอนุภรรยาระดับนี้ได้ เวลาท่านอ๋องคนอื่นรับนุภรรยา ถ้าเบื้องล่างไม่มียอดหญิงงามแล้วใครจะกล้าส่งเข้าจวนท่านอ๋อง?

เหมียวอี้เองก็ได้พบกับกลุ่มอนุภรรยาของตัวเองอย่างเป็นทางการครั้งแรกเช่นกัน หลังจากได้เห็นแบบจริงจัง เหมียวอี้ก็ฝืนยิ้มไม่ออกแล้ว เอาเป็นว่าเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งมาก ไม่สะทกสะท้าน!

หลังจากเดินอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนรอบหนึ่งแล้ว อวิ๋นจือชิวก็พูดกับเหมียวอี้ทำกลางสายตาทุกคนว่า  ท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้ในบ้านมีน้องๆ น้อย เวลามีเรื่องอะไรข้าก็สามารถคุยกับน้องๆ การส่วนตัวได้เลย คุยทีละคนยังไหว แต่ตอนนี้มีน้องๆ เพิ่มมาเยอะขนาดนี้ กลัวว่าจะทำไม่ได้แล้ว ควรจะมีกฎระเบียบสักอย่าง ท่านอ๋องคิดว่ายังไงคะ? 

เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น  กฎระเบียบของเรือนชั้นใน ให้หวังเฟยมีอำนาจตัดสินใจแล้วกัน หวังเฟยกำหนดได้เลย! 

เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน สิ่งที่อวิ๋นจือชิวต้องการก็คือประโยคนี้ นับว่าเจ้าหมอนี่อ่านสถานการณ์ออก นางย่อตัวทำความเคารพทันที  หม่อมฉันน้อมรับคำสั่ง 

เดินเล่นได้สักพัก ทั้งสองก็กล่าวอำลากับบรรดาอนุภรรยา ขณะกำลังจะออกไป จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนอันดังก้องจากคนคนหนึ่ง  ท่านอ๋อง! 

ร่างบึกบึนกำยำเข้ามาขวางทาง เหมียวอี้มองอนุภรรยาด้วยสายตาตะลึงค้าง ตอนยังไม่เห็นตัวยังนึกว่าผู้ชายคนไหนกำลังพูดอยู่

อนุภรรยาคนที่อยู่ตรงหน้ารูปร่างเหมือนหลังเสือเอวหมีอย่างแท้จริง ศีรษะใหญ่กว่าเหมียวอี้เสียอีก ควรจะพูดว่าใหญ่กว่ามาก รูปร่างสูงเกินเหมียวอี้ครึ่งศีรษะ ดวงตาใหญ่เหมือนระฆังทองแดง รูจมูกเชิดขึ้นฟ้ากรามใหญ่มาก หน้าตามีเอกลักษณ์มาก แต่ดันเขียนคิ้วบางเหมือนใบหลิว สวมชุดกระโปรงยาวสีขาวบริสุทธิ์ หน้าอกอิ่มเอิบเป็นพิเศษ มองแล้วรู้สึกกดดัน

เหมียวอี้รีบมองหยางเจาชิงแวบหนึ่ง พอเห็นหยางเจาชิงไม่มีปฏิกิริยาอะไร ก็เข้าใจแล้วว่าคนนี้น่าจะเป็นอนุภรรยาของตน เพียงแต่เมื่อครู่นี้ไม่เห็น เมื่อครู่คงหลบไปที่ไหนสักแห่ง ตอนนี้โผล่มาจากไหนล่ะ? เอาเป็นว่าโผล่มากะทันหัน ทำให้เหมียวอี้รู้สึก ‘อัศจรรย์ใจ’ จริงๆ

อวิ๋นจือชิวเอียงหน้ามองเหมียวอี้ที่เหมือนกำลังกลืนน้ำลาย แล้วถามสตรีที่ศีรษะใหญ่คนนั้นว่า  ไม่ทราบว่าน้องสาวชื่ออะไร? 

 เนี่ยอู๋เยี่ยน!  นางรายงานด้วยเสียงดังฟังชัด จ้องเหมียวอี้พร้อมถามว่า  ขอบังอาจถามท่านอ๋อง กักบริเวณพวกเราไว้ที่นี่หมายความว่ายังไง? 

 มาพูดว่ากักบริเวณได้ยังไง?  เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น

เนี่ยอู๋เยี่ยนโบกมือชี้ไปทางจวนท่านอ๋อง แล้วตำหนิเสียงดังว่า  เขตลานบ้านในจวนท่านอ๋องมีนับไม่ถ้วน ทำไมอนุภรรยาบางคนเข้าไปได้ อนุภรรยาบางคนเข้าไปไม่ได้ รังเกียจที่พวกเราหน้าตาไม่ดีใช่ไหม? 

อนุภรรยาไม่กล้าแสดงออกไม่เห็นด้วยอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็ครุ่นคิดมาตลอดว่าทำไมไม่ยอมให้พวกนางเข้าไปอยู่ในจวนท่านอ๋อง กลับให้มาเบียดกันอยู่ที่นี่

คำประณามเช่นนี้ทำอะไรเหมียวอี้ได้ยาก คนที่ผ่านอุปสรรคใหญ่หลวงมาแล้วสามารถรับมือได้อย่างเป็นธรรมชาติ  เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าได้รับรายงานลับมา ว่าในบรรดาพวกเจ้ามีสายลับปะปนมาด้วย จวนท่านอ๋องเป็นสถานที่สำคัญ จะปล่อยให้ใส่รับปากคนเข้ามาได้ยังไง ตอนนี้กำลังตรวจสอบ ถ้าไม่มีปัญหาก็ย่อมเข้ามาอยู่ในจวนท่านอ๋องได้ เจ้ารู้สึกว่ามีปัญหาเหรอ? 

เนี่ยอู๋เยี่ยนเถียงไม่ออก พยักหน้าสื่อว่าเข้าใจแล้ว ก่อนจะถอยหายเข้าไปท่ามกลางกลุ่มคน

เมื่อออกจากเรือนเดี่ยวกลับมาที่จวนท่านอ๋องแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ย่อมมองประเมินคนใหม่ตลอดทาง หลังจากได้เห็นอนุภรรยากลุ่มนี้ ความนิ่งสุขุมบนใบหน้าเหมียวอี้ก็ไม่เปลี่ยนไปเลย

พอมาถึงห้องหลักของเรือนชั้นใน จู่ๆ อวิ๋นจือชิวที่กำลังมองเครื่องเรือนก็บอกอย่างไม่ตรงประเด็นว่า  อนุภรรยาที่ท่านอ๋องรับไว้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย ช่างรสนิยมจัดจ้าน! 

ในที่สุดเหมียวอี้ก็ใบหน้ากระตุกอย่างแรง

 หึหึ…  อวิ๋นจือชิวอดทนมาได้ตลอดทาง ตอนนี้ไม่มีคนนอก สุดท้ายก็อดทนไม่ไหวแล้ว นางหัวเราะจนตัวโยน พอนึกถึงเนี่ยอู๋เยี่ยนที่มาขวางทาง ท่าทางตะลึงงันกลืนน้ำลายของเหมียวอี้ นางก็หัวเราะจนแทบน้ำตาไหล

นางคาดคะเนคร่าวๆ คนประมาณหนึ่งพันกว่า คนที่นับว่างามล้ำเลิศจริงๆ มีอยู่ไม่กี่คน คนที่หน้าตาสวยมีอยู่สองในสิบ ที่เหลือส่วนใหญ่หน้าตาธรรมดา ยังมีส่วนน้อยที่หน้าตาไม่สง่างามเลยจริงๆ เนี่ยอู๋เยี่ยนก็เป็นหนึ่งในนั้น

เหมียวอี้มองค้อนนาง  น้องชิว ทำไมต้องมองคนที่ภายนอก ประมุขชิงสูงส่งเป็นราชันสวรรค์ แต่รังเกียจราชินีสวรรค์เพราะหน้าตาหรือเปล่าล่ะ? 

 ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว  อวิ๋นจือชิวโบกมือหัวเราะจนหายใจไม่ทัน

ไม่ง่ายเลยกว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ เหมียวอี้ถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า  ทางซูอวิ้นว่ายังไงบ้าง? 

เขาดีใจไม่ลงจริงๆ การชื่นชอบความงามเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ เหล้าขมที่กลั่นเองก็ต้องกลืนเอง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหย่าเพราะอีกฝ่ายอัปลักษณ์ ทำได้เพียงเก็บไว้อยู่ด้วยกันตลอดไป

………………

 

สาวสวยพริ้มเพราที่อยู่ข้างๆ รูดแขนเสื้อเบาๆ แล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า  เจ้าตัวก็มีสิทธิ์วางมาดอยู่แล้ว เป็นถึงฮูหยินเอก เป็นหวังเฟยเชียวนะ พวกเรานับเป็นอะไรล่ะ เป็นแค่กลุ่มอนุภรรยาที่ถูกยัดเข้ามาโดยที่เขาไม่ชายตาแลเท่านั้นเอง 

แม่นางอีกคนที่งดงามดุจบุปผากล่าวด้วยสีหน้าเหยียดหยาม  เชอะ ก็แค่พวกใช้เรือนร่างยั่วผู้ชายเองไม่ใช่เหรอ คิดว่าคนอื่นจะไร้ยางอายเหมือนนางกันหมดหรือไง? 

 ใช่ๆ!  แม่นางอีกคนที่สูงระหงขานรับ  ได้ยินว่าท่านอ๋องรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องของตัวเองมาตลอดนี่ ถึงขนาดไม่เกลือกกลั้วกับผู้หญิงคนอื่นด้วยซ้ำ รอให้ท่านอ๋องแยกแยะดีชั่วให้ได้ก่อนเถอะ คอยดูว่านางยังจะทำตัวโอหังได้ถึงเมื่อไร 

ผู้หญิงอีกคนที่ใบหน้างดงามดุจพระจันทร์กล่าวอย่างลำพองใจ  ก็แค่แม่หม้ายคนหนึ่ง คู่ควรที่จะเป็นหวังเฟยด้วยเหรอ น่าขำจริงๆ! 

สาวสวยคนหนึ่งที่หยิบกระจกขึ้นมาเพ่งพินิจแสยะยิ้ม  พูดเป็นพันเป็นหมื่นก็ไม่มีประโยชน์ อีกฝ่ายเขาวาสนาดี ได้ดีไปด้วยเหมือนเรือที่ขึ้นสูงตามน้ำ ตอนนี้เป็นหวังเฟยแล้ว ขนาดยังไม่เจอหน้ายังเป็นอย่างนี้เลย ต่อไปพวกเราพี่น้องก็ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องเกรงอกเกรงใจนางยังไง 

สาวสวยหยาดเยิ้มอีกคนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาบังแสงแดด  จวนท่านอ๋องก็คือจวนของท่านอ๋อง ไม่ใช่จวนของนางเสียหน่อย ยังไม่ถึงคราวที่นางจะปิดฟ้าด้วยมือเดียวหรอก! 

ท่ามกลางผู้หญิงพวกนี้ กงหนีฉางกับอวี่เหวินหรูอวี้มีฐานะค่อนข้างสูง รุ่นบิดาของผู้หญิงพวกนี้ล้วนเป็นลูกน้องของท่านจอมพลทั้งสอง ด้วยความเคยชิน พอมาถึงทุกคนก็หลีกทางให้นางสองคนอยู่ใต้ร่มไม้

ทั้งสองไม่โดนแดดเผา แต่กลับได้ยินเสียงกระซิบพึมพำรอบข้างแล้วไม่น้อย ทั้งสองสบตากันเป็นระยะ แต่ไม่กล้าพูดอะไรมาก ความเย็นชาที่เหมียวอี้มีต่อทั้งสองทำให้พวกนางฝังใจไม่ลืม

กงหนีฉางยังอายุน้อย ยังดีกว่าหน่อย

อวี่เหวินหรูอวี้กลับรู้ความมากกว่า การพูดนินทาลับหลังแบบนี้ เป็นกิจกรรมที่ทำบ่อยเวลาลูกหลานชนชั้นสูงที่ว่างงานมารวมตัวกัน ถ้าผู้หญิงกลุ่มนี้ไม่พูดเหน็บแนมลับหลังคนอื่นกลับจะดูผิดปกติด้วยซ้ำ

นางค่อนข้างเข้าใจคนพวกนี้ ก่อนหน้านี้มีใครบ้างที่ไม่ใช่คุณหนูของตระกูลสูงศักดิ์ มีใครบ้างที่ไม่ถูกประจบสอพลอเอาใจ มีใครบ้างที่ไม่ได้เห็นการแข่งขันชิงความโปรดปรานของบรรดาอนุภรรยาในบ้าน นี่คือสิ่งที่เกิดจากสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิต ถ้าอยากอยู่เหนือคนอื่นก็ต้องแข่งขัน เกรงว่าคงมีไม่น้อยที่ไม่ยอมอยู่ใต้คนอื่น จ้องอยากได้ตำแหน่งหวังเฟยตาเป็นมัน เตรียมจะม้วนแขนเสื้อแข่งกับอวิ๋นจือชิวแล้ว ตอนนี้ทุกคนยังไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ ถึงได้ยังว่านอนสอนง่ายอยู่

การช่วงชิงความโปรดปรานของเรือนชั้นในแตกต่างกับวงการขุนนาง เพราะไม่มีกฎกติกาจำกัดมากเท่าไหร่นัก ไม่จำเป็นต้องไต่เต้าขึ้นไปทีละขั้น ขอเพียงช่วงชิงจนได้ความโปรดปรานจากท่านอ๋อง แค่ก้าวเดียวก็เหยียบถึงฟ้าแล้ว นี่คือเรื่องปกติมาก แค่ฟังจากเสียงบ่นรอบข้าง อวี่เหวินหรูอวี้ก็จินตนาการออกแล้ว ว่าในจำนวนนั้นมีตัวละครที่ไม่ใช่เล่นๆ อยู่เยอะเล อุปนิสัยของคนพวกนี้เป็นอย่างไร เมื่อก่อนตอนรวมตัวกับสหายนางก็รู้แล้ว

ขณะเดียวกันก็จินตนาการได้ ต่อให้ครอบครัวตัวเองจะไม่ได้ตกต่ำแล้ว แต่ถ้าจำเป็นต้องช่วงชิงความโปรดปราน เกรงว่าครอบครัวก็ต้องสนับสนุนเต็มที่เหมือนกัน เพราะถ้าทำสำเร็จเมื่อไหร่ ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่ครอบครัวจะมีโอกาสหวนคืนสู่อำนาจอีกครั้ง หรือไม่ก็สู้เพื่ออนาคตของพี่ชายน้องชาย ข้างนอกมีครอบครัวของตัวเองกุมอำนาจอยู่ ท่านอ๋องที่อยู่ฝั่งนี้ก็ย่อมมองพวกนางสูงขึ้นอีกระดับ เป็นเรื่องที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน หลักการไม่ซับซ้อน ยกตัวอย่างเช่นถ้าครอบครัวไหนได้นั่งตำแหน่งท่านโหว ไม่ว่าท่านอ๋องจะเป็นอย่างไร แต่ก็ต้องสนใจความเป็นความตายของอนุภรรยาท่านนี้

อย่าว่าแต่อวี่เหวินหรูอวี้เลย แม้แต่กงหนีฉางก็ถูกทางบ้านกำชับบ่อยๆ เช่นกัน ถ่ายทอดประสบการณ์การช่วงชิงความโปรดปรานของตัวเอง สอนให้กงหนีฉางแสดงจุดแข็งเรื่องความอ่อนเยาว์ของตัวเอง

เรือนเดี่ยว โถงหลักของเรือนชั้นใน อวิ๋นจือชิวนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ยกขาไขว่ห้างเอนหลัง ในมือกำลังถืออ่านรายชื่อกลุ่มอนุภรรยาข้างนอก

รายชื่อพวกนี้ อวิ๋นจือชิวสั่งให้เฟยหงจัดเรียงไว้ให้ก่อนตัวเองจะกลับมา ตอนนี้เฟยหงก็กำลังนั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะน้ำชา กำลังสังเกตปฏิกิริยาของอวิ๋นจือชิวเป็นระยะ

เสวี่ยเอ๋อร์กลับมาจากข้างนอก อวิ๋นจือชิวที่กำลังจ้องรายชื่อเอ่ยถามเสียงเรียบว่า  ข้างนอกมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง? 

 เหนียงเหนียง บางคนก็สุภาพสงบเสงี่ยม แต่ก็มีไม่น้อยที่ทนไม่ไหวจนสุมหัวนินทากัน ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรกันบ้าง แต่คงไม่ได้พูดอะไรดีๆ  เสวี่ยเอ๋อร์ตอบ

หลินผิงผิงที่นั่งอยู่ข้างล่างแอบแลบลิ้น ฟังออกว่าเสวี่ยเอ๋อร์ไม่ค่อยพอใจอนุภรรยาพวกนั้น

มู่หรงซิงหัวก็อดไม่ได้ที่จะมองเสวี่ยเอ๋อร์แวบหนึ่งเช่นกัน

ที่จริงผู้หญิงทุกคนที่อยู่ตรงนี้ ในเวลานี้ล้วนยืนอยู่ฝั่งเดียวกับอวิ๋นจือชิว เพราะไม่ค่อยพอใจที่เหมียวอี้รับอนุภรรยามากขนาดนี้ในรวดเดียว ใช่ว่าท่านอ๋องจะขาดผู้หญิงปฏิบัติ จะต้องการผู้หญิงที่วุ่นวายไร้ระเบียบพวกนี้มาทำอะไร รับมือไหวเหรอ?

เหตุผลที่ทำให้เหมียวอี้จำเป็นต้องรับอนุภรรยาพวกนี้ พวกนางเข้าใจดี แต่ในใจก็ยังรู้สึกไม่สบอารมณ์ อยากให้อวิ๋นจือชิวจัดการพวกผู้หญิงที่อยู่ข้างนอกสักยก

 แค่หนึ่งชั่วยามก็ทนไม่ไหวแล้วเหรอ?  อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม แล้วถามว่า  ท่านอ๋องมาหรือยัง? 

 ยังเลยเจ้าค่ะ  เชียนเอ๋อร์ตอบ

 เช่นนั้นก็ให้พวกนางรอต่อไป ถ้าท่านอ๋องมาเมื่อไร เดี๋ยวค่อยว่ากันตอนนั้น  อวิ๋นจือชิวกล่าวเสียงเย็น ตายังคงจ้องแผ่นหยกเหมือนเดิม  มู่หรง 

 ค่ะ!  มู่หรงซิงหัวก้าวขึ้นมารอฟังคำสั่ง

 ถ่ายทอดสดสั่งข้า ดึงทัพอารักขาหนึ่งพันนายเข้ามา ให้จับตาดูเอาไว้ ถ้าใครกล้าไม่เชื่อฟัง ถือวิสาสะออกไปจากสวนดอกไม้ ก็จับตัวไว้ทันที ตัดขาข้างหนึ่งแล้วโยนเข้าคุกไปหนึ่งปี ห้ามรักษา!  อวิ๋นจือชิวกล่าว

 เอ่อ…  มู่หรงซิงหัวปาดเหงื่อ ตัดขาอนุภรรยาของท่านอ๋อง แบบนี้เหมาะสมเหรอ? นางลังเลนิดหน่อย ไม่กล้าเอ่ยรับคำสั่ง

อวิ๋นจือชิวเหลือบตาขึ้นทันที พ่นเสียงทางจมูกถาม  หืม? 

 ค่ะ!  มู่หรงซิงหัวรีบเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป

เฟยหงแอบยิ้มเจื่อน หลายวันมานี้นางนับว่าได้รับบทเรียนจากคุณหนูพวกนั้นแล้ว หวังว่าท่านอ๋องจะรีบมาก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นถ้าถ่วงเวลาอย่างนี้ต่อไป ในบรรดาคุณหนูพวกนั้นอาจจะมีคนสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปจริงๆ เมื่อเจอกับหวังเฟยที่นิสัยเจ้าอารมณ์ คาดว่าคนที่ถูดตัดขาคงไม่ได้มีแค่คนสองคน

อวิ๋นจือชิวบอกอีกว่า  ผังเสี้ยวเสี้ยว กงหนีฉาง อวี่เหวินหรูอวี้ ให้พวกนางสามคนมาหาข้า 

ตอนที่อยู่พิภพเล็ก นางก็ถามสถานการณ์ของผู้หญิงพวกนี้ผ่านเฟยหงแล้ว จะมีนิสัยเจ้าอารมณ์เหมือนคุณหนูบ้างก็พอเข้าใจได้ ประเด็นก็คือเบื้องหลังของคุณหนูทุกคนยังมีคนหนุนหลังอยู่ คนในครอบครัวจะคอยออกหัวคิดให้ผู้หญิงบ้านตัวเองก็เป็นเรื่องปกติมาก นางต้องเลือกลูกสาวของจอมพลทั้งสามออกมาก่อน จะได้ไม่ถูกคนปลุกปั่นให้เป็นแกนนำก่อเรื่อง ส่วนคนที่เหลือถ้าใครกล้าสร้างปัญหานางก็จะจัดการคนนั้น ที่นี่ไม่มีพื้นที่มากพอให้คุณหนูมากมายขนาดนั้นมาทำนิสัยเจ้าอารมณ์ เมื่อแต่งงานออกมาแล้วก็ต้องแก้ไขนิสัยที่ไม่ดี ไม่อย่างนั้นในภายหลังก็เลิกคิดไปได้เลยว่าบ้านนี้จะสงบสุข

เป็นเพราะการรับอนุภรรยาของเหมียวอี้ครั้งนี้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ นอกจากจะแต่งงานรับอนุภรรยาเข้ามาจำนวนมากในรวดเดียวแล้ว ส่วนใหญ่ยังเป็นคุณหนูที่มาจากตระกูลที่มีอำนาจด้วย ไม่เหมือนการรับอนุภรรยาคนอื่น คนที่มีนิสัยแตกต่างกันมากมายขนาดนี้ ถ้าไม่รู้จักสำรวมความประพฤติของตัวเอง เมื่อรวมตัวกันแล้วจะไม่แย่หรอกหรือ? คาดว่าคงต้องทะเลาะกันทุกวัน

ผ่านไปครู่เดียว ผังเสี้ยวเสี้ยว กงหนีฉางและอวี่เหวินหรูอวี้ก็ถูกพาตัวมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าสามคนนี้รู้สึกประหม่า พวกนางทำความเคารพพร้อมกัน  ผังเสี้ยวเสี้ยว กงหนีฉาง อวี่เหวินหรูอวี้คำนับหวังเฟย! 

 ไม่ต้องมากพิธี  อวิ๋นจือชิวผายมือเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าทั้งสาม เดินวนพร้อมมองประเมินหนึ่งรอบ จากนั้นมาหยุดยืนตรงหน้าอวี่เหวินหรูอวี้  น้องอวี่เหวิน พวกเราเคยเจอกันเป็นครั้งแรก แต่ข้ารู้จักพี่สาวเจ้า 

 ใช่ค่ะ พี่สาวข้าเคยเอ่ยถึง เคยได้รับการชี้แนะจากเหนียงเหนียง  อวี่เหวินหรูอวี้กล่าวยังสุภาพ เมื่อก่อนอวิ๋นจือชิวมีสิทธิ์ไปชี้แนะลูกสาวของจอมพลเสียที่ไหนกัน

อวิ๋นจือชิวยิ้มโดยไม่ตอบอะไร ย้ายไปด้านข้างอีก ไปยืนเพ่งมองตรงหน้ากงหนีฉาง เมื่อเห็นว่ายังเป็นสาวน้อยที่ยังไม่เติบโต ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบใบหน้างามของกงหนีฉางด้วยความสงสาร นางเดาะลิ้นแล้วบอกว่า  อ่อนเยาว์เหมือนดอกไม้ตูมที่ยังไม่เบ่งบาน ท่านอ๋องช่างก่อกรรมทำเข็ญจริงๆ! 

กงหนีฉางกังวลสุดๆ นึกว่าอีกฝ่ายจะไล่ตัวเองไป ในฐานะที่แบกรับภาระของครอบครัว นางจะออกไปได้อย่างไร จึงรีบกล่าวด้วยความร้อนใจว่า  เหนียงเหนียง ถ้าเป็นที่โลกมนุษย์ อายุเท่าข้าสามารถให้กำเนิดบุตรได้แล้วค่ะ  นางจะสื่อว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว

เมื่อนางกล่าวมาแบบนี้ คนที่อยู่ตรงนั้นก็ตกใจไม่เบา ขนาดกงหนีฉางเองยังอายจนหน้าแดงก่ำ ก้มหน้าไปแล้ว

อวิ๋นจือชิวชะงักไปเล็กน้อย หลังจากมองออกว่าสาวน้อยประหม่ากังวลจนพูดผิด นางก็ขำจนไหล่สั่นทันที นางเอามือปิดปากสงบสติอารมณ์ แล้วพยักหน้าบอกว่า  ดีๆๆ! ได้ ข้าจะจำไว้ เดี๋ยวกลับไปจะโน้มน้าวให้ท่านอ๋องพิจารณาเรื่องนี้ แต่นางหนูเอ๊ย เรื่องให้กำเนิดบุตรเอาไว้ก่อนดีกว่า รอให้เจ้ากระดูกยาวกว่านี้หน่อยค่อยปรึกษาเรื่องนี้กัน ตกลงไหม? 

กงหนีฉางอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

หลายคนที่อยู่ตรงนั้นกลั้นขำนิดหน่อย แต่ก็มองกงหนีฉางอีกครั้งด้วยแววตาที่รู้สึกดีมากขึ้น ต่างก็เห็นว่านางเป็นเด็กสาวที่น่าสงสาร ไม่ได้เป็นประเภทเดียวกับผู้หญิงที่อยู่ด้านนอก

จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าผังเสี้ยวเสี้ยว อวิ๋นจือชิวถามว่า  ได้ยินว่าตอนที่ข้าไม่อยู่ ล้วนเป็นเจ้าที่ปรนนิบัติท่านอ๋องเหรอ?  เหมือนพุ่งเป้าไปที่บางเรื่องโดยเฉพาะ

ผังเสี้ยวเสี้ยวไม่รู้ว่าคำถามนี้หมายความว่าอะไร รู้สึกประหม่ากับสายตาที่อมยิ้มของอวิ๋นจือชิวมาก  ถ้ามีสิ่งไหนที่ทำผิดไป หวังว่าเหนียงเหนียงจะชี้แนะ ข้าจะแก้ไขให้ถูกต้องแน่นอนค่ะ 

 เป็นพี่น้องบ้านเดียวกันแล้ว ไม่ต้องประหม่าขนาดนั้นหรอก  อวิ๋นจือชิวกล่าวปลอบใจด้วยรอยยิ้ม กวาดสายตามองทั้งสาม แล้วยื่น แล้วยื่นมือบอกว่า  ทุกคนนั่งลงเถอะ! 

รอจนกระทั่งทั้งสามนั่งลงอย่างว่างง่ายและวางน้ำชาแล้ว อวิ๋นจือชิวก็บอกอีกว่า  ตอนนี้ในบ้านมีคนเพิ่มขึ้นแล้ว ข้าคนเดียวดูแลไม่ไหว ถ้าพวกเจ้าไม่ว่าอะไร ต่อไปนี้พวกเจ้าสามคนก็คอยช่วยอยู่ข้างกายข้าวแล้วกัน พวกเราควรทำความรู้จักกันมากๆ หน่อย 

นางต้องหาทางผูกมัดจิตใจสามคนนี้ก่อน ในภายหลังถ้าคนของพวกไหนอยู่ที่นี่แล้วไม่เชื่อฟัง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ฝ่ายต่างๆ รวมตัวกันต่อต้าน ก็จะให้จอมพลที่ถอยออกจากตำแหน่งไปแก้ปัญหา ตราบใดที่ไม่รวมตัวกันต่อต้าน คนอื่นก็สร้างปัญหาอะไรไม่ได้ นางรู้อย่างลึกซึ้งว่าตอนนี้ต้องช่วงชิงเวลาให้เหมียวอี้คุมทัพใต้ให้สงบมั่นคง รอให้เหมียวอี้ย่อยทัพใต้ได้ทั้งหมดเมื่อไหร่ อิทธิพลของคนที่อยู่เบื้องหลังอนุภรรยาพวกนี้ก็จะหายไปแล้ว ย่อมไม่กล้าคิดไม่ซื่ออะไรอีก

 จะเชื่อฟังเหนียงเหนียงทุกอย่างค่ะ  อวี่เหวินหรูอวี้กับผังเสี้ยวเสี้ยวรีบยืนขึ้นเอ่ยรับ ทั้งสองรู้ว่านี่เป็นการดูแลพวกนางเป็นพิเศษ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คืออาศัยอิทธิพลของครอบครัวฝั่งผู้หญิง ส่วนกงหนีฉางก็ไม่เข้าใจอะไร แค่ยืนแล้วพูดตามด้วยเท่านั้น

นอกเรือนเดี่ยว พอเหมียวอี้มาถึงก็เข้ามาในสวนดอกไม้เลย มาหยุดยืนอยู่ตรงประตู กวาดสายตามองผู้หญิงที่อยู่ข้างใน แต่ไม่เห็นเงาของอวิ๋นจือชิว

ผู้หญิงที่อยู่ในสวนกำลังตากแดด บางคนก็รวมตัวกันไปหลบใต้ร่มไม้ บางคนก็เข้าไปหลบในศาลา คนไหนหาที่หลบไม่ได้จริงๆ ก็กางร่ม บ้างก็นั่งบ้างก็พิง อยู่ในอิริยาบถต่างๆ บางคนกำลังพูดคุยด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไปก็มี

ไม่นานก็เหมือนมีคนสังเกตุเห็นแล้ว บางคนเห็นคนที่อยู่ข้างกายยืนขึ้นกะทันหัน จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นทำตัวสง่าภูมิฐาน พอหันไปมอง ก็พบว่าท่านอ๋องโผล่หน้ามาแล้ว กำลังมองสำรวจด้วยสายตาเย็นชา พวกนางตกใจทันที ไม่รู้ว่าการกระทำที่เอาแต่ใจเกินไปของตัวเองเมื่อครู่นี้อยู่ในสายตาอีกฝ่ายแล้วหรือเปล่า จึงรีบแสดงอากัปกิริยาเรียบร้อยทันที ชั่วพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นกุลสตรีแล้ว

………………

 

พ่อบ้านอย่างเขาเข้าสู่สภาวะนี้ตั้งนานแล้ว เห็นได้ชัดว่าบุคคลในครอบครัวของขุนนางใหญ่อยู่ในความทรงจำของเขาหมดแล้ว

เมื่อได้ฟังเขาเตือนแบบนี้ เหมียวอี้ก็ย่อมนึกขึ้นได้ว่าเป็นใคร กับดักตรงที่นาหลวงในปีนั้น จะว่าไปก็รู้ข่าวมาจากผังก้วน เขานึกย้อนไปพร้อมบอกว่า  ลั่วกุยนั่นสมองมีปัญหานิดหน่อย แต่เหมือนลั่วหม่างจะรักมาก 

หยางเจาชิงบอกว่า  เรื่องเป็นอย่างนี้ขอรับ ว่ากันว่าลั่วหม่างเคยโดนลอบสังหาร ตอนนั้นถงเหลียนซีตั้งครรภ์และมารับการโจมตีแทนสามี นี่คือสาเหตุที่ทำให้ลั่วกุยเกิดมาสมองไม่ปกติ ลั่วหม่างจึงรู้สึกผิดต่อลูกชายคนนี้ และก็เพราะสมองของลั่วกุยมีปัญหานี่แหละ เป็นไปไม่ได้ที่ลั่วหม่างจะส่งต่อตระกูลลั่วให้ลั่วกุย ว่ากันว่าเพื่อรักษาความร่ำรวยไว้ให้ลูกชาย ลั่วหม่างคิดจะให้ลูกแต่งงานกับก่วงเม่ยเอ๋อร์ ลูกสาวสุดหวงแหนของก่วงลิ่งกง ขอเพียงลูกชายได้แต่งงานกับก่วงเม่ยเอ๋อร์ ก็ย่อมไม่ต้องกังวลเรื่องการใช้ชีวิตในครึ่งหลังแล้ว ถ้าถงเหลียนซีเป็นเจียงอวิ๋นจริงๆ ในปีนั้นที่ลั่วหม่างโดนลอบสังหาร ข้าน้อยเกรงว่าจะมีปัญหา คนร้ายที่สามารถลอบสังหารลั่วหม่างได้มีหรือที่จะมาเล่นๆ ด้วยพลังอย่างถงเหลียนซีในปีนั้น นางกล้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเหรอ? 

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ แล้วขมวดคิ้วอีก  เรื่องนี้คงมีปัญหาจริงๆ ถ้าจะยืนยันว่าถงเหลียนซีใช่เจียงอวิ๋นหรือเปล่าก็ง่ายมาก ติดต่อไปถามถงเหลียนซีโดยตรงก็รู้แล้ว แต่ถงเหลียนซีเป็นอนุภรรยาคนโปรดของลั่วหม่าง ถ้าถงเหลียนซีคือเจียงอวิ๋น แล้วถูกเปิดโปงขึ้นมา ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้านางหวาดกลัวนางจะรายงานไปที่สมาคมวีรชนหรือเปล่า? แบบนั้นผลงอาจจะตรงข้ามกับที่คาดไว้ จะต้องมีคนที่คุมนางได้แอบติดต่อกับนาง 

 งานเลี้ยงอุทยานหลวงใกล้เข้ามาแล้ว ท่านอ๋องเตรียมจะให้หวังเฟยไปปลอบใจราชินีสวรรค์ไม่ใช่หรือขอรับ? คาดว่าถงเหลียนซีก็คงไปเหมือนกัน อาศัยฐานะและความสามารถของหวังเฟย จะต้องทดสอบได้แน่ว่านางใช่เจียงอวิ๋นหรือเปล่า สามารถคุมนางได้ด้วย ถ้าสามารถเปลี่ยนให้นางกลายเป็นสายลับของพวกเราได้ แบบนั้นก็จะดีสุดๆ  หยางเจาชิงกล่าว

เหมียวอี้พยักหน้า สถานการณ์ภาพรวมนิ่งแล้ว อันตรายจากความล้มเหลวได้ผ่านไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ฝ่ายอำนาจใหญ่จะนำอวิ๋นจือชิวมาขู่เขา ไม่อย่างนั้นก็รับผลที่ตามมาไม่ไหวหากเจอเขาล้างแค้น ภายใต้สถานการณ์ที่คุ้มกันอย่างเหมาะสมและไม่มีฝ่ายอำนาจเหล่านั้นมาทำให้เสียเรื่อง พระปีศาจก็ไม่มีโอกาสลงมือกับอวิ๋นจือชิวเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าอวิ๋นจือชิวไม่โผล่หน้ามาก็จะฟังดูเหลวไหล ในบ้านมีผู้หญิงเป็นโขยง เรือนชั้นในจำเป็นต้องมีคนคุมบ้านจริงๆ

ต้องทราบไว้ว่าในบรรดาอนุภรรยาที่รับไว้ครั้งนี้ มีไม่น้อยที่มีพื้นเพมาจากการเป็นคุณหนู ค่อนข้างมีลักษณะนิสัยเฉพาะตัว ขนาดเฟยหงยังเคยถูกทำให้อับอายอยู่หลายครั้ง ผู้ชายคนอื่นก็ไม่สะดวกจะมายุ่ง เหมียวอี้จะเอาเวลาจากไหนไปจัดการเรื่องนี้ทุกวัน ต้องให้อวิ๋นจือชิวกลับมาถึงจะคุมไหว!

อีกทั้งอนุภรรยาเหล่านั้นก็ยังอยู่นอกจวนท่านอ๋อง เป็นไปไม่ได้ที่จะให้พวกนางอยู่ข้างนอกตลอด บรรดาทหารที่ยอมแพ้มีผลกระทบต่อการคุมทัพใต้ให้สงบไม่น้อยเลย ยังมีกำลังพลเดิมของทัพใต้อีกมากมาย ถ้าไม่ให้ลูกสาวที่แต่งงานแล้วของพวกเขาเข้าประตูบ้านมาเสียที แล้วจะให้พวกเขาคิดอย่างไร คงกังวลว่าเหมียวอี้จะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง อ๋องสวรรค์คุมทัพใต้อย่างเขาไม่อาจสูญเสียความน่าเชื่อถือจากคนมากขนาดนั้นได้ ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้จริงๆ ในภายหลังในทัพใต้จะยังมีใครกล้าเชื่อคำสัญญาของเขาอีก? ดังนั้นจะปล่อยให้ทางเฟยหงถ่วงเวลานานเกินไปไม่ได้

และทันทีที่อนุภรรยาเหล่านั้นเข้าประตูบ้านมา เฟยหงก็มีเหตุผลให้กลับมาแล้ว หน่วยตรวจการซ้ายจะบีบบังคับให้เฟยหงลงมือกับเขาแน่ ถ้าไม่ลงมือนางก็จะถูกเปิดโปง แบบนั้นมารดาของนางก็จะมีจุดจบที่อนาถมาก ดังนั้นต้องรีบช่วยมารดาของนางออกมาให้เร็วที่สุด ดังนั้นต้องรีบสืบว่าพระปีศาจพูดจริงหรือเท็จกันแน่

ยังต้องปลอบใจราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แต่ตอนนี้เหมียวอี้ไม่สะดวกจะไปที่วังสวรรค์อีกแล้ว เมื่อสรุปเรื่องราวในด้านต่างๆ รวมกัน ให้อวิ๋นจือชิวออกหน้าจะเหมาะสมที่สุด ให้ถือโอกาสสืบเรื่องถงเหลียนซีด้วยก็ยิ่งเหมาะ

 อืม งั้นเรื่องนี้ก็ให้หวังเฟยไปจัดการแล้วกัน  เหมียวอี้เห็นด้วย แล้วบอกอีกว่า  เรื่องแอบรับซื้อทรัพยากรฝึกตน รอให้หวังเฟยกลับมา เจ้าก็ต้องปรึกษากับหวังเฟยให้ดี ต้องจัดการเรื่องนี้ให้เหมาะสม 

ตอนนี้เขากุมอำนาจทางทหารและอาณาเขตทัพใต้ หมายความว่าเขากำลังจะมีกำลังทรัพย์มหาศาล จะเลี้ยงกำลังพลเพิ่มอีกร้อยล้านก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว เรื่องส่งทรัพยากรเข้าแดนอเวจีเพื่อเร่งเพิ่มศักยภาพให้กำลังพลแดนอเวจี ก็สามารถนำขึ้นโต๊ะมาแก้ปัญหาได้แล้ว

 ขอรับ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับ

เดินไปเดินมาอยู่ในห้องครู่เดียว แล้วเหมียวอี้ก็กลับมานั่งหลังโต๊ะหนังสืออีก ถามว่า  หวงฝู่เลี่ยนคงยังไม่ตอบคำถามอีกเหรอ? 

 ทำตามที่ท่านอ๋องกำชับแล้ว แอบติดต่อกับเขาแล้วขอรับ แต่เขายังไม่ตอบอะไร ข้าน้อยคาดว่าเขาคงกำลังรอ  หยางเจาชิงตอบ

 รอ?  เหมียวอี้เหลือบตาขึ้น  รออะไร? 

 วังสวรรค์ต้องการลงมือสังหารท่านอ๋อง นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ และไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จได้ง่ายๆ วังสวรรค์จะต้องใช้กำลังที่มีหลายฝ่ายมาจับตาดูท่านอ๋องแน่ เกรงว่าสมาคมวีรชนคงได้รับภารกิจลับอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ความเป็นไปได้สูงว่าหวงฝู่เลี่ยนคงจะรู้เรื่องแล้ว  หยางเจาชิงตอบ

เหมียวอี้เคาะนิ้วบนผิวโต๊ะเบาๆ พลางแสยะยิ้ม เข้าใจสิ่งที่หยางเจาชิงสื่อแล้ว หวงฝู่เลี่ยนคงกำลังเฝ้าดูสถานการณ์ ถ้าเหมียวอี้ผ่านด่านนี้ไปไม่ได้ ถูกวังสวรรค์สังหารทิ้งแล้ว หวงฝู่เลี่ยนคงยังจะต้องเจรจากับเขาอีกเหีอ?

อวิ๋นจือชิวกลับมาแล้ว กลับมาพร้อมกับซูอวิ้น เรียกได้ว่าถือโอกาสตอนผ่านทางพาซูอวิ้นกลับมาด้วยกัน

ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำที่ทอดยาวเหมือนริ้วผ้านอกส่วนป่าสุสานของตระกูลฮ่าว ใต้ต้นไม้โบราณมีชายคนหนึ่งยืนอยู่

พอกลับมาแล้ว ซูอวิ้นที่เดินมาถึงประตูสวนป่าสุสานก็หันกลับไปมองโดยจิตใต้สำนึก นางสบตากับชายคนนั้นแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเห็นเขา และไม่ได้มองเป็นเรื่องใหญ่อะไรด้วย นึกเพียงว่าเป็นคนที่เหมียวอี้ส่งมาจับตาดูนาง ไม่อย่างนั้นจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ตามอำเภอใจได้อย่างไร

ซูอวิ้นเพียงมองแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองข้ามไป พอกลับเข้ามาในสวนป่าสุสาน สิ่งแรกที่ทำก็คือกวาดสายตามองใบไม้รอบสุสานของฮ่าวเต๋อฟาง

ช่างหินที่นำคนงานมาสองคนส่งซูอวิ้นแค่ตรงประตูสวนป่าสุสานเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปอีก คอยเฝ้าอยู่ข้างนอกแทน

ช่างหินสังเกตเห็นคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วเช่นกัน เขาขมวดคิ้วแล้วถลันตัวเข้าไป มองประเมินศีรษะจดเท้าแล้วถามเสียงต่ำว่า  เจ้าเป็นใคร? 

 ข้าเอง  ชายคนนั้นยิ้มอ่อน

ช่างหินอึ้งไปชั่วขระ จำได้แล้วว่าเป็นหยางชิ่ง จึงยิ้มพร้อมกุมหมัดคารวะ  ที่แท้ก็เป็นท่านบุรุษหยาง 

คนผู้นี้ก็คือหยางชิ่ง หยางชิ่งถามว่า  หวังเฟยกลับมาแล้วเหรอ? 

 อืม กลับมาแล้ว  ช่างหินพยักหน้า

 พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?  หยางชิ่งถาม

 เถ้าแก่เนี้ย…หวังเฟยให้พวกเรามาคอยฟังคำสั่งที่นี่ชั่วคราว  ช่างหินตอบพร้อมรอยยิ้ม

หยางชิ่งยิ้มให้ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไร้คนนอก คนเก่าคนแก่ของโรงเตี๊ยมเมฆาวายุยังเรียกอวิ๋นจือชิวว่า ‘เถ้าแก่เนี้ย’ เขารู้เรื่องนี้ดี

เมื่อไม่มีอะไรแล้ว ช่างหินพูดทักทายตามมารยาทสองประโยค แล้วก็กลับมาเฝ้านอกประตูสวนป่าสุสาน

สายตาของหยางชิ่งกลับมองเงาร่างที่กำลังปัดกวาดอยู่ในสวนป่าสุสาน แววตาสื่ออารมณ์หลากหลาย บางครั้งความรู้สึกก็เป็นเรื่องที่อัศจรรย์จริงๆ แม้แต่เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป ครั้งแรกที่ได้เห็นผู้หญิงคนนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะถูกดึงดูดแล้ว ถูกดึงดูดความสนใจแล้วจริงๆ

ก่อนหน้านี้เขาก็แค่แปลกใจ ว่าผู้หญิงที่ทำให้ฮ่าวเต๋อฟางติดพันมาหลายปีขนาดนี้เป็นผู้หญิงอย่างไรกันแน่ ก็เลยมาดูสักหน่อย ทว่าครั้งแรกที่ได้เห็น เขาก็เกิดความรักในชั่วพริบตาเดียว รู้สึกว่าถูกดึงดูดทั้งร่างกายและหัวใจ เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ แต่กลับงดงามอัศจรรย์ ทำให้คนคนึงหามิรู้ลืม

หวั่นไหวกับเกิดความรัก สำหรับเขาแล้วเป็นคนละเรื่องกันเลย ที่หวั่นไหวกับฉินซีริมแม่น้ำก็เพราะความงาม ตอนเจอเทพธิดาหงเฉินเหาะลงมาจากฟ้าที่เมืองโบราณฉางเฟิงครั้งแรก นั่นเป็นความรู้สึกเทิดทูนบูชาเพราะเอื้อมไม่ถึง เขาเคยผ่านผู้หญิงมาแล้วไม่น้อย ผู้หญิงที่ทำให้เขาเกิดความรักจริงๆ นั้นไม่มีเลย เพราะเขาเป็นคนสติปัญญาดีเกินไป คนที่ฉลาดเกินไปมักจะมองคนหรือมองเรื่องราวได้ทะลุปรุโปร่งมาก ในเมื่อมองจุดด่างพร้อยบางอย่างได้ทะลุปรุโปร่งเกินไป แล้วจะให้รักจริงได้อย่างไร? แต่มีเพียงผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ที่เขาเห็นเพียงแวบแรกก็รู้สึกอยากแก่เฒ่าไปพร้อมกับนาง แค่อยากจะปกป้องนางไปทั้งชีวิต

เขาถึงขั้นรู้สึกว่าในหลุมศพของสวนป่าสุสานที่อยู่ตรงข้ามมีเสียงลึกลับกำลังบอกเขาว่า ปกป้องนางให้ดี!

หลังจากฟังความหมายจากเสียงฉินออกแล้ว เขาก็ทนเห็นเรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ ถึงได้ไปหาเหมียวอี้

เขาอยากจะเข้าไปคุยกับนางในระยะใกล้มาก แต่สติปัญญาเตือนเขาเอาไว้ ว่าตอนนี้เขายังเปิดเผยฐานะไม่ได้ ดังนั้นเขาทำได้เพียงมองอยู่ไกลๆ

 ไม่กลับจวนท่านอ๋องเหรอ? ไปไหนแล้ว? 

บนตึกศาลา ขณะมองบรรดาอนุภรรยาในเรือนชั้นในทยอยกันออกจากจวนท่านอ๋องไป เหมียวอี้ก็ถามอย่างงุนงง

 ไปพักเรือนของอนุภรรยาท่านอ๋อง  หยางเจาชิงเอามือลูบจมูกพร้อมเอ่ยตอบ

 …  เหมียวอี้ปาดเหงื่อ แล้วขมวดคิ้วถามว่า  ผู้หญิงคนนี้เล่นบ้าอะไร กลับมาแล้วแต่ไม่กลับบ้าน ดันไปเรือนเดี่ยวก่อน คิดจะทำอะไร? 

ตอนที่พูดแบบนี้ แม้แต่เขาเองก็ยังกินปูนร้อนท้อง ไม่ผิดหรอก เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับอนุภรรยาเหล่านั้น และไม่คิดอะไรด้วย แต่การที่เขาได้ผู้หญิงมามากขนาดนี้ในรวดเดียว ก็ทำให้รู้สึกประสบความสำเร็จอยู่บ้าง บางครั้งก็แอบมีความคิดลามกที่เปิดเผยไม่ได้ ถ้ามีโอกาสก็จะหาสาวสวยสักคนมาปรนนิบัติสักหน่อย ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ชอบธรรม ไม่ว่าใครก็ว่าอะไรไม่ได้

หยางเจาชิงหัวเราะแห้ง ไม่ได้ตอบอะไร แต่ทำท่าอึกอักเหมือนอยากจะพูด

เหมียวอี้กลอกตามอง เห็นผังเสี้ยวเสี้ยวแล้ว นางเดินออกไปนอกจวนท่านอ๋องเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะถามว่า  ผู้หญิงพวกนี้กำลังจะทำอะไร? 

 เอ่อคือ…หวังเฟยมีคำสั่ง ว่าให้อนุภรรยาทั้งหมดของท่านอ๋องไปพบนางที่เรือนเดี่ยว แล้วก็…แล้วก็…  หยางเจาชิงอึกอัก แล้วสุดท้ายก็ถอนหายใจ  หวังเฟยให้ท่านไปดูด้วยกันที่เรือนเดี่ยวขอรับ 

เหมียวอี้หน้าชาทันที แล้วจู่ๆ ก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง  ในมืออ๋องผู้นี้มีงานมากมาย ไม่มีกะจิตกะใจไปทำเรื่องไร้สาระกับนางหรอก  เขาทำเสียงฮึดฮัด แล้วหันหน้าเดินจากไปเลย

ว่ากันว่า ‘สรรพสิ่งในโลกล้วนมีของข่ม’ เป็นแบบไหนล่ะ? ก็เป็นแบบนี้ไง! หยางเจาชิงส่ายหน้า แอบทอดถอนใจ ตามหลังเขาไปแล้วกล่าวเตือนด้วยเสียงอ่อนปวกเปียก  ท่านอ๋อง ยื่นหัวก็เจอหนึ่งดาบ หดหัวก็เจอหนึ่งดาบ เจ็บสั้นดีกว่าเจ็บยาว ขออภัยที่ข้าพูดตรงๆ ท่านไปตอนนี้กลับเป็นเรื่องดี อยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนั้น หวังเฟยไม่ทำให้ท่านดูแลหรอกขอรับ ให้หวังเฟยเง้างอดสักหน่อย เดี๋ยวเรื่องก็ผ่านไปแล้ว แต่ถ้าท่านไม่ไป ด้วยนิสัยของหวังเฟย มีแต่จะทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โต…ท่านอ๋อง ท่านต้องคำนึงถึงผลที่ตามมานะ ไปดีกว่าขอรับ! 

เหมียวอี้ที่เดินมาถึงทางขึ้นบันไดลังเลแล้ว ถามว่า  เจ้าแน่ใจนะว่าหวังเฟยจะไม่ทำอะไรซี้ซั้วต่อหน้าทุกคน? 

หยางเจาชิงถอนหายใจ  หวังเฟยเจ้าอารมณ์ แต่กลับเป็นคนมองอะไรกระจ่าง รู้กาลเทศะ ไม่ทำซี้ซั้วแน่ ไม่อย่างนั้นนางคงไม่อนุญาตให้ท่านรับอนุภรรยาเข้าบ้านมากขนาดนี้ในรวดเดียว 

 ได้!  เหมียวอี้ชี้จมูกเขา  นี่เจ้าพูดเองนะ อีกเดี๋ยวถ้าหวังเฟยพัวพันเรื่องนี้ไม่จบ ข้าก็จะบอกว่าเป็นความคิดหยางเจาชิง ข้าไม่ได้ตอบตกลง จากนั้นเจ้าก็พยายามโน้มน้าวให้สำเร็จ เจ้าเองก็ต้องยอมรับด้วย 

 ข้า…  หยางเจาชิงตกใจมาก พูดไม่ออกจริงๆ ท่านรับอนุภรรยา แต่ข้าต้องรับผิดชอบ มีสิทธิ์อะไรกัน! ต่อไปนี้คงเจอหน้ากันอย่างปกติไม่ได้แล้ว ตอนเจอหวังเฟยข้าจะทำสีหน้าอย่างไร? แล้วจะใช้ชีวิตหลังจากนี้อย่างไร?

เรือนเดี่ยว ในอุทยานใหญ่ สาวงามพันกว่าคนรวมตัวกระซิบกระซาบกัน พวกนางเงยหน้ามองดวงอาทิตย์บนฟ้าเป็นระยะ ทุกคนล้วนกำลังตากแดด

ตากแดดเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามกว่า แต่ยังไม่เห็นอวิ๋นจือชิวโผล่หน้ามา แม้ทุกคนจะไม่กล้าเพ่นพ่านไปทั่ว แต่ในใจก็อดบ่นไม่ได้ บางคนแอบถ่ายทอดเสียงคุยกับเพื่อนสาว  ผู้หญิงที่แต่งงานซ้ำคนนั้นมีเจตนาอะไร วางมาดอะไรของนาง? 

……………

 

ฮ่าวอวิ๋นเทียนเก้อเขินเล็กน้อย ถึงอย่างไรตัวเองก็มีฐานะชาติตระกูล แต่งงานกับมนุษย์ธรรมดาก็ว่าหนักแล้ว ทั้งยังมีลูกสาวกับลูกสาวด้วยกันอีก เกรงว่าคนในบ้านคงจะหัวเราะเยาะ

แต่ก็ช่วยไม่ได้ เขาก็มีอารมณ์ความรู้เหมือนกัน ถูกกักบริเวณมาหลายปีขนาดนี้ สุดท้ายก็ยังอดทนไม่ไหว และตอนนี้ฮูหยินของเขาก็เป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่มีทางร่ายอิทธิฤทธิ์คุมเนิดได้ จึงปล่อยไปตามธรรมชาติ

แต่อีกประเดี๋ยวก็เปลี่ยนความคิด จะหัวเราะเยาะก็หัวเราะไปสิ เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาโทษเขาได้เหรอ? มิหนำซ้ำปัญหาเกิดแก่เจ็บตายของลูกเมียก็ทำให้เขากลัดกลุ้มมาตลอด หลังจากกลับไปแล้วอาศัยทรัพยากรของตระกูลฮ่าว ปัญหาทุกอย่างก็จะถูกแก้ไขแล้ว

ฮ่าวอวิ๋นเทียนมองภรรยาผู้มีจิตใจบริสุทธิ์งดงามทำท่าทางเขินอายเพราะตัวเองด้อยกว่า เขาก็ยื่นมือไปคว้ามือนางไว้ แล้วพยักหน้าบอกซูอวิ้นว่า  ใช่แล้ว! นี่คือ ฮูหยินของข้า 

 ดีๆๆ!  ซูอวิ้นพยักหน้าซ้ำๆ กางแขนกอดเด็กน้อยทั้งสอง ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เด็กน้อยทั้งสองรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

 สามี ท่านนี้คือ?  หลูซิ่วไม่ค่อยเข้าใจฐานะของผู้ที่มา จึงถามฮ่าวอวิ๋นเทียนเสียงเบาๆ

ฮ่าวอวิ๋นเทียนมองอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง แล้วอึกอักเหมือนอยากพูดบางอย่าง

ผ่านไปพักใหญ่ ซูอวิ้นปล่อยเด็กน้อยทั้งสองแล้วยืนขึ้น มองกำไลเก็บสมบัติบนมือตัวเอง แต่ถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ นำของขวัญออกมาไม่ได้

ยังเป็นอวิ๋นจือชิวที่ทำตัวเหมือนเล่นมายากล หยิบห่อผ้าใบหนึ่งจากข้างหลังออกมาให้นาง

ซูอวิ้นนำของกินของเล่นจากห่อผ้าเป็นกองออกมาให้เด็กน้อยสองคน แล้วนำเสื้อผ้าเครื่องประดับชุดหนึ่งมอบให้หลูซิ่ว มีทั้งของเด็กของผู้ใหญ่ แสดงออกถึงความใส่ใจของอวิ๋นจือชิว

เครื่องประดับงามประณีตหรูหรา ทำให้หลูซิ่วไม่กล้ารับไว้ ฮ่าวอวิ๋นเทียนจึงพยักหน้าบอกว่า  ไม่เป็นไร รับไว้เถอะ 

หลูซิ่วรับไว้ก็ส่วนรับไว้ แต่ของขวัญนี้ทำให้นางไม่ค่อยสงบใจ แต่จนป่านนี้สามีก็ยังไม่ยอมรับเลยว่าแขกที่มามีฐานะเป็นอย่างไร

ส่วนฮ่าวอวิ๋นเทียนก็แอบระแวงสงสัย หลูซิ่วกับลูกๆ มองไม่ออก แต่จากเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทำให้เขาพอจะมองออกแล้ว เหมือนซูอวิ้นจะถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์เหมือนกัน ลูกน้องคนสนิทข้างกายอ๋องสวรรค์ฮ่าว ใครกันที่กล้าทำกับซูอวิ้นแบบนี้?

 ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัว  ซูอวิ้นยื่นมือเชิญฮ่าวอวิ๋นเทียน

ฮ่าวอวิ๋นเทียนไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เชิญซูอวิ้นเดินไปริมทะเลสาบด้วยกัน ส่วนอวิ๋นจือชิวกับหลูซิ่วก็คุยกันเรื่องเรื่องสัพเพเหระ สายตามองประเมินริมทะเลสาบเป็นระยะ

ฮ่าวอวิ๋นเทียนที่เดินมาถึงริมทะเลสาบอดไม่ได้ที่จะถามว่า  เกิดเรื่องขึ้นแล้วใช่มั้ย? 

ระลอกคลื่นบนทะเลสาบส่องประกายวิบวับ สะท้อนความเศร้าสลดจางๆ บนใบหน้าซูอวิ้น  ไม่มีเรื่องอะไร 

 พ่อบ้านไม่ใช่คนที่จะร้องไห้ได้ง่ายๆ อย่างน้อยตั้งแต่เด็กจนโตข้าก็เคยเห็นเป็นครั้งแรก…พลังอิทธิฤทธิ์ท่านถูกควบคุมแล้ว?  ฮ่าวอวิ๋นเทียนถาม

ซูอวิ้นเอียงหน้ามองประเมินเขาแวบหนึ่ง  ความอวดดีบนตัวไม่มีแล้ว จิตใจก็สงบแล้ว สามารถมองอะไรได้กระจ่าง 

 อาจจะใช่  ฮ่าวอวิ๋นเทียนถอนหายใจ  บอกมาเถอะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้ารับไหว 

ซูอวิ้นจ้องเขาพร้อมกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ  ไม่ต้องสนใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ต้องถามด้วย ไม่ต้องไปสืบข่าว จำไว้! ลืมการมีอยู่ของตระกูลฮ่าวไปเสีย ลืมฐานะของตัวเองในอดีต อย่าถ่ายทอดเคล็ดวิชาฝึกตนให้ลูกชายลูกสาว แค่ใช้ชีวิตสงบสุขอย่างนี้ต่อไป ให้ลูกหลานตระกูลฮ่าวแตกกิ่งก้านสาขาต่อไป แบบนี้ดีกว่าอะไรทั้งนั้น เข้าใจมั้ย? 

ฮ่าวอวิ๋นเทียนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ถามว่า  เกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลฮ่าวแล้วใช่มั้ย? 

ซูอวิ้นจ้องเขาพลางส่ายหน้าช้าๆ ไม่ตอบอะไร

ฮ่าวอวิ๋นเทียนพยักหน้าช้าๆ  เข้าใจแล้ว ไม่มีใครดีกับตระกูลฮ่าวไปกว่าท่านแล้ว สิ่งที่ท่านพูด ข้าจะจดจำไว้ 

 เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่กว่าเมื่อก่อนแล้ว นี่คือสิ่งที่ก่อนหน้านี้ตระกูลฮ่าวให้เจ้าไม่ได้  ซูอวิ้นถอนหายใจ แล้วหันตัวเดินไปเลย เดินไปตรงหน้าอวิ๋นจือชิว พยักหน้าเบาๆ แล้วเดินเข้ารถม้าด้วยกัน คนขับรถม้าขับรถออกไปแล้ว

ภูเขาเขียวน้ำสีมรกต ฮ่าวอวิ๋นเทียนยืนมองส่งอยู่ริมทะเลสาบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหดหู่

เด็กน้อยสองคนมีของกินของเล่น มีความสุขสุดๆ หลูซิ่วเดินเงียบๆ ไปที่ริมทะเลสาบ คล้องแขนสามีแล้วถามว่า  ท่านสามี เป็นคนในครอบครัวของท่านเหรอ? 

ฮ่าวอวิ๋นเทียนหันกลับมาจ้องนางพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มอ่อนคล้องเอวนางเดินกลับไป  เย็นนี้ทำของอร่อยอะไรกิน? 

ในรถม้าที่โคลงเคลง ซูอวิ้นมองบ้านหลังเล็กที่อยู่ไกลๆ ผ่านหน้าต่าง ในดวงตามีน้ำตาคลอ

 เจ้าไม่ต้องห่วง มีคนคอยคุ้มกันอย่างลับๆ พวกเขาอยู่ที่นี่ปลอดภัยแน่นอน  อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกันเอ่ยถาม

ซูอวิ้นถอนหายใจเบา  เพื่อให้ข้าช่วยเขาทำงาน เขาช่างใช้สมองครุ่นคิดอย่างหนักจริงๆ  ตอนนี้นางเข้าใจจุดประสงค์ของเหมียวอี้แล้ว

อวิ๋นจือชิวย่อมเข้าใจว่า ‘เขา’ ที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงหมายถึงใคร นางถอนหายใจแล้วบอกว่า  เขาบอกว่าเข้ารับปากท่านอ๋องฮ่าวไว้แล้ว ว่าจะให้เจ้าใช้ชีวิตต่อไปให้ดี ข้าไม่คิดว่าผิดที่ทำอย่างนี้ เจ้าน่าจะเข้าใจ สิ่งที่วิญญาณท่านอ๋องฮ่าวอยากเห็นที่สุด ก็คือให้เจ้าใช้ชีวิตต่อไปให้ดี อย่าให้เสียความตั้งใจของท่านอ๋องฮ่าว 

ซูอวิ้นน้ำตาไหลพราก

บนทะเลทรายรกร้างผืนหนึ่ง ลดพายุพัดเป็นระลอก

ตู้เฉียวยืนบนเนินทรายพลางทอดสายตามองไปรอบๆ หลังจากกำหนดทิศทางได้แล้ว เงาร่างของคนคนหนึ่งก็แฉลบเข้ามา มาเหยียบลงตรงหน้าเขา เป็นพระปีศาจหนานโปนั่นเอง

ตู้เฉียวก้มศีรษะด้วยความเคารพ หนานโปยื่นมือกดศีรษะเขา หลังจากตรวจสอบครู่หนึ่งจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหา ถึงได้ถามว่า  ตรวจสอบไปถึงไหนแล้ว? 

ตู้เฉียวเงยหน้า  ข้าน้อยหาไม่เจอจริงๆ ว่าสถานที่หลอมสมบัติอยู่ที่ไหน 

นี่ก็คือสาเหตุที่หนานโปต้องการพบ ตั้งแต่ต้นจนจบตู้เฉียวบอกว่าหาไม่เจอเลย เขาสงสัยว่าอีกฝ่ายปฏิเสธหรือเปล่าหลังจากแน่ใจแล้วว่าของในสมองตู้เฉียวไม่มีปัญหา เขาถึงได้วางใจ  อย่าบอกนะว่าซ่างกวนชิงก็ไม่รู้เหมือนกัน? 

 ซ่างกวนชิงคงจะรู้ เขาน่าจะเป็นคนจัดการเรื่องหลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เพียงแต่เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด เขไม่เคยเปิดเผยข้อมูลเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ข้าน้อยรู้สึกว่ามีอยู่สถานที่หนึ่งที่น่าสงสัยมาก  ตู้เฉียวกล่าว

 สถานที่ไหน?  หนานโปถาม

 อุทยานหลวง พระตำหนักอุทยาน!  ตู้เฉียวกล่าว

หนานโปตาเป็นประกาย  ซ่อนอยู่ใต้หนังตาวังสวรรค์เหรอ? นั่นก็เป็นสถานที่ปลอดภัยอยู่หรอก เพียงแต่ทำไม่คิดอย่างนั้น? 

ตู้เฉียวตอบว่า  ด้วยฐานะของข้า สามารถเข้าออกพระตำหนักอุทยานได้ทุกเมื่อ เรียกได้ว่าเหยียบเข้าไปทุกที่ของพระตำหนักอุทยานได้ แต่มีอยู่เพียงสถานที่เดียว สถานที่ฝึกตนของประมุขชิงที่พระตำหนักอุทยาน ที่นั่นไม่อนุญาตให้ข้าก้าวเข้าไป ป้องกันไว้อย่างเข้มงวด 

 นี่เป็นเพียงความสงสัยของเจ้า ไม่พอให้อธิบายว่าสถานที่หลอมสมบัติอยู่ตรงนั้น อย่าบอกนะว่าถ้าเป็นสถานที่ฝึกตนของประมุขชิงที่วังสวรรค์ เจ้าสามารถเข้าออกได้?  หนานโปถาม

 ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้ ไม่ผิดหรอก ไม่ว่าจะเป็นวังสวรรค์หรือพระตำหนักอุทยาน ข้าล้วนไม่สามารถเข้าสถานที่ฝึกตนของประมุขชิงได้ แต่ราชินีสวรรค์กลับสามารถเข้าสถานที่ฝึกตนที่วังสวรรค์ได้หากรายงานประมุขชิงก่อน แต่ที่พระตำหนักอุทยานนางกลับไม่เคยเข้าไปเลย อย่าบอกนะว่าพระตำหนักอุทยานสำคัญกว่าวังสวรรค์? วังสวรรค์สร้างขึ้นมาจากอารมณ์ปรารถนา เป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อนสถานที่หลอมสมบัติที่ใหญ่ขนาดนั้นเอาไว้ แต่อุทยานหลวงกลับเป็นไปได้ ถ้าอยู่ที่อุทยานหลวงจริงๆ จุดปลอดภัยที่น่าสงสัยที่สุดของอุทยานหลวงก็คงเป็นพระตำหนักอุทยาน และทางเข้าสถานที่หลอมสมบัติแห่งเดียวในพระตำหนักอุทยานก็มีแต่สถานที่ฝึกตนของประมุขชิง ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นวังสวรรค์หรือพระตำหนักอุทยาน หน่วยงานภายในที่ดูแลสถานที่ฝึกตนของประมุขชิงก็คือองครักษ์เงา ก่อนหน้านี้ข้าน้อยก็สงสัยอยู่แล้วว่าสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ถูกดูแลโดยองครักษ์เงา ดังนั้นนี่คือเรื่องที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด  ตู้เฉียวอธิบาย

 ในเมื่อสงสัยแล้ว เจ้ามีวิธีเข้าไปตรวจสอบหรือเปล่า?  หนานโปถาม

 เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่มีโอกาสเข้าใกล้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเข้าไป ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในนั้นด้วยซ้ำ  ตู้เฉียวกล่าว

 คิดหาทางพาข้าเข้าไปได้หรือเปล่า?  หนานโปถาม

ตู้เฉียวส่ายหน้า  ถ้าอยู่ที่อุทยานหลวงจริงๆ พาท่านเข้าไปในพระตำหนักอุทยานก็ไม่มีปัญหาหรอก สิ่งที่ยุ่งยากจริงๆ ก็คือไม่มีทางผ่านด่านที่อยู่ในดาราจักรไปได้ ในเขตวังสวรรค์มีวิธีการตรวจสอบที่รอบคอบ ไม่ว่าใครจะเปลี่ยนร่างเป็นพันเป็นหมื่นแบบแล้วคิดจะปะปนเข้าไปก็เป็นไปไม่ได้เลย ยังไม่เคยมีใครแฝงตัวเอาไปได้ นอกเสียจากท่านจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องเข้าร่างข้าแล้วสัญลักษณ์พลังผิดแปลกไป ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเข้าไปได้เลย 

หนานโปเงียบไปครู่เดียว ปัญหานี้เขาไม่มีทางแก้ไขได้  พูดไปพูดมา นี่ก็เป็นเพียงความสงสัยของเจ้า ยืนยันไม่ได้ว่าอยู่ที่พระตำหนักอุทยานหรือเปล่า เซี่ยงจงล่ะ ไม่มีทางพาออกมาพบข้าได้เลยเหรอ? 

ตู้เฉียวตอบว่า  พวกเราสามคนมีหน้าที่ต่างกันไปในสังกัดของซ่างกวนชิง รักษาระยะห่างต่อกันมาโดยตลอด ถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่ค่อยติดต่อกันง่ายๆ และไม่เคยสืบเรื่องของกันและกันด้วย หาข้ออ้างที่เหมาะสมไม่เจอ ช่วงนี้ไม่เห็นเซี่ยงจงปรากฏตัวข้างกายซ่างกวนชิงเลย ไม่รู้ว่ากำลังฝึกตน หรือออกไปทำภารกิจข้างนอก 

ตอนนี้ถึงคราวที่หนานโปต้องปวดหัวแล้ว ในเขตวังสวรรค์มีกำลังทหารหนาแน่น อีกทั้งการป้องกันก็เข้มงวดขนาดนี้ ถึงขนาดหาโอกาสลงมือกับลูกน้องคนสนิทข้างกายซ่างกวนชิงไม่ได้ แค่นี้ก็รู้สถานการณ์แล้ว เขาเองก็ค่อนข้างจนปัญญาเช่นกัน แต่ไม่นานก็แววตาวูบไหว หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้

จวนอ๋องสวรรค์หนิว เหยียนซิวเข้ามาในห้องของเหมียวอี้ ปล่อยจางผิงออกมาแล้ว

เหมียวอี้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือค่อนข้างเฝ้าคอย เอนตัวพิงเก้าอี้ แล้วถามเสียงเรียบว่า  มีเรื่องอะไร? 

จางผิงตอบว่า  ผู้สูงศักดิ์ให้ข้ามาบอกว่า เรื่องที่นายท่านไหว้วานไว้ ผู้สูงศักดิ์จัดการเรียบร้อยแล้ว ถึงคราวที่นายท่านจะต้องทำตามสัญญาแล้ว  เขายังไม่รู้ว่าเหมียวอี้กลายเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้แล้ว

เหมียวอี้ตาเป็นประกาย  อ้อ! ไหนลองว่ามา 

จางผิงตอบว่า  เจียงอวิ๋น ตอนนี้ฐานะของนางคืออนุภรรยาของลั่วหม่าง จอมพลสายวอก ได้รับความโปรดปรานจากลั่วหม่างมาก ชื่อว่าถงเหลียนซี! 

เมื่อได้ฟังเขากล่าวแบบนี้ เหมียวอี้กับหยางเจาชิงก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ในใจรู้สึกตกตะลึงถึงขีดสุด ไม่น่าเชื่อว่าน้องสาวของเจียงอีอีจะกลายเป็นอนุภรรยาของลั่วหม่างแล้ว สมาคมวีรชนช่างใจกล้าจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะยื่นมือไปถึงตัวขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ นี่เท่ากับทำลายกติกาแล้ว

เพียงแต่จินตนาการได้ไม่ยาก เรื่องนี้ไม่พ้นเกี่ยวข้องกับซ่างกวนชิง ถ้าซ่างกวนชิงไม่อนุญาต สมาคมวีรชนไม่กล้าทำอย่างนี้แน่นอน

ข้างกายซ่อนสายลับแบบนี้ไว้ ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะแอบปาดเหงื่อแทนลั่วหม่าง

เหมียวอี้ข่มความตกตะลึงในใจ ถามว่า  ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าจริงหรือไม่จริง? 

 ผู้สูงศักดิ์บอกแล้ว เขาเพียงรับหน้าที่ทำตามสัญญา ส่วนเรื่องแยกแยะว่าจริงหรือเท็จ นายท่านน่าจะมีวิธีการแล้ว  จางผิงตอบ

 นี่แค่เรื่องเดียวเอง อีกเรื่องหนึ่งล่ะ?  เหมียวอี้ถาม

จางผิงตอบว่า  ผู้สูงศักดิ์บอกไว้แล้ว ว่าอีกเรื่องหนึ่งยังไม่สะดวกจะบอก ผู้สูงศักดิ์แสดงความจริงใจแล้ว ตอนนี้ถึงคราวที่นายท่านจะแสดงความจริงใจบ้าง 

 ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาพูดจริงหรือโกหก จะแสดงความจริงใจได้ยังไง?  เหมียวอี้ถาม

จางผิงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหนานโปทันที หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว ก็ถ่ายทอดเสียงบอกว่า  ผู้สูงศักดิ์บอกแล้ว เช่นนั้นก็รอนายท่านตรวจสอบความจริงจากเจียงอวิ๋นก่อนแล้วค่อยว่ากัน 

เหมียวอี้โบกมือ เหยียนซิวเก็บจางผิงไว้ทันที

 ถงเหลียนซี…  เหมียวอี้ลุกขึ้นแล้วขมวดคิ้วเดินไปเดินมาอยู่ในห้องหนังสือ ดึงเรื่องเจียงอวิ๋นไปให้พระปีศาจหนานโป สาเหตุหนึ่งก็เพราะอยากจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจียงอีอี แต่ขณะเดียวกันก็จงใจหาเรื่องมาถ่วงเวลาพระปีศาจด้วย นึกไม่ถึงว่าพระปีศาจจะขุดความลับใหญ่โตขนาดนี้ได้

หยางเจาชิงคอยเตือนอยู่ข้างๆ  ท่านอ๋อง ท่านอาจจะจำถงเหลียนซีคนนี้ไม่ได้ แต่ลั่วกุยลูกชายของนาง ในปีนั้นที่ท่านถูกทำโทษให้ไปยืนเฝ้าที่นาหลวงที่อุทยานหลวง ลั่วหม่างที่มาหาเรื่องท่านแล้วท่านปล่อยไป นั่นแหละคือลูกชายของนาง 

………………

 

เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพเหตุการณ์ก่อนฮ่าวเต๋อฟางปาดคอตัวเอง ภาพที่ฮ่าวเต๋อฟางจับมือซูอวิ้นพลางขอร้องให้เขาปล่อยนางไป ก่อนตายยังไม่ลืมที่จะช่วงชิงหนทางรอดให้ผู้หญิงคนนี้

พอจะเข้าใจเช่นกัน ว่าเหตุใดตอนนั้นซูอวิ้นจึงไม่พยายามหยุดยั้งฮ่าวเต๋อฟางไม่ให้ปาดคอตัวเอง

ฉากที่ฮ่าวเต๋อฟางพาดดาบตัดศีรษะตัวเองออกมาทำให้เขาสะเทือนใจจนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่ลืม ภาพอันสุดเศร้าตรงหน้าก็ทำให้เขาลืมเลือนได้ยากเช่นกัน

ชายหญิงคู่นี้ เหมียวอี้ไม่รู้จะบรรยายถึงพวกเขาอย่างไรดี ในเมื่อรักกันขนาดนี้ แต่ทำไมกลับไม่ยอมก้าวข้ามเส้นที่ขีดไว้?

ตอนที่เสียงขลุ่ยสะอื้นเงียบลง ซูอวิ้นถึงได้พบว่าเหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว นางไม่เช็ดน้ำตาบนใบหน้าทิ้ง แต่มองป้ายหลุมศพพร้อมถามว่า  ข้าควรจะแสดงความยินดีกับเจ้าหรือเปล่า? 

 ขอแค่ไม่แค้นข้าก็พอแล้ว  เหมียวอี้ถอนหายใจ พร้อมโค้งตัวคำนับป้ายหลุมศพสามครั้ง

 ไม่มีอะไรให้แค้นหรือไม่แค้น ก็อย่างที่ท่านอ๋องบอกไว้ตอนยังมีชีวิตอยู่ ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร แพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว ท่านอ๋องกับข้าไม่ใช่คนที่แพ้ไม่เป็น ตระกูลฮ่าวตายไปหมดแล้ว อ๋องสวรรค์หนิวไม่ต้องกังวลว่าตระกูลฮ่าวจะมาล้างแค้น  พูดจบก็เดินไปทางกระท่อมอย่างช้าๆ  ยังมีอะไรอยากจะรู้อีกก็ถามข้ามาได้เลย ถ้าเป็นเรื่องที่ท่านอ๋องเคยให้สัญญาไว้ ข้าก็จะทำให้ได้ ถ้าอ๋องสวรรค์หนิวรู้สึกว่าเก็บข้าไว้แล้วไม่วางใจ ก็สังหารข้าทิ้งได้เลย!  ซูอวิ้นกล่าว

สายตาเหมียวอี้มองตามนาง  เจ้ารีบร้อนอยากตายเหรอ? 

 เหมือนจะเป็นเรื่องที่อ๋องสวรรค์หนิวไม่น่าจะใส่ใจนะ  ซูอวิ้นตอบ

 บนโลกนี้ไม่ได้มีแค่เจ้าที่รักษาสัญญาได้ ก่อนท่านอ๋องฮ่าวตายก็ได้ฝากฝังพวกเจ้าไว้กับข้าแล้วเหมือนกัน ในเมื่อข้ารับปากว่าจะให้หนทางรอดกับพวกเจ้า ก็จะพยายามทำให้ได้แน่นอน  เหมียวอี้กล่าวอย่างใจเย็น

 เจ้าทำได้ก็ดีแล้ว ส่วนอย่างอื่นล้วนเป็นเรื่องของใครของมัน เจ้าดีจะเลวเจ้าก็ไม่ต้องกังวล  ซูอวิ้นเข้าไปในกระท่อม แล้วปิดประตูไว้

เหมียวอี้จ้องกระท่อม พร้อมกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ  ฮ่าวอวิ๋นเทียนอยู่ในมือข้า! 

ประตูที่ปิดไว้พลันเปิดออกอีกครั้ง ร่างของซูอวิ้นปรากฏอยู่ตรงประตู เบิกตากว้างจ้องเขา  เจ้าว่าอะไรนะ? 

เหมียวอี้ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้กระท่อม  คนของตระกูลฮ่าวไม่ได้ตายหมด ฮ่าวอวิ๋นเทียน หลานชายของท่านอ๋องฮ่าวยังไม่ตาย ตระกูลฮ่าวยังไม่สิ้นคนปักธูปบูชาบรรพบุรุษ 

 เรื่องที่น้ำพุวังเวงในปีนั้นเป็นฝีมือเจ้าเหรอ?  ซูอวิ้นจ้องเขาไม่ละสายตา

เหมียวอี้ไม่ตอบคำถาม  เมื่อครู่เจ้าบอกว่าคนตระกูลฮ่าวตายหมดแล้ว บอกให้ข้าไม่ต้องกังวลว่าจะถูกตระกูลฮ่าวล้างแค้น ข้าเองก็รักษาสัญญากับท่านอ๋องฮ่าวเช่นกัน ก็เลยไม่เคยแตะต้องฮ่าวอวิ๋นเทียน ตอนนี้ข้าก็ยิ่งไม่อยากแตะต้องเขา เพราะข้าไม่อยากให้ตระกูลฮ่าวสิ้นทายาทปักธูปบูชาบรรพบุรุษ แต่ตอนนี้มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้ากังวลสุดๆ ถ้าวันไหนฮ่าวอวิ๋นเทียนไปสมคบกับลูกน้องเก่าที่จงรักภักดีของตระกูลฮ่าว ต้องการให้ตระกูลฮ่าวหวนคืนสู่อำนาจแล้วมาล้างแค้นข้า ถึงตอนนั้นข้าจะทำยังไง? ถ้าเจ้าตายไป ก็ไม่มีใครคอยควบคุมพวกลูกน้องเก่าที่จงรักภักดีต่อท่านอ๋องฮ่าวแล้ว ถ้าไม่มีทางเลือกจริงๆ ข้าก็ทำได้เพียงตัดรากถอนโคนตระกูลฮ่าว ทำให้ท่านอ๋องฮ่าวสิ้นทายาทโดยสิ้นเชิง ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ภายใต้สถานการณ์จำเป็น ลูกน้องเก่าพวกนั้นของท่านอ๋องฮ่าวก็อาจจะ…  เขาพูดไม่จบประโยค อีกฝ่ายเข้าใจความหมายที่เหลือแน่นอน

ซูอวิ้นกำหมัดแน่น คลายริมฝีปากที่เม้มแน่น เอ่ยปากเสนอขอเรียกร้องแล้ว  ข้าต้องการพบฮ่าวอวิ๋นเทียน! 

เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ ตอบรับแล้ว…

แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง ทะเลทรกตฟ้าคราม รอบด้านเป็นเกาะเขียวชอุ่ม หาดทรายขาวบริสุทธิ์

คฤหาสน์หลังหนึ่งบนเกาะ ทุกคนของตระกูลผังย้ายมาที่นี่แล้ว รอบข้างมองไม่เห็นทหารยาม แค่จำกัดไม่ให้พวกเขาออกไปจากเกาะนี้เท่านั้น ตอนนี้ดูปลอดภัยและมีหลักประกัน คนของตระกูลผังเริ่มวางใจแล้ว

ผังก้วนเปลือยเท้าเดินอยู่บนหาดทราย คลื่นสาดกระทบเท้าแล้วถอยร่นกลับไป ยืนทอดสายตามองไปไกลเพียงลำพัง ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน

สตรีงามหยาดเยิ้มคนหนึ่งเดินเนิบนาบออกมาจากป่า เดินมาข้างหลังผังก้วน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม  ที่นี่ปลอดภัยมาก ไม่ต้องกังวลอะไร 

ผังก้วนหันขวับ รู้สึกคุ้นตาผู้หญิงคนนี้ เหมือนจะเคยเห็นมาก่อน แต่กลับนึกไม่ออกว่าชื่ออะไร  เจ้าคือ? 

 ปี้เยว่!  สตรีงามหยาดยิ้มกล่าวพร้อมยิ้มอ่อน

 อ้อ!  ผังก้วนนึกออกทันที พยักหน้าบอกว่า  ใช่แล้ว เจ้าคือปี้เยว่ ฮูหยินของเทียนหยวน 

ฮูหยินของเทียนหยวน…คำกล่าวนี้ทำให้ปี้เยว่ทำสีหน้าอับอายเล็กน้อย นางเดินมาตรงหน้าผังก้วน ยื่นมือจิ้มบนตัวผังก้วนต่อเนื่องกันสิบกว่าครั้ง

ผังก้วนถอนหายใจช้าๆ เฮือกหนึ่ง รู้สึกถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง ในที่สุดก็ได้คลายผนึกบนตัวแล้ว ความรู้สึกที่สามารถไปไหนมาได้ในโลกได้อย่างอิสระกลับมาอีกครั้ง เขาจ้องปี้เยว่พร้อมเอ่ยถาม  ที่นี่คือที่ไหน? 

ปี้เยว่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร ในมือเผยระฆังดาราสองอัน  ผังเสี้ยวเสี้ยวกับเฉินหวยจิ่วเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเจ้า ส่งข่าวกลับไปเถอะ พูดแต่เรื่องสำคัญ 

ผังก้วนเงียบไป ก่อนจะถอนหายใจ ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าคลยผนึกควบคุมให้ตนแล้ว ก็แสดงว่ามั่นใจว่าเขาหนีไปไม่ได้ เขาโบกมือม้วนระฆังดารามาไว้ในมือ ตรวจดูเล็กน้อย พบว่าน่าจะเป็นของตัวเอง บนนั้นเป็นตราอิทธิฤทธิ์ของเฉินหวยจิ่วกับลูกสาวจริงๆ จากนั้นทยอยติดต่อหาทีละคน

รอจนกระทั่งวางระฆังดาราลง ปี้เยว่ก็ยื่นมืออีก  ส่งระฆังดาราให้ข้า ข้าจะให้พวกเจ้าติดต่อกันตามกำหนดเวลา 

 ครอบครัวข้าเป็นอย่างนี้แล้ว ยังกังวลอีกเหรอว่าข้าจะเล่นตุกติกอะไร เก็บระฆังดาราไว้ที่ข้าเถอะ  ผังก้วนกล่าว

ปี้เยว่ส่ายหน้า  ส่งให้ข้าเถอะ แบบนี้จะเป็นผลดีต่อทุกคน 

 แล้วถ้าข้าไม่ส่งให้ล่ะ?  ผังก้วนลองถามหยั่งเชิง

ปี้เยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็มีน้ำเสียงราบเรียบไม่สะทกสะท้านดังมาจากในป่า  เจ้าก็ลองดูสิ! 

ผังก้วนหันไปมอง เห็นเพียงชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเหมือนชาวนาเดินช้าๆ ออกจากจุดลึกของป่า แววตาอึมครึม ไว้หนวดสั้นหร็อมแหรม ข้างหลังสะพายดาบและหมวกงอบ แค่มองปราดเดียว ผังก้วนก็เบิกตากว้างแล้ว อุทานถามอย่างตกใจว่า  ไห่ยวนเค่อ? 

ตอนที่ยังไม่ก่อตั้งตำหนักสวรรค์ เขาเคยเจอไห่ยวนเค่อมาก่อน การมีอยู่ของไห่ยวนเค่อในปีนั้นทำให้เขามีสิทธิ์เพียงแหงนมอง เมื่อเคยเจอแล้วก็ยากจะลืมเลือน

ไห่ยวนเค่อเดินมาข้างกายปี้เยว่ แล้วจ้องผังก้วนอย่างเยียบเย็น

ปี้เยว่ถอนหายใจเบาๆ ยื่นมือไปหาผังก้วนอีก ส่วนผังก้วนก็จ้องไห่ยวนเค่อด้วยสีหน้าระแวงสงสัย เพียงแต่ยื่นระฆังดาราให้ปี้เยว่อย่างช้าๆ แล้วเช่นกัน

พอเก็บระฆังดาราแล้ว ปี้เยว่ก็บอกไห่ยวนเค่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน  ไปกันเถอะ 

 ถ้าเจ้าเต็มใจ ก็คลายผนึกให้ทุกคนของตระกูลผังได้ แต่ทางที่ดีก็กำชับพวกเขาไว้ด้วย ว่าอย่าเพ่นพ่านไปทั่ว ที่สำคัญอย่าออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้ ไม่อย่างนั้นจะอันตรายมาก ถ้าตายไปก็มาโทษคนอื่นไม่ได้  ไห่ยวนเค่อพูดทิ้งท้าย หันตัวมาจูงมือปี้เยว่ แล้วเดินเลียบชายหาดหายไปด้วยกัน

 ที่นี่คือแดนอเวจีเหรอ?  ผังก้วนพลันตะโกนถาม

ไม่มีคำตอบ ชายหญิงเดินจูงมือกันไปโดยไม่หันกลับมาอีก

ไม่น่าเชื่อว่าฮูหยินของเทียนหยวนจะปล่อยให้ไห่ยวนเค่อจูงมืออย่างว่านอนสอนง่าย นี่มันเรื่องอะไรกัน? แค่เรื่องนี้ก็ทำให้ผังก้วนตกใจมากพอแล้ว จู่ๆ ก็ทำสีหน้าตกตะลึงยิ่งกว่า นึกขึ้นได้ว่าช่วงหนึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวลือครึกโครม บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของแดนอเวจี บอกว่าปี้เยว่แต่งงานกับไห่ยวนเค่อแล้ว ทั้งยังมีลูกสาวกับไห่ยวนเค่อด้วยคนหนึ่ง

 อย่าบอกนะว่าเป็นความจริงหมดเลย!  ผังก้วนพึมพำกับตัวเอง รู้สึกตกใจพอสมควร ถ้าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของแดนอเวจีจริง เช่นนั้นหลังจากชิงทัพใต้มาแล้วจะเกิดเรื่องอะไรต่อ ก็ไม่ต้องคิดมากแล้ว  หกลัทธิจะหวนคืนสู่ใต้หล้าอีกครั้งแล้วเหรอ? 

เขามองไปรอบด้านช้าๆ อย่างหวาดระแวงสงสัย อย่าบอกนะว่าที่นี่คือแดนอเวจีจริงๆ? อย่าบอกนะว่าผู้เหลือรอดของหกลัทธิสามารถเข้าออกแดนอเวจีได้อย่างอิสระ? เช่นนั้นที่ตำหนักสวรรค์เฝ้าทางเข้าออกแดนอเวจียังจะมีความหมายอะไร? ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมไห่ยวนเค่อถึงไม่ให้เขาเพ่นพ่านไปทั่ว ถ้าที่นี่คือแดนอเวจี การเพ่นพ่านไปทั่วก็ทำให้ตายได้จริงๆ

 เสี้ยวเสี้ยว ข้าบอกแล้วว่าจะรับประกันความปลอดภัยของทุกคนในตระกูลผัง ไม่ได้หลอกเจ้าใช่มั้ยล่ะ 

ในตึกศาลา เหมียวอี้พูดหยอกล้อขณะมองผังเสี้ยวเสี้ยวถือระฆังดารา การที่ผังเสี้ยวเสี้ยวกับผังก้วนได้ติดต่อกัน ก็ย่อมมีเพียงเขาที่สามารถประสานให้เรื่องนี้สำเร็จได้ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ต้องรอให้สถานการณ์ของทัพใต้สงบก่อน เขาถึงจะเริ่มเตรียมการเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้เขาโดนเด็กสาวคนนี้กลอกตาใส่ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง

ผังเสี้ยวเสี้ยววางใจแล้ว ได้ติดต่อบิดาแล้ว บิดาบอกว่าทุกคนในครอบครัวปลอดภัยดี ปลีกวิเวกอยู่ในสถานที่สงบเงียบ แต่นางก็ยังปากแข็งใส่เหมียวอี้ หันหน้าหนีไปอีกข้าง

เฉินหวยจิ่วเก็บระฆังดาราแล้วยิ้มเบาๆ เหมียวอี้พูดจาเชื่อถือได้ เขาก็วางใจแล้วเช่นกัน

เหมียวอี้บอกเขาว่า  ท่านพ่อตาอยู่ทางนั้น เจ้าไปที่นั่นก็ไม่มีความหมาย ไม่สู้คอยทำงานอยู่ข้างกายข้าดีกว่า จะได้ถือโอกาสดูแลคุณหนูบ้านเจ้าด้วย 

เฉินหวยจิ่วโค้งตัว  ขอรับ นายท่านให้ข้าดูแลคุณหนูอยู่ทางนี้ คอยฟังท่านเขย…ฟังคำสั่งของท่านอ๋อง 

 พ่อเจ้าบอกให้เจ้าเชื่อฟังข้าด้วยหรือเปล่า?  เหมียวอี้ถามผังเสี้ยวเสี้ยวอีก

ผังก้วนกำชับผังเสี้ยวเสี้ยวแล้ว เพียงแต่นางไม่ยอมรับ  ไม่รู้ 

 งั้นอีกประเดี๋ยวรอให้หวังเฟยมาถามเจ้าแล้วกัน ถึงยังไงหวังเฟยก็ใกล้กลับมาแล้ว  เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วเอามือไขว้หลังเดินออกไป

 หา!  ผังเสี้ยวเสี้ยวร้องอุทาน รู้สึกกังวลนิดหน่อย อดไม่ได้ที่จะถาม  หวังเฟย…หวังเฟยจะกลับมาเมื่อไร 

เหมียวอี้ที่ทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ไม่หันกลับมา และไม่ตอบอะไรด้วย ตั้งแต่นี้ไปผังเสี้ยวเสี้ยวจึงเริ่มกังวลว่าควรจะเผชิญหน้ากับอวิ๋นจือชิวอย่างไร

ในเวลานี้อวิ๋นจือชิวกลับนั่งอยู่ในรถม้าคันหนึ่ง ในตัวรถที่โคลงเคลงยังมีคนอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นซูอวิ้นนั่นเอง

ซูอวิ้นเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าตัวเองมาถึงที่ไหนแล้ว

รถม้าขับตามทางภูเขาเข้าไปในดินแดนท้องทุ่งอันสงบสุขแห่งหนึ่ง สุดท้ายรถก็หยุดอยู่นอกหมู่บ้านแห่งหนึ่ง คนขับรถม้าถ่ายทอดเสียงบอกอวิ๋นจือชิวว่า  คนกำลังตกปลาอยู่ริมทะเลสาบขอรับ 

อวิ๋นจือชิวแหวกม่านหน้าต่างออก แล้วพูดกับคนที่ถือเบ็ดตกปลาอยู่ริมทะเลสาบว่า  คนที่ตกปลาก็คือเขา ไม่กี่ปีก่อนเขาถูกใจผู้หญิงคนหนึ่ง จึงแต่งงานรับนางเป็นภรรยา แล้วมีลูกชายหนึ่งคนกับลูกสาวหนึ่งคน 

คนที่ตกปลาก็คือฮ่าวอวิ๋นเทียน พอได้ยินเสียงสุนัขเห่าข้างหลัง เขาก็หันกลับไปมองแวบหนึ่ง ทำให้ตะลึงค้างทันที เพราะเห็นซูอวิ้นที่เพิ่งลงรถม้าเงยหน้ามองมาพอดี ทั้งสองสบตากันแล้ว

เบ็ดตกปลาในมือฮ่าวอวิ๋นเทียนตกลง ลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้ววิ่งเข้ามาทันที วิ่งมาถึงตรงหน้าซูอวิ้นในชั่วอึดใจเดียว แล้วกุมหมัดคารวะด้วยความดีใจราวกับเป็นบ้า  อวิ๋นเทียนคำนับพ่อบ้าน พ่อบ้านมารับข้าเหรอ? 

ซูอวิ้นมองสำรวจเขาที่สวมสามัญชนเรียบง่ายศีรษะจดเท้า นางน้ำตาคลอและส่ายหน้าช้าๆ สวรรค์คงเวทนา ท่านอ๋องยังไม่สิ้นทายาท!

ในขณะนี้เอง ในลานบ้านก็มีเด็กน้อยสองคนวิ่งออกมา เด็กชายไล่ตามหลังเด็กหญิงที่ถือว่าว ร้องโวยวายว่า  พี่สาวให้ข้าเล่น พี่สาวให้ข้าเลย… 

เมื่อเห็นคงแปลกหน้า เด็กหญิงก็อึ้งนิดหน่อย ปล่อยว่าวในมือให้น้องชายแย่งไป ส่วนนางก็ตะโกนเข้าไปในลานบ้านตัวเอง  ท่านแม่ ที่บ้านมีแขกมา 

ผ่านไปไม่นาน ในลานบ้านก็มีสตรีวัยกลางคนสวยสง่าคนหนึ่งเดินออกมา นางแต่งกายเรียบง่ายไม่ฉูดฉาด เมื่อเห็นหน้าตาและสง่าราศีอันน่าทึ่งของอวิ๋นจือชิวกับซูอวิ้น ก็ดูกระวนกระวายทันที นางค่อยๆ ก้าวไปยืนข้างฮ่าวอวิ๋นเทียนด้วยความรู้สึกอับอายเพราะด้อยกว่า แล้วถามเสียงอ่อนว่า  ท่านสามี เป็นญาติของท่านเหรอ? 

นางเคยได้ยินสามีตัวเองหลุดปากเอ่ยถึงมาก่อน ว่าเดิมทีเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวย พอเห็นหน้าตาและการแต่งกายของแขกที่มา ก็ดูเป็นลักษณะของคนจากตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยจริงๆ

เด็กน้อยทั้งสองถูกดูดเข้ามาแล้วเช่นกัน เด็กน้อยไม่กลัวคนแปลกหน้า พอเข้ามาใกล้แล้ว เด็กชายก็สูดน้ำมูกแล้วถามเสียงอู้อี้ว่า  สวยจังเลย เหมือนนางฟ้าเลย 

 เจ้าไม่เคยเห็นนางฟ้าเสียหน่อย  เด็กหญิงพูดดูถูก

 อย่าเสียมารยาท!  ฮ่าวอวิ๋นเทียนตำหนิ แล้วจะไล่เด็กน้อยสองคนที่ไม่รู้ความไปที่อื่น

ซูอวิ้นกลับยื่นมือขวางเขา แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กชาย นางไม่รังเกียจความสกปรก ยกแขนเสื้อตัวเองขึ้นมาเช็ดน้ำมูกให้เด็กชายจนสะอาด จากนั้นใช้มือลูบสัมผัสใบหน้าเด็กน้อย กล่าวพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาว่า  น่ารักจริงๆ!  นางจูงมือเด็กหญิงเข้ามาอีก แล้วเงยหน้าถามฮ่าวอวิ๋นเทียน  นี่เป็นลูกชายกับลูกสาวของเจ้าเหรอ? 

…………

 

สวีถังหรานทุ่มเทความพยายามหลักไปกับงานลับบางอย่างของเหมียวอี้ เรื่องรองลงมาก็คือราชสำนัก ส่วนงานบนอาณาเขตของท่านโหว ก็แค่คอยประสานงานติดต่อไว้กับหลงซิ่นก็พอแล้ว

เหมือนกับที่เหมียวอี้บอกสวีถังหรานไว้ เขาเองก็ไม่ได้เลื่อนตำแหน่งให้พวกฝูชิงเป็นกรณีพิเศษเกินไป คนพวกนี้ยังติดอยู่ที่ตำแหน่งหัวหน้าภาค เพียงแต่เฝ้าอยู่ในจุดยุทธศาตร์ของทัพใต้ทั้งหมด ล้วนเป็นด่านประตูดวงดาวในอาณาเขตทัพใต้

จนกระทั่งตอนนี้ ภายใต้การแทรกแซงอย่างลับๆ ของตระกูลเซี่ยโห้ว อำนาจสายต่างๆ ทั้งอาณาเขตทัพใต้ไม่มีการโต้กลับใดๆ สถานการณ์ภาพรวมของทัพใต้ถูกกำหนดแล้ว!

สามจอมพล เก้าเทพประจำดาว สิบแปดโหว ทั้งยังมีสมาชิกที่อยู่ในตำแหน่งรองจำนวนหนึ่งทยอยกันมาถึง เป็นครั้งแรกที่มารวมตัวกันครบในตำหนักประชุมของจวนจอมพล มาเพื่อรับแผ่นหยกคำสั่งแต่งตั้งของอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้อย่างเป็นการทางการ

ก็อย่างที่บอกไว้ ปราศจากการทำลายล้าง ย่อมไร้การประกอบสร้าง คนที่ได้เลื่อนเป็นจอมพล หรือลดตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาค ทั้งหมดนี้เหมียวอี้เขียนคำสั่งแต่งตั้งขึ้นมาด้วยตัวเอง ถ้าเปลี่ยนเป็นตอนที่ฮ่าวเต๋อฟางอยู่ในตำแหน่ง ก็ไม่มีทางทำอย่างนี้ได้โดยตรง เป็นไปไม่ได้ที่ฮ่าวเต๋อฟางจะทำให้ทั้งทัพใต้ยุ่งเหยิง แต่เหมียวอี้กลับจัดการจนสภาพยุ่งเหยิง ไม่มีแรงต้านเหมือนตอนที่ฮ่าวเต๋อฟางยังอยู่ในตำแหน่ง แน่นอน วิธีการแต่งตั้งจากข้างบนลงข้างล่างโดยตรงแบบนี้มีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ในภายหลังเหมียวอี้ไม่สามารถทำอย่างนี้ได้บ่อยๆ แล้ว ต่อไปนี้ทั้งข้างบนข้างล่างก็ย่อมมีกติกาของพวกเขาเอง อ๋องสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานอย่างเจ้าไม่สามารถแต่งตั้งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่หรืออะไรเหล่านั้นได้โดยตรง เพราะถ้าทำอย่างนั้น เจ้าจะยังมีกำลังพลระดับล่างเอาไว้ดูแลอาณาเขตใต้สังกัดอีกทำไม? ท่านอ๋องอย่างเจ้าแทรกแซงไปดูแลให้หมดคนเดียวเสียก็สิ้นเรื่อง ไม่แบ่งแยกความสำคัญ เจ้าคนเดียวดูแลไหวเหรอ?

คนในตำหนักประชุมที่ได้รับคำสั่งแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ บ้างก็ดีใจบ้างก็เงียบไป

หลังจากเหมียวอี้กำชับคนกลุ่มนี้แล้ว บรรดาแม่ทัพในตำหนักใหญ่ก็แยกย้ายกันไป เหยียนเสี้ยว ซูชิงฉวนกับเหิงอู๋เต้าตามมาที่เรือนชั้นในของจวนท่านอ๋องแล้ว

ไม่ว่าในภายหลังจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยในตอนนี้เหิงอู๋เต้าก็สนับสนุนเหมียวอี้เต็มที่ ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ การสนับสนุนเหมียวอี้คุมทัพใต้ให้สงบก็เท่ากับสนับสนุนตัวเขาเอง หลังจากปรึกษาหารือกันแล้ว เขาก็เป็นคนแรกที่รีบกลับมาอาณาเขตของตัวเอง เพิ่งจะวางโครงสร้างสายมะเส็ง ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องจัดการ รายละเอียดของงานบางงาน เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ท่านอ๋องออกหน้าด้วยตัวเอง และเขาก็ต้องสรุปงานเพื่อรายงานต่อท่านอ๋อง

สำหรับซูชิงฉวน การได้รับตำแหน่งจอมพลเป็นเรื่องน่ายินดีที่เหนือความคาดหมาย ตอนแรกที่ติดตามผังก้วนไปก่อกบฏก็เพื่อสิ่งนี้ ดังนั้นการช่วยเหมียวอี้คุมอาณาเขตทัพใต้ให้สงบก็ถือว่าช่วยตัวเขาเองด้วยเหมือนกัน ตอนนี้เชื่อฟังคำสั่งเหมียวอี้ทุกอย่าง เมื่อได้รับคำสั่งแล้วก็รีบกลับไปเช่นกัน

สุดท้ายก็เหลือแค่เหยียนเสี้ยวที่ยืนอยู่ข้างกายเหมียวอี้อย่างเงียบๆ ท่าทีของเขาค่อนข้างเงียบงัน

สถานการณ์ของเขาไม่เหมือนกับซูชิงฉวนและเหิงอู๋เต้า ผู้ที่กลายเป็นผู้ตรวจการซ้ายทัพอารักขาของฮ่าวเต๋อฟางได้จะต้องเป็นลูกน้องคนสนิทที่สำคัญมากของฮ่าวเต๋อฟางแน่นอน ตอนนี้ฮ่าวเต๋อฟางถูกเหมียวอี้บีบให้ตาย แต่เขากลับกลายเป็นจอมพลใต้บังคับบัญชาของเหมียวอี้ เกิดความรู้สึกปนกันสลับซับซ้อน โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมรอบข้างที่คุ้นเคย ข้าวของยังเหมือนเดิมแต่คนเปลี่ยนไปแล้ว

เดินไปเดินมาอยู่ในสวนดอกไม้ เหมียวอี้ก็สังเกตปฏิกิริยาของเขาเป็นระยะเช่นกัน สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร แค่เตือนคำเดียวว่า  ซูอวิ้นกำลังเฝ้าดูแลสุสานให้ท่านอ๋องฮ่าว ก่อนจะไปก็ไปดูนางสักหน่อยแล้วกัน 

 ขอรับ!  เหยียนเสี้ยวเอ่ยรับ แล้วขอตัวออกไป

เหมียวอี้มองตามโดยไม่พูดอะไร หยางชิ่งปรากฏตัวข้างกายเขาเงียบๆ  ท่านอ๋อง เกรงว่าซูอวิ้นคงตั้งใจจะตายแล้ว ต้องการจะตามฮ่าวเต๋อฟางไป 

เหมียวอี้ตกใจขนลุก หันกลับมาถาม  ทำไมคิดอย่างนั้น? 

หยางชิ่งอธิบายว่า  นางส่งต่ออำนาจที่เหลือของตระกูลฮ่าวโดยสิ้นเชิง เหมือนมีเจตนาอยากรีบส่งต่องานรีบจบงาน ไม่ต้องให้พวกเราเร่งเลย ข้าน้อยไปดูไปทางนั้นไม่กี่ครั้ง นางจมอยู่ในเสียงฉินอันเสร้าสลดทุกวัน ความหมายแฝงในเสียงฉินไม่ค่อยดีเท่าไร ข้ากังวลว่าตอนนี้นางอยากจะทำตามความปรารถนาก่อนตายของฮ่าวเต๋อฟางให้สำเร็จเร็วๆ เมื่อจัดการตำแหน่งให้บรรดาพี่น้องที่ฮ่าวเต๋อฟางฝากฝังไว้เรียบร้อยแล้ว คาดว่าท่านอ๋องคงเก็บนางไว้ไม่ได้อีกแล้ว 

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน  เมื่อก่อนเคยได้ยินเรื่องของนางกับฮ่าวเต๋อฟาง ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขำ ยังรู้สึกว่าฮ่าวเต๋อฟางหยาบคายไร้เหตุผล ตั้งแต่ได้เห็นฮ่าวเต๋อฟางปาดคอตัวเองกับตา ถึงได้รู้ว่าเป็นคู่ชายหญิงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกจริงๆ ทั้งน่าเคารพทั้งน่าทอดถอนใจ! พอได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ เกรงว่าผู้หญิงคนนี้คงจะอยากตามฮ่าวเต๋อฟางไปจริงๆ 

 กำลังพลแสนกว่าข้างกายฮ่าวเต๋อฟางที่สู้จนถึงตอนสุดท้าย ไม่น่าเชื่อว่าอาศัยกำลังปะทะกันตรงๆ แล้วยังต้านทัพใหญ่หลายล้านที่เก่งที่สุดของผังก้วนไหว ถือเป็นหนึ่งในกำลังพลที่เกรียงไกรที่สุดในใต้หล้าจริงๆ ข้างกายท่านอ๋องยังขาดทหารอารักขาประเภทนี้ ในช่วงเวลาสำคัญสามารถต้านทัพเกรียงไกรหลายล้านได้ ถ้าปล่อยให้แยกย้ายกันไปก็น่าเสียดายเกินไปหน่อย ท่านอ๋องไม่อยากเก็บไว้ใช้งานเองเหรอ? ถ้าต้องการให้คนพวกนี้ยอมคล้อยตามเต็มที่ ก็ต้องทำให้ซูอวิ้นคล้อยตามก่อน แล้วค่อยให้นางเกลี้ยกล่อมพวกเขาอีกที!  หยางชิ่งกล่าว

พอพูดถึงกำลังพลหลายแสนนั่น เหมียวอี้ก็น้ำลายไหลเช่นกัน

หยางชิ่งบอกอีกว่า  ซูอวิ้นกลายเป็นพ่อบ้านของฮ่าวเต๋อฟางได้ แสดงว่าต้องมีจุดที่เหนือกว่าคนอื่นแน่นอน ฮ่าวเต๋อฟางสามารถนั่งตำแหน่งอ๋องได้มั่นคงมาหลายปีขนาดนี้ นางถือว่ามีความดีความชอบเยอะมาก แค่เรื่องที่นางเป็นฝ่ายปล่อยวางความแค้นที่ชิงเยว่ฆ่าล้างตระกูลนางในปีนั้นเพื่อให้ฮ่าวเต๋อฟางทำงานใหญ่ ก็จะเห็นว่าไม่ธรรมดาแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่เรื่องราวระหว่างขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ที่คนนอกไม่รู้ เกรงว่านางคงจะรู้ดีกว่าใครที่อยู่ข้างกายท่านอ๋อง ถ้าได้นางมาทำงานให้ ก็จะช่วยลดความยุ่งยากให้ท่านอ๋องได้ไม่น้อย อิทธิพลของนางที่มีต่อทัพใต้ก็สามารถช่วยท่านอ๋องปลอบประโลมใจคนได้โดยเร็วเช่นกัน แม้แต่นางยังยอมศิโรราบแล้ว การที่ท่านอ๋องชิงอาณาเขตทัพใต้มาจะไม่ใช่เรื่องที่ชอบธรรมเชียวหรือ? สำหรับคนประเภทนี้ ถ้าท่านอ๋องอยากจะช่วงชิงใต้หล้า ก็ไม่ต้องถือสาว่าจะมีเยอะเกินไป! คนประเภทนี้พบเจอได้แต่มิอาจไขว้คว้ามา ในเมื่อนางอยู่ข้างกายท่านอ๋องแล้ว จะไม่รับคนเก่งแบบนี้ไว้ได้ยังไง! 

เหมียวอี้ถอนหายใจยาว  ที่เจ้าพูดข้าเข้าใจทุกอย่าง แต่ถ้านางดึงดันจะติดตามฮ่าวเต๋อฟางไป ข้าจะทำยังไงได้ล่ะ ข้าก็มัดนางไว้ไม่ได้หรอกมั้ง? 

 ข้าน้อยมีแผนการอยู่อย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือเปล่า แต่ก็ทดลองดูได้ ในเมื่อซูอวิ้นถูกขังอยู่ในความรู้สึกที่มีต่อฮ่าวเต๋อฟาง เช่นนั้นก็อาศัยความรักของฮ่าวเต๋อฟางเพื่อ…  หยางชิ่งกล่าว

ขณะฟังแผนการลับ เหมียวอี้ตาเป็นประกายพร้อมพยักหน้าเบาๆ

ห่างไปจากจวนท่านอ๋องทางใต้สามร้อยลี้ ในป่าภูเขาเขียวครึ้มที่มีแม่น้ำอ้อมผ่าน สายน้ำดุจริ้วผ้า ภูเขาดุจหลุมศพ

ในภูเขามีสวนป่าสุสานแห่งหนึ่ง ร่างของฮ่าวเต๋อฟางฝังอยู่ในเนินดินหลุมศพหลักของที่นี่ ส่วนเนินดินที่เหลือก็เป็นของทุกคนในตระกูลฮ่าว หลังจากศึกใหญ่ ศพของคนตระกูลฮ่าวที่สามารถเก็บรวบรวมได้ก็เก็บมาฝังไว้ที่นี่หมด มีทั้งหลุมเล็กหลุมใหญ่จำนวนหลายร้อย

ภูเขาเขียวยังคงอยู่ เพียงแต่มีหลุมศพเพิ่มขึ้นมา

เหยียนเสี้ยวยืนอยู่หน้าป้ายหลุมศพของฮ่าวเต๋อฟาง ราวกับใบหน้าและน้ำเสียงของผู้ที่จากไปยังคงอยู่ คนข้างหลังได้แต่เงียบงันไม่พูดอะไร

ข้างๆ กัน ซูอวิ้นใบหน้างามล่มเมือง สวมชุดกระโปรงยาวสีขาว ปล่อยผมยาวสยายปลิวตามลม มองป้ายหลุมศพด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าสลด

 เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย?  จู่ๆ เหยียนเสี้ยวก็หันมามองนาง แล้วเอ่ยถามเสียงเบา

ซูอวิ้นดึงสติกลับมา  เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ายังมีประโยชน์ให้เขาใช้งาน พวกเขาไม่กล้ากลั่นแกล้งข้าหรอก ข้าสบายดีทุกอย่าง 

เหยียนเสี้ยวบอกว่า  หนิวโหย่วเต๋อแต่งตั้งให้ข้าเป็นจอมพลสายเถาะของทัพใต้…  เขาเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ของทัพใต้ตอนนี้ให้ฟัง

ซูอวิ้นรู้สึกเหนือความคาดหมายนิดหน่อย หลังจากเงียบไปครู่เดียว ก็กล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า  ปราศจากการทำลายล้าง ย่อมไร้การประกอบสร้าง เรื่องที่ท่านอ๋องทำไม่ได้ในปีนั้น หนิวโหย่วเต๋อถือโอกาสทำให้สำเร็จได้ในรวดเดียว กำจัดคนประพฤติทุจริตออกจากตำแหน่ง ปรับปรุงให้เหมาะสมในรวดเดียว มีสี่ทัพให้เห็นเป็นบทเรียนแล้ว หนิวโหย่วเต๋อไม่ยอมให้คนประพฤติทุจริตเติบโตอีกแน่นอน ใช้เวลาอีกไม่นาน ทัพใต้จะต้องกลายเป็นทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสี่ทัพแน่นอน! 

 แล้วตอนนี้ข้าควรทำยังไง? อยากจะฟังคำแนะนำจากเจ้าสักหน่อย  เหยียนเสี้ยวกล่าว

ซูอวิ้นถอนหายใจ  ก่อนหน้านี้ก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าเขาจะใจกล้าขนาดนี้ กล้าลงมือกับทัพใต้ โดยเฉพาะการไปสมคบกับตระกูลเซี่ยโห้ว เรียกได้ว่าฝ่าฝืนข้อห้ามร้ายแรงของประมุขชิง! เมื่อก่อนเขาเขายังมีอำนาจอ่อนแอ ยักคิ้วหลิ่วตากับตระกูลเซี่ยโห้ว ประมุขชิงอาจยังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา แต่ตอนนี้เขามีกำลังทหารมากขนาดนี้ ทั้งยังไปสมคบกับตระกูลเซี่ยโห้วอีก ประมุขชิงจะเก็บเขาไว้ได้ยังไง ช้าเร็วก็ต้องลงมือสังหารเขาแน่! เหยียนเสี้ยว ข้าพูดตามตรง ที่จริงเจ้าไม่เหมาะสมที่จะคุมอาณาเขต ความสามารถอย่างเจ้าเหมาะจะบัญชาการทัพออกรบมากกว่า ที่เขาแต่งตั้งให้เจ้าเป็นจอมพลสายเถาะ ก็เพื่อใช้ประโยชน์จากอิทธิพลของท่านอ๋องมาทำให้ใจคนสงบมั่นคงไวๆ เรื่องแก่งแย่งผลประโยชน์พวกนั้นไม่เหมาะกับเจ้า เจ้าเอาชนะคนพวกนั้นไม่ได้ด้วย ข้างบนเจ้ามีหนิวโหย่วเต๋อ ข้างล่างเจ้าก็มีคนของหนิวโหย่วเต๋อ เจ้ามีแต่ต้องเกาะติดพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อเท่านั้น เจ้าต้องใช้อิทธิพลของเจ้าช่วยหนิวโหย่วเต๋อปลอบประโลมใจคน

ตราบใดที่เจ้าไม่มีความทะเยอทะยาน ถ้าจะใช้เล่ห์เหลี่ยมข้างบนก็มีหนิวโหย่วเต๋อ คนเบื้องล่างที่เจ้าปกครองก็คือคนของหนิวโหย่วเต๋อ จอมพลแบบนี้ทำให้หนิวโหย่วเต๋อวางใจที่สุด หนิวโหย่วเต๋อจะรับรองความปลอดภัยของเจ้า! ที่ข้าเตือนได้ก็มีเท่านี้ เรื่องในอนาคตไม่ว่าใครก็พูดได้ไม่ชัดเจน ประมุขชิงจะต้องกำจัดหนิวโหย่วเต๋อแน่นอน แต่หนิวโหย่วเต๋อก็เป็นสิงห์ร้ายที่เห่อเหิมทะเยอทะยานเช่นกัน ขนาดเมื่อก่อนตอนมีกำลังทหารอ่อนแอก็ยังฝ่าฝืนคำสั่งดิ้นรนเอาชีวิตรอด ตอนนี้มีอำนาจมหาศาลก็ยิ่งไม่นั่งรอความตาย กอปรกับมีความสามารถและกลอุบายที่ไม่ธรรมดา ทั้งยังรบเก่ง ช้าเร็วประมุขชิงก็ต้องบีบให้กบฏ หนิวโหย่วเต๋อกล้าทำเรื่องแบบนี้

บางทีอาจจะมีปณิธานที่จะยึดครองใต้หล้ามาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ อ๋องสวรรค์คนอื่นถูกสถานการณ์กดดัน จนหมดความฮึกเหิมไปนานแล้ว ขาดความกล้าหาญที่จะแสวงหาความก้าวหน้าแล้ว มีแค่หนิวโหย่วเต๋อที่เป็นคนหนุ่มเปี่ยมพลัง เร่าร้อนฮึกเหิม ปลุกปั่นสถานการณ์ให้เปลี่ยนแปลงได้เยอะเกินไป มีหลายเรื่องที่แม้แต่พวกเราก็มองไม่เข้าใจ เกรงว่าช้าเร็วก็ต้องสู้เอาเป็นเอาตายกับประมุขชิง! 

เหยียนเสี้ยวกล่าวช้าๆ  เกาะติดพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อ?  ทำสีหน้าเหลือเชื่อ เหมือนทนรับความรู้สึกนี้ไม่ไหว

ซูอวิ้นย้ายสายตาจากป้ายหลุมศพไปบนใบหน้าเขา ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า  ไม่ต้องลำบากใจ ไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไงด้วย ท่านอ๋องพูดไว้ก่อนตายแล้ว พวกเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดต่อท่านอ๋อง เป็นท่านอ๋องที่ทำผิดต่อพวกเจ้า ไม่ได้เตรียมทุกอย่างไว้ให้พวกเจ้า ท่านอ๋องบอกไว้แล้ว ว่าระหว่างเขากับหนิวโหย่วเต๋อไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน เรื่องในอดีตให้ปล่อยผ่านไปกับสายลม ตั้งแต่นี้ไปไม่ว่าพวกเจ้าจะทำอะไรก็ไม่ต้องรู้สึกผิด ใช้ชีวิตให้ดีเพื่อตัวเองและครอบครัว ถ้าพวกเจ้าปล่อยวางได้ ท่านอ๋องถึงจะตายตาหลับ…  นางชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วบอกอีกว่า  ถือว่าข้าพูดแทนท่านอ๋องก็แล้วกัน! เจ้าเพิ่งรับตำแหน่งจอมพล มีหลายงานที่ต้องจัดการ ไม่สะดวกจะเสียเวลาอยู่ที่นี่นาน ต่อไปนี้พวกเจ้าไม่สมควรจะมาที่นี่อีก ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนคิดมาก ไปเถอะ ไม่ต้องมาอีก 

เหยียนเสี้ยวเผชิญหน้ากับป้ายหลุมศพ แล้วทันใดนั้นก็คุกเข่าข้างเดียว ก้มหน้าเงียบงันอยู่นานมาก พอยืนขึ้นมาอีกครั้ง ก็เม้มริมฝีปากแน่นพร้อมประสานมือคารวะซูอวิ้น กล่าวอย่างลำบากใจว่า  รักษาตัวด้วย!  จากนั้นหันตัวเดินก้าวยาวออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา

ขณะมองเงาร่างเขาเดินจากไป ซูอวิ้นเผยรอยยิ้มอ่อนๆ ที่งดงามดุจบัวบาน หันตัวเดินไปเอามือลูบหน้าป้ายหลุมศพ น้ำตาไหลไม่หยุด พึมพำกับตัวเอง  ขุนเขาเปล่งเสียงหัวร่อ ม่านพิรุณเคลื่อนคล้อย… 

ตอนที่เหมียวอี้ปรากฏตัวตรงประตูสวนป่าสุสาน ก็เห็นเพียงซูอวิ้นสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวยืนอยู่ข้างป้ายหลุมศพ ขลุ่ยที่ค้ำอยุ่ตรงริมฝีปากส่งเสียงสะอื้น บนใบหน้ามีน้ำตาไหลหยดแล้วหยดเล่า

ป้ายหลุมศพที่ถูกน้ำฝนชะล้าง คนที่เศร้าโศกา เสียงขลุ่ยร่ำไห้ ทั้งยังมีกระท่อมหลังหนึ่งข้างกัน สิ่งที่เห็นทำให้เหมียวอี้รู้สึกสะเทือนใจ ขลุ่ยบรรเลงบทเพลงที่สื่อถึงจิตใจอันเศร้าสลดปวดร้าว ทำให้คนที่ได้ฟังรู้สึกราวกับว่าความเศร้าโศกนั้นไม่มีวันหายไป ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าอะไรเรียกว่าทุ่มเทความรู้สึกลึกซึ้งเกินไป เข้าใจแล้วเช่นกันว่าทำไมหยางชิ่งได้ยินเสียงฉินแล้วรู้สึกไม่ดี กังวลว่าผู้หญิงคนนี้คิดจะตามฮ่าวเต๋อฟางไป

……………

 

แม้แต่สมาชิกกองทัพองครักษ์ที่ติดตามอยู่ข้างหลังชิงหยวนจุน ก็มองเหมียวอี้ด้วยแววตาแปลกๆ เช่นกัน เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ชัดเจน

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองอยู่ในสถานการณ์ที่คุมเชิงกัน เหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง สุดท้ายก็เป็นเหมียวอี้ที่ลดเกียรติกุมหมัดคารวะก่อน  องค์ชาย ลำบากมาตลอดทางแล้ว 

ตอนนี้ชิงหยวนจุนถึงได้กุมหมัดคารวะ  คารวะท่านอ๋อง! ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว สู้ท่านอ๋องไม่ได้หรอก ตรากตรำสร้างผลงานใหญ่หลวงเชียว 

คำพูดนี้ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็รู้สึกเหมือนกำลังเหน็บแนม เหมียวอี้ยิ้มมุมปากหยอกล้อ

พวกหยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ มองชิงหยวนจุนด้วยแววตาเย็นเยียบเล็กน้อย พูดเหน็บแนมท่านอ๋องต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ จะเรียกว่าเหยียดหยามให้อับอายก็ก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป

สวีถังหรานที่ยืนอยู่ข้างกันทำสีหน้าโกรธแค้นอย่างชัดเจน เขาตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะกอดต้นขาเหมียวอี้ สาเหตุที่ยอมแสดงท่าทีชัดเจนขนาดนี้ แสดงออกชัดเจนขนาดนี้ ก็เพราะรู้ว่าเหมียวอี้มีศักยภาพที่จะต่อต้านตำหนักสวรรค์แล้ว เหมียวอี้ในตอนนี้มีศักยภาพที่จะงัดข้อกับประมุขชิงแล้ว แค่ชิงหยวนจุนคนเดียวสวีถังหรานย่อมไม่กลัว

 เชิญ!  เหมียวอี้เหมือนไม่ถือสา หันตัวหลีกทางให้พร้อมยื่นมือเชิญ

 ท่านอ๋องไม่ค้นตัวและปล่อยข้าเข้ามาได้ ก็นับว่าเป็นเกียรติของข้าแล้ว มีหรือที่จะกล้าเข้าจวนท่านอ๋องโดยไม่ได้ค้นตัวอีก  ชิงหยวนจุนแสดงออกชัดเจนว่าไม่ไว้หน้าเหมียวอี้ หยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง  ถือโอกาสตอนผ่านทางมาที่นี่ นำหนังสืออนุมัติจากฝ่าบาทมาให้ท่านอ๋อง ข้ายังต้องไปรับงานต่อที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลอีก ไม่อยู่รบกวนท่านอ๋องแล้วกัน หวังว่าท่านอ๋องจะคุยกับทางจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลไว้เรียบร้อยแล้ว 

หยางเจาชิงก้าวขึ้นมารับแผ่นหยกไว้ในมือ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหา ก็พยักหน้าให้เหมียวอี้

 ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เคารพมิสู้ทำตามคำสั่ง องค์ชายเชิญตามสะดวก  เหมียวอี้ยื่นมือเชิญตามสะดวก สายตาไปหยุดอยู่บนตัวชายวัยกลางคนข้างกายชิงหยวนจุน สังเกตเห็นนานแล้วว่าคนคนนี้มองตนด้วยสายตาไม่ค่อยเป็นมิตร จึงถามว่า  ท่านนี้คงจะเป็นหวังติ้งเฉา รองผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลคนใหม่ พี่หวัง? 

 เป็นหวังเอง!  หวังติ้งเฉากุมหมัดคารวะ  คารวะท่านอ๋อง! 

 ตั้งแต่จากกันที่แดนอเวจี ก็ไม่ได้พบกันเลยหลายปี พี่หวังยังสง่าโดดเด่นเหมือนเดิม ควรค่าที่จะแสดงความยินดี!  เหมียวอี้พยักหน้า

 ไม่โดดเด่นเท่าท่านอ๋องในปีนั้นหรอก!  หวังติ้งเฉาตอบกลับด้วยคำพูดเย็นชา

 บังอาจ!  สวีถังหรานตะคอกอย่างเดือดดาล

เหมียวอี้ยกมือห้าม แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไม่ถือสา  ในเมื่อเป็นเพื่อนบ้านกัน ถ้าองค์ชายกับพี่หวังมีเวลาว่างก็มานั่งเล่นที่นี่บ่อยๆ 

 ขอตัวว!  ชิงหยวนจุนกุมหมัดกล่าวอำลา แล้งนำกำลังพลเหาะขึ้นฟ้าไป

ตอนนี้สวีถังหรานเข้ามาใกล้เหมียวอี้แล้ว  ท่านอ๋อง ชิงหยวนจุนนี่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่สั่งสอนสักหน่อยเหรอ? 

 ไม่จำเป็นต้องถือสาคนพื้นๆ อย่างพวกเขาหรอก  เหมียวอี้รับแผ่นหยกมาจากหยางเจาชิง แล้วกำชับว่า  บอกหลงซิ่น ถ้าอีกฝ่ายพูดจาไร้มารยาท ก็ให้อดทนไว้ หลังจากส่งต่องานที่ผู้สำเร็จราชการแล้ว ก็ให้รีบถอนกำลังพลออกมา อย่าให้เกิดความขัดแย้งอะไรกัน 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับแล้วไปจัดการ

สวีถังหรานได้แต่มองแผ่นหยกในมือเหมียวอี้ตาปริบๆ คนที่อยู่รอบๆ สายตาจับจ้องอยู่บนแผ่นหยกแผ่นนี้ พอจะเดาออกแล้วว่าของที่อยู่ในนี้สามารถตัดสินอนาคตของคนได้มากมาย

เหมียวอี้ตรวจอ่านแผ่นหยกเช่นนั้น จากนั้นสายตาก็มองไปที่สวีถังหราน แล้วบอกว่า  เจ้ามานี่หน่อย! 

 ขอรับ!  สวีถังหรานตามเข้าไปในจวนท่านอ๋องอย่างว่าง่าย

ทั้งสองยืนอยู่บนลานกว้างโล่งนอกตำหนักหลัก บนใบหน้าสวีถังหรานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เดินตามอยู่ข้างๆ อย่างเคารพนบนอบ คอยสังเกตสีหน้าของเหมียวอี้อย่างระมัดระวัง

 หลิงหลงติดต่อหวังเฟยไปคุยเรื่องของเจ้าแล้ว หวังว่าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง  เหมียวอี้เปิดประเด็น

สวีถังหรานกังวลทันที ก่อนหน้านี้แม้จะรู้สึกว่าอวิ๋นจือชิวจะไม่แทรกแซงเรื่องนี้ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะลองพยายาม ถึงอย่างไรก็เป็นหนทางเดียว มีหรือที่จะยอมแพ้ง่ายๆ จึงให้เสวี่ยหลิงหลงไปขอร้องให้อวิ๋นจือชิวช่วยพูดให้ เขากลืนน้ำลายแล้วพูดเหมือนแกล้งโกรธว่า  ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้ความจริงๆ เข้ามายุ่งกับเรื่องใหญ่แบบนี้ได้ยังไง เดี๋ยวข้าน้อยจะกลับไปสั่งสอนนางแน่นอน! 

มีหรือที่เหมียวอี้จะไม่รู้ถึงความตั้งใจของเขา  หลิงหลงทำแบบนี้ไม่ผิดหรอก ในเมื่อเจ้ามีความตั้งใจจะทำงานให้ข้า ข้าก็ย่อมให้โอกาสเจ้า เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าควรจะเข้าใจเอาไว้ ตอนนี้วรยุทธ์ของเจ้าเหมาะสมเพียงตำแหน่งหัวหน้าภาค ถ้าเลื่อนตำแหน่งสูงกว่านี้คนอื่นจะไม่พอใจ เจ้าคิดว่ายังไง? 

สวีถังหรานเผยแววตาหดหู่ เสียความรู้สึกนิดหน่อย เมื่อก่อนนี้ตัวเองได้ก้าวหน้าตามทุกครั้ง ในที่สุดครั้งนี้ก็ตามไม่ทันแล้ว แต่เขาก็ยังพยักน้ายิ้มอย่างเก้อเขิน  ท่านอ๋องพูดถูก ข้าน้อยยินดีฟังคำสั่งท่านอ๋อง 

 แต่คำพูดของหวังเฟยก็มีเหตุผลอยู่บ้าง หลังจากข้ากลับไปครุ่นคิด ก็พบวิธีการประนีประนอมแล้ว ตำแหน่งโหวสิบแปดตำแหน่งในทัพใต้ สามารถเว้นให้เจ้าได้หนึ่งตำแหน่ง!  เหมียวอี้กล่าว

สวีถังหรานอึ้งทันที จากนั้นก็ดีใจอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจศักดิ์ศรีบ้าบออะไรแล้ว เขาคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นซ้ำๆ กล่าวเสียงสะอื้นว่า  ท่านอ๋องมีบุญคุณอีกแล้ว ต่อให้ข้าน้อยตายหมื่นครั้งก็ตอบแทนไม่หมด! 

เหมียวอี้รับไม่ไหวกับพฤติกรรมเอะอะก็คุกเข่าร้องไห้ฟูมฟาย เหล่ตากล่าวว่า  มาคุยกันดีๆ ไม่ได้ใช่มั้ย? ถ้าเจ้าเป็นอย่างนี้อีก เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ช่างมันเถอะ 

สวีถังหรานรีบลุกขึ้นมา แล้วปาดน้ำตาบอกว่า  ท่านอ๋อง ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาอื่น ข้าน้อยแค่ซาบซึ้งเกินไป ซาบซึ้งไปชั่วขณะ! 

ไม่ซาบซึ้งก็แปลกแล้ว เหมียวอี้ไต่เต้าขึ้นจอมพลถือเป็นกรณีพิเศษ ส่วนคนอื่นที่วรยุทธ์ไม่ถึงระดับสำแดงฤทธิ์ ถ้าคิดจะนั่งตำแหน่งโหวก็เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปเมื่อไร สวีถังหรานก็ได้หน้าได้ตาเต็มที่จริงๆ เพราะนี่คือตำแหน่งที่ได้ยืนประชุมในราชสำนัก ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรอิจฉา

 ข้ายังพูดไม่จบ เจ้าอย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไปนัก ด้วยสถานการณ์ของเจ้า ถ้านั่งตำแหน่งโหวก็คุมคนได้ยาก เพราะขาดบารมีความน่าเชื่อถือ ดังนั้นข้าให้ตำแหน่งโหวกับเจ้าได้ แต่ให้อำนาจทางทหารของตำแหน่งโหวไม่ได้ อำนาจนี้ต้องยกให้คนอื่นจัดการ ส่วนเจ้าก็ช่วยหวังเฟยรับผิดชอบงานข้างนอกต่อไป ปกติเวลาเข้าประชุมก็สังเกตความเคลื่อนไหวในราชสำนัก สถานการณ์ก็เป็นแบบนี้ ถ้าเจ้าเต็มใจ เรื่องนี้ก็กำหนดตามนี้ ถ้าเจ้าไม่เต็มใจ เช่นนั้นก็ช่างเถอะ คิดเสียว่าข้าไม่เคยพูด  เหมียวอี้กล่าว

ที่จริงนี่คือสิ่งที่ร่างไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาก็แค่จะให้ผลงานอวิ๋นจือชิวเท่านั้น อวิ๋นจือชิวก็แค่คอยบอกต่อเจตนาของเสวี่ยหลิงหลงนิดหน่อยเท่านั้น นางไม่คิดจะเข้ามาแทรกแซง แต่ก็ใช่ว่าไม่พิจารณาเพื่อสวีถังหราน แต่รู้ว่าด้วยความสามารถอย่างสวีถังหราน ให้นั่งตำแหน่งพวกนั้นไม่เหมาะสมจริงๆ

และสำหรับเหมียวอี้แล้ว สวีถังหรานเชื่อฟังเกินไป สั่งให้ทำอะไรก็ทำอย่างนั้น ถ้าไม่ยากมากก็ทำได้ดี ถ้าเป็นงานยากก็ไม่เคยปฏิเสธ บอกอะไรก็รับอย่างนั้น ทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของเขาได้เสมอ ลูกน้องที่ใช้ง่ายแบบนี้ จะต้องปลอบโยนจิตใจเอาไว้

สวีถังหรานพยักหน้าซ้ำๆ  เต็มใจๆ! ข้าน้อยเต็มใจทำงานรับใช้ท่านอ๋องเหมือนม้าเหมือนสุนัข ต่อให้ตายหมื่นครั้งก็ไม่ปฏิเสธ! 

จะเรียกว่าไม่มีน้ำใจได้อย่างไร เขาเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองชัดเจน ถ้าให้กุมอำนาจทางทหารของตำแหน่งโหว ดีไม่ดีอาจเป็นการทุ่มหินใส่เท้าตัวเองก็ได้ อาศัยอำนาจบารมีของตัวเองตอนนี้ ไม่สามารถคุมอาณาเขตที่ใหญ่ขนาดนั้นได้เลย ดังนั้นเขาไม่หวังจะเป็นท่านโหวอะไรนั่นตั้งแต่แรกแล้ว แค่อยากจะได้ตำแหน่งที่ฟังดูดีเฉยๆ ทำยศให้สูงเข้าไว้ก่อน จะได้ไม่ล้าหลังกว่าคนอื่น ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่านายท่านจะให้เขานั่งตำแหน่งโหว ที่สำคัญก็คือ เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าท่านอ๋องให้ความสำคัญกับเขา เขายังยินดีจะทำงานอยู่ข้างกายท่านอ๋อง ติดต่อใกล้ชิดกับท่านอ๋องและฮูหยิน ไม่อยากถูกคนอื่นควบคุม และไม่อยากสิ้นเปลืองความพยายามไปกับการดูแลอาณาเขตขนาดใหญ่ด้วย เพราะวันๆ ต้องคอยคิดรับมือกับผู้บังคับบัญชาอย่างพวกเทพประจำดาวหรือจอมพล แบบนั้นเหนื่อยมาก คนอื่นอาจจะชอบงานแบบนี้ แต่จะไปดีเหมือนผู้บัญชาการสูงสุดของทัพใต้ได้อย่างไร นี่คือแนวคิดที่เขาคุ้นเคย

เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว สวีถังหรานที่ออกจากจวนท่านอ๋องก็แทบยิ้มไม่หุบ พอกลับถึงบ้านก็อุ้มเสวี่ยหลิงหลงหมุนอย่างดึใจทันที

เสวี่ยหลิงหลงบิดหูเขา  รีบปล่อยข้าลง มีเรื่องอะไรทำให้เจ้าดีใจขนาดนี้? 

พอวางนางลง สวีถังหรานก็ประคองบ่าสองข้างของนาง แล้วกล่าวอย่างดีใจว่า  เจ้าฟังให้ดีนะ เมื่อครู่ท่านอ๋องเพิ่งให้สัญญาต่อหน้าข้า ว่าจะให้ข้าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์! 

 จริงเหรอ?  เสวี่ยหลิงหลงตาลุกวาว

 จะโกหกได้ยังไงล่ะ!  สวีถังหรานหัวเราะลั่น

 ดีสุดๆ เลย ตอนนี้เจ้าพอใจหรือยังล่ะ?  เสวี่ยหลิงหลงกอดเขาแล้วออกแรงจูบ นางย่อมดีใจตามอยู่แล้ว จากสิ่งที่ได้ยินได้เห็นมา สวีถังหรานทำให้นางเลิกสนใจไปนานแล้ว

สำหรับคนที่มีพื้นเพอาชีพอย่างนาง การได้กลายเป็นฮูหยินของท่านโหวที่ได้เข้าประชุมในราชสำนัก เกียรติยศนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้นางตื่นเต้นแล้ว ในปีนั้นตอนอยู่หอกลิ่นสวรรค์ นางนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าตัวเองจะมีวันนี้

 เป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก ควรจะเฉลิมฉลองให้ดีหน่อยสิ!  สวีถังหรานโน้มตัวช้อนเอวนางขึ้นมา แล้วอุ้มเข้าไปฉลองในห้องนอนเสียเลย…

คำสั่งแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ ในทัพใต้ถูกประกาสอย่างรวดเร็วเช่นกัน

เหยียนเสี้ยว ผู้ตรวจการซ้ายทัพอารักขาเดิมของฮ่าวเต๋อฟางได้เป็นจอมพลสายเถาะ ซูชิงฉวน ลูกน้องคนสนิทของผังก้วนในปีนั้นได้เป็นจอมพลสายมะโรง คำสั่งแต่งตั้งนี้ทำให้ทั้งสองนึกไม่ถึง นึกไม่ถึงว่าจะถูกหนิวโหย่วเต๋อใช้งานในตำแหน่งสำคัญขนาดนี้ และการที่เหมียวอี้ใช้งานพวกเขา ก็เพื่อปลอบขวัญกำลังใจทหารของทัพใต้โดยเร็วที่สุด การปรับปรุงครั้งใหญ่ขนาดนี้ทำให้คนเก่าของทัพใต้ไม่น้อยเกิดความคับแค้น ตอนนี้ใช้งานสองคนนี้แล้ว คนที่ผิดหวังพวกนั้นยังมีใครบ้างที่ว่าเหมียวอี้ได้ว่าจงใจข่มคนเก่า? ส่วนสองคนนั้นก็ต้องพยายามข่มความไม่พอใจเอาไว้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเช่นกัน

เหิงอู๋เต้าได้คำสั่งแต่งตั้งให้เป็นจอมพลสายมะเส็ง นับว่าได้ชี้แจงกับลูกน้องเก่าแดนรัตติกาลกับลูกน้องเก่าของลิ่งหูโต้วจ้งได้แล้ว

เทพประจำดาวทั้งเก้าสาย ลูกน้องเก่าของเหมียวอี้หวงลี่ หนานกงหรูอวี้ ม่ายจื่อและคนอื่นๆ ครองไปหกตำแหน่ง ส่วนที่เหลืออีกสามตำแหน่งเป็นของกำลังพลเดิมของทัพใต้

ท่านโหวสิบแปดตำแหน่ง คนเก่าของจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลครองไปสิบสองตำแหน่ง สวีถังหรานก็เป็นหนึ่งในนั้น ส่วนที่เหลืออีกหกตำแหน่งเป็นของกำลังพลทัพใต้

ส่วนตำแหน่งหัวหน้าภาคสี่พันตำแหน่ง ส่วนใหญ่ถูกกำลังพลเดิมจำนวนหนึ่งแสนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลผูกขาดแล้ว นี่คือรางวัลที่เหมียวอี้ให้ลูกน้องเก่าพวกนั้น เป็นตำแหน่งสำคัญของกำลังพลชุดใหญ่สุดที่คุมทัพใต้เช่นกัน เหมียวอี้ดึงกำลังพลแดนรัตติกาลสิบล้านกว่าแบ่งไปให้คนพวกนี้โดยตรง ให้ความร่วมมือกับพวกเขาในการกุมอำนาจทางทหาร เรียกได้ว่ากักตำแหน่งไว้ล่วงหน้า ในภายหลังเมื่อเวลานานไป ไม่ว่าเบื้องบนจะปรับอย่างไร คนที่ถูกเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าภาคส่วนใหญ่ก็ต้องดึงมาจากสิบล้านคนนี้ นี่คือกุญแจสำคัญที่เหมียวอี้จะคุมกำลังพลเบื้องล่างให้สงบลงได้ในช่วงเวลาหนึ่ง

กำลังพลระดับผู้บัญชาการใหญ่ลงมา ส่วนใหญ่ถูกจับกระจายหมด เหมียวอี้ไม่ให้คนในเครือข่ายเดิมเกาะกลุ่มกัน สายลับของตระกูลเซี่ยโห้วที่เปิดเผยตัวถูกเหมียวอี้เตะออกหมดอย่างไม่ปรานี สำหรับเรื่องนี้ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ว่าอะไร ตอนที่ให้คนเปิดเผยตัวก็รู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะมาถึง

ส่วนชิงเยว่กับหลงซิ่น เหมียวอี้เคยไปเจรจากับพวกเขาแล้ว ทั้งสองทิ้งตำแหน่งที่ต้องแข่งขันกันพวกนั้น รับตำแหน่งผู้ตรวจการซ้ายขวาทัพอารักขาของเหมียวอี้

ส่วนทัพอารักขาของเหมียวอี้ก็สร้างขึ้นจากกำลังพลสามสิบล้านที่เหลือของทัพใหญ่แดนรัตติกาล เมื่อเทียบกับอ๋องสวรรค์คนอื่น กองทัพอารักขาจำนวนเท่านี้น้อยไปหน่อย แต่เหมียวอี้ก็ไม่มีทางเลือก คนที่พอจะเชื่อใจได้ก็มีแค่คนพวกนี้ มีฮ่าวเต๋อฟางให้เห็นไปบทเรียนแล้ว ชิงเยว่กับหลงซิ่นได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบกำลังพลสามสิบล้านคนนี้อย่างลับๆ สุดท้ายคนที่น่าสงสัยก็ถูกเตะออกจากทัพอารักขาหมด ขณะเดียวกันก็คอยรับสมาชิกที่ไว้ใจได้มาเข้าทัพอารักขาด้วย เมื่อได้อาณาเขตทัพใต้มาแล้ว เรื่องกำลังทรัพย์ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเหมียวอี้

สำหรับตอนนี้ คนที่รับหน้าที่หลักในทัพอารักขาก็คือชิงเยว่ เพราะหลงซิ่นต้องควบหน้าที่ดูแลอาณาเขตใกล้ๆ นี้ ต้องสร้างสภาพแวดล้อมปลอดภัยให้รอบๆ ที่อยู่อาศัยของเหมียวอี้ บริเวณที่ดูแลก็คืออาณาเขตที่สวีถังหรานรับตำแหน่งโหว

……………

 

ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงนั่งสง่าอยู่หลังโต๊ะยาวกำลังถือรายงานของหนิวโหย่วเต๋อที่ซ่างกวนชิงส่งต่อมาให้

หลังจากอ่านซ้ำๆ ประมุขชิงก็ถามว่า  ทำไมไม่เห็นคำสั่งแต่งตั้งของรองผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเหวินเจ๋อกับพรรคพวก? 

พอพูดถึงตรงนี้ ซ่างกวนชิงก็สีหน้าบึ้งตึงลงอย่างอดไม่ได้  ฝ่าบาท บ่าวถามหนิวโหย่วเต๋อแล้ว หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าพวกเหวินเจ๋อรบตายในสึกครั้งนี้ บอกว่าต้องให้ตำหนักสวรรค์ประทานเกียรติยศให้พวกเหวินเจ๋อที่รบตายไป! ตามความเห็นของข้าน้อย เกรงว่าพวกเหวินเจ๋อคงโดนหนิวโหย่วเต๋อสังหารแล้ว! 

 หึ!  ประมุขชิงตบโต๊ะ หัวเราะอย่างเย็นเยียบพักหนึ่ง  ไอ้จัญไรนี่ยิ่งนับวันจะยิ่งใจกล้าขึ้นเรื่อยๆ! 

หลังจากนั้นหนึ่งเดือน จบการประชุมขุนนางที่ตำหนักฟ้าดินอีกครั้ง เรื่องที่ประมุขชิงเสนอคำสั่งแต่งตั้งโอรสสวรรค์ชิงหยวนจุนให้เป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เรื่องที่โยกย้ายกองทัพองครักษ์ห้าสิบล้านให้เป็นกำลังพลแดนรัตติกาล ครั้งนี้ไม่มีเสียงคัดค้าน ผ่านไปได้อย่างราบรื่น ส่วนคำขอแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ ในทัพใต้ที่เหมียวอี้รายงานขึ้นมา ก็ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางทั้งราชสำนัก ประมุขชิงไม่ได้คัดค้านเช่นกัน

ประมุขชิงกับเหมียวอี้ล้วนยอมถอยคนละก้าวเพื่อประนีประนอม เรียกได้ว่ามีการแลกเปลี่ยนทางผลประโยชน์ ทั้งสองฝ่ายต่างไม่พอใจการกระทำของกันและกัน แต่ก็ล้วนได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว

หลังจากจบการประชุม ประมุขชิงก็ตรงไปที่ตำหนักนารีสวรรค์ ก่อนการประชุมจะเริ่มชิงหยวนจุนได้กลับมาที่วังสวรรค์แล้ว ตอนนี้กำลังถามสารทุกข์สุกดิบกับมารดาที่ตำหนักนารีสวรรค์

นอกตำหนักนารีสวรรค์ ชายวัยกลางคนที่ผมหงอกขาวทว่าสายตาแน่วแน่กำลังยืนอยู่ด้านนอกประตูใหญ่ ไม่รู้ว่ากำลังรอใคร

เมื่อประมุขชิงมาถึง ทหารยามตรงประตูก็ทำความเคารพ รวมทั้งชายหนุ่มคนนั้นด้วย

สายตาประมุขชิงหยุดอยู่บนตัวชายหนุ่มคนนั้น ตั้งใจหยุดเดินเพื่อเขา เดินไปหยุดตรงหน้าเขาแล้วจ้องสำรวจศีรษะจดเท้า ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ  ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป หวังติ้งเฉา ข้ากับเจ้าไม่เจอกันมาหลายปีแล้ว! 

คนคนนี้ก็คือหวังติ้งเฉา ผู้ที่เข้าร่วมการทดสอบที่แดนอเวจีพร้อมกับเหมียวอี้แล้วได้อันดับหนึ่ง

หลังจากหวังติ้งเฉาได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกฮึกเหิมอย่างเห็นได้ชัดเจน หลังจากเข้าร่วมการทดสอบจนได้อันดับหนึ่งในปีนั้น เขาก็ได้รับเมตตาให้เข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพียงครั้งเดียว ราชันกับขุนนางเคยพบกันเพียงครั้งนั้น ไม่ได้เจอกันมาหลายปีขนาดนี้ เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าฝ่าบาทยังจำเขาได้ ทั้งยังตั้งใจเข้ามาทักทายเขาด้วย รู้สึกตื้นเต้นฮึกเหิมราวกับในหัวใจมีคลื่นสาดกระทบ

ข่มความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ หวังติ้งเฉากล่าวอย่างนอบน้อม  ขอรับ! 

 เคล็ดวิชาฝึกตนที่ให้คนส่งไปให้เจ้าปีนั้น ประสิทธิภาพเป็นอย่างไร?  ประมุขชิงถาม

 ขอบพระทัยฝ่าบาท ประสิทธิภาพดีมาก ดีกว่าเคล็ดวิชาฝึกตนที่เคยฝึกก่อนหน้านี้มากขอรับ  หวังติ้งเฉาตอบด้วยความเคารพ

 อืม!  ประมุขชิงยื่นมือตบบ่าเขาเบาๆ แล้วกำชับว่า  ตั้งใจหน่อย นั่นคือเคล็ดวิชาฝึกตนของหนึ่งในสามสิบสองประมุขดาวเชียวนะ ถ้าทรัพยากรฝึกตนไม่พอ หรือมีอะไรลำบากก็ติดต่อซ่างกวนได้โดยตรง  แล้วหันกลับมาพูดเสริมอีกว่า  ซ่างกวน ให้ช่องทางติดต่อเขาไว้เถอะ 

 รับทราบ!  ซ่างกวนชิงก้าวขึ้นมาข้างหน้าทันที หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ให้หวังติ้งเฉาลงตราอิทธิฤทธิ์ไว้ เห็นได้ชัดว่านี่คือระฆังดาราแบบใหม่ ใช้อันเดียวก็สามารถเก็บช่องทางการติดต่อของคนจำนวนมากได้ ไม่ต้องพกระฆังดาราติดตัวหลายอัน

หวังติ้งเฉาลงตราอิทธิฤทธิ์ แล้วรีบหยิบระฆังดาราของตัวเองยื่นให้ เป็นระฆังดาราแบบใหม่เช่นกัน

หลังจากลงตราอิทธิฤทธิ์แล้ว ซ่างกวนชิงก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า  ต่อไปนี้ถ้ามีเรื่องอะไรก็ติดต่อข้าได้โดยตรง ไม่ต้องเกรงใจ  ท่าทีค่อนข้างอ่อนโยน

 ขอรับ!  หวังติ้งเฉากุมหมัดคารวะ

 ซ่างกวน รออีกสักพักมอบกระบี่เก้าเตาด้ามนั้นของข้าให้เขาด้วย  ประมุขชิงบอกซ่างกวนชิง แล้วก็หันมาบอกหวังติ้งเฉาอีกว่า  อีกประเดี๋ยวจะมีคำสั่งแต่งตั้งใหม่ให้เจ้า ตั้งใจทำงานให้ดี อย่าทำให้ข้าผิดหวัง! 

 รับทราบ!  หวังติ้งเฉาเอ่ยรับ

ประมุขชิงตบบ่าเขาอีก จากนั้นก็เดินก้าวยาวเข้าไปในตำหนักนารีสวรรค์ หวังติ้งเฉากุมหมัดคารวะน้อมส่ง ค้างอยู่ในท่านี้นานมาก

ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าทหารยามที่อยู่ข้างๆ มองหวังติ้งเฉาด้วยสายตาอิจฉาขนาดไหน ไม่เคยเห็นฝ่าบาทตบบ่าพี่น้องกองทัพองครักษ์อย่างสนิทสนมขนาดนี้มาก่อน วันนี้นับว่าได้เห็นแล้ว พอพูดถึงหวังติ้งเฉาคนนี้ ทุกคนที่พอจะรู้เบาะแสมาบ้างล้วนรู้สึกสะท้อนใจ เขาเป็นคนที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญเป็นพิเศษอย่างแท้จริง อยู่ในตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผีมาหลายปีโดยไม่ก้าวหน้าอะไร จึงถูกโยกย้ายไปเป็นแม่ทัพภาคกองทัพองครักษ์เป็นกรณีพิเศษ ตอนนี้ได้เป็นหัวหน้าภาคกองทัพองครักษ์แล้ว ที่กองทัพองครักษ์ การข้ามจากระดับแม่ทัพภาคไประดับหัวหน้าภาคมีความหมายแฝงที่ไม่ธรรมดา กองทัพองครักษ์มีกำลังพลนับไม่ถ้วน คนที่สามารถผ่านเกณฑ์ไปได้เรียกได้ว่าหายากเหมือนขนหงส์เขากิเลน และตอนนี้ฝ่าบาทก็เอ่ยคำสั่งแต่งตั้งด้วยตัวเองต่อหน้าเขาอีก ไม่รู้เหมือนกันว่าคนคนนี้มีจุดไหนที่ทำให้ฝ่าบาทโปรดปรานได้

หารู้ไม่ว่าในใจหวังติ้งเฉารู้สึกตื้นตันใจแทบแย่ เขารู้อย่างลึกซึ้งว่าตัวเองคงใช้ชีวิตในสังคมไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะประมุขชิงแอบดูแลอย่างลับๆ มาตลอดหลายปี เกรงว่าแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปอยู่ซอกมุมไหน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินมาถึงทุกวันนี้ได้

กระบี่ใหญ่สีขาวดุจหยกทั้งตัวที่ยาวครึ่งยังปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ซ่างกวนชิงถือกระบี่พร้อมบอกว่า  กระบี่เก้าเตา หลอมสร้างจากผลึกพิเศษที่หายากที่สุดในบรรดาแร่ผลึกทุกชนิด แหลมคมไร้ที่เปรียบ ทำลายได้ทุกสิ่ง เป็นอาวุธที่ฝ่าบาทใช้บุกยึดใต้หล้าในปีนั้น! 

เมื่อได้ยินว่าเป็นอาวุธที่ประมุขชิงใช้บุกยึดใต้หล้าในปีนั้น ทหารยามที่อยู่ข้างๆ ก็ตกใจไม่หยุด หวังติ้งเฉาก็ยิ่งหวาดกลัวจนถอยหลังสองก้าว  ของล้ำค่าขนาดนี้ ข้าน้อยมิกล้ารับไว้เลย! 

 ฝ่าบาทบอกว่าประทานให้เจ้า ก็แสดงว่าเป็นของเจ้าแล้ว หรือว่าเจ้าคิดจะขัดบัญชา?  ซ่างกวนชิงถาม

หวังติ้งเฉาคุกเข่าข้างเดียวทันที แล้วใช้สองมือชูขึ้นรับไว้  ข้าน้อยน้อมรับบัญชา! 

ตอนวางกระบี่วิเศษลงในมือหวังติ้งเฉา ซ่างกวนชิงก็กล่าวอย่างสะเทือนอารมณ์เช่นกัน  ฝ่าบาทประทานกระบี่นี้ให้เจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง! 

 ข้าน้อยจะทุ่มเทสติปัญญาเเลความสามารถตราบจนชีวิตหาไม่!  หวังติ้งเฉากล่าวอย่างซาบซึ้งใจ

ซ่างกวนชิงเก็บมือแล้วถอยไปยืนรอด้านข้าง ปรายตามองหวังติ้งเฉาที่ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ อย่างทอดถอนใจไม่หยุด อดไม่ได้ที่จะนึกถึงหนิวโหย่วเต๋อ

หนิวโหย่วเต๋อในปีนั้นก็ได้รับการชื่นชมจากฝ่าบาทเช่นกัน ตั้งใจจะชุบเลี้ยง เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต๋อโดดเด่นกว่าหวังติ้งเฉามาก และมีความสามารถมากกว่าด้วย ตอนแรกคงจะเป็นตัวเลือกแรกของฝ่าบาท ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี หนิวโหย่วเต๋อเผยความฉลาดเจ้าเล่ห์และผงาดขึ้นเร็วเกินไป กลับทำให้ฝ่าบาทรังเกียจและอยากกำจัดทิ้ง หวังติ้งเฉาที่นิ่งเงียบมาหลายปีกลับได้รับกระบี่เก้าเตาจากฝ่าบาทแล้ว ความหมายที่แฝงอยู่ในนั้นควรค่าให้ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง

ความอ่อนเยาว์บนใบหน้าชิงหยวนจุนหายไปแล้ว ตอนนี้มีหนวดเคราสั้นๆ ลักษณะท่าทางกร้านโลกขึ้นหลายส่วน เปลี่ยนเป็นสุขุมใจเย็นมากขึ้น

สองพ่อลูกไม่ได้เจอกันมาหลายปี ตั้งแต่ถูกไล่จากวังสวรรค์ในปีนั้น ชิงหยวนจุนก็ไม่เคยได้พบบิดาอีกเลย เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อยากพบลูกหลายครั้ง แต่กลับถูกประมุขชิงขัดขวาง ทั้งยังด่าว่านางเป็นมารดาที่มีเมตตาเกินไปจนลูกเสียคน

หลายปีมานี้ ชิงหยวนจุนร่วมปราบโจรกับกองทัพองครักษ์ รวมศึกเล็กศึกใหญ่ก็นับว่าผ่านมาหลายสิบครั้ง ด้วยความที่ผู้บังคับบัญชาตั้งใจอบรมบ่มเพาะเพราะรู้อยู่แก่ใจ ย่อมได้สร้างผลงานการรบครั้งแล้วครั้งเล่า ได้ไต้เต้าขึ้นไปทีละก้าว คนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกต่างก็ตระหนักได้ ว่าอย่างไรเสียชิงหยวนจุนก็เป็นโอรสสวรรค์ กองทัพองครักษ์เป็นเพียงเวทีเริ่มต้นของโอรสสวรรค์ เป็นไปไม่ได้ที่จะปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนทั่วไปเต็มที่ ถ้าปล่อยให้เขารบตายไปจริงๆ ไม่ว่าใครก็ชี้แจงต่อเบื้องบนไม่ไหว

เมื่อได้พบบิดาอีกครั้ง ในใจชิงหยวนจุนก็มีหลากหลายความรู้สึกปนกัน อดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉากอันน่าเวทนาที่โดนไล่ออกจากวังในปีนั้น

หลังจากทำความเคารพแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็รีบก้าวไปข้างหน้าแล้วถามว่า  ฝ่าบาท ได้คำสั่งแต่งตั้งของจุนเอ๋อร์มาหรือยังเพคะ? 

 อืม  ประมุขชิงพยักหน้า ขณะมองประเมินลูกชายศีรษะจดเท้า ก็กล่าวเสียงเรียบว่า  จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลค่อนข้างแยกตัวเป็นอิสระ ดูเหมือนสงบราบเรียบ แต่ความจริงแล้วหากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา นั่นก็เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยคนโฉดชั่วดุร้าย ถูกขนาบอยู่ระหว่างศัตรู มีเรื่องมากมายที่ต้องให้เจ้าไปเผชิญหน้าเพียงลำพัง ไม่ได้มีผู้บังคับบัญชาคอยชี้แนะตลอดเวลาเหมือนตอนอยู่กองทัพองครักษ์แล้ว กองทัพองครักษ์ค่อนข้างเรียบง่าย แต่สถานการณ์บนอาณาเขตปกครองค่อนข้างซับซ้อน อย่านึกว่าเจ้าเป็นลูกข้าแล้วคนอื่นจะกลัวเจ้า หลังจากรับตำแหน่งแล้วต้องระมัดระวังให้มากๆ…  คำพูดตักเตือนคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้

หลังจากนั้นไม่กี่วัน กองทัพองครักษ์ห้าสิบล้านนายที่กลายเป็นกำลังพลทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็มากันครบแล้ว ชิงหยวนจุนที่พักอยู่ในวังสวรรค์ไม่กี่วันกล่าวอำลา ก่อนจะนำทัพใหญ่ออกเดินทาง

หลังจากเข้ามาในอาณาเขตทัพใต้ ชิงหยวนจุนก็ตระหนักได้ว่าตัวเองเข้ามาในถิ่นของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว พอในหัวนึกถึงอดีตตอนรู้จักกับหนิวโหย่วเต๋อ ในใจก็พรั่งพรูความโกรธแค้น นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเป็นวีรบุรุษชั่วช้าเช่นนี้ บังอาจมาควบคุมพวกเขาสองแม่ลูกเอาไว้ปั่นหัวเล่น

 ท่านอ๋อง! ชิงหยวนจุนนำทัพใหญ่มา ถูกทหารยามดักไว้ตรงประตูดวงดาว ไม่ยอมรับการตรวจค้นจากทหาร กำลังพลของสองฝ่ายกำลังคุมเชิงกันอยู่ ชิงหยวนจุนฝากมาถามว่า ท่านอ๋องยังอยากจะได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์อยู่หรือเปล่า! 

จวนท่านอ๋อง ห้องหนังสือ หยางเจาชิงเข้ามารายงานเหมียวอี้

 อ้อ!  เหมียวอี้เอนหลังพิงเก้าอี้ หลังจากครุ่นคิดสักพักก็ยิ้มเบาๆ  ในปีนั้นที่ขอเงินข้าขนมจากข้า เขายังว่านอนสอนง่ายอยู่เลย ตอนนี้เริ่มเจ้าอารมณ์แล้ว เจ้าเด็กนี่คิดว่าตัวเองรบแค่ไม่กี่ศึกก็เก่งแล้วเหรอ ถ้าไม่มีพ่อหนุนหลัง เขาก็ไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้น!  เหมียวอี้โบกมือ  ช่างเถอะ! ไม่ต้องค้นตัวเขา ปล่อยเขาเข้ามา ส่วนคนอื่นให้ตรวจสอบอย่างเข้มงวด ใครบุกเข้ามาโดยพลการ ฆ่า! 

หยางเจาชิงถ่ายทอดคำสั่งลงไป ส่วนเหมียวอี้ก็ไว้หน้าชิงหยวนจุนเต็มที่ ออกจากจวนท่านอ๋องมาต้อนรับด้วยตัวเอง

ผ่านไปไม่นาน ชิงหยวนจุนก็นำผู้ติดตามร้อยคนเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงนอกจวนท่านอ๋อง

เมื่อ ‘สหายเก่า’ พบกันอีกครั้ง เหมียวอี้สวมมงกุฎหยกบนมวยผมและสวมชุดผ้าแพรทั้งตัว ตอนนี้กำลังยืนประสานมือตรงหน้าท้อง หรี่ตายิ้มมองชิงหยวนจุนโดยไม่พูดอะไร

ชิงหยวนจุนจ้องสำรวจเหมียวอี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ รู้สึกได้ถึงพลังอำนาจอันน่าเกรงขามจากตัวเหมียวอี้

เขาอยู่ที่กองทัพองครักษ์มาหลายปี ย่อมรู้ชื่อเสียงของเหมียวอี้ในกองทัพองครักษ์ เคยสร้างผลงานรบที่นำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ตีทัพใหญ่หนึ่งล้าน ตอนนี้ยังไม่มีใครทำลายสถิติได้ อีกทั้งแต่ละเรื่องที่เหมียวอี้ทำหลังจากออกกองทัพองครักษ์ไปแล้วก็ยังร่ำลือเป็นวงกว้างอยู่ภายในกองทัพองครักษ์ ตอนนำกำลังพลหนึ่งแสนตีทัพตะวันออกห้าล้านแตกก็ทำให้กองทัพองครักษ์ฮือฮาเช่นกัน ตอนนำทัพใหญ่แดนรัตติกาลห้าสิบล้านใช้กลอุบายที่เอาแน่นเอานอนไม่ได้อย่างต่อเนื่อง ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งจนโค่นล้มฮ่าวเต๋อฟางและได้ทั้งอาณาเขตทัพใต้ กลายเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ในตอนนี้ ก็ยิ่งทำให้ภายในกองทัพองครักษ์ฮือฮากว่าเดิม

ในสายตาชิงหยวนจุน สิ่งที่เหมียวอี้ทำคือพฤติกรรมกบฏ แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าในกองทัพองครักษ์มีคนไม่น้อยที่เอาแต่พูดว่าหนิวโหย่วเต๋อคือคนที่ออกไปจากกองทัพองครักษ์ เหมือนรู้สึกเป็นเกียรติไปด้วย อีกทั้งหนิวโหย่วเต๋อยังเคยสร้างผลงานการรบอันยิ่งใหญ่ไว้ที่กองทัพองครักษ์ กอปรกับตอนหลังอาศัยกำลังที่น้อยกว่าโจมตีชนะทุกศึก สำหรับกองทัพองครักษ์ที่ให้ความสำคัญกับผลงานการรบ มีคนไม่น้อยที่นับถือหนิวโหย่วเต๋อมาก ถึงขั้นมีคนมองหนิวโหย่วเต๋อเป็นเทพแห่งสงครามด้วย

กองทัพองครักษ์ส่วนใหญ่ไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของชิงหยวนจุน ดังนั้นชิงหยวนจุนจึงได้ยินคนไม่น้อยเอ่ยถึงเรื่องแบบนี้กับหูตัวเอง

บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพองครักษ์ ให้ความสำคัญกับผลงานการรบเช่นกัน เมื่อได้เห็นเหมียวอี้ในเวลานี้ นึกถึงผลงานการรบในอดีตของเหมียวอี้ ก็พบว่าผลงานเล็กน้อยที่ตัวเองสร้างไว้ห่างชั้นกับอีกฝ่ายจริงๆ เหมือนรุ่นเล็กมาเจอรุ่นใหญ่ แม้เขาจะคิดว่าตัวเองแค่ไม่เคยมีโอกาสเจอศึกใหญ่ แต่ยามเผชิญหน้ากับเหมียวอี้ที่รบชนะทุกศึก ก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน

…………………

 

เหมียวอี้อึ้งไป แล้วก็เงียบไปอีก ที่หยางชิ่งแนะนำมีเหตุผลจริงๆ แต่เขากลับอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ายิ้มเจื่อน ในปีนั้นด่าอิ๋งจิ่วกวงว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ นึกไม่ถึงว่าวันนี้ตัวเองจะต้องทำเรื่องประเภทเดียวกัน ทำได้เพียงถอนหายใจแล้วบอกหยางเจาชิงว่า  เจ้าให้สวีถังหรานไปจัดการ เรื่องนี้เขาน่าจะชำนาญ! 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับ แต่ในใจกลับอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำ เวลาจะทำเรื่องไร้คุณธรรม ท่านอ๋องมักนึกถึงสวีถังหราน แต่สวีถังหรานก็ไม่เคยทำให้ท่านอ๋องผิดหวังเช่นกัน พอได้ทำเรื่องไร้คุณธรรมก็ทำได้อย่างแม่นยำตรงจุด เป็นบุคลากรที่มีฝีมือด้านนี้จริงๆ กอปรกับหนังหน้าหนาด้าน ทำให้คนอื่นละอายที่สู้ไม่ได้

เมื่อออกจากจวนท่านอ๋องแล้ว สวีถังหรานก็กลับมาที่บ้านตัวเองอย่างกลัดกลุ้ม

เสวี่ยหลิงหลงที่ออกมาต้อนรับอดไม่ได้ที่จะถาม  เป็นอะไรไป? หรือว่าผู้การใหญ่วังสวรรค์ไม่ได้มาเพื่อประกาศคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ตรวจการใหญ่? 

สวีถังหรานถอนหายใจ  ใช่ที่ไหนล่ะ เจ้ายังไม่รู้ถึงความสามารถของผู้ตรวจการใหญ่อีกเหรอ? กำหนดไว้แล้ว ตอนนี้ผู้ตรวจการใหญ่เป็นท่านอ๋องแล้ว เป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้แบบของแท้สมราคา! ต่อไปเวลาเจอผู้ตรวจการใหญ่ต้องเปลี่ยนคำเรียกเป็นท่านอ๋อง เวลาเจอฮูหยินก็ต้องเรียกหวังเฟย! 

 เป็นเรื่องดีนี่! แล้วเจ้าทำไมดูกลุ้มใจอย่างนั้นล่ะ?  เสวี่ยหลิงหลงประหลาดใจ

 ถ้าพูดถึงการคุมทัพ ข้าสู้รคนอื่นไม่ได้ ถ้าพูดถึงวรยุทธ์ ใต้บังคับบัญชาท่านอ๋องก็มียอดฝีมือมากมายดุจเมฆบนฟ้า ถ้าพูดถึงความสามารถ…เรื่องเล็กน้อยที่ข้าทำไม่อาจนำมาโอ้อวดอย่างเปิดเผยได้เลย เฮ้อ! ครั้งนี้ทัพใต้มีตำแหน่งว่าง จะต้องมีการปรับปรุงครั้งใหญ่แน่นอน ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะเตรียมการให้ข้ายังไง  สวีถังหรานกล่าวอย่างสิ้นหวังเล็กน้อย

เสวี่ยหลิงหลงเข้าใจแล้ว ที่แท้ก็วิตกกังวลกับผลได้ผลเสียเพราะเรื่องนี้นี่เอง ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว นางเองก็รู้จักเขาดีแล้วเช่นกัน รู้ว่านี่คือเรื่องที่เขาใส่ใจมากที่สุด เพราะก้าวตามผู้ตรวจการใหญ่มาตลอด ตอนนี้จู่ๆ ผู้ตรวจการใหญ่กลายเป็นท่านอ๋อง ระยะห่างนี้เกรงว่าคงอาศัยการประจบสอพลอท่านอ๋องมาเติมช่องว่างไม่ได้ เกรงว่าคงต้องทิ้งระยะห่างกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

 ข้าต้องติดต่อฮูหยินอีกสักหน่อยดีไหม…ติดต่อหวังเฟยสักหน่อย ให้หวังเฟยช่วยพูดให้?  เสวี่ยหลิงหลงลองถาม

 เฮ้อ!  สวีถังหรานสาย่หน้า  หวังเฟยเห็นหน้ายิ้มๆ รับแขก แต่ความจริงแล้วเป็นคนเฉียบแหลม ตอนนี้เป็นช่วงที่ท่านอ๋องกำลังสร้างสมดุลด้านผลประโยชน์ให้ฝ่ายต่างๆ ในทัพใต้ หวังเฟยรู้อยู่แจ่มแจ้ง เกรงว่าคงไม่เข้ามายุ่งเรื่องนี้ง่ายๆ 

เสวี่ยหลิงหลงกลับไม่กังวล  ท่านอ๋องไม่ได้ขดาความยุติธรรมกับเขา ตามที่ข้าเห็น ตราบใดที่ทำงานของตัวเองดี เรื่องอื่นท่านอ๋องก็ย่อมพิจารณาเอง 

 ความคิดอ่านของสตรี!  สวีถังหรานหงุดคิด  เจ้าจะเข้าใจอะไรล่ะ? คนเราหากไม่ตรองการไกล ความยุ่งยากใจก็จะใกล้เข้ามา 

พูดถึงอะไรกับอะไรน่ะ? เสวี่ยหลิงหลงทั้งโมโหทั้งอยากขำ ตอบซ้ำๆ ว่า  ใช่ๆๆ ข้ามันมีความคิดอ่านแบบสตรี พอใจหรือยัง?  พูดจบก็กลอกตามองบน

ระหว่างทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง สวีถังหรานจ้องบนท้องเสวี่ยหลิงหลง แล้วกลอกลูกตาไปมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

เมื่อเห็นว่าจ้องนานแล้ว เสวี่ยหลิงหลงก็รู้สึกแปลกๆ เอามือมาบังท้องอย่างรู้สึกอึดอัด  เป็นอะไรไปอีก? 

 หลิงหลง พวกเรามีลูกสาวสักคนเถอะ  จู่ๆ สวีถังหรานก็พูดขึ้นมา

 เอ่อ…  เสวี่ยหลิงหลงงุนงง  หมายความว่ายังไง? เจ้าบอกว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลามีลูกไม่ใช่เหรอ? 

 ลูกสาวใช้เวลาไม่นานก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างบ้านเรากับท่านอ๋อง ถ้ามีลูกสาวอีกสักคนแต่งงานกับท่านอ๋อง แบบนั้นจะเป็นญาติกันแล้ว ต่อไปท่านอ๋องจะต้อง…  สวีถังหรานกล่าวเหมือนขอความเห็น

ยังพูดไม่ทันจบ เสวี่ยหลิงหลงก็ยืนขึ้นพร้อมสีหน้าตกใจ ก้าวเข้ามาหยิกสวีถังหรานอย่างโมโห  เจ้านี่ช่างคิดได้เนอะ เพื่อจะไต่เต้า ไม่น่าเชื่อว่าจะนำภัยมาให้ลูกสาวตัวเอง ปกติข้าก็กังวลอยู่แล้วว่าสนิทกับเฟยหงจะทำให้หวังเฟยไม่พอใจหรือเปล่า ตอนนี้ยังคิดจะโยนลูกสาวเข้ากองไฟอีก เจ้าอยากแตกคอกับหวังเฟยหรือไง? 

สวีถังหรานที่โดนหยิกจนแยกเขี้ยวยิงฟันเข้าใจกระจ่างว่าตัวเองคิดผิด ก็เพราะตัวเองกับจวนท่านอ๋องมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดี ถ้าให้ลูกสาวแต่งงานกับท่านอ๋องจริงๆ หวังเฟยจะไม่กังวลหรอกหรือว่าเขามีเจตนาแอบแฝง จึงกล่าวยอมรับผิดซ้ำๆ  ฮูหยินปรานีด้วย สามีเลอะเลือน สามีสำนึกผิดแล้ว! 

เมื่อเห็นเขายอมรับผิด เสวี่ยหลิงหลงถึงได้หยุดมืออย่างกะหืดกระหอบ แต่รออีกสักพัก เห็นสวีถังหรานมีสีหน้าหดหู่ อีก นางก็อดไม่ได้ที่จะปวดใจ รู้ว่าเขาคิดจะไต่เต้าก็เพื่อครอบครัว นางกลอกตาแล้วหันตัวเข้าไปซุกในอ้อมกอดเขาอีก นั่งบนตักเขา เขามือคล้องคอ ใช้เรือนร่างอ้อนแอ้นคลอเคลียบนร่างเขา มือล้วงลงไปด้านล่าง เป็นฝ่ายยั่วยวนก่อน หวังจะคลายความกลัดกลุ้มให้เขา

เป็นอย่างที่คาดไว้ สวีถังหรานโดนนางยั่วจนไฟติด กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันเข้าไปในห้องนอน ฉีกเสื้อผ้าทิ้งบนพื้นตลอดทาง พอไปถึงเตียงทั้งสองก็เปลือยเปล่าแล้ว

ใครจะคิดว่าพอถึงช่วงเวลาสำคัญ สวีถังหรานก็หยุดไปกะทันหัน ในมือหยิบระฆังดาราออกมา หลังจากติดต่อกันแล้ว เขาก็เก็บระฆังดาราแล้วรีบลุกขึ้น ทำท่าเหมือนจะออกไปทำงาน เสวี่ยหลิงหลงที่ถูกกระตุ้นจนหอบหายใจไม่อยากปล่อยเขาไป เอาสองมือคล้องคอเขาไว้ ช้อนสายตามองพร้อมอ้อนว่า  นายท่าน งานในบ้านก็สำคัญนะคะ 

 หยางเจาชิงนัดเจอข้า  สวีถังหรานกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

 ทำงานบ้านให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปก็ยังไม่สายนะคะ  เสวี่ยหลิงหลงออดอ้อนไม่หยุด เผยอปากแดงสวย

 ไม่แน่ว่าท่านอ๋องอาจมีงานให้ เดี๋ยวกลับมาค่อยปรนนิบัติฮูหยิน  สวีถังหรานผลักนางให้ลุกขึ้น รีบใส่เสื้อผ้า ท่าทางร้อนรนมาก รีบวิ่งออกไปนอกห้องแล้ว

 คนระยำ!  เสวี่ยหลิงหลงตะคอกด่า โดนยั่วโมโหแทบตายอยู่แล้ว คว้าหมอนทุ่มออกไปข้างนอก กระแทกหลังสวีถังหราน แต่สวีถังหรานไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย ทำได้เพียงดึงผ้าแพรขึ้นมาปกป้องเรือนร่างเย้ายวนเหมือนทิวทัศน์ฤดุใบไม้ผลิ แล้วนอนมองเพดานอย่างกะฟัดกระเฟียด

นัดเจอกันที่ประตูจวนท่านอ๋อง สวีถังหรานที่รออยู่นอกประตูเดินไปเดินมาอยู่พักหนึ่งกว่าหยางเจาชิงจะออกมา เขาเดินเข้าไปหาทันที เจียดรอยยิ้มพร้อมถามว่า  พ่อบ้านหยางมีอะไรจะกำชับ? 

หยางเจาชิงกลับมองแก้มเขาอย่างอึ้งๆ ยื่นมือชี้เขาอยู่นานกว่าจะเอ่ยถาม  หยางไปขัดจังหวะเรื่องดีๆ ของนายท่านหยางหรือเปล่า? 

 เอ่อ…  สวีถังหรานอึ้งนิดหน่อย แล้วหยิบกระจกขึ้นมาส่อง เห็นบนแก้มมีรอยริมฝีปากของเสวี่ยหลิงหลงทิ้งไว้ อดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อด้วยความอับอาย เพราะรีบร้อนเกินไปจึงไม่ได้สนใจ จึงรีบเอามือเช็ดหน้าซ้ำๆ ลดรอยออกเร็วมาก แล้วยิ้มเข้าสู้  ให้พ่อบ้านหยางเห็นเรื่องน่าขำแล้ว เออใช่ มีเรื่องอะไรจะกำชับ? 

หยางเจาชิงยิ้มพร้อมยื่นมือเชิญ พอทั้งสองเดินเคียงกันออกไปไกลแล้ว เขาถึงได้ถ่ายทอดเสียงบอกว่า  ท่านอ๋องเพิ่งจะกำชับเรื่องเรื่องหนึ่ง เลือกให้นายท่านสวีไปจัดการ 

สวีถังหรานทำสีหน้าจริงจังทันที พยักหน้าซ้ำๆ  ดี พ่อบ้านหยางกำชับมาได้เลย 

หยางเจาชิงบอกว่า  ตอนนี้ท่านอ๋องคุมทัพใต้ ไม่เหมือนในอดีตแล้ว ถ้าถูกปิดข่าวก็อาจจะทำให้งานใหญ่ล่าช้า ดังนั้นเรื่องบางเรื่องคงต้องจำใจ ยกตัวอย่างเช่นจะได้รับข่าวจากวังสวรรค์ทันเวลาหรือเปล่า ดังนั้นจึงต้องคิดหาทางแทรกคนของพวกเราไปไว้ที่วังสวรรค์ 

ตอนที่สวีถังหรานพยักหน้า ก็ถามอย่างสงสัยว่า  จะให้ข้าไปวังสวรรค์เหรอ? 

 เจ้า? ถ้าเจ้าจะไปวังสวรรค์ก็ต้องถูกรสนิยมของประมุขชิงด้วย!  หยางเจาชิงมองประเมินเขาศีรษะจดเท้า แล้วเตือนว่า  วังหลัง! 

สวีถังหรานกระจ่างทันที ถามว่า  ต้องการจะส่งสนมเข้าวังเหรอ? 

 นายท่านสวีเป็นคนฉลาดหลักแหลมอย่างที่คาดไว้ พอชี้แนะก็กระจ่างเลย ใช่แล้วล่ะ หายอดหญิงงามที่สามารถใช้งานได้  หยางเจาชิงกล่าว

สวีถังหรานรับประกันทันที  พ่อบ้านหยางไปบอกให้ท่านอ๋องวางใจได้ เป็นยอดหญิงงามแน่นอน ไม่ให้บกพร่องแม้แต่น้อย มีแต่จะดีกว่า! 

หยางเจาชิงส่ายหน้า  ไม่ใช่แค่สวยมาก พวกเราล้วนเคยอยู่ที่อุทยานหลวงมาก่อน คงจะรู้เรื่องราวสกปรกของวังหลัง ไม่ใช่แค่ต้องสวยและช่วงชิงความโปรดปรานเก่ง ต้องมีไหวพริบด้วย สามารถยืนหยัดอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ปัดแข้งปัดขากันอย่างหวังหลังได้ สามารถสืบข่าวได้ทันเวลา ที่สำคัญที่สุดก็คือต้องเชื่อฟังพวกเรา อย่าให้ถูกคนอื่นควบคุม ถ้าจะเติมเต็มเงื่อนไขพวกนี้พร้อมกันนั้นไม่ง่ายเลย ไม่ทราบว่านายท่านสวีรู้สึกว่ายากหรือเปล่า? 

สวีถังหรานไม่พูดพร่ำทำเพลง ตบอกรับประกันทันที  จะไม่ให้เกิดอุปสรรคกับงานใหญ่ของท่านอ๋องแน่นอน! 

 ดี! ข้าจะไปตอบท่านอ๋องแบบนี้!  หยางเจาชิงพยักหน้ายิ้ม

รับปากอย่างรวดเร็วง่ายดาบ แต่พอลองคิดอีกที ก็พบว่าเรื่องนี้ยากเย็นจริงๆ ตัวเองรับปากเร็วเกินไปหน่อยหรือเปล่า? ผู้หญิงสวยนั้นหาง่าย แต่ผู้หญิงสวยไม่ค่อยมีสมอง คนที่ทั้งสวยทั้งมีสมองจริงๆ ก็ยิ่งหายาก สวีถังหรานจึงกลับบ้านอย่างคำคาญใจ

เสวี่ยหลิงหลงที่นอนอยู่บนเตียงเห็นสวีถังหรานกลับมาไว ยังนึกว่าเป็นเพราะเขารีบกลับมาปรนนิบัติตัวเอง อดไม่ได้ที่จะทำสายตาหยาดเยิ้ม นอนในท่ายั่วยวนเฝ้าคอย

ใครจะคิดว่าสวีถังหรานจะไม่คิดเรื่องนี้เลย ลืมเรื่องที่นัวเนียกันก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อเห็นนางนอนอยู่อย่างนั้น ก็ยังถามอย่างแปลกใจว่า  กลางวันแสกๆ มานอนขี้เกียจได้ยังไง?  เขาส่ายหน้า แล้วหันตัวเดินออกจากห้องด้วยสีหน้าครุ่นคิด

เสวี่ยหลิงหลงที่กำลังเตรียมจะเปิดผ้าห่มงงเป็นไก่ตาแตกทันที ไฟโกรธลุกพรึ่บพรั่บในชั่วพริบตาเดียว ทำได้แค่โยนหมอนทุ่มออกไป นางแค้นผู้ชายคนนี้นัก ในปีนั้นพอเห็นนางก็ตาค้าง ถึงขั้นทำทุกวิถีทางโดยไม่สนศีลธรรมเพื่อให้ได้นางมา ตอนนี้ตาบอดแล้ว…

ดาวเกาะคราม ปากถ้ำริมหน้าผา พระปีศาจหนานโปยืนพิงระเบียงทอดสายตามองไปไกล พร้อมถามเสียงเรียบว่า  เป็นเรื่องจริงแล้วเหรอ? 

จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างหลังตอบว่า  ใช่ค่ะ คำสั่งแต่งตั้งอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้มาถึงมือเขาแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เป็นจริงแล้ว 

 น่าสนใจ…  หนานโปแสยะยิ้ม เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะสร้างความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ โดยเฉพาะหลังจากรู้ถึงวิธีการปลุกปั่นสถานการณ์เหมือนคว่ำเมฆพลิกฝน แม้แต่เขาเองก็เริ่มรู้สึกกลัวแล้วนิดหน่อย

ตอนนี้เขาเริ่มตระหนักได้ สงสัยว่าตัวเองโดนเหมียวอี้ปั่นหัวแล้วหรือเปล่า สงสัยว่าเหมียวอี้กำลังจะทำงานใหญ่ กลัวเขาจะไปหาเรื่อง เลยจงใจหาเรื่องให้เขาทำนิดหน่อย กันเขาออกไปเรื่องนี้ ตอนนี้เหมียวอี้มีอำนาจมหาศาลอยู่ในมือ แม้แต่ประมุขชิงก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ถ้าจะขู่เหมียวอี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ผล แต่ว่าผลที่ได้อ่อนลงมากแล้ว

หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ยังมีความหวังกับเขาอยู่บ้าง ถ้าเขาหาคนเจอก็ยิ่งดี ถ้าหาไม่เจอเหมียวอี้ก็มีแผนสำรองอีกอย่าง แต่สร้างเรื่องใหญ่โตขนาดนี้แล้วก็กลัวพระปีศาจจะก่อกวน ย่อมต้องกันเขาออกไปก่อน

จั่วเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่แน่ใจ  เรื่องนี้มีเงื่อนงำนิดหน่อย ตระกูลเซี่ยโห้วออกแรงช่วยมากขนาดนั้น พอมาดูตอนนี้แล้ว ด้านต่างๆ ของทัพใต้สงบลงเร็วมาก ไม่เกิดอุปสรรคใดๆ เป็นตระกูลเซี่ยโห้วที่คอยสนับสนุนแน่นอน ก่อนหน้านี้ไม่มีเค้าลางอะไร อยู่ดีๆ ตระกูลเซี่ยโห้วจะทุ่มกำลังมากขนาดนี้เพื่อช่วยหนิวโหย่วเต๋อโค่นล่มฮ่าวเต๋อฟางเหรอ? ข้าคิดไม่ตกจริงๆ 

หนานโปหันขวับ  เจ้าแน่ใจนะว่าที่ตระกูลเซี่ยโห้วช่วยหนิวโหย่วเต๋อครั้งนี้ไม่ปกติ ดูมีเงื่อนงำมาก? 

 ไม่ปกติแน่นอน ไม่ว่าฮ่าวเต๋อฟางจะเป็นอ๋องหรือหนิวโหย่วเต๋อจะเป็นอ๋อง ก็ไม่มีผลอะไรเลยสำหรับตระกูลเซี่ยโห้ว อีกทั้งการช่วยหนิวโหย่วเต๋อครั้งนี้ก็ทำให้สายลับตระกูลเซี่ยโห้วถูกเปิดโปงแล้วไม่น้อย ราคาที่จ่ายไม่ใช่น้อยๆ จ่ายเยอะขนาดนี้เพื่อสนับสนุนให้หนิวโหย่วเต๋อขึ้นตำแหน่ง จะคุ้มเหรอ?  จั่วเอ๋อร์ถาม

หนานโปเบิกตากว้างทันที!

……………

 

ตอนที่คนกลุ่มหนึ่งเดินมาถึงนอกประตูใหญ่ของเรือนชั้นในของจวนท่านอ๋อง ทหารอารักขาที่ติดตามมาก็แยกออกเป็นสองฝั่งและเฝ้าอยู่ด้านนอก

สวีถังหรานกำลังจะตามเข้าไปในเรือนชั้นใน แต่ใครจะคิดว่าหยางเจาชิงกลับหยุดเดินหันตัวมา แล้วยิ้มให้เบาๆ พร้อมเตือนว่า  นายท่านสวี ท่านอ๋องยังมีกิจธุระต้องจัดการ! 

 เอ่อ…  สวีถังหรานหยุดชะงัก สีหน้าเก้อเขินเล็กน้อย พยักหน้าตอบรับซ้ำๆ แต่สายตากลับชำเลืองเหมียวอี้ที่เดินเข้าไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา

หยางเจาชิงพยักหน้าเล็กน้อย ทิ้งสวีถังหรานเอาไว้คนเดียว แล้วตามเข้าไปเช่นกัน

สวีถังหรานทำได้เพียงยืนอยู่ข้างนอกตาปริบๆ ในใจรู้สึกคันยิบๆ เหมือนมีแมวเกา เขารู้ว่าตอนนี้กำลังจะเลือกคนที่รับตำแหน่งในทัพใต้แล้ว แต่ไม่รู้ข่าววงในเลยสักนิด ไม่รู้ด้วยว่าเหมียวอี้จะจัดให้เขาอยู่ในตำแหน่งใน

ที่จริงงานใหญ่ในครั้งนี้เขาก็เข้าร่วมด้วยน้อยเกินไป ศึกใหญ่ในครั้งนี้เขาไม่ได้สร้างผลงานการรบใดๆ เลย นอกจากรู้ว่าท่านอ๋องแต่งงานกับลูกสาวของผังก้วนแล้ว อย่างอื่นก็ไม่รู้เลย จนกระทั่งเรื่องราวเปิดเผย เขาถึงได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งตกตะลึงกับอุบายพลิกเมฆคว่ำหมอกของเหมียวอี้ ทั้งยืนยันการคาดเดาของตัวเองอีกครั้ง ว่านายท่านไม่กลัวเรื่องใหญ่จริงๆ ด้วย ยิ่งเรื่องใหญ่ก็ยิ่งไต่เต้าได้เร็ว

แต่ครั้งนี้เหมียวอี้ก็ไต่เต้าเร็วเกินไปจริงๆ เปลี่ยนจากผู้ตรวจการใหญ่ไปเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้โดยตรง สวีถังหรานเองก็รู้จักข้อบกพร่องของตนเอง ความรู้ความสามารถก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าอยากจะก้าวตามเหมียวอี้ไปนั่งตำแหน่งจอมพล แค่คิดก็ยังไม่ต้องคิด ไม่มีความเป็นไปได้เลย

เขารู้ตัวเองดีว่าเกียรติยศความร่ำรวยของตัวเองได้มาจากอะไร ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเหมียวอี้ ถ้าเดินตามก้าวนี้ไม่ทัน ทำให้เกิดระยะห่างระหว่างกันมากเกินไป ในภายหลังยังจะอาศัยผลประโยชน์ได้หรือเปล่ายังเป็นปัญหาเลย ตอนนี้คนเก่งๆ ใต้บังคับบัญชาของเหมียวอี้มีจำนวนนับไม่ถ้วน ถ้าไม่ระวังก็อาจจะลืมสวีถังหรานได้

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขายังมีความคิดที่จะชำเลืองซ้ายมองขวาด้วยความลำพองใจ แต่ตอนนี้ไม่มีความคิดนั้นสักนิดเลย เหมียวอี้กลายเป็นขุนนางระดับบนสุดแล้ว ขอเพียงไม่มีกบฏ ตำแหน่งขุนนางก็มาถึงระดับบนสุดแล้ว เขารู้อย่างลึกซึ้งว่าเมื่อเดินมาถึงขั้นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องคิดอย่างอื่นแล้ว แค่กอดขาเหมียวอี้ไปทั้งชีวิตก็เพียงพอ

ประเด็นก็คือ เขายังจะกอดขาข้างนี้ได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย เขากังวลเป็นอย่างมาก

จวนท่านอ๋อง เรือนชั้นใน ตึกศาลาที่อยู่ฝั่งซ้ายฝั่งขวาบางครั้งก็มีสาวงามมากมายเดินไปเดินมา คอยชื่นชมความงดงามของจวนท่านอ๋อง พวกนางคืออนุภรรยาที่เหมียวอี้รับไว้ ส่วนใหญ่เหยียนซิวตรวจสอบแล้วว่าไม่มีปัญหา ย้ายเข้ามาแล้ว ทั้งหมดมีเรือนเป็นของตัวเองแล้ว ตอนนี้คนที่เข้ามาอยู่เป็นเพียงส่วนน้อย คนที่เหลือเหยียนซิวยังคงตรวจสอบอย่างแนบเนียน คนที่เข้ามาอยู่ส่วนใหญ่ไม่รู้จักเหมียวอี้เลย มีหลายคนที่ไม่เคยเห็นหน้าเหมียวอี้ด้วยซ้ำ แต่มาแล้วเคยเจอหยางเจาชิง อย่างไรเสียหยางเจาชิงก็เคยโผล่หน้ามาเจอพวกนางตามมารยาท

ตอนนี้สังเกตเห็นแล้วว่าหยางเจาชิงกำลังเดินตามหลังผู้ชายคนหนึ่ง ดูจากท่าทีของหยางเจาชิงที่เดินตามหลัง ก็แทบจะรู้โดยไม่ต้องเดาว่าคนที่เดินข้างหน้าคือเหมียวอี้ แต่ละคนอดไม่ได้ที่จะหันตัวมาจ้องประเมินเหมียวอี้ พบว่าชายผู้นี้มีลักษณะองอาจห้าวหาญ มีพลังอำนาจไม่ธรรมดา ทำให้ใจสั่นทันที อย่างไรเสียรูปลักษณ์ภายนอกของผู้ชายก็เป็นมาตรฐานหนึ่งที่ผู้หญิงต้องพิจารณาว่ายอมรับได้หรือไม่

ดูยังหนุ่มยังแน่น หน้าตาไม่แย่ ทั้งยังมีอำนาจมากขนาดนั้น ย่อมมีคนหวั่นไหนอยู่แล้ว พวกนางแอบคิดว่าเมื่อไรจะได้เจอหน้าเขา คนในครอบครัวพวกนางกำชับมาแล้ว ว่าถ้าสามารถทำให้เหมียวอี้โปรดปรานได้ ตระกูลของพวกนางก็มีโอกาสจะได้อำนาจกลับมาอีกครั้ง ตัวพวกนางแบกรับอนาคตของครอบครัวเอาไว้ ต่อให้ไม่เต็มใจแต่ก็ต้องประเมินสักหน่อยว่าจะพยายามเอาใจอย่างไร แต่ดูจากตอนนี้เหมือนไม่มีโอกาสเข้าใกล้ ฝั่งนี้ยังไม่อนุญาตให้พวกนางออกจากเรือนไปเดินเพ่นพ่านในจวนท่านอ๋องตามอำเภอใจ

กงหนีฉางกับอวี่เหวินหรูเมิ่งมาด้วยกัน ทั้งยังหัวอกเดียวกัน ฐานะก็เท่าเทียมกันอีก ที่นี่ไม่มีคนรู้จัก ตอนนี้ทั้งสองจึงกลายเป็นสหายกันแล้ว ตอนนี้กำลังยืนพิงศาลาคุยกันด้วยความกลัดกลุ้ม สังเกตเห็นเหมียวอี้แล้วเช่นกัน

ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เหมียวอี้ทำให้พวกนางรู้สึกสะพรึงและหวาดกลัว ตลอดชีวิตนี้พวกนางไม่มีวันลืมท่าทางเย็นชาไร้หัวใจของเหมียวอี้ตอนพบกันครั้งแรก และยิ่งไม่ลืมวันเข้าห้องหอที่ตัวเองนั่งรออยู่หลายวันแต่ไม่เห็นเงาเขา สุดท้ายก็ยังเป็นมารดาของพวกนางที่ช่วยเปิดผ้าคลุมศีรษะให้แล้วบอกว่าช่างเถอะ ตอนนั้นแม่ลูกทั้งสองคู่ร้องไห้ฟูมฟาย สุดท้ายทั้งบิดามารดาก็ออกไปจากที่นี่แล้ว ทิ้งพวกนางให้โดดเดี่ยวอยู่ที่นี่ พวกนางสองคนทำได้เพียงผูกมิตรกันไว้ เพื่อจะลดความกระวนกระวายและหวาดกลัวที่พวกนางมีต่ออนาคต

ความคิดของเหมียวอี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวพวกนางเลยสักนิด เดินตรงไปที่จุดสำคัญของเรือนชั้นในโดยตรง

เรือนชั้นใน โถงหลัก หยางชิ่งโผล่หน้ามาอีกครั้ง กุมหมัดคารวะ  ยินดีด้วยท่านอ๋อง! 

เหมียวอี้ยิ้มเบาๆ เดินเข้ามาในโถง หันตัวมายืนดีๆ แล้วจู่ๆ ก็โค้งกายคารวะต่อหยางชิ่งด้วยท่าทางจริงจัง  ครั้งนี้ได้อาณาเขตทัพใต้มาอย่างราบรื่น ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะอุบายห่วงสัมพันธ์ของท่านบุรุษ เป็นผลงานใหญ่ของท่านบุรุษ ขอกล่าวขอบคุณตรงนี้ก่อน ในอนาคตจะตอบแทนอย่างงาม! 

หยางชิ่งรีบหลบไปด้านข้าง แล้วทำความเคารพคืน  ท่านอ๋องถ่อมตัวเกินไปแล้ว หยางชิ่งก็แค่วางแผนการรบบนกระดาษเท่านั้น จริงๆ แล้วก็ยังเป็นท่านอ๋องที่รวบรวมข้อมูลและนำมาใช้ประโยชน์เอง  เกรงใจก็เป็นสาเหตุหนึ่ง แต่เขาก็ไม่อยากรับผลงานนี้ไว้เช่นกัน

เหมียวอี้ไม่ปฏิเสธเขา กล่าวอย่างลังเลว่า  มีปัญหายุ่งยากไม่น้อยเลย! 

 ทุกเรื่องล้วนมีทั้งคุณมีทั้งโทษ อย่างน้อยทางเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ถูกควบคุมอยู่ในมือท่านอ๋องแล้ว เส้นทางเปิดเผยสำหรับเข้าแดนอเวจี ท่านอ๋องก็ผ่านไปได้แล้วเช่นกัน  หยางชิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

เหมียวอี้หันตัวมานั่งลงแล้วบอกว่า  เกิดช่องโหว่นิดหน่อย ประมุขชิงต้องการจะให้ชิงหยวนจุนมารับช่วงต่อที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล 

 ชิงหยวนจุน?  หยางชิ่งชะงักไปชั่วขณะ แล้วยกมือตบหน้าผาก อุทานว่าไอ๊หยา  เป็นข้าเองที่คาดการณ์พลาด ทำไมถึงลืมเจ้าเด็กนั่นไปได้ ให้ชิงหยวนจุนเข้ามาที่นี่ ถือเป็นการเดินหมากที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ประมุขชิงก็น่าจะโยกย้ายกองทัพองครักษ์ส่วนหนึ่งให้เป็นทัพใหญ่แดนรัตติกาลโดยตรงเลย 

นี่ก็คือจุดที่เหมียวอี้เป็นกังวล ก่อนหน้านี้คิดมาตลอด ว่าไม่ว่าใครจะเข้าไปก็จะต้องประสบปัญหา ถ้าฝั่งนี้กับเฉาหม่านร่วมมือกัน ก็สามารถทำให้อีกฝ่ายมีที่ยืนลำบากได้เลย ทว่าหากชิงหยวนจุนนำกองทัพองครักษ์เข้ามาประจำการ ประมุขชิงจะต้องเลือกกำลังพลที่ไว้ใจได้เพื่อให้ความร่วมมือกับชิงหยวนจุนแน่นอน เมื่อทุกคนรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ภายใต้ความได้เปรียบด้านกำลังทหาร เกรงว่าแม้แต่เฉาหม่านก็ทำอะไรชิงหยวนจุนไม่ได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นเฉาหม่านก็รับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลแล้ว ถ้ายืนอยู่ในมุมผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้ว คาดว่าคงเฝ้าคอยชิงหยวนจุนในระยะยาว มีความเป็นไปได้ต่ำที่จะแตะต้องอีกฝ่าย!

เมื่อนึกถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็ถอนหายใจ  ประมุขชิงอาศัยเรื่องคำสั่งแต่งตั้งตำแหน่งในทัพใต้มาบีบพวกเรา ข้าว่าถ้าไม่ส่งแดนรัตติกาลให้เขาก็คงไม่ได้! 

หยางชิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าบอกว่า  เรื่องที่สำคัญในตอนนี้ก็คือ ท่านอ๋องต้องคุมสถานการณ์ภาพรวมของทัพใต้ให้มั่นคงก่อน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เราทำได้เพียงประนีประนอม! 

เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน  มีราชันสวรรค์เป็นพ่อช่างดีนัก ปูทางไว้ให้เขาหมดแล้ว ให้เจ้าเด็กนั่นมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้สบายๆ พอมาดูตอนนี้แล้ว จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลกลับกลายเป็นหินที่ข้าทุ่มใส่เท้าตัวเอง ถ้าวันไหนชิงหยวนจุนเอาเยี่ยงอย่างวิธีการที่ข้าโค่นล้มฮ่าวเต๋อฟางมาสู้กับข้า แถมเขายังมีพ่อคอยสนับสนุน แบบนั้นชีวิตข้าบันเทิงแน่ 

หยางชิ่งส่ายหน้าเบาๆ  ทุกเรื่องล้วนมีข้อดีและข้อเสีย สำหรับพวกเรา หรือสำหรับประมุขชิงก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ายังไม่ถึงวันที่ประมุขชิงใกล้จะตาย ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ชิงหยวนจุนกุมอำนาจทางทหารมากเกินไป ผู้ที่มีอำนาจสืบทอดโดยชอบธรรมคนหนึ่ง บางทีสำหรับประมุขชิงแล้ว ในบางครั้งอาจจะเป็นภัยคุกคามมากกว่าท่านอ๋องก็ได้ ดังนั้นท่านอ๋องไม่ต้องกังวลเลย แล้วอีกอย่าง ตามความเห็นของข้าน้อย ที่จริงแล้วเจ้าเด็กชิงหยวนจุนนั่นไม่ต่างอะไรกับเซี่ยโห้วลิ่ง เดินบนเส้นทางที่ราบเรียบมาตลอด จู่ๆ มากุมอำนาจมหาศาลขนาดนี้ทั้งที่ขาดประสบการณ์ ทนอุปสรรคปัญหาไม่ได้ ไม่พอให้นายท่านกังวลเลย ข้าน้อยย่อมมีแผนดีๆ เอาไว้รับมือกับพวกเขาสองพ่อลูกอยู่แล้ว! 

 ยินดีฟังรายละเอียด!  เหมียวอี้ตาเป็นประกาย

หยางชิ่งเงียบไปพักหนึ่ง หลังจากจัดระเบียบความคิดแล้ว ก็กล่าวช้าๆ ว่า  ท่านอ๋องควรสานสัมพันธ์อันดีกับฝั่งราชินีสวรรค์ไว้เหมือนเดิม อย่าเพิ่งร้ายใส่กัน ผู้หญิงคนนั้นเป็นพวกไร้สมอง ทำอะไรอาศัยอารมณ์เป็นหลัก ปลอบประโลมได้ไม่ยาก! ส่วนชิงหยวนจุน ท่านอ๋องก็ต้องรักษาสัมพันธ์อันดีไว้เช่นกัน! จ้านหรูอี้เป็นเหมือนตะปูตำตา หนามตำใจราชินีสวรรค์ ตราบใดที่ยังไม่กำจัดทิ้ง นางก็คลายความแค้นได้ยาก แล้วประมุขชิงก็ดันรักจ้านหรูอี้สุดๆ ขอเพียงท่านอ๋องหาโอกาสวางอุบายกระตุ้นสักหน่อย เมื่อประมุขชิงปกป้องด้วยความรัก ราชินีสวรรค์ริษยาจนเคยชิน เรื่องนี้ก็จะเกิดผลกระทบบ้างแล้ว เมื่อมารดาได้รับความอัปยศ แค่คิดก็รู้แล้วว่าชิงหยวนจุนจะรู้สึกยังไง ชิงหยวนจุนอาจจะทนไหว แต่ถ้าท่านอ๋องคอยแทรกกลาง เกรงว่าเขาคงไม่ได้ทำตามใจตัวเอง 

 จะแทรกกลางยังไง?  เหมียวอี้ถาม

หยางชิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า  ท่านอ๋องก็ฉวยโอกาสเติมเชื้อไฟ ฝั่งหนึ่งแอบติดต่อกับราชินีสวรรค์ ฝั่งหนึ่งแอบติดต่อกับชิงหยวนจุน เมื่อถึงเวลาจำเป็นก็แบ่งอาณาเขตทัพใต้ให้ชิงหยวนจุนสักหน่อย ตราบใดที่กำลังพลยังอยู่ในมือท่านอ๋อง ก็สามารถเรียกคืนอาณาเขตกลับมาได้ทุกเมื่อ เอาเป็นว่าต้องสรรหาวิธีต่างๆ มาทำให้ประมุขชิงมองออกว่าชิงหยวนจุนอยากจะขยายอำนาจของตัวเอง แม่กับลูกชายเคลื่อนไหวทั้งข้างนอกข้างในเพราะเรื่องของจ้านหรูอี้ มีหรือที่ประมุขชิงจะไม่ตกใจ! ถ้าประมุขชิงมีเจตนาจะควบคุมชิงหยวนจุนเมื่อไร ท่านอ๋องก็สามารถฉวยโอกาสบอกเจตนาของประมุขชิงให้ชิงหยวนจุนรู้ ชิงหยวนจุนมีกำลังทหารอยู่ในมือ มีหรือที่จะนั่งรอความตาย? ระหว่างสองพ่อลูกจะต้องมีฉากคึกครื้นให้ดูแน่นอน! 

เหมียวอี้เข้าใจแล้ว ให้ประมุขชิงกับลูกชายเข่นฆ่ากันเอง! เขาลุกขึ้นปรบมือชมทันที  ดี! เป็นแผนการที่เลิศจริงๆ! 

หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ มองหยางชิ่งหลายครั้ง ในใจแอบบอกว่า เสนาธิการปีศาจตัวจริง!

เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่หยางเจาชิงต้องยอมรับ ว่าถ้าไม่ใช่เพราะแผนการอันน่าอัศจรรย์ของหยางชิ่ง อาศัยศักยภาพของท่านอ๋อง ครั้งนี้ก็ไม่มีทางฮุบอาณาเขตทัพใต้ได้เลย!

เมื่อสงบสติอารมณ์แล้ว เหมียวอี้ก็บอกอีกว่า  เป็นอย่างที่คาดไว้ เฟยหงมารายงาน ว่าฝั่งประมุขชิงต้องการให้ลอบสังหารข้า ตอนนี้ยังต้องถ่วงเวลาก่อน จะใช้ข้ออ้างอะไรถ่วงเวลาโดยไม่ให้ประมุขชิงสงสัยดีล่ะ 

หยางชิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้ม  มีอะไรยากเล่า? ด้านนอกยังมีอนุภรรยาเป็นโขยงไม่ใช่เหรอท่านอ๋อง เป็นสมาชิกครอบครัวผู้หญิงทั้งนั้น ไม่สะดวกจะให้คลุกคลีกับผู้ชาย ในเมื่อหงฮูหยินมาแล้ว ไปช่วยจัดการดูแลแทนท่านอ๋องก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล สามารถลดโอกาสที่หงฮูหยินจะลงมือกับท่านอ๋องได้ หงฮูหยินจะใช้อ้างเหตุผลนี้ชี้แจ้งกับหน่วยตรวจการซ้าย นี่เป็นข้ออ้างที่ดีสำหรับถ่วงเวลา 

เหมียวอี้พยักหน้าให้หยางเจาชิงทันที บอกใบ้ให้ไปจัดการ

อีกประเดี๋ยวเหมียวอี้ก็เอ่ยถึงเรื่องที่กังวลอีกเรื่องหนึ่ง  รากฐานกองทัพฝั่งพวกเราอ่อนแอเกินไป จะไม่ใช้งานกำลังพลบางส่วนของทัพใต้ก็ไม่ได้ ที่จริงแล้วคนพวกนั้นมีความคิดอะไรกันแน่ ไม่ว่าใครก็ยากจะเดาออก! 

หยางชิ่งได้ยินแล้วแอบถอนหายใจ นี่เหมียวอี้เริ่มปฏิบัติต่อเบื้องล่างด้วยความระแวงแล้ว เมื่อก่อนระแวดระวังแต่กลับไม่กังวลขนาดนี้ สุดท้ายสภาพจิตใจของท่านนี้ก็มีแนวโน้มที่จะเดินไปทางนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาพูดปลอบว่า  ท่านอ๋อง ทั้งอาณาเขตทัพใต้ใหญ่ขนาดนี้ กำลังพลมากขนาดนั้น คนเราล้วนมีจิตใจเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนทั้งนั้น ถ้าอยากจะให้ทุกคนพอใจ จะให้จิตใจฝักใฝ่ท่านอ๋องกันหมด นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าประมุขชิงร่วมมือกับประมุขพุทธะ ก็ใช่ว่าจะไร้ความสามารถในการปราบกลุ่มอำนาจใหญ่พวกนั้น แต่สาเหตุที่เขาไม่ทำอย่างนั้น ก็เพราะเขารู้ชัดเจน ว่าถ้ามีคนเก่าล้มไปก็จะมีคนใหม่ขึ้นมาแทน ไม่ว่าเขาจะสนับสนุนให้ใครขึ้นตำแหน่งก็เลี่ยงไม่ได้ทั้งนั้น นี่คือเรื่องที่เป็นวัฏจักร เขาทำได้เพียงพยายามแบ่งอำนาจและคานอำนาจกัน ตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว คนที่คุมใต้หล้าไม่มีใครที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการตัดสินใจเพียงลำพัง สิ่งสำคัญคือกำลังคานอำนาจกัน และสิ่งนี้ก็เหมาะสมที่จะใช้กับท่านอ๋องในตอนนี้ด้วย! 

เหมียวอี้พยักหน้าอย่างเข้าใจ ขจัดความกังวลในใจได้แล้วนิดนห่อย

หยางชิ่งบอกอีกว่า  ท่านอ๋อง สถานการณ์ทางวังสวรรค์ก็ต้องทำความเข้าใจไว้เช่นกัน จะให้ดวงตามืดบอดไม่ได้ ท่านควรจะคัดเลือกบรรดาสาวงามที่ไหวพริบดีส่งเข้าวังได้แล้ว เตรียมไว้ใช้งานในอนาคต! 

……………

 

ผู้การใหญ่วังสวรรค์ ตอนเผชิญหน้ากับประมุขชิงที่วังสวรรค์มีท่าทีอีกอย่างหนึ่ง พอออกจากวังสวรรค์แล้ว ยามเผชิญหน้ากับคนอื่นก็มีพลังอำนาจไปอีกแบบ

กำลังพลนอกจวนท่านอ๋องเห็นซ่างกวนชิงนำคนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า ผู้การใหญ่สีหน้าเรียบเฉย แววตาเย็นชา ขณะที่มองคนดูมีพลังอำนาจที่ทำให้คนหวาดกลัว ใครที่ได้สบตากกับเขาก็ต้องแอบตกใจทั้งนั้น

ถามหน่อยว่าในใต้หล้านี้ จะมีสักกี่คนที่อยู่ในสายตาเขา?

พอสบตากับเหมียวอี้ที่ออกมาต้อนรับอยู่นอกประตู บนใบหน้าซ่างกวนชิงก็เผยรอยยิ้มออกมา เขาแอบรู้สึกทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ เจ้าเวรนี่เติบโตเร็วมาก!

เหมียวอี้ชิงก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ  คารวะผู้การใหญ่! 

ซ่างกวนชิงเองก็ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะเช่นกัน  ผู้ตรวจการใหญ่ทำตัวห่างเหินแล้ว จากกันที่อุทยานหลวงหลายปี ผู้ตรวจการใหญ่มีสง่าราศียิ่งกว่าในปีนั้นเสียอีก! 

อุทยานหลวง? เหมียวอี้รู้อยู่แก่ใจ ว่าตอนอยู่ที่อุทยานหลวง ตัวเองไม่ได้อยู่ในสายตาอีกฝ่ายเลย จึงรีบกล่าวอย่างเกรงใจว่า  ผู้การใหญ่ให้เกียรติเกินไปแล้ว 

ซ่างกวนชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า  ไม่ได้ให้เกียรติเกินไปหรอก ข้าเข้าออกวังสวรรค์ได้อย่างอิสระ แต่มาที่นี่กลับถูกค้นตัวกว่าจะได้มาเจอผู้ตรวจการใหญ่!  ความหมายที่เขาจะสื่อก็คือ เจ้านี่ทำตัวเลอเลิศยิ่งกว่าวังสวรรค์อีกนะ พอเจอหน้ากันก็กล่าวเหน็บแนมอย่างไม่เบาและไม่แรงเกินไป

 เฮ้อ!  เหมียวอี้ถอนหายใจ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจนจำ  ล้วนเป็นเพราะพระปีศาจหนานโป ไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาปกติ จะใช้วิธีการปกติก็ไม่ได้ หวังว่าผู้การใหญ่จะใจกว้างไม่ถือสาผู้น้อย  อย่างไรเสียตอนนี้ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็ผลักผิดไปให้พระปีศาจหมด เขารู้แล้วว่าประมุขชิงเห็นเขาแล้วขัดหูขัดตา คิดจะกำจัดเขาทิ้ง ถ้าไม่ค้นตัวก่อนแล้วจะกล้าปล่อยซ่างกวนชิงเข้ามาได้อย่างไร ถ้านำกำลังพลนับล้านนับแสนมาด้วย เกรงว่าเขาคงร้องไห้ไม่ทันแล้ว

คนเราเวลาไม่มีฐานะตำแหน่ง ต่อให้มีคนพูดเหน็บแนมก็ทะเลาะด่าทอกันเล็กน้อย แต่พอมีฐานะขึ้นมา อันตรายที่ต้องเผชิญก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าเช่นกัน

 พระปีศาจน่าชั่วร้าย ผู้ตรวจการใหญ่ระวังตัวไว้นะถูกแล้ว  ซ่างกวนชิงกล่าวชม ไม่ได้ทำให้เหมียวอี้ไปต่อไม่เป็น เพราะไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น เหมียวอี้ในตอนนี้ไม่ใช่คนที่เขาพูดแค่สองสามประโยคก็ขู่ได้แล้ว ถ้าไปหาเรื่องก็มีแต่จะทำให้ตัวเองลำบากใจ

ในเวลาส่วนใหญ่ ศักยภาพคือช่องทางที่ดีที่สุดที่จะได้รับความเคารพนับถือ

 ข้างนอกไม่ใช่สถานที่คุยกัน ผู้การใหญ่ เชิญด้านใน!  เหมียวอี้ยื่นมือนำทาง สายตากวาดมองผู้ติดตามข้างหลังซ่างกวนชิง โดยเฉพาะชายรูปร่างกำยำที่จอนผมสองข้างแซมด้วยผมขาว เหมียวอี้เคยเจอที่วังสวรรค์ รู้เพียงว่านี่คือหนึ่งสามในลูกน้องคนสนิทผู้ลึกลับของซ่างกวนชิง ชื่อว่าเซี่ยงจง ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไรไม่ทราบแน่ชัด

เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ เวลาซ่างกวนชิงมาข้างนอก คนคนนี้มักจะได้ติดตาม คงจะรับผิดชอบงานด้านการใช้กำลังป้องกัน ดูถูกพลังไม่ได้แน่นอน

ชายรูปร่างกำยำจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเหมียวอี้ด้วยสายตาเยียบเย็น เหมียวอี้สบตากับเขาเล็กน้อยแล้วก็ย้ายสายตาไป

พอเข้ามาในจวนท่านอ๋องก็ไม่ได้ค้นตัวพวกซ่างกวนชิงอีก เหมียวอี้ไม่ถึงขั้นทำเรื่องไร้มารยาทขนาดนั้นต่อหน้าซ่างกวนชิง ผู้ติดตามหลายสิบคนที่อยู่ข้างหลังซ่างกวนชิงก็เข้ามาด้วยเช่นกัน เพียงแต่สายตาของคนพวกนี้ไม่วอกแวกเลยแม้แต่น้อย เฝ้าระแวดระวังรอบข้างอย่างสูงตลอดเวลา ต่อให้ข้างกายมีคนก้าวเท้า ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว สายตาก็จะพุ่งไปตรงนั้นทันทีราวกับเหยี่ยว

เช่นเดียวกัน ในจวนท่านอ๋องเองก็มียอดฝีมือมากมายดุจเมฆบนฟ้า คอยจับจ้องความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง

เมื่อคนกลุ่มนี้เข้ามาในโถงหลัก คนที่อยู่ข้างหลังซ่างกวนชิงก็ตามเข้าไปแค่สี่คน ส่วนที่เหลือเป็นฝ่ายกระจายกำลังเตรียมป้องกันอยู่ข้างนอก

หลังจากแขกกับเจ้าบ้านนั่งดื่มน้ำชาและคุยสัพเพเหระกันไม่กี่ประโยค ซ่างกวนชิงก็ลุกขึ้นยืน ถือแผ่นหยกแผ่นหนึ่งขึ้นมา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง  ผู้ตรวจการใหญ่รับบัญชา! 

เหมียวอี้รีบก้าวไปยังตำแหน่งถัดไป แล้วกุมหมัดคารวะคอยฟังด้วยสีหน้าจริงจัง

 ฝ่าบาทมีบัญชา ผังก้วนจอมพลสายเถาะก่อกบฏ วางแผนทำร้ายขุนนางผู้จงรักภักดี บีบฮ่าวเต๋อฟาง อ๋องสวรรค์ที่คุมทัพใต้ให้ตาย ผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลหนิวโหย่วเต๋อได้รับบัญชาให้นำทัพใหญ่แดนรัตติกาลออกรบด้วยตัวเอง มีความดีความชอบในการปราบกบฏ สมควรได้รับรางวัล! จึงถอดหนิวโหย่วเต๋อออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เลื่อนขั้นให้เป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ รับตำแหน่งแทนฮ่าวเต๋อฟาง…  ซ่างกวนชิงกล่าว

บ่นมากมายเป็นชุด ที่จริงแล้วก็มีอยู่แค่สองเรื่อง นั่นก็คือปลดออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล แล้วให้เหมียวอี้ไปเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ ส่วนอย่างอื่นล้วนเป็นคำพูดตามมารยาท

ที่จริงเหมียวอี้ก็ไม่อยากทิ้งอาณาเขตแดนรัตติกาลไป แต่ก็ช่วยไม่ได้ อาณาเขตแดนรัตติกาลเป็นของตำหนักนารีสวรรค์ ไม่ถูกควบคุมจากอำนาจฝ่ายอื่น นี่คือโครงสร้างที่เขาพยายามเสนอแนะจนสำเร็จในปีนั้น ต่อให้เขาอยากจะครอบครองแต่ก็หาข้ออ้างที่เหมาะสมไม่ได้ เพียงแต่ปลดออกก็ส่วนปลดออก แต่เขาจะยอมถอนการควบคุมที่นี่ในทางปฏิบัติจริงหรือไม่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

เมื่ออ่านบัญชาจบแล้ว เหมียวอี้ก็กล่าวอย่างเคารพนอบน้อม  ข้าน้อยรับบัญชา! ขอบพระทัยฝ่าบาท! 

ซ่างกวนชิงส่งต่อบัญชาสวรรค์ให้ แล้วบอกใบ้ให้เซี่ยงจงยื่นเกราะรบอ๋องสวรรค์ที่ตำหนักสวรรค์ประทานให้เหมียวอี้ ก่อนจะกล่าวแสดงความยินดี  ยินดีด้วยท่านอ๋อง! 

พอรับเกราะรบมาไว้ในมือ เหมียวอี้ก็ส่งต่อให้หยางเจาชิง แล้วพูดกับซ่างกวนชิงด้วยรอยยิ้มว่า  รบกวนให้ผู้การใหญ่เดินทางมาไกลด้วยตัวเอง นี่คือน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ หวังว่าผู้การใหญ่จะไม่รังเกียจ  แล้วก็รับกำไลเก็บสมบัติมาจากมือของหยางเจาชิงอีก

ซ่างกวนชิงไม่เกรงใจเช่นกัน รับไว้แล้วเปลี่ยนคำเรียก  ท่านอ๋อง หวังว่าจะปลอบขวัญคนทั้งทัพใต้ได้ภายในเร็ววัน อย่าทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง! 

 รบกวนฝากผู้การใหญ่ทูลฝ่าบาท ว่าข้าน้อยจะทุ่มเท่ความสามารถจนกว่าชีวิตจะหาไม่แน่นอน!  เหมียวอี้กล่าวจริงจัง

 คำกล่าวนี้ท่านอ๋องพูดต่อหน้าฝ่าบาทเองจะดีกว่า ได้รับเกียรติพิเศษแบบนี้ อย่าบอกนะว่าท่านอ๋องจะไม่เข้าวังไปขอบพระทัยสักหน่อย?  ซ่างกวนชิงถามพร้อมรอยยิ้ม

เหมียวอี้พยักหน้าซ้ำๆ  ใช่ๆๆ ผู้การใหญ่พูดถูก ควรจะขอบคุณต่อหน้าฝ่าบาท แต่ช่วงนี้ทัพใต้ค่อนข้างวุ่นวาย ยังปลีกตัวไปได้ยาก ถ้ายังไม่ได้ทำงานให้ดี ก็ไม่มีหน้าไปเข้าพบฝ่าบาทเลยจริงๆ รอให้สถานการณ์ทัพใต้เรียบร้อยแล้ว ข้าย่อมไปถวายบังคมฝ่าบาทแน่! 

ซ่างกวนชิงแสยะยิ้มในใจ พูดอ้อมไปอ้อมมา แท้จริงแล้วไม่กล้าไปมากกว่า แต่ภายนอกกลับพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม และไม่ได้บังคับให้เขาไปเช่นกัน จับจุดอ่อนไม่ปล่อยก็ไม่มีความหมายอะไร จึงเปลี่ยนประเด็น  ไม่ทราบว่าโจรกบฏผังก้วนอยู่ที่ไหน? ถ้าจะได้ถือโอกาสคุมตัวไปตำหนักสวรรค์! 

เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำว่า  เดิมทีคิดจะควบคุมตัวไปตำหนักสวรรค์ ส่งต่อให้ฝ่าบาทลงโทษ แต่ช่วยไม่ได้ที่ระหว่างคุมขังโจรกบฏผังยังไม่กลับใจ แอบสมคบกับลูกน้องเก่าที่อยู่ข้างนอก มีเจตนาจะกลับสู่ตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ระหว่างที่หนีถูกทัพใหญ่ล้อมปราบ ภายใต้ลูกธนูจำนวนมาก ทุกคนของจวนตระกูลผังถูกสังหารหมด ตายแบบไร้ศพ! 

ดวงตาซ่างกวนชิงฉายแววเย็นเยียบ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า  ได้ยินว่าลูกสาวคนเล็กของผังก้วน ผังเสี้ยวเสี้ยวแต่งงานกับท่านอ๋อง ไม่รู้ว่า… 

ยังไม่ทันพูดจบ เหมียวอี้ก็ชิงพูดก่อนแล้ว  ข้ากำลังจะรายงานตำหนักสวรรค์เพื่อขอรางวัลให้ผังเสี้ยวเสี้ยวพอดี ผังเสี้ยวเสี้ยวปฏิเสธที่จะร่วมกบฏกับบิดานาง ตอนที่ยกทัพไปปราบ ผังก้วนยอมแพ้ ผังเสี้ยวเสี้ยวมีผลงานใหญ่ที่ช่วยโน้มน้าวให้ยอมแพ้ ตอนหลังผังก้วนหลบหนี ก็เป็นผังเสี้ยวเสี้ยวรายงาน  ที่พูดก็ยื่นมือออกมา หยางเจาชิงยื่นกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้ เหมียวอี้ส่งต่อให้ซ่างกวนชิง  หลักฐานมีพร้อม หวังว่าผู้การใหญ่จะช่วยส่งต่อให้ 

ชำเลืองมองกำไลเก็บสมบัติบนมืออย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง ซ่างกวนชิงไม่ต้องดูก็รู้ว่าเป็นหลักฐานที่ปลอมแปลงขึ้นมา แอบด่าในใจว่าหน้าด้านไร้ยางอายจริงๆ โค่นล้มผังก้วนแล้ว ยังคิดจะใช้อำนาจบาตรใหญ่กับลูกสาวของอีกฝ่ายไม่ปล่อยอีก ไม่น่าเชื่อว่ายังจะขอรางวัลจากตำหนักสวรรค์? เขากล่าวด้วยรอยยิ้มแข็งๆ  ท่านอ๋องช่างใส่ใจจริงๆ 

เหมียวอี้นำแผ่นหยกมายื่นให้อีก  ทัพใต้เกิดกบฏเพราะเหตุนี้ จำเป็นต้องปรับปรุงใหม่ นี่คือตำแหน่งขาดแคลนที่ปรับใหม่ของสายต่างๆ ในทัพใต้ รบกวนผู้การใหญ่รายงานขึ้นไปพร้อมกัน หวังว่าฝ่าบาทจะอนุมัติทั้งหมดโดยเร็ว จะได้ทำให้ใจคนสงบโดยเร็ว! 

ซ่างกวนชิงรับมาแล้วกวาดสายตาอ่านคร่าวๆ มีรายชื่อคนจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้อ่านละเอียด เพียงเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมบอกว่า  เป็นเรื่องที่ง่ายดายไม่ยุ่งยาก ข้ารับรู้เจตนาของท่านอ๋องแล้ว อ้อใช่ ท่านอ๋อง ฝ่าบาทมีคำสั่งแต่งตั้งให้องค์ชายหยวนจุนรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลต่อ หวังว่าท่านอ๋องจะส่งต่องานโดยเร็วๆ 

 …  เหมียวอี้อึ้งทันที ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นชิงหยวนจุน? ก่อนหน้านี้เขานึกไม่ถึงจริงๆ คนเราล้วนวิเคราะห์ภาพได้ทั้งนั้น จะเรียกว่าใต้โคมไฟย่อมมีเงามืดก็ได้เช่นกัน คนเรามักจะมองไปรอบๆ แต่กลับละเลยไม่ระวังใต้เท้าตัวเอง ก่อนหน้านี้ตอนหยางชิ่งปรึกษากับเขา ก็ยังครุ่นคิดว่าใครจะมารับตำแหน่งต่อ แม้แต่หยางชิ่งก็ยังนึกไม่ถึงว่าจะเป็นชิงหยวนจุน

ซ่างกวนชิงเข้ามาใกล้ๆ ข้างหูเหมียวอี้ แล้วทำท่าเหมือนเปิดเผยความลับบางอย่างให้รู้  ท่านอ๋อง ถึงยังไงองค์ชายก็เป็นโอรสของฝ่าบาท ฝ่าบาทใส่ใจกับเรื่องนี้มาก ถ้าจัดการเรื่องขององค์ชายไม่ดี เกรงว่าฝ่าบาทก็คงไม่มีกะจิตกะใจไปจัดการเรื่องอื่น! 

เหมียวเลิกคิวเบาๆ เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร นี่อีกฝ่ายกำลังบีบตน ว่าถ้าไม่ให้ชิงหยวนจุนรับช่วงต่อจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลอย่างราบรื่น เขาเองก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้คำสั่งแต่งตั้งของทัพใต้อย่างราบรื่น ทั้งคำสั่งแต่งตั้งในครั้งนี้เดิมทีก็มีปัญหามากอยู่แล้ว ถ้ารอบนี้ไม่ใช่เพราะได้รับการสนับสนุนจากอำนาจฝ่ายต่างๆ บนราชสำนัก เขาก็ไม่สามารถนำสิ่งนี้ออกมาได้เลย เพราะจะถูกจะผิดได้ไงมาก ประมุขชิงมีวิธีถ่วงเวลาจนเขาลำบากอยู่แล้ว

ซ่างกวนชิงเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นาน ปฏิเสธคำเชิญร่วมงานเลี้ยง เพียงแต่จวนอ๋องสวรรค์ใหม่ที่ฮ่าวเต๋อฟางเพิ่งมาสร้างในตอนหลังแห่งนี้ เขาเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก เป็นฝ่ายขอเดินดูให้ทั่ว เหมียวอี้ย่อมเดินเป็นเพื่อนอยู่แล้ว

ด้านนอกและด้านในจวนท่านอ๋อง ทั้งสองเดินไปคุยไปด้วยรอยยิ้ม สุดท้ายก็ขึ้นไปบ่นยอดเขาแห่งหนึ่ง แล้วเหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะส่งพวกซ่างกวนชิงเหาะกลับไป

กระทั่งเหมียวอี้กลับมาที่ประตูจวนท่านอ๋องอีกครั้ง ก็พบว่ามีคนจำนวนหนึ่งกำลังทำงานอยู่ตรงประตู สวีถังหรานกำลังชี้นิ้ววาดเท้าอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร

สังเกตดูดีๆ ถึงได้พบว่าป้ายชื่อตรงประตูถูกเปลี่ยนแล้ว ตัวอักษรใหญ่คำว่า ‘จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว’ เปลี่ยนเป็นคำว่า ‘จวนอ๋องสวรรค์หนิว’ ที่โอ่อ่ามีพลัง

พอหันกลับมาเห็นเหมียวอี้ สวีถังหรานก็ตาเป็นประกาย แล้วรีบคุกเข่าข้างเดียว  ข้าน้อยคารวะอ๋องสวรรค์! 

คนอื่นๆ ตรงประตูก็ต้องเอาเยี่ยงอย่างเช่นกัน คารวะเสียงดัง  คารวะอ๋องสวรรค์! 

เหมียวอี้ยกมือขึ้น บอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี พอเงยหน้ามองป้ายใหม่บนประตูอีก ก็อดไม่ได้ที่จะมองสวีถังหราน พบว่าเจ้าหมอนี่ไวปานเทพ ทางนี้เพิ่งจะได้รับคำสั่งแต่งตั้ง เจ้าเวรนี่ก็เปลี่ยนป้ายจวนท่านอ๋องใหม่แล้ว

สวีถังหรานสีหน้าสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ฮึกเหิมจนหน้าแดง เรียกได้ว่าปลาบปลื้มดีใจ ราวกับว่าตัวเองได้เป็นอ๋องสวรรค์เสียเอง

 ไม่เลวเลย!  เหมียวอี้กล่าวชมอย่างง่ายๆ แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปในจวนท่านอ๋อง

สวีถังหรานตามอยู่ข้างหลังอย่างกระตือรือร้นทันที แล้วพูดประจบสอพลอ  ท่านอ๋อง ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นจวนเก่า ท่านลองดูว่ามีตรงไหนยังต้องแก้ไขปรับปรุงหรือเปล่า ข้าน้อยจะรวบรวมช่างที่ฝีมือดีที่สุดในใต้หล้ามาปรับปรุงให้โดยเร็วที่สุด 

เหมียวอี้บอกว่า  เรื่องนี้ยังต้องรอให้ฮูหยินกลับมาก่อน ดูความเห็นของฮูหยิน เดี๋ยวเจ้าค่อยปรึกษากับฮูหยินอีกที  ตอนนี้เขาจะมีกะจิตกะใจมาทำเรื่องนี้เสียที่ไหน อีกทั้งยังรู้สึกว่าจวนท่านอ๋องก็มีสง่าราศี หรูหรามากพอแล้ว อาศัยโลกทัศน์ของสวีถังหราน ของที่สรรหามาสร้างอาจจะไม่ดูแฝงสติปัญญาเท่าตระกูลฮ่าวก็ได้ เพียงแต่เขาเข้าใจความตั้งใจดีของสวีถังหราน ไม่สะดวกจะปฏิเสธโดยตรง

 ได้ๆๆ ข้าน้อยจะทำตามความต้องการของหวังเฟยเหนียงเหนียงไม่ให้ขาดตกบกพร่อง  สวีถังหรานพยักหน้าอย่างหน้าชื่นตาบาน เขาไม่กลัวอะไรอย่างอื่น แค่กลัวจะโดนผึ่งทิ้งไว้ข้างๆ ขอเพียงแค่มีงานให้เขาทำก็พอแล้ว

หวังเฟยเหนียงเหนียง? เหมียวอี้ชะงักเล็กน้อย ตอนแรกยังความรู้สึกช้า แต่ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวก็เข้าใจแล้ว ที่เจ้าเวรนี่เรียกว่าหวังเฟยเหนียงเหนียงก็คืออวิ๋นจือชิวไม่ใช่เหรอ ตัวเองกลายเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้แล้ว ฮูหยินเอกก็ย่อมกลายเป็นหวังเฟยอยู่แล้ว คนระดับหวังเฟยสามรถใช้คำเรียกว่า ‘เหนียงเหนียง’ ได้แล้ว

………………

 

ชั่วพริบตาที่ถูกเชิญให้เข้าสู่ประเด็นหลัก ทั้งตัวนางก็หนาวสั่นราวกับอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง

ในที่สุดนางก็ตระหนักได้แล้ว ว่าสามีมองเบาะแสอะไรบางอย่างออกแล้ว

ที่จริงในใจนางก็รู้ชัดเจน ว่าครอบครัวอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ต่างคนต่างรู้จักกันและกันดีเกินไป ไม่ว่ามีความผิดปกติอะไรก็อาจเผยพิรุธได้ รู้ว่าจะต้องมองเบาะแสออกในไม่ช้าก็เร็ว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ สามีจะทำให้ลำบากใจขนาดนี้ ดูจากสภาพการณ์แล้ว นางสงสัยนิดหน่อยว่าสามีจะสังเกตเห็นอะไรมานานแล้วหรือเปล่า ไม่เหมือนเพิ่งสังเกตเห็น

ถ้าเป็นครอบครัวปกติ ให้รู้เรื่องแบบนี้ก็ไม่เป็นอะไร แต่ประเด็นก็คือภูมิหลังของสามีทำให้นางหวาดกลัว ดีไม่ดีอาจจะทำให้โดนกวาดล้างทั้งตระกูลหวงฝู่ก็ได้

 จะมีความสัมพันธ์อะไรได้ ก็กล้อมแกล้มเป็นสหายกันไปละมั้ง  หวงฝู่ตวนหรงพยายามใจเย็น

 มีความสัมพันธ์อะไรกันแน่?  อู่หนิงถาม

 ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องเหลวไหลอะไร!  หวงฝู่ตวนหรงแสร้งหงุดหงิด ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเลย

ชวิ้ง! เงาดาบแวบเข้ามา อู่หนิงใช้มือข้างเดียวถือดาบขวางทางออกศาลา ขวางอยู่ตรงหน้าหวงฝู่ตวนหรงเช่นกัน สองสามีภรรยาสบตากันแล้ว

หลังจากผ่านไปนาน หวงฝู่ตวนหรงก็หน้าซีดลงเรื่อยๆ ถอยกลับมานั่งลงที่โต๊ะอย่างช้าๆ  เจ้าจะเอายังไง? รายงานไปที่ตำหนักสวรรค์ จะทำให้พวกเราสองแม่ลูกตายเลนใช่มั้ย? 

อู่หนิงลุกขึ้นแล้วหันตัวมา ชี้คมดาบไปตรงหว่างคิ้วหวงฝู่ตวนหรง พร้อมถามเสียงเย็น  บอกมา มีความสัมพันธ์อะไร? 

 ในเมื่อเจ้าเดาออกแล้ว ทำไมยังต้องถามข้าอีก?  หวงฝู่ตวนหรงฝืนยิ้ม

 หนิวโหย่วเต๋อบังคับใช่มั้ย?  อู่หนิงกัดฟัน

หวงฝู่ตวนหรงปัดดาบออก พลันลุกขึ้นยืนแล้วพุ่งไปตรงหน้าเขา ไปเผชิญหน้ากันใกล้ๆ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกอย่างแข็งกร้าว  ทั้งสองรักกัน ลูกสาวเจ้าเต็มใจเอง! ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งมาถึงตลาดสวรรค์ พวกเขาก็อยู่ด้วยกันอย่างดีแล้ว แต่ก็ไม่มีทางเลือก ภูมิหลังของโหรวโหรวก็เห็นๆ กันอยู่ ภูมิหลังของพ่อนางก็ลึกลับเกินคาดเดา นางไม่กล้าบอกที่บ้าน กลัวว่าท่านพ่อจะฆ่านาง เจ้าพอใจหรือยัง? 

ฉึก! อู่หนิงปักดาบลงบนพื้น แอบปล่อยพลังภายใน พื้นดินเป็นรอยแยก เป็นลายใยแมงมุมขยายออกมาโดยมีศาลาเป็นจุดศูนย์กลาง

มีที่กุมด้ามดาบสั่นเทิ้ม อู่หนิงก้มหน้ากล่าวอย่างขมขื่น  ในเมื่อรู้จักกันตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อแต่งงานเข้ามา? 

หวงฝู่ตวนหรงโบกมือชี้ไปข้างนอก  เจ้าดูความสำเร็จของเขาในวันนี้สิ เป็นวีรบุรุษแห่งยุค เจ้าคิดว่าเขาเป็นคนที่ยินดีจะแต่งงานเข้ามาเหรอ? 

 เช่นนั้นก็ให้พวกเขาตัดขาดกัน!  อู่หนิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ

 ตัดขาดเหรอ?  หวงฝู่ตวนหรงแทบจะตะโกนใส่ข้างหูเขา  ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยตัดขาดกัน แต่พวกเขาตัดขาดกันไม่ได้ มาตัดขาดกันตอนนี้ก็สายไปแล้ว อดทนมานานขนาดนี้ ข้าก็ทรมานมาเต็มที่แล้วเช่นกัน ในเมื่อเปิดเผยเรื่องนี้แล้ว ข้าก็ไม่กลัวที่จะบอกเจ้าหรอกนะ ข้าเปิดเผยความลับของสมาคมวีรชนให้หนิวโหย่วเต๋อรู้ไปเยอะแล้ว ถ้าเจ้าอยากจะรายงานลับก็รายงานไปได้เลย! 

แผ่นดินแยกสะเทือนไปถึงหวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ในห้องนอน พอเห็นสภาพศาลา หวงฝู่จวินโหรวก็เดินออกมาถามอย่างตกใจ  ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านเป็นอะไรไป? 

หวงฝู่ตวนหรงผลักอู่หนิงออก เดินก้าวยาวออกมา แล้วจูงลูกสาวเดินออกไปเลย เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่สู้เอาจริงสักครั้ง ดูให้ชัดเจนไปเลยว่าท่านนี้จะจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงหมาป่าหรือเปล่า หรือไม่ก็ดูให้ชัดเจนไปเลยว่าหนิวโหย่วเต๋อจริงใจกับลูกสาวนางหรือเปล่า จะยินดีจ่ายเพื่อลูกสาวนางมากเท่าไร

อู่หนิงนั่งลงอย่างหมดกำลังใจ สีหน้าหดหู่ท้อแท้

เรื่องบางเรื่องหวงฝู่ตวนหรงก็ไม่รู้ ว่าการที่หวงฝู่ตวนหรงอำนาจลดลงในตระกูลหวงฝู่ส่งผลกระทบต่อเขา ถ้าเป็นเมื่อก่อน ภารกิจเสี่ยงอันตรายบางอย่างขององครักษ์เงา เขาก็ไม่ต้องลงมือเองเลย เพราะเขามีภารกิจหลักของเขาอยู่แล้ว ตอนนี้หวงฝู่ตวนหรงมีความสำคัญต่อตระกูลหวงฝู่ลดลง บทบาทของเขาต่อตระกูลหวงฝู่ก็ลดลงแล้วเช่นกัน ดังนั้นภารกิจเสี่ยงอันตรายจึงตกมาอยู่ที่เขาแล้ว

อู่หนิงออกจากตระกูลหวงฝู่ไปเงียบๆ จนกระทั่งหวงฝู่ตวนหรงออกมาอีกครั้ง ทั้งตระกูลหวงฝู่ก็หาไม่เจอเงาอู่หนิงแล้ว ทหารยามบอกว่าอู่หนิงออกไปแล้ว ไปไหนก็ไม่รู้ หวงฝู่ตวนหรงติดต่ออู่หนิงแต่ก็ติดต่อไม่ได้

ด้วยเหตุนี้เอง หวงฝู่ตวนหรงจึงกังวลใจถึงขีดสุด อย่าบอกนะว่าอู่หนิงจะทรยศพวกนางสองแม่ลูกจริงๆ? อดไม่ได้ที่จะนึกเสียใจทีหลังที่ตัวเองวู่วามไปก่อนหน้านี้ นางควรจะจะไม่ยอมรับแม้จะโดนตีตายก็ตาม

หวงฝู่จวินโหรวรู้เรื่องจากปากมารดาแล้ว นางในฐานะที่เป็นลูกสาวกลับแน่ใจว่าบิดาจะไม่ทรยศพวกนาง

เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงกะทันหัน เรื่องราวจากด้านต่างๆ ถูกดึงออกมาไม่น้อย เป็นช่วงเวลาที่เกิดเรื่องราวมากมาย ในอาณาเขตทัพใต้มีตั้งกี่ครอบครัวที่ต้องพลัดพรากจากกันก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงเลย

ดาวอ๋องสวรรค์ฮ่าวเหมือนจะมีฤดูฝนค่อนข้างมาก ที่อยู่บนตึกศาลาสูงกำลังทอดสายตามองสายฝนโปรยปรายด้านนอก ไม่รู้ว่าฮ่าวเต๋อฟางในปีนั้นมายืนชมเมฆหมอกเลื่อนลอย ฝนโปรยเหมือนภาพในบทกวีตรงนี้บ่อยหรือเปล่า

เขาเก็บระฆังดารา แล้วหยิบระฆังดาราอีกอันมาเรียกหยางเจาชิง

หยางเจาชิงมาถึงอย่างรวดเร็ว แล้วทำความเคารพ  นายท่าน! 

เหมียวอี้เอียงหน้าเล่าเรื่องที่หวงฝู่ตวนหรงกับลูกสาวมาที่ดาวเคราะห์บริเวณใกล้ๆ นี้ให้ฟัง ให้หยางเจาชิงเตรียมคนที่ไว้ใจได้ไปคุ้มครองอย่างลับๆ

สุดท้ายการหายตัวไปของอู่หนิงก็ทำให้ความเชื่อใจของหวงฝู่ตวนหรงสั่นคลอน จำเป็นต้องบอกสถานการณ์ให้เหมียวอี้รู้ เหมียวอี้จึงให้พวกนางมาหลบแถวๆ นี้ บอกว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้เอง

หยางเจาชิงเตือนว่า  นายท่าน ช่วงนี้ไปมาหาสู่กับคนของสมาคมวีรชนลึกซึ้งเกินไปแล้ว…พิจารณาหน่อยดีไหมขอรับ?  เขาจะสื่อว่าตอนนี้ก็มีเรื่องเยอะพออยู่แล้ว

เหมียวอี้ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน  สาเหตุที่อยู่ในนั้นพูดวันเดียวไม่จบ เอาเป็นว่าที่จริงแล้วหวงฝู่จวินโหรว เป็นผู้หญิงของข้า มีความเป็นไปได้สูงว่าเรื่องนี้กำลังจะถูกเปิดโปง…  เขาเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง รวมทั้งเรื่องที่หวงฝู่ตวนหรงวู่วามหลุดปากต่อหน้าอู่หนิง และบอกด้วยว่าอู่หนิงเป็นคนขององครักษ์เงา

แน่นอนว่าย้ำเตือนเช่นกัน บอกว่าอวิ๋นจือชิวไม่รู้เรื่องนี้ ให้เขาเก็บเป็นความลับ

หยางเจาชิงตกตะลึงอ้าปากค้าง พูดในใจว่า ไม่น่าเชื่อว่าจะได้กับหวงฝู่จวินโหรวด้วยเหมือนกัน ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมองไม่ออก เก็บซ่อนไว้ลึกมาก โอ้สวรรค์ แค่นี้ยังวุ่นวายไม่พออีกเหรอ? ช่วงนี้มีผู้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้ามาในจวนมากมาย แค่เหยียนซิวที่รับหน้าที่ตรวจสอบก็ยุ่งแทบไม่ทันแล้ว แล้วท่านนี้มีเพิ่มมาอีกคน ต่อไปถ้าฮูหยินรู้แล้วท่านจะอธิบายอย่างไร?

 นอกจากนี้ เจ้าคิดหาทางแอบติดต่อหวงฝู่เลี่ยนคง เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับหวงฝู่จวินโหรวให้เขารู้ บอกเขาว่า อย่านึกว่ามีวังสวรรค์หนุนหลังแล้วข้าจะไม่กล้าทำอะไรตระกูลของพวกเขา ถ้าหวงฝู่ตวนหรงกับลูกสาวเป็นอะไรไป ข้าก็ไม่สนว่าพวกเขาจะเป็นคนทำหรือไม่ ข้าจะถอนรากถอนโคนทั้งตระกูลหวงฝู่แน่นอน จะฆ่าไม่ให้เหลือแม้แต่ไก่หรือสุนัข ให้พวกเขาลงหลุมศพไปเป็นเพื่อนพวกนาง ข้าพูดจริงทำจริง! แล้วก็บอกเขาด้วย ว่าข้าสนใสมาคมวีรชนมาก!  เหมียวอี้กำชับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาไม่ค่อยรู้จักอู่หนิงดีนัก ไม่ได้มีความเชื่อใจบิดาเหมือนหวงฝู่จวินโหรว เขาต้องขู่ตระกูลหวงฝู่ไว้ก่อน ตระกูลหวงฝู่จะได้ไม่ทำซี้ซั้วกับพวกนางสองแม่ลูก

 ขอรับ เข้าใจแล้ว  หยางเจาชิงเพิ่งจะเอ่ยรับ แล้วก็หยิบระฆังดาราอีกอันขึ้นมาอีก แล้วรายงานว่า  ฮูหยินเฟยหงมาแล้วขอรับ 

เหมียวอี้พยักหน้า  เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ เรียกเสี้ยวเสี้ยวมาด้วย 

ผ่านไปไม่นาน ผังเสี้ยวเสี้ยวก็มาถึงก่อน พอเดินขึ้นไปวางกาน้ำชาบนโต๊ะแล้ว นางก็หันหน้าเดินออกมาเลย ช่วงนี้นางค่อนข้างเจ้าอารมณ์

ทว่าตอนที่เดินลงมา ก็บังเอิญเจอกับเฟยหงพอดี ทั้งสองมองหน้ากันเลิกลั่ก

เหมียวอี้ยิ้มหวาน นี่คือสาเหตุที่เขาไม่ห้ามตอนผังเสี้ยวเสี้ยวเดินออกมา ตอนอยู่บนตึกเขาเห็นว่าเฟยหงมาแล้ว รู้ว่าทั้งสองจะต้องเจอกัน

หลังจากอวิ๋นจือชิวส่งต่อภารกิจเยี่ยมเยียนเข้าสังคมให้เฟยหงแล้ว เฟยหงก็เคยไปที่ตระกูลผัง ทั้งสองเคยเจอหน้ากันมาก่อน รู้จักกันแล้ว

เฟยหงอึ้งเล็กน้อย แล้วก็ยิ้มทันที  เป็นน้องเสี้ยวเสี้ยวนี่เอง 

ผังเสี้ยวเสี้ยวเก้อเขินเล็กน้อย เพราะเมื่อก่อนเคยสืบเรื่องหนิวโหย่วเต๋อจากเฟยหงว่าน่ากลัวอย่างที่คนเขาลือกันหรือเปล่า นึกไม่ถึงว่าผ่านไปชั่วพริบตาเดียวจะได้ใช้สามีร่วมกับอีกฝ่ายแล้ว นางคำนับด้วยสีหน้าแดงเรื่อ  พี่สาว!  จากนั้นก็รีบหันหน้าหนีแล้วเดินจากไป

เฟยหงเดินผ่านไปและหันกลับไปมองเป็นระยะ จากนั้นคำนับเหมียวอี้

เหมียวอี้ถามอย่างแปลกใจ  พวกเจ้ารู้จักกันเหรอ?  เขายังคิดจะแนะนำให้สองคนรู้จักกันไว้อยู่เลย

 เมื่อก่อนเคยเจอตอนไปเยี่ยมที่ตระกูลผัง เคยคุยกันมาบ้างแล้วล่ะ นึกไม่ถึงว่า…  เฟยหงพยักหน้า

เหมียวอี้ย่อมเข้าใจว่าทำไมนางพูดไม่จบ จึงบอกว่า  เจ้าคงได้ยินเรื่องที่บ้านนางมาบ้างแล้ว นางอยู่ที่นี่ไม่สนิทกับใคร เจ้าไปมาหาสู่กับนางบ่อยๆ แล้วกัน ช่วยข้าดูแล 

 ค่ะ!  เฟยหงพยักหน้า ความกังวลฉายขึ้นมาตรงหว่างคิ้ว  นายท่าน หน่วยตรวจการซ้ายบีบให้ข้ากลับมา… 

เหมียวอี้ยกมือห้าม หลังจากเฟยหงได้ข่าวจากหน่วยตรวจการซ้ายว่าให้ลอบสังหารเขา นางก็บอกให้เขารู้ทันที ที่จริงเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว ต่อให้เฟยหงไม่บอก เขาก็เดาออกอยู่ดี ตอนแรกที่หยางชิ่งคาดคะเนวางแผน หยางชิ่งก็คาดเดาสถานการณ์ฝั่งนี้ได้แล้ว อาจจะมีความเป็นไปได้ต่ำที่ประมุขชิงจะส่งกองทัพองครักษ์มาทำศึกเพราะคำนึงถึงสถานการณ์ภาพรวม แต่อาจจะใช้วิธีอื่นกำจัดเขา แล้วจะลงมืออย่างไรล่ะ? เฟยหงกับองครักษ์เงาอยู่ในการคาดเดาของหยางชิ่งอยู่แล้ว

เขายังไม่บอกความคิดของหยางชิ่งให้เฟยหงรู้ เพราะจะฉวยโอกาสนี้ทดสอบจุดยืนของเฟยหงอีกสักครั้ง ถ้าเฟยหงอ้างเหตุผลที่จะกลับมาในเวลานี้ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าตำหนักสวรรค์เริ่มดำเนินการเรื่องลงมือสังหารแล้ว

ถ้าเฟยหงเป็นฝ่ายขอกลับมาก่อนโดยไม่ยอมคายความจริง หยางชิ่งก็ให้เหมียวอี้ตัดสินใจเอาเอง ถึงอย่างไรเขาก็เคยวางแผนฆ่าจูเก๋อชิงมาแล้ว…โชคดีที่เฟยหงไม่ได้ทำให้เหมียวอี้ผิดหวัง

 ข้ามีแผนอยู่ในใจแล้ว เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะจัดการเอง  พอเหมียวอี้พูดจบ ก็เห็นตรงหว่างคิ้วนางฉายแววกัดกลุ้ม เขาจึงกุมมือที่เรียวสวยของนาง แล้วพูดปลอบใจว่า  ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร เจ้ากังวลว่าถ้าไม่เชื่อฟังหน่วยตรวจการซ้าย แม่เจ้าก็จะมีอันตราย มีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังไม่ได้บอกเจ้า ก่อนที่ข้าจะลงมือกับทัพใต้ ข้ากังวลว่าหลังจากจบเรื่องแล้วหน่วยตรวจการซ้ายจะบีบบังคับเจ้า ข้าก็เลยวางแผนที่จะช่วยแม่เจ้าไว้แล้ว แต่ตอนนี้ฝั่งข้ายังเตรียมตัวไม่เรียบร้อย ข้าเลยต้องถ่วงเวลาฝั่งหน่วยตรวจการซ้ายเอาไว้ เอาเป็นว่าเจ้าวางใจได้ ข้าจะหาทางช่วยแม่เจ้าออกมาให้ได้แน่นอน ในเร็วๆ นี้ รอไม่นานหรอก! 

เขาไม่ได้มีความมั่นใจต่อพระปีศาจหนานโป ถ้าจะบอกว่าพระปีศาจเป็นอันดับสองในใต้หล้าเรื่องตามหาคน ก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าใต้หล้ามีอันดับหนึ่งแล้ว เขาไม่ได้ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่พระปีศาจ เตรียมแผนอื่นไว้แล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่จำเป็น จะต้องจับตัวประกันที่มีน้ำหนักมากพอเอาไว้แลกคนกับหน่วยตรวจการซ้าย เรื่องบางเรื่องถ้ายังไม่รอให้คุมทัพใต้ได้ก่อน ถ้ายังไม่มีศักยภาพที่จะเสี่ยงอันตราย เขาก็ไม่กล้าทำ เพราะรับความเสียหายร้ายแรงที่ตามมาไม่ไหว

เฟยหงโผเข้ามาในอ้อมกอด รู้สึกซับซึ้งใจสุดๆ

ทั้งสองยังไม่ทันได้พะเน้าพะนอกัน หยางเจาชิงก็ส่งข่าวมาอีกแล้ว ผู้การใหญ่วังสวรรค์ซ่างกวนชิงมาเยือน ทหารยามที่เฝ้าประตูดวงดาวส่งข่าวมา เข้ามาในอาณาเขตผืนนี้แล้ว

ไม่ต้องบอกเลย คำสั่งแต่งตั้งอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้มาถึงแล้ว ความสำคัญของคำสั่งแต่งตั้งนี้เพียงพอที่จะให้ซ่างกวนชิงมาด้วยตัวเอง

เหมียวอี้จึงให้เฟยหงหลบเลี่ยงไปก่อน แล้วสั่งให้ทัพใหญ่ที่ป้องกันอยู่ใกล้ๆ รีบเตรียมพร้อมป้องกัน ส่วนเขาก็จัดเสื้อผ้าหน้าผม แล้วออกไปรอต้อนรับที่ประตูใหญ่จวนท่านอ๋องด้วยตัวเอง

………………

 

เมื่อมีคนคัดค้านก็มีกติกา เมื่อไม่มีคนคัดค้านก็ไม่มีกติกา?

ในหัวของเม่ยเหนียงกำลังครุ่นคิดสองประโยคนี้ หลักการเรียบง่ายขนาดนี้แต่กลับทำให้นางเหมือนเห็นแสงสว่างกะทันหัน ได้รับประโยชน์มากมาย อดไม่ได้ที่จะมองก่วงลิ่งกงอีกครั้ง นับว่ารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองกับท่านนี้แตกต่างกันขนาดไหน

แต่ไม่นานความคิดของนางก็ไปอยู่ที่เหมียวอี้อีก

ครั้งก่อนท่านอ๋องมาเจรจากับนาง ว่าต้องการให้ลูกสาวเป็นอนุภรรยาของหนิวโหย่วเต๋อ บอกประมาณว่าหลังจากจบเรื่องแล้วจะหาโอกาสสนับสนุนให้ลูกสาวเป็นภรรยาเอก ตอนนั้นตัวเองยังไม่ยินยอม ต่อให้ตอบตกลงแต่ก็ฝืนใจมากเช่นกัน ผลปรากฏว่าตอนหลังท่านอ๋องก็กลับค่ำอีกแล้ว บอกว่านางไม่ต้องรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมอีกแล้ว รับปากแล้วว่าจะไม่ให้เม่ยเอ๋อร์แต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋ออีก

พอมาคิดดูตอนนี้ นางนึกเสียใจทีหลังแทบแย่ ถ้าหากในปีนั้นนางตอบตกลงท่านอ๋อง ไม่ทำให้ท่านอ๋องรู้สึกลำบากใจ มีท่านอ๋องสนับสนุน ทั้งยังมีประสบการณ์เอาใจผู้ชายที่ได้รับถ่ายทอดมาจากนาง เกรงว่าตอนนี้ลูกสาวคงจะถูกสนับสนุนให้เป็นภรรยาเอกไปแล้ว ถ้ารอจนถึงตอนนี้ ลูกสาวก็จะกลายเป็นหวังเฟยคนที่สองของใต้หล้าแล้ว! ถึงตอนนั้นสองแม่ลูกจะมีหน้ามีตาขนาดไหน ถามหน่อยว่าในตระกูลก่วงเรียนจะมีใครกล้าเมินใส่นางอีก?

นางนึกไม่ถึงเลยจริงๆ เมื่อก่อนได้ยินบ่อยว่าหนิวโหย่วเต๋อมีอนาคตยาวไกล แต่ต่อให้มีอนาคตยาวไกล แบบนี้ก็ก้าวกระโดดเกินไปแล้ว เลื่อนตำแหน่งจากผู้ตรวจการใหญ่ไปเป็นอ๋องสวรรค์ สง่าราศีนั้นเปล่งประกายจนทำให้ตาบอดได้เลย เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว นางรู้ว่าได้พลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อยังไม่ขึ้นสู่ตำแหน่งอ๋องสวรรค์ ลูกสาวนางก็ยังมีโอกาส แต่พอขึ้นนั่งตำแหน่งอ๋องเมื่อไหร่ ก็เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิงแล้ว สำหรับผู้ชายที่อยู่ระดับนั้น ความงามของผู้หญิงไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนัก หนิวโหย่วเต๋ออยู่ในระดับเดียวกับท่านอ๋องแล้ว จะไปแต่งงานกับเม่ยเอ๋อร์เพื่อลดความอาวุโดสต่อหน้าท่านอ๋องได้อย่างไร?

ในใจตำหนิตัวเองว่ายากที่จะย้อนกลับไปได้แล้ว เลือกไปเลือกมาก็พลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว นางนึกเสียใจทีหลังอย่างสุดซึ้ง รู้สึกว่าตัวเองไร้วิสัยทัศน์จนทำลายอนาคตของลูกสาว ทั้งชีวิตนี้ยากจะอภัยให้ตัวเองได้

หารู้ไม่ว่า ที่เรื่องแต่งงานของก่วงเม่ยเอ๋อร์กับเหมียวอี้สำเร็จได้ยากนั้นไม่เกี่ยวข้องกับนางเลยสักนิด ตอนแรกก่วงลิ่งกงก็มีความมั่นใจมากจริงๆ ส่งโกวเยว่ไปคุยเรื่องแต่งงานกับเหมียวอี้ แต่เหมียวอี้ปฏิเสธแล้ว ตอนหลังก่วงลิ่งกงถึงได้มีข้ออ้างมาเปลี่ยนคำพูดกับนาง เขาเสียหน้าไม่ไหว ไม่ได้บอกความจริงกับนาง

แต่กลับไม่คิดเลยว่า สิ่งนี้ได้กลายเป็นปมในใจนางแล้ว หลังจากนี้ไปก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบเป้าหมายที่ลูกสาวจะแต่งงานด้วยกับหนิวโหย่วเต๋อ ทุกครั้งทำให้นางว้าวุ่นใจ

ดาวสยบใต้ สำนักลมปราณ ธงนอกตำหนักซื่อตรงโบกสะบัดรับลม ทุกคนของสำนักลมปราณกำลังเคร่งขรึมจริงจัง

บนบันไดหินตรงไหล่เขาทางไปตำหนักซื่อตรง ศิษย์สำนักลมปราณกำลังยืนเรียงรายอยู่สองฝั่งของบันได เรียงไปตลอดจนถึงยอดเขา

เป่าเหลียนสวมชุดนักพรตเต๋าใหม่เอี่ยมทั้งตัว ศีรษะสวมมงกุฎสีม่วงทอง สงบนิ่งภูมิฐาน สายตามองตรง เดินก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น ตรงจุดที่นางเดินไป ศิษย์ที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวาบนบันไดล้วนใช้สายตาเคารพ

เดินขึ้นไปบนยอดเขา เดินผ่านลานกว้าง เข้าไปในตำหนักซื่อตรง

สายตาของทุกคนในตำหนักจับจ้อง มองตามนางเดินไปตรงหน้าเจ้าสำนักอวี้หลิงที่อยู่ตรงกลาง

เป่าเหลียนใช้สองมือสะบัดชุดนักพรตเต๋าไปข้างหน้ นั่งคุกเข่าอย่างสง่าอยู่บนเบาะทรงกลม คุกเข่าสามครั้งโขกศีรษะเก้าครั้งต่อเจ้าสำนักอวี้หลิงด้วยสีหน้าเคารพเลื่อมใส สุดท้ายก็ยกมือสองข้างขึ้นมา

หลังจากเจ้าสำนักอวี้หลิงเตือนสติอย่างจริงจัง นำป้ายคำสั่งเจ้าสำนักสีม่วงแดงส่งต่อให้นางอย่างเป็นทางการ จากนั้นก็ถอยไปด้านข้าง หลีกทางจากตำแหน่งนั้นให้ แล้วไปยืนอยู่ข้างกายอวี้ซวีกับอวี้เลี่ยน

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเขาสามคนก็จะถอยไปอยู่หลังม่านอย่างเป็นทางการแล้ว เลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสของสำนักลมปราณแล้ว มอบสำนักลมปราณให้ศิษย์รุ่นใหม่จัดการ เป่าเหลียนรับตำแหน่งเจ้าสำนักลมปราณอย่างเป็นทางการแล้ว

ก่อนที่อวี้ซวีเจินเหรินจะกลับมาจากจวนจอมพลสายเถาะ ตอนที่เหมียวอี้มาส่งเขา ก็จงใจบอกใบ้เล็กน้อย ว่าให้ส่งต่อตำแหน่งเจ้าสำนักลมปราณให้เป่าเหลียนได้แล้ว

พออวี้ซวีเจินเหรินกลับมา ก็บอกสถานการณ์ให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องรู้ สำนักลมปราณจึงเริ่มเตรียมส่งต่ออำนาจทันที ถึงได้เกิดฉากนี้ขึ้น

เรื่องที่เป่าเหลียนรับตำแหน่งเจ้าสำนัก เดิมทีในสำนักมีคนไม่น้อยไม่พอใจ เรื่องบางเรื่องนั้นเห็นได้ชัดเจน ชีอู้เจินเหรินเป็นรุ่นแรกของสำนักลมปราณ อวี้หลิงเจินเหรินเป็นรุ่นสอง เต๋อหมิงเป็นรุ่นสาม เป่าเหลียนเป็นรุ่นสี่ คนรุ่นสามยังมีอยู่ตั้งเยอะ มีสิทธิ์อะไรมาสละตำแหน่งให้เป่าเหลียน?

จะบอกว่าเจ้าสำนักมีใจเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวก็ไม่ใช่ เพราะการวางตัวของอวี้หลิงเจินเหรินก็ชัดเจนมาหลายปีแล้ว เพียงแต่ถ้าพูดถึงคุณสมบัติและลำดับอาวุโส ก็ถือว่ายังไม่ถึงคราวของเป่าเหลียน ก็กอปรกับมีคนไม่น้อยที่สงสัย เพราะเป่าเหลียนแต่งงานเป็นอนุภรรยาของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว มีจุดที่น่าสงสัยต่อการเป็นผู้นำสำนักลมปราณของเป่าเหลียนในอนาคต จะบอกว่าในใจรู้สึกไม่ยุติธรรมก็ดี จะบอกว่าในใจรู้สึกไม่ยอมก็ดี สรุปก็คือในบรรดาศิษย์รุ่นสามมีบางส่วนที่มีจุดยืนต่อต้านการเปลี่ยนแปลง

มีบัญชาสวรรค์ออกมาแล้ว ประกาศต่อใต้หล้า ราชันสวรรค์ไม่พูดเล่น เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อกลายเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ถูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว

เมื่อมีข่าวนี้ออกมา ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก ระงับคำวิจารณ์ที่น่าสงสัยทั้งหมดของสำนักลมปราณได้ทันที

อ๋องสวรรค์คุมทัพใต้หมายความว่าอะไร? ทรัพยากรของใต้หล้าที่กลุ่มเอาไว้มีจำนวนมหาศาล ถ้าเป่าเหลียนได้กลายเป็นเจ้าสำนักสำนักลมปราณ ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ก็จะรู้ว่าจะต้องนำโอกาสดีในการเติบโตมาให้สำนักลมปราณแน่นอน เป่าเหลียนจะต้องไขว่คว้าโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะได้เติบโตจากมือหนิวโหย่วเต๋อมาให้สำนักลมปราณแน่นอน ด้วยเหตุนี้ การสืบทอดตำแหน่งของเป่าเหลียนจึงราบรื่น

เพียงแต่เรื่องที่เป่าเหลียนแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ ตอนนี้รู้กันอยู่แค่คนในตำหนักใหญ่เท่านั้น นี่คือผลที่ได้จากการปรึกษากับหนิวโหย่วเต๋อ เจตนาของหนิวโหย่วเต๋อก็คือรอให้ฝั่งนั้นเลิกห่วงหน้าพะวงหลังก่อนแล้วค่อยประกาศอีกที

เมื่อรับป้ายคำสั่งเจ้าสำนักมาแล้ว เป่าเหลียนก็เดินไปตำแหน่งบนแล้วหันตัวมาเผชิญหน้ากับทุกคน เผยป้ายคำสั่งในมือให้ทุกคนดู

 คารวะเจ้าสำนัก!  ทุกคนในตำหนักใหญ่คารวะพร้อมกัน

ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ไร่ศักดิ์สิทธิ์ นักพรตเต๋าเต๋อหมิงกำลังนอนดื่มสุราเมามายอยู่ใต้ร่มไม้ เต๋อสือถือกาสุลาเดินเข้ามา เตะขาเต๋อหมิงลางบอกว่า  ศิษย์พี่ ลูกสาวท่านรับตำแหน่งเจ้าสำนัก เรื่องมงคลอย่างนี้ ท่านไม่ไปอาบน้ำให้สะอาดแล้วเข้าร่วมพิธีหน่อยเหรอ? 

เต๋อหมิงยิ้มมุมปาก แต่ไม่ได้ตอบอะไร

 ท่านก็แอบภูมิใจล่ะสิ  นักพรตตาเหล่เต๋อสือพูดดูถูก แล้วเดินไปหย่อนก้นนั่งลงด้านข้าง ก่อนจะเงยหน้ากรอกสุราเข้าปาก

จู่ๆ ข้างหูก็มีเสียงเอื่อยเฉื่อยของเต๋อหมิงดังขึ้น  ศิษย์น้อง เจ้ารู้สึกว่าเรื่องในปีนั้นข้าทำผิดไปหรือเปล่า? 

เต๋อสือเอียงหน้ามองมา มองแววตาที่เลื่อนลอยเพราะฤทธิ์สุราของเขา ย่อมรู้ว่าเรื่องในปีนั้นหมายถึงเรื่องไหน จึงถอนหายใจแล้วบอกว่า  ศิษย์พี่ ท่านยังคิดถึงเรื่องในปีนั้นไม่เลิกอีกเหรอ? ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เลิกคิดถึงมันได้แล้ว 

เต๋อหมิงหัวเราะเบาๆ พร้อมกลิ่นสุรา  ข้าเข้าใจความแน่วแน่ของท่านพ่อในปีนั้น แต่ตอนนี้ล่ะ เขาจะไม่รู้เชียวเหรอว่าพอเป่าเหลียนแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อและรับตำแหน่งเจ้าสำนักแล้ว ทั้งสำนักลมปราณจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในไม่ช้าก็เร็ว? แตกต่างกับความคิดของข้าในปีนั้นตรงไหน? อ้อมไปอ้อมมา สุดท้ายก็เดินเข้าสู่เส้นทางที่ข้าคิดไว้ในปีนั้น หึหึ คนที่คัดค้านข้าในปีนั้น ตอนนี้ทุกคนกลับไม่พูดอะไรแล้ว ข้าครุ่นคิดมาตั้งนานกว่าจะเข้าใจเหตุผล ตอนนั้นข้าไปคลุกคลีกับเรื่องภายนอกค่อนข้างลึก พวกเขาหลบอยู่ในสำนักไม่ได้คลุกคลีมากเท่าข้า ความคิดเลยเปลี่ยนแปลงช้า พอพวกเขาสัมผัสกับโลกภายนอกเยอะขึ้น ในที่สุดก็ค่อยๆ เผเชิญหน้ากับความจริงได้แล้ว 

เต๋อสือก้มหน้าเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า  ไม่เหมือนกัน เป็นเพราะเป่าเหลียนชอบหนิวโหย่วเต๋อ เจ้าสำนักถึงได้ให้เป่าเหลียนแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อ 

 ก็เลยให้เป่าเหลียนเป็นเจ้าสำนักเหรอ?  เต๋อหมิงพูดหยอก จากนั้นก็ถามกลั้วเสียงหัวเราะ  เจ้าไม่รู้สึกว่าเหตุผลนี้น่าขำเหรอ?  พูดจบก็ไม่พูดอะไรอีก เอาแต่ดื่มสุรา

เต๋อสือเงียบไปพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็อุ้มน้ำเต้าสุรากระดกกรอกเข้าปากเสียงดังอึกๆ น้ำสุราไหลเปียกขอเสื้อ…

หวงฝู่ตวนหรงเดินเข้ามาในร้านบ้านของตัวเอง ที่นี่สงบเงียบเหมือนเดิม นายท่านของที่นี่ไม่ชอบให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าออกบ้านตัวเอง

อู่หนิงกำลังนั่งสง่าอยู่ในศาลา ในมือถือดาบใหญ่สีแดง กำลังใช้ผ้าสีขาวขัดถู ขัดอย่างจริงจังตั้งใจมาก!

หวงฝู่ตวนหรงที่เดินเนิบนาบเข้ามาในศาลาจ้องดาบในมือเขา สามีไม่ค่อยเผยดาบเล่มนี้ให้เห็น ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ถึงรีบออกมาเปิดเผยให้เห็นในลานบ้าน แม้ที่นี่จะมีคนเข้าออกน้อยมาก แต่ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดล่ะ?

 เจ้ามีเรื่องอะไรในใจเหรอ?  หวงฝู่ตวนหรงนั่งลงที่เก้าอี้หินตรงข้ามเขา

 เปล่า!  อู่หนิงส่ายหน้าปฏิเสธ เหมือนยังคงหมกมุ่นอยู่กับการขัดดาบ

เมื่อเขาไม่ยอมรับ หวงฝู่ตวนหรงก็ไม่ถามอีก นางรู้ว่าคนคนนี้จะพูดสิ่งที่ควรพูด ส่วนสิ่งที่ไม่ควร ถ้าตัวเองทำเยอะก็จะไม่เหมาะสม นางมองไปรอบๆ แล้วถามว่า  โหรวโหรวออกไปแล้วเหรอ? 

อู่หนิงตอบว่า  ขลุกอยู่ในห้องไม่ยอมออกมา…  เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดเสริมว่า  นางมีเรื่องในใจ 

 เฮ้อ! ใครจะไปรู้ล่ะ  หวงฝู่ตวนหรงถอนหายใจ รู้ว่าลูกสาวได้รับผลกระทบจากเรื่องหนิวโหย่วเต๋อ นอกจากจะเห็นกับตาตัวเองแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อใช้อุบายปลุกปั่นสถานการณ์ ยังได้แต่มองดูหนิวโหย่วเต๋อรับอนุภรรยาตาปริบๆ หลังจากถูกปล่อยตัวแล้วก็กลับมาที่บ้านเลย จิตตกเล็กน้อย  ช่วงนี้หนิวโหย่วเต๋อนั่นขยันก่อเตอนนี้กำลังจะได้เป็นอ๋องสวรรค์แล้ว ได้หน้าได้ตาไม่จบไม่สิ้น เพียงแต่ชีวิตนับร้อยล้านที่ตายไปอย่างอนาถจะไปเรียกร้องความยุติธรรมจากใคร? ว่ากันว่าความสำเร็จของแม่ทัพคนหนึ่งแลกมาด้วยกองกระดูกนับหมื่น เรื่องจริงมีให้เห็นอยู่ตรงหน้านี้แล้ว! ถ้าเทียบกับการทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการเพื่อเอาชีวิตคนไปเป็นกอง เรื่องลับๆ ที่สมาคมวีรชนของพวกเราทำก็ดูมีศีลธรรมไปเลย สมาคมวีรชนก่อตั้งมาหลายปีขนาดนี้ จำนวนคนที่ที่ฆ่าไปยังเทียบเศษของเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ใครชั่วใครดีล่ะ? เขาทำร้ายชีวิตคนไปมากขนาดนั้นเลยรวดเดียว แต่กลับทำให้คนในใต้หล้าทั้งอิจฉาทั้งชื่นชม เวลาสมาคมวีรชนจะฆ่าใครสักคนยังต้องแอบทำ ไม่รู้จริงๆ ว่าความยุติธรรมอยู่ที่ไหน! 

อู่หนิงกล่าวเหมือนไม่ใส่ใจ  เรื่องของคนอื่นเกี่ยวอะไรกับพวกเรา? เจ้าเป็นผู้จัดการใหญ่ไม่ได้แล้ว แต่เหมือนเจ้าจะไม่รู้สึกเป็นทุกข์เลยสักนิด 

หวงฝู่ตวนหรงเบะปาก แล้วพูดเหมือนไม่ค่อยพอ  พอท่านปู่ตายไป ตอนนี้ท่านปู่รองหวงฝู่จัวก็เป็นคนดูแลบ้าน ช่องทางรายได้ของสมาคมวีรชนอยู่ในกำมือข้า เขาจะวางใจได้ยังไง การเปลี่ยนตำแหน่งข้าคือเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? มีอะไรน่าตกใจ  ตอนนี้นั่งนับว่าได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว กลายเป็นผู้คุมกฎของตระกูลหวงฝู่ กฎของตระกูลก็เห็นกันอยู่ ลูกหลานในตระกูลไม่มีใครกินอิ่มแล้วเบื่อหน่ายจนฝ่าฝืนกฎ ดังนั้นนางจึงว่างมาก ชัดเจนแล้วว่าภายนอกได้เลื่อนตำแหน่งแต่ภายในถูกลดตำแหน่ง ตอนนี้ในมือนางไม่มีอำนาจที่แท้จริงแล้ว

แต่ตอนนี้นางก็ไม่เป็นอะไรแล้วเช่นกัน ถูกสถานการณ์กดดันจนคิดได้แล้ว ที่ลำบากลำบนก็เพราะอยากจะได้ทรัพยากรฝึกตนเพิ่มขึ้นไม่ใช่เหรอ อย่างไรเสียหนิวโหย่วเต๋อก็แอบมอบหุ้นหนึ่งส่วนของร้านค้าซื่อตรงให้แล้ว ทั้งชีวิตนี้พวกนางสองแม่ลูกไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่พื้นฐานแล้ว ไม่ขาดแคลนทรัพยากรฝึกตนเช่นกัน ถ้าประสบความลำบากอะไรจริงๆ อาศัยอำนาจของหนิวโหย่วเต๋อในตอนนี้ ยังจะมีเรื่องใหญ่อีกเหรอ? ขี้คร้านจะไปกังวลแล้ว ได้กินดื่มเที่ยวเล่นและฝึกวิชาอย่างสบายใจก็ดีมากแล้ว

ใครจะคิดว่าอู่หนิงกลับไม่ตอบให้ตรงคำถาม แต่โยนประโยคหนึ่งออกมาอย่างเยียบเย็นว่า  เหมือนเจ้าจะสนใจหนิวโหย่วเต๋อมากนะ 

หวงฝู่ตวนหรงโบกมืออย่างเหยียดหยาม ทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า  มีอะไรให้ข้าสนใจ ตอนนี้คนทั้งใต้หล้าพากันวิพากษ์วิจารณ์ ข้าจะพูดถึงเขาสักหน่อยไม่ได้เหรอ? 

อู่หนิงถามอีกว่า  หนิวโหย่วเต๋อกับโหรวโหรวมีความสัมพันธ์อะไรกันแน่? 

หวงฝู่ตวนหรงขนลุกซู่ ฟังออกถึงความหมายอันเยียบเย็นในคำพูดของสามี เห็นเพียงอู่หนิงที่กำลังนั่งหันหลังให้พาดดาบไว้ตรงหน้า ตัวดาบที่โปร่งแสงราวกับกระจกสะท้อนเงาดวงตาที่กำลังจ้องนางอย่างเย็นเยียบ

………………

 

 หนิวโหย่วเต๋อมีผลงานที่ปราบกบฏในทัพใต้ ควรตบรางวัลอย่างงาม! 

 ตอนนี้ฮ่าวเต๋อฟางตายด้วยน้ำมือกบฏ ทัพใต้เป็นมังกรไร้หัว หนิวโหย่วเต๋อสามารถรวบรวมจิตใจของทุกคนในทัพใต้ได้ เป็นเจตจำนงร่วมของชุมชน ให้หนิวโหย่วเต๋อคุมทัพใต้เหมาะสมที่สุดแล้วขอรับ 

 เพื่อทำให้อาณาเขตทัพใต้สงบมั่นคงโดยเร็ว ข้าน้อยขอแนะนำให้ฝ่าบาทแต่งตั้งให้หนิวโหย่วเต๋อเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้! 

 ข้าน้อยเห็นด้วย! กำลังพลทัพใต้ล้วนอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้ทัพใต้หนีไม่พ้นหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ไม่อย่างนั้นจะทำให้ใต้หล้าเกิดความวุ่นวายใหญ่โตได้ง่าย! 

 ถ้าให้ทัพใต้วุ่นวายต่อไป การเก็บภาษีของทั้งงใต้หล้าก็จะหายไปจำนวนหนึ่งส่วนสี่ ดีไม่ดีอาจจะทำให้ใต้หล้าเกิดความวุ่นวายใหญ่โตก็ได้! ข้าน้อยแนะนำว่า ควรแต่งตั้งให้หนิวโหย่วเต๋อเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ชอรับ! 

 หนิวโหย่วเต๋อคือตัวเลือกเดียวที่จะเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ ข้าน้อยเห็นด้วย! 

 ข้าน้อยเห็นด้วย! 

 ข้าน้อยเห็นด้วย! 

ขุนนางในเครือข่ายทัพตะวันออก ทัพเหนือ ทัพใต้และตระกูลเซี่ยโห้วมีความเห็นเป็นเอกฉันท์อย่างเห็นได้ชัด ทั้งหมดกำลังช่วยพูดเพื่อให้หนิวโหย่วเต๋อได้เป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้

ทั้งตำหนักฟ้าดินไม่มีเสียงคัดค้าน ประมุขชิงไม่ได้คัดค้าน คุณนั่งข้างกายประมุขชิงไม่ได้คัดค้าน ได้แต่มองคนจากกลุ่มอำนาจใหญ่ส่งเสียงดังต่อเนื่องไม่หยุด

สุดท้ายประมุขชิงตัดสินใจยังสุขุม  เช่นนั้นก็กำหนดตามนี้ ร่างคำสั่ง แล้วประกาศต่อใต้หล้า แต่งตั้งให้หนิวโหย่วเต๋อเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้! 

 ฝ่าบาททรงปราดเปรื่อง!  กลุ่มคนนางตะโกนพร้อมกัน

จนกระทั่งจบการประชุม กลุ่มขุนนางออกจากราชสำนักไปแล้ว เกาก้วนก็เป็นคนสุดท้ายที่เดินออกจากตำหนักฟ้าดิน ขณะกำลังเดินลงบันได ก็หันหลังกลับมามองแวบหนึ่งอย่างเย็นชา ประมุขชิงรั้งซือหม่าเวิ่นเทียนไว้คนเดียว ไม่รู้ว่ามีเจตนาอะไร ความสงบนิ่งของประมุขชิงทำให้เขาสังเกตไม่เห็นความผิดปกติอะไร

ตำหนักดาราจักร ซือหม่าเวิ่นเทียนเดินตามหลังประมุขชิงเข้ามา แต่กลับพบว่าประมุขชิงเดินเนิบนาบไปที่ชั้นหนังสือ พลิกตำราโบราณอ่านราวกับคนที่ไม่เป็นอะไร

หลังจากเดินตามอยู่เงียบๆ พักใหญ่ ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ไม่รู้ว่าประมุขชิงต้องการอะไร แต่เขาก็แน่ใจได้ว่าประมุขชิงอารมณ์ไม่ดี จึงอดไม่ได้ที่จะส่งสายตาสอบถามซ่างกวนชิงพี่เดินตามอยู่ข้างๆ เหมือนกัน แต่กลับไม่ได้รับคำตอบ

 ฝ่าบาท มีอะไรจะกำชับหรือขอรับ?  สุดท้ายซือหม่าเวิ่นเทียนก็ยังเป็นฝ่ายถามก่อน

ประมุขชิงที่ก้มหน้าอ่านตำราเงียบๆ เลยถามเสียงเรียบว่า  สายลับข้างกายหนิวโหย่วเต๋อนี่ยังไงกันแน่ นึกไม่ถึงว่าจะไม่รู้เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อแต่งงานกับลูกสาวของผังก้วน? 

ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบตอบว่า  เรื่องนี้ได้รับการตรวจสอบแล้ว เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับผังก้วนเป็นความลับสุดยอด ก่อนเกิดเรื่องเขากันนางไปไว้บนเกาะแล้ว นางไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าของลูกสาวผังก้วนด้วยซ้ำ ไม่รู้ความจริงเลย หนิวโหย่วเต๋อวางแผนงานใหญ่ขนาดนี้ ถ้าข่าวหลุดผลที่ตามมาก็ร้ายแรงมาก ระวังตัวขนาดนี้ก็พอเข้าใจได้ขอรับ ตามข่าวที่สายลับรายงานมาหลังจากจบเรื่อง เรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับผังก้วน คนส่วนใหญ่ที่อยู่ฝั่งหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ทราบเช่นกันขอรับ 

 หนิวโหย่วเต๋อน่ะ เก็บไว้ไม่ได้แล้ว คิดหาทางกำจัดเถอะ!  ประมุขชิงกล่าวเหมือนไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร

ที่จริงเขาก็อยากรู้มากว่าทำไมจู่ๆ ตระกูลเซี่ยโห้วจึงช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อขึ้นสู่ตำแหน่ง ครั้งนี้ตระกูลเซี่ยโห้วเปิดเผยสายลับที่อยู่ในทัพใต้แล้วไม่น้อย ราคาที่ต้องจ่ายสูงมาก คุ้มแล้วเหรอ? แต่จนใจที่ฝั่งเขาสืบเรื่องให้ชัดเจนไม่ได้

 เอ่อ…  ซือหม่าเวิ่นเทียนอึ้งไปชั่วขณะ แล้วถามหยั่งเชิงว่า  จะให้หน่วยตรวจการขวาลงมือหรือขอรับ? 

 ให้สายลับคนนั้นแสดงบทบาทได้แล้ว ให้นางลงมือเถอะ  ประมุขชิงกล่าว

 ขอรับ!  ซือหม่าเวิ่นเทียนเอ่ยรับแล้วชะงักไปครู่เดียว ก่อนจะกล่าวอย่างลังเลอีกว่า  ช่วงนี้หนิวโหย่วเต๋อระวังตัวค่อนข้างสูง ข้าน้อยกังวลว่านางจะทำสำเร็จได้ยาก ถึงยังไงข้างกายนางก็ไม่มีผู้ช่วย ถ้าให้นางลงมือแล้วไม่สำเร็จ ก็เท่ากับให้นางรนหาที่ตาย ใช้มารดาของนางบีบให้นางทำงานคงไม่เป็นอะไร แต่ถ้าจะให้นางเอาชีวิตไปทิ้ง นางจะเสียดายชีวิตหรือเปล่า…ข้าน้อยไม่กล้ารับประกันเช่นกัน 

ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ พูดต่อด้วยรอยยิ้ม  ถ้าตอนนี้นางหาโอกาสลงมือไม่ได้ ก็ให้นางช่วยหาโอกาสเหมาะให้ฝั่งพวกเรา นางอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ ถ้าจะให้สืบช่องโหว่ของหนิวโหย่วเต๋อก็น่าจะไม่มีปัญหาหรอกมั้ง? 

ซือหม่าเวิ่นเทียนเข้าใจแล้ว ถ้าไม่ถึงขั้นหมดทางเลือก ประมุขชิงก็ไม่อยากทำให้ใต้หล้าวุ่นวาย เพราะถึงอย่างไรใต้หล้าที่วุ่นวายก็คือใต้หล้าของเขา ไม่ใช่ใต้หล้าของคนอื่น ต้องให้วุ่นวายอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ เกรงว่าองครักษ์เงาจะต้องลงมือแล้ว เรื่องหน้าไม่อายอ่ะการลอบสังหารขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ มีเพียงหน่วยกล้าตายอย่างองครักษ์เงาเท่านั้นที่เหมาะสมจะทำเรื่องนี้ที่สุด! จึงพยักหน้าบอกทันที  ดี! ข้าน้อยจะไปเตรียมการเรื่องนี้! 

 อ๋องสวรรค์คุมทัพใต้? 

ตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้รู้ข่าวผลการประชุมขุนนางแล้ว นางหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ ท่าทางเหมือนจะกลายเป็นอัมพาตครึ่งตัว พึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

หนังไม่เข้าใจว่าทำไมประมุขชิงตอบตกลงเรื่องอย่างนี้ได้ สำหรับนางแล้ว ถ้าให้หนิวโหย่วเต๋อเป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ ก็จะเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกควบคุมจากตำหนักนารีสวรรค์อีก การที่หนิวโหย่วเต๋อไม่ต้องใช้งานนางแล้ว ความรู้สึกโกรธแค้นเพราะความอับอายที่ถูกหลอกใช้ประโยชน์กลับมากขึ้น

ถ้าลองเปลี่ยนมุมมองเพื่อบรรยายสภาพจิตใจของนางตอนนี้ ก็แทบจะอยู่ในสภาวะป่วยแล้ว หนิวโหย่วเต๋อได้รับความช่วยเหลือจากนางสำเร็จแล้ว แต่กลับทิ้งนางไว้ นางรู้สึกว่าตัวเองถูกหนิวโหย่วเต๋อทิ้งแล้ว!

นางทุบทำลายข้าวของด้วยความโกรธแค้น หลังจากเริ่มใจเย็นลง ในดวงตาก็ฉายแววเด็ดเดี่ยว นางคิดว่าจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลยังอยู่ในการควบคุมของหน้า นางยังสามารถแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลคนใหม่ได้อีก นางสามารถชุบเลี้ยงหนิวโหย่วเต๋อได้ นางก็สามารถชุบเลี้ยงคนใหม่ได้เช่นกัน

พอรีบร้อนออกจากตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็แทบจะไปหาประมุขชิงในทันที

ในตำหนักดาราจักร ซือหม่าเวิ่นเทียนเพิ่งจะออกไป เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็มาคำนับ ประมุขชิงเดินเอ้อระเหยอ่านหนังสืออยู่ระหว่างชั้นหนังสือ ถามเสียงเรียกว่า  เฉิงอวี่มีธุระอะไร? 

 ฝ่าบาท จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลอยู่ในการควบคุมของตำหนักนารีสวรรค์ ฝ่าบาทมีตัวเลือกใหม่ที่จะมารับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการหรือยัง?  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถาม

ประมุขชิงถามด้วยน้ำเสียงปกติ  หรือว่าเจ้ามีความคิดอะไรเรื่องตำแหน่งนั้น?  ความคิดของเขาตอนนี้ยังไปไม่ถึงด้านนั้น

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตอบว่า  หม่อมฉันแนะนำให้ส่งลูกชายของเราไปรับตำแหน่ง! ศักยภาพของหยวนจุนในตอนนี้ไม่ด้อยกว่าหนิวโหย่วเต๋อในปีนั้นเลย ในปีนั้นหนิวโหย่วเต๋อเป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลได้ หยวนจุนก็ย่อมเป็นได้เหมือนกัน! 

ในสายตาของนาง โลกนี้มีคนทรยศมากเกินไป มีเพียงลูกชายของตัวเองที่ทำให้นางวางใจที่สุด เป็นหลักการที่ไม่ซับซ้อน ไม่มีความคิดอ้อมค้อมใดๆ

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ประมุขชิงกับซ่างกวนชิงก็ตะลึงค้าง ประมุขชิงเงยหน้าช้าๆ มองนาง แล้วถามอย่างสงสัยว่า  เฉิงอวี่ นี่ตระกูลของเจ้าสอนมาเหรอ? 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตอบว่า  ฝ่าบาทคิดมากไปแล้ว เปล่าเพคะ! ตระกูลของหม่อมฉันเห็นแก่ตัวเกินไป ถ้าจะให้ใช้ขุนนางที่เป็นคนนอก ก็อาจจะมีหนิวโหย่วเต๋อคนที่สองก็ได้ หม่อมฉันคิดไปคิดมา พบว่ามีเพียงลูกชายของเราที่ไว้ใจได้ที่สุด! 

ขุนนางและราชันมองหน้ากันเลิกลั่ก ฟังออกถึงความแค้นที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ดูไม่เหมือนพูดโกหก แม้จะค่อนข้างปลัดใจที่จู่ๆ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เสนอวิธีการนี้ แต่พอลองเปลี่ยนความคิด การที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่คิดวิธีการแบบนี้ออกมาได้ ก็เหมือนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว

ประมุขชิงตาเป็นประกาย เก็บม้วนตำราไว้บนชั้นหนังสือ ไม่ต้องพูดถึงเลย วิธีการนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนตรงหน้ามีแสงสว่าง อดไม่ได้ที่จะมองเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หลายครั้ง

ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ก่อตั้งจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลขึ้นมา ถ้าราชันสวรรค์ต้องการจะทำอย่างนี้ ก็จะมีแรงต้านไม่น้อย แต่ตอนนี้แรงต้านที่ควรจะมีก็ถูกหนิวโหย่วเต๋อย่ำจนราบไปหมดแล้ว จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลมีอยู่แล้ว ทั้งยังเป็นของตำหนักนารีสวรรค์ สองปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในการควบคุมถูกหนิวโหย่วเต๋อทำลายไปหมดแล้ว อ๋องสวรรค์คุมทัพใต้จึงคิดจะรักษาจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลให้อยู่ในการควบคุมของตำหนักนารีสวรรค์อีกเหรอ?

ประมุขชิงเอาสองมือไขว้หลัง หรี่ตายิ้มขณะมองเซี่ยโห้วเฉิงอวี่  แล้วกำลังพลจะทำยังไง? เจ้าคงไม่ให้หยวนจุนไปเป็นผู้สำเร็จราชการที่โดดเดี่ยวหรอกใช่ไหม? 

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวตามหลักเหตุผล  ผู้สำเร็จราชการอย่างหนิวโหย่วเต๋อนั่นมีกำลังพลเท่าไหร่ หยวนจุนก็จะมีน้อยกว่านั้นไม่ได้ ฝ่าบาทดึงตัวทหารเก่งๆ ห้าสิบล้านมาจากกองทัพองครักษ์ เอามาให้จุนเอ๋อร์ก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือเพคะ? 

ประมุขชิงค่อนข้างพูดไม่ออก เจ้าก็พูดได้อย่างผ่อนคลาย ทำเหมือนเป็นการกินข้าว กำลังพลห้าสิบล้านบทจะดึงตัวมาก็ดึงตัวมาได้งั้นหรือ?

ซ่างกวนชิงกลับพยักหน้าเบาๆ  ความเห็นของบ่าว วิธีการขอเหนียงเหนียงถือว่าใช้ได้ กองทัพองครักษ์ห้าสิบล้านสามารถเปลี่ยนเป็นกำลังพลแดนรัตติกาลเลยก็ได้! 

ประมุขชิงเหล่ตามอง  กลัวก็แต่เจ้าเวรหนิวโหย่วเต๋อจะถ่วงเวลาไม่ยอมส่งต่องาน จะใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้ปลุกปั่นอำนาจฝ่ายอื่นให้ร่วมมือกันต่อต้าน ปลุกปั่นให้ยกเลิกจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลก็เป็นได้ ถึงยังไงก็เป็นการยัดกำลังพลห้าสิบล้านเข้าไปข้างหลังเขา เขาจะไม่กังวลเชียวหรือว่าตัวเองจะกลายเป็นฮ่าวเต๋อฟางคนที่สอง? 

ซ่างกวนชิงบอกว่า  ฝ่าบาท เรื่องนี้จัดการง่ายขอรับ ถ้าเขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้อย่างเป็นทางการเมื่อไร เขาจะต้องรายงานขอคำสั่งแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ ในทัพใต้แน่นอน เราสามารถอาศัยโอกาสนี้บีบเขา ถ้าเขาขัดขวางไม่ให้องค์ชายเข้าไปประจำการที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ฝ่าบาทก็สามารถยืดเวลาอนุมัติคำสั่งแต่งตั้งกำลังพลแต่ละสายของทัพใต้ได้ นี่ต่างหากคือเรื่องที่สำคัญที่สุดของเขาในตอนนี้ เขาจะต้องทำให้ขวัญกำลังใจทหารมั่นคงก่อน จะต้องขอความร่วมมือให้ฝ่ายต่างๆ ผ่อนผันแน่ ส่วนองค์ชายก็นำกองทัพองครักษ์เข้าไปประจำการได้เลย ยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่ง ก็คือไม่ต้องเผชิญความขัดแย้งกับตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนตอนที่หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งรับกำลังพลของลิ่งหูโต้วจ้งไป ตอนนั้นใจคนยังไม่มั่นคง ต้องคอยกังวลว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะเล่นตุกติกจนไม่มีที่ยืน แต่เราจัดกำลังพลของกองทัพองครักษ์ใหม่ เมื่อองค์ชายได้ไปแล้วก็สามารถเรียกใช้งานได้เลย ไม่เรื่องอื่นต้องห่วงหน้าพะวงหลัง พอเข้าไปแล้วก็สามารถลงหลักปักฐานด้วยกำลังทหารที่มั่นคงได้! 

ประมุขชิงพยักหน้ายิ้ม  ดี! บอกโพ่จวินกับอู๋ฉวี่ ว่าให้ดึงกำลังพลเก่งๆ ห้าสิบล้านจากหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาให้หยวนจุน แล้วส่งคนที่ไว้ใจได้ไปเป็นผู้ช่วยเขาด้วย! 

 รับทราบ!  ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ

ส่วนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็คำนับด้วยความปลาบปลื้ม  หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทแทนจุนเอ๋อร์!  เรียกได้ว่าหน้าชื่นตาบาน รู้สึกเหมือนยังมีความโชคดีในความโชคร้าย

หลังจากประมุขชิงโบกมือให้นางออกไป ก็มองเงาหลังของนางผ่านช่องว่างของชั้นหนังสือ เขาลูบเคราพลางถอนหายใจ  รู้ว่าตระกูลของตัวเองพึ่งพาไม่ได้ ในที่สุดผู้หญิงคนนี้ก็เริ่มมีสติปัญญาแล้ว! 

ตำหนักสวรรค์ประกาศคำสั่งต่อใต้หล้า ว่าหนิวโหย่วเต๋อมีผลงานในการปราบกบฏ จึงได้รับตำแหน่งต่อจากฮ่าวเต๋อฟาง แต่งตั้งให้เป็นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ ใต้หล้าสั่นสะเทือน!

สำหรับคนที่รู้อยู่แก่ใจตั้งนานแล้ว การที่เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่เหนือความคาดหมาย ไม่มีอะไรน่าตกใจ มีเพียงคนที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกที่พากันวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนคนที่รู้ที่มาที่ไปได้แต่นั่งฟังเงียบๆ มองกลุ่มนักพรตที่ไม่รู้โดยไม่พูดอะไร มองว่าเป็นพวกราษฎรที่โง่เขลา!

 ท่านอ๋อง ตำหนักสวรรค์จะแต่งตั้งหนิวโหย่วเต๋อเป็นอ๋องสวรรค์จริงเหรอ? 

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง หวังเฟยเม่ยเหนียงที่เดินเล่นอยู่กับก่วงลิ่งกงในสวนป่าลองถาม

 อืม!  ก่วงลิ่งกงตอบด้วยน้ำเสียงปกติ

 เลื่อนขั้นจากผู้ตรวจการใหญ่ไปเป้นอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ ข้ามขั้นมากเกินไปหน่อย ไม่สอดคล้องกับกติกา ฝ่าบาทอนุญาตเหรอคะ?  เม่ยเหนียงถามอย่างสงสัย

ก่วงลิ่งกงตอบว่า  ถ้าเขาไม่อนุญาตแล้วจะทำอะไรได้? หนิวโหย่วเต๋อสู้มาถึงขั้นนี้แล้ว จะยอมทิ้งอำนาจทางทหารในมือเหรอ? อำนาจของสี่ทัพรวมทั้งอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วล้วนสนับสนุนให้หนิวโหย่วเต๋อขึ้นสู่ตำแหน่ง ประมุขชิงจะไม่อนุญาตก็ได้ แต่เขาก็รับผลที่ตามมาไม่ไหว อาศัยแค่กำลังพลกองทัพองครักษ์ในมือเขาไม่อาจยับยั้งได้ นอกเสียจากจะดึงแดนพุทธมาร่วมมือกันใช้กำลังทหารปราบปราม แต่ทำแบบนั้นใต้หล้าจะวุ่นวายใหญ่โต ต้องจ่ายมากเกินไป ได้ไม่คุ้มเสีย เขาทำได้เพียงอนุญาต! ส่วนเรื่องกฏกติกา เมื่อมีคนคัดค้าน กติกาก็คือกติกา แต่ถ้าไม่มีใครคัดค้าน ก็ย่อมไม่มีใครเอ่ยเรื่องกติกาอะไร! 

……………

 

ถ้าไม่นำกำลังพลมาผสมกันใหม่ ปล่อยให้กำลังพลจับกลุ่มกันเหมือนเดิม เหมียวอี้ก็ไม่มีทางวางใจได้ นี่คือเรื่องที่ต้องดำเนินการ

เริ่มตั้งแต่ระดับล่างสุด กระจายกำลังพลแล้วรวมกันขึ้นมาใหม่ โยกย้ายกำลังพลทั้งทัพใต้

นี่คือเรื่องที่ซับซ้อนที่สุด โชคดีที่ตอนนี้ใต้บังคับบัญชาของเหมียวอี้มีคนให้ใช้งานเพียงพอ ในแต่ละด้านล้วนมีคนรับผิดชอบ เขาแค่ต้องควบคุมสถานการณ์ภาพรวมและตัดสินใจก็พอ

ในขณะเดียวกัน คนที่ไปตรวจสอบที่ดาวอ๋องสวรรค์ฮ่าวก็ส่งข่าวมาแล้ว จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวยังคงเดิมไม่มีอะไรเสียหาย เหมียวอี้สั่งให้ย้ายจวนไปที่ดาวอ๋องสวรรค์ฮ่าว เตรียมเข้าไปอยู่ในจวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวอย่างเป็นทางการ จวนที่อยู่ฝั่งนั้นต่างหากถึงจะมีขนาดคู่ควรกับเขา ตอนนี้เหมียวอี้ไม่มีกำลังวังชาและขี้คร้านจะสร้างใหม่ด้วย ของที่มีให้สำเร็จรูปอยู่แล้วก็ใช้งานได้เลย

เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ไม่อาจให้ผังก้วนและครอบครัวอยู่ที่นี่ต่อไป

ทุกคนของตระกูลผังออกมาจากบ้าน มารวมตัวกันอีกครั้ง คนตระกูลผังรู้สึกหวาดกลัว ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร และไม่รู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับอะไร

ในตำหนักประชุม เหมียวอี้กำหนดสถานที่ทำงานไว้ที่นี่ก่อนชั่วคราว เพราะสถานที่กว้างใหญ่ ข้างล่างมีแม่ทัพนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ ต่างก็กำลังเร่งทำงาน จัดกำลังพลกลุ่มใหม่ครั้งใหญ่ มีเรื่องที่ต้องจัดการไม่น้อย เหมียวอี้รวมจัดการเรื่องนี้กับทุกคน เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพ เวลามีอะไรจะได้รายงานกลับมาได้ทันที จะได้แก้ไขปัญหาได้ทันเวลา

หยางเจาชิงเดินเข้ามาจากด้านนอก เดินมาข้างกายเหมียวอี้แล้วกระซิบว่า  นายท่าน เสี้ยวเสี้ยวฮูหยินต้องการพบท่าน 

เหมียวอี้ถือแผ่นหยกอยู่ในมือ แล้วกล่าวโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา  ให้นางเข้ามาเถอะ 

 คนอยู่ในเรือนด้านใน เสี้ยวเสี้ยวฮูหยินกำลังกีดกันไม่ให้คนของตระกูลผังรวมตัวกัน  หยางเจาชิงกล่าว

 กีดกัน?  เหมียวอี้เงยหน้าขมวดคิ้ว จากนั้นถอนหายใจเบาๆ วางของที่อยู่ในมือแล้วลุกขึ้น  ไปดูสักหน่อยแล้วกัน 

จากนั้นทั้งสองก็เดินออกจากตำหนักประชุม เดินตรงไปที่เรือนด้านใน ในสวนดอกไม้มีสมาชิกครอบครัวของตระกูลผังรวมตัวกันอย่างหวาดกลัว ตอนที่เห็นผังเสี้ยวเสี้ยว ก็เห็นนางขวางอยู่ตรงประตูร้านบ้านแห่งหนึ่ง จะเป็นจะตายก็ไม่ยอมให้กำลังพลบุกเข้ามาข้างใน ทั้งยังวางกระบี่พาดคอด้วย ประกาศว่าถ้าใครกล้าเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว นางก็จะตายต่อหน้าทุกคนให้ดู

ถึงอย่างไรท่านนี้ก็เป็นอนุภรรยาของผู้ตรวจการใหญ่ ผังเสี้ยวเสี้ยวทำอย่างนี้ เบื้องบนไม่มีคำสั่ง แล้วใครยังจะกล้าบุกเข้าไปอีก?

ผังเสี้ยวเสี้ยวที่ตาแดงก่ำมองเหมียวอี้เดินเข้ามา น้ำตาอุ่นร้อนเอ่อล้นออกมาในชั่วพริบตาเดียว ข้างหลังนางก็คือเรือนพักชั่วคราวของบิดามารดา

กำลังพลที่ขวางอยู่ตรงประตูหลีกทางให้ เหมียวอี้เดินมาตรงประตูหลังบ้าน แล้วขมวดคิ้วถามว่า  เสี้ยวเสี้ยว เจ้าเป็นอะไรไป? ใครรังแกเจ้าแล้ว?  ขณะที่พูดก็กวาดสายตาเย็นเยียบมองซ้ายมองขวา

กำลังพลที่อยู่สองฝั่งปาดเหงื่อ ใครจะกล้ารังแกผู้หญิงของผู้ตรวจการใหญ่ล่ะ พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลย แม่ทัพคนหนึ่งตอบว่า  ผู้ตรวจการใหญ่… 

เขายังคิดจะอธิบาย แต่กลับถูกหยางเจาชิงสงสัยตาห้ามไว้ แม่ทัพเข้าใจทันที ในเมื่อผู้ตรวจการใหญ่มาด้วยตัวเองแล้ว มีหรือที่จะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำแบบนี้แสดงว่ากำลังปลอบให้ฮูหยินวางใจ

ทุกคนนะว่ามองออกแล้ว ว่าผู้ตรวจการใหญ่ยังใส่ใจฮูหยินใหม่ท่านนี้มาก

ผังเสี้ยวเสี้ยวที่พักกระบี่บนคอคุกเข่าทันที แล้วพูดไปร้องไห้ไป  นายท่าน ขอร้องล่ะ ปล่อยคนในครอบครัวข้าไปเถอะ! 

เหมียวอี้ก้าวเข้ามา ผังเสี้ยวเสี้ยวตะโกนอย่างตกใจอีก  อย่าเข้ามานะ! 

เหมียวอี้กางนิ้วทั้งห้า ร่ายอิทธิฤทธิ์แย่งกระบี่วิเศษที่พาดอยู่บนคอนางมาทันที แล้วถือโอกาสเก็บไว้ ผังเสี้ยวเสี้ยวที่ถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ไว้ชั่วคราวจะต้านทานได้อย่างไร เมื่อครู่นี้ที่กำลังพลตรวจสอบไม่กล้าทำอะไรก็เพราะกังวลเรื่องสถานะของนางเท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นนางต้านไม่ไหวแน่

เรื่องที่กำลังพลเบื้องล่างไม่กล้าทำ ถ้าเหมียวอี้จะลงมือเองก็ย่อมไม่มีปัญหา

เหมียวอี้ก้าวเข้ามาประคองนางให้ลุกขึ้น แล้วดึงนางที่กำลังร้องไห้อย่างเจ็บปวดเข้ามาไว้ในอ้อมกอด นางออกแรงดิ้นรนเต็มที่ แต่ดิ้นไม่หลุด ทำได้เพียงซบอกเขาร้องไห้อย่างเสียใจกว่าเดิม

เหมียวอี้ตบหลังดังเบาๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า  ทำเหมือนจะเป็นจะตาย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? 

ผังเสี้ยวเสี้ยวเงยหน้าขอร้อง  อย่าฆ่าคนในครอบครัวข้าเลย ข้าขอร้องท่าน ให้ข้ารับใช้ท่านเหมือนวัวเหมือนม้าท่านยังไม่พอใจอีกเหรอ? 

เหมียวอี้ช่วยปาดน้ำตาให้นาง  เด็กโง่ เจ้าแต่งงานกับข้าก็เพื่อเสพสุขกับวาสนา ถ้าจะให้เจ้ารับใช้เป็นวัวเป็นม้าทำไม? แล้วอีกอย่าง ข้ารับปากเจ้าตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่แตะต้องคนในครอบครัวจ้า? อยู่ดีๆ ข้าจะไปฆ่าพวกเขาทำไม? 

ผังเสี้ยวเสี้ยวจึงถามว่า  แล้วท่านให้คนในครอบครัวข้ามมารวมตัวกันทำไม?  นางเข้าใจผิดคิดว่าเหมียวอี้จะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง

 เฮ้อ!  เหมียวอี้หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาผืนหนึ่ง เช็ดน้ำตาบนใบหน้านางให้สะอาด แล้วจับมือที่เรียวสวยของนางไว้ จูงเดินเข้าไปในลานบ้าน

กำลังพลที่อยู่ข้างหลังกำลังจะตามเข้าไป แต่หยางเจาชิงยกมือห้ามไว้ ให้เหมียวอี้เข้าไปแค่คนเดียว

ในลานบ้าน ผังก้วนกับฮูหยิน ลูกสาวลูกชายล้วนรวมตัวอยู่ด้วยกัน นอกจากผังก้วนที่สงบเยือกเย็น ที่เหลือก็มีสีหน้าหวาดหวั่นมากบ้างน้อยบ้าง

พอจูงผังเสี้ยวเสี้ยวเดินมาตรงหน้าพวกเขา เหมียวอี้กับผังก้วนก็สบตากันพักหนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า  หลายวันมานี้ทำให้ท่านพ่อตาได้รับความไม่ยุติธรรมแล้ว 

 ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ทุกอย่างเป็นเพราะข้าหาเรื่องใส่ตัวเอง ไม่มีอะไรยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม  ผังก้วนกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

เหมียวอี้จูงมือผังเสี้ยวเสี้ยว พร้อมบอกว่า  เสี้ยวเสี้ยวไม่ไปกับพวกเจ้าแล้ว ในเมื่อนางแต่งงานกับข้า นางก็คือคนของข้า พวกเจ้าวางใจได้ ข้าจะดูแลน้องให้ดี ข้าจะให้สัญญากับทุกคนของตระกูลผังอีกครั้ง ตราบใดที่เสี้ยวเสี้ยวไม่ทรยศข้า ข้าก็รับรองเกียรติยศความร่ำรวยของนางในชาตินี้ จะดีกับนาง จะไม่ทรยศกันเด็ดขาด! 

ที่เขาพูดแบบนี้ได้ ก็เพราะรู้สึกว่าตัวเองติดค้างผู้หญิงคนนี้ ในใจมีความรู้สึกผิด

ผังเสี้ยวเสี้ยวเงยหน้ามองเขา นางไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไร ถูกขนาบอยู่ตรงกลางระหว่างครอบครัวและผู้ชายของตัวเอง นางจะทำอย่างไรได้อีก?

 จะไปส่งพวกเรา ‘ออกเดินทาง’ เหรอ?  ผังก้วนถาม

เหมียวอี้ตอบว่า  เหมือนเจ้าจะเข้าใจเจตนาข้าผิดไปนะ ข้ารับปากเจ้าแล้ว ก็ไม่กลืนคำพูดตัวเอง ที่ส่งพวกเจ้าไป ก็เพราะหวังดีกับพวกเจ้า ตระกูลผังถูกประมุขชิงระบุว่าเป็นโจรกบฏ ถ้าพวกเจ้าไม่ไป เขาก็ต้องส่งพวกเจ้าให้ตำหนักสวรรค์ เจ้าอยู่ที่ตำหนักสวรรค์มาหลายปีขนาดนี้ น่าจะเข้าใจชัดเจนกว่าข้า กฎกติกาบางอย่างทุกคนยังต้องรักษาไว้ 

ผังก้วนพยักหน้าให้ผังเสี้ยวเสี้ยว  ถ้าประมุขชิงจะเอาเรื่องจริงๆ เสี้ยวเสี้ยวก็เป็นลูกสาวกบฏเช่นกัน 

เหมียวอี้ตอบเขาว่า  ข้าจะรายงานขึ้นไป ว่าเสี้ยวเสี้ยวไม่ได้ร่วมมือก่อกบฏ นางไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่น้อย กลับโน้มน้าวบิดาให้ยอมแพ้ด้วย ไม่ใช่แค่ไร้ความผิด แต่ถ้าจะรายงานขึ้นไปตำหนักสวรรค์เพื่อขอรางวัลให้เสี้ยวเสี้ยวด้วย ถ้าตำหนักสวรรค์ไม่ให้รางวัลนาง แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำอะไรนางได้ ข่าวปกป้องทุกคนของตระกูลผังไม่ไหว แต่ปกป้องนางคนเดียวไม่มีปัญหา ขอเพียงมีเหตุผลที่เหมาะสม ประมุขชิงก็ไม่แตกคอกับใครง่ายๆ! 

เมื่อได้ยินแบบนี้ จาหรูเยี่ยนก็น้ำตาไหลยังบอกไม่ถูก ผังอวี้เหนียงมองน้องสาวด้วยสีหน้าสับสน หนังแอบรู้สึกโล่งอก น้องสาวเป็นคนที่มีวาสนา!

ผังก้วนพยักหน้า วางใจแล้วเช่นกัน ในเมื่อเหมียวอี้อดทนชี้แจงกับพวกเขาได้แบบนี้ ก็คงจะไม่ได้หลอกพวกเขา ไม่อย่างนั้นเสี้ยวเสี้ยวในตอนนี้ก็ไม่มีที่พึ่งอะไร เหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเลย

 ต้องการจะส่งพวกเราไปที่ไหน?  ผังก้วนถาม

 ตอนนี้ยังไม่สะดวกจะพูด หลังจากไปแล้วก็ย่อมรู้เอง แต่รับรองว่าทุกคนของตระกูลผังจะได้ใช้ชีวิตปลอดภัยสบายใจ พวกเจ้าวางใจได้ ถ้าจะให้เสี้ยวเสี้ยวติดต่อหาพบเจ้าตามระยะเวลาที่กำหนด สวนน้ำที่อยู่ฝั่งนี้พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง  เหมียวอี้กล่าว

ผังเสี้ยวเสี้ยวพลันก้มหน้าบอกว่า  ข้าจะไปกับท่านพ่อท่านแม่ 

เหมียวอี้หลุดหัวเราะเบาๆ  เสี้ยวเสี้ยวไร้ไมตรีขนาดนี้ ต้องการจะทิ้งข้าไปเหรอ? 

 ไม่ไร้ไมตรีเท่าท่านหรอก!  ผังเสี้ยวเสี้ยวตอบ นางเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองโมโหเพราะอับอายหรือเปล่า นางพยายามดิ้นรน ต้องการจะชักมือกลับมาจากเหมียวอี้

เหมียวอี้กลับไม่ปล่อย แต่ส่งสายตาให้ผังก้วน

ผังก้วนแอบกัดฟัน แต่กลับต้องถอนหายใจแล้วบอกว่า  นางหนู เลิกทำตัววุ่นวายได้แล้ว เป็นพ่อที่ทำผิดต่อเจ้า เจ้าอย่าแค้นเคืองเรื่องก่อนหน้านี้เลย บุญคุณความแค้นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ในเมื่อเจ้ามีบ้านให้ตัวเองกลับ ก็ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีเถอะ!  หลังจากถูกเรื่องนี้กระทบจิตใจ ตอนนี้เขาก็ห่อเหี่ยวท้อแท้ใจแล้ว

 ท่านพ่อ!  ผังเสี้ยวเสี้ยวคุกเข่าแล้วร้องไห้อีก เหมียวอี้ปล่อยมือนางแล้ว

ผังก้วนหันกลับมาบอกใบ้จาหรูเยี่ยนเล็กน้อย จาหรูเยี่ยนเข้าใจ ว่าต้องการให้ตนบอกลากับลูกสาว นางก้าวเข้ามาประคองลูกสาว แล้วสองแม่ลูกก็กอดกันร้องไห้

หลังจากครอบครัวบอกลากันแล้ว ผังก้วนก็ไม่มีท่าทีว่าไม่อยากไป พอโบกมือก็บอกว่า:  ไปเถอะ!  พูดจบก็พาครอบครัวที่หันกลับมามองเป็นระยะเดินออกจากลานบ้านไป

ผังเสี้ยวเสี้ยวร้องไห้ฟูมฟายจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ต้องการจะไล่ตามไป แต่กลับถูกเหมียวอี้ดึงไว้ไม่ยอมปล่อย ไม่ให้นางไปส่ง เรื่องบางเรื่องไม่สามารถให้นางไปส่งได้

กบฏตระกูลผังจากไปอย่างนี้แล้ว หายไปจากสายตาคนในใต้หล้าแล้ว

ตอนนี้ข้างกายเหมียวอี้ขาดคนที่เหมาะสมจะรินน้ำชาพอดี คนแดนรัตติกาลก็ยังหลบอยู่ที่แดนรัตติกาล ผังเสี้ยวเสี้ยวที่เอามือปาดน้ำตาถูกเหมียวอี้ดึงไปที่ตำหนักประชุม ถูกเหมียวอี้บังคับให้คอยรินน้ำชาอยู่ข้างกายตลอดเวลา หางานสักงานให้นางทำก่อน

ในตำหนักใหญ่มีคนเยอะ มีคนมองสำรวจมาทางนี้ด้วยความแปลกใจเป็นระยะ ผังเสี้ยวเสี้ยวร้องไห้ได้พักหนึ่งก็เงียบแล้ว กำลังมองเหมียวอี้ที่กำลังทำงานอยู่ข้างๆ เป็นบางคราว

จู่ๆ เหมียวอี้ก็หยิบถ้วยชาขึ้นมา ดื่มคำเดียวหมดถ้วย แล้วผลักไปด้านข้าง  รินน้ำชา! 

ผังเสี้ยวเสี้ยวที่ตาแดงก่ำยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ไม่สนใจเขา

เมื่อรออยู่สักพักแล้วไม่เห็นนางเคลื่อนไหวอะไร เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา ถามหยอกล้อว่า  มีเจ้ากำลังบีบให้ฆ่าลงมือสังหารคนในครอบครัวเจ้าใช่ไหม? 

ผังเสี้ยวเสี้ยวกัดริมฝีปาก แม้จะรู้ชัดเจนว่าเขากำลังล้อเล่น แต่นับว่าหาบันไดลงให้นางได้แล้ว เพราะเมื่อเผชิญสถานการณ์อย่างนี้ นางไม่มีทางหาเหตุผลที่จะประนีประนอมได้เลย ตอนนี้หยิบถ้วยน้ำชาเดินออกไปอย่างกระฟัดกระเฟียดแล้ว…

หลังจากพรุ่งนี้จัดเตรียมงานเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็นำกำลังพลย้ายไปที่จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวทันที

ป้ายที่แขวนอยู่ที่จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวยังไม่ถอดออก เมื่อยังไม่ได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์อย่างเป็นทางการ ก็คงไม่ดีหากเขาจะตั้งตัวเองเป็นอ๋องสวรรค์ที่คุมทัพใต้

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวมีพื้นที่ใหญ่มาก มีภูเขาป่าไม้และแม่น้ำไหลผ่าน ดอกไม้ละลานตาราวกับแพรไหม ต้นไม้ใบหญ้าแปลกตา ทิวทัศน์ภูเขาทะเลสาบอยู่ในนี้หมด อาคารบ้านเรือนติดกันเป็นพืด รูปแบบงดงามประณีต มีความเรียบง่ายและความหรูหรารวมอยู่ด้วยกัน และตึกศาลาของตระกูลฮ่าวก็ยิ่งเป็นสุดยอดของใต้หล้า ฝีมือการก่อสร้างประณีตยิ่งกว่าเนรมิต

แม้จวนท่านอ๋องจะใหญ่โต แต่อนุภรรยาที่ทยอยถูกส่งมาเข้าพักกลับไม่เยอะ มีหลายคนที่ตัวตนยังไม่ชัดเจน แม้ทหารที่ยอมแพ้อาจจะไม่กล้าเล่นตุกติกกับเรื่องแบบนี้ แต่ก็ยังต้องตรวจสอบยืนยันซ้ำ เรื่องพวกนี้ต้องรอให้เหยียนซิวพี่กลับจากไปส่งตระกูลผังมาจัดการอย่างเงียบๆ ก่อนที่เหยียนซิวจะกลับมาอนุภรรยาพวกนั้นถูกแยกไปดูแลไว้อีกทีหนึ่งด้วยกัน

คานไม้สลักอันงดงามตั้งอยู่บนตึกที่สูงที่สุดในจวนท่านอ๋อง เหมียวอี้พิงระเบียงทอดสายตามองไปไกลอยู่เพียงลำพัง แววตาล้ำลึกเงียบขรึม

เขากำลังรอฟังข่าว วันนี้เป็นวันประชุมขุนนางของตำหนักสวรรค์!

วังสวรรค์ ตำหนักฟ้าดิน ประมุขชิงนั่งอยู่เบื้องบนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ท่าทางเย็นชามาก

บนราชสำนักขาดคนไปไม่น้อย คนของทัพใต้ขาดประชุมทั้งหมด สาเหตุก็ย่อมฟังขึ้น หลังจากศึกใหญ่ต้องแก้ไขปัญหาความวุ่นวาย เจียดเวลามาไม่ได้ แบบนี้เท่ากับว่าเหมียวอี้กำลังกดดันตำหนักสวรรค์ ว่าจะให้คนของทัพใต้ปรากฏตัวที่นี่ หรืออยากจะเห็นคนของทัพใต้ออกจากที่นี่ไปตั้งตนเป็นอิสระโดยสิ้นเชิง ก็ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเพียงชั่วขณะจิตของประมุขชิง

………………

 

หยางเจาชิงตะโกนเรียกทหารด้วยความสุภาพ ให้พาคนไปยังคฤหาสน์รับแขกอีกแห่ง และดึงกำลังพลกลุ่มเล็กให้ไปคุ้มครอง

ในเมื่อกงหนีฉางกับอวี่เหวินหรูเมิ่งมาเพื่อเรื่องนี้ โดยทั่วไปถ้าแต่งงานเข้าบ้านมาแล้วก็จะไม่กลับไปอีก

ผู้ปกครองก็ตอบตกลงต่อหน้ากลุ่มแขกผู้มีเกียรติแล้วว่าให้แต่งงานกับเหมียวอี้ ตั้งแต่นี้ไปก็จะกลายเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ทันที ส่วนธรรมเนียมยิบย่อยในการรับตัวเจ้าสาว ถ้าไม่มีอะไรผิดคาดก็ไม่จัดการแล้ว เมื่อกำหนดสถานะ แค่ส่งตัวคนเข้าประตูมาก็พอแล้ว บรรดาอนุภรรยานับร้อยนับพันของอ๋องสวรรค์ส่วนใหญ่ก็ทำอย่างนี้ ต้องจัดงานให้เอิกเกริกทุกครั้ง ก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องจัดสักกี่ครั้ง นอกเสียจากว่าจะมีชาติกำเนิดข้างๆ สูงและมีอำนาจหนุนหลังพอสมควร

วังสวรรค์ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ในปีนั้นเป็นเพราะจ้านหรูอี้เป็นหลานสาวของอิ๋งจิ่วกวง เดิมทีส่งเข้าประตูวังโดยตรงเลยก็สิ้นเรื่องแล้ว จ้านหรูอี้ยังนับว่าโชคดี สนมบางคนทั้งชีวิตนี้ก็แค่ถูกส่งเข้าวังเพื่อรับสถานะเท่านั้น แม้แต่มือของประมุขชิงก็ยังไม่เคยได้สัมผัสด้วยซ้ำ ถ้าหวังจะให้ประมุขชิงกราบไหว้เทวดาฟ้าดินกับทีละคนก็อย่าแม้แต่จะคิดเลย

ส่วนตระกูลอวี่เหวินกลับตระกูลกงในเวลานี้ ก็แทบไม่ทันได้กังวลด้วยซ้ำว่าจะทำให้อวิ๋นจือชิวไม่พอใจหรือเปล่า มีหรือที่จะเอ่ยเรื่องจัดงานใหญ่โตเอิกเกริก ทำตัวเด่นเกินหน้้าเกินตาอวิ๋นจือชิวเป็นเรื่องดีเหรอ? กอปรกับเป็นในเวลานี้ พวกเขารู้เช่นกันว่าเหมียวอี้ไม่มีเวลาและสมาธิจะมาเอ่ยถึงเรื่องนี้ แค่ส่งคนเข้าประตูบ้านมากำหนดสถานะก็พอแล้ว คุณหนูผู้ล้ำค่าดุจทองพันชั่งทั้งสองได้รับความไม่ยุติธรรมแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือกเช่นกัน

ส่วนมารดาของสองคนนั้น ตอนนี้ก็ยังกลับไปไม่ได้เช่นกัน อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนลูกสาวต่อไป รอให้เรื่องของกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนเป็นรูปธรรมก่อนถึงจะกลับไป

ผ่านไปครู่เดียว อวี้ซวีเจินเหรินก็เดินออกมาจากคฤหาสน์ที่มีกำลังพลเฝ้าอยู่

หยางเจาชิงรออยู่ข้างนอก พอเห็นคนออกมา ก็กุมหมัดขออภัย  ตอนนี้เพิ่งจะให้เจินเหรินออกมา ลำบากเจินเหรินแล้ว นายท่านสั่งไว้ว่าให้ดูแลให้ดี 

เห็นได้ชัดว่าท่าทีที่มีต่ออวี้ซวีเจินเหรินแตกต่างกันไป ต่อให้เป่าเหลียนจะแย่สักแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ได้รับอนุญาตจากนายท่านและฮูหยินตอนแต่งงานเข้ามา มิหนำซ้ำฮูหยินยังเป็นคนส่งเสริมให้ลุล่วงด้วยดีด้วย

 ไม่เป็นอะไร เฮ้อ เรื่องของคนใหญ่คนโตอย่างพวกเจ้า ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน  อวี้ซวีเจินเหรินยิ้มเจื่อน แล้วถามว่า  ข้ากลับไปได้หรือยัง? 

หยางเจาชิงตอบอย่างไม่แน่ใจ  ไม่ต้องรีบกลับขอรับ ข้าเตรียมเรือนพักแห่งอื่นไว้ให้เจินเหรินพักแล้ว เจินเหรินวางใจได้ ไม่ได้มีเจตนาอื่น ด้านนอกอยู่ในภาวะสงคราม เกิดเรื่องได้ง่าย อีกไม่นานก็คงจะกลับมาสงบเหมือนเดิมแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยกลับนายท่านจะวางใจกว่า 

อวี้ซวีเจินเหรินถอนหายใจพลางพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้ถือสาที่เหมียวอี้เพิ่งแต่งงานกับเป่าเหลียนแล้วแต่งงานรับเพิ่มอีกสองคน เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่า เหมียวอี้จะใช้อุบายปลุกปั่นสถานการณ์จนกลายเป็นอย่างนี้ ความเคลื่อนไหวนี้ใหญ่เกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ได้ยินคนที่อยู่ข้างๆ วิพากษ์วิจารณ์กัน ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย เหมียวอี้ก็กำลังจะกลายเป็นอ๋องสวรรค์ที่คุมทัพใต้แล้ว!

เด็กดี! อ๋องสวรรค์ที่คุมทัพใต้หมายความว่าอะไรล่ะ? พูดได้อีกอย่างว่า มีความเป็นไปได้สูงที่เป่าเหลียนจะได้กลายเป็นอนุภรรยาของอ๋องสวรรค์หนิว

เรื่องนี้ขนาดคิดเฉยๆ ก็ยังรู้สึกอึ้ง ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีของเป่าเหลียนหรือไม่ที่แต่งงานเร็วไปก้าวหนึ่ง เพราะถ้าแต่งช้ากว่านี้ รอให้ฝั่งนี้กลายเป็นอ๋องสวรรค์หนิว เกรงว่าต่อให้ศิษย์พี่เจ้าสำนักจะหน้าด้านขนาดไหน แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากเสนอแน่ เพราะฐานะแตกต่างกันเกินไป ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่เอ่ยปาก เกรงว่าทั้งชีวิตนี้เป่าเหลียนคงไร้วาสนาต่อหนิวโหย่วเต๋อตลอดไป

เพียงแต่เขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ในใต้หล้า อย่างไรเสียแค่ฟังอย่างเดียวก็อกสั่นขวัญแขวนแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเป่าเหลียนแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วเป็นโชคดีหรือโชคร้าย เขาได้แต่ถอนหายใจ…

ตอนนี้ในจวนจอมพลควบคุมตัวทุกคนของตระกูลผังเอาไว้ อนุภรรยาที่แต่งเข้าบ้านมาใหม่เสพสุขไม่ได้

ในเรือนหลังหนึ่ง มีการตกแต่งไว้เมื่อเรื่องจวนตัว ประดับผ้าสีแดงและโคมไฟหลากสีสัน แม้แต่ห้องหอก็จัดไว้แล้ว เขตลานบ้านเดียวมีสองห้องหอ แค่รอให้คนใหม่เข้ามาอยู่เท่านั้น

บ่าวรับใช้ของตระกูลอวี่เหวินกับตระกูลกงคอยอาบน้ำเปลี่ยนชุดให้เจ้าสาว เมื่อสวมผ้าคลุมหน้าสีแดงแล้วก็มานั่งที่ขอบเตียงในห้องหอ

มารดาของเจ้าสาวทั้งสองอดไม่ได้ที่จะหลบมาร้องไห้อย่างปวดใจ ไม่เคยนึกมาก่อนว่าลูกสาวตัวเองจะได้แต่งงานอย่างฉาบฉวยขนาดนี้ บุตรสาวของจอมพลผู้สง่าภูมิฐานไม่มีแม้แต่โต๊ะสุรามงคล รู้สึกผิดและรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแทนลูกสาวตัวเองเกินไปแล้ว

ที่น่าน้อยเนื้อต่ำใจกว่านั้นยังอยู่ข้างหลัง เจ้าบ่าวเหมือนไม่มีท่าทีว่าจะเข้าห้องหอ หนึ่งคืนผ่านไปก็ไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามาด้วยซ้ำ เจ้าสาวทั้งสองนั่งรออยู่อย่างนั้นโดยเสียเปล่าทั้งคืน

ภรรยาทั้งสองของจอมพลย่อมรายงานสถานการณ์ขึ้นไป จอมพลทั้งสองนอกจากจะรู้สึกขมขื่นเต็มอกแล้วยังจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงปลอบใจ บอกว่าตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อยุ่งอยู่กับงานกองทัพ ไม่มีอารมณ์มาเข้าห้องหอ แค่ได้สถานะมาก็พอแล้ว

ในความเป็นจริง หลังจากเจ้าสาวทั้งสองแต่งเข้ามาแล้ว แม้เวลาจะผ่านไปนานมาก เหมียวอี้ก็ไม่ได้เข้าห้องของพวกนางอยู่ดี

หลังจากนั้นหนึ่งวัน ด้วยแรงกดดันจากทั้งภายนอกและภายใน กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก็นำกำลังพลของตัวเองมาถึงแล้ว พามาเพียงแม่ทัพหลักเช่นพวกเทพประจำดาวและท่านโหว ไม่ได้พากำลังพลมามากกว่านี้ เมื่อเข้ามาในอาณาเขตดาวผืนนี้แล้ว ภายใต้การควบคุมจากทัพใหญ่แดนรัตติกาล ทั้งหมดก็แทบจะถอดเกราะรบออกหมด พอเข้ามาในประตูดวงดาวถูกตรวจสอบ และถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว

นอกตำหนักประชุมใหญ่ของจวนจอมพล เหมียวอี้ยืนอยู่บนบันไดสูง

สองฝั่งของลานกว้างด้านล่างมีกำลังพลรวมตัวกันหนาแน่น ตรงกลางของกำลังพลเป็นทางผ่านประตูใหญ่ ที่ด้านนอกประตูใหญ่กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนกำลังนำคนนับร้อยเดินก้าวยาวเข้ามา ทั้งหมดถอดเกราะรบแล้ว ส่วนกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก็ถึงขั้นเปลือยท่อนบน แบกไม้เอาไว้บนหลัง เห็นได้ชัดเจนว่ามาขอยอมรับผิด!

เมื่อมาถึงปีนบันไดของตำหนักใหญ่ กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก็คุกเข่าพร้อมกัน แล้วกุมหมัดคารวะต่อเบื้องบน  กงเชียนชิว อวี่เหวินชวน มาสวามิภักดิ์ช้าไป ขอรับผิดต่อผู้ตรวจการใหญ่! 

กำลังพลสองกว่าคนข้างหลังพวกเขาก็ทยอยกันคุกเข่าเช่นกัน แต่กลับไม่เหมือนสองคนนั้น พวกเขาคุกเข่าข้างเดียวเท่านั้น

ภาพนี้ฉากนี้ ทำให้กำลังพลของทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกเลือดเดือดพล่าน เมื่อก่อนตอนที่ติดตามลิ่งหูโต้วจ้ง ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้ แม้แต่จอมพลตำหนักสวรรค์ก็ยอมแพ้ให้พวกเขาแล้ว คุกเข่าให้พวกเขาแล้ว!

ซูอวิ้นกับเฉินหวยจิ่วที่ยืนอยู่ริมสุดใต้ชายคาของตำหนักใหญ่เงียบงัน แต่ซูอวิ้นมองกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนด้วยสายตาโกรธแค้น!

จู่ๆ สวีถังหรานที่ยืนอยู่ใต้คานก็ตะโกนว่า  ผู้ตรวจการใหญ่! 

กำลังพลทั้งหมดที่อยู่บนลานกว้างชูอาวุธในมือขึ้นฟ้า พร้อมเปล่งเสียงตะโกนดังก้อง  ผู้ตรวจการใหญ่!ผู้ตรวจการใหญ่!ผู้ตรวจการใหญ่… 

ทุกคนตื่นเต้นดีใจจนหน้าแดง แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าหลังจากคนพวกนี้ยอมแพ้แล้วหมายความว่าอะไร ก็หมายความว่าผู้ตรวจการใหญ่กวาดล้างในอาณาเขตทัพใต้เรียบร้อยแล้ว กำลังพลที่มาจากแดนรัตติกาลอย่างพวกเขาได้เงยหน้าอ้าปากแล้ว!

ทำกลางเสียงตะโกนที่ดังไม่ขาดสาย พวกกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนก้มศีรษะอันสูงส่งแล้ว ความเจ็บปวดรวดร้าวในใจไม่มีทางลืมได้ไปทั้งชีวิต!

เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักตรงกลางยังคงไม่เคลื่อนไหว ท่าทางไม่สะทกสะท้าน กำลังมองไปเบื้องล่างอย่างเย็นเยียบ ไม่มีใครรู้ถึงความรู้สึกของเขาในตอนนี้!

พวกผังก้วนที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนด้านในทยอยกันเดินออกมาจากห้อง ต่างก็ตกใจเสียงตะโกนด้านนอกจึงออกมา พากันมองไปตามแหล่งกำเนิดเสียงด้วยความตื่นตะลึง

ผังก้วนที่ดูเหมือนแก่ชราโรงแรมไม่น้อยมองไปทางตำหนักใหญ่อย่างเหม่อลอย เกิดความรู้สึกมากมายปนกันอย่างบอกไม่ถูก

เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลังจากแยกกับเฉินหวยจิ่วแล้ว ก็ไม่ได้เจอกันอีกเช่นกัน ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ถูกปิดข่าวเอาไว้อย่างนี้ตลอด เรียกได้ว่าเขาไม่รู้ข่าวอะไรที่อยู่นอกเรือนเลย

หน้าตำหนัก เหมียวอี้พลันยกมือขึ้น ทำให้เสียงตะโกนที่เหมือนคลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้าเงียบลงอย่างฉับพลัน มีเสียงก้องค้างอยู่ ก่อนจะค่อยๆ เงียบสงบลง

เหมียวอี้เดินลงบันไดด้วยก้าวที่หนักแน่นมั่นคง เดินไปถึงข้างกายกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนเพียงลำพังท่ามกลางสายตาฝูงชน แล้วโน้มตัวประคองทั้งสองขึ้นมาด้วยตัวเอง ทั้งยังช่วยเเก้มัดกิ่งไม้ที่มัดอยู่บนหลังของทั้งสองออกด้วยตัวเอง ก่อนจะยื่นมือไปรับชุดคลุมสองตัวที่หยางเจาชิงยื่นให้ แล้วคลุมให้ทั้งสองกับมือตัวเอง พร้อมกล่าวปลอบใจว่า  หันกลับมาก็จะเห็นฝั่ง ยังไม่ถือว่าสายไป!  จากนั้นก็ผายมือให้คนอื่นอีก  ทั้งหมดยืนขึ้นเถอะ! 

ท่าทีของเหมียวอี้ทำให้บรรดาทหารที่ยอมแพ้โล่งใจแล้ว พวกเขาทยอยกันลุกขึ้น แล้วก็กุมหมัดคารวะอีกโดยมีกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนเป็นคนนำ  ขอบคุณผู้ตรวจการใหญ่ที่ใจกว้าง! 

ไม่ยอมแพ้เสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับกองทัพที่ยอมแพ้ในตอนแรกแล้ว แต่ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ทำตามสัญญาเช่นกัน

เรื่องที่ไม่ได้ทำตามสัญญาก็เริ่มตั้งแต่สองจอมพลอย่างกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวน ไปจนถึงเทพประจำดาว ท่านโหว หัวหน้าภาคที่อยู่ระดับต่ำลงไป ถ้าคิดจะริบอำนาจทางทหารของเจ้าอาณาเขตเหล่านี้ทั้งหมด เขาก็ไม่มีอำนาจที่จะทำอย่างนั้น ยังต้องรายงานขึ้นไปที่ตำหนักสวรรค์เพื่อขอคำสั่งจากตำหนักสวรรค์อีก แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขากังวลในตอนนี้

สถานการณ์แบบนี้ทำให้บรรดาแม่ทัพคนสำคัญที่ยอมแพ้ยอมรับได้ยาก พวกเขาไม่มีหลักประกันเรื่องราวต่อจากนี้เลยสักนิด แล้วจะสั่งให้พวกลูกน้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ได้อย่างไร ก่อนมาเตรียมแผนสำรองสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิดเอาไว้ แต่หัวหน้าพวกนี้ก็ถูกหลอกให้มาแล้ว ตกอยู่ในมือเหมียวอี้แล้ว จะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ารับประกันว่าคนบ้าอย่างเหมียวอี้จะไม่ใช้วิธีสังหารหมู่!

ส่วนเหมียวอี้แม้จะผิดสัญญา แต่กลับไม่กล้าสังหารพวกเขาง่ายๆ ถ้าตอนนี้ผิดสัญญาอย่างโจ่งแจ้ง กองทัพที่ยอมแพ้ของสายมะโรงกับสายมะเส็งจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจบเรื่องนี้แล้วเขาจะผิดคำพูดหรือไม่ ถ้ามีคนปลุกปั่นแม้แต่นิดเดียว พอไม่ระวังก็จะเกิดความวุ่นวายใหญ่โตทันที ยากที่จะทำให้สถานการณ์ของอาณาเขตทัพใต้มีเสถียรภาพได้ภายในเวลาสั้นๆ ไม่เป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์ปัจจุบันของเขา ดังนั้นเขายังต้อง ‘เกลี้ยกล่อม’ ขอความร่วมมือจากคนพวกนี้!

สุดท้ายหลังจากทั้งสองฝ่ายประนีประนอมกันแล้ว คนที่ทิ้งอำนาจทางทหาร บางคนก็สั่งให้คนส่งลูกสาวมาให้ คนที่ไม่มีลูกสาวก็ส่งพี่สาวน้องสาวมาให้ บางคนส่งหลานสาวมาก็มี บางคนถึงขั้นให้ญาติเมียตัวเองแสร้งเป็นลูกสาวแล้วส่งมา

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ สาเหตุก็เหมือนกับกงเชียนชิวและอวี่เหวินชวน ต้องการหลักประกันสุดท้าย ต้องการเกี่ยวดองกับเหมียวอี้ ถ้าได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเหมียวอี้แล้ว ต่อให้เสียอำนาจไปแต่ก็ไม่มีใครกล้ามาแตะต้องพวกเขาสุ่มสี่สุ่มห้า ยังสามารถรับประกันได้ว่าทั้งครอบครัวจะสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้

ส่วนสิ่งที่เหมียวอี้ต้องจ่ายให้กับสิ่งนี้ก็คือ ต้องเขียนทะเบียนสมรสหนึ่งพันกว่าฉบับในรวดเดียว เป็นแบบที่ต้องให้เขาลงตราประจำตัว ต้องให้คนอื่นเป็นประจักษ์พยาน ว่าเขาเป็นญาติกับคนพวกนั้นแล้ว ครั้งนี้เหมียวอี้ทุ่มสุดตัวแล้วเช่นกัน รับอนุภรรยาพันกว่าคนในรวดเดียว เรียกได้ว่าใครมาก็ไม่ปฏิเสธ บางคนถึงขั้นบีบบังคับให้พี่สาวน้องสาวและลูกสาวเลิกกับสามีแล้วมาแต่งงานใหม่อีกครั้งด้วย เหมียวอี้เองก็กัดฟันจดทะเบียนสมรสเช่นกัน ส่วนเรื่องสูงเตี้ยอ้วนผอม จะสวยหรืออัปลักษณ์ก็ไม่มีเวลามาสนใจแล้ว

เมื่อให้การรับประกันสุดท้ายกับคนเหล่านี้แล้ว การปรับปรุงกำลังพลทัพใต้ครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นแล้ว

เกรงว่าทัพใต้ในปีนั้นคงทำให้ฮ่าวเต๋อฟางรู้สึกเหมือนเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาได้ยาก แต่สำหรับเหมียวอี้ในครั้งนี้ กลับเป็นโอกาสดีที่หาพบได้ยาก ที่ว่ากันว่าปราศจากการทำลายล้าง ย่อมไร้การประกอบสร้างก็เป็นเช่นนี้เอง เหมียวอี้ย่อมต้องฉวยโอกาสนี้แก้ปัญหาในรวดเดียว

สำหรับที่สิ่งที่ปฏิบัติต่อทหารที่เหลือรอดของฮ่าวเต๋อฟาง เหมียวอี้ไม่ได้กลืนคำพูด กับกำลังพลของผังก้วนก็ไม่ได้ผิดคำพูดเช่นกัน กับระดับหัวหน้าภาคลงไปของทัพใต้ก็เบี้ยวสัญญา เพราะอาศัยแค่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่อาจควบคุมอาณาเขตที่ใหญ่ขนาดนี้ได้ ยังต้องใช้งานคนบางคน แต่กลับปรับปรุงกำลังพลที่อยู่ระดับล่างของทัพใต้ครั้งใหญ่ ทำลายระบบเดิม จับกำลังพลทั้งหมดผสมกันมั่วๆ แล้วก่อตั้งโครงสร้างใหม่ของทัพใต้ขึ้นมา

…………………

 

รีบร้อนมาแบบนี้ รีบร้อนตัดสินใจเรื่องนี้ แล้วก็รีบร้อนออกไปแบบนี้?

บรรดาแขกในงานแต่งงานรู้สึกประหลาดใจ มีคนไม่น้อยพอจะเข้าใจแล้ว ว่ากงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนต้องการจะยกลูกสาวให้แต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อเพื่อปกป้องตัวเอง ถ้าจะให้ลูกสาวแต่งงานอย่างจริงจังตั้งใจมีหรือที่จะทำอย่างนี้

แต่งงานเพิ่มอีกสองคนแล้วเหรอ? หวงฝู่จวินโหรวมองรางของเหมียวอี้พี่เดินออกไป ในใจเกิดความรู้สึกมากมายปนกัน ในหัวมีความคิดว่าแวบเข้ามาว่าเหมียวอี้จะแต่งงานกับนางหรือไม่ กำลังคิดว่าถ้าเหมียวอี้ได้นั่งตำแหน่งอ๋องสวรรค์ ประมุขชิงก็แตะต้องนางไม่ได้ง่ายๆ แล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะแต่งงานกับตนจริงๆ ก็ได้

ทว่านางก็เปลี่ยนความคิดเร็วมาก รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ ต่อให้เหมียวอี้แต่งงานกับนางแล้ว ต่อให้ประมุขชิงจะแตะต้องทั้งสองคนไม่ได้ง่ายๆ แต่ตระกูลหวงฝู่จะทำอย่างไรล่ะ?

ถ้าแต่งออกไปแล้ว พอนึกว่าตัวเองจะได้กลายเป็นหนึ่งในอนุภรรยาของเหมียวอี้ นางก็เกิดความรู้สึกหลากหลายปนกัน

ยังมีความรู้สึกสับสนอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตั้งแต่เหมียวอี้เดินเข้ามาจนกระทั่งออกไป ก็ไม่เคยมองนางตรงๆ เลย นางไม่รู้ว่าในภายหลังเหมียวอี้ยังจะแอบลักลอบมาทำเรื่องอย่างนั้นกับนางอีกหรือเปล่า

นี่เป็นครั้งแรกที่หวงฝู่จวินโหรวรู้สึกอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกว่าเอื้อมไม่ถึงเหมียวอี้ นั่งนึกย้อนไปถึงปีนั้นที่พบกับเหมียวอี้ครั้งแรกที่ตลาดสวรรค์ ผู้จัดการร้านค้าสมาคมวีรชนอย่างนางจะเห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตาได้อย่างไร

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็รู้สึกราวกับเป็นความฝันเช่นกัน นางไม่ปฏิเสธว่าในใจตัวเองชอบเหมียวอี้ เคยใฝ่ฝันว่าทั้งสองเดินด้วยกันอยู่บ่อยๆ ตอนนี้เรากับตื่นขึ้นจากฝันแล้ว พื้นเพชาติกำเนิดของนางกับฐานะของเหมียวอี้ในตอนนี้ไม่มีทางมาบรรจบกันได้ ทั้งสองหมดหวังที่จะอยู่ด้วยกันโดยสิ้นเชิงแล้ว

ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไหร่ที่รู้สึกเหมือนฝันไป ชั่วพริบตาเดียวหนิวโหย่วเต๋อก็เดินขึ้นมาอยู่ในฐานะสูงส่งจนถึงขั้นที่ก้มมองพวกเขาแล้ว เมื่อก่อนเคยจับกลุ่มกับสหายพูดจาเหน็บแนมหนิวโหย่วเต๋อ พอมาดูตอนนี้แล้วรู้สึกว่าน่าขำ

ท่ามกลางกลุ่มคน สายตาโค่วเหวินชิงมองตามหมียวอี้เดินจากไปไกลๆ นึกถึงการทดสอบที่สถานที่และชีวิตในปีนั้น เหมียวอี้ยังต้องการให้นางช่วยปกป้อง ในใจนางรู้สึกสะท้อนใจเป็นอย่างมาก ย้อนมองดูตัวเองถึงแม้จะแต่งงานมีลูกแล้ว แต่กลับเหมือนยังย่ำอยู่กับที่ หรือว่าผู้หญิงเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติ ถูกกำหนดไว้ว่าหลังแต่งงานแล้วต้องช่วยเหลือสามีและเลี้ยงดูบุตร?

นางนึกถึงจ้านหรูอี้ที่ตัวเองรู้จัก ตอนนี้เหมือนจะเข้าใจความชอบของจ้านหรูอี้แล้ว ไม่รักชุดแต่งงานแต่รักเกราะรบ ทว่าสุดท้ายกลับตกอับอยู่ในวัง ยากที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาของผู้หญิง!

พอนึกถึงสามีตัวเองอีก ในสายตาคนมากมายถือว่ายังหนุ่มยังแน่นมีกำลังวังชา มีอนาคตไกล แต่เมื่อเทียบกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วความก้าวหน้ายังห่างกันราวฟ้ากับดิน

ถ้าจำไม่ผิด ตอนที่สามีตัวเองได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ หนิวโหย่วเต๋อก็ยังไม่รู้อยู่ที่ไหนด้วยซ้ำ ทำไมวันนี้หนิวโหย่วเต๋อเดินมาถึงจุดนี้แล้ว แต่สามีของตัวเองยังเป็นหัวหน้าภาคอยู่เลยล่ะ?

ที่จริงแล้วถ้าจะพูดถึงความสามารถ เหมียวอี้อ่านไม่ได้เก่งกว่าสามีนางสักเท่าไหร่ สิ่งที่แตกต่างกันจริงๆ ก็คือสภาพแวดล้อมของทั้งสองคน เหมียวอี้เหมือนอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำวนตลอดเวลา สามารถประสบอันตรายได้ทุกเมื่อ ถูกบีบให้ต้องดิ้นรนสู้ชีวิตเพื่อเอาตัวเองออกไปอยู่นอกวังวนนั้น เรียกได้ว่าถูกบีบให้ออกมา ส่วนสามีของโค่วเหวินชิงไม่จำเป็นต้องถือหัวตัวเองและนำชีวิตคนในครอบครัวไปเสี่ยงอันตรายบ่อยๆ เหมือนเหมียวอี้

และความเย็นชาสะเพร่าของเหมียวอี้ ที่จริงแล้วกำลังทำให้แม่ลูกสองคู่นั้นสะเทือนอารมณ์

ถ้าเป็นเมื่อก่อน อนุภรรยาของจอมพลผู้สง่าภูมิฐาน ทั้งยังมีลูกให้จอมพลอีก อยู่ที่จวนจอมพลนับว่ามีฐานะที่สุด มีหรือที่จะเห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตา ในปีนั้นตอนที่อวิ๋นจือชิวไปเยี่ยมคำนับ ก็ยังต้องทำตัวมีมารยาทและนอบน้อมตอนอยู่ต่อหน้าพวกนางอยู่เลย พวกนางอาจจะไม่ค่อยสนใจด้วยซ้ำ ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งจะได้รับความอัปยศแบบนี้ เป็นดั่งคำที่มนุษย์กล่าวไว้ คนเราสามสิบปีแรกอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ อีกสามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ ชั่วพริบตาเดียวสถานการณ์ก็เปลี่ยนแล้ว!

 ท่านแม่ ข้ากลัว…  กงหนีฉางเดินมาข้างกายมารดาตัวเอง จับแขนเสื้อนางไว้ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล ประหม่าและหวาดกลัว

ตอนนี้แม้นางจะยังอายุน้อย แต่กลับถึงช่วงอายุที่จะใฝ่ฝันถึงความรักแล้ว เคยเฝ้าคอยชายคนรักเช่นกัน เคยได้ยินชื่อของหนิวโหย่วเต๋อและอยากรู้จัก แต่หลังจากรู้ว่าตัวเองจะต้องแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อให้ได้ ยามเผชิญหน้ากับวิกฤตของครอบครัว เผชิญหน้ากับคำขอร้องของคนในครอบครัว ต้องเสียสละตัวเองเพื่อแลกกับหลายชีวิตในครอบครัว นางก็ร้องไห้และยอมรับชะตากรรมแล้วเช่นกัน

ก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะมีปฏิกิริยาอย่างนี้ พลังอำนาจแบบนั้นเหมียวอี้ ท่าทีเย็นชาอย่างนั้น ทำให้นางพบว่าในสายตาอีกฝ่ายตัวเองต่ำต้อยราวกับต้นหญ้า ทำให้นางตกใจจริงๆ

พอได้ยินลูกสาวพูดแบบนี้ คนเป็นแม่ก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ไหวแล้ว โผเข้ากอดลูกสาวแล้วเริ่มร้องไห้เจ็บปวด

เรายังไม่รู้ว่าในอนาคตอวิ๋นจือชิวจะปฏิบัติต่อลูกสาวได้อย่างไร ตอนนี้นางนึกเสียใจทีหลังจริงๆ เสียใจที่ในปีนั้นตอนอวิ๋นจือชิวมาเยี่ยมเยียน แล้วตัวเองก็วางมาดใส่อวิ๋นจือชิว ถ้านายหญิงของบ้านอย่างอวิ๋นจือชิวจะกำจัดอนุภรรยาสักคนที่ไม่ได้รับความสำคัญจากสามี นั่นก็เป็นเรื่องที่ง่ายมากเหมือนเหยียบมดตัวหนึ่ง สามารถทำให้ลูกสาวตัวเองมีชีวิตอยู่มิสู้ตายได้ง่ายๆ เลย เวลาผู้หญิงจะทรมานผู้หญิงด้วยกันเอง บางครั้งก็โหดเหี้ยมทารุณยิ่งกว่าผู้ชายเสียอีก ในภายหลังลูกสาวนางจะใช้ชีวิตได้อย่างไร!

พอมารดาร้องไห้แล้ว กงหนีฉางยังจะเก็บกลั้นอารมณ์ได้อย่างไร กอดมารดาร้องไห้อย่างเศร้าโศก

เมื่อคู่นี้กอดกันร้องไห้ แม่ลูกอีกคู่หนึ่งก็รู้สึกสะเทือนใจไปด้วย กอดกันร้องไห้เศร้าโศกเช่นกัน

แม่ลูกสองคู่นี้อยู่ท่ามกลางสายตาฝูงชน พอกอดกันร้องไห้แบบนี้ คนที่ดูอยู่ข้างๆก็พากันทอดถอนใจไม่หาย อย่างไรเสียก็มีคนมากมายที่ก่อนหน้านี้สนิทกับพวกเขา

อวี่เหวินซาน เป็นพี่ชายคนโตของอวี่เหวินชวน พร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านของตระกูลอวี่เหวิน ครั้งนี้ถูกส่งมาอวยพรงานแต่งให้หวังลั่วกับผังอวี้เหนียง เพราะเห็นดังนี้ก็รีบเดินออกมาจากกลุ่มคน แอบถ่ายทอดเสียงโน้มน้าว บอกว่าเลิกร้องไห้ได้แล้ว เขาแทบจะตะโกนเรียกอยากให้เกียรติว่าท่านยาแล้ว ไม่รู้หรือว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคนในตระกูลมากขนาดไหน?

ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาถูกขังอยู่ที่นี่ เขาก็เตรียมตัวที่จะตายแล้ว ตอนนี้มีโอกาสรอดชีวิตก็ย่อมไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

หยางเจาชิงเดินเนิบนาบไปข้างๆ พวกเขา บนใบหน้ามีรอยยิ้ม ถามเสียงเรียกว่  ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ถ้ารู้สึกว่าแต่งงานกับผู้ตรวจการใหญ่ของพวกเราแล้วลำบาก ตอนหลังค่อยปรึกษาเรื่องนี้กันอีกทีก็ได้!  คำพูดนี้เรียกได้ว่าอ่อนโยนแต่แทงใจเหมือนซ่อนเข็มในผ้าฝ้าย สำหรับเขา พวกเจ้าไม่พอใจ ข้าเองก็ปวดหัวเหมือนกัน เดี๋ยวพอฮูหยินกลับมาก็ยังไม่รู้เลยว่าข้าจะชี้แจงอย่างไร

ไม่ใช่ว่าเขาจงใจจะทำให้อับอาย แต่ท่าทีบางอย่างก็ยังต้องแสดงออกไป มิอาจปล่อยให้ฝั่งอวี่เหวินชวนคิดว่าถ้าตัวเองหนีไปแล้วพวกเขาจะอยู่ไม่ได้ ที่นายท่านแสดงท่าทีเย็นชาก็เป็นเพราะเหตุนี้เช่นกัน

 พี่หยางเข้าใจผิดแล้ว ลูกสาวจะแต่งงาน แม่ลูกกอดกันร้องไห้ก็เป็นเรื่องปกติมาก…  อวี่เหวินซานรีบกุมหมัดคารวะหยางเจาชิง แล้วก็ช่วยพูดแก้ตัวให้ไม่หยุด เพราะชะตากรรมของทั้งครอบครัวล้วนอยู่ในมือเหมียวอี้ เขาไม่กล้าล่วงเกินหยางเจาชิงเช่นกัน เขารู้อย่างลึกซึ้งว่าคนที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้อย่างหยางเจาชิงนั้นคำพูดมีอิทธิพล อาจจะตัดสินชะตาชีวิตของทั้งครอบครัวพวกเขาได้เช่นกัน พออวี่เหวินหรูเมิ่งแต่งงานไปแล้วทำให้คนอย่างหยางเจาชิงไม่พอใจ ก็ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

มารดาของอวี่เหวินหรูเมิ่งก็ไหวตัวทันเช่นกัน รีบผละออกจากลูกสาว ปาดน้ำตาแล้วกล่าวขออภัยหยางเจาชิงซ้ำๆ  ผู้การหยางอย่าถือสาเลยค่ะ ลูกสาวเติบโตและกำลังจะแต่งงาน ผู้น้อยดีใจเกินไป ดีใจจนน้ำตาไหลเลย เป็นเพราะดีใจจึงร้องไห้ค่ะ! 

ก่อนหน้านี้อวี่เหวินชวนก็ย้ำแล้วย้ำอีก ว่าการที่เขาสูญเสียอำนาจครั้งนี้ ก็เป็นเรื่องยากที่จะได้ลืมตาอ้าปากอีกครั้ง ถ้าอยากจะให้ในภายหลังทั้งครอบครัวมีชีวิตที่ดี ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีพวกผีวัวปีศาจงูมาหาเรื่องถึงที่บ้าน ขู่เข็ญเอาเงิน เหยียดหยามสร้างความอัปยศ เขาต้องให้ลูกสาวแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋ออย่างราบรื่น ถ้ากลายเป็นญาติที่เกี่ยวดองกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ก็จะไม่มีใครกล้ามาหาเรื่อง อวี่เหวินชวนพูดไว้ชัดเจนมาก ว่าจะต้องทนรับความอัปยศที่อยู่ตรงหน้าก่อน ในภายหลังถึงจะหลีกเลี่ยงความอัปยศใหญ่หลวงที่คนในครอบครัวต้องเผชิญ ในทางกลับกันหากไม่มีที่พึ่งพิง ในอนาคตก็อาจปกป้องลูกสาวคนนี้ไว้ไม่ได้ อาจจะต้องให้แต่งงานกับคนคนป่าเถื่อนไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้ว การแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อถึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด พูดในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ตอนนี้มีแต่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น ในอนาคตถึงจะมีโอกาสลืมตาอ้าปากอีกครั้ง ถ้าไม่มีแม้แต่ปัจจุบันแล้วจะไปเอาอนาคตมาจากไหน!

ขณะเดียวกันอวี่เหวินชวนก็บอกไว้แล้ว ว่าขอเพียงทำให้ลูกสาวแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อได้อย่างราบรื่น ก็จะสนับสนุนให้เจ้าเป็นฮูหยินเอก!

นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ต่อไปนี้เกียรติยศหรือความตกต่ำของทั้งตะกูลก็ล้วนผูกอยู่กับตัวของลูกสาวที่แต่งงานออกไป มารดาที่ให้กำเนิดลูกสาวคนนั้นก็ย่อมได้รับการปฏิบัติที่สูงขึ้นอีกขั้น โครงสร้างภายในตระกูลอวี่เหวินจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ เกรงว่าอนุภรรยาที่ยามปกติได้รับความโปรดปรานจากอวี่เหวินชวนที่สุด ต่อไปนี้ก็ต้องก้มหน้าก้มตาอย่างว่านอนสอนง่ายเช่นกัน และต้องใช้ชีวิตแบบระมัดระวังสายตาของอวี่เหวินหรูเมิ่งด้วย

ใต้หล้าเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตเอิกเกริกแบบนั้น ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรที่ชะตาชีวิตเปลี่ยนไปเพราะเรื่องนี้ หลายบ้านดีปรีดา หลายบ้านเศร้าโศก

อวี่เหวินซานพยักหน้าช่วยซ้ำๆ  ใช่แล้ว ดีใจจนน้ำตาไหล! 

สองแม่ลูกตระกูลกงรีบแยกออกจากกัน แล้วพูดแก้ตัวซ้ำๆ

 มีเรือนรับแขกแจ้งเอาไว้ให้พวกท่านแล้ว เชิญ!  หยางเจาชิงไม่พูดมาก ยื่นมือเชิญแล้ว

เมื่อวานยังแสดงความร่ำรวยต่อหน้าคนอื่นอยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวก็ตกต่ำจนต้องทำตัวนอกเนาะเหมือนบ่าวไพร่แล้ว แขกที่อยู่ในคฤหาสน์เห็นฉากนี้แล้วปวดใจ ไม่รู้มีคนมากมายเท่าไหร่รู้สึกสะท้อนใจ

อวี่เหวินซานยังออกมาไม่ได้ เดินไปไปตรงประตูแล้วถูกทหารยามกันไว้ถึงได้กลับเข้ามาอีก ทำได้เพียงรีบถ่ายทอดเสียงกำชับสองแม่ลูกตระกูลอวี่เหวิน

สองแม่ลูกได้รับการชี้แนะ พอออกมาแล้วก็แอบบอกผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลัง ผู้ติดตามคนหนึ่งรีบก้าวออกมาข้างหน้า มาอยู่ข้างกายหยางเจาชิง แล้วนำกำไรเก็บสมบัติวงหนึ่งยัดใส่มือหยางเจาชิงไว้ หยางเจาชิงหยุดเดิน หันตัวไปมองสองแม่ลูก เผยกำไลออกมาแล้วบอกว่า  สิ่งนี้ไม่จำเป็นหรอก! 

สองแม่ลูกยิ้มสู้  เป็นน้ำใจเล็กน้อยเท่านั้น หรูเมิ่งยังอายุน้อยไม่รู้ความ ต่อไปหวังว่าผู้การหยางจะอภัยนาง  ขณะที่พูดก็ดึงมือลูกสาว อวี่เหวินหรูเมิ่งรีบย่อตัวสำนักหยางเจาชิง  ผู้การหยาง! 

หยางเจาชิงกระตุกมุมปาก รีบเตรียมตัวหลบ แล้วกุมหมัดคารวะกลับ ไม่ว่าในภายหลังอวี่เหวินหรูเมิ่งจะได้รับความโปรดปรานจากในท่านหรือไม่ แต่ก็ได้สถานะเป็นผู้หญิงของนายทาสแล้ว มีหรือที่บ่าวไพร่จะรับการคำนับจากเจ้านาย เขารับสิ่งนี้ไว้ไม่ไหว แม้ยามปกติเหมียวอี้กับฮูหยินจะไม่ให้เขาเรียกตัวเองว่าผู้น้อย แต่เขาเองก็ต้องรับรู้อยู่แก่ใจ

ฝั่งตระกูลกงรีบเอาเยี่ยงอย่าง ขอให้หยางเจาชิงรับน้ำใจไว้

มารดาของหนีฉางลองถามว่า  ผู้การหยาง ทำไมไม่เห็นอวิ๋น…ทำไมไม่เห็นกูอีกละฮูหยิน? มาแล้วยังไม่ได้คำนับเลย หวังว่าผู้การหยางจะเป็นตัวแทนรายงานให้หน่อย 

มารดาของหรูเมิ่งก็พยักหน้าเช่นกัน  ใช่ๆได้ยิน ชื่อเสียงของฮูหยินมานานแล้ว ควรต้องไปทำนะ 

หยางเจาชิงยิ้มบางๆ  ฮูหยินออกไปทัศนาจรข้างนอกแล้ว 

ทั้งสองมองหน้ากันเลิกลั่ก ออกไปทัศนาจรในเวลานี้เนี่ยนะ? ไปหลอกผีเถอะ!

ทั้งสองตระกูลล้วนคิดว่าอวิ๋นจือชิวไม่อยากพบพวกนาง ในใจยิ่งรู้สึกกังวล

พอหยางเจาชิงเห็นสถานการณ์แบบนี้ ก็นับว่าเข้าใจแล้ว ว่าเขาต้องรับของกำนัลจากสองคนนี้ไว้ เพราะถ้าตัวเองไม่รับไว้ ก็เกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายวางใจไม่ได้ ยังไม่รู้ว่าจะรายงานสถานการณ์กลับไปที่กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนอย่างไร ไม่คุ้มที่จะให้เกิดปัญหาซับซ้อนเพราะเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ เรื่องบางเรื่องผู้การอย่างใหญ่อย่างเขาก็ต้องชั่งน้ำหนักเอง ต้องแยกให้ออกว่าอะไรคือสถานการณ์ภาพรวม

เขาเผยกำไลเก็บสมบัติในมือ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม  เช่นนั้นก็เคารพมิสู้ทำตามคำสั่ง ในภายหลังหากฮูหยินทั้งสองมีปัญหาอะไรก็กำชับได้เลย  เมื่อรับของขวัญมาแล้ว ต่อไปก็ต้องคอยเป็นตัวกลางสื่อสารกับเหมียวอี้ให้

เมื่อได้เห็นท่าทีแบบนี้ ได้ฟังคำพูดแบบนี้ ทั้งสองตระกูลก็โล่งอกแล้ว รู้ว่าของขวัญนี้ไม่สูญเปล่า บนใบหน้าเผยรอยยิ้มแล้ว รีบแสดงออกอย่างเกรงใจว่ามิบังอาจทำเช่นนั้น

…………………

 

 แค่กๆ!  ถึงคราวที่เหมียวอี้ต้องกุมหมัดกระแอมบ้างแล้ว  เจ้าออกไปก่อน ให้ข้าคิดให้ดีๆ สักหน่อย 

เหิงอู๋เต้างุนงง สำหรับเขา เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่ตัดสินใจยาก แต่งงานรับอนุภรรยาสองคนเพื่อแลกกับการสวามิภักดิ์จากสองจอมพล ยังต้องพิจารณาอีกหรือ? จึงเตือนทันทีว่า  ผู้ตรวจการใหญ่ ถ้าแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังไม่ยอมตอบรับ เกรงว่าจะทำให้กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนคิดมาก จะเกิดปัญหาแทรกซ้อนได้ง่าย! ตามที่ข้าน้อยรู้มา ผู้หญิงสองคนนี้หน้าตาไม่แย่เลย อาจจะไม่ได้นับว่าสวยล้ำเลิศอะไร แต่จัดอยู่ในระดับบนแน่นอน! 

เขานึกว่าเหมียวอี้จะกังวลว่าจะได้แต่งงานกับผู้หญิงอัปลักษณ์ เป็นคนค่อนข้างเรื่องมาก จึงรีบพูดให้เหมียวอี้วางใจ

เกี่ยวกับงดงามหรืออัปลักษณ์เสียที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลเรื่องบางอย่าง เพื่อคำนึงถึงสถานการณ์ภาพรวม ต่อให้เป็นคนแก่อัปลักษณ์เขาก็จะแต่งงานด้วย! เหมียวอี้แอบกลุ้มใจ โบกมือให้เขาถอยออกไป  ให้ข้าคิดอีกสักหน่อย 

 ขอรับ!  เหิงอู๋เต้าทำได้เพียงกุมหมัดคารวะ แล้วถอยกลับเข้าไปในตำหนัก

เมื่อข้างกายไม่มีใครแล้ว เหมียวอี้ก็กระแอมอีกครั้ง มองไปที่หยางเจาชิง ถอนหายใจแล้วบอกว่า  เจาชิง เจ้าได้ยินสถานการณ์หมดแล้ว เจ้าช่วยข้าถามความเห็นของฮูหยินหน่อย 

 หา!  หยางเจาชิงทำสีหน้าตกใจ เรื่องอื่นยังคุยง่ายหน่อย เพราะเป็นภารกิจอันพึงปฎิบัติ แต่เรื่องรับอนุภรรยา เขาเองก็ไม่กล้าช่วยเหมียวอี้ยุแยง จูเก๋อชิงถูกขังในตำหนักประมุขดาวกลางแต่ไม่สามารถช่วยออกมาได้ คิดว่าเป็นเพราะอะไรล่ะ ไม่ใช่เพราะบางคนกำลังเชือดไก่ให้ลิงดูหรอกหรือ?

เมื่อครู่เขายังคิดจะแอบหัวเราะเยาะเหมียวอี้อยู่เลย ทำไมชั่วพริบตาเดียวเรื่องก็ลามมาที่ตัวเองแล้วล่ะ? เขาหดหัวนิดหน่อย ไปยั่วโมโหอวิ๋นจือชิวไม่ไหวจริงๆ ถ้านางมารที่มีพื้นเพจากนภาจอมมารอาละวาดขึ้นมา ก็สามารถถือดาบมาไล่ฆ่าผู้ชายของตัวเองได้เลย เป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยในสังคมนี้จริงๆ แม้แต่นายท่านที่เด็ดเดี่ยวในการสังหารคนก็ยังต้องหวาดกลัวนางสามส่วน ถ้าเขาไปเกี่ยวข้องด้วยไม่ถือว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ? จึงตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียกว่า  นายท่าน ท่านจะแต่งงาน ไปให้ข้าไปถามฮูหยิน แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะหรือเปล่าขอรับ? 

ถ้ากล้าถามเอง ข้าจะให้เจ้าทำแทนเหรอ? เหมียวอี้ถลึงตาทันที  งั้นข้าจะมีเจ้าไว้ทำอะไรล่ะ! ข้าให้เจ้าถามเจ้าก็ถาม มัวพูดมากอะไรอยู่? 

ก็ได้! หยางเจาชิงยังจะทำอะไรได้อีก ทำได้เพียงแข็งใจหยิบระฆังดาราขึ้นมา แล้วติดต่อไปหาอวิ๋นจือชิวอย่างขี้ขลาดหวาดกลัว

เหมียวอี้สังเกตปฏิกิริยาของหยางเจาชิงอย่างจริงจัง พอหยางเจาชิงสีหน้าเปลี่ยน เขาก็หัวใจกระตุกวูบ พอเห็นตรงหน้าผากหยางเจาชิงเริ่มมีเหงื่อออก เขาก็เริ่มหวาดระแวงกลัว กระวนกระวายใจ กำลังครุ่นคิดว่าต่อไปตอนอวิ๋นจือชิวมาเอาเรื่อง จะต้องผลักเรื่องนี้ให้พ้นตัวดีหรือไม่ ให้หยางเจาชิงเป็นแพะรับบาป บอกว่าทั้งหมดเป็นความคิดของหยางเจาชิง?

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ หยางเจาชิงถึงได้เก็บระฆังดารา เขาถอนหายใจยาวเ์อกหนึ่ง แล้วพยักหน้าให้เหมียวอี้ด้วยรอยยิ้มเจื่อน:  นายท่าน โชคดีที่ไม่ถึงตาย ฮูหยินอนุญาตแล้วขอรับ 

 เอ่อ…  เหมียวอี้ถามเสียงอ่อน  อนุญาตจริงเหรอ? จำไม่ได้หลอกข้าใช่ไหม? 

หยางเจาชิงที่ยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดเหงื่อซึ่งทันที จากนั้นก็ตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า  ข้าจะกล้าหลอกนายท่านได้ยังไง คุยเรื่องนี้ให้ชัดเจนแล้ว ฮูหยินอนุญาตแล้วจริงๆ 

เหมียวอี้คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย หยางเจาชิงยังไม่ถึงขั้นเอาเรื่องแบบนี้มาหลอกตนหรอก จึงลองถามว่า  เอ่อแล้ว ฮูหยินไม่ได้บอกอย่างอื่นแล้วเหรอ? 

หยางเจาชิงลังเลนิดหน่อย เหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือเปล่า

 พูดมาได้เลย!  เหมียวอี้กล่าวอย่างใจกว้าง

หยางเจาชิงถอนหายใจอีก  ฮูหยินด่าข้าน้อยยับเยินเลย บอกว่าเดี๋ยวกลับมาจะจัดการข้าน้อย 

ไม่โดนด่าก็แปลกแล้ว เหมียวอี้หัวเราะแล้วถามอีก  ข้าถามว่านางได้พูดอะไรถึงข้าหรือเปล่า? 

หยางเจาชิงส่ายหน้า  แค่บอกว่าดีติดต่อกันไม่กี่คำ แล้วก็ถามสถานการณ์ของฝั่งนี้ อย่างอื่นไม่ได้พูดอะไรแล้ว เพียงแต่เรื่องรับอนุภรรยา ฮูหยินอนุญาตแล้วจริงๆ ขอรับ 

พูดว่าดีติดต่อกันหลายคำเหรอ? เหมียวอี้กระตุกมุมปากเล็กน้อย แต่กลับทำสีหน้าแสยะยิ้ม   พูดประชดหรือเปล่า? คิดว่าจะขู่ให้ข้าตกใจได้ล่ะสิ? 

หยางเจาชิงยิ้มเบาๆ แต่ในใจกลับพึมพำว่า ท่านอย่าทำเป็นพูดดีเลย ต่อไปถ้าได้เจอฮูหยินแล้วยังกล้าปากดีแบบนี้ได้ ข้าจะนับถือในความเป็นลูกผู้ชายของท่านเลย!

ในคฤหาสน์รับแขกที่มีกำลังทหารล้อมจำนวนมาก ตอนนี้ยังไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยไป ตอนนี้นอกประตูใหญ่มีความเคลื่อนไหวแล้ว ทหารยามหลีกทางให้ทางหนึ่ง เหมียวอี้ออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง

ยอดฝีมือภูมิคุ้มกันกลุ่มหนึ่งเดินตามหลังเหมียวอี้เข้ามาในคฤหาสน์ บรรดาแขกที่ถูกทหารล้อมทยอยกันมองมา

ทุกคนรู้ข่าวสถานการณ์ด้านนอกแล้ว กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนไม่มีทางถอยแล้ว การยอมสวามิภักดิ์เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว หรือพูดได้อีกอย่างว่า มีความเป็นไปได้เก้าในสิบ ว่าท่านนี้กำลังจะกลายเป็นอ๋องสวรรค์คนใหม่ที่คุมทัพใต้!

นี่คือผู้ชายที่กำลังจะกลายเป็นท่านอ๋อง! จะกลายเป็นหนึ่งในลูกพี่ใหญ่แห่งใต้หล้าที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ ที่สำคัญคือยังหนุ่มยังแน่นขนาดนี้ ลักษณะองอาจห้าวหาญแบบนั้นทำให้แขกผู้หญิงจำนวนมากที่อยู่ในงานจ้องไม่ละสายตา ต้องถือโอกาสตอนนี้มองให้มากๆ เสียหน่อย ในอนาคตผู้ชายคนนี้ใช่ว่าใครอยากจะเห็นก็เห็นได้แล้ว

ส่วนเรื่องที่ว่าเหมียวอี้ใช้วิธีการที่น่าอับอายไปมากเท่าไหร่ สำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่ที่อยู่ในงาน นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกนางสนใจ กลับมีผู้หญิงไม่น้อยที่แอบร่ำร้องในใจ ไม่รู้ว่าแม่หม้ายอย่างอวิ๋นจือชิวจะโชคดีมีวาสนาอะไรนักหนา ไม่น่าเชื่อว่ากำลังจะกลายเป็นหวังเฟยแล้ว เป็นแม่หม้ายที่แต่งงานรอบ มีคุณธรรมหรือความสามารถอะไรกัน ช่างไร้เหตุผลจริงๆ!

สำหรับแขกที่เป็นผู้ชาย ก็ย่อมไม่ได้คิดเพ้อฝันอะไรพวกนี้อยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะอิจฉามากกว่า

เมื่อเจอกับอุบายห่วงสัมพันธ์ของเหมียวอี้ เหยียบกระดูกทหารนับร้อยล้านของทัพใต้เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ก็ทำให้พวกเขาไม่กล้าเกิดความรู้สึกริษยาแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ เพราะในใจรู้สึกหวาดหวั่นและเกรงกลัวมากกว่า เกรงกลัวรัศมีอำนาจที่จะเพิ่มขึ้นบนตัวเหมียวอี้ในอนาคต แม้แต่ตอนมองกลุ่มยอดฝีมือที่คุ้มกันอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ ก็ยังรู้สึกเหมือนได้กินคาวเลือดโชยมาเลย

ส่วนผู้คุ้มกันกลุ่มนี้ก็สอดส่องสายตาคอยระแวดระวังอย่างสูง พร้อมจะป้องกันเหตุไม่คาดคิดทุกเมื่อ ในแววตาบางคนถึงขั้นแฝงการเตือนยังดุร้าย เรากลับพร้อมชูดาบฆ่าคนได้ทุกเมื่อ มาถึงขั้นนี้แล้ว ในทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่มีใครกล้าปล่อยให้เกิดเหตุไม่คาดคิดกับเหมียวอี้

กลุ่มแขกในงานแต่งงานเป็นฝ่ายหลีกทางให้เองอย่างเงียบเชียบ หลีกทางเดินให้แล้ว แม้คนที่บ้านจะบอกแล้วว่าตัวเองจะไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้พอเห็นเหมียวอี้ ก็ไม่มีใครกล้าโวยวายหรือแสดงความไม่เคารพแม้แต่น้อย

บางคนที่เมื่อก่อนชอบจับกลุ่มกับเพื่อนนินทาเหมียวอี้ พูดจาไม่ดีเกี่ยวกับเหมียวอี้ ตอนนี้ในใจเต็มไปด้วยความระมัดระวังและเกรงกลัว

ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น ว่าขอเพียงแค่เหมียวอี้ขึ้นสู่ตำแหน่ง เกรงว่าในใต้หล้าคงไม่มีใครกล้าพูดถึงเหมียวอี้ในทางที่ไม่ดีอย่างเปิดเผยอีก โดยเฉพาะคนที่ค่อนข้างมีฐานะอย่างพวกเขา ก็ยิ่งต้องควบคุมปากตัวเองให้ดี ไม่อย่างนั้นจะต้องรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองพูดไป เป็นไปไม่ได้แล้วที่จะพูดใส่ร้ายป้ายสีเหมียวอี้ตอนจับกลุ่มดื่มสุรากับลูกหลานขุนนางใหญ่แบบเมื่อก่อน ถามหน่อยว่าลูกหลานของพวกขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ มีใครกล้าใส่ร้ายสี่อ๋องสวรรค์สุ่มสี่สุ่มห้าบ้าง? ถ้าปล่อยให้คนที่บ้านรู้จะต้องโดนตัดขาแน่นอน!

จะพูดทุกคนก็ต้องพูดลับหลัง ไม่กล้าพูดข้างนอกอย่างโจ่งแจ้งเด็ดขาด

ใครจะกล้าแพรข่าวข้างนอกซี้ซั้วว่าเหมียวอี้บีบให้ฮ่าวเต๋อฟางตาย? เรื่องบางเรื่องรู้กันในวงในก็พอแล้ว ป่าวประกาศไปทั่วก็มีแต่จะหาเรื่องใส่ตัว หลักการนี้ก็เหมือนเรื่องที่ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เล่นงานสนมบางคนจนตาย ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเบื้องหลังคอยผลักดัน ใครจะกล้าพูดกับคนใต้หล้าซี้ซั้วล่ะ? ถ้าข่าวแพร่ออกไปแล้วตระกูลเซี่ยโห้วไม่มาขอคำอธิบายจากเจ้าก็แปลกแล้ว แน่นอน เรื่องบางเรื่องช้าเร็วก็ต้องแพร่ไป แต่พอไปถึงหูคนในสังคม เรื่องราวก็เปลี่ยนไปต่างๆ นานาแล้ว คนส่วนใหญ่แยกไม่ออกว่าจริงหรือเท็จ

เหมียวอี้เรียนใส่ชุดลำลองแล้ว แต่ทหารที่คุ้มกันอยู่ข้างหลังกลับยังสวมเกราะรบ เดินตามหลังเหมียวอี้พร้อมเสียงเกราะรบกระทบกันตลอดทาง

หวงฝู่จวินโหรวกับก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็อยู่ท่ามกลางคนกลุ่มนี้เช่นกัน พวกนางมองเหมียวอี้ด้วยแววตาหลากหลายความรู้สึก ในใจแอบเปรียบเทียบตัวเองกับเหมียวอี้ที่เคยรู้จักในอดีต

ส่วนเหมียวอี้ก็ราวกลับไม่รู้จักพวกนาง พยักหน้ายิ้มเบาๆ ให้คนที่อยู่ทั้งสองฝั่งเป็นระยะ มองไม่ออกว่าปฏิบัติกับสองคนนี้เป็นพิเศษหรือแตกต่างอะไรกับคนอื่น

สาเหตุที่เหมียวอี้มาที่นี่ในเวลานี้ ก็เพราะกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนแอบบอกใบ้ไว้ ว่าต้องให้สถานะกับลูกสาวของพวกเขา จะตอบรับปากเปล่าไม่ได้ ถ้าตอนหลังไม่รักษาสัญญาขึ้นมาจะทำอย่างไร? ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ต้องประกาศต่อคนพวกนี้อย่างเปิดเผย

ส่วนความคิดที่จะสนับสนุนให้ลูกสาวขึ้นสู่ตำแหน่งฮูหยินเอกเหมือนผังก้วน กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนยังไม่กล้าหวังขนาดนั้น ตอนนี้ถ้าช่วยให้ลูกสาวตัวเองคว้าสถานะอนุภรรยามาได้ก็ไม่เลวแล้ว ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากเหมียวอี้มากกว่านี้อีกแล้ว

เมื่อเดินขึ้นมาบนบันไดโถงหลัก เหมียวอี้ก็หันตัวมาเผชิญหน้ากับกลุ่มคน ทหารอารักขากระจายกันวางกำลังป้องกันอยู่ฝั่งซ้ายและขวา กำลังพลที่อยู่ข้างนอกก็เฝ้าระวังความเคลื่อนไหวภายในอย่างใกล้ชิดเช่นกัน

 ลำบากทุกคนแล้ว!  เหมียวอี้กุมหมัดคารวะต่อกลุ่มคนพร้อมรอยยิ้ม

 ไม่เป็นไร!  มีคนไม่น้อยฝืนยิ้มและตอบอย่างขายผ้าเอาหน้ารอด

กลับเป็นเถิงจิ่วเซียว ลูกชายของเถิงเฟยที่ยืนขึ้น แล้วกุมหมัดคารวะไปบนบันได  ผู้ตรวจการใหญ่ งานแต่งงานที่นี่จบลงแล้ว ไม่ทราบว่าจะปล่อยพวกเราไปเมื่อไร? 

รอยยิ้มบนใบหน้าเหมียวอี้หายไปทันที ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องเถิงจิ่วเซียว คิดว่าเจ้าเวรอนี่อาศัยว่าตัวเองมีคนหนุนหลัง จึงไม่รู้จักกาละเทศะ รู้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังถาม

คนเราเมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่ง ก็จะแสดงพลังอำนาจออกมาโดยไม่รู้ตัว

เถิงจิ่วเซียวถูกมองจนรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย จะถอยกลับก็ไม่ได้ เพราะด้วยฐานะอย่างเขาไม่อาจทำเรื่องให้คนในครอบครัวเสียหน้า แต่ถ้าไม่ถอย มีเรื่องอะไรบ้างที่คนบ้าอย่างหนิวโหย่วเต๋อไม่กล้าทำ ขนาดฮ่าวเต๋อฟางยังโดนบีบให้ตาย แล้วเขานับเป็นตัวอะไร? ถ้าจะโดนเจ้าบ้านี่ฆ่าตายเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ขาดทุนเกินไป ในใจแอบรู้สึกเสียใจที่เมื่อครู่นี้ไม่พิจารณาก่อน

ภาพนี้เหตุการณ์นี้ แค่ประโยคเดียวก็ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าเหมียวอี้หายไปแล้ว แขกที่เหลือยิ่งระมัดระวังตัวมากขึ้น มีคนไม่น้อยถึงขั้นแอบตัวสั่น

สุดท้ายเหมียวอี้ก็ยังไว้หน้าบิดาของอีกฝ่าย แต่ไม่ได้ไว้หน้าเถิงจิ่วเซียว ตอบเสียงเย็นว่า  ยังปราบทหารกบฏข้างนอกไม่ได้ ถ้าออกไปตอนนี้แล้วเกิดเรื่องขึ้น ข้าก็ชี้แจงกับคนในครอบครัวของทุกคนไม่สะดวก ให้ทุกคนอยู่ที่นี่ชั่วคราวก็เพราะหวังดีกับทุกคน เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ? 

เมื่อได้บันไดลงแล้ว เถิงจิ่วเซียวก็เจียดรอยยิ้มออกมาแล้วกุมหมัดคารวะ  ผู้ตรวจการใหญ่ช่างใส่ใจ  พูดจบก็ถอยกลับลงไป

ในตอนนี้ หยางเจาชิงรีบเดินเข้ามาจากด้านนอก เดินขึ้นบันไดมาพยักหน้าให้เหมียวอี้โดยตรง บอกใบ้ว่าคนมาถึงแล้ว

ผ่านไปครู่เดียว ทหารยามตรงประตูใหญ่ก็หลีกทางอีกครั้ง สตรีวัยกลางคนที่งดงามเลิศล้ำสองคนเดินเข้ามาก่อน ข้างหลังพวกนางมีสาวงามสองคนเดินก้มหน้าตามมา

ท่ามกลางแขกในงานแต่งงาน มีคนไม่น้อยที่จำได้ว่าสตรีวัยกลางคนแสนสวยสองคนนี้คืออนุภรรยาของกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวน ส่วนข้างหลังก็คือลูกที่เกิดจากทั้งสองคน กงหนีฉาง ลูกสาวของกงเชียนชิว อวี่เหวินหรูเมิ่ง ลูกสาวของอวี่เหวินชวน

ทุกคนเริ่มส่งสายตาสื่อสารกัน ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร พวกเขาไม่กล้ากระซิบกระซาบกันต่อหน้าเหมียวอี้

แต่ทุกคนก็พอจะเดาออกบ้างแล้ว ว่ากงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนคงจะยอมแพ้แล้ว

สี่คนนี้เดินมาทำความเคารพตรงตีนบันได  คำนับผู้ตรวจการใหญ่! 

 ไม่ต้องมากพิธี!  เหมียวอี้ผายมือขึ้น ยังมีเรื่องสำคัญอีกมากมายที่ต้องทำ เขาไม่มีอารมณ์มาเสียเวลาเล่นละคร สายตาจับจ้องไปยังผู้หญิงสองคนที่อยู่ข้างหลังสตรีวัยกลางคน แล้วถามว่า  สองคนที่อยู่ข้างหลังไม่คุ้นหน้าเลย 

สตรีวัยกลางคนทั้งสองแอบกัดฟัน แล้วหลีกทางซายขวา ให้หญิงสาวสองคนที่อยู่ข้างหลังเดินออกมา

หญิงสาวที่สวยสบายตาย่อเข่าทำความเคารพอีกครั้ง  อวี่เหวินหรูเมิ่งคำนับผู้ตรวจการใหญ่  หญิงสาวนัยน์ตาแดงกล่ำ เหมือนเพิ่งร้องไห้มา

ส่วนอีกคนเป็นสาวน้อยที่เห็นได้ชัดเจนว่ายังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ นางย่อเข่าคำนับเช่นกัน เพียงแต่เสียงสั่นเครือเล็กน้อย  กงหนีฉางคำนับผู้ตรวจการใหญ่!  เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างหวาดกลัว

เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย  ที่แท้ก็เป็นทองพันชั่งอันล้ำค่าของจอมพลกงกับจอมพลอวี่เหวินนี่เอง หนิวได้ยินชื่อและชื่นชมมานานแล้ว วันนี้ได้เห็นตัวจริงแล้วหัวใจเต้นแรง อยากจะเกี่ยวดองกับท่านจอมพลทั้งสอง ไม่ทราบว่าฮูหยินทั้งสองจะยอมให้ลดตัวมาแต่งงานกับข้าหรือเปล่า? 

สตรีวัยกลางคนหนึ่งในนั้นข่มกลั้นสีหน้าคับแค้นเศร้าโศก แล้วพยักหน้าบอกว่า  ผู้ตรวจการใหญ่ถูกใจสตรีต่ำต้อยได้ก็ถือเป็นวาสนาของนาง ย่อมดีใจจนแทบควบคุมตัวเองไม่ไหวอยู่แล้วค่ะ 

สตรีวัยกลางคนอีกคนก็ตอบคล้ายๆ กัน

 ดี! เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้  เหมียวอี้ตัดสินใจอย่างลวกๆ แบบนี้แล้ว บอกหยางเจาชิงว่า  หาที่พักให้ฮูหยินใหม่ทั้งสองให้เรียบร้อย 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับ

 หนิวยังมีกิจธุระต้องจัดการ ไม่สะดวกจะอยู่ต้อนรับแล้ว!  เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายอย่างเย็นชา แล้วก็เดินก้าวยาวลงบันไดไป ผู้หญิงสี่คนตรงตีนบันได้หลีกทางให้สองฝั่ง มองเหมียวอี้นำกำลังพลกลุ่มหนึ่งเดินผ่าตัวเองไปตาปริบๆ

……………

 

หลายคนที่อยู่ตรงนี้นับว่าเป็นคนที่เข้าใจเขา ต่างก็มองออกแล้วว่าประมุขชิงคิดจะสังหารหนิวโหย่วเต๋อ

ทว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่หนิวโหย่วเต๋อในปีนั้นอีกแล้ว หนิวโหย่วเต๋อเดินมาถึงทุกวันนี้ได้ เดินมาสู่อำนาจอย่างทุกวันนี้ได้ ก็ได้ผ่านช่วงเวลาที่เผชิญความกดดันจากประมุขชิงแล้วรู้สึกว่าการปกป้องหนิวโหย่วเต๋อนั้นไม่คุ้มไปแล้ว ไม่ใช่ว่าใครอยากจะเสียสละก็เสียสละได้ ดังนั้นถ้าคิดจะแตะต้องหนิวโหย่วเต๋อ ก็เกรงว่าคงไม่ง่ายขนาดนั้นแล้ว

หลังจากในตำหนักเงียบเสียงไปนานมาก ประมุขชิงก็กล่าวอย่างเนิบนาบว่า  ถ่ายทอดคำสั่ง ให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลถอนกำลังกลับแดนรัตติกาลเดี๋ยวนี้! 

 …  ซ่างกวนชิงซึ่งไปชั่วขณะ มาสั่งตอนนี้มีประโยชน์หรือ? แต่ก็ยังปฏิบัติตามคำสั่ง

และในตอนนี้ กำลังพลใต้บังคับบัญชาของเหมียวอี้ก็กำลังเร่งระดมพลแล้ว

เหมียวอี้ได้รับข่าวจากตำหนักสวรรค์ แต่กลับไม่สนใจ ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น

ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาได้รับการติดต่อจากตำหนักสวรรค์ แล้วปฏิเสธว่าไม่ทราบว่าผู้ตรวจการใหญ่ไปที่ไหนแล้ว หาตัวไม่เจอ ติดต่อไม่ได้ด้วย

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ไม่ตอนนี้เป็นไปไม่ได้ที่เหมียวอี้จะฟังคำสั่ง อัญเชิญเทพมานั้นง่าย แต่จะให้ส่งเทพกลับไปนั้นยาก ลูกธนูง้างอยู่บนสายแล้วมิอาจไม่ยิง เขาทำเรื่องจนถึงขั้นนี้แล้ว ล่วงเกินประมุขชิงไปแล้ว ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว ตอนนี้อยากจะให้เขาถอนกำลังกลับแดนรัตติกาล คิดว่าเป็นไปได้หรือ?

กำลังพลสายมะโรงของกงเชียนชิวกับกำลังพลสายมะเส็งของอวี่เหวินชวนรวมตัวกันอยู่ในดาราจักรแล้ว

ทำถึงขั้นนี้แล้ว อยู่ลำพังรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย สงสัยว่าเกาะกลุ่มกันไว้จะอบอุ่นกว่า

บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนยืนเคียงกัน ทั้งคู่ล้วนมีสีหน้าอ้างว้าง ทอดสายตามองดาราจักรที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต รอข่าวจากตำหนักสวรรค์

ผลปรากฏว่ายังไม่ทันได้ข่าวจากตำหนักสวรรค์ ก็ได้ข่าวจากฝ่ายอื่นก่อนแล้ว ทัพตะวันออก ทัพตะวันตก ทัพเหนือได้ปิดทางออกด้านนอกอาณาเขตทัพใต้ไว้หมดแล้ว ทัพใหญ่รวมตัวกันเคลื่อนพล จุดหมายปลายทางคือในอาณาเขตทัพใต้

 ฝั่งประมุขชิงคงหวังอะไรไม่ได้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะเปิดฉากต่อสู้กับกลุ่มอำนาจใหญ่พวกนั้นเพื่อพวกเรา!  กงเชียนชิวถอนหายใจเบาๆ แล้วส่ายหน้าด้วยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย  ถ้ารู้อย่างนี้แต่แรกคงไม่ทำ ตอนที่ท่านอ๋องถูกล้อมไว้ พวกเราควรจะพยายามสุดความสามารถเพื่อกู้สถานการณ์ พวกเราหาเรื่องใส่ตัวเอง ถือว่าเป็นกรรมตามสนองหรือเปล่า? 

 สหายกง มาพูดตอนนี้ยังมีความหมายอะไรล่ะ?  อวี่เหวินชวนกล่าว

 สหายอวี่เหวินมีวิธีอะไรหรือเปล่า?  กงเชียนชิวถาม

อวี่เหวินชวนหลุดขำ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเย้ยตัวเอง  วิธีการก็พอมีอยู่บ้าง! 

 อ้อ!  กงเชียนชิวเอียงหน้ามองเขา  ข้ายินดีจะรับฟังความเห็นอันสูงส่ง! 

 วิธีการแรกก็คือยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์ สู้ตายกับพวกเขาเลย!  อวี่เหวินชวนกล่าว

กงเชียนชิวแทบจะกลอกตามองบน  อำนาจหลายฝ่ายร่วมมือกันโจมตี พวกเราจะชนะได้เหรอ? ตอนนี้มาถึงขั้นนี้แล้ว หนิวโหย่วเต๋อประกาศแล้วว่าถ้ายอมแพ้จะให้อยู่ในตำแหน่งเดิมยศเดิม เจ้าคิดว่าเบื้องล่างยังจะมีสักกี่คนที่จะสู้หัวชนฝาไปกับพวกเราได้? 

 วิธีการที่สองก็คือหนีเข้าไปในจุดลึกของดาราจักร เข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนาม  อวี่เหวินชวนกล่าว

กงเชียนชิวกล่าวช้าๆ ว่า  แบบนั้นก็ต้องให้เบื้องล่างเต็มใจหนีตามพวกเราไปด้วยสิ สาเหตุที่ตอนแรกลิ่งหูโต้วจ้งไม่กล้าไปขอพึ่งพาอำนาจฝ่ายอื่น ก็เพราะลิ่งหูโต้วจ้งรู้ว่าไปพึ่งพาอำนาจฝ่ายอื่นก็ไม่ได้มีจุดจบที่ดีอะไร ไม่ได้มีตำแหน่งว่างเยอะขนาดนั้นให้ไปเบียดกัน แต่สถานการณ์ของหนิวโหย่วเต๋อตอนนี้ต่างกัน ในมือเขามีกำลังพลอยู่แค่นั้น ถ้าอยากจะควบคุมทั้งอาณาเขตทัพใต้ กำลังพลในมือเป็นอุปสรรคมากมาย ต้องการกำลังคนเดิมของทัพใต้ ไม่ค่อยเบียดกันเกินไป ไม่อย่างนั้นหนิวโหย่วเต๋อจะโน้มน้าวให้พวกเรายอมแพ้ทำไม เบื้องล่างก็ไม่ได้ตาบอด ทุกคนล้วนเห็นจุดนี้แล้ว ถ้าไม่จนตรอกจริงๆ เบื้องล่างจะมีใครอยากพาลูกเล็กเด็กแดงตามพวกเราหนีไปยังอาณาเขตดาวนิรนามที่หนทางข้างหน้าไม่ชัดเจน จะเป็นจะตายยังไงก็ไม่รู้? 

อวี่เหวินชวนยิ้มเย้ยตัวเองอีก  หรือไม่อย่างนั้นพวกเราพาครอบครัวหนีไปเงียบๆ ทิ้งพวกกำลังพลไว้ที่นี่ดีไหม? 

กงเชียนชิวบอกว่า  เจ้าต้องไตร่ตรองให้ชัดเจนนะ คนที่ทิ้งพี่น้องหนีไป แม่ทัพหลักที่ทำตัวแบบนี้คงจะถูกมวลชนโกรธแค้น เป็นพฤติกรรมที่ทุกคนเหยียดหยาม ต่อไปอาจจะไม่มีทางเผชิญหน้ากับพวกพี่น้องได้อีกแล้ว ไม่มีโอกาสกลับตัวอีกแล้ว มีแต่ต้องฝากความหวังไว้ที่อาณาเขตดาวนิรนาม หาสถานที่ลับตาคนเพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบ ถ้าหาไม่เจอขึ้นมาแล้วคิดอยากจะกลับ ก็ไม่มีที่ยืนให้แล้ว ถึงตอนนั้นเกรงว่าแม้แต่คนที่จะแอบช่วยพวกเราก็ไม่มีแล้ว 

อวี่เหวินชวนพูดหยอกว่า  พอเป็นแบบนี้ ก็เหลือแค่หนทางสุดท้ายแล้ว ไปยอมแพ้ต่อหนิวโหย่วเต๋อ! 

กงเชียนชิวถอนหายใจเบาๆ  ถ้าไปขอพึ่งพา พี่น้องเบื้องล่างยังมีทางออก แต่พวกเราสองคนล่ะ เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะให้พวกเราอยู่ในตำแหน่งจอมพลอีก ตอนนี้ผังก้วนจะเป็นจะตายก็ยังไม่รู้ ถ้ายังไม่ตาย หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่มีทางให้เขาขึ้นตำแหน่งจอมพลอีกเช่นกัน ถ้ามีแค่เท่านี้ก็ว่าไปอย่าง ลิ่งหูโต้วจ้งก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ข้ากลัวว่าหนิวโหย่วเต๋อจะโหดเหี้ยม ทำให้คนในครอบครัวพวกเราลำบากไปด้วย! 

อวี่เหวินชวนบอกว่า  เจ้าคิดมากไปแล้ว ถ้าไปยอมแพ้ต่อเขาเมื่อไหร่ ทุกคนก็เจอได้อยู่ในตำแหน่งเดิม มีแต่เจ้ากับค่าที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเก็บกำลังพลของพวกเราไว้ แล้วยังให้หัวหน้าอย่างพวกเราอยู่ในตำแหน่งเดิม หนิวโหย่วเต๋อคงไม่เป็นอันกินอันนอนเช่นกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะให้โอกาสพวกเราบัญชาการอีก แต่ก็คงไม่ดำเนินรอยตามลิ่งหูโต้วจ้ง เพราะสถานการณ์ของพวกเราแตกต่างกับลิ่งหูโต้วจ้ง ตอนนั้นลิ่งหูโต้วจ้งตายด้วยน้ำมือประมุขชิง น่าจะไม่เกี่ยวอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อ แล้วอีกอย่าง พวกเราสละอนาคตตัวเองเพื่อปกป้องอนาคตของลูกน้อง ถ้าหนิวโหย่วเต๋อฆ่าพวกเรา ก็ชี้แจงกับลูกน้องเก่าของพวกเราได้ยาก พูดในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ต่อให้ต้องการจฆ่าพวกเรา แต่ภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ก็คงไม่ลงมือ อย่างน้อยก็ต้องรอให้เขาย่อยทัพใต้ให้หมดก่อน ถึงจะลงมือกับพวกเรา 

กงเชียนชิวจองเขา  ฟังจากที่พูด สหายอวี่เหวินตัดสินใจแล้วเหรอ? 

อวี่เหวินชวนเอามือไขว้หลัง เงยหน้าถอนหายใจ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า  ลูกสาวคนเล็กของข้าหรูเมิ่ง หน้าตาพอใช้ได้ ยังไม่ได้แต่งงาน ขอเพียงหนิวโหย่วเต๋อยินดีจะแต่งงานด้วย ข้าก็จะยอมแพ้เขา!  พูดจบก็หันกลับไปมองเขาแวบหนึ่ง  กงหนีฉาง ลูกสาวของเจ้าที่ยังไม่ได้แต่งงานอายุเท่าไหร่แล้ว? 

 สิบห้าปี!  กงเชียนชิวบอกอายุของลูกสาวอย่างช้าๆ แล้วอดไม่ได้ที่จะหลับตาลง เขาเหลือแค่ลูกสาวคนนี้ที่ยังไม่แต่งงาน ส่วนลูกสาวคนโตอีกคนแต่งงานไปแล้ว ถ้าจะให้หนิวโหย่วเต๋อแต่งงานด้วยอีกก็คงเป็นไปไม่ได้

จวนจอมพลสายเถาะ ในตำหนักประชุม เหิงอู๋เต้ากำลังทำหน้าที่คุมการบัญชาการอยู่ท่ามกลางบรรดาแม่ทัพ หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว ในดวงตาก็ฉายแววปลาบปลื้มอย่างที่ปิดบังได้ยาก เขารีบเดินออกจากตำหนักใหญ่ เดินมาข้างกายเหมียวอี้ที่อยู่บนบันได แล้วกุมหมัดคารวะ  ยินดีกับผู้ตรวจการใหญ่ ยินดีกับผู้ตรวจการใหญ่ อวี่เหวินชวนกลับกงเชียนชิวส่งข่าวมา บอกว่ายินดีทำตามคำสั่งอ๋องสวรรค์ฮ่าว จะนำกำลังพลสายมะโรงกับสายมะเส็งมาสวามิภักดิ์ต่อผู้ตรวจการใหญ่! 

ตอนนี้เขามองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกนับถือ เป้าหมายที่จะกลืนทั้งอาณาเขตทัพใต้ ตอนนี้ทำได้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้แล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้ต่อให้นอนฝันเขาก็นึกไม่ถึง ว่าจะทำสำเร็จได้ง่ายดายขนาดนี้!

แต่เขาก็รู้เช่นกัน ว่าการที่สามารถใช้งานกำลังพลของตระกูลเซี่ยโห้ว อีกทั้งได้รับการสนับสนุนจากทัพตะวันออก ทัพตะวันตกและทัพเหนือ สิ่งที่แอบจ่ายไประหว่างนั้นจะต้องไม่น้อยแน่นอน ต้องลงทุนไปไม่น้อยแน่ ไม่อย่างนั้นแล้ว ในโลกนี้จะมีโชคใหญ่ขนาดนี้หล่นลงมาจากฟ้าได้อย่างไร เพียงแค่ตัวเองไม่รู้เท่านั้นเอง แต่ความสามารถนี้ก็ทำให้เขานับถือจากใจจริงแล้ว!

 ดี!พออวี่เหวินชวนกับกงเชียนชิวไม่ยอมสวามิภักดิ์ ในอาณาเขตทัพใต้ก็ไม่ต้องทำศึกอีก!  เหมียวอี้พยักหน้ากล่าวชม ในที่สุดใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมาแล้ว เขาหันกลับมาถามว่า  เมื่อจะมายอมแพ้ แล้วตัวเขามาหรือยัง? 

เหิงอู๋เต้าตอบว่า  ยังอยู่ระหว่างการระดมกำลังพล ทัพใหญ่สองทัพบรวมตัวกันอยู่ที่เดิม ยังไม่เคลื่อนไหว อวี่เหวินชวนกับกงเชียนชิวยังไม่มีท่าทีว่าจะมาพบผู้ตรวจการใหญ่ 

เหมียวอี้สีหน้าบึ้งตึงลงทันที ถามเสียงเย็นว่า  อย่าบอกนะว่ากำลังหลอกลวงค่ะ? 

 น่าจะไม่ใช่ขอรับ!อวี่เหวินชวนให้กำลังพลกลุ่มเล็กให้ส่งอวี่เหวินหรูเมิ่ง ลูกสาวคนเล็กมาก่อนแล้ว ส่วนกงเชียนชิวก็ให้กำลังพลกลุ่มเล็กส่งกงหนีฉาง ลูกสาวของตัวเองมาเช่นกัน ขอให้ผู้ตรวจการใหญ่ดูแลแทน!  เหิงอู๋เต้ามีสีหน้าแปลกๆขณะ พูดรายงานสิ่งนี้

พอหยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแบบนี้ ก็รู้สึกงงเช่นกัน แล้วก็มองเหมียวอี้ด้วยสีหน้าแปลกๆ

 ส่งลูกสาวมาเป็นตัวประกันเหรอ?  เหมียวอี้เลิกคิ้ว จากนั้นก็แสยะยิ้มไม่หยุด  ข้าเอาลูกสาวของพวกเขามาเป็นตัวประกันจะมีประโยชน์อะไร? ลูกสาวของพวกเขาจะป้องกันความคิดไม่ซื่อของพวกเขาได้หรือไง? คิดจะใช้ลูกไม้ตื้นๆ มาถ่วงเวลา น่าขำไปหน่อยมั้ง บอกพวกเขา ว่าถ้าตั้งใจจะยอมแพ้จริงๆ ก็ให้มาเอง ไม่อย่างนั้นก็ต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาเอาเอง! 

หยางเจาชิงเอามือลูบจมูกทันที ไม่รู้ว่าควรจะเตือนหรือไม่ ถ้าจะให้ตนเอ่ยปากเรื่องนี้ก็คงไม่ดี ต่อไปถ้าให้ฮูหยินรู้ เกรงว่าตัวเองคงจะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา

ผู้ตรวจการใหญ่หัวช้ากับเรื่องพรรค์นี้!ในใจเหิงอู๋เต้าพึมพำ จากนั้นก็กุมหมัดป้องปากกระแอมสองที  ผู้ตรวจการใหญ่คงจะเข้าใจเจตนาของพวกเขาผิดแล้ว เรื่องยอมแพ้น่าจะเป็นเรื่องจริง แต่ที่บอกว่าส่งลูกสาวมาให้ผู้ตรวจการใหญ่ดูแลแทนก่อน น่าจะไม่ใช่เอามาเป็นตัวประกัน แต่จะให้แสดงบทบาทอีกอย่างหนึ่ง ข้าน้อยเดาว่าพวกเขาคงหวังให้ผู้ตรวจการใหญ่แต่งงานกับลูกสาวของพวกเขา ถ้าผู้ตรวจการใหญ่ไม่แต่งด้วย เกรงว่าพวกเขาคงไม่วางใจที่จะมายอมสวามิภักดิ์ 

 …  เหมียวอี้งงเป็นไก่ตาแตกอยู่พักหนึ่ง จากนั้นกล่าวอย่างสงสัยว่า  กล้ามาสวามิภักดิ์หรือไม่ เกี่ยวอะไรกับให้ข้าแต่งงานกับลูกสาวของพวกเขาล่ะ? ถ้าข้าคิดจะลงมือกับเขาจริงๆ ลูกสาวของพวกเขาจะขัดขวางได้ยังไง ทำเป็นของเด็กเล่นเกินไปแล้วมั้ง? 

เขาหัวช้ากับเรื่องในด้านนี้จริงๆ แม้จะมีอนุภรรยามาก แต่ก็ยังไม่คุ้นชินกับวิธีการนี้ ถึงอย่างไรก็ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ใต้บังคับบัญชาของสี่ทัพอย่างจริงจัง มีประสบการณ์เรื่อง ‘เส้นสายความสัมพันธ์’ ยังไม่ลึกซึ้ง ยังขาดความตระหนักรู้ในด้านนี้

เหิงอู๋เต้ากุมหมัดคารวะ  ขอบังอาจถามผู้ตรวจการใหญ่ หลังจากกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนยอมแพ้แล้ว ยอมจะให้พวกเขาอยู่ในตำแหน่งจอมพลเหมือนเดิมหรือไม่? 

เหมียวอี้เหล่ตาถาม  เจ้าคิดว่าเป็นไปได้เหรอ? ให้พวกเขาได้เป็นคนรวยที่ว่างงานยังไม่พออีกหรือไง? 

เหิงอู๋เต้าถอนหายใจ  เอาล่ะ ยังไม่ต้องพูดถึงความกังวลด้านอื่นๆ ของพวกเขา ข้าน้อยพูดถึงคนรวยที่ว่างงานก่อนก็แล้วกัน เมื่อไม่มีอำนาจให้พึ่งพา ไม่มีหลักประกันเลยสักนิด คิดว่าเขาจะได้เป็นคนรวยที่ว่างงานได้ง่ายๆ ขนาดนั้นหรือขอรับ? ทรัพย์สินของบ้านพวกเขาไม่ธรรมดา เลี่ยงยากที่จะไม่ให้เศรษฐีใหม่คิดไม่ซื่อกับพวกเขา และเขาก็รู้เช่นกัน ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาช่องทางรายได้เอาไว้ทั้งหมด ราษฎรเดิมไร้ความผิด แต่ผิดเพราะมีหยกในครอบครอง[1] คาดว่าส่วนใหญ่คงเป็นฝ่ายนำมามอบให้ผู้ตรวจการใหญ่เอง แต่ในครอบครัวเขาก็มีคนอยู่ไม่น้อย จะต้องมีช่องทางรายได้พื้นฐานเอาไว้เลี้ยงชีพอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นร้านค้าจำนวนหนึ่งที่ตลาดสวรรค์ สำหรับคนส่วนใหญ่ หลักประกันพื้นฐานนี้นับว่าเป็นทรัพย์สินที่ไม่น้อยเลย กอปรกับในบ้านมีสาวงามอยู่มากมาย เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนจ้องตาเป็นมัน ถึงตอนนั้นถ้าในมือของเขาไม่มีกำลังทหารป้อง แล้วเขาจะใช้ชีวิตยังไง? ดีไม่ดีก็จะบ้านแตกสาแหรกขาด! แต่ถ้าลูกสาวของพวกเขาได้แต่งงานกับผู้ตรวจการใหญ่ นั่นก็จะต่างออกไปแล้ว ถ้าเป็นครอบครัวฝั่งอนุภรรยาของผู้ตรวจการใหญ่ ใครจะตาบอดถึงขั้นมาหาเรื่องญาติของผู้ตรวจการใหญ่ล่ะ? พอผู้ตรวจการใหญ่แต่งงานกับลูกสาวของพวกเขา พวกเขาก็มีทางหนีทีไล่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะวางใจมาสวามิภักดิ์ได้ยังไง? 

เหมียวอี้ใจกระจ่างในฉับพลัน พูดชัดเจนขนาดนั้น ถ้าไม่เข้าใจก็คงไม่ต่างจากคนโง่แล้ว

เพียงแต่เรื่องแบบนี้ทำให้เหมียวอี้ปวดหัวนิดหน่อย ความคิดของตัวเองยังควบคุมง่าย แต่ไม่สะดวกจะอธิบายกับทางอวิ๋นจือชิว! เขากับอวิ๋นจือชิวมีข้อตกลงระหว่างสามีภรรยากันตั้งแต่แรกแล้ว ว่าถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากอวิ๋นจือชิว ก็ห้ามให้ผู้หญิงคนอื่นแต่งงานเข้าบ้าน กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนทำเรื่องนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ลูกสาวมาเป็นอนุภรรยาลับๆ ของเขา

…………………

 

ข่าวร้ายมาเยือนอย่างต่อเนื่อง กงเชียนชิวหัวเราะไม่ออกอีกแล้ว พอยกมือขึ้น กระบวนทัพก็หยุดลอยอยู่ในดาราจักร แต่ละคนมีสีหน้าเคร่งขรึม

อวี่เหวินชวนที่อยู่อีกแห่งของดาราจักรก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน เผชิญสถานการณ์แบบเดียวกัน

ข่าวร้ายยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ยังคงแพร่ต่อไป กำลังพลบางส่วนที่ก่อนหน้านี้หลบหายไปกะทันหันอย่างไร้ร่องรอย จู่ๆ ก็ปรากฏตัวแล้ว หัวหน้ากองฉวยโอกาสตอนที่กำลังพลใต้บังคับบัญชาถูกห้ามใช้ระฆังดารา พากำลังพลเข้าไปอยู่ในวงล้อมของทัพใหญ่หนิวโหย่วเต๋อเสียเลย จากนั้นก็ประกาศยอมแพ้ โดยให้เหตุผลว่าทำตามคำสั่งอ๋องสวรรค์ฮ่าว

กำลังพลที่ยอมแพ้พวกนี้ เมื่อเทียบอัตราส่วนกับกำลังพลของสองจอมพลแล้วก็ไม่เยอะ มีแค่หนึ่งส่วนเท่านั้น อย่างมากพวกเขาก็เสียกำลังพลไปคนละไม่กี่สิบล้าน แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นร้ายแรงมาก ทั้งสองฝ่ายยังไม่ทันรบกันอย่างเป็นทางการ กำลังพลของตัวเองก็เริ่มไปขอพึ่งพาฝ่ายศัตรูแล้ว นี่มันใช่เรื่องเสียที่ไหน? ข่าวพึ่งพาฝั่งศัตรูแพร่มาไม่ขาดสาย ทำเอาใจคนระส่ำระส่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข่าวนี้ส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจทหารในกองทัพ

 ท่านจอมพล เรื่องนี้อาจจะไม่ค่อยดีแล้ว 

ทหารคนหนึ่งถือระฆังดาราพลางขมวดคิ้วบอกอวี่เหวินชวน

อวี่เหวินชวนพี่ใบหน้าพยับเมฆมองเขา พลางกล่าวเสียงต่ำ  ว่ามา! 

แม่ทัพคนนั้นถอนหายใจแล้วบอกว่า  เจ้าสำนักของข้าส่งข่าวมา โน้มน้าวให้ข้าน้อยปฏิบัติตามคำสั่งของท่านอ๋องฮ่าว ให้นำผลไปพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อ อย่าสร้างเรื่องให้สำนักโดนกวาดล้าง! 

อวี่เหวินชวนใบหน้ากระตุกรุนแรง แม้แต่แม่ทัพใต้บังคับบัญชาของตัวเองยังถูกสำนักปลุกระดมให้ทรยศ ยังไม่รู้ว่าเบื้องล่างมีแม่ทัพอีกตั้งเท่าไหร่ที่กำลังถูกปลุกระดมให้ทรยศ เขากำหมัดกล่าวอย่างเคียดแค้น  ตระกูลเซี่ยโห้วเข้ามาแทรกแซงแล้ว!ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้สนับสนุนผังก้วน แต่สนับสนุนหนิวโหย่วเต๋อต่างหาก! 

แม่ทัพคนนั้นยิ้มเจื่อน  นี่ล้วนเป็นเรื่องรองทั้งนั้น ถ้าโจมตีหนิวโหย่วเต๋อได้จริงๆ สำนักก็ย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ประเด็นก็คือท่าทีของบรรดาท่านอ๋องเหล่านั้น ทัพตะวันออก ทัพตะวันตก ทัพเหนือล้วนต้องการส่งกำลังพลไปสนับสนุนหนิวโหย่วเต๋อ นี่ต่างหากที่เป็นปัญหาจริงๆ! 

อวี่เหวินชวนเม้มริมฝีปากแน่น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่านี่คือปัญหาใหญ่ ตอนนี้ทัพตะวันออก ทัพตะวันตก ทัพเหนือและแม้กระทั่งตระกูลเซี่ยโห้วก็ล้วนแสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะสนับสนุนหนิวโหย่วเต๋อ แบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ? หมายความว่านอกจากประมุขชิงแล้ว ตัวเองก็แทบจะต้องสู้กับทั้งใต้หล้า เขาจะต้านไหวได้อย่างไร? ต่อให้เขากับกงเชียนชิวร่วมมือกันก็ต้านไม่ไหว ต่อให้ประมุขชิงส่งกองทัพองครักษ์มาแทรกแซงก็ไม่ไหวอยู่ดี ประมุขชิงกล้าบีบให้ตระกูลเซี่ยโห้วกับกลุ่มอำนาจใหญ่เหล่านั้นรวมตัวกันหรือ?

ทัพตะวันออก ทัพตะวันตก ทัพเหนือล้วนบอกพวกเขายังชัดเจนแล้ว ว่าจะปิดช่องทางไปมาระหว่างทัพใต้และอีกสามทัพ เท่ากับว่าปิดทางออกทั้งหมดในอาณาเขตทัพใต้ไว้แล้ว ถ้าลงมือขึ้นมา พวกเขาก็จะถูกตัดทางถอย ไม่ให้โอกาสพวกเขาหนีออกจากอาณาเขตทัพใต้ ไม่ให้แม้แต่โอกาสสุดท้ายที่จะไปขอพึ่งพาประมุขชิง!

ต่อให้กองทัพองครักษ์อยากจะเข้ามาแทรกแซง แต่การจะเข้าอาณาเขตทัพใต้ก็ต้องผ่านกำลังพลสามทัพที่ปิดล้อมก่อน ถ้ากำลังพลสามทัพไม่ปล่อย ประมุขชิงจะกล้าดันทุรังโจมตีการปิดล้อมของกำลังพลสามทัพพร้อมกันเหรอ? กล้าใช้กำลังปะทะกับบรรดาอ๋องสวรรค์พร้อมกันเหรอ?

อาศัยแค่กำลังพลกองทัพองครักษ์ไม่กี่ร้อยล้านในอาณาเขตทัพใต้ จะต้านการโจมตีจากทัพใหญ่ที่ร่วมมือกันได้หรือ?

ด้านบนก็คือผลลัพธ์ที่เขากล้าลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อ ถ้าลงมือเมื่อไหร่ ก็แทบจะทำให้ต้องสู้กับทั้งใต้หล้าแล้ว!

กลุ่มอำนาจใหญ่หลายฝ่ายบอกกับเขาอย่างชัดเจน พวกเราสนับสนุนให้หนิวโหย่วเต๋อคืนสู่ตำแหน่ง เจ้ากับกงเชียนชิวไม่มีส่วนในตำแหน่งประมุขทัพใต้ ถ้าเจ้ากล้าลงมือก็ลองดูสิ!

 ถ้าพลาดโอกาสกำจัดหนิวโหย่วเต๋อครั้งนี้ ปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อกับตาแก่พวกนั้นสร้างความสัมพันธ์แบบกึ่งร่วมงานกึ่งแข่งขัน ก็เป็นเรื่องยากที่จะแตะต้องเขาได้อีก!  อวี่เหวินชวนเงยหน้าถอนหายใจยาว ไม่รู้จะไประบายอารมณ์กลัดกลุ้มในใจตรงไหน เขาอยากจะถามมาว่า หนิวโหย่วเต๋อมีสิทธิ์อะไร? มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการสนับสนุนจากอำนาจมากมายขนาดนั้น? อำนาจของฝั่งพวกเราเทียบกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้เชียวเหรอ? สนับสนุนหนิวโหย่วเต๋อแต่ไม่สนับสนุนข้า ตาบอดกันหมดแล้วใช่ไหม?

บรรดาแม่ทัพเงียบไป ย่อมเข้าใจเหตุผลที่เขาพูด เหตุใดยามปกติประมุขชิงจึงไม่กล้าแตะต้องหนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ล่ะ? ก็เพราะความสัมพันธ์กึ่งร่วมมือกึ่งแข่งขันระหว่างอ๋องสวรรค์ ปกติบรรดาอ๋องสวรรค์สู้กันก็ส่วนสู้กัน แต่เมื่อไรที่ต้องสู้กับประมุขชิง พวกเขาก็จะเกาะกลุ่มร่วมมือกันสู้ทันที ในจุดนี้ไม่ว่าใครก็เข้าใจชัดเจน ขณะเดียวกันก็ยังร่วมมือกันสู้กับกบฏที่อาจเกิดขึ้นกับกำลังพลเบื้องล่างด้วย เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดกบฏ อ๋องที่เหลือก็จะร่วมมือกันยับยั้ง!

แม่ทัพคนหนึ่งถอนหายใจแล้วบอกว่า  ท่านจอมพล การที่พวกอ๋องสวรรค์แสดงท่าทีสนับสนุน ที่จริงก็เท่ากับยอมรับความสัมพันธ์กึ่งร่วมมือกึ่งแข่งขันระหว่างพวกเขากับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว  เขากำลังจะสื่อว่า สิ่งที่เจ้าบอกว่า ‘ถ้า’ มันกลายเป็นเรื่องจริงไปแล้ว

อวี่เหวินชวนส่ายหน้ายิ้มอย่าขื่นขม  ข้าไม่ยอม จอมพลผู้นี้ไม่ยอม!เพราะอะไร? หนิวโหย่วเต๋อมีสิทธิ์อะไร? 

จู่ๆ แม่ทัพอีกคนก็กล่าวอย่างลังเลว่า  ท่านจอมพล ใช่ว่าเรื่องนี้จะไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์ บางทีอาจลองเปลี่ยนวิธีการดูสักหน่อย! 

อวี่เหวินชวนตาเป็นประกาย  หมายความว่ายังไง? ยินดีฟังรายละเอียด! 

แม่ทัพคนอื่นมองไปที่แม่ทัพคนนั้นพร้อมกัน เจ้าตัวแนะนำว่า  ท่านจอมพล เรื่องแบบนี้จะมัวงอมืองอเท้าได้ยังไง? ท่านลองติดต่อพวกท่านอ๋องเดี๋ยวนี้เลย ลองเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาสนับสนุนท่านจอมพล จะได้สืบความจริงเกี่ยวกับหนิวโหย่วเต๋อด้วย ดูว่าหนิวโหย่วเต๋อเสนออะไรให้กันแน่ ถึงแลกการสนับสนุนจากพวกเขาได้ ข้าน้อยไม่เชื่อหรอกว่าหนิวโหย่วเต๋อให้ได้แล้วพวกเราจะให้บ้างไม่ได้ สิ่งที่หนิวโหย่วเต๋อให้พวกเขา อย่างมากพวกเราก็แค่ให้พวกเขาด้วย ถึงขั้นให้มากกว่าแล้วจะเป็นไรไป? 

ทุกคนพยักหน้า อวี่เหวินชวนสีขาวแล้วกล่าวด้วยสีหน้าชื่นชม  เป็นค่าเองที่เลอะเลือน ดี ตกลงตามนี้!  พูดจบก็หยิบระฆังดารามาติดต่อก่วงลิ่งกงทันที

ก่วงลิ่งกงยอมรับการติดต่อจากเขา ถามว่า : จอมพลอวี่เหวินมีธุระอะไร?

อวี่เหวินชวนถาม : ได้ยินว่าท่านอ๋องส่งทัพใหญ่ห้าร้อยล้านเข้ามาปราบกบฏในอาณาเขตทัพใต้เหรอ?

ก่วงลิ่งกง : ก็ตามนั้น ทำไมล่ะ เจ้าไม่พอใจหรือ?

อวี่เหวินชวน : มิบังอาจ!ข้าน้อยแค่อยากจะถามสักหน่อย ไม่ทราบว่าใครกันที่เป็นทัพกบฏ?

ก่วงลิ่งกง : ข้ากับฮ่าวเต๋อฟางเป็นสหายเก่ากัน ใครไม่ฟังคำสั่งฮ่าวเต๋อฟาง คนนั้นก็คือทัพกบฏ!

อวี่เหวินชวน : ข้าจะล้างแค้นให้ท่านอ๋องฮ่าวก็ไม่ได้งั้นหรือ?

ก่วงลิ่งกง : อวี่เหวินชวน เราเองก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เจ้าคิดว่าพูดอ้อมค้อมแบบนี้มีความหมายเหรอ? ควรจะทำอย่างไร ในใจเจ้าก็น่าจะเข้าใจแล้ว!เห็นแก่ไมตรีที่เป็นขุนนางในราชสำนักเดียวกันมาหลายปี อ๋องผู้นี้จะเตือนเจ้าไว้สักคำแล้วกัน จัดการตัวเองให้เหมาะสมเรียบร้อย!

อวี่เหวินชวน : ที่ท่านอ๋องชี้แนะก็ถูกแล้ว เพียงแต่ใจของข้าน้อยรู้สึกไม่ยอม ท่านอ๋องฮ่าวถูกหนิวโหย่วเต๋อบีบให้ตายแท้ๆ ยังจะให้ข้าน้อยทรยศเจ้านายเก่าไปพึ่งพาเขาอีกหรือ ได้ข้าน้อยทนความรู้สึกนี้ได้ยังไง บอกนะว่าในสายตาของท่านอ๋อง อวี่เหวินดูแย่ขนาดนั้นเลย? ถ้าจะพูดถึงคุณสมบัติและประสบการณ์ พูดถึงอำนาจในอาณาเขตทัพใต้ มีจุดไหนที่ข้าสู้หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้บ้าง? หนิวโหย่วเต๋อเป็นแค่เด็กรุ่นหลังคนหนึ่ง ไม่ใช่คนในอาณาเขตสี่ทัพด้วย มีสิทธิ์อะไรปีนขึ้นมาบนโต๊ะของพวกเรา แล้วทำไมพวกท่านอ๋องถึงให้ความสำคัญกับเขาขนาดนี้ ทำไมไม่ยอมให้โอกาสอวี่เหวินสักครั้ง?

ก่วงลิ่งกง : มาพูดเรื่องนี้มีความหมายหรือ?

อวี่เหวินชวนเสนอเงื่อนไขเสียเลย : ท่านอ๋องได้โปรดไตร่ตรอง สิ่งที่หนิวโหย่วเต๋อให้ท่านอ๋องได้ ไทยวาข้าน้อยจะให้ไม่ได้!

ก่วงลิ่งกงได้ยินแล้วชะงักไป เอามือขยี้เคราโดยไม่รู้ตัว คำพูดของอวี่เหวินชวนกำลังเตือนเขา จะว่าไปแล้ว การตายของฮ่าวเต๋อฟางครั้งนี้ทำให้เขาไม่พอใจเหมียวอี้เป็นอย่างมาก กระต่ายตายจิ้งจอกร่ำไห้ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุนั้น อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มก๊วนไหน ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าคนเก่าเหนือกว่าคนใหม่ มิหนำซ้ำการแสดงความสามารถของเหมียวอี้ในครั้งนี้ก็ทำให้เขาตื่นตัวมาก ดังนั้นไม่ว่าจะพูดในแง่ไหน อวี่เหวินชวนก็เหมาะสมจะคุ้มทัพใต้มากกว่าหนิวโหย่วเต๋อ

ถ้าพูดถึงความสามารถ ก่วงลิ่งกงก็ไม่คิดว่าอวี่เหวินชวนจะเทียบหนิวโหย่วเต๋อได้ ความสามารถเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับอายุหรือประสบการณ์ ถ้าให้อวี่เหวินชวนที่ความสามารถแย่กว่าหน่อยขึ้นสู่ตำแหน่ง กลับทำให้เขารู้สึกปลอดภัยกว่าด้วยซ้ำ

ก่วงลิ่งกง : ดี!ข้าจะช่วยเจ้า ส่วนคนอื่นเจ้าไม่ต้องกังวล ขอแค่เจ้าโน้มน้าวให้ตระกูลเซี่ยโห้วสนับสนุนเจ้าได้ ขอเพียงตระกูลเซี่ยโห้วไม่ก่อกวน ข้าจะช่วยพูดกับอ๋องท่านอื่นให้เอง รับรองว่าจะสนับสนุนให้เจ้าขึ้นสู่ตำแหน่ง!

เขาเองก็อึดอัดใจเช่นกันว่าทำไมตระกูลเซี่ยโห้วถึงสนับสนุนหนิวโหย่วเต๋อขนาดนี้ หนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลเซี่ยโห้วปิดเป็นความลับสุดยอด

อวี่เหวินชวนดีใจทันที หลังจากขอบคุณแล้วก็จบการติดต่อ เล่าสถานการณ์ให้บรรดาแม่ทัพฟัง บรรดาแม่ทัพได้ยินแล้วดีใจมาก ขอให้เขารีบติดต่อไปหาตระกูลเซี่ยโห้ ต่างก็บอกว่าอย่างมากก็แค่นำสิ่งมีค่าทั้งหมดที่มีไปเติมเต็มคำขอของตระกูลเซี่ยโห้วสักครั้ง รอให้ในมือมีอำนาจก่อนแล้วค่อยชำระบัญชีย้อนหลังก็ยังไม่สาย

อวี่เหวินชวนย่อมรีบนำระฆังดาราออกมาติดต่อเซี่ยโห้วลิ่ง

ทว่าติดต่อเซี่ยโห้วลิ่งลำบากมาก โมโหจนแทบจะทุบระฆังดาราทิ้งแล้ว

 เซี่ยโห้วลิ่งวางท่าไม่เบา!  สุดท้ายอวี่เหวินชวนก็อดบ่นไม่ได้ บอกกับพวกแม่ทัพว่า  เซี่ยโห้วลิ่งไม่ตอบเลย! 

แม่ทัพอีกคนบอกว่า  ติดต่อเว่ยซูก็เหมือนกันขอรับ 

อวี่เหวินชวนพยักหน้า เปลี่ยนระฆังดาราติดต่อเว่ยซู

ตลาดผี ในตึกศาลาสัตยพรต เว่ยซูที่อยู่ในห้องมืดสลัวหยิบระฆังดาราออกมา แล้วรายงานต่อเฉาหม่านที่กำลังนั่งขัดสมาธิว่า  นายท่าน อวี่เหวินชวนส่งข่าวมาขอรับ! 

เฉาหม่านไม่แม้แต่จะลืมตา เดาจุดประสงค์ของอวี่เหวินชวนออกแล้ว แสยะยิ้มแล้วบอกว่า  เมื่อเทียบกับชะตากรรมของตระกูลเซี่ยโห้ว ความเป็นความตายของเขาแล้วล้วนไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย 

เว่ยซูได้ยินแล้วยิ้มเบาๆ ยิ่งคลุกคลีกับเฉาหม่านมานาน ก็ยิ่งพบว่าพลังอำนาจที่ซ่อนอยู่บนตัวเฉาหม่านไม่ใช่สิ่งที่เซี่ยโห้วลิ่งเทียบติด

เมื่อเข้าใจท่าทีของเฉาหม่านแล้ว เว่ยซูก็เขย่าระฆังดาราถามว่า : ท่านจอมพลอวี่เหวินมีอะไรจะกำชับ?

อวี่เหวินชวน : ไม่ทราบว่าท่านปู่สวรรค์อยู่ที่ไหน?

เว่ยซู : มีอะไรคุยกับข้าก็เหมือนกัน

อวี่เหวินชวนกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเสียเลย : สิ่งที่หนิวโหย่วเต๋อให้พวกเจ้าได้ ข้าก็ให้ได้เหมือนกัน!

เว่ยซูแปลกใจ หรือว่าท่านนี้รู้อะไรมาบ้างแล้ว สามารถให้สิ่งที่พระปีศาจต้องการได้ด้วยเหรอ? จึงอดไม่ได้ที่จะถาม : ในมือท่านจอมพลมีอะไร?

อวี่เหวินชวน : เช่นนั้นก็ต้องถามก่อนว่าหนิวโหย่วเต๋อรับปากจะให้อะไรกับพวกเจ้า ราคาที่เขาเสนอได้ จอมพลผู้นี้จะจ่ายไม่ไหวเชียวหรือ?

เว่ยซูเข้าใจทันที ที่จริงแล้วท่านนี้ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ในใจแอบรู้สึกขำ จึงตอบไปเสียเลยว่า : สิ่งที่หนิวโหย่วเต๋อให้ได้ ท่านจอมพลให้ไม่ได้หรอก!

อวี่เหวินชวน : เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าให้ไม่ได้ ลองเสนอราคามาก่อน จะได้ต่อรองกันได้สะดวก

เว่ยซู : ไม่ต้องแล้ว เจ้าให้ไม่ได้หรอก!

พูดจบก็ตัดขาดการติดต่อทันที

อวี่เหวินชวนโดนปฏิเสธจนทำตัวไม่ถูก พอจะติดต่ออีกครั้งก็ติดต่อไม่ได้แล้ว อีกฝ่ายไม่สนใจเขาเลย ทำสีหน้าพยับเมฆโดยไม่รู้ตัว รสชาติของการขอร้องคนอื่นช่างขื่นขมจริงๆ

สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือก ติดต่อหาโค่วหลิงซวี เถิงเฟยและเฉิงไท่เจ๋ออีกครั้ง หวังว่าพวกเขาจะให้โอกาส การขอร้องไปขอร้องมาแบบนี้ สุดท้ายก็พบว่าปมปัญหาอยู่ที่ตระกูลเซี่ยโห้ว อ๋องท่านอื่นแสดงท่าทีไม่ต่างกับก่วงลิ่งกง ขอแค่เขาสามารถนมหนาวตระกูลเซี่ยโห้วได้ อีกฝ่ายก็จะสนับสนุนเขาแน่นอน!

เขาทำได้เพียงติดต่อเซี่ยโห้วลิ่งกับเว่ยซูซ้ำแล้วซ้ำอีก ทว่าความหวังสุดท้ายก็ได้ถูกทำลายไปแล้ว!

ฝั่งนี้ไม่มีโอกาสแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ตัดใจ สุดท้ายก็ติดต่อหาซ่างกวนชิงโดยตรง กล่าวขอร้องประมุขชิง!

ตำหนักสวรรค์ พระตำหนักอุทยาน หลังจากซ่างกวนชิงรายงานสถานการณ์แล้ว ในตำหนักใหญ่ที่ดูว่างเปล่าก็เงียบไป

ประมุขชิงสีหน้าสุขุมเยือกเย็น แต่ในใจกลับมีคลื่นคลั่งสูงเสียดฟ้า ที่เขาต้องการกำจัดผังก้วน ก็เพราะผังก้วนกับตระกูลเซี่ยโห้วไปสมคบกัน ผลปรากฏว่าพอลองมองย้อนกลับไป ก็พบว่าโดนปั่นหัว ผู้ที่ตระกูลเซี่ยโห้วต้องการจะสนับสนุนจริงๆ ก็คือหนิวโหย่วเต๋อต่างหาก ตอนนี้รอบตัวเขามีไอสังหารลอยขึ้นมาเป็นพักๆ แววตาเย็นเยียบดุร้ายน่าตกใจ เกิดความคิดที่จะสังหารจริงๆ แล้ว!

………………

 

ถึงแม้จะเชื่อถือและศรัทธาในแผนการที่เชื่อมโยงเป็นลูกโซ่ของเหมียวอี้ แต่เหิงอู๋เต้าก็ยังเตือนด้วยความปรารถนาดีว่า  ผู้ตรวจการใหญ่อย่าประเมินศัตรูต่ำไป ระวังไว้มากๆ ดีกว่าขอรับ 

ตอนนี้เขาหวังให้เหมียวอี้ราบรื่นทุกอย่างอยู่แล้ว จะให้แผนพังในช่วงเวลาสำคัญนี้ไม่ได้เด็ดขาด อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตน ถ้าสามารถคุมอาณาเขตทัพใต้ได้จริง เหมียวอี้ก็ต้องให้ผลประโยชน์กับเขาไม่น้อยแน่นอน คาดว่าอย่างต่ำที่สุดต้องได้ตำแหน่งเทพประจำดาว

เหมียวอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ  พวกเขาก็แค่เฝ้าดูมาตั้งแต่แรกแล้ว รอให้ทหารของฮ่าวเต๋อฟางรบแพ้แล้วค่อยลงมือ ไม่คิดว่าสายไปหน่อยหรือ? ข้ารอไม่ไหวที่จะปะทะกับทัพใหญ่ของพวกเขาแล้ว! 

เหิงอู๋เต้าเอามือลูบเคราพร้อมกล่าวอย่างลังเล  ผู้ตรวจการใหญ่ ยังต้องป้องกันกองทัพองครักษ์ด้วย ในอาณาเขตทัพใต้ยังมีกองทัพองครักษ์จ้องจะเขมือบอยู่ไม่น้อย สามารถลงมือได้ทุกเมื่อ 

เหมียวอี้ปรายตามอง  กองทัพองครักษ์มีสิทธิ์อะไรมาลงมือกับข้าล่ะ? ประมุขชิงออกคำสั่งให้ข้าปราบกบฏผังก้วน ข้าก็ปราบกบฏตามบัญชาแล้ว ฮ่าวเต๋อฟางปลิดชีพตัวเองทิ้ง ข้าไม่ได้เป็นคนสังหารเขาเสียหน่อย ประมุขชิงจะอ้างเหตุผลอะไรมาสู้กับข้าล่ะ? ข้าทำตามบัญชาแล้วผิดด้วยหรือ? 

 …  เหิงอู๋เต้าพูดไม่ออกไปชั่วขณะ คิดไปคิดมาก็พบว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีความมั่นใจว่าจะยัดข้อหาเพื่อโจมตีฝั่งนี้ได้ เกรงว่าประมุขชิงคงไม่กล้าหาข้ออ้างซี้ซั้ว คาดว่าคงยืมมือกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนมาดู ถ้าผู้ตรวจการใหญ่รบแพ้ ประมุขชิงจะต้องนำเรื่องที่ผู้ตรวจการใหญ่โจมตีกำลังพลของฮ่าวเต๋อฟางตรงทางผ่านน่านฟ้าชวดอู้ไปน่านฟ้าขาลกุ่ยมาเป็นข้ออ้างเอาเรื่องแน่นอน ส่วนผู้ตรวจการใหญ่ก็สามารถอ้างได้ว่า การศึกมิหน่ายเล่ห์ วางอุบายเพื่อให้ได้รับความเชื่อใจจากผังก้วน สรุปก็คือในศึกนี้ ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะ ฝ่ายนั้นก็ล้วนมีเหตุผลที่ฟังขึ้น

เหมียวอี้กำชับว่า  เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ยังต้องเตรียมตัวเผื่อทัพใหญ่โจมตีด้วย! 

 รับทราบ!  เหิงอู๋เต้าเอ่ยรับคำสั่งแล้วถอยออกไป

เหมียวอี้ไตร่ตรองเล็กน้อย จากนั้นหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อโค่วหลิงซวี

โค่วหลิงซวีที่ยืนอยู่หน้าแผนที่ดาวหยิบระฆังดาราขึ้นมา เขามองโค่วเจิง แล้วก็มองถังเฮ่อเหนียน แสยะยิ้มบอกว่า  หนิวโหย่วเต๋อส่งข้อความมา 

 เกรงว่าคงไม่ได้มีเจตนาดี  โค่วเจิงกล่าว

ถังเฮ่อเหนียนถอนหายใจ  เกรงว่าคงพุ่งเป้ามาที่อาณาเขตทัพใต้ ในเมื่อเขาพูดออกมาตรงๆแล้วว่าต้องการอาณาเขตทัพใต้ ตอนนี้ก็คงอยากได้รับการสนับสนุนจากท่านอ๋อง! 

 หึ!  โค่วหลิงซวีทำเสียงฮึดฮัด แล้วค่อยเขย่าระฆังดาราตอบว่า : โหย่วเต๋อ ได้ยินว่าฝั่งเจ้าเคลื่อนไหวใหญ่โตเชียวนะ!

เหมียวอี้ : ทำให้ท่านพ่อบุญธรรมตื่นตระหนกแล้ว ไม่สมควรเลยจริงๆ แต่ข้าก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ตอนนี้อยากจะขอให้ท่านพ่อบุญธรรมช่วยอีกแรง ช่วยข้าปราบกบฏในทัพใต้ คืนความสงบสุขให้ปวงชนในอาณาเขตทัพใต้!

โค่วหลิงซวีรู้อยู่แก่ใจแต่ยังถาม : ฮ่าวเต๋อฟางกับผังก้วนก็อยู่ในมือเจ้าแล้ว ยังมีกบฏอะไรอีก?

เหมียวอี้ : ก่อนหน้านี้กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนนิ่งดูดาย เห็นอ๋องสวรรค์ฮ่าวถูกล้อมแล้วไม่ยอมช่วย ตอนนี้ทำท่าจะโจมตีข้าอีก ต้องการระดมพลโจมตีทัพใหญ่แดนรัตติกาลของข้า เปิดเผยเจตนาไม่ซื่อให้เห็นหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าอย่างจะเอาเยี่ยงอย่างเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ ท่านพ่อบุญธรรมจะนิ่งดูดายได้อย่างไร?

โค่วหลิงซวี : นี่เป็นเรื่องของทัพใต้ ไม่เกี่ยวกับข้า ถ้าไม่ได้รับบัญชาจากฝ่าบาท ทัพเหนือก็ไม่สะดวกจะเคลื่อนไหวเช่นกัน

แค่ได้ฟังก็รู้แล้วว่าปฏิเสธ เหมียวอี้ขี้คร้านจะอ้อมค้อมเช่นกัน : ท่านพ่อบุญธรรม เรื่องบางเรื่องทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ ข้าว่าไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมอีก

ในเมื่อเขาเปิดเผยชัดเจนแล้ว โค่วหลิงซวีก็ไม่เกรงใจเช่นกัน : ทำไมอ๋องผู้นี้ต้องช่วยเจ้า? เจ้าจะให้ผลประโยชน์อะไรข้าได้? ตัวเองก่อเรื่องเอง ก็หาทางเช็ดก้นตัวเองให้สะอาดแล้วกัน!

ตัวเขาในเวลานี้ เรียกได้ว่าไม่พอใจเหมียวอี้ถึงขีดสุด ก่อนหน้านี้ยังไม่เข้าใจเรื่องราว แต่ตอนนี้ลองมองย้อนกลับไป ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเหมียวอี้ที่วางแผนเสี้ยมให้ผังก้วนเล่นไม่ซื่อกับฮ่าวเต๋อฟาง ส่วนทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็เป็นคนตกปลาที่มาคอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์หลังจากดูนกกับหอยทะเลาะกัน เท่ากับว่าฮ่าวเต๋อฟางถูกเหมียวอี้บีบให้ตาย แม้เขากลับฮ่าวเต๋อฟางจะไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับเท่าไหร่ แต่ก็รู้จักและคบหากันมาหลายปี กระต่ายสิ้นใจ จิ้งจอกร่ำไห้คือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้

เหมียวอี้ : ข้าไม่มีผลประโยชน์อะไรจะให้ท่านอ๋องหรอก แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อาณาเขตทัพใต้นี้ ถ้าไม่ใช่ของข้าแล้วจะเป็นของใครได้?

โค่วหลิงซวี : พูดจาโอ้อวดกินตัว!เช่นนั้นเจ้ามาขอร้องข้าทำไม?

เหมียวอี้ : ความรู้สึกของท่านอ๋องตอนนี้ ข้าพอจะเข้าใจได้ แต่ท่านอ๋องเข้าใจความรู้สึกของข้าหรือเปล่า? ในปีนั้นที่กำลังพลสี่ทัพจะร่วมมือกันกำจัดทัพใหญ่แดนรัตติกาล คาดว่าท่านอ๋องคงยังจำได้ ส่วนข้านั้นจำได้ชัดเจน ตอนนั้นจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลวิกฤตเหมือนไข่ที่กองซ้อนกัน แต่ข้าเคยพูดอะไรหรือเปล่าล่ะ? ข้าเคยโทษใครไหม? ข้าเคยกล่าวโทษท่านพ่อบุญธรรมไหม? ใครจะรับประกันได้ว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดกับข้าอีก? จะให้ข้านั่งรอความตายเหรอ ในเมื่อมีโอกาสเอาชีวิตรอด มีหรือที่ข้าจะพลาด? อย่าบอกนะว่ามีคนตั้งกฎไว้ ว่าคนอื่นกำจัดข้าได้ แต่ข้ากำจัดคนอื่นไม่ได้? ไม่มีหลักการแบบนี้อยู่หรอก!ไม่ว่าตอนนี้ท่านอ๋องจะมองข้าอย่างไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนอยู่แล้ว ขอเพียงท่านอ๋องใจเย็นแล้วค่อยๆ คิด ก็น่าจะเข้าใจ ว่าต่อให้ข้าไม่ขอร้องท่านอ๋อง ท่านอ๋องก็ต้องช่วยข้าอยู่ดี!

โค่วหลิงซวี : ในเมื่ออยากจะไต่เต้าถึงตำแหน่งนี้ ก็ต้องเข้าใจกติกา พร่ำบ่นมากไปก็ไร้ประโยชน์ ก็อย่างที่บอก ถ้าไม่เสนอผลประโยชน์มา ข้าจะอาศัยอะไรมาช่วยเจ้า? ช่วยกงเชียนชิวไม่ดีกว่าเหรอ? ช่วยอวี่เหวินชวนก็ได้เช่นกัน ในสองคนนั้น แค่ลองสุ่มเลือกมาสักคนก็มีกำลังพลที่มั่นคงเชื่อถือได้กว่าทัพใต้ของเจ้าตอนนี้แล้ว ไม่ว่าจะช่วยฝ่ายไหนก็เปลืองแรงน้อยกว่าช่วยเจ้าทั้งนั้น ใครกำหนดกติกาล่ะว่าข้าต้องช่วยเจ้า?

เหมียวอี้ : เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าท่านอ๋องยังคิดว่าตระกูลเซี่ยโห้วสนับสนุนผังก้วน?

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา โค่วหลิงซวีก็สะอึกจนพูดไม่ออก

เหมียวอี้พูดต่อว่า : ต่อให้ท่านอ๋องอยากจะช่วยพวกเขา แต่ก็ต้องพิจารณาสักหน่อยว่าจะดึงกำลังพลออกมาได้อย่างราบรื่นหรือเปล่า อย่าบอกนะว่าท่านอ๋องไม่กลัวว่าใต้บังคับบัญชาตัวเองจะเกิดเหตุการณ์อย่างเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อหรือว่าผังก้วนอีก? ถ้าไม่ใช่เพราะพวกท่านอ๋องมัววุ่นวายอยู่กับเรื่องของตัวเอง ฮ่าวเต๋อฟางจะมีจุดจบอย่างนี้ได้อย่างไร? ถ้าไม่มีความกังวลนี้จริงๆ เกรงว่าพวกท่านอ๋องคงส่งกำลังพลมาช่วยนานแล้ว!ต่อให้พวกเขาสองคนได้ครองอาณาเขตทัพใต้แล้วยังไงล่ะ มีตระกูลเซี่ยโห้วคอยเป็นอุปสรรคขัดขวางอยู่ ท่านอ๋องคิดว่าภายในเวลาสั้นๆ นี้อาณาเขตทัพใต้จะสงบลงได้หรือ? พวกท่านอ๋องกล้ายึดครองอาณาเขตทัพใต้เพื่อขยายอำนาจให้ตัวเองหรือเปล่าล่ะ? ประมุขชิงจะตอบตกลงไหม? ถ้าในอาณาเขตทัพใต้ไม่สงบ ความร่วมมือของสี่ทัพก็เหมือนขาขาดไปข้างหนึ่ง โต๊ะที่ขาขาดไปข้างหนึ่ง หน้าโต๊ะก็ไม่มั่นคงแล้ว แค่ออกแรงนิดเดียวก็กดให้พังทลายได้ แบบนั้นมีประโยชน์กับท่านอ๋องเหรอ? แต่ถ้าเปลี่ยนให้ข้ามานั่งตำแหน่งที่อาณาเขตทัพใต้ สถานการณ์ก็จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแล้ว

ตระกูลเซี่ยโห้วจะระงับความวุ่นวายภายในเขตของท่านอ๋องทันที คืนความสงบสุขให้อาณาเขตทัพใต้ ทำให้ท่านอ๋องระดมพลมาช่วยข้าได้อย่างสบายใจ มีตระกูลเซี่ยโห้วคอยช่วยอีก ข้าก็สามารถทำให้ความขัดแย้งในอาณาเขตทัพใต้สงบลงได้เร็วเช่นกัน ทำให้อำนาจของทัพใต้มันคง แล้วค่อยช่วยท่านอ๋องคุมสถานการณ์ภาพรวมให้สงบ แบบนี้ไม่ถือว่าให้ผลประโยชน์กับท่านอ๋องหรอกหรือ? ยังมีสิ่งหนึ่ง ทัพตะวันออกถูกแบ่งโดยประมุขชิงแล้ว กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนมีกำลังสูสีกัน กินกันลำบาก ถ้าปล่อยให้พวกเขาคุมสถานการณ์ของทัพใต้ พวกเขาก็มีแต่จะเอาเยี่ยงอย่างเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ แผนแบ่งทัพใต้ของประมุขชิงก็จะสำเร็จแน่ นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ประมุขชิงคาดหวัง!อำนาจของทัพตะวันออกถูกประมุขชิงตัดแบ่งเป็นสองส่วนแล้ว ถ้าปล่อยให้ประมุขชิงแบ่งทัพใต้อีก การที่ประมุขชิงทำสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ ต่อให้ท่านอ๋องจะไม่พิจารณาผลที่ตามมา แต่เกรงว่าคนใต้บังคับบัญชาของท่านอ๋องคงอดไม่ได้ที่จะไตร่ตรอง!แต่ถ้าข้าควบคุมทัพใต้ไว้คนเดียว ผลก็จะแตกต่างกันแล้ว แบบนี้ไม่ถือว่ามีประโยชน์ต่อท่านอ๋องหลอกหรือ? ท่านอ๋องไม่ใช่คนที่มองเห็นแค่สิ่งตรงหน้า ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนเป็นคนไร้วิสัยทัศน์แล้วล่ะ?

โค่วหลิงซวีหลับตาลงช้าๆ ขบกรามแน่น เพิ่มสีหน้าดุร้าย แล้วทันใดนั้นก็ชกบนแผนที่ดาวอย่างแรง แล้วด่าว่า  คนจัญไรน่ารังเกียจ! 

โค่วเจิงกับถังเฮ่อเหนียนมองหน้ากันเลิกลั่ก

ผ่านไปไม่นาน ก่วงลิ่งกงก็ได้รับการติดต่อจากเหมียวอี้ผ่านระฆังดารา

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว ก่วงลิ่งกงก็ถอยออกจากแผนที่ดาวอย่างช้าๆ นั่งลงบนเก้าอี้ตัวนึง โกรธจนหน้าเขียวหน้าดำ

โกวเยว่กาวขึ้นมาถามว่า  ท่านอ๋อง หนิวโหย่วเต๋อหมายความว่ายังไงครับ? 

ก่วงลิ่งกงพ่นลมหายใจช้าๆ อย่างกลัดกลุ้ม แล้วกล่าวดูความทึ่ง  พอมาดูตอนนี้ หนิวโหย่วเต๋อวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ ย้อนกลับไปมองสถานการณ์ที่เขาวางไว้ ก็ชัดเจนแจ่มแจ้งมากแล้ว อุบายห่วงสัมพันธ์ที่วางไว้ทีละก้าว แต่ละก้าวที่น่าตระหนกตกใจจริงๆ เจ้าเวรนี่แผนการล้ำลึก น่าขนลุกยิ่งนัก ไม่น่าเชื่อว่าจะฮุบทั้งอาณาเขตทัพใต้โดยไม่เปลืองแรงสักนิด ใครจะไปคาดคิดล่ะ? ก่อนหน้านี้ใครจะไปคิดว่ากำลังพลเล็กน้อยเท่านั้นจะสามารถกลืนทั้งอาณาเขตทัพใต้ได้? ไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าอย่างมากเขาก็กลืนได้แค่อาณาเขตสายเดียว ทุกคนถูกเขาหลอกอย่างง่ายดาย!ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมีอุบายขนาดนี้ เดิมทีข้าคิดว่าตัวเองประเมินเขาสูงแล้ว ตอนนี้ถึงได้พบว่ายังประเมินเขาต่ำเกินไป! 

โกวเยว่ยังอยากจะถามอีก แต่ก่วงลิ่งกงกลับยกมือห้าม แล้วหยิบระฆังดาราอีกอันออกมาติดต่อโค่วหลิงซวี

หลังจากติดต่อได้แล้ว ก่วงลิ่งกงก็ถอนหายใจยาว  ทุกฝ่ายถูกเขาดึงเข้ามาเกี่ยวข้องในสถานการณ์นี้แล้ว หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดนหนิวจัญไรเล่นงานสำเร็จแล้ว! 

ในตำหนักประชุมของจวนจอมพลสายเถาะ

หลังจากติดต่อโค่วหลิงซวี ก่วงลิ่งกง เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็ติดต่อเฉาหม่านอีก เสร็จแล้วถึงได้เก็บระฆังดารา แล้วเรียกชิงเยว่มาสั่งงาน  แจ้งไปที่กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวน สั่งให้พวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งทหารของฮ่าวเต๋อฟาง มายอมแพ้ต่อข้าเดี๋ยวนี้ ถ้ายอมแพ้จะได้อยู่ในตำแหน่งเดิมยศเดิม ใครต่อต้าน ฆ่าไม่ละเว้น!พยายามหาทางประกาศคำสั่งนี้ให้รู้ทั้งกองทัพของสายมะโรงกับสายมะเส็งด้วย! 

 รับทราบ!  ชิงเยว่เอ่ยรับคำสั่ง

เหมียวอี้บอกอีกว่า  ถ่ายทอดคำสั่งไปให้กำลังพลทั้งหมดของผังก้วนรวมทั้งกำลังพลที่รอดชีวิตของฮ่าวเต๋อฟาง ให้โจมตีก่อกวนกำลังพลของกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนให้สุดกำลัง แล้วคอยเตรียมตัวรับทหารที่ยอมแพ้ของสายมะโรงกับสายมะเส็งด้วย พร้อมทั้งระดมทัพใหญ่แดนรัตติกาลสามสิบล้านนายไปเฝ้าจุดยุทธศาสตร์ เตรียมตัวทำศึกตัดสิน!  พูดจบก็โบกมือ

 รับทราบ!  ชิงเยว่เอ่ยรับคำสั่งแล้วไปปฏิบัติ

ตลาดผี ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านที่เก็บระฆังดารากัดฟันอีกครั้ง  เจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนไร้ที่เปรียบ ใช้วิธีการที่คาดคิดไม่ถึง ในอนาคตจะต้องเป็นภัยแน่นอน หลังจากจบเรื่องจะต้องกำจัดทิ้ง!  จากนั้นก็หันมาบอกเว่ยซูอีกว่า  บอกพวกพี่น้องของข้า ให้ระงับความวุ่นวายภายในทัพตะวันออก ทัพตะวันตกกับทัพเหนือ กำลังพลที่แฝงตัวอยู่ในอาณาเขตทัพใต้ก่อนหน้านี้ปรากฏตัวได้แล้ว ให้พวกเขาประกาศว่าจะไปพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อ!แล้วก็ให้สมาชิกที่อยู่ตามสำนักต่างๆ โน้มน้าวศิษย์ที่อยู่ในบังคับบัญชากงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนไปพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อ จัดการตามนี้! 

 ขอรับ!  เว่ยซูเอ่ยรับแล้วปฏิบัติตามคำสั่ง

ในดาราจักร กงเชียนชิวนำกำลังพลเร่งเดินทาง หยิบระฆังดาราออกมาฝั่งคำสั่งทัพใหญ่แดนรัตติกาล อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม แล้วพูดกับคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาว่า  หนิวโหย่วเต๋อไร้เดียงสาเกินไปแล้ว ท่านอ๋องตายแล้ว ยังคิดจะให้ข้าไปสวามิภักดิ์ต่อเขาตามคำสั่งท่านอ๋องเหรอ ช่างเป็นเรื่องที่น่าขำจริงๆ ไม่รู้เหรอว่าข้าจะนำทัพใหญ่ไปล้างแค้นให้ท่านอ๋อง? 

แม่ทัพที่อยู่ข้างๆ หัวเราะตาม บางคนถือระฆังดาราในมือเช่นกัน แล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาก  ท่านจอมพล เกิดเรื่องใหญ่แล้ว อ๋องสวรรค์โค่วประกาศต่อใต้หล้าอย่างเป็นทางการ เขาออกคำสั่งระดมกำลังพลทัพเหนือห้าร้อยล้านแล้ว เคลื่อนทัพมาในอาณาเขตทัพใต้ ประกาศว่าถ้าไม่ทำตามคำสั่งอ๋องสวรรค์ฮ่าวจะถือว่าเป็นทัพกบฏ ปราบให้หมด!พร้อมทั้งปิดทางไปมาระหว่างทัพใต้และทัพเหนือให้หมด บอกว่าไม่ให้โจรกบฏหนีออกจากอาณาเขตทัพใต้! 

ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ ก็มีแม่ทัพอีกคนเก็บระฆังดาราแล้วถามอย่างลังเลว่า  ท่านจอมพล อ๋องสวรรค์ก่วงก็ประกาศต่อใต้หล้าเหมือนกัน ระดมทัพตะวันตกห้าร้อยล้าน เหตุผลเหมือนอ๋องสวรรค์โค่วเลย! 

 ท่านจอมพล เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อประกาศต่อใต้หล้าว่าร่วมกันระดมกำลังพลห้าร้อยล้าน จะไปปราบทัพกบฏในอาณาเขตทัพใต้ ให้เหตุผลเหมือนกับสองคนก่อนหน้านี้เลย! 

……………

 

 พูดจาฟังดูดี แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เหรอ เจ้าเป็นคนดีอะไรกันล่ะ? โจรชั่วปลิ้นปล้อน ต้องไม่ตายดีแน่!  ผังก้วนกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธจัด

เหมียวอี้จึงบอกว่า  ตอนนี้ข้าชนะแล้ว ส่วนเจ้าก็เป็นคนแพ้ เจ้าไม่มีอนาคตแล้ว แต่กลับห่วงศักดิ์ศรีหน้าตาของตัวเองโดยไม่สนใจความเป็นความตายของครอบครัวกับลูกน้อง!มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องเข้าใจให้ชัดเจน ตอนนี้เจ้ามีสิทธิ์แค่ขอร้องข้า ไม่ใช่ข้าขอร้องเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าเสี้ยวเสี้ยว ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่การเต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ข้าจำเป็นต้องเปลืองคำพูดกับเจ้าด้วยเหรอ? 

 ฮ่าๆ!  ผังก้วนเงยหน้าหัวเราะลั่น ชี้เหมียวอี้พลางตะคอก  ช่างเป็นเรื่องน่าขำที่สุดในโลก เจ้าอยากจะให้กำลังพลของข้าช่วยคุมอาณาเขตทัพใต้ให้เจ้าแท้ๆ เป็นโสเภณีแต่อยากจะสร้างป้ายสรรเสริญให้ตัวเองสินะ ตอหลดตอแหล ข้ามันตาบอดจริงๆ ที่ยกลูกสาวให้แต่งงานกับวิญญูชนจอมปลอมอย่างเจ้า! 

เหมียวอี้พยักหน้า  ด่าได้ดี!ตอนนี้เจ้าตั้งใจฟังข้าให้ดีนะ ถ้ากำลังพลของเจ้ายอมแพ้ให้ข้า ข้าก็ให้สัญญาตรงนี้ได้เลย รับรองว่าพวกเขาจะได้อยู่ตำแหน่งเดิม รับรองความปลอดภัยของทุกคนในตระกูลผังด้วย ทุกคนในตระกูลผังจะไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ แต่ถ้าไม่ยอมแพ้ ก็ต้องทำตามบัญชาสวรรค์ พวกเจ้าจะถูกมองเป็นโจรกบฏ ฆ่าไม่ละเว้น!ข้าจะให้เวลาเจ้าไตร่ตรองสักพักแล้วกัน! 

จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังต่อว่า  แม่ทัพทุกคนฟังคำสั่ง หลังจากนี้ครึ่งชั่วยาม ถ้าทัพกบฏไม่ยอมแพ้ ฆ่าไม่ละเว้น แม้แต่ไก่หรือสุนัขก็อย่าให้เหลือ! 

 รับทราบ!  บรรดาแม่ทัพเอ่ยรับคำสั่งเสียงดัง

 ไม่นะ ขอร้องล่ะ อย่านะ!  เหมือนได้ยินว่าจะฆ่าให้หมด ไม่เหลือไว้แม้แต่ไก่หรือสุนัข ผังเสี้ยวเสี้ยวก็ดึงแขนขอร้องเหมียวอี้สุดชีวิต

เหมียวอี้จ้องนาง  แต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข เจ้าแต่งเข้าประตูบ้านข้าแล้ว ก็เป็นคนในครอบครัวข้า เสี้ยวเสี้ยว เรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ข้าไม่มีทางเลือก เจ้าก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่เดินมาถึงทุกวันนี้ มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องจำไว้ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้หญิงของข้าแล้ว!  พูดจบก็ฝืนจับตัวนางให้หันตัวออกไป ไม่สนใจว่านางจะร้องไห้ดิ้นรนอย่างปวดใจ ถอยกลับเข้ามาซ่อนในการคุ้มครองของทัพใหญ่ด้วยกัน

ผู้หญิงฝั่งตระกูลผังมีไม่น้อยที่แอบร้องไห้ ไม่มีใครคาดคิดว่าจู่ๆ ตัวเองจะได้เผชิญหน้ากับวิกฤติความเป็นความตาย มีคนมากมายกำลังจ้องผังก้วน ต่างก็รู้ว่าความเป็นความตายของคนในครอบครัวล้วนขึ้นอยู่กับความคิดเพียงชั่วแวบเดียวของผังก้วน

ผังก้วนจ้องเงาหลังของเหมียวอี้อย่างเดือดดาล แล้วจู่ๆ ก็หันกลับไปมองกลุ่มอนุภรรยา ลูกชายลูกสาวก็อยู่ด้วย

แล้วก็มองลูกน้องที่อยู่รอบๆ อีก พบว่ากำลังพลของตัวเองพากันเงียบเป็นแถบๆ มีคนไม่น้อยก้มหน้า บ้างก็เงียบไป จิตวิญญาณการต่อสู้ไม่มีแล้ว เขาใจสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ แอบด่าว่าไอ้หนิวจัญไรเจ้าเล่ห์ แค่บอกคำเดียวว่าจะปกป้องทุกคนของตระกูลผัง รับประกันตำแหน่งเดินของลูกน้อง ก็เท่ากับตัดทางหนีทีไล่ของเขาแล้ว

ไม่รู้ว่าถ้าออกคำสั่งอีกจะเหลือกำลังพลอีกเท่าไรที่เชื่อฟังคำสั่งเขา

ส่วนเหมียวอี้ที่กลับเข้ามาในทัพกลางก็เหมือนเลือดเย็นไร้หัวใจ จ้องมาทางฝั่งนี้อย่างเยียบเย็น ส่วนผังเสี้ยวเสี้ยวก็ถูกควบคุมพลังและเก็บไว้ในกระเป๋าสัตว์แล้ว

ไม่ต้องให้ผังเสี้ยวเสี้ยวทำอะไรอีก ถ้าก่อนหน้านี้ฮ่าวเต๋อฟางไม่ได้ปลิดชีพตัวเองเพื่อปกป้องลูกน้อง เกรงว่าคงต้องใช้อุบายบนตัวผังเสี้ยวเสี้ยวสักหน่อย แต่ตอนนี้มีฮ่าวเต๋อฟางทำเป็นตัวอย่างแล้ว นอกจากยอมแพ้ผังก้วนก็ไม่มีทางเลือกอื่น ไม่อย่างนั้นเมื่อเทียบกับฮ่าวเต๋อฟาง เขาก็จะดูเป็นคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จะซื้อใจลูกน้องกลับมาได้เหรอ?

 นายท่าน ช่างเถอะค่ะ!  จู่ๆ จาหรูเยี่ยนก็ตะโกนออกมา

หลังจากเสียงนี้ดังขึ้น เสียงร้องไห้ของผู้หญิงในตระกูลผังก็ดังขึ้นเป็นระลอก ราวกับมีดแทงหัวใจผังก้วน

ฮ่าวเต๋อฟางไม่อยากให้บรรดาภรรยาได้รับความอัปยศ มีหรือที่เขาจะยอมให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ถ้าออกคำสั่งให้สู้ตาย เกรงว่าคงต้องสั่งฆ่าอนุภรรยากลุ่มนี้ก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าตกอยู่ในมือกองทัพฝ่ายศัตรู ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนขี้ขลาดทำให้เขาเสียศักดิ์ศรีจนหมดสิ้น

ที่สำคัญที่สุดก็คือ นี่คือกับดักที่หนิวโหย่วเต๋อวางไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้กำลังพลที่อยู่ตรงหน้าเขาต้านการโจมตีของทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่ไหวเลย ไม่มีทางยืนหยัดรอการมาถึงของกองหนุน ไม่อย่างนั้นก็ต้องสู้ตายกันอีกยก

ผังจื่อฉางกับผังจื่อลู่ก้มหน้าเงียบๆ ต่างก็เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าต่อต้านไปเผชิญหน้ากับทัพใหญ่แดนรัตติกาล ก็จะตายสถานเดียว

สุดท้ายเฉินหวยจิ่วก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า  นายท่าน ทหารเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ไม่มีแรงรบอีกแล้ว ยอมแพ้เถอะขอรับ! 

เขาเข้าใจชัดเจน ว่าไม่ใช่เพราะนายท่านไม่เข้าใจ แต่เป็นเพราะเสียหน้าไม่ได้ จำเป็นต้องมีคนหาบันไดลงให้นายท่าน

ผลสุดท้ายก็เป็นไปตามความคาดหมายของเหมียวอี้ ผังก้วนไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงยอมแพ้ ทั้งยังออกคำสั่งไปให้กำลังพลสายต่างๆ ที่อยู่ไกล ให้ยอมแพ้ต่อทัพใหญ่แดนรัตติกาล!

ทัพใหญ่แดนรัตติกาลรีบรับช่วงต่อกำลังพลตระกูลผังและกำลังพลตระกูลฮ่าวที่เหลือรอด เรื่องนี้ย่อมมีเบื้องล่างรับผิดชอบอยู่แล้ว ส่วนทุกคนของตระกูลผังก็ย่อมถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ไว้ แล้วคุมตัวกลับจวนจอมพล ทั้งหมดถูกขังอยู่ในเรือนด้านในที่มีกำลังพลจำนวนมากเฝ้าอยู่

การเข่นฆ่าอันโหดร้ายที่น่านฟ้าขาลกุ่ยจบลงอย่างนี้แล้ว กำลังพลเริ่มเก็บกวาดสนามรบ

ผู้ติดตามคุ้มครองแขกในงานแต่งงานเห็นฉากนี้อยู่ไกลๆ แต่ละคนพากันตกตะลึงอ้าปากค้าง นึกไม่ถึงว่าวุ่นวายอยู่ตั้งนานแล้วจะมีผลลัพธ์เป็นอย่างนี้

สำหรับผังเสี้ยวเสี้ยว ใต้หล้านี้จะเป็นของใครก็ไม่สำคัญ ใครจะแพ้หรือใครจะชนะก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือปกป้องความปลอดภัยให้คนในครอบครัวของตัวเองได้แล้ว นางดีใจจนน้ำตาไหล พอได้รับอนุญาตจากเหมียวอี้ นางก็ยกกระโปรงวิ่งเข้าไปในเรือนของตระกูลผัง พุ่งเข้าไปกอดมารดาที่อยู่ท่ามกลางคนในครอบครัวแล้วร้องไห้ด้วยกัน

เมื่อเกียรติยศความร่ำรวยหายไปหมด ถึงได้เห็นว่าใครคือครอบครัวที่แท้จริง

ผังก้วนที่ยืนอยู่ใต้ชายคาเงยหน้าหลับตาลง มือข้างหนึ่งจับเสา น้ำตาสองสายไหลอาบใบหน้าชรา

ผังอวี้เหนียงเดินมาข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ นางเงยหน้ามองฟ้าที่สดใส แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา  ฉลาดปราดเปรื่องเรื่องวางอุบายเกินไป ทว่ากลับวางอุบายจนตัวเองเกือบเอาชีวิตไม่รอด! 

ประโยคเดียวแสดงความรู้สึกทั้งรักทั้งแค้นที่ตัวเองมีต่อบิดาออกมาจนหมด เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มีหรือที่นางจะไม่รู้ว่าเรื่องที่ตัวเองถูกล่วงเกินในงานชุมนุมตระการตาคืออะไร มีหรือที่จะไม่รู้ว่าตัวเองแต่งงานกับหวังลั่วหมายความว่าอะไร หลังจากผ่านเรื่องนี้ นับว่าทั้งชีวิตของนางถูกทำลายด้วยน้ำมือบิดาแล้ว เลิกคิดไปได้เลยว่าชาตินี้จะได้แต่งงานเหมือนคนปกติอีก ในใจนางจะไม่แค้นได้อย่างไร?

ผังก้วนก้มหน้าลงช้าๆ ชั่วพริบตานี้เหมือนจะแก่ชราลงแล้วไม่น้อย

ตั้งแต่นี้ไป ตัวเองไม่ใช่จอมพลสายเถาะที่มีตำแหน่งสูงมากอำนาจอะไรอีกแล้ว หนิวโหย่วเต๋อรับประกันให้ลูกน้องได้อยู่ในตำแหน่งเดิม แต่กลับรับประกันให้เขาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าทำให้สมปรารถนาทั้งสองฝ่าย เขาก็สามารถโบกมือบัญชาการกำลังพลได้ทุกเมื่อ เกรงว่าถ้าทำแบบนั้นหนิวโหย่วเต๋อคงไม่เป็นอันกินอันนอน มิหนำซ้ำประมุขชิงก็ระบุอย่างเปิดเผยว่าเขาเป็นโจรกบฏ ถ้าเขาไม่ลงจากตำแหน่ง หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่มีทางชี้แจงต่อตำหนักสวรรค์ได้เช่นกัน!

สำหรับคำพูดของลูกสาว เขาฟังเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน แต่กลับเถียงไม่ออกแม้สักประโยคเดียว ตอนนี้ในมือเขาไม่มีอำนาจที่จะกำหนดความเป็นความตายของใครได้แล้ว อำนาจที่ต่อสู้มาทั้งชีวิตถูกหนิวโหย่วเต๋อปล้นไปหมดภายในรวดเดียว!

ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง ผังอวี้เหนียงถึงได้กล้าพูดอย่างนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นยามปกติ มีหรือที่นางจะกล้าพูดอย่างนี้ต่อหน้าบิดา

ตอนนี้เฉินหวยจิ่วไม่ได้อยู่ที่นี่ หลังจากผังก้วนสั่งให้ลูกน้องยอมแพ้ กำลังพลสายต่างๆ ที่อยู่ไกลก็ยังต้องมีคนกลางคอยติดต่อ เฉินหวยจิ่วยอมเป็นตัวเลือกเดียวที่จะทำหน้าที่นี้

ในคฤหาสน์ที่รับแขก แขกผู้มีเกียรติกลุ่มหนึ่งถูกล้อมไว้ ตอนนี้ราวกับผึ้งแตกรัง คิดไม่ถึง ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะหักมุมขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าฮ่าวเต๋อฟางกับผังก้วนจะเสร็จหนิวโหย่วเต๋อ

 หึหึ!สนามรบหลักของฮ่าวเต๋อฟางกับผังก้วน ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกกองหนุนพี่เพิ่งลงสนามจัดการไปพร้อมกันแล้ว หลักการนี้จะไปพูดที่ไหนได้? 

 โอ้สวรรค์ ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเป็นลูกเขยของผังก้วน! 

 ลูกเขยคนนี้พอโผล่หน้ามาก็จัดการพ่อตาได้เลย เด็กดี ใช้ได้จริงๆ! 

 แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าวีรบุรุษชั่วช้า คนใจอ่อนอย่างพวกเรากลับถูกมองว่าไร้ความสามารถ ทําได้เพียงใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาไปวันๆ โถ่เอ๊ยค่านิยมของโลกนี้! 

เมื่อได้ยินคำวิจารณ์ต่างๆ เกี่ยวกับเหมียวอี้ หวงฝู่จวินโหรวกับก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็ตกตะลึงจนบรรยายไม่ออก ลมคาวฝนเลือดกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่งบนสนามรบไม่ใช่สิ่งที่พวกนางสามารถตามทันได้ จู่ๆ ได้ยินข่าวที่อัศจรรย์เหลือเชื่อเช่นนี้ ผู้ชายที่พวกนางคุ้นเคยแต่กลับปลุกปั่นสถานการณ์ให้เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง สำหรับพวกนางตอนนี้ เขาได้เปลี่ยนคนที่ห่างไกลไปแล้ว เปลี่ยนเป็นคนแปลกหน้า ถึงขั้นทำให้พวกนางหวาดระแวงกลัวเล็กน้อยด้วยซ้ำ

อวี้ซวีเจินเหรินเป็นตัวแทนสำนักลมปราณมาอวยพรงานแต่ง พอได้ยินข่าวต่างๆ นานา ก็อดไม่ได้ที่จะหลบไปอยู่ในมุมใต้ชายคา เขาเงยหน้ามองฟ้าแล้วถอนหายใจเบาๆ นึกถึงเด็กหนุ่มนอบน้อมมีมารยาทที่มาสำนักลมปราณในปีนั้น เรากับเป็นฝันฉากหนึ่ง!

ตำหนักสวรรค์ พระตำหนักอุทยาน พวกประมุขชิงที่ล้อมแผนที่ดาวมองหน้ากันเลิกลั่ก แม้แต่พวกเขาเองก็ตะลึงค้างกับข่าวการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจนี้เช่นกัน

หลังจากเงียบไปครู่เดียว ประมุขชิงก็แสยะหัวเราะ  ช่างเป็นคนสารเลวปลิ้นปล้อน พูดโอ้อวดไร้ยางอาย อยากจะได้อาณาเขตทัพใต้ ข้าอยากจะเห็นนักว่าเขาจะผ่านด่านกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนไปได้ยังไง! 

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ข่าวที่ส่งมาทำให้พวกโค่วหลิงซวีสะเทือนใจไม่เบาเช่นกัน หลังจากโค่วหลิงซวีตกใจกับข่าวที่ฮ่าวเต๋อฟางใช้ดาบตัดคอตัวเองแล้ว ก็ถึงขนาดขบกรามแน่น หลับตาลงช้าๆ เพื่อปิดบังดวงตาที่มีน้ำตาคลอเล็กน้อย

โค่วเจิงตะลึงค้างไปครู่หนึ่ง  ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเป็นลูกเขยของผังก้วน หนิวโหย่วเต๋อนี่โหดใช้ได้จริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะทรยศพ่อตาตัวเอง! 

ถังเฮ่อเหนียนถอนหายใจเบาๆ  ท่านอ๋อง ดูจากเรื่องที่ดำเนินมาถึงตอนนี้ เกรงว่าผังก้วนคงตกหลุมพรางหนิวโหย่วเต๋อ ดีไม่ดีตัวการริเริ่มของเรื่องนี้อาจจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อ! 

ในตำหนักประชุมของจวนจอมพลสายเถาะ แม่ทัพกลุ่มหนึ่งกำลังคาดคะเนสถานการณ์การรบอยู่หน้าแผนที่ดาว โยกย้ายกำลังทหารเพื่อเตรียมตัวรับมือ ถ้าอยากจะคุมอาณาเขตทัพใต้ แค่ยุติเรื่องที่อยู่ตรงหน้าก็ยังไม่พอ จึงมีเรื่องใหญ่ที่ต้องทำอีก

เหมียวอี้สวมเกราะรบทั้งตัวยืนอยู่กลางตำหนัก สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์

เฉินหวยจิ่วเดินเข้ามา มองเหมียวอี้ด้วยแววตาหลากอารมณ์ เพียงแต่พอเดินมาตรงหน้าเหมียวอี้แล้ว ก็ทำความเคารพด้วยความนอบน้อม  ท่านเขย! 

เหมียวอี้บอกกับเขาเพียงว่า  เจ้าวางใจได้ เรื่องที่ข้ารับปากแล้วก็ย่อมทำได้ ข้าตะโกนเรียกจอมพลผังว่าพ่อตาต่อหน้าทุกคนแล้ว ไม่กลืนคำพูดตัวเองแน่ ข้าจะไม่ส่งคนของตระกูลผังให้ตำหนักสวรรค์สักคน! 

เฉินหวยจิ่วรู้ว่าเขามีเจตนาอะไร ทำแบบนี้เพื่อให้ตนทำงานให้เขาอย่างสงบใจ จึงโค้งตัวเล็กน้อย  บ่าวเข้าใจแล้ว 

พอเหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้ แม่ทัพคนหนึ่งก็เข้ามาเชิญให้เฉินหวยจิ่วตามเขาไป

แทบจะหลังจากนั้น ซูอวิ้นที่มีสีหน้าเหม่อลอยไร้อารมณ์ก็กลับมาแต่งกายเหมือนผู้หญิงแล้ว ในที่สุดก็ให้ทุกคนได้ยลโฉมที่มีริ้วรอยแห่งวัยทว่ายังงดงามจนน่าตกตะลึง ถูกคนพาตัวมาตรงหน้าเหมียวอี้แล้ว

เหมียวอี้เห็นนางแต่งกายเหมือนผู้หญิงเป็นครั้งแรกเช่นกัน ในใจแอบรู้สึกทึ่ง นึกไม่ถึงว่าพอกลับมาแต่งกายเหมือนผู้หญิงแล้วจะสวยตะลึงขนาดนี้ สติปัญญาความรู้ที่หลอมรวมอยู่ในลักษณะเฉพาะวของนางทำให้มองไม่เห็นความธรรมดาสามัญในตัวนางเลยสักนิด เป็นความงามที่หาพบได้ยากจริงๆ ไม่แปลกใจที่ทำให้ฮ่าวเต๋อฟางรักใคร่ชื่นชมได้ขนาดนี้

ทั้งสองสบตากัน ในดวงตาเหมียวอี้ฉายแววสุขุมเยียบเย็นของคนที่ผ่านมรสุม ส่วนในดวงตาซูอวิ้นก็ฉายแววโดดเดี่ยวหลังจากผ่านมรสุม หมองหม่นไร้ชีวิตชีวา

 ระงับความเศร้าเถอะ!  เหมียวอี้กล่าว

 ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการอะไร ขอเพียงเจ้าทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับท่านอ๋อง ปฏิบัติกับพี่น้องที่ท่านอ๋องฝากฝังไว้อย่างดี ฝั่งข้าก็จะทำให้เจ้าสมปรารถนา!  ซูอวิ้นกล่าวอย่างใจเย็น

 ตกลงตามนี้!  เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ ให้คนนำซูอวิ้นไปด้านข้าง

ตอนนี้เหิงอู๋เต้าเดินก้าวยาวเข้ามา แล้วกล่าวเสียงเบาว่า  ผู้ตรวจการใหญ่ กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนกำลังเร่งระดมพล และมุ่งหน้ามาที่นี่ตลอดทาง เกรงว่าจะไม่มาดี! 

 เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว อยากจะเลียนแบบเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อเท่านั้น ยังไม่ถึงคราวที่พวกเขาจะได้ฝันหวานอย่างนี้หรอก!  เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่สกทกสะท้าน

…………………

 

ฮ่าวเต๋อฟางอึ้งไปเลย นึกไม่ถึงว่าเจ้าเวรนี่จะมีเจตนาเดียวกับผังก้วน อยากจะฮุบอาณาเขตทัพใต้ของตนเหรอ?

ผังก้วนแทบหยุดหายใจ เบิกตากว้างมองเหมียวอี้อย่างรู้สึกเหลือเชื่อ เขายังนึกว่าเหมียวอี้ทำไปเพื่อยืนฝ่ายเดียวกับประมุขชิงเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะมีความปรารถนายิ่งใหญ่ขนาดนี้ ปากเล็กแค่นี้ก็คิดจะฮุบทั้งอาณาเขตทัพใต้เสียแล้ว ชั่วพริบตานี้เขาเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว แผนเด็ดที่เคลื่อนทัพตามบัญชาประมุขชิงอะไรนั่นล้วนเหลวไหล มือหนึ่งหลอกฮ่าวเต๋อฟาง อีกมือหนึ่งหลอกตน ถึงได้ทำให้เจ้าเวรนี่วิ่งตะบึงอยู่บนสนามรบชิงความเป็นใหญ่โดยไม่ต้องเสี่ยงอันตรายจากฝั่งไหนเลย ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะช่วยเจ้าเวรนี่ทำลายตัวเอง โดนคนอื่นขายแล้วยังช่วยคนอื่นนับเงินอีก!

เขาเข้าใจแล้ว ว่าตัวเองโดนวางอุบายตั้งแต่แรกเริ่ม ถูกอีกฝ่ายเอาไปเป็นหมากตัวหนึ่งตั้งแต่แรกเริ่ม

พอนึกถึงเรื่องที่ตัวเองนำลูกสาวไปส่งให้ไอ้เวรนี่ถึงประตูบ้าน ก็รู้สึกเหลือเชื่อว่าในโลกนี้ยังมีการรังแกกันถึงขนาดนี้ ผังก้วนโมโหจนตัวสั่น โบกมือชี้เหมียวอี้ คำรามว่า  เจ้า…อั้ก!  ความโกรธโจมตีหัวใจ ควบคุมสติสัมปชัญญะไม่ไหว กระอักเลือดสดออกมาต่อหน้าทุกคน แล้วก็ตาเหลือกไปเลย!

 ท่านจอมพล!  แม่ทัพคนหนึ่งร้องอุทาน แล้วรีบเขาไปชิงประคองเขา

 นายท่าน นายท่าน…  จาหรูเยี่ยนและบรรดาอนุภรรยาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

 ท่านพ่อ!  ผังเสี้ยวเสี้ยวร้องเรียกอย่างเศร้าโศกขณะมองบิดากระอักเลือดเพราะความโกรธ แต่จนใจที่เหมียวอี้จับนางไว้แน่น ไม่ปล่อยให้นางหลุดไป

 ว่ะฮ่าๆๆ…  ฮ่าวเต๋อฟางที่ถูกคุ้มครองอยู่ในทัพกลาง จู่ๆ ก็เงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ชี้ผังก้วนพลางหัวเราะเหน็บแนม  ผังก้วนเอ๊ยผังก้วน อ๋องผู้นี้ลูกเสือลูกตะเข้ แต่เจ้ากลับชักหมาป่าเข้าบ้าน ทำชุดแต่งงานให้คนอื่น ชีวิตเจ้ามันน่าเศร้าไหมล่ะ? น่าขำยิ่งกว่าข้าอีก! 

กำลังพลฝั่งตระกูลฮ่าวกับกำลังพลฝั่งตระกูลผังมองหน้ากันเลิกลั่ก สงสัยสู้กันจะเป็นจะตายก็เพื่อยกประโยชน์ให้คนอื่น นกกับหอยทะเลาะกัน แต่คนตกปลาได้รับประโยชน์

 หนิวโหย่วเต๋อ!  พอหัวเราะจบแล้ว จู่ๆ ฮ่าวเต๋อฟางก็ตะโกนบอกเหมียวอี้  ปล่อยพวกเขาไปสักครั้ง อาณาเขตทัพใต้ข้ายกให้เจ้า ข้ายินดีสนับสนุนให้เจ้าขึ้นตำแหน่งเต็มที่!  นี่คือโอกาสสุดท้ายที่เขาจะรอดชีวิต เขาย่อมต้องพยายามอยู่แล้ว

เหมียวอี้เอียงหน้ามองเขาอย่างเย็นชา แต่ไม่ตอบอะไร

ชิงเยว่ที่อยู่ข้างๆ มองฮ่าวเต๋อฟางด้วยสีหน้าหลากหลายอารมณ์ ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนบอกเสียงดังว่า  ท่านอ๋อง คนในครอบครัวท่านตายหมดแล้ว อนุภรรยานับร้อยมาขอยอมแพ้ เดิมทีลู่หลงจะนำอนุภรรยาของท่านมาเป็นรางวัลให้พวกลูกน้อง แต่ผู้ตรวจการใหญ่หนิวบอกว่า พวกนางล้วนเป็นอนุภรรยาของอ๋องสวรรค์ฮ่าว จะถูกย่ำยีตามใจชอบไม่ได้ เขาพยายามโน้มน้าวให้ลู่หลงไว้หน้าท่านอ๋องสักหน่อย เป็นผู้ตรวจการใหญ่ที่ฝืนออกคำสั่งให้ยิงอนุภรรยาของท่านทั้งหมด ไม่ปล่อยให้พวกนางถูกหยามเกียรติ! 

ฮ่าวเต๋อฟางฟังเข้าใจแล้ว ในเมื่อสังหารครอบครัวของเขาไปหมดแล้ว มีความแค้นที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หนิวโหย่วเต๋อไม่มีทางปล่อยเขาไว้ให้กลายเป็นปัญหาในภายหลัง ถ้าจะให้โอกาสเขารอดชีวิตจริงๆ ก็คงเก็บอนุภรรยาพวกนั้นของเขาไว้แล้ว

 ดี!ฆ่านางตัวดีพวกนั้นได้ก็ดี ถือว่าไว้หน้าข้าจริงๆ น้ำใจนี้ข้าจะรับไว้!  ฮ่าวเต๋อฟางพยักหน้าช้าๆ สบตากับเหมียวอี้พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็โบกมือชี้ไปยังลูกน้องที่อยู่รอบกายเขา  พี่น้องพวกนี้เป็นกำลังทหารที่ติดตามข้ามาทั้งชีวิต ติดตามร่วมเป็นร่วมตายกับข้า ซื่อสัตย์จงรักภักดี วันนี้ต่อให้สู้ตายก็ไม่ยอมแพ้!ใต้บังคับบัญชาเจ้าก็ต้องการคนไว้ทำงานเช่นกัน ข้าจะให้พวกเขายอมแพ้เจ้า ให้ทำงานรับใช้เจ้า ขอเพียงเจ้าละเว้นพวกเขา ชีวิตของข้าก็ให้เจ้าได้! 

 ท่านอ๋อง!  กลุ่มทหารตื้นตันใจ บอกว่ายินดีจะบุกน้ำลุยไฟไปกับเขา

ฮ่าวเต๋อฟางยกมือตัดบท แล้วก็จับข้อมือซูอวิ้นชูขึ้นมา พูดเน้นว่า  ข้ายังมีกำลังข้างนอกเหลืออยู่บางส่วน ซูอวิ้นเป็นคนคุมช่องทางทรัพย์สินของข้าทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เจ้าเองก็ใช้งานได้เช่นกัน ละเว้นนาง ละเว้นพวกเขา แล้วทุกสิ่งที่อยู่ข้างหลังข้าจะเป็นของเจ้า! 

 ท่านอ๋อง!  ซูอวิ้นจับมือเขาพลางส่ายหน้า ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาแล้ว

สิ่งที่ฮ่าวเต๋อฟางพูดถึงก็ทำให้เหมียวอี้ใจเต้นแล้วจริงๆ นึกไม่ถึงว่าฮ่าวเต๋อฟางจะยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้ได้ ก่อนหน้านี้นึกไม่ถึงเช่นกันว่าตัวเองจะได้ผลประโยชน์พวกนี้จากฮ่าวเต๋อฟาง ถ้าได้รับการสนับสนุนจากกำลังในที่รับของฮ่าวเต๋อฟาง ก็จะเป็นประโยชน์กับเขาไม่น้อยเลย

 ข้าจะอาศัยอะไรมาเชื่อพวกเขาจะฟังข้า  เหมียวอี้ถามเสียงเย็น

ฮ่าวเต๋อฟางมองไปรอบๆ ทันที แล้วกล่าวเสียงดังว่า  ทุกคนฟังนะ พวกเจ้าไม่ติดค้างอะไรข้า เป็นข้าที่ติดค้างพวกเจ้า เป็นข้าที่ทำผิดต่อพวกเจ้า พวกเจ้ายังมีลูกเมียต้องดูแล ขอให้ทุกคนมีชีวิตต่อไป ต้องใช้ชีวิตให้ดี ถึงจะทำให้ข้าไม่รู้สึกผิดต่อพวกเจ้า!แม่ทัพทุกคนฟังไว้ ถ่ายทอดคำสั่งของข้าไปให้ทั่ว ปล่อยให้อดีตลอยไปกับสายลม ระหว่างอ๋องผู้นี้กับหนิวโหย่วเต๋อไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน หนิวโหย่วเต๋อกำลังจะมาแทนที่อ๋องผู้นี้แล้ว ให้ทุกคนของข้าที่เหลือรอดฟังคำสั่งเขา!  เสียงดังก้องไปทั่วสารทิศ

 ท่านอ๋อง…  ซูอวิ้นไม่ยอม

 อ๋องผู้นี้เป็นใหญ่ในใต้หล้ามาทั้งชีวิต จะตายด้วยน้ำมือศัตรูได้อย่างไร!  ฮ่าวเต๋อฟางถลึงตาอย่างเดือดดาล

ดวงตางามของซูอวิ้นมองอย่างเหม่อลอย สงบสติอารมณ์ลงอย่างช้าๆ คลายมือออกทีละนิด น้ำตาไหลโดยไรเสียงนางคือคนที่รู้จักเขาดีที่สุด เป็นสาวงามรู้ใจในชีวิตเขา รู้ว่าพูดอะไรอีกก็ไม่มีประโยชน์แล้ว

กำลังพลที่อยู่โดยรอบก้มหน้าลงอย่างหดหู่

ฮ่าวเต๋อฟางหันขวับไปมองเหมียวอี้  แบบนี้ น้องพอใจหรือยัง? 

 ตราบใดที่พวกเขาไม่ทรยศข้า ปฏิบัติตามคำสั่งท่านอ๋องได้ ข้าก็จะละเว้นพวกเขา ละเว้นซูอวิ้น !  เหมียวอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงธรรมดา

 ดี!อาศัยที่เจ้าฆ่าอนุภรรยาของข้า ไม่ให้พวกนางโดนหยามเกียรติ ปกป้องศักดิ์ศรีของข้าไว้ ข้าเชื่อเจ้า!เอาไป! 

พอพูดจบ ฮ่าวเต๋อฟางก็พลันใช้ดาบปาดคอตัวเอง จากนั้นยกมือเด็ดศีรษะตัวเอง แล้วโยนศีรษะไปทางเหมียวอี้ รวดเร็วฉับไวเหนือความคาดหมายของทุกคน!

ศีรษะของอ๋องสวรรค์ เวลาจะตัดทิ้งก็ง่ายมากเหมือนกัน

เขารู้ว่าตัวเองไม่มีทางรอดชีวิตแล้ว สิ้นอนาคตแล้ว จึงไม่ลังเลที่จะนำชีวิตตัวเองมาช่วงชิงโอกาสรอดให้บรรดาลูกน้อง!

ดาราจักรที่มีทัพใหญ่คุมเชิงกันเงียบงันไร้ที่เปรียบ ทุกคนตะลึงค้าง ซูอวิ้นถลึงดวงตางาม กำลังพลของฮ่าวเต๋อฟางมองร่างที่ไม่สมประกอบอย่างเหม่อลอย

แม้แต่ผังก้วนที่ค่อยยังชั่วแล้ว เมื่อเห็นฉากนี้ก็เหม่อเช่นกัน ว่ากันว่ายอมตายดีกว่าอยู่อย่างอัปยศ เขาถามใจตัวเองแล้ว พบว่าตัวเองไม่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวนี้ นำความรู้สึกสะเทือนใจมาสู่เขา เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างตัวเองกับฮ่าวเต๋อฟางแล้ว!

ศีรษะที่มีเลือดหยดถูกสะบัดลอยออกมา แรงโยนไม่มากนัก ศีรษะลอบมาทางเหมียวอี้ตามแรงเฉื่อย

กำลังพลฝั่งตระกูลผังที่ล้อมอยู่ด้านนอกไม่มีใครกล้าขวาง ทยอยกันหลีกทางให้สองฝั่ง หลีกทางให้ศีรษะใบนี้

ทุกคนได้เรียนรู้จากตัวฮ่าวเต๋อฟางแล้วว่าอะไรเรียกว่า ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ฮ่าวเต๋อฟางแสดงให้เห็นอย่างถึงอกถึงใจแล้ว คนชนะเป็นเจ้า ส่วนคนแพ้ก็ปาดคอตัวเองอย่างรวดเร็วฉับไว!

ขณะมองศีรษะที่ลอยเข้ามาช้าๆ ในใจเหมียวอี้ก็สั่นสะเทือนจนบรรรยายออกมาไม่ได้ เขาเองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าฮ่าวเต๋อฟางจะเด็ดขาดได้ขนาดนี้

เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงอิ๋งจิ่วกวง มีโอกาสหนีเอาชีวิตรอดแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมหนี ฮ่าวเต๋อฟางที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ยอมขี้ขลาดเลยแม้แต่น้อยเช่นกัน!

พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งพรั่งพรูออกจากตัวเหมียวอี้ ดูดศีรษะมาลอยอยู่ตรงหน้าห่างไปหนึ่งจั้ง เขาไม่ได้รับไว้ และไม่ได้ให้ใครรับไว้เช่นกัน

ผังเสี้ยวเสี้ยวที่อยู่ข้างๆ ลนลานหวาดกลัว ลืมอันตรายฝั่งบิดาตัวเองไปชั่วคราว นางก้มหน้า ไม่กล้าสบตากับฮ่าวเต๋อฟางที่กำลังถลึงตา

ทุกคนพากันมองไปที่เหมียวอี้กับศีรษะของฮ่าวเต๋อฟาง

เหมียวอี้ขบกรามพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็โบกมือ ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ดีดศีรษะกลับไป ตะโกนด้วยเสียงดุดันว่า  จัดงานศพอย่างยิ่งใหญ่! 

ความรู้สึกทุกอย่างที่ควรเอ่ยและไม่ควรเอ่ยล้วนอยู่ในคำพูดนี้หมดแล้ว

ดีดกลับไปเร็วมาก ซูอวิ้นรับศีรษะมาไว้ในอ้อมกอด กอดแน่นไม่ยอมปล่อย สุดท้ายก็เปล่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวสุดขีด

นางนึกเสียใจทีหลังเป็นอย่างมาก นึกเสียใจว่าทำไมไม่ยอมทำตามคำขอเขา เสียใจว่าทำไมไม่แต่งงานกับเขา ตอนนี้ไม่มีโอกาสอยู่กับเขาอีกแล้ว นางร้องไห้จนตาพร่า แต่ภาพในอดีตกลับปรากฏชัดเจน

ผู้ตรวจการทัพซ้ายเหยียนเสี้ยวปากสั่นเทิ้ม พลันคุกเข่าข้างเดียวกลางอากาศ กำลังพลไม่กี่แสนของตระกูลฮ่าวที่เหลืออยู่รอบๆ ก็ทยอยกันคุกเข่าแล้วเช่นกัน คุกเข่าเงียบๆ ต่อหน้าร่างของฮ่าวเต๋อฟาง มีเพียงซูอวิ้นที่กลายเป็นคนเจ้าน้ำตา อุ้มศีรษะยืนร้องไห้อย่างปวดใจอยู่ตรงนั้น

เหมียวอี้ไม่อยากมองไปทางฮ่าวเต๋อฟางอีก หันตัวกลับมาอย่างเด็ดเดี่ยว ดึงมือผังเสี้ยวเสี้ยวลอยไปทางผังก้วน มียอดฝีมือกลุ่มใหญ่ตามคุ้มกัน เฝ้าระแวดระวังอย่างสูง

ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ฐานะของเหมียวอี้ในทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่มีใครแทนที่ได้ ฝั่งนี้ไม่มีใครกล้าให้เหมียวอี้เป็นอะไรไป ไม่เกี่ยวว่าวรยุทธ์ของเหมียวอี้จะสูงหรือต่ำ แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้กับเหมียวอี้ ทุกสิ่งที่ทุกคนเฝ้าคอยก็จะคว้าน้ำเหลวหมด ทุกสิ่งที่เล่นตอนนี้ก็จะจบเห่แล้ว นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าผู้บัญชาการสูงสุด!

ผังเสี้ยวเสี้ยวไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่วรยุทธ์นะดับเหมียวอี้ นางกลับไม่มีทางปฏิเสธได้ ทำได้เพียงถูกดึงไป

ตอนที่ไปยืนคุมเชิงกับผังก้วน เหมียวอี้บอกใบ้ให้คนที่อยู่ตรงหน้าหลีกทาง แล้วดึงผังเสี้ยวเสี้ยวมายืนตรงหน้า มองฝั่งผังก้วนที่มีกำลังทหารจำนวนมากคุ้มกัน

ผ่านไปไม่นาน ผังก้วนก็เดินออกมาจากกลุ่มคนแล้ว จ้องเหมียวอี้อย่างเย็นเยียบ ระยะห่างระหว่างทั้งสองไม่ถึงสามจั้ง

จาหรูเยี่ยนที่ตามออกมากล่างขอร้อง  หนิวโหย่วเต๋อ เสี้ยวเสี้ยวเป็นผู้หญิงของเจ้านะ เจ้าอย่าทำร้ายนางเลย! 

 ท่านแม่ยายไม่ต้องห่วง ข้ารับรองว่าจะไม่ทำร้ายนาง ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็จะไม่ให้ใครทำร้ายนางง่ายๆ! ขอเพียงนางไม่ทรยศข้า นางก็จะเป็นอนุภรรยาที่รักของข้าตอลดไป!  เหมียวอี้กล่าวรับประกัน มือที่จับผังเสี้ยวเสี้ยวออกแรงบีบเล็กน้อย เหมือนกำลังออกแรงเพื่อรับประกันกับนาง บอกให้นางไม่ต้องกังวล

ผังเสี้ยวเสี้ยวเงยหน้ามองเขา นางเริ่มเลอะเลือนแล้ว มองเขาอย่างไม่ค่อยเข้าใจ

เหมียวอี้มองผังก้วนที่ริมฝีปากเปื้อนเลือดอีกครั้ง แล้วกล่าวอย่างใจเย็นว่า  ข้าไม่เพียงแค่รับประกันความปลอดภัยของเสี้ยวเสี้ยวนะ ขอเพียงท่านพ่อตายินดี ข้าก็ยังรับประกันความปลอดภัยของท่านพ่อตาได้ด้วย รับประกันความปลอดภัยของทุกคนในตระกูลผัง! 

ผังก้วนเดาเจตนาเขาได้แล้ว ดึงจาหรูเยี่ยนที่ตัวสั่นระริกกลับมาไว้ข้างหลัง แล้วตะคอกตอบว่า  เจ้าฝันไปเถอะ! 

เหมียวอี้ดึงมือผังเสี้ยวเสี้ยว แล้วมองนางพร้อมถามว่า  เสี้ยวเสี้ยว เจ้าหวังจะให้ข้ากับพ่อเจ้าใช้อาวุธแก้ปัญหากันเหรอ? 

 ไม่นะ อย่านะ!  ผังเสี้ยวเสี้ยวส่ายหน้าอย่างตระหนกตกใจ

ต่อให้นางไม่เข้าใจเรื่องกองทัพ แต่นางก็รู้ว่าตอนนี้บิดาตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถ้าลงมือสู้กันขึ้นมา ผลที่ตามมาก็จะร้ายแรงจนไม่อย่างนึกถึง

 ขอเพียงบิดาเจ้ารับปากว่าจะสั่งให้กำลังพลยอมจำนนต่อข้า พวกเราก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ข้ารับประกันความปลอดภัยของทุกคนในตระกูลผัง รับรองว่าทุกคนในตระกูลผังจะไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่!  เหมียวอี้กล่าว

ผังก้วนตวาดอย่างโมโห  หนิวโหย่วเต๋อ เอาผู้หญิงมาเจรจา เจ้านับว่ามีความสามารถอะไร? เสี้ยวเสี้ยว ไม่ต้องไปสนใจไอ้ชาติสุนัขนี่ ต่อให้ข้าตาย ข้าก็ไม่ยอมให้แผนชั่วของมันสำเร็จ! 

 ตายเหรอ?  เหมียวอี้พลันเหลือบตาขึ้น ตัดสินใจได้ภายในชั่วพริบตาเดียว เลิกใช้ผังเสี้ยวเสี้ยวมาแก้ไขปัญหาที่อยู่ตรงหน้า ตัดสินใจใช้วิธีแข็งกร้าวแทน โบกทวนชี้ไปรอบๆ พร้อมตะโกนว่า  ถ้าอยากตายก็ง่ายมาก อาศัยกำลังพลที่อ่อนล้าหมดแรงของพวกเจ้า แต่ข้าสั่งคำเดียว ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ฆ่าพวกเจ้าตายหมดจนไม่เหลือแม้แต่เกราะได้แล้ว!ถ้าเจ้าอยากตาย นั่นก็ง่ายเกินไป ข้าช่วยให้เจ้าสมปรารถนาได้ แต่พวกเขาล่ะ?  เหมียวอี้ชี้ไปที่พวกจาหรูเยี่ยน แล้วก็ชี้ไปทางกำลังพลฝั่งผังก้วนอีก  เจ้าจะปล่อยให้ความปรารถนาส่วนตัว ดึงคนในครอบครัวลงหลุมฝังศพไปพร้อมเจ้าด้วยให้ได้เลยใช่มั้ย? จะให้ลูกน้องเอาชีวิตไปทิ้งพร้อมกับเจ้าให้ได้เลยใช่มั้ย? แบบนี้มีผลดีอะไรกับเจ้าล่ะ? 

………………

 

เดิมทีเป็นสถานที่จัดการใหญ่โต แต่ตอนนี้กลับถูกกำลังทหารจำนวนมากล้อมไว้ อีกทั้งเจ้าบ่าวยังโดนพ่อตาฆ่าตายในวันแต่งงาน เรื่องแบบนี้ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหาพบได้ยาก ทำให้คนสะเทือนใจจริงๆ

ที่คฤหาสน์ยังคงประดับผ้าและโคมไฟ แต่บรรยากาศไม่ใช่อย่างนั้นเลย

คนในบ้านยังสื่อสารพูดคุยกันได้ เพียงแต่ตอนนี้ขาดอิสระก็เท่านั้นเอง ตอนแรกก็ยังตกใจกลัวอยู่บ้าง แต่ตอนหลังอำนาจที่อยู่เบื้องหลังแต่ละคนล้วนรับประกันว่าจะไม่เป็นอะไร ทุกคนก็คิดเสียว่าลองสัมผัสประสบการณ์เลวร้ายสักครั้ง

ตอนแรกทุกคนคุยกันว่าเจ้าบ่าวโดนฆ่า ศึกระหว่างผังก้วนกับฮ่าวเต๋อฟาง ตอนหลังก็ได้ยินว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาช่วย แล้วทุกคนก็กำลังเดาผลแพ้ชนะของสองวีรบุรุษ

ตอนนี้ จู่ๆ ก็ได้ยินข่าวว่าฮ่าวเต๋อฟางตกหลุมพราง ที่จริงหนิวโหย่วเต๋อเป็นกองหนุนของผังก้วน เรียกได้ว่าสร้างความฮือฮาอยู่พักหนึ่ง ต่างก็บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อในกล้าจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าขัดบัญชาอย่างเปิดเผย!

เรื่องขัดบัญชาอย่างเปิดเผย ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าทำ ยังไม่ต้องพูดถึงเจ้าอาณาเขตแต่ละแห่งที่อาศัยกำลังพลแข็งข้อต่อเบื้องบน คนที่ตบหน้าประมุขชิงอย่างเปิดเผยล้วนมีจุดจบที่ไม่ดี บรรดาอ๋องสวรรค์ไม่มีใครกล้าทำอย่างนี้ แต่หนิวโหย่วเต๋อดันทำไปแล้ว ทุกคนต่างก็จับกลุ่มกันสองสามคนเพื่อเดาว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมีจุดจบอย่างไร

หวงฝู่จวินโหรวกับก่วงเม่ยเอ๋อร์จับกลุ่มอยู่ด้วยกัน ไม่มีอะไรน่าสนทนา พวกนางกำลังเก็บซ่อนความกลัดกลุ้มไว้ ต่างก็เป็นห่วงเหมียวอี้

พวกนางไม่เคยเข้าร่วมศึกใหญ่ขนาดนี้ และไม่เคยมีอำนาจทางทหารมากขนาดนี้ด้วย การปลุกปั่นสถานการณ์ในใต้หล้าระหว่างผู้ชายพวกนี้ ทำเอาเกิดลมคาวฝนเลือด บางครั้งการตัดสินใจเลือกของพวกเขาก็ทำให้พวกนางไม่เข้าใจ

ในขณะนี้เอง ด้านนอกก็มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย กำลังพลที่ล้อมอยู่ถอนกำลังออกไปแล้ว

ทุกคนกำลังจะออกไปดูความเคลื่อนไหว แต่ใครจะคิดว่าจะเปลี่ยนกำลังพลกลุ่มใหม่มาล้อมพวกเขาแทน แม่ทัพหลักที่โผล่หน้ามาก็คือม่ายจื่อ ม่ายจื่อเหาะลาดตระเวนอยู่บนฟ้ารอบหนึ่ง

มีคนไม่น้อยที่จำม่ายจื่อได้ และจำแม่ทัพคนอื่นๆ ของแดนรัตติกาลได้เช่นกัน บรรดาแขกเหรื่อที่ถูกล้อมไว้เริ่มฮือฮาอีกครั้ง

 ทัพใหญ่แดนรัตติกาล! 

 หนิวโหย่วเต๋อมาถึงแล้วเหรอ? 

ทุกคนเงยหน้ามองไปรอบๆ แต่กลับไม่เห็นเงาเหมียวอี้ หวงฝู่จวินโหรวกับก่วงเม่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง

นอกลานบ้าน ซูชิงฉวนที่เก็บกำลังพลแล้วไปเจอเหมียวอี้ แลวกุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้ม  ผู้ตรวจการใหญ่บุกโจมตีมาไกล ลำบากแล้ว 

เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ  คนบ้านเดียวกันไม่พูดจาเป็นอื่น ตัวประกันข้างในเป็นยังไงบ้าง?  เขากังวลนิดหน่อยว่าหวงฝู่จวินโหรวจะเป็นอะไรไป

 ไม่เป็นอะไร ทุกคนว่านอนสอนง่าย  ซูชิงฉวนตอบส่งเดช แล้วบอกอีกว่า  ทางฝั่งนี้ส่งต่อให้ผู้ตรวจการใหญ่แล้ว ข้าจะนำคนไปช่วยจอมพลอีกแรง 

 ดี!  เหมียวอี้พยักหน้า กุมหมัดคารวะ แล้วมองส่งซูชิงฉวนนำคนเหาะขึ้นฟ้าไป

ตั้งแต่นี้ไป ก็เท่ากับเขารับช่วงต่อคุมตัวประกันเหล่านี้อย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับแผนการของเขา เขาต้องจับตัวประกันกลุ่มนี้ไว้ในมือตัวเอง ผู้คุ้มกันที่แขกเหล่านี้พามาด้วยมีไม่น้อยเลย ถ้าเสียการควบคุมเมื่อไร ก็หมายความว่ากำลังพลกลุ่มใหญ่ด้านนอกจะเสียการควบคุม

ส่วนเหตุผลที่เหมียวอี้บอกผังก้วนก็คือ เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับฮ่าวเต๋อฟาง

สำหรับเหตุผลนี้ ผังก้วนก็พอเข้าใจได้ อย่างไรเสียก่อนหน้านี้อีกฝ่ายคือพันธมิตรขิงฮ่าวเต๋อฟาง จะให้เผชิญหน้ากับฮ่าวเต๋อฟางก็คงอึดอัด ไม่จำเป็นต้องโดนฮ่าวเต๋อฟางตะโกนด่าต่อหน้าทุกคน การถูกแดกดันว่าทรยศพันธมิตรต่อหน้าฝูงชนไม่ใช่เรื่องที่มีเกียรติอะไร ขอเพียงหนิวโหย่วเต๋อยินดีส่งกำลังพลไปช่วยก็พอแล้ว

ส่วนเหมียวอี้ก็ส่งกำลังพลไปสนับสนุนแล้วจริงๆ

ในขณะนี้เอง จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงตะโกนเรียกที่ปลาบปลื้มยืนดีของจาหรูเยี่ยนดังขึ้น  ลูกเขย! 

เหมียวอี้หันกลับไปมอง เห็นเซียวผิงโป ผู้บัญชาการทหารอารักขาประจำจวนจอมพลนำกำลังพลกลุ่มหนึ่งคุ้มกันจาหรูเยี่ยนและครอบครัวเดินเข้ามา สองพี่น้องแซ่ผังก็อยู่เช่นกัน ยังมีกลุ่มอนุภรรยาของผังก้วนด้วย เมื่อผังเสี้ยวเสี้ยวเห็นสามีตัวเองมาช่วยอย่างที่คาดไว้ บนใบหน้าก็เผยความรู้สึกปลาบปลื้ม ทั้งยังเจือด้วยความขวยเขินเล็กน้อย

คำว่า ‘ลูกเขย’ ทำให้ผังอวี้เหนียงตะลึงไปชั่วขณะ บรรดาอนุภรรยาของผังก้วนก็มีสีหน้างุนงงเช่นกัน ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป

ที่จริงการพบกันวันนี้คือเจตนาของผังก้วน จนป่านนี้แล้ว ผังก้วนต้องการประกาศความสัมพันธ์ระหว่างเหมียวอี้ จะได้นำมาขู่อำนาจฝ่ายอื่นได้บ้าง ทำให้ขวัญกำลังใจทหารมั่นคงด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะผังก้วนเอ่ยปาก มีหรือที่จาหรูเยี่ยนจะกล้าประกาซความลับนี้

ฝั่งกำลังพลแดนรัตติกาลก็มีคนงงไม่น้อยเช่นกัน

เห็นเพียงเหมียวอี้ใบหน้าเจือรอยยิ้ม รีบเดินเข้าไปกุมหมัดโค้งกายให้จาหรูเยี่ยน  คำนับท่านแม่ยาย! 

 ครอบครัวเดียวกันไม่ต้องมากพิธี!  จาหรูเยี่ยนรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า ประคองเหมียวอี้ให้ยืนตรงด้วยตัวเอง จากนั้นคว้าข้อมือเหมียวอี้ อัธยาศัยดีสุดๆ ย่อมไม่ลืมที่จะเรียกว่า  ลูกเขย ฮ่าวเต๋อฟางสิ้นอนาคตแล้วเหรอ? 

เหมียวอี้พยักหน้า  กองหนุนของฮ่าวเต๋อฟางถูกลูกเขยปราบหมดแล้ว เรื่องเด็ดหัวฮ่าวเต๋อฟางก็ง่ายแค่ชั่วดีดนิ้ว ไม่อย่างนั้นลูกเขยไม่มาอยู่ที่นี่หรอก 

 ดีๆๆ!  จาหรูเยี่ยนหน้าชื่นตาบานทันที นางไม่รู้ว่าหลังจากกำจัดฮ่าวเต๋อฟางแล้วจะมีเรื่องดีๆ ตามมาอีกเท่าไร รู้เพียงว่าในเมื่อฮ่าวเต๋อฟางแพ้แล้ว ผู้ชายของนางจะได้เป็นอ๋องสวรรค์แล้วแน่นอน เช่นนั้นนางก็จะได้เป็นหวังเฟย ตอนนี้ไม่ว่าจะมองเหมียวอี้อย่างไรก็ถูกตาต้องใจ

เหมียวอี้ถูกผู้หญิงอย่างนางจ้องมองต่อหน้าฝูงชนจนรู้สึกอึดไปทั้งตัว ไม่เห็นหรือว่าพวกลูกน้องกำลังมองข้าด้วยสายตาแปลกๆ

เหมียวอี้จำเป็นต้องกระแอมหนึ่งที แล้วมองไปที่ผังเสี้ยวเสี้ยว  เสี้ยวเสี้ยวมาแล้วเหรอ 

จาหรูเยี่ยนรีบปล่อยมือ จากนั้นกวักมือเรียกผังเสี้ยวเสี้ยวที่อยู่ข้างหลัง  นางหนูนี่ ยังไม่รับมาคำนับสามีตัวเองอีก 

ผังเสี้ยวเสี้ยวกัดริมฝีปาก ท่ามกลางสายตาฝูงชน นางก้าวขึ้นมาช้าๆ อย่างกระบิดกระบวน  ผู้น้อยคำนับท่านสามี! 

นางเองก็รู้เช่นกัน ว่าตั้งแต่นี้ไป ควาสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับหนิวโหย่วเต๋อก็จะประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว

เหมียวอี้ก้าวข้าไปประคองนาง กุมมือที่เรียวสวยของนางไม่ปล่อยต่อหน้าฝูงชน แล้วกล่าวกับจาหรูเยี่ยนด้วยรอยยิ้มอีกว่า  ท่านแม่ยายกล้าไปกับลูกเขยเพื่อเป็นสักขีพยานตอนฮ่าวเต๋อฟางถูกกำจัดมั้ย? 

จาหรูเยี่ยนฟังแล้วลังเลนิดหน่อย ค่อนข้างกลัวที่จะดูฉากทัพใหญ่ทำศึกเข่นฆ่ากันจนเกิดคามเลือด เพียงแต่เหมียวอี้พูดแบบนี้ต่อหน้าทุกคนแล้ว ข้างหลังยังมีพวกนางตัวดีมองอยู่ จะแสดงท่าทีอ่อนลงได้อย่างไร พยักหน้าทันที  ได้! 

ดังนั้นคนกลุ่มหนึ่งจึงเหาะขึ้นฟ้าไป ก่อนไปเหมียวอี้ก็ส่งสายตาให้หวงลี่ บอกใบ้ว่าให้เฝ้าที่นี่ให้ดี

พอขึ้นมาถึงดาราจักรแล้วเห็นความเคลื่อนไหว เหมียวอี้ก็แอบนับถือฮ่าวเต๋อฟางเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะยังดิ้นรนเหมือนสัตว์ป่าที่เอาชีวิตรอด ยังยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้

แต่ก็จินตนาการได้เลย มาถึงขั้นนี้แล้ว คนข้างกายฮ่าวเต๋อฟางที่รอดมาได้จนถึงตอนนี้ ล้วนเป็นผู้มีกำลังรบแข็งแกร่งที่ถูกคัดมาแล้ว

ส่วนฮ่าวเต๋อฟางก็ยอมแลกทุกอย่างแล้วจริงๆ ตั้งแต่ติดต่อกำลังพลฝั่งอินสวี่ไม่ได้ เขาก็รู้ว่ามีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าจะตายหมดแล้ว ความหวังสุดท้ายพังทลายหมดสิ้น จึงนำกำลังพลลงมือด้วยตัวเองอีกครั้ง ไม่ได้ฝ่าวงล้อม แต่เข่นฆ่าเพื่อถ่วงกำลังพลสายตระกูลผังเอาไว้ ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายมือว่าง จะต้องโดนกลุ่มธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงถล่มแน่นอน

ตอนนี้กำลังพลเหลืออยู่ไม่กี่แสน เกาะกลุ่มกันแน่นอยู่ท่ามกลางทัพใหญ่หลายล้าน ไม่ให้โอกาสทัพฝ่ายศัตรูตัดแบ่งออกจากกัน หลับหูหลับตาพุ่งใส่อย่างไม่หวาดกลัว ประชิดเข้าใกล้ทัพกลางของผังก้วนครั้งแล้วครั้งเล่า บีบให้ผังก้วนถอยหลายครั้ง

ผังก้วนทำอะไรคนพวกนี้ไม่ได้ ถ้าจะยิงตอนนี้ จะต้องฆ่าคนของตัวเองไปด้วยแน่นอน กลัวลูบหน้าปะจมูก มีกำลังพลกลุ่มใหญ่แต่กลับแสดงความสามารถไม่ได้

ส่วนฮ่าวเต๋อฟางก็ยอมทุ่มทุกอย่างแล้วจริงๆ สู้ตายโดยคิดว่าถ้าฆ่าได้เพิ่มสักคนก็ถือว่าได้กำไรแล้ว สู้ตายไม่ยอมถอย ไม่มีใครยอมแพ้ลับหลังฮ่าวเต๋อฟางด้วย สมกับเป็นกำลังพลคนสนิทของฮ่าวเต๋อฟาง

เมื่อเห็นพวกเหมียวอี้ปรากฏตัว ผังก้วนที่หันกลับมามองแวบหนึ่งก็ค่อนข้างงง หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าไม่อยากเจอหน้าฮ่าวเต๋อฟางไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้มาได้อย่างไร?

เขาเข้าใจผิดว่าเป็นความคิดของจาหรูเยี่ยน หวังดีจะให้หนิวโหย่วเต๋อมาช่วย หนิวโหย่วเต๋อจึงไม่สะดวกจะปฏิเสธ

ผังก้วนแอบด่าในใจ ผู้หญิงโง่คนนี้ทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ

เหมียวอี้ที่จูงผังเสี้ยวเสี้ยวกับเร่งความเร็ว ทิ้งห่างจากพวกจาหรูเยี่ยนที่ตามอยู่ข้างหลัง

พวกจาหรูเยี่ยนกำลังจะตามไป แต่กลับถูกกำลังพลกลุ่มหนึ่งแทรกเข้ามา กันเหมียวอี้กับพวกเขาออกจากกันโดยตรง

การเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจเกิดขึ้นตอนนี้ ทัพใหญ่แดนรัตติกาลพลันปรากฏตัวทั้งหมด ล้อมทัพใหญ่หลายล้านของผังก้วนกับกำลังพลฝั่งตระกูลฮ่าวที่กำลังสู้กันเอาไว้

ด้านหลังพวกจาหรูเยี่ยนถูกมีกำลังพลโผล่มาล้อมไว้เช่นกัน

 เตรียมตัว!  ตามด้วยเสียงเหิงอู๋เต้าที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกน

ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมาหมด เล็งไปยังทุกคนที่ถูกล้อม

เซียวผิงโปผู้บัญชาการทัพอารักขาประจำจวนตระกูลผังเฝ้าระวังอย่างสูง รีบนำกำลังพลข้างกายมาปกป้องพวกจาหรูเยี่ยนเอาไว้

จาหรูเยี่ยนถามอย่างประหลาดใจ  เป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้น? เป็นอะไรกันไปแล้ว?  นางตกใจว่าทำไมอาวุธถึงเล็งมาที่ตัวเอง

 ท่านสามี!  ผังเสี้ยวเสี้ยวหันกลับมามองด้วยความตกใจสุดขีด ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร

เหมียวอี้ไม่สนใจนาง จับมือนางไม่ปล่อย มองกำลังพลสองฝ่ายที่ถูกล้อมโดยไม่พูดอะไร

บรรยากาศของสนามรบเริ่มเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดแล้ว

ฮ่าวเต๋อฟางก็สังเกตเห็นความผิดปกติแล้วเช่นกัน รีบดึงซูอวิ้นเข้ามาอยู่ในการคุ้มครองของกำลังพลที่เหลือ ส่งสัญญาณมือให้กำลังพลของตัวเอง มองเหมียวอี้อย่างไม่ค่อยเข้าใจ ตระหนักได้ว่าเกิดเรื่องที่เหนือความคาดหมายแล้ว ดีไม่ดีอาจจะเป็นโอกาสพลิกสถานการณ์ของตัวเองก็ได้

สองฝ่ายที่กำลังเข่นฆ่ากันอยู่ในวงล้อมเริ่มหยุดแล้ว ต่างก็มองทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่มาล้อมทุกคนไว้ด้วยความงุนงง

ผังก้วนที่ระแวดระวังรอบๆ อยู่พักหนึ่งหันไปจ้องเหมียวอี้ แล้วตะคอกถาม  ลูกเขย หมายความว่าอะไร? 

เหมียวอี้สบตากับเขาเงียบๆ แล้วจู่ๆ ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนอย่างมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม  ทัพใหญ่แดนรัตติกาลได้รับบัญชาจากฝ่าบาทให้มาปราบโจรกบฏ! 

แค่ประโยคนี้ ชั่วพริบตาเดียวก็ดึงตัวเองออกจากพฤติกรรมขัดคำสั่งมาเป็นปฏิบัติตามคำสั่งแล้ว

ผังก้วนโบกดาบชี้มา แล้วตะคอกถามเสียงดุดัน  ใครเป็นโจรกบฏ? 

เหมียวอี้ไม่ตอบ รู้สึกได้ว่าตอนนี้ผังเสี้ยวเสี้ยวกำลังมองตนอยู่ ส่วนมือนางที่ตัวเองจับไว้ก็กำลังสั่น

ผังเสี้ยวเสี้ยวมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

พวกจาหรูเยี่ยนก็ถลึงตามองมาทางนี้เช่นกัน

เหมียวอี้เย็นชา สีหน้าไร้ความรู้สึก เอียงศีรษะบอกใบ้ชิงเยว่เล็กน้อย

พอชิงเยว่โบกมือ กำลังพลที่ล้อมพวกจาหรูเยี่ยนก็เปิดทางให้ ปล่อยพวกนางเหาะไปหาผังก้วน

 นายท่าน นี่ …เป็นอะไรไปแล้ว?  จาหรูเยี่ยนวิตกกังวลสุดๆ ลูกเขยที่ก่อนหน้านี้ยังทำให้ตัวเองรู้สึกภูมิใจ ทำไมชั่วพริบตาเดียวถึงทำให้ตัวเองหวาดกลัวตัวสั่นแล้วล่ะ!

ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้กล่าวช้าๆ ว่า  จอมพล ท่านกับข้าแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน อย่ากดดันให้ลูกเขยต้องลงมือ ให้พวกพี่น้องวางอาวุธเถอะ มอบโอกาสรอดชีวิตให้พวกเขา! 

ผังก้วนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงถี่มาก ตะคอกอย่างเดือดดาลว่า  อาณาเขตสายเถาะที่ข้ารับปากจะให้เจ้า ข้าไม่กลืนคำพูดแน่ ทุกคนตรงนี้เป็นพยานได้ ถ้าข้าผิดคำสาบาน ขอให้ฟ้าดินลงโทษ! 

เขาทำได้เพียงพยายามกู้สถานการณ์ กำลังพลที่อยู่ตรงหน้าส่วนใหญ่อ่อนล้าหมดแรง มีหรือที่จะต้านทัพใหญ่แดนรัตติกาลไหว ถ้าลงมือขึ้นมา ก็ไม่มีใครมาช่วยเขาทัน

เหมียวอี้บอกว่า  ถ้าอยากได้อาณาเขตสายเถาะ ข้าย่อมเอามาได้เองอยู่แล้ว ถึงยังไงพี่น้องของข้าก็มีเยอะมาก ลำบากอยู่กับลูกเขยที่แดนรัตติกาลมาตั้งหลายปี ควรจะออกมาเห็นโลกภายนอกได้แล้ว อาณาเขตสายเถาะเหมือนจะเล็กไปหน่อย อาณาเขตทัพใต้เหมาะสมกำลังดี!  เขาประกาศสิ่งนี้อย่างเปิดเผยต่อหน้าฝูงชน มีความเผด็จการเต็มเปี่ยม!

 ไม่นะ…ไม่นะ…ท่านสามี ข้าขอร้อง! ผังเสี้ยวเสี้ยวถูกดึงไว้แน่นจนขัดขืนไม่ได้ นางพูดขอร้องไม่หยุด มองเหมียวอี้ด้วยแววตาน่าเวทนายิ่งนัก แต่ใบหน้าด้านข้างที่เหมียวอี้แสดงให้นางเห็นนั้นทั้งเด็ดเดี่ยวทั้งเย็นชา ทำให้นางหวาดกลัวถึงขีดสุด

……………

 

เมื่อฟังรายงานจบ ในดวงตาฮ่าวเต๋อฟางก็ฉายแววเดือดดาล พอนึกได้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองสั่งให้ลูกน้องปล่อยทัพใหญ่แดนรัตติกาลผ่านเข้ามา มีหรือที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะมาถึงเร็วขนาดนี้ เขาเข้าใจแล้ว ว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังเล่นละครกับผังก้วน ที่บอกว่าโจมตีกำลังพลร้อยล้านแตกได้ในชั่วพริบตาเดียวล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล!

ความเดือดดาลมาเร็วไปเร็ว เขาสงบนิ่งผิดปกติทันที จากนั้นหันหน้ากลับมาช้าๆ สายตาจ้องผังก้วนที่กำลังตื่นเต้นดีใจอยู่ไกลๆ ชูดาบในมือขึ้นมา แล้วตะโกนเสียงต่ำว่า  ตามข้าฝ่าวงล้อมไป ฆ่า! 

 ฆ่า!  กำลังพลเหลือไม่ถึงหนึ่งล้าน แต่กลับติดตามเขาฝ่าออกไปอย่างห้าวหาญไม่กลัวตาย

ฮ่าวเต๋อฟางองอาจห้าวหาญจริงๆ พอเขาลงมือ ก็นำกำลังพลสังหารฝ่าวงล้อมออกมาแล้ว ดันทุรังโจมตีฝ่าออกมาได้

ตามทิศทางที่ฮ่าวเต่อฟางฝ่าวงล้อมออกมา พลธนูที่รวมตัวกันอยู่ด้านนอกก็รีบทอดข้ามมาง้างธนูรออยู่ด้านหน้า พอพวกฮ่าวเต๋อฟางสังหารฝ่าวงล้อมออกมา ผังจื่อฉางก็ตะโกนสั่งทันที  ยิงธนู! 

ชั่วพริบตาเดียวลำแสงจำนวนมากก็ยิงใส่ตรงช่องโหว่ที่มีกลุ่มคนฝ่าออกมา

 ท่านอ๋อง!  กลุ่มแม่ทัพร้องตกใจ ดิ้นรนถลันตัวมาข้างหน้า ยกโล่คุ้มครองฮ่าวเต๋อฟาง

เสียงระเบิดดังตูมตาม คนนับพันถูกกำจัดในชั่วพริบตาเดียว ต่อให้ฮ่าวเต๋อฟางจะองอาจสักแค่ไหน แต่ก็จำต้องถูกบีบให้ถอยกลับออกไป ทัพใหญ่ที่ล้อมโจมตีรีบหุบไว้ ทำให้เขาตกอยู่ในวงล้อมอีกครั้ง

ฮ่าวเต๋อฟางเปลี่ยนทิศทางฝ่าวงล้อมอีก ทว่าทุกครั้งที่ทำเช่นนี้ก็ล้วนถูกกลุ่มธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยับยั้งไว้ ถูกกดดันให้กลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีทางฝ่าวงล้อมออกไปได้เลย กลับทำให้ลูกน้องตายเปล่า ฮ่าวเต๋อฟางจึงต้องกลับเข้ามาในทัพกลางอีกครั้ง มีแค่ความองอาจห้าวหาญ แต่กลับไม่มีที่ให้แสดงความองอาจ มองดูกำลังพลรอบข้างที่น้อยลงเรื่อยๆ ฮ่าวเต๋อฟางก็เริ่มหนักใจ

จุดยุทธศาสตร์ระหว่างน่านฟ้าชวดอู้กับน่านฟ้าขาลกุ่ย ศึกใหญ่จบลงไปฝั่งหนึ่งแล้ว

กำลังพลฝั่งตระกูลฮ่าวส่วนใหญ่โดนฆ่าตายหมด คนที่ยอมแพ้ก็โดนฆ่าตายเหมือนเดิม ผังก้วนบอกไว้ชัดเจนแล้วว่าต้องการสังหารกำลังพลสายฮ่าวเต๋อฟางให้หมดสิ้น

มีเพียงคนกลุ่มเดียวที่รอดชีวิต นั่นก็คือบรรดาอนุภรรยานับร้อยของฮ่าวเต๋อฟาง กำลังพลสายตระกูลผังยังปรานี แต่ละคนเป็นสาวงามหยาดเยิ้ม ล้วนเป็นเป็นรางวัลจากสนามรบ เรียกได้ว่าเป็นของดีที่สามารถเอาไว้ตบรางวัลได้

กำลังพลส่วนใหญ่กำลังเก็บกวาดสนามรบ ลู่หลงคุมตัวผู้หญิงนับร้อยเข้ามา ยื่นมือบอกใบ้เหมียวอี้ด้วยสีหน้าร่าเริง

เหมียวอี้กวาดสายตามองบนตัวผู้หญิงกลุ่มนี้ แต่ละคนเลือดท่วมตัว สีหน้าเศร้าโศกหวาดกลัว มองไม่ออกว่างดงามอย่างไร แต่ก็สามารถจินตนาการได้ คนที่ฮ่าวเต๋อฟางรับเป็นอนุภรรยาจะต้องเป็นยอดหญิงงามที่พบได้น้อยในใต้หล้าแน่นอน ดูจากรอยยิ้มชั่วร้ายของกำลังพลสายตระกูลผังก็รู้แล้วว่าหมายความว่าอะไร เห็นได้ชัดว่ากระหายอยากได้ส่วนแบ่งความสำราญนี้ ผู้หญิงของฮ่าวเต๋อฟางใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสได้นอนด้วย

 แม่ทัพลู่ หมายความว่ายังไง?  เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ

ลู่หลงตอบกลั้วหัวเราะ  ทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาช่วยตั้งไกล จะให้พี่น้องแดนรัตติกาลเหนื่อยเปล่าไม่ได้ เพื่อแสดงน้ำใจ พี่น้องเบื้องล่างก็ไม่ว่าอะไร ผู้ตรวจการใหญ่เชิญเลือกก่อนได้เลย ให้พี่น้องแดนรัตติกาลเลือกไปก่อนครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือฝั่งพวกเราค่อยแบ่งกัน ผู้ตรวจการใหญ่คิดว่ายังไง?  เขารู้สึกว่าตัวเองทำอย่างนี้ถือว่าใจกว้างมากแล้ว

เมื่อกล่าวเช่นนี้ ซิง ชิงเยว่ หนานกงหรูอวี้ ม่ายจื่อและคนอื่นๆ ขมวดคิ้ว ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน บางคนถึงขั้นแค้นว่าทำไมผู้หญิงพวกนี้ถึงความเด็ดเดี่ยวเอาเสียเลย ไม่สู้ฆ่าให้ตายไปตอนรบดีกว่า จะได้ไม่ทำให้ผู้หญิงด้วยกันเสียหน้า

ทว่าพวกนางมีตำแหน่งสูง คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว[1] สำหรับยุคนี้ เพื่อที่จะมีชีวิตรอด ผู้หญิงพวกนี้เลือกอย่างนี้ก็พอจะเข้าใจได้ ในใต้หล้านี้ นี่คือวิธีเอาชีวิตรอดของผู้หญิงจำนวนไม่น้อย ต่อให้เป็นโลกมนุษย์ มีผู้หญิงตั้งมากมายเท่าไรที่ต้องเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้มีชีวิตรอด

พวกชิงเยว่เข้าใจได้เช่นกัน ศึกใหญ่ควรมีรางวัล สาวงามเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตบรางวัลให้ทหาร ถ้าเปลี่ยนให้พวกนางเป็นแม่ทัพหลัก เมื่อเจอกับสถานการณ์แบบนี้ก็ต้องทำอย่างนี้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นทุกคนจะฆ่ากันเอาเป็นเอาตายไปเพื่ออะไรล่ะ ไม่ใช่เพื่ออำนาจ เงินทองและสาวงามหรอกหรือ บางคนถึงขั้นยอมทิ้งอำนาจบางส่วนหรือทรัพย์สินบางอย่างเพื่อสาวงามด้วยซ้ำ บางคนก็ยิ่งรักหญิงงามแต่ไม่รักแผ่นดิน ด้วยเหตุนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าสาวงามมีแรงดึงดูดขนาดไหน โดยเฉพาะผู้หญิงที่ติดยี่ห้อฮ่าวเต๋อฟางเอาไว้ พวกนางยิ่งมีแรงดึงดูด

 แม่ทัพลู่ ขออภัยที่ข้าพูดตรง พวกนางล้วนเป็นผู้หญิงของฮ่าวเต๋อฟาง เก็บไว้เกรงว่าจะเป็นปัญหาในภายหลัง!  เหมียวอี้กล่าวอย่างเย็นชา

ผู้หญิงกลุ่มนี้ได้ยินแล้วเงยหน้าขึ้นอย่างหวาดกลัว ทำไมพวกนางถึงยอมแพ้ล่ะ ยอมแพ้ก็เพื่อเอาชีวิตรอดไม่ใช่หรอกหรือ? คนที่มีปณิธานแน่วแน่รบตายไปหมดแล้ว พวกนางจึงขอร้องด้วยน้ำเสียงเศร้าโวก

 ผู้ตรวจการใหญ่โปรไว้ชีวิต 

 ข้ายินดีปรนนิบัติผู้ตรวจการใหญ่เหมือนวัวเหมือนม้า 

 ข้าไม่กล้ามีใจคิดเป็นอื่นแน่นอน 

 ผู้ตรวจการใหญ่ พวกเราก็โดนกดดันเหมือนกัน ถึงได้มาเป็นศัตรูกับผู้ตรวจการใหญ่ ต่อไปไม่กล้าแล้วค่ะ! 

ลู่หลงกล่าวกลั้วหัวเราะ  ผู้ตรวจการใหญ่ก็เห็นหมดแล้ว ผู้หญิงพวกนี้ไม่เป็นโล้เป็นพาย ลูกสาวหลานสาวของฮ่าวเต๋อฟางย่อมไม่กล้าเก็บไว้อยู่แล้ว ฆ่าตายไปหมดแล้ว ส่วนคนพวกนี้ถ้าจับตาดูใกล้ชิดสักหน่อย ก็ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก 

เหมียวอี้แสยะยิ้ม  ฮ่าวเต๋อฟางมีอำนาจมาหลายปี ย่ำยีผู้หญิงของเขาจะเกินไปหน่อยหรือเปล่า? แม่ทัพลู่ไว้หน้าข้าสักครั้ง ไว้หน้าฮ่าวเต๋อฟางสักหน่อยเถอะ! 

 เอ่อ…  ลู่หลหันกลับไปมองพี่น้องที่มองตาปริบๆ แวบหนึ่ง ศึกนี้สู้ลำบากเกินไปแล้ว คนตายไปตั้งเท่าไร พอเหมียวอี้พูดแบบนี้ ก็ทำให้เขาลำบากใจมาก ถ้าไม่ตอบตกลงก็จะฟังดูเหลวไหล เพราะอีกฝ่ายช่วยเหลือไว้ตั้งมากมาย

เหมียวอี้ไม่สนใจเช่นกันว่าเขาจะตอบตกลงหรือไม่ เขายกมือขึ้นมา แล้วเอียงหน้าส่งสัญญาณให้ชิงเยว่

 เตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!  ชิงเยว่สั่งทันที

กำลังพลกลุ่มหนึ่งรีบง้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เล็งไปที่ผู้หญิงกลุ่มนั้น ทำเอากำลังพลสายตระกูลผังที่คุมตัวพวกนางอยู่ตกใจจนรีบถลันหลบ

 ผู้ตรวจการใหญ่…  ผู้หญิงกลุ่มนั้นกล่าววิงวอนขอชีวิต

 ยิงธนู!  ชิงเยว่ออกคำสั่งอย่างไม่ลังเล เด็ดเดี่ยวกว่าเหมียวอี้เสียอีก ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน นางไม่อยากเห็นพวกนางปล่อยไก่ให้อับอาย

ปั้งๆๆ ลำแสงยิงออกไปเป็นระลอก เสียงกรีดร้องที่ดังสนั่นหายไปแล้ว กลุ่มยอดหญิงงามกลายเป็นหมอกเลือดไปแล้ว เกราะรบโลหะปลิวว่อน

กลุ่มยอดหญิงงามหายไปอย่างนี้แล้ว ในกำลังพลของทั้งสองฝ่าย มีคนไม่น้อยที่รู้สึกปวดใจและเสียใจ ปวดใจสุดๆ แต่ละคนมองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่เหมือนมองสัตว์ประหลาด ลู่หลงถึงขั้นสงสัย ว่าท่านนี้คงไม่ได้แสร้งเป็นรักษาตัวให้บริสุทธิ์เพื่อให้คุณหนูเสี้ยวเสี้ยวเห็นหรอกใช่มั้ย? ถึงขั้นนั้นเชียวหรือ ถ้าเจ้าจะรับสาวงามไว้สักสองสามคน จอมพลผังคงไม่ว่าอะไรหรอก จำเป็นต้องฆ่าให้หมดด้วยเหรอ ถ้าไม่เอาจริงๆ ก็มอบเป็นรางวัลให้ลูกน้องไปสิ

หลังจากชิงเยว่โบกมือให้ลูกน้องเก็บธนู ก็กุมหมัดคารวะเหมียวอี้อีกเพื่อรายงานผลการปฏิบัติงาน

เหมียวอี้สีหน้าเย็นชา แต่ในใจกลับรู้แจ่มแจ้ง ว่าพวกผู้หญิงที่แต่งงานกับฮ่าวเต๋อฟาง อาจจะไม่ได้มีความรักต่อฮ่าวเต๋อฟางเท่าไรนัก พูดตรงๆ ก็คือล้วนหวังจะมีชีวิตรอด หวังจะใช้ชีวิตให้สบายขึ้นสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงของฮ่าวเต๋อฟางหรือผู้หญิงของคนอื่นก็ล้วนเป็นอนุภรรยา เขาทำแบบนี้ไม่ยุติธรรมต่อพวกนาง

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป เขาก็อาจจะปิดตาข้างเดียวตามเสียงส่วนใหญ่ แต่สำหรับฮ่าวเต๋อฟาง เขายังต้องไว้หน้าสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องทำให้เสียเกียรติ

เขาสั่งฆ่าผู้หญิงพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นการทำเรื่องเลวอย่างเลือดเย็น แต่พวกหนานกงหรูอวี้กลับมองเหมียวอี้ด้วยแววตาชื่นชม

 แม่ทัพลู่ ขออภัย ก่อกวนอารมณ์สุนทรีของพี่น้องแล้ว แต่ได้โปรดเข้าใจ เพราะถึงยังไงเมื่อก่อนฮ่าวเต๋อฟางก็เป็นพันธมิตรกับข้าข้าต้องไว้หน้าเขาสักหน่อย!  เหมียวอี้กล่าวขณะโบกมือชี้ไปรอบๆ  ของเชลยศึกอย่างอื่นล้วนเป็นของพวกเจ้า พวกเราไม่เอาสักอย่างเดียว! 

พอเขาพูดแบบนี้ ในใจลู่หลงก็สบายขึ้นมาหน่อย คำพูดชี้ทำให้เขาชี้แจงต่อเบื้องล่างได้สะดวก จึงหัวเราะแหง้ๆ แล้วบอกว่า  ในเมื่อผู้ตรวจการใหญ่พูดแล้ว ลู่ยังจะพูดอะไรได้อีก คิดเสียว่าผู้หญิงพวกนี้ถูกผู้ตรวจการใหญ่รับไว้หมดแล้ว 

 ข้าไม่มีเวลาอยู่ตรงนี้แล้ว แม่ทัพลู่โปรดรีบเก็บกวาดสนามรบให้ไว จากนั้นรีบโจมตีรังของฮ่าวเต๋อฟาง กวาดล้างผู้รอดชีวิตของฮ่าวเต๋อฟางให้หมดสิ้น!  เหมียวอี้กล่าว

นี่เป็นงานที่สบาย ที่รังของฮ่าวเต๋อฟางไม่มีใครขัดขืนแล้วแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะได้ของดีเยอะกว่านี้ก็ได้ ลู่หลงย่อมไม่มีเหตุผลให้ไม่เต็มใจ เพียงแต่ยังขมวดคิ้วบอกว่า  จอมพลมีคำสั่ง สั่งให้ฝั่งนี้รีบถอนกำลังกลับไปสนับสนุน! 

เหมียวอี้บอกว่า  ทางฝั่งจอมพลผังข้าย่อมไปสนับสนุนเอง เจ้าไม่ต้องกังวล  ขณะที่พูดก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อผังก้วน

เมื่อได้ยินว่ากำลังพลของฮ่าวเต๋อฟางที่อยู่ฝั่งนี้ถูกปราบหมดแล้ว ผังก้วนก็ดีใจสุดๆ เขาไม่ให้ลู่หลงไปที่รังของฮ่าวเต๋อฟาง เพราะเมื่อฮ่าวเต๋อฟางที่อยู่ฝั่งนี้ถูกกำจัด ทหารเล็กๆ ที่เฝ้ารังก็คงจะหอบข้าวของหนีไปแล้ว ยังจะมีอะไรให้กินอีก กลับเป็นที่อื่นที่มีกำลังทหารไม่พอ ต้องการกำลังพลไปสนับสนุนเร่งด่วน ส่วนฝั่งนี้มีกำลังพลหลายสิบล้านของหนิวโหย่วเต๋ออยู่ เพียงพอที่จะรับมือทุกอย่างได้ ปลอดภัยเชื่อถือได้กว่าทหารที่อ่อนล้าหมดแรงของลู่หลง

ลู่หลงถือคำสั่งมาคุยกับเหมียวอี้ตามมารยาท จากนั้นต่างคนก็ต่างทำงานของตัวเอง

เหมียวอี้เก็บรวมกำลังพลแล้วเข้าประตูดวงดาวที่เปิดทางให้ เร่งเดินทางไปที่น่านฟ้าขาลกุ่ย

ในทัพกลาง เหมียวอี้ประกาศกลยุทธ์ใหม่อีกครั้ง เป็นกลยุทธ์สุดท้ายของศึกนี้เช่นกัน

ในที่สุด จุดประสงค์แท้จริงที่เคลื่อนทัพใหญ่ออกจากแดนรัตติกาลก็เปิดเผยออกมาแล้ว เรียกได้ว่าทำให้พวกเหิงอู๋เต้าตกตะลึงพรึงเพริด ปณิธานของผู้ตรวจการใหญ่น่าตกใจจริงๆ ความปรารถนาก็ยิ่งใหญ่จนทุกคนตระหนก ทำให้พวกเขาโน้มน้าวอยู่พักหนึ่ง ผลปรากฏว่าพอเหมียวอี้พูดสองสามประโยค พวกเขาก็เงียบแล้ว อีกทั้งแต่ละคนยังตาเป็นประกายด้วย ตื่นเต้นดีใจที่สุด

 ยินดีฟังคำสั่งผู้ตรวจการใหญ่!  พวกเหิงอู๋เต้ากุมหมัดคารวะเป็นเสียงเดียวกัน นับถือจนแทบจะหมอบกราบแล้ว อุบายห่วงโซ่ที่เป็นแผนซ้อนแผนแบบนี้ทำให้คนเลื่อมใสศรัทธาจริงๆ เจ้าแผนการขนาดนี้ ไม่แปลกใจที่ผงาดขึ้นมาได้เร็ว!

 อะไรนะ? 

ในจวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีตกใจมาก อุทานเสียงหลง

ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง  ที่จริงแล้วทัพใหญ่แดนรัตติกาลเป็นกองหนุนของผังก้วน ทัพอารักขาของฮ่าวเต๋อฟางตกหลุมพราง แพ้ย่อยยับหมดแล้ว! 

โค่วเจิงแสยะยิ้ม  แสดงละครกับผังก้วนอยู่ตั้งนาน ข้าก็สงสัยว่าทำไมเขาบุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ตลอดทาง เพราะฮ่าวเต๋อฟางเปิดทางให้ แล้วผังก้วนก็แสร้งทำ จะไม่บุกผ่านตลอดทางได้ยังไง!เกรงว่าสถานการณ์กองทัพของสองฝั่งจะอยู่ในมือเขาหมดแล้ว มีผังก้วนให้ความร่วมมืออีก ไม่แปลกใจที่จะมาถึงจุดทำศึกตัดสินได้ล่วงหน้า ที่บอกว่าโจมตีกำลังพลร้อยล้านแตกพ่ายก็เป็นแค่มุขตลกเท่านั้น! 

โค่วหลิงซวีเงยหน้าถอนหายใจ  ฮ่าวเต๋อฟางสิ้นอนาคตแล้ว!  ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้ารันทด ส่ายหน้าไม่หยุด

ตำหนักสวรรค์ ใจพระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงเดือดดาลสุดขีด ใช้กำปั้นทุบแผนที่ดาวคว่ำ ตะโกนด่าว่า  สารเลว บังอาจทรยศข้า ดูหมิ่นบัญชาข้า! 

บรรดาลูกน้องคนสนิทเงียบงัน ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงจริงๆ วุ่นวายอยู่ตั้งนาน ที่แท้หนิวโหย่วเต๋อก็เป็นคนของผังก้วน แต่ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็เหมือนจะไม่แปลก ผังก้วนกล้ากบฏต่อฮ่าวเต๋อฟาง แปลกเหรอที่จะสามารถดึงทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาเป็นพวกได้?

 เจ้ายังกล้าพูดอักมั้ยว่าเขาไม่ใช่ขุนนางใจคด ยังกล้าพูดว่าข้าบีบเขาอีกมั้ย?  ประมุขชิงหันกลับไปชี้หน้าด่าโพ่จวิน

โพ่จวินเถียงไม่ออก

กลับเป็นเกาก้วนที่จู่ๆ ก็กุมหมัดคารวะ  ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าโมโห ที่จริงจะว่าไปแล้วกลับเป็นเรื่องดีขอรับ! 

 เรื่องดี!  ประมุขชิงชี้หน้าเกาก้วนทันที ตะคอกอย่างโมโหว่า  น้ำเข้าสมองเจ้าแล้วหรือไง? ใต้หล้ารู้กันหมดว่าเป็นบัญชาของข้า ใต้หล้ารู้กันหมดว่าข้าโดนไอ้สารเลวปั่นหัว ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? 

เกาก้วนกล่าวอย่างสุขุมว่า  ในศึกนี้ กำลังพลของผังก้วนได้รับความเสียหาย ฝ่าบาทสามารถติดต่อกงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนได้ สั่งให้สองคนนั้นไปปราบผังก้วนกับหนิวโหย่วเต๋อ พอฮ่าวเต๋อฟางล้มแล้ว สองคนนั้นไม่มีอะไรให้ห่วงหน้าพะวงหลัง เกรงว่าคงยินดีที่จะได้เป็นเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อคนที่สอง มีหรือที่จะไม่ถวายชีวิตรับใช้ฝ่าบาท!พวกเขาสู้กันไปสู้กันมา เท่ากับกำลังช่วยทำให้แผนแบ่งอาณาเขตทัพใต้ของฝ่าบาทสำเร็จ ฝ่าบาทได้บรรลุเป้าหมายโดยไม่เปลืองแรงสักนิด จะไม่ใช่เรื่องดีเชียวหรือขอรับ? 

 ข้าน้อยเห็นด้วย!  ซือหม่าเวินเทียนกุมหมัดคารวะทันที

 ข้าน้อยเห็นด้วย!  พวกโพ่จวินกล่าวสนับสนุนเช่นกัน

ประมุขชิงอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะลั่น  ดี!ซ่างกวน ถ่ายทอดบัญชาของข้าไปให้กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวน! 

……………

 

 ฝ่าบาท!  เมื่อเห็นขุนนางกับราขันกำลังจะทะเลาะกันอีกแล้ว อู๋ฉวี่ก็รีบพูดตัดบท เปลี่ยนประเด็นสนทนา  ตอนนี้จุดประสงค์ของหนิวโหย่วเต๋อชัดเจนแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อตั้งแตแรกว่าตัวเองจะได้อาณาเขตสายเถาะอย่างราบรื่น ไม่เชื่อด้วยว่าฮ่าวเต๋อฟางจะให้เขาง่ายๆ ดังนั้นเขาถึงได้วางแผนการโจมตีนี้ขึ้นมา เขาไม่เอากำลังพลของตัวเองไปสิ้นเปลืองกับผังก้วนเลย เขากำลังยืมมือผังก้วนกำจัดทัพเกรียงไกรของฮ่าวเต๋อฟาง พอทั้งสองฝั่งสู้กันจนเสียหายพอสมควรแล้ว เขาค่อยเข้าร่วมศึกตัดสินได้รวดเดียว ถ้าร่วมมือกับทัพเกรียงไกรที่เหลือของฮ่าวเต๋อฟางก็จะกำจัดผังก้วนทิ้งได้อย่างง่ายดาย แบบนี้เขาก็จะได้อาณาเขตสายเถาะของผังก้วนแล้ว ส่วนฮ่าวเต๋อฟาง ต่อไปก็ไม่มีกำลังที่จะเตะเขาออกจากเรื่องนี้ง่ายๆ แล้ว! 

เกาก้วนพยักหน้า  เขาเองยังสามารถรักษากำลังเอาไว้คุมสายเถาะได้ด้วย 

ซือหม่าเวินเทียนถอนหายใจ  หรือพูดได้อีกอย่างว่า เขาไม่แยแสเลยว่าจะช่วยกู้สถานการณ์ให้ฮ่าวเต๋อฟางได้หรือไม่ ไม่สนใจความเป็นความตายของฮ่าวเต๋อฟางเลยสักนิด เป้าหมายของเขาชัดเจนมาก นั่นก็คือทำให้ฮ่าวเต๋อฟางกับผังก้วนสิ้นเปลืองกำลังพล เขาก็แค่จะเอาอาณาเขตสายเถาะ! 

 ช่างเป็นคนสารเลวที่ปลิ้นปล้อน!  ประมุขชิงแค้นจนกัดฟันกรอด ตอนนี้ทั้งใต้หล้ารู้หมดแล้วว่าเขาสัญญาจะมอบอาณาเขตสายเถาะให้หนิวโหย่วเต๋อเพื่อสั่งให้หนิวโหย่วเต๋อเคลื่อนทัพ สุดท้ายหนิวโหย่วเต๋อก็เคลื่อนทัพไปปราบผังก้วนแล้วจริงๆ เอาสายเถาะไปอย่างชอบธรรม ถึงตอนนั้นตัวเองไม่มีแม้กระทั่งข้ออ้างให้กลืนคำพูด ใครกล้าบอกล่ะว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ออกแรง? ส่วนฮ่าวเต๋อฟางนั้น จะช่วยได้หรือไม่ได้ก็ไม่ได้สำคัญสำหรับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว

ทว่าสำหรับฮ่าวเต๋อฟางในตอนนี้ เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว มีหรือที่จะยังไม่รู้แผนดีดลูกคิดรางแก้ว[1]ของหนิวโหย่วเต๋อ แต่สำหรับเขาในตอนนี้ เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว ที่สำคัญก็คือหนิวโหย่วเต๋อยินดีที่จะช่วยเขาอีกแรง

บนจุดยุทธศาสตร์จากน่านฟ้าชวดอู้ไปน่านฟ้าขาลกุ่ย ตอนนี้การแสดงบทสู้กันเอาเป็นเอาตายยังคงดำเนินต่อไป กำลังพลสายตระกูลผังกัดไม่ปล่อย ทัพใหญ่ฝั่งตระกูลฮ่าวสู้ไม่ถอย

ทัพใหญ่ฝั่งตระกูลฮ่าวที่บุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่มาตลอดทาง ตอนนี้ถูกทัพใหญ่ของผังก้วนพัวพันอยู่ที่นี่ ศัตรูเยอะเราแย่จริงๆ จากกำลังพลหกสิบกว่าล้าน ตอนนี้สู้จนเหลือไม่ถึงสามสิบล้าน รบเสียหายไปเกินครึ่งแล้ว

และเมื่อเผชิญกับการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของทัพฮ่าวเต๋อฟาง กำลังพลสายตระกูลผังที่บัญชาการโดยลู่หลงก็ยิ่งบาดเจ็บล้มตายยับเยิน กำลังพลเกือบสองร้อยล้าน ตอนนี้สู้จนเหลือแค่แปดสิบล้านแล้ว รบมานานมากจนถึงตอนนี้ ทหารล้วนอ่อนเพลียถึงขีดสุด แต่ลู่หลงก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ว่าถึงช่วงเวลาสำคัญที่สู้กันเอาเป็นเอาตายแล้ว ต่อให้ตายก็ถอยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นความพยายามที่ทุ่มเทไปก็จะเสียเปล่า

กำลังพลฝั่งตระกูลฮ่าวที่บัญชาการโดยอินสวี่ก็อ่อนล้าหมดแรงเช่นกัน ต่อให้บนตัวมีของมาเติมพลัง แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเวลาให้พวกเขาฟื้นฟูตัวเอง

ฝั่งเขาก็เยี่ยมยอดเช่นกัน มีกำลังพลกลุ่มเล็กฝ่าวงล้อมออกไปได้เป็นระยะ ทว่าพอมาถึงประตูดวงดาวตรงจุดยุทธศาสตร์ ก็ถูกลูกธนูดาวตกยิ่งใส่ราวกับห่าฝน ระงับไม่ให้พวกเขาผ่านไป

สุดท้ายก็โดนบีบจนไร้ทางเลือก ทำได้เพียงดันทุรังใช้กำลังปะทะ

มีข่าวส่งมาทางระฆังดารา อินสวี่ที่บัญชาการทัพกลางหยิบระฆังดาราออกมา เป็นข้อความจากฮ่าวเต๋อฟาง ฮ่าวเต๋อฟางบอกเขาว่า ทัพใหญ่แดนรัตติกาลของหนิวโหย่วเต๋อกำลังจะมาถึงแล้ว ต้องการให้พวกเขายืนหยัดอีกหน่อย!

อินสวี่ได้ยินแล้วฮึกเหิม กางแขนตะโกนเสียงดังว่า  หนิวโหย่วเต๋อนำทัพใหญ่แดนรัตติกาลห้าสิบล้านมาแลว จะมาถึงภายในครึ่งชั่วยามนี้ ทุกคนยืนหยัดไว้! 

ขวัญกำลังใจทหารฝั่งนี้เพิ่มขึ้นพรวดพราดแล้วจริงๆ พากันตะโกนเสียงดังว่า  กองหนุนห้าสิบล้านของแดนรัตติกาลมาถึงแล้ว กองหนุนแดนรัตติกาลใกล้จะถึงแล้ว! 

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนนี้ กำลังพลสายตระกูลผังก็ใจแป้วทันที แค่กำลังพลสามสิบล้านนี้ก็จัดการยากแล้ว ถ้ามีทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาอีกห้าสิบล้าน ทุกคนอ่อนล้าหมดแรงขนาดนี้ จะต้านไหวได้อย่างไร?

ที่จริงเหมียวอี้ก็แจ้งสองฝั่งให้รู้พร้อมกัน ด้านหนึ่งแจ้งให้ฮ่าวเต๋อฟางรู้ อีกด้านหนึ่งแจ้งให้ผังก้วนรู้

ฝั่งลู่หลงก็ได้ข่าวจากผังก้วนเช่นกัน ผังก้วนรู้ว่าฝั่งนี้รบอย่างยากลำบาก รู้ว่าช่วงเวลาสำคัญมาถึงแล้ว ไม่อาจปล่อยให้เกิดช่องโหว่ได้ เพื่อทำให้ลู่หลงมั่นใจ ตอนนี้จึงเปิดเผยความจริงให้รู้ ว่าไม่ใช่แค่ร่วมมือกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วเท่านั้น ที่จริงแล้วหนิวโหย่วเต๋อเป็นลูกเขยของเขาด้วย เป็นสามีของผังเสี้ยวเสี้ยว!

ผังก้วนต้องการให้เขายืนหยัดไว้ ให้ความร่วมมือกับแผนการของหนิวโหย่วเต๋อในการกำจัดทัพเกรียงไกรของฮ่าวเต๋อฟางทั้งหมดในรวดเดียว ศึกนี้จะต้องกำจัดปัญหาในทัพใต้ให้หมดสิ้น สละชีพตอนนี้ก็เพื่อลดการสละชีพที่จะเกิดขึ้นในอนาคต!

สิ่งนี้ทำให้ลู่หลงผิดคาดจริงๆ เขารู้ตั้งนานแล้วว่าจอมพลดึงหนิวโหย่วเต๋อมาเป็นพวก ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ เกรงว่าเขาคงไม่พอใจกับการบัญชาการของผังก้วนไปนานแล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึงเลยว่าหนิวโหย่วเต๋อจะกลายเป็นลูกเขยของจอมพลไปแล้ว จอมพลฉลาดล้ำลึกจริงๆ ด้วย

ลู่หลงที่บัญชาการทัพกลางชำเลืองมองกำลังพลฝั่งตระกูลฮ่าวที่กำลังตะโกน มุมปากเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทัพใหญ่แดนรัตติกาลยังไม่มาเท่านั้นเอง ถ้ามาแล้วก็ถึงเวลาตายของพวกเจ้าแล้ว

 แม่ทัพทุกคนอย่าได้กลัว แม่ทัพฮูเหยียนนำกองหนุนร้อยล้านมาแล้ว!  ลู่หลงตะโกนเรียกขวัญกำลังใจทหาร

ในศูนย์บัญชาการทัพใหญ่แดนรัตติกาล พอฝ่าเข้าน่านฟ้าชวดอู้มาแล้ว พวกเหิงอู๋เต้าก็ตกตะลึงพรึงเพริด การตัดสินใจของเหมียวอี้ทำให้พวกเขาตะลึงค้าง

ไม่น่าเชื่อว่าการเคลื่อนทัพครั้งนี้จะไม่ได้มาเพื่อช่วยฮ่าวเต๋อฟาง แต่เป็นการช่วยผังก้วน

เหมียวอี้กวาดสายตามองทุกคน แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า  ทุกคน คำพูดประมุขชิงเชื่อถือไม่ได้หรอก มีหรือที่ฮ่าวเต๋อฟางจะยอมให้อาณาเขตง่ายๆ ถ้าปล่อยให้ฮ่าวเต๋อฟางได้พักหายใจ แล้วรวบรวมกำลังพลสายมะโรงกับสายมะเส็งเมื่อไร พวกเราก็ใช้กำลังเอาชนะไม่ไหว สนับสนุนผังก้วนจะคุ้มกว่า! 

บรรดาแม่ทัพมองหน้ากันเลิกลั่ก นี่คือการขัดบัญชาอย่างโจ่งแจ้ง!

หวงลี่ขมวดคิ้ว  ผู้ตรวจการใหญ่ กองทัพองครักษ์จับจ้องอยู่ ผลที่ตามมาจากการขัดบัญชาร้ายแรงมาก ถ้ากองทัพองครักษ์ลงมือเมื่อไร เกรงว่าพวกเราจะลำบากมาก 

 ไม่น่ากังวลหรอก ข้ามีแผนดีๆ รับมืออยู่แล้ว!  เหมียวอี้ตอบอย่างสบายๆ

ตรงจุดยุทธศาสตร์ทางผ่านเข้าน่านฟ้าขาลกุ่ย ทัพใหญ่สองทัพยังคงเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด

ทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่บุกโจมตีมาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็มาถึงแล้ว ตั้งกระบวนทัพโจมตีตั้งแต่ไกลๆ

 กองหนุนมาถึงแล้ว! 

 กองหนุนมาถึงแล้ว! 

กำลังพลฝั่งตระกูลฮ่าวที่ทำศึกเลือดด้วยความยากลำบากเปล่งเสียงร้องดีใจอย่างบ้าคลั่ง บางคนก็ยิ่งดีใจจนน้ำตาไหล เป็นเพราะศึกนี้ขื่นขมเกินไปแล้ว สละชีวิตพี่น้องไปมากมายขนาดนั้น ทุกคนไม่มีเวลาปรับปรุงกำลังเลย เหนื่อยล้าอ่อนแรงเกินไปแล้ว

เมื่อบรรดาอนุภรรยาของฮ่าวเต๋อฟางเห็นกองหนุน บางคนก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้โฮ ร้องไห้อย่างเจ็บปวดรวดร้าว พวกผู้หญิงที่ได้สัมผัสประสบการณ์ของสงครามว่าโหดร้ายขนาดไหน ในที่สุดก็มองเห็นความหวังแล้ว

เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบทั้งตัวลอยมาอยู่ตรงหน้าทัพใหญ่ โบกทวนชี้ แล้วตะโกนสั่งด้วยสีหน้าเย็นชา  ฆ่า! 

 ฆ่า! 

ทัพใหญ่แผดเสียงคำรามทันที บุกทะลวงวงล้อมโดยตรง ฝ่าวงล้อมกำลังพลของตระกูลผัง พวกเหมียวอี้ที่ถูกคุ้มกันอยู่ในทัพกลางไหลเข้าไปรวมกับกำลังพลฝั่งตระกูลฮ่าวแล้ว

พอนำทัพบุกเข้ามาแล้ว เหมียวอี้ก็ตะโกนถาม  ใครคือแม่ทัพหลัก! 

อินสวี่รีบให้กำลังพลหลีกทาง ก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วกุมหมัดคารวะ  ผู้ตรวจการทัพขวาอินสวี่ คารวะผู้ตรวจการใหญ่!  ท่าทีสุภาพจริงๆ ถ้าพูดถึงตำแหน่ง เขาถือว่าสูงกว่าเหมียวอี้ แต่ตอนนี้เหมียวอี้ล้ำค่ายิ่งกว่าบรรพบุรุษของพวกเราเสียอีก หลังจากทำความเคารพแล้วก็คว้าข้อมือเหมียวอี้อีก แล้วกล่าวอย่างซาบซึ้งใจว่า  กองหนุนของผู้ตรวจการใหญ่มาได้ทันเวลา มาได้ทันเวลามาก! 

พวกผู้หญิงที่อยู่ฝั่งซายและขวากรูกันออกมา เป็นอนุภรรยาของฮ่าวเต๋อฟางนั่นเอง พวกนางพากันคำนับเหมียวอี้  คำนับผู้ตรวจการใหญ่! 

คาดว่ายามปกติคงไม่เห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตา

หนึ่งในนั้นถึงขั้นปาดน้ำตา  ผู้ตรวจการใหญ่ รีบไปช่วยท่านอ๋องเถอะค่ะ! 

เหมียวอี้กวาดสายตาเย็นชามองกลุ่มผู้หญิงที่เลือดท่วมตัว พยักหน้าเชาๆ แล้วหันไปบอกอินสวี่ว่า  แม่ทัพอิน เรื่องนี้ชักช้าไม่ได้ สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง? 

 ท่านดู…  อินสวี่โบกมือชี้ไปรอบๆ ทันที รีบอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ให้เหมียวอี้ฟัง

ใครจะคาดคิด ทันใดนั้น ทวนยาวในมือเหมียวอี้พลันแทงออกมา ฉวยโอกาสตอนอินสวี่ไม่ระวังตัว แทงเข้าไปตรงหน้าอกใต้รักแร้ของอินสวี่โดยตรง

 อา…  อินสวี่คำรามอย่างเดือดดาล แล้วชกกำปั้นใส่เหมียวอี้หมัดหนึ่ง

เหมียวอี้ควงหมัดชกกลับมาอย่างห้าวหาญ บนหมัดเหล็กมีจุดสีดำขนาดเท่าไข่นกหมุนวน มัดของเขาชนปะทะกับมัดของอินสวี่

แกร๊ง!เหมียวอี้สะเทือนจนกระเด็นออกไป แต่ถูกซิงที่อยู่ข้างหลังใช้มือคว้าตัวไว้

อินสวี่ที่เดิมทีก็โดนจู่โจมจนสาหัสอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งกระอักเลือดสดออกมา ตรงจุดที่โดนทวนแทงมีเลือดทะลักอย่างบ้าคลั่ง ตัวที่กระเด็นออกไปถูกคนของตัวเองคว้าไว้เช่นกัน

ชั่วพริบตานั้น ยอดฝีมือที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้พุงออกมาแล้ว ทำศึกเดือดกับคนข้างกายอินสวี่ ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเปลี่ยนทิศทางการโจมตีทันที ทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อล้อมปราบกำลังพลฝั่งตระกูลฮ่าว

 หนิวโหย่วเต๋อ…  อินสวี่คำรามอย่างเศร้าโศก ลมหายใจอ่อนลงเรื่อยๆ คนข้างกายตะโกนเรียกผู้ตรวจการทัพขวา พยายามนำสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาช่วยแต่ก็ไม่ได้ผล

อินสวี่ดิ้นรนคว้าข้อมือคนคนนั้น เค้นเสียงและถลึงตาบอกว่า  รีบรายงาน…รีบรายงานท่านอ๋อง…กู้สถานการณ์ไม่ได้แล้ว…ให้ท่านอ๋องคิดหาทางฝ่า…วงล้อม… 

เหมียวอี้ที่ถูกกำลังพลคุ้มครองเลือดกลบปาก  ถุย  เอียงหน้าพ่นเลือดสดออกมาคำหนึ่ง

พวกซิงที่อยู่ข้างๆ มองเหมียวอี้อย่างประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าวรยุทธ์อย่างเหมียวอี้จะใช้กำลังปะทะกับอินสวี่ตรงๆ ได้ แม้จะมองออกว่าเหมียวอี้วรยุทธ์ไม่สูงเท่าอินสวี่ แต่การโจมตีเมื่อครู่นี้ของอินสวี่ก็ไม่ได้อ่อนแอแน่นอน นึกไม่ถึงว่าผู้ตรวจการใหญ่จะต้านไหว ดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไรมาก เห็นตราอิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วผู้ตรวจการใหญ่ก็ยังไม่ถึงระดับสำแดงฤทธิ์ ทำไมถึงรับการโจมตีที่รุนแรงขนาดนี้ไหว?

หารู้ไม่ว่าแม้เหมียวอี้จะต้านไหว แต่กลับสะเทือนจนชาไปทั้งตัว ยังคงบาดเจ็บเพราะหมัดของอินสวี่ นับว่าเขาใจถึงความแตกต่างด้านพลังระหว่างตัวเองกับอินสวี่แล้ว เพราะอินสวี่ถูกตนจู่โจมจนสาหัสก่อน ขนาดตัวเองแอบโจมตีตัดกำลังแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ายังต้านอานุภาพการโจมตีของอีกฝ่ายไม่ได้

เขาหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวยัดเข้าปาก หลังจากกลืนแล้ว ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังให้ฝั่งลู่หลงรู้  แม่ทัพลู่ หนิวมาช้าไปหน่อย! 

ลู่หลงเห็นฝั่งนี้ชุลมุนล้ว รู้สึกดีใจมาก หัวเราะเสียงดังพร้อมตอบกลับว่า  ผู้ตรวจการใหญ่ ลู่ให้เกียรติรอมานานแล้ว!  จากนั้นก็ตะโกนบอกกำลังพลสายตระกูลผัง  โจรฮ่าวตกหลุมพรางแล้ว ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเป็นกองหนุนของท่านจอมพล!วันนี้คือวันตายของโจรฮ่าว ยังไม่รีบสังหารโจรชั่วอีก!  พูดจบก็เงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกดีใจสุดขีด สุขใจที่ต้นร้ายปลายดี!

กำลังพลสายตระกูลผังมีขวัญกำลังใจเปี่ยมล้น แม่ทัพใหญ่ปิดบังพวกเราแทบแย่ เมื่อครู่นี้ยังตกใจอยู่เลย ที่แท้คนที่มาก็คือกองหนุนของพวกเรานี่เอง!

เพียงแต่ปิดบังได้ดีทีเดียว!

ทัพใหญ่แดนรัตติกาลใช้กลอุบายเพื่อเข้าสู่ขบวนทัพของตระกูลฮ่าวได้อย่างง่ายดาย แล้วเปลี่ยนทิศทางการโจมตีกะทันหัน กอปรกับมีกำลังพลของตระกูลผังให้ความร่วมมือด้านนอก ทำให้กำลังพลฝั่งตระกูลฮ่าวที่ลำบากทั้งข้างในข้างนอกตกอยู่ในความสิ้นหวังทันที จิตวิญญาณการต่อสู้ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ ศูนย์บัญชาการก็ถูกกำลังพลของเหมียวอี้ไล่สังหารไม่ปล่อย แม้แต่การบัญชาการพื้นฐานก็ยุ่งเหยิงแล้ว ไม่มีทางจัดกระบวนทัพโจมตีที่มีประสิทธิภาพได้เลย อีกทั้งฝ่ายศัตรูมีเยอะกว่า ฝ่ายตัวเองอ่อนล้าเกินทน สถานการณ์เทไปอีกฝั่งในชั่วอึดใจเดียว ตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังอย่างที่เอาคืนไม่ได้

เหมียวอี้ที่อยู่ในกาคุ้มครองของทัพกลางยืนนิ้วขึ้นมาปาดรอยเลือดตรงมุมปาก แล้วดีดทิ้งอย่างเย็นชา

ฝั่งนี้รียรายงานสถานการณ์ให้ผังก้วนรู้แล้ว ผังก้วนโล่งใจราวกับยกหินออกจากอก เงยหน้าหัวเราะลั่นเช่นกัน ชี้ไปยังฮ่าวเต๋อฟางที่กำลังสู้เหมือนสัตว์ป่าที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอด  โจรเฒ่า รังแกข้าเกินไปแล้ว วันนี้คือวันตายของเจ้า! 

ซูอวิ้นที่อยู่ในทัพกลางคว้าระฆังดารา ส่วนอีกมือหนึ่งจับแขนฮ่าวเต๋อฟาง นางสีหน้าซีดเผือด ถ่ายทอดเสียงที่สั่นเครือบอกว่า  ท่านอ๋อง อินสวี่รบตายแล้ว พวกเราตกหลุมพรางแล้ว… 

……………

 

การบัญชาการของกำลังพลสายตระกูลผังเดิมทีก็ตั้งใจจะเปิดช่องโหว่อยู่แล้ว ทัพใหญ่ร่วมมือกันไม่ออกแรง เรียกได้ว่าโดนโจมตีทัพแตกคาที่

ซิงปะปนอยู่ในทัพใหญ่ที่บุกไปข้างหน้า นางเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน พบว่าการบาดเจ็บล้มตายของเผ่าอสรพิษดำในปีนั้นไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย ลองสุ่มนับการบาดเจ็บล้มตายของที่นี่ก็พรวดพราดไปถึงแสนแล้ว นางพบว่านักพรตมนุษย์ไม่ได้อำมหิตต่อเผ่าอสรพิษดำอย่างเดียว มนุษย์อำมหิตกับมนุษย์ด้วยกันเองยิ่งกว่า

ฮูเหยียนหลุนเต๋อ แม่ทัพของทัพฝ่ายศัตรูตกใจ บอกว่าทำหลอกๆ ไม่ใช่เหรอ?

กระทั่งเห็นทัพใหญ่แดนรัตติกาลปะทะแล้วสังหารฝ่าไป ไม่พัวพันใดๆ ถึงได้แน่ใจว่าแกล้งทำจริงๆ แต่พลังรบที่ห้าวหาญไม่กลัวตายของทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่เห็นกับตาเมื่อครู่นี้กลับเป็นของจริง โชคดีที่แกล้งทำเฉยๆ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าฝั่งนี้คงบาดเจ็บล้มตายยับเยิน

 แม่ทัพใหญ่ ว่ากันว่าหนิวโหย่วเต๋อเชี่ยวชาญการรบ วันนี้ได้เห็นกับตา สมคำร่ำลือจริงๆ ด้วย!  แม่ทัพที่อยู่ข้างๆ กล่าวอย่างตกใจไม่เบา

 พูดมากอะไรกัน!  ฮูเหยียนหลุนเต๋อโบกมือ  ตาม! 

ท่านจอมพลสั่งมาแล้วว่าให้เห็นละครให้สมบูรณ์ เบื้องล่างไม่รู้ความจริง แต่เขากลับรู้อยู่แก่ใจ

กำลังพลเกือบร้อยล้านที่ถูกตีกระจัดกระจายถูกเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์ แล้วรีบตามหลังทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่เก็บกำลังพลแล้วเช่นกัน ตามติดไม่ปล่อย

เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วสั่งให้ฝ่ายตัวเองเร่งเดินทางต่อไป ไม่ต้องสนใจว่าจะพัวพันกัน จากนั้นหันตัวนำพวกเหิงอู๋เต้าเข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของซิงอีกครั้ง

พอเข้ามาในกระเป๋าสัตว์ เหมียวอี้ก็ติดต่อฮ่าวเต๋อฟางทันที ให้เขาระดมพลสายมะเส็งมาช่วยสกัดกำลังพลที่ตามหลังมา

เขาไม่กลัวกำลังพลที่ไล่ตามมาข้างหลัง แต่ไม่อยากพัวพันด้วย ที่สำคัญกว่านั้นก็คืออยากจะถ่วงกำลังพลส่วนหนึ่งของตระกูลฮ่าวเอาไว้ จะได้ไม่เกิดเหตุไม่คาดคิด ช่วงชิงเวลาให้แผนการในตอนหลัง

เมื่อรู้ว่าทัพใหญ่ห้าสิบล้านของแดนรัตติกาลโจมตีกำลังพลสายตระกูลผังแตกไปเกือบร้อยล้าน พลังรบนี้ก็ทำให้ฮ่าวเต๋อฟางตกใจอีกครั้ง ค้นพบอย่างแท้จริงว่าหนิวโหย่วเต๋อที่อยู่ข้างเตียงตัวเองยิ่งใหญ่แล้ว แม้ก่อนหน้านี้จะเคยได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อนำกำลังพลบุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ รบชนะทุกศึก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นกำลังพลที่แบ่งกลุ่มกันโดนตีแตก ความหมายแตกต่างกับกำลังพลร้อยล้านที่ถูกตีแตกโดยสิ้นเชิง

ฮ่าวเต๋อฟางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า : น้องชาย อวี่เหวินชวนมีตระกูลเซี่ยโห้วก่อกวน ทั้งยังมีกำลังพลชองกบฏผังโจมตีก่อกวนเพื่อยับยั้งไว้ เกรงว่าจะมาช่วยเจ้าสกัดข้าศึกไม่ทัน!

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้ความร่วมมือเหมียวอี้ แต่เขาเดาว่าตอนนี้อวี่เหวินชวนคงเฝ้าดูสถานการณ์เฉยๆ อาจไม่ฟังคำสั่งระดมพลของเขา เขาไม่จำเป้นต้องตบหน้าตัวเอง

เหมียวอี้เหมือนโมโหแล้ว ถามว่า : ท่านอ๋อง ท่านพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? หรือว่าหนิวทำผิดที่บุกน้ำลุยไฟเพื่อท่านอ๋อง? ต่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วกับกบฏผังจะก่อกวนแค่ไหน แต่มีหรือที่จะยับยั้งกำลังพลสายมะเส็งทั้งหมดได้? ที่อาณาเขตสายมะเส็ง จอมพลสายมะเส็งผู้สง่าผ่าเผยทำไม่ได้แม้กระทั่งสกัดกำลังพลให้ข้า คิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไง? อย่ารังแกกันเกินไปสิ!

แม้ฮ่าวเต๋อฟางจะรู้ว่าตัวเองไม่มีทางมอบอาณาเขตสายเถาะให้เหมียวอี้ง่ายๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาแตกคอกับเหมียวอี้ เหมียวอี้พูดถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ทำได้เพียงเตือนว่า : ข้าออกคำสั่งได้ แต่ตอนนี้ข้าตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ยังเอาตัวเองไม่รอด กลัวก็แต่จะมีคนคิดไม่ซื่อ!

เหมียวอี้ย่อมรู้ถึงความลำบากของเขาอยู่แล้ว ตอนแรกที่คาดคะแนแผนการกับหยางชิ่ง ก็คาดคะเนได้แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เมื่อตระกูลเซี่ยโห้วมีท่าทีแน่วแน่ แล้วแผนการนี้สำเร็จขึ้นมา ก็ยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เบื้องล่างถูกสถานการณ์บีบบังคับจนมีใจคิดเป็นอื่น

รู้ก็ส่วนรู้ แต่กลับเบี่ยงเบนออกจากแผนการไม่ได้ เหมียวอี้กล่าวอย่างดุดันว่า : ข้าเข้าใจความลำบากของท่านอ๋อง แต่ท่านอ๋องออกคำสั่งได้เลย อวี่เหวินชวนไม่กล้าไม่เชื่อฟังหรอก!

ฮ่าวเต๋อฟาง : เจ้ามั่นใจจริงเหรอ? น้องชาย ตอนนี้ข้าไม่กลัวเจ้าหัวเราะเยาะเช่นกัน ข้าทำได้แค่พยายามลองดูสักครั้ง!

เหมียวอี้ : ถ้าเขากล้าพูดคำว่า ‘ไม่’ คำเดียว พ่อจะเลี้ยวกำลังพลไปกำจัดอวี่เหวินชวนก่อน ให้เขาฝันลมๆ แล้งๆ หามารดาเขาไปเถอะ!

 …  ฮ่าวเต๋อฟางอึ้งเล็กน้อย พบว่าวิธีการนี้เด็ดขาดจริงๆ อวี่เหวินชวนคงไม่เชื่อฟังไม่ได้แล้ว บอกทันทีว่า : ได้!ข้าจะออกคำสั่งต่อเขา แล้วฝั่งน้องชายค่อยช่วยกดดันอีกที!

หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว ฮ่าวเต๋อฟางก็รีบหยิบระฆังดาราออกคำสั่งกับอวี่เหวินชวน ส่วนอวี่เหวินชวนจะฟังหรือไม่ฟัง ตอนนี้เขาก็ไม่มีเวลามาสนใจ ให้หนิวโหย่วเต๋อไปจัดการเอาเอง

พอเก็บระฆังดาราแล้ว ฮ่าวเต๋อฟางก็บอกซูอวิ้นที่อยู่ข้างกันว่า  ประมาทพลังรบของหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้เลย ถ้าปล่อยให้เขาเติบโตกว่านี้ก็จะเป็นภัยในวันข้างหน้า จะปล่อยให้คนอื่นมานอนกรนอยู่ข้างเตียงได้ยังไง ถ้าผ่านภัยพิบัติครั้งนี้ไปได้ ต้องกำจัดทิ้ง! 

ซูอวิ้นได้ยินแล้วพยักหน้าเบาๆ นางเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนฝั่งเหมียวอี้ หลังจากรอสักพักก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวี่เหวินชวนโดยตรง

คนที่อยู่ในตำแหน่งระดับเขา ระหว่างพวกลูกพี่ใหญ่ของตำหนักสวรรค์แทบจะสร้างช่องทางการติดต่อระหว่างกันโดยตรง ที่ให้ฮ่าวเต๋อฟางสั่งก่อนก็เพราะเขาไม่มีอำนาจบัญชาการอวี่เหวินชวน ต้องให้ฮ่าวเต๋อฟางออกคำสั่งก่อน

หลังจากเชื่อมสัญญาณติดแล้ว เหมียวอี้ก็ถามทันทีว่า : จอมพลได้รับคำสั่งจากอ๋องสวรรค์ฮ่าวหรือยัง?

อวี่เหวินชวนย่อมปฏิเสธ : ได้รับแล้ว ข้าเข้าใจเจตนาของน้องหนิว ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากไปสกัดกำลังที่ไล่ตามให้น้องหนิวหรอกนะ แต่เป็นเพราะตระกูลเซี่ยโห้วก่อกวนหนักมาก ทั้งยังมีกำลังพลของกบฏผังโจมตีก่อกวน ข้าระดมพลไม่สะดวกเลย แต่น้องหนิววางใจเถอะ ข้าจะช่วยเต็มที่แน่นอน!

คำพูดดีกับคำพูดไม่ดีก็พูดไปหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าเหลือทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง ถ้าไม่สกัดกำลังพลให้เจ้าไม่ทันก็แสดงว่ามีเหตุผล

เหมียวอี้ตะคอกอย่างโมโหทันที : อวี่เหวินชวน อย่ามาเล่นลูกไม้นี้ อย่าปฏิเสธที่ข้าไว้หน้า ใครกล้าทำงานใหญ่ของข้าพัง ข้าก็จะเด็ดหัวคนนั้น!ไม่ว่าฮ่าวเต๋อฟางหรือผังก้วนจะได้คุมอาณาเขตทัพใต้ ข้าก็ไม่เป็นไรทัง้นั้น ข้าเคลื่อนทัพใหญ่ออกจากแดนรัตติกาลแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะกลับไปมือเปล่า ไม่ว่าใครก็ทำให้ผลประโยชน์ของข้าน้อยลงไม่ได้!ภายในครึ่งชั่วยามนี้ ถ้าข้าไม่เห็นกำลังพลสายมะเส็งมาสกัดกำลังพลให้ข้า พ่อก็จะร่วมมือกับกำลังพลของกบฏผังกำจัดเจ้าซะอวี่เหวินชวน ถ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู!

พอระฆังดาราแล้วก็ไม่สนใจอีก ล้อเล่นอะไรกัน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มีหรือที่เหมียวอี้จะยอมให้สถานการณ์บิดเบือนไปจากแผนการของตัวเอง

อีกฝั่งหนึ่ง อวี่เหวินชวนที่อยู่ในดาราจักรเดี๋ยวหน้าซีดเดี๋ยวหน้าแดง เรียกได้ว่าในดวงตาฉายแววดุร้าย โดนเหมียวอี้ทิ้งคำพูดโหดๆ ไว้จนเสียหน้า เขาเรียกเหมียวอี้อย่างเกรงใจว่าน้องชาย แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ไว้หน้าเขาขนาดนี้

ทว่าเรื่องบางเรื่องก็ต้องยอมจำนนต่อความจริง ถ้ายั่วโมโหให้หนิวโหย่วเต๋อนำทัพมาปะทะจริงๆ ลดทอนกำลังพลของเขาจำนวนมาก แผนการที่เห็นแก่ตัวของเขาก็จะพังแน่นอน ที่สำคัญคือคนบ้าอย่างหนิวโหย่วเต๋อมีโอกาสทำอย่างนี้จริงๆ ก็อย่างที่หนิวโหย่วเต๋อบอก ระหว่างฮ่าวเต๋อฟางกับผังก้วน หนิวโหย่วเต๋อสามารถเลือกฝั่งได้ทุกเมื่อ มีเหตุผลเยอะกว่าเขา

พอนึกขึ้นได้ว่ากำลังพลห้าสิบล้านของหนิวโหย่วเต๋อกำจัดทัพใหญ่ร้อยล้านของตระกูลผังได้เร็วมาก พลังรบนี้ทำให้เขาต้องชั่งน้ำหนักผลที่ตามมาจากการยั่วโมโหอีกฝ่าย ว่ากันว่าผู้รู้สถานการณ์คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ พอคิดไปคิดมาก็พบว่าแค่ไปสกัดกำลังพลให้หนิวโหย่วเต๋อเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องที่สิ้นเปลืองมากมายอะไร อวี่เหวินชวนออกคำสั่งกับคนข้างๆ ด้วยใบหน้าบึ้งตึง  รีบดึงกำลังลสามสิบล้านไปสกัดทหารที่ไล่ตามทัพใหญ่แดนรัตติกาล สกัดไว้นิดหน่อยก็พอ รักษากำลังเอาไว้ ไม่ต้องสู้สุดชีวิต… 

ความชุลมุนของทัพใต้ จนป่านนี้ตรงด่านยุทธศาสตร์จากน่านฟ้าชวดอู้ไปน่านฟ้าขาลกุ่ยก็เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ที่สุด เข่นฆ่ากันดุเดือดที่สุด ย่อมดึงดูดความสนใจของบุคคลระดับสูงจากอำนาจแต่ละฝ่าย คนที่มีตากระจ่างต่างก็รู้ ว่านี่คือกุญแจสำคัญในการตัดสินแพ้ชนะของศึกนี้ อีกฝั่งบุกเข้าใส่สุดชีวิต อีกฝ่ายก็ต้านทานสุดชีวิต!

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่กำลังจ้องแผนที่ดาวเอามือลูบเครา  ฝั่งฮ่าวเต๋อฟางยังยืนหยัดไหว ตอนนี้เหลือแค่ดูว่าทัพอารักขาจะสังหารเข้ามาทันเวลาหรือเปล่า ถ้าสังหารเข้ามาทันเวลา ก็สามารถกู้สถานการณ์ให้ฮ่าวเต๋อฟางได้ ถ้ามาไม่ทันเวลา สถานการณ์ของฮ่าวเต๋อฟางก็เอาคืนไม่ได้แล้ว! 

โกวเยว่ที่อยู่ข้างๆ เก็บระฆังดารา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง  ท่านอ๋อง ผังก้วนระดมทัพใหญ่ร้อยล้านไปสกัดทัพใหญ่แดนรัตติกาล! 

 สถานการณ์การรบเป็นยังไง?  ก่วงลิ่งกงหันกลับมาถาม

โกวเยว่ตอบด้วยเสียงต่ำ  เปราะบางมาก!โดนหนิวโหย่วเต๋อนำทัพตีแตกในรวดเดียว สกัดทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่ไหว!ทัพใหญ่แดนรัตติกาลโจมตีโหดเกินไป กำลังพลร้อยล้านยืนหยัดได้ไม่นานก็ถูกโจมตีฝ่าไปได้แล้ว! 

 ฟืดด!  ก่วงลิ่งกงสูดหายลึกด้วยความตะลึง  กำลังพลร้อยล้านยืนหยัดได้ประเดี๋ยวเดียวก็โดนกำลังพลห้าสิบล้านตีแตกแล้วงั้นเหรอ? 

โกวเยว่พยักหน้า  สายลับที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ ส่งข่าวมา การโจมตีของทัพใหญ่แดนรัตติกาลโหดหาญเป็นพิเศษ ตอนนี้ทัพของผังก้วนที่ถูกตีแตกรีบเก็บคนแล้วไล่ตามต่อไม่หยุด หนิวโหย่วเต๋อไม่มีท่าทีจะพัวพัน เร่งมุ่งหน้าต่อไป! 

 เจ้าหมอนี่มันคิดจะทำอะไรกันแน่?  ก่วงลิ่งกงขมวดคิ้วพึมพำ แล้วจู่ๆ ก็ตาเป็นประกาย จ้องบนเข็มทิศแล้วรีบปรับแผนที่ดาว ตรวจดูเส้นทางการเดินทัพของเหมียวอี้อีกครั้ง จนกระทั่งปรับแผนที่ดาวกลับไปที่น่านฟ้าชวดอู้ เขาก็ชี้พร้อมกล่าวอย่างแน่ใจว่า  จุดมุ่งหมายของหนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่นี่ จุดประสงค์ของเขาก็คือนำทัพไปรวมกับศึกตัดสินตรงนี้! 

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทัพใหญ่ของเหมียวอยู่ไม่ห่างจากน่านฟ้าชวดอู้แล้ว ทำให้นึกเชื่อมโยงได้ง่ายมาก

โกวเยว่ก็ถูกเรียกสติแล้วเช่นกัน รีบคำนวณเส้นทางของเหมียวอี้ จากนั้นก็พยักหน้าซ้ำๆ ทันที  ไม่ผิดหรอก!ที่แท้เขาก็ใช้ทางลัดมุ่งหน้าไปทางจุดทำศึกตัดสินอย่างน่านฟ้าชวดอู้ตั้งแต่แรก มิน่าล่ะระหว่างทางเขาถึงไม่พัวพันกับใครเลย ทะลุผ่านไปผ่านมาอยู่ในอาณาเขตสามสายนี้ต่อเนื่องกัน!หรือพูดได้อีกอย่างว่า เขาตัดสินได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าน่านฟ้าชวดอู้คือจุดตัดสินแพ้ชนะ ทักษะการคาดการณ์ตัดสินสถานการณ์การรบของเจ้าเวรนี่โหดเกินไปแล้ว กันว่าเขาเชี่ยวชาญการรบ วันนี้เพิ่งจะรู้ว่าสมคำร่ำลือจริงๆ! 

 หลังจากจบเรื่องนี้ ก็จะพิสูจน์บารมีขุนพลเลื่องชื่อแห่งยุคของเขาได้แล้ว!  ก่วงลิ่งกงเอามือบีบเคราพลางกัดฟัน แล้วจู่ๆ ก็ถอนหายใจยาว  น่าเสียดายที่ความสามารถของเขาไม่ได้มีไว้ให้ข้าใช้งาน หนิวโหย่วเต๋อมีตาหามีแววไม่ นางหนูเม่ยเอ๋อร์ไม่ดีตรงไหน? ความงาม คุณสมบัติประจำตัว ฐานะ ชาติกำเนิด มีสิ่งไหนที่ไม่คู่ควรกับเขาเหรอ? 

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่ยืนอยู่หน้าแผนที่ดาวหันตัวกลับมา เหมือนไม่อยากดูอีกแล้ว เอามือไขว้หลังพลางส่ายหน้  ร้ายกาจ!ศึกนี้เป็นศึกที่สร้างผลงานความสำเร็จของหนิวโหย่วเต๋อ ถ้าพูดถึงทักษะการบัญชาการในสนามรบ ขุนศึกในใต้หล้าก็ไม่มีใครเทียบเขาได้แล้ว! 

โค่วเจิงจ้องผนที่ดาวอย่างตะลึงงัน เงียบงันไปนานมาก หนิวโหย่วเต๋อสังหารมาตลอดทาง ไม่น่าเชื่อว่ารอจนท่านพ่อท่านท่านอาถังมองออกแล้วนิดหน่อย ตัวเองถึงได้เข้าใจกลยุทธ์ของหนิวโหย่วเต๋อ นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะคาดคะเนได้ตั้งแต่แรกแล้วว่านี่คือจุดทำศึกตัดสินระหว่างฮ่าวเต๋อฟางกับผังก้วน แบบนี้พิลึกเกินไปแล้วมั้ง?

พระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงกำหมัดทุบบนแผนที่ดาว แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า  มุ่งหน้าไปยังจุดทำศึกตัดสินตลอดทาง เจ้าหมอนี่ไม่กลัวจะเกิดเหตุไม่คาดคิดระหว่างทางเชียวหรือ แน่ใจหรือว่าตัวเองจะไปทันเวลา? 

 เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้ว ว่าเหตุการณ์ไม่คาดคิดใดๆ ระหว่างทางก็ต้านเขาไม่ไหว เมื่อครู่ยังโจมตีกำลังพลร้อยล้านของผังก้วนแตกในรวดเดียว นี่ก็คือความมั่นใจในตัวเอง มั่นใจแบบมองข้ามหัววีรบุรุษทั้งใต้หล้า เดิมทีเป็นขุนพลเก่งกาจที่กองทัพองครักษ์ชุบเลี้ยงขึ้นมา แต่กลับถูกความระแวงของฝ่าบาทบีบให้เขาไปตั้งตนเป็นอิสระ!  โพ่จวินกล่าวเสียงเย็นอยู่ข้างๆ

 เขาคิดไม่ซื่อต่อเบื้องบน เจ้าดูไม่ออกเชียวหรือ?  ประมุขชิงถลึงตา

 ข้าน้อยไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะมีความคิดแบบนี้ตั้งแต่เริ่มต้น ตอนแรกเกรงว่าเขาคงไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าตัวเองจะเดินมาถึงทุกวันนี้ บางครั้งคนเราก็ถูกบีบให้ทำ!  โพ่จวินกล่าว

………………

 

รวบรวมสมาธิเล็กน้อย โค่วหลิงซวีก้มหน้าปัดแผนที่ดาวขึ้นมาตรวจดูเส้นทางการเดินทัพของทัพใหญ่ตามรายงานอีกครั้ง แล้วพึมพำว่า  ตลอดทางมานี้เขาไม่หยุดและไม่พัวพันใดๆ ดูไม่เหมือนมต้องการมุ่งหน้าไปน่านฟ้าขาลกุ่ยเพื่อกู้สถานการณ์ให้ฮ่าวเต๋อฟาง เขาทะลุไปมาระหว่างสายเถาะ สายมะโรง สายมะเส็ง แบบนี้หมายความว่าอะไร? ทำไมข้าไม่เข้าใจกลยุทธ์ของเจ้าเด็กนี่? 

ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้า  มองไม่เข้าใจจริงๆ เพียงแต่คนคนนี้เชี่ยวชาญการรบ ศึกใหญ่แต่ละครั้งที่เคยผ่านมาล้วนพิสูจน์แล้วว่าเขามีจุดที่เหนือกว่าคนอื่น ไม่ทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์แน่นอน รอให้ได้ข่าวครอบคลุมกว่านี้ ก็คงจะเข้าใจเองขอรับ 

โค่วเจิงที่อยู่ข้างๆ ก็พยายามใช้ความคิดเต็มที่เช่นกัน สำหรับคนหนุ่มที่เก่งกาจอย่างเหมียวอี้ ลึกๆ แล้วเขาค่อยข้างดูถูก ไม่คิดว่าจะเก่งกาจกว่าตัวเองไปสักเท่าไร แม้แต่บิดายังไม่เข้าใจเจตนา เขาเองก็อยากจะแสดงความสามารถให้บิดาเห็นเช่นกัน แต่จนใจที่คิดจนสมองจะแตกแต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้ใช้ยุทธวิธีอะไรกันแน่

สำหรับเหมียวอี้แล้ว เขาเข้าใจจุดประสงค์กลยุทธ์ของตัวเองดีมาก ย่อมรู้ว่าตัวเองกำลังไปทางลัด แต่คนนอกไม่รู้เจตนาของเขาเลย จากจุดเริ่มต้นจนถึงปลายทางแม้จะเป็นการบุกทะลวงโดยตรง แต่ที่เรียกว่าบุกทะลวงโดยตรงไม่ใช่การเดินทางเป็นเส้นตรง อาณาเขตสามสายที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันกลายเป็นอาณาเขตทัพใต้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรเส้นทางการเดินทัพของเหมียวอี้ก็อ้อมไปอ้อมมาอยู่ในอาณาเขตสามสายนี้ มองไม่เข้าใจเลย

ตอนนี้กลุ่มอำนาจฝ่ายต่างๆ ล้วนได้รับข้อมูลการเคลื่อนไหวของทัพใหญ่แดนรัตติกาลแล้ว ส่วนศึกเดือดระหว่างฮ่าวเต๋อฟางกับผังก้วนที่น่านฟ้าขาลกุ่ย กำลังพลที่ติดตามมาคุ้มครองแขกงานแต่งงานก็กำลังดูอยู่ รายงานสถานการณ์ได้ทุกเมื่อ ไม่ต้องเฝ้าติดตามตลอดเวลา ตอนนี้ทุกคนถูกเบี่ยงเบนความสนใจจากความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของทัพใหญ่แดนรัตติกาลแล้ว

แม้แต่ประมุขชิงที่อยู่ในพระตำหนักอุทยานก็กางแผนที่ดาวออกมา โพ่จวินกับพวกอู๋ฉวี่ก็เข้ามาล้อมพลางครุ่นคิดด้วยเช่นกัน

 เจ้าหมอนี่จะมาไม้ไหนกันแน่?  ประมุขชิงถามคำถามนี้ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

หลายคนที่กำลังล้อมแผนที่ดาวไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่กลับไม่มีใครกล้าบอกว่าเหมียวอี้กำลังหลับหูหลับตาทำศึกหรือกระบิดกระบวน อย่างไรเสียผลงานการรบในอดีตของเหมียวอี้ก็เห็นๆ กันอยู่ ผลงานเจิดจ้าสะดุดตามาก

ตลาดผี ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านที่กำลังจ้องแผนที่ดาวเงยหน้ามองเว่ยซูกับชีเจวี๋ย ถามว่า  พวกเจ้ามองกลยุทธ์ของหนิวโหย่วเต๋อ? 

เว่ยซูเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วอดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน  นายท่านเคยกล่าวไว้ไม่ผิด สงสัยฝั่งพวกเราคงจะขาดแคลนคนที่สายตาเฉียบแหลมในการบัญชาการทัพทำศึก 

น่านฟ้าขาลกุ่ย จุดที่รบกันอย่างดุเดือด พลังรบของทัพอารักขาฝ่ายฮ่าวเต๋อฟางไม่ธรรมดาจริงๆ ภายใต้สถานการณ์ที่ฝ่ายศัตรูมีจำนวนคนมากกว่า เกิดความวุ่นวายภายในและโดนโจมตีจนลนลานทำอะไรไม่ถูก ทั้งยังรบจนเสียหายไปแล้วเกินครึ่ง ก็ยังสามารถกำจัดกำลังพลของฝ่ายตรงข้ามทิ้งไปแล้วสองเท่า ยังคงคุมสถานการณ์ไหว

ตอนนี้ความวุ่นวายภายในสงบแล้ว ศูนย์กลางมั่นคงแล้ว สามารถสู้กับภายนอกได้อย่างมีสติ การป้องกันมีเสถียรภาพ เหลือแค่รอกองหนุน

เดิมทีทัพอารักขาของฮ่าวเต๋อฟางก็เก่งกาจที่สุดในทัพใต้อยู่แล้ว และนี่ก็เป็นกำลังพลที่สามารถติดตามอยู่ข้างกายฮ่าวเต๋อฟางได้ ยิ่งเป็นคนเก่งเหนือคนเก่ง มีพลังรบมากขนาดนี้ก็ไม่แปลก

ผังจื่อฉางที่กำลังดูการรบหันกลับมากุมหมัดคารวะผังก้วน  ท่านพ่อ ความเสียหายของฝั่งเราสูงถึงยี่สิบล้านแล้ว นี่เป็นทัพเกรียงไกรของท่านพ่อหมดเลยนะ เสียหายเยอะเกินไปแล้ว สู้ต่อไปแบบนี้ไม่ได้ขอรับ กองหนุนฝ่ายศัตรูใกล้จะมาถึงแล้ว ควรจะรีบระดมทัพใหญ่มาอีกกลุ่ม สร้างกองทัพที่เหนือกว่าโดยสมบูรณ์ แล้วทะลวงเข้าไปตรงกลางเหมือนคมดาบ รีบกำจัดฮ่าวเต๋อฟางทิ้ง! 

ผังก้วนเหมือนไม่สะทกสะท้าน กล่าวอย่างใจเย็นว่า  ควรจะทำอย่างไร ในใจข้ารู้ชัดกว่าเจ้า 

 …  ผังจื่อฉางอึกอักเหมือนอยากจะพูดอีก แต่สุดท้ายก็มองไปทางเฉินหวยจิ่วที่อยู่ข้างหลัง กำลังสื่อว่าให้ช่วยโน้มน้าวบิดาสักหน่อย

เฉินหวยจิ่วส่ายหน้าให้เขาเบาๆ บอกใบ้ว่าไม่ต้องถามมากแล้ว

กับบางเรื่องเมื่อเห็นผังก้วนไม่พูด เฉินหวยจิ่วก็ย่อมไม่สะดวกจะพูดเช่นกัน เขาเข้าใจความคิดของผังก้วน นี่คือกลยุทธ์ที่เอาชีวิตคนไปเติม กลยุทธ์คว้าชัยในรวดเดียวของหนิวโหย่วเต๋อได้ใจนายท่านมาก ขอเพียงฉวยโอกาสกำจัดทัพอารักขาของฮ่าวเต๋อฟางทิ้งได้ในรวดเดียว ก็จะลดความยุ่งยากที่ตามมาทีหลังได้แล้ว ตอนนี้ถ้ากำจัดแค่ฮ่าวเต๋อฟาง แล้วถ้าทัพเกรียงไกรหลายสิบล้านที่จงรักภักดีต่อฮ่าวเต๋อฟางไม่มาช่วยอีก แต่หนีไปแทน นั่นก็จะเกิดปัญหายุ่งยากแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะไปผนึกกำลังกับกงเชียนชิวและอวี่เหวินชวนแทน แต่ถ้าทำลายทัพเกรียงไกรของฮ่าวเต๋อฟางให้สิ้นซาก กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนใครจะยอมใครกันแน่?

ดังนั้นนายท่านต้องเล่นละครให้สมจริง ให้ความร่วมมือกับฝั่งหนิวโหย่วเต๋อ พยายามช่วงชิงเวลาให้หนิวโหย่วเต๋อ

นี่คือการเอาชีวิตคนไปเติมเป็นกองๆ อีกทั้งคนที่เสียสละชีวิตให้กลยุทธ์นี้ก็เป็นลูกน้องที่เก่งกาจของนายท่าน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตั้งกี่ครอบครัว จะให้นายท่านป่าวประกาศได้อย่างไร?

ดูจากข่าวที่ฝั่งนี้ได้รับ ก็จะเห็นว่าฝั่งหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้โกหก ถ้าได้รับบัญชาสวรรค์ให้มาช่วยฮ่าวเต๋อฟางจริงๆ ก็ควรจะใช้ทางลัดมาที่นี่โดยตรง แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังใช้กลยุทธ์นี้ ทัพใหญ่เร่งไปยังจุดหมายที่กำหนดไว้ล่วงหน้า กอปรกับกงเชียนชิวและอวี่เหวินชวนก็มีท่าทีว่าจะดูอยู่เฉยๆ ทำให้สถานการณ์ฝั่งนี้ไม่เร่งด่วนอีก ทำให้นายท่านยิ่งมีความมั่นใจที่จะใช้กลยุทธ์นี้ต่อไป

พอนึกถึงตรงนี้ เฉินหวยจิ่วก็ถ่ายทอดเสียงบอกผังก้วนว่า  อีกประเดี๋ยว ถ้าท่านเขยปะทะกับทัพเกรียงไกรหลายสิบล้านของฮ่าวเต๋อฟาง เกรงว่าจะต้องทำศึกเดือด 

ผังก้วนพยักหน้าเบาๆ  เขาน่าจะรู้ชัด ว่ามีแค่ข้าเท่านั้นที่จะให้อาณาเขตสายเถาะแก่เขาได้ ข้าต้องการให้กำลังพลของเขาคุมพื้นที่ฝั่งหนึ่งให้ข้าให้มั่นคง ส่วนคำพูดประมุขชิงนั้นเหลวไหล ไว้ใจไม่ได้เลย ถ้ากู้สถานการณ์ให้ฮ่าวเต๋อฟางแล้ว ต่อไปฮ่าวเต๋อฟางจะมอบอาณาเขตสายเถาะให้เขาก็แปลกแล้ว ถ้าเขาอยากจะนั่งตำแหน่งที่สายเถาะ ถ้าไม่สู้สุดชีวิตตอนนี้แล้วจะรอตอนไหน? ไม่ต้องกังวลเกินไปหรอก ลูกเขยข้าคนนี้เป็นขุนพลเก่งกาจที่หายากจริงๆ ในเมื่อเขากล้าเสี่ยงอันตรายนี้ ก็แสดงว่ามีความมั่นใจอยู่บ้าง อีกทั้งมีทัพใหญ่โจมตีสกัดของข้าให้ความร่วมมือ ต้องโจมตีทัพหนุนของฮ่าวเต๋อฟางแตกพ่ายได้อย่างราบรื่นแน่นอน! 

เฉินหวยจิ่วพยักหน้าอย่างเห็นด้วยมากๆ

เมื่อเห็นสองนายบ่าวมีท่าทีแบบนี้ ผังจื่อฉางก็ทำได้เพียงเงียบไป รู้สึกได้รางๆ ว่าการที่บิดาทำแบบนี้จะต้องมีแผนอื่นแน่นอน

ส่วนฮ่าวเต๋อฟางที่ถูกล้อมอยู่ในทัพกลางก็ยังมีสีหน้าเยือกเย็นสุขุม ตอนนี้เขาก็คือหัวใจของกำลังพลที่กำลังถูกล้อม ถ้าเขาลนลานหวาดกลัว คนเบื้องล่างก็มีแต่จะเสียความมั่นใจ ดังนั้นเขาต้องมั่นคงเข้าไว้

ซูอวิ้นที่อยู่ข้างๆ เก็บระฆังดารา แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า  นายท่าน กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนบอกว่ามีตระกูลเซี่ยโห้วก่อกวน แล้วก็มีกำลังพลสายตระกูลผังโจมตีก่อกวนยับยั้งไว้ด้วย ทัพใหญ่ถึงได้เดินทางมาช้าขนาดนี้ 

ฮ่าวเต๋อฟางแสยะยิ้ม  ต่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วจะก่อกวนขนาดไหน ต่อให้กบฏผังจะโจมตีก่อกวนขนาดไหน แต่จะยับยั้งกำลังพลทั้งหมดได้เหรอ? ข้าว่าพวกเขาคงอยากจะให้ข้าตายเร็วๆ ใจจะขาดแล้ว หรือไม่ก็หวังให้ข้ากับกบฏผังสู้กันจนเละทั้งสองฝ่าย แบบนั้นพวกเขาจะได้กลายเป็นเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อคนที่สองได้สะดวกไง 

ซูอวิ้นแอบถอนหายใจ พอตระกูลเซี่ยโห้วเข้ามาแทรกแซง ก็เห็นได้ชัดว่าต้องจะการโค่นล้มท่านอ๋อง ท่าทีอันแน่วแน่ของตระกูลเซี่ยโห้วส่งผลกระทบไม่ธรรมดา ขณะเดียวกันก็กดกลุ่มอำนาจฝ่ายต่างๆ ไว้ด้วย กลัวว่าจะทำให้กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนมีใจคิดเป็นอื่น กลัวว่าจะกำลังดูอยู่จริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะประมุขชิงแสดงท่าทีว่าสนับสนุนท่านอ๋อง มีกองทัพองครักษ์คอยจับจ้องอย่างดุร้าย ทั้งยังส่งทัพใหญ่แดนรัตติกาลลงสนาม เกรงว่าผลที่ตามมาคงเลวร้ายจนไม่กล้าคิดถึง

เพียงแต่กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์แบบนี้ก็พอจะเข้าใจได้ มีใครบ้างที่จะไม่เห็นแก่ตัวเลย ต่อให้ยากจนแค่ไหน แต่ตราบใดที่ยังรักษากำลังไว้ได้ สุดท้ายแล้วไม่ว่าใครก็ไม่กล้าดูถูกพวกเขา ต่อให้ท่านอ๋องจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้ แต่ก็ไม่กล้าแตะต้องพวกเขาง่ายๆ

ตอนนี้ก็เหลือแค่ดูว่ากองหนุนจะมากู้สถานการณ์ทันหรือไม่ ขอเพียงมาแก้ไขสถานการณ์ให้ท่านอ๋องได้ทันเวลา กงเชียนชิวกับอวี่เหวินชวนจะต้องฮึกเหิมแน่นอน จะต้องมาช่วยสนับสนุนอย่างสุดกำลัง

น่านฟ้าชวดอู้ กำลังพลหนึ่งพันจัดกระบวนเหาะบุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกเขาซ่อนทัพเกรียงไกรเอาไว้หกสิบกว่าล้าน เป็นกำลังพลทัพอารักขาของฮ่าวเต๋อฟางนั่นเอง เร่งเดินทางโดยไม่กล้าหยุดพักแม้แต่น้อย

ตอนผ่านนอกประตูน่านฟ้าขาลกุ่ย ทัพใหญ่ที่มีจำนวนคนหนาแน่นนับไม่ถ้วนก็แสดงตัวออกมาแล้ว

 แม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยมาช้า  แม่ทัพคนหนึ่งนำกำลังพลเร่งมาถึง แล้วกุมหมัดขออภัยต่อลู่หลง แม่ทัพใหญ่คนสนิทของผังก้วน

 เดินทางมาไกล มาถึงก็ดีแล้ว  ลู่หลงกล่าวเสียงดัง  หลังจากกำลังพลของเจ้ามาแล้ว ปิดล้อมประตูดวงดาวให้สนิท อย่าให้ทัพฝ่ายศัตรูบุกเข้ามา เจอแล้วยิงทันที ถ้าหลุดรอดผ่านมาคนเดียว ถือหัวมาพบข้า! 

 ขอรับ!  แม่ทัพคนนั้นเอ่ยรับคำสั่ง แล้วรีบเรียกกำลังพลของตัวเองอ้อมทัพใหญ่ ไปขวางอยู่หน้าประตูดวงดาวอย่างแน่นหนา

จากนั้นกำลังพลกลุ่มสุดท้ายก็มาครบ กำลังพลทัพใหญ่เกือบสองร้อยล้านแสดงตัวแล้วมาปิดล้อมหน้าประตูดวงดาวไว้แน่นหนา

เมื่อกองหนุนสายตระกูลฮ่าวมาถึง แล้วเห็นสถานการณ์แบบนี้ กำลังพลหกสิบล้านกว่าก็เปิดเผยตัวออกมาทั้งหมด แต่ละคนเปื้อนเลือดทั้งตัว ทัพเกรียงไกรแปดสิบล้านสังหารฝ่ามาตลอดทาง โจมตีอย่างเดียวโดยไม่ป้องกัน รบตายไปแล้วสิบล้านกว่าคน

ทัพใหญ่จัดกระบวนทัพบุกโจมตีอย่างรวดเร็ว ผู้ที่นำทัพมาก็คืออินสวี่ ผู้ตรวจการขวาทัพอารักขาของฮ่าวเต๋อฟาง ตอนนี้แม้แต่คนในครอบครัวของฮ่าวเต๋อฟางก็มีสิทธิ์แค่ฟังคำสั่งเท่านั้น ระหว่างทางมีลูกหลานของฮ่าวเต๋อฟางสงสัยในคำบัญชาการของอินสวี่ จึงถูกอินสวี่ประหารไปแล้ว

ทัพใหญ่บุกโจมตีอยู่รอมร่อ อินสวี่ชักกระบี่ออกมาทันที พร้อมคำราวอย่างเกรี้ยวกราดว่า  ถ้าบุกผ่านประตูดวงดาวแห่งนี้ไปก็จะกู้สถานการณ์ให้ท่านอ๋องได้แล้ว ฆ่า! 

 ฆ่า!  เสียงตะโกนฆ่าดังสะเทือนดาราจักร ทัพใหญ่แผดเสียงก้องบุกออกมา

ในกระบวนทัพมีทหารหญิงกลุ่มหนึ่ง ล้วนเป็นอนุภรรยาของฮ่าวเต๋อฟาง แต่ละคนเลือดอาบท่วมตัวเช่นกัน ตัวสวมเกราะรบแต่กลับสะบักสะบอมมาก หมดสภาพสตรีผู้งามล้ำเลิศแล้ว แผดเสียงแหลมตะโกนฆ่าอยู่ภายใต้การคุ้มกันของผู้นำตระกูล บุกไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิตราวกับเป็นบ้าไปแล้ว

ไม่บุกก็ไม่ได้ ถ้าขี้ขลาดกลัวการรบ ในเวลานี้ก็ไม่สนว่าจะเป็นใคร ถ้าผู้ตรวจการทัพขวาอินสวี่ออกคำสั่งสังหารแล้ว ในกำลังพลตรวจตราก็จะมีคนพุ่งออกมาประหารเจ้าทันที

อินสวี่เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของฮ่าวเต๋อฟางดีมาก ซูอวิ้นส่งข่าวมาบอกเขาแล้ว ว่าทัพอารักขาของเจ้าคือความหวังสุดท้ายของท่านอ๋อง!

ด้วยเหตุนี้ ก่อนหน้านี้อนุภรรยาของฮ่าวเต๋อฟางจึงโดนประหารไปสิบกว่าคนเพราะขี้ขลาดกลัวการรบ ระหว่างทางที่มาก็รบตายไปเกินห้าสิบคนแล้ว ตอนยังมีชีวิตอยู่แต่ละคนล้วนหญิงสาวที่งามล้ำเลิศ ทว่าเมื่อลงสนามรบแล้ว ใครจะสนว่าเจ้าเป็นหญิงสาวที่งามล้ำเลิศหรือเปล่า มีแบ่งแค่คนเป็นกับคนตายเท่านั้น

 ตอนนี้คือเวลาสร้างผลงาน ฆ่า!  ลู่หลง ผู้บัญชาการสูงสุดกำลังพลสายตระกูลผังโบกกระบี่ชี้ทัพฝ่ายศัตรู

เสียงดังบึ้มๆๆ ลำแสงนับไม่ถ้วนยิงออกมาอย่างบ้าคลั่ง

ขณะฝ่ายตรงข้ามยิงกลับ ทัพใหญ่ยกโล่ขึ้นมานับพันราวกับเกล็ดมังกร บุกโจมตีอย่างบ้าคลั่งโดยไม่คิดชีวิต

ทัพใหญ่สองฝ่ายตะลุมบอนกันอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำ เกิดระเบิดตูมตามในดาราจักร เลือดสดสาดกระจายทั่วทุกทิศ เสียงกรีดร้องดังไม่ขาดสาย

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ทัพใหญ่แดนรัตติกาลห้าสิบล้านก็กำลังปะทะกับกำลังพลร้อยล้านของสายตระกูลผังที่เข้ามาสกัดอย่างดุเดือด

บุกไปข้างหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ มีความมั่นใจว่ารบชนะทุกศึก มีขวัญกำลังใจทหารที่เปี่ยมล้น ทัพใหญ่แดนรัตติกาลระเบิดพลังรบอันน่าทึ่ง พุ่งไปข้างหน้าพลางโห่ร้อง มองข้ามทัพใหญ่ที่สกัดขวางอยู่ตรงหน้าราวกับไม่มีตัวตน เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบโบกทวนชี้ไปทางไหน เหิงอู๋เต้าก็นำทัพใหญ่พุ่งไปทางนั้นนั้นอย่างบ้าคลั่ง ปะทะแล้วตีฝ่าทัพใหญ่ที่มาสกัดขวางผ่านไปโดยตรง

……………

 

การเคลื่อนทัพใหญ่นั้นต้องให้เหตุผลที่สามารถทำให้กำลังพลเบื้องล่างไปสู้อย่างสุดกำลัง หล่อหลอมขวัญกำลังใจทหาร เพราะมีใครอยากหลับหูหลับตาเอาชีวิตไปทิ้ง

ผังก้วนมีเหตุผลว่าจะล้างความอัปยศให้ลูกสาว การได้แทนที่ฮ่าวเต๋อฟางล้วนเป็นผลประโยชน์ของทุกคน

ส่วนฮ่าวเต๋อฟางก็ปราบกบฏ คนเบื้องล่างดิ้นรนสู้สุดชีวิตก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง หลังจากผ่านศึกเลือดที่ไปแล้ว ผู้ที่สร้างผลงานก็จะได้เลื่อนตำแหน่งพรวดพราดราวกับทะยานขึ้นไป

นี่ไม่ใช่การเข่นฆ่าระหว่างคนไม่กี่คนเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่มิตรภาพหรือความรักจะบีบบังคับให้ทำได้ แต่นี่คือศึกสำหรับคนจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่ว่าเหตุผลที่ให้ไปจะฟังดูดีหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ต้องทำให้รู้ว่าสู้ไปเพื่ออะไร!

การต่อสู้ระหว่างผังก้วนกับฮ่าวเต๋อฟาง ไม่รู้ว่ากวางจะตกอยู่ในมือใคร ไม่รู้ว่าใครจะชนะ สองวีรบุรุษสู้กัน ฝ่าบาทให้สัญญาแล้ว นี่คือโอกาสดีที่ทัพใหญ่ฝ่ายเราจะได้ครอบครองสายเถาะ!…นี่คือคำพูดที่เหมียวอี้สั่งให้บรรดาแม่ทัพถ่ายทอดลงไปต่อทัพใหญ่ บอกทุกคนอย่างสง่าผ่าเผยว่าต้องการจะครอบครองอาณาเขตสายเถาะ!

ประโยคสั้นๆ ไม่กี่ประโยค แต่กลับทำให้ทั้งทัพใหญ่แดนรัตติกาลเดือดพล่าน ถูกขังอยู่ที่แดนรัตติกาลมาหลายปี เกียรติยศความร่ำรวยที่เคยสูญเสียไป ความหวังถูกจุดประกายขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว

ระดมทัพใหญ่ ลับฟันเหลาเล็บมาหลายปี ก็เพื่อวันนี้เท่านั้น ราวกับมังกรเร้นกายออกจากหุบเขา เคลื่อนทัพออกจากแดนรัตติกาล!

กำลังพลหลายสิบล้านพลันปรากฏตัวที่ตลาดผี ล้อมตึกศาลาสัตยพรตเอาไว้ เป็นกำลังพลที่เฝ้าแดนรัตติกาล

ในตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านยืนริมหน้าต่าง กำลังมองแสงโคมริบหรี่ด้านนอก ถามอย่างเฉื่อยชาว่า  ทัพใหญ่แดนรัตติกาลออกเดินทางแล้วเหรอ? 

 เคลื่อนทัพแล้วขอรับ ไม่รู้ว่าศึกนี้หนิวโหย่วเต๋อจะทำอย่างไร?  เว่ยซูที่อยู่ข้างหลังตอบ

 ไม่รู้ชัด เขาไม่ยอมคายแผนการรบให้รู้เลย แค่ให้ฝั่งนี้ให้ความร่วมมือเท่านั้น ตอนนี้ทำได้เพียงคาดเคทีละก้าวตามสถานการณ์ แบบนี้ก็จี้โดนจุดอ่อนของพวกเราเหมือนกัน ท่านพ่อคุ้นเคยกับการซ่อนกำลังพลของตระกูลไว้หลังม่าน หลายปีมานี้ของตระกูลเซี่ยโห้ว คนระดับแกนกลางภายในยังขาดสายตาในการบัญชาการทัพทำศึก  เฉาหม่านกล่าว

เว่ยซูพยักหน้าเบาๆ  ว่ากันว่าเขาเชี่ยวชาญการรบ ทั้งยังวางแผนไว้นานแล้ว คาดว่าคงทำได้ไม่แย่นักหรอกขอรับ 

ตำหนักสวรรค์ พระตำหนักอุทยาน ในตำหนักใหญ่

 หนิวโหย่วเต๋อส่งกำลังพลไปล้อมตึกศาลาสัตยพรต?  ประมุขชิงหันตัวมาถามอย่างสนใจ

ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้า  ขอรับ ทางตลาดผีส่งข่าวมา ข่าวนี้ยืนยันแล้ว 

 เห็นได้ชัดว่ากลัวฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวาย ตัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลังก่อน เป็นคนที่ใช้งานทหารได้อย่างเฉียบขาด  อู๋ฉวี่ที่กำลังยืนหน้าแผนที่ดาวเงยหน้าถาม

ประมุขชิงเลิกคิ้ว  ในเมื่อตระกูลเซี่ยโห้วให้การสนับสนุนผังก้วนมากขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะมีวิธีการอะไรสร้างอุปสรรคให้หนิวโหย่วเต๋อ ข้าจะตั้งตารอดู 

 หนิวโหย่วเต๋อกับเฉาหม่านยักคิ้วหลิ่วตาใส่กันมานานมาก เกรงว่าในบรรดากลุ่มอำนาจหลายฝ่าย ตระกูลเซี่ยโห้วจะรบกวนหนิวโหย่วเต๋อได้น้อยที่สุดขอรับ  ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว

กำลังพลแดนรัตติกาลล้อมตึกศาลาสัตยพรต ชั่วพริบตาเดียวก็สะเทือนไปถึงอำนาจแต่ละฝ่ายแล้ว

ในห้องหนังสือของจวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงถามคำถามเดียวกับประมุขชิง  หนิวโหย่วเต๋อส่งกำลังพลไปล้อมตึกศาลาสัตยพรตเหรอ? 

ในจวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่กำลังจ้องแผนที่ดาวถามอย่างไม่แน่ใจ  ล้อมตึกศาลาสัตยพรตเหรอ? สงสัยหนิวโหย่วเต๋อจะเคลื่อนทัพตามคำสั่งแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่าประมุขชิงให้สัญญาผลประโยชน์อะไรกับเขา! 

 นอกจากแบ่งเขตแดนให้ขุนนางใหญ่แล้ว คาดว่าตอนนี้คงไม่มีสิ่งอื่นที่ทำโน้มน้าวเขาได้  ถังเฮ่อเหนียนกล่าว

โค่วเจิงหยุดเขย่าระฆังดาราในมือ แล้วรายงานว่า  สายลับฝั่งแดนรัตติกาลส่งข่าวสุดท้ายมาก่อนที่ทัพใหญ่จะระดมพลและปิดการติดต่อ จุดประสงค์ของหนิวโหย่วเต๋อชัดเจนมาก ประมุขชิงสัญญาว่าจะให้สายเถาะกับเขา 

ถังเฮ่อเหนียนบอกว่า  เป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วย ประมุขชิงเตรียมการไว้อย่างดีแล้วจริงๆ ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อกู้สถานการณ์ให้ฮ่าวเต๋อฟางได้ แต่มีหรือที่ฮ่าวเต๋อฟางจะยอมให้ง่ายๆ 

โค่วหลิงซวีเอามือลูบเคราพลางหรี่ตา  ทัพใหญ่แดนรัตติกาลสะสมกำลังมานานแล้ว ขวัญกำลังใจทหารใช้งานได้ ใครที่ได้ครองทัพใต้ก็เกรงว่าต้องปวดหัวทั้งนั้น! 

ดาราจักรกว้างใหญ่ไพศาล คนจำนวนหนึ่งร้อยเบิกทางอยู่ข้างหน้า มีร้อยคนรั้งท้ายขบวนอยู่ข้างหลัง ร้อยคนคุ้มครองอยู่ทางซ้ายขวาบนล่างเป็นสี่ปีก ร้อยคนที่อยู่ตรงกลางเป็นศูนย์กลาง ระยะห่างระหว่างกันสามารถใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองแล้วเห็นกันได้ เหาะอย่างรวดเร็วอยู่ในดาราจักรตลอดทาง เหาะด้วยความเร็วสุดขีดจำกัด แต่ละคนบ้างก็มีแววตาฮึกเหิม บ้างก็มีแววตาเย็นเยียบล้ำลึก ในดวงตาเผยเจตจำนงที่จะหวนคืนสู่อำนาจอีกครั้ง

กำลังพลที่หนาแน่นอยู่ในกระเป๋าสัตว์ บ้างก็นั่งสมาธิ บ้างก็เช็ดถูอาวุธในมือ

ซิงอยู่ตรงทัพกลาง แม้จะใส่หน้ากากบนใบหน้าแล้ว แต่บนตัวกลับสวมเกราะรบ ในกระเป๋าสัตว์บนตัวนาง เหมียวอี้กับบรรดาแม่ทัพหลักล้อมอยู่หน้าแผนที่ดาว กำลังคาดคะเนสถานการณ์รบไม่หยุด คอยถ่ายทอดคำสั่งออกไปเป็นระยะ

ตรงจุดที่ไม่ไกลจากพวกเขา กลุ่มกำลังพลเดิมของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลส่งข่าวไปยังศูนย์กลาง คอยรับข่าวจากกำลังพลของผังก้วนกับฮ่าวเต๋อฟางเรื่อยๆ คอยระบุตำแหน่งบนแผนที่ดาวอย่างรวดเร็ว แล้วรายงานสถานการณ์ต่อมายังฝั่งพวกเหมียวอี้

พวกเหิงอู๋เต้ารู้สึกทึ่งกับความสามารถในการรวบรวมข่าวกรองของฝั่งเหมียวอี้ ที่รู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของฮ่าวเต๋อฟางก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะรู้ทิศทางความเคลื่อนไหวกำลังพลของผังก้วนชัดเจนด้วยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าในหลายปีมานี้ผู้ตรวจการใหญ่ลงทุนกับอาณาเขตทัพใต้ไปมากขนาดไหน

สิ่งที่เรียกว่าวางแผนรอบคอบคิดการณ์ไกลคืออะไรล่ะ แบบนี้ไงที่เรียกว่าวางแผนรอบคอบคิดการณ์ไกล จะเห็นได้ว่าผู้ตรวจการใหญ่เตรียมตัวให้ทัพใหญ่โจมตีออกจากแดนรัตติกาลมาตลอด แค่ความสามารถในการรวบรวมข้อมูลพวกนี้ ก็ทำให้พวกเหิงอู๋เต้าเกิดความรู้สึกนับถือแล้ว สำหรับการออกรบในสนาม ยังมีอะไรที่สำคัญกว่าข่าวกรองอีกล่ะ? ถ้าคาดคะเนแผนการของฝ่ายตรงข้ามได้ล่วงหน้า ก็หมายความว่าสามารถตัดสินได้แม่นยำ ทำให้ลดสถานการณ์ที่ไม่เป็ลผลดีกับตัวเองได้เยอะมาก ลดความเสียหายได้ในระดับสูงสุด

ทัพใหญ่มุ่งตรงเข้าไปในประตูดวงดาวแห่งหนึ่ง ตอนที่โผล่ออกมากลางอากาศ กำลังพลของฮ่าวเต๋อฟางก็หลีกทางให้ ได้แต่มองส่งทัพใหญ่แดนรัตติกาลผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 ผ่านไปอย่างราบรื่น! หนานกงหรูอวี้ออกมาข้างนอกชั่วคราว พอกลับเข้ามาที่ศูนย์บัญชาการในกระเป๋าสัตว์อีกครั้ง นางก็รายงานให้ทุกคนรู้

หวงลี่ชี้ตำแหน่งที่ทัพใหญ่กำลังเดินทางไปบนแผนที่ดาวทันที  ผู้ตรวจการใหญ่ ถ้าตรงไปอีก ในประตูดวงดาวถัดไปก็คืออาณาเขตสายเถาะแล้ว นี่นับว่าเป็นด่านยุทธศาสตร์ที่ค่อนข้างสำคัญ ตรงนั้นสะสมกำลังพลไว้สิบล้าน เกรงว่าจะต้องทำศึกใหญ่กันยกหนึ่ง! 

เหมียวอี้จ้องแผนที่ดาว  นี่ไม่ใช่เป้าหมายของพวกเรา หลังจากเข้าไปแล้วก็สังหารฝ่าไปเลย อย่าพัวพัน! 

ทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง นี่หมายความว่าอะไร?

เหมียวอี้เคลื่อนไหวนิ้วชี้บนแผนที่ดาวเร็วมาก ปรับขยายแผนที่ดาวส่วนหนึ่งขึ้นมา ชี้ตรงประตูดวงดาวแห่งหนึ่งพร้อมบอกว่า  ตรงนี้ ทางเข้าจากน่านฟ้าชวดอู้ไปน่านฟ้าขาลกุ่ย 

ทุกคนจ้องไปตรงนั้น เหิงอู๋เต้ากล่าวอย่างลังเล  น่านฟ้าขาลกุ่ยคือรังของผังก้วน เส้นทางระหว่างน่านฟ้าชวดอู้กับน่านฟ้าขาลกุ่ยคือทางที่ใกล้ที่สุดของทัพอารักขาที่จะมาช่วยฮ่าวเต๋อฟาง หรือพูดได้อีกอย่างว่า เป็นทางที่ทัพอารักขาของฮ่าวเต๋อฟางจะต้องผ่านแน่นอน 

เหมียวอี้พยักหน้า  ใช่แล้ว ทัพอารักขาที่มาช่วยฮ่าวเต๋อฟางบุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ กำลังเร่งเดินทางมาที่นี่ พวกเขารีบไปช่วยฮ่าวเต๋อฟาง เป็นไปไม่ได้ที่จะอ้อมเส้นทาง มีแต่ต้องโจมตีจุดยุทธศาสตร์นี้ให้แตกเท่านั้น ถึงจะกู้สถานการณ์ให้ฮ่าวเต๋อฟางได้เร็วที่สุด เห็นได้ชัดว่าผังก้วนก็ตระหนักได้ถึงจุดนี้แล้วเช่นกัน ดูจากข่าวกรองที่ส่งมา ผังก้วนกำลังระดมพลกลุ่มใหญ่เร่งมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ จะต้องพยายามสกัดไว้อย่างสุดกำลังแน่นอน กำลังพลของฮ่าวเต๋อฟางถูกตระกูลเซี่ยโห้วเล่นงานจนเรียกรวมลำบาก ให้ความร่วมมือกับผังก้วนในการโจมตีก่อกวน ทุกที่ล้วนถูกตรึงไว้ ส่วนฝั่งผังก้วนก็ไม่มีปัญหานี้อยู่ กำลังพลทัพอารักขาที่จะมาช่วยฮ่าวเต๋อฟางก็ไม่มีปัญหานี้อยู่เช่นกัน ดังนั้นตรงนี้จึงกลายเป็นกุญแจสำคัญของศึกตัดสิน เรื่องราวดูคึกคักขนาดนี้ ถ้าขาดพวกเราเข้าไปประสมโรงด้วยก็อาจจะน่าเสียดายเกินไป! 

ทุกคนมองหน้ากันะลิกลั่ก กุญแจสำคัญของศึกตัดสินมันก็สำคัญอยู่หรอก แต่ถ้าถ่อไปยังจุดที่สำคัญขนาดนี้โดยตรง พวกเราจะทนไหวเหรอ?

ม่ายจื่อบอกตรงๆ เลยว่า  ผู้ตรวจการใหญ่โปรดไตร่ตรอง ทัพอารักขาของฮ่าวเต๋อฟางเป็นทหารที่ฝีมือดีที่สุดในบรรดากำลังพลทั้งหมดของฮ่าวเต๋อฟาง มีประมาณแปดสิบล้านนาย ถ้าผังก้วนจะโจมตีสกัดไว้ อย่างน้อยก็ต้องระดมพลให้มากกว่าสองเท่า กำลังพลสองสามร้อยล้านตะลุมบอนกัน ถ้ากำลังพลห้าสิบล้านของพวกเราเข้าไปร่วมด้วย เกรงว่าจะสร้างความเสียหายหนักมาก! 

เหมียวอี้อธิบายว่า  เพื่อที่จะไปช่วยฮ่าวเต๋อฟางให้เร็วที่สุด ทัพเกรียงไกรแปดสิบล้านมีแต่ต้องโจมตีฝ่าไป ตลอดทางที่โจมตีมานี้ก็เสียหายไปประมาณสิบล้านแล้ว กำลังพลของผังก้วนยังต้องผนึกกำลังกับตระกูลเซี่ยโห้วเพื่อตรึงกองหนุนสายอื่นอีก สุดท้ายกำลังพลที่มารวมตัวกันที่นี่ได้คงเหลือประมาณสองร้อยล้าน พอกำลังพลพวกนี้มรวมตัวกัน ก็เท่ากับเจียดเวลาให้กำลังพลที่อยู่ใกล้รังของผังก้วนแล้ว จะระดมกองหนุนขึ้นมาอีกภายในเวลาสั้นๆ นั้นเป็นเรื่องยาก หลังจากทัพเกรียงไกรของฮ่าวเต๋อฟางกับทัพสกัดของผังก้วนทำศึกเลือดกันแล้ว ผลที่ตามมาจะเป็นยังไงล่ะ? รอจนพวกเราไปถึง อย่างน้อยทั้งสองฝ่ายก็เสียหายเกินครึ่ง ทั้งยังเป็นทหารที่สู้จนหมดแรง พอพวกเราไปถึง ก็เพียงพอให้โค่นล้มฝั่งหนึ่งได้อย่างง่ายดาย! 

ทุกคนได้ยินแล้วสับสนนิดหน่อย ไม่รู้เหมียวอี้กำลังเอาอะไรมาเชื่อมโยงกัน ฟังดูเหมือนเข้าท่า แต่ในนั้นล้วนมีช่องโหว่ ผู้ตรวจการใหญ่น่าจะไม่เลอะเลือนถึงขนาดนั้นสิ คิดจะทำอะไรกันแน่?

 รอให้พวกเราไปถึงที่นั่น เกรงว่าพวกเขาคงสู้จนได้ผลแพ้ชนะแล้ว  หนานกงหรูอวี้กล่าว

เหมียวอี้เคาะบนแผนที่ดาว  ก็เลยต้องไปทางลัดไง ไปในเส้นทางที่ใกล้ที่สุด ทะลุผ่านไปเลย! 

ทุกคนตกใจทันที เหิงอู๋เต้านับนิ้ว แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า  ผู้ตรวจการใหญ่ สายเถาะ สายมะโรง สายมะเส็ง สามอาณาเขตนี้เชื่อมต่อและติดกัน ถ้าเริ่มจากตรงที่พวกเราอยู่แล้วไปทางลัดเลย ก็ยังต้องผ่านประตูดวงดาวอีกสามสิบสามแห่ง ในระหว่างนั้นผ่านในสายเถาะสิบสามครั้ง ผังก้วนไม่มีทางปล่อยพวกเราผ่านไปโดยตรง ระหว่างทางมีโจมตีสกัดแน่นอน หลังจากไปถึงแล้วพวกเราก็จะกลายเป็นหทารที่อ่อนเพลียหมดแรง ผู้ตรวจการใหญ่ ทะลุผ่านไปโดยตรงไม่เหมาะสม!ข้าน้อยรู้สึกว่า ทีจริงแล้วจะช่วยฮ่าวเต๋อฟางได้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือพวกเราออกแรงแล้ว ตอนนี้ทางเลือกที่ดีที่สุดของพวกเราก็คือ รวมกับกำลังพลของฮ่าวเต๋อฟางแล้วกำจัดกำลังพลของผังก้วนให้ได้มากที่สุด แบบนี้ผังก้วนก็จะไม่เป็นโล้เป็นพายเช่นกัน สามารถรักษากำลังของพวกเราไว้ได้มากที่สุด ในอนาคตเวลาแบ่งอาณาเขตแล้ว พวกเราจะได้ไม่ถึงขั้นขาดคนทำงาน! 

 เจ้าคิดว่าอีกฝ่ายจะมอบอาณาเขตสายเถาะให้ง่ายๆ เหรอ? เกรงว่าหลังจากจบเรื่องแล้ว คงถึงคราวที่พวกเราจะได้สู้ตายกับกำลังพลฝั่งตระกูลฮ่าวน่ะสิ!  เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ ไม่เอ่ยอะไรมากอีก นกมือพูดตัดบทว่า  เรื่องนี้ไม่ต้องเถียงกันอีกแล้ว ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ความรวดเร็วคือหัวใจของการทำศึก จัดการตามนี้! 

ทุกคนตรงนี้ทั้งรู้สึกจนใจทั้งรู้สึกว่ามีเงื่อนงำ พากันแอบครุ่นคิดเงียบๆ

ใช้เวลาไม่นาน หลังจากทัพใหญ่ผ่านประตูดวงดาวแห่งแรกแล้ว ในที่สุดก็เผชิญหน้ากับกำลังพลสายตระกูลผัง

ทัพใหญ่แดนรัตติกาลออกมาหมด พอพุ่งใส่ก็โจมตีจนแตกกระเจิง แทบจะไม่เปลืองแรงอะไรเลย พวกเหมียวอี้ก็แค่โผล่หน้าออกมานิดหน่อยเท่านั้น จากนั้นก็หลบเข้าไปในศูนย์บัญชาการอีกเพื่อเร่งเดินทางต่อไป

กำลังพลสายตระกูลผังสิบล้านที่คอยสกัดถูกตีแตกไปอย่างนี้แล้ว ขั้นตอนที่ราบรื่นนี้ทำให้พวกเหิงอู๋เต้ารู้สึกเหลือเชื่อ ทัพใหญ่แดนรัตติกาลนอนจำศีลมาไม่กี่ปี อย่าบอกนะว่าดุดันห้าวหาญถึงระดับนี้แล้ว?

ขั้นตอนที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลทะลวงผ่านในครั้งต่อๆ มาก็สุดแสนจะราบรื่นเช่นกัน ตอนที่ผ่านสายมะโรงกับสายมะเส็ง กำลังพลฝั่งตระกูลฮ่าวก็ย่อมเปิดทางให้ตลอด ส่วนกำลังพลสายตระกูลผังที่มาสกัดไว้เป็นระยะก็ถูกทัพใหญ่แดนรัตติกาลโจมตีแตกได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่ได้เห็นได้เจอมาตลอดทางทำให้พวกเหิงอู๋เต้าพบว่าตัวเองตัดสินสถานการณ์ผิดไป เหมือนตัวเองจะประเมินศักยภาพฝ่ายตัวเองต่ำไป สิ่งที่ผู้ตรวจการใหญ่วินิจฉัยไว้ก่อนหน้านี้ต่างหากที่ถูกต้องแม่นยำ

ศึกที่ทำมาตลอดทางนี้ ทำให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเกิดขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นหลายเท่า พบว่าที่แท้แล้วพวกเราเก่งกาจขนาดนี้เลยเหรอ ทัพฝ่ายศัตรูที่เจอกับพวกเราทนการโจมตีไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว ความวิตกกังวลเล็กน้อยก่อนออกรบหายไปหมดสิ้นแล้ว

ในเรือนลึกของจวนตระกูลโค่ว โค่วหลิงซวีที่ยืนอยู่หน้าแผนที่ดาวเอียงหน้าช้าๆ มองถังเฮ่อเหนียนที่อยู่ข้างกัน ถามว่า  ตีฝ่าไปได้อย่างราบรื่นอีกแล้ว? 

ถังเฮ่อเหนียนตอบด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง  นี่เป็นครั้งที่ห้าที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลโจมตีกำลังพลที่คอยสกัดแตกพ่าย ลองนับรวมทั้งตอนแรกและตอนหลัง โจมตีกำลังพลสายตระกูลผังไปเจ็ดสิบล้านกว่าแล้วขอรับ!จากรายงานของสายลับที่อยู่ตามรายทาง ทัพใหญ่แดนรัตติกาลโจมตีได้เหี้ยมโหดดุดัน กำลังพลสายตระกูลผังต้านไม่ไหวเลย ไม่มีทางถ่วงไว้ได้ เมื่อเทียบกันแล้ว กำลังรบของฮ่าวเต๋อฟางยังห่างชั้นเลยขอรับ! 

โค่วหลิงซวีอดไม่ได้เทียบกำลังรบของตัวเองกับกำลังรบของฮ่าวเต๋อฟาง เขามือสั่นทันที ถอนเคราเส้นหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัว พึมพำช้าๆ ว่า  พยัคฆ์ร้ายออกจากภูเขาแล้ว! 

…………

 

 ไม่ต้องสงสัยเลย เซี่ยโห้วลิ่งควบคุมตระกูลเซี่ยโห้วได้โดยสมบูรณ์แล้ว  ประมุขชิงพึมพำ จากนั้นก็กวาดสายตาเย็นเยียบมองซ่างกวนชิง  ติดต่อเซี่ยโห้วลิ่ง ถามไปตรงๆ ว่าเขาทำแบบนี้หมายความว่ายังไง! 

ซ่างกวนชิงย่อมเอ่ยรับคำสั่ง หลังจากหยิบระฆังดาราออกมาแล้ว ก็ส่ายหน้าตอบว่า  ฝ่าบาท ยังติดต่อเซี่ยโห้วลิ่งไม่ได้ขอรับ 

 เว่ยซู!  ประมุขชิงพ่นออกมาอีกสองคำ

ซ่างกวนชิงเปลี่ยนระฆังดาราติดต่อ ผ่านไปครู่เดียวก็ตอบว่า  ฝ่าบาท ไม่มีการตอบสนองเช่นกันขอรับ 

ไม่สนใจฝั่งนี้งั้นเหรอ? ประมุขชิงเผยแววตาดุร้าย  นี่เป็นใต้หล้าของข้า มีหรือที่เขาคิดจะชุบเลี้ยงใครก็ชุบเลี้ยงได้? กองทัพองครักษ์ในอาณาเขตทัพใต้ระดมพลได้เท่าไรแล้ว? 

โพ่จวินกับอู๋ฉวี่สบตากันแวบหนึ่ง แล้วโพ่จวินก็กุมหมัดคารวะ  ประมาณสี่ร้อยล้านขอรับ! 

 ฝ่าบาทคิดจะให้กองทัพองครักษ์เข้าไปแทรกแซงหรือขอรับ? ตอนนี้ยังไม่รู้ชัดว่าตระกูลเซี่ยโห้วคิดจะทำอะไรกันแน่ กองทัพองครักษ์เข้าไปยุ่งแบบนี้จะไม่ค่อยเหมาะสมหรือเปล่า?  อู๋ฉวี่สงสัย

ประมุขชิงเงียบไปครู่หนึ่ง นี่คือสิ่งที่เขากังวลเช่นกัน ตระกูลเซี่ยโห้วไม่สนใจฝั่งนี้ ก็เห็นได้ชัดว่ามีที่พึ่งพิงจึงไม่กลัว ถ้าเขาถือวิสาสะเคลื่อนไหว ก็ไม่รู้ว่าจะตกหลุมพรางหรือเปล่า ทำให้เขากังวลนิดหน่อย เขากวาดสายตามองบรรดาลูกน้อง แล้วถามว่า  หนิวโหย่วเต๋อกับฮ่าวเต๋อฟางสวมกางเกงตัวเดียวกันไม่ใช่เหรอ? ฝั่งเขามีความเคลื่อนไหวอะไรหรือเปล่า? 

 ข่าวที่คนฝั่งแดนรัตติกาลกับสายลับในจวนผู้สำเร็จราชการส่งมาล้วนพิสูจน์แล้วว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร  ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว

 หรือว่าหนิวโหย่วเต๋อกับผังก้วนสมคบกันแล้ว?  ประมุขชิงขมวดคิ้ว

อู๋ฉวี่ตอบว่า  ไม่น่าจะเป็นไปได้ขอรับ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อจงใจช่วยผังก้วนจริงๆ ตอนนี้คงจะเคลื่อนทัพโจมตีคนของฮ่าวเต๋อฟางแล้ว ทำไมยังสะกดทัพไม่เคลื่อนไหว เฝ้ามองเสือสู้กัน? อาศัยกำลังของหนิวโหย่วเต๋อในปัจจุบัน คงไม่ถึงขั้นไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้หรอกขอรับ? 

ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้า  คงมีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งก็คือ หนิวโหย่วเต๋อถูกตระกูลเซี่ยโห้วยับยั้งไว้เหมือนกัน สองคือฝั่งผังก้วนสัญญาจะให้ผลประโยชน์กับเขา ไม่ว่าฮ่าวเต๋อฟางจะได้นั่งตำแหน่งในทัพใต้ต่อไป หรือว่าผังก้วนจะเป็นประมุข ก็ล้วนไม่ส่งผลกระทบต่อเขา ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องเสี่ยง 

ประมุขชิงหรี่ตา  ซ่างกวน ถ่ายทอดคำสั่งให้หนิวโหย่วเต๋อ ให้เขาเคลื่อนทัพโจมตีผังก้วน กู้สถานการณ์ให้ฮ่าวเต๋อฟาง! 

ทุกคนฟังแล้วเข้าใจเจตนาของเขาทันที ต้องการจะให้หนิวโหย่วเต๋อลองเชิงก่อน และเป็นการทดสอบท่าทีของฝั่งหนิวโหย่วเต๋อด้วย

 ไม่เหมาะสม!  เกาก้วนพลันเลยปากห้าม  ฝ่าบาท เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังนั่งบนภูดูเสือกัดกัน[1] ถ้าฝ่าบาทสั่งไปแบบนี้โดยไม่ให้ผลประโยชน์ เกรงว่าเขาคงไม่เคลื่อนทัพ 

ประมุขชิงบอกว่า  ลองดูก็ไม่เป็นอะไร!  แล้วพยักหน้าให้ซ่างกวนชิง บอกไม่ให้ซ่างกวนชิงติดต่อเหมียวอี้

ซ่างกวนชิงหยิบระฆังดาราออกมาจัดการตามที่สั่ง ตอนนี้มีวิธีติดต่อเหมียวอี้โดยตรง

บนตึกศาลาจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้ที่ยืนอยู่หน้าแผนที่ดาวหยิบระฆังดาราอนึ่งออกมา แล้วกล่าวกับสองคนข้างกายด้วยรอยยิ้มว่า  ผู้การใหญ่ซ่างกวนส่งข่าวมาแล้ว 

สองหยางสบตากันแล้วยิ้ม ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นอย่างที่คาดไว้

เหมียวอี้ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ เขย่าระฆังดาราตอบกลับไป

ในตำหนักใหญ่ของพระตำหนักอุทยาน ซ่างกวนชิงที่กำลังถือระฆังดาราชะงักไป แล้วรายงาน  ฝ่าบาท หนิวโหย่วเต๋อบอกว่านี่เป็นเรื่องในครอบครัวของทัพใต้ ถ้าเขาไปแทรกแซงจะถือว่าไม่ชอบธรรม! 

ประมุขชิงพลันตะคอกอย่างเดือดดาล  ไอ้สารเลว คำสั่งของข้ายังถือว่าไม่ชอบธรรมอีกเหรอ? สั่งให้เขาเคลื่อนทัพเดี๋ยวนี้! 

ซ่างกวนชิงแอบทอดถอนใจ สิ่งที่เรียกว่าอาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบนคืออะไร ก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรอกหรือ? แต่ไหนแต่ไรมา ไม่ว่าจะเป็นโรคมนุษย์หรือตำหนักสวรรค์ คำสั่งราชันก็เป็นเช่นนี้ ถ้าเบื้องล่างไม่สนับสนุน ต่อให้เป็นคำสั่งโดยตรงก็ทำให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรมได้ นี่คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิหนำซ้ำยังไม่ใช่คำสั่งแบบเปิดเผย อีกฝ่ายมีเหตุผลมาอ้างเพื่อปฏิเสธอยู่แล้ว

แต่เขาก็ยังจะทำแบบนี้ ผ่านไปครู่เดียวก็ตอบอีกว่า  ฝ่าบาท หนิวโหย่วเต๋อบอกว่า เขาก็อยากจะรับบัญชานี้ แต่พี่น้องเบื้องล่างไม่มีใครอยากถือหัวไปช่วยคนอื่นแย่งแย่งอาณาเขตกัน เขาต้องการคำอธิบายที่ฟังขึ้น 

ประมุขชิงแสยะยิ้ม  สงสัยถ้าไร้ผลประโยชน์คงไม่ตื่นเช้าจริงๆ เขาเอ่ยปากขอผลประโยชน์แล้ว ถามเขาว่าต้องการอะไร? 

ซ่างกวนชิงถามแล้ว ตอบว่า  เขาบอกว่าอาณาเขตแดนรัตติกาลเล็กเกินไป คนมากมายขนาดนี้เบียดกันอยู่ที่ปราสาทดำเนินจันทร์ไม่ค่อยสะดวก ถามฝ่าบาทว่าถ้ากำจัดผังก้วนแล้ว อาณาเขตสายเถาะของผังก้วนจะจัดการอย่างไร นอกจากนี้เขาก็ยังหวังว่าจะได้ความชอบธรรม แม้ตอนนี้จะไม่ได้รับคำสั่งอย่างเปิดเผย แต่หวังว่าฝ่าบาทจะสามารถแจ้งข่าวอย่างเป็นทางการผ่านตลาดสวรรค์ พิสูจน์ว่าเขาได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้ไปปราบกบฏ 

 ข้ารับปากเขา ให้เขาเครื่องทัพเดี๋ยวนี้!  ประมุขชิงไม่ลังเล

 ฝ่าบาท!  เกาก้วนกุมหมัดคารวะอีกว่า  อย่าให้กระแสนิยมนี้เติบโต! 

ประมุขชิงแสยะยิ้ม  ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเขาช่วยกู้สถานการณ์ให้ฮ่าวเต๋อฟางได้จริงๆ ฮ่าวเต๋อฟางจะมอบอาณาเขตสายเถาะให้เขาหรือเปล่าก็เป็นปัญหาหนึ่ง ให้พวกเขาไปวุ่นวายกันเอาเอง 

เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ข้างแผนที่ดาวเก็บระฆังดารา มองหยางชิ่งที่อยู่ทางซ้าย มองหยางเจาชิงที่อยู่แถวขวา แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าหัวเราะลั่น

สองหยางหัวเราะตามเช่นกัน ไม่ต้องบอกเลย แผนการนี้สำเร็จแล้วแน่นอน ไม่อย่างนั้นนายท่านจะดีใจขนาดนี้หรือ

พอเก็บแผนที่ดาว ทั้งสามคนก็กระโดดลงจากตึกศาลาทันที เหมียวอี้เดินนำเข้าไปในวังใต้ดิน โบกมือให้ทหารยามหลีกไป

เหมียวอี้เดินก้าวยาวเข้ามาในวังใต้ดิน หันไปหาบรรดาแม่ทัพในตำหนักหลักที่มองมา หยุดเดินแล้วกล่าวเสียงดังว่า  ทุกคน โอกาสที่พวกเราจะหลุดพ้นจากความลำบากมาถึงแล้ว ถ่ายทอดคำสั่งทหารของข้า ระดมกำลังพลทั้งหมด โจมตีออกจากแดนรัตติกาล! 

บรรดาแม่ทัพฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า เลือดร้อนพลุ่งพล่าน อดทนลำบากมาหลายปีขนาดนี้ ในที่สุดก็รอจนวันนี้มาถึง พวกเขากุมหมัดคารวะพร้อมกัน  น้อมรับบัญชาผู้ตรวจการใหญ่! 

วังใต้ดินคลายผนึกแล้ว บรรดาแม่ทัพรีบออกมา แล้วเริ่มระดมพลอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผยโดยไม่กลัวอะไร

ประตูคุกใหญ่เปิดออก เหมียวอี้เดินก้าวยาวเข้ามา ยืนตรงหน้าประตูคุก แล้วมองพวกเวินเจ๋อที่โดนขังอยู่ข้างใน

พวกเวินเจ๋อกรูเข้ามายืนตรงหน้ากรงคุก เวินเจ๋อถามอย่างโมโหว่า  หนิวโหย่วเต๋อ จับพวกเรามาแล้วไม่สอบสวน ถามก็ไม่ถาม เจ้ามีเจตนาอะไรกันแน่? 

เหมียวอี้หยุดเดิน มายืนอยู่ตรงหน้าเขา  พี่เวิน ข้าถามเจ้าคำเดียว คิดให้ดีแล้วค่อยตอบ เจ้าเป็นคนของทัพใหญ่แดนรัตติกาล หรือเป็นคนของตำหนักสวรรค์? 

เวินเจ๋ออึ้งไปชั่วขณะ แล้วตอบอย่างเดือดดาลทันทีว่า  หนิวโหย่วเต๋อ ตำหนักสวรรค์ดูแลเจ้าอย่างดี ถ้าไม่มีฝ่าบาทชุบเลี้ยงเจ้า เจ้าจะกลายเป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลได้อย่างวันนี้เหรอ ทำไมถึงพูดจาจาบจ้วงแบบนี้ ทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่ใช่ส่วนหนึ่งของตำหนักสวรรค์หรือไง? 

เหมียวอี้หันหน้ามาแล้วเดินต่อไป พูดทิ้งท้ายอย่างเย็นเยียบว่า  จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเล็กเกินไป รับมหาเทพอย่างพวกเจ้าไว้ไม่ไหวหรอก ทัพใหญ่ของข้ากำลังขาดศีรษะสังเวยธงรบพอดี! 

ประตูคุกเปิดออก ทหารยามหลายคนพุ่งเข้าไปอย่างดุร้ายราวกับเสือ ควงดาบฟันอย่างบ้าคลั่ง คนพวกนี้ที่ถูกสะกดพลังอิทธิฤทธิ์ไว้จะต้านทานได้อย่างไร

ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอันน่ารันทด เวินเจ๋อที่มือเต็มไปด้วยเลือดสดดิ้นรนนั่งคุกเข่า เขย่ากรงกล่าวอย่างเดือดดาลว่า  หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าคิดจะก่อกบฏ เจ้าต้องไม่ตายดี 

แสงสะท้อนคมดาบแวบผ่าน ขณะเหวินเจ๋อล้มลงจมกองเลือด ในหัวก็ปรากฏภาพที่นั่งดื่มสุรากับเหมียวอี้ที่อุทยานหลวงในปีนั้น

เหมียวอี้ที่เดินออกจากคุกเงยหน้ามองฟ้า ในหัวมีภาพดื่มสุราเคล้าเสียงหัวเราะกับเวินเจ๋อที่อุทยานหลวงแวบเข้ามา เขาเงยหน้าถอนหายใจยาว แล้วเดินก้าวยาวออกไปด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่…

ท่ามกลางทัพชุลมุน หลี่อันที่เลือดออกปากออกจมูกแขนขาไร้เรี่ยวแรง เกราะหัวเอียงอยู่บนคอ มวยผมถูกดึงอยู่ในมือฮ่าวเต๋อฟาง

ภายใต้วงล้อมของทัพอารักขา ฮ่าวเต๋อฟางสังหารอย่างบ้าคลั่งพักหนึ่ง จะจับโจรต้องจับหัวหน้าโจรก่อน เขาพุ่งตรงไปที่เป้าหมายทันที หลังจากต่อสู้ดุเดือดมานาน ในที่สุดก็ได้ปะทะกับหลี่อันแล้ว

หลี่อันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย สุดท้ายก็โดนฮ่าวเต๋อฟางโจมตีจนสาหัส ตกอยู่ในมือฮ่าวเต๋อฟางแล้ว เขายิ้มอย่างน่าเวทนาขณะมองฮ่าวเต๋อฟางด้วยแววตาไร้เรี่ยวแรง

 โจรสุนัข! อ๋องผู้นี้ดูแลเจ้าไม่ดีรึ บังอาจทรยศข้า! 

ฮ่าวเต๋อฟางที่เลือดท่วมตัวตะคอกหลี่อัน ไม่ถามด้วยว่าทรยศเขาทำไม ลงดาบอย่างไม่ลังเล ฟันศีรษะหลี่อันเสียเลย จากนั้นชูมือขึ้น ตะโกนเสียงดังว่า  โจรกบฏหลี่อันโดนตัดหัวแล้ว! 

ทัพกบฏขาดคนบัญชาการแล้ว ชุลมุนวุ่นวายทันที กอปรกับกำลังอ่อนแอ ความพ่ายแพ้มาเยือนเร็วขึ้น

ทหารอารักขาโดยรอบยังคงเข่นฆ่าสุดชีวิต ฮ่าวเต๋อฟางกวาดสายตาเย็นเยียบมองไปรอบๆ ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเกิดสถานการณ์ทรยศหมู่ เพราะตระกูลเซี่ยโห้วสอดมือเข้ามาแทรก สิ่งนี้ทำให้เขาคิดดูแล้วตัวสั่น นี่ต้องเป็นกับดักที่ตระกูลเซี่ยโห้ววางไว้ข้างกายตนมาหลายปีแล้วแน่ๆ ไม่อย่างนั้นจะควบคุมกำลังพลทั้งหมดนี้ในทัพอารักขาในเวลาสั้นๆ โดยไม่ให้เขาพบพิรุธสักนิดเลยได้อย่างไร? ถ้าวันไหนมีเพียงกำลังพลชุดนี้คอยคุ้มกันตน และต้องการลงมือสังหารตนขึ้นมา เกรงว่าคงยากจะรอดพ้นหายนะ

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ในอาณาเขตทัพใต้เกิดเรื่องไปทั่ว พวกโค่วหลิงซวีถูกตระกูลเซี่ยโห้วยับยั้งไว้ ตระกูลเซี่ยโห้วจะเล่นงานเขาให้ถึงตายให้ได้ เขาคิดไม่ตกว่าทำไมตระกูลเซี่ยโห้วต้องทำอย่างนี้? แต่ไหนแต่ไรมายามทั้งสองฝ่ายมีอะไรขัดแย้งกันก็ไม่ถึงขั้นล้ำเส้น ตัวเองไม่ได้ล่วงเกินตระกูลเซี่ยโห้วจนถึงตายด้วย ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ทำแบบบนี้แล้วตระกูลเซี่ยโห้วได้ผลประโยชน์อะไรเหรอ? หรือว่าคนในครอบครัวตัวเองไปทำเรื่องล่วงเกินอะไรไว้แล้วตนไม่รู้?

เขาเข้าใจชัดเจนมาก ตอนนี้พวกโค่วหลิงซวียังเอาตัวเองไม่รอด ภายในเวลาสั้นๆ นี้เลิกคิดจะขอการสนับสนุนจากพวกเขาไปได้เลย ตอนนี้เกรงว่าความหวังเดียวของเขาจะเป็นตำหนักสวรรค์ ประมุขชิงไม่มีทางนิ่งดูดายเมื่อเห็นกลุ่มอำนาจใหญ่กับตระกูลเซี่ยโห้วสมคบกัน

 ท่านอ่อง ข่าวดี!  ซูอวิ้นที่เลือดท่วมตัวอยู่ข้างๆ รายงานข่าวดี  ตลาดสวรรค์แต่ละแห่งประกาศข่าวอย่างเป็นทางการแล้ว ตำหนักสวรรค์สั่งให้หนิวโหย่วเต๋อนำทัพใหญ่แดนรัตติกาลออกมาโจมตีแล้ว ช่วยท่านอ๋องปราบโจรกบฏผัง! 

ฮ่าวเต๋อฟางกวาดมองกำลังพลรอบๆ แวบหนึ่ง ถ้านับรวมกับทัพกบฏ ทัพอารักขาที่ตัวเองพามาเสียหายไปเกือบห้าล้านแล้ว ถูกทัพกบฏก่อกวนอย่างนี้ โดนโจมตีศูนย์กลางจนลนลานทำอะไรไม่ถูก ฝ่าวงล้อมไม่ทันเวลา โดนทัพใหญ่ของผังก้วนล้อมไว้อย่างแน่นหนาแล้ว ตอนนี้มีแค่ต้องยืนหยัดเอาไว้ให้ถึงที่สุดเท่านั้น พยายามช่วงชิงเวลา

 หวังว่าจะมาทัน  ฮ่าวเต๋อฟางกล่าวอย่างใจเย็น

ในขณะนี้เอง จู่ๆ เหมียวอี้ก็ส่งข่าวมา ฮ่าวเต๋อฟางหยิบระฆังดาราออกมา ถามว่า : ผู้ตรวจการใหญ่มีอะไรจะชี้แนะ?

เหมียวอี้ : ข้าได้รับบัญชาการตำหนักสวรรค์ให้มาช่วยท่านอ๋อง ท่านอ๋องได้โปรดแจ้งสถานการณ์กองทัพในแต่ละพื้นที่ต่อฝ่ายข้าให้ทันเวลา จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดอะไรกัน!

ฮ่าวเต๋อฟาง : รบกวนแล้ว

เหมียวอี้ : ท่านอ๋องต้องยืนหยัดไว้นะ!

สถานการณ์รบเหมือนจะไม่เอื้อประโยชน์ต่อฝั่งผังก้วนแล้ว

พลังรบอารักขาของฮ่าวเต๋อฟางทัพห้าวหาญกว่าที่ผังก้วนคาดไว้ ทัพกบฏในทัพอารักขาถูกปราบหมดเร็วมาก และความเสียหายฝั่งเขาก็แทบจะสูงถึงสิบล้านคนแล้ว

ยิ่งมีทัพอารักขาแปดสิบล้านของฮ่าวเต๋อฟางเทรังออกมา โจมตีอย่างดุเดือดมาตลอดทาง บุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ โจมตีทัพใหญ่ของเขาที่มาสกัดตามเส้นทางต่างๆ แพ้หมดแล้ว กำลังมุ่งหน้าเข้ามาทางนี้

ที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ ฮ่าวเต๋อฟางรู้เรื่องที่ประมุขชิงสั่งให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาช่วยแล้ว ไม่มีทางที่ผังก้วนจะไม่รู้ แม้ต้วนชุนเอ๋อร์จะหาข้ออ้างมาปลอบใจ แต่เขาก็ยังไม่วางใจ

พอรู้ข่าวนี้ เขาก็อยากจะล้วงระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเป็นฝ่ายติดต่อเขามาก่อน บอกว่า : ท่านจอมพล ประมุขชิงสั่งให้ข้านำทัพใหญ่ปราบกำลังพลสายเถาะ!

ผังก้วนได้ยินแล้วอกสั่นขวัญแขวน รีบถามว่า : ลูกเขย เจ้าหมายความว่ายังไง?

เหมียวอี้ : ท่านพ่อตาอย่าร้อนใจ ถ้าเชื่อฟังประมุขชิงข้าก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร จะไปเชื่อฟังได้ยังไง! ถ้าปล่อยให้ศึกนี้ยืดเยื้อต่อไปก็ไม่ใช่แผนการที่ดีในระยะยาว ลูกเขยมีมีแผนการที่จะทำให้สำเร็จในรวดเดียว แต่ฝั่งท่านพ่อตาต้องถ่วงเวลาให้ข้าหนึ่งวัน แล้วรายงานสถานการณ์กองทัพแต่ละพื้นที่ให้ข้าให้ทันเวลา…

พอฟังแผนการของเหมียวอี้จบ ผังก้วนก็ตาลุกวาว บอกกับเฉินหวยจิ่วด้วยความทึ่งว่า  มีความสามารถสมคำร่ำลือ ลูกเขยคนดีของข้าช่างเชี่ยวชาญการศึก เสี้ยวเสี้ยวแต่งงานไม่ผิดคน! 

เฉินหวยจิ่วงุนงง ไม่รู้ว่าทำไมเขาพูดอย่างนี้?

ผังก้วนรีบเร่งแล้ว  รีบแจ้งลงไป ถ้ากำลังพลของข้าปะทะกับทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็ต้องแพ้เท่านั้น ห้ามชนะ สร้างสถานการณ์โจมตีสกัดที่เข้าท่า ช่วยล่อข้าศึกให้ลูกเขยของข้า… 

………………

 

เดิมทีไม่กังวลหนิวโหย่วเต๋อ แต่ผังก้วนใจกล้าขนาดนี้ ทำให้เขาอดคิดมากไม่ได้จริงๆ ว่ามีที่พึ่งอะไร สิ่งที่เขาให้หนิวโหย่วเต๋อได้ เมื่อทำงานนี้สำเร็จผังก้วนก็ให้หนิวโหย่วเต๋อได้เหมือนกัน บางทีอาจจะให้ได้มากกว่าด้วย

สิ่งที่เขาเฝ้ารอตอนนี้ก็คือ ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อไม่มาช่วย แต่ทางที่ดีก็อย่าเคลื่อนทัพ ไม่ต้องไปช่วยผังก้วนผังก้วน ที่ขอความช่วยเหลือก็เพราะจะหยั่งท่าทีของเหมียวอี้

สถานการณ์ปัจจุบันสำหรับเขา ไม่ว่าใครจะมาช่วยก็ไม่สะดวกเท่ากำลังพลของตัวเองมาช่วย เพราะเขาอยู่บนอาณาเขตทัพใต้ กำลังผลของตัวเองก็อยู่ใกล้ที่สุด ถ้าแม้แต่กำลังพลของตัวเองยังมาช่วยไม่ได้ ยังจะรอให้คนอื่นมาช่วยทันได้อย่างไร

ตอนนี้ความโกรธแค้นใดๆ ล้วนไม่มีประโยชน์ มีแต่ต้องใจเย็นและถ่วงเวลาเท่านั้น สิ่งที่เขาต้องการที่สุดตอนนี้ก็คือเวลา ถ่วงเวลาจนกว่ากองหนุนจะมา!

ฮ่าวเต๋อฟางที่สวมเกราะรบโบกดาบ ใช้สายตาเย็นเยียบมองทัพกบฏที่ก่อกวนอยู่ในทัพอารักขาของตัวเอง ถ้าอยากจะยืนหยัดต่อไป ก็ต้องปราบทัพกบฏภายในทิ้งก่อน มีแต่ต้องทำให้ข้างในหายวุ่นวาย ถึงจะยืนหยัดได้นานยิ่งขึ้น!

ชั่วพริบตานั้นซูอวิ้นเข้าใจเจตนาของเขาทันที รีบสวมเกราะรบผู้หญิงและถือทวนยาวไว้ในมือ

 ทุกคน ติดตามอ๋องผู้นี้ปราบกบฏ ฆ่า!  ฮ่าวเต๋อฟางตะโกนอย่างดุดัน แล้วนำหน้าไปก่อน นำยอดฝีมือพันคนข้างกายพุ่งไปรบแนวหน้าด้วยตัวเอง สังหารเข้าไปในทัพกบฏ

พวกซูอวิ้นติดตามอยู่ข้างหลัง สังหารจนเลือดสดกระจายสะเปะสะปะ กำลังพลทั้งกลุ่มราวกับคมดาบที่เสียบเข้าไปในทัพชุลมุนอย่างดุดัน

อ๋องสวรรค์ฮ่าวออกโรงเอง ทัพอารักขามีขวัญกำลังใจฮึกเหิม!

ผังก้วนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์สังเกตสถานการณ์รบอย่างใกล้ชิด เห็นฮ่าวเต๋อฟางบุกตะลุยโจมตีข้าศึกเอง ห้าวหาญราวกับเสือวิ่งเข้าฝูงแกะ พลังรบของผู้อาวุโสอย่างอ๋องสวรรค์ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย มีแค่พันคนก็กล้าบุกสังหารเข้ามาในทัพใหญ่หนึ่งล้าน ในใจเขาเริ่มกระวนกระวายนิดหน่อย อย่างไรเสียฮ่าวเต๋อฟางก็สะสมอำนาจบารมีมาหลายปี มีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจคนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เขาร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนอย่างโมโหทันที  คนที่เด็ดหัวโจรเฒ่าฮ่าวเต๋อฟาง ข้าจะยกตำแหน่งจอมพลให้เป็นรางวัล! 

ตรงนี้ฆ่ากันจนชีวิตปลิดปลิว บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน

ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ที่จริงเหมียวอี้รู้สึกตึงเครียดมาก ต่อให้จะมีความมั่นใจในแผนการขนาดไหน แต่ก็อาจพลาดจนเอาชีวิตคืนไม่ได้อีก การก่อกบฏถ้าเจ้าไม่เอาดับพาดบนคอคนอื่น ก็เป็นคนอื่นที่เอาดาบพาดบนคอเจ้า ที่บอกว่ารู้สึกกดดันนั้นไม่ใช่เรื่องโกหกเลย

บนตึกศาลาให้คนเตรียมสุราหางเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ดึงพวกหยางเจาชิงมานั่งด้วยกัน กินดื่มพูดคุยปนเสียงหัวเราะ ทั้งยังมีนักดีดฉินหน้าตางดงามคอยบรรเลงเพลงไพเราะให้ฟังอยู่ข้างๆ นักฉินก็คือเฟยหงนั่นเอง

ดูเหมือนผ่อนคลาย แต่ความจริงแล้วทุกคนล้วนรู้สึกหนักใจ

ผังก้วนกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เหมียวอี้เที่ยวฝั่งนี้ก็ดื่มสุราอย่างอึดอัดใจเหมือนกัน

หวงฝู่จวินโหรวส่งข่าวมาบอกสิ่งที่ได้เห็นได้ยิน เหมียวอี้บอกนางว่าอย่ากังวลเกินไป ขอแค่ไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขาก็พอ ให้อยู่กับคนอื่นที่นั่นแต่โดยดี อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ผังก้วนไม่ทำอะไรตัวประกันพวกนั้นหรอก เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ผังก้วนจะเป็นศัตรูกับคนทั้งใต้หล้า

ผังเสี้ยวเสี้ยวส่งข่าวมาขอความช่วยเหลือ ขอให้เหมียวอี้ส่งทหารมาช่วยท่านพ่อของตัวเอง เหมียวอี้บอกนางว่าไม่ต้องกังวล บอกว่าเขากับพ่อตาปรึกษาวางแผนกันเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวจะส่งกำลังพลไปสนับสนุนเอง

จากนั้นจาหรูเยี่ยนก็ส่งข่าวมาอีก กำชับเตือนลูกเขยว่าต้องรีบส่งทหารมาช่วย บอกประมาณว่าเสี้ยวเสี้ยวจะช่วยคลอดลูกให้เขา เรียกได้ว่าใช้ความรู้ทำให้คนซาบซึ้ง ใช้เหตุผลทำให้คนเข้าใจ เหมียวอี้บอกว่าเขาส่งทหารออกไปแล้ว แต่ความจริงแล้วทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยสักนิด ไม่มีแม้แต่ท่าทีว่าจะระดมพล

ฮ่าวเต๋อฟางส่งข่าวมาขอความช่วยเหลือ เหมียวอี้รับปากทันที บอกประมาณว่าจะระดมพลเดี๋ยวนี้

ผังก้วนส่งข่าวมาบอกให้เขารีบมาไวๆ เหมียวอี้ก็เอ่ยรับเต็มปากเต็มคำเช่นกัน แต่ความจริงแล้วยังสะกดทัพไว้ไม่เคลื่อนไหว ส่วนข่าวที่ให้ต้วนชุนเอ๋อร์ส่งกลับไปย่อมเป็นอีกแบบหนึ่งอยู่แล้ว

แม้แต่เจ้าสำนักอวี้หลิงเอง หลังจากรู้ว่าเกิดกบฏภายในทัพใต้ ก็ส่งข่าวมาถามเช่นกัน เพราะสำนักลมปราณเองก็ส่งตัวแทนไปมอบของขวัญแต่งงาน กังวลว่าจะกระทบกับสำนักลมปราณ เหมียวอี้บอกอวี้หลิงว่าให้สำนักลมปราณสงบใจได้ ตอนนี้ในอาณาเขตทัพใต้ไม่มีใครกล้าล่วงเกินสำนักลมปราณ!

นี่ไม่ใช่คำพูดโกหก ในมือเขามีกำลังทหารมากพอที่จะดูเสือสู้กัน แต่ละคนแทบจะขอความช่วยเหลือเขาไม่ทำด้วยซ้ำ ใครจะกล้าหาเรื่องคนของเขาล่ะ?

 เฮ้อ อยากจะดื่มสุราสักครั้งทำไมมันยากขนาดนี้  เหมียวอี้เก็บระฆังดาราแล้วถอนหายใจ ก่อนจะยกมือหยุดเฟยหง เฟยหงใช้นิ้วสายฉินเอาไว้แล้ว

หยางเจาชิงรู้ว่าตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์มาดื่มสุรา ถามว่า  จะระดมพลเตรียมไว้ก่อนหรือไม่ครับ? 

อย่าว่าแต่เหมียวอี้เลย แม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกว่าทำอย่างนี้แล้วไม่สบายใจ รู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก

หยางชิ่งยกมือห้าม  ไม่ได้! ฝั่งผังก้วนเชื่อสิ่งที่พวกต้วนชุนเอ๋อร์เห็น ตบตาได้ง่าย จะอ้างเหตุผลอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่คนอื่นกลับตบตาได้ยาก พวกเขาทําได้เพียงสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของทัพใหญ่แดนรัตติกาลโดยตรง ผังก้วนก่อกบฏ แต่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลระดมพลหมายความว่าอะไรล่ะ? ต้องอดทนไว้ รอให้ตำหนักสวรรค์มีคำสั่งออกมา รอให้ตำหนักสวรรค์ระบุว่าผังก้วนเป็นโจรกบฏ นั่นก็จะถึงเวลาที่พวกเราเคลื่อนทัพ รออีกไม่นาน ใกล้แล้ว รออีกนิดเดียวได้อยู่แล้ว! 

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน โยนแผนที่ดาวอันหนึ่งออกมา แล้วจ้องสำรวจด้วยแววตาล้ำลึก

 ทำไมบอกว่าติดต่อไม่ได้? ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลย ทำไมจู่ๆ ก็ติดต่อไม่ได้แล้ว? 

กงเชียนชิว จอมพลสายมะโรงที่เร่งเหาะอยู่ในดาราจักรพลันหันกลับมาตะคอกถามกำลังพลของตัวเอง ทางนี้กำลังระดมพลสายมะโรง พอถ่ายทอดคำสั่งลงไป ผลก็คือมีข่าวทยอยส่งมาว่า กำลังพลที่ได้รับคำสั่งให้ระดมพลขาดการติดต่อไป มีหลายที่ที่เกิดสถานการณ์อย่างนี้

แม่ทัพของเขากล่าวอย่างกังวลว่า  ข้าน้อยสงสัยว่าจะมีคนฉวยโอกาสตอนระดมทัพใหญ่ตัดขาดการใช้ระฆังดาราเพื่อป้องกันข้อมูลกองทัพรั่วไหล ไม่อย่างนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่กำลังพลทั้งกองทัพจขาดการติดต่อ แม่ทัพหลักของกองกำลังพี่ขาดการติดต่อไปอาจจะมีปัญหา คาดว่าคงไม่มาฟังคำสั่งแล้ว! 

กงเชียนชิวกัดฟันกรอด เหลือแค่ความเป็นไปได้นี้แล้ว ถ้าแม่ทัพหลักตัดขาดการติดต่อระฆังดาราของลูกน้องแล้วถ่ายทอดคำสั่งทหารเท็จ ใครจะไปรู้ว่าเขาจะนำกำลังพลไปที่ไหน มีปัญหาแล้ว อยู่ดีๆ มาเกิดเรื่องได้เวลาแบบนี้แสดงว่ามีปัญหาแน่นอน

แม้กำลังพลที่ขาดการติดต่อไปจะมีไม่มาก ยศก็ไม่สูง แต่ถ้าฝั่งตะวันออกขาดระเบียบไปกองหนึ่ง ฝั่งตะวันตกขาดระเบียบไปกองหนึ่ง จะต้องทำให้ใจคนหวาดหวั่นแน่นอน เจ้าไม่รู้จุดประสงค์ชัดเจนว่าคนพวกนี้หายตัวไปเพราะอะไร ทัพใหญ่ออกรบแต่สมาชิกครอบครัวส่วนใหญ่ยังอยู่ในบ้าน การป้องกันอ่อนแอ ถ้าคนพวกนี้ฉวยโอกาสโจมตีขึ้นมา ก็จะต้องวุ่นวายใหญ่โตแน่นอน

 แจ้งสำนักต่างๆ เดี๋ยวนี้ ให้มาคุ้มครองคนในครอบครัวของแม่ทัพแต่ละสายที่อยู่ใกล้กัน  กงเชียนชิวตวาด

เมื่อถ่ายทอดคำสั่งนี้ไปได้ไม่นาน แม่ทัพก็รายงานด่วนขึ้นมาอีกแล้ว  ท่านจอมพล เบื้องล่างรายงานมาว่ามีหลายสำนักขาดการติดต่อไปแล้ว 

 อะไรนะ?  กงเชียนชิวหลุดอุทาน รู้สึกขนพองสยองเกล้า ใครกันที่มีกำลังมากขนาดนี้ ไม่เพียงแค่ทำให้กำลังพลของเขาเกิดเรื่องที่มีเงื่อนงำ ทั้งยังควบคุมให้สำนักในอาณาเขตของเขาไม่เข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้? เขานึกถึงตระกูลเซี่ยโห้วทันที เป็นตระกูลเซี่ยโห้วที่สนับสนุนให้ผังก้วนก่อกบฏ!

ปัญหานี้ไม่ได้เกิดแค่กับอาณาเขตของเขาเท่านั้น อวี่เหวินชวนจอมพลสายมะเส็งก็เกิดปัญหาแบบเดียวกัน

แม่ทัพของเขารีบรายงานด้วยเสียงดังว่า  ท่านจอมพล ที่น่านฟ้ามะเมียซิน แม้แต่ประตูดวงดาวที่เชื่อมต่อกับสายเถาะก็ขาดการควบคุมแล้ว ทหารยามไม่เพียงแค่ไม่ป้องกัน ทั้งยังทิ้งด่านไปแล้วด้วย ตู้ชิว แม่ทัพใหญ่ของผังก้วนนำทัพใหญ่บุกเข้ามาได้โดยไม่เปลืองแรงสักนิด โจมตีเข้ามาในอาณาเขตของข้าแล้ว บุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ กำลังพลที่เหลือขอความช่วยเหลือเร่งด่วน! ดูจากทิศทางของตู้ชิว มีความเป็นไปได้มากว่าจะดักสกัดกำลังพลของพวกเราอยู่ตรงเส้นทางสำคัญ เจตนาจะยับยั้งการระดมพล! 

ยังไม่ทันเริ่มทำศึก ทุกที่ก็ชุลมุนวุ่นวายแล้ว อวี่เหวินชวนขนหัวลุก แข็งใจกล่าวเสียงต่ำว่า  แจ้งกำลังพลที่เหลือ ให้พวกเขากับครอบครัวถอนกำลังเดี๋ยวนี้ หาที่หลบกันเอาเอง…  ถ่ายทอดคำสั่งลงไปอย่างต่อเนื่อง ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วกำลังสนับสนุนผังก้วนจริงๆ แม้แต่เขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่า ถ้าคนในครอบครัวของแม่ทัพแต่ละกองถูกเพ่งเล็งแล้ว จะหลบการไล่ฆ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้หรือเปล่า ใครจะไปรู้ว่าในบ้านจะมีคนคอยปล่อยข่าวให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้หรือเปล่า ตระกูลเซี่ยโห้วแอบใช้หนวดปลาหมึกรุกล้ำอยู่ในความมืดมาหลายปี ไม่มีใครรู้ว่าหนวดนั้นสัมผัสไปลึกขนาดไหน

ในจวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่เดินไปเดินมาอยู่ในโถงมีสีหน้าแย่มาก ตะคอกใส่หวังเฟยว่า  ไสหัวออกไป! 

เม่ยเหนียงที่มาวิงวอนขอร้องอยู่เป็นพักๆ ตกใจ ทำได้เพียงปาดน้ำตาเดินออกไป

เม่ยเหนียงย่อมให้ก่วงลิ่งกงช่วยลูกสาวที่อยู่ในมือผังก้วน ส่วนก่วงลิ่งกงก็ไม่ได้เดือดดาลเพราะลูกสาวถูกขังไว้ เขามั่นใจว่าผังก้วนไม่มีความกล้าที่จะแตะต้องตัวประกันมากขนาดนั้นถ้าไม่ถึงคราวจนตรอกจริงๆ ผังก้วนก็ไม่มีทางทำอย่างนั้น

สิ่งที่ทำให้เขาเดือดดาลจริงๆ ก็คือ เขาเพิ่งจะรวบรวมกำลังพลร้อยล้าน เตรียมจะไปช่วยฮ่าวเต๋อฟาง แต่เบื้องล่างก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว ทั้งยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ไม่รู้ว่าเบื้องล่างมีข่าวร้ายโผล่มาจากไหน มีการรายงานความผิดโดยไม่ประสงค์ออกนามหลายฉบับ เปิดโปงเรื่องลับลวงพรางของแม่ทัพหลักในแต่ละพื้นที่ เผยแพร่ไปหลายพื้นที่แล้ว

ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือเกี่ยวโยงถึงจอมพลใต้บังคับบัญชาของเขา รายงานความผิดว่าแผนก่อกบฏไม่ได้มีแค่ที่ทัพใต้ หวงฮ่าว จอมพลสายมะเมียใต้สังกัดของเขาก็กำลังจะก่อกบฏพร้อมกับผังก้วนเช่นกัน ต้องการจะแทนที่ก่วงลิ่งกง ทั้งยังปรากฏหลักฐานที่ชัดเจนซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จด้วย

เรื่องที่ผังก้วนก่อขึ้น เดิมทีก็เป็นสิ่งที่เขากังวลอยู่แล้ว ฝั่งนี้มาลือกันอีกว่าหวงฮ่าวมีจุดประสงค์นี้ กอปรกับเรื่องที่ทำให้คนหวาดหวั่นเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นระลอก ใครจะกล้ารับประกันว่าเป็นเรื่องโกหก? ถ้าเป็นเรื่องจริงขึ้นมาล่ะ เขาเองยังจะเอาตัวไม่รอด ยังคิดจะไปช่วยฮ่าวเต๋อฟางอีกเหรอ? แล้วต่อไปใครจะมาช่วยเขาล่ะ?

เรื่องทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับอ๋องสวรรค์ท่านอื่นด้วย

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ในห้องหนังสือ โค่วหลิงซวีตบโต๊ะยืนขึ้น กัดฟันบอกว่า  ไม่ต้องบอกก็รู้ ตระกูลเซี่ยโห้วลงมือแล้ว กำลังเตือนพวกเราว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม! 

ถังเฮ่อเหนียนกลับถามอย่างแปลกใจ  ตระกูลเซี่ยโห้วกินยาผิดมาหรือเปล่า? เมื่อก่อนเวลาตระกูลเซี่ยโห้วก่อกวน ก็ไม่เห็นเซี่ยโห้วท่าจะสร้างความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ ดูจากความเคลื่อนไหวนี้แล้ว เหมือนต้องการจะล้มฮ่าวเต๋อฟางให้ได้! ฮ่าวเต๋อฟางไปทำอะไรให้ตระกูลเซี่ยโห้วตอบสนองใหญ่โตขนาดนี้? 

โค่วหลิงซวีเดินออกจากโต๊ะยาว เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา แสยะยิ้มบอกว่า  โค่นล้มเหรอ? ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วไม่เข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้ ประมุขชิงยังจะเอาใจช่วยให้ผังก้วนทำสำเร็จ แต่พอตระกูลเซี่ยโห้วเข้ามาเกี่ยวข้อง ประมุขชิงไม่นิ่งดูดายแน่ เป้าหมายการโจมตีจะเลี้ยวเปลี่ยนไปเป็นผังก้วนทันที! ช่วงนี้เซี่ยโห้วลิ่งไม่เข้าประชุมขุนนาง ข้าก็รู้สึกแปลกใจแล้ว ข้าก็อยากจะเห็นว่าเซี่ยโห้วลิ่งคิดจะมาไม้ไหนกันแน่! 

พระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงเอามือไขว้หลัง ยืนอยู่ในตำหนักหลักโดนหันหลังให้ประตูใหญ่ ซ่างกวนชิง โพ่จวินและบรรดาขุนนางคนสนิทอยู่กันพร้อม

 ตระกูลเซี่ยโห้วกำลังสนับสนุนผังก้วนจริงเหรอ?  ประมุขชิงหันตัวมาช้าๆ เอ่ยถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง จิตใต้สำนึกของเขาแทบจะนึกเชื่อมโยงไไปถึงเรื่องที่ตระกูลเซี่ยโห้วสนับสนุนให้หกลัทธิให้ผงาดขึ้นมา แล้วจากนั้นก็สนับสนุนเขาให้ผงาดขึ้น

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า  คงจะไม่ผิดแน่ขอรับ ฮ่าวเต๋อฟางระดมพลได้ไม่ราบรื่น สำนักต่างๆ ในอาณาเขตพากันหลบแล้ว ในอาณาเขตสี่ทัพก็เกิดเรื่องขึ้นทั่วทุกหนแห่ง ทำเอาพวกโค่วหลิงซวีกลัวลูบหน้าปะจมูก ไม่กล้าเคลื่อนทัพมาช่วยฮ่าวเต๋อฟาง ผู้ที่มีกำลังคนซับซ้อนขนาดนี้ นอกจากตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่มีใครแล้วขอรับ 

อู๋ฉวี่พยักหน้า  เห็นได้ชัดเจนมาก นอกจากฝ่าบาทแล้ว หากไม่ใช่เพราะมีตระกูลเซี่ยโห้วสนับสนุน ผังก้วนก็ไม่กล้าทำอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นต่อให้ฆ่าฮ่าวเต๋อฟางแล้ว ตำแหน่งของเขาในอาณาเขตทัพใต้ก็ไม่มั่นคงอยู่ดี! 

……………

 

หวังลั่วถลึงดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ จากนั้นข้างหลังก็มีลำแสงจำนวนมากยิงออกมาอีก ฝั่งฮ่าวเต๋อฟางที่เขานับถือเหมือนบิดายิงใส่เขาจนระเบิดเป็นผุยผงแล้ว

ในกระบวนทัพอารักขากบฏไปครึ่งหนึ่ง ด้านนอกรวมโล่ขึ้นมาป้องกัน ขณะเดียวกันก็ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงกลับ

เรื่องบัญชาการทัพทำศึก เหยียนเสี้ยวผู้ตรวจการซ้ายเหมาหน้าที่นี้ ฮ่าวเต๋อฟางที่สีหน้าเย็นเยียบรีบเขย่าระฆังดาราในมือทีละอัน เรียกกองหนุน

เขานึกไม่ถึงว่าผังก้วนจะใจกล้าขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้ากบฏแล้วจริงๆ ยิ่งนึกไม่ถึงด้วยว่าแม้แต่ภายในทัพอารักขาของตัวเองก็มีคนถูกผังก้วนซื้อแล้ว เขาตระหนักได้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา อาศัยศักยภาพของผังก้วนไม่มีทางที่จะกล้าแบบนี้เลย ต้องมีคนช่วยเหลือแน่นอน

เป็นใครกัน? อย่าบอกนะว่าประมุขชิง? หรือว่าประมุขชิงอยากจะเล่นฉากเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อซ้ำที่ทัพใต้?

ที่จริงผังก้วนก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน เขารู้ว่าเฉาหม่านจะช่วยเขาอีกแรง รู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะลงมือก่อน รู้มาจากปากเฉาหม่านเช่นกันว่าข้างกายฮ่าวเต๋อฟางมีคนของตระกูลเซี่ยโห้ว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะรีบร้อนขนาดนี้ เพิ่งเผชิญหน้ากับฮ่าวเต๋อฟาง ตระกูลเซี่ยโห้วก็ลงมือทันที

อีกทั้งภายในทัพอารักขาของฮ่าวเต๋อฟางมีกบฏ ภายนอกมีศัตรูที่แข็งแกร่ง ลำบากทั้งข้างในข้างนอก โอกาสดีเช่นนี้มีหรือที่ผังก้วนจะพลาด ไม่รอให้ฮ่าวเต๋อฟางกำจัดทัพกบฏภายในแล้วมีสมาธิสู้กับภายนอกแน่นอน เพราะทัพอารักขาอันเกรียงไกรของฮ่าวเต๋อฟางไม่ใช่ของเด็กเล่น

ผังก้วนเปลี่ยนเป็นสวมเกราะรบ ถือดาบยาวไว้ในมือ โบกดาบชี้พลางตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด  บุกสังหาร! 

กำลังพลห้าสิบล้านล้อมโจมตีกำลังพลยี่สิบล้าน กำลังพลข้างหลังย้อนออกมาตั้งกระบวนทัพกำแพงโล่ พุ่งสังหารออกมาอย่างบ้าคลั่งราวกับมังกรยาวที่เจาะช่องว่างออกมา พยายามเข้าใกล้ทัพใหญ่ที่โอบล้อม

ส่วนข้างกายผังก้วนก็มีทัพใหญ่ที่รอฟังคำสั่งทุกเมื่อ

ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่ได้ไกลเลย ใช้เวลาครู่เดียว ทหารของสองฝ่ายก็ถึงตัวกันแล้ว ตะลุมบอนกันแล้ว

กำลังพลสายหนึ่งพุ่งตรงเข้าไปแทรกหมายจะรวมตัวกับทัพกบฏ ไม่อาจปล่อยให้ทัพกบฏถูกกำจัดได้ ต้องคงสภาพวุ่นวายภายในเอาไว้

ด้านนอกมีทัพใหญ่ล้อมโจมตี ยับยั้งทัพอารักขาของฮ่าวเต๋อฟางเอาไว้ ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายตีฝ่าวงล้อม ถ้ามีคนฝ่าวงล้อมออกมา กำลังพลที่คอยเสริมทัพก็จะโจมตีข่มไว้ด้วยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์

ฮ่าวเต๋อฟางเปลี่ยนสวมเกราะรบอ๋องสวรรค์แล้ว ตอนนี้โบกดาบตะโกนอย่างเดือดดาล  ผังก้วน อ๋องผู้นี้ดูแลเจ้าอย่างดี บังอาจทรยศข้า! 

ผังก้วนคำรามตอบกลับทันที  โจรเฒ่า จอมพลผู้นี้เคยรังแก่เจ้าเหรอ แต่เจ้ากลับให้ท้ายลูกน้องมาหยามเกียรติลูกสาวข้า บังคับให้ข้ายกลูกสาวให้แต่งงานด้วย ได้รับความอัปยศใหญ่หลวงขนาดนี้ ข้าจะทนได้ยังไง วันนี้เจ้ากับข้าต้องตายกันไปข้างหนึ่ง! 

พอพูดสิ่งเหล่านี้จบก็ขี้คร้านจะสนใจอีก เขารีบถ่ายทอดเสียงบอกเฉินหวยจิ่ว  แจ้งให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลลงมือ! 

เฉินหวยจิ่วสลับระฆังดาราในมือไม่หยุด  แจ้งแล้วขอรับ 

แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ตรงนี้ลงมือ ประตูดวงดาวทางเข้าออกดาราจักรผืนนี้ถูกกำลังพลของผังก้วนปิดไว้แล้ว แต่ละพื้นที่ของสายเถาะที่ได้รับข่าวรีบส่งทหารออกมาควบคุมกำลังพลที่ฮ่าวเต๋อฟางส่งมาแทรกไว้

ในดาราจักรยังมีกำลังพลผู้ติดตามแขกเหรื่อในงานรวมตัวกันอยู่ มีกำลังพลอยู่ไม่น้อยเลย จู่ๆ พอเห็นการเปลี่ยนแปลงกะทันหันแบบนี้ ต่างก็พากันตกตะลึงพรึงเพริด ยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป นี่ผังก้วนกำลังล้อมโจมตีอ๋องสวรรค์ฮ่าวเหรอ?

ในขณะที่ฝั่งนี้กำลังลงมือ บรรดาแขกเหรื่อชนชั้นสูงที่อยู่ในคฤหาสน์ก็ตกใจมากเช่นกัน

ไม่ใช่เพราะการเข่นฆ่าในดาราจักรด้านนอก พวกเขายังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอก แต่เป็นเพราะจู่ๆ ก็มีกำลังพลกลุ่มใหญ่ปรากฏตัว ล้อมเรือนพักแขกเอาไว้ทั้งหมด ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากเล็งไปยังแขกผู้มีเกียรติทุกคนในคฤหาสน์

ลูกชายของเถิงเฟย เถิงจิ่วเซียวตวาดถาม  พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? นี่คือมารยาทในการรับแขกของตระกูลผังเหรอ? 

กลุ่มคนที่อยู่บนฟ้ากระจายตัวกัน แม่ทัพใหญ่ซูชิงฉวนปรากฏตัว กล่าวด้วยเสียงต่ำว่า  ทุกท่านอย่าร้อนใจ ท่านจอมพลไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน เพียงแต่ด้านนอกมีทหารกบฏก่อกวน จำเป็นต้องทำอย่างนี้เพื่อรักษาความปลอดภัยให้แขกทุกท่าน ขอเพียงทุกท่านบอกคนของตัวเองที่อยู่ข้างนอกว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ท่านจอมพลจะปกป้องไม่ให้พวกท่านเป็นอันตรายสักนิด พรรคกล้าเข้าร่วมกับทัพกบฏ ก็อย่าหาว่าดาบกระบี่ไร้ไมตรีแล้วกัน! 

ทัพกบฏก่อกวนเหรอ? ทุกคนประหลาดใจ นี่มันเกิดเรื่องอะไรกัน ใครกันที่ช่างกล้าขนาดนี้ กล้าก่อเรื่องในงานมงคลของลูกสาวตระกูลผัง?

ความจริงย่อมเปิดเผยอย่างรวดเร็ว ถึงอย่างไรแขกที่มาก็มีผู้คุ้มกันรออยู่ในดาราจักรด้านนอก ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วผังก้วนก่อกบฏ ไม่น่าเชื่อว่าจะนำทัพใหญ่ไปล้อมโจมตีฮ่าวเต๋อฟาง เหมือนอ๋องสวรรค์ฮ่าวจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแล้ว ผังก้วนกบฏแล้ว!

แปลกมาก ฮ่าวเต๋อฟางไม่มาไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงมาโผล่อยู่ที่นี่ได้?

แขกทุกคนพากันฮือฮา หันซ้ายหันขวากระซิบกระซาบกัน ทำสีหน้าตกตะลึงจนยากจะบรรยาย

มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนล้วนเข้าใจ ว่าตอนนี้ทุกคนในงานกลายเป็นตัวประกันในมือผังก้วนแล้ว ถ้าใครกล้าให้ผู้คุ้มกันข้างนอกเคลื่อนไหวซี้ซั้ว ที่นี่ก็จะไม่เกรงใจพวกเขาแน่นอน เป้าหมายที่ขังพวกเขาเอาไว้ก็คือป้องกันไม่ให้ภูมิคุ้มกันที่อยู่ด้านนอกรวมตัวกันเข้ามาแทรกแซง ต้องทราบไว้ว่าผู้คุ้มกันที่แขกพามาด้วย เมื่อรวมกันแล้วก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ

ไม่ต้องพูดเลย คนกลุ่มนี้ฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก รีบหยิบระฆังดาราออกมารายงานสถานการณ์ให้เบื้องบนรู้

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็ทำอย่างนี้เช่นกัน หวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ข้างกายนางกลับมองบนฟ้าอย่างตะลึงงัน นึกเชื่อมโยงไปถึงคำพูดของเหมียวอี้ในวันนั้น ชั่วพริบตานั้นเหมือนจะเข้าใจอะไรแล้ว เรื่องผังอวี้เหนียงโดนล่วงเกินที่งานชุมนุมตระการตา อย่าบอกนะว่าทำไปเพื่อวันนี้? อย่าบอกนะว่าเพื่อล่อฮ่าวเต๋อฟางออกมาสังหาร?

พอนึกถึงจุดนี้ หวงฝู่จวินโหรวก็ตัวสั่นเล็กน้อย ผังอวี้เหนียงรู้ความจริงล่วงหน้าหรือเปล่า ให้ความร่วมมือกับบิดาตัวเองเพื่อเล่นละครนี้ด้วยหรือเปล่า?

ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเหมียวอี้ไม่ให้นางเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเหมียวอี้บอกให้นางอยู่ห่างๆ ผังอวี้เหนียง

จู่ๆ นางก็พบว่าตัวเองโง่มาก คิดเองเออเอง ตอนนั้นยังแค้นหวังลั่วแทบแย่ ความจริงแล้วตัวเองไม่รู้อะไรเลย ท่ามกลางสถานการณ์ขอตัวละครยักษ์ใหญ่พวกนี้ ตัวเองช่างน่าขำ แต่ดันเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เสียได้ เหมียวอี้ให้นางอยู่ไกลๆ จากผังอวี้เหนียงหน่อย แต่นางไม่เชื่อฟัง วันนี้ก็ยังถ่อมาถึงที่นี่ นี่ไม่ใช่ว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ? ถ้านางเชื่อฟังเหมียวอี้ ก็คงไม่ถูกขังอยู่ที่นี่หรอก ตอนหลังก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดสถานการณ์อย่างไรขึ้น

นางรีบหยิบระฆังดาราติดต่อหาเหมียวอี้

ในจวนจอมพลสายเถาะ กำลังพลกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในห้องนอนของผังอวี้เหนียง ทำเอาคนข้างในตกใจจนลุกขึ้นยืน

จาหรูเยี่ยนลุกขึ้นตะคอก  ผู้บัญชาการเซียว เจ้าช่างบังอาจนักนะ ไม่รู้เหรอว่าที่นี่คือที่ไหน? เจ้าสวมเกราะรบบุกเข้ามาที่นี่หมายความว่ายังไง? 

เซียวผิงโป ผู้บัญชาการทหารอารักขาประจำจวนจอมพลกุมหมัดคารวะ  ฮูหยิน ท่านจอมพลประมือกับฮ่าวเต๋อฟางอยู่ข้างนอกแล้ว การตะลุมบอนเข่นฆ่าไม่ปราณี ท่านจอมพลมีคำสั่งให้ยกเลิกงานแต่งงาน เพื่อความมั่นคงปลอดภัย ตอนนี้ขอเชิญฮูหยินกับคุณหนูไปหลบอยู่ในสถานที่ปลอดภัยก่อนขอรับ! 

 …  ผังเสี้ยวเสี้ยวตกตะลึงอ้าปากค้าง

จาหรูเยี่ยนได้ยินข่าวแล้วเขjาอ่อน สามีเผยไพ่กับฮ่าวเต๋อฟางแล้วเหรอ? ฉีกหน้ากันแล้วจริงๆ หรือ?

แม้นางจะรู้นานแล้วว่าผังก้วนต้องการจะทำอะไร แต่ผังก้วนไม่มีทางบอกแผนการให้นางรู้โดยละเอียด เพียงขอให้นางร่วมมือแสดงละคร นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าผังก้วนจะลงมือสังหารในงานแต่งงานลูกสาวตัวเอง

อย่างอื่นนางไม่รู้ นางรู้เพียงว่า เรื่องแบบนี้ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะโอ้อวดความร่ำรวยไว้มากขนาดไหน แต่ถ้าแพ้ขึ้นมา ก็จะตายอย่างอนาถมาก

บางครั้งนางก็ไม่เข้าใจผู้ชายพวกนี้ มักเอาชีวิตไปทำเรื่องที่เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ ทำแต่เรื่องที่ผู้หญิงเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน

จาหรูเยี่ยนดึงสติกลับมา รีบถามว่า  หนิวโหย่วเต๋อล่ะ? ทัพใหญ่แดนรัตติกาลของหนิวโหย่วเต๋อได้ช่วยนายท่านหรือเปล่า?  นางรู้สึกว่ายิ่งผังก้วนมีกำลังมากก็ยิ่งมีโอกาสชนะมาก สำหรับจุดนี้นางคิดไม่ผิด

 ข้าน้อยมิทราบ ฮูหยินได้โปรดเร่งมือ ชักช้าไม่ได้แล้ว  เซียวผิงโปกุมหมัดคารวะอีกครั้ง นี่ไม่ใช่คำโกหก เขาไม่รู้ว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลเข้าร่วมเรื่องนี้ด้วย เพียงแต่ฝังออกถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดฮูหยินแล้ว แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องกังวล เขาเพียงต้องทำเรื่องที่อยู่ตรงหน้าให้ดีตามคำสั่ง

ผังอวี้เหนียงที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งลุกขึ้นช้าๆ จากปฏิกิริยาของมารดา จากคำพูดของมารดา นางก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้แล้วเช่นกัน บนใบหน้าเผยรอยยิ้มอันน่าเวทนา

 รีบไปๆ!  จาหรูเยี่ยนเร่งลูกสาวทั้งสองอย่างฉุกละหุก จูงมือคนทางซ้ายทางขวาแล้วเดินไปเลย ขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดเสียงบอกผังเสี้ยวเสี้ยว  เสี้ยวเสี้ยว เจ้ารีบติดต่อสามีของเจ้า ถามว่าเขาเคลื่อนทัพหรือยัง สามีเจ้ารบเก่ง ในมือมีกำลังทหารเกรียงไกร ให้เขารีบออกมาช่วยพ่อเจ้า 

ผังเสี้ยวเสี้ยวที่ถูกฉุดจนโซเซพยักหน้าอย่างซื่อๆ นางรู้ว่าการที่ตัวเองแต่งงานลับๆ กับเหมียวอี้มีสาเหตุแน่นอน แต่นึกไม่ถึงว่าต้นสายปลายเหตุจะน่ากลัวขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าบิดาจะกบฏต่ออ๋องสวรรค์ฮ่าว!

จวนอ๋องสวรรค์โค่วที่ได้รับข่าวตกตะลึง

จวนอ๋องสวรรค์ก่วงที่ได้รับข่าวตระหนก

อ๋องสวรรค์เถิง อ๋องสวรรค์เฉิงก้ตกตะลึงพรึงเพริดเช่นกัน

จอมพลสายมะโรงกับสายมะเส็งที่ได้ข่าวก็ตกใจเช่นกัน รีบระดมพลไปช่วยฮ่าวเต๋อฟาง

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวได้ข่าวแล้วตกตะลึงพรึงเพริด ทัพอารักขาของฮ่าวเต๋อฟางเร่งระดมพลแล้วตามไปช่วย

สมาชิกครอบครัวที่อยู่ในจวนไม่เกี่ยงหน้าที่เช่นกัน ถ้าฮ่าวเต๋อฟางเป็นอะไรไป แค่คิดก็รู้แล้วว่าจุดจบของคนตระกูลฮ่าวจะเป็นอย่างไร ทั้งชายทั้งหญิงเทรังออกมาหมด

วังสวรรค์ตกตะลึง ในพระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงพี่กำลังเดินเอ้อระเหยอยู่ในอุทยานพลันหันตัวมา อุทานเสียงหลงว่า  อะไรนะ? 

ซ่างกวนชิงบรรยายข่าวที่ได้รับมาอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนทันที

ประมุขชิงตกใจไม่เบา กล่าวด้วยแววตาหวาดระแวงสงสัย  ผังก้วนไปเอาความกล้านี้มาจากไหน อาศัยแค่กำลังที่เขามี จะกล้าทรยศฮ่าวเต๋อฟางโดยลำพังเชียวหรือ? เป็นไปไม่ได้ เบื้องหลังต้องมีคนอื่นสอดมือเข้ามาแทรกแน่นอน ไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้ ต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยเร็วที่สุด! 

ในดาราจักรระเบิดลุกไหม้ ทัพใหญ่เข็นฆ่ากันอย่างดุเดือด การต่อสู้เข้าสู่จุดเดือดแล้ว ไม่ให้โอกาสหยุดพักหายใจเลย ตัวอย่างที่ผังก้วนบอก เจ้ากับข้าต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!

หลังจากฮ่าวเต๋อฟางระดมกำลังพลมาสนับสนุนแล้ว สิ่งแรกที่ทำก็คือรายงานสถานการณ์ด่วนต่อโค่วหลิงซวี ก่วงลิ่งกง เถิงเฟย เฉิงไท่เจ๋อ ไม่ได้ขอความช่วยเหลือ คนที่อยู่ในระดับนี้แล้ว เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูด เดิมทีทุกคนก็อยู่ในความสัมพันธ์กึ่งแข่งขันกึ่งร่วมมือ ถ้าอีกฝ่ายจะช่วยเจ้าก็ไม่ต้องเอ่ยปาก ถ้าอีกฝ่ายไม่ช่วยต่อให้เจ้าขอร้องก็ไม่มีประโยชน์

จุดประสงค์ที่แจ้งพวกโค่วหลิงซวีก็เพราะต้องการเตือนให้พวกเขาระวังตัว เขาไม่เชื่อว่าผังก้วนฝ่ายเดียวจะกล้าก่อกบฎ เบื้องหลังต้องมีคนสนับสนุนแน่นอน ที่เอาเรื่องเพราะลูกสาวโดนคุกคามล้วนเป็นข้ออ้าง ฮ่าวเต๋อฟางระบุตัวการไว้สองเป้าหมาย คนที่ทำให้ผังก้วนใจกล้าได้ขนาดนี้ นอกจากประมุขชิงก็มีตระกูลเซี่ยโห้ว!

คนที่เขาเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจริงๆ ก็คือพันธมิตรของตัวเอง หนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการสูงสุดของทัพใหญ่แดนรัตติกาล เขากับหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้มีความสัมพันธ์กึ่งแข่งขันกึ่งร่วมมือ มีแค่การช่วยเหลือกันเพราะผลประโยชน์ สามารถเอ่ยปากขอความช่วยเหลือได้โดยตรง ไม่อย่างนั้นถ้าเขาล้มแล้ว ผลประโยชน์ของหนิวโหย่วเต๋อบนอาณาเขตทัพใต้ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย

และในเวลานี้ คนที่เขากังวลที่สุดก็คือหนิวโหย่วเต๋อเช่นกัน กำลังพลที่มีอยู่ในมือเขา ผังก้วนเทียบไม่ติด พวกโค่วหลิงซวีไม่มีทางช่วยผังก้วนเช่นกัน ส่วนประมุขชิงถ้ามีเจตนาร้าย พวกโค่วหลิงซวีก็จะช่วยถ่วงให้เขา จุดเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดขึ้นอยู่กับกำลังพลในมือหนิวโหย่วเต๋อ เขากังวลว่าผังก้วนจะตกลงผลประโยชน์อะไรกับหนิวโหย่วเต๋อ ถ้าทำให้หนิวโหย่วเต๋อแทงข้างหลังขึ้นมา นั่นก็จะยุ่งยากแล้ว

…………

 

ขบวนของฮ่าวเต๋อฟางออกเดินทางแล้ว แต่ฝั่งจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเหมือนจะยังไม่ได้เลือกว่าจะส่งใครไปร่วมงาน ที่สำคัญก็คือเหมียวอี้เหมือนไม่มีท่าทีว่าจะส่งคนไปร่วมงาน

ในจวนผู้สำเร็จราชการเงียบสงบ เหมียวอี้ที่เดินไปเดินมาอยู่ในตึกศาลากำลังถือโหลแก้วใบหนึ่งเล่น ข้างในมีจั๊กจั่นหยกตัวหนึ่งที่สีขาวทั้งตัว พอเขี่ยเล่นสองทีก็จะส่งเสียงร้องอันไพเราะ ราวกับเสียงครางของหญิงงาม น่าสนุกมาก ไม่รู้ว่าสวีถังหรานสรรหาของแปลกมาจากไหน

สรุปก็คือสวีถังหรานดูแลโถงชุมนุมอัจฉริยะ สังคมกว้างขวาง มีวิธีหาของเล่นแปลกๆ มาเซ่นเจ้านายอยู่แล้ว

 นายท่าน จะไม่ส่งคนไปร่วมงานแต่งงานจริงหรือขอรับ? จะทำให้คนสงสัยหรือเปล่า?  หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะเตือน

เหมียวอี้กำลังเล่นโหลแก้ว ตอบแบบเหยียดหยามว่า  มีอะไรน่าเข้าร่วม รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นของปลอม จะให้ข้าไปเป็นตัวประกันในมือผังก้วนเชียวเหรอ? แล้วอีกอย่าง จะให้ใครไปล่ะ? ถ้ามีความสำคัญน้อยก็ไม่พอที่จะเป็นตัวแทนของข้า ถ้ามีความสำคัญมาก ไปแล้วก็จะกลายเป็นตัวประกัน 

สิ่งนี้เป็นปัญหาจริงๆ หยางเจาชิงหันกลับไปมองหยางชิ่งแวบหนึ่ง เมื่อเห็นหยางชิ่งไม่มีปฏิกิริยาอะไร ขนาดท่านนี้ยังไม่พูดอะไร คาดว่าคงไม่สำคัญว่าจะส่งคนไปเข้าร่วมงานหรือไม่ จึงไม่พูดเรื่องนี้แล้ว แต่ยังเตือนอีกว่า  แม่ทัพที่อยู่ในวังใต้ดินจะเดินทัพเมื่อไหร่ขอรับ 

เหมียวอี้หรี่ตาจ้องจั๊กจั่นหยกในโหลแก้ว พร้อมบอกว่า  บอกพวกเขาให้อดทนรอ ถ้าไม่มีคำสั่งทหารจากข้า ก็อย่าเพิ่งเคลื่อนไหว ทำทุกอย่างตามเดิม แต่อย่าให้เขาอะไรหลุดไปถึงกำลังพลระดับล่าง อย่าให้ตำหนักสวรรค์สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ! 

จวนสายเถาะจอมพลตกแต่งผ้าและโคมไฟหลากสี แขกเหรื่อทยอยมาจากทั่วสารทิศ เป็นชนชั้นสูงผู้ร่ำรวยทั้งนั้น

ในคฤหาสน์หรูหราสำหรับรับแขกหลังหนึ่งที่อยู่ห่างจากจวนจอมพลไปร้อยลี้ เนื่องจากเรื่องของพระปีศาจหนานโป งานแต่งงานครั้งนี้เหมือนจัดใหญ่โต แต่ที่จริงแล้วเรียบง่ายมาก คำนึงด้านความปลอดภัย พิธีแต่งงานจึงจัดในคฤหาสน์หลังนี้ เมื่อถึงเวลาก็รับเจ้าสาวจากจวนจอมพลไปที่คฤหาสน์ เท่านี้ก็นับว่าเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว เรือนหอก็อยู่ที่นี่เช่นกัน จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาในดาราจักรให้ลำบาก

หวังลั่วส่วนชุดพิธีทั้งตัว ออกมาต้อนรับแขกหน้าประตูคฤหาสน์ด้วยตัวเอง ใบหน้าไม่หยุดยิ้ม มีความสุขจนหุบปากไม่ลง

ได้ยินเสียงแขกกล่าวแสดงความยินดี บางทีก็ได้ยินสหายเก่าอวยพรปนหยอกล้อ ในใจรู้สึกภาคภูมิใจอยู่หลายส่วน ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองหัวร้อนทำซี้ซั้วอย่างนั้น มีหรือที่จะได้เจอเรื่องดีๆ แบบนี้ เป็นการจับพลัดจับผลูจริงๆ แต่ในใจก็ยังรู้สึกขอบคุณฮ่าวเต๋อฟาง ท่านอ๋องดูแลเขาดีจริงๆ ถ้าไม่มีท่านอ๋องช่วยปกป้อง ก็คงไม่มีเรื่องดีแบบนี้ สิ่งเดียวที่ไม่สมบูรณ์แบบก็คือครั้งนี้ท่านอ๋องไม่ได้มาร่วมงานแต่งงาน ทำได้เพียงพาฮูหยินคนใหม่ไปคารวะทีหลัง

คนที่มารับแขกอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ก็คือลูกชายทั้งสองของผังก้วน ผังจื่อฉางกับผังจื่อลู่

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองยิ้มอย่างเบิกบานใจไม่ได้เหมือนหวังลั่ว เมื่อสังเกตเห็นความอวดดีของหวังลั่ว ทั้งสองก็แอบเย้ยหยันในใจ เดี๋ยวได้ถึงคราวที่เจ้าร้องไห้แน่

เพียงแต่เวลามีแขกมา ทั้งสองก็ยังพยายามเจียดรอยยิ้มออกมา ถ้าเป็นแขกที่ฐานะตำแหน่งธรรมดา ก็จะสั่งให้บ่าวไพร่าแขกไปที่คฤหาสน์รับแขก ถ้าเป็นคนตำแหน่งสูง ผังจื่อลู่ก็จะพาไปหาบิดาที่จวนจอมพลด้วยตัวเอง อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าไปในจวนจอมพลได้

วันนี้ทุกคนในจวนจอมพลล้วนแต่งกายมีชีวิตชีวาเพื่อเฉลิมฉลอง ผังก้วนก็เช่นกัน

เฉินหวยจิ่วเพิ่งส่งแขกสองสามคนออกไป พอกลับมาที่โถงรับแขกก็รีบเดินมาข้างกายผังก้วน ถ่ายทอดเสียงบอกว่า  นายท่าน ได้รับข่าวจากทหารเฝ้าประตูดวงดาว โจรเฒ่าน่าจะเข้ามาในอาณาเขตสายเถาะแล้วขอรับ 

การที่ฮ่าวเต๋อฟางปิดเผยเส้นทางตอนนี้ ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เช่นกัน มาถึงอาณาเขตของผังก้วนแล้ว ทหารยามที่เฝ้าประตูดวงดาวคือคนของผังก้วน จะไม่ให้สถานการณ์ของฮ่าวเต๋อฟางถูกเปิดเผยก็คงยาก

ผังก้วนออกแรงกำนิ้วทั้งสิบที่กุมบนที่พักแขนบนเก้าอี้ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเยียบเย็น  ดี! บอกให้เบื้องล่างเตรียมตัวให้ดี 

 จะให้พวกฮูหยินเตรียมตัวหลบเลี่ยงหรือไม่ขอรับ ไม่อย่างนั้นถ้าสู้กันขึ้นมา แล้วแจ้งให้คนในบ้านรวมตัวกันไม่ทัน ก็อาจจะได้รับผลกระทบ  เฉินหวยจิ่วกล่าว

ผังก้วนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าบอกว่า  ไม่ต้องแล้ว ในเวลานี้จะทำอะไรให้คนสงสัยไม่ได้เด็ดขาด 

 ขอรับ!  เฉินหวยจิ่วเอ่ยรับ ในใจพึมพำว่า หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นก็แล้วกัน

จู่ๆ ผังก้วนก็ถามอีกว่า  หนิวโหย่วเต๋อส่วคนมาหรือยัง? 

เฉินหวยจิ่วตอบว่า  ตามที่ต้วนชุนเอ๋อร์รายงานมา หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้เตรียมจะส่งคนมา กำลังรีบกระจายงานอย่างรอบคอบ ไม่มีสมาธิมาสนใจฝั่งนี้เลย แอบระดมทัพใหญ่แล้ว กำลังพลบางส่วนกำลังออกจากแดนรัตติกาลเงียบๆ บ้างก็ดักซุ่มอยู่นอกทางเข้าออกแดนรัตติกาล บ้างก็ไปดักซุ่มที่จุดยุทธศาสตร์ เตรียมตัวระยะแรกเพื่อให้ทัพใหญ่โจมตีตอนหลัง 

ผังก้วนพยักหน้าเบาๆ  เจ้านั่นเชี่ยวชาญการรบ พวกเราคงไม่ต้องกังวลด้านบัญชาการทัพ ขวัญกำลังใจทหารน่าจะไม่ใช่ปัญหา กลุ่มคนที่เคยมีฐานะตำแหน่งสูงเก็บกดอยู่ที่แดนรัตติกาลมาหลายปีแล้ว ตอนนี้มีโอกาสทวงของที่ตัวเองเสียไปกลับมาแล้ว ขวัญกำลังใจทหารมีประโยชน์ ถ้าสังหารออกมาจากแดนรัตติกาลเมื่อไร จะต้องเป็นกองทัพที่ห้าวหาญดุดันแน่นอน! 

เรือนด้านในของจวนจอมพล ที่อยู่ของสมาชิกครอบครัวผู้หญิง สหายของเจ้าสาวมารวมตัวกัน ต่างก็กระตือรือร้นอยากมาเห็นเจ้าสาวก่อน

เจ้าสาวนั่งสง่าอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง บ่าวไพร่กำลังช่วยนางจัดแต่งมวยผมอย่างเอาใจใส่ มีทั้งสหายทั้งญาติ แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นผู้หญิง พวกนางเดินเข้าเดินออก พากันเข้ามาดูเอาสนุกไม่ขาดสาย

โค่วเหวินชิงที่เดินเข้ามาในห้องก็ยิ้มแย้มเช่นกัน นางจ้องเจ้าสาวในกระจกพร้อมป้องปากยิ้ม  วันนี้น้องหญิงสวยจริงๆ 

นางคือคนรู้จักเก่าของเหมียวอี้ ตอนที่เหมียวอี้เข้าร่วมทดสอบปีนั้น ก็ยังเคยได้รับความช่วยเหลือจากนาง ตอนนี้จะว่าไปแล้วก็ยังต้องเรียกเหมียวอี้ว่าอาเขย เพียงแต่นางไม่ใช่สาวแรกรุ่นเหมือนตอนที่เพิ่งรู้จักเหมียวอี้อีกแล้ว นางแต่งงานมีสามีไปนานแล้ว แต่งงานกับลูกน้องคนสนิทของโค่วเหมี่ยน เป็นหัวหน้าภาคคนหนึ่ง ตอนนี้มีลูกคนหนึ่ง แต่งกายแบบสตรีที่แต่งงานแล้ว

งานแต่งงานของลูกสาวจอมพล หลานสาวของอ๋องสวรรค์มาร่วมแสดงความยินดีก็ไม่แปลก ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีทั้งสองก็รู้จักกันอยู่แล้ว

ขณะพูดแสดงความยินดีสองสามประโยคใส่คนในกระจก โค่วเหวินชิงก็มองออกเช่นกันว่าผังอวี้เหนียงอารมณ์ไม่ดีเท่าไร สำหรับเรื่องนี้นางพอจะเข้าใจได้ ในปีนั้นนางก็ไม่อยากแต่งงานกับหัวหน้าภาคคนนั้นเหมือนกัน แต่บิดากระตือรือร้นมาก ดึงดันจะประสานให้ทั้งสองแต่งงานกันให้ได้ นางเองก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงแต่งงาน ตอนนี้ถึงขั้นมีลูกแล้ว ในภายหลังหากมีโอกาสเหมาะก็จะมีลูกอีกสักสองคน ตอนนี้จะมาบอกว่าเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ไม่มีความหมายแล้ว สรุปก็คือหัวหน้าภาคคนนั้นให้เกียรตินางมาก นางเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพื้นเพชาติกำเนิดของนางหรือเปล่า มักรู้สึกว่าระหว่างสามีภรรยาเหมือนขาดอะไรไป แต่ชีวิตในแต่ละวันก็ไม่ได้แย่อย่างที่จินตนาการไว้ นางก็ใช้ชีวิตแบบนี้มาหลายปีแล้ว

โค่วเหวินชิงออกมาแล้วก็คุยเล่นกับพวกผู้หญิงในลานบ้าน

ผ่านไปไม่นาน ก่วงเม่ยเอ๋อร์กับหวงฝู่จวินโหรวก็เข้ามาในห้องนอนด้วยกัน หวงฝู่จวินโหรวมาในฐานะสหายโดยแท้ ส่วนก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็มาเป็นตัวแทนตระกูลก่วง

เมื่อเห็นสองคนนี้ปรากฏตัวในกระจก ผังอวี้เหนียงก็ทำท่าเหมือนไม่อยากหวนรำลึกถึงอดีต นางเพียงหลับตาลงช้าๆ

การกระทำนี้ทำให้ทั้งสองพูดอวยพรไม่ออก อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคืนที่เกิดเหตุ

หวงฝู่จวินโหรวแอบถอนหายใจ พอเห็นผังอวี้เหนียง นางก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดว่าสิ่งที่เหมียวอี้พูดวันนั้นหมายความว่าอะไร และช่วงนี้ก็เกิดเรื่องขึ้นเยอะจริงๆ ท่านปู่ของนางก็จากไปแล้ว ตระกูลหวงฝู่ยังไม่ประกาศข่าวร้าย

ส่วนก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็เหมือนถูกปฏิกิริยาของผังอวี้เหนียงแทงตาจนเจ็บ นางตำหนิตัวเองในใจ ถ้าตอนนั้นตัวเองไม่ยอมไป ถ้าตอนนั้นไม่ทิ้งอวี้เหนียงไว้คนเดียว ก็คงไม่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น

หลังจากทั้งสองออกจากห้องนอนแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็กวาดสายตามองไปทั่วงาน ตามหลักแล้วนี่คืองานแต่งงานใหญ่ของลูกสาวผังก้วน จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลก็จะส่งคนมาร่วมแสดงความยินดี ไม่รู้เหมือนกันว่าจะส่งใครมา อวิ๋นจือชิวหรือเฟยหง?

แต่จนใจที่กวาดสายตามองจนทั่วแต่ก็ไม่เห็น ดันไปสบตากับก่วงเม่ยเอ๋อร์พี่กวาดมองทั่วงานเช่นกัน ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็มีความคิดเหมือนกับนาง

ทั้งสองที่สบตากันอึ้งไปชั่วขณะ แล้วก็ยิ้มพร้อมกัน จากนั้นต่างคนก็ต่างย้ายสายตาออกไป ในใจกำลังครุ่นคิดว่า อาจเป็นเพราะเหมียวอี้กลับผังก้วนไม่สนิทกัน คนไม่ได้มาทางนี้ บางทีอาจไปอยู่ตรงคฤหาสน์รับแขกแล้วก็ได้

ฤกษ์มงคลใกล้เข้ามาแล้ว ผู้หญิงจากหลายตระกูลที่มารวมตัวกันตรงนี้ไม่สะดวกจะอยู่ต่อ ทยอยกันออกจากจวนจอมพลไปยังคฤหาสน์จัดพิธีแล้ว ไปรอดูพิธีแต่งงาน

ส่วนพวกผังก้วนในตอนนี้ก็กำลังเร่งห่ออยู่ในดาราจักรเช่นกัน ฮ่าวเต๋อฟางใกล้จะมาถึงอาณาเขตผืนนี้แล้ว ส่งข่าวมาให้ผังก้วนแล้ว ผังก้วนย่อมต้องออกไปต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ

รออยู่ในดาราจักรครู่หนึ่ง พวกหวังลั่วก็เหาะมาถึงด้วยความเร็ว มาทำความเคารพผังก้วน  ลูกเขยคารวะท่านพ่อตา ได้ยินว่าท่านอ๋องรีบจัดการธุระในมือเสร็จแล้ว กำลังตามมาหรือขอรับ? 

คำเรียกนี้ทำให้ผังก้วนสะอิดสะเอียนแทบแย่ เพราะก่อนหน้านี้ทั้งสองเคยเรียกขานกันว่าพี่น้อง

ผังก้วนกลับฝืนยิ้มเล็กน้อย พยักหน้าบอกว่า  อืม ท่านอ๋องเจียดเวลามาได้ ข้าก็รู้สึกเหนือความคาดหมาย จะเห็นได้ว่าท่านอ๋องให้ความสำคัญกับลูกเขย 

หวังลั่วเรายังทำตัว  เปล่าหรอกขอรับ ลูกเขยก็ได้อาศัยบารมีของอวี้เหนียงเหมือนกัน  เขาปิดบังสีหน้าปลาบปลื้มดีใจไว้ไม่อยู่ ตอนฮ่าวเต๋อฟางบอกว่าจะไม่มางานแต่งงานของเขา เขาก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปนิดหน่อย ตอนนี้นับว่าสมบูรณ์แบบแล้ว อย่างน้อยก็ได้หน้าเพิ่มอีกเท่าหนึ่ง

รออยู่ไม่นาน เฉินหวยจิ่วก็พึมพำข้างหูผังก้วน  มาแล้วขอรับ! 

เห็นคนประมาณหลายร้อยปรากฏตัวรางๆ อยู่ในจุดลึกของดาราจักร ผู้ที่นำหน้ามาก็คือฮ่าวเต๋อฟาง เขาถอดหน้ากากบนใบหน้าออกแล้ว ซูอวิ้นติดตามอยู่ข้างกาย

เมื่อเห็นขบวนต้อนรับที่อยู่ฝั่งนี้ กำลังพลข้างหลังของฮ่าวเต๋อฟางก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าทันที ทัพใหญ่ที่หนาแน่นปรากฏขึ้น เตรียมตัวป้องกัน เตรียมควบคุมจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ กำลังพลกลุ่มใหญ่กรูเข้ามาพร้อมฮ่าวเต๋อฟาง

ทว่าในขณะนี้เอง สถานการณ์เปลี่ยนแปลงฉับพลัน จู่ๆ หลี่อัน แม่ทัพคนสนิทของฮ่าวเต๋อฟางก็ตะโกนว่า  ฆ่า! 

กำลังพลสองล้านที่อยู่ท่ามกลางทัพใหญ่สิบล้านพลันดึงผ้าพันคอสีขาวขึ้นมาบนคอ กลายเป็นทัพกบฏแล้ว รวมตัวกันพุ่งสังหารไปยังฮ่าวเต๋อฟางที่อยู่ข้างหน้า

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ทัพที่ติดตามคุ้มกันฮ่าวเต๋อฟางก็ไหวตัวเร็วเช่นกัน ชั่วพริบตาที่หลี่อันตะโกนว่าฆ่า พวกเขาก็รีบรวมตัวกันป้องกันรอบๆ ฮ่าวเต๋อฟางแล้ว เข่นฆ่ากับทัพกบฏในระยะใกล้ เหยียนเสี้ยว ผู้ตรวจขวาของกองทัพมาขวางข้างหน้าฮ่าวเต๋อฟาง ขณะเดียวกันก็รีบผิวปากลากเสียงยาว ทัพใหญ่ที่ซ่อนไว้ปรากฏตัวทั้งหมด มีกำลังพลเพิ่มอีกสิบล้าน ขณะที่คุ้มครองฮ่าวเต๋อฟาง ก็ล้อมโจมตีทัพกบฏไปด้วย

ฮ่าวเต๋อฟางสีหน้าเย็นเยียบ มองข้ามทัพกบฏ หันขวับไปมองทางผังก้วนด้วยสายตาเยียบเย็น

คนน้อยแค่นี้ก็คิดจะกบฏแล้วเหรอ ช่างน่าขันยิ่งนัก ทว่าเมื่อรู้อยู่แจ่มแจ้งว่าต้องตายแน่นอน แต่กลับก่อกบฏในเวลานี้ ความหมายเชิงลึกที่ซ่อนอยู่ในนั้นทำให้ฮ่าวเต๋อฟางหวาดกลัว

เป็นอย่างที่คาดไว้ เขาเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าผังก้วนแล้ว รีบคว้าแขนซูอวิ้นที่กำลังตกใจสุดขีดไปด้วยกัน ทั้งสองถอยออกจากแนวหน้าที่อยู่ตรงข้ามกับผังก้วน ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางการคุ้มครองของทัพใหญ่

 …  หวังลั่วตะลึงค้างเช่นกัน คว้าทวนยาวขึ้นมาทันที รีบพุ่งเข้าไปสนับสนุน พร้อมตะโกนเสียงดังว่า  หวังลั่วมาแล้ว! 

ยังไม่ทันเข้าใกล้กระบวนทัพป้องกันของฮ่าวเต๋อฟาง เขาก็ต้องอึ้งอีกครั้ง เห็นเพียงกำลังพลรอบๆ ที่เดิมทีเรียงแถวมาต้อนรับพลันขยายจำนวนเป็นทัพใหญ่ที่หนาแน่น แบ่งกลุ่มมาล้อมกระบวนทัพของฮ่าวเต๋อฟางเอาไว้ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์นับไม่ถ้วนง้างอยู่บนสายแล้ว

หวังลั่วหันขวับไปมองผังก้วน แล้วตะโกนเสียงดังอย่างเดือดดาล  ท่านจอมพล! 

 ฆ่า!  ผังก้วนคำรามอย่างเกรี้ยวกราด

ลำแสงนับไม่ถ้วนยิงออกมาแล้ว หวังลั่วที่เพิ่งเรียกพ่อตาด้วยอารมณ์หวานชื่น ตอนนี้กลับถูกท่านพ่อตายิงพรุนแล้ว

………………

 

เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ เหมียวอี้คิดตามแล้วก็เห็นด้วย พยักหน้าบอกว่า  ในทางกลับกัน ถ้าไม่ได้รับช่วงต่อผู้เหลือรอดหกลัทธิเพื่อสู้กับพวกประมุขชิง ใต้หล้าในยุคนั้น ผู้ที่ทำให้เขาแอบดำเนินเรื่องอย่างลับๆ ได้ก็ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากตระกูลเซี่ยโห้ว ถ้ามองตามนี้ การเคลื่อนไหวของเขาก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง เซี่ยโห้วท่าเห็นเขาเป็นภัยคุกคาม ไม่ให้โอกาสเขาเตรียมตัวเต็มที่ วิธีการเด็ดขาดมาก ชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ! 

 สามารถพูดได้ว่า การที่พวกประมุขชิงกำจัดคนคนนั้นทิ้งถือเป็นการเดินมาที่แย่ ไม่อย่างนั้นถ้าพวกประมุขชิงร่วมมือกับเขาคนนั้นเพื่อต่อกรกับตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ในอันตรายแน่ แต่จะว่าไปแล้ว บางทีตระกูลเซี่ยโห้วคงยอมอยู่เบื้องหลังเพื่อทำให้พวกประมุขชิงรู้สึกว่าไม่ได้มีภัยคุกคามมากขนาดนั้น คิดว่าในภายหลังค่อยจัดการช้าๆ ก็ได้ ทว่าผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว สถานการณ์จริงได้พิสูจน์แล้วว่า อาศัยความสามารถของพวกประมุขชิงแล้วทำอะไรตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้เลย ข้าน้อยลองสืบเรื่องในปีนั้นดู พบว่าถ้าไม่ใช้เพราะพวกนั้นจับตัวผู้หญิงเป็นตัวประกัน บีบจุดอ่อนของคนคนนั้นไว้ เกรงว่าพวกนั้นอาจจะทำอะไรเขาคนนั้นไม่ได้ แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังปล่อยให้ร่างทิพย์ของคนคนนั้นหนีรอดไปได้ ทิ้งสถานการณ์ที่ยากแก้ไขไว้ในเจดีย์สยบปีศาจ ทำให้คนพวกนั้นไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ตอนนี้เขาหวนกลับมาอีกครั้ง ยึดถือนายท่านเป็นตัวหมาก ประลองฝีมือกับคนพวกนี้! ข้าน้อยแปลกใจว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นตัวละครแบบไหนกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้บุรุษที่ล้ำเลิศน่าทึ่งและสง่างามแห่งยุคยอมลำบากได้ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบหรือเปล่า  หยางชิ่งกล่าว

เหมียวอี้ไม่สนใจผู้หญิงคนนั้น เพียงแค่ติดใจเรื่องที่ตัวเองเป็นตัวหมากของคนอื่น พึมพำว่า  ส่วนใหญ่ข้ารู้สึกว่าเขาไม่เข้ามาแทรกแซงข้า อย่าบอกนะว่าเขาวางใจให้ตัวหมากอย่างข้าตัดสินใจเองแบบนี้? 

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ค่อยยอมรับความจริง ในเมื่อเรื่องราวเริ่มกระจ่างแล้ว หยางชิ่งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่อยากยอมรับความจริงนี้ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงลำบากใจว่า  นายท่าน ในเมื่อเขาสามารถควบคุมสถานการณ์ภาพรวมได้ ภายใต้แนวโน้มสถานการณ์นี้ นายท่านจะสามารถเบี่ยงเบนไปไหนได้เชียวหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ทุกอย่างที่เขาทำก็ไม่อาจเปิดเผยได้ ไม่อย่างนั้นถ้าทำให้พวกนั้นตื่นตัว ตัวหมากอย่างนายท่านก็กลายเป็นหมากที่ต้องใช้ทิ้งแล้ว ในเมื่อเขาเลือกนายท่านแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีสาเหตุ นายท่านลองมองย้อนกลับไปที่พิภพเล็ก พิภพเล็กมีสถานการณ์เป็นยังไงล่ะ? พอมาคิดดูตอนนี้ จะพบว่านั่นก็คือสนามทดสอบที่เขาวางไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ มีเพียงคนที่ผ่านการทดสอบของเขาเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์มาพิภพใหญ่ได้ จนกระทั่งหลังจากนายท่านมาที่พิภพใหญ่ ก็มีเหตุผลให้สงสัยว่าตอนมาใหม่ๆ ก็เป็นการทดสอบเหมือนกัน ต้องปรับตัวให้ใช้งานได้ ถ้าปรับตัวไม่ได้ก็โดนทิ้ง เขาพิจารณาถึงตัวเลือกอื่นได้ทุกเมื่อ ลองดูตอนนี้สิ หลังจากนายท่านเข้ามาประจำที่ตลาดผี นี่ต่างหากที่นับว่าผ่านการทดสอบของเขาแล้วจริงๆ ได้เข้ามาอยู่ในสถานการณ์ภาพรวมที่เขาผลักดันอย่างแท้จริง กลายเป็นตัวหมากที่แท้จริงในมือเขา หรือพูดได้อีกอย่างว่า เขาไม่จำเป็นต้องให้นายท่านเก่งเรื่องวางแผนสถานการณ์ภาพรวมในใต้หล้าเลย เพราะเขาสามารถผลักดันภาพรวมได้เอง เขาต้องการแค่ใครสักคนที่เอาชีวิตรอดอยู่ในสถานการณ์ภาพรวมที่เขาคอยผลักดันได้! 

เหมียวอี้นิ่งเงียบ สายตาเซื่องซึม

หยางชิ่งพูดต่อว่า  มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ สายลับที่อยู่ตำหนักสวรรค์คนนั้นช่วยนายท่านขนาดนี้ แต่กลับไม่ยอมแสดงตัวต่อนายท่านเลย แปลว่าสายลับคนนั้นสำคัญต่อเขามาก ต่อให้ทิ้งนายท่านแล้ว สายลับคนนั้นก็จะยังไม่ถูกเปิดโปง เพื่ออะไรน่ะเหรอ? ก็เพื่อเวลาเปลี่ยนหมากตัวใหม่ สายลับคนนั้นจะได้ผลักดันสถานการณ์ภาพรวมได้เหมือนเดิมไงละ! 

เหมียวอี้หลับตาลงช้าๆ นึกขึ้นได้ถึงภาพที่คนคนนั้นยืนบนแพไม้ไผ่ลอยไปตามแม่น้ำ คนคนนั้นบอกเขาว่า เมื่อก้าวเข้ามาเส้นทางนี้แล้วจะไม่มีทางให้ถอยกลับ ให้เขาไตร่ตรองให้ดี แต่เขาก็ยังตัดสินใจอย่างไม่ลังเล

 เจ้าคงจะเก็บกดมานานแล้วสินะ? ตอนนี้พูดออกมามีเจตนาอะไร?  เหมียวอี้ไม่ลืมตา เอ่ยถามเนิบๆ

หยางชิ่งกุมหมัดคารวะ  นายท่าน ข้าน้อยหวังเพียงให้นายท่านมีแผนลอยู่ในใจ คนผู้นั้นล้ำลึกยากคาดเดาจริงๆ มิอาจไม่ป้องกัน! เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้แล้ว ทัพใหญ่หลายสิบล้านของแดนรัตติกาลมีเจตจำนงร่วมร่วมกัน ขอเพียงนายท่านสั่งคำเดียว ก็สามารถบัญชาการได้ตามใจประสงค์ นายท่านมีข้อได้เปรียบที่คนอื่นไม่มี เป็นโอกาสดีที่จะวางแผนการใหญ่ อย่าเหนื่อยเปล่าเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นสุดท้ายจะกลายเป็นตัวหมากที่ถูกทิ้ง กลายเป็นคนที่ลำบากทำชุดแต่งงานให้คนอื่น[1]! 

วันจัดงานแต่งงานก็คือวันถัดมา

ผังอวี้เหนียงที่อยู่ในห้องนอนราวกับเป็นหุ่นไม้ ปล่อยให้บรรดาบ่าวไพร่จัดท่าแต่งตัวได้ตามใจ เปลี่ยนชุดเจ้าสาวใหม่เรื่อยๆ เปลี่ยนผ้าคลุมศีรษะเจ้าสาวไม่หยุด กลัวว่าจะผิดพลาด ทดลองใส่ชุดพิธีตอนท้ายสุด จะได้แน่ใจว่ามีจุดไหนที่ไม่เหมาะสม

จาหรูเยี่ยนกับผังเสี้ยวเสี้ยวดูอยู่ข้างๆ มองจากสีหน้าไม่ออกว่าดีใจหรือทุกข์ใจ

ในอาคารบ้านเรือนด้านนอกที่ยาวติดกันเป็นพืด เฉินหวยจิ่วนำกลุ่มพ่อบ้านเดินตรวจสอบด้วยกัน ดำเนินการตรวจสอบครั้งสุดท้าย ตรวจสอบทั่วทุกที่ว่าเตรียมการไว้เหมาะสมหรือเปล่า

ขณะที่เดินผ่านบนทางเดิน จู่ๆ กลุ่มคนก็หลีกทางซ้ายขวาและยืนอย่างเคร่งขรึม หลีกทางให้ผังก้วน

ผังก้วนเดินผ่านคนกลุ่มนี้ไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ท่ามกลางคนที่อยู่ตรงนี้ มีเพียงเฉินหวยจิ่วที่เข้าใจความรู้สึกของนายทท่านในเวลานี้ที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะไม่สะดวกจะอาละวาด คาดว่านายท่านคงต้องหยุดพิธีแต่งงานี้แน่นอน ทว่าไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงแข็งใจดำเนินพิธีนี้ต่อไป

ผังก้วนที่เดินขึ้นมาบนทางเดินหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปที่ไหน กำระฆังดาราในมือไว้แน่น หันกลับมามองเฉินหวยจิ่วแวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววคมกริบ จากนั้นก็เดินก้าวยาวออกไป

เฉินหวยจิ่วเข้าใจ กำชับให้คนอื่นๆ ตรวจสอบให้เข้มงวด แล้วก็ปลีกตัวเดินออกไปจากคนกลุ่มนี้

เขาตามผังก้วนไป แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า  นายท่านมีอะไรจะกำชับขอรับ? 

ผังก้วนไม่ตอบอะไรสักคำ จนกระทั่งเข้ามาในห้องหนังสือซึ่งคนนอกเข้าใกล้ไม่ได้ง่ายๆ ถึงได้หันตัวมากัดฟันบอกว่า  พวกเราตกหลุมพรางโจรเฒ่าฮ่าวเต๋อฟางแล้ว! 

 เหตุใดนายท่านถึงกล่าวเช่นนี้?  เฉินหวยจิ่วแปลกใจ

ผังก้วนบอกว่า  เฉาหม่านเพิ่งได้ข่าวมา ว่าฉากหน้าฮ่าวเต๋อฟางยกเลิกการเดินทาง แต่ที่จริงแล้วทัพของเขายังคงเตรียมตัวอย่างลับๆ 

 เฉาหม่านรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวกองทัพของฮ่าวเต๋อฟางได้ยังไง…ไอ๊หยา!  เฉินหวยจิ่วเอามือตบศีรษะทีหนึ่ง ยังต้องพูดอีกเหรอ ต้องเป็นสายลับตระกูลเซี่ยโห้วที่อยู่ในทัพของฮ่าวเต๋อฟางแน่นอน เขามีสีหน้าหงุดหงิดทันที  โจรเฒ่าเจ้าเล่ห์จริงๆ ด้วย ไม่ผิดแน่ ที่โจรเฒ่าบอกว่ายกเลิกการเดินทาง ก็เพื่อป้องกันภัยล่วงหน้า บีบเค้นอันตรายที่อาจเกิดขึ้น! 

ผังก้วนคว้าแขนเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน  โชคดีที่ได้ข่าวจากเฉาหม่านล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นคงลนลานรับมือไม่ทัน! สวรรค์ไม่รังแกข้าจริงๆ ด้วย พรุ่งนี้เป็นวันตายของโจรเฒ่าแน่นอน! ตอนนี้เจ้ารีบบอกพี่น้องเบื้องล่าง ให้ทำตามแผนการปกติ เริ่มใหม่อีกครั้ง เตรียมตัวให้พร้อมก่อนโจรเฒ่าจะมาถึง จำไว้นะ ให้พวกเขาระมัดระวังให้ดี อย่าให้ข่าวหลุดเด็ดขาด!  ขณะที่พูดก็ตาลุกลาวด้วยความฮึกเหิม เรียกได้ว่าเปลี่ยนจากสะเทือนใจเป็นกลับมามีชีวิตชีวาแล้ว

 รับทราบ!  ตอนที่เฉินหวยจิ่วเอ่ยรับ ก็เตือนอีกว่า  นายท่าน ถ้าเร่งทำเวลาตอนนี้ คนทางฝั่งหนิวโหย่วเต๋อก็ยังมาทัน 

 ถูกต้อง!  ผังก้วนพยักหน้า

นายบ่าวต่างคนต่างหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเป้าหมายทันที

จนกระทั่งเฉินหวยจิ่วแจ้งข่าวสองคนเสร็จแล้ว ถึงได้พบว่าผังก้วนมีสีหน้าเย็นเยียบลง ทั้งยังขมวดคิ้วเล็กน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า  นายท่าน หรือว่าหนิวโหย่วเต๋อกลับคำแล้ว? 

ผังก้วนตอบอย่างไม่แน่ใจ  ก็ไม่เชิงว่ากลับคำ แต่เขาคิดว่าฮ่าวเต๋อฟางคงไม่มาร่วมงานเลี้ยง กำลังพลที่ถอนกลับไปก็แยกย้ายกันแล้ว พวกเราแจ้งเขากะทันหัน ถ้าต้องระดมทัพใหญ่ภายในเวลาสั้นๆ นี้ ก็เป็นการเคลื่อรไหวที่ผิดปกติเกินไป เขากลัวว่าจะทำให้โจรเฒ่าตื่นตัว…ที่เขากังวลก็ไม่ใช่เพราะคิดมากเกินไปหรอก ในเวลาแบบนี้จะให้โจรเฒ่าสงสัยไม่ได้เด็ดขาด ทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่สะดวกจะมาอีกแล้ว แต่ฝั่งเขาเตรียมตัวให้ความร่วมมือกับการก่อกบฎของพวกเราแล้ว พอฝั่งเราลงมือเมื่อไร ทัพใหญ่ของเขาก็จะออกมาร่วมแรงทำงานใหญ่กับเราแน่นอน! 

 คำพูดไพเราะใครก็พูดได้ทั้งนั้น ระวังไว้จะดีกว่า ให้ต้วนชุนเอ๋อร์รีบไปสังเกตการณ์กองทัพตอนนี้เลยก็ได้ขอรับ  เฉินหวยจิ่วกล่าว

 อืม!  ผังก้วนพยักหน้า แล้วใช้ระฆังดาราในมือติดต่อเหมียวอี้อีกครั้ง

ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้ที่นั่งสง่าอยู่ในโถ่งหลักเก็บระฆังดารา แล้วกัดฟันบอกว่า  ตาแก่สมควรตาย ระวังตัวจริงๆ กลัวว่าข้าจะเป็นอิสระเกินไป ไม่สร้างปัญหายุ่งยากให้ข้าแล้วจะตายรึไง! 

หยางเจาชิงกับหยางชิ่งมองมาพร้อมกัน หยางเจาชิงถามว่า  นายท่าน เป็นอะไรไปขอรับ? 

เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัด  ตาแก่ผังก้วนยังไม่ล้มเลิกความคิดชั่วร้าย เวลานี้ยังจะส่งต้วนชุนเอ๋อร์มาจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเราอีก ถึงตอนนั้นถ้ากำลังพลของพวกเราไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร เกรงว่าผังก้วนคงสงสัยว่าพวกเรามีอุบาย! สงสัยจะบอกให้รู้เร็วเกินไปหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลว่าเขาจะเตรียมตัวไม่พร้อม ข้าคงบอกเขาช้ากว่านี้! 

หยางชิ่งยิ้มเรียบๆ แล้วยกฝ่ามือบอกว่า  ไม่น่ากังวลหรอก คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเขาต้องมาไม้นี้ เกรงว่าต้องรบกวนพี่เหยียนออกแรงสักหน่อยแล้ว! 

หยางเจาชิงมองเหยียนซิวที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ เหมียวอี้ก็หันกลับไปมองแวบหนึ่งเหมือนกัน มุมปากเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ พอจะเดาออกแล้วว่าหยางชิ่งหมายความว่าอะไร

หยางชิ่งบอกอีกว่า  ต้วนชุนเอ๋อร์ไม่มาก็แล้วไป แต่ถ้ามา ข้าก็มีแผนการใช้กับนางอยู่แล้ว ทำให้นางรับประกันได้ว่าแผนของนายท่านจะมีโอกาสชนะเพิ่มอีกสามส่วน! 

 อ้อ!  เหมียวอี้ตาเป็นประกาย  ยินดีฟังรายละเอียด! 

หยางชิ่งก้าวขึ้นมา แล้วกระซิบเบาๆ ไม่กี่ประโยค  การศึกมิหน่ายเล่ห์… 

หยางเจาชิงฟังแล้วพยักหน้ายิ้มเบาๆ เหยียนซิวมองหยางชิ่งด้วยแววตาสับสน เหมือนไม่รู้ว่าควรดีใจหรือกังวล

 ท่านบุรุษมีแผนเด็ดขนาดนี้ใยต้องต้องซ่อนไว้ ไม่นำออกมาใช้ตั้งแต่แรก?  เหมียวอี้อุทานด้วยคำพูดแปลกๆ ตบโต๊ะยืนขึ้น แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า  ดี! เป็นอุบายที่ดี! การศึกมิหน่ายเล่ห์จริงๆ มีอุบายแยบยลขนาดนี้ ยังจะกลัวไม่ได้อาณาเขตทัพใต้อีกเหรอ? ต่อให้ต้วนชุนเอ๋อร์ไม่มา ครั้งนี้ข้าก็ต้องคิดหาทางเชิญนางมาให้ได้! 

เช้าตรู่วันต่อมา ต้วนชุนเอ๋อร์มาแล้วจริงๆ สำหรับเหมียวอี้ที่กำลังตื่นเต้นฮึกเหิม เขาให้เกียรติรอมานานแล้ว กลัวก็แต่นางจะไม่มา!

เคยพบกันแล้วครั้งหนึ่ง เหมียวอี้ย่อมสร้างสถานการณ์ส่งต้วนชุนเอ๋อร์ไปให้เหยียนซิวจัดการ

ในจวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว พวกฮ่าวเต๋อฟางที่ปลอมตัวแล้วออกมาทางประตูด้านข้าง พุ่งขึ้นฟ้าออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เหาะผ่านเมฆ ผู้คุ้มกันหลายร้อยที่ซ่อนตัวอยู่ในเมฆก็ติดตามเขา ก่อนจะพุ่งขึ้นไปในดาราจักรด้วยกัน

นอกดาวอ๋องสวรรค์ฮ่าวที่มีกำลังทหารป้องกันจำนวนมาก คนขบวนนี้เดินทางอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค

อย่าไปมองว่าสมาชิกผู้คุ้มกันมีไม่เยอะ เพราะความจริงซ่อนทัพใหญ่เอาไว้ บนเส้นทางนี้อาจปรากฏสถานที่อันตรายขึ้นมา มีกำลังพลไปเก็บกวาดอุปสรรคบนเส้นทางล่วงหน้าแล้ว

ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ตอนฮ่าวเต๋อฟางจะออกเดินทาง ทั้งในและนอกประตูดวงดาวที่จะต้องผ่านมักมีคนดักซุ่มอยู่ พอฮ่าวเต๋อฟางกำลังจะไปถึง ก็จะมีกำลังพลรีบพุ่งออกไปกวาดล้างทั้งในและนอกประตูดวงดาวให้ก่อน รอจนฮ่าวเต๋อฟางผ่านไปได้อย่างราบรื่นแล้ว กำลังพลที่ปรากฏตัวขึ้นก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยเร็วมาก

ตอนนี้แม้สถานการณ์จะไม่ปกติเพราะเรื่องของพระปีศาจหนานโป แต่ทหารยามที่เฝ้าประตูดวงดาวบนเส้นทางนี้ก็พบว่ามีกำลังพลไม่น้อยโผล่มา พวกเขาถือคำสั่งมารับช่วงต่อคุมระตูดวงดาวชั่วคราว แล้วปล่อยให้คนขบวนนี้ผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะตรวจสอบ จากนั้นก็รีบคืนอำนาจคุมประตูดวงดาวให้อีกครั้ง

แม้คนที่เฝ้าประตูดวงดาวจะไม่รู้ว่าคนที่เพิ่งผ่านไปคือใคร แต่ก็เดาออกเช่นกันว่าต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่นอน

…………………

 

หยางชิ่งบอกเสียเลยว่า  เช่นนั้นก็บอกเฉาหม่านว่าอย่าเพิ่งบอกผังก้วน 

 ถ้าผังก้วนไม่รู้ความจริง ก็มีความเป็นไปไปได้สูงว่าจะเตรียมตัวไม่ถี่ถ้วน ถึงขั้นยกเลิกการเตรียมตัว ถ้าจู่ๆ ฮ่าวเต๋อฟางมาเยือน ก็จะลนลานทำอะไรไม่ถูก ตอนฉุกละหุกไม่มีทางทำอะไรฮ่าวเต๋อฟางได้เลย มีแต่จะปล่อยให้โอกาสผ่านไปเสียเปล่าๆ  เหมียวอี้ลังเล

หยางชิ่งถามกลับ  นี่ไม่ใช่จุดประสงค์ที่ฮ่าวเต๋อฟางยกเลิกการเข้าร่วมงานแต่งงานหรอกหรือ? ที่ฮ่าวเต๋อฟางทำแบบนี้ ก็เพื่อจะกำจัดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นทิ้งไป! 

 เจ้ามีแผนการอะไร?  เหมียวอี้ถาม

หยางชิ่งอธิบายว่า  ผังก้วนอยากจะลากนายท่านลงน้ำไปด้วยกัน กดดันให้นายท่านต้องส่งกำลังพลหนึ่งล้านไป จู่ๆ ฮ่าวเต๋อฟางก็ใช้วิธีการนี้ ให้โอกาสนายท่านกลับมาใช้แนวทางเดิมได้พอดี สามารถลดความเสียหายของฝั่งพวกเราได้มากสุด ทำไมนายท่านไม่ฉวยโอกาสนี้เรียกให้ชิงเยว่นำกำลังพลกลับมาล่ะ สามารถไล่ต้วนชุนเอ๋อร์กลับไปได้ด้วย ตอนนี้ผังก้วนจะต้องตอบตกลงแน่นอน! พวกเราก็แค่ยังไม่ต้องบอกผังก้วน รอให้ถึงตอนที่งานแต่งงานกำลังจะมาถึง ค่อยเปิดเผยให้ผังก้วนรู้อีกที มันก็เหมือนกัน 

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ขณะพิจารณา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอีก  ถ้าฉุกละหุกเกินไป เกรงว่าผังก้วนจะเตรียมตัวไม่ทัน 

หยางชิ่งส่ายหน้า  ไม่อย่างนั้น มาจนป่านนี้แล้ว ต่อให้ผังก้วนไม่ได้เตรียมตัวเต็มที่ แต่ก็เตรียมตัวไว้แล้วพอสมควร พอฮ่าวเต๋อฟางทำแบบนี้ ก็เป็นไปได้สูงว่าผังก้วนจะกังวลว่าฮ่าวเต๋อฟางสังเกตเห็นอะไรแล้ว แต่ก็ไม่กล้ายกเลิกหรือหละหลวมแผนที่เตรียมไว้ง่ายๆ ขอเพียงพวกเราบอกให้รู้ล่วงหน้านิดหน่อย ก็จะสามารถจัดการได้อีกครั้งทันที แต่เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราก็มีข้ออ้างเพียงพอที่จะไม่ส่งคนไป เพราะคนที่ถอนกำลังกลับมาแยกย้ายกันหมดแล้ว ถ้าลนลานระดมพลโดยไม่เตรียมตัวอะไรจะทำให้คนสงสัยได้ง่าย ฮ่าวเต๋อฟางจะสังเกตเห็นความผิดปกติ นี่คงไม่ใช่สิ่งที่ผังก้วนหวังจะเห็นเหมือนกัน เรื่องราวเหนือความคาดหมายล้วนเป็นฝีมือฮ่าวเต๋อฟาง ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราเลย ผังก้วนไม่สงสัยมาถึงตัวพวกเราหรอก 

บนใบหน้าเหมียวอี้เริ่มเผยรอยยิ้ม กล่าวอย่างเห็นด้วยมากๆ  ดี! จัดการตามนี้! 

พูดจบก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเฉาหม่านอีกครั้ง ให้เฉาหม่านดำเนินการพร้อมฝั่งนี้ แล้วค่อยติดต่อผังก้วนอีกที บอกว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เพื่อไม่ให้มีปัญหาอื่นเข้ามาแทรก จะต้องถอนกำลังพวกชิงเยว่กลับมา ทางที่ดีต้วนชุนเอ๋อร์ควรกลับไปปรากฏตัวในงานแต่งงาน ผังก้วนยินยอมแล้ว

เหมียวอี้ติดต่อชิงเยว่ทันที บอกให้ถอนกำลังอย่างเป็นความลับ

ผ่านไปไม่นาน ต้วนชุนเอ๋อร์ก็เป็นฝ่ายมาหาอีกแล้ว บอกว่าได้รับแจ้งจากผังก้วนแล้ว กำลังจะถอนกำลังกลับไปอย่างลับๆ จึงมากล่าวอำลา

ในลานบ้าน เหมียวอี้กำลังเดินไปเดินมา ทำได้เพียงแสดงความจนใจให้นางเห็น  เฮ้อ! นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะเป็นอย่างนี้ คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิตจริงๆ 

 โจรเฒ่าฮ่าวเต๋อฟางเจ้าเล่ห์จริงๆ ทำให้พวกเราพลาดโอกาสดีไปเสียเปล่าๆ แล้ว  ต้วนชุนเอ๋อร์กล่าวอย่างแค้นใจ

เหมียวอี้แสดงความเสียดายไม่หยุด สุดท้ายก็ให้หยางเจาชิงเตรียมส่งพวกต้วนชุนเอ๋อร์ให้จากไป

พอขึ้นมาบนตึกศาลา มองคล้อยหลังหยางเจาชิงนำต้วนชุนเอ๋อร์เดินออกไป บนใบหน้าเหมียวอี้ก็เผยรอยยิ้มบางๆ  นึกไม่ถึงว่าฮ่าวเต๋อฟางจะช่วยพวกเราได้เยอะ ทำให้สถานการณ์เอื้อประโยชน์ต่อพวกเราอีกครั้ง 

 ที่จริงในหลายปีมานี้ สถานการณ์ภาพรวมก็เอื้อประโยชน์ต่อนายท่านมาตลอด  หยางชิ่งที่ยืนเงียบอยู่ข้างกายกล่าวอย่างลังเล

 อ้อ!  เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา อย่าบอกนะว่าไม่ชอบที่ได้เผชิญความยุ่งยากน้อยๆ อดไม่ได้ที่จะถามว่า  หมายความว่ายังไง? 

หยางชิ่งทอดสายตามองไปไกล ยิ้มเจื่อนเล็กน้อยขณะอธิบาย  นายท่านไม่สังเกตเห็นเชียวหรือ? ตั้งแต่นายท่านก้าวเข้ามาที่ตลาดผี สถานการณ์ภาพรวมก็เริ่มเอื้อประโยชน์ต่อนายท่านแล้ว แม้จะมีปัญหาอุปสรรคอยู่ไม่น้อย แต่แนวโน้มสถานการณ์โดยรวมที่ดำเนินไปก็สร้างโอกาสให้นายท่านแสดงความสามารถมาตลอด ตอนนี้นายท่านลองมองย้อนกลับไปก็ได้ ตอนแรกที่นายท่านเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ท่ามกลางอำนาจเหล่านั้น นายท่านก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้เสมอมา ตอนนั้นมีโอกาสไปได้ทุกที่ยกเว้นตลาดผี แต่ตำหนักสวรรค์ดันเลือกปล่อยนายท่านไว้ที่ตลาดผี อำนาจแต่ละฝ่ายไม่คัดค้าน แม้แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่คัดค้านเช่นกัน อำนาจฝ่ายอื่นไม่คัดค้านก็ยังพอฟังขึ้น แต่ตลาดผีเป็นอาณาเขตของตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลเซี่ยโห้วดันยอมให้นายท่านสอดเท้าเข้ามาแทรก ก็เป็นเพราะแดนรัตติกาลเป็นเหมือนสุญญากาศทางอำนาจที่ตระกูลเซี่ยโห้วสร้างขึ้นมา ไม่โดนอุปสรรครบกวน ถึงทำให้นายท่านมีโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็ว 

เหมียวอี้เงียบไป การที่ตัวเองเติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ ถ้าอยู่ใต้สังกัดอำนาจใหญ่ๆ แต่ละฝ่ายต่อไป อุปสรรคถ่วงความเจริญก็เยอะมาก ต่อให้จะราบรื่นแต่ก็ไม่มีทางเติบโตได้เร็วขนาดนี้ ถือเป็นความดีความชอบของสภาพแวดล้อมแดนรัตติกาล มอบโอกาสใหญ่ให้เขามีอำนาจตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้เอง

เขาส่ายหน้า แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเงียบๆ  เกรงว่าต้องยกความดีความชอบให้ตระกูลเซี่ยโห้ว คิดเองเออเองว่ามีจุดอ่อนของข้าได้ นึกว่าควบคุมข้าได้ ถึงปล่อยให้ข้าลงหลักปักฐานที่นี่ 

 แต่ข้าน้อยคิดมาตลอด ว่าตอนแรกที่ตำหนักสวรรค์ให้นายท่านมาอยู่ที่นี่นั้นมีบางอย่างน่าสงสัย  หยางชิ่งกล่าว

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วบอกว่า  ด้วยสถานการณ์ตอนนั้น…ถึงยังไงข้าก็เป็นลูกเขยของโค่วหลิงซวี เป็นผลจากการประนีประนอมของอำนาจแต่ละฝ่ายละมั้ง 

 แต่ถ้าคาดคะเนจากทิศทางตรงกันข้ามของสถานการณ์ในตอนนี้ ทำไมข้าน้อยรู้สึกเหมือนมีคนปูทางไว้ให้นายท่านเรียบร้อยแล้ว เหมือนมีคนรู้ตั้งนานแล้วว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะยอมให้นายท่านลงหลักปักฐานที่นี่ การที่นายท่านถูกตำหนักสวรรค์ปล่อยไว้ที่ตลาดผี ค่อนข้างเป็นเรื่องที่ถูกจังหวะและเป็นขั้นตอน  หยางชิ่งกล่าว

 เจ้ากำลังบอกว่าการที่ตระกูลเซี่ยโห้วรู้จุดอ่อนของข้า เป็นเพราะคนอื่นวางอุบายไว้งั้นเหรอ?  เหมียวอี้ตาเป็นประกาย

หยางชิ่งอธิบายว่า  ก่อนหน้านี้ข้าน้อยก็นึกว่าตระกูลเซี่ยโห้วตรวจสอบฐานะหกลัทธิของนายท่านได้เอง แต่พอมาดูตอนนี้ก็เหมือนจะไม่ง่ายขนาดนั้น ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ พบว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าตระกูลเซี่ยโห้วโดนคนอื่นวางอุบายใส่ ถ้าใช้วิธีการตรงไปตรงมาก็เอาชนะตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ แม้แต่พวกประมุขชิงก็ทำไม่ได้เช่นกัน ดูเหมือนมีบางคนจงใจเผยช่องโหว่ วางกับดักกับสิ่งที่ตระกูลเซี่ยโห้วถนัดที่สุด มีความเป็นไปได้สูงว่าใช้แผนซ้อนแผนเพื่อล่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วติดกับดัก เรื่องที่ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วภาคภูมิใจและมั่นใจในตัวเองที่สุด ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ตระกูลเซี่ยโห้วคิดเองเออเองว่าจะไม่ถูกตบตาได้ง่ายๆ แต่ดันมีคนใช้วิธีเอาชีวิตรอดบนแดนตาย หลอกใช้ประโยชน์จากความมั่นหน้าของตระกูลเซี่ยโห้ว ล่อให้เข้าไปอยู่ในกับดักที่ตาสว่างไม่ได้ง่ายๆ ให้โอกาสนายท่านได้เติบโตแล้ว 

 การคาดคะเนของเจ้าเข้าข้างตัวเองเกินไปหรือเปล่า?  เหมียวอี้ลังเลถาม

หยางชิ่งบอกว่า  แล้วเรื่องแดนมรณะดึกดำบรรพ์จะอธิบายยังไงขอรับ? นั่นคือดินแดนที่เหมาะกับการฝึกตนของนายท่านที่สุด ตอนนั้นใครกันที่ช่างคิดได้ ว่าให้ส่งนายท่านไปลงโทษที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์? นายท่านดันถูกลงโทษโดนการส่งเข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แบบเหนือความคาดหมาย แดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่ใครก็นึกไม่ถึง ตลาดผีที่ใครก็นึกไม่ถึง นายท่านดันถูกลงโทษโดยการส่งมายังสถานที่สองแห่งไม่มีใครคาดคิดถึง แต่สถานที่สองแห่งที่ใครก็นึกถึงไม่ถึงนี้แต่กลับเอื้อประโยชน์ให้นายท่าน ทั้งหมดนี้เป็นความบังเอิญเชียวหรือ? 

เหมียวอี้ครุ่นคิดเงียบๆ เงียบไปนานมาก

หยางชิ่งบอกอีกว่า  ทั้งยังมีทัพใหญ่ห้าสิบล้านของลิ่งหูโต้วจ้งที่มาขอพึ่งพานายท่านอีก ตอนนั้นใครกันที่ช่างคิดได้ว่าลิ่งหูโต้วจ้งจะมาขอพึ่งพานายท่าน? มีขมเปี๊ยะชิ้นใหญ่หล่นลงมาจากฟ้า ข้าน้อยรู้สึกว่าเรื่องนี้นายท่านได้เปรียบเกินไปแล้ว นายท่านยังจำเรื่องหลังจากที่ลิ่งหูโต้วจ้งมาขอพึ่งพาได้หรือเปล่า ฮูหยินไปมาหาสู่กับฮูหยินของลิ่งหูโต้วจ้งบ่อยๆ ข้าน้อยขอให้ฮูหยินถามเส้าเซียงหัวถึงเหตุผลที่ลิ่งหูโต้วจ้งมาขอพึ่งพา? 

เรื่องนี้เหมียวอี้รู้ อวิ๋นจือชิวเคยเล่าให้เขาฟัง พยักหน้าบอกว่า  เส้าเซียงหัวบอกว่าเหมือนจะเป็นความคิดของน้าชายอะไรสักอย่าง 

เหมียวอี้จำชื่อไม่ค่อยได้แล้ว แต่หยางชิ่งกลับจำชื่อนี้ได้ชัดเจน เตือนว่า  ซ่งหยวนเต๋อ 

เหมียวอี้พยักหน้า  ถูกต้อง นึกออกแล้ว เขาชื่อซ่งหยวนเต๋อ ตอนนั้นคิดจะให้เส้าเซียงหัวเรียกมาพบสักครั้ง หาข้ออ้างบอกว่าคนคนนั้นมีความดีความชอบที่เสนอแนะแผนการ ควรให้รางวัล เส้าเซียงหัวกลับบอกว่าติดต่อน้าคนนั้นไม่ได้แล้ว 

 ตอนหลังข้าน้อยส่งคนของหกลัทธิไปสืบเรื่องคนคนนี้!  หยางชิ่งกล่าว

เหมียวอี้เหลือบตาขึ้นมอง นึกไม่ถึงว่าหยางชิ่งจะเพ่งเล็งไม่ปล่อยผ่านแม้แต่ตัวละครเล็กๆ

หยางชิ่งกล่าวเสียงต่ำอย่างช้าๆ  ไม่ใช่ว่าติดต่อไม่ได้ แต่หาไม่พบเลย คนในบ้านก็ถูกทิ้งไว้โดยไม่มีใครสนใจ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่หายไป ก็เป็นหลังจากที่ซ่งหยวนเต๋อไปพบเส้าเซียงหัวมา พอสืบกำพืดของซ่งหยวนเต๋อนั่น ก็พบว่าเป็นแค่พวกไม่เป็นโล้ไม่เป็นพาย ไม่น่าเชื่อว่าจะเสนอแนะแผนการแบบนี้ได้ บวกกับตอนหลังเขาก็มาหายตัวไปอีก 

 เจ้าหมายความว่า ตอนหลังเขาโดนฆ่าปิดปากเหรอ?  เหมียวอี้เริ่มตกตะลึงแล้ว

 เขาไม่ใช่คนที่วางแผนงานใหญ่ได้แน่นอน เป็นคนที่ควบคุมปากตัวเองไม่ได้ ถ้าเก็บไว้ก็จะเป็นปัญหาในภายหลัง จะโดนฆ่าปิดปากก็ไม่แปลก! จากเบาะแสต่างๆ บนตัวซ่งหยวนเต๋อ เขาโดนคนอื่นบงการแน่นอน การที่ลิ่งหูโต้วจ้งนำทัพใหญ่มาพึ่งพาไม่ใช่เพราะนายท่านโชคดีแน่นอน! และถ้าไม่ใช่เพราะนายท่านได้ทัพใหญ่ห้าสิบล้านนี้มา จะอาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบนได้ยังไง? และการที่ลิ่งหูโต้วจ้งมาพึ่งพานายท่าน จะต้องได้รับอนุญาตจากประมุขชิงแล้วแน่ๆ ที่เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้ก็ต้องขออนุญาตประมุขชิง ที่มาตั้งหลักในตลาดผีได้ก็ต้องขออนุญาตประมุขชิงเหมือนกัน เมื่อเชื่อมโยงเบาะแสต่างๆ ข้าน้อยก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะสงสัยได้ ว่าข้างกายประมุขชิงมีคนที่คอยช่วยเหลือนายท่าน และคนคนนี้ก็คำพูดมีน้ำหนักต่อหน้าประมุขชิงแน่นอน ฐานะไม่ต่ำแน่ ข้าน้อยสงสัยว่าคนคนนี้คือสายลับที่อยู่ในตำหนักสวรรค์ แต่น่าเสียดายที่พวกเราไม่มีทางรู้ได้ว่าใครกันแน่ที่เสนอความเห็นต่อหน้าประมุขชิง ไม่อย่างนั้นจะต้องมองทะลุตัวตนของเขาได้แน่นอน!  หยางชิ่งกล่าว

 เจ้ามีผู้ต้องสงสัยอยู่ในใจแล้วใช่มั้ย?  เหมียวอี้ถาม

หยางชิ่งถอนหายใจ  สายลับคนนี้ล้ำลึกเกินไป รักษาตัวเองได้ดีสุดๆ ไม่ทิ้งเบาะแสอะไรให้สาวมาถึงตัวเลย ถ้าจะให้บอกว่าสงสัยใคร ข้าน้อยก็สงสัยนิดหน่อยว่าจะเป็นทูตหน่วยตรวจการซ้าย ซือหม่าเวิ่นเทียน 

 เขาเหรอ?  เหมียวอี้ตกใจไม่เบา  ทำไมถึงรู้สึกว่าเป็นเขาล่ะ? 

 ประการแรกเป็นเพราะฐานะของเขาที่อยู่ข้างกายประมุขชิง อยู่ในระดับที่สามารถคาดการณ์พวกเราได้ ประการต่อมาเป็นเพราะเฟยหงที่อยู่ข้างกายนายท่าน ข้าน้อยรู้สึกเหมือนนางเป็นหมากที่ทิ้งไว้ข้างกายนายท่าน เอาไว้ให้ความร่วมมือสำหรับรับมือกับตำหนักสวรรค์  หยางชิ่งกล่าวอย่างไม่แน่ใจ

 จะเป็นเขาเหรอ?  เหมียวอี้เอามือลูบคางครุ่นคิด ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร แต่การวิเคราะห์ของหยางชิ่งก็มีเหตุผล

 ยังแน่ใจไม่ได้!  หยางชิ่งส่ายหน้า  เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ นั่นก็คือมีคนเห็นใต้หล้าเป็นกระดานหมากล้อม กำลังสู้กับเซี่ยโห้วท่าและพวกประมุขชิงอย่างแนบเนียนมาโดยตลอด ดูจากตอนนี้แล้วก็เป็นฝ่ายได้เปรียบด้วย ส่วนนายท่านก็เป็นตัวหมากในมือเขาคนนั้น! 

 ตัวหมาก?  คำนี้ทำให้เหมียวอี้เม้มปากแน่น กล่าวช้าๆ ว่า  ตามที่เจ้าบอก เขาเหมือนจะไม่ได้แทรกแซงอะไรข้า แต่กลับช่วยเหลือมาตลอด 

 นี่ต่างหากคือจุดที่เหนือชั้นของเขา เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ไร้ตัวตน ลงมืออย่างไร้ร่องรอย เป็นยอดฝีมือที่อยู่เหนือยอดฝีมืออย่างแท้จริง ไม่แปลกใจที่มีคนประเมินเขาด้วยคำว่า ‘ล้ำเลิศน่าทึ่ง’ ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย ทำไมเซี่ยโห้วท่าถึงช่วยพวกประมุขชิงโค่นล้มเขา ทำไมเซี่ยโห้วท่าถึงโค่นล้มเขาแล้วเก็บพวกประมุขชิงไว้? ก็เพราะเซี่ยโห้วท่าไม่เห็นพวกประมุขชิงอยู่ในสายตาเลยไง คนที่เซี่ยโห้วท่ากลัวจริงๆ ก็คือคนคนนั้น ข้าน้อยสงสัยว่าคนคนนั้นแอบวางแผนเตรียมทำลายตระกูลเซี่ยโห้วไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่อย่างนั้นเขารู้ความลับของผู้เหลือรอดหกลัทธิแล้วทำไมไม่ประกาศล่ะ ถ้าจะบอกว่าเก็บไว้สู้กับพวกประมุขชิงเฉยๆ เหตุผลนั้นก็ฟังดูเหลวไหลไป ถ้าเขาตั้งใจจะสู้กับพวกประมุขชิงตั้งแต่แรก ระวังพวกประมุขชิงตั้งแต่แรก อาศัยมันสมองอย่างเขาก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะตกหลุมพรางและมีจุดจบอย่างนั้น  หยางชิ่งกล่าวอย่างค่อนข้างจนใจ

…………………

 

 รับทราบ!  ชิงเยว่เอ่ยรับ แต่ในใจกลับรู้สึกกะทันหันอยู่บ้าง นี่ต้องการจะลงมือกับฮ่าวเต๋อฟางเหรอ?

ความแค้นระหว่างนางกับฮ่าวเต๋อฟางพัวพันกันมาหลายปีขนาดนี้ ในที่สุดก็ถึงเวลาต้องสะสางแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่รู้สึกสะใจจากการล้างแค้นเลยสักนิด มีแต่ความรู้สึกทอดถอนใจ…

ต้วนชุนเอ๋อร์สังเกตปฏิกิริยาของนาง  พี่ชิงไม่หวังให้ฮ่าวเต๋อฟางถูกกำจัดเหรอ?  ตอนที่พูดประโยคนี้ นางสังเกตปฏิกิริยาของเหมียวอี้เช่นกัน มีเจตนาจะเตือนเหมียวอี้ ว่าคนคนนี้เชื่อถือได้หรือไม่กันแน่ อย่าให้เกิดช่องโหว่อะไรในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ

ชิงเยว่ตอบว่า  เจ้าคิดมากไปแล้ว  พูดจบก็หันตัวเดินจากไป

เหมียวอี้ชำเลืองมองเงาหลังของนางพลางทำท่าครุ่นคิด ต้วนชุนเอ๋อร์ถามอีกว่า  ผู้ตรวจการใหญ่ระดมพลหนึ่งล้าน น้อยไปหน่อยหรือเปล่า? 

เหมียวอี้ตอบด้วยรอยยิ้ม  นี่ยังน้อยอีกเหรอ? มีเรื่องมากมายที่จุดร้ายแรงที่แท้จริงมักไม่ได้อยู่บนฉากหน้า และไม่ได้อยู่ในจุดที่มองเห็นด้วย ถ้าสิ่งที่จอมพลผังแอบดำเนินการในที่ลับไม่เหมาะสม ต่อให้ข้าส่งกำลังพลทั้งหมดไปก็ไม่มีประโยชน์ ท่านว่าไหมล่ะ? 

ในจุดนี้ต้วนชุนเอ๋อร์ปฏิเสธไม่ได้ การต่อสู้ระหว่างอำนาจแต่ละฝ่าย กุญแจสำคัญของผลแพ้ชนะไม่ได้อยู่ที่ภายนอก อย่างไรเสียอำนาจใหญ่โตขนาดนี้ใช่ว่าใครจะกล้าฮุบได้ง่ายๆ เมื่อถึงเวลาที่ต้องสู้กันอย่างเปิดเผย ที่จริงแล้วนั่นคือการแข่งกันว่าก่อนหน้านี้ใครเตรียมตัวได้เต็มที่กว่ากัน การประจันหน้าเข่นฆ่าของทัพใหญ่มักเกิดขึ้นตอนตรวจสอบผลลัพธ์สุดท้าย

เหมียวอี้บอกอีกว่า  กำลังพลหนึ่งล้านก็ไม่น้อยแล้ว สิ่งที่จอมพลผังต้องการไม่ใช่กำลังพลไม่กี่ส่วนที่ข้าส่งไป มิหนำซ้ำถ้ากำลังพลของที่นี่ข้าเคลื่อนไหวก่อน ก็จะถูกเปิดโปงความลับง่ายๆ แล้วถ้าข้าระดมกำลังพลที่นี่มากเกินไป ก็ไม่เป็นผลดีเวลาร่วมมือรุกโจมตีพร้อมจอมพลผังเหมือนกัน ท่านคิดว่ายังไงล่ะ? 

 ข้าก็แค่ต้องรายงานสถานการณ์ของฝั่งนี้ขึ้นไปให้ท่านจอมพลรู้ตามความจริง ต้องให้ท่านจอมพลตัดสินใจว่ายินยอมหรือไม่  ต้วนชุนเอ๋อร์กล่าว

 เชิญตามสะดวก!  เหมียวอี้พยักหน้า

เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้วว่าผังก้วนไม่ได้มีความเห็นแย้งอะไรกับสิ่งนี้ สิ่งที่เขาต้องการก็คือ เมื่อถึงเวลาที่เขาลงมือ ทุกคนต้องรู้ว่าเหมียวอี้ส่งกำลังทหารมาให้ความร่วมมือกับเขา เขาต้องการดึงเหมียวอี้มาร่วมชะตากรรมเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด ป้องกันไม่ให้เหมียวอี้ลังเล ถอนกำลังเมื่อเรื่องจวนตัว กำลังพลหนึ่งล้านเพียงพอที่จะแสดงจุดยืนแล้ว

วันแต่งงานของหวังลั่วกับผังอวี้เหนียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จวนจอมพลสายเถาะกำลังเตรียมตัวทั่วทุกด้านเพื่องานมงคล บรรยากาศคึกคักน่าเฉลิมฉลอง

สิ่งที่ไม่กลมกลืนกันกันก็คือ จาหรูเยี่ยนทะเลาะกับผังก้วนหลายครั้งเพราะเรื่องนี้ นางร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ทำเอารู้กันทั่วทั้งจวนจอมพล เพิ่มบรรยากาศมืดครึ้มให้งานมงคลนี้

ส่วนผังอวี้เหนียงก็เหมือนจะยอมรับชะตากรรมแล้ว ตอนที่ผังก้วนบอกว่าจะยกนางให้แต่งงานกับหวังลั่ว ผังอวี้เหนียงก็ได้แต่มองบิดาตัวเองอย่างเหม่อลอยอยู่นานมาก นางไม่ได้ขัดขืน ตอบรับอย่างใจเย็น ดูเหมือนราบรื่นมาก แต่ผังก้วนถูกสายตาแบบนั้นของลูกสาวแทงจนเจ็บแล้วจริงๆ กลายเป็นเงามืดในใจที่ลบไม่ออกแล้ว

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผังอวี้เหนียงก็เก็บตัวอยู่ในห้องนอนตัวเอง แทบไม่ได้โผล่หน้าออกมาอีกเลย

ครอบครัวกังวลว่านางจะเป็นอะไรไป จึงให้สาวใช้คอยตามติดไม่ห่าง แล้วกำชับผังเสี้ยวเสี้ยวให้ไปอยู่เป็นเพื่อนพี่สาวบ่อยๆ พูดโน้มน้าวนางให้มากๆ

วันนี้ผังอวี้เหนียงดูแลดอกไม้อยู่ในสวนของตัวเองอย่างเงียบๆ ผังเสี้ยวเสี้ยวคอยหาเรื่องคุยอยู่ข้างๆ

สาวใช้คนหนึ่งที่อยู่ด้านนอกวิ่งเข้ามา รายงานต่อคุณหนูทั้งสองคนว่า  แย่แล้วค่ะ ฮูหยินกับนายท่านทะเลาะกันอีกแล้ว 

ผังอวี้เหนียงไม่สะทกสะท้าน เหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ส่วนผังเสี้ยวเสี้ยวก็รีบเดินออกไปอย่างกระวนกระวาย

จนกระทั่งผังเสี้ยวเสี้ยวมาถึง ก็เห็นผังก้วนทำเสียงฮึดฮัดและสะบัดชายเสื้อเดินออกมาแล้ว นางมองบิดาที่มีใบหน้าเกรี้ยวโกรธเดินผ่านไป แล้วมองมารดาที่ร้องไห้ปาดน้ำตาอีก นางทำได้เพียงเดินเข้าไปประคองมารดาที่ร้องให้กลับเข้ามาในห้อง

ผังเสี้ยวเสี้ยวกันคนอื่นออกไป แล้วเดินมาข้างหลังมารดาที่นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่ถูกรื้อพัง นางช่วยจัดแต่งทรงผมที่ยุ่งเหยิงให้ แล้วถอนหายใจเบาๆ  ท่านแม่ ท่านพ่อทำอย่างนี้เกินไปหน่อยหรือเปล่า…  แล้วจู่ๆ ก็เงียบไปอีก มองมารดาที่อยู่ในกระจก

จาหรูเยี่ยนปาดน้ำตา สีหน้าดูใจเย็นมากอย่างเห็นได้ชัด ความเศร้าโศกก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้ว จาหรูเยี่ยนสบตากับนางผ่านกระจก พร้อมบอกว่า  เสี้ยวเสี้ยว แม่กับพ่อเจ้าทะเลาะกันมาหลายปี จะทะเลาะกันยังไงก็ไม่เป็นไร เรื่องแต่งงานของเจ้ากับพี่สาวเจ้า เจ้าเองก็อย่าโทษท่านพ่อเจ้าเลย มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องเข้าใจ ขอเพียงพ่อเจ้าสบายดี พวกเราถึงจะได้สบายดีไปด้วย ต่อให้ชีวิตลำบากแค่ไหน แต่ถ้าครอบครัวเดิมยังมีคนช่วยอยู่ เจ้าก็ไม่เสียเปรียบเท่าไรหรอก มีทางให้พวกเจ้าถอยกลับอยู่แล้ว แม่เองก็ไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้าถูกทรมานโดยไม่สนใจ ในทางกลับกัน ถ้าพ่อเจ้าเป็นอะไรไป ทุกคนในบ้านจะมีชีวิตต่อไปได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเกียรติยศความร่ำรวยที่อยู่ตรงหน้า เรื่องไหนสำคัญมากสำคัญน้อย พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะชั่งน้ำหนักนะ! พ่อเจ้าคือเสาหลักของครอบครัว พิจารณาถึงอนาคตของคนในครอบครัว คำนึงถึงหนทางที่ยาวไกลของครอบครัว เรื่องบางเรื่องเจ้าจะโทษท่านพ่อไม่ได้ เจ้าต้องเห็นใจ เข้าใจไหม? 

ไม่ได้ยินแบบนี้ ในดวงตาผังเสี้ยวเสี้ยวก็ฉายแววตกใจกลัว นึกไม่ถึงว่ามารดาจะพูดถึงหลักการเหตุผลแบบนี้ออกมาได้?

จู่ๆ นางก็รู้สึกตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว รู้สึกได้รางๆ ว่าเรื่องที่บิดามารดาทะเลาะกันแอบซ่อนแผนการร้ายที่ใหญ่โตเอาไว้

ทว่าในตอนนี้ ฮ่าวเจ๋อมาแล้ว ลูกชายคนโตของฮ่าวเต๋อฟางที่อยู่ในตำแหน่งเทพประจำดาวมาแล้ว เป็นตัวแทนฮ่าวเต๋อฟางมาส่งสินสอดให้

ผังอวี้เหนียงก็ถูกเชิญออกมาแล้วเช่นกัน ต่อหน้าคนอื่นนางกับฮ่าวเจ๋อเรียกกันว่าพี่ชายกับน้องสาว

ฮ่าวเจ๋อมาเพื่อยืนยันต่อหน้าฝูงชนว่าผังอวี้เหนียงเป็นน้องสาวก็เรื่องหนึ่ง มาส่งสินสอดให้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทั้งยังนำข่าวดีมาให้ตระกูลผังด้วย บอกว่าวันแต่งงานอ๋องสวรรค์ฮ่าวจะมาร่วมแสดงความยินดีด้วยตัวเอง

ฮ่าวเจ๋ออยู่ที่นี่เพียงครึ่งวัน หลังจากเขาออกไปแล้ว ผังก้วนกับเฉินหวยจิ่วก็เข้ามาในห้องหนังสืออีก

 ชิงเยว่นำทัพใหญ่แดนรัตติกาลหนึ่งล้านมาถึงอย่างลับๆ แล้วขอรับ  เฉินหวยจิ่วที่เดินตามอยู่ข้างหลังรายงาน

 หาที่อยู่ให้พวกเขาให้เรียบร้อย ตอนนี้อย่าให้พวกเขาแสดงตัวเด็ดขาด  ผังก้วนนั่งลงแล้วกำชับ ก่อนจะถามอีกว่า  ฝั่งพวกเราเตรียมตัวเป็นยังไงแล้ว? 

 นายท่านวางใจได้ เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยก่อนวันงานแน่นอน  เฉินหวยจิ่วรับประกัน แล้วกล่าวอย่างลังเลอีกว่า  ฝั่งพวกเราไม่สะดวกจะระดมกำลังพลเยอะเกินไป กำลังพลลับที่ฮ่าวเต๋อฟางพามาด้วยต้องไม่น้อยแน่นอน ถ้าจะลงมือจริงๆ บ่าวก็กังวลนิดหน่อย คำสัญญาของตระกูลเซี่ยโห้วเชื่อถือได้หรือขอรับ? 

ผังก้วนเอานิ้วเคาะผิวโต๊ะ  คงจะไม่มีปัญหาอะไร ตระกูลเซี่ยโห้วรับปากแล้ว พวกเขาจะลงมือเป็นสัญญาณก่อน พวกเราเคลื่อนไหวทีหลัง ส่วนหนิวโหย่วเต๋อก็จะเดินทัพเมื่อเห็นฝั่งพวกเราเคลื่อนไหว ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีปฏิกิริยาอะไร พวกเราก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ ไม่มีอะไรเสียหาย! 

 เช่นนั้นก็ดีขอรับ!  เฉินหวยจิ่วพยักหน้า โล่งอกแล้ว

วันแต่งงานใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวก็เตรียมการให้ฮ่าวเต๋อฟางออกเดินทางเช่นกัน คนที่อยู่ในตำแหน่งระดับฮ่าวเต๋อฟาง การประกาศออกเดินทางย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ความปลอดภัยต้องมาก่อน ต้องเตรียมวางแผนทุกด้านล่วงหน้าแน่นอน

ในตึกศาลา ฮ่าวเต๋อฟางยืนพิงระเบียง มองละอองฝนโปรยปรายด้านนอก เมฆดำปกคลุมบนฟ้าเหนือจวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ฟ้าแลบฟ้าร้อง ฟ้าผ่าผ่านไปเป็นระยะ

ซูอวิ้นกำลังรายงานแผนการเดินทางอยู่ข้างๆ

ฟังไปได้ครึ่งเดียว ใครจะคิดว่าฮ่าวเต๋อฟางกลับกล่าวเสียงเรียบว่า  แจ้งไปทางฝั่งผังก้วน บอกว่าอ๋องผู้นี้มีธุระสำคัญ ยกเลิกแผนการเดินทางร่วมงาน ให้ฮ่าวเจ๋อไปแทน! 

ซูอวิ้นงงไปชั่วขณะ นางมองสีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านของฮ่าวเต๋อฟางท่ามกลางแสงฟ้าแลบ ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป จึงถามอย่างลังเลว่า  ท่านอ๋อง ในเมื่อท่านรับผังอวี้เหนียงเป็นลูกสาวบุญธรรมแล้ว หวังลั่วก็เหมือนจะเป็นกึ่งๆ ลูกชายของท่าน ฐานะของผังก้วนก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าท่านไม่แสดงตัวในวันแต่งงานของพวกเขา อาจจะไม่เหมาะสมหรือเปล่าคะ? 

 ไปจัดการตามที่ข้าบอก  ฮ่าวเต๋อฟางกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา

เมื่อแจ้งข่าวยกเลิกการเดินทางของฮ่าวเต๋อฟางให้ตระกูลผังรู้แล้ว ผังก้วนก็งงเป็นไก่ตาแตก

ด้านนอกแสงแดดสดใส แต่ผังก้วนกับเฉินหวยจิ่ว สองนายบ่าวที่หลบอยู่ในห้องหนังสือกลับมีสีหน้าบึ้งตึง ไม่รู้เหมือนกันว่าฮ่าวเต๋อฟางสังเกตเห็นอะไรหรือเปล่า

เมื่อฮ่าวเต๋อฟางไม่มา พวกเขาก็ไม่มีทางบีบบังคับให้ฮ่าวเต๋อฟางมาได้ ถ้าทำอย่างนี้จริงๆ ฮ่าวเต๋อฟางจะต้องสงสัยแน่นอน

ที่สำคัญก็คือ แผนการที่อุตส่าห์ทุ่มเทความคิดล้มเหลวแล้ว ราวกับชกหมัดไปบนใยฝ้าย ตอนหลังไม่จำเป็นต้องแอบเตรียมการต่อไปแล้ว

 โจรเฒ่า!  ผังก้วนกำหมัดทุบโต๊ะด้วยสีหน้าคับแค้น เกรงว่าเขาคงจะต้องมอบลูกสาวให้หวังลั่วไปเปล่าๆ แล้ว แสดงบทบาทอะไรไม่ได้เลย แต่จะไม่แต่งก็ไม่ได้ เท่ากับต้องยกประโยชน์ให้หวังลั่วต่อไป เขาไม่รู้จะไประบายความคับแค้นใจที่ไหน

เฉินหวยจิ่วก็มีอารมณ์หดหูถึงขีดสุด ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า  ไม่ต้องร้อนใจขอรับ ยังมีอีกวิธีการหนึ่ง 

ไม่รู้ว่าข่าวมาจากไหน ทางฝั่งจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล มีข่าวแพร่ข้างนอกอยู่ก่อนแล้ว เหมียวอี้ถึงได้ติดต่อไปยืนยันความจริงกับผังก้วน

เมื่อได้รับการยืนยันจากผังก้วนแล้ว ฝั่งเหมียวอี้ก็งงเป็นไก่ตาแตกเช่นกัน จู่ๆ ฮ่าวเต๋อฟางก็ไม่ทำตัวตามปกติ คนที่เตรียมไว้ทั้งที่แจ้งและที่ลับล้วนสูญเปล่า แล้วกลุ่มคนที่อยู่ในวังใต้ดินจะยังค่อยปรับเปลี่ยนแผนตามสถานการณ์ทำแป๊ะอะไรอีก!

เหมียวอี้เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง จู่ๆ ก็หยุดเดินแล้วขมวดคิ้ว  มีใครปล่อยข่าวให้ฮ่าวเต๋อฟางสังเกตเห็นอะไรหรือเปล่า? 

หยางชิ่งส่ายหน้าอย่างลังเล  คงจะไม่ถึงขั้นนั้น เรื่องแบบนี้ผังก้วนจะกล้าปล่อยให้ข่าวหลุดได้ยังไง ต้องเตรียมตัวไว้รอบด้านแน่นอน นอกจากนี้ ถ้าฮ่าวเต๋อฟางรู้ว่าผังก้วนจะก่อกบฏ ภายใต้สถานการณ์ที่อีกฝ่ายมีกำลังมากกว่า มีหรือที่จะปล่อยเขาไว้ มีความเป็นไปได้สูงว่าต้องใช้แผนซ้อนแผน ที่เข้ายกเลิกการเข้าร่วมงานแต่งงาน ถ้ามองจากบางมุมก็อธิบายได้ว่าฮ่าวเต๋อฟางยังไม่รู้ความจริง! แต่การที่ฮ่าวเต๋อฟางทำแบบนี้ แสดงว่าต้องคำนึงถึงความปลอดภัยแน่นอน 

เหมียวอี้เบะปากด่า  ตาผีเฒ่านี่รับมือยากจริงๆ ครั้งนี้ผังก้วนใช้ลูกสาวลงทุนแต่กลับไม่ได้ตักตวงผลประโยชน์ ขนาดโอกาสแบบนี้ยังพลาดได้ ถ้าผังก้วนอยากจะหาโอกาสเหมาะอีกก็เกรงว่าคงยากแล้ว สงสัยฝั่งพวกเราต้องคิดหาวิธีบ้างแล้ว 

หยางชิ่งขมวดคิ้วเงียบๆ ไม่พูดอไร

ส่วนเหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเฉาหม่าน อย่างไรเสียฝั่งนี้กับเฉาหม่าน ผังก้วนก็ปฏิบัติการร่วมกัน เมื่อแผนการเปลี่ยนแปลงก็ต้องปรึกษากันสักหน่อย

ใครจะคาดคิด หลังจากติดต่อกับเฉาหม่านได้สักพัก เหมียวอี้ก็ทำสีหน้างุนงง แววตาวูบไหวไม่หยุดนิ่ง

หยางชิ่งสังเกตเห็น จึงถามว่า  นายท่าน เป็นอะไรไปขอรับ? 

เหมียวอี้ทำสีหน้าแปลกๆ  เฉาหม่านบอกว่า ทัพของฮ่าวเต๋อฟางไม่ได้หยุดเตรียมตัวออกเดินทาง ภายนอกเหมือนยกเลิก แต่ที่จริงแล้วยังแอบดำเนินการอย่างลับๆ 

หยางชิ่งงุนงง ก่อนจะหรี่ตาช้าๆ  หรือพูดได้อีกอย่างว่า ฮ่าวเต๋อฟางยังคงเตรียมตัวเข้าร่วมงานแต่งงาน ที่บอกว่ายกเลิกการเดินทาง ก็แค่กำลังสร้างสถานการณ์ให้ฝ่ายตรงข้ามสับสนเท่านั้น! 

เหมียวอี้ส่ายหน้าด้วยความตกตะลึง  คงจะเป็นอย่างนี้ มารดาเจ้าเถอะ ถ้าไม่ใช่เพราะครั้งนี้ร่วมมือกับตระกูลเซี่ยโห้ว ได้ประโยชน์จากช่องทางข่าวสารที่ฉับไวของเฉาหม่าน ก็เกือบจะโดนเขาหลอกแล้ว จิ้งจอกเฒ่านี่เจ้าเล่ห์ใช้ได้เลย! 

หยางชิ่งกลับตาเป็นประกาย  นายท่าน เฉาหม่านได้บอกข่าวนี้กับผังก้วนหรือเปล่า? 

เหมียวอี้ชะงักไป รีบเขย่าระฆังดาราคุยกับเฉาหม่านอีก ก่อนจะตอบว่า  ผังก้วนคงจะสะเทือนใจเพราะฮ่าวเต๋อฟางไม่เบา เหมือนกับที่ข้าติดต่อไปยืนยันเรื่องนี้กับผังก้วน ผังก้วนไม่ได้เป็นฝ่ายบอกข้าก่อน ไม่ได้เป็นฝ่ายบอกเฉาหม่านก่อนด้วย และท่าทีของเฉาหม่านก็ไม่ได้กระตือรือร้นขนาดนั้น ผังก้วนไม่ได้ติดต่อถามเฉาหม่าน เฉาหม่านก็ไม่เป็นฝ่ายบอกก่อนเหมือนกัน กำลังรอให้ผังก้วนติดต่อมาหาเขา 

………………

 

เป็นค่ำคืนส่งตัวเข้าหออีกแล้ว

เมื่อตื่นขึ้นมา เหมียวอี้ก็พลิกตัว นอนตะแคงมองเป่าเหลียนที่ขดตัวหันหลังให้ตน มวยผมของนางคลายออกจนหลวม

เขาจินตนาการได้ถึงเรือนร่างอรชนอ้อนแอ้นที่เปลือยเปล่าอยู่ใต้ผ้าห่ม ตอนเข้าหอเมื่อคืนนี้เขาได้เชยชมมาหมดแล้ว เป่าเหลียนที่มีท่าทางเขินอายและใจเต้นแรงในครั้งแรก เขาจำภาพเหล่านั้นได้ชัดเจน

เจ้าสำนักอวี้หลิงเป็นคนกำหนดวันแต่งงาน เป่าเหลียนแต่งงานเข้าบ้านมาเมื่อคืน ท่านขุนนางเหมียวรับอนุภรรยาอีกห้องหนึ่งแล้ว

ดูจากแพขนตาที่ขยับเล็กน้อยของเป่าเหลียน เขาก็รู้แล้วว่านางแกล้งหลับ เขาแอบถอนหายใจ ผู้หญิงคนนี้จำเป็นต้องลำบากขนาดนี้ด้วยเหรอ

ในปีแรกๆ เขาก็รู้มาบ้างว่าผู้หญิงคนนี้สนใจเขา เขาก็เป็นคนซื่อบื้อเรื่องความรักมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เล่นด้วยไม่ไหว ดังนั้นจึงจงใจหลบเลี่ยง ไม่อยากทำร้ายนาง

ไม่ใช่ว่าเหมียวอี้แสร้งดัดจริต แต่เพราะเขาไม่ได้รักกับเป่าเหลียนเลยจริงๆ ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย หน้าตาของเป่าเหลียนก็ไม่ได้นับว่างามเลิศล้ำอะไร เอกลักษณ์เฉพาะตัวก็ไม่ใช่แบบที่เขาชอบ

ตอนนี้เขาแต่งงานรับอนุภรรยาห้องแล้วห้องเล่า เขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าควรจะพูดอะไรดี ขนาดตัวยังรู้สึกเลี่ยน พอลองคิดดูให้ละเอียด นอกจากฮูหยินเอกอย่างอวิ๋นจือชิวที่เขาแต่งงานด้วยเพราะความรู้สึกที่แท้จริงแล้ว อนุภรรยาคนอื่นมีใครบ้างที่เดินร่วมทางกันเพราะความรัก? ที่จริงอนุภรรยาส่วนใหญ่ของเขามาแต่งงานด้วยเพราะเรื่องผลประโยชน์ แม้แต่ฉินเวยเวยเอง ตอนแรกก็แต่งงานด้วยเพื่อจะผูกมัดหยางชิ่ง

กับหวงฝู่จวินโหรวก็มีความรู้สึกอยู่บ้างนิดหน่อย แม้ตอนแรกจะไม่ได้รู้สึกอะไร อารมณ์ชั่ววูบทำให้ไปกลิ้งอยู่บนเตียงด้วยกัน แต่ตอนหลังทั้งสองเดี๋ยวเลิกกันเดี๋ยวคืนดีกัน ทำให้เขาเริ่มเกิดความรู้สึกแล้ว แต่เขาดันไม่สามารถแต่งงานรับหวงฝู่จวินโหรวเข้าบ้านได้

ตอนนี้เขาพบว่าตัวเองค่อนข้างด้านชากับการแต่งงานรับอนุภรรยา เวลาจำเป็นค่อยแต่งงานรับเข้ามาก็พอ เวลามีความใคร่ก็ค่อยกลิ้งอยู่บนเตียงด้วยกัน เวลาไม่อยากได้ก็สามารถทิ้งไว้โดยไม่สนใจ อย่างไรเสียต่อให้มีอนุภรรยามากกว่านี้เขาก็เลี้ยงไหว ส่วนจะชอบหรือไม่ชอบนั้นก็เหมือนจะไม่สำคัญแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มไม่ต่างอะไรกับผู้มีอำนาจเหล่านั้น ถ้าจะบอกว่ามีจุดไหนที่แตกต่าง นั่นก็คือตอนนี้เขายังไม่แต่งงานรับใครเข้ามาเพียงเพราะใจเต้นเห็นว่าสวย

นึกถึงภาพในปีที่ยังเป็นหนุ่มน้อยโดนปฏิเสธการสู่ขอ แล้วนึกถึงตอนนี้ที่มีภรรยาเป็นโขยง เขาก็รู้สึกเหมือนเป็นความฝันฉากหนึ่ง

เขายื่นมือเข้ามาในผ้าห่ม ไถลมือไปตรงหน้าอกเป่าเหลียน พอกำตรงจุดที่อิ่มอวบ ร่างของเป่าเหลียนก็สั่นเล็กน้อย

 ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นแล้ว  เหมียวอี้พูดหยอกด้วยรอยยิ้ม

เป่าเหลียนทำเสียงงุ้งงิ้ง พลิกตัวมากำหมัดทุบเขาด้วยความเขินอาย ก้มหน้าซุกใต้หน้าอกเขา

เหมียวอี้มีสีหน้าหลากอารมณ์ปนกัน เขายื่นมือไปจัดผมที่ยุ่งเหยิงให้นาง ถอนหายใจเบาๆ แล้วถามว่า  เป่าเหลียน ทำไมเจ้าต้องลำบากขนาดนี้? 

เป่าเหลียนเหมือนจะเข้าใจความหมายในคำพูดของเขา นางเงียบไปพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ยื่นแขนขาวหมดจดออกจาผ้าห่มมากอดเขาไว้  หากเป็นสุขยินดีเสพ หากเป็นทุกข์ยินดีรับ ข้าเต็มใจ! 

คำกล่าวนี้เผยนิสัยดื้อรั้นของนางออกมาหมด ไม่พิจารณาถึงผลที่ตามมาเลย

นางเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่หลายวัน ได้เสพสุขชีวิตคู่แต่งงานใหม่แค่เวลาสั้นๆ เหมียวอี้อยู่เป็นเพื่อนนางไม่กี่วัน ใช้วิธีการเดียวกับตอนอยู่กับผังเสี้ยวเสี้ยว หลังจากได้ข่าวว่าผังก้วนส่งคนมาแล้ว เหมียวอี้ก็ส่งเป่าเหลียนกลับสำนักลมปราณ

เรื่องสนับสนุนให้เป่าเหลียนเป็นเจ้าสำนักลมปราณนั้นวางไว้ก่อนชั่วคราว ตอนนี้เหมียวอี้ยังไม่มีสมาธิมาสนใจเรื่องนี้ ทำได้เพียงบอกเจ้าสำนักอวี้หลิงว่าอย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม เขายังไม่อยากให้เกิดเหตุไม่คาดคิดมารบกวนในเวลานี้

ต้วนชุนเอ๋อร์ แม่ทัพหญิงคนหนึ่งที่ผังก้วนส่งมาเข้าร่วมแผนการลับครั้งนี้ นางนำคนมาด้วยไม่กี่ร้อยคน

เรื่องแบบนี้ยิ่งปิดเป็นความลับได้ก็ยิ่งดี ถ้าพาคนมามาก คนมากตามากข่าวก็หลุดได้ง่าย ต้องเลือกคนที่เชื่อถือได้แน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีก็ไม่ได้มาเพื่อเข่นฆ่าากัน พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวของทัพใหญ่แดนรัตติกาลและรายงานผังก้วนให้ทันเวลา

คนไม่กี่ร้อยที่ต้วนชุนเอ๋อร์พามาด้วยพักอยู่ด้วยกัน มีเพียงต้วนชุนเอ๋อร์คนเดียวที่เข้ามาคารวะเหมียวอี้ในจวนผู้สำเร็จราชการ

เมื่อพบกันในเรือนด้านใน เห็นผังก้วนส่งผู้หญิงมาจับตาดูทัพ เหมียวอี้ก็ตะลึงค้างเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะทันที

ต้วนชุนเอ๋อร์ยังนึกว่าบนใบหน้าตัวเองมีอะไรติด จึงยื่นมือลูบหน้านิดหน่อย แล้วถามว่า  ผู้ตรวจการใหญ่หัวเราะทำไม หรือบนใบหน้าข้ามีสิ่งสกปรกอะไร? 

เหมียวอี้โบกมือ แล้วยื่นมือเชิญให้ดื่มน้ำชา พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า  เปล่า แค่นึกขึ้นได้ถึงเรื่องบางเรื่องเท่านั้นเอง 

 อ้อ! ไม่ทราบว่าเรื่องอะไร พูดให้ฟังหน่อยได้หรือเปล่า?  ต้วนชุนเอ๋อร์จ้องเขาพร้อมเอ่ยถาม เมื่อครู่นี้สังเกตเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายหัวเราะเพราะนาง

เหมียวอี้เงียบไป ก่อนจะถามว่า  ไม่ทราบว่าแม่ทัพต้วนเคยแต่งงานหรือเปล่า? 

 อย่าบอกนะว่าผู้ตรวจการใหญ่มีคนที่เหมาะสมจะแนะนำให้ข้ารู้จัก?  ต้วนชุนเอ๋อร์งงงวย

 พูดแบบนี้ แสดงว่าแม่ทัพต้วนยังไม่ได้แต่งงานสินะ?  เหมียวอี้ถาม

ต้วนชุนเอ๋อร์ชะงักเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขาถามเรื่องนี้ทำไม นางตอบอย่างจริงใจว่า  เป็นสตรีแก่คนหนึ่งแล้ว ทำไมจะไม่เคยแต่งงานล่ะ เมื่อก่อนเคยแต่งงาน แต่ตอนหลังอีกฝ่ายรู้สึกว่าข้าไม่เหมาะกับเขา เลยหย่ากับข้าแล้ว ตอนหลังข้าเห็นเขาแต่งงานใหม่กับคนอื่น ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์ ก็เลยฆ่าเขากับเมียใหม่ไปพร้อมกันเสียเลย! 

เหมียวอี้ปาดเหงื่อเล็กน้อย ไอแห้งๆ แล้วบอกว่า  ก็เพราะแบบนี้ถึงรู้สึกแปลกใจ ข้าค้นพบเรื่องบางอย่าง แม่ทัพหญิงที่ฐานะสูงส่งส่วนใหญ่เหมือนจะเป็นโสดกันหมด แม่ทัพหญิงใต้บังคับบัญชาข้าส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ แม่ทัพต้วนพิสูจน์การคาดเดาของข้าแล้ว 

 มีอะไรน่าแปลกใจ สังคมนี้กดผู้หญิงยกย่องผู้ชาย เวลาผู้หญิงจะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ ทำไมถึงยากลำบากขนาดนั้น ถ้ามีสามีกับลูกก็ถูกดึงเข้ามาลำบากด้วย ไม่เหมือนผู้ชายอย่างพวกท่าน ขนาดทิ้งเมียเพื่อสร้างผลงานก็ดูเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ถ้าผู้หญิงทำแบบนี้บ้าง ผู้ชายส่วนใหญ่ก็รับไม่ไหวหรอก เขาจะทิ้งข้าก็เป็นเรื่องปกติมาก  ต้วนชุนเอ๋อร์กล่าว

 อืม แม่ทัพต้วนมีความเห็นที่เหนือชั้นจริงๆ ด้วย ได้รับการชี้แนะแล้ว  เหมียวอี้พยักหน้ายิ้มเบาๆ

 ผู้ตรวจการใหญ่ดูถูกผู้หญิงหรือเปล่า รู้สึกว่าท่านจอมพลส่งข้ามาเป็นเรื่องน่าขบขัน?  ต้วนชุนเอ๋อร์ถาม

 เปล่าๆ ไม่มีเรื่องอย่างนี้แน่นอน!  เหมียวอี้รีบโบกมือปฏิเสธ

 ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องใหญ่กำลังจะมาถึงแล้ว ฝั่งผู้ตรวจการใหญ่ควรจะเริ่มเตรียมการแล้วหรือเปล่า?  ต้วนชุนเอ๋อร์ถาม

 กำลังรอให้แม่ทัพใหญ่มาอยู่ไงล่ะ  เหมียวอี้กล่าว แล้วเอียงหน้าบอกหยางเจาชิงว่า  ดำเนินการตามแผน กันแม่ทัพหลักจากแต่ละสายออกไปก่อน!

 รับทราบ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับแล้วไปจัดการ

จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลมีวังใต้ดินแห่งหนึ่ง ปกติไม่ค่อยได้ใช้งาน แม่ทัพประมาณห้าสิบคนได้ข่าวและมาที่นี่

ในตำหนักหลักของวังใต้ดินกว้างโล่ง คนกลุ่มหนึ่งหันมองรอบๆ แต่ไม่เจอเหมียวอี้ กลับเห็นทหารยามที่ตามมาข้างหลังเข้าประจำตรงจุดเชื่อมต่อละด้านของวังใต้ดิน ประตูใหญ่ทางออกก็ถูกทหารยามปิดไว้แล้วเช่นกัน คนกลุ่มนี้รู้สึกเหมือนโดนขังไว้ที่นี่

ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้คนกลุ่มนี้รู้สึกไม่สงบ จิตใต้สำนึกคิดเชื่อมโยงไปยังเรื่องที่พวกเหวินเจ๋อถูกควบคุม

หยางเจาชิงดันบอกอีกว่า  ทุกคน ได้รับคำสั่งมาจากผู้ตรวจการใหญ่ รบกวนทุกคนมอบของที่ใช้ติดต่อกับภายนอกออกมาให้หมด 

รองผู้สำเร็จราชการเหิงอู๋เต้ากำลังมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง พอได้ยินแบบนี้ก็หันขวับจ้องหยางเจาชิง แล้วถามเสียงต่ำว่า  พ่อบ้านหยาง หมายความว่ายังไง? 

 ทุกคนอย่าเข้าใจผิด เพราะจำเป็นต้องรักษาความลับในกิจวัตรประจำวันล้วนๆ  หยางเจาชิงตอบพร้อมรอยยิ้ม

 ข้าต้องการพบผู้ตรวจการใหญ่!  เหิงอู๋เต้ากล่าว

 มีธุระอะไรต้องการจะพบข้า?  นอกวังใต้ดินมีเสียงของเหมียวอี้ดังมา

สายตาของทุกคนมองไปตามเสียง เห็นเพียงเหมียวอี้นำต้วนชุนเอ๋อร์เข้ามา เหยียนซิวกลับหยางชิ่งที่ปลอมตัวแล้วก็ตามมาข้างหลังด้วย

หยางเจาชิงก้าวขึ้นมารายงานสิ่งที่อาจทำให้ทุกคนเกิดความเข้าใจผิด เหมียวอี้ยิ้มพลางโบกมือสื่อว่ารู้แล้ว จากนั้นเดินตรงผ่ากลางกลุ่มคนไปเผชิญหน้าอยู่ด้านบน

หลังจากเห็นปฏิกิริยาของทุกคนแล้ว เหมียวอี้ก็ชี้ต้วนชุนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกาย แล้วถามด้วยรอยยิ้ม  ไม่ทราบว่ามีใครรู้จักท่านนี้หรือเปล่า? 

 ต้วนชุนเอ๋อร์ อยู่ใต้บังคับบัญชาของผังก้วน  มีคนตอบแล้ว

ต้วนชุนเอ๋อร์กุมหมัดคารวะคนกลุ่มนี้  มีสหายเก่าอยู่หลายคน 

เหมียวอี้พยักหน้า  รู้จักกันแล้วก็ดี แม่ทัพต้วน ท่านอธิบายจุดประสงค์ที่มาที่นี่ให้ฟังสักหน่อยเถอะ 

 ได้!  ต้วนชุนเอ๋อร์ขานรับ แล้วกล่าวต่อคนกลุ่มนี้ด้วยสีหน้าจริงจัง  คาดว่าช่วงนี้ทุกคนคงได้ยินเรื่องที่ลูกสาวของจอมพลผังถูกล่วงเกินมาแล้ว แม้ตอนสุดท้ายทั้งสองฝ่ายจะอธิบายว่าเป็นความเข้าใจผิด แต่ทุกคนก็ล้วนมีตา รู้อยู่แก่ใจว่าความจริงคืออะไร ไม่ต้องอธิบายซ้ำที่นี่แล้ว สำหรับจอมพลผัง เรื่องนี้เป็นความอัปยศใหญ่หลวง ฮ่าวเต๋อฟางรังแกกันเกินไปแล้ว จอมพลผังข่มกลั้นความโกรธนี้ไม่ไหว ตัดสินใจจะกำจัดฮ่าวเต๋อฟางทิ้ง แล้วแทนที่เขา! จอมพลผังเป็นพันธมิตรกับผู้ตรวจการใหญ่หนิวแล้ว ให้สัญญาไว้แล้วว่าหลังจากเรื่องนี้สำเร็จ จะแบ่งอาณาเขตสายเถาะให้ผู้ตรวจการใหญ่ ผู้ตรวจการใหญ่ตอบรับด้วยความยินดี เข้ามาที่นี่ก็เพราะเป็นตัวแทนของจอมพลผัง รับผิดชอบติดต่อกับฝั่งนี้! 

เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ กลุ่มแม่ทัพก็ฮือฮา ข่าวนี้สะเทือนขวัญเกินไปหน่อย แต่ละคนพากันมองไปที่เหมียวอี้ ส่วนเหมียวอี้ก็พยักหน้ายืนยันเรื่องนี้

เหิงอู๋เต้ากุมหมัดคารวะ  ผู้ตรวจการใหญ่ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อาศัยแค่กำลังของพวกเรากับผังก้วน เกรงว่ายากจะต่อต้านกับฮ่าวเต๋อฟางได้ ยิ่งไปกว่านั้นฮ่าวเต๋อฟางกับพวกโค่วหลิงซวีก็พึ่งพากัน พวกนั้นคงไม่นิ่งดูดายหากเห็นฮ่าวเต๋อฟางเป็นอะไรไป 

เหมียวอี้จึงบอกว่า  มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ถ้าไม่มีความมั่นใจข้าก็ไม่เสี่ยงอันตรายง่ายๆ หรอก จอมพลผังเองก็ไม่ใช่คนบุ่มบ่าม ย่อมเห็นโอกาสชนะแล้วถึงได้ตอบตกลง ส่วนอย่างอื่นทุกคนก็ไม่ต้องคิดมาก ที่เชิญทุกคนมาที่นี่ ก็เพื่อต้องการให้ทุกคนทำแค่เรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือคาดคะเนสถานการณ์การรบ ร่างแผนการรุกโจมตี ต้องเตรียมตัวให้พร้อมทุกด้าน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็ต้องยกทัพออกไปทั้งหมด หากเรื่องนี้สำเร็จแล้ว ทุกคนจะได้เสพสุขกับเกียรติยศความร่ำรวยด้วยกัน ไม่ทราบว่าทุกคนคิดเห็นว่ายังไง? 

เรื่องนี้กะทันหันเกินไป ทุกคนย่อยข้อมูลลำบากนิดหน่อย แต่เริ่มกระสับกระส่ายแล้ว ตื่นเต้นนิดหน่อย หากได้อาณาเขตดาวอันกว้างใหญ่ของสายเถาะ ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ก็คงจะได้เกียรติยศความร่ำรวยที่สูญเสียไปในปีนั้นกลับมา ทุกคนรอวันนี้มานานแล้ว

ความรู้สึกของทุกคนตอนนี้คือสิ่งที่เหมียวอี้คาดเดาได้ตั้งแต่แรก พวกเขาต้องการทวงสิ่งที่ตัวเองสูญเสียไปกลับมา เกรงว่าคงเป็นเรื่องที่คนพวกนี้เฝ้ารอมานาน ถึงอย่างไรก็ถูกขังอยู่ที่นี่หลายปี ผ่านช่วงเวลาที่หวาดกลัวและกระวนกระวายมาแล้ว ถ้ามองจากบางมุมก็ถือเป็นวิกฤตกาลของเหมียวอี้เช่นกัน จะต้องระบายความอัดอั้นตันใจออกมาแน่ ดังนั้นขอเพียงให้โอกาสพวกเขา คาดว่าคงไม่มีใครปฏิเสธ เจตจำนงร่วม ขวัญกำลังใจทหารมีประโยชน์ เขาไม่มีความลำบากในการโน้มน้าวเลย ดังนั้นเขาเองก็ขี้คร้านที่จะอธิบายอะไร

บรรดาแม่ทัพสบตากันพักหนึ่ง ตัดสินแล้วว่าเหมียวอี้ไม่ทำซี้ซั้วกับเรื่องแบบนี้แน่นอน ไม่นานพวกเขาก็ยืนจัดแถวอย่างพร้อมเพรียง กุมหมัดคารวะพร้อมกัน  ยินดีรับใช้ผู้ตรวจการใหญ่ด้วยชีวิต! 

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ  ตั้งแต่นี้ไป ข้าจะให้คนส่งข่าวจากภายนอกมาถึงทุกคนให้ทันเวลา ทุกคนจะได้รู้สถานการณ์และวางแผนได้สะดวก เรื่องอาหารการกินจะมีคนนำมาส่งให้ ทุกคนไม่ต้องกังวล ส่วนของใช้บนตัวทุกคน ให้ส่งทั้งหมดออกมาให้ดูแลรักษาด้วยกันเดี๋ยวนี้ ก่อนศึกใหญ่ไม่ว่าใครก็ห้ามติดต่อกับภายนอก ใครขัดคำสั่ง ประหาร! ทหาร ค้นตัว ยึดของไว้!  น้ำเสียงธรรมดาราบเรียบ ราวกับกำลังพูดเรื่องที่ไม่มีความสำคัญมากพอ

มีทหารอารักขากลุ่มหนึ่งเข้ามาทันที ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ในมือทุกคนถือกาดใบหนึ่ง

หลังจากทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ก็ปลดสิ่งของบนร่างกายวางไว้บนถาดอย่างเงียบๆ แล้วรับการตรวจค้นทีละคน

แผนที่ดาวสิบกว่าแผนวางแผ่บนพื้น วางเอาไว้ใช้ร่วมกันในวังใต้ดิน ตอนนี้ทุกคนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว

จากนั้นพวกเหมียวอี้ก็ออกจากวังใต้ดิน ต้วนชุนเอ๋อร์ที่เดินตามอยู่ข้างๆ กล่าวชมว่า  ผู้ตรวจการใหญ่ คำสั่งทหารหนักแน่นดุจขุนเขา ประสิทธิภาพการทำงานสูงจริงๆ ด้วย 

เหมียวอี้เพียงยิ้มให้ ไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับ เขาเดินเข้าไปหาชิงเยว่ที่รออยู่ด้านนอก หลังจากเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ ก็สั่งว่า  หลายวันก่อนข้าหาข้ออ้างระดมกำลังพลหนึ่งล้านเข้าไปลาดตระเวนในน้ำพุวังเวง เตรียมการไว้เพื่องานนี้ ตอนนี้เจ้าไปรับช่วงต่อได้ นำทัพใหญ่ไปรวมกับจอมพลผังอย่างลับๆ ต้องรักษาความลับไว้ อย่าให้มีข่าวหลุด! 

…………………

 

ตระกูลหวงฝู่ สวนเยี่ยนหนิง เป็นที่อยู่ของหวงฝู่เยี่ยน เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของตระกูลหวงฝู่เช่นกัน

ในห้องสมาธิห้องหนึ่ง ตู้เฉียวกับหวงฝู่เยี่ยนกำลังนั่งสมาธิ พระปีศาจหนานโปขยุ้มนิ้วทั้งห้า ดึงเส้นด้ายสีทองห้าเส้นออกมาจากศีรษะหวงฝู่เยี่ยน ย้ายไปที่ศีรษะของตู้เฉียว แล้วก็เห็นเส้นด้ายสีทองกรอกเข้าไปในยอดศีรษะของตู้เฉียวอีก

ถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติ พระปีศาจหนานโปไม่มีทางเข้ามาในตระกูลหวงฝู่ที่มีการป้องกันแน่นหนาได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้เจอตู้เฉียว แต่เมื่อมีหวงฝู่เยี่ยนที่เป็นรองเพียงหัวหน้าตระกูลหวงฝู่เลี่ยนคงคอยช่วยเหลือ ถ้าคิดจะเข้ามาก็ย่อมไม่ยาก มีหวงฝู่เยี่ยนคอยช่วย ตู้เฉียวที่มาพักในตระกูลหวงฝู่ชั่วคราวก็ถูกหนานโปจับได้โดยง่าย

นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเหมียวอี้ต้องให้พระปีศาจหนานโปช่วยเหลือ ความลับบางอย่างคนอื่นไม่มีโอกาสสืบรู้ มีแต่ต้องอาศัยพลังอภินิหารของปีศาจเฒ่าถึงจะเป็นไปได้มากที่สุด

เส้นด้ายสีทองห้าเส้นเข้าไปในสมองของตู้เฉียว หนานโปหมุนข้อมือ พอใช้นิ้วแตะไปตรงหน้าผาก ตู้เฉียวก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ แล้วลุกขึ้นไปยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความเคารพนอบน้อม

หนานโปมองไปทางหวงฝู่เยี่ยนที่กำลังนั่งขัดสมาธิ เขาถอนหายใจเบาๆ จนใจที่วิชาควบคุมของเขาไม่สามารถควบคุมยอดฝีมือได้จำนวนมากเกินไป เมื่อเทียบกับตู้เฉียวแล้ว บทบาทของหวงฝู่เยี่ยนก็เหมือนจะด้อยลงแล้วไม่น้อย ทำได้เพียงใช้วิชาควบคุมกับตู้เฉียว ถ้าควบคุมตู้เฉียวก็เท่ากับควบคุมทั้งสมาคมวีรชนได้ในระดับหนึ่ง แต่หวงฝู่เยี่ยนคนนี้กลับเก็บไว้ไม่ได้แล้ว

มนต์คร่าชีวิตไม่สามารถควบคุมระยะไกลได้ พอเขาออกไปไกล สอมงหวงฝู่เยี่ยนก็อาจจะได้รับความเสียหายจนจิตใจผิดปกติ แบบนี้จะเผยพิรุธได้ง่ายมาก ถ้าให้หวงฝู่เยี่ยนหายไปก็จะทำให้คนตื่นตัวได้ง่าย เช่นนั้นนอกจากจะให้หวงฝู่เยี่ยนตาย ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

บึ้ม! เสียงระเบิดดังขึ้น ประตูหน้าต่างปลิวกระจาย เงาคนคนหนึ่งกระอักเลือดกระแทกตกลงในลานบ้าน ชักกระตุกอยู่บนพื้น เป็นหวงฝู่เยี่ยนนั่นเอง

ในประตูที่พังออก ตู้เฉียวมีสีหน้าเย็นชา สวมหน้ากากปลอมและเอามือไขว้หลังเดินเนิบนาบออกมา

คนส่วนใหญ่ของตระกูลหวงฝู่รู้ว่าคนคนนี้ไม่ธรรมดา เป็นแขกผู้มีเกียรติของตระกูลหวงฝู่ แต่ไม่รู้จักตัวตนของเขา แน่นอน เมื่อนึกเชื่อมโยงกับเบื้องหลังตระกูลหวงฝู่ คนที่พอจะมีสมองสักหน่อยก็เดาออกว่าเป็นคนที่มาจากวังสวรรค์

ผู้ติดตามของตู้เฉียวรีบถลันตัวมายืนอยู่ข้างกายเขา ค่อนข้างระแวงสงสัย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

คนพวกนี้ก็ปลอมตัวแล้วเช่นกัน สรุปก็คือกลุ่มของตู้เฉียวที่มาไม่มีใครเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงสักคน

 นายท่าน!  บ่าวของตระกูลหวงฝู่อุทานเสียงหลง รีบพุ่งตัวเข้าไปประคองหวงฝู่เยี่ยน แล้วนำสมุนไพรเซียนซิงหัวช่วยชีวิตเร่งด่วน

ทว่าตู้เฉียวตั้งใจทำให้หวงฝู่เยี่ยนตายแล้ว ใช้ฝ่ามือบีบหัวใจของหวงฝู่เยี่ยนจนแตกละเอียด จะกู้ชีพกลับมาได้อย่างไร ชักกระตุกแล้วขาดใจตายตรงนั้น

บ่าวตระกูลหวงฝู่มองตู้เฉียวที่ยืนอยู่บนบันไดอย่างตกใจปนโมโหอีกครั้ง กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดอะไร

ความเคลื่อนไหวแบบนี้ ย่อมสะเทือนไปถึงหวงฝู่เลี่ยนคงหัวหน้าตระกูลหวงฝู่ทันที คนในตระกูลใหญ่ทยอยกันมาถึงอย่างรวดเร็ว

 ท่านพ่อ! ท่านปู่!  มีชายหญิงไม่น้อยอุทานอย่างตกใจ หวงฝู่ตวนหรงก็รวมอยู่ในนั้นเช่นกัน

หวงฝู่เลี่ยนคงนั่งยองๆ ยืนยันว่าลูกชายตายแล้ว ตรวจอาการบาดเจ็บบนตัวลูกชายโดยละเอียด แล้วแอบถ่ายทอดเสียงถามบ่าวไพร่ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ เสร็จแล้วถึงได้ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ หันไปตะคอกใส่คนในครอบครัวด้วยใบหน้ามืดครึ้ม  ใครให้พวกเจ้าถ่อมาที่นี่? เห่าหอนอะไรกัน หุบปากให้หมด! 

ตรงที่เกิดเหตุเงียบลงทันที พอหวงฝู่เลี่ยนคงโบกมือ ศพของหวงฝู่เยี่ยนก็ถูกหามไปแล้ว คนกลุ่มใหญ่ที่ไม่มีทางได้สัมผัสคลุกคลีกับงานสำคัญก็ถอยไปแล้วเช่นกัน

ในเวลานี้ หวงฝู่เลี่ยนคงที่ผมหงอกขาวถึงได้เดินลงบันได กุมหมัดคารวะต่อตู้เฉียว  นายท่าน ไม่ทราบว่าหวงฝู่เยี่ยนทำผิดอะไรถึงโดนนายท่านสังหารเช่นนี้? 

 เจ้าควรถามเขาเอง  ตู้เฉียวตอบอย่างเย็นชา

หวงฝู่เลี่ยนคงส่ายหน้า  หวงฝู่เยี่ยนตายแล้ว ต่อให้ตาแก่คนนี้อยากถามแต่ก็ไม่รู้จะถามจากตรงไหน  สื่อว่าต้องการคำตอบให้ได้ แม้ตระกูลหวงฝู่จะฟังคำบัญชาการของตู้เฉียว แต่ก็ใช่ว่าตู้เฉียวคิดจะฆ่าก็ฆ่าได้ ถ้าตระกูลหวงฝู่จะเอาเรื่องจริงๆ ซ่างกวนชิงก็ต้องไตร่ตรองผลที่ตามมาเช่นกัน

 สมคบกับผู้เหลือรอดตระกูลอิ๋ง เปิดเผยความลับสุดยอดของสมาคมวีรชน เหตุผลนี้เพียงพอมั้ย?  ตู้เฉียวถาม

หวงฝู่เลี่ยนคงเม้มริมฝีปาก  เป็นไปไม่ได้! หวงฝู่เยี่ยนจะทำลายรากฐานของตัวเองได้ยังไง ขออนุญาตถามว่ามีหลักฐานหรือไม่? 

 หลักฐาน? ไม่ทราบว่าหัวหน้าตระกูลรู้หรือเปล่าว่าหวงฝู่เยี่ยนมีผู้หญิงที่ชื่อหานลี่อยู่ข้างนอก?  ตู้เฉียวถาม

 …  หวงฝู่เลี่ยนคงขมวดคิ้วเล็กน้อย เรื่องนี้เขาย่อมรู้ เดิมทีหวงฝู่เยี่ยนอยากจะแต่งเข้าบ้าน แต่เขาปฏิเสธ จะไม่รู้ได้อย่างไร ถึงอย่างไรลูกชายก็โตแล้ว แยกแยะความสำคัญได้ เขาไม่คิดว่าหวงฝู่เยี่ยนจะเปิดเผยความลับอะไรเพื่อผู้หญิงคนเดียว  รู้จัก แต่ข้าก็เคยสืบมาแล้ว ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องอะไร ไม่อย่างนั้นข้าก็เป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยนางไป! 

ตู้เฉียวเดินลงบันไดอย่างช้าๆ  งั้นเหรอ? นึกไม่ถึงว่าหัวหน้าตระกูลจะถึงคราวมองผิดเหมือนกัน 

 ยินดีฟังรายละเอียด!  หวงฝู่เลี่ยนคงกล่าวด้วยสีหน้ามืดครึ้ม

ตู้เฉียวยืนอยู่ตรงหน้าเขา  ช่วงแรกที่ข้าเพิ่งมาถึงจวนนี้ หวงฝู่เยี่ยนก็มาหาข้า บอกว่าหานลี่อยากจะไปเปิดหูเปิดตาที่งานชุมนุมตระการตาสักหน่อย หวังว่าจะช่วยให้ความสะดวก ตอนนั้นข้าก็รู้สึกแปลกแล้ว ธรรมเนียมบางอย่างใช่ว่าหวงฝู่เยี่ยนจะไม่รู้ จะเห็นได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้อิทธิพลต่อหวงฝู่เยี่ยนไม่ธรรมดา ไม่น่าเชื่อว่านอกตระกูลหวงฝู่จะมีผู้หญิงคนนี้อยู่ด้วย ข้าจะไม่สืบให้ละเอียดได้เหรอ! พอสืบดูก็พบความผิดปกติจริงๆ นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะไปมาหาสู่กับผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋ง นางย่อมรู้ว่าข้าอยู่ที่ตระกูลหวงฝู่ ไม่ทราบว่าหัวหน้าตระกูลคิดว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวให้หานลี่? 

หวงฝู่เลี่ยนคงรู้สึกหนักใจทันที เขาเองก็ได้ข่าวมาแล้วว่าหานลี่ไปที่งานชุมนุมตระการตา รู้ว้าเป็นลูกชายดำนเนินการให้แน่นอน ตอนนั้นเขาไม่ค่อยพอใจ ถ้าลูกชายตายไปเพราะอย่างนี้จริงๆ เขาเองก็ต้องบอกว่าสมน้ำหน้าแล้ว  ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าหวงฝู่เยี่ยนจะเปิดเผยความลับ! 

 หลังจากพบความผิดปกติของผู้หญิงคนนั้น ข้าก็จับกุมทันที แต่ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนนั้นก็หายตัวไปแล้ว! ข้าเองก็อยากให้โอกาสหวงฝู่เยี่ยนสักครั้ง ก่อนหน้านี้เจรจาลับกับเขา หวังว่าเขาจะส่งตัวผู้หญิงคนนั้นมาให้ แต่เขาบอกว่าเขาก็หาตัวไม่พบเหมือนกัน…ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ทำได้เพียงให้ลูกชายของเจ้าตายเพื่อชดใช้ความผิด!  ตู้เฉียวกล่าว

หวงฝู่เลี่ยนคงกล่าวเสียงต่ำ  นายท่านไม่รู้สึกว่าทำอย่างนี้สะเพร่าเกินไปเหรอ? อย่างน้อยก็ควรส่งคนให้ข้าสอบสวนให้ชัดเจนก่อน ไม่ใช่ลงโทษให้เขาตายโดยไม่กระจ่างอย่างนี้!  คำว่าไม่กระจ่างก็เพียงพอที่จะแสดงความนัยของเขาแล้ว

ตู้เฉียวกล่าวอย่างเย็นชา  หานลี่นั่นรู้ความลับจากเขาไปมากเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ! ถ้าจะสืบให้ชัดเจนจริงๆ ตระกูลหวงฝู่ก็ต้องหลบเลี่ยง ไม่มีทางส่งคนให้พวกเจ้าสืบเองแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้ากับข้าก็ควบคุมเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว ถ้าสืบเจอความจริง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือข้าก็ล้วนไม่สะดวกจะชี้แจงต่อผู้การใหญ่ บางเรื่องแค่ตายแล้วปัญหาก็จบ ข้าไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว คาดว่าหัวหน้าตระกูลก็คงไม่อยากก่อหายนะให้ตระกูลหวงฝู่เหมือนกัน ตายแล้วจะได้จบ ข้าเตรียมจะรายงานต่อผู้ตรวจการใหญ่ ว่าหวงฝู่เยี่ยนถูกลงโทาประหารแล้ว เรื่องนี้จัดการได้กระจ่างแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่นของตระกูลหวงฝู่…ไม่ทราบว่าหัวหน้าตระกูลรู้สึกว่าข้ารายงานไปอย่างนี้ดีไหม? 

หวงฝู่เลี่ยนคงใบหน้าตึงขึงขัง สุดท้ายก็กุมหมัดคารวะ  เป็นตาแก่คนนี้ที่เลอะเลือนไป นายท่านปราดเปรื่อง จัดการตามนี้ก็แล้วกัน! 

 เส้นทางการเดินทางของข้าถูกเปิดเผยแล้ว ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน!  ตู้เฉียวกล่าวพลางเดินก้าวยาวออกไป

หวงฝู่เลี่ยนคงใบหน้ากระตุกอย่างแรง จากนั้นหันกลับมากำชับคนที่อยู่ข้างๆ ทันที ว่าให้ไปสืบหาตัวหานลี่นั่น

ศพของหวงฝู่เยี่ยนถูกวางไว้ในห้องโถง ทั้งในและนอกห้องมีคนมารวมตัวกันไม่น้อย

ในห้อง บรรดาอนุภรรยาของหวงฝู่เยี่ยนจับกลุ่มกันร้องไห้ ในตระกูลขาดที่พึ่งแล้ว

กลุ่มคนที่อยู่นอกห้องแยกย้ายกันออกไป พวกหวงฝู่เลี่ยนคงมาถึงแล้ว

พอเข้ามายืนตรงหน้าศพลูกชาย หวงฝู่เลี่ยนคงก็จ้องอยู่นานโดยไม่พูดอะไร ใบหน้าไร้อารมณ์ใดๆ แต่สองมือที่กำแน่นกลับเผยความรู้สึกของเขาแล้ว สิ่งที่ตู้เฉียวบอกเป็นความจริงหรือเท็จก็ไม่รู้ แต่อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจได้ นั่นก็คือก่อนตายลูกชายไม่ขัดขืนเลยสักนิด ไม่มีความเคลื่อนไหวว่าต่อต้านอะไรด้วย นี่ก็คือจุดที่ทำให้เขาสงสัย

แต่ตู้เฉียวทำอย่างนี้ไปแล้ว ไม่สะดวกจะทำให้เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โตอีก ตู้เฉียวเป็นลูกน้องคนสนิทของซ่างกวนชิง ถ้ามีเรื่องกับตู้เฉียวขึ้นมา ตระกูลหวงฝู่ก็อาจไม่ได้รับผลดีอะไร

ก็เพราะอย่างนี้ ในใจเขาถึงเต็มไปด้วยความคับแค้น เจ้าบ้านใหญ่ผู้สง่าน่าเกรงขามของตระกูลหวงฝู่ ต่อให้ไร้ผลงานแต่ก็ทำงานหนักเพื่อตำหนักสวรรค์ ไม่น่าเชื่อว่าจะเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ที่ตู้เฉียวคิดจะฆ่าก็ฆ่าได้ จะให้ตระกูลหวงฝู่ทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร? บัญชีแค้นนี้ทำได้เพียงอดกลั้นไว้ก่อนชั่วคราว!

เขายื่นมือออกมาอย่างช้าๆ ปิดตาลูกชายที่ตายตาไม่หลับ

 ท่านพ่อ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้? เพราะอะไรคะ?  ฮูหยินเอกของหวงฝู่เยี่ยนเงยหน้าถามขณะร้องไห้ สามีตายอย่างไม่กระจ่าง นางย่อมอยากรู้เหตุผล

หวงฝู่เลี่ยนคงไม่สนใจนาง สายตากวาดมองกลุ่มคน  อย่าประกาศให้ภายนอกรู้ว่าเจ้าใหญ่ตายแล้ว ยังไม่ต้องประกาศการข่าวการตาย! 

เมื่อเขาบอกว่ายังไม่ต้องประกาศข่าวการตาย ก็ทำให้คนมากมายจินตนาการไปไกล ยิ่งสงสัยว่าสาเหตุการตายของหวงฝู่เยี่ยนมีจุดประสงค์ที่บอกใครไม่ได้

หวงฝู่เลี่ยนคงประกาศต่อว่า  เจ้ารอง ส่งต่องานในมือเจ้าให้เจ้าสาม เจ้ารอง ตั้งแต่นี้ไปเจ้าต้องจัดการงานที่เหลือของเจ้าใหญ่! 

 รับทราบ!  หวงฝู่จัวลูกชายคนรองกับหวงฝู่เกาลูกชายคนที่สามเอ่ยรับพร้อมกัน

หมายความว่าการตายของพี่ใหญ่นี้ ทำให้อำนาจในมือเจ้ารองกับเจ้าสามเพิ่มสูงขึ้นอีกระดับแล้ว แต่มองไม่เห็นสีหน้าปลาบปลื้มใดๆ บนใบหน้าทั้งสอง

ภรรยาของหวงฝู่เยี่ยนกลับร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ ต่างก็เข้าใจว่าการตายของนายท่านหมายความว่าอะไร อำนาจมหาศาลของเรือนใหญ่เริ่มตกอยู่ในมือคนอื่นแล้ว เกิดผลกระทบด้านผลประโยชน์ไม่มากก็น้อย มีคนที่กุมอำนาจคนไหนบ้างที่ไม่ใช้งานคนที่ตัวเองเชื่อใจ?

ในดาราจักรมีเงาคนแวบผ่าน พระปีศาจหนานโปกลับมาแล้ว เหาะลงมาเหยียบข้างกายพวกจั่วเอ๋อร์

ทุกคนโล่งอก จั่วเอ๋อร์ถ่ายทอดเสียงถามว่า  ผู้อาวุโส ราบรื่นหรือเปล่า? 

 เจ้าเคยได้ยินสำนักลิขิตฟ้าหรือเปล่า?  หนานโปถ่ายทอดเสียงถาม

 สำนักลิขิตฟ้า?  จั่วเอ๋อร์อึ้งไปชั่วครู่ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงถามสิ่งนี้ นางครุ่นคิดแล้วพยักหน้าตอบว่า  เคยได้ยิน เป็นสำนักหลอมสมบัติที่เคยมีชื่อเสียงมากในยุคก่อน เพียงแต่หลังจากก่อตั้งตำหนักสวรรค์ได้ไม่นาน สำนักนั้นก็หายไปแล้ว…  พอพูดถึงตรงนี้นางก็ชะงัก เหมือนนึกเชื่อมโยงอะไรบางอย่างได้ ถามอย่างตกตกลึงเล็กน้อยว่า  อย่าบอกนะว่าสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เกี่ยวข้องกับสำนักลิขิตฟ้า? 

 ตู้เฉียวเองก็ไม่รู้ว่าสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ซ่อนอยู่ที่ไหน แต่ตู้เฉียวรู้อยู่เรื่องหนึ่ง ว่าผู้คิดค้นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็คือสำนักลิขิตฟ้า เรื่องนี้สืบมาจากสมาคมวีรชน ตอนหลังเขารับหน้าที่กำจัดทุกคนที่รู้เรื่องนี้ทิ้ง และสำนักลิขิตฟ้าก็หายไปในเวลานั้นเหมือนกัน แล้วตำหนักสวรรค์ก็เริ่มมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เป็นอาวุธ เขานึกเชื่อมโยงถึงตอนที่สำนักลิขิตฟ้าหายไป เซี่ยงจงก็หายไปช่วงหนึ่งเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงสงสัยว่าการหายไปของสำนักลิขิตฟ้าเกี่ยวข้องกับองครักษ์เงา ผู้ที่รับหน้าที่ควบคุมดูแลการหลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็คงเป็นองครักษ์เงาเหมือนกัน!  พอพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักไป แล้วบอกว่า  เซี่ยงจงก็คือหัวหน้าองครักษ์เงา!  หนานโปกล่าว

สาเหตุที่เน้นประโยคนี้ ก็เพราะลูกน้องคนสนิททั้งสามของของซ่างกวนชิงค่อนข้างลึกลับ แม้แต่จั่วเอ๋อร์เองก็ไม่รู้ชัดว่าสามคนนี้แบ่งกันรับผิดชอบงานอะไรกันแน่

จั่วเอ๋อร์เข้าใจแล้ว พระปีศาจมีเป้าหมายใหม่แล้ว เพ่งเล็งไปที่เซี่ยงจงแล้ว

………………

 

จุดประสงค์ความร่วมมือครั้งนี้ ผังก้วนย่อมบอกเหมียวอี้แล้ว จะอ้าปากหุบปากก็เรียกว่าลูกเขย ทำให้คนยากจะปฏิเสธ

จากนั้นเหมียวอี้ก็เรียกลูกน้องคนสนิทมาปรึกษาหารือกันเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

หยางชิ่งกับหยางเจาชิ่งมาถึงห้องหนังสือ เหมียวอี้ด่าผังก้วนว่าจิ้งจอกเฒ่า จานกั้นบอกเจตนาของผังก้วนให้ฟังโดนละเอียด

สองหยางขมวดคิ้ว นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ผังก้วนจะใช้วิธีการนี้ หยางเจาชิ่งกล่าวอย่างลังเลว่า  ถ้าเป็นแบบนี้ก็ยุ่งยากแล้ว ถ้าให้กำลังพลลงมือพร้อมกับผังก้วน เกรงว่าแผนที่นายท่านจะเดินทัพอย่างชอบธรรมก็จะพัง 

แผนที่ฝั่งนี้วางไว้ก็คือผลักให้ผังก้วนกับฮ่าวเต๋อฟางสู้กัน ถ้าเป็นการเข่นฆ่ากันเองระหว่างผังก้วนกับฮ่าวเต๋อฟาง ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าตำหนักสวรรค์จะเฝ้ารอให้เรื่องนี้สำเร็จ ไม่แน่ว่าอาจจะแอบช่วยผังก้วนตัดแบ่งอำนาจของฮ่าวเต๋อฟางก็ได้ แต่ถ้าตำหนักสวรรค์พบว่าผังก้วนกับตระกูลเซี่ยโห้วสมคบกัน ก็ไม่มีทางนิ่งดูดายปล่อยให้อำนาจทางทหารกับอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วมาสมคบกันแน่ ที่บอกว่าสยบตระกูลเซี่ยโห้วได้ก็สยบใต้หล้าได้นั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แบบนี้จะทำให้ประมุขชิงกังวล ถึงตอนนั้นประมุขชิงก็จะเปลี่ยนเป้าหมายที่จะสนับสนุนทันที เปลี่ยนเป็นสนับสนุนฮ่าวเต๋อฟางแทน

นี่คือห่วงโซ่หนึ่งในอุบายห่วงโซ่ของหยางชิ่งที่ต้องผลักดัน บีบให้ตำหนักสวรรค์สนับสนุนฮ่าวเต๋อฟาง แต่พอโดนผังก้วนเล่นแบบนี้ ความเสี่ยงที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเผชิญก็ไม่ใช่น้อยๆ

เหมียวอี้เหล่ตามองหยางชิ่งแวบหนึ่ง  แต่ไม่มีทางปฏิเสธได้ ถ้าข้าไม่ส่งทหารไปเข้าร่วม แล้วความจริงใจในการร่วมมือกันล่ะ ผังก้วนต้องสงสัยแน่นอน! 

หยางชิ่งพยักหน้าช้าๆ  ประเมินผังก้วนต่ำไปแล้ว เขามองทะลุแผนดีดลูกคิดรางแก้ว[1]ของพวกเราแล้ว พอเป็นแบบนี้ ก็ไม่มีวิธีอื่น ทำได้เพียงตอบรับเขา อย่าทำให้เขาเกิดความสงสัย เพียงแต่แบบนี้ก็ต้องชำกำลังปะทะ ทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะเสียหายมากกว่าเดิม! 

ตามที่เขาบอก เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีวิธีการอื่น หลังจากปรึกษาหารือกันแล้ว เหมียวอี้ทำได้เพียงตอบรับผังก้วน อนุญาตให้ส่งทัพไปสนับสนุน อนุญาตให้ผังก้วนส่งทัพมาจับตาดูเช่นกัน

ส่วนเรื่องที่หวังลั่วล่วงเกินผังอวี้เหนียง ท่ามกลางความสนใจของคนไม่น้อย ในที่สุดก็ได้บทสรุปแล้ว ฮ่าวเต๋อฟางประกาศต่อภายนอกว่า ที่จริงแล้วรับผังอวี้เหนียงเป็นบุตรสาวบุญธรรมของเขาตั้งนานแล้ว กำหนดวันแต่งงานกับหวังลั่วตั้งนานแล้ว ไม่มีคำว่าล่วงเกินอะไรทั้งนั้น แค่คู่รักขัดแย้งกันก็เท่านั้นเอง

ผังก้วนก็ยอมรับต่อภายนอกเช่นกัน ความจริงก็เป็นอย่างนี้

พอมีข่าวนี้ออกมา ผังอวี้เหนียงก็กลายเป็นลูกสาวของฮ่าวเต๋อฟางแล้ว เป็นคู่หมั้นของหวังลั่วตั้งนานแล้ว ตำหนักสวรรค์เองก็ไม่มีทางสืบสาวเอาความที่หวังลั่วก่อเรื่องในงานชุมนุมตระการตาได้เช่นกัน ทั้งยังทำให้ทัพใต้ปรองดองกันดี ทุกด้านล้วนให้คำชี้แจงได้

สำหรับขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ ผลลัพธ์นี้คือสิ่งที่อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว เดิมทีก็ไม่เชื่ออยู่แล้วว่าผังก้วนจะแตกคอกับฮ่าวเต๋อฟางเพราะเรื่องนี้ ดังนั้นก่อนหน้านี้พวกขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็ไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพียงแต่นึกถึงว่าจะเพิ่ม ‘ลูกสาวบุญธรรม’ ขึ้นมา ฮ่าวเต๋อฟางจัดการเรื่องนี้ได้สมบูรณ์กว่าที่คิด

ทว่าเมื่อมีข่าวนี้ออกมา ตอนที่ผังก้วนยอมรับกับภายนอก ตัวเขาเองก็แอบไปยังดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในเขตการปกครองของตัวเอง

บนมหาสมุทรคลื่นมรกต มีเรือลำใหญ่ลอยอยู่ลำหนึ่ง กะลาสีที่แต่งตัวเหมือนมนุษย์ธรรมดากำลังเดินสำรวจอยู่บนเรือ ใต้น้ำก็มีคนคอยป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้าใกล้เช่นกัน

ผังก้วนกับเฉินหวยจิ่วเหาะลงมาเหยียบบนดาดฟ้าเรือ พอเฉินหวยจิ่วโบกมือ ข้างกายก็มีคนเพิ่มมาอีกสองคน เป็นลูกชายทั้งสองของผังก้วน ผังจื่อฉาง ผังจื่อลู่

คนที่เฝ้าอยู่บนดาดฟ้าเรือไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ต่างก็มองคนพวกนี้ว่าเป็นคนธรรมดาทั่วไป มองตามทั้งสี่ขึ้นไปบนเรือ

ในห้องโดยสารเรือมีชายหญิงรวมกันอยู่สิบกว่าคน ล้วนเป็นแม่ทัพคนสนิทของผังก้วน ทยอยกันมาถึงอย่างลับๆ หมดแล้ว

เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้กำลังวางแผนลับกันที่นี่ สาเหตุที่เลือกที่นี่ ไม่เลือกจวนจอมพลที่มีการป้องกันแน่นหนา ก็เพราะทางจวนจอมพลมีหูตาเยอะเกินไป แม้แต่ผังก้วนเองก็ไม่กล้ารับประกันว่ามีสายลับของอำนาจฝ่ายแทรกอยู่ด้วยหรือเปล่า กอปรกับจวนจอมพลเป็นสถานที่ที่ดึงดูดสายตาคนได้ง่าย ถ้าคนกลุ่มนี้มารวมตัวกันก็จะทำให้คนสงสัยได้ง่ายแน่นอน

หลังจากคนกลุ่มนี้มาถึง ก็พบว่าลูกน้องคนสนิทของท่านจอมพลมาถึงหมดแล้ว ทุกคนตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที ตระหนักได้ว่าจะต้องมีเรื่องไม่ปกติเกิดขึ้น ทุกคนต่างก็กำลังครุ่นคิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่

พวกผังก้วนเข้ามาในห้องโดยสารเรือ ทุกคนก็รีบยืนขึ้นกุมหมัดคารวะ  ท่านจอมพล! 

ผังก้วนโบกมือสื่อว่าไม่ต้องมากพิธี แล้วเดินตรงไปนั่งตรงหัวโต๊ะ โดยเฉินหวยจิ่วยืนอยู่ข้างกายเขา ลูกชายสองคนยืนอยู่ด้านข้างสองฝั่ง ทั้งสองฐานะค่อนข้างต่ำ มีสิทธิ์แค่ยืนฟังเท่านั้น

ผังก้วนที่นั่งลงกวาดสายตาเย็นเยียบมองทุกคน  เรื่องของอวี้เหนียง ทุกคนคงได้ยินกันมาแล้ว! 

แม่ทัพหญิงคนหนึ่งชื่อว่าต้วนชุนเอ๋อร์กุมหมัดกล่าวด้วยรอยยิ้ม  งานแต่งงานของอวี้เหนียงกำลังจะมาถึง ยินดีกับท่านจอมพลด้วย 

แม่ทุกคนจะรู้อยู่แก่ใจ แต่กลุ่มแม่ทัพก็ยังกุมหมัดคารวะตาม  ยินดีด้วยท่านจอมพล! 

 หึ!  ผังก้วนพ่นเสียงทางจมูก เอามือตบโต๊ะแล้วยืนขึ้น กล่าวด้วยสีหน้าดุร้ายว่า  ยินดีบ้าอะไรล่ะ! มีเรื่องมงคลเสียที่ไหน? คิดจริงเหรอว่าข้ายินดีจะมอบลูกสาวให้แต่งงานกับโจรชั่วหวังลั่วนั่น? เป็นโจรเฒ่าฮ่าวเต๋อฟางที่รังแกกันเกินไป!  พูดจบก็ประเมินปฏิกิริยาของทุกคน

กลุ่มแม่ทัพอึ้งไปชั่วขณะ กล้าตะโกนแม้กระทั่งคำว่าโจรเท่าฮ่าวเต๋อฟาง หรือว่านี่?

ชั่วขณะนี้ไม่สะดวกจะตัดสินท่าทีของผังก้วน ทุกคนก็ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไร

ผังก้วนกล่าวอย่างเคียดแค้นอีกว่า  อยู่ในฐานะบิดา แทนที่จะล้างความอัปยศให้ลูกสาว กลับต้องการให้ลูกสาวลดตัวลงไปอยู่กับโจร นี่คือความอัปยศอันใหญ่หลวงของผัง! ฮ่าวเต๋อฟางรังแกกันเกินไป ต่อให้ข้าจะยากจนข้นแค้นแต่ก็ยังเป็นจอมพลสายเถาะ ฮ่าวเต๋อฟางไม่เสียดายที่จะทำกับข้าอย่างนี้เพื่อหวังลั่วคนเดียว รู้เลยว่าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ช้าเร็วก็ต้องโดนเขาสั่งหาร! ปราศจากหนัง ขนไร้ที่ยึดเกาะไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อเขาไร้ศีลธรรม ก็จะมาโทษว่าข้าขาดคุณธรรมไม่ได้ ข้าตัดสินใจจะสังหารโจรเฒ่านั่น จะแทนที่ฮ่าวเต๋อฟาง ล้างความอัปยศนี้ ไม่ทราบว่าทุกคนคิดอย่างไร ยินดีจะช่วยข้าอีกแรงหรือไม่? 

เมื่อได้ยินแบบนี้ บรรดาแม่ทัพก็สูดหายใจลึกอย่างตกใจ แบบนี้ต้องการจะก่อกบฏกับฮ่าวเต๋อฟางชัดๆ

บรรดาแม่ทัพมองหน้ากันเลิกลัก ไม่มีใครกล้าเอ่ยรับง่ายๆ ต่างก็พากันลังเล

แม่ทัพคนหนึ่งที่ชื่อว่าซูชิงฉวน กุมหมัดคารวะกล่าวด้วยเสียงต่ำ  ท่านจอมพล ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากทำงานรับใช้ ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ฮ่าวเต๋อฟางมีอำนาจมาก เกรงว่าท่านจอมพลคงไม่อาจทำให้สะเทือนได้ง่ายๆ หวังว่าท่านจอมพลจะไตร่ตรองอีกที! 

 มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ข้าก็เลยเตรียมจะลงมือในงานแต่งงานของอวี้เหนียง ถ้าฮ่าวเต๋อฟางกล้ามา นั่นก็คือวันตายของเขา!  ผังก้วนกล่าว

บรรดาแม่ทัพสบตากันอีก นี่คือโอกาสดีที่จะล่อเสือลงภูเขา

ซูชิงฉวนขมวดคิ้วอีก  ท่านจอมพล แม้นี่จะเป็นโอกาสดีในการกำจัดฮ่าวเต๋อฟาง แต่ฮ่าวเต๋อฟางก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ถ้ายืนหยัดต้านทานไว้ โจมตีอยู่นานแต่ไม่ล้มเสียที ถึงตอนนั้นกองหนุนของฮ่าวเต๋อฟางก็จะมาจู่โจม ก่วงลิ่งกงและพวกอ๋องสวรรค์คนอื่นก็ต้องส่งกำลังหนุนมาแน่นอน พวกเราต้านไม่ไหวเลย ผลที่ตามมาร้ายแรงจนไม่อยากจินตนาการถึง ต่อให้สามารถกำจัดฮ่าวเต๋อฟางได้ทันเวลา ก็มีความเป็นไปได้น้อยที่จอมพลสายมะโรงกับสายมะเส็งจะเชื่อฟังคำสั่งท่านจอมพล ดีไม่ดีสองคนนั้นอาจจะร่วมมือกันสู้กับท่านจอมพลในข้อหาช่วยท่านอ๋องปราบกบฏ ช่วยโอกาสกันแบ่งอาณาเขตของท่านจอมพล ถ้าจะตั้งตัวเป็นอิสระเหมือนเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ เกรงว่าสถานการณ์จะไม่สู้ดี! 

ผังก้วนรู้ว่าถ้าไม่กำหนดโอกาสชนะให้ทุกคนรู้ ก็ยากที่จะโน้มน้าวทุกคนได้ ในเมื่อวันนี้มาแล้ว ก็จะต้องโน้มน้าวพวกเขาให้ได้ บางสิ่งไม่จำเป็นต้องปิดบังแล้ว  ข้าจะให้พวกพี่น้องไปเสี่ยงอันตรายส่งเดชได้ยังไง ข้าเองก็ไม่มีทางเอาชีวิตของคนในครอบครัวมาทำซี้ซั้ว ในเมื่อตัดสินใจแบบนี้แล้ว ก็ต้องมีการเตรียมตัว! ฮ่าวเต๋อฟางรังแกกันเกินไป หลังจากอวี้เหนียงได้รับความอัปยศ ข้าก็ข่มความโกรธแค้นนี้ไม่ไหว รู้ด้วยว่าตัวเองมีศักยภาพไม่พอ ยากที่จะกำจัดโจรได้ ข้าถึงได้ติดต่อตระกูลเซี่ยโห้วไป ได้รับการสนับสนุนทางด้านกำลังทั้งหมดจากตระกูลเซี่ยโห้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้น ตระกูลเซี่ยโห้วก็จะใช้กำลังควบคุมอำนาจแต่ละฝ่ายไม่ให้พวกเขาส่งทหารเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ได้ง่ายๆ แล้วก็จะทำให้ฮ่าวเต๋อฟางเกิดความวุ่นวายภายใน ขณะเดียวกันข้าก็ได้รับการสนับสนุนจากผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลหนิวโหย่วเต๋อแล้ว เมื่อฝั่งพวกเราลงมือ หนิวโหย่วเต๋อก็จะนำทัพใหญ่ห้าสิบล้านออกจากแดนรัตติกาลทันที มาช่วยพวกเราอีกแรง! ฮ่าวเต๋อฟางจะลำบากทั้งภายนอกภายใน ตายแน่! ทุกคนรู้สึกว่าข้าวางแผนแบบนี้พอได้หรือเปล่า? 

ทุกคนทำสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด นึกไม่ถึงว่าท่านจอมพลจะแอบเตรียมตัวไว้เยอะขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้ว ทำยังดึงทัพใหญ่แดนรัตติกาลเข้ามาช่วยด้วย ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ งานใหญ่ก็มีแววว่าจะสำเร็จ หลังจากจบเรื่องแล้วทุกคนที่อยู่ตรงนี้ก็ย่อมตำแหน่งสูงขึ้นตามไปด้วย ล้วนเป็นคนที่จะได้รับผลประโยชน์ก่อน

ก็อย่างที่ท่านจอมพลบอก ท่านจอมพลไม่ใช่คนที่บุ่มบ่ามทำอะไรซี้ซั้ว ไม่ไปเสี่ยงอันตรายส่งเดช ทำอย่างนี้ได้แสดงว่าต้องมีการเตรียมตัวไว้เต็มที่แล้วแน่นอน ไม่เอาเรื่องนี้มาหลอกทุกคนแน่

เพียงแต่พอเป็นแบบนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม เรื่องประเภทนี้มีหรือที่เพิ่งจะมาตัดสินใจ มีหรือที่เมื่ออยากจะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้วกับหนิวโหย่วเต๋อก็ได้รับการสนับสนุนเลย ใครจะว่างถึงขนาดมาเสี่ยงอันตรายกับเจ้า จะต้องมีการเจรจากันมาก่อนแล้วแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่จะตอบรับตอนเรื่องจวนตัว ตั้งแต่เกิดเรื่องที่งานชุมนุมตระการตาจนกระทั่งตอนนี้ ใช้เวลาสั้นนิดเดียวก็ตัดสินใจจะทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้แล้วหรือ?

บรรดาแม่ทัพอดไม่ได้ที่จะสงสัย อย่าบอกนะว่าท่านจอมพลวางแผนมานานแล้ว แอบเตรียมตัวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เช่นนั้นเรื่องที่งานชุมนุมตระการตา หรือว่า…เรื่องบางเรื่องก็ไปคิดใคร่ครวญไม่ไหว พอคิดให้ละเอียดแล้วก็รู้สึกว่าน่ากลัวสุดๆ!

เพียงแต่ทุกคนต่างก็รู้สึกฮึกเหิม กับเรื่องแบบนี้พวกเขาไม่กลัวหรอกว่าท่านจอมพลจะวางแผนไว้นานแล้ว กลัวก็แต่ท่านจอมพลจะบุ่มบ่ามไปชั่วขณะ

เช่นนั้น ทำไมถึงเลือกลงมือในวันแต่งงานของผังอวี้เหนียงก็เข้าใจได้ไม่ยาก ไม่เพียงแค่ทำให้ฮ่าวเต๋อฟางออกมาจากรังได้ ทางฝั่งนี้ยังสามารถอ้างได้ว่าเสริมการป้องกันในงานแต่งงาน ระดมพลได้อย่างชอบธรรม

เมิ่งเชา แม่ทัพคนหนึ่งก้าวออกนอกแถวแล้วกุมหมัดคารวะ  ข้าน้อยยินดีติดตามท่านจอมพลกำจัดโจรเฒ่า ล้างความอัปยศให้คุณหนูใหญ่ ล้างความอัปยศให้ทั้งสายเถาะ! 

บรรดาแม่ทัพกุมหมัดคารวะขานรับทันที  ข้าน้อยยินดีติดตามท่านจอมพลกำจัดโจรเฒ่า ล้างความอัปยศให้คุณหนูใหญ่ ล้างความอัปยศให้สายเถาะ! 

ผังก้วนพยักหน้าช้าๆ สองพี่น้องแซ่ผังที่ฟังอยู่ข้างๆ ล้วนมีสีหน้าท่าทางฮึกเหิม!

เมื่อได้ความเห็นที่เป็นเอกฉันท์ เป้าหมายด้านผลประโยชน์ของทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน เรื่องต่อไปก็จัดการง่ายแล้ว พวกเขาย่อมปรึกษารายละเอียดการลงมือ

ผังก้วนนำแผ่นหยกยื่นให้บรรดาแม่ทัพ  คนที่อยู่ในรายชื่อนี้ล้วนเป็นคนของฮ่าวเต๋อฟาง ในงานแต่งงานของอวี้เหนียง คนส่วนใหญ่บนรายชื่อนี้จะต้องมาแสดงความยินดีแน่นอน เป็นเวลาที่จะจำกัดพวกเขาในรวดเดียว! ส่วนคนยศต่ำที่มาแสดงความยินดี ทุกคนก็อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น เตรียมตัวทุกด้านให้เรียบร้อยก่อน ถ้าฝั่งจวนจอมพลลงมือเมื่อไร กำลังที่พวกเจ้าวางไว้ก็เคลื่อนไหวได้ทันที ต้องควบคุมคนพวกนี้ไว้ในทันที ชิงอำนาจทางทหารจากพวกเขาก่อน ไม่ให้โอกาสพวกเขาทำซี้ซั้ว แล้วค่อยรีบระดมพลให้รอฟังคำสั่งข้า เคลื่อนไหวพร้อมตระกูลเซี่ยโห้วกับทัพใหญ่แดนรัตติกาล กำจัดปีกของฮ่าวเต๋อฟางโดยเร็วที่สุด! 

บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง พวกจั่วเอ๋อร์ที่ซ่อนตัวอยู่ในหินระเกะระกะเป็นกังวลเล็กน้อยเพราะพระปีศาจหนานโป

พระปีศาจลงมือด้วยตัวเองอย่างต่อเนื่อง พอเขาลงมือด้วยตัวเอง คนตำแหน่งสูงที่รอดชีวิตของตระกูลอิ๋งอย่างพวกเขาก็ต้องมาสนับสนุนด้วยตัวเอง ต้องเสี่ยงอันตรายไปด้วยกัน

ตอนนี้ทุกคนกำลังจ้องดาวเคราะห์งดงามดวงหนึ่งที่อยู่ไกลๆ ในนั้นคือที่อยู่ของตระกูลหวงฝู่ ผู้คุมหางเสือเรือของสมาคมวีรชน

……………

 

การจากไปของตระกูลผัง ไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ในการเที่ยวเล่นที่งานชุมนุมตระการตาของคนส่วนใหญ่ กลับมีเรื่องให้พูดคุยกันมากขึ้นด้วยซ้ำ

สำหรับชายหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน งานชุมนุมตระการตาที่จัดทุกร้อยปีก็คือโอกาสที่จะได้พลอดรักหาความสำราญ ถึงอย่างไรโอกาสที่ชนชั้นสูงในใต้หล้าจะมารวมตัวกันมากขนาดนี้ก็มีไม่บ่อย

ในเรื่องที่ผังอวี้เหนียงประสบพบเจอ บางคนก็สงสารบางคนก็เห็นเป็นเรื่องน่าขบขัน ยังมีชายโสดหญิงโสดอยู่จำนวนหนึ่งที่ไม่สนใจอะไร

แม้ก่วงเม่ยเอ๋อร์จะบอกว่ามันดำไม่มีทางมาหาลูกเขยที่นี่ แต่สำหรับชายหญิงส่วนใหญ่แล้ว ไม่ได้ตั้งคุณสมบัติไว้สูงเหมือนจวนอ๋องสวรรค์ก่วง ถ้าตัดข้อนี้ออกไป เวลานี้ก็เป็นโอกาสดีที่จะพลอดรักหาความสำราญ ชายหญิงมารวมตัวอยู่ด้วยกัน เรื่องผิดประเพณีก็เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผู้ชายบางคนอยากจะเอาใจลูกสาวของเจ้านาย และมีผู้หญิงบางคนที่กึ่งยินยอมกึ่งผลักไสลูกชายของเจ้านายตัวเอง คู่นกยวนยางป่าก็มีมากมาย ไม่เหมือนผังอวี้เหนียงที่ทำท่าจะเป็นจะตายให้ได้

ไม่เหมือนสมาชิกในครอบครัวขุนนางที่เอ้อระเหยลอยชาย อำนาจฝ่ายต่างๆที่อยู่เบื้องหลังกลับตกใจไม่น้อยกับเรื่องผังอวี้เหนียง นึกไม่ถึงว่าหวังลั่วจะกล้าทำเรื่องอย่างนี้

พระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงกำลังเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอย่างช้าๆ หลังจากได้ทราบข่าว ก็แสยะหัวเราะแล้วพูดเหน็บแนม  เรื่องเหลวไหลก้นสุนัข 

 จะวุ่นวายกลายเป็นเหมือนเรื่องลูกชายของโจ้วจ้าวหรือเปล่าขอรับ?  ซ่างกวนชิงถาม

ประมุขชิงบอกว่า  เป็นไปไม่ได้ ลูกชายโจวจ้าวแย่งเมียของหลงซิ่น แต่คนที่หวังลั่วล่วงเกินคือลูกสาวของผังก้วน สองเรื่องนี้เทียบกันไม่ได้ ผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน อย่างมากก็ให้แต่งงานไป ฮ่าวเต๋อฟางกลับผังก้วนจะแตกคอกันเพราะเรื่องนี้ได้ยังไง? ถ้าวุ่นวายจนเกิดเรื่องนี้ขึ้นจริงๆ ข้าก็จะช่วยผังก้วนอีกแรง! 

ซ่างกวนชิงใส่หน้าเบาๆ เขารู้สึกว่ามีโอกาสน้อยที่จะเกิดเรื่องใหญ่โตแบบนั้น ไม่นับว่าเป็นโอกาสอะไร

ส่วนเหมียวอี้ก็แสร้งทำเป็นรู้เรื่องทีหลัง เสแสร้งว่าพอได้ยินข่าวก็รีบติดต่อไปถามผังเสี้ยวเสี้ยว คำพูดปลอบใจก็ต้องมีบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้

ในยุคนี้ ชื่อเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งหมายความว่าอะไรก็คงไม่ต้องพูดมาก ผังเสี้ยวเสี้ยวแค้นหวังลั่วมาก ถามว่า : ท่านสามี ข้าขอร้องท่านเรื่องหนึ่งได้หรือเปล่า?

เหมียวอี้ : มีเรื่องอะไรก็ว่ามาเลย

ผังเสี้ยวเสี้ยว : ฆ่าหวังลั่ว ช่วยข้าฆ่าหวังลั่วทีค่ะ!

นางเองก็รู้ว่าหวังลั่วเป็นลูกน้องคนสนิทของฮ่าวเต๋อฟาง ฟังบิดานางอาจจะลงมือไม่สะดวก นางเองก็ไร้ความสามารถที่จะทำอะไรหวังลั่วเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงขอร้องให้เหมียวอี้ช่วยฆ่าคนให้นาง จะเห็นได้ว่าในใจนางแค้นมาขนาดไหน ที่สำคัญที่สุดก็คือ ในสายตานาง เหมียวอี้คือคนที่กล้าทำและมีความสามารถที่จะทำเรื่องนี้

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน พูดในใจว่าเรื่องนี้ยังต้องให้ค่าลงมืออีกหรือ พอเกิดเรื่องนี้ขึ้น มีหรือที่ผังก้วนจะปล่อยหวังลั่วไป?

แต่เขาก็ยังรับประกันกับนางว่า : เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ข้ารับรองว่าหวังลั่วจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน!

ผังเสี้ยวเสี้ยวนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะตอบตกลงง่ายดายขนาดนี้ นางย่อมรู้ว่าทำเรื่องนี้มีความเสี่ยงแน่นอน นี่เขากำลังเสี่ยงอันตรายเพื่อนนางอยู่เหรอ ในใจนางย่อมรู้สึกหวานชื่นเพราะความซาบซึ้งนี้อยู่แล้ว…

เรือนด้านในของอ๋องสวรรค์ฮ่าว หวังลั่วที่ถูกควบคุมตัวมาเป็นฝ่ายคุกเข่าเองอยู่ไหนลานบ้านด้านใน เขาก้มหน้าเงียบๆ ด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว

พอทัพเหนือพาตัวเขาไป ก็ส่งต่อให้ทัพใต้ทันที ที่บอกว่าสอบสวนอะไรล้วนเป็นคำพูดเหลวไหลทั้งนั้น ไม่มีเรื่องนี้อยู่เลย ให้ทัพใต้ไปสอบสวนเอาเองแล้วค่อยชี้แจงต่อตำหนักสวรรค์ก็แล้วกัน

ฮ่าวเต๋อฟางที่เดินออกมาจากในบ้านมีสีหน้าเกรี้ยวโกรธ เขาถือกระบี่วิเศษพุ่งออกมา แล้วตะคอกอย่างโมโห  เดรัจฉาน!  พูดจบก็ชูกระบี่จะฟันลงมา

โชคดีที่ซูอวิ้นตามออกมาด้วย นางคว้าข้อมือฮ่าวเต๋อฟางไว้ แล้วเอียงหน้าบอกใบ้คนที่อยู่ทางซ้ายและขวา คนพวกนั้นรีบถอยออกไปทันที

พอแย่งกระบี่จากมือฮ่าวเต๋อฟางมาแล้ว ซูอวิ้นก็เกลี้ยกล่อมว่า  ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ เรื่องนี้ยังไม่สืบให้ชัดเจน สืบให้กระจ่างก่อนแล้วค่อยลงโทษก็ยังไม่สายค่ะ 

ที่จริงพอฮ่าวเต๋อฟางได้ข่าว ก็สั่งให้ทัพเหนือช่วยพาตัวหวังลั่วมาทันที รู้สึกเช่นกันว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เขาเลี้ยงหวังลั่วมาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่อาจบอกว่าเขาเป็นคนไร้ความปรารถนาในตัวสตรี แต่เขาไม่ใช่คนที่ฝักใฝ่ในสตรีแน่นอน ทำไมถึงทำเรื่องอย่างนี้ได้ สัญชาตญาณเขาบอกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน ดังนั้นจึงต้องพาตัวหวังลั่วกลับมาถามให้ชัดเจน

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ฮ่าวเต๋อฟางก็เตะทีนึงเสียงดังตุ้บ หวังลั่วกลิ้งบนพื้นหลายตลบ

หวังลั่วไม่กล้าหลบ และไม่กล้าขัดขืน พอลุกขึ้นมาได้ก็คุกเข่าก้มหน้าแต่โดยดีอีกครั้ง ตอนโดนกองทัพองครักษ์ไล่สังหารเขากล้าหนี แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่าวเต๋อฟางกลับไม่กล้า

ซูอวิ้นเข้ามาขวางฮ่าวเต๋อฟางอีกครั้ง แล้วหันกลับมาถามว่า  หวังลั่ว ข้าถามเจ้าหน่อย เรื่องนี้ก็รู้สึกว่าโดนคนอื่นวางอุบายเล่นงานหรือเปล่า? 

หวังลั่วเงยหน้าอย่างอ่อนปวกเปียก ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วตอบว่า  เหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้นครับ 

 เปล่าเหรอ?  ซูอวิ้นขมวดคิ้วมุ่น  ได้ยินว่าผังอวี้เหนียงกำลังดื่มสุราชมทิวทัศน์อยู่กับก่วงเม่ยเอ๋อร์ ทำไมตอนเกิดเรื่องก่วงเม่ยเอ๋อร์กลับหายไปพอดี เหลือแค่ผังอวี้เหนียงให้ฉวยโอกาสได้? 

ฮ่าวเต๋อฟางหรี่ตา นี่ก็คือจุดที่น่าสงสัย

พอหวังลั่วได้ฟังก็รู้ว่าเป็นฝีมือตัวเอง จึงไม่กล้าพูดซี้ซั้ว อีกทั้งเขามาอยู่ตรงหน้าฮ่าวเต๋อฟางแล้ว จะกล้าปิดบังได้อย่างไร ตอบด้วยน้ำเสียงปวกเปียกว่า  ข้าน้อยสั่งให้คนวางแผนล่อก่วงเม่ยเอ๋อร์ออกไป! 

ฮ่าวเต๋อฟางถลึงตาด้วยความเดือดดาลทันที เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะกัดให้ตาย ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกว่ามีจุดที่น่าสงสัย เตรียมจะเรียบเรียงเหตุผลเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ผังก้วนสงบลง ทั้งสองฝ่ายจะไม่ต้องโดนอุบายจากคนอื่นเล่นงาน แต่ที่ไหนได้ เป็นเจ้าเวรนี่ที่ล่อคนออกไปเอง ทำให้เขาโมโหแทบแย่ ก้าวเข้ามาเตรียมจะลงไม้ลงมืออีกครั้ง

ซูอวิ้นรีบมาขวางตรงหน้าเขา ออกแรงขวางเขาไว้ แล้วถามอีกว่า  เจ้าชอบผังอวี้เหนียงไม่ใช่แค่วันสองวัน ตามหลักแล้วเจ้าไม่ใช่คนบุ่มบ่ามแบบนี้ ทำไมถึงทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้ได้? 

หวังลั่วตอบด้วยสีหน้าขื่นขม  ก็เพราะข้าไม่ได้ชอบนางมาแค่วันสองวัน รู้สึกว่าถ่วงเวลาต่อไปแบบนี้ไม่ใช่วิธีที่ดี อวี้เหนียงไม่เคยยอมสนใจข้าเลย ไม่ยอมให้โอกาสข้าเลย ข้าก็เลยบุ่มบ่าม คิดจะต้มข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก บางทีผังก้วนอาจจะตอบตกลงก็ได้ แต่ใครจะคิดว่าจะมีคนของตระกูลหวงฝู่โผล่มาทำให้เรื่องราวใหญ่โต… 

ไม่น่าเชื่อว่าอยากจะต้มข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก? ซูอวิ้นตกตะลึงพูดไม่ออก

 หลีกไป!  ฮ่าวเต๋อฟางกลั้นไฟโกรธไม่ไหวแล้ว สะบัดแขนผลักซูอวิ้นไปข้างๆ ก้าวเข้าไปซ้อมอย่างรุนแรงยกหนึ่ง เรียกได้ว่ามือชกเท้าเตะ ซ้อมไปพลางด่าไปพลาง  ต้มข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกเหรอ ต้มข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกเหรอ… 

หวังลั่วโดนซ้อมจนร้องโอดโอย ตะโกนไม่หยุดว่าข้าผิดไปแล้ว

ซูอวิ้นก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ รู้ว่าต้องให้ฮ่าวเต๋อฟางระบายความโกรธนี้สักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นนางก็รู้สึกว่าเจ้าสารเลวหวังลั่วต้องได้รับบทเรียนระยะยาว ครั้งนี้สร้างปัญหาใหญ่ให้ท่านอ๋องแล้วจริงๆ

จนกระทั่งหวังลั่วโดนซ้อมจนเกือบตาย ซูอวิ้นถึงได้พุ่งเข้าไปดึงแขนฮ่าวเต๋อฟางไว้ พร้อมตะโกนเรียก  ทหาร! 

ข้างนอกมีคนถลันตัวเข้ามาทันที ด้วยการบอกใบ้จากซูอวิ้น หวังลั่วที่โดนซ้อมจนหน้าเขียวตาปูด ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด กึ่เป็นกึ่งตาย หายใจรวยรินก็ถูกลากออกไปแล้ว

 เดรัจฉาน…เดรัจฉาน…  ฮ่าวเต๋อฟางยังไม่หายโกรธ โมโหจนเกินทนจริงๆ โมโหพวกไม่ได้เรื่อง งานมีก็ไม่ทำ จะถ่อไปงานชุมนุมตระการตาทำไม ต่อให้ใช้ก้นคิดก็เดาออกว่าพุ่งเป้าหมายไปที่ผังอวี้เหนียง ตอนนี้เกิดเรื่องแล้ว จะให้คนในใต้หล้ามองเขาอย่างไร?

ถ้าฆ่าหวังลั่วเพื่อให้คำชี้แจงกับผังก้วน? หวังลั่วเป็นลูกน้องคนสนิทของเขา เขาเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กจนโต เท่าก็เป็นบุตรชายบุญธรรมของเขา ถ้าไร้ไมตรีแม้กระทั่งกับลูกน้องคนสนิทแบบนี้ แล้วจะให้ลูกน้องคนสนิทที่เหลือมองเขาอย่างไร? แต่ถ้าไม่ลงโทษรุนแรง แล้วจะให้ทั้งทัพใต้มองเขาอย่างไร?

ครั้งนี้หวังลั่วมอบโจทย์ยากให้เขาแล้วจริงๆ

ซูอวิ้นปลอบใจว่า  ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ ไหนๆ เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว โมโหไปก็ไม่มีประโยชน์ มาคิดกันดีกว่าว่าจะชี้แจงกับผังก้วนยังไง? 

ฮ่าวเต๋อฟางกล่าวอย่างโมโหว่า  จะให้ชี้แจงยังไง? ต่อให้ข้าฆ่าเจ้าเดรัจฉานนี่ ก็เกรงว่ายากจะทำให้ผลกระทบหายไป ลูกสาวของผังก้วนถูกทำลายชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ด้วยน้ำมือเขาแล้ว นี่เป็นความอัปยศใหญ่หลวงสำหรับผังก้วน ข้าจะเอาอะไรไปชี้แจง? จะให้พวกลูกน้องมองข้ายังไง! 

 เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก่อน มีแต่ต้องพยายามโน้มน้าวให้ผังก้วนยกลูกสาวให้แต่งงานกับหวังลั่ว  ซูอวิ้นกล่าว

ฮ่าวเต๋อฟางอารมณ์เย็นลงแล้วนิดหน่อย ทีแรกเขาก็เตรียมจะทำอย่างนี้อยู่แล้ว  เมื่อก่อนใช้ว่าจะไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่ผังก้วนไม่เคยตอบตกลงเลย 

ซูอวิ้นบอกว่า  ตอนนี้เรื่องกลายเป็นอย่างนี้แล้ว ชื่อเสียงอันดีงามของผังอวี้เหนียงถูกทำลายแล้ว เกือบโดนหวังลั่วต้มข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ถ้าไม่แต่งกับหวังลั่วแล้วจะแต่งกับใครได้อีก? วันนี้กับวันนั้นไม่เหมือนกันแล้ว ข้าคิดว่าเขาคงไม่แตกคอกับท่านอ๋องเพราะเรื่องนี้ ข้าแนะนำให้ท่านอ๋องรับผังอวี้เหนียงเป็นลูกสาวบุญธรรม แล้วค่อยให้แต่งงานกับหวังลั่ว! 

 ลูกสาวบุญธรรม?  ฮ่าวเต๋อฟางพึมพำ พยักหน้าเบาๆ แล้วถามอีกว่า  ถ้าผังก้วนทนโมโหไม่ไหว ไม่ตอบตกลงล่ะ? 

ซูอวิ้นถอนหายใจ  เช่นนั้นก็ทำได้เพียงมอบศีรษะของหวังลั่วให้เขา ไม่ว่าจะเป็นในด้านความรู้สึกหรือเหตุผล ฝั่งเราก็ทำไม่ถูก หวังลั่วทำเรื่องนี้แล้ว จะแก้ตัวได้ยังไง 

ในขณะนี้เอง ด้านนอกมีเสียงดังขึ้น  รายงาน! 

 เข้ามา!  ซูอวิ้นหันกลับมาบอก

แม่ทัพคนหนึ่งเร่งฝีเท้าเดินเข้ามา กุมหมัดคารวะรายงานว่า  ท่านอ๋อง ผังก้วนนำทัพใหญ่มาอย่างดุดัน มีกำลังพลหลายสิบล้าน ถูกสกัดไว้ที่ประตูดวงดาว มีเค้าว่าจะโจมตี บอกให้ท่านอ๋องส่งตัวหวังลั่วมา! 

สำหรับทั้งสองแล้วไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ก่อนหน้านี้ได้ข่าวแล้วว่าผังก้วนกำลังระดมพล เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นกับลูกสาว ถ้าผังก้วนไม่ทำอย่างนี้ก็แปลกแล้ว ถ้าไม่ทำให้คนในใต้หล้ารู้สักหน่อยว่าเขายกพวกมาเอาเรื่อง เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

 ไม่ต้องขวาง ปล่อยเข้ามาให้หมด!  ฮ่าวเต๋อฟางกล่าวเสียงต่ำ

เข้ามาในรังของเขาแล้ว ต่อให้ผังก้วนนำกำลังพลมาด้วยเขาก็ไม่กลัว ทัพเกรียงไกรของเขาก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน

ทัพใหญ่ของผังก้วนบุกเข้ามาในอาณาเขตดาวผืนนี้ เพียงแต่พอมาถึงนอกดาวอ๋องสวรรค์ฮ่าว ก็ถูกสกัดไว้อีก ทหารยามกุมหมัดคารวะกล่าวด้วยรอยยิ้ม  จอมพลผัง ท่านเองก็รู้กฎระเบียบของที่นี่ บวกกับเรื่องพระปีศาจ คนมากมายขนาดนี้เข้าไปด้วยไม่เหมาะสม ท่านอ๋องเชิญให้ท่านเข้าไปคนเดียว! 

น้ำเสียงและท่าทีค่อนข้างไม่ถือตัว ถ้าเทียบกันแล้วฝั่งนี้เห็นใจผังก้วนมากกว่า เรื่องแบบนี้ไม่ว่าใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้น

 หลังจากนี้ครึ่งชั่วยาม ถ้าติดต่อข้าไม่ได้ ฆ่า!  ผังก้วนไม่ปิดบังเลยสักนิด ออกคำสั่งต่อหน้าลูกน้องของฮ่าวเต๋อฟางอย่างเกรี้ยวกราด จากนั้นก็บุกเข้าไปพี่ดาวอ๋องสวรรค์ฮ่าวคนเดียว

ซูอวิ้นออกจากจวนท่านอ๋องแล้ว ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองตั้งแต่ไกลๆ นางขออภัยตลอดทาง พาผังก้วนเข้าไปในจวนท่านอ๋องแล้ว

ส่วนฮ่าวเต๋อฟางพอเจอผังก้วนก็ด่าหวังลั่วสาดเสียเทเสีย และขออภัยอย่างเต็มที่ด้วย พยามยามปลอบใจเต็มที่

ผังก้วนราวกับมีไอสังหารปกคลุมบนตัว สีหน้ามืดครึ้มจนน่ากลัว ดูไม่เหมือนเสแสร้ง ความจริงแม้เขาจะเป็นคนวางแผนเรื่องนี้ แต่ในใจเขาก็รับไม่ไหวจริงๆ…

คนนอกไม่รู้ว่าทั้งสองฝ่ายคุยอะไรกันแน่ ตอนที่ผังก้วนออกไปสีหน้าก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร ซูอวิ้นออกมาส่งเขาออกจากดาวอ๋องสวรรค์ฮ่าวด้วยตัวเอง มองส่งผังก้วนนำทัพออกไปแล้วถอนหายใจ

พอกลับมาถึงจวนจอมพล พ่อบ้านเฉินหวยจิ่วก็รีบเดินตามผังก้วนกลับไปในห้องหนังสือ เขารู้สถานการณ์แล้ว เรื่องนี้ไม่ได้ผิดแผน

เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องหนังสือพักหนึ่ง ผังก้วนกล่าวเสียงต่ำว่า  สามารถเริ่มเรื่องนี้ได้แล้ว แต่ทางฝั่งหนิวโหย่วเต๋อข้ายังไม่ค่อยวางใจ ต้องให้เขาส่งกำลังพลมาก่อนส่วนหนึ่ง ให้เขาร่วมลงมือกับฮ่าวเต๋อฟางพร้อมพวกเรา ต่อให้แพ้เขาก็ไม่พ้นความเกี่ยวข้องนี้ ต้องดึงเขาลงน้ำมาด้วยกันให้ถึงที่สุดสิ นอกจากนี้ พวกเราก็ต้องส่งคนไปดูฝั่งเขาสักหน่อย ไปเข้าร่วมปฏิบัติการกับฝั่งเขา! 

 นายท่านมองเรื่องราวกระจ่าง ถ้าเป็นแบบนี้จะดีที่สุด  เฉินหวยจิ่วพยักหน้า

…………

 

พอกลับมาถึงที่พักของตระกูลหวงฝู่ นางก็เข้าไปหลบในห้องนอนตัวเองทันที แล้วหยิบระฆังดารามาติดต่อเหมียวอี้ ถามไปตรงๆ เลยว่า : เป็นแผนการของเจ้าใช่มั้ย?

เหมียวอี้ที่อยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล พอได้ยินคำถามนี้ก็เดาออกแล้วว่าเกิดเรื่องขึ้น เขาถามว่า : ข้าวางแผนอะไร?

ยังจะหลอกข้าอีก? ไฟโกรธสุมเต็มอกหวงฝู่จวินโหรวทันที ถามอย่างโมโหว่า : เรื่องที่หวังลั่วล่วงเกินผังอวี้เหนียง เจ้ากล้าพูดมั้ยว่าเจ้าไม่ได้วางแผน?

เหมียวอี้ตระหนักได้ทันทีว่าผังก้วนวางอุบายแล้วจริงๆ เขาหันกลับไปมองหยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง เจ้าหมอนี่คำนวณล่วงหน้าได้แม้กระทั่งเรื่องนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าสมองเติบโตมาอย่างไร ยังดีที่ไม่ได้ยืนอยู่ตรงข้ามกับฝ่ายตนไม่อย่างนั้นต้องกำจัดทิ้งแน่นอน!

กับเรื่องบางเรื่อง หลังจากพูดออกมาแล้วหรือตีแผ่ออกมาให้เห็นตรงหน้าแล้วก็อาจรู้สึกว่าธรรมดา แต่ในความเป็นจริง ใช่ว่าทุกคนจะสามารถสืบเจอผลลัพธ์ได้จากเบาะแสที่คลุมเครือ นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างมนุษย์ อย่างน้อยก่อนหน้านี้เหมียวอี้ก็นึกไม่ถึงว่าผังก้วนจะวางอุบายกับลูกสาวตัวเองแล้วจริงๆ

หยางชิ่งมองหน้าเขาตรงๆ เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนั้น ก็ลองถามว่า  หรือว่าที่งานชุมนุมตระการตาเกิดเรื่องแล้วจริงๆ? 

เหมียวอี้พูดไม่ออก สีหน้าของข้ายังแสดงออกไม่ชัดเจนอีกเหรอ? เขาตอบอย่างไม่แน่ใจ  อาจจะใช้ ตอนนี้กำลังยืนยัน 

ฝั่งหวงฝู่จวินโหรวเค้นถาม : ทำไมไม่พูด กินปูนร้อนท้องใช่มั้ย?

เหมียวอี้ตอบว่า : ข้ามีอะไรให้กินปูนร้อนท้อง เรื่องที่หวังลั่วล่วงเกินผังอวี้เหนียง เจ้ารู้เรื่องมากเท่าไร บอกข้าหน่อย

หวงฝู่จวินโหรว : อย่ามาเสแสร้งต่อหน้าข้า เป็นผลงานของเจ้าแท้ๆ เจ้าจะไม่รู้ชัดเชียวเหรอ?

เหมียวอี้ : เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าจริงๆ

หวงฝู่จวินโหรว : งั้นเชิญเจ้าอธิบายมา ทำไมก่อนหน้านี้ถึงให้ข้ารักษาระยะห่างกับผังอวี้เหนียง อย่าบอกเชียวนะว่าบังเอิญ!

เหมียวอี้ : จวินโหรว เจ้าอย่าพาลหาเรื่องได้มั้ย! บางเรื่องข้าก็อธิบายให้เจ้าฟังไม่ได้ ข้าบอกได้แค่ว่า มีหลายเรื่องที่ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เจ้าเห็นภายนอก รอให้เจ้าตำแหน่งสูงเท่าข้าแล้วจะเข้าใจเอง ข้าบอกความจริงให้เจ้ารู้ก็ได้ ว่าเรื่องนี้ข้าไม่ได้เป็นคนวางแผน ข้าเองก็ไม่รู้ด้วยว่าวันนี้จะเกิดเรื่องขึ้น แต่จากข่าวที่ข้ารู้มา ข้าก็สงสัยล่วงหน้าแล้วว่าที่งานชุมนุมตระการตาอาจจะเกิดเรื่อง เลยกังวลความปลอดภัยของเจ้า ถึงได้บอกให้เจ้าหลบเลี่ยงไป ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ข้าไม่เปิดเผยข่าวนี้หรอกนะ

ประโยคสุดท้ายทำให้หวงฝู่จวินโหรว ถามว่า : เจ้าไม่ได้ทำจริงเหรอ?

เหมียวอี้ : ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง ข้าไม่ได้วางแผนเรื่องนี้ เจ้าได้โปรดใช้สมองคิดหน่อยได้มั้ย ถ้าข้าวางแผนเรื่องนี้ ข้าก็ต้องรู้สถานการณ์ในที่เกิดเหตุชัดเจนสิ ถ้าข้ารู้ล่วงหน้าว่าเจ้าอยู่ที่นั่น ก็ไม่ต้องให้เจ้ามาบอกข้าหรอก ข้าคงให้เจ้าหลบเลี่ยงไปตั้งนานแล้ว ไม่รอให้เรื่องมาจ่อตรงหน้าก่อนแล้วค่อยบอกให้เจ้ารู้หรอก

หวงฝู่จวินโหรวเงียบไป นับว่าเชื่อเขาแล้ว แต่ปากก็ยังพูดอย่างไม่เกรงใจ : หวังว่าที่เจ้าพูดจะเป็นเรื่องจริง ถ้าเจ้ากล้าใช้วิธีการต่ำช้าอย่างนั้น ก็ทำให้ข้าผิดหวังเกินไปแล้ว ทำให้ข้าท้อใจด้วย!

เหมียวอี้ : เลิกบ่นได้แล้ว เล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงนั้นให้ข้าฟังหน่อย

ดังนั้นหวงฝู่จวินโหรวจึงเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้ให้ฟัง

เหมียวอี้ฟังจบแล้วแอบทอดถอนใจ ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เข้ามายุ่งเรื่องนี้แล้วทำให้แผนการของผังก้วนพังหรือเปล่า เขาถามว่า : ข้าเตือนให้เข้าหลบไปแล้วไม่ใช่เหรอ? เจ้ายังจะเข้าไปประสมโรงทำไมอีก?

หวงฝู่จวินโหรว : ผังอวี้เหนียงเป็นสหายข้ามาหลายปีแล้ว ก็เจ้าพูดไม่ชัดเจนเอง จะไม่ให้ข้าสงสัยก็คงยาก หรือเจ้าจะให้ข้าทนดูสหายตัวเองโดนล่วงเกินแล้วไม่สนใจ? ถ้าข้าเป็นคนอย่างนั้น เจ้าจะยังชอบข้ามั้ยล่ะ?

เหมียวอี้ : จวินโหรว เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เจ้าเห็น บางเรื่องเจ้าก็เข้ามาแทรกแซงไม่ได้ บางเรื่องขนาดตระกูลหวงฝู่ของเจ้ายังรับผิดชอบไม่ไหว นับประสาอะไรกับเจ้า เข้าใจหรือยัง?

หวงฝู่จวินโหรว : หมายความว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึก เรื่องเป็นยังไงกันแน่ แล้วใครวางแผน?

เหมียวอี้ : จวินโหรว ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้งนะ อย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้ความจริงเรื่องนี้เอว อดทนรอเถอะ ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เอาเป็นว่าเชื่อฟังข้า ตั้งแต่นี้ไปเจ้าต้องหลบเลี่ยงเรื่องนี้!

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็บอกหยางชิ่งด้วยน้ำเสียงปกติว่า  ตอนที่เกิดเรื่อง ผังเสี้ยวเสี้ยวไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่แผนของผังก้วนอาจจะมีช่องโหว่นิดหน่อย… 

หลังจากได้ฟังว่าเรื่องราวดำเนินการไปอย่างไร หยางชิ่งก็พยักหน้าบอกว่า  ขอเพียงหวังลั่วไม่ได้ตายตรงที่เกิดเหตุ ปัญหาก็ไม่น่าจะใหญ่โตมาก ขั้นต่อไปผังก้วนคงจะไปเอาเรื่องฮ่าวเต๋อฟาง จากนั้นผังก้วนก็มีข้ออ้างให้รวบรวมลูกน้องเพื่อลงมือแล้ว คนทั้งใต้หล้าต่างก็รู้ว่าฮ่าวเต๋อฟางขาดคุณธรรมก่อน ถ้าเขาจะก่อกบฏก็สมเหตุสมผลแล้ว ไม่แน่ว่าอาจกระตุ้นให้อยากวางแผนด้วยก็ได้ สละลูกสาวหนึ่งคนแต่ได้ผลประโยชน์กลับมามากขนาดนี้ นับว่าไม่ขาดทุน!  พูดจบก็ทำเสียงฮึดฮัด ทำสีหน้าเหยียดหยาม

จวนจอมพลสายเถาะ ผังก้วนที่อยู่เงียบๆ ในห้องหนังสือมีสีหน้ามืดครึ้ม กำหมัดแน่นสองข้าง ไม่ว่าเขาจะเป็นคนวางแผนเรื่องที่งานชุมนุมตระการตาหรือไม่ แม้ลูกสาวจะไม่ได้ถูกย่ำยี แต่ได้รับความอัปยศอดสูแน่นอน ในใจเขากำลังตำหนิตัวเองในฐานะบิดา

เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าหวงฝู่จวินโหรวจะโผล่มาป่วนแผน แต่ในความโชคร้ายก็มีความโชคดี นั่นก็คือหวังลั่วหนีไปได้ทันที ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นแล้วตายด้วยน้ำมือกองทัพองครักษ์ แผนของเขาก็จะพังโดยสิ้นเชิง สิ่งที่ลูกสาวสละไปก็นับว่าไม่ได้เสียเปล่า!

เฉินหวยจิ่วเงียบงันอยู่ข้างๆ เขาเข้าใจความรู้สึกผังก้วน

ผังก้วนที่กำหมัดแน่นอยู่นานเริ่มคลายหมัดออก ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง แล้วบอกว่า  ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่งานชุมนุมตระการตาต่อแล้ว บอกให้ฮูหยินกลับมา! 

ในตอนนี้พวกจาหรูเยี่ยนกลับมาอยู่ในที่พักของตระกูลผังชั่วคราว

ตระกูลผังมีคนมาก กองทัพองครักษ์ยังถามถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวของไม่เสร็จ แต่คำนึงถึงว่ารอบๆ มีคนอยู่เยอะเกินไป ทำให้คนของตระกูลผังสีหน้าไม่สู้ดี จึงทำได้เพียงไปสืบถามต่อที่ลานบ้านของตระกูลผัง

เพียงแต่มีคนไม่น้อยเคลื่อนไหวอยู่นอกลานบ้านตระกูลผังลานบ้าน หวงฝู่เยี่ยนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น กำลังเฝ้าดูความคืบหน้าของเรื่องนี้ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

อาจจะมีชนชั้นสูงไม่น้อยนำลูกหลานผู้หญิงมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่ลูกสาวของจอมพลก็คือลูกสาวของจอมพล ฐานะของนางก็เห็นๆ กันอยู่แล้ว ผลกระทบที่ตามมาไม่เหมือนลูกสาวจากตระกูลทั่วไป เรื่องแบบนี้ถ้าไม่ระวังนิดเดียวก็อาจทำให้รูปแบบสถานการณ์ในใต้หล้าเปลี่ยนแปลงได้ มีหรือที่เขาจะไม่สนใจเรื่องนี้

ในป่าที่อยู่ไม่ไกล หนานโปกลับจ้องเงาหลังหวงฝู่เยี่ยนพร้อมถ่ายทอดเสียงถามว่า  คนนั้นใช่หวงฝู่เยี่ยนหรือเปล่า? 

หานลี่ที่อยู่ข้างๆ พยักหน้า  เป็นเขา 

เมื่อมีคนในอย่างหานลี่คอยสนับสนุน ถ้าหนานโปอยากจะหาหวงฝู่เยี่ยนให้พบก็ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไร

เมื่อยืนยันเป้าหมายได้แล้ว หนานโปก็เอียงหน้าบอกใบ้ หานลี่หลบเลี่ยงออกไปจากตรงนั้นทันที

เมื่อรอบข้างไม่มีคนแล้ว หนานโปก็ประนมมือ ใช้วิธีการถ่ายทอดเสียงสวดมนต์รคร่าชีวิตใส่หวงฝู่เยี่ยน  มีมานีโอม… 

รอจนกระทั่งเขาวางมือลง หวงฝู่เยี่ยนก็หันตัวมาช้าๆ แล้วเช่นกัน ถลันตัวเหาะไปข้างกายเขา แล้วทั้งสองก็หายไปในจุดลึกของป่าพร้อมกัน หาถ้ำแห่งหนึ่งแล้วเข้าไปในนั้น

พอเข้ามาในถ้ำแล้ว วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของหนานโปก็ออกจากร่าง เงาร่างที่มีแสงสีทองหายเข้าไปในร่างของหวงฝู่เยี่ยน

หลังจากนั้นพักใหญ่ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของหนานโปก็ออกจากร่างกายหวงฝู่เยี่ยน หวงฝู่เยี่ยนนั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าเหม่อลอย หนานโปขยุ้มนิ้วไปทางยอดศีรษะของเขา เส้นด้ายสีทองห้าเส้นเลื้อยเจาะเข้าไปในสมองของเขาราวกับเป็นตัวพยาธิ…

ตอนที่ออกจากมาถ้ำ หวงฝู่เยี่ยนก็กลับไปยังที่พักของตระกูลหวงฝู่ก่อนชั่วคราว

ส่วนหนานโปก็หยิบระฆังดาราติดต่อกับจั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างนอก หลังจากแน่ใจว่าโลกภายนอกกลับมาเป็นปกติแล้ว เขาก็ไปเฝ้าอยู่นอกลานบ้านที่พักของตระกูลผังทันที เขาเดาว่าคนตระกูลผังคงจะไม่อยู่ที่นี่นาน

เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ รออยู่ไม่นาน คนของตระกูลผังก็ออกมาแล้ว จาหรูเยี่ยนเองก็แต่งหน้าทาแป้งแล้วเช่นกัน แต่ใบหน้านิ่งตึง นำคนกลุ่มหนึ่งเหาะจากไป

ส่วนหนานโปก็เฝ้าอยู่นอกเรือนพักราวกับเป็นบ่าวไพร่ของตระกูลผัง จากนั้นก็ตามคนกลุ่มนี้เหาะขึ้นฟ้าไปท่ามกลางสายตาฝูงชน ทั้งยังมองไปรอบๆ ทำท่าทางเหมือนคอยเฝ้าระวังข้างหลังให้

ตอนนี้คนตระกูลผังไม่มีใครสนใจว่าข้างหลังยังมีคนคนนี้ตามมา

ที่ดินแดนตระการตามีคนไม่น้อยมองส่งคนพวกนี้จากไป สำหรับคนอื่นที่มาร่วมงานนี้ การที่พวกจาหรูเยี่ยนกลับไปก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว ตระกูลผังยังจะมีกะจิตกะใจเที่ยวเล่นต่อได้อย่างไร พวกผู้หญิงที่ยามปกติไม่พอใจพฤติกรรมทำตัวเด่นของจาหรูเยี่ยนกลับแอบหัวเราะเยาะ เห็นเรื่องตลกของจาหรูเยี่ยนแล้วจะไม่ขำได้หรือ? ต่อไปนี้ยามอยู่ต่อหน้าพวกนาง จาหรูเยี่ยนก็เงยหน้าไม่ขึ้นแล้ว

ข้างนอกไม่มีใครดักตรวจสอบคของตระกูลผัง เผชิญกับเรื่องแบบนี้แล้ว จะตรวจสอบต่อไปก็จะตกเป็นที่ต้องสงสัยว่ารังแกกันเกินไป กลัวว่าจะยั่วโมโหตระกูลผัง

ไม่น่าเชื่อว่าหนานโปจะติดตามคนของตระกูลผังออกจากดาวดำเนินธาราไปได้อย่างสง่าผ่าเผยแล้ว ความกล้าหาญนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ท่ามกลางสายตาฝูงชน มีใครบ้างที่กล้าทำอย่างนี้ตอนนี้มีกำลังทหารมากมายเฝ้าอยู่ ถ้าผิดพลาดนิดเดียวก็อาจเผยพิรุธได้ สงบนิ่งเยือกเย็นใช้ได้เลย คนนอกมองไม่เห็นความผิดปกติเลยสักนิด

พอออกจากดาวดำเนินธารา ตระกูลผังก็เรียกรวมกำลังพลที่คอยอารักขา เขาถึงขั้นออกมาจากกำลังพลของตระกูลผังท่ามกลางสายตาทุกคน เหาะไปเหยียบลงตรงที่พักของพวกจั่วเอ๋อร์โดยตรง

การกระทำนี้ทำให้จั่วเอ๋อร์ตกใจ แต่เขากลับเหมือนไม่เป็นอะไร มาเหยียบลงข้างกายพวกจั่วเอ๋อร์ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกจั่วเอ๋อร์ว่า  ไปกันเถอะ! 

จั่วเอ๋อร์อกสั่นขวัญแขวนเล็กน้อย มีคนมากมายกำลังมองมาทางนี้ ไปตอนนี้จะเหมาะสมหรือ? นางถามว่า  ผู้อาวุโสสืบเจอเรื่องเจียงอวิ๋นจากหวงฝู่เยี่ยนหรือเปล่า? 

หนานโปตอบว่า  เรื่องของเจียงอวิ๋นเดี๋ยวค่อยว่ากัน เจ้าไม่ต้องตามเรื่องหวงฝู่เยี่ยนอีกแล้ว ตอนนี้ตู้เฉียว หนึ่งในลูกน้องคนสนิทของซ่างกวนชิงกำลังอยู่ที่ตระกูลหวงฝู่ เตรียมตัวจับตู้เฉียว หวังว่าจะสืบเรื่องสถานที่หลอมสมบัติได้จากตัวเขา ส่วนหานลี่นั่น เก็บไว้ไม่ได้! 

ตอนนี้หวงฝู่เยี่ยนมีความสำคัญต่อเขามาก เขาไม่อยากให้หานลี่เผยพิรุธอะไรจนต้องเสียหมากอย่างหวงฝู่เยี่ยน

 ข้าจะให้คนไปจัดการ  จั่วเอ๋อร์ตอบ

 เจ้าไม่ต้องยุ่งเรื่องนี้ เดี๋ยวจะมีคนจัดการให้อย่างสะอาดเรียบร้อย จะได้ไม่มีคนสงสัย ไปกันเถอะ!  หนานโปกล่าว

จั่วเอ๋อร์ทำได้เพียงเรียกคนกลุ่มหนึ่งเหาะออกไปด้วยกัน ตอนที่เหาะออกไป หนานโปหันกลับมามองดาวดำเนินธาราแวบหนึ่ง รู้สึกเสียดายเล็กน้อย ตอนนี้เขาสามารถทำให้ที่นี่เละเป็นโจ๊กได้เลย

เพราะว่าเขาทำอย่างนี้ไม่ได้ ตอนนี้อำนาจฝ่ายต่างๆ กำลังรับมือกับเขา ในบรรดาทหารที่ป้องกันมีคนไม่น้อยที่ปิดประสาทการได้ยินและจิตสำนึกแล้ว ไม่สามารถควบคุมทุกคนได้ในเวลาเดียวกัน ถ้าก่อเรื่องขึ้นมาจะต้องมีข่าวหลุดแน่นอน อาณาเขตดาวคืนนี้ก็จะถูกปิดทันที แบบนั้นก็ไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าจะได้หนีออกจากที่นี่ไปเมื่อไหร่

สิ่งที่เขาเสียดายจริงๆ ก็คือ ที่นี่มีขุนนางระดับสูงอยู่ไม่น้อย น่าเสียดายที่วิชาควบคุมของเขาไม่สามารถควบคุมคนจำนวนมากเกินไปได้ ถ้าวรยุทธ์ต่ำก็สามารถควบคุมได้บางส่วน แต่ถ้าเจอคนที่วรยุทธ์เหมือนหวงฝู่เยี่ยน เขาก็สามารถควบคุมได้แค่คนเดียว ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีเขาก็ควบคุมจางผิงเอาไว้ติดต่อกับเหมียวอี้แล้วคนหนึ่ง ไม่มีพลังจะควบคุมคนจำนวนมากกว่านี้อีกแล้ว

วิชาควบคุมของเขาได้มาจากตอนโดนขังอยู่ที่สถานที่ผนึกหลายปี ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือกรอกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองเข้าไปในร่างกายของเป้าหมาย แล้วใช้ความคิดของตัวเองควบคุมความคิดของเป้าหมายเอาไว้ แล้วให้ทำงานตามความคิดของเขา วิชานี้ส่งผลกระทบต่อวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขามาก ถึงอย่างไรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สามารถแยกออกมาได้อย่างไรขีดจำกัด ครั้งก่อนตอนถูกเหยียนซิวแก้วิชา เขาก็โดนพลังย้อนทำร้าย ต้องพักฟื้นพักใหญ่กว่าจะหายดี

และเมื่อเผชิญกับคนที่มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งกว่าเขา วิชาควบคุมนี้ก็ไม่ได้ผลเลย แน่นอน ตอนนี้ยังใต้หล้ายังไม่ปรากฏคนที่มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งกว่าเขา

ดังนั้น ตอนนี้เขาทำได้เพียงควบคุมคนที่จำเป็นต้องควบคุมมากที่สุด การได้กายหยาบกลับมาต่างหากที่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ขอเพียงได้ฟื้นพลังกลับมาแล้ว เวลาไปไหนก็ไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะโดนจับ จะได้ทำเรื่องต่างๆ ได้มากกว่านี้อย่างเต็มที่ และสำหรับเขา การควบคุมหวงฝู่เยี่ยนก็ไม่ต่างอะไรกับการมีกำลังส่วนหนึ่งของสมาคมวีรชนไว้ในมือ

…………

 

หวังลั่วพลิกมือหยิบโล่ขึ้นมาบังหลัง มีเสียงต้านลูกธนูดังโครมครามหลายครั้ง อาศัยแรงเร่งความเร็วหนีไป

เขารู้เช่นกัน ว่าตอนนี้คนที่ช่วยเขาได้มีเพียงฮ่าวเต๋อฟาง จึงรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกำลังพลสายตระกูลฮ่าวให้ช่วยเหลือ เขาย่อมไม่ลืมที่จะติดต่อฮ่าวเต๋อฟางเองโดยตรง เพียงแต่ต้องหลีกภัยครั้งนี้ไปก่อน ถึงจะมีโอกาสรอดชีวิต!

กำลังพลกองทัพองครักษ์ตามมาจากสี่ด้านแปดทิศกำลังยิงธนูตามไปอย่างหนาแน่นภายใต้ม่านราตรี ยังมีอีกกลุ่มที่รีบเข้ามาถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ที่จริงพอเห็นหวังลั่ว ทั้งยังมีสภาพของผังอวี้เหนียงในตอนนี้ คนที่รู้เรื่องความสัมพันธ์อันคลุมเครือของทั้งสองก็พอจะเข้าใจแล้ว หวังลั่วทำตัวออกนอกลู่นอกทางแล้ว!

หวงฝู่จวินโหรวกอดผังอวี้เหนียง รีบดึงเสื้อผ้าขึ้นมาบนไหล่นางแล้ว

ผังเสี้ยวเสี้ยวพุ่งเข้ามากอดผังอวี้เหนียง แล้วถามอย่างร้อนใจ  พี่สาว ท่านไม่เป็นอะไรนะ? 

ผังอวี้เหนียงกอดน้องสาวพลางร้องไห้อย่างปวดใจ ผังเสี้ยวเสี้ยวก็ร้องไห้ตามไปด้วยเช่นกัน

 นี่มันเรื่องอะไรกัน?  แม่ทัพกองทัพองครักษ์คนหนึ่งถามเสียงต่ำ

หวงฝู่จวินโหรวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตวาดตอบว่า  เจ้าไปถามเดรัจฉานนั่นเอาเองสิ ถ้าจับเขาได้ ข้าจะสับเขาเป็นหมื่นชิ้นพันชิ้น!  นี่เป็นคำพูดเพราะอารมณ์โกรธ นางมีอำนาจอะไรไปสับร่างแม่ทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์เป็นหมื่นชิ้นพันชิ้นล่ะ?

โดยพื้นฐานก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แม่ทัพคนนั้นรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อฮวาอี้เทียน

คนที่เหาะขึ้นฟ้ามามุงดูเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทุกที่กำลังกระซิบกระซาบกัน คนที่มาทีหลังถามคนที่มาก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

แม้คนส่วนใหญ่จะไม่ได้เห็นรายละเอียด แต่การที่ผังอวี้เหนียงร้องไห้อย่างปวดใจ กอปรกับหวังลั่วหนีไป ทั้งยังมีกองทัพองครักษ์ไล่จับคนร้าย ก็พอจะเดาออกแล้วว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร

มีคนไม่น้อยแอบพึมพำในจ เพราะต่างก็รู้ว่าหวังลั่วชอบผังอวี้เหนียง แต่การที่หวังลั่วใช้วิธีการแข็งกร้าวก็อาจจะเกินไปหน่อย อย่างไรเสียผังอวี้เหนียงก็เป็นบุตรสาวของจอมพลสายเถาะ ต่อให้หวังลั่วเป็นลูกน้องคนสนิทของฮ่าวเต๋อฟาง แต่ก็ทำอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าจะรังแกกันก็ไม่ควรรังแกอย่างนี้

มีบางคนแอบรู้สึกขำ เกิดเรื่องวุ่นวายอย่างนี้ขึ้นแล้ว ต่อไปจะให้ผังก้วนเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เกรงว่าฮ่าวเต๋อฟางคงจะต้องปวดหัวแล้ว

ในที่พักของตระกูลผัง จาหรูเยี่ยนลบเครื่องประทินโฉมแล้ว กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งและปล่อยให้สาวใช้ถอดเครื่องประดับศีรษะให้ ผมงามสยายตกลงประบ่า เพ่งมองใบหน้างามของตัวเองในกระจก นางแอบถอนหายใจตอนลูบริ้วรอยตรงหางตา สิ้นเปลืองกำลังวังชาไปมากขนาดนั้น ใช้ของดีไปมากขนาดนั้น แต่ก็ยังต้านทานความโหดร้ายของกาลเวลาไม่ไหว

จนกระทั่งนางได้รับข้อความจากระฆังดาราของอี๋เหนียงสาม กอปรกับได้ยินเสียงต่อสู้อึกทึกครึกโครมด้านนอก นางก็โกรธจนขนพองทันที ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าซีดเผือด แล้วรีบหยิบระฆังดาราติดต่อทหารอารักขาที่อยู่ด้านนอก ว่าให้จับตัวหวังลั่ว แล้วฆ่าเขาเสีย!

จากนั้นก็ไม่สนใจจะแต่งเติมเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าแล้ว พุ่งออกไปในขณะที่ปล่อยผมยาวสยายอย่างนี้ เรียกคนแล้วรีบไปยังที่เกิดเหตุ

ในลานบ้านของตระกูลหวงฝู่ ได้ยินเสียงต่อสู้ดังแว่วมา อีกทั้งบนฟ้ายังมีคนเหาะผ่านแล้วใช้คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์แทรกซึมลงมาด้วย หวงฝู่เยี่ยนที่ทำกิจกรรมระหว่างชายหญิงเสร็จแล้วกำลังนอนตัวเปลือยพูดคุยและกอดกับหานลี่ เขาพลันลุกนั่งอย่างระแวงสงสัย ยังมีคนกล้าก่อเรื่องที่นี่ด้วยหรือ?

หานลี่ลุกขึ้นตามเช่นกัน ถามอย่างสงสัยว่า  ด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ? 

 เกิดเรื่องขึ้นแน่นอน!  หวงฝู่เยี่ยนรีบลุกขึ้น แต่งตัวอย่างฉุกละหุกแล้ววิ่งออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ศาลาบนภูเขาพังแล้ว ต้นไม้แถบหนึ่งล้มกระจัดกระจายเพราะถูกคลื่นจากพลังอิทธิฤทธิ์ที่กำลังต่อสู้กัน

กลุ่มคนที่ล้อมดูโดยรอบกระจายตัวออก จาหรูเยี่ยนที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงนำคนตามมาถึงแล้ว พอเห็นลูกสาวกอดกันร้องไห้ท่ามกลางฝูงชน จาหรูเยี่ยนก็รู้สึกแทบเสียสติ เพิ่งเข้าไปเรากับคนบ้า ใช้สองมือประคองผังอวี้เหนียง  อวี้เหนียง อวี้เหนียง แม่ทำผิดต่อลูก แม่ทำผิดต่อลูก แม่ปกป้องเจ้าไม่ได้! 

ตอนนี้ฮวาอี้เทียนก็รีบตามมาถึงแล้วเช่นกัน ถามเสียงต่ำว่า  เกิดอะไรขึ้นกันแน่? 

จาหรูเยี่ยนราวกับสิงโตตัวเมียที่ถูกยั่วโมโห หันขวับกลับมามอง พุ่งไปตรงหน้าฮวาอี้เทียน ใช้มือกระชากคอเสื้อ แล้วชี้หน้าคำรามด่าฮวาอี้เทียน  ฮวาอี้เทียน เจ้าปกป้องพวกเราอย่างนี้เหรอ? พวกเจ้ามัวไปทำอะไรกิน! 

ฮวาอี้เทียนถูกด่าจนเถียงไม่ออก เพราะความจริงก็เป็นอย่างนั้น เขาบกพร่องต่อหน้าที่ไม่มากก็น้อย ยิ่งไปกว่านั้น พอเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นคนเป็นแม่จะโมโหก็พอเข้าใจได้

ฮวาอี้เทียนไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้แต่ต้องนางด้วย เอียงหน้าบอกใบ้เล็กน้อย มีคนก้าวขึ้นมาจับจาหรูเยี่ยนแยกออกไปทันที แต่จาหรูเยี่ยนยังคงชี้หน้าด่าฮวาอี้เทียน!

ฮวาอี้เทียนหันตัวมาแล้วเงยหน้าขึ้น มองไปบนท้องฟ้ายามราตรี ในดวงตาฉายแววสังหาร หวังลั่ว!

กองทัพองครักษ์ไม่ได้มีหน้าที่ปกป้องพวกชนชั้นสูงอย่างเดียว ที่จริงแล้วหน้าที่ตอนอยู่ที่นี่ก็คือทำข้อตกลงร่วมกับปราสาทดำเนินนภาและปราสาทดำเนินธารา ป้องกันไม่ให้คนเข้ามาทำเลยเถิด แน่นอนว่าควบหน้าที่คุ้มกันที่นี่ด้วยเช่นกัน มิหนำซ้ำพื้นที่ของที่นี่ก็กว้างใหญ่มาก เป็นไปไม่ได้ที่จะสะสมกำลังทหารไว้ทั่วทุกที่ ทำได้เพียงกระจายกำลังพลเป็นเครือข่าย ป้องกันไม่ให้มีคนมาก่อกวน

กฎระเบียบนี้ถูกกำหนดไว้แล้ว คนที่ก่อเรื่องที่นี่เมื่อถูกจับได้แล้วก็จะฆ่าไม่ละเว้น ไม่มีใครกล้าก่อเรื่องที่นี่ แต่หวังลั่วดันสร้างเรื่องที่นี่แล้ว มองไม่เห็นใครในสายตาเลยจริงๆ!

 ประกาศให้คนข้างนอกดูหรือยัง?  ฮวาอี้เทียนถามเสียงเย็น

แม่ทัพที่อยู่ข้างๆ ตอบว่า  แจ้งให้สกัดจับกลุ่มแล้วขอรับ 

 ถ้าจับได้แล้ว ฆ่าไม่ละเว้น!  ฮวาอี้เทียนกล่าวอย่างเย็นชา เดิมทีเขาไม่ใช่คนบุ่มบ่ามขนาดนี้ ถ้าหวังลั่วยอมให้จับแต่โดยดี เขาก็จะสืบสวนให้ชัดเจนแน่นอน แต่นึกไม่ถึงว่าหวังลั่วจะหลบหนี เห็นได้ชัดว่ากินปูนร้อนท้อง ยอมต้องออกคำสั่งฆ่า ฆ่าแล้วก็ตายเปล่า!

เขาหันกลับไปมองผู้เสียหายแวบหนึ่ง แล้วสั่งว่า  ไปยืนยันสักหน่อยว่าเรื่องเป็นยังไง! 

คนกลุ่มหนึ่งของกองทัพองครักษ์ก้าวขึ้นมาทันที สอบถามคู่กรณีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

จาหรูเยี่ยนตะโกนว่าอยากจะฉีกร่างหวังลั่วให้แหลกเป็นชิ้นๆ นางหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อผังก้วน นางต้องการให้สามีของตัวเองล้างความอัปยศให้ลูกสาว!

สำหรับนาง ยามปกติมีหน้ามีตาไร้ที่สิ้นสุด ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ท่ามกลางฝูงชน อัปยศอดสูเกินไปแล้ว!

ที่จริงต่อให้เปลี่ยนเป็นคนทั่วไป ไม่ว่าใครก็รับเรื่องแบบนี้ไม่ไหวทั้งนั้น!

ส่วนทหารอารักขาของตระกูลผังที่อยู่ข้างนอก พอได้รับคำสั่งนี้ก็รวมตัวกันทันที กำลังพลหลายแสนรวมตัวกันโจมตี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นหวังลั่วหลบหนีออกมา ก็ยิ่งทุ่มสุดตัวเพื่อดักสังหารให้ได้ ใครขวางก็ฆ่าคนนั้น โจมตีฝ่าการป้องกันของทัพเหนือโดยตรง

กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่ได้รับคำสั่งก็พุ่งเข้ามาจับตัวเช่นกัน

หวังลั่วจะกล้าตกอยู่ในมือคนพวกนี้ได้อย่างไร รีบร้อนหนีเข้าไปในจุดที่กำลังพลทัพเหนือรวมตัวกันหนาแน่น นี่คือความคิดของฮ่าวเต๋อฟาง สั่งให้เขายอมจำนนต่อทัพเหนือ!

เขาเองก็หนีตายอยู่คนเดียว ไม่มีทางเลือก เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นแล้ว แก้ตัวไม่ขึ้นแล้ว ใครจะตกล้าช่วยเขาล่ะ ต่อให้เป็นคนฝ่ายตัวเองก็ตาม

แม่ทัพคนหนึ่งของทัพเหนือได้รับข้อความจากเบื้องบน ว่าถ้าเป็นไปได้ ก็ให้พยายามปกป้องหวังลั่วไว้ แล้วส่งหวังลั่วออกไปทันที ถ้าไม่ไหวจริงๆ เช่นนั้นก็ให้หวังลั่วรับกรรมเอาเอง

ฮ่าวเต๋อฟางติดต่อไปหาโค่วหลิงซวีโดยตรง ให้โค่วหลิงซวีช่วยสักครั้ง จะให้ช่วยก็ช่วยได้ แต่ถ้าจะให้ทัพเหนือเสียหายมากเกินไปเพราะหวังลั่วคนเดียวก็ไม่คุ้ม

พอแม่ทัพเก็บระฆังดาราแล้วก็สั่งทันทีว่า  ขวางพวกเขาเอาไว้ พยายามปกป้องชีวิตหวังลั่ว! 

และกำลังพลสายตระกูลฮ่าวก็ตามมาปกป้อง นอกจากกำลังพลของผังก้วน ที่เหลือก็ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนเช่นกัน พวกเขาทยอยกันพุ่งเข้ามา ขวางกำลังพลของผังก้วนเอาไว้ แล้วพากันเกลี้ยกล่อม เป็นฝ่ายเดียวกันทั้งนั้น อย่าลงไม้ลงมือเลย

กำลังของผังก้วนมีเท่าไรเอง? กำลังพลที่ฮ่าวเต๋อฟางเรียกระดมเร่งด่วนได้มีเยอะเกินไปแล้ว

คนของกองทัพองครักษ์ที่อยู่ที่นี่มีไม่เยอะ ส่วนใหญ่รับหน้าที่ตรวจสอบ เมื่อเจอทัพเหนือรวมตัวกัน พวกเขาก็ไม่มีทางสกัดหวังลั่วไว้ได้ คนของทัพเหนือชิงตัวหวังลั่วไปแล้ว และทัพเหนือก็ส่งกำลังพลกลุ่มหนึ่งมาคุ้มกันพาหวังลั่วออกไปทันที

 เกิดเรื่องอะไรขึ้น? 

พระปีศาจหนานโปที่ดูอยู่ไกลๆ เห็นว่าเกิดเรื่องวุ่นวาย จึงอดไม่ได้ที่จะถาม

 ไม่ทราบค่ะ น่าจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!  จั่วเอ๋อร์ตอบ

หนานโปแววตาวูบไหว บอกนางว่า  พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าจะไปด้วยตัวเองสักเที่ยว เจ้าติดต่อหานลี่ ยืนยันตำแหน่งของหวงฝู่เยี่ยนมาอยู่ตรงไหน! 

 ผู้อาวุโสจะตกอยู่ในอันตราย!  จั่วเอ๋อร์โน้มน้าว

 ถ้าให้รอโอกาสเหมือนที่เจ้าบอก ก็ไม่รู้ว่าต้องรอไปถึงเมื่อไร  หนานโปกล่าว

 พวกเราจะไปกับผู้อาวุโส!  จั่วเอ๋อร์กล่าว

 พาคนไปเยอะกลับจะทำให้สะดุดตา พวกเรารอสนับสนุนอยู่ที่นี่!  หนานโปพูดทิ้งท้าย แล้วถลันตัวเข้าไป

จั่วเอ๋อร์พูดไม่ออก ถ้าทุกอย่างกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมแล้ว เจ้าจะออกมาอย่างไรล่ะ?

ต้องบอกเลยว่านี่คือโอกาสดีที่จะปะปนเข้าไปในงานชุมนุมตระการตา ดาราจักรวุ่นวายแล้ว กำลังพลเหาะไปทั่ว ใครก็แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร หนานโปไม่ลังเลที่จะฉวยโอกาสเข้าไปตอนวุ่นวาย ฝ่าชั้นบรรยายกาศออกไปได้อย่างราบรื่น เข้าไปในดาวดำเนินธาราแล้ว

เขาเองก็ใจกล้ามาก กล้าเข้าไปปะปนอยู่ในสถานการณ์ที่มีกำลังทหารมากมายขนาดนี้ ไม่กังวลเลยสักนิดว่าตัวเองจะออกมาไม่ได้ ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง ประสิทธิภาพการทำงานของพวกจั่วเอ๋อร์ทำให้เขาเดือดดาล แต่จนใจที่ตอนนี้เขาไม่มีใครให้ใช้งานได้แล้ว มีแต่ต้องอาศัยคนพวกนี้ ไม่มีทางเลือกเท่าไรนัก ตอนนี้ก็ยิ่งลงมือด้วยตัวเองแล้ว!

พอเข้ามาในดาวดำเนินธารา ก็แอบอยู่ในเมฆแล้วถอดเกราะรบทิ้งทันที ก่อนจะพุ่งออกมาจากเมฆด้วยชุดลำลอง แล้วพุ่งลงไปยังดินแดนพร่างพราวตระการตา

ในดาราจักรวุ่นวายมาก กำลังพลทัพเหนือต้านกำลังพลกองทัพองครักษ์และของตระกูลผังเอาไว้แล้ว

 ส่งคนมา! 

ฮวาอี้เทียนรีบตามไปยังจุดเกิดเหตุ พอถามสถานการณ์ชัดเจนแล้วก็ทวงคนจากทัพเหนือ

ใครจะคิดว่าแม่ทัพของอีกฝ่ายจะกล่าวเสียงต่ำว่า  คนถูกพวกเราจับไปแล้ว พวกเราจะสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางชี้แจงได้ เบื้องบนมีคำสั่งมาแล้วว่าให้คุมตัวหวังลั่วไปสอบสวน ต้องสืบเรื่องนี้จนได้ผลลัพธ์แน่นอน พวกเราเองก็ได้รับคำสั่งให้ทำงานเหมือนกันผู้ตรวจการใหญ่ฮวาอย่าบีบบังคับให้ลำบากใจเลย! 

พอเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ฮวาอี้เทียนก็รู้แล้วว่าทัพเหนือจงใจปกป้องหวังลั่ว คงเป็นอำนาจเบื้องหลังหวังลั่วที่แสดงบทบาท ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่หวังลั่วจะมาบัญชาการทัพเหนือได้อย่างไร

รู้ว่าเอาตัวคนมาไม่ได้แล้ว ฮวาอี้เทียนหยิบระฆังดาราออกมารายงานสถานการณ์ให้เบื้องบนรู้ เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจที่เขาสามารถจัดการได้แล้ว ทำได้เพียงส่งต่อให้ตำหนักสวรรค์ตัดสินใจ

อำนาจแต่ละฝ่ายก็ทยอยกันรายงานสถานการณ์ขึ้นไปเบื้องบนเช่นกัน

หวงฝู่จวินโหรวที่ได้คำตอบจากกองทัพองครักษ์เม้มริมฝีปากแน่น ไม่เข้าใกล้คนตระกูลผังที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มอีก

หวงฝู่เยี่ยนก็มาถึงที่เกิดเหตุแล้วเช่นกัน รอจนหวงฝู่จวินโหรวออกมาจากบริเวณที่มีคนของกองทัพองครักษ์ เขาก็กวักมือเรียก แล้วถามเสียงต่ำว่า  เกิดเรื่องอะไรขึ้น? 

คำตอบก็เหมือนที่กองทัพองครักษ์ให้มา นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง แต่กลับไม่เอ่ยถึงว่าเกี่ยวข้องกับเหมียวอี้

 หวังลั่วนี่ช่างเป็นคนสารเลวเต็มสิบ!  หวงฝู่เยี่ยนด่าเบาๆ แล้วตะคอกหวงฝู่จวินโหรวอีก  เลอะเลือน! เจ้าจะเข้ามาแส่เรื่องนี้ทำไม? นี่เป็นเรื่องที่ตระกูลหวงฝู่เข้ามาแทรกแซงได้เหรอ?  เขาไม่ได้ชื่นชมเลยสักนิดที่หลานสาวช่วยผังอวี้เหนียง กลับเดือดดาลด้วยซ้ำ ความเป็นความตายของผังอวี้เหนียงเกี่ยวอะไรกับตระกูลหวงฝู่ล่ะ? นี่ไม่เกี่ยวข้องกับคุณธรรม ในสายตาคนบางคน กติกาสำคัญกว่าคุณธรรม  ไสหัวกลับไปรอแต่โดยดี! 

 รับทราบ!  หวงฝู่จวินโหรวเอ่ยรับ แล้วก้มหน้าเดินจากไป

ระหว่างทางกลับนางรู้สึกสับสนมาก นางอดไม่ได้ที่จะนึกเชื่อมโยงไปถึงคำพูดของเหมียวอี้ก่อนหน้านี้ที่บอกให้นางหลีกเลี่ยงผังอวี้เหนียง มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้เสียที่ไหนกัน พอบอกให้หลีกเลี่ยงผังอวี้เหนียง ก็เกิดเรื่องกับผังอวี้เหนียงเลย ตอนนี้นางสงสัยมากว่าเรื่องนี้เป็นแผนการของเหมียวอี้!

………………

 

ถ้าหยางชิ่งคาดการณ์แม่นยำ ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องกับผังอวี้เหนียงเมื่อไร บางทีอาจจะเกิดเรื่องได้ตลอดเวลา ไม่รู้เหมือนกันว่าผังก้วนจะเคลื่อนไหวรุนแรงขนาดไหน ตอนนี้เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของหวงฝู่จวินโหรวกับผังเสี้ยวเสี้ยวมาก

เขาให้ผังเสี้ยวเสี้ยวเตรียมตัวล่วงหน้าแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าผังเสี้ยวเสี้ยวจะไม่เชื่อฟังเขา แล้วเขาก็ไม่ได้เตรียมคนไว้ด้วย

แล้วหวงฝู่จวินโหรวก็ดันไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก ถามหน่อยว่าคนทั่วไปจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวละครใหญ่ๆ อย่างพวกเขาจะกำลังทำให้การแย่งชิงใต้หล้าเกิดสถานการณ์เปลี่ยนแปลงยากคาดเดา

หวงฝู่จวินโหรวไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญ ยังคงกลั้นขำอยู่อย่างนั้น นางบอกว่า : ผังอวี้เหนียงบอกแล้ว ว่าขอเพียงเจ้ายินดีแต่งงานกับนาง นางก็ยินดีจะแต่งกับเจ้า เจ้ามีความเห็นอะไรหรือเปล่า?

แต่งกับผีเจ้าน่ะสิ! เหมียวอี้แอบด่าในใจ เขาไม่มีทางอธิบายเรื่องนี้กับนางได้ พอได้ยินว่านางค่อนข้างมีความสัมพันธ์อันดีกับผังอวี้เหนียง เขาก็ยิ่งพูดไม่ได้แล้ว ถ้าผู้หญิงคนนี้หวังดีกับผังอวี้เหนียงขึ้นมา จะไม่ทำงานเขาพังหรอกหรือ? จึงบอกทันทีว่า : เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว หาข้ออ้างออกไปจากที่นั่นเดี๋ยวนี้ ช่วงนี้อย่าไปคลุกคลีกับผังอวี้เหนียง!

หวงฝู่จวินโหรวฟังออกว่าคำพูดเขามีความหมายแฝง จึงถามว่า : เจ้ากับผังอวี้เหนียงสนิทกันมากเหรอ?

เหมียวอี้ : อย่าเข้าใจผิด ข้ากับนางไม่เคยคุยกับด้วยซ้ำ นางไม่ตรงรสนิยมข้า!

หวงฝู่จวินโหรว : แล้วทำไมเจ้าไม่ให้ข้าคลุกคลีกับนาง ตระกูลของนางมีเรื่องกับเจ้าเหรอ?

เหมียวอี้ : จวินโหรว เชื่อฟังข้านะ หาข้ออ้างออกไปจากตรงนั้นเดี๋ยวนี้ ทำตามที่ข้าบอก อย่าถามว่าเพราะอะไร

หวงฝู่จวินโหรวไม่ถามเขาว่าเพราะอะไร เปลี่ยนเป็นถามว่า : มีสิทธิ์อะไรมาบอกให้ข้าเชื่อฟังเจ้าแต่โดยดี เจ้าเป็นอะไรกับข้า?

เหมียวอี้ : เด็กดี เชื่อฟังข้า เดี๋ยวข้าจะเจียดเวลาไปอยู่กับเจ้าสักเดือน!

หวงฝู่จวินโหรวแอบดีใจ นึกไม่ถึงว่าจะได้ผลลัพธ์แบบนี้ ขอให้เขารับประกันทันที : พูดคำไหนคำนั้น ห้ามหลอกข้า!

เหมียวอี้ : ขอเพียงเจ้าเชื่อฟัง ข้าพูดแล้วทำได้

หลังจากทั้งสองตกลงกันได้แล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็เก็บระฆังดารา ทำหน้าตาจริงจังจ้องผังอวี้เหนียงที่กำลังวิตกกังวล แล้วจู่ๆ ก็หลุดขำ  ดูท่าทางกังวลของเจ้าสิ ข้าล้อเล่นน่ะ ไม่ได้ติดต่อกับเขาหรอก ข้าติดต่อกับคนที่บ้าน ท่านปู่ข้ามีธุระเรียกข้าไปหา พวกเจ้าค่อยๆ ดื่มไปนะ ข้าขอตัวก่อน! 

ผู้หญิงอีกสามคนแทบจะโล่งใจพร้อมกัน ผังอวี้เหนียงดันกาสุรามาตรงหน้านางอย่างหงุดหงิด  จะไปก็ได้ แต่โดนลงโทษสามจอกก่อน! 

 รับทราบ!  หวงฝู่จวินโหรวตอบอย่างสบายใจ ดื่มรวดเดียวสามจอก เสร็วแล้วถึงได้ขอตัวลุกขึ้นเดินออกไป

ส่วนในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้ที่กำลังเดินไปเดินมาลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อผังก้วน

หลังจากทักทายตามมารยาทแล้ว ก็ถามว่า : ไม่ทราบว่าเสี้ยวเสี้ยวจะกลับจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเมื่อไร?

ผังก้วน : เจ้าเองก็รู้สถานการณ์ ตอนนี้นางไม่สะดวกจะโผล่หน้าไปอยู่ข้างกายเจ้าบ่อยๆ ตอนนี้อยู่ที่บ้านสักระยะจะดีกว่า วันเวลาของพวกเจ้ายังอีกยาวไกล อย่าสนใจแค่ตอนนี้

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จ เหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลัง สีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม เขาไม่ได้เตรียมตัวอะไรกับงานชุมนุมตระการตา หวังเพียงว่าการแสดงออกว่าตัวเองใส่ใจผังเสี้ยวเสี้ยวจะทำให้ผังก้วนเล็งเห็นความสำคัญ สร้างแรงกดดันให้ผังก้วนสักหน่อย อย่าดึงผังเสี้ยวเสี้ยวเข้าไปเกี่ยวด้วย

ที่จริงแล้วทำแบบนี้ได้ผลมาก เพราะเขารู้ความเคลื่อนไหวของหวังลั่วตลาด เป็นไปไม่ได้ที่ข้างกายหวังลั่วจะไม่มีคนของเขาเลย

หลังจากนั่งเงียบๆ ในห้องหนังสือครู่หนึ่ง ผังก้วนก็บอกว่า  เมื่อครู่นี้หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งถามว่าเสี้ยวเสี้ยวจะกลับไปเมื่อไร เจ้าว่าเขารู้สึกอะไรกับเสี้ยวเสี้ยวแล้วจริงๆ หรือว่าเสแสร้งทำให้ข้าเห็น? 

เฉินหวยจิ่วตอบว่า  นายท่าน ไม่ว่าเขาจะจริงใจหรือเสแสร้ง เขาก็ล้วนกำลังแสดงออกให้นายท่านเห็นว่าเขาโปรดปราณคุณหนู ถ้ามองจากอีกมุม เขาเฝ้าคอยที่จะร่วมงานกับนายท่านมาก ถึงยังไงเขาก็ยังสนใจอาณาเขตของสายเถาะ 

ผังก้วนพยักหน้า  เตรียมการทางนั้นเรียบร้อยหรือยัง? อย่าให้เกิดเรื่องกับเสี้ยวเสี้ยว  เขาไม่ได้คิดจะให้เกิดเรื่องกับผังเสี้ยวเสี้ยวตั้งแต่แรก ในภายหลังยังต้องอาศัยลูกสาวคนนี้มาสานสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหนิวโหย่วเต๋อ กลับเป็นหยางชิ่งที่คิดมากไป เพียงแค่แต่ไหนแต่ไรมา หยางชิ่งก็เป็นคนประเภทความคิดล้ำลึก วางแผนเผื่อกรณีล้มเหลวอยู่แล้ว

 นายท่านวางใจได้ เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่เกิดอะไรกับคุณหนูรองแน่ขอรับ  เฉินหวยจิ่วกล่าว

ผู้หญิงสามคนในศาลายังคงกินดื่มพูดคุยกัน ผังเสี้ยวเสี้ยวที่อยู่ข้างๆ ไม่ค่อยพูดมาก ใช้เวลาส่วนใหญ่คอยฟัง บางครั้งถึงขั้นใจลอยด้วยซ้ำ เพราะเมื่อครู่นี้พี่สาวเพิ่งอาศัยฤทธิ์สุราระบายความในใจออกมา

ในขณะนี้เอง ด้านนอกก็มีสตรีวัยกลางคนที่งามหยดย้อยคนหนึ่งเหาะเข้ามา กล่าวด้วยรอยยิ้มสนิทสนิมว่า  คุณหนูทั้งหลายช่างมีอารมณ์สุนทรี! 

 อี๋เหนียงสาม!  ผังอวี้เหนียงกับผังเสี้ยวเสี้ยวลุกขึ้นพร้อมกัน ผู้ที่มาคืออนุภรรยาคนที่สามของผังก้วน

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็ยืนขึ้นอย่างเกรงใจเช่นกัน

อี๋เหนียงสามยื่นมือบอกใบ้ว่าไม่ต้องเกรงใจ แล้วบอกกับผังเสี้ยวเสี้ยวว่า  เสี้ยวเสี้ยว ข้ามีธุระคุยกับเจ้านิดหน่อย ไปคุยกันส่วนตัวได้มั้ย? 

ผังเสี้ยวเสี้ยวไม่รู้ว่านางต้องการจะคุยอะไร แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านตน ทำได้เพียงขออภัยอีกสองคน แล้วตามอี๋เหนียงสามออกไป

ในเรือนพักเดี่ยวที่ห่างจากตรงนี้ไม่กี่สิบลี้ หวังลั่วกำลังดื่มสุราพูดคุยกับกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ดื่มอย่างสุขสันต์หรรษามาก

ลูกน้องคนหนึ่งยกอาหารเข้ามา ขณะที่วางอาหาร ก็แอบส่งสายตาให้แม่ทัพคนหนึ่งที่นั่งข้างหวังลั่ว

แม่ทัพคนนั้นเข้าใจแล้ว แต่กลับตีเนียน เพียงแต่ตอนที่รินสุราให้หวังลั่ว ก็ฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นไม่ได้สังเกตใช้นิ้วหัวแม่มือวาดบนปากกาสุราเล็กน้อย จากนั้นถึงได้รินน้ำสุราใสใส่จอกสุราของหวังลั่ว แล้วยกจอกสุราบอกว่า  นายท่าน ข้าดื่มให้ท่านหนึ่งจอก! 

หวังลั่วยกจอกสุราขึ้นอย่างสบายๆ  ทุกคนดื่มหมดจอกพร้อมกัน! 

ตอนที่แม่ทัพคนนั้นเงยหน้ากรอกสุราเข้าปาก ก็ส่งสายตาให้ลูกน้องตรงประตูอีก

หวังลั่วที่กำลังพูดคุยปนเสียงหัวเราะ จู่ๆ ก็เงียบไป หลังจากหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมาติดต่อ ก็ตบโต๊ะแล้วบอกกับบรรดาแม่ทัพอย่างฮึกเหิมว่า  คุณหนูใหญ่กำลังนั่งดื่มสุราอยู่กับก่วงเม่ยเอ๋อร์ ลูกสาวของอ๋องสวรรค์ก่วงในศาลา ใครๆ ก็รู้ถึงความปรารถนาของข้าทั้งนั้น ข้าอยากจะถือโอกาสนี้พูดคุยกับคุณหนูใหญ่ มีใครคิดหาทางล่อก่วงเม่ยเอ๋อร์ออกไปให้ข้าได้บ้าง? 

แม่ทัพที่อยู่ตรงบอกว่า  จะยากอะไรขอรับ ข้าน้อยรู้ว่าตระกูลก่วงพักอยู่ตรงไหน เดี๋ยวจะไปที่นั่นสักเที่ยว! 

 นายท่าน อย่าทำซี้ซั้วเด็ดขาด!  แม่ทัพที่รินสุราโน้มน้าว

 ไม่ต้องคิดมาก ข้าแค่คุยกับคุณหนูใหญ่เฉยๆ  หวังลั่วโบกมือ

ในศาลาบนยอดเขา ก่วงเม่ยเอ๋อร์กับผังอวี้เหนียงเริ่มหมดอารมณ์สนุก แม้จะนั่งชมทิวทัศน์อันงดงามบนยอดเขา แต่กลับเหงาทั้งคู่

จู่ๆ ก็มีเงาคนหลายคนเหาะเข้ามา เป็นคนของตระกูลก่วง พอพวกเขามาถึงก็มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน แล้วขมวดคิ้วถามว่า  พวกเจ้าทำอะไร? 

ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าตอบว่า  คุณหนู ดึกมากแล้ว เชิญกลับเถอะขอรับ 

 ข้าจะนั่งตรงนี้อีกประเดีษยว ถ้าหมดสนุกลัวจะกลับไปเอง  ก่วงเม่ยเอ๋อร์บอกพวกเขา

 คุณหนู มีบ้านมีธุระต้องการพบท่าน!  ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากลับไม่ยอม

เขาจะต้องพาก่วงเม่ยเอ๋อร์กลับไปให้ได้ เมื่อครู่นี้จู่ๆ ตรงที่พักของตระกูลก่วงก็มีคนโยนหินก้อนใหญ่ใส่หลังคา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้าทำซี้ซั้วที่นี่ แบบนี้ไม่ปกติมาก เรื่องนี้แปลกประหลาด ถามหน่อยว่ายังจะกล้าปล่อยให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์อยู่ข้างนอกคนเดียวได้อย่างไร พวกเขาไม่วางใจการรักษาความปลอดภัยของที่นี่

เมื่ออ้างครอบครัวมากดดัน ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงกล่าวขออภัยผังอวี้เหนียง แล้วก็ถูกพาตัวไปอย่างนี้แล้ว

ใครจะคิดว่าตอนที่คนกลุ่มนี้เพิ่งจะไป ผังอวี้เหนียงเพิ่งถอนหายใจ จู่ๆ ก็มีเงาคนคนหนึ่งเหาะเข้ามา เข้ามาเหยียบในศาลา ไม่ใช่หวังลั่วแล้วจะเป็นใครไปได้อีก

 คำนับคุณหนูใหญ่!  หวังลั่วเจอหน้าแล้วทำความเคารพ มองผังอวี้เหนียงตาเป็นมัน

ผังอวี้เหนียงตกใจ ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า พบว่าวันนี้หวังลั่วมองตนด้วยสายตาไม่ชอบมาพากล ในใจรู้สึกกังวล ไม่อยากสนใจ ลุกขึ้นเตรียมจะเดินไป

ใครจะคิดว่าหวังลั่วจะถลันตัวเข้ามาขวางตรงหน้านาง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ว่า  คุณหนูใหญ่ ให้โอกาสสักหน่อยได้มั้ย เรานั่งลงคุยกันดีๆ สักหน่อยได้มั้ย? 

พอผังอวี้เหนียงเห็นว่าเขาบังอาจมาขวางตน ก็เลิกคิ้วตวาดทันที  หลีกไป! 

หวังลั่วถอนหายใจ  คุณหนูใหญ่ หวังผู้นี้ไม่ใช่เสือไม่ใช่หมาป่า ท่านไม่ต้องกลัวข้าขนาดนี้ก็ได้ ข้าแค่อยากคุยกับท่านดีๆ ไม่ได้มีเจตนาอื่น 

ผังอวี้เหนียงจะไปคุยกับผู้ชายสองต่อสองกลางดึกแบบนี้ได้อย่างไร จึงเดินอ้อมออกไป

ทว่าวันนี้หวังลั่วเหมือนตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จู่ๆ ก็ยื่นมือมาคว้าข้อมือนาง ความรู้ยามได้สัมผัสผิวกายทำให้หวังลั่วรู้สึกร้อนผ่าวในใจ

 บังอาจ!  ผังอวี้เหนียงทั้งตกใจทั้งโมโห ใช้มืออีกข้างตบหน้าเขาหนึ่งฉาด

แต่นางใช่คู่ต่อสู้ของแม่ทัพใหญ่อย่างหวังลั่วเสียที่ไหนกัน มิหนำซ้ำแขนอีกข้างยังถูกอีกฝ่ายควบคุมไว้แล้ว หวังลั่วยื่นมือมาคว้าข้อมือนางที่ตบเข้ามา ทั้งสองอยู่ใกล้กันจนแทบจะตัวติดกัน หวังลั่วมองนางในระยะใกล้ สูดดมกลิ่นกายหอมของนาง อีกทั้งมือก็ก็กุมมือนางไว้ หวังลั่วหัวร้อนทันที เริ่มหายใจถี่กระชั้น ในหัวมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา ไม่สู้ต้มข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกเสียเลย ต่อให้ผังก้วนไม่ยอมรับก็ต้องยอมรับ!

ผังอวี้เหนียงตกใจจนหน้าถอดสี ดิ้นรนพลางตกคอกว่า  ปล่อยข้า!  นางยกเท้าเตะด้วย

 คุณหนูใหญ่ นี่ท่านบีบข้าเองนะ!  หวังลั่วลงมือระงับพลังอิทธิฤทธิ์ของนางเร็วมาก ดึงนางมาไว้ในอ้อมกอด กอดจูบอย่างดุดันอยู่พักหนึ่ง รีบร้อนมาก!

ผังอวี้เหนียงจะดิ้นรนหลุดได้อย่างไร ไม่สามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์ดิ้นรนได้ น้ำตาไหลพรากแล้ว

 โจรราคะ!  บนฟ้ามีเสียงตวาด หวงฝู่จวินโหรวชักกระบี่ออกมา โผล่ออกมาจากม่านราตรี แทงกระบี่ออกมา

หวังลั่วอุ้มผังอวี้เหนียงหลบ ถล่มหลังคาพังทั้งหลัง

ในที่ลับย่อมมีคนของตระกูลผังเตรียมตัวไว้แล้ว แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ หวงฝู่จวินโหรวจะโจมตีเข้ามา ผิดแผนที่พวกเขาวางไว้ แต่ละคนพากันงงเป็นไก่ตาแตก

ที่จริงหวงฝู่จวินโหรวกลับไปพักผ่อนแล้ว ทว่ารู้สึกว่าคำพูดคลุมเครือของเหมียวอี้มีปัญหา รู้สึกว่าต้องมีเรื่องบางอย่าง สุดท้ายก็ไม่วางใจจริงๆ ยังตัดสินใจกลับมาดูผังอวี้เหนียง ใครจะคิดว่าความกังวลในใจได้เกิดขึ้นแล้ว ตัวยังไม่ทันมาถึงก็พบว่ามีชายหนุ่มตัวใหญ่กำลังกอดรัดล่วงเกินผังอวี้เหนียง แบบบนี้ก็แย่น่ะสิ นางย่อมต้องลงมืออยู่แล้ว!

หวังลั่วที่ถลันตัวออกจากศาลาถูกเสียงดังนี้เรียกสติ หายเมาไปแล้วเกินครึ่ง ผังอวี้เหนียงยังดิ้นรนอยู่ในอ้อมกอดเขาอยู่เลย แม้แต่ไหล่หอมก็เผยออกมาแล้ว ชั่วพริบตานี้หวังลั่วตกใจจนเหงื่อแตก แอบด่าว่าตัวเองเลอะเลือน!

เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้คนไม่น้อยที่อยู่บริเวณนั้นรีบเหาะขึ้นฟ้ามองมา

 พี่สาว! 

เมื่อเห็นผังอวี้เหนียงถูกล่วงเกิน แม้แต่ไหล่งามก็เผยออกมาแล้ว ยังต้องพูดอีกเหรอว่าประสบอะไรมา? ผังเสี้ยวเสี้ยวที่เดิมทีพูดคุยอยู่ในสวนป่าแทบจะตาถลนน ส่งเสียงตะโกนคอแทบแตก ไม่สนแล้วว่าตัวเองวรยุทธ์อ่อนด้อย ชักกระบี่พุ่งเข้ามาแล้ว

อี๋เหนียงสามที่เหาะตามขึ้นมาบนฟ้าทำสายตาล่อกแล่ก รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจาหรูเยี่ยน

หวังลั่วที่อุ้มผังอวี้เหนียงหลบกระบี่แทบจะร้องไห้แล้ว เลอะเลือนก็ส่วนเลอะเลือน ถ้าจะเปลี่ยนข้าวสารให้เป็นข้าวสุกก็คงสำเร็จไปแล้ว ทำไมจู่ๆ มีผู้หญิงโผล่มาสร้างความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ ตอนนี้จบเห่แล้ว

เขาได้ยินเสียงกองทัพองครักษ์ส่งสัญญาณเรียกรวมแล้ว รู้ว่าถ้าทำผิดในสถานที่แบบนี้จะต้องตกอยู่ในมือกองทัพองครักษ์ แม้แต่ฮ่าวเต๋อฟางก็ช่วยชีวิตเขาไม่ได้ จึงหาโอกาสโยนผังอวี้เหนียงให้หวงฝู่จวินโหรว ส่วนตัวเองก็พุ่งขึ้นฟ้าหนีไป ต้องหนีออกจากที่นี่ให้ได้

ลำแสงนับไม่ถ้วนยิงตามเขามาแล้ว กองทัพองครักษ์ที่อยู่แถวนี้ลงมือแล้ว

……………

 

ผังเสี้ยวเสี้ยวอึกอักเหมือนอยากพูดอะไร เหมียวอี้ส่งข้อความมากำชับนาง บอกว่าเขามาอยู่ด้วยไม่ได้ บอกนางว่าอย่าเอาแต่เที่ยวเล่น ให้อยู่ข้างกายมารดาเพื่อแสดงความกตัญญูแทนเหมียวอี้

เมื่อถูกเหมียวอี้วางกับดักด้วยคำพูด ผังเสี้ยวเสี้ยวก็รับประกันว่าจะปรนนิบัติอยู่ข้างกายมารดาโดยไม่ห่างไปแม้แต่ก้าวเดียว

 ไม่ต้องหรอกค่ะ ยังจะมีใครก่อเรื่องที่นี่เชียวหรือ?  ผังอวี้เหนียงพูดทิ้งท้ายแล้วเดินไป

 ยังไม่รีบไปอีก!  จาหรูเยี่ยนถลึงตาใส่ผังเสี้ยวเสี้ยว

เมื่อเห็นท่าทางพี่สาวเป็นแบบนั้น ผังเสี้ยวเสี้ยวก็ทำใจมองพี่สาวไปคนเดียวไม่ได้ รู้สึกว่าออกไปชั่วคราวก็ไม่เป็นอะไร ถึงได้ลุกขึ้นตามไป

พอมาถึงในลานบ้าน ก็พบว่าพี่สาวกำลังเงยหน้ามองพระจันทร์อยู่คนเดียว ทำให้อดไม่ได้ที่จะปวดใจ ผังเสี้ยวเสี้ยวเดินเข้าไป คล้องแขนพี่สาวเอาไว้แล้วถามว่า  ข้าไม่ได้เจอพี่จวินโหรวมานานแล้วเหมือนกัน ไปด้วยกันเถอะค่ะ 

ผังอวี้เหนียงเหลือบตาขึ้นมองอย่างเมามาย เห็นน้องสาวดูสวยพริ้งขึ้นทุกวัน จึงยื่นมือช้อนคางนางแล้วพูดหยอกว่า  นางหนู ไปกินของดีอะไรมาลับหลังพี่สาว ผิวพรรณชุ่มฉ่ำเฉิดฉายแล้ว ซ่อนของดีอะไรไว้ไม่แบ่งพี่สาวบ้าง? 

คนพูดไม่ได้ตั้งใจ แต่คนฟังคิดลึก ผังเสี้ยวเสี้ยวแก้มแดงเรื่อ  พี่คะ พูดเหลวไหลอะไรกัน  ท่านพ่อท่านแม่กำชับนางไว้ว่าไม่ให้บอกใครเรื่องแต่งงาน

 เจ้ากลับไปเถอะ ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ทำไมคนในบ้านชอบพากันคิดว่าข้าจะผูกคอตายล่ะ?  ผังอวี้เหนียงผลักมือน้องสาวออก

 ไม่เป็นไรค่ะ ดูคนเสแสร้งอยู่บนตึกก็ไม่น่าสนุกอะไร ข้าก็อยากไปเจอพี่จวินโหรวเหมือนกัน  ผังเสี้ยวเสี้ยวกล่าว

 เด็กแก่แดด!  ผังอวี้เหนียงเอาปลายเล็บวาดจมูกน้องสาว พอกางแขนสองข้าง บนตัวก็มีไอหมอกกลุ่มหนึ่งลอยออกมาพร้อมกลิ่นหอมของสุรา ร่ายอิทธิฤทธิ์ขับไล่พิษสุราแล้ว แววตากลับมาใสกระจ่างอีกครั้ง  ไปกันเถอะ! 

ไม่มีแสงสว่างจากโคมไฟ แต่ดอกไม้นานาชนิดเรืองแสงสว่างไหวราวกับลายผ้าแพร ใต้ศาลาหลังหนึ่งบนภูเขา หวงฝู่จวินโหรวกำลังดูดาวบนท้องฟ้าอยู่เพียงลำพัง

สองพี่น้องตระกูลผังจูงมือกันเหาะเข้ามา พอผังเสี้ยวเสี้ยวเห็นหวงฝู่จวินโหรวก็ทำความเคารพทันที  พี่จวินโหรว 

หวงฝู่จวินโหรวตะลึงไปชั่วครู่ หลังจากมองประเมินศีรษะจดเท้า ก็ถามอย่างตะลึงว่า  น้องเสี้ยวเสี้ยวเหรอ ไม่เจอกันหลายปี โตเป็นสาวสะพรั่งแล้ว ข้าเกือบจำไม่ได้ ยิ่งโตยิ่งสวยจริงๆ 

 พี่จวินโหรวต่างหากที่สวย  ผังเสี้ยวเสี้ยวเขินอายเล็กน้อย

ผังอวี้เหนียงเดินเข้ามาในศาลา แล้วส่ายหน้าถอนหายใจ  น้องสาวข้ายิ่งนับวันยิ่งสวยขึ้นจริงๆ ข้าไม่เจอแค่ไม่กี่วันก็พบว่าสวยขึ้นอีกแล้ว  นางเดินตรงไปนั่งลงแล้วหยิบกาสุรากับจอกสุรา

หวงฝู่จวินโหรวจูงมือผังเสี้ยวเสี้ยวเข้ามานั่งในศาลา ผังอวี้เหนียงกำลังจะรินสุรา แต่หวงฝู่จวินโหรวกลับยกมือห้ามไว้  สุราดีจะขาดกับแกล้มได้ยังไง รอประเดี๋ยว กำลังจะมีคนนำของอร่อยมาให้ 

ผังอวี้เหนียงงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยิ้มทันที เดาออกแล้วว่าคนที่จะนำมาให้คือใคร

เป็นไปอย่างที่คาดไว้ ไม่นานก็มีบ่าวรับใช้เดินมาพร้อมยอดหญิงงามคนหนึ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นก่วงเม่ยเอ๋อร์นั่นเอง

หลังจากเข้ามาทักทายกันแล้ว บ่าวรับใช้ก็ถือถาดจัดวางอาหาร กลับแกล้มแสนอร่อยหกเจ็ดอย่างถูกวางบนโต๊ะ จากนั้นบ่าวรับใช้ก็ถูกก่วงเม่ยเอ๋อร์ไล่ออกไปจากตรงนั้น

ผู้หญิงสี่คนดื่มสุราพลางพูดคุยปนเสียงหัวเราะ แต่ละคนสวยๆ ทั้งนั้น มีเสน่ห์แตกต่างกันไป เป็นราตรีที่เต็มไปด้วยความสุข

ผังเสี้ยวเสี้ยวจิบสุราเบาๆ ไม่มีความกลัดกลุ้มอะไรต้องระบาย

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ค่อนข้างรักษาระดับเช่นกัน มารดานางตั้งความหวังไว้สูง ทางบ้านอบรมเข้มงวด นางไม่ทำเรื่องที่ปล่อยตัวปล่อยใจเกินไป

กลับเป็นหวงฝู่จวินโหรวกับผังอวี้เหนียงที่เป็นสหายร่วมวงสุรากันอย่างเห็นได้ชัด ตอนอยู่ต่อหน้าคนนอกอาจจะยังสำรวม เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว ทั้งสองก็ค่อนข้างปลดปล่อย ดื่มสุรากาแล้วกาเล่า ผังเสี้ยวเสี้ยวโน้มน้าวให้เพลาๆ แต่ก็ไม่ได้ผล ไม่นานทั้งสองก็ดื่มจนเมาแล้ว

ว่ากันว่าคนประเภทเดียวกันมักคบหากันเป็นสหาย คำกล่าวนี้ไม่ผิดเลยสักนิด ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายหมื่นปี ลูกสาวของขุนนางเต็มราชสำนัก คนที่รุ่นราวคราวเดียวกับผังอวี้เหนียงแต่ยังไม่ได้แต่งงานนั้นมีน้อยจนนับนิ้วได้

ผังอวี้เหนียงไม่ได้แต่งงานเพราะอะไรทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ นับว่าเป็นคนที่ขมขื่นใจที่สุดตรงนี้ เริ่มตั้งแต่สมัยก่อนที่สวยใสไร้เดียงสา แล้วต่อมาก็ใฝ่ฝันถึงความรัก กระทั่งเผชิญสภาพอันน่าจนใจในปัจจุบัน เป็นคนสวยมากแท้ๆ แต่กลับมามีใครกล้าแต่งงานด้วย มีคนอยากจะอาศัยเกาะขาเพื่ออนาคตมากมาย แต่ตำแหน่ง ฐานะ ชาติตระกูล ความสามารถเป็นสิ่งที่คนในตระกูลผังต้องพิจารณาแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าตระกูลผังจะมอบลูกสาวให้แต่งงานกับใครก็ได้ ยังไม่ถึงขั้นหิวจนกินไม่เลือก

ส่วนก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็เป็นเพราะเมื่อก่อนก่วงลิ่งกงแอบสนใจเหมียวอี้ จึงถ่วงเวลาจนอายุนางมากขึ้น ตอนนี้ก่วงลิ่งกงก็สนใจชิงหยวนจุนอีกแล้ว แต่ก่วงเม่ยเอ๋อร์เฉยๆ กับเรื่องนี้ เพราะนางมีคนในใจแล้ว ในปีนั้นเคยกอดเหมียวอี้มาแล้ว เคยโดนเหมียวอี้ลูบไล้มาแล้วเช่นกัน มีเจ้าของหัวใจแล้ว เพียงแต่ในใจก็กลัดกลุ้มเหมือนกัน

ส่วนหวงฝู่จวินโหรวก็ถูกเหมียวอี้หลอกต้มยับเยิน ได้แต่ลักลอบทำเรื่องที่บอกใครไม่ได้ ตอนนี้ต่อให้มารดานางมีหนทางเตรียมแผนอื่นช่วยลูกสาวแต่ก็ไม่กล้าทำอยู่ดี เป็นเพราะเหมียวอี้มีฐานะสูงและมีอำนาจมากจนไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว

ผู้หญิงอายุมากที่ขายไม่ออกพวกนี้จึงมารวมตัวกันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า เวลาไปเที่ยวเล่นกับคนอื่น พวกนางมักรู้สึกว่าถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ ผู้หญิงพวกนั้นเอะอะก็ชมผู้ชายของตัวเองว่าดีอย่างนั้นดีอย่างดี เอาผู้ชายมาเปรียบเทียบกันเอง จะให้พวกนางทนความรู้สึกได้อย่างไร?

ทว่าเวลาพวกนางอยู่ด้วยกันกลับไม่ต้องกังวลด้านนี้ เรียกได้ว่ามีชะตาเดียวกันพูดคุยภาษาเดียวกัน หยอกล้อกันเองก็ไม่เป็นอะไร

 หวังเฟยไม่ได้มานี่นา แล้วเจ้ามาได้ยังไง?  ผังอวี้เหนียงถามก่วงเม่ยเอ๋อร์

ก่วงเม่ยเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก  ทีแรกก็ไม่อยากมาหรอก แต่ได้ยินว่าพี่จวินโหรวจะมา ถึงยังไงข้าก็ว่าง ก็เลยมาสักหน่อย 

 ทุกครั้งที่จัดงานชุมนุมตระการตาจะมีชายผู้เก่งกาจล้ำเลิศที่ยังไม่ได้แต่งงานมาเยอะเลย หวังเฟยพลาดโอกาสเลือกลูกเขยได้ยังไงลนะ  ผังอวี้เหนียงพูดหยอก

ก่วงเม่ยเอ๋อร์พูดดูถูกว่า  อวี้เหนียงคิดถึงผู้ชายจนเป็นบ้าไปแล้วมั้ง? มีชายผู้เก่งกาจล้ำเลิศเสียที่ไหนกัน เป็นพวกสายตาสูงฝีมือต่ำที่อาศัยอำนาจบิดากันทั้งนั้น พวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อที่แต่งหน้าทาแป้งเที่ยวผู้หญิง ควรค่าที่จะเป็นชายผู้เก่งกาจล้ำเลิศด้วยเหรอ? 

 สมกับเป็นลูกสาวท่านอ๋อง รสนิยมสูงทีเดียว ใต้หล้านี้ไร้ชายผู้เก่งกาจล้ำเลิศ!  ผังอวี้เหนียงกล่าวกลั้วหัวเราะ

 ชายผู้เก่งกาจล้ำเลิศก็ยังมี เพียงแต่…  ในหัวก่วงเม่ยเอ๋อร์ปรากฏเงาร่างของคนคนหนึ่ง พูดในใจว่าคนคนนั้นไม่ใช้ชายผู้เก่งกาจล้ำเลิศในใต้หล้าหรอกหรือ คนคนนี้ไม่ว่าใครก็เทียบไม่ติดทั้งนั้น ไม่ว่าใครมาเทียบก็ดูแย่ทั้งนั้น นางแอบทอดถอนใจ แล้วเปลี่ยนประเด็นสนทนา  คนที่มีอนาคตในตระกูลจริงๆ ใครจะมาที่นี่บ้างล่ะ? ถ้าท่านแม่คิดจะมาหาลูกเขยที่นี่ก็คงเป็นบ้าแล้วล่ะ ว่าแต่เจ้าเถอะ ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอ? 

 ใช่ว่าพวกเจ้าจะไม่รู้สถานการณ์ของข้า กลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องน่าขำของคนทั้งโลกแล้ว ต้องมีผู้ชายกล้ามาแต่งงานกับข้าด้วยสิ! ดังนั้นต้องฉลองให้คำพูดเมื่อครู่นี้ของเม่ยเอ๋อร์…  ผังอวี้เหนียงชูจอกสุราฉลอง ยิ้มมุมปากเย้ยตัวเอง  ผู้ชายที่มีอนาคตในใต้หล้า แต่ละคนปณิธานยิ่งใหญ่ทั้งนั้น ในสายตาจับจ้องแต่อนาคต จะมาเห็นผู้หญิงอยู่ในสายตาได้ยังไง สำหรับพวกเขาน่ะ ผู้หญิงคือสิ่งที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ ขอเพียงมีอำนาจแล้ว มีอะไรบ้างที่อยากได้แล้วไม่ได้? โลกนี้ไม่ยุติธรรมกับผู้หญิง ทำไมผู้หญิงต้องซื่อสัตย์กับคนเดียวไปตลอดชีวิต แต่ผู้ชายมีเมียได้เป็นโขยง! 

ในใจนางมีความคับแค้นต่อผู้ชาย มีความคับแค้นต่อคนในบ้านด้วย

 คนที่กล้าแต่งงานกับน้องสาวมีอยู่แล้ว  หวงฝู่จวินโหรวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

 ผู้ชายไร้ประโยชน์ที่จะอาศัยผู้หญิงเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งเหรอ?  ผังอวี้เหนียงพูดเหยียด

หวงฝู่จวินโหรวส่ายหน้า  ข้ารู้จักอยู่คนหนึ่งที่ไม่อาศัยผู้หญิงเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่ง เป็นชายผู้เก่งกาจล้ำเลิศ ทั้งยังไม่กลัวหวังลั่วด้วย ฐานะก็คู่ควรกับเจ้า ถ้าเจ้ายินดีจะแต่งงาน ข้าก็เป็นแม่สื่อให้เจ้าได้นะ กลัวก็แต่พ่อเจ้าจะไม่กล้าอนุญาตน่ะสิ! 

 มีเรื่องดีแบบนี้ด้วย พี่ยังหลีกทางให้คนอื่นได้ด้วยเหรอ?  ก่วงเม่ยเอ๋อร์เอามือป้องปากหัวเราะ

หวงฝู่จวินโหรวเม้มปากยิ้ม  ข้าแต่งออกไม่ได้ มีแต่ต้องแต่งเข้า เหอะๆ! 

พวกสาวๆ อมยิ้ม เข้าใจความหมายที่นางสื่อแล้ว ตระกูลหวงฝู่มีแต่ต้องแต่งงานรับลูกเขยเข้ามาเท่านั้น

ผังอวี้เหนียงสงสัยใคร่รู้  ที่พี่พูดหมายถึงใครคะ พูดให้ฟังหน่อย  นางแค้นเรื่องการแต่งงานจริงๆ อยากจะรีบแต่งงานไวๆ

หวงฝู่จวินโหรวหรี่ตา  คนนี้พวกเจ้าสองคนรู้จัก ผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล…หนิวโหย่วเต๋อ! 

เมื่อกล่าวแบบนี้ วงสุราก็เงียบลงทันที ก่วงเม่ยเอ๋อร์แอบกัดฟัน ส่วนผังเสี้ยวเสี้ยวก็ประสานนิ้วมือ

ผังอวี้เหนียงเงียบไปพักหนึ่ง แล้วส่ายหน้า  เขามีเมียแล้ว ถ้าเต็มใจเป็นอนุภรรยา ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเลือกเขาเท่านั้นหรอก โลกนี้มีผู้ชายตั้งมากมาย แต่จะว่าไปแล้ว หนิวโหย่วเต๋อก็เป็นคนที่โดดเด่นจริงๆจะบอกว่าเขาเป็นชายผู้เก่งกาจล้ำเลิศก็ไม่ถือว่าเกินไป ใต้หล้านี้ไม่มีใครเทียบเขาได้แล้ว ถ้าเขายินดีแต่งงานกับข้า ให้เป็นอนุภรรยาของเขาแล้วยังไงล่ะ?  เห็นได้ชัดว่าพูดเพราะความเมาเล็กน้อย

ผังเสี้ยวเสี้ยวได้ยินแล้วเบิกตากว้าง อกสั่นขวัญแขวนอยู่พักหนึ่ง

หวงฝู่จวินโหรวก็แค่ล้อเล่น นึกไม่ถึงว่านางจะยินดีจริงๆ เบิกตากว้างเช่นกัน  เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย? เจ้าเต็มใจเป็นอนุภรรยของเขาเหรอ? 

ผังอวี้เหนียงดื่มย้อมใจอึกหนึ่ง แล้วพูดขณะที่ตาปรือ  อย่างน้อยเขาก็เป็นผู้ชายที่มีคุณธรรมน้ำมิตร นึกถึงตอนนั้นต่อให้ไม่มีอนาคต แต่ก็ยอมชี้หน้าด่าอ๋องสวรรค์อิ๋งว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ กล้านำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้านเพื่อผู้หญิงที่ตัวเองรัก เป็นแม่ทัพที่เกรี้ยวโกรธเพราะสาวงาม ให้ความสำคัญกับความรักและมิตรภาพ ห้าวหาญชาญรบ กลอุบายไม่เคยขาด ก่อกวนสถานการณ์ในใต้หล้า มองข้ามหัวกลุ่มวีรบุรุษในใต้หล้า อายุยังน้อยแต่ก็มีตำแหน่งเหมือนอย่างทุกวันนี้ได้แล้ว ที่หายากที่สุดก็คือ ขนาดอยู่ในตำแหน่งอย่างเขาแล้ว แต่มีแค่ฮูยินหนึ่งคนกับอนุภรรยาหนึ่งคน จะเห็นได้ว่ารักษาใจเดิมไว้ได้ดี ไม่ลืมความมุ่งมาดปรารถนาเดิม กับผู้ชายแบบนี้ ต่อให้เป็นอนุภรรยาของเขาก็ไม่น่าอายหรอก ในปีนั้นข้าก็เคยชื่นชมเขามากเหมือนกัน สาวน้อยคนไหนไม่เคยมีความรักบ้างล่ะ ได้เจอเขาครั้งแรกที่อุทยานหลวง แต่น่าเสียดายที่ไร้วาสนา นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปีแล้วแล้ว อีกฝ่ายเป็นเจ้าอาณาเขตที่ข่มวีรบุรุษ เกรงว่าในสายตาเขาข้าคงเป็นแค่หนอนที่น่าสงสารตัวหนึ่ง เขาไม่ชายตาเหลียวแลเลย 

ปลดปล่อยความคิดในใจออกมาตามฤทธิ์สุรา เป็นเพราะอยู่ต่อหน้าสหายเหล่านี้ไม่มีอะไรต้องกังวล

ผังเสี้ยวเสี้ยวก้มหน้ากัดริมฝีปาก นางนึกไม่ถึงว่าพี่สาวสนใจหนิวโหย่วเต๋อตั้งนานแล้ว ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก ก่อนหน้านี้ตอนท่านพ่อนำพี่สาวมาบีบบังคับ ตัวเองก็คงช่วยให้พี่สาวสมหวังไปแล้ว

ก่วงเม่ยเอ๋อร์เองก็ถูกคำพูดนี้กระตุ้นให้เกิดความคิดบางอย่างเช่นกัน

หวงฝู่จวินโหรวเองก็คิดถึงคนเลวคนนั้น ในค่ำคืนที่เปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ จู่ๆ ก็อยากคุยกับคนเลวคนนั้น นางทำสายตาล่อกแล่ก แล้วหยิบระฆังดาราออกมา พูดหยอกล้อว่า  เมื่อก่อนตอนอยู่ตลาดสวรรค์ข้าเคยติดต่อกับเขา มีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับเขาอยู่ จะให้ข้าช่วยเป็นแม่สื่อให้เจ้ามั้ยล่ะ? 

ผังอวี้เหนียงหน้าแดงก่ำ นางก็แค่พูดเท่านั้นเอง มีหรือที่จะกล้าทำจริง แต่พอเห็นใบหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ของหวงฝู่จวินโหรว ก็นึกอีกฝ่ายจะท้าทายนาง จึงอาศัยฤทธิ์สุราพูดไปว่า  ถ้าเขากล้าแต่ง ข้าก็กล้าแต่ง! 

ก่วงเม่ยเอ๋อร์งุนงง ผังเสี้ยวเสี้ยวตกใจจนอ้าปากค้าง

หวงฝู่จวินโหรวยิ้มเจ้าเล่ห์จริงๆ ร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าระฆังดารา ติดต่อไปหาเหมียวอี้แล้ว ถามตรงๆ เลยว่า : ผู้ตรวจการใหญ่ มีเรื่องงดงามเรื่องหนึ่ง เจ้าจะกล้ารับไว้หรือเปล่า?

เหมียวอี้ที่กำลังคุยงานถูกนางปั่นจนงุนงง ถามว่า : จะมีเรื่องดีอะไรได้?

หวงฝู่จวินโหรว : สายเถาะจอมพลมีลูกสาวชื่อผังอวี้เหนียง เจ้ายินดีจะแต่งงานกับนางหรือเปล่า เจ้ากล้าแต่งงานกับนางหรือเปล่า?

ผังอวี้เหนียงมองนางอย่างวิตกกังวล คงไม่ได้ติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ หรอกใช่มั้ย? ถ้าจริง นางคงอับอายตายแน่

ผังเสี้ยวเสี้ยวกังวลเช่นกัน หวังว่าหวงฝู่จวินโหรวจะไม่เล่นแบบนี้

เหมียวอี้เหม่อแล้ว พี่สาวของเสี้ยวเสี้ยวเหรอ? เขาด่ากลับว่า : จวินโหรว เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?

หวงฝู่จวินโหรว : ไม่ได้พูดเหลวไหล ข้างกายข้ามีสาวสวยนั่งอยู่หลายคน สองพี่น้องตระกูลผัง แล้วก็มีก่วงเม่ยเอ๋อร์ เจ้าอยากได้คนไหนเดี๋ยวข้าจะเป็นแม่สื่อให้ ดูสิว่าข้าดีกับเจ้าขนาดไหน?

เสี้ยวเสี้ยวก็อยู่ด้วยเหรอ? เหมียวอี้ถามทันที : พวกเจ้าอยู่ด้วยกันได้ยังไง?

หวงฝู่จวินโหรวเล่าเรื่องที่เข้าร่วมงานชุมนุมตระการตาให้ฟังคร่าวๆ เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที นางเด็กเสี้ยวเสี้ยวนั่นทำไมไม่เชื่อฟัง แล้วหวงฝู่จวินโหรวมาร่วมวงได้ยังไง? ช่างไม่กลัวอะไรเลยจริงๆ!

………………

 

สวย! สวยจนทำให้ใจคนหวั่นไหวเหมือนระลอกน้ำกระเพื่อม นี่คือความรู้สึกแรกตอนที่หานลี่เข้ามา

ตอนที่นางเข้ามาในงาน ซีกโลกฝั่งที่จัดงานเป็นเวลากลางคืนพอดี ตอนที่ยังอยู่บนฟ้าก็ถูกภาพจากพื้นกระทบสายตาแล้ว

มหาสมุทรกว้างใหญ่สว่างพร่างพราวทำให้คนรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกมายา ทะเลกว้างโอบล้อมเกาะที่สีสันตระการตา

ตรงบริเวณน้ำตื้นมีพืชประเภทสาหร่ายเรืองแสง บนแผ่นดินใหญ่ก็มีพืชพันธุ์เรืองแสงนานาชนิดเช่นกัน ราวกับเป็นโลกจินตนาการ ตอนที่มองลงมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน ก็สวยงามจนทำให้คนใจป่น ทั้งลักษณะพื้นภูมิราวกับเป็นหยดน้ำตาของเทพธิดา

เหาะลงมาจากฟ้า เหยียบลงบนยอดเขาหลากสีสัน หานลี่หันตัวช้าๆ สายตากำลังมองพืชพรรณเรืองแสงนานาชนิดโดยรอบอย่างเคลิบเคลิ้ม ดอกไม้สีสันสดใสที่สว่างพร่างพราวทำให้คนอดใจไม่ไหวอยากจะเข้าใกล้

บริเวณนี้ล้วนแบ่งไว้เป็นที่พักของตัวแทนจากสำนักใหญ่ๆ ตรงหน้าเป็นอาคารบ้านเรือนที่สร้างจากหินผลึกพิเศษวึ่งส่องสะท้อนกับพืชพรรณแปลกตานานาชนิด เดิมทียอดเขาลูกนี้จมอยู่ในทะเลครึ่งหนึ่ง ยอดเขานี้เป็นเกาะแห่งหนึ่ง แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นแผ่นดินใหญ่แล้ว

สิ่งปลูกสร้างบริเวณเขตทะเลที่งดงามตระการตาล้วนเป็นอย่างนี้ ล้วนเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ตำหนักสวรรค์จัดสรรให้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชนชั้นสูงจำนวนมาก ในปีนั้นมีคนเสนอแนะในที่ประชุมขุนนาง แทบจะผ่านโดยไม่มีใครค้าน

และก่อนที่งานชุมนุมตระการตาจะเริ่ม ก็มีคนมาเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านเรือนทั้งหมดไว้ เอาไว้รอรับแขกเท่านั้น

 ถึงแล้ว!  แม่ทัพที่นำทางมากล่าวเตือน แล้วบอกกับลูกน้องตรงประตูอีกว่า  แขกผู้เกียรติท่านนี้ ผู้ตรวจการใหญ่ฮวาให้พามาพบท่านบุรุษหวงฝู่ 

ลูกน้องคนนั้นกล่าวขอบคุณที่เป็นธุระให้ แล้วกุมหมัดคารวะหานลี่อีก  ท่านบุรุษกำลังรอท่านอยู่ เชิญตามข้ามา 

พอเข้ามาในตึกศาลา หวงฝู่เยี่ยนก็กำลังพูดคุยกับพี่น้องตระกูลหวงฝู่พอดี หวงฝู่จวินโหรวก็อยู่ในนี้ด้วย หวงฝู่เยี่ยนก็คือท่านปู่ของนางนั่นเอง

หานลี่และสาวใช้ถูกพาเข้ามา หวงฝู่เยี่ยนหันกลับมายิ้ม แล้วกวักมือเรียกนางให้เข้ามา

หานลี่กัดริมฝีปากแดงกลม ดวงตาฉายแววสับสน ที่แท้ผู้ชายคนนี้ก็มาถึงก่อนแล้ว แต่กลับไม่ไปรับตน ทำให้ตนได้รับความอับอายอยู่ตรงจุดตรวจสอบ เห็นตนเป็นอะไร?

แต่ไม่นานนางก็เปลี่ยนใบหน้าเป็นรอยยิ้ม เดินมาย่อตัวคำนับตรงหน้าหวงฝู่เยี่ยน

หวงฝู่เยี่ยนลุกขึ้นยืน คว้ามือเรียวสวยของนาง แล้วแนะนำให้กลุ่มหลานๆ รู้สึก  หานลี่ ต่อไปพวกเจ้าเรียกนางว่าท่านย่าบุญธรรมก็แล้วกัน 

พอได้ยินแบบนี้ หานลี่ก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย แม้จะไม่ให้ฐานะอะไรกับตน แต่การแนะนำตัวต่อหน้าคนในตระกูลแบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการยอมรับ

ลูกหลานตระกูลหวงฝู่มองหน้ากันเลิกลั่ก มีคนไม่น้อยเคยได้ยินชื่อผู้หญิงคนนี้มาก่อน เหมือนภูมิหลังจะมีจุดด่างพร้อย ไม่อาจแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่ได้ ถูกเจ้าบ้านใหญ่เลี้ยงไว้นอกบ้านตลอด ไม่เคยแม้แต่แต่งงานรับเข้าบ้าน จะให้พวกเราเรียกว่าท่านย่าบุญธรรมเหมาะสมแล้วเหรอ? ดูท่าแล้วเจ้าบ้านใหญ่ยังคงคิดจะให้ผู้หญิงคนนี้เข้ามาในตระกูล

แต่กลุ่มลูกหลานก็ยังกุมหมัดทำความเคารพอย่างเชื่อฟัง  คำนับท่านย่าบุญธรรม!  หวงฝู่จวินโหรวก็รวมอยู่ในนั้นด้วย

หานลี่ย่อตัวทักทายกลับ

 จวินโหรว หวงฝู่เยี่ยนกวักมือเรียกหวงฝู่จวินโหรว

หวงฝู่จวินโหรวก้าวขึ้นมารอฟังคำสั่งทันที หวงฝู่เยี่ยนสั่งว่า  นางอยู่ที่นี่ไม่คุ้นเคยกับใคร เจ้าสังคมกว้างขวาง ตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้าก็อยู่เป็นเพื่อนนางหน่อย 

 ค่ะ!  ในใจหวงฝู่จวินโหรวรู้สึกเซ็ง แต่ภายนอกก็ยังต้องยิ้มรับ ทั้งยังต้องยิ้มให้หานลี่ด้วย

ตอนนี้ท่านปู่มีสิทธิ์มีเสียงมากในตระกูล ตอนนี้นางเป็นผู้ช่วยระดับเขตของสมาคมวีรชนแล้ว ถ้าอยากจะรับช่วงตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ของมารดา ก็ยังต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากท่านปู่

ที่จริงนางเองก็รู้สึกว่าไม่ค่อยมีหวังที่จะรับตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ต่อจากมารดา สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น แม้ผู้หญิงตระกูลหวงฝู่จะไม่แต่งงานออก แต่บางตำแหน่งกลับให้ลูกสาวตัวเองนั่งได้เท่านั้น อาจจะไม่ให้หลานสาวนั่งก็ได้ ญาติสายตรงกับญาติที่ห่างกันหนึ่งชั้นนั้นแตกต่างกัน แม้มารดาจะพยายามช่วงชิงให้นางมาตลอด แต่นางก็ไม่ได้หวังมากเลยจริงๆ ผู้ช่วยระดับเขตอาจจะเป็นขีดจำกัดสูงสุดที่นางจะได้จากตระกูลหวงฝู่ ถ้าสูงกว่านี้อาจจะเป็นแค่ตำแหน่งพ่อบ้านของตระกูลแต่ในนามเท่านั้น

นางพึมพำในใจว่า ตัวเองไม่ได้มางานชุมนุมตระการตานานขนาดนี้ จู่ๆ ท่านปู่ก็เรียกให้นางมาด้วยกัน ที่แท้วุ่นวายอยู่ตั้งนานก็เพื่อเตรียมการให้ผู้หญิงคนนี้

พอเห็นว่าส่งหานลี่ให้หวงฝู่จวินโหรวแล้ว ลูกหลานคนอื่นในตระกูลก็ไม่ค่อยพอใจ การที่หานลี่คนนี้ถูกพามาที่นี่ได้ ก็เห็นได้ชัดว่าได้รับความโปรดปรานจากเจ้าบ้านใหญ่ ถ้าตีสนิทไว้จะต้องมีประโยชน์ต่อฐานะของตัวเองในตระกูลแน่นอน ทว่าหวงฝู่จวินโหรวก็มีเงื่อนไขเหมาะสม เจ้าบ้านใหญ่คงไม่ส่งหญิงชู้งามหยดย้อยคนนี้ผู้ชายคนอื่นหรอก กอปรกับหวงฝู่จวินโหรวเป็นผู้หญิงของตระกูลที่ยังไม่ได้แต่งงาน รู้จักคนในแวดวงต่างๆ เยอะมาก เหมาะสมที่จะให้อยู่เป็นเพื่อนพอดี ทำให้คนอื่นคัดคานไม่ได้

คนในตระกูลเห็นหวงฝู่จวินโหรวไม่ยอมแต่งงานเสียที ยังนึกว่าหวงฝู่จวินโหรวทะนุถนอมตัวเองเพื่อรับตำแหน่งของมารดาตัวเองต่อ แต่ใครเล่าจะรู้ถึงความขื่นขมในใจนาง ตอนนี้เหมียวอี้มีฐานะสูง ในมือมีกำลังทหารเยอะ ฐานะผู้จัดการใหญ่ของตระกูลหวงฝู่สามารถประกาศว่าเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้ได้เหรอ? แค่เหมียวอี้สั่งคำเดียวก็ทำให้ร้านค้าของสมาคมวีรชนทั้งตลาดสวรรค์เสียหายอย่างหนักได้แล้ว ช่วยไม่ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเหมียวอี้ไม่มีทางเปิดเผยได้เลย

หลังจากกำชับพักหนึ่ง หวงฝู่เยี่ยนก็พาหานลี่ไปที่ห้องของตัวเอง ส่วนทั้งสองจะไปทำอะไร ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นหลานต้องสนใจแล้ว

หลังจากพวกหลานๆ แยกย้าย หวงฝู่จวินโหรวที่กลับเข้ามาในห้องตัวเองก็ได้รับข้อความผ่านระฆังดารา มีคนชวนนางไปเที่ยวเล่นด้วยกัน นางเห็นว่าหานลี่เย้ายวนขนาดนั้น ขนาดผู้หญิงด้วยกันเห็นแล้วยังหวั่นไหว คาดว่าคืนนี้ท่านปู่คงไม่ต้องให้ตนอยู่เป็นเพื่อนหานลี่นั่นแล้ว นางจึงออกไปหาเพื่อนเล่นข้างนอก

สมาชิกครอบครัวของจวนจอมพลสายเถาะใช้เวลาวันเดียวก็มาถึงแล้ว ตำแหน่งที่พักของตระกูลผังย่อมไม่ธรรมดา อยู่ในทำเลที่ค่อนข้างดี

บนตึกศาลาสวยงดงาม คนในตระกูลผังหลายร้อยกำลังคึกครื้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสตรี

แม้ผังก้วนจะมีอนุภรรยาสิบกว่าคน แต่จาหรูเยี่ยนก็ค่อนข้างใช้อำนาจบาตรใหญ่ อนุญาตให้สามีแต่งงานรับอนุภรรยาได้ แต่เรื่องให้กำเนิดทายาทนางเหมาไปคนเดียว ไม่ให้โอกาสผู้หญิงคนอื่นเลย ลูกชายสองคนกับลูกสาวสองคนของผังก้วนล้วนเกิดจากจาหรูเยี่ยน ดังนั้นตำแหน่งของจาหรูเยี่ยนที่ตระกูลผังจึงมั่นคงมาก ถ้าผู้หญิงคนไหนกล้าเป็นภัยคุกคามกับตำแหน่งของนาง ก็ต้องถามลูกๆ ของนางก่อนว่าย่อมหรือเปล่า

ที่นี่นอกจากผู้หญิงกับลูกสาวของผังก้วนแล้ว ก็มีแค่ผู้หญิงของลูกชายผังก้วน แม้ลูกชายสองคนจะยังไม่ได้แต่งงานมีภรรยาเอก แต่การรับอนุภรรยากลับไม่เคยขาด

จาหรูเยี่ยนนั่งสง่าอยู่เบื้องสูง ข้างซ้ายและขวาเป็นลูกสาวสองคน

ทอดสายตามองไปมีแต่ผู้หญิง ไม่เห็นผู้ชายสักคน จาหรูเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะกลุ้มใจ ลูกชายทั้งสองไม่ยอมมาด้วย การเที่ยวเล่นแบบนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจ กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อล้าหลังตั้งนานแล้ว หมดความน่าสนใจเหมือนคนแก่อย่างพวกเขา

มีอยู่สิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องยอมรับ แม้จาหรูเยี่ยนจะไม่ได้เรื่องสักเท่าไร แต่ลูกสาวลูกชายแต่ละคนกลับไม่แย่เลย ในบรรดาลูกหลานขุนนางชั้นสูง ลูกๆ นางเป็นประเภทมีความสามารถโดดเด่น แบ่งเบาภาระของผังก้วนได้ตั้งนานแล้ว คนหนึ่งเป็นหัวหน้าภาคที่มีอำนาจทางทหาร อีกคนก็เป็นแม่ทัพภาคที่มีอำนาจทางทหารเช่นกัน และทั้งสองก็มีตำแหน่งลอยอยู่ข้างกายผังก้วนด้วย ค่อนข้างมีความสามารถ นี่คือเรื่องที่ผังก้วนภูมิใจ ทำให้ผังก้วนไม่กังวลเรื่องผู้สืบทอด

เรื่องบางเรื่องแม้แต่ผังก้วนเองก็สงสัย นั้นก็คือนิสัยของฮูหยินเป็นแบบนั้น ทำไมถึงสั่งสอนลูกแต่ละคนได้ดีมาก ขณะที่ปลื้มอกปลื้มใจก็มีแต่จะนึกว่าเป็นเพราะได้รับกรรมพันธุ์ดีๆ มา ล้วนเป็นกรรมพันธุ์ที่ดีของตน

หารู้ไม่ว่าลูกชายลูกสาวของตัวเองนั้นรับรู้ถึงพฤติธรรมอันไม่เหมาะสมของมารดาอย่างลึกซึ้ง จึงใช้มารดาเป็นตัวอย่างด้านลย บีบให้พวกเขากลายเป็นอย่างนี้

ผังอวี้เหนียงในเวลานี้กลับหลงระเริงปล่อยตัว ถึงขนาดดื่มสุราจากกาเต็มที่ ดื่มจนเมามายเล็กน้อย

จาหรูเยี่ยนเอียงหน้ามองมา ยื่นมือไปแย่งกาสุรา ทำสายตาดุจ้องผังอวี้เหนียง แล้วตำหนิว่า  มีลูกสาวบ้านไหนเป็นอย่างเจ้ามั้ย? 

ผังอวี้เหนียงดื่มจนเรอ หัวเราะคิกคักขณะมองมารดาตัวเอง

 เจ้านี่นะ…  จาหรูเยี่ยนอยากจะด่า แต่สุดท้ายก็ทำสีหน้าสงสาร ด่าไม่ออก ลูกสาวที่แสนดีของนางกลายเป็นอย่างดีไปได้ นางเองก็เข้าใจถึงความเก็บกดขื่นขมในในลูก ล้วนเป็นเพราะหวังลั่ว น่าสับสักพันชิ้นหมื่นชิ้น

 ท่านแม่!  ผังเสี้ยวเสี้ยวที่อยู่ข้างๆ ดึงแขนเสื้อมารดา

พอหันกลับมามองลูกสาวคนเล็กของตัวเอง จาหรูเยี่ยนก็ทำสีหน้าปลาบปลื้มอีกครั้ง พบว่าพอลูกสาวตัวเองแต่งงานแล้วเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน เรียกได้ว่าสดใสเปล่งประกาย เปลี่ยนเป็นสวยขึ้นกว่าเดิม จะเห็นได้ว่าลูกเขยจอมเอาเปรียบนั่นไม่ได้ปฏิบัติต่อลูกสาวนางไม่ดี

สิ่งเดียวที่ทำให้นางรำคาญใจก็คือ นางไม่สามารถโอ้อวดต่อภายนอกได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อคือลูกเขยของนาง แต่พอคิดไปคิดมา ตอนนี้ยังไม่บอกก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ลูกสาวนางเป็นอนุภรรยา รอให้หนิวโหย่วเต๋อได้เป็นจอมพลแล้ว รอให้ลูกสาวนางกลายเป็นฮูหยินเอก ถึงตอนนั้นค่อยประกาศก็จะดูมีหน้ามีตากว่า

บางทีอาจจะนึกอะไรขึ้นได้ จู่ๆ ก็มีคนมารายงานว่า  ฮูหยิน นายท่านหวังลั่วขอพบ! 

เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วตรงนั้นเงียบลงทันที ทุกคนต่างมองไปที่ผังอวี้เหนียงเงียบๆ แต่กลับเห็นผังอวี้เหนียงทำสีหน้าปกติ

จาหรูเยี่ยนทำสีหน้าเย็นเยียบลงทันที แต่ถ้าไม่ไปพบก็คงไม่เหมาะ จึงขานรับแล้ว

ผ่านไปครู่เดียว ชายวัยกลางคนหนวดยาวรูปร่างกำยำเหมือนหมีก็เดินก้าวยาวเข้ามา คนคนนี้ก็คือหวังลั่ว ข้างหลังยังมีชายหนุ่มตามมาด้วยอีกสิบกว่าคน ล้วนเป็นแม่ทัพใต้สังกัดของหวังลั่ว

พอหวังลั่วเข้ามาในตึกศาลาก็มองไปที่ผังอวี้เหนียงทันที พอเดินไปถึงตรงกลางแล้วถึงได้มองจาหรูเยี่ยน จากนั้นก็ทำลูกน้องกุมหมัดคารวะ  ข้าน้อยคำนับฮูหยิน! 

 มีธุระอะไรเหรอ?  จาหรูเยี่ยนถามด้วยสีหน้าเย็นชา

หวังลั่วตอบกลับด้วยรอยยิ้ม  ได้ยินว่าฮูหยินอยู่ที่นี่ มีหรือที่จะเสียมารยาทไม่มาทักทาย ที่แท้คุณหนูใหญ่ก็อยู่ด้วย หวังลั่วทักทาย  ตั้งใจกุมหมัดคารวะผังอวี้เหนียง

ผังอวี้เหนียงที่ดื่มจนตาเคลิ้มพยักหน้า

จาหรูเยี่ยนกล่าวเสียงเย็นราวกับน้ำแข็ง  ทักทายก็ทักทายแล้ว ที่นี่มีสมาชิกครอบครัวผู้หญิง ท่านขุนพลใหญ่ไม่เหมาะจะอยู่ตรงนี้ 

หวังลั่วมองกลุ่มผู้หญิงที่พูดคุยกันอยู่รอบๆ พบว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ จึงกุมหมัดคารวะอีกครั้งทันที  พวกข้าน้อยขอตัว!  ก่อนจะออกไป สายตายังไม่ยอมละออกจากผังอวี้เหนียง

ผู้ชายกลุ่มหนึ่งเดินออกจากแหล่งที่เต็มไปด้วยเครื่องประทินโฉมสตรี พอออกมานอกลานบ้าน หวังลั่วก็โบกมือเรียกลูกน้องคนหนึ่งให้เข้ามา แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า  เจ้าเลือกคนมาสักสองคนให้เฝ้าตรงนี้ไว้ ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไรก็รายงานข้าทันที 

 เข้าใจแล้วขอรับ!  ลูกน้องคนนั้นเอ่ยรับด้วยรอยยิ้ม ย่อมรู้อยู่แล้วว่าจะให้ตัวเองจับตาดูผังอวี้เหนียง จะได้หาโอกาสสารภาพความในใจได้สะดวก

 ไป ดื่มสุรา!  หวังลั่วเรียกคนอื่นๆ ไปกับเขา

ผังอวี้เหนียงที่อยู่ในตึกศาลาเหมือนหมดความสนใจกับความคึกคักตรงนี้แล้ว นางบอกจาหรูเยี่ยนว่า  ท่านแม่ ข้านัดสหายไว้ ไปก่อนนะ 

จาหรูเยี่ยนถามทันที  ชายหรือหญิง?  นางเฝ้าคอยให้มีชายผู้กล้าหาญมาหาลูกสาวตัวเอง แน่นอนว่ายกเว้นหวังลั่ว เพราะนั่นคือสายลับที่ฮ่าวเต๋อฟางมาแทรกไว้ข้างกายสามีนาง

ผังอวี้เหนียงกลอกตาแล้วตอบว่า  หวงฝู่จวินโหรว 

ช่างเป็นคนประเภทเดียวกันจริงๆ สาวแก่ใกล้ขึ้นคานสองคนนี้มาคบกันได้อย่างไร? จาหรูเยี่ยนพึมพำในใจ อดไม่ได้ที่จะผิดหวัง เห็นท่าทางเมามายของลูกสาว กลัวว่าจะก่อเรื่องเหลวไหล จึงหันมาบอกผังเสี้ยวเสี้ยวว่า  เจ้าไปเป็นเพื่อนพี่สาว ไปคอยดูแลนางหน่อย 

…………………

 

งานชุมนุมตระการตา ความหมายตามชื่อ งดงามตระการตาไร้ที่เปรียบ

สถานที่จัดงานก็คือดาวดำเนินธารา สำหรับปราสาทดำเนินธาราแล้ว การจัดงานก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือก เพราะทุกๆ ร้อยปี กระแสน้ำขึ้นน้ำลงใหญ่ของดาวดำเนินธาราจะทำให้แผ่นดินที่จมน้ำไปครึ่งหนึ่งโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ กินระยะเวลานานสามเดือน ในช่วงเวลานี้พืชพันธุ์แปลกตาจะทยอยเติบโตอย่างบ้าคลั่ง ต้นไม้ใบหญ้าสวยอัศจรรย์จะเบ่งบานอลังการ สวยงามตระการตาไร้ที่เปรียบ สถานที่อื่นไม่มีทางเลียนแบบได้ ในช่วงเวลาที่เบ่งบานที่สุดหนึ่งเดือน ก็คือช่วงงานชุมนุมตระการตา

แผ่นดินใหญ่ที่ลอยขึ้นมานี้ถูกขนานนามว่าน่านน้ำงามตระการตา

ทิวทัศน์อันงดงามเช่นนี้ ให้ปราสาทดำเนินธาราดื่มด่ำแต่ผู้เดียว ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับพวกขุนนาง เพราะคนพวกนั้นไม่ได้สนใจสิ่งนี้เลย แต่สำหรับสมาชิกในครอบครัวกลับไม่ใช่อย่างนั้น วันนี้คนนี้มาบอกให้ผ่อนผันให้ชื่นชมทิวทัศน์สักหน่อย พรุ่งนี้คนนั้นก็มาบอกให้ผ่อนผันให้อีก ปราสาทดำเนินธารายุ่งยากมาก วังสวรรค์เองก็ยุ่งยากเช่นกัน แต่เกี่ยวข้องกับหน้าตาศักดิ์ศรีของขุนนางชั้นสูงมากเกินไป สุดท้ายวังสวรรค์กับปราสาทดำเนินธาราก็ปรึกษากัน ทั้งสองฝ่ายกำหนดแล้วว่าจะจัดงานเป็นเวลาหนึ่งเดือนในช่วงที่ดอกไม้เบ่งบานที่สุด นี่ก็คือประวัติความเป็นมาของงานชุมนุมตระการตา

ช่วงถึงจะเข้าไปได้ หลังจากผ่านช่วงนี้ไปก็จะออกไปทันที ไม่ว่าใครก็ห้ามก้าวเข้าไปน่านน้ำงามตระการตา ห้ามรบกวนปราสาทดำเนินธารา ถ้าขัดคำสั่ง ประหาร!

ส่วนดาวดำเนินธาราก็อยู่ในอาณาเขตทัพเหนือ หน้าที่หลักในการป้องกันก็ตกเป็นของทัพเหนือ

ช่วงจัดงานก็เรียกได้ว่ามีกำลังทหารป้องกันหนาแน่น สอบสวนเข้มงวด ไม่ใช่ว่าใครก็เข้ามาได้ มีเพียงครอบครัวของคนระดับหัวหน้าภาคขึ้นไปถึงจะเข้าไปได้

คนระดับหัวหน้าภาคขึ้นไปสามารถใช้แผ่นหยกขุนนางยืนยันตัวตนและเข้าไปได้ ส่วนคนในครอบครัวก็ต้องแจ้งล่วงหน้า รายงานจำนวนคนที่เข้าร่วมรวมทั้งฐานะให้ชัดเจน หลังจากมาถึงที่นี่แล้วก็จะตรวจสอบทีละคน ไม่ปล่อยผ่านแม้แต่คนเดียว แน่นอน มีคนในครอบครัวบางคนอาศัยฐานะของตัวเองก็เข้าไปได้แล้ว ผู้หญิงบางคนก็มีบรรดาศักดิ์เทียบเท่าหัวหน้าภาค คนพวกนี้พออาศัยแผ่นหยกบรรดาศักดิ์ก็สามารถเข้าไปได้โดยตรง

ผู้มีอำนาจพวกนี้นำบ่าวไพร่มาปรนนิบัติอย่างเลี่ยงไม่ได้ ใช่ว่าเจ้าอยากพาเข้าไปเท่าไรก็พาไปได้ อิงตามยศของขุนนาง เพิ่มจำนวนไปทีละขั้น คนทั่วไปสามารถบ่าวรับใช้มาได้คนเดียว การตรวจสอบบ่าวไพร่ก็ยิ่งเข้มงวดกว่า ไม่สามารถให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปได้เลย เพราะบ่าวไพร่มักจะโดนคนวางอุบายได้ง่ายมาก

ตอนนี้งานชุมนุมตระการตาก็เข้มงวดยิ่งกว่าเดิม นอกจากจะต้องแสดงโฉมหน้าที่แท้จริงแล้ว ยังต้องแสดงสัญลักษณ์พลังให้ตรวจสอบด้วย

แน่นอน นอกจากตำหนักสวรรค์แล้วยังมีคนอีกกลุ่มที่เข้าร่วมงานได้เป็นกรณีพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นพระจากแดนพุทธะ พวกตัวแทนจากสำนักใหญ่ๆ

นอกจากนี้ รอบๆ ดาวดำเนินธาราแทบทุกที่ก็มีกำลังทหารสำรองไว้ ถ้าอยากจะถือวิสะสาบุกเข้ามาก็เป็นไปไม่ได้เลย

ดาวดวงหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเคลื่อนมาจากที่ไหน ตอนนี้ถูกนำมาดัดแปลงให้ราบเรียบเป็นเป็นชานชาลาชั่วคราว คนที่มาจากสายต่างๆ ล้วนต้องผ่านการตรวจสอบตรงนี้ก่อนถึงจะเข้าไปได้

ที่นี่มีงานไม่น้อยเลย คนระดับหัวหน้าภาคขึ้นไปมีจำนวนไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น บางคนก็มีอนุภรรยาหลายคน จำนวนคนที่เข้างานมีเยอะแค่ไหน แค่คิดดูก็รู้แล้ว

แต่ก็ใช่ว่าใครๆ ก็ล้วนเข้ามาประสมโรงได้ บางคนก็ไม่ชอบความคึกครื้นเช่นกัน ยังมีบางคนที่เคยเข้าร่วมและรู้แล้วว่างานชุมนุมตระการตาเป็นอย่างไร จึงขี้คร้านจะมาอีก ส่วนใหญ่มาเข้าร่วมงานทุกครั้งก็มี

โดยเฉพาะคนระดับหัวหน้าภาคขึ้นไป สำหรับพวกเขาแล้ว ต่อให้ทิวทัศน์จะสวยกว่านี้ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ คนประเภทนี้ไม่ได้สนใจงานชุมนุมตระการตาเลย ที่สนใจจริงๆ ก็คืองานเลี้ยงอุทยานหลวง เป็นงานที่จัดทุกหนึ่งพันปี มีเพียงคนระดับที่เข้าประชุมราชสำนักได้เท่านั้นถึงจะเข้าร่วมได้ พวกเขาเฝ้าปรารถนางานนั้น!

ดังนั้นงานชุมนุมตระการตาส่วนใหญ่ก็จะมีแต่คนในครอบครัวขุนนางตำหนักสวรรค์เข้าร่วม ขุนนางไม่ได้มาเอง และมีพวกเจาะหาช่องทางมาหาโอกาสเช่นกัน

จุดตรวจสอบ ทหารอารักขาที่ติดตามมาถูกกันออกไปแล้ว เข้ามาข้างในไม่ได้ ในงานมีคนของกองทัพองครักษ์ประจำอบู่ ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขามาเพิ่มความวุ่นวาย ยิ่งคนมากก็ยิ่งเกิดความวุ่นวายได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่พาทหารอารักขามาเสริมความกล้าด้วย

ลำพังแค่ทหารอารักขาที่คนร่วมงานแต่ละสายพามาด้วยก็เป็นจำนวนที่น่าตกใจแล้ว นับว่าเป็นการป้องกันอีกระดับเช่นกัน

พวกจั่วเอ๋อร์ก็มาแล้วเช่นกัน พระปีศาจหนานโปมาด้วยตัวเอง คนหนึ่งร้อยสวมเกราะรบปลอมตัวเป็นกำลังพลของตำหนักสวรรค์ ยืนรออยู่บนดาวดวงเล็กดวงหนึ่ง ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองตามสาวสวยเย้ายวนคนหนึ่งไปยังจุดตรวจสอบ

ผู้หญิงคนนี้ชื่อว่าหานลี่ หน้าตางดงามดุจเทพธิดาจริงๆ มีเสน่ห์หลายมิติ ผิวเด้งฉ่ำราวกับเป่าแล้วจะแตกได้ ชุ่มชื้นราวกับบีบน้ำออกมาได้ ดวงตาหวานเยิ้มเย้ายวน มองแล้วเคลิบเคลิ้ม

หานลี่ก็คือหญิงชู้ของหวงฝู่เยี่ยน ถ้าหน้าตาสวยธรรมดา มีหรือที่จะได้รับความโปรดปรานจากหวงฝู่เยี่ยน?

ทว่างดงามก็ส่วนงดงาม ในสถานที่ที่มีขุนนางชนชั้นสูงมารวมตัวกันมากมายขนาดนี้ นางไม่นับว่าสำคัญอะไรเลยจริงๆ

ความงามของนางย่อมดึงดูดสายตาของคนมากมาย โดยเฉพาะพวกผู้ชายที่เข้ามาร่วมงาน เพียงแต่ถ้าไม่รู้ฐานะชัดเจน ก็ไม่มีใครกล้ามาจีบซี้ซั้ว ถ้าเป็นผู้หญิงของคนใหญ่คนโตตระกูลไหนขึ้นมา ก่อเรื่องแล้วก็จะรับผลที่ตามมาไม่ไหว

 รีบดูผู้หญิงคนนั้นสิ หน้าอกนั่น เอวนั่น ก้นนั่น ขนาดมองยังเคลิ้ม! 

 ของบ้านใครกัน? เหมือนจะไม่เคยเห็น ใครก็ได้เข้าไปถามที 

 ข้าเข้าไปถามเอง 

 เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ พอเข้างานไปแล้วค่อยๆ สืบเอาก็ยังไม่สาย อย่าแส่หาเรื่องเลย 

พวกผู้ชายที่อยู่ไม่ไกลกำลังหรี่ตามองเรือนร่างของหานลี่อย่างเจ้าชู้ อยากจะเข้าไปจีบก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าหานลี่ค่อนข้างกลัวหัวกด เหมือนไม่กล้าเข้าไปที่จุดตรวจสอบ ทั้งยังเหมือนกำลังรอใครบางคนอยู่ ดูเหมือนไม่มีภูมิหลังอะไร ต่อให้มีคนหนุนหลังก็เหมือนจะไม่ใช่คนใหญ่คนโต พวกผู้ชายที่วุบซิบกันอยู่ตรงนี้เริ่มกระเหี้ยนกะหือรือแล้ว

หานลี่อยู่ที่นี่แล้วกลัวจนหัวหดจริงๆ ฐานะของนางค่อนข้างรากหญ้า สุ่มใครสักคนจากที่นี่ก็มีฐานะสูงกว่านางทั้งนั้น

นี่ก็เป็นสาเหตุที่นางคับแค้นตระกูลหวงฝู่ ถ้าไม่ใช่เพราะหวงฝู่เยี่ยน อาศัยความงามของนางจะหาผู้ชายที่มีฐานะสูงส่งสักคนไม่ได้เชียวเหรอ? หวงฝู่เยี่ยนครอบครองนางแต่กลับไม่ให้ฐานะนางเลย ไม่อย่างถ้าอาศัยฐานะอนุภรรยาของหวงฝู่เยี่ยน ไม่ว่าจะไปไหนนางก็ยืดอกเชิดหน้าเดินได้ทั้งนั้น จำเป็นต้องกลัวหัวหดแบบนี้ด้วยเหรอ?

เมื่ออยู่ท่ามกลางสายตาของคนอื่น นางรู้สึกอัปยศอดสู รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนสุนัขตัวหนึ่งที่ปะปนเข้ามาในวงสังคมชั้นสูง

แต่หวงฝู่เยี่ยนที่นัดกันไว้ที่นี่ก็ดันไม่มาเสียที นางเลยต้องเหลียวซ้ายแลขวา ถ้าหวงฝู่เยี่ยนไม่มา เช่นนั้นนางก็เสียหน้าแล้ว แม้แต่ประตูก็เข้าไม่ได้ ทำได้เพียงจากไปอย่างเศร้าหมอง

ทหารสวรรค์หลายคนพบว่านางผิดปกติไป จึงเดินเข้าไปหา แล้วสอบถามว่า  ทำอะไร? 

หานลี่ตอบอย่างไม่มั่นใจ  เข้าร่วมงานชุมนุมตระการตา  คนที่อยู่ข้างกายนางก็ยิ่งไม่กล้ามองหน้า

เมื่อเห็นนายบ่าวมีท่าทางเหมือนกินปูนร้อนท้อง ทหารยามที่ตรวจสอบก็รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล หนึ่งในนั้นจึงบอกว่า  มาจากตระกูลไหน บัตรผ่านออกมาให้ดู 

ตระกูลไหนเหรอ? หานลี่บอกได้เหรอว่าตัวเองมาจากบ้านไหน? บัตรผ่าน? หวงฝู่เยี่ยนไม่ใช่ขุนนางตำหนักสวรรค์ จะเอาบัตรผ่านจากไหนมาให้นาง

สีหน้านางอับอายมาก ไม่รู้ว่าควรแสดงฐานะของหวงฝู่เยี่ยนหรือไม่ ที่สำคัญคือนางนับเป็นอะไรกับหวงฝู่เยี่ยนล่ะ ทั้งยังไม่มีฐานะอะไรด้วย บางครั้งฐานะดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องอะไร แต่ในบางโอกาสกลับแสดงฐานะของคนคนหนึ่งได้อย่างแท้จริง

เมื่อเห็นนางชักช้าไม่ตอบสักที พวกทหารยามก็เข้ามาล้อมนายบ่าวคู่นี้ไว้ทันที แล้วคนคนนั้นก็พูดจาไม่เกรงใจเลย  นำออกมา! 

เมื่อเห็นฉากนี้ หึหึ เหมือนจะไม่มีภูมิหลังอะไร ผู้ชายหลายคนที่อยู่ใกล้ๆ เงยหน้ายืดอกเดินเข้ามาทันที เตรียมจะมาช่วยกู้สถานการณ์ให้สาวงาม

 มีเรื่องอะไรกัน?  มีเสียงอันเย็นเยียบดังมา

พอหันหน้ากลับมา ก็เห็นผู้ชายพวกนั้นเดาะลิ้น ฮวาอี้เทียน ผู้ตรวจการใหญ่กองทัพองครักษ์มาแล้ว จึงรีบถอยออกไปเงียบๆ

 นายท่าน ผู้หญิงสองคนนี้น่าสงสัย  ทหารยามคนหนึ่งกุมหมัดคารวะรายงาน

 ถอยออกไป ข้าพามาเอง  ฮวาอี้เทียนโบกมือ

ในเมื่อเขาเอ่ยปากอย่างนี้แล้ว พวกทหารอารักขาก็สบตากันแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยรับแล้วถอยออกไป

เมื่อข้างกายไม่มีคนแล้ว ฮวาอี้เทียนก็มองสำรวจหานลี่ที่กำลังหลบสายตา แล้วถามว่า  ชื่ออะไร? 

 หานลี่!  หานลี่ตอบเสียงเบา

ตอนนี้ฮวาอี้เทียนถึงได้บอกว่า  หวงฝู่เยี่ยนให้ข้ามารับเจ้า พวกเราไม่เคยพบกัน ตรวจตราอิทธิฤทธิ์ยืนยันตัวตนสักหน่อยเถอะ  ยื่นมือส่งแผ่นหยกให้แผ่นหนึ่ง

พอได้ยินชื่อหวงฝู่เยี่ยน หานลี่ก็โล่งอก รับแผ่นหยกของนายบ่าวที่ลงตราอิทธิฤทธิ์แล้วคค่อยคืนให้

หลังจากฮวาอี้เทียนยืนยันตัวตนของทั้งสองแล้ว ก็กล่าวขออภัย  ขออภัย เดิมทีควรจะมารอพวกเจ้าที่นี่ เมื่อครู่นี้มีธุระนิดหน่อย ทำให้พวกเจ้าลำบากแล้ว ตามข้ามา! 

เขาหันตัวมานำทั้งสองไปยังจุดตรวจสอบ ตะคอกใส่กลุ่มคนที่มาเข้าแถวรอรับการตรวจสอบข้างหน้า  หลีกทาง! 

พอกลุ่มคนหันกลับมาแล้วเห็นว่าเป็นเขา ก็ทยอยกันหลีกทางไปทางซ้ายและขวา มีบางคนเห็นฮวาอี้เทียนนำคนมาแทรกแถวข้างหลัง จึงทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า  ผู้ตรวจการใหญ่ นี่ท่านกำลังใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตัวนะ! 

ฮวาอี้เทียนหันกลับมามองเขาแวบหนึ่ง คนคนนั้นหุบปากทันที ที่งานนี้มีกองทัพองครักษ์เฝ้าอยู่ จะไปล่วงเกินฮวาอี้เทียนทำไม ไม่อยากสนุกอยู่ในงานชุมนุมตระการตาแล้วเหรอ?

 ตรวจสอบพวกนางก่อน  พอเดินไปถึงสถานที่ตรวจสอบ ฮวาอี้เทียนก็บอกกับคนตรวจสอบอีกครั้ง เขาไม่มีเวลาว่างมาต่อแถวช้าๆ เป็นเพื่อนหญิงชู้ของหวงฝู่เยี่ยน ถ้าไม่ใช่เพราะคนทั่วไปหน้าไม่ใหญ่พอที่จะรับหน้าที่นี้ เขาก็ไม่ออกมารับคนเองเช่นกัน

นี่คือสิ่งที่ซ่างกวนชิงบอกกองทัพองครักษ์ไว้ล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นฮวาอี้เทียนคงไม่ทำเรื่องประเภทนี้ ผู้มีอำนาจมากมายมารวมกัน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นแล้วจะถือเป็นความรับผิดชอบของใคร?

จะเห็นได้ว่าการพาคนที่ไร้ฐานะมาด้วยนั้นยากเย็นขนาดไหน ไม่น่าเชื่อว่ายังต้องรบกวนผู้การใหญ่วังสวรรค์ถึงจะผ่านได้ จะเห็นได้เลยว่ากว่าหานลี่จะโน้มน้าวหวงฝู่เยี่ยนสำเร็จนั้นไม่ง่าย การจะพาหานลี่เข้ามาด้วยนั้นยุ่งยากจริงๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นยามปกติ หวงฝู่เยี่ยนคงไม่มีทางมาขอร้องซ่างกวนชิงเรื่องนี้ พอดีว่าตู้เฉียวลูกน้องคนสนิทของซ่างกวนชิงอยู่ที่ตระกูลหวงฝู่พอดี หวงฝู่เยี่ยนกับตู้เฉียวสนิทกันมาก หวงฝู่เยี่ยนเผยข่าวนิดหน่อย เดิมทีตู้เฉียวไม่อยากรับปาก แต่เห็นแก่ที่อีกฝ่ายทำงานให้ตนมาหลายปี สุดท้ายก็บอกว่าจะผ่อนผันให้ครั้งนี้ครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นหวงฝู่เยี่ยนจะกล้าเอ่ยปากกับซ่างกวนชิงตรงๆ ได้อย่างไร

ทัพเหนือรับหน้าที่เฝ้าที่นี่ ทหารที่ประจำอยู่ในงานและจุดตรวจสอบล้วนเป็นคนของกองทัพองครักษ์ ที่มาครั้งนี้ก็เป็นกำลังพลของฮวาอี้เทียนทั้งหมด แม้เขาจะมีอำนาจการตัดสินใจที่นี่ แต่ขั้นตอนที่ควรจะทำก็ต้องทำสักหน่อย

ผู้ตรวจสอบของกองทัพองครักษ์ถามชื่อของทั้งสอง ให้ทั้งสองลงตราอิทธิฤทธิ์ จากนั้นฮวาอี้เทียนก็ลงตราอิทธิฤทธิ์รับประกันถึงได้เสร็จขั้นตอน

จากนั้นฮวาอี้เทียนก็โบกมือเรียกแม้ทักคนหนึ่งเข้ามา ถ่ายทอดเสียงกำชับสองประโยค แล้วหันกลับมาบอกหานลี่ว่า  พวกเจ้าสองคนตามเขาไปเถอะ เขาจะเตรียมให้ 

หานลี่ย่อมกล่าวขอบคุณ ก่อนจะไปหันกลับมามองคนมากมายที่ต่อแถว นับว่าได้สัมผัสรสชาติของการใช้อำนาจผ่านด่านแล้ว แต่พอนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ถูกสอบสวน ในใจนางก็หงุดหงิดมาก

 นี่มันเรื่องอะไร?  เมื่อเห็นหานลี่ผ่านด่านเข้าไปแล้ว พระปีศาจหนานโปที่คอยจ้องจากที่ไกลๆ ก็หันกลับมาถามจั่วเอ๋อร์  หวงฝู่เยี่ยนที่เจ้าบอกล่ะ? 

จั่วเอ๋อร์แอบร้องในใจว่าแย่แล้ว นึกไม่ถึงว่าหวงฝู่เยี่ยนจะระวังตัวถึงขั้นนี้ ไม่ใช่แค่คาดเดาเส้นทางไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะให้คนอื่นพาหานลี่เข้าไปด้วย แล้วจะหาโอกาสอย่างไรได้อีก? ปากก็พูดเอาตัวรอดไปว่า  หวงฝู่เยี่ยนคนนี้เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว สงสัยคงต้องให้หานลี่หาทางพัวพันเขาไว้ตอนขากลับ 

 เจ้าแน่ใจนะว่าหวงฝู่เยี่ยนมาแล้ว?  เสียงหนานโปฟังดูเย็นเยียบ ถ้าคนไม่ได้มา แล้วจะกลับด้วยกันได้อย่างไร!

 หานลี่เข้าไปข้างในก็น่าจะยืนยันได้แล้ว ถึงตอนนั้นค่อยให้นางส่งข่าวมาบอก  จั่วเอ๋อร์ตอบอย่างอักอ่วน

แบบนี้แสดงว่าต้องการจะให้เขารออยู่ที่นี่ต่อไป หนานโปจ้องนางอย่างเย็นเยียบ

…………………

 

หนานโปลืมตาขึ้น แล้วหันกลับมามอง

ผิวทะเลมีหางสัตว์ใหญ่หลายตัวกำลังตีน้ำ เกิดปองคลื่นเสียงดัง การลืมตาของเขาครั้งนี้ ทำให้สัตว์ประหลาดทะเลดุร้ายหลายตัวจมหายไปในทะเลอย่างเงียบๆ

 ค่อยหาโอกาสอีก? พวกเจ้าไม่ได้เตรียมแผนการไว้ล่วงหน้าหรอกเหรอ? ถ้าไม่มีโอกาสขึ้นมาล่ะ?  หนานโปถามเสียงเย็น

จั่วเอ๋อร์ถูกเขาถามจนพูดไม่ออก นางจะไม่รับประกันได้อย่างไรว่าจะหาโอกาสได้แน่นอน ถ้ารับประกันแล้วทำไม่ได้ ก็จะกลายเป็นหลอกลวง จินตนาการได้เลยว่าหลอกลวงท่านนี้แล้วผลที่ตามมาเปป็นอย่างไร ตอนนี้นางถูกอีกฝ่ายควบคุมอยู่ ในสมองถูกปลูกมนต์รัดเกล้าไว้ สามารถทำให้นางเจ็บปวดทรมานจนอยู่มิสู้ตายได้ทุกเมื่อ

 ในเมื่อเจ้ารู้ว่ามีผู้มีอำนาจมากมายไปเข้าร่วม การป้องกันคงเข้มงวดไม่ธรรมดา เจ้าจะหาโอกาสได้เหรอ? 

จั่วเอ๋อร์ก้มหน้า คิดในใจว่า ป้องกันเข้มงวดแน่นอนอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อเจ้ากลับมาอีกครั้ง เกรงว่าจะเข้มงวดยิ่งกว่าเดิม

 ยังมีหญิงชู้ของหวงฝู่เยี่ยนอะไรนั่นอีก เจ้าแน่ใจนะว่าซื้อตัวง่าย ไม่โดนคนใช้แผนซ้อนแผนหรอกนะ? 

เรื่องนี้สามารถอธิบายได้ จั่วเอ๋อร์รีบบอกว่า  ภูมิหลังที่พิเศษของตระกูลก็เห็นๆ กันอยู่ ตระกูลหวงฝู่ไม่มีทางปล่อยให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องมาสืบความลับของตระกูล ดังนั้นจึงไม่อาจเลือกผู้หญิงสุ่มสี่สุ่มห้ามาเข้าประตูตระกูลหวงฝู่ กอปรกับภูมิหลังของผู้หญิงคนนั้นก็มีมลทินจริงๆ ด้วยเหตุนี้ หวงฝู่เยี่ยนจึงไม่อาจแต่งงานรับนางเข้าตระกูลได้ ทำได้เพียงเลี้ยงดูไว้ข้างนอก ก็เพราะแบบนี้ ที่จริงแล้วนางแอบแค้นตระกูลหวงฝู่ ถึงได้โดนพวกเราฉวยโอกาสเข้าแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร 

 แล้วทำไมไม่คิดหาทางจากตัวผู้หญิงคนนั้นตั้งแต่แรก ทำไมรอจนป่านนี้?  หนานโปเค้นถามช่องโหว่ทีละจุด

จั่วเอ๋อร์ตอบว่า  ตอนแรกก็คิดจะลงมือจากตัวผู้หญิงคนนี้แล้ว พวกเราซุ่มอยู่ข้างกายนางมาตลอด หวังว่าจะรอให้หวงฝู่เยี่ยนปรากฏตัว แต่จนใจที่รอแล้วแต่ยังไม่เจอ อีกทั้งหวงฝู่เยี่ยนก็ทำตัวลึกลับเหมือนมังกรที่มีหัวแต่ไร้หาง ไม่ไหนมาไหนอย่างลับๆ ตามหาเบาะแสได้ยาก ครั้งนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้นางขอร้องหวงฝู่เยี่ยนได้ เขาตอบตกลงจะพานางไปเปิดหูเปิดตาที่งานชุมนุมตระการตาแล้ว แต่หวงฝู่เยี่ยนระวังตัว ไม่มีทางให้ใครสะกดรอยตามตัวเองได้ ไม่เดินทางไปพร้อมกับนาง เจาให้นางไปก่อน บอกว่าเมื่อถึงเวลาเขาก็จะไปเจอกับนางเอง คาดว่าคงแยกกันไปคนละทาง ไม่สามารถรู้ทิศทางโดยละเอียดของหวงฝู่เยี่ยนได้ ทำได้เพียงดำเนินแผนการตามโอกาส! 

หนานโปจ้องนาง…

บนเตียงไม้ เมฆสลายฝนสงบ

ขณะลูบหลังอันอ่อนนุ่มเกลี้ยงเกลาเหมือนขี้ผึ้งของผังเสี้ยวเสี้ยว เหมียวอี้ก็ถามเหมือนปลงๆ  อีกประเดี๋ยวก็จะกลับไปอีกแล้วเหรอ? 

ผังเสี้ยวเสี้ยวที่ซบอยู่ข้างกายเขาอย่างอ่อนโยนกอดเขาแน่นขึ้น นางตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า  ข้าเองก็อยากอยู่ข้างกายสามีบ่อยๆ เพียงแต่ท่านแม่ส่งข่าวมาเร่ง บอกว่าต้องกลับบ้านเจ้าสาวตามพิธี ตามหลักแล้วท่านสามีควรจะกลับบ้านเป็นเพื่อนข้าด้วย เพียงแต่ข้าเข้าใจ ว่านายท่านเป็นคนที่ทำงานใหญ่ว ระหว่างท่านพ่อกับท่านสามีมีเรื่องในใจที่พูดยาก ไม่สะดวกจะไปด้วยกัน 

เหมียวตบแผ่นหลังนางเบาๆ  ลำบากเจ้าแล้ว 

ที่จริงในใจเขารู้ชัดเจนมาก เขากับผังก้วนติดต่อกันมาตลอด จะไม่รู้เวลาที่ผังเสี้ยวเสี้ยวต้องกลับไปเชียวหรือ?

ผังเสี้ยวเสี้ยวส่ายหน้า แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนประเด็น  พี่สาวข้ายังไม่รู้ว่าข้าแต่งงานกับท่านแล้ว งานชุมนุมตระการตากำลังจะมาถึง นางกับท่านแม่ก็ไปด้วย พวกนางจะพาข้าไปด้วยค่ะ งานชุมนุมตระการตาจะจัดทุกๆ ร้อยปี ข้ายังไม่เคยไปเห็นเลย ท่านสามีรู้สึกว่าข้าไปได้หรือเปล่า?  คำถามนี้ฟังดูแล้วให้ความรู้สึกว่ากำลังเชื่อฟังผู้ชายในครอบครัวตัวเอง

เหมียวอี้กลับกระตุกมุมปากเล็กน้อย งานชุมนุมตระการตาที่จัดทุกร้อยปี ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่เคยไป อดไม่ได้ที่จะนึกถึงอายุของนาง พบว่าตัวเองเป็นโคแก่กินหญ้าอ่อนจริงๆ เขาอดขำไม่ได้  ไปได้อยู่แล้ว ทำไมจะไปไม่ได้ล่ะ? ได้ยินว่างานชุมนุมตระการตาเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มโหฬารจริงๆ คนทั่วไปไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าไปด้วยซ้ำ ไม่ต้องรีบกลับ ในเมื่อไปแล้ว ก็เที่ยวให้สนุกเถอะ 

 ได้ยินมาเหรอคะ?  ผังเสี้ยวเสี้ยวเงยหน้า ถามเขาอย่างแปลกใจว่า  อาศัยฐานะอย่างท่านสามี จะเข้าไปก็ได้ไม่มีปัญหา อย่าบอกนะว่าผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้วท่านสามีไม่เคยได้? 

เหมียวอี้หัวเราะลั่น  ถ้าข้าไปแล้ว เกรงว่าคงมีคนมากมายเที่ยวเล่นไม่สนุก ข้าเองก็ขี้คร้านจะหาเรื่องใส่ตัว 

ผังเสี้ยวเสี้ยวอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร อดไม่ได้ที่จะกลั้นขำ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ขุนนางผู้มีอำนาจในใต้หล้า เกรงว่าคงไม่มีบ้านไหนที่ไม่เคยโดนผู้ชายของตัวเองล่วงเกิน จะไปเล่นสนุกด้วยกันได้อย่างไร ตอนนี้นางถึงขั้นคิดเพ้อฝัน ถ้าสหายพวกนางรู้ว่านางแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะกลัวนางหรือเปล่า คาดว่าคงไม่มีใครกล้าวางมาดใส่นางแล้วกระมัง?

ผังก้วนบิดานางนับว่ามีฐานะไม่ต่ำ แต่ยามอยู่ต่อหน้าอ๋องสวรรค์พวกนั้นก็ยังต้องทำตัวสงบเสงี่ยม ลูกหลานในบ้านอ๋องสวรรค์บางคนมักจะทำตัวสูงส่ง มีคนมากลั่นแกล้งนางอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่อิจฉาในความสวยของนาง บางเรื่องต่อให้บิดานางรู้แต่ก็แกล้งไม่รู้ ไม่มีทางออกหน้าพูดอะไรให้ลูกตัวเอง แต่สามีของนางนั้นไม่เหมือนกัน ชื่อเสียงดุร้ายดังไปข้างนอก ไม่รู้ว่าสังหารลูกหลานคนใหญ่คนโตไปเท่าไรแล้ว ตอนอยู่ตลาดสวรรค์ก็ประหารคนของขุนนางใหญ่จนเลือดนองกลายเป็นแม่น้ำ สังหารไปชุดแล้วชุดเล่า ขนาดตอนอยู่อุทยานหลวงก็ยังกล้าลงมือ ได้ยินว่าเรื่องโค่นล้มอ๋องสวรรค์อิ๋งก็เป็นความคิดของผู้ชายของนาง

เคยได้ยินพี่สาวบอก ว่าหนิวโหย่วเต๋อมีชื่อเสียงดุร้ายจริงๆ อย่าไปมองว่าคนพวกนั้นด่าลับหลัง เวลาเจอหน้ากันจริงๆ ก็ไม่กล้าพูดอะไร พากันหลบหน้าหมด แต่ละคนที่ไปน้ำพุวังเวงก็จ่ายเงินแต่โดยดี ไม่มีใครกล้าบ่นแม้แต่ครึ่งคำ

สามารถใช้กำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปทำศึกเลือดกับทัพใหญ่หนึ่งล้านได้เพื่อผู้หญิงของตัวเอง แล้วตอนนี้ตัวเองก็กลายเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว ถ้าตัวเองประกาศฐานะออกมา ก็จินตนาการได้ไม่ยากว่าจะมีใครกล้าพูดจาไม่ดีกับนางหรือเปล่า

พอคิดได้แบบนี้ ผังเสี้ยวเสี้ยวก็รู้สึกสะท้อนใจ แม้แต่บิดาตัวเองยังปกป้องไม่ได้ กลับเป็นผู้ชายของตัวเองที่พึ่งพาได้ น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังไม่อาจบอกให้คนนอกรู้

แต่นางก็เฝ้าคอยมาก กำลังคิดว่าถ้าคนพวกนั้นรู้ว่านางแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

 ข้าไม่อยากไป  จู่ๆ ผังเสี้ยวเสี้ยวก็พูดเสียงต่ำ

 ทำไมล่ะ? ในเมื่อไปแล้ว ก็ควรไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อยสิ  เหมียวอี้แปลกใจ

ผังเสี้ยวเสี้ยวพึมพำอีก  กลัวว่าจะไปเจอที่ไม่กล้าเจอค่ะ 

เหมียวอี้เลิกคิ้ว เรื่องหยุมหยิมระหว่างลูกหลานขุนนางใหญ่ เขาเองก็เคยได้ยินมาบ้าง จึงแสยะยิ้มถามว่า  ทำไมล่ะ ยังมีคนกล้ากลั่นแกล้งเจ้าด้วยเหรอ? ไปเถอะ ถ้าไม่ใครกล้ากลั่นแกล้งเจ้า ก็บอกข้าทันที ข้ารับรองว่าเขาได้เอาชีวิตมาเล่นแน่ ไม่ได้เอาชีวิตกลับบ้านไปด้วยแน่! 

คำพูดนี้ฟังดูเผด็จการ! ผังเสี้ยวเสี้ยวตาเป็นประกาย รู้สึกฮึกเหิมมาก เอาเป็นว่าประโยคนี้บิดานางพูดไม่ได้ก็แล้วกัน และไม่มีทางพูดอย่างนี้ด้วย นางพลิกตัวขึ้นมาอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เผยอปากประทับรอยจูบบนปากเหมียวอี้ แล้วรีบหดตัวกลับมาถามอย่างระวังตัวว่า  ข้ากลัวเจอพี่อวิ๋นจือชิว ได้ยินว่าเมื่อก่อนพี่อวิ๋นไปร่วมงานบ่อย ครั้งนี้พี่อวิ๋นไปเที่ยวเล่นข้างนอก จะไปร่วมงานนี้ด้วยหรือเปล่า? ข้ากลัวว่าเจอแล้วจะไมรู้จะคุยยังไง 

 เอ่อ…  เหมียวอี้พูดไม่ออก คำว่า ‘เอาชีวิตมาเล่น ไม่ได้เก็บชีวิตกลับบ้าน’ ย่อมไม่กล้าใช้กับอวิ๋นจือชิว ไม่อย่างนั้นแม้แต่เขาเองก็ไม่กล้ากลับบ้าน

ส่วนอวิ๋นจือชิว เมื่อก่อนก็มักจะไปที่นั่นบ่อยๆ ไปเข้าสังคม แต่ตอนนี้ไปไม่ได้แล้ว ครั้งนี้ก็ยิ่งไปไม่ได้ เหมียวอี้กระแอมแล้วบอกว่า  เจ้าวางใจเถอะ นางคุยง่ายมาก ที่เจ้าแต่งงานเข้าบ้านครั้งนี้ นางก็อนุญาตแล้ว 

ผังเสี้ยวเสี้ยวถามเสียงอ่อน  ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะข้าเข้ามาบ้านนี้จนนางโกรธหนีไปหรอกเหรอคะ? 

 เหอะๆ เจ้าคิดมากไปแล้ว เดี๋ยวต่อไปเจ้าได้พบนางก็ย่อมเข้าใจเอง  ในจุดนี้เหมียวอี้มั่นใจมาก ขอเพียงอวิ๋นจือชิวอนุญาตให้รับเข้าบ้านแล้ว ก็จะต้องอยู่ด้วยกันได้ดีแน่นอน เขาบีบบนใบหน้านางเบาๆ  วางใจเถอะ ครั้งนี้ติดธุระไปไม่ได้ เจ้าวางใจได้เลย มีอะไรจำเป็นก็ติดต่อข้า ข้าจะรีบส่งคนไปรับเข้าให้เร็วที่สุด 

ตอนนี้ผังเสี้ยวเสี้ยวถึงได้วางใจ  ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ท่านแม่ก็ไปด้ว ถ้าขาดอะไรที่บ้านก็ให้ได้ 

เพี้ยะ! เหมียวอี้ตบก้นที่ขาวงอนของนาง  จำไว้นะ ที่นี่ต่างหากที่เป็นบ้านเจ้า ถ้าต้องการจะใช้อะไรก็ให้คิดถึงข้าก่อน ไม่ใช่คิดถึงครอบครัวเดิมเจ้า! 

ต่อให้โดนตีแต่ก็มีความสุข ผังเสี้ยวเสี้ยวทำปากมุบมิบ กอดคอเขาไว้แน่น

วันต่อมา ก็เตรียมคนไปคุ้มกันส่งนางแล้ว เหมียวอี้กลับไม่ได้ออกมาส่งที่ประตูใหญ่จวนผู้สำเร็จราชการ ได้แต่ยืนมองส่งอยู่ในบ้าน

หลังจากมองเงาคนหายไปในขอบฟ้า เหมียวอี้ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า  ฮ่าวเต๋อฟางก็ไม่ใช่ไก่อ่อน กลัวว่าจะไม่ได้ลงมือง่ายขนาดนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าผังก้วนจะใช้วิธีไหนกำจัด 

 ช่วงนี้จะมีงานชุมนุมตระการตา ไม่ทราบว่าฮูหยินคนใหม่จะไปเข้าร่วมงานด้วยหรือเปล่า?  หยางชิ่งถามอยู่ข้างๆ

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าเขาถามเรื่องนี้ทำไม พยักหน้าตอบว่า  น่าจะไป 

หยางชิ่งกล่าวอย่างสงบนิ่งว่า  คาดว่าผังก้วนคงให้นางไปเช่นกัน นับดูอายุนางแล้วน่าจะไม่เคยไป เขาคงจะให้นางไปเปิดหูเปิดตาดู ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนสงสัยได้ง่าย ผู้หญิงตระกูลผังคงจะไปที่นั่นบ่อย งานใหญ่กำลังจะมาถึงแล้ว ถ้าผังก้วนไม่โผล่หน้าไปเลยก็จะดูน่าสงสัย ถ้านายท่านไม่อยากให้เกิดเรื่องกับฮูหยินคนใหม่ ก็กำชับนางว่าตอนอยู่ในงานให้ตามติดมารดานางไว้ พยายามอย่อยู่ใกล้ผังอวี้เหนียง ที่งานชุมนุมตระการตาตระกูลผังอาจะมีเรื่อง! 

เหมียวอี้หันหน้ากลับมาช้าๆ มองเขาแล้วถามว่า  หมายความว่ายังไง? 

หยางชิ่งอธิบายอย่างไม่ตื่นตกใจ  ช่วงนี้ข้าน้อยรวบรวมข่าวบางอย่างมาก จัดเรียงข้อมูลสถานการณ์ที่อยู่รอบกายผังก้วน เจอโอกาสที่ผังก้วนอาจจะลงมือด้วย เพื่อให้นายท่านเตรียมตัวปิดหน้าตก่อนฝนตก กันไว้ดีกว่าแก้ ในตอนนั้นที่นายท่านเลือกผังเสี้ยวเสี้ยว ไม่ได้เลือกผังอวี้เหนียงที่อายุมากกว่า สาเหตุเพราะอะไรนายท่านก็รู้ชัด 

 ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องไปมีเรื่องกับหวังลั่วนั่น  เหมียวอี้กล่าว

หยางชิ่งบอกอีกว่า  ก่อนหน้านี้ผังก้วนอาจจะไม่ตอบรับหวังลั่วนั่น แต่ตอนนี้พอมีโอกาสก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ผังก้วนกำลังคิดวิธีเจาะช่องโหว่ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเล็งเป้าหมายไปที่หวังลั่วกับผังอวี้เหนียง! คิดจะล่อเสือออกจากถ้ำ แต่ก็ไม่อยากให้ฮ่าวเต๋อฟางสงสัย งานชุมนุมตระการตากำลังจะมาถึงแล้ว เกรงว่านี่จะเป็นโอกาสเหมาะให้เข็นเรือไปตามน้ำ! 

ขณะที่พูดเรื่องนี้ สีหน้าเขาก็เย็นชาไร้ที่เปรียบ เขารังเกียจคนแบบผังก้วนที่ขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ อย่างน้อยเขาก็ไม่เอาผู้หญิงของตัวเองมาทำข้อแลกเปลี่ยนเพื่ออนาคตของตัวเองแน่นอน

เหมียวอี้หรี่ตา  เจ้าแน่ใจนะว่าจะมีเรื่อง? 

หยางชิ่งส่ายหน้า  ไม่อาจฟันธงได้ ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าผังก้วนจะคิดได้หรือเปล่า ไม่สะดวกจะเตือนด้วย ถ้าพวกเราใจร้อนเกินไปก็จะทำให้ผังก้วนสงสัยได้ง่าย เรื่องใหญ่ขนาดบนี้ ผังก้วนไม่หวังให้แผนของตัวเองอยู่ในกำมือคนอื่นหมดแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาจะสงบใจได้ยังไง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝั่งนายท่านรู้ข้อมูลมากเกินไป อาจจะทำให้เขาสงสัยในตัวนายท่านได้ง่าย ดังนั้นก็กันไว้ดีกว่าแก้ ลองคิดในมุมของผังก้วนให้มากๆ บางทีข้าน้อยอาจจะคิดมากไป เพียงแต่นี่อาจจะเป็นจุดทะลวงของผังก้วนก็ได้ อีกทั้งในแผนการขั้นสุดของนายท่าน ฮูหยินคนใหม่ก็อาจจะได้แสดงบทบาทด้วย ดังนั้นจะให้เกิดเรื่องกับนางตอนนี้ไม่ได้! แต่จะว่าไป ตามหลักแล้วต่อให้เกิดเรื่องขึ้น ตอนนี้ผังก้วนก็ยังต้องใช้นางเพื่อทำให้ความร่วมมือกับนายท่านมั่นคงอยู่ดี คงจะไม่ให้นางอยู่ในอันตราย ไม่อย่างนั้นต่อไปก็ไม่สะดวกจะชี้แจงกับนายท่าน กลัวก็แต่ว่าผังก้วนจะแน่ใจแล้วว่านายท่านอยากได้อาณาเขตสายเถาะ คงไม่แตกคอกันเพราะเรื่องเล็กน้อย ถึงตอนนั้นเพื่อไม่ให้มีช่องโหว่ เขาก็อาจถึงขั้นไม่สนใจความเป็นความตายของจาหรูเยี่ยนด้วยซ้ำ ดังนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรนายท่านก็ต้องคิดใคร่ครวญนำหน้าอีกฝ่ายก้าวหนึ่งเสมอ กันไว้ดีกว่าแก้ก็ไม่มีอะไรเสียหาย! 

…………………

 

เมื่อจบการประชุมแล้ว ประมุขชิงก็นำบรรดาขุนนางคนสนิทออกจากตำหนักหลัง เขาหยุดเดินระหว่างทาง หันตัวกลับมามองพวกลูกน้อง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า  ซือหม่า เจ้าเล่าเรื่องที่ทัพใต้เคลื่อนไหวผิดปกติให้พวกเขาฟังหน่อย 

 ขอรับ!  ซือหม่าเวิ่นเทียนเล่าเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อจับพวกเหวินเจ๋อครั้งก่อนให้ฟัง แล้วก็เรื่องที่ทัพใต้ระดมพลเร่งด่วนด้วย

พวกเขาทำท่าทางครุ่นคิด ประมุขชิงกล่าวเสียงต่ำว่า  หน่วยตรวจการซ้ายสืบเจอแค่ว่า การระดมพลด่วนของทัพใต้ครั้งนั้นเป็นเพราะตระกูลเซี่ยโห้วไหว้หวาน วันนี้เซี่ยโห้วลิ่งหาข้ออ้างไม่เข้าประชุม พวกเจ้าคิดว่ายังไง? 

 อาจจะมีลับลมคมในนิดหน่อย  อู๋ฉวี่ไม่แน่ใจ

 สถานการณ์ไม่ชัดเจน พูดยาก  เกาก้วน

ประมุขชิงเอียงหน้ามองซ่างกวนชิง  เลยเวงลามาพอสมควรแล้ว ให้เฉิงอวี่ถามเรื่องที่พวกเหวินเจ๋อโดนจับสักหน่อย ดูว่าฝั่งหนิวโหย่วเต๋อรู้อะไรมาบ้างหรือเปล่า 

 ขอรับ!  ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ

วังนารีสวรรค์ ซ่างกวนชิงมาทำความเคารพ พอเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินเรื่องนี้ ก็ตกใจไม่น้อย  หนิวโหย่วเต๋อจับคนที่ฝ่าบาทส่งไปจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล? 

ซ่างกวนชิงพยักหน้าเบาๆ

 อย่าบอกนะว่าคิดจะก่อกบฏ?  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวอย่างแค้นใจ

ไม่ได้แค้นแต่ปาก ในใจก็แค้นเช่นกัน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นี่หรือที่นางจะยังไม่เข้าใจว่าตัวเองโดนหนิวโหย่วเต๋อหลอกใช้ หนิวโหย่วเต๋ออาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบน นางไม่สามารถบัญชาการได้อีกแล้ว นางตั้งใจจะหยั่งเชิง ปล่อยข่าวว่าอยากจะย้ายเหมียวอี้ไปที่ตลาดสวรรค์ แต่พวกพี่ใหญ่ของตำหนักสวรรค์ไม่ยอม กังวลว่าเหมียวอี้จะก่อเรื่องที่ตลาดสวรรค์อีก แม้แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ยอมเช่นกัน ฝั่งฮ่าวเต๋อฟางก็ยิ่งช่วยเหลือ เหมียวอี้แอบข่มขู่นาง บอกว่าถ้าตัวเองออกจากจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล พวกลูกน้องก็จะก่อเรื่องใหญ่ เกรงว่าราชินีสวรรค์อย่างนางจะต้องรับผลที่ตามมาเอง

นางถึงได้พบว่าคนที่เดินมาถึงระดับอย่างเหมียวอี้ เติบโตยิ่งใหญ่แล้ว ถอนขนเส้นเดียวขยับทั้งร่าง เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของคนจำนวนมากเกินไป นางจะแตะต้องตามอำเภอใจได้อย่างไร แม้แต่ประมุขชิงก็เตือนนางว่าอย่าทำซี้ซั้ว

แต่นางก็ดันไม่กล้าแตกคอกับเหมียวอี้ เหมียวอี้ประกาศต่อภายนอกว่ายังทำงานให้วังนารีสวรรค์ ทรัพย์สินที่ส่งมาให้นางก็ไม่เคยขาด ถ้าฝั่งนี้สั่งอะไรแล้วเหมียวอี้สามารถทำได้ก็จะทำให้นาง ยังเคารพนับถือลูกชายนางเหมือนเดิม อย่างน้อยเหมียวอี้ยังแสดงท่าทีวัดสนับสนุนนางให้ภายนอกเห็น ถ้าบีบให้เหมียวอี้แปรพักตร์ นางก็เสียหน้าแล้วจริงๆ กลัวว่าจะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของวังหลัง

ซ่างกวนชิงยอมเข้าใจถึงความคับแค้นของนาง ที่จริงทางด้านฝ่าบาทก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน โมโหหนิวโหย่วเต๋อมากเหมือนกัน แต่ฝ่าบาทก็ย่อมมีการชั่งน้ำหนักของฝ่าบาทเอง ทำไมถึงแบ่งอำนาจของอิ๋งจิ่วกวงจากหนึ่งเป็นสองล่ะ? ก็เพราะอยากจะสลายกองกำลังของฝ่ายอำนาจใหญ่ๆ ในใต้หล้าไปทีละขั้น แบ่งให้เป็นกลุ่มอำนาจเล็กๆ ถึงตอนนั้นวังสวรรค์ก็จะยิ่งใหญ่ที่สุดเพียงฝ่ายเดียว แบบนี้ถึงจะควบคุมสะดวก แต่ใต้หล้าใหญ่โตขนาดนั้น ผลประโยชน์ก็เยอะขนาดนั้น หนิวโหย่วเต๋อผงาดขึ้นมาแล้ว ในมือมีกำลังพลจำนวนมาก ขังไว้ที่แดนรัตติกาลไม่ใช่แผนการที่ดีในระยะยาว ช้าเร็วก็ต้องเกิดความขัดแย้งกับอำนาจฝ่ายอื่น ฝ่าบาทอยากจะช่วยคนกลุ่มนั้นโจมตีใจจะขาด จากนั้นค่อยฉวยโอกาสลงมืออีกที!

ขณะเดียวกันฝ่าบาทก็อยากจะให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้เห็น ว่าตระกูลเซี่ยโห้วเชื่อถือไม่ได้ ขุนนางที่เป็นคนนอกอย่างหนิวโหย่วเต๋อก็เชื่อถือไม่ได้เช่นกัน

 คงไม่ถึงขั้นก่อกบฏ เขายังไม่มีความสามารถนั้น  ซ่างกวนชิงกล่าวเสียงเรียบ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ข่มความแค้นในใจเอาไว้ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหนิวโหย่วเต๋อ ถามว่าจับพวกเหวินเจ๋อไปทำไม

เหมียวอี้หาข้ออ้างตอบส่งเดช บอกว่าเฉาหม่านรายงานว่าพวกเหวินเจ๋อไปปล้น เขาไม่ได้จับกุมพวกเหวินเจ๋อ แค่แสดงให้เฉาหม่านเห็นเท่านั้น ไม่ได้ปฏิบัติต่อพวกเหวินเจ๋อไม่ดีเลย แม้แต่สอบสวนก็ไม่ได้ทำ แค่เข้าไปอยู่ในคุกสบายๆ ทุกวันมีสุราอาหารชั้นดี รับรองว่าอีกไม่นานก็จะปล่อยคนแล้ว

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่บอกเหตุผลนี้กลับซ่างกวนชิง ทำให้ซ่างกวนชิงพูดไม่ออกเช่นกัน เมื่อเจอเหตุผลแบบนี้เจ้าจะสืบก็ไม่สะดวกแล้ว

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป เกรงว่าเจ้าคงชี้แจงอย่างนี้ไม่ได้ แต่ตอนนี้เหมียวอี้มีความมั่นใจที่จะต่อต้านแล้ว เมื่อก่อนไม่กล้าชี้แจงแบบนี้แน่นอน

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว นายบ่าวเดินไปเดินมาอยู่ระหว่างศาลา

 เซี่ยโห้วลิ่งไม่ได้เข้าประชุมขุนนางหรือ?  ฮ่าวเต๋อฟางพึมพำ

 บอกประมาณว่าไปเฝ้าสุสาน ต้องเป็นข้ออ้างแน่นอนค่ะ  ซูอวิ้นตอบ

ฮ่าวเต๋อฟางหรี่ตาถาม  ครั้งก่อนตระกูลเซี่ยโห้วโดนปล้นแล้วขอกำลังเสริมมันเรื่องอะไรกันแน่ จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือเปล่า? 

ซูอวิ้นส่ายหน้า  ไม่มีทางสืบความจริงจากฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วได้เลย ทั้งนั้นไม่พูดความจริงแน่นอน 

จวนจอมพลสายเถาะ ผังก้วนกลับมาจากประชุมขุนนางแล้ว เดินตรงไปที่ห้องหนังสือ ไปนั่งด้านหลังโต๊ะยาว

เฉินหวยจิ่วนำน้ำชามาวางตรงหน้าเขา มองออกแล้วว่าเขามีสีหน้าผิดปกติ จึงถามว่า  นายท่าน หรือว่าบนราชสำนักมีเรื่องอะไร? 

 เซี่ยโห้วลิ่งไม่เข้าประชุมขุนนาง…  ผังก้วนเล่าสถานการณ์บนราชสำนักให้ฟังคร่าวๆ

เฉินหวยจิ่วพยักหน้า  สงสัยจะเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ ถ้าจะบอกว่าเฉาหม่านกับเซี่ยโห้วลิ่งช่วยกันเล่นละครให้นายท่านดู ก็ฟังดูเหลวไหล เซี่ยโห้วลิ่งคงจะตายไปแล้ว! 

 จอมพลผู้นี้ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วยุ่งยากแบบนั้น!  ผังก้วนรู้ถึงกำลังของตัวเอง เอามือจับบนถ้วยช้า เหมือนจะตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ถามว่า  รวบรวมข้อมูลสถานการณ์เบื้องล่างเรียง? 

เฉินหวยจิ่วนำแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมา แล้วใช้สองมือยื่นให้  ลูกน้องคนไหนที่อาจจะเป็นสายลับของฮ่าวเต๋อฟาง รายชื่ออยู่ในนี้แล้วขอรับ 

ผังก้วนรับมาไว้ในมือ ยังไม่ทันอ่านละเอียดก็วางไว้ข้างๆ แล้ว ดวงตาวูบไหวไม่หยุดนิ่ง

 นายท่านตัดสินใจจริงๆ แล้วใช่มั้ยว่าจะลงมือ?  เฉินหวยจิ่วถามหยั่งเชิง

ผังก้วนเหลือบตาขึ้น  ถ้าพลาดโอกาสนี้ไป ในภายหลังเกรงว่าจะไม่มีโอกาสดีแบบนี้แล้ว หรือเจ้ารู้สึกว่าไม่เหมาะสม? 

 เปล่าขอรับ บ่าวเพียงอยากจะเตือนนายท่านเท่านั้น ว่าถ้าทำเรื่องนี้แล้ว ก็จะไม่มีทางให้ถอยกลับ ถ้าไม่สำเร็จก็ต้องล้มเหลว!  เฉินหวยจิ่วกล่าว

 หลักการนี้ข้าย่อมเข้าใจ!  ผังก้วนพยักหน้า จากนั้นก็พิงเก้าอี้แล้วถอนหายใจอีก  ถ้าใช้กำลังปะทะตรงๆ มีโอกาสชนะมาก ดังนั้นปัญหาใหญ่สุดก็คือฮ่าวเต๋อฟาง ขอเพียงกำจัดฮ่าวเต๋อฟางได้ ก็ถือว่าสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทัพใต้จะต้องวุ่นวายแน่นอน คนใต้บังคับบัญชาของฮ่าวเต๋อฟางไม่มีแกนนำแล้ว ใครจะยอมใครกันแน่? มังกรไร้หัวยากจะรวมกลุ่มรุกโจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพ หนิวโหย่วเต๋อเคลื่อนทัพใหญ่ออกจากแดนรัตติกาล แล้วก็มีตระกูลเซี่ยโห้วช่วยเหลือ งานใหญ่สำเร็จได้! แต่มันยากตรงที่จะกำจัดฮ่าวเต๋อฟางยังไง รังของฮ่าวเต๋อฟางมีกำลังทหารเข้มแข็ง จะให้บุกโจมตีโดยตรงก็เป็นเรื่องเพ้อฝัน เดาว่าคงต้องล่อฮ่าวเต๋อฟางออกมา ขอเพียงให้เขาออกมา ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพากำลังพลของตัวเองออกมาหมด นั่นต่างหากคือโอกาสในการลงมือ แต่ฮ่าวเต๋อฟางก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ถ้าใช้วิธีการไม่ปกติล่อให้เขาออกมา ก็กลัวว่าจะทำให้เขาสงสัย 

เฉินหวยจิ่วครุ่นคิด แล้วบอกว่า  ถ้าจะล่อเขาออกมา ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หลายวันนี้บ่าวคิดแผนการได้อย่างหนึ่ง ไม่ทราบว่าควรจะพูดหรือเปล่า 

ผังก้วนเหลือบสายตาขึ้น  ระหว่างเจ้ากับข้าจำเป็นต้องปิดบังกันด้วยเหรอ พูดมาได้เลย! 

เฉินหวยจิ่วเหมือนเอ่ยปากลำบากนิดหน่อย สุดท้ายก็เอ่ยชื่อของคนคนหนึ่งเพื่อเตือน  หวังเล่า! 

 หวังเล่า?  ผังก้วนขมวดคิ้ว เป็นแม่ทัพใหญ่ของเขาเอง แต่กลับมีพื้นเพมาจากทหารองครักษ์ของฮ่าวเต๋อฟาง หลังจากผังก้วนเลื่อนตำแหน่งเป็นจอมพล ฮ่าวเต๋อฟางก็ส่งเขามาอยู่ใต้บังคับบัญชาผังก้วน จุดประสงค์ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ เอาไว้จับตาดูผังก้วน

ส่วนหวังเล่าคนนี้ก็เป็นเด็กกำพร้าที่ฮ่าวเต๋อฟางเคยรับเลี้ยงไว้ เป็นลูกน้องคนสนิทที่ฮ่าวเต๋อฟางเลี้ยงมาจนโต จากนั้นก็คอยอารักขาอยู่ข้างกายมาตลอด เวลาแต่งงานสร้างครอบครัวก็ล้วนเป็นฮ่าวเต๋อฟางที่จัดการให้ จงรักภักดีต่อฮ่าวเต๋อฟาง ตอนหลังภรรยาตายระหว่างทำศึก ไม่ได้แต่งงานใหม่มาหลายปีแล้ว ที่แปลกก็คือตอนหลังกลับถูกใจอวี้เหนียง ลูกสาวของผังก้วน สาเหตุก็เป็นเพราะผังอวี้เหนียงหน้าตาคล้ายภรรยาของเขาที่ตายไปแล้ว

มารดาเจ้าเถอะ เจ้ากับข้าอายุพอๆ กัน เมื่อก่อนยังเรียกพี่เรียกน้องกันอยู่เลย ลูกชายก็โตขนาดนั้นแล้ว ยังคิดจะแต่งงานกับลูกสาวข้าอีก ข้าผังก้วนไม่จำเป็นต้องเอาใจเจ้า จำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วยเหรอ? แค่นั้นยังไม่พอ เจ้านั่นดันจงรักภักดีต่อฮ่าวเต๋อฟาง เจ้าซื่อสัตย์ต่อฮ่าวเต๋อฟางแล้วมาจับตาดูข้า ทั้งยังคิดจะแต่งงานกับลูกสาวข้าด้วย มีเรื่องดีๆ อย่างนี้ด้วยหรือ? ดังนั้นต่อให้ฮ่าวเต๋อฟางจะเคยเอ่ยถึง แต่ก็ถูกผังก้วนปฏิเสธแล้ว

แต่ความปรารถนาของเจ้าเวรหวังเล่าก็ชัดเจนแล้ว พล่ามคำพูดเหลวไหลออกมา ทั้งยังเป็นลูกน้องคนสนิทของฮ่าวเต๋อฟาง ใครจะกล้ามาแย่งผู้หญิงกับหวังเล่าล่ะ? ดังนั้นจึงทำให้ผังอวี้เหนียงแต่งงานไม่ออกมาตั้งหลายปี ไม่ใช่ว่าแต่งไม่ออก แต่ไม่มีใครกล้าแต่งด้วย

ผังก้วนเดาว่าที่หนิวโหย่วเต๋อเลือกผังเสี้ยวเสี้ยวแต่ไม่เลือกผังอวี้เหนียง ก็คงพิจารณาถึงเหตุผลทางด้านนี้เช่นกัน

 เจ้าหมายความว่าจะให้อวี้เหนียงแต่งงานกับเขาหรอ?  ผังก้วนสงสัย

พูดเปิดเผยเสียขนาดนี้แล้ว เฉินหวยจิ่วไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก  ถ้าให้คุณหนูอวี้เหนียงแต่งงานกับคนอื่น เกรงว่าฮ่าวเต๋อฟางอาจจะไม่ออกหน้าเอง แต่ถ้าให้คุณหนูแต่งงานกับหวังเล่า ต่อให้เป็นการซื้อใจลูกน้อง เขาก็ต้องออกหน้ามาแสดงความยินดีด้วยตัวเองแน่นอ! พอออกจากรังแล้ว ก็มาถึงอาณาเขตที่นายท่านควบคุมเบ็ดเสร็จ สถานการณ์ได้เปรียบของสองฝ่ายก็จะสลับกันทันที เป็นโอกาสดีที่จะลงมือ! 

ผังก้วนครุ่นคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็ส่ายหน้าโบกมือ  ไม่เหมาะสม ไม่เหมาะ! เขาปฏิเสธมาตั้งหลายปี อยู่ดีๆ มาตอบตกลงให้อวี้เหนียงแต่งงานกับเขา ฮ่าวเต๋อฟางจะต้องสงสัยทันทีแน่นอน! 

 แล้วถ้ามีสาเหตุว่าให้ต้องแต่งงานเท่านั้นล่ะ?  เฉินหวยจิ่วถาม จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง  หลังจากนี้ครึ่งเดือน จะเป็นงานชุมนุมตระการตา ถ้าคุณหนูอวี้เหนียงไปที่นั่น หวังเล่าได้ข่าวแล้วจะต้องไปแน่นอน… 

ผังก้วนตาเป็นประกาย พยักหน้าเบาๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเช่นกัน หลังจากเดินไปเดินมาอยู่ในห้องหนังสือ ก็พลันหันตัวมากำชับว่า  เรื่องนี้เจ้าไปจัดการ อย่าให้ฮูหยินรู้เด็ดขาด! 

ดาวเกาะคราม ตรงระเบียงบนหน้าผา พระปีศาจหนานโปราวกับรูปสลักหิน

เขามักจะหลับตายืนนิ่งอยู่ตรงนี้ แม้แต่กายหยาบที่ยึดครองไว้ก็ดำลงแล้วไม่น้อย เหมือนกำลังดื่มด่ำอะไรสักอย่าง

ในทะเลใต้หน้าผา เงาร่างขนาดใหญ่หลายตัวแหวกว่ายอยู่ในน้ำ บางครั้งก็มีคลื่นใหญ่ซัดขึ้นมา มันกระโดดขึ้นมา ร่างกายที่มีครีบหลังโผล่บนพ้นขึ้นมาด้วย เป็นสัตว์ประหลาดดุร้ายในทะเล

จั่วเอ๋อร์เดินมาทำความเคารพข้างหลังหนานโปอย่างระมัดระวัง

 เรื่องราวคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?  หนานโปถามเสียงเรียบ

จั่วเอ๋อร์พยักหน้าตอบอย่างประหม่า  สถานที่หลอมสมบัติยังคิดหาทางอยู่ แต่ทางด้านสมาคมวีรชนมีความคืบหน้าแล้ว คนที่รู้ข้อมูลลับของสมาคมวีรชนคงมีไม่เยอะ หวงฝู่เลี่ยนคง หัวหน้าตระกูลหวงฝู่จะต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน ยังมีอีกคนหนึ่งที่น่าจะเป็นไปได้ หวงฝู่เยี่ยน ลูกชายของหวงฝู่เลี่ยนคง หวงฝู่เลี่ยนคงใช้ให้เขาทำงานสำคัญมาตลอด มีอำนาจมากที่ตระกูลหวงฝู่… 

 สิ่งที่เจ้าพล่ามมาข้ารู้หมดแล้ว พูดแต่เรื่องสำคัญ  หนานโปกล่าว

 ค่ะ!  จั่วเอ๋อร์เตอบรับ แล้วบอกว่า  สุดท้ายพวกเราก็วางแผนลงมือกับหวงฝู่เยี่ยนมาตลอด เพียงแค่ยังหาโอกาสไม่ได้ แต่ครึ่งเดือนหลังจากนี้จะมีงานชุมนุมตระการตา ถึงตอนนั้นจะมีผู้มีอำนาจมากมายไปเข้าร่วม พวกเราลงมือจากตรงนั้นได้ ซื้อตัวหญิงชู้ของหวงฝู่เยี่ยนมาคนหนึ่ง หวงฝู่เยี่ยนรับปากแล้วว่าจะพานางไปเปิดหูเปิดตาที่งานชุมนุมตระการตา ถึงตอนนั้นก็เป็นโอกาสดีที่จะลงมือ! 

…………………

 

นางรุกโจมตีเร็วขึ้นเรื่อยๆ พยายามรุกโจมตีทุกท่าเท่าที่จะทำได้

 สองร้อยเก้า… 

หลังจากเหมียวอี้นับเลขนี้ออกมาแล้ว ผังเสี้ยวเสี้ยวที่ใช้ไปเก้าสิบเก้าท่าก็พลันเก็บกระบี่แล้วอยู่นิ่งๆ เหมือนสาวบริสุทธิ์

เหมียวอี้ก็หยุดมือแล้วเช่นกัน ยืนตรงอย่างสง่าราวกับภูเขาต้นกำเนิดสายน้ำ เงี่ยหูเล็กน้อย แล้วถามว่า  ยังเหลืออีกท่า ทำไมไม่สู้แล้วล่ะ? 

ผังเสี้ยวเสี้ยวกลั้นหายใจตั้งสมาธิ ยื่นคมกระบี่ออกมาเงียบๆ โดยไม่ให้เกิดเสียง ดันไปตรงหน้าอกเหมียวอี้อย่างช้าๆ

ภายใต้การทดสอบอันเข้มงวดของวิชาอัคนีดารา ร่างกายและจิตใจไม่เหมือนในอดีตอีกแล้ว เหมียวอี้ที่ใจเกิดปาฎิหาริย์ ทุกสิ่งรอบกายสัมพันธ์กับใจอย่างแนบแน่นเผยยิ้มมุมปาก

ผังเสี้ยวเสี้ยวจะไปรู้ได้อย่างไร ว่าที่จริงเวลาเหมียวอี้ไม่ใช่ดวงตาจะสามารถสัมผัสสิ่งต่างๆ ได้เร็วกว่า ถ้าอยู่ในระยะไกลก็พูดยาก ถ้าอยู่ในระยะใกล้ก็ไม่มีสิ่งใดหลบการรับรู้ของเขาได้

เมื่อเห็นเหมียวอี้เผยรอยยิ้ม ผังเสี้ยวเสี้ยวก็รู้แล้วว่าแผนเจ้าเล่ห์ของตัวเองถูกเปิดเผย พลันแทงกระบี่ในมือออกมาอีกครั้ง

เหมียวอี้พลันขยับมือมาหยุดตรงหน้าอก สองนิ้วที่ออกมาทีหลังถึงก่อน คีบคมกระบี่ไว้อีกครั้ง จากนั้นออกแรงดึง บิดจนกระบี่สั่นแล้วโบกแขนเสื้อสะบัดไปข้างบน แล้วถือโอกาสดึงผ้าปิดตาทิ้ง

ไม่ทันระวังตัว ผังเสี้ยวเสี้ยวทำอะไรไม่ถูก แขนข้างหนึ่งที่แข็งแรงทรงพลังโอบเอวนางไว้แล้ว นางเข้ามาอยู่ในอ้อมอกบึกบึนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายวีรบุรุษ

บนเพดานมีเสียงดังจึก ผังเสี้ยวเสี้ยวเงยหน้ามอง เห็นเพียงกระบี่วิเศษของตัวเองทิ่มอยู่บนขื่อเพดานแล้ว

เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง ก็สบประสานสายตากับเหมียวอี้ ทำให้เขินอายทันที นางเอียงหน้าหนี เอามือผลักสองทีแต่ผลักไม่ออก

เหมียวอี้ที่กำลังโอบเอวนางถามด้วยรอยยิ้มว่า  ยอมแพ้แล้วเหรอ? 

ผังเสี้ยวเสี้ยวมองเขาแวบหนึ่ง สัมผัสได้ถึงร่างกายที่แข็งแรงมีพลังของเขา ได้กลิ่นอายของวีรบุรุษ แพจนตายาวรีบหลุบลงเล็กน้อย ตอบด้วยเสียงพึมพำเหมือนยุง  แต่งกับไก่ตามไก่ แต่งกับสุนัขตามสุนัข!  พอพูดจบแก้มก็แดงราวกับคนเมา หัวใจเต้นรัวตึกตัก

ท่าทางเหมือนเมามายทำให้เหมียวอี้ใจสั่น จากนั้นก็รวบอุ้มทั้งตัวผังเสี้ยวเสี้ยวขึ้นมาอย่างไม่ลังเล แล้วพาเดินไปที่เตียงโดยตรง

ผ้าคาดเอวสีแดงถูกโยนออกไปแล้ว ชั่วพริบตาเดียวร่างกายชาวอมชมพูที่งดงามเหมือนสลักจากหยกก็ปรากฏขึ้น ไม่มีจุดไหนให้ปกปิด

คนที่ผ่านสนามรบมาแสนนาน เกสรดอกไม้บอบบางจะทนการย่ำยีได้อย่างไร บุปผาแดงร่วงโรย เป็นค่ำคืนที่วาบหวามเย้ายวนใจ…

วันต่อมา หลินผิงผิงกับเสวี่ยหลิงหลงถูกเรียกให้เข้ามาดูแลคู่ข้าวใหม่ปลามัน

เสวี่ยหลิงหลงบังเอิญไปเห็นกระบี่วิเศษปักบนขื่อเพดาน จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า  นายท่าน บนขื่อเพดานมีกระบี่ปักได้ยังไงคะ? 

ผังเสี้ยวเสี้ยวอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน กังวลว่าจะทำให้คนนึกเชื่อมโยงไปถึงความบ้าระห่ำบนเตียงเมื่อคืนนี้ พอนึกถึงฉากกำเริบสานที่ปล่อยให้บุรุษเก็บเกี่ยวหยิบฉวยเมื่อคืนนี้ นางก็หน้าแดงอีกครั้ง ไปหลบหลังเหมียวอี้โดยไม่รู้ตัว ไม่กล้าเจอคนแล้ว

เหมียวอี้เงยหน้ามอง ถึงได้รู้ว่าลืมหยิบลงมา เขาขยุ้มนิ้วทั้งห้า ดึงกระบี่ออกมาไว้ในมือ จากนั้นยื่นมือไปข้างหลังแล้วดึงผังเสี้ยวเสี้ยวออกมา ยัดกระบี่วิเศษคืนใส่มือนาง แล้วกล่าวอย่างร่าเริงว่า  หรูฮูหยินฝึกกระบี่ได้ดี เมื่อคืนอดใจไม่ไหวที่จะแสดงให้ข้าดู 

ผังเสี้ยวเสี้ยวแอบยื่นมือไปบิดเอวเขาทันที นางมีสีหน้าเขินอาย

หลินผิงผิงกับเสวี่ยหลิงหลงสบตากันแล้วยิ้ม ในเมื่อเจ้าสาวเขินอาย เรื่องเรื่องน่าสนุกในห้องหอก็ไม่จำเป็นต้องถามให้ชัดเจนขนาดนั้นแล้ว

เสวี่ยหลิงหลงเชิญให้ผังเสี้ยวเสี้ยวนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วหวีจัดแต่งmi’ผมให้นาง

ตอนที่มองเงาร่างของเหมียวอี้ผ่านกระจก ในดวงตางามของผังเสี้ยวเสี้ยวก็หวานเยิ้มอย่างที่ปิดบังได้ยาก แต่ก็กลัวว่าเสวี่ยหลิงหลงจะสังเกตเห็น ทำได้เพียงแอบมองเป็นบางครั้ง

ในใจรู้สึกสะท้อนใจมาก หลังจากผ่านคำคืนอันเย้ายวนใจแล้ว ความคับแค้นที่มีต่อบิดามารดาก็หายไปแล้ว กลับคิดว่าแม้บิดามารดาจะเตรียมแผนการอีกอย่างเอาไว้ แต่ก็หวังดีต่อนางจริงๆ ทำให้นางสมหวังในวาสนารักแล้ว

หลังจากแต่งตัวเรียบร้อย คู่บ่าวสาวก็ไปคำนับผังก้วนกับจาหรูเยี่ยนที่เรือนเดี่ยว

ตอนนั่งรับการคำนับ จาหรูเยี่ยนเห็นท่าทางเขินอายของลูกสาว ในฐานะของคนที่เคยผ่านมาก่อน นางก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจแล้ว มองออกแล้วว่าลูกสาวปลดปล่อยความคับแค้นก่อนหน้านี้ทิ้งไปแล้ว

พอมองคู่บ่าวสาวอีกครั้ง ก็พบว่าเป็นคู่ที่เหมือนไข่มุกงามที่ร้อยเข้ากับหยกจริงๆ ลูกสาวหน้าตางดงามไร้ที่เปรียบ ลูกเขยก็องอาจผึ่งผาย ฐานะสูงส่ง ดังนั้นไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ถูกชะตา อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเบิกบานใจ นางผายมือขึ้นซ้ำๆ  ลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องมากพิธี! 

ผังก้วนที่สีหน้าเรียบเฉยกลับจ้องเหมียวอี้ ในใจส่งให้เหมียวอี้เพียงสามคำว่า : ไอ้เวรเอ๊ย!

จากนั้นจาหรูเยี่ยนก็จูงแขนลูกสาวขึ้นมานั่งข้างๆ  เสี้ยวเสี้ยว แต่งงานแล้ว ไม่เหมือนตอนอยู่ที่บ้านแล้ว ลูกจะต้องรู้ความ ปรนนิบัติสามีของตัวเองดีๆ อย่าพาลหาเรื่องโดยไร้เหตุผล ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครช่วยจะพูดแล้ว…  นางกังวลว่าลูกสาวจะแสนงอนจนทำให้งานใหญ่พัง นี่คือสิ่งที่ผังก้วนกำชับนาง

นางย่อมเข้าใจว่านี่คือเวลาที่ต้องให้ทัพใหญ่หลายสิบล้านในมือลูกเขยช่วยเหลือ ลูกเขยของตนเชี่ยวชาญการรบ เป็นขุนพลพยัคฆ์แห่งยุค ยังไม่ต้องพูดถึงว่านำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์โจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านพ่ายแพ้ กำลังพลหนึ่งแสนก็ตีทัพตะวันออกห้าล้านจนพ่ายแพ้ยับเยิน ช่วยเหลือตระกูลของตนได้มากแน่นอน!

ก่อนหน้านี้ตอนที่เอาแต่คิดว่าจะล้างแค้นกับเหมียวอี้ นางนึกไม่ออก ตอนนี้นึกออกถึงความยอดเยี่ยมของเหมียวอี้แล้ว

สองแม่ลูกคุยกันเงียบๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้

ส่วนผังก้วนกลับเหมียวอี้ก็เดินมาใต้ชายคา แอบถ่ายทอดเสียงปรึกษาเรื่องร่วมงานกัน เมื่อมีความสัมพันธ์ระดับแต่งงานกันแล้ว ทั้งสองก็เจรจากันโดยไม่ระวังตัวมากอีกแล้ว รู้สึกว่าน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย กลับทำให้ผังก้วนรู้สึกว่าลูกสาวคนนี้แต่งงานได้อย่างยุติธรรมแล้ว

การจะทำงานใหญ่ ผังก้วนยังมีเรื่องอีกมากมายต้องวางแผน กอปรกับการประชุมขุนนางของตำหนักสวรรค์กำลังจะมาถึงแล้ว ไม่อยากอยู่ที่นี่นาน จึงรีบกลับไป

ตอนที่กล่าวอำลากัน ผังก้วนก็มองจาหรูเยี่ยนที่จูงลูกสาวออกมาจากห้องด้วยสายตาสอบถาม จาหรูเยี่ยนจำสิ่งที่เขาสั่งได้ พยักหน้าเบาๆ หรือว่าถามแล้ว แน่ใจแล้วว่าได้เข้าหอแล้วจริงๆ

เมื่อรู้ว่าไม่ใช่การแกล้งทาง ผังก้วนก็วางใจ ถ้าหากเหมียวอี้แต่งงานแล้วแต่กลับไม่ยอมเข้าหอ แบบนั้นกลับทำให้เขาคิดมากว่าเหมียวอี้มีเจตนาอะไร?

ทว่าตอนที่กำลังจะออกเดินทาง จาหรูเยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะหมั่นไส้เหมียวอี้ ตอนนี้เพิ่งเข้าใจว่าทำไมต้องให้พาลูกสาวมาด้วย ทั้งยังให้นางมาด้วยอีก นี่คือการเตรียมตัวที่รวดเร็ว บิดามารดาอยู่ด้วยจะได้ทำพิธีแต่งงานให้เสร็จในรวดเดียวได้สะดวก!

นึกว่ามาด้วยกันเป็นครอบครัว แต่กลับต้องทิ้งลูกสาวให้อยู่ที่นี่คนเดียว จาหรูเยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะขอร้องว่า  นายท่าน ถึงยังไงท่านก็บอกแล้วว่าเสี้ยวเสี้ยวอยู่ที่นี่ไม่นานก็ต้องกลับบ้านไปเยี่ยมพวกเรา ไม่สู้ให้ข้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนลูกสาวด้วยสิ แล้วเดี๋ยวค่อยกลับไปด้วยกัน 

ในใจรู้สึกผิดจนอยากให้คู่ข้าวใหม่ปลามันสมหวังก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าให้ลูกสาวอยู่ที่นี่นาน ไม่โผล่หน้าออกจากจวนจอมพลเลย ก็กลัวว่าคนจะสงสัย ดังนั้นผังก้วนกับเหมียวอี้จึงปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว ว่าให้ผังเสี้ยวเสี้ยวอยู่ที่นี่สักระยะแล้วค่อยส่งกลับจวนจอมพล หลังจากนี้ชีวิตสามีภรรยายังอีกยาวนาน งานใหญ่สำคัญกว่า

ถ้าฮูหยินจอมพลไม่โผล่หน้าออกมาด้วยก็จะยิ่งทำให้คนสงสัย อีกทั้งผังก้วนก็กังวลด้วยว่าที่นี่จะไม่มีใครคุมจาหรูเยี่ยนได้ เมียของตัวเองเป็นคนอย่างไร เขาจะไม่รู้จักดีเชียวหรือ? ถึงตอนนั้นถ้านางอาศัยว่าตัวเองเป็นแม่ยายของหนิวโหย่วเต๋อแล้วชี้มือวาดเท้าอยู่ที่นี่ ก่อกวนไปทั่วทุกที่ จะไม่เป็นการเผยพิรุธหรอกหรือ? ดังนั้นผังก้วนจึงกล่าวยังไม่ลังเลว่า  ที่บ้านยังมีงาน กลับไปด้วยกัน! 

เห็นแก่ที่กำลังจะได้เป็นหวังเฟย จาหรูเยี่ยนพูดจาอ่อนโยนขึ้นแล้วไม่น้อย เลิกบ่นแล้ว แต่ยังเสือกมือลูกสาวและกำชับอะไรอีกนิดหน่อย

ตอนที่คู่บ่าวสาวมาส่ง ส่งแค่ตรงประตูของเรือนด้านใน ผังก้วนเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอว่าไม่ต้องมาส่งไกล ตอนนี้ผังก้วนเรียกได้ว่าระวังตัวอย่างสูง ก่อนหน้านี้ก็กำชับเหมียวอี้แล้ว ก็ระหว่างที่ผังเสี้ยวเสี้ยวอยู่ที่นี่ ก็อย่าให้โผล่หน้าออกมาเจอใคร

ขณะมองพ่อตาแม่ยายสายผลประโยชน์จากไป เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ตรงประตูก็แววตาเลื่อนลอยนิดหน่อย

ที่จริงเขาก็ไม่อยากทำอย่างนี้เช่นกัน แต่แนวโน้มสถานการณ์ก็เห็นๆ กันอยู่ ต่อให้ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้ว แต่อาศัยกำลังพลห้าสิบล้านในมือเขา ถ้าคิดจะโจมตีให้ทั่วอาณาทัพใต้ก็อันตรายมาก ต่อให้ทำสำเร็จแต่ก็จะเสียหายยับเยินเช่นกัน ในระหว่างนั้นเขากับผังก้วนจะต้องสู้กันเอาเป็นเอาตาย!

แม้เขากับผังก้วนจะมีไมตรีต่อกันอยู่บ้าง แต่ถ้าคิดจะโน้มน้าวให้ผังก้วนสนับสนุนให้เขาคุมอาณาเขตทัพใต้นั้นเป็นไปไม่ได้เลย ผังก้วนเป็นจอมพลสายเถาะแล้ว จะต้องเพ่งเล็งตำแหน่งอ๋องสวรรค์แน่ ถ้าได้อยู่ตำแหน่งเดิมโดยไม่ขยับไปไหน เขาจำเป็นต้องมาเสี่ยงอันตรายกับเหมียวอี้ด้วยเหรอ? ความเสี่ยงนี้ใช่ว่าเอาเงินทองมาเติมแล้วจะชดเชยได้! ดังนั้นต่อให้เหมียวอี้ครอบครองอาณาเขตทัพใต้ ถ้าไม่มีรางวัลให้ผังก้วน กอปรกับกำลังอ่อนแอ แบบนั้นอาจกระตุ้นความทะเยอทะยานให้ผังก้วนใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟกับเขาก็ได้

ตามที่หยางชิ่งบอก ในเมื่อการใช้กำลังช่วงชิงมีความเสี่ยงเกินไป เช่นนั้นก็ใช้สติปัญญาช่วงชิงเพื่อลดความเสี่ยงลง ถึงได้วางแผนต่อเนื่องกันอีก การแต่งงานกับผังเสี้ยวเสี้ยว ถ้าพูดจากบางมุมก็เป็นการแสดงความอ่อนแอ และเป็นการแสดงออกด้วยวว่ากลัวผังก้วนข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน ลดความระแวงของผังก้วนได้

แผนการขั้นต้นสำเร็จอย่างราบรื่น ต่อมาก็ดูว่าผังก้วนจะกัดกระดูกที่แข็งที่สุดอย่างฮ่าวเต๋อฟางได้อย่างไร เดิมทีเหมียวอี้ต้องการจะสู้ตายเพื่อทำเรื่องนี้ ภายใต้การวางแผนของหยางชิ่ง จึงกลายเป็นให้ผังก้วนทำแทน!

 ท่านสามี กำลังคิดอะไรอยู่คะ?  พอเก็บสายตากลับมาก็พบว่าเหมียวอี้ค่อนข้างเลื่อนลอย ผังเสี้ยวเสี้ยวที่อยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะถาม

เหมียวอี้ดึงสติกลับมา สายตาไปหยุดอยู่บนตัวนาง จับมือเรียวสาวของนางแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า  กำลังคิดว่าวันนี้สาวน้อยยังอยากรำกระบี่อยู่อีกมั้ย! 

พอฟังออกถึงความหมายแฝงที่อยู่ในนั้น ผังเสี้ยวเสี้ยวก็หน้าแดงก่ำ ร่างกายอ่อนเพลียจากเมื่อคืนยังหายดีเลย อีกทั้งข้างกายก็ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย นางพึมพำว่า  ไม่สนใจท่านแล้ว  นางชักมือกลับมาแล้วบิดตัวเดินไป ท่าทางสาวน้อยแกล้งงอนน่ารักมาก

ความกังวลที่แวบผ่านเข้ามาในดวงตาเหมียวอี้เลือนหายไป เดินก้าวยาวตามไปอย่างร่าเริง

หยางชิ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่างที่เปิดออกครึ่งหนึ่ง กำลังลูบเครามองดูฉากนี้

แม้ผังก้วนจะกำชับแล้วว่าไม่ให้ผังเสี้ยวเสี้ยวโผล่หน้าออกมาตอนอยู่ที่นี่ แต่เหมียวอี้ก็ยังพาผังเสี้ยวเสี้ยวไปเที่ยวชมภูเขาแม่น้ำบริเวณนี้

เขารู้ดีว่าที่นี่มีกำลังทหาร จึงให้ผังเสี้ยวเสี้ยวใส่หน้ากากปลอมตัว

ขึ้นเขาดูทะเลหมอก ชมพระจันทร์เก้าดวงบนฟ้า อาลัยอาวรณ์ชมทุ่งดอกไม้ ล่องเรือบนทะเลมรกต ดูโคมไฟริบหรี่ที่ตลาดผี ดูปรากฏการณ์ประหลาดที่น้ำพุวังเวง ดูพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก ลิ้มรสอาหารอร่อยต่างๆ ทั้งสองตัวติดกันเหมือนกาวหลายวันมาก บนใบหน้าผังเสี้ยวเสี้ยวมีแต่รอยยิ้ม เป็นหลายวันที่นางมีความสุขที่สุดตั้งแต่เกิดมา แม้แต่ยามนอนหลับฝันก็ยังยิ้มหวาน

ตั้งใจเจียดเวลามาอยู่เป็นเพื่อน เป็นเพราะในใจเหมียวอี้รู้สึกผิดเช่นกัน

การประชุมตำหนักสวรรค์ นอกตำหนักฟ้าดินมีหงส์ส่งเสียงร้อง บรรดาขุนนางในตำหนักมาครบแล้ว

เมื่อขึ้นนั่งบัลลังก์ราชันสวรรค์ ดวงตาเรียวเล็กเย็นเยียบของประมุขชิงกำลังมองกลุ่มขุนนนาง สังเกตเห็นว่าตำแหน่งของเซี่ยโห้วลิ่งขาดคน อยู่ใต้หนังตานี้เอง สังเกตเห็นได้ง่ายมาก

 หรือว่าท่านปู่สวรรค์ก็ปรับปรุงกำลังพลเหมือนบรรดาอ๋องสวรรค์ด้วย?  ประมุขชิงเอ่ยปากพูดเหน็บแนมทันที

เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อที่ยืนอยู่ข้างล่างมีสีหน้าเรียบเฉย พวกโค่วหลิงซวีไม่มา ส่วนพวกเขามาแล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยอะไร กำลังทหารของพวกเขาเทียบกับอีกสามอ๋องไม่ติด จึงต้องรักษาความสัมพันธ์กึ่งแข่งขันกึ่งร่วมมือเอาไว้ และไม่อย่างล่วงเกินประมุขชิงอย่างเปิดเผยด้วย

คนในเครือข่ายของตระกูลเซี่ยโห้วที่อยู่ในตำหนักก้าวออกมารายงานว่า  ฝ่าบาท จู่ๆ ท่านปู่สวรรค์ก็เห็นคำสั่งสอนของท่านปู่สวรรค์คนเก่า จึงขอลาหยุดไปเฝ้าดูแลสุสานแสดงความกตัญญู ได้รายงานวังสวรรค์มาแล้ว 

แม้ประมุขชิงจะไม่เชื่อ แต่ก็ไม่สะดวกจะพูดเรื่องเฝ้าดูแลสุสานแสดงความกตัญญู เพียงแต่เอ่ยออกมาเพื่อให้คนเปิดโปงความจริงก็เท่านั้นเอง

ผังก้วนชำเลืองตำแหน่งยืนของเซี่ยโห้วลิ่งแวบหนึ่งอย่างไม่สะทกสะท้าน ในใจพูดเย้ยว่า เฝ้าสุสานเหรอ? เกรงว่าคงลงสุสานไปเป็นเพื่อนเซี่ยโห้วท่าแล้วกระมัง?

ที่เขามาก็เพราะอยากจะยืนยันอีกครั้ง ตอนนี้เห็นเซี่ยโห้วลิ่งขาดประชุม ก็รู้สึกวางใจขึ้นไม่น้อย กลับไปรอบนี้จะได้เริ่มดำเนินการตามแผนอย่างเป็นทางการสักที!

…………………

 

หอพิธี เรือนหอ ทั้งหมดถูกจัดเตรียมอย่างรวดเร็ว ข้างนอกมองไม่ออกเลยว่ามีความผิดปกติอะไร มีแค่ต้องเข้ามาในบ้านเท่านั้นถึงจะมองเห็นว่ามีโคมไฟและผ้าประดับงดงาม

ใครจะไปเชื่อว่าที่นี่คือสถานที่จัดงานแต่งงานของลูกสาวจอมพลสายเถาะผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลผู้สง่าผ่าเผย?

ทุกอย่างเรียบง่าย เรียบง่ายธรรมดาจริงๆ

ไม่มีแขกมาร่วมแสดงความยินดี มีเพียงลูกน้องคนสนิทไม่กี่คนของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น

ในห้องงดงามสดใส เพียงแต่ไม่กี่คนที่อยู่ในห้องดูเย็นชา ผังก้วนกับจาหรูเยี่ยนนั่งสง่าอยู่เบื้องบน สวมเสื้อผ้าสวยงามเช่นกัน

เหมียวอี้สวมชุดแต่งงานสีแดง ยืนอยู่ลำพังกลางโถงใหญ่

จาหรูเยี่ยนที่นั่งสง่ากำลังจ้องประเมินเหมียวอี้ ไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้ถึงรู้สึกว่าเหมียวอี้ไม่ได้ดูเลวร้ายขนาดนั้นแล้ว ตอนนี้ดูองอาจห้าวหาญ มีพลังเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา อีกทั้งมีอำนาจมากขนาดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่น่าเชื่อว่าบุคคลที่โดดเด่นอย่างนี้จะกลายมาเป็นลูกเขยของตน รู้สึกว่ายิ่งมองก็ยิ่งถูกชะตา มุมปากเริ่มอมยิ้มเล็กน้อย

ตอนนี้นางลองคิดดูดีๆ ก็รู้สึกว่าให้ลูกสาวแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อนั้นเหมาะสมแล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้ตัวเองถูกความแค้นล้างสมองจนเลอะเลือน พิจารณาเรื่องราวอย่างไร้สติปัญญาเกินไป ยังเป็นผู้ชายของตัวเองที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล ผู้หญิงอย่างนางเทียบไม่ติด

ฤกษ์งามยามดีมาถึงแล้ว ในโถงด้านข้าง หลินผิงผิงจูงผังเสี้ยวเสี้ยวสวมชุดกระโปรงสีแดงทั้งตัว คลุมผ้าสีแดงที่ศีรษะออกมา คอยชี้แนะบอกให้ไปยืนอยู่ข้างกายเหมียวอี้ จากนั้นหยางเจาชิ่งก็ส่งผ้าสีแดงที่มันเป็นรูปดอกไม้มาให้จูง แบ่งยื่นให้คู่บ่าวสาว

ขณะมองลูกสาว จาหรูเยี่ยนก็คิดเพ้อฝันไปต่างๆ นานา คนเป็นมารดาได้เป็นหวังเฟย ส่วนลูกสาวก็ได้กลายเป็นฮูหยินจอมพลตั้งแต่อายุยังน้อย ใต้หล้านี้ไม่มีแม่ลูกคู่ไหนที่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีหน้ามีตาเหมือนพวกนางอีกแล้ว คิดไปคิดมาก็เบิกบานใจ แค่รอโดนคนอื่นอิจฉาเท่านั้น

หยางเจาชิ่งกล่าวนำพิธี คู่บ่าวสาวคำนับพ่อแม่และกราบไหว้ฟ้าดิน จากนั้นก็ส่งเข้าเรือนหอ

ความคึกคักก่อนหน้านี้ไม่มีแล้ว จาหรูเยี่ยนถึงรู้สึกว่าเงียบเหงา ถึงรู้สึกว่าลูกสาวแต่งงานอย่างเรียบง่ายเกินไปแล้ว นางอดไม่ได้ที่จะปาดน้ำตา  นายท่าน ไม่ยุติธรรมต่อลูกสาวเลยจริงๆ 

ผังก้วนถอนหายใจ  สถานการณ์เป็นอย่างนี้ ทำได้แค่ท่านี้ก่อน เจ้าวางใจเถอะ หลังจากจบเรื่องแล้วข้าจะให้พวกเขาแต่งงานกันอย่างมีหน้ามีตา! 

ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ที่ส่งเจ้าสาวเข้าเรือนหอก็ออกมาอีกแล้ว

ในโถงใหญ่จัดโต๊ะเพียงโต๊ะเดียว ตอนนี้ไม่แบ่งนายแบ่งบ่าวแล้ว นายบ่าวที่มีจำนวนน้อยจนนับนิ้วได้นั่งเบียดอยู่โต๊ะเดียวกัน ร่วมแสดงความยินดี!

หลังจากเลี้ยงฉลองจบแล้ว ผังก้วนและฮูหยินก็ไปพักผ่อนที่เรือนรับแขก หยางเจาชิ่งกับเหยียนซิวเฝ้าอยู่ในลานบ้าน หลินผิงผิงกับเสวี่ยหลิงหลงกำลังช่วยคู่บ่าวสาวทำพิธีอยู่ในห้อง

สวีถังหรานเป็นฝ่ายขอรับหน้าที่ทำงาน ลาดตระเวนอยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการอย่างเอาจริงเอาจัว สีหน้าท่าทางเคร่งขรึม แต่ในใจกลับระงับความดีใจไม่อยู่

สาเหตุที่เขาดีใจก็ไม่ได้ซับซ้อน ขนาดเรื่องที่เป็นความลับอย่างนี้เขาก็ยังได้เข้าร่วม จะเห็นได้ว่านายท่านยังเชื่อใจเขาอยู่

ขณะเดียวกันเขาก็เดาได้แล้ว ว่านายท่านแอบแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับผังก้วน ลองคิดดูก็จะรู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว

ยิ่งคิดก็ยิ่งฮึกเหิม จากประสบการณ์ของเขา เขาไม่กลัวว่านายท่านจะก่อเรื่อง กลัวก็แต่นายท่านจะไม่ขอเรื่อง เพราะทุกครั้งที่นายท่านก่อเรื่อง ก็จะเป็นเวลาที่เขาจะได้เลื่อนตำแหน่งสูงตามไปด้วย ทั้งกังวลทั้งตื่นเต้นอย่างแท้จริง

ภายใต้แสงจันทร์ ทั้งจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลดูปกติทุกอย่าง

ในเรือนหอ เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออก คล้องแขนดื่มสุรา หลินผิงผิงกับเสวี่ยหลิงหลงรู้ว่าไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับตัวเองแล้ว ไม่สะดวกจะอยู่ต่อให้ทำลายฉากอันงดงามของบ่าวสาว จึงทำความเคารพด้วยรอยยิ้มที่สนิทสนมแล้วถอยออกไป

ผังเสี้ยวเสี้ยวที่สวมชุดสีแดงทั้งตัวนั่งสงบอยู่ข้างเตียง มองไม่ออกว่าระวังตัวและประหม่า สายตาจ้องตรงไปที่เหมียวอี้

แม้จะได้ยินชื่อเสียงของชายคนนี้มานานแล้ว และเคยแอบเพ้อฝันว่าถ้าตัวเองได้เป็นเหมือนอวิ๋นจือชิว ได้เจอผู้ชายแบบหนิวโหย่วเต๋อสักคนจะดีขนาดไหน ทว่าต่อให้ฝันก็นึกไม่ถึง เพิ่งครั้งแรกที่ได้พบผู้ชายคนนี้ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะได้แต่งงานกับเขาแล้ว ตอนนี้ก็เข้าเรือนหอแล้ว

เหมียวอี้ขมวดคิ้วมุ่น เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในเรือนหอ เขาเองก็นับว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวเวลาฆ่าคน คนที่ตายด้วยน้ำมือเขามีเยอะจนนับไม่หมด แต่เวลาทำเรื่องแบบนี้แล้วรู้สึกผิดจริงๆ อดไม่ได้ที่จะแอบด่าว่าหยางชิ่งช่างออกความคิดที่ไม่เข้าท่า

พอนึกถึงแผนที่จะใช้เล่นงานผังก้วนในภายหลัง ถ้าเข้าเรือนหอกับผู้หญิงคนนี้จริงๆ แล้วในภายหลังจะเผชิญหน้าอย่างไรล่ะ?

ขณะกำลังครุ่นคิดว่าจะอยู่ที่นี่สักประเดี๋ยวแล้วค่อยออกไปดีไหม ผลปรากฏว่าบังเอิญไปเห็นผังเสี้ยวเสี้ยวกำลังมองตนอยู่ตลอด ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดเดินอย่างงุนงง

ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน ฉากนี้ทำให้ผังเสี้ยวเสี้ยวแอบรู้สึกเขินอาย ถ้าพูดจากใจจริง นางก็แค่ไม่พอใจที่บิดามารดาเตรียมการอย่างนี้ให้นาง นางไม่ได้รู้สึกแย่กับเหมียวอี้ พอคิดว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว เรื่องนี้กลายเป็นความจริงแล้ว ในใจกลับรู้สึกหวั่นไหวราวกับน้ำที่มีระลอกคลื่น มีความรู้สึกบางอย่างที่บรรยายไม่ถูกกำลังก่อตัวขึ้น

ลักษณะของเหมียวอี้ดูน่าเกรงขาม แต่ผังเสี้ยวเสี้ยวกลับไม่แสดงความอ่อนแอ ข่มความคิดอย่างอื่นในใจเอาไว้ รวบรวมความกล้าพูดเสียงดังฟังชัดว่า  เหตุใดท่านสามีถึงขมวดคิ้วมุ่น เดินไปเดินมา หรือว่ารังเกียจข้า ดูถูกข้า? 

 …  เหมียวอี้อึ้งเล็กน้อย รู้สึกเหนือความคาดหมายนิดหน่อย จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มทันทีว่า  เปล่าเสียหน่อย ชอบต่างหากล่ะ 

ผังเสี้ยวเสี้ยวลุกขึ้นเดินเข้ามา มายืนตรงหน้าเขา  กลัวว่าจะปากไม่ตรงกับใจน่ะสิ เจ้าแต่งงานกับข้าทำไม เจ้ากับข้าต่างรู้อยู่แก่ใจ ไม่จำเป็นต้องพูดจาหลอกลวงแบบนี้หรอก 

 กล่าวเกินไปแล้ว มีใครบ้างไม่ชอบคนสวย จะพูดจาหลอกลวงได้ยังไง  เหมียวอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม

 งั้นเหรอ!  ผังเสี้ยวเสี้ยวเชิดคางท่าท้ายเขา จากนั้นก็ก้าวเท้าเบาๆ เดินอ้อมตัวเขาพร้อมมองสำรวจ

เหมียวอี้หันมองซ้ายทีขวาที อดไม่ได้ที่จะแอบส่ายหน้า ดูเป็นผู้หญิงอ่อนโยนสุภาพเรียบร้อยมาก นึกไม่ถึงว่าจะเจ้าอารมณ์มาก  เสี้ยวเสี้ยว ข้ารู้ว่าเจ้าโดนพ่อแม่บีบบังคับเรื่องนี้ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ข้าเป็นคนหูแข็งมาก ไม่ว่าจะพูดอะไรข้าก็รับไหวทั้งนั้น 

เขากำลังคิดว่า ถ้าอีกฝ่ายไม่เต็มใจจริงๆ ก็สามารถเจรจากับนางดีๆ ได้ คิดหาทางให้นางร่วมมือดำเนินการตามแผนจนสำเร็จ หลังจากจบเรื่องค่อยให้อิสระแก่นาง

 มองกระบี่!  จู่ๆ ข้างหลังก็มีเสียงตะคอกของผู้หญิง ผังเสี้ยวเสี้ยวพลันช้อนกระบี่วิเศษมาไว้ในมือ กระบี่วิเศษ แสงสะท้อนคมกระบี่ราวกับกระสวยทอผ้า แสงเย็นสายหนึ่งแทงไปจ่อที่แผ่นหลังของเหมียวอี้โดยตรง

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ร่างกายไม่ขยับด้วย แค่พลิกมือดีดไปข้างหลัง เกิดเสียงดังแกร๊ง คมกระบี่เด้งเบี่ยงออกไปแล้ว

ผังเสี้ยวเสี้ยวกลับไม่ยอมเลิก โจมตีด้วยกระบี่อีกหลายครั้งต่อเนื่องกัน ทว่าเหมียวอี้กลับยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน มีเพียงเงานิ้วที่ดีดต่อเนื่อง มีเสียงแกร๊งๆ ดังไม่หยุด โจมตีกระบี่จนพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า

ผังเสี้ยวเสี้ยวตกใจไม่เบา ทำไมเหมือนมีตาหลังเลยล่ะ กระโปรงแดงปลิวว่อน พลิกตัวขึ้นมากลางอากาศ จ่อกระบี่ไปบนยอดศีรษะของเหมียวอี้

เงาแขนเหมียวอี้ขยับขึ้นมา ใช้สองนิ้วคีบคมกระบี่เอาไว้ พอออกแรง ก็สะบัดให้ผังเสี้ยวเสี้ยวมาอยู่ตรงหน้าตนทันที

ผังเสี้ยวเสี้ยวที่ตกลงพื้นออกแรงดึงกระบี่ ทว่าคมกระบี่ที่คีบอยู่ตรงนิ้วเหมียวอี้ติดแน่นมาก ขยับไม่ออกเลยสักนิด

อาศัยวรยุทธ์ของนางตอนนี้ แต่อยากจะพาลเกเรต่อหน้าเหมียวอี้ ช่างเป็นเรื่องน่าขำจริงๆ เมื่อสู้กับเหมียวอี้แล้วก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กสามขวบ

ดวงตาเหมียวอี้ฉายแววเย็นเยียบ  ชักกระบี่ที่เรือนหอ ทำไมล่ะ อยากจะวางแผนฆ่าสามีตัวเองเหรอ? มีอะไรไม่พอใจก็นั่งลงคุยกันดีๆ ไม่จำเป็นต้องควงดาบชักกระบี่ 

สีหน้าผังเสี้ยวเสี้ยวไร้ซึ่งความหวาดกลัว  ถ้าจะฆ่าเจ้าก็คงไม่เตือนเจ้าหรอก! ขุนพลเป็นวีรบุรุษแห่งยุค ยังจะกลัวดาบในมือข้าเชียวหรือ? ข้าแค่อยากจะเห็นว่าขุนพลเป็นโจรลือชื่อหรือเปล่า ถ้าเป็นวีรบุรุษจริงๆ ข้าก็จะเชื่อฟังเจ้า แต่ถ้าเป็นโจรลือชื่อ ก็ไสหัวออกไปเอง! 

พอนึกได้ถึงคำว่า ‘มองกระบี่’ ที่ฝ่ายเตือนก่อนหน้านี้ ก็ดูไม่เหมือนกันลอบสังหารจริงๆ เหมียวอี้ทั้งโมโหทั้งอยากขำ  อย่างเจ้าเนี่ยนะ? 

 หรือว่ากลัวล่ะ?  ผังเสี้ยวเสี้ยวถาม

 ข้าเนี่ยนะกลัวเจ้า?  เหมียวอี้ถามกลั้วหัวเราะ  ได้ เจ้าจะลงมือยังไงล่ะ? 

ผังเสี้ยวเสี้ยวออกแรงชักกระบี่ออกมา แต่ขยับไม่ได้เลยสักนิด จึงกัดฟันบอกว่า  ข้ารู้ว่าวรยุทธ์ตัวเองสู้เจ้าไม่ได้ ถ้าเจ้าเก่งนักก็อย่าใช้พลังอิทธิฤทธิ์ มาประลองกันอย่างยุติธรรมสักสนาม! 

เหมียวอี้คลายนิ้วออก ชักกระบี่กลับไป ผังเสี้ยวเสี้ยวถือกระบี่คุมเชิง ท่าทางไม่ย่อท้อ

เห็นเพียงผ้าแดงบนศีรษะเหมียวอี้คลายมัดออกโดยไร้เสียง ตกลงในมืออย่างเงียบๆ สองมือถือผ้าแดงมาจ่อตรงตา แล้วมัดไปที่หลังศีรษะ ใช้มือข้างหนึ่งกลัดไว้ข้างหลัง แล้วใช้มืออีกข้างส่งสัญญาณมือเชิญ

 เจ้าคิดจะเอายังไง?  ผังเสี้ยวเสี้ยวไม่เข้าใจ

เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น  ตามที่เจ้าบอก ไม่ต้องใช้พลังอิทธิฤทธิ์! เพิ่มเงื่อนไขอีกนิดหน่อย ข้าไม่ต้องใช้ดวงตา แค่ยืนอยู่ตรงนี้ ใช้มือเดียวรับมือกับเจ้า ภายในสามร้อยกระบวนท่า หากกระบี่ในมือเจ้าแต่ต้องข้าไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ก็ถือว่าข้าชนะแล้ว! 

ผังเสี้ยวเสี้ยวงุนงง ไม่ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ อาศัยแค่ร่างกายแบบมือเปล่ามาสู้กับกระบี่วิเศษของตน ทั้งยังปิดตายืนอยู่กับที่และใช้มือเดียว แม้แต่บิดาของตนก็คงไม่กล้าปวดเช่นนี้ นางถามด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ  พูดจริงเหรอ? 

เหมียวอี้ที่ปิดตาสองข้างตอบเสียงเรียบ  ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ! แต่ถ้าเจ้าแพ้แล้ว ก็ต้องตอบรับเงื่อนไขข้าข้อหนึ่งเหมือนกัน 

 ว่ามา!  ผังเสี้ยวเสี้ยวกล่าว

 ไม่ว่าในภายหลังข้าจะทำอะไร เจ้าก็ห้ามบ่นห้ามเสียใจทีหลัง! 

ผังเสี้ยวเสี้ยวตอบว่า  ได้! ถ้าเจ้าชนะแล้ว ข้าก็จะแต่งกับไก่ตามไก่ แต่งกับสุนัขตามสุนัข ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าก็จะไม่บ่นไม่เสียใจทีหลัง มองกระบี่!  นางตอบอย่างไม่ลังเล ออกกระบี่ยังไม่ลังเลเช่นกัน คมกระบี่แทงออกมาอีกแล้ว

แกร๊ง! เงานิ้วเด้งออกมาอีกแล้ว คมกระบี่สะเทือนออก แทงเบี่ยงไปอีกแล้ว

นี่แค่ท่าเดียว ผังเสี้ยวเสี้ยวก็แอบตกใจแล้ว นางสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์เลยจริงๆ ไม่มีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์เลยสักนิด ต่อให้ไม่ได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ แต่ก็มือไวกว่าที่นางจินตนาการไว้มาก ทั้งยังไม่ต้องใช้ตาดู ใช้นิ้วคีบได้อย่างสบาย ราวกับบนมือมีดวงตา แม้แต่การหลบมุมที่คมกระบี่แทงออกมาก็แม่นยำไร้ที่เปรียบ

ในเรือนหอมีแสงสะท้อนคมดาบทันที ผังเสี้ยวเสี้ยวใช้วิชากระบี่จนตาลาย แสงเย็นวนเวียนรอบกาย เหาะขึ้นเหาะลงรอบๆ เหมียวอี้

เหมียวอี้ใช้แค่มือปกป้องตัวเอง ร่างกายส่ายไปส่ายมาเล็กน้อย บางครั้งก็เอนหน้าเอนหลัง เดี๋ยวก็นั่งลงเดี๋ยวก็ยืนขึ้น แต่สองเท้ายังอยู่ที่เดิม ไม่ก้าวไปไหนเลยจริงๆ

 สิบ…ยี่สิบ…สามสิบ…  เหมียวอี้นับทุกๆ สิบกระบวนท่า

ในเรือนหอมีเสียงแกร๊งๆ ไม่หยุด หยางเจาชิ่งกับเหยียนซิวที่อยู่ในลานบ้านด้านนอกมองหน้ากันเลิกลั่ก ในเรือนหอมีกิจกรรมนี้ด้วยเหรอ?

สุดท้ายดหยียนซิวก็ทนไม่ไหว กังวลว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับเหมียวอี้ ถลันตัวไปตรงประตูเรือนหอ ตะโกนเรียกว่า  นายท่าน! 

 เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!  เหมียวอี้ตอบ เหยียนซิวถึงได้ถลันตัวออกไป

ผังเสี้ยวเสี้ยวยิ่งโจมตีก็ยิ่งตกใจ ถ้าจะบอกว่าอีกฝ่ายมองลอดผ่านผ้าปิดตา แต่ตอนที่ตัวเองอ้อมไปโจมตีข้างหลังอีกฝ่ายล่ะ จะอธิบายอย่างไร แถมอีกฝ่ายยังแบ่งสมาธิมานับได้อย่างสบายๆ อีก นับกระบวนท่าที่นางลงมือ

 สองร้อย!  เหมียวอี้ที่นับจำนวนสองร้อยกำลังโยกร่างกายอยู่ท่ามกลางกระบี่ กล่าวอย่างใจเย็นว่า  ข้าไปมาได้อิสระท่ามกลางกำลังพลมากมาย ฝีมือเล็กน้อยเท่านี้ยังกล้ามาประลองกับข้าอีกเหรอ? ไม่พอ! สองร้อยสาม… 

ลักษณะท่าทางสบายๆ ยามอยู่ท่ามกลางกองทัพนับพันหมื่นแบบนั้น ทำให้ผังเสี้ยวเสี้ยวที่กำลังรุกโจมตีไม่หยุดตาเป็นประกาย ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเป็นขุนพลผู้ห้าวหาญสมคำร่ำลือ

………………

 

 เขาดีตรงไหน?  จาหรูเยี่ยนไม่ยอมรับ ออกแรงส่ายหน้า  นายท่าน นั่นคือศัตรูของข้านะ! เขาฆ่าเหรินจวิ้น เขาฆ่าหลานชายแท้ๆ ของข้า ข้าจะให้ลูกสาวแต่งงานกับเขาได้ยังไง ไม่ได้หรอก!  นางค่อยๆ คุกเข่าลง

ผังก้วนอยากจะบอกมากว่าหลานชายสวะไร้ประโยชน์อย่างนั้น เก็บไว้ก็เป็นภัย ตายแล้วจะได้หยุดพักบ้าง…แต่เขาย่อมไม่พูดออกมา ตอนนี้ไม่อาจยั่วโมโหจาหรูเยี่ยนได้ เขายังต้องขอความร่วมมือจากจาหรูเยี่ยน ไม่อย่างนั้นถ้าทะเลาะกับลูกสาวจนจะเป็นจะตาย ทำลายความร่วมมือในครั้งนี้ นั่นต่างหากที่ยุ่งยากแล้วจริงๆ

เขาใช้สองมือประคองจาหรูเยี่ยนให้ลุกขึ้นมา แล้วกล่าวเสียงต่ำ  หรูเยี่ยน เจ้าลองคิดดูสักหน่อย เสี้ยวเสี้ยวเป็นลูกสาวของข้า ข้าจะทำร้ายนางได้เหรอ? 

 ข้าไม่ยอม นายท่าน ข้าขอร้องล่ะ!  จาหรูเยี่ยนวิงวอนไหยุด แล้วจู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ รูดกำไลเก็บสมบัติในมือลงมา ยัดใส่มือผังก้วน  ข้าไม่เอาแล้ว เขาให้ของขวัญข้า ข้าไม่ต้องการแล้ว ข้าคืนของพวกนี้ให้เขา ให้เขาปล่อยลูกสาวข้าไปตกลงไหม! 

ตอนนี้นางตระหนักได้ถึงเรื่องบางอย่าง ก่อนหน้านี้ที่ให้ของขวัญในห้องเก็บสมบัติ ไม่ใช่เพื่อประจบเอาใจตน แต่เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นสินสอด!

ผังก้วนที่ถือกำไลเก็บสมบัติงงงวย นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?

จาหรูเยี่ยนน้ำตานองหน้า  นายท่าน ข้าเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อจะให้ตายหลายครั้ง หนิวโหย่วเต๋ออยากจะล้างแค้นข้า ถ้าลูกสาวตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อ จะต้องถูกเขาทรมานแน่นอน! เป็นความผิดของข้าเอง ล้วนเป็นความผิดของข้า ขอเพียงเขาปล่อยเสี้ยวเสี้ยวไป เรื่องก่อนหน้านี้ถ้าจะไม่เอาเรื่องอีกแล้ว ปล่อยลูกสาวข้าไปเถอะ!  เรียกได้ว่าเอาใจตัวเองไปคิดแทน คิดว่าตัวเองแค้นหนิวโหย่วเต๋อขนาดนั้น หนิวโหย่วเต๋อจะต้องแค้นนางมากเช่นกัน ถ้าลูกสาวตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อ นางก็ไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย กลัวว่าจะอยู่มิสู้ตาย!

ผังก้วนขมวดคิ้ว พูดอะไรมั่วไปหมด คนที่อยู่ในตำแหน่งอย่างหนิวโหย่วเต๋อ กอปรกับแผนการที่อยู่ตรงหน้า ใครจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องสับปะรังเคของเจ้?

เขารู้ว่าฮูหยินของตัวเองเข้าใจผิดไป รู้เช่นกันว่าคลายปมความแค้นของฮูหยินไม่ได้ ฮูหยินไม่มีทางให้ลูกสาวแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อ

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง บางเรื่องที่เดิมทีไม่อยากบอกจาหรูเยี่ยน คิดไปคิดมาก็ตัดสินใจบอกว่า  หรูเยี่ยน หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้จิตใจคับแคบขนาดนั้น เขาไม่เก็บเรื่องในปีนั้นมาใส่ใจตั้งนานแล้ว 

จาหรูเยี่ยนส่ายหน้า  จะเป็นไปได้ยังไง!  นางคิดว่าตัวเองปล่อยวางไม่ลง แล้วอีกฝ่ายจะปล่อยวางลงได้อย่างไร

ผังก้วนประคองนาง แล้วถามเสียงต่ำว่า  เจ้าไม่อยากเป็นหวังเฟยเหรอ? 

 ไม่อยาก…  จาหรูเยี่ยนปฏิเสธลูกเดียว หลังจากได้สติแล้ว นางก็ตะลึงงัน มองสามีขณะน้ำตาคลอ นึกว่าตัวเองฟังผิดไปแล้ว

 ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อีกไม่นานหลังจากนี้ ทั้งอาณาเขตทัพใต้จะเป็นของข้า ถึงตอนนั้นข้าก็จะเป็นท่านอ๋องที่คุมทัพใต้ ส่วนเจ้าก็เป็นหวังเฟย!  ผังก้วนกล่าว

 นี่…  จาหรูเยี่ยนปาดน้ำตา แววตาวูบไหว ถามยังตกใจปนสงสัยว่า  จะเป็นไปได้ยังไง? ท่านอ๋องฮ่าวจะหลีกทางให้เจ้าได้ง่ายๆ เหรอ? 

 หนิวโหย่วเต๋อเชี่ยวชาญการรบ ในมือมีทัพใหญ่หลายสิบล้าน!  ผังก้วนกล่าว

ต่อให้จาหรูเยี่ยนจะรู้แค่ไหน แต่ก็เข้าใจเช่นกัน ว่านี้คือการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ กำลังยกลูกสาวให้แต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อเพื่อแลกกับการสนับสนุนจากหนิวโหย่วเต๋อ นางกัดริมฝีปาก แล้วกล่าวเสียงสะอื้น  แต่หนิวโหย่วเต๋อมีเมียแล้ว ลูกสาวข้าจะไปเป็นเมียน้อยคนอื่นได้ยังไง? 

ผังก้วนตะคอกเสียงต่ำ  โง่เหรอ! ถ้าเรื่องนี้สำเร็จเมื่อไหร่ ข้าได้ขึ้นสู่ตำแหน่งเมื่อไหร่ การสนับสนุนให้เสี้ยวเสี้ยวเป็นภรรยาเอก ก็เป็นเรื่องง่ายไม่ใช่เหรอ ยังต้องกังวลเรื่องนี้อีกหรือไง? 

วิธีคิดของเขาในตอนนี้ก็เหมือนกับก่วงลิ่งหงในตอนนั้น ต่างก็คิดว่าหลังจากเรื่องนี้สำเร็จแล้ว ก็จะสนับสนุนให้ลูกสาวตัวเองได้เป็นภรรยาเอก

ดวงตาที่มีน้ำตาคลอของจาหรูเยี่ยนเป็นประกายเล็กน้อย พอคิดแบบนี้ ที่ผู้ชายของตัวเองพูดก็เหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง

ผังก้วนบอกว่า  เจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่า ถ้าข้ากลายเป็นท่านอ๋องที่คุมทัพใต้เมื่อไร เจ้าก็จะเป็นหวังเฟย ทั้งยังเป็นหวังเฟยโดยชอบธรรม หวังเฟยคนใหม่ของตระกูลก่วงนั่นเทียบไม่ติด! 

จาหรูเยี่ยนปาดน้ำตาอีกครั้ง กัดริมฝีปากโดยไม่พูดอะไร ในหัวมีความคิดแวบเข้ามา เช่นนั้นท่ามกลางผู้หญิงทางใต้หล้า ฐานะของตัวเองก็เป็นรองแค่ราชินีสวรรค์ไม่ใช่หรอกหรือ?

ผังก้วนรู้ว่านางหวั่นไหวแล้ว จึงถือโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อน  เจ้าลองคิดดูสิ ถ้าข้าเป็นท่านอ๋อง ในอนาคตลูกชายเจ้าก็จะกลายเป็นท่านอ๋องเหมือนกัน! ข้ากลายเป็นท่านอ๋องแล้ว ตามที่ข้าตอบรับเงื่อนไขของหนิวโหย่วเต๋อ จะสนับสนุนให้หนิวโหย่วเต๋อเป็นจอมพลสายเถาะ เสี้ยวเสี้ยวก็จะได้กลายเป็นฮูหยินจอมพลตั้งแต่อายุยังน้อย เรื่องดีแบบนี้จะไปหาจากไหนได้อีก ผู้หญิงทางใต้หล้าแทบจะอิจฉาไม่ทันแล้ว ถามหน่อยว่าในใต้หล้านี้ เจ้าจะหาลูกเขยที่ดีกว่าหนิวโหย่วเต๋อได้อีกไหม? ไม่ใช่ว่าข้าหวังดีกับลูกสาวหรอกหรือ ข้าทำร้ายลูกสาวหรือไง? 

จาหรูเยี่ยนไม่ทำท่าเหมือนจะเป็นจะตายอีกแล้ว เสียงพูดต่ำลงหลายส่วน กล่าวอย่างน้อยใจ  แต่ถึงยังไงเขาก็ฆ่าเหรินจวิ้น ข้าส่งลูกสาวให้แต่งงานกับเขา ข้าจะเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษตระหูลจาได้ยังไง? 

 หลังจากจบเรื่องนี้ข้าให้เจ้าคลอดลูกชายอีกหนึ่งคน แล้วส่งให้ตระกูลจา ให้เขาใช้แซ่จา ให้คอยไหว้บรรพบุรุษจองตระกูลจาต่อไป!  ผังก้วนกล่าว

จาหรูเยี่ยนพลันเหลือบตาขึ้น ถามว่า  นายท่านพูดคำไหนคำนั้นหรือเปล่า?  นางมีความคิดนี้มาตั้งนานแล้ว ถึงอย่างไรลูกชายของนางก็มีสายเลือดของตระกูลจาครึ่งหนึ่ง แต่ผังก้วนไม่อนุญาต ผังก้วนบอกว่าลูกชายของเขาจะไปเป็นลูกบุญธรรมคนอื่นได้อย่างไร จะไม่กลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะหรอกหรือ!

 เคยหลอกเจ้าเสียที่ไหนล่ะ? ไม่กลืนคำพูดแน่นอน!  ผังก้วนกล่าวอย่างจริงจัง

อารมณ์รุนแรงที่ควบคุมไม่ได้ของจาหรูเยี่ยนหายไปแล้ว นั่งก้มหน้าถามว่า  เขาจะไม่ทารุณเสี้ยวเสี้ยวหรอกใช่ไหม? 

 พูดจาเหลวไหลอะไรกัน อาศัยตำแหน่งของเขาตอนนี้ จำเป็นต้องมาหาเรื่องพวกเราด้วยเหรอ? ประเด็นของปัญหาก็อยู่ที่เจ้า ถ้าเจ้าเอาแต่เห็นเขาเป็นศัตรู เจ้าจะให้เขาคิดยังไงล่ะ?  ผังก้วนถาม

จาหรูเยี่ยนก้มหน้าพูดอะไร

 จำไว้นะ อย่าให้คนนอกมองเบาะแสเรื่องนี้ออกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นหายนะทั้งตระกูล!  ผังก้วนกล่าว

จาหรูเยี่ยนเงยหน้ากลอกตา  ข้าไม่ใช่คนโง่สักหน่อย จะไม่รู้เรื่องนี้เชียวเหรอ ยังต้องให้เจ้าบอกไหม? 

ผังก้วนพูดไม่ออก สุดท้ายก็ชูของในมือขึ้นมา ขมวดคิ้วถามว่า  แล้วนี่คืออะไร? 

ขณะมองกำไลเก็บสมบัติในมือเขา จาหรูเยี่ยนก็แอบถอนหายใจ เสียเปรียบมากเกินไปแล้วของขวัญนี้ไม่สะดวกจะเก็บไว้ ครั้งนี้ยังต้องเพิ่มสินเดิมเจ้าสาวหนักๆ อีก..

ตอนที่ผังเสี้ยวเสี้ยวกลับมา จาหรูเยี่ยนก็ยอมสงบสติอารมณ์แล้ว ทั้งยังเข้าไปจูงแขนลูกสาวด้วยรอยยิ้ม  เสี้ยวเสี้ยว ข้างนอกสนุกไหม? 

ผังเสี้ยวเสี้ยวระแวงสงสัยนิดหน่อย หลังจากมารดามาที่นี่ก็หน้าตึงอยู่ตลอด ทำไมตอนนี้เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มสดใสแล้วล่ะ?

เฉินหวยจิ่วมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่านายท่านคุยกับฮูหยินเรียบร้อยแล้ว รู้ว่าต่อไปก็ต้องรับมือกับคุณหนูแล้ว จึงเป็นฝ่ายขอตัวถอยออกไป

 เสี้ยวเสี้ยว จะคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นยังไงบ้าง?  หลังจากอ้อมค้อมอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดจาหรูเยี่ยนก็เข้าประเด็นหลักแล้ว

ผังเสี้ยวเสี้ยวรู้ว่ามารดาแค้นหนิวโหย่วเต๋อที่สุด มีหรือที่จะกล้าพูดอะไรดีๆ ตอบอย่างคลุมเครือว่า  ก็ไม่ต่างจากที่ภายนอกหรือกันเท่าไหร่ค่ะ 

จาหรูเยี่ยนจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม  เสี้ยวเสี้ยวโตแล้ว ช้าเร็วก็ต้องมีครอบครัวของตัวเอง ต่อไปถ้าแต่งงานก็คงลืมแม่แล้วกระมัง? 

ผังเสี้ยวเสี้ยวถูกนางพูดจนเขินอายเล็กน้อย กล่าวอย่างไม่คล้อยตามว่า  ท่านแม่ พูดมั่วอะไรของท่านน่ะ 

จาหรูเยี่ยนดึงแขนนางแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง  พูดมั่วอะไรกัน อาศัยฐานะของลูกสาวแม่ คนในใต้หล้าไขว่คว้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว เมื่อครู่นี้หนิวโหย่วเต๋อจะส่งคนมาสู่ขอเหรอ 

 …  ผังเสี้ยวเสี้ยวตะลึงเหม่อ นึกว่าตัวเองฟังผิดไปแล้ว

จาหรูเยี่ยนกลับพูดเปิดเผยเสียเลย  หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกพบ ก่อนหน้านี้พอได้เห็นเจ้าก็ชอบเจ้าแล้ว ร้องโวยวายว่าจะแต่งงานกับเจ้าให้ได้ แม่เลยไม่ยอม บอกว่าจะมาถามความเห็นของลูกสาวก่อน เสี้ยวเสี้ยว เจ้าบอกแม่มาเถอะ เรื่องนี้เจ้าคิดว่ายังไง ถ้าเจ้าไม่มีความเห็นแย้งอะไร แม้ก็จะตัดสินใจแทนเจ้าแล้วนะ 

ผังก้วนค่อนข้างรับไม่ได้ ยอมผู้หญิงคนนี้แล้ว เรียกได้ว่าทั้งรักทั้งเกลียดผู้หญิงคนนี้

ผังเสี้ยวเสี้ยวหน้าแดงก่ำทันที นางคิดไม่ถึงว่าจะเจอเรื่องแบบนี้ ส่ายหน้าตอบอย่างลนลานว่า  ไม่ๆๆ 

 ไม่อะไร? ปกติแม่สอนเจ้าอย่างไร พูดดีๆ หน่อยได้ไหม?  จาหรูเยี่ยนถลึงตา  เป็นผู้หญิงช้าหรือเร็วก็ต้องแต่งงาน คนเป็นแม่ก็ต้องตรวจสอบให้เจ้า ไม่ทำร้ายเจ้า… 

เรียกได้ว่าพูดไม่หยุด สรุปก็คือล้วนพูดแต่เรื่องดีๆ ของหนิวโหย่วเต๋อ

ผังเสี้ยวเสี้ยวตกตะลึงแล้ว นี่ยังใช่มารดาของตนคนที่แค้นหนิวโหย่วเต๋ออยู่หรือเปล่า?

นางหันกลับไปมองผังก้วนที่งียบอยู่ข้างๆ ทำให้เข้าใจทันที ว่าบิดามารดาล้วนอนุญาตให้นางแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว

แม้นางจะอายุน้อย แต่กลับเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมีสติปัญญาดี ชั่วพริบตานั้นนางตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ไม่สนใจเสียงของมารดาที่พูดเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหูแล้ว จ้องผังก้วนอย่างตะลึงงันอยู่นานมาก สุดท้ายก็ยืนขึ้นถามว่า  ท่านพ่อ พวกท่านกำลังนำลูกสาวไปทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกับหนิวโหย่วเต๋อเหรอคะ? 

นางมีชาติกำเนิดแบบนี้ เรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เพื่อผลประโยชน์ นางเห็นเองกับตามาเยอะเกินไป พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว

 เด็กโง่ พูดเหลวไหลอะไรกัน?  จาหรูเยี่ยนตำหนิ แต่ผังเสี้ยวเสี้ยวจ้องเพียงบิดา นางรู้เรื่องแบบนี้ ถ้าบิดาไม่อนุญาตก็เป็นไปไม่ได้เลย

ในใจผังก้วนรู้สึกเจ็บปวด แต่สีหน้ายังไม่เปลี่ยนไป สุดท้ายก็กล่าวช้าๆ ว่า  นางหนู ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ากำลังคิดอะไร แต่ถ้าเจ้าดึงดันจะคิดอย่างนี้ข้าก็ช่วยไม่ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่พ่อรับประกันกับเจ้าได้ เรื่องที่ให้เจ้าแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อ พ่อพิจารณามาอย่างดีแล้ว ชั่งน้ำหนักในด้านต่างๆ มานานแล้ว แต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ทำให้เจ้าเสียศักดิ์ศรีแน่นอน มีแต่ผลดีกับเจ้า ไม่มีผลร้ายกับเจ้า! 

ผังเสี้ยวเสี้ยวส่ายหน้าด้วยความสับสน  ท่านก็เลยยอมให้ลูกแต่งงานไปเป็นอนุภรรยาเหรอคะ? 

จาหรูเยี่ยนตะคอกทันทีว่า  จะให้เจ้าเป็นอนุภรรยาได้ยังไง ก็แค่ชั่วคราว มีพ่อมีแม่อยู่ ช้าเร็วก็ต้องสนับสนุนให้ลูกได้เป็นภรรยาเอกอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลหรอก 

ผังก้วนเหล่ตามองนางอย่างเย็นเยียบ เขายังเดือดดาลนิดหน่อย ลูกยังไร้เดียงสา มาพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าเด็ก คนเป็นบิดามารดาแค่จัดการเรื่องนี้ให้ดีก็พอแล้ว

ผังเสี้ยวเสี้ยวตกใจ คนที่มีชาติกำเนิดแบบนาง มีหรือที่จะไม่เคยฟังเรื่องความโหดร้ายระหว่างภรรยา ตระหนักได้แล้วว่าจะทำอะไรกับอวิ๋นจือชิว รีบส่ายหน้าบอกว่า  ไม่แต่ง ลูกไม่แต่ง! 

 เจ้าเด็กคนนี้…  จาหรูเยี่ยนต้องการจะสั่งสอนทันที

ผังก้วนยกมือขึ้น พูดตัดบทนาง ลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินไปตรงหน้าลูกสาว จ้องตานางพร้อมบอกว่า  แต่ไหนแต่ไรมา เรื่องแต่งงานของลูกเป็นเรื่องใหญ่ บิดามารดาเป็นคนตัดสินใจ เป็นหลักการฟ้าดินที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง! ข้ากับแม่เจ้าพอใจหนิวโหย่วเต๋อมาก ตั้งใจจะเกี่ยวดองกับเขา เจ้าจะไม่แต่งงานก็ได้ งั้นก็ให้พี่สาวเจ้าแต่งแทน เจ้าหรือพี่สาวเจ้าจะแต่งงาน เจ้าไปตัดสินใจเอาเอง! 

ผังเสี้ยวเสี้ยวมองเขาด้วยสีหน้าสิ้นหวัง…

มีบิดาที่เข้าใจการวางแผนพลิกแพลงสถานการณ์ มีมารดาที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ผังก้วนกับจาหรูเยี่ยนตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว จะปล่อยให้ผังเสี้ยวเสี้ยวเลือกเองได้อย่างไร

ไม่นานข่าวดีจากฝั่งนี้ก็ถูกส่งไปที่เหมียวอี้ ทุกอย่างดำเนินการตามแผน

ส่วนจาหรูเยี่ยนก็ดึงลูกสาวเข้ามาในห้อง ใช้ถ้อยคำดีๆ ปลอบใจและสั่งสอนนาง

………………

 

ผังก้วนเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามว่า  เถ้าแก่จะให้ข้าเชื่อได้ยังไง ถ้าข้าลงมือแล้วกลับไม่เห็นคำสัญญาของเถ้าแก่ จะไม่เป็นการรนหาที่ตายให้ตัวเองหรอกเหรอ? 

 คิดมากไปแล้ว ถ้าจะทำร้ายจอมพลผัง ข้ามีวิธีการทำให้ฮ่าวเต๋อฟางกำจัดเจ้าอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมานั่งคุยกับเจ้าตรงนี้หรอก นอกจากนี้ ข้าสามารถลงมือก่อนได้ ถ้าจอมพลผังไม่เห็นความจริงใจของข้า ก็สามรถรั้งทัพไม่เคลื่อนไหวก็ได้ สำหรับจอมพลผังจะมีอะไรเสียหายล่ะ?  เฉาหม่านถาม

พูดถึงขั้นนี้แล้ว อีกฝ่ายให้การรับประกันแบบนี้แล้ว ผังก้วนยังมีอะไรต้องพูดอีก ย่อมตัดสินใจตรงนี้แล้ว

หลังจากทั้งสองฝ่ายคุยรายละเอียดกันอีกครั้ง เฉาหม่านก็ไม่มีท่าทีว่าจะรั้ง ผังก้วนขอวิธีการติดต่อเฉาหม่าน แล้วก็บอกลากันตรงนี้

จากนั้นก็ออกไปทันที ตั้งแต่ต้นจนจบเหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรเลย คอยฟังอยู่ข้างๆ ตลอด ให้ผังก้วนไปตัดสินใจเอง ไม่ได้แทรกแซงอะไร

หลังจากมองคล้อยหลังทั้งสองออกไปแล้ว เฉาหม่านก็เริ่มทำสีหน้าพยับเมฆ สะบัดชายเสื้อหันตัวมา แล้วกัดฟันบอกว่า  ไอ้หนิวจัญไรเจ้าเล่ห์นัก มีอุบายออกมาไม่ขาดสาย สามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลงสถานการณ์ ถ้าเก็บไว้ต้องเป็นภัยต่อตระกูลเซี่ยโห้วแน่นอน รอให้เรื่องนี้จบลง ไม่จำเป็นต้องพิจารณาถึงหกลัทธิ ควรทุ่มสุดตัวเพื่อกำจัดเขาก่อน! 

เว่ยซูมองเขาแวบหนึ่ง ในที่สุดก็เห็นความแตกต่างระหว่างเซี่ยโห้วลิ่งและท่านนี้แล้ว จากประโยคนี้ก็ดูออกแล้วว่าความเด็ดเดี่ยวในการฆ่าไม่ใช้สิ่งที่เซี่ยโห้วลิ่งเทียบติด

พอนึกถึงเซี่ยโห้วลิ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ…

หยางเจาชิ่งกับเฉินหวยจิ่วที่รออยู่นอกทางเดินเข้ามารับเหมียวอี้กับผังก้วน แล้วหันตัวตามออกจากที่นี่ไป

เฉินหวยจิ่วสังเกตสายตาของผังก้วน มองเบาะแสบางอย่างออกจากสายตาที่สุขุมมั่นคง อาศัยที่เขารู้จักผังก้วน ก็รู้ว่าเรื่องนี้สำเร็จแล้ว ท่านจอมพลคงจะได้การรับประกันบางอย่างที่เชื่อถือได้จากเฉาหม่าน งานใหญ่ควรค่าแก่การเฝ้ารอ!

พอเรือแล่นออกจากทางน้ำ ผังก้วนที่ยืนเคียงกับเหมียวอี้บนหัวเรือก็หันกลับไปมองตึกศาลาสัตยพรตที่มืดสลัวเงียบเหงาแวบหนึ่ง ภายนอกดูไม่สะทกสะท้าน แต่ในใจกลับฮึกเหิมและตื่นเต้นดีใจจนยากจะคุมไหว นับวันรอวันที่จะกลายเป็นท่านอ๋องได้เลย!

เหมียวอี้มองเขาแวบหนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม  ยินดีด้วยจอมพลผัง! ดูท่าแล้วอีกไม่นานหลังจากนี้จะต้องเปลี่ยนเป็นเรียกว่าท่านอ๋องแล้ว! 

ผังก้วนหันกลับมา จ้องเขาแล้วครุ่นคิดเล็กน้อย  ในเมื่อภายหลังจะทำเรื่องนี้ร่วมกัน ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลทางด้านฮ่าวเต๋อฟางกับตำหนักสวรรค์แล้ว พอมาดูตอนนี้ ลูกสาวคนเล็กของข้า เสี้ยวเสี้ยวก็เหมาะสมกับผู้ตรวจการใหญ่ดี หวังว่าต่อไปนี้ผู้ตรวจการใหญ่จะปฏิบัติต่อลูกสาวคนเล็กของข้าอย่างดี 

ตอนที่กล่าวประโยคนี้ออกมา ในใจเขาก็ร่ำร้องอย่างเศร้าโศกเช่นกัน ลูกสาวคนเล็กของเขสาคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ทำให้เขาพอใจมาก เปรียบเสมือนหัวใจของเขาอย่างแท้จริง เป็นไข่มุกล้ำค่าในมือของเขาโดยแท้!

ตอนนี้ผังก้วนนับว่าเข้าใจแล้ว หนิวโหย่วเต๋อขอให้ตนพาลูกสาวมาด้วย ก็เพราะมั่นใจแล้วว่าตนจะมอบลูกสาวให้แต่งงานกับเขา โหดมากทีเดียว พอเอ่ยปากก็ขอลูกสาวที่สวยที่สุด ลูกสาวที่ตนรักที่สุดเลย แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าหนิวโหย่วเต๋อโลกกว่านี้สักหน่อย คงจะขอลูกสาวทั้งสองคนของเขาที่ยังไม่แต่งงานไปด้วย ตอนนี้เขาก็แข็งใจแสร้งตอบรับอย่างสบายๆ เช่นกัน!

ประเด็นก็คือรู้ว่าเรื่องบางเรื่อง ถ้าไม่ตอบรับก็คงไม่ได้ ถ้าตอนนี้เขาไม่ร่วมงานด้วย เกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วก็จะลงมือกับเขา ก็อย่างที่เฉาหม่านบอก อีกฝ่ายมีวิธีการกำจัดเขาอยู่แล้ว ฟังจากที่เฉาหม่านเพิ่งพูด เขาก็สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของอำนาจตระกูลเซี่ยโห้ว ยิ่งไปกว่านั้นโอกาสดีแบบนี้ก็มาส่งถึงตรงหน้าแล้ว เขาไม่มีทางปฏิเสธ ถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ไป ในภายหลังจะมีโอกาสนี้ให้ตนหรือไม่ก็พูดยากแล้ว

เพียงแต่ตัวเองมาตั้งไกล ไม่น่าเชื่อว่าจะนำลูกสาวมาส่งให้อีกฝ่ายถึงประตูบ้านด้วยตัวเอง นี่มันใช่เรื่องเสียที่ไหน!

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาเข้าใจชัดเจนมาก หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ถูกใจลูกสาวของเขา ดังนั้นพอเอ่ยปากก็ขอลูกสาวที่เขารักหวงแหนมากที่สุด เพราะอยากจะเห็นความจริงใจจากเขา หนิวโหย่วเต๋อคงจะกังวลเช่นกันว่าเขาอาจจะข้ามแม่น้ำแล้วหรือสะพาน ถ้าให้ไม่ได้แม้แต่ลูกสาวคนนี้ แล้วเจ้าจะให้หนิวโหย่วเต๋อกล้าเชื่อเขาได้อย่างไร

และในตอนนี้เขาก็จำเป็นต้องนำลูกสาวมาแสดงความจริงใจ ปลอบประโลมเหมียวอี้ไว้ งานใหญ่ในครั้งนี้ ทัพเกรียงไกรหลายสิบล้านในมือหนิวโหย่วเต๋อมีความสำคัญต่อเขาที่สุด

ดังนั้นก็เห็นชัดเจนแล้ว ว่าการที่ลูกสาวมาในครั้งนี้ ก็ไม่อาจพากลับไปกับเขาได้อีกแล้ว ถ้าไม่รีบมีความสัมพันธ์สามีภรรยากับหนิวโหย่วเต๋อ กำหนดเรื่องนี้ให้แน่นอน ทั้งสองฝ่ายก็ล้วนไม่วางใจ ต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียกกันว่าแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เป็นการแต่งงานที่มีพื้นฐานอยู่บนผลประโยชน์!

นอกจากนี้ยังมีอีกจุดหนึ่ง ถ้าครั้งนี้สามารถตัดความกังวลพวกนี้ไปได้ เขาก็คิดจะหาทางผูกมัดจิตใจเหมียวอี้ด้วยเล่ห์เพทุบาย มีลูกเขยที่รบเก่งขนาดนี้ มีประโยชน์ต่ออนาคตของเขาสุดๆ ว่ากันว่าต้องสยบตระกูลเซี่ยโห้วให้ได้ก่อน ถึงจะสยบใต้หล้าได้ เขากำลังครุ่นคิดว่าจุดอ่อนของเฉาหม่านที่อยู่ในมือเหมียวอี้จะแสดงประโยชน์ต่อไปได้หรือเปล่า? ถ้าเป็นไปได้ ราชัน ขุนนาง ขุนพล ใช่ว่าเป็นได้เพราะชาติกำเนิด ใช่ว่าเขาจะนั่งในตำแหน่งสูงไม่ได้เสียหน่อย

ตอนที่เหมียวอี้ติดต่อเขาและเอ่ยเรื่องที่คุยกันนอกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ทั้งยังบอกให้เขาพาลูกสาวมาด้วย เขาก็พอจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว เพียงแต่ในใจไม่อยากยอมรับก็เท่านั้นเอง

พอเหมียวอี้ได้ยินแบบนี้ ในใจก็แสยะยิ้ม ก่อนหน้านี้ยังเอาฮ่าวเต๋อฟางกับตำหนักสวรรค์มาเป็นโรคกำบังเพื่อปฏิเสธตน ตอนนี้ก็หาข้ออ้างมาเพื่อยอมรับอีก ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ล้วนหาเหตุผลมาได้ ในใจก็คิดอย่างนั้น แต่ภายนอกกลับบอกว่า  ข้าย่อมชอบลูกสาวของท่านอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าลูกสาวของท่านจะตอบตกลงหรือเปล่า 

ผังก้วนกล่าวเสียงต่ำว่า  แต่ไหนแต่ไรมา การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ รวมเป็นคำสั่งบิดามารดา เป็นคำพูดของแม่สื่อ หากบิดามารดายังอยู่ มีหรือที่นางจะตัดสินใจเองได้ ย่อมต้องตามใจบิดามารดาอยู่แล้ว เรื่องนี้จะไม่ต้องกังวล เพียงแต่ว่า… 

เหมียวอี้ตะลึงงัน อย่าบอกนะว่าเปลี่ยนใจ? ถ้าเจ้ายังกล้าเปลี่ยนใจภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ ข้าก็นับถือในความเป็นสุภาพบุรุษของเจ้า ถ้าไม่แต่งงานกับลูกสาวเจ้าก็ได้ แต่ข้าก็จะร่วมงานกับเจ้าเหมือนเดิม!

ที่จริงแล้วที่เขาต้องการจะแต่งงานกับผังเสี้ยวเสี้ยว ก็เพื่อให้ฝ่ายวางใจ ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปว่าตัวเองอยากจะได้ความจริงใจจากต่อีกฝ่าย จะได้หลอกให้สับสน

ผังก้วนถอนหายใจ  แต่เจ้าก็เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ เรื่องแต่งงานจะประกาศออกไปไม่ได้ ต้องปิดเป็นความลับ ทำทุกอย่างให้เรียบง่ายเป็นยังไง? 

เหมียวอี้พยักหน้า  ควรจะเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว! 

ผังก้วนตบบ่าเขา แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า  ต่อไปถ้าเงื่อนไขพร้อมแล้ว ค่อยให้พวกเจ้าจัดงานอย่างมีหน้ามีตาอีกครั้ง ตั้งแต่นี้ไป เจ้าห้ามปฏิบัติต่อเสี้ยวเสี้ยวอย่างขาดความยุติธรรม ไม่อย่างนั้นข้าไม่ให้อภัยเจ้าแน่! 

แบบนี้เท่ากับตัดสินใจแล้ว!

เหมียวอี้หันตัวมาประสานมือคารวะทันที  ลูกเขยคำนับท่านพ่อตา! 

เฉินหวยจิ่วกับหยางเจาชิ่งหันมามองแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็ทำความเคารพใหญ่โต ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันเลิ่กลัก พอจะเดาออกแล้ว คาดว่าเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้คงสำเร็จแล้ว

แน่นอน นี่ล้วนเป็นสิ่งที่ในใจทั้งสองยินดีที่จะเห็น ล้วนเฝ้ารอให้เจ้านายของตัวเองอาศัยโอกาสนี้เพื่อทำงานใหญ่ให้สำเร็จ!

ผังก้วนยื่นมือไปประคองเหมียวอี้ แล้วเอามือไขว้หลังยืนตรงหัวเรือ ไม่พูดอะไรอีกแล้ว ถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ที่สับสนซับซ้อน

ในใจกำลังหาข้ออ้างมาปลอบใจตัวเอง ว่าลูกสาวแล้วเติบโตแล้ว ช้าเร็วก็ต้องแต่งงานออกเรือน จะซ้ายหรือขวาก็ต้องแต่งงาน ไม่สู้แต่งกับคนดีๆ หน่อยดีกว่า นับว่ารับผิดชอบต่อลูกสาวแล้วเช่นกัน…

ได้ยินเหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงชี้แนะ คนยังไม่กลับถึงจวนผู้สำเร็จราชการ หยางเจาชิ่งก็ให้คนที่เชื่อใจได้เตรียมสร้างเรือนใหม่แล้ว

ทุกอย่างเรียบง่าย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือต้องรักษาความลับ จากภายนอกมองไม่ออกว่าจะมีการแต่งงาน

ที่จริงเหมียวอี้ก็ไม่ได้ใจร้อนขนาดนี้ กลับเป็นผังก้วนที่ค่อนข้างร้อนใจ เขาจะต้องกำหนดเรื่องนี้โดยเร็ว จากนั้นก็กลับไปวางแผน ไม่สะดวกจะเสียเวลา

เรื่องสร้างเรือนใหม่เขากันเฟยหงไว้แล้ว แต่งงานเพิ่มอีกห้อง ทั้งยังให้เฟยหงไปจัดเตรียม ต่อให้เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ทำไม่ลง

พอกลับมาถึงจวนผู้สำเร็จราชการ เหมียวอี้ก็เรียกเฟยหงเข้าไปที่ห้องสมาธิ

 เฟยหง ตอนนี้มีบางเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายกับเจ้าได้ ข้าแต่งงานก็ย่อมมีเหตุผลให้ข้าต้องแต่ง อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้เอง หวังว่าตอนนี้เจ้าจะเข้าใจ 

เฟยหงรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่รู้สึกตกตะลึงมากกว่า นางย่อมรู้ว่ามีสาเหตุแน่นอน แต่นี่ไม่ใช่การแต่งงานกับคนอื่น เป็นการกับลูกสาวจอมพลสายเถาะผังก้วนเชียวนะ ไม่น่าเชื่อว่าบุคคลทั้งสองที่ในมือมีกำลังทหารมากจะต้องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ถือว่าผิดข้อห้ามทั้งนั้น ลองใช้สมองอันน้อยนิดคิดดูก็จะรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

ช่วงก่อนหน้านี้นางก็สังเกตได้แล้วว่าฝั่งเหมียวอี้จะต้องเกิดเรื่องแน่นอน ตอนนี้ลางสังหรณ์รุนแรงยิ่งขึ้น รู้สึกได้ว่าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยธรรมดา แต่เรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว นางถามอย่างกังวลนิดหน่อยว่า  นายท่าน กำลังจะเกิดเรื่องแล้วใช่ไหม? 

 ในภายหลังเจ้าก็จะเข้าใจเอง  เหมียวอี้ตอบอย่างไม่แน่ใจ

เฟยหงกัดริมฝีปาก ถามว่า  ฮูหยินรู้เรื่องนี้หรือยังคะ? 

เหมียวอี้พยักหน้า  ฮูหยินตอบตกลงเรื่องนี้แล้ว กลับไปเจ้าก็ติดต่อกับฮูหยินได้เลย 

เฟยหงฝืนยิ้ม  เช่นนั้นก็ดีค่ะ ไม่อย่างนั้นท่านก็รู้ว่าอารมณ์ของฮูหยินเป็นยังไง 

เหมียวอี้ใช้สองมือประคองแขนนาง  เกรงว่าเจ้าก็ต้องหลบไปด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าอยากให้เจ้าไปให้พ้นสายตาเพื่อความสบายใจ เรื่องนี้ช้าเร็วก็ต้องให้คนนอกรู้ ตอนนี้ให้เจ้าหลบไปก็เพราะต่อไปเจ้าจะได้ชี้แจงกับหน่วยตรวจการซ้ายได้สะดวก ถ้าหน่วยตรวจการซ้ายถามถึง เจ้าจะได้มีข้ออ้างบอกว่าไม่รู้เรื่องนี้เลย ข้าแต่งงานอย่างลับๆ ตอนเกิดเรื่องข้าจงใจแยกเจ้าออกไป บนเกาะทางฝั่งตะวันออกสร้างเรือนพักไว้หลังนึงแล้ว เจ้าไปที่นั่นแล้วก็ดูว่าจะปลูกดอกไม้สร้างทิวทัศน์ยังไง เจาชิงเตรียมคนไว้เป็นพยานให้แล้ว 

เฟยหงนึกไม่ถึงว่าแผนการจะละเอียดถึงขั้นนี้ แม้แต่บ้านบนเกาะก็เตรียมไว้แล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ แต่เป็นแผนการที่วางไว้นานแล้ว

นางรู้ว่าเรื่องบางเรื่องไม่อาจเข้ามาแทรกแซงได้ง่ายๆ จึงพยักหน้าเบาๆ ตอบ  ค่ะ 

 อะไรนะ? เจ้าจะให้ลูกสาวข้าแต่งงานกับไอ้จัญไรนั่นเหรอ? ข้าฟังผิดไปหรือเปล่า? 

บ้านสำหรับให้ครอบครัวของผังก้วนพักชั่วคราวก็เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ยิน ‘ข่าวดี’ จาหรูเยี่ยนก็แทบจะตาถลนออกมา นางร้องอุทาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เรากลับเห็นผี

ส่วนผังเสี้ยวเสี้ยว เฉินหวยจิ่วพาแยกออกไปแล้ว การเจรจารอบนี้ค่อนข้างลำบาก ไม่อาจให้ผังเสี้ยวเสี้ยวรู้ได้ รอให้ถึงตอนที่ผังเสี้ยวเสี้ยวรู้ นั่นก็เป็นตอนที่ได้ผลลัพธ์แล้ว

ผังก้วนกล่าวเสียงเรียบ  หรูเยี่ยน เจ้าฟังไม่ผิด เสี้ยวเสี้ยวต้องแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อ 

 ไสหัวไป! ข้าไม่อนุญาต ข้าไม่อยากฟังด้วย ไสหัวไป!  จาหรูเยี่ยนสีหน้าตกตะลึง ชี้ไปด้านนอก

ผังก้วนสายตาแน่วแน่ กล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า  เรื่องนี้ต่อให้เจ้าไม่เห็นด้วยก็ต้องเห็นด้วย! 

 เจ้าไม่ไปข้าไปเอง ข้าจะพาลูกกลับ!  จาหรูเยี่ยนถลันตัวออกไปข้างนอกทันที

ผังก้วนรีบลงมือ คว้าแขนนางเอาไว้ ดึงนางกลับมาแล้วใช้นิ้วจิ้มบนตัว สกัดพลังอิทธิฤทธิ์ของนางไว้ตรงนั้น

เมื่อเห็นแบบนี้ ใบหน้าจาหรูเยี่ยนก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แบบนี้เท่ากับตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะยกลูกสาวตนให้ไอ้จัญไรนั่น นางรีบใช้สองมือเขย่าผังก้วน กล่าวขอร้องว่า  นายท่าน ท่านเคยบอกว่าเสี้ยวเสี้ยวคือไข่มุกล้ำค่าในมือท่าน ท่านเคยบอกว่านางคือลูกสาวที่ท่านรักที่สุด อย่างน้อยก็ต้องเก็บเสี้ยวเสี้ยวไว้ข้างกายหลายหมื่นปี นางเพิ่งอายุเท่าไรเอง นางเพิ่งเกิดได้ไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ นอกจากฝึกฝนร่ำเรียน นางก็แทบไม่ได้สัมผัสเรื่องราวในสังคมเท่าไรเลย นางยังเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งนะ ท่านทำใจได้ยังไง? ท่านบอกว่าในอนาคตจะหาสามีที่ดีที่สุดในโลกให้นาง ข้าก็เชื่อ ข้าเชื่อคำพูดท่าน แต่ท่านทำกับลูกเมียแบบนี้ได้ยังไง? 

ผังก้วนไม่สะทกสะท้าน กล่าวอย่างใจแข็งเหมือนหินว่า  หนิวโหย่วเต๋อก็คือสามีที่ดีที่สุดของนาง เจ้ายังหาใครที่ดีกว่านี้ได้อีกเหรอ? 

…………

 

 สถานที่บ้านนอกแบบนี้ มองไปมองมาก็เท่านี้เอง มีอะไรน่าดู 

จู่ๆ จาหรูเยี่ยนก็พูดแบบนี้ เหมือนไม่สนใจจะเดินเล่นต่อแล้ว หันตัวเดินไปทางศาลาแล้ว

เฟยหงกับเสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ข้างๆ ทำสีหน้าไม่ถูก โชคดีที่ทั้งสองมีพื้นเพมาจากสถานบันเทิง คำพูดแย่ๆ อะไรก็เคยฟังมาหมดแล้ว สีหน้ากลับมาเปป็นปกติอย่างรวดเร็ว แค่ทำเป็นไปไม่ได้ยินอะไร

ผังเสี้ยวเสี้ยวกลับอึดอัดทำตัวไม่ถูก ตระกูลใหญ่ให้ความสำคัญกับมารยาท นึกไม่ถึงว่ามารดาจะเสียมารยาทขนาดนี้

พอเข้ามานั่งลงในศาลา จาหรูเยี่ยนก็ชำเลืองมองสองสาว  ได้ยินว่าพวกเจ้าสองคนมีพื้นเพมาจากคนเต้นกินรำกินที่หอนางโลม ไม่รู้ว่าข่าวลือนี้จริงหรือเปล่า? 

ในดวงตาเฟยหงกับเสวี่ยหลิงหลงฉายแววอับอาย นี่คือจุดอ่อนของทั้งสอง ปกติไม่เคยมีใครเอ่ยขึ้นต่อหน้า วันนี้นับว่าโดนคนสะกิดปมด้อยแล้ว

ผังเสี้ยวเสี้ยวก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน รีบยื่นมือไปดึงเสื้อมารดาเงียบๆ

จาหรูเยี่ยนย่อมเข้าใจว่าลูกสาวกำลังเตือน แต่กลับไม่สะทกสะท้าน เพียงจ้องผู้หญิงสองคนนี้ ขอเพียงผู้หญิงสองคนนี้กล้าไม่เคารพนาง นางก็เตรียมจะฉวยโอกาสอาละวาดแล้ว

เฟยหงย่อตัวเบาๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า  ข้ามีชาติกำเนิดต้อยต่ำ ให้ฮูหยินเห็นเรื่องน่าขำแล้ว 

 มีอะไรน่าขำ ตอนนี้เป็นกลายเป็นหงส์บินขึ้นยอดไม้แล้ว พี่น้องพวกนั้นของพวกเจ้าอาจจะอิจฉามากก็ได้ ทุกคนคงจะเอาพวกเจ้าสองคนเป็นแบบอย่าง  จาหรูเยี่ยนพูดเหน็บแนม

ผังเสี้ยวเสี้ยวเห็นมารดายิ่งพูดก็ยิ่งเลยเถิด จึงดึงแขนเสื้อมารดาอีกครั้ง

จาหรูเยี่ยนพลันหันกลับมา ตะคอกคำนี้ว่า  คันมือเหรอ? ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ รู้จักที่ต่ำที่สูงหรือเปล่า?  ดูเหมือนด่าลูกสาว แต่ความหมายในคำพูดเหมือนตีวัวกระทบคราด

ผังเสี้ยวเสี้ยวอึดอัดมาก แต่ก็ไม่สะดวกจะเข้าข้างคนนอกอย่างเปิดเผย

กลับเป็นเฟยหงที่เอ่ยรับด้วยรอยยิ้ม ชี้ไปยังศาลาหลังหนึ่งที่เดิมทีจะเชิญทั้งสองไป  ฮูหยิน ตรงนั้นมีห้องเก็บสมบัติห้องหนึ่ง ผู้ตรวจการใหญ่มักจะชอบสะสมของจิปาถะเอาไว้ในนั้น ฮูหยินจะไปดูหน่อยมั้ยคะ? 

นี่คือภารกิจที่เหมียวอี้มอบหมายให้ เหมียวอี้รู้ว่าจาหรูเยี่ยนแค้นตน จึงไม่อยากให้จาหรูเยี่ยนทำเสียเรื่องในเวลานี้ ดังนั้นจึงเตรียมห้องเก็บสมบัติเอาไว้ห้องหนึ่ง

พอได้ยินว่าเป็นห้องเก็บสมบัติของหนิวโหย่วเต๋อ จาหรูเยี่ยนก็หวั่นไหวเล็กน้อย อยากจะเห็นว่าหนิวโหย่วเต๋อซ่อนสมบัติอะไรไว้บ้าง แต่ภายนอกกลับพูดอย่างเย็นชา  ดินแดนที่สภาพแวดล้อมเลวร้าย ยังจะมีสมบัติอะไร  ก็แค่ไม่พูดเท่านั้นเอง พอได้อ้าปากพูดก็แดกดันทุกประโยค

 ฮูหยินความรู้กว้างขวาง พวกเรามีตาหามีแววไม่ จะถือโอกาสนี้ขอคำชี้แนะจากฮูหยินสักหน่อยค่ะ  เฟยหงกล่าว

ผังเสี้ยวเสี้ยวเองก็ไม่อยากให้มารดาพูดจาร้ายๆ ต่อไปแล้ว ตั้งใจเบี่ยงเบนสมาธิ จึงพูดออดอ้อนว่า  ลูกอยากเห็นว่าผู้ตรวจการใหญ่ซ่อนของดีอะไรไว้ค่ะ ท่านแม่ พวกเราไปดูกันหน่อยเถอะ 

เมื่อเห็นเป็นแบบนี้ จาหรูเยี่ยนก็ทำได้เพียงเข็นเรือไปตามน้ำ  ถ้าเป็นอย่างนี้ งั้นก็ไปดูสักหน่อยเถอะ 

พวกนางย้ายที่ เดินไปจนถึงนอกห้องเก็บสมบัติ เฟยหงผลักประตูเข้าไป เป็นห้องที่ตกแต่งไว้อย่างสง่างาม มองปราดเดียวก็เห็นหมด

เฟยหงเชิญสองแม่ลูกขึ้นไปที่ชั้นสอง ถึงได้เห็นว่ามีสมบัติสะสมไว้มากมาย เรียกได้ว่ามีแต่ของงดงามล้ำค่า

ใช่ว่าจาหรูเยี่ยนจะไม่เคยเห็นของพวกนี้ แต่ของดีๆ ส่วนใหญ่ล้วนเก็บไว้ในกำไลเก็บสมบัติ ไม่ได้ตั้งใจนำมาตั้งแสดงแบบนี้ จู่ๆ ตัวก็มาอยู่ในนี้แล้ว อิทธิพลที่มีต่อสายตาทำให้จาหรูเยี่ยนรู้สึกทึ่งจริงๆ ในใจพึมพำว่า หลายปีมานี้หนิวโหย่วเต๋อตักตวงของดีได้ไม่น้อยเลย

พอทอดสายตามองไป สิ่งที่ดึงดูดสายตานางที่สุดก็คือฉากกั้นแผ่นหนึ่งวางไว้ในห้องเก็บสมบัติ

ไม่ใช่ฉากกั้นะรรมดา ภาพวาดบนฉากกั้นเปลี่ยนแปลงยากคาดเดา บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นภาพทิวทัศน์ภูเขาแม่น้ำ บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นลำแสงสีรุ้ง บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นฉากป่าภูเขา บางทีก็เป็นภูเขาใต้แสงจันทร์ เป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ เป็นเรือลอยบนแม่น้ำ เป็นทะเลทรายกว้างใหญ่มีควัน มหัศจรรย์มาก

จาหรูเยี่ยนมองฉากกั้นจนตาเป็นประกาย พอลองเอามือลูบดู ก็พบว่าไม่ใช่ของวิเศษอะไร เป็นหินผลึกที่เปลี่ยนรูปโดยธรรมชาติเท่านั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าในหินผลึกมีอากาศธาตุหรือว่าอะไร ตอนที่ข้างในไหลเวียนก็จะสร้างภาพขึ้นมาเอง นางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม  เป็นของที่หายาก 

เสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ข้างๆ รู้สึกเซ็งในใจ เดิมทีนี่คือของขวัญที่สวีถังหรานมอบให้นาง แต่โดนสวีถังหรานบังคับให้ส่งให้เฟยหง

 ภาพฉากกั้นเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า ไม่หยุดหย่อนเลย ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวดูไม่หมด ถ้าฮูหยินสนใจ นำกลับไปค่อยๆ เชยชมที่จวนจอมพลก็ได้ค่ะ  เฟยหงพูดไปยิ้มไป

นี่จะมอบให้ตนเหรอ! จาหรูเยี่ยนรู้สึกคันใจทันที แต่ปากกลับพูดอย่างคลุมเครือว่า  แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะกระมัง? ล้วนเป็นของที่ผู้ตรวจการใหญ่หนิวสะสมไว้ จะส่งให้คนอื่นง่ายๆ ได้ยังไง 

 ก่อนหน้านี้ผู้ตรวจการใหญ่บอกไว้แล้วค่ะ ว่าขอเพียงฮูหยินชอบของในนี้ ก็นำไปได้ตามสบายเลย ฮูหยินจะเอาไปหมดก็ไม่เป็นอะไร  เฟยหงตอบ

จาหรูเยี่ยนชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง ตอนนี้เข้าใจแล้ว หนิวโหย่วเต๋อกำลังตั้งใจประจบตน

ใจนางลังเลนิดหน่อยว่าจะรับไว้หรือไม่รับไว้ดี หลังจากเดินวนฉากกั้นสองรอบ ในใจก็ชอบมากจริงๆ นำกลับไปให้พวกผู้หญิงที่ไปมาหาสู่กันได้ดูสักหน่อย ของหายากแบบนี้ทำให้คนอิจฉาแน่นอน แต่ก็ไม่สะดวกจะเอาไปเฉยๆ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด ของนี้หนิวโหย่วเต๋อก็ใช้อำนาจในมือขูดรีดมาเหมือนกัน ของของหนิวโหย่วเต๋อ ถ้าไม่เอาก็เสียดายเปล่าๆ มิหนำซ้ำก็อย่าหวังเลยว่าของขวัญเล็กน้อยแค่นี้จะทำให้เรื่องในอดีตผ่านไปได้ ช้าเร็วก็ต้องสะสางบัญชีกับหนิวโหย่วเต๋ออยู่ดี

พอคิดแบบนี้ ในใจนางก็เกิดความสมดุลแล้ว นางกล่างเสียงเรียบว่า  ในเมื่อพูดแบบนี้ จะปฏิเสธก็เกรงว่าจะเป็นการแสดงความไม่เคารพ  พูดจบก็ยื่นมือเก็บเข้ากำไลเก็บสมบัติ

ที่จริงต่อให้นางไปเอาไป เฟยหงก็จะคิดหาทางให้นางรับไว้อยู่ดี ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้ก็ไม่จำเป็นต้องนำห้องเก็บสมบัติออกมาแสดงแบบนี้

แม้ในใจจาหรูเยี่ยนจะคิดว่าในภายหลังจะจัดการหนิวโหย่วเต๋อ แต่ปากก็ยังพูดจาปรานีขึ้นไม่น้อย ไม่พูดเหน็บแนมเฟยหงและเสวี่ยหลิงหลงอีกแล้ว ตอนที่เชยชมสมบัติงดงามละลานตา บางครั้งก็จะพูดกับสองสาวด้วยรอยยิ้ม ถูกใช้ชิ้นไหนก็เก็บเข้ากระเป๋า

เฟยหงเองก็เชิญให้ผังเสี้ยวเสี้ยวดูว่าชอบหรือไม่ชอบอันไหนเช่นกัน เมื่อบอกซ้ำหลายครั้ง ผังเสี้ยวเสี้ยวยากจะปฏิเสธน้ำใจ เพียงแต่เก็บไว้ชิ้นหนึ่งพอเป็นพิธีเท่านั้น…

ตลาดปี ทะเลสาบใต้ดิน เหมียวอี้กับผังก้วนยืนเคียงกันอยู่บนหัวเรือ กำลังไปตึกศาลาสัตยพรต

ดินแดนที่มืดสลัว เรือที่แขวนโคมไฟหลากสีแล่นผ่านไปมา สะท้อนกับคลื่นจนเป็นประกาย บางครั้งก็มีเสียงดนตรีดังแว่วมา จู่ๆ ผังก้วนก็กล่าวชม  มีเสน่ห์ไปอีกแบบ 

เหมียวอี้ถามด้วยรอยยิ้ม  อย่าบอกนะว่าท่านบุรุษไม่เคยมาตลาดผี?  อยู่ที่นี่เขาเปลี่ยนคำเรียก

ผังก้วนมองเขาแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า  ไม่ได้มาบ่อยเหมือนเจ้าแน่นอน 

เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ

เมื่อมาถึงตึกศาลาสัตยพรต ก็เข้ามาในทางน้ำที่ว่าง จะได้ไม่มีคนเห็นเยอะ

พอเรือเทียบฝั่ง ก็เห็นชีเจวี๋ยมารอต้อนรับล่วงหน้าแล้ว จากนั้นก็นำทั้งสองเข้ามาในตึกศาลาสัตยพรตด้วยตัวเอง

เมื่อขึ้นมาถึงจุดสำคัญบนตึก หยางเจาชิงกับเฉินหวยจิ่วก็ถูกกันเอาไว้ ปล่อยให้เหมียวอี้กับผังก้วนเข้าไปในทางเดินที่มืดลึกลับ

เป็นครั้งแรกที่ผังก้วนมาที่จุดสำคัญของตึกศาลาสัตยพรต ก่อนหน้านี้ต่อให้เจ้าแสดงฐานะ แต่อีกฝ่ายก็อาจไม่ให้เจ้าเข้ามาก็ได้ ต่อให้เป็นคำสั่งของประมุขชิง คาดว่าเฉาหม่านก็คงไม่ให้เข้าพบอยู่ดี อำนาจภูมิหลังของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ ต่อให้เป็นประมุขชิงก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้

เมื่อมาถึงจุดหมายแล้ว ชีเจวี๋ยก็ผลักประตูเข้าไปโดยตรง พอเชิญทั้งสองเข้าไปแล้วก็ปิดประตูไว้

แสงไฟในห้องมืดสลัว มีคนอยู่ในนี้สองคนแล้ว คนหนึ่งยืนเอามือไขว้หลังหันหลังให้ กำลังมองไปนอกหน้าต่าง ทำให้มองไม่เห็นใบหน้า เขาคือเฉาหม่านนั่นเอง

ยังมีอีกคนที่ยืนเก็บมือพลางมองประเมินสองคนที่เดินเข้ามา เป็นเว่ยซูนั่นเอง

พอเห็นเว่ยซู ผังก้วนก็เกิดความคิดบางอย่าง สงสัยจะเป็นอย่างที่หนิวโหย่วเต๋อบอก เว่ยซูมายืนอยู่ฝ่ายเฉาหม่านแล้ว

เหมียวอี้ถอดหน้ากากออก ผังก้วนก็ถอดตามเช่นกัน กล่าวกับเว่ยซูด้วยรอยยิ้มว่า  พ่อบ้านเว่ย นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกันที่นี่ 

เว่ยซูพยักหน้า  ทักทายจอมพลผัง 

สายตาของผังก้วนไปหยุดอยู่บนแผ่นหลังตรงริมหน้าต่าง

เฉาหม่านหันตัวมาช้าๆ เผยโฉมหน้าที่แท้จริง สายตาจ้องไปที่ผังก้วนโดยตรง

ผังก้วนก็จ้องเขาเช่นกัน มองปราดเดียวก็จำได้แล้วว่าเป็นเฉาหม่าน ถึงแม้จะไม่เคยเห็นตัวจริง แต่ส่วนใหญ่ก็คล้ายกับในภาพวาด เขากุมหมัดคารวะ  ท่านนี้คงจะเป็นเฉาหม่าน เจ้าของตึกศาลาสัตยพรตสินะ? 

เฉาหม่านกลับเคยเห็นผังก้วน กุมหมัดคารวะทักทายกลับ  จอมพลผังให้เกียรติมาเยือนด้วยตัวเอง เฉาขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับ!  พูดตามมารยาทเท่านั้นเอง จากนั้นก็ยื่นมือเชิญให้นั่ง

ทั้งสามนั่งลง เว่ยซูวางน้ำชาแล้วไปยืนข้างหลังเฉาหม่าน เห็นได้ชัดว่าย้ายฐานะจากเซี่ยโห้วลิ่งมาอยู่ฝั่งนี้แล้ว

ผังก้วนชำเลืองเว่ยซู จากนั้นก็พูดกับเฉาหม่านว่า  ครั้งนี้มาเที่ยวเล่นจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล จู่ๆ จากปากผู้ตรวจการใหญ่หนิว ว่าท่านปู่สวรรค์ประสบเหตุร้าย เลยตั้งใจจะมาเยี่ยม หวังว่าจะระงับความเศร้าโศก!  พออ้าปากพูดก็หยั่งเชิงทันทีว่าเซี่ยโห้วลิ่งตายแล้วจริงๆ หรือเปล่า

บนใบหน้าเฉาหม่านดูไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน ตอบตามตรงว่า  ข้ารู้เจตนาที่จอมพลผังมาที่นี่ พวกเราไม่ต้องเสแสร้งอ้อมค้อมกันอีกแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วสามารถช่วยจอมพลผังแทนที่ฮ่าวเต๋อฟางได้ เพียงแต่ตระกูลเซี่ยโห้วมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง 

ถ้าเขาเกรงใจเกินไป ผังก้วนก็จะสงสัยว่ามีอุบาย ถ้าพูดตรงไปตรงมาแบบนี้ กลับจะทำให้เขารู้สึกว่าหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วมีความมั่นใจ จึงถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า  ไม่ทราบว่ามีเงื่อนไขอะไร? 

 ย่อมต้องกำจัดพระปีศาจเพื่อล้างแค้นให้พี่ชายข้าอยู่แล้ว! หลังจากจอมพลผังทำสำเร็จและได้อำนาจของทัพใต้ ก็ต้องให้ความร่วมมือกับตระกูลเซี่ยโห้วเต็มที่เพื่อกำจัดพระปีศาจ แบบนี้ไม่น่าจะถือว่าบังคับใช่ไหม?  เฉาหม่านถาม

ผังก้วนพยักหน้า  นี่คือหลักการที่ควรจะมี พระปีศาจเป็นศัตรูของใต้หล้า ต่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วไม่เอ่ยปาก แต่ถ้าจะปล่อยให้พระปีศาจก่อหายนะได้ยังไง เรื่องนี้เป้นภารกิจอันพึงปฎิบัติ เถ้าแก่วางใจได้! 

เฉาหม่านแอบเหยียดหยามในใจ พระปีศาจซ่อนตัวไม่ยอมออกมา เจ้าบอกว่าจะกำจัดก็แปลว่ากำจัดได้แล้วเหรอ จะเอาอะไรมาล่อพระปีศาจให้ออกมาล่ะ? ทว่าวันนี้ต้องให้ความร่วมมือแสดงละครกับหนิวโหย่วเต๋อ เขาทำได้เพียงทำตามแผน  หวังว่าจอมพลผังจะพูดคำไหนคำนั้น ไม่อย่างนั้นตระกูลเซี่ยโห้วสนับสนุนเจ้าได้ ก็โค่นล้มเจ้าได้เหมือนกัน! 

 ข้าเองก็มีคำถามเช่นกัน ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อเคลื่อนพลช่วยข้าคุมกำลังพลหนึ่งสายเอาไว้ รวมกำลังพลของฮ่าวเต๋อฟางอยู่ในนั้นด้วย แต่ก็ยังมีกำลังพลสองสายที่ข้าต้องรับมือ กอปรกับอ๋องสวรรค์ท่านอื่นก็อาจจะช่วยฮ่าวเต๋อฟาง ข้ามีโอกาสชนะไม่มาก!  ผังก้วนให้เหตุผลที่ขัดแย้งกัน

เฉาหม่านกล่าวอย่างเย็นชาว่า  ขอเพียงฮ่าวเต๋อฟางตายไป ขวัญกำลังใจทหารก็จะสั่นคลอนแน่นอน! ข้าเองก็ไม่มีกำลังพลมากพอที่จะกำจัดฮ่าวเต๋อฟางทิ้ง ส่วนเรื่องว่าจะกำจัดฮ่าวเต๋อฟางยังไง จอมพลผังควรจะคิดหาทางเอาเอง ถ้าจอมพลผังทำไม่ได้แม้แต่สิ่งนี้ เช่นนั้นข้าเองก็ไม่หวังว่าในอนาคตจอมพลผังจะมีความสามารถมาช่วยข้าได้ แต่จะบอกจอมพลผังเอาไว้ให้ชัดเจนก่อน ขอเพียงจอมพลผังตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะลงมือ เมื่อตระกูลเซี่ยโห้วสอดมือเข้าไปยุ่งเมื่อไร ก็เกรงว่าทัพใหญ่ของฮ่าวเต๋อฟางก็คงไม่ฟังคำบัญชาการง่ายๆ อีกแล้ว ข้าเองก็สามารถทำให้ข้างกายฮ่าวเต๋อฟางเกิดความวุ่ยวายภายในได้เช่นกัน ส่วนจะหาโอกาสได้หรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องของจอมพลผังแล้ว ส่วนกำลังพลของอ๋องสวรรค์ที่เหลือ จอมพลผังก็ไม่ต้องกังวล ข้าทำให้พวกเขาเอาตัวเองไม่รอด ไม่มีกะใจมาแทรกแซงงานใหญ่ของจอมพลผังได้อยู่แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วยังมีความสามารถอย่างนี้อยู่บ้าง 

……………

 

เหมียวอี้อาจไม่ได้ดูโดดเด่นเหมือนนาง แต่การกระทำที่ยอมสละทุกอย่างเพื่อความรักนั้นทำให้เหมียวอี้มีรัศมีเปล่งประกายยามอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนอื่น

มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่หวังให้ตัวเองเป็นนางเอกในเรื่องแบบนั้น? โดยเฉพาะผู้หญิงที่รอคนมาสู่ขอจากห้องนอนอย่างผังเสี้ยวเสี้ยว วิธีการคิดก็ยิ่งไร้เดียงสา นางเคยใฝ่ฝันเช่นกัน

 เสี้ยวเสี้ยวคำนับผู้ตรวจการใหญ่ค่ะ!  ไม่รอให้บิดาเอ่ยปาก ผังเสี้ยวเสี้ยวทักทายอย่างเขินอาย รายงานฐานะของตัวเองแล้ว

 ไข่มุกล้ำค่าในมือจอมพลผังงดงามไร้ที่เปรียบจริงๆ ด้วย  เหมียวอี้กล่าวชม สายตาไปหยุดบนตัวเฉินหวยจิ่วอีกครั้ง ทั้งสองรู้จักกันมานาน แค่พยักหน้าก็เข้าใจแล้ว ฐานะของเฉินหวยจิ่วก็เห็นๆ กันอยู่ ไม่สะดวกจะแสดงอำนาจเกินเจ้านาย

เหมียวอี้หันกลับมาโบกมือ เฟยหงกับเสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ไม่ไกลก็เข้ามาด้วยกัน ไม่ต้องพูดถึงเลย ช่วงนี้สวีถังหรานประจบสอพลอได้ผลดีมาก

เหมียวอี้แนะนำตัวแทนให้ สองสาวทำความเคารพ ผังก้วนมีท่าทีเป็นมิตร ยิ้มบางๆ บอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี

 จอมพลผัง ฮูหยิน เชิญ!  เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ แล้วนำพวกเขาไปที่โถงหลักด้วยตัวเอง

ตอนนี้หยางชิ่งที่อยู่ในประตูพระจันทร์ของลานด้านข้างโผล่ตัวออกมาครึ่งหนึ่ง มองคล้อยหลังคนที่เดินออกไปด้วยท่าทางครุ่นคิด ก่อนหน้านี้ตอนเหมียวอี้เอ่ยถึง เขาก็ยังแปลกใจอยู่บ้าง พอมาดูตอนนี้แล้ว พบว่าเหมียวอี้กับผังก้วนก็สนิทกันจริงๆ ไม่รู้ว่าในหลายปีมานี้ท่านผู้สำเร็จราชการแอบสร้างเครือข่ายที่ตัวเองไม่รู้ไว้ตั้งเท่าไร

ตึกศาลา ซิงอยู่บนที่สูง คอยระแวะระวังรอบๆ เรือนด้านใน ป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้ ตอนนี้นางกลายเป็นคนเฝ้าเรือนในของจวนผู้สำเร็จราชการ

พวกเขาเดินเขามานั่งในโถงหลัก พวกบ่าวไพร่ถูกกันออกไปหมด คนที่ทำหน้าที่รินน้ำชามีเพียงเฟยหงกับเสวี่ยหลิงหลง

หลังจากนั่งลงพูดคุยกันตามมารยาทแล้ว ผังก้วนก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า  พวกนางสองแม่ลูกเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก ให้อนุภรรยาของท่านพาพวกนางไปเปิดหูเปิดตาหน่อยได้หรือไม่? 

เขาย่อมรู้ว่าเหมียวอี้เชิญเขามาไม่ใช่เพื่อมาเที่ยวเล่นแน่นอน ถ้าจะคุยเรื่องสำคัญก็ย่อมต้องให้บางคนหลบเลี่ยงไป

เหมียวอี้ย่อมรู้ว่าด้วยครอบครัวอย่างพวกเขา มีหรือที่จะมาเปดหูเปิดตาที่นี่ จึงหันกลับมาบอกผู้หญิงทั้งสองด้วยรอยยิ้มว่า  เฟยหง หลิงหลง ต้องดูแลฮูหยินกับคุณหนูให้ดี อย่าเมินเฉย! 

 ค่ะ!  สองสาวเอ่ยรับ

จาหรูเยี่ยนไม่ถึงขั้นตาไม่มีแววเลย รู้ว่านายท่านต้องการให้พวกนางสองแม่ลูกหลบเลี่ยงไปเพื่อคุยธุระ จึงเรียกลูกสาวให้ออกไปด้วยกัน

ในห้องยังเหลือหยางเจาชิงกับเฉินหวยจิ่ว ที่ให้สองคนนี้อยู่ต่อได้ก็เพราะเป็นลูกน้องคนสนิท

ผังก้วนที่จิบน้ำชาไปคำหนึ่งเปิดประเด็นก่อน  เพราะเรื่องเล็กน้อยในอดีต ภรรยาของข้าเลยไม่พอใจผู้ตรวจการใหญ่นิดหน่อย ถ้ามีจุดไหนที่ไม่เหมาะสม ก็หวังว่าผู้ตรวจการใหญ่จะไม่เก็บมาใส่ใจ ถ้าไปถือสาผู้หญิงความรู้พื้นๆ อย่างนาง  พูดจาด้วยท่าทีที่ไม่ถือตัว เป็นเพราะสิ่งที่เฝ้ารอในใจ

 เข้าใจได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นใครก็ต้องทำอย่างนี้! ว่ากันว่าความแค้นควรแก้ไขมิควรผูกไว้ ครั้งนี้เชิญท่านจอมพลมา ก็เพราะอยากจะแก้ไขเรื่องนี้ด้วยความจริงใจ  เหมียวอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม

 อ้อ!  ผังก้วนถามอย่างสนใจ  ข้าจะล้างหูรอฟัง ไม่ทราบว่าผู้ตรวจการใหญ่เตรียมจะแก้ไขเรื่องความแค้นในปีนั้นยังไง? 

เหมียวอี้ยิ้มพร้อมบอกว่า  ได้ยินมานานแล้วว่าท่านจอมพลมีบุตรสาวคนหนึ่งที่เหมือนไข่มุกล้ำค่าในมือท่านจอมพล ได้รับความรักจากท่านจอมพลมาก มีความงามจนมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา จันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง วันนี้ได้เห็นกับตาก็พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ทราบว่าแต่งงานหรือยัง? 

เฉินหวยจิ่วฟังจนหนังตากระตุก ในใจเกิดความระแวดระวัง เจ้าเด็กนี่มันคิดจะทำอะไร?

ผังก้วนหัวใจกระตุกวูบ เจ้าเด็กเปรตนี่คงไม่ได้ถูกใจลูกสาวพ่อหรอกใช่มั้ย? ถ้าเอ่ยปากขอแต่งงานจริงๆ ตนควรจะตอบตกลงหรือไม่ตกลงดีล่ะ ถ้าปฏิเสธก็เหมือนจะไม่เหมาะสม แต่ถ้าตอบตกลง เจ้าเด็กนี่ก็มีเมียแล้ว ลูกสาวสุดที่รักของตนจะไม่กลายเป็นอนุภรรยาหรอกเหรอ

 รอคนมาสู่ขออยู่ในห้องนอน ยังไม่แต่งงาน!  ผังก้วนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย วางถ้วยน้ำชาลง แล้วหรี่ตาจ้องเหมียวอี้

เหมียวอี้แสดงสีหน้าจริงใจทันที กุมหมัดคารวะอย่างจริงจัง  หนิวตกหลุมรักคุณหนูตั้งแต่แรกพบ หวังว่าจะได้อุทิศกายถวายชีวิตให้ ท่านจอมพลได้โปรดช่วยให้สมหวังในรัก! 

เป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วย เฉินหวยจิ่วรีบมองไปที่นายท่านของตัวเอง

ผังก้วนใบหน้ากระตุกอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เข้าใจจุดประสงค์ที่อีกฝ่ายให้ตนพาลูกสาวมาด้วยแล้ว ในใจด่าบรรพบุรุษเหมียวอี้สิบแปดรุ่น ตอบด้วยใบหน้านิ่งเฉยว่า  ผู้ตรวจการใหญ่ แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง? ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยให้สมปรารถนา เพียงแต่ผู้ตรวจการใหญ่ก็รู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ดี ถ้าเจ้ากับข้าเกี่ยวดองกัน ท่านอ๋องฮ่าวคงไม่เป็นอันกินอันนอน แล้วจะให้ตำหนักสวรรค์คิดยังไงกับเจ้า? เพื่อให้เป็นผลดีต่อทุกคน ข้าว่าเรื่องนี้ช่างเถอะ  ถือว่าปฏิเสธอย่างอ้อมๆ

 ถ้าเกี่ยวดองกันได้ ผู้น้อยกับฮูหยินของท่านก็ย่อมคลายปมความแค้น…  เหมียวอี้กล่าว

ผังก้วนยกมือตัดบท  ผู้ตรวจการใหญ่เชิญข้ามาครั้งนี้ อย่าบอกนะว่าเพื่อให้ข้าพาลูกสาวมาส่งให้ถึงที่ ทำเกินไปหน่อยหรือเปล่า? 

เหมียวอี้ทำสีหน้าเสียดายทันที แต่ก็ไม่บังคับ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลงหลายส่วน  ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว ถ้าทำให้เรื่องมงคลสำเร็จได้ก็ย่อมดี แต่จะให้เรื่องนี้มาขัดขวางงานใหญ่ได้ยังไง ที่เชิญท่านจอมพลมาครั้งนี้ เพราะอยากจะถามท่านจอมพลสักหน่อย รู้หรือเปล่าว่าตระกูลเซี่ยโห้วมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว? 

ตระกูลเซี่ยโห้วมีการเปลี่ยนแปลง? ผังก้วนกับเฉินหวยจิ่วสบตากันแวบหนึ่ง ผังก้วนถามทันทีว่า  ไม่เคยได้ยินว่ามีการเปลี่ยนแปลง ไม่รู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไร? 

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปตรงข้ามเขา ไปนั่งลงโดยมีโต๊ะน้ำชากั้น ทั้งสอล้วนนั่งพิงโต๊ะชา สุมหัวกัน เหมียวอี้ตอบด้วยเสียงต่ำเบาว่า  เซี่ยโห้วลิ่งตายแล้ว! 

 หา!  ผังก้วนตกใจมาก โยนเรื่องไม่พอใจเกี่ยวกับลูกสาวทิ้งไปทันที รีบถามว่า  พูดจริงหรือเปล่า? 

 จริงจนไม่รู้จะจริงยังไงแล้ว โดนแทงตาย!  เหมียวอี้พยักหน้า

 เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมไม่มีข่าวเลยสักนิด?  ผังก้วนถาม

เหมียวอี้ตอบว่  ในเวลานี้ตระกูลเซี่ยโห้วจะปล่าอยข่าวหลุดไปข้างนอกได้ยังไง เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด พวกเขาปิดข่าวสนิทเลย คาดว่าคนส่วนใหญ่ในตระกูลเซี่ยโห้วก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ 

 แล้วผู้ตรวจการใหญ่รู้ข่าวนี้ได้ยังไง?  ผังก้วนระแวงสงสัย

เหมียวอี้ตอบว่า  เฉาหม่านมาขอให้ข้าช่วย มาบอกต่อหน้าเลยว่า เซี่ยโห้วลิ่งโดนพระปีศาจหนานโปเล่นงาน! 

ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนพระปีศาจเล่นงาน! ผังก้วนกับเฉินหวยจิ่วสูดหายใจลึกอย่างตกตะลึง คิดในใจว่าพระปีศาจหนานโปไม่ยอมปล่อยตระกูลเซี่ยโห้วไปจริงๆ ด้วย

 ทำไมเฉาหม่านถึงมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าล่ะ?  ผังก้วนสงสัย

 บางเรื่องนั้นทุกคนรู้อยู่แก่ใจ พอเซี่ยโห้วลิ่งตาย ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติหรือลำดับอาวุโส เฉาหม่านล้วนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล แต่พี่น้องพวกนั้นจะยอมหลักทางให้เขาเหรอ ท่านจอมพลรู้สึกว่าตอนนี้เฉาหม่านกังวลอะไรที่สุด?  เหมียวอี้ถาม

สายตาผังก้วนหยุดอยู่บนตัวเขาทันที คุร่นคิดเล็กน้อย แล้วหรี่ตาบอกว่า  เขากังวลว่าจะมีคนอยากแย่งตำแหน่งหัวหน้าตระกูลและทำร้ายเขา แต่ผู้ตรวจการใหญ่มีกำลังทหารมากมาย ทั้งสามารถรักษาความปลอดภัยให้เขาได้ อีกทั้งในช่วงเวลาสำคัญยังเอาชีวิตของเขาได้หากโดนคนอื่นซื้อไป คาดว่าเขาคงต้องการร่วมงานกับผู้ตรวจการใหญ่มาก 

เหมียวอี้ปรบมือ  ท่านจอมพลปราดเปรื่องจริงๆ ด้วย พอพูดก็ถูกเลย ไม่ผิดหรอก เป็นอย่างนี้! ที่จริงเว่ยซูก็มาที่ตึกศาลาสัตยพรตแล้ว ยื่นอยู่ข้างกายเฉาหม่านแล้ว ขอเพียงไม่มีอะไรผิดพลาด เรื่องที่เฉาหม่านได้คุมตระกูลเซี่ยโห้วก็ถูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว ยิ่งเป็นเวลานี้เขาก็ยิ่งไม่กล้าประมาท ไม่กล้าออกจากถิ่นตัวเองโดยพลการ หนิวคนนี้เลยกลายเป็นกุญแจสำคัญ! ไม่ทราบว่าจอมพลผังเตรียมจะทำยังไง? 

ผังก้วนหัวใจเต้นตึกตัก แต่กลับผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ แสร้งทำท่าทางผ่อนคลายสบายๆ ถามเสียงเรียบว่า  นี่เป็นเรื่องในตระกูลเซี่ยโห้ว เกี่ยวอะไรกับข้า? 

 ถ้าท่านจอมพลก่อกบฏในตอนนี้ แล้วข้าก็เคลื่อนทัพแดนรัตติกาล ตรึงกำลังพลหนึ่งสายให้ท่านจอมพล แล้วก็มีตระกูลเซี่ยโห้วสนับสนุนเต็มที่ ไม่ทราบว่าท่านจอมพลจะมีโอกาสชนะหรือเปล่า?  เหมียวอี้ถาม

เฉินหวยจิ่วกำหมัดแน่นโดยจิตใต้สำนึก ในหัวมีประโยคหนึ่งแวบเข้ามา สวรรค์ประทานโอกาสดี!

ผังก้วนพลันลุกขึ้น อดทนไม่ไหวแล้ว หลังจากเอามือไขว้หลัง ก็เดินไปเดินมาอยู่ในโถง แววตาเป็นประกายไม่หยุดนิ่ง หัวใจอันทะเยอทะยานถูกปลุกแล้ว

เหมียวอี้นั่งนิ่ง ไม่เร่งเร้าเขา กำลังมองเขาเดินไปเดินมา

ทันใดนั้น ผังก้วนก็รีบเดินมาตรงหน้าเขา ก้มมองเขาพร้อมบอกว่า  ถ้าเจ้าสนับสนุนให้เฉาหม่านได้กุมอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้ว ถ้าตอนหลังเขากลับคำจะทำยังไง? 

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน กล่าวด้วยใบหน้าอมยิ้มว่า  ภายใต้สถานการณ์ที่ท่านจอมพลยังไม่ได้ลงมือ ถ้าเขากลับคำพวกเราก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย! ยิ่งไปกว่านั้น ข้ากับเฉาหม่านก็อยู่ที่แดนรัตติกาลด้วยกันมาไม่ใช่แค่ปีสองปีแล้ว กำพืดของเขาคนอื่นไม่รู้ แต่ข้ากลับรู้ชัดเจน เขาควบคุมตระกูลเซี่ยโห้วมานานจนบริหารได้เหมาะสมแล้ว ข้าอาจจะทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ถ้าเขากล้ากลับคำในช่วงนี้ ของที่อยู่ในมือข้าก็เพียงพอที่จะทำให้เขาลงจากตำแหน่งได้! 

ผังก้วนตาเป็นประกาย  เจ้าได้จุดอ่อนอะไรของเขามา? 

เหมียวอี้ปฏิเสธทันที  ท่านจอมพลจะให้ข้าเผยไพ่ตอนนี้เหรอ บังคับกันไปหน่อยหรือเปล่า? เอาเป็นว่าถ้าข้าไม่มั่นใจ ท่านจอมพลคิดว่าข้าจะกล้าวางแผนนี้เหรอ? 

ผังก้วนเองก็รู้เช่นกันว่าการขุดไพ่ตายของอีกฝ่ายในตอนนี้ไม่เหมาะสม จึงปล่อยผ่านทันที จ้องตาเหมียวอี้พร้อมถามว่า  เจ้าต้องการอะไร? 

เขาไม่เชื่อหรอกว่าเหมียวอี้จะช่วยเหลือเขามากขนาดนี้โดยไม่ต้องการผลประโยชน์อะไร ไม่เชื่อด้วยว่าเหมียวอี้จะเสี่ยงอันตรายมากขนาดนี้เพียงเพื่อแต่งงานกับลูกสาวที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนของตน ต้องมีจุดประสงค์แน่นอน!

เหมียวอี้ตอบเหมือนจริงใจว่า  หากท่านจอมพลได้กินเนื้อ ข้าก็ย่อมได้ดื่มน้ำแกงตามไปด้วย หลังจากเรื่องนี้สำเร็จแล้ว ข้าสนใจอาณาเขตสายเถาะมาก ท่านจอมพลก็รู้ว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์สำคัญต่อการฝึกตนของข้ามาก ข้ารู้สึกว่าควบคุมไว้ในมือตัวเองจะวางใจกว่า หวังว่าท่านจอมพลจะช่วยให้สมปรารถนา! 

 ถ้าทำสำเร็จจริงๆ ข้าให้เจ้าก็ได้!  ผังก้วนให้สัญญาอย่างไม่ลังเล แต่กลับถามอย่างไม่ลังเลว่า  ข้าต้องการพบเฉาหม่าน จะแนะนำให้ได้หรือเปล่า? 

นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก เรื่องเกี่ยวกับชีวิตคนในครอบครัว เหมียวอี้พูดอะไรก็เชื่อหมดได้อย่างไร ต้องไปเจรจากับเฉาหม่านให้ชัดเจน

เขาเคยเห็นภาพวาดของเฉาหม่าน ส่วนตัวจริงของเฉาหม่านนั้น เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แม้เฉาหม่านจะมีฐานะกึ่งเปิดเผยของตระกูลเซี่ยโห้ว แต่ก็ลึกลับมากเช่นกัน ไม่ค่อยออกหน้า ใช่ว่าใครอยากเจอเขาก็เจอได้

เหมียวอี้พยักหน้า  ถ้าท่านจอมพลไม่รู้สึกว่ายุ่งยาก ตอนนี้พวกเราก็ไปที่ตึกศาลาสัตยพรตด้วยกันสักเที่ยวได้เลย 

ผังก้วนจะรู้สึกว่ายุ่งยากได้อย่างไร ถึงอย่างไรก็อยู่ที่แดนรัตติกาล ไม่ไกลด้วย จึงตอบด้วยรอยยิ้มว่า  ในเมื่อมาผ่อนคลายที่นี่แล้ว เที่ยวให้ทั่วสักหน่อยก็ไม่เป็นไร  พูดจบก็เอียงหน้าบอกใบ้เฉินหวยจิ่ว ให้เขาเตรียมตัวให้เรียบร้อย

หลังจากพวกเขาสวมหน้ากากแล้วก็ออกไปทันที ส่วนจาหรูเยี่ยนและบุตรสาว ตอนนี้ผังก้วนทิ้งไว้ที่นี่ชั่วคราว งานใหญ่กำลังจะมา ตอนนี้จะสนใจพวกนางได้อย่างไร

ในสวนดอกไม้ จาหรูเยี่ยนและบุตรสาวที่กำลังเดินเล่นไม่ยอมพูดอะไร จาหรูเยี่ยนก็ยิ่งหน้าตึง เฟยหงกับเสวี่ยหลิงหลงพยายามเอาใจไปก็ไม่มีประโยชน์

แม้ผังเสี้ยวเสี้ยวจะรู้สึกว่ามารดาทำไม่เหมาะสม ทว่าแต่ไหนแต่ไรมามารดาก็มีอีกด้านที่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ ในบ้านนอกจากบิดาแล้วก็ไม่มีใครควบคุมได้ นางเองก็ไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงเงียบตาม ไม่อย่างนั้นต้องโดนด่าใส่หน้าโครมๆ แน่นอน

รอจนผังก้วนระฆังดาราส่งข่าวมา บอกว่ามีธุระต้องออกไปกับหนิวโหย่วเต๋อสักเที่ยว ให้พวกนางสองแม่ลูกรออยู่ที่นี่ จาหรูเยี่ยนพอเก๋บระฆังดาราแล้วก็กัดฟันกรอดทันที พบว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้เรื่องเกินไปแล้ว มักทิ้งนางไว้โดยไม่ให้แม้แต่เหตุผล

เมื่อไม่มีผังก้วนคุมอยู่ที่นี่ กอปรกับเก็บกลั้นไฟโกรธไว้เต็มอก จาหรูเยี่ยนก็เหล่ตามองเฟยหงอย่างเย็นเยียบ

……………

 

นางไม่อยากให้เหมียวอี้รับอนุภรรยาไปทั่ว อยากให้เหมียวอี้โปรดปรานนางคนเดียว แต่เหมียวอี้เดินบนเส้นทางนี้แล้ว

นางจำได้ดีว่าเหมียวอี้ในปีนั้นล้วนถูกคนรังแก เป็นเวลาที่ทนรับความอัปยศมาเต็มที่

ตอนที่นางอยู่จวนแม่ทัพภาคตงหัวก็เห็นกับตาว่ามีคนมากมายดูหมิ่นเหยียดหยามเหมียวอี้ เหมียวอี้ในตอนนั้นทำได้เพียงเงียบและอดทนไว้ ปล่อยให้คนหยามเกียรติท่ามกลางฝูงชน นั่นคือครั้งที่นางได้เห็นกับตาตัวเองจริงๆ ปวดใจ!

นางจำได้ชัดเจนว่าตอนที่เหมียวอี้ไปร่วมการทดสอบแดนอเวจี ข่าวที่นางได้ยินแทบจะทำให้ตาถลน มีคนมากมายขนาดนั้นต้องการเล่นงานให้เหมียวอี้ถึงตาย มีคนมากมายขนานั้นรังแกเหมียวอี้คนเดียว ไม่มีความยุติธรรมหรือเหตุผลใดๆทั้งนั้น เหมียวอี้บุกเดี่ยวอาบเลือดอยู่ท่ามกลางกำลังพลหนึ่งล้าน ถึงได้สู้จนเก็บชีวิตกลับมาได้ ตอนนั้นนางก็สาบานต่อฟ้าแล้ว!

นางรู้ดีว่าเหมียวอี้ได้รับความอัปยศมาหลายครั้ง ไม่รู้ว่าโดนทวนในที่แจ้งกับธนูในที่ลับมาตั้งเท่าไร ทั้งยังถูกทรยศ ถึงได้เดินมาจนทุกวันนี้ ทุกอย่างในวันนี้ล้วนป็นสิ่งที่เหมียวอี้ถือศีรษะเอาชีวิตแลกมา

ไม่ต้องพูดถึงว่าแต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนับ เหมียวอี้ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ง นางทำได้เพียงพยายามสนับสนุนเต็มที่เพื่อให้เหมียวอี้ก้าวไปข้างหน้าต่อ

แน่นอน ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เขาไม่ทำผิดข้อห้ามของนาง เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน เหมียวอี้เจ้าจำทำซี้ซั้วไม่ได้!

เจ้าสำนักอวี้หลิงเดาว่าเหมียวอี้คงกำลังติดต่อกับอวิ๋นจือชิว จึงเฝ้ารออย่างอดทน

หลังจากติดต่อเสร็จแล้ว เหมียวก็เก็บอี้ระฆังดาราเงียบๆ กลั่นกรองคำพูดเล็กน้อย แล้วกล่างอย่างไม่แน่ใจว่า  เจ้าสำนัก เรื่องนี้ข้าเป็นฝ่ายได้เปรียบ ข้าไม่มีอะไรไม่พอใจ แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้จะฝืนใจเป่าเหลียนไม่ได้ เป่าเหลียนจะตอบตกลงเหรอ? 

หยางเจาชิงทำสายตาล่อกแล่ก รู้ว่านายท่านตอบตกลงแล้ว

เจ้าสำนักอวี้หลิงโล่งอก เจาเองก็ไม่อยากทำให้วุ่นวายถึงขั้นนี้ แต่อวิ๋นจือชิวแอบบอกใบ้ทั้งแบบเปิดเผยและแบบลับๆ กอปรกับเป่าเหลียนดื้อรั้นใส เต๋อหมิงบิดานางก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน เรื่องไหนที่แน่ใจแล้วก็จะไม่หันหลังกลับ ถ้าไม่ใช่เพราะถูกเรื่องร้านขายของชำซื่อตรงในปีนั้นบีบก็คงไม่ยอมถอยแน่ ตกต่ำจนมีจุดจบเหมือนอย่างวันนี้ แม้แต่เจ้าสำนักอย่างเขาก็ช่วยพูดให้ไม่ได้ ทำได้เพียงให้เต๋อหมิงผิดหวังท้อใจอยู่ที่ไร่ศักดิ์สิทธิ์ต่อไป ส่วนเป่าเหลียนก็เรียกได้ว่าได้นิสัยจากเต๋อหมิงบิดาของนางมาเต็มๆ

เขารู้ชัดเจนว่าในใจเป่าเหลียนคิดอย่างไร สำนักลมปราณไม่มีเรื่องบังคับผู้หญิงให้แต่งงาน แต่ตอนนี้ลากยาวมาจนอายุก็ไม่น้อยแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นหลานสาวของเขา เขาทำได้เพียงหน้าด้านมาที่นี่เพื่อเอ่ยปากเอง

 ในจุดนี้ผู้ตรวจการใหญ่วางใจได้ ถ้าเป่าเหลียนไม่ได้คิดอย่างนั้น ตาแก่คนนี้คงไม่เอ่ยปากเช่นกัน  เจ้าสำนักอวี้หลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เหมียวอี้ยังคงลังเล  เจ้าสำนัก มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ท่านต้องคิดให้ดี ท่านเองก็รู้ถึงฐานะข้าตอนนี้ ความเสี่ยงที่อยู่ในนั้นไม่ได้มีหน้ามีตาอย่างที่ท่านเห็นภายนอก ชั่วอึดใจเดียวสถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปร้อนแปดพันเก้า วันนี้สูงส่ง พรุ่งนี้ก็อาจจะกลายเป็นนักโทษได้ ถ้าเป่าเหลียนแต่งงานกับข้าจริงๆ นางกับสำนักลมปราณก็อาจจะไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว 

เจ้าสำนักอวี้หลิงยิ้มเจื่อน  ขอพูดบางสิ่งที่อาจไม่ไพเราะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนายท่านจริงๆ ต่อให้เป่าเหลียนไม่ได้แต่งงานกับนายท่าน นายท่านคิดว่าสำนักลมปราณยังจะมีทางถอยด้วยเหรอ? หลังจากผ่านเรื่องครั้งก่อนมา ถ้าร้านค้าตกอยู่ในมือคนอื่น เกรงว่าเรื่องแรกที่อีกฝ่ายทำก็คือแยกอำนาจควบคุมที่สำนักลมปราณมีต่อร้านค้าไปทีละก้าว จากนั้นจุดจบของสำนักลมปราณจะเป็นอย่างไร แค่คิดก็รู้แล้ว  ความหมายที่จะสื่อก็คือ สำนักลมปราณถูกผูกมัดไว้กับเจ้าแล้ว

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ในเมื่อเข้าใจก็ดีแล้ว  มีบางเรื่องที่เจ้าสำนักอาจยังไม่เข้าใจชัดเจน คลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัว ไม่รู้ว่าจะปะทุเมื่อไร ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ เกรงว่าคงไม่สะดวกจะแต่งงานอย่างเปิดเผย คงต้องลำบากเป่าเหลียนไปก่อน ในภายหลังจะชดเชยให้ เจ้าสำนักพิจารณาดูหน่อยก็ได้ ถ้าท่านรับได้ ก็หาฤกษ์รับเป่าเหลียนได้เลย 

 เมื่อเทียบกับชีวิตแต่งงานของผู้หญิงแล้ว สิ่งนี้ล้วนเป็นเรื่องหยุมหยิม ความประพฤติของผู้ตรวจการใหญ่ข้าย่อมเข้าใจดี ในภายหลังไม่ปฏิบัติต่อเป่าเหลียนอย่างอยุติธรรมแน่นอน แบบนั้นดีกว่าอะไรทั้งนั้น  เจ้าสำนักอวี้หลิงพูดดักเอาไว้ก่อน และกำลังเตือนเหมียวอี้เช่นกัน ว่าขอเพียงเจ้าไม่ปฏิบัติต่อหลานสาวข้าอย่างอยุติธรรมก็พอ จากนั้นก็ยืนขึ้นกุมหมัดคารวะ  หากผู้ตรวจการใหญ่ไม่มีขอเรียกร้องอย่างอื่นแล้ว ข้าก็ขอกลับไปเตรียมตัว จะให้เป่าเหลียนแต่งเข้าบ้านให้เร็วที่สุด 

 ก็ดี!  เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนเป็นเพื่อนเขา อีกประเดี๋ยวแขกผู้มีเกียรติจะมาเยือนแล้ว เขาเองก็ไม่สะดวกจะรั้งอีกฝ่ายไว้ จึงเอียงหน้าบอกใบ้หยางเจาชิง  ไปส่งเจ้าสำนักแทนข้า 

หยางเจาชิงยื่นมือเชิญด้วยรอยยิ้มทันที  เจ้าสำนัก เชิญ!  ขณะเดียวกันเหมียวอี้ก็ส่งสายตาให้เขา เขาพยักหน้าอย่างรู้อยู่แก่ใจ ตอนนี้ยังไม่สะดวกจะประกาศเรื่องแต่งงาน ยังต้องให้สำนักลมปราณปิดเป็นความลับ อีกฝ่ายเป็นผู้หญิง นายท่านไม่สะดวกจะพูดอะไรแบบนี้ ทำได้เพียงให้เขาเอ่ยปากเอง ในตอนหลังเรื่องแต่งงานต้องมีเขาเป็นคนจัดการ

เมื่ออวี้หลิงออกไปได้หนึ่งชั่วยาม แขกผู้มีเกียรติของเหมียวอี้ก็มาเยือนแล้ว

ถ้าพูดถึงฐานะตำแหน่งของผู้ที่มา เขาควรจะออกไปต้อนรับข้างนอกเอง เพียงแต่ไม่อยากดึงดูดสายตาผู้คน ทำได้เพียงรออยู่ตรงประตูในเรือนด้านใน

กลุ่มคนจำนวนหนึ่งร้อยเหาะลงมาเหยียบตรงประตูจวนผู้สำเร็จราชการ ผู้ที่มาใส่หน้ากากทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าชายสองหญิงสองในนั้นได้รับความเคารพจากกลุ่ม

หลังจากเหยียบลงพื้นแล้ว ทหารอารักขาที่ติดตามมาก็เฝ้าระแวดระวังรอบด้าน สี่คนที่อยู่ข้างหน้ามองประเมินซ้ายขวา

หยางเจาชิงที่รออยู่ตรงประตูทำความเคารพ แล้วกล่าวเชิญ  เชิญด้านในขอรับ! 

สี่คนทยอยกันเข้าไปข้างใน เมื่อได้รับอนุญาตก็ไม่ต้องมีการตรวจสอบอีกแล้ว เพราะตอนอยู่ข้างนอกผ่านการตรวจมาแล้วสองชั้น ถ้าตรวจสอบแขกท่านนี้อีกก็แสดงถึงความไม่จริงใจ

เพียงแต่ผู้ติดตามกลับถูกกันไว้ข้างนอก ผู้ชายที่นำหน้ามาหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบ  นี่ไม่ใช่เวลาปกติ ทำตามกฎระเบียบของอีกฝ่ายเถอะ 

เขาเองก็เข้าใจชัดเจน แม้จะแอบซ่อนกำลังพลมาด้วย แต่มาถึงอาณาเขตของเหมียวอี้แล้ว ถ้าเหมียวอี้จะลงมือกับเขาจริงๆ เขาก็ยากที่จะรอดพ้น

บางครั้งก็เป็นเช่นนนี้ ไม่ว่าจะผู้บังคับบัญชาเชิญ หรือผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นคนเชิญ ถ้าเจ้ารู้สึกว่าอันตรายจริงๆ ก็ไม่ต้องไปเสียเลย หรือไม่ก็เตรียมแตกคอกันได้เลย

พอเขาเอ่ยปาก ผู้ติดตามก็เอ่ยรับคำสั่งแล้วถอยไป ไปรออยู่ด้านนอก

ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างผู้ชายที่นำหน้ามาพูดเหน็บแนมว่า  ตำแหน่งก็ไม่ใหญ่ แต่วางมาดไม่ใช่น้อย 

หยางเจาชิงที่เดินนำทางอยู่ข้างๆ มองผู้หญิงคนนั้นแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก

ผู้ชายที่นำหน้ามากลับถ่ายทอดเสียงตะคอก  หุบปาก! แขกควรตามใจเจ้าบ้าน ไม่รู้จักมารยาทพื้นฐานเหรอ? 

ผู้หญิงคนนั้นเม้มปากแน่น ไม่พูดอะไรแล้ว

คนกลุ่มนี้เดินเข้ามาในลานบ้านของเรือนด้านใน เหมียวอี้รีบก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ  ผู้น้อยคารวะจอมพลผัง ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับใกล้ๆ หวังว่าจอมพลผังจะไม่ถือสา! 

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน ผังก้วน จอมพลสายเถาะนั่นเอง

 ผู้ตรวจการใหญ่ทำตัวห่างเหินแล้ว สถานการณ์บีบบังคับ เข้าใจได้  ผังก้วนจ้องเหมียวอี้พร้อมยิ้มอ่อน ในใจแปลกใจมาก เจ้าหนุ่มนี่เชิญให้ตนลดเกียรติมาที่นี่เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่? เขาไม่เชื่อหรอกว่าอีกฝ่ายจะเชิญตนมาเที่ยวเล่นชมทิวทัศน์ที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล สถานที่เส็งเคร็งที่ขาดความเจริญ มีอะไรน่าเที่ยว

แม้สภาพแวดล้อมของจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลจะไม่ได้แย่ แต่มีสถานที่ดีๆ ที่ไหนที่ผังก้วนไม่เคยไปบ้าง ในสายตาเขา สถานที่เส็งเคร็งห่างไกลความเจริญแบบนี้จะมีอะไรดีเชียวหรือ?

เดิมทีผังก้วนไม่ได้อยากมา เพราะถ้าอยากจะมาหาตน เช่นนั้นก็มาที่จวนจอมพลสายเถาะก็ได้ ถึงอย่างไรฐานะของตนก็เหนือกว่าเหมียวอี้ มีอย่างที่ไหนกันที่ให้คนยศต่ำเรียกคนยศสูงไปนั่นมานี่ได้ ยังเห็นตนอยู่ในสายตาอยู่มั้ย กำเริบเสิบสานเกินไปหน่อยแล้วกระมัง

ทว่าเหมียวอี้ไม่ได้เชิญเขาคนเดียว ทั้งยังตั้งใจบอกให้เขาพาฮูหยินจาหรูเยี่ยนกับผังเสี้ยวเสี้ยวลูกสาวคนเล็กของเขามาเที่ยวด้วย

ที่สำคัญที่สุดก็คือ เหมียวอี้เอ่ยถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง ถามเขาว่ายังจำตอนที่ทั้งสองคุยกันนอกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้มั้ย?

เมื่อได้ยินแบบนี้ ผังก้วนก็หัวใจเต้นแรง จึงลองตอบรับดู เป็นอย่างที่เหมียวอี้ขอมา เขามาฮูหยินจาหรูเยี่ยนกับผังเสี้ยวเสี้ยว ลูกสาวคนเล็กที่รักประดุจไข่มุกในฝ่ามือมาด้วยแล้ว

ส่วนในด้านความปลอดภัย เขาไม่กังวลเลยสักนิด ไม่เชื่อหรอกว่าเหมียวอี้จะกล้าแตะต้องเขา

ถ้ารู้ว่าเหมียวอี้เล่นงานเซี่ยโห้วลิ่งจนตาย ก็ไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างนี้หรือเปล่า

เหมียวอี้เตือนว่า  ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องให้ถอยออกไปก่อน 

ดังนั้น พวกผังก้วนจึงทยอยกันถอดหน้ากาก จาหรูเยี่ยน ผังเสี้ยวเสี้ยว ทั้งยังมีเฉินหวยจิ่วที่เป็นพ่อบ้าน

จาหรูเยี่ยนคนนี้เหมียวอี้รู้จัก ในปีนั้นเคยเจอที่อุทยานหลวง เขากุมหมัดคารวะอีกครั้ง  ผู้น้อยคารวะฮูหยิน 

จาหรูเยี่ยนไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับเหมียวอี้ จาเหรินจวิ้นหลานชายแท้ๆ ของนางตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ ถามหน่อยว่าจาหรูเยี่ยนจะไม่แค้นเหมียวอี้ได้อย่างไร สิ่งที่ทำให้นางแค้นกว่านั้นก็คือ เหมียวอี้กลายเป็นเจ้าอาณาเขตที่มีอำนาจมากแล้ว นางรู้สึกว่าโลกนี้ช่างไร้เหตุผล แม้แต่คนต่ำต้อยอย่างนี้ก็สามารถเลื่อนขั้นพรวดพราดได้

ความแค้นต่อเหมียวอี้สามารถมองออกจากสายตานาง นางตอบอย่างเย็นชาว่า  ไม่ต้องมากพิธี 

ที่จริงนางไม่อยากมา ไม่อยากเห็นหน้าเหมียวอี้ แต่ผู้ชายของตัวเองขู่ไว้ จำเป็นต้องทำตาม

ผังก้วนขมวดคิ้วเล็กน้อง ชำเลืองเมียตัวเองแวบหนึ่ง พบว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเลยสักนิด แค่ไว้หน้าสักหน่อยให้ผ่านๆ ไปก็ทำไม่ได้ แต่เขาก็แปลกใจเช่นกัน รู้อยู่แจ่มแจ้งว่ามีความแค้นกับเมียเขา แต่หนิวโหย่วเต๋อยังบอกให้เขาพาเมียมาด้วยอีกเหรอ?

ทุกคนล้วนมีความเจ้าอารมณ์ด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็มีเวลาที่ต้องใจกว้างเช่นกัน เพียงแต่สำหรับคนที่คิดจะทำการใหญ่ เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ก็ย่อมปล่อยวางได้ เหมียวอี้ยิ้มอ่อนๆ รู้อยู่แก่ใจแต่ไม่ถือสา สายตาไปหยุดอยู่บนตัวผังเสี้ยวเสี้ยวที่สดใสเปล่งประกาย อ่อนหวานแช่มช้อยดุจดอกไม้ สวมชุดกระโปรงยาวทีเขียวแกมฟ้า บนเรือนร่างอรชรเผยความสุภาพเยือกเย็น ไม่ว่าไปยืนอยู่ตรงไหนก็มีท่วงท่างดงามโดยธรรมชาติ ราวกับดอกบัวหลังฝนตก มีเสน่ห์ที่แตกต่างออกไป รูปร่างหน้าตาได้รับจุดเด่นมาจากจาหรูเยี่ยน ไม่ด้อยไปกว่ากันแน่นอน

เหมียวอี้แอบชมในใจ ว่ากันว่าบุตรสาวคนเล็กของผังก้วนเป็นยอดหญิงงาม วันนี้ได้เห็นกับตาก็พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ จึงชี้แล้วถามว่า  หรือว่านี่จะเป็นไข่มุกล้ำค่าในมือจอมพลผัง? 

เขาไม่เคยเจอผังเสี้ยวเสี้ยวมาก่อน ในปีนั้นตอนอยู่อุทยานหลวง ผังเสี้ยวเสี้ยวก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนเลย

ที่จริงผังเสี้ยวเสี้ยวก็มองประเมินเหมียวอี้ด้วยความสงสัยมาตลอด นางได้ยินชื่อเสียงของเหมียวอี้มานานมากแล้ว เวลาลูกหลานขุนนางรวมตัวกันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงบุคคลนี้ แม้จะด่าไปหลายรอบ แม้จาหรูเยี่ยนจะด่าบ่อยๆ รู้ว่าบ้านตัวเองมีความแค้นต่อท่านนี้ แต่เรื่องที่เหมียวอี้พลิกสถานการณ์แล้วผงาดขึ้นมา ขั้นตอนเหล่านั้นทำให้นางรู้สึกว่ายอดเยี่ยมกว่าบิดาตัวเองที่ไต่เต้าตำแหน่งสูงตามขั้นตอนปกติด้วยซ้ำ

ที่นางสงสัยใคร่รู้ที่สุดก็คือ ได้ยินว่าเหมียวอี้ยอมนำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ทำศึกเลือดเพื่ออวิ๋นจือชิว นางไม่คิดว่าคนที่ทิ้งลูกเมียเพื่ออำนาจความสำเร็จเป็นผู้ชายที่ดีอะไร แต่หนิวโหยว่เต๋อเป็นแม่ทัพที่เดือดดาลเพราะหญิงงาม ทำศึกสงครามเลือด สับเนื้อศัตรูเป็นพันชิ้นเพื่อคนรัก ทำให้นางมีใจใฝ่หา นางรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นลูกผู้ชายตัวจริง เป็นวีรบุรุษที่แท้จริง

ที่จริงนางก็อยากจะเห็นมาตลอดว่าหนิวโหย่วเต๋อที่เขาร่ำลือกันหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ แต่จนใจที่ไม่เคยมีโอกาส พอได้ยินว่าบิดาจะพานางมาจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล นางก็ตอบตกลงด้วยความยินดี

ได้ยินมาตลอดว่าหนิวโหย่วเต๋อหน้าตาดุร้ายน่ากลัว อีกทั้งชื่อก็ฟังดูบ้านนอก ตอนนี้พอได้เห็นแล้วถึงรู้ว่าคำพูดพวกนั้นล้วนเป็นข่าวลือเสียหาย เพราะท่านที่อยู่ตรงหน้าองอาจผึ่งผาย กระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา บุคลิกสง่างาม ยามเผชิญหน้ากับบิดาตนก็ดูไม่ถ่อมตัวเกินไป มีสง่าราศีไปอีกแบบ ดูดีกว่าพวกผู้ชายเจ้าสำอางค์ไม่รู้ตั้งกี่เท่า แย่อย่างที่คนเขาพูดถึงเสียที่ไหนกัน

………

 

 เกิดเรื่องขึ้นเหรอ?  ประมุขชิงตะลึงเล็กน้อย เอียงหน้ามองไปทางซ่างกวนชิง

ซ่างกวนชิงเข้าใจ จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อพวกเหวินเจ๋อตรงนั้นเสียเลย แต่ติดต่อแล้วไม่ได้ผล ส่ายหน้าเบาๆ ให้ประมุขชิงเพื่อสื่อว่าติดต่อไม่ได้ เท่ากับพิสูจน์รายงานของซือหม่าเวิ่นเทียนแล้ว พวกเหวินเจ๋อถูกจับแล้วจริงๆ

 จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้?  ประมุขชิงสงสัย แล้วถามอีกว่า  ช่วงนี้แดนรัตติกาลมีความเคลื่อนไหวผิดปกติอะไรหรือเปล่า? 

ซือหม่าเวิ่นเทียนครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วส่ายหน้าบอกว่า  ไม่ได้ยินว่ามีอะไรผิดปกติขอรับ…ใช่แล้ว ตรงจุดที่ห่างจากแดนรัตติกาลไม่ไกล ช่วงนี้มีความเคลื่อนไหวผิดปกติเล็กน้อย เหมือนจะมีการระดมพลทัพใต้เร่งด่วน แต่ไม่นานก็สงบลงเหมือนเดิม หน่วยตรวจการซ้ายลองสืบดูนิดหน่อย เหมือนจะเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว ส่วนเรื่องรายละเอียดสายลับไม่รู้ชัดเจนขอรับ 

 สืบต่อไป! แล้วก็ฝั่งโจรทรามนั่นด้วย ให้เขาชี้แจงมา บังอาจจับคนของข้า!  ประมุขชิงทำเสียงฮึดฮัด มาจับคนของเขาโดยไม่มีเหตุผล ทำให้เขาไม่พอใจมาก

ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบโน้มน้าว  ฝ่าบาท ทางฝั่งหนิวโหย่วเต๋อรอสักสองสามวันแล้วค่อยขอคำชี้แจงได้ไหมขอรับ ทางนั้นเพิ่งจับคนไป ถ้าฝั่งนี้เอาเรื่อง จะไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อสงสัยก็คงยาก จะทำให้สายลับถูกเปิดโปงได้ง่าย ทางที่ดีให้ราชินีสวรรค์ออกหน้าถามจะดีกว่า! 

คำพูดนี้ค่อนข้างมีเหตุผล ประมุขชิงเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็รู้สึกว่าสายลับข้างกายหนิวโหย่วเต๋อมีบทบาทมาก ตอนนี้ได้รับความเชื่อใจจากหนิวโหย่วเต๋ออย่างลึกซึ้ง มีสิ่งที่ไม่อาจแทนที่ได้ คนที่อยู่ในระดับหนิวโหย่วเต๋อ ต่อให้อยากจะแทรกสายลับเข้าไป แต่ก็ใช่ว่าอยากจะเข้าใกล้ก็เข้าใกล้ได้ แม้แต่เขาเองก็ต้องคำนึงถึงสายลับเช่นกัน พยักหน้าบอกว่า  เรื่องนี้เจ้าปรึกษากับซ่างกวนว่าจะทำยังไง 

 ขอรับ!  ทั้งสองโค้งตัวเอ่ยรับพร้อมกัน

ส่วนประมุขชิงในวันนี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีอารมณ์สุนทรีย์ ให้ซ่างกวนชิงเรียกพวกสนมที่ไล่ไปก่อนหน้านี้กลับมาอีก

เมื่อเห็นบรรดาสนมกลับมาพูดคุยยิ้มแย้มข้างกายประมุขชิงอีกครั้ง ซือหม่าเวิ่นเทียนก็รู้สึกเหนือความคาดหมายนิดหน่อย ถูกไล่ไปแล้วเรียกกลับมาอีกเป็นภาพที่พบเห็นได้น้อยมาก เรื่องระหว่างชายหญิงเป็นสิ่งที่ทุกคนเลี่ยงยาก แต่ประมุขชิงก็ไม่นับว่าเป็นคนฝักใฝ่กามารมณ์เท่าไรนัก โดยทั่วไปหลังจากถูกงานรบกวนแล้ว ประมุขชิงก็ยากที่จะมีอารมณ์สนใจต่ออีก วันนี้กลับได้เห็นแล้ว

เขาอดไม่ได้ที่จะมองบรรดาสนมหลายครั้ง พบว่าทั้งหมดแปลกหน้ามาก หรือว่าฝ่าบาทถูกใจคนไหนเข้าแล้ว? เขาจดจำใบหน้าบรรดาสนมไว้ จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงถามซ่างกวนชิงที่เดินออกมาด้วยกัน  รบกวนผู้การใหญ่ส่งรายงานบรรดาสนมเหล่านั้นให้ข้าหน่อย  ผู้หญิงในวังเยอะเกินไป เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจดจำได้ทั้งหมด

ซ่างกวนชิงหยักหน้าเบาๆ เขาใจเจตนาของเขาแล้ว เพราะถ้าฝ่าบาทถูกใจผู้หญิงคนไหนจริงๆ คลุกคลีอยู่กับผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างบ่อย เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของฝ่าบาท หน่วยตรวจการซ้ายจะต้องสืบกำพืดของผู้หญิงคนนั้นให้ชัดเจน

เพียงแต่ในใจซ่างกวนชิงรู้ชัด เขารู้จักประมุขชิงดีเกินไป รู้ว่าประมุขชิงไม่ได้ชอบใครจริงๆ หรอก แต่หนึ่งในนั้นคงมีวิธีการยั่วยวนความสนใจของประมุขชิง คาดว่าคงโปรดปรานอยู่สักระยะหนึ่ง เป็นความใคร่ระหว่างชายหญิงล้วนๆ ไม่นับว่าเป็นรักแท้อะไร คนที่ประมุขชิงชอบจริงๆ ยังคงเป็นคนที่อยู่ตำหนักเย็น

ทว่าเรื่องพวกนี้เขาไม่มีทางอธิบายให้ซือหม่าเวิ่นเทียนรู้ ซือหม่าเวิ่นเทียนต้องการรายชื่อ เขาก็แค่จัดการให้ตามระเบียบที่มีก็พอแล้ว

ทั้งสองถ่ายทอดเสียงปรึกษากันเรื่องที่ประมุขชิงเพิ่งสั่ง พอออกจากสวนดอกไม้ ก็เดินแยกกันออกไป

ซือหม่าเวิ่นเทียนออกจากพระตำหนักอุทยาน ส่วนซ่างกวนชิงก็มาถึงศาลาริมน้ำแห่งหนึ่งแล้วยืนเอามือไขว้หลัง

ผ่านไปครู่เดียว แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งก็เร่งฝีเท้าเดินมาข้างหลังซ่างกวนชิง แล้วกุมหมัดคารวะ ผู้การใหญ่ 

คนคนนี้ชื่อตู้เฉียว เป็นหนึ่งในสามลูกน้องคนสนิทของซ่างกวนชิง อีกแรกชื่อเซี่ยงจง รับผิดชอบเรื่องทางการทหาร เป็นผู้บัญชาการองครักษ์เงาเช่นกัน คนที่สองชื่อตวนมู่อู๋ฮวน รับผิดชอบงานในวัง ส่วนอีกคนก็คือตู้เฉียวคนนี้ รับผิดชอบงานนอกวัง

ยามปกติทั้งสามเข้าออกวังสวรรค์ล้วนสวมเกราะรบ ทำแบบนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สะดุดตาเกินไปวังสวรรค์ ได้อยู่ในนามกองทัพองครักษ์ แต่กลับไม่ถูกกองทัพองครักษ์ควบคุม ฟังคำสั่งซ่างกวนชิงโดยตรง

ซ่างกวนชิงกล่าวเสียงเรียบว่า  แดนรัตติกาลเกิดการเคลื่อนไหวผิดปกตินิดหน่อย หลายวันก่อนในอาณาเขตทัพใต้ที่อยู่ติดแดนรัตติกาลก็มีการระดมพลเร่งด่วนเช่นกัน ให้ฝั่งสมาคมวีรชนสืบดูสักหน่อย ดูว่าจะสืบเจอเรื่องอะไรมั้ย 

 ขอรับ!  ตู้เฉียวเอ่ยรับ

ดาวเกาะคราม ระเบียงโพรงถ้ำที่สลักจากหน้าผาที่หันหน้าเข้าหาทะเล หนานโปหลับตารับลมทะเลเงียบๆ เหมือนกำลังไตร่ตรองเรื่องบางอย่าง แล้วก็เหมือนกำลังสัมผัสกับธรรมชาติ

จั่วเอ๋อร์ปรากฏตัวอยู่อย่างหลังเขา กล่าวทำความเคารพ  ผู้อาวุโส! 

พระปีศาจหนานโปหลับตาถามช้าๆ  ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว มีความคืบหน้าหรือยัง? 

จั่วเอ๋อร์ตอบว่า  กำหนดเป้าหมายลงมือกับฝั่งสมาคมวีรชนแล้ว ตอนนี้กำลังหาวิธีสร้างสถานการณ์ เตรียมจะล่อเป้าหมายออกมา น่าจะใกล้แล้ว ส่วนสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เรื่องนี้เป็นความลับเกินไป คิดไปคิดมา คนที่น่าจะรู้ชัดที่สุดน่าจะเป็นประมุขชิง ส่วนคนที่ทำงานนี้ให้ประมุขชิง ก็น่าจะเป็นลูกน้องคนสนิทอันดับหนึ่งของประมุขชิงอย่างผู้การใหญ่วังสวรรค์ซ่างกวนชิง ถ้าคิดจะลงมือกับสองคนนี้ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ 

 แล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่ผู้การใหญ่วังสวรรค์จะไปเฝ้าการหลอมสมบัติด้วยตัวเอง เบื้องล่างย่อมมีคนช่วยเขาแบ่งเบาภาระอยู่แล้ว? เริ่มลงมือจากเบื้องล่างไม่ได้เหรอ?  หนานโปถาม

จั่วเอ๋อร์ตอบว่า  เคยพิจารณาทางด้านนี้แล้ว ซ่างกวนชิงมีลูกน้องคนสนิทสามคน คนหนึ่งชื่อเซี่ยงจง คนหนึ่งชื่อตวนมู่อู๋ฮวน อีกคนชื่อตู้เฉียว ถ้าจะบอกว่ามีคนอื่นที่รู้ว่าที่หลอมสมบัติอยู่ที่ไหน ก็คาดว่าคงเป็นสามคนนี้ แต่ทั้งสามปลีกตัวอยู่ที่วังสวรรค์ระยะยาว ต่อให้ออกมาข้างนอกก็ผลุบๆ โผล่ๆ เหมือนผี ไม่มีข้อมูลเส้นทางของสามคนนี้เลย ถ้าในปีนั้นตระกูลอิ๋งยังไม่ล้ม ในวังสวรรค์มีคนช่วยจับตาดูอยู่บ้างก็น่าจะมีวิธี แต่ตอนนี้ไม่รู้จะลงมือจากตรงไหนจริงๆ 

หนานโปลืมตาขึ้น แล้วค่อยๆ หันกลับมาจ้องนาง  เจ้าเตรียมจะบอกสิ่งนี้กับข้างั้นเหรอ? 

 ผู้อาวุโส พวกเรากำลังคิดหาวิธีการ ยังไม่เคยหยุดพักเลย  จั่วเอ๋อร์ค่อนข้างประหม่า

หนานโปจ้องนางอย่างเย็นเยียบนานมาก ก่อนจะบอกว่า  ข้ารอมาแสนนาน เนิ่นนาน ยาวนานเกินไปแล้ว เร่งมือ!  แม้จะไม่ได้ใช้น้ำเสียงข่มขู่ แต่กลับทำให้คนรู้สึกกดดันสุดๆ

 รับทราบ!  จั่วเอ๋อร์ได้แต่เอ่ยรับลูกเดียว

จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ในโถงรับแขก ขณะมองอีกฝ่ายนั่งสมาธิอมยิ้ม เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะเอามือเกาศีรษะ รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย

ไม่ปวดหัวไม่ได้หรอก เรื่องดี พอตาแก่นี่มาถึงก็เอ่ยปากพูดสิ่งที่ทำให้เขาตะลึงค้างแล้ว เปิดประตูเจอภูเขา เปิดเผยโดยตรงว่ามาสู่ขอให้เป่าเหลียน!

พูดตามตรง เหมียวอี้ไม่ได้มีความคิดทางด้านชายหญิงกับเป่าเหลียนเลย อย่างมากก็มีไมตรีเก่ากับลูกน้องเก่า อีกด้านหนึ่ง เรื่องความสวยนั้นเป่าเหลียนสวยแน่นอน แต่ยังไม่นับว่างามเลิศล้ำ ไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอกก็ไม่มีจุดไหนที่ดึงดูดเขาได้ ไม่มีทางทำให้เขาใจสั่นได้เลย เป็นลูกน้องจะดีที่สุด แล้วอีกอย่าง ตอนนี้เรื่องที่เขาทำก็ไม่ใช่เล็กๆ จะเอากะจิตกะใจจากไหนมารับเป่าเหลียนเป็นอนุภรรยา?

เขากลุ้มใจแล้ว อวี้หลิงเอาความมั่นใจจากไหนมาคุยเรื่องแต่งงานกับเขา? ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกเป่าเหลียน แต่ฐานะของเขาในตอนนี้ก็เห็นๆ กันอยู่ เจ้าสำนักเล็กๆ คนหนึ่งเอาความกล้าจากไหนมาเอ่ยปากเรื่องนี้? ตามหลักแล้ว เจ้าสำนักอวี้หลิงก็ไม่ใช่คนที่ชอบเกาะขาผู้มีอำนาจ ไม่อย่างนั้นตอนแรกคงรับปากเกาเหยียนที่มาสู่ขอไปแล้ว

หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ เม้มปากยิ้ม

เหมียวอี้กลับอดไม่ได้ที่จะถามว่า  เจ้าสำนัก ทำไมจู่ๆ ท่านถึงเอ่ยเรื่องนี้? 

อวี้หลิงถอนหายใจ  นายท่านคงจะจำเรื่องเกาเหยียนได้ ใต้หล้าล้วนเข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเป่าเหลียนกับนายท่าน นอกจากนายท่านแล้วใครจะกล้าแต่งงานกับนาง? 

 เอ่อ…  เหมียวอี้พูดไม่ออก เหตุผลนี้ทำให้เขาไม่มีทางโต้เถียงได้ อาศัยฐานะตำแหน่งของเขาในตอนนี้ ก็มีความเป็นไปได้จริงๆ

เมื่อเห็นเขาลังเล อวี้หลิงก็พูดสเสริมว่า  ฮูหยินบอกว่าเรื่องนี้นางสามารถตัดสินใจแทนได้ ก่อนข้ามาก็ได้รับอนุญาตจากฮูหยินแล้ว 

หยางเจาชิงงุนงง

 …  เหมียวอี้อ้าปากค้างอีกครั้ง จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าอวิ๋นจือชิวเคยพูดเรื่องนี้ ตอนนั้นเขานึกว่าอวิ๋นจือชิวแค่พูดเล่น ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย สงสัยจะเป็นเรื่องจริง อวี้หลิงคงไม่นำเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอวี้หลิงถึงมาเอ่ยปากเรื่องนี้

หลังจากได้สติแล้ว เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิวทันที ต่อให้แน่ใจว่าอวี้หลิงจะไม่พูดซี้ซั้ว แต่ก็ต้องยืนยันสักหน่อย

อวิ๋นจือชิวยอมรับแล้ว ตอนแรกยังพูดหยอกเหมียวอี้ สุดท้ายก็บอกว่านางพิจารณาอย่างจริงจัง สาเหตุแรกเป็นเพราะอยากอาศัยเป่าเหลียนควบคุมสำนักลมปราณ สาเหตุรองก็คืออาณาเขตเหมียวอี้ไม่มีสถานที่เติมกำลังทหารสักเท่าไร มีเพียงสำนักลมปราณ หลังจากชุบเลี้ยงสำนักลมปราณให้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่ช่วยเติมกำลังทหารได้ ถ้าเสริมกำลังพลจนได้ระดับพื้นฐานแล้ว ก็ยังสามารถใช้งานให้เป็นหูเป็นตาได้ด้วย สามารถช่วยเหมียวอี้ควบคุมคนเบื้องล่างได้มากขึ้น

เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ผู้หญิงคนนี้พิจารณาเพื่อเขาจริงๆ จะบอกว่านางพูดผิดก็ไม่ได้ เพียงแต่ช่วงนี้มีบางเรื่องที่ให้นางรู้ไม่ได้ กลัวนางกังวล แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาทำได้เพียงเตือนว่า : น้องชิว ช่วงนี้ข้ากำลังวางแผนแทนที่ฮ่าวเต๋อฟาง ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ก็น่าจะทำสำเร็จ

ความหมายที่จะสื่อก็คือ ทัพใต้มีอาณาเขตใหญ่โตขนาดนั้น ยังกลัวว่าจะไม่มีแหล่งเติมกำลังทหารอีกเหรอ?

อวิ๋นจือชิวตกใจไม่เบา ถามว่า : หนิวเอ้อร์ เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ? เจ้าเอาความโลภมาจากไหนเยอะขนาดนั้น?

เหมียวอี้ : เรื่องนี้วางแผนไว้แล้ว เจ้าอยู่ที่พิภพเล็กอย่างสงบใจเถอะ เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ ส่วนเรื่องเป่าเหลียน ตอนนี้ข้ายังไม่มีอารมณ์คิดเรื่องนี้ ช่างเถอะ

อวิ๋นจือชิวเงียบไปนาน แล้วเตือนอีกว่า : เจ้าไม่เคยควบคุมอาณาเขตที่ใหญ่ขนาดนั้นมาก่อน ยิ่งอาณาเขตใหญ่ก็ยิ่งซับซ้อน เจ้าจะเอาสภาพแวดล้อมของแดนรัตติกาลมาปรียบเทียบเพื่อคุมเบื้องล่างไม่ได้ ข้ารู้สึกว่าเจ้าควรรีบแต่งงานกับเป่าเหลียน เจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่า ต่อให้เจ้าสามารถยึดครองอาณาเขตทัพใต้ได้อย่างราบรื่น แต่ถึงยังไงเจ้าก็ผงาดขึ้นมาเร็วเกินไป รากฐานยังตื้นไปหน่อย เบื้องล่างยังมีคนมากมายที่ไม่ได้ขึ้นมาพร้อมกับเจ้า อีกด้านหนึ่งสำนักลมปราณก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้า ถ้าเป่าเหลียนได้เป็นสำนักลมปราณเจ้าสำนัก เจ้าแต่งงานกับเป่าเหลียน ให้นางช่วยเจ้าฝึกสอนศิษย์ในสำนัก แล้วทยอยเติมเข้ามาเป็นรากฐานให้เจ้า คนพวกนั้นล้วนเป็นหูเป็นตาให้เจ้าได้ อย่างน้อยก็ภักดีต่อเจ้ามากกว่าคนทั่วไป ศิษย์จากสำนักทั่วไปเทียบไม่ติด นี่จะเป็นผลดีต่อเจ้าในอนาคต

ครั้งนี้ถึงคราวที่เหมียวอี้จะเงียบแล้ว หลังจากเงียบไปนาน ก็บอกกับอวิ๋นจือชิวอย่างจริงใจว่า : มีเรื่องหนึ่งที่ข้าเตรียมจะปิดบังเจ้าไว้ก่อน ในเมื่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว ข้ารู้สึกว่าควรจะบอกเจ้าไว้ก่อน ก่อนหน้านี้ข้าก็เตรียมจะรับอนุภรรยาอยู่แล้ว เป็นความคิดของหยางชิ่ง แต่คนนั้นไม่ใช่เป่าเหลียน…

ไม่ใช่หวงฝู่จวินโหรวเช่นกัน เรื่องของหวงฝู่จวินโหรวปิดบังจนลุกลามเกินไป เขารู้จักนิสัยอารมณ์ของอวิ๋นจือชิวดี ดังนั้นจึงรู้สึกกินปูนร้อนท้องมาก ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับแม่เสืออย่างอวิ๋นจือชิวเลย และไม่อยากให้เรื่องนี้ก่อความวุ่นวายในเวลานี้ด้วย

เมื่อได้ฟังสาเหตุว่าต้องการจะรับอนุภรรยา แม้อวิ๋นจือชิวจะไม่ได้พูดดีอะไร ด่าไปแล้วหนึ่งยก แต่ก็ยังฝืนใจตอบตกลง

…………………

 

 เอ่อ…ขอรับๆๆ!  สวีถังหรานยิ้มแห้ง รีบถอยออกไป ไปพักผ่อนตามคำสั่ง

ในตำหนักไม่มีคนนอกแล้ว เหมียวอี้ถามหยางเจาชิงที่อยู่ข้างกัน  บอกพวกฝูชิงให้ประจำที่หรือยัง? 

แม้จะเลือกม่ายจื่อกับหนานกงหรูอวี้เป็นแม่ทัพ แต่เขาก็เชื่อใจพวกฝูชิงมากกว่า ฝูชิงรวมทั้งลูกน้องเก่าที่แดนรัตติกาลเปรียบเสมือนดวงตาที่คอยจ้องทุกการกระทำของกำลังพลเบื้องล่างให้เขา ครั้งนี้ย่อมให้คนพวกนี้ร่วมปฏิบัติการด้วยอยู่แล้ว

 บอกให้ประจำที่แล้วขอรับ  หยางเจาชิงตอบ

หยางชิ่งเดินออกมาจากตำหนักด้านข้าง ยังอยากจะเตือนให้ระวังสักหน่อย

ใครจะคิดว่าสายตาของเหมียวอี้ก็แค่กวาดมองบนตัวเขาเท่านั้น ก่อนจะหันตัวไป ไม่มีท่าทีว่าจะพูดมากกับเรื่องนี้

หยางชิ่งทำได้เพียงปล่อยไป กลืนคำพูดที่ขึ้นมาถึงปากกลับลงท้องอีกครั้ง รู้ว่าเหมียวอี้ไม่ได้เชื่อฟังเขาทุกอย่าง จะพิจารณาเอาเอง เวลาที่ควรจะเด็ดขาด ก็แก้ปัญหาอย่างรวดเร็วฉับไวเสมอ ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยกับผลที่ตามมา

พอออกจากตำหนักหลัง เหมียวอี้ก็เขย่าระฆังดาราในกระบอกแขนเสื้อ ติดต่อผังก้วน ขอให้จอมพลผังมาหาที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล

เมื่อกลับมาที่เรือนด้านใน เฟยหงก็เข้ามาต้อนรับ แล้วเดินกลับห้องนอนพร้อมกับเหมียวอี้ ขณะที่ถอดชุดคลุมให้เหมียวอี้ นางก็ถามว่า  นายท่าน เมื่อครู่นี้ข้าเห็น ท่านจับตัวคนของกองทัพองครักษ์หรือคะ? 

เหมียวอี้หันตัวมา ยื่นมือเชยค้างที่อ่อนนุ่มของนาง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม  สายลับของหน่วยตรวจการซ้ายดวงตาสว่างจ้าจริงๆ 

เฟยหงกล่าวอย่างเขินอายว่า  นายท่านล้อเล่นอีกแล้ว ข้าก็แค่กลัวว่าต่อไปถ้าหน่วยตรวจการซ้ายถาม แล้วควรจะตอบยังไง 

เหมียวอี้ยื่นมือโอบเอวบางของนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด คลำลงไปข้างล่างตลอดทาง แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า  ไม่มีอะไรที่รับมือยาก ตอบไปตามความจริงอย่างที่เจ้าเห็น รายงานหน่วยตรวจการซ้ายเดี๋ยวนี้เลย… 

ตึกศาลาสัตยพรต ชีเจวี๋ยรีบร้อนเข้ามาในห้องเฉาหม่าน รายงานเฉาหม่านว่า  เถ้าแก่ สถานการณ์ไม่ชอบมาพากลนิดหน่อย รอบๆ ตึกศาลาสัตยพรตเหมือนจะมีกำลังพลแดนรัตติกาลแอบซุ่มอยู่ไม่น้อย 

เฉาหม่านกลับยิ้มบ้างๆ  ไม่มีอะไร ไม่ต้องสนใจ ข้าเรียกมาเอง 

 เอ่อ…  ชีเจวี๋ยตะลึงงัน

ในลานบ้านที่มืดสลัวภายใต้แสงจันทร์ สวีถังหรานเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา เงยหน้ามองฟ้าเป็นระยะ แล้วก็ก้มหน้าเงียบๆอีก ถอนหายใจยาวบ้างสั้นบ้างไม่หยุด

เหมียวอี้ให้เขากลับมาพักผ่อน ทั้งยังมีท่าทีเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง เขาจะพักผ่อนลงได้อย่างไร นอนพลิกตัวไปพลิกตัวมาอยู่บนเตียงนานมาก แล้วก็ลุกขึ้นมาเดินเล่นข้างนอกอีก

เสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ข้างๆ สวมชุดชั้นใน ตัวนอกสวมผ้าบางๆ เรือนร่างอ่อนช้อยที่ปรากฏวับแวมอยู่ภายใต้แสงจันทร์เย้ายวนมาก เสวี่ยหลิงหลงรู้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดี จึงตั้งใจแต่งตัวแบบนี้ เตรียมจะใช้ความอ่อนโยนละมุนละไมปลอบใจเขา แต่ใครจะคิดว่าเขากลับปล่อยให้เสียของ มองข้ามนางที่อุตส่าห์ตั้งใจแต่งตัว ทำให้นางทั้งโมโหทั้งอยากขำ

 เจ้าคิดมากไปหรือเปล่า?  เสวี่ยหลิงหลงก้าวขึ้นมาพูดอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก  เราไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อย เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเจ้าไม่ใช่หรอ ไม่ถึงขั้นต้องทำตัวเหมือนวิญญาณออกจากร่างแบบนี้หรอกมั้ง? 

 เจ้าจะเข้าใจอะไร ตัวเราเองป็นยังไงก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจดี ไม่ใช่พวกที่จะนำทัพไปต่อสู้เลย ตอนนี้ข้างกายผู้ตรวจการใหญ่มีคนเก่งเยอะเหมือนขนวัว อยู่ข้างกายผู้ตรวจการใหญ่ บางครั้งถ้าเดินพลาดก้าวเดียวก็จะพลาดอีกหลายก้าว บางทีในภายหลังอาจไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับข้าแล้ว เฮ้อ! วันนี้ข้าไม่ได้อยู่ในความสนใจของนายท่านเลย ความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว ไม่เหมาะสม ไม่เหมาะสมมาก!  สวีถังหรานส่ายหน้าซ้ำๆ สายตาไปหยุดบนใบหน้านาง แล้วจู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ก้าวขึ้นมาจับมือนางแล้วถามว่า  เจ้าได้ติดต่อกับฮูหยินอยู่ตลอดหรือเปล่า ฮูหยินได้บอกหรือเปล่าว่าจะกลับมาเมื่อ? 

เสวี่ยหลิงหลงถอนหายใจ  เชื่อเจ้ามาตลอด ติดต่อเอาไว้ตลอด คอยทักทายอยู่เป็นระยะ ฮูหยินบอกว่ายังไม่แน่ใจว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ จะเที่ยวเล่นอีกสักระยะ บอกว่าถ้าจะมีเรื่องอะไรก็ใช้ระฆังดาราติดต่อนางได้โดยตรง 

สวีถังหรานขมวดคิ้วพึมพำ  ออกไปเที่ยวเล่นในเวลาแบบนี้ เอาไว้ไปหลอกผีเถอะ 

เสวี่ยหลิงหลงรู้สึกขำ  ใครก็รู้ว่าที่นี่มีลับลมคมใน จะให้ข้าจะเค้นถามให้นางตอบความจริงหรือไง? 

สวีถังหรานเงยหน้าถามอีก  เฟยหงล่ะ? ช่วงนี้ไปมาหาสู่กันหรือเปล่า? 

เสวี่ยหลิงหลงตอบอย่างงงๆ  ช่วงนี้จะบอกว่าพระปีศาจหนานโปกำลังทำให้คนหวาดกลัวไม่ใช่หรอ ให้ข้าพยายามอย่าออกไปข้างนอกไม่ใช่หรือไง? แล้วอีกอย่าง จะเข้าออกจวนผู้สำเร็จราชการก็ต้องตรวจสอบ ข้าจะเข้าจะออกก็ไม่สะดวก ไม่ได้ไปมาสักระยะหนึ่งแล้ว 

 เจ้านี่นะ!  สวีถังหรานชี้นางอย่างแค้นใจ แทบจะทุบอกกระทืบเท้าแล้ว  ดีไม่ดีปัญหาก็อยู่ตรงนี้แหละ! เราไม่คิดดูบ้างว่าตอนนี้คนที่คอยนอนเป่าหูอยู่ข้างหมอนผู้ตรวจการใหญ่คือใคร ก็คือนางไง! พอฮูหยินไปแล้ว เจ้าก็ไม่แม้แต่จะไปที่นั่นด้วยซ้ำ จะให้อีกฝ่ายคิดยังไง แสดงว่าเจ้าไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเลย ใครจะไปรู้ว่านางจะตำหนิข้าให้ผู้ตรวจการใหญ่ฟังว่าอะไรบ้าง ผู้ตรวจการใหญ่ถึงได้รำคาญค่ะ ถ้าบอกให้เจ้าอย่าออกไปข้างนอก หมายถึงไม่ออกไปโลกภายนอก ไม่ได้หมายถึงจวนผู้สำเร็จราชการ เจ้านี่ช่างเลอะเลือน! 

เสวี่ยหลิงหลงกลอกตามองบน  คนที่บอกให้ข้ารักษาระยะห่างกับเฟยหงเพื่อให้เกียรติฮูหยิน จะได้ไม่โดนฮูหยินเข้าใจผิดก็คือเจ้า ตอนนี้คนที่ไม่ชอบให้ข้าทำตัวห่างเหินกับเฟยหงก็เป็นเจ้าอีก ทำไมค่าลำบากอย่างนี้เนี่ย? พอแล้ว พอแล้ว อย่ามาจ้องข้าแบบนี้ พรุ่งนี้ข้าจะไปก็ได้ เจ้าต้องทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมแบบนี้ด้วยหรอ? 

สวีถังหรานคว้ามือเรียวงามของนางอีก แล้วกำชับว่า  อย่าไปมือเปล่า ใช่แล้ว ฉากกั้นสีรุ้งอันนั้นที่ข้าเอามาให้เจ้า เจ้าถือโอกาสส่งไปให้นางด้วยสิ 

เสวี่ยหลิงหลงถลึงตาทันที  แต่นั่นคือของขวัญที่เจ้าส่งให้ข้า เจ้าก็รู้ว่าข้าชอบมาก! 

สวีถังหรานรีบปลอบใจ  ทำไมเจ้าดื้อแบบนี้ อย่าดื้อสิ เดี๋ยวครั้งหน้าข้าจะส่งของขวัญชิ้นใหม่ที่ดีกว่านี้ให้เจ้าแน่ 

เสวี่ยหลิงหลงกัดริมฝีปากเงียบๆ รู้ว่ารักษาสมบัติชิ้นนั้นไว้ไม่ได้แล้ว มองเขาด้วยสีหน้าคับแค้น…

ตำหนักสวรรค์ พระตำหนักอุทยาน ซือหม่าเวิ่นเทียนเดินก้าวยาวเข้ามา เดินตรงเข้าไปในสวนดอกไม้ เห็นสนมไม่กี่คนกำลังเที่ยวเล่นกับประมุขชิง ถึงได้ยืนรออยู่ไม่ไกล แล้วส่งสายตาให้ซ่างกวนชิง

ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ โค้งกายเตือนประมุขชิงที่กำลังพูดคุยยิ้มแย้มทันที  ฝ่าบาท ทูตซ้ายซือหม่ามาแล้วขอรับ 

ประมุขชิงโบกมือทันที เหล่านางสนมที่หาโอกาสอยู่กับฝ่าบาทไม่ได้ง่ายๆ ทำได้เพียงถอยออกไปอย่างไม่เต็ม

ตอนนี้ซือหม่าเวิ่นเทียนถึงได้รีบเดินเข้ามา หลังจากทำความเคารพก็รายงานว่า  ฝ่าบาท สายลับที่อยู่ฝั่งทัพใหญ่แดนรัตติกาลรายงานเข้ามา พบความเคลื่อนไหวผิดปกติของทัพใหญ่แดนรัตติกาล ระดมพลจำนวนเท่าไหร่ไม่ทราบแน่ชัดครับ 

ประมุขชิงร้องอ๋ฮ แล้วถามอีกว่า  ระดมพลไปไหน? 

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ  ทิศทางไปไม่ชัดเจน คงจะจำกัดการใช้ระฆังดารา ตัดขาดการติดต่อกับภายนอก นอกจากนี้สายลับที่อยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อก็รายงานด่วนเข้ามา พบว่าหนิวโหย่วเต๋อจับตัวเหวินเจ๋อและคนที่กองทัพองครักษ์ส่งไปเอาไว้หมดแล้ว 

ประมุขชิงสีหน้าบึ้งตึงทันที  แม้แต่คนของข้าก็กล้าจับเหรอ เจ้าโจรทรามนั่นคิดจะทำอะไร อยากก่อกบฏเหรอ? 

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า  สถานการณ์ไม่ชัดเจน สายลับก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้เพียงว่าตอนที่กำลังนอน หนิวโหย่วเต๋อได้รับข้อความจากใครบางคน แล้วจู่ๆ ก็บอกว่าเกิดเรื่องแล้ว ออกจากห้องนอนไปทันที จากนั้นถึงได้มีการจับกุมเกิดขึ้น สายลับบอกด้วยว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลเหมือนมีการระดมพล ส่วนสาเหตุและทิศทางการเคลื่อนไหวยังไม่ทราบแน่ชัด! 

……………

 

 รับทราบ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง

หยางชิ่งกลับรีบห้าม  นายท่าน ทางฝั่งเฉาหม่านเพิ่มการรักษาความปลอดภัยย่อมไม่มีปัญหา แต่ระดมกำลังพลมากขนาดนี้ ถ้าจะไม่ให้ข่าวหลุดเลยก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าตำหนักสวรรค์พบความผิดปกติจะต้องติดต่อมาถามพวกเหวินเจ๋อแน่ ถ้าติดต่อพวกเหวินเจ๋อไม่ได้ก็จะทำให้คนสงสัยได้ง่ายด้วยซ้ำ… 

เหมียวอี้พูดตัดบททันที  ข้าไม่สนว่าจะน่าสงสัยหรือไม่น่าสงสัย จุดประสงค์ของข้าก็คือควบคุมพวกเขาไว้ ไม่ให้พวกเขาทำเสียเรื่องในช่วงเวลาสำคัญ ใครจะไปรู้ว่าหลายปีมานี้พวกเขาได้สร้างเครือข่ายคนของตัวเองเพิ่มหรือเปล่า  พูดจบก็ยืนขึ้น แล้วบอกหยางเจาชิงว่า  แจ่งให้พวกเขามาพบข้าเดี๋ยวนี้ รีบสู้รีบจบ ข้าจะจัดการเอง! 

หัวหน้าภาคห้าคน สวีถังหราน ชีอู๋ หวงลี่ หนานกงหรูอวี้ ม่ายจื่อ แล้วก็ยังมีชิงเยว่ หลงซิ่น พวกเขามาพบก่อนล่วงหน้า

ห้าคนนี้ก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหมียวอี้โบกมือให้พวกเขายืนรออยู่ทางฝั่งซ้ายและขวา

ในตำหนักประชุมมีแสงสว่างจากโคมไฟ

เฟยหงสวมชุดคลุม ผมยาวปลิวตามสายลม ยืนอยู่บนตึกสูงและมองไปทางตำหนักใหญ่ พอเหมียวอี้ได้รับการติดต่อจากระฆังดารา ก็ลืมความอ่อนโยนของนางเดินออกไปแล้ว นางสังเกตได้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องขึ้น นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหลายวันมานี้เหมียวอี้ดูแปลกไป ไม่มีสมาธิจดจ่อกับการฝึกตนเลยสักนิด

เหวินเจ๋อและคนของกองทัพองครักษ์ที่ทยอยกันมาถึงก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติเช่นกัน พบว่าในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล นอกจากสมาชิกคนสำคัญก็มีแค่คนจากกองทัพองครักษ์อย่างพวกเขา นี่กำลังจะทำอะไรกันแน่?

มองเหมียวอี้ที่นั่งอยู่บนเบื้องสูง พบว่าสวมชุดคลุมและปล่อยผมยาวคลุมบ่า เห็นได้ชัดว่าเพิ่งลุกออกมาจากเตียง

 ผู้ตรวจการใหญ่ ไม่ทราบว่าเรียกรวมกลางดึกด้วยธุระอะไร?  เหวินเจ๋อกุมหมัดคารวะ โดยทั่วไปลูกน้องจะเรียกเหมียวอี้ตามยศที่สูงที่สุด

เหมียวอี้ไม่อ้อมค้อมเลย มองลงต่ำพร้อมกล่าวอย่างเย็นชาว่า  เพิ่งได้รับรายงานลับมา ด้านอกเกิดเรื่องนิดหน่อย ได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับพวกเจ้า พวกเจ้าจะอธิบายยังไง? 

พวกสวีถังหรานมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

พวกเหวินเจ๋องุนงง สบตากับคนทางซ้ายทางขวา ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว เหวินเจ๋อรีบถามว่า  ขออนุญาตถามผู้ตรวจการใหญ่ ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น? 

รองผู้สำเร็จราชการเหิงอู๋เต้าเดินออกมาจากตำหนักด้านหลัง มายืนตรงตีนบันไดเบื้องล่างเหมียวอี้ แล้วปรบมือสองครั้ง

จากนั้นสองฝั่งของตำหนักด้านหลังก็มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา นอกตำหนักใหญ่มีเสียงเกราะรบ มีกำลังพลพุ่งเข้ามาอีกกลุ่ม เรียกได้ว่าล้อมพวกเหวินเจ๋อเอาไว้แล้ว

พวกสวีถังหรานไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รีบหลีกทางให้ ให้พื้นที่แก่คนที่พุ่งเข้ามาล้อม พบว่าทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือของจวนกลยุทธ์ฟ้า

ทุกคนมองไปที่เหิงอู๋เต้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย อยากจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทว่าเหิงอู๋เต้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น อย่างไรเสียก็ปฏิบัติตามหน้าที่

พวกเหวินเจ๋อรีบหันหลังให้กันอย่างระวังตัว

 ผู้ตรวจการใหญ่ หมายความว่ายังไง? แม้จะทำให้พวกเราตาย แต่ก็ขอตายอย่างกระจ่างไม่ได้เหรอ?  เหวินเจ๋อถามเสียงดัง

เหมียวอี้บอกเพียงว่า  ไม่มีใครทำให้พวกเจ้าตายหรอก พอตรวจสอบแล้วก็ย่อมส่งให้ตำหนักสวรรค์ลงโทษ ขอความร่วมมือในการสอบสวน หรือจะแข็งขืน? 

เหวินเจ๋อกล่าวอย่างโมโหว่า  หากตั้งใจจะใส่ความ ก็หาข้ออ้างได้เสมอ จะดีจะร้ายข้าก็คือรองผู้สำเร็จราชการ เจ้าจะจับก็จับตามใจได้ยังไง พูดในกรณีเลวร้ายที่สุด อย่างน้อยก็ต้องให้พวกเรารู้ว่ากิดอะไรขึ้นไม่ใช่เหรอ? 

 ใครแข็งขืน ฆ่า จับตัวไว้!  เหมียวอี้สั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

กลุ่มคนถืออาวุธประชิดเข้ามาทันที กรูกันเข้ามา

ฝั่งกองทัพองครักษ์มีคนชูอาวุธต้องการจะขัดขืน แต่กลับถูกเหวินเจ๋อโบกมือห้ามไว้ ตะโกนบอกว่า  อย่าบุ่มบ่าม! 

ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้าขัดขืนก็เท่ากับพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาทรยศ อย่างไรเสียจวนกลยุทธ์ฟ้าก็มียอดฝีมือมากมายดุจเมฆ ถ้าสู้กันขึ้นมา ฝ่ายเขามีสิบกว่าคนก็รับมือไม่ไหว เป็นการรนหาที่ตายโดยแท้ ทางรอดเดียวก็คือยอมให้จับแต่โดยดี เขาไม่เชื่อหรอกว่าเหมียวอี้จะกล้าฆ่าพวกเขาโดยไร้เหตุผลจริงๆ แบบนั้นทางตำหนักสวรรค์จะไม่นิ่งดูดาย

ก็เป็นอย่างนี้ แทบจะยอมให้จับแต่โดยดี แต่ละคนถูกจับคาที่ ยึดของบนตัว เหวินเจ๋อเค้นเสียงตะโกนว่า  หนิวโหย่วเต๋อ นี่เจ้าจงใจใส่ความ ข้าจะฟ้องตำหนักสวรรค์! ข้าจะ…  ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกคนที่อยู่ข้างกายลงมือทำให้หุบปากแล้ว

 เลี้ยงสุราอาหารอย่างดี อย่าปฏิบัติต่อพวกเขาไม่ดี  เหมียวอี้โบกมือ  พาตัวไป! 

บนตึกของเรือนด้านใน มู่หรงซิงหัวที่สวมเกราะรบขึ้นไปบนนั้น เดินไปข้างกายเฟยหงอย่างช้าๆ

นางเองก็เพิ่งได้รับแจ้งจากหยางเจาชิง ว่าให้เพิ่มการป้องกันที่เรือนด้านใน ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เฟยหงเอียงหน้ามองนางแวบหนึ่ง จากนั้นความเคลื่อนไหวที่ตำหนักใหญ่ก็ดึงดูดความสนใจทั้งสอง เห็นเพียงพวกเหวินเจ๋อถูกพาตัวออกจากตำหนักใหญ่ไปแล้ว ถูกคุมตัวไปทางคุกใต้ดิน

ทั้งสองแอบตกใจ มองหน้ากันเลิกลั่ก เห็นได้ชัดว่าจับแต่คนของกองทัพองครักษ์ นี่นายท่านคิดจะทำอะไร คิดจะก่อกบฏเหรอ?

แต่จะว่าไปแล้วก็เป็นไปไม่ได้ อาศัยศักยภาพของเหมียวอี้ตอนนี้ ไม่มีคุณสมบัติที่จะก่อกบฏเลย

ส่วนเฟยหงก็สังเกตได้ตั้งนานแล้วว่าทางฝั่งเหมียวอี้กำลังจะเกิดเรื่องขึ้น ความเคลื่อนไหวตอนนี้พิสูจน์การคาดเดาของนางแล้วจริงๆ นางอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปถาม  ขุนพลมู่หรง นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น? 

มู่หรงซิงหัวส่ายหน้า คิดในใจว่า ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น

คลื่นลมในตำหนักประชุมซัดมาเร็วแล้วหายไปเร็ว หลังจากกำลังพลที่โดนจับถอยออกไปหมดแล้ว พวกสวีถังหรานก็หวาดระแวงกลัว เรื่องเมื่อครู่นี้ทำให้พวกเขาตกใจจริงๆ เกือบนึกว่านายท่านจะลงมือกับพวกเขาแล้ว ตอนนี้แต่ละคนเดินไปตรงกลางตำหนักอย่างช้าๆ มองเหมียวอี้อย่างหวาดระแวง ในใจทุกคนกำลังเดาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่มีเค้าลางอะไรเลยสักนิด

หยางชิ่งที่หลบอยู่ในห้องเล็กของตำหนักด้านข้างทำสีหน้าตะลึงงัน เขานับว่าสัมผัสได้อย่างแท้จริงแล้วว่าตัวเองกับเหมียวอี้แตกต่างกันตรงไหน รองผู้สำเร็จราชการผู้น่าเกรงขาม ไม่มีแม้แต่ข้อหาความผิดที่เหมาะสมด้วยซ้ำ แค่อ้างเหตุผลที่เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่ บทจะจับก็จับไปเลย ป่าเถื่อนเรียบง่าย รวดเร็วฉับไวสุดๆ แก้ปัญหาได้อย่างนี้แล้ว แล้วต่อไปจะชี้แจงต่อตำหนักสวรรค์อย่างไรล่ะ?

 นายท่าน เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว?  สวีถังหรานรวบรวมความกล้าเอ่ยถาม

เหมียวอี้ชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้สนใจเขา กล่าวเรียกอีกคน  ม่ายจื่อ! 

ม่ายจื่อก้าวออกมากุมหมัดคารวะด้วยเสียงดัง  ค่ะ! 

 นำทัพหนึ่งล้านเข้าไปที่ตลาดผีอย่างลับๆ เดี๋ยวนี้ ล้อมตึกศาลาสัตยพรตเอาไว้ แล้วคอยฟังคำสั่ง!  เหมียวอี้สั่ง

 รับทราบ!  ม่ายจื่อเอ่ยรับ

 หนานกงหรูอวี้!  เหมียวอี้เรียกอีก

หนานกงหรูอวี้กุมหมัดคารวะ  ค่ะ! 

เหมียวอี้สั่งว่า  นำทัพใหญ่ห้าล้านไปดักซุ่มบริเวณตลาดผีเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งก็อย่าเคลื่อนไหว! 

 รับทราบ!  หนานกงหรูอวี้เอ่ยรับคำสั่ง

เหมียวอี้โบกมือ  เอาตามนี้แล้วกัน คนอื่นไปพักเถอะ 

 รับทราบ!  ทุกคนกุมหมัดคารวะ เพียงแต่ในใจอดไม่ได้ที่จะสงสัย กำลังจะเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมต้องเลือกผู้หญิงสองคนนี้?

พวกเขาทยอยกันถอยออกมา สวีถังหรานกลับชักช้าไม่ไปไหน เหมือนไม่อยากไป ที่จริงเป็นเพราะเรื่องวันนี้มีลับลมคมในเกินไป ที่สำคัญที่สุดก็คือ เหมือนจะไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับเขา รู้สึกว่าตัวเองไม่น่าเชื่อถือมากพอ ทำให้เขายอมรับสิ่งนี้ได้ยากมาก รู้สึกไม่สงบใจนิดหน่อย

เขาอาศัยอะไรเพื่อขึ้นตำแหน่งล่ะ? ก็อาศัยความเชื่อใจจากเหมียวอี้นี่แหละ ดังนั้นเขาจึงแข็งใจบอกว่า นายท่าน… 

เขาอยากจะของานทำ จะลำบากจะเหน็ดเหนื่อยหรือเสี่ยงอันตรายแค่ไหนก็เต็มใจ ตอนนี้ต่อให้เขาไปสู้ตาย เขาก็จะตบอกรับคำอย่างไม่ลังเล แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะมองเขาอย่างเย็นเยียบ แล้วพูดตัดบท  ให้เจ้ากลับไปพักผ่อน ไม่ได้ยินหรอ? 

………………

 

เพียงแต่ไม่นานก็เริ่มรู้สึกเครียดอีก แล้วก็พลันตระหนักได้ถึงปัญหาอย่างหนึ่ง นั่นก็คือถ้าให้คนของตระกูลเซี่ยโห้วรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อลงมือ เกรงว่าทุกคนของตระกูลเซี่ยโห้วต้องสงสัยแน่ว่าเกี่ยวข้องกับเขา บางอย่างทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ ถึงตอนนั้นคงนั่งตำแหน่งหัวหน้าตระกูลไม่ได้ง่ายๆ ถ้าเขาขึ้นนั่งตำแหน่งนั้นไม่ได้ โดนคนอื่นแย่งไป เขาก็เป็นแค่คนหนึ่งที่สังหารหัวหน้าตระกูล ใครจะวางใจเขาได้ล่ะ?

เขารีบถามผ่านระฆังดาราในมือ : เจ้าไม่ได้เผยพิรุธอะไรใช่มั้ย?

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ความสัมพันธ์ลับระหว่างสองฝ่ายแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดอีก คนอื่นไม่รู้เช่นกัน

เหมียวอี้ : เถ้าแก่วางใจ ไม่ได้เผยพิรุธ ข้าไม่จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัว

เฉาหม่านจะวางใจง่ายๆ ได้อย่างไร เรื่องนี้ถ้าพูดให้ดูเป็นเรื่องเล็กก็คือวางแผนทำร้ายหัวหน้าตระกูล ถ้าพูดให้เป็นเรื่องใหญ่ก็คือใส่ข้อหาทรยศตระกูลได้เลย หนอนบ่นไส้ของตระกูล ทุกคนล้วนสามารถฆ่าเขาได้ ถามอย่างไม่วางใจว่า : องครักษ์ของหัวหน้าตระกูลก็ไม่ธรรมดา ข้างกายเขามียอดฝีมือมากมาย เจ้าแน่ใจได้ยังไงว่าไม่ได้เผยพิรุธ?

เหมียวอี้แอบรู้สึกขำ ดูท่าแล้วเจ้าหมอนี่คงไม่ได้เครียดธรรมดา เขาตอบว่า : ข้าไม่จำเป็นต้องเผยพิรุธอะไร เขาฆ่าตัวตายเอง

เฉาหม่านระแวงสงสัย : ฆ่าตัวตาย? จะฆ่าตัวตายได้ยังไง!

เหมียวอี้ : ก็ไม่มีอะไร แค่พระปีศาจหนานโปบังเอิญรู้เส้นทางของเขาก็เท่านั้น จากนั้นก็ฆ่าตัวตาย ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าทั้งนั้น

เฉาหม่านงุนงง จากนั้นก็วางใจแล้วจริงๆ ในใจก็เริ่มด่าเช่นกัน ไม่เกี่ยวกับเจ้าก็แปลกแล้ว เจ้ากล้าบอกใยว่าเจ้าไม่ได้ปล่อยข่าวเรื่องเส้นทางให้พระปีศาจรู้?

แต่ตำหนิตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ทุกคนล้วนไม่ใช่เด็กสามขวบ พูดต่อไปว่า : ศพอยู่ในมือเจ้าเหรอ?

เหมียวอี้ : ข้าจะเอาศพไปทำอะไร? ศพอยู่ในมือผู้ติดตามคุ้มกัน

เฉาหม่านเงียบไป เขายังไม่ได้รับแจ้งจากตระกูล สงสัยจะปิดข่าวแล้ว ตัวเองก็ไม่สะดวกจะไปถามเรื่องนี้ เพียงรอแจ้งข่าวเท่านั้น เขาครุ่นคิดนิดหน่อย แล้วบอกว่า : ถ้าเป็นเรื่องจริง ไม่ว่าจะล้างแค้นเพื่อหัวหน้าตระกูลหรือไม่ ก้าวต่อไปตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องใช้กำลังทั้งหมดเพื่อกำจัดพระปีศาจแน่ บัวโลหิตต้นนั้นเจ้าจะให้คนอื่นของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ เข้าใจมั้ย?

เหมียวอี้ย่อมเข้าใจเขาอยู่แล้ว ตามหลักแล้วไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์หรือความอาวุโส เฉาหม่านล้วนสอดคล้องกับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนต่อไป ถ้าบัวโลหิตตกอยู่ในมือคนอื่นของตระกูลเซี่ยโห้ว ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ถ้าเฉาหม่านรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลต่อ ก็ต้องพยายามสร้างผลงานเพื่อคุมคนให้ได้โดยเร็วที่สุด ถ้าเขาควบคุมบัวโลหิตได้และบอกว่ามีวิธีล่อพระปีศาจออกมา คนของตระกูลเซี่ยโห้วก็จะต้องฟังความเห็นของเขาแน่นอน ถ้าใช้บัวโลหิตเป็นเหยื่อล่อพระปีศาจ เฉาหม่านก็สามารถกำจัดภัยแฝงที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลเซี่ยโห้วได้ นี่ก็คือคุณูปการที่ใหญ่ที่สุดของทั้งตระกูลเซี่ยโห้ว!

เหมียวอี้ : วางใจเถอะ ข้าก็แค่ร่วมงานกับเถ้าแก่! แต่ก็จะให้ข้าทำงานให้เปล่าๆ ไม่ได้หรอกใช่มั้ย? เถ้าแก่ก็ต้องเข้าใจข้าเหมือนกัน ทุกคนล้วนต้องยื่นหมูยื่นแมวถึงจะสอดคล้องกับการร่วมงานกัน!

ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉาหม่านล้วนรู้เรื่องนี้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว เฉาหม่านย่อมเดาออกว่าเขาต้องการอะไร หนิวโหย่วเต๋อที่ถึงขั้นเสี่ยงอันตรายมากขนาดนี้เพื่อเขา ให้ของธรรมดาแล้วจะไล่กลับไปได้เหรอ? เขาตอบว่า : ดูสถานการณ์ตอนหลังก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าข้ายังไม่มีอำนาจในการพูด ต่อให้อยากช่วยก็ไร้ความสามารถ ตอนนี้พูดมากไปก็ล้วนสิ้นเปลือง!

จุดนี้เหมียวอี้เข้าใจได้ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เฉาหม่านไม่อาจทำทุกอย่างที่พูดได้ตามใจตัวเอง ถ้ายังยืนยันไม่ได้ว่าเซี่ยโห้วลิ่งตายแล้ว เขาก็ไม่กล้ากระโดดออกมา

เหมียวอี้ : ก็ได้ หนิวจะรอฟังข่าวดีจากเถ้าแก่เงียบๆ! เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่ต้องเตือนเถ้าแก่ไว้ ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้เว่ยซูจะไม่ได้มาด้วย คงไม่ต้องให้ข้าบอกว่าเว่ยซูมีความสำคัญยังไงที่ตระกูลเซี่ยโห้ว เถ้าแก่ระวังไว้ให้มาก!

ผลปรากฏว่าหลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว เฉาหม่านก็รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนทั้งร่างกาย ตัวชาแล้ว

เขารู้ว่าเหมียวอี้มีเป้าหมายใหญ่โต ไม่น่าจะเอาเรื่องแบบนี้มาโกหกเขา ความรู้สึกเฝ้าคอยยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

แต่ในตอนนี้เขาดันทำอะไรไม่ได้ ต่อให้อยากทำก็ทำไม่ได้ ไม่สามารถเปิดเผยเจตนาใดๆ ได้ สิ่งที่ควรเตรียมก็แอบเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้านี้เตรียมตัวเผื่อผิดพลาดล่วงหน้า ตอนนี้ทำได้แค่รอ รอให้ให้ข่าวการตายของเซี่ยโห้วลิ่งส่งมา

เขาเข้าใจสิ่งนี้ชัดเจน ข่าวการตายของเซี่ยโห้วลิ่ง ต่อให้ปิดข่าวอย่างไรแต่ก็ปิดบังคนคุมเรือแต่ละสายอย่างพวกเขาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นบรรดาพี่น้องที่ไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนก็จะเสียการควบคุม อย่างที่หนิวโหย่วเต๋อบอก ตอนนี้เว่ยซูมีความสำคัญมาก เว่ยซูคือบุคคลที่บิดากำหนดให้เป็นผู้ช่วยของหัวหน้าตระกูล กอปรกับบารมีความน่าเชื่อถือที่สะสมมา ถ้าเว่ยซูยืนอยู่ข้างกายใคร คนนั้นก็จะเป็นแพะจ่าฝูงของตระกูลเซี่ยโห้วในภายหลัง หนิวโหย่วเต๋อเตือนให้ระวังก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ทว่านี่คือการคิดมากเกินไป เป็นเพราะหนิวโหย่วเต๋อไม่รู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วยังมีสมาคมอาวุโสอยู่ เว่ยซูไม่อาจเลือกฝ่ายได้ซี้ซั้วตามความชอบของตัวเอง จะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้วก่อน เฉาหม่านคือตัวเลือกแรก!

ส่วนเรื่องการตายของเซี่ยโห้วลิ่ง เขาไม่ได้รู้สึกโศกเศร้าใดๆ คนหนึ่งที่ต้องการจะฆ่าเขา จะมีไมตรีระหว่างพี่น้องอะไรให้พูดถึง ในใจเขาเคียดแค้นด้วยซ้ำ จะเอาความเศร้าโศกมาจากไหน มีแต่จะตื่นเต้นดีใจ

วันต่อมา เฉาหม่านกำลังนั่งขัดสมาธิเงียบๆ อยู่ในความมืด เสียงเคาะประตูของชีเจวี๋ยดังขึ้น  เถ้าแก่! 

 เข้ามา!  เฉาหม่านบอกแล้วก็ได้ยินเสียงประตูเปิด พอได้ยินเสียงฝีเท้าคนสองคน เขาก็ลืมตาทันที เห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินตามชีเจวี๋ยเข้ามา เห็นได้ชัดว่าใส่หน้ากากปลอมตัว อีกทั้งท่าทีของชีเจวี๋ยก็ดูเคารพคนคนนี้มาก

เฉาหม่านหรี่ตาจ้องผู้ที่มา คนที่ชีเจวี๋ยสามารถพาเข้ามาโดยไม่ต้องบอกก่อนมีน้อยจนนับนิ้วได้

ผู้ที่มาเอียงหน้าบอกใบ้ชีเจวี๋ย ชีเจวี๋ยมองเฉาหม่านแวบหนึ่ง ไม่กล้าแสดงปฏิกิริยาอะไร เพียงถอยออกไปเงียบๆ แล้วปิดประตูให้

ผู้ที่มาดึงหน้ากากลง เผบใบหน้าที่คุ้นเคย ถ้าไม่ใช่เว่ยซูแล้วจะเป็นใครไปได้อีก

 บ่าวคำนับคุณชายสาม!  เว่ยซูก้าวขึ้นมาสองสามก้าว แล้วโค้งตัวทำความเคารพ

ชั่วพริบตานี้ เฉาหม่านราวกับได้ยกหินก้อนใหญ่ออกจากอก ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจนั้นยากจะบรรยายออกมาได้ เพียงแต่พยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้ รีบลงจากเตียงมาทำความเคารพตอบ กุมหมัดคารวะด้วยสีหน้าตกตะลึง  พ่อบ้านเว่ย มาได้ยังไง? หัวหน้าตระกูลมีอะไรจะกำชับ? 

เว่ยซูยืนตรงและเงยหน้าขึ้น น้ำตาไหลอาบใบหน้าแล้ว

ในใจเฉาหม่านดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ภายนอกกลับถามเหมือนตกใจ  พ่อบ้านเว่ย ท่านเป็นอะไรไป? 

 คุณชายสาม หัวหน้าตระกูล…หัวหน้าตระกูลถูกแทงเสียชีวิตแล้ว!  เว่ยซูตอบเสียงสะอื้น

 หา…  เฉาหม่านทำท่าตกใจจนถอยหลังหลายก้าว ถอยไปชนขอบเตียงแล้วถึงได้หยุด อุทานเสียงหลงว่า  จะเป็นไปได้ยังไง? 

เว่ยซูจ้องเขาพักหนึ่งด้วยดวงตาที่พร่าเลือนเพราะน้ำตา แล้วยกแขนเสื้อปากน้ำตาส่ายหน้า

เฉาหม่านรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้าอีก ใช้สองมือจับมือเว่ยซูไว้ แล้วถามอย่างร้อนใจ  พ่อบ้านเว่ย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? 

เว่ยซูกล่าวเสียงสะอื้น  เมื่อวานหัวหน้าตระกูลไปเยี่ยมเยียนหนิวโหย่วเต๋อที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ผลปรากฏว่าออกจากแดนรัตติกาลได้ไม่นานก็ถูกแทงแล้ว! 

เฉาหม่านหรี่ตา หัวใจกระตุกวูบ แต่ภายนอกกลับถามเหมือนตกใจ  เป็นฝีมือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? 

เว่ยซูส่ายหน้า  คงจะเป็นพระปีศาจหนานโปลงมือสังหาร…  เขาเล่าสถานการณ์ที่รู้มาจากองครักษ์ให้ฟังโดยละเอียด

พอฟังจบแล้วไม่เห็นว่าเกี่ยวข้องอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อ เฉาหม่านก็โล่งอก แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวอย่างแค้นใจ  พระปีศาจ ข้าสาบานว่าจะฆ่าเจ้าคนชั่วนี่! 

เว่ยซูพยักหน้า แล้วกุมหมัดคารวะ  คุณชายสามพูดไม่ผิด พระปีศาจคือปัญหาใหญ่ของตระกูลเซี่ยโห้ว คุณชายสามควรรวบรวมพี่น้องมาสังหารเจ้าคนชั่วนี่! 

 เอ่อ…  เฉาหม่านลังเลนิดหน่อย บอกว่า  ไม่ว่าจะเพื่อตระกูลเซี่ยโห้ว หรือเพื่อกำจัดเจ้าคนชั่วนั่น ก็ล้วนเป็นเรื่องที่สมควร แต่ข้าไม่มีสัทธิ์เรียกรวมพี่น้อง เรื่องนี้เกรงว่าคงต้องให้พ่อบ้านเว่ยออกหน้า!  พูดจบก็ถอยหลังสองก้าว แล้วกุมหมัดคารวะ  ข้ายินดีฟังคำสั่งพ่อบ้าน! 

เว่ยซูถอนหายใจ  บ่าวเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น จะทำเรื่องนี้ได้ยังไง คุณชายสาม มังกรมิอาจไร้หัว ทหารไร้แม่ทัพก็วุ่นวาย ในเวลานี้ตระกูลเซี่ยโห้วจะวุ่นวายไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์หรือความอวุโส คุณชายสามก็สมควรออกหน้า ถ้าเปลี่ยนเป็นคุณชายคนอื่น ถ้าทุกคนไม่ยอมเชื่อฟังก็อาจเกิดความขัดแย้งได้! คุณชายสาม อย่างน้อยก็เพื่อคำนึงถึงตระกูลเซี่ยโห้ว นี่ไม่ใช่เวลามาปฏิเสธแล้ว!  พูดจบก็ประสานมือโค้งกายคารวะค้างไว้

เฉาหม่านส่ายหน้า ถามหยั่งเชิงว่า  เรื่องนี้ควรให้สมาคมอาวุโสตัดสินใจ ทำไมพ่อบ้านเว่ยไม่ติดต่อสมาคมอาวุโส? 

เว่ยซูตอบอย่างจริงใจว่า  สมาคมอาวุโสทราบเรื่องนี้แล้ว เป็นสมาคมอาวุโสที่ให้บ่าวมาหาคุณชายสาม 

เฉาหม่านราวกับมีคลื่นกระทบใจ แต่ยังสำรวมท่าทีไว้  นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ พ่อบ้านเว่ยช่วยเป็นตัวแทนแนะนำได้หรือไม่ ให้ข้าปรึกษากับสมาคมอาวุโสสักหน่อย?  เขาอยากจะฉวยโอกาสนี้สืบก้นบึ้งของสมาคมอาวุโส ควบคุมสมาคมอาวุโสเอาไว้

เว่ยซูกล่าวอย่างลำบากใจว่า  ไม่ผิดบังคุณชายสาม บ่าวก็แค่ได้รับคำสั่งจากสมาคมอาวุโสให้มาหาคุณชายสาม บ่าวติดต่อสมาคมอาวุโสไม่ได้เลย ไม่รู้ด้วยว่าสมาคมอาวุโสอยู่ที่ไหน ทางสมาคมอาวุโสบอกไว้แล้ว ว่ารอให้โอกาสมาถึง ก็ย่อมติดต่อกับคุณชายสามเอง! 

พูดถึงขั้นนี้แล้ว เฉาหม่านก็ไม่อาจตอบรับง่ายๆ เช่นกัน ต่อให้ต้องเล่นตัว แต่ก็ต้องตีหน้าซื่อปฏิเสธต่อไป สุดท้ายภายใต้การโน้มน้ามซ้ำๆ ของเว่ยซู เฉาหม่านถึงได้ตอบรับเหมือนฝืนใจ

ปรึกษาเรื่องกำจัดพระปีศาจอีกนิดหน่อย แล้วก็ถามอีกว่าจะทำอย่างไรกับทางจวนท่านปู่สวรรค์ จากนั้นเฉาหม่านก็ให้ชีเจวี๋ยพาเว่ยซูไปพักผ่อนก่อน ส่วนตัวเองก็เดินไปเดินมาอยู่ในความมืด ใช้เวลานานกว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ รสชาติการเปลี่ยนแปลงในเวลาสองวันนี้น่าตื่นตกใจกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก ตอนนี้ในที่สุดเว่ยซูก็มายืนอยู่ข้างกายเขาแล้ว ภาพรวมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้ว!

หลังจากใจเย็นลงแล้ว เฉาหม่านก็เรียกชีเจวี๋ยมา แล้วแอบกำชับให้จับตาดูเว่ยซูไว้ ถ้าเขาไม่อนุญาตก็ห้ามปล่อยเว่ยซูออกไป!

มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่ยอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ต้องรอให้เขายืนยันตำแหน่งในตระกูลให้ได้ก่อน ถึงจะให้อิสระแก่เว่ยซูได้

จากนั้นก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหาเหมียวอี้อีก สามารถดำเนินการตามแผนของเหมียวอี้ได้แล้ว

จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้ผลักร่างเปลือยอันงดงามของเฟยหงที่นอนกอดเขาออกไป แล้วลุกขึ้นจากความอ่อนโยนของสตรี จากนั้นใส่เสื้อผ้าอย่างง่ายๆ ใส่ชุดคลุมแล้วเดินปล่อยผมออกนอกประตูมารับแสงจันทร์ มานั่งอยู่ในโถงหลักคนเดียว เหยียนซิวโผล่มายืนเงียบๆ อยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

ผ่านไปครู่เดียว หยางเจาชิงกับหยางชิ่งก็ทยอยกันมาถึง

เหมียวอี้โบกมือให้ทั้งสองไม่ต้องมากพิธีรีตอง นั่งตัวตรงแล้วบอกว่า  เว่ยซูมาถึงตึกศาลาสัตยพรตแล้ว ยืนอยู่ข้างกายเฉาหม่าน 

หยางชิ่งพยักหน้าเล็กน้อย  ก่อนหน้านี้สงสัยเว่ยซูคนนี้ ตอนนี้เว่ยซูมายืนอยู่ฝ่ายเฉาหม่านอย่างไม่ลังเล ดูท่าเซี่ยโห้วลิ่งคงจะถูกทิ้งแล้วจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าสมาคมอาวุโสที่ลึกลับนั่นแสดงบทบาทมากขนาดไหน 

เหมียวอี้จอบว่า  บัวโลหิตอยู่ในมือข้า ไม่สนใจเขาแล้ว! ตอนนี้เฉาหม่านอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาด เขาเองก็กลัวว่าจะมีคนมาชุบมือเปิบ ถ่ายทอดคำสั่งข้าไป แอบระดมทัพเกรียงไกรหนึ่งล้านเข้ามาประจำที่ตลาดผีเดี๋ยวนี้ ถ้าตึกศาลาสัตยพรตเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ไปสนับสนุนทันที แล้วค่อยระดมทัพห้าล้านไปดักซุ่มที่เขาภูตพเนจร เตรียมไว้สนับสนุน! เหวินเจ๋อ…กันคนจากกองทัพองครักษ์ให้ข้าด้วย อย่าให้พวกเขารู้ข่าว ถ้าจำเป็น ฆ่าได้! 

………………

 

เซี่ยโห้วท่าเม้มริมฝีปากแน่น เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า  เรื่องนี้เท่ากับพิสูจน์แล้วว่าพระปีศาจไปขอบัวโลหิตจากหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อสามารถติดต่อพระปีศาจได้โดยตรง ไม่อย่างนั้นพระปีศาจไม่มีทางดักซุ่มลงมือได้ทันเวลา! 

 สักวันหนึ่งจะต้องบดขยี้ร่างหนิวโหย่วเต๋อเป็นหมื่นชิ้น!  เว่ยซูกล่าวอย่างเคียดแค้น

 ลูกชายข้าจะตายเปล่าได้ยังไง! เรื่องล้างแค้นต้องเกิดขึ้นในสักวันหนึ่งอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนี้ ต้องควบคุมข่าวทันที อย่าให้ข่าวแพร่ออกไปจนคนทั้งใต้หล้ารู้กันหมด ไม่อย่างนั้นตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะวุ่นวายได้!  เซี่ยโห้วท่ากล่าวด้วยสายตาเยียบเย็น

เว่ยซูยกแขนเสื้อปาดน้ำตา  กำชับลงไปแล้วขอรับ 

ในฐานะพ่อบ้าน เขาไม่ถึงขั้นทำเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ได้ไม่ดี ในเมื่อเซี่ยโห้วท่าให้เขาเข้าใจเจตนาแล้ว เขาก็คือผู้ลงมือทำที่ดีที่สุด ไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ออกคำสั่งให้ปิดข่าวในทันที

เซี่ยโห้วท่ายืนอยู่บนหัวเรือที่โคลงเคลงเล็กน้อย จ้องเข้าพักหนึ่งแล้วถอนหายใจ  ตอนนี้เจ้ากลับไปได้แล้ว ไปหาเจ้าสามเถอะ เมื่อเจ้าไปถึงข้างกายเจ้าสามแล้ว คนอื่นย่อมรู้ว่าหมายความว่าอะไร บอกเจ้าสาม ว่าจำกัดข่าวการตายของเจ้ารองไว้แค่ระดับพี่น้องพี่ควบคุมสายต่างๆ พอ อย่าเพิ่งกระจายข่าว…ช่างเถอะ เรื่องนี้เจ้าสามรู้อยู่แล้วว่าควรทำยังไง ไม่ต้องให้เจ้ากำชับ 

 ขอรับ!  เว่ยซูข่มความเศร้าโศกเอาไว้ ออกมาจากห้องโดยสารเรือ  แล้วที่จวนท่านปู่สวรรค์จะทำยังไง? ตลาดสวรรค์ที่คุณชายรองดูแลจะทำยังไงขอรับ? 

เซี่ยโห้วท่ากลับมาสุขุมเยือกเย็นเร็วมาก ลูบเคราพร้อมบอกว่า  สองที่นั้นส่งต่อให้คนที่อยู่ในที่แจ้งก็พอ ตอนนี้เจ้าสามยังแสดงตัวอย่างเป็นทางการไม่ได้ ไม่อย่างนั้นทั้งใต้กล้าจะรู้หมดว่าตระกูลเซี่ยโห้วเกิดการเปลี่ยนแปลง จะทำให้พวกประมุขชิงคิดไม่ซื่อได้ง่าย จะดึงดูดความสนใจพระปีศาจไปที่ตัวเจ้าสามได้ง่ายด้วย ตอนนี้ให้เจ้าสามแอบรวบรวมกำลังดำเนินการทุกอย่างชั่วคราว ข้ายังยืนยันคำเดิม ทำงานในที่ลับเลี่ยงอันตรายได้ง่ายกว่าทำงานในที่แจ้ง ทางจวนท่านปู่สวรรค์กับตลาดสวรรค์ เจ้าปรับตัวได้ดีกว่าเจ้ารอง ถ้าเจ้าออกหน้าก็สามารถคุมได้ ไม่มีใครกล้าไม่เชื่อฟังเจ้า เจ้าแอบควบคุมดูแลชั่วคราวก็พอ รอให้แก้ไขเรื่องพระปีศาจได้แล้ว ค่อยพิจารณาเรื่องพวกนี้อีกที ไปเถอะ! 

 ขอรับ! บ่าวขอตัว!  เว่ยซูกุมหมัดคารวะแล้วถอยออกไป โค้งตัวทำความเคารพนานมาก จากนั้นถึงได้เหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากมองคล้อยหลังเขาหายไป เซี่ยโห้วท่าก็ราวกับแก่ลงหมื่นปี นั่งทรุดลงบนหัวเรือ น้ำตาไหลอาบใบหน้าชรา ร้องไห้สะอึกสะอื้น…

ราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เหยียนซิวยังมีท่าทางเหมือนเดิม ก้าวเข้าไปในจวนผู้สำเร็จราชการอย่างมั่นคงหันกแน่น

หยางชิ่งกับหยางเจาชิงเดินไปเดินมาอยู่นอกเรือนด้านใน พอเห็นเขากลับมาแล้ว ก็หยุดยืนมองเขาทันที

 เป็นยังไงบ้าง? 

 เป็นยังไงบ้าง? 

ทั้งสองถามเหยียนซิวเป็นเสียงเดียวกัน

แต่ใครจะคิดว่าเหยียนซิวจะมองทั้งสองอย่างเย็นชาเท่านั้น ไม่มีปฏิกิริยาอะไรสักนิด ไม่ตอบอะไร ไม่บอกผลลัพธ์อะไร เดินผ่ากลางทั้งสองไป เข้าไปที่เรือนด้านในโดยตรง

ตอนนี้นิสัยของเขาชอบสันโดษเอาแต่ใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจวนผู้สำเร็จราชการ นอกจากเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวแล้ว เขาก็ไม่ฟังใครทั้งนั้น นอกจากเหมียวอี้กับฮูหยินก็ไม่มีใครออกคำสั่งกับเขาได้ ก็แค่ไม่ไว้หน้าอย่างนี้ ใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้

หยางชิ่งกับหยางเจาชิงเก้อเขิน สบตากันอย่างพูดไม่ออก

ท่ามกลางทหารยามที่อยู่ไม่ไกลมีคนชำเลืองมองหยางชิ่งแวบหนึ่ง พบว่าคนคนนี้สวมหน้ากากเป็นเวลานาน ไม่เผยโฉมหน้าที่แท้จริง แต่ดูแล้วไม่เหมือนลูกน้องของพ่อบ้านหยาง

ในห้องอาบน้ำ เหมียวอี้ที่เปลือยกายแช่อยู่ในอ่างน้ำกำลังนอนพิงอ่านอาบน้ำ ข้างกายวางสุราเลิศรสไว้ให้เขาค่อยๆ ลิ้มรส

เฟยหงก็เปลือยกายอยู่ในน้ำเช่นกัน นางกำลังบิดกายขาวดุจหิมะที่ทำให้คนเห็นแล้วเลือดลมสูบฉีด ขัดตัวอาบน้ำให้เหมียวอี้ด้วยแรงที่พอดี สีหน้าท่าทางเกียจคร้านอยู่บ้าง นางยังไม่ฟื้นตัวจากความสุขสมอันดุเดือดถึงอกถึงใจก่อนหน้านี้ มองเหมียวอี้ด้วยตาเยิ้มเป็นระยะ ออดอ้อนออเซาะเป็นพิเศษ

นางรู้สึกได้ว่าก่อนหน้านี้เหมียวอี้ระบายอารมณ์กับร่างกายนางอย่างบ้าคลั่ง ไม่ทะนุถนอมสาวงามเลยสักนิด แต่ถึงอย่างไรนางก็อยู่กับเหมียวอี้มาหลายปี พอจะรู้จักนิสัยอารมณ์ของเหมียวอี้อยู่บ้าง ตามการสันนิษฐานของนาง ทุกครั้งที่เหมียวอี้ระเบิดอารมณ์อย่างนี้ คือช่วงเวลาที่เขาน่าจะแบกรับความกดดันมหาศาล

แม้นางจะเป็นนักพรต แต่กลับเป็นแบบฉบับของสตรีที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ไม่เข้าใจเรื่องลมคาวฝนเลือดข้างนอก ตอนนี้ข้างนอกเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ นางเองก็มองไม่ออกว่าเหมียวอี้กดดันจากเรื่องไหน มีเรื่องมากมายที่นางไม่เข้าใจ และมองไม่กระจ่างเช่นกัน แต่นางก็รู้ ว่าทุกครั้งนี้เหมียวอี้เป็นแบบนี้ ก็แสดงว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ในใจกำลังสงสัยว่ากำลังจะเกิดเรื่องอะไร

ส่วนเหมียวอี้ในตอนนี้ก็กำลังจิบสุราอย่างเอื่อยเฉื่อย เห็นได้ชัดว่าใจลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร นางทำได้เพียงพยายามอ่อนโยนกับเต็มที่

ตรงประตูห้องอาบน้ำมีเสียงฝีเท้าเบาๆ สาวใช้คนหนึ่งเดินมาถึงหลังม่าน พอชำเลืองเงาคนสองคนที่อยู่ในน้ำผ่านม่านบาง นางก็หน้าแดงทันทิก้มหน้ารายงานว่า  นายท่าน เหยียนซิวขอพบค่ะ 

เหมียวอี้ตาเป็นประกาย ได้สติกลับมาทันที วางสุราไว้บนขอบอ่างแล้ว

เฟยหงรีบลุกขึ้นจากอ่าง นำชุดคลุมมาคลุมไว้บนร่างตัวเอง แล้วรีบหยิบชุดคลุมของเหมียวอี้มาไว้ในมือ

จากนั้นร่างเปลือยของเหมียวอี้ก็ลุกออกจากน้ำ ลุกขึ้นจากน้ำตัวเปล่าอย่างไม่เกรงกลัวอะไร หน้าอกที่มีกล้ามแน่น ร่างกายที่แข็งแรงทรงพลัง ทำให้เฟยหงแอบกัดปากอย่างเขินอาย

เหมียวอี้กางแขนสองข้าง ละอองน้ำบนร่างกายกลายเป็นหมอกหายไปในชั่วพริบตาเดียว หันตัวกลับมาสวมแขนเสื้อที่เฟยหงกางให้อย่างเป็นธรรมชาติ คุ้นเคยกับการถูกปรนนิบัติตั้งนานแล้ว ลักษณะอันน่าเกรงขามที่เผยออกมาโดยไม่รู้ตัวเข้ากับฐานะเจ้าอาณาเขตของเขาจริงๆ อยู่เหนือผู้อื่นมาแสนนาน!

หลังจากมองคล้อยหลังเหมียวอี้เดินออกไป เฟยหงถึงได้ตะโกนเรียกให้สาวใช้มาช่วยตัวเองใส่เสื้อผ้า

สำหรับเรื่องการปรนนิบัติเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวออกคำสั่งไว้แล้ว ว่านอกจากผู้หญิงไม่กี่คนที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ นางก็ไม่ให้ผู้หญิงคนอื่นแตะต้องเหมียวอี้เลย มาดูเหมียวอี้อาบน้ำก็ไม่ได้ นางกล้าหาญที่จะออกคำสั่งอย่างนี้! เหมียวอี้รู้สึกว่าไร้เหตุผล แต่เฟยหงและอนุภรรยาคนอื่นกลับยืนฝ่ายอวิ๋นจือชิว รู้สึกว่าฮูหยินปราดเปรื่องไร้ที่เปรียบ ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเชื่อฟังฮูหยิน

เหยียนซิวในตอนนี้เหมือนจะไม่คุ้นชินกับการทำความเคารพแล้ว พอเหมียวอี้เดินก้าวยาวออกมาจากห้องอาบน้ำ เขาก็แค่มาเดินอยู่ข้างหลังเหมียวอี้เงียบๆ

เหมียวอี้เหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง คาดว่าเรื่องนี้คงสำเร็จแล้ว ทั้งยังราบรื่นมากด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงติดต่อมาก่อนหน้านี้แล้ว คงไม่กลับมาเงียบๆ อย่างนี้

 ไป๋เฟิ่งหวงล่ะ?  เหมียวอี้ที่เดินเหมือนพยัคฆ์มังกรถ่ายทอดเสียงถาม บนตัวยังมีกลิ่นหอมหลังจากอาบน้ำ

 นางบอกว่าทำเรื่องที่ท่านสั่งเรียบร้อยแล้ว ไม่ยอมมาพบนายท่าน หนีไปแล้ว  เหยียนซิวตอบ

มีสองคนอ้อมออกมาจากสวนดอกไม้ พอเห็นทั้งสองรออยู่ในศาลา เหมียวอี้ก็เข้ามานั่งในศาลา ถามหยางเจาชิงกับหยางชิ่งแบบต่อหน้าว่า  เรื่องเป็นยังไงบ้าง? 

 แก้ไขปัญหาอย่างราบรื่นขอรับ  เหยียนซิวกล่าว

 เห็นกับตาว่าเซี่ยโห้วลิ่งตายแล้ว?  หยางชิ่งถาม

เหยียนซิวตอบว่า  เปล่า ข้างกายเขามียอดฝีมือเยอะเกินไป ไม่กล้าเข้าใกล้ เข้าใกล้ไม่ได้เช่นกัน แต่สามารถแน่ใจได้ว่าเขาตายแล้ว แต่ข้ารู้สึกได้ว่าตอนเกิดเรื่องข้าควบคุมเขาไม่ได้ นี่คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากอีกฝ่ายตายแล้วเท่านั้น 

หยางชิ่งขมวดคิ้ว เหมียวอี้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง  ทำไม เจ้าสงสัยการคาดคะเนของเหยียนซิวเหรอ? 

หยางชิ่งถอนหายใจ  ไม่ใช่ว่าสงสัย เพียงแต่รู้สึกว่าถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเองแล้วกังวลนิดหน่อย เพราะทางฝั่งนั้นก็ไม่ใช่เล่นๆ โดยเฉพาะเว่ยซู พวกเราไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเขาเลย ถ้าเขาคาดเดาได้ล่วงหน้าแล้ว ข้าน้อยกลัวว่าอีกฝ่ายจะใช้แผนซ้อนแผน ระวังไว้หน่อยดีกว่า 

เหยียนซิวจ้องเขาอย่างเย็นเยียบ แล้วย้ำอย่างเป็นทางการว่า  เซี่ยโห้วลิ่งตายไปแล้ว ตายเพราะปลิดชีพตัวเอง!  น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยเป็นมิตร หลังจากผ่านเรื่องจูเก๋อชิงมา เขาก็ไม่รู้สึกดีกับหยางชิ่งสักเท่าไร ฟังจากน้ำเสียงก็พอจะรู้แล้ว

หยางเจาชิงมองประเมินทางซ้ายและขวาเงียบๆ กับเรื่องบางเรื่องเขารู้อยู่แก่ใจ

หยางชิ่งถูกเขาทำให้อึดอัดนิดหน่อย แต่ก็ยังกล่าวอย่างระมัดระวังว่า  แน่ใจนะว่าไม่ได้ทิ้งหลักฐานอะไรให้อีกฝ่ายสงสัยว่าพวกเราแอบควบคุมเซี่ยโห้วลิ่ง? เหยียนซิว ข้าไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่น แค่อยากจะเตือนเจ้าสักหน่อย ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้ว่าเจ้าสามารถใช้วิธีการนี้ได้ ตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องสงสัยแน่ว่าพวกเรารู้ความลับบางอย่างจากปากเซี่ยโห้วลิ่งแล้ว แบบนั้นผลที่ตามมาก็ร้ายแรงมาก ตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องลงมือกับพวกเราด้วยวิธีการที่รวดเร็วและรุนแรงแน่นอน! 

ที่เขากังวลเรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เขาไม่รู้เลยว่าทางฝั่งเหมียวอี้ลงมือกับเซี่ยโห้วลิ่งอย่างไร เหมียวอี้บอกเพียงว่าเขาเตรียมการไว้ดีแล้ว

คนฉลาดมักจะมีปัญหาทำนองนี้ เรื่องที่ตัวเองไม่วางใจก็มักจะกังวลว่าคนอื่นจะทำได้ไม่ดี มักจะชอบลงมือด้วยตัวเองทุกเรื่อง คนประเภทนี้สิ้นเปลืองสติปัญญาได้ง่าย

 พวกเขาก็แค่ได้เห็นพระปีศาจหนานโปแล้ว  เหยียนซิวพูดทิ้งท้ายประโยคนี้แล้วก็หุบปาก ไม่อยากเปลืองคำพูดต่อไป โดยเฉพาะกับหยางชิ่ง รู้สึกว่าคนแบบหยางชิ่งเจ้าเล่ห์น่ากลัวเกินไป แม้แต่กับคนฝ่ายตัวเองก็ยังวางกับดักได้ ทั้งยังฉลาดเกินไป ทำให้คนป้องกันไม่ชนะ

หยางชิ่งกำลังจะอ้าปากพูด แต่เหมียวอี้ยกมือห้ามแล้ว  ไม่ต้องถามเรื่องนี้แล้ว วางแผนให้พระปีศาจหนานโปเป็นแพะรับบาปเรียบร้อยแล้ว เรื่องราวราบรื่นมาก ไม่มีช่องโหว่อะไร 

ในเมื่อเหมียวอี้พูดตัดบทแบบนี้แล้ว หยางชิ่งก็ไม่สะดวกจะถามมากอีก กุมหมัดคารวะบอกว่า  นายท่าน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สามารถแจ้งข่าวดีกับเฉาหม่านได้แล้ว จะได้รู้ทิศทางความเคลื่อนไหวของเว่ยซูได้เร็วๆ พ่อบ้านเว่ยคนนี้อันตรายเกินไป ต้องแน่ใจแผนของเว่ยซูโดยเร็วที่สุด! 

ถ้าให้เฉาหม่านได้ยินคำพูดนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร ฆ่าพี่น้องของเขาแล้วยังจะแจ้งข่าวดีต่อเขาอีก

เหมียวอี้พยักหน้า หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเฉาหม่านโดยตรง

ตลาดผีมือสลัว ในตึกศาลาสัตยพรต ห้องหนึ่งที่ปิดอยู่ในความมืด เฉาหม่านเดินไปเดินมาอย่างร้อนรน สงบจิตใจไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว มองแสงโคมไฟริบรี่นอกหน้าต่างเป็นระยะ แล้วก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาต่อ

แม้เหมียวอี้จะไม่ได้บอกว่าเขาลงมืออย่างไร ไม่ได้บอกแผนการโดยละเอียดเลยสักนิด แต่สายลับตึกศาลาสัตยพรตที่แดนรัตติกาลก็ไม่ใช่เล่นๆ เขาได้ข่าวแล้วว่าเซี่ยโห้วลิ่งมาที่แดนรัตติกาลแล้วไปดาวจันทร์อี่

หนิวโหย่วเต๋อทำให้เซี่ยโห้วลิ่งมาที่นี่ด้วยตัวเองได้จริงๆ!

เฉาหม่านตระหนักได้แล้ว ว่าวันนี้อาจจะเป็นเวลาที่หนิวโหย่วเต๋อลงมือสังหาร ก็เพราะตระหนักได้ถึงจุดนี้ เขาเลยไม่เป็นอันกินอันนอน รู้สึกเครียดและสงบอารมณ์ไม่ได้ ออกคำสั่งไปแล้วว่าไม่ให้ใครมารบกวน เขารู้ว่าตัวเองได้ตัดสินชะตาชีวิตไปแล้ว ชะตากรรมของหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวันนี้ ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อสามารถทำให้สำเร็จได้หรือไม่ เรียกได้ว่าค่อนข้างวิตกกังวล

มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาเข้าใจชัดเจน นั่นก็คือต้องแบกรับความเสี่ยงมหาศาลกับเรื่อง ถ้าหนิวโหย่วเต๋อพลาดไป เซี่ยโห้วลิ่งจะต้องสงสัยทันนทีว่าเขาเป็นคนบงการ ไม่อย่างนั้นหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงทำเรื่องอย่างไร ไม่ถึงขั้นสังหารหัวหน้าตระกูล เซี่ยโห้วลิ่งจะต้องยอมแลกทุกอย่างเพื่อกำจัดเขาเช่นกัน

จู่ๆ กำไลเก็บสมบัติในระฆังดาราก็ส่งเสียง พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู ก็พบว่าเป็นระฆังดาราที่หนิวโหย่วเต๋อใช้ติดต่อเขา ตอนนี้ระฆังดาราอันนี้อยู่ในจุดที่สังเกตเห็นง่ายที่สุด หลังจากหยิบระฆังดารามาไว้ในมือ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน รู้สึกไม่ค่อยกล้าติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อ

สุดท้ายก็ยังแข็งใจตอบกลับไป : ผู้ตรวจการใหญ่มีอะไรจะกำชับ?

เหมียวอี้ : เถ้าแก่ เรื่องราวราบรื่น เซี่ยโห้วลิ่งตายแล้ว ยินดีด้วย!

เฉาหม่านโล่งใจราวกับยกภาระหนักอกจากอก ถอนหายใจยาว รู้สึกว่าตัวเองแทบจะยืนไม่ไหวแล้ว รีบถอยหลังไปพิงข้างเก้าอี้ แทบจะทรุดนั่งลงบนนั้น หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงถี่กระชั้น หอบหายใจเฮือกใหญ่

………………

 

พอโบกมือหนึ่งครั้ง ทางออกที่หมุนวนอยู่กลางอากาศก็ปรากฏอีกครั้ง เหยียนซิวหิ้วเซี่ยโห้วลิ่ง แล้วพวกเขาก็เหาะขึ้นฟ้าไปด้วยกัน หายเข้าไปในโพรงกลางอากาศ

เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง พวกเขาก็กลับมาถึงทางออกห้องใต้ดินแล้ว

เหมียวอี้หันตัวมากวักมือ ประตูโลหะตรงโพรงนั้นก็ปิดสนิท มีแสงสว่างวาบ แล้วประตูก็หดเล็กน้อง เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา นี่ก็คือเจดีย์งามวิจิตรนั่นเอง มักตกลงในฝ่ามือเหมียวอี้ ในห้องใต้ดินปรากฏสภาพเดิมแล้ว

หันกลับไปมองเซี่ยโห้วลิ่ง เห็นเซี่ยโห้วลิ่งมีท่าทางเหม่อลอย เหมียวอี้ที่กำลังจะก้าวขาออกไปขมวดคิ้ว  แบบนี้ไม่ได้ ท่าทางแบบนี้ของเขา พอออกไปคนก็มองพิรุธออกทันที 

 นายท่านไม่ต้องห่วง สามารถปรับได้ขอรับ  เหยียนซิวปลอบใจ แล้วใช้นิ้วทั้งห้าครอบศีรษะเซี่ยโห้วลิ่ง ท่าทางเหมือนดูดอะไรบางอย่าง นิ้วทั้งห้า เขย่าไม่พร้อมกัน สีหน้าของเซี่ยโห้วลิ่งปรับเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบต่างๆ

หยางชิ่งเตือนว่า  ทำสีหน้าเรียบเฉยก็พอ 

เหยียนซิวทำตามที่บอก ปรับเปลี่ยนสีหน้าเซี่ยโห้วลิ่งให้เป็นแบบหงุดหงิดเหมือนเจอเรื่องไม่พอใจ

เหมียวอี้เอามือลูบคางครุ่นคิดขณะมองเซี่ยโห้วลิ่ง  พระปีศาจหนานโปควบคุมระยะไกลได้ยังไง เจ้าทำแบบเขาไม่ได้เหรอ? 

เหยียนซิวตอบว่า  นายท่าน ต่อให้ข้าน้อยฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางสำเร็จแล้ว แต่ก็ไม่มีทางทำได้ถึงขั้นนั้น วิธีการของพระปีศาจก็ไม่นับว่าเป็นการควบคุมระยะไกลอะไร เป็นการปลูกบางสิ่งลงในสมองของเขาเท่านั้น น่าจะเป็นการปลูกความคิดของพระปีศาจคลุมไปที่ความคิดของพวกเขา เพื่อให้พระปีศาจใช้งาน 

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ  ข้ากังวลว่าแบบนี้จะเผยพิรุธอะไร 

หยางชิ่งบอกว่า  ในเมื่อนายท่านรับประกันได้ว่าคนอีกกลุ่มที่เตรียมไว้ไม่มีปัญหา ฝั่งนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่ ต่อให้เซี่ยโห้วลิ่งเงียบงันไม่พูดอะไร ก็เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ติดตามจะเค้นถามอะไรจากเขา แบบนี้น่าจะผ่านไปได้ แต่รบกวนพี่เหยียนคอยดูแลตลอด  เขามองไปที่เหยียนซิว

เหยียนซิวพยักหน้า เหมียวอี้ยื่นมือเชิญเซี่ยโห้วลิ่ง  ท่านปู่สวรรค์ เชิญเถอะ! 

เหยียนซิวขยับสองมือ คอยร่ายวิชา เซี่ยโห้วลิ่งยังมีสีหน้าเหมือนเดิม เดินตามเหมียวอี้ออกไปแล้ว

คนกลุ่มนี้เดินออกจากเรือนด้านใน ออกจากประตูไปแล้ว ทหารยามข้างนอกสังเกตเห็นว่าเซี่ยโห้วลิ่งมีสีหน้าไม่สบอารมณ์สักเท่าไร

เซี่ยโห้วลิ่งที่เดินออกมาแล้วพูดคำเดียวว่า  ไป! 

ผู้ติดตามอารักขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มีคนไม่น้อยมองพวกเหมียวอี้อย่างระวังตัว จากนั้นก็รีบเก็บกำลังพลแล้วเดินตามหลังเซี่ยโห้วลิ่ง

เหมียวอี้หรี่ตามองตาม เขาไม่ได้ไปส่ง เพียงถ่ายทอดเสียงบอกเหยียนซิวว่า  รีบไปช่วยสนับสนุนไป๋เฟิ่งหวง 

ส่วนเรื่องที่ว่าใครจะเป็นคนลงมือ เขาไม่ได้บอกให้หยางชิ่งรู้

เหยียนซิวพยักหน้าเบาๆ แล้วรีบออกไป

 เตรียมทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย?  เหมียวอี้หันกลับมาถามหยางเจาชิงอีก

 เตรียมเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนเส้นทางหรือเปล่า  หยางเจาชิงแสดงความกังวล

 ดังนั้นจึงต้องลงมือในระยะใกล้ ภายในระยะใกล้นี้คงจะไม่เปลี่ยนเส้นทาง ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ให้เหยียนซิวลงมือโดยตรงเลย!  หยางชิ่งกล่าว

 รอฟังข่าวแล้วกัน  เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ แล้วหันตัวกลับไป

ในดาราจักร กลุ่มของเซี่ยโห้วลิ่งโผล่ออกมากลางอากาศ เร่งเดินทางอย่างรวดเร็ว ตอนที่ผ่านอาณาเขตดาวที่มีก้อนหินกระจายไร้ระเบียบ ผู้คุ้มกันที่คอยเบิกทางอยู่ข้างหน้าก็พลันยกมือ ทำให้ทั้งกลุ่มที่กำลังเดินทางไปข้างหน้าหยุดทันที

ข้างหลังมีคนถลันตัวเข้ามาถามทันที  มีเรื่องอะไร? 

ผู้คุ้มกันที่เบิกทางมองไปรอบๆ ด้วยสายตาเย็นเยียบ  สถานการณ์ไม่ชอบมาพากล หินตรงนี้เหมือนจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย 

คนที่ถามบอกว่า  ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้! 

 ไม่ต้องแล้ว อย่าไปพัวพัน แจ้งให้คนที่อยู่แถวนี้มารับทันที เตรียมป้องกัน! รีบผ่านไปเร็วๆ!  คนที่เบิกทางตะโกนบอก

เมื่อถ่ายทอดคำสั่งลงไป กำลังพลนับหมื่นที่ซ่อนตัวอยู่ก็ปรากฏตัวทั้งหมดทันที คุ้มกันเซี่ยโห้วลิ่งไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา

แต่ในขณะนี้เอง ในอาณาเขตดาวที่มีก้อนหินกระจัดกระจายนี้ก็มีดอกไม้เบ่งบานนับไม่ถ้วน สี่ด้านแปดทิศ ดาวสีดำน้อยใหญ่ระเบิดออก ชั่วพริบตาเดียวก็เต็มไปด้วยควันดำ ควันดำที่สีเข้มก็ยิ่งเหมือนมังกรตัวใหญ่กำลังโลดแล่นอยู่ในควันดำ ลักษณะน่าตกใจ

ผู้คุ้มกันเซี่ยโห้วลิ่งมองไปรอบๆ ด้วยความระวังตัวอย่างสูง

 หมอกควันมีขอบเขตไม่กว้าง รีบผ่านไป!  หัวหน้ากลุ่มตะคอกสั่งอย่างเกรี้ยวกราด

แต่ก็ไม่ได้หลับหูหลับตาฝ่าออกไป กำลังพลแถวหน้ากระบวนทัพรูปลิ่มบุกโจมตีเบิกทางอยู่ข้างหน้า

 อามิตตาพุทธ!  เสียงนี้ดังก้องอยู่ในดาราจักร

ท่ามกลางควันดำข้างหน้ามีแสงทองกะพริบ หมอกควันกระจายออกเหมือนระลอกคลื่น เผยเงาร่างสีทองให้เห็นวับๆ แวมๆ เค้าโครงชัดเจนมากว่าเป็นพระ ตรงดวงตาเหมือนจะมีเพลิงสีทองลุกโชน

ฉากนี้ทำให้กำลังพลที่บุกโจมตีหยุดกะทันหัน ไม่กล้าไปข้างหน้าต่อแล้ว กำลังพลทั้งหมจ้องเงาร่างสีทองนั้น ทุกคนทำสีหน้าตึงเครียด

มีคนตะโกนอย่างร้อนใจว่า  ปิดประสาทสัมผัสการได้ยินกับจิตสำนึก ทำตามสัญญาณมือ! 

เซี่ยโห้วลิ่งที่ถูกกำลังพลโอบล้อมพลันชักดาบออกมา กลุ่มผู้คุ้มกันที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็ไม่ได้เห็นเป็นสาระอะไร

ใครจะคาดคิด วินาทีถัดมาเซี่ยโห้วลิ่งพลันกลับคมดาบเข้าหาตัวเอง แล้วแทงเข้าที่หน้าอกตัวเองอย่างไม่ลังเล แทงจนหัวใจทะลุเป็นรู คมกระบี่ทะลุออกไปด้านหลัง กระอักเลือดสดออกมาแล้ว

เมื่อรู้สึกไดถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ ผู้คุ้มกันทางฝั่งซ้ายขวาที่คอยระวังรอบๆ ก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง แต่ละคนตกใจจนขวัญกระเจิง ตะโกนอุทานว่า  ท่านปู่สวรรค์! 

เซี่ยโห้วลิ่งสีหน้าดุร้าย ปากสงเสียง  เหอะๆ  แล้วสองมือออกแรงแทงดาบอีกครั้ง ข้างกายมีคนรีบคว้าข้อมือเขาไว้

เซี่ยโห้วลิ่งออกแรงขัดขืน เลือดออกปากออกจมูก ใบหน้าดุร้ายจนน่าตกใจ แต่จนใจที่พลังกายผ่านไปเร็วเหมือนสายน้ำ

ผู้คุ้มกันที่อยู่ข้างกายรีบควบคุมตัวไว้ รีบหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวมาเร่งช่วยชีวิตเซี่ยโห้วลิ่ง กำลังพลที่ล้อมเซี่ยโห้วลิ่งวุ่นวายฉุกละหุกทันที

 รักษากระบวนทัพไว้ ให้กองหนุนมาเร็วๆ!  มีคนตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

ทุกคนเพิ่งปิดประสาทสัมผัสการได้ยิน ไม่รู้เลยว่าเขากำลังพูดอะไร ต้องใช้สัญญาณมือพักหนึ่งถึงทำให้ทุกคนเข้าใจความหมาย

ส่วนเงาร่างสีทองก็ค่อยๆ อับแสงลงท่ามกลางหมอกควัน เลือนหายไปในหมอกควันแล้ว

ร่องรอยที่เหมือนมังกรยักษ์ในหมอกควันก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน เหลือเพียงหมอกควันสีดำพลิกม้วนพุ่งชนอย่างไร้กฏเกณฑ์

รอบนอกของหมอกควัน คนปิดหน้าคนหนึ่งยืนอยู่บนหินก้อนใหญ่ที่ลอยนิ่งอยู่กลางบงอวกาศ สายตาจ้องในหมอกควันอย่างเย็นเยียบ

ไม่นานเงาร่างพระสีทองที่สูงใหญ่ก็ปรากฏขึ้น เอามือลูบดับหินผลึกไขมันเพลิงตรงดวงตา ดวงตาเพลิงกลายเป็นดวงตาสดใสกลอกไปมา ไม่รู้ว่าถอดของอะไรออกจากร่างกายอีก แสงสีทองบนตัวหายไปแล้วเช่นกัน ขณะที่เหาะลงข้างกายคนปิดหน้า ร่างกายก็เลื้อยขยุกขยิกกลายร่างเป็นยายแก่คนหนึ่ง

 ยังนึกว่าเจ้าจะมาไม่ทันเวลาซะแล้ว ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์เป็นโขยง ข้าต้านพวกเขาไม่ไหวหรอกนะ ทำเอาข้าตกใจแทบตาย  ยายแก่บ่น

คนปิดหน้าถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแหบพร่า  สถานการณ์ข้างในเป็นยังไงบ้าง? 

ยายแก่ตอบว่า  ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาเหมือนจะวุ่นวายเสียระเบียบ เจ้าไม่ต้องพูดเลย ใช้พระปีศาจขู่คนเหมือนจะได้ผลมาก ที่แท้พระปีศาจก็หน้าตาเป็นอย่างนี้!  นางกลอกตาไปมาเผยความเจ้าเล่ห์

 ฉวยโอกาสตอนวุ่นวายรีบหนีไป ถ้ารอพวกเขารู้ตัวแล้วตามมา พวกเราก็หนีไม่ทันแล้ว  คนปิดหน้ากล่าว

ผ่านไปครู่เดียว ในหมอกควันก็มีสิ่งที่คล้ายวิญญาณสีขาวบินออกมาตัวแล้วตัวเล่า ยายแก่กางแขนรับ วิญญาณสีขาวชนบนร่างกายนาง ชั่วพริบตาเดียวก็จมหายเข้าไปในร่างกายนางแล้ว

ยายแก่กับคนปิดหน้าสบตากันแล้วพยักหน้า ก่อนจะเหาะหายไปในจุดลึกของดาราจักรอย่างรวดเร็ว

 ฆ่า! 

ผู้คุ้มกันที่อยู่ท่ามกลางหมอกควันมองเซี่ยโห้วลิ่งที่ขาดใจคากระบี่วิเศษ เขาตัวสั่นกำหมัดแน่น คำรามถ่ายทอดคำสั่ง

สิ้นชีวิตไปแล้ว ใช้สมุนไพรเซียนหมดแล้วก็ช่วยชีวิตไม่ได้ ตอนนี้ความปลอดภัยของเซี่ยโห้วลิ่งไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว เขาคิดกำลังคิดว่าจะชี้แจ้งต่อตระกูลเซี่ยโห้วอย่างไร

กำลังพลนับหมื่นรอบๆ กระจายกันพุ่งเข้าไปในหมอกควัน ทว่าจะยังหาเจอได้อย่างไรกัน

 ผู้บัญชาการ รีบติดต่อพ่อบ้านเว่ยให้ตัดสินใจเถอะ 

รองหัวหน้ากลุ่มผู้คุ้มกันที่อยู่ในกลุ่มที่เหลือหนึ่งร้อยคนพูดกับหัวหน้ากลุ่ม

หัวหน้ากลุ่มกำหมัดหลับตาส่ายหน้า เขาไม่มีทางยอมรับความจริงนี้ได้ หัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วผู้สง่าน่าเกรงขามตายอยู่ใต้หนังตาเขา ที่สำคัญคือไม่ได้สู้กับศัตรู หัวหน้าตระกูลตายไปแบบนี้แล้ว ตายอย่างแปลกประหลาด ตายอย่างไม่ทันป้องกัน ตายอย่างเหนือความคาดหมาย ไม่น่าเชื่อว่าจะฆ่าตัวตายเอง?

สุดท้ายก็ออกแรงโบกหมัด หยิบระฆังดาราออกมาขอรับโทษ

เว่ยซูได้รับข่าวแล้วถามสถานการณ์ในชัดเจน ก่อนจะเตือนเพียงว่า : ปิดข่าวเรื่องหัวหน้าตระกูลถึงแก่กรรมเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ตระกูลเซี่ยโห้ววุ่นวาย!

และในดาราจักรตอนนี้ ตระกูลเซี่ยโห้วรีบขอความช่วยเหลือ กำลังพลทัพใต้ที่ประจำการอยู่แถวนั้นส่งกำลังพลออกมาหนึ่งล้าน ตามมาถึงที่นี่อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันยอดฝีมือของตระกูลเซี่ยโห้วที่อยู่แถวนั้นก็รีบตามมาสนับสนุนทั้งหมด

หัวหน้ากลุ่มผู้คุ้มกันที่ได้รับคำชี้แนะกระจายข่าวให้กำลังพลแต่ละสายถอยออกไปทันที บอกว่าไม่มีอะไรแล้ว

ในเรือประมงกลางแม่น้ำ เซี่ยโห้วท่าแจวเรือ แสงแดดสดใส แสงกระทบคลื่นในแม่น้ำจนสะท้อนประกาย

เว่ยซูนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องโดยสารเรือ วางระฆังดาราลงช้าๆ มองเงาหลังเซี่ยโห้วท่าด้วยสีหน้าสับสน พร้อมกล่าวอย่างเศร้าโศกว่า  นายท่าน คุณชายรองโดนแทงตาย! 

แม้จะเตรียมใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่เซี่ยโห้วท่าก็ยังอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น แต่จากนั้นก็พายเรืออย่างไม่รีบร้อนต่อไป  ข้างกายเขามีผู้คุ้มกันนับหมื่น ภายในเวลาอันสั้น ทัพใหญ่หลายสิบล้านอาจจะทำร้ายเจ้ารองไม่ได้ง่ายๆ คนของตระกูลเซี่ยโห้วกระจายอยู่ทั่วอาณาเขต ทั้งยังติดต่อกำลังหนุนที่อยู่ตามท้องที่ได้ทุกเมื่อ ข้าอยากจะรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อทำสำเร็จได้ยังไง เขาลงมือยังไง? 

เว่ยซูตอบเสียงสั่น  ไม่เห็นกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อเลย คุณชายรองปลิดชีพตัวเอง ผู้คุ้มกันไม่มีใครคาดคิด ทำอะไรไม่ถูกขอรับ 

 อะไรนะ?  เซี่ยโห้วท่าอุทาน เขาทิ้งไม้พาย พลันหันตัวมาแล้วเบิกตากว้าง  ฆ่าตัวตาย? จะเป็นไปได้ยังไง? 

 คนในกลุ่มผู้คุ้มกันเห็นพระปีศาจหนานโป คุณชายรองคงจะโดนมนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจ  เว่ยซูตอบ

เซี่ยโห้วท่าหรี่ตา รีบถามว่า  พวกเขาแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นพระปีศาจ? 

 มีคนไม่น้อยเห็นเองกับตา เขาเอ่ยนามพระพุทธเจ้า เงาร่างพระสีทองปรากฏตัวท่ามกลางหมอกควัน ดวงตาเป็นเพลิงสีทอง…  เว่ยซูเล่าสถานการณ์ที่ผู้คุ้มกันเห็นให้ฟังรอบหนึ่ง ตอนนี้น้ำตาอาบใบหน้าแล้ว นั่งนิ่งอยู่ในห้องโดยสารเรือ

เซี่ยโห้วท่ากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ในดวงตาฉายแววหวาดกลัวอย่างที่ยากจะปิดบัง ต้องทราบไว้ว่าตอนนี้พระปีศาจยังไม่ได้กลับคืนร่างจริง ภายใต้สถานการณ์ที่ตระกูลเซี่ยโห้วมีผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะเอาชีวิตของหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วได้อย่างง่ายดายราวกับล้วงของในกระเป๋า เขานึกเชื่อมโยงถึงเรื่องที่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะร่วมมือกันนำทัพใหญ่ไปสถานที่ผนึกแต่ยังปล่อยให้พระปีศาจหนีไปได้ เขารู้สึกปากคอแห้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า  เทียบกันปีนั้น ไม่น่าเชื่อว่าพระปีศาจจะ… 

สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวคำว่า ‘น่ากลัว’ ออกมา  พระปีศาจรู้ทางกลับของเจ้ารองได้ยังไง…  ยังไม่ทันพูดจบก็เงียบไปอีก

เว่ยซูขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน  ต้องเป็นหนิวโหย่วเต๋อที่บอกข่าวพระปีศาจแน่ เป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ยืมมือพระปีศาจ! 

……………………

 

เหมียวอี้ตกอยู่ในความเงียบ

เซี่ยโห้วลิ่งยิ้มมุมปาก ไม่ได้เร่งเร้าเขาเช่นกัน ชมการแสดงระบำอย่างผ่อนคลาย รอคำตอบจากเขา

ในใจเขารู้ชัดเจน ว่าถ้าตัวเองมาหาถึงที่แล้ว เหมียวก็อี้มิอาจไม่มอบให้เขา ถ้าไม่ให้เขา เหมียวอี้ก็รับผิดชอบลที่ตามมาไม่ไหว

หลังจากผ่านไปนาน จู่ๆ เหมียวอี้ก็ถามว่า  ถ้ามอบให้ท่านปู่สวรรค์ ข้าจะได้ผลประโยชน์อะไร? 

เซี่ยโห้วลิ่งยิ้มอ่อน  ผลประโยชน์เหรอ? ถ้าผู้ตรวจการใหญ่กระจ่างเรื่องบางอย่าง ก็จะรู้ว่าข้ากำลังช่วยผู้ตรวจการใหญ่แก้ไขปัญหายุ่งยาก 

ไม่มีผลประโยชน์เหรอ? เหมียวอี้ทำหน้าเซ็ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มแข็งๆ  เหอะๆ ไม่รบกวนท่านปู่สวรรค์ดีกว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะเป็นฝ่ายไปสารภาพกับตำหนักสวรรค์เอง 

เซี่ยโห้วลิ่งมุมปากกระตุก แล้วถามเหมือนไม่ใส่ใจว่า  ผู้ตรวจการใหญ่ต้องการผลประโยชน์อะไรล่ะ? 

เหมียวอี้ยกจอกสุราเชิญดื่ม  มอบของสิ่งนี้ให้ตำหนักสวรรค์ สมบัติล้ำค่าขนาดนี้ ตำหนักสวรรค์จะไม่ตบรางวัลข้าเชียวเหรอ? พวกเราอย่าอ้อมค้อมเลย ของนี้ข้าให้เปล่าไม่ได้หรอก ตระกูลเซี่ยโห้วเองก็ไม่ขาดเงิน ท่านปู่สวรรค์จ่ายเงินซื้อของเถอะ 

 ผู้ตรวจการใหญ่ช่างปากไวใจถึงจริงๆ ว่ามาเถอะ เจ้าต้องการเท่าไร?  เซี่ยโห้วลิ่งสีหน้าเรียบเฉย

เหมียวอี้ชูหนึ่งนิ้ว  ยาแก่นเซียนหนึ่งพันล้านเม็ด! 

เซี่ยโห้วลิ่งแสยะยิ้ม  ผู้ตรวจการใหญ่ที่กระเพาะใหญ่ไม่ธรรมดาจริงๆ 

เหมียวอี้จ้องเขา  กระเพาะนี้หดเล็กลงเยอะแล้ว ในปีนั้นอิ๋งจิ่วกวงให้ข้าหนึ่งหมื่นล้านยาแก่นเซียน ทั้งยังเพิ่มเงื่อนไขด้วย ตอนนี้ข้าขอแค่หนึ่งพันล้านเม็ดจากท่านปู่สวรรค์ ถือว่าข้าแสดงความจริงใจมากพอแล้ว! ในเมื่อบัวโลหิตมีสรรพคุณอัศจรรย์ ข้ากับเจ้าล้วนรู้ชัดอยู่แก่ใจ ตระกูลเซี่ยโห้วตั้งปณิธานแน่วแน่แล้วว่าต้องใช้ ไม่หวังให้ตกอยู่ในมือคนอื่น มิหนำซ้ำเงินเล็กน้อยเท่านี้ก็ไม่นับว่ามากมายสำหรับตระกูลเซี่ยโห้ว พูดในกรณีที่แย่ที่สุด ต่อให้ไม่เกี่ยวกับพระปีศาจหนานโป แต่ถึงยังไงก็เป็นสมุนไพรจิตวิญญาณ เอาไปขายที่ไหนก็มีมูลค่าไม่น้อย นี่คือของที่ข้าเอาชีวิตแลกมาเชียวนะ ท่านปู่สวรรค์รู้สึกว่าชีวิตของหนิวไม่ได้มีค่าเท่านี้เหรอ? ถ้าท่านปู่สวรรค์อยากได้จากใจจริง ข้าก็ไม่ทำให้ลำบากใจ แค่หนึ่งพันล้านเอง ถ้าท่านปู่สวรรค์ไม่เต็มใจให้ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเจรจาต่อแล้ว พวกเราดื่มสุราดูระบำต่อไปให้สำราญบานใจเถอะ อย่าทำให้ทุกคนเสียบรรยากาศเลย 

ทั้งสองสบตากัน ในสายตาสื่อถึงการคุมเชิงเข้มข้นมาก

สุดท้ายก็เป็นเซี่ยโห้วลิ่งที่ยอม  จะพูดปากเปล่าไม่ได้ ผู้ตรวจการใหญ่ควรนำของออกมาให้ข้าพิสูจน์ก่อนสิ? 

เหมียวอี้กวาดสายตามองไปรอบๆ  ท่านปู่สวรรค์คงไม่คิดจะให้ข้านำออกมาเชยชมในที่แบบนี้หรอกใช่มั้ย? 

 อย่าบอกเชียวนะว่าจวนผู้สำเร็จราชการใหญ่โตขนาดนี้ แต่ไม่มีที่ลับตาคนเลย  เซี่ยโห้วลิ่งกล่าว

 เช่นนั้นก็รบกวนท่านปู่สวรรค์ตามข้าไปสักรอบ  เหมียวอี้วางจอกสุราลงแล้วยืนขึ้น

เซี่ยโห้วลิ่งเองก็วางจอกสุราแล้วเดินตามไปเช่นกัน ผู้ติดตามของเขารวมตัวกันเดินตามไปทันที

เมื่อออกจากตึกศาลางามวิจิตรแล้ว เหมียวอี้ก็หยุดตรงประตูลานบ้านด้านใน แล้วหันกลับมามองคนกลุ่มใหญ่ที่ตามมาด้วย แล้วถามด้วยน้ำเสียงปกติว่า  ท่านปู่สวรรค์จะให้คนกลุ่มนี้ล่วงล้ำเข้ามาในเรือนของหนิวเหรอ? 

 ไม่ต้องตามมาแล้ว รออยู่ตรงนี้เถอะ  เซี่ยโห้วลิ่งหันกลับไปสั่ง สำหรับเขา เป็นไปไม่ได้ที่เหมียวอี้จะลงมือกับเขาที่นี่ ถ้าจะลงมือจริงๆ ก็ถือว่าเดินลึกเข้ามาในถ้ำเสือแล้ว คนเล็กน้อยเท่านี้ปกป้องเขาไม่ไหวอยู่ดี

ทั้งสองเข้ามาที่เรือนด้านใน พอมาถึงทางเข้าห้องใต้ดิน ก็เดินตามบันไดลงไป มีกำแพงโลหะปิดอยู่ พอเหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์โบกมือ กำแพงโลหะก็เปล่งแสงแล้วเปิดออกในชั่วพริบตาเดียว ปรากฏโพรงที่มีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ มีแสงสลัวประหลาด

เหมียวอี้ยื่นมือเชิญให้เข้าไป เซี่ยโห้วท่าถามอย่างระวังตัวว่า  นี่คือ? 

 ห้องฝึกตนลับที่หนิวสร้างขึ้นมา ทำไมล่ะ? ท่านปู่สวรรค์กลัวว่าหนิวจะทำเรื่องไม่ดีกับท่านปู่สวรรค์เหรอ?  เหมียวอี้ยิ้มอ่อน แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ก้าวเข้าไปเอง ชั่วพริบตาเดียวคนหายไปในโพรงนั้น

เซี่ยโห้วลิ่งลังเลนิดหน่อย พอคิดได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่กล้าปล่อยให้เขาเป็นอะไรไปที่นี่ ถึงได้แข็งใจก้าวตามเข้าใจ

ทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็สว่างวาบ เซี่ยโห้วลิ่งงุนงง พบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในโลกที่มีทิวทัศน์ธรรมชาติงดงามแล้ว แต่สิ่งที่หลบไม่ทันก็คือ ตรงหน้ามีแสงสีดำก่อกวนเข้ามา เดิมทีก็เป็นตาข่ายกับดักที่ตั้งใจถักทอไว้รออยู่แล้ว พอเข้ามาแล้วยังจะหนีไปไหนได้อีก โพรงถ้ำข้างหลังก็ปิดสนิทแล้วเช่นกัน เรียกได้ว่าตกหลุมพรางในรวดเดียว ทั้งตัวมึนชาดิ่งตกลงมากลางอากาศ

เงาคนคนหนึ่งถลันเข้ามา เหยียนซิวที่ถือธงเรียกวิญญาณคว้าเซี่ยโห้วท่าแล้วเหยียบลงพื้นอย่างมั่นคง เหยียบลงข้างกายเหมียวอี้

หยางชิ่งถลันตัวออกจากภูเขาที่อยู่ใกล้ๆ เช่นกัน อดไม่ได้ที่จะมองเหยียนซิวสองครั้ง แม้ตัวเองจะรู้อะไรมาบ้างแล้วนิดหน่อย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเหยียนซิวแสดงพลังอภินิหารขนาดนี้

ขณะมองเซี่ยโห้วลิ่งที่ก้าวเข้ามาในกับดักแล้วถูกควบคุมได้อย่างง่ายดาย เหมียวอี้ก็เหล่ตามองหยางชิ่งแวบหนึ่ง  คนสายตาสูงฝีมือต่ำแบบนี้ ฆ่าตายก็เสียดาย ตามความเห็นของข้า ไม่สู้หาทางกักตัวไว้ดีกว่า ในภายหลังเวลารับมือกับเฉาหม่าน ไม่แน่ว่าอาจใช้ประโยชน์ได้ 

หยางชิ่งเข้าใจว่าเขาสื่ออะไร ในภายหลังอยากจะใช้มาบีบเฉาหม่าน หลังจากเฉาหม่านสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูล จู่ๆ ก็พบว่าหัวหน้าตระกูลคนก่อนยังไม่ตาย เฉาหม่านจะถอยออกจากตำแหน่งหรือไม่ แล้วจะให้เฉาหม่านทนความรู้สึกได้อย่างไร หยางชิ่งไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ส่ายหน้าบอกว่า  นายท่าน อย่าให้มีปัญหาอื่นเข้ามาแทรกเลย นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาสำหรับเฉาหม่าน การปล้นตำแหน่งไม่ใช่เรื่องเล็ก อยู่ก็ต้องเห็นตัว ตายก็ต้องเห็นศพ ไม่อย่างนั้นหากไม่รู้ว่าหัวหน้าตระกูลเป็นหรือตาย เฉาหม่านจะกล้าขึ้นสู่ตำแหน่งได้ยังไงร ต้องคำนึงถึงว่าคนอื่นในตระกูลเซี่ยโห้วจะคิดยังไงอยู่แล้ว ประการแรก ลูกน้องคนสนิทของเซี่ยโห้วลิ่งไม่ยอมแน่นอน ทั้งตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องสืบหาที่อยู่ของหัวหน้าตระกูลก่อน ไม่ใช่พิจารณาว่าใครจะรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลต่อ ยิ่งไปกว่านั้น จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลไม่อาจพัวพันกับเรื่องนี้ได้ จะต้องให้เขาออกจากแดนรัตติกาลอย่างปลอดภัย ถ้าอยากจะกักตัวไว้แบบเป็นๆ ก็มีความยากอยู่บ้าง หวังว่านายท่านจะไตร่ตรอง! 

เหมียวอี้เม้มปากยิ้ม พบว่าตัวเองคิดมากไปหน่อย กล่าวกลั้วหัวเราะว่า  ล้อเล่น ล้อเล่นเฉยๆ  จากนั้นก็หันกลับไปบอกเหยียนซิวว่า  รีบถามแข่งกับเวลาสักหน่อย อย่าถปล่อยให้เวลาล่วงเลย ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนนอกสงสัย  พูดจบก็รูดกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือเซี่ยโห้วลิ่งมาไว้ในมือตัวเอง

ก่อนหน้านี้ที่ต่อรองราคากับเซี่ยโห้วลิ่ง ก็แค่จะทำให้สับสนเท่านั้น เพื่อลดความระแวดระวังในใจเซี่ยโห้วลิ่ง จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะรอให้เซี่ยโห้วลิ่งกลับไปรวบรวมยาแก่นเซียนหนึ่งพันล้านเม็ด และเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เซี่ยโห้วลิ่งทิ้งหลักฐานติดหนี้ไว้ ต่อไปถ้าเอาหลักฐานการยืมมาได้จริงๆ จะไม่ให้คนของตระกูลเซี่ยโห้วสงสัยก็คงยาก

แต่ตอนนี้สามารถถือโอกาสยึดของดีๆ บนตัวเซี่ยโห้วลิ่งได้

แน่นอน เขาเองก็ไม่กล้ารีดไถจนสะอาดเกลี้ยงเกินไป รีดไถของมีค่าส่วนใหญ่ก็ยังพอไหว พวกระฆังดารา หรือของเล่นบางอย่างที่ไม่รู้จักรายละเอียดดีก็ไม่กล้าเอาไป ต่อไปถ้าคนของตระกูลเซี่ยโห้วตรวจสอบสิ่งของของเซี่ยโห้วลิ่ง ก็จะพบพิรุธได้ง่าย

หยางชิ่งพูดเสริม เตือนเหยียนซิวว่า  เวลาไม่มากแล้ว เลือกถามเฉพาะสิ่งสำคัญ ดูว่าสามารถสืบถึงกำลังลับของตระกูลเซี่ยโห้วได้หรือเปล่า  ขณะที่พูดก็หยิบแผ่นหยกมาบันทึก กลัวว่าจะพลาดข้อมูลสำคัญอะไรไป,

เหยียนซิวกับหยางชิ่งเร่งทำเวลาเพื่อขุดความลับจากปากเซี่ยโห้วลิ่ง ส่วนเหมียวอี้ก็ก้มหน้าก้มตาค้นสมบัติในกำไลเก็บสมบัติของเขา

ความลับที่ได้จากปากเซี่ยโห้วลิ่งไม่ธรรมดาเลย หยางชิ่งฟังแล้วแอบตกใจ สิ่งที่ทำให้หยางชิ่งตกใจกว่านั้นก็คือวิธีการของเหยียนซิว ทำให้เขาตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว เขากำลังคิดว่า ถ้ามีวันหนึ่งที่วิธีการแบบนี้ถูกใช้กับเขาขึ้นมาจะทำอย่างไร? ตอนนี้เขานับว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมอำนาจแต่ละฝ่ายในใต้หล้าถึงต้องการเล่นงานพระปีศาจหนานโปให้ถึงตายให้ได้

เมื่อถามไปสักพัก เห็นว่าเวลาผ่านไปพอสมควรแล้ว ยังต้องเหลือเวลาให้เหยียนซิวร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเซี่ยโห้วลิ่งแบบลงลึกอีก ถ้าลากออกไปแบบนี้จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย หยางชิ่งจึงสั่งให้หยุดโดยไม่ลังเล  นายท่าน น่าจะพอแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วเป็นต้นไม้ใหญ่รากลึก หัวหน้าตระกูลอย่างเซี่ยโห้วลิ่งเหมือนจะรู้ไม่หมดเช่นกัน 

เหมียวอี้เงยหน้าถาม  เขาไม่สารภาพถึงตัวตนพวกพี่น้องที่ซ่อนตัวอยู่เหรอ?  เมื่อครู่แม้จะใจจดใจจ่ออยู่กับการค้นสมบัติของเซี่ยโห้วลิ่ง แต่ก็ยังพอได้ยินอยู่บ้าง

หยางชิ่งพยักหน้า  นี่คือการค้นพบครั้งสำคัญจริงๆ เพียงแต่เขาก็รู้แค่เท่านี้ ส่วนสถานการณ์โดยละเอียดของพี่น้องพวกนั้น เขาเองก็ไม่รู้ชัดเจนเลย ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเขาไม่ได้กุมอำนาจเท่าไรเลย มีรายละเอียดมากมายที่พวกเราไม่มีเวลาสืบให้ลึกกว่านี้ ตอนนี้ทำได้เพียงเท่านี้ เพียงแต่ข้อมูลบางอย่างมีมูลค่าให้เราใช้ประโยชน์ได้เยอะมาก 

เหมียวอี้โบกมือสั่งให้เหยียนซิวเร่งลงมือ ส่วนตัวเองก็ขมวดคิ้วถามว่า  ได้ยินว่าสมาคมอาวุโสอะไรสักอย่าง มันคืออะไร? 

หยางชิ่งตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง  ไม่แน่ชัดขอรับ ข้าน้อยก็ได้ยินเป็นครั้งแรกว่าตระกูลเซี่ยโห้วมีสมาคมอาวุโสอยู่ เซี่ยโห้วลิ่งเองก็ไม่รู้เกี่ยวกับสมาคมอาวุโสชัดเจน แค่เคยได้ยินเซี่ยโห้วท่าเอ่ยถึง บุคคลที่เคยกุมอำนาจทางทหารของตระกูลเซี่ยโห้ว หลังจากปลีกตัวจากสังคมด้วยสาเหตุต่างๆ ก็จะเข้าไปที่สมาคมอาวุโส ดูเหมือนปลีกตัวจากสังคม แต่ล้วนเป็นบุคคลที่เคยกุมอำนาจทางทหารมาก่อน แค่คิดก็รู้แล้วว่ามีอิทธิพลขนาดไหน เพียงแต่เซี่ยโห้วลิ่งไม่เคยเห็นพวกเขาแทรกแซงงานปกติของตระกูลเซี่ยโห้ว สรุปก็คือลึกลับมาก แม้แต่เซี่ยโห้วลิ่งเองก็ไม่รู้ว่าสมาคมอาวุโสนี้ซ่อนอยู่ที่ไหนกันแน่ เขาสงสัยว่าไม่ได้อยู่ในอาณาเขตปกครองของตำหนักสวรรค์เลย แต่ซ่อนตัวอยู่ในอาณาเขตดาวนิรนามที่คนนอกไม่รู้จัก ใช่แล้ว บรรดาองครักษ์ประจำตัวเขามาจากสมาคมอาวุโส แม้แต่เขาเองก็สืบไม่เจอประวัติที่มา 

 สมาคมอาวุโสนี้มีใครควบคุม?  เหมียวอี้ขมวดคิ้ว

 เดิมทีก็ต้องเป็นเซี่ยโห้วท่าควบคุมอยู่แล้ว แต่ก่อนตายเซี่ยโห้วท่าไม่ได้ส่งต่อให้เซี่ยโห้วลิ่ง แค่บอกเซี่ยโห้วลิ่งเท่านั้น ว่าในช่วงเวลาสำคัญสมาคมอาวุโสจะติดต่อเขาไป ถึงตอนนั้นเขาย่อมเข้าใจชัดเจนว่าคืออะไร  หยางชิ่งกล่าว

แสงสีดำที่ครอบอยู่บนศีรษะเซี่ยโห้วลิ่งกลับเข้าไปในธงเรียกวิญญาณ แล้วเหยียนซิวบอกว่า  นายท่าน เสร็จแล้วขอรับ 

เหมียวอี้มองกำไลเก็บสมบัติในมือ แล้วด่าว่า  ตระกูลเซี่ยโห้วนี่สะสมทรัพย์สินมากี่ยุคแล้ว ล้ำลึกเกินคาดเดาจริงๆ แค่ของที่อยู่บนตัวเขาก็เยอะจนน่าตกใจ มารดาเจ้าเถอะ…  เขาทำสีหน้าเสียดายอยู่แวบหนึ่ง แต่เวลาไม่พอแล้ว เขารวบรวมสมาธิรีบรูดทรัพย์มานิดหน่อย ส่วนของที่ไม่รู้ที่มาชัดเจนเขาก็ไม่กล้าเอามาเลย ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วรู้ว่าของบนตัวเซี่ยโห้วลิ่งหายไป จะต้องสงสัยแน่ว่าปัญหาเกิดขึ้นที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล

หลายปีมานี้ใช่ว่าเขาจะไม่เคยทำเรื่องปล้นทรัพย์สินชาวบ้าน แต่ไหนแต่ไรมามีให้เท่าไรก็กล้าฮุบไว้เท่านั้น ไม่รังเกียจว่าน้อยหรือมาก นี่เป็นครั้งแรกที่พบว่าของที่ได้มาเหมือนกับเผือกร้อนลวกมือ ไม่กล้าเก็บไว้ นับว่าเข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่า ในยุทธภพยิ่งแก่ยิ่งขี้ขลาด ยิ่งรู้มากก็ยิ่งขีดเส้นแบ่งที่ตัวเองไม่กล้าข้ามไปได้ง่าย

หยางชิ่งพอจะมองออกแล้ว ปลอบใจว่า  นายท่าน เมื่อมีกำลังอำนาจเป็นของตัวเองแล้ว ยังจะกลัวไม่มีของนอกกายพวกนี้อีกเหรอ? งานใหญ่สำคัญกว่า!  ตามความคิดของเขา วิธีการที่มั่นคงปลอดภัยที่สุด วิธีการที่เกิดปัญหาแทรกได้ยากก็คืออย่าไปแตะต้องทรัพย์สินของเซี่ยโห้วลิ่ง

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วโยนกำไลเก็บสมบัติให้เหยียนซิว ใส่กลับเข้าไปบนข้อมือเซี่ยโห้วลิ่งอีกครั้ง แล้วตะโกนว่า  ไป! 

…………………

 

เขาพูดจาถึงขั้นนี้แล้ว เว่ยซูยังจะพูดอะไรได้อีก?

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ตระกูลเซี่ยโห้วยังคงกุมอยู่ในฝ่ามือของท่านนี้อย่างแนบแน่น สาเหตุที่เขาปล่อยอำนาจได้อย่างไม่ใส่ใจ ก็เพราะเขาสามารถเรียกอำนาจกลับมาได้อย่างง่ายดาย ตระกูลเซี่ยโห้วยังคงอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของนายท่านผู้นี้

เว่ยซูก้มหน้า กำลังคิดว่าหลังจากเซี่ยโห้วลิ่งตายแล้วตัวเองจะไปไหนดี

 ถ้าเจ้ารองรอดชีวิตกลับมาไม่ได้ เจ้าก็ไปอยู่ข้างกายเจ้าสามแล้วกัน  เซี่ยโห้วท่ากล่าวเสียงเรียบ

เว่ยซูเงยหน้ามอง เซี่ยโห้วท่าไม่พูดอะไรอีก กินอาหารและดื่มสุราต่อไป…

จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ในสวนดอกไม้ เฟยหงยิ้มสดใสราวกับดอกไม้บาน กำลังเดินเล่นอยู่ระหว่างแปลงดอกไม้กับเหมียวอี้ กล่าวชมความงามของมวลหมู่ดอกไม้

หยางเจาชิงเร่งฝีเท้าเดินมา แล้วถ่ายทอดเสียงรายงานว่า  นายท่าน เซี่ยโห้วลิ่งมาแล้ว 

 อ้อ!  เหมียวอี้ตาเป็นประกาย ยื่นมือไปตบเอวอ่อนของเฟยหงเบาๆ

เฟยหงย่อเข่าทำความเคารพแล้วถอยออกไป แล้วก็พยักหน้าเบาๆ ให้หยางเจาชิงอีก รู้ว่าเหมียวอี้มีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขา จึงหลบเลี่ยงไป

หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะ

ไปเฟยหงเดินออกไป หยางชิ่งที่พรางตัวอยู่หลังต้นไม้ไม่ไกลก็เดินเข้ามาแล้วเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเขารู้เรื่องนี้แล้ว ก้าวขึ้นมากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า  เซี่ยโห้วลิ่งไม่บอกไม่กล่าว จู่โจมกะทันหัน หึหึ 

เหมียวอี้เหล่ตามองเขาพร้อมยิ้มบางๆ ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้ว่าจะใช้ข้ออ้างอะไรเชิญเซี่ยโห้วลิ่งมาจึงจะเหมาะสม กลัวว่าจะเผยพิรุธ จะใช้สมุนไพรจิตวิญญาณเชิญมาโดยตรงก็ทำให้คนสงสัยได้ง่าย ผลปรากฏว่าหยางชิ่งอ้อมค้อมใช้สมุนไพรจิตวิญญาณวางกับดัก ขนาดเหมียวอี้ยังเคยฟังที่มาที่ไปของสมุนไพรจิตวิญญาณเลย คาดว่าเซี่ยโห้วลิ่งคงสืบเจอได้ไม่ยาก ของที่ทำให้พระปีศาจหวั่นไหวได้ มีหรือที่เซี่ยโห้วลิ่งจะไม่สืบ เห็นได้ชัดมากว่าเซี่ยโห้วลิ่งคิดไปเองว่าตัวเองฉลาด กระโจนตัวเข้ามาในกับดักเองแล้ว

บางครั้งคนเราก็เป็นอย่างนี้ ถ้าพูดออกมาตรงๆ อีกฝ่ายอาจจะไม่เชื่อ ให้อีกฝ่ายตัดสินเอาเองต่างหากคือทางเลือกที่ดีที่สุด

 มากันกี่คน?  เหมียวอี้ถาม

 ไม่เยอะขอรับ เท่าที่เห็นมีผู้ติดตามร้อยคน แอบพกมาด้วยอีกหมื่นคน  หยางเจาชิงกล่าว

เหมียวอี้ยิ้ม  หมื่นกว่าคน นั่นก็ถือว่าไม่เยอะจริงๆ 

หยางชิ่งบอกว่า  ในใจเขารู้ชัด ว่าแดนรัตติกาลคือถิ่นของนายท่าน ถ้านายท่านต้องการจะทำอะไรเขาจริงๆ ต่อให้เขานำทัพใหญ่มาล้านคนก็ไม่มีประโยชน์ อาศัยแค่กำลังพลฉากหน้าที่ตระกูลเซี่ยโห้วรวบรวมได้ ต่อให้พามาทั้งหมดก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนายท่านอยู่ดี เขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ว่านายท่านไม่กล้าแตะต้องหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วอย่างเปิดเผย 

เหมียวอี้พยักหน้า  ข้าไม่กล้าแตะต้องเขาจริงๆ ถ้าบีบให้ตระกูลเซี่ยโห้วล้างแค้น ข้าก็รับผลที่ตามมาไม่ไหว 

 เจาชิงติดต่อกับคนข้างนอกแล้ว เว่ยซูไม่ได้มาด้วย!  หยางชิ่งเตือนอีก

เหมียวอี้พลันหรี่ตา  มีเรื่องแบบนี้ แต่ผู้ช่วยอย่างเขากลับไม่มา? หรือว่าจะเป็นเขาจริงๆ? 

 มีโอกาสสูงที่จะเป็นเขา?  หยางชิ่งพยักหน้า

 ถ้าเขามองทะลุแผนการแล้ว แต่กลับปล่อยให้เซี่ยโห้วลิ่งมารนหาที่ตาย หมายความว่ายังไง?  เหมียวอี้ถาม

 ถ้าคนคนนี้มองพี่น้องตระกูลเซี่ยโห้วเป็นหมากจริงๆ เช่นนั้นก็ต้องพิจารณาจุดประสงค์ของเขาแล้ว ดูว่าเขาคำนึงถึงผลประโยชน์ตระกูลเซี่ยโห้ว หรือมีใจทะเยอทะยานอยากควบคุมอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้ว แต่ตามหลักแล้ว การวางกำลังของตระกูลเซี่ยโห้วไม่น่าจะให้คนนอกมาควบคุมได้ง่ายๆ เรื่องปล้นอำนาจมีความเป็นไปได้ต่ำ ถ้าคำนึงถึงผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้วจริง แล้วเป็นอย่างที่คาดไว้ หลังจากเซี่ยโห้วลิ่งตายแล้ว เขาก็จะปรากฏตัวอยู่ข้างกายเฉาหม่าน นั่นก็แสดงว่าเซี่ยโห้วลิ่งถูกเขาทิ้งแล้ว ถ้าเขาไม่มาปรากฏตัวข้างกายเฉาหม่าน ก็แสดงว่าเรื่องนี้ยุ่งยากแล้ว ถ้าเขาไม่สนับสนุน เกรงว่าเฉาหม่านอาจจะรวบรวมกำลังของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ง่ายๆ พวกเราอาจจะต้องติดต่อเพื่อเจรจากับเว่ยซู ถ้าเจรจาไม่ลงตัว เรื่องราวในตอนหลังก็จะเปลี่ยนแปลงเยอะมาก อันตรายเกินไป นายท่านอาจจะต้องหยุดแผนการไว้  หยางชิ่งอธิบาย

 นึกไม่ถึงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะเว่ยซู!  เหมียวอี้แสยะยิ้ม และบอกหยางเจาชิงว่า  ปล่อยให้เข้ามา! 

 ขอรับ!  หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปปฏิบัติตาม

นอกจวนผู้สำเร็จราชการ คนนับร้อยเหาะลงมาจากฟ้า เซี่ยโห้วลิ่งที่นำหน้ามาสวมชุดสีขาว ลักษณะองอาจผ่าเผย

เหมียวอี้ออกมาต้อนรับข้างนอกด้วยตัวเอง พอเห็นก็รีบก้าวออกไปกุมหมัดคารวะทันที  ท่านปู่สวรรค์มาเยือนด้วยตัวเอง หนิวขออภัยที่ไม่ได้ไปรับตั้งแต่ไกลๆ! 

 มาโดยไม่ได้เชิญ หวังผู้ตรวจการใหญ่จะไม่ถือสา  เซี่ยโห้วลิ่งกล่าวอย่างเกรงใจ

 ท่านปู่สวรรค์เป็นแขกที่มาไม่บ่อย เป็นเกียรติแก่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล แทบจะดีใจไม่ทัน จะถือสาได้ยังไง เชิญด้านใน!  เหมียวอี้เชิญเข้ามาข้างในอย่างเปิดเผย

ทั้งสองเดินพูดคุยยิ้มแย้มกันเข้ามาในประตู นี่คือการตรวจสอบด้านสุดท้าย เหมียวอี้ออกคำสั่งเองว่าให้ผ่านด่านนี้ไป

เพียงแต่ทำเช่นนี้กับเซี่ยโห้วลิ่งคนเดียว ผู้ติดตามที่เหลือถูกกันไปแล้วตรวจสอบอย่างเข้มงวด สุดท้ายก็ปล่อยให้เขามาเพียงร้อยคน กำลังพลที่แอบพกมาด้วยถูกนำออกมาตรวจสอบทั้งหมด แล้วกันไว้นอกจวนผู้สำเร็จราชการ

ส่วนบนกำแพงจวนผู้สำเร็จราชการก็มีกำลังพลกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวออกมาเฝ้าป้องกันคนกลุ่มนี้ ตามแนวภูเขารอบๆ ก็มีกำลังพลหนึ่งล้านถูกระดมมาเฝ้าป้องกันแล้ว ป้องกันไม่ให้กำลังพลที่เซี่ยโห้วลิ่งพามาก่อกวน

ตึกศาลาที่สวยวิจิตรตระการตา ที่นี่ย่อมมีสถานที่เอาไว้รับรองแขกอยู่แล้ว

ผู้ติดตามของเซี่ยโห้วลิ่งคอยเฝ้าอยู่ตามจุดสำคัญ รอบๆ เป็นพื้นที่เฝ้าระวังอย่างสูง

ในตึกศาลามีเสียงเพลงและระบำแห่งสันติสุข กลุ่มนางระบำแสนสวยกำลังร่ายรำอย่างชดช้อย เสียงระฆังดังไพเราะ เสียงเครื่องสายดังต่ำๆ ท่วงท่าของนางระบำบางครั้งก็ชดช้อยบางครั้งก็เย้ายวน

นางระบำคณะนี้ล้วนถูกส่งมาจากฮ่าวเต๋อฟางในปีนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีสายลับแฝงเข้ามา เหยียนซิวแอบตรวจสอบหมดแล้ว ฮ่าวเต๋อฟางไม่ได้เล่นตุกติกอะไรจริงๆ แต่ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ คณะระบำนี้มีคนเข้าคนออก คนที่ออกไปก็ถูกใจพวกแม่ทัพ เหมียวอี้มอบพวกนางเป็นรางวัลให้ ที่ขาดไปก็ย่อมมีคนเข้ามาเติม เหมียวอี้ไม่ใช่คนที่มีอารมณ์สุนทรีย์อะไรขนาดนั้น ไม่ได้ชอบสิ่งนี้ รู้สึกว่าเลี้ยงคนพวกนี้ไม่สู้เอาทรัพยากรมาเลี้ยงทหารดีกว่า เพียงแต่เมื่ออยู่ในตำแหน่งอย่างเขาแล้ว บางครั้งก็มีแขกมา ก็ต้องนำมารับแขกแก้ขัด เวลามีแขกบางคนมาแล้ว ก็ไม่สะดวกจะทำส่งเดชจริงๆ

แขกบางคนก็ยิ่งมีความชอบด้านศิลปะแบบนี้ ถ้าถูกใจสาวงามคนไหนก็เอ่ยปากขอเหมียวอี้พากลับไปเป็นอนุภรรยาได้เลย ถ้าเปลี่ยนเป็นเหมียวอี้ตอนยังเป็นเด็กหนุ่ม จะต้องไม่ทำเรื่องไร้ยางอายอย่างนี้แน่นอน ต้องไม่รับปากอย่างนี้แน่นอน ทว่าตอนนี้วิธีการมองปัญหาของเหมียวอี้ไม่เหมือนในปีนั้นแล้ว ถ้าพูดจากบางมุมมอง ถ้าปล่อยให้เป็นนางระบำไปจนแก่ก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับผู้หญิง แต่งงานไปเป็นอนุภรรยาคนอื่นจะต้องได้รับการดูแลดีกว่าตอนนี้แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น คนที่เข้ามารับแขกในจวนผู้สำเร็จราชการได้ก็ไม่ได้มีฐานะชาติตระกูลย่ำแย่

สำหรับเรื่องนี้เหมียวอี้ไม่ปฏิเสธ ไม่จำเป็นต้องขัดใจคนเพราะเรื่องนี้ ถือโอกาสมอบสินเดิมเจ้าสาวไปด้วยส่วนหนึ่ง

เจอเรื่องแบบนี้ก็นับว่ายังดี ถ้าเจอเรื่องอีกแบบก็ยุ่งยาก แขกบางประเภทก็เกิดอารมณ์คึกคะนองชั่วคราวมาเล่นเฉยๆ เรียกมาปรนนิบัติคืนหนึ่ง จากนั้นอย่างมากก็ตบเงินรางวัลก้อนหนึ่ง ไม่คิดจะรับผิดชอบเลย ยกตัวอย่างเช่นเซิงมู่เสวี่ยก็เป็นประเภทนั้น ทุกครั้งที่มาก็จะเรียกไปสองคน ทุกครั้งที่มาจะไม่ซ้ำคนเดิม ในคณะระบำ นอกจากบางคนที่มีฐานะหน่อย นอกนั้นเกือบครึ่งก็ถูกเซิงมู่เสวี่ยทำเสียหายหมด ตอนที่โค่วอวี้ฮูหยินของเขามาด้วยกัน เซิงมู่เสวี่ยก็จะไม่ทำเรื่องนี้ แต่ถ้าโค่วอวี้ไม่มา เซิงมู่เสวี่ยก็จะปรากฏธาตุแท้ทันที จากสิ่งนี้ก็รู้เลยว่าทำไมเซิงมู่เสวี่ยจึงมาเล่นเฉยๆ แต่ไม่พากลับบ้าน

สุดท้ายก็เป็นฝั่งเหมียวอี้ที่ช่วยเช็ดก้นให้เขา บรรดาสาวงามที่ถูกปู้ยี่ปู้ย่ำก็ไม่สะดวกจะแต่งงานกับคนมีฐานะแล้ว บางคนโชคดีเจอคนไม่รังเกียจก็สามารถมีสามีเป็นตัวเป็นตนได้อย่างราบรื่น บางคนก็ยินดีจะใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุขต่อไป บางคนที่ไม่เต็มใจอยู่ ฝั่งนี้ก็จะรวบรวมจัดการทีเดียว หลังจากรวบรวมได้จำนวนหนึ่งแล้ว ก็สร้างร้านที่ตลาดสวรรค์ร้านหนึ่ง ส่งให้พวกนาง ให้พวกนางไปจัดการเอาเอง บางคนอยากจะค้นหาเส้นทางชีวิตเอง ฝั่งนี้จะลบพวกนางออกจากบัญชีบ่าวทาส ให้เงินไปจำนวนหนึ่ง

นางระบำหลายสมัยก็คือคนเต้นกินรำกิน วิธีการจัดการของจวนผู้สำเร็จราชการก็นับว่ายังมีคุณธรรม แต่ส่วนใหญ่เป็นนางบำเรอ จะได้รับการปฏิบัติที่ดีได้อย่างไร คนที่มีพื้นเพจากคนเต้นกินรำกินแล้วโชคดีอย่างเสวี่ยหลิงหลงกับเฟยหงนั้นเป็นส่วนน้อย

ค่านิยมในสังคมเป็นแบบนี้ แม้แต่อวิ๋นจือชิวก็ทำได้เพียงด่าว่าผู้ชายไม่มีใครดีสักคน แล้วก็ปิดตาข้างเดียว เพียงแต่กับสาวงามพวกนี้ แม่เสืออย่างอวิ๋นจือชิวตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ให้เหมียวอี้ไปแปดเปื้อน ถ้ากล้าแตะต้อง อวิ๋นจือชิวก็กล้าสู้ตายกับเหมียวอี้ แต่ก็พอจะเข้าใจความคิดของคนพวกนี้ได้ ถึงอย่างไรฐานะของเหมียวอี้ก็ล่อตาล่อใจ กอปรกับหน้าตาก็ไม่ขี้เหร่ บางคนที่อยากจะกลายเป็นหงส์บินขึ้นกิ่งไม้ ก็มาเล่นหูเล่นตาใส่เหมียวอี้ อยากจะกลายเป็นเฟยหงคนที่สอง อวิ๋นจือชิวจึงลงมืออย่างไม่ปรานี นอกจากจะลงโทษอย่างหนักแล้ว จุดจบก็คือถูกส่งเข้าหอนางโลมด้วย

ในจุดนี้ ผู้หญิงทุกคนข้างกายเหมียวอี้ยืนกรานอยู่ฝ่ายอวิ๋นจือชิว ไม่มีการพูดถึงมนุษยธรรมอะไรทั้งนั้น แต่ละคนเบิกตาสังเกตการณ์ ถ้าพบเห็นก็รายงานให้ลงโทษทันที ไม่ให้โอกาสเหมียวอี้ออกนอกลู่นอกทาง ภายใต้การสั่งสอนที่เข้มงวดขนาดนี้ บ่าวไพร่ทั้งจวนผู้สำเร็จราชการไม่มีใครกล้ายั่วยวนเหมียวอี้ เมื่อเห็นเหมียวอี้ก็รีบก้มตา ไม่กล้ามองมาก ทำเอาเหมียวอี้เวลามีความคิดลามกขึ้นมาก็ต้องตัดขาดไป

ไม่ใช่แค่พุ่งเป้าไปที่เหมียวอี้ สรุปก็คือ อวิ๋นจือชิวไม่อยากเห็นผู้หญิงช่างยั่วคิดไม่ซื่อปรากฏตัวอยู่ในบ้าน กับผู้ชายคนอื่นในจวนก็ไม่ได้เช่นกัน นี่ก็คือกฎของบ้านที่นายหญิงอย่างอวิ๋นจือชิวตั้งขึ้นมา!

 ไม่เลวๆ 

ขณะมองนางระบำ เซี่ยโห้วลิ่งก็ยกจอกสุราชนกับเหมียวอี้ แล้วเอ่ยชม

เหมียวอี้ย่อมรู้ว่าความสนใจของเขาไม่ได้อยู่กับสิ่งนี้ อดไม่ได้ที่จะพูดหยอกว่า  อ้อ ไม่ทราบว่าท่านปู่สวรรค์ถูกใจคนไหน? เดี๋ยวจะให้คนส่งไปที่จวนแน่นอน 

เดิมทีระหว่างทั้งสองก็มีฐานะต่างกันอยู่แล้ว ควรจะนั่งแยกกัน แต่เซี่ยโห้วลิ่งกลับดึงดันจะนั่งด้วยกัน การเต้นระบำตรงนี้เป็นการแสดงให้ทั้งสองเชยชม

เซี่ยโห้วลิ่งเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงพร้อมยิ้มแย้ม  ผู้ตรวจการใหญ่ไม่รู้เชียวหรือว่าข้าถูกใจอะไร? 

 ไม่ทราบ หวังว่าท่านปู่สวรรค์จะชี้แนะ  เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ

 บัวโลหิตในมือผู้ตรวจการใหญ่ไง!  เซี่ยโห้วลิ่งจิบสุราอย่างเอื่อยเฉื่อย

เหมียวอี้ถอนหายใจ  ท่านปู่สวรรค์ หนิวเคยบอกไปแล้วไง ว่าข้าโยนบัวโลหิตนั่นทิ้งไปแล้ว 

 ในปีนั้นมีคนอยู่คนหนึ่ง คนเรียกกันว่าบรรพาจารย์อาวุโสมารโลหิต เขาบอกว่าตัวเองเคยเก็บสมุนไพรจิตวิญญาณได้ต้นหนึ่งจากจุดลึกในดาราจักร…  สายตามองระบำ แต่ปากกลับเล่าประวัติและสรรพคุณของสมุนไพรจิตวิญญาณอย่างไม่เร่งรีบ จากนั้นเซี่ยโห้วลิ่งถึงได้หันช้าๆ กลับมาจ้องเหมียวอี้  ตอนนี้ผู้ตรวจการใหญ่รู้แล้วหรือยังว่าทำไมพระปีศาจถึงมาหาเจ้า? 

เหมียวอี้เริ่มขมวดคิ้วอย่างชัดเจน แต่ยังไม่ตอบอะไร

เซี่ยโห้วลิ่งบอกอีกว่า  ของสิ่งนี้เก็บไว้ในมือผู้ตรวจการใหญ่ไม่ดีหรอกนะ! ไม่ใช่แค่พระปีศาจจะมาเอาไป เกรงว่าแม้แต่ตำหนักสวรรค์ ถ้ารู้แล้วก็ต้องบีบให้ผู้ตรวจการใหญ่มอบให้เช่นกัน ทำไมผู้ตรวจการใหญ่ไม่เอามาให้ข้าจัดการล่ะ จะได้ลดปัญหายุ่งยากไง?  น้ำเสียงแฝงการข่มขู่

เหมียวอี้แสยะยิ้ม  ใครกล้าบีบข้า ข้าก็จะมอบสมุนไพรจิตวิญญาณให้พระปีศาจ 

เซี่ยโห้วลิ่งถอนหายใจ  ทำไมผู้ตรวจการใหญ่ต้องใช้อารมณ์ทำงาน? ต่อให้มอบสมุนไพรจิตวิญญาณให้พระปีศาจแล้วยังไงต่อ? พระปีศาจได้สมุนไพรจิตวิญญาณแล้วจะฟื้นพลังกลับมาทันทีเหรอ? ในช่วงเวลานี้ คนในใต้หล้ามีเวลาเพียงพอที่จะทำลายกำลังพลทั้งหมดของผู้ตรวจการใหญ่ได้เลย ทำไมผู้ตรวจการใหญ่ต้องลำบากด้วยล่ะ? 

……………

 

 มักใหญ่ใฝ่สูงเหรอ?  เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้าเบาๆ  ถ้าเข้าไม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงนี้ เกรงว่าคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานเช่นกัน เดินบนเส้นทางนี้แล้ว เดินมาถึงจุดที่เขายืนอยู่แล้ว เขายังมีทางให้ถอยหลับอีกเหรอ? ถ้าทิ้งอำนาจในมือ ไม่มีอำนาจในมือคอยปกป้อง จะมีคนมาคิดบัญชีกับเขามากมายเท่าไรกัน จะมีคนมากมายเท่าไรที่ต้องการให้เขาตาย? ถ้าเขาอยากเติบโตมั่นคงอยู่ในพื้นที่แคบๆ ตรงหน้าเขา ต่อให้เขาไม่ได้คิดวางแผนอย่างอื่น ตระกูลเซี่ยโห้วของข้าก็ไม่ยอมให้ให้ทัพใหญ่ของเขามาบีบตึกศาลาสัตยพรตตลอดไปอยู่ดี รอให้ภายในสงบแล้ว ช้าเร็วก็ต้องกำจัดเขาทิ้ง มิหนำซ้ำเขาก็คือคนที่ประมุขชิงชุบเลี้ยงด้วยมือตัวเอง ประมุขชิงไม่มีทางปล่อยให้เขาหลุดจากการควบคุมหรอก ถ้าไม่เชื่อฟังก็ต้องเปลี่ยนคน ประมุขชิงเป็นคนที่โดนเอาเปรียบได้ง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ? เขาไม่มีทางเลือก มีแต่ต้องทำให้ตัวเองยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น ทำให้ตัวเองยิ่งใหญ่จนคนอื่นไม่กล้าแตะต้องเขา 

เว่ยซูไม่สนใจความเป็นความตายของเหมียวอี้ แต่มองเขาด้วยสีหน้าหลากหลายความรู้สึก  นายท่าน ในเมื่อท่านเดาออกแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อจะลงมือกับคุณชายรอง ท่านทำใจเห็นคุณชายรองเอาชีวิตไปทิ้งแบบนี้ได้จริงๆ เหรอ? 

 เว่ยซูเอ๊ย!  ในดวงตาเซี่ยโห้วท่าฉายแววขื่นขม แต่แววตานั้นก็หายไปเร็วมา  ไม่ใช่ว่าข้าต้องการให้เขาเอาชีวิตไปทิ้ง แต่เขารนหาที่ตายเอง ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วเป็นได้ง่ายๆ ขนาดนั้นเชียวหรือ? เขาอยากนั่งตำแหน่งนั้น ถ้าข้าไม่ให้เขานั่งตำแหน่งนั้น เขาต้องเกลียดข้าแน่นอน ก็ได้ ข้าให้เขาสมปรารถนา ให้เขาแล้ว แต่ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เขาเป็นหัวหน้าตระกูลยังไงล่ะ? ข้าไม่ได้แทรกแซงเขา ไม่ได้ช่วยพี่น้องเขาด้วย ข้าซ่อนตัวอยู่หลังม่านมาตลอด ไม่ใช่อิทธิพลใดๆ ตักน้ำใส่ถ้วยให้เท่ากัน ปล่อยให้เขาแสดงความสามารถ แต่ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เขาก็ไม่สามารถรวมกำลังของตระกูลเซี่ยโห้วมาไว้ในมือได้ 

 นายท่าน ท่านเองก็รู้ มีเล่นเล่นไม่ซื่อ เป็นเพราะมีหนิวโหย่วเต๋อคอยเสี้ยมอยู่ตรงกลางนะ!  เว่ยซูกล่าวเสียงเศร้า

 นี่คือเหตุผลเหรอ?  เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้าถอนหายใจยาว  นี่ไม่ใช่เหตุผล นี่ไม่ใช่เหตุผลเลยจริงๆ! ก่อนที่จะนั่งตำแหน่งนั้น เขาก็ควรจะเข้าใจแล้ว ว่าต้องไปรับคำท้าทาย ต้องไปเผชิญหน้ากับความลำบาก ต้องไปเผชิญการกลั่นแกล้งจากคนอื่น ต้องไปเผชิญหน้ากับทวนในที่แจ้งธนูในที่ลับต่างๆ นานา จะราบรื่นตามลมตามน้ำได้ยังไง? คนทั้งนอกทั้งในตระกูลจะยอมให้เขาสมปรารถนาได้ยังไง? มีคนเสี้ยม แต่เขาก็มองไม่ออก รับมือไม่ไหว เป็นเพราะเขาไร้ความสามารถ! 

 นายท่าน ท่านสามารถเปลี่ยนคนขึ้นรับตำแหน่งได้ ความผิดนี้ไม่ถึงตายหรอก! สามารถให้คุณชายรองถอนตัวจากสังคมไปอยู่ที่สมาคมอาวุโสได้ ขอเพียงท่านเอ่ยปาก คุณชายรองก็จะยอมรับ  เว่ยซูกล่าว

เซี่ยโห้วท่าบอกว่า  ใช่! ถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างก็พูดง่าย เพราะข้าสามารถข่มพวกเขาได้ พวกเขาไม่กล้ากบฏ แต่ถ้าข้าตายไปแล้วล่ะ? เจ้ารองคงไม่คิดว่าตัวเองไร้ความสามารถหรอก ไม่คิดว่าเป็นความผิดของตัวเอง ไม่คิดว่าตัวเองทำได้ไม่ดี ทำไมคนไร้ความสามารถจึงไร้ความสามารถล่ะ? ก็เพราะไม่รู้ตัวว่าตัวเองไร้ความสามารถไง ไม่รู้จุดอ่อนของตัวเอง มีแต่จะหาปัจจัยภายนอก เขาจะคับแค้นใจ รู้สึกว่าข้าปลดเขาออก รู้สึกว่าข้าไม่ยุติธรรมต่อเขา เว่ยซู เจ้าคิดว่าคนแบบนี้เข้าได้เหรอ? เจ้ากล้ารับประกันมั้ยว่าหลังจากข้าตายแล้ว เขาจะไม่ใช้อิทธิพลของตัวเองก่อกวน? ก็ได้ ต่อให้ทุกอย่างที่กล่าวมาจะไม่เกิดขึ้น แต่เจ้าคิดว่าหัวหน้าตระกูลคนใหม่จะเก็บปัญหาคาราคาซังนี้ไว้เหรอ? ถ้าเขาไม่เคยนั่งตำแหน่งหัวหน้าตระกูล หัวหน้าตระกูลคนใหม่อาจจะปล่อยเขาไปได้ แต่เขาดันเคยนั่งตำแหน่งนั้นมาแล้ว คนที่ได้นั่งตำแหน่งนั้น ถ้าไม่สำเร็จก็ล้มเหลว คนชนะเป็นเจ้า คนแพ้ไม่มีศักดิ์ศรีอะไร ถ้าเขารอดชีวิตอยู่ไปวันๆ ต่อให้หัวหน้าตระกูลคนใหม่ปล่อยเขาไป แต่ก็ไม่มีทางปล่อยคนของเขา จะต้องขุดรากถอนโคนกำลังคนของเขาให้หมดสิ้น เพื่อกำจัดปัญหาคาราคาซัง ไม่ให้โอกาสเขาได้หวนคืนมาอีก ถึงตอนนั้นภายในตระกูลจะต้องมีการล้างเลือดแน่ เขาคนเดียวรอดชีวิต แต่ผลที่ตามมาคือมีคนตายมากขึ้น ถึงขั้นทำให้ภายในตระกูลเกิดความวุ่นวายใหญ่โตด้วย เว่ยซู ถ้าเจ้าเป็นข้า เจ้าจะเลือกยังไง? 

เว่ยซูตะลึงงันพูดไม่ออก ตอนนี้ถึงได้พบว่าการเป็นหัหน้าตระกูลเซี่ยโห้วมีราคาต้องจ่ายมากขนาดนี้ คนที่ประสบความสำเร็จถึงจะมีชีวิตรอด คนที่ทำไม่สำเร็จก็มีแต่ทางตาย ไม่ใช่แค่คนนอกที่ต้องการให้เจ้าตาย คนในตระกูลก็ต้องการให้เจ้าตายเช่นกัน แม้แต่บิดาแท้ๆ ก็ยังไม่ปล่อยเจ้าไปเลย

 นายท่าน จะให้โอกาสคุณชายรองสักครั้งไม่ได้เชียวเหรอ?  เว่ยซูขอร้องแล้วจริงๆ

สาเหตุแรก ถึงอย่างไรเขากับเซี่ยโห้วลิ่งก็อยู่ด้วยกันมาหลายปี ปรับตัวเข้าหากันมาหลายปีขนาดนั้น เริ่มมีความผูกพันธ์แล้วนิดหน่อย ต่อให้ไม่ใช่ความผูกพันแต่ก็มีไมตรีอยู่บ้าง เซี่ยโห้วลิ่งดูแลเขาไม่ขาดตกบกพร่อง สาเหตุต่อมา เขาอยู่ในฐานะบ่าวรับใช้ จะเห็นด้วยกับการส่งเซี่ยโห้วลิ่งไปตายโดยไม่ลังเลต่อหน้าเซี่ยโห้วท่าได้อย่างไร? เขาย่อมต้องโน้มน้าวอยู่แล้ว

เซี่ยโห้วท่ารินสุราใส่จอก ชูจอกสุรามองฟ้า กล่าวเสียงเบาว่า  จะไม่ให้โอกาสเขาได้ยังไง? อย่างไรเสียก็เห็นเขาเติบโตอยู่ข้างกายมาตลอด คนเราไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้าที่ไร้ความรู้สึก ข้าเดาว่าหนิวโหย่วเต๋อจะต้องใช้ประโยชน์จากเจ้าหกมาเสี้ยมให้พี่น้องทะเลาะกันอีก แล้วกดดันเจ้าสามต่อไป ดังนั้นข้าจึงยอมเปิดเผยต่อเจ้าหกว่าตัวเองแกล้งตาย ติดต่อเจ้าหกโดยตรง บีบให้เจ้าหกถอยไป บีบให้เจ้าหกยอมปล่อยอำนาจมหาศาลในมือ บีบให้เจ้าหกปลีกวิเวกไปอยู่ที่สมาคมอาวุโส เพราะจะทำให้หนิวโหย่วเต๋อรู้จักหวาดกลัว 

พอดื่มอึกเดียวหมดครึ่งจอก ก็พูดต่อว่า  พอมาดูตอนนี้ เป็นข้าเองที่ใช้ความรู้สึกมากไป หนิวโหย่วเต๋อวางลูกศรบนสายธนูแล้ว มิอาจไม่ยิง ในมือเขามีสิ่งที่พวกเราต้องการ ไม่กลัวเลยว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะแตกคอกับเขา พอข้าได้รับข้อความจากเจ้า ทันทีที่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อสืบข่าวเรื่องบัวโลหิตจากเจ้ารอง ข้าก็รู้ว่าจบแล้ว สุดท้ายหนิวโหย่วเต๋อก็ยังจะลงมือกับเจ้ารอง ไม่คิดจะปล่อยเจ้ารองไป วางกับดักเอาไว้แล้ว แล้วเจ้ารองก็เดินเข้าไปในกับดักอย่างนั้นแล้ว! น่าขำที่เจ้ารองยังคิดจะไปเยี่ยมเยียนกะทันหัน จะทำให้หนิวโหย่วเต๋อทำอะไรไม่ถูก บีบให้หนิวโหย่วเต๋อมอบบัวโลหิตให้ หารู้ไม่ว่าหนิวโหย่วเต๋อรอให้เขาไปเยี่ยมเยียนตั้งนานแล้ว หนิวโหย่วเต๋อตั้งใจวางกับดักรอให้เจ้ารองเป็นฝ่ายยื่นคอเข้าไปเองตั้งแต่แรกแล้ว! 

เขาตบจอกสุราลงบนโต๊ะ แล้วชี้เว่ยซู ตำหนิอย่างโกรธเคืองว่า  โง่เขลาเบาปัญญา ทำไมโง่เขาขนาดนี้! ข้าดึงเจ้าหกออกมาเพื่อเตือนพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าติดต่อเจ้าหกไม่ได้ แต่กลับไม่ตื่นตัวเลยสักนิด ถูกบัวโลหิตหลอกล่อจนเลอะเลือน ใจร้อนอยากสำเร็จไวๆ ดึงดันจะกระโดดเข้าไปในกับดักให้ได้ เจ้าลองพูดมาซิ เป็นข้าที่ไม่ให้โอกาสเขา หรือเป็นเขาเองที่รีบร้อนไปรนหาที่ตาย? คนแบบนี้จะเป็นหัวหน้าตระกูลได้ยังไง? จะนำเรืออย่างตระกูลเซี่ยโห้วฝ่าคลื่นลมเดินต่อไปข้างหน้าได้ยังไง หรือจะให้เขานำพาทั้งตระกูลเซี่ยโห้วชนโขดหินจมลงเหรอ? ข้าให้โอกาสเขาแล้ว เป็นเขาเองที่ทิ้งมันไป ถ้าข้าช่วยเขาอีกครั้ง ปล่อยให้เขานั่งตำแหน่งนั้นต่อไป ก็เท่ากับไม่ยุติธรรมต่อลูกชายคนอื่น เท่ากับปล่อยให้เขาลากพี่น้องทั้งหมดลงไปตายด้วย เจ้าคิดว่าข้าควรจะทิ้งเขามั้ยล่ะ? 

เขายกกาสุรารินต่อ ความโกรธยังไม่หายไป แต่น้ำเสียงกลับเปลี่ยนเป็นนสงบนิ่งขึ้น  เว่ยซู หลังจากเขาเป็นหัวหน้าตระกูลแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบข้าไม่เคยแทรกแซงการตัดสินใจอะไรของเขาเลย ต่อให้เป็นตอนนี้ ข้าก็แค่ไม่เข้าไปแทรกแซงเขาก็เท่านั้นเอง เขาไม่ใช่เด็กน้อยสามขวบ เขามีการตัดสินใจของตัวเอง สุราขมที่เขากลั่นเอง เขาก็ต้องลิ้มรสด้วยตัวเอง! ถ้าเขามีความสามารถพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ นั่นจะเป็นบทเรียนที่จ่ายเงินเท่าไรก็ซื้อไม่ได้ มีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสีย ถ้าข้าตายไปแล้ว เป็นการแจ้งเตือนดังๆ ให้หัวหน้าตระกูลคนถัดไปเช่นกัน…หลายปีก่อนข้าลังเลมาตลอด แต่สุดท้ายก็แข็งใจสร้างสถานการณ์ให้ลูกชายตัวเองได้รับความทุกข์สักหน่อย ตอนนี้ข้าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ทำได้เพียงให้คนอื่นไปสั่งสอน แล้วตัวเองก็ทำเป็นไม่เห็น ! 

ที่แท้คุณชายหกก็ถูกบีบให้ถอยไปที่สมาคมอาวุโส! เว่ยซูมองเขาอย่างเหม่อลอย ในสมองมีแต่ความว่างเปล่า พึมพำว่า  เป็นเพียงการคาดเดาของนายท่าน คุณชายรองอาจยังมีโอกาส 

 ตอนบีบให้เจ้าหกถอยออกไป ข้าพิสูจน์กับเจ้าหกแล้ว ในปีนั้นเจ้าหกเอาข่าวที่เจ้ารองจะลงมือกับพี่น้องมาจากหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ จึงเตือนเจ้าสามและคนอื่นๆ ได้ทันเวลา  เซี่ยโห้วท่ากล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงปกติ

เว่ยซูตัวสั่น ดวงตาฉายแววสิ้นหวัง  ล้วนเป็นความผิดของเว่ยซู ไม่ได้เตือนคุณชายรองให้ทันเวลา  ขณะที่พูดก็คลานออกไปนิดหน่อย แล้วคุกเข้าเอาศีรษะโขกพื้น น้ำตาเริ่มไหลอาบใบหน้า

ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้นายท่านต้องให้เขาอ้างเหตุผลหลบเลี่ยงไม่ไปกับคุณชายรอง เพราะรู้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องชี้แจงอะไรกับคุณชายรองอีกแล้ว นายท่านดึงเขาเอาไว้ในช่วงเวาสำคัญ ไม่ให้เขากระโจนเข้าสู่ความตาย

ยอมให้ลูกชายตัวเองไปตาย แต่ไม่ยอมให้เขาไปตาย แสดงว่าในสายตาของนายท่าน เขายังสำคัญกว่าลูกชายของนายท่านเสียอีก

นายท่านทำได้ถึงขั้นนี้ เขายังจะพูดอะไรได้อีก บุญคุณยิ่งใหญ่ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ทำได้เพียงโขกศีรษะกับพื้นไม่หยุด

เซี่ยโห้วท่าใช้ตะเกียบคีบอาหารทะเล ไม่ได้กล่าวอะไร รับไว้อย่างสงบใจ ไม่พูดอะไร และไม่ได้ห้ามอะไร

หลังจากนั้นพักใหญ่ เว่ยซูที่หัวแตกก็อารมณ์สงบแล้ว เงยหน้าถามว่า  จะเอาแต่ดูแผนชั่วของหนิวโหย่วเต๋อสำเร็จหรือขอรับ? 

เซี่ยโห้วท่าหยุดใช้ตะเกียบ จ้องเขาอย่างเย็นเยียบ  ความโง่ติดต่อกันได้เหรอ? อยู่กับเจ้ารองนานแล้ว เจ้าเองก็เลอะเลือนเหมือนกันเหรอ? ถ้าข้าจะทำลายแผนชั่วของหนิวโหย่วเต๋อ ก็ทำให้เขาตายโดยไร้ที่ฝังได้ทุกเมื่อ อาศัยแค่สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ ขอเพียงข้าบอกให้ฮ่าวเต๋อฟางรู้ ฮ่าวเต๋อฟางจะปล่อยเขาไปเหรอ? เจ้าต้องเข้าใจนะ ไม่ว่าจะเป็นอาณาเขตทัพใต้ที่ฮ่าวเต๋อฟางครอบครอง หรืออาณาเขตทัพใต้ที่หนิวโหย่วเต๋อครอบครอง สำหรับตระกูลเซี่ยโห้วแล้วไม่มีอะไรต่างกัน ภัยคุกคามใหญ่สุดของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ใช่หนิวโหย่วเต๋อ แต่เป็นพระปีศาจ หนิวโหย่วเต๋อน่ะ ตราบใดที่มีผลประโยชน์ก็จะร่วมงานกับตระกูลเซี่ยโห้ว ส่วนพระปีศาจล่ะ? ถ้าพระปีศาจฟื้นกลับร่างจริงเมื่อไร…ข้ารู้จักพระปีศาจดีเกินไป พระปีศาจจะต้องทำลายทั้งตระกูลเซี่ยโห้วแน่! อาศัยพลังอภินิหารของพระปีศาจ ถ้าถูกเขาจับได้เมื่อไร ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่มีความลับอะไรให้ปกปิดเลย โดนเขาขุดขึ้นมาทั้งรากแน่ ไม่มีทางฟื้นคืนได้อีกตลอดไป! หนิวโหย่วเต๋อลงมือในเวลา ก่อนหน้านี้ข้าสงสัยว่าในใอหนิวโหย่วเต๋อมีของอะไรที่ช่วยให้เจ้าสามรวบรวมใจคนตระกูลเซี่ยโห้วได้ ตอนนี้ถึงได้รู้ ที่แท้ก็เป็นสมุนไพรจิตวิญญาณของมารโลหิตตามตำนานในปีนั้น 

 ไอ้หนิวจัญไรมันปลิ้นปล้อนนัก นายท่านไม่กลัวว่าสมุนไพรจิตวิญญาณนั่นจะเป็นเรื่องหลอกลวงเหรอ?  เว่ยซูถาม

เสียงดังปั้ง เซี่ยโห้วท่าใช้ตะเกียบในมือตบโต๊ะอย่างแรง ทำเอาเว่ยซูตกใจ  เลอะเลือน! ตระกูลเซี่ยโห้วประคองเขาขึ้นมาได้ ก็ทำลายเขาได้ ถ้าเขาทำสำเร็จแล้ว จะต้องพึ่งพาตระกูลเซี่ยโห้วให้ช่วยเขาคุมอาณาเขตทัพใต้ให้สงบแน่นอน ถ้าเขาหลอกลวงเรื่องนี้ เขาก็รับผลที่ตามมาไม่ไหวแน่ ดังนั้นสมุนไพรจิตวิญญาณจะต้องมีอยู่จริงแน่นอน! ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ สำหรับตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว การกำจัดพระปีศาจเหนือกว่าอะไรทั้งนั้น กำลังของตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องปรองดองเป็นหนึ่งเดียว เจ้ารองหมดความน่าเชื่อถือแล้ว ทำให้เกิดผลที่ไม่อาจคาดเดา ถ้าเจ้าสามสามารถใช้สมุนไพรจิตวิญญาณสู้กับพระปีศาจได้ ก็จะได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากทุกคน เพื่อป้องกันไม่ให้พระปีศาจกลับมาอีกครั้ง ข้าทุ่มเทมาหลายปี ทำให้คนในใต้หล้าหวาดกลัวพระปีศาจเหมือนกลัวเสือ ก็เพราะไม่อยากให้โอกาสเขากลับมาผงาดอีกครั้ง หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่มีทางให้ปีศาจแบบนี้ฟื้นชีพเช่นกัน ถ้าไม่ให้สมุนไพรจิตวิญญาณกับพระปีศาจ เขาก็กังวลว่าพระปีศาจจะมาล้างแค้น ถ้าเขาต้องการให้ตระกูลเซี่ยโห้วช่วยคุมอาณาเขตทัพใต้ให้สงบ ก็ต้องพยายามให้ความร่วมมือเต็มที่กับตระกูลเซี่ยโห้วเพื่อกำจัดพระปีศาจ ดังนั้นในเวลานี้ถ้าหนิวโหย่วเต๋อยิ่งมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งเป็นผลดีให้พวกเราสู้กับพระปีศาจ ด้วยเหตุนี้ มอบอาณาเขตทัพใต้ให้เขาแล้วจะเป็นไรไป? ต้องทำให้เขาสงบ เอาเป็นว่าจะปล่อยให้เขามอบสมุนไพรจิตวิญญาณให้พระปีศาจไม่ได้เด็ดขาด! ข้าใกล้จะสิ้นอายุขัยแล้ว ก่อนตายจะต้องกำจัดพระปีศาจให้ได้! 

…………………

 

เพราะอะไรถึงไปสมคบกัน เรื่องนี้เอ่ยปากค่อนข้างลำบาก อย่างไรเสียก็เป็นพี่น้องฆ่ากันเอง เว่ยซูลังเลนิดหน่อย

เซี่ยโห้วท่าไม่เร่งเร้าเขาเช่นกัน หรี่ตาเคี้ยวอาหารทะเลแล้วจิบสุรา

หลังเว่ยซูครุ่นคิดสักครู่หนึ่ง ก็ยอมบอกแล้วว่า  คุณชายสามอาจจะกังวลว่าคุณชายรองคิดจะฆ่าเขา 

เซี่ยโห้วท่าเคี้ยวอาหาร เสียงพูดอู้อี้เล็กน้อย  ตอนนี้เข้าใจแล้วสินะว่าทำไมหนิวโหย่วเต๋อถึงสงบนิ่งเยือกเย็นแบบนั้น? ก็เพราะหนิวโหย่วเต๋อแน่ใจแล้วว่าเจ้ารองกับเจ้าสามอุจจาระกระโถนเดียวกันไม่ได้ แน่ใจแล้วว่าเจ้าสามจะต้องลงมือกับเขา ไม่ร่วมมือกับเจ้ารองแล้วแตกคอกับเขาหรอก 

เว่ยซูอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ  คุณชายสามเลอะเลือนแล้ว! 

 เลอะเลือนเหรอ?  เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้า  ในเมื่อข้าวางเจ้าสามไว้ตำแหน่งนั้นได้ ก็แสดงว่าข้ารู้ดีว่าเจ้าสามเป็นคนอย่างไร ถ้าไม่แน่ใจว่าเจ้ารองจะลงมือกับเขา เขาก็ไม่ถึงขั้นไปสมคบกับคนนอกเพื่อปกป้องตัวเองหรอก ก็เพราะข้ารู้จักเจ้าสามดีไง เช่นนั้นแสดงว่าเกิดปัญหาแล้ว เจ้าสามน่าจะรู้ อาศัยกำลังที่มีอยู่ในมือเจ้ารอง ในตอนนั้นคิดจะแตะต้องเขาก็ยากเช่นกัน เจ้ารองเองก็ไม่กล้าเผยเจตนาสังหารบีบให้เจ้าสามจนตรอกเป็นสุนัขกระโดดกำแพง เช่นนั้นเจ้าสามแน่ใจได้ยังไงล่ะว่าเจ้ารองจะลงมือกับเขา? ทำไมเจ้าสามถึงไปสมคบกับหนิวโหย่วเต๋อทันที? ทำไมเจ้าสามถึงอดใจรอไม่ไหว ไปสมคบกับคนนอกเพื่อมาคานอำนาจในตระกูล? 

เว่ยซูตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ถามเสียงต่ำว่า  ต้องเป็นเพราะคุณชายสามได้ข่าวจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เลยเชื่อว่าคุณชายรองต้องการจะฆ่าเขา! 

 เจ้าลองคิดดูอีกที่ว่าตอนนั้นทำไมหนิวโหย่วเต๋อถึงสงบเยือกเย็นต่อเจ้ารองขนาดนั้น ไม่รู้สึกว่าน่าสงสัยเหรอ?  เซี่ยโห้วท่าถาม

 เป็นหนิวโหย่วเต๋อที่วางอุบายแน่นอน!  เว่ยซูตกใจ

เซี่ยโห้วท่าดื่มสุราอึกหนึ่งเพื่อกลืนเศษอาหารในปาก  ข้าก็เลยคิดว่า ข่าวที่ทำให้เจ้าสามเชื่อจริงๆ ว่าเจ้ารองจะสังหารเขามาจากที่ไหน ถ้าเป็นคนนอกให้ข่าวกับเจ้าสาม เจ้าสามจะต้องสงสัยแน่ อย่างไรเสียคนนอกก็คือคนนอก เขาคุมตึกศาลาสัตยพรตมาหลายปี มีหรือที่จะโดนคนนอกโจมตีได้ง่ายขนาดนั้น เช่นนั้นแหล่งที่มาของข่าวที่ดูเป็นไปได้มากที่สุดก็คือคนในตระกูล หนิวโหย่วเต๋อวางอุบายแล้ว คนในตระกูล คนที่ทำให้เจ้าสามเชื่อได้ ความสัมพันธ์ระหว่างสามคนนี้ทำให้ข้าต้องพุ่งเป้าหมายไปที่เจ้าหกที่อยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ 

เว่ยซูยิ่งฟังก็ยิ่งตกใจ  คุณชายหกโดนเปิดโปงแล้ว? 

เซี่ยโห้วท่าอธิบายว่า  ข้าลองนึกถึงสถานการณ์ที่เจ้าหกอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อีกที มองผ่านๆ เหมือนไม่ถูกเปิดโปง แต่พอมองให้ละเอียดถึงได้พบ ว่าเวลาส่วนใหญ่เจ้าหกจะถูกกันให้ออกนอกจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ให้ไปบริหารโถงชุมนุมอัจฉริยะกับสวีถังหราน หนิวโหย่วเต๋อไม่ให้เจ้าหกมีอำนาจทางทหารเลยตั้งแต่แรก แอบป้องกันเจ้าหกมาตั้งแต่แรกแล้ว ข้าเพิ่งจะเข้าใจ บางทีเจ้าหกอาจจะถูกเปิดโปงตัวตนมาตั้งแต่แรกแล้ว ข้าเลยกำลังคิดว่าเจ้าหกถูกเปิดโปงได้ยังไงกันแน่ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้ากำลังลับที่ตระกูลเซี่ยโห้วางไว้ถูกคนขุดเจอได้ง่ายๆ จะไม่แย่หรอกหรือ มีความเป็นไปได้ต่ำว่าเจ้าหกจะเปิดโปงตัวเอง ข้าสงสัยว่ารอบกายเจ้าหกมีปัญหาอะไรหรือเปล่า พอลองจัดระเบียบความเกี่ยวข้องระหว่างเจ้าหกกับจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลดูอีกที ก็พบปัญหาหนึ่ง โถงชุมนุมอัจฉริยะที่เจ้าหกช่วยหนิวโหย่วเต๋อบริหาร เดิมทีก็มีขอบเขตงานไปในทิศทางเดียวกับตอนเจ้าหกทำที่ตระกูลเซี่ยโห้ว ข้าถึงตระหนักได้ว่าหนิวโหย่วเต๋ออาจไม่ใช่แค่มองทะลุตัวตนเจ้าหก แต่ยังรู้ด้วยว่าเจ้าหกควบคุมด้านไหนของตระกูลเซี่ยโห้ว ส่วนเจ้าหกก็ต้องแสดงความสามารถเพื่อให้หนิวโหย่วเต๋อเชื่อใจ หนิวโหย่วเต๋อกำลังใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในมือเจ้าหกเพื่อบุกเบิกช่องทางทำเงิน สะสมกำลังทรัพย์ให้เขา 

เว่ยซูสูดหายใจอย่างตกตะลึง  เจ้าเวรนี่เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว! 

เซี่ยโห้วท่าบอกว่า  ถ้าเจ้าหกถูกเปิดโปงบนความเกี่ยวข้องนี้ ทั้งยังถูกเปิดโปงตั้งแต่แรก…ข้าจะสันนิษฐานต่อไปในทิศทางนี้ก็แล้วกัน จะให้ความสนใจพันธมิตรทะเลดาวที่ผงาดขึ้นมาตั้งแต่เริ่มตั้งโถงชุมนุมอัจฉริยะ เตรียมจัดระเบียบข้อมูลย้อนไปตั้งแต่ต้น ผลปรากฏว่าสืบไปสืบมาก็เจอปัญหาเลย สืบเจอว่าฉู่อันเทียน หัวหน้าพันธมิตรทะเลดาวไม่ยอมและกำลังถูกควบคุมอยู่ แอบมีลูกเมียซ่อนไว้เพื่อเป็นทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง ในเมื่อต้องการจะสืบอย่างละเอียดอีกรอบ ก็ต้องสืบโดยไม่ปล่อยผ่านจุดน่าสงสัยใดๆ ข้าสั่งให้คนแอบจับฉู่อันเทียนมาสอบสวนอย่างเข้มงวดทันที ขุดความจริงจากปากฉู่อันเทียนได้แล้ว ที่แท้ฉู่อันเทียนก็มีทักษะพิเศษประจำตัวอย่างหนึ่ง คือสามารถแยกแยะคนได้จากกลิ่นกาย เขาคิดหาทางสืบสาวไปหาคนที่ควบคุมเขา เขาสืบไปเรื่อยๆ จนเจอเจ้าหก เดิมทีเขาก็ไม่กล้าเปิดโปงเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่าสวีถังหรานนั่นจะเพ่งเล็งกำลังพลของพันธมิตรทะเลดาวเพื่อบุกเบิกโถงชุมนุมอัจฉริยะ ทำทุกวิถีทางเพื่อควบคุมลูกเมียของฉู่อันเทียนเอาไว้ ฉู่อันเทียนจึงแอบไปพึ่งพาสวีถังหราน ความลับนี้ก็ตกอยู่ในมือสวีถังหรานเช่นกัน ตอนหลังเรื่องราวก็ง่ายแล้ว เจ้าหกไปสมัครงานที่ตลาดผีพอดี ถามหน่อยว่าพอหนิวโหย่วเต๋อเห็นรายชื่อแล้ว จะไม่รู้เชียวหรือว่าข้างกายมีสายลับของตระกูลเซี่ยโห้ว? 

ความสามารถในการไล่สืบอย่างละเอียดแม่นยำแบบนี้ เว่ยซูรู้สึกชินกับความสามารถของนายท่านแล้ว ถ้าไม่มีความสามารถนี้ แล้วจะสร้างตระกูลเซี่ยโห้วที่ใหญ่โตขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งที่เว่ยซูตกตะลึงจริงๆ ก็คือความสามารถในการควบคุมตระกูลเซี่ยโห้วของนายท่าน นายท่านแอบสืบเรื่องพวกนี้ ไม่น่าเชื่อว่าฝั่งนี้จะไม่สังเกตเห็นเลยสักนิด

เขาสงสัยว่าเซี่ยโห้วท่าใช้งานคนของสมาคมอาวุโสที่ซ่อนตัวอยู่ในตระกูลหรือเปล่า

เขาย่อมพูดสิ่งเหล่านี้ออกมาไม่ได้ เพียงกล่าวอย่างเคียดแค้นว่า  ฉู่อันเทียนคนนี้ทำลายงานใหญ่ ให้อภัยไม่ได้! 

เซี่ยโห้วท่าโบกตะเกียบที่อยู่ในมือ  เขาเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ในเมื่อสืบไปถึงตัวเขาแล้ว เขาก็ไม่มีเส้นทางอื่นให้เดินนอกจากกลับมาสวามิภักดิ์ตระกูลเซี่ยโห้วอีกครั้ง ไม่จำเป็นต้องแตะต้องเขาด้วย เก็บเขาไว้ อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น เก็บหมากซ้อนกลเอาไว้ตรงนั้น ในอนาคตอาจจะแสดงบทบาทได้มากกว่านี้ นี่ต่างหากที่มีความหมายกว่า 

 ดังนั้นหนิวโหย่วเต๋อจึงแสร้งไม่รู้ฐานะของคุณชายหก แอบหลอกใช้ให้คุณชายหกเสี้ยมความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง คุณชายสามถึงได้ตกหลุมพรางหนิวโหย่วเต๋อแล้ว?  เว่ยซูถาม

เซี่ยโห้วท่าพยักหน้า  เจ้าสามถูกกดดันจนไร้ทางเลือก เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง จึงทำได้เพียงร่วมมือกับหนิวโหย่วเต๋อ หารู้ไม่ว่าถูกกดดันให้จนตรอกแล้ว ขี่หลังเสือแล้วลงยาก ตั้งแต่เขาเริ่มร่วมงานกับหนิวโหย่วเต๋อ เจ้ารองรู้แล้วก็ไม่มีทางปล่อยเขาไป ถ้าไม่ใช่เขาตาย ก็เป็นเจ้ารองที่ตาย ระหว่างสองคนนี้ สุดท้ายก็ต้องตายไปคนหนึ่ง  พูดจบก็ลิ้มรสอาหารทะเลอย่างใจเย็น แล้วจิบสุราล้างปาก

เว่ยซูมีหน้าเศร้าสร้อย จ้องเขาครู่หนึ่ง แล้วถามว่า  นายท่าน ในเมื่อนายท่านรู้ตั้งนานแล้ว ทำไมไม่รีบเตือนให้ทันเวลา? 

เซี่ยโห้วท่าเคี้ยวอาหารพลางตอบว่า  ก็เหมือนที่ข้าบอกก่อนหน้านี้ เดิมทีข้าไม่อยากเข้ามาแทรกแซงเรื่องพวกนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะพระปีศาจหนานโปกลับมาอีกครั้ง ข้าก็จะไม่บอกเรื่องพวกนี้กับเจ้าเช่นกัน ตอนนี้เจ้าคงไม่ได้มาอยู่ตรงหน้าข้าด้วย ที่จริงเจ้ากับข้าล้วนเข้าใจ หลังจากข้าตายไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครได้นั่งตำแหน่งหัวหน้าตระกูล ก็ล้วนคิดหาทางกุมอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วอยู่แล้ว เรื่องพี่น้องฆ่ากันเองก็เลี่ยงไม่ได้ ข้าขัดขวางได้ชั่วคราว ไม่อาจขัดขวางไปได้ตลอด สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดี ข้ายื่นมือมาแทรกแซง ผลที่ตามมาก็มีแต่จะทำให้พวกเขาแค้นฝังลึกกว่าเดิม ผลจากการควบคุมไว้ เวลาปะทุขึ้นมาก็รุนแรงยิ่งกว่าเดิม ข้าจะใช้อารมณ์ไม่ได้ เกิดอยู่ในตระกูลแบบนี้ เป็นทั้งวาสนาทั้งเคราะห์ของพวกเขา 

เว่ยซูไม่รู้ว่าควรจะพูดดีมั้ยว่าเขาไร้น้ำใจ ถามว่า  นายท่านหมายความว่า คุณชายรองไปจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลครั้งนี้มีอันตราย? 

เซี่ยโห้วท่าชำเลืองเขาแวบหนึ่ง  หรือเจ้าคิดว่าเขาไม่มีอันตรายล่ะ? 

 เขาจะกล้าลงมือกับหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วเชียวเหรอ? ต่อให้เป็นประมุขชิงก็ไม่กล้าทำอย่างนี้  เว่ยซูตอบ

เซี่ยโห้วท่าบอกว่า  นั่นเป็นเพราะประมุขชิงไม่รู้ถึงความขัดแย้งระหว่างพวกเขาพี่น้อง ไม่รู้ถึงศักยภาพของเจ้ารอง ไม่รู้ถึงสภาพการจัดระเบียบกำลังภายในตระกูลเซี่ยโห้ว ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าประมุขชิงจะพลาดโอกาสนี้เหรอ? หนิวโหย่วเต๋อที่แอบแทรกแซงกลับรู้อยู่แก่ใจ ก่อนหน้านี้พูดไปตั้งเยอะ เจ้ามองไม่ออกเชียวเหรอ? ข่าวลือพวกนั้นพุ่งเป้าไปที่เจ้าสาม หนิวโหย่วเต๋อกำลังปล้นอำนาจจากเจ้าสามไง! 

 ใช่ว่าคุณชายรองจะไม่เคยสงสัยว่าข่าวลือเป็นฝีมือหนิวโหย่วเต๋อ แต่บ่าวไม่เข้าใจ ว่าหนิวโหย่วเต๋อรู้ได้ยังไงว่าพวกเรารู้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับหกลัทธิแล้วปล่อยข่าวลือ หรือว่าคุณชายสามเผยพิรุธ?  เว่ยซูไม่เข้าใจ

เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจแล้วอธิบายว่า  เจ้าสามไม่ถึงขั้นทำลายรากฐานของตระกูลเซี่ยโห้วหรอก ถ้าเขาไม่มีแม้แต่พื้นฐานข้อนี้ ตอนแรกข้าไม่ส่งเขาไปรับตำแหน่งที่นั่น ส่วนคำถามที่ว่าหนิวโหย่วเต๋อรู้ได้ยังไง ก็มีอยู่สองเหตุผลเท่านั้น หนึ่งก็คือในตระกูลมีหนอนบ่อนไส้ สองก็คือฝั่งหนิวโหย่วเต๋อมีคนเก่ง พวกเราเผยพิรุธนิดหน่อย อีกฝ่ายก็มองออกแล้ว ตอนนี้ลองย้อนกลับมาศึกษาขั้นตอนที่หนิวโหย่วเต๋อผงาดขึ้นมา ช่วงอยู่ที่ตลาดสวรรค์ เขาอยู่ตกในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่อาศัยการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อเอาตัวรอด นั่นต่างหากที่สอดคล้องกับลักษณะของหนิวโหย่วเต๋อมากกว่า แต่หลังจากมาอยู่ตลาดผี ก็เหมือนจะดำเนินการตามแนวโน้มสถานการณ์มาโดยตลอด ในทิศทางใหญ่ผิดพลาดน้อยมาก ดังนั้นข้าเทใจว่าข้างกายเขาน่าจะมีคนเก่งจอมวางแผนคอยชี้แนะ เริ่มตั้งแต่ที่เจ้ารองถูกหลอกให้โค้นล้มอิ๋งจิ่วกวง จนกระทั่งหลอกใช้นางหนูเฉิงอวี่ให้ตัวเองลงหลักปักฐานที่แดนรัตติกาล จนมาถึงแผนการกำจัดเจ้ารองในตอนนี้ การเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องนี้ล้วนมีเหตุมีผล เห็นได้ชัดว่าเป็นสถานการณ์ภาพรวมที่เชื่อมโยงกันเป็นลูกโซ่โดยฝีมือคนเก่ง คนที่สามารถวางอุบายแบบนี้ได้ สมองไม่ธรรมดาแน่นอน จะมองพิรุธออกก็ไม่แปลก แน่นอน หนอนบ่อนไส้ก็ตัดทิ้งไม่ได้ เรื่องนี้ข้ากำลังตรวจสอบ แต่ยังไม่พบอะไรน่าสงสัย 

เว่ยซูยังคงรู้สึกว่ายากต่อการทำความเข้าใจ  ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อมั่นคงมากแล้วไม่ใช่เหรอ? อาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบน ทั้งยังมีฮ่าวเต๋อฟางเป็นเกราะกำบัง เกรงว่าแม้แต่ประมุขชิงก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามแตะต้องเขาเช่นกัน ทำไมเขาต้องเคลื่อนไหวแบบนี้อีก บีบให้คุณชายรองกับคุณชายสามฆ่ากันเอง มีข้อดีอะไรกับเขาเหรอ? 

มั่นคงเหรอ?  เซี่ยโห้วท่าวางตะเกียบแล้วหัวเราะเบาๆ  ก็เพราะเขามั่นคงเกินไปนี่แหละ กำลังในมือเขาเติบโตอย่างราบรื่นเกินไปแล้ว ช้าเร็วก็ต้องกลายเป็นพิษภัยในสายตาคนอื่น ในมือเขามีคนเก่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะมองจุดนี้ไม่ออก ถ้าจะเป็นฝ่ายถูกกระทำ ไม่สู้หาโอกาสลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ! พระปีศาจหนานโปกลับมาแล้ว ดึงดูดความสนใจของคนในใต้หล้า ปิดบังการเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติของเขาได้พอดี อาศัยกำลังของเขาตอนนี้ ตลาดผีของเจ้าสามจะเติมเต็มเขาได้อย่างไร เดิมทีตลาดผีก็เป็นเนื้อที่จ่ออยู่ตรงปากของเขาอยู่แล้ว เขาอยากจะกินเมื่อไรก็กินได้ทั้งนั้น ไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย ไม่ควรค่าให้เขาเคลื่อนไหวใหญ่โต เช่นนั้นเป้าหมายหลักคือใครก็ชัดเจนอยู่แล้ว ใครขวางอยู่บนทางของเขา เขาก็กำจัดคนนั้น ใครคือเนื้อชิ้นใหญ่ที่วางอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็จะกัดคนนั้น ใครอยู่ใกล้เขาที่สุดก็ซวยที่สุด ฮ่าวเต๋อฟางปกป้องหนิวโหย่วเต๋อมาหลายปีขนาดนี้ เกรงว่าจะชักศึกเข้าบ้านเสียแล้ว! 

 หนิวโหย่วเต๋ออยากยึดอาณาเขตของฮ่าวเต๋อฟางเหรอ? อาศัยกำลังของเขาก็คิดจะฮุบอาณาเขตของฮ่าวเต๋อฟาง ไม่รู้จักเจียมตัวเกินไปหรือเปล่า?  เว่ยซูตกใจมาก

 ถ้าได้รับการสนับสนุนจากกำลังทั้งหมดของตระกูลเซี่ยโห้วแล้วยังไงล่ะ?  เซี่ยโห้วท่าถามเสียงเรียบ แล้วยกจอกสุราจิบ

เว่ยซูนั่งตัวตรงทันที เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหนิวโหย่วเต๋อต้องปล่อยข่าวลือมาป่วนเรื่องนี้ พอเข้าใจแล้วก็อุทานว่า  เจ้าเวรนี่ช่างมักใหญ่ใฝ่สูง! 

………………

 

เว่ยซูไม่สะดวกจะพูดเรื่องระหว่างพี่น้อง ถ้าเซี่ยโห้วท่าไม่อยู่แล้วก็ว่าไปอย่าง เขาจะต้องยืนฝ่ายหัวหน้าตระกูลอย่างซี่ยโห้วลิ่งเพื่อสู้กับเฉาหม่านแน่นอน แต่ประเด็นก็คือเซี่ยโห้วท่ายังไม่ตาย ถ้าตอนนี้เขายุให้พี่น้องตระกูลเซี่ยโห้วเข่นฆ่ากันเองก็จะไม่เหมาะสม

เซี่ยโห้วลิ่งไม่ได้ให้เว่ยซูแสดงท่าทีต่อคุณชายสาม เว่ยซูย่อมหลบเลี่ยงเรื่องนี้เช่นกัน ถามว่า  นายท่าน พระปีศาจต้องการบัวโลหิตไปทำอะไร? 

เซี่ยโห้วลิ่งส่ายหน้า  หนิวโหย่วเต๋อมาสืบเรื่องนี้กับข้า ตอนแรกข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าก็แค่ถามเขาว่าในมือเขามีของที่พระปีศาจต้องการหรือเปล่า เขาบอกว่าเขาโยนทิ้งไปนานแล้ว ในเมื่อเป็นของที่พระปีศาจอยากได้ ข้าก็เลยตรวจสอบทันที ผลปรากฏว่าตรวจสอบเจอจริง ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพระปีศาจต้องการของสิ่งนั้น 

 เพราะอะไรขอรับ?  เว่ยซูถามอย่างใจจดใจจ่อ

เซี่ยโห้วลิ่งมองเขาพลางกล่าวช้าๆ  ถ้าพูดถึงปีศาจโลหิต พ่อบ้านเว่ยอาจจะรู้ไม่เยอะ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่พ่อบ้านเว่ยคงพอจะรู้จัก ในบันทึกที่ข้าตรวจสอบ ตอนที่คนคนนั้นตาย พ่อบ้านเว่ยก็เหมือนจะอยู่ในเหตุการณ์ด้วย 

 ใครเหรอ?  เว่ยซูรู้สึกงง

 ปีศาจโลหิตสามารถใช้ค่ายกลมารโลหิตได้ พ่อบ้านเว่ยไม่นึกเชื่อมโยงถึงใครบ้างเหรอ?  เซี่ยโห้วลิ่งถามเสียงเรียบ

เว่ยซูนิ่งไปชั่วขณะ แล้วขมวดคิ้วกล่าวว่า  อย่าบอกนะว่าเป็นบรรพาจารย์อาวุโสมารโลหิต? ตามที่ปีศาจจิ้งจอกสามหางบอก ปีศาจโลหิตเป็นทายาทของบรรพาจารย์อาวุโสมารโลหิตไม่ผิดแน่ แล้วนี่เกี่ยวอะไรกับบรรพาจารย์อาวุโสมารโลหิต ในปีนั้นข้าได้รับคำสั่ง…  จู่ๆ ก็เงียบไป เบิกตากว้างขึ้นหลายส่วน  อย่าบอกนะว่ามารโลหิตในตำนานมีสมุนไพรจิตวิญญาณ? 

เซี่ยโห้วลิ่งตอบอย่างใจเย็น  ในบันทึกที่ข้าดูบอกไว้ว่า มารโลหิตโอ้อวดกับสหาย บอกว่าบังเอิญเก็บสมุนไพรจิตวิญญาณได้ต้นหนึ่งจากจุดลึกในดาราจักร ตราบใดที่สามวิญญาณเจ็ดดวงจิตไม่ดับสลาย สมุนไพรจิตวิญญาณต้นนั้นก็สามารถช่วยงอกกายหยาบขึ้นมาใหม่ได้ เมื่อสามวิญญาณเจ็ดดวงจิตหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันก็จะทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาใหม่ได้อีก กลับมาอยู่ในสภาพเดิม หลังจากท่านพ่อได้ยินข่าวก็สั่งให้เจ้าสืบเรื่องนี้ ผลปรากฏว่าตอนเจ้าไปถึงก็สายไปแล้ว มารโลหิตตกอยู่ในมือปราสาทดำเนินนภาเสียแล้ว 

เว่ยซูคิดใคร่ครวญ แล้วพยักหน้าบอกว่า  ไม่ผิดหรอก มีเรื่องแบบนี้อยู่จริงๆ ตอนที่บ่าวไปถึง คนของปราสาทดำเนินนภากำลังจะฆ่ามารโลหิตพอดี บ่าวขอให้ไว้หน้าสักครั้ง เลยได้ตัวมารโลหิตมาสอบสวน กดดันถามเรื่องที่อยู่ของสมุนไพรจิตวิญญาณ แต่มารโลหิตบอกว่าไม่มีสมุนไพรจิตวิญญาณอะไรนั่นเลย ถ้ามีสมุนไพรจิตวิญญาณอะไรนั่นจริง มีหรือที่จะโอ้อวดต่อภายนอก บ่าวใช้วิธีทรมานทุกอย่าง แต่สิ่งที่เขาสารภาพมาก็มีแค่เท่านั้น ตอนนั้นบ่าวคิดว่าก็ถูกอย่างที่เขาบอก ถ้าเขามีสมุนไพรจิตวิญญาณจริงก็คงรีบซ่อนแล้ โอ้อวดต่อภายนอกไม่ถือว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ เมื่อถามไม่ได้ความอะไรก็ส่งมารโลหิตคืนให้ปราสาทดำเนินนภาจัดการ หรือว่า… 

เซี่ยโห้วลิ่งพยักหน้า  ชัดเจนมาก หากไร้ลมจะเกิดคลื่นได้อย่างไร สมุนไพรจิตวิญญาณคงจะมีอยู่จริง ตอนนั้นมารโลหิตคงต่อให้ตายก็คงไม่สารภาพ พอมาดูตอนนี้ ในเมื่อปีศาจโลหิตเป็นลูกหลานของมารโลหิต เช่นนั้นก็พอจะเข้าใจสภาพจิตใจของมารโลหิตได้ สมุนไพรจิตวิญญาณอยู่ในมือลูกหลาน ถ้าเขาบอกไปก็รอดอยู่ดี ทั้งยังจะทำให้ลูกหลานตัวเองพลอยลำบากไปด้วย ดังนั้นต่อให้ตายก็ไม่สารภาพ สุดท้ายสมุนไพรจิตวิญญาณถึงได้ตกอยู่ในมือปีศาจโลหิต ตอนหลังหนิวโหย่วเต๋อก็เอาไป 

เว่ยซูพยักหน้าขณะครุ่นคิด  ปีศาจโลหิตน่าจะไม่เอ่ยเรื่องนี้กับภายนอก ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อได้มาแล้วไม่รู้ว่ามันคืออะไรก็เป็นเรื่องปกติ แต่ปีศาจโลหิตตกอยู่ในมือพระปีศาจแล้ว อาศัยวิธีการของพระปีศาจ นางมิอาจไม่พูดความจริง นางหลอกลวงพระปีศาจไม่ได้ ส่วนพระปีศาจพอแน่ใจแล้วว่าสมุนไพรจิตวิญญาณอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อ เช่นนั้นสมุนไพรจิตวิญญาณก็มีอยู่จริง ไม่ใช่เรื่องโกหกแน่! 

เซี่ยโห้วลิ่งถอนหายใจยาว  ตอนนี้เจ้าน่าจะเข้าใจนะว่าทำไมพระปีศาจต้องการของสิ่งนั้น พระปีศาจอยากอาศัยสมุนไพรจิตวิญญาณสร้างกายหยาบขึ้นมาอีกครั้ง ข้าจะให้เขาสมหวังได้ยังไง ถ้าปล่อยให้เขาทำสำเร็จจริง ก็จะทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วประสบหายนะ ข้าเซี่ยโห้วลิ่งก็จะกลายเป็นคนบาปตลอดกาลของตระกูลเซี่ยโห้ว! 

 นายท่านเพิ่งบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อทิ้งสมุนไพรจิตวิญญาณต้นนั้นไปแล้วหรือขอรับ?  เว่ยซูขมวดคิ้ว

เซี่ยโห้วลิ่งแสยะยิ้ม จิบน้ำชาอึกหนึ่ง แล้วระเบิดคำหยาบออกมา  ทิ้งบ้าทิ้งพออะไรกัน! ถ้าข้าไม่รู้ว่ามันคือของอะไร ข้าก็คงโดนเขาหลอกไปแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นคืออะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีสรรพคุณอะไร เอามาใช้ทำอะไร? คนเรากินยาซี้ซั้วได้เหรอ? มิหนำซ้ำยังเป็นของในค่ายกลมารโลหิตด้วย แต่ของที่แม้แต่พระปีศาจก็ยังต้องการ เขาจะต้องตระหนักได้แน่นอนว่ามีมูลค่าไม่ธรรมดา เลยมาสืบจากข้า ที่บอกว่าทิ้งไปแล้วคงเป็นแค่ข้ออ้าง ความจริงอยากจะรู้มูลค่าของมันต่างหากล่ะ 

เว่ยซูพยักหน้าช้าๆ ถามอีกว่า  นายท่านเตรียมจะทำอย่างไรขอรับ? 

 พระปีศาจต้องมีปณิธานแน่วแน่ต่อของสิ่งนี้แน่นอน เหมาะจะเอาเป็นเหยื่อล่อให้พระปีศาจออกมาพอดี จะได้ขุดรากถอนโคนพระปีศาจในรวดเดียว! สงสัยจะต้องไปจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลด้วยตัวเองสักเที่ยวแล้ว ไปเจรจากับหนิวโหย่วเต๋อดีๆ สักหน่อย  เซี่ยโห้วลิ่งกล่าว

 ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่ยอมส่งให้จะทำอย่างไรขอรับ?  เว่ยซูถาม

เซี่ยโห้วลิ่งแสยะยิ้ม  เขาทำตามใจตัวเองไม่ได้หรอก ถ้าสุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์ ข้าก็ทำได้เพียงเปิดเผยให้ตำหนักสวรรค์รู้ ให้พวกประมุขชิงบีบให้เขาส่งมา แต่ยังไงก็ต้องพยายามให้ของมาอยู่ในมือตระกูลเซี่ยโห้วให้ได้ก่อน ต่อให้ล่อพระปีศาจออกมาไม่ได้ แต่ข้าก็อยากเห็นกับตาว่ามันถูกทำลายแล้ว ให้ตกอยู่ในมือพระปีศาจไม่ได้เด็ดขาด เจ้าไปเตรียมตัว อย่าทำให้หนิวโหย่วเต๋อแตกตื่น พวกเราจะไปเยี่ยมอย่างกะทันหัน! 

 รับทราบ!  เว่ยซูพยักหน้า นายท่านรินน้ำชาให้ด้วยตัวเอง ไม่สะดวกจะไม่ไว้หน้า หลังจากดิ่มอึกเดียวหมดจอก ถึงได้รีบลุกขึ้นเดินออกไป

เมื่ออกจากสวนต้องห้ามแล้ว เว่ยซูก็รีบเข้ามาในห้องของตัวเอง หลบอยู่ในห้องมืด หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเซี่ยโห้วท่า เรื่องใหญ่ขนาดนี้เขาต้องรีบรายงานให้ทันเวลา

ฝั่งเซี่ยโห้วท่าก็เหมือนใช้ย่อยข้อมูลครู่หนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้ตอบเขา : เว่ยซู จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เจ้าไม่ต้องไปแล้ว

เว่ยซูแปลกใจ ถามว่า : ทำไมขอรับ?

เซี่ยโห้วท่า : ไม่ต้องถามว่าทำไม เจ้าหาข้ออ้างออกไปข้างนอก บอกว่าเบื้องล่างสืบได้เบาะแสของพระปีศาจหนานโป ต้องให้เจ้าไปจัดการด้วยตัวเอง ทางจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ให้เจ้ารองไปเองก็พอ เจ้ามาหาข้าสักเที่ยวเถอะ

เว่ยซูตระหนักได้ทันทีว่ามีเรื่องสำคัญต้องเตรียมการ ไม่อย่างนั้นนายท่านคงไม่เรียกตนไปพบง่ายๆ แบบนี้

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาพูดไม่ออกก็คือ ข้ออ้างที่นายท่านชี้แนะเขาคร่ำครึเกินไปหรือเปล่า สืบเจอเบาะแสของพระปีศาจหนานโปแล้วงั้นเหรอ? ต่อไปเซี่ยโห้วลิ่งจะต้องจับตาดูแน่นอน ถ้าโดนถามขึ้นมา เขาจะตอบอย่างไรให้เรื่องจบ?

แต่เขาก็รู้ว่าเซี่ยโห้วท่าไม่ใช่คนที่ยิงธนูโดยไร้เป้า ในเมื่อพูดอย่างนี้แล้ว แสดงว่าต้องมีเหตุผลแน่นอน จึงตอบทันทีว่า : รับทราบ บ่าวเข้าใจแล้ว!

วันต่อมา หลังจากเว่ยซูช่วยเซี่ยโห้วลิ่งเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็รายงานเหตุผลเพื่อหลบเลี่ยงไม่ไปจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลด้วยกัน

พอเซี่ยโห้วลิ่งได้ยินว่าสืบเจอทิศทางการเคลื่อนไหวของพระปีศาจหนานโป ก็ย่อมปล่อยให้เว่ยซูออกไปโดยไม่ห้าม นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก สั่งให้เว่ยซูสืบมาให้ชัดเจน

เว่ยซูให้เซี่ยโห้วลิ่งออกจากจวนท่านปู่สวรรค์ไปก่อน

ถนนริมแม่น้ำเจริญรุ่งเรือง โรงเตี๊ยมตั้งเรียงราย ยิ่งมีสาวงามคอยโอบกอดคลอเคลีย มีพ่อค้าหาบเร่เดินไม่ขาดสาย

เว่ยซูเดินถือสุราอาหารออกมาจากกลุ่มคนบนถนน มายืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ กวาดสายตามองเรือลำหนึ่งที่มาจอดเทียบท่า แล้วจ้องเรือประมงลำหนึ่งที่ทาด้วยน้ำมันตั้งอิ้วจนเป็นมันวาว พอเห็นเซี่ยโห้วท่าที่แต่งตัวเป็นชาวประมงนั่งบนหัวเรือ ก็รีบลงบันไดไปทันที

พอเห็นเว่ยซู เซี่ยโห้วท่าก็คลายเชือก รอจนเว่ยซูขึ้นเรือมาแล้ว เซี่ยโห้วท่าก็แจวเรือออกจากฝั่ง

ขณะมองชาวประมงที่มีท่าทางชำนาญ เว่ยซูก็ยิ้มเจื่อน

แต่ก็ไม่ต้องพูดถึงเลย คนในแดนฝึกตนใช้วิธีการเป็นชาวประมงเพื่อปะปนอยู่ในโลกมนุษย์นั้นคือหนึ่งในการอำพรางตัวตนที่ดีที่สุด นอกจากจะไม่ต้องกังวลว่าคนรอบข้างเกิดแก่เจ็บตายแต่มีเจ้าคนเดียวที่แก่แล้วไม่ตาย ยังได้แฝงตัวอยู่ในกลุ่มมนุษย์อีก ไปไหนมาไหนคนเดียว ถ้าตรงไหนเจอฝั่งอยากจะจอดเทียบท่าก็ไปได้เลย ไม่เหมือนตัวตนอื่นที่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ

เรือลอยไปกลางแม่น้ำ เซี่ยโห้วท่าวางมือเดินเข้ามา เว่ยซูวางสุราอาหารเรียบร้อยแล้ว จากนั้นนั่งตรงข้ามเซี่ยโห้วท่าแล้วบอกว่า  นายท่าน อาหารทะเลตามที่ท่านขอมา  พูดจบก็รินสุราให้เขา

เซี่ยโห้วท่ายกตะเกียบคีบกุ้งขึ้นมากิน ดื่มสุราย้อมใจอึกหนึ่ง แล้วกล่าวว่า  เจ้ารองมีฝีมือให้การปรุงปลาไม่เลวเลย หลังจากวันนี้ เกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้ชิมอีกแล้ว 

เว่ยซูยิ้มบางๆ นึกว่าเขาหมายความว่าตัวเองแกล้งตายจึงไปโผล่ตรงหน้าคุณชายรองไม่ได้อีกแล้ว

 เขาไปจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลแล้วสินะ?  เซี่ยโห้วท่าที่ชิมอาหารทะเลเอ่ยถาม

 ก่อนจะมาถึงที่นี่ ในบ้านส่งข่าวมา ว่าคุณชายรองออกเดินทางแล้วขอรับ  เว่ยซูกล่าว

 ก่อนเขาจะไปที่นั่น ไม่ติดต่อเจ้าหกไปสืบถามสถานการณ์ทางจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลสักหน่อยเหรอ? บุ่มบ่ามไปอย่างนี้น่ะเหรอ?  เซี่ยโห้วท่าถามด้วยน้ำเสียงปกติ

 ติดต่อแล้วขอรับ แต่คุณชายหกไม่รู้เป็นอะไร ยังติดต่อไม่ได้ นายท่าน ท่านหมายความว่าอะไร?  เว่ยซูถาม

เซี่ยโห้วท่าวางตะเกียบ แล้วจู่ๆ ก็เผยรอยยิ้มข่มขื่น ขณะมองอาหารในจาน เขาก็ส่ายหน้าถอนหายใจ  เจ้ารองเอ๋ย มีแต่ฝีมือ แต่กลับไร้สมอง ข้าให้โอกาสเขาแล้ว แต่เขากลับดึงดันจะไปรนหาที่ตาย พวกเจ้าน่ะ จะให้ข้าพูดอะไรกับพวกเจ้าดี เฮ้อ! 

ไปรนหาที่ตาย? เว่ยซูตกใจ  นายท่าน เหตุใดจึงเอ่ยเช่นนี้?  พูดจบก็หยิบระฆังดาราขึ้นมา ต้องการจะเตือนเซี่ยโห้วลิ่งให้ทันเวลา

เซี่ยโห้วท่าใช้ตะเกียบชี้ระฆังดาราในมือเขา แล้วโบกมือสื่อว่าไม่ต้องทำอย่างนั้น แล้วถามว่า  ยังจำได้มั้ยว่าครั้งก่อนเจ้ามาหาข้าทำไม? 

เว่ยซูแข็งใจเก็บระฆังดารา พยายามนึกแล้วตอบว่า  จำได้ขอรับ เรื่องที่คุณชายรองลงมือโค่นล้มตระกูลอิ๋ง 

เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจ  เจ้าบอกว่าเจ้ารองโดนหนิวโหย่วเต๋อจูงจมูก กังวลว่าเจ้ารองจะเสียเปรียบ เจ้าบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อสงบนิ่งเยือกเย็นต่อเจ้ารองเกินไป เหมือนมีแผนสำรองอะไร 

เว่ยซูพยักหน้าซ้ำๆ  ตอนนั้นนายท่านบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อมีแผนสำรองจริงๆ บอกว่า หนิวโหย่วเต๋อตัวอยู่ที่แดนรัตติกาลแต่ยังสงบนิ่งต่อเจ้ารองได้ขนาดนี้’ แล้วก็เงียบไป บ่าวถึงได้ถามนายท่าน แต่นายท่านไม่ยอมตอบ 

เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้าถอนหายใจอีก  ข้าไม่ได้บอกเหรอ? ข้าบอกว่าการที่เจ้ารองใช้วิธีการโค่นล้มอิ๋งจิ่วกวงมาสร้างบารมีภายในตระกูล เกรงว่าจะสูญเปล่า ข้าบอกว่าในระยะยาวเจ้ารองเลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้รับการสนับสนุนจากพี่น้อง ข้าบอกว่าพวกพี่น้องของเจ้ารองไม่ขัดแข้งขัดขาเขาก็ดีแค่ไหนแล้ว ข้าบอกว่าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่แดนรัตติกาลแต่สงบนิ่งเยือกเย็นต่อเจ้ารองได้ขนาดนี้…ที่ข้าพูดไปยังไม่มากพออีกเหรอ? เจ้าคิดว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเจ้าสามกับหนิวโหย่วเต๋อเป็นยังไง? 

เว่ยซูยังครุ่นคิดถึงความหมายในคำพูด พอได้ยินประโยคสุดท้ายก็ถามอย่างตกใจว่า  ตอนนั้นนายท่านก็รู้แล้วเหรอว่าคุณชายสามกับหนิวโหย่วเต๋อสมคบกัน? 

เซี่ยโห้วท่ากินอาหารอย่างช้าๆ  พวกเจ้าน่ะ รู้ตัวทีหลังตลอด ตอนนี้เพิ่งมารู้ว่าเจ้าสามกับหนิวโหย่วเต๋อสมคบกัน สายไปหน่อยหรือเปล่า? หนิวโหย่วเต๋อใช้ประโยชน์จากเจ้าสามช่วงชิงเวลาสำเร็จแล้ว ปรับปรุงกำลังพลได้เรียบร้อยแล้ว ควบคุมแดนรัตติกาลไว้ในมืออย่างแน่นหนา ตอนนี้แดนรัตติกาลไม่ได้อยู่ในอำนาจการตัดสินใจของเจ้าสามอีกแล้ว โอกาสที่ดีที่สุดผ่านไปแล้ว พูดเรื่องนี้ไปก็ไม่มีความหมายอีก ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ทำไมเจ้าสามจึงไปสมคบกับหนิวโหย่วเต๋อได้? 

…………………

 

จู่ๆ หยวนกงก็หายไป ทำให้ฝั่งนี้ตกอยู่ในความหวาดระแวงสงสัย

ในโถงเงียบงันไร้เสียง ทุกคนต่างก็กำลังครุ่นคิด หลังจากผ่านไปนานเหมียวอี้ก็จ้องหยางชิ่ง พอเห็นหยางชิ่งไม่พูดอะไร ก็เป็นฝ่ายถามก่อนว่า “จะหยุด หรือจะทำต่อไป?”

ในเวลานี้เขายังอยากฟังความเห็นของหยางชิ่ง

เห็นได้ชัดว่าหยางชิ่งลังเลแล้ว หลังจากลังเลอยู่หลายครั้ง ก็กล่าวช้าๆ ว่า “ลองตัดออกทีละข้อ การหายตัวไปของหยวนกงมีความเป็นไปได้สองอย่าง ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือบังเอิญเกิดเรื่องขึ้นกับเขา ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดก็คือหยวนกงตั้งใจหายไป ผลลัพธ์ที่ดีจะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนของนายท่าน ไม่ต้องสนใจก็ได้ เช่นนั้นก็ต้องวางแผนในกรณีที่เกิดผลลัพธ์แย่ ทำไมหยวนกงถึงตั้งใจหายไปในเวลานี้? สำหรับแผนของพวกเราแล้ว มีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคืออาจจะหายไปโดยไม่เกี่ยวข้องกับแผนของพวกเรา สองก็คือเกี่ยวข้องกับแผนของพวกเรา ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับแผนของพวกเรา เช่นนั้นก็ไม่ต้องสนใจเหมือนกัน แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับแผนของพวกเรา เช่นนั้นก็มีเพียงผลลัพธ์เดียว นั้นก็คือหยวนกงรู้แผนของพวกเราแล้ว หยวนกงรู้แล้วว่าตัวเองโดนเปิดโปง และการที่หยวนกงรู้เรื่องก็มีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคือหยวนกงรู้เอง สองคือมีคนสังเกตเห็นแล้วบอกให้หยวนกงหายตัวไป”

“เป็นเฉาหม่านหรือเปล่าที่เปิดเผยความลับ?” หยางเจาชิงถาม

หยางชิ่งกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “การวางกำลังลับของตระกูลเซี่ยโห้ว เห็นได้ชัดว่าผ่านแผนการอันแยบยลของเซี่ยโห้วท่า ทั้งคงการตั้งตัวเป็นอิสระของแต่ละคนไว้ได้ ทั้งควบคุมและถ่วงดุลกันได้ในระดับหนึ่ง ถ้าทุกคนต่างรู้ตัวตนของกันและกัน คาดว่าประมุขแต่ละยุคคงสืบสาวไปถึงต้นตอและขุดรากถอนโคนไปนานแล้ว เมื่อคาดคะเนจากสิ่งนี้ เกรงว่าเฉาหม่านคงจะไม่รู้ว่าหยวนกงหายไปแล้ว ผู้นำอำนาจลับของตระกูลที่ตระกูลเซี่ยโห้วรู้จักตอนนี้ เกรงว่าคงจะมีแค่หัวหน้าตระกูลอย่างเซี่ยโห้วลิ่ง อย่างมากเฉาหม่านก็รู้ว่าข้างกายนายท่านมีคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ต้องเกี่ยวข้องกับที่ก่อนหน้านี้ไม่กล้ารับปากนายท่านแน่นอน พูดในกรณีที่แย่ที่สุด ต่อให้เฉาหม่านรู้ตัวตนของหยวนกง ถ้าเฉาหม่านเปิดเผยความลับจริงๆ แต่เขาทั้งเปิดเผยทั้งบอกให้นายท่านลงมือ แหวกหญ้าให้งูตื่นชัดเจนขนาดนี้ เห็นนายท่านเป็นคนโง่งั้นเหรอ? เพราะฉะนั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เฉาหม่านจะเป็นคนเปิดเผยเรื่องนี้”

“ถ้าพูดอย่างนี้ ก็เหลือแค่ความเป็นไปได้สองอย่างแล้ว หยวนกงรู้เอง หรือไม่เซี่ยโห้วลิ่งก็รู้แล้วบอกเขา?” หยางเจาชิงสงสัย

หยางชิ่งขมวดคิ้วส่ายหน้าช้าๆ “พูดยาก ไม่มีเบาะแสอะไรให้พวกเรา ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น!”

“จำมีอำนาจฝ่ายที่สามเข้ามาแทรกแซงหรือเปล่า?” หยางเจาชิงถาม

หยางชิ่งกล่าวอย่างแน่ใจว่า “ความเป็นไปได้นี้มีไม่มาก ตระกูลเซี่ยโห้วแอบบีบจุดอ่อนนายท่านเอาไว้ใช้งานในเวลาสำคัญ เป็นความลับสุดยอดของตระกูลเซี่ยโห้ว เกรงว่าคนภายในของตระกูลเซี่ยโห้วที่รู้เรื่องคงมีไม่เยอะ ความลับสุดยอดขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลเซี่ยโห้วจะบอกคนนอก ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้เรื่องนี้ คนนอกไม่มีทางมองออกถึงจุดประสงค์ของนายท่าน คนที่มองออกมีเพียงบุคคลภายในของตระกูลเซี่ยโห้ว…ตอนนี้ข้ากังวลว่าตระกูลเซี่ยโห้วยังมีอำนาจที่พวกเราไม่รู้สอดมือเข้ามาแทรกเรื่องนี้หรือเปล่า”

เหมียวอี้ตาเป็นมัน ถามทันทีว่า “หมายความว่ายังไง?”

หยางชิ่งอธิบายว่า “ข้อแรก สมมุติว่าเซี่ยโห้วลิ่งรู้เรื่องแล้วบอกให้หยวนกงหายตัวไป ก็เท่ากับว่าทำให้นายท่านรู้ว่าแผนพังแล้ว ทำให้นายท่านไม่กล้าแตะต้องเขาอีก พอเป็นแบบนี้ เซี่ยโห้วลิ่งก็จะไม่วางแผนทำร้ายนายท่านอีกแล้ว จะไม่มีการใส่ร้ายว่าเฉาหม่านไร้คุณธรรมเช่นกัน เซี่ยโห้วลิ่งย่อมรู้ว่าเฉาหม่านจะไม่ทิ้งจุดอ่อนใดๆ ไว้กับเรื่องนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เฉาหม่านจะปล่อยให้วุ่นวายจนทั้งใต้หล้ารู้กันหมด ให้ทั้งตระกูลเซี่ยโห้วรู้หมดว่าเขาสังหารหัวหน้าตระกูล แบบนั้นตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของเฉาหม่านจะไม่มั่นคง เซี่ยโห้วลิ่งรู้ว่าเฉาหม่านจะต้องยืมมือนายท่านดำเนินการเรื่องนี้ ข้อสอง เฉาหม่านไม่ได้เปิดเผยความลับนี้ ยังลงมือเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าหยวนกงหายไปแล้ว นายท่านไม่รู้สึกว่าตรรกะระหว่างสองข้อนี้มันขัดแย้งกันเหรอ?”

“ก็มีขัดแย้งบ้าง” เหมียวอี้เอามือจับหน้าผากอย่างงุนงง สุดท้ายก็บอกตรงๆ ว่า “แต่เจ้าก็อ้อมค้อมจนข้าแทบจะเลอะเลือนแล้ว อธิบายง่ายๆ หน่อยได้มั้ย?”

หยางเจาชิงเม้มริมฝีปากกลั้นขำ

“…” หยางชิ่งก็อ้าปากค้างเช่นกัน จากนั้นวกเข้าประเด็นหลักทันที “นายท่านแหวกเมฆหนาที่อยู่ตรงหน้าออกไปก่อน แล้วค่อยมองเซี่ยโห้วลิ่งกับเฉาหม่านอีกที หยวนกงจะหายตัวไปหรือไม่หายตัวไปนั้นมีความแตกต่างกันหรือเปล่า? ฝั่งเซี่ยโห้วลิ่ง นอกจากสิ่งที่พวกเราคาดเดาแล้วก็เหมือนจะไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร เฉาหม่านยังจะลงมือเหมือนเดิม หยวนกงอยู่ที่ตระกูลเซี่ยโห้วนับว่ากุมกำลังพลไว้เยอะมาก การที่เขาหายไปกลับไม่ทำให้สองฝั่งเกิดความผิดปกติใดๆ เหมือนทุกอย่างยังคงเดิมไว้ตลอด แต่ก็มีความผิดปกตินิดหน่อยเช่นกัน เหมือนเรื่องการหายตัวไปของหยวนกงจะปิดบังทั้งสองไว้แล้ว!”

เหมียวอี้เลิกคิ้ว “เจ้ากำลังบอกว่าเซี่ยโห้วลิ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหยวนกงหายตัวไป?”

“ถ้านี่คือเรื่องจริง! ภายใต้สถานการณ์ที่คนนอกไม่รู้ มีเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่รู้ การหายไปของหยวนกงก็มีแค่สองสถานการณ์นี้ หนึ่งคือหยวนกงหายตัวไปเอง สองคนมีอีกคนของตระกูลเซี่ยโห้วสั่งให้หยวนกงหายไป” หยางชิ่งกล่าว

“แล้วนี่เกี่ยวอะไรกับที่เจ้าสงสัยว่ามีคนอื่นยื่นมือเข้ามาแทรก?” เหมียวอี้ถาม

หยางชิ่งบอกว่า “นายท่านอย่ารำคาญที่ข้าน้อยอ้อมไปอ้อมมาจนรู้สึกยุ่งยาก พวกเรากำลังวิเคราะห์อย่างละเอียดแบบดึงรังไหมออกมาทีละเส้น…ถ้าหยวนกงรู้ความจริง แล้วตัวเองหายไปเองหมายความว่าอะไรล่ะ? ก็เพราะไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องการเข่นฆ่ากันเองระหว่างพี่น้อง ไม่ช่วยทั้งสองฝ่าย จงใจใช้วิธีการนี้มาทำลายแผนของนายท่าน ให้นายท่านหยุด ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะอยากให้เกิดเหตุการณ์ ‘นกกับหอยทะเลาะกัน ถูกชาวประมงจับไปทั้งคู่'[1] “

เหมียวอี้กับหยางเจาชิงพยักหน้าครุ่นคิด รู้สึกว่ามีเหตุผล ถ้าหยวนกงอยากให้ขาวประมงตักตวงผลประโยชน์ ก็สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้เลย ปล่อยให้เซี่ยโห้วลิ่งกับเฉาหม่านฆ่ากันเอง หายตัวไปตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับทำลายแผนการ

หยางชิ่งพูดต่อไปว่า “ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วมีอีกคนสั่งให้หยวนกงหายตัวไป เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ควรค่าให้ครุ่นคิดแล้ว ต่อให้เป็นเซี่ยโห้วลิ่งกับเฉาหม่าน ก็อาจจะไม่ทำให้หยวนกงเชื่อฟังก็ได้ ตอนนี้ใครของตระกูลเซี่ยโห้วที่มีอิทธิพลมากขนาดนั้นล่ะ? ถ้าจะบอกว่าหยวนกงหายไปเพราะถูกฆ่า นั่นก็มีความเป็นไปได้ต่ำจริงๆ หยวนกงมีกำลังพลแดนรัตติกาลคุ้มครองอยู่ในที่แจ้ง ทั้งยังมีกำลังพลของตระกูลเซี่ยโห้วปกป้องอยู่ในที่ลับ เป็นไปไม่ได้ที่จะหายตัวไปเงียบๆ เพราะโดนฆ่า น่าจะมีคนเกลี้ยกล่อมให้ถอยออกไปมากกว่า!”

สองคนที่ฟังอยู่ข้างๆ เริ่มทำสีหน้าจริงจัง ถ้าเป็นอย่างนี้จริง ก็แสดงว่ามีคนเห็นเซี่ยโห้วลิ่งกับเฉาหม่านเป็นหมากแล้ว แม้แต่หยวนกงก็ยังต้องเชื่อฟังคำสั่ง

“ตอนนี้ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีคนแบบนี้อยู่แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นอย่างที่เจ้าบอกจริงๆ หยวนกงไม่อยากเห็นพี่น้องฆ่ากันเอง” หยางเจาชิงกล่าว

หยางชิ่งบอกว่า “ประเด็นสำคัญของปัญหาก็คือ เรื่องที่นายท่านเป็นคนของหกลัทธิคือความลับสุดยอดของตระกูลเซี่ยโห้ว หยวนกงก็อาจจะไม่รู้เรื่อง ภายใต้เงื่อนไขนี้ หยวนกงจะมองแผนของนายท่านออกได้ยังไง?”

“ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่ามีอำนาจที่ไม่รู้จักจากตระกูลเซี่ยโห้วลงมือแล้ว?” เหมียวอี้ถาม

หยางชิ่งพยักหน้าสื่อว่ายอมรับ

“ตระกูลเซี่ยโห้วจะมีใครมีอิทธิพลมากขนาดนั้น?” หยางเจาชิงถาม

“ถ้าจะพูดอย่างนี้ เช่นนั้นคนที่น่าสงสัยที่สุดก็คงเป็นพ่อบ้านของตระกูลเซี่ยโห้ว เว่ยซู!” หยางชิ่งกล่าว

สองคนที่ฟังอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วพร้อมกัน คนนี้ติดตามเซี่ยโห้วท่ามาหลายปี ล้ำลึกจนคนสืบไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์หรืออำนาจบารมีก็ล้วนไม่ธรรมดา คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเป็นไปได้

“การคาดคะเนของเจ้าล้วนตั้งอยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียว นั่นก็คือเซี่ยโห้วลิ่งไม่รู้จริงๆ ว่าหยวนกงหายไปแล้ว!” หยางเจาชิงถาม

หยางชิ่งบอกว่า “ลองดูสักหน่อยก็ได้ ถ้าพวกเราดำเนินการตามแผน แล้วเซี่ยโห้วลิ่งไม่กล้ามา นั่นก็แสดงว่าเขารู้เรื่องแล้วจริงๆ แต่ถ้ายังมา ก็แสดงว่าเขาไม่รู้เรื่องและถูกคนมองเป็นหมากตัวหนึ่ง มีอีกมือเข้ามาแทรกแซงจริงๆ”

เหมียวอี้เอามือลูบคางอย่างไม่แน่ใจ “เจ้าหมายความว่าจะเสี่ยงทำตามแผนการต่อไปเหรอ?”

“นายท่านโยนสมุนไพรจิตวิญญาณออกมาหยั่งเชิงเฉาหม่านแล้ว ดูจากตอนนี้ เฉาหม่านก็เป็นอย่างที่พวกเราคาดไว้ ไม่พูดเรื่องสมุนไพรจิตวิญญาณที่อื่น ไม่อย่างนั้นตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องมาหานายท่านแน่นอน ในมือนายท่านมีของที่พระปีศาจหนานโปต้องการ ตระกูลเซี่ยโห้วจะปล่อยให้ของสิ่งนี้ตกอยู่ในมือพระปีศาจได้ยังไง ต่อให้เรื่องนี้ไม่สำเร็จ แต่ก็ยังเหลือทางหนีทีไล่ให้ดึงสถานการณ์กลับคืนมา และถ้านายท่านพลาดโอกาสครั้งนี้ไป…พลาดโอกาสนี้ไม่ได้ พลาดแล้วพลาดเลย!” หยางชิ่งตอบเขา

เห็นได้ชัดว่ากำลังบอกว่า ที่จริงแล้วก็ไม่ได้อันตรายมากนัก

“ใช้ความพยายามขนาดนี้เพื่อให้เฉาหม่านขึ้นสู่ตำแหน่ง ไม่สู้ร่วมมือกับเซี่ยโห้วลิ่งไปเสียเลย” หยางเจาชิงกล่าว

เหมียวอี้ส่ายหน้า “เซี่ยโห้วลิ่งโดนข้าวางแผนเล่นงาน หลายปีมานี้ยังไม่มีทางรวบรวมกำลังของตระกูลเซี่ยโห้วได้เลย สำหรับผู้กุมอำนาจแต่ละฝ่ายของตระกูลเซี่ยโห้ว เกรงว่าช้าเร็วก็คงหมดอำนาจบารมี ถ้าคิดจะอาศัยให้เซี่ยโห้วลิ่งได้รับการสนับสนุนรอบด้านจากตระกูลเซี่ยโห้ว นั่นก็เสี่ยงไปหน่อย อีกทั้งแผนการของพวกเราครั้งนี้ก็ต้องได้รับการสนับสนุนรอบด้านจากตระกูลเซี่ยโห้ว ถึงจะสำเร็จได้ สำหรับตอนนี้ เฉาหม่านคือตัวเลือกเดียว”

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาขณะครุ่นคิด จู่ๆ ก็หยุดแล้วหันกลับมามอง จ้องหยางชิ่งพร้อมกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “เช่นนั้นก็ลองดู! ส่วนรายละเอียดของแผนการ เดี๋ยวเจ้าค่อยร่างมาอีกที”

“รับทราบ!” หยางชิ่งกุมหมัดคารวะ

บนโต๊ะสีเรียบๆ สะอาดตา ในเตาถ่านมีไฟคุโชน เซี่ยโห้วลิ่งนั่งสง่า ท่วงท่ายามชงชาดูสง่างาม

เว่ยซูเดินมาจากข้างนอก พอมาถึงข้างกายก็ถามอย่างเคารพว่า “นายท่าน มีอะไรจะกำชับขอรับ?”

เซี่ยโห้วลิ่งยื่นมือบอกใบ้ให้นั่งลงตรงข้าม

เว่ยซูยกชายเสื้อขึ้น แล้วนั่งยองๆ ตรงข้าม ดูเซี่ยโห้วลิ่งรินน้ำชาอย่างสง่างาม

รินน้ำชาสองถ้วย ให้ฝั่งตรงข้ามถ้วยหนึ่ง แล้วตัวเองก็จิบช้าๆ จากอีกถ้วยหนึ่ง เสร็จแล้วเซี่ยโห้วลิ่งถึงได้กล่าวอย่างสบายๆ ว่า “หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งติดต่อข้ามา”

เว่ยซูที่กำลังดื่มน้ำชาชะงักทันที “หนิวโหย่วเต๋อติดต่อนายท่านมาทำไมขอรับ?”

“เจ้าสามปิดบังเรื่องบางอย่างกับข้าจริงๆ ด้วย หนิวโหย่วเต๋อพูดขึ้นมาข้าถึงได้รู้ หนิวโหย่วเต๋อเคยสู้กับพระปีศาจหนานโปแล้ว เจ้าสามก็รู้ผ่านหนิวโหย่วเต๋อเช่นกันว่าพระปีศาจหนานโปกับผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งไปรวมตัวกัน!” เซี่ยโห้วลิ่งกล่าว

“พระปีศาจหลุดออกมาแล้วก็ไม่เห็นเคลื่อนไหวที่อื่น ทำไมถึงลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อก่อนได้?” เว่ยซูถาม

“ท่านรู้สึกว่าแปลกใช่มั้ย?” เซี่ยโห้วลิ่งถาม

“รู้สึกแปลกจริงๆ”

“ไม่ใช่ว่าหนิวโหย่วเต๋ออยากจะสู้กับเขา แต่พระปีศาจหนานโปมาหาเขา”

“พระปีศาจไปหาเขาทำไม?”

“พระปีศาจต้องการของบางอย่างจากเขา ในปีนั้นหนิวโหย่วเต๋อเคยสู้กับปีศาจโลหิต โดนขังไว้ในค่ายกลมารโลหิตของปีศาจโลหิต ตอนที่ทำลายค่ายกลได้ หนิวโหย่วเต๋อถือโอกาสดึงบัวโลหิตไปด้วยต้นหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะพระปีศาจเอ่ยถึง หนิวโหย่วเต๋อเองก็แทบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ดังนั้นหนิวโหย่วเต๋อจึงสงสัยมาก ว่าทำไมพระปีศาจหนานโปรู้เรื่องนี้? เขาไม่รู้ว่าปีศาจโลหิตเคยถูกขังที่สถานที่ผนึกมาก่อนหรือเปล่า แต่พวกเรากลับรู้ดี”

“บัวโลหิต?” เว่ยซูพึมพำอย่างสงสัย

เซี่ยโห้วลิ่งพยักหน้า “พระปีศาจไปหาเขาก็เพราะต้องการบัวโลหิตต้นนั้น จนป่านนี้แล้วหนิวโหย่วเต๋อก็ยังไม่รู้ว่าพระปีศาจต้องการสิ่งนี้ไปทำอะไร เขาคิดว่าตระกูลเซี่ยโห้วมีช่องทางข่าวสารรวดเร็ว จึงมาสืบกับตระกูลเซี่ยโห้ว ผลปรากฏว่าเจ้าสามกลับไม่บอกเรื่องนี้กับพวกเรา และไม่ให้คำตอบที่แท้จริงกับหนิวโหย่วเต๋อด้วย หนิวโหย่วเต๋อเลยมาสืบกับข้าอีก” พูดจบก็ทำเสียงฮึดฮัด เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจที่เฉาหม่านปิดบัง

…………………

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ชีเจวี๋ยกล่าวเสียงเบาว่า “เถ้าแก่ พอมีข่าวลือนี้ออกมา จุดอ่อนที่พวกเราใช้ควบคุมหนิวโหย่วเต๋อก็ใช้ไม่ได้ผลแล้ว”

เฉาเฟิ่งฉือเงียบงันไม่พูดอะไร เฉาหม่านจ้องนาง

ในห้องเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ เฉาหม่านก็ถามว่า “เฟิ่งฉือ ข้าดูแลเจ้าเป็นยังไงบ้าง?”

“ท่านดูแลเฟิ่งฉือเหมือนหลานสาวแท้ๆ” เฉาเฟิ่งฉือตอบอย่างเคารพ

เฉาหม่านบอกอีกว่า “ข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนหลานสาวแท้ๆ จริงๆ ข้าหลบอยู่ในสถานที่ครึ่งคนครึ่งผี ทั้งชีวิตนี้ไร้ลูกสาวลูกชาย ช้าเร็วเจ้าก็จะต้องเป็นเจ้าบ้านของตึกศาลาสัตยพรตแห่งนี้ ดังนั้นข้าจึงให้เจ้าอยู่ข้างกายตลอด เจ้าเข้าใจหรือเปล่า?”

เฉาเฟิ่งฉือแอบดีใจ แต่ภายนอกกลับกล่าวอย่างถ่อมตัวกลัวเกรง “ท่านปู่สาม หลานสาวมีความสามารถจำกัด ท่านปู่สามได้โปรดเลือกคนที่แหมาะสมกว่า”

เฉาหม่านยกมือห้าม แล้วถามว่า “เจ้ารู้สึกวาหัวหน้าตระกูลปฏิบัติต่อข้ายังไง?”

เฉาเฟิ่งฉือลังเลนิดหน่อย แล้วส่ายหน้าช้าๆ “เฟิ่งฉือไม่ทราบว่าควรจะประเมินยังไง”

เฉาหม่านถอนหายใจ “ปากบอกว่าไม่รู้ ก็แสดงว่าในใจเจ้ารู้ชัดแล้ว ถ้าข้ากับหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้พึ่งพากัน เกรงว่าคงตายไปนานแล้ว แต่วันคืนอย่างนี้จะยาวนานแค่ไหนกัน? ช้าเร็วหัวหน้าตระกูลก็ต้องลงมือกับข้าเหมือนเดิม เรื่องนี้คนนอกอาจจะไม่รู้ แต่คนในอย่างพวกเรารู้ดีอยู่แก่ใจ!”

พอพูดถึงตรงนี้ เฉาหม่านก็เหมือนเริ่มสะเทือนใจ ลุกขึ้นยืนเดินไปเดินมาพลางบอกว่า “เพื่อตระกูลเซี่ยโห้ว ข้าหลบอยู่ในที่มืดมาหลายปีขนาดนี้ เพื่อตระกูล ข้าซื่อสัตย์จริงใจ จริงจังระวังตัว จงรักภักดี ข้าทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อตระกูลเซี่ยโห้ว แต่เซี่ยโห้วลิ่งกลัลเก็บข้าไว้ไม่ได้ เพื่อความต้องการส่วนตัวแล้ว เขาไม่สนใจความเป็นพี่น้อง ต้องการจะลงมือกับข้า! เกรงว่าคนที่เขาต้องการกำจัดทิ้งคงไม่ได้มีแค่ข้า เพียงเพราะข้ายืนอยู่ในที่แจ้ง ถ้าเกิดเรื่องกับพี่น้องคนอื่น คนที่เหลือจะต้องมารวมตัวกับข้าแน่ ทำให้เขากังวล เขาถึงได้มองข้าเป็นเหมือนตะปูทิ่มตา หนามทิ่มเนื้อ ถ้าได้กำจัดข้าทิ้งคงมีความสุข!”

เฉาเฟิ่งฉือกับชีเจวี๋ยฟังแล้วหวาดระแวงกลัว เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเขาพูดจาแสดงความไม่พอใจต่อหัวหน้าตระกูล

ถ้าเฉาเฟิ่งฉือจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้ตอนไปจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลด้วยกัน เพื่อที่จะปกป้องหัวหน้าตระกูล ท่านปู่สามแทบจะแตกคอกับหัวหน้าตระกูลแล้ว

ตุ้บ! ทันใดนั้นเฉาหม่านก็ใช้กำปั้นทุบโต๊ะ แล้วกล่าวอย่างคับแค้น “ถ้าข้ายอมให้จับแต่โดยดี ถ้าความตายของข้าแลกกับการทำให้เขาปรานีพี่น้องคนอื่นได้ เช่นนั้นข้าก็คุ้มค่าที่จะตาย แต่พอตายแล้วจะป้องกันยังไง? เขาอาจไม่ทำตามความปรารถนาของข้าก็ได้! ถ้าข้าไม่ตาย เขาก็ยังมีความกังวล ไม่กล้าลงมือกับพี่น้องคนอื่น ถ้าข้าตายไป พี่น้องคนอื่นก็ต้องตายแน่นอน! ตระกูลเซี่ยโห้วไม่กลัวภัยข้างนอก กลัวก็แต่ภัยข้างใน เซี่ยโห้วลิ่งตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะทำอย่างนี้ ช้าเร็วตระกูลเซี่ยโห้วก็ต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือเขา พวกเจ้าคิดว่าข้าควรจะทำยังไง?”

เอาเรื่องแบบนี้มาถามพวกเขาสองคน จะให้พวกเของสองคนตอบอย่างไรล่ะ?

“สาบานว่าจะติดตามเถ้าแก่!” เฉาเฟิ่งฉือกับชีเจวี๋ยรีบกุมหมัดคารวะพร้อมกัน

พวกเขาทำได้เพียงพูดแบบนี้ เมื่อเห็นเฉาหม่านพูดถึงขั้นนี้แล้ว รู้ว่าถ้าตัวเองไม่แสดงท่าทีแบบนี้ เกรงว่าคงเลิกคิดไปได้เลยว่าจะรอดชีวิตออกจากตึกศาลาสัตยพรต…

ภูเขาสูง แสงจันทร์ส่องสว่าง เรือลำหนึ่งลอยโดดเดี่ยวอยู่ในแม่น้ำ

หยวนกงนั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวเราะ ฟังเสียงชะนีร้องเสือคำรามระหว่างภูเขา เงยหน้ามองจันทร์มองบนท้องฟ้า ดูเหมือนอิสระเสรี แต่ในใจกลับกระสับกระส่ายสุดๆ ไม่รู้ว่าระฆังดาราในมือไร้เสียงเตือนมานานเท่าไรแล้ว

จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลติดต่อมาหาเขาหลายครั้ง แต่เขาไม่กล้าตอบกลับ เพราะก่อนหน้านี้จู่ๆ ก็ได้รับข้อความที่เหลือเชื่อ เป็นข้อความจากเซี่ยโห้วท่า บิดาของเขา!

ระฆังดาราที่อยู่ในมือคืออันที่ใช้ติดต่อกับบิดาโดยเฉพาะ ตั้งแต่บิดาตายไป มันก็ไม่เคยมีความคลื่อนไหวอีกเลย เขาเก็บติดตัวไว้เป็นที่ระลึกมาตลอด เป็นสิ่งที่เอาไว้รำลึกถึง!

ต่อให้นอนฝันเขาก็นึกไม่ถึง ว่าวันหนึ่งระฆังดาราอันนี้จะมีข้อความส่งมาหาเขาอีกครั้ง

ตอนที่ระฆังดาราอันนี้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ไม่กล้าเชื่อเลยจริงๆ ยังนึกว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ มือที่ถือระฆังดาราสั่นเทิ้ม

แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ได้ฝันไป เป็นบิดาที่ส่งข่าวมาหาเขาจริงๆ จากนั้นเขาถึงได้ตื่นตัว ที่แท้บิดาก็ยังไม่ตาย บิดาแค่เปลี่ยนจากอยู่ในที่แจ้งไปอยู่ในที่ลับ คอยเฝ้าดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตระกูลเซี่ยโห้วมาตลอด การละสังขารของบิดาเป็นเพียงการพรางตาเท่านั้น แกล้งตาย!

เซี่ยโห้วท่าไม่ได้ตอบอะไรเขามากมาย บอกกับเขาเพียงประโยคเดียวว่า : เจ้าถูกเปิดโปงแล้ว หนิวโหย่วเต๋อรู้กำพืดเจ้าแล้ว รีบใช้รุ่นสี่ของตระกูลเซี่ยโห้วมารับงานต่อจากเจ้าเดี๋ยวนี้ แล้วหายตัวไปทันที สมาคมอาวุโสจะติดต่อไปหาเจ้า

ตระกูลเซี่ยโห้วก่อตั้งขึ้นโดยเซี่ยโห้วฉางอันปู่ของเขา เซี่ยโห้วฉางอันจึงเป็นรุ่นหนึ่ง เซี่ยโห้วท่าเป็นรุ่นสอง ส่วนเขาก็เป็นรุ่นสาม การให้รุ่นสี่มารับงานต่อจากเขาก็หมายความว่า เขาจะต้องวางมือจากอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วอย่างเป็นทางการ

ส่วนสมาคมอาวุโส ก็เป็นสิ่งที่เซี่ยโห้วท่าสร้างขึ้นมา นี่คือสิ่งที่เป็นความลับสุดยอดของตระกูลเซี่ยโห้ว ใช่ว่าใครของตระกูลเซี่ยโห้วก็ล้วนเข้ามาได้ มีเพียงคนที่เคยกุมอำนาจมหาศาลอย่างเป็นทางการและถูกเปิดโปงหรือไม่ก็ถอนตัวจากสังคมแล้วเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ มีเพียงคนที่เคยกุมอำนาจมหาศาลของตระกูลเซี่ยโห้วถึงจะรู้ว่ามีสมาคมอาวุโสอยู่ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แม้แต่ลูกน้องคนสนิทของนายท่านอย่างเว่ยซูก็ไม่รู้ ตอนที่เขากุมอำนาจในบางพื้นที่ เซี่ยโห้วท่าผู้เป็นบิดาถึงได้บอกเขาว่ามีสมาคมอาวุโสอยู่

หลังจากกลับสมาคมอาวุโสแล้ว ระฆังดาราทั้งหมดที่ใช้ติดต่อกับภายนอกก็ต้องส่งให้เบื้องบน ตั้งแต่นี้ไปต้องทิ้งอำนาจทุกอย่าง ทิ้งความอาลัยอาวรณ์ทั้งหมดที่มีต่อโลกภายนอก ไปใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบ

แต่มีเพียงคนที่เคยกุมอำนาจอาณาเขตของตระกูลเซี่ยโห้วอย่างเขาเท่านั้น ที่จะรู้ชัดถึงอิทธิพลของสมาคมอาวุโส ตามที่เขาคาดเดา สมาคมอาวุโสคงจะเป็นไพ่ลับสุดท้ายของตระกูลเซี่ยโห้ว ผู้ที่เคยกุมอำนาจแม้จะวางอำนาจแล้ว แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่เคยบริหารกำลังพลมาหลายปีขนาดนั้น ในที่ลับและในที่แจ้งก็ล้วนมีคนของตัวเองอยู่แล้ว ถ้าได้รับอนุญาตจากสมาคมอาวุโสให้ใช้ระฆังดาราติดต่อภายนอกได้อีกครั้ง ผลกระทบนี้ก็จะแสดงบทบาทขึ้นมาแล้ว

องครักษ์ลับข้างกายหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วก็มาจากสมาคมอาวุโส โลกภายนอกสืบไม่เจอที่มาที่ไปเลย องครักษ์หัวหน้าตระกูลก็ไม่ติดต่อกับภายนอกเช่นกัน หน้าที่เพียงอย่างเดียวก็คือคุ้มครองหัวหน้าตระกูล เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ นี่ก็คือหน้าที่เพียงอย่างเดียวของพวกเขา

หยวนกงถึงขั้นสงสัยว่าบิดาได้มอบอำนาจของสมาคมอาวุโสให้เซี่ยโห้วลิ่งไปแล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นจะถึงขั้นผ่านมาหลายปีขนาดนี้แต่ยังทำอะไรพี่น้องอย่างพวกเขาไม่ได้เหรอ? ตอนนี้จู่ๆ บิดาก็ส่งข่าวมา ก็ยิ่งพิสูจน์การคาดเดาของเขาได้แล้ว

ถ้าอยู่ดีๆ เซี่ยโห้วลิ่งมาบอกว่าเขาโดนเปิดโปงแล้ว เพราะแต่อยากยึดอำนาจจากเขา แล้วไม่อธิบายอะไรเลย เขาก็อาจจะไม่เชื่อ แต่จู่ๆ บิดาที่ฟื้นจากความตายก็ออกคำสั่งแล้ว เขาไม่กล้าไม่เชื่อฟัง ตั้งแต่วันนี้ไปทำได้เพียงเริ่มปลีกตัวจากสังคมไปอย่างโดดเดี่ยว!

พอนึกถึงตรงนี้ จู่ๆ หยวนกงที่นั่งขัดสมาธิรับลมใต้แสงจันทร์ก็ยิ้มเจื่อน เกรงว่าถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองต้องการปลีกวิเวก บิดาก็อาจไม่ให้ตนรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ก็ได้!

“ยังติดต่อไม่ได้อีกเหรอ?”

ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้จ้องสวีถังหรานพร้อมถามอย่างเย็นเยียบ

เมื่อเห็นเหมียวอี้มีสีหน้าแปลกไป สวีถังหรานก็เหงื่อซึมหน้าผากแล้ว ในใจสาปแช่งบรรพบุรุษของหยวนกงสิบแปดรุ่น เขาตอบด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า “ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว ไม่มีการตอบกลับเลย ข้าน้อยติดต่อเขาตลอด จนตอนนี้ยังติดต่อไม่หยุดเลยขอรับ!”

หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วมุ่นเช่นกัน เขาเองก็ติดต่อไปแล้ว แต่ติดต่อหยวนกงไม่ได้

เหมียวอี้โกบมือตะคอกว่า “ติดต่ออย่างเดียวไม่มีประโยชน์ ไปสืบมา!”

“ขอรับๆๆ ข้าน้อยจะไปสืบเดี๋ยวนี้!” สวีถังหรานพยักหน้าโค้งกาย จากนั้นก็หันตัวเดินจากไป พอออกจากโถงรับแขกไปแล้ว ก็ยกชายแขนเสื้อเอามือปาดเหงื่อบนหน้าผาก พบว่าตอนนี้ลักษณะน่าเกรงขามที่นายท่านเผยโดยไม่ได้ตั้งใจยิ่งสร้างความกดดันให้คนมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อไม่ต้องเผชิญความกดดันแบบนั้นแล้ว ก็นับว่าโล่งอก แต่ในใจยังด่าอีกว่าไม่รู้หยวนกงไปตายที่ไหนแล้ว คงไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกใช่มั้ย

โถงด้านหลัง หยางชิ่งเดินออกมาอย่างช้าๆ เดินมาข้างกายเหมียวอี้ แล้วถามด้วยแววตาจริงจัง “ทำไมจู่ๆ ถึงหายตัวไปในเวลานี้?”

เหมียวอี้สีหน้าแย่มากจริงๆ ขณะกำลังจะอาศัยปากหยวนกงสร้างความกดดันให้เฉาหม่าน บีบให้เฉาหม่านยอมจำนน จู่ๆ หยวนกงกลับหายไปในเวลานี้แล้ว ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกนิดหน่อย

“ตามหลักแล้วเขาไม่น่าจะรู้ว่าตัวเองถูกเปิดโปงฐานะ เกิดอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า?” หยางเจาชิงถาม

หยางชิ่งส่ายหน้าช้าๆ “หยวนกงมีฐานะไม่ธรรมดาที่ตระกูลเซี่ยโห้ว น่าจะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ไม่แย่ ไม่น่าจะเกิดเรื่องกับเขาง่ายๆ ทั้งที่เขาไม่ได้เคลื่อนไหวเลยสักนิด ถ้าเกิดเรื่องกับเขาจริงก็กลับทำให้หายกังวลด้วยซ้ำ กลัวก็แต่…ไม่หายไปตั้งแต่แรก ไม่หายไปตอนหลัง ทำไมดันมาหายไปในเวลานี้?” ในดวงตาเขาฉายแววหวาดระแวงสงสัย

ในขณะนี้เอง จู่ๆ เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อกับที่ไหน หลังจากวางระฆังดาราลงก็เงียบงันไม่พูดอะไร

หยางชิ่งรออยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “นายท่าน เป็นอะไรไปหรือขอรับ?”

“เฉาหม่านติดต่อข้ามา บอกแค่ประโยคเดียว”

“บอกว่าอะไร?”

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเซี่ยโห้วลิ่ง เขาก็ไม่รู้เรื่องด้วยทั้งนั้น!”

หยางเจาชิงได้ยินแล้วโล่งอก “สงสัยในที่สุดเฉาหม่านจะตัดสินใจแล้วว่าต้องการตำแหน่งนั้น เขาไม่อยากรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น อยากจะยืมมือนายท่าน พอเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องกดดันอะไรอีก หยวนกงจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่เป็นปัญหาแล้ว”

เหมียวอี้กระตุกมุมปาก แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “จู่ๆ หยวนกงก็หายไป แล้วเฉาหม่านก็ตอบตกลงอีก พอรวมเรื่องนี้เข้าด้วยกัน ทำไมข้ารู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล?”

หยางชิ่งไม่พูดอะไร แต่ยังขมวดคิ้วมุ่นไม่เลิก

…………………

หยางเจาชิงเงียบไป หลักการเหตุผลนี้เขาฟังเข้าใจ แต่ตรงหว่างคิ้วที่ฉายแววกังวลนั้นยากปิดบัง เพราะพระปีศาจหนานโปเคยเห็นเหยียนซิวลงมือแล้ว แม้จะไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเหยียนซิว แต่คนสร้างเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางก็คือพระปีศาจ เป็นไปไม่ได้ที่พระปีศาจจะจำไม่ได้ หลักฐานตีแผ่ความจริงวางอยู่อย่างนี้ ขอเพียงตำหนักสวรรค์พุ่งเป้าหมายตรวจสอบ ก็จะเกิดปัญหายุ่งยากแล้ว

เหมียวอี้ที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง แม้จะหันหลังให้ แต่กลับรู้ถึงความคิดของเขา กล่าวช้าๆ ว่า “กุญแจสำคัญตอนนี้ก็คือทำให้คนสับสนจนแยกแยะไม่ออก ไม่ให้อำนาจแต่ละฝ่ายของตำหนักสวรรค์รวมตัวกันเพ่งเล็งมาที่พวกเรา ไม่มองจุดอ่อนเป็นวิกฤติตรงหน้า พระปีศาจปรากฏตัวอีกครั้ง ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ข่าวลือเป็นเพียงสิ่งที่ช่วยช่วงชิงเวลาให้พวกเรา ขอเพียงสามารถแทนที่ฮ่าวเต๋อฟางได้ก่อนเกิดเรื่อง แล้วได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้ว ข่าวลือก็จะเป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีทางกลายเป็นเรื่องจริงได้!”

หยางเจาชิงเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คืออะไร? คือการสนับสนุนให้เฉาหม่านขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าตระกูล กดดันให้เฉาหม่านยอมจำนน หรือพูดได้อีกอย่างว่า ข่าวลือในตอนนี้ที่จริงแล้วพุ่งเป้าไปที่เฉาหม่าน ทางพระปีศาจหนานโปก็ต้องเหลือไว้เป็นทางหนีทีไล่เพื่อคุมให้เขาสงบ

หยางชิ่งกล่าวขณะไตร่ตรอง “หวังว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะกำจัดปีกพระปีศาจได้ ข่มพระปีศาจหนานโปเอาไว้ ไม่ให้เขาทำงานใหญ่สำเร็จ!”

ดาวเกาะคราม ปากทางเข้าตึกถ้ำที่สลักจากหินผาริมทะเลมรกต พระปีศาจหนานโปกำลังยืนรับลม ส่วนจั่วเอ๋อร์กำลังรายงานสถานการณ์ด้านนอกให้ฟังอยู่ข้างๆ

ฉากแบบนี้ทำให้แม้แต่จั่วเอ๋อร์เองก็ยังใจลอยนิดหน่อย ในปีนั้นตอนอยู่ตรงหน้าอิ๋งจิ่วกวงก็เป็นอย่างนี้ ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนเจ้านายแล้ว

เมื่อมีการช่วยเหลือจากกำลังของตระกูลอิ๋งแล้ว พระปีศาจหนานโปก็ผ่อคลายขึ้นเยอะ ถ้าเทียวไปเทียวมาอยู่คนเดียวก็เสียเวลาทั้งยังทำงานได้ประสิทธิภาพต่ำ ช่องทางข่าวสารสำเร็จรูปของตระกูลอิ๋งช่วยเขาได้มาก

“เสียหายมากเลยเหรอ?” พระปีศาจหนานโปกล่าวเสียงเรียบ

จั่วเอ๋อร์ยังนึกกลัวอยู่ในใจ “กำลังของตระกูลเซี่ยโห้วน่ากลัวจริงๆ ข้ายังนึกว่ากำลังที่ตระกูลอิ๋งซ่อนไว้จะเป็นความลับมาก แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะรู้ความลับที่ปกปิดไว้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่เคยลงมือเท่านั้น พอลงมือก็สร้างความเสียหายให้พวกเราเยอะมาก ภายในเวลาสั้นๆ แบบนี้ ช่องทางข่าวสารในมือพวกเราถูกทำลายไปเกือบเครื่อง โชคดีที่ข้าถอนกำลังทันเวลา ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาก็เลวรายจนไม่กล้าจิตนาการ ตอนนี้ช่องทางรายได้ลับของพวกเราเสียหายหนักมาก ในอนาคตจะต้องลดค่าบำรุงของสมาชิก จะทำให้ใจคนสั่นคลอนได้ง่าย ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นก็คือ ไม่รู้ว่าตอนหลังตระกูลเซี่ยโห้วยังจะเคลื่อนไหวอะไรอีก ดูจากสถานการณ์แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนอยากจะทำลายกำลังของตระกูลอิ๋งในตอนนี้ให้หมด!”

“ตระกูลเซี่ยโห้วจะสืบสาวมาจนเจอที่นี่หรือเปล่า?” พระปีศาจหนานโปถามอย่างใจเย็น

จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “ไม่ถึงขั้นนั้น ในปีนั้นข้าเป็นคนเตรียมที่นี่ด้วยมือตัวเอง เป็นหนึ่งในทางหนีทีไล่ของอ๋องสวรรค์อิ๋ง นอกจากข้ากับอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ไม่มีใครรู้แล้ว น่าจะสืบไม่เจอที่นี่”

พระปีศาจหนานโปวางใจแล้วไม่น้อย “ดูท่าแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วคงรู้แล้วว่าพวกเราร่วมมือกัน พวกนั้นกำลังพุ่งเป้ามาที่ข้า”

จั่วเอ๋อร์มองสีหน้าของเขาแวบหนึ่ง แล้วถามอย่างลังเล “คงจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นหนิวโหย่วเต๋อที่เปิดโปงหรือเปล่า?”

“ตระกูลเซี่ยโห้วใจกล้าไม่เบา เซี่ยโห้วท่าตายแล้ว ข้าไม่รีบสะสางบัญชีกับพวกเขา แต่พวกเขากลับใจร้อนมาหาเรื่องข้า ดีมาก ตั้งใจรอข้าให้ดีเถอะ!” พระปีศาจหนานโปแสยะยิ้ม แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “จะเป็นเขาเปิดเผยหรือเปล่าไม่สำคัญ ต่อให้รู้ว่าเขาเปิดเผยแล้วยังไง เจ้าเด็กนั่นมีกำลังทหารมาก พวกเราไม่มีหลักฐานไปต่อว่าเขา ตอนนี้ยังทำอะไรเขาไม่ได้ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะแตกคอกับเขา ตอนนี้การฟื้นพลังของข้าต่างหากที่สำคัญที่สุด พวกเจ้าต้องยอมรับความเสียหายไว้ก่อนชั่วคราว ข้าย่อมช่วยพวกเจ้าทวงคืนทั้งต้นทั้งดอกได้อยู่แล้ว! เป็นไปได้เก้าในสิบว่าข่าวลือข้างนอกเป็นฝีมือเขา ใช้ได้เลย ขนาดวิธีการนี้ก็ยังคิดได้ เรียบง่ายแต่ได้ผล!”

ปากก็พูดเหมือนผ่อนคลาย แต่ในใจกลับกลั้นไฟโกรธเอาไว้ เมื่อก่อนต่อให้น่าเกรงขามอย่างไรก็เป็นเมื่อก่อน ตอนนี้พลังสู้อีกฝ่ายไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงอดทนไว้

ไม่ว่าใครก็มีช่วงเวลาที่พลังสู้คนอื่นไม่ได้ทั้งนั้น ต่อให้เป็นเหมียวอี้ก็ตาม เรื่องอดทนรความอัปยศก็ใช่ว่าจะไม่เคยผ่านมาก่อน

จั่วเอ๋อร์ถอนหายใจ “ก็จริง นึกไม่ถึงว่าเจ้านั่นจะเป็นคนของหกลัทธิ ถูกหกลัทธิผลักดันออกมาอยู่ในที่แจ้งได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย วิธีการพลิกแพลงสถานการณ์ในหลายปีมานี้ ดูไม่ออกเลยว่าเกี่ยวข้องอะไรกับหกลัทธิ อาศัยกำลังของเขาตอนนี้ ทั้งยังมีฮ่าวเต๋อฟางเป็นเกราะกำบัง ถ้าไม่มีหลักฐานมายืนยันความจริง ข่าวลือซี้ซั้วต่างๆ ทำให้คนแยกแยะลำบาก เกรงว่าตำหนักสวรรค์ก็คงไม่กล้าตรวจสอบเขาง่ายๆ เช่นกัน ไม่อย่างนั้นก็จะกดดันให้เขาก่อกบฏ!”

จู่ๆ พระปีศาจหนานโปก็หัวเราะเยาะ หลักฐานเหรอ? ตอนนี้เขาแปลกใจนิดหน่อย หนิวโหย่วเต๋อไม่รู้จริงๆ ว่าเขามองออกแล้วว่าเหยียนซิวใช้เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง หรือว่าแกล้งไม่รู้? แม้เขาจะไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้ลงมือ แต่พอกลับมาแล้วสืบข่าวเรื่องคนข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ ถามถึงหน้าตาที่ผิดปกติของเหยียนซิว ก็พุ่งเป้าหมายไปที่เหยียนซิวได้ทันที

ตามหลักแล้วเป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะไม่รู้ แต่ยังสร้างข่าวลือแบบนี้มีจุดประสงค์อะไร มีความหมายเหรอ?

ในมือเขาใช่ว่าจะไม่มีไพ่ลับมาสู้กับหนิวโหย่วเต๋อ เรื่องสถานที่ผนึก เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางของเหยียนซิว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นจุดอ่อนที่เขากุมเอาไว้ในมือ

พอคิดไปคิดมา ก็ตัดสินใจจะหยั่งท่าทีของหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย เขาหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจางผิง

บนตึกศาลา พวกเหมียวอี้กำลังคุยกัน

เหยียนซิวมาถึงแล้ว เดินตรงมาข้างกายเหมียวอี้แล้วรายงานว่า “ฝั่งพระปีศาจต้องการคุยกับนายท่านขอรับ”

เหมียวอี้แสยะหัวเราะ แล้วพยักหน้า

เหยียนซิวโยนจางผิงออกมา

จางผิงกวาดสายตามองคนพวกนี้แวบหนึ่ง หลังจากหยิบระฆังดาราออกมา ก็กุมหมัดคารวะเหมียวอี้ “ผู้ตรวจการใหญ่ ผู้สูงศักดิ์ถามเจ้าว่า ข่าวลือข้างนอกใช้ฝีมือเจ้าหรือเปล่า?”

เหมียวอี้เหล่ตาถาม “ใช่แล้วยังไง ไม่ใช่แล้วยังไง?”

จางผิงเขย่าระฆังดาราถ่ายทอดคำตอบไปให้พระปีศาจหนานโป พอได้ข้อความตอบกลับมาแล้วก็บอกอีกว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ทำถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะให้ผู้สูงศักดิ์ช่วยเจ้าจัดการสองเรื่องนั้นได้ยังไง? ถ้าจบเรื่องแล้วเจ้ากลับคำพูดจะทำยังไง?”

เหมียวอี้แสยะหัวเราะ “ข้าเคยบอกไปแล้ว ข้าไม่ยอมรับการถูกบีบ ข้ายอมรับการทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนเท่านั้น ถ้าเขาจัดการที่เรื่องบอกเรียบร้อยแล้ว ข้าก็ย่อมมอบของสิ่งนั้นให้เขา เรื่องบางเรื่องเขารู้อยู่แก่ใจ ไม่จำเป็นต้องแสร้งเลอะเลือน!”

หลังจากจางผิงบอกต่อแล้ว ก็เตือนว่า “ผู้สูงศักดิ์ยังยืนยันคำเดิม หวังว่าผู้ตรวจการใหญ่จะรักษาสัจจะ ไม่อย่างนั้นจะต้องรับผิดที่ตามมา!”

เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา แล้วเหยียนซิวก็เก็บจางผิงเอาไว้อีก

ตอนที่เหยียนซิวหันตัวเดินไปข้างหลังเหมียวอี้ ก็พบว่าหยางชิ่งกำลังมองเขาอยู่ ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วต่างคนก็ต่างหลบสายตาอีก

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หยางชิ่งไม่ใช่คนโง่ พอจะเดาออกแล้วว่าทำไมตอนแรกจึงให้เหยียนซิวไปสืบเรื่องจูเก๋อชิง เพียงแต่ทุกคนไม่ได้เจาะกระดาษหน้าต่างเปิดโปงก็เท่านั้นเอง

จวนท่านปู่สวรรค์ นายบ่าวกำลังเดินไปเดินมาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า

“ตรวจสอบการป้องกันในบ้านให้มากหน่อย” เซี่ยโห้วลิ่งเดินมาถึงได้ต้นไม้แล้วเอามือลูบลำต้นที่หยาบขรุขระ ไม่รู้ว่าเขาเตือนเรื่องนี้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว

“ตรวจสอบตามกำหนดเวลามาตลอดขอรับ ไม่ให้พระปีศาจได้ฉวยโอกาส” เว่ยซูกล่าวอย่างเคารพ

“สืบเจอคนปล่อยข่าวหรือเปล่า?” เซี่ยโห้วลิ่งถาม

“เหมือนวางแผนมานานมากแล้ว สืบยาก ข่าวลือนี้เกิดขึ้นอย่างมีเงื่อนงำ” เว่ยซูกล่าว

เซี่ยโห้วลิ่งหรี่ตา “ข่าวลือที่ไร้เหตุผลที่มาที่ไปแบบนี้ ถ้าสืบไม่ได้อะไร งั้นก็เหลือความเป็นไปได้อย่างเดียวแล้ว ใครได้ประโยชน์ ก็เป็นคนนั้นที่ปลุกลมสร้างคลื่น!”

“นายท่านสงสัยหนิวโหย่วเต๋อหรือขอรับ?” คนอื่นไม่รู้ชัด แต่ฝั่งนี้กลับรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของหกลัทธิ คนอื่นไม่รู้ชัดว่าใครได้ประโยชน์ แต่ฝั่งนี้กลับรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อทำลายการควบคุมจากตระกูลเซี่ยโห้วได้แล้ว จากนั้นก็พยักหน้าบอกว่า “ก็มีความเป็นไปได้ แต่ทำไมจู่ๆ หนิวโหย่วเต๋อถึงปล่อยข่าวในเวลานี้? หรือว่าเขารู้แล้วว่าพวกเรารู้กำพืดเขา?” เว่ยซูลังเล

“เจ้าสามแทบจะสวมกางเกงตัวเดียวกับเขาอยู่แล้ว เรื่องความลับรั่วไหลก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” เซี่ยโห้วลิ่งแสยะยิ้ม

เว่ยซูกล่าวอย่างระแวงสงสัย “ไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อมีอำนาจมากขนากนั้น จุดอ่อนนี้เท่ากับช่วยพวกเราควบคุมกำลังมหาศาลนี้ได้ ต่อให้คุณชายสามจะโง่ขนาดไหน แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำลายรากฐานของตระกูลเซี่ยโห้วเสียเอวหรอกขอรับ”

เซี่ยโห้วลิ่งเอามือไขว้หลังเดินอ้อมต้นไม้ใหญ่ “ก็หวังว่าจะไม่ใช่ ข้าก็แค่เดาเท่านั้น ตอนนี้อำนาจของหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่สิ่งที่หกลัทธิจะควบคุมได้แล้ว เป็นไปได้ว่าอาจะปล่อยข่าวเพื่อตัดสัมพันธ์กับหกลัทธิแล้วตั้งตัวเป็นอิสระ สรุปก็คือไม่ว่าจะยังไง พอปล่อยข่าวลือพวกนี้ออกมา ก็ช่วยหนิวโหย่วเต๋อความกังวลที่ซ่อนอยู่ในใจได้แล้ว หนิวโหย่วเต๋อหลุดพ้นจากการควบคุมของพวกเราแล้ว!” เขาส่ายหน้า “ปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน ตอนหลังค่อยมาคิดบัญชี แก้ปัญหาเรื่องพระปีศาจหนานโปก่อน ทางฝั่งตระกูลอิ๋งสืบไปถึงไหนแล้ว?”

“ดูจากสถานการณ์ที่สืบได้ หลังจากพระปีศาจหนานโปหลุดออกไป ผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งก็มีชีวิตชีวาขึ้นเยอะมาก ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องกับพระปีศาจหนานโปหรือเปล่า กำลังขุด! นายท่านวางใจได้ กำลังของทั้งตระกูลเซี่ยโห้วกำลังรวมตัวกันเคลื่อนไหว เมื่อมีทิศทางให้ลงมือแล้ว นอกเสียจากว่าผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งจะตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ไม่อย่างนั้นช้าเร็วก็ต้องขุดเจอพระปีศาจแน่ เขาหนีไม่พ้นหรอก!” เว่ยซูตอบ

“ตอนนี้ข้าสงสัยว่าเจ้าสามรู้ได้ยังไงว่าพระปีศาจกับผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งสมคบกัน เจ้าสามมีเรื่องกำลังปิดบังพวกเราอยู่!” เซี่ยโห้วลิ่งกล่าว

เว่ยซูบอกว่า “อย่างน้อยตอนนี้ก็มีสิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ การที่พระปีศาจยิ่งใหญ่ขึ้นนั้นเป็นภัยคุกคามต่อคุณชายสาม เป็นไปไม่ได้ที่คุณชายสามจะทำซี้ซั้วกับเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น พอมาคิดดูตอนนี้ พระปีศาจตัวคนเดียว ในเวลานี้ไม่อาจทำงานใหญ่สำเร็จได้แล้ว ต้องหากำลังพลที่สามารถสมคบกันได้แน่นอน กำลังของตระกูลอิ๋งคือตัวเลือกเดียว ทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกัน ทิศทางที่คุณชายสามตามสืบน่าจะไม่ผิดพลาด หลังจากพระปีศาจหลุดออกมา ผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งก็คึกคักขึ้นมากจริงๆ ที่กล่าวมาล้วนเป็นจุดที่น่าสงสัย”

“ไม่กลัวภัยข้างนอก กลัวก็แต่ความกังวลภายใน!” เซี่ยโห้วลิ่งเงยหน้าถอนหายใจ ในดวงตาฉายแววกระหายการฆ่า

เว่ยซูเงียบไป แม้หัวหน้าตระกูลจะไม่ได้พูด แต่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนตั้งนานแล้วว่าหัวหน้าตระกูลคิดจะสังหารคุณชายสาม หัวหน้าตระกูลอุตส่าห์สิ้นเปลืองความคิดเพื่อโค่นล้มอิ๋งจิ่วกวง แต่กลับไม่ได้อำนาจบารมีเพื่อกุมอำนาจทั้งหมดของทั้งตระกูลเซี่ยโห้วอย่างที่หวังได้ ทำให้หัวหน้าตระกูลเริ่มมีใจชิงชังกับพี่น้องพวกนี้แล้ว โดยเฉพาะคุณชายสามที่อยู่ในที่แจ้ง หน้าไหว้หลังหลอกเขาจนทำให้หนิวโหย่วเต๋อเป็นใหญ่อยู่ที่แดนรัตติกาล ส่วนหนิวโหย่วเต๋อพอได้ลูกท้อมาก็ตอบแทนด้วยลูกสาลี่ ไม่ชิงอำนาจการควบคุมตลาดผี เห็นได้ชัดว่าสองฝ่ายสมคบกัน หัวหน้าตระกูลคงคิดจะลงมือตั้งนานแล้ว แต่ถ้าคิดจะอาศัยให้มือสังหารแทรกซึมเข้าไปในตึกศาลาสัตยพรตที่คุณชายสามควบคุมมาหลายปี ก็อาจจะเพ้อฝันไปหน่อย ถ้าจะใช้กำลังทหารบุกโจมตี ทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็จะลงมือทันที หัวหน้าตระกูลหาโอกาสลงมือได้ยากมาก ถึงได้อดทนมาตลอดแบบนี้

ตลาดผี ตึกศาลาสัตยพรต เงาร่างของเฉาหม่านโดดเดี่ยวอยู่ในความมืด แววตาของเขาเหม่อลอยขณะมองแสงโคมไฟใกล้ริบหรี่นอกหน้าต่าง

“เถ้าแก่!” ชีเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงหลังจากเคาะประตู

เฉาหม่านเรียกสติกลับมา แววตากลับมาล้ำลึกอีกครั้ง “เข้ามา!”

ชีเจวี๋ยกับเฉาเฟิ่งฉือเข้ามาด้วยกัน พอปิดประตูแล้ว ก็ทำความเคารพเฉาหม่านที่กำลังหันหลังให้

เฉาหม่านหันตัวกลับมานั่งลงหลังโต๊ะ ใช้สายตามองสอบสวนทั้งสองนานมาก แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ช่วงนี้ข้างนอกมีข่าวลือครึกโครม คราดว่าพวกเจ้าคงได้ยินแล้ว พวกเจ้าคิดว่ายังไง?”

………………

เหมียวอี้ทำได้เพียงถอนหายใจเช่นกัน หันตัวเดินกลับไปนั่งลงข้างโต๊ะสุรา รินสุราดื่มเองหมดจอกในรวดเดียว ตบจอกสุราลงบนโต๊ะแล้วบอกว่า “พวกเหวินเจ๋อมีพื้นเพจากกองทัพองครักษ์ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยืนอยู่ฝั่งไหน”

หยางเจาชิงเงียบงัน รู้ว่าเขาเกิดความคิดจะกำจัดคนที่มีความเห็นขัดแย้งกับตัวเองแล้ว

“ไม่ยืนอยู่ข้างนายท่านแน่นอน เหตุผลไม่ได้ซับซ้อนเลย ผลที่ตามมาจากการทรยศประมุขชิง พวกเขารับผิดชอบไม่ไหวหรอก ต่อให้นายท่านสามารถแทนที่ฮ่าวเต๋อฟางได้ ประมุขชิงก็ยังมีอำนาจมากอยู่ดี นอกเสียจากนายท่านจะแทนที่ประมุขชิงได้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยืนข้างนายท่าน” หยางชิ่งกล่าว

เหมียวอี้เอานิ้วลูบบนจอกสุรา “หรือพูดได้อีกอย่างว่า ในช่วงเวลาสำคัญพวกเขาจะต้องทำให้งานพังแน่นอน”

หยางชิ่งตอบว่า “ยังไม่ถึงเวลาที่จะแตะต้องพวกเขา ถ้าแตะต้องพวกเขาตอนนี้ก็เท่ากับแหวกหญ้าให้งูตื่น ยังไม่สะดวกจะขัดแย้งกับประมุขชิง สิ่งสำคัญตอนนี้คือสนับสนุนให้เฉาหม่านขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าตระกูล กดดันให้เฉาหม่านยอมจำนน!”

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ…

“อะไรนะ? โค่วหลิงซวีเป็นคนของหกลัทธิเหรอ?”

“ได้ยินว่าไม่ใช่แค่โค่วหลิงซวี ยังมีหนิวโหย่วเต๋อ พวกนั้นล้วนเป็นผู้เหลือรอดของหกลัทธิ ว่ากันว่าปี้เยว่เมียของเทียนหยวน ที่จริงแล้วเป็นเมียของไห่ยวนเค่อขุนพลใหญ่ลัทธิอู๋เลี่ยง”

“โห จะเป็นไปได้ยังไง?”

“ข้าก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน แต่ข้างนอกลือกันแบบนี้”

ในภัตตาคารแห่งหนึ่งที่ตลาดสวรรค์ คนกลุ่มหนึ่งกำลังจับกลุ่มกระซิบกระซาบกัน

คำวิจารณ์แบบเดียวกันนี้เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยเหมือนคลื่นเมฆ ขยายไปทั้งใต้หล้าอย่างเงียบๆ

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่อยู่บนสะพานโค้งกำลังโปรยอาหารปลา ปลาหลี่ปีศาจแย่งกันกินอยู่พักหนึ่งจนทำกระเด็น

โค่วเจิงยืนเก็บมืออยู่ข้างๆ กำลังฟังบิดากำชับ

ถังเฮ่อเหนียนเร่งฝีเท้าเดินออกมาจากป่าไผ่ เดินขึ้นมาบนสะพานโค้งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านอ๋อง จู่ๆ ด้านนอกก็มีข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับท่านอ๋อง”

“อ้อ!” โค่วหลิงซวีเหมือนไม่ใส่ใจ โปรยอาหารตาต่อไปพลางถามว่า “มีคำนินทากาเลอะไรอีกแล้ว?”

“ด้านนอกลือกันว่า ที่จริงแล้วท่านอ๋องคือคนของหกลัทธิ” ถังเฮ่อเหนียนตอบ

“…” โค่วหลิงซวีตะลึงงัน มือที่กำลังจะหยิบอาหารปลาหยุดชะงัก หันกลับมาถามอย่างตกใจพอสมควร “บอกว่าข้าคือผู้เหลือรอดของหกลัทธิเหรอ?”

“ข่าวลือแบบนี้ก็มีคนเชื่อด้วยเหรอ?” โค่วเจิงรู้สึกขำ

ถังเฮ่อเหนียนกลับไม่ได้มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นเลย “ดูเหมือนข่าวลือ แต่กลับมีตามีจมูกสมจริง ไม่ใช่แค่บอกว่าท่านอ๋องเป็นคนของหกลัทธิเท่านั้น ยังบอกอีกว่าที่จริงแล้วหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของหกลัทธิ บอกว่าตอนแรกที่นายน้อยเหวินหลานแนะนำหนิวโหย่วเต๋อเข้าตำหนักสวรรค์ก็เป็นสิ่งที่นายท่านแอบเตรียมการไว้ หนิวโหย่วเต๋อเดินมาถึงวันนี้ได้ล้วนเป็นท่านอ๋องที่วางแผนเองกับมือ เป็นผลจากการสนับสนุนของทั้งหกลัทธิ ยังบอกอีกว่าตอนปี้เยว่ฮูหยินของเทียนหยวนเข้าร่วมทดสอบที่แดนอเวจี ไห่ยวนเค่อก็ชอบนางแล้ว ปี้เยว่แต่งงานกับไห่ยวนเค่ออีกครั้ง ทั้งยังมีลูกสาวด้วยกันคนหนึ่ง ชื่อไห่ผิงซิน เคยเป็นลูกน้องหนิวโหย่วเต๋อ”

“…” เห็นได้ชัดว่าโค่วหลิงซวีพูดไม่ออก ก่อนจะแสยะยิ้มแล้วบอกว่า “น่าขบขันที่สุดในโลก ไปตรวจสอบสักหน่อย ดูว่าใครกำลังลือเรื่องเหลวไหลนี้”

ถังเฮ่อเหนียนตอบว่า “ให้คนไปตรวจสอบแล้วขอรับ แต่ตามที่บ่าวทราบมา ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อเคยมีเด็กสาวที่ชื่อไห่ผิงซินจริงๆ ตอนหลังได้ยินว่าตอนหลังรบตายไปแล้ว”

“ปี้เยว่อะไรนั่นสวยหรือเปล่า?” โค่วหลิงซวีถาม

“ว่ากันว่าพอใช้ได้ขอรับ” ถังเฮ่อเหนียนตอบ

โค่วหลิงซวีหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “แค่แซ่ไห่ก็แปลว่าเป็นลูกสาวไห่ยวนเค่อเหรอ? ไห่ยวนเค่อไม่เคยเจอผู้หญิงเชียวเหรอ? เอาเมียของเทียนหยวนมาเป็นเมียตัวเอง เจ้าเชื่อเหรอ?”

วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร

ประมุขชิงนั่งอยู่หลังโต๊ะยาว ถามว่า “ข่าวลือมีตามีจมูก เจ้าคิดว่าข่าวลือพวกนี้เป็นยังไง?”

พวกซือหม่าเวิ่นเทียนที่ยืนอยู่เบื้องล่างสบตากันแวบหนึ่ง อู๋ฉวี่ตอบว่า “ข้าน้อยรู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งครอบครัวของไห่ยวนเค่อถูกโค่วหลิงซวีสังหารตายหมด ถ้าจะบอกว่าโค่วหลิงซวีเป็นคนของหกลัทธิ ก็อาจจะฟังดูเหลวไหล”

“ว่ากันว่าข้างกายหนิวโหย่วเต๋อคยมีผู้หญิงชื่อไห่ผิงซินจริงๆ ซือหม่า เกาก้วน พวกเจาเคยสืบกำพืดนางหรือเปล่า?” ประมุขชิงถาม

ซือหม่าเวิ่นเทียนงุนงง “ฝ่าบาท ท่านคงไม่คิดว่าไห่ยวนเค่อจะแต่งงานกับเมียของเทียนหยวนจริงๆ หรอกใช่มั้ย? ความงามของปี้เยว่ก็ธรรมดา แค่ไปเข้าร่วมการทดสอบก็ต้องตาไห่ยวนเค่อแล้ว ทั้งยังแต่งงานเป็นภรรยาอีก ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ไห่ยวนเค่อนั่นก็อาจจะหิวจะไม่เลือกกินเกินไปแล้วมั้ง?”

“หากไร้ลมจะมีคลื่นได้อย่างไร หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ก็ผงาดขึ้นมาเร็วเกินไปหน่อยจริงๆ” เกาก้วนกล่าว

ซือหม่าเวิ่นเทียนมองไปที่เขา “หนิวโหย่วเต๋อผงาดขึ้นมาเร็วเกินไป แต่ทุกก้าวผงาดขึ้นมาได้อย่างไร นอกจากโอกาสและวาสนา ความสามารถและอุบายที่เขาใช้ก็อยู่ในสายตาทุกคนเดียว แผ่ออกมาให้ทุกคนเห็นหมดแล้ว มีจุดไหนที่เกี่ยวข้องกับหกลัทธิสักนิดหรือเปล่า? สิ่งเดียวที่เกี่ยวข้องก็คือเคยไปเข้าร่วมทดสอบที่แดนอเวจีเท่านั้นเอง แค่แซ่ไห่ก็แปลว่าเกี่ยวข้องกับไห่ยวนเค่อแล้วเหรอ? ถ้าแค่นี้ยังดันทุรังจะอธิบายให้ได้ ก็อาจะเหลวไหลเกินไปหน่อย”

เขาไม่ได้ช่วยพูดให้หนิวโหย่วเต๋อ แต่กำลังช่วยพูดให้ตัวเอง เพราะเขารับหน้าที่จับตาดูเรื่องของกลุ่มขุนนางตำหนักสวรรค์ ถ้ามีช่องโหว่อะไรขึ้นมาก็เป็นความรับผิดชอบของเขา ถ้ามีจุดไหนที่น่าสงสัยจริงๆ เขาเองก็ไม่มีอะไรจะเถียงเช่นกัน แต่ข่าวลือที่ไม่น่าเชื่อถือพวกนี้ปฏิเสธความเหน็ดเหนื่อยของหน่วยตรวจการซ้าย เขายอมรับไม่ได้

โพ่จวินเองก็มองเกาก้วนด้วยสายตาระอาเช่นกัน

ในขณะนี้เอง ซ่างกวนที่ยืนเก็บระฆังดาราอยู่ข้างกายประมุขชิงก็โค้งตัวรายงานว่า “ฝ่าบาท มีข่าวลืออีกนิดหน่อยขอรับ เกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว”

ประมุขชิงขมวดคิ้ว “ว่ามา!”

ซ่างกวนชิงมองคนอื่นๆ แวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “มีข่าวลือว่า ที่จริงแล้วตระกูลเซี่ยโห้วเกี่ยวข้องกับผู้เหลือรอดของหกลัทธิมาตลอด ทั้งสองฝ่ายติดต่อกันไม่เคยขาด ผู้เหลือรอดของหกลัทธิที่อยู่นอกแดนอเวจี ที่จริงแล้วตระกูลเซี่ยโห้วช่วยปิดบังการมีอยู่ของพวกเขามาตลอด บอกว่าตระกูลเซี่ยโห้วเตรียมใช้งานผู้เหลือรอดของหกลัทธิใหม่อีกครั้งได้ทุกเมื่อ ลือกันประมาณนี้ขอรับ”

เมื่อกล่าวแบบนี้ ตำหนักดาราจักรก็ตกอยู่ในความเงียบ ก่อนหน้านี้พูดถึงโค่วหลิงซวีกับหนิวโหย่วเต๋อ ทุกคนก็ยังไม่เชื่อ แต่ถ้าบอกว่าตระกูลเซี่ยโห้วทำอย่างนี้ ทุกคนก็เหมือนจะไม่รู้สึกผิดคาดเลยสักนิด นี่คือวิธีการที่ตระกูลเซี่ยโห้วใช้จนเคยชินแล้ว ช่วยพระปีศาจหนานโปกำจัดสามเซียน แต่กลับแอบชุบเลี้ยงศิษย์ของสามเซียน

จู่ๆ ประมุขชิงก็แสยะยิ้ม “ข่าวลือนี้ค่อนข้างน่าสนใจ ไม่รู้ว่าใครกันที่กำลังปล่อยข่าวลือ?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท เหมือนมีคนอยากอาศัยระดับความน่าเชื่อถือในข่าวลือตระกูลเซี่ยโห้วมาทำให้ข่าวลือฝั่งโค่วหลิงซวีกับหนิวโหย่วเต๋อเป็นจริง ที่ข่าวลือชี้ไปทางตระกูลเซี่ยโห้วก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดประสงค์ เป้าหมายที่แท้จริงน่าจะเป็นโค่วหลิงซวีกับหนิวโหย่วเต๋อ”

ประมุขชิงหรี่ตา “ระหว่างตาเฒ่าพวกนั้นคงจะไม่สร้างข่าวลือนี้ ใช่ลักษณะของตาเฒ่าพวกนั้นด้วย”

“หรือว่าจะเป็นพระปีศาจหนานโป?” เกาก้วนถามเสียงเรียบ

ในตำหนักเงียบไปอีกพักหนึ่ง โพ่จวินเอามือลูบเครา “เป้าหมายที่พระปีศาจทำอย่างนี้อยู่ตรงไหน?”

เป็นซือหม่าเวิ่นเทียนที่จู่ๆ หยิบระฆังดาราขึ้นมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปที่ไหน แล้วกุมหมัดรายงานอีก “ฝ่าบาท หน่วยตรวจการซ้ายพบว่ากำลังของตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนจะมีการเคลื่อนไหว มีเบาะแสชี้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกำลังสืบหาผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋ง เหมือนความเคลื่อนไหวจะไม่ใช่เล็กๆ ทางจวนท่านปู่สวรรค์มีคนเข้าออกถี่มาก จู่ๆ ก็มีสองร้านค้าทางตลาดผีถูกตึกศาลาสัตยพรตจู่โจม”

“ตระกูลเซี่ยโห้วกำลังสืบหาผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งเหรอ? ทำไมจู่ๆ ตระกูลเซี่ยโห้วถึงสนใจผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งขนาดนี้? อยากรีบฆ่าให้หมดเหรอ? แต่นี่ไม่เหมือนลักษณะของตระกูลเซี่ยโห้ว” ประมุขชิงกล่าวอย่างลังเล

“จะเกี่ยวข้องกับพระปีศาจหนานโปหรือเปล่าขอรับ?” เกาก้วนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีก

เมื่อเขาถามเช่นนี้ ทุกคนก็ทำสีหน้าเคร่งขรึม ต่างก็พบว่าเป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้มาก สถานการณ์ในใต้หล้าตอนนี้ไม่ใช่ยุคของพระปีศาจอีกแล้ว การสู้แบบตัวต่อตัวไม่อาจทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าพระปีศาจจะเข้ากันได้ดีกับผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋ง อีกทั้งคนที่ตระกูลเซี่ยโห้วกลัวที่สุดก็คือพระปีศาจ พอเป็นแบบนี้ ก็หาคำอธิบายที่ดีที่สุดกับเรื่องที่ตระกูลเซี่ยโห้วลงมือกับผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งได้แล้ว

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง โกวเยว่เข้าไปในห้องหนังสือ เดินไปข้างโต๊ะยาว พูดกับก่วงลิ่งกงที่กำลังอ่านแผ่นหยกด้วยเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง ข่าวลือลามมาถึงท่านแล้ว”

ก่วงลิ่งกงเงยหน้า แล้วถามกลั้วหัวเราะ “อ้อ พูดว่ายังไงบ้าง?”

“บอกว่าท่านอ๋องสมคบกับหกลัทธิมาตลอด เมื่อถึงคราวที่สี่ทัพได้เฝ้าทางเข้าออกแดนอเวจี ท่านอ๋องก็จะแอบปล่อยผู้เหลือรอดของหกลัทธิให้แอบเข้าออกแดนอเวจี บอกว่าท่านอ๋องรู้จุดที่ผู้เหลือรอดของหกลัทธิซ่อนตัวในเขตตำหนักสวรรค์ ลือกันประมาณนี้ขอรับ” โกวเยว่ตอบ

“เหลวไหลเหมือนลมตด!” ก่วงลิ่งกงหลุดคำหยาบ จากนั้นตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ จากนั้นกล่าวอย่างลังเลอีกว่า “คนที่ปล่อยข่าวลือนี้คิดจะทำอะไรกันแน่? แล้วสืบเจอหรือเปล่าว่าใครกันแน่ที่กำลังปล่อยข่าวลือ?”

“คนที่ปล่อยข่าวนี้เหมือนจะวางแผนมานานมากแล้ว หาต้นตอยากมากขอรับ” โกวเยว่กล่าว

ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้กับหยางชิ่งกำลังประชุมกันอยู่บนตึกศาลา หลังจากหยางเจาชิงมาถึงและทำความเคารพ ก็รายงานว่า “นายท่าน ข่าวแพร่ออกไปแล้วขอรับ”

เหมียวอี้ยืนขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย เดิมไปริมหน้าต่าง เหมือนถอนหายใจอย่างโล่งอก

หยางเจาชิงกลับถามหยางชิ่งอย่างฉงนใจ “ในเมื่อเตรียมปล่อยข่าวลือของฮ่าวเต๋อฟาง เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อแล้ว ทำไมจึงง้างสายธนูแต่ไม่ยิงสักที?”

หยางชิ่งโบกมือ “จะใช้แรงให้หมดในครั้งเดียวไม่ได้ ควรเหลือแรงเอาไว้ใช้บ้าง ตอนนี้ถ้าครอบคลุมหมด ก็จะมีคนรู้สึกสงสัยว่ายิ่งปกปิดยิ่งชัดเจน ตอนนี้ทำแบบนี้ก็เพียงพอให้คนสับสนแยกแยะไม่ถูกแล้ว หวังว่าคนที่บีบจุดอ่อนของนายท่านอยู่จะรู้ถอยยามลำบาก อย่าเสียแรงทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ถ้าอีกฝ่ายดึงดันจะเปิดโปงให้ได้ พวกเราค่อยปล่อยข่าวพวกฮ่าวเต๋อฟางมาประสมโรงก็ยังไม่สาย”

……………

“ตอนหลังเหรอ?” เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่มีตอนหลังแล้ว ตอนหลังข้าก็ไม่ได้เจอปีศาจโลหิตอีก”

เฉาหม่านจ้องเขาอย่างมีสมาธิ “เรื่องสองเรื่อง ผู้ตรวจการใหญ่เล่าไปแค่เรื่องเดียว ข้าตั้งใจรอฟังอีกเรื่อง”

เฉาเฟิ่งฉือก็จ้องเหมียวอี้อย่างใจจดใจจ่อเช่นกัน หยางเจาชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับมีสีหน้าสงบนิ่งเยือกเย็น

เหมียวอี้ตอบด้วยน้ำเสียงปกติ “ในปีนั้นข้าได้รับการดูแลจากปี้เยว่ ฮูหยินของเทียนหยวน ตอนหลังเกิดเรื่องกับตระกูลอิ๋ง ส่วนเรื่องของปี้เยว่ คาดว่าเถ้าแก่คงจะรู้ชักเช่นกัน”

เฉาหม่านไม่รู้ว่าเขาเอ่ยถึงปี้เยว่ทำไม กล่าวชมอย่างฝืนใจว่า “ผู้ตรวจการใหญ่มีคุณธรรมน้ำมิตร เพื่อตอบแทนบุญคุณในอดีต จึงปกป้องปี้เยว่ ได้รับการดูแลจากจวนผู้สำเร็จราชการ”

เหมียวอี้เล่าว่า “ตระกูลอิ๋งรบแพ้ เทียนหยวนรอดชีวิตหนีตามสงฉีผู้ตรวจการขวาทัพตระกูลอิ๋งไป ข้าเองก็ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้เทียนหยวนได้ติดต่อปี้เยว่หรือเปล่า แต่เมื่อไม่นานมานี้ จู่ๆ เทียนหยวนก็ติดต่อปี้เยว่มา ขอให้นางไปพบ เพราะจวนผู้สำเร็จราชการควบคุมเข้มงวด ปี้เยว่ไม่สามารถถือวิสาสะออกไปข้างนอกเองได้ จำเป็นต้องเปิดเผยความจริงว่าเทียนหยวนนัดนางไปเจอ สามีภรรยาพบกันเป็นเรื่องปกติ ข้าก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร อนุญาตนางไปแล้ว แต่ถึงยังไงเทียนหยวนก็เป็นผู้รอดชีวิตของตระกูลอิ๋ง ข้าก็ยังกังวลอยู่บ้าง เลยส่งคนแอบไปคุ้มครองนาง จะบอกว่าอยากสืบที่อยู่ของเทียนหยวนก็ได้ ทว่าเรื่องราวผิดไปจากที่ข้าคาดไว้ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ข้าส่งไปจะโดนคนอื่นควบคุมสติ เพราะช่วงนี้ป้องการอย่างเข้มงวด จึงมีบางคนปิดการได้ยินและจิตสำนึกและรายงานสถานการณ์กลับมาได้ทันเวลา เพียงแต่ตอนหลังก็ไม่ได้ข่าวอีก ไม่ได้ข่าวปี้เยว่เช่นกัน ช่วงนี้ข้ากำลังคิดเรื่องนี้มาตลอด จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากปี้เยว่ ปี้เยว่ขอบางสิ่งกับข้า เถ้าแก่รู้มั้ยว่าปี้เยว่ขออะไรจากข้า?”

เมื่อเชื่อมโยงกับเรื่องก่อนหน้านี้ เฉาหม่านก็พอจะเดาได้ แต่กลับยังถามว่า “ขออะไร?”

เหมียวอี้ตอบว่า “นางขอสมุนไพรจิตวิญญาณจากข้า บอกว่าขอเพียงข้าส่งสมุนไพรจิตวิญญาณไปให้ คนที่จับตัวพวกเขาไว้ก็จะปล่อยพวกเขา สัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์มหาศาลกับข้าด้วย ข้าก็เลยแกล้งโง่ บอกว่าไม่รู้จักว่าสมุนไพรจิตวิญญาณคืออะไร นางกลัเอ่ยถึงปีศาจโลหิต บอกว่าเป็นบัวโลหิตในค่ายกลมารโลหิตที่ข้าเอาไป เรื่องที่เกี่ยวกับบัวโลหิต ข้าไม่เคยเปิดเผยให้ภายนอกรู้ แต่ปี้เยว่รู้ได้ยังไง แล้วคนที่จับพวกเขาไปรู้ได้ยังไง เรื่องนี้ทำให้ข้าไม่เข้าใจจริงๆ”

เมื่อนำสองเรื่องนี้มาเชื่อมโยงกัน ก็ทำให้เฉาหม่านหวาดระแวงกลัว เขารู้เรื่องที่ปีศาจจิ้งจอกสามหางหนีมาจากสถานที่ผนึก รู้เรื่องที่ปีศาจโลหิตถูกควบคุมอยู่ที่สถานที่ผนึก กอปรกับสรรพคุณของสมุนไพรจิตวิญญาณ คนร้ายตัวจริงที่จับพวกปี้เยว่ไปก็โผล่อออกมาแล้ว

เพียงแต่เฉาหม่านยังกล่าวอย่างใจเย็น “ผู้ตรวจการใหญ่มีคุณธรรมน้ำมิตร ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าจะให้ผลประโยชน์มหาศาล ไม่สู้ส่งบัวโลหิตกลับไปเลยสิ”

เมื่อเห็นเขายังแกล้งโง่ เหมียวอี้จึงใช้คำพูดกระตุ้นเสียเลย “เถ้าแก่รู้หรือเปล่าว่าอีกฝ่ายจะให้ผลประโยชน์อะไรกับข้า?”

เฉาหม่านจิบสุราช้าๆ แล้วถามอย่างใจเย็น “ยินดีฟังรายระเอียด”

“อีกฝ่ายสัญญาว่า จะทำให้ข้ากลายเป็นเซี่ยโห้วท่าคนที่สอง!” เหมียวอี้ตอบ

“…” เฉาหม่านหนังตากระตุกทันที รู้ว่าแกล้งโง่ต่อไปก็ไม่มีความหมายแล้ว เขาจ้องเหมียวอี้พร้อมถามช้าๆ “ไม่ทราบว่าผู้ตรวจการใหญ่เลือกยังไง?”

“ในเมื่อเล่าสองเรื่องนี้ให้เถ้าแก่ฟังแล้ว ข้าจะเลือกยังไง เถ้าแก่ยังไม่เข้าใจเจตนาของข้าอีกเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

“เจ้าคิดจะใช้สิ่งนี้มาบีบตระกูลเซี่ยโห้วเหรอ?” เฉาหม่านถามเสียงเย็น

“ผิดแล้ว!” เหมียวอี้ส่ายหน้า “ถ้าข้าอยากจะบีบตระกูลเซี่ยโห้ว ก็สามารถบอกเรื่องนี้กับเซี่ยโห้วลิ่งโดยตรงได้เลย! หลายปีมานี้ข้าร่วมมือกับเถ้าแก่แล้วมีความสุข ที่จริงข้าก็หวังให้เถ้าแก่เฉาเป็นหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วด้วยซ้ำ!”

คำพูดนี้กลับทำให้เฉาเฟิ่งฉือตกใจกลัว เห็นได้ชัดว่ากำลังยุยงให้เฉาหม่านวางแผนแย่งชิงตำแหน่ง

เฉาหม่านชำเลืองเฟิ่งฉือโดยจิตใต้จิตสำนึก แล้วตบโต๊ะยืนเสียงดัง “เพล้ง” มองเหมียวอี้อย่างโกรธเคือง พร้อมตะคอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าว่าเจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง อย่านึกนะว่าในมือมีทัพใหญ่เกรียงไกรหลายสิบล้านแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ เจ้าเชื่อมั้ยว่าตระกูลเซี่ยโห้วสามารถทำให้ทุกสิ่งในมือเจ้าปลิวสลายหายไปเหมือนเถ้าถ่านได้อย่างง่ายดาย?”

เขาเดือดดาลจริงๆ คนนอกมาตัดสินเลือกหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน แม้แต่ประมุขชิงก็ไม่กล้าทำอย่างนี้ นี่ไม่ใช่แค่กำลังดูถูกเซี่ยโห้วลิ่ง แต่กำลังดูถูกเฉาหม่านด้วย

เหมียวอี้ไม่สะทกสะท้าน เขาย่อมรู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วมีความสามารถนี้ แอบรู้มาตลอดว่าเขาเกี่ยวข้องกับหกลัทธิไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เอาเรื่องพระปีศาจหนานโปมาขู่เขาแล้ว เขาจำเป็นต้องเริ่มรับมือ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ตั้งแต่แรกเริ่มเขาก็อาศัยจุดอ่อนนี้ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วสงบและประมาทแล้ว ทำแบบนี้เพื่อช่วงชิงโอกาสและเวลาให้ตัวเองได้เติบโต

“เถ้าแก่โปรดระงับโทสะ ถ้าข้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว เถ้าแก่ยังจะรอดชีวิตออกจากที่นี่ได้เหรอ?” เหมียวอี้ยื่นมือให้นั่งอย่างร่าเริง พร้อมเตือนว่า “หลักการเดียวกัน ถ้าข้าใช้บัวโลหิตมาเป็นเหยื่อล่อ เซี่ยโห้วลิ่งจะต้องมาแน่นอน เมื่อเข้ามาในแดนรัตติกาลแล้ว ถ้าข้าไม่ยอมให้เขารอดชีวิตออกไป ต่อให้เขามีความสามารถล้นฟ้าขนาดไหน ก็ยากที่จะรอดชีวิตออกไปได้!”

เฉาหม่านยันมือสองข้างบนโต๊ะ โน้มตัวมาข้างหน้า กล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “ข้าว่าเจ้าอย่าทำตัวไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำทำเรื่องโง่ๆ เลย ข้าบอกเจ้าให้ชัดเจนก็ได้ เจ้ารับผลที่ตามมาไม่ไหวหรอก!”

เหมียวอี้ยักไหล่ “ข้าย่อมไม่ทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่พูดออกมา ถ้าข้าอยากจะทำจริงๆ ข้าคงไม่ลงมือเองแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นเอาบัวโลหิตมาเสนอเงื่อนไจ สร้างเงื่อนไขให้พระปีศาจหนานโปนิดหน่อย ถ้าเซี่ยโห้วลิ่งเป็นอะไรขึ้นมา ใครจะมาโทษข้าได้ล่ะ?”

เฉาหม่านฟังจนหนังตากระตุก ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถ้าเซี่ยโห้วลิ่งล้มแล้ว ภัยคุกคามจากพระปีศาจหนานโปก็มาจ่อตรงหน้าอีก อำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องมารวมอยู่ในมือเขาคนเดียวอย่างรวดเร็วแน่นอน

“เจ้าคิดว่าคนของตระกูลเซี่ยโห้วโง่เหรอ? เจ้ามีเจตนาแอบแฝง ข้าเป็นคนแรกที่ไม่ยอม!” เฉาหม่านกล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย แล้วหยิบหน้ากากขึ้นมาสวม

“ข้าเชื่อว่าเถ้าแก่ก็ไม่อยากให้ข้าส่งบัวโลหิตให้พระปีศาจหนานโปเหมือนกัน!” เหมียวอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม

เฉาหม่านกลับขู่ว่า “ถ้าพวกประมุขชิงรู้เรื่องบัวโลหิตแล้วจะเป็นยังไง?”

เหมียวอี้ตอบอย่างสบายๆ ว่า “ข้าก็จะบอกว่าข้ามอบบัวโลหิตให้ตระกูลเซี่ยโห้วไปแล้ว มอบให้เถ้าแก่เฉา ไม่รู้ว่าทุกคนจะเชื่อข้าหรือจะเชื่อท่าน? เอาเป็นว่าข้าไม่ยอมรับหรอกว่าในมือข้ามีบัวโลหิต หวังว่าเถ้าแก่จะไตร่ตรองให้ดี!”

“ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้ง อย่ารนหาที่ตาย!” เฉาหม่านเตือนด้วยเสียงเย็นเยียบ ยื่นมือไปรับชุดคลุมที่เฉาเฟิ่งฉือยื่นให้มาใส่อีกครั้ง แล้วหันตัวนำเฉาเฟิ่งฉือเดินก้าวยาวออกไป

เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้ หยางเจาชิงออกไปส่งด้วยตัวเองทันที

ตอนที่เดินลงตึก เฉาหม่านมองลูกน้องที่ยืนเก็บมืออยู่ตรงทางขึ้นบันไดแวบหนึ่ง แล้วเดินต่อไปไม่หยุด จากไปอย่างรวดเร็ว

พอออกจากจวนผู้สำเร็จราชการแล้ว เฉาหม่านก็หันกลับไปมองในประตูใหญ่ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกเฉาเฟิ่งฉือว่า “เจ้าเวรนี่จิตใจโฉดชั่วเหมือนหมาป่า วางแผนใหญ่โต!”

พูดจบก็โบกมือ นำกลุ่มคนเหาะออกไป ทว่าความกลัดกลุ้มภายในใจยากจะกำจัดทิ้งได้ เมือเทียบกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว พระปีศาจหนานโปเป็นภัยคุกคามต่อตระกูลเซี่ยโห้วมากกว่า ตระกูลเซี่ยโห้วเรียกได้ว่าเป็นศัตรูเพียงหนึ่งเดียวของพระปีศาจหนานโปในยุคนั้น ความหวาดกลัวที่ทุกคนของตระกูลเซี่ยโห้วซ่อนไว้ในใจ เขาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ!

ฟังจากปากเหมียวอี้ก็รู้แล้ว พระปีศาจหนานโปกับผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งไปรวมตัวอยู่ด้วยกัน จินตนาการได้ไม่ยากเลยว่าทำไมพระปีศาจหนานโปถึงไปหาตระกูลอิ๋ง เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งแล้ว ภัยคุกคามของพระปีศาจหนานโปต่อตระกูลเซี่ยโห้วก็ยิ่งมากขึ้น แต่อย่างน้อยก็มีทิศทางในการลงมือแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่รู้เลยว่าพระปีศาจหนานโปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ไม่รู้จะเริ่มลงมือจากตรงไหนเลย ตอนนี้แน่ใจแล้วว่าเป็นผู้รอดชีวิตของตระกูลอิ๋ง อาศัยกำลังของตระกูลเซี่ยโห้ว จะต้องมีวิธีบีบพระปีศาจหนานโปออกมาแน่!

ตอนนี้เขาต้องรีบกลับไป นำข่าวนี้ไปบอกเซี่ยโห้วลิ่ง ให้ใช้กำลังของตระกูลเซี่ยโห้วขุดหาพระปีศาจออกมา

บนตึกศาลา เหมียวอี้เดินออกจากตรงนั้นแล้ว มายืนพิงระเบียงบนที่สูงเพื่อมองพวกเฉาหม่านจากไป

หยางเจาชิงที่กลับมาถึงตึกศาลาสบตากับลูกน้องที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตูทางขึ้นบันได ทั้งสองเดินขึ้นไปข้างบนด้วยกัน ไปยืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาของเหมียวอี้พร้อมทอดสายตามองออกไป

“นายท่านให้เขารู้มากขนาดนี้ เขาคงไม่ทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีต่อนายท่านหรอกใช่มั้ยขอรับ?” หยางเจาชิงกังวล

ลูกน้องอีกคนหนึ่งบอกว่า “ไม่หรอก ในปีนั้นที่บีบให้เขาร่วมมือกับนายท่าน ก็ทำให้เขาขึ้นหางเสือแล้ว หลายปีมานี้ถ้าเซี่ยโห้วลิ่งยังมองไม่ออกว่าเฉาหม่านกำลังอาศัยกำลังของนายท่านมาต่อต้าน ก็คงไม่ต่างจากคนโง่เท่าไร ต่อให้ตอนแรกเซี่ยโห้วลิ่งไม่เคยคิดกำจัดเขา แต่ตอนหลังคงอยากฆ่าแล้ว ตอนนี้เฉาหม่านมานึกเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว! เฉาหม่านไม่กล้าออกจากแดนรัตติกาล ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือไม่กล้าอยู่ห่างจากการคุ้มครองของนายท่าน ดังนั้นเขาไม่กล้าปล่อยให้นายท่านล้มหรอก ถ้าอยู่ในสถานการณ์จำเป็น นายท่านอาจจะนัดดื่มสุรากับเซี่ยโห้วลิ่งก็ได้ ให้หยวนกงไปทำให้เฉาหม่านตัดสินใจแน่วแน่สักหน่อย!”

คนที่จำเสียงคนคนนี้ได้ย่อมฟังออกว่าเป็นเสียงของหยางชิ่ง ไม่ผิดหรอก เป็นหยางชิ่ง!

พอเหยียนซิวไปส่งปี้เยว่ที่แดนอเวจี หยางชิ่งก็ติดต่อมาหาเหมียวอี้ทันที บอกว่าใต้หล้ามีการเปลี่ยนแปลง ควรฉวยโอกาวออกมา ขอเป็นฝ่ายมาอยู่ข้างกายเหมียวอี้เพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้ด้วยตัวเอง!

ภายใต้การอนุญาตของเหมียวอี้ เหยียนซิวถือโอกาสพาหยางชิ่งออกมา ในช่วงนี้ซ่อนตัวอยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการมาตลอดเพื่อช่วยเหมียวอี้วางแผน

พอพูดถึงหยวนกง เหมียวอี้กโค้งยิ้มมุมปาก “ไม่รู้ว่าเมื่อไรเฉาหม่านจะตอบตกลงรับตำแหน่งหัวหน้าของตระกูลเซี่ยโห้ว?”

หยางชิ่งยิ้มพร้อมตอบว่า “ใกล้แล้ว! จะบอกว่าเขาไม่หวั่นไหวเลยสักนิดก็โกหกแล้ว สิ่งเดียวที่เขากังวลก็คือจุดอ่อนของนายท่านที่อยู่ในมือตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลเซี่ยโห้วสามารถล้มนายท่านได้ง่ายๆ นี่ไม่ใช่เวลามาวางแผนเรื่องนี้กับนายท่าน เดี๋ยวรอให้เขาเห็นว่านายท่านสามารถกำจัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลังนี้ได้ก่อน พอรู้ว่านายท่านยืนอยู่ในจุดที่ไม่มีทางแพ้แล้ว อย่างน้อยเขาก็หวั่นไหวไปแล้วเจ็ดส่วน ให้หยวนกงปล่อยข่าวกดดันอีกสักหน่อย เขาจะต้องลงมือสังหารเซี่ยโห้วลิ่งแน่!”

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ แต่ก็ยังกังวลอยู่นิดหน่อย “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นก็แล้วกัน!”

“พอพระปีศาจหนานโปออกมา ใต้หล้าก็หวาดกลัว ในมือนายท่านมีโอกาสให้ลงมือก่อน นี่คือโอกาสที่นายท่านจะชิงอาณาเขตทัพใต้! เพียงแต่อาศัยกำลังที่มีอยู่ในมือพวกเรา ถ้าจะดันทุรังชิงอาณาเขตทัพใต้ก็เป็นเรื่องเพ้อฝัน ต้องได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลเซี่ยโห้วก่อน มีแต่ต้องให้กำลังของตระกูลเซี่ยโห้วสนับสนุนเท่านั้น ถึงจะสยบอำนาจน้อยใหญ่ในอาณาเขตทัพใต้ได้ ทัพเกรียงไกรห้าสิบล้านของนายท่านจะต้องสนับสนุนนายท่านเต็มที่เพื่ออนาคตของตัวเอง! ถ้าอยากได้ใต้หล้า ก็ต้องได้อาณาเขตทัพใต้ก่อน ถ้าอยากได้อาณาเขตทัพใต้ ก็ต้องได้การสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้วก่อน ถ้าอยากได้การสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้ว ก็ต้องสนับสนุนให้เฉาหม่านขึ้นสู่ตำแหน่งให้ได้ก่อน! โอกาสดีที่ฟ้าประทานมาให้ อย่าปล่อยให้พลาด!” หยางชิ่งกล่าวอย่างมั่นใจด้วยสายตาเป็นประกาย

หยางเจาชิงเม้มริมปากแน่น ดวงตาฉายประกายฮึกเหิม

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “หลายปีมานี้ร่วมงานฮ่าวเต๋อฟางก็นับว่ามีความสุขเหมือนกัน ให้ความร่วมมือกันอย่างลับๆ กลับต้องทำผิดต่อเขาแล้ว”

หยางชิ่งไม่คิดอย่างนั้น “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดนายท่านจึงในอ่อนเหมือนสตรี? ตอนนี้แม้ฮ่าวเต๋อฟางจะเป็นฉากกำบังต่อนายท่าน แต่นายท่านก็ได้ยินคำพูดของเฉาหม่านแล้ว ถ้าสถานการณ์ของนายท่านมีแนวโน้มจะเติบโตต่อไปอย่างมั่นคงขนาดนี้ คงไม่มีใครอยากให้คนอื่นมานอนกรนข้างเตียง เกรงว่าถึงตอนนั้นพอตำหนักสวรรค์เสี้ยมสักหน่อย คนแรกที่จะไม่เกรงใจนายท่านก็คือฮ่าวเต๋อฟางนี่แหละ!”

…………………

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ

จากนั้นเหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหวงฝู่ตวนหรงและหวงฝู่จวินโหรว บอกสองแม่ลูกให้พยายามติดต่อกับโลกภายนอกให้ลดลง จะได้หลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น สองแม่ลูกถามว่าเกิดอะไรขึ้น มีอันตรายอะไร?

เหมียวอี้ให้ทั้งสองทำตามที่บอก เขาไม่สะดวกจะบอกว่าตัวเองกังวลว่าพระปีศาจหนานโปจะไปหาพวกนางสองคน

สองแม่ลูกไม่รู้ที่อยู่ของเจียงอวิ๋นเลย ถ้าไม่ถึงขั้นหมดทางเลือกจริงๆ เขาก็ไม่อยากใหเหวงฝู่จวินโหรวเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องเจียงอวิ๋น กลัวว่าจะทำให้คนพวกนี้ตื่นตัว เขาเองก็ไม่อยากเห็นทั้งสองบังเอิญไปเจอกับพระปีศาจหนานโป แบบนั้นไม่คุ้มค่า

ดาวเกาะคราม ชายหนุ่มรูปร่างกำยำคนหนึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่างที่ฉลุลายจากหน้าผาหิน หันหน้าเข้าหาทะเลอันกว้างใหญ่ นี่ก็คือพระปีศาจหนานโปที่ยึดครองร่างคนอื่นมานั่นเอง

ผ่านไปไม่นาน ในห้องถ้ำด้านหลังเขา จั่วเอ๋อร์ เฉาหยินกับสงฉีก็มาทำความเคาพพร้อมกัน”ผู้อาวุโส!”

พระปีศาจหนานโปย้ายสายตาออกจากทะเลกว้าง หันตัวมาเผชิญหน้ากับทุกคน แล้วกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม “ตำหนักสวรรค์มีสถานที่ลับหลอมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่แห่งหนึ่ง พวกเจ้ารู้หรือเปล่าว่าอยู่ที่ไหน?”

ทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ พระปีศาจมาสนสิ่งนี้ จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คือกุญแจสำคัญที่ประมุขชิงใช้ทำให้ใต้หล้าเกรงกลัว ประมุขชิงรักษาความลับแหล่งผลิตธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สุดๆ ไม่เคยให้คนนอกรู้เลย พวกเราไม่รู้เช่นกัน”

“ในมือสมาคมวีรชนใช้วิธีการไร้คุณธรรมควบคุมคนพวกนั้นให้แอบทำงานให้ มีเรื่องอย่างนี้อยู่หรือเปล่า?” พระปีศาจหนานโปถาม

จั่วเอ๋อร์พยักหน้า “น่าจะมีเรื่องแบบนี้อยู่ ที่จริงอำนาจแต่ละฝ่ายก็มีเรื่องทำนองนี้อยู่บ้างเหมือนกัน”

หลังจากพระปีศาจหนานโปยืนยันได้แล้ว ก็ชูสองนิ้ว “จัดการสองเรื่องนี้ก่อน หนึ่ง ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เป็นอาวุธที่ติดให้กองทัพองครักษ์มากขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะหลอมสร้างด้วยตัวเอง ต้องมีคนช่วยประมุขชิงรับผิดชอบเรื่องในด้านนี้แน่ พวกเจ้ากำหนดขอบเขตก่อน ยืนยันตัวคนที่อาจจะรู้เรื่องนี้มากที่สุด ดูว่าคนไหนที่พวกเรามีโอกาสเข้าใกล้ได้ สอง สมาคมวีรชนใช้วิธีการไร้ศีลธรรมควบคุมคนพวกนั้น ยืนยันให้ได้ว่าใครของสมาคมวีรชนที่กำลังรับผิดชอบเรื่องนี้ ดูว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องคนไหนที่พวกเราสามารถเข้าใกล้ได้บ้าง”

แม้ทั้งสามจะกลุ้มใจ ไม่รู้ว่าพระปีศาจหนานโปต้องการจะทำอะไร แต่ก็ยังกุมหมัดคารวะ “รับทราบ!”

นอกจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล กลุ่มคนสิบกว่าคนเหาะลงมาจากฟ้า หลังจากผ่านการตรวจสอบแล้วก็เข้ามาข้างใน

คนกลุ่มนี้ล้วนใส่หน้ากากปลอมตัว ผู้ที่นำหน้ามากลับสวมชุดคลุมสีดำ คลุมตั้งแต่ศีรษะจดเท้า

ตอนที่เข้ามาเรือนด้านใน ทหารยามก็กันผู้ติดตามเอาไว้ ไม่ให้ตามเข้าไปข้างใน ให้คนที่เป็นหัวหน้าเข้าไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น

ผู้ที่นำหน้ามาชี้คนข้างกาย บอกหยางเจาชิงที่เข้ามาต้อนรับว่า “เขาจะเข้าไปกับข้าด้วย”

หยางเจาชิงโบกมือให้ทหารยาม ให้ขวางคนอื่นไว้ แล้วปล่อยคนนั้นตามหัวหน้าเข้าไป

หยางเจาชิงนำทั้งสองเดินมาตลอดทางจนถึงบนตึกศาลาที่สามารถเห็นทิวทัศน์ได้รอบด้าน

บนตึกศาลา เตรียมสุราอาหารไว้โต๊ะหนึ่งเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังพิงระเบียงหันหลังให้ ท่วงท่าผึ่งผาย

คนที่ขึ้นมาบนตึกศาลาไม่ได้เดินไปถึงขอบตึกศาลาที่คนนอกสามารถเห็นได้ แต่ยืนตรงกลางตึกศาลา ฉีกหน้าปากบนใบหน้าลงมา ถอดชุดคลุมออก แล้วโยนให้ผู้ติดตามที่อยู่ข้างกายรับไว้ ก่อนจะกล่าวว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ช่างมีอารมณ์สุนทรีย์ ทำไมถึงนึกนัดให้เฉาผู้นี้มาดื่มสุราได้?”

ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือเถ้าแก่เฉาหม่านแห่งตึกศาลาสัตยพรต คนข้างกายเขาก็ถอดหน้ากากออกแล้วเช่นกัน เป็นคนรู้จักของเหมียวอี้ เฉาเฟิ่งฉือ!

เหมียวอี้เพิ่งจะหันตัวมา เดินกุมหมัดคารวะเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “ไม่อยากให้คนนอกสังเกตเห็น ขออภัยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง หวังว่าเถ้าแก่เฉาจะไม่ถือสา”

เฉาหม่านยิ้มโดยไม่พูดอะไร เดินไปนั่งหน้าโต๊ะข้างๆ โดยไม่ได้รอให้บอก ส่วนเฉาเฟิ่งฉือที่แต่งตัวเป็นชายก็ยืนอยู่ข้างกาย จ้องเหมียวอี้ด้วยแววตาเป็นประกาย

เหมียวอี้พยักหน้าบอกใบ้เฉาเฟิ่งฉือ แล้วนั่งลงตรงกันข้าม ขณะกำลังจะยื่นมือไปถือกาสุรารินให้ด้วยตัวเอง ใครจะคิดว่าเฉาเฟิ่งฉือกลับชิงก้าวเข้ามาแย่งกาน้ำชาไปก่อน

“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ จะบังอาจรบกวนผู้ตรวจการใหญ่ได้ยังไง ให้นางหนูทำเถอะ” เฉาหม่านกล่าวเสียงเรียบ

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเช่นกัน มองเฉาเฟิ่งฉือพร้อมบอกว่า “ดูท่าแล้วเถ้าแก่คงกำลังฝึกให้แม่นางเฟิ่งฉือเป็นผู้สืบทอดของตึกศาลาสัตยพรตสินะ!”

คนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึก ถ้าได้ยินประโยคนี้ก็คงจะได้รู้ข้อมูลอะไรมากมาย ตามหลักแล้วคนที่คุมตึกศาลาสัตยพรตมต้องได้รับแต่งตั้งจากหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วเท่านั้น จะให้เฉาหม่านกำหนดเองได้ที่ไหนกัน ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ แค่คิดก็รู้แล้วว่าความสามารถในการควบคุมตึกศาลาสัตยพรตของหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วเป็นอย่างไร

สำหรับเฉาหม่าน คำพูดพวกนี้แค่ฟังเอาไว้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ แต่กลับรู้สึกสะท้อนใจกับคนที่อยู่ตรงหน้า นึกถึงในปีนั้นที่ตัวเองพูดประโยคเดียวก็ทำให้อีกฝ่ายไร้ที่ยืนในตลาดผีได้ แต่ตอนนกลับกัน อีกฝ่ายให้ตนมาดื่มสุราด้วย ตนก็ปฏิเสธลำบาก

ทว่าสถานการณ์อยู่เหนือตัวบุคคล ทั้งแดนรัตติกาลล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมจากทัพใหญ่ของเหมียวอี้ ตั้งแต่รู้ว่าเซี่ยโห้วลิ่งอาจจะลงมือกับเขา เขาก็ไม่กล้าย้ายสถานที่ของตลาดผีง่ายๆ ยังต้องให้เหมียวอี้มอบสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตอนนี้ตัวเขาอยู่ภายใต้การล้อมพิทักษ์จากทัพใหญ่ของเหมียวอี้ เรื่องบางเรื่องก็ไม่กล้าไม่ไว้หน้า ยิ่งไปกว่านั้น เหมียวอี้ก็ไว้หน้าเขามากด้วย ไม่ได้อาศัยกำลังทหารบีบเอาอำนาจการควบคุมตลาดผีไปจากตึกศาลาสัตยพรต ตลาดผียังคงอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของเฉาหม่าน

แน่นอน เฉาหม่านก็มีที่พึ่งเหมือนกัน ถ้าเหมียวอี้กล้าแตะต้องเขา กิจการทั้งหมดของเหมียวอี้ที่ตลาดมืดก็จะได้รับความเสียหาย

ดังนั้น ทั้งสองอยู่ในสถานการณ์ที่พึ่งพาและร่วมงานกัน เพราะต่างฝ่ายต่างมีศักยภาพที่ทำให้อีกฝ่ายกลัว แบบนี้ความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายถึงจะทำในระยะยาวได้

“ดื่มสุรา!” เฉาหม่านยกจอกสุราเชื้อเชิญ เหมียวอี้ยกจอกสุราชนกับจอกสุราเขา แล้วดื่มหมดจอกพร้อมกัน ส่วนเฉาเฟิ่งฉือก็คอยรินสุราอยู่ข้างๆ ต่อไป

“สุราไม่เลวเลย เป็นของบรรณาการของวังสวรรค์” เฉาหม่านกล่าวส่งเดชไปอย่างนั้น

“ได้รับความโปรดปรานจากราชินีสวรรค์ ได้มาเป็นรางวัล” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม

“เพียงแต่ตอนนี้ในใจราชินีสวรรค์กลับรู้สึกขัดเคือง เกรงว่าคงสังเกตเห็นแล้วว่าผู้ตรวจการใหญ่กำลังอาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบน ตระหนักได้แล้วว่าตัวเองถูกผู้ตรวจการใหญ่หลอกใช้ประโยชน์” เฉาหม่านกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา

เหมียวอี้ตอบด้วยน้ำเสียงปกติว่า “กล่าวเกินความจริงแล้ว สำหรับราชินีสวรรค์ จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเคารพนับถือมาตลอด ไม่เคยจงรักภักดีต่อราชินีสวรรค์น้อยลงเลย เรื่องที่ราชินีสวรรค์อยากจะทำ ขอเพียงให้เลยเถิดเกินไป จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลล้วนพยายามสุดความสามารถทำให้เหนียงเหนียงพอใจ ถ้าทำแบบนี้แล้วยังนับว่าหลอกใช้ประโยชน์ เช่นนั้นคนในใต้หล้าก็คงอิจฉากันหมดแล้ว”

เฉาหม่านบอกว่า “ถ้าเปลี่ยนเป็นในปีนั้น งานที่ผู้ตรวจการใหญ่ทำให้เหนียงเหนียงไม่ใช่คำขอที่เกินไปและยอมรับไม่ได้ ในปีนั้นแค่เหนียงเหนียงสั่งคำเดียว ผู้ตรวจการใหญ่ก็กล้าแม้กระทั่งชิงตัวสนมของราชันสวรรค์ ในปีนั้นเวลาเหนียงเหนียงออกคำสั่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกินตัวหรือไม่ ยังมีเรื่องไหนที่ผู้ตรวจการใหญ่ไม่กล้าทำด้วยหรือ?”

เหมียวอี้พิมพ์อย่างใจเย็น “เถ้าแก่ จะพูดซี้ซั้วอย่างนั้นไม่ได้ หนิวไม่เคยชิงตัวสนมของราชันสวรรค์เสียหน่อย”

“ตอนนี้หากราชินีสวรรค์อยากจะพบผู้ตรวจการใหญ่สักครั้ง เกรงว่าจะไม่ง่ายแล้ว นึกถึงในปีนั้นที่พอเรียกหาก็มาทันที!” เฉาหม่านกล่าว

“งานเยอะจนยุ่งเท่านั้นเอง เหนียงเหนียงไม่เคยถือสาผู้น้อยเลย” เหมียวอี้ตอบ

“อ้อ! ถ้าเหนียงเหนียงอยากจะถอดกำลังทหารของผู้ตรวจการใหญ่ ออกคำสั่งให้ผู้ตรวจการใหญ่ย้ายออกจากแดนรัตติกาล ให้ผู้ตรวจการใหญ่หลุดพ้นจากงานยุ่งออกมาเสพสุข ผู้ตรวจการใหญ่จะรับคำสั่งหรือเเปล่า?” เฉาหม่านถาม

“เฮ้อ! เถ้าแก่เองก็รู้ ทัพใหญ่หลายสิบล้านของแดนรัตติกาลล้วนเคยเป็นพวกบ้านแตกสาแหรกขาด ค่อนข้างมีความตื่นตัวต่อวิกฤติ ใจคนยากจะมั่นคงได้ หนิวพยายามสื่อสารกับพวกเขามาตลอด พยายามให้พวกเขารักษาสงบเอาไว้ สุดท้ายก็ได้รับความเชื่อใจจากพวกเขา ถ้าเหนียงเหนียงมีคำสั่ง หนิวย่อมปฏิบัติตามคำสั่งอยู่แล้ว เพียงแต่กลัวว่ากำลังพลเบื้องล่างพวกนั้นจะดื้อรั้น ถ้าก่อเรื่องอะไรขึ้นมา อาจจะบีบให้ผู้สำเร็จราชการคนนี้ก่อกบฏก็ได้” เหมียวอี้ถอนหายใจ ทำท่าเหมือนจนใจมาก

พูดจาไพเราะยิ่งกว่าร้องเพลงเสียอีก แต่ความหมายที่แท้จริงก็คือกำลังอาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบนไม่ใช่หรอกหรือ! เฉาหม่านแสยะยิ้มในใจ “ข้ารู้ว่าผู้ตรวจการใหญ่คงไม่อาศัยกำลังทหารแข็งข้อต่อเบื้องบนเหมือนพวกอ๋องสวรรค์ อย่างไรเสียผู้ตรวจการใหญ่ก็ยังแตกต่างจากอ๋องสวรรค์พวกนั้น อาณาเขตของพวกอ๋องสวรรค์นั้นกว้างใหญ่ ผลประโยชน์เยอะมาก คนเบื้องล่างเกี่ยวข้องกับการแก่งแย่งผลประโยชน์ ย่อมขัดแย้งไม่หยุดหย่อน กำลังคนเพิ่มลดอยู่ตลอด เมื่อเวลานานไปก็รักษาความสมดุลไว้ได้ระดับหนึ่ง แต่แดนรัตติกาลในปกครองของผู้ตรวจการใหญ่นั้นต่างกัน ทั้งไม่มีพื้นที่ ยังไม่มีผลประโยชน์ให้แก่งแย่ง ดังนั้นกำลังพลจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลจึงไม่ได้สิ้นเปลืองกำลังแบบนั้น กำลังเติบโตอย่างมั่นคงตลอด สักวันหนึ่งต้องกลายเป็นทัพเกรียงไกรในใต้หล้าแน่นอน!” ประโยคสุดท้ายแฝงความหมายล้ำลึก

เหมียวอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในโลกนี้จะมีคนตาดีมากมาย แม้แต่เฉาหม่านก็ยังมองออก วังสวรรค์มีหรือที่จะมองไม่ออก ดูท่าแล้วช้าเร็วก็คงหนีเคราะห์กรรมหนีไม่พ้น คงต้องเร่งดำเนินการเรื่องมารดาของเฟยหงแล้ว

“ฟังจากที่เถ้าแก่บอก เหนียงเหนียงเหมือนจะกำลังเป็นห่วงฝ่าบาท…ฟังจากน้ำเสียงของเถ้าแก่ ทำไมเข้ารู้สึกว่าท่านไม่พอใจค่า?” เหมียวอี้ยกจอกสุราหยอกล้อ เขากำลังบอกใบ้ให้อีกฝ่ายหยุด

เฉาหม่านยกจอกสุราตอบ “ข้ารู้สึกว่าผู้ตรวจการใหญ่เชิญข้ามาดื่มสุรา แสดงว่ามีเรื่องจะคุยกับข้าแน่นอน คงไม่ได้เชิญมาดื่มสุราอย่างเดียวหรอกมั้ง?” เขากำลังบอกใบ้ให้เหมียวอี้พูดมาตรงๆ อย่าอ้อมค้อม

เหมียวอี้ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “สงสัยสุราชั้นดีคงไม่ทำให้เถ้าแก่บันเทิงเต็มที่ ก็ได้ ข้าจะเล่านิทานสองเรื่องที่ช่วยสร้างความบันเทิงให้เถ้าแก่”

“อ้อ! สองเรื่อง?” เฉาหม่านแสดงความสนใจ ทำสีหน้าเหมือนตั้งหน้าตั้งตารอฟัง อยากจะเห็นว่าเหมียวอี้คิดจะทำอะไร

เหมียวอี้วางจอกสุราลง แล้วกล่าวอย่างค่อนข้างสะเทือนใจ “ในปีนั้นตอนที่ข้ายังไม่เข้าตำหนักสวรรค์ ยังไม่ทำร้านขายของชำซื่อตรง มีอยู่ครั้งหนึ่งไปทัศนาจรที่แดนไร้ระเบียบ เจอศิษย์ปราสาทดำเนินนภาคนหนึ่งกำลังถูกมารปีศาจกลุ่มหนึ่งไล่สังหารไป ข้าบังเอิญโดนจี้ตัว โดนกดดันให้หนีเข้าไปในดาวมารโลหิตพร้อมกับศิษย์ปราสาทดำนเนินภาคนนั้น จำต้องดิ้นรนสู้ตายที่ดาวมารโลหิต ใครจะคิดว่าจะเป็นตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลังตั๊กแตน บังเอิญไปเจอปีศาจโลหิต โดนปีศาจโลหิตเก็บเข้าไปขังในค่ายกลมารโลหิต ค่ายกลมารโลหิตนี้ไม่เล็กเลย ข้ากับศิษย์ปราสาทดำนเนินนภาคนนั้นแทบเอาชีวิตไม่รอด ตอนที่โชคดีรอดจากค่ายกลมารโลหิตได้ ข้าก็ได้บัวโลหิตต้นหนึ่งจากทะเลเลือดในค่ายกลมารโลหิต แต่ใครจะคิดว่าบัวโลหิตที่ปลูกในทะเลเลือดจะไม่ธรรมดา มันคือสมุนไพรจิตวิญญาณ มีผลช่วยคนตายให้ฟื้น ก่อกระดูกใหม่ ขอเพียงจิตวิญญาณไม่แตกดับ ก็ล้วนสามารถใช้สมุนไพรจิตวิญญาณนี้มาฟื้นชีพได้ ตอนหลังปีศาจโลหิตมาเกาะแกะข้าไม่เลิกเพื่อสมุนไพรจิตวิญญาณต้นนี้ ข้าถึงได้รู้ว่าปีศาจโลหิตเป็นคนของสมาคมวีรชน ทำให้ข้ายุ่งยากมาก เพียงแต่ตอนหลังจู่ๆ ปีศาจโลหิตก็หายไป ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว ข้าถึงได้พักหายใจ”

เฉาหม่านสบตากับเฉาเฟิ่งฉือโดยไม่รู้ตัว

เฉาเฟิ่งฉือตกใจกับคำว่า ‘สมุนไพรจิตวิญญาณ’ เพียงแต่เรื่องที่ปีศาจโลหิตเกาะแกะหนิวโหย่วเต๋อ นางเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน เซี่ยโห้วหลงเฉิงพี่ใหญ่ของนางก็เหมือนจะเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วย เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าจู่ๆ เหมียวอี้พูดถึงเรื่องนี้หมายความว่าอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาเป็นฝ่ายเปิดเผยเองว่าในมือมีสมุนไพรจิตวิญญาณ

เฉาหม่านกลับฟังจนหนังตากระตุก เพราะเขารู้ว่าตอนหลังปีศาจโลหิตอยู่ที่ไหน รู้ว่าตอนหลังปีศาจโลหิตไปที่ไหน ตระหนักได้แล้วว่าการดื่มสุราในวันนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เขาโน้มกายมาข้างหน้าเล็กน้อย แล้วถามอย่างสนใจสุดๆ ว่า “ตอนหลังล่ะ?”

…………………

แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นฉากอัศจรรย์อย่างนี้ แต่เมื่อตัวได้อยู่ในฉากที่ราวกับความฝัน ทุกคนของเผ่าปีศาจก็ยังแอบรู้สึกทึ่ง ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าที่นั่งอยู่เบื้องล่างมองศีลแปดด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเคารพ

ผู้อาวุโสมู่เซินหลับตาตั้งใจฟังด้วยหน้าดื่มด่ำ เดิมทีเขาก็เป็นปีศาจต้นไม้อยู่แล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินศีลแปดบรรยาธรรม เขาก็เริ่มรู้สึกได้แล้วว่าพุทธธรรมที่ศีลแปดบรรยายมีประโยชน์ต่อการฝึกตนของเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เขารู้สึกถึงความหมายลึกซึ้งบางอย่างที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้

เขาสามารถเป็นผู้อาวุโสของเผ่าได้ ย่อมไม่ใช่คนที่ถูกหลอกง่ายอยู่แล้ว ตอนแรกยังนึกว่าศีลแปดอาศัยของประเภทผลึกยอดไม้มาเร่งการเจริญเติบโตของพืชพันธุ์ ตอนหลังถึงไม่พบว่าไม่มีเรื่องอย่างนั้นเลย เขาไม่ได้ใช้ผลึกยอดไม้ ถึงขนาดว่าไม่ใช้พลังอิทธิฤทธิ์สักนิดเลยด้วยซ้ำ

พอศีลแปดยิ้มแย้ม ก็ทำให้มวลหมู่ดอกไม้เปล่งประกายทันที จุดไหนที่ศีลแปดเดินผ่าน จุดนั้นก็จะเจริญรุ่งเรือง ต้นหญ้าสั่นไหว ดอกไม้เบ่งบาน ต้นไม้ที่แก่ตายไปแล้ว แม้กระทั่งใช้ผลึกยอดไม้ฟื้นชีวิตมาไม่ได้ แต่พอศีลแปดกล่าว ‘อามิตตาพุทธ’ ก็ทำให้มีใบไม้ผลิออกมาแล้ว คำว่า ‘อามิตตาพุทธ’ สามารถเปลี่ยนความดุร้ายให้เป็นความมงคลสงบสุขได้ สัตว์ป่าดุร้ายที่ได้รับการกล่อมเกลานี้ พอเข้ามาในเขตที่อยู่ของเผ่าปีศาจ พวกมันก็ไม่แยกเขี้ยวยิงฟันอีก ปรองดองกับธรรมชาติ

สัตว์เล็กก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเช่นกัน เห็นได้ชัดวันนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผลึกยอดไม้สามารถช่วยได้

ที่อัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นก็คือ พอศีลแปดบรรยายธรรมหนึ่งครั้ง กิ่งหยกเหลืองในเขตที่เผ่าปีศาจปลูกให้ปราสาทแมกไม้ก็จะเติบโตอย่างบ้าคลั่ง บรรยายธรรมครั้งเดียวก็ทำให้เผ่าปีศาจทำภารกิจที่ปราสาทแมกไม้มอบหมายให้ได้อย่างผ่อนคลาย

กอปรกับการบรรยายธรรมจากศีลแปดทำให้มู่เซินสัมผัสถึงความหมายลึกซึ้งของพุทธธรรมแล้วจริงๆ แน่ใจนะว่าศีลแปดคือพระชั้นสูงที่มีศีลธรรม ทำให้ผู้อาวุโสมู่เซินเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ตอนแรกเผ่าปีศาจก็ยังระวังตัวอยู่บ้าง กังวลว่าศีลแปดจะมีเจตนาแอบแฝงอย่างอื่น ผลก็คือพบว่าศีลแปดไม่เคยขอสิ่งใดจากเผ่าปีศาจเลย ถ้าจะบอกว่าเสแสร้งเล่นละครชั่วครั้งชั่วคราว แต่หลายหมื่นปีมานี้ก็เห็นถึงความบริสุทธิ์ของพระศักดิ์สิทธิ์แล้ว

ศีลแปดบอกว่ามีบุญสัมพันธ์กับธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่า ยินดีที่จะบรรยายธรรมให้มู่น่าฟังเป็นการส่วนตัว เผ่าปีศาจดีใจมาก การยอมรับมู่น่าทำให้พวกเขาคิดว่ายอมรับเผ่าปีศาจด้วย ผู้อาวุโสมู่เซินถึงขนาดแสดงความเคารพต่อศีลแปดแทนมู่น่าด้วย โอกาสแบบนี้ทั้งเผ่าปีศาจได้มาเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นฉากที่ทุกคนของเผ่าปีศาจฟังธรรมจนเคลิบเคลิ้มในตอนนี้ ดังนั้นจึงมักจะเห็นมู่น่าออกไปทัศนาจรข้างกายศีลแปดอย่างสง่าผ่าเผย เผ่าปีศาจไม่เพียงแค่ไม่มีใครคัดค้าน กลับยินดีที่จะเห็นด้วยซ้ำ…

แสงแดดสดใส ริมมหาสมุทรที่คลื่นซัดเป็นระลอก ปี้เยว่อุ้มโถใส่เถ้าประดูกใบหนึ่ง นางเปิดฝาเทลง ฝุ่นผงปลิวหายไปตามสายลม

ตรงจุดที่ไม่ไกล เหมียวอี้กับเฟยหงยืนเคียงข้างกันบนโขดหิน บางทีอาจะเป็นเพราะผู้หญิงรู้สึกเศร้าได้ง่าย เฟยหงรู้สึกหดหู่กับฉากนี้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ

เหมียวอี้สีหน้าเรียบเฉย แม้การที่ปี้เยว่กลายเป็นแบบนี้จะเกี่ยวข้องกับเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ปี้เยว่ก็คงไม่ได้อยู่กับไห่ยวนเค่อที่แดนอเวจี แล้วเขาก็เป็นคนสั่งฆ่าเทียนหยวนด้วย แต่ในใจเขายังคงไม่สะทกสะท้าน

เขาไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด เมื่อไม่มีเทียนหยวนแล้ว ปี้เยว่ก็อาจเป็นทุกข์แค่ชั่วคราว แต่ถ้ายืนมองในมุมที่ใหญ่กว่านั้น การทำแบบนี้มีแต่ผลดีกับปี้เยว่ในตอนนี้ เทียนหยวนในตอนนี้กลายเป็นคนบ้านแตกสาแหรกขาดแล้ว ไม่มีความสามารถที่จะดูแลปี้เยว่ ไม่อย่างนั้นคงมีหนทางพาปี้เยว่ไปดูแลด้วยตั้งแต่แรก ในเมื่อเป็นแบบนี้ ไม่สู้ส่งไปให้ไห่ยวนเค่อดูแลดีกว่า

เขาให้ปี้เยว่เลือกฮวงซุ้ยฝังแกนกระดูกเทียนหยวน แต่ปี้เยว่ก็ยังตัดสินใจเผาเทียนหยวน ปี้เยว่บอกว่าที่นี่ไม่มีใครชอบเทียนหยวน ไม่จำเป็นต้องฝังเทียนหยวนไว้ที่นี่ สำหรับนักพรตที่มีอายุขัยยาวนาน สุสานไม่อาจทนการโจมตีจากลมฝนได้

ปี้เยว่บอกว่าชาตินี้ของนางกับเทียนหยวนจบสิ้นแล้ว หากมีวาสนาชาติหน้าค่อยเจอกันใหม่ ถ้าจะเก็บไว้ในหลุมศพก็ไม่สู้เก็บไว้ในความทรงจำดีกว่า ไม่สู้เก็บเรื่องบางเรื่องเอาไว้ในใจดีกว่า

เพลิ้ง! สุดท้ายโถใส่เถ้ากระดูกก็แตกละเอียดเป็นผุยผงอยู่ในมือปี้เยว่ ลอยหายไปกับสายลมแล้ว

ปี้เยว่ที่สวมชุดสีขาวทั้งตัวกระโปรงปลิวสะบัด หลังจากยืนอยู่ริมทะเลเป็นเวลานาน นางก็หันตัวเดินกลับมาหาทั้งสองอย่างเงียบๆ บนใบหน้ายังมีคราบน้ำตา กล่าวเสียงเบาว่า “ทุกอย่างผ่านไปแล้ว กลับกันเถอะ”

นางเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ เหมียวอี้ก็ตะโกนเรียก “ปี้เยว่!”

ปี้เยว่หยุดเดินแล้วหันมามอง เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ขอโทษนะ”

“ตัวเองเลือกเส้นทางนี้เอง มีเรื่องมากมายที่เกิดขึ้นเพราะตัวเอง ไม่มีอะไรน่าขอโทษ” ปี้เยว่ตอบเสียงเบา

เหมียวอี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “เรื่องพระปีศาจหนานโปทำให้ข้านึกกลัวอยู่เลย ข้าคิดว่า…ข้าส่งเจ้าไปอยู่ข้างกายไห่ผิงซินดีกว่า ที่นั่นปลอดภัย”

ปี้เยว่ไม่ได้ปฏิเสธ ไม่ได้ตื่นเต้นดีใจ เพียงพยักหน้าเบาๆ “รบกวนแล้ว”

เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้เฟยหงให้ไปส่งปี้เยว่ ส่วนตัวเองก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไห่ยวนเค่อ บอกว่า : เรื่องเทียนหยวนข้าจัดการให้แล้ว เดี๋ยวทางนี้จะหาโอกาสส่งปี้เยว่ไปที่นั่น นางอาจจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ให้ไห่ผิงซินอยู่เป็นเพื่อนางมากๆ หน่อย

ไห่ยวนเค่อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า : เรื่องบางเรื่องสุดท้ายก็ต้องจบลง ขอบคุณ!

หลังจากนั้นไม่กี่วัน เหมียวอี้ก็ให้เหยียนซิวส่งปี้เยว่ไปที่แดนอเวจีอย่างเป็นความลับ การไปของปี้เยว่ครั้งนี้นับว่ายุติเรื่องระหว่างเขากับปี้เยว่แล้ว ไม่ว่าเรื่องนี้จะดีจะร้าย ก็นับว่าเขาได้ให้คำชี้แจงกับปี้เยว่แล้ว

ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งปี แต่การเฝ้าระวังที่ใต้กล้ามีต่อพระปีศาจหนานโปยังไม่หย่อนหยานลงเลยสักนิด แต่พระปีศาจหนานโปกลับเหมือนหายเข้ากลีบเมฆ สิ่งนี้ยิ่งทำให้พวกพี่ใหญ่ของตำหนักสวรรค์เป็นกังวล ขนาดสภาพพระปีศาจหนานโปในปัจจุบันยังต้องคอยรับมือ ถ้าปล่อยให้พระปีศาจหนานโปฟื้นพลังกลับมาจริงๆ แบบนั้นก็จะยุ่งยากแล้ว

เมื่อเทียบกันแล้ว ฝั่งเหมียวอี้กลับผ่อนคลายด้วยซ้ำ อาณาเขตไม่ใหญ่ กำลังพลไม่เยอะ ไม่ค่อยมีที่เหลือให้พระปีศาจหนานโปพลิกสถานการณ์ ถ้ามีความผิดปกติอะไรก็พบได้ง่าย แต่พวกพี่ใหญ่ของตำหนักสวรรค์กลัวรู้สึกว่าทุกที่ล้วนมีช่องโหว่ให้พระปีศาจฉวยโอกาส

ไม่มีความเคลื่อนไหวครึ่งปี แม้แต่เหมียวอี้เองก็รู้สึกแปลกใจ อดไม่ได้ที่จะสงสัย อย่าบอกนะว่าตัวเองคิดมากไป พระปีศาจหนานโปไม่ได้รู้ความลับเรื่องเขากับแดนอเวจีเหรอ?

ในขณะนี้เอง จู่ๆ ก็มีแขกที่ไม่ได้รับเขิญมาเยือน

“จางผิง?” เหมียวอี้ที่เดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้านครุ่นคิด นึกไม่ออกว่าคนคนนี้คือใคร “วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง บอกว่าเป็นสหายเก่าของข้า?”

หยางเจาชิงที่เป็นคนรายงานยื่นแผ่นหยกให้ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เขาบอกว่าถ้านายท่านเห็นแล้วก็จะนึกออกเองว่าเป็นใคร”

เมื่อเห็นสีหน้าเขาแปลกไป เหมียวอี้ก็รับแผ่นหยกมาตรวจอ่าน เห็นเพียงในแผ่นหยกมีเพียงสองคำ ‘ปี้’ กับ ‘ไห่’

ถ้าคนทั่วไปเห็นคำนี้ก็คงไม่พ้นต้องนึกเชื่อมโยงว่าคือปี้ไห่ที่หมายถึงทะเลมรกต หรือไม่ก็มหาสมุทร แต่เหมียวอี้กลับเบิกตากว้าง เพราะนึกเชื่อมโยงไปถึงสองชื่อนี้ ปี้เยว่กับไห่ยวนเค่อ!

เหมียวอี้กับหยางเจาชิงสบตากันอย่างเข้าใจ เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้ หยางเจาชิงรีบออกไปแล้ว

รอได้สักพัก จางผิงที่ผ่านการตรวจสอบมาหลายด่านก็ถูกพามาถึงจวนผู้สำเร็จราชการ มาพบเหมียวอี้ในสวนดอกไม้ ตอนนี้เหยียนซิวมาคอยยืนระวังหลังให้เหมียวอี้แล้ว

“คารวะผู้ตรวจการใหญ่” ผู้ที่มาทำความเคารพ

เหมียวอี้ใช้นิ้วเคาะแผ่นหยกบนโต๊ะเบาๆ มองสอบสวนอีกฝ่าย พร้อมถามเสียงเรียบ “ทำไมข้านึกไม่ถึงว่ามีเจ้าเป็นสหายเก่า?”

“จะเป็นสายเก่าหรือไม่ก็ไม่เป็นไรหรอก คนที่ฝากฝังให้ข้ามาพบผู้ตรวจการใหญ่บอกไว้แล้ว ว่าขอเพียงผู้ตรวจการใหญ่ยอมพบข้า ก็ย่อมรู้เองว่าข้ามาทำไม” จางผิงตอบอย่างไม่ลนลานหวาดกลัว

“กล้ามากระบิดกระบวนต่อหน้าข้า เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ” เหมียวอี้กล่าว

จางผิงตอบว่า “ผู้สูงศักดิ์ที่ฝากฝังข้ามาบอกไว้ว่า ถ้าอยากจะพบผู้ตรวจการใหญ่สักครั้งก็ยากมาก ทำได้เพียงให้ข้ามาเป็นตัวกลางติดต่อกับผู้ตรวจการใหญ่ ผู้สูงศักดิ์บอกไว้ว่า ขอเพียงผู้ตรวจการใหญ่ส่งสมุนไพรจิตวิญญาณมาให้ เขาก็รับรองได้ว่าความลับในแผ่นหยกจะไม่รั่วไหล”

เหมียวอี้เลิกคิ้ว เหล่ตามองหยางเจาชิง ส่งสายตาให้กัน พบว่าพระปีศาจหนานโปรู้ความลับนี้จริงๆ ด้วย นำเรื่องนี้มาขู่จริงๆ ด้วย

เพียงแต่ทั้งสองไม่ค่อยเข้าใจ ว่าทำไมพระปีศาจหนานโปถึงรอนานขนาดนี้กว่าจะลงมือ

หารู้ไม่ ว่าตอนที่เหยียนซิวถอนผนึกควบคุมให้ปี้เยว่ ทำให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปถูกพลังย้อนทำร้าย ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้

เหมียวอี้วางมือบนโต๊ะแล้วกระดกนิ้ว เหยียนซิวถลันตัวออกมา บีบคอจางผิงจนสลบ แล้วหันตัวหิ้วออกไป

ตอนที่หิ้วจางผิงกลับมาอีกครั้ง เหยียนซิวก็รายงานว่า “นายท่าน จางผิงคนนี้เป็นเพียงนักพรตอิสระ เขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าคนที่ฝากฝังให้เขามาคือใคร เขาถูกควบคุมแล้ว แต่ในหัวมีเส้นด้ายสีทองควบคุมแค่เส้นเดียวเท่านั้น จะให้นำออกมาหรือเปล่าขอรับ”

พอนึกถึงภาพที่เหยียนซิวกระอักเลือดตอนช่วยปี้เยว่ เหมียวอี้ก็บอกว่า “ไม่ต้องแล้ว เป็นแค่ตัวละครเล็กๆ ที่คอยวิ่งเต็น ไม่มีค่าพอให้เปลืองกำลัง ปลุกเขาให้ตื่น คลายพลังอิทธิฤทธิ์ ให้เขาติดต่อกับพระปีศาจ”

เหยียนซิวจัดการทันที ปลุกจางผิงให้ตื่น คลายพลังอิทธิฤทธิ์ให้แล้วด้วย

จางผิงที่ตื่นและได้พลังอิทธิฤทธิ์กลับมาขยับแขนขาเล็กน้อย แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “สงสัยผู้ตรวจการใหญ่จะคิดได้แล้ว”

หยางเจาชิงแอบส่ายหน้า คนไม่รู้ย่อมไม่กลัวจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะถูกควบคุมอยู่ นักพรตอิสระต่ำต้อยคนหนึ่งจะกล้าพูดจาอย่างนี้ต่อหน้านายท่านได้อย่างไร ตัวละครเล็กๆ อย่างนี้ถูกกำหนดมาให้ตาย ที่นี่ยอมปล่อยไป แต่เกรงว่าพระปีศาจคงไม่ปล่อยให้เขารอดชีวิต

เหมียวอี้กล่าวอย่างใจเย็นว่า “ติดต่อผู้สูงศักดิ์เบื้องหลังเจ้า บอกเขาว่า ถ้าอยากได้สมุนไพรจิตวิญญาณก็ได้ แต่ช่วยเขาทำเรื่องสองเรื่องก่อน”

“ไม่ทราบว่าสองเรื่องนั้นคืออะไร” จางผิงถาม

เหมียวอี้จ้องเขาอย่างเย็นเยียบ “เจ้าช่วยตัดสินใจแทนผู้สูงศักดิ์คนนั้นได้เหรอ?”

จางผิงเงียบไปครู่เดียว ก่อนจะหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน หลังจากติดต่อแล้วก็บอกว่า “ผู้สูงศักดิ์บอกว่า เจ้าไม่มีสิทธิ์มาต่อรอง”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ต่อรอง แบบนี้จะไม่เอาเรื่องนี้มาบีบข้าตลอดไปเหรอ บอกเขาไป ข้าก็แค่ทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกับเขา ไม่ยอมให้เขาบีบหรอก ถ้าเขาไม่ตอบตกลงก็เชิญตามสบาย ในมือพ่อคนนี้มีทัพเกรียงไกรหลายสิบล้าน ไม่ใช่ว่าใครอยากจะแตะต้องก็ได้!”

จางผิงเขย่าระฆังดาราบอกต่อ แล้วตอบกลับมาว่า “ผู้สูงศักดิ์ถามว่าเรื่องอะไร ให้ผู้ตรวจการใหญ่ลองพูดมาก่อน”

เหมียวอี้ตอบว่า “หนึ่ง ตำหนักสวรรค์มีสถานที่ลับสำหรับหลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ข้าอยากรู้ว่าอยู่ที่ไหน สอง สมาคมวีรชนควบคุมคนไว้จำนวนหนึ่ง ใช้วิธีการน่าละอายบีบบังคับให้คนทำงานรับใช้สมาคมวีรชน ในนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อเจียงอวิ๋น ตอนนี้ชื่ออะไรก็ไม่รู้ ช่วยข้าตามหานางให้เจอ! เรื่องนี้อาจจะยากสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผู้สูงศักดิ์อาจจะมีหนทาง”

จางผิงจำและถ่ายทอดต่อ เมือ่ได้รับคำตอบกลับมาก็ตอบว่า “ผู้สูงศักดิ์บอกว่า จะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าจะไม่กลับคำ?”

“เรื่องที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างสงบ ข้าเองก็ไม่อยากสร้างความยุ่งยาก ข้าเองก็หวังว่าเขาจะรักษาความลับ” เหมียวอี้ตอบ

จางผิงบอกต่อให้ตอบว่า “ผู้สูงศักดิ์บอกว่าตกลง หวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูด ไม่อย่างนั้นก็ต้องรับผลที่ตามมาเอง”

เหมียวอี้พยักหน้า จางผิงถ่ายทอดข้อความแล้วก็ถูกควบคุมไว้อีก โดยมีเหยียนซิวเก็บไว้ควบคุมดูแลโดยเฉพาะ

“จัดการตามแผนรับมือที่เตรียมไว้เถอะ” เหมียวอี้เอียงหน้าบอกหยางเจาชิง

หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะ “ขอรับ!”

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน “ติดต่อเฉาหม่าน เชิญเขามาที่นี่สักเที่ยว บอกว่าข้าจะเลี้ยงสุราเขา”

…………

เหมียวอี้หันกลับไปมองเหยียนซิว แสดงแววตาสอบถาม เหยียนซิวพยักหน้าสื่อว่ามีความเป็นไปได้

เหมียวอี้ถามซ้ำอีก ปี้เยว่ก็นึกไม่ออกจริงๆ สิ่งที่พอจำได้ก็ไม่มีค่าอะไร

จากนั้น เหมียวอี้ก็เริ่มขมวดคิ้ว ตอนนี้ยุ่งยากแล้ว ในใจไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด ควรจะรับมืออย่างไรดี?

“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าพระปีศาจหนานโปควบคุมข้า?” จู่ๆ ปี้เยว่ก้ถาม

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ปี้เยว่ บางเรื่องข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากยังไง ข้าพูดอย่างนี้แล้วกัน เจ้าไปพบกับเทียนหยวน จู่ๆ ข้าก็ได้รับรายงานจากสายลับ มีความเป็นไปได้สูงว่าพระปีศาจหนานโปอาจจะไปสมคบกับผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋ง ข้าสงสัยทันทีว่าเทียนหยวนนัดเจอเจ้าเพราะมีอุบาย เลยส่งคนไปรับเจ้า ผลปรากฏว่าคนที่ข้าส่งไปถูกพระปีศาจหนานโปพบและโดนพระปีศาจควบคุมไว้ คนที่จวนกลยุทธ์ฟ้าส่งไปก็รบตายไปเกือบสองพันคน เทียนหยวนใส่หน้ากาก ตอนต่อสู้กันแยกไม่ออก…”

แม้จะไม่ได้เอ่ยคำพูดต่อจากนั้น แต่ก็สื่อความหมายชัดเจนแล้ว

ปี้เยว่เบิกตากว้างทันที ถามอย่างกังวลว่า “เจ้าจะบอกว่า…จะบอกว่า…”

“เจาชิง!” เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้ พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ลุกขึ้นเดินออกไปแล้ว เหมือนไม่อยากเผชิญหน้า

หยางเจาชิงนำกำไลเก็บสมบัติและแหวนเก็บสมบัติวางไว้ข้างเตียง บอกว่าให้ระงับความเศร้าโศก แล้วรีบเดินออกไปเช่นกัน

ระงับความเศร้าโศก? ปี้เยว่มือสั่น หยิบกำไลเก็บสมบัติขึ้นมา หลังจากลังเลอยู่นาน นางก็กรอกพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปตรวจดู พบว่าข้างในมีของกองระเกะระกะ พอตรวจให้ละเอียดก็พบว่าล้วนเป็นของที่เทียนหยวนเคยใช้ตอนยังมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งนางหยิบแหวนเก็บสมบัติขึ้นมาดู ในแหวนเก็บสมบัติไม่มีมีของอย่างอื่น มีเพียงร่างคนขาดครึ่งท่อน เป็นร่างของเทียนหยวนนั่นเอง

ทั้งตัวนางเคลื่อนไหวช้าลงในชั่วพริบตาเดียว ดวงตาแดงก่ำ หยดน้ำตาเท่าเม็ดถั่วไหลอาบแก้มโดยไร้เสียง

ระหว่างทั้งสองจบลงอย่างนี้แล้วเหรอ? ปี้เยว่ที่น้ำตาไหลค่อนข้างสับสน ความคิดย้อนกลับไปในอดีตที่นานมากแล้ว

เรือสองลำเบียดผ่านกันใต้สะพานโค้ง หญิงสาวคนหนึ่งยืนยืนด้วยท่วงท่างดงามอ่อนช้อยอยู่บนหัวเรือ ชายหนุ่มชุดสีเขียวครามคนหนึ่งยืนสง่าอยู่บนหัวเรืออีกลำ หญิงสาวถูกความเหิมเกริมของชายหนุ่มยั่วจนหงุดหงิด จึงฟาดแส้ออกไปอย่างแรงหนึ่งที แต่กลับถูกชายผู้นั้นคว้าแส้เอาไว้แล้วยิ้มหยอกล้อ

ไม่ทะเลาะกันคงไม่ได้รู้จักกัน ตอนหลังชายหนุ่มกับหญิงสาวอาลัยอาวรณ์ต่อชีวิตอันมีสีสันของโลกมนุษย์ ล่องเรือบนทะเลมรกตด้วยกัน ชมแสงจันทร์ใต้สายลมอ่อนด้วยกัน สาบานรักต่อทะเลและขุนเขา สบตากันข้างกองไฟในคืนหิมะตก ชายหนุ่มสาบานต่อฟ้าว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่ทรยศนาง เทียนมงคลห้องหอ ชีวิตที่น่าเฝ้าคอย หวังเคียงคู่จนแก่เฒ่า ตอนหลังชายหนุ่มมีปณิธานแรงกล้า แต่กลับจมอยู่ในอำนาจ ดังนั้นทุกอย่างจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไป จิตใจของทั้งสองเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว ส่วนเรื่องราวมากมายหลังจากนั้น ไม่น่าเชื่อว่าปี้เยว่จะจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว เลือนรางแล้ว

สุดท้ายปี้เยว่ก็ล้มลงบนเตียง ไหล่งามสั่นเทิ้ม ก้มหน้าร้องสะอื้น นางไม่เข้าใจ ทั้งสองเคยรักกันมากขนาดนั้น เหตุใดสุดท้ายจึงเดินมาถึงขั้นนี้ได้ ทุกอย่างในอดีตเคยงดงามขนาดนั้น ทำไมสุดท้ายทุกคนจึงเปลี่ยนไปแล้ว แหวนเก็บสมบัติกำแน่นอยู่ในฝ่ามือ ปวดร้าวจนหายใจไม่ออก…

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลกระทบจากอารมณ์ของปี้เยว่หรือเปล่า ท้องฟ้าถูกเมฆครึ้มปกคลุม ฝนเริ่มตกแล้ว

หยางเจาชิงที่เดินตามออกมาทีหลังเข้ามานั่งในศาลา ขณะมองเหมียวอี้ที่เงียบงัน ในใจก็เกิดความสงสัยมาก ทำไมนายท่านรู้ว่าหลังจากพระปีศาจหนานโปหลุดออกมาแล้วจะมาหาเขา

ฝนเริ่มตกแรงขึ้น ขณะมองน้ำฝนที่ตกหนักจนเกิดละอองหมอกด้านนอก เหมียวอี้ที่ยืนเอามือไขว้หลังเริ่มหรี่ตา ดูจากตอนนี้แล้วคงทำได้แค่รอ ถ้าพระปีศาจหนานโปรู้ความลับเรื่องแดนอเวจีจากปี้เยว่แล้ว จะต้องนำเรื่องนี้มาขู่เขาแน่นอน เช่นนั้นควรจะทำอย่างไรดี? มอบสมุนไพรจิตวิญญาณให้แต่โดยดีเหรอ? ตอนนี้สมุนไพรจิตวิญญาณยังไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขา ที่จริงให้ไปก็ไม่เป็นไร แต่เรื่องราวเรียบง่ายขนาดนั้นเสียที่ไหนกัน ถูกทารุณตรงสถานที่ผนึกหลายปีขนาดนั้น พระปีศาจหนานโปจะไม่ไปชำระแค้นกับเขาและศีลแปดเหรอ? ถ้าพระปีศาจใช้จุดอ่อนที่มีอยู่มาบีบเขาต่อไปจะทำอย่างไร?

“ให้ข้าอยู่เงียบๆ สักหน่อย!” เหมียวอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ

เหยียนซิวโค้งตัวเล็กน้อยแล้วถลันตัวหายไป ส่วนหยางเจาชิงก็กุมหมัดคาระวแล้วออกไปเช่นกัน

ในขณะนี้เอง มีคนส่งข่าวมา เหมียวอี้รู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง หยิบระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง เป็นศีลแปดที่ส่งข่าวมา

หลังจากเชื่อมสัญญาณติดแล้ว เหมียวอี้ก็ถามว่า : มีอะไร?

ศีลแปด : อยู่คนเดียวเบื่อมาก พี่ใหญ่ ท่านกับพี่สะใภ้สบายดีมั้ย?

เหมียวอี้ : ข้าสบายดีมาก เจ้าฝึกตนคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?

ศีลแปด : กำลังพยายาม กำลังพยายาม พี่ใหญ่ทำงานของตัวเองไปเถอะ ข้าไม่รบกวนแล้ว!

แล้วก็ตัดขาดการติดต่อไปแบบนี้ ขณะมองระฆังดาราในมือ เหมียวอี้ก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน พอถามเรื่องวรยุทธ์ เจ้ารองก็หลบเลี่ยง เจ้ารองบ้านเขาก็ฉลาดอยู่หรอก เพียงแต่ฉลาดไม่ถูกที่ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะโตเป็นผู้ใหญ่สักที

ในศาลาใต้ม่านฝนพรำ หลังจากไตร่ตรองอยู่สักพัก เหมียวอี้ก็ยังตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับหยางชิ่ง ดูว่าหยางชิ่งจะมีวิธีการรับมือหรือเปล่า

หลังจากติดต่อกับหยางชิ่งแล้ว ก้เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง ทีแรกหยางชิ่งก็ตกใจ จากนั้นก็ถามถึงประเด็นสำคัญทันที : นายท่าน ทำไมพระปีศาจหนานโปพุ่งเป้ามาหานายท่านทันทีที่หลุดออกมา?

เหมียวอี้ : ในนั้นมีเบื้องลึกอีกอย่าง ตอนนี้ยังไม่สะดวกจะบอก

เขากลัวการกระทำของหยางชิ่ง จึงตัดสินใจจะปิดบังความสัมพันธ์กับศีลแปดเอาไว้ชั่วคราว ไม่อย่างนั้นก็อาจโดนหยางชิ่งใช้ประโยชน์เข้าสักวันก็ได้

ในเมื่อเขาพูดแบบนี้ หยางชิ่งก็ไม่ถามแล้ว ครุ่นคิดเงียบๆ พักหนึ่ง แล้วตอบกลับว่า : ถ้าพระปีศาจหนานโปรู้ความลับนี้ ก็มีภัยคุกคามต่อนายท่านจริงๆ เพียงแต่ใช่ว่าจะแก้ปัญหาไม่ได้

เหมียวอี้กระปรี้กระเปร่าทันที ถามว่า : ยินดีรับฟังความคิดอันเหนือชั้น

หยางชิ่ง : รอก่อนก็ได้ พระปีศาจหนานโปไม่เอาเรื่องนี้มาบีบก็ปล่อยไป นายท่านควรชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ…

เมื่อฟังแผนของหยางชิ่งจบ เหมียวอี้ก็กระจ่างทันที ยกมือตบหน้าผาก แอบพูดในใจว่าช่างเป็นวิธีการที่ดี ทำไมตัวเองนึกไม่ถึง

และในตอนนี้ ศีลแปดที่นอนเปลือยอยู่บนเตียงก็ถอนหายใจแรง

บนเตียงฟูกหนาข้างหลังเขา เป็นใบหน้าของสาวน้อยที่งามปราณีตจนไม่เป็นสองรองใคร ดวงตาสีฟ้าใสเป็นประกาย บริสุทธิ์ราวกับเป็กกระจกส่องใจคนได้ หูแหลมตั้งตรง ผมสีทองปลิวสยายประบ่า นางเปลือยกายเช่นเดียวกับศีลแปด ร่างเปลือยที่นอนอยู่ข้างหลังศีลแปดราวกับภาพวาด ผิวขาวหมดจดดุจหิมะ หน้าอกกลมกลึงอิ่มเอิบ เรือนร่างอรชรมีส่วนเว้าส่วนโค้งเหมาะสมขาเรียวยาว ยั่วยวนแต่กลับทำให้คนไม่กล้าล่วงเกินง่ายๆ ผู้หญิงคนนี้บริสุทธิ์จากภายในสู่ภายนอก

ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือมู่น่า ธิดาศักดิ์สิทธิ์เผ่าปีศาจแห่งดาวแมกไม้ แต่ถูกศีลแปดพาไปหลับนอนด้วยจนชำนาญเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว ธิดาศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้ได้รับปกป้องจากทั้งเผ่าปีศาจ ทั้งเผ่าปีศาจล้วนแสดงด้านงดงามจริงใจให้นางเห็น ไม่ให้นางถูกแปดเปื้อนด้วยคำพูดไม่ดี นางไม่ประสีประสา จะทันคำโกหกของศีลแปดได้อย่างไร ศีลแปดไม่สนหรอกว่านางจะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์อะไร รู้เพียงว่าตัวเองชอบผู้หญิงคนนี้ก็ต้องได้ครอบครอง ครั้งแรกที่หนีจากคลังสมบัติหนานอู๋ก็มาที่นี่ทันที พุ่งเป้ามาที่นี่ ใช้เวลาไม่นานก็ได้นอนกับธิดาศักดิ์สิทธิ์เผ่าปีศาจแล้ว ชดเชยความเสียดายที่ถูกไต้ซือศีลเจ็ดระงับจุดหยางในปีนั้น

แต่จะว่าไปแล้ว ผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำให้คนอย่างศีลแปดลืมไม่ลงได้ จะเห็นได้ว่าศีลแปดรักชอบมู่น่าขนาดไหน เรื่องบางเรื่องก็พูดให้ชัดเจนได้ยาก ถ้าจะบอกว่าแสวงหาความใคร่ระหว่างชายหญิง เช่นนั้นมู่น่าก็เทียบอวี้หลัวช่าไม่ติดแน่นอน แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะศีลแปดก็แค่ชอบมู่น่า ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นมู่น่า เขาก็ถูกความใส่ซื่อบริสุทธิ์ที่ออกมาจากจิตวิญญาณมู่น่าดึงดูดแล้ว ราวกับสามารถชำระล้างความชั่วร้ายบนตัวเขาได้ ดังนั้นจึงอยากอยู่กับนาง อยากจะนอนเคียงข้างกับนาง

จุดที่ทั้งสองอยู่ก็คือในโพรงไม้ต้นหนึ่งบนอาณาเขตของเผ่าปีศาจ ความสูงห่างจากพื้นดินสิบกว่าจั้ง ศีลแปดหลอกเผ่าปีศาจให้สร้างเขตหวงหามไว้ให้เขาโดยเฉพาะ ยามปกตินอกจากเขาแล้ว ก็มีแค่ธิดาศักดิ์สิทธิ์เผ่าปีศาจที่จะมาสนทนาธรรมกับเขาได้ คนอื่นของเผ่าปีศาจไม่กล้าล่วงล้ำเข้ามาที่นี่ มองเขาเป็นพระศักดิ์สิทธิ์

ถ้าจะพูดให้ชัด ที่นี่ก็คือรังหรรษาของเขากับมู่น่า ที่ต้องยุ่งยากแบ่งเขตหวงห้ามนี้ ก็เพราะศีลแปดรู้ชัดอยู่แก่ใจ ว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์นั้นสะอาดบริสุทธิ์ห้ามล่วงเกิน การนอนกับธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้าให้เผ่าปีศาจรู้ จะต้องสู้ตายกับเขาแน่นอน

ทว่าเจ้าเวรนี่ก็กล้าทำเรื่องที่ทำร้ายอีกฝ่ายแต่กลับให้อีกฝ่ายมาปกป้อง ถ้าให้เผ่าปีศาจรู้ก็คงโกรธจนกระอักเลือดตายแน่นอน

สรุปก็คือ ตอนนี้ศีลแปดใช้ชีวิตที่นี่ได้สบายมาก อยู่ที่นี่ผ่อนคลายมากด้วย โลกภายนอกอันตรายเกินไปแต่ที่นี่เป็นมงคลและสงบสุข เขาชอบบรรยากาศของเผ่าปีศาจมาก นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่เขาอยู่ที่นี่นาน

เมื่อเก็บระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกลับเหมียวอี้แล้ว ศีลแปดก็ครุ่นคิดบางอย่างด้วยแววตาเป็นประกาย

เผ่าปีศาจปิดรับข่าวสาร ได้รับการปกป้องจากปราสาทแมกไม้ จึงอยู่อย่างสงบสุขมากมาตลอด เรื่องราวครึกโครมด้านนอกไม่เกี่ยวกับเผ่าปีศาจ ศีลแปดเพิ่งได้ข่าวจากอวี้หลัวช่า ถึงได้รู้ว่าพระปีศาจหนานโปหลุดออกมาแล้ว เขาตกใจมาก รีบติดต่อไปหาเหมียวอี้ อยากจะรู้ว่าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ปลอดภัยหรือเปล่า หลังจากแน่ใจแล้วเขาก็วางใจ

เหมียวอี้ไม่อยากรบกวนสมาธิในการฝึกตนของเขา ถึงไม่ได้บอกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

มู่น่าคลานเข้ามาพร้อมร่างกายเปลือยเปล่า มาซบที่แผ่นหลังศีลแปด ใช้สองมือคล้องคอเขา ใบหน้าแนบติดตัวเขา ถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรในใจ?”

ศีลแปดตอบอย่างไม่แน่ใจ “มู่น่า ข้าอาจจะต้องจากที่นี่ไปสักระยะหนึ่ง”

“ออกไปโปรดสรรพสิ่งอีกแล้วเหรอ?” มู่น่าแปลกใจ

ศีลแปดขานรับ “อืม” เสียงต่ำ ที่จริงเขากังวลว่าจู่ๆ ตัวเองติดต่อพี่ใหญ่ไป จะทำให้พี่ใหญ่สงสัยหรือเปล่า? เขาตัดสินใจว่าจะกลับไปอยู่ที่จุดซ่อนสมบัติแต่โดยดีสักระยะ ถ้าพี่ใหญ่ไปตรวจสอบกระทันหัน แล้วตัวเองไม่อยู่ แบบนั้นก็แย่แน่

“จะกลับมาเร็วๆ นี้ใช่ไหม?” มู่น่าค่อนข้างอาลัยอาวรณ์

“ทำเรื่องที่ควรทำเสร็จแล้วก็ย่อมกลับมา” ศีลแปดตอบด้วยรอยยิ้ม

ทั้งสองแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แล้วออกจากโพรงไม้

ในโพรงไม้ของต้นไม้โบราณที่ใหญ่ที่สุดในป่า ศีลแปดกล่าวอำลาผู้อาวุโสมู่เซิน

เมื่อทราบว่าศีลแปดต้องจากไปอีกแล้ว มู่เซินก็ค่อนข้างเสียดาย ถามว่า “พระศักดิ์สิทธิ์ออกทัศนาจรครั้งนี้ จะกลับมาเมื่อไร?”

ศีลแปดที่สวมจีวรขาวสง่าทั้งตัวประนมมือตอบ “อาตมามีวาสนากับที่นี่ วาสนายังไม่สิ้น ก็ย่อมกลับมา”

ตอนนี้มู่เซินถึงได้วางใจ แล้วก็เอยขออีกว่า “ไม่ทราบว่าก่อนไปครั้งนี้ พระศักดิ์สิทธิ์แสดงธรรมให้พวกเราอีกสักเรื่องได้หรือไม่?”

“อามิตตาพุทธ!” ศีลแปดยิ้มเรียบๆ

ตอนที่ทุกคนของเผ่าปีศาจมารวมตัวกันใต้ต้นไม้ใหญ่โบราณต้นนี้อีกครั้ง แสงจันทร์ก็สาดส่องลงมา ศีลแปดนั่งขัดสมาธิเผชิญหน้ากับทุกคนด้วยใบหน้าบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ แสดงพุทธธรรมด้วยรอยยิ้ม

ทุกคนของเผ่าปีศาจฟังอย่างจริงจังและจริงใจ แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็เติบก็เหมือนจะอดใจรอฟังไม่ไหว เติบโตเร็วอย่างที่ตาเปล่าสังเกตเห็นได้ ดอกไม้เปล่งแสงอ่อนๆ อยู่ภายใต้ม่านราตรี ถ้ามองลงมาจากบนฟ้า ป่าไม้ที่มีศีลแปดเป็นจุดศูนย์กลางก็กำลังเปล่งแสงไปทั่วทั้งสี่ด้านแปดทิศราวกับปูพรม

บรรดาสัตว์เล็กสัตว์น้อยในป่ามารวมตัวกันอย่างเงียบๆ สัตว์ดุร้ายก็เปลี่ยนเป็นเชื่อฟังว่าง่ายเช่นกัน นกที่เดิมทีควรจะนอนพักผ่อนก็บินมาหมดแล้ว มาเกาะฟังเงียบๆ อยู่บนกิ่งไม้ แมลงที่เปล่งแสงพวกนั้นก็บินมารวมตัวอยู่ข้างหลังศีลแปดราวกับเป็นม่านแสง ยิ่งทำให้ศีลแปดถูกย้อมไปด้วยกลิ่นอายเทพศักดิ์สิทธิ์

……………

คนรีบหยุดอยู่กลางอากาศ เอามือลูบหน้าอก แล้วถามอย่างตกใจเล็กน้อย “ผู้อาวุโส เกิดอะไรขึ้น?”

เขาย่อมสังเกตได้ว่าความผิดปกตินี้เกี่ยวข้องกับร่างกายตัวเอง กายเนื้อของตัวเองได้รับการเชื่อมโยงจากพระปีศาจหนานโป

เสียงของพระปีศาจหนานโปค่อนข้างเย็นครึ้ม “ผนึกควบคุมที่ข้าลงไปบนตัวปี้เยว่ถูกคนถอนออกแล้ว เป็นเจ้าคนที่ฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง”

ที่จริงนี่ก็คือสาเหตุที่ตอนแรกเขาไม่อยากปล่อยไปเหยียนซิว เขาอยากจะได้สมุนไพรจิตวิญญาณผ่านปี้เยว่ เขามองออกแล้วว่าเหยียนซิวสามารถถอนผนึกควบคุมของเขาได้ ย่อมต้องกำจัดเหยียนซิวทิ้ง ตอนนั้นถึงได้ชักช้าไม่ยอมหนี เพียงแต่คนคำนวนมิอาจสู้ลิขิตฟ้า

สงฉีเงียบไป ฟังจากที่เขาพูดเหมือนจะโดนทำลายผนึกควบคุมแล้ว คนที่ลงผนึกควบคุมโดนพลังย้อนทำร้าย แต่เขาไม่ได้พูดออกมา เพียงถอนหายใจ “ดูท่าคงมาเสียเที่ยว!” ในใจยังมีอีกประโยคที่ไม่ได้พูดออกมา ทั้งยังเสียคนไปตั้งมากมาย

พระปีศาจหนานโปแสยะยิ้ม “ก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเลย!”

“ร่างกายผู้อาวุโสไม่เป็นอะไรร้ายแรงใช่ไหม?” สงฉีสนใจสิ่งนี้

“ไม่เป็นอะไร เจ้าเดินทางต่อได้”

ส่วนในโถงด้านข้าง หยางเจาชิงก็ถลันตัวเข้ามาประคองเหยียนซิวที่ร่างกายโอนเอน ถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว?”

เหยียนซิวส่ายหน้า “พระปีศาจร้ายกาจจริงๆ ด้วย ข้าต้องพยายามใช้สมาธิถึงจะทำลายผนึกควบคุมของเขาได้”

เหมียวอี้นั่งยองๆ ข้างกายปี้เยว่ ตรวจสภาพร่างกายให้นางเล็กน้อยปี้เยว่ พอยืนยันได้ว่าแค่สลบไปเท่านั้น ร่างกายไม่เสียหายอะไร เขาถึงได้วางใจ เงยหน้าถามว่า “ทำไมอาเจียนเป็นเลือด เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

เหยียนซิวบอกว่า “ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพียงแต่สภาพจิตใจได้รับความเสียหาย ใช้เวลาสักหน่อยก็ฟื้นฟูได้แล้วขอรับ” สายตาไปหยุดอยู่บนตัวปี้เยว่ที่กำลังสลบ “โชคดีที่ไม่อันตรายถึงชีวิต ปกป้องไม่ให้สมองนางได้รับความเสียหายมาก นางน่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว”

เหมียวอี้ลุกขึ้นแล้วมองธงเรียกวิญญาณ “เส้นด้ายสีทองเปล่งแสงนั่นคืออะไร?”

เหยียนซิวตอบว่า “เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักของสิ่งนี้ ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่น่าจะเป็นของประเภทจิตวิญญาณที่กลายเป็นวัตถุจริง ถ้าแนบติดอยู่ในสมองคนก็จะมีพลังควบคุมสูงมาก ของสิ่งนี้ใช่ว่าอาศัยวรยุทธ์กับพลังอิทธิฤทธิ์แล้วจะถอนออกได้ แต่พอเข้ามาในธงเรียกวิญญาณก็ไม่เป็นภัยแล้ว ธงเรียกวิญญาณจะหลอมละลายมันเอง” พูดจบก็เก็บธงเรียกวิญญาณ

“งั้นก็ดี” เหมียวอี้พยักหน้า “เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ! เดี๋ยวต่อไปค่อยดูว่าสามารถถามอะไรจากปากคนที่จับมาได้หรือเปล่า ถ้าจะให้ดีที่สุดก็ต้องทำลายรังของพระปีศาจทิ้ง!” ตอนที่พูดประโยคนี้ ในแววตาฉายแววกระหายการฆ่า

เหยียนซิวเองก็ไม่อิดออด เข้าไปในห้องด้านข้างแล้ว กินสมุนไพรเซียนซิงหัวแล้วนั่งสมาธิ

หยางชิ่งออกไปเรียกสาวใช้ที่ปกติปรนนิบัติปี้เยว่มาที่นี่ ให้พาปี้เยว่ที่กำลังสลบกลับไปที่บ้านตัวเอง

พอออกจากโถงด้านข้าง เหมียวอี้ก็ขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร

หยางเจาชิงที่ติดตามอยู่ข้างกายปลอบใจว่า “นายท่านวางใจ ในเมื่อเหยียนซิวบอกว่าถอนออกแล้ว ก็น่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว”

เหมียวอี้หยุดเดิน แล้วกล่าวยังไม่แน่ใจ “เจาชิง มีบางเรื่องที่เจ้าไม่รู้ ปี้เยว่ไม่ได้เป็นแค่ฮูหยินของเทียนหยวนเท่านั้น สาเหตุที่นางปกป้องข้าตอนอยู่ตลาดสวรรค์ ก็เพราะนางมีอีกฐานะหนึ่ง นางยังมีสามีอีกคนหนึ่ง ชื่อไห่ยวนเค่อ…” ในปีนั้นเขาไม่สะดวกจะบอกเรื่องบางอย่างกับหยางเจาชิง จนป่านนี้แล้ว เขาไม่คิดจะปิดบังเรื่องแดนอเวจีกับหยางเจาชิงอีก อย่างไรเสีย ด้วยฐานะของหยางเจาชิงตอนนี้ก็ต้องรู้เรื่องบางอย่างเอาไว้ จึงจะสามารถทำงานให้เขาได้อย่างครอบคลุมทั่วทุกด้าน จึงเล่าให้ฟังคร่าวๆ

หยางเจาชิงตกใจจนอ้าปากค้าง ขุนพลใหญ่ไห่ยวนเค่อของลัทธิอู๋เลี่ยงเป็นสามีของปี้เยว่เหมือนกัน?ไม่น่าเชื่อว่าไห่ผิงซินจะเป็นลูกสาวของปี้เยว่กับไห่ยวนเค่อ? นึกไม่ถึงว่านายท่านจะเป็นราชาปราชญ์ของหกลัทธิด้วย? ข้อมูลลับที่ต่อเนื่องนี้ทำให้เขาย่อยไม่ทัน นึกไม่ถึงว่านายท่านจะสยบหกลัทธิได้แล้ว แอบคิดในใจว่าฝ่ายเรายังมีทัพเกรียงไกรอีกกลุ่มอยู่ในมือ

เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะกังวลหรือดีใจแทนเหมียวอี้ ดีใจเพราะเหมียวอี้มีอำนาจมากกว่าที่เห็น ในฐานะที่เขาเป็นพ่อบ้านคนสนิทของเหมียวอี้ เขาย่อมเหมือนเรือที่ขึ้นสูงตามน้ำ

เขาตระหนักได้รางๆ ว่าเหยียนซิวคงจะรู้ความลับนี้ ดังนั้นเหยียนซิวจึงยอมสละทุกอย่างเพื่อไล่สังหารพระปีศาจหนานโป

หลังจากดึงสติกลับมาแล้ว หยางเจาชิงก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นายท่านกำลังกังวลว่าพระปีศาจหนานโปจะล่วงความลับบางอย่างจากปี้เยว่ได้แล้วหรือขอรับ?”

เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำว่า “ที่จริงสิ่งที่ปี้เยว่รู้มีจำกัด รู้แค่ว่าข้าคือคนของหกลัทธิ ไม่รู้ว่าข้าเป็นราชาปราชญ์หกลัทธิ”

“ต่อให้เป็นแบบนี้ ลำพังแค่สิ่งที่ปี้เยว่รู้ ถ้าความลับตกอยู่ในมือพระปีศาจหนานโปจริงๆ ก็เพียงพอให้สร้างภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อนายท่านได้เหมือนขอรับ” หยางเจาชิงกล่าว

เหมียวอี้พยักหน้า “นี่ก็คือสิ่งที่ข้ากังวล ให้คนดูปี้เยว่เอาไว้ ถ้าปี้เยว่ฟื้นแล้วแจ้งข้าทันที”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงพยักหน้าตอบ รู้ว่าเขาต้องยืนยันทันทีว่าปี้เยว่ได้ทำให้ความลับรั่วไหลหรือไม่

หลังจากหยางเจาชิงออกไปแล้ว เฟยหงก็เดินเข้ามาถามอย่างสงสัยอีก “นายท่าน ทำไมพี่ปี้เยว่ถึงโดนหามไปคะ?” นางเพิ่งเห็นเองกับตา

เหมียวอี้คว้ามือเรียวสวยของนางมาตบเบาๆ เขาไม่ได้หลอกนาง ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “เฟยหง มีเรื่องมากมายที่เจ้าไม่เข้าใจ บางเรื่องข้าก็ไม่สะดวกจะบอกเจ้าตอนนี้ ในภายหลังเจ้าจะค่อยๆ เข้าใจเอง”

คำพูดนี้ไม่ได้ทำให้เฟยหงเป็นทุกข์ อย่างน้อยก็ไม่ได้หลอกนาง นางพยักหน้าตอบว่า “ข้าเข้าใจ”

ในตอนนี้นางเริ่มรับผิดชอบเรื่องบางอย่างในบ้านบ้างแล้ว อย่าว่าแต่พวกอ๋องสวรรค์จะไม่เข้าประชุมราชสำนักแล้ว หลายปีมานี้วังสวรรค์ตั้งใจเว้นตำแหน่งบนราชสำนักให้เหมียวอี้ด้วย เหมียวอี้เองก็ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาไม่ได้ไปทางวังสวรรค์ เพราะรู้ว่าไปแล้วอาจจะถูกกักตัว ขนาดเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เรียกเขาไป เขายังหาข้ออ้างปฏิเสธเลย ถึงขั้นไม่ให้อวิ๋นจือชิวไปมาหาสู่กับที่นั่นแล้วด้วย ภารกิจนี้ถูกส่งต่อให้เฟยหง โดยที่อวิ๋นจือชิวให้พวกช่างไม้ไปค่อยชี้แนะ

ให้เฟยหงออกหน้าไม่ใช่แค่สามารถทำให้เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวหลบเลี่ยงอันตรายบางอย่างได้ ทั้งยังปลอบฝั่งตำหนักสวรรค์ให้สงบได้ด้วย อย่างน้อยทางตำหนักสวรรค์ก็จะคิดว่าเฟยหงได้รับความเชื่อใจจากเหมียวอี้เต็มที่แล้ว ในช่วงเวลาสำคัญยังสามารถแสดงบทบาทได้มาก ดังนั้นทางฝั่งตำหนักสวรรค์จึงไม่แสดงปฏิกิริยารุนแรง สรุปก็คือทั้งสองฝั่งล้วนแฝงเจตนาไม่ดีทั้งในที่ลับและที่แจ้ง กำลังวางอุบายใส่กัน

เพียงแต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เหมือนจะไม่ค่อยชอบเฟยหง ปฏิบัติด้วยอย่างค่อนข้างเย็นชา ท่าที่แตกต่างกับที่ปฏิบัติกับอวิ๋นจือชิวโดยสิ้นเชิง ประการแรกเป็นเพราะแนวโน้มการใช้กำลังทหารสร้างอำนาจให้ตัวเองของเหมียวอี้ทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ค่อยพอใจ ประการรองก็เพราะนางล้วนไม่ชอบผู้หญิงทุกคนที่ทำตัวเหมือนเป็นภรรยาเอก

เฟยหงได้รับความอยุติธรรมจากฝั่งราชินีสวรรค์นิดหน่อย แต่กับอำนาจฝ่ายอื่นล้วนได้รับการปฏิบัติอย่างมีมารยาท ถึงอย่างไรตอนนี้เหมียวอี้ก็มีอำนาจ ทำให้ประสบการณ์และโลกทัศน์ของเฟยหงเพิ่มขึ้นมาก ชีวิตและสภาพจิตใจเปลี่ยนไปอย่างพลิกฟ้าคว่ำดิน มีความมั่นใจในการการปฏิบัติตัวมากขึ้น มองเห็นที่นี่เป็นครอบครัวของตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว

เมื่อก่อนตอนถูกหน่วยตรวจการซ้ายควบคุม นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าในอนาคตตัวเองจะได้ใช้ชีวิตอย่างนี้ ทำให้นางใฝ่ฝันถึงอนาคตยิ่งกว่าเดิม

นางเองก็รู้เช่นกันว่าหลังจากตัวเองได้ทำงานสำคัญข้างกายเหมียวอี้แล้ว มารดาของตัวเองที่อยู่หน่วยตรวจการซ้ายก็จะมีชีวิตที่ดีมากขึ้น หน่วยตรวจการซ้ายแสดงความปรารถนาดีกับนางบ่อยๆ ทุกครั้งที่นางไปวังสวรรค์ หน่วยตรวจการซ้ายก็จะให้นางกับมารดาเจอกันที่อุทยานหลวง มองออกเลยว่ามารดาเริ่มมีสีหน้าดีขึ้น นางได้ยินมารดาบอกว่าไม่ต้องทำงานใช้แรงงานพวกนั้นแล้ว ทั้งยังมีคนมาคอยปรนนิบัติรับใช้ด้วย

เหมียวอี้ใช้แขนข้างเดียวโอบเอวบางของนางเอาไว้ แล้วทั้งสองก็พูดคุยเดินเล่นด้วยกัน…

วันต่อมาเหยียนซิวก็ปฏิบัติงานตามที่เหมียวอี้แจกจ่ายให้ ตรวจสอบสี่คนที่ส่งไปคุ้มกันปี้เยว่ก่อน หลังจากแน่ใจแล้วว่าสี่คนนี้ไม่มีปัญหา เหมียวอี้ก็สั่งให้ปล่อยทันที พร้อมทั้งให้รางวัลปลอบใจสี่คนนี้ด้วย ตกใจนิดหน่อย ปิดงานได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังได้รับรางวัล สี่คนนี้ย่อมดีใจอยู่แล้ว

ส่วนสองพันคนที่ถูกควบคุม เมื่อเทียบกับปี้เยว่แล้ว เหยียนซิวแก้ไขปัญหาได้สะดวกมาก คลายผนึกควบคุมบนตัวพวกเขาได้อย่างสบายๆ จากนั้นก็ปล่อยคนของตัวเอง ส่วนคนที่รบตาย หยางเจาชิงก็จัดการมอบบำรุงขวัญแก่ครอบครัว ส่วนพวกลูกน้องของสงฉีที่ถูกจับมา มีเหยียนซิวอยู่ด้วยก็ง้างปากได้ง่ายมาก

เมื่อออกจากคุกใต้ดินมาแล้ว เหมียวอี้ก็กำชับว่า “แจ้งให้โค่วหลิงซวีส่งกำลังพลไปล้อมปราบเดี๋ยวนี้!”

“นายท่าน มีคนถูกจับเยอะขนาดนั้น คงยากที่สงฉีจะไม่ป้องกัน เกรงว่าคงย้ายที่ไปแล้ว แจ้งให้โค่วหลิงซวีล้อมปราบคงไม่มีความหมาย ข้าน้อยแนะนำว่าแอบให้คนรายงานขึ้นไป ถึงตอนนั้นต่อให้ไม่ได้อะไรเลย แต่โค่วหลิงซวีก็มาโทษฝั่งนี้ไม่ได้” หยางเจาชิงสงสัย

เหมียวอี้พยักหน้า “ไปจัดการตามที่เจ้าคิดก็แล้วกัน”

“แล้วจะทำยังไงกับคนพวกนี้?” หยางเจาชิงหันกลับมามองในคุก

“ให้เหยียนซิวลองขุดดูก่อน ดูว่าจะขุดได้มากเท่าไหร่”

“เกือบพันคน เกรงว่าถ้าจะขุดก็คงใช้เวลาไม่น้อย”

“ค่อยๆ ขุด พอขุดได้แล้วก็แอบทยอยส่งไปที่ดาวสยบใต้ ส่งให้เยี่ยนเป่ยหง เขาจะจัดการอย่างเหมาะสมเอง” เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน

หยางเจาชิงยังไม่รู้ความลับของเยี่ยนเป่ยหง ไม่รู้ว่าทำไมต้องส่งให้เยี่ยนเป่ยหงจัดการ ไม่รู้ด้วยว่าทำไมเหมียวอี้ต้องยิ้มเจื่อน

ความจริงก็คือ วรยุทธ์ของเยี่ยนเป่ยหงมาถึงขั้นนี้แล้ว ความต้องการสำหรับใช้ฝึกวิชามารก็เยอะมาก ไปลงมือกับนักพรตเล็กๆ พวกนั้นไม่มีความหมายแล้ว แต่ก็รู้ถึงที่มาที่ไปของวิชามาร ไม่กล้าเปิดโปงง่ายๆ และหมายความว่าไม่กล้าลงมือกับคนง่ายๆ ด้วย การส่งคนเกือบพันคนให้เยี่ยนเป่ยหงนี้ จะช่วยลดความยุ่งยากให้เยี่ยนเป่ยหงได้บ้าง ทั้งยังทำให้เยี่ยนเป่ยหงที่ใจมากด้วย

ครั้งนี้ปี้เยว่หลับลึกค่อนข้างนาน ใช้ยาวิเศษก็ไม่มีประโยชน์ หลับลึกไปหลายวันกว่าจะฟื้นขึ้นมา

เมื่อเหมียวอี้ได้ยินข่าวก็ไปที่เรือนพักของปี้เยว่ทันที

หยางเจาชิงกันลูกน้องให้ถอยไป แล้วเดินเข้าไปในห้องนอนของปี้เยว่โดยตรง

ปี้เยว่สีหน้าดีขึ้นมายบ้างแล้ว ปล่อยผมยาวสยายนอนอยู่บนเตียง พอเห็นเหมียวอี้เข้ามานางก็กลอกตามองบน แล้วกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “ผู้ชายวิ่งมาเข้าห้องผู้หญิง เจ้าไม่กลัวคนอื่นเข้าใจผิด แต่ข้ายังกลัวครอบครัวเจ้าหึงหวง” นางจำเรื่องที่เหมียวอี้จับตัวนางและทรมานนางได้

เหมียวอี้ดึงเก้าอี้มานั่งข้างเตียง แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “แค้นเหรอ? สงสัยจะจำเรื่องบางอย่างได้ เจ้ากับเทียนหยวนพบกัน จำได้หรือเปล่า?”

พอพูดถึงเรื่องนี้ ปี้เยว่ก็ตกอยู่ในความเงียบ กล่าวช้าๆ ว่า “เหมือนข้าจะถูกคนควบคุม”

“ไม่ผิดหรอก เจ้าถูกพระปีศาจหนานโปควบคุม” เหมียวอี้บอกนาง

“พระปีศาจหนานโป?” ปี้เยว่ขนลุก ลุกนั่งบนเตียงทันที

เหมียวอี้พยักหน้า “ไม่ต้องกลัว ข้าช่วยคลายผนึกให้เจ้าแล้ว ประเด็นสำคัญตอนนี้ก็คือ พระปีศาจหนานโปรู้ความลับจากเจ้าไปแล้วเท่าไร โดยเฉพาะเรื่องแดนอเวจี”

ปี้เยว่มีสีหน้าจริงจังแล้ว เห็นได้ชัดว่าเข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ นางขมวดคิ้วครุ่นคิดนานมาก ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ “พอมาคิดดูตอนนี้ ข้ารู้แค่ว่าหลังจากเจอคนคนหนึ่งแล้วก็ถูกควบคุมเลย แต่ระหว่างที่คนนั้นควบคุมข้า ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าข้าได้พูดอะไรไปบ้าง…” นางเล่าแค่รายละเอียดตอนที่ตัวเองพบกับเทียนหยวน

…………………

แต่ไหนแต่ไรมาก็รักษาระยะห่างกับเหมียวอี้เสมอ นี่ก็คือลักษณะของเยี่ยนเป่ยหง

เหมียวอี้คุ้นชินและไม่ได้ใส่ใจอะไรเช่นกัน

เมื่อเห็นปี้เยว่กลับมา มู่หรงซิงหัวก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้าเล็กน้อย พวกนางอยู่ที่อุทยานขวาด้วยกัน ทั้งยังอยู่ห่างจากผู้ชายของตัวเองเหมือนกัน ผู้หญิงสองคนนี้ย่อมสนิทกันลึกซึ้งอยู่แล้ว ความสัมพันธ์นายบ่าวในปีนั้นไม่มีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ปี้เยว่ก็ถูกเตะออกจากตำหนักสวรรค์แล้ว

ทว่าสิ่งที่ทำให้มู่หรงซิงหัวตกใจก็คือ พวกเขาเดินมาที่ตีนบันไดด้วยกัน เหยียนซิวเดินขึ้นบันไดมายืนอยู่ข้างหลังเหมียวอี้เหมือนอย่างเคย ส่วนหยางเจาชิงก็ส่งสัญญาณมือ บนกำแพงมีคนเหาะมาหลายสิบคน ล้อมปี้เยว่และสี่คนนั้นไว้แล้ว

ทั้งสี่ตากันอย่างงุนงงแวบหนึ่ง มองเหมียวอี้ที่อยู่บนบันไดพร้อมกันพร้อมถามอย่างตกใจ “ผู้ตรวจการใหญ่! หมายความว่ายังไง?”

เหมียวอี้มองลงมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพียงหรี่ตาจ้องปี้เยว่เท่านั้น

แม้จะเดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าพระปีศาจหนานโปจะมาหาเขาเป็นคนแรก ดังนั้นจึงส่งพวกอวิ๋นจือชิวไปยังที่ปลอดภัยก่อน แต่นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าพระปีศาจหนานโปจะลงมือจากปี้เยว่ นึกไม่ถึงว่าพระปีศาจหนานโปจะไปรวมอยู่กับผู้รอดชีวิตของตระกูลอิ๋ง

ก่อนหน้านี้นึกไม่ถึง ทว่าหลังจากค้นพบแล้วถึงได้เข้าใจ พระปีศาจหนานโปไปหาผู้รอดชีวิตของตระกูลอิ๋งก็เหมือนจะเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว สามารถเข้าใจได้เลย

หยางเจาชิงบอกว่า “ไม่ต้องคิดมากแล้ว แค่มีเรื่องบางอย่างจะมาพิสูจน์กับพวกเจ้าเท่านั้น พวกเจ้าให้ความร่วมมือสักหน่อย”

พูดจบ ก็มีคนก้าวขึ้นมาควบคุมสี่คนนี้ไว้อย่างรวดเร็ว แล้วก็พาออกไปทันที เหลือไว้เพียงปี้เยว่คนเดียว ปี้เยว่ถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ไว้ตั้งนานแล้ว

ปี้เยว่จ้องเหมียวอี้ แล้วกางแขนพูดอย่างค่อนข้างโมโห “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าควบคุมข้าไว้หมายความว่ายังไง?”

มู่หรงซิงหัวประหลาดใจ มองปี้เยว่แล้วก็มองเหมียวอี้ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไปแล้ว

“มู่หรง ช่วงนี้ไม่มีงานของเจ้าแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ

มู่หรงซิงหัวอึดอัดเหมือนอยากจะพูดอะไร อยากจะถามถึงสถานการณ์ จะลองดูว่าจะช่วยพูดขอร้องไห้ปี้เยว่ได้หรือไม่ แต่ก็ต้องกลืนคำพูดลงไปเพราะเห็นเหมียวอี้เหล่ตามองมาด้วยสายตาเย็นเยียบ

แม้ยามปกติเหมียวอี้จะยายามไม่แบ่งแยกนายบ่าว ถึงแม้ในสถานการณ์ปกติเหมียวอี้จะพยายามมองนางเป็นสหาย แต่นางก็เริ่มรู้สึกได้ทีละนิดว่าเหมียวอี้ในตอนนี้ไม่ใช่เหมียวอี้ในปีนั้นอีกแล้ว การกระทำและคำพูดของเหมียวอี้ในตอนนี้ ถึงแม้จะอ่อนโยนเป็นกันเองขนาดไหน แต่ก็เผยให้เห็นบารมีความน่าเกรงขามที่ทำให้คนรู้สึกกลัว

เจ้าอาณาเขตคนหนึ่ง ในมือมีกำลังพลหลายสิบล้าน มีแนวโน้มว่าจะมั่นคงเพราะในมือมีกำลังทหารมาก กลายเป็นอำนาจหนึ่งในไม่กี่ฝ่ายของตำหนักสวรรค์แล้ว พวกลูกพี่ใหญ่แต่ละฝ่ายล้วนต้องไว้หน้าเขา ยุคที่ปล่อยให้คนอื่นฆ่าตามอำเภอใจได้ผ่านไปโดยไม่ย้อนกลับอีกแล้ว แม้แต่ราชันสวรรค์ถ้าอยากจะแตกต้องเขาก็ต้องไตร่ตรองดูสักหน่อย เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่กุมอำนาจมหาศาลเอาไว้ บางอย่างที่คุ้นชินจนกลายเป็นปกติ เมื่อเวลานานไปก็เริ่มซับซับเข้าสู่แก่นแท้ของเหมียวอี้แล้ว มู่หรงซิงหัวเริ่มจะเข้าใจ ยามปกติเกรงใจหรือล้อเล่นกันขนาดไหน ก็ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้อีกแล้ว เจ้านายก็คือเจ้านาย ลูกน้องก็คือลูกน้อง ถ้าคิดว่าเจ้านายกับลูกน้องเป็นเพื่อนกัน นั้นเป็นแค่การหลอกตัวเองทั้งนั้น!

กุมหมัดคารวะไปทางด้านบนอย่างเงียบๆ มู่หรงซิงหัวมองปี้เยว่แวบหนึ่ง แล้วรีบถอยออกไป

“หนิวโหย่วเต๋อ…” ปี้เยว่ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ หยางเจาชิงก็ขยุ้มนิ้วทั้งห้า ดูดปี้เยว่เข้ามาโดยตรง เอาเข้ามาเก็บไว้ในกระเป๋าสัตว์

เหมียวอี้หันตัวเดินออกไป ทั้งสามกลับไปในเรือนด้านหลังด้วยกัน

“นายท่าน!” เฟยหงกำลังกำชับงานสาวใช้ พอเห็นเหมียวอี้ก็ไม่สนใจสาวใช้แล้ว รีบเดินเข้ามาทำความเคารพด้วยรอยยิ้ม

ในช่วงเวลานี้ นางได้สัมผัสความรู้สึกของนายหญิงที่ดูแลบ้านบ้างนิดหน่อย

“ข้าจะคุยเรื่องงานนิดหน่อย” เหมียวอี้ยิ้ม

“ค่ะ!” เฟยหงถอยออกไปอย่างรู้กาละเทศะ แล้วโบกมือให้คนที่อยู่รอบๆ ถอยไปด้วย

ทุกครั้งในเวลานี้ นางจะตระหนักได้ถึงความแตกต่างระหว่างตัวเองกับนายหญิงที่แท้จริง เหมียวอี้มีเรื่องอะไรก็จะไม่หลบเลี่ยงอวิ๋นจือชิว

พอเข้ามาในโถงด้านข้าง เหมียวอี้ก็หันตัวไปมองเหยียนซิว ส่วนเหยียนซิวก็โยนศพร่างหนึ่งลงมาไว้บนพื้น เป็นศพของเทียนหยวนนั่นเอง

เหมียวอี้ก้าวขึ้นมามอง พยักหน้าแล้วถอนหายใจ “ไม่ผิดหรอก เป็นเทียนหยวน ช่างเถอะ เรื่องนี้ก็โทษเจ้าไม่ได้ เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน! ใช่แล้ว เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ละเอียดสักรอบสิ” เรื่องบางเรื่องพูดผ่านระฆังดาราได้ไม่ละเอียดเท่าไหร่นะ

“ตอนแรกพวกเราซุ่มอยู่ในเมฆ หลังจากได้รับแจ้งจากผู้คุ้มกันของปี้เยว่ ก็ลงมือทันที ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะมีกำลังพลแอบซุ่มอยู่ไม่น้อย ข้าน้อยนำคนหนึ่งพันไปดักไว้จากท้องฟ้า…” เหยียนซิวเล่าสถานการณ์ในตอนนั้นให้ฟังอย่างละเอียด

หยางเจาชิงฟังจนอกสั่นขวัญแขวน พบว่าเหยียนซิวกับเยี่ยนเป่ยหงโหดมากทีเดียว ทั้งที่รู้ว่านั่นคือพระปีศาจหนานโปที่มีชื่อเสียงเรื่องความดุร้าย ไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองยังจะกล้าไล่สังหาร!

เหมียวอี้ใบหน้าตึงเครียด โชคดีที่ก่อนหน้านี้ตัวเองยังระวังตัวอยู่บ้าง จึงดึงตั๊กแตนทมิฬจำนวนหนึ่งให้เหยียนซิวไว้ เตรียมตัวไว้เพิ่มเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นครั้งนี้จะต้องเจอเรื่องไม่ดีแน่ เกรงว่าเหยียนซิวคงตกอยู่ในมืออีกฝ่าย หรือไม่ก็รักษาชีวิตไว้ไม่ได้ บนตัวเหยียนซิวมีความลับเกี่ยวกับเขาเยอะเกินไป อย่างน้อยเรื่องที่มาจากพิภพเล็กกับเรื่องทางเข้าออกแดนอเวจี เหยียนซิวก็รู้หมด

หลังจากเล่าจบ เหยียนซิวก็ใช้สองมือมอบแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งให้ “นายท่าน คนอยู่ในนี้หมดแล้ว เป็นค่าเองที่ทำงานไม่ดี กำลังพลเสียหายไปสองพัน”

“เรื่องนี้ถือว่าเจ้าได้สร้างผลงาน เจ้าสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็ถือเป็นผลงานใหญ่แล้ว มิหนำซ้ำก็ยังจับเชลยศึกได้ตั้งมากมาย!” เหมียวอี้ปลอบใจ รับแหวนเก็บสมบัติมาตรวจดูในมือ แล้วก็ถามอีกว่า “คนพวกนี้ถูกพระปีศาจหนานโปควบคุมแล้ว แล้วก็ถูกเจ้าควบคุมด้วย เจ้าฟื้นฟูสติให้พวกเขาได้หรือเปล่า?”

เหยียนซิวตอบว่า “ข้าน้อยไม่ทราบ ไม่เคยทดลอง แต่ก่อนที่พวกเขาจะสติหลุด ข้าก็ควบคุมพวกเขาไว้แล้ว สมองน่าจะไม่ได้รับความเสียหายอะไรมาก น่าจะทดลองได้ ถ้าทุกอย่างปกติ ข้าก็สามารถใช้วิชาเพื่อลบความทรงจำของพวกเขาได้ ไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะเผยความลับ อย่างน้อยก็รักษาความปลอดภัยให้คนได้บางส่วน”

หยางเจาชิงฟังแล้วแอบตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะเลือกลบความทรงจำคนได้ด้วย นึกไม่ถึงว่าเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางจะร้ายกาจถึงขนาดนี้ ได้ยินว่าวิชานี้ ถ้าฝึกได้สูงในระดับหนึ่งจะถึงขนาดควบคุมการเวียนว่ายตายเกิดได้ ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ ขณะเดียวกันในใจก็แอบรู้สึกปลง ตอนแรกที่เหยียนซิวเลือกฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง เขาก็ยังรู้สึกว่าเหลือเชื่อ พอมาดูตอนนี้แล้ว วาสนาและหายนะก็เป็นสิ่งที่พูดยากจริงๆ

“งั้นก็ลองดูสักหน่อย” เหมียวอี้พยักหน้าอนุญาต แล้วก็ขมวดคิ้ว “ปี้เยว่ดูเหมือนปกติมาก”

เหยียนซิวบอกว่า “ตามที่สี่คนนั้นบอกมา ปี้เยว่น่าจะได้สัมผัสกับพระปีศาจหนานโปแล้ว ถูกควบคุมหรือไม่ข้าน้อยก็ไม่ทราบ ข้าแค่กังวลว่าในนั้นอาจจะมีความผิดพลาดอะไร จึงแจ้งให้นายท่านเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ”

เหมียวอี้ครุ่นคิดเงียบๆ ที่ปี้เยว่ออกเดินทางครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าพระปีศาจหนานโปวางแผนไว้นานแล้ว ไม่ใช่แค่นัดเจอกันเฉยๆ แน่นอน จึงถามว่า “ตัวเองก็เข้าใจวิชานี้ มีวิธีตรวจสอบให้แน่ใจหรือเปล่า?”

เหยียนซิวบอกว่า “นายท่าน วิธีการควบคุมของพระปีศาจค่อนข้างเหนือชั้น ข้าน้อยเทียบไม่ติดเลย ข้าน้อยยังต้องอาศัยเครื่องมือถึงจะทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ แต่เขากลับทำสำเร็จได้อย่างเงียบเชียบ ข้าน้อยจึงไม่กล้าฟันธง ทำได้เพียงทดลองดู”

“งั้นก็ลองดูเถอะ” เหมียวอี้เอียงหน้าบอกหยางเจาชิง

หยางเจาชิงเรียกปี้เยว่ออกมาจากกระเป๋าสัตว์ทันที

“หนิวโหย่วเต๋อ…” ปี้เยว่โผล่หน้ามาก็คำรามใส่เหมียวอี้

เหยียนซิวพลังตัวเข้ามา ใช้ฝ่ามือตบกบาลปี้เยว่ ทำให้ปี้เยว่ตาเหลือกแน่นิ่งไปแล้ว จากนั้นก็จะไปนั่งขัดสมาธิ หลับตานั่งบนพื้น

หยางเจาชิงเก็บร่างของเทียนหยวน โบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ปิดประตูหน้าต่าง แล้วถอยออกไปดูอยู่ข้างๆ กับเหมียวอี้

ปราณหยางบนตัวเหยียนซิวเริ่มหายไปทีละนิด กลายเป็นปราณหยินเย็นเยียบ กรงเล็บบนนิ้วทั้งห้ายาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปราณหยินในห้องอพัดหวีดหวิวพร้อมเสียงสะอื้นของผี เสื้อผ้าและผมยาวของเหยียนซิวขยับโดยไร้ลม นิ้วทั้งห้าพลันเหยียดตึง มวยผมงามของปี้เยว่พลันสยายออก เรียกได้ว่าผมปลิวสยาย

ไอสีดำที่ไหลทะลักออกมาจากฝ่ามือของเหยียนซิวเริ่มรวมตัวกันแล้วบิดไปบิดมา เราก็เป็นงูดุร้ายตัวหนึ่ง แล้วเริ่มเจาะเข้าไปในรูปากรูจมูก หูและดวงตาของปี้เยว่

เมื่อได้เห็นฉากนี้กับตา เหมียวอี้กับหยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ ก็สบตากันโดยจิตใต้สำนึก

“เอื้อ…” เหมือนจะไปสัมผัสอะไรเข้า ปี้เยว่ที่นั่งขัดสมาธิร่างกายสั่นเทิ้ม ส่งเสียงครางออกมา มีแนวโน้มว่าจะดิ้นรน แต่กลับถูกเหยียนซิวกดไว้แน่นจนขยับตัวไม่ได้

รอได้สักครู่เดียว งูน้อยดุร้ายหลายตัวก็ออกจากศีรษะปี้เยว่ และเลี้ยวกลับเข้าไปในฝ่ามือของเหยียนซิว ร่างกายที่สั่นเทิ้มของปี้เยว่ถึงได้กลับมาเป็นปกติ

พอหยุดใช้วิชาแล้ว เหยียนซิวก็พยักหน้าให้เหมียวอี้ “นายท่าน นางถูกควบคุมแล้วจริงๆ ในหัวสมองถูกทำอะไรบางอย่างไว้”

เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำว่า “ดูว่าสามารถช่วยแก้ไขให้นางได้หรือไม่!”

เหยียนซิวพยักหน้า แล้วพลิกฝ่ามือคว้าธงเรียกวิญญาณที่ปล่อยไอสีดำเย็นยะเยือกกระทุ้งลงพื้น แผ่นธงสั่นไหวเบาๆ แล้วจู่ๆ ก็มีแสงสีดำยิงออกมาสายหนึ่ง ยิงไปโดนศีรษะของปี้เยว่ แสงสีดำนี้แตกต่างจากที่เขาใช้วิชาตามปกติ มันเหมือนเสาแสงสีดำที่ส่งไปบนศีรษะขอปี้เยว่โดยตรง ไม่มีรอยต่อระหว่างทั้งสองคน

ผ่านไปไม่นาน ก็ดึงเสาแสงกลับมาช้าๆ ส่วนปลายที่เชื่อมต่อกับปี้เยว่ราวกับกลายเป็นมือเล็กๆ ห้ามือ เหมือนกำลังดึงอะไรสักอย่างออกจากหว่างคิ้ว ขมับ หลังศีรษะและกลางกะโหลกของปี้เยว่

ไม่นาน ตรงห้าตำแหน่งนั้นก็ปรากฏจุดแสงสีทอง ถูกดึงออกมาตามมือทั้งห้า ดึงวัตถุที่มีลักษณะเหมือนเส้นด้ายสีทองออกมา

ปี้เยว่ที่กำลังนั่งขัดสมาธิกำลังตัวสั่น

ตอนที่เริ่มดึงมือเล็กทั้งห้าก็ยังราบรื่นมาก ตอนที่ดึงออกมาได้หนึ่งชุ่น เส้นด้ายสีทองก็เหมือนจะขัดขืนกับมือเล็กทั้งห้า ปี้เยว่ทำสีหน้าขื่นข่มทรมานอย่างเห็นได้ชัด

“อ๊า…” สุดท้ายปี้เยว่ก็อดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมา ราวกลับเจ็บปวดแสนสาหัส อยากจะดิ้นรนแต่กลับถูกกรงเล็บของเหยียนซิวควบคุมไว้

สองคนที่ดูอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าทำไมเหยียนซิวไม่ควบคุมอารมณ์ของปี้เยว่เอาไว้ ไม่รู้ว่าทำไมจึงปล่อยให้ทรมานขนาดนี้ แต่พวกเขาเชื่อว่าเหยียนซิวทำแบบนี้จะต้องมีเหตุผลแน่นอน หยางเจาชิงรีบหนีออกจากตรงนั้น ออกไปกำชับคนที่อยู่ข้างนอกว่า ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามเข้าใกล้ตรงนี้ เสร็จแล้วถึงได้กลับมา

หลังจากสู้แรงกันอยู่พักหนึ่ง เส้นด้ายสีทองนั่นก็เหมือนจะมัดบางอย่างที่อยู่ในหัวของปี้เยว่ไว้ เห็นได้ชัดว่าเหยียนซิวไม่กล้าใช้วิธีรุนแรง สีหน้าดูระมัดระวัง เขาเขย่าธงเรียกวิญญาณอีกครั้ง เสาแสงทยอยออกมาเป็นมือเล็กสีดำจำนวนหนึ่งอีกครั้ง กระจายกันกรอกเข้าไปในศีรษะของปี้เยว่ เหมือนกำลังช่วยจับกุมอะไรบางอย่าง

ประสิทธิภาพชัดเจนมาก เส้นด้ายสีทองห้าเส้นถูกดึงออกจากในศีรษะปี้เยว่อีกแล้ว ขณะที่มือเล็กแต่ละข้างดึงเส้นด้ายสีทองออกมาจากศีรษะปี้เยว่ ก็เหมือนกำลังกำจัดพันธนาการในศีรษะของปี้เยว่ยังไม่ขาดสาย

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามเต็มๆ เส้นด้ายแสงสีทองห้าเส้นที่ยาวหนึ่งจั้งก็ถูกถอนออกมาจากศีรษะปี้เยว่จนหมด

เสียงกรีดร้องของปี้เยว่แหบพร่าแล้วเช่นกัน นิ้วทั้งห้าของเหยียนซิวคลายออกจากนาง ปี้เยว่ล้มลงพื้น เสื้อผ้าเปียกไปทั้งตัว ราวกับถูกช้อนขึ้นมาจากน้ำ ใบหน้าขาวซีดไร้เลือดฝาก นางสลบไปแล้ว

เหยียนซิวไม่ได้พูดอะไร สองคนที่ดูอยู่ก็ไม่สะดวกจะไปแทรกแซง พากันมองไปทางเส้นด้ายสีทองห้าเส้นที่ถูกดึงออกมา มองไปทางมือเล็กที่กำลังพัวพันต่อสู้อยู่ตรงนั้นด้วย

เส้นด้ายสีทองที่เหมือนหนอนราวกับอยากจะหนีการจับกุม จนกระทั่งถูกมือเล็กจับได้หมดทั้งหัวทั้งหางจนกระดิกไปไหนไม่ได้ เสาแสงนั่นถึงได้หดกลับมา เก็บเส้นด้ายสีทองพวกนั้นเข้าในธงเรียกวิญญาณหมดแล้ว

“อั้ก!” ใครจะคิดว่าตอนนี้เหยียนซิวกลับกระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ร่างกายโอนเอน ประคองธงเรียกวิญญาณเอาไว้ถึงได้ไม่ล้ม

และบนดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง อยู่ดีๆ สงฉีก็กระอักเลือกอย่างไร้สาเหตุเช่นกัน

……………

เมื่อถูกเตือนจากหนานโปแล้ว สงฉีก็ย่อมรู้ว่าไม่อาจแตะต้องแสงสีดำนี้ได้ ขณะที่รีบถลันตัวหลบ ก็หยิบโล่ออกมาปกป้องร่างกาย ต้านทานแสงสีดำที่ตัวเองหลบไม่ทัน

แสงสีดำหลายสายที่กระแทกบนโล่เบ่งบานเป็นเหมือนกุหลาบดำ

“ไป!” เสียงของพระปีศาจหนานโปดังอยู่ในกายสงฉีอีกครั้ง

เหยียนซิวจากแสงสีดำธงเรียกวิญญาณยังยิงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ตั๊กแตนที่โดนโจมตีกระเด็นพุ่งเข้ามาอย่างไม่กลัวตายอีกครั้ง เยี่ยนเป่ยหงที่สะเทือนปลิวไปพุ่งลงมาอีก เห็นได้ชัดว่าลูกน้องพวกนั้นถูกควบคุมไว้หมดแล้ว สงฉีแอบกัดฟัน ลุยเดี่ยวสำเร็จยาก รู้ว่าไม่หนีไม่ได้แล้ว

ถ้าพูดถึงการใช้กำลังปะทะกันตรงๆ สงฉีไม่กลัว กลัวก็แต่วิธีการเจ้าเล่ห์นอกรีตพวกนี้ ถ้าไม่ระวังก็อาจจะตกหลุมพรางได้ ทำได้เพียงถลันตัวหนีไป ขณะที่หนีก็ใช้โล่ปกป้องด้านหลัง จะได้ไม่ถูกแสงสีดำโจมตี

ตั๊กแตนเร่งหนีอยู่ข้างหลัง เยี่ยนเป่ยหงไล่ตามอยู่ข้างหลัง เหยียนซิวควบคุมตั๊กแตนทมิฬไล่ตามไม่ทัน ถึงขนาดหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหกขึ้นมาคันหนึ่ง ยิงลูกธนูสามดอกออกมาพร้อมกัน

ลำแสงยิงเข้ามา สงฉีถือโล่กันไว้ มีเสียงระเบิดดังสามครั้ง ไม่เพียงแค่ทำอะไรสงฉีไม่ได้ กลับกลายเป็นแรงผลักส่งให้หนีเร็วขึ้นด้วยซ้ำ

จำนวนการโจมตีจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยังน้อยไปหน่อย อาศัยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหกคันเดียวก็ยากจะจัดการผู้ตรวจการขวาของทัพตระกูลอิ๋งผู้สง่าผ่าเผยได้

แม้ตั๊กแตนทมิฬจะบินเร็ว แต่ตอนนี้พลังก็ยังมีจำกัด ให้ทนการโจมตีก็ยังพอไหว แต่ถ้าอยากจะไล่ตามสงฉีที่วรยุทธ์สูงก็ยังห่างชั้นไปหน่อย

ระยะห่างระหว่างทั้งสองยิ่งไกลขึ้นเรื่อยๆ เหยียนซิวกับเยี่ยนเป่ยหงที่ตามอยู่ข้างหลังจำเป็นต้องหยุด ได้แต่มองสงฉีพุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว อยากจะตามแต่ไร้ความสามารถจริงๆ

สงฉีที่หันกลับมามอบแวบหนึ่งแค้นจนกัดฟันกรอด ตอนนี้ลูกน้องเหลืออยู่ไม่มากแล้ว กำลังพลสองพันกว่าที่พามาด้วยก็พากลับไปไม่ได้สักคน ทั้งหมดตายอยู่ที่นี่ เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อจะมีตัวละครที่ฝึกวิชานอกรีตอย่างเหยียนซิวอยู่ด้วย ยิ่งไม่รู้ด้วยว่าจู่ๆ มีองครักษ์เงาโผล่มาได้อย่างไร เขากังวลนิดหน่อยว่ายอดฝีมือขององครักษ์เงาจะตามมาถึง ส่วนพลังของเยี่ยนเป่ยหงในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย

เหยียนซิวกับเยี่ยนเป่ยหงไม่ลังเลชักช้า ต่างก็รู้ว่าไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อ รีบกลับไปยังจุดต่อสู้

พอเหยียบลงพื้น ก็โบกธงเรียกวิญญาณ คนเกือบสองพันคนของทั้งสองฝ่ายทยอยกันไปเข้าใกล้เหยียนซิว

เหยียนซิวกวาดสายตามองคนที่สวมผ้าปิดหน้า พบว่าเหลืออยู่ไม่ถึงพันคน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะพาคนมาด้วยสามพันคน ตายไปแล้วสองพันกว่าคน กังวลนิดหน่อยว่ากลับไปแล้วจะรายงานผลภารกิจกับเหมียวอี้อย่างไร ทว่าในเวลานี้เขาไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้น สองพันคนนี้ถูกเขาเก็บไว้หมดแล้ว

เมื่อเห็นคนพวกนี้เหม่อลอยเชื่อฟัง เยี่ยนเป่ยหงที่อยู่ข้างๆ ก็แอบแปลกใจ กอปรกับก่อนหน้านี้ได้เห็นกับตาว่าเหยียนซิวอยู่รอดปลอดภัยท่ามกลางวงล้อมนับพันคน ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาเกรงว่าจะรับไม่ไหว เพราะในบรรดาคนนับพันยังมียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์อยู่ด้วย เขาแอบพูดกับตัวเองว่า นึกไม่ถึงว่าตาเฒ่าแปลกพิลึกคนนี้จะมีความสามารถนี้ด้วย ไม่แปลกใจที่คุ้มกันอยู่ข้างกายน้องเหมียวมาตลอด ที่แท้ก็เป็นยอดฝีมือที่ไม่เปิดเผยตัว

ทว่าเหยียนซิวเก็บธงเรียกวิญญาณ แล้วจู่ๆ ก็หยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมายิงดอกหนึ่ง

ลำแสงสายหนึ่งยิงออกไป ตรงผิวทะเลสาบที่อยู่ไม่ไกลเกิดระลอกคลื่น ราวกับถูกดาบฟันออก คนที่หลบอยู่ในทะเลสาบโดนยินตายคาที่ทันที ดูจากการแต่งตัวแล้วไม่เหมือนคนที่เพิ่งต่อสู้กันเมื่อครู่นี้

เยี่ยนเป่ยหงถลันตัวไปตรวจสอบ ตอนที่กลับมาก็นำแผ่นหยกขุนนางอันหนึ่งกลับมาด้วย โยนให้เหยียนซิวแล้วบอกว่า “เป็นเทพแห่งภูผาของที่นี่”

พอหยิบแผ่นหยกขึ้นมาอ่าน เหยียนซิวก็กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “ตรวจสอบบริเวณรอบๆ ให้ทั่ว อย่าให้เหลือรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว”

ทั้งสองรีบแยกย้ายกันค้นหา ถือโอกาสเก็บกวาดสนามรบด้วย…

ในดาราจักร สงฉีเหาะอยู่เพียงลำพัง เสียงของพระปีศาจหนานโปที่อยู่ในร่างกายดังขึ้นมาในหัว “เทียนหยวนตายแล้ว หู่หลินก็ตายแล้ว แม่ข้าจะลงคาถาควบคุมไว้บนตัวปี้เยว่ แต่กลับติดต่อนางไม่ได้ ก็ลองดูหน่อยว่ามีใครสามารถติดต่อนางได้บ้าง ข้าถูกเปิดโปงแล้ว หลังจากหนิวโหย่วเต๋อรู้เรื่องจะต้องตอบสนองแน่ ตอนนี้ปี้เยว่น่าจะยังกลับไม่ถึงแดนรัตติกาล จะต้องรีบเตือนให้นางระวังตัว”

ก่อนหน้านี้เขาใช้ร่างกายของหู่หลินร่ายอิทธิฤทธิ์และทิ้งระฆังดาราอันหนึ่งไว้ให้ปี้เยว่ พอหู่หลินตายไป ต่อให้มีระฆังดาราแต่ก็ไม่สามารถเชื่อมต่อกับตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราได้

สงฉีงงไปชั่วขณะ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะติดต่อปี้เยว่ได้อย่างไร “ผู้อาวุโส เกรงว่าจะยุ่งยากนิดหน่อย ถ้าเป็นเมื่อก่อน อาศัยอำนาจของตระกูลอิ๋งก็อาจจะจัดการได้ง่าย ตอนนี้ต่อให้สามารถตามหาคนที่ติดต่อนางได้ แต่เกรงว่าสิ่งที่จะบอกต่อนั้นไม่สะดวกจะให้ใครรู้! ไม่รู้ว่าถ้าบอกใบ้แล้วนางจะฟังเข้าใจหรือเปล่า ถ้าสามารถฟังเข้าใจได้ ข้าจะติดต่อจั่วเอ๋อร์ ให้นางคิดหาทาง นางน่าจะรู้สถานการณ์เยอะ…เพียงแต่ผู้อาวุโสถูกเปิดโปงแล้ว เกรงว่าปี้เยว่คงจะใช้ประโยชน์ไม่ได้มาก”

หนานโปบอกว่า “ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่แค่ฮูหยินของเทียนหยวนธรรมดาๆ เท่านั้น นานมีเบื้องหลังอีกอย่าง ถ้าเก็บไว้ยังใช้ประโยชน์ได้ รีบให้จั่วเอ๋อร์ติดต่อ”

สงฉีทำได้เพียงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจั่วเอ๋อร์…

ปี้เยว่ที่เหาะอยู่บนฟ้าหยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อกับใคร สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

หลังจากเก็บระฆังดาราแล้วแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น จู่ๆ ก็พูดกับคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาว่า “แถวนี้เหมือนจะมีตลาดสวรรค์อยู่ที่หนึ่ง ข้าจะไปซื้อของพอดี”

ใครจะคิดว่าเพิ่งจะพูดจบ จู่ๆ สี่คนที่อยู่ข้างหลังก็เข้ามาประชิดนางทันที มาล้อมนางไว้ตรงกลาง

ไม่ได้บอกกล่าวอะไร สี่คนนี้แทบจะลงมือพร้อมกัน

ด้วยระยะที่ใกล้ขนาดนี้ วรยุทธ์ของทั้งสี่ก็เหนือกว่าปี้เยว่มากด้วย บีบให้ปี้เยว่ไร้ความสามารถโต้ตอบ นางถูกจับไว้ตรงนั้นเลย

ปี้เยว่ที่ถูกควบคุมดิ้นรนตะโกนว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”

“ขออภัย นี่เป็นคำสั่งของผู้ตรวจการใหญ่ ล่วงเกินแล้ว!” เพิ่งจะพูดจบ ก็เก็บนางเอาไว้ทันที

ทั้งสี่คนเร่งเดินทางไปข้างหน้าต่อ คนที่เก็บปี้เยว่ไว้ติดต่อไปที่จวนผู้สำเร็จราชการ บอกว่าตัวเองควบคุมปี้เยว่เอาไว้แล้ว

นี่ก็เป็นคำสั่งของเหมียวอี้จริงๆ เหมียวอี้เพิ่งได้รับรายงานจากเหยียนซิว ตกใจมากเช่นกัน จึงสั่งให้สี่คนนี้จับตาดูปี้เยว่ทันที ถ้าปี้เยว่กลับมาแต่โดยดีตลอดทางก็รอดตัวไป แต่ถ้ามีความผิดปกติอะไรก็จับตัวไว้ได้เลย สั่งเป็นพิเศษว่าให้จับเป็น

เหมียวอี้เองก็ไม่รู้ว่าปี้เยว่มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ทำแบบนี้เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ถ้าไม่มีปัญหาอะไร เมื่อกลับมาแล้วก็ย่อมอธิบายกับปี้เยว่ให้เข้าใจได้ จะได้ไม่มีอะไรเข้าใจผิดกัน เรียกได้ว่ากันไว้ดีกว่าแก้

ขณะเดียวกันเหมียวอี้ก็รีบแจ้งให้ฮ่าวเต๋อฟางรู้ ให้ฮ่าวเต๋อฟางส่งกำลังทหารไปควบคุมประตูดวงดาวทางเข้าออกอาณาเขตดาวผืนนั้น แม้จะรู้ว่าการตรวจสอบแบบนี้อาจไม่ได้ประโยชน์อะไรกับคนระดับสงฉีกับพระปีศาจหนานโป แต่เขาไม่อาจนิ่งดูดาย

เมื่อฮ่าวเต๋อฟางได้ยินว่าเป็นพระปีศาจหนานโป ก็ตกใจทันที ถามเขาว่ารู้ได้อย่างไร?

เหมียวอี้บอกเพียงว่าได้รับรายงานมา ตอบยังคลุมเครือ ไม่ได้พูดชัดเจน

แต่ฮ่าวเต๋อฟางก็ไม่กล้าประมาท รู้ว่าเหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องล้อเล่นแบบนี้กับเขา จึงรีบสั่งให้ส่งกำลังพลไปเพิ่มทันที

ผ่านไปไม่นาน เหยียนซิวกับเยี่ยนเป่ยหงก็มาถึงในดาราจักรพร้อมกัน ตามทันสี่คนนี้แล้ว

เมื่อเห็นว่าทั้งสี่คนไม่มีปัญหาอะไร เหยียนซิวก็แอบโล่งใจ เขากับเหมียวอี้กังวลเช่นกันว่าสี่คนนี้จะมีปัญหาอะไร ที่ให้สี่คนนี้จับปี้เยว่ไว้ก็เพราะไม่มีทางเลือก ถึงอย่างไรข้างกายปี้เยว่ก็ไม่มีคนอื่น

แม้จะเห็นว่าสี่คนนี้ไม่มีความผิดปกติอะไร แต่ตลอดทางที่มาเหยียนซิวก็ยังระวังสี่คนนี้เอาไว้

แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง กำลังพลของสงฉีที่ซ่อนตัวอยู่กำลังย้ายที่อย่างรวดเร็ว ไม่มีทางเลือก คนของตัวเองมากมายขนาดนั้นตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อแล้ว กังวลว่าจะโดนหนิวโหย่วเต๋อง้างปากแล้วโดนตำหนักสวรรค์ปราบหมด จำเป็นต้องย้ายที่ซ่อนตัวใหม่

จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่บนบันไดนอกตำหนักประชุม หยางเจาชิงยืนเก็บมืออยู่ข้างๆ กัน

ตอนที่มู่หรงซิงหัวเดินผ่านบนลานกว้าง นางก็เห็นแล้ว คงไม่ดีหากจะแกล้งทำเป็นไม่เห็น

หลังจากเข้ามาทำความเคารพ มู่หรงซิงหัวก็ถามส่งเดชตามมารยาท “นายท่าน ไม่ทราบว่าฮูหยินจะกลับมาเมื่อไหร่?”

เหมียวอี้มองลงมาพร้อมหัวเราะเบาๆ ไม่อยากบอกว่าอวิ๋นจือชิวไปไหนแล้วจะกลับมาเมื่อไหร่ จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ฮูหยินไม่อยู่แล้วเจ้ารู้สึกเบื่อใช่ไหมล่ะ? มู่หรง เขาไม่ได้ว่าเจ้านะ คนในแดนฝึกตนก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน มีอารมณ์ความปรารถนาเหมือนกัน เจ้าอยู่คนเดียวต่อไปแบบนี้ไม่ใช่วิธีการที่ดี เจ้าพิจารณาจะหาคนที่เหมาะสมบ้างหรือเปล่า?”

มู่หรงซิงหัวฟังแล้วหัวใจกระตุกวูบ เพราะอวิ๋นจือชิวก็เคยล้อเล่นกับนางแบบทีเล่นทีจริงเหมือนกัน บอกว่าถึงอย่างไรก็ไม่ได้มองนางเป็นคนนอก จะให้นางเป็นอนุภรรยาของนายท่านก็ว่าหนักแล้ว ตอนนี้เหมียวอี้เอ่ยเรื่องนี้เองอีก นางนึกว่าเหมียวอี้เกิดความคิดที่จะรับนางเป็นอนุภรรยา จึงหน้าแดงหูแดงด้วยความเขินอาย

“ร่างกายข้าเหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉามีตำหนิ จะมีใครมาชอบข้าได้ยังไง” มู่หรงซิงหัวพยายามทำตัวนิ่งๆ เพียงยิ้มให้เล็กน้อย

“ดูเจ้าพูดเข้าสิ” เหมียวอี้ส่ายหน้า แล้วหันกลับไปถามหยางเจาชิง “เจ้าลองอธิบายเหตุผลหน่อยสิ ไม่น่าเชื่อว่ามู่หรงจะบอกว่าตัวเองเป็นดอกไม้ที่เหี่ยวเฉามีตำหนิ?”

หยางเจาชิงกลั้นขำแล้วบอก “ไม่ได้ ต้องบอกว่าเป็นบัวขาวล้ำค่าที่โผล่พ้นโคลนตมต่างหากถึงจะถูก มีคนตั้งมากมายเท่าไหร่ที่หมายปองแต่มิอาจเอื้อมนายท่านมู่หรง ตามที่ข้ารู้มา ทางจวนกลยุทธ์ฟ้ามีคนไม่น้อยที่รักและชื่นชมนายท่านมู่หรง เพียงแต่นายท่านมู่หรงไม่รับไมตรีไว้ก็เท่านั้นเอง”

มู่หรงซิงหัวยิ้มโดยไม่พูดอะไร มีเรื่องแบบนี้จริงๆ มีคนไม่น้อยตามจีบนาง แต่นางรู้อยู่แก่ใจ บางทีอาจจะเป็นเพราะตัวเองหน้าตาดี แต่ถึงอย่างไรตัวเองก็ถูกเฉาว่านเสียงขอหย่าแล้ว เคยมีประสบการณ์ช่วงนั้นมาก่อน จะมีสักกี่คนที่อยากแต่งงานรับนางเป็นภรรยาด้วยใจจริง อีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะหาผู้หญิงสวยไม่ได้เสียหน่อย ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือคนพวกนั้นชอบที่นางได้อยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการกับนายท่านผู้สำเร็จราชการ มีเส้นสายกับฮูหยิน จึงอยากให้นางช่วยสนับสนุนอนาคต

ในใจนางรู้ชัดมาก ขอเพียงนางแต่งงานออกไปข้างนอก ก็จะได้ชื่อว่าเป็นดอกไม้ที่มีเจ้าของแล้ว ถ้าคนที่แต่งงานด้วยมีฐานะไม่เหมาะสม เกรงว่านางคงอยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการไม่ได้อีกต่อไป เพราะเรื่องบางเรื่องในจวนผู้สำเร็จราชการไม่อาจเปิดเผยต่อภายนอกได้

“ก็ใช่ไง!” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ “มู่หรง ชอบใครก็บอกมาได้เลย ข้าจะเป็นพ่อสื่อให้เจ้าด้วยตัวเอง ต้องทำให้เรื่องมงคลของเจ้าสำเร็จแน่!”

มู่หรงซิงหัวเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองคิดมากไป สงสัยอีกฝ่ายจะอยากช่วยเป็นพ่อสื่อให้นาง จึงรีบเหลือบตามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ไม่แสดงอารมณ์สับสนในใจออกมา ยิ้มบางๆ ตอบว่า “ข้าน้อยซาบซึ้งในความหวังดีของนายท่านแล้ว ที่จริงอยู่คนเดียวก็ดีมากแล้ว…ถ้านายท่านรู้สึกว่าข้าอยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการแล้วไม่เหมาะสม ย้ายข้าออกไปก็ได้” ประโยคสุดท้ายเหมือนจะพูดล้อเล่น

เหมียวอี้รีบโบกมือ “มู่หรง เจ้าอย่าพูดซี้ซั้ว ไม่ได้มีเจตนาจะไล่เจ้าสักหน่อย แค่หวังให้เจ้ามีที่พักพิงที่ดีสักคน เส้นทางฝึกตนนั้นยาวนาน ไร้คนเคียงข้างจะไม่เหงาหรอกหรือ!”

ในขณะนี้เอง หยางเจาชิงที่อยู่ข้างการเตือนว่า “นายท่าน กลับมาแล้ว”

เหมียวอี้เหลือบตาขึ้นทางประตู หรี่ตาเล็กน้อย เหยียนซิวและปี้เยว่ที่ผ่านการตรวจสอบจากทหารยามแล้วกำลังยืนเคียงกันอยู่ข้างหน้า ข้างหลังมีคนตามมาสี่คน กำลังเดินมาทางนี้ด้วยกัน

ส่วนเยี่ยนเป่ยหงก็ไม่ได้มาที่นี่ หลังจากมองส่งพวกเหยียนซิวเข้าแดนรัตติกาลแล้ว เขาก็จากไปทันที

………………

คนที่ถูกควบคุมให้ล้อมโจมตีไม่ได้มีกระบวนการคิดเหมือนคนปกติแล้ว โดยทั่วไปจะไม่มีการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง รู้จักเพียงการโจมตีเป้าหมายอย่างไม่คิดชีวิต หรือพูดได้ว่านี่คือจุดอ่อนของวิธีควบคุมของพระปีศาจหนานโป

วิธีการโจมตีอย่างไม่คิดชีวิตของคนกลุ่มนี้อาจจะสร้างภัยคุมคามมากต่อคน แต่สำหรับตั๊กแตนทมิฬที่แยกเขี้ยวโบกกรงเล็บ คนที่เห็นจะต้องปวดหัว

ทวนดาบที่ฟันแทงบนตัวตั๊กแตนทมิฬทำให้เกิดประกายไฟ ทำอะไรตั๊กแตนทมิฬไม่ได้เลย เห็นเพียงปล้องขาที่แหลมคมของตั๊กแตนทมิฬอาละวาดอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน และไม่กลัวไฟผีสีเขียวเข้มที่กำลังแผดเผาด้วย เจาะเข้าเจาะออกอยู่ในไฟผี ราวกับยมทูตถือเคียว กวาดล้างคนที่ล้อมโจมตีอย่างรวดเร็ว

เหยียนซิวไม่สามารถใช้พลังจิตบัญชาการตั๊กแตนทมิฬได้เหมือนเหมียวอี้ เขาทำได้เพียงส่งสัญญาณมือหรือไม่ก็ใช้เสียงบัญชาการ นี่ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ได้รับคำสั่งจากเหมียวอี้ให้ยอมรับเหยียนซิวด้วย ไม่อย่างนั้นตั๊กแตนทมิฬก็ไม่ฟังคำบัญชาการของเขาเลย

เหลือไว้สองตัวเพื่อคอยคุ้มกันอยู่ข้างกาย เขาโบกมือชี้ พร้อมเปล่งเสียงมืดครึ้มแหบพร่า “ฆ่า!”

ส่วนมืออีกข้างก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาเขย่า ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน

ตั๊กแตนทมิฬแปดตัวพุ่งออกมาสังหารพร้อมกันราวกับพายุฟ้าคะนองทันที พุ่งลงไปหากระบวนทัพใหญ่หลายพันคนเบื้องล่าง พุ่งเข้าไปสังหารในนั้นอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อเจอกับคนที่ร้ายกาจ ร่างมหึมาของตั๊กแตนทมิฬตัวหนึ่งก็ถูกคนใช้ฝ่ามือตบจนร่วงลงมา ราวกับมีหินจากฟ้าร่วงลงมากระแทกพื้น เพียงแต่มันลุกขึ้นมาส่ายหน้าสองสามที แล้วก็กระพือปีกพุ่งขึ้นฟ้าอีก เจ้าตัวนี้มันไม่กลัวตาย ไม่มีจิตสำนึกหวาดกลัวโยธรรมชาติอยู่แล้ว เดิมทีเป็นสิ่งที่อยู่ในจุดลึกของน้ำพุวังเวง

เมื่อเจอสัตว์แปดตัวที่อาวุธฟันแทงไม่เข้าแบบนี้ ค่ายกลที่ควบคุมเหยียนซิวไว้ก็ไม่ได้ผลแล้ว เหยียนซิวรู้สึกทันทีว่าเคล็ดวิชาในร่างกายกำลังฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

สถานการณ์พลิกในชั่วพริบตาเดียว

ถ้าข้างกายเหยียนซิวพายอดฝีมือมาด้วยแปดคน เกรงว่าอาจจะไม่ได้ผลแบบนี้ก็ได้ ตั๊กแตนทมิฬเหมาะกับการโยนเข้าไปในกลุ่มคน

“ตั๊กแตนทมิฬ?” เทียนหยวนรึ้กอัศจรรย์ใจ

สงฉีส่ายหน้าเบาๆ “ดูเหมือนใช่ แต่ก็ไม่ใช่ ตั๊กแตนทมิฬมาบินเพ่นพ่านอยู่ตอนกลางวันแสกๆ ได้ยังไง”

ใบหน้าของหู่หลินกลับบึ้งตึง ขณะมองตั๊กแตนทมิฬบุกอาละวาดราวกับหมูตายไม่กลัวน้ำร้อน ก็เดือดดาลจนตาลุกเป็นไฟ จู่ๆ ก็มีเจ้าเดรัจฉานแปดตัวโผล่มาทำลายเรื่องดีๆ ของเขา!

เขาสามารถควบคุมสัตว์ป่าทั่วไปได้ไม่มีปัญหา แต่จนใจที่ควบคุมตั๊กแตนทมิฬไม่ได้ สัตว์เดจรัจฉานที่ประหลาดหายากแบบนี้ ถ้าคิดจะควบคุมก็จับจุดได้ยาก เขาทำได้เพียงมองตาปริบๆ แต่กลับไร้ความสามารถที่จะทำอะไรพวกมัน

ดันเป็นเวลานี้ จู่ๆ สงฉีก็พลันเงยหน้ามองบนท้องฟ้า

บนฟ้ามีจุดดำๆ จุดหนึ่งพุ่งลงมาในแนวตรง เป็นคนคนหนึ่ง เป็นคนสวมผ้าปิดหน้าเช่นกัน!

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเยี่ยนเป่ยหงนั่นเอง พอได้รับข่าวด่วนจากเหยียนซิวก็พุ่งฟ้าท้องฟ้าเข้ามา ใช้มือข้างเดียวจับดาบใหญ่กลับด้านแนบติดหลัง เอาศีรษะโหม่งลงพื้น ตกลงมาในแนวตรงราวกับดาวตก แววตาราวกับมีคบเพลิง ไม่สนใจความเป็นความตายของเหยียนซิว มุ่งตรงไปยังตำแหน่งที่พวกสงฉียืนอยู่

เหยียนซิวเองก็ไม่อยากใช้งานเยี่ยนเป่ยหง แต่ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้เขาไม่อยากให้พระปีศาจหนานโปหนีไปเลยจริงๆ นี่คือปัญหาใหญ่ในใจนายท่าน เก็บไว้ไม่ได้!

คนข้างกายเหยียนซิวถูกควบคุมหมด อาศัยเขาคนเดียวก็ทำงานให้สำเร็จได้ยาก ทำได้เพียงขอการสนับสนุนจากเยี่ยนเป่ยหง แต่ก็ไม่ได้ให้เยี่ยนเป่ยหงมาช่วยเขา เพราะให้เยี่ยนเป่ยหงไม่ฆ่าสามคนนั้นแทนเขา!

พอได้ยินว่านี่คือปัญหาใหญ่ในใจเหมียวอี้ พอเยี่ยนเป่ยหงมาถึงก็ไม่สนใจว่าเหยียนซิวจะถูกขังอยู่ในวงล้อมหรือไม่ มุ่งตรงไปที่สามคนนั้นด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า!

หู่หลินกับเทียนหยวนก็ทอยยกันเงยหน้ามองบนฟ้าเช่นกัน

หู่หลินจ้องบนฟ้าพลางพึมพำ เมื่อเห็นคนบนฟ้าไม่มีปฏิกิริยาอะไร ก็ประนมมือพึมพำสวด ผลปรากฏว่าคนที่พุ่งเข้ามาก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรอีก ยังคงพุ่งเข้ามาโดยไม่เปลี่ยนแปลงเป้าหมาย

หู่หลินรู้ทันทีว่าตัวเองไม่มีทางควบคุมคนคนนี้ได้

เมื่อได้รับการเตือนล่วงหน้าจากเหยียนซิวแล้ว เยี่ยนเป่ยหงยังโดนควคุมได้ก็แปลกแล้ว

“อืม!” สงฉีเอียงหน้าบอกใบ้ ให้เทียนหยวนทดสอบฝีมืออีกฝ่าย

เทียนหยวนโบกทวนทันที พุ่งขึ้นฟ้าไปแล้ว

คนหนึ่งขึ้นคนหนึ่งลง ชั่วพริบตาที่ทั้งสองชนปะทะกัน เยี่ยนเป่ยหงที่ถือดาบใหญ่แนบไว้ข้างหลัง ปราณดาบฟันลงมาอย่างแรงหนึ่งที

เมื่อเผชิญกับปราณดาบที่พุ่งเข้ามา เทียนหยวนก็ตกใจมาก รู้ทันทีว่าคนคนนี้วรยุทธ์เหนือกว่าตน ทว่าสายไปแล้ว ทำได้เพียงใช้วรยุทธ์ทั้งหมดที่มีถือทวนในแขวงขวางต้านไว้

บึ้ม! ปราณดาบระเบิดสลายไป

อั้ก! เทียนหยวนเงยหน้ากระอักเลือก คนสะเทือนตกลงมาแล้ว

เยี่ยนเป่ยหงที่ฟันดาบไปแล้วครั้งหนึ่ง ถือโอกาสฟันเสริมปล่อยปราณดาบไปอีกครั้ง ราวกับมีเงาดาบไล่ตามลงมา ฟันจนเลือดสาดกระจายกลางอากาศ

เทียนหยวนโบกทวนต้านโดยจิตใต้สำนึก ถูกฟันบ่าในแนวเฉียงจนขาดครึ่งท่อน

ทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าหมุนวนอย่างรวดเร็ว ความคิดนับไม่ถ้วนหมุนอยู่ในหัว เกียรติยศความร่ำรวยในอดีตที่ยามปกติจำแทบไม่ได้แล้ว

เขานึกไม่ถึงว่าตัวเองจะจบชีวิตนี้ลงด้วยวิธีการที่รวดเร็วตรงไปตรงมาแบบนี้ แม้แต่โอกาสลังเลก็ไม่ให้เขาเลยสักนิด

สุดท้ายฉากเดียวที่เหลืออยู่ในหัวของเทียนหยวนก็คือเงาร่างที่งดงามอ่อนช้อย เป็นเงาร่างของปี้เยว่ เป็นใบหน้าของปี้เยว่

ทั้งชีวิตนี้ผ่านผู้หญิงสวยมากมายขนาดนั้น

ทั้งชีวิตผ่านผู้หญิงที่สวยกว่าปี้เยว่มาตั้งมากมาย

แต่ตอนนี้กลับนึกหน้าไม่ออกสักคน

ภาพเดียวที่จำได้ก็คือครั้งแรกตอนเข้าห้องหอ ใบหน้างามของปี้เยว่ที่ยิ้มให้เขาอย่างเสน่หาเมื่อเปิดผ้าคลุมออก ความปรารถนาแรกงดงามที่สุด!

เขานึกเสียใจทีหลังเป็นอย่างมาก เสียใจที่ไม่ควรหลอกปี้เยว่มาก ถ้าไม่ได้หลอกปี้เยว่มา จะได้เผชิญหายนะอย่างนี้หรือ นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้ตัวเองจะได้จากลาปี้เยว่ตลอดกาล ไม่ได้พบกันอีกแล้ว

“ปี้เยว่…” เทียนหยวนพึมพำ พออ้าปาก เลือดสดจำนวนมากก็ทะลักออกปากออกจมูก

เยี่ยนเป่ยหงไม่สนใจว่าเขาจะมีความรัก ไร้ความรักหรือความผูกพันมากขนาดไหน และไม่รู้ด้วยว่าเหมียวอี้ได้สั่งให้เหยียนซิวทำอะไรก่อนสังหารเทียนหยวนหรือเปล่า เขาไม่รู้เลยว่าคนที่ถูกฆ่าคือใคร เหยียนซิวเองก็ไม่ได้บอกสิ่งนี้ เขารู้เพียงว่าสามคนที่อยู่ตรงหน้าจะต้องตายหมด ดังนั้นจึงลงมืออย่างไม่ปรานี ฆ่าไม่ละเว้น!

ใช้สองกระบวนท่าก็ฆ่าเทียนหยวนได้แล้ว สงฉีที่กำลังมองฟ้าพลันหรี่ตา ถือทววนในมือพลางกล่าวเสียงต่ำ “ผู้อาวุโส เลิกลังเลได้แล้ว ข้าจะดักหลังให้ ท่านหนีไปก่อน!” พูดจบก็พุ่งขึ้นฟ้าทันที

หู่หลินกลับไม่ไป เขาไม่ยอม ถ้าหนีไปอย่างนี้ ความพยายามก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่าแล้ว จะพลาดโอกาสที่จะได้สมุนไพรจิตวิญญาณต้นนั้นในหนิวโหย่วเต๋อ เขาจะต้องฆ่าเหยียนซิวให้ได้ จะปล่อยให้เหยียนซิวรอดชีวิตกลับไปไม่ได้เด็ดขาด!

ทว่าเหยียนซิวก็คิดอย่างนี้เช่นกัน พอเห็นว่าถูกฆ่าไปแล้วคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งเข้าไปหาเยี่ยนเป่ยหง ยังเหลืออยู่อีกหนึ่งคน โอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้วมีหรือที่จะพลาด พาตั๊กแตนทมิฬสองตัวฝ่าวงล้อมออกไปทันที ชี้ไปที่หู่หลินพร้อมตะโกนสั่ง “ฆ่า!”

ตั๊กแตนอีกแปดตัวก็ยิ่งพุ่งเข้ามาทางนี้ราวกับฝูงผึ้ง เกราะแข็งพุ่งฝ่ากระบวนทัพออกมาในชั่วพริบตาเดียว โผไปที่หู่หลิน

เมื่อเห็นเดรัจฉานเปลือกแข็งแปดตัวพุ่งเข้ามาแล้ว เจตนาสังหารของหู่หลินก็หายหมดในทันที ได้สติกลับมาโดยพลัน จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับความจริง ช่วงเวลาที่รุ่งเรืองที่สุดของตัวเองผ่านไปแล้ว ไม่มีสิทธิ์เหิมเหริมอีกแล้ว

เมื่อเห็นภัยคุกคามมาเยือย หู่หลินก็เลี้ยวหนี นึกเสียใจทีหลังนิดหน่อยที่ไม่เชื่อฟังสงฉี ขณะเดียวกันก็ขยับปากร่ายมนต์

กำลังพลที่ล้อมโจมตีเลิกดักเหยียนซิวทันที แต่รีบเหาะไปยังตั๊กแตนทมิฬแปดตัวที่ไล่ตามมา มาช่วยสนับสนุนหู่หลินแล้ว

พลังของตั๊กแตนทมิฬอาจไม่นับว่าแข็งแกร่งมาก แต่บินเร็วมากจริงๆ ประเดี๋ยวเดียวก็ตามหู่หลินทันแล้ว

บึ้ม! พลังอิทธิฤทธิ์ที่สะเทือนขึ้นไปบนฟ้าระเบิดราวกับสายฟ้าฟาด อาวุธโจมตีเข้ามาตรงหน้า

อั้ก! เยี่ยนเป่ยหงกระอักเลือดสดใส่ผ้าคลุมหน้า ดาบใหญ่ในมือกระเด็นออกไป ร่างกายสะเทือนถอยหลัง

คนที่เป็นผู้ตรวจการขวาของทัพตระกูลอิ๋งได้จะธรรมดาได้อย่างไร ขณะที่สงฉีกำลังจะตามไปสังหารเยี่ยนเป่ยหง ก็ชำเลืองมองอย่างเย็นเยียบ พบว่าหู่หลินตกอยู่ในอันตราย จึงรีบหันเลี้ยวกลับไปช่วย

ผู้รอดชีวิตของตระกูลอิ๋งไม่มีใครอยากอยู่อย่างหลบซ่อนอย่างนี้ตลอดไป โดยเฉพาะคนที่เคยใช้ชีวิตอย่างมีหน้ามีตามาก่อน สงฉีก็ย่อมไม่ยอมตกอยู่ในสภาพนี้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นจะมารวมตัวอยู่ใต้การควบคุมของอิ๋งเยว่เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร การมาของพระปีศาจหนานโปทำให้เขาเห็นความหวังที่จะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือทุกคนรู้อยู่แก่ใจกว่าความสามารถของอิ๋งเยว่เป็นอย่างไร อิ๋งเยว่เป็นเพียงข้ออ้างโดยชอบธรรมเพื่อให้ทุกคนภักดีต่อเจ้านายเก่าเท่านั้น ทำให้ใจคนมั่นคงได้ สามารถชี้แจ้งกับเบื้องล่างได้ แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่พระปีศาจหนานโป ทว่าไม่สามารถประกาศตัวตนของพระปีศาจหนานโปได้ ดังนั้นจะให้เกิดเรื่องกับพระปีศาจหนานโปไม่ได้ ต้องรีบช่วยเหลือ!

เยี่ยนเป่ยหงที่พยุงร่างกายได้แล้วโผลงมาอีกครั้ง ไล่ตามสงฉีไป ดวงตาสองข้างเริ่มเป็นสีแดงเข้ม

ตั๊กแตนทมิฬตัวหนึ่งไล่ตามหู่หลินไปก่อน แล้วโบกเคียวฟันไปทางศีรษะหู่หลิน หู่หลินเอียงตัวหลบ โบกมือคว้าค้อนใหญ่ออกมาหนึ่งอัน

เขาไม่ได้เลือกอาวุธอย่างอื่น แต่เลือกค้อนใหญ่ด้ามหนึ่งในกำไลเก็บสมบัติที่สามารถแสดงพลังได้ดีกว่า เขาโบกแขนฟันบนด้านข้างลำตัวของตั๊กแตนทมิฬตัวนั้น แกร๊ง! ทุบจนตั๊กแตนทมิฬโซเซไปด้านข้าง

ทว่าตั๊กแตนเจ็ดตัวที่เหลือถือโอกาสกรูเข้ามา อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าเจ็ดมือแปดเท้าล่ะ? ตั๊กแตนมากมายขนาดนี้เข้ามาล้อมโจมตีพร้อมกัน อึกทึกวุ่นวายยิ่งกว่าเจ็ดมือแปดเท้าเสียอีก

“เอื้อ…” หู่หลินส่งเสียงคราง ส่วนท้องแยกออก หน้าอกระเบิดออกมา

ที่เจ็บปวดกว่านั้นยังอยู่ตอนหลัง ทั้งตัวแทบจะโดนเจ้าสัตว์เจ็ดมือแปดเท้าฉีกออกในชั่วพริบตาเดียว

เงาร่างแสงสีทองลอยออกจากร่างที่แหลกกระจาย

ชั่วพริบตานี้ กำลังพลจำนวนมากที่ไล่ตามมาข้างหลังแทบจะตัวสั่นพร้อมกันหมด บางคนลอยนิ่งอยู่บนฟ้าอย่างเหม่อลอยงุนงง

เหยียนซิวที่ไล่ตามมาข้างหลังเหลือบไปเห็นเงาร่างสีทอง มุมปากกระตุกเล็กน้อย เป็นพระปีศาจหนานโปจริงๆ ด้วย จึงโบกมือชี้ “ฆ่า!” ตั๊กแตนสองตัวที่อยู่ทางซ้ายและขวาพุ่งออกไปจากเขา ไล่ตามไปแล้ว!

ส่วนเหยียนซิวก็โบนธงสีดำด้ามหนึ่งออกมาแล้ว ธงหมุนวนอย่างรวดเร็วอยู่กลางอากาศ ยิงแสงสีดำออกมาหลายสาย โจมตีไปบนตัวกำลังพลที่ลอยเคลิบเคลิ้มอยู่บนฟ้า พอเหยียนซิวโบกธงเรียกวิญญาณชี้ไปบนพื้นดิน คนพวกนี้ก็ลอยลงบนพื้นดินอย่างช้าๆ

ไม่มีเวลามาสนใจคนพวกนี้ เหยียนซิวถือธงเรียกวิญญาณไล่ตามพระปีศาจหนานโปต่อไป

ส่วนตั๊กแตนที่ไล่ตามเงาร่างแสงทองก็ตะกุยข่วนมั่วๆ ทั้งยังอ้าปากกัดด้วย เงาร่างสีทองที่ถูกรังแกตัวสั่นอยู่กลางอากาศ เปล่งเสียงครางออกมาเป็นพักๆ ถูกพัวพันจนสลัดทิ้งลำบาก

สงฉีพุ่งเข้ามาใช้ทวนแทง แกร๊ง! ตั๊กแตนตัวหนึ่งถูกกระแทกปลิวออกไป

เงาทวนตีกระแทกติดต่อกันหลายครั้ง มีเสียงดังแกร๊งๆ ต่อเนื่อง ตั๊กแตนแปดตัวถูกตีออกไปในชั่วพริบตาเดียว วรยุทธ์ของสงฉีสูงเกินไป

เงาร่างสีทองฉวยโอกาสหนีออกมา แล้วสิงเข้าร่างสงฉีโดยตรง

เยี่ยนเป่ยหงที่พุ่งขึ้นฟ้าตาแดงก่ำแล้ว ใช้สองมือถือดาบฟันอย่างเกรี้ยวกราด มีเงาดาบฟันออกมาเยอะมาก แล้วเงาดาบจำนวนมากพวกนั้นก็รวมเป็นเงาดาบสีแดงอันเดียว ฟันตรงไปที่สงฉี

สงฉีติดใจนิดหน่อย โบกทวนโจมตีไปที่ท้องฟ้า

บึ้ม! เสียงระเบิดสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เยี่ยนเป่ยหงสะเทือนตัวปลิวอีกครั้ง สงฉีที่สะเทือนจนถอยหลังไปหลายจั้งเงยหน้าอย่างตกใจ “องครักษ์เงา!”

ขณะเดียวกันนี้เอง ในร่างกายเขาก็มีเสียงพระปีศาจหนานโปดังขึ้น “หลีกไป อย่าสัมผัส!”

สงฉีหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นเพียงเหยียนซิวที่พุ่งเข้ามากำลังตีกวนธงเรียกวิญญาณในมือ มีแสงสีดำยิงเข้ามาหลายสาย

…………………

ลำแสงหลายสิบสายยิงเข้ามาเร็วมากกว่าลำแสงจำนวนมากที่อยู่ข้างหลัง คนที่มีประสบการณ์มองปราดเดียวก็ดูออกแล้วว่าเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหก

ท่ามกลางเมฆหมอกที่ปรากฏวับแวม คนนับพันซ่อนตัวอยู่ในนั้น ทั้งหมดสวมชุดดำโพกผ้าดำ คนที่บัญชาการอยู่ตรงกลางก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหยียนซิวนั่นเอง

คนที่ล้อมรอบบ้านพักภูเขาพบว่ามีคนไม่น้อยที่ดักซุ่มอยู่เป็นยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ กอปรกับในบรรดาคนที่หนีไปก็มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์อยู่ด้วยเช่นกัน เพื่อลดการบาดเจ็บล้มตาย เหยียนซิวสั่งให้ยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อย่างไม่ลังเล

พวกสงฉีเลี้ยวหนีทันที สงฉีโบกมือโยนโล่ไปด้านหลัง มันหมุนวนและขยายใหญ่ขึ้น ต้านทานด้านบนของทั้งสาม

บึ้ม! ลำแสงหนาแน่นยิงโดน โล่โดนยิงจนลำแสงหายไป แล้วระเบิดกลายเป็นฝุ่นผงสีชมพู

สงฉีกับเทียนหยวนตกลงพื้นแล้ว ผลก็คือพบว่าข้างกายหายไปคนหนึ่ง พอเงยหน้าก็เห็นแขนเสื้อใหญ่โคร่งของหู่หลินปลิวสะบัด ปรากฏตัวลำพังอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกสีชมพูที่ปลิวว่อน ท่าทางไม่หวาดกลัว!

สงฉีตกใจมาก เขาย่อมรู้หู่หลินก็คือพระปีศาจหนานโป แต่ตอนนี้พระปีศาจหนานโปไม่เหมือนในปีนั้น พลังอิทธิฤทธิ์ของหู่หลินแข็งแกร่งขนาดนั้น ก็เท่ากับว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของพระปีศาจหนานโปแข็งแกร่งเท่านั้น อาศัยหู่หลินคนเดียวต้านทานการโจมตีจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากขนาดนั้นไหว

หู่หลินโบกแขนเสื้อ พลังอิทธิฤทธิ์โหวซัดสาด หมอกชมพูที่ระเบิดออกกระจายออกมาเป็นรูวงกลม สามารถเห็นฟ้าครามเมฆขาวได้

หู่หลินที่ลอยอยู่คนเดียวท่ามกลางหมอกแดงมีโพรงเงยหน้ามองบนฟ้า สีหน้าเรียบเฉย มองท้องฟ้าอย่างโอหัง!

บนท้องฟ้าเงียบแล้ว พอโจมตีก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ทำให้สงฉีเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ทำไมลืมไปได้ว่าพระปีศาจมีพลังอภินิหารนี้

สงฉีเด้งขึ้นฟ้าไปคนแรก กลับไปข้างกายหู่หลิน เทียนหยวนที่งุนงงก็รีบเหาะกลับไปเช่นกัน

“ผู้อาวุโส ไม่ควรจะอยู่ที่นี่แล้ว รีบไปเถอะ” สงฉีกล่าวเตือน

หู่หลินพยักหน้าเบาๆ สายตาจ้องตรงไปที่เหยียนซิว

เมฆขาวสะเทือนสลายไป พันคนที่ซ่อนตัวอยู่ฟ้าปรากฏตัวแล้ว พันคนนั้นเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า

เหยียนซิวหัวสมองว่างเปล่าไปพักหนึ่ง หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทานจนได้สติกลับมาแล้ว เขาก็มองไปรอบๆ พบว่ากำลังพลรอบข้างที่ถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไม่เคลื่อนไหวแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ฟังคำบัญชาการของเขา จึงตะโกนทันทีว่า “ลงมือ!”

คนที่อยู่รอบๆ ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร หู่หลินแววตาวูบไหว พบว่าท่ามกลางหนึ่งพันคนบนฟ้า มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ถูกเขาควบคุม

หู่หลินขยับริมฝีปากเล็กน้อย คนพันคนตั้งลูกธนูบนสายตามคำสั่งของเหยียนซิว แต่ใครจะคิดว่าทั้งหมดกลับหันตัวมา ลูกธนูดาวตกทั้งหมดเล็งไปหาเหยียนซิวที่อยู่ตรงกลาง

“เอ่อ…” เทียนหยวนงงเป็นไก่ตาแตก นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?

สงฉีกลับมีสีหน้าผ่อนคลาย ชำเลืองหู่หลินแวบหนึ่ง แล้วพึมพำในใจว่า พระปีศาจน่ากลัวเกินไปแล้ว ถ้ามีคนแบบนี้อยู่ในโลก ใครจะสงบใจได้ล่ะ?

เหยียนซิวตกใจมาก จากสายตาเลื่อนลอยของคนรอบข้าง เขาตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากล พลันนึกเชื่อมโยงกับความผิดปกติในสมองตัวเองเมื่อครู่นี้ ในหัวนึกถึงสิ่งที่เหมียวอี้เคยบอกอีกครั้ง คนน่ากลัวที่เพิ่งหลุดรอดออกมาจะมาหาเหมียวอี้เป็นคนแรก พอนึกได้แบบนี้ก็ขนลุกทันที

เขาไม่รู้ว่าตัวเองคิดมากไปหรือเปล่า แต่กลับไม่มีเวลาให้เขาได้คิดอะไรมาก

กำลังพลที่พามาด้วยยิงธนูโดยใส่เขาอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด ท่ามกลางเสียงดังปั้งๆ ลำแสงนับไม่ถ้วนยิงไปที่เหยียนซิวแล้ว

ภายใต้ระยะใกล้ขนาดนี้ เหยียนซิวไม่อาจหลบได้เลย แต่เขาก็เหมือนไม่มีท่าทีว่าจะหลบหลีก กลับกางแขนสองข้าง ทำท่าเหมือนให้ฆ่าได้ตามสบาย รอบกายมีปราณผีเย็นยะเยือกลอยขึ้นมา แต่ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกถล่มโจมตีจนหายไปแล้ว

ท่ามกลางเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น เหยียนซิวถูกสะเทือนจนแจกกลายเป็นไอหมอกสีดำแดงแล้ว

ภายใต้สถานการณ์ที่ล้อมเป็นวงแบบนี้ การยิงโจมตีมาตรงกลางในระยะใกล้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเข่นฆ่ากันเอง คนปกติไม่มีทางทำอย่างนี้แน่ สิ่งนี้ยิ่งพิสูจน์การคาดเดาของเหยียนซิวแล้ว กำลังพลรอบข้างส่งเสียงร้องครวญครางเป็นแถบ คนของตัวเองถูกคนฝ่ายตัวเองยิงจนร่วงระนาว มีคนไม่น้อยตกลงมาแล้ว

ไอหมอกสีดำแดงที่กระจายอยู่รอบๆ เจาะแทรกซึมผ่านช่องว่างการโจมตีออกไป กลายเป็นหมอกแดงและหมอกดำเจาะเข้าไปในกลุ่มคนที่วุ่นวาย แล้วฉวยโอกาสรวมร่างเป็นคนอีกครั้ง ยกมือที่เป็นรูปหมอกขึ้นมา ชั่วพริบตาที่กำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งที่หมุนตกลงมาจากฟ้าสวมลงที่ข้อมือ เหยียนซิวก็ปรากฏร่างจริงอีกครั้ง

คนที่อยู่ข้างๆ สังเกตเห็นโบกแขนฟันเข้ามาทันที เหยียนซิวมีกรงเล็บแหลมสีเขียวคล้ำงอกออกมาหลายส่วน เขาโบกแขนกวาดหนึ่งที เล็บที่แหลมคมกว่าดาบวิเศษตัดสายธนูขาด คว้านทำลายตัวธนูพังอย่างง่ายดายราวกับเป็นโคลนเหลว จากนั้นมือก็แวบหายไป ปาดคอของอีกฝ่ายจนมีดอกเลือดสาดกระจายสายหนึ่ง

คนคนนั้นโยนธนูแล้วกุมคอของตัวเองเอาไว้

รอบข้างวุ่นวายพร้อมกัน ล้อมโจมตีเหยียนซิวพร้อมกัน แต่เห็นร่างของเหยียนซิวราวกับเงาผี เขาไม่สนใจหรอกว่าเป็นคนของตัวเองหรือไม่ โบกกรงเล็บผีกรีดอาวุธ ตัดฟันเกราะรบ เงากรงเล็บไปตรงไหน ตรงนั้นก็มีเลือดเนื้อสาดกระจาย

กลุ่มคนรวมตัวกันล้อมโจมตี แต่เห็นเขาคำรามเสียงต่ำ แล้วหมุนตัวอย่างรวดเร็ว อ้าปากพ่นไฟสีเขียวดุร้ายออกมา ไฟผีกวาดไปสี่ด้านแปดทิศ

รอบข้างมีเสียงกรีดร้องดังทันที คนที่ตกอยู่ท่ามกลางเพลิงสีเขียวดิ้นรนร้องโหยหวน

สงฉีกับเทียนหยวนที่ห่อหนีออกมาไกลตะลึงอีกครั้ง พบว่าหู่หลินที่อยู่ข้างกายหายไปอีกแล้ว พอหันกลับมาอีก ก็พบว่าหู่หลินหยุดอีก กำลังจ้องการต่อสู้บนฟ้าอย่างนิ่งเงียบ

ทั้งสองรีบเหาะกลับไป สงฉีพูดเร่งเร้า “ผู้อาวุโส ตรงนี้แสดงเบาะแสแล้ว ถ้ากำลังพลกลุ่มใหญ่ของตำหนักสวรรค์มาก็จะยุ่งยากแล้ว รีบหนีกันเถอะ!”

หู่หลินกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน ไม่สะทกสะท้าน ดูการต่อสู้ต่อไปเรื่อยๆ

ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะมองเขาให้ละเอียด เห็นกับตาว่าเหยียนซิวเปลี่ยนจากมายาเป็นความจริง สู้มือเปล่าอยู่ท่ามกลางทัพที่วุ่นวายอย่างไม่มีอะไรต้านไหว แล้วก็เห็นเหยียนซิวพ่นไฟผีอีก ทั้งสองตกใจไม่เบาเช่นกัน สงฉีอดไม่ได้ที่จะถามอย่างประหลาดใจ “นี่มันวิชาอะไรกัน?”

“เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง!” หู่หลินตอบเสียงเรียบ

“เอ่อ…” สงฉีตะลึงงัน จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่ถูก ข้าเคยเห็นประมุขปราชญ์ลัทธิผีใช้เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง เหมือนจะแตกต่างกันนะ”

หู่หลินอธิบายอย่างใจเย็น “นี่ต่างหากเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางที่แท้จริง ศิษย์อกตัญญูของข้าฝึกได้แค่วิชาครึ่งหยิน ยังเหลือวิชาครึ่งหยางที่ฝึกไม่สำเร็จ เพราะไม่มีพรสวรรค์นั้น เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางที่แท้จริงเหนือกว่ามหาเวทอเวจีกับเคล็ดวิชาฟ้าครามทั่วหล้าไกลมาก ความลี้ลับอัศจรรย์ที่อยู่ในนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนปกติจะจินตนาการได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครก็ฝึกได้ ศิษย์ทรยศของข้าน่ะ ถ้าฝึกได้สำเร็จจริงๆ ก็คงพอให้ยิ้มเย้ยใต้หล้าแล้ว คงไม่แพ้ง่ายขนาดนั้น…แต่ก็นึกไม่ถึง ว่าจะมีคนฝึกวิชานี้สำเร็จ น่าสนใจ!”

แม้เขาจะไม่รู้ว่าเหยียนซิวคือใคร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมายมากที่เหยียนซิวสามารถฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางสำเร็จ สิ่งนี้ยิ่งพิสูจน์แล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อคือคนของหกลัทธิ ไม่อย่างนั้นคนคนนี้จะได้เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางมาได้อย่างไร?

ประมุขปราชญ์ลัทธิผีฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้นเหรอ? เทียนหยวนมองหู่หลินด้วยแววตาระแวงสงสัย แล้วศิษย์ทรยศที่เขาพูดถึงคือใครล่ะ? กำลังพูดถึงประมุขปราชญ์ลัทธิผีหรือเปล่า? เช่นนั้นคนคนนี้…เทียนหยวนนึกถึงฉากที่คนพวกนี้ถูกควบคุมให้เข่นฆ่ากันเอง อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึกด้วยความตระหนก ในหัวมีเงาคนคนหนึ่งแวบผ่านเข้ามา พระปีศาจหนานโป!

สงฉีเข้าใจในทันที แทบจะลืมไปแล้ว ว่าคนคนนี้เป็นผู้สร้างเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางขึ้นมา ถ้าพูดถึงเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง เกรงว่าจะไม่มีใครเข้าใจมากกว่าท่านนี้แล้ว

“ผู้อาวุโสไม่ควรอยู่ที่นี่นาน สิ่งสำคัญตอนนี้คือหนีออกจากที่นี่ก่อน” สงฉีเตือนอีกครั้ง

“ไม่ได้ จะเก็บคนนี้ไว้ไม่ได้ ต้องกำจัดเขาทิ้งให้ได้ ไม่อย่างนั้นอุบายที่วางไว้ก่อนหน้านี้ก็สูญเปล่าแล้ว ” หู่หลินจ้องเหยียนซิวอย่างเยียบเย็น

สงฉีจำต้องเตือนอีก “ผู้อาวุโส ดูจากวิธีการของคนนี้ เหมือนจะกำจัดทิ้งยากมาก ถ้าถ่วงเวลาต่อไปจนกำลังหนุนมาก็จะยุ่งยากแล้ว”

“เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางของเขายังไม่ถือว่าฝึกสำเร็จมาก ข้าย่อมมีวิธีการกำจัดเขาโดยเร็วอยู่แล้ว!” หู่หลินพูดเหยียด ประนมมือสองข้างพึมพำคาถา

สงฉีกับเทียนหยวนต่างก็รู้สึกสมองว่างเปล่า แต่ก็ยังส่ายหน้าเรียกสติกลับมา ทว่ากลับได้ยินว่าเสียงต่อสู้อันดุเดือดที่อยู่ไกลๆ เงียบลงแล้ว

หู่หลินหยุดท่องมนต์แล้ว เขาลืมตาขึ้น แววตาดูหดหู่เล็กน้อย

ผ่านไปไม่นาน สีด้านแปดทิศก็มีคนเหาะเข้ามาหลายพัน มีคนสวมผ้าปิดหน้า มีคนที่ปลอมตัว คนสวมผ้าปิดหน้าย่อมเป็นคนที่เหยียนซิวพามา ส่วนคนที่ปลอมตัวก็เป็นคนที่สงฉีพามา

พอคนพวกนี้มาถึง ก็เลิกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน รวมกลุ่มกันตั้งกระบวนทัพอยู่บนฟ้า แต่กลับไม่ได้รวมกันเป็นกลุ่มก้อน พวกเขากระจายกันเป็นรูปดาวหกแฉก ล้อมขังเหยียนซิวที่กำลังเข่นฆ่าเอาไว้ตรงกลาง ดูจากท่าทางแล้ว พระปีศาจหนานโปเหมือนจะควบคุมแม้กระทั่งคนของตัวเองด้วยแล้ว

สงฉีทึ่งมาก อดไม่ได้ที่จะกล่าวชม “ผู้อาวุโสมีพลังอภินิหารไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย!”

เขากลับไม่รู้ว่าทุกครั้งที่พระปีศาจหนานโปใช้วิชานี้จะต้องใช้สมาธิมากขนาดไหน ถ้าใช้พร่ำเพื่อโดยไม่ควบคุม วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ทนรับไม่ไหวเหมือนกัน สาเหตุที่ตอนอยู่ตรงสถานที่ผนึกสามารถควบคุมคนได้อย่างง่ายดาย ก็เพราะคนที่รุกล้ำเข้ามาถูกค่ายกลดวงดาวควบคุมอยู่ ไม่สามารถต้านทานได้ เขาถึงควบคุมคนพวกนั้นได้ง่ายๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางควบคุมระยะไกลได้ง่ายขนาดนั้น ถ้าควบคุมได้ไร้ขีดจำกัดจริงๆ จะไม่แย่หรอกหรือ?

ตอนค่ายกลผนึกแตกแล้วควบคุมพวกเทียนเจี้ยนได้ ก็เพราะพวกเทียนเจี้ยนมารวมตัวกันอยู่ไม่ไกลจากวัดมาก บวกกับทำให้พวกเขาประมาทล่วงหน้า นึกว่าปิดกั้นประสาทสัมผัสการได้ยินแล้วจะไม่เป็นอะไร ผลปรากฏว่าตกหลุมพรางเขาอย่างง่ายดาย ถ้าคนนับสิบล้านพวกนั้นป้องกันตัวอย่างสูง ทั้งยังกระจายกันอยู่ในระยะไกล ถ้าเขาฝืนควบคุมก็กลับจะถูกพลังย้อนทำร้ายด้วยซ้ำ ต่อให้ควบคุมสำเร็จ แต่คนที่ถูกควบคุมก็ไม่อาจหนีเขาไปไกลเกินไป ถ้าอยู่ในระยะเหนือการควบคุมของเขาเมื่อไร แล้วผู้ถูกควบคุมปลดการควบคุมออกได้ไม่ทันเวลา โดยทั่วไปเขาก็จะไม่มีโอกาสได้ควบคุมอีก คนที่ควบคุมจะสมองเสียหาย อย่างไรเสียก็ใช่ว่าทุกคนจะได้สมุนไพรจิตวิญญาณมาฟื้นฟูร่างกายเหมือนจิ้งจอกสามหาง

เหมือนที่จัดการกับปี้เยว่ นอกจากจะเปลืองเวลาเปลืองแรงแล้ว ก็ไม่มีทางควบคุมคนมากขนาดนั้นได้ในรวดเดียวด้วย

ทว่า เขาไม่อาจบอกจุดที่อ่อนแอให้สงฉีรู้ได้

และในกระบวนทัพที่ล้อมตอนนี้ บรรดาคนที่ถูกควบคุมไว้เหมือนไม่กลัวตาย ต่อให้ไฟผียากต่อกร แต่กลับล้อมเหยียนซิวไว้อย่างไม่คิดชีวิต

เหยียนซิวก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติเช่นกัน คนที่ล้อมเขาอยู่มีบางคนร่ายอิทธิฤทธิ์หมุนทวนเข็ม มีบางคนร่ายอิทธิฤทธิ์หมุนตามเข็ม ตอนแรกยังไม่รู้สึกอะไร แต่เริ่มรู้สึกได้ทีละนิดว่ามีพลังลึกลับควบคุม ทำให้การใช้เคล็ดวิชาของเขาช้าลงเรื่อยๆ และความรู้สึกนี้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น รู้สึกรางๆ ว่าเขากำลังถูกบีบให้เปลี่ยนร่างนักพรตผีไปเป็นร่างหยาง

ค่ายกลนี้ระงับเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางของเขาได้! เหยียนซิวตกใจ เจียดเวลามองไปทางกลุ่มคนที่อยู่ไกลๆ ก่อนหน้านี้เขายังแค่สงสัยเท่านั้น ตอนนี้พอจะแน่ใจได้แล้ว พระปีศาจหนานโปอยู่ที่นี่!

เดิมทีเขาไม่อยากใช้เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางอย่างเปิดเผย แต่จู่ๆ เบื้องล่างก็ขบถจนเข้าไม่มีทางเลือก

เขาเองก็ไม่อยากใช้ตั๊กแตนทมิฬอย่างเปิดเผนเช่นกัน แต่เหตุการณ์ตรงหน้าก็ไม่ยอมให้เขาได้คำนึงถึงอะไรมากขนาดนั้น เขาเจียดเวลาโบกมือ ชั่วพริบตานั้น ตั๊กแตนทมิฬขนาดใหญ่สิบตัวพลันพุ่งเข้าไปในกลุ่มคนราวกับหินก้อนใหญ่

…………

เพียงแต่สองสามีภรรยาต่างเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายไม่ทำร้ายตน คาดว่าคงมีสาเหตุอะไรบางอย่าง

“ไปคุยกันในบ้าน” เทียนหยวนเรียงหน้าบอกใบ้ พร้อมส่งสายตาให้ปี้เยว่

ส่วนปี้เยว่ก็หันไปหาผู้คุ้มกันสี่คนที่ตามมาด้วย “ข้าจะคุยกับสหายสักหน่อย ทุกท่านรออยู่ตรงนี้” แล้วนางก็รีบเดินตามเทียนหยวนออกจากตรงนั้นไป

หลังจากผู้คุ้มกันสี่คนแอบถ่ายทอดเสียงสื่อสารกัน ก็เหาะลงไปอยู่ตามมุมต่างๆ ของบ้านหลัง คอยเฝ้าระวังทั้งนอกและใน

สงฉีกับหู่หลินสบตากัน

สงฉีถ่ายทอดเสียงเตือนว่า “ผู้อาวุโส มีคนติดตามอยู่ ถ้าลงมืออีกเกรงว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่น”

“ไม่เป็นไร ข้าเตรียมการไว้แล้ว” หู่หลินกล่าวเสียงเรียบ

เทียนหยวนที่เข้ามาในห้องรีบปิดประตู แล้วหันตัวไปกอดจูบปี้เยว่อย่างเร่าร้อนพักหนึ่ง สองมมือออกแรงเลื้อยอยู่บนร่างงามของปี้เยว่

ปี้เยว่ถูกเขาจูบจนหายใจไม่ทัน บวกกับสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล แม้จะถูกยั่วจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีอารมณ์มาทำเรื่องแบบนี้กับเขา นางออกแรงผลักเขา จัดเสื้อผ้าอยู่ข้างๆ แล้วถ่ายทอดเสียงถาม “สองคนนั้นนี่ยังไง? บอกแล้วไม่ใช่หรอว่าจะมาเจอกันตามลำพัง?”

“เรื่องนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย พวกเขาก็เพิ่งมาถึงได้ไม่นานเหมือนกัน” เทียนหยวนตอบ

“ถ้าจะไม่บอก แล้วพวกเขาจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าอยู่ที่นี่ พวกเขาเป็นใคร?” ปี้เยว่ถามอีก

เทียนหยวนลังเลนิดหน่อย ตอบนางว่า “คนหนึ่งคือสงฉี ส่วนอีกคนข้าไม่รู้ว่าเป็นใคร”

สงฉี? ปี้เยว่สูดหายใจอย่างตกตะลึง นางตกใจไม่ใช่น้อย

เทียนหยวนทำกลับบ้าง “เจ้าพาพวกเขาสี่คนมาหมายความว่ายังไง?”

ปี้เยว่อธิบายว่า “ก็เพราะเรื่องพระปีศาจหนานโปไง ตอนนี้ทั้งจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลควบคุมการเข้าออกเข้มงวดมาก ขนาดคนที่พักอยู่ไหนจวนผู้สำเร็จราชการ เวลาจะเข้าออกยังต้องมีหนังสืออนุญาต ข้าไม่สะดวกจะปิดบังอีกแล้ว ทำได้เพียงบอกหนิวโหย่วเต๋อว่าจะมาเจอเจ้า เขากลัวว่าจะเกิดเรื่องกับข้า ก็เลยส่งคนมาคุ้มกันข้า เจ้าไม่ต้องห่วง เจ้าสร้างภัยคุกคามต่อเขาไม่ได้หรอก เรื่องนี้เขาน่าจะรู้”

ประโยคที่บอกว่า ‘ เจ้าสร้างภัยคุกคามต่อเขาไม่ได้หรอก’ ทำให้เทียนหยวนแอบไม่พอใจเป็นอย่างมาก นึกถึงในปีนั้นที่หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้นับเป็นอะไรในสายตาเขาเลย สรุปก็คือในใจรู้สึกไม่ปลื้ม ขมวดคิ้วบอกว่า “จวนผู้สำเร็จราชการเป็นที่นอนของหนิวโหย่วเต๋อ ทำไมเจ้ายังอยู่ที่นั่นอีก? แล้วหลายคนที่มาคุ้มกันเจ้าก็วรยุทธ์ไม่ธรรมดา ไม่น่าเชื่อว่าจะส่งยอดฝีมือแบบนี้มาคุ้มกันเจ้าตั้งสี่คน หนิวโหย่วเต๋อช่างดีกับเจ้าจริงๆ! ข้าว่านะปี้เยว่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าทนเหงาไม่ไหวส่วนไปนอนเตียงเดียวกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วหรอกใช่ไหม?”

“เหลวไหล!” ปี้เยว่พูดคำหยาบออกมา นางโกรธจนตัวสั่น กัดฟันบอกว่า “ข้าอยู่ที่เดียวกับมู่หรงซิงหัวและสมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิงคนอื่น ไม่ได้สกปรกอย่างที่เจ้าคิด” ในใจพูดเสริมสิ่งที่ไม่กล้าพูดออกมาว่า เกรงว่าต่อให้หนิวโหย่วเต๋อกล้าหาญ แต่หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่กล้าทำอยู่ดี

ในสายตาของนาง คิดมาตลอดว่าเหมียวอี้เป็นลูกน้องของไห่ยวนเค่อ เหมียวอี้ดูแลตนเป็นพิเศษก็เพราะไห่ยวนเค่อ

ถ้ามองจากบางระดับ ตอนนี้แนวโน้มการเติบโตของเหมียวอี้ไกลเกินจินตนาการของนางแล้ว ถ้าเกิดโตต่อไปอย่างนี้เรื่อยๆ การที่ผู้เหลือรอดของหกลัทธิจะโจมตีกลับตำหนักสวรรค์ ก็เป็นเรื่องที่นับวันรอได้เลย นี่เป็นทั้งความหวังที่นางจะได้อยู่กับลูกสาว แต่ก็รู้สึกกังวลนิดหน่อย ถ้าไห่ยวนเค่อกับเทียนหยวนเผชิญหน้ากัน นางจะทนความรู้สึกได้อย่างไร?

เทียนหยวนบอกว่า “ข้าก็แค่รู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อดีกับเจ้าเกินไปหน่อย ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นจะดีที่สุด ข้ากำลังเตือนเจ้า ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เจ้าก็คือผู้หญิงของข้า!”

นิ้วมือทั้งสิบที่อยู่ในกระบอกแขนเสื้อของปี้เยว่บีบแน่น ไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว นางหยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งยื่นให้ “ตอนนี้ข้ารวบรวมได้แค่เท่านี้” ข้ออ้างที่เทียนหยวนติดต่อมาขอพบหน้าก็คือ ขาดแคลนทรัพยากรฝึกตน

ใครจะคิดว่าเทียนหยวนจะผลักมือนางกลับมา “ไม่ต้องหรอก”

ปี้เยว่รู้สึกอับอายต่อหน้าเขา ผลักกลับคืนไป “เอาไปเถอะ ยังจะมาเกรงใจข้าทำไม ค่าจ้างที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลให้ข้าเพียงพอให้ข้าใช้ ข้าให้แล้วก็คือให้ มิหนำซ้ำของในนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นของที่เจ้าเคยให้ข้าในปีนั้น”

เทียนหยวนสีหน้าสับสนเล็กน้อย ส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ต้องจริงๆ ถึงแม้สถานการณ์ของข้าตอนนี้จะไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ไม่ได้ใช้จ่ายอะไรมาก แค่ต้องดูแลตัวเองให้ดีก็พอ ทางตระกูลอิ๋งมีช่องทางรายได้อยู่บ้าง ทรัพยากรฝึกตนพื้นฐานยังพอแก้ขัดให้ข้าได้ ไม่อย่างนั้นใจคนก็กระจัดกระจายตั้งนานแล้ว”

เมื่อเห็นเขาดึงดันไม่รับไว้จริงๆ ปี้เยว่ก็เก็บของกลับมาด้วยความสงสัย “แล้วเจ้านัทข้ามาทำอะไร?” ใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย เจ้าผีน่าตายนี่นัดตนมาเพราะจะทำเรื่องอย่างว่าหรือ? แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ถูก ตัวเองไม่ได้มีเสน่ห์ถึงขั้นนั้น ถ้าหวังให้เทียนหยวนสำรวจตัวเองไม่ให้แตะต้องผู้หญิง นั่นก็เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เทียนหยวนจะชีวิตแย่สักแค่ไหน แต่การหาผู้หญิงสักสองสามคนก็ไม่ใช่ปัญหา คงไม่ถึงขั้นนั้น กลับเป็นนางต่างหากที่ว่างเปล่ามาก

เทียนหยวนถอนหายใจ ดึงมือนางเดินเข้าไปข้างใน “ก่อนหน้านี้ไม่สะดวกจะพูดกับเจ้าแบบเปิดเผย ตอนนี้จะบอกความจริงกับเจ้าแล้วกัน ครั้งนี้เบื้องบนบังคับให้ข้าติดต่อเจ้า หวังว่าข้าจะยุยงเจ้าได้…ตอนแรกข้าก็ไม่เต็มใจ แต่พอดูตอนนี้แล้ว เหมือนหนิวโหย่วเต๋อจะดีกับเจ้าเกินไปหน่อย เดาว่าคงคิดไม่ซื่อกับเจ้า ไม่สู้เจ้าตัดสินใจไปกับข้าดีกว่า แน่นอน ก่อนที่จะไปก็ทำตามใจพวกเขาหน่อย ยุยงก็ยุยงสิ สร้างผลงานสักหน่อยแล้วค่อยไปก็ดีเหมือนกัน”

“เจ้า…” ปี้เยว่ถลึงตา เพิ่งจะพูดเปิดประเด็น สองสามีภรรยาพลันหันไปมองตรงประตูพร้อมกัน พอได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา

แกร๊ก ประตูถูกผลักออก สงฉีกับหู่หลินปรากฏตัวตรงประตู

สงฉีบอกว่า “เทียนหยวน เจ้าออกมานี่หน่อย ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”

เทียนหยวนขมวดคิ้ว แล้วพยักหน้าเบาๆให้ ปี้เยว่ บอกใบว่าให้รอสักครู่

ใครจะคิดว่าตอนที่เขาเพิ่งเดินออกไป หู่หลินก็เดินเข้ามาในห้องเสียเลย

ปี้เยว่ทำสีหน้าระวังตัวทันที ส่วนเทียนหยวนก็รีบหันกลับไปมองหู่หลิน แล้วถามเสียงต่ำ “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

เพิ่งจะพูดจบ จู่ๆ ในหัวก็ว่างเปล่า ทั้งตัวตกอยู่ในสภาพเลื่อนลอย พอสงฉีดึงแขนเขาเดินไปไกลแล้ว ก็มองไปรอบๆ อย่างระวังตัว

“…” ปี้เยว่ยังไม่ทันพูดว่าระวังตัว สีหน้าก็เลื่อนลอยเหมือนกับเทียนหยวนแล้ว

หู่หลินที่เดินเข้ามาโบกแขนเสื้อ เกิดลมพัดและประตูปิดดังแกร๊ก

จากนั้นก็เดินมานั่งลงข้างๆ ยังไม่รีบร้อน หู่หลินจ้องปี้เยว่พร้อมถามด้วยน้ำเสียงปกติ “พวกเจ้ามากันกี่คน?”

ปี้เยว่ตอบอย่างเอื่อยเฉื่อย “รวมข้าด้วยมีห้าคน”

พอรู้ว่ามีแค่คนที่ตัวเองเห็น หู่หลินก็แอบโล่งใจแล้วไม่น้อย เขาเอนตัวพิงเก้าอี้ แสงทองลอยออกจากร่างกาย วิญญาณศักดิ์สิทธิ์หลุดออกมาจากตัว เดินไปที่ปี้เยว่ จู่ๆก็แวบหายไป เข้าไปในร่างกายของปี้เยว่แล้ว

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็หลุดออกมาอีก เข้ามาในร่างหู่หลินอีกครั้ง

หลังจากหู่หลินลืมตาและยืนขึ้น ก็มองปี้เยว่ด้วยแววตาหยอกเย้า นึกไม่ถึงว่าจะได้ข้อมูลเหนือความคาดหมาย

หลังจากอ่านความทรงจำของปี้เยว่ก็พบว่า หนิวโหย่วเต๋อคือคนของหกลัทธิ!

ภายใต้การควบคุมของเขา ปี้เยว่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น

หู่หลินเดินอ้อมนางสองสอง ยกแขนเสื้อข้างหนึ่งเบาๆ เผยแขนออกมา ยื่นฝ่ามือออกไปขยุ้มเหนือศีรษะนาง นิ้วทั้งห้าเลื้อยขยุกขยิก ปลายนิ้วทั้งห้าเริ่มมีเส้นแสงสีทองห้อยลงมา ราวกับมีหนอนตัวเล็กคลานไปที่ศีรษะของปี้เยว่

เส้นด้ายสีทองเส้นหนึ่งเลื้อยเข้าไปในหว่างคิ้วของปี้เยว่ สองเส้นเลื้อยเข้าไปที่ขมับ เส้นหนึ่งเจาะเข้าไปในหลังศีรษะ ส่วนอีกเส้นก็เจาะเข้าไปกลางกะโหลกบนศีรษะ

เส้นด้ายสีทองห้าเส้นเข้าประจำที่แล้ว หู่หลินก็หลับตาตั้งสมาธิ ใช้นิ้วทั้งห้าเขย่าศีรษะปี้เยว่เบาๆ เส้นสีทองห้าเส้นที่เขย่าเลื้อยออกมาจากห้านิ้วของเขาไม่หยุด เจาะเข้าไปในตำแหน่งทั้งห้าบนศีรษะของปี้เยว่ไม่หยุด ปี้เยว่ตั่วสั่นอยู่ท่ามกลางความสับสน

ครั้งนี้เสียเวลาค่อนข้างนาน ครั้งนี้ไม่ได้ควบคุมปี้เยว่เหมือนที่ควบคุมตามปกติ ใช้เวลาไปสิบห้านาทีเต็มๆ หู่หลินถึงได้เก็บมือกลับมา ร่างกายโซเซอย่างควบคุมไม่ได้ เดินถอยหลังหลายก้าวแล้วลืมตา พึมพำกับตัวเองว่า “ร่างกายนี้ไม่ค่อยเหมาะให้ข้าแสดงวิชา สิ้นเปลืองสมาธิข้ามาห” เขาประนมมือทกล่าวว่า “เส้อ!”

ปี้เยว่พลันลืมตา ลุกขึ้นยืน แล้วหันหน้าไปหาหู่หลินด้วยความเคารพ

หู่หลินหยิบระฆังดาราออกมาสองอัน ลงตราอิทธิฤทธิ์ไว้บนนั้น แล้วส่งให้ปี้เยว่อีก หลังจากปี้เยว่ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองบนระฆังดาราสองอันนี้แล้ว ก็คืนอันหนึ่งให้หู่หลิน

หู่หลินเก็บระฆังดาราแล้วหันตัวเดินออกจากประตูไป หันมาพยักหน้าให้สงฉี ขมุบขมิบปากเล็กน้อยโดยไม่ได้ยินอะไร

เทียนหยวนกลับตื่นขึ้นมากะทันหัน เขาหันตัวมาอีกครั้ง พอเห็นหู่หลินก็ถามเสียงต่ำว่า “เจ้าทำอะไรกับข้า?”

“เทียนหยวน อย่าเสียมารยาท!” สงฉีพูดห้าม

หู่หลินถอนหายใจ “ก็แค่ใช้วิชาพรางตานิดหน่อย ข้าคุยกับฮูหยินของเจ้าแล้ว ในเมื่อนางไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องความขัดแย้งระหว่างพวกเรากับหนิวโหย่วเต๋อ เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ไม่บังคับหรอก เพียงแต่หวังว่าเรื่องในวันนี้ ฮูหยินของเจ้าจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

มองไปที่สงฉีแวบหนึ่ง มีสงฉีอยู่ด้วย เทียนหยวนก็ไม่สะดวกจะอาละวาด เข้าไปข้างในทันที ถามปี้เยว่ว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”

ปี้เยว่แสยะยิ้ม “เทียนหยวน ทีหลังมีอะไรก็พูดตรงๆ อย่าใช้วิธีการวางกับดักแบบนี้กับข้าอีก” พูดจบก็รีบเดินก้าวยาวออกมา เห็นได้ชัดว่าโมโหแล้ว

“ปี้เยว่!” เทียนหยวนตามออกมาเพราะอยากอธิบาย

“ไป!” ปี้เยว่ถลันตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนสั่ง ผู้คุ้มกันสี่คนก็เหาะมาจากสี่ด้าน คุ้มครองนางเหาะขึ้นฟ้าไป

พอเดินทางออกไปแล้ว หนึ่งในผู้คุ้มกันสี่คนนี้ก็มองไปเบื้องล่างแวบหนึ่ง แล้วหยิบระฆังดาราในแขนเสื้ออย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน

เทียนหยวนเงยหน้ามองบนฟ้าอย่างพูดไม่ออก

หู่หลินมองเทียนหยวนด้วยสายตาแปลกๆ หลังจากมองทะลุความลับของปี้เยว่แล้ว ถึงได้พบว่าปี้เยว่มีลุกกับคนอื่นแล้ว สวมหมวกเขียวใบใหญ่ให้เทียนหยวน เพียงแต่หมวกเขียวใบนี้สวมได้อย่างน่าสนใจทีเดียว

ความลับนี้ราวกับไม่จำเป็น เขาไม่ได้คิดจะบอกให้เทียนหยวนรู้

เทียนหยวนที่ได้สติกลับมาหันไปจ้องหู่หลินอีกครั้ง แล้วถามเสียงต่ำว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ คนคนนี้เป็นใครกันแน่?”

“เทียนหยวน ไม่ต้องคิดมากแล้ว…” สงฉีชะงักไป พอหยิบระฆังดาราขึ้นมาก็สีหน้าเปลี่ยนทันที เขาหันหน้ามาไปที่หู่หลิน “ผู้อาวุโส สายลับพบว่ารอบๆ มีคนไม่น้อยกำลังประชิดเข้ามาตรงนี้ ข้าสั่งให้สกัดไว้แล้ว ผู้หญิงคนนั้นวางกับดักพวกเรา”

เทียนหยวนสีหน้าเปลี่ยนเช่นกัน ไม่เชื่อว่าปี้เยว่จะทำร้ายตนได้ หลุดปากว่า “เป็นไปไม่ได้”

หู่หลินส่ายหน้า แล้วยืนยันว่า “เขาพูดไม่ผิด ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีความคิดแบบนี้ ไม่ใช่นาง! แต่หนิวโหย่วเต๋อรู้จุดประสงค์ที่นางมา มีความเป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต๋อส่งคนมา น่าจะพุ่งเป้ามาที่เขา” สายตาจ้องไปที่เทียนหยวน

ทันใดนั้นรอบข้างก็มีเสียงต่อสู้ดังสะเทือนเลือนลั่น

“หนี!” สงฉีตะโกน

ทั้งสามทะยานขึ้นฟ้า ใครจะคิดว่าตอนที่เพิ่งจะขึ้นบนฟ้า จู่ๆ ในเมฆขาวก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่บนฟ้าก็พลิกม้วนเปลี่ยนรูปร่าง มีเสียงดังปั้งๆๆ มีลำแสงยิงเข้ามาอย่างหนาแน่น

……………

ทว่าคำพูดบางอย่างของเทียนหยวนก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล หนิวโหย่วเต๋อกลับตระกูลอิ๋งขัดแย้งกันถึงขั้นนั้นแล้ว เขาเทียนหยวนก็เป็นคนของตระกูลอิ๋ง ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ารับประกันว่าหนิวโหย่วเต๋อจะทำเรื่องอะไรไม่ดีกับเทียนหยวนหรือเปล่า

คำกล่าวที่ว่าเป็นสามีภรรยากันหนึ่งคืนเท่ากับติดนี้บุญคุณกันไปร้อยวัน ถึงอย่างไรทั้งสองก็เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี ความผูกพันยังมีอยู่บ้าง ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง ที่จริงแล้วนางเป็นคนทรยศเทียนหยวน ในใจมีความรู้สึกผิดอยู่บ้าง บางทีอาจเป็นเพราะมีลูกสาวนางจึงเอนเอียงไปทางฝั่งไห่ยวนเค่อ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ไม่หวังจะเห็นเทียนหยวนเป็นอะไรไป

เมื่อลองไตร่ตรองดู นางก็ยังแข็งใจเดินไปตรงประตู อยากจะลองดูสักหน่อย

ทหารยามตรงประตูทยอยกันมองมา ผู้บัญชาการที่รับหน้าที่เฝ้าประตูกุมหมัดคารวะ “ปี้เยว่ฮูหยิน”

นับว่ามีท่าทีเกรงใจพอสมควร ต่างก็รู้ว่านางเป็นคนที่ทำงานอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว

ปี้เยว่พยักหน้าเบาๆ แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ ผู้บัญชาการคนนั้นจำต้องเดินเข้ามาขวางนางไว้ แล้วกุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ฮูหยินจะไปไหนหรือ?”

ปี้เยว่ขมวดคิ้ว “ออกไปเดินเล่นสักหน่อย ทำไมเหรอ ข้าจะออกไปไหนต้องรายงานเจ้าด้วยเหรอ?”

ผู้บัญชาการรีบอธิบาย “ฮูหยินเข้าใจผิดแล้ว ผู้ตรวจการใหญ่มีคำสั่ง คนที่เข้าออกในจวนผู้สำเร็จราชการล้วนต้องแสดงหนังสืออนุญาตของพ่อบ้านหยาง คาดว่าท่านเองก็รู้เช่นกัน ช่วงนี้เรื่องพระปีศาจหนานโปร้ายแรงมาก ผู้ตรวจการใหญ่เสริมการป้องกันก็เพราะหวังดีต่อทุกคน”

ปี้เยว่ทำท่าเหมือนไม่รู้เรื่อง ถามเหมือนแปลกใจว่า “จะออกจากประตูต้องขอหนังสืออนุญาตจากพ่อบ้านหยางด้วยเหรอ? ข้าออกไปเดินประเดี๋ยวเดียว คงไม่ต้องรบกวนพ่อบ้านหยางหรอกมั้ง?”

ผู้บัญชาการยิ้มเจื่อน “ฮูหยิน ท่านอย่าทำให้ผู้น้อยลำบากใจเลย ผลจากการขัดคำสั่ง ขผู้น้อยรับผิดชอบไม่ไหว ฮูหยินกลับไปดีกว่า ไปคุยกับพ่อบ้านหยางก่อนเถอะ”

ปี้เยว่ก็แค่ลองดูเฉยๆ เมื่อเห็นว่าเฝ้าระวังเข้มงวด นางก็ทำได้เพียงกลับไป

ที่ทำงานของหยางเจาชิงในจวนผู้สำเร็จราชการอยู่ที่อุทยานฝั่งซ้าย ตรงข้ามกับอุทยานฝั่งขวาที่ปี้เยว่และผู้หญิงคนอื่นๆ อยู่พอดี

พอเดินมาถึงประตูอุทยานซ้าย ปี้เยว่ก็ลังเลอีก เห็นว่าขอหนังสืออนุญาตจากหยางเจาชิงน่าจะไม่ยาก หยางเจาชิงไม่ถึงขั้นไม่ไว้หน้านาง แต่ปัญหาก็คือการรายงานในเวลานี้ก็เพราะต้องการจะรู้ความเคลื่อนไหวของสมาชิกในจวนผู้สำเร็จราชการ หยางเจาชิงจะให้หนังสืออนุญาตนางก็ต้องถามแน่นอนว่านางจะไปไหน

นางย่อมหาข้ออ้างมาเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว แต่หนิวโหย่วเต๋อเคยบอกนางไว้ ว่าถ้าจะไปเจอเทียนหยวนก็ให้นางบอกอวิ๋นจือชิวก่อน หลายปีมานี้ฝั่งนี้เห็นแก่หน้าไห่ยวนเค่อ จึงทรัพยาก่อนฝึกตนเลี้ยงนางแบบให้เปล่ามาตลอด ถ้าจะให้นางพูดหลอกลวง ก็เหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสม

พอคิดไปคิดมา นางก็รู้สึกว่าต่อให้บอกเหมียวอี้ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ตระกูลอิ๋งเป็นอดีตไปแล้ว เหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องเล่นงานเทียนหยวนเช่นกัน เทียนหยวนในตอนนี้ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อเหมียวอี้

อวิ๋นจือชิวไม่อยู่ นางคิดไปคิดมาก็ไปหาเหมียวอี้ที่อุทยานด้านหลังด้วยตัวเอง

ใครจะคิดว่าตอนที่มาเจอเหมียวอี้ที่สวนดอกไม้ หยางเจาชิงก็กำลังคุยงานอยู่ข้างกายเหมียวอี้พอดี

“เทียนหยวนต้องการพบเจ้าเหรอ?”

ที่ศาลาในสวนดอกไม้ เหมียวอี้ที่นั่งอยู่บนโต๊ะหินถามอย่างงุนงง เดิมทีเขาอยากจะส่งปี้เยว่ไปที่แดนอเวจีตั้งนานแล้ว แต่จนใจเพราะสิ่งที่ไห่ยวนเค่อฝากฝังยังไม่สำเร็จ ปี้เยว่ต้องอยู่ที่นี่ถึงจะหาเทียนหยวนได้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าหลายปีมานี้ปี้เยว่จะไม่ได้ติดต่อกลับเทียนหยวนเลย ดีไม่ดีทั้งสองอาจจะติดต่อกันมาตลอดด้วย เพียงแต่ปี้เยว่ไม่ได้บอกเขาเท่านั้นเอง ไม่แน่ว่าทั้งสองอาจจะแอบพบกันหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้อาจจะเป็นเพราะจวนผู้สำเร็จราชการเสริมการป้องกันพอดี ไม่สามารถเข้าออกอย่างอิสระได้จึงจำเป็นต้องบอก

ปี้เยว่พยักหน้ายืนยัน

เหมียวอี้กล่าวยังลังเล “พบกันในเวลานี้ พระปีศาจหนานโปพรุ่งนี้ออกมาพอดี จะไม่ค่อยปลอดภัยหรือเปล่า?”

ปี้เยว่ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “พระปีศาจหนานโปคงไม่เพ่งเล็งมาที่ข้าหรอกมั้ง”

เหมียวอี้บอกว่า “ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า เอาอย่างนี้ ข้าจัดส่งคนไปคุ้มกันเจ้าด้วย เจ้าวางใจ ไม่รบกวนการพบกันของพวกเจ้าของคนแน่นอน” นี่เป็นข้ออ้างทั้งนั้น เขาเองก็ไม่คิดว่าพระปีศาจหนานโปจะเพ่งเล็งมาที่ปี้เยว่พอดี

“เอ่อ…” ปี้เยว่ลำบากใจนิดหน่อย

เหมียวอี้จึงกล่าวกลั้วหัวเราะ “เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะทำอะไรไม่ดีกับเทียนหยวนหรอกใช่มั้ย? เรื่องนี้เจ้าวางใจได้เลย ครั้งนี้ถ้าเจ้าเจอเทียนหยวนแล้ว ตอนหลังก็ติดต่อกันได้อีก ถ้าข้าจะทำเรื่องอะไรไม่ดีต่อเขาจริงๆ ข้าก็ไม่มีทางชี้แจงกับเจ้าได้เช่นกัน ใช่ไหมล่ะ?”

เขาพูดแบบนี้ ปี้เยว่ก็เห็นด้วยเช่นกัน ถ้าต้องการจะทำอะไรเทียนหยวนจริง ตอนหลังตัวเองติดต่อกลับเทียนหยวนก็รู้แล้ว ทำได้เพียงฝืนใจพยักหน้า “ก็ได้!”

เกรงว่าต่อให้นางนอนฝันก็คงนึกไม่ถึงว่าไห่ยวนเค่อจะสั่งให้เหมียวอี้กำจัดเทียนหยวน

เหมียวอี้กำชับหยางเจาชิงทันที “เลือกยอดฝีมือจำนวนหนึ่งจากจวนกลยุทธ์ฟ้าให้คุ้มกันนานแล้วกัน”

“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง

หลังจากมองคล้อยหลังทั้งสองจากไป เหมียวอี้ก็หรี่ตาเล็กน้อยพร้อมตะโกนเรียก “เหยียนซิว!”

ไม่รู้ว่าเหยียนซิวถลันตัวมาจากตรงไหน ราวกับเป็นเงาผี มารอฟังคำสั่งอยู่ข้างกายเหมียวอี้ทันที

เหมียวอี้เอียงหน้าถ่ายทอดเสียง “ไปขอกำลังพลจากเจาชิงแล้วออกเดินทาง อย่าให้ปี้เยว่รู้ตัว รอให้ปี้เยว่กับเทียนหยวนเจอหน้ากันแล้วแยกกันก่อน แล้วค่อยจัดการเทียนหยวน ควบคุมเอาไว้ก่อน รอหลังจากปี้เยว่ยืนยันความปลอดภัยของเทียนหยวนแล้ว ค่อยกำจัดเทียนหยวนทิ้ง” ให้เหยียนซิวออกหน้าเอง ก็ย่อมเป็นเพราะเหยียนซิวมีวิชาที่ควบคุมคนได้ เขาพูดเสริมอีกว่า “เทียนหยวนเองก็มีพลังไม่อ่อนแอ ไม่แน่ว่าข้างกายอาจยังมียอดฝีมือที่รอดชีวิตของตระกูลอิ๋ง เอาตั๊กแตนทมิฬไปด้วยซักสองสามตัว พี่ใหญ่เยี่ยนยังอยู่ที่ดาวสยบใต้ เจ้าถือโอกาสพาเขาไปด้วย จะได้ป้องกันเหตุไม่คาดคิด เรื่องตรวจสอบตรงประตูดวงดาวข้างนอกเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะบอกให้คนปล่อยไป” ตอนนี้เขาเริ่มจะมีอำนาจมากแล้ว อำนาจฝ่ายอื่นก็ยอมรับเช่นกัน ดังนั้นพวกนั้นก็ต้องไว้หน้าเขาบ้าง คนบางกลุ่มสามารถมองข้ามธรรมเนียมบางอย่างไปได้

“รับทราบ!” เหยียนซิวเอ่ยรับ แล้วหายไปเงียบๆ

เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในศาลาเงียบไป ตัดสินใจว่าหลังจากกำจัดเทียนหยวนแล้ว ก็จะพาปี้เยว่ไปส่งที่แดนอเวจี

เมื่อเห็นว่าไม่คุยธุระกันอีก เฟยหงที่อยู่ไม่ไกลก็เดินอมยิ้มผ่านทางเดินข้างแปลงดอกไม้มา…

ตรงตีนเขาติดแม่น้ำ บ้านพักภูเขาแห่งหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในป่าที่มืดครึ้ม

ในบ้านพักภูเขาเงียบสงบ มีเพียงเทียนหยวนขมวดคิ้วมุ่นเดินไปเดินมาอยู่คนเดียว

การนัดเจอปี้เยว่ครั้งนี้ไม่ใช่ความเต็มใจของเขา แต่เป็นประสงค์ของเบื้องบน ให้เขายุยงปี้เยว่ ไม่ต้องเดาก็รู้ ว่าการยุยงปี้เยว่เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อแน่นอน เขาไม่อยากทำอย่างนี้ ประกาศแรกเป็นเพราะปี้เยว่ห่างไกลจากอันตรายมากแล้ว เขาตกต่ำถึงขั้นนี้ ไม่อยากดึงปี้เยว่เข้ามาเกี่ยวอีก และตอนนี้ปี้เยว่มีชีวิตที่สงบสุขได้ หนิวโหย่วเต๋อก็มีส่วนช่วยเหลือไม่น้อย แน่นอนว่าเรื่องหลังเป็นสาเหตุรองสาเหตุสำคัญก็คือไม่อยากให้ปี้เยว่เข้ามาเกี่ยวข้อง

แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก นอกเสียจากจะเลือกต่อต้านอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง แต่ก็เงยหน้าถอนหายใจอย่างจนปัญญา ทำได้เพียงก้าวไปทีละก้าว ถ้าเบื้องบนทำเกินไป เขาก็ต้องพิจารณาให้ดีว่าจะเลือกอีกทางหรือไม่

ประเด็นก็คือเขาไม่รู้ว่าเบื้องบนให้เขายุยงปี้เยว่เพราะจะให้ปี้เยว่ทำอะไร ถ้าจะให้ทรยศรายงานข่าวบางอย่างของหนิวโหย่วเต๋อก็ว่าไปอย่าง กลัวก็แต่จะให้ปี้เยว่ลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าปี้เยว่จะทำสำเร็จหรือไม่ ต่อให้ทำสำเร็จ แต่เกรงว่าก็ต้องตายอยู่ดี ลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อที่แดนรัตติกาลแล้วจะมีทางรอดได้อย่างไร

เขารู้เพียงว่าอำนาจที่เหลืออยู่ของตระกูลอิ๋งตอนนี้มีหัวหน้าตระกูลคนใหม่แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าหัวหน้าตระกูลคนใหม่คือใคร เรื่องบางเรื่องคนระดับบนไม่ประกาศต่อเบื้องล่าง…

นอกประตูดวงดาว สงฉีและหู่หลินที่ปลอมตัวแล้วถูกทหารยามดักไว้ สัญลักษณ์พลังตรงหว่างคิ้วก็ไม่ต้องตรวจ ทุกคนต่างก็รู้ธรรมเนียมในตอนนี้ ทั้งสองใส่หน้ากากโดยเว้นช่องว่างตรงหว่างคิ้วเอาไว้ สามารถเหาะออกมาจากดาราจักรได้ แค่มองตรงหว่างคิ้วปราดเดียวก็รู้แล้ว

ต่อให้เห็นว่าวรยุทธ์ของทั้งสองไม่ธรรมดา แต่รหัสยามคนหนึ่งก็ยังตะโกนบอกอย่างหลงระเริงว่า “ถอดหน้ากากออก”

สงฉีไม่ถอดหน้ากาก แต่หยิบแผ่นหยกขุนนางโยนออกไปโดยตรง

อีกฝ่ายรับมาอ่านดู แล้วเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มอัธยาศัยดีทันที ใช้สองมือคืนแผ่นหยกให้ แล้วบอกว่า “ที่แท้ก็เป็นแม่ทัพใหญ่ถง ขออภัยที่เสียมารยาท”

สงฉีรับแผ่นหยกกลับมาแล้วกล่าวเสียงเย็น “เข้าไปได้หรือยัง?” แผ่นหยกเป็นของจริง เพียงแต่เจ้าของแผ่นหยกนี้ตายไปนานแล้ว คนที่มาเฝ้าประตูดวงดาวได้ยศไม่สูงเท่าไหร่ ความรู้ไม่กว้างขวาง เป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจสอบตัวตนทุกคนที่ไปมาประตูดวงดาวแต่ละแห่ง

ทหารยามขออภัยและยิ้มสู้ “แม่ทัพใหญ่ ท่านเองก็รู้ธรรมเนียม อย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย”

สงฉีทำเสียงฮึดฮัด “งั้นก็เร็วๆ หน่อย ถ้ายังมีธุระด่วน”

“ได้ๆๆ!” ทหารยามพยักหน้าซ้ำๆ โบกมือเรียกคนคนหนึ่งออกมา รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบบนตัวทั้งสอง โดยเฉพาะตรงที่ใส่สัมภาระ

จู่ๆ ทหารยามที่ตรวจสอบก็เงยหน้ามองหู่หลิน “ในนี้มีผู้หญิงด้วยหมายความว่ายังไง? ให้นางออกมาตรวจสอบสัญลักษณ์พลังสักหน่อยเถอะ”

หู่หลินโบกมือเรียกผู้หญิงออกมา รวบไว้ในอ้อมกอด ผู้หญิงคนนี้หน้าตางดงามที่สุด ปิดตาสนิทเหมือนหลับลึก “ไม่ใช่นักพรต เป็นคนธรรมดา รีบตรวจเร็วๆ หน่อย”

ทหารยามยื่นมือแตะหัวไหล่ผู้หญิงที่หลับลึกพร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบ พบว่าเป็นผู้หญิงมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีวรยุทธ์ ไม่ใช่นักพรต อดไม่ได้ที่จะมองหู่หลินหลายครั้ง พึมพำในใจว่า ไม่รู้ว่าไปเสาะหายอดหญิงงามแบบนี้มาจากไหน คนใหญ่คนโตช่างขยันเสพสุขจริงๆ

หลังจากตรวจสอบแล้วว่าไม่มีความผิดปกติอะไร ทหารยามก็ปล่อยไป สงฉีกับหู่หลินรีบเข้ามาในประตูดวงดาวอย่างรวดเร็ว

หลังจากโผล่ออกมากลางอากาศ สงฉีที่เหาะด้วยความเร็วสูงตลอดทางก็หันมองรอบๆ แล้วถ่ายทอดเสียงถาม “ดังนั้นเตรียมตัวเรียบร้อยหรือยัง?”

หู่หลินพยักหน้า “คนที่ไปถึงก่อนเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ถ้ามีคนเข้าใกล้ก็จะพบทันที”

ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงนอกดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง เมื่อหาตำแหน่งแล้วก็ฝ่าชั้นบรรยากาศลงไป

ในลานบ้าน เทียนหยวนพี่กำลังเดินไปเดินมาพลันเงยหน้า เห็นเพียงเงาคนสองคนเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงในลานบ้าน

เทียนหยวนกำลังระวังตัวอย่างสูง ขณะกำลังจะถามว่าเป็นใคร สงฉีก็เอ่ยปากก่อนแล้ว “เทียนหยวน”

เทียนหยวนตะลึงงัน แล้วกุมหมัดคารวะทันที “คารวะผู้ตรวจท่าน ท่านมาได้ยังไง?”

“เรื่องนี้ข้าต้องเข้ามายุ่งด้วยตัวเอง” สงฉีตอบเสียงเรียบ

เทียนหยวนสีหน้าเปลี่ยนนิดหน่อย รีบมองไปที่หู่หลิน เห็นเพียงหู่หลินเดินเข้าไปในบ้านคนเดียว จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านนี้คือใคร?”

สงฉีตอบอย่างคลุมเครือ “เป็นพวกเดียวกัน”

พอปิดหน้าต่างในบ้านสนิท หู่หลินก็ปล่อยสาวงามที่พกมาด้วยออกมา วางบนเก้าอี้อย่างเคารพ ทันใดนั้นบนตัวของผู้หญิงก็กะพริบแสงสีทอ ลำแสงสีทองสายหนึ่งเข้ามาในร่างกายหู่หลิน หู่หลินที่สีหน้าเย็นชายืนขึ้น แล้วเก็บสาวงามคนนั้นไว้ จากนั้นเดินออกจากประตูอย่างไม่รีบร้อน

เจอกันอีกครั้งในลานบ้าน เทียนหยวนก็มองประเมินหู่หลินเป็นระยะ เทียนหยวนสังเกตได้เช่นกันว่าตัวเองถูกสงฉีจับตาดูแล้ว ไม่ให้ตัวเองหลุดพ้นสายตา

เมื่อรอได้สักระยะหนึ่ง ปี้เยว่ก็ปรากฏตัว นำคนสี่คนเหาะลงมาจากฟ้ ลอยอยู่บนฟ้าด้านบนลานบ้าน ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองรอบๆ เห็นเทียนหยวนและอีกสองคน สามคนนั้นใส่หน้ากากหมดแล้ว

เทียนหยวนส่งสัญญาณมือไปบนฟ้า พร้อมถ่ายทอดเสียง “ข้าเอง!”

พอเหยียบลงพื้น ปี้เยว่ก็มองคนแปลกหน้าทั้งสองอย่างระวังตัว แล้วถ่ายทอดเสียงให้เทียนหยวน “ทำไมยังมีคนอื่นด้วย?”

เทียนหยวนขมวดคิ้วเช่นกัน “ข้าให้เจ้ามาคนเดียวไม่ใช่เหรอ?”

สองสามีภรรยาชะงักพร้อมกันอีก เหมือนจะหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลของกันและกัน

………………

น้ำตาไหลจนตาพร่ามัวขณะมองจั่วเอ๋อร์ อิ๋งเยว่ไม่รู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร จั่วเอ๋อร์จงรักภักดีต่อตระกูลอิ๋งหรือไม่? ใช่! แต่จั่วเอ๋อร์ก็สังหารพ่อแม่ของนาง แต่แล้วพ่อแม่ของนางทำถูกหรือไม่ล่ะ? ก็ทำไม่ถู!

หู่หลินมองออกว่านางสับสนตัดสินใจลำบาก จึงกล่าวเช้าๆว่า “ในมุมมองของนาง ทำไมคะลูกหลานอกตัญญูพวกนั้นของตระกูลอิ๋ง ก็จะไม่มีหวังในการชำระแค้นที่หลวงของตระกูลอิ๋งเช่นกัน ในมุมมองของบิดามารดาเจ้า บางทีก็อาจจะคิดเช่นกันว่าพี่น้องตัวเองไม่น่าเชื่อถือ ถ้าไม่แย่งชิงมรดก ในภายหลังกิจการของตระกูลอิ๋งก็จะไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองแล้ว ถึงแม้ล้างแค้นได้จะดี แต่ถ้าล้างแค้นไม่ได้ อย่างน้อยทุกคนก็ยังมีที่พึ่งให้ดำรงชีวิต จั่วเอ๋อร์ไม่คิดว่าตัวเองทำผิด บิดามารดาเจ้าก็ไม่คิดว่าตัวเองทำผิดเช่นกัน บางทีในสายตาคนอื่น อิ๋งจิ่วกวงปู่เจ้าชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ที่สุด สมควรตาย แต่ในสายตาของปู่เจ้าเอง ก็ไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิดเช่นกัน มีหลายเรื่องที่ความจริงแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องว่าถูกหรือผิด เพียงแค่ทุกคนยืนมองปัญหากันคนละมุมก็เท่านั้นเอง นางหนูเอ๊ย อยากจะล้างแค้นอย่างสะใจ หรือไม่ก็ยอมแพ้ซะ อย่าสับสนเกินไป”

จั่วเอ๋อร์หันตัวมาเผชิยหน้ากับเขาแล้ว ร่างกายหู่หลินอ่อนยงบล้มลงพื้น วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปเข้าไปรวมอยู่ในร่างกายจั่วเอ๋อร์อีกครั้ง

อิ๋งเยว่ยกแขนเสื้อปาดน้ำตา “อาจารย์ ฉันต้องการจะยืมใช้ร่างของนางเหรอ?”

จั่วเอ๋อร์พยักหน้า แต่ก็ส่ายหน้าอีก วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปหลุดออกมาอีกครั้ง แล้วถอนหายใจบอกว่า “ข้าไม่ค่อยชินกับร่างกายของผู้หญิง”

อิ๋งเยว่ที่ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตางุนงง

หนานโปยื่นนิ้วชี้ขึ้นมา ตรงปลายนิ้วมีแสงทอง เรากลับมีต้นอ่อนงอกขึ้นมา แตะตรงหว่างคิ้วของจั่วเอ๋อร์เบาๆ แสงทองจมหายลงไปในแท่นจิตของจั่วเอ๋อร์ แล้วก็หายไป

พระปีศาจหนานโปประนมมือสองข้าง ตบเบาๆ หนึ่งที “เพี้ยะ” มีเสียงดังกลับมา

จั่วเอ๋อร์สั่นไปทั้งตัว รู้สึกราวกับตื่นขึ้นมาจากฝันอย่างฉับพลัน ไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองทำอะไรลงไป แต่กลับระดับได้ว่าตัวเองเพิ่งตกหลุมพราง เงาร่างที่มีแสงทองตรงหน้าก็ยิ่งทำให้นางตกใจ นางรีบก้าวถอยหลัง มองอิ๋งเยว่ที่น้ำตานองหน้า แล้วก็มองเอาร่างแสงทองอีก ตะโกนถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”

“โอม!” พระปีศาจหนานโปขยับปากเบาๆ

จั่วเอ๋อร์เราก็โดนฟ้าผ่า ตัวสั่นไปทั้งร่าง พลันเอามือกุมศีรษะ เจ็บปวดจนหน้าซีด นางชี้พระปีศาจหนานโป “เจ้า…” แล้วก็รีบเอามือกลับมากุมหัวอีก ส่งเสียงครางอย่างทรมาน ในลูกตาเต็มไปด้วยเลือดอย่างรวดเร็ว ถอยหลังไปชนกำแพงแล้วไถลลงนั่งอย่างช้าๆ ขดตัวกลิ้งอยู่บนพื้น เจ็บจนตัวสั่นเหงื่อไหล ยิ่งคิดอยากควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ ก็ยิ่งเจ็บปวดทรมาน

“เส้อ!” พระปีศาจหนานโปท่องเบาๆ

“อือ…” จั่วเอ๋อร์ที่ขดตัวเกร็งอยู่บนพื้นคลายมือและแขนขาออก นอนปวกเปียกและถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่บนพื้น ใบหน้าซีดขาว ใช้เวลาแค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ทั้งตัวราวกับถูกช้อนขึ้นมาจากน้ำ

ฉากตรงหน้าทำให้อิ๋งเยว่ลืมความเศร้าโศก เหลือเพียงความตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าอาศัยวรยุทธ์ของจั่วเอ๋อร์แต่ยังไม่มีแรงตอบโต้เลยสักนิด

ก็ช่วยไม่ได้ จั่วเอ๋อร์จะไปคิดได้อย่างไรว่าอิ๋งเยว่จะมารวมอยู่กับพระปีศาจหนานโป ต่อให้ตีให้ตายนางก็นึกไม่ถึง ถ้านางนึกได้ ด้านนอกกำลังครึกโครมเพราะพระปีศาจหนานโป นางจะต้องป้องกันเรื่องนี้ไว้ก่อนแน่นอน คงไม่ตกหลุมพรางอย่างนี้

พระปีศาจหนานโปกลายเป็นลำแสง เข้าไปในร่างของหู่หลินที่นอนอยู่บนพื้น ไม่นานหู่หลินก็ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืนตัวตรง จ้องจั่วเอ๋อร์ที่อยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชา แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “เจ้าถูก ‘มนต์แนบวิญญาณ’ ของข้าแล้ว ทุกปีต้องให้ข้าคลายมนต์ให้เจ้าหนึ่งครั้ง ไม่อย่างนั้นก็จะจิตวิญญาณแตกซ่าน กลายเป็นศพเดินได้!”

จั่วเอ๋อร์ที่หางตาเห็นฉากเมื่อครู่นี้ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ รสชาติความทรมานเมื่อครู่นี้ออกมาจากจิตวิญญาณ ทำให้ตอนนี้นางยังรู้สึกมือไม้อ่อน ยังไม่มีฤทธิ์เดชอะไร นางตัวสั่นเป็นระยะ รสชาติความเจ็บปวดนั้นนางไม่อยากสัมผัสเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว

นางตระหนักได้แล้วว่าตัวเองตกหลุมพรางอิ๋งเยว่ ที่นางมาที่นี่ เดิมทีเพราะอยากจะถือโอกาสควบคุมอิ๋งเยว่ให้จัดระเบียบกำลังที่เหลืออยู่ของตระกูลอิ๋งขึ้นมาใหม่ แต่กลับขโมยไก่ไม่ได้ซ้ำยังเสียข้าวสาร หนึ่งกำมือ นึกไม่ถึงว่าข้างกายอิ๋งเยว่ยังมียอดฝีมือแบบนี้อยู่ด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะฝืนยิ้มพร้อมถามว่า “คุณหนู คนคนนี้คือใคร?”

อิ๋งเยว่มองนางด้วยแววตาสับสน “อาจารย์ของข้า!”

“อาจารย์?” จั่วเอ๋อร์งุนงง นึกไม่ออกว่าอิ๋งเยว่เคยมีอาจารย์อย่างนี้ด้วย คาดว่าคงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนหลัง นางหันไปมองหู่หลิน “มนต์แนบวิญญาณ? ข้าเพิ่งเคยได้ยินสิ่งนี้เป็นครั้งแรก อาศัยวิธีการแบบนี้ คาดว่าคงไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียง ขอทราบนามอันยิ่งใหญ่ของท่านด้วย?”

แม้จะยังมือไม้อ่อน ร่างกายสั่นเทิ้มเป็นระยะ แต่ก็สมกับเป็นคนที่เข้าสังคมมาจนคุ้นเคย ยังคงรักษาความสุขุมเยือกเย็นไว้ได้

หู่หลินกล่าวเสียงเรียบว่า “ผู้คนเรียกข้าว่าพระปีศาจ!”

จั่วเอ๋อร์อึ้งไปชั่วขณะ พอนึกขึ้นได้ถึงเงาร่างแสงทองเมื่อครู่นี้ ก็พบว่าอีกฝ่ายเหมือนจะไม่มีกายหยาบ กอปรกับตอนนี้ใต้หล้ากำลังวุ่นวายจนคนรู้เรื่องนี้กันหมด…หลังจากรู้ตัวแล้วก็ตกใจ พลันเบิกตากว้าง ไม่มีทางนิ่งได้อีกแล้ว “หา” นางถามอย่างตกใจว่า “เจ้าคือพระปีศาจหนานโป?”

หู่หลินกล่าวอย่างใจเย็น “ในปีนั้นคนในใต้หล้าก็แค่หวาดกลัวกำลังของข้า คนส่วนใหญ่ต่างก็รู้ว่า ถ้าไม่มายั่วโมโหข้าก็ย่อมไม่เป็นอะไร ตอนนี้แม้คนส่วนใหญ่จะไม่เคยเห็นข้า ทุกคนไม่เคยเห็นหน้ากัน และไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด แต่กลับเมืองกลัวข้ามาก คำพูดคนช่างน่ากลัวจริงๆ สงสัยคงมีคนหวังให้ใต้หล้าเป็นศัตรูกับข้าตลอดไปเพื่อปกป้องตัวเอง เป็นศัตรูก็เป็นศัตรูสิ แล้วยังไงล่ะ?”

ในเวลานี้จั่วเอ๋อร์ยากที่จะไตร่ตรองคำพูดของหนานโปอย่างใจเย็นได้ นางกลืนน้ำลาย มองไปที่อิ๋งเยว่อย่างช้าๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ทำไมคุณหนูท่านนี้จึงกลายเป็นลูกศิษย์ของพระปีศาจหนานโปได้?

หู่หลินกล่าวว่า “นางหนูคารวะข้าเป็นอาจารย์แล้ว ต้องการจะฟื้นฟูตระกูลอิ๋งขึ้นมาใหม่ เขาสัญญากับนางแล้วว่าในอนาคตนางจะไม่เป็นรองเซี่ยโห้วท่า เจ้ายินดีจะช่วยนางหนูนี่อีกแรงไหม?”

จั่วเอ๋อร์ได้ยินแล้วจ้องอิ๋งเยว่อย่างตะลึงงันพูดไม่ออก ตอนแรกยังคิดอยู่เลยว่านางหนูนี่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่น่าเชื่อว่าจะหนีออกมาคนเดียวเพื่อล้างแค้นให้ตระกูลอิ๋ง ต้องโง่ขนาดไหนกัน แต่ตอนนี้กลับมาคารวะพระปีศาจหนานโปเป็นอาจารย์ สงสัยการล้างแค้นของตระกูลอิ๋งและการฟื้นฟูตระกูลอิ๋งจะต้องฝากความหวังไว้บนตัวนางหนูนี่แล้ว ช่างเป็นเวลาและโชคชะตาจริงๆ…

ไม่กี่วันหลังจากนั้น เฉาหยินผู้ตรวจการซ้ายกองทัพของตระกูลอิ๋งก็ปรากฏตัวในบ้าน ถูกหลอกมาเช่นเดียวกัน ไม่ยืนทำตาใหญ่ตาเล็กจ้องจั่วเอ๋อร์

ไม่กี่วันหลังจากนั้น สงฉีผู้ตรวจการขวาของตระกูลอิ๋งก็ปรากฏตัวอยู่ในบ้าน โดนหลอกมาเช่นกัน เขากับจั่วเอ๋อร์เฉาหยินมองหน้ากันเลิกลั่ก

ต้นไม้ใหญ่รากหยั่งลึก กิ้งกือตายแล้วแต่ยังดิ้นได้ จะว่าไปแล้วตระกูลอิ๋งก็เป็นอย่างนี้

อิ๋งเยว่มีพระปีศาจหนานโปหนุนหลังแล้ว ไม่ว่าตอนนี้พระปีศาจหนานโปจะมีพลังเป็นอย่างไร ไม่สนด้วยว่าพระปีศาจหนานโปจะมีเจตนาอะไร ในสายตาของพวกจั่วเอ๋อร์ อิ๋งเยว่ในตอนนี้ไม่ธรรมดาอีกแล้ ว ใจคนที่กระจัดกระจายรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง มีอำนาจขึ้นมาในเวลาสั้นๆ ไม่ว่าใครก็ไม่อยากตกต่ำตอนนี้

จั่วเอ๋อร์ เฉาหยิน สงฉีพร้อมใจกันให้อิ๋งเยว่เป็นหัวหน้าตระกูลคนใหม่ของตระกูลอิ๋ง!

ทั้งสามฝ่ายรายงานกำลังที่เหลืออยู่ตอนนี้ของตระกูลอิ๋ง กำลังพลที่กระจายกันอยู่ทั้งในที่ลับและที่แจ้งมีไม่น้อยกว่าสองแสนคน อย่างน้อยช่องทางข่าวสารส่วนใหญ่ที่ตระกูลอิ๋งวางวางกำลังไว้ในปีนั้นก็ยังอยู่ แม้กำลังพลที่อยู่ฉากหน้าจะถูกทำลายไปแล้ว แต่สิ่งที่ซ่อนไว้ในที่ลับเหล่านี้กลับขุดรากถอนโคนได้ยาก นี่ก็คือสิ่งที่พระปีศาจหนานโปชอบ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะออกไปสืบข่าวด้วยตัวเองทีละข่าว มิหนำซ้ำด้วยสถานการณ์ตอนนี้ เขาก็ไม่สะดวกจะเป็นพาลไปทั่ว

หลี่ผิง คนที่อิ๋งเยว่เรียกว่าท่านอาหลี่ กลายเป็นลูกน้องคนสนิทของอิ๋งเยว่แล้ว

พระปีศาจหนานโปอ่านความคิดของหลี่ผิง แล้วบอกอิ๋งเยว่ว่า บิดาเจ้ามองคนไม่ผิด คนคนนี้เชื่อถือได้!

อิ๋งเยว่เองก็รู้สึกว่าหลี่ผิงเชื่อถือได้ ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว หลี่ผิงดูแลปกป้องนางมาตลอด

ดาวเกาะคราม ดาวเคราะห์ที่บริเวณรอบด้านปกคลุมไปด้วยน้ำ มีเพียงเกาะกระจายอยู่หรอมแหรม แทบจะไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ หลังจากจัดระเบียบกำลังของตระกูลอิ๋งแล้ว อิ๋งเยว่ก็ย้ายมาที่นี่ทันที ซ่อนตัวอยู่ที่เดิมมักจะมีนักพรตไปมาหาสู่ ดึงดูดความสนใจคนอื่นได้ง่าย ถึงอย่างไรเทพแห่งภูผาบริเวณนั้นก็ไม่ได้ตาบอด ต้องมีสักครั้งที่บังเอิญมาเจอ

ถ้าจะให้พูดว่าที่ไหนปลอดภัย ในบรรดากำลังพลตระกูลอิ๋งที่เหลือรอดตอนนี้ เกรงว่าจั่วเอ๋อร์คงรู้ดีที่สุด พวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินและเทพแห่งผืนน้ำที่ถูกเนรเทศมาอยู่บนเกาะคราวล้วนเป็นกำลังพลลับที่ตระกูลอิ๋งวางตั้งแต่ในปีแรก และระหว่างกำลังพลลับเหล่านี้ก็ไม่รู้จักเบื้องหลังของกันและกัน สามารถเรียกได้ว่าที่นี่คือฐานลับที่ตระกูลอิ๋งเตรียมไว้เป้นทางหนีทีไล่ล่วงหน้า

ก่อนหน้านี้จั่วเอ๋อร์ซ่อนตัวอยู่ที่นี่มาตลอด

เมื่อไม่มีความกังวลเรื่องอันตราย ได้ที่อยู้แล้ว ภายใต้การชี้แนะของพระปีศาจหนานโป อิ๋งเยว่เรียกจั่วเอ๋อร์ เฉาหยินและสงฉีมาอีกครั้ง

คลื่นมรกตม้วนกลิ้งอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ซัดกระทบฝั่ง ในห้องโถงที่ขุดออกมาจากหน้าผา อิ๋งเยว่ที่นั่งสง่าอยู่เบื้องบนเหมือนเป็นเป็นแค่เครื่องประดับชั่วคราว หู่หลินที่ถูกพระปีศาจหนานโปยึดร่างยืนคู่กับหลี่ผิงอยู่ทางซ้ายและขวา

หลังจากทุกคนพบกันและพูดจาตามมารยาทแล้ว พระปีศาจหนานโปก็ไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากใคร พูดโดยตรงเลยว่า “คาดว่าทุกคนคงรู้จักหนิวโหย่วเต๋อ ท่ามกลางอำนาจใหญ่แต่ละฝ่ายตอนนี้ ฝ่ายเขาอ่อนแอที่สุด ข้าเตรียมจะลงดาบกับเขาคนแรก ใครมีวิธีการอะไรบ้าง?”

สามคนที่ยืนอยู่เบื้องล่างมองหน้ากันเลิกลั่ก จั่วเอ๋อร์กล่าวอย่างลังเล “เกรงว่าจะจัดการยาก เขาดูเหมือนอำนาจอ่อนแอสุดในบรรดาทุกฝ่าย แต่เรื่องที่เขากับฮ่าวเต๋อฟางช่วยเหลือกันก็ไม่ใช่ความลับอะไร แล้วรอบกายเขาก็มีกำลังทหารหนาแน่น เกรงว่าแม้แต่ประมุขชิงถ้าคิดจะแตะต้องเขาก็ยังลำบาก”

“ไม่ต้องใช้กำลังปะทะ ทำให้ข้าเจอเขาได้สักครั้งก็พอ ข้าย่อมมีวิธีจัดการเขาอยู่แล้ว” พระปีศาจหนานโปกล่าวเสียงเรียบ

ทั้งสามครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ยังเป็นจั่วเอ๋อร์ที่คิดออกคนแรก จั่วเอ๋อร์พลันมองสงฉี “เรื่องนี้เกรงว่าต้องให้ผู้ตรวจการซ้ายคิดหาทางแล้ว”

สายตาของทุกคนมองไปที่สงฉี สงฉีถามอย่างงุนงง “ข้าเหรอ? ข้ากับหนิวโหย่วเต๋อเจอหน้ากันแค่ไม่กี่ครั้ง ไม่รู้จัก ไม่รู้จะลงมือจากตรงไหน!”

“เทียนหยวนอยู่ใต้บังคับบัญชาผู้ตรวจการซ้าย ตามที่ข้ารู้มา ตอนนี้ฮูหยินของเทียนหยวนอยู่ที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ได้รับความเชื่อใจจากหนิวโหย่วเต๋อ คอยทำงานอยู่ข้างกายฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อ” จั่วเอ๋อร์กล่าว

พระปีศาจหนานโปตาเป็นประกายทันที เฝ้าคอยมาก

สงฉีครุ่นคิดสักพัก แล้วพยักหน้าเบาๆ “เหมือนจะมีเรื่องแบบนี้อยู่”

หนานโปบอกทันทีว่า “ดี! เจ้าแค่ต้องให้เทียนหยวนล่อฮูหยินของเขาออกมาพบข้าสักครั้งก็พอ เรื่องต่อมาข้ามีวิธีจัดการเอง”

เอาเมียของลูกน้องมาใช้งาน แม้สงฉีจะลังเล แต่กลับทำได้เพียงพยักหน้า “รับทราบ! ข้าจะพยายามสุดความสามารถ”

“ไม่ใช่พยายามสุดความสามารถ แต่ต้องทำให้เต็มที่!”

จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ปี้เยว่ที่อาศัยอยู่อุทยานขวาเป็นเวลานานวิ่งตรงมาที่ประตูใหญ่จวนผู้สำเร็จราชการ ตอนที่เข้าใจประตู นางกลับเริ่มลังเลอีก

นางได้รับข่าวจากเทียนหยวน เทียนหยวนนัดเจอกับนาง กำชับนางว่า เพื่อความปลอดภัยของนาง อย่าให้พวกหนิวโหย่วเต๋อรู้

พอเดินมาถึงประตูนางก็เพิ่งนึกได้ ว่าช่วงนี้หนิวโหย่วเต๋อเสริมกำลังป้องกันแดนรัตติกาล โดยเฉพาะที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ต้องป้องกันทุกคนที่เข้าออกในจววน ถ้าไม่มีหนังสือจากหยางเจาชิง ก็ไม่มีทางผ่านการสอบสวนจากทหารยามได้ ถ้าทหารยามไม่เห็นหนังสือผ่านทางของหยางเจาชิงก็จะไม่ปล่อยคน

…………………

“อาจารย์ได้โปรดชี้แนะ” อิ๋งเยว่กล่าวอย่างเคารพ

พระปีศาจหนานโปบอกนางว่า “ระบายความทุกข์ ขอร้องให้พวกเขาบริจาคทรัพยากรฝึกตนหรือไม่ก็ทรัพย์สินให้เจ้าสักหน่อย”

“…” อิ๋งเยว่งุนงง

พระปีศาจหนานโปเหล่ตามองนางแวบหนึ่ง รู้ว่านางไม่เข้าใจ จึงอธิบายว่า “เจ้าตกต่ำจนถึงวันนี้ ในกระเป๋าจะน่าละอายก็เป็นเรื่องนี้สมเหตุสมผล คนที่เห็นแก่ไมตรีเก่าของตระกูลอิ๋งย่อมช่วยเจ้า แต่ถ้ามีคนทรยศเจ้านายฆ่าคนของตระกูลอิ๋งจริงๆ ก็อาจจะอยากขุดรากถอนโคน”

อิ๋งเยว่เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ทำแบบนี้เพราะต้องการหาทางเจอหน้ากับพวกเขา ขอเพียงสามารถหลอกคนมาได้ อาศัยพลังอภินิหารของอาจารย์ก็ย่อมสืบสาวไปถึงต้นเรื่องได้

พระปีศาจหนานโปบอกว่า “เริ่มจากพ่อบ้านตระกูลอิ๋งที่ชื่อจั่วเอ๋อร์นั่นก่อนเถอะ ในมือนางคงจะมีช่องทางมรดกทรัพย์สินของของตระกูลอิ๋งอยู่บ้าง ข้าเคยลองจะไปหานางโดยตรง แต่นางระวังตัวมาก ใช้แค่ระฆังดาราติดต่อกับคนเคยรู้จักเท่านั้น ไม่ยอมพบหน้าเลย ไม่มีทางรู้ได้ว่านางอยู่ที่ไหน”

“ศิษย์เข้าใจแล้ว!” อิ๋งเยว่หยิบระฆังดาราออกมา กลั่นกรองคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้เขย่าระฆังดาราติดต่อจั่วเอ๋อร์ไป หลังจากติดต่อเสร็จแล้ว ก็รายงานว่า “อาจารย์ จั่วเอ๋อร์โน้มน้าวให้ข้ากลับไป ข้าบอกว่าถ้าไม่ได้ล้างแค้นให้ตระกูลก็จะไม่เลิก นางถามข้าว่าอยู่ที่ไหน นางจะนำทรัพย์สินมาส่งให้ อาจารย์ นางจะรายงานไปที่ตำหนักสวรรค์หรือเปล่า?”

พระปีศาจหนานโปตอบว่า “ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับที่คนในครอบครัวเจ้าหายตัวไปหรือเปล่า ถ้าเกี่ยวข้องกัน ก็มีความเป็นไปได้ ถ้ายืมมือของตำหนักสวรรค์กำจัดเจ้า ก็ไม่ต้องแบกรับข้อหาว่าทรยศเจ้านาย แต่ก็เพราะแบบนี้เช่นกัน ภายใต้สถานการณ์ที่คลุมเครือ นางไม่มีทางรายงานขึ้นไปซี้ซั้ว อย่างน้อยนางก็ต้องยืนยันให้ได้ก่อนว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ถ้าเจ้าเป็นกระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง[1] ตำหนักสวรรค์คว้าน้ำเหลว เจ้าก็จะต้องเดาออกแน่ว่านางแอบรายงานตำหนักสวรรค์ ถึงตอนนั้นถ้าเจ้าบอกลูกน้องเก่าคนอื่นๆ ของตระกูลอิ๋ง พอชื่อนี้แพร่ออกไป ก็จะส่งผลกระทบต่อนางเยอะมาก นางน่าจะตัดสินใจแล้วว่ารอลงมือทีหลัง!”

อิ๋งเยว่พยักหน้า ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ ในใจก็รู้สึกมั่นใจขึ้นแล้วไม่น้อย คำชี้แนะที่ชัดเจนเป็นระเบียบของพระปีศาจหนานโปทำให้นางไม่รู้สึกสับสนอีก

ไม่กี่วันหลังจากนั้น เห็นได้ชัดว่ามีคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในป่าไผ่รอบๆ

หลังจากผู้ที่มาสำรวจรอบๆ ไปแล้วรอบหนึ่ง ก็ปรากตัวอยู่นอกประตูไม้ จากนั้นผลักประตูเข้ามาโดยตรง

ชาวประมงเฒ่าที่กำลังปลูกผักอยู่ในสวนลุกขึ้นยืนมองเขา แล้วถามว่า “ท่านมาหาใคร?”

เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มาใส่หน้ากาก พูดออกมาเพียงสองคำง่ายๆ ว่า “พ่อบ้าน คุณหนู”

ชาวประมงเฒ่าวางเสียมลง ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ตามข้ามาเถอะ”

จากนั้นก็นำผู้ที่มาไปที่นอกกระท่อมด้านหลัง พอมาถึงก็ยืนตะโกนตรงประตูที่ปิดสนิท “คุณหนู แขกที่ท่านรอมาถึงแล้ว”

“เข้ามาเถอะ” ในห้องมีเสียงอิ๋งเยว่ดังมา

ชาวประมงเฒ่าผลักประตู ผู้ที่มามองสำรวจรอบๆ หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบโดยรอบจนแน่ใจแล้ว ถึงได้เดินเข้าไปอย่างช้าๆ

อิ๋งเยว่ยืนอยู่ในห้อง มองผู้ที่มาอย่างสงสัย “เจ้าคือ?”

ผู้ที่มาจ้องประเมินนางครู่เดียว แม้อิ๋งเยว่จะแสร้งแต้มกระบนใบหน้า ให้เหมือนญิงสาวชาวนา แต่เค้าโครงหน้าตาก็ยังเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนเป็นขี้เหร่ลงเท่านั้น เมื่อแน่ใจว่าเป็นอิ๋งเยว่ ผู้ที่มาก็ถอดหน้ากากออก แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “ผู้น้อยหู่หลินคารวะคุณหนู คุณหนูอาจจะนำผู้น้อยไม่ได้ ผู้น้อยได้รับคำสั่งจากพ่อบ้านให้นำของมาให้คุณหนู” ขณะที่พูดก็ใช้สองมือยื่นกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้

“ข้าเคยเห็นเจ้า” อิ๋งเยว่ตอบขณะมองประเมินเขา ไม่ใช่คำพูดตามมารยาท แต่นางจำได้จริงๆ เพียงแต่ตอนแรกบ่าวไพร่ของตระกูลอิ๋งเยอะเกินไป จึงจำชื่อไม่ได้ นางกำไลเก็บสมบัติมาไว้ในมือแล้ว

“คุณหนู พ่อบ้านยังหวัง…” หู่หลินยังพูดไม่ทันจบ สีหน้าท่าทางก็เหม่อลอยไป

ในห้องมีเสียงดังแกร๊ก หน้าต่างปิดพร้อมกัน ชาวประมงเฒ่าที่เข้ามานั่งลงข้างๆ มีแสงทองเปล่งจากร่างกาย วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปหลุดออกจากกายหยาบอีกครั้ง หลอมรวมเข้าไปในร่างกายของหู่หลิน

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อิ๋งเยว่ที่ได้เห็นฉากนี้มักรู้สึกขนหัวลุก รู้สึกกลัวนิดหน่อย บางทีอาจเป็นเพราะยังไม่ชิน

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ลักษณะการพูดจาของหู่หลินก็เปลี่ยนไปแล้ว ดูไม่ช้าไม่เร็ว เห็นได้ชัดว่าพระปีศาจหนานโปอาศัยร่างเขาพูดแทน “นางหนูเยว่ พ่อแม่เจ้าตายด้วยน้ำมือพวกจั่วเอ๋อร์ที่ติดตามไปด้วยในปีนั้นจริงๆ โชคดีที่ตอนนั้นเจ้าไปโดยไม่บอกลา ไม่อย่างนั้นคงไม่รอด”

ในที่สุดก็ยืนยันข่าวร้ายได้แล้ว อิ๋งเยว่น้ำตาแตกทันที เข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น ร้องเรียกอย่างเศร้าโศก “ท่านพ่อ ท่านแม่…”

“คนในแดนฝึกตนหวังชีวิตยืนยาว หยินหยางวุ่นวาย คนไม่ใช่คน ผีไม่ใช่ผี เดิมทีก็ฝ่าฝืนเจตจำนงสวรรค์ ดำเนินชีวิตขัดกับธรรมชาติอยู่แล้ว การจากลาชั่วนิรันดร์คือเรื่องปกติมา เหตุใดจึงไม่ปล่อยวาง? นางหนู ระงับความเศร้าโศกเถอะ!” หู่หลินกล่าวเสียงเบา

อิ๋งเยว่พลันปาดน้ำตา เอาศีรษะโขกพื้นไม่หยุด พลางกล่าวปนเสียงสะอื้น “อาจารย์ อาจารย์ได้โปรดช่วยศิษย์ล้างแค้นด้วย!”

“ถ้าอยากจะฆ่าพวกเขาก็ไม่ยากหรอก ที่จริงจั่วเอ๋อร์นั่นก็มาด้วย เจ้าแน่ใจนะว่าต้องการฆ่านาง?” หู่หลินถาม

อิ๋งเยว่พยักหน้าพลางร้องไห้อย่างเจ็บปวด “ท่านปู่ข้าดูแลนางอย่างดี ฝากฝังทุกคนของตระกูลอิ๋งไว้กับนาง นึกไม่ถึงว่านางจะลืมบุญคุณแล้วทรยศ ถ้าไม่ฆ่านาง ศิษย์ก็เสียแรงที่เกิดมาเป็นลูกสาว!”

หู่หลินกล่าวว่า “นางหนู เจ้าไม่ใช่คนฉลาดเลยจริงๆ ฆ่านางแล้วจะล้างแค้นให้ตระกูลอิ๋งได้เหรอ? ก็อย่างที่บอก ตอนนี้เจ้าต้องการการสนับสนุนจากนาง รอให้ล้างแค้นได้ก่อนแล้วค่อยเก็บกวาดขยะในบ้าน แบบนี้เป็นยังไง?”

อิ๋งเยว่เอาแต่ร้องไห้ หู่หลินก็รออย่างอดทน

หลังจากผ่านไปนาน อิ๋งเยว่อารมณ์เริ่มสงบลงแล้ว สุดท้ายก็พยักหน้าบอกว่า “ท่านอาจารย์ ศิษย์เข้าใจแล้ว”

หู่หลินพยักหน้า “จั่วเอ๋อร์ตามหู่หลินมาด้วยกัน จั่วเอ๋อร์กังวลว่าจะมีอุบาย จึงส่งหู่หลินมาพบเจ้าก่อน ส่วนนางก็คอยตรวจสอบอยู่รอบๆ รอบข้างกระจายกำลังคนไว้เฝ้าระวังไม่น้อย ประเมินจากหู่หลินคนนี้แล้ว ที่จั่วเอ๋อร์มาครั้งนี้ก็ไม่มีมีเจตนาจะสังหารเจ้า อยากจะพาเจ้าไปด้วยจริงๆ”

อิ๋งเยว่มีคราบน้ำตาเต็มใบหน้า กล่าวอย่างไม่เชื่อว่า “แม้แต่พ่อแม่ข้านางก็ยังฆ่าได้ แล้วจะปล่อยข้าไปเหรอ?”

หู่หลินตอบว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ชัดว่าเพราะอะไร สถานการณ์ที่หู่หลินคนนี้รู้ค่อนข้างน่าสับสน จั่วเอ๋อร์ฆ่าคนของตระกูลอิ๋งจริงๆ แต่ก็เหมือนอยากล้างแค้นให้ตระกูลอิ๋งด้วยเหมือนกัน ทำเอาข้าเลอะเลือนแล้ว เรื่องราวเป็นยังไงกันแน่ เกรงว่ามีแต่ต้องกับจั่วเอ๋อร์ถึงจะเข้าใจ แต่ที่จั่วเอ๋อร์อยากจะล้างแค้นให้ตระกูลอิ๋งนั้น อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าต้องจัดระเบียบกำลังที่เหลือของตระกูลอิ๋งใหม่ แต่ปัญหาก็คือตอนนี้อำนาจของตระกูลอิ๋งแบ่งออกเป็นสามส่วน จั่วเอ๋อร์ส่วนหนึ่ง เฉาหยิน ผู้ตรวจการซ้ายตระกูลอิ๋งส่วนหนึ่ง สงฉีผู้ตรวจการขวาตระกูลอิ๋งส่วนหนึ่ง ในมือจั่วเอ๋อร์มีทรัพย์สินที่ตระกูลอิ๋งเหลือไว้ ทั้งยังมีช่องทางดำเนินธุรกิจลับๆ นางใช้มรดกทรัพยากรของตระกูลอิ๋งที่มีอยู่ในมือรวบรวมคนกลุ่มหนึ่งของตระกูลอิ๋งเอาไว้ แต่กำลังทหารที่มีศักยภาพแท้จริงของตระกูลอิ๋งกลับอยู่ในมือเฉาหยินกับสงฉี จั่วเอ๋อร์อยากจะปรับปรุงสองกลุ่มนี้ แต่เฉาหยินกับสงฉีก็สงสัยเช่นกันว่าภายในตระกูลอิ๋งมีคนทรยศเจ้านายและฆ่าคนอื่นๆ ของตระกูลอิ๋งไปแล้ว ทั้งสามฝ่ายล้วนไม่ยอมรับว่าตัวเองฆ่าคนของตระกูลอิ๋ง แล้วก็ไม่เชื่อใจกันและกันด้วย สาเหตุที่จั่วเอ๋อร์อยากพาเจ้าไป ก็เพราะตอนนี้ทั้งตระกูลอิ๋งมีแค่เจ้าที่อาจจะสามารถรวบรวมกำลังแต่ละฝ่ายขึ้นมาใหม่ได้ เพียงแต่จั่วเอ๋อร์ไม่มีคิดว่าเจ้าจะมีความสามารถที่จะช่วยล้างแค้นให้ตระกูลอิ๋งได้ นางแค่อยากจะควบคุมเจ้า ใช้เจ้าเป็นธงเพื่อรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่ของตระกูลอิ๋ง จะได้ล้างแค้นให้ตระกูลอิ๋งได้สะดวก”

อิ๋งเยว่ฟังแล้วค่อนข้างงง บอกว่า “ข้าไม่อยากเชื่อหรอกว่าจั่วเอ๋อร์จะอยากล้างแค้นให้ตระกูลอิ๋ง”

“แปลกนิดหน่อย บางทีจั่วเอ๋อร์อาจจะหลอกหู่หลินคนนี้กระมัง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเดาเรื่องนี้ จั่วเอ๋อร์กำลังรอข่าวจากหู่หลิน ถ้าชักช้าอาจจะทำให้จั่วเอ๋อร์สงสัย ถ้านางหนีไปแล้ว ต่อไปจะตามหานางอีกก็ยากแล้ว เจ้าต้องควบคุมอารมณ์ไว้” หู่หลินกล่าว

“อืม!” อิ๋งเยว่พยักหน้า

หู่หลินหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจั่วเอ๋อร์ แล้วจากไปเพียงลำพัง ไปรออยู่ในป่าไผ่นอกกระท่อม พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้ถูกควบคุม ยังปลอดภัยดี

ผ่านไปไม่นาน หญิงชราคนหนึ่งก็ถือไม้เท้าเดินโซเซเข้ามา หลังค่อมเหมือนหญิงชาวนาแก่ๆ เป็นจั่วเอ๋อร์ที่ปลอมตัวแล้วนั่นเอง

หญิงชราเดินมาข้างกายหู่หลิน แล้วถามว่า “แน่ใจแล้วว่าไม่มีความผิดปกติ?”

หู่หลินพยักหน้า ยื่นมือเชิญ จั่วเอ๋อร์เดินตามอยู่ข้างหลังเขา

เดินมาตลอดทางจนถึงในกระท่อม อิ๋งเยว่ที่ควบคุมอารมณ์ได้แล้วกำลังนั่งอย่างสง่าอยู่ข้างใน มองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ

จั่วเอ๋อร์พยายามแยกแยะ หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นอิ๋งเยว่ ก็โยนไม้เท้าลงพื้น ยืดตัวตรงขึ้นมา แล้วถอดหน้ากากบนใบหน้าออก เผยโฉมหน้าที่แท้จริง เรียกได้ว่าน้ำชาไหลอาบใบหน้าชราทันที นางคุกเข่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก “ฟ้าเห็นแล้วคงเวทนา ในที่สุดบ่าวก็ได้พบคุณหนูแล้ว บ่าวกราบคุณหนู!” หมอบส่ายหน้าไม่หยุด

นางควบคุมอารมณ์ตัวเองลำบากจริงๆ นึกย้อนไปถึงคุณหนูตระกูลใหญ่ในปีนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะตกต่ำถึงขั้นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ มีหรือที่จะเอ่ยปากขอร้อง นึกถึงความมีหน้ามีตาของตระกูลอิ๋งในปีนั้น ในใจนางก็เป็นทุกข์มากเช่นกัน

ทว่าอิ๋งเยว่กลับรู้จักสะอิดสะเอียน รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้แสดงละครเก่งเกินไปแล้ว ตั้งแต่เด็กคนโตเคยเคารพนางมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ลูกหลานตระกูลอิ๋งมีใครบ้างที่ไม่กลัวนาง? นางย่อมจำเหตุการณ์ในปีนั้นที่ตระกูลอิ๋งพานางไปฟ้าระกาติงเพื่อให้แต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อได้ ตอนนั้นชัดเจนมากว่าคำพูดและการกระทำของจั่วเอ๋อร์กำลังขู่นาง ตอนนี้เพื่อที่จะใช้ประโยชน์นาง ไม่ว่าอะไรก็ทำได้หมดจริงๆ

ในสายตานาง นางตัดสินแล้วว่าจั่วเอ๋อร์กำลังเสแสร้งแกล้งทำ นางยิ่งรู้สึกแค้นหนักกว่าเดิม

“คุณหนูไม่ควรดื้อรั้นขนาดนี้…” จั่วเอ๋อร์ยังคงสะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น

เมื่อเห็นอิ๋งเยว่เหมือนจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ หู่หลินก็ประนมมือสองข้าง

จั่วเอ๋อร์ที่กำลังร้องไห้อย่างโศกเศร้าพลันหยุดเคลื่อนไหว แล้วเงยหน้าขึ้นมาอย่างงุนงง ลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าเลื่อนลอย เก็บมือยืนอยู่อย่างนั้น

หู่หลินกล่าวว่า “อิ๋งจิ่วกวงฝากฝังตระกูลอิ๋งให้เจ้า ทำไมเจ้าทรยศเจ้านาย ทำไมต้องฆ่าคนของตระกูลอิ๋ง?” เห็นได้ชัดว่าทำแบบนี้เพื่อให้อิ๋งเยว่ได้ยินด้วยหูตัวเอง ไม่อย่างนั้นเขาสามารถอ่านความคิดจั่วเอ๋อร์ได้โดยตรงเลย เขารับปากแล้วว่าจะช่วยอิ๋งเยว่สืบเรื่องนี้

จั่วเอ๋อร์กล่าวอย่างช้าๆ “ข้าได้รับความเมตตาใหญ่หลวงจากท่านอ๋อง ได้เสพสุขเกียรติยศความร่ำรวยมาทั้งชีวิต ไม่เอาตัวไปเกี่ยวข้องกับเรื่องผลประโยชน์มานานแล้ว ท่านอ๋องฝากฝังหน้าที่สำคัญ ไม่กล้าทำให้ผิดหวัง แต่ตระกูลอิ๋งจบแล้วจริงๆ จบแล้ว ไม่มีหวังจะให้ลูกหลานตระกูลอิ๋งล้างแค้นเพื่อตระกูลอิ๋งอีกแล้ว…”

เล่าเรื่องราวอย่างละเอียก ความหมายคร่าวๆ ก็คือลูกหลานตระกูลอิ๋งทำให้คนสิ้นหวังแล้ว ทำให้คนท้อใจเกินไป กระดูกท่านอ๋องยังไม่ทันเย็น ทั้งครอบครัวกำลังหลบหนี ยังไม่ทันหาที่ปักหลักได้ ใจคนยังไม่สงบ พี่น้องตระกูลอิ๋งก็เถียงกันแย่งสมบัติต่อหน้าทุกคนแล้ว นางเกลี้ยกล่อมหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าตระกูลอิ๋งอยากจะสร้างตัวอีกครั้ง ก็ต้องรวบรวมกำลังคนและกำลังทรัพย์ ถ้ากลายเป็นทรายที่กระจัดกระจายแล้ว ก็จะหมดหวังโดนสิ้นเชิง ถ้าแบ่งสมบัติของตระกูลอิ๋งแล้ว ใจคนก็จะกระจัดกระจายเช่นกัน อาศัยลูกหลานอกตัญญูที่ใช้ชีวิตบนกองเงินกองทองจนเคยชิน มีใครบ้างที่บริหารกิจการลับของตระกูลอิ๋งได้ ช้าเร็วก็ต้องเผยพิรุธให้ตำหนักสวรรค์จับได้ ถึงตอนนั้นก็จะนำพาหายนะมาสู่ทุกคนแน่นอน จั่วเอ๋อร์เองก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงลงมือสังหารเพื่อรักษาความหวังสุดท้ายเอาไว้ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าผลที่ตามมาก็คือเฉาหยินกับสงฉีไม่ยอมรับการควบคุม นางเองก็ตำหนิตัวเองต่อหน้าวิญญาณท่านอ๋องอยู่ทุกวัน

อิ๋งเยว่ฟังจนพรั่งพรูความเจ็บช้ำออกมาจากใจ ร้องไห้อย่างเจ็บปวด นางรู้ว่าจั่วเอ๋อร์พูดความจริง ตอนแรกนาง ตอนแรกที่นางหนีมาก่อนคนแรก ก็เพราะพฤติกรรมของคนตระกูลอิ๋งทำให้แม้แต่นางก็ทนมองต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่คิดเรื่องล้างแค้น กลับเอาแต่แย่งมรดกกัน นางเสียงเบาพูดแล้วไม่มีใครเชื่อฟัง ทำได้เพียงหนีออกมาคนเดียวด้วยความโมโห

………………

อิ๋งเยว่นึกไม่ถึงว่าพระปีศาจจะร่ายยาวบ่นเรื่องพวกนี้ให้นางฟัง นางฟังจนเพลิน นึกไม่ถึงว่ายุคนั้นจะวุ่นวายขนาดนั้น ตัวอยู่ในยุคนี้ ถ้าไม่ได้ฟังพระปีศาจพูดถึง นางก็ไม่มีทางจินตนาการออกจริงๆ

แต่สิ่งที่นางสงสัยก็คือหลังจากนั้น อดไม่ได้ที่จะถามว่า “อาจารย์ ท่านโดนสำนักหนานอู๋ทำลายวรยุทธ์ แล้วตอนหลังล่ะ?”

“ตอนหลังเหรอ?” พระปีศาจหนานโปแสยะยิ้ม “พวกเขาก็ไม่ได้ฆ่าข้าหรอก ที่จริงก็ต้องการฆ่าข้า แต่กลับมีคนหนึ่งเอ่ยปากขอร้องช่วยข้าไว้ ถึงได้โชคดีรอดชีวิตมาได้”

อิ๋งเยว่แปลกใจมาก ถามโดยไม่รู้ตัวว่า “ใครกัน?”

พระปีศาจเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ “ไป๋เหมย หนึ่งในสามเซียน เดิมทีไป๋เหมยเป็นศิษย์ถูกทิ้งสำนักหนานอู๋ ในปีแรกๆ ก็โดนสำนักบีบคั้นเพราะมีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนสูงเช่นกัน ด้วยความเดือดดาลจึงฆ่าเพื่อนร่วมสำนัก ตอนหลังอาจารย์ของเขายอมสละชีวิตปกป้อง อาจารย์เขาบอกว่าตัวเองสอนศิษย์ไม่ดี ใช้หนึ่งฝ่ามือตบศีรษะตัวเองจนตาย ใช้วิธีเอาชีวิตแลกชีวิตเพื่อปกป้องไป๋เหมยไว้ ไป๋เหมยถูกไล่ออกจากสำนักหนานอู๋ ตอนหลังไป๋เหมยมีโชคชะตาที่แตกต่าง มีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า กลายเป็นหนึ่งในสามเซียน หลังจากมีศักยภาพและชื่อเสียงนี้แล้ว สำนักหนานอู๋ก็ไปรังแกไม่ไหว ย่อมต้องปล่อยวางอดีต เปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหม ไม่เอ่ยถึงฐานะอู๋ศิษย์ถูกทิ้งสำนักหนานอู๋ของเขาอีก ส่วนกระดูกอาจารย์สำนักหนานอู๋ที่ใช้ชีวิตตัวเองปกป้องไป๋เหมยก็ฝังอยู่ที่สำนักหนานอู๋ ดังนั้นไป๋เหมยจึงไปกราบไหว้บ่อยๆ ถึงขนาดฝึกตนอยู่ที่สำนักหนานอู๋เป็นเวลานาน ส่วนสำนักหนานอู๋ก็ให้เกียรติฐานะของเขา จัดหาสถานที่ฝึกตนที่ลับตาคนให้เขา ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับข้า ไป๋เหมยก็อยู่ด้วยพอดี ไป๋เหมยบอกว่า ต้องใจกว้างให้อภัยคน’ อาศัยฐานะของไป๋เหมย สำนักหนานอู๋ก็ไม่สะดวกจะไม่ไว้หน้า พวกเขาถึงได้แค่ทำลายวรยุทธ์ ไม่ได้เอาชีวิตข้า”

อิ๋งเยว่ลองถามหยั่งเชิงอีก “แล้วตอนหลังล่ะ?”

พระปีศาจเล่าว่า “เรื่องนี้สะเทือนไปถึงเจ้าสำนักหนานอู๋เทียนอีแล้ว เทียนอีบอกว่าทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต หันกลับมาก็คือฝั่ง ตอนนั้นข้าตำหนิไปต่อหน้า ว่าข้าใฝ่หาพุทธะด้วยความจริงใจ เดิมทีคิดจะกลับตัว นึกว่าหันกลับไปแล้วจะเจอฝั่ง แต่ชาวพุทธกลับปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ ไหนล่ะฝั่ง? ตอนนั้นข้าถูกทำลายวรยุทธ์ ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ โมโหแค้นเคืองเกินไป จึงประกาศต่อหน้าทุกคนของสำนักหนานอู๋ ว่าวันหนึ่งจะสังหารสำนักหนานอู๋ให้สิ้นซาก ดังนั้นสำนักหนานอู๋จึงใช้ข้ออ้างสวยหรูว่าจะโปรดข้า จะกักบริเวณข้าไว้ที่สำนักหนานอู๋ แต่ตอนหลังไป๋เหมยก็พูดอีก บอกว่าในเมื่อเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้แล้ว ก็จะถือโอกาสเป็นธุระพาข้าไปกักบริเวณที่จักรวาลน้อยซึ่งเป็นที่พักของเขาที่สำนักหนานอู๋ หลังจากข้ามาที่จักรวาลน้อยได้แล้ว ไป๋เหมยเห็นวรยุทธ์ข้าถูกทำลายแล้วรู้สึกเสียดาย จึงขออภัยข้า บอกว่านี่คือเรื่องภายในของสำนักหนานอู๋ เขาไม่สะดวกจะแทรกแซงมาก เดิมทีไป๋เหมยกลัวสำนักหนานอู๋จะกลั่นแกล้งข้า ถึงได้พาข้ามาที่จักรวาลน้อย สำนักหนานอู๋เองก็ส่งคนมาที่จักรวาลน้อยทุกวันเพื่อใช้พุทธธรรม ‘มนต์ขับขานสวรรค์’ โปรดข้า ทว่าข้ามีความคิดดื้อรั้นเกินไป พุทธธรรมโปรดข้าได้ยากมาก แทนที่จะโปรดข้าได้ผล กลับถูกข้าค้นพบความลี้ลับที่อยู่ในนั้นเสียแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้พลังอิทธิฤทธิ์ ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะฝึกได้ ข้าได้ชื่อ ‘มนต์คร่าชีวิต’ มาจาก ‘มนต์ขับขานสวรรค์’ ข้าตระหนักได้ถึงความหมายอันลึกซึ่งของพุทธธรรมเช่นกัน จึงบุกเบิกวิธีการฝึกตนแบบใหม่ ช่วงที่ถูกกักบริเวณจึงใช้พุทธธรรมฟื้นฟูต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ที่ถูกทำลายไป แอบฝึกวิชาเพื่อรอโอกาสหนีไป แล้ววันหนึ่งข้าก็ได้โอกาส ไป๋เหมยไม่อยู่ บังเอิญว่าสำนักหนานอู๋มีเรื่องพอดี ไม่มีใครมาใช้พุทธธรรมโปรดข้า ข้าเลยฉวยโอกาสใช้ ‘มนต์คร่าชีวิต’ หนีออกมา หนีรอดจากสำนักหนานอู๋แล้ว”

อิ๋งเยว่แอบตกตะลึง พบว่าอาจารย์จอมเอาเปรียบท่านนี้มีประวัติความเป็นมาที่รันทดจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่ายามอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ก็ยังสามารถสร้างเคล็ดวิชาฝึกตนเองและได้รับชีวิตใหม่ได้ พรสวรรค์ด้านการฝึกตนนี้ จะเรียกว่าไม่สูงก็ไม่ได้ ขณะที่ตกตะลึงนางก็ลองถามอีกว่า “ดังนั้น ตอนหลังท่านอาจารย์ก็เลยกำจัดสำนักหนานอู๋แล้วจริงๆ?”

นางเคยได้ยินเรื่องที่หนานโปก่อกรรมทำเข็ญมาก่อน

พระปีศาจเองก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “หลังจากหนีออกจากสำนักหนานอู๋ เมื่อมีประสบการณ์ในการตระหนักรู้ด้วยตัวเองที่สำนักหนานอู๋แล้ว ข้าก็เรียนรู้จากประสบการณ์ขื่นขม กราบอาจารย์เพื่อเรียนวิชาไปทั่วทุกที่มาหลายปีขนาดนั้น ถ้าคิดจะขอร้องคนอื่น ก็ไม่สู้หวังพึ่งตัวเองดีกว่า บรรลุหลักธรรมเดียวก็บรรลุหมื่นหลักธรรม หากสัมผัสบางด้านได้แล้ว ที่เหลือก็ย่อมเชื่อมโยงถึงกัน กอปรกับหลายปีมานี้ข้าคลุกคลีกับเคล็ดวิชาของหกลัทธิมาไม่น้อย มีประสบการณ์ตระหนักรู้ด้วยตัวเองแล้ว ก็เลยตั้งใจคิดค้นเคล็ดวิชาฝึกตนขึ้นมาเองเสียเลย เมื่อมี ‘มนต์คร่าชีวิต’ คอยช่วย การจะหาทรัพยากรฝึกตนก็ไม่ยาก ตอนหลังวรยุทธ์พุ่งแบบก้าวกระโดด ตั้งแต่นั้นมา คนในโลกก็เรียกข้าว่าพระปีศาจ ทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมล้วนไม่ยอมรับข้า ข้าก็เลยสังหารทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม ฝ่ายธรรมะและอธรรมจึงรวมกลุ่มกันโจมตี ข้าก็เลยใช้หมัดแลกหมัด ใช้เลือดแลกเลือก ถ้าไม่ยอมแพ้ข้า ข้าก็จะสู้จนกว่าพวกเขาจะยอมแพ้! กวาดล้างพวกโจรกระจอก กำจัดวีรบุรุษในใต้หล้าให้หมด กินตับมังกร ลิ้มรสน้ำดีหงส์ สังหารสามเซียน หกสำนัก สามสิบสองประมุขดาว ล้างแค้นอย่างสะใจ!”

ขณะที่อิ๋งเยว่ฟังจนเพลิน ก็อดไม่ได้ที่จะถามเสียงอ่อนปวกเปียก “ไป๋เหมยนับว่ามีบุญคุณที่ช่วยชีวิตท่านอาจารย์ อาจารย์ก็ฆ่าเขาด้วยเหรอ?”

พอพูดถึงไป๋เหมย พระปีศาจหนานโปก็เงียบไปอีก แล้วน้ำเสียงก็อ่อนลง “เดิมทีข้าก็ไม่อยากฆ่าเขาหรอก แต่เขาไม่ควรจะคิดว่าข้าเป็นภัยต่อใต้หล้าเหมือนกับคนอื่นๆ ไม่น่าเชื่อว่าคิดจะกำจัดข้า ตอนนั้นเขามีลูกชายคนหนึ่ง หลังจากเขาแพ้ด้วยน้ำมือข้าแล้ว ข้าบอกว่าเห็นบุญคุณในปีนั้น ให้เลือกว่าคนไหนจะอยู่? เขาบอกว่าเขาแพ้แล้ว กรรมที่ตัวเองก่อ ตัวเองจะรับเอง ไม่ควรให้เด็กน้อยมารับกรรมแทนเขา ให้ปล่อยลูกเขาไป ข้าก็เลยปล่อยลูกชายเขาไป แล้วฆ่าเขา!”

“ลูกชายของไป๋เหมยก็คือประมุขไป๋ใช่มั้ย?” อิ๋งเยว่ถามเสียงอ่อน

พระปีศาจหนานโปส่ายหน้า “ลูกชายก็คือลูกชาย ลูกศิษย์ก็คือลูกศิษย์ เป็นคนละคนกับที่เจ้าเรียกว่าประมุขไป๋ ข้าไม่ได้ปล่อยลูกศิษย์เขาไป เขาหนีไปเอง”

อิ๋งเยว่กะพริบตาปริบๆ “ลูกชายของไป๋เหมยคงไม่ธรรมดาแน่นอน ทำไมตอนหลังถึงได้ยินแค่ชื่อประมุขไป๋ ไม่เคยได้ยินชื่อลูกชายเขา?”

พระปีศาจหนานโปกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ชัด ตอนหลังลูกชายเขาไปไหนแล้วข้าก็ไม่รู้ ในเมื่อข้ารับปากแล้วว่าจะปล่อยลูกชายเขาไป ข้าก็จะไม่เพ่งเล็งอีก ถ้าอยากจะล้างแค้นให้พ่อ ก็เข้ามาได้เลย ตอนหลังข้าก็ไม่มีโอกาสได้จับตาดูลูกชายเขาอีก ถึงแม้ตอนนั้นข้าจะสังหารไป๋เหมยไปแล้ว แต่ไป๋เหมยกลับมีศักยภาพไม่ธรรมดา สมกับเป็นคนหยิ่งผยองแห่งยุค มีความสามารถในการแย่งชิงหยินหยางฟ้าดิน โจมตีข้าจนสาหัส การต่อสู้ครั้งนั้นถึงอกถึงใจที่สุดตั้งแต่ข้าเป็นใหญ่ในใต้หล้า เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า จะเรียกเขาว่าเป็นยอดฝีมืออันหนึ่งแห่งใต้หล้าก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป ส่วนอีกสองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามเซียนเหมือนกันก็มีดีแค่ชื่อเท่านั้น ต่อให้เข้ามาพร้อมกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ตาแก่ไป๋เหมยนับว่าเป็นคนใจกว้าง!”

อิ๋งเยว่กะพริบตา คุยมาเยอะขนาดนี้ นางพบว่าอาจารย์จอมเอาเปรียบท่านนี้เหมือนจะไม่ได้คุยยากเหมือนที่ร่ำลือกัน นางถามด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียกต่อไป “ว่ากันว่าหลังจากอาจารย์สู้กับไป๋เหมยแล้ว ก็ถูกหกปราชญ์ฉวยโอกาสลงมือ?”

พระปีศาจหนานโปไม่ได้ปฏิเสธ แค่แสยะยิ้มแล้วบอกว่า “เจ้าโง่หกคนนั่น ตกหลุมพรางโจรทรามเซี่ยโห้วแต่ไม่รู้ตัว บังอาจใช้ ‘ค่ายกลเมี่ยฝ่า’ มาคุมขังข้าไว้ ตอนนั้นข้าก็บอกพวกเขาหกคนไว้แล้ว ว่าช้าเร็วก็ต้องตายด้วยน้ำมือโจรทรามเซี่ยโห้ว ผลก็เป็นอย่างที่คาดไว้ โจรทรามเซี่ยโห้วสนับสนุนให้ศิษย์ของสามเซียนมากำจัดข้า จะว่าไปแล้ว ใช่ว่าข้าจะไม่ตกหลุมพรางโจรทราม ในปีนั้นตอนฝ่ายธรรมะและอธรรมรวมกลุ่มกันโจมตีข้า ข้าก็พบความไม่ชอบมาพากลแล้ว สังเกตได้ว่าข้างกายมีคนเที่ยวสร้างศัตรูแทนข้าไปทั่ว พอสืบแล้วก็เจอตระกูลเซี่ยโห้ว คนอื่นไม่มีความกล้านั้น ข้าก็ย่อมเดือดดาลเพราะเซี่ยโห้วฉางอันมีใจคิดเป็นอื่น ก็เลยฆ่าเซี่ยโห้วฉางอันซะ ตอนหลังที่โดนขังแล้วข้าถึงได้สติ ไม่หน้าเชื่อว่าเจ้าเด็กที่ดูไม่โดดเด่นนั่นของตระกูลเซี่ยโห้วจะคอยวางแผนอยู่เบื้องหลัง เป็นเรื่องของเวลาและโอกาสจริงๆ ข้าประมาทไปชั่วขณะ เลยโดนเขาปิดบังตาไว้ เดิมทีสามารถสืบให้ชัดเจนได้ แต่กลับไม่ได้สืบต่อไป ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะมาเรือล่มในคลองแคบ ตอนหลังข้ากับลูกศิษย์รวมเจ็ดคนก็ซวยด้วยน้ำมือโจรทรามนั่น น่าแค้น!”

อิ๋งเยว่ไม่ถามแล้ว แต่ปากยังขยับพึมพำ คิดในใจว่าการที่ศิษย์หกคนนั้นร่วมมือกันสู้กับเจ้าได้ เกรงว่าเจ้าก็คงมีจุดที่ควรพิจารณาตัวเอง

ใครจะคิดว่าพระปีศาจหนานโปเรากลับมีตาอยู่ข้างหลัง เหมือนเห็นปฏิกิริยาของนาง ถามว่า “เจ้ากำลังคิดว่า ลูกศิษย์หกคนนั้นไม่มีใครเข้าข้างข้าสักคน ต้องเป็นเพราะข้าที่ทำเกินไปแน่นอน ใช่ไหมล่ะ?”

อิ๋งเยว่รีบส่ายหน้า “เปล่าค่ะ”

พระปีศาจหนานโปบอกว่า “หลังจากที่ข้าถูกขัง ก็เคยถามพวกเขาหกคนเหมือนกัน ว่าทำไมถึงถูกโจรทรามเซี่ยโห้วมอมเมาง่ายขนาดนี้ เจ้าเดาซิว่าพวกเขาพูดว่ายังไง?”

อิ๋งเยว่ก็อยากรู้เช่นกันว่าศิษย์พี่หกคนนั้นคิดอย่างไร จึงตอบว่า “อาจารย์โปรดเปิดเผย”

พระปีศาจหนานโปถอนหายใจ “สิ่งที่พวกเขาบอกก็ไม่แตกต่างกับตำนานที่เจ้าเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่ คิดว่าข้าามองคนเหมือนต้นหญ้า คิดว่าตัวเองเป็นเทพ พวกเขาตกอยู่ในความหวาดกลัวมาตลอด กลัวข้าไง นี่แหละคือเหตุผล! ตอนนั้นพวกเขาก็ไม่คิดดูเสียบ้างว่าสภาพสังคมวุ่นวายขนาดไหน ข้าทนรับความขื่นขม สังคมวุ่นวายก็ต้องใช้การลงโทษที่รุนแรง ถ้าไม่ใช่เพราะฆ่าสังหารคนพวกนั้น ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายธรรมะและอธรรมจะสงบลงเร็วขนาดนี้หรือ? ตอนหลังพวกเขาจะสร้างระบบของหกลัทธิได้เร็วขนาดนั้นหรือ? ถ้าไม่มีค่าวางรากฐานให้ ตอนนี้ประมุขชิงกับประมุขพุทธะอะไรนั่นจะอาศัยอะไรมาสร้างระบบนี้ขึ้น? อย่าบอกนะว่าพวกเขาเก่งกว่าขู่หมิงกับชิงเทียน? ถ้าไม่มีข้าวางรากฐานให้ เจ้าหนิวโหย่วเต๋ออะไรนั่นจะอาศัยวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งมาเป็นเจ้าอาณาเขตได้เหรอ? ที่ข้าทำลายความขัดแย้งระหว่างฝ่ายธรรมะและอธรรมก็เพื่อให้ใต้หล้าสงบ ข้อใดความเป็นอมตะแล้ว ใต้หล้าไร้ศัตรู ที่บอกว่าเป็นใหญ่ในใต้หล้าไม่มีความหมายอะไรสำหรับข้าเลย ในตอนนั้นสายตาข้าเหนือกว่าดาราจักรผืนนี้แล้ว นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมข้าถึงรับพวกเขาหกคนเป็นศิษย์ วิเคราะห์วิชาของหกลัทธิมาถ่ายทอดให้พวกเขา เพราะต้องการให้พวกเขาควบคุมหกลัทธิ สร้างระบบนี้ขึ้นมาทีละขั้น!”

ในใจอิ๋งเยว่ค่อนข้างไม่สนใจ ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดให้ตัวเองดูดีหรือเปล่า จะได้ทำให้นางทำงานรับใช้อาจารย์คนนี้อย่างจริงใจ

พระปีศาจหนานโปหันตัวมา “เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ ข้าพูดไกลไปหน่อย ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เอ่ยถึงศิษย์หกคนนั้น ก็เพราะอยากจะบอกเจ้าว่า ข้าเคยขาดทุนไปครั้งหนึ่งแล้ว ต้องเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้บ้าง วิชา ‘ไร้ลักษณ์’ ที่ถ่ายทอดให้เจ้าไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์ ข้าถ่ายทอดให้เจ้าแค่ครึ่งเดียว”

“ศิษย์เข้าใจ” อิ๋งเยว่ตอบอย่างเคารพ แสดงออกว่าไม่ได้รู้สึกน้อยใจอะไร เพียงแต่พูดดักไว้ก่อน นางมองสีหน้าหนานโปอย่างระมัดระวัง แล้วกล่าวเสียงอ่อนว่า “อาจารย์ ที่จริงตอนข้าอยู่ตระกูลอิ๋งข้าเรียกร้องอะไรไม่ค่อยได้ ลูกน้องเก่าของตระกูลอิ๋งไม่ฟังคำสั่งข้าหรอก”

พระปีศาจหนานโปบอกว่า “เจ้าโง่ถึงขนาดหนีออกมาแก้แค้นคนเดียว ข้าไม่หวังว่าเจ้าจะเรียกร้องอะไรได้หรอก แค่จะให้เจ้าเป็นธงผืนหนึ่งก็เท่านั้นเอง จะได้รวบรวมคนของตระกูลอิ๋งขึ้นมาใหม่ได้สะดวก พวกเขาไม่มีความหวังแล้ว ถ้าเจ้าตั้งธงของตระกูลอิ๋งขึ้นมาใหม่ สายตาของพวกเขาย่อมอดไม่ได้ที่จะมองมา”

“ต่อให้ข้ารวบรวมขึ้นมาได้ใหม่ แต่พวกเขาก็อาจไม่เชื่อฟังข้าก็ได้” อิ๋งเยว่ยิ้มเจื่อน ตอนนี้รู้จักเจียมตัวแล้ว

“ที่พวกเขาไม่เชื่อฟังเจ้า ก็เพราะเจ้าให้ความหวังกับพวกเขาไม่ได้ แต่มีข้ายืนอยู่ข้างหลังเจ้า นั่นก็ไม่เหมือนกันแล้ว” พระปีศาจหนานโปกล่าว

อิ๋งเยว่ถามหยั่งเชิง “บอกพวกเขา ว่าท่านคืออาจารย์ข้า ให้พวกเขามา?”

“ถ้าเจ้าพูดอย่างนั้นจริงๆ เกรงว่าพวกเขาคงกลัวจนหลบแทบไม่ทัน กลัวว่าหายนะจะมาถึงตัว มีแต่จะหนีไปไกลกว่าเดิม” พระปีศาจหนานโปตอบนาง

……………

อีกฝ่ายเปิดเผยหมดเปลือกขนาดนี้ ไม่ปิดบังเลยสักนิด ความมั่นใจที่ออกมาจากคำพูดเหล่านั้นเหมือนจะไม่ยอมให้นางปฏิเสธ สิ่งนี้ทำให้อิ๋งเยว่อึดอัดมาก รู้สึกว่าตัวเองเป็นแพะที่รอโดนเชือด

แต่ก็ทำให้อิ๋งเยว่เชื่อและเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมาหาตน ที่แท้สำหรับอีกฝ่าย ตนก็ยังมีมูลค่าหลงเหลือให้ใช้ประโยชน์

อิ๋งเยว่กัดฟัน “ตอนนี้ทุกที่ล้วนกำลังตามหาเจ้า เจ้าปกป้องตัวเองยังลำบากเลย” นางกำลังสื่อว่า เจ้าอะไรเอาอะไรมาช่วยข้า

พระปีศาจหนานโปหันตัวมา แล้วกล่าวอย่างไม่เชื่องช้าและไม่รีบร้อน “ข้าสร้างเซี่ยโห้วท่าคนที่หนึ่งขึ้นมาได้ ก็สร้างเซี่ยโห้วท่าคนที่สองขึ้นมาได้เช่นกัน ขอเพียงเจ้าเต็มใจ”

ข้าจะกลายเป็นคนอย่างเซี่ยโห้วท่าเหรอ? อิ๋งเยว่ตาเป็นประกาย ใจสั่นเล็กน้อย นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้หญิงคนหนึ่งอย่างนางจะกลายเป็นคนแบบเซี่ยโห้วท่าได้ แต่เมื่อนึกถึงตัวตนของอีกฝ่าย ก็เหมือนจะโน้มน้าวได้นิดหน่อย กระบี่ในมือวางลงช้าๆ แต่ปากก็ยังไม่ยอม ลองดิ้นรนอยู่สักหน่อย “แล้วถ้าข้าไม่ตอบตกลงล่ะ?”

พระปีศาจหนานโปหันตัวมา แล้วชี้ที่หน้าอกตัวเอง “ถ้าไม่ตอบตกลงก็จะเหมือนเขา ยังไงเจ้าก็ยังจะทำอยู่ดี”

อิ๋งเยว่รีบวางกระบี่จ่อที่คอตัวเอง “คอยดูว่าเจ้าจะควบคุมคนตายได้ยังไง!”

พระปีศาจยิ้มเรียบๆ พลางส่ายหน้า “ตายเหรอ? สงสัยเจ้าจะยังไม่รู้จักข้าสินะ ช่างเถอะ ข้าไม่ขู่บังคับเจ้าหรอก…ตายแล้วทุกอย่างก็จบ แต่ความแค้นของตระกูลอิ๋งล่ะ ใครจะมาสะสางให้? คิดไปคิดมา ผู้หญิงของตระกูลอิ๋งที่อยู่แต่ในบ้านอย่างเจ้า เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับเคล็ดวิชาฉบับสมบูรณ์จากอิ๋งจิ่วกวง ถ้าเจ้ายินดีคารวะข้าเป็นอาจารย์ ข้าก็จะถ่ายทอดเคล็ดวิชาพิเศษส่วนหนึ่งให้เจ้า ดีกว่าเคล็ดวิชาที่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะฝึก เจ้าอยากได้มั้ยล่ะ?”

อิ๋งเยว่กัดฟัน จะบอกว่าไม่หวั่นไหวก็โกหกแล้ว แต่นางก็ได้ฟังตำนานเกี่ยวกับท่านนี้มาบ้าง คนที่ร่วมงานกับท่านนี้ไม่ต่างอะไรกับเจรจากับเสือเพื่อเอาหนังเสือ แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือ อาศัยความสามารถของนางคนเดียวก็ไม่สามารถล้างแค้นได้เลย ถึงขนาดว่าทั้งชีวิตนี้ไม่กล้าโผล่หน้าไปเจอสังคมอีกแล้ว

“ตระกูลอิ๋งมีคนบางส่วนหลบหนีการสังหารจากตำหนักสวรรค์ได้จริงๆ ข้าเองก็มีอิทธิพลกับพวกเขานิดหน่อย แต่ไม่ได้มากเท่ารุ่นผู้อาวุโสแน่นอน ข้าถึงขั้นสงสัยว่าพ่อแม่ข้ารวมทั้งคนตระกูลอิ๋งที่หนีไปตายด้วยน้ำมือพวกเขาแล้ว ต่อให้ข้ายินดีติดต่อพวกเขาไป แต่พวกเขาก็อาจไม่เชื่อฟังข้า ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่มาแอบอยู่ที่นี่โดยไม่กล้าไปพบคนหรอก” อิ๋งเยว่พูดแบบนี้เท่ากับตอบตกลงแล้ว กระบี่ที่พาดบนคอวางลงช้าๆ

พระปีศาจพยกหน้า “คนในครอบครัวเจ้าอาจจะตายแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่มาหาแค่เด็กสาวจากตระกูลอิ๋งอย่างเจ้าเหรอก”

อิ๋งเยว่กล่าวอย่างคับแค้น “ในเมื่อผู้อาวุโสรู้แล้ว ก็ควรจะเข้าใจ ว่าแม้กระทั่งคนในครอบครัวข้าเขายังกล้าฆ่า จะเชื่อฟังข้าได้ยังไง? ข้าจะไปอยู่กับศัตรูที่สังหารพ่อแม่ข้าได้ยังไง!”

พระปีศาจส่ายหน้าถอนหายใจ “นางเด็กโง่ ถ้าไม่มีศักยภาพที่จะล้างแค้น ต่อให้เคียดแค้นแล้วยังไงต่อล่ะ? จดบันทึกความแค้นเอาไว้ก่อนก็ได้ ฝังมันไว้ลึกๆ ก่อนชั่วคราว แสร้งทำเป็นไม่รู้ รอจนเจ้ามีศักยภาพมากพอที่จะล้างแค้นแล้ว ความแค้นทุกอย่างก็จะถูกแก้ไขด้วยคมดาบ ใช้ประโยชน์พวกเขาเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้ตัวเจ้าเอง แล้วค่อยสังหารศัตรูด้วยมือตัวเอง แบบนั้นไม่สะใจกว่าหรือ? มัวระทมทุกข์ไปก็ไร้ประโยชน์ มิหนำซ้ำพวกเขาสังหารคนในครอบครัวเจ้าจริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ขอเพียงเจ้ายินดีคารวะข้าเป็นอาจารย์ ข้าก็จะช่วยสืบให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่เจ้ากันแน่ ใครกันที่ฆ่าพ่อแม่เจ้า ข้าล้วนบีบความจริงออกมาได้ ไม่ให้ขาดตกสักคำ! เจ้าจะใช้ในชีวิตอยู่ในความอาฆาตพยาบาทแบบถอนตัวได้ยากตลอดไป หรือว่าจะใช้การลงมือปฏิบัติจริงมาสะสางความแค้น? ข้าว่าเจ้าคงตัดสินใจได้ไม่ยากหรอกนะ!”

อิ๋งเยว่ก้มหน้า แล้วก็เงยหน้าอีกครั้ง “หลายปีมานี้ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอาหลี่ดูแลข้า ข้าคงตกอยู่ในมือตำหนักสวรรค์ไปนานแล้ว ผู้อาวุโสได้โปรดปล่อยเขาไป!”

พระปีศาจพยักหน้า “กายหยาบของเขาไม่เหมาะกับข้า ข้าก็แค่ยืมใช้งานยชั่วคราว ข้ารับปากว่าข้าจะไม่ทำร้ายเขา”

“ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าท่านจะไม่กลับคำ?” อิ๋งเยว่ถาม

พระปีศาจเหล่ตามองอย่างเย็นเยียบทันที “นางหนู คำสัญญาของอาตมามีค่ายิ่งกว่าร่างกายนี้!”

แกร๊ง! กระบี่ตกลงพื้น อิ๋งเยว่คุกเข่า แล้วกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก “ท่านอาจารย์!”

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่มีทางเลือก ถ้ามีทางเลือกนางคงไม่ตกต่ำถึงขั้นนี้ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเหมือนจะเป็นเพียงความหวังเดียว ที่ก่อนหน้านี้ปากแข็งก็เป็นแค่ความดัดจริตเท่านั้น

พระปีศาจมองต่ำลงมาที่นาง “อาตมาไม่เอ่ยคำสัญญากับใครง่ายๆ ถ้าพูดแล้วก็ต้องทำให้ได้ ในเมื่อเจ้าคารวะข้าเป็นอาจารย์แล้ว ข้าบอกแล้วว่าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาฝึกตนที่เหนือกว่าประมุขชิงกับประมุขพุทธะให้เจ้า ก็ย่อมต้องทำตามสัญญา ประมุขพุทธะฝึกมหาเวทอเวจี ประมุขชิงฝึกเคล็ดวิชาฟ้าครามทั่วหล้า หลายปีมานี้ข้าเบื่อมาก ใช้ความคิดไปมากมายเพื่อหลอมรวมสองวิชานี้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ชื่อว่า ‘ไร้ลักษณ์’ เจ้ายินดีจะรับไว้หรือเปล่า?”

ไร้ลักษณ์? อิ๋งเยว่อึ้งไปชั่วขณะ เรียกได้ว่าทั้งตกใจทั้งดีใจ ไม่รู้ว่าจริงหรือโกหก ไม่รู้ว่าเป็นเคล็ดวิชาที่ร้ายกาจเหมือนที่อีกฝ่ายบอกหรือเปล่า นางเก็บกระบี่ เอาศีรษะโขกพื้น แล้วกล่าวเสียงสั่นว่า “ศิษย์ยินดีรับไว้!” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวหรือว่าดีใจ

พระปีศาจค่อยๆ ก้าวมาข้างหน้า ยืนอยู่ตรงหน้านาง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เงยหน้าขึ้นมา!”

อิ๋งเยว่เงยหน้ามอง ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร

พระปีศาจบอกอีกว่า “หลับตา ตั้งสมาธิ!”

อิ๋งเยว่ไม่เข้าใจ กังวลว่าจะโดนทำร้าย แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด ถ้าอีกฝ่ายต้องการจะฆ่าตน ก็เหมือนไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้ จึงแข็งใจเงยหน้าหลับตา พยายามทำจิตใจให้มั่นคง

เมื่อเห็นลูกตานางกลอกไปมา ก็รู้ว่านางสงบอารมณ์ได้ยาก พระปีศาจจึงประนมมือสองข้าง ท่องมนต์เบาๆ “มีมามีมาฮง!”

อิ๋งเยว่นางอยากจะลืมตาดูว่าเขากำลังทำอะไร แต่ถูกความง่วงนอนเล่นงาน ไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้เลย ในหัวราวกับมีคลื่นโหมซัด มีคลื่นยักษ์ซัดกระทบอยู่พักหนึ่ง เหมือนซัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดของนางไปในชั่วพริบตาเดียว จิตใจสงบมั่นคงแล้ว

พระปีศาจหลับตาลง ริมฝีปากขยับพึมพำอย่างรวดเร็ว เหมือนกำลังแอบท่องอะไรสักอย่างที่สอดคล้องกับความเคลื่อนไหว เขายื่นนิ้วนิ้วหนึ่งขึ้นมาช้าๆ ปลายนิ้วปรากฏแสงสีทอง แล้วแตะไปตรงหว่างคิ้วของอิ๋งเยว่ แสงสีทองซึมเข้าไปในแท่นจิตของนางแล้ว

อิ๋งเยว่เห็นเพียงในสมองที่ว่างเปล่ามีมังกรทองตัวหนึ่งบินออกมา บินร่อนบนท้องฟ้า ไม่นานก็บินมาทที่นาง บินวนรอบกายนางอย่างรวดเร็ว ขณะที่นางกำลังตาลาย จู่ๆ ก็พบว่ามังกรทองกำลังสร้างตัวอักษรที่ละตัวด้วย ตัวอักษรที่แวบขึ้นมาประทับลงในหัวใจนางแล้ว

หลังจากมังกรทองสร้างอักษรจบไปรอบหนึ่ง มันก็เริ่มใหม่อีกครั้ง ทำซ้ำไปซ้ำมา หมุนเวียนไม่หยุด วนซ้ำไปซ้ำมา

จนกระทั่งตัวอักษรเหล่านั้นฝังลึกในสมองนาง นางรู้สึกว่าท่องได้คล่องแล้ว จู่ๆ มังกรทองก็ระเบิดหายไป กลายเป็นผงผลึกสีทองสลายหายไป

การระเบิดนี้ทำให้นางตัวสั่น ตักใจจนเหงื่อท่วมตัว นางพลันลืมตาขึ้น ในที่สุดก็ได้สติกลับมาแล้ว

พอรำลึกถึงตัวอักษรในหัวอีกครั้ง นางก็พบว่าอักษรพวกนั้นก็คือ ‘ไร้ลักษณ์’ เหมือนจะเป็นเคล็ดวิชาที่พระปีศาจบอก

นางรีบหันมองไปรอบๆ แต่กลับพบว่าไม่เห็นเงาร่างชาวประมงเฒ่าแล้ว ฟ้าก็เหมือนใกล้มืด พอลองนับนิ้วคำนวณเวลา ก็พบว่าตัวเองนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนี้ไปสองชั่วยามโดยไม่รู้ตัว

นางรีบลุกขึ้นมา แล้วมองไปทั่วห้อง บังเอิญมองลอดหน้าต่างไปเห็นเงาร่างของชาวประมงเฒ่ายืนตรงอยู่ในป่าไผ่ มีใบไผ่ปลิวผ่านร่างของเขาเป็นครั้งคราว

อิ๋งเยว่รีบเดินออกจากประตู เดินไปทางเงาหลังของชาวประมงเฒ่า แล้วมองเงาหลังนั้นด้วยแววตาสับสน

นางรู้สึกตกตะลึงมาก ตกตะลึงถึงขั้นตอนการถ่ายทอดเมื่อครู่นี้ ไม่น่าเชื่อว่าทำแบบนี้ก็สามารถ่ายทอดวิชาให้ตนได้ เคล็ดวิชาที่อัศจรรย์ขนาดนี้ นางไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ ตอนนี้เพิ่งได้รู้ถึงความไม่ธรรมดาของพระปีศาจ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้พระปีศาจไม่ได้อยู่ในช่วงสูงสุดของชีวิต แต่พอได้ลงมือแล้วกลับยังทำให้คนตะลึง แค่คิดก็รู้แล้วว่าในปีนั้นเป็นอย่างไร เรียกได้ว่ามองเห็นความหวังที่จะล้างแค้นแล้วจริงๆ

“ท่านอาจารย์!”

พอเดินมาถึงหลังพระปีศาจ อิ๋งเยว่เรียกอย่างเคารพเชื่อฟัง

“ไม่ได้ยินใครเรียกแบบนี้มานานมากแล้ว” พระปีศาจหนานโปยื่นมือรับใบไม้ที่ปลิวลงมา ทำได้อย่างนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ ราวกับว่ามันปลิวตกใส่มือของเขาพอดี “ข้าเคยรับลูกศิษย์หกคน”

ลูกศิษย์หกคน? อิ๋งเยว่งงไปชั่วครู่ “ที่แท้ศิษย์ก็ยังมีศิษย์พี่อีกหกคน”

พระปีศาจชะงักไปชั่วครู่ แล้วจู่ๆ ยิ้ม “สงสัยคงมีคนไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องในอดีตของอาตมามากนัก ตอนหลังลูกศิษย์หกคนของข้าถูกพวกเจ้าเรียกว่าประมุขปราชญ์หกลัทธิ!”

อิ๋งเยว่ตะลึงงัน ไม่น่าเชื่อว่าประมุขปราชญ์หกลัทธิจะเป็นศิษย์ของพระปีศาจหนานโป? เมื่อก่อนนางไม่เคยได้ยินคนเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยจริงๆ

พระปีศาจหนานโปถามว่า “เจ้าเคยได้ยินเรื่องของข้ามายังไงบ้าง? ได้ยินมายังไงก็พูดมาอย่างนั้น พูดความจริง อย่าเอาคำโกหกมาปิดบังข้า”

อิ๋งเยว่ลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็แข็งใจตอบว่า “บอกว่าอาจารย์สมมติตัวเองเป็นเทพ มองสรรพสิ่งเป็นเหมือนมด ฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจ…” ไม่กล้าพูดมากกว่านี้แล้ว

“คงอย่างนั้นกระมัง!” พระปีศาจหนานโปถอนหายใจ สายตาดูเลื่อนลอย เหมือนกำลังอธิบายให้นางฟัง “พื้นเพกำเนิดของข้าขรุขระสุดๆ พ่อเป็นนักพรตมนุษย์ แม่เป็นนักพรตปีศาจ พรสวรรค์กรฝึกตนของข้าค่อนข้างดีมาตั้งแต่เด็ก ฝึกควบทั้งวิชามนุษย์และวิชาปีศาจ…ข้าในยุคนั้นไม่เหมือนกับตอนนี้ ตอนนั้นคือยุคที่เรียกว่าธรรมะและอธรรมตั้งตนเป็นศัตรูกัน ห่างไกลกับคำว่าธรรมะและอธรรมในตอนนี้มาก ในตอนนั้นธรรมะและอธรรมเป็นปฏิปักษ์ต่อกันทุกด้าน นักพรตในใต้หล้าล้วนเข้ามาเกี่ยวข้อง เข่นฆ่ากันไม่หยุด ไม่ใช่เจ้าตายก็เป็นเขาที่รอด เพียงแต่นั่นคือยุคที่เคล็ดวิชาฝึกตนเฟื่องฟูเหมือนร้อยบุปผาบานสะพรั่งประชันกัน ค่อนข้างให้ความสำคัญกับศักยภาพส่วนบุคคล ไม่ได้อาศัยกำลังอำนาจเหมือนตอนนี้ การที่พ่อกับแม่ข้าอยู่ด้วยกัน ไม่เป็นที่ยอมรับใน ฝ่ายธรรมะ และไม่เป็นที่ยอมรับในฝ่ายอธรรมด้วย สุดท้ายก็ถูกฆ่า ส่วนข้าที่รอดชีวิตก็กลายเป็นโศกนาฏกรรม เพียงแต่ตอนนั้นนิสัยข้าสดใสมองโลกในแง่ดี ไม่ได้สิ้นหวังในตัวเอง รู้สึกว่าการรอดชีวิตอยู่ในโลกอันวุ่นวายนี้ได้ก็ดีกว่าอะไรทั้งนั้น เพื่อที่จะมีชีวิตรอดต่อไป เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต ไม่ว่าจะยากลำบากขนาดไหนข้าก็ทนได้หมด ได้วิชาจากนักพรตผีมาวิชาหนึ่ง เนื่องจากฝึกสำเร็จแล้วใช้ปิดบังตัวตนได้ สุดท้ายก็ยอมใช้ร่างกายหยางฝึกเคล็ดวิชาของนักพรตผี เรียกได้ว่าโชคดีเอาชีวิตรอดมาได้ ตอนหลังพบว่าตัวเองยังไม่แข็งแกร่งพอ ไม่พอให้ปกป้องตัวเอง ก็เลยปิดบังตัวตนเที่ยวกราบอาจารย์ฝึกวิชาไปทั่ว เรียนวิชาปีศาจ สำนักถูกฝ่ายธรรมะกวาดล้าง โชคดีที่เคยฝึกวิชาของนักพรตผีมาก่อน จึงเปลี่ยนตัวตนได้ทันเวลา โชคดีรอดหายนะครั้งนั้นมาได้ พอฝึกวิชาเซียน สำนักก็โดนฝ่ายอธรรมกวาดล้างอีก แล้วข้าก็อาศัยเคล็ดวิชาหลบหายนะครั้งนั้นได้อีกครั้ง เรื่องซ้ำๆ แบบนี้ไม่ได้เกิดแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น

ตอนฝึกวิชาของฝ่ายธรรมะ เป็นเพราะข้าโดดเด่นจึงถูกพี่น้องร่วมสำนักกดขี่ทำร้าย แทบจะเอาชีวิตไม่รอด พอฝึกวิชาของฝ่ายอธรรม ก็เป็นเพราะพรสวรรค์โดดเด่น จึงโดนคนสำนักเดียวกันอิจฉาและทำร้าย บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับพื้นเพพ่อแม่ข้า ตัวอยู่ที่ฝ่ายธรรมะ แต่เป็นเพราะไม่ยอมสังหารฝ่ายอธรรม เลยโดนฝ่ายธรรมะขับไล่ออกจากสำนัก ตัวอยู่ฝ่ายอธรรม เนื่องจากไม่ยอมสังหารฝ่ายธรรมะ ก็ถูกฝ่ายอธรรมไล่ออกจากสำนักอีก ตอนหลัง เป็นเพราะสำนักหนานอู๋ชื่อเสียงโด่งดัง ข้านึกว่าชาวพุทธใจดี เลยคิดหาทางเข้าสำนักหนานอู๋ ข้าได้ใช้ชีวิตสงบสุขอยู่หลายปี เดิมทีคิดจะอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิต แต่ใครจะคิดว่าสำนักหนานอู๋ก็มีความสามารถอยู่บ้างมีอยู่ครั้งหนึ่งตอนทดสอบกลุ่มลูกศิษย์ ข้าโดนคนเปิดโปงกำพืด เลยถูกมองเป็นปีศาจมารร้ายทันที เผชิญหน้ากับยอดฝีมือมากมายของสำนักหนานอู๋ หนีไม่พ้น ทำได้เพียงคุกเข่าขอร้อง สาบานว่าไม่ได้มีเจตนาร้าย ยินดีชำระล้างจิตใจกราบพุทธศาสนา ทว่าสำนักหนานอู๋ก็ไม่ปล่อยไป ลงมือทำลายวรยุทธ์ที่ข้าฝึกมาอย่างยากลำบาก…สรุปก็คือฝ่ายธรรมะไม่ยอมรับข้าฝ่ายอธรรมก็ไม่ยอมรับข้า เรียกได้ว่าไปที่ไหนก็จนตรอก ใช้ชีวิตแบบเอาตัวรอดไปวันๆ ได้รับความอัปยศมาเต็มที่!”

…………………………

กฎเกณฑ์เดียวกันนี้ถูกใช้ที่แดนสุขาวดีอย่างเข้มงวด

เตรียมป้องกันขนาดนี้ ถ้าคิดจะจับตัวพระปีศาจให้ได้ก็คงไม่แน่ ถึงอย่างไรใต้หล้าก็ใหญ่โต ไม่สามารถค้นหาได้ทุกซอกทุกมุม แต่กลับยับยั้งไม่ให้พระปีศาจทำอะไรซี้ซั้วได้ กำลังพลแนวหน้าที่อยู่ตามจุดป้องกันต่างๆ ถึงขั้นปิดประสาทสัมผัสการได้ยินและจิตสำนึก ป้องกันไม่ให้พระปีศาจอาศัยช่องโหว่

เหมียวอี้ถึงขนาดสั่งให้แดนอเวจีปฏิบัติเหมือนกัน ไม่กลัวหนึ่งหมื่น กลัวก็แต่หนึ่งในหมื่น เขาสามารถหาทางเข้าแดนอเวจีอีกทางได้ ใครจะไปรู้ว่าพระปีศาจจะรู้เส้นทางหรือเปล่า ระวังไว้หน่อยจะดีกว่า

สรุปก็คือ พอพระปีศาจหนานโปออกมา ใต้หล้าก็ค่อนข้างเกรงกลัวจนระแวงแม้กระทั่งเสียงลมเสียงนกกระสา

เหมียวอี้ต้องทึ่งในความเจ๋งของปีศาจเฒ่า คนที่สูญเสียกายเนื้อและพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้คนในใต้หล้าตึงเครียดขนาดนี้ คาดว่าคงมีแค่พระปีศาจคนเดียวเท่านั้น

บนผิวน้ำที่มีหมอกและคลื่นเล็กน้อย ชาวประมงเฒ่าคนหนึ่งกำลังแจวเรือเรือสำปั้น ค่อยๆ ไปหยุดตรงตีนเขา จากนั้นกระโดดขึ้นฝั่งแล้วมัดเชือกไม่ให้เรือลอยไป

ชาวประมงเฒ่าเดินขึ้นไปตามทางภูเขาที่คดเคี้ยว เดินมาถึงนอกศาลาหลังหนึ่งตรงไหล่เขา

ในศาลา ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนบัณฑิตกำลังเอามือไขว้ยืนชมทิวทัศน์

ชาวประมงเฒ่าเข้ามานั่งในศาลา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “มีเรื่องอะไร?”

บัณฑิตหันตัวมาช้าๆ ยิ้มบางๆ แล้วนั่งลงตรงข้ามเขา “มาเยี่ยมสหายเก่าผิดตรงไหน?”

“ตระกูลอิ๋งตกต่ำจนมีจุดจบอย่างนั้นแล้ว พวกเราไม่สะดวกจะเจอกันอีก” ชาวประมงเฒ่ากล่าว

“ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพราะจะถามพี่ลี่สักหน่อย คนของตระกูลอิ๋งได้ติดต่อมาหาเจ้าอีกหรือเปล่า?” บัณฑิตถามด้วยรอยยิ้ม

ในดวงตาชาวประมงเฒ่าฉายแววระแวดระวัง “ข้ากับตระกูลอิ๋งตัดขาดกันไปนานแล้ว คนตระกูลอิ๋งจะติดต่อข้ามาอีกทำไม?”

บัณฑิตจึงบอกว่า “ถึงยังไงปีนั้นเจ้าก็เคยอยู่ที่จวนตระกูลอิ๋งมาก่อน พอคนตระกูลอิ๋งตกระกำลำบาก จะติดต่อเจ้ามาก็เป็นเรื่องปกติมาก”

ชาวประมงเฒ่าส่ายหน้า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้า…” สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนเป็นเชื่องช้า ดวงตาสองข้างเหม่อลอย

“คนของตระกูลอิ๋งเคยติดต่อเจ้าหรือเปล่า?” บัณฑิตถามด้วยรอยยิ้ม

“มี อิ๋งเยว่ คุณหนูของตระกูลอิ๋งซ่อนตัวอยู่ที่บ้านข้า…” ชาวประมงเฒ่าตอบด้วยสีหน้าเลื่อนลอย

หลังจากถามตอบพักหนึ่ง บัณฑิตก็ยิ้มอย่างพอใจ แล้วเดินออกไปด้วยกัน ชาวประมงเฒ่าเดินตามหลังเขาออกจากศาลาไป

ทั้งสองเดินลงเขา ชาวประมงเฒ่าแก้หมัดเชือก แล้วขึ้นเรือพร้อมบัณฑิต

ชาวประมงเฒ่าแจวเรือ ลอยช้าๆ ไปกลางแม่น้ำ แล้วจู่ๆ ก็วางไม้พายสองด้าม แล้วค่อยๆ หันตัวเดินเข้าไปในเรือ

บัณฑิตที่นั่งอยู่ในเรือพลันหลับตา หงายหลังล้มลง เงาร่างที่ดวงตากะพริบแสงเพลิงสีทองหลุดออกมาจากตัวบัณฑิต แล้วชนเข้ากัยตัวชาวประมงเฒ่า หลอมรวมเข้าไปในร่างของชาวประมงเฒ่าแล้ว

ดวงตาของชาวประมงเฒ่ากลับมามีแววแล้ว หิ้วร่างบัณฑิตโบนลงในแม่น้ำ พอขยุ้มนิ้วทั้งห้ากลางอากาศ ร่างของบัณฑิตที่จมลงช้าๆ ก็แหลกกลายเป็นเศษเลือดเศษเนื้อ เลือดสดเริ่มกระจายปนเปื้อนอยู่ในแม่น้ำ ดึงดูดฝูงปลาให้เข้ามากิน

ชาวประมงเฒ่าเดินมาที่หัวเรืออีกครั้ง หยิบไม้พายสองด้ามขึ้นมาพายเรือ ปากพึมพำร้องเพลงด้วยเสียงแหบพร่า “เรือน้อยลำหนึ่ง เอ้อระเหยกลางฟ้าดิน ข้าล่องลอย ความกลัดกลุ้มจากกลางใจ มิอาจตัดสัมพันธ์ เขาไม่เกี่ยงสูง ทะเลไม่เกี่ยงลึก…”

ป่าไผ่ริมแม่น้ำ ในป่ามีกระท่อมหลังหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนตัวอยู่ในสังคมโลกแต่ก็ตัดขาดกับโลกภายนอก ปกติยามจะซื้อของก็ต้องเข้าเมืองไกล

จอดเรือที่ริมฝั่งแม่น้ำ ชาวประมงเฒ่าโยนเชือกมัดบนเสา พอขึ้นฝั่งมาก็มองไปรอบๆ แล้วเดินเข้าไปในป่าไผ่ตามทางเล็กๆ อย่างไม่รีบร้อน เมื่อมาถึงรั้วที่ใช้ไม้ไผ่สานล้อมไว้ ก็ผลักไม้เกี๊ยะประตูเล็กเดินเข้าไป สองข้างทางเป็นแปลงผักเล็กๆ พืชผักเขียวชอุ่ม

ในรั้วไม้ไผ่สาน กั้นเรือนด้านหลังและเรือนด้านหน้า เรือนข้างหน้าเป็นที่อยู่ของชาวประมงเฒ่า ส่วนข้างหลังเป็นที่อยู่ของลูกสาวชาวประมงเฒ่า

ผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดผ้าฝ้ายหยาบเดินออกมาจากบ้าน สีหน้าชินชา นางยิ้มเห็นฟันพร้อมถามว่า “่ท่านพ่อ ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้?”

ชาวประมงเฒ่าหยุดเดิน สายตามองสำรวจนางศีรษะจดเท้า พยักหน้าเบาๆ พร้อมอมยิ้ม

ลูกสาวงงอยู่บ้าง ขมวดคิ้วเล็กน้อย พบว่าชาวประมงเฒ่าแตกต่างจากยามปกตินิดหน่อย ลักษณะแววตาให้ความรู้สึกเหมือนคนที่ใช้ชีวิตสูงส่ง

ชาวประมงเฒ่าไม่ได้พูดอะไร แต่มองซ้ายมองขวาแล้วเดินอ้อมบ้านหลังแรก พอมาถึงบ้านข้างหลังก็ผลักประตูเข้าไปเลย

ลูกสาวที่ตามอยู่ข้างหลังยิ่งสงสัยมากขึ้น ปกติเวลาชาวประมงเฒ่าจะเข้าบ้านนางก็ต้องบอกก่อน ไม่เข้ามาโดยไม่ได้เชิญเด็ดขาด

จนกระทั่งเข้ามาดูในบ้านของลูกสาว ก็พบว่าชาวประมงเฒ่านั่งที่หัวโต๊ะอย่างสง่าผ่าเผย มองนางด้วยลักษณะท่าทางที่สูงส่งดุจนั่งอยู่บนเมฆ ราวกับคนบนฟ้ามองต่ำลงมาที่เวไนยสัตว์บนพื้นดิน

ผู้หญิงคนนี้ทำสีหน้าสงสัย เปลี่ยนเป็นถามว่า “ท่านอาหลี่ ท่านบุรุษจิงมาหาท่านเรื่องอะไร?”

“เราก็คืออิ๋งเยว่ หลานสาวของอิ๋งจิ่วกวงสินะ?” ชาวประมงเฒ่าถามด้วยรอยยิ้มเรียบๆ

เมื่อถามแบบนี้ ผู้หญิงคนนี้ก็ตกใจมาก ในที่สุดก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติแล้ว นางพลิกมือหยิบกระบี่วิเศษออกมาด้ามหนึ่ง แล้วถามอย่างระวังตัว “เจ้าไม่ใช่ท่านอาหลี่ เจ้าเป็นใคร?”

ไม่ผิดหรอก นางก็คือหลานสาวของอิ๋งจิ่วกวง อิ๋งเยว่ คนที่หนีออกมาจากตระกูลอิ๋งคนเดียวเพื่อล้างแค้น ก่อนหน้านี้ถูกปรนเปรอมาตั้งแต่เด็ก หลังจากออกมาเผชิญกับความเป็นจริง ถึงได้พบว่ายามสิ้นอำนาจแล้ว การที่ตัวเองคิดจะล้างแค้นนั้นเป็นเรื่องตลก ถ้าลองสุ่มเลือกศัตรูมาสักคน ก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวนางในตอนนี้จะไปมีเรื่องกับใครไหวบ้าง ไม่มีใครไว้หน้านางในฐานะคุณหนูของตระกูลอิ๋งอีกแล้ว แทบจะโดนขายทิ้งแล้ว ส่วนท่านอาหลี่ที่นางเรียก เดิมทีเป็นบ่าวไพร่ผู้ซื่อสัตย์ที่เรือนของนาง ในปีแรกถูกบิดาของนางไล่ออกจากบ้าน ดูเผินๆ เหมือนเป็นการไล่ออกจากบ้าน แต่ความจริงแล้วแอบเหลือทางหนีทีไล่ไว้ สถานการณ์แบบนี้เป็นเรื่องปกติมากของตระกูลใหญ่

หลังจากอิ๋งเยว่ถือวิสาสะออกจากกลุ่มมาคนเดียว บิดาของนางก็ให้นางกลับไป แต่นางไม่ยอมกลับ บิดานางกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับนาง จึงบอกที่อยู่ของท่านอาหลี่ให้รู้ บอกว่าต้นไม้ล้มลิงกระเจิง อยากไปหาคุณรู้จักก่อนหน้านี้ง่ายๆ เพราะจะถูกทรยศเอาได้ง่าย บอกว่าท่านอาหลี่ควรค่าแก่การเชื่อใจ บิดานางก็ติดต่อไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะให้ท่านอาหลี่คนนี้มารับ

หลังจากอิ๋งเยว่พบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากมาก ก็จำต้องมาหาท่านอาหลี่พรุ่งนี้ ทว่ากลับพบว่าบิดามารดาขาดการติดต่อไป แต่สามารถติดต่อจั่วเอ๋อร์ได้ จั่วเอ๋อร์เกลี้ยกล่อมให้นางกลับไป แต่ท่านอาหลี่กลับขี้ระแวง จึงให้อิ๋งเยว่ลองติดต่อคนอื่นๆ ในครอบครัวอีก ผลปรากฏว่าติดต่อไม่ได้สักคน ท่านอาหลี่คิดว่าตระกูลอิ๋งเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง จึงห้ามไม่ให้ห้ามอิ๋งเยว่ไปพบจั่วเอ๋อร์อีก

หลายปีผ่านไป อิ๋งเยว่ก็ติดต่อบิดามารดาไม่ได้เลย พอจะเดาออกแล้วว่าบิดามารดาคงประสบหายนะแล้วจริงๆ

และหลายปีมานี้นางก็ไม่กล้าโผล่หน้าไปไหน ตำหนักสวรรค์ไม่เคยยกเลิกประกาศจับกุมนางเลย ซ่อนตัวอยู่ในโลกมนุษย์โดยใช้ฐานะลูกสาวของท่านอาหลี่มาตลอด

“ข้าคือคนที่สามารถช่วยเจ้าได้ คนที่สามารถช่วยจะล้างแค้นได้” ชาวประมงเฒ่ากล่าวกลั้วหัวเราะ

“เราเป็นใครกันแน่?” อิ๋งเยว่กังวลมาก

ชาวประมงเฒ่าเอนตัวบนเก้าอี้ แล้วจู่ๆ บนตัวก็มีแสงทองวิบวับ ร่างกายที่มีดวงตาเพลิงสีทองลุกขึ้นยืนแล้ว

อิ๋งเยว่ตกใจ ไม่เคยเจอคนแปลกขนาดนี้มาก่อน ถอยหลังไปที่ประตูช้าๆ อย่างสับสนหวาดกลัว “เราเป็นใครกันแน่?”

เงาร่างสีทองเปล่งเสียงดังหึ่งๆ “ทั้งใต้หล้านี้ล้วนกำลังตามหาข้า เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครล่ะ?”

อิ๋งเยว่เบิกตากว้างในฉับพลัน เรื่องที่เป็นข่าวครึกโครมในใต้หล้าช่วงนี้ มีหรือที่นางจะไม่ได้ยิน เมื่อมองสภาพของอีกฝ่ายอีกครั้ง ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นพระ จึงร้องอย่างตกใจว่า “เจ้า…เราก็คือ…ก็คือพระปีศาจหนานโป?” สายตานางล่อกแล่กลนลาน มีเจตนาจะหนีไปแล้ว

“อยู่ตรงหน้าข้าเจ้าหนีพ้นเหรอ? เจ้าไม่สนใจความเป็นความตายของท่านอาหลี่แล้วหรือ? ในใต้หล้านี้ นอกจากข้าแล้วมีใครที่ล้างแค้นให้เจ้าได้บ้าง?” พระปีศาจหนานโปกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ

อิ๋งเยว่ยืนมองเขาอยู่ที่เดิม แต่กลับใช้กระบี่ชี้เขา พร้อมกล่าวอย่างวิตกกังวล “เจ้าอย่าเข้ามานะ!”

พระปีศาจหนานโปกะพริบแสงทอง กลับเข้ามานั่งในร่างชาวประมงเฒ่าอีกแล้ว ในดวงตาชาวประมงเฒ่ากลับมามีแววอีกครั้ง แล้วกล่าวด้วยเสียงจากกายหยาบ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเจ้า เจ้ายังไม่มีค่าพอให้ข้ามาลงมือด้วยตัวเองหรอก”

อิ๋งเยว่ไม่กังวลก็แปลกแล้ว ตัวละครที่สามารถทำให้ทั้งใต้หล้าตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดได้ ต่อให้นางนอนฝันก็นึกไม่ถึง ว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้เจอกับพระปีศาจหนานโปในตำนาน นางตกใจจนมือไม้อ่อน แต่ยังคงชี้กระบี่ไปที่อีกฝ่าย ถามเสียงสั่นว่า “เจ้าทำอะไรกับท่านอาหลี่?”

“ถ้าเจ้าไม่อยากให้เขาตาย เขาก็ตายไม่ได้หรอก” พระปีศาจหนานโปลุกขึ้นยืน เดินไปตรงหน้าต่าง ผลักหน้าต่างออก มองป่าไผ่เขียวชอุ่มด้านนอกพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “หลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋งผู้สง่าน่าเกรงจาม เสพสุขกับเกียรติยศความร่ำรวยมาเต็มที่ แต่กลับตกต่ำจนต้องปิดบังชื่อแซ่ มาหลบอยู่ในหมู่บ้านชาวนาจนๆ แสดงตัวเป็นหญิงชาวนา รสชาติยามตกจากที่สูงมันยากจะรับไหวใช่มั้ยล่ะ? แต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่ข้าเจอมา เจ้ายังห่างไกล ข้าโดนขังอยู่ในวัดเล็กๆ มาหลายปี…”

อิ๋งเยว่จะไปก็ไม่กล้าไป จะอยู่ก็ไม่กล้าอยู่ เครียดกังวลที่สุด “เจ้าคิดจะทำยังไง?”

พระปีศาจหนานโปมองไปนอกหน้าต่างพลางยิ้มบางๆ “เจ้าอยากล้างแค้นไม่ใช่เหรอ? ประมุขชิง โพ่จวิน อู๋ฉวี่ เซี่ยโห้วลิ่ง เถิงเฟย เฉิงไท่เจ๋อ หนิวโหย่วเต๋อ นี่คือศัตรูคู่แค้นที่เจ้าตั้งปณิธานแน่วแน่แล้วว่าอยากจะฆ่า แต่เจ้าก็ทำได้แค่ ‘อยาก’ ฆ่าเท่านั้น เจ้าฆ่าไหวเหรอ? เกรงว่าเจ้าคงไม่มีแม้แต่โอกาสจะเข้าใกล้พวกเขาด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ข้ามาแล้ว ข้ามาให้โอกาสเจ้าล้างแค้น!”

พอพูดถึงหนิวโหย่วเต๋อ เขาก็ค่อนข้างกลุ้มใจ หลังจากชิงกายหยาบหนีออกมาได้แล้ว อยากจะรู้สถานการณ์ปัจจุบันของใต้หล้าก็ไม่ยาก หลังจากหนีออกมาแล้ว เดิมทีสิ่งแรกที่เขาทำก็คือไปหาหนิวโหย่วเต๋อ ผลก็คือพบว่าตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อคือหนึ่งในอำนาจใหญ่ที่มีอยู่ไม่กี่ฝ่ายในใต้หล้า ในมือมีทหารเกรียงไกรหลายสิบล้าน มีนักรบอยู่ในมือมากมายดั่งเมฆ มารดาเจ้าเถอะ ไม่ใช่คนที่เขาจะมีเรื่องด้วยไหวในตอนนี้ หลังจากทำความเข้าใจขั้นตอนการผงาดขึ้นมาของหนิวโหย่วเต๋อโดยละเอียด ก็พบว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่พวกอ่อนหัด ไปรังแกไม่ได้ง่ายๆ จึงทำได้เพียงพิจารณาถึงผลระยะยาว

อิ๋งเยว่ไม่กล้าเชื่อ “เจ้าตามหาข้าเจอได้ยังไง?”

พระปีศาจหนานโปยิ้มเบาๆ “สำหรับคนอื่นอาจจะยากมา แต่สำหรับข้าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็สืบจากคนที่เคยเกี่ยวข้องกับตระกูลอิ๋งไปทีละขั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า คนที่ข้าไปหาล้วนปิดบังความลับอะไรข้าไม่ได้”

“เจ้าสิ้นเปลืองกำลังความคิดตามหาข้า ก็เพื่อจะช่วยข้าล้างแค้นเหรอ?” อิ๋งเยว่ถาม

พระปีศาจหนานโปหันตัวมาช้าๆ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าล้างแค้นอย่างเดียว แต่เพื่อล้างแค้นให้ข้าด้วย เดิมทีไม่ได้คิดจะมาหาเจ้า แต่ดูจากสภาพตอนนี้แล้ว เครือข่ายของตระกูลอิ๋งก็เหมือนจะเหลือแค่เจ้า ตามที่ข้ารู้มา หลังจากตระกูลอิ๋งรบแพ้ ยังมีกำลังพลบางส่วนหนีไปได้ คาดว่าตระกูลอิ๋งคงยังมีกำลังลับอยู่บางส่วน นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการในตอนนี้ แนวโน้มสถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนในยุคของข้าแล้ว ถูกจัดระเบียบใหม่แล้ว สู้แบบตัวต่อตัวไม่ได้เรื่องอะไร ถ้าเจ้าอยากจะล้างแค้นจริงๆ ก็ไม่พ้นต้องอาศัยการสนับสนุนจากคนพวกนี้ เจ้าออกหน้าติดต่อพวกเขาสิ ข้าจะช่วยเจ้ารวบรวมกำลังที่กระจัดกระจายขึ้นมาอีกครั้ง”

…………………………

อวิ๋นจือชิวเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ข้าอยู่ที่นี่มีผลกระทบกับเจ้าเหรอ?”

“มี!” เหมียวอี้หันตัวมา ยื่นมือไปคว้ามือเรียวงามของนางไว้ สบประสานสายตาพร้อมกล่าวว่า “ก็เพราะข้าห่วงใยเจ้า ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่จะทำให้ข้าเสียสมาธิ”

ธรรมชาติของผู้หญิงยากจะต้านทานคำพูดหวานๆ แค่ประโยคที่บอกว่า ‘ข้าห่วงใยเจ้า’ ก็ทำให้อวิ๋นจือชิวควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่แล้ว หัวใจราวกับมีคลื่นซัด ในดวงตาฉายแววหวานละมุนละไม เพียงแต่ภายนอกกลับยังบ่นว่า “เจ้าไม่เคยเอาจริงเอาจังขนาดนี้มาก่อน ต่อให้รู้ว่าสี่ทัพจะร่วมมือกันโจมตี แต่เจ้าก็ไม่ได้ให้พวกจีเหม่ยลี่หนีไปด้วย ปากเจ้าก็บอกว่าไม่ยอมให้พระปีศาจกำเริบเสิบสาน แต่ที่จริงแล้วเจ้าไม่มีความมั่นใจใช่มั้ย? ก็เหมือนที่เจ้าบอก ปีศาจเฒ่าต้องมีจุดที่ไม่ธรรมดาแน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำให้ตำหนักสวรรค์เผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจขนาดนี้”

เหมียวอี้ย่อมไม่ยอมรับอยู่แล้ว “ที่ให้พวกเจ้าหนีไปก็เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ขนาดเขาไม่มีกายหยาบกับพลังอิทธิฤทธิ์แล้วยังรอดมือประมุขชิงกับประมุขพุทธะได้ แค่นี้ก็เห็นถึงความคิดชั่วร้ายแล้ว วันนี้เขาไม่เหมือนในอดีตแล้วก็จริง แต่พลังอิทธิฤทธิ์ไม่มีแล้ว กายเนื้อก็ยากจะหวนกลับคืนมา ถ้าสู้ตัวต่อตัวกับข้า เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลย ถ้าพูดถึงอำนาจและกำลังพล เขามีอะไรบ้างล่ะ? ตอนนี้ใต้หล้าไม่ใช่ของเขาอีกแล้ว แนวโน้มใจคนก็ไม่มีใครหวังให้เขากลับมาเป็นใหญ่ ตำหนักสวรรค์ก็ออกนโยบายป้องกันอย่างเข้มงวด แม้แต่เข้าใกล้ข้าเขายังทำได้ยากเลย เขาไม่กล้าโผล่หน้ามาแล้ว ไม่เป็นโล้เป็นพายแล้ว วิธีการชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ของเขาใช้ไม่ได้ผลกับข้าหรอก แต่ข้ากังวลว่าเขาจะหาช่องโหว่มาถึงตัวพวกเจ้า”

อวิ๋นจือชิวเงียบอีกครั้ง ต้องยอมรับว่าที่เหมียวอี้พูดมีเหตุผล ด้วยศักยภาพของพระปีศาจในตอนนี้ เกรงว่าคงไม่กล้าปะทะกับเหมียวอี้ซึ่งๆ หน้า แต่ถ้าอยากได้ของจากมือเหมียวอี้ ก็ต้องคิดทำทุกวิถีทางเพื่อลงมือกับคนข้างกายเหมียวอี้แน่นอน แล้วคนในใต้หล้าก็รู้ทั้งนั้นว่าเหมียวอี้ยอมทำศึกเลือดเพื่ออวิ๋นจือชิว นางต้องเป็นเป้าหมายแรกที่พระปีศาจจะลงมือด้วยแน่นอน

เมื่อชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย อวิ๋นจือชิวก็เป็นผู้หญิงที่อ่านสถานการณ์เป็นคนหนึ่ง หลังจากเงียบไปก็ยอมแล้ว “ข้างกายเจ้าต้องมีคนคอยดูแลสิ ให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์อยู่ปรนนิบัติเจ้าเถอะ”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก มีเฟยหงก็พอแล้ว ถ้าไม่กลัวทางหน่วยตรวจการซ้ายสงสัย ทางที่ดีก็พาเฟยหงไปด้วย”

ในเวลาแบบนี้ อวิ๋นจือชิวทำตามการตัดสินใจของเหมียวอี้ นางไปคุยรายละเอียดกับเฟยหง เตือนเฟยหงให้ระวังตัวและต้องดูแลเหมียวอี้ให้ดี

สำหรับสิ่งนี้ เฟยหงย่อมไม่ปฏิเสธ อย่างน้อยช่วงเวลานี้ผู้ชายคนนี้ก็เป็นของนางคนเดียว ยามปกติต่อให้อยากจะดูแลเหมียวอี้ แต่โอกาสที่จะถึงคราวของนางก็มีไม่มาก ถึงอย่างไรภรรยาเอกก็อยู่ตรงนั้น ด้วยภูมิหลังของตัวเองทำให้ไม่มีความมั่นใจที่จะแย่งชิงความรัก

หลังจากนั้นไม่กี่วัน พิภพเล็ก แดนอู๋เลี่ยง อวิ๋นจือชิว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ หลินผิงผิง จีเหม่ยลี่ สองพี่น้องหวนหลาง อวี้หนูเจียว พวกฝ่าอินก็เหาะลงจากฟ้าพร้อมกัน

“ฮูหยิน!” ฉินเวยเวยที่ได้รับข่าวล่วงหน้านำหงเฉินและเยว่เหยามารอต้อนรับตรงประตูใหญ่ด้วยกัน

สายตาอวิ๋นจือชิวไปหยุดอยู่บนตัวเยว่เหยา ในใจนางรู้สึกปลง นี่มันเรื่องอะไรกัน!

นางนึกเสียใจทีหลังนิดหน่อยที่ตอนแรกรับปากให้เหมียวอี้แต่งงานกับเยว่เหยา ตัวเองก็เลอะเลือนเช่นกัน เพราะพบว่าเหมียวอี้ผ่านด่านในใจตัวเองไม่ได้ ไม่ได้ปฏิบัติต่อเยว่เหยาเหมือนผู้หญิงเลย ตามที่นางรู้มา จนป่านนี้เหมียวอี้ก็ยังไม่เคยแตะต้องเยว่เหยา เวรกรรมแท้ๆ!

และในหลายปีมานี้ นิสัยกล้าท้าชนของเยว่เหยาก็ถูกกาลเวลาขัดเกลาไปแล้วไม่น้อย ลักษณะท่าทางอ่อนโยนสุขุม ไม่ได้รู้สึกรำคาญอวิ๋นจือชิวเหมือนในปีแรกๆ อีก บางทีอาจจะยอมรับชะตากรรมแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่ สงบจิตสงบใจฝึกตน

อวิ๋นจือชิวรู้ดี ว่าสำหรับคนที่ดาบต้องเติมเลือดอย่างเหมียวอี้ การให้ชีวิตแบบนี้กับเยว่เหยา ถือว่าเป็นชีวิตที่ดีแล้ว มีอันตราย สงบสุข แต่สำหรับอวิ๋นจือชิวแล้ว ก็ต้องด่าว่าเหมียวอี้ไม่เข้าใจผู้หญิง เกรงว่านี่อาจไม่ใช่ชีวิตที่เยว่เหยาต้องการก็ได้

“พวกเราพี่น้องไม่ได้มารวมตัวกันบ่อยๆ ไม่ต้องมากพิธี” อวิ๋นจือชิวก้าวขึ้นมาประคองฉินเวยเวย แล้วก็บอกใบ้ให้ผู้หญิงคนอื่นยืนตัวตรง

ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเข้ามาข้างใน เตรียมงานเลี้ยงต้อนรับไว้เรียบร้อยแล้ว

เมื่อมาถึงถิ่นของบ้านตัวเอง ก็รู้สึกปลอดภัยไร้กังวล อวิ๋นจือชิวประกาศในงานเลี้ยง ว่าช่วงนี้จะไม่ได้กลับไปพิภพใหญ่อีกสักระยะ อยู่ที่พิภพเล็กทุกคนอยากจะไปไหนก็ได้ทั้งนั้น ถือโอกาสให้ทุกคนได้ผ่อนคลายสักหน่อย

เพียงแต่วันต่อๆ มา อวิ๋นจือชิวกลับไปพูดคุยเปิดใจกับพวกนางทีคน นางเองก็อยากจะถือโอกาสนี้ทำความเข้าใจความคิดของผู้หญิงแต่ละคนสักหน่อย นางพยายามทำให้ในบ้านสงบมั่นคง…

ข่าวที่พระปีศาจหนานโปถือกำเนิดอีกครั้งกระจายไปทั้งใต้หล้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ แตกตื่นกันทั้งใต้หล้า คนรุนหลังส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินชื่อบุคคลนี้มาก่อนด้วยซ้ำ ข่าวต่างๆ ที่ร่ำลือกันครั้งนี้ทำให้ทุกคนได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่แล้ว ที่แท้ในอดีตใต้หล้าก็เคยมีตัวละครที่ร้ายกาจขนาดนี้อยู่ด้วย

นอกประตูดวงดาว มีคนจำนวนมากมาด้วยกัน กำลังพลตำหนักสวรรค์กลุ่มหนึ่งโบกมือสกัดไว้ “หยุดก่อน! แสดงสัญลักษณ์พลังตรงแท่นจิต!”

หลายคนที่เหาะมาปิดบังไว้ ตอนนี้จำเป็นต้องเผยออกมา เผยสัญลักษณ์พลังตรงหว่างคิ้วแล้ว

หลังจากยืนยันแล้ว กำลังพลตำหนักสวรรค์ที่เฝ้าประตูดวงดาวถึงได้ปล่อยไป

ไม่ใช่แค่ที่นี่ ประตูดวงดาวในอาณาเขตทั้งหมดของตำหนักสวรรค์ล้วนส่งคนมาประจำการและสอบสวน คนที่เดินทางมาก็รู้เช่นกันว่าเพราะอะไร

ตรงประตูตลาดสวรรค์ มีคนสัญจรไปมา คนที่เข้าเมืองก็ต้องแสดงสัญลักษณ์พลังตรงหว่างคิ้วก่อนถึงจะเข้าไปได้

“ท่านลูกค้า ขออภัยด้วย กรุณาเผยสัญลักษณ์พลังตรงแท่นจิตสักหน่อย”

คนงานตรงประตูร้านค้าร้านหนึ่งกุมหมัดขออภัยลูกค้าที่จะเข้าร้าน

ดาวสยบใต้ นอกประตูใหญ่สำนักลมปราณ ศิษย์ที่เฝ้าประตูใหญ่ยื่นมือขวางเป่าเหลียน “ศิษย์อา รบกวนท่านเผยสัญลักษณ์พลังตรงแท่นจิตสักหน่อยเถอะ”

เป่าเหลียนถลึงตาใส่ “ข้าจะเป็นตัวปลอมได้เชียวเหรอ? หลีกไป!”

ศิษย์ที่เฝ้าประตูยิ้มเจื่อนพลางโค้งกายคารวะ “ศิษย์อา เจ้าสำนักถ่ายทอดคำสั่งแล้ว ใครฝ่าฝืนมีโทษหนัก พวกเรารับผิดชอบไม่ไหวหรอก ท่านยืดหยุนให้พวกเราหน่อยเถอะ”

ในศาลาที่อยู่ไม่ไกล แม่ทัพคนหนึ่งที่มาจากแดนรัตติกาลเดินออกมา แล้วตะโกนบอกว่า “แม่นางเป่าเหลียน นี่เป็นคำสั่งของผู้ตรวจการใหญ่ โปรดให้ความร่วมมือสักหน่อย”

พอได้ยินคำว่า ‘ผู้ตรวจการใหญ่’ เป่าเหลียนก็มีน้ำโหทันที นางเผยสัญลักษณ์พลังบงกชรุ้งตรงหว่างคิ้ว แล้วตะคอกถามอย่างหงุดหงิด “ข้าเข้าไปได้หรือยัง?”

“ศิษย์อา เชิญขอรับ!” ศิษย์ที่เฝ้าประตูหลีกทางให้อย่างประหม่า

พอเข้าประตูใหญ่มาแล้ว เป่าเหลียนก็ตรงไปที่ตำหนักซื่อตรง ไปหาเจ้าสำนักอวี้หลิงเจินเหริน แล้วบ่นอย่างเดือดดาล “ท่านปู่ หนิวโหย่วเต๋อคิดจะทำอะไร แม้แต่ทหารก็ส่งมาที่สำนักลมปราณของเราแล้ว เขามายุ่งมากเกินไปหรือเปล่า?”

เจ้าสำนักอวี้หลิถอนหายใจ “เรื่องพระปีศาจหนานโปก็ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ ป้องกันเข้มงวดหน่อยก็ไม่ผิดอะไร ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ได้รบกวนอะไรด้วย ไม่ได้รบกวนชีวิตประจำวันของสำนักลมปราณ ก็แค่ตรวจสอบมากขึ้นอีกชั้นก็เท่านั้นเอง”

เป่าเหลียนแสยะยิ้ม “สำนักลมปราณของเราจะตรวจสอบเองอยู่แล้ว ไม่ต้องให้เขามาแทรกแซงหรอก ให้เขาถอนกำลังกลับไป”

เจ้าสำนักอวี้หลิงมองนางด้วยสายตาแปลกๆ เอามือลูบเคราเงียบๆ พักหนึ่ง แล้วถามหยั่งเชิงว่ “เรื่องในปีนั้น เจ้ายังเคืองเขาอยู่เหรอ?”

พอเป่าเหลียนได้ยินคำพูดพวกนี้ก็อึดอัดนิดหน่อย “ข้าไม่เข้าใจว่าท่านพูดอะไร”

เจ้าสำนักอวี้หลิส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “เรื่องบางเรื่องข้าก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากกับเจ้ายังไง ที่จริงอวิ๋นจือชิว ฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อเคยมาหาข้าเพื่อคุยเรื่องเจ้า”

เป่าเหลียนทำสีหน้าระแวงทันที “ผู้หญิงคนนั้นมาคุยเรื่องข้าเหรอ? ผู้หญิงคนนั้นคิดจะทำอะไร? ไม่ถูกชะตากับข้าหรือไง?”

“เฮ้อ! เจ้าอย่าเคืองมากขนาดนั้นเลย เจ้าเข้าใจผิดแล้ว คิดมากไปแล้วด้วย” เจ้าสำนักอวี้หลิงส่ายหน้า “หนิวฮูหยินมาขออภัย นางบอกว่าผู้สำเร็จราชการหนิวเป็นคนที่ทำอะไรเด็ดขาดรวดเร็วมาตลอด มักไม่สนใจรายละเอียด นางบอกเรื่องเหยียนเกาน่ะ เป็นผู้สำเร็จราชการหนิวที่พิจารณาไม่ถี่ถ้วนเอง ทำเอาข้างนอกมีข่าวลือไปทั่ว ต่างก็นึกว่าเจ้ากับหนิวโหย่วเต๋อมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน ทำเสียงของเจ้าเสียหาย ทำลายชีวิตการแต่งงานของเจ้า หนิวฮูหยินอยากให้ข้ามาถามความเห็นเจ้า ถ้าเจ้าไม่ถือสาที่จะเป็นอนุภรรยา นางก็สามารถตัดสินใจเรื่องนี้แทนได้ สามารถเลือกฤกษ์งามยามดีให้หนิวโหย่วเต๋อแต่งงานรับเจ้าเข้าบ้านอย่างมีหน้ามีตา รับรองว่าไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างขาดความยุติธรรมแน่ นางหนู พูดเปิดอกถึงขั้นนี้แล้ว ปู่อยากจะถามความเห็นของเจ้า ว่าเจ้ายินดีจะแต่งงานหรือเปล่า? ถ้าเจ้ายินดี ทางบ้านก็ไม่ขัด เดี๋ยวข้าจะได้ไปคุยเรื่องนี้กับหนิวฮูหยิน”

พอได้ยินแบบนี้ เป่าเหลียนก็หัวใจเต้นรัว รู้สึกกลัวนิดหน่อย หน้าแดงเหมือนก้นลิงในชั่วพริบตาเดียว แต่ยังปากแข็ง “ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้บริสุทธิ์ใจแน่”

เจ้าสำนักอวี้หลิงพยักหน้า “ถ้าดึงดันจะพูดอย่างนี้ ก็ไม่ได้บริสุทธิ์ใจจริงๆ หนิวฮูหยินพูดจาแฝงนัยยะ นางถือโอกาสเลยเรื่องสำนักลมปราณด้วย นางบอกว่าตามหลักแล้ว ถ้าคนของสำนักลมปราณบรรลุถึงระดับบงกชรุ้ง ก็จะต้องถูกตำหนักสวรรค์เรียกไปเป็นขุนนาง ฟังจากเจตนาของนางแล้ว หลังจากหนิวโหย่วเต๋อแต่งงานกับเจ้า คงจะหวังให้ข้าถอยออกจากตำแหน่ง คงจะหวังให้ข้ายกตำแหน่งเจ้าสำนักให้เจ้า ถึงตอนนั้นผู้สำเร็จราชการหนิวจะได้ช่วยสนับสนุนให้สำนักลมปราณเป็นสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้สะดวก”

เป่าเหลียนก้มหน้าพึมพำ “สิ่งที่นางทำต่างกับเกาเหยียนนั่นตรงไหน”

เจ้าสำนักอวี้หลิงบอกว่า “ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่จุดที่ต่างก็มีเหมือนกัน หนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลก่วงนั้นต่างกัน อย่างน้อยเจ้าก็ชอบเขาไม่ใช่หรือ?”

เป่าเหลียนเงยหน้าทันที กล่าวด้วยสายตาหวาดกลัวว่า “ท่านปู่พูดเหลวไหลอะไรกัน ข้าไม่ได้ชอบเขาเสียหน่อย”

เจ้าสำนักอวี้หลิงพูดหยอก “นางหนู เราเองก็อายุไม่น้อยแล้ว กลายเป็นแม่นางคนหนึ่งแล้ว เจ้าตอบมาคำเดียว จะแต่งหรือไม่แต่ง?”

“ไม่แต่ง!” เป่าเหลียนพูดทิ้งท้ายแล้วลนลานหนีไป เขินอายจนหูแดงหมดแล้ว

“เหอะๆ!” เจ้าสำนักอวี้หลิงหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เขาจะยังไม่รู้จักความคิดของหลานสาวเชียวหรือ แค่ยอมเสียหน้าไม่ได้ก็เท่านั้นเอง เมื่อก่อนฝั่งนี้เอ่ยเรื่องแต่งงาน แต่แต่หนิวโหย่วเต๋อไม่ตอบตกลง ตอนนี้เป็นฝั่งหนิวโหย่วเต๋อที่มาหาเองถึงที่แล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรยาก สามารถทำตามความปรารถนาของหลานสาวได้ สำนักลมปราณก็ต้องการการปกป้องจากหนิวโหย่วเต๋อเช่นกัน

เพียงแต่เรื่องนี้เขายังต้องพิจารณาให้ดีเสียหน่อย ต้องขอความเห็นที่เป็นเอกฉันท์จากคนอื่นในสำนัก ถึงจะตัดสินใจได้ เขารู้ว่าอวิ๋นจือชิวมาที่นี่บ่อยๆ ก็คงมองออกเช่นกันว่าเป่าเหลียนชอบหนิวโหย่วเต๋อ อีกทั้งอวิ๋นจือชิวก็เป็นฝ่ายเอ่ยเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าอยากได้สินสอดเดิมของเจ้าสาวอย่าง ‘สำนักลมปราณ’

ถ้าไม่สามารถขอความเห็นที่เป็นเอกฉันท์เพื่อให้เป่าเหลียนเป็นเจ้าสำนัก เมื่อเป่าเหลียนแต่งงานออกไปเมื่อไหร่ ก็เกรงว่าสำนักลมปราณจะต้องเผชิญวิกฤต หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนแข็งกร้าวขนาดนั้น จะต้องสนับสนุนให้เป่าเหลียนขึ้นตำแหน่งแน่นอน ถึงตอนนั้นถ้าสำนักลมปราณขัดขืน เกรงว่าอาจจะต้องมีล้างเลือดกันก็ได้ ดูจากลักษณะการทำงานที่ผ่านมาของหนิวโหย่วเต๋อ ถ้าไปยั่วโมโหแล้ว เขาก็จะทำเรื่องแบบนี้แน่นอน สำนักลมปราณจะต้านทัพใหญ่ในมือหนิวโหย่วเต๋อได้อย่างไร

อวี้หลิงไม่อยากเห็นสถานการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น เขาไม่สามารถนำหายนะเลือดมาสู่สำนักลมปราณเพียงเพื่อสนับสนุนให้หลานสาวขึ้นสู่ตำแหน่ง ทำอย่างนั้นต่อให้เป่าเหลียนจะได้ขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าสำนัก แต่ก็ได้มาอย่างไม่ชอบธรรม ดังนั้นเขาจึงยังไม่ตอบตกลงอวิ๋นจือชิว…

ไม่เพียงแต่สำนักลมปราณเท่านั้น ทุกสำนักในใต้หล้าล้วนต้องตรวจสอบเอง คนที่เข้าออกล้วนต้องพิสูจน์สัญลักษณ์พลัง ศิษย์ในสำนักล้วนต้องพิสูจน์ทุกวัน แต่ตำหนักสวรรค์ก็ยังส่งกำลังพลตรวจตราไปคุมตามสำนักต่างๆ ด้วย

ขั้นตอนการพิสูจน์ยืนยันแบบนี้ก็ถ่ายทอดไปยังทัพใหญ่สายต่างๆ เช่นั้น ตั้งแต่ข้างบนยันข้างล่างล้วนต้องปฏิบัติตาม ทัพใหญ่แดนรัตติกาลของเหมียวอี้ปฏิบัติตามกฏอย่างเคร่งครัด ทั้งยังเพิ่มระดับด้วย แม้แต่เหมียวอี้เองเวลาเข้าออกก็ล้วนเป็นฝ่ายให้ความร่วมมือก่อน

ประตูดวงดาวแต่ละแห่งล้วนมีกำลังพลตำหนักสวรรค์ตรวจสอบสัญลักษณ์พลังของผู้ที่สัญจรไปมา การเข้าออกตลาดสวรรค์ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ร้านค้าเล็กใหญ่ล้วนปฏิบัติตาม รวมทั้งตลาดมืดแต่ละแห่งด้วย ตระกูลเซี่ยโห้วให้ความร่วมมือเต็มที่

ครั้งนี้อำนาจใหญ่ๆ แต่ละฝ่ายในใต้หล้าล้วนวางความขัดแย้งเอาไว้ก่อน พร้อมใจกันทำเรื่องนี้ ประสิทธิภาพดีจนน่าทึ่ง ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือไม่ให้โอกาสพระปีศาจหนานโปได้หวนกลับคืนมาอีก

…………………………

อวิ๋นจือชิวค่อนข้างประหลาดใจ “ในมือเจ้ามีของที่พระปีศาจหนานโปต้องการเหรอ?” จากนั้นก็เข้าใจทันที “เจ้าหมายถึงสถานที่ที่ศีลแปดฝึกวิชา? เขาจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้ารู้จักที่นั่น?”

เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ ขนาดตัวเองยังรู้สึกขำ ส่ายหน้าบอกว่า “พอได้ฟังเจ้าพูดแบบนี้ สงสัยในมือข้าจะไม่ได้มีของสิ่งเดียวที่พระปีศาจนั่นต้องการ แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคลังสมบัติหรอก พระปีศาจไม่รู้ว่าข้าเกี่ยวข้องกับคลังสมบัติ ตามหาข้าไม่เจอหรอก ที่เขาจะมาหาข้าก็เพราะต้องการของอย่างอื่น ยังจำสมุนไพรจิตวิญญาณที่ข้าได้มาจากมือปีศาจโลหิตได้มั้ย?”

“จำได้สิ ตอนแรกเจ้าบอกว่าเป็นสมุนไพรจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าสมุนไพรจิตวิญญาณคืออะไรกันแน่ เขาจะเอาสิ่งนี้ไปทำอะไร?” อวิ๋นจือชิวสงสัย

เหมียวอี้ยื่นมือเชิญให้นางนั่งลงข้างโต๊ะน้ำชา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขม “เรื่องนี้พูดแล้วก็ยาว ปีศาจโลหิตกับศีลแปดเร่ร่อนไปอยู่ในสถานที่ผนึก ศีลแปดยังดีหน่อย ไม่ถูกมนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจควบคุม แต่ปีศาจโลหิตกลับต้านไม่อยู่ ถูกพระปีศาจมอมเมา เปิดโปงกำพืดตัวเองหมดเกลี้ยง บอกพระปีศาจเรื่องที่ข้าปล้นสมุนไพรจิตวิญญาณไปจากค่ายกลมารโลหิตแล้ว ทีแรกข้าก็ไม่รู้ ตอนหลังพระปีศาจเอาใต้หล้ามาเป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกับสมุนไพรจิตวิญญาณ ข้าถึงได้แน่ใจว่าสมุนไพรจิตวิญญาณสามารถปลูกเนื้อหนังออกจากระดูก ฟื้นชีพคนตายได้ ตราบใดที่จิตวิญญาณไม่ดับสลาย ก็สามารถหล่อหลอมกายหยาบขึ้นมาใหม่ได้อีก ตอนแรกข้าก็ยังสงสัยอยู่บ้าง ตอนหลังอยู่ที่สถานที่ผนึกได้สักระยะ ก็อดไม่ได้ที่จะคุยเรื่องนี้กับปีศาจโลหิต ใครจะไปคิดว่าจะเป็นเรื่องจริง กายหยาบของพระปีศาจมีความพิเศษ ร่างกายคนทั่วไปไม่สามารถฝึกวิชาของเขาได้ หมายความว่าเขาไม่มีทางกลับมาอยู่จุดสูงสุดได้แล้ว สำหรับพระปีศาจที่มองว่าตัวเองเป็นเทพ นี้คือสิ่งที่ไม่มีทางยอมรับได้ ดังนั้นเขาหวังมาตลอดว่าจะเจอกายหยาบที่เหมาะสม ถ้าอยากจะหากายหยาบที่สอดคล้องกับเงื่อนไขของเขาโดยสมบูรณ์ก็ยุ่งยากมาก วิธีการที่สะดวกที่สุดก็คือใช้สมุนไพรจิตวิญญาณในมือข้า เสริมกับวิชาลับของพระปีศาจ ปีศาจโลหิตบอกว่า แบบนั้นการหล่อหลอมกายหยาบที่ตรงตามความต้องการของพระปีศาจก็ไม่น่าจะมีปัญหา”

“…” อวิ๋นจือชิวเหม่อไปพักใหญ่ ถามว่า “ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินเจ้าพูดเรื่องนี้เลย?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ตอนนั้นข้าไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ถ้าไม่ใช่เพราะพระปีศาจมีโอกาสหนีออกมา เกรงว่าข้าก็คงฉุกคิดไม่ได้เหมือนกัน”

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วเงียบๆ ไม่น่าเชื่อว่าสมุนไพรจิตวิญญาณจะสำคัญกับพระปีศาจขนาดนี้ เช่นนั้นก็เกรงว่าพระปีศาจคงจะมาจริงๆ ใช่ว่า ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ จะไร้ชื่อเสียง ลองสุ่มถามนักพรตดูสักคนก็รู้แล้วว่าเป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล หาง่ายเกินไปแล้ว

นางอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ายิ้มเจื่อนเช่นกัน “หนิวเอ้อร์ สงสัยเจ้ากับพระปีศาจจะมีวาสนาต่อกันจริงๆ สุ่มเลือกของมาสักอย่างก็ทำให้เจ้ากับเขาเกี่ยวข้องกันได้แล้ว จะหลบก็หลบไม่พ้นจริงๆ”

“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจอย่างอับจนปัญญา

ฝนโปรยปรายบนทะเลสาบนิ่งสงบ เรือน้อยลอยโดดเดี่ยว ชายชราที่ปล่อยใจไปกับธรรมชาติกำลังนั่งตกปลาอยู่บนเรือเพียงลำพัง ไม่ใช่ใครที่ไหน เซี่ยโห้วท่านั่นเอง

ซ่อนตัวอยู่ที่นี่มาหลายปี เขาได้ลองเปลี่ยนบทบาทไปมากมาย ตอนนี้กลายเป็นชาวประมงเฒ่าคนหนึ่งแล้ว

ระฆังดาราของเว่ยซูส่งข่าวมา เขาหยิบระฆังดาราออกมาทันที หลังจากได้ยินว่ามีเบาะแสเรื่องสถานที่ผนึก เขาก็ให้ความสนใจมากมาโดยตลอด จะเรียกว่ารอฟังข่าวจากเว่ยซูมาตลอดก็ว่าได้

หลังจากติดต่อเสร็จแล้ว เซี่ยโห้วท่าก็ถามทันท : สถานการณ์เป็นอย่างไร?

เว่ยซู : นายท่าน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปหลุดไปแล้วขอรับ

มือที่ถือคันเบ็ดสั่นอย่างรุ่นแรงพักหนึ่ง เซี่ยโห้วท่ารีบถามว่า : เจ้าพูดอะไร?

เว่ยซูรู้ว่าเขายอมรับสิ่งนี้ได้ยาก แต่ความจริงก็คือความจริง เขาไม่อาจพูดเหลวไหลตามใจได้ จึงย้ำอีกครั้งว่า : นายท่าน วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปหลุดไปแล้ว หนีไปแล้วขอรับ

เซี่ยโห้วท่ารีบเขย่าระฆังดารา : เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นประมุขชิงหรือประมุขพุทธะ ก็ล้วนเล่นงานเขาให้ถึงตายได้ทั้งนั้น เขาสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะหลุดเงื้อมมือสองคนนั้นไป ต่อให้ฆ่าไม่ได้ก็ต้องสกัดขวางไว้ได้สิ!

เว่ยซู : ตอนค่ายกลสถานที่ผนึกถูกทำลาย พระปีศาจใช้มนต์คร่าชีวิตควบคุมทัพใหญ่ที่อยู่รอบๆ ประมุขชิงกับประมุขพุทธะหาเรื่องใส่ตัว โดนทัพใหญ่ของตัวเองสกัดไว้ โดนพระปีศาจฉวยโอกาสแย่งร่างคนอื่นหนีไปแล้ว

เซี่ยโห้วท่าเบิกตากว้าง ดวงตาฉายแววคับแค้นปนโศกเศร้า : เลอะเลือน! ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าเรื่องมนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจ อย่าบอกนะว่าไม่ได้ปิดประสาทสัมผัสการได้ยินล่วงหน้า?

เว่ยซู : นายท่าน นี่ก็คือกุญแจสำคัญของปัญหา ต่อให้ปิดประสาทสัมผัสการได้ยินแล้ว แต่ก็ต้านมนต์คร่าชีวิตไม่อยู่ พระปีศาจสามารถควบคุมคนผ่านจิตสำนึกได้ ตอนแรกพระปีศาจแสดงความอ่อนแอ รอให้ค่ายกลพพังก่อนถึงแสดงฝีมือที่แท้จริง ประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็ตกหลุมพรางเขาเช่นกัน ถึงปล่อยให้เขาหนีไปได้ขอรับ

เซี่ยโห้วท่าตบคันเบ็ดในมือไปที่หัวเรือ แล้วก็กระโดดลงน้ำ ใบหน้าขาวซีด หายใจถี่กระชั้น ร่างกายสั่นเล็กน้อย

ผ่านอุปสรรคลมฝนมามากมาย เห็นพายุคลื่นยักษ์มาจนชิน เซี่ยโห้วท่าที่สุขุมเยือกเย็นมาตลอด ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้ในดวงตาจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ถ้าถามว่าในใต้หล้านี้ใครหวาดกลัวพระปีศาจหนานโปที่สุด นอกจากเขาที่เป็นคนทำให้พระปีศาจหนานโปตกต่ำถึงขั้นนี้ ก็ไม่มีคนอื่นแล้ว เขารู้ว่าพระปีศาจหนานโปจะใช้วิธีการแบบไหนมาล้างแค้น

ไม่ผิดหรอกที่เขาแกล้งตาย โลกภายนอกต่างก็คิดดว่าเขาตายไปแล้ว ตามหลักแล้วศัตรูก็น่าจะวางมือแล้วเช่นกัน

เขาเองก็จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ตามหลักแล้วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งนี้เท่าไรนัก

แต่คู่แค้นของเขาดันไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นพระปีศาจหนานโปที่ทำให้คนขนพองสยองเกล้า ในปีนั้นเขาคอยฟังคำสั่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของพระปีศาจหนานโป เข้าใจความน่าหวาดกลัวของพระปีศาจดีเกินไป ทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า ทำให้คนไม่กล้าแม้แต่จะพูดเสียงดัง คนที่สมมติตัวเองเป็นเทพได้ มีหรือที่ใช้แค่คำว่า “หลงระเริง” มาบรรยายแล้วก็จบ นั่นคือสุดยอดปีศาจร้ายที่ไม่เคยมีมาก่อน วิธีการสุดล้ำ วีรบุรุษนับไม่ถ้วนถูกเขาโจมตีจนหมอบ แล้วใครจะกล้าไม่ยอมแพ้ล่ะ?

เซี่ยโห้วท่าเข้าใจดีมาก ว่าถ้าพระปีศาจต้องการจะล้างแค้นเขา ต่อให้เขาตายไปก็ไม่มีประโยชน์ ตายก็แล้วก็ดึงเขากลับมาใหม่ได้ เพราะเขาเคยเห็นอภินิหารนี้ของพระปีศาจหนานโปมากับตาตัวเอง ศัตรูที่วนกลับมาเกิดร้อยชาติล้วนถูกปีศาจนั้นดึงกลับมา ฟื้นความจำของคนคนนั้น ทรมานจนอยู่มิสู้ตาย

ภาพอันโหดเหี้ยมนั้น พอเขามานึกดูตอนนี้ก็ยังขนลุก

บุคคลที่น่ากลัวขนาดนี้ เป็นบุคคลที่ทำให้เขาสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายได้บ่อยๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะหลุดออกมาแล้ว!

เซี่ยโห้วท่าเผยสีหน้าหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขากลัวแล้วจริงๆ กลัวจะตายอยู่แล้ว

ทว่าเขาก็รู้ว่ายามเผชิญหน้ากับคนอย่างพระปีศาจหนานโป ถ้าพระปีศาจหนานโปไม่อยากให้เขาตาย เขาก็ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะตายด้วยซ้ำ

ราวกับว่าเขาเห็นดวงตาที่มองคนเป็นเหมือนมดกำลังจ้องเขาแล้ว เซี่ยโห้วท่าหันขวับไปข้างหลัง เรือน้อยลอยโดดเดี่ยวอยู่บนทะเลสาบ แต่ข้างหลังไม่มีอะไรทั้งนั้น เขาเหงื่อโชกเต็มตัวแล้ว

เขารู้ว่าวันคืนที่ต้องทนรับความทรมานได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว…

ในจวนผู้สำเร็จราชการ สวนดอกไม้ เหมียวอี้ขมวดคิ้วเดินไปเดินมาอยู่คนเดียว

สมุนไพรจิตวิญญาณในมือจะทำอย่างไร? เขาจำเป็นต้องพิจารณาปัญหานี้ ถ้าพระปีศาจหนานโปหนีไปได้จริงๆ สมุนไพรจิตวิญญาณนี้ถ้าเก็บไว้ในมือก็จะเป็นหายนะ เขากำลังคิดว่าจะมอบให้ใครสักคนที่ตัวเองเหม็นขี้หน้าดีหรือไม่?

ในขณะนี้เอง หยางเจาชิงรีบเดินเข้ามาแล้ว กุมหมัดคารวะกล่าวว่า “นายท่าน เหวินเจ๋อขอพบขอรับ”

“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า นับว่าตอบรับแล้ว

ไปหยางเจาชิงออกไป ประเดี๋ยวเดียวก็นำเหวินเจ๋อเข้ามา

พอเหวินเจ๋อเข้ามา ก็รีบร้อนทำความเคารพ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “นายท่าน แย่แล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปหลุดไปแล้ว…”

เขาเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ ที่สำคัญคือได้รับแจ้งมาจากตำหนักสวรรค์ ให้แจ้งกำลังพลแดนรัตติกาลว่าให้เฝ้าระมักระวังอย่างสูง ดำเนินการตรวจสอบ พร้อมคิดหาทางป้องกันไม่ให้พระปีศาจหนานโปอาศัยช่องโหว่เข้ามาด้วย

เหมียวอี้แอบถอนหายใจ สงสัยปีศาจเฒ่านั้นจะหนีรอดไปได้แล้วจริงๆ เขาไม่เข้าใจ ขนาดประมุขชิงกับประมุขพุทธะออกโรงด้วยตัวเองแล้ว ทำไมยังปล่อยให้ปีศาจเฒ่านั่นหนีไปได้? เหวินเจ๋อพูดไม่ชัดเจน เขาเองก็ไม่สะดวกจะถามมาก คาดว่าเหวินเจ๋อคงรู้ข้อมูลจำกัดเช่นกัน หรือไม่ก็รู้อะไรที่ผิดข้อห้ามถึงไม่บอกตน จึงกะว่าเดี๋ยวจะติดต่อถามจากฮ่าวเต๋อฟาง

สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้เซ็งที่สุดก็คือเหวินเจ๋อ ตำหนักสวรรค์นี่ก็ไม่รู้ว่ามีเจตนาอะไร เขา ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ต่างหากที่เป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็บอกกับเหวินเจ๋อโดยตรง ทำเอาเหวินเจ๋อเหมือนเป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเสียเอง ถ้าไม่ใช่เพราะเหวินเจ๋อยังอ่านสถานการณ์ออก เขาก็จะต้องสั่งสอนตำหนักสวรรค์กลับเหวินเจ๋อสักหน่อย จะได้ไม่มองว่าเจ้าอาณาเขตยังเขาเป็นหุ่นเชิด

เหวินเจ๋อเองก็อึดอัดเพราะสายตาแปลกๆ ของเหมียวอี้เช่นกัน เขารู้ว่าเหมียวอี้กำลังคิดอะไร แต่เขาเองก็ไม่มีทางเลือก ตำหนักสวรรค์ดึงดันจะทำอย่างนี้ แล้วเขาจะทำอย่างไรได้? เขาถึงขั้นสงสัยว่าตำหนักสวรรค์กลัวว่าเขาจะเอนเอียงมาขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า ถึงตั้งใจจะเสี้ยมเขาควายให้ชนกันแบบนี้

พูดตามตรง ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังที่มาที่นี่ นอกจากอำนาจผลประโยชน์ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลจะไม่ตกถึงมือเขาแล้ว ทางตำหนักสวรรค์ก็ยังระแวงเขาอีก ทำให้เขาทั้งนอกทั้งในล้วนไม่ใช่คน แต่ก็ดันไม่สะดวกจะขัดใจทั้งสองฝ่าย

“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า “แจ้งแม่ทัพทุกคนให้ไปที่ตำหนักประชุม”

จากนั้นแม่ทัพคนสำคัญก็ไปรวมตัวกันในตำหนักประชุมของส่วนผู้สำเร็จราชการ เหมียวอี้แจ้งสถานการณ์ทางฝั่งนี้ให้ฟัง แล้วสั่งให้เบื้องล่างป้องกันและตรวจสอบหน่วยของตัวเอง

สรุปก็คือ ข่าวนี้ของตำหนักสวรรค์มาทันเวลา อย่างน้อยก็สอนทุกคนว่าต้องทำอย่างไรถึงจะป้องกันไม่ให้พระปีศาจเจาะช่องโหว่เข้ามา

สำหรับข่าวนี้ บรรดาแม่ทัพตกใจขนาดไหนก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง

หลังจากประชุมจบ เหมียวอี้ก็นำหยางเจาชิงกลับมาในบ้าน พาไปหาอวิ๋นจือชิว

“ไม่ไป!”

พอได้ฟังว่าจะให้ตัวเองพาพวกหลินผิงผิงกลับไปหลบที่พิภพเล็ก อวิ๋นจือชิวก็ปฏิเสธทันที

“น้องชิว อย่าดื้อสิ!” น้ำเสียงเหมียวอี้ไม่ยอมให้ปฏิเสธ หันกลับมาบอกหยางเจาชิงว่า “เจ้าบอกทางหลินผิงผิงด้วย ให้นางรีบเก็บของเตรียมไปกับฮูหยิน”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับแล้วหันตัวเดินออกไป รู้ว่านายท่านหวังดีกับเขา เขาจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง

อวิ๋นจือชิวจ้องเหมียวอี้พักหนึ่ง แล้วกัดฟันถามว่า “หนิวเอ้อร์ ในสายตาเจ้าข้าก็เป็นแค่ตัวภาระใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ส่ายหน้าถอนหายใจ “เจ้าคิดมากไปแล้ว ตอนนี้พระปีศาจหนานโปไม่เหมือนในปีนั้นแล้ว อาศัยกำลังของข้าตอนนี้ ข้าก็ไม่กลัวเขาเลย แต่ชื่อของคนก็เงาของต้นไม้ ปีศาจเฒ่านี่ต้องมีจุดที่ไม่ธรรมดาแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำให้ตำหนักสวรรค์เผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจแบบนี้ ถ้ามาอย่างเปิดเผยข้าไม่กลัว กลัวก็แต่พระปีศาจจะเล่นไม่ซื่อ ไม่ใช่แค่เจ้า ครั้งนี้เจ้าต้องพวกพวกจีเหม่ยลี่กลับพิภพเล็กด้วย น้องชิว ไม่เกี่ยวว่าเป็นภาระหรือไม่ ถ้าเจ้าหวังดีกับข้าจริงๆ ก็อย่าทำให้ข้าห่วงหน้าพะวงหลัง เจ้าอยู่ที่พิภพเล็กก็ยังสามารถติดต่อมาให้ความร่วมมือกับข้าได้” พูดจบก็หันตัวมองไปนอกประตู เอามือไขว้หลังพลางกล่าวช้าๆ “ต่อให้ไม่มีสมุนไพรจิตวิญญาณ ก็ยังมีบัญชีแค้นที่ข้าเคยทารุณเขาที่สถานที่ผนึก เรื่องบางเรื่องต่อให้หลบก็หลบไม่พ้น ถ้าให้เป็นฝ่ายรอถูกกระทำ ไม่สู้เป็นฝ่ายรุกโจมตีดีกว่า ครั้งนี้เขาไม่มาหาข้า ข้าก็จะต้องไปหาเขาดูสักหน่อย! ยุคของเขาผ่านไปแล้ว ไม่มีพลังชีวิตแล้ว ไม่ยอมให้ได้เขากำเริบเสิบสานหรอก!

…………………………

โกลาหลแล้ว โกลาหลถึงขีดสุดแล้ว

ไม่มีการต้านทานที่เป็นระเบียบ ไม่มีการจับกุมที่เป็นแบบแผนเช่นกัน คนที่อุตลุตไปทั่วทุกหนแท่ง เละเป็นโจ๊กหม้อหนึ่ง

ประมุขชิงกับประมุขพุทธะกลับมาแล้ว ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ทั้งสองสีหน้าแย่หนักกว่าเดิม จนป่านนี้แล้ว มีหรือที่ทั้งสองจะยังไม่รู้ว่าตกหลุมพรางพระปีศาจหนานโป

ที่บอกว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถูกควบคุมจนกลายเป็นหินสามวันเพราะเสียงระฆัง นั่นคือสิ่งที่ตบตาคนอื่นทั้งนั้น บางทีอาจเป็นเพราะทำลายค่ายกลออกทำให้ฟื้นคืนสติเร็วกว่าเดิม แต่ในมุมของทั้งสองคน นี่เหมือนแผนสำรองของพระปีศาจหนานโปมากกว่า เห็นได้ชัดว่าพระปีศาจรู้จุดนี้ชัดเจน ไม่ว่าใครที่ต้องการจะฆ่าเขา ก็ล้วนต้องทำลายผนึกก่อน สถานการณ์ปลอมที่เขาสร้างขึ้นมาว่ากลายเป็นหินสามวันก็เพราะจะทำให้ศัตรูประมาท ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ก็ต้องเหลือโอกาสหนีเอาไว้สักหน่อย

แต่ทั้งสองก็ดันเชื่อแล้ว นึกว่าพระปีศาจจะกลายเป็นหินสามวัน หลังจากทำลายค่ายกลแล้วพวกเขาจะได้กำจัดพระปีศาจได้สะดวก ถึงได้วางใจทำลายค่ายกลใหญ่ทิ้ง ผลปรากฏว่าพอค่ายกลถูกทำลาย พระปีศาจก็ตื่นขึ้นมาทันที

ที่บอกว่าปิดประสาทสัมผัสการได้ยินไว้แล้วจะหลบเลี่ยงอิทธิพลของมนต์คร่าชีวิตได้ นั่นก็คือเรื่องโกหก ก็อย่างที่ประมุขพุทธะบอก พระปีศาจสามารถใช้มนต์คร่าชีวิตได้ในระดับใหม่แล้ว สามารถควบคุมคนได้ผ่านจิตสำนึก แต่ตอนแรกพระปีศาจดันไม่ได้ทำอย่างนี้ ทำให้คนเข้าใจผิดว่าเขาแค่ควบคุมคนผ่านประสาทสัมผัสการได้ยิน เข้าใจผิดว่าปิดประสาทสัมผัสการได้ยินแล้วจะไม่ได้รับผลกระทบ ผลปรากฏว่าพวกเขาวางใจปล่อยกำลังพลพวกนี้ไว้ นอกจากให้เฝ้าสถานที่ผนึกเพราะกลัวคนก่อกวนแล้ว ยังกังวลว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดด้วย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นแล้วมีกำลังพลจำนวนมากไว้ช่วยเหลือก็ย่อมดีอยู่แล้ว

ใครจะคิดว่ากุญแจสำคัญที่ทำให้พระปีศาจหนีรอดไปได้ก็คือกำลังพลพวกนี้ กำลังพลที่ทั้งสองวางไว้อย่างแน่นหนาต่างหากที่เป็นผู้ช่วยที่สำคัญที่สุดของพระปีศาจ

จนป่านนี้แล้วก็เดาได้ไม่ยากถึงจุดประสงค์ที่พระปีศาจหนานโปท่อง ‘มหาเวทอเวจี’ และ ‘เคล็ดวิชาฟ้าครามทั่วหล้า’ เสียงดัง พระปีศาจกลัวว่าจะถูกผนึกเอาไว้ตลอดไป ถ้าถูกตำหนักสวรรค์กับแดนพุทธร่วมมือกันเฝ้าสถานที่ผนึกเอาไว้ ต่อให้เขาสามารถควบคุมทหารยามพวกนี้ไว้ได้ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี เพราะคนนอกไม่มีโอกาสทำลายผนึกค่ายกลนี้ได้เลย แบบนั้นเขาคงไม่มีโอกาสหนีรอดได้อีกตลอดไป

ดังนั้นเขาจึงต้องสร้างโอกาส เขาต้องยั่วโมโหสองคนนี้ จะอ้าปากหุบปากก็ด่าว่ากระเป๋าฟาง และเริ่มท่อง ‘มหาเวทอเวจี’ กับ ‘เคล็ดวิชาฟ้าครามทั่วหล้า’ ต้องทำให้ทั้งสองนั่งไม่ติดที่และกังวลว่าเคล็ดวิชาจะรั่วไหล รีบทำลายสถานที่ผนึกโดยเร็วที่สุด เขาถึงจะมีโอกาสหลุดรอดไปได้

ภาพเหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้า ทำให้ประมุขชิงกับประมุขพุทธะรู้ว่าตัวเองทำผิดมหันต์แล้ว

การทำลายค่ายกลนั้นไม่ผิด เคล็ดวิชาฝึกตนของทั้งสองก็สามารถกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจได้ด้วย ถ้าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจเผชิญกับทั้งสองก็ไม่มีทางหนีพ้น จะแย่ก็ตรงที่ปล่อยให้กำลังพลจำนวนมากอยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาประเมินพระปีศาจสูงไปแล้ว ในจิตใต้สำนึกถึงขั้นหวาดกลัวนิดหน่อยด้วย ถึงได้เกิดช่องโหว่ใหย่ขนาดนี้

“ฝ่าบาท เกิดเรื่องขึ้นเหรอ?” เซี่ยโห้วลิ่งกุมหมัดคารวะเอ่ยถามประมุขชิงด้วยสีหน้ากังวล

“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนีไปแล้ว” ประมุขชิงตอบด้วยสีหน้าพยับเมฆ

ทุกคนที่อยู่ข้างๆ หน้านิ่วคิ้วขมวดทันที ดูจากความเคลื่อนไหวนี้ก็เดาออกแล้ว เพียงแต่ไม่กล้ายืนยัน ตอนนี้นับว่าเป็นเรื่องจริงแล้ว

“ฝ่าบาทกับประมุขพุทธะลงมือด้วยตัวเอง จะเป็นไปได้ยังไง?” เซี่ยโห้วลิ่งกลับหวาดระแวงกลัว

ประมุขชิงหันขวับ ถลึงตาจ้องเขาอย่างดุร้าย ก็เพราะอีกฝ่ายพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูด จะให้เขากับประมุขพุทธะยอมรับได้อย่างไรว่าตัวเองโง่จนตกหลุมพรางพระปีศาจ?

เซี่ยโห้วลิ่งจำต้องหุบปาก ในใจตระหนกว้าวุ่น นึกไม่ถึงว่าเรื่องที่กังวลที่สุดจะเกิดขึ้นแล้ว เขาไม่กล้าจินตนาการเลยว่าพระปีศาจหนานโปจะล้างแค้นตระกูลเซี่ยโห้วอย่างไร ผู้ที่มีความแค้นกับพระปีศาจหนานโปอย่างแท้จริง และยังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าคงเหลือแต่ตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว แม้แต่ประมุขชิงกกับประมุขพุทธะ ในสายตาพระปีศาจก็ไม่นับว่าเป็นศัตรูอะไร…

ทัพใหญ่ล้อมไล่ดักอย่างอุตลุต ราวกับเป็นละครตลกเรื่องหนึ่ง สุดท้ายก็จบลงแล้ว

พวกประมุขชิงกลับมายังดาวเคราะห์ที่ผนึกแล้ว ค่ายกลดวงดาวถูกทำลายไป พลังผนึกก็หายไปแล้ว ที่นี่ไม่ต่างอะไรกับดาวเคราะห์ทั่วไป

หุบผาชันที่ถล่มถูกขุดออกมาใหม่อีกครั้ง วัดประหลาดสีดพปรากฏขึ้นอีกครั้ง

เซี่ยโห้วลิ่งกับพวกฮ่าวเต๋อฟางอดไม่ได้ที่จะเข้าไปดู ร่องรอยการต่อสู้ข้างในชัดเจนมาก ศพของกลุ่มยอดฝีมือกองทัพองครักษ์อยู่ในนี้ คนที่เคยเห็นประมุขชิงกับประมุขพุทธะต่อสู้ต่างก็รู้ว่าคนพวกนี้ตายด้วยเคล็ดวิชาของทั้งสอง

คนที่ถูกจับกุมได้ก็ถูกพาตัวมาที่ดาวเคราะห์ดวงนี้เช่นกัน สังหารไปแล้วสามแสนกว่า จับตัวค่อนข้างลำบาก จับได้แสนกว่าคน มีกำลังพลของทุกฝ่ายรวมอยู่ ยังมีที่หนีไปได้อีกหลายแสน ไม่ใช่ว่าทุกคนไร้ความสามารถ แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป แม้จะมีจำนวนคนมากกว่า แต่ก็ฉุกละหุกจริงๆ

ประมุขพุทธะสั่งให้ทุกคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน แม้แต่ศพก็วางไว้ด้วยกัน

สุดท้ายประมุขพุทธะกับประมุขชิงก็ลอยขึ้นฟ้าพร้อมกัน แล้วมองต่ำลงมาที่กำลังพลหลายสิบล้านเบื้องล่าง

กำลังพลหลายสิบล้านเบื้องล่างก็เงยหน้ามองบนฟ้าเช่นกัน เห็นเพียงรอบกายประมุขพุทธะปรากฏสุญญากาศรอยแยก ราวกับเป็นเงาพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ประนมสองมือพร้อมเปล่งเสียงดังกังวาน “อา…มิต…ตา…พุทธ…เส้อ!”

แต่ละคำราวกับตีกระทบหัวใจ คนนับสิบล้านที่อยู่ในอาการเหม่อลอยพากันตัวสั่น ได้สติกลับคืนมาในชั่วพริบตาเดียว

ประมุขชิงที่มองกลุ่มคนเบื้องล่างกลับผิดหวังเล็กน้อย เดิมทียังมีความหวังอยู่บ้าง หวังว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจจะถูกจับแล้ว หวังว่าจะซ่อนอยู่ในบรรดาคนพวกนี้

เงาสุญญากาศรอยแยกรอบกายหายไปแล้ว หลังจากประมุขพุทธะหยุดใช้วิชา ก็สบตากับประมุขชิงแวบหนึ่ง ทั้งคู่ล้วนจนใจ ในใจขื่นขมจนยากจะบรรยายออกมา

ยังคงปล่อยให้พระปีศาจหนีไปแล้ว!

ตอนนี้ทั้งสองต่างรู้อยู่แก่ใจ ตั้งแต่ทีแรกแล้ว วินาทีแรกที่ทั้งสองเห็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจ ตอนนั้นก็เดินลงกับดักของพระปีศาจแล้ว

คำว่า ‘กระเป๋าฟาง’ จากปากพระปีศาจ เป็นคำที่ดังก้องอยู่ในหูอย่างแท้จริง เรากับตบหน้าทั้งสองอย่างแรง ทำให้ทั้งสองเจ็บแสบ

พระปีศาจใช้เรื่องจริงมาพิสูจน์คำพูดของตัวเองแล้ว อย่างพวกเขาสองคนน่ะเหรอที่คิดจะสังหารอีกฝ่าย พิสูจน์แล้วว่าทั้งสองเป็นกระเป๋าฟางจริงๆ

ตอนนี้ทั้งสองถึงได้เข้าใจ วัดในปีนั้นที่พระปีศาจหนานโปเป็นใหญ่ในใต้หล้า ไม่ใช่เพราะอาศัยกำลังอย่างเดียว ที่บอกว่าเขากล้าหาญโดยไร้สติปัญญา นั่นเป็นเพียงข่าวลือ

ถ้าพระปีศาจที่ใช้วิธีการแบบนี้เพื่อหนีไปได้ถูกจัดว่าเป็นคนกล้าหาญที่ไร้สติปัญญา เช่นนั้นคนโง่เง่าในใต้หล้าก็อาจจะมีเยอะเกินไปแล้ว

ทั้งสองปรึกษากันอยู่บนฟ้า สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดความจริง อย่างไรเสียเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากคนเบื้องล่าง ถ้าปิดบังต่อไปแล้วทุกคนไม่รู้ความร้ายกาจของพระปีศาจ ก็จะต้องเกิดเรื่องใหญ่โตแน่นอน

ทั้งสองเหาะลงจากฟ้า แล้วเรียกคนกลุ่มหนึ่งมาปรึกษากัน

ประมุขพุทธะหันหน้าเข้าหากลุ่มคน ประนมมือพูดว่า “ทุกคน มนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจไม่เพียงแค่สามารถควบคุมคนผ่านประสาทสัมผัสการได้ยินเท่านั้น ยังสามารถควบคุมผ่านจิตสำนึกได้ด้วย ดังนั้นยามที่เผชิญหน้า ปิดแค่ประสาทสัมผัสการได้ยินไปก็ไร้ผล ยังต้องปิดจิตสำนึก…”

ส่วนเรื่องที่พระปีศาจหนานโปด่าพวกเขาว่ากระเป๋าฟาง เรื่องที่ท่องเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเขา ก็ยังไม่พูดอยู่แล้ว จุดประสงค์ที่พูดไปก็เพื่อให้ทุกคนประกาศต่อเบื้องล่างให้เตรียมตัวให้ดี จะได้ไม่ถูกพระปีศาจหนานโปอาศัยช่องโหว่

ทุกคนยิ่งฟังก็ยิ่งทำสีหน้าเคร่งขรึม ความน่ากลัวของพระปีศาจเหนือจินตนาการของพวกเขา

ประมุขชิงประกาศเสียงดังกับพวกเขาว่า “ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้เขาไม่มีกายหยาบและพลังอิทธิฤทธิ์ ต่อให้ไม่มีกายหยาบแล้วยังไง? วรยุทธ์ที่หายไปของเขาก็ใช่ว่าจะฟื้นกลับมาได้ภายในเวลาสั้นๆ พลังของคนคนหนึ่งแข็งแกร่งแล้วยังไง สถานการณ์ภาพรวมเอนเอียงมาฝั่งพวกเรา ไม่กลัวว่าเขาจะโผล่หัวมาหรอก กลัวก็แต่เขาจะซ่อนตัว ขอเพียงเขากล้าโผล่หน้ามา ก็จะต้องตายสถานเดียวแน่ สิ่งที่พวกเราต้องทำตอนนี้ ก็คือเตรียมป้องกันที่ดี อย่าให้เขาหาช่องโหว่ได้ ทุกคนกลับไปแล้วก็ต้องป้องกันมากขึ้น พร้อมทั้งตรวจสอบในเขตของตัวเองด้วย ต้องตามหาเขาเพื่อมากำจัดทิ้งให้ได้!”

โค่วหลิงซวีกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจสามารถแฝงในกายหยาบคนอื่นได้ ถ้าปรากฏตัวด้วยใบหน้าของคนอื่น เกรงว่าต่อให้ค้นหายังไงก็ไม่มีประโยชน์!”

ประมุขพุทธะตอบพร้อมรอยยิ้ม “อ๋องสวรรค์โค่วคิดว่าไปแล้ว ผู้ใสสะอาดก็ย่อมใสสะอาด ผู้ขุ่นมัวก็ย่อมขุ่นมัว แท่นจิตชัดเจนที่สุด มีคำกล่าวว่าลักษณะของคนเกิดจากจิตใจหนุนส่ง แท่นจิตสะท้อนตัวตนได้ดีที่สุด หากกายหยาบถูกผู้อื่นยึดครอง ตัวเองมิใช่ตัวเอง เขามิใช่เขา สัญลักษณ์พลังตรงแท่นจิตจะไม่แสดงออกมา”

“หรือพูดได้อีกอย่างว่า คนที่ถูกพระปีศาจยึดครองกายหยาบ ตรงหว่างคิ้วจะไม่ปรากฏสัญลักษณ์พลัง?” ฮ่าวเต๋อฟางถาม

ประมุขพุทธะประนมมือ “เป็นอย่างนี้! ทุกคนสามารถกระจายข่าวออกไปได้ ให้คนในใต้หล้าตรวจสอบกันและกัน ทำให้พระปีศาจหาที่ซ่อนตัวได้ยาก”

พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ทุกคนก็โล่งใจขึ้นนิดหน่อย อย่างน้อยก็มีจุดให้ป้องกันและตรวจสอบ ไม่อย่างนั้นถ้าพระปีศาจเปลี่ยนหน้ามาหา ก็ป้องกันไม่ชนะจริงๆ แบบนั้นจะน่าหวาดกลัวเกินไป

ตอนนี้เรื่องจบลงชั่วคราว คนต่างกลับไปเตรียมรับมือกับพระปีศาจ

พวกโค่วหลิงซวีก็ไปหาผู้รอดชีวิตจากสถานที่ผนึกก่อนหน้านี้เช่นกัน ไปทำความเข้าใจสถานการณ์โดยละเอียด ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

ตอนยังไม่เข้าใจก็ยังดีหน่อย พอเข้าใจแล้วก็ตกใจมาก โชคดีที่คอยระแวดระวังประมุขชิง คิดมากจึงไม่ได้ตามเข้าไป ไม่อย่างนั้นถ้าถูกพระปีศาจควบคุมแล้ว ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงจนไม่อยากจินตนาการถึง

แต่จะว่าไปแล้ว ไม่อยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ประมุขชิงก็คงไม่ฉวยโอกาสสังหารเขาหรอก พระปีศาจหนีไปแล้ว นี่เป็นเวลาที่ประมุขชิงต้องการความร่วมมือจากพวกเขา ถ้าพูดจากบางมุม ถ้าพระปีศาจหนานโปยังไม่โดนจับ ประมุขชิงก็ไม่น่าจะลงมือกับพวกเขาอีก ไม่อย่างนั้นจะเป็นโอกาสให้พระปีศาจหาช่องโหว่

จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้กำลังปรึกษาเรื่องป้องกันกับบรรดาแม่ทัพอยู่ในตำหนักประชุม

เขาไม่รู้ว่าประมุขชิงจะรู้เรื่องเขาจากปากพระปีศาจหนานโปหรือไม่ ถ้าเกิดเรื่องขึ้น เขาก็จะต้องเตรียมตัวรับมือ

เชียนเอ๋อร์เดินออกมาจากหลังตำหนัก ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “นายท่าน ฮูหยินมีเรื่องด่วนให้ท่านไปหาสักรอบหนึ่ง”

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ส่งสายตาให้คนที่ล้อมเข็มทิศแผนที่ดาว สื่อว่าให้คุยกันต่อไป เขาก็หันตัวเดินออกไปแล้ว

พอกลับมาถึงบ้าน ก็เห็นอวิ๋นจือชิวเดินไปเดินมาอยู่ใต้ชายคาอย่างกระวนกระวาย เหมียวอี้ยังไม่ทันได้ก้าวขึ้นมาถาม อวิ๋นจือชิวก็ชิงพูดแล้วว่า “หนิวเอ้อร์ เกิดเรื่องแล้ว”

เหมียวอี้ดึงแขนนางเดินเข้ามาในห้องด้วยกัน แล้วถามว่า “เรื่องอะไร?”

อวิ๋นจือชิวตอบด้วยใบหน้ากลุ้มใจ “ลูกน้องเก่าของเจ้าที่อยู่กองทัพองครักษ์ส่งข่าวมา รายละเอียดเป็นยังไงข้าก็ไม่รู้ แต่จากสถานการณ์ที่เขาบอกมา ข้าคิดว่าพระปีศาจหนานโปหนีไปแล้ว…” นางเล่าเรื่องที่สายลับทางฝั่งกองทัพองครักษ์เห็นให้ฟังอย่างละเอียด

เหมียวอี้ได้ยินหรือสูดหายใจลึกด้วยความตระหนก ค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ หลังจากขมวดคิ้วอยู่นานก็พยักหน้าบอกว่า “เกรงว่าคงปล่อยให้พระปีศาจหนีไปแล้วจริงๆ…ประมุขชิงกับประมุขพุทธะนี่ยังไง ขนาดทั้งสองร่วมมือกันแล้ว แต่ก็ยังปล่อยให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้พลังอิทธิฤทธิ์หนีไปแล้ว?”

“ข่าวนี้ยังไม่ได้ยืนยัน บางทีข้าอาจจะเข้าใจผิดไ ตอนหลังน่าจะมีข่าวจริงออกมา เจ้าเองก็อย่ากังวลเกินไป ตอนนี้ในมือเจ้ามีกำลังทหารมาก ต่อให้พระปีศาจคายความลับของเจ้าแล้วยังไงล่ะ?” อวิ๋นจือชิวถาม

เหมียวอี้ใส่หน้ายิ้มเจื่อน “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้ากังวล ถ้าเขาไม่หลุดออกไป ก็อาจจะเปิดโปงข้า แต่พอหลุดออกไปแล้ว ก็คงไม่บอกเรื่องนี้หรอก แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมาหาข้าโดยตรง เพราะในมือข้ามีสิ่งที่เขาต้องการ”

…………………………

ปฏิกิริยาของประมุขชิงกับประมุขพุทธะดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด

ก่อนหน้านี้ได้ฟังเทียนเจี้ยน พระปีศาจเพิ่งกลายเป็นหินอีกครั้งเมื่อวานนี้ ตามหลักแล้ว ทุกครั้งที่พระปีศาจกลายเป็นหิน ถ้าจะกระเทาะเปลือกออกมาอีกครั้งก็ต้องรอสามวัน ไม่ว่าจะเป็นเทียนเจี้ยนที่พิสูจน์ด้วยตัวเองในช่วงเวลานี้ หรือจะเป็นข้อมูลจากปากปีศาจจิ้งจอกสามหาง ก็ล้วนเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ต่างก็บอกว่าต้องรอสามวันถึงจะกระเทาะเปลือกกลับสภาพเดินอีกครั้ง

ทำไมครั้งนี้ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งวันก็กระเทาะเปลือกแล้ว? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาแบบนี้

อีกทั้งก้อนหินที่ตกลงมาไม่หยุดก็กระแทกจนเกิดเสียงระฆังดังภายในวัด แต่กลับไม่สามารถหยุดยั้งไม่ให้รอยแยกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กลายเป็นหินได้

ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะคิดมาก อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะค่ายกลถูกทำลายแล้ว? แต่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจก็ไม่ได้มีพลังอิทธิฤทธิ์ อย่าบอกนะว่าพระปีศาจเล่นละครมาตลอด? ถ้ากำลังเล่นละครจริงๆ แล้วจะไมต้องเล่นละครด้วยล่ะ? อย่าบอกนะว่าเล่นละครตบตาสำรองแผนการไว้มาตลอดหลายปี? หรือว่าพระปีศาจมีจุดประสงค์อะไร?

ประมุขชิงกับประมุขพุทธะมีสีหน้าเคร่งขรึม จ้องข้างในโดยไม่ละสายตา อยากจะพุ่งเข้าไปลงมือเสียตรงนี้เลย แต่พลังอิทธิฤทธิ์บนตัวทั้งสองถูกควบคุมไว้ ยังคงคลายออกอย่างช้าๆ ยังไม่ได้คลายออกเต็มที่

ประมุขชิงเตะหินก้อนหนึ่งที่กลิ้งมาตรงเท้า เตะปลิวไปกระแทกสุญญากาศตรงประตู คลื่นแสงสายหนึ่งสะท้อนกลับ หินที่กระแทกโดนสะเทือนแตกกลายเป็นผุยผง แต่อานุภาพไม่ได้รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้

แบบนี้หมายความว่าอานุภาพของผนึกกำลังลดลงมากเช่นกัน แต่ผนึกยังคงอยู่ พลังอิทธิฤทธิ์ของทั้งสองยังไม่ฟื้นฟูกลับมา ยังไม่สามารถพุ่งเข้าไปได้

ทั้งสองจ้องข้างในโดยไม่ละสายตา เตรียมพร้อมที่จะเข้าไปได้ทุกเมื่อ

หินวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังแตกระแหงอยู่ภายในวัด จู่ๆ ก็มีสองขาโผล่นอนอยู่บนพื้น ขาที่มีแสงทองกะพริบออกมา

วูบ! หินวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พลันยืนตรงขึ้นมา หินพระปีศาจหนานโปกำลังหันหน้าเข้าหาทั้งสองที่อยู่นอกประตู รอยแยกบนตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แสงทองสว่างมากขึ้น เปลือกหินร้าวเริ่มหลุดร่วงโดยเริ่มจากส่วนศีรษะ ตกลงพื้นกลายเป็นควัน ไม่เห็นฝุ่นผง ลอยสลายไปราวกับควัน หายไปท่ามกลางความลึกลับ

โฉมหน้าที่แท้จริงเผยออกมาจากเปลือกพร้อมแสงทองวูบวาบ ดวงตาเพลิงในเบ้าตาที่ไร้ลูกตากำลังกะพริบแสง สายตาน่าตกใจ แต่ยังคมคายมากกว่าก่อนหน้านี้หลายส่วนด้วย

ประมุขชิงกับประมุขพุทธะไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า แววตาเพลิงเหมือนมองพวกเขาราวกับเป็นมดตัวหนึ่ง

มีเลือกบางส่วนหลุดออกไปแล้ว ร่างทองของพระปีศาจหนานโปปรากฏอีกครั้ง เปล่งเสียงดังหึ่งๆ “สงสัยพวกเจ้าคงทำลายค่ายกลแล้วจริงๆ ทั้งยังใช้คนไม่น้อยด้วย”

ประมุขชิงไม่แม้แต่จะมอง โบกมือปัดก้อนหินที่ตกลงมาจะกระแทกตัวเองออก แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “วันนี้คือวันตายของเจ้า!”

“วันตายของข้าเหรอ?” พระปีศาจหนานโปถามกลับ แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าหัวเราะลั่น หัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน หัวเราะจนประมุขชิงกับประมุขพุทธะขาดความมั่นใจ ไม่ง่ายเลยกว่าจะหยุดหัวเราะได้ จากนั้นส่ายหน้าเบาๆ ถอนหายใจ “ข้าบอกแล้วว่าพวกเจ้ามันไร้ประโยชน์เหมือนกระเป๋าฟาง แต่พวกเจ้าดันไม่เชื่อ อาศัยกระเป๋าฟางอย่างพวกเจ้าสองคนเนี่ยนะจะสังหารข้าได้”

จากนั้นก็ประนมมือสองข้าง แล้วเริ่มเปล่งเสียงสวดมนต์ “มีมานีโอม…”

ประมุขชิงกับประมุขพุทธะไม่รู้ว่าเขากำลังเล่นลูกไม้อะไร แต่กำลังระวังตัวอย่างสูงแล้ว พวกเขามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นคนอื่นมีปฏิกิริยาผิดปกติอะไร

ก้อนหินบนหน้าผาตกลงมาน้อยลง แผ่นดินที่สั่นสะเทือนก็นิ่งแล้วเช่นกัน แทบจะในชั่วพริบตานั้น ทั้งสองรู้สึกเหมือนในร่างกายมีเสียงระเบิด ในที่สุดพลังอิทธิฤทธิ์ที่ถูกระงับไว้ก็คลายออกเต็มที่แล้ว

ประมุขชิงโบกมือเรียกหินก้อนใหญ่บนพื้น แล้วทดลองกระแทกไปที่ประตูวัด

ปั้ง! แต่กลับมีเงาคนคนหนึ่งสังหารออกมาในแนวเฉียง ใช้กระบี่ฟันหินระเบิด เศษหินปลิวว่อน บางส่วนพุ่งเข้าไปในวัดโดยตรง ไม่มีอะไรสกัดขวาง

ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิด ผนึกค่ายกลใหญ่พังแล้ว วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านอยู่ในวัด ไม่มีท่าทีหลบหนีใดๆ

ประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็ยิ่งตกใจมาก เห็นเพียงเทียนเจี้ยนถือกระบี่ใหญ่ไว้ในมือ ดวงตาสองข้างเป็นสีแดงก่ำ ขวางอยู่หน้าประตูวัด

ไม่ใช่แค่เทียนเจี้ยนเท่านั้น กลุ่มแม่ทัพใหญ่เหาะมาทางซ้ายและขวา ขวางอยู่ตรงประตูวัด แต่ละคนดวงตาแดงก่ำ กำลังจ้องทั้งสองอย่างดุร้าย

ยิ่งไปกว่านั้น กำลังพลกลุ่มใหญ่ที่อยู่โดยรอบล้อมเข้ามาแล้ว ดูเหมือนต้องการจะล้อมทั้งสองไว้

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของทุกคน ประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็ตะหนักได้ทันทีว่าคนพวกนี้ถูกพระปีศาจควบคุมแล้ว ความตกตะลึงในใจยากจะบรรยายออกมาได้ ไม่ใช่ว่าปิดประสาทสัมผัสการได้ยินแล้วหรอกเหรอ? ทำไมยังถูกควบคุมได้อีก?

แม้คนพวกนี้จะถูกควบคุมแล้ว แต่ประมุขชิงก็ยังอดไม่ได้ที่จะตะคอกถาม “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? คิดจะก่อกบฏเหรอ?”

ไม่มีคำตอบ พวกเขาได้แต่จ้องทั้งสองอย่างดุร้าย

พระปีศาจหนานโปที่อยู่ในวัดประนมมือหันมาข้างนอกอย่างไม่สะทกสะท้าน จากนั้นหันตัวช้าๆ เดินเนิบนาบเข้าไปยังจุดลึกในวัด ย่างก้าวหนักแน่นมั่นคง ไม่ลนลานหวาดกลัว

มาถึงขั้นนี้แล้ว ประมุขชิงกับประมุขพุทธะยังจะยอมให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปหนีรอดไปได้อย่างไร ไม่สนใจแล้วว่าจะเป็นคนของตัวเองหรือไม่ ทั้งสองพลันพุ่งตัวออกมา ทำศึกเดือดกับกลุ่มแม่ทัพใหญ่ที่ขวางอยู่หน้าประตูวัด

เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น สะเทือนจนก้อนหินบนหน้าตาไหลกลิ้งลงมาอีกแล้ว หน้าผาฝั่งซ้ายและขวาเริ่มแยกออกจากกัน

พวกที่อยู่หน้าประตูไม่มีใครต้านประมุขชิงกับประมุขพุทธะไหวเลย

ปั้ง! เทียนเจี้ยนกับประมุขชิงประฝ่ามือกัน ไอสีเขียวครามที่โหมซัดสาดออกมากรอกเข้าไปในร่างของเทียนเจี้ยนราวกับคมดาบ เทียนเจี้ยนกระเด็กออกมา ดวงตาฉายแววโกรธเกรี้ยว ราวกับได้สติกลับมาในชั่วพริบตาเดียว ทว่าร่างกายกลับกลายเป็นเหมือนกระดาษ ตัวยังไม่ทันกระแทกไปโดนผนังด้านหลัง ก็ถูกไอสีเขียวครามที่ลอยออกจากร่างกายฉีกร่างแยกเป็นชิ้นๆ อยู่กลางอากาศแล้ว

ชั่วพริบตาที่ทั้งสองสังหารเข้าไปในวัด หน้าต่างชั้นสองของวัดก้ผลักออก วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปกลายเป็นลำแสงพุ่งออกมา พุ่งเข้าไปกลางทัพใหญ่ด้านนอก ชนเข้าไปบนตัวของทหารคนหนึ่ง ลำแสงสีทองหลอมรวมเข้าไปในร่างกายของทหารคนนั้นแล้ว แล้วทหารคนนั้นก็ถอยเข้าไปอยู่ในจุดลึกของกลุ่ม

ประมุขชิงกับประมุขพุทธะที่ถล่มหน้าต่างถลันตัวออกมาทอดสายตามองออกไป แต่มีหรือที่ยังจะเห็นเงาของพระปีศาจหนานโปอีก

“พระปีศาจ ถ้าเก่งนักก็โผล่หัวออกมา!” ประมุขชิงกำหมัดแน่นพลางส่งเสียงคำราม เสียงดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน

ประมุขพุทธะพุ่งตัวออกมาราวกับเงาผี อาศัยความเร็วอันน่าทึ่งโจมตีกลุ่มคนเป็นวงกว้างจนกระเด็นออกไป

ประมุขชิงออกมาตามๆ กัน เปิดฉากสังหารใหญ่ เงาร่างล้อมไว้เร็วมาก คอยสร้างพื้นที่ว่างขนาดใหญ่อยู่ข้างกายประมุขพุทธะ

ประมุขพุทธะลอยเงียบอยู่กลางอากาศ ประนมมือสวดมนต์ รอบกายปรากฏเงาดำที่มีรอยแยก ราวกับมีเงาพระพุทธรูปครอบเขาเอาไว้ จู่ๆ ก็อ้าปากเปล่งเสียงดังราวกับเสียงระฆังทองเหลือง เสียงดังก้องฟ้าดิน “อา…มิต…ตา…พุทธ…!”

เสียงที่เปล่งออกมาราวกับค้อนใจทุบหัวใจคน เสียงแห่งพุทธะกำลังดังก้องอยู่ในหัว

ทุกคนที่กำลังล้อมโจมตีตัวสั่นเทิ้มทันที แววตากลับมามีแววแจ่มชัด แต่ก็ตัวสั่นอีกครั้งอย่างประหลาด สายตากลับมาดุร้ายเหมือนเดิมอีกแล้ว!

บนตัวทหารคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลมีแสงทองกะพริบเล็กน้อย ประมุขชิงกับประมุขพุทธะจ้องไปด้วยสายตาคมกริบราวกับเหยี่ยว ทั้งสองพุ่งตัวออกไปพร้อมกันราวกับสายฟ้า

เมื่อทั้งสองร่วมมือกัน กำลังพลมากมายก็ยากจะต้านไหว ราวกับเสือบุกเข้าฝูงแกะ ราวกับผ่าน้ำตัดคลื่น สังหารจนเกิดทางเลือด กำแพงคนราวกัยคลื่นยักษ์ที่ถูกชนกระจาย ไม่มีใครสามารถต้านการโจมตีของทั้งสองได้

ทหารที่มีแสงทองกะพริบบนตัวหายเข้าข้างหลังกลุ่มคนอีกครั้ง กำลังพลข้างหลังกลับทยอยกันเผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมา แล้วเล็งมาที่ทั้งสองพร้อมกัน

กองทัพองครักษ์ที่ล้อมอยู่ก็ทยอยกันเผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เล็งไปที่ทั้งสองเช่นกัน

ทั้งสองตกใจมาก รีบหยุดอย่างกะทันหัน ไอสีเขียวครามที่ลอยวนเวียนอยู่รอบกายประมุขชิงหมุนเร็วขึ้น เงาพระพุทธรูปขนาดใหญ่รอบกายประมุขพุทธะปรากฏอีกครั้ง

ปั้งๆๆ เสียงยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ดังขึ้นอย่างฉับพลัน ลำแสงนับไม่ถ้วนยิงออกมาแล้ว

ลำแสงที่ยิงไปทางประมุขพุทธะไม่มีทางเข้าใกล้ตัวเขาได้ รอบกายเขาเหมือนสร้างสุญญากาศขึ้นมา ลูกธนูที่ยิ่งเข้ามาโดนสุญญากาศที่มีรอยแยกหายไปในทันที

ลูกธนูดาวตกที่ยิงไปทางประมุขชิงก็ไม่มีทางเข้าใกล้ตัวประมุขชิงได้เช่นกัน ทั้งหมดปรากฏร่างเดิม ไอสีเขียวครามที่เหมือนพายุหมุนกำลังหมุนรอบกายเขาเร็วมาก

“ใครขวางข้า ตาย!” ประมุขชิงคำรามเสียงดังราวกับฟ้าผ่า กางแขนสองข้าง ลูกธนูนับไม่ถ้วนที่อยู่ท่ามกลางแรงหมุนมหาศาลถูกสะบักออกมาทันที ยิงโจมตีไปทั่วสารทิศ โจมตีกลุ่มมคนที่ล้อมอยู่

ยิงโดนประมุขพุทธะไปก็ไม่ได้ผล โดนสุญญากาศที่มีรอยแยกรอบกายเขากลืนไปหมด แต่รอบข้างมีเสียงกรีดร้องดังระงม ชั่วพริบตาเดียวกำลังพลจำนวนมากก็ถูกลูกธนูดาวตกสะบัดยิงจนล้มเป็นแถบๆ

ทั้งสองพุ่งไปที่กลุ่มคนอีกครั้ง ทว่ากลุ่มคนกลับเหาะหนีกระจัดกระจายเร็วมาก บ้างก็เหาะขึ้นฟ้าสูง บ้างก็เหาะไปทางสี่ด้านแปดทิศ หลบหนีอุตลุก เงาคนกระจายอยู่ทั่วทุกที่

ประมุขชิงที่ขยุ้มนิ้วดูดคนได้นับร้อยหันมอบไปรอบๆ ด้วยสีหน้าดุร้ายน่ากลัว แล้วจู่ๆ ก็ควงแขนตบฝ่ามือลงพื้น

ปั้งๆๆ ร่างรับร้อยที่ถูกจับค้างไว้ระเบิดเป็นเศษเนื้ออยู่ในเกราะรบ

เกราะรบนับร้อยร่วงลงพื้น ประมุขชิงยกแขนสองข้างขึ้นมาแล้วคำรามขึ้นฟ้า “อา…” เส้นเลือดบนคอปูดโปด เสียงแห่งความโกรธแค้นดังไปทั่วฟ้าดิน

ประมุขพุทธะรีบหันมองไปรอบๆ คนจำนวนหนึ่งล้านกระจายตัวไปสี่ด้านแปดทิศ หาไม่เจอเลยว่าเป้าหมายไปอยู่ที่ไหน จะให้เขาไปตามจับที่ไหนล่ะ? อาศัยวรยุทธ์ของเขาไม่สามารถจับคนได้มากมายขนาดนั้นพร้อมกันได้

“ปิดประสาทสัมผัสการได้ยินไปก็ไม่มีประโยชน์ แม้พระปีศาจจะสูญเสียกายเนื้อและพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว แต่การใช้มนต์คร่าชีวิตก็บรรลุระดับใหม่แล้ว ไม่เพียงแค่สามารถลอดผ่านประสาทสัมผัสการได้ยิน ทั้งยังสามารถใช้ประโยชน์จากพุทธธรรมควบคุมคนผ่านจิตสำนึก รีบสั่งให้คนข้างนอกรีบปิดประสาทสัมผัสการได้ยินกับจิตสำนึกเร็วเข้า ไม่ว่าใครที่ออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้ ให้ฆ่าโดยไม่ละเว้น!” ประมุขพุทธะตะโกนบอกประมุขชิง ส่วนมือตัวเองก็หยิบระฆังดาราแจ้งให้กำลังพลแดนพุทธรู้แล้ว

ประมุขชิงได้สติกลับมาทันที ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาระบายอารมณ์โกรธ รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อภายนอกเช่นกัน

ทั้งสองเองก็พุ่งขึ้นฟ้าพร้อมกัน หุบผาชันพังถล่มกลบมิดแล้ว พวกเหยี่ยวมารวานรยักษ์บินวนไปทั่ว

“เร็วเข้า!”

ในดาราจักร อู๋ฉวี่ที่ได้รับคำสั่งจากประมุขชิงรีบตะโกนสั่ง

ทัพใหญ่เพิ่งจะทำลายดาวเคราะห์สิบสองดวงไป ยังไม่ทันได้รวมตัวกัน ประมุขชิงก็สั่งให้พวกเขาทำเรื่องอย่างนี้เสียแล้ว ให้พวกเขาระดมพลดักสังหาร

บนดาวเคราะห์ตรงหน้า กำลังพลนับล้านโผล่ออกมาแล้ว หนีกระจายไปทางสี่ด้านแปดทิศ ทัพใหญ่ส่วนน้อยที่เหลืออยู่ข้างหลังอู๋ฉวี่พุ่งเข้าไปสกัดขวาง แต่ก็เปล่าประโยชน์ จะสกัดคนมากขนาดนั้นที่หนีอุตลุตไหวได้อย่างไร ต่อให้เป็นหมูร้อยตัววิ่งหนีกระจัดกระจาย แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะจับให้หมดได้พร้อมกัน

ทัพใหญ่ที่ล้อมเข้ามาทยอยกันสกัดคนที่หนีกระจัดกระจาย แต่ฝุ่นที่เกิดขึ้นหลังจากดาวเคราะห์สิบสองดวงระเบิดกลับยังไม่หายไป ทำให้คนที่หลบหนีมีที่อำพรางตัว

“อู๋ฉวี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ฮ่าวเต๋อฟางมองสภาพวโกลาหลรอบๆ พร้อมถามเสียงต่ำ

ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดเรื่องอะไร ประมุขชิงติดต่ออู๋ฉวี่โดยตรง เพราะอู๋ฉวี่มีอำนาจในการระดมทัพใหญ่ ผู้การใหญ่วังสวรรค์อย่างเขาไม่สามารถระดมพลได้มากขนาดนั้น ซ่างกวนชิงรู้เพียงว่าอู๋ฉวี่ออกคำสั่งสังหารหมู่!

ไม่น่าเชื่อว่าคนของกองทัพองครักษ์จะสังหารคนของกองทัพองครักษ์ เซี่ยโห้วลิ่งที่อยู่ข้างๆ มองแล้วยิ่งหวาดระแวงกลัว ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ ไม่มีใครกลัวพระปีศาจหนานโปหนีไปมากกว่าเขาแล้ว อาศัยแค่เรื่องที่ตระกูลเซี่ยโห้วทำในปีนั้น ถ้าให้พระปีศาจหนานโปหวนกลับคืนมาอีก ผลที่ตามมาก็น่าสะพรึงมาก!

เซี่ยโห้วลิ่งรู้เพียงว่าเกิดเรื่องแล้ว ต้องเกิดเรื่องแน่นอน สภาพโกลาหลตรงหน้าเกี่ยวข้องกับพระปีศาจหนานโปแน่นอน

…………………………

ประมุขพุทธะที่สุขุมมาตลอดสีหน้าเปลี่ยนไปมาก เมื่อเห็นเขาอ่านไม่หยุด ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะตะคอกว่า “หุบปาก!”

ประมุขชิงจ้องประมุขพุทธะอย่างสงสัย ได้ยินคำว่า ‘อเวจี’ จากปากพระปีศาจติดต่อกันหลายคำ ก็ทำให้เขาสงสัยบ้างแล้ว เพราะวิชาที่ประมุขพุทธะฝึกก็คือ ‘มหาเวทอเวจี’ กอปรกับปฏิกิริยาของประมุขพุทธะ ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย อย่าบอกนะว่าที่พระปีศาจพ่นออกมาคือเคล็ดวิชาฝึกตนของมหาเวทอเวจี?

พระปีศาจหนานโปหัวเราะเบาๆ แล้วก็หุบปากไปจริงๆ แต่ก็แค่หุบปากให้ประมุขพุทธะเท่านั้น แต่กลับมองไปที่ประมุขชิง ปากพึมพำท่องอีกครั้ง “รูปโฉมสามัญทว่าใจประสานฟ้า กลมกลืนสังคมทว่าคงความไร้เดียงสา สูงส่งทว่าใจกว้าง สรรพสิ่งมิสอดคล้องสัจธรรม ประพฤติตัวซื่อตรงเพื่อให้สรรพสิ่งเห็นแจ้ง เจตนาชั่วต่อผู้อื่นย่อมสลายไป ปราชญ์ผู้มีคุณธรรม เบื้องบนสามารถสอดแนมฟ้าคราม เบื้องล่างสามารถหยั่งน้ำพุใต้ธรณี แปดทิศไร้สิ่งกีดขวาง สีหน้ามิเปลี่ยนแปลง…”

พอเปลี่ยนมาท่องคำพูดพวกนี้ แต่กลับถึงคราวที่ประมุขชิงสีหน้าเปลี่ยนแล้ว นี่ก็คือ ‘เคล็ดวิชาฟ้าครามทั่วหล้า’ ที่เขาฝึก

เมื่อประมุขพุทธะเห็นปฏิกิริยาของเขาก็เดาออกแล้ว สีหน้ากลับยิ่งตกตะลึงมากขึ้น ที่พระปีศาจหนานโปท่องก่อนหน้านี้ก่อนหน้านี้ก็คือมหาเวทอเวจีที่เขาฝึก พระปีศาจไม่เพียงแค่รู้จักมหาเวทอเวจีที่เขาฝึก ทั้งยังคุ้นเคยกับเคล็ดวิชาฟ้าครามทั่วหล้าของประมุขชิงด้วยหรือ?

“หุบปาก!” ประมุขชิงตะคอกเช่นกัน

พระปีศาจหนานโปหุบปาก ดวงตาเพลิงจ้องทั้งสอง แล้วส่งเสียงหัวเราะหึ่งๆ ดังก้องวัด หัวเราะจนทั้งสองหนังศีรษะชาวาบ

“เจ้ารู้จักเคล็ดวิชาที่พวกเราฝึกได้ยังไง?” ประมุขพุทธะอดไม่ได้ที่จะถาม

พระปีศาจหนานโปตอบว่า “เคล็ดวิชาของข้าควบคุมตาแก่ไป๋เหมยไม่ได้ แต่ก่อนที่ขู่หมิงกับชิงเทียนจะตาย พอเผชิญกับเคล็ดวิชาของข้าก็คายออกมาหมด ไม่ต้องแปลกใจหรอก ของที่ข้าเรียนได้มีตั้งเยอะ พวกเจ้าอยากเรียนมั้ยล่ะ?”

ถ้าจะบอกว่าทั้งสองไม่ใจเย็นเลยสักนิด นั่นก็เป็นคำโกหกแล้ว แต่ทั้งสองรู้แจ่มชัด ว่าความสามารถที่แท้จริงของพระปีศาจหนานโปคือสิ่งที่พวกเขาเรียนไม่ไหว คนที่อยู่ในระดับอย่างพวกเขา ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังควบคุมใต้หล้าแล้ว ยิ่งไปกกว่านั้นกำลังอาวุธของพวกเขาก็คือสิ่งที่อยู่สูงสุดของใต้หล้า แม้ทั้งสองจะปรารถนาบรรลุระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แต่ใครจะไปรู้ว่าพระปีศาจหนานโปจะทำร้ายพวกเขาได้หรือเปล่า สิ่งนี้ก็พิสูจน์ตรวจสอบลำบาก อีกทั้งจุดประสงค์ของพระปีศาจหนานโปก็ยังชัดเจนมาก นั่นก็คืออยากถ่วงเวลาตายของตัวเอง

เพราะอะไรทั้งสองจึงยอมทุ่มทุนหลายปีขนาดนี้เพื่อตามหาสถานที่ผนึก ไม่ใช่เพื่อระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นหรอก แต่จะปล่อยพระปีศาจตนนี้ไว้ไม่ได้ จะให้โอกาสพระปีศาจตนนี้หลุดรอดออกไปไม่ได้แม้แต่น้อย ถ้าให้พระปีศาจหนีไป เกรงว่าต่อให้บรรลุถึงระดับระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็รับผลที่ตามไม่ไหว

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว หันตัวเดินออกไปพร้อมกัน

“ในเมื่อพวกเจ้าไม่อยากเรียน ไม่แน่ว่าอาจมีคนอื่นอยากเรียนก็ได้” พระปีศาจหนานโปมองเหงาหลังทั้งสองพลางหัวเราะเบาๆ จากนั้นก้าวถอยหลังช้าๆ สองสามก้าว นั่งขัดสมาธิ ประนมมือ แล้วท่องอีกครั้ง “ผู้อยู่ในอเวจีเป็นอมตะ อายุยืนยาวคือทุกข์เข็ญใหญ่ในขุมอเวจี อเวจีไร้ขอบเขต ไร้กาลเวลา ไร้ช่องว่าง แดนรับกรรมไร้ที่สิ้นสุด ไร้เวลา ไร้ช่องว่าง รับกรรมไร้ขอบเขต…” เสียงดังก้องออกไปนอกวัด

ประมุขชิงและประมุขพุทธะหยุดฝีเท้าพร้อมกัน ประมุขพุทธะสีหน้าบูดบึ้ง พลันหันขวับไปจ้องพระปีศาจหนานโป นึกไม่ถึงว่าพระปีศาจจะประกาศมหาเวทอเวจีของเขา จะไม่ให้เขากังวลได้อย่างไร แม้จะบอกว่าคนที่อยู่รอบๆ ปิดประสาทสัมผัสการได้ยินหมดแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าจะไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิด

ประมุขชิงเองก็สีหน้าแย่เช่นกัน พระปีศาจสามารถท่องมหาเวทอเวจีได้ อีกประเดี๋ยวก็ท่องเคล็ดวิชาฟ้าครามทั่วหล้าของเขาได้ จึงโบกมือส่งสัญญาณให้เทียนเจี้ยน

เทียนเจี้ยนโบกทวนทุบผนังวัดทันที

ตุ้งตุ้งตุ้ง…

ในวัดมีเสียงระฆังดังยาว พระปีศาจหนานโปส่งเสียงกรีดร้องน่าเวทนาทันที เอามือกุมศีรษะกลิ้งไปกลิ้งมาหลายตลบ ไม่นานแสงทองบนตัวก็หายไป เสียงกรีดร้องก็หายไปเช่นกัน แข็งกลายเป็นหินอยู่ที่เดิม

ประมุขชิงชี้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจที่แข็งกลายเป็นหินอยู่ในวัด พร้อมส่งสัญญาณมือให้เทียนเจี้ยน ว่าขอเพียงพระปีศาจตื่นขึ้นมา ก็ให้ใช้เสียงระฆังควบคุมไว้ทันที

เทียนเจี้ยนพยักหน้าหน้าสื่อว่าเข้าใจแล้ว กุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง

หงส์รุ้งแบกทั้งสองบินขึ้นฟ้า ฝ่าชั้นบรรยากาศไปถึงดาราจักร หลังจากปรึกษากันพักหนึ่ง ก็ตัดสินใจที่จะสังหารทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจทันที

“เข้าไปในดาวเคราะห์ดวงนี้แล้วสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์กันหมด ไม่มีทางทำลายวัดได้ ถ้าอยากกำจัดพระปีศาจก็ต้องทำลายค่ายกลก่อน” ประมุขพุทธะหันมองรอบดาราจักรที่กว้างใหญ่ แล้วถอนหายใจอีก “เพียงแต่ไม่รู้ว่าต้องเริ่มลงมือจากตรงไหนเพื่อทำลายค่ายกลนี้”

ประมุขชิงสั่งให้กำลังพลหนึ่งหมื่นเรียงแถวนอกดาวเคราะห์ผนึกทันที ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงดาวเคราะห์ผนึกพร้อมกันหมื่นดอก หลังจากลพแสงหนาแน่นยิงฝ่าชั้นบรรยากาศเขาไปแล้วก็ไม่ปฏิกิริยาอะไร เรียกกลับมาไม่ได้ด้วย

ทหารคนหนึ่งขี่สัตว์พาหนะบินออกมาจากดาวเคราะห์ ก้าวขึ้นมารายงานว่า “ฝ่าบาท พอลูกธนูดาวตกยิงเข้าไปในดาวเคราะห์ดวงนี้ก็เปลี่ยนรูปร่างทันที อานุภาพของมันถูกพลังลึกลับดูดไปหมด ทั้งหมดร่วงลงพื้น ไม่มีทางแสดงอานุภาพได้อีก”

ประมุขพุทธะขมวดคิ้ว ความคิดที่จะใช้ลูกธนูดาวตกยิงโจมตีดับวูบแล้วเช่นกัน

“นี่ต้องเป็นค่ายกลดวงดาวแน่นอน” ประมุขชิงกล่าวอย่างมั่นใจ จากนั้นก็หันไปบอกอู๋ฉวี่ทันที “สั่งให้คนวาดแผนที่ดาวสามมิติในอาณาเขตนี้เดี๋ยวนี้ เร่งมือ!”

“รับทราบ!” อู๋ฉวี่เอ่ยรับ จากนั้นก็ระดมทัพใหญ่ไปปฏิบัติการ

ขณะมองคล้อยหลังกำลังพลกระจายกันไปตามจุดต่างๆ ของดาราจักร ประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็สบตากันอย่างจริงจัง ยังไม่ได้จากไปไหน ยังรออยู่ในอาณาเขตดาวผืนนี้ พวกเขาไปพักที่ดาวเคราะห์สำหรับดำรงชีวิตดวงหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล

หลังจากนั้นสามวัน แผนที่ดาวที่ทำเสร็จแล้วก็ถูกบันทึกเข้าไปในเข็มทิศแผนที่ดาว กางอยู่ในกระท่อมไม้อย่างง่ายบนยอดเขา ประมุขชิงและประมุขพุทธะล้วนอยู่ที่นี่ ตรวจสอบแผ่นที่ดาวในเข็มทิศซ้ำไปซ้ำมา ดูไปดูมาก็ยากที่จะมองออกว่าค่ายกลอยู่ที่ไหน ประเด็นก็คือไม่รู้ว่าใช้ค่ายกลอะไร

ประมุขชิงจ้องเข็มทิศ ขณะครุ่นคิดก็กล่าวว่า “ถ้าคิดจะทำลายค่ายกลดวงดาวนี้ เกรงว่าจะต้องทำลายดาวเคราะห์พวกนี้”

ประมุขพุทธะถอนหายใจ “ปัญหาก็คือมีดาวเคราะห์มากขนาดนี้ ไม่รู้ว่าดวงไหนบ้างที่เกี่ยวข้องกับค่ายกล”

ประมุขชิงใช้นิ้ววาดวงกลมอาณาเขตโดนใช้ดาวเคราะห์ผนึกเป็นจุดศูนย์กลาง “ดาวเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับค่ายกลไม่มีทางอยู่ห่างจากดาวเคราะห์ดวงนี้เกินไป น่าจะอยู่ในบริเวณนี้ อาศัยกำลังคนของพวกเรา ถ้าอยากจะลองทดสอบว่าดาวเคราะห์ดวงไหนเกี่ยวข้องกับค่ายกลใหญ่ก็ไม่ยาก แค่ทำลายดาวเคราะห์นับร้อยในอาณาเขตนี้ทิ้งทีละดวง”

ประมุขพุทธะพยักหน้า “ดูจากตอนนี้ ก็คงจะมีแค่วิธีการโง่ๆ นี้แล้ว”

ประมุขชิงเงยหน้า “อู๋ฉวี่ ไปจัดการตามนี้”

หลังจากปรึกษากันเสร็จ อู๋ฉวี่ก็ไปวางกำลัง ประมุขชิงและประมุขพุทธะขี่หงส์รุ้งไปยังสถานที่ผนึกอีกครั้ง ไปรออยู่นอกวัด ป้องกันไม่ให้พระปีศาจหนานโปหนีไปตอนทำลายค่ายกลแล้ว ขอเพียงทั้งสองอยู่ที่นี่ พอค่ายกลถูกทำลายเมื่อไร อาศัยพลังของทั้งสองก็เพียงพอให้กำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจทิ้ง

“ระวังตัว!”

ทัพใหญ่ที่รวมตัวกันอยู่ในดาราจักรเพิ่งระเบิดดาวเคราะห์ไปดวงหนึ่ง กำลังดูดาวเคราะห์ระเบิดเหมือนดอกไม้ไฟอยู่ในดาราจักร แล้วจู่ๆ ก็ร้องตกใจ

ผ่านไปไม่นาน กำลังพลทัพใหญ่ก็ก็ลนลานหนีออกเป็นสองฝั่ง เห็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งพุ่งเข้ามาชนอย่างรวดเร็ว ลักษณะพลังน่าตกใจ มีคนไม่น้อยรู้สึกเหมือนมีพลังมหาศาลท่ามกลางความลึกลับดาวเคราะห์ดึงดาวเคราะห์ดวงนี้เข้ามา

กำลังพลส่วนน้อยที่หลบไม่ทันถูกดาวเคราะห์ที่พุ่งเข้ามากะทันหันชนแล้ว ถูกชนจนเงาคนหายไป ดาวเคราะห์ที่ใหญ่ขนาดนี้ ชนกับคนที่เล็กขนาดนั้น ก็เหมือนชนกับฝุ่นผง มองไม่เห็นและไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรแล้ว

ตรงตำแหน่งที่ดาวเคราะห์เพิ่งระเบิดเมื่อครู่นี้ ไม่รู้ว่ามีดาวเคราะห์พุ่งมาจากไหนมาหมุนวนและหยุดอยู่ตรงนั้น ลักษณะการหมุนช้าลงทีละนิด เข้ามาแทนที่ดาวเคราะห์ดวงที่ระเบิดออกดวงนั้น กำลังพลส่วนใหญ่เพิ่งเคยเห็นเรื่องอัศจรรย์อย่างนี้เป็นครั้งแรก ได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่ก

อู๋ฉวี่ที่มองอยู่ไกลๆ เม้มริมฝีปากแน่น หยิบแผ่นหยกออกมา ทำสัญลักษณ์ตำแหน่งดาวเคราะห์ดวงนี้ โจมตีทำลายดาวเคราะห์ไปสิบกว่าดวงแล้ว นี่เป็นดวงแรกที่ผิดปกติ

หลังจากนั้นหนึ่งวัน ซ่างกวนชิงก็มาถึงหน้าวัดที่วัดผนึก เชิญประมุขชิงและประมุขพุทธะกลับไปในดาราจักรก่อนชั่วคราว

“ฝ่าบาท ประมุขพุทธะ” อู๋ฉวี่เข้ามาต้อนรับในดาราจักร แล้วก็เชิญให้ทั้งสองไปอยู่บนดาวดวงหนึ่งที่ลอยอย่างไร้ระเบียบ จากนั้นกางเข็มทิศแผนที่ดาว เลือกแผนที่ดาวออกมาบริเวณหนึ่ง เป็นแผนที่ดาวที่มีดาวเคราะห์สิบสามดวง เขาชี้พร้อมอธิบาย “ดวงเคราะห์ดวงตรงกลางก็คือสถานที่ผนึก ดาวเคราะห์สิบสองดวงรอบๆ ก็คือดาวเคราะห์ที่ฝ่าบาททดสอบว่าเกี่ยวข้องกับกับค่ายกลหรือไม่”

ประมุขพุทธะใช้นิ้วทั้งห้าดูด ฝุ่นผงบนพื้นลอยขึ้นมากลุ่มหนึ่ง แล้วรวมกันอยู่ในฝ่ามือเขา จากนั้นวาดตรงระหว่างดาวเคราะห์บนเข็มทิศ ฝุ่นดินที่วาดแล้วตกลงหลายเป็นแนวเส้น ไม่นานแผนที่ดาวหกแฉกก็ปรากฏบนเข็มทิศ ดาวเคราะห์ที่เป็นสถานที่ผนึกก็อยู่ระหว่างดาวหกแฉกนี้เอง

ทุกคนจ้องตรวจสอบบนแผนที่ ประมุขพุทธะปัดฝุ่นในมือจนสะอาด แล้วชี้บอกว่า “นี่น่าจะเป็นความเกี่ยวโยงของค่ายกล ไม่รู้ว่าใช้วิชาลับอะไร แต่ขอแค่ทำลายดาวเคราะห์พวกนี้ทิ้งแล้ว ค่ายกลก็น่าจะถูกทำลายไปด้วย”

อู๋ฉวี่ส่ายหน้า “ไม่มีประโยชน์ขอรับ ที่จริงเคยทำลายดาวเคราะห์พวกนี้ไปแล้วรอบหนึ่ง แต่พอทำลายทิ้งไปหนึ่งดวง ก็มีพลังลึกลับดูดดาวอีกดวงมาเติมทันที รวบรวมคนให้ทำลายดาวเคราะห์หลายดวงพร้อมกันก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน อานุภาพของค่ายกลนี้น่าตกใจจริงๆ ไม่แปลกใจที่ไม่ว่าใครเข้ามาในค่ายกลนี้ก็ถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์หมด จะต้องการจะทำลาย เกรงว่าต้องหาแกนค่ายกลก่อน เพียงแต่ไม่รู้ว่าแกนค่ายกลอยู่ตรงไหน คาดว่าคงมีแค่คนที่วางค่ายกลเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด!”

“ทำลายไปดวงหนึ่งแล้วมีมาเติมอีกดวงหนึ่ง?” ประมุขชิงจ้องแผนที่ดาวพลางแสยะยิ้ม บอกว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าไม้ที่ไร้รากจะมีชีวิตอยู่ได้ ถ้าทำลายหลายดวงไม่ได้ผลก็ทำลายพร้อมกันให้หมด ถ้ากำลังพลไม่พอก็ระดมมาอีก สั่งให้สี่ทัพระดมกำลังพลมาฝั่งละสิบล้าน เวลาแบบนี้พวกเขาคงไม่กล้าบ่น”

หลังจากถ่ายทอดคำสั่งแล้ว สี่ทัพก็ไม่กล้าชักช้า รวบรวมทัพใหญ่ตามมาโดยเร็วที่สุด

ไม่ใช่แค่กำลังพลที่มาถึง ฮ่าวเต๋อฟาง ก่วงลิ่งกง โค่วหลิงซวี เถิงเฟย เฉิงไท่เจ๋อ หรือแม้แต่เซี่ยโห้วลิ่งก็นำคนหลายหมื่นตามมาด้วย พวกที่ยามปกติไม่เข้าประชุมขุนนาง ครั้งนี้มาเยี่ยมคารวะประมุขชิงพร้อมกันแล้ว

ในเวลานี้ประมุขชิงไม่มีอารมณ์มาคิดเล็กคิดน้อยกับพวกฮ่าวเต๋อฟาง สั่งให้อู๋ฉวี่ระดมและส่งกำลังพลให้รีบตามไปเตรียมโจมตีดาวเคราะห์สิบสองดวงนั่น

ประมุขชิงและประมุขพุทธะเข้าไปในสถานที่ผนึกอีกครั้ง พวกฮ่าวเต๋อฟางกลัวว่าจะมีอุบาย ไม่กล้าตามเข้าไป แต่ก็อยากรู้สถานการณ์ทั้งหมดในนั้น จึงส่งคนจำนวนหนึ่งเข้าไปดูโดยอ้างว่าไปอารักขา

ซ่างกวนชิงที่ตามเข้าไปด้วยกลับมาในดาราจักรแล้ว บอกอู๋ฉวี่ว่า “ฝ่าบาทกับประมุขพุทธะเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ออกคำสั่งทำลายค่ายกลเถอะ!”

ตามคำสั่งของอู๋ฉวี่ ทัพใหญ่เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อทำลายดาวเคราะห์สิบสองดวงพร้อมกันทันที

ตอนที่ดาวเคราะห์สิบสองดวงระเบิดพร้อมกัน ตอนที่เหมือนมีดอกไม้สิบสองดอกเบ่งบาน ในดาราจักรก็มีคลื่นล่องหนโหมซัดสาด

ในสถานที่ผนึกภูเขาสะเทือนแผ่นดินสั่นไหว สัตว์ปีกตกใจบินหนี แม่น้ำทะเลสาบราวกับโดนต้มจนเดือด บนทะเลมีคลื่นยักษ์ กำลังพลกลุ่มใหญ่ที่รวมตัวกันอยู่นอกหุบผาชันมองไปรอบๆ ด้วยความตกใจ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไปแล้ว เพียงแต่รู้สึกได้ว่าพลังลึกลับที่ระงับพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองไว้เหมือนจะคลายออกทีละนิด

ประมุขชิงและประมุขพุทธะไม่สนใจหินที่ปลิวว่อนอยู่บนหน้าผา พลันหันไปจ้องในวัด

“เฮ้อ…” ราวกับมีเสียงถอนหายใจที่เก็บกดดังมาจากเหวลึก วิญญาณศักดิ์สิทธิ์พระปีศาจที่กลายเป็นหินอยู่บนพื้นพลันมีรอยแยกหลายรอย ข้างในมีแสงทองจ้าตาเปล่งซึมออกมา

…………………………

ขากลับง่ายมาก ไม่ต้องค้นหาตลอดเส้นทาง ฝ่าชั้นบรรยากาศออกมาก็ถึงดาราจักรแล้ว ทิ้งสัตว์พาหนะไว้เพื่อกำหนดตำแหน่ง พลังอิทธิฤทธิ์กลับคืนมาแล้ว เหาะออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเทียบความเร็วยามเหาะในดาราจักร การเหาะบนดาวคราะห์ที่มีกระแสลมต้านเทียบไม่ติด หัวหน้ากลุ่มรีบเหาะไปหาผู้ตรวจการใหญ่เทียนเจี้ยน แล้วรายงานสถานการณ์ที่พบอย่างเร่งด่วน

เมื่อได้ฟังรายงาน เทียนเจี้ยนก็ขมวดคิ้วมุ่น คิดในใจว่าน่าจะไม่ผิดแล้ว

ถึงแม้คนตำแหน่งสูงมักจะไม่เสี่ยงอันตรายด้วยตนเอง แต่เขาก็ยังตัดสินใจจะยืนยันด้วยตัวเองก่อน แบบนั้นจึงจะสามารถรายงานขึ้นไปเบื้องบนอย่างเป็นทางการได้

เมื่อได้ยินว่าเขาจะไปด้วยตัวเอง ลูกน้องที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็พากันห้าม ถึงอย่างไรดาวเคราะห์ดวงนี้ก็แปลกประหลาดเกินไป

เทียนเจี้ยนยกมือห้าม ลูกน้องทางซ้ายและขวาทำได้เพียงหุบปาก

หัวหน้ากลุ่มนำทาง เจอสัตว์พาหนะที่ทิ้งไว้กำหนดตำแหน่งล่วงหน้า ส่วนเทียนเจี้ยนก็ใช้นกประหลาดขนแดงเป็นสัตว์พาหนะ พุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศเข้าไปโดยตรง

พวกเขาทยอยลงจากฟ้า ในที่สุดเทียนเจี้ยนก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกยามพลังอิทธิฤทธิ์หายไป สายตากำลังจ้องแผ่นดินใหญ่ที่มีภูเขาแม่น้ำข้างล่าง หุบผาชันแห่งหนึ่งเริ่มปรากฏตรงหน้าทีละนิด ทั้งยังมีวัดประหลาดสีดำมืดแห่งนั้นอีก

นกประหลาดขนแดงที่โหม่งหัวลงพลันเงยหน้า หยุดยั้งการดิ่งลง ค่อยๆ เหยียบลงบนลานนอกวัด

เทียนเจี้ยนกระโดดลง กลุ่มคนที่อยู่นอกวัดทยอยกันกุมหมัดคารวะ

สายตาเทียนเจี้ยนไปหยุดที่รอยเลือดบนพื้น แล้วก็มองหลายคนที่บาดเจ็บ จากนั้นโบกมือสั่งให้นำกลับไปรักษาตัวในดาราจักรก่อน

เหยี่ยวมารวานรยักษ์หลายตัวแบกคนเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว เทียนเจี้ยนเดินช้าๆ ไปถึงประตูวัด จ้องสำรวจเข้าไปในวัดสีดำมืด เขาเองก็เห็นสภาพของส่วนลึกภายในวัดไม่ชัดเจนเช่นกัน

หลังจากดูอยู่พักหนึ่งแล้วไม่ได้ผลอะไร เขาก็หันตัวเดินลงบันไดผ่านไป เดินมาข้างเกราะหัวบนพื้นอันหนึ่งที่มีรอยเลือด แล้วจู่ๆ ก็ยกเท้าเตะ เกราะหัวถูกเตะขึ้นมา ชนไปบนผนังของวัดเสียงดังปั้ง

ตุ้ง! ในวัดมีเสียงระฆังดังทันที คนที่อยู่ตรงนั้นไม่ได้ยิน แต่ทั้งหมดรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่ง

แต่ทุกคนกลับเห็นเงาสีทองกะพริบอยู่ในวัด แต่ละคนทำสีหน้าตกใจมาก เทียนเจี้ยนเองก็หรี่ตาจ้องเช่นกัน เห็นเพียงเงาคนสีทองเงาหนึ่งพลันโผล่อยู่ในวัดที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดมิด เงานั้นกำลังเอามือกุมศีรษะกรีดร้อง ท่าทางเจ็บปวดทรมานมาก

เทียนเจี้ยนรีบก้าวขึ้นบันได ไม่กล้าข้ามผ่านธรณีประตู ส่ายตาจับจ้องเงาคนสีทองในวัด พบว่าลักษณะเหมือนพระจริงๆ ด้วย

หลังจากเงาคนสีทองบรรเทาจากอาการเจ็บปวดทรมาน สองมือก็คลายออกจากศีรษะ แล้วเดินเข้ามาช้าๆ เดินมาถึงตรงประตูวัด

เทียนเจี้ยนแทบจะสบสายตากับเขา สายประสานสายตากับดวงตาเพลิงสีทองคู่นั้น ตรงกลางมีธรณีประตูกั้น ระหว่างทั้งสองห่างกันแค่ศอกเดียว

“เจ้าเป็นใคร?” เงาคนสีทองเอ่ยถาม

เทียนเจี้ยนไม่ได้ยินเสียงของเขา ไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไร และไม่สนใจเท่าไรนัก หันตัวเดินออกมา กระโดดขึ้นตัวนกประหลาดขนแดง แล้วพุ่งขึ้นฟ้าออกไปโดยตรง

หลังจากมาถึงดาราจักรแล้ว เทียนเจี้ยนก็สั่งให้กำลังพลที่ค้นหาอยู่ในดาวเคราะห์เลิกค้นหาได้แล้ว ทั้งหมดไปรวมตัวกันเฝ้าที่หุบผาชันแห่งนั้น ถ้าไม่ได้รับคำสั่งก็ห้ามใครบุ่มบ่ามทำอะไรเด็ดขาด!

แม่ทัพทุกคนเอ่ยรับคำสั่ง เทียนเจี้ยนหยิบระฆังดาราออกมารายงานอู๋ฉวี่อีก รายงานอย่างเป็นทางการ ว่าพบสถานที่ผนึกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโป!

อู๋ฉวี่สั่งแค่คำเดียวว่า : รอก่อน!

วันต่อมา คนหลายร้อยเร่งเหาะอยู่ในดาราจักรอันกว้างใหญ่ มีทั้งพระกับฆราวาสอย่างละครึ่ง ประมุขชิงกับประมุขพุทธะมาด้วยกัน ทั้งสองนัดพบกันระหว่างทางแล้วมาด้วยกัน

เมื่อเห็นประมุขชิงกับประมุขพุทธะมาด้วยกัน มีคนไม่น้อยตกตะลึง พวกเขาพากันทำความเคารพ เสียงดังสนั่นดาราจักร

ประมุขชิงยกมือขึ้นสื่อว่าไม่ต้องมากพิธี จากนั้นจ้องเทียนเจี้ยนแล้วถามทันทีว่า “ยืนยันหรือยัง?”

เทียนเจี้ยนกุมหมัดคารวะ “ยืนยันแล้วขอรับ ไม่ผิดแน่!”

“สถานการณ์เป็นยังไง?” ประมุขชิงจ้องดาวเคราะห์ดวงนั้นพลางเอ่ยถาม

“ถูกขังอยู่ในวัดแห่งหนึ่งในหุบผาชันจริงๆ…” เทียนเจี้ยนเล่าสถานการณ์หลังจากหาพบให้ฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง

ประมุขชิงพยักหน้า แล้วมองประมุขพุทธะอีก ประมุขพุทธะโบกมือเบาๆ จากนั้นก็มีคนผลักปีศาจจิ้งจอกสามหางออกมาทันที

“ใช่ที่นี่หรือไม่?” ประมุขพุทธะถามเสียงเรียบ

ปีศาจจิ้งจอกสามหางจ้องดาวเคราะห์ดวงนั้นด้วยสายตาหวาดผวา ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่รู้ ข้าไม่เคยสำรวจดาวเคราะห์ดวงนี้ละเอียด ยืนยันไม่ได้”

ประมุขพุทธะส่ายหน้าเบาๆ ปีศาจจิ้งจอกสามหางถูกพาลงไปอีก แล้วบอกประมุขชิงว่า “เจ้ากับข้าไปเองสักรอบเถอะ”

ประมุขชิงพยักหน้า แล้วกล่าวเสียงต่ำ “นำทาง!”

เทียนเจี้ยนยื่นมือเชิญทันที

ประมุขชิงบอกซ่างกวนชิงและอู๋ฉวี่ที่ตามาด้วยอีกว่า “พวกเจ้าสองคนไม่ต้องตามไป อยู่คุมที่นี่ จะได้เตรียมตัวรับมือสะดวก”

“รับทราบ!” ทั้งสองเอ่ยรับคำสั่ง รู้ว่าเขาสื่ออะไร ต้องการให้ทั้งสองอยู่ระวังเหตุไม่คาดคิดภายนอก

ขณะกำลังจะเข้าไปในดาวเคราะห์ดวงนั้น ประมุขชิงก็โบกมือปล่อยหงส์รุ้งที่มีขนสีสันแพรวพราวตัวหนึ่งออกมา แล้วเหาะขึ้นไปพร้อมประมุขพุทธะ ขี่ไปด้วยกัน

เทียนเจี้ยนเตือนด้วยความหวังดีอยู่ข้างๆ “ฝ่าบาท ได้โปรดปิดประสาทสัมผัสการได้ยิน”

ประมุขชิงกล่าวเสียงเรียบ “ไม่ต้องแล้ว มนต์คร่าชีวิตไม่ส่งผลกับพวกเราสองคน” ขณะที่พูด ผลไม้สีขาวหิมะผลหนึ่งก็ลอยเข้าปาก ประมุขพุทธะก็เป็นอย่างนี้เช่นเดียวกัน

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เทียนเจี้ยนเองก็ไม่พูดอะไรแล้ว ปิดผนึกประสาทสัมผัสการได้ยินของตัวเอง แล้วขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์ฝ่าชั้นบรรยากาศนำไป คอยนำทางอยู่ข้างหน้า

รอบๆ หุบผาชันในเวลานี้มีกำลังพลกระจายตัวอยู่หนาแน่น ทุกที่มีสัตว์เทพบินลาดตระเวน ปิดล้อมไว้อย่างแน่นหนาจนแมลงวันตัวเดียวก็บินเข้ามาไม่ได้

การมาเยือนของประมุขชิงและประมุขพุทธะทำให้ทัพใหญ่วุ่นวายอยู่พักหนึ่ง ทยอยกันหันหน้าทำความเคารพหงส์รุ้งที่บินลงมา

ทั้งสองกระโดดลงจากตัวหงส์รุ้ง สายตามองไปทางประตูใหญ่ของวัดสีดำมืดพร้อมกัน

เทียนเจี้ยนเดินมาข้างๆ หยิบทวนยาวมาจากมือลูกน้องคนหนึ่ง เดินไปตีที่ผนังวัดอย่างแรง

ตุ้ง! ในวัดมีเสียงระฆังดัง ในวัดที่ดำมืดพลันเปล่งแสงสีทองวัด เงาคนสีทองปรากฏขึ้นแล้ว กำลังเอามือกุมศีรษะกรีดร้องอย่างเจ็บปวด

ประมุขชิงและประมุขพุทธะพลันเบิกตากว้าง แล้วรีบเดินขึ้นบันไดไปพร้อมกัน จ้องเงาคนสีทองที่อยู่ในนั้น

เทียนเจี้ยนที่อยู่ข้างๆ ส่งสัญญาณมือเตือนอีกครั้ง ว่าอย่าข้ามธรณีประตูนี้ไป

ประมุขชิงโบกมือสื่อว่ารู้แล้ว แต่สายตากลับจ้องเงาคนสีทองข้างในไม่ละไปไหน ทำสีหน้าเหมือนประมุขพุทธะ เคร่งขรึมจริงจังอย่างที่พบเห็นไม่บ่อย

เงาคนสีทองเริ่มบรรเทาจากอาการเจ็บปวด วางมือสองข้างที่กุมหัวลง เดินไปทางประตูช้าๆ

ตัวสูงใหญ่ ห่มจีวรเฉียงเปลือยไหลข้างเดียว เปลือยแขนและเท้า มีแสงสีทองเปล่งจากตัว ในดวงตาสองข้างราวกับสีเปลวเพลิงสีทองกระโดดในเบ้าตา ราวกับไม่มีลูกตา แต่ในแววตาเพลิงกลับน่าสะพรึงมาก

เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของคนคนนี้ สอดคล้องกับเค้าโครงของคนในความทรงจำ เป็นคนคนนั้นจริงๆ ประมุขชิงกับประมุขพุทธะอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย

“พระปีศาจ!” ประมุขชิงกัดฟันอย่างเคียดแค้น

พระปีศาจหนานโปยืนอยู่ตรงหน้าประตู ดวงตาเพลิงมองผ่านกลางทั้งสองออกไป ไปหยุดจ้องบนต้วหงส์เฟิ่งหวงที่หยุดพักอยู่ข้างนอก เสร็จแล้วย้ายสายตากลับมากวาดมองทั้งสอง แล้วเปล่งเสียงดังก้องวัด “พวกเจ้าสองคนหน้าคุ้นๆ นะ เป็นเด็กข้างกายขู่หมิงกับชิงเทียนหรือเปล่า?”

ประมุขชิงแสยะยิ้ม “พระปีศาจ เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกันนะ!”

สายตาของพระปีศาจหนานโปไปหยุดอยู่บนหน้าเขา “นึกออกแล้ว ข้างกายชิงเทียนมีเด็กอยู่หลายคน ประกาศต่อภายนอกว่าเป็นศิษย์ แต่ที่จริงแล้วเป็นลูกแท้ๆ ที่เกิดจากเขาทั้งนั้น เจ้าคงจะเป็นลูกชายคนเล็กสุดของเขาสินะ แบบนี้ เจ้ากับข้าก็มีความแค้นเรื่องสังหารบิดา หึหึ ถ้าไม่ใช่เพราะนอนกับแม่เจ้า เกรงว่าแม้แต่ข้าก็คงถูกปิดบังไปด้วย”

ประมุขชิงเผยสีหน้าดุดัน กำหมัดสองข้างไว้แน่น ดวงตาแทบจะลุกเป็นไฟ

ประมุขพุทธะตกใจจนมองเขาแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าชาติกำเนิดของประมุขชิงจะมีเรื่องนี้ปิดบังอยู่

พระปีศาจหนานโปกล่าวกลั้วหัวเราะ “น่าเสียดายนัก ตอนแรกกะว่าจะขุดรากถอนโคน แต่ใครจะคิดว่าพวกเจ้าสองคนจะหนีไปได้ พอมาดูตอนนี้ คงจะเป็นเจ้าเด็กนั่นของตระกูลเซี่ยโห้วที่วางอุบาย หึ! เจ้าเด็กนั่นของตระกูลเซี่ยโห้ว ช้าเร็วข้าก็ต้องให้เจ้าจ่ายค่าชดเชยที่ทรยศข้า!”

ประมุขพุทธะประนมมือ “น่าเสียดายที่เจ้าไม่มีโอกาสแล้ว เซี่ยโห้วท่าตายไปแล้ว”

“คนดีอายุไม่ยืน ทิ้งหายนะไว้ไม่จบไม่สิ้น เจ้าเด็กนั่นเจ้าเล่ห์ ไม่ตายง่ายขนาดนั้นหรอก” พระปีศาจหนานโปกล่าวเสียงเรียบ

“ตายแล้วจริงๆ ตายไปหลายหมื่นปีแล้ว” ประมุขพุทธะกล่าว

พระปีศาจหนานโปแสยะยิ้มไม่หยุด “ตายเหรอ? อยู่ต่อหน้าข้าใครกล้าพูดว่าตาย? ถ้าข้าไม่ให้เขาตาย เขาก็ตายไม่ได้ ช้าเร็วข้าก็ต้องตัดขาดการเวียนว่ายตายเกิดของเขา ให้เขาฟื้นความทรงจำในชาตินี้อีกครั้ง ให้เขาทนทรมานไปทุกชาติทุกภพไม่จบสิ้น ให้เขาร้องครวญครางอยู่ใต้เท้าข้าตลอดไป แล้วก็ศิษย์ทรยศพวกนั้นของข้าด้วย!”

ประมุขชิงกับประมุขพุทธะฟังจนหนังตากระตุก เสียวสันวาบนิดหน่อย เพิ่งนึกได้ว่าปีศาจตนมีมีพลังอภินิหารควบคุมการเวียนว่ายตายเกิดได้

ประมุขพุทธะประนมมือ “อามิตตาพุทธ ในเมื่อพวกเราสองคนมาแล้ว ก็ไม่ให้โอกาสพวกเจ้าออกไปก่อกรรมทำชั่วอีก”

“อไรคือความดี? อะไรคือความชั่ว? อาศัยคนอย่างพวกเจ้าน่ะเหรอ?” ดวงตาเพลิงของพระปีศาจหนานโปราวกับเหน็บแหนม แล้วจู่ๆ ก็บอกอีกว่า “ใช่แล้ว ได้ยินว่าพวกเจ้าสองคนกลายเป็นเจ้าแห่งใต้หล้าแล้ว ขนาดศิษย์ของไป๋เหมยที่ร่วมช่วงชิงใต้หล้ากับพวกเจ้าก็ยังโดนฆ่า ข้าน่ะแปลกใจนัก ศิษย์ของไป๋เหมยก็นับว่ามีฝีมืออยู่บ้าง ทำไมถึงตายด้วยน้ำมือกระเป๋าฟาง[1]อย่างพวกเจ้าสองคนได้? อ้อใช่สิ เจ้ากระเป๋าฟางสองใบนี้ สงสัยจะโดนเจ้าเด็กตระกูลเซี่ยโห้วหลอกใช้ประโยชน์แต่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ คนที่เจ้าเด็กตระกูลเซี่ยโห้วกลัวก็คือศิษย์ของไป๋เหมย ถึงได้ยืมมือพวกเจ้ากำจัดเขาทิ้ง พอไม่มีเจ้าเด็กตระกูลเซี่ยโห้วคอยเสี้ยมอยู่เบื้องหลัง อาศัยกระเป๋าฟางอย่างพวกเจ้าสองคน มีหรือที่จะสู้กับเขาได้?”

จะอ้าปากหุบปากก็พูดแต่กระเป๋าฟาง ทั้งสองฟังจนไฟโกรธสุมทรวง ประมุขพุทธะกล่าวเสียงเรียบว่า “ตามที่อาตมารู้มา เหมือนเจ้าจะไม่เคยเจอศิษย์ของไป๋เหมยนะ?” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ เจ้าไม่เคยเจอ แล้วมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าพวกเราสู้เขาไม่ได้?

พระปีศาจหนานโปแสยะยิ้ม “ข้าก็เลยบอกว่าพวกเจ้าสองคนเป็นกระเป๋าฟางไง หลังจากศิษย์ของไป๋เหมยสังหารศิษย์ทรยศของข้าไปหลายคน ก็หาข้าพบแล้ว เจ้านั่นเปลี่ยนวิธีการขู่ข้า เรียนรู้วิชาจากข้าไปแล้วไม่น้อย ข้ารู้ว่าเขาอยากจะบีบคั้นขูดรีดข้าแล้วค่อยฆ่าทิ้ง แต่ก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้าต้องยอมรับ พรสวรรค์ของเขาไม่ธรรมดาจริงๆ…ข้ายังแปลกใจว่าทำไมตอนหลังเขาไม่มาแล้ว ที่แท้ก็ตายด้วยน้ำมือกระเป๋าฟางอย่างพวกเจ้าสองคนนี่เอง เขาหาข้าเจอนานแล้ว แต่พวกเจ้าเพิ่งจะเจอข้าตอนนี้ ห่างชั้นกันขนาดไหนก็ลองคิดเอาเอง พวกเจ้าใช่กระเป๋าฟางมั้ยล่ะ? แต่จะว่าไปก็ต้องขอบคุณพวกเจ้านะ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้าสองคนทำให้งานเขาพัง เกรงว่าข้าคงตายด้วยน้ำมือเขาไปแล้ว ดังนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าไปสบาย!”

ประมุขชิงและประมุขไป๋หน้าบึ้งแล้ว สบตากันแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก ในดวงตาฉายแววโกรธแค้น นึกไม่ถึงว่าเจ้าสามเหล่าไป๋จะเจอสถานที่ผนึกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจนานแล้ว ในปีนั้นความสัมพันธ์ยังดีต่อกัน ยังไม่แตกคอกัน แต่ไม่น่าเชื่อว่าเหล่าไป๋จะไม่บอกพวกเขา

“ขนาดเขายังเรียนรู้จากข้าไปแล้ว พวกเจ้าจะไม่อยากเชียวเหรอ? อยากบรรลุระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จนเป็นอมตะมั้ย? ข้ามีวิชาลับอยู่นะ” พระปีศาจหนานโปหัวเราะเบาๆ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังหลอกล่อ

ประมุขชิงพูดแขวะ “สงสัยจะกลัวพวกเราฆ่าเจ้าน่ะสิ นี่เจ้ากำลังขอร้องพวกเราเหรอ?”

“ขอร้องพวกเจ้า? อาศัยกระเป๋าฟางอย่างพวกเจ้าคู่ควรด้วยเหรอ?” พระปีศาจหนานโปพูดเหยียด แล้วจู่ๆ ก็จ้องประมุขพุทธะพร้อมท่อง “ผู้อยู่ในอเวจีเป็นอมตะ อายุยืนยาวคือทุกข์เข็ญใหญ่ในขุมอเวจี อเวจีไร้ขอบเขต ไร้กาลเวลา ไร้ช่องว่าง แดนรับกรรมไร้ที่สิ้นสุด เวลาไร้จำกัด ช่องว่างไร้ขอบเขต รับกรรมไร้ขอบเขต…”

…………………………

[1] กระเป๋าฟาง 草包 เป็นคำด่า เปรียบเปรยถึงคนที่ไร้ประโยชน์ ไม่ได้เรื่อง

ราวกับถูกตะโกนแสกหน้าเรียกสติ ประมุขชิงที่กำลังจมอยู่ในความคิดพลันเงยหน้า เบิกตากว้างจ้องซ่างกวนชิง ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ โดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ

แม้หลังจากรู้ข่าวสถานที่ผนึกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโป เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าถ้าหาไม่พบก็จะไม่หยุด ทว่ารอจนกระทั่งหาพบจริงๆ ในใจก็ยังรู้สึกกดดัน ถึงขั้นกังวลอยู่หลายส่วน ตั้งแต่ปกครองใต้หล้ามา ความรู้สึกนี้ไม่ปรากฏขึ้นนานมากแล้ว ความคิดของเขาย้อนกลับไปในอดีตที่ยาวนานมาก ในสายตาของเขา อาจารย์ของเขาคือเทพเซียนที่เป็นอมตะ…

ซ่างกวนชิงเองก็มองเขาเงียบๆ เช่นกัน

ทั้งสองเงียบไปพักหนึ่ง ประมุขชิงที่ได้รับข่าวทำลายความเงียบแล้ว หลังจากหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาติดต่อ ก็กล่าวช้าๆ ว่า “พี่ใหญ่พุทธะก็ได้รับข่าวแล้วเหมือนกัน ถามข้าว่าหาสถานที่ผนึกเจอแล้วจริงหรือเปล่า”

ผ่านไปไม่นาน โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ก็มาพร้อมกัน ทั้งสองล้วนมีสีหน้าจริงจังหนักแน่น พอเข้ามาถึงก็ทำความเคารพพร้อมกัน

ประมุขชิงจ้องอู๋ฉวี่พร้อมถามว่า “แน่ใจนะว่าเป็นสถานที่ผนึกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโป?”

อู๋ฉวี่ตอบด้วยเสียงต่ำ “บอกได้เพียงว่ายังไม่สามารถยืนยันได้เต็มที่ขอรับ สถานการณณ์ของดาวเคราะห์ดวงนั้นเหมือนกับที่ปีศาจจิ้งจอกสามหางบอกทุกอย่าง โดยเฉพาะการตอบสนองที่ผิดปกติพวกนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะไม่ผิด ผู้ตรวจการใหญ่เทียนเจี้ยนของหน่วยเจิ้นอี่รวบรวมคนดำเนินการค้นหาต่อแล้ว ถ้าปีศาจจิ้งจอกสามหางไม่โกหก วัดที่ผนึกไว้อยู่ในหุบผาชันจริงๆ ก็น่าจะหาเจอเร็วๆ นี้ ฝ่าบาท ข้าน้อยแนะนำให้แดนพุทธะส่งปีศาจจิ้งจอกสามหางไปพิสูจน์ขอรับ”

หลังจากสอบสวนปีศาจจิ้งจอกสามหางเสร็จในปีนั้น ทางแดนพุทธะก็ขอตัวนางไป ปีศาจจิ้งจอกสามหางอยู่ที่แดนพุทธะมาตลอด

ประมุขชิงพยักหน้า “เตรียมกำลังคน ข้าจะไปดูด้วยตัวเอง”

อู๋ฉวี่กุมหมัดคารวะ “กำลังพร้อมเตรียมไว้พร้อมแล้ว ตอนข้าน้อยมาก็ถ่ายทอดคำสั่งไปแล้ว ฝ่าบาทสามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อขอรับ”

ประมุขชิงชี้โพ่จวิน “เจ้าอยู่เฝ้าที่นี่ คุมวังสวรรค์ไว้”

“รับทราบ!” โพ่จวินกุมหมัดเอ่ยรับ

คนกลุ่มหนึ่งเดินทางออกจากวังสวรรค์ เข้าไปในดาราจักรอันกว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว…

บนฟ้าราวกับถูกระบายด้วยน้ำหมึก ทันใดนั้นก็ปรากฏกำลังพลกลุ่มใหญ่ ดำทะมึนเต็มท้องฟ้า

หลังจากทัพใหญ่ที่เข้ามาปรับตัวกับสถานการณ์ประหลาดของที่นี่ได้แล้ว ก็แบ่งกลุ่มกันอย่างรวดเร็ว แล้วแยกย้ายกันไปสี่ด้านแปดทิศ กระจายกำลังค้นหา

แสงแดดสดใส ด้านล่างมีภูเขาและแม่น้ำ มีพื้นที่ราบ สายน้ำไหลคดเคี้ยวอยู่ยนแผ่นดินใหญ่ ทิวทัศน์งดงามมาก

ใช้เวลาไม่นานเท่าไรนัก ทัพใหญ่ที่ค้นหามาตลอดทางก็พบความผิดปกติแล้ว ท้องฟ้าตรงหน้ามีบางสิ่งที่เหมือนเมฆกำลังไหลเชี่ยว หลังจากเข้าใกล้ถึงได้พบว่าเป็นค้างคาวที่รวมตัวกันบินอย่างหนาแน่น ตรงกลางรวมกันเป็นก้อนๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร

หัวหน้ากลุ่มส่งสัญญาณมือให้สมาชิก ทุกคนปิดประสาทสัมผัสการได้ยินหมดแล้ว ฟังไม่ได้ยินความเคลื่อนไหว ทำได้เพียงส่งสัญญาณมือ

จู่ๆ สมาชิกคนหนึ่งก็กระโดดลงจากตัวเหยี่ยวมารวานรยักษ์ คนข้างล่างยื่นมือคว้าไว้ ตกลงบนตัวเหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวหนึ่งข้างล่าง เหยี่ยวมารวานรยักษ์ข้างบนที่ไม่ได้แบกอะไรไว้แล้วเร่งความเร็วพุ่งออกไปทันที พุ่งเข้าไปในฝูงค้างคาวที่หนาแน่นนั้น

ฝูงค้างคาวถูกจู่โจม บินกระจัดกระจายไปทั่ว สมาชิกที่ที่ตรวจสอบความเคลื่อนไหวอยู่ข้างหลังตกใจมาก เห็นเพื่อนกองทัพองครักษ์หายไปในฝูงค้างคาว

คนคนนั้นจมหายเข้าไปในฝูงค้างคาว ค้างคาวจำนวนน้อยไม่มีทางทำให้เขาลอยได้อีก ร่วงลงบนพื้นดินที่กว้างใหญ่แล้ว

สมาชิกกองทัพองครักษ์สองคนขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์ไล่ตามลงไปทันที คว้าคนคนนั้นไว้ได้กลางอากาศ หยุดยั้งไม่ให้ร่วงลงไป ฉุดไว้บนตัวเหยี่ยวมารวานรยักษ์ แต่กลับพบว่าคนคนนั้นสายตาเลื่อนลอย ท่าทางเชื่องช้าเหม่อลอย ถามอะไรก็ไม่ตอบ

เมื่อมีบทเรียนแล้ว ทุกคนก็รู้แล้วว่าค้างคาวฝูงนั้นเป็นอย่างไร หัวหน้ากลุ่มโบกมือออกคำสั่ง ช่วยคน!

เหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวเปล่าตัวนั้นกรีดร้องเสียงแหลม พุ่งชนเข้าไปในค้างคาวฝูงใหญ่ ฝูงค้างคาวจะทนการรังแกจากมันไหวเสียที่ไหนกัน เห็นสมาชิกกองทัพองครักษ์ตกลงจากฝูงค้างคาวคนแล้วคนเล่า

กองทัพองครักษ์ที่อยู่ข้างหลังรีบขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์พุ่งลงไปช่วยชีวิตไว้ ช่วยชีวิตไว้ได้คนแล้วคนเล่า

และในขณะนี้เอง ‘เหยื่อ’ ทั้งหมดที่เห็นตรงหน้าหายไปหมดแล้ว จู่ๆ ฝูงค้างคาวก็เหมือนเป็นบ้า หลังจากรวมตัวกันบนฟ้าบินวนเป็นรูปเมฆ พวกมันก็พลันพุ่งกลับมา พุ่งชนกำลังพลที่กำลังค้นหาอย่างบ้าคลั่ง ชั่วพริบตานั้น ทุกคนตกอยู่ในวงล้อมของค้างคาวจำนวนนับไม่ถ้วน

ค้างคาวที่ไต่ขึ้นมาบนตัวคนเผยเขี้ยวคมร้องเสียงแหลม ท่าทางเดือดดาลไร้ที่เปรียบ แต่ละตัวราวกับเป็นหนู พออ้าปากได้ก็กัดเลย ทุกคนสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ควบคุมแล้ว แค่คิดก็รู้แล้วว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร บนตัวทุกคนโดนค้างคาวปกคลุมหนาแน่น โชคดีที่บนตัวทุกคนสวมเกราะรบ แต่เกราะรบก็ไม่ได้คลุมทุกส่วนของร่างกาย มีค้างคาวไม่น้อยเจาะเข้าไปใต้เกราะรบแล้ว บางตัวก็เจาะเข้าไปใต้รักแร้

สมาชิกที่นั่งอยู่บนเหยี่ยวมารวานรยักษ์ขนหัวลุกซู่ ปกติอาจไม่เห็นค้างคาวพวกนี้อยู่ในสายตา แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ นี่คือเรื่องที่ถึงตายจริงๆ แต่ละคนเอาแขนโบกปัดบนหน้าอย่างบ้าคลั่ง หรือไม่ก็ถือดาบถือทวนฟันมั่วๆ บางคนก็ทุบตีบนร่างกายตัวเอง ตีค้างคาวพวกนั้นที่เจาะเข้ามาในเกราะรบ

เหยี่ยวมารวานรยักษ์ผิวทนทานเนื้อหนา ไม่ได้หวาดกลัว พอกางปีกตีหนึ่งที ค้างคาวก็ร่วงลงเป็นฝูง

ที่ยุ่งยากก็คือสมาชิกกองทัพองครักษ์สิบกว่าคนที่ถูกช่วยชีวิตไว้ จู่ๆ พวกเขาก็เป็นบ้าตามค้างคาว กอดเพื่อนรวมทัพของตัวเองเอาไว้สุดชีวิต แล้วก็พากระโดดลงจากตัวเหยี่ยวมารวานรยักษ์พร้อมกัน เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ พวกเขาได้แต่ตกลงไปกระแทกพื้น เหลือเพียงเสียงกรีดร้องตกใจ

คนอื่นไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ รีบขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์พุ่งขึ้นฟ้า พุ่งขึ้นไปบนความสูงที่ค้างคาวไม่อาจบินขึ้นไปถึง ค้างคาวถึงได้ทยอยกันบินหนีไปจากตัวพวกเขา ตอนนี้บนใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยรอยเลือดและรอยฟัน พากันสะบัดเกราะรบ เอาค้างคาวข้างในออกไป มีบางคนคว้าค้างคาวตัวเป็นๆ มาบีบจนตายคามือด้วยความแค้น

พอมองค้างคาวข้างล่างที่รวมตัวกันอีกครั้ง แต่ละคนก็ทำสีหน้าหวาดกลัว

หัวหน้ากลุ่มส่งสัญญาณมือให้ทุกคนรอ จากนั้นก็นำสมาชิกสองคนพุ่งฝ่าชั้นนบรรยากาศขึ้นไป

เมื่อทั้งสามมาถึงดาราจักรแล้ว ก็มาพบกับผู้ตรวจการใหญ่เทียนเจี้ยน เล่าสถานการณ์ที่ประสบให้ฟัง ที่ต้องเทียวไปเทียวมาก็เพราะไม่มีทางเลือก เข้าไปที่ดาวเคราะห์ดวงนี้แล้วไม่สามารถใช้ระฆังดาราติดต่อได้

หลังจากฟังรายงานจบ เทียนเจี้ยนก็ตรวจสอบร่างกายและใบหน้าของทั้งสามที่เต็มไปด้วยรอยกัดค้างคาว ก่อนตะหันกลับมาสั่งว่า “ส่งคนที่จัดการเดรัจฉานพวกนั้นได้ไปสักคน”

ข้างหลังมีคนก้าวออกมาอย่างรวดเร็ว เก็บเกราะรบบนตัว ร่างกายเลื้อยขยุกขยิกเป็นร่าง ชั่วพริบตาเดียวก็กลับร่างเดิมแล้ว กลายเป็นนกประหลาดที่บนหัวมีก้อนเนื้อสีดำและทมีขนสีแดงทั้งตัว กางปีกซ้ายขวายาวประมาณสี่จั้ง

เทียนเจี้ยนบอกหัวหน้ากลุ่มคนนั้นว่า “จำไว้ ทิศทางที่ค้างคาวพวกนั้นบินไปหาอาจจะเป็นสถานที่เป้าหมาย”

“ขอรับ! ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” หัวหน้ากลุ่มกุมหมัดคารวะ

“ไปเถอะ!” เทียนเจี้ยนโบกมือ

หัวหน้ากลุ่มนำผู้ติดตามสองคนขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์กลับไปทันที นกประหลาดขนแดงตัวนั้นตามหลังไป

พอฝ่าชั้นบรรยากาศ ก็ไปหาสมาชิกของตัวเองที่อยู่บนฟ้าสูง เห็นเพียงค้างคาวฝูงนั้นยังเฝ้าพวกเขาอยู่ เหมือนนิสัยบ้าคลั่งจะยังไม่หายไป

หัวหน้ากลุ่มชี้ค้างคาวข้างล่าง แล้วก็กุมหมัดคารวะนกประหลาด ถือว่าขอร้องแล้ว

นกประหลาดขนแดงกระพือปีกบินวนคนพวกนี้รอบหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็พุ่งลงข้างล่าง มุ่งตรงไปหาค้างคาวฝูงนั้น จากนั้นหัวหน้ากลุ่มก็โบกมือ นำสมาชิกตามไปเช่นกัน

จู่ๆ ข้างล่างก็ปรากฏเปลวเพลิงที่มีควันดำ เป็นสิ่งที่พ่นออกจากปากนกยักษ์ขนแดง ราวกับมังกรไฟ ไล่ตามกวาดล้างฝูงค้างคาวอย่างบ้าคลั่ง ค้างคาวจำนวนมากโดนเผาตกลงพื้นราวกับห่าฝน ไม่นานก็กวาดล้างปัญหาพัวพันพวกนี้ออกไปหมดแล้ว

หัวหน้ากลุ่มส่งคนสองคนลงไปสำรวจบนพื้นดิน ดูว่าสมาชิกที่ตกลงไปตายหรือยัง ส่วนที่เหลือก็ทำตามที่เทียนเจี้ยนแนะนำ ค้นหาตามฝูงค้างคาวไปตลอดทาง

ผลปรากฏว่าพอไปได้ครึ่งทาง ก็มีเหยี่ยวยักษ์สิบตัวโผล่มาอีก ทุกตัวใช้กรงเล็บใหญ่เกี่ยวสมาชิกกองทัพองครักษ์คนหนึ่งเอาไว้ เป็นสมาชิกกองทัพองครักษ์กลุ่มอื่นที่เข้ามาเป็นกลุ่มแรกและขาดการติดต่อไปนั่นเอง

เหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวหนึ่งพุ่งออกไปเพียงลำพัง บุกเดี่ยวสู้กับฝูงเหยี่ยวยักษ์ เหยี่ยวยักษ์พวกนั้นก็แค่ตัวใหญ่เท่านั้นเอง จะสู้สัตว์เทพที่มีพรสวรรค์อย่างเหยี่ยวมารวานรยักษ์ได้อย่างไร เหยี่ยวยักษ์ดูเผินๆ เหมือนมีอานุภาพมาก แต่ความจริงแล้วสู้ฝูงค้างคาวที่พัวพันไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่นานก็ถูกเหยี่ยวมารวานรยักษ์ฆ่าตายหมดแล้ว

เหยี่ยวมารวานรยักษ์หลายตัวพุ่งลงไปช่วยชีวิตสมาชิกกองทัพองครักษ์ที่ประสบภัยอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ทุกคนมีประสบการณ์แล้ว พอช่วยเหลือมาได้ก็ตีให้สลบ แล้ววางคนพวกนี้ไว้บนพื้นชั่วคราว เหลือคนเฝ้าไว้สองคน ส่วนคนที่เหลือก็ค้นหาตามเส้นทางต่อไป

ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน ในที่สุดคนกลุ่มนี้ก็ตามมาถึงบนฟ้าเหนือหุบผาชันแล้ว เห็นวัดสีดำขลับที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแปลกประหลาดบนหน้าผาแล้ว

พวกเขามองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนจะเผยสีหน้าดีใจ ถ้านี่คือสถานที่เป้าหมาย เช่นนั้นพวกเขาก็จะได้ผลงานชิ้นใหญ่แล้ว สิ่งที่คนมากมายตามหามาหลายหมื่นปี แต่พวกเขาเป็นคนหาพบ แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลงานนี้จะใหญ่ขนาดไหน

หลังจากจ้องสังเกตวัดได้พักหนึ่ง หัวหน้ากลุ่มก็บัญชาการฝั่งซ้ายฝั่งขวา ให้กำลังพลครึ่งหนึ่งคอยระวังอยู่บนฟ้า ส่วนที่เหลือก็ทยอยลงไปในหุบผาชัน เหยียบลงบนลานนอกวัด แล้วทุกคนก็ทยอยกันกระโดลงจากตัวสัตว์พาหนะ ถืออาวุธเข้าไปใกล้ตรงประตูวัด ข้างในดำมืด มองไม่เห็นสภาพภายในเลย พวกเขาใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ด้วย

ในขณะนี้เอง จู่ๆ ในความมืดก็มีดวงตาคู่หนึ่งเบิกโพลง ดวงตาเหมือนเปลวเพลิงสีทอง สายตาน่ากลัวมาก

ทุกคนตกใจทันที รีบพากันถอยหลังอย่างระวังตัว แต่ดวงตาคู่นั้นก็ปิดลงและหายไปอีก ทุกคนมองไปข้างในทางซ้ายทางขวาแต่ก็ไม่เห็นอะไรแล้ว

หัวหน้ากลุ่มโบกมือไปทางซ้ายและขวา ส่งสัญญาณมือให้เข้าไปในวัด บอกใบ้ให้คนสองคนเข้าไปดูก่อน

คนที่ถูกเรียกรู้สึกกังวลในใจ แต่อยู่ในกองทัพองครักษ์หากขัดคำสั่งก็จะโดนลงโทษร้ายแรงมาก ทั้งสองจำต้องแข็งใจเดินเข้าประตูวัดไป

สองคนที่เดินขึ้นบันไดไปหยุดอยู่หน้าธรณีประตูแล้วสำรวจข้างในให้ละเอียด แต่ก็ยังเห็นไม่ชัด ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง เตรียมจะเดินตามกันเข้าไป จะได้คุ้มกันให้กันและกันได้สะดวก พอเข้าไปคนหนึ่งแล้ว ใครจะคิดว่าตรงประตูเหมือนจะมีกำแพงล่องหนกันไม่ให้เขาก้าวเท้าเข้าไปในธรณีประตู แล้วก็มีแรงมหาศกรอกพุ่งเข้ามาเร็วมาก

ทุกคนข้างนอกเห็นเพียงตรงประตูมีคลื่นแสงไร้รูปร่างแวบขึ้นครู่หนึ่ง ราวกับคลื่นระเบิด กระแทกคนที่ก้าวเข้าประตูไปก่อน

ปั้ง! แม้แต่เสียงกรีดร้องก็ยังไม่ทันเปล่งออกมา คนคนนั้นระเบิดกลายเป็นละอองเลือดแล้ว เกราะรบบนตัวกระแทกคนที่อยู่ข้างหลัง ทำให้คนข้างหลังสะเทือนจนกระอักเลือดกระเด็นออกมา ชนคนล้มหลายคนติดต่อกัน

หลายคนที่โดนชนล้มบาดเจ็บหนักบ้างเบาบ้าง คนที่ถูกชนกระเด็นออกมากลับสะเทือนจนเลือดออกทวารทั้งเจ็ดและตายคาที่

ชั่วพริบตาเดียวสองชีวิตก็หายไปแล้ว คนที่ตกกระแทกพื้นร้องครางถูกลากไปสองฝั่งเพื่อช่วยชีวิตอย่างรวดเร็ว

วัดเงียบสงบเหมือนตอนแรกอีกครั้ง หัวหน้ากลุ่มจ้องเงียบๆ พักหนึ่ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่นี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาส่งสัญญาณมือให้ทุกคนเฝ้าอยู่ที่นี่และอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามอีก ส่วนเขาก็รีบกระโดดขึ้นเหยี่ยวมารวานรยักษ์ บินไปบนฟ้าแล้วเรียกนกประหลาดขนแดงให้ออกจากตรงนั้นไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว

…………………………

เพียงแต่ก่อนที่ศีลแปดจะพาปีศาจโลหิตออกจากสถานที่ผนึก ก็หาอาวุธมาทุบผนังวัดอย่างบ้าคลั่ง

ท่ามกลางเสียงระฆัง พระปีศาจหนานโปที่อยู่ในวัดแต่โดยดีเอามือกุมหัวกรีดร้อง ไม่รู้ว่าตัวเองไปยั่วโมโหใครเข้า อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นหินแล้ว

ส่วนอาศรมซินหูก็ถูกอวี้หลัวช่าทำลายแล้วเช่นกัน เพื่อปิดบังร่องรอยที่ลูกชายตัวเองเคยอยู่ที่นี่ นางยอมทำให้ภูเขาและแม่น้ำเปลี่ยนทิศทาง ชะล้างกลบทำลาย

พอกลับมาที่น่านฟ้าเถาะติง อวี้หลัวช่าที่แยกจากกันตรงที่ลับตาคนก็มองเงาหลังของเหมียวอี้จากไป นางทำท่าเหมือนอยากจะร้องไห้ จากกันครั้งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบลูกชายอีก หัวใจราวกับโดนมีดกรีด ยิ่งนึกเสียใจทีหลังกับการกระทำของตัวเองในปีนั้นเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าตางดงามเกินไป วันนี้จะตกต่ำถึงขั้นนี้หรือ คงสามารถเก็บลูกชายไว้ข้างกายได้อย่างสง่าผ่าเผยแล้ว

เหมียวอี้ไม่ได้พาศีลแปดกลับพิภพเล็ก แต่ไปอีกเส้นทางหนึ่ง ไปที่แดนสุขาวดี กลับไปที่คลังสมบัติใต้ดินของดาวพิษอีกครั้ง

เมื่อเปิดประตูใหญ่คลังสมบัติเข้าไปแล้ว ศีลแปดก็หันตัวมา มองเหมียวอี้ที่อยู่ตรงประตูด้วยสีหน้าขื่นขม “พี่ใหญ่ ฝึกมาหลายหมื่นปีแล้วยังไม่ได้เรื่องอะไรเลย ช่างมันดีกว่าไหม”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าอุดอู้อยู่ที่นี่แล้วทรมาน แต่ถ้าเจ้าสงบใจฝึกตน ที่จริงเวลาก็ผ่านไปเร็วมาก ขายเองก็หวังดีกับเจ้าเช่นกัน!”

“เฮ้อ!” ศีลแปดถอนหายใจยาว แล้วก้มหน้าเดินเข้าไป

ในใจเหมียวอี้ก็อดทนไม่ไหวเช่นกัน รู้รสชาติของการขาดอิสระว่าทรมานขนาดไหน แต่ใครใช้ให้ศีลแปดเป็นคนไร้จิตสำนึกล่ะ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่อย่างเขาคงให้ศีลแปดกลับมาเองแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาส่งด้วยตัวเองและขังศีลแปดไว้อีก

ประตูใหญ่คลังสมบัติปิดแล้ว เหมียวอี้หันตัวเดินจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว

เพียงแต่วันไหนถ้ารู้ความจริงขึ้นมาว่าประตูนี้ขังศีลแปดไม่ได้ พอเขาไปแล้วศีลแปดก็แอบออกมาทันที ก็ไม่รู้ว่าจะโมโหจนกระอักเลือดหรือเปล่า…

พอกลับมาถึงจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้ก็ยังไม่ไปพิภพเล็ก เขาส่งซินหูและคนอื่นๆ ให้เหยียนซิว ให้เหยียนซิวไปส่งที่พิภพเล็กให้

ตอนนี้เขายังไม่คลิปจะกลับไปฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ต้องคอยเฝ้าอยู่ที่นี่เพื่อรอให้เกิดเรื่องที่สถานที่ผนึก ถ้าเรื่องนี้สาวมาถึงตัวเขา เขาจะได้รับมือทันเวลา

บนเตียงนอน หลังจากทำกิจกรรมเสร็จแล้ว อวิ๋นจือชิวก็นอนหมอบอยุ่บนหน้าอกล่ำแน่นของเหมียวอี้ หลังจากได้ยินเหมียวอี้ค่อยๆ เล่าเรื่องที่ย้ายพวกไต้ซือศีลเจ็ด นางก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วถาม “ตระกูลโค่วให้ลูกน้องเก่าของเจ้าในกองทัพองครักษ์จับตาดูทิศทางความเคลื่อนไหวของอวี้หลัวช่า พวกเขาจะพบอะไรหรือเปล่า?”

สำหรับการเคลื่อนไหวลับของตระกูลโค่ว เหมียวอี้รู้ตั้งนานแล้ว ลูกน้องเก่ารายงานรับมาบอกเขาตั้งนานแล้ว ที่ไม่ได้บอกอวี้หลัวช่า ก็เพราะยังไม่อยากให้อวี้หลัวช่ารู้ว่าเขายัดสายลับไว้ที่กองทัพองครักษ์ นอกจากนี้ลูกน้องเก่าพวกนั้นก็ฟังคำสั่งเขา เขาไม่อาจช่วยตระกูลโค่วสืบความเคลื่อนไหวของอวี้หลัวช่า เมื่อตระกูลโค่วไม่ได้ข่าวที่เป็นประโยชน์ ก็ย่อมไม่เกิดภัยคุกคามต่ออวี้หลัวช่า

เหมียวอี้ส่ายหน้าเบาๆ “น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับสถานที่ผนึก ไม่อย่างนั้นตระกูลโค่วคงไม่ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ อย่างนี้ ข้าสงสัยว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับสมบัติลับสำนักหนานอู๋ ในปีนั้นที่ข้ากุเรื่องสมบัติลับขึ้นมาหลอกตระกูลโค่ว ก็ยังสงสัยว่าทำไมตระกูลโค่วไม่เคลื่อนไหวอะไร พอมาดูตอนนี้ ตระกูลโค่วรู้ความเคลื่อนไหวของอวี้หลัวช่า ก็ใช่ว่าจะไม่สนใจสมบัติหลัก ใช่ว่าจะไม่เคลื่อนไหวอะไร แต่แอบดำเนินการเรื่องนี้มาโดยตลอด ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลโค่วใช้สายลับในกองทัพองครักษ์ เราก็เหมือนถูกรุมอยู่ในกลองจริงๆ คงไม่รู้ว่าตระกูลโค่วแอบจับตาดูอวี้หลัวช่ามาโดยตลอด เป็นไปได้ว่าช่วงนี้อวี้หลัวช่าไปยังบริเวณจุดค้นหาบ่อย จึงทำให้ตระกูลโค่วสงสัย”

อวิ๋นจือชิวนอนหมอบครุ่นคิดอยู่บนตัวเขาเงียบๆ…

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ในหอสามรากฐาน โค่วหลิงซวีพี่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวและกำลังอบรมลูกชายทั้งสามสังเกตได้ว่าถังเฮ่อเหนียนที่เดินเข้ามาส่งสายตาให้เขา

จากนั้นก็ชี้แนะอะไรนิดหน่อย แล้วโค่วหลิงซวีก็โบกมือบอกว่า “เอาล่ะ พวกเจ้าสองคนกลับไปเถอะ”

โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นทำความเคารพแล้วถอยออกไป เมื่อมองไปเห็นพี่ใหญ่โค่วเจิงยืนอยู่ในนั้นโดยไม่ขยับไปไหน รสชาติในใจเป็นอย่างไรพวกเขาย่อมรู้ดี

รอจนกระทั่งคุณชายทั้งสองออกไปแล้ว ถังเฮ่อเหนียนถึงได้โค้งตัวเล็กน้อยพร้อมรายงานว่า “ท่านอ๋อง อวี้หลัวช่าไปยังจุดค้นหาอีกแล้ว แต่นางก็กลับมาแล้ว”

โค่วหลิงซวีพลันหรี่ตา “ไปอีกแล้วเหรอ สงสัยคงจะมีปัญหาจริงๆ คนของพวกเราประจำที่หรือยัง?”

“กำลังพลที่รวบรวมไว้รีบไปยังจุดค้นหาแล้วขอรับ” ถังเฮ่อเหนียนตอบ

โค่วหลิงซวีพยักหน้า “ดี! ถ้าพบว่าอวี้หลัวช่าไปที่นั่นอีก ก็ต้องจับตาดูนางไว้”

“ขอรับ!” ถังเฮ่อเหนียนเอ่ยรับ

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่นั่งสง่าอยู่ในศาลาใช้สองมือประคองเข่า สิบนิ้วกรีดขึ้นกรีดลง ขมวดคิ้วกล่าวอย่างสงสัยว่า “ตาแก่โค่วเล่นบ้าอะไร เป็นฝ่ายระดมกำลังพลสิบล้านไปเข้าร่วมกันค้นหาเหรอ? ช่วงนี้ภายนอกไม่มีอะไรน่าสงสัยใช่ไหม?”

โกวเยว่ส่ายหน้าอยู่ข้างๆ “ช่วงนี้ใต้หล้านับว่าสงบ มองไม่ออกว่ามีอะไรน่าสงสัย ที่น่าสงสัยก็คือการเคลื่อนไหวของโค่วหลิงซวีครั้งนี้”

ก่วงลิ่งกงลุกขึ้นยืน เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา พลางกล่าวอย่างลังเล “ตาแก่โค่วไม่ใช่คนที่ยิงธนูโดยไร้เป้า ทำแบบนี้เพราะมีเหตุผลบางอย่างแน่นอน แค่พวกเราไม่รู้ก็เท่านั้นเอง เอาอย่างนี้ ข้าก็จะรายงานขึ้นไปที่วังสวรรค์เหมือนกัน พวกเราก็จะส่งกำลังพลสิบล้านไปช่วยค้นหาเหมือนกัน จับตาดูคนของตาแก่โค่วเอาไว้ ข้าก็อยากไปเห็นว่าเขาจะเล่นตุกติกอะไรกันแน่”

“ก็ดีเหมือนกันขอรับ!” โกวเยว่พยักหน้า “จับตาดูพวกเขาไว้ ดีกว่าอยู่ที่นี่แล้วเดาไปเรื่อย อย่างน้อยถ้ามีเรื่องอะไรจะได้รับมือทัน”

ชั่วขณะนั้น ความเคลื่อนไหวของทัพเหนือโค่วหลิงซวีได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ ไม่ใช่แค่ทัพใต้ ตื่นก็แสดงปฏิกิริยาตอบโต้เหมือนกัน ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมวางตัวเองไว้นอกเรื่องนี้ ต่างก็กังวลว่าจะโดนทรยศแล้วไม่รู้ตัว

ยิ่งเป็นคนที่ตำแหน่งสูง ยิ่งกังวลว่าจะตามข่าวไม่ทัน

กำลังพลแต่ละสายเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ ไม่นานเรื่องก็มาถึงหูเหมียวอี้แล้ว

หยางเจาชิงที่รายงานเสร็จถอยออกไป อวิ๋นจือชิวยกน้ำชามาวางบนโต๊ะน้ำชาข้างกายเหมียวอี้ แล้วถามเสียงเบาว่า “ทำไมถึงเข้าไปประสมโรงกันหมด?”

เหมียวอี้ที่นั่งสง่าอยู่อย่างนั้นกล่าวช้าๆ “มีกำลังพลมากขนาดนี้เข้าร่วมในรวดเดียว สงสัยสถานที่ผนึกคงจะถูกเปิดโปงเร็วกว่าที่คาดไว้แล้ว”

หลังจากนั้นหนึ่งเดือน

จุดค้นหาบริเวณอาณาเขตดาวนิรนาม จู่ๆกำลังพลกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในดาราจักรก็ฮือฮาวุ่นวาย มีคนตะโกนว่า “ผู้ตรวจการใหญ่มาแล้ว”

กลุ่มคนหลีกทางออกไปทางซ้ายและขวา มีคนหลายคนถลันเข้ามา ผู้ที่นำหน้ามาก็คือเทียนเจี้ยน เป็นผู้ตรวจการใหญ่ของหน่วยเจิ้นติง รูปร่างกำยำ จ้องมองดาวเคราะห์สวยงามที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตามั่นคง แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเหมาะกับการอยู่อาศัย

ทัพใหญ่ที่ค้นหามาหลายปีมีเขาเป็นผู้รับผิดชอบ ใช้กำลังคนและกำลังทรัพย์ไปเยอะมาก ค้นหาซ้ำไปซ้ำมาหลายหมื่นปี ดาวเคราะห์ที่เหมาะกับการดำรงชีวิตมีน้อยจนนับนิ้วได้ แต่ตราบใดที่หาเจอก็จะได้ผลงานใหญ่หนึ่งชิ้น หมายความว่าอาณาเขตดาวนิรนามผืนนี้มีจุดควบคุมแล้ว สามารถใส่เข้าไปเป็นพื้นที่ควบคุมในแผนที่ดาวอย่างเป็นทางการ

“ส่งคนไปตรวจสอบดูหรือยัง?” เทียนเจี้ยนเอ่ยถามเสียงเรียบ

แม่ทัพคนหนึ่งก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะทันที “รายงานตรวจการใหญ่ ทางนั้นยังมีอีกดวง ใช้เวลาเดินทางอีกประเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว กำลังพลกลุ่มเล็กที่ส่งไปก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เป็นดาวเคราะห์ที่เหมาะแก่การดำรงชีวิตแต่ยังไม่มีคนอาศัยอยู่สักคน”

เทียนเจี้ยนมองไปตามนิ้วที่เขาชี้

แล้วรายงานที่ตามมาติดๆ ก็ทำให้แม่ทัพคนนั้นเหมือนค่อนข้างกังวล “ดาวเคราะห์ดวงที่อยู่ตรงหน้า คนที่ส่งไปตรวจสอบขาดการติดต่อหมดเลย เป็นข้าน้อยเองที่เตรียมการไม่รอบคอบ “

เทียนเจี้ยนกวาดสายตาเย็นเยียบมองเขาแวบหนึ่ง ทำให้เข่าก้มหน้าอย่างอับอาย

เทียนเจี้ยนไม่ได้ตำหนิเขา ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ดึงกำลังพลธงหมาป่าไปตรวจสอบ ทุกคนที่ไปนำสัตว์พาหนะไปด้วย ปิดประสาทการได้ยิน”

“รับทราบ!” ทหารคนนั้นเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปปฏิบัติตาม

คนส่วนใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าทำไมเทียนเจี้ยนจึงออกคำสั่งแปลกๆ อย่างนี้ เป็นเพราะเรื่องบางเรื่องไม่ได้ประกาศอย่างเปิดเผยครบทุกด้าน กลัวจะทำให้เกิดความหวาดกลัว คนที่รู้เป้าหมายของการค้นหาครั้งนี้เหมือนเทียนเจี้ยนมีไม่เยอะ

ผ่านไปไม่นาน กำลังพลธงหมาป่าหนึ่งพัน ขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์หนึ่งพันตัว พุ่งเข้าไปในดาวเคราะห์นิรนามตรงหน้า

เทียนเจี้ยนไม่พูดอะไร เหาะรออยู่ในดาราจักรเงียบๆ จ้องมองดาวเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่ละสายตา

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม กำลังพลสิบกว่าคนก็ขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์กลับมาจากดาวเคราะห์ดวงนั้น แล้วรายงานว่า “รายงานผู้ตรวจการใหญ่ ดาวเคราะห์ดวงนี้ค่อนข้างแปลก หลังจากเข้าไปแล้ว พวกเราก็ถูกจำกัดพลังอิทธิฤทธิ์ เสียความสามารถในการควบคุม ถ้าไม่ใช่เพราะมีเหยี่ยวมารวานรยักษ์ เกรงว่าคงประสบอุบัติเหตุไปแล้ว พวกข้าน้อยสำรวจตามกำลังพลกลุ่มหนึ่ง พบว่ากำลังพลกลุ่มแรกที่เข้าไปประสบหายนะหมด คงจะตกลงมากระแทกพื้นตาย ตรงที่เกิดเหตุพบศพเกลื่อนกลาด ยังมีกำลังพลกลุ่มหนึ่งที่ทิศทางไปไม่แน่นอนด้วย”

มีคนไม่น้อยหลังจากฟังรายงานจบแล้ว ก็มองไปที่เทียนเจี้ยนทันที ในใจระแวงสงสัยไม่หยุด หรือว่าผู้ตรวจการใหญ่จะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าดาวเคราะห์ดวงนั้นมีอะไรแปลกๆ ไม่อย่างนั้นทำไมเมื่อครู่ถึงออกนโยบายรับมือได้เหมาะเจาะขนาดนี้?

เทียนเจี้ยนเม้มริมฝีปากแน่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมไร้ที่เปรียบ สถานการณ์ประหลาดของดาวเคราะห์ดวงนี้สอดคล้องกับที่เขาได้รับคำสั่งมา เขากวาดสายตามองกลุ่มคน แล้วจู่ๆ ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังว่า “สั่งให้กำลังพลทั้งหมดที่กำลังค้นหาหยุดค้นหาที่อื่น ให้มารวมตัวกันที่นี่ รวบรวมสัตว์พาหนะที่บินได้เอาไว้ใช้ด้วย!”

ตามคำสั่งที่ถ่ายทอดลงไป กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่ค้นหาอยู่โดยรอยทยอยกันมารวมตัวที่นี่ ส่วนในมือเทียนเจี้ยนก็หยิบระฆังดาราออกมาเช่นกัน รีบรายงานขึ้นไปเบื้องบน

กำลังพลของสี่ทัพที่กำลังค้นห้า กำลังพลที่แดนพุทธะส่งมา ทั้งหมดสะเทือนกับเหตุการณ์นี้ ได้รับคำสั่งให้มารวมตัวที่นี่พร้อมกัน แม้ทัพใหญ่จะมาจากอำนาจต่างฝ่าย แต่การค้นหาในอาณาเขตดาวที่ใหญ่ขนาดนี้จะต้องมีการบัญชาการที่เป็นหนึ่งเดียว ถึงจะสะดวกต่อการกระจายกำลังค้นหาอย่างไร้ช่องโหว่ แล้วผู้บัญชาการก็คือเทียนเจี้ยนนั่นเอง

กำลังพลกลุ่มใหญ่เร่งตามมา ทยอยกันมารวมตัวกันที่นี่ สัตว์พาหนะที่บินได้เริ่มรวมตัวกันแล้ว

เทียนเจี้ยนออกคำสั่งอีกครั้ง จัดแบ่งกำลังพลที่มีสัตว์พาหนะเหมาะสม สั่งให้คนพวกนี้ปิดประสาทสัมผัสการได้ยิน กระจายกำลังค้นห้าดาวเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมด ใครหาวัดเจอจะตบรางวัลอย่างหนัก!

ชั่วขณะนั้น กำลังพลที่หนาแน่นนับไม่ถ้วนขี่สัตว์พาหนะที่บินได้ไปยังดาวเคราะห์ดวงนั้นอย่างโอ่อ่ายิ่งใหญ่

เทียนเจี้ยนลอยอยู่กลางอากาศ เม้มริมฝีปากแน่นจ้องดาวเคราะห์ตรงหน้า เขาเดาว่ามีความเป็นไปได้สูงที่สิ่งน่าหวาดกลัวจะอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้

วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงที่วางแผ่นหยกลงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “กำลังพลที่ตาแก่พวกนั้นส่งไปให้ความร่วมมือในการค้นหาจริงเหรอ? มีจุดประสงค์อื่นหรือเปล่า?”

ซ่างกวนชิงตอบว่า “ตามข่าวที่ได้รับกลับมา ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ พวกเขาให้ความร่วมมือจริงๆ ขอรับ ทางนั้นก็จับตาดูอยู่ ถ้ามีความผิดปกติอะไรก็จะรายงานขึ้นมาทันที”

ประมุขชิงพิงบนเก้าอี้ ตรงหว่างคิ้วฉายแววครุ่นคิด พึมพำกับตัวเองว่า “แปลกจัง”

ซ่างกวนชิงหยิบระฆังดาราขอันหนึ่งขึ้นมา หลังจากตั้งใจฟังก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก รีบรายงานประมุขชิงทีกำลังครุ่นคิด “ฝ่าบาท อู๋ฉวี่ส่งข่าวมา บอกว่าทัพใหญ่ที่กำลังค้นหาพบสถานที่ผนึกแล้ว อู๋ฉวี่กำลังตามไปขอรับ”

…………………………

เหมียวอี้เอาข้อศอกชนศีลแปดเบาๆ บุ้ยปากไปทางซินหูที่อยู่บนหลังคา

ศีลแปดทำสีหน้าขื่นขม ย่อมรู้ว่าเหมียวอี้จะสื่ออะไร บนหลังคาก็คือลูกชายตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะมีลูกชายโตขนาดนั้นแล้ว เขาพูดไม่ออกจริงๆ ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้าอย่างไรดี ถ้าไม่ใช่เพราะเหมียวอี้บังคับให้เขามา ต่อให้ตีให้ตายเขาก็ไม่มา

ปีศาจโลหิตกลับมองอวี้หลัวช่าพลางส่ายหน้ายิ้มเจื่อน พบว่าทุกครั้งที่อวี้หลัวช่ามาเจอลูกชายก็จะร้องไห้ ทำราวกับติดค้างอะไรลูกชายอย่างนั้น นางจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่านี่คือพุทธะหน้าหยกที่ตัวเองได้ยินนามอันยิ่งใหญ่มานานแล้ว ราวกับทำมาจากน้ำ เอะอะก็ร้องไห้

“ซินหู มีแขกมา” ปีศาจโลหิตพลันตะโกนเรียก

ซินหูที่อยู่บนหลังคาลืมตาช้าๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนขณะหันหน้ารับแสงอาทิตย์ยามเย็น หันตัวลอยลงมา โค้งตัวประนมมือให้อวี้หลัวช่า เขาเองก็รู้จักเหมียวอี้ แม้จะเคยพบกันครั้งเดียว แต่ที่นี่ก็มีคนมาไม่บ่อย เมื่อได้เจอใครสักคนก็จำได้อย่างลึกซึ้ง เขาประนมมือโค้งตัวให้เหมียวอี้อีก

ส่วนศีลแปด เขาเองก็จำได้รางๆ แต่ก็ยังประนมมือทักทาย “อามิตตาพุทธ”

ทั้งสามประนมมือทักทายกลับ อวี้หลัวช่าถือโอกาสปาดน้ำตา มองซินหูด้วยแววตาสงสารอย่างบรรยายไม่ออก รสชาติยามอยู่ตรงหน้าลูกชายแต่ไม่อาจทำความรู้จักกันได้นั้นทรมานไร้ที่เปรียบ รู้สึกเพียงว่าตัวเองเป็นมารดาที่น่าละอาย ติดค้างลูกชายมากเกินไป

ศีลแปดก้มหน้าก้มตา ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกสับสนของเขาได้

ปีศาจโลหิตคอยแนะนำอยู่ข้างๆ “ซินหู นี่ก็คือศิษย์ของไต้ซือ ศิษย์พี่ของข้าเอง ศีลแปด”

ซินหูยิ้มอ่อนๆ อย่างไม่สะอกสะท้าน โค้งตัวอีกครั้ง

ส่วนเหมียวอี้ก็จ้องประเมินซินหูเงียบๆ แม้ซินหูจะโดนแดดเผาจนผิวดำ แต่ก็ยากจะปิดบังความหล่อเหลานั้นได้ หน้าตาเอนเอียงไปทางอวี้หลัวช่า หน้าตาดี โดยเฉพาะลักษณะสุขุมเยือกเย็นแบบนั้น เป็นสิ่งที่มาจากแก่นแท้ของตัวเอง

พวกเขาเข้ามาในอุโบสถ นั่งขัดสมาธิ ซินหูถือว่าเป็นรุ่นเด็กเมื่ออยู่ที่นี่ จึงเป็นฝ่ายชงชารินชาให้พวกเขาด้วยตัวเอง ส่งถ้วยน้ำชาถึงมือพวกเขาด้วยตัวเอง

เหมียวอี้กับปีศาจโลหิตไม่อยากรบกวน จึงหาข้อออ้างออกไป ศีลแปดก็อยากออกไปเหมือนกัน แต่ถูกเหมียวอี้กดบ่าให้นั่งลงไป

ทุกครั้งที่มาที่นี่ อวี้หลัวช่าก็จะพูดคุยกับลูกชายไม่หยุด หาข้ออ้างสนทนาพุทธธรรม แต่กลับแสดงความห่วงใยอันเปี่ยมล้นออกมาในคำพูด สายตาอาวรณ์ก็ยิ่งมองบนลูกชายโดยไม่ละไปไหน

ศีลแปดที่นั่งอยู่ข้างๆ ก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไรสักคำ บางครั้งก็แอบสังเกตสองแม่ลูก

พอมาถึงมุมหนึ่งของวัด ไม่มีคนนอกแล้ว ปีศาจโลหิตก็ถามว่า “โยมหนิวมาเพื่อเกลี้ยกล่อมท่านอาจารย์หรือ?”

เหมียวอี้พยักหน้า “ไต้ซือศีลเจ็ดอยู่ที่สถานที่ผนึกเหรอ?”

“ใช่!” ปีศาจโลหิตพยักหน้า “พุทธะหน้าหยกเกลี้ยกล่อมหลายรอบแล้ว เกรงว่าเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็คงไม่ได้ผล”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “รบกวนเจ้าไปเชิญเขามาสักรอบเถอะ”

ปีศาจโลหิตยิ้มเจื่อน แล้วหันตัวเดินออกไป พอออกจากวัดก็คือวงูมังกรออกไป เตรียมจะไปผลัดเวรกับไต้ซือศีลเจ็ด

เหมียวอี้เองก็ไม่ไปรบกวนครอบครัวที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาของศีลแปด เดินเล่นอยู่ภายในวัดเพียงลำพัง

รอจนกระทั่งงูมังกรกลับมาอีกครั้ง ไต้ซือศีลเจ็ดก็กลับมาจากสถานที่ผนึกแล้ว

เมื่อพบหน้ากัน ไต้ซือศีลเจ็ดก็ประนมมือด้วยรอยยิ้ม “โยมมีสง่าราศีกว่าในปีนั้น”

หลังจากเหมียวอี้ประนมมือทักทายตอบ ก็กลับยิ้มไม่ออก “วิกฤติกำลังจะมาถึงแล้ว เหตุใดไต้ซือจึงไม่ไป?”

“ใช่แล้ว! ท่านอาจารย์ ไปกับพวกเราดีกว่า” เสียงของศีลแปดดังมา คนก็เดินตามออกมาเช่นกัน แต่ไม่เห็นอวี้หลัวช่า

ไต้ซือศีลเจ็ดมองลูกศิษย์คนนี้ด้วยแววตาหลากอารมณ์ วิจารณ์ด้วยจิตใจที่สงบ เขารุ้อย่างลึกซึ้งว่าศิษย์คนนี้เหลวไหลไร้ระเบียบ ไม่เหมือนศิษย์ชาวพุทธเลย แต่ก็ไม่โทษศีลแปดเช่นกัน มีแต่โทษที่ตัวเองสั่งสอนไม่ดี เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า “พวกเจ้าไม่ต้องเกลี้ยกล่อมแล้ว สิ่งที่ควรพูดอาตามาก็พูดกับโยมอวี้ไปชัดเจนแล้ว ถ้าที่นี่ไม่มีคนเฝ้า พระปีศาจนั่นจะต้องก่อหายนะแน่”

“ไต้ซือคิดมากไปแล้ว กำลังพลตำหนักสวรรค์กำลังจะมาถึงแล้ว มีคนของตำหนักสวรรค์เฝ้าอยู่ นั่นก็เหมือนกันนั่นแหละ พระปีศาจหนีไม่พ้นหรอก” เหมียวอี้กล่าว

ไต้ซือศีลเจ็ดบอกว่า “เกรงว่าสิ่งแรกที่ตำหนักสวรรค์จะทำก็คือฆ่าเขา”

“พระปีศาจก่อกรรมทำชั่วมากมาย ตายไปก็ไม่พอให้เสียดายหรอก” เหมียวอี้บอก

ไต้ซือศีลเจ็ดส่ายหน้า “อาศัยความสามารถของเขาตอนนี้ ถ้าสามารถกล่อมเกลานิสัยได้ ก็จะนำความผาสุขมาสู่มวลมนุษย์แน่นอน”

เหมียวอี้ยังอยากจะอธิบายด้วยเหตุผล แต่ศีลแปดกลับกระทืบเท้าแยกเขี้ยวยิงฟันแล้ว “ตาแก่โล้น ที่ท่านเลอะเลือนไปแล้วมั้ง? กล่อมเกลาเหรอ? ท่านจะเอาอะไรมากล่อมเกลาเขา? เป็นท่านที่กล่อมเกลาเขา หรือเป็นเขาที่กล่อมเกลาท่าน? ท่านลืมเรื่องที่ตัวเองกราบคารวะขอเป็นศิษย์เขาไปแล้วเหรอ ถ้าไม่ใช่ข้าช่วยท่านไว้ ท่านเคยคิดถึงผลลัพธ์บ้างหรือเปล่า? แล้วอีกอย่าง หลังจากคนของตำหนักสวรรค์มาแล้ว ยังถึงคราวที่ท่านจะมากล่อมเกลาอีกเหรอ? เรื่องแรกที่ทำถ้าไม่ฆ่าท่านก็คงจับตัวท่านไป ถ้าท่านตกอยู่ในมือตำหนักสวรรค์ จะไม่ทำใหพวกเราพลอยลำบากไปด้วยหรอกเหรอ?”

แม้เหมียวอี้จะไม่ชอบท่าทีที่ศีลแปดมีต่ออาจารย์ แต่สิ่งที่ศีลแปดพูดก็คือสิ่งที่เขาอยากจะพูด เขาจึงไม่ได้ห้าม

ไต้ซือศีลเจ็ดส่ายหน้า “เรื่องบางเรื่องต้องมีคนทำอยู่แล้ว หากอาตมาไม่ลงนรก แล้วใครจะลงนรก”

“ได้!” ศีลแปดโมโหจนหัวเราะประชด หันตัวไปบอกเหมียวอี้ว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่อยากเกลี้ยกล่อมแล้ว ถ้าอยากจะเกลี้ยกล่อมท่านก็ค่อยๆ ทำไปเถอะ” พูดจบก็สะบัดชายจีวรเดินไป

แต่ใครจะคิดว่าตอนที่เขาเดินเฉียดกับศีลเจ็ด จู่ๆ ก็ลอบจู่โจม ใช้นิ้วจิ้มหลังศีลเจ็ด แล้วก็จิ้มอีกหลายที่บนตัวศีลเจ็ดต่อเนื่องกัน ศีลเจ็ดที่ทำสีหน้างุนงงถูกควบคุมไว้แล้ว ศีลแปดหันตัวมา แล้วบอกกับเหมียวอี้ว่า “พี่ใหญ่ จะคุยกันด้วยเหตุผลก็ต้องแยกแยะด้วยว่าเป็นใคร กับตาแก่คร่ำครึแบบนี้ไม่ต้องคุยด้วยเหตุผลหรอก ข้ารู้จักเขาดีเกินไป พวกท่านเป็นคนดีไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะเป็นคนเลวเอง”

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว ถ้าไม่ถึงคราวหมดทางเลือก เขาก็ไม่อยากจะใช้วิธีการแข็งกร้าวกับศีลเจ็ด เพียงแต่ในเมื่อศีลแปดทำอย่างนี้ไปแล้ว เขาเองก็ทำได้เพียงโค้งคำนับกล่าวว่า “ไต้ซือ เรื่องนี้สำคัญมาก ขออภัยที่พวกเราเสียมารยาท”

“พูดมากกับเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ เป็นเรื่องที่ง่ายมากแท้ๆ ทำไมต้องทำให้ซับซ้อนขนาดนั้น” ศีลแปดพึมพำ จากนั้นก็ไม่เปลืองคำพูดอีก เก็บไต้ซือศีลเจ็ดเอาไว้เสียเลย ทำท่าเหมือนพอไม่เห็นคนแล้วก็ไม่รู้สึกผิดอะไร

ตรงนี้จัดการไต้ซือศีลเจ็ดได้แล้ว เหมียวอี้ก็ไม่ลังเลอีก หันตัวเดินไปหาอวี้หลัวช่า เห็นท่าทางแบบนั้นของอวี้หลัวช่า ถ้าไม่เป็นฝ่ายไปขัดจังหวะเอง ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะคุยกับซินหูไปถึงเมื่อไร

“ไต้ซือตอบตกลงแล้ว?” อวี้หลัวช่าที่เดินตามออกจากอุโบสถประหลาดใจนิดหน่อย นางเกลี้ยกล่อมครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่ได้ผล จัดการได้เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ?

“ศีลแปดจับตัวเขาไว้แล้ว…” เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง

อวี้หลัวช่าพูดไม่ออก เพียงแต่เชื่อว่าศีลแปดทำเรื่องแบบนี้ได้จริงๆ

เมื่อเจอกับศีลแปด ทั้งสามก็ปรึกษากัน อวี้หลัวช่าตำหนิศีลแปดสองประโยค แต่ศีลแปดก็ไม่ถือสาอะไร

“เรื่องไต้ซือศีลเจ็ดเอาไว้ก่อน ปัญหาตอนนี้ก็คือพระปีศาจหนานโป เขารู้ชื่อข้าแล้ว ถ้าตกอยู่ในมือตำหนักสวรรค์เมื่อไร ข้าก็จะเกิดปัญหา ต้องหาทางกำจัดเขาทิ้ง” เหมียวอี้กล่าว

อวี้หลัวช่าขมวดคิ้ว “ถ้าจะฆ่าเขาก็ต้องทำลายผนึกค่ายกลใหญ่ก่อน”

เหมียวอี้บอกว่า “วิธีทำลายค่ายกล พระปีศาจเคยบอกข้าไว้แล้ว ขอเพียงหาดาวเคราะห์สามดวงจากมุมใดมุมหนึ่งของค่ายกลแล้วทำลายพร้อมกัน ค่ายกลใหญ่ก็ย่อมถูกทำลายแล้ว”

“ทำลายดาวเคราะห์สามดวงพร้อมกันเหรอ?” อวี้หลัวช่ากวาสายตามองบนตัวทั้งสอง “ไต้ซือศีลเจ็ดไมม่ร่วมมือด้วยแน่ ต่อให้นับซินหูกับปาไห่ พวกเราก็มีห้าคนเอง ข้าไม่รู้วรยุทธ์ของพี่ใหญ่ พวกเขาสามคนเกรงว่าร่วมมือกันคงไม่มีทางทำลายดาวเคราะห์ทั้งดวงได้ภายในเวลาสั้นๆ แน่ มิหนำซ้ำยังต้องทำลายดาวเคราะห์สามดวงพร้อมกัน แล้วพวกเราก็ต้องดึงตัวหนึ่งคนไปเผชิญหน้ากับพระปีศาจ ตอนค่ายกลถูกทำลายก็ต้องลงมือกับเขาให้ทันเวลา อย่าให้เขาหนีไปได้ ไม่อย่างนั้นปัญหาจะตามมาไม่รู้จบ พูดจากใจ ข้าไม่มีวิธีทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจ!” นางย่อมคิดว่าตัวเองคือคนที่ต้องลงมือกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโป

“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจ ข้ามีวิธีการรับมือ เรื่องนี้ส่งให้ข้าจัดการ กำลังคนไม่พอก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ต่อให้อันตรายหน่อยก็ต้องแก้ไขปัญหา ข้าจะระดมยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งมาให้ความร่วมมือที่นี่ น้องสะใภ้ช่วยไปรับให้ข้าหน่อย” เหมียวอี้กล่าว

อวี้หลัวช่าส่ายหน้า “ถ้าอยากจะทำลายดาวเคราะห์สามดวงพร้อมกัน เกรงว่าต้องใช้กำลังคนไม่น้อย คนเยอะตาเยอะ พี่ใหญ่รับประกันได้เหรอว่าจะไม่มีข่าวหลุด?”

เหมียวอี้ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถ้าพระปีศาจตกอยู่ในมือพวกเขา เกรงว่าเรื่องของข้าตอนอยู่ที่นี่ก็คงถูกเปิดโปงเหมือนกัน”

อวี้หลัวช่าบอกว่า “ก็ไม่แน่หรอก พระปีศาจรู้จักแค่ชื่อของพี่ใหญ่ ไม่รู้เสียหน่อยว่าพี่ใหญ่มาทำอะไรที่นี่ ถ้าตำหนักสวรรค์หาที่นี่เจอแล้ว พวกประมุขชิงก็ต้องหาทางกำจัดเขาทันทีแน่ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าพระปีศาจใช้มนต์คร่าชีวิตได้ ทั้งสองฝ่ายคงไม่นั่งลงแล้วค่อยๆ คุยกันหรอก มีความเป็นไปได้น้อยที่จะคุยกันจนสาวมาถึงพี่ใหญ่ ไม่สู้รอให้ตำหนักสวรรค์มาจัดการ”

เหมียวอี้เงียบไป ค่อนข้างลังเล

อวี้หลัวช่าพูดจากอีกมุมหนึ่ง “พี่ใหญ่ ท่านต้องเข้าใจเรื่องหนึ่งเอาไว้นะ การที่พระปีศาจตายด้วยน้ำมือท่านกับตายด้วยน้ำมือพวกเขานั้นต่างกัน ท่านฆ่าพระปีศาจแล้ว พวกเขาอาจจะไม่เชื่อก็ได้ พวกเขาจะสงสัยว่าทำไมไม่ฆ่าตั้งแต่แรก แต่ดันฆ่าตอนที่พวกเขากำลังจะหาเจอ จะสงสัยว่าพี่ใหญ่ปิดบังอะไรไว้หรือเปล่า? พระปีศาจอันตรายเกินไป พวกเขามิอาจไม่ระวังตัว คาดว่าคงหาทางไปสืบจากท่านให้กระจ่าง จะนำความยุ่งยากมากมายมาสู่ท่าน ถ้าพระปีศาจตายด้วยน้ำมือพวกเขา นั่นก็จะต่างออกไปแล้ว พวกเขาฆ่าด้วยมือตัวเองก็ย่อมวางใจกว่า ต่อให้พระปีศาจพูดถึงท่านแล้วยังไงล่ะ? พี่ใหญ่อยู่ที่นี่ก็คอยเฝ้าพระปีศาจมาตลอด ไม่ได้ช่วยอะไรพระปีศาจ ส่วนพระปีศาจก็ตายไปแล้ว ในมือพี่ใหญ่มีกำลังพลมาก ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่มั่นใจ ประมุขชิงก็ไม่กล้าแตะต้องพี่ใหญ่สุ่มสี่สุ่มห้าหรอก ข้าจึงแนะนำให้พี่ใหญ่วางมือก่อน ให้ตำหนักสวรรค์จัดการเอง!”

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง หลักจากครุ่นคิดแล้วก็พยักหน้าบอกว่า “น้องสะใภ้พูดมีเหตุผล ทำตามที่เจ้าบอกแล้วกัน” พูดจบก็หันกลับไปมองทางอุโบสถ “จะให้ซินหูไปกับข้า หรือไปกับน้องสะใภ้?”

สำหรับเรื่องนี้ อวี้หลัวช่าตัดสินใจลำบากมาก นางไม่อยากให้ซินหูรู้ถึงชื่อเสียงสำส่อนของตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะทนความรู้สึกได้อย่างไร แต่ก็อยากเก็บลูกชายไว้คอยดูแลอยู่ข้างกายจึงถามอย่างลังเลว่า “พี่ใหญ่มีสถานที่ที่เหมาะสมหรือเปล่า?”

เหมียวอี้ตอบว่า “สถานที่ปลอดภัยข้าก็มีอยู่แห่งหนึ่ง เหมาะให้ซินหูฝึกตน เพียงแต่ข้าไม่สะดวกจะบอกน้องสะใภ้ว่าที่นั่นคือที่ไหน ในภายหลังถ้าน้องสะใภ้อยากจะเจอซินหูบ่อยๆ ก็คงไม่ง่ายแล้ว”

ศีลแปดกระตุกมุมปาก พอจะเดาออกแล้วว่าเป็นพิภพเล็ก

อวี้หลัวช่ากล่าวอย่างห่อเหี่ยว “ในเมื่อพี่ใหญ่บอกว่าปลอดภัย ข้าก็ย่อมเชื่ออยู่แล้ว เช่นนั้นก็ให้ซินหูไปกับท่านเถอะ” นางเองก็ไม่มีทางเลือก แม้อยู่ที่แดนสุขาวดีนางจะมีตำแหน่งสูงอำนาจเยอะ แต่นางก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะไม่มีใครจับตาดูนาง วิธีปิดบังที่ดีที่สุดก็คือให้คนเข้าใจผิดว่าซินหูคือแขกที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนาง แต่การปิดบังแบบนี้นางก็ยากที่จะรับไหว

เมื่อปรึกษากันแล้ว ศีลแปดก็ไปยังสถานที่ผนึกทันที เรียกปาไห่กลับมา จากนั้นพวกเขาก็ทิ้งที่นี่และเหาะจากไปโดยเร็ว

…………………………

เหมียวอี้เองก็หวังอย่างนี้ จึงถามหยั่งเชิงว่า “ไม่ทราบว่าพลังของทั้งสองถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรือยัง มีหนทางกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พระปีศาจหรือเปล่า?”

“คนที่อยู่ระดับเดียวกับสามเซียนได้ ย่อมมีจุดที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว พวกเขาสองคนก็เป็นศิษย์ของสามเซียนเหมือนกัน ประมุขชิงฝึก ‘เคล็ดวิชาฟ้าครามทั่วหล้า’ ประมุขพุทธะฝึกตน ‘มหาเวทอเวจี’ ทั้งยังมี ‘วิชาอัคนีดารา’ ที่เจ้าฝึกอีก ทั้งหมดล้วนกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้!” เฟิ่งกล่าว

เหมียวอี้จดจำเงียบๆ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เคยดูสถานการณ์อีกทีแล้วกัน” เรื่องบางเรื่องเขาไม่สะดวกจะพูดรายละเอียดมากเกินไป

เขาเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นาน หลังจากออกจากรังหงส์ ก็ขี่ตั๊กแตนทมิฬเร่งไปยังทางออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ส่วนถ้ำมังกรนั้นห่างไกลเกินไป ที่นี่ไม่ใช่ดาราจักร เหาะได้ช้าเกินไป ถ้าไปที่นั่นก็สิ้นเปลืองเวลามาก ทำได้เพียงฝากฝังให้เฮยทั่นบอกลาเทพมังกรแทนเขา

เฮยทั่นกลายร่างเป็นคนเมื่อสองหมื่นปีก่อนแล้ว ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายมีระฆังดาราใช้ติดต่อกันสะดวก

ทว่ารอจนกระทั่งเหมียวอี้ไปถึงทางออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทั้งดำทั้งอ้วนก็กำลังเดินไปเดินมาอยู่ตรงใกล้ๆ ทางออกแล้ว ชายหนุ่มที่ทั้งดำทั้งอ้วนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน คือเฮยทั่นทีวีวัฒนาการเป็นคนแล้ว ตาโตมาก กลอกตาลอกแลกเหมือนโจรเป็นระยะ เป็นคนประเภทที่มองปราดเดียวก็รู้สึกไม่ไว้วางใจ

ตั๊กแตนทมิฬบินลงมาจากฟ้า เหมียวอี้เทียบรองพื้นเก็บตั๊กแตนทมิฬ จ้องเฮยทั่นอย่างเย็นเยียบ

เฮยทั่นหัวเราะแห้ง ถูไม้ถูมืออย่างค่อนข้างกระวนกระวาย พอเขาได้รับข่าวจากเหมียวอี้ว่าให้เขาไปบอกลาเทพมังกร เขาก็บอกลาเทพมังกรสองสามประโยคแล้วออกจากถ้ำมังกรมาที่นี่ทันที รีบไปตลอดทางจนในที่สุดก็ถึงก่อนเหมียวอี้แล้ว

“เจ้าจะถ่อมาที่นี่ทำไม?” เหมียวอี้ถามเสียงเย็น

เฮยทั่นใช้สองมือกุมท้องใหญ่กลม แล้วตอบอย่างเก้อเขิน “นายท่านออกไปคนเดียวข้าไม่วางใจ ข้าจะคุ้มกันส่ง เหอะๆ คุ้มกันส่ง”

เหมียวอี้จ้องเขาโดยไม่พูดอะไร อาศัยตำแหน่งและวรยุทธ์ของตัวเองในตอนนี้ สายตาค่อนข้างให้ความรู้สึกกดดันคนอื่น

เฮยทั่นกินปูนร้อนท้อง ไม่กล้าสบตากับเขา ไม่รู้จะหลบสายตาไปไหน จึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นน้อยเนื้อต่ำใจ “นายท่าน ข้าอยู่ที่นี่คนเดียวน่าเบื่อเกินไป พาข้าออกไปเที่ยวเล่นหน่อยเถอะ”

เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ครั้งก่อนข้าก็พาเจ้าออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ? มีอะไรน่าเที่ยว!”

ที่เขาบอกหมายถึงครั้งก่อนที่ทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์มาปราบวิญญาณชั่วร้ายที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ครั้งนั้นไม่ใช่แค่เฮยทั่น แม้แต่เทพสตรีทั้งสองก็ถูกเขาพาออกมาด้วย

เฮยทั่นทำสีหน้าเหมือนอยากจะยกนิ้ว “นั่นมันเกือบสองหมื่นปีก่อนแล้ว ได้ออกไปแค่รอบนั้นอง แล้วอีกอย่าง ออกไปแค่ไม่กี่วันเอง…”

“หุบปาก!” เหมียวอี้ตัดบท ตะคอกว่า “เจ้าเวรนี่ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว มีคนตั้งมากมายเท่าไรที่อยากได้สภาพแวดล้อมในการฝึกตนที่สงบแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะข้ามีเรื่องมารบกวร ก็อยากจะจดจ่อฝึกตนอยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่ดูเจ้าสิ ความสุขอยู่รอบกาย แต่กลับไม่รู้ว่านั่นคือความสุข ไสหัวกลับไปฝึกตนเดี๋ยวนี้!”

เฮยทั่นหน้าแตกทันที ยื่นนิ้วออกมาหนึ่งนิ้วอย่างน่าสงสาร กล่าวขอร้องว่า “แค่ครั้งเดียว แค่ออกไปเที่ยวครั้งเดียว ตกลงมั้ย?”

“รอให้พลังของเจ้าถึงระดับสำแดงฤทธิ์ก่อน แล้วเจ้าอยากจะเที่ยวเล่นยังไงก็ได้” เหมียวอี้กล่าวเสียงเย็นชา

“หา! นั่นต้องรออีกตั้งกี่ปีกัน! ข้าหัวช้าแต่กำเนิด ข้าทำไม่ได้หรอก!” เฮยทั่นร้องโวยวาย

“ข้าจะพูดอีกครั้ง กลับไปฝึกตน!” เหมียวอี้กล่าวอย่างไร้ไมตรี

“ไม่ไป!” เฮยทั่นหย่อนก้นนั่งบนพื้น กระทืบสองเท้า พาลพูดว่า “ต่อให้ตีให้ตายข้าก็ไม่ไป!”

ชวิ้ง! ทวนเกล็ดย้อนปรากฏอยู่ในมือ เหมียวอี้ถือทวนประชิดเข้ามา

เฮยทั่นเหล่ตามอง ทำสีหน้าไม่ถูก ในปีนั้นตอนยังไม่กลายร่างเป็นคน รสชาติของการโดนทวนแทงยังชัดเจนเหมือนเกิดขึ้นใหม่ มันรีบดีดตัวขึ้นมา แล้วเหาะขึ้นฟ้าไปในชั่วพริบตาเดียว

เหมียวอี้เก็บทวน หลังจากใส่หน้ากากแล้วก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อผังก้วน ผังก้วนบอกให้เขารอ

รอจนกระทั่งผังก้วนตอบกลับมา เขาก็ถลันตัวหายไป เข้าไปในสุญญากาศที่มีรอยแยกแล้ว

ผ่านไปครู่เดียว เงาร่างของเฮยทั่นก็ปรากฏอยู่บนยอดเขาไกลๆ มันนั่งลงช้าๆ ทอดสายตามองไปที่ทางออกด้วยสีหน้าเศร้าสลด…

ลำแสงสีขาวหมุนวน ทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ปิดอีกครั้ง เงาร่างของเหมียวอี้หายเข้าไปในจุดลึกของดาราจักร

เหาะด้วยความเร็วอยู่ในดาราจักรตลอดทาง ตอนที่หยุดอีกครั้งก็มาโผล่อยู่ใต้ดินในดาวพิษแล้ว อยู่นอกประตูคลังสมบัติสำนักหนานอู๋

พอใช้ระฆังดาราติดต่อกับศีลแปด ก็ทำตามที่ศีลแปดแนะนำ เหมียวอี้กดตัวอักษรบนประตูถ้ำทีละตัว

ไม่นานประตูก็เปิดออก ศีลแปดยืนต้อนรับอยู่ข้างในด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ท่าทางเกรงอกเกรงใจ “พี่ใหญ่ ในที่สุดท่านก็มาพบข้าแล้ว หลายปีมานี้ข้าเก็บกดจะแย่” พูดจบก็ตาแดงก่ำ น้ำตาไหลออกมา กอดเหมียวอี้พลางร้องไห้อย่างปวดใจ

ที่จริงเหมียวอี้ก็มาหาเขาหลายรอบแล้ว นำของมาให้เขานิดหน่อย

เหมียวอี้รู้สึกสะท้อนใจ ผลักเขาออกแล้วใช้สองมือประคองไหล่เขา “ข้ารู้ว่าเจ้าทรมานที่ถูกขังอยู่ในนี้ แต่ข้าก็หวังดีกับเจ้าเหมือนกัน รอให้เจ้าฝึกพุทธธรรมที่นี่สำเร็จ ารฝึกตน ใต้หล้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ เจ้าอยากจะไปที่ไหนก็ได้”

“อืม!” ศีลแปดพยักหน้าซ้ำๆ ปาดน้ำตาแล้วบอกว่า “อาตมาเข้าใจเหตุผลพวกนี้”

เหมียวอี้ตบบ่าเขา แล้วเขาไปสำรวจดูทุกที่ในคลังสมบัติ

ศีลแปดที่ตามหลังเหมียวอี้กลับแอบปาดเหงื่อ คิดในใจว่าเสี่ยงมาก เขาเพิ่งมาถึงที่นี่ก่อนเหมียวอี้ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พอได้ข่าวจากอวี้หลัวช่าเรื่องศีลเจ็ด เขาก็เดาออกแล้วว่าเหมียวอี้อาจจะมาที่นี่ จึงดิ้นรนรีบกลับมาอย่างสุดชีวิต โชคดีที่ในที่สุดก็กลับมาถึงก่อนเหมียวอี้ ไม่อย่างนั้นอาจจะโดนหักขาก็ได้

อวี้หลัวช่าเองก็ช่วยเขาปิดบังเรื่องที่แอบพบกับนางเช่นกัน ศีลแปดบอกไว้แล้ว ว่าถ้าให้พี่ใหญ่รู้ เขาก็ไม่มีทางแอบออกไปเจอนางได้อีก นางจึงช่วยปิดบังให้เขา

หารู้ไม่ ศีลแปดแค่ไปหาอวี้หลัวช่าเป็นบางครั้งเท่านั้น ที่จริงเวลาส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่คลังสมบัติ และไม่ได้อยู่ข้างกายอวี้หลัวช่าเช่นกัน

เหมียวอี้ที่เดินดูไปรอบๆ หยุดฝีเท้าแล้วกันมาถาม “เจ้าไม่ได้แอบออกไปหรอกใช่มั้ย?”

จากคำพูดเขาทำให้ฟังออกว่าไม่ไว้ใจศีลแปด

ศีลแปดถลึงตาทันที “พี่ใหญ่ ท่านพูดจาไร้เหตุผลจริงๆ อาตมาก็อยากจะออกไปโปรดสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงทุกข์ แต่เปิดคลังสมบัตินี้จากข้างในไม่ได้เลย ทำได้เพียงเปิดจากด้านนอก ถ้าพี่ใหญ่ไม่เชื่อ ก็ลองขังตัวเองอยู่ในนี้ดู อาตมาจะคอยดูว่าท่านจะออกไปได้ยังไง”

เหมียวอี้เชื่อเขาไปก่อน ถามว่า “วรยุทธ์เป็นยังไงบ้างแล้ว?”

ศีลแปดยื่นสองนิ้ว ตอบปนเสียงหัวเราะแห้ง “ขั้นสอง บงกชทองขั้นสอง บรรลุถึงระดับบงกชทองขั้นสองแล้ว”

เหมียวอี้หน้าดำทันที “ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แต่เพิ่งถึงบงกชทองขั้นสอง นี่เจ้าฝึกตนยังไง?”

ศีลแปดถอนหายใจ “นี่ก็ไม่ขี้เกียจแล้วนะ อาตมาเองก็อยากได้ระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเหมือนกัน แต่พุทธธรรมไม่ได้ฝึกง่ายขนาดนั้น ถ้าฝึกง่ายขนาดนั้น สำนักหนานอู๋คงไม่โดนพระปีศาจหนานโปกำจัดหรอก ท่านว่ามั้ยล่ะ?”

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว มองไปที่ภาพบนกำแพงรอบๆ คลังสมบัติ

ศีลแปดกลัวว่าเขาจะพบพิรุธอะไร รีบเปลี่ยนประเด็นสนทนา “พี่ใหญ่ เรื่องอาจารย์ของข้า อวี้หลัวช่าส่งข่าวมาบอกข้าแล้ว ท่านมาเพราะเรื่องนี้เหรอ?”

เขาเบี่ยงเบนความสนใจเหมียวอี้สำเร็จแล้ว เหมียวอี้อันไปมองเขา พยักหน้าบอกว่า “ตำหนักสวรรค์กำลังจะหาที่นี่พบ เรื่องฝึกตนเอาไว้ก่อน เจ้าก็ออกไปด้วยกันสักรอบ ทุกคนช่วยกันคิดหาทาง หาวิธีโน้มน้าวให้ไต้ซือศีลเจ็ดออกไปจากที่นี่ ดูว่าจะแก้ไขปัญหาเรื่องสถานที่ผนึกได้หรือเปล่า”

ศีลแปดไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “อาตมายังไปไม่ได้หรอกมั้ง ช่วงนี้อาตมาเหมือนใกล้จะบรรลุพุทธธรรมไร้ขอบเขตแล้ว” เขาชี้นิ้วไปรอบๆ หาข้ออ้างสักอย่าง ที่จริงไม่อยากออกไป ประเด็นคือไม่อยากเจอลูกชายตัวเอง ยังไม่ได้เตรียมใจจะเผชิญหน้า หลายปีมานี้เขาหลบเลี่ยงมาตลอด

ทว่าหัวหน้าครอบครัวอย่างเหมียวอี้ตามใจเขาไม่ได้ คว้าแขนเขาดึงออกไปเสียเลย ศีลแปดวรยุทธ์บงกชทองขั้นสอง เมื่อสู้กับวรยุทธ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ก็ไม่มีทางเหลือให้ขัดขืนเลย โดนหิ้วไปราวกับลูกไก่ตัวหนึ่ง…

อวี้หลัวช่านัดไว้แล้วว่าจะไปด้วยกัน ถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากอวี้หลัวช่า สองพี่น้องก็ไม่สะดวกจะเข้าใกล้สถานที่ผนึก เพราะกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่กำลังตรวจค้นยังอยู่

สานที่นัดเจอของทั้งสามก็คือจุดลับตาคนนอกอารามแปดทิศ เดิมทีอารามแปดทิศก็อยู่ที่น่านฟ้าเถาะติงอยู่แล้ว นับเป็นจุดเริ่มต้นไปการไปสถานที่ผนึก

บนเกาะแห่งหนึ่ง ทั้งสามเจอหน้ากันแล้วคุยกันสักพัก อวี้หลัวช่าเห็นเหมียวอี้แล้วรู้สึกผิดนิดหน่อย

ฉวยโอกาสตอนนี้เหมียวอี้ไม่ได้สนใจ อวี้หลัวช่าถลึงตาใส่ศีลแปดอย่างดุดัน สาเหตุที่รู้สึกผิดก็เพราะตัวเองกำลังช่วยศีลแปดหลอกลวงเหมียวอี้

ศีลแปดกลับส่งสายตาคลุมเครือมีเลศนัยให้ อวี้หลัวช่ามองเงาหลังเหมียวอี้อย่างหวาดกลัว กังวลว่าจะถูกจับได้

พอนึกได้ว่าพุทธะหน้าหยกผู้สง่าผ่าเผยอย่างตนกลัวเหมียวอี้ขนาดนี้ อวี้หลัวช่าก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็โทษศีลแปดคนเดียวไม่ได้ นางเองก็มีส่วนรับผิดชอบ

ไม่ได้อยู่ที่นี่นาน สุดท้ายเหมียวอี้กับศีลแปดก็เข้าไปในกระเป๋าสัตว์ของอวี้หลัวช่า แล้วอวี้หลัวช่าก็เหาะพุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

เดินทางราบรื่นตลอดทาง ผ่านด่านกองทัพองครักษ์ไปอย่างง่ายดาย มุ่งตรงไปยังดาวเคราะห์เป้าหมาย

หลังจากหลบหูตากองทัพองครักษ์ได้แล้ว อวี้หลัวช่าก็ปล่อยทั้งสองออกมา เหาะฝ่าชั้นบรรยากาศไปด้วยกัน ไปเหยียบลงบนดาวเคราะห์ที่โบราณทว่างดงาม

ทั้งสามไปถึงนอกวัดแห่งหนึ่ง อวี้หลัวช่ารีบเดินเข้าไป เหมียวอี้กับศีลแปดกลับเงยหน้ามอง ‘อาศรมซินหู’ บนประตูใหญ่แวบหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าวัดจะมีชื่อแบบนี้ สองพี่น้องสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็รู้สึกจนใจ

อีกฝ่ายเป็นมารดาและต้องการจะตั้งชื่อนี้ให้ได้ เหมียวอี้เองก็ไม่สะดวกจะพูดอะไร

เห็นได้ชัดว่าศีลแปดไม่อยากเข้าไป แต่โดนเหมียวอี้ผลักเข้าไปแล้ว ทั้งสองเจอกับปาไห่ที่ออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ นางคือปีศาจโลหิตนั่นเอง

“ศิษย์พี่ โยมหนิว” หลังจากปีศาจโลหิตทักทาย ก็ยื่นมือเชิญให้ตามนางเข้าไป

พอเข้ามาในลานบ้าน ก็เห็นอวี้หลัวช่าน้ำตานองหน้าแล้ว กำลังเงยหน้ามองหลังคาของอาคารหลักของวัด เหมียวอี้และศีลแปดก็เงยหน้ามองตามเช่นกัน

พระสงฆ์ผอมดำคนหนึ่งนั่งสมาธิอยู่บนหลังคา สีหน้าสงบเยือกเย็น หลับตานั่งสมาธิ หันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์ยามเย็น ราวกับไม่ได้ยินทุกสิ่งที่อยู่ภายนอก ราวกับเข้าสู่สภาวะไร้ตัวตน ราวกับกายใจหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินแล้ว ถ้าไม่สนใจก็คงมองข้ามไปเลยว่าบนหลังคายังมีคนอีกคนหนึ่ง

พระสงฆ์ผอมดำก็คือจางซินหู ลูกชายของศีลแปด ไต้ซือศีลเจ็ดตั้งฉายานามให้ว่าซินหู ไม่ได้ใช้ฉายานามของวิชาศีลตั้งชื่อ ไม่ได้รับเข้าเรียนวิชาศีล

เหมียวอี้เคยตามอวี้หลัวช่ากลับมาเยี่ยมครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นตั้งใจมาเยี่ยมซินหู หลังจากอวี้หลัวช่าพอจะเข้าใจศีลแปดบ้างแล้ว ก็ไม่ยอมให้ลูกชายฝึกวิชาศีล วิชาของนางเองก็ไม่เหมาะจะให้ลูกชายฝึก ได้ยินว่ากำลังหาเคล็ดวิชาดีๆ อยู่ ดังนั้นท่านลุงใหญ่อย่างเหมียวอี้จึงมอบของขวัญล้ำค่าให้ เมื่อเห็นซินหูได้รับอิทธิพลจากพุทธธรรมตั้งแต่ด็ก ชอบพุทธธรรม เหมียวอี้จึงมอบ ‘หฤทัยสูตรสุขาวดี’ ให้เขา

การกระทำของเหมียวอี้ทำให้อวี้หลัวช่าซาบซึ้ง นางย่อมรู้ว่าหกเคล็ดวิชาพิเศษไม่อาจเปิดเผยต่อภายนอกง่ายๆ แต่เมื่อใหญ่ท่านลุงใหญ่อย่างเหมียวอี้เอ็นดูลูกชายตัวเอง ทั้งยังแอบตกตะลึงในความรวยของเหมียวอี้ แม้แต่หฤทัยสูตรสุขาวดีทั้งชุดก็ยังหามาได้

มีเคล็ดวิชาฝึกตนระดับสุดยอดแบบนี้แล้ว ทั้งยังมีทรัพยากรฝึกตนของพุทธะหน้าหยกคอยช่วยเหลือ ตอนนี้ซินหูวรยุทธ์เหนือกว่าศีลแปดไปไกลแล้ว

…………………………

ตามเวลาค้นหาที่นางคำนวณไว้ อีกไม่นานกองทัพองครักษ์ก็จะพบสถานที่ผนึกแล้ว

วิกฤติกำลังประชิดมาจ่อคิ้วแล้ว ลูกชายนางก็อยู่ทางนั้น จะให้นางไม่กระวนกระวายได้อย่างไร ช่วงนี้นางไปที่นั่นบ่อย จุดประสงค์ก็คือโน้มน้าวให้ไต้ซือศีลเจ็ดหนีออกไป ล้มเลิกกันเฝ้าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโป แต่โน้มน้าวไม่สำเร็จ ไต้ซือศีลเจ็ดไม่ยอมหนีไป กลัวว่าจะไม่มีใครคอยควบคุมไว้ พระปีศาจหนานโปก็จะทำให้ชาวบ้านลำบาก ในปีนั้นเขาเห็นฉากอันน่าเวทนาในหุบเขากับตาตัวเอง จะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกไม่ได้ ต่อให้ช่วยชีวิตคนได้สักคนก็ยังดี

เพียงแต่ไต้ซือศีลเจ็ดก็ไม่ได้คร่ำครึจนเหมือนคนตาย เขารับน้ำใจของอวี้หลัวช่าแล้ว ให้อวี้หลัวช่าพาลูกชายตัวเองกับปีศาจโลหิตออกไป ส่วนเขาก็จะอยู่เฝ้าที่นี่คนเดียว

อวี้หลัวช่าก็อยากจะทำอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้ลูกชายตัวเองตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าทำอย่างนี้จริงก็กังวลอีก เพราะนั่นคืออาจารย์ของศีลแปด และเป็นคนที่เหมียวอี้เคารพด้วย นางเองก็เคารพไต้ซือศีลเจ็ดเช่นกัน ถ้าทิ้งไต้ซือศีลเจ็ดเอาไว้เพื่อลูกชายตัวเองจริงๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับไต้ซือศีลเจ็ด นางเอกก็ไม่มีทางชี้แจงกับศีลแปดและเหมียวอี้ได้

ด้วยความที่บันดาลโทสะ นางถึงขั้นคิดจะจับตัวไต้ซือศีลเจ็ดไปเสียเลย แต่สุดท้ายก็ยังไม่กล้าทำเรื่องเสียมารยาทกับไต้ซือศีลเจ็ด ชีวิตนี้ราวกับความฝัน ได้พบคนที่ทำให้ตัวเองเคารพอย่างแท้จริง นางเต็มใจปฏิบัติด้วยความเคารพเลื่อมใส ที่ปกป้องก็คือหัวใจตัวเอง

มาที่นี่กี่รอบก็ไม่มีประโยชน์ ศีลแปดไม่ใช่คนที่จะจัดการงานสำคัญได้ นางเองก็ไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว สุดท้ายอวี้หลัวช่าก็ตัดสินใจปรึกษาเรื่องนี้กับเหมียวอี้ ศีลแปดคือน้องชายของเหมียวอี้ นางนับว่าเป็นน้องสะใภ้ของเหมียวอี้ พี่ชายคนโตเสมือนบิดา คิดไปคิดมาก็พบว่าเหมียวอี้ต่างหากที่เป็นคนที่เหมาะสมจะคิดเรื่องนี้ที่สุด คิดไปคิดมาก็โยนเรื่องนี้ไปให้เหมียวอี้ปวดหัวเอง ถ้าไม่ได้จริงๆ นางก็ทำได้เพียงพาลูกชายตัวเองไปก่อน…

ทุ่งน้ำแข็งโบราณ ลมหนาวเย็นยะเยือก หุบเขาแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณเข้มข้น ลมพัดไม่หายไปไหน

ในถ้ำน้ำแข็งกลางหุบเขา พลังจิตวิญญาณก็ยิ่งเข้มข้นจนเหมือนกับฝนตก มองสภาพในนี้ไม่ชัดเจนเลย

ตามที่พลังจิตวิญญาณในหุบเขานี้เริ่มหายไปอย่างช้าๆ ถ้ำน้ำแข็งก็เริ่มปรากฏหน้าตาให้เห็นชัดเจน พลังจิตวิญญาณในถ้ำน้ำแข็งหายไปอีกครั้ง ค่อยๆ เผยโฉมหน้าเหมียวอี้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงน้ำแข็ง ตรงหว่างคิ้วมีตราอิทธิฤทธิ์รูปเปลวเพลิงสีทอง

รูปบงกชรุ้งในตอนแรกหลอมรวมกลายเป็นภาพเปลวเพลิงตามความรู้สึกของใจแล้ว เมื่อบรรลุถึงระดับนี้ คนนอกไม่มีทางตัดสินได้ถึงวรยุทธ์โดยละเอียด มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ

วรยุทธ์ของเขาในตอนนี้บรรลุถึงระดับบงกชกลายขั้นเก้า การฝึกตนสั้นๆ สามพันกว่าปี ความคืบหน้าในการฝึกตนน่ากลัวมาก บรรลุสิบกว่าขั้นต่อเนื่องกัน

สิ่งที่น่ากลัวเช่นเดียวกันก็คือจำนวนลูกแก้วพลังปรารถนาที่เขาใช้ไปในแต่ละวัน ถ้าแลกเป็นยาแก่นเซียน ก็เท่ากับว่าในแต่ละวันเขาใช้ไปหนึ่งร้อยล้านเม็ด หรือหมายความว่าในหนึ่งปีเขาจะต้องใช้ยาแก่นเซียนสามพันกว่าเม็ด ค่าใช้จ่ายมหาศาลในการฝึกตนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่กำลังทรัพย์ของคนทั่วไปจะรับไหว ดังนั้นนักพรตส่วนใหญ่ในใต้หล้า ทั้งชีวิตนี้ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุถึงระดับนี้

ที่โชคดีก็คือ วิชาอัคนีดาราใช้ประโยชน์จากผลดีอันน่าทึ่งของลูกแก้วพลังปรารถนา ให้ประหยัดทรัพยากรไปได้เยอะมาก

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่อาศัยความก้าวหน้าในปัจจุบันของเขา ถ้าคิดอยากจะบรรลุจากบงกชกลายขั้นเก้าไปเป็นระดับสำแดงฤทธิ์ ก็ต้องใช้เวลาอีกสามหมื่นกว่าปี เพียงแต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาเลย ฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หลายหมื่นปี หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญกับทุ่งน้ำแข็งโบราณมีธาตุไฟหยางบริสุทธิ์กับธาตุไฟหยินบริสุทธิ์ให้เขาใช้ไม่รู้จบ ไม่ต้องกังวลปัญหาการใช้ธาตุไฟจนหมดเหมือนกับที่อื่น ความคืบหน้าในการฝึกตนก้าวกระโดดมาตลอด ทุกขณะทุกวันล้วนก้าวกระโดด

การเก็บตัวฝึกตนครั้งนี้นับว่าได้สัมผัสถึงความมหัศจรรย์ของวิชาอัคนีดาราอย่างเต็มที่ ถ้าฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ต่อไป เขากล้ารับประกันเลยว่าการบรรลุระดับสำแดงฤทธิ์จะต้องใช้เวลาไม่ถึงสามหมื่นปีแน่นอน บางทีไม่กี่พันปีก็เพียงพอแล้ว

เดิมทีเขาอยากจะบรรลุระดับสำแดงฤทธิ์ให้ได้ในอึดใจเดียว แต่สุดท้ายก็ถูกเรื่องทางโลกมารบกวนอย่างเลี่ยงไม่ได้ อวี้หลัวช่าส่งข่าวมาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่สนใจ รู้ว่าอวี้หลัวช่าก็มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของอวี้หลัวช่า ทำไมมีเรื่องอะไรก็จะไม่ติดต่อมาหาเขาง่ายๆ

หลังจากหยุดฝึกวิชาและหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ เหมียวอี้ก็เริ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาฉายแววคุณคิด

รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปอาจจะกลายเป็นปัญหา ไม่อาจโชคดีผ่านไปได้ สุดท้ายก็ต้องมาถึงยังเลี้ยงไม่ได้

เขาเข้าใจความคร่ำครึหัวโบราณของไต้ซือศีลเจ็ด เขาเองก็อยากจะให้อวี้หลัวช่าจับตัวไต้ซือศีลเจ็ดไปเสียเลย

แต่คิดไปคิดมา เขาเองก็ไม่อยากเสียมารยาทกับไต้ซือศีลเจ็ด สำหรับพระสงฆ์ท่านนี้ เขาเคารพนับถือจริงๆ ตึกพระสงฆ์ที่ไม่มีจิตใจเห็นแก่ตัว เป็นพระสงฆ์ที่สละตัวเองเพื่อผู้อื่น ไม่มีความแค้นกับใคร เป็นพระที่ไม่เคยติดค้างใคร มีแต่คนอื่นที่ติดค้างเขา คนแบบนี้พบได้น้อยมากในใต้หล้า ทำให้คนไม่มีทางคิดจะปฏิบัติด้วยไม่ดี

ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นอาจารย์ของศีลแปด เขาเอาแต่สั่งให้ศีลแปดเคารพอาจารย์ ตัวเองไม่สะดวกจะทำตัวเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี มารยาทที่ควรรักษาไว้ก็ยังต้องรักษา ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะไปด้วยตัวเองสักรอบ ถ้าไม่ไหวจริงๆ เดี๋ยวค่อยเจรจาด้วยเหตุผลอีกทีก็ยังไม่สาย

เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เปลวเพลิงสีทองตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ก็เลือนหายไป ออกจากถ้ำน้ำแข็ง ปล่อยตั๊กแตนทมิฬในหุบเขาตัวหนึ่ง ควบคุมให้มันบินไปที่รังหงส์ ออกจากที่นี่ก็ต้องบอกลาเจ้าบ้านหน่อย

หลังจากแขกกับเจ้าบ้านในตำหนักน้ำแข็งกล่าวอำลากัน เดิมทีเหมียวอี้จะออกไปทันที แต่จู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่าสองคนตรงหน้าเคยสู้กับพระปีศาจหนานโป เขาครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเป็นฝ่ายบอกเหตุผลที่ตัวเองจากไปในครั้งนี้ “ไม่ปิดบังทั้งสอง ที่ข้าออกไปครั้งนี้เกี่ยวข้องกับพระปีศาจหนานโป”

“…” สองพี่น้องเฟิ่งหวงตกใจ แม้แต่เฟิ่งที่สีหน้าเย็นชามาตลอดก็ทำสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน

พอดึงสติกลับมาได้ เฟิ่งก็ถามอย่างร้อนใจว่า “พระปีศาจหนานโปฟื้นคืนชีพแล้วหรือ?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “เรื่องบางเรื่องก็ร้ายแรงมาก ที่ตอนแรกข้าไม่บอกก็เพราะกังวลนิดหน่อย ที่จริงข้ารู้สถานที่ผนึกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปนานแล้ว ข้าให้คนเฝ้าไว้ตลอด ป้องกันไม่ให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปหลุดออกไป”

สองพี่น้องเฟิ่งหวงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เฟิ่งถามอีกว่า “พูดแบบนี้ อย่าบอกนะว่าคนที่เฝ้าอยู่ปล่อยข่าวอะไรแล้ว?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่ใช่ แต่ตำหนักสวรรค์กำลังจะหาสถานที่ผนึกเจอแล้ว เกรงว่าจะไม่ให้คนของข้าถอนกำลังออกมาก็คงไม่ได้ ทั้งสองเคยสู้กับเขา รู้ตื้นลึกหนาบางของเขาอยู่บ้าง ข้าเลยอยากขอคำชี้แนะจากทั้งสองท่าน มีวิธีการอะไรที่จะทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปให้สิ้นซากบ้างไหม?”

นี่ก็คือสาเหตุที่เขาเปิดเผยให้รู้ อวี้หลัวช่าพาลูกชายออกไปแล้วอาจจะไม่เป็นอะไร พระปีศาจหนานโปไม่รู้จักชื่ออวี้หลัวช่า แต่กลับรู้ชื่อของเขา ถ้าคุณของตำหนักสวรรค์หาพบ แล้วพระปีศาจหนานโปเปิดโปงให้ตำหนักสวรรค์รู้ เกรงว่าเขาจะเกิดปัญหา

มิหนำซ้ำ การเก็บวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปเอาไว้ก็คือภัยพิบัติอย่างหนึ่ง ถ้ามีโอกาสก็ไม่สู้กันจัดไปเลยในรวดเดียว กำจัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง เขาถึงได้ขอคำชี้แนะจากทั้งสอง

เฟิ่งกลับกล่าวอย่างประหลาดใจ “ท่านพูดแบบนี้ ข้ากลับรู้สึกแปลกใจ พระปีศาจหนานโปเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์โดดเด่น เป็นสิ่งอัปมงคลชั่วร้ายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในแดนฝึกตน สร้างเคล็ดวิชาพิเศษขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า ใต้หล้าไร้เทียมทาน พูดถึงการต่อสู้ ต่อให้พลังของท่านจะเหนือกว่าอาจารย์ของท่าน แต่ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่ถ้าพูดถึงการกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาทิ้ง วิชาอัคนีดาราของท่านก็น่าจะเป็นสิ่งที่ข่มวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้สิ วิชาอัคนีดาราเผาไหม้หยินหยาง น่าจะเผาทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้ง่ายๆ ทำให้เขาเกิดใหม่ไม่ได้อีกตลอดกาล แต่ทำไมท่านควบคุมเขามานานขนาดนี้ แต่กลับไม่ลงมือทำลาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาล่ะ กลับมาถามพวกเราเสียอย่างนั้น?”

“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างมองพวกนางสองคน ค่อนข้างพูดไม่ออก ที่แท้วุ่นวายอยู่ตั้งนาน แต่วิชาอัคนีดาราที่ตนฝึกก็คือดาวข่มวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อนพร้อมถามว่า “ไม่มีใครเอ่ยถึงสิ่งนี้มาก่อนเลย ข้าไม่รู้จริงๆ แต่ที่ยุ่งยากก็คือ เดิมทีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปถูกลูกศิษย์ทั้งหกของเขาวางค่ายกลใหญ่ขังเอาไว้ คนนอกยากที่จะเข้าไปได้ ต่อให้ข้าอยากจะกำจัดเขา แต่ก็ต้องทำลายค่ายกลนั่นก่อน แต่ถ้าทำลายค่ายกลแล้ว ไม่มีค่ายกลใหญ่คอยควบคุมแล้ว มนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจก็น่ากลัวจริงๆ ข้ากังวลว่าจะไม่มีใครควบคุมเขาได้”

“มนต์คร่าชีวิต?” เฟิ่งที่พูดน้อยอุทานถาม เบิกตากว้างบอกว่า “เขาไม่มีกายหยาบแล้ว น่าจะสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้วสิ ยังสามารถใช้มนต์คร่าชีวิตได้อีกเหรอ?”

เหมียวอี้พยักหน้า “ไม่ผิดแน่ เรื่องนี้ข้ายืนยันได้ ข้าเกือบจะโดนเขาควบคุมแล้ว แม้แต่ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็ยากจะหลบเลี่นง พระปีศาจน่ากลัวจริงๆ” ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ที่เขาหมายถึงก็คืออวี้หลัวช่า

สองพี่น้องเฟิ่งหวงรู้สึกเสียวสันหลังวาบ รู้สึกขนหัวลุก ทำสีหน้าหวาดกลัว

“ถ้าให้พระปีศาจหลุดออกไปเมื่อไร ใต้หล้าจะต้องประสบหายนะแน่!” เฟิ่งกล่าวเสียงต่ำ

เฟิ่งส่ายหน้าอย่างทำใจเชื่อได้ยาก “ไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์แต่ยังใช้มนต์คร่าชีวิตได้ จะเป็นไปได้เหรอ?”

เหมียวอี้ถูกคำพูดของนางกระตุ้น ในหัวพลันเกิดแสงสว่าง นึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์ที่ศีลแปดไม่ได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์แต่สามารถใช้พุทธธรรมควบคุมปรากฏการณ์ธรรมชาติได้ จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างลังเล “ข้าเองก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่ข้าก็เห็นเองกับตา ความจริงพิสูจน์แล้วว่าเขามีพลังอภินิการนี้จริงๆ พระปีศาจเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของหกลัทธิอย่างปรุโปร่ง เคล็ดวิชาของมารปีศาจผีคนล้วนแตกฉาน ถึงขนาดควบคุมการเวียนว่ายตายเกิดได้ ข้าสงสัยว่าเขาไม่ได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ แต่ใช้พุทธธรรมควบคุม”

สองพี่น้องเงียบไป เหมือนกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ของคำพูดเหมียวอี้ จู่ๆ เฟิ่งก็อุทาน “ไม่ถูกสิ วิชาอัคนีดาราที่ท่านฝึก ถ้าใช้ปกป้องร่างกายก็น่าจะกันมนต์คร่าชีวิตได้สิ ทำไมโดนมนต์คร่าชีวิตควบคุมได้?”

เหมียวอี้ตะลึงอีกครั้ง เหมือนจะมีเรื่องแบบนี้จริงๆ เขาเคยใช้วิชาอัคนีดารต้านการโจมตีจากคลื่นเสียงของสัตว์เทพ ครั้งก่อนเหมือนจะลืมนึกไปชั่วขณะ จึงไม่ทันได้ใช้มันป้องกันมนต์คร่าชีวิต เขายิ้มเจื่อนพลางตอบว่า “ไม่ทันได้เตรียมพร้อม”

สองพี่น้องสบตากันแวบหนึ่ง พบว่าเหมียวอี้เหมือนจะรู้เกี่ยวกับเคล็ดวิชาที่ตัวเองฝึกน้อยมาก ไม่ค่อยรู้ว่าเพราะอะไร

เฟิ่งอธิบายว่า “สรรพสิ่งในโลกหล้าล้วนแบกหยางอุ้มหยิน วิชาอัคนีดารากลับควบคุมได้ทั้งหยินหยาง เป็นเคล็ดวิชาที่อัศจรรย์ ดังนั้นท่านจะดูถูกเคล็ดวิชาฝึกตนของท่านไม่ได้เด็ดขาด ที่วิชาอัคนีดาราต้านทานมนต์คร่าชีวิตได้ ไม่ใช่เพราะกันคลื่นเสียงโจมตีได้ แต่มันกำลังกันหยินหยาง ตามหลักแล้วต่อให้ท่านต้านทานไม่ได้ แต่มนต์คร่าชีวิตก็ควบคุมท่านได้ยาก หยินหยางข่มกันโดยธรรมชาติ ถ้าหยินหยางเสียสมดุลเมื่อไร ก็คงจะกระตุ้นให้วิชาอัคนีดาราปรับสมดุลเองสิ คนที่ฝึกวิชาอัคนีดาราสามารถปัดเป่าสิ่งอัปมงคล ร้อยพิษไม่รุกล้ำ เพราะเวลาเวลาที่ท่านถูกเขาควบคุมสั้นไปหรือเปล่า ยังไม่ทันกระตุ้นปฏิกิริยาของวิชาอัคนีดารา?”

“เหมือนจะเป็นอย่างนี้” เหมียวอี้นึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขื่นขม “เมื่อก่อนตอนทั้งสองท่านสู้กับเขา รับมือกับมนต์คร่าชีวิตยังไง?”

“มนต์คร่าชีวิตไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ท่านคิด แค่ตัดขาดการได้ยินก็ไม่ถูกรบกวนแล้ว กลัวก็แต่จะถูกสถานการณ์ที่ไม่รู้จักทำให้สับสน” เฟิ่งตอบ

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ถ้าเป็นแบบนี้ เขาก็มีวิธีกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปแล้ว

เฟิ่งแปลกใจอีก “ตามหลักแล้วประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็น่าจะรู้เหมือนกันว่าพระปีศาจหนานโปน่ากลัวขนาดไหน ให้คนของตำหนักสวรรค์หาเจอแล้วไม่ดีตรงไหน? ถ้าหาเจอเมื่อไร ประมุขชิงกับประมุขพุทธะคงจะกำจัดเขาโดยเร็วที่สุด ไม่กล้าปล่อยให้เวลานานจนเกิดอุปสรรคเยอะสิ”

…………………………

ช่วงเวลาที่ฝึกตนมันน่าเบื่อไร้รสชาติ แต่สำหรับเหมียวอี้ในตอนนี้ การมีสภาพแวดล้อมฝึกตนที่มั่นคงอย่างนี้ได้ก็นับว่าดีมากแล้ว

แต่ก็ไม่ถึงขั้นอยู่ที่เดิมโดยไม่ไปไหนเลย เหมียวอี้ปรับสมดุลโดยอิงจากความคืบหน้าในการดูดซับธาตุไฟหยางและธาตุไฟหยิน สลับไปมาระหว่างทุ่งน้ำแข็งโบราณและหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ…

และไม่ได้หลบอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์โดยไม่ออกมาเช่นกัน ขอเพียงถึงเวลาที่ภายนอกต้องการให้เขาต้องออกหน้าด้วยตัวเอง เขาก็จะออกไป

มีการสนับสนุนจากฮ่าวเต๋อฟางและผังก้วน ตอนนี้การเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ง่ายมากสำหรับเขา ไม่กังวลด้วยว่าประมุขชิงจะรู้ เขาเป็นฝ่ายปล่อยข่าวให้ประมุขชิงรู้แล้วว่าเขามาฝึกตนที่นี่ ทำลายความเคลือบแคลงของประมุขชิงล่วงหน้าแล้ว

ครั้งแรกที่ออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เป็นตอนที่สำนักงามวิจิตรหลอมสร้างระฆังดาราแบบใหม่ได้จำนวนมากพอ เป็นเวลาวางจำหน่ายระฆังดาราในตลาดแล้ว เหมียวอี้ออกหน้าคุมแดนรัตติกาล ป้องกันไม่ให้ระฆังดาราอบบใหม่กับระฆังดาราแบบเก่าปะทะกันด้านผลประโยชน์แล้วเกิดเหตุไม่คาดคิดให้ต้องรับมือ

โชคดีที่ฮ่าวเต๋อฟางต้านไว้ให้ อาศัยกำลังของฮ่าวเต๋อฟางก็ยังไม่มีใครกล้าพาลเกเรมายึดครองทรัพย์สินส่วนตัวของเขาบนอาณาเขตของเขา

เพียงแต่ด้วยคำแนะนำของฮ่าวเต๋อฟาง ทั้งสองฝ่ายยังเอาหุ้นไปคนละหนึ่งส่วน มอบให้อำนาจแต่ละฝ่ายเพื่อชดเชยความเสียหาย เรื่องบางเรื่องฮ่าวเต๋อฟางก็ไม่มีทางเลือก เขาเองก็จะไปตั้งตัวเป็นศัตรูกับอำนาจทุกฝ่ายไม่ได้ เวลาที่ควรประนีประนอมก็ยังต้องประนีประนอม คิดเสียว่าเสียเงินฟาดเคราะห์

กอปรกับเรื่องไม้ไม่ผุ แม้อำนาจแต่ละฝ่ายจะสืบไม่เจอผลลัพธ์ แต่อำนาจพวกนั้นก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ภายใต้ฉากหลังแบบนี้ การปะทะด้านผลประโยชน์จากการวางจำหน่ายระฆังดาราแบบใหม่จึงผ่านพ้นไปได้

แต่ก็ไม่ใช่ว่ารอให้มีเรื่องก่อนเหมียวอี้ถึงจะออกมา เขากำหนดเวลาออกไปเยี่ยมอีกฝ่ายเป็นระยะ

นอกจากออกไปข้างนอกในบางครั้งแล้ว เขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์

ภายใต้สถานการณ์ของด้านนอกในปัจจุบัน เรื่องที่ทำให้เขาออกไปข้างนอกได้มีไม่เยอะ แม้แต่การเข้าร่วมงานเลี้ยงอุทยานหลวงที่ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รวมถึงให้เขา เขาก็ทิ้งโอกาสนั้นไปแล้ว ส่วนใหญ่เรือนพักที่อุทยานหลวงของเขาจะว่างอยู่อย่างนั้น เขาไม่เคยเข้าไปพักเลย

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถึงขนาดอยากจะหาตำแหน่งให้เขาบนราชสำนัก แต่เขาเป็นฝ่ายปฏิเสธเอง

เขาเข้าสู่สภาวะจำศีลโดยสมบูรณ์ ในสายตาคนนอกที่มองมาก็เป็นแบบนี้ ต่างก็เขารู้ว่าเขาเดินมาถึงตอนนี้ได้ ในช่วงนี้ก็ไม่ควรจะทำอะไรซี้ซั้วอีก การจำศีลคือทางเลือกที่ชาญฉลาดที่สุด

แล้วตอนที่เขาเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ผังก้วนก็ไม่เคยถามเขาเรื่องที่ซ่อนสมบัติอีกเลย

เหมียวอี้คาดว่าตอนแรกที่เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ สิ่งที่เขาบอกผังก้วนไหวคงได้ผลแล้ว ความเงียบของผังก้วนพิสูจน์แล้วว่าผังก้วนไม่ได้คิดถึงความคืบหน้าขั้นต่อไปอีก

ไม่กลัวว่าเขาจะมีแผนการ กลัวก็แต่เขาจะไม่มีแผนการ นี่คือสิ่งที่เหมียวอี้ยินดีอยากจะเห็น

ส่วนทรัพยากรการฝึกตน อาศัยกำลังและกำลังทรัพย์ของเหมียวอี้ในปัจจุบัน ก็ย่อมไม่ขาดแคลน ลูกแก้วพลังปรารถนาที่จำเป็นก็แลกมาได้ง่ายมาก ถึงอย่างไรก็มีกำลังพลหลายสิบล้าน

จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ในห้องสมาธิ เยี่ยนเป่ยหงกำลังนั่งขัดสมาธิ ในที่สุดสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติแล้ว

เหมียวอี้นั่งอยู่ข้างหลังเขา ใช้ฝ่ามือสองข้างกดแผ่นหลังของเขา ตอนนี้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ลืมตาขึ้นแล้วค่อยๆ หยุดใช้วิชา

ทั้งสองทยอยกันลงจากเตียงศิลา เหมียวอี้ขมวดคิ้วบอกว่า “พี่ใหญ่เยี่ยน ตามหลักการเมื่อก่อน เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในร่างกายท่านจะกำเริบออกมาตอนบรรลุระดับใหญ่ๆ ไม่ใช่เหรอ ดูจากตอนนี้สิ เหมือนจะถี่กว่าเมื่อก่อนนะ”

เยี่ยนเป่ยหงยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ตั้งแต่วรยุทธ์บรรลุถึงระดับบงกชกลาย ทุกครั้งที่วรยุทธ์สูงขึ้นหนึ่งขั้น มันก็จะกำเริบหนึ่งครั้ง อาจจะเป็นเพราะในแต่ละขั้นดูดกลืนของมากเกินไปละมั้ง” เขาหันกลับมามองเหมียวอี้ “โชคดีที่เจ้าช่วยข้าแก้ไขปัญห ไม่อย่างนั้นข้าคงควบคุมตัวเองไม่ได้ไปนานแล้ว”

“เคล็ดวิชาฝึกตนของท่านจะถูกเปิดโปงไม่ได้เด็ดขาด ต้องระวังตัวไว้ ถ้าเปิดโปงเมื่อไหร่ ประมุขชิงไม่ปล่อยไปแน่นอน อาศัยอำนาจของข้าตอนนี้ปกป้องท่านไม่ได้” เหมียวอี้โน้มน้าว นอกจากโน้มน้าวเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้ว เยี่ยนเป่ยหงทำแบบนั้นอันตรายเกินไป แต่เจ้าตัวก็ชอบไปไหนมาไหนคนเดียว เขาเองก็ควบคุมไม่ได้

“เรื่องนี้จะวางใจได้ ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มั่นใจ ข้าจะไม่ลงมือง่ายๆ เด็ดขาด” เยี่ยนเป่ยหงกล่าว

เหมียวอี้ได้แต่ขมวดคิ้วพยักหน้า ไม่สะดวกจะพูดอะไรอีกแล้ว

ใต้หล้าดูสงบ การต่อสู้บางอย่างในที่ลับและที่แจ้งคือสิ่ง มองจากภายนอกก็ไม่อาจรับรู้ สถานการณ์โดยรวมมีเสถียรภาพชั่วคราว ใต้หล้าเหมือนจะเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านที่สงบอีกแล้ว

เพียงชั่วดีดนิ้ว เวลาห้าพันปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว สำหรับนักพรตที่เก็บตัวฝึกตนเป็นเวลานาน เวลาผ่านไปเร็วเหมือนฝัน ห้าพันปีก่อนก็เหมือนเมื่อวาน

เหมียวอี้ที่กลับมาสู้โลกภายนอกยังคงเหมือนเดิม ทุกครั้งที่กลับเข้ามาในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็จะนำอาหารบางอย่างที่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่มีมาให้เฮยทั่นด้วย

ในหุบเขาทุ่งน้ำแข็งโบราณ อาหารนานาชนิดกองเป็นภูเขา เฮยทั่นดื่มด่ำอยู่ไหนหุบเขาน้ำแข็งยังมีความสุข

บางครั้งเฮยทั่นก็จะวิ่งมาดูเขาเหมือนกัน ตั้งแต่โดนเหมียวอี้ลงโทษอย่างหนักครั้งนั้น มันก็เชื่อฟังขึ้นเยอะ บวกกับก่อนหน้านี้เหมียวอี้ก็ฝึกตนอยู่ที่นี่ด้วย มันก็สงบใจแล้วเช่นกัน ในปีแรกๆ มาทุกวันแต่ไม่เห็นเหมียวอี้ มีความเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์อยู่บ้าง

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่บนหน้าผาน้ำแข็ง กำลังมองเฮยทั่นพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่านึกอะไรถึงได้ เขาหันตัววิ่งเข้าไปในภูเขาน้ำแข็ง

เมื่อมาถึงนอกรังหงส์ รายงานและได้พบเทพสตรี ก็นำของขวัญบางอย่างจากด้านนอกมอบให้

ด้วยการขอร้องจากเทพสตรีทั้งสอง เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ด้านนอกให้ฟังคร่าวๆ จากนั้นก็เอ่ยถึงสิ่งที่ตัวเองสงสัย “ตอนที่เฮยทั่นวิวัฒนาการเป็นมังกรแท้ เวลาก็ผ่านไปไม่น้อยแล้ว ผ่านไปห้าพันปีกว่า ทำไมถึงยังไม่กลายร่างเป็นคนอีก หรือว่าการที่เผ่ามังกรจะกลายร่างเป็นคนจะต้องใช้เวลานานขนาดนี้?”

“รู้หรือเปล่าว่าทำไมเทพมังกรเฉียนถึงเกลียดขี้หน้าเฮยทั่น?” หวงถามด้วยรอยยิ้ม

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “เฮยทั่นค่อนข้างดื้อรั้น ทำให้คนเกลียดขี้หน้าข้าก็พอจะเข้าใจได้”

หวงที่นั่งอยู่เบื้องบนส่ายหน้า “แต่จะว่าไปอาจารย์ของท่านก็มีวาสนากับเผ่ามังกรจริงๆ ไม่ใช่แค่เพราะมันดื้อรั้นหรอก เฮยทั่นวิวัฒนาการมาจากอาชามังกร ส่วนที่มาของอาชามังกรก็เกี่ยวข้องกับผ่ามังกร ในอดีตมีคนของเผ่ามังกรคนหนึ่ง ควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ไปรักกับองค์หญิงเผ่าอาชาสวรรค์ ตอนหลังในบรรดาลูกหลานของทั้งสองมีคนวิวัฒนาการเป็นมังกรแท้เหมือนกับเฮยทั่น มังกรตัวนี้มีพรสวรรค์ต่างจากผู้อื่น ไม่ยอมเฝ้าอยู่ที่นี่ ไม่ยอมปฏิบัติตามเจตจำนงของเผ่ามังกร ทรยศออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ต้องการจะเป็นใหญ่ในใต้หล้า ก่อหายนะใหญ่หลวง แทบจะทำให้ผ่ามังกรถูกกำจัด ที่สังคมใช้มังกรเป็นสัญลักษณ์ของราชันสวรรค์ก็เกิดจากเขานี่แหละ ต้องทราบไว้ว่าตอนนั้นสร้างผลกระทบไว้ใหญ่โตขนาดไหน ตอนหลังเผ่ามังกรขอให้อาจารย์ปู่ของท่านลงจากเขามาช่วยเหลือ แม้มังกรตัวนั้นจะถูกอาจารย์ปู่สังหารไปแล้ว แต่อาจารย์ปู่ท่านก็ถูกมังกรตัวนั้นโจมตีจนตกต่ำเพราะรักษาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไว้ไม่ได้ เผ่ามังกรรู้สึกผิดต่ออาจารย์ปู่ท่าน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สายของอาจารย์ท่านก็สร้างไมตรีกับแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว ตอนนี้เฮยทั่นก็มีพรสวรรค์พิเศษเหมือนกัน ดื้อรั้นควบคุมยากเหมือนกัน เกรงว่าจะไม่ให้เฉียนคิดมากก็คงยาก”

“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เหมียวอี้เข้าใจทันที ก็สอดคล้องกับประวัติความเป็นมาของอาชามังกรที่เคยฟังมา ส่วนตอนหลังเกิดอะไรขึ้นเขาก็เคยฟังเป็นครั้งแรก อดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย “แล้วนี่เกี่ยวอะไรกับที่เฮยทั่นกลายร่างเป็นคน?”

หวงยิ้มบางๆ “เฮยทั่นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เหมือนกับมังกรที่ถูกอาจารย์ปู่ของท่านสังหาร คงเป็นเพราะไม่ใช่สายเลือดบริสุทธิ์ของเผ่ามังกร เวลาในการกลายร่างก็นานกว่าเผ่ามังกรทั่วไป แล้วก็เป็นเพราะไม่ใช่สายเลือดบริสุทธิ์ บางทีคงเป็นเพราะในตัวมีเลือดผสมของเผ่ามังกรกับเผ่าอาชาสวรรค์ เผ่ามังกรทั่วไปมีแค่พรสวรรค์อย่างเดียว แต่มังกรตัวที่อาจารย์ปู่ท่านสังหารไปกลับมีพรสวรรค์สองอย่าง เฮยทั่นก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน ทั้งสามารถเรียกเมฆเรียกฝนควบคุมสายฟ้า ทั้งยังมีกำลังป่านเถื่อนจนน่าตกใจ ในปีนั้นที่ท่านประมือกับมัน ถ้าไม่ใช่เพราะท่านรู้จักทำลายช่องโหว่ อาศัยวรยุทธ์ของท่านตอนนั้นอาจจะต้านการโจมตีของมันไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียวก็ได้ มังกรตัวที่อาจารย์ปู่ท่านสังหารยังมีอีกอย่างที่ไม่เหมือนเผ่ามังกรทั่วไป เผ่ามังกรโดยทั่วไปถ้าออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์นานๆ ไม่ได้ย่อยปราณชั่วร้ายเพื่อสะสมบุญกุศลเป็นเวลานาน ก็จะขาดความสามารถในการกลายร่าง แต่เขานั้นแตกต่าง เพราะหลังจากกลายร่างสำเร็จแล้ว ต่อให้ไม่ย่อยปราณชั่วร้ายเพื่อสะสมบุญกุศล แต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบ นี่ก็คือสาเหตุที่เขากล้าต่อต้านเจตจำนงเผ่ามังกรและทรยศหนีออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ คาดว่าหลังจากเฮยทั่นกลายร่างสำเร็จแล้ว ก็อาจจะเป็นอย่างนี้เช่นกัน นี่คือเรื่องดีสำหรับเฮยทั่นหลังจากออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ดังนั้นท่านก็อดทนรอสักหน่อย”

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง เหมียวอี้กล่าวขอบคุณที่ช่วยชี้แนะ เขาโล่งใจแล้ว ยังนึกว่าร่างกายเฮยทั่นมีปัญหาอะไรเสียอีก ถ้าเฮยทั่นไม่สามารถกลายร่างได้ เขาก็ไม่สะดวกจะพาเฮยทั่นออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์…

เวลาอันยาวนานสามหมื่นปี เวลาสามหมื่นปีผ่านไปแล้ว

ใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว บนหน้าผาสูงหมื่นจั้ง โค่วหลิงซวีเอามือไขว้หลังห้าหน้าหาแสงจันทร์ส่องสว่าง

สายลมอ่อนและแสงจันทร์คลายความเศร้าใจกลัดกลุ้มในใจเขา ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหลายปี ตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ความปรารถนาที่จะมีอายุยืนยาวก็ยิ่งเข้มข้น แม้เรื่องไม้ไม่ผุจะเริ่มจืดจางไปเพราะเบาะแสขาดหาย แต่ทุกครั้งที่นึกถึง โค่วหลิงซวีก็อดไม่ได้ที่จะเสียดาย

มีคนสองคนเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงบนหน้าผา ทั้งคู่ทำความเคารพโค่วหลิงซวี เป็นถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงนั่นเอง

“มีเรื่องอะไรรีบร้อนมาที่นี่” โค่วหลิงซวีหันหลังถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ถังเฮ่อเหนียนตอบเสียงเบาอยู่ข้างหลังเขาว่า “นายท่าน จากการวางกำลังในหลายปีมานี้ ได้รู้เส้นทางของอวี้หลัวช่ามาคร่าวๆ แล้ว อย่างอื่นไม่มีความผิดปกติอะไร เพียงแต่ช่วงนี้ไปยังบริเวณที่กองทัพองครักษ์ค้นหาบ่อยๆ ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับที่ซ่อนสมบัติหรือเปล่สขอรับ”

ในปีนั้นที่เหมียวอี้เอ่ยถึงสมบัติลับสำนักหนานอู๋ หลังจากสงสัยว่าอวี้หลัวช่ากำลังค้นหาสมบัติลับสำนักหนานอู๋ โค่วหลิงซวีก็สนใจมาตลอด

จะไม่ให้สนใจก็คงยาก สมบัติที่แม้แต่พระปีศาจหนานโปก็จ้องตาเป็นมันน แล้วโค่วหลิงซวีจะไม่ใจเต้นได้อย่างไร เขาคิดหาทางจับตาดูความเคลื่อนไหวของอวี้หลัวช่ามาโดยตลอด

โค่วหลิงซวีหันตัวมา ขมวดคิ้วบอกว่า “กองทัพองครักษ์กำลังคนหาสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป สมบัติลับสำนักหนานอู๋คงไม่ได้ซ่อนอยู่ที่นั่นหรอกใช่มั้ย?”

ถังเฮ่อเหนียนตอบว่า “เกรงว่าจะพูดยากขอรับ คนอื่นต่างก็นึกว่าอวี้หลัวช่ากลัวพระปีศาจหนานโป ถึงได้จับตาดูบริเวณ แต่ช่วงนี้เหมือนสถานการณ์จะแปลกไป ช่วงนี้นางสนใจถี่ไปหน่อย บ่าวสงสัยว่านางอาจจะค้นพบอะไรบางอย่างแล้วหรือเปล่า ทว่าอยากจะสืบรายละเอียดก็ไม่ค่อยสะดวก ถึงอย่างไรทางนั้นก็คืออาณาเขตที่กองทัพองครักษ์ค้นหา ไม่มีทางรู้ทิศทางความเคลื่อนไหวโดยละเอียดของอวี้หลัวช่าได้”

“สงสัยจะมีปัญหาบางอย่างจริงๆ” โค่วหลิงซวีเอามือลูบเคราพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็กล่าวอย่างอย่างเฉียบขาด “หลังจากเกิดเรื่องครั้งนั้น กำลังพลของสี่ทัพที่ค้นหาก็ถอนกำลังกลับ เหลือเพียงกองทัพองครักษ์ ประมุขชิงเองก็อยากจะให้สี่ทัพให้ความร่วมมือ แบบนี้ พวกเราก็ดึงกำลังพลกลุ่มหนึ่งไปให้ความร่วมมือได้ คาดว่าประมุขชิงคงอยากเห็นแบบนั้น”

ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้า เข้าใจความคิดของเขา อ้างว่าให้กำลังพลกลุ่มหนึ่งไปให้ความร่วมมือกับการค้นหาของกองทัพองครักษ์ แต่ที่จริงแล้วจะไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของอวี้หลัวช่า

หารู้ไม่ว่าสาเหตุที่อวี้หลัวช่าไปที่นั่นบ่อยๆ ไม่ได้เกี่ยวกับที่ซ่อนสมบัติ แต่เป็นเพราะนางจับตาดูความคืบหน้าในการค้นหาของกองทัพองครักษ์มาตลอด เรื่องที่กังวลที่สุดก็ยังเกิดขึ้น เดิมทีนางนึกว่ากองทัพองครักษ์ค้นหาไม่เจอสถานที่ผนึกแล้วจะล้มเลิก แต่นางประเมินความแน่วแน่ของประมุขชิงต่ำเกินไป ประมุขชิงไม่เคยล้มเลิก กองทัพองครักษ์ค้นหาอยู่ในดาราจักรอันกว้างใหญ่มาหลายปีขนาดนี้ สุดท้ายก็เข้าใกล้สถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปแล้ว

…………………………

ปั้ง! หมัดกับหางมังกรชนปะทะกัน หางมังกรที่เลี้ยวเข้ามาหดกลับไปในชั่วพริบตาเดียว เกล็ดย้อนสะเทือนแตกเป็นวงกว้าง

เฮยทั่นที่หัวทิ่มแผ่นน้ำแข็งตาถลน รู้สึกว่าร่างกายครึ่งหนึ่งเป็นอัมพาต จินตนาการหมายถึงว่าเหมียวอี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมขนาดนี้

มันไม่มีทางยอมแพ้ ชั่วพริบตาที่หดหางกลับไป มันก็โผล่หัวขึ้นมาจากแผ่นน้ำแข็ง ดีดตัวออกมาแนวโค้ง แล้วเอาหัวพุ่งชนไปหาเหมียวอี้

ก้อนน้ำแข็งพุ่งขึ้นฟ้า เหมียวอี้พลิกมือคว้าไว้ แกะก้อนน้ำแข็งที่ใหญ่เท่าห้องครึ่งห้องออกมา แล้วอาศัยแรงชนปะทะพุงขึ้นไปพร้อมกับก้อนน้ำแข็ง

เฮยทั่นที่สั่นหัวส่ายหน้าก็พุ่งขึ้นฟ้า ไล่ตามเหมียวอี้ไป

เหมียวอี้คลายมือออก ชั่วพริบตาที่ตกลงพื้น ก็อาศัยแรงจากการใช้เท้ายัน เตะให้ก้อนน้ำแข็งขนาดเท่าครึ่งห้องพุ่งขึ้นฟ้าอีกครั้ง ส่วนตัวเองก็ชนเข้าไปหาเฮยทั่นที่พุ่งเข้ามาโดยตรง

ชั่วขณะที่ข้างบนพุ่งข้างล่างชน เฮยทั่นก็ตะกายกรงเล็บอย่างแรง เหมียวอี้ใช้หมัดรับมือกับกรงเล็บที่กวาดเข้ามา

ปั้ง! เสียงสะเทือนดังชัดเจน กรงเล็บมังกรอ่อนยวบลงไปหนึ่งข้อนิ้ว ถูกหมัดชกขาดแล้ว กรงเล็บมังกรที่กวาดเข้ามาก็สะเทือนจนเล็งพลาดเช่นกัน

อาศัยแรงชนปะทะแบบนี้ เหมียวอี้พลิกตัวพุ่งไปหาหัวมังกร เฮยทั่นใช้กรงเล็บจิกข้างกวาดเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ส่วนเหมียวอี้ก็โบกแขนปล่อยอีกหมัด

ปั้ง! กรงเล็บมังกรที่สะเทือนออกข้อนิ้วหักอีกนิ้วหนึ่งแล้ว โดนชกจนนิ้วหัก

นิ้วทั้งสิบไวต่อความรู้สึกมาก เฮยทั่นเจ็บจนแทบน้ำตาไหล แต่ยังไม่ยอมแพ้ รีบสะบัดหัวมังกร หลบหลีกการพัวพันจากเหมียวอี้ ส่ายหางทะยานขึ้นฟ้า แล้วสะบัดหางตบอย่างแรงอีกครึ่ง

ร่างมังกรขนาดมหึมาของมันจะตอบสนองรวดเร็วเท่าเหมียวอี้ได้อย่างไร เหมียวอี้ปล่อยหมัดขึ้นฟ้าอีกหมัด ถล่มโจมตีไปที่หางมังกร

จนกระทั่งตอนนี้ ร่างของเฮยทั่นกับเหมียวอี้นับว่าแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิงแล้ว เฮยทั่นรีบบินหนีบนฟ้า มีเจตนาจะหลบเหมียวอี้ ให้เหมียวอี้ตกลงจากที่สูง มันรู้ว่าอยู่ที่นี่เหมียวอี้เหาะไม่ได้

ใครจะคิดว่าจะมีเสียงระเบิดดัง ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ตกลงจากฟ้าระเบิดออกกลางอากาศ โดนเหมียวอี้ใช้สองเท้าถีบจนระเบิด เขาอาศัยแรงถีบนี้ ท่ามกลางฉากหลังก้อนน้ำแข็งระเบิดราวกับดอกไม้บาน เงาคนคนหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็ปีนขึ้นมาบนหางมังกรที่กำลังหลบหนีแล้ว

เหมียวอี้ที่ถลันตัวเหยียบลงบนหางมังกรยังไม่ได้ลงมืออีก แต่เหยียบหลังมังกรแล้ววิ่งตะบึง วิ่งไปที่หัวมังกร

เฮยทั่นดิ้นรนสุดชีวิตอยู่กลางอากาศ บนร่างกายถึงขนาดมีสายฟ้าไหลเวียน ใต้เท้าเหมียวอี้ที่ร่ายอิทธิฤทธิ์วิ่งกลับเหมือนมีตะปูงอกออกมา ต่อให้เฮยทั่นบิดตัวแต่ก็สลัดไม่หลุด เงาคนพุ่งโจมตีอยู่ท่ามกลางสายฟ้า ฉวยโอกาสกระโดดออกจากร่างมหึมาที่กำลังบิดม้วน แล้วยื่นมือคว้าเขาบนหัวมังกร

ชั่วพริบตาที่จับเขาได้ เหมียวอี้ก็อ้อมขึ้นไปหัวหัวมังกรแล้ว แล้วชกหมัดบนกระดูกหัวมังกรอย่างแรง กระดูกที่นูนออกมาก็คือจุดที่แข็งแรงทนทานที่สุดบนตัวเฮยทั่น

ปั้งๆๆๆ…

เหมียวอี้รัวหมัดสิบกว่าหมัดในชั่วพริบตาเดียว ชกจนเฮยทั่นแทบจะตาถลนออกมา มันแลบลิ้นใหญ่ตวัดมั่วๆ หนวดมังกรที่เหมือนหนวดปลาหมึกสองเส้นแทงไปที่เหมียวอี้ ส่วนเหมียวอี้ก็ลงหมัดหนัก คลายมือออกจากเขา ใช้หมัดสองข้างพร้อมกัน ถล่มไปยังหนวดมังกรสองเส้นที่แทงเข้ามา หนวดมังกรที่สะบัดออกมาอ่อนยวบลงในชั่วพริบตาเดียว

หางมังกรตวัดเข้ามา เหมียวอี้ยื่นมือคว้าเขาเอาไว้พร้อมสะบัดตัวหมุนอ้อมหนึ่งรอบ รีบโจมตีออกมาหนึ่งหมัด ทำให้หางมังกรสะเทือนออกไปอีกครั้ง คนก็หมุนอ้อมกลับมาที่หัวมังกรแล้วเช่นกัน จากนั้นถลันก้าวเข้าไปที่ปากมังกร ช้อนทวนเกล็ดย้อนขึ้นมาแทงลงไปอย่างแรง

ฉึก! หัวทวนแหลมคมแทงทะลุขากรรไกรบนหัวมังกร มองจากในปากเฮยทั่นสามารถเห็นหัวทวนแทงเข้ามา ทั้งยังมีเลือดสดพุ่งออกมาด้วย

“อ๋าว…” เฮยทั่นเจ็บจนคำรามกลางอากาศ ราวกับเป็นบ้าไปแล้ว มันบิดตัวอย่างบ้าคลั่งอยู่บนฟ้า ต้องการจะสะบัดเหมียวอี้ออก

ทว่าทวนเกล็ดย้อนมีตะขอเกี่ยวอยู่ที่ขากรรไกรบนของมัน เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งประคองทวนไว้ ปล่อยให้มันบิดม้วนตามใจ เขายืนอยู่บนขากรรไกรบนของมันอย่างมั่นคง ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด

“ลงไป!” เหมียวอี้ตะคอก แล้วถือทวนเกล็ดย้อนขึ้นมา

พอดึงตะขอขึ้นมา เฮยทั่นก็เจ็บจนหุบปากไม่ลง ไม่กล้าบุ่มบ่ามขยับตัวอีกแล้ว เหาะลงไปบนพื้นแต่โดยดี

สัตว์ขนาดใหญ่ตกลงมาจากฟ้า ชั่วพริบตาที่หัวเฮยทั่นหมอบลงพื้น ทั้งร่างมังกรก็สะบัดขึ้นมาในแนวขวางกลางอากาศ

เหมียวอี้ใช้สองมือกุมทวนเอาไว้ แล้วควงแขนสะบัดอย่างบ้าคลั่ง ทวนเกล็ดย้อนเล็กๆ ด้ามหนึ่งห้อยสะบัดอยู่บนร่างมังกรยาวสิบจั้ง เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ร่างมังกรกระแทกลงบนพื้น ผิวน้ำแข็งขนาดใหญ่สะเทือนถล่ม ร่างมังกรจมลงไปใต้ดิน บนผิวน้ำแข็งมีรอยเลือด

เฮยทั่นไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแล้ว มันกลอกลูกตาที่ไร้แวว โดนจมตีจนสลบแล้ว

แกร๊ก! ตะขอบนหัวทวนเกล็ดย้อนในปากเฮยทั่นพลิกรวมเป็นหนึ่ง เหมียวอี้ที่ยืนบนก้อนน้ำแข็งหักกำลังมองต่ำและดึงทวนออกมา เลือดกระเด็นตามขึ้นมาหนึ่งดอก เอาทวนเกล็ดย้อนกลับมาปักบนพื้น มองเฮยทั่นที่อยู่ข้างล่างอย่างเยียบเย็น “ยังจะสู้อีกมั้ย?”

ก้อนน้ำแข็งที่ปลิวว่อนรอบๆ เริ่มตกลงพื้นราวกับฝน

เฟิ่งกับหวงที่อยู่การต่อสู้อยู่นอกรังหงส์มองหน้ากันเลิกลั่ก พวกนางเห็นการประมือกันเมื่อครู่นี้ชัดเจน ไม่ได้รู้สึกว่าเหมียวอี้มีพลังแข็งแกร่งสักเท่าไร แต่ลักษณะการรุกโจมตีที่ห้าวหาญนั้นทำให้คนตกตะลึงจริงๆ อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เหาะไม่ได้ แต่กลับกล่าถ่อขึ้นไปสู่กับเฮยทั่นบนฟ้า

พวกนางเหมือนจะรู้สึกว่าเมื่อครู่นี้เหมียวอี้มีปณิธานกล้าแกร่ง ต่อให้ตัวเองจะอยู่ในสภาพเสียเปรียบ แต่เขาก็จะต้องโจมตีจนเฮยทั่นหมอบให้ได้ บางทีอาจจะเป็นเหมือนที่เขาเพิ่งพูดเมื่อครู่นี้ กวาดล้างสิ่งสกปรกในบ้าน!

แต่ดูแล้วถึงแม้จะลงมือค่อนข้างโหดเหี้ยม แต่กลับไม่เหมือนต้องการจะสังหารเฮยทั่น

เฮยทั่นที่ได้สติกลับมาเงยหัวขึ้นมาช้าๆ รู้สึกว่ากระดูกจะแตกทั้งตัว กล่าวบนเสียงครางว่า “ท่านสวมเกราะรบมีอาวุธ นับว่ามีความสามารถอะไร ข้าไม่มีเกราะรบและอาวุธ ท่านมีอานุภาพของอาวุธช่วยเสริม ข้าก็ต้องเสียเปรียบอยู่แล้ว”

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ เขามองออก ว่าเจ้าเวรนี่ไม่ยอมแพ้จากใจ จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง เก็บทวนเกล็ดย้อนกลับมา แล้วกางแขนสองข้าง เก็บเกราะรบเอาไว้แล้ว สวมนชุดลำลองทั้งตัวยืนอยู่อย่างนั้น มองอย่างเหยียดหยาม “ข้าสู้มือเปล่า เจ้าพอใจหรือยัง? ถ้าลุกขึ้นมาได้ก็มาอีก”

เมื่อเห็นเขาท่าทางดูมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เฮยทั่นก็กลัวนิดหน่อย เพียงแต่มีสาวน้อยสองคนมองอยู่ ถึงจะสู้แพ้แต่ห้ามแพ้คน

“อ๋าว…” เฮยทั่นเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ฝืนสะบัดร่างกายให้เสริม เอาตัวออกจากก้อนน้ำแข็งที่ทำไว้ ลอยขึ้นฟ้าอย่างช้าๆ มองเหมียวอี้อย่างระแวดระวัง เริ่มบินอ้อมเหมียวอี้ หาโอกาสลงมือ แต่กลับช้าไม่กล้าลงมืออีก เป็นเพราะโดนโจมตีจนกลัวแล้วจริงๆ โดนโจมตีจนเจ็บแล้วด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะมีผู้หญิง สองคนที่ตัวเองชอบดูอยู่ มันคงไม่เล่นด้วยตั้งนานแล้ว

เหมียวอี้ที่รออยู่ครู่หนึ่งกลับทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว รอบกายพลันปรากฏคลื่นล่องหน

เฮยทั่นรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ รีบบินหนีไปไกล ต้องการจะรักษาระยะปลอดภัย

เหมียวอี้หันหน้าช้าๆ กลับไปมองมัน

เฮยทั่นหวาดระแวงทันที จู่ๆ ก็ตะปบกรงเล็บไปบนผิวน้ำแข็ง เอาหัวทิ่มเข้าไปในรอยแยกของน้ำแข็ง ร่างมหึมาไถลราวกับงู เจาะเข้าไปใต้พื้นแล้ว

บนพื้นทุ่งน้ำแข็งมีเสียงดังแกร๊กๆ ไม่หยุด มีรอยแยกไม่ขาดสาย เห็นได้ชัดว่าเฮยทั่นกำลังเลื้อยอยู่ใต้นั้น

เหมียวอี้ที่หันมองซ้ายขวาอย่างช้าๆ มีสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ใช้ความนิ่งสงบรับมือความเปลี่ยนแปลง

ทุ่งน้ำแข็งพลันตกอยู่ในความเงียบ

บึ้ม! จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังมาก ผิวน้ำแข็งใต้เท้าเหมียวอี้ระเบิดออก หัวเฮยทั่นชนโผล่ขึ้นมา

แทบจะเป็นชั่วพริบตาเดียวกับตอนที่ผิวน้ำแข็งระเบิดออก เหมียวอี้เด้งขึ้นฟ้านำไปก่อนแล้ว ร่ายอิทธิฤทธิ์ดีดตัวขึ้นไปสูงหลายสิบจั้ง

เหมียวอี้ที่พลิกตัวอยู่กลางอากาศโบกมือชี้ กระบี่ล่องหนขนาดใหญ่พลันก่อตัว ยิงออกมาอย่างรวดเร็ว

เฮยทั่นสะบัดหางกลางอากาศ ต้องการจะปัดกระบี่บินเล่มนั้น แต่กลับไม่ได้ป้องกันกระบี่ที่โดนตบระเบิด กระบี่พลันระเบิดกลายเป็นเปลวเพลิงล่องหน ชั่วพริบตาเดียวก็ลามไปที่หางของมันแล้ว

“อ๋าว!” เฮยทั่นร้องคำรามด้วยความหวาดกลัวไม่หยุด บิดตัวอย่างบ้าคลั่งแต่มิอาจหลุดพ้นจากเปลวเพลิงล่องหนนั้นได้ บึ้ม โหม่งหัวกระแทกลงไปใต้ชั้นน้ำแข็งอีกครั้ง หนีเข้าไปอย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้ที่ตกลงมาอาศัยก้อนน้ำแข็งที่ปลิวขึ้นมา ถลันตัวไปทางซ้ายทีขวาที เอาเท้าเหยียบลงมาข้างล่างตลอดทาง สุดท้ายก็มายืนอยู่บนพื้นอย่างมั่นคง

ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่หลายก้อนรอบๆ ร่วงกระแทกพื้นแล้ว

เหมียวอี้ยื่นฝ่ามือออกมา นิ้วทั้งห้ากำหมัดอย่างช้าๆ

ความเคลื่อนไหวใต้ดินพลันเปลี่ยนเป็นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผิวน้ำแข็งแตกระแหงไปทั่ว เห็นหัวเฮยทั่นพุ่งออกมาเป็นระยะ แล้วก็เห็นเฮยทั่นโผล่หางออกมาเป็นระยะอีก พลิกตัวดิ้นรนอยู่ใต้ดินสุดชีวิตๆ ทุ่งน้ำแข็งถูกมันทำลายจนยับเยินเป็นแถบๆ

ปั้ง! ทันใดนั้นเฮยทั่นก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นทั้งตัว กลิ้งบนพื้นพลางร้องอย่างน่าอนาถ “ไม่สู้แล้ว ไม่สู้แล้ว ข้ายอมแพ้แล้ว…”

เห็นได้ชัดว่าบนตัวมันถูกเปลวเพลิงล่องหนคลุมไว้ชั้นหนึ่ง ทั้งตัวมีควันดำลอยขึ้นมา

เหมียวอี้ถลันตัวมาตรงหน้ามัน ใช้มือข้างหนึ่งคว้าเขาของมันไว้ แล้วใช้สองแขนดึงมังกรยักษ์ขึ้นมา ควงร่างมหึมาของเฮยทั่นทุ่มพื้นทางซ้ายทีขวาที ก้อนน้ำแข็งกระเด็นกระดอนไปทั่วทิศ

เฟิ่งกับหวงทนมองไม่ได้แล้ว เหี้ยมโหดจนทนมองไม่ได้!

แกร๊งๆๆ…

ทุ่มซ้ำไปซ้ำมาสิบกว่ารอบ จนเฮยทั่นไร้แรงต่อต้านโดยสิ้นเชิง เหมียวอี้ถึงได้หยุด

เฮยทั่นที่นอนเป็นอัมพาตอยู่บนพื้นราวกับงูตายตัวหนึ่ง นอนราบบนพื้นไม่กระดิกกระเดี้ย

เปลวเพลิงล่องหนกลุ่มหนึ่งหลุดออกจากตัวเฮยทั่น กรอกเข้ามาในตัวเหมียวอี้แล้ว จมหายเข้าไปในร่างกายของเหมียวอี้อย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้ใช้สายตาเย็นเยียบชำเลืองเฮยทั่นที่ไหม้เกรียมทั้งตัวราวกับขาดใจไปแล้ว จากนั้นหันตัวช้าๆ เดินออกไป เดินตรงไปข้างกายสองพี่น้อง แล้วหยุดกุมหมัดคารวะ “บ้านประสบโชคร้าย เลยเกิดเศษสวะแบบนี้ขึ้น ให้ทั้งสองท่านเห็นเรื่องน่าขบขันแล้ว”

หวงยิ้มเจื่อน กางแขนสองข้างโอบกอดทุ่งน้ำแข็ง เห็นเพียงบนทุ่งน้ำแข็งมีสิ่งที่ควรจะลอยลอยขึ้นมา สิ่งที่ควรจะจมก็จมลงไป ไม่นานก็กลับมาราบเรียบเหมือนเดิม เพียงแต่มีเจ้าตัวดำๆ นอนแน่นิ่งอยู่บนทุ่งน้ำแข็ง

แขกกับเจ้าบ้านคุยกันอีกพักหนึ่ง จากนั้นก็ต่างคนต่างไปทำงานของตัวเอง

เหมียวอี้เดินเข้าไปในจุดลึกของทุ่งน้ำแข็ง แล้วเริ่มเก็บตัวฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์

ส่วนเฮยทั่น หลังจากเหมียวอี้ซ้อมมันอย่างโหดเหี้ยมยกหนึ่ง ก็ไม่สนใจมันอีก ไม่ช่วยรักษาให้มันด้วย ปล่อยให้มัน ‘ตาย’ อยู่อย่างนั้น เป็นเพราะมันจัญไรจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีแนวโน้มจะหันหลังให้เจ้านาย ถ้าไม่ลงโทษหนักๆ สักครั้งก็คงแย่ ครั้งนี้ต้องการให้เฮยทั่นได้รับบทเรียนยาวๆ ให้เฮยทั่นยอมรับความจริงให้ชัดเจน อย่านึกว่ากลายเป็นมังกรแล้วจะทำตามอำเภอใจได้

หลังจากนั้นสามวันเต็มๆ เฮยทั่นถึงได้ลุกขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ ไปยังสถานที่เก็บตัวฝึกตนของเหมียวอี้ เดินกะเผลกไปมาอยู่หน้าโพรงน้ำแข็ง โดนซ้อมจนยอมศิโรราบโดยสิ้นเชิง อยากจะต่อสู้อย่างไรอีกฝ่ายก็จัดให้อย่างนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบมันโดนโจมตีจนไม่เหลือแรงโต้ตอบ ถ้าเหมียวอี้จะฆ่ามัน มันก็คงถูกฆ่าไปแล้ว!

เฮยทั่นที่รังแกแม้แต่ตาเฒ่าเทพมังกร เดิมทีรู้สึกว่าตัวเองเจ๋งมาก สามารถไปไหนมาไหนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้ตามอำเภอใจ ข่มเหงรังแกวิญญาณชั่วร้าย โดยทั่วไปไม่มีใครกล้ามีเรื่องด้วย รู้สึกว่าเหมียวอี้ก็ควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ทั้งยังคิดจะใช้กำลังครอบครองเทพสตรีคู่นี้ ตอนนี้ห่อเหี่ยวโดยสิ้นเชิงแล้ว

เสียงของเหมียวอี้ดังออกมาจากถ้ำน้ำแข็ง “ยังโดนซ้อมไม่พอใจหรือไง? ไสหัวกลับไปฝึกตนที่ถ้ำมังกร ข้าขอเตือนเจ้าไว้นะ ข้าไม่สามารถพามังกรออกไปได้ ถ้าเจ้ายังกลายร่างเป็นคนไม่ได้ ก็เลิกคิดเลยว่าจะได้ออกไป ไสหัวไป!”

“ก็ได้!” เฮยทั่นตอบอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วทะยานตัวขึ้นฟ้าเหาะไปทางถ้ำมังกร

…………………………

ไม่น่าเชื่อว่าจะมีความคิดสกปรกกับเทพสตรีเผ่าหงส์ เหมียวอี้ไม่รู้จะด่ามันอย่างไรดี ถามมันด้วยสีหน้าแปลกๆ ว่า “โจรอ้วน เจ้ารู้หรือเปล่าว่าพวกนางสองคนเป็นใคร?”

“หงส์เฟิ่งหวงไง จะเป็นใครได้อีกละ?” เฮยทั่นถาม

เหมียวอี้ยิ้มเย้ย “พวกนางคือเทพสตรีผู้พิทักษ์เผ่าหงส์เฟิ่งหวงที่กลับมาเกิดใหม่!”

ไม่ได้ตกตะลึงเหมือนที่เหมียวอี้จินตนาการไว้ เฮยทั่นก็แค่งงไปชั่วขณะ ถามกลับว่า “แล้วยังไงล่ะ ข้าเป็นตัวผู้ พวกนางเป็นตัวเมีย ตัวผู้กับตัวเมียเหมาะสมกันพอดี”

“…” เหมียวอี้เถียงไม่ออกเพราะความมีเหตุผลของมัน ถามด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวว่า “ดูจากท่าทางของเจ้าแล้ว คิดจะครอบครองพวกนางพร้อมกันสองคนเลยเหรอ?”

เฮยทั่นยกกรงเล็บข้างหนึ่งขึ้นมาเกากลางอากาศ “ฮูหยินหวนหวนกับหลางหลางก็เป็นฝาแฝดกันเหมือนกันนี่ นายท่านก็ได้ทั้งคู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

เหมียวอี้พูดไม่ออกกับท่าทาง ‘ข้าเอาเยี่ยงอย่างท่าน’ ของมัน รู้สึกอับอายจนโมโห “นั่นมันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ? เจ้าเป็นมังกร พวกนางเป็นหงส์”

เฮยทั่นกล่าวเหมือนประหลาดใจ “อนุภรรยาของนายท่านมีทั้งผีมารปีศาจ…”

“หุบปาก!” เหมียวอี้พูดตัดบท ในหัวมีคำว่า ‘คานบนไม่ตรง คานล่างก็เบี้ยว’ แวบเข้ามา กัดฟันบอกว่า “สัตว์เลื้อยคลานอย่างเจ้า แม้แต่แปลงร่างยังทำไม่ได้ เจ้าคิดว่าอีกฝ่ายจะชอบเจ้าหรอ? แปลงร่างเป็นคนให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

เฮยทั่นพยักหน้า “ข้าก็เตรียมจะทำอย่างนั้น แต่นายท่านก็ต้องช่วยสร้างโอกาสให้ข้าเหมือนกัน!”

“นี่เจ้ายังไม่จบสักทีใช่ไหม?” เหมียวอี้ดุมัน

เฮยทั่นประหลาดใจ “นายท่าน นี่ท่านไม่เข้าข้างพวกเดียวกันนี่นา ท่านยืนฝั่งไหน? พวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกันตกลงไหม?”

เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที มารดาเจ้าเถอะ เป็นพวกเดียวกันก็ต้องดูด้วยว่าอยู่ในสถานการณ์ไหน เรื่องรังแกชายขืนใจหญิงข้าเป็นพวกเดียวกับเจ้าได้ด้วยเหรอ? มิหนำซ้ำคนที่อยากจะข่มเหงก็ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาทั่วไป เป็นเทพสตรีเผ่าหงส์เชียวนะ! ทำเรื่องขาดคุณธรรมอย่างนี้จะต้องโดนสวรรค์ลงโทษแน่นอน เจ้าหนังหนาก็เลยไม่กลัวไง

ในปีนั้นเข้ามาในแดนมรณะดึกดำบรรพ์กับเฮยทั่น จู่ๆ เฮยทั่นก็พูดภาษาคนได้ เหมียวอี้ก็พบว่าเฮยทั่นปากอัปมงคลแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่แค่ไม่เปลี่ยนแปลงดีขึ้น แต่ยิ่งพูดจาตรงไปตรงมาจนต่ำทรามมากขึ้น ไม่แปลกใจที่เทพมังกรรังเกียจอย่างลึกซึ้ง แม้แต่เหมียวอี้เองก็เริ่มรับไม่ไหวแล้ว เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะให้เฮยทั่นกลายเป็นใบ้อีกครั้ง

“เรื่องนี้ข้าช่วยเจ้าไม่ได้หรอก” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วเดินหนีไป

“นายท่าน แค่ผู้หญิงสองคนเอง ข้าก็ขอไม่เยอะนะ!” เฮยทั่นหมอบบนพื้น แล้วไถลหัวไปตรงหน้าเหมียวอี้ ขวางเหมียวอี้เอาไว้ ทำท่าทางเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม

“ไม่เชื่อฟังแล้ว ยังกล้ามาขวางทางข้า!” เหมียวอี้หยุดเดิน แสยะยิ้มอยู่พักนึง “ไม่ได้ลงโทษเจ้ามาตั้งหลายปี เจ้าของคันหนังแล้วสินะ?”

เฮยทั่นหัวเราะแห้ง ใช้กรงเล็บข้างหนึ่งตีน้ำแข็งตรงหน้าเหมียวอี้เบาๆ แล้วตอบอย่างกำเริบเสิบสานเล็กน้อย “นายท่าน พวกเราคุยกันด้วยเหตุผลดีกว่า ถ้าลงไม้ลงมือมันจะไม่น่าดูนะ แล้วอีกอย่าง ถ้าให้สู้กันตอนนี้ เกรงว่าคนที่เสียเปรียบก็คงจะเป็นขั้น ใช่ว่าข้าจะไม่อยากไว้หน้าท่าน ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ” มันบิดร่างกายใหญ่โตเล็กน้อย เหมือนกำลังอาศัยเกล็ดมังกรที่หนาทนทานและร่างกายเพื่อแสดงบารมี “นายท่าน เป็นน้ำใจที่ยากจะหาได้ ท่านช่วยเป็นพ่อสื่อให้ข้าสักหน่อยเถอะ”

“หึ! มีน้ำใจเหรอ? หน้าด้านไร้ยางอาย ใครมีน้ำใจกับเจ้า? ทั้งยัวบังคับให้ข้าเป็นพ่อสื่อด้วย? เฮยทั่น เจ้านี้ใช้ได้เลยนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะขู่พ่อแล้ว” เหมียวอี้บันเทิงแล้ว โมโหจนหัวเราะประชด ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือหัวเราะเยาะ จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง โบกมือปล่อยตั๊กแตนทมิฬตัวหนึ่งออกมา

เฮยทั่นตกใจ แล้วก็ถลันตัวหนีไป เมื่อนานมาแล้วเหมียวอี้มักจะเอาตั๊กแตนทมิฬมาลงโทษมัน มันมีปมกับตั๊กแตนทมิฬ มันลอยขึ้นบนฟ้าแล้วบิดตัว กล่าวด้วยสายตาระแวดระวังว่า “นายท่าน หาผู้ช่วยถือว่าเก่งอะไรล่ะ?”

เหมียวอี้ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับมัน พอใช้พลังจิต ตั๊กแตนทมิฬก็พุ่งออกไปบุกโจมตี!

เฮยทั่นหนีขึ้นบนฟ้าสูงเร็วมาก แต่ก็ไม่เร็วเท่าตั๊กแตนทมิฬ ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกตามทันแล้ว มีเสียงดังโครมครามอยู่บนฟ้า พวกมันพัวพันอยู่ด้วยกันแล้ว

เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ ในรังหงส์ เทพสตรีผู้พิทักษ์ทั้งสองและหลิงหลันรีบถลันตัวออกมา

ขณะมองการต่อสู้บนท้องฟ้า หวงก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “ตั๊กแตนทมิฬ?”

เฟิ่งกล่าวเสียงเย็น “ตั๊กแตนทมิฬเป็นสีดำ ตัวนี้ไม่เหมือน”

แต่ทั้งสองก็มองออกจากปฏิกิริยาของเหมียวอี้ ว่าตั๊กแตนตัวนี้กำลังถูกเหมียวอี้ควบคุม

หวงมองไปทางเหมียวอี้ แล้วถามอย่างประหลาดใจว่า “มันเป็นสัตว์พาหนะของท่านไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงสู้กันแล้วล่ะ”

เหมียวอี้แสยะยิ้ม “กวาดล้างสิ่งสกปรกในบ้าน!”

พอพูดจบ กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าตั๊กแตนทมิฬความเร็วเหนือกว่าเฮยทั่น เกล็ดย้อนที่แข็งแรงทนทานของเฮยทั่นก็ต้านทานการโจมตีจากแขนขาที่แหลมคมของตั๊กแตนทมิฬไม่ได้เช่นกัน บนร่างกายถูกตั๊กแตนทมิฬกรีดเป็นรอยแผล แต่เฮยทั่นได้เปรียบเพราะร่างกายยาว สามารถใช้ทั้งหัวทั้งหางโจมตีได้ อีกทั้งยังบิดร่างกายซ้ายขวาเรากับสปริง พลังของตั๊กแตนทมิฬห่างกับเฮยทั่นไม่ใช่น้อยๆ

สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ประหลาดใจก็คือ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ สิ่งที่เฮยทั่นกลัวที่สุดก็คือตั๊กแตนทมิฬ ขอเพียงโดนโจมตี ก็จะถูกแช่แข็งทันที แต่ครั้งนี้ทนได้หลายท่า ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีปฏิกิริยาแบบนั้น ต้องทราบไว้ว่าตั๊กแตนทมิฬมีอานุภาพมากกว่าในปีนั้น

เขารู้ตัวเร็วมาก คาดว่าคงเกี่ยวข้องกับที่เฮยทั่นวิวัฒนาการเป็นมังกรแท้ กลายเป็นมังกรแท้อยู่ในแดนหยางบริสุทธิ์อย่างนี้ ธาตุหยยางบริสุทธ์ก็ย่อมไม่แย่อยู่แล้ว เอาชนะปราณหยินอันเหน็บหนาวของตั๊กแตนทมิฬได้แล้ว

พอเป็นแบบนี้ คาดว่าตั๊กแตนทมิฬจะต้องเสียเปรียบแน่นอน

เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ เฮยทั่นพบว่าตัวเองไม่ได้รับผลกระทบจากปราณหยินของตั๊กแตนทมิฬอีก จึงใช้อุบายเจ้าเล่ห์เต็มที่ทันที ฉวยโอกาสตั๊กแตนทมิฬไม่ทันระวัง สะบัดหางออกมาหนึ่งที เกิดเสียงดังเพี้ยะ ตั๊กแตนทมิฬโดนมันตบคว่ำโดยตรง พุ่งตกลงกระแทกบนทุ่งน้ำแข็งเรากับดาวตก กระแทกจนเกิดหลุมลึก ผิวน้ำแข็งแต่เป็นลายใยแมงมุม

เหมียวอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย เฟิ่งที่ไม่ค่อยพูด ตอนนี้พูดแล้วว่า “ข้าเคยประมือกับมันหลายครั้ง เจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวนี้เป็นสัตว์กลายพันธุ์ที่กลายร่างเป็นมังกรแท้ วรยุทธ์ก็ไม่เท่าไหร่ พลังก็เกือบเอาชนะระดับบงกชรุ้งขั้นสี่ได้ แต่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา แรงดีจนน่าตกใจ เผ่ามังกรที่วรยุทธ์เท่ามันเกรงว่าจะเอาชนะมันได้ยาก ที่สำคัญที่สุดก็คือมันเจ้าเล่ห์หน้าไม่อาย!”

หวงชำเลืองเหมียวอี้แวบหนึ่ง เห็นเพียงเหมียวอี้มีสีหน้าเรียบเฉย สุขุมเยือกเย็นมาก ไม่ว้าวุ่นวใจ เหมือนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับความพ่ายแพ้ตรงหน้า

ตั๊กแตนทมิฬที่อยู่ในหลุมลึกตื้นขึ้นมา แล้วส่ายหน้าเหมือนเมาสุรา เห็นได้ชัดว่าโดนแรงอันป่าเถื่อนของเฮยทั่นโจมตีจนหมื่น

“นายท่าน ข้าบอกแล้วว่าตอนนี้ถ้าสู้กันขึ้นมาท่านอาจจะแย่ ทำไมท่านต้องลำบากด้วยล่ะ” เฮยทั่นส่ายหน้าสั่นหางบินต่ำลง เอาหัวลงเอาหางขึ้น ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เหมียวอี้ที่อยู่ข้างล่าง

เหมียวอี้ไม่พูดอะไรสักคำ สะบัดแขนเสื้อ มีเงาบินออกมาเป็นขบวน ตั๊กแตนทมิฬสิบเก้าตัวจัดกระบวนทัพอยู่กลางอากาศ ตั๊กแตนทมิฬยี่สิบตัวที่เขาพกมาด้วยถูกปล่อยออกมาหมดแล้ว พอใช้พลังจิต ทั้งหมดก็พุ่งไปหาเฮยทั่นบนฟ้า

ตั๊กแตนทมิฬพวกนี้ ต่อให้สู้กับยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ เหมียวก็มีความมั่นใจเช่นกัน เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะจัดการเฮยทั่นไม่ได้

“โอ้โห นับว่าท่านโหด!” เฮยทั่นตกใจร้องโวยวาย แล้วหลบหนีอย่างหวาดกลัว

แต่จะหนีพ้นตั๊กแตนทมิฬที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วได้อย่างไร ไม่นานก็ตามทันแล้ว บนฟ้ามีเงาขวักไขว่วุ่นวาย เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไม่หยุด แล้วก็มีเสียงร้องของเฮยทั่นดังไม่ขาดสาย

สู้กับตัวสองตัวก็ยังพอไหว แต่เมื่อปะทะกับฝูงที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็ว อีกทั้งขาก็แหลมคมไร้ที่เปรียบ เฮยทั่นเริ่มหวาดกลัวแล้ว ไม่ว่าส่วนไหนของร่างกายก็รับมือไม่ทัน

ใช้เวลาไม่นาน ทั้งตัวเฮยทั่นก็ถูกกรีดจนเกล็ดได้รับความเสียหาย เลือดสดไหลออกมา ถ้าสู้กันต่อไปจะต้องโดนหักขาทิ้งแน่นอน

“อ๋าว” ไม่เห็นว่ากำลังจะสู้ไม่ไหว จู่ๆ เฮยทั่นก็ส่งเสียงมังกรคำรามสะเทือนฟ้า เมฆหมอกพลิกม้วนอยู่พักนึง จากนั้นก็มีสายฟ้าแวบวับอยู่ในเมฆ สายฟ้าไขว้ตัดสลับกัน

เหมียวอี้ขยับคิ้ว แอบคิดในใจว่าแย่แล้ว สายฟ้าคือดาวข่มของตั๊กแตนทมิฬ

เป็นอย่างที่คาดไว้ ตั๊กแตนทมิฬถูกฟ้าผ่าตกลงมาตัวแล้วตัวเล่า บางตัวตกใจกลัวสายฟ้าจนหนีหัวซุกหัวซุน เจอกับดาวข่มอย่างแท้จริง

เฮยทั่นที่รอดพ้นจากสถานการณ์ลำบากมีบาดแผลเต็มตัว บนตัวมีสายฟ้าเลื้อย โผล่หัวออกมาจากเมฆ แล้วหัวเราะเจ้าเล่ห์ไม่หยุด “นายท่าน อุบายตื้นๆ อย่างนี้ใช้ไม่ได้ผลกับข้าหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าท่าน เชื่อไหมว่าข้าคงทำลายลูกกระจ๊อกพวกนั้นไปแล้ว” พูดจบก็เงยหน้าหัวเราะลั่น รู้สึกว่าวันคืนที่ตัวเองโดนตบตีผ่านพ้นไปแล้ว วันคืนอันดีงามที่เฝ้าหวังมาถึงแล้ว

หวงมองเหมียวอี้ที่ขมวดคิ้วพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วิชาอัคนีดาราสามารถควบคุมหยินหยางได้ สรรพสิ่งในโลกนี้ยากจะหนีพ้นขอบเขตหยินหยาง สายฟ้านี้ก็เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากหยินหยางเช่นกัน ตามที่ข้ารู้มา สายฟ้าทำอะไรวิชาอัคนีดาราไมได้เลย สงสัยสัตว์พาหนะของท่านจะยังไม่รู้ ดีใจเร็วเกินไปแล้ว”

มีหรือที่เฮยทั่นจะไม่รู้ ในใจเหมียวอี้ตะลึงไปชั่วขณะ เขาไม่รู้เช่นกันว่าวิชาอัคนีดาราสามารถต้านทานสายฟ้าได้ ที่สำคัญคือไม่เคยลอง ในใจกำลังคิดว่าถ้ามีโอกาสต้องลองสักหน่อย

ส่วนเฮยทั่นก็เหมือนจะขาดการควบคุมตัวเอง กำแหงจนเป็นนิสัยแล้ว เหมียวอี้ต้องการสั่งสอนมันโหดๆ สักรอบ เตรียมจะไว้วิธีการโหดเหี้ยมกับเฮยทั่น

ไม่สนใจว่าวิชาอัคนีดาราจะต้านทานสายฟ้าได้หรือไม่ เหมียวอี้พลิกมือหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชั้นหกอันหนึ่งมาไว้ในมือ ลูกธนูดาวตกสามดอกตั้งบนสายพรั้อมกัน ง้างสายธนูเล็งไปยังเฮยทั่นที่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ในเมฆ บนลูกธนูมีลำแสงไหลเวียน

มีแค่ลูกธนูดาวตกสามดอกเสียที่ไหนกัน ลูกธนูดาวตกนับร้อยดอกลอยอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ ใช้ได้อย่างสบายมือ สามารถยิงให้เฮยทั่นพรุนเป็นรังผึ้งได้

เฟิ่งกับหวงมอหงน้ากันเลิกลั่ก ทั้งสองยังไม่เคยรับรู้รสชาติของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชั้นหก แต่กลับรู้ว่าการที่เหมียวอี้สามารถนำมาใช้ในเวลานี้ได้ แสดงว่าเป็นอาวุธที่มีอานุภาพไม่ธรรมดาแน่นอน

“…” พอเห็นความเคลื่อนไหวข้างล่าง เฮยทั่นก็หัวเราะไม่ออกทันที ราวกับถูกบีบคอเอาไว้ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชั้นหกเหรอ? มันกล่าวอย่างหวาดกลัวทันที “ใช้ของวิเศษนับว่ามีความสามารรถอะไร ท่านทำแบบนี้ต่อให้ชนะแต่ก็ถือว่าชนะเพราะโกง หยุดนะ ข้าไม่สู้แล้ว!”

เหมียวอี้ชยับคิ้วเล็กน้อย ปล่อยสายธนูช้าๆ แล้วโบกมือเก็บธนูและลูกธนูเอาไว้

พอพลิกมือ เกราะรบชั้นหกชุดหนึ่งก็วางอยู่บนฝ่ามือ แล้วก็เลื้อยสวมขึ้นมาบนร่างกาย จากนี้ชี้เฉียงขึ้นไปบนฟ้า “มาเถอะ ให้ข้าดูหน่อยว่ากระดูกเจ้าจะแข็งเหมือนปากหรือเปล่า!” พูดจบก็ถลันตัวทันที วิ่งไปทางทุ่งน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว

“หึหึ!” เฮยทั่นหัวเราะเจ้าเล่ห์ กลอกลูกตาใหญ่ไปมาสองรอบ เหมียวอี้อยู่ที่นี่เหาะไม่ได้ เห็นได้ชัดว่ามันได้เปรียบ มันถลันตัวพุ่งลงจากเมฆราวกับลูกธนู พุ่งไปทางเหมียวอี้

เห็นเหมียวอี้ตามองหกถนน หูฟังแปดด้านวิ่งกระโจนตัวขึ้นมา บึ้ม! เฮยทั่นเอาหัวชนเข้าไปในผิวน้ำแข็ง

เหมียวอี้หลบการโจมตีนี้ได้ แล้วเหนือศีรษะกลับมีเงาดำครอบลงมา เฮยทั่นที่เอาหัวโหม่งพื้นสะบัดหางตบเข้ามาแล้ว

เหมียวอี้ทะยานตัวขึ้นฟ้าแล้วโบกหมัด จุดสีดำหมุนวนบนหมัดโลหะรับกับหางใหญ่ที่สะบัดตบเข้ามา ลมหมัดปนเสียงคำรามเล็กน้อย

…………………………

พอเงาหงส์ฟ้าโผล่ออกมา หงส์อัคคีน้ำแข็งที่เข้ามาล้อมก็หยุดอยู่กลางอากาศทันที จากนั้นก็แตกสลายเร็วมาก หงส์อัคคีน้ำแข็งกระจายเป็นอัคคีน้ำแข็งร่วงลงไปที่ภูเขาน้ำแข็ง ราวกับเป็นฝนไฟสีฟ้า หลังจากจุดแสงสีรุ้งโผล่มาแล้วก็บินถอยหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว

ราวกับทำให้ปัญหายุ่งยากตรงหน้าหายไปในฉับพลัน เฮยทั่นสั่นหัวส่ายหาง พูดประจบอย่างตื่นเต้นดีใจมากว่า “นายท่านก็ยังคงเป็นนายท่าน พอนายท่านออกโรงเองทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา”

เหมียวอี้ที่ถูกล้อมอยู่ท่ามกลางเงาหงส์ฟ้ายังไม่ได้เก็บหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง เขายิ้มบางๆ พร้อมบอกว่า “ไปกัน!”

กระแสอากาศหมุนขึ้นหมุนลง เฮยทั่นที่อยู่บนฟ้าพุ่งตัวออกไปราวกับลูกธนูที่ยิงออกจากสาย เดินทางไปข้างหน้าต่อ

เห็นปราณชั่วร้ายพุ่งขึ้นฟ้าตั้งแต่ไกลๆ เหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางลมหนาวรู้ว่ามาถึงรังหงส์แล้ว

ภูเขาน้ำแข็งที่มีลักษณะเหมือนฟันปลาปรากฏอยู่ในสายตา ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าแล้ว ร่างกายยาวของเฮยทั่นลอยลงไปข้างล่าง ไปเหยียบลงท่ามกลางรูปสลักน้ำแข็งหงส์เฟิ่งหวงบนทุ่งน้ำแข็ง จุดแสงสีรุ้งกะพริบวิบวับอยู่ท่ามกลางรูปสลักน้ำแข็ง

เหมือนรู้ว่ามีแขกมาเยือน ประตูน้ำแข็งที่ใหญ่หนาบนบันไดเปิดออกอย่างช้าๆ สาวน้อยสองคนที่สวมชุดกระโปรงยาวสีรุ้งเดินเนิบนาบออกจากตำหนักน้ำแข็ง

เหมียวอี้งุนงง เป็นสาวน้อยสองคนที่งดงามมาก สวยงามมีเสน่ห์ สดใสเย็นสบายตา แฝงความงามเย้ายวนเหมือนดอกไม้ตูมที่รอวันบาน ราวกับคนที่อยู่ในภาพวาด

สิ่งที่ดึงดูดสายตาเป็นพิเศษก็คือดวงตาหงส์คู่นั้น ตอนขยับดวงตาดูวิบวาบราวกับดาวบนฟ้า มีเอกลักษณ์มาก ไหนจะผิวกายที่ขาวกว่าน้ำแข็ง ขาวหมดจนแทบโปร่งแสง ไม่เห็นจุดด่างดำแม้แต่น้อย เหมียวอี้ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนผิวสวยขนาดนี้มาก่อน

เมื่อเห็นผู้หญิงสองคนนี้ เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสองพี่น้องหวนหลาง ตรงหน้านี้ก็คงจะเป็นพี่น้องฝาแฝดเหมือนกัน เพียงแต่คนหนึ่งสีหน้าท่าทางเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง ส่วนอีกคนก็ใบหน้าอมยิ้มอยู่ตลอด

ถึงแม้จะอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล แต่เหมียวอี้ก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาจากตัวสองคนนี้ บรรยายไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ในความอ่อนเยาว์เหมือนเผยกลิ่นอายบรรพกาล ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า

“เฮื้อก” เฮยทั่นมองตาปริบๆ พลางกลืนน้ำลาย ราวกับได้เห็นอาหารเลิศรสถูกปาก มองอย่างซื่อบื้อ

เหมียวอี้สะอิดสะเอียนกับการกระทำของมัน จากนั้นก็แววตาวูบไหว เห็นคนรู้จักเก่าเดินออกมาแล้ว เดิมทีเป็นวิญญาณน้ำแข็งที่เฝ้ารังหงส์ หลิงหลัน

หลิงหลันยิ้มบางๆ เดินไปยืนอยู่ข้างๆ สาวน้อยสองคนนั้นอย่างเคารพ แสดงท่าทางชัดเจนว่าอยู่ใต้สังกัดนั้น

เมื่อเห็นท่าทีแบบนี้ เหมียวอี้ก็แอบสงสัย อย่าบอกนะว่าสาวน้อยสองคนนี้คือหงส์น้อยในปีนั้น?

ไม่มีใครบอกเรื่องที่หงส์น้อยกลายร่างเป็นคนแล้ว เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะชำเลืองเฮยทั่น ถ้าเป็นหงส์น้อยจริงๆ ก็แสดงว่าเฮยทั่นไม่ได้เรื่องเกินไปแล้ว ขนาดอีกฝ่ายฟักออกจากไข่ทีหลังยังกลายร่างเป็นคนแล้ว แต่เจ้ากลับยังโดนคนด่าว่าสัตว์เลื้อยคลาน

หลังจากทั้งสองสบตากันพักหนึ่ง สาวน้อยที่อมยิ้มก็เปล่งเสียงนุ่มนวลไพเราะออกมา “มีแขกมาเยือน ขออภัยที่ไม่ได้ไปรับตั้งแต่ไกลๆ!”

เหมียวอี้ถลันตัวขึ้นไปเหยียบบนบันไดทันที แล้วกุมหมัดคารวะ “ขออนุญาตรบกวนถาม ไม่ทราบว่าทั้งสองคือ?” สายตาไปหยุดที่หลิงหลัน หวังว่านางจะอธิบายได้

หลิงหลันกลับยิ้มโดยไม่ตอบอะไร

“พวกเราเคยพบกันแล้ว พี่ชายเป็นคนพาพวกเราไปส่งที่ถ้ำมังกรด้วยตัวเอง” สาวน้อยที่อมยิ้มกล่าว

“อ้อ…” เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ “ทีแรกข้าก็สงสัยว่าเป็นพวกเจ้าหรือเปล่า นึกไม่ถึงว่าจะเป็นพวกเจ้าจริงๆ”

“เชิญแขกด้านใน” สาวน้อยที่อมยิ้มกับสาวน้อยใบหน้าเย็นชาหลีกทางให้ทางซ้ายและขวา แล้วยื่นมือเชิญ

“เกรงใจแล้ว” เหมียวอี้เดินตามเข้าไป แต่กลับได้ยินสาวน้อยใบหน้าเย็นชาด้านข้างตะคอกเสียงเย็นว่า “สัตว์เลื้อยคลาน ไสหัวไป ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาได้”

เหมียวอี้หันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นเพียงเฮยทั่นที่อยากจะตามเข้ามายืนเหม่ออยู่ตรงตีนบันได ได้แต่มองเหมียวอี้ด้วยแววตาน่าสงสาร กรงเล็บที่ยื่นขึ้นมาบนบันไดหดกลับเข้าไปแล้ว เหมียวอี้มองไปทางสาวน้อยใบหน้าเย็นชาอีกครั้ง พึมพำในใจว่า น้ำเสียงนี้ทำไมฟังดูคล้ายเศษวิญญาณเทพมังกร

ที่ทำให้เขาแปลกใจกว่านั้นก็คือ เฮยทั่นที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินเหมือนจะกลัวผู้หญิงสองคนนี้

สาวน้อยที่อมยิ้มปิดปากหัวเราะเบาๆ “พี่สาวปฏิเสธอย่างไม่เป็นมิตร พี่ชายอย่าถือสาเลยนะคะ เพราะตอนที่นางยังไม่ได้กลายร่างอยู่ที่ถ้ำมังกร สัตว์พาหนะของท่านรังแกพวกเราแรงมาก มักจะจับพวกเราถอนขน พี่สาวไม่พอใจมันนิดหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะมีแขกมาเยือน เกรงว่าพี่สาวคงไม่ให้มมันเข้าใกล้ที่นี่” พูดจานุ่มนวล แต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะให้เฮยทั่นเข้ามา

ถอนขน? เหมียวอี้ปาดเหงื่อด้วยความอับอาย เขาหันตัวมา มองเฮยทั่นอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่ยิ้มเจื่อนบอกว่า “โจรอ้วน เจ้ารออยู่ข้างนอกก่อนแล้วกัน”

เฮยทั่นหดหัวกลับไปแต่โดยดี หาที่ว่างด้านข้างนอกแล้ว

“เฮ้อ!” เหมียวอี้มองมันอย่างจนปัญหาพลางถอนหายใจ แล้วหันตัวเดินเข้าไปในตำหนักน้ำแข็งพร้อมสองพี่น้อง

หลังจากเข้ามาข้างในแล้ว สองพี่น้องก็นั่งลงบนเก้าอี้น้ำแข็งสลักรูปที่นอนหงส์ บนพื้นมีเก้าอี้สลักจากน้ำแข็งตัวหนึ่งยื่นขึ้นมาให้เหมียวอี้นั่ง

หลิงหลันนำเครื่องดื่มของทุ่งน้ำแข็งโบราณมารับแขก สาวน้อยที่อมยิ้มกล่าวอย่างสุภาพว่า “ไม่พบกันนาน พี่ชายน้อยมีสง่าราศีกว่าในปีนั้นเสียอีก”

พี่ชายน้อย? สำหรับคำเรียกนี้ เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ข้าดูแก่กว่าพวกเจ้าตั้งหลายปี ทั้งยังเห็นพวกเจ้าฟักไข่ออกมากับตาตัวเอง แต่เจ้ากลับเอาแต่เรียกข้าว่าพี่ชายน้อย คำพูดนี้ฟังดูคร่ำครึมากทีเดียว

ต้องการจะอาศัยถิ่นของอีกฝ่ายเพื่อฝึกตน อีกฝ่ายก็ไม่มีเจตนาจะดูหมิ่นเจ้าด้วย ทั้งยังสุภาพมาก ปัญหาเรื่องการพูดนี้เหมียวอี้ไม่เก็บมาใส่ใจ ถามไปว่า “ทั้งสองทำให้ข้ารู้สึกเหนือความคาดหมายนิดหน่อย ไม่ทราบว่าจะเรียกทั้งสองว่าอะไรดี?”

สาวน้อยที่อมยิ้มตอบว่า “พวกเราสองคนคือเทพสตรีผู้พิทักษ์ของเผ่าหงส์ ไม่มีชื่อเรียก สิ่งนี้อาจารย์ของท่านก็น่าจะรู้…อ้อ ลืมไปว่าอาจารย์ของท่านจากโลกนี้ไปนานแล้ว ขออภัยจริงๆ แน่นอน ตอนที่เจอคนนอก เพื่อให้คนนอกแยกแยะพวกเราได้สะดวก ถ้าจะต้องเรียกชื่อจริงๆ พี่สาวก็คือเฟิ่ง ส่วนข้าก็คือหวง ท่านสามารถเรียกพวกเราแบบนี้ได้”

เหมียวอี้กลับเบิกตากว้าง ถามอย่างตกใจว่า “พวกเจ้าก็คือเทพสตรีผู้พิทักษ์ของเผ่าหงส์เหรอ?”

หวงพยักหน้า “ใช่แล้ว”

เหมียวอี้กล่าวอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ “ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าโดนพระปีศาจหนานโป…” เขาจำได้ชัดเจนว่าสองคนนี้ฟักออกมาจากไข่

หวงจริงใจต่อเขามาก ไม่ปิดบังอะไรทั้งนั้น “เผ่าหงส์ถือกำเนิดได้ตามโอกาส นอกเสียจากว่าฟ้าดินจะไม่ยอมให้ดำรงอยู่ ไม่อย่างนั้นก็ฆ่าไม่ตาย แม้จะสิ้นชีพด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโปไปแล้ว แต่กลับถูกฟ้าดินสร้างขึ้นมาได้ กำเนิดวิญญาณครรภ์จนกลายเป็นไข่ สามารถอาบไฟเพื่อเกิดใหม่ เมื่อโอกาสมาถึง เฟิ่งหวงนิพพาน!”

อธิบายเพียงไม่กี่คำก็เปิดเผยความจริง เหมียวอี้กระจ่างในฉับพลัน ไม่แปลกใจที่ให้ตัวเองนำไข่สองใบไปส่งที่หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ ที่แท้ก็เพื่อาบไฟเกิดใหม่นี่เอง

ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายเรียกตนว่าพี่ชายน้อย ในสายตาของอีกฝ่าย การเรียกตนว่าพี่ชายน้อยก็นับว่าเกรงใจแล้ว เขาจึงยืนกุมหมัดคารวะทันที ที่แท้ก็เป็น “ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสเทพสตรีทั้งสอง เป็นผู้น้อยเองที่บุ่มบ่ามเสียมารยาท”

หวงส่ายหน้ายิ้ม “ชาติก่อนและชาตินี้ ชาตินี้และชาติหน้า เหมือนสรรพสิ่งที่กลับชาติมาเกิดใหม่ ไม่มีอะไรต่างกัน ระหว่างเราไม่มีคำว่าผู้อาวุโสผู้น้อยอะไร ถ้าจะย้อนถึงต้นกำเนิดจริงๆ อดีตชาติของพี่ชายน้อยอาจจะช้านานกว่าพวกเราก็ได้ ยึดหลักตามชาติปัจจุบันเถอะ ไม่อย่างนั้นคงสับสนแย่”

เหมียวอี้หัวเราะแห้ง พยักหน้ายอมรับ

เฟิ่งที่เงียบมาตลอด จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ได้ยินว่าพี่ชายน้อยค่อนข้างมีตำแหน่งฐานะที่ตำหนักสวรรค์แล้ว ไม่ทราบว่าเผ่าหงส์ที่ไปเป็นทาสที่ตำหนักสวรรค์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”

“ถึงแม้จะเป็นทาส แต่ก็เป็นความหมายเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น ไม่นับว่าทรมานเท่าไรนัก…” เหมียวอี้เล่าสิ่งที่ตัวเองรู้ให้ฟังคร่าวๆ จากนั้นก็ถามอย่างแปลกใจอีก “ในเมื่อเทพสตรีทั้งสองสามารถเกิดใหม่ได้ ไม่คิดจะปลดพันธนาการทาสให้เผ่าหงส์บ้างเหรอ?”

หวงส่ายหน้า “เห็นปราณชั่วร้ายกำเริบเสิบสานที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ถ้าไม่มีเผ่ามังกรและหงส์คอยสลับสับเปลี่ยนกัน ความเมตตากรุณาไม่เพิ่มขึ้น ชะตาฟ้าดินก็ขาดความสมดุล ไม่ใช่แค่เผ่าหงส์ของข้า เผ่ามังกรก็อยากจะหลุดพ้นพันธนาการตั้งนานแล้ว แต่จนใจที่วรยุทธ์ของพวกเราสองพี่น้องไปเทียบกับปีนั้นไม่ได้ มิหนำซ้ำข้างนอกก็มีทหารที่แข็งแกร่งมากมาย ต่อให้เผ่ามังกรและหงส์ร่วมมือกัน แต่อานุภาพก็อ่อนแอยากจะพลิกสถานการณ์ได้ ตำหนักสวรรค์กำหนดเวลามาปราบเป็นระยะ เกรงว่าถึงตอนนั้นพวกเราสองพี่น้องยังต้องหลบเลย จะเอาความสามารถจากไหนไปปลดพันธนาการทาสให้เผ่าหงส์ ทำได้เพียงแค่รอจังหวะเวลา รอผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นตามโอกาสปรากฏตัว”

เหมียวอี้เงียบไป คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย อาศัยศักยภาพของเผ่ามังกรและหงส์ เกรงว่าแค่อาศัยทัพใหญ่แดนรัตติกาลในมือตนก็ยังกำจัดได้ง่ายๆ นับประสาอะไรกับตำหนักสวรรค์

หวงบอกอีกว่า “พูดสิ่งเหล่านี้ไปก็ไม่มีปรระโยชน์ ไม่ทราบว่าพี่ชายน้อยมาที่นี่ทำไม มาเพื่อฝึกตนเหรอ?”

เหมียวอี้ดึงสติกลับมา แล้วพยักหน้าตอบว่า “ต้องการจะอาศัยทำเลทองของที่นี่เพื่อฝึกตน ไม่ทราบว่าทำได้หรือเปล่า?”

หวงชำเลืองมองเฟิ่งที่เย็นชานิ่งเงียบแวบหนึ่ง เมื่อเห็นนางไม่คัดค้าน ก็ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เผ่ามังกรและหงส์กับพี่ชายน้อยมีไมตรีให้กันมาตลอด ยิ่งไปกว่านั้นพี่ชายน้อยยังมีบุญคุณยิ่งใหญ่ด้วย ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ในอาณาเขตทุ่งน้ำแข็งโบราณนี้ พี่ชายน้อยเลือกสถานที่ตามสะดวกได้เลย”

เมื่อเจรจาเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็โล่งใจ แล้วพูดตามมารยาทอีกสองสามประโยค ก่อนจะออกจากรังหงส์

พอออกมาข้างนอกแล้วเห็นเฮยทั่น ก็สั่งว่า “เป็นอย่างที่คาดไว้ ข้ายังจะไม่ออกจากที่นี่ จะอยู่ฝึกตนที่นี่สักระยะหนึ่ง เจ้ากลับไปฝึกตนที่ถ้ำมังกรก่อนเถอะ”

เฮยทั่นลุกขึ้นมาทันที แล้วสะดวกส่ายหางบอกว่า “อย่าเลย! ที่นี่ก็มีปราณชั่วร้ายให้ข้าฝึกตนเหมือนกัน ท่านช่วยข้าคุยกับนกไก่น้อยสักหน่อยเถอะ ให้ข้าอยู่ฝึกตนที่นี่ด้วย”

เหมียวอี้เลิกคิ้วบอกว่า “นี่คือแดนปราณหยินบริสุทธิ์ แดนหยางบริสุทธิ์น่าจะเหมาะกับการฝึกตนของเจ้ามากกว่าไม่ใช่เหรอ?”

เฮยทั่นหัวเราะแห้ง “นายท่าน ต่างกันไม่มากหรอก มันก็เหมือนกันนั่นแหละ” พูดด้วยท่าทางหน้าด้านไร้ยางอาย

เหมียวอี้กลับแปลกใจแล้ว “โจรอ้วน ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้ากลัวพวกนางสองคนล่ะ?”

เฮยทั่นยอมรับทันที “ท่านอย่าไปมองว่าพวกนางฝึกตนมาไม่นาน เพราะเวลาสู้กันขึ้นมาข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกนางเลย ต้องทำตัวซื่อสัตย์อยู่แล้ว”

เป็นการยอมรับที่ตรงไปตรงมาเกินไป เหมียวอี้สงสัย “นี่ไม่เหมือนลักษณะนิสัยของเจ้าเลยนะ ตอบมาอย่างซื่อสัตย์ เรื่องเป็นยังไงกันแน่?”

เฮยทั่นส่ายหน้า “ชายชาตรีเมื่อรู้ว่าเสียเปรียบก็ควรถอยไง จะมีเรื่องอะไรได้อีกละ นายท่าน ช่วยคุยให้อีกฝ่ายยืดหยุ่นให้ข้าหน่อย”

เหมียวอี้เชื่อมันก็แปลกแล้ว “อย่ามาเล่นลูกไม้นี้ คิดว่าข้าโง่เหรอ ถ้าเจ้ากลัวพวกนางจริงๆ ก็หลบไปสิ ยังจะหน้าด้านอยู่ต่อทำไม?”

“เหอะๆ…” เฮยทั่นหัวเราะเจ้าเล่ห์ เหมือนรู้สึกอับอายนิดหน่อย หัวมังกรใหญ่เลี้ยวซ้ายแลขวาอย่างลับๆ ล่อๆ ทำให้เสียภาพลักษณ์อันน่าเกรงขามของมังกรมาก เหมือนเป็นมังกรโจรมากกว่า มันยื่นปากใหญ่เข้ามาใกล้หูเหมียวอี้ แล้วกระซิบเบาๆ ว่า “นายท่าน ท่านไม่รู้สึกหรือว่าพวกนางสวยมาก? ท่านคิดดูสิ ถ้าข้าแต่งงานกับพวกนางสองคน จะไม่ใช่เรื่องที่งดงามหรอกเหรอ สวยทั้งพี่ทั้งน้อง!”

“…” เหมียวอี้ตกตะลึงอ้าปากค้าง รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฟ้าผ่า ตกตะลึงไม่เบา มองเจ้าหัวใหญ่ตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ สงสัยเจ้าเวรนี่จะตกหลุมรักสองคนนั้นแล้ว นั่นคือเทพสตรีผู้พิทักษ์ของเผ่าหงส์เชียวนะ เจ้าเวรนี่พูดจาน่าตกใจจริงๆ โลภไม่เบา!

…………………………

ที่จริงเหมียวอี้ก็รู้จักนิสัยเฮยทั่น การที่เฮยทั่นทำอย่างนี้ได้ จะต้องเกี่ยวข้องกับท่าทีของเทพมังกรเฒ่าที่มีต่อเฮยทั่นในตอนแรกแน่นอน เหมียวอี้อยากจะถามเทพมังกรเฒ่ามากว่า ทำไมไม่ชอบเฮยทั่นตั้งแต่แรกขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ด่าเฮยทั่นสัตว์เลื้อยคลานว่าพอรับได้ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้เฮยทั่นก็วิวัฒนาการเป็นมังกรแท้แล้ว นับว่าเป็นเผ่ามังกรเหมือนกัน นอกจากปัญหาเรื่องนิสัยของเฮยทั่น ท่านดูถูกมันจริงๆ เหรอ?

เหมียวอี้รู้สึกไปเองว่าเฮยทั่นก็ไม่ได้แย่ ทั้งยังมีข้อดีด้วย เพียงแต่สุดท้ายปัญหานี้ก็ยังไม่มีทางออก ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกับเทพมังกรเฒ่า

มองไปรอบๆ แล้วถามว่า “แล้วหงส์น้อยตัวนั้นล่ะ?”

“นายท่านถามถึงนกไก่น้อยเหรอ?” เฮยทั่นเงยหน้าถาม

เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ เดิมทีเรียกว่าไก่นกไม่ใช่เหรอ? ทำไมกลายเป็นนกไก่น้อยแล้วล่ะ? เขาพยักหน้า “ใช่แล้ว”

เฮยทั่นหมอบศีรษะแล้วพ่นลมหายใจมังกรที่หนักอึ้ง ตอบเหมือนเซ็งนิดหน่อยว่า “ไปแล้ว”

“ไปแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ประหลาดใจ “ไปไหนแล้ว?”

หัวมังกรเพลิงตอบแทนให้ “กลับทุ่งน้ำแข็งโบราณไปแล้ว ที่นี่เหมาะแก่การฟักไข่เท่านั้น แต่การฝึกตนที่แท้จริง อยู่ที่รังหงส์เหมาะกับนางมากกว่า นางจะมาที่นี่เป็นบางครั้ง”

“อ้อ!” เหมียวอี้พยักหน้าสื่อว่าเข้าใจแล้ว “เดี๋ยวจะไปเยี่ยมที่รังหงส์สักหน่อย”

เฮยทั่นส่ายหางอย่างตื่นเต้นทันที “ไปด้วยกันสิ ไปด้วยกัน นายท่าน เดี๋ยวข้าไปส่งท่านเอง”

เหมียวอี้ไม่คัดค้านเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่าหัวมังกรเพลิงจะพูดเหน็บแนมว่า “อีกฝ่ายไม่ต้อนรับสัตว์เลื้อยคลานอย่างเจ้าเลย ทำไมต้องไปหาเรื่องใส่ตัว?”

เฮยทั่นโมโห “ตาเฒ่าลูกผสม…” แต่พอเห็นเหมียวอี้ถลึงตา มันก็หมอบลงไปอีก

เหมียวอี้ชำเลืองมองทั้งสอง ฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง เหมือนเฮยทั่นกับหงส์น้อยนั่นจะมีเรื่องอะไรบางอย่างกัน

ที่ตรงนั้นเงียบลงเล็กน้อย แล้วจู่ๆ หัวมังกรเพลิงก็ถามอีกว่า “เจ้าหนุ่ม หลายปีมานี้นอกแดนมรณะดึกดำบรรพ์มีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง?”

“มีความเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย อิ๋งจิ่วกวงล้มแล้ว…” เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ภายนอกให้ฟังคร่าวๆ

ไม่ใช่แค่หัวมังกรเพลิงเท่านั้นที่สนใจเรื่องนี้ เฮยทั่นก็สนใจเหมือนกัน

สำหรับอิ๋งจิ่วกวงอะไรนั่น หัวมังกรเพลิงก็แค่รู้จัก รู้ด้วยว่ายุคนี้อิ๋งจิ่วกวงมีตำแหน่งสูงและอำนาจมาก แต่กลับไม่เคยคบค้าอะไรด้วย ถึงอย่างไรเขาก็ถูกทำลายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโปตั้งนานแล้ว ไม่ใช่คนยุคเดียวกับอิ๋งจิ่วกวงเลย ดังนั้นอิ๋งจิ่วกวงจะล้มหรือไม่ล้มก็ไม่ได้สำคัญสำหรับเขาสักเท่าไหร่ สิ่งที่เขาสนใจก็คือความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ข้างนอก ว่าเป็นผลดีต่อเผ่ามังกรหรือเปล่า

พอได้ยินว่าข้างนอกกำลังสนใจเรื่องไม้ไม่ผุ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเย้ย “ไม้ไม่ผุ หาพบก็ดีน่ะสิ ถ้าจะให้ดีที่สุดก็ต้องทำให้ประมุขชิงสู้กับพวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย”

เหมียวอี้เข้าใจความรู้สึกของเขา คาดว่าคงหวังให้เรื่องไม้ไม่ผุทำให้ใต้หล้าวุ่นวาย เผ่ามังกรจะได้ฉวยโอกาสหนีเอาตัวรอด เพียงแต่พอได้ยินเรื่องไม้ไม่ผุ เหมียวอี้ก็แววตาเป็นประกายเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเคยเห็นไม้ไม่ผุหรือเปล่า?”

หัวมังกรเพลิงตอบว่า “เคยเห็น เมื่อนานมาแล้วบ่นทุ่งน้ำแข็งโบราณก็มีอยู่ต้นหนึ่ง เพียงแต่ตอนหลังมีคนมาเพราะอยากเป็นอมตะ ได้รับอนุญาตจากเผ่าหงส์ ตัดทิ้งไปแล้ว”

เหมียวอี้ปวดประสาท ไม่รู้ว่าต้นที่พิภพเล็กเป็นไม้ไม่ผุจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นจริง เช่นนั้นก็คงได้เห็นผีแล้วจริงๆ ทำไมถึงโดนคนตัดไปเสียแล้วล่ะ? เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “มีตำนานบอกไว้ว่า ถ้าดื่มเลือดจากไม้ไม่ผุก็จะอายุยืน ไม่จำเป็นต้องตัดทั้งต้นไม่ใช่เหรอ?”

หัวมังกรเพลิงทำเสียงฮึดฮัด “เพียงเพราะมีใจเห็นแก่ตัวไง ในปีนั้นเผ่าหงส์ติดหนี้น้ำใจใครบางคน จึงรับปากว่าจะให้ไม้ไม่ผุกับอีกฝ่าย ผลปรากฏว่าคนคนนั้นอยากเป็นอมตะเพียงคนเดียว ไม่อยากให้มีคนมาเทียบเทียมเขา เพราะตัวเองทำสำเร็จแล้ว ก็ตัดไม้ไม่ผุทิ้งไป”

เหมียวอี้สงสัย “หมายความว่า คนคนนั้นได้อายุยืนแล้วจริงๆ น่ะสิ?”

หัวมังกรเพลิงได้ยินแล้วหัวเราะลั่น “อายุยืนเหรอ อายุยืนแล้วยังไงล่ะ? คนคนนั้นน่าจะได้อายุยืนแล้ว แต่จนใจที่พลังไม่มากพอ สุดท้ายก็ตายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโป เจ้าหนุ่ม อายุยืนกับพลังที่มีน้ำหนักเท่ากันหรอกนะ อายุยืนก็ใช่ว่าจะไม่มีใครฆ่าเจ้าตายได้ เราอายุยืนแล้วยังไง เราก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ พระปีศาจหนานโปบรรลุถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จนอายุยืนยาวแล้วยังไงล่ะ? วัฏจักรธรรมชาติย่อมมีหลักการของตัวเอง ขับกับสภาพสังคมนี้ จะอายุยืนได้ยังไง?”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ตามที่ข้ารู้มา วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปจะไม่ดับสูญ เพียงแค่ถูกผนึกเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น ยังมีโอกาสเกิดใหม่” เขาไม่ได้บอกว่าตัวเองหาสถานที่ผนึกเจอแล้ว

หัวมังกรเพลิงถอนหายใจ “พระปีศาจหนานโปเป็นสุดยอดสิ่งอัปมงคลที่ไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ เกิดใหม่ได้แล้วยังไงล่ะ เขานึกว่าตัวเองจะเป็นอมตะเหนือสรรพสิ่งเชียวหรือ? นั่นคือความคิดเพ้อฝันไร้สาระ! การมีอยู่ของสรรพสิ่งในโลกหล้าย่อมมีหลักการของตัวเอง มีหรือที่จะถูกพันธนาการด้วยความอมตะ เขาสามารถทำให้ปลาทุกตัวขึ้นมาใช้ชีวิตบนบกได้หรือเปล่าล่ะ? เขาสามารถทำให้ทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิหายไปได้หรือเปล่า? เขาสามารถทำให้อารมณ์ความรู้สึกของคนหายไปได้หรือเปล่า? หมายถึงสิ่งที่เรียบง่ายที่สุดยังไม่มีใครสามารถควบคุมได้ แล้วจะมีใครสามารถอยู่เหนือสรรพสิ่งได้จริงๆ”

“หรือว่าผู้อาวุโสไม่กังวลว่าหลังจากพระปีศาจหนานโปหลุดออกมาแล้วจะลงมือกับเผ่ามังกรอีก?” เหมียวอี้ถาม

หัวมังกรเพลิงตอบว่า “เผ่ามังกรกลายเป็นอย่างนี้แล้ว ยังมีอะไรน่ากังวลอีก? เจ้าหนุ่ม จะต้องทำความเข้าใจสิ่งหนึ่งไว้ ต่อให้เจ้าวรยุทธ์สูงขนาดไหน พลังแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ช้าเร็วก็ต้องถึงเวลาที่พ่ายแพ้เหมือนกัน มีแต่ต้องทำตัวคล้อยตามธรรมชาติ ดอกไม้บานดอกไม้ร่วงต่างหากถึงจะเป็นหลักการอมตะของโลกนี้ ต่อให้พระปีศาจหนานโปหลุดออกมาแล้วยังไงล่ะ ถ้าเขาไม่ก่อกรรมทำเข็ญก็ดีไป แต่ถ้าเขาก่อกรรมทำเข็ญ ท่ามกลางความลึกลับก็ย่อมมีคนที่สมควรปรากฏตัวโผล่มา ย่อมมีคนจัดการเขาได้อยู่แล้ว”

สำหรับเรื่องนี้ เหมียวอี้ไม่กล้าคล้อยตามไปอย่างไร้เหตุผล ต่อให้ฝ่ายจะพูดจามีเหตุผล เขาเองก็ยอมรับว่าอีกฝ่ายพูดมีเหตุผล แต่ที่เขาพูดล้วนเป็นหลักการภาพรวม ปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริงกลับเป็น สิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญหน้า ต่อให้เป็นเหมียวอี้ก็สามารถเข้าใจได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้พระปีศาจหนานโปมาฆ่าตัวเองหรือคนในครอบครัวตัวเองโดยไม่สนใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาจะลำบากดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดทำไม จะแย่งชิงอย่างเอาเป็นเอาตายทำไม

ดังนั้นเหมียวอี้รู้สึกว่าพูดอะไรพวกนี้กับเขาไปก็ไม่มีความหมาย เปลี่ยนประเด็นกลับมาพูดสิ่งที่อยู่ตรงหน้า “ไม้ไม่ผุหน้าตาเป็นยังไง?”

ฟังจากตำนานรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อถือ อยากจะฟังจากคนที่เคยเห็นมาเองกับตา คาดว่าคงน่าเชื่อถือกว่า

“ทั้งต้นเป็นสีขาวดุจหยก ข้างในมีเส้นเลือด…” หัวมังกรเพลิงบรรยายลักษณะของไม้ไม่ผุโดยละเอียด

เหมียวอี้ที่จดจำรายละเอียดเงียบๆ อดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มเจื่อน สงสัยต้นไม้ที่เฟิงเป่ยเฉินตัดไปจะเป็นไม้ไม่ผุจริงๆ มีตาแต่ไม่มีแวว โอกาสดีที่จะได้มีอายุยืนถูกเฟิงเป่ยเฉินฟันทิ้งไปแล้ว พอนึกว่าที่ทุ่งน้ำแข็งโบราณก็โดนตัดไปต้นนึงเหมือนกัน เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ไม่ทราบว่าคนที่ตัดไม้ไม่ผุในทุ่งน้ำแข็งโบราณคือใคร?”

“ฮ่าๆ!” หัวมังกรเพลิงเหมือนได้ยินเรื่องตลกอะไรสักอย่าง หัวเราะลั่นไม่หยุด หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ถึงได้กล่าวช้าๆว่า “ในโลกนี้คนที่สามารถทำให้เผ่าหงส์ติดหนี้น้ำใจได้มีไม่เยอะ คนที่สามารถเข้าออกทุ่งน้ำแข็งโบราณมาตัดไม้ไม่ผุไป…คนที่ถ่ายทอดมหาเคล็ดวิชาให้เจ้าน่าจะรู้จักดีสิ เขาจะไม่เคยบอกเจ้าเชียวหรือ?”

หัวมังกรเพลิงถอนหายใจ ไม่ได้ปฏิเสธ “จะว่าไปแล้ว การที่พระปีศาจหนานโปผงาดขึ้นมาก็เกี่ยวข้องกัเขาเหมือนกัน ในปีแรกๆ เดิมทีพระปีศาจหนานโปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ก่อกรรมทำชั่วมากมายจนตกอยู่ในมือเขาและเคยโดนเขาขังไว้ แต่กลับออกมาตัดไม้ไม่ผุให้เขา ทำให้พระปีศาจหนานโปหาโอกาสหนีเจอ ถึงได้ทำให้พระปีศาจหนานโปมีโอกาสผงาดขึ้นมา เผ่าหงส์ให้เขาตัดไม้ไม่ผุแล้ว เผ่ามังกรก็ปล่อยเขาโดยไม่ห้าม ผลปรากฏว่าเขาที่มาตัดต้นไม้ก็ตายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโป เผ่ามังกรและหงส์ก็ประสบหายนะเหมือนกัน เจ้าคิดว่าท่ามกลางความลึกลับของวัฏจักรธรรมชาติมีการลิขิตไว้แล้วหรือเปล่า? แล้วจะโทษใครได้ล่ะ”

ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนี้ เหมียวอี้ประหลาดใจ สงสัยจะโดนอาจารย์ท่านนั้นของตนตัดทิ้งไปแล้วจริงๆ หยางชิ่งบอกว่าความเคลื่อนไหวของไม้ไม่ผุด้านนอกเกิดจากประมุขไป๋ หรือว่าปิ่นปักผมอันนั้นก็มาจากไม้ไม่ผุของทุ่งน้ำแข็งโบราณเหมือนกัน?

พอลองใช้ความคิดก็นึกถึงเฟิงเป่ยเฉิน เฟิงเป่ยเฉินตัดไม้ไม่ผุแล้ว ผลปรากฏว่าตายด้วยน้ำมือเขาเหมือนกัน แบบนี้นับว่าเปป็นกรรมตามสนองอย่างหนึ่งหรือเปล่า? สองคนที่ตัดไม้ไม่ผุโดนฆ่าตายหมดแล้ว…เรื่องบางเรื่องเขาไม่อยากจะคิดลึก ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกว่าท่ามกลางความลึกลับเหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งจ้องตัวเองอยู่ ในมือตนมีหนี้เลือดมากมายขนาดนั้น คิดๆ แล้วรู้สึกกลัว

หลังจากคุยกันนาน เหมียวอี้ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นาน เพราะเขาค่อนข้างอยากรู้จักเจ้าของคนใหม่ของรังหงส์ เตรียมจะไปดูสักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นทางรังหงส์ก็เหมาะกับการฝึกตนของเขามากกว่า จึงตัดสินใจจะไปสักครั้ง

เฮยทั่นค่อนข้างตื่นเต้นกับสิ่งนี้ รู้ว่าเหมียวอี้อยู่ที่นี่ไม่สามารถร่ายอิทธิฤทธิ์เหาะเหินได้ แต่มันวิวัฒนาการกลายเป็นมังกรแท้แล้วไม่มีปัญหา จึงเอาแต่พูดว่าจะส่งเขาไป

เหมียวอี้กล่าวอำลาเศษวิญญาณเทพมังกร ออกจากถ้ำมังกร แล้วกระโดดขึ้นหลังเฮยทั่น

ลมแรงพัดใส่หน้าวูบหนึ่ง เฮยทั่นพุ่งขึ้นฟ้าในแนวตรง เหมียวอี้จับเขามังกรของเฮยทั่นทะยานขึ้นฟ้าตามไป

ขึ้นบนฟ้าสูงแล้วหันมองรอบๆ แยกแยะทิศทาง จากนั้นเฮยทั่นก็พุ่งออกไปราวกับลำแสง ข้ามผ่านไปยังบนฟ้าของหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ

เหมียวอี้ที่ขี่มังกรขึ้นฟ้ามองเฮยทั่นที่สั่นหัวส่ายหางบินอย่างตื่นเต้น รู้สึกได้รางๆ ว่าเฮยทั่นเฝ้าคอยที่จะพบหงส์น้อยมาก อดไม่ได้ที่จะถามว่า “โจรอ้วน เจ้าอยู่ที่นี่ก็บินได้ คงจะได้พบหงส์น้อยบ่อยล่ะสิ?”

เฮยทั่นถอนหายใจ “บ่อยที่ไหนล่ะ อยู่ที่นี่น่าเบื่อเกินไปแล้ว ข้าอยากจะไปเล่นกับนาง แต่ทุกครั้งที่ไปหา ก็มีหงส์น้ำแข็งมาขัดขวาง ข้ามทุ่งน้ำแข็งโบราณได้ยากมาก!”

ตอนที่ไปถึงบนฟ้าเหนือทุ่งน้ำแข็งโบราณแล้วมองลงมาข้างล่าง เหมียวอี้ก็นึกขึ้นได้ถึงฉากที่เขากับเฮยทั่นฝ่าวิกฤติความตายด้วยกัน “ในปีนั้นอวี้ซาหลุดมือเขาไปแล้ว เจ้าอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มาหลายปีขนาดนี้ คงไม่ได้อยู่ที่หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญตลอดหรอกใช่มั้ย ไม่ได้เจอเขาอีกเลยเหรอ?”

เฮยทั่นกลล่าวกลั้วหัวเราะ “เขาไม่มาหาข้า ข้าก็ยังคิดจะไปสะสางบัญชีกับเขาอยู่ดี แต่น่าเสียดาย ไม่รู้ไปหลบอยู่ไหน ตอนนี้ข้านับว่าเป็นดาวข่มของวิญญาณชั่วร้ายแล้ว วิญญาณชั่วร้ายเห็นข้าแล้วหลบกันหมด”

คิดไปคิดมาก็พบว่าใช่ เหมียวอี้พยักหน้า

“มาแล้วๆ คนขวางมาอีกแล้ว” เฮยทั่นพลันร้องโวยวาย “นายท่าน ต้องพึ่งท่านแล้ว”

เหมียวอี้พลันมองไปเบื้องหน้า เห็นเพียงจุดแสงหลากสีนับไม่ถ้วนลอยอยู่ไกลๆ ส่วนกลุ่มหุบเขาน้ำแข็งข้างล่างก็พลันเปลี่ยนเป็นสีฟ้าจ้าตา เปลวเพลิงสีฟ้าหลายกลุ่มลอยขึ้นฟ้าติดกับจุดแสงสีรุ้ง ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นหงส์อัคคีน้ำแข็งกลุ่มหนึ่งบินเข้ามา

เหมียวอี้ไม่ได้เห็นฉากนี้เป็นครั้งแรก ตอนที่มาครั้งก่อนก็ได้บทเรียนแล้ว แม้เคล็ดวิชาฝึกตนของเขาจะทำให้ไม่กลัว อาศัยวรยุทธ์ตอนนี้ก็รับมือได้อย่างสบายๆ แต่หงส์อัคคีน้ำแข็งกลุ่มนี้ก็ฆ่าไม่ตายปราบไม่หมด ถ้าโดนพัวพันก็ค่อนข้างยุ่งยาก

ไข่มุกน้ำแข็งสีฟ้าโปร่งแสงเม็ดหนึ่งปรากฏบนมือเหมียวอี้ มันคือ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ นั่นเอง

ชั่วพริบตานั้น เงาหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าที่สวยสง่าเปล่งรัศมีแวววาวตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้น มันบินร่อนรอบกายเหมียวอี้ ท่วงท่าอ่อนช้อยสง่างาม

…………………………

เหมียวอี้สัมผัสได้ถึงความทรมานของตั๊กแตนทมิฬ อยากจะร่ายอิทธิฤทธิ์กันดินแดนหยางบริสุทธิ์ไม่ให้รบกวนตั๊กแตนทมิฬ เพียงแต่คิดไปคิดมาก็ยังเหยียบลงพื้น แล้วเก็บตั๊กแตนทมิฬเอาไว้เสียเลย แล้วใช้วิธีวิ่งบนพื้นอย่างรวดเร็ว

ระดับความเข้มข้นของธาตุไฟบนพื้นทำให้เหมียวอี้ปลาบปลื้ม ตั้งแต่อยู่ข้างนอกหลายปีก็ไม่เคยได้สัมผัสกับธาตุไฟหยางที่เข้มข้นแบบนี้อีกเลย สิ่งนี้ไม่กี่ยวข้องกับขนาดเพลิงที่ถูกเผาไหม้ ถึงขั้นไม่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิด้วย แดนมรณะดึกดำบรรพ์แห่งนี้มหัศจรรย์จริงๆ ไม่รู้ว่าปราณชั่วร้ายที่เข้มข้นมาจากไหน ไม่รู้ว่าธาตุไฟที่เข้มข้นมาจากไหน บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับรูปกรวยในดาราจักรอย่างที่เทพมังกรบอก

ภูเขาสูงที่ดูโบราณเรียบง่าย ตั้งตระหง่านอย่างยิ่งใหญ่อลังการ แข็งแกร่งราวกับหอคอยทมิฬดึกดำบรรพ์ปรากฏเบื้องหน้า หินหนืดหลายสายที่ยาวเหยียดเหมือนมังกรไหลลงจากภูเขาอย่างช้าๆ ลักษณะภูเขาสูงชันอันตราย สูงโดดตะปุ่มตะป่ำ เหมียวอี้วิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งตลอดทาง สุดท้ายก็กระโจนตัวขึ้นมา ไปหยุดยืนอยู่บนเนินหิน

ใต้หน้าผาที่อยู่ข้างหน้า ก็คือทะเลหินหนืดที่เดือดปุดๆ สีแดงเดือดแสบตา ฟองหินหนืดถูกกระตุ้นขึ้นมาไม่หยุด แล้วก็ระเบิดไม่หยุดด้วย

ขณะทอดสายตามองภูเขามหึมาสีดำขลับที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณ เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ริมสระหินหนืดรู้สึกว่าตัวเองเล็กน้อยราวกับฝุ่นผง

ในสระหินหนืด เหมือนสัมผัสได้ถึงการรุกรานจากโลกภายนอก สัตว์ประหลาดลอยขึ้นจากหินหนืดตัวแล้วตัวเล่า ทั้งยังมีชายหนุ่มผมแดง ทั้งหมดล้วนเป็นวิญญาณอัคคี

มีวิญญาณอัคคีบางส่วนค่อนข้างฉุนเฉียวกับการมาของเหมียวอี้ ทำแก้มป่องเหมือนต้องการจะพ่นอะไรบางอย่างเพื่อโจมตีใส่เหมียวอี้ แต่กลับมีวิญญาณอัคคีที่รู้จักเหมียวอี้โบกมือห้าม ดังนั้นวิญญาณอัคคีกลุ่มหนึ่งที่ลอยอยู่บนทะเลหินหนืดจึงมองเหมียวอี้ที่อยู่บนหน้าผาอย่างเงียบๆ

เหมียวอี้จ้องสภาพในทะเลหินหนืดพลางยิ้มบางๆ แล้วก็เงยหน้ามองภูเขาสูงสีดำขลับลูกใหญ่นั่นอีก นี่ก็คือถ้ำมังกร ทันใดนั้นก็เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า “อ๋าว!”

“อ๋าว…” จู่ๆ ก็มีเสียงมังกรคำรามดังขึ้นพักหนึ่ง ดังก้องทั่วหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ ราวกับดังก้องขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วครู่ แล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องไปทางโพรงที่ดำมืดบนภูเขา เห็นเพียงหัวของสัตว์ประหลาดโผล่ออกมา

สัตว์ประหลาดหัวใหญ่ที่มีดวงตาสีแดงเหมือนจะจ้องเขาเช่นกัน จากนั้นสัตว์ประหลาดก็โผล่ออกมาทั้งตัว เหมียวอี้ตกใจมาก เป็นมังกรยักษ์สีดำตัวหนึ่ง หน้าตาดุร้าย มีพลังอำนาจ ห้าวหาญเกรียงไกร มันบินวนภูเขาโบราณรอบหนึ่ง แล้วสั่นหัวส่ายหน้าพุ่งขึ้นไปบนเมฆอย่างรวดเร็ว พอขึ้นไปบนเมฆแล้วก็ลากเสียงยาวคำราม “อ๋าว”

เหมียวอี้ตกใจไม่เบาแล้วจริงๆ ในถ้ำมังกรยังซ่อนมังกรยักษ์ไว้ด้วยเหรอ เป็นมังกรที่แท้จริง ไม่น่าเชื่อว่าครั้งก่อนเขาจะไม่สังเกตเห็น

บนฟ้าสูงมีลมพัดเมฆเคลื่อน มีเสียงฟ้าร้องเป็นพักๆ สายฟ้าขวักไขว่ เหมียวอี้ขมวดคิ้ว สายฟ้าเหมือนทำให้เขาตระหนักอะไรบางอย่างได้ เพียงแต่ไม่กล้าแน่ใจ

ทันใดนั้นก็เห็นจุดดำๆ พุ่งลงมาจากสายฟ้า มังกรยักษ์สีดำพุ่งลงมาหาเขาราวกับสายฟ้า ลักษณะท่าทางแบบนั้นเหมือนจะโจมตีทะลุแผ่นดิน

เหมียวอี้ที่เงยหน้ามองพลันเบิกตากว้าง ระแวดระวังตัวอย่างสูง

วูบ! มังกรยักษ์สีดำพลันเหยียบลงพื้น กรงเล็บทั้งสี่แนบติดพื้น กำจัดแรงปะทะระหว่างร่างกายกับพื้น ควบคุมแรงได้พอดี ไม่มีความเสียหายใดๆ บนพื้นดิน เพียงแต่ลมแรงพัดกระพือหินก้อนใหญ่บนพื้นให้ปลิวว่อนขึ้นมา

เกล็ดย้อนแผ่นใหญ่ที่เผยอเล็กน้อยบนร่างมังกรยักษ์ปิดแล้ว กระแสลมแรงที่หมุนวนรอบกายก็หายไปเช่นกัน หัวขนาดใหญ่ของมังกรดำหมอบลงช้าๆ ยื่นปากใหญ่ที่มีฟันยาวน่าเกลียดไปตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วจู่ๆ ก็เปล่งเสียงโวยวาย “นายท่าน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”

แลบลิ้นใหญ่สีแดงจะเลียบนตัวเหมียวอี้ เพียงแต่ยังไม่ทันได้เลียก็หยุดแล้ว ไม่กล้าเข้าไปข้างหน้าอีกแล้ว

เหมียวอี้ถือทวนเกล็ดย้อนไว้ในมือ ปลายทวนแหลมชี้ไปที่มัน

“เหอะๆ!” มังกรดำหัวเราะเจ้าเล่ห์ หดลิ้นใหญ่กลับเข้าปาก

“เฮยทั่น?” เหมียวอี้ไม่แน่ใจ

“ใช่แล้วๆ!” มังกรดำใช้กรงเล็กข้างหนึ่งตบหน้าอก แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นฮึกเหิม “ข้าคือโจรอ้วนไง ท่านจำข้าไม่ได้แล้วเหรอ? ก็ใช่น่ะสิ ตอนนี้ข้าเปลี่ยนเป็นห้าวหาญเกรียงไกรขนาดนี้ จะแปลกหูแปลกตาไปก็ถือว่าสมเหตุสมผล” มันเงยหน้าพูด ท่าทางเย่อหยิ่งลำพองใจ

เหมียวอี้กลอกตามองบน เก็บทวนในมือแล้ว แน่ใจได้แล้วว่ามันคือเฮยทั่น ความไร้ยางอายของเฮยทั่นก็เห็นๆ กันอยู่ จำได้ง่ายมาก

เมื่อเห็นทั้งสองจำกันได้แล้ว วิญญาณอัคคีที่อยู่ในสระหินหนืดก็ทยอยกันจมลงไปในหินหนืดแล้ว

เหมียวอี้กวาดสายตามองเบื้องล่าง แล้วก็มองที่ตัวมังกรดำอีก “ทำไมเจ้ากลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว?”

“มังกรไง! ตอนนี้ข้าเป็นมังกรอย่างแท้จริงแล้ว วิวัฒนาการเป็นมังกรอย่างแท้จริงแล้ว ท่านไม่ดีใจเหรอ?” มังกรดำทำท่าเหมือนไม่ได้คุยกับคนมานานมาก พออ้าปากก็พูดมากจนหุบปากไม่ลงแล้ว “นายท่าน ท่านไม่รู้หรอก ตอนที่วิวัฒนาการเป็นมังกรอย่างแท้จริง รสชาตินั้นทรมานมากจริงๆ…”

เหมียวอี้ตั้งใจฟังขั้นตอนที่เฮยทั่นถอดรกเปลี่ยนกระดูก ฟังเจ้าสัตว์ตัวนี้เล่าขั้นตอนอันเจ็บปวดทรมานไร้ที่เปรียบ

พอเริ่มฟังไปก็ตกตะลึงนิดหน่อย ทั้งยังทนไม่ไหวด้วย บางทีก็รู้สึกเห็นใจ แต่สุดท้ายก็พบว่าเฮยทั่นช่างพูด บ่นไม่รู้จักจบจักสิ้น ทั้งยังชมตัวเองไม่หยุด เหมียวอี้เริ่มหมดความสนใจทีละนิด ไม่อยากฟังมันพูดไร้สาระต่ออีกแล้ว สายตามองไปที่ถ้ำมังกร แล้วจู่ๆ ก็กระโจนตัวลงจากหน้าผา ตกลงในทะเลหินหนืด วิ่งราวกับอยู่บนพื้นหญ้า วิ่งขึ้นไปทางภูเขาใหญ่ตลอดทาง แล้วก็วิ่งขึ้นภูเขาไปอีก

“นี่ ข้ายังพูดไม่จบนะ…” มังกรดำโวยวาย แล้วก็บินตามไปทันที ไปเหยียบลงบนภูเขา จากนั้นก็ใช้กรงเล็บทั้งสี่วิ่งตะบึงตามอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ระบายความในใจต่อไป

เหมียวอี้กระโดดลงตรงหน้าประตูใหญ่รูปหัวมังกรโบราณตรงไหล่เขา แล้วเดินก้าวยาวเข้าไป

มังกรดำตามหลังเข้าไป ยังคงบ่นไม่หยุด

พอเข้ามาในตำหนักใหญ่ ลมเย็นสบายโผเข้าหน้า ธาตุไฟล่องลอย เรื่องปาฏิหารย์ในบ่อเพลิงมังกรยังคงอยู่ เพลิงเดือดที่บิดม้วนราวกับมังกรเพลิงเลื้อยอยู่ในสุญญากาศ

“หุบปาก!” เหมียวอี้ตะคอกบอกมังกรดำข้างกายที่บ่นไม่หยุด ตอนแรกยังตั้งตารอจะพบกับเฮยทั่นสักครั้ง แต่ใครจะคิดว่าพอพบกันแล้วเจ้าตัวนี้จะทำให้รำคาญ

เสียงกลืนน้ำลายดังเอื้อก เฮยทั่นหุบปากแล้ว กลอกลูกตาใหญ่มองเหมียวอี้ พบว่าลักษณะท่าทางของเหมียวอี้มีสง่าราศียิ่งกว่าในปีนั้น

“ผู้อาวุโส” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะเงาเพลิงในบ่อเพลิงมังกร

เกิดเสียงดังพรึ่บ เพลิงเดือดที่เลื้อยอยู่เหนือบ่อเพลิงมังกรพลันกลายเป็นหัวมังกรขนาดใหญ่ที่ดุร้ายน่ากลัว ดวงตาเพลิงอันน่าตระหนกจ้องเหมียวอี้ เสียงอันน่าเกรงขามดังก้องอยู่ในตำหนัก “เจ้าหนุ่ม มาแล้วเหรอ”

เสียงที่ปนกันแปดเสียงดังขึ้นพร้อมกัน เหมียวอี้ได้ยินเสียงประหลาดอีกครั้ง ตอบด้วยความเคารพว่า “ใช่แล้ว ข้ากลับมาแล้ว”

หัวมังกรเพลิงถามว่า “เจ้ากลับมาทำไม? จะพาเจ้าสัตว์เลื้อยคลานกลับไปแล้วเหรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็รีบพาเขาไปไวๆ เถอะ หลายปีมานี้ข้าอดทนกับเจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวนี้มาพอแล้ว ให้เขารีบไสหัวไป!”

เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออก นึกไม่ถึงว่าพอเจอกับเศษวิญญาณเทพมังกร อีกฝ่ายก็เอ่ยปากขอร้องทันที ไม่รู้เหมือนกันว่าเฮยทั่นไปก่อเรื่องอะไรน่าแค้นนักนา

เฮยทั่นเบิกตากว่าง “ตาเฒ่าลูกผสม ข้าเป็นมังกรที่สมจริงกว่าเจ้าเสียอีก ไม่ใช่สัตว์เลื้อยคลาน ถ้าข้าไม่ไปแล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้?”

“ไสหัวไป!” หัวมังกรเพลิงพลันตะโกนอย่างเดือดดาล กรงเล็บมังกรข้างหนึ่งในบ่อเพลิงมังกรโจมตีเพลิงสายฟ้าออกมา ถล่มโจมตีบนตัวเฮยทั่น ทำให้เกิดแรงระเบิดคลั่ง

เฮยทั่นหลับตาลง ไปให้ตัวเองโดนโจมตีอยู่อย่างนั้น พอลืมตาขึ้นมาก็สั่นหัวส่ายหางกล่าวอย่างลำพองใจ “ตาเฒ่าลูกผสม นี่กำลังสะกิดให้ข้าคันหรือไง? เจ้าเชื่อมั้ยว่าข้ารื้อบ่อเพลิงมังกรนี่ได้?”

เมื่อเห็นเขาไม่เป็นอะไร เหมียวอี้ก็ค่อนข้างประหลาดใจ ไม่รู้ว่าตอนนี้พลังของเฮยทั่นไปถึงระดับไหนแล้ว

“เจ้ากล้าเหรอ?” หัวมังกรเพลิงตะคอก

เหมียวอี้จึงหันกลับมาตะคอกทันที “หุบปาก ห้ามเสียมารยาทกับท่านเทพมังกร!”

เฮยทั่นอธิบายทันทีว่า “นายท่าน ท่านไม่รู้หรอกว่าตาเฒ่าลูกผสมชั่วร้ายขนาดไหน ก่อนหน้านี้ข้าสู้คนแก่ไม่ได้เลยโดนเขารังแก เหยียดหยาม ตอนนี้เขาทำอะไรข้าไม่ได้แล้ว พวกเราไม่ต้องกลัวเขาแล้ว ตอนนี้เขาก็ทำได้แค่วางมาดพูดจาอวดดี ทุกครั้งที่ข้าจะเอาจริงรื้อบ่อเพลิงมังกรของเขา เขาก็จะขอร้องข้าทันที ข้าล่ะดูถูกตาเฒ่าลูกผสมที่ไม่ยอมดื่มสุราคำนับ อยากดื่มสุราทัณฑ์นี่ที่สุด”

“เจ้าสัตว์เลื้อยคลานนี่ชั่วร้ายมาก เวลาว่างๆ ก็ถ่อมาบ่นไม่รู้จักจบจักสิ้น ทั้งชีวิตนี้ข้าไม่เคยเจอใครพูดมากขนาดนี้มาก่อน รำคาญจะตายอยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่ฟังเขาก็จะก่อกวนที่นี่ เจ้าดูรูปปั้นในตำหนักสิ ทั้งหมดนั่นถูกเขาลาย โครงกระดูกตอนข้ายังมีชีวิตอยู่ก็ถูกเขาโปรยเป็นเถ้าไปแล้วเหมือนกัน ทนจนไม่รู้จะทนยังไงแล้ว!” หัวมังกรเพลิงโมโห

ปาดเหบงื่อ! เหมียวอี้กวาดสายตามองหินแตกในตำหนัก แล้วปาดเหงื่อด้วยความอับอาย ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกได้แล้วว่าเฮยทั่นพูดมาก ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็รู้ดีว่าเฮยทั่นมีนิสัยอย่างไร สัตว์พาหนะของเขาไม่ได้มีสันดานดีอะไรเลยจริงๆ ดังนั้นเขาจึงจินตนาการได้เลยว่าตอนที่หัวมังกรเพลิงทำอะไรเฮยทั่นไม่ได้ เฮยทั่นจะกำเริบเสิบสานขนาดไหน คาดว่าคงกลั่นแกล้งจนเทพมังกรเฒ่านี่เหลืออด เพียงแต่เหมียวอี้ก็ยังปกป้อง “ผู้อาวุโส เขาไม่รู้ความ ท่านอย่าไปถือสาเลย”

“ข้าไม่จำเป็นต้องถือสาเจ้าสัตว์เลื้อยคลานนั่นหรอก หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญเก็บเจ้าเศษสวะนี่ไว้ไม่ได้อยู่แล้ว เจ้าพามันออกไปเดี๋ยวนี้!” หัวมังกรเพลิงกล่าว

เฮยทั่นหัวเราะหึหึทันที “ตาเฒ่าลูกผสม เจ้าว่าใครเป็นเศษสวะ?” ยื่นกรงเล็บออกมา ยื่นไปทางบ่อเพลิงมังกร

“หยุดนะ!” หัวมังกรเพลิงตะคอก

“หยุดนะ!” เหมียวอี้รีบตะโกนห้ามเช่นกัน

“หฮ่า!” เฮยทั่นหดกรงเล็กกลับอย่างร่าเริง สายตาเต็มไปด้วยความลำพองใจ เหมือนชอบท่าทางเวลาเทพมังกรขอร้องมาก

หัวมังกรเพลิงกลับกล่าวด้วยเสียงคร่ำครวญ “ข้าก็เหมือนมังกรที่ลงน้ำตื้นแล้วโดนกุ้งหยอก ถ้าเป็นในปีนั้น ข้าตบเจ้ากรงเล็บเดียวก็ตายแล้ว!”

“มาเลยๆๆ ลองดูสิ ดูว่าใครจะตบใครตายก่อน!” เฮยทั่นเอ็ดตะโรทันที

ไม่ทันรอให้หัวมังกรเพลิงอาละวาด เหมียวอี้ก็ชี้ด่าเฮยทั่นแล้ว “ถ้ายังพูดมากอีก เชื่อมั้ยว่าข้าจะให้เจ้าอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิต!”

“เอ่อ…” เฮยทั่นหัวเราะแห้งแล้วกล่าวเสียงอ่อนปวกเปียกทันที “ล้อเล่น ล้อเล่นน่า ตาเฒ่าลูกผสมนี่ก็นะ ล้อเล่นด้วยไม่ได้เลย ไม่ได้เรื่อง” พูดจบก็หุบปาก ทั้งยังนอนหมอบลงอย่างผ่อนคลาย สะบัดโบกหางใหญ่ไปมาเป็นระยะ

เหมียวอี้เห็นเขามีท่าทางแบบนี้ ก็ถามว่า “โจรอ้วน เจ้ายังกลายร่างเป็นคนไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?”

เฮยทั่นไม่คิดอย่างนั้น “ตอนนี้ยังไม่ได้ แต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนข้าเพิ่งวิวัฒนาการเป็นมังกรแท้ได้ ช้าเร็วก็ต้องเกิดเรื่องนี้สักวันแน่นอน”

หัวมังกรเพลิงทำเสียงฮึดฮัด “ออกจากถ้ำมังกรแล้วข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะกลายร่างเป็นคนยังไง รีบไสหัวไป!”

“ตาเฒ่าลูกผสม…” เฮยทั่นด่า แล้วทำท่าจะลุกขึ้นมาอีก แต่โดนเหมียวอี้ถลึงตาใส่ จึงหมอบลงไปอย่างซื่อสัตย์อีกครั้ง

เหมียวอี้เหล่ตามองหัวมังกรเพลิง เขาตำหนิไม่หยุดเหมือนกัน พบว่าตาแก่นี่ก็ปากจัดเหมือนกัน รู้อยู่แจ่มชัดว่าเอาชนะปากเฮยทั่นไม่ได้ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ทำไมต้องลำบากขนาดนั้น สงสัยบางเรื่องตัวเองก็แกว่งเท้าหาเสี้ยน

………………………

สามารถสัมผัสผลลัพธ์อันมหัศจรรย์ได้ทันที ความเย็นสบายสดชื่นของกายเนื้อเริ่มชัดเจนขึ้นทีละนิด ผู้หญิงที่สี่ที่อยู่ท่ามกลางควันไม้ปลาบปลื้มดีใจไม่หยุด

เหมียวอี้ไปพบเฉาหม่านเพื่อเจรจาธุระบางอย่าง แล้วกลับจากตลาดผีมาถึงหน้าประตูห้องสมาธิ เห็นเสวี่ยเอ๋อร์เฝ้าอยู่หน้าประตูแล้ว

“ฮูหยินฝึกตนอยู่ข้างในเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

เสวี่ยเอ๋อร์ส่ายหน้า แล้วตอบปนเสียงหัวเราะ “กำลังอาบควันหอมของไม้ไม่ผุอยู่ค่ะ จะดูว่าได้ผลจริงหรือเปล่า”

“ยืนยันได้หรือเปล่าว่าเป็นเรื่องจริง กล้าเอาตัวเข้าไปทดลองเองเลยเหรอ?” เหมียวอี้รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี สั่งว่า “ข้าจะเข้าไปดูหน่อย”

เสวี่ยเอ๋อร์รีบกางแขนห้ามเข้า “นายท่าน คนข้างในไม่ได้ใส่เสื้อผ้านะคะ”

“ไม่ใส่ก็ไม่ใส่สิ ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นสักหน่อย” เหมียวอี้กล่าวปนเสียงหัวเราะ

“ฮูหยินพ่อบ้านหยางก็อยู่ข้างในด้วยค่ะ” เสวี่ยเอ๋อร์กล่าว

“เอ่อ…” เหมียวอี้พูดไม่ออก หลินผิงผิงถอดเสื้อผ้าอยู่ข้างใน เขาเข้าไปไม่ได้จริงๆ แต่อดไม่ได้ที่จะถามว่า “แล้วเจ้าทำไมไม่เข้าไปล่ะ?”

เสวี่ยเอ๋อร์ตอบว่า “ข้างในเป็นอย่างนั้น ข้างนอกก็ต้องมีผู้หญิงที่ไว้ใจได้เฝ้าค่ะ ข้ากับพี่เชียนเอ๋อร์สลับกัน คราวหลังนายท่านก้ทดลองดูสักครั้งสิคะ เหมือนจะบำรุงความอ่อนเยาว์ได้ไม่เลวเลย” ขนาดนางยังไม่เคยทดลองก็ยังชมแล้ว แค่นี้ก็รู้แล้วว่ารู้สึกอย่างไร

“ให้ข้าทดลองสิ่งนี้น่ะเหรอ?” เหมียวอี้หลุดหัวเราะ ถ้าทำให้อายุยืนเป็นอมตะเขาก็จะลองอยู่หรอก แต่ไม่สนใจการบำรุงรักษาเพื่อความอ่อนเยาว์ เขาไม่ชอบเวลาเห็นตัวเองอ่อนเยาว์เกินไป เพราะถ้าเทียบกับอำนาจในมือแล้วเหมือนจะไม่เข้ากัน เขาอยากจะดูแก่ขึ้นัสกหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะอวิ๋นจือชิวไม่ยอม เขาต้องเริ่มไว้หนวดไว้เคราแล้วแน่นอน

เสวี่ยเอ๋อร์กลับพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “เป็นของดีนะคะ เป็นของดีที่คนอื่นนึกไม่ถึงด้วยซ้ำ”

“ข้าไม่สนใจของนี่หรอก เอาเถอะ พวกเจ้าค่อยๆ เล่นกันไปเถอะ” เหมียวอี้ส่ายหน้ายิ้มแห้ง โบกมือแล้วหันตัวเดินไป เห็นเสวี่ยเอ๋อร์มีท่าทางตื่นเต้นดีใจอย่างนั้น เขาก็ยอมผู้หญิงพวกนี้แล้วจริงๆ ขนาดเขายังไม่แน่ใจเลยว่าใช่ไม้ไม่ผุจจริงหรือเปล่า แต่ผู้หยิงพวกนี้เอาตัวเองมาทดลองแล้ว พบว่าผู้หญิงบ้าคลั่งความงามมากทีเดียว

ในห้องสมาธิ ร่างเปลือยเปล่าของหลินผิงผิงปรากฎวับแวมอยู่ท่ามกลางหมอกควัน นางกลับลนลานนิดหน่อย ได้ยินเสียงเหมียวอี้อยู่ข้างนอก จึงลุกลี้ลุกลนเก็บเสื้อผ้าบนพื้นขึ้นมา กลัวว่าเหมียวอี้จะเข้ามาข้างใน

เมื่อได้ยินว่าเหมียวอี้ออกไปแล้ว นางถึงได้โล่งอก นางยังอาลัยอาวรณ์กับหมอกควันอยู่เลย จึงถอดเสื้อผ้าออกอีกครั้ง อาบแช่อยู่ในควันต่อไป

“ผู้หญิงพวกนั้นบ้าไปแล้ว…” เจอหยางเจาชิงข้างนอก เหมียวอี้ก็เล่าเรื่องผู้หญิงพวกนี้ให้ฟังนิดหน่อย มองสำรวจเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วถามหยอกว่า “เดี๋ยวรอบหน้าเจ้าก็จะทดลองด้วยใช่มั้ย?”

พอได้ยินว่าฮูหยินของตัวเองกำลังเข้าไปประสมโรงด้วย หยางเจาชิงก็ยิ้มเจื่อนเช่นกัน ส่ายหน้าบอกว่า “ช่างเถอะ ข้าน้อยไม่ดีกว่าขอรับ ไม่สนใจเรื่องรักษาความอ่อนเยาว์ ผู้หญิงก็เหมือนกันหมด นายท่านปล่อยพวกนางไปเถอะ ถ้าพวกนางมีความสุข พวกเราก็เป็นอิสระเหมือนกัน”

“เจ้าพูดจามีเหตุผล!” เหมียวอี้ตบบ่าเขาอย่างสะท้อนใจ ในจุดนี้พวกเขามีความรู้สึกร่วมกัน ไม่อย่างนั้นถ้าพวกผู้หญิงอย่างอวิ๋นจือชิวดุร้ายขึ้นมา เขาเองก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน…

ในจุดลึกของดาราจักร เงาคนสองคนแฉลบอยู่บนฟ้าอย่างรวดเร็ว มุ่งตรงไปยังดาวเคราะห์ที่รกร้างแล้วเหยียบลงบนยอดเขาแห่งหนึ่ง

ผังก้วน จอมพลสายเถาะเอามือไขว้หลังยืนอยู่บนยอดเขา กำลังทอดสายตามองดาวราจักรอันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่แยแสสองคนที่เพิ่งเหาะลงมาเหยียบพื้น

ผู้ที่มาก็คือเหมียวอี้กับเหยียนซิวที่ใส่หน้ากากเปลี่ยนใบหน้าแล้ว เหมียวอี้ให้เหยียนซิวรออยู่ตรงนี้ ยกมือดึงหน้ากากลง เดินมาตรงหน้าผังก้วน แล้วกุมหมัดคารวะ “คารวะจอมพลผัง!”

ผังก้วนเอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง “เจ้ากับท่านอ๋องฮ่าวนี่ยังไงกันแน่? ทำไมเขามาบอกข้าว่าจะให้เจ้าเข้าไปฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์?”

“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะกล้ารบกวนให้ท่านจอมพลมาด้วยตัวเองได้ยังไง” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม

“ทำไมล่ะ มีความลับอะไรที่ไม่สะดวกจะบอกข้าเหรอ?” ผังก้วนถาม

“เป็นการรวมงานกันเพราะผลประโยชน์เท่านั้น ยังจะมีอะไรได้อีก” เหมียวอี้ตอบ

“เจ้าบอกเขาเรื่องที่ซ่อนสมบัติแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้วเหรอ?” ผังก้วนถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “เรื่องที่ซ่อนสมบัติข้ากับปากว่าจะแบ่งกับจอมพลผังแล้ว ข้าก็ย่อมไม่บอกคนอื่น ทางอ๋องสวรรค์ฮ่าวน่ะ ข้ารับปากเขาแล้วว่าจะให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลสนับสนุนเขา ใต้สังกัดเขาจะได้ไม่มีเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อคนที่สองโผล่มา”

ผังก้วนกระตุกคิ้วเล็กน้อย เหล่ตามองอย่างเย็นเยียบ เขาอยู่ในตำแหน่งที่อดีตคือเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋ออยู่พอดี

เมื่อเห็นปฏิริกิยาของเขา เหมียวอี้ก็พูดเสริมว่า “แน่นอน ถ้าจอมพลผังมีความคิดอะไรอย่างอื่น อาศัยความสัมพันธ์ของข้ากับจอมพลผัง การที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะสนับสนุนให้จอมพลผังกลายเป็นเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อคนที่สองก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

“ข้าว่าเจ้าคิดมาไปแล้ว จอมพลผู้นี้ไม่ได้มีใจทรยศ” ผังก้วนกล่าว

เหมียวอี้ไม่สนใจว่าเขาจะมีใจทรยศหรือเปล่า เขาพูดโดยตัดสินใจเอาเอง “หากวันไหนจอมพลต้องการการสนับสนุนจากข้า ก็สามารถเจรจากันได้ เรื่องที่ซ่อนสมบัติแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็สามารถเจรจากันได้เช่นกัน”

ผังก้วนเม้มริมฝีปาก แน่นอนว่าเข้าใจความหมายที่เหมียวอี้สื่อ ถ้าเขาอยากจะกลายเป็นเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อคนที่สอง เช่นนั้นเรื่องหาสมบัติที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะสู้ตายเพื่อเจ้าโดยไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลย

เพียงแต่ผังก้วนไม่พูดประเด็นนี้ต่อ และไม่ได้เอ่ยเรื่องแบ่งสมบัติจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ด้วย เท่ากับไม่แสดงท่าทีต่อคำพูดของเหมียวอี้ ควรค่าแก่การใคร่ครวญว่ามีแผนอะไร เขาพยักหน้าไปตรงทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่ถูกปิดผนึกไว้ “เตรียมทางเข้าไว้แล้ว เจ้าจะเข้าไปเมื่อไร?”

“ถ้าจอมพลไม่มีอย่างอื่นจะกำชับ ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาแล้ว” เหมียวอี้ตอบ

ผังก้วนหันกลับไปมองเหยียนซิวที่อยู่ไม่ไกล “ท่านอ๋องรู้แล้ว ให้เจ้าเข้าไปได้แค่คนเดียว”

“แน่นอนอยู่แล้ว” เหมียวอี้พยักหน้า กางแขนถามว่า “เข้าออกครั้งนี้ไม่ต้องค้นตัวอีกแล้วใช่มั้ย?”

ผังก้วนบอกว่า “เจ้าเองก็มีจิตสำนึกหน่อย ใส่หน้ากากแล้วค่อยเข้าไป ไม่ต้องพูดอะไรอีก ทางนั้นย่อมปล่อยผ่าน” ขณะที่พูดก็หยิบระฆังดาราติดต่อพยักหน้า

เหมียวอี้หันกลับไปพยักหน้าให้เหยียนซิว เหยียนซิวกุมหมัดคารวะ แล้วถลันตัวกลับไปแล้ว

รอจนกระทั่งเหยียนซิวหายไปในจุดลึกของดาราจักร เหมียวอี้ที่ใส่หน้าใหม่อีกรอบก็กุมหมัดอำลาผังก้วน “จอมพลรักษาตัวด้วย”

“ส่งตรงนี้” ผังก้วนกล่าวเสียงเรียบ

เหมียวอี้รีบแฉลบผ่านฟ้าไป เหาะไปยังทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่ปิดผนึกไว้โดยตรงทางเข้าที่หมุนวนอยู่ในดาราจักรชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ดาวหกดวงตรงทางเข้าเปล่งแสงสีขาว ตรงกลางปรากฏภาพดาวหกมุม พอแสงสีขาวตรงกลางหายไป ก็เผยสุญญากาศที่มีรอยแยกไม่ขาดสาย ทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์เกิดออกแล้ว

เหมียวอี้ไม่หยุดพัก ทะลุผ่านเข้าไปในชั่วพริบตาเดียว

“ปิด!” หัวหน้าทหารยามตะโกนเสียงดัง ทางเข้ามีลำแสงหมุนวน ทางเข้าอยู่ในสภาพปิดผนึกอีกครั้ง

ทหารคนหนึ่งเข้าใกล้หัวเราะ แล้วลองถามว่า “นายท่าน คนที่เพิ่งเข้าไปเมื่อครู่นี้คือใคร?”

ทหารหัวหน้าตะคอกเสียงเย็นเยียบ “เจ้าจะสนใจทำไมว่าเป็นใคร ถ้าอยากให้ตัวเองอายุยืนยาว เรื่องของเบื้องบนที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม เรื่องที่ไม่ควรพูดก็อย่าพูด”

“ขอรับ ข้าน้อยไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” ทหารคนนั้นตอบอย่างเก้อเขิน

ตัวพลิกหมุนอยู่ในช่องว่างที่มีรอยแยกไม่หยุด ตรงหน้าเห็นแสงสว่าง เหมียวอี้รีบผ่อนความเร็วในการเหาะ เคยมีประสบการณ์จากครั้งก่อนมาแล้ว เขารู้แล้วว่าต่อไปจะต้องเจอกับอะไร

เป็นอย่างที่คาดไว้ ทันใดนั้นตัวก็อยู่ท่ามกลางลำแสง พลังอิทธิฤทธิ์ที่ทำให้เหาะได้หายไปในชั่วพริบตาเดียว ตกลงกระแทกพื้นตามแรงเฉื่อย พอตกลงพื้นได้พักหนึ่ง วิ่งไถลไปตามแรงเฉื่อนแล้วถึงได้หยุดนิ่ง ครั้งก่อนตกลงมาแล้วคนล้มม้าพลิก ครั้งนี้แม้จะลดความเร็วล่วงหน้า แต่ก็ยังสะบักสะบอมอย่างเลี่ยงไม่ได้

เขาหยุดแล้วมองไปรอบๆ เข้ามาในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว ตัวอยู่บนทะเลทรายหินรกร้างที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา สุญญากาศข้างหลังยังมีรอยแยกไม่หยุด ท้องฟ้าสีเทาขมุกขมัว รองข้างมีไอหมอกลอยเหมือนริ้วผ้า

เขาย่อมรู้ว่านั่นไม่ใช่ไอหมอก แต่คือสิ่งที่อันตรายถึงชีวิต

พอสะบัดแขนเสื้อ สัตว์ขนาดใหญ่มหึมาก็ปรากฏขึ้นบนฟ้า กระพือปีกพัดหินทรายปลิวขึ้นมา เป็นตั๊กแตนยักษ์ที่ขนาดตัวใหญ่สองจั้ง หน้าตาดุร้ายน่ากลัว บนตัวเป็นสีโลหะมันวาว

เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางหินดินปลิวว่อนมองเงามหึมาบนฟ้า เขายิ้มบางๆ คิดว่าบินได้ก็ดีแล้ว

อยู่ที่นี่ไม่สามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์เหาะได้ ครั้งก่อนแม้แต่เฮยทั่นก็ทำได้แค่วิ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะความลึกลับอะไร ครั้งนี้เขาจึงตั้งใจพาตั๊กแตนทมิฬมาด้วย พาสัตว์ปีกมาเองก็ย่อมไม่มีปัญหา

ก่อนหน้านี้ที่ถามผังก้วนว่าต้องค้นตัวมั้ยก็เพราะแบบนี้ ถ้าต้องค้นตัว เขาก็จะส่งตั๊กแตนทมิฬให้เหยียนซิวนำกลับไป เพราะเปิดโปงของสิ่งนี้ไม่ได้ง่าย เดิมทีเขาอยากจะพาเหยี่ยวมารวานรยักษ์มาสักตัว แต่เหยี่ยวมารวานรยักษ์เหมือนจะปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่นี่ไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าตั๊กแตนทมิฬจะต้านทานพวกปราณมรณะของที่นี่ได้หรือไม่

“ไป!” เหมียวอี้โบกมือชี้

ตั๊กแตนทมิฬกระพือปีกบินไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว บินไปยังน่านฟ้าข้างหน้า ปราณสังหารสีชมพู ปราณอาฆาตสีขาว ปราณมรณะสีเทา ปราณเหี้ยมโหดสีดำ ตั๊กแตนทมิฬผ่านประสบการณ์ทีละสีไปรอบหนึ่ง

เมื่อทดสอบซ้ำไปซ้ำมาจนแน่ใจแล้วว่าตั๊กแตนทมิฬไม่ได้รับผลกระทบจากปราณชั่วร้ายพวกนี้ เหมียวอี้ก็อมยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้รับผลกระทบก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นรอบนี้ไม่มีเฮยทั่น เขาต้องใช้สองเท้าตัวเองวิ่งแน่นอน

ภายใต้การใช้พลังจิตควบคุม ตั๊กแตนทมิฬบินแฉลบกลับมาอย่างรวดเร็ว ปล้องขาขนาดยักษ์จมลงบนพื้นดิน เกาะลงข้างกายเหมียวอี้พร้อมลมแรง แล้วก็เก็บปีกกลับไปให้พอดีตัว

บินไม่ได้ เหมียวอี้วิ่งก้าวยาวๆ กระโจนตัวกระโดดขึ้นมา แล้วเหยียบลงบนหลังของตั๊กแตนทมิฬ

พรึ่บ! ตั๊กแตนทมิฬกางปีกอีกครั้ง กระพือปีกเหยียดเท้าทะยานขึ้นฟ้า หลังจากเหมียวอี้แยกแยะทิศทางแล้วก็ชี้บอก ตั๊กแตนทมิฬเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางแล้วพุ่งไปข้างหน้าราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากสาย เหมียวอี้ที่ยินอยู่บนหลังมันคอยรับลมตลอดทาง

ทิศทางไปก็คือถ้ำมังกรที่หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ เหมียวอี้ค่อนข้างเฝ้าคอย ถึงถึงภาพที่แยกจากกับเฮยทั่นในปีนั้น

แยกจากกันไปนานขนาดนี้ ไม่รู้ว่าตอนนี้เฮยทั่นจะเป็นอย่างไรบ้าง เฮยทั่นไม่สามารถใช้ระฆังดาราติดต่อกับเขาได้ด้วย ตอนนี้เขาไม่รู้สถานการณ์ของมันเลยสักนิด

ใจร้อนอยากจะพบเจอ แต่อาณาเขตของแดนมรณะดึกดำบรรพ์กว้างใหญ่เกินไปจริงๆ จำได้ว่าครั้งก่อนขี่อินทรีสามหัวที่กลายร่างมาจากวิญญาณมรณะไปที่ทุ่งน้ำแข็งโบราณ ก็ใช้เวลาไปครึ่งปีเต็มๆ แน่นอน ครั้งก่อนไปที่ทุ่งน้ำแข็งโบราณเขาอ้อมทางไม่น้อยเพื่อหลบหลีกอันตราย อาศัยความสามารถของเขาตอนนี้ เขาไม่กลัวอันตรายในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว สามารถบินไปได้ในทางตรง แต่ความเร็วใบการบินของตั๊กแตนทมิฬเหนือกว่าอินทรีสามหัวไม่รู้ตั้งเท่าไร

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่รอจนเหมียวอี้ตัวอยู่บนฟ้าสูงแล้วเห็นยอดเขาสีดำขลับที่มีมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ก็เป็นเวลาสิบวันหลังจากนั้นแล้ว

อุณหภูมิบนฟ้าเปลี่ยนเป็นร้อนจี๋ราวกับจะย่างคน แม้ตั๊กแตนทมิฬที่เหมียวอี้ขี่จะเป็นสัตว์ที่กลายพันธุ์ ไม่กลัวหยินหยาง แต่ก็เหมือนจะทนรับสถานที่ที่มีหยางบริสุทธ์แบบนี้ไม่ไหว ยิ่งตอนเข้าใกล้ยอดเขาดึกดำบรรพ์นั่น มันก็ยิ่งกระสับกระส่าย สุดท้ายก็ถึงขั้นส่งเสียงร้องออกมา

…………………………

แต่ละฝ่ายตอบรับคำเชิญและส่งคนไปที่สมาคมร้านค้า ที่ตั้งสมาคมร้านค้าไม่ได้อยู่ที่แดนรัตติกาล แต่อยู่บนดาวเคราะห์ดวงนั้นที่ฮ่าวเต๋อฟางยกให้ เหมียวอี้เปลี่ยนชื่อดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นดาวสยบใต้

จุดประสงค์ของสมาคมร้านค้าก็คือแบ่งผลกำไร ร้านค้าใหม่ที่เดิมทีจะเก็บไว้เป็นทรัพย์สินส่วนตัว แต่ต้องตัดแบ่งผลประโยชน์ไปเนื่องจากกลยุทธ์การถอนตัวของเขา เป็นสิ่งที่ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ร้านขายของชำไม่เหมือนระฆังดาราแบบใหม่ที่บทจะขายก็ขายได้ ช่องทางการจำหน่ายของร้านขายของชำจะต้องเปิดหน้าร้านถึงจะสามารถทำกำไร และอำนาจควบคุมตลาดสวรรค์ส่วนใหญ่ก็ปล่อยออกมาแล้ว ถ้าขาดการปกป้องจากทางการ ถ้าไม่ให้ส่วนแบ่งกำไร ก็ไม่อาจรักษาร้านขายของชำไว้ได้เลย ถ้าถูกคนมาหาเรื่องบ่อยๆ แล้วจะดำเนินกิจการได้อย่างไร?

เพียงแต่เมื่อมีฮ่าวเต๋อฟางเป็นหน่วยป้องกันแนวหน้าให้ การแบ่งผลกำไรของเหมียวอี้ก็มิอาจไร้ขีดจำกัดได้ หุ้นสองส่วนที่รับปากว่าจะให้สำนักลมปราณก็ยังไม่เปลี่ยน ตัวเองรักษาไว้สามส่วน ที่เหลืออีกห้าส่วนก็แบ่งให้ห้าตระกูล ทั้งยังไม่ใช่การให้เปล่าด้วย จะใช้ทุนทรัพย์เดิมที่มีในร้านขายของชำซื่อตรงมาเข้าร่วมหุ้น ร้านค้าสำเร็จรูปแบบนี้ ถ้าจะไม่เอาก็เสียของเปล่า เป็นไปไม่ได้ที่เหมียวอี้จะควักต้นทุนมหาศาลสร้างร้านใหม่เพื่อให้คนพวกนั้นเอาไปเปล่าๆ อีก อาศัยศักยภาพของเขาตอนนี้ ไม่มีเหตุผลที่จะทำอย่างนั้น

เหมียวอี้ไม่ได้เข้าร่วมสมาคมร้านค้าด้วยตัวเอง แบ่งเส้นตายในการเจรจาไว้ชัดเจน รายละเอียดการเจรจาส่งต่อให้สวีถังหราน กำชับสวีถังหรานว่าสามารถใช้อำนาจได้ ถ้าใครรังเกียจว่าน้อยก็สามารถตัดทิ้งได้

ภายใต้สถานการณ์ที่เหมียวอี้กำหนดเส้นตายไม่ยอมผ่อนปรน ผลสุดท้ายของการเจรจาก็มีแต่จะต้องเป็นอย่างไร

จนกระทั่งตอนนี้ หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรงในปีนั้นของเหมียวอี้ก็ถูกทวงคืนกลับมาแล้ว ทั้งยังมีเพิ่มอีกหนึ่งส่วน แม้จะยังต้องแบ่งส่วนหนึ่งในหวงฝู่จวินโหรวก็ตาม แต่ถึงอย่างไรร้านขายของชำซื่อตรงในปีนั้นก็ไม่ได้มีขนาดเหมือนตอนนี้ สรุปก็คือเหมียวอี้ก็ยังได้กำไร ส่วนหุ้นสองส่วนที่สำนักลมปราณได้ไป ก็เรียกได้ว่าเหมียวอี้ช่วยช่วงชิงผลประโยชน์ส่วนที่สำนักลมปราณควรจะได้กลับมาให้แล้ว

ตามที่เหมียวอี้บอก ของที่ข้าเสียไป ข้าจะนำกลับมาด้วยมือตัวเองแน่นอน ตอนนี้ถือว่าเขาทำได้แล้ว

เก่าไม่ไปใหม่ไม่มา เหมียวอี้เปลี่ยนชื่อร้านค้าใหม่อย่างเป็นทางการว่าร้านค้าซื่อตรง ทิ้งคำว่าร้านขายของชำไปแล้ว

ส่วนสำนักลมปราณก็ตั้งอยู่ที่ดาวสยบใต้ มีอำนาจของเหมียวอี้หนุนหลังอย่างเป็นทางการ

อุทยานหลวง ตำหนักที่เงียบสงบงดงาม มีเพียงประมุขชิงกับพระชรารูปหนึ่งเดินเคียงข้างกัน ไม่มีผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้

พระชราอ้วนท้วนสมบูรณ์ สีหน้ามีเมตตา สวมจีวรสีทองทั้งตัว เดินเท้าเปล่า ให้ความรู้สึกเรียบง่ายทว่าสง่างาม

พระชรารูปนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นประมุขแห่งแดนพุทธะนั่นเอง

ประมุขชิงเดินเอามือไขว้หลัง ในมือประมุขพุทธะถือปิ่นปักผมอันหนึ่งที่ผ่านการเผามาแล้ว พลิกตรวจดูอยู่นานมาก แล้วดมซ้ำไปซ้ำมา กล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า “แน่ใจหรือว่าเป็นไม้ไม่ผุ?”

“สอดคล้องกับลักษณะพิเศษตามตำนาน น่าจะเป็นของจริง” ประมุขชิงพยักหน้า

ประมุขพุทธะยื่นมือส่งของคืนให้เขา “ยังหาไม่เจออีกเหรอ?”

“หาพบคนเดียวก็ใช้ไม่หมด ไม่ใช้งานลับหลังท่านหรอก จะต้องให้ท่านมีส่วนแบ่งด้วยแน่นอน” ประมุขชิงส่ายหน้า

“เจ้าเข้าใจเจตนาของอาตมาผิดไปแล้ว” ประมุขพุทธะ

ประมุขชิงยิ้มเรียบๆ โดยไม่ตอบอะไร แล้วก็ถอนหายใจอีก “เบาะแสหยุดที่สำนักเทียนกู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าใครชิงตัวคนของสำนักเทียนกู่ไปแล้ว ตอนนี้ตระกูลเซี่ยโห้วน่าสงสัยที่สุด ตระกูลเซี่ยโห้วมีความสามารถที่จะทำเรื่องนี้มากที่สุด แต่จนใจที่ไม่มีหลักฐานและเบาะแสมาพิสูจน์ว่าตระกูลเซี่ยโห้วพาคนไป ไม่รู้จะลงมือจากตรงไหน”

ประมุขพุทธะตกอยู่ในความเงียบ

ประมุขชิงมองเขาแวบหนึ่งแล้วถามว่า “เจดีย์สยบปีศาจไม่มีปฏิกิริยาสักนิดเลยเหรอ?”

ประมุขพุทธะส่ายหน้า “ไม่มีความผิดปกติอะไร! เฮ้อ กลุ่มคนที่ไล่สังหารร่างทิพย์ของเจ้าสามในปีนั้น ทำไมจู่ๆ ทุกคนถึงขาดการติดต่อไปได้ จะเป็นหรือตายก็ไม่มีใครตอบกลับมาเลยสักคน ไล่ติดตามในดาราจักรอันกว้างใหญ่หลายปีโดยไม่หยุด ต่อให้มีชีวิตอยู่แต่ก็คงหลงทางไปนานแล้ว เจ้าคิดว่าร่างทิพย์ของเจ้าสามจะยังหาทางกลับมาได้หรือเปล่า?”

ประมุขชิงตอบว่า “ร่างทิพย์ของเจ้าสามยังอยู่แน่นอน ต้องกลับมาได้แน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่เงียบอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจนานขนาดนั้น ท่านคิดว่าเจ้าสามคือคนที่จะนั่งรอความตายอยู่ในนั้นเหรอ?”

ประมุขพุทธะประนมมือ แล้วถามอีกว่า “พบเบาะแสสถานที่ผนึกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปแล้วหรือยัง?”

“เรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้ พอพูดถึงเรื่องนี้ อวี้หลัวช่าทางฝั่งท่านเหมือนจะขยันเดินทางไปบริเวณที่มีเบาะแสนะ ท่านไม่รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากลบ้างเหรอ” ประมุขชิงกล่าว

“เดิมทีนางก็คือผู้รอดชีวิตของสำนักหนานอู๋ หวาดกลัวพระปีศาจหนานโปมากกว่าคนทั่วไป ที่กังวลเรื่องนี้ก็พออภัยได้ เจ้าคงไม่ได้สงสัยว่านางรู้สถานที่ผนึกแล้วหรอกใช่มั้ย? ถ้านางรู้จริงๆ ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว คงไม่รอจนถึงป่านนี้” ประมุขพุทธะกล่าว

ประมุขชิงไม่ได้พูดอะไรอีก

ตรงด้านหน้า ซ่างกวนชิงปรากฏตัวบนทางเดิน หลังจากรอจนทั้งสองเดินเข้ามาแล้ว ก็รายงานว่า “ฝ่าบาท ทูตซ้ายซือหม่าขอพบ”

ประมุขชิงพยักหน้าบอกใบ้ประมุขพุทธะ จากนั้นทั้งสองก็แยกกัน ประมุขพุทธะเดินเนิบนาบต่อไปข้างหน้า ประมุขชิงตามซ่างกวนชิงไปแล้ว

ในอุทยานหลวง ซือหม่าเวิ่นเทียนทำความเคารพประมุขชิง “ฝ่าบาท ทางสายลับส่งข่าวมาขอรับ”

“ว่ามาเถอะ!” ประมุขชิงกล่าวเสียงเรียบ

ซือหม่าเวิ่นเทียนรายงานว่า “ตามที่สายลับรายงานมา สาเหตุที่หนิวโหย่วเต๋อยอมทิ้งอำนาจส่วนใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ ก็เพราะเห็นฝ่าบาทถอนกำลังกองทัพองครักษ์ออกจากศูนย์กลางตลาดสวรรค์ รู้ว่าตัวเองยากจะหาที่ยืนอยู่ท่ามกลางอำนาจฝ่ายต่างๆ ได้ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงปัญหา ถึงได้เป็นฝ่ายถอนกำลังออกไปเอง ส่วนสาเหตุที่ไม่ทิ้งอำนาจที่ตลาดสวรรค์ในอาณาเขตทัพใต้ ก็เพราะเขาบรรลุข้อตกลงความร่วมมือลับกับฮ่าวเต๋อฟางแล้ว และสาเหตุที่ฮ่าวเต๋อฟางตอบตกลงร่วมงานกับเขา ก็ไม่ใช่เพราะประกาศก่อนหน้านี้ แต่เป็นเพราะในมือหนิวโหย่วเต๋อมีวิธีการหลอมสร้างระฆังดาราแบบใหม่ ซึ่งแบบใหม่นี้สามารถใช้ติดต่อกับคนหลายคนได้ในเวลาเดียวกัน เหมือนวิธีการหลอมสร้างระฆังดาราแบบใหม่จะเกี่ยวข้องกับพวกคนที่ทำเครื่องประดับให้อวิ๋นจือชิว หนิวโหย่วเต๋อมอบผลกำไรครึ่งหนึ่งของระฆังดาราแบบใหม่ให้ฮ่าวเต๋อฟาง…”

“ระฆังดาราแบบใหม่?” ประมุขชิงพูดตัดบทเขาอย่างประหลาดใจ

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “ใช่ขอรับ ได้ยินว่าระฆังดาราแบบใหม่หนึ่งอันสามารถติดต่อกับระฆังดาราได้อีกหนึ่งหมื่นอัน สามารถใส่ตราอิทธิฤทธิ์ของคนที่จะติดต่อด้วยได้หนึ่งหมื่นคน ไม่ต้องพกระฆังดาราจำนวนมากติดตัวอีกขอรับ”

ประมุขชิงหรี่ตา ตระหนักได้ถึงผลประโยชน์มหาศาลที่อยู่ในนั้น

ซือหม่าเวิ่นเทียนสังเกตปฏิกิริยาของเขา แล้วพูดต่อว่า “หนิวโหย่วเต๋อยังรับปากว่าจะให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลสนับสนุนฮ่าวเต๋อฟางอย่างลับๆ จะได้ไม่มีเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อคนที่สองปรากฏขึ้นอีก ส่วนฮ่าวเต๋อฟางก็มอบอำนาจควบคุมตลาดสวรรค์ในมือตัวเองให้หนิวโหย่วเต๋อ พร้อมทั้งใช้ทัพใต้เป็นหน่วยป้องกันแนวหน้าให้หนิวโหย่วเต๋อ จะไม่ให้ใครเข้ามาโจมตีทัพใหญ่แดนรัตติกาลในอาณาเขตทัพใต้ ทั้งยังอนุญาตให้หนิวโหย่วเต๋อเข้าไปฝึกตนในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ด้วย สถานการณ์โดยรวมเป็นอย่างนี้ขอรับ”

บนใบหน้าประมุขชิงฉายแววพยับเมฆ เหมียวอี้ถอนกำลังพลออกจากตลาดสวรรค์ไปรวมอยู่ในเขตทัพใต้ นี่ไม่ใช่ความเคลื่อนไหวเล็กๆ เขาให้ชิงหยวนจุนถาม คำตอบที่ชิงหยวนจุนได้จากเหมียวอี้ไม่ได้พูดถึงเรื่องระฆังดาราแบบใหม่เลย เรื่องทัพใหญ่แดนรัตติกาลกับทัพใต้สนับสนุนกันและกัน เรื่องฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์เลย เพียงอ้างว่าทำเพราะสิ่งที่ประกาศไปก่อนหน้านี้

ประมุขชิงรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล หนิวโหย่วเต๋อจะเชื่อคำสัญญาเหลวไหลของฮ่าวเต๋อฟางจนทิ้งผลประโยชน์มหาศาลที่ตลาดสวรรค์ จนถอนกำลังพลไปรวมในตลาดสวรรค์ของทัพใต้ได้เหรอ? ทางนี้ถึงได้ให้ซือหม่าเวิ่นเทียนสืบมา ผลปรากฏว่าไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย ซ่อนการสมคบกันด้านผลประโยชน์เอาไว้

การสมคบด้านผลประโยชน์ล้วนเป็นเรื่องรอง นี่เป็นครั้งแรกที่ประมุขชิงพบว่าเหมียวอี้เริ่มปิดบังเรื่องสำคัญบางอย่างกับชิงหยวนจุน นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น ไม่อย่างนั้นเขาจะอาศัยอะไรมาสนับสนุนกำลังของเหมียวอี้ล่ะ?

แม้แต่ซ่างกวนชิงก็เริ่มขมวดคิ้วแล้ว ชิงหยวนจุนรายงานข่าวขึ้นมาผ่านเขา เขาย่อมรู้ถึงความผิดปกติของข่าวนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้เป็นคนปิดบัง หรือว่าชิงหยวนจุนเป็นคนปิดบังเขา

หลังจากสีหน้าเคร่งขรึมอยู่พักหนึ่ง ประมุขชิงก็ถามด้วยสายตาเย็นเยียบ “เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นอนุภรรยาของเขาที่แอบรายงานขึ้นมาใช่มั้ย?”

“ขอรับ! นอกจากนางก็ไม่มีคนอื่นสืบความลับพวกนี้ได้แล้ว” ซือหม่าเวิ่นเทียนถาม

“ความลับสำคัญขนาดนี้ หนิวโหย่วเต๋อบอกอนุภรรยาคนนั้นได้ด้วยเหรอ?” ประมุขชิงเคลือบแคลง

ซือหม่าเวิ่นเทียนเข้าใจความคิดของเขา จึงตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “ตอนแรกข้าน้อยก็สงสัยเหมือนกัน เพียงแต่หนิวโหย่วเต๋อต่างกับคนอื่นจริงๆ เหมือนจะไม่ค่อยปิดบังอะไรผู้หญิงของตัวเอง อย่าว่าแต่เรื่องพวกนั้นเลย ฮูหยินของเขาถึงขั้นสามารถเข้าไปแทรกแซงเรื่องในกองทัพได้อย่างสง่าผ่าเผย เป็นอย่างนี้มาตลอดขอรับ แน่นอน สุดท้ายแล้วก็เป็นสายลับคนนั้นที่ได้รับความเชื่อใจจากหนิวโหย่วเต๋ออย่างแท้จริงแล้ว ที่จริงการจะได้รับความไว้ใจจากเขาก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อมีแค่ภรรยาเอกกับอนุภรรยาหนึ่งคน ไม่ได้แตะต้องผู้หญิงคนอื่น แค่นี้ก็เห็นถึงความระวังตัวของเขาแล้ว” บางสิ่งที่พูด ถ้ามองจากมุมของหน่วยตรวจการซ้ายก็นับว่าไม่ผิด

“หึ!” ประมุขชิงพ่นเสียงทางจมูก “เจ้าโจรชั่วนั่นน่ารังเกียจนัก ข้าชุบเลี้ยงเขาขึ้นมา ไม่น่าชื่อว่าจะไปสมคบกับฮ่าวเต๋อฟาง!”

ซือหม่าเวิ่นเทียนบอกว่า “ฟังจากที่สายลับบอก ครั้งก่อนสี่ทัพเตรียมจะโจมตีแดนรัตติกาล ทำให้หนิวโหย่วเต๋อตระหนักได้ถึงวิกฤติ หนิวโหย่วเต๋อเห็นฝ่าบาทไม่มีทีท่าว่าจะลงมือ เหมือนจะบ่นนิดหน่อยด้วย ตอนนี้ถึงได้สละผลประโยชน์เพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง”

“หึ!” ประมุขชิงแสยะยิ้มอีกครั้ง แล้วกำชับว่า “ปกป้องสายลับข้างกายเขาให้ดี จะให้ตัวตนถูกเปิดโปง เก็บไว้ใช้ประโยชน์ได้มากในอนาคต!”

“รับทราบ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนเอ่ยรับ

ฉวยโอกาสตอนที่กำลังหลักของฝ่ายต่างๆ กำลังเพ่งความสนใจไปที่ไม้ไม่ผุ ไม่ตอบสนองกับการเคลื่อนไหวของตนมากเกินไป เหมียวอี้จัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด รัวดาบฟันฟ่อนฟางอย่างไม่ลังเล ปฏิบัติการที่ต่อเนื่องได้สร้างเสถียรภาพของทัพใหญ่แดนรัตติกาลในใต้หล้าได้อย่างรวดเร็ว ช่วงชิงเวลาให้เขาได้ย่อยกำลังพลกลุ่มนี้ได้ครอบคลุมทั่วทุกด้าน แม้จะเสียสละผลประโยชน์ไปไม่น้อยก็ตาม

สำหรับเรื่องนี้ อวิ๋นจือชิวชื่นชมมาก รู้สึกว่าเหมียวอี้ก็ดีตรงนี้ ยามถึงช่วงเวลาสำคัญก้ลงมืออย่างไม่เลอะเลือน เมื่อเจอเรื่องที่พัวพันรัดตัวก็ตัดทิ้งอย่างไม่ลังเล ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวนี้คือสิ่งที่หยางชิ่งเทียบไม่ติด เรื่องบางเรื่องหยางชิ่งก็คิดมากเกินไป คิดถึงปัญหาครอบคลุมทุกด้าน อ้อมไปอ้อมมาจนเหนื่อย

ในสายตาของอวิ๋นจือชิว นี่คือความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่ชายผู้กุมอำนาจชี้ขาดควรจะมี คนประเภทหยางชิ่งแม้จะฉลาดมากอุบาย แต่กลับคิดคำนวณมากเกินไป ทำเรื่องใหญ่ไม่สำเร็จ

ใจคนมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับทัพใหญ่แดนรัตติกาลหลายสิบล้านที่หวาดหวั่นกลัวประสบหายนะ

เหมียวอี้แก้ไขวิกฤติที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเผชิญอย่างรวดเร็ว ทั้งข้างบนข้างล่างล้วนโล่งใจ ทุกคนยอมรับผู้บัญชาการสูงสุดท่านนี้แล้ว ยอมรับแล้วว่าเหมียวอี้สามารถปกป้องพวกเขาได้ ทุกคนเริ่มปรับตัวกับที่นี่ได้ สมาชิกในครอบครัวที่หวาดหวั่นพวกนั้นก็อยู่ที่นี่อย่างสงบใจแล้วเช่นกัน

อวิ๋นจือชิวและผู้หญิงในครอบครัวก็มีเวลาว่างมาเล่นอย่างอื่นแล้วเช่นกัน

ในห้องสมาธิ ไม้ไม่ผุที่เผาแล้วปล่อยควันหอม หมอกควันตลบอบอวล อวิ๋นจือชิว เชียนเอ๋อร์ หลินผิงผิง เฟยหง ผู้หญิงทั้งสี่คนเปลือยล่อนจ้อน ไม่ใส่เสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว อาบแช่อยู่ในหมอกควันด้วยสีหน้าดื่มด่ำ

ควันนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย ไม่ทำให้รู้สึกระคายเคืองเลยสักนิด หลังจากดูดซับผ่านรูขุมขนแล้วก็รู้สึกสดชื่นผ่อนคลายไปทั้งตัว

…………………………

เขาจงใจเน้นเสียง

“ใต้หล้าใหญ่ขนาดนี้ แต่ขายแค่ในทัพใต้ จะไม่น่าเสียดายหรอกเหรอ?” ฮ่าวเต๋อฟางถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “สิ่งนี้ต่างจากร้านขายของชำ ธุรกิจผูกขาดแบบนี้ จะขายที่ไหนก็คือการขาย ถ้าวางขายในอาณาเขตทัพใต้ คนที่อยากซื้อก็ต้องมาซื้อที่เขตทัพใต้ เส้นทางไกลหน่อยก็ไม่เป็นอะไร ไม่แน่ว่าเพื่อที่จะซื้อของสิ่งนี้ เดิมทีคนซื้อที่ต้องการซื้อสินค้าของที่อื่นอาจจะถือโอกาสผ่านทางมาซื้อที่นี่ด้วยก็ได้”

ฮ่าวเต๋อฟางเงียบไปครู่หนึ่ง คิดไปคิดมาก็พบว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ ถามว่า “เจ้าก็ขายเองได้ไม่ใช่เหรอ จะแบ่งกำไรครึ่งหนึ่งมาให้อ๋องผู้นี้ทำไม”

นี่คือการถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่เหมียวอี้ก็ย่อมมีวิธีการพูด “ศักยภาพของข้ามีจำกัด ถ้าข้านำของสิ่งนี้มาขายคนเดียว ก็ไม่อาจรักษาไว้ได้เลย ในปีนั้นร้านขายของชำซื่อตรงที่ข้าสร้างเองกับมือก็กลายเป็นอย่างนั้นไปแล้ว นับประสาอะไรกับระฆังดาราแบบใหม่ เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้น ข้าคงไม่ได้หุ้นสักส่วนด้วยซ้ำ ถ้ามอบให้ท่านอ๋องอย่างน้อยข้าก็ได้ครึ่งหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอ๋องก็ประกาศแล้วว่าจะรับประกันผลประโยชน์ของข้าในอาณาเขตทัพใต้ ถ้าข้าไม่ไปร่วมงานกับท่านอ๋องแล้วจะให้ไปหาใคร?”

“ก็เป็นคนชัดเจนดี” ฮ่าวเต๋อฟางกล่าวชมด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แล้วจู่ๆ ก็แสยะยิ้ม “เพียงแต่อ๋องผู้นี้กระเพาะใหญ่มาก เจ้าเองก็ไม่มีสิทธิ์มาแบ่งกับข้าคนละครึ่ง ข้าต้องการแปดส่วน ส่วนที่เหลือสองส่วนเจ้าเก็บไว้ เจ้าคงไม่มีอะไรไม่พอใจหรอกใช่มั้ย?” เขากำลังรังแกเหมียวอี้เพราะเหมียวอี้เปิดเผยก้นบึ้งมาแล้ว ขอเพียงเขาปล่อยข่าวออกไป ว่าเหมียวอี้มีวิธีการหลอมสร้างระฆังดาราก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว

เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม “ขนาดท่านอ๋องยังพูดแบบนี้แล้ว ข้ายังจะมีความเห็นแย้งอะไรได้อีก แปดส่วนกับสองส่วนก็แล้วกัน”

ฮ่าวเต๋อฟางมองมา เขาเองก็พูดไปอย่างนั้นเอง รอให้เหมียวอี้ต่อรองราคา

ซูอวิ้นก็ประหลาดใจเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะตอบตกลงอย่างใจถึงขนาดนี้ ธุรกิจประเภทนี้ถ้าผลกำไรหายไปสักส่วนก็แย่แล้ว นับประสาอะไรกับหายไปรวดเดียวสามส่วน

“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้?” ฮ่าวเต๋อฟางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“ต้องไว้หน้าท่านอ๋องอยู่แล้ว ตกลงตามนี้” เหมียวอี้พยักหน้าตอบรับ ท่วาพูดเสริมอีกว่า “เพียงแต่ข้าต้องการของในมือท่านอ๋องมาแลกกับสามส่วนนั้น”

ฮ่าวเต๋อฟางมองเขาอย่างสนใจ “ไม่ทราบว่าของอะไรในมือข้าที่สามารถแลกการค้ามหาศาลอย่างหุ้นสามส่วนนั้นได้?”

“ข้าจะเอาทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาสนับสนุนท่านอ๋อง!” เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น

ฮ่าวเต๋อฟางพลันหรี่ตา “ข้าจำเป็นต้องให้เจ้ามาสนับสนุนด้วยเหรอ?”

เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ข้าหวังว่าทัพใต้จะสามารถกลายเป็นหน่วยป้องกันแนวหน้าของทัพใหญ่แดนรัตติกาลได้ ไม่ให้ใครบุกเข้ามาโจมตีแดนรัตติกาล พร้อมทั้งหวังว่าท่านอ๋องจะปกป้องมากขึ้นเมื่ออยู่ในราชสำนัก และทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็จะกลายเป็นหน่วยป้องกันแนวหลังให้ท่านอ๋องเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นถ้าในเขตทัพใต้มีคนก่อกวน ข้าก็จะใช้กำลังทหารช่วยรักษาความสงบให้ท่านอ๋อง ต่อให้เป็นกองทัพองครักษ์มาโจมตีท่านอ๋อง ข้าก็จะไม่นิ่งดูดายเช่นกัน มีเพียงเสถียรของท่านอ๋องเท่านั้น ถึงจะเป็นหลักประกันที่ใหญ่ที่สุดให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลได้ ถ้ามองจากบางระดับ สามารถพูดได้ว่าผลประโยชน์ของท่านอ๋องก็คือผลประโยชน์ของข้า ดังนั้นข้าก็จะไม่ให้สถานการณ์อย่างเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อเกิดขึ้นในเขตทัพใต้อีก! แม้กำลังพลทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะมีไม่มาก แต่ถึงยังไงก็กินกำลังพลเก่งๆ ส่วนใหญ่ของสายขาลไว้แล้ว ไม่ต้องบอกเลยว่ารบเก่งขนาดไหน ช่วยท่านอ๋องควบคุมกำลังพลสายหนึ่งได้อย่างไม่มีปัญหา ไม่ทราบว่าท่านอ๋องคิดยังไงบ้าง?”

ซูอวิ้นกัดริมฝีปาก มองปฏิกิริยาของฮ่าวเต๋อฟาง

ฮ่าวเต๋อฟางตาเป็นประกายไม่หยุด สำหรับเขาแล้ว ความมีเสถียรภาพของกำลังพลในมือคือสิ่งที่สำคัญที่สุด การค้าขายอะไรนั่นล้วนเป็นเรื่องรอง เมื่อมีอำนาจกับอาณาเขตแล้วยังจะกลัวหาเงินไม่ได้อีกเชียวเหรอ? และสิ่งที่เขากังวลที่สุดก็คือ ประมุขชิงอาจจะแบ่งอำนาจในมือเขาอีกครั้ง เขากังวลที่สุดว่าตัวเองจะกลายเป็นอิ๋งจิ่วกวงคนที่สอง กังวลว่าจะมีเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อคนที่สองโผล่มาอีก เหมียวอี้พูดแทงใจดำเขาแล้ว ไม่อาจดูถูกศักยภาพของทัพใหญ่แดนรัตติกาลได้เลยจริงๆ ถ้าได้รับการช่วยเหลือจากทัพใหญ่แดนรัตติกาลของเหมียวอี้ ก็เรียกได้ว่าลดความกังวลอนาคตของเขาไปได้มาก

สายตาเขาชำเลืองไปที่เหมียวอี้ ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับเขาแล้ว เขาก็อยากจะดึงเหมียวอี้มาเป็นพวกตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ ที่จริงก็คิดมาตลอด เพียงแต่ดูจากสถานการณ์แล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงระงับความคิดนี้ไว้ และถึงแม้การร่วมงานแบบนี้จะไม่สามารถทำให้เหมียวอี้มาอยู่ใต้บังคับบัญชาได้ แต่กลับได้ผลดีเหมือนกัน

“ฮ่าๆ!” จู่ๆ ฮ่าวเต๋อฟางก็ลุกขึ้นยืนพร้อมเสียงหัวเราะลั่น เดินเข้าไปใกล้เหมียวอี้แล้วตบบ่า “ผู้สำเร็จราชการหนิวเป็นผู้มีความสามารถ อ๋องผู้นี้ชื่นชมมานานแล้ว” เขาหันกลับมาตะคอก “จัดการเลี้ยง! อ๋องผู้นี้จะดื่มกับผู้สำเร็จราชการหนิวสักสองจอก!”

“รับทราบ!” ซูอวิ้นเอ่ยรับ ใบหน้าเผยรอยยิ้มเช่นกัน รีบเดินไปสั่งงานตรงหน้าประตู

จากนั้นสุราอาหารเลิศรสและดนตรีเพิ่มความบันเทิงก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงแล้ว ฮ่าวเต๋อฟางอัธยาศัยไมตรีดีมาก และดีใจมากเช่นกัน นั่งกินเลี้ยงเป็นเพื่อนด้วยตัวเอง บุญคุณความแค้นอะไรที่มีต่อเหมียวอี้ก่อนหน้านี้ล้วนโยนทิ้งไปหมดแล้ว

ในระหว่างที่กินดื่มก็คุยรายละเอียดกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ภายใต้แนวโน้มของการร่วมงานกัน เรื่องร้านขายของชำซื่อตรงกลายเป็นเรื่องเล็กไปแล้ว ฮ่าวเต๋อฟางไม่เอ่ยถึงด้วยซ้ำ

ส่วนเหมียวอี้กลับหาโอกาสเอ่ยถึงเรื่องนี้ “ไม่ปิดบังท่านอ๋อง อาจารย์ของข้าคืออสุราอัคนี สภาพแวดล้อมที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มีประโยชน์ต่อการฝึกตนของข้ามาก แล้วแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็อยู่บนอาณาเขตท่านอ๋อง ปกติเฝ้าไว้เข้มงวดมาก ยากที่จะเข้าไปได้ ไม่ทราบว่าท่านอ๋องช่วยเปิดทางให้สักหน่อยได้หรือไม่?”

แม้ครั้งก่อนจะเอ่ยเรื่องนี้กับผังก้วน เขาก็รู้ว่าผังก้วนมีวิธีการพาเขาเข้าไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่ลองคิดไปคิดมา เขาก็ยังตัดสินใจจะฉวยโอกาสทำข้อตกลงกับฮ่าวเต๋อฟาง ถ้าทำข้อตกลงกับฮ่าวเต๋อฟางและผังก้วน ก็ย่อมเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้สะดวกมาก ถ้าฮ่าวเต๋อฟางไม่ตอบตกลง เขาก็ทำได้เพียงไปหาผังก้วน

ฮ่าวเต๋อฟางกลับยกจอกสุราดื่มอย่างเงียบๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยสะดวก แม้แดนมรณะดึกดำบรรพ์จะอยู่ในอาณาเขตของเขา แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องของเขาฝ่ายเดียว แต่ช่วยเฝ้ารักษาการณ์ให้ทั้งตำหนักสวรรค์ เขาไม่ได้ปฏิเสธ แต่เสนอเงื่อนไขว่า “เจ้าเข้าไปได้แค่คนเดียว!”

เหมียวอี้ยิ้มแล้ว พยักหน้าซ้ำๆ “แน่นอนอยู่แล้ว ให้คนอื่นเข้าไปก็ไม่มีประโยชน์” พูดจบก็ยกจอกสุราดื่มฉลอง

หลังจากเจรจารายละเอียดแล้ว เหมียวอี้กับฮ่าวเต๋อฟางก็ตัดสินใจร่วมงานกันอย่างลับๆ การจำหน่ายระฆังดาราแบบใหม่ ภายนอกถือเป็นของฮ่าวเต๋อฟาง การสนับสนุนกันและกันก็จะไม่ประกาศออกไป ถ้าที่อาณาเขตของฮ่าวเต๋อฟางมีปัญหาเมื่อไร เหมียวอี้ก็จะใช้กำลังทหาร และถ้าเหมียวอี้พบปัญหายุ่งยากอะไร ฮ่าวเต๋อฟางก็จะช่วยแก้ไขเช่นกัน เพื่อหาข้ออ้างปิดบังการประกาศก่อนหน้านี้

เหมียวอี้เองก็ไม่ได้อยู่ที่จวนตระกูลฮ่าวนานเกินไป หลังจากเลี้ยงฉลองกันไปยกหนึ่งก็แยกย้าย แต่สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกก็คือ ฮ่าวเต๋อฟางส่งนางระบำให้เขาเสียเลย นอกจากนี้ยังส่งยอดหญิงงามให้เขาอีกห้าสิบกว่าคน รวมแล้วมอบสาวงามให้ร้อยคน

ด้วยความที่ยากจะปฏิเสธการเชื้อเชิญ เหมียวอี้ทำได้เพียงรับไว้ เก็บพวกนางระบำเอาไว้คอยรับแขกที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ส่วนสาวงามห้าสิบคนนั้นเขาก็ไม่กล้าเสพสุข เพราะอวิ๋นจือชิวก็ไม่ชาเล่นๆ เตรียมจะมอบเป็นรางวัลให้พวกลูกน้องในภายหลัง

เมื่อทำข้อตกลงกับฮ่าวเต๋อฟางได้แล้ว ก็เท่ากับกำจัดความกังวลในภายหลังของแดนรัตติกาลได้แล้ว

ส่วนฮ่าวเต๋อฟางก็หมดความกังวลในภายหลังเช่นกัน สามารถสืบหาไม้ไม่ผุได้เต็มที่ มีทัพใหญ่แดนรัตติกาลสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เขาก็ไม่กลัวว่าจะมีลูกน้องทรยศอีก

พอกลับมาถึงจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้ก็เริ่มจัดระเบียบอย่างเด็ดขาด กำลังพลที่กระจายไว้ตามตลาดสวรรค์อต่ละแห่งก่อนหน้านี้ ทั้งหมดหดกลับเข้ามาในอาณาเขตทัพใต้ ถ้ามียศเหมาะสมแล้วก็ยัดเข้าไปในตลาดสวรรค์ของทัพใต้ให้หมด ฮ่าวเต๋อฟางมองอำนาจควบคุมตลาดสวรรค์ในเขตทัพใต้ให้เขาอย่างแท้จริงแล้ว การแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ ในตลาดสวรรค์ เหมียวอี้ก็มีอำนาจตัดสินใจ เงื่อนไขก็ย่อมไม่อาจทำลายผลประโยชน์ของฮ่าวเต๋อฟางที่ตลาดสวรรค์ได้ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็มีวิธีเรียกคืนอำนาจในอาณาเขตตัวเองอยู่แล้ว

การเคลื่อนไหวนี้สร้างความสั่นสะเทือนไม่น้อย เท่ากับเหมียวอี้เป็นฝ่ายทิ้งอำนาจอย่างอื่นของตลาดสวรรค์ก่อนแล้ว ย่อมทำให้เกิดความสั่นสะเทือน

แต่สำหรับเหมียวอี้ การหดกำลังนี้ก็เป็นสิ่งที่จนใจเช่นกัน เขาเองก็อยากจะยึดครองอำนาจทั้งหมดของตลาดสวรรค์ แต่ตลาดสวรรค์พวกนั้นอยู่บนอาณาเขตของพวกใช้อำนาจบาตรใหญ่ฝ่ายต่างๆ กำลังของตัวเองยากจะเอื้อมไปถึง ความคิดบางอย่างของหยางชิ่งนั้นไม่ผิด แต่เหมียวอี้ไม่อยากพัวพันอยู่กับผู้มีอำนาจแต่ละฝ่ายไม่จบไม่สิ้น วิธีการใช้อุบายรับมือของหยางชิ่งเสียเวลาและพลังงานเกินไป เขาจึงรัวดาบฟันฟ่อนฟาง[1]เสียเลย หดกำลังกลับมาอยู่ในขอบเขตที่ตัวเองควบคุมได้ง่าย หดมือที่ยื่นออกไปกลับเข้ามากำหมัด มีฮ่าวเต๋อฟางคอยกันอยู่ข้างหน้า บวกกับกำลังของตัวเองตอนนี้ ขอเพียงเขาไม่ก่อเรื่อง ใต้หล้าก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเขาง่ายๆ

เหมียวอี้ยินดีเป็นฝ่ายทิ้งอำนาจผลประโยชน์ที่ตลาดสวรรค์ก่อน อำนาจฝ่ายอื่นย่อมเฝ้ารอให้เขาทำอย่างนี้ กอปรกับตอนนี้อำนาจแต่ละฝ่ายกำลังสืบหาเรื่องไม้ไม่ผุ ไม่ได้ก่อคลื่นลมที่สูงเท่าไรนัก

เรื่องพวกนี้เหมียวอี้ไม่ได้ปรึกษาหยางชิ่งล่วงหน้า หลังจากเกิดการเคลื่อนไหวที่ตลาดสวรรค์แล้ว หยางชิ่งถึงได้รู้

หลังจากรู้เรื่องแล้ว หยางชิ่งก็ตกใจมาก ไม่รู้ว่าทำไมเหมียวอี้ถึงทิ้งผลประโยชน์มหาศาลที่หามาอย่างยากลำบากทิ้งไป จึงรีบติดต่อมาถามสถานการณ์จากเหมียวอี้

เหมียวอี้ไม่ได้คายความลับเรื่องใช้ประโยชน์แดนมรณะดึกดำบรรพ์เพื่อฝึกตน ส่วนเรื่องที่เหลือก็บอกตามความจริง หยางชิ่งเองก็นึกไม่ถึงว่าเยารั่วเซียนจะสร้างระฆังดาราแบบใหม่ออกมาแล้ว สามารถสนับสนุนกำลังทรัพย์มหาศาลได้อีกช่องทางหนึ่ง ไม่ต้องสิ้นเปลืองความพยายามมากมายก็ยึดครองตลาดสวรรค์ทั้งหมดได้แล้ว

หยางชิ่งกลุ้มใจนิดหน่อยที่ฉินเวยเวยไม่บอกเขาล่วงหน้า แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด คาดว่าเยารั่วเซียนหลอมสร้างของวิเศษอะไรได้ก็คงไม่บอกฉินเวยเวย เวลามีอะไรเยารั่วเซียนก็จะบอกเหมียวอี้และฮูหยินโดยตรง

เมื่อได้รู้เจตนาที่แท้จริงของเหมียวอี้ หยางชิ่งที่เดินไปเดินมาอยู่ในตึกศาลาก็เก็บระฆังดารา จากนั้นก็เงียบไป

“นายท่าน เขาว่ายังไงบ้าง?” ชิงจวี๋ที่อยู่ข้างๆ เข้ามาใกล้แล้วถามเสียงเบา

“ความคิดของเขาไม่ได้ผิด สามารถทิ้งผลประโยชน์มหาศาลขนาดนี้ได้ ทำงานใหญ่ได้ กล้าหาญเด็ดเดี่ยวกว่าข้าเสียอีก เรียบง่าย คล่องแคล่วว่องไว…” หยางชิ่งถอนหายใจเบาๆ ทอดสายตามองไปนอกหน้าต่างอย่างใจคอแห้งเหี่ยว พบว่าเหมียวอี้ก็ใช่ว่าจะแยกจากหยางชิ่งไม่ได้

สิ่งที่ทำให้เขาใจคอแห้งเหี่ยวจริงๆ ก็คือ พบว่าเหมียวอี้ไม่ได้เชื่อฟังเขาทุกอย่าง เวลาที่ควรจะใช้ความคิดของตัวเองก็ไม่เลอะเลือนเลยสักนิด ไม่ถูดขาจูงจมูก

เหมียวอี้ไม่สนใจหรอกว่าหยางชิ่งจะคิดอย่างไร ตอนที่หยางชิ่งติดต่อเขามา เขาก็กำลังเปลือยร่างกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียงกับเฟยหงแล้ว

พอติดต่อกับหยางชิ่งจบแล้ว เหมียวอี้กับเฟยหงก็พลิกเมฆคว่ำฝนกันอีกยกหนึ่ง จากนั้นก็คุยปรึกษากับเฟยหงอีกเล็กน้อย

เฟยหงที่ผมยุ่งสยายซบอยู่ในอ้อมอกของเขา นางพลันเงยหน้าถามอย่างประหลาดใจ “บอกเรื่องนี้กับตำหนักสวรรค์ด้วยเหรอคะ?”

เหมียวอี้ลูบไล้แผ่นหลังที่เหลี้ยงเกลาของนาง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ให้ตำหนักสวรรค์รู้ก็ไม่เป็นอะไร ช้าเร็วก็ต้องถูกตำหนักสวรรค์มองเบาะแสออกอยู่ดี ข้ายิ่งใหญ่ขึ้นแล้ว ตำหนักสวรรค์ทำอะไรข้าไม่ได้ง่ายๆ ยิ่งรายงานสถานการณ์ที่นี่ตามความจริง ก็ยิ่งทำให้แม่เจ้าปลอดภัย ถึงจะเหลือโอกาสช่วยแม่เจ้าออกมา หน่วยตรวจการขวาก็ยิ่งเชื่อใจเจ้า ในภายหลังถึงจะแสดงบทบาทได้มากขึ้น”

“ค่ะ!” เฟยหงพยักหน้า แล้วส่งจุมพิตบนริมฝีปากเขาเบาๆ ด้วยความซาบซึ้งใจ

จากนั้นเหมียวอี้ก็เคลื่อนไหวต่อเนื่องเหมียวอี้ เขาไม่สนใจว่าเรื่องของไม้ไม่ผุข้างนอกจะเดือดพล่านขนาดไหน เอาแต่ผลักดันเรื่องร้านค้าใหม่ด้วยตัวเอง เรียบง่ายป่าเถื่อนกว่าการทำงานของหยางชิ่งมาก ส่งคำเชิญสมาคมร้านค้าให้เซี่ยโห้วลิ่ง สมาคมวีรชน โค่วหลิงซวี ฮ่าวเต๋อฟาง ก่วงลิ่งกง เถิงเฟยและเฉิงไท่เจ๋อโดยตรง ตัดกลุ่มอำนาจที่ได้ส่วนแบ่งหุ้นเล็กน้อยของร้านขายของชำก่อนหน้านี้ทิ้งแล้ว ไม่สนใจอะไรจุกจิกหยุมหยิม

………………………

[1] รัวดาบตัดฟ่อนฟาง 快刀斩乱麻 หมายถึงใช้วิธีการที่เด็ดขาดแก้ไขปัญหายุ่งเหยิง

ท่าทีที่ดูอวดดีนิดๆ ของเขาทำให้พวกหยางเจาชิงข้างๆ รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นลูกน้องของเหมียวอี้ ฝั่งนี้ไม่ได้ถูกควบคุมโดยตระกูลโค่ว ผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านพ่อบุญธรรมอย่างโค่วหลิงซวีปฏิบัติต่อฝั่งนี้อย่างไรทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ จะมาวางมาดอะไรกันที่นี่

ที่จริงโค่วเจิงก็ตั้งใจทำอย่างนี้ โค่วเจิงเอ็งก็ไม่ใช่คนที่ขาดการอบรมอะไร เพียงแต่ตอนนี้ในใจรู้สึกไม่พอใจเหมียวอี้มาก จากมุมมองของเขา ถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากตระกูลโค่ว เหมียวอี้อาจไม่รอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้ก็ได้ แต่ยามที่เหมียวอี้จะแปรพักตร์ก็ไม่มีไมตรีเลยสักนิด ในสายตาเขาถือว่ากินบนเรือนขี้บนหลังคา ดังนั้นจึงอยากทำตัวกำเริบเสิบสานกดเหมียวอี้สักหน่อย

“ได้!” เหมียวอี้พยักหน้ายิ้ม ตอบรับอย่างตรงไปตรงมา

โค่วเจิงเองก็ไม่กลัวอันตราย โบกมือบอกผู้ติดตามว่าไม่ต้องตามมา เหาะออกไปกลับเหมียวอี้ตามลำพัง

ทั้งสองเที่ยวดูจนทั่วรอบหนึ่ง เที่ยวชมทุกแห่ง โค่วเจิงวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ของที่นี่ตลอดทาง

ตอนที่ไปชมทิวทัศน์บนยอดเขา ในที่สุดโค่วเจิงก็เอ่ยถึงประเด็นหลักแล้ว “น้องเขย เจ้าทำแบบนี้กับเรื่องของสำนักลมปราณ ความเสียหายของตระกูลโค่วที่ร้านขายของชำซื่อตรงไม่น้อยเลยนะ!”

เหมียวอี้ยิ้มเยาะในใจ ตอนที่พวกเจ้าข่มแย่งคว้าชิง พวกเจ้าเคยเห็นความเสียหายของคนอื่นเป็นเรื่องใหญ่บ้างหรือเปล่าล่ะ? เพียงแต่ปากกลับถอนหายใจแล้วบอกว่า “พี่ใหญ่ ข้าเองก็ทำตามใจไม่ได้เหมือนกัน ครั้งนี้ข้าเตรียมของขวัญส่วนหนึ่ง ถือเป็นการชดเชยต่อท่านพ่อบุญธรรม”

โค่วเจิงเรียบๆ “คนครอบครัวเดียวกันไม่พูดจาเป็นอื่น ของขวัญน่ะช่างเถอะ ตระกูลโค่วมีหุ้นสองส่วนอยู่ที่ร้านขายของชำซื่อตรง หลังจากเจ้าสร้างร้านค้าใหม่ขึ้นมาแล้ว ตระกูลโค่วก็จะครองหุ้นสองส่วนนั้นเหมือนกัน ถือว่าเป็นการสนับสนุนเจ้าก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นถ้าไม่มีอำนาจหนุนหลังสักหน่อย เนื้ออ้วนชิ้นใหญ่ขนาดนี้เจ้ากลืนคนเดียวไม่ไหวหรอก จะมีคนมาก่อกวนอย่างเลี่ยงไม่ได้”

พอเอ่ยปากก็จะเอาหุ้นสองส่วนเลย เหมียวอี้เงียบไปอย่างเห็นได้ชัด รู้ว่าสิ่งที่บอกว่าก่อกวนหมายถึงอะไร สุดท้ายแล้วตลาดสวรรค์ในทัพเหนือก็ยังอยู่ในอาณาเขตของอีกฝ่าย เขาจึงตอบเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่ คนที่มาขอหุ้นจากข้าไม่ได้มีท่านคนเดียว มีเยอะมาก!”

โค่วเจิงเหล่ตามองเขา คิดในใจว่า นี่เป็นเรื่องของเจ้า ใครใช้ให้เจ้าไม่มีศักยภาพนั้นแต่กลับโลภอ้าปากกว้างล่ะ “ความสัมพันธ์ของเราทั้งสองเหมือนกับพวกเขาเสียที่ไหนล่ะ?”

เหมียวอี้เดือดดาลในใจ แต่ภายนอกตอบอย่างใจเย็น “หรือว่าเอาอย่างนี้ไหม ยังไม่ทันก่อตั้งร้านค้าขึ้นมาเลย พี่ใหญ่อย่ารีบร้อน เดี๋ยวฝ่ายข้าจะรวบรวมหุ้นของฝ่ายต่างๆ แล้วนำมาเจรจาด้วยกันดีไหม?”

“กับคนอื่นเจ้าค่อยๆ เจรจากับพวกเขาไปเถอะ ข้ามาด้วยตัวเองแล้ว เจ้าให้คำตอบที่แน่นอนกับข้าไม่ได้เหรอ?” โค่วเจิงถาม

“ให้ค่าพิจารณาอีกสักหน่อยเถอะ” เหมียวอี้กล่าว

“ได้! ให้เวลาเจ้าค่อยๆ พิจารณาหนึ่งชั่วยาม” โค่วเจิงตอบด้วยน้ำเสียงปกติ

เหมียวอี้เหลือบตาขึ้นมองเขา โค่วเจิงสบตาเขา แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมหรอ? หรือว่ามีปัญหา? งั้นให้เวลาเจ้าอีกหนึ่งชั่วยามเป็นไง?”

เหมียวอี้กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าบอกแล้วว่าเรื่องนี้เดี๋ยวค่อยเจรจากันอีกที!”

โค่วเจิงหรี่ตา “น้องเขยจะให้เข้ามาเสียเที่ยวเหรอ?”

“เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง ไม่ง่ายเลยกว่าพี่ใหญ่จะมาสักครั้ง ตั้งใจเดินเล่นที่ดีเถอะ ข้ายังมีงานต้องทำอีก อยู่เป็นเพื่อนท่านไม่ได้แล้ว!” เหมียวอี้ทิ้งไว้อย่างเย็นชา พลันตะโกนว่า “ทหาร!”

กำลังพลที่ตามอยู่ไกลๆ ถลันตัวเข้ามาทันที ชิงเยว่นำหน้ามากุมหมัดคารวะ “นายท่าน!”

“เจ้าเดินเล่นเป็นเพื่อนท่านโหวโค่วหน่อย” เหมียวอี้ส่งสายตาให้ชิงเยว่ พูดทิ้งท้ายไว้แล้วก็เดินไปทันที

โค่วเจิงทำสีหน้าโกรธเคือง จะตามไปถามเหมียวอี้ว่าหมายความว่าอะไร แต่ใครจะคิดว่าชิงเยว่จะยื่นมือขวาง “ท่านโหว อย่าเพ่นพ่านไปทั่วจะดีกว่า”

“หลีกไป!” โค่วเจิงตะคอก

ชิงเยว่มองประเมินเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “อยู่ที่นี่ไม่ถึงคราวให้เจ้ามาออกคำสั่งหรอก นายท่านไว้หน้าเจ้า แต่ข้าไม่ไหวหน้าเจ้าหรอกนะ เป็นตัวอะไรในสายตาแม่ล่ะ!”

ใบหน้าโค่วเจิงฉายแววดุร้าย แต่พอเห็นคนสิบกว่าคนข้างกายชิงเยว่ แต่ละคนวรยุทธ์สูงกว่าเขา จำเป็นต้องข่มความโกรธแค้นนี้ไว้ ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่อาณาเขตของตระกูลโค่ว

ยังจะเดินเล่นอะไรอีก โค่วเจิงยังจะมีอารมณ์มาเดินเล่นได้อย่างไร เดินออกไปพร้อมไฟโกรธที่สุมทรวงแล้ว

ภาจใต้แสงจันทร์ เหมียวอี้กำลังเดินไปเดินมาเพียงลำพังอยู่ในสวนดอกไม้ของจวนผู้สำเร็จราชการ เขาขมวดคิ้วมุ่น เมื่อผ่านสองเรื่องนี้มาแล้ว เขาก็สามารถจินตนาการได้เลย ว่าร้านค้าใหม่นี้คงไม่ได้มีเพียงสมาคมวีรชนและตระกูลโค่วเท่านั้นที่จับจ้อง เกรงว่าพวกอ๋องสวรรค์คงจะไม่หยุดแน่ ที่สำคัญคือตลาดสวรรค์ส่วนใหญ่อยู่ในอาณาเขตของคนพวกนั้น อีกฝ่ายมีวิธีการก่อกวนอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องตลาดสวรรค์จึงทำให้เขาปวดหัวมาก

เขาเริ่มจะหมดความอดทนกับตลาดสวรรค์แล้ว ที่สำคัญก็คือหมดความอดทนกับวิธีการอ้อมค้อมของหยางชิ่ง เขาไม่ชอบอ้อมค้อมแบบนี้ แต่ไหนแต่ไรมาลักษณะการทำงานของเขาก็คือรัวดาบตัดฟ่อนฟาง แก้ไขปัญหาให้ฉับไว เขาเองก็ยอมรับว่าปัญหาที่ตัวเองสร้างขึ้นมาแทรกทำให้เรื่องพัง ถ้าเสียเวลาต่อไปแบบนี้ ก็จะถ่วงกำลังวังชาของเขาในระยะยาว ช่วงนี้เขาไม่มีแม้แต่เวลาจะฝึกตนด้วยซ้ำ

ต้องพยายามทำสถานการณ์ให้สงบโดยเร็วที่สุด!

เมื่อครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา เหมียวอี้เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน สายตาเริ่มแน่วแน่ขึ้นเรื่อยๆ ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว!

หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิว : จะกลับมาเมื่อไร?

อวิ๋นจือชิว : พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว มีเรื่องอะไร?

เหมียวอี้ : เอาตัวอย่างระฆังดาราแบบใหม่กลับมาด้วย

หลังจากติดต่อกันจบแล้ว เหมียวอี้ก็เดินเข้ามานั่งในศาลาอย่างเชื่องช้า แล้วก็จมอยู่ในความคิดอีกรอบ

ข้อความจากซูอวิ้นดึงเขาออกจากความคิดแล้ว

เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมา พอนึกถึงความสัมพันธ์ของท่านนี้กับฮ่าวเต๋อฟาง เขาก็หลุดขำออกมา เขย่าระฆังดาราถามว่า : พ่อบ้านซูมีอะไรจะกำชับ?

ซูอวิ้น : จะกล้ากำชับได้ยังไง แค่รู้สึกว่าในเมื่อเป็นเพื่อนบ้านกัน ก็ควรจะไปมาหาสู่มากๆ หน่อย ไม่ทราบว่านายท่านผู้สำเร็จราชการยินดีต้อนรับหรือเปล่า?

ไม่ต้องบอกก็รู้ ต้องมาเพราะเรื่องหุ้นแน่นอน เหมียวอี้ตอบว่า : ไม่กล้ารบกวนให้พ่อบ้านซูวิ่งเต้นหรอก เอาอย่างนี้มั้ยล่ะ ข้าจะไปเยี่ยมท่านอ๋องด้วยตัวเอง ไม่ทราบว่าพ่อบ้านซูยินดีจะพบหรือเปล่า?

ซูอวิ้นอึ้งไปชั่วขณะ หันกลับไปมองฮ่าวเต๋อฟางที่ดื่มสุราอยู่ข้างๆ : “ท่านอ๋อง ฟังจากที่หนิวโหย่วเต๋อพูด เหมือนเขาจะอยากพบท่าน”

ฮ่าวเต๋อฟางเอียงหน้ามองมาช้าๆ พ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “เขายังกล้ามาเจอข้าอีกเหรอ ไม่กลัวว่าจะกลับไปไม่ได้เหรอ? ขอให้เขากล้ามาเถอะ!”

ตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดีเท่าไร เพื่อเรื่องไม้ไม่ผุ ตอนนี้อำนาจแต่ละฝ่ายสร้างความวุ่นวายอยู่บนอาณาเขตเขา กอปรกับเพิ่งประกาศก่อนหน้านี้ ถ้าเป็นคนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึก ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้นว่าเขาเสียเปรียบด้วยน้ำมือหนิวโหย่วเต๋อ

ซูอวิ้นเขย่าระฆังดาราตอบ : ในเมื่อนายท่านผู้สำเร็จราชการเอ่ยปากแล้ว ก็ได้ จะมาเมื่อไรล่ะ ข้าจะได้จัดเตรียมเวลาให้นายท่านผู้สำเร็จราชการได้สะดวก

เหมียวอี้ : ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ภายในสามวัน ถึงตอนนั้นจะแจ้งพ่อบ้านซูล่วงหน้า!

ซูอวิ้น : ได้ งั้นก็เอาตามนี้

ในเมื่อเหมียวอี้บอกว่าจะมา ตอนนี้ก็ยังไม่เอ่ยถึงเรื่องหุ้น ซูอวิ้นเก็บระฆังดาราแล้วบอกฮ่าวเต๋อฟางว่า “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าภายในสามวัน”

ฮ่าวเต๋อฟางวางจอกสุรา แล้วถามอย่างฉงนใจ “เขาจะมาหาข้าทำไม?”

“ไม่ได้บอกค่ะ คาดว่าคงไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้ามา” ซูอวิ้นกล่าว

ฮ่าวเต๋อฟางเงียบไป แล้วพยักหน้าเบาๆ “เจ้าจัดการตามเห็นสมควรเถอะ”

สองวันหลังจากนั้น อวิ๋นจือชิวก็นำตัวอย่างระฆังดาราแบบใหม่กลับมาจากพิภพเล็ก เหมียวอี้นำคนออกจากแดนรัตติกาล มาที่ดาวอ๋องสวรรค์ฮ่าวตามนัด เดิมทีไม่ได้ชื่อนี้ ฮ่าวเต๋อฟางเปลี่ยนชื่อหลังจากมาสร้างจวนที่นี่

นอกจวนอ๋องสวรรค์ ซูอวิ้นออกมาต้อนรับด้วยตนเอง กุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้มสนิทสนม “ผู้สำเร็จราชการหนิว รอมานานแล้ว ท่านอ๋องเชิญ!” นางยื่นมือและหลีกทางให้

ทหารยามนอกจวนท่านอ๋องดูตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าคนที่พ่อบ้านซูมาต้อนรับด้วยตัวเองจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อ คนทั่วไปไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้จากท่านโหว

“รบกวนแล้ว!” เหมียวอี้ยิ้มอย่างสุภาพ จากนั้นก็บอกพวกชิงเยว่ที่อยู่ข้างหลังว่า “รอด้านนอกเถอะ”

ซูอวิ้นแววตาวูบไหว เจ้านี่ใจกล้าไม่เบา จะบุกเดี่ยวเข้าถ้ำเสือชัดๆ นางเองก็ใจกว้าง โบกมือบอกทหารยามที่กำลังจะค้นตัวว่า “เป็นเพื่อนบ้านกัน ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเกินความจำเป็น” นางจะสื่อว่าไม่ต้องตรวจค้น

“รับทราบ!” ทหารยามเอ่ยรับแล้วถอยออกไป

ทั้งสองเดินเคียงข้างกันเข้าไป

ทิวทัศน์อันงดงามหรูหราในจวนท่านอ๋องก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง ทุกที่มีทหารยามจ้องมองอย่างดุร้าย สาวใช้แล้วบ่าวรับใช้เดินกันขวักไขว่ ยังมีสายตาคนของไม่น้อยมองมาทางนี้อย่างเงียบๆ มีคนทำท่าครุ่นคิด บางคนก็สงสัย ไม่รู้ใครที่ทำให้ซูอวิ้นมาเดินเป็นเพื่อนได้ คนที่มาพูดคุยยิ้มแย้มกับซูอวิ้น เหมือนจะสนิทกันมาก

พอมาถึงโถงหลัก ซูอวิ้นก็เชิญให้เหมียวอี้นั่งลงก่อน หลังจากวางน้ำชาแล้ว ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้สำเร็จราชการหนิวรอสักครู่ ข้าจะไปเชิญท่านอ๋อง”

“ได้!” เหมียวอี้พยักหน้า

ผลปรากฏว่าการรอครั้งนี้ รออยู่นานมากก็ยังไม่เห็นเงาคนปรากฏตัว เหมียวอี้เองก็ไม่รีบร้อน คาดว่าฮ่าวเต๋อฟางคงจงใจจะกลั่นแกล้งตน จึงหลับตานั่งสมาธิฝึกตน

เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ที่โถงด้านหลังมีเสียงฝีเท้าคนดังมา เหมียวอี้ลืมตามอง เห็นเพียงซูอวิ้นเดินตามหลังฮ่าวเต๋อฟางที่มีแววตาคมกริบเปี่ยมพลังอำนาจออกมา

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนทักทายทันที “หนิวโหย่วเต๋อคารวะอ๋องสวรรค์”

“มีธุระนิดหน่อยเลยช้าไป ให้ผู้สำเร็จราชการหนิวรอนานแล้ว” ซูอวิ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ท่านอ๋องมีงานต้องทำมากมายในแต่ละวัน สามารถเจียดเวลามาพบได้ก็ถือว่าไว้หน้าข้าแล้ว” เหมียวอี้ยิ้ม

ฮ่าวเต๋อฟางสะบัดแขนเสื้อ ขณะกำลังนั่งลง ก็กล่าวเสียงเย็นว่า “อย่าเปลืองคำพูดเลย ขอพบข้าด้วยธุระอะไร?”

เหมียวอี้ตามใจเขา ไม่เปลืองคำพูดจริงๆ ด้วย หยิบระฆังดาราออกมาแล้ว

ฮ่าวเต๋อฟางกับซูอวิ้นราวกับมีคบเพลิงในดวงตา ค้นพบทันทีว่าระฆังดาราอันนี้ไม่เหมือนระฆังดาราทั่วไป

“มอบของขวัญเล็กน้อยให้ท่านอ๋อง” เหมียวอี้มอบระฆังดาราในมือให้

ฮ่าวเต๋อฟางกับซูอวิ้นสบตากันเวลาหนึ่ง รู้สึกสงสัยนิดหน่อย ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร

ซูอวิ้นรับระฆังดารามาไว้ในมือ ตรวจสอบดูรอบหนึ่ง พบว่าโครงสร้างในระฆังดารานี้แตกต่างกับระฆังดาราทั่วไปมาก นางส่งต่อให้ฮ่าวเต๋อฟางพร้อมถ่ายทอดเสียงเตือน

ฮ่าวเต๋อฟางรับมาตรวจดูในมือเหมือนกัน พบว่ามีลับลมคมในจริงๆ

“ผู้สำเร็จราชการหนิว ของขวัญนี้หมายความว่าอะไร?” ซูอวิ้นแปลกใจ

เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม “หลายปีมานี้ข้ารวบรวมคนมีฝีมือจำนวนหนึ่งไว้ หลอมสร้างระฆังดาราแบบใหม่ขึ้นมา ระฆังดาราทั่วไปติดต่อกันได้คนต่อคนเท่านั้น แต่ระฆังดาราประเภทนี้ใช้อันเดียวก็สามารถติดต่อคนได้พร้อมกันหนึ่งหมื่นคน”

พอได้ฟังแบบนี้ ฮ่าวเต๋อฟางกับซูอวิ้นก็ทำสีหน้าตกตะลึง รู้สึกตกใจมาก ต่างก็รู้ว่าสิ่งนี้หมายความว่าอะไร หมายความว่าจะมาแทนที่ระฆังดาราที่ทุกคนใช้กันตามปกติ เมื่อนำออกมาขาย มูลค่าจะต้องไม่น้อยแน่นอน

ฮ่าวเต๋อฟางพลิกดูระฆังดารา แล้วถามว่า “ใช้งานยังไง?”

เหมียวอี้คอยอธิบายอยู่ข้างๆ แล้วหยิบระฆังดาราอีกอันที่เหมือนกันออกมา ให้ทั้งสองทดสอบ

ฮ่าวเต๋อฟางกับซูอวิ้นลงตราอิทธิฤทธิ์ลงในระฆังดาราไม่ร้อย ส่งข้อความตามวิธีการ พบว่าเป็นอย่างที่บอกจริงๆ

ย่อมไม่ต้องพูดถึงว่าในใจทั้งสองตกใจขนาดไหน แต่ทั้งสองขมกลั้นไว้ ฮ่าวเต๋อฟางวางระฆังดาราบนโต๊ะน้ำชาข้างๆ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยๆ “เจ้าคิดจะส่งวิธีการหลอมสร้างระฆังดาราให้อ๋องผู้นี้หรือ?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “มอบวิธีการหลอมสร้างให้ท่านอ๋อง ข้าก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยสักนิด ถ้าจำหน่ายในอาณาเขตทัพใต้ ก็จะแบ่งกำไรกับท่านอ๋องคนละครึ่ง!”

“แบ่งกันคนละครึ่ง?” ฮ่าวเต๋อฟางหรี่ตา “จำหน่ายในอาณาเขตทัพใต้เหรอ?”

เหมียวอี้พยักหน้า “ไม่ผิดหรอก! ขายแค่ในอาณาเขตทัพใต้!”

…………………………

เหวินเจ๋อยิงฟัน รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เข้ามาใกล้แล้วพูดเสียงเบาว่า “ไม่ปิดบังนายท่าน ข้าได้ข่าวมาจากวังสวรรค์นิดหน่อย ช่วงนี้ราชินีสวรรค์กับฝ่าบาทค่อนข้างตึงใส่กัน ราชินีสวรรค์เจ้าอารมณ์มาก ไม่มีใครกล้ายั่วโมโห ผู้การใหญ่ซ่างกวนคงไม่สะดวกจะเอ่ยปากเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้ข้ามาพูดเรื่องนี้หรอก”

เหมียวอี้เลิกคิ้ว “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า เพียงแต่เจ้าต้องทำความเข้าใจเรื่องบางเรื่องเอาไว้ให้ชัดเจน เจ้ายืนอยู่ฝั่งไหนกันแน่? ตอนนี้เจ้าคือคนของจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล แต่กลับช่วยคนนอกมาเฉือนแบ่งเนื้อของฝั่งนี้ รองผู้สำเร็จราชการเขาทำกันแบบนี้เหรอ? ในภายหลังจะยังกล้าปล่อยอำนาจให้เจ้าอีกเหรอ?”

ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้หน้าซ่างกวนชิง แต่สมาคมวีรชนนับเป็นอะไรล่ะ ถ้าแม้แต่สมาคมวีรชนก็ยังให้ส่วนแบ่ง ต่อไปถ้ามีอำนาจฝ่ายอื่นมาหาจะให้เขาปฏิเสธอย่างไร จะให้เปล่าๆ เยอะขนาดนั้นได้อย่างไร อย่างมากครั้งนี้เตรียมจะแบ่งเป็นของขวัญให้ซ่างกวนชิงก็พอ

เหวินเจ๋อถูกเขาว่าจนอับอายเล็กน้อย อธิบายว่า “ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฝั่งนั้นให้ข้ามาบอกเจ้าให้ยืดหยุ่นให้สักหน่อย เดี๋ยวจะส่งคนมาเจรจาเรื่องนี้อีกที”

ที่จริงซ่างกวนชิงก็ให้เขาพยายามจัดการให้สำเร็จ แม้จะส่งคนแยกมาอีกครั้ง แต่คาดว่าคนที่ซ่างกวนชิงส่งมาก็คงจัดการกับเหมียวอี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงส่งเหวินเจ๋อมาเป็นรองผู้สำเร็จราชการที่นี่ คอยช่วยออกแรงให้เบื้องหลังซ่างกวนชิงเช่นกัน เนื่องจากซ่างกวนชิงรู้สึกว่าเหวินเจ๋อมีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีกับเหมียวอี้ ไม่อย่างนั้นครั้งนี้ก็คงไม่ถึงคราวที่เหวินเจ๋อจะได้มาเป็นรองผู้สำเร็จราชการ เหวินเจ๋อมาที่นี่ได้ก็เรียกได้ว่าเป็นแผนสำรองของซ่างกวนชิง

แต่สถานการณ์ปัจจุบันของฝั่งนี้ก็คือมีผลประโยชน์ให้ทุกคนมาขอแบ่ง ส่วนอำนาจใหญ่เหมียวอี้ก็ยึดไว้คนเดียว เหมียวอี้กำไว้ในมืออย่างแน่นหนา เหมียวอี้พูดประโยคเดียวก็ไล่เหวินเจ๋อได้แล้ว เหวินเจ๋อเองก็ไม่กล้าช่วยเหลือภายนอกมากเกินไป ผลักความรับผิดชอบทันที

“ส่งใครมา?” เหมียวอี้ถาม

“ไม่รู้เหมือนกัน” เหวินเจ๋อส่ายหน้า เขาไม่รู้จริงๆ ว่าส่งใครมา

เพียงแต่ไม่นานเหมียวอี้ก็ได้รู้ความจริง นอกจากสมาคมวีรชนแล้วยังจะมีใครอีก

เหมียวอี้ไม่อยากเจอ ตอนนี้สมาคมวีรชนไม่ได้สำคัญอะไรในสายตาเขา เขาไม่ใช่เหมียวอี้ในปีนั้นที่ถูกสมาคมวีรชนบีบให้มอบหุ้นในมือให้อีกแล้ว อาศัยกำลังของเขาตอนนี้ สมาคมวีรชนทำอะไรเขาไม่ได้เลย

ทว่าคนที่มีค่อนข้างพิเศษ มิอาจไม่พบ ผู้ที่มาก็คือหวงฝู่ตวนหรง ผู้จัดการใหญ่ของของสมาคมวีรชน

ไม่ใช่แค่ต้องพบ ทั้งยังไปต้อนรับนอกจวนผู้สำเร็จราชการด้วยตัวเอง ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุสงฆ์ก็เห็นแก่หน้าพระพุทธรูป นั่นคือมารดาของหวงฝู่จวินโหรว ไม่ต้องพูดถึงว่าเขากับหวงฝู่จวินโหรวมีความสัมพันธ์อย่างนั้นกันแล้ว อีกฝ่ายแอบส่งข่าวลับให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า ในภายหลังยังมีเรื่องให้ใช้งานได้อีก จึงไม่กล้าล่วงเกิน

พอพบหน้ากัน เหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะต้อนรับอยู่ตรงประตูอย่างร่าเริง “ลมอะไรหอบผู้จัดการใหญ่มาถึงที่นี่แล้ว”

ในดวงตาหวงฝู่ตวนหรงฉายแววหลากอารมณ์ ทักทายกลับอย่างสุภาพ “ทักทายนายท่านผู้สำเร็จราชการ”

“ไม่ต้องมากพิธี เชิญ!” เหมียวอี้ยื่นมือและหลีกทางให้ ต้อนรับเข้ามาด้วยตัวเอง

พอเข้ามาในจวนผู้สำเร็จราชการแล้ว หวงฝู่ตวนหรงก็มองไปรอบๆ ทุกที่ล้วนมียอดฝีมือคอยอารักขา บวกกับกำลังทหารมากมายด้านนอก ในใจก็แอบตกตะลึง เจ้าเด็กนี่กลายเป็นเจ้าอาณาเขตที่มีอำนาจมากแล้วจริงๆ น่าเสียดายที่ลูกสาวตัวเองไม่ได้เสพสุขกับเกียรติยศความร่ำรวยนี้

พอเข้ามาในโถงรับแขก วางน้ำชาเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็กันคนอื่นออกไป แม้แต่หยางเจาชิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจหยางเจาชิง แต่เป็นเพราะรู้สึกอับอาย

หยางเจาชิงที่ถอยออกมาไม่รู้สึกแปลกใจ เขาพอจะสัมผัสได้ว่าเหมียวอี้กับผู้จัดการใหญ่ท่านนี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน ไม่อย่างนั้นแล้ว ขนาดเรื่องไม้ไม่ผุยังไม่ปิดบังตนเลย ทำไมต้องหลบเลี่ยงตนเวลาคุยกับท่านนี้ด้วย

เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว ท่าทีของหวงฝู่ตวนหรงก็เปลี่ยนไป นางเลิกคิ้วมองเหมียวอี้ด้วยสายตาเยียบเย็น

เหมียวอี้ละอายเล็กน้อย ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาปิดบังใบหน้า

หวงฝู่ตวนหรงไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน ได้แต่รออยู่อย่างนั้น

“ท่านมาได้ยังไง?” สุดท้ายเหมียวอี้ก็จำต้องเอ่ยถาม

“ไม่ต้อนรับเหรอ?” หวงฝู่ตวนหรงแสยะยิ้ม “ก็ใช่ ตลาดสวรรค์ทั้งใต้หล้าอยู่ในมือเจ้าแล้ว นายท่านผู้สำเร็จราชการตำแหน่งสูงอำนาจมาก มีหรือที่จะเห็นการเจรจาค้าขายของตัวละครเล็กๆ อย่างข้าอยู่ในสายตา ที่มาพบข้าได้ก็นับว่าไว้หน้าข้ามากแล้ว”

เหมียวอี้ไอแห้งหนึ่งที “ความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ได้อยู่ที่เรื่องนี้”

หวงฝู่ตวนหรงหัวเราะเสียงเย็น “พวกเรามีความสัมพันธ์อะไรกัน? เจ้าลองบอกมาสิว่าพวกเรามีความสัมพันธ์อะไรกัน”

ได้ลูกสาวเขาแล้วแต่ดันไม่แต่งงานด้วย มีความสัมพันธ์อะไรเหมียวอี้ก็พูดได้ไม่ชัดเหมือนกัน ทำได้เพียงยิ้มแห้งแล้วเปลี่ยนประเด็นสนทนา “จวินโหรวยังสบายดีใช่มั้ย?”

“อย่ามาถามข้า!” หวงฝู่ตวนหรงปัดทิ้งทันที พอพูดถึงเรื่องนี้นางก็โมโหทันที เพราะทั้งชีวิตของลูกสาวพังด้วยน้ำมือไอ้เวรตะไลนี่แล้ว “เจ้าก็รู้ว่าข้ามาทำอะไร เรื่องร้านขายของชำซื่อตรงเจ้าเตรียมจะทำยังไง?”

เหมียวอี้ร่ำร้องในใจ ทำไมถึงให้ผู้หญิงคนนี้มาเจรจาเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่ามีใครจงใจเพราะรู้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ระดับนี้อยู่หรอกใช่มั้ย แต่พอคิดไปคิดมาก็พบว่าตัวเองคิดมากไปเอง เดิมทีผู้หญิงคนนี้ก็ควบคุมดูแลร้านค้าของสมาคมวีรชนอยู่แล้ว ให้นางมาที่นี่ก็เป็นเรื่องปกติมาก

เหมียวอี้ทำได้เพียงยิ้มแห้ง “ร้านขายของชำซื่อตรงไม่เกี่ยวข้องกับข้า ถามผิดคนแล้วหรือเปล่า?”

หวงฝู่ตวนหรงกล่าวด้วยสีหน้าดุร้ายทันที “กล้าพูดเหรอว่าไม่เกี่ยวข้อง? เจ้าพาคนของสำนักลมปราณไปหมดแล้ว ทั้งยังต้องการจะสร้างร้านใหม่ด้วย ไม่ใช่ว่าจะอยากจะเบียดร้านขายของชำซื่อตรงให้ล้มหรอกเหรอ? แล้วใครจะรับผิดชอบความเสียหายของข้า?”

เหมียวอี้เถียงว่า “ไม่เกี่ยวข้องกับข้าจริงๆ เป็นตระกูลเซี่ยโห้วที่ปล่อยคนไป มีอะไรเสียหายก็ไปหาตระกูลเซี่ยโห้วสิ มาหาข้าก็ไม่มีประโยชน์หรอก!”

“อ้าว!” หวงฝู่ตวนหรงเหน็บแนม “สงสัยสันดานจะเป็นแบบนี้จริงๆ กินหมดแล้วไม่จ่ายเงินจนติดเป็นนิสัย”

เหมียวอี้ปาดเหงื่อ ย่อมฟังออกแล้วว่านางเหน็บแนมเรื่องอะไร ได้แต่ยิ้มแห้ง “ท่านคิดจะเอายังไงกันแน่ล่ะ?”

หวงฝู่ตวนหรงบอกว่า “ก็ได้ ถ้าเจ้าอยากจะสร้างร้านใหม่ก็ได้ แต่ต้องแบ่งหุ้นสองส่วนของร้านใหม่ให้ข้าเพื่อเป็นการชดเชย”

มีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าจะเอาหุ้นสองส่วน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นเหมียวอี้คงไล่ตะเพิดไปแล้ว แต่ทำอย่างนั้นกับท่านนี้ไม่ได้ เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “นี่ไม่ใช่ว่ากลั่นแกล้งข้าหรอกเหรอ? ถ้าข้ายืดหยุ่นเรื่องนี้ให้สมาคมวีรชน เวลาคนอื่นมาขอข้าแบบนี้บ้าง ข้าจะปฏิเสธพวกเขายังไง?”

“คนอื่นเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ ข้ามาหาเจ้า เจ้าก่อเรื่องนี้ขึ้น เรื่องนี้ลามมาถึงหัวข้าแล้ว ข้าให้คำชี้แจงไม่ได้ ถ้าไม่ให้มาหาเจ้าแล้วจะให้ไปหาใคร?” หวงฝู่ตวนหรงถาม

เหมียวอี้ถอนหายใจ “นี่คือเรื่องของสมาคมวีรชน ไม่ใช่เรื่องของท่านคนเดียว ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้น ข้ารับมือกับซ่างกวนชิงได้ ไม่ต้องให้ท่านกังวลหรอก”

หวงฝู่ตวนหรงกัดฟัน “เจ้าก็พูดได้สบายปาก เดิมทีข้าก็เป็นคนดูแลเรื่องร้านค้านี้ มีแต่ต้องดูดีในด้านผลประโยชน์เท่านั้น ข้าถึงจะมีความมั่นใจในการต่อรองกับที่บ้าน ถ้าข้าไม่มีอำนาจต่อรองในตระกูลหวงฝู่ ถึงตอนนั้นข้าจะอาศัยอะไรทำให้ลูกสาวได้สืบทอดตำแหน่งผู้จัดการใหญ่? เจ้าคิดว่าทรัพยากรของตระกูลใหญ่จะได้มาง่ายๆ ขนาดนั้นเหรอ ถ้าถูกเบียดไปยืนปลายแถว ก็ถึงขั้นชีวิตตกต่ำกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ ถ้าข้าไม่ช่วยนางแล้วใครจะช่วยนาง อย่าบอกนะว่าจะให้หวังพึ่งเจ้า?”

“เอ่อ…” เหมียวอี้พูดไม่ออก เขาไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน เรื่องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันในตระกูลใหญ่นั้นมีความเป็นไปได้อยู่แล้ว ผ่านมาหลายปีขนาดนี้เหมือนตัวเองจะไม่เคยให้อะไรหวงฝู่จวินโหรวเลย ถ้าขัดขวางเส้นทางของนางอีกก็เหมือนจะทำเกินไปหน่อย ภูมิหลังของหวงฝู่จวินโหรวก็เห็นๆ กันอยู่ ตอนนี้ตัวเองไม่มีทางแต่งงานเพื่อรับมาดูแลได้ แล้วทั้งสองก็ไม่สะดวกจะไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เพราะง่ายต่อการถูกจับได้ เขาขมวดคิ้วลังเลหลายครั้ง จากนั้นก็ถอนหายใจอีก “เอาอย่างนี้มั้ย ข้าให้หุ้นท่านส่วนหนึ่ง ตกลงไหม?”

“นี่เจ้ากำลังทำเหมือนไล่ขอทานเหรอ?” หวงฝู่ตวนหรงกัดฟันถาม

เหมียวอี้กล่าวด้วยความจนใจ “โลกนี้จะมีขอทานที่ดูร่ำรวยขนาดนี้ได้ยังไง? หุ้นส่วนนี้ก็ไม่ได้ให้เฉยๆ ให้สมาคมวีรชนเอาทรัพยากรมาแลก”

หวงฝู่ตวนหรงถลึงตา พลันยืนขึ้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ช่างเป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ดีนัก วันนี้นับว่าข้ารู้จักเจ้าแล้ว”

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนตาม ใช้สองมือบอกใบ้ว่าอย่าใจร้อน “ทำแบบนี้ไม่ใช่ว่าไว้หน้าท่านหรือไง ถ้าข้าจะไม่ให้เลยสักนิด สมาคมวีรชนก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ข้าไม่กลัวที่จะบอกท่านหรอกนะ ขนาดซ่างกวนชิงฝากฝังให้คนมาบอกข้า ข้ายังไม่สนใจเลย ที่ให้หุ้นสมาคมวีรชนหนึ่งส่วนก็เพื่อจะให้ท่านกลับไปรายงานได้สะดวก นอกจากนี้ ข้าแอบแบ่งหุ้นหนึ่งส่วนไว้ให้จวินโหรวแล้ว ผลประโยชน์ส่วนนั้นข้าให้จวินโหรวคนเดียว ข้าไม่มีเหตุผลที่จะยกประโยชน์ทั้งหมดให้สมาคมวีรชน”

หวงฝู่ตวนหรงเบะปากเล็กน้อย ความโกรธหายไปในชั่วพริบตาเดียว แล้วก็นั่งลงช้าๆ อีกครั้ง กิจการใหญ่ขนาดนั้น ถ้าให้หุ้นมาหนึ่งส่วนก็ถือว่าเป็นรายรับที่เยอะมากจนน่าตกใจแล้ว ขุนนางใหญ่มากมายอยากจะได้หุ้นส่วนหนึ่งของร้านขายของชำแต่ก็ยังไม่ได้ ถ้าลูกสาวได้มาจริงๆ ทั้งชีวิตนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ เสพสุขไม่รู้จบ นางคิดในใจว่าเจ้าเด็กนี่ก็ยังนับว่ามีมโนธรรม

เมื่อตกลงเรื่องนี้กันเรียบร้อยแล้ว หวงฝู่ตวนหรงก็รู้เช่นกันว่าคนตำแหน่งอย่างเหมียวอี้ไม่ว่างมาจัดการรายละเอียดเรื่องการเจรจาด้วยตัวเอง ตอนหลังย่อมส่งคนไปเจรจากับสมาคมวีรชนเอง นางถึงได้มมีอารมณ์จิบน้ำชาอย่างเอื่อยเฉื่อย พอวางถ้วยน้ำชาลง ก็เลิกคิ้วบอกว่า “ข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก ถ้าจะเดินเล่นสักหน่อยคงไม่ถือสาหรอกใช่มั้ย?”

“งั้นข้าจะเป็นเดินเล่นเป็นเพื่อนท่านเอง ตกลงมั้ย?” เหมียวอี้ถามกลั้วหัวเราะ

หวงฝู่ตวนหรงลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “เรื่องนั้นไม่ต้องหรอก ผู้สำเร็จราชการผู้สง่าผ่าเผยอย่างเจ้า ถ้ามาเดินเล่นกับข้าด้วยตัวเอง เดี๋ยวคนจะสงสัยเอาได้ง่ายๆ ฮูหยินขอเจ้าอยู่ที่ไหน? ข้ายังไม่เคยคุยด้วยจริงๆ จังๆ สักที ไปเดินเล่นกับฮูหยินของเจ้าก็พอแล้ว” นางอยากจะสัมผัสใกล้ชิดกับอวิ๋นจือชิวสักหน่อย ดูว่าผู้หญิงคนนี้จะดีกว่าลูกสาวนางสักเท่าไรกัน อวิ๋นจือชิวมีสิทธิ์อะไรมาเสพสุขกับเกียรติยศความร่ำรวยอย่างสง่าผ่าเผย แต่ลูกสาวนางกลับทำได้เพียงหลบๆ ซ่อนๆ โดยไม่ให้ใครรู้

ปาดเหงื่อ! เหมียวอี้รีบบอกว่า “นางออกไปทำธุระข้างนอก ตัวไม่อยู่ ให้ข้าไปเป็นเพื่อนท่านเถอะ”

“ทำไมลาะ? ซ่อนไว้ไม่กล้าให้ข้าเจอ กลัวข้าจะหลุดปากพูดอะไรหรือยังไง?” หวงฝู่ตวนหรงแสยะยิ้ม

เหมียวอี้แอบร้องในใจทันที “นางไม่อยู่จริงๆ ข้าไม่ได้โกหก หรือไม่อย่างนั้นท่านก็พักอยู่ที่นี่สักคืน เดี๋ยวนางก็คงจะกลับมาแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยให้นางเดินเล่นเป็นเพื่อนท่านตกลงมั้ย?”

เมื่อเห็นว่าเขาดูไม่เหมือนกำลังโกหก หวงฝู่ตวนหรงก็โบกมือ “ช่างเถอะ ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเอง คนฐานะอย่างข้ามาว่างเดินเล่นอยู่ที่นี่คงไม่เหมาะสม ไม่รบกวนดีกว่าฃ”

บทจะไปก็ไป เหมียวอี้อยากจะให้นางไปจะแย่อยู่แล้ว กลัวว่านางจะกลับมาแล้วเจออวิ๋นจือชิว กอปรกับอยากจะหลบเลี่ยง จึงไม่ได้ออกมาส่งด้วยตัวเอง ให้หยางเจาชิงไปส่งแทน

ขณะมองคล้อยหลังนางจากไป เหมียวอี้ก็เอามือตบหน้าผาก จะให้หุ้นหนึ่งส่วนนั่นกับหวงฝู่จวินโหรวอย่างไรก็ยังเป็นปัญหา จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้ ยังต้องคิดให้ดีอีกทีว่าจะดำเนินการอย่างไร

หวงฝู่ตวนหรงไปได้ไม่นาน ก็มีแขกมาอีกแล้ว นับว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติ โค่วเจิงมาเยือนด้วยตัวเอง

แม้จะไม่ได้มีบุญคุณติดค้างอะไรกับตระกูลโค่วแล้ว แต่ในนามก็ยังเป็นญาติกัน โค่วเจิงเองก็เป็นถึงท่านโหว สิ่งที่ภายนอกควรจะทำก็ยังต้องทำ เหมียวอี้ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองอีก

“พี่ใหญ่มาที่นี่ได้ นับว่าเป็นแขกที่หายากยิ่ง เชิญด้านใน!” นอกจวนผู้สำเร็จราชการ เหมียวอี้กุมหมัดคารวะต้อนรับ

“เหอะๆ!” โค่วเจิงตบบ่าเขาด้วยรอยยิ้ม เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ก็ยังวางมาดสูงส่งและเห็นเหมียวอี้เป็นน้องชาย เขาเอามือไขว้หลังมองไปรอบๆ “ไม่รีบหรอก เป็นครั้งแรกที่มาที่นี่ เดินเล่นเป็นเพื่อนข้าให้ทั่วสักหน่อยเถอะ”

…………………………

ตามกลิ่นหอมที่แผ่กระจาย สัตว์ปีกบนฟ้ารวมตัวกันมากมายราวกับเมฆ สัตว์เลื้อยคลานบนพื้นดินไต่บนพื้นหนาแน่น พวกทหารยามนอกพระตำหนักอุทยานมองมาทางนี้อย่างประหลาดใจ

พวกซ่างกวนชิงเหลียวซ้ายและขวา

ประมุขชิงร่ายอิทธิฤทธิ์หยุดเผา สะบัดแขนเสื้อหนึ่งที คลื่นกลมระลอกหนึ่งระเบิดออกโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง สัตว์เลื้อยคลานบนพื้นและสัตว์ปีกบนฟ้าถูกแรงระเบิดกระเด็นออกไป

ขณะมองปิ่นปักผมในมือถูกเผาไหม้ไปข้อหนึ่ง ประมุขชิงก็หันตัวมาหาทุกคน โบกปิ่นปักผมในมือด้วยแววตาเป็นประกาย เต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นฮึกเหิม

พวกลูกน้องเข้าใจความหมายที่เขาสื่อ เป็นของจริง เป็นไม้ไม่ผุในตำนานจริงๆ

ซ่างกวนชิงใช้มือมือมอบม้วนตำราด้วยรอยยิ้ม “ยินดีกับฝ่าบาท สอดคล้องกับลักษณะพิเศษของไม้ไม่ผุบนม้วนตำราทุกประการ น่าจะไม่ผิดพลาดขอรับ”

โพ่จวินชำเลืองภาพบนม้วนตำราพลางถามอย่างแปลกใจ “ฝ่าบาท ไม่ทราบว่าม้วนตำรานี้ใครเป็นผู้เขียนขึ้น เห็นได้ชัดว่าคนเขียนม้วนตำราเคยพบไม้ไม่ผุแล้ว ไม่รู้ว่าได้เป็นอมตะหรือเปล่า?”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเขียน” ประมุขชิงส่ายหน้า

โพ่จวินจ้องม้วนตำราแล้วพูดต่อ “ตามที่บรรยายไว้บนม้วนตำรา ไม้ไม่ผุยังมีผลข้างเคียง ต้องดื่มเลือดของมันถึงจะเป็นอมตะ ถ้าเข้าใจผิดไปกินไม้ของมัน ตัวคนก็จะกลายเป็นไม้ จะไม่ผุพังโดยใช้อีกวิธีการ”

ซ่างกวนชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ใครจะโง่ถึงขนาดไปกินไม้ บนนี้ก็บอกไว้แล้ว ถ้าฟันไม้นี้ออก ตรงปากแผลจะมีเลือดหยดออกมา ถ้าดื่มชามใหญ่จะสามารถมีชีวิตเป็นอมตะ”

ประมุขชิงกล่าวเสียงดังว่า “เกาก้วน งานในมือที่วางได้ก็วางไว้ก่อน รวบรวมกำลังจัดการเรื่องนี้ สอบสวนผู้หญิงสามคนนั้นให้ชัดเจน ต้องสืบให้เจอคนสำนักเทียนกู่ที่ถูกชิงตัวไป โดยเฉพาะซ่งต๋านั่น ต้องหาเขาให้เจอ! กำลังคนในมือพวกเจ้าต้องให้ความร่วมมือเต็มที่!”

“รับทราบ!” ทุกคนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง

ประมุขชิงโบกปิ่นปักผมในมือ “ไม้ไม่ผุคงจะไม่ได้มีแค่เลือดอมตะชามเดียวแน่ ขอเพียงหาไม้ไม่ผุพบ ข้าจะให้ทุกคนร่วมเป็นอมตะด้วยกัน!”

นี่นับเป็นคำสัญญาปลุกใจ ก็ช่วยไม่ได้ เขาคนเดียวต่อให้มีความสามารถมากขนาดไหน ต่อให้วรยุทธ์สูงขนาดไหน พลังแข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่มีประโยชน์ อาศัยแค่เขาคนเดียวจัดการเรื่องนี้ไม่ได้

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ทุกคนกุมหมัดคารวะ

เกาก้วนที่ยืนตัวตรงพลันบอกว่า “ฝ่าบาท เกรงว่าจะยุ่งยากแล้ว”

ทุกคนมองตามสายตาเขา เห็นเพียงตรงประตูลานตำหนักบนแนวภูเขาโดยรอบ ส่วนใหญ่ล้วนมีคนกำลังมองมาทางนี้ เห็นได้ชัดว่าตกใจกับเสียงความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ คาดว่าคงเห็นแล้ว

ประมุขชิงเริ่มมีสีหน้าหนักแน่น เมื่อครู่นี้กระตุ้นเพื่อทดสอบว่าไม้ไม่ผุเป็นของจริงหรือของปลอม จึงไม่ทันคิดไปทางด้านนี้ ปิดบังมาตั้งนานแต่กลับถูกเขาเปิดโปงเองแล้ว

ไม่ใช่แค่เขา หลายคนในที่เกิดเหตุก็ไม่ได้คำนึงถึงเช่นกัน ได้แต่ทอดถอนใจให้เบื้องล่างที่เข่นฆ่ากันเพื่อปิดบัง

“ฝ่าบาท พี่น้องเบื้องล่างสามารถหยถดเข่นฆ่ากันเพื่อปิดบังได้แล้วขอรับ” โพ่จวินกล่าวอย่างทอดถอนใจ

จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม ในห้องโบราณ เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งขัดสมาธิบนเตียงไม้พลันลืมตา “ประมุขชิงสร้างสถานการณ์ตบตาหรือเปล่า ประมุขชิงจะทดสอบไม้ไม่ผุอย่างเปิดเผยได้ยังไง?”

เว่ยซูส่ายหน้า “คุณชายเก้ายืนยันแล้ว ว่าผู้หญิงสามคนนั้นตกอยู่ในมือประมุขชิงแล้วจริงๆ พบกับประมุขชิงที่พระตำหนักอุทยานแล้ว”

เซี่ยโห้วลิ่งเงียบไป สงสัยในพระตำหนักอุทยานก็มีคนของตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกัน

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีเดินไปเดินมาอยู่ในป่าพลันหยุดนิ่ง แล้วเอียงหน้าถามว่า “ประมุขชิงสร้างสถานการณ์ตบตาหรือเปล่า?”

ถังเฮ่อเหนียนยิ้มเจื่อน “จะสร้างสถานการณ์ตบตาหรือไม่นั้นไม่สำคัญ กองทัพองครักษ์ที่หลบหนีการสังหารพวกนั้นหลุดมือไปแล้ว ค้นตัวแล้วไม่เจอผู้หญิงสามคนนั้น คาดว่าคงฉวยโอกาสตอนวุ่นวายหนีไปแล้ว ตอนนี้กองทัพองครักษ์เตือนให้พวกเราปล่อยคนเดียวนี้”

“ไม่มีประโยชน์แล้วจะเก็บไว้ทำไม? ปล่อยไปเถอะ” โค่วหลิงซวีโบกมือ แล้วเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอีก” สำนักเทียนกู่ สืบมาว่าคนของสำนักเทียนกู่ไปไหนแล้ว! ไม้ไม่ผุที่แท้จริงไม่น่าจะแสร้งอยู่บนตัวได้ คิดหาทางจับตาดูคนของวังสวรรค์ไว้ พวกเขาคงจะไปหาแล้ว”

“ขอรับ!” ถังเฮ่อเหนียนเอ่ยรับ

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ฮ่าวเต๋อฟางที่อยู่ในห้องตบโต๊ะยืนขึ้น “น่ารังเกียจ!”

ซูอวิ้นโน้มน้าวอยู่ข้างๆ “ท่านอ๋องไม่ต้องโมโหค่ะ ปิ่นปักผมอันนั้นกับผู้หญิงสามคนนั้นคงจะเป็นเพียงเบาะแส น่าจะมีโอกาสอีกค่ะ!”

“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้!” ฮ่าวเต๋อฟางกัดฟัน “เสียประโยชน์ให้หนิวโหย่วเต๋อนั่นแล้ว!”

ซูอวิ้นเข้าใจความหมายที่เขาสื่อ เขานึกไม่ถึงว่าการแย่งชิงจะจบลงเร็วขนาดนี้ ประกาศต่อใต้หล้าโดยสูญเปล่า ถ้ารู้แต่แรกคงอดทนไว้สักหน่อย หนิวโหย่วเต๋อใช้วิธีการโจมตีมาบีบเขา สิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจมากก็คือ ตอนที่เพิ่งประกาศออกไป ใต้หล้ารู้กันหมดแล้ว จะแตกคอกันทันทีก็จะดูไม่สมเหตุสมผล

ซูอวิ้นปลอบใจว่า “ท่านอ๋อง ที่โดนหนิวโหย่วเต๋อฉวยโอกาสก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นสำนักเทียนกู่ก็ถูกชิงตัวไปจากอาณาเขตทัพใต้ เกรงว่ายังเป็นจุดเน้นให้อำนาจแต่ละฝ่ายมาช่วงชิง ตราบใดที่เรื่องนี้ยังไม่จบ ทุกคนก็ยังเพ่งสมาธิอยู่กับเรื่องนี้ ยังไม่มีใครอยากให้มีปัญหาอื่นเข้ามาแทรก ท่านอ๋องโจมตีฝ่ายเดียวคงไม่คุ้ม แล้วอีกอย่าง ในภายหลังขอเพียงมีข้ออ้าง ยังกลัวจะไม่มีโอกาสจัดการเขาอีกเหรอคะ? ตอนนี้การตามหาไม้ไม่ผุคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งของท่านอ๋อง ทางฝั่งหนิวโหย่วเต๋ออย่าเพิ่งไปสนใจค่ะ”

ฮ่าวเต๋อฟางพยักหน้าเงียบๆ

พิภพเล็ก นภาอู๋เลี่ยง ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น หิมะขาวโพลน ลมหนาวพัดวูบ

อวิ๋นจือชิว หลินผิงผิง เสวี่ยเอ๋อร์ ทั้งสามเหาะมาเหยียบลงบนยอดเขา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตามหาอยู่ท่ามกลางหิมะ

กลับมาพิภพเล็กครั้งนี้ อวิ๋นจือชิวไม่ได้มาที่นี่ทันที แบบนั้นจะชัดเจนเกินไป นางไปเยี่ยมเยว่เหยาที่แดนโพ้นสวรรค์ก่อน ตอนนั้นเยว่เหยาอยู่ฝึกตนที่แดนโพ้นสวรรค์คนเดียว ไม่ได้อยู่กับฉินเวยเวย

หลังจากมาถึงนภาอู๋เลี่ยง ก็พูดคุยกับฉินเวยเวยอีกเล็กน้อย หลังจากพักผ่อนอย่างเป็นทางการแล้ว ถึงอ้างว่าเดินเล่นเพื่อมาที่ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น โดยมีเหยียนซิวคอยเฝ้าป้องกันให้บนยอดเขา

“ฮูหยิน ใช่ต้นนี้หรือเปล่าคะ?” จู่ๆ เสวี่ยเอ๋อร์ก็เอ่ยถาม

อวิ๋นจือชิวกับหลินผิงผิงถลันตัวเข้าไปพร้อมกัน เห็นเพียงตอไม้ต้นหนึ่งอยู่ในกองหิมะที่แหวกออก ถ้าไม่ใช่เพราะบนตอไม้มีรอยเลือดสีแดงเล็กน้อย ตอไม้ที่ขาวดุจหยกก็อาจถูกเข้าใจผิดเป็นก้อนน้ำแข็งแน่นอน

หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ปัดกวาดกองหิมะหมดแล้ว อวิ๋นจือชิวก็เดินวนหลายรอบ ตรวจสอบดูอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ตัดตอไม้ไปไม่ถึงโคน ยังสูงถึงเข่า จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เฟิงเป่ยเฉินให้ความสำคัญในปีนั้นอาจจะเป็นไม้ไม่ผุ ถูกลืมอยู่ที่นี่โดยไม่มีใครสนใจ อวิ๋นจือชิวเองก็ไม่เคยเห็นไม้ไม่ผุของจริง พึมพำอย่างลังเลว่า “คงจะเป็นสิ่งนี้ละมั้ง”

หลินผิงผิงใช้เท้าแหวกกองหิมะออก จากนั้นอุทาน “เอ๋” แล้วโน้มตัวดึงกิ่งไม้กิ่งหนึ่งออกจากกองหิมะ สีขาวบริสุทธิ์ดุจหยก เส้นเลือดชัดเจนจนสังเกตเห็นได้ ใบไม้ก็ยังอยู่บนนั้น

อวิ๋นจือชิวรู้สึกสะเทือนใจ เรียกให้อีกสองคนมาเก็บกวาดตรงนี้ด้วยกัน ไม่นานก็เห็นกิ่งไม้แห้งจำนวนมากจากกองหิมะ พวกมันถูกแช่แข็งเอาไว้ จึงคงสภาพเดิมไว้ค่อนข้างสมบูรณ์ ในปีนั้นเฟิงเป่ยเฉินก็ตัดต้นไม้ต้นนี้ ต้นไม้ต้นใหญ่แต่ตัดไปได้เพียงท่อนไม้สองท่อน ส่วนใหญ่เหลือทิ้งไว้ที่นี่

“เก็บกวาดให้ละเอียด ถ้าเป็นไม้ไม่ผุจริงๆ นั่นล้วนเป็นของดี อย่าให้มีตกหล่น” อวิ๋นจือชิวกล่าวเตือน

ทั้งสามคนไม่ปล่อยให้เหลือแม้แต่ชิ้นเล็กชิ้นน้อย สุดท้ายก็เก็บกวาดได้เป็นกอง

พอตรวจสอบกิ่งใหญ่ไปรอบหนึ่งแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ตรวจสอบตอไม้นั่นอีก ผลก็คือพบว่ามันตายไปแล้ว ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้นอีก นางดึงขึ้นมาดูทั้งราก อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ “ว่ากันว่าเลือดของไม้ไม่ผุจะไม่ถูกแช่แข็ง ต่อให้อุณภูมิต่ำแค่ไหนก็ไม่แข็ง ถ้าหยดออกมาเกินระยะเวลาหนึ่งมันจะแห้งไปเอง พอมาดูตอนนี้สงสัยจะเป็นเรื่องจริง ต้นไม้ต้นนี้อาจจะเป็นไม้ไม่ผุจริงๆ น่าเสียดายแล้ว”

หลังจากนางตรวจสอบแล้ว ก็พบว่าในเส้นเลือดของกิ่งไม้มีน้ำเลือดที่ทำให้คนเป็นอมตะตามตำนานจริงๆ จะไม่ปวดใจได้อย่างไร

หลินผิงผิงยิ้มปลอบใจ “ฮูหยิน ถ้านี่คือไม้ไม่ผุจริงๆ นำมาเผาผสมน้ำอาบแล้วจะรักษาความอ่อนเยาว์ได้ไม่ใช่เหรอคะ? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ก็ไม่ขาดทุนแล้ว”

ในบรรดาสามคนนี้ ใบหน้าของนางดูมีอายุมากที่สุด สาเหตุก็เป็นเพราะตอนแรกมีทรัพยากรฝึกตนไม่พอ การยืดระยะเวลาแก่ชราไม่ดีเท่าไร สำหรับนางแล้ว ถ้าสามารถรักษาความอ่อนเยาว์ของตอนนี้ไว้ได้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้ขออะไรมากมายกว่านี้

นางรู้ดี ในเมื่ออวิ๋นจือชิวปล่อยให้นางรู้ความลับนี้ได้ อีกทั้งตรงนี้ก็มีกิ่งไม้แห้งของไม้ไม่ผุมากมาย กอปรกับหยางเจาชิงสามีของนางถูกใช้งานในตำแหน่งสำคัญข้างกายเหมียวอี้ นางต้องได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์นี้แน่นอน

“นั่นก็ใช่” อวิ๋นจือชิวลูบใบหน้าตัวเองด้วยรอยยิ้ม “เก็บไว้ให้หมด อย่าให้ตกหล่นแม้แต่น้อย รอให้ยืนยันได้ก่อน แล้วพวกเราก็มาทดลองกัน ถ้าเป็นไม้ไม่ผุจริงๆ ก็เพียงพอให้คนใช้หลายคนเลย อนุภรรยาพวกนั้นของนายท่านก็ยังได้ทั่วถึง เดี๋ยววันหลังให้เจาชิงแต่งอนุอีกสักคนมาอาศัยบารมีด้วยกัน”

“ฮูหยินคะ!” หลินผิงผิงยิ้มเจื่อน นี่ไม่ใช่ว่าล้อนางเล่นหรอกเหรอ ถ้ามองจากจุดยืนของนาง ก็ย่อมไม่อยากให้หยางเจาชิงแต่งงานเพิ่มอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าหยางเจาชิงอยากจะแต่งงานเพิ่มอีก นางก็จะไม่ขัดขวาง อย่างไรเสียนางก็เคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ยังเลี้ยงดูไหว

หลังจากทางนี้ทำซ้ำไป อวิ๋นจือชิวไปที่สำนักงามวิจิตรอีก จะไปตรวจสอบระฆังดาราแบบใหม่ของเยารั่วเซียนสักหน่อย

เหมียวอี้ได้รับรายงานสถานการณ์จากฝั่งนี้ พอได้ยินว่าเลือดอมตะตามตำนานไม่มีแล้ว ก็เลิกสนใจไม้ท่อนนั้นทันที ต่อให้เป็นไม้ไม่ผุจริงๆ แล้วอย่างไรล่ะ ผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาไม่สนใจการักษาความอ่อนเยาว์อยู่แล้ว ส่วนระฆังดาราแบบใหม่ของสำนักงามวิจิตร เหมียวอี้ยังไม่สนใจจะนำมาใช้ที่พิภพใหญ่ ของสิ่งนี้ทำกำไรได้มากกว่าร้านขายของชำซื่อตรงแน่นอน อาศัยศักยภาพของเขาในปัจจุบัน ยังไม่สามารถรักษาผลประโยชน์มหาศาลขนาดนั้นที่พิภพใหญ่ได้

เขาฉวยโอกาสส่งกำลังพลไปประจำที่ดาวเคราะห์ที่ฮ่าวเต๋อฟางให้ สำนักลมปราณนับว่ามีที่อยู่แล้ว

เรื่องที่สำนักลมปราณสร้างร้านค้าใหม่ที่ตลาดสวรรค์ก็ยังไม่เป็นรูปธรรมเช่นกัน ต้องฉวยโอกาสตอนอำนาจฝ่ายต่างๆ ยังไม่สนใจสร้างร้านขึ้นมา

เขานึกว่าอื่นไม่สนใจ แต่ที่จริงแล้วทุกคนล้วนจับตาดู เพียงแต่ไม่พูดก็เท่านั้นเอง ต่างกำลังดูว่าเขาจะทำอย่างไร เห็นเขาทำท่าเหมือนจะสร้างเตาใหม่ขึ้นมาจริงๆ ก็เคลื่อนไหวทันที

หลังจากประชุมในตำหนักใหญ่เสร็จแล้ว เหวินเจ๋อยังอ้อยอิ่งอยู่ในตำหนัก ยังไม่แยกย้ายไปไหน

เหมียวอี้เดินลงบันไดบัลลังก์ พอเห็นก็รู้แล้วว่าผิดปกติ ถามว่า “มีเรื่องอะไร?”

เหวินเจ๋อยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างไม่อาย “นายท่าน ข้ามีเรื่องจะถาม”

เหมียวอี้มองเขาศีรษะจดเท้า “มีเรื่องอะไร?”

เหวินเจ๋อยิ้มแห้ง “ได้ยินว่าสำนักลมปราณจะสร้างร้านขายของชำขึ้นมาใหม่หรือขอรับ?”

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม? เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก สำนักลมปราณจัดการเองได้” เหมียวอี้ยังนึกว่าเขาอยากจะเข้ามาแทรกแซงเรื่อง

เหวินเจ๋อบอกว่า “นายท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้มีเจตนานั้น ทางวังสวรรค์มีคนฝากฝังให้ข้ามาบอกท่าน…เฮ้อ พูดตรงๆ แล้วกัน ท่านคงรู้ว่าเบื้องหลังสมาคมวีรชนคือใคร ผู้การใหญ่ซ่างกวนให้ข้ามาเตือนนายท่านสักหน่อย เดิมทีสมาคมวีรชนมีหุ้นสองส่วนอยู่ที่ร้านขายของชำซื่อตรง ตอนนี้นายท่านให้สำนักลมปราณสร้างร้านใหม่ เช่นนั้นหุ้นสองส่วนก็จะหายไปแล้ว ผู้การใหญ่ซ่างกวนจะสื่อว่า เขาไม่คัดค้านหากนายท่านอยากจะสร้างร้านใหม่ เพียงแต่จะมาหลอกลวงเขาไม่ได้”

เหมียวอี้เข้าใจแล้ว คิดจะชุบมือเปิบอีกล่ะสิ เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “เรื่องนี้จัดการง่าย เจ้าให้เขาไปหาราชินีสวรรค์สิ ขอเพียงราชินีสวรรค์มีคำสั่ง ข้าจะกล้าขัดขวางได้ยังไง แต่ถ้าราชินีสวรรค์ไม่ยอม ข้าก็ตัดสินใจเองไม่ได้เหมือนกัน”

…………………………

กลิ่นหอมลึกลับกลุ่มหนึ่งแผ่กระจายออกมา กลิ่นหอมอ่อนๆ ลึกลับไร้ร่องรอย แทบจะไม่ได้ยกลิ่น แต่กลับไม่สามารถทำให้กลิ่นหายไปได้ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

ประมุขชิงยื่นมือหยิบปิ่นมาจากมือจัวเซียงเหลียน สังเกตดูเล็กน้อย พบว่าทำมาจากกิ่งไม้จริงๆ ด้วย แทบจะรักษารอยหักคงเดิมเอาไว้ เพียงใช้มีดตัดแต่งเล็กน้อยเพื่อทำเป็นเครื่องประดับ ประมุขชิงนำมาจ่อดมตรงจมูกอีก หลับตาดมกลิ่นหอมอัศจรรย์ที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายที่สุด แล้วลืมตาขึ้นช้าๆ ถามจัวเซียงเหลียนด้วยแววตาเฝ้าคอยว่า “ไม่ต้องกังวล ถ้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เงยหน้าขึ้นมา”

ผู้หญิงทั้งสามเงยหน้าเล็กน้อย สายตามองบนใบหน้าเขาครู่เดียว แล้วก็รีบก้มหน้าอีก จะไม่กังวลได้อย่างไร น่ากลัวจริงๆ!

ต่อให้ทั้งสามนอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าทั้งชีวิตนี้จะมีโอกาสได้มาที่วังสวรรค์ในตำนาน มีโอกาสพบราชันสวรรค์ที่ได้ยินจากเสียงร่ำลือ รู้ว่านี่คือการมีอยู่ที่น่าหวาดกลัวที่สุด ไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้าอย่างไร

เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนั้น ประมุขชิงก็ไม่บังคับแล้ว ยื่นปิ่นปักผมไปข้างหลัง ให้พวกซ่างกวนชิงดูด้วย พวกเขารับมาผลัดกันดู แล้วก็ผลัดกันดม

ประมุขชิงจ้องจัวเซียงเหลียน “จัวเซียงเหลียน ข้าถามเจ้าหน่อย สิ่งนี้ทำมาจากไม้ไม่ผุจริงเหรอ?”

จัวเซียงเหลียนไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร แทบจะร้องไห้แล้ว ตอบเสียงสั่นว่า “ผู้น้อยก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำมาจากอะไรค่ะ”

“ไม่รู้เหรอ?” น้ำเสียงประมุขชิงฟังดูจริงจัง

ตุ้บ! จัวเซียงเหลียนคุกเข่าอีกครั้ง ฉางหงเหมยกับต้วนอ้ายเอ๋อร์ก็คุกเข่าลงอย่างอ่อนปวกเปียกเช่นกัน

ประมุขชิงค่อนข้างพูดไม่ออก มองออกแล้วว่าพวกนางสามคนคุกเข่าอาจจะผ่อนคลายกว่า ขี้คร้านจะสั่งให้พวกนางลุกขึ้นยืนแล้วเช่นกัน ถามว่า “เช่นนั้นทำไมมีคนบอกว่านี่คือไม้ไม่ผุ?”

จัวเซียงเหลียนส่ายหน้า ครั้งนี้ร้องไห้ออกมาแล้วจริงๆ ตอบเสียงสะอื้นว่า “ผู้น้อยไม่ทราบ ไม่ทราบจริงๆ ค่ะ!”

“ไม่รู้ด้วยเหรอว่าปิ่นปักผมนี้มาจากที่ไหน?” ประมุขชิงถาม

“ศิษย์พี่ของข้าส่งให้เป็นของขวัญ” จัวเซียงเหลียนตอบ

“ศิษย์พี่เจ้าได้มาจากไหน?” ประมุขชิงถาม

จัวเซียงเหลียนใส่หน้าร้องไห้ “ผู้น้อยไม่ทราบค่ะ”

ถามอะไรก็ไม่รู้ ประมุขชิงสีหน้าเริ่มหงุดหงิดแล้ว หันตัวเดินออกไปสองสามเก้า ขณะเดียวกันก็มองไปที่เกาก้วน แล้วเอียงหน้าบอกใบ้ให้เกาก้วนสืบสวน อย่างไรเสียเกาก้วนก็ถนัดเรื่องนี้อยู่แล้ว

เกาก้วนหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง ไม่นานก็มีคนเดินเข้ามาหลายคน ควบคุมตัวฉางหงเหมยกับต้วนอ้ายเอ๋อร์ออกไป จะไปสอบสวนแยก จัวเซียงเหลียนที่กำลังคุกเข่าหันซ้ายหันขวามองศิษย์พี่หญิงและศิษย์น้องหญิงถูกควบคุมตัวไป ทำให้หวาดกลัวกว่าเดิม

ผู้หญิงทั้งสามมีสภาพเหมือนแพะที่รอเชือด ถึงขั้นจนตรอกที่กว่าแพะด้วยซ้ำ ตอนถูกควบคุมตัวไปไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงขอความเป็นธรรมหรือร้องขอชีวิตด้วยซ้ำ ปล่อยให้เป็นฝ่ายถูกกระทำ

เกาก้วนเดินช้าๆ มาตรงหน้าจัวเซียงเหลียน ก้มมองลงต่ำพร้อมบอกว่า “ข้าคือเกาก้วนทูตตรวจการขวาตำหนักสวรรค์”

สมาชิกหน่วยตรวจการขวาสองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาหยิบแผ่นหยกขึ้นมาบันทึกบทสนทนา

ผู้พิพากษาหน้านิ่งในตำนาน…ในหัวจัวเซียงเหลียนมีบางอย่างแวบเข้ามา นางตัวสั่นเล็กน้อย แล้วโขกศีรษะกับพื้นทันที “นายท่าน!”

“ตั้งแต่นี้ไป ข้าถามอะไร เจ้าก็ตอบสิ่งนั้น ห้ามปิดบังแม้แต่นิดเดียว” เกาก้วนกล่าว

“ค่ะ!” จัวเซียงเหลียนเอ่ยรับ

“เจ้าชื่ออะไร เป็นศิษย์สำนักไหน?” เกาก้วนถาม

“ผู้น้อยชื่อจัวเซียงเหลียน เป็นศิษย์สำนักเทียนกู่”

“จะได้ปิ่นปักผมอันนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เมื่อวาน…ไม่ใช่สิ ประมาณเมื่อวันซืนค่ะ”

ประมุขชิงและคนอื่นๆ สบตากันแวบหนึ่ง ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้โกหก ก็แสดงว่าปิ่นปักผมเพิ่งมาอยู่ในมือนางได้ไม่นาน

“เราทำเองเหรอ หรือว่าซื้อมา?”

“ไม่ใช่เลยค่ะ เป็นศิษย์พี่ที่มอบให้ข้า”

“ศิษย์พี่เจ้าชื่ออะไร?”

“ซ่งต๋า”

“ทำไมซ่งต๋าถึงมอบปิ่นปักผมนี้ให้เจ้า?”

“ศิษย์พี่กับข้าเป็นคู่รักที่ท่านอาจารย์แนะนำให้ ศิษย์พี่มักจะมอบของขวัญให้ข้าบ่อยๆ ค่ะ”

“ศิษย์พี่เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าได้ปิ่นปักผมนี่มาจากไหน?”

“ศิษย์พี่ออกไปฝึกฝน บอกว่าเกือบจะหลงทางอยู่ในอาณาเขตดาวนิรนาม บังเอิญไปเห็นต้นไม้ประหลาดต้นหนึ่ง จึงหักกิ่งมาตัดแต่งทำปิ่นปักผมให้ข้า เขาไม่ได้บอกว่านำมาจากที่ไหน…”

ทั้งสองถามตอบกัน เริ่มตั้งแต่ตอนที่ได้ปิ่นปักผมต้นไปที่ตลาดสวรรค์ โดนคนบอกว่าเป็นไม้ไม่ผุ จนกระทั่งหนีออกจากตลาดสวรรค์และโดนคนจับได้ เล่าเหตุการณ์และขั้นตอนออกมาทีละนิด

หลังจากถามไปรอบหนึ่งแล้ว จู่ๆ เกาก้วนก็เริ่มใหม่อีกครั้งตั้งแต่แรก “เจ้าชื่ออะไร เป็นศิษย์สำนักไหน?”

เมื่อถามตอบกันได้สักระยะ จัวเซียงเหลียนที่อารมณ์เริ่มสงบลงแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามอง นางสงสัยเล็กน้อย คำถามนี้ถามไปแล้วไม่ใช่หรือ? เพียงแต่พอสบสายตาเย็นชาของเกาก้วน นางก็ตัวสั่นนิดหน่อย แล้วก็ตอบคำถามอย่างซื่อสัตย์ต่อไป

หลังจากถามคำถามทั้งหมดซ้ำอีกรอบแล้ว สมาชิกหน่วยตรวจการขวาทางฝั่งซ้ายและขวาก็เดินเข้ามา นำแผ่นหยกที่บันทึกการสอบสวนสองแผ่นส่งให้เกาก้วน

หลังจากเกาก้วนอ่านเปรียบเทียบทั้งสองแผ่นแล้ว ก็พบว่าเนื้อหาที่ถามจัวเซียงเหลียนสองครั้ง แม้จะมีบางคำคลาดเคลื่อน แต่สถานการณ์ก็เหมือนกัน

ผ่านไปไม่นาน ฉางหงเหมยกับต้วนอ้ายเอ๋อร์ที่ถูกจับแยกไปสอบสวนก็กลับมาแล้ว ส่งบันทึกการสอบสวนมาให้ด้วยเช่นกัน

เกาก้วนถามอีกเล็กน้อย จากนั้นหันตัวไปพูดกับประมุขชิง “ฝ่าบาท สามคนนี้พูดเหมือนกัน ไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน ส่วนสถานการณ์โดยละเอียดกว่านี้ ยังต้องให้หน่วยตรวจการขวาสอบสวนอย่างช้าๆ อีกทีขอรับ”

ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ เกาก้วนหันกลับมาบอกลูกน้อง “พาตัวกลับไปสอบสวนให้ละเอียดที่หน่วย”

“รับทราบ!” ลูกน้องเอ่ยรับคำสั่ง จากนั้นคุมตัวจัวเซียงเหลียนเดินออกไปด้วย

ปิ่นปักผมกลับมาอยู่ในมือประมุขชิงแล้ว ประมุขชิงถือมาจ่อดมตรงจมูก “เกาก้วน เจ้าคิดว่าสิ่งที่พวกนางบอกมีอะไรปิดบังหรือเปล่า?”

เกาก้วนใส่หน้า “การสอบสวนขั้นต้นคงจะไม่มีปัญหาอะไร จากประสบการณ์ของข้าน้อย พวกนางไม่เหมือนพูดโกหก อิงตามจากที่สอบถามจากสำนักอื่นที่ตั้งอยู่บนดาวเคราะห์เดียวกับสำนักเทียนกู่ คนที่รู้จักผู้หญิงสามคนนี้บอกมาว่า ผู้หญิงทั้งสามมีประวัติภูมิหลังสะอาดมาก และบริสุทธิ์มากด้วย ไม่มีประวัติความเป็นมาที่ซับซ้อนอะไร ถ้ากำลังพูดโกหกจริงๆ เช่นนั้นผู้หญิงทั้งสามคนก็ไม่ธรรมดาแล้ว แต่ถ้าไม่ได้โกหก พวกนางก็น่าจะรู้เพียงเท่านี้ สรุปก็คือไม่ว่าจะโกหกหรือไม่ ก็ต้องตรวจสอบความจริง ต้องตามหาคนของสำนักเทียนกู่ให้เจอ โดยเฉพาะซ่งต๋านั่น”

ประมุขชิงพยักหน้า

“ประเด็นของปัญหาก็คือ คนของสำนักเทียนกู่หายไปหมดแล้ว มีคนนำหน้าพวกเราไปหนึ่งก้าว ชิงตัวคนของสำนักเทียนกู่ไปแล้ว” อู๋ฉวี่กล่าว

เกาก้วนพูดเสริมอีกว่า “ตามที่เทพแห่งภูผาและเทพแห่งผืนดินให้การ ตอนที่คนของสำนักเทียนกู่ถูกชิงตัวไป เป็นหลังจากตอนที่ปิ่นปักผมถูกเปิดโปงที่ตลาดสวรรค์แล้ว เห็นได้ชัดว่าตอนแรกคนอื่นก็ไม่รู้เช่นกันว่าสำนักเทียนกู่กับไม้ไม่ผุเกี่ยวข้องกัน มารู้หลังจากเรื่องปิ่นปักผมถูกเปิดโปง ดูท่าแล้วคงมีคนที่ตลาดสวรรค์รู้ข้อมูลของผู้หญิงทั้งสามก่อนพวกเรา แย่งตัดหน้าเราไปแล้วขอรับ”

ซือหม่าเวิ่นเทียนขมวดคิ้ว “ดูจากสถานการณ์ที่ตลาดสวรรค์ พวกเราสืบเจอข้อมูลของผู้หญิงสามคนนั้นก่อน และเป็นพวกเราที่รีบไปที่สำนักเทียนกู่ก่อน ต่อให้จะมีข่าวหลุดพร้อมกัน แต่คนเกือบพันของสำนักเทียนกู่ก็ไม่ได้รวมตัวอยู่ด้วยกัน คงไม่ถูกจับไปทั้งหมดเร็วขนาดนั้นหรอกกระมัง?”

“ข่าวอาจไม่ได้หลุดไปพร้อมกัน บางทีอาจมีคนสืบเจอก่อนพวกเราแล้วก็ได้” เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบ

สายตาของทุกคนมองไป โพ่จวินถามว่า “หมายความว่ายังไง?”

สำหรับการสืบคดี ทุกคนค่อนข้างเชื่อการตัดสินของเกาก้วน ในจุดนี้แม้แต่โพ่จวินก็ต้องยอมรับ ถึงแม้จะชอบด่าเกาก้วนว่าเป็นขุนนางทรราชก็ตาม!

เกาก้วนอธิบายว่า “หลักการเรียบง่ายมาก ก็ร้านค้าที่สืบเจอประวัติของผู้หญิงสามคนนั้นไง สำนักเทียนกู่อยู่ไม่ห่างจากตลาดสวรรค์ดาวเฟยหัว ผู้หญิงสามคนนั้นไปที่ตลาดสวรรค์บ่อยๆ จะมีคนรู้ประวัติของพวกนางก็ไม่แปลกเลยสักนิด ก่อนที่พวกเราจะสืบเจอ อาจจะมีคนรู้ประวัติพวกนางแล้วลงมือก่อนก็ได้ เพียงแต่ระดมคนไปชิงตัวคนเกือบพันของสำนักเทียนกู่ได้เร็วขนาดนี้ ไม่ธรรมดาเลย ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้”

“ในบรรดาคนที่ตามไปสำนักเทียนกู่ ไม่เห็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว สงสัยว่าจะเป็นฝีมือของตระกูลเซี่ยโห้ว” อู๋ฉวี่กล่าว

เกาก้วนบอกว่า “คนไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะทำ แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลเซี่ยโห้วไม่ชอบแสดงกำลังอย่างเปิดเผย อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุก็พอฟังขึ้น มิหนำซ้ำใครจะกล้ารับประกัน ว่าท่ามกลางคนที่ไปที่เกิดเหตุไม่มีคนของตระกูลเซี่ยโห้ว? เพียงแต่จะบอกว่าตระกูลเซี่ยโห้วก็เป็นไปได้ ฮ่าวเต๋อฟางก็เป็นไปได้เช่นกัน ถ้าพูดถึงความคุ้นเคยต่อสถานการณ์ในอาณาเขตทัพใต้ ตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะเทียบฮ่าวเต๋อฟางไม่ได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะรู้ประวัติของผู้หญิงสามคนนี้ก่อน เพียงแต่เป็นไปได้ทั้งสองฝ่าย หรือไม่ทุกคนก็มีความเป็นไปได้ ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้เบาะแส ตัดใครออกไม่ได้ทั้งนั้น ทุกคนล้วนมีความเป็นไปได้ว่าจะเสแสร้งปิดบัง”

ทุกคนเงียบไป พบว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ ฮ่าวเต๋อฟางแทรกซึมอยู่ในอาณาเขตทัพใต้มาหลายปี ทุกที่ล้วนเป็นคนของฮ่าวเต๋อฟาง ถ้าจะรู้ประวัติของผู้หญิงสามคนนั้นก่อนก็ไม่แปลก กำลังพลของฮ่าวเต๋อฟางเทียวไปเทียวมา ไม่แน่ว่าอาจกำลังปิดบังความจริงอยู่ก็ได้

เกาก้วนมองไปที่ของในมือประมุขชิง “ในเมื่อได้ปิ่นปักผมมาไว้ในมือแล้ว ตอนนี้ก็ต้องยืนยันก่อนว่าใช่ไม้ไม่ผุหรือไม่ ทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานว่าเป็นของจริง ถ้าเป็นของปลอมขึ้นมา เช่นนั้นก็เหนื่อยเปล่าแล้ว”

ประมุขชิงดมปิ่นปักผมอีกครั้ง แล้วสั่งว่า “ซ่างกวน เราไปหยิบ ‘ม้วนตำราของมหัศจรรย์ ‘ ที่หอเก็บหนังสือของตำหนักดาราจักรมา”

เขาไม่ได้แอบตรวจสอบคนเดียวส่วนตัว แต่จะทำให้ชัดเจนต่อหน้าทุกคน

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงน้อมรับคำสั่ง แล้วถลันตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ซ่างกวนชิงก็เหาะกลับมาอีก เหยียบลงพื้นตรงหน้าทุกคน แล้วยื่นหนังสือหนาเล่มหนึ่งให้

ภายใต้การบอกใบ้ของประมุขชิง ซ่างกวนชิงพลิกหาต่อหน้าทุกคน พวกเขาเข้ามาล้อมดู เห็นเพียงหน้ากระดาษที่ซ่างกวนชิงเปิดอ่านดูค่อนข้างหนา เหมือนจะยืดหยุ่นเล็กน้อยด้วย เป็นสีเขียวปนขาว เหมือนจะทำจากหนังสัตว์อะไรสักอย่าง

“ฝ่าบาท หาพบแล้วขอรับ” ใช้เวลาไม่นาน ซ่างกวนชิงก็ตะโกนบอก แล้วถือมาตรงหน้าประมุขชิง

เห็นเพียงบนหน้ากระดาษที่เขียวแกมขาว วาดพรรณนาลักษณะต้นไม้ใหญ่บนยอดเขาหิมะเอาไว้ต้นหนึ่ง ภาพบนม้วนกระดาษล้วนเป็นลายเส้นสีดำ แยกสีภาพไม่ออก แต่บรรยายลักษณะเอาไว้จนเห็นภาพ เมื่อเทียบกับปิ่นปักผมในมือประมุขชิง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าต้นไม้เดิมที่ใช้ทำปิ่นปักผมหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ดูจากใบที่เหลือไว้บนปิ่นปักผม เทียบกันแล้วก็พบว่าเหมือนกัน ใบเป็นรูปหัวใจสองอันซ้อนกัน แยกออกได้ง่ายมาก

หลายคนที่อยู่ตรงนั้นตกใจทันที สบตากันแวบหนึ่ง แล้วมองเนื้อหาที่บรรยายไว้ใต้ภาพอีกที

ประมุขชิงหยิบมีดสั้นด้ามหนึ่งออกมาทันที แล้วออกแรงกรีดบนปิ่นปักผม แต่ปิ่นปักผมไม่ขาด เหนียวทนทานมาก รอยกรีดประสานรวมกันอีกครั้งแล้ว

จากนั้นพวกเขาก็ถลันตัวออกจากพระตำหนักอุทยานอีก พอถึงนอกตำหนักแล้ว ประมุขชิงก็จุดหินผลึกไขมันเพลิงก้อนหนึ่ง ร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเพลิงให้พอดี แล้วเผาปลายปิ่นปักผม แม้อุณภูมิบนหินผลึกจะสูง แต่ปิ่นปักผมกลับทนไฟมาก ต้องค่อยๆ รอกว่าจะเห็นรอยไหม้ พอไหม้จนมีควันลอยออกมา กลิ่นหอมลึกลับนั่นก็เข้มข้นขึ้นเยอะมาก ยิ่งไหม้ก็ยิ่งหอม ดมแล้วทำให้รู้สึกสดชื่น

ผ่านไปครู่เดียว พวกเขาก็มองไปบนพื้นรอบๆ เห็นสัตว์เล็กประเภทมดแมลงทยอยไต่ออกมาทางนี้ ไม่นานนกน้อยที่บินผ่านก็ถูกดึงดูดเข้ามาเช่นกัน มาบินวนบนศีรษะของพวกเขาพลางส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว

………………

เหมียวอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย “ใจกล้าก็ไม่ได้หมายความว่าต้องทำเรื่องโง่เสมอไป!”

“ท่านผู้สำเร็จราชการกำลังหาข้ออ้างให้ตัวเองหรือเปล่า?” ซูอวิ้นถามกลั้วหัวเราะ

เหมียวอี้จึงยิ้มพร้อมกล่าวสิ่งที่มีความหมายล้ำลึก “กำลังพูดเหน็บแนมข้าเหรอ? ได้ ถ้าอยากจะรู้ว่าข้าใจกล้าหรือเปล่าก็ง่ายมาก ถ้าเจ้ากล้าหาญ ก็พูดอย่างเมื่อครู่นี้อีกครั้งดูสิ!”

ซูอวิ้นมองพร้อมยิ้มเล็กน้อย ฟังเข้าใจความหมายของเหมียวอี้แล้ว ถ้านางเกล้าพูดอีกครั้ง ถ้าอีกฝ่ายไม่ฆ่านาง ก็คงไม่เจรจากับนางแล้ว หรือไม่…สายตาของเหมียวอี้หยุดอยู่บนหน้าอกนางอย่างไม่เป็นมิตรสุดๆ ทำให้นางใจสั่นเพราะความกลัว

“เชิญท่านผู้สำเร็จราชการ!” ซูอวิ้นหันตัวมายื่นมือเชิญ เก็บกลั้นคำพูดเพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นประโยชน์ต่อการเจรจา ถึงอย่างไรครั้งนี้นางก็ไม่ได้มาเพื่อประชด

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินอยู่ข้างๆ ทั้งสองเดินเคียงข้างกัน เดินเนิบนาบอยู่บนลานกว้างท่ามกลางสายตาของฝูงชน ส่วนผู้ติดตามสองคนของซูอวิ้นก็ยังถูกควบคุมไว้ราวกับเป็นพลทหารยศเล็ก

“ที่นี่เล็กไปหน่อย แต่สภาพแวดล้อมก็ไม่เลว” ซูอวิ้นมองไปรอบๆ เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่พูดอะไร นางถึงได้เข้าประเด็นหลัก “ได้ยินว่าท่านผู้สำเร็จราชการต้องการจะโจมตีทัพใต้เหรอ?”

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะตอบว่า “ไม่ใช่สักหน่อย เป็นข่าวลือทั้งนั้น”

“…” ซูอวิ้นเอียงหน้ามองเขา พูดแบบนี้ก็ไม่ต้องเจรจาแล้ว ยิ่งทำให้นางหนักใจมากขึ้น กังวลว่าเหมียวอี้จะต้องโจมตีให้ได้ ไม่ใช่ว่าฮ่าวเต๋อฟางกลัวกำลังพลเล็กน้อยของเหมียวอี้ แต่สิ่งที่กังวลจริงๆ ก็คือการที่ประมุขชิงชักใยอยู่เบื้องหลัง ที่นางมาด้วยตัวเองก็เพราะจะทำความเข้าใจสถานการณ์แบบต่อหน้า ดังนั้นนางจึงต้องพูดประเด็นนี้ต่อไป “เรื่องที่ผู้สำเร็จราชการหนิวประกาศคำสั่งโจมตีต่อบรรดาแม่ทัพที่นี่ ข้ารู้แล้ว”

“โจมตีแล้วยังไง ไม่โจมตีแล้วยังไง?” เหมียวอี้ยอมรับอย่างไม่ใส่ใจ

“โจมตีไปก็ไม่มีผลดีอะไรกับเจ้า” ซูอวิ้นกล่าว

“ก็ดีกว่ารอให้พวกเขามาโจมตีข้าที่นี่” เหมียวอี้พูด

ซูอวิ้นจึงบอกว่า “สิ่งที่ผู้สำเร็จราชการหนิวได้ยินมาต่างหากที่เป็นข่าวลือ”

“เรื่องบางเรื่องทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ ถ้าพ่อบ้านซูมาที่นี่เพื่อเสแสร้งแกล้งทำ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเจรจาแล้ว” เหมียวอี้บอกนาง

ซูอวิ้นหัวเราะเบาๆ “ที่จริงผู้สำเร็จราชการหนิวก็ไม่อยากโจมตีหรอก เพียงแต่ถือโอกาสใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟเท่านั้นเอง?”

“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ?” เหมียวอี้ถาม

“ถ้าอยากโจมตีจริงๆ เจ้าคงไม่มาเจรจากับข้าแบบต่อหน้าหรอก” ซูอวิ้นกล่าว

เหมียวอี้บอกว่า “ไม่ใช่ว่าอยากเจรจากับเจ้า แต่อยากพบกับเจ้า ถ้าเปลี่ยนให้คนอื่นมา ข้าก็คงไม่มาเจอหรอก”

“อยากพบค่า?” ซูอวิ้นสงสัย

เหมียวอี้บอกว่า “ได้ยินว่าพ่อบ้านซูหน้าตางดงามไร้ที่เปรียบ ทำให้อ๋องสวรรค์ฮ่าวคลั่งไคล้ได้ มีโอกาสได้สัมผัสกับคนสวยในระยะขนาดนี้ ข้าจะพลาดได้อย่างไร”

ซูอวิ้นสีหน้าเย็นเยียบลงเล็กน้อย แสยะยิ้มบอกว่า “ล้อเล่นแบบนี้กับผู้หญิงแก่อย่างข้า ผู้สำเร็จราชการหนิวรู้สึกสนุกเหรอ?”

เหมียวอี้มองประเมินนางศีรษะจดเท้า “ไม่แก่เลยสักนิด ดูแลตัวเองดีมาก”

ซูอวิ้นมองไปตรงที่ไกลๆ ด้วยสายตาราบเรียบ “ผู้สำเร็จราชการหนิว พวกเราเลิกอ้อมค้อมได้แล้ว ต้องการผลประโยชน์อะไรก็บอกมาตรงๆ”

“หมายความว่าต้องการให้ข้าเลิกเคลื่อนทัพก่อกวนเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

ซูอวิ้นไม่พูดอะไร นับว่ายอมรับแล้ว

“ก็ได้! ขอเพียงอ๋องสวรรค์ฮ่าวตอบรับเงื่อนไขข้าข้อหนึ่ง ข้าก็จะไม่เคลื่อนทัพ” เหมียวอี้กล่าว

ซูอวิ้นยิ้มบางๆ คิดในใจว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วย “ว่ามา!”

“เงื่อนไขข้อเดียวก็คือ ให้เจ้าอยู่ที่นี่ต่อ!” เหมียวอี้กล่าว

ซูอวิ้นพูดหยอกว่า “เกรงว่าหลังจากจบเรื่อง อ๋องสวรรค์ฮ่าวจะมาคิดบัญชีกับเจ้าน่ะสิ อยากจะเก็บข้าไว้เป็นตัวประกันเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ผิดแล้ว! เป็นอนุภรรยา ขอเพียงอ๋องสวรรค์ฮ่าวให้เจ้ามาเป็นอนุภรรยาข้า ข้าก็จะไม่เคลื่อนทัพไปก่อกวน!”

ซูอวิ้นหยุดฝีเท้า กล่าวด้วยใบหน้าเย็นเยียบดุร้าย “ผู้สำเร็จราชการหนิว…” แต่พอนึกได้ถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่ สุดท้ายก็ข่มไฟโกรธเอาไว้ “เงื่อนไขนี้ไม่ได้ เปลี่ยนใหม่”

“ตลาดสวรรค์ในอาณาเขตทัพใต้ ห้ามแตะต้องคนของข้า ข้าต้องการอำนาจควบคุมตลาดสวรรค์ในอาณาเขตทัพใต้ แน่นอนว่าข้าจะไม่แตะต้องผลประโยชน์ของท่านอ๋องที่ตลาดสวรรค์ ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งนอกทางเข้าออกแดนรัตติกาลก็ไม่เลว ให้ข้าด้วยสิ อ๋องสวรรค์ฮ่าวต้องรับประกันว่าในภายหลังจะไม่ใช้กำลังทหารกับแดนรัตติกาล พร้อมทั้งรับประกันด้วยว่าจะไม่ให้กำลังพลสายอื่นใช้กำลังทหารกับแดนรัตติกาล”

“นี่ไม่ใช่เงื่อนไขข้อเดียวแล้ว เป็นเงื่อนไขหลายข้อ”

“งั้นเจ้าก็อยู่เป็นอนุภรรยาของข้าที่นี่ สำหรับข้า เงื่อนไขข้อนี้เทียบเท่ากับอีกหลายเงื่อนไขพวกนั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าพ่อบ้านซูจะมีค่าพอในใจท่านอ๋องหรือเปล่า”

ซูอวิ้นนับว่าเข้าใจแล้ว ที่ไอ้สารเลวนี้พูดว่าอยากครอบครองนางนั้นเป็นข้ออ้าง เขาชอบนางได้ก็แปลกแล้ว เงื่อนไขหลายข้อหลังต่างหากที่อีกฝ่ายต้องการ

ในเมื่อเสนอเงื่อนไขมาแล้ว ซูอวิ้นก็โล่งอกเหมือนยกก้อนหินออกจากใจ แค่ไม่โจมตีจริงๆ ก็พอแล้ว

เพียงแต่เรื่องบางเรื่องซูอวิ้นไม่มีอำนาจตัดสินใจ นางติดต่อขอคำชี้แนะฮ่าวเต๋อฟางตรงนั้นเลย

เหมียวอี้ไม่อยากก่อเรื่อง ฮ่าวเต๋อฟางก็ไม่อยากก่อเรื่องในเวลานี้เช่นกัน ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีอะไรต้องต่อรอง เจรจาเรียบร้อยเร็วมาก

ส่วนตัวซูอวิ้นเอง เหมียวอี้ยังไม่อาจปล่อยกลับไปได้ ต้องเก็บไว้เป็นตัวประกัน ต้องรอให้ฮ่าวเต๋อฟางประกาศต่อใต้หล้าก่อน เขาถึงจะปล่อยคน ไม่อย่างนั้นสัญญาปากเปล่าก็เชื่อถือไม่ได้ ถึงอย่างไรหลังจากจบเรื่องแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่มีความสามารถที่จะคานอำนาจกับอีกฝ่ายอยู่ดี

เมื่อมีซูอวิ้นเป็นตัวประกันแล้ว เหมียวอี้ก็ประกาศต่อตลาดสวรรค์ในใต้หล้าอย่างเป็นทางการ บอกว่าที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะบุกโจมตีทัพใต้ล้วนเป็นข่าวลือ

พอเหมียวอี้ประกาศออกมา ฮ่าวเต๋อฟางก็ประกาศผ่านตลาดสวรรค์เช่นกัน บอกว่าเรื่องที่ทัพใต้ต้องการจะโจมตีทัพใหญ่แดนรัตติกาลเป็นข่าวลือ ทุกคนล้วนอยู่ใต้สังกัดตำหนักสวรรค์ เป็นกำลังพลของตำหนักสวรรค์ด้วยกันทั้งนั้น ทั้งยังเป็นเพื่อนบ้าน รักใคร่ปรองดองกันกันเสมอมา จะไม่บุกโจมตีกัน และจะไม่อนุญาตให้อำนาจฝ่ายอื่นอาศัยอาณาเขตทัพใต้มาโจมตีแดนรัตติกาลด้วย เพื่อทำลายข่าวลือนี้ ทัพใต้สนับสนุนให้จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลควบคุมตลาดสวรรค์ พร้อมทั้งยกดาวเคราะห์ในอำนาจปกครองให้หนึ่งดวงด้วย

ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่อยากถ่วงเวลา เรื่องนี้ดำเนินการอย่างรวดเร็วมาก

เรื่องราวเป็นไปตามนี้ ฮ่าวเต๋อฟางทำให้เหตุการณ์ในภายหลังสงบได้ โล่งใจแล้ว

ส่วนเหมียวอี้ก็ไม่จำเป็นต้องกลับตัวซูอวิ้นไว้อีก ปล่อยซูอวิ้นอย่างตรงไปตรงมา

จนกระทั่งตอนนี้ วิกฤตที่แดนรัตติกาลเผชิญยังไม่นับว่าถูกแก้ไขอย่างเป็นทางการ ส่วนการประกาศระหว่างทั้งสองฝ่ายจะรักษาผลไว้ได้นานเท่าไหร่ นั่นก็เป็นเรื่องในภายหลัง อย่างน้อยก็มีผลในช่วงนี้แน่นอน

ในตอนนี้ บรรดาแม่ทัพจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเพิ่งเข้าใจเจตนา ว่าทำไมก่อนหน้านี้ท่านผู้สำเร็จราชการจึงระดมกำลังพลและแสดงท่าทีว่าจะโจมตีทัพใต้ ที่แท้ก็โจมตีเพื่อป้องกัน กำลังปกป้องแดนรัตติกาล และรักษาผลประโยชน์ของแดนรัตติกาล การผ่านหายนะครั้งนี้ไปได้ทำให้กำลังพลที่แอบไม่พอใจสงบลงแล้ว ย่อมมีความเชื่อมั่นต่อคำสั่งของเหมียวอี้มากขึ้น โดยเฉพาะเหวินเจ๋อ เขารู้สึกโล่งอกเหมือนยกก้อนหินออกจากใจ

พระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงแสยะยิ้ม “ผู้สำเร็จราชการหนิวของพวกเราช่างฉวยโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เก่งจริงๆ”

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องเดี่ยวมีสีหน้าล้ำลึกสงบนิ่งดุจน้ำ พบว่าตัวเองวุ่นวายอยู่ตั้งนาน แต่ก็ยังทำให้หนิวโหย่วเต๋อรอดพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้ เรื่องนี้ทำให้เขาเดือดดาลมาก เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อย ไม่มีสมาธิมายุ่งกับเรื่องนี้ด้วย เขาใช้สมาธิทั้งหมดไปกับเรื่องไม้ไม่ผุ

โค่วหลิงซวียืนเอามือไขว้หลังเงียบๆ อยู่ในศาลา พอได้ยินข่าวก็ส่ายหน้าเล็กน้อย ถอนหายใจเบาๆ แล้วพึมพำว่า “เจ้าเด็กนี่เดินมาได้ถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!”

ในดาราจักร การชิงตัวฉางหงเหมยและศิษย์น้องเตรียมคงดำเนินต่อไป กองหนุนของกองทัพองครักษ์ทยอยกันมาถึง กองทัพองครักษ์นับล้านสังหารมาตลอดทาง

อำนาจแต่ละฝ่ายมารวมตัวกันที่นี่ บางคนก็สวมเครื่องแบบตำหนักสวรรค์ บางคนก็สวมเกราะรบแอบอื่น ชุดลำลองก็มี

กำลังพลที่ตามมาถึงมีมากขึ้นเรื่อยๆ การแย่งชิงไม่เพียงแค่ไม่เบาลง การเข่นฆ่ายังดุเดือดขึ้นด้วย

กำลังพลนับหมื่นที่สวมชุดลำลอง ไม่รู้ว่าเป็นของอำนาจฝ่ายไหน บุกสังหารเข้ากระบวนทัพของกองทัพองครักษ์อย่างห้าวหาญไม่กลัวตาย กำลังไม่อ่อนแอ

ขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน แม่ทัพคนหนึ่งของกองทัพองครักษ์ก็ฉวยโอกาสตอนวุ่นวายดีดแหวนเก็บสมบัติออกมาวงหนึ่ง นักพรตชุดลำลองที่กำลังต่อสู้ถือโอกาสโบกมือรับไว้

ผ่านไปไม่นาน กำลังพลที่สวมชุดลำลองก็ต้านการโจมตีโหดของกองทัพองครักษ์ไม่ไหว ถูกกองทัพองครักษ์กดดันให้ถอยออกมา

กองทัพองครักษ์บุกไปข้างหน้าต่อเพื่อสังหารกำลังพลแต่ละฝ่ายที่พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง กำลังพลชุดลำลองส่วนใหญ่ไล่ตามโจมตี ส่วนน้อยที่ได้รับบาดเจ็บหยุดไล่ตามแล้ว หลังจากมองคล้อยหลังกำลังพลแต่ละฝ่ายไล่ตามกองทัพองครักษ์ไป ชายหนุ่มชุดลำลองที่เหมือนจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยและรับแหวนเก็บสมบัติไว้ก็ยืดตัวตรง มองศพที่ลอยอยู่รอบๆ แล้วหันกลับมาบอกว่า “ไป!”

พวกเขาสังเกตการณ์รอบๆ แล้วรีบหนีไปยังจุดลึกในดาราจักร

หลังจากนั้นหนึ่งวัน ใต้ชายคาพระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงยืนเอามือไขว้หลัง,หลับตาเงียบๆ อู๋ฉวี่ที่อยู่ข้างๆ เก็บระฆังดารา แล้วกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท คนคนถูกพามาถึงนอกตำหนักแล้วขอรับ”

ประมุขชิงพลันลืมตา แล้วกล่าวพร้อมอมยิ้ม “พาเข้ามา”

ผ่านไปครู่เดียว ฉางหงเหมยและศิษย์น้องก็ปรากฎตัวท่ามกลางสายตาพวกเขาโพ่จวินถอนหายใจเบาๆ จนไม่ได้ยิน เพื่อที่จะพาตัวคนพวกนี้มาอย่างราบรื่น เพื่อที่กองทัพองครักษ์จะปิดบังความจริงว่าหลุดเงื้อมมือมาได้แล้ว พวกเขาก็ยังคงเข่นฆ่ากันอย่างเอาเป็นเอาตายตลาดทาง จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังดำเนินต่อไป เสียสละชีวิตคนไปไม่รู้ตั้งเท่าไร

เพื่อความเป็นอมตะของคนคนเดียว ต้องทิ้งชีวิตคนไปแล้วนับไม่ถ้วน

สภาพแวดล้อมโดยรอบงดงามตระการตา ดุจแดนเซียนสวรรค์ สามารถมองเห็นมังกรหมอบและหงส์บิน ทั้งยังเห็นทหารสวรรค์อยู่ทั่วทุกที่ ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็ยิ่งพบเห็นได้ง่าย ศิษย์หญิงสามคนมองไปรอบๆ แล้วตกใจ ไม่รู้ว่าถูกพาตัวมาอยู่ที่ไหนแล้ว

พอเห็นคนที่ยืนอยู่บนบันได ก็พบว่าแต่ละคนมีสง่าราศีไม่ธรรมดา หลังจากเดินมาตรงตีนบันไดก็ถูกตะคอกให้หยุด แล้วทหารคนหนึ่งก็กุมหมัดคารวะไปบนบันได “ฝ่าบาท คนมาถึงแล้วขอรับ”

ฝ่าบาท? ศิษย์หญิงสามคนตกใจมาก ขณะมองผู้ชายหนึ่งในนั้นที่สวมเครื่องแต่งกายหรูหรา ก็ไม่รู้ว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า ในใต้หล้านี้คนที่ถูกเรียกว่า ‘ฝ่าบาท’ ได้ เกรงว่าคงจะมีเพียงราชันสวรรค์แล้ว อย่าบอกนะว่าคนคนนี้คือราชันสวรรค์?

พอนึกถึงสภาพแวดล้อมของที่นี่อีก เห็นมังกรร่อนหงส์บิน ศิษย์หญิงสามคนก็ยิ่งรู้สึกกลัว อย่าบอกนะว่าที่นี่คือวังสวรรค์?

ซ่างกวนชิงตะคอกแล้วว่า “บังอาจ! เห็นราชันสวรรค์แล้วยังไม่ทำความเคารพอีก!”

พวกนางแทบจะทยอยกันคุกเข่าโดยจิตใต้สำนึก กล่าวเสียงสั่นว่า “ฝ่าบาท!” ทั้งหมดไม่กล้าเงยหน้า

ประมุขชิงโบกมือให้แม่ทัพที่คุมตัวถอยออกไป เหมือนเขาจะอารมณ์ดีพอสมควร มองออกแล้วว่าศิษย์หญิงสามคนวิตกกังวล ค่อยๆ เดินลงมาจากบันได เดินมาตรงหน้าผู้หญิงทั้งสาม แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องประหม่า ลุกขึ้นเถอะ!”

พวกซ่างกวนชิงที่อยู่บนบันไดเดินตามลงมาแล้ว

ศิษย์หญิงสามคนลุกขึ้นอย่างตัวสั่น ไม่กล้าเงยหน้ามองตรงๆ

“พวกเจ้าชื่ออะไร?” ประมุขชิงถาม

“ฉางหงเหมย…จัวเซียงเหลียน…ต้วนอ้ายเอ๋อร์…”

ผู้หญิงทั้งสามตัวสั่น เสียงก็สั่นเช่นกัน

ประมุขชิงกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ได้ยินว่าพวกเจ้ามีปิ่นปักผมอันหนึ่งที่ทำจากไม้ไม่ผุ ยินดีจะให้ข้าดูสักครั้งไหม?”

จัวเซียงเหลียนหยิบปิ่นปักผมออกมาทันที แล้วยื่นให้ด้วยมือที่สั่นเทิ้ม

สายตาของประมุขชิงและคนอื่นๆ ไปรวมอยู่บนปิ่นปักผมสีขาวโปร่งแสงที่มีสีแดงอยู่ข้างใน

ในจวนจอมพลสายเถาะ ผังก้วนที่ได้รับคำสั่งทางทหารจากฮ่าวเต๋อฟางกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องนอน ฮ่าวเต๋อฟางต้องการให้เขาระดมกำลังพลกลุ่มหนึ่งไปเตรียมพร้อมป้องกันบริเวณแดนรัตติกาล

“หนิวโหย่วเต๋อ เจ้านั่นคงไม่คิดจะโจมตีจริงๆ หรอกใช่ไหม?” ผังก้วนหยุดเดินแล้วเอ่ยถาม

เฉินหวยจิ่วยิ้มเจื่อนอยู่ข้างๆ “นี่เป็นเวลาที่เหมาะกับการโจมตี อาศัยแค่สิ่งที่เขาทำก่อนหน้านี้ เกรงว่าคงไม่เกี่ยวกับกล้าหรือไม่กล้า เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อเขา คาดว่าประมุขชิงคงหวังให้เรื่องนี้สำเร็จเช่นกัน”

ผังก้วนหยิบระฆังดาราออกมาเสียเลย ติดต่อไปหาเหมียวอี้ด้วยตัวเอง ถามฉันทีว่า : เจ้าต้องการจะโจมตีทัพใต้?

เหมียวอี้ถามกลับ : จอมพลผัง เจ้าเองก็รู้ว่าข้าถูกบีบจนไม่มีทางเลือก ถ้าข้าไม่ฉวยโอกาสโค่นล้มเขา เขาก็จะเล่นงานข้าถึงตาย ถ้าพบกับจอมพลผังบนสนามรบ จอมพลผังก็ได้โปรดออมมือด้วย! จอมพลผัง ขอพูดสิ่งที่ไม่ควรพูด เจ้าเองก็รู้ถึงความตั้งใจของฝ่าบาท ทำไมไม่ฉวยโอกาสเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ ตอนกำลังวุ่นวายล่ะ? ข้ายินดีให้ความร่วมมือเต็มที่!

ผังก้วนถูกเขาพูดยั่วจนใจสั่น ในเวลานี้ฮ่าวเต๋อฟางยากที่จะได้รับการสนับสนุนจากกำลังทหารฝ่ายอื่น นี่คือโอกาสในการลงมือจริงๆ!

หลังจากทั้งสองติดต่อกันจบ ผังก้วนก็ลังเลไม่หยุด

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ในตำหนักศูนย์บัญชาการ ก่วงลิ่งกงกำลังนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวเงียบๆ

เขาย่อมได้ข่าวความเคลื่อนไหวของแดนรัตติกาลแล้ว หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่วงลิ่งกงก็ส่ายหน้าเบาๆ “ตอนนี้ฮ่าวเต๋อฟางลำบากแล้ว ข้าก็บอกแล้วว่ากำลังพลหลายสิบล้านนั่นคือหายนะแอบแฝง ดันพูดถูกเสียด้วย!”

โกวเยว่ส่ายหน้าเบาๆ ในใจเขารู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อโจมตีไม่ชนะทัพใต้ แต่กุญแจสำคัญก็คือเลือกเวลาลงมือได้ดี สิ่งที่ฮ่าวเต๋อฟางกังวลก็คือจิตใจของคนทัพใต้ เจตนาของประมุขชิงก็คือ ต่อให้ตอนนี้ฮ่าวเต๋อฟางอยากจะเอ่ยปากขอให้อ๋องสวรรค์ท่านอื่นสนับสนุน แต่ทุกคนก็จะต้องให้ฮ่าวเต๋อฟางหลีกทางเรื่องไม้ไม่ผุให้ แต่สำหรับฮ่าวเต๋อฟางแล้ว เรื่องหนิวโหย่วเต๋อเหมือนจะไม่สำคัฐเท่าเรื่องไม้ไม่ผุ!

ก่วงลิ่งกงพลันเอียงหน้าถาม “เลือกเวลาได้ดีขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้าเด็กนั่นกุเรื่องไม้ไม่ผุขึ้นมาเพื่อเอาตัวรอดหรอกนะ?”

โกวเยว่ตอบอย่างไม่แน่ใจ “เรื่องนี้พูดยากมาก มีความเป็นไปได้ แต่ก็มีความเป็นไปไม่ได้ไม่มาก นอกเสียจากว่าเขาจะมีไม้ไม่ผุอยู่จริงๆ ไม่อย่างนั้นถ้าสืบเจอว่าเป็นเรื่องโกหก มีคนถูกปั่นหัวเยอะขนาดนี้ แม้แต่ประมุขชิงก็ถูกปั่นหัวไปด้วยแล้ว เขารับผลที่ตามมาไม่ไหวหรอกขอรับ ถ้าในมือเขามีไม้ไม่ผุจริงๆ จะทำได้เปิดเผยออกมาได้เหรอ?”

“ถ้ารอจนยืนยันได้ว่าเรื่องไม้ไม่ผุจริงหรือเท็จก็คงดี ถ้านั่นไม่ใช่ไม้ไม่ผุ จะได้จัดการเจ้าเด็กนั่นทันที!” ก่วงลิ่งกงแสยะยิ้ม แต่เขารู้ชัดอยู่แก่ใจ ว่าหนิวโหย่วเต๋อต้องการเลือกเวลานี้ลงมือ มีหรือที่จะรอให้ทุกคนยืนยันได้ว่าไม้ไม่ผุจริงหรือเท็จ แบบนั้นคือการรนหาที่ตาย

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ในศาลากลางป่า หลังจากฟังถังเฮ่อเหนียนรายงานจบ โค่วเจิงก็ถามอย่างตกใจ “เจ้าหมอนั่นรนหาที่ตายรึไง เขาช่างกล้าสู้จริงๆ?”

โค่วหลิงซวีเคาะนิ้วบนโต๊ะเบาๆ แล้วหรี่ตาบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่คนโง่ ถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ตักตวงผลประโยชน์อะไร กลับจะเสียหายหนักด้วยซ้ำ ข้าว่าเขากำลังฉวยโอกาสบีบฮ่าวเต๋อฟาง แค่ต้องดูว่าฮ่าวเต๋อฟางจะให้ผลประโยชน์อะไรเขาได้ เอาเป็นว่าตอนนี้ฮ่าวเต๋อฟางไม่อยากทำศึก ถ้าหนิวโหย่วเต๋อแกล้งโง่แล้วดันทุรังโจมตีจริงๆ เช่นนั้นฮ่าวเต๋อฟางก็ลำบากแล้ว แล้วอีกอย่าง ไม่รู้ด้วยว่าที่หนิวโหย่วเต๋อทำแบบนี้เพราะมีประมุขชิงยุยงอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนี้จริง เรื่องนี้ก็ยุ่งยากแล้ว”

โค่วเจิงพูดสอดว่า “ที่จริงก็แก้ปัญหาง่ายมาก ทุกคนก็ไม่ต้องแย่งไม้ไม่ผุอะไรนั่นแล้ว ร่วมมือกันปราบทัพใหญ่แดนรัตติกาลก่อนก็สิ้นเรื่อง”

เมื่อเขาพูดแบบนี้ ถังเฮ่อเหนียนก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่งทันที แอบร้องในใจว่าแย่แล้ว

เป็นอย่างที่คาดไว้ โค่วหลิงซวีเลิกคิ้ว แล้วเหล่ตาพูดอย่างเยียบเย็น “ดูท่าเจ้าจะหวังให้ไม้ไม่ผุตกอยู่ในมือประมุขชิงนะ ไม่อยากให้บิดาของเจ้าอายุยืนเป็นอมตะล่ะสิ! กลัวว่าถ้าข้าไม่แก่ตายก็จะไม่ส่งต่อตำแหน่งอ๋องให้เจ้าใช่มั้ย? เจ้าวางใจเถอะ ถ้าได้ไม้ไม่ผุมาจริงๆ ข้าก็จะหลบอยู่หลังม่านเอง!” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ ข้าไม่ขัดขวางเส้นทางของเจ้าหรอก

โค่วเจิงตกใจจนเหงื่อแตกทั้งตัวทันที คุกเข่าอธิบายตรงนั้นเลยว่า “ท่านพ่อโปรดระงับโทสะ ลูกชายไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริงๆ…”

การแย่งชิงไม้ไม่ผุเข้าสู่จุดเดือดแล้ว จุดสนใจไปรวมอยู่ที่ตัวฉางหงเหมยและพวกศิษย์น้อง อำนาจหลายฝ่ายแทบจะสู้กันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง สู้กันดุเดือดมาก แต่กลับฉีกผ้าที่บดบังอยู่ชั้นสุดท้ายไม่ได้ ควรจะสู้ก็สู้แล้ว ควรจะแย่งก็แย่งแล้ว แต่ก็ไม่มีใครประณาม

ทัพใหญ่แดนรัตติกาลกำลังระดมพลขนาดใหญ่ เหมียวอี้กำลังนำเหล่าแม่ทัพล้อมอยู่หน้าแผนที่ดาวเพื่อร่างแผนโจมตี

ทัพใต้ที่อยู่นอกแดนรัตติกาลก็กำลังระดมพลเช่นกัน เตรียมพร้อมป้องกัน

คนสนิทอันดับหนึ่งข้างกายฮ่าวเต๋อฟาง ซูอวิ้นไปถึงแดนรัตติกาลเร็วที่สุด นางออกโรงด้วยตัวเอง ตอนนี้ย่อมต้องแก้ปัญหาให้ฮ่าวเต๋อฟาง แต่ฮ่าวเต๋อฟางเป็นห่วงความปลอดภัยของนาง ไม่กล้าให้นางมา แต่นางก็แน่วแน่ที่จะมาด้วยตัวเอง

เพื่อแสดงความจริงใจ นางพาผู้อารักขามาด้วยเพียงสองคน ผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดเพื่อเข้ามาในแดนรัตติกาล

แดนรัตติกาล นอกจวนผู้สำเร็จราชการ ซูอวิ้นที่เหาะลงมาเห็นชิงเยว่ออกมาต้อนรับ ความแค้นระหว่างกันทำให้ทั้งสองมีสีหน้าหลากหลายอารมณ์ยามพบกัน

“ชิงเยว่ เราไม่ได้เจอกันหลายปีแล้วนะ” ซูอวิ้นข่มความแค้นในหัวใจ พยายามเจียดรอยยิ้มออกมา

“ขอบคุณพ่อบ้านซู พวกเราพบกันที่นี่อีกแล้ว” ชิงเยว่ก็ไม่ได้มีสีหน้าเป็นมิตรอะไร หันตัวยื่นมือเชิญ “ท่านผู้สำเร็จราชการกำลังรออยู่ข้างใน เชิญ!”

ซูอวิ้นไม่ใส่ใจอะไร ยิ้มตอบแล้วเดินตามเข้าไป

ก่อนหน้านี้ตอนที่เว่ยซูและโกวเยว่มา เหมียวอี้ล้วนออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง แต่ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าไม่มีความจำเป็นนั้น

เหมียวอี้ยืนอยู่บนบันไดนอกตำหนักหลัก สวมเกราะรบสดใหม่ มองซูอวิ้นที่เดินเข้ามาด้วยสายตาเย็นเยียบ มองประเมินหญิงที่แต่งกายเป็นชายคนนี้ คิดในใจว่างดงามไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย มิน่าล่ะถึงได้รับความโปรดปรานจากฮ่าวเต๋อฟาง

ซูอวิ้นยืนอยู่ตรงตีนบันได ไม่ได้ขึ้นมาข้างบน กวาดสายตามองฝั่งซ้ายฝั่งขวาของเหมียวอี้ เห็นเพียงนักรบจำนวนมากดุจเมฆบนฟ้า สวมเกราะแดงกันเป็นแถบ นางแอบทอดถอนใจ พบว่าเขายิ่งใหญ่แล้วจริงๆ ด้วย

เป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่อย่างนั้นจะทำให้นางลดเกียรติมาด้วยตัวเองได้อย่างไร

เพียงแต่ซูอวิ้นไม่ได้ขึ้นไป มองขึ้นมาด้านบนพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้สำเร็จราชการหนิวมองลงมาจากที่สูง วางมาดแบบนี้ อยากแสดงบารมีให้ข้าดูเหรอ? ถ้าไม่กลัว ก็มาเดินเล่นด้วยกันสักหน่อยเถอะ!” พูดจบก็ยกมือให้ผู้ติดตามข้างหลังหยุดเดิน แล้วตัวเองก็หันตัวขึ้นไปบนลานกว้างคนเดียว

พวกเหวินเจ๋อที่อยู่ข้างๆ เริ่มเครียดทันที กังวลว่าเหมียวอี้จะคล้อยตาม ต้องทราบไว้ว่าซูอวิ้นคือยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ ถ้าจับเหมียวอี้เป็นตัวประกันขึ้นมาก็จะยุ่งแล้ว

วิธีการยั่วยุให้ฮึกเหิมทำอะไรเหมียวอี้ไม่ได้ กล่าวเสียงเย็นว่า “คนที่ได้เดินเล่นกับซูคนงามมีเพียงอ๋องสวรรค์ฮ่าวเท่านั้น ผู้สำเร็จราชการคนนี้ไร้วาสนาจะรับไว้!”

พอได้ยินคำพูดเหน็บแนมอ้อมๆ แบบนี้ ผู้ติดตามของซูอวิ้นก็ก้าวขึ้นมาตะคอกทันที “บังอาจ!”

เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบทันที “จัดการ!”

ซ้ายขวามีกำลังพลกลุ่มใหญ่พุ่งเข้ามาทนัที ผู้ติดตามของซูอวิ้นชักอาวุธเตรียมจะต่อต้าน แต่กลับถูกซูอวิ้นโบกมือห้ามไว้ ปล่อยให้ฝ่ายเหมียวอี้ควบคุมพวกเขา นางเข้าใจชัดเจน ว่าตอนนี้เข้ามาในถ้ำเสือแล้ว ถ้าเหมียวอี้ต้องการจะลงมือกับพวกเขาจริงๆ การฆ่าทั้งสามก็เป็นสิ่งที่ง่ายเพียงสั่งประโยคเดียวเท่านั้น ขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์

ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้เดินลงบันได มองข้ามผู้ติดตามสองคนที่ถูกกดไว้ เดินมาตรงหน้าซูอวิ้นแล้วโบกมือ คนที่จับซูอวิ้นไว้ปล่อยนางทันที แล้วหลีกทางให้ทางซ้ายและขวา

เหมียวอี้ยื่นมือ “ในเมื่อพ่อบ้านซูอยากจะเดินเล่น ข้าก็ย่อมต้องเดินเป็นเพื่อน”

ซูอวิ้นดึงเสื้อผ้าที่ถูกจับจนยับ แล้วพูดหยอกว่า “ว่ากันว่าท่านผู้สำเร็จราชการใจกล้าคับฟ้า วันนี้ได้เห็นเองแล้ว ก็ได้แค่นี้เอง!”

……………………

เหมียวอี้ได้ยินแล้วเหม่อ รีบหลบเลี่ยงคนอื่นที่อยู่ข้างกาย เดินไปยังที่ลับตาคน แล้วเขย่าระฆังดาราถามว่า : เจ้าล้อเล่นใช่มั้ย?

หยางชิ่ง : ข้าน้อยมิบังอาจ

เจ้าคงไม่คิดว่าตรงหน้ากำลังวุ่นว่ายนิดหน่อย แล้วสามารถอาศัยกำลังพลเล็กน้อยของข้าโจมตีทัพใต้ได้หรอกใช่มั้ย?

เหมียวอี้พึมพำในใจ ในมือเขย่าระฆังดาราตอบ : โอกาสอะไร?

หยางชิ่ง : ก่อนหน้านี้ข้าน้อยเคยบอก ว่ารอดูความเปลี่ยนแปลงเงียบๆ ตอนหลังอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เอื้อประโยชน์ต่อพวกเรา การเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว!

เหมียวอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง ลองนึกย้อนดูนิดหน่อย ไม่ผิดหรอก ก่อนหน้านี้หยางชิ่งเคยพูดจริงๆ บอกว่าต้องการเดิมพันสักตั้ง…จู่ๆ ในใจก็สั่นด้วยความกลัว ถามว่า : เจ้าเดาออกตั้งแต่แรกแล้วเหรอว่าจะเกิดเรื่องนี้? เรื่องไม้ไม่ผุเป็นแผนของเจ้าใช่มั้ย?

หยางชิ่ง : ข้าน้อยไม่มีความสามารถนี้ คงจะเป็นคนคนนั้นที่ลงมือ

คนคนนั้น? คนคนไหน? เหมียวอี้ครุ่นคิด แล้วก็เบิกตากว้าง ค่อยๆ ทำสีหน้าไตร่ตรอง แล้วสุดท้ายก็บอกว่า : กำลังพลเล็กน้อยแค่นี้โจมตีทัพใต้ เป็นเรื่องเพ้อฝัน

หยางชิ่ง : เป็นเรื่องเพ้อฝันจริงๆ แต่ขอเพียงให้ทัพใต้รู้สึกว่านายท่านจะทำอย่างนี้จริงๆ ก็พอแล้ว…

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็รีบกลับไปที่บ้านของเหิงอู๋เต้า เผชิญหน้ากับทุกคนที่ทยอยกันลุกขึ้น พร้อมกล่าวเสียงต่ำว่า “เรียกรวมแม่ทัพทุกคนไปประชุมที่จวนผู้สำเร็จราชการ!”

คนกลุ่มหนึ่งรีบออกจากบ้านของเหิงอู๋เต้า

ใช้เวลาไม่นาน แม่ทัพนับหมื่นก็เหาะมาจากที่ต่างๆ ของดาวจันทร์อี่ แล้วรีบเดินเข้าจวนผู้สำเร็จราชการ รวมตัวกันบนลานกว้างอย่างหนาแน่น

สมาชิกมันกันครบแล้ว เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบอีกครั้งเดินออกจากตำหนักใหญ่ หยุดยืนอยู่บนบันได กวาดสายตามองเบื้องล่างอย่างเครียดขรึมจริงจัง

กลุ่มคนที่หนาแน่นได้แต่มองเขาตาปริบๆ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรอีก ได้ยินว่าแก้ไขวิกฤติได้แล้วไม่ใช่เหรอ?

“ทุกคน ที่เรียกทุกคนมาตอนนี้ ก็เพราะจะประกาศเรื่องหนึ่งให้ทุกคนรู้!”

เหมียวอี้ประกาศเสียงดัง มองปฏิกิริยาของทุกคน แล้วพูดเสียงดังต่อว่า “คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจะบอกให้ ไม้ไม่ผุ! ทุกคนเคยได้ยินเรื่องไม้ไม่ผุหรือเปล่า? คาดว่าคงเคยได้ยินมาหมดแล้ว ได้ยินว่าไม้ไม่ผุปรากฏขึ้น อยู่ข้างๆ บ้านพวกเรานี่เอง ตอนนี้ในอาณาเขตทัพใต้คึกคักมาก อำนาจแต่ละฝ่ายกำลังแก่งแย่งกัน ข้าเองก็จะไม่หลบซ่อนอีกแล้ว ข้าเองก็เตรียมตัวจะเข้าไปประสมโรงด้วยเหมือนกัน!”

เบื้องล่างฮือฮาทันที คนส่วนใหญ่บ้างก็ตกตะลึงก็การปรากฏตัวของไม้ไม่ผุ บ้างก็อกสั่นขวัญแขวนกับการที่เหมียวอี้บอกว่าจะเข้าไปประสมโรง

เหมียวอี้มองปฏิกิริยาของทุกคน แล้วพูดระงับเสียงฮือฮาอีกครั้ง “ทุกคนอาจจะรู้สึกว่าข้าใจใหญ่เกินไป ผิดแล้ว ข้าไม่ไปแย่งไม้ไม่ผุหรอก ผู้สำเร็จราชการคนนี้รู้จักประมาณชัดเจน ของนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา แย่งมาแล้วก็อาจจะก่อหายนะถึงชีวิต เช่นนั้นพวกเราจะเข้าไปประสมโรงทำไมล่ะ? ก็เพื่อนบ้านไร้เหตุผลน่ะสิ ทุกคนคงรู้เรื่องที่อีกฝ่ายเตรียมจะโจมตีพวกเราแล้ว แม้ตอนนี้เรื่องไม้ไม่ผุจะทำให้พวกเขาไม่มีเวลามาสนใจพวกเรา แต่ถ้าเรื่องไม้ไม่ผุผ่านไปเมื่อไร เกรงว่าพวกเราคงหนีไม่พ้นหายนะถึงชีวิต ข้าไม่ใช่คนที่นั่งรอความตาย! ในเมื่อเขาไร้ศีลธรรมก่อน ก็อย่ามาโทษว่าข้าขาดคุณธรรมแล้วกัน ในเมื่อจะยื่นหัวหรือหดหัวก็หนีไม่พ้นดาบ เช่นนั้นเขาเองก็เลิกคิดไปเลยว่าจะอยู่สบาย พอเกิดเรื่องไม้ไม่ผุขึ้น ทัพใต้ก็ปั่นป่วนวุ่นวาย เป็นโอกาสดีให้พวกเราลงมือ ข้าเตรียมจะระดมทัพใหญ่รุกโจมตีก่อน โจมตีทัพใต้…”

เหวินเจ๋อที่อยู่ข้างๆ พูดไม่ออก ขณะมองเหมียวอี้พูดอย่างมั่นอกมั่นใจ เขาก็เริ่มรู้สึกอยากตายแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองคือหนึ่งในคนที่ได้รับความอยุติธรรมที่สุด ตอนย้ายออกจากกองทัพองครักษ์ยังแอบดีใจที่ถูกปล่อยออกมาข้างนอก แต่ใครจะคิดว่าพวกอ๋องสวรรค์จะระดมทัพใหญ่เตรียมโจมตี จู่ๆ มีเรื่องมาแก้ไขสถานการณ์วิกฤติ เขาก็เพิ่งจะโล่งใจ แต่ผู้สำเร็จราชการท่านนี้กลับไม่กลัวว่าเรื่องราวจะใหญ่โต อยู่ดีไม่ว่าดี ไม่น่าเชื่อว่าต้องการจะรุกโจมตีทัพใต้ก่อน ตัวเองจะไปทวงความยุติธรรมจากที่ไหนได้?

ไม่ว่าทุกคนจะว่าอย่างไร เหมียวอี้ก็จะทำอย่างนี้ ทั้งยังจะทำอย่างสง่าผ่าเผยด้วย

เรียกรวมแม่ทัพทุกคน พอถ่ายทอดคำสั่ง ทัพใหญ่หลายสิบล้านที่ประจำตามจุดต่างๆ ของแดนรัตติกาลก็เริ่มระดมพลขนาดใหญ่…

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว สมาชิกกำลังรวมตัวกันวิเคราะห์สถานการณ์กองทัพอยู่ในตำหนักใหญ่ คนหลายร้อยรวมตัวกันอยู่ในโถงแห่งหนึ่ง บ้างก็ล้อมปรึกษากันตรงหน้าแผนที่ดาว บ้างก็รับข่าวจากที่ต่างๆ

ตรงหน้าฮ่าวเต๋อฟางก็มีแผนที่ดาวแผ่นหนึ่งกางอยู่เช่นกัน กำลังจ้องแผนที่ดาวพลางครุ่นคิดถึงข่าวที่ส่งมาจากที่ต่างๆ

ซูอวิ้นกำลังคอยรับข่าวอยู่ในตำหนักใหญ่ จู่ๆ นางก็ทำสีหน้าจริงจัง แล้วรีบเดินมาข้างกายฮ่าวเต๋อฟาง ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ท่านอ๋อง หนิวโหย่วเต๋อกำลังจะก่อเรื่อง…”

เหมียวอี้ไม่ได้หลบซ่อน แต่ประกาศถ่ายทอดคำสั่ง ท่ามกลางกำลังพลหลายสิบล้าน มีสายลับของทัพใต้อยู่บ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด

ฮ่าวเต๋อฟางที่เอามือลูบหนวดเงียบๆ พลันเลิกคิ้ว แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เขากล้าเหรอ!”

ซูอวิ้นยิ้มเจื่อน “เขาระดมกำลังพลเตรียมบุกโจมตีแล้วค่ะ!”

ฮ่าวเต๋อฟางสีหน้าบึ้งตึงลง คนอื่นอาจจะไม่กล้า แต่สำหรับหนิวโหย่วเต๋อนั้นพูดยากจริงๆ มิหนำซ้ำอีกฝ่ายก็พูดไว้ไม่ผิด จะซ้ายหรือจะขวาก็หนีไม่พ้นดาบอยู่ดี ไม่สู้ชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ ทำแบบนี้ก็ไม่แปลก โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้

“ช่างเลือกเวลาลงมือได้ดีจริงๆ!” ฮ่าวเต๋อฟางแอบกัดฟัน สายตาจ้องบนแผนที่ดาว สงสัยไม่อยากตายดี ทำไมเหตุการณ์เรื่องไม้ไม่ผุถึงเกิดบนอาณาเขตทัพใต้ ตอนนี้อำนาจแต่ละฝ่ายล้วนกำลังวิ่งมาที่ฝั่งตน ต่างก็กำลังก่อความวุ่นวายที่อาณาเขตตน

ซูอวิ้นโน้มน้าวว่า “ท่านอ๋อง ยังต้องรีบเตรียมตัวนะคะ! ในมือหนิวโหย่วเต๋อมีทัพใหญ่ห้าสิบล้าน กำลังพลที่ตั้งฐานอยู่แถวนั้นต้านไม่ไหวเลย ถ้าเคลื่อนกำลังพลธรรมดา เกรงว่าต่อให้เป็นกำลังพลสองร้อยล้านก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แถมหนิวโหย่วเต๋อยังชำนาญการศึกด้วย! ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่รู้ว่าประมุขชิงจะฉวยโอกาสทำให้ทัพใต้กลายเป็นเหมือนทัพตะวันออกหรือเปล่า ทุกคนล้วนกำลังสนใจไม้ไม่ผุ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา เกรงอ๋องท่านอื่นคงไม่มีสมาธิมาช่วยเหลือท่านอ๋อง”

ฮ่าวเต๋อฟางขมวดคิ้วด้วยความสับสน เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อก็เป็นบทเรียนให้เห็นแล้ว สิ่งที่เขากังวลที่สุดก็คือ จอมพลเบื้องล่างจะฉวยโอกาสตอนสถานการณ์วุ่นวายก่อเรื่องหรือเปล่า

หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ถ่ายทอดคำสั่งลงไปก่อน ระดมกำลังพลที่อยู่ใกล้แดนรัตติกาล ให้เตรียมพร้อมป้องกัน!”

พระตำหนักอุทยาน ใต้ชายคาของตำหนักหลัก ประมุขชิงหันกลับมาถามอย่างงุนงง “หนิวโหย่วเต๋อต้องการจะบุกโจมตีฮ่าวเต๋อฟางเหรอ?”

โพ่จวินพยักหน้า “จากข่าวที่เหวินเจ๋อส่งกลับมาเป็นอย่างนี้ขอรับ หนิวโหย่วเต๋อระดมกำลังพลขนาดใหญ่แล้ว ต้องการจะเทรังออกมาบุกโจมตี!”

ประมุขชิงขมวดคิ้วพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “เจ้าหนุ่มนี่มองขาดแล้วว่าฮ่าวเต๋อฟางเอาตัวไม่รอด ต้องการจะใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ มีกำลังพลไม่กี่สิบล้านแต่กล้าโจมตีทัพใต้ ใจกล้าไม่เบา คนทั่วไปไม่กล้าทำอย่างนี้เลย เพียงแต่บางครั้ง ใจกล้าสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร!”

ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ วางระฆังดารา “ฝ่าบาท ทัพใต้รายงานขึ้นมา ฟ้องว่าจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลก่อความวุ่นวาย ขอให้ฝ่าบาทยับยั้งและลงโทษอยากหนัก!”

ประมุขชิงแสยะยิ้ม “บอกฮ่าวเต๋อฟาง ว่าข้าจะสืบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด!” ส่วนจะสืบได้ผลลัพธ์ชัดเจนเมื่อไร นั่นก็ไม่รู้แล้ว ก่อนหน้านี้พวกตาแก่ยังปัดความรับผิดชอบอยู่เลย นึกไม่ถึงว่ากรรมจะตามสนองเร็วขนาดนี้ ตอนนี้ถึงคราวที่เขาจะเอาคืนฮ่าวเต๋อฟางแล้ว

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับด้วยรอยยิ้ม ย่อมรู้ถึงเจตนาของประมุขชิงอยู่แล้ว

ประมุขชิงบอกโพ่จวินกับอู๋ฉวี่อีกว่า “ให้กำลังพลที่ส่งไปสนับสนุนแสดงท่าทีสักหน่อย กดดันฮ่าวเต๋อฟาง!”

ทำแบบนี้ ไม่ว่าฮ่าวเต๋อฟางจะล้มเลิกการแย่งชิงไม้ไม่ผุ หรือจะล้มเลิกการโจมตีกำลังพลห้าสิบล้านของแดนรัตติกาล เขาก็ล้วนไม่ขาดทุน

“แล้วก็ถามหนิวโหย่วเต๋อด้วยว่า เรื่องไม้ไม่ผุเป็นแผนของเขาใช่หรือไม่! ทำไมข้ารู้สึกว่าเวลาที่เกิดเรื่องนี้เอื้อประโยชน์ต่อเจ้าลูกลิงนั่นเกินไป?” ประมุขชิงพูดเสริมอีก

…………………….

“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงย้อมไปจัดการตามคำสั่ง

ทว่าหลังจากถ่ายทอดบัญชาไปถึงพกวอ๋องสวรรค์ ซ่างกวนชิงก็สีหน้าแย่พอสมควร ตอบกลับว่า “ฝ่าบาท บรรดาอ๋องสวรรค์ต่างก็แสดงความประหลาดใจ รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ พวกเขาจะสืบให้ละเอียดเดี๋ยวนี้ขอรับ!”

ใบหน้าชราของประมุขชิงดำมืดลงในชั่วพริบตาเดียว สืบให้ละเอียด? สืบให้ละเอียดบ้าอะไรล่ะ! จะสืบให้ละเอียดจนถึงเมื่อไร? เกรงว่าถ้ารอให้พวกตาแก่นั่นค่อยๆ สืบออกมา ทุกอย่างก็คงสายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังถ่วงเวลา ถ้าแย่งมาได้ก็ถือเป็นความสามารถ ถ้าแย่งไม่ได้จริงๆ ถึงตอนนั้นก็ผลักความรับผิดชอบให้ลูกน้องได้อยู่ดี

ในอาณาเขตปกครองของตาแก่พวกนั้น เกรงว่าถ้ากำลังพลเบื้องล่างได้รับผิดชอบแทนอ๋องสวรรค์ ก็คงรู้สึกเป็นเกียรติและรู้สึกยินดีมาก

ที่ปัดความรับผิดชอบแบบนี้ได้ ก็แสดงว่าพวกตาแก่ไม่อยากแตกคอกับเขา ไม่อยากให้วุ่นวายจนกู้สถานการณ์ไม่ได้ เช่นเดียวกัน ตอนนี้ยังยืนยันได้ไม่เต็มที่ว่านั่นคือไม้ไม่ผุจริงหรือไม่ ประมุขชิงก็ไม่สะดวกจะแตกคอกับพวกเขาจนถึงที่สุด ถ้ากดดันจนพวกอ๋องร่วมมือกันก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร

แม้แต่ประมุขชิงเก็ยังควบคุมไม่ได้ แค่คิดก็รู้แล้วคนที่โชคร้ายอีกคนอย่างอ๋องสวรรค์ฮ่าวจะเป็นอย่างไร พวกทำตัวลึกลับเหมือนผีวัวเทพงูต่างก็เข้ามาพาลเกเรบนอาณาเขตของตัวเองแล้ว ฮ่าวเต๋อฟางทำได้เพียงอดทนไว้

“ไอ้พวกชาติหมา!” ประมุขชิงด่า แต่กลับทำอะไรอ๋องสวรรค์พวกนั้นไม่ได้ หันกลับมาพูดกับโพ่จวินและอู๋ฉวี่ด้วยน้ำเสียงต่ำเบาว่า “ระดมกำลังพลไปสนับสนุนเดี๋ยวนี้ ต้องพาคนมาให้ได้ ข้าจะสอบสวนเอง!”

เรื่องนี้ไม่ต้องกำชับเลย ทั้งสองตอบว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไปแล้วขอรับ!”

“ฮู่ว!” ประมุขชิงถอนหายใจยาว ยืนเอามือไขว้หลังมองฟ้าอยู่ใต้ชายคา ในใจรู้สึกตกตะลึงมาก ถ้าหาไม้ไม่ผุพบแล้ว ต่อให้ไม่บรรลุระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถเป็นอมตะได้!

ในขณะนี้เอง ประมุขชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หยิบระฆังดาราอันหนึ่งมาไว้ในมือ ขมวดคิ้วครู่หนึ่ง แล้วเขย่าตอบกลับไป

พวกซือหม่าเวิ่นเทียนสบตากัน ต่างก็รู้สึกแปลกใจ ตอนนี้คนที่สามารถติดต่อกับประมุขชิงได้โดยตรงมีไม่มาก ต่อให้เป็นพวกเขาก็ตาม ถ้าไม่มีเรื่องอะไรสำคัญจริงๆ ก็จะติดต่อกับซ่างกวนชิงก่อนเพื่อดูว่าประมุขชิงว่างหรือไม่

ประมุขชิงที่ใช้ระฆังดาราติดต่ออยู่พักหนึ่งแสยะยิ้ม แล้วหันกลับมาถามทุกคนว่า “รู้มั้ยว่าข้ากำลังติดต่อใคร?”

ทุกคนส่ายหน้า บอกใบ้ว่าไม่รู้

ประมุขชิงหันกลับไปอีกครั้ง มองท้องฟ้าด้วยแววตาเลื่อนลอย ก่อนจะหรี่ตาแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “พี่ใหญ่พุทธะ”

ประมุขพุทธะ? ทุกคนตกใจ ซ่างกวนชิงลองถามว่า “ไม่ทราบว่าประมุขพุทธะมีเรื่องอะไรติดต่อฝ่าบาท?”

“พี่ใหญ่พุทธะบอกว่าไม่ได้ออกมาข้างนอกนานแล้ว ตอนนี้อยากจะมาเยี่ยมข้า!” ประมุขชิงพูดแล้วก็แสยะยิ้มอีก ก่อนจะส่ายหน้าบอกว่า “ในเวลานี้ยังจะมีเรื่องอะไรอีก เกรงว่าจะสะเทือนเพราะเรื่องไม้ไม่ผุแล้วน่ะสิ เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ มีหรือที่จะปิดบังเขาได้ คงนั่งไม่ติดที่อยากจะมีส่วนแบ่ง จะออกจากภูเขาแล้ว!”

พวกลูกน้องสบตากันอย่างพูดไม่ออก หากประมุขพุทธะต้องการจะสอดมือเข้ามายุ่ง ฝั่งนี้ก็ขัดขวางไม่ไหวอยู่ดี ยังจะมีใครห้ามไม่ให้ประมุขพุทธะมาได้เชียวเหรอ?

ที่จริงแล้วไม่ได้มีแค่ประมุขพุทธะที่รู้ข่าวนี้ แม้อำนาจแต่ละฝ่ายจะพยายามปิดข่าว แต่ก็ปิดบังได้เป็นคนส่วนใหญ่ในใต้หล้าที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เท่านั้น เป็นเพราะใช้งานคนมากเกินไป คนที่พอจะมีอำนาจหน่อยส่วนใหญ่ก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

เพียงแต่ของสิ่งนี้มีทั้งคนที่กล้าแย่งชิง มีทั้งคนที่ไม่กล้าแย่งชิง แม้แต่เจ้าอาณาเขตอย่างเหมียวอี้ที่ในมือมีกำลังพลหลายสิบล้านก็ยังไม่กล้าเข้าไปยุ่งด้วยง่ายๆ แค่คิดก็รู้แล้วว่าอำนาจทั่วไปจะเป็นอย่างไร นอกเสียจากจะหาไม้ไม่ผุมาไว้ในมืออย่างเงียบๆ ไม่อย่างนั้นก็จะมีภัยถึงชีวิต อำนาจทั่วไปทำได้เพียงจ้องตาเป็นมันอยู่ข้างๆ

สำนักเทียนกู่ ตั้งอยู่ระหว่างหุบเขาหลายแห่งที่มีทิวทัศน์งดงาม

กองทัพองครักษ์มาถึงก่อน จากนั้นกำลังพลแต่ละฝ่ายก็ทยอยกันเหาะลงมาจากฟ้า กำลังพลที่หนาแน่นลอยอยู่บนฟ้า กำลังมองซากปรักหักพังด้านล่าง

ร่องรอยพวกสิ่งก่อสร้างพังถล่ม ภูเขาถล่มแผ่นดินแยก แม่น้ำภูเขาขาดสาย ดินโคลนที่พลิกขึ้นมายังสดใหม่ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเกิดการต่อสู้ได้ไม่นาน

พวกเขาตระหนักได้ว่าตัวเองมาช้าไปแล้ว มีคนลงมือก่อนพวกเขาหนึ่งก้าวแล้ว

เทพแห่งผืนดินและเทพแห่งภูผาที่อยู่ใกล้ๆ ถูกจับตัวมาอย่างรวดเร็ว ถูกกดดันถามว่า “ที่นี่คือสำนักเทียนกู่ใช่มั้ย?”

“ใช่ๆๆ ใช่ขอรับ”

“ที่นี่เกิดอะไรขึ้น?”

“ผู้น้อยเองก็ไม่ทราบแน่ชัด!”

“พวกเจ้าคือเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดินของที่นี่ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่ไม่รู้อะไรเลย ความผิดฐานบกพร่องต่อหน้าที่ พบเจ้ารับผิดชอบไหวเหรอ?”

“ผู้น้อยไม่ทราบแน่ชัดจริงๆ พอได้ยินเสียงต่อสู้ก็ตามมาที่นี่ พบว่าคนชุดดำกลุ่ม หนึ่งล้อมโจมตีสำนักเทียนกู่ สำนักเทียนกู่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายเลย พลังของทั้งสองฝ่ายต่างกันเกินไป ไม่นานก็ถูกกวาดเรียบไม่เหลือ ลูกศิษย์สำนักเทียนกู่ที่นี่ส่วนใหญ่ถูกจับตัวไปหมดแล้วขอรับ”

เห็นได้ชัดเจนมาก มีคนมาถึงก่อนแล้วจริงๆ พาตัวคนสำนักเทียนกู่ไปก่อนที่พวกเขาจะมาถึง

อำนาจแต่ละฝ่ายรวมตัวกันอยู่ที่นี่ มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา เหมือนจะไม่เห็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ฝ่ายเดียว อย่าบอกนะว่าคนของตระกูลเซี่ยโห้วลงมือก่อนแล้ว?

ความสงสัยนี้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ช่องทางข่าวสารของตระกูลเซี่ยโห้วนำหน้าคนอื่นก้าวหนึ่งเสมอ และมีศักยภาพนี้ด้วย

แต่ละฝ่ายรีบรายงานสถานการณ์ขึ้นไป

เมื่อข่าวนี้ถูกส่งกลับมา อำนาจแต่ละฝ่ายที่อยู่เบื้องหลังก็แย่งชิงผู้หญิงสามคนยังดุเดือดยิ่งขึ้นทันที คนที่กำลังแย่งตัวล้วนได้รับคำสั่ง ว่าต้องจับเป็นให้ได้!

ต่อให้ปิ่นปักผมอันนั้นจะทำมาจากไม้ไม่ผุ แต่ทุกคนก็ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ปิ่นปักผมอันนั้น แต่พุ่งเป้าไปยังที่มาที่ไปของปิ่นปักผมอันนั้น ถ้าทำให้คนตายไป แล้วจะสอบถามความเป็นมาของปิ่นปักผมอันนั้นได้อย่างไร?

ขณะเดียวกันนี้เอง การสืบหาที่ไปของสำนักเทียนกู่ก็เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างครอบคลุมทุกด้าน แม้แต่คนที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าต้องเกี่ยวข้องกับสำนักเทียนกู่แน่นอน เมื่อเล็งเป้าหมายได้แล้วก็ย่อมต้องตรวจสอบ ไม่ว่าใครหรืออำนาจฝ่ายไหนที่ไปมาหาสู่กับสำนักเทียนกู่ ก็ล้วนอยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ เรื่องที่ว่าใครจับตัวคนของสำนักเทียนกู่ไป ก็ย่อมอยู่ในขอบเขตการสืบสวนอย่างเข้มงวด ประตูดวงดาวทั้งเขตทัพใต้แทบจะตั้งด่านอย่างรวดเร็ว

“ไม้ไม่ผุ?”

แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง บนตึกของตำหนักปราชญ์ หยางชิ่งถามอย่างประหลาดใจ

จินม่านสังเกตความเคลื่อนไหวภายนอกและคอยรายงานตลอดเวลาตามที่เขาชี้แนะ นางพยักหน้าตอบว่า “ใช่แล้ว! ยืนยันได้แล้ว ตอนนี้อำนาจใหญ่ๆ แต่ละฝ่ายกำลังแย่งชิงกันดุเดือดที่น่านฟ้ามะเมียเกิง กำลังแย่งตัวผู้หญิงสามคนนั้นที่อาจรู้ว่าไม้ไม่ผุอยู่ตรงไหน ถ้าโจรกบฏพวกนั้นได้ไม้ไม่ผุไป แบบนั้นก็ต้องยกประโยชน์ให้พวกเขาแล้วจริงๆ แต่น่าเสียดายที่กำลังของพวกเราไม่พอ ไม่อย่างนั้นจะต้องไปแย่งด้วยแน่”

หยางชิ่งแววตาวูบไหว ถามทันทีว่า “น่านฟ้ามะเมียเกิงอยู่ในอาณาเขตทัพใต้ใช่มั้ย?”

จินม่านงงไปชั่วครู่ ในใต้หล้ามีอาณาเขตดาวมากมายขนาดนั้น จะไปจำหมดได้อย่างไร แม้แต่นางเองก็ตรวจสอบมาก่อนถึงได้รู้ว่าอยู่ในอาณาเขตทัพใต้ นึกไม่ถึงว่าหยางชิ่งจะถามแล้ว นางพยักหน้าทันที “ไม่ผิดหรอก เจ้านี้ความจำดีนะ”

หยางชิ่งส่ายหน้าเบาๆ และยิ้มเล็กน้อย จากนั้นพยักหน้าบอกว่า “รบกวนประมุขปราชญ์แล้ว”

“ยังมีอะไรจะกำชับอีก?” จินม่านถาม

“ติดตามเรื่องนี้ต่อไปก็พอ” หยางชิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

พอบอกว่าให้ติดตามเรื่องนี้ จินม่านก็ถามอย่างสงสัยว่า “ก่อนหน้านี้ จู่ๆ เจ้าก็สนใจความเคลื่อนไหวด้านนอกเป็นพิเศษ คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรอกใช่ไหม?”

หยางชิ่งยิ้มเจื่อน “เจ้าคิดมากไปแล้ว ถ้าข้ารู้เรื่องนี้ล่วงหน้า พวกเราต้องลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบแน่นอน ยังจะรอให้โจรกบฏพวกนั้นแย่งกันไปแย่งกันมาได้ยังไง”

จินม่านครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจองเขาพลางส่ายหน้า “ไม่ถูกสิ ราชาปราชญ์กำลังเผชิญวิกฤต จู่ๆ ก็มีเรื่องนี้โผล่มา มีผลช่วยแก้ไขวิกฤตให้ราชาปราชญ์ได้ เกิดผลดีต่อราชาปราชญ์ที่สุด นี่คงไม่ใช่ว่าราชาปราชญ์วางแผนด้วยตัวเองหรอกนะ?”

“ฟังจากที่เจ้าพูด เหมือนในมือราชาปราชญ์มีไม้ไม่ผุอย่างนั้นแหละ”

“ต่อให้ไม่มีไม้ไม่ผุแต่ก็สามารถวางแผนได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกที่กำลังแย่งของกันก็ไม่แน่ใจด้วยว่าเต็มไม้ไม่ผุจริงหรือเปล่า มันอาจไม่มีอยู่เลยก็ได้”

“เจ้าคิดมากไปจริงๆ ถ้าไม่มีไม้ไม่ผุ เรื่องนี้แค่ลมพัดมาวูบเดียวก็คงจะผ่านไปแล้ว วิกฤตที่ราชาปราชญ์ควรจะเผชิญ เดี๋ยวต่อไปมันก็มาอยู่ดี”

สรุปก็คือหยางชิ่งสิ้นเปลืองคำพูดมากมายกว่าจะไล่จินม่านไปได้ ขณะมองคล้อยหลังจินม่านเดินออกไป หยางชิ่งก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เกิดความสงสัยแล้ว คำอธิบายของตนไม่พอที่จะคลายความสงสัยของนางได้

อย่าว่าแต่จินม่านเลย หลังจากจินม่านเดินออกไปแล้ว แม้แต่ชิงจวี๋ที่ทำสายตาวูบไหวก็เดินเข้ามาหาแล้วเช่นกัน นางลองถามว่า “นายท่าน เป็นแผนของเหมียวอี้จริงหรือคะ?”

หยางชิ่งเดินออกจากโต๊ะช้าๆ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่ใช่! คงจะเป็นคนคนนั้นที่ลงมือแล้ว เหมียวอี้เดินมาถึงขั้นนี้ได้ ข้าเดาว่าเขาคงไม่ทนดูเหมียวอี้ความพยายามสูญเปล่าง่ายๆ แน่ เป็นอย่างที่คาดไว้ เขาลงมือแล้วจริงๆ!”

ชิงจวี๋รู้แล้วว่า ‘คนนั้น’ คือใคร นางทำสีหน้าตกตะลึง

หยางชิ่งเดินเข้ามาพิงหลังเก้าอี้เบาๆ แล้วเดาะลิ้นอย่างตกตะลึง “ก่อนหน้านี้ข้ายังกังวลว่าเขาจะลงมือหรือเปล่า เพราะข้าไม่รู้ว่าเขาจะทำยังไง ถึงจะสามารถแก้ไขวิกฤตอันใหญ่หลวงที่เหมียวอี้เผชิญได้ เขาก็เลยไม่กล้าฟันธง ไม่ว่าจะยังไงข้าก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะโยนเรื่องไม้ไม่ผุออกมา ของสิ่งนี้มีน้ำหนักไม่ธรรมดา ทำลายสถานการณ์ได้อย่างแนบเนียน เหนือชั้นมาก ข้าเดาว่าในมือเขาคงจะมีไม้ไม่ผุจริงๆ เป็นคนรายละเอียดล้ำลึกจริงๆ ด้วย แม้แต่ของชนิดนี้ก็ยังหามาได้ ทำให้คนคาดไม่ถึงจริงๆ”

“นายท่านแน่ใจได้ยังไงว่าในมือคนคนนั้นมีไม้ไม่ผุจริงๆ?” ชิงจวี๋ตกใจ

“สาเหตุไม่ได้ซับซ้อน ถ้าทำของปลอมออกมา แค่ตรวจสอบดูก็รู้แล้ว เรื่องนี้จะผ่านไปเร็วมาก มีแต่ของจริงเท่านั้นถึงจะสร้างความวุ่นวายได้” หยางชิ่งกล่าว

ชิงจวี๋ตกใจไม่เบา ไม้ไม่ผุไม่ใช่ของธรรมดา การมีของสิ่งนี้ได้ทำให้คนตกใจจริงๆ นางถามอย่างฉงนใจอีกว่า “นายท่านบอกว่าเขากลัวความสัมพันธ์ของตัวเองกับเหมียวอี้จะเปิดโปง เลยไม่ลงมือง่ายๆ ไม่ใช่เหรอคะ? แต่สร้างความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ อำนาจหลายฝ่ายร่วมมือกันตรวจสอบ เขาไม่กลัวจะถูกสืบเจอเบาะแสเชียวหรือ?”

หยางชิ่งตอบกลั้วหัวเราะ “คิดมากไปแล้ว ก็เพราะเขากลัวโดนเปิดโปงนี่แหละ คนประเภทนี้ก็แค่ไม่ลงมือเท่านั้นเอง พอลงมือก็ย่อมแนบเนียนไร้รอยต่อ ทุกอย่างถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วแน่นอน ที่มาที่ไปของไม้ไม่ผุจะต้องมีหลักฐานและเหตุผลแน่นอน สืบสาวไปไม่ถึงตัวเขาหรอก”

พอพูดจบก็โบกมือสื่อว่าไม่ให้นางถามเยอะ หลังจากครุ่นคิดเงียบๆ พักหนึ่ง ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้

เหมียวอี้ในตอนนี้ก็กำลังดูเอาสนุก ดูพวกพี่ใหญ่แต่ละฝ่ายแย่งกันไปแย่งกันมา กำลังเผชิญวิกฤติอยู่แท้ๆ ผลปรากฏว่าชั่วพริบตาเดียวเขาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว

แน่นอน เขาเองก็ไม่ได้ว่าง อวิ๋นจือชิวออกจากแดนรัตติดาลอย่างเงียบๆ แล้ว นางกลับมาที่พิภพเล็ก แม้ต้นไม้ต้นนั้นจะถูกเฟิงเป่ยเฉินตัดไปแล้ว แต่ตามปกติก็ไม่มีใครไปที่ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น ไม่แน่ว่าอาจจะเจอเศษซากให้นำมาตรวจสอบว่าใช่ไม้ไม่ผุหรือไม่กันแน่

ส่วนเหมียวอี้ก็กำลังตรวจสอบทัพใหญ่ที่สร้างขึ้นใหม่รวมทั้งที่อยู่ของครอบครัวทัพใหญ่

ตอนที่ได้รับข้อความจากหยางชิ่ง เหมียวอี้กำลังอยู่ในบ้านที่สร้างเสร็จใหม่ของเหิงอู๋เต้า

ประโยคแรกที่หยางชิ่งพูดทำให้เหมียวอี้ตกใจ : นายท่าน โอกาสที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะโจมตีทัพใต้มาถึงแล้ว!

………………

สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย การเคลื่อนไหวแบบนี้จะต้องควบคุมการใช้ระฆังดาราอย่างเข้มงวด คนเบื้องล่างส่วนใหญ่จะไม่รู้จุดหมายปลายทางสุดท้าย ถ้าเป็นคนที่รู้จุดหมายปลายทาง ทั้งยังใช้ระฆังดาราในกองทัพองครักษ์ได้ แสดงว่ายศต้องไม่ต่ำแน่นอน

เซี่ยโห้วลิ่งค่อนข้างตื่นเต้นฮึกเหิม แล้วก็ค่อนข้างกังวลด้วย ตื่นเต้นที่ครั้งนี้เขาได้ออกคำสั่งกับพวกพี่น้องที่ก่อนหน้านี้อาจจะไม่ช่วยเขา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบารมีที่ตัวเองล้มอิ๋งจิ่วกวงได้หรือเปล่า แต่ก็กังวลว่าพี่น้องพวกนั้นช่วยเหลือขนาดนี้เพราะจะครอบครองไม้ไม่ผุไว้เองหรือไม่

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ฮ่าวเต๋อฟางที่เดินไปเดินมาอยู่ในศาลาค่อนข้างหัวร้อน อำนาจฝ่ายต่างๆ บุกประตูดวงดาวของน่านฟ้ามะเมียเกิงอย่างอุกอาจ มีกำลังทหารจำกัดจึงปิดประตูไม่ได้ ต้องระดมทัพใหญ่ไปสนับสนุน พวกตาแก่เวรตะไลไม่เห็นว่าอาณาเขตของเขาสำคัญเลย

แต่เขาดันไม่สามารถแตกคอกับคนพวกนั้นได้ เขาสามารถขัดขวางกองทัพองครักษ์ที่อ้างว่ามาเพราะบัญชาของประมุขชิงบัญชาสวรรค์ได้เหรอ? เขาจะแตกคอกับอ๋องสวรรค์คนอื่นได้เหรอ? ถ้ายั่วโมโหให้พวกเขาร่วมมือกัน เขาเองก็จะเป็นคนแรกที่ทนรับผลที่ตามมาไม่ไหว

ซูอวิ้นวางระฆังดาราแล้วรีบรายงานว่า “ท่านอ๋อง มีกำลังพลกองทัพองครักษ์หลายกลุ่มเคลื่อนไหวผิดปกติค่ะ ไม่ได้ไปที่น่านฟ้ามะเมียเกิง แต่บุกเข้าไปน่านฟ้าวอกกุ่ยที่อยู่ใกล้น่านฟ้ามะเมียเกิง ไม่ทราบจุดประสงค์แน่ชัด แปลกมาก”

ถึงอย่างไรเรื่องก็เกิดที่เขตทัพใต้ เขากระจายสายลับไว้บนอาณาเขตตัวเองบ้างแล้ว ถ้ามีการเคลื่อนไหวของกำลังพลกลุ่มใหญ่ก็ปิดบังสายตาของฝั่งนี้ไม่ได้เลย

ฮ่าวเต๋อฟางหยุดเดินแล้วกล่าวอย่างลังเล “ร้านค้านั่นถูกหน่วยตรวจการขวาสั่งปิด หน่วยตรวจการขวาคงจะสืบเจอประวัติผู้หญิงสามคนนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลนี้หรือไม่ ก็ต้องสั่งให้คนตามกำลังพลกลุ่มนั้นไปทันที ถึงยังไงก็อยู่บนอาณาเขตพวกเรา จะเข้าไปยุ่งเรื่องไหนก็ล้วนสมเหตุสมผล ถ้าถึงคราวจำเป็นก็สั่งลูกน้องให้ลงมือกับคนของกองทัพองครักษ์ได้เลย!”

“ค่ะ!” ซูอวิ้นเอ่ยรับแล้วปฏิบัติตาม

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ในตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง รวบรวมคนไว้หลายร้อยคน ตรงหน้าแผนที่ดาวสิบกว่าแผ่นมีคนล้อมอยู่ไม่น้อย ในมือคนส่วนใหญ่ถือระฆังดาราติดต่อแทบจะไม่ได้หยุดหย่อน กำลังรับข่าวและวิเคราะห์สถานการณ์จากหลายด้าน พร้อมทั้งชี้แนะคนที่อยู่ฝั่งนี้ด้วย

ก่วงลิ่งกงยืนเงียบๆ คนเดียวอยู่หน้าแผนที่ดาวฉบับหนึ่ง

โกวเยว่ที่รับหน้าที่จัดระเบียบข้อมูลรีบเดินเข้ามารายงาน “ท่านอ๋อง กองทัพองครักษ์มีความเคลื่อนไหวผิดปกติขอรับ ทัพเหนือก็มีความเคลื่อนไหวผิดปกติ ทัพใต้ก็มีความเคลื่อนไหวผิดปกติ พวกเขาไม่ได้ไปทางน่านฟ้ามะเมียเกิง แต่ไปทางน่านฟ้าวอกกุ่ย!”

ตุ้บ! ก่วงลิ่งกงชกหมัดบนเข็มทิศ กล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเล็กน้อย “ข่าวของพวกเราล้าหลังอีกฝ่ายแน่ พวกเขาน่าจะสืบอะไรบางอย่างได้ ส่งคนตามไป!”

“ขอรับ!” โกวเยว่รับถ่ายทอดคำสั่งลงไป

ฉางหงเหมยและศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักยังอยู่ไกลๆ รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย เพราะติดต่อสำนักไม่ได้แล้ว ทั้งยังเห็นกับตาว่ากำลังพลของตำหนักสวรรค์ตามจับคนไปทั่วทุกที่ ต้องคอยหลบตลอดทางกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ ตอนนี้พบว่าประตูดวงดาวทางกลับสำนักถูกปิดแล้ว

“ทำไมตำหนักสวรรค์ถึงตามจับคนทั่วดาราจักร? หรือว่าพุ่งเป้ามาที่พวกเรา? อย่าบอกนะว่าปิ่นปักผมของของศิษย์พี่หญิงจัวทำจากไม้ไม่ผุจริงๆ?” ต้วนอ้ายเอ๋อร์ถามอย่างค่อนข้างหวาดกลัว

จัวเซียงเหลียนกัดริมฝีปากเงียบๆ

“ไม่ว่าเรื่องจะเป็นยังไง ถ้าผู้หญิงสามคนอย่างพวกเราตกอยู่ในมือขุนนางโจรพวกนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ตอนนี้ไม่ควรบุ่มบ่าม ไปกันเถอะ หาที่ซ่อนตัวกันก่อน รู้สถานการณ์ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ฉางหงเหมยตัดสินใจแลว

ทั้งสามรีบเลี้ยวหนีไป พวกนางสังเกตเห็นกำลังพลที่ปิดล้อมประตูดวงดาวแล้ว อีกฝ่ายก็สังเกตเห็นพวกนางแล้วเช่นกัน มีกำลังพลร้อยคนพุ่งเข้าไปหาพวกนางแล้ว เป็นเพราะเส้นทางของพวกนางค่อนข้างสะดุดตา แม้จะปลอมตัวเป็นผู้ชายแล้ว แต่กลับมีกันสามคนพอดี จะไม่มาตรวจสอบได้อย่างไร

“ศิษย์พี่ พวกนั้นตามมาแล้วค่ะ” ต้วนอ้ายเอ๋อร์หันกลับมามองแวบหนึ่ง นางค่อนข้างหวาดกลัว

“รีบหนี!” ฉางหงเหมยร้องบอก

ทั้งสามเร่งหลบหนี ทว่าสายไปเสียแล้ว

กำลังพลหนึ่งร้อยคนข้างหลังพลันถูกเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์จนเหลือแค่คนเดียว ยอดฝีมือระดับบงกชรุ้งคนหนึ่งพลันเร่งความเร็วตามมา ไม่นานก็ตามพวกนางทันแล้ว จากนั้นกำลังพลหนึ่งร้อยคนก็โผล่ออกมาอีก มาล้อมผู้หญิงสามคนเอาไว้

ผู้หญิงทั้งสามหันหลังชนกันอย่างตระหนก ฉางหงเหมยแค่นเสียงเป็นผู้ชายตะโกนบอกว่า “พวกเราไม่ได้ทำผิดกฎสวรรค์อะไรเลย ตามพวกเรามาทำไม?”

แม่ทัพที่ตรงหว่างคิ้วเผยบรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งกล่าวเสียงต่ำว่า “ถอดหน้ากากออกมา!”

อีกฝ่ายไม่คุยด้วยเหตุผลเลย เพียงออกคำสั่ง ผู้หญิงทั้งสามไม่กล้าขัดคำสั่ง ถอดหน้ากากออกแต่โดยดี เผยโฉมหน้าที่แท้จริงแล้ว

แม่ทัพระดับบงกชรุ้งตาเป็นประกาย รู้สึกเร่าร้อนฮึกเหิมใจ ไม่ใช่เพราะชอบในความงามของผู้หญิงสามคนนี้ แต่เป็นเพราะผู้หญิงสามคนสอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของเป้าหมายจับกุมพอดี เบื้องบนบอกแล้วว่าถ้าจับได้จะถือว่าสร้างผลงานใหญ่ จะเลื่อนยศให้สามขั้นต่อเนื่องกัน เขาจึงตะคอกถามทันทีว่า “มาจากตลาดสวรรค์ดาวเฟยหัวหรือเปล่า?”

ฉางหงเหมยรีบตอบว่า “พวกเราไม่ได้ทำผิดกฎสวรรค์อะไรเลย”

“นายท่าน มีคนมาแล้ว” จู่ๆ ทหารที่อยู่ข้างๆ ก็กล่าวเตือน

แม่ทัพระดับบงกชรุ้งหันกลับไปมมอง พบว่ามีคนหลายคนพุ่งเข้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว จึงโบกมือตะโกนบอกทันที “พาตัวคนไปก่อน”

พลทหารกรูกันเข้าไปทันที มัดผู้หญิงสามคนนั้นไว้ พวกนางไม่กล้าขัดขืนเลย แทบจะยอมให้จับแต่โดยดี ไม่มีทางต่อต้านได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านจำนวนคนหรือพลัง อีกฝ่ายก็เหนือกว่าไกลมาก

ทว่ายังไม่ทันรอให้ทางฝั่งนี้เก็บคนไว้ ก็มีคนห้าคนที่สวมชุดลำลองเร่งตามมาอย่างรวดเร็ว พอเห็นว่าเป็นผู้หญิงสามคนพอดี ห้าคนที่ตามมาตรวจสอบความเคลื่อนไหวก็สบตากันแวบหนึ่ง

แม่ทัพระดับบงกชรุ้งรีบเก็บผู้หญิงสามคนนั่นไว้ ยังไม่ทันได้ถามว่าห้าคนที่ตามมาคือใคร ห้าคนนั้นก็พุ่งเข้ามาลงมือทันที

นักพรตบงกชรุ้งห้าคนตีฝ่าแนวป้องกันของทหารสิบกว่าคน เห็นได้ชัดว่ามีจุดประสงค์จะล้อมโจมตีแม่ทัพระดับบงกชรุ้งที่เก็บผู้หญิงสามคนนั้นไว้

ทหารกลุ่มเล็กร้อยคนนี้ค่อนข้างตกตะลึง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้าโจมตีกำลังพลตำหนักสวรรค์อย่างโจ่งแจ้ง จึงเข้ามาล้อมโจมตีทันที

มีคนรีบหยิบระฆังดาราออกมาขอความช่วยเหลือเช่นกัน

มีคนถอยร่นไปด้านข้าง ไม่รู้ว่ากำลังแอบติดต่อไปที่ไหน

พอจุดปิดล้อมประตูดวงดาวได้รับข่าวก็ส่งกำลังพลบงกชรุ้งออกมาสิบกว่าคนทันที เร่งตามมาทางฝั่งนี้ กำลังพลแสนกว่าแบ่งกำลังพลสามหมื่นติดตามออกมาแล้ว ท่ามกลางกำลังพลที่เหลือก็มีคนแอบฉวยโอกาสตอนกำลังวุ่นวายถอยออกไปด้านข้างเงียบๆ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง

ในขณะเดียวกันนี้เอง ตรงจุดลึกของดาราจักรที่มีกำลังพลสวมชุดลำลองค้นหาก็หยุดค้นหาอย่างกะทันหัน พอเก็บระฆังดาราแล้ว ก็ทยอยเร่งเหาะไปยังจุดที่ต่อสู้กัน

กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่ลาดตระเวนอยู่ใกล้ๆ ก็หยุดเคลื่อนไหวแล้ว กำลังพลหนึ่งพันถูกเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์ แล้วเร่งตามไปยังจุดต่อสู้

แม่ทัพระดับบงกชรุ้งที่อยู่ตรงจุดต่อสู้ แม้จะมีกำลังพลช่วยเหลือ แต่ก็ยังต้านไม่ไหว ถูกสังหารคาที่ พลทหารหลายสิบคนตกใจจนถอยหลัง

ฉางหงเหมยและอีกสองสาวเพิ่งถูกค้นออกมา หนึ่งในนักพรตบงกชรุ้งห้าคนก็กล่าวเสียงต่ำว่า “ทัพหนุนมาแล้ว รีบไป!”

นักพรตห้าคนรีบเก็บผู้หญิงสามคนที่มีสีหน้าหวาดกลัวเอาไว้ ในขณะที่เร่งหนี ก็หยิบระฆังดาราออกมาขอความช่วยเหลือเร่งด่วน

กลุ่มแม่ทัพระดับบงกชรุ้งข้างหลังรีบไล่ตาม คนที่วรยุทธ์สูงก็เหาะเร็วกว่า ยิ่งตามก็ยิ่งเข้าใกล้

สุดท้าย หนึ่งในนั้นบุกเข้ากลุ่มนักพรตห้าคนนี้ แล้วโบกทวนสังหารอย่างดุเดือด เล็งเป้าหมายสำคัญเอาไว้ สู้พัวพันอยู่กับคนที่เก็บผู้หญิงสามคนนั่นไว้ อีกสี่คนต้องช่วยแก้วิกฤติสุดชีวิต

จากนั้นทัพใหญ่สามหมื่นก็ตามมาถึงอย่างรวดเร็ว

สมาชิกกองทัพองครักษ์หลายคนเร่งตามมาถึงแล้ว ขณะที่พุ่งเข้ามาใกล้ กำลังพลพันกว่าก็ปรากฏตัว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เผยออกมาพร้อมกัน แม่ทัพที่นำหน้ามาตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ได้รับบัญชาสวรรค์ให้มาสืบคดี ใครขัดขืน ฆ่า! ฆ่า!”

ไม่ยอมให้อีกฝ่ายตอบอะไร ลูกธนูดาวตกก็ยิงออกมาราวกับฝนแล้ว สังหารเข้าไปโดยตรง

กำลังพลหลายหมื่นสู้กับกองทัพองครักษ์ กอปรกับกองทัพองครักษ์อ้างบัญชาสวรรค์ สำหรับกำลังพลเบื้องล่างที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกพวกนี้ ยังถือว่ามีอิทธิพลอยู่บ้าง ค่อนข้างกลัวที่จะสู้ ทิ้งศพเอาไว้เกลื่อน พากันถอยหลังแล้ว

กองทัพองครักษ์สังหารเข้ามาอย่างดุร้ายราวกับเสือร้ายหมาป่าดุ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นกำลังพลตำหนักสวรรค์หรือไม่ ก็สังหารกลุ่มคนที่กำลังสู้กันจนหมดแล้ว

พวกฉางหงเหมยที่หวาดผวาไม่หยุดถูกค้นออกมาอีกแล้ว ทหารของกองทัพองครักษ์ดึงคอเสื้อฉางหงเหมย แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าคือฮั่วเหยียนชิ่ง ยศระดับผู้บัญชาการของกองทัพองครักษ์ พวกเจ้าสามคนชื่ออะไรกันบ้าง? ถ้ากล้าโกหกแม้แต่ประโยคเดียว ประหารทั้งโคตร!”

“ฉางหงเหมย จัวเซียงเหลียน ต้วนอ้ายเอ๋อร์”

แค่กำลังพลตำหนักสวรรค์ก็เพียงพอจะขู่พวกนางได้แล้ว นับประสาอะไรกับกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ สำหรับคนอย่างพวกนาง พวกเขาคือสิ่งที่น่าหวาดกลัว จึงสารภาพอย่างซื่อสัตย์แต่โดยดี

เป็นคนที่เบื้องบนยอมทุ่มทุกอย่างเพื่อตามตัว ฮั่วเหยียนชิ่งตาเป็นประกายทันที แทบจะหัวเราะออกมา ผลงานใหญ่มาถึงมือแล้ว เขาเก็บคนไว้ทันที พอหันมองรอบๆ อีกครั้ง กลับพบว่ายากจะปลีกตัวหนีไปได้

กำลังพลหลายหมื่นล้อมพวกเขาไว้แล้ว หลังจากแม่ทัพของอีกฝ่ายติดต่อกับเบื้องบน ก็ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนทันที ไม่ว่าจะเป็นกองทัพองครักษ์หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าไม่ส่งคนมาให้ก็ฆ่าไม่ละเว้น!

คำสั่งนี้ทำให้แม่ทัพที่นำกลุ่มมาหวาดระแวงกลัว ให้สังหารคนของกองทัพองครักษ์ นี่เบื้องบนต้องการจะก่อกบฏเหรอ?

แต่จะไม่ปฏิบัติตามก็ไม่ได้ แม่ทัพที่เป็นหัวหน้าชี้ฮั่วเหยียนชิ่งที่กำลังถูกล้อมพลางตะโกนว่า “ผู้หญิงสามคนนั้นคือลูกสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์ฮ่าว ปล่อยออกมาเดี๋ยวนี้!”

“เหลวไหล!” ฮั่วเหยียนชิ่งด่ากลับ แล้วตะคอกว่า “พวกเราได้รับบัญชาจากฝ่าบาทให้มาทำงาน แต่พวกเจ้าบังอาจมาล้อมไว้ จะก่อกบฏเหรอ? หลีกไป!”

หัวหน้าตะคอกด้วยสีหน้าบึ้งตึง “กองทัพองครักษ์จะมาสังหารพี่น้องทัพใต้ของข้าโดยไร้เหตุผลได้ยังไง ต้องปลอมตัวมาแน่นอน พี่น้อง ฆ่า!”

“ฆ่ามัน!” ฮั่วเหยียนชิ่งโบกดาบคำรามอย่างเกรี้ยวกราด

ทั้งสองฝ่ายอยู่ในระยะใกล้กัน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขาดบทบาทแล้ว ตะลุมบอนกันในชั่วพริบตาเดียว

กองทัพองครักษ์มีพลังรบที่แข็งแกร่งจริงๆ กำลังพลระดับต่ำสองสามหมื่นของทัพใต้ล้อมไว้ไม่อยู่ ถูกฮั่วเหยียนชิ่งนำคนที่เหลืออยู่สามร้อยสังหารฝ่าวงล้อมออกไปได้แล้ว ชั่วพริบตาเดียวกำลังพลกองทัพองครักษ์ก็รบตายไปเจ็ดร้อย ทัพใหญ่ไล่ตามหลังไปตลอดทาง

กำลังพลที่ปิดล้อมประตูดวงดาวก็ไม่ปิดแล้วเช่นกัน ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้รวมตัวกันแล้วเร่งตามไป

เส้นทางที่ฮั่วเหยียนชิ่งหนีเอาชีวิตรอดก็ยากลำบาก นอกจากข้างหลังจะมีทหารจำนวนมากไล่ตามแล้ว ข้างหน้าก็มีกลุ่มคนที่ไม่ทราบตัวตนโผล่มาสกัดพวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ขาดสาย ฝ่ายเขาหนีไปตลอดทาง ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงเปิดทางเลือดตลอดทางอย่างไม่เสียดาย ถ้ามีใครพุ่งเข้ามาขวางก็จะถูกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงตายทันที

ฮั่วเหยียนชิ่งแน่ใจแล้วว่าแย่งเป้าหมายสามคนนั้นมาได้

กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่แบ่งกลุ่มละพันคนกระจายกันค้นหาทั่วน่านฟ้ามะเมียเกิง ตอนนี้ก็ทอยยกันตามไปช่วยฮั่วเหยียนชิ่งที่กำลังหลบหนีเช่นกัน

ภายใต้ปฏิริยาที่ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ น่านฟ้ามะเมียเกิงเหมือนจะเดือดพล่าน กำลังพลที่อำนาจแต่ละฝ่ายส่งมาค้นหาทยอยตามไปยังทิศทางเดียวกัน

อุทยานหลวง พระตำหนักอุทยาน โพ่จวินกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท ผู้บัญชาการที่ชื่อว่าฮั่วเหยียนชิ่งนำคนหนึ่งพันไปแย่งตัวผู้หญิงสามคนนั้นจากกำลังพลหลายหมื่นของทัพใต้ได้แล้วขอรับ ตอนนี้กำลังถูกกำลังพลหลายฝ่ายล้อมดักไว้!” รายงานก็เป็นจุดประสงค์หนึ่ง แต่ยามที่ควรจะแสดงผลงานของลูกน้องเขาก็ไม่เคยเลอะเลือน คนที่กล้าสู้ตายเพื่อสร้างผลงานควรถูกนำมาเป็นแบบอย่าง!

“ฮั่วเหยียนชิ่ง? ดี! ช่างเป็นฮั่วเหยียนชิ่งที่ดี! เป็นตัวอย่างที่ดี! ตบรางวัลอย่างงาม!” ประมุขชิงจดจำชื่อนี้ไว้แล้ว แล้วหันกลับมาบอกซ่างกวนชิงด้วยสีหน้าชั่วร้ายอีกว่า “ถ่ายทอดคำสั่งของข้าไปให้ตาแก่พวกนั้น บังอาจล้อมโจมตีกองทัพองครักษ์ อยากจะกบฏเหรอ? สั่งให้พวกเขาบอกลูกน้องให้ถอนกำลังเดี๋ยวนี้!”

………………

ไม่ได้ยินเขาพูดแบบนี้ อวิ๋นจือชิวกับหยางเจาชิงก็ยืนมองเขายังตะลึงค้างทันที แต่ละคนอ้าปากค้างพูดไม่ออก

อวิ๋นจือชิวกลืนน้ำลาย แล้วถามว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าไม่ได้กำลังล้อเล่นใช่ไหม?”

ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าไม่สนใจก็เพราะจะปลอบใจสามี แต่ถ้ามีจริงๆ จะมีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่อยากคงความอ่อนเยาว์ของตัวเองตลอดกาล? ไม่มีก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้ามีก็ย่อมต้องชอบ

เหมียวอี้ครุ่นคิดพลางตอบอย่างไม่แน่ใจ “ก็แค่รู้สึกว่าคล้ายๆ เลยสงสัยนิดหน่อย ไม่กล้าแน่ใจ ก็เลยอยากให้เจ้ารวบรวมข่าวลือมาประกอบการพิจารณา”

อวิ๋นจือชิวรีบถาม “เคยเห็นที่ไหน?”

หยางเจาชิงเงียบไปครู่เดียว แล้วกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยยังมีธุระนิดหน่อย ขอตัวก่อน”

เขารู้ว่าไม้ไม่ผุเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ ไม่ใช่ความลับธรรมดาทั่วไป ถ้าเขามาฟังอยู่ข้างๆ ก็เหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสม ควรจะหลบเลี่ยง ถึงแม้ตอนนี้เขาจะกลายเป็นพ่อบ้านส่วนตัวของเหมียวอี้แล้ว แต่อวิ๋นจือชิวที่ดูแลงานในครอบครัวกลับปฏิเสธไม่ให้เขาเรียกตัวเองว่า ‘บ่าว’

อวิ๋นจือชิวกลอกตามองมา เดาเจตนาของเขาออกทันที นางจึงยกมือห้าม “เจาชิง เจ้าคิดมากไปแล้ว เป็นคนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ไม่ได้เห็นเจ้าเป็นคนนอก ไม่มีอะไรน่าหลบเลี่ยง อยู่ฝั่งด้วยกันสักหน่อย ช่วยนายท่านออกความคิด ต่อไปอย่าไปบอกคนอื่นก็พอ”

ถ้าเหมียวอี้ไม่พูดออกมาต่อหน้าหยางเจาชิง อวิ๋นจือชิวก็คงไม่พูดแทรกอย่างนี้ อย่างไรเสียไม้ไม่ผุก็ไม่ใช่ความลับธรรมดา ในเมื่อเปิดประเด็นมาแล้ว นางก็ไม่ปล่อยให้หยางเจาชิงออกไปพร้อมสิ่งติดค้างในใจ ในฐานะที่เป็นนายหญิงของบ้านนี้ นางย่อมมีวิธีการของตัวเองเพื่อดูแลบ้านอยู่แล้ว ขีดจำกัดของนางก็คือไม่ให้ภายในบ้านเกิดความวุ่นวาย

คำพูดนี้เหนือกว่าคำพูดนับพันนับหมื่นอย่างแท้จริง ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ หยางเจาชิงก็จะนึกเพียงว่าอีกฝ่ายแค่ซื้อใจคน แต่นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับไม้ไม่ผุเชียวนะ อีกฝ่ายไม่เห็นเขาเป็นคนนอกจริงๆ ด้วย ชั่วพริบตานี้เขารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างแท้จริงแล้ว พอหันไปมองอวิ๋นจือชิวอีกครั้ง ในใจก็ยิ่งนับถือความใจกว้างของนายหญิงคนนี้ ในจิตสำนึกก็ยิ่งยอมรับว่าในบ้านนี้ไม่มีใครแทนที่นายหญิงคนนี้ได้แล้ว อย่างน้อยถ้าเทียบกับผู้หญิงคนอื่นที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ เขาก็ยิ่งแน่วแน่ที่จะยืนอยู่ฝ่ายอวิ๋นจือชิว

แน่นอน นี่ล้วนเป็นความคิดในจิตใต้สำนึกของเขา แม้แต่เขาเองก็ยังไม่รู้ตัวชัดเจนเช่นกัน

อวิ๋นจือชิวแอบจงใจ แต่ภายนอกทำเหมือนพูดไปอย่างนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ หลีกเลี่ยงที่จะมองปฏิกิริยาของหยางเจาชิง ได้แต่จ้องรอคำตอบของเหมียวอี้

เหมียวอี้ที่กำลังไตร่ตรองไม่ได้คิดมากกับเรื่องนี้ พอได้ยินนางพูดก็รู้ตัวทันที บอกหยางเจาชิงว่า “ไม่เป็นอะไร”

อวิ๋นจือชิวกลับเตะน่องเขา “เจ้าทำให้ข้าร้อนใจจะตายอยู่แล้ว เคยเห็นที่ไหนก็พูดมาสิ!”

หยางเจาชิงกลับแอบคอยระวังรอบๆ ป้องกันไม่ให้คนเข้าใกล้มาได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน สรุปก็คือเขาพยายามฟังเรื่องนี้โดยไม่พูดแทรก

เวลาเกิดขึ้นนานไปหน่อย เหมียวอี้ที่กำลังย้อนรำลึกเหตุการณ์หดขาเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ก็กำลังคิดอยู่ไม่ใช่หรือไง ถ้าข้าจำไม่ผิด น่าจะเคยเห็นอยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉินนะ”

“เฟิงเป่ยเฉิน?” อวิ๋นจือชิวหลุดอุทาน แล้วก็มองหน้าหยางเจาชิงอย่างเลิกลั่ก

“ในมือเฟิงเป่ยเฉินจะมีไม้ไม่ผุได้ยังไง?” อวิ๋นจือชิวถามอีก

“จะใช่ไม้ไม่ผุหรือเปล่าข้าก็ไม่แน่ใจ ข้าเองก็ไม่เคยเห็นต้นไม้แบบครบสมบูรณ์…” พอพูดึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็ชะงักไป จู่ๆ ก็กล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “ถ้าเป็นไม้ไม่ผุจริงๆ เป็นไปได้ว่าแม้แต่เฟิงเป่ยเฉินเองก็ยังไม่รู้ตัว ต้นไม้ต้นนั้นถูกเฟิงเป่ยเฉินตัดไปแล้ว”

“หา!” อวิ๋นจือชิวกับหยางเจาชิงอุทานพร้อมกัน

เหมียวอี้พยักหน้ายืนยัน “น่าจะถูกเฟิงเป่ยเฉินตัดไปแล้ว”

จากนั้นอวิ๋นจือชิวก็นึกอะไรขึ้นได้ ถามอย่างสงสัยว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าหมายความว่า พิภพเล็กมีไม้ไม่ผุงั้นเหรอ?”

“บอกไปแล้วไงว่าไม่แน่ใจว่าเป็นไม้ไม่ผุหรือเปล่า แต่เหมือนมันจะเติบโตอยู่ในทุ่งหิมะ” เหมียวอี้กล่าว

“มันอยู่ตรงไหน?” อวิ๋นจือชิวถามซักไซ้

เหมียวอี้ถอนหายใจ “น่าจะอยู่บนยอดเขาเมฆาร่วงหล่นที่นภาอู๋เลี่ยง” เขาจำได้รางๆ ว่าปีนั้นตอนฉินซีเปิดเผยความลับต่อเขา นางเคยเอ่ยถึงว่าเฟิงเป่ยเฉินกำลังตัดต้นไม้สีขาวดุจหิมะอยู่บนยอดเขาเมฆาร่วงหล่นที่นภาอู๋เลี่ยงเพื่อมาสู้กับเขา กลิ่นหอมของไม้นั่นเหมือนจะดึงดูดสัตว์เล็ก เขาจำได้รางๆ ว่าตัวเองก็เคยทดลอง เหมือนจะมีเส้นเลือดด้วย

“…” อวิ๋นจือชิวกับหยางเจาชิงพุดไม่ออก ถ้าเป็นไม้ไม่ผุจริงๆ ก็แสดงว่าสมบัติสุดล้ำค่าที่ทำให้คนเป็นอมตะ สมบัติที่คนในโลกใฝ่ฝันแต่มิอาจไขว่คว้าก็อยู่ใต้หนังตาพวกเขาแต่พวกเขากลับไม่รู้ ทำให้พูดไม่ออกเลยจริงๆ

เหมียวอี้เองก็พูดไม่ออก ถ้าเป็นเจ้าลูกรักนั่นจริงๆ ถ้ามันถูกเฟิงเป่ยเฉินตัดทิ้งไปแล้วจริงๆ จะไม่ทำให้เขาโมโหจนกระอักเลือดหรอกเหรอ?

ในขณะนี้เอง เหมียวอี้ได้รับการติดต่อที่เหนือความคาดหมาย โค่วเจิงที่ไม่ได้ติดต่อกับเขามานาน ตอนนี้ติดต่อมาแล้ว

เหมียวอี้ : พี่ใหญ่มีธุระอะไรเหรอ?

โค่วเจิงถามทันทีที่เอ่ยปาก : เจ้ากับน้องเจ็ดยังสบายดีใช่มั้ย

เหมียวอี้รู้สึกขำ แทบจะบีบพวกเราให้ตายอยู่แล้ว ยังมีหน้ามาทักทายอีกเหรอ? ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะจอมปลอมได้ถึงขั้นนี้ แต่ในขณะที่เขาด่าในใจ ตัวเองก็ทักทายกลับอย่างเสแสร้งเช่นกัน : ก็ยังดี ท่านพ่อบุญธรรมก็สบายดีเหมือนกันใช่มั้ย?

โค่วเจิง : เจ้าถามถูกแล้วจริงๆ ท่านพ่อประสบปัญหานิดหน่อย ค่อนข้างกังวล หวังว่าเจ้าจะช่วยได้

เหมียวอี้ : เรื่องของท่านพ่อบุญธรรมก็คือเรื่องของข้า ขอเพียงข้าช่วยได้ พี่ใหญ่ก็บอกมาได้เลย

โค่วเจิงที่ยืนอยู่ในศาลาแอบด่าในใจ ไอ้คนกินบนเรือนขี้บนหลังคา พูดจาฟังดูดี แต่ตอนจับคนในร้านค้าตระกูลโค่วไม่เห็นเจ้าปรานี แต่ก็ยังพยักหน้าให้โค่วหลิงซวีที่นั่งสง่าอยู่ในศาลา สื่อว่าทางนั้นยังมีท่าทีที่ดีอยู่

ยังตอบกลับระฆังดาราในมืออย่างอ่อนโยน : ได้ยินว่าตลาดสวรรค์ดาวเฟยหัวเกิดเรื่องนิดหน่อย คนของหน่วยตรวจการขวากำลังเคลื่อนไหวอย่างอุกอาจ กำลังพลของเจ้ากำลังให้ความร่วมมือหน่วยตรวจการขวาในการสืบคดีใช่มั้ย?

เหมียวอี้รู้ว่าฉากเด็ดของละครกำลังจะมาแล้ว ตอบไปว่า : มีเรื่องจริงๆ เหมือนจะสืบหาไม้ไม่ผุอะไรสักอย่าง ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือเปล่า

โค่วเจิง : ท่านพ่อเองก็ให้ความสนใจเรื่องนี้ ความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?

เหมียวอี้ : หน่วยตรวจการขวารับบัญชาฝ่าบาทให้มาควบคุมดูแลกำลังพลพวกนั้นชั่วคราว ควบคุมเข้มงวดไม่ให้ข่าวหลุดไปข้างนอก ข้าไม่สะดวกจะสืบดูรายละเอียด

โค่วเจิง : คนที่จัดการเรื่องนี้ล้วนเป็นกำลังพลคนสนิทของเจ้า ถ้าเจ้าถามสักหน่อย อาศัยคนของหน่วยตรวจการขวาแค่ไม่กี่คนก็ควบคุมเขาไม่ได้หรอก ถ้าอยากรู้เรื่องอะไร แค่เจ้าถามคำเดียวเท่านั้น

เหมียวอี้ : มีบัญชาของฝ่าบาทอยู่ ถ้าให้เบื้องล่างขัดบัญชาปล่อยความลับ แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ?

โค่วเจิง : น้องเขย คนชัดเจนไม่พูดคลุมเครือ ไม้ไม่ผุมีความหมายแฝงอะไรเจ้ากับข้าล้วนเข้าใจแจ่มแจ้ง สำคัญต่อท่านพ่อมาก ข้าถามเจ้าคำเดียว เจ้าจะช่วยหรือไม่ช่วย?

เหมียวอี้ : พี่ใหญ่ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วย ข้าอยากจะช่วยท่านพ่อบุญธรรมจริงๆ แต่จนใจที่ตอนนี้คนทางตลาดสวรรค์จิตใจสั่นคลอน ข้าจะให้ลูกน้องโดนเบื้องบนกลั่นแกล้งบ่อยๆ ไม่ได้ มีเจตจำนงจะทรยศแล้ว เกรงว่าข้าเอ่ยปากไปก็คงไม่ได้ผล!

โค่วเจิงฟังแล้วไฟโกรธสุมทรวง แต่ก็ยังบอกต่อโค่วหลิงซวี

ถังเฮ่อเหนียนที่อยู่ข้างๆ ส่ายหน้า “เห็นได้ชัดว่าเจ้าหนุ่มนี่กำลังฉวยโอกาสเสนอเงื่อนไข”

“เรื่องแยกแยกความสำคัญยังต้องให้พูดอีกเหรอ?” โค่วหลิงซวีพยักหน้าบอกใบ้โค่วเจิง

โค่วเจิงตอบทันทีว่า : น้องเขย ช่วงนี้ข้าได้ยินข่าวลือบางอย่างมา นั่นล้วนเป็นข่าวลือ อย่าเก็บมาใส่ใจ คนในบ้านสนับสนุนเจ้า ท่านพ่อให้ข้าบอกเจ้าว่า อำนาจควบคุมตลาดสวรรค์ในอาณาเขตทัพเหนือ ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ทุกอย่างเจรจากันได้ สิ่งที่อยู่ในการควบคุมของเจ้าก็เช่นกัน คาดว่าเจ้าคงจะไม่ทำให้การค้าขายของคนในครอบครัวลำบากท่านพ่อรับประกันว่านอาณาเขตทัพตะวันออกจะไม่มีใครแตะต้องคนของเจ้าที่ตลาดสวรรค์

เหมียวอี้ : พี่ใหญ่พูดแบบนี้ข้าก็วางใจ วันหลังถ้ามีเวลาว่างข้าจะต้องไปเยี่ยมท่านพ่อบุญธรรมแน่นอน

โค่วเจิง : อืม ข้าจะบอกท่านพ่อให้

เหมียวอี้ : พี่ใหญ่อยากจะรู้ข่าวด้านไหนล่ะ?

โค่วเจิง : หน่วยตรวจการขวาเหมือนจะสืบเจอรายละเอียดของคนสำคัญสามคนนั้นแล้ว ท่านพ่ออยากรู้ ต้องบอกโดยเร็วที่สุด!

ที่จริงเหมียวอี้รู้สถานการณ์ทางฝั่งนั้นแล้ว เพียงแต่ยังไม่รีบบอก กล่าวรับประกันเฉๆย ว่า : ได้ ข้าจะไปถามให้สักหน่อย พี่ใหญ่รอฟังข่าวจากข้า

หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว เหมียวอี้ก็เล่าสถานการณ์ให้อวิ๋นจือชิวและหยางเจาชิงฟัง

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว “คำสัญญาปากเปล่าไร้หลักฐานแบบนี้ เชื่อถือได้เหรอ? แล้วอีกอย่าง ถ้าทางนั้นเปิดโปงเรื่องที่เจ้าเผยความลับให้ประมุขชิงรู้จะทำยังไงล่ะ? เกี่ยวข้องกับไม้ไม่ผุเชียวนะ จะยั่วโมโหประมุขชิงหรือเปล่า?”

เหมียวอี้บอกว่า “ด้วยอำนาจของข้าตอนนี้ เรื่องที่ไร้หลักฐานไม่มีใครใส่ร้ายข้าได้หรอก ข้าเองก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ถ้าไม่เคลื่อนกำลังพลสองร้อยล้าน ใครจะกล้าแตะต้องข้าง่ายๆ ล่ะ? ต่อให้ประมุขชิงอยากจะจัดการข้า แต่ถ้าสู้กันขึ้นมา ชั่งน้ำหนักความเสียหายแล้วก็ไม่คุ้ม ดังนั้นบอกเขาไปข้าก็ไม่มีอะไรเสียหาย โค่วหลิงซวีไม่จำเป็นต้งเปิดเผยความลับที่ไม่มีประโยชน์ต่อเขา แบบนั้นกลับจะกระทบต่อชื่อเสียงบารมีของเขาด้วยซ้ำ ถ้าทำอย่างนั้นจริง ในภายหลังใครจะยังกล้าเปิดเผยความลับให้เขารู้ง่ายๆ อีกล่ะ? ได้ไม่คุ้มเสียไง ส่วนคำพูดของเขาจะเชื่อถือได้หรือไม่ ข้าเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว การแลกเปลี่ยนอำนาจและผลประโยชน์ไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว จะใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวคุยกันได้ยังไง สิ่งที่เขาพูดไม่มีอะไรน่าเชื่อหรือไม่น่าเชื่อ ยังต้องดูแนวโน้มสถานการณ์ว่าจะไปทิศทางไหน ถ้าสถานการณ์เอื้อปะรโยชน์ต่อข้า คำพูดของเขาก็ย่อมน่าเชื่อถือ แต่ถ้าสถานการณ์ไม่เอื้อต่อข้า คำพูดของเขาก็ไม่น่าเชื่อแล้ว”

พอนึกถึงว่าโค่วหลิงซวีกำลังแอบระดมกำลังพลเตรียมโจมตีฝั่งนี้ อวิ๋นจือชิวก็ด่าอย่างหงุดหงิด “โจรเฒ่าได้ชุบมือเปิบไปแล้ว!”

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “ฮูหยินอย่าโมโหเลย ปล่อยข่าวให้พวกเขารู้ก็ไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงพวกเราก็ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่แล้ว ให้พวกเขาเป็นสุนัขกัดกันเอาเป็นเอาตาย ก็ยิ่งไม่มีกำลังวังชามาสู้กับข้าไม่ใช่เหรอ?”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเงียบๆ

หลังจากแสร้งติดต่อไปถามแล้ว เหมียวอี้ก็ติดต่อไปหาโค่วเจิงอีก : พี่ใหญ่เดาไม่ผิด หน่วยตรวจการขวาสืบสวนขั้นต้นคนสำคัญสามคนนั่นแล้ว เป็นผู้หญิงสามคน ชื่อฉางหงเหมย จัวเซียงเหลียน ต้วนอ้ายเอ๋อร์ ทั้งหมดเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก เป็นศิษย์สำนักเทียนกู่ที่อยู่ในอาณาเขตดาวใกล้ๆ นี้…

โค่วเจิงตั้งใจฟังข้อมูลจากระฆังดารา พลางถือแผ่นหยกบันทึกข้อมูลสำคัญ กลัวว่าจะตกหล่น หลังจากติดต่อเสร็จแล้วก็นำแผ่นหยกให้โค่วหลิงซวีอ่านทันที

โค่วหลิงซวีรับมาไว้ในมือ แล้วลุกขึ้นยืนทันที ส่งต่อแผ่นหยกให้ถังเฮ่อเหนียนอ่าน “ระดมกำลังพลเดี๋ยวนี้ ต้องไปควบคุมคนของสำนักเทียนกู่ไว้ก่อน”

จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า เว่ยซูก็กำลังรายงานสถานการณ์สำนักเทียนกู่ต่อเซี่ยโห้วลิ่งเช่นกัน

ฝั่งนี้ได้ข่าวช้ากว่าเหมียวอี้ไม่เท่าไร มาจากสมาคมวีรชนที่ถูกหน่วยตรวจการขวาใช้งาน สมาวีรชน เพราะคนที่ให้ความร่วมมือกับหน่วยตรวจการขวาสืบคดีไม่ได้มีเพียงคนของตลาดสวรรค์ ยังมีคนของสมาคมวีรชนด้วย แม้แต่ข้อมูลว่ากองทัพองครักษ์ระดมพลไปทางไหนก็ส่งมาด้วย ข่าวมาจากหลายด้าน ชัดเจนกว่าข่าวที่เหมียวอี้มี ข้อมูลรอบด้านกว่าเช่นกัน

เซี่ยโห้วลิ่งถามอย่างประหลาดใจ “กองทัพองครักษ์ก็มีคนของพวกเราเหมือนกันเหรอ?” นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของกองทัพองครักษ์ชัดเจนขนาดนี้

“ไม่แน่ใจขอรับ ข่าวนี้คุณชายเก้าส่งมา ทิศทางไปสอดคล้องกับข่าวที่สมาคมวีรชนให้มา เป็นสำนักเทียนกู่ขอรับ!” เว่ยซูตอบ

เซี่ยโห้วลิ่งปรบมือพลางตะคอกว่า “ดี! รวบรวมกำลังพลตามไปเดี๋ยวนี้ แล้วก็บอกเจ้าเก้าด้วย ขอเพียงแย่งของมาได้ ภายใต้สถานการณ์ที่จำเป็น เปิดเผยตัวตนต่อคนของกองทัพองครักษ์ก็ไม่เสียดาย!” เขาตระหนักได้แล้ว คนที่รู้ทิศทางการเคลื่อนไหวลับของกองทัพองครักษ์ขนาดนี้ คงมียศในกองทัพองครักษ์ไม่ต่ำ

……………

สิ่งที่ทำให้ผู้หญิงทั้งสามหวาดกลัวจริงๆ ก็คือ จู่ๆ สำนักก็ขาดการติดต่อไป

ไม่ใช่คนเดียวที่ขาดการติดต่อไป แต่แทบทุกคนในสำนักที่เคยติดต่อกันตามปกติล้วนขาดการติดต่อไปหมด

ผู้หญิงทั้งสามรู้สึกกระวนกระวายในใจ ระหว่างทางปลอมตัวเปลี่ยนใบหน้าแล้ว พวกนางเร่งเดินทางไปที่สำนัก อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จนกระทั่งตอนนี้ ทั้ง สามยังไม่คิดเลยว่าปิ่นปักผมของจัวเซียงเหลียนจะเป็นไม้ไม่ผุจริงๆ ยังไม่รู้ตัวว่าปิ่นปักผมแท่งนี้ล้างอุปสรรคมากมายขนาดไหน

“ใครกัน?”

ทัพใหญ่ที่ปิดล้อมประตูดวงดาวตะโกนถามกำลังพลตำหนักสวรรค์หลายคนตั้งแต่ไกลๆ

“กองทัพองครักษ์ได้รับบัญชาให้มาทำงาน!”

หลายคนที่เขาเข้ามาตอบเสียงดัง แล้วขยายจำนวนคนเป็นกำลังพลหลายแสนประชิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว

แม่ทัพเฝ้าด่านยกฝ่ามือตะคอก “ทัพใหญ่ในน่านฟ้ามะเมียเกิงกำลังฝึก ไม่อนุญาตให้ใครบุกเข้ามารบกวนทั้งนั้น!”

แม่ทัพของกองทัพองครักษ์จึงกล่าวเสียงดังว่า “บังอาจ! พวกเราได้รับบัญชาจากฝ่าบาท ใครกล้าขัดขวาง?”

“ในเมื่อเป็นบัญชาของฝ่าบาท ก็ได้โปรดนำบัญชามาแสดงให้ดูหน่อย ถ้าไม่มีบัญชาเป็นหลักฐาน ก็ได้โปรดติดต่อกับเบื้องบนให้เรียบร้อยแล้วค่อยว่ากัน ถ้าพูดปากเปล่าค่ารับผิดชอบไม่ไหว” แม่ทัพเฝ้าด่านแสยะหัวเราะ คำพูดปฏิเสธประมาณนี้เขาฝึกมาจนชำนาญ เป็นความคิดของเบื้องบนเช่นกัน รู้ว่ากองทัพองครักษ์แถวนี้อย่างมากก็ได้รับคำสั่งปากเปล่ามา เป็นไปไม่ได้ที่จะนำบัญชามาแสดง

ทว่าเขาประเมินความแน่วแน่ของกองทัพองครักษ์ที่มาต่ำเกินไป

“ฝ่าบาทมีคำสั่ง ว่าใครขัดขวาง ฆ่าไม่ละเว้นt!” แม่ทัพของกองทัพองครักษ์ชักกระบี่ออกมาชี้ ทัพใหญ่หนึ่งแสนง้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว รวมตัวกันจะบุกเข้าไปที่ประตูดวงดาว

กำลังพลที่มาปิดประตูดวงดาวไว้ชั่วคราวก็มีเพียงกำลังพลที่ประจำการไม่กี่หมื่น เทียบกับกองทัพองครักษ์หนึ่งแสนที่มีอาวุธครบครัน ถ้ากล้าลงมือก็เท่ากับรนหาที่ตาย ได้แต่มองอีกฝ่ายบุกเข้ามา มองกองทัพองครักษ์หนึ่งแสนบุกเข้ามาในประตูดวงดาวโดยทำอะไรไม่ได้

แม่ทัพเฝ้าด่านยังกลุ้มใจอยู่เลย ทันใดนั้นตรงที่ไกลๆ ก็มีคนหลายสิบคนถลันตัวเข้ามา มาถึงด้วยความเร็วสูงสุด บุกเข้าประตูดวงดาวโดยตรง

“หยุดก่อน!” แม่ทัพเฝ้าด่านตะคอกห้ามอย่างเดือดดาลอีกครั้ง

“ได้รับบัญชาจากอ๋องสวรรค์ฮ่าวให้มาทำงาน!” ผู้ที่มาพูดทิ้งท้าย แล้วบุปผากำลังพลที่ยังไม่ทันได้ตั้งแถวใหม่ ฉวยโอกาสตอนวุ่นวายผ่านเข้าไปอย่างนี้แล้ว ไม่ให้โอกาสเจ้าได้ตรวจสอบตัวตนเลย

แม่ทัพเฝ้าด่านพูดไม่ออก สังเกตเห็นสัญลักษณ์พลังตรงแท่นจิตแล้วของคนหลายสิบคนนี้แล้ว ทั้งหมดเป็นยอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ กำลังพลระดับพวกเขาต้านไม่อยู่

ทหารที่อยู่ข้างๆ รายงานว่า “นายท่าน คนที่นำหน้ามาเมื่อครู่นี้ข้าเคยเห็น เป็นบ่าวในจวนของอ๋องสวรรค์ก่วง ทำไมบอกว่าได้รับคำสั่งจากอ๋องสวรรค์ฮ่าวล่ะ?”

แม่ทัพเฝ้าด่านรู้สึกอับอายจนเหงื่อตก วันนี้เป็นอะไรไปแล้ว แต่ละคนเป็นบ้าไปแล้วหรือไง? ไม่น่าเชื่อว่าจะฝืนบุกเข้ามาอย่างนี้ กองทัพองครักษ์ก็ว่าหนักแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนแอบอ้างว่าเป็นคนของอ๋องสวรรค์ฮ่าวอย่างโจ่งแจ้ง ไม่กังวลที่จะพูดโกหกเลยสักนิด

เขาไม่รู้ความจริงเรื่องที่เกี่ยวกับไม้ไม่ผุ เพียงได้รับคำสั่งเร่งด่วนให้ปิดประตูดวงดาวเอาไว้

สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นนอกประตูดวงดาวแต่ละแห่งพี่จะไปน่านฟ้ามะเมียเกิง ถึงขนาดเกิดคดีร้ายแรงอย่างเช่นการโจมตีบุกเข้าไป

ภายใต้คำสั่งของประมุขชิง สมาชิกหน่วยตรวจการซ้ายที่แฝงตัวอยู่ตามที่ต่างๆ แอบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว สืบข่าวทุกอย่างที่สามารถจะสืบได้ สมาชิกสมาคมวีรชนที่อยู่ตลาดสวรรค์ที่เกิดเรื่องก็รีบรวบรวมคนไปทำงานตามคำสั่งหน่วยตรวจการขวาแล้ว

ในภัตตาคารของตลาดสวรรค์ หน่วยตรวจการขวาที่ได้ภาพวาดของผู้หญิงทั้งสามรีบทำสำเนา แล้วจะตั้งกลุ่มลูกน้อง ให้ไปตรวจสอบทีละร้าน ถามว่ารู้จักหรือไม่

แล้วก็ตรวจสอบผ่านบัญชีจำนวนลูกค้าของภัตตาคารในช่วงเวลานั้น สั่งให้ค้นหาทั้งเมือง ไม่ว่าจะหาพบหรือไม่ ก็ต้องพยายามตามหาจากลูกค้าที่มาในช่วงเวลานั้นไม่ปล่อยผ่านเบาะแสร่องรอยใดๆ ทั้งนั้น

เหมียวอี้พี่แอบซ่อนคนงานคนหนึ่งเอาไว้ก็ตรวจสอบได้ผลลัพธ์เร็วเช่นกัน คนของหน่วยตรวจการขวาเข้ามาในตำหนักคุ้มเมืองแล้วชิงตัวคนงานไปทันที แต่ตำหนักคุ้มเมืองก็ไม่ขี้ขลาดเช่นกัน บอกว่าเพื่อสืบคดี หน่วยตรวจการขวาก็ไม่ได้ฉีกหน้า ตอนนี้ยังต้องให้กำลังพลของตลาดสวรรค์ให้ความร่วมมือในการสืบคดี

ส่วนประวัติความเป็นมาของผู้หญิงทั้งสามก็ถูกคนหน่วยตรวจการขวาสืบเจอแล้วจริงๆ หน่วยตรวจการขวาย่อมชำนาญการสืบสวนอยู่แล้ว นำรูปภาพไปตรวจสอบกับร้านค้าที่ผู้หญิงชอบไปก่อน ผลปรากฏว่ามีคนของร้านค้าร้านหนึ่งรู้จัก เพราะสำนักเทียนกู่อยู่ใกล้กับตลาดสวรรค์ที่สุด ผู้หญิงทั้งสามมาที่นี่บ่อย รู้จักกับคนงานในร้านค้า รู้แม้กระทั่งชื่อของกันและกัน ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้ก็มาซื้อของและทักทายกันแล้ว

เพื่อไม่ให้ข่าวหลุด หน่วยตรวจการขวาออกคำสั่งอย่างไม่ลังเล จับตัวคนในร้านเอาไว้ทั้งหมด ป้องกันไม่ให้ข่าวรั่วไหลไปยังอำนาจฝ่ายอื่น พร้อมทั้งรายงานสถานการณ์ของผู้หญิงทั้งสามขึ้นไปด้วย

พอพาตัวคนของร้านค้านี้ไป ร้านค้าก็ถูกปิด มีคนโผล่ออกมาทั้งแบบเปิดเผยและแบบลับๆ ทันที มาล้อมร้านค้าร้านนี้ไว้แล้วสืบประวัติความเป็นมากับสถานการณ์ของร้านค้าโดยละเอียด อำนาจฝ่ายอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องจริงๆ แล้ว คนของร้านค้าใกล้กันถูกถามจนต้องปาดเหงื่อ

อุทยานหลวง พระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงกำลังเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ใต้ชายคาตำหนักใหญ่ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง

พวกลูกน้องคนสนิทก็ตามมาคอยฟังคำสั่งเช่นกัน เกาก้วนวางระฆังดาราในมือ แล้วรายงานว่า “ฝ่าบาท มีเบาะแสแล้วขอรับ”

ประมุขชิงหันขวับ “หาผู้หญิงสามคนงั้นเจอแล้วเหรอ?”

เกาก้วนตอบว่า “ยังหาตัวไม่เจอ แต่สืบประวัติผู้หญิงสามคนนั้นได้แล้ว มีฉางหงเหมย จัวเซียงเหลียน ต้วนอ้ายเอ๋อร์ ทั้งสามเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก ทั้งหมดมาจากสำนักเทียนกู่ที่อยู่ในอาณาเขตดาวที่ใกล้ตลาดสวรรค์ที่สุด ปิ่นปักผมที่อาจจะทำมาจากไม้ไม่ผุนั่นปักอยู่บนศีรษะของจัวเซียงเหลียน ตอนนี้หน่วยตรวจการขวาควบคุมข่าวไว้แล้ว อำนาจฝ่ายอื่นน่าจะยังไม่รู้ ฝ่าบาทควรใช้โอกาสนี้ส่งคนไปควบคุมสำนักเทียนกู่ไว้ก่อนครับ”

คนในหน่วยตรวจการของเขามีจำกัด ให้สืบคดียังพอไหว แต่ถ้าจะให้ส่งกำลังพลกลุ่มใหญ่ออกไปควบคุมหนึ่งสำนักก็ค่อนข้างเหนื่อย

ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ แอบชม หน่วยตรวจการขวาช่างมีประสิทธิภาพการทำงานสูง ใช้เวลาไม่นานก็สืบประวัติและชื่อของผู้หญิงสามคนที่ไร้เบาะแสได้ชัดเจนแล้ว

“ดี!” ประมุขชิงพยักหน้าด้วยแววตาชื่นชม ในช่วงเวลาสำคัญเกาก้วนทำงานได้ยังไม่เลอะเลือนจริงๆ ด้วย ไม่ทำให้เขาผิดหวัง เขารีบสั่งโพ่จวินและอู๋ฉวี่ “ตามที่เกาก้วนบอก เร็วเข้า!”

โพ่จวิน อู๋ฉวี่รีบหยิบระฆังดาราออกมาระดมกำลังทำงานทันที

จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้และฮูหยินกำลังเดินเล่นอยู่ด้วยกันบนลานกว้าง ถึงแม้ไม้ไม่ผุจะยั่วยวนใจ แต่หลังจากตัดสินใจว่าจะไม่เอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวเรื่องนี้ กลับทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น

เรื่องบางเรื่องชัดเจนจนสังเกตเห็นได้ สำหรับฝั่งนี้ ไม้ไม่ผุปรากฏขึ้นได้เวลาเหมาะเจาะ ทางตลาดสวรรค์รู้สึกได้อย่างชัดเจนแล้วว่าอำนาจแต่ละฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมอย่างดุเดือด ของสิ่งนี้เพียงพอที่จะทำให้อำนาจแต่ละฝ่ายแก่งแย่งกันจนนองเลือด เกรงว่าตอนนี้คงยังไม่มีใครมีกะจิตกะใจมาสู้กับฝั่งเขา อย่างไรเสียเขาก็มีกำลังพลห้าสิบล้าน ไม่ได้จัดการได้ง่ายขนาดนั้น

หยางเจาชิงติดตามอยู่ข้างกาย คอยรายงานข่าวที่ส่งมาจากตลาดสวรรค์ ประมุขชิงได้ข่าวสำนักเทียนกู่ตั้งแต่ทีแรก ก็เท่ากับว่าฝั่งนี้ได้ข่าวของสำนักเทียนกู่ก่อนเช่นกัน ก็ช่วยไม่ได้ คนของหน่วยตรวจการขวาที่แฝงตัวอยู่ที่ตลาดสวรรค์มีจำกัด คนที่ติดตามทำงานด้วยยังเป็นคนของตลาดสวรรค์ เหมียวอี้รับรู้ทุกความคืบหน้าในการตรวจสอบของหน่วยตรวจการขวา หลีกเลี่ยงไม่ได้

เหมียวอี้เดาะลิ้น “ว่ากันว่าหน่วยตรวจการขวาของเกาก้วนชำนาญการสืบคดี ดูจากวันนี้แล้วสมคำร่ำลือจริงด้วย มีประสิทธิภาพการทำงานสูงมาก ใช้เวลาไม่นานก็สืบหากำพืดผู้หญิงสามคนที่ไร้เบาะแสได้ชัดเจนแล้ว”

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ “ถ้าเป็นไม้ไม่ผุจริงๆ สงสัยประมุขชิงจะหวังไว้มากว่าจะทำสำเร็จ”

เหมียวอี้ฟังน้ำเสียงนางออกว่ารู้สึกเสียดายนิดหน่อย จึงกล่าวขอโทษว่า “ตอนแรกข้าก็คิดจะแย่งชิงมาเหมือนกัน แต่พอคิดไปคิดมา อาศัยกำลังของพวกเราตอนนี้ ก็เป็นเรื่องยากที่จะยื่นมือเข้าไปยาวขนาดนั้นได้” เขาเคยให้สัญญากับนาง ว่าถ้ามีโอกาสจะหาของวิเศษที่สามารถรักษาความอ่อนเยาว์ตลอดกาลมาให้นาง เมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้ก็เหมือนผิดคำพูด

อวิ๋นจือชิวย่อมรู้ว่าเรื่องในครั้งนี้ทำให้สำเร็จได้ยาก มีอำนาจหลายฝ่ายขนาดนี้เข้ามาแทรกแซง การเข้าไปเกี่ยวข้องนอกจากจะเสี่ยงแล้ว ต่อให้ฝ่ายตัวเองทำสำเร็จแต่ก็กลืนของสิ่งนี้เอาไว้ไม่ไหว เหมือนคำกล่าวที่ว่าราษฎรเดิมทีไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด จะนำหายนะที่ถึงแก่ชีวิตมาสู่ตัวเองแน่นอน นางจึงกระพริบตาพูดหยอกล้อ “นี่เจ้ากำลังรังเกียจที่ข้าแก่แล้วใช่ไหม?”

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “ไม่ใช่สักหน่อย เจ้าผิวชุ่มชื้น ข้ายังดูแก่กว่าเจ้าอีก” เขาพูดความจริง ตอนนี้เขาผ่านประสบการณ์ชีวิตมาไม่น้อย ผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาไม่เคยใช้ความคิดไปกับการรักษาความงามเลย ดูไม่อ่อนยาวเท่าอวิ๋นจือชิวจริงๆ บนใบหน้ามีร่องรอยความกร้านโลกเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัวแล้ว

อวิ๋นจือชิวฟังแล้วกลั้นขำไม่อยู่ “เจ้าโง่ ข้าล้อเจ้าเล่นน่ะ เจ้าไม่ต้องห่วง ไม้ไม่ผุน่ะ จะใช้หรือไม่ใช้ข้าก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับข้า ข้ามีโฉมหน้าน้ำแข็งของพิภพเล็กคอยบำรุงแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าเจ้ากลัวแก่ ก็ลองใช้ดูได้นะ”

เหมียวอี้หัวเราะโดยไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับรู้ชัด ว่าโฉมหน้าน้ำแข็งก็แค่ช่วยยืดเวลาแก่ชราก็เท่านั้น ไม่เหมือนไม้ไม่ผุที่คงความอ่อนเยาว์ของใบหน้าตลอดกาล เขาหันกลับมาถามว่า “พวกเราซ่อนคนงานนั่นไว้ หน่วยตรวจการขวาไม่ได้ว่าอะไรใช่มั้ย?”

หยางเจาชิงตอบว่า “ไม่ได้ว่าอะไรขอรับ คนงานคนนั้นก็ไม่ได้ให้ข่าวที่มีประโยชน์อะไรด้วย ถ้าปิ่นปักผมอันนั้นคือไม้ไม่ผุจริงๆ เขาก็แค่ได้เห็นกับตาว่าไม้ไม่ผุหน้าตาเป็นยังไงก็เท่านั้นเอง สิ่งที่รู้จริงๆ ยังเทียบกับข้อมูลที่หน่วยตรวจการขวาสืบเองไม่ได้”

เหมียวอี้ได้ยินแล้วรู้สึกสนใจ “ทุกคนต่างบอกว่าไม้ไม่ผุ ไม้ไม่ผุ แต่เหมือนจะไม่มีใครเคยเห็นกับตาตัวเองนะ หน้าตาเป็นยังไงกันแน่ คนงานคนนั้นได้บอกหรือเปล่า?”

หยางเจาชิงตอบพร้อมรอยิ้มว่า “คนงานนั้นเห็นเพียงปิ่นปักผมอันเดียวเท่านั้นเอง ไม้ไม่ผุต้นจริงหน้าตาเป็นยังไง เขาไม่เคยเห็นแน่นอนขอรับ…” เขาเล่าสถานการณ์ตอนพบความผิดปกติให้ฟัง เป็นข้อมูลที่ได้มาจากคนงานคนนั้น

อวิ๋นจือชิวก็แค่ฟังเฉยๆ เหมียวอี้กลับฟังจนอึ้ง จู่ๆ ก็หยุดเดิน มองหยางเจาชิงพร้อมถามอย่างสงสัย “กิ่งใบสีขาวบริสุทธิ์ดุจหยก ในนั้นราวกับมีเส้นเลือดของคน กลิ่นหอมยังดึงดูดให้สัตว์เล็กเข้าใกล้ด้วย?”

หยางเจาชิงไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำท่าทางเหมือนมีเรื่องบางอย่าง พยักหน้าตอบว่า “ขอรับ ปิ่นปักผมนั่นสอดคล้องกับลักษณะพิเศษพวกนี้ ถึงได้ทำให้คนสงสัยว่าจะเป็นไม้ไม่ผุ ว่ากันว่าไม้ไม่ผุในจะเติบโตอยู่ท่ามกลางทุ่งหิมะ ซึ่งสิ่งมีชีวิตอื่นยากจะเข้าใกล้ได้ เติบโตช้ามาก สามารถอยู่คู่กับฟ้าดินตลอดไปโดยไม่ผุสลาย ลำต้นเหนียวทนทาน ดาบทวนยากจะตัดขาด ส่งกลิ่นหอมโดยธรรมชาติ ทั้งตัวเป็นสีขาวดุจหิมะ กิ่งใบก็เป็นสีขาวเหมือนกัน ข้างในซ่อนเส้นเลือดเอาไว้ น้ำยางเหมือนน้ำเลือด ถ้าได้ดื่มยางเลือดจากไม้ไม่ผุสักจอก ก็จะไม่มีวันผุสลายเหมือนต้นไม้ต้นนี้ สามารถมีอายุยืนยาว แต่นั้นไม่ใช่ข้อดีที่สุด เพราะต่อให้เผารมควันนานๆ ก็คงความอ่อนเยาว์ตลอดกาล”

สุดท้ายอวิ๋นจือชิวก็พูดต่อว่า “ล้วนเป็นสิ่งที่เล่าต่อกันมาทั้งนั้น จะจริงหรือเท็จก็เหมือนจะไม่มีใครเคยสัมผัสด้วยตัวเองมาก่อน ไม่รู้ด้วยว่าจะเป็นเหมือนที่พูดกันหรือเปล่า แต่ตำนานนี้เหมือนจะมีมานานแล้ว ไม่มีใครรู้แหล่งที่มาโดยละเอียด”

เหมียวอี้ขมวดคิ้วเอามือลูบคาง พึมพำว่า “น้องชิว ถ้าเจ้าว่างก็รวบรวมข่าวลือเกี่ยวกับไม้ไม่ผุให้ข้าสักหน่อย”

อวิ๋นจือชิวถามเหมือนรู้สึกขำ “ของที่ใฝ่ฝันแต่ไขว่คว้ามาไม่ได้ เจ้าคงไม่คิดจะหาไปทั่วจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ส่ายหน้ากล่าวอย่างลังเล “ก่อนหน้านี้ไม่สนใจ แต่พอได้ฟังพวกเจ้าพูด ข้าก็นึกได้ว่าเหมือนจะเคยเห็นของสิ่งนี้”

………………

สามารถพูดได้ว่าการถ่ายทอดบัญชาสวรรค์เท็จกับเรื่องแบบนี้คือการรู้จักพลิกแพลงวิธีการสร้างผลงาน ถ้าได้เก็บเกี่ยวอะไรจริงๆ เพียงแค่ไร้ความผิด แต่กลับจะได้ทั้งผลงานใหญ่ด้วยซ้ำ!

ชื่อจริงผู้จัดการร้านที่เพิ่งแบ่งคนไปก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตจากเบื้องบนเช่นกัน ถือวิสาสะลงมือเอง รีบทำสิ่งที่ควรทำตั้งแต่ทีแรก ไม่อย่างนั้นคนที่อยู่ในภัตตาคารก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครได้ไปสักคน ลงมือก่อนและรายงานไปพร้อมกัน

จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่า แม้เหมียวอี้จะได้ข่าวก่อน แต่ในด้านการลงมือของลูกน้องเมื่อเทียบกับพวกผู้จัดการร้านและคนของหน่วยตรวจการขวา ก็ยังถือว่าบกพร่อง ไม่ใช่ว่าความสามารถต่างกันอะไร แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรสำคัญต่อเบื้องบนเหมือนกับคนที่อำนาจฝ่ายต่างๆ ส่งมา ที่กล้าประหารก่อนแล้วค่อยรายงาน

หรือพูดได้อีกอย่างว่า ยังขาดความชำนาญในด้านนี้

ผู้จัดการร้านภัตตาคารนั้นรายงานไปที่ตำหนักคุ้มเมืองก่อน ผลปรากฏว่าคนที่ถูกดักอยู่ตรงประตูเมืองกลับถูกพวกผู้จัดการร้านแต่งตัวไปแล้ว ขอเพียงเสี้ยวฮ่าวเต๋อเด็ดขาดกว่านี้อีกหน่อย ผู้จัดการร้านพวกนั้นก็ไม่มีใครได้ไปสักคน ต่อให้เจ้าไปขอคนตอนนี้แต่อีกฝ่ายก็จะไม่ยอมรับอยู่ดี เจ้าเองก็ไม่รู้ด้วยก็พวกที่ถูกพาไปคือใครบ้าง ถามหน่อยว่าเสี้ยวฮ่าวเต๋อจะไม่โมโหได้อย่างไร เขายังไม่รู้เลยว่าจะชี้แจงต่อนายท่านผู้สำเร็จราชการอย่างไร และผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้นก็โชคไม่ดีด้วย ได้เจอกับตำแหน่งรายได้ดีแต่กลับประสบเรื่องนี้ ย่อมถูกเสี้ยวฮ่าวเต๋อใช้กระบี่สังหารด้วยความโกรธอยู่แล้ว

สถานการณ์ถูกรายงานไปทางฝั่งเหมียวอี้อย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้ที่เดินไปเดินมาอยู่ในห้องกล่าวเสียงต่ำว่า “เสี้ยวฮ่าวเต๋อทำงานยังไง? ได้คนมาแล้วแต่ยังถูกคนอื่นพาไป!”

หยางเจาชิงกลับช่วยพูดให้ “จะโทษเขาก็ไม่ได้ขอรับ สถานการณ์ในตอนนี้ก็เห็นๆ อยู่ เขาเองก็ไม่สะดวกจะทำอะไรบุ่มบ่าม ขอคำชี้แนะจากเบื้องบนก็ไม่ผิด เขายังรู้จักรายงานขึ้นมาโดยหลบเลี่ยงเหวินเจ๋อ ยิ่งไปกว่านั้นผู้จัดการภัตตาคารไม่ได้รายงานมาฝั่งนี้ที่เดียว รายงานไปหลายแห่งพร้อมกัน ถึงได้มีความผิดพลาดอย่างนี้”

“ไอ้พวกหลานๆ ตะพาบน้ำเอ๊ย ไหวตัวเร็วนักนะ!” เหมียวอี้กัดฟันพูด

หยางเจาชิงย่อมรู้ว่าเขาด่าใคร “ใช่ว่าพวกเราจะไม่ได้อะไรเลย เสี้ยวฮ่าวเต๋อก็ไหวตัวเร็วเหมือนกัน พอพบว่าหน่วยตรวจการขวาเข้ามาแทรกแซง ก็ซ่อนตัวคนงานที่รู้เรื่องเอาไว้คนหนึ่งทันที แต่เกรงว่าเรื่องนี้คงสะเทือนไปถึงอำนาจแต่ละฝ่ายแล้ว ถ้าคิดจะส่งตัวมาก็คงยาก ภัตตาคารมีคนงานหายไปก็ปิดบังไม่อยู่ เช้าเร็วก็ต้องถูกหน่วยตรวจการขวาจับได้ ข้าน้อยสั่งให้พวกเขาสอบสวนอย่างลับๆ แล้ว พยายามหาข้อมูลโดยละเอียดมาให้ได้โดยเร็วที่สุด”

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ส่งข่าวอาจไม่ทันประตูเมืองปิด ต่อให้คนของพวกเราตามไปก็ไร้ประโยชน์ ทัพใต้จะต้องระดมพลกลุ่มใหญ่แน่นอน แจ้งไปที่พวกหวงลี่ว่าไม่ต้องทำอะไรแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ให้พวกหวงลี่ลงมือก็อาจจะเชื่อถือไม่ได้ ได้ของมาแล้วก็อาจจะไม่ส่งขึ้นมา อาจจะม้วนของแล้วหนีไปก็ได้ เราไม่ต้องเสี่ยงกับเรื่องนี้อีก”

ในเวลานี้เรียกได้ว่าดึงสติกลับมาจากความโลภแล้ว ก่อนหน้านี้บุ่มบ่ามเกินไป ตอนนี้รู้แล้วว่าทำไม่ไหว เพียงไปในน้ำเสียงก็ยังแสดงความเสียดายอยู่บ้าง เพราะนั่นคือของที่ทำให้เป็นอมตะ!

อายุยืนอมตะล้วนเป็นเรื่องรอง เพราะเขายังมีเวลาอีกนานให้ใช้ชีวิต ตอนนี้ไม่ได้มีความหวังอยากอายุยืนมากสักเท่าไหร่ แต่เขาจำได้ว่าไม้ไม่ผุสามารถทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ อวิ๋นจือชิวมักจะรู้สึกหดหู่เพราะริ้วรอยบนใบหน้า กังวลที่ทั้งสองอายุห่างกัน เขาอยากจะช่วยกำจัดความกังวลนี้ให้อวิ๋นจือชิวมาก

ไม่ว่าเขาจะมีผู้หญิงมากมายขนาดไหน ไม่สนใจด้วยว่าอวิ๋นจือชิวจะใส่อารมณ์หรือดุร้ายกับเขาขนาดไหน เพราะอวิ๋นจือชิวคือผู้หญิงคนเดียวในใจของเขาตลอดกาล เหนือกว่าเยว่เหยาด้วยซ้ำ แน่นอน บางทีเขาอาจแสดงออกว่ารักและเป็นห่วงเยว่เหยามากกว่า แต่ไม่เหมือนกับความรู้สึกที่มีต่ออวิ๋นจือชิว ตอนที่เขาโดดเดี่ยวและต้องการจะแข็งแกร่ง นางคือผู้หญิงคนแรกที่เดินเข้ามาในใจเขา ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้เปลือกนอกอันแข็งแกร่งของเด็กกำพร้าที่สู้ชีวิตมาตลอดทางอย่างเขานั้นผ่านความทุกข์ทรมานมามากขนาดไหน ตอนที่อดทนความยากลำบากนั้นอย่างเงียบๆ อวิ๋นจือชิวก็ปรากฏตัวแล้ว

ความอัศจรรย์ใจยามเจอกันครั้งแรกที่วัดเมี่ยวฝ่า ความตกตะลึงยามเจอกันอีกที่ทะเลทรายม่านเมฆา กระโปรงที่ปลิวพลิ้วไหว ดื่มสุราบนดาดฟ้า ดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกันที่ทะเลทรายม่านเมฆา ฉากที่อวิ๋นจือชิวหันกลับมามองเขาภายใต้ดวงอาทิตย์ยามสายัณห์ ฉากนั้นงดงามมาก ตราตรึงฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเขา

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าทั้งสองอยู่ร่วมกันมานาน เข้าใจกันและกันดีมาก แต่ทุกครั้งที่ทั้งสองสบตากันเงียบๆ ก็ยังรู้สึกคุ้นเคยกันอย่างอธิบายไม่ได้ ทำให้ทั้งสองเขินอายไม่กล้าสบตากันให้ใจเต้นแรง เมื่อดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน เหมียวอี้ก็จะนึกถึงฉากที่อวิ๋นจือชิวนั่งกระโปรงปลิวอยู่บนดาดฟ้าภายใต้แสงแดดยามเย็น นางสบตาเขาขณะที่ใช้มือข้างเดียวรินสุราให้ ฉากนั้นอวิ๋นจือชิวดูสง่างามเย้ายวนที่สุด ความรู้สึกนั้นเหมียวอี้หาไม่ได้จากตัวผู้หญิงคนอื่น เขาหวังว่านางจะสามารถคงความอ่อนเยาว์ของใบหน้าตลอดไป รักษาฉากอันงดงามที่เขาได้เห็นยามหัวใจตัวเองเปล่าเปลี่ยวที่สุดเอาไว้ตลอดไป ในหัวใจเขาไม่มีใครงดงามเกินกว่าอวิ๋นจือชิว

แม้จะมีผู้หญิงมากมายที่รูปลักษณ์ภายนอกงดงามกว่า แต่ในใจเขาอวิ๋นจือชิวคือผู้หญิงที่สวยที่สุด ไม่มีใครเทียบได้

“ไม้ไม่ผุ?”

อุทยานหลวง พระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงที่เดินไปเดินมาอยู่ในลานตำหนักหยุดเดินแล้ว พลันหลุดอุทานออกมาตอนที่ถือระฆังดาราติดต่อ แววตาเป็นประกายไม่หยุดนิ่ง

ซ่างกวนชิงที่ติดตามมาด้วยอึ้งไปชั่วขณะ ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป ถามอย่างสงสัยว่า “ไม้ไม่ผุหรือขอรับ?”

ประมุขชิงไม่มีอารมณ์มาสนใจ เขาได้รับรายงานด่วนจากเกาก้วน ครั้งนี้เกาก้วนติดต่อเขาโดยตรง ขอระดมพลกองทัพองครักษ์และสมาคมวีรชนมาสนับสนุน และเกาก้วนก็กำลังอยู่ระหว่างทางไปพระตำหนักอุทยาน ไม่รอให้ถึงก่อนแล้วค่อยรายงาน สถานการณ์เร่งด่วนแบบนี้ต้องให้ประมุขชิงเคลื่อนไหวก่อน

ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ประมุขชิงก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อโพ่จวินกับอู๋ฉวี่ทันที สั่งให้ทั้งสองรีบระดมกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่อยู่ใกล้ไปร่วมมือกัยคนของหน่วยตรวจการขวา

ส่วนซ่างกวนชิงตอนนี้ก็ได้รับรายงานจากสมาคมวีรชนแล้วเช่นกัน เข้าใจแล้วว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร

ประมุขชิงเก็บระฆังดารา แล้วหันกลับมาสั่งให้ซ่างกวนชิงระดมคนของสมาคมวีรชนให้ไปสนับสนุนทันที พร้อมทั้งให้ซ่างกวนชิงแจ้งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ให้นางสั่งกำลังพลของตลาดสวรรค์ว่าต้องให้ความร่วมมือเต็มที่

ไม่รีบระดมกำลังไม่ได้หรอก ถ้าไม้ไม่ผุปรากฏขึ้นจริงๆ พวกอ๋องสวรรค์เบื้องล่างไม่เกรงใจแน่นอน เรื่องเกิดขึ้นในอาณาเขตของอีกฝ่าย โดยเฉพาะฮ่าวเต๋อฟางที่ได้เปรียบที่สุด อีกฝ่ายสามารถระดมกำลังพลที่อยู่ใกล้ๆ ได้เลย ถ้าอีกฝ่ายทำสำเร็จแล้วไม่บอกอะไร เจ้าจะทำอย่างไรได้?

“ไม้ไม่ผุ?”

ฮ่าวเต๋อฟางที่กำลังนั่งสมาธิฝึกตนก็หลุดอุทานเช่นกัน ไม่สนใจที่ซูอวิ้นบุกเข้ามากะทันหันแล้ว กล่าวเสียงต่ำทันทีว่า “สั่งให้ทัพใหญ่ปิดทางเข้าออกประตูดวงดาวทุกแห่งเดี๋ยวนี้ ห้ามไม่ให้อำนาจฝ่ายอื่นส่งคนเข้ามาเพิ่ม ระดมกำลังพลทั้งหมดที่อยู่แถวนั้น ถ้าพบบุคคลต้องสงสัยก็จับไว้ทันที ต่อให้พลิกทั้งอาณาเขตดาว ก็ต้องหาคนให้อ๋องผู้นี้ให้ได้!”

“รับทราบ!” ซูอวิ้นรีบจัดการ

ฮ่าวเต๋อฟางกระโดดลงจากเตียงศิลา ไม่มีกะจิตกะใจมาฝึกตนแล้ว เอามือลูบเคราเดินไปเดินมาเงียบๆ

ในจวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีพลันลุกขึ้นเดินออกจากศาลาเช่นกัน “แจ้งคนที่อยู่แถวนั้น ให้ยอมแลกทุกอย่างเพื่อส่งคนมาให้ข้า!”

ในห้องเรียนส่วนตัวมีเสียงอ่านตำราดังชัดเจน เซี่ยโห้วท่านั่งสง่าอยู่ตรงข้ามกลุ่มเด็กน้อย พอได้ทราบข่าวก็ยากจะทำตัวสุขุมเยือกเย็นได้ ไม่เอาไม้เท้าแล้ว เร่งฝีเท้าเดินออกจากห้องเรียนส่วนตัว พร้อมเขย่าระฆังดาราเร่งถาม “เป็นไม้ไม่ผุจริงเหรอ?”

เว่ยซูที่รายงานข่าวตอบว่า : ยังยืนยันไม่ได้ขอรับ แต่จากคำให้การของพยานพบเห็น มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นไม้ไม่ผุ…

เขารายงานสิ่งที่รู้มาจากพยานพบเห็นโดยละเอียดรอบหนึ่ง

หนวดเคราและขนคิ้วของเซี่ยโห้วท่าล้วนสั่นไหว รีบเขย่าระฆังดารา : ส่งคนไปตามหาผู้หญิงสามคนนั้นเดี๋ยวนี้!

เด็กน้อยที่อ่านตำราอยู่ในห้องเรียน พอเห็นอาจารย์เฒ่าออกไปแล้ว ก็เริ่มเล่นกันทันที

เว่ยซู : คุณชายรองถ่ายทอดคำสั่งลงไปแล้ว แต่บ่าวกลัวว่าคุณชายท่านอื่นจะไม่ให้ความร่วมมือ!

เซี่ยโห้วท่า : เจ้าติดต่อกับพวกเขาด้วยตัวเอง ให้พวกเขาให้ความร่วมมือเต็มที่ เวลาจำเป็นก็สามารถใช้ฐานะของเจ้าขู่พวกเขาได้!

เว่ยซู : นายท่าน จะมีกับดักอะไรหรือเปล่าขอรับ?

เซี่ยโห้วท่า : จะจริงหรือเท็จก็หาตัวคนให้เจอก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้ายืนยันได้แล้วว่าเป็นไม้ไม่ผุจริง ก็ติดต่อข้าทันที!

ล้อเล่นอะไรกัน ถ้าหาไม้ไม่ผุเจอจริงๆ เขาก็ไม่จำเป็นต้องปวดหัวปัญหาเรื่องผู้สืบทอดอีกแล้ว

ชั่วขนาดนั้นอำนาจแต่ละฝ่ายของตำหนักสวรรค์ได้ข่าวแล้วเคลื่อนไหว

เหมียวอี้ก็ได้รับคำสั่งจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เช่นกัน เพียงแต่หลังจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถ่ายทอดคำสั่งของประมุขชิงแล้ว ก็ถามอีกว่า : ท่านขุนนางหนิว ข้าดูแลเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?

เหมียวอี้งงกับคำถามของนางนิดหน่อย ยังนึกว่านางจะให้ตนพยายามสุดความสามารถเสียอีก ตอบทันทีว่า : เหนียงเหนียงมีบุญคุณต่อข้าน้อยมาก ข้าน้อยจะสั่งให้เบื้องล่างให้ความร่วมมือเต็มที่แน่นอน!

ใครจะคิดว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับพูดเจตนาอีกอย่าง : พยายามเต็มที่ก็ได้! แต่ไม่ใช่พยายามเต็มที่เพื่อให้ฝ่าบาทหาพบ ถ้าต้องการให้เจ้าคิดหาทางขัดขวางไม่ให้ฝ่าบาทได้ไม้ไม่ผุนั่นมา!

เหมียวอี้คิดไม่ทันว่าหมายความว่าอะไร ถามว่า : เพราะอะไรหรือขอรับ?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถามกลับ : ถ้าฝ่าบาทเป็นอมตะ แล้วโอรสสวรรค์จะเหลือหน้าที่อะไรอีกล่ะ เมื่อหนังไม่อยู่แล้ว ขนจะอาศัยอะไร?

เหมียวอี้เข้าใจความคิดของผู้หญิงคนนี้ทันที ถ้าประมุขชิงได้ชีวิตยืนยาวเป็นอมตะ ในภายหลังก็ไม่มีเรื่องผู้สืบทอดแล้ว ชิงหยวนจุนก็จะอยู่ในสถานการณ์อึดอัด ดีไม่ดีก็อาจรักษาชีวิตไว้ไม่ได้!

เหมียวอี้แอบปาดเหงื่อ สงสัยผู้หญิงคนนี้จะอยากให้ประมุขชิงตายเร็วๆ หลังจากประมุขชิงได้ไม้ไม่ผุมา นางก็อาจจะได้อาศัยบารมีไปด้วย แต่นางก็ไม่เอาแล้ว เห็นได้ชัดว่าใช้ชีวิตในปัจจุบันมาแล้วเต็มที่ ไม่มีทางยอมให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป

เหมียวอี้กลับรู้ว่าเกินความสามารถ ระงับกำลังพลที่เตรียมจะเคลื่อนไหวไว้ทั้งหมด อาศัยกำลังคนที่ตลาดสวรรค์อาจจะไม่สามารถแย่งอาหารจากปากเสืออย่างอ๋องสวรรค์พวกนั้นได้ เพียงแต่รู้ว่าปฏิเสธไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้ยอมอายุขัยลดลงเพื่อแลกกับการหลุดพ้นจากสภาพในปัจจุบัน ถ้าเขาปฏิเสธจะต้องทำให้ผู้หญิงคนนี้ขัดเคืองใจตายแน่ นางไม่ใช่คนที่ใจกว้างอะไร เป็นแบบฉบับของคนคิดเจ้าแค้น สิ่งที่ควรตามใจนางก็จะขัดใจไม่ได้เด็ดขาด การรับปากกับการทำให้สำเร็จเป็นคนละเรื่องกัน

เขาให้สัญญาอย่างจริงจังทันที : เหนียงเหนียงวางใจ หากองค์ชายไม่ได้สืบทอดตำแหน่ง ก็ส่งผลต่ออนาคตและชีวิตของข้าน้อยเช่นกัน ข้าน้อยย่อมพยายามสุดความสามารถ พยายามหาไม้ไม่ผุมาถวายเหนียงเหนียงให้ได้!

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พอใจกับคำตอบของเขามาก เพื่อที่จะปลุกใจเหมียวอี้ นางถึงขั้นบอกว่า : ข้าไม่สนใจของพวกนั้นหรอก ถ้าเจ้าหาไม้ไม่ผุเจอ ข้าก็อนุญาตให้เจ้าเก็บไว้ใช้เองได้เลย เอาเป็นว่าห้ามให้ฝ่าบาทได้ไป!

ที่บอกว่าคงความอ่อนเยาว์ของใบหน้า นางเองก็ไม่อยากใจเต้นกับสิ่งนี้แล้ว นางรู้ว่าหน้าตาของตัวเองเมื่อเทียบกับผู้หญิงในวังหลังนั้นไร้ระดับ สิ่งที่อยู่อันดับท้ายๆโดยแท้ ต่อให้ยาวไวขนาดไหนก็สู้นางแพศยาพวกนั้นไม่ได้ ถ้าไม่ได้อำนาจมหาศาลอยู่ในมือ มีชีวิตต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร ไม่สู้มอบให้เหมียวอี้กระตุ้นให้เหมียวอี้ทำงานรับใช้ดีกว่า ในมือนางมีเพียงกำลังพลของเหมียวอี้ที่ใช้งานได้

แน่นอน ถ้าเหมียวอี้สามารถได้มาแล้วส่งต่อให้นางจริงๆ นางก็จะไม่ปฏิเสธเช่นกัน

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จ เหมียวอี้ก็ส่ายหน้าทอดถอนใจ จากนั้นสั่งให้คนทางตลาดสวรรค์ให้ความร่วมมือกับคนของหน่วยตรวจการขวาเต็มที่ แค่ให้สามารถรายงานผลการปฏิบัติงานได้ก็พอ

ในดาราจักร ผู้หญิงทั้งสามหนีออกจากตลาดสวรรค์ไม่กล้าหยุดพักแม้แต่น้อย เร่งความเร็วเต็มที่เพื่อกลับสำนัก

ฉางหงเหมยนึกว่าอุบายตื้นๆ ของตัวเองจะทำให้รอดพ้นจากกลุ่มคนที่ภัตตาคารได้ พอเห็นว่าไม่มีใครสะกดรอยตามมา ทั้งยังหนีมาไกลขนาดนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าน่าจะรอดพ้นอันตรายแล้ว โล่งใจไปบ้างแล้ว หารู้ไม่ว่าประเมินกำลังของพวกตำหนักสวรรค์ต่ำเกินไป โดยเฉพาะเมื่ออำนาจทุกฝ่ายเคลื่อนไหวพร้อมกัน พลังแบบนั้นไม่ได้อยู่ในระดับที่พวกนางจะสัมผัสถึงได้เลย

……………

พอได้ยินคำว่าไม้ไม่ผุ ก็ทำให้บรรยากาศในภัตตาคารค่อนข้างแปลกประหลาด จู่ๆ ก็เงียบลงจนเหลวไหล ทุกคนต่างใช้วิธีการต่างๆ นานาสังเกตการณ์ฝั่งจัวเซียงเหลียน แม้แต่บริกรที่วิ่งเต้นทำงานก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน

สายตาของทุกคนกำลังเน้นสังเกตปฏิกิริยาของนกน้อยสีเขียวมรกตกับงูน้อยสีเทาตัวนั้น

คนที่นั่งอยู่ในร้านไม่มีใครเคยเห็นว่าไม้ไม่ผุหน้าตาเป็นอย่างไร เพียงเคยได้ยินมาเท่านั้น ส่วนปิ่นปักผมบนศีรษะจัวเซียงเหลียน ถ้าไม่สังเกตก็อาจไม่มีใครเก็บมาใส่ใจเลย เมื่อถูกเตือนแล้วก็พบว่าเหมือนไม้ไม่ผุในตำนานจริงๆ ด้วย โดยเฉพาะรูปร่างแบบนั้น เห็นได้ชัดว่าเหมือนหักมาจากกิ่งไม้

การที่นกน้อยสีเขียวมรกตกับงูน้อยสีเทาปรากฏตัว ก็ชัดเจนว่ามีคนกำลังทดสอบลักษณะพิเศษบางอย่างของไม้ไม่ผุในตำนาน คนในแดนฝึกตนบนสัตว์ตัวเล็กพวกนี้ติดตัวไว้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร คนที่พกพวกเสือโคร่งตัวใหญ่ยังมีเลย บางคนก็นำมาเป็นของเล่น บางคนก็นำมาเป้นอาหาร หรือไม่ก็เลี้ยงให้เป็นอาหารของสัตว์เลี้ยง

ปฏิกิริยาของนกน้อยสีเขียวมรกตทำให้คนใจสั่น งูน้อยสีเทาเลื้อยค่อนข้างช้า เป็นงูธรรมดาตัวหนึ่ง น่าจะไม่เคยฝึกมาก่อน จู่ๆ มาปรากฏตัวอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมนี้ก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไร ไม่ได้หนีไปด้วย เลื้อยไปที่โต๊ะนั้นโดยตรง

ปิ่นปักผมมีลักษณะสอดคล้อง มีกลิ่นหอมสอดคล้อง ปฏิกิริยาของสัตว์เล็กก็สอดคล้องกัน ฉากนี้ทำให้คนไม่น้อยมองจนหนักตากระตุก

ต้วนอ้ายเอ๋อร์โบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ไล่นกน้อยสีเขียวมรกตที่บินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะ แต่กลับไล่ไม่ไป บินออกไปแล้วก็อ้อมกลับมาอีก เหมือนอยากบินโผเข้าหาปิ่นปักผมของจัวเซียงเหลียน แต่ก็ไม่สะดวกจะลงมือสังหารสัตว์ของคนอื่น สำนักเทียนกู่ไม่ใช่สำนักใหญ่อะไร ไม่มีความมั่นใจที่จะก่อเรื่อง

จัวเซียงเหลียนและศิษย์น้องทั้งสองสีหน้าค่อนข้างแย่ พวกนางไม่คิดว่าของบนศีรษะจัวเซียงเหลียนคือไม้ไม่ผุในตำนาน ศิษย์พี่ใหญ่จะไปได้ของในตำนานมาได้อย่างไร เพียงสายตาของกลุ่มคนที่มองพวกนางดูแปลกๆ ราวกับเป็นหมาป่า

ทั้งสามตระหนักได้ว่ามีปัญหาแล้ว จึงส่งสายตาให้กัน อยู่ที่นี่นานไม่ได้แล้ว

ทั้งสามลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ฉางหงเหมยโบกมือ ร่ายอิทธิฤทธิ์ดีดงูน้อยสีเทาที่เข้ามาใกล้ตรงหน้าออกไป

“บริกร คิดเงิน!” ฉางหงเหมยรีบเดินมาข้างหน้าแล้วตะโกนบอก

บริกรพยักหน้าด้วยยิ้มแข็งทื่อ แล้วยื่นมือเชิญให้นางลงไปชั้นล่าง เพียงแต่สายตามองบนศีรษะจัวเซียงเหลียนเป็นระยะ

ฉางหงเหมยถ่ายทอดเสียงบอกนิดหน่อย จัวเซียงเหลียนดึงปิ่นปักผมบนศีรษะมาเก็บไว้ทันที

แต่งูสีเทาตัวนั้นเลี้ยวไปหาทั้งสามคนอีก นกน้อยสีเขียวมรกตที่ร้องเจื้อยแจ้วก็บินตามไปเช่นกัน

เมื่อสังเกตเห็นปฏิกิริยาของงูและนก ลูกค้าบนภัตตาคารก็แทบจะทยอยกันลุกขึ้น บางคนเขย่าระฆังดาราในแขนเสื้อติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง

ตอนที่ลงมาคิดเงินข้างล่าง ฉางหงเหมยก็สัมผัสได้ว่าบริกรกำลังถ่ายทอดเสียงคุยกับผู้จัดการร้าน แล้วผู้จัดการร้านก็พลันเงยหน้ามองไปที่ทั้งสามแวบหนึ่งด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็พบว่าลูกค้ากลุ่มหนึ่งเดินเนิบนาบลงมาจากชั้นบน และสายตาของพวกเขาก็แอบสังเกตผู้หญิงทั้งสามอย่างแนบเนียน

เมื่อออกจากภัตตาคารแล้ว ทั้งสามก็เร่งฝีเท้าเดินออกไป ส่วนลูกค้าที่เดินตามออกมาทีหลังก็ใจกล้ามาก ไม่ต้องทวงเงินเลย โยนเงินลงบนโต๊ะคิดเงินแล้วก็ออกไปแล้ว

พวกฉางหงเหมยรู้สึกได้ว่ามีปัญหาติดพันแล้ว เห็นได้ชัดว่าข้างหลังมีคนกลุ่มหนึ่งตามพวกนางมา อยู่ที่ตลาดสวรรค์อาจจะไม่กล้าลงมือ แต่ถ้าออกจากตลาดสวรรค์เมื่อไรก็จะเกิดปัญหาแน่นอน แต่ที่จริงอยู่ที่ตลาดสวรรค์ก็อาจไม่ปลอดภัยกว่ากันสักเท่าไร

ทั้งสามถ่ายทอดเสียงคุยกับ แอบใช้ระฆังดาราติดต่อสำนัก

ตอนที่รีบเดินมาถึงประตูเมือง จู่ๆ ฉางหงเหมยก็เดินไปหาผู้ช่วยผู้บัญชาการคนหนึ่งที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ตรงประตู แล้วพึมพำคุยกันสองสามประโยค ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน

ผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้นหันกลับมามองแวบหนึ่ง พบว่ามีกลุ่มคนหยุดเดินและทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ไม่ไกลจริงด้วย เขาเลิกคิ้วแล้วโบกมือ กำลังพลที่เฝ้าประตูมาขวางตรงหน้าประตูเมืองทันที พร้อมทั้งนำคนกลุ่มหนึ่งประชิดเข้าไปหาคนพวกนั้น

กลุ่มคนที่ตามมาตลอดทางมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าผู้หญิงสามคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกับทหารยามของที่นี่

ยังไม่ทันรู้ตัว คนกลุ่มนี้ก็ถูกล้อมไว้แล้ว ผู้ช่วยผู้บัญชาการเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ทำอะไร?”

ฉางหงเหมยเพิ่งจะรายงานเรื่องคนพวกนี้ บอกว่าเห็นคนคล้ายผู้ร้ายหลบหนีที่ตำหนักสวรรค์ออกหมายจับ และผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้นก็พบว่าคนกลุ่มนี้มีท่าทางลับๆ ล่อๆ หลังจากพบว่าเขาสังเกตเห็นพวกเขา พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ยิ่งทำให้ดูน่าสงสัยมากขึ้น ย่อมต้องนำกำลังพลมาล้อมเพื่อตรวจสอบทันที

ส่วนฉางหงเหมยและศิษย์พี่ศิษย์น้องก็รีบฉวยโอกาสหนีออกนอกเมือง รีบเหาะขึ้นไปบนฟ้า

“ไม้ไม่ผุ?”

ในจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวพลันยืนขึ้น แล้วอุทานถามอย่างประหลาดใจ

หยางเจาชิงตอบว่า “ยังยืนยันไม่ได้ ถึงยังไงก็ไม่มีใครเคยเห็น เพียงแต่คล้ายกับที่ได้ยินมามากขอรับ”

เหมียวอี้ตาเป็นประกาย รีบถามว่า “บอกให้ทางตลาดสวรรค์จับคนไว้ก่อนแล้วค่อยยืนยัน ให้หวงลี่นำแม่ทัพใหญ่หนึ่งร้อยคนให้เลือกกำลังพลหนึ่งล้านไปรับเดี๋ยวนี้ บอกเสี้ยวฮ่าวเต๋อ ห้ามรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปเบื้องบน รอให้พวกเรารู้แน่ชัดก่อนแล้วค่อยว่ากัน แล้วก็ห้ามให้เหวินเจ๋อรู้ด้วย”

มีของแบบนี้ปรากฏอยู่บนอาณาเขตตัวเอง มีหรือที่จะไม่สืบให้กระจ่าง ถ้าได้มาไว้ในมือก็จะดีที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ เขาก็คิดจะออกหน้าด้วยตัวเองแล้ว ของที่ทำให้อายุยืนเป็นอมตะ มีใครบ้างที่ไม่ต้องการ? ถ้าเขาไม่มีอำนาจก็ขี้คร้านจะไปแก่งแย่งเหมือนกัน แย่งมาไว้ในมือก็รักษาไว้ไม่ได้อยู่ดี แต่ประเด็นคือตอนนี้เขามีศักยภาพที่จะแย่งชิงแล้ว

“รับทราบ!” หยางเจาชิงปฏิบัติตามทันที

ดาวเฟยหัว ตลาดสวรรค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่อยู่ตรงประตูเมืองยังคงสอบสวนที่มาที่ไปของคนกลุ่มนั้น จู่ๆ ตรงหน้าก็วุ่นวายอยู่พักหนึ่ง วุ่นวายจนไก่บินสุนัขกระโดดหนี

ผู้ช่วยผู้บัญชาการขมวดคิ้วมองไป แล้วก็พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เห็นเพียงกำลังพลหลายสายพุ่งเข้ามาที่นี่ แทบจะไม่ต่างอะไรกับเหาะเข้ามาเลย ถ้าไม่ใช่เพราะตลาดสวรรค์ห้ามเหาะ คาดว่าคนพวกนี้คงจะเหาะมาจากบนฟ้าโดยตรงแล้ว

ผู้ที่มาล้วนไม่ธรรมดา ล้วนเป็นผู้จัดการร้านของร้านค้าใหญ่ๆ ของตลาดสวรรค์ คนที่หนุนหลังล้วนเป็นพวกลูกพี่ใหญ่ระดับบนสุดของตำหนักสวรรค์

ทั้งยังพาพรรคพวกมาด้วย ท่าทางร้อนรนกระวนกระวายแบบนั้นทำให้คนที่เห็นรู้สึกตกใจ

“ขุนพลถาน เป็นอะไรไปแล้ว?” ผู้จัดการร้านคนหนึ่งเอ่ยถาม

ไม่สะดวกจะไม่ไว้หน้าคนพวกนี้ ผู้ช่วยผู้บัญชาการเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ แล้วก็มีผู้จัดการร้านอีกคนเดินเข้ามาทันที ยัดกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่มือผู้ช่วยผู้บัญชาการเสียเลย กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เข้าใจผิดแล้ว นี่คือคนงานในร้านของข้า จะกลายเป็นผู้ร้ายหลบหนีไปได้ยังไง ข้ารับประกันว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้ร้ายหลบหนี ถ้าเป็นก็มาเอาผิดที่ข้าได้เลย ขุนพลถานได้โปรดอำนวยความสะดวก”

“ขุนพลถาน นี่ก็เป็นคนงานในร้านค้าของข้าเหมือนกัน”

ชั่วพริบตานั้นมีผู้จัดการร้านเบียดเข้ามาพร้อมกันหลายคน หนึ่งในนั้นยัดกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่มือผู้ช่วยผู้บัญชาการ

ผู้ช่วยผู้บัญชาการยังไม่ทันเข้าใจว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ลูกน้องของกลุ่มผู้จัดการร้านก็ลงมือแล้ว ผลักเบียดทหารยามที่ล้อมคนกลุ่มนี้เอาไว้ออกไปแล้ว เหมือนจะชิงตัวคน กลุ่มคนที่ตามหญิงสามสามคนค่อนข้างงุนงง บางคนถึงขนาดโดนคนสี่ห้าคนลากไปทีเดียวพร้อมกัร

ระหว่างผู้จัดการร้านเริ่มจ้องมองกันอย่างดุร้าย เผยกลิ่นอายสังหาร ทำท่าเหมือนกำลังจะสู้กัน

ผู้จัดการร้านหนึ่งในนั้นถ่ายทอดเสียงบอกว่า “กำลังพลของตำหนักคุ้มเมืองกำลังจะมาถึงแล้ว ทุกคนเสียเวลาต่อไปก็ไม่มีใครได้อะไร แยกย้ายกันหาดีมั้ย?”

เป็นอย่างนี้จริงๆ ดังนั้นกลุ่มคนที่เพิ่งถูกล้อมจึงแยกย้ายกันไปตามผู้จัดการร้านของตัวเอง

ขณะเดียวกันก็มีคนขอให้ผู้ช่วยผู้บัญชาการให้ความสะดวก มีกลุ่มคนออกไปตามหาผู้หญิงสามคนนั้นแล้ว

กลุ่มคนที่ถูกจับแยกไปรู้สึกหวาดระแวงกลัว มีคนอยากจะดิ้นรนอธิบาย ผลปรากฏว่าโดนมีดสั้นจ่อที่เอวทันที ข้างหูมีเสียงเตือนอันเย็นเยียบดังมา “พวกเราคือคนของอ๋องสวรรค์ฮ่าว ถ้าไม่อยากตายก็ทำตัวดีๆ หน่อย!”

ก็เป็นอย่างนี้ คนกลุ่มหนึ่งมาอย่างไว แล้วก็ไปไวเช่นกัน ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

ผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้นกลุ้มใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน? แต่เขาก็ไม่กลัวเช่นกัน ผู้จัดการร้านรับประกันให้คนกลุ่มนั้นต่อหน้าฝูงชนแล้ว ถ้าเป็นผู้ร้ายหลบหนีจริงๆ เขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากมาย

พอร่ายอิทธิฤทธิ์มองกำไลเก็บสมบัติที่อยู่บนมือ เขาก็ดีใจแทบแย่ อีกฝ่ายจ่ายหนักจริงๆ เป็นทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก

ในขณะนี้เอง จู่ๆ ผู้ช่วยผู้บัญชาการก็หยิบระฆังดาราออกมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง แล้วรีบกันตัวมาตะโกนว่า “ปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้!”

ประตูเมืองถูกปิดเสียงดังครืน ในที่สุดผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้นก็เริ่มกังวลแล้ว ความเคลื่อนไหวแบบนี้ เมื่อครู่ตัวเองคงไม่ได้สร้างปัญหาอะไรหรอกใช่มั้ย?

ประตูเมืองทั้งสี่แทบจะถูกปิดพร้อมกัน ผู้บัญชาการใหญ่เสี้ยวฮ่าวเต๋อนำกำลังพลกลุ่มหนึ่งออกมาจากตำหนักคุ้มเมืองเร็วมาก

ขณะเดียวกันก็มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งมาควบคุมภัตตาคารไว้อย่างรวดเร็ว ควบคุมทุกคนในภัตตาคารเอาไว้ แล้วสอบสวนอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะหน้าตาของผู้หญิงสามคนนั้น

ผู้จัดการภัตตาคารแอบร้องในใจ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบนศีรษะผู้หญิงคนนั้นใช่ไม้ไม่ผุหรือเปล่า แต่กลับรู้ว่าปัญหามาถึงตัวแล้ว ตัวเองไร้ความสามารถจะไปยื้อแย่ง แต่ที่สำคัญคือมีคนเห็นเยอะเกินไป ปิดบังไม่ไหว ถ้ารู้เรื่องแล้วไม่ยอมรายงานขึ้นไป เดี๋ยวจะต้องมีคนมาลงโทษเขาแน่นอน ดังนั้นเขาไม่เพียงรายงานไปที่ตำหนักคุ้มเมืองเท่านั้น ทั้งยังรายงานไปยังอำนาจฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เพราะถ้าหากไม่รายงาน ไม่ว่าจะเป็นตระกูลไหนเขาก็มีเรื่องด้วยไม่ไหวทั้งนั้น

ใครจะไปคิดล่ะ ว่าภัตตาคารของเขาจะเป็นหนังหน้าไฟ

ปิดประตูเมืองกะทันหัน คนในเมืองฮือฮาอยู่พักหนึ่ง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ในเมืองที่กำลังเดือดพล่านมีคนเข้ามาประสมโรงอีก จู่ๆ ในร้านค้าแต่ละแห่งก็มีคนสวมชุดคลุมดำขอบทองและหมวกดำปักลายเมฆทองสิบกว่าคนโผล่ออกมา เร่งตามไปยังนอกร้านที่ถูกปิดอย่างรวดเร็ว คนที่เป็นหัวหน้าเผยป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่ง ตะคอกบอกทหารยามที่เข้ามาขวางว่า “หน่วยตรวจการขวาได้รับบัญชาจากฝ่าบาทให้มาสืบคดี ใครขัดขวาง ฆ่าไม่ละเว้น!”

ชวิ้ง! สมาชิกที่อยู่ข้างหลังชักดาบออกมาจ่อคอทหารยามตรงประตู บังคับให้คนแยกออกไป แล้วหัวหน้าของหน่วยตรวจการขวาก็นำคนพุ่งเข้าไปโดยตรง เมื่อเห็นผู้รับผิดชอบพื้นที่นี้ ก็เผยป้ายคำสั่งอีกครั้งทันที “รองผู้บัญชาการใหญ่ห่าว คนที่นี่ หน่วยตรวจการขวาจะรับช่วงต่อ!”

รองผู้บัญชาการใหญ่ห่าวสีหน้าหนักแน่น ไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้ขัดขวางด้วย เพียงแต่เมื่อครู่นี้ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก จึงซ่อนตัวบริกรคนหนึ่งไว้ทันที

ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนละโมบอะไร เขาเองก็รู้ว่าของบางอย่างตัวเองกลืนไม่ไหว เพียงแต่ถ้าไม่ทำอะไรสักหน่อย เขาก็ไม่อาจรายงานผลการปฏิบัติงานต่อนายท่านผู้สำเร็จราชการได้ ในเวลานี้ทุกคนล้วนทำหน้าที่เพื่อเจ้านายตัวเอง เดิมทีเขาก็เป็นคนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลอยู่แล้ว ฝ่าบาทอยู่ไกลจากเขาเกินไป ควรจะรับใช้ใครก็ไม่ต้องให้สอน

“ผู้บัญชาการใหญ่!”

ตรงประตูเมือง พอผู้ช่วยผู้บัญชาการที่เฝ้าเมืองเห็นผู้บัญชาการใหญ่เสี้ยวฮ่าวเต๋อนำคนออกมาด้วยตัวเองอย่างดุร้าย ในใจก็ร้องว่าแย่แล้ว คาดว่าคงเจอเรื่องใหญ่แล้วจริงๆ เขารีบไปทำความเคารพ

เสี้ยวฮ่าวเต๋อมองไปรอบๆ แล้วตะคอกถามว่า “คนล่ะ?”

ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่เฝ้าเมืองเหงื่อแตกราวกับสายฝนทันที อึกอักไม่รู้จะตอบว่าอะไร

พลทหารคนหนึ่งทำสายตาลอกแล่ก แล้วก้าวออกมาเล่าสถานการณ์เมื่อครู่นี้ให้ฟังทันที

บนใบหน้าเสี้ยวฮ่าวเต๋อฉายแววสังหาร แล้วจู่ๆ ก็ชักกระบี่ออกมา แทงทะลุหัวใจผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้น เลือดสดพุ่งออกจากแผ่นหลัง

“สมควรตาย!” เสี้ยวฮ่าวเต๋อตะคอกอย่างโมโห แล้วเตะร่างผู้ช่วยผู้บัญชาการที่หัวใจเป็นรูกระเด็นออกไปทันที จากนั้นชี้กระบี่ไปยังพลทหารที่เพิ่งรายงาน “ตั้งแต่นี้ไป เจ้ารับตำแหน่งต่อจากเขา”

“รับทราบ!” พลทหารคนนั้นรีบกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง

“ผู้หญิงสามคนนั้นไปที่ไหนแล้ว?” เสี้ยวฮ่าวเต๋อถามเสียงเข้ม

“ผู้บัญชาการใหญ่รอสักครู่” พลทหารคนนั้นรีบเหาะไปสืบจากทหารที่เฝ้าบนกำแพงเมือง

ในขณะนี้เอง มีคนสามคนเหาะลงมาจากฟ้า เป็นคนของหน่วยตรวจการขวา ผู้ที่นำหน้ามาเผยป้ายคำสั่งอีก “ผู้บัญชาการใหญ่เสี้ยว มีบัญชาการจากฝ่าบาท ตั้งแต่นี้ไป หน่วยตรวจการขวาจะรับหน้าที่เฝ้าป้องกันเมืองนี้ชั่วคราว ใครขัดคำสั่ง ประหาร!”

ตอนนี้ประมุขชิงไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย หน่วยตรวจการขวากำลังถ่ายทอดคำสั่งเท็จทั้งนั้น แต่การออกคำสั่งเท็จก็ต้องรู้จักแยกแยะเวลาเหมือนกัน บางเรื่องประมุขชิงไม่เพียงแค่จะไม่คัดค้าน กลับจะอนุญาตด้วยซ้ำ

………………

ดาวเฟยหัว ตลาดสวรรค์ หนึ่งในตลาดสวรรค์ของอาณาเขตทัพใต้ ไม่มีจุดที่พิเศษอะไร

เพียงแต่สำหรับฉางหงเหมยและศิษย์พี่ศิษย์น้อง พอเดินมาถึงประตูเมืองตลาดสวรรค์ก็ยังต้องระวังตัว พวกทหารสวรรค์ตรงประตูที่เหลียวซ้ายแลขวาไปทั่วทุกที่ ในสายตาคนบางคนไม่นับว่าสำคัญอะไร แต่กลับไม่ใช่บุคคลที่ศิษย์จากสำนักทั่วไปอย่างพวกนางจะมีเรื่องด้วยไหว ถ้าไปยั่วโมโหเพียงเล็กน้อย ทหารสวรรค์พวกนี้ก็มีวิธีการกลั่นแกล้งอยู่แล้ว

เดินผ่านประตูเมืองมาได้อย่างราบรื่นตลอดทาง ข้างหน้าปรากฏความเจริญรุ่งเรืองของตลาดสวรรค์ทันที

หันกลับไปมองทหารยามตรงประตูเมืองแวบหนึ่ง ต้วนอ้ายเอ๋อร์ก็ถ่ายทอดเสียงบอกศิษย์พี่หญิงทั้งสองว่า “ศิษย์พี่หญิง ได้ยินว่ากำลังจะมีการทำศึกอีกแล้ว”

ฉางหงเหมยกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก มีแต่คนบอกว่าห้าอ๋องสวรรค์กำลังแอบระดมกำลังพล ต้องการจะปราบจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล สู้กันขึ้นมาจริงๆ คนตายก็มีเป็นร้อยล้านสิบล้าน คนจำนวนเล็กน้อยอย่างสำนักเทียนกู่ยังไม่พอยัดซอกฟันด้วยซ้ำ ถึงยังไงจะสู้หรือไม่สู้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะตัดสินใจได้ เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับพวกเราด้วย”

จัวเซียงเหลียนถอนหายใจ “ไม่รู้เหมือนกันว่าคนใหญ่คนโตพวกนั้นคิดยังไง ความคิดชั่วขณะจิตของพวกเขาต้องทำให้คนบ้านแตกสาแหรกขาดขนาดไหน”

ต้วนอ้ายเอ๋อร์เลี้ยวซ้ายแลขวา “ได้ยินว่าผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลที่พวกอ๋องสวรรค์สู้ด้วยได้ควบคุมตลาดสวรรค์ไว้หมดทั้งใต้หล้าแล้ว ตอนนี้พวกเรากำลังเดินอยู่ในอาณาเขตของอีกฝ่าย หนิวโหย่วเต๋อท่านนั้นเทพมาก ร้ายกาจมาก ได้ยินว่าอายุต่างกับพวกเราไม่เท่าไหร่ คนเราเทียบกันไม่ติดจริงๆ ตอนนั้นที่พวกเราเดินเล่นที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน เขายังเป็นผู้บัญชาการอยู่เลย ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นบุคคลระดับผู้ตรวจการใหญ่แล้ว ควบคุมตลาดสวรรค์ทั้งใต้หล้า สามารถเข้าพบพวกอ๋องสวรรค์ได้โดยตรงแล้ว แบบนี้ต้องมีอำนาจมากขนาดไหนกัน! แต่น่าเสียดายที่ปีนั้นตอนอยู่ดาวเทียนหยวนไม่มีโอกาสได้พบ บุคคลที่อาจหาญชาญชัยขนาดนี้ ถ้าไม่ได้พบหน้าสักครั้งก็น่าเสียดายจริงๆ!”

ฉางหงเหมยปรายตามองนาง “เจ้าเด็กแสบ ดูท่าทางเจ้าสิ หิวจนน้ำลายจะไหลอยู่แล้ว ได้เห็นแล้วยังไงล่ะ อีกฝ่ายจะชายตามองเจ้าเชียวหรือ?”

ต้วนอ้ายเอ๋อร์หน้าชื่นตาบานทันที “พรหมลิขิตเป็นสิ่งที่ใครก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน ถ้าได้พบกันจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจเป็นรักแรกพบ เขาอาจมาคุกเข่าเหมือนขอทานตรงหน้าข้า ขอร้องให้ข้าแต่งงานด้วยก็ได้? ถึงตอนนั้นข้าก็จะทำหน้าตาเชิดใส่ ตะคอกบอกเขาว่า ผู้ชายที่อยากแต่งงานกับข้าต่อแถวจนมองไม่เห็นปลายแถวแล้ว ถ้าอยากแต่งงานกับข้าก็ต้องแสดงความจริงใจออกมา”

“อุบ!” ฉางหงเหมยกับจัวเซียงเหลียนหลุดขำ แม้แต่จัวเซียงเหลียนก็อดไม่ได้ที่จะหยิกแขนนาง พบว่าผู้หญิงคนนี้ฝันเฟื่องเกินไปแล้ว

ฉางหงเหมยทั้งโมโหทั้งอยากขำ “นางหนูเอ๊ย จะเพ้อรักจนเป็นบ้าไปแล้วสินะ อีกฝ่ายเป็นตัวละครประเภทไหน มีสาวงามแบบไหนบ้างที่ไม่เคยเจอ? มีผู้หญิงแบบไหนบ้างที่ไม่เคยมี? ผู้หญิงที่อยากแต่งงานกับเขาต่างหากที่ต่อแถวยาวจนมองไม่เห็นปลายแถว ยังจะมาร้องไห้วิงวอนขอแต่งงานกับเจ้าอีกเหรอ? เจ้าจะเพ้อรักก็คิดให้มันใกล้เคียงความจริงหน่อยได้มั้ย? เจ้าไม่เคยได้ยินเชียวเหรอ อีกฝ่ายมีฮูหยินแล้ว ยังไม่รีบตื่นอีก”

“แต่งงานไม่ได้ก็ขอคิดถึงเฉยๆ ไม่ได้เหรอ? มีฮูหยินแล้วยังไงล่ะ? นั่นเป็นเพราะตอนแรกไม่เคยเจอข้าต่างหาก ถ้าเห็นข้าตั้งแต่ทีแรก ฮูหยินของเขาก็มไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว” ต้วนอ้ายเอ๋อร์ทำเสียงฮึดฮัดเหมือนไม่ยอม จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าใฝ่ฝันอีกว่า “แต่ก็ไม่ต้องพูดถึงเลยจริงๆ ผู้หญิงที่ชื่ออวิ๋นจือชิวนั่นทำไมดวงดีแบบนั้นนะ หนิวโหย่วเต๋อเอากำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้านเพื่อนางเชียวนะ! ทำให้กระดูกขาวกองเป็นภูเขา เลือดนองเป็นแม่น้ำก็เพื่อยิ้มเดียวของสาวงาม ถ้ามีผู้ชายทำกับข้าอย่างนี้นะ ข้าคงมีความสุขตายเลย จะให้ข้าตายข้าก็ยอม! อยากจะเห็นจริงๆ ว่าอวิ๋นจือชิวนั่นจะหน้าตาสวยขนาดไหนกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ผู้ชายเป็นบ้าได้ขนาดนี้ น่าเสียดายจัง! ในปีนั้นพวกเราได้ยินว่าในร้านค้ามีเครื่องประดับสวยมาก เคยไปดูสินค้าด้วย ของก็ซื้อมาแพง น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าสุดท้ายเถ้าแก่เนี้ยคนนั้นจะกลายเป็นฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อ ถ้ารู้แต่แรก พวกเราคงไม่รีบกลับ รอให้นางโผล่หน้ามาสักครั้ง จะดูว่าเป็นผู้หญิงแบบไหนกันแน่ จะดูสักหน่อยว่าสวยเหมือนข้าหรือเปล่า มีสิทธิ์อะไรมาแย่งผู้ชายของข้า”

ศิษย์พี่หญิงทั้งสองหลุดขำอีกครั้ง ฉางหงเหมยพูดหยอกว่า “เจ้าคงไม่ได้อยากจะแต่งงานกับเขาจริงๆ หรอกใช่ไหม?”

ต้วนอ้ายเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก “อยากสิ! แต่ข้าไม่รู้จักเขา แม้แต่หน้าข้าก็ไม่มีสิทธิ์พบ เกรงว่ายังไม่ทันเข้าใกล้หนึ่งหมื่นแปดพันลี้ก็คงโดนจับไปตัดหัวก่อนแล้ว ถ้าใครมีช่องทางแนะนำให้ข้ารู้จักเขาได้ ข้าก็จะแต่งงานกับเขา มีฮูหยินแล้วยังไงล่ะ ข้าจะเป็นอนุภรรยาไม่ได้เชียวหรือ ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เขาเป็นมหาเศรษฐี เศษเงินที่เล็ดรอดจากซอกนิ้วก็พอให้ข้าเสพสุขอย่างดีแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรฝึกตนอีก”

จัวเซียงเหลียนอดไม่ได้ที่จะใส่หน้า “นางเด็กนี่บ้าไปแล้วจริงๆ อย่าคิดเหลวไหลเลย คนประเภทนั้นอยู่คนละระดับกับพวกเรา ไม่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตพวกเรา ต่อให้เจ้าอยากจะเป็นอนุภรรยาของเขา ก็ต้องต่อแถวยาวออกไปหนึ่งหมื่นแปดพันลี้”

ต้วนอ้ายเอ๋อร์กอดแขนนางแล้วหัวเราะคิกคักทันที “ศิษย์พี่หญิง ถ้าหนิวโหย่วเต๋อยินดีแต่งงานกับท่าน ถ้าวางเขากับศิษย์พี่ซ่งให้ท่านเลือก ท่านจะอยากแต่งงานกับคนไหน?”

“นางเด็กแสบ!” จัวเซียงเหลียนทั้งอายทั้งโมโห หยิกนางแรงๆ หนึ่งที

ฉางหงเหมยก็บิดหูต้วนอ้ายเอ๋อร์เช่นกัน รู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้ล้อเล่นแรงเกินไปแล้ว

ต้วนอ้ายเอ๋อร์ที่ถูกศิษย์พี่หญิงทั้งสองร่วมมือกันลงโทษ สุดท้ายก็ทำตัวซื่อสัตย์แล้ว ในที่สุดทั้งสามก็เอาความคิดไปสนใจความเจริญของตลาดสวรรค์

ทว่าจัวเซียงเหลียนภายนอกทำสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจเรากับทะเลสาบที่ถูกหินโยนใส่ มีคลื่นกระเพื่อมหนึ่งชั้น อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดถึงคำถามของต้วนอ้ายเอ๋อร์ ถ้าเป็นอย่างที่ศิษย์น้องหญิงบอกจริงๆ ตัวเองจะเลือกแต่งงานกับใครล่ะ?

นางเติบโตอยู่ในสำนักมาตั้งแต่เด็ก ใช้ชีวิตราบเรียบ ไม่มีอะไรโลดโผนสักเท่าไหร่ เคลื่อนไปตามลมตามน้ำ ราบเรียบไร้คลื่น นางปล่อยเรื่องความรักไปตามธรรมชาติเช่นกัน ท่านอาจารย์ช่วยจัดการเรื่องแต่งงานให้นางก็รับไว้ ไมตรีจากศิษย์พี่นางก็ไม่รังเกียจ ทุกอย่างปล่อยไปตามธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่ใฝ่ฝันหรือเพ้อฝัน

นางเองก็เป็นผู้หญิง นางเคยแอบอิจฉาอวิ๋นจือชิว และเคยหวังว่าจะมีความรักที่ยิ่งใหญ่อลังการอย่างอวิ๋นจือชิว และเฝ้าหวังว่าจะได้พบกับผู้ชายที่สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อลังการเพื่อนางได้ นางสงสัยว่าหนิวโหย่วเต๋อหน้าตาเป็นอย่างไร แต่นางก็รู้เช่นกัน ว่าตัวละครเล็กๆ อย่างนางยากที่จะรับความยิ่งใหญ่อลังการขนาดนั้นไหว เพียงลมพัดมาเล็กน้อยก็สามารถพัดให้นางลุกขึ้นมาไม่ได้อีกตลอดไปแล้ว ถึงขั้นทำให้สำนักของนางถูกกวาดล้างได้เลย ทำได้เพียงเพ้อฝัน นางถึงขั้นคิดว่า อวิ๋นจือชิวนั่นน่าจะมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นจะทนรับความยิ่งใหญ่อลังการแบบนี้ได้อย่างไร จะต้องไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาแน่นอน ถึงคู่ควรกับผู้ชายอย่างหนิวโหย่วเต๋อได้ ถ้าอยากสวมมงกุฎราชาก็ต้องรับน้ำหนักไม่ไหวด้วย

แต่ถ้าให้เลือกระหว่างศิษย์พี่กับหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ ศิษย์พี่ก็เหมือนจะเรียบง่ายธรรมดาเหมือนนาง แม้ตัวเองจะไม่เคยเจอหนิวโหย่วเต๋อ แต่ก็ใฝ่ฝันถึงหนิวโหย่วเต๋อมากกว่า…พอนึกถึงตรงนี้ นางต้องหูแดงด้วยความเขินอายทันที แอบด่าตัวเองในใจ รีบเรียกสติตัวเองกลับมาจากความคิดเพ้อฝัน

ศิษย์พี่ศิษย์น้องเดินเล่นในตลาดสวรรค์รอบหนึ่ง ซื้อของที่สำนักสั่งมาแล้ว แล้วก็เดินเล่นอย่างสนุกสนานมาก ผู้หญิงมักชอบเดินซื้อของในตลาด

ถึงแม้จะยังเดินได้ไม่ถึงอกถึงใจ แต่สำนักก็ให้เวลาจำกัด ไม่อาจอยู่นานโดยไม่กลับไปได้ ถ้าอยู่เกินเวลาจะต้องถูกลงโทษ ทำได้เพียงตัดอกตัดใจ

เดินเล่นไปได้สักพักเขาย่อมต้องหาอะไรกิน ไม่อย่างนั้นการเดินตลาดครั้งนี้จะไม่สมบูรณ์

ทั้งสามเข้าไปนั่งในภัตตาคารแห่งหนึ่ง อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ก็คืออาหารป่าที่หากินได้ยาก ภายใต้สถานการณ์ปกติจะหากินไม่ได้ ราคาค่อนข้างสูง ก่อนหน้านี้ต้วนอ้ายเอ๋อร์อยากลิ้มลองมาตลอด แต่เป็นเพราะลำบากใจเรื่องเงินจึงอดทนไว้ ครั้งนี้ตัดสินใจจะฟุ่มเฟือยสักครั้ง เป็นคนเลี้ยงเอง!

ครั้งนี้ศิษย์พี่ให้เงินมาไม่น้อย คาดว่าออกไปฝึกข้างนอกครั้งนี้คงจะได้อะไรกลับมา ต้วนอ้ายเอ๋อร์แอบยิ้ม ได้อาศัยบารมีศิษย์พี่หญิงแล้ว ถ้าไม่กินจะเสียของ

สามสาวเลือกที่นั่งติดมุมหน้าต่าง สั่งอาหารขึ้นชื่อของร้าน สั่งสุราเล็กน้อย แล้วถ่ายทอดเสียงคุยกัน

ชมทิวทัศน์ตลาด ดื่มด่ำกับอาหารเลิศรส สามสาวอารมณ์ดีมาก

หลังจากมีลูกค้าเข้ามาในร้านเยอะ โต๊ะข้างๆ ก็มีสตรีวัยกลางคนคนหนึ่งมานั่ง หลังจากสั่งสุราอาหารแล้ว ปีกจมูกก็ขยับเล็กน้อย ดมค้นหาไปทั่ว แล้วตะโกนบอกว่า “บริกร สุราของร้านเจ้าเติมเครื่องหอมอะไรลงไป กลิ่นหอมมาก แนะนำหน่อยสิ เดี๋ยวข้าจะซื้อเก็บไว้สักหน่อย”

บริกรที่ถูกตะโกนเรียกเกาหัว “พี่สาว ไม่ได้เติมเครื่องหอมอะไรเลยนะ ล้วนเป็นกลิ่นหอมของสุรา”

สตรีคนนั้นขยับปีกจมูกอีกครั้ง แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่กลิ่นสุรา กลิ่นนี้เดี๋ยวจางเดี๋ยวหอม กลิ่นหอมของสุราก็กลบไม่มิด เป็นกลิ่นที่ข้าไม่เคยสัมผัสมาก่อน”

บริกรก็ดมหาเช่นกัน แล้วจู่ๆ ก็ตบหน้าผากตัวเอง ชี้ไปที่โต๊ะของฉางหงเหมย “พี่สาวว่ากลิ่นหอมอาจจะมาจากตัวลูกค้าโต๊ะนั้นหรือเปล่า ตอนที่ข้าเพิ่งนำอาหารไปวางก็ได้กลิ่นเหมือนกัน”

“อ้อ?” ผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้นยืน ขยับปีกจมูกเดินดมไปตลอดทาง ดมไปจนถึงตัวจัวเซียงเหลียน

จัวเซียงเหลียนมองนางอย่างระแวดระวัง

สตรีวัยกลางคนกลับช่องปิ่นบนศีรษะของจัวเซียงเหลียน แล้วถามด้วยแววตาเป็นประกาย “น้องสาว กลิ่นหอมมาจากปิ่นปักผมของเจ้าหรือ?”

จัวเซียงเหลียนเจียดรอยยิ้ม “คงจะใช่ค่ะ”

สตรีวัยกลางคนถามอีก “ข้าชอบกลิ่นนี้มาก ดมแล้วสดชื่นตื่นตัว รู้สึกสบายทั้งกายทั้งใจ ส่วนประกอบที่ใช้ซื้อมาจากไหน เดี๋ยวข้าจะซื้อไว้สักอันหนึ่ง”

คนแปลกหน้าไม่รู้ว่ามาดีหรือมาร้าย จัวเซียงเหลียนไม่อยากสนใจ และไม่อยากมีเรื่องด้วย ตอบกลับอย่างสุภาพว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน คนอื่นให้ข้ามา”

“ช่างเป็นปิ่นปักผมที่พิเศษ ไม่ทราบว่าขอข้าดูหน่อยได้มั้ย?” สตรีวัยกลางคนถาม

ต้วนอ้ายเอ๋อร์ชักสีหน้าทันที “พี่สาวท่านนี้ พวกเราไม่สนิทกันนะ” นับว่าขอให้อีกฝ่ายควบคุมตัวเอง นี่คือของขวัญแทนใจที่ศิษย์พี่ส่งให้ศิษย์พี่หญิง จะให้คนแปลกหน้าดูสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร

“เหอะๆ! ข้าเสียมารยาทเอง” สตรีวัยกลางคนกล่าวกลั้วหัวเราะ ตอนที่เดินกลับไปโต๊ะตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองเป็นระยะ “ทำไมปิ่นปักผมอันนี้ถึงเหมือนไม้ไม่ผุในตำนานเลยล่ะ” นางก็แค่พูดเล่นเท่านั้น

ทว่าพอคำว่า ‘ไม้ไม่ผุ’ ออกจากปาก แขกบนภัตตาคารก็แทบจะเงยหน้ากันหมด ทยอยกันมองมาทางนี้ สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่บนปิ่นปักผมที่ศีรษะของจัวเซียงเหลียน มีคนไม่น้อยขยับปีกจมูก แยกแยะกลิ่นหอมที่สตรีวัยกลางคนบอก ตอนแรกทุกคนยังไม่สังเกต

มีบางคนนำงูน้อยสีเทาตัวหนึ่งออกมาอย่างแนบเนียน เห็นเพียงงูน้อยแลบลิ้นเงยหน้า แล้วจู่ๆ ก็หนีเข้าไปใต้โต๊ะ เลื้อยขึ้นไปบนโต๊ะของจัวเซียงเหลียน

มีคนพลิกฝ่ามือเผยนกน้อยสีเขียวมรกต ผลปรากฏว่านกน้อยกระพือปีกบินไปวนเวียนอยู่เหนือโต๊ะของจัวเซียงเหลียน แล้วส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว ท่าทางเหมือนมีความสุขมาก

……………………

ในเขตลานบ้านที่สวยงามเรียบง่าย อู่หนิงกอดอกพิงอยู่ข้างเสาศาลา ยังคงมีท่าทางเอ้อระเหยเกียจคร้าน เพียงแต่มองหวงฝู่ตวนหรงผู้เป็นภรรยาด้วยแววตาสงสัย

หวงฝู่ตวนหรงที่เอนกายอยู่บนเตียงเตี้ยกำลังพึมพำบ่นเรื่องด้านนอก เรื่องเกี่ยวกับหนิวโหย่วเต๋อกำลังลือกันอย่างคึกคัก อย่างไรเสียก็เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี เห็นได้ชัดว่าอู่หนิงสังเกตได้แล้ว ว่าหวงฝู่ตวนหรงเหมือนกำลังเก็บซ่อนความกระวนกระวายใจ

เอ่ยถึงหนิวโหย่วเต๋อบ่อยมาก…ในใจอู่หนิงกำลังเคลือบแคลง เขาขมวดคิ้วนิดหน่อย เริ่มจัดระเบียบความคิด พบว่าทุกครั้งที่ภรรยาเอ่ยถึงเรื่องหนิวโหย่วเต๋อ ไม่รู้ว่าตัวเองจำผิดไปหรือเปล่า เหมือนทุกครั้งที่ภรรยาเอ่ยถึงหนิวโหย่วเต๋อจะแปลกๆ นิดหน่อย พอเรียบเรียงความคิดดูแบบนี้แล้ว ก็เหมือนจะมีอาการเกี่ยวกับลูกสาวด้วย

อู่หนิงที่เปลือยเท้าอย่างสบายๆ เดินมาข้างเตียง แล้วนั่งลงช้าๆ นั่งลงข้างข้างภรรยาที่นอนพลิกไปพลิกมาเป็นระยะ วางมือลงบีบนวดข้างเอวนาง แล้วกล่าวพร้อมยิ้มเบาๆ “หนิวโหย่วเต๋อมีเคราะห์ครั้งนี้ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก เข้าร่วมการโค่นล้มตระกูลอิ๋ง รับทัพใหญ่ห้าล้าน ปล้นอำนาจที่ตลาดสวรรค์ ตั้งยังคิดจะให้สำนักลมปราณสร้างร้านค้าใหม้อีก สร้างเรื่องใหญ่เยอะขนาดนั้นภายในเวลาสั้นๆ มีเรื่องไหนบ้างที่เป็นเรื่องเล็ก กินเข้าไปก็ใช่ว่าจะย่อยหมด ทั้งยังเอ่ยปากติดกันหลายครั้ง โลภเกินไปแล้ว อยากจะกินครั้งเดียวให้อ้วนแท้ๆ เลย ถ้าคนอื่นไม่จัดการเขาแล้วจะให้ใครจัดการเขาล่ะ?”

“เจ้าคิดว่าครั้งนี้เขาจะรอดพ้นหายนะไปได้หรือเปล่า?” หวงฝู่ตวนหรงมองเขาพร้อมเอ่ยถาม

นางเองอาจจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองใส่ใจหนิวโหย่วเต๋อเกินไปแล้ว แต่อู่หนิงมองนางแวบหนึ่งด้วยสายตาล้ำลึก แล้วก็มองไปนอกศาลาอย่างสบายๆ อีก “ไม่รู้สิ แต่เขาเป็นคนที่ทำเรื่องไม่ธรรมดามาครั้งแลเวครั้งเล่า ไม่สามารถใช้หลักการปกติมาประเมินได้ จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลด้านฐานะปูมหลัง ข้าก็คิดว่าโหรวโหรวเหมาะสมกับเขามาก”

ตอนที่พูดประโยคนี้ ฝ่ามือที่วางอยู่บนเอวภรรยาก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าเอวนางสั่นหดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงทอดสายตามองไปไกลด้วยความกังวล

“พูดเหลวไหลอะไรกัน พวกเขาจะเหมาะสมกันได้ยังไง” ปากหวงฝู่ตวนหรงก็พูดไปอย่างนั้น แต่ตาที่ปิดอยู่เล็กน้อยกลับเหล่มองเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของเขาอย่างเงียบๆ

สองสามีภรรยาไม่รู้ว่าใครกำลังหยั่งเชิงใครกันแน่…

ตึกเล็กเจอลมฝนอีกแล้ว เรือนร่างสูงยาวของจีเหม่ยลี่กำลังพิงวงกบประตู มือข้างหนึ่งวางบนเอว มืออีกข้างกำลังถือถ้วยน้ำชาจ่อข้างปาก ยืนพิงตามอารมณ์อยู่อย่างนั้น ด้านนอกละอองฝนโปรยปราย ใบไม้ในเขตลานบ้านถูกชำระล้างจนเป็นสีเขียวสดใสสบายตา

นี่คือดาวเคราะห์ที่เต็มไปด้วยน้ำฝน ฤดูฝนกินเวลาไปแล้วเกินครึ่ง บางทีอาจจะทำให้คนเบื่อหน่าย แต่นางกลับชอบความรู้สึกยามที่ฟ้าดินชำระล้างฝุ่นผง หลบอยู่ในตึกเล็ก ตัวอยู่ท่ามกลางโลกอันคลุมเครือแต่ยังสามารถวางตัวอยู่ภายนอกเพื่อชื่นชมได้

ด้านนอกฝนโปรยปราย เรื่องที่เกี่ยวกับเหมียวอี้ก็กำลังเป็นข่าวคึกโครม นางกำลังครุ่นคิดถึงฐานะตัวเอง ตัวเองเป็นอนุภรรยาขงเหมียวอี้ เป็นหนึ่งในอนุภรรยาของเหมียวอี้ ทั้งสองเคยมีสัมพันธ์ทางกาย แม้จำนวนครั้งจะไม่มาก แต่ในใจนางก็มิอาจไม่ยอมรับว่าตัวเองชอบความรู้สึกสำราญทางกายเนื้อแบบนั้น การปลดปล่อยตามสัญชาติญาณทางธรรมชาตินั้นเพลิดเพลินมาก เหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณตัวเอง

บางครั้งที่ตื่นจากฝัน แล้วพบว่าข้างหมอนมีเพียงนางคนเดียว นางถึงขั้นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยด้วยซ้ำ จะแอบคิดเงียบๆ ว่าถ้าตอนนั้นคนคนนั้นอยู่ข้างกายด้วยจะดีขนาดไหน

แต่นางก็ไม่อยากจะเห็นเขา นางเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบเหมียวอี้หรือเปล่า ตอนที่ไม่เห็นบางครั้งก็จะคิดถึง แต่ตอนที่เห็นก็อยากขับไล่อีก เหมียวอี้คือคนที่ทำให้ความรู้สึกของนางซับซ้อนมาก

นางปรากฏตัวที่พิภพใหญ่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ความจริงแล้วนางมีพื้นเพไม่ธรรมดาจริงๆ เมื่อก่อนไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้กลายมาเป็นอนุภรรยาของคนอื่น นางเคยใฝ่ฝันถึงความรักอันงดงาม ใฝ่ฝันถึงชายที่ใจปรารถนา ไม่ว่าจะอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งตัวเองจะกลายเป็นอนุภรรยาของคนอื่น

เหมียวอี้สังหารญาติสนิทของนาง แต่ญาติสนิทของนางกลับบังคับให้นางกลายเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ ผลปรากฏว่าเหมียวอี้กักขังญาติสนิทของนางไว้ที่แดนอเวจีอีก แต่ญาติสนิทกลับกำชับนางว่าให้เอาใจเหมียวอี้ เอาใจงั้นเหรอ? ความสัมพันธ์ที่ผิดปกติขั้นสุดแบบนี้ ทำให้นางไม่รู้จริงๆ ว่าจะเอาใจเขาได้อย่างไร

วันที่ได้รู้ข่าวว่าจูเก๋อชิงถูกเหมียวอี้ประทานความตาย นางก็ตกใจตื่นจากฝันร้ายกลางดึก ตอนที่ลุกนั่งบนเตียง เหงื่อตกราวกับฝน หอบหายใจ นอกหน้าต่างมีพายุฝนกระหน่ำปนกับสายฟ้า ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางเบิกตากว้างมองฉากนั้นขณะขดตัวอยู่ในมุมผนัง เหมือนกลัวว่าจะมีบางอย่างปีนเข้ามาจากนอกหน้าต่าง อดทนอยู่อย่างนี้ยันฟ้าสว่าง ไม่กล้าไปปิดหน้าต่างที่ไม่รู้ว่าโดนลมพัดเปิดตั้งแต่ตอนไหน

ตัวเองเป็นแค่อนุภรรยาคนหนึ่งของเหมียวอี้ ฐานะสูงส่งกว่าจูเก๋อชิงไม่เท่าไร ความงามของจูเก๋อชิงก็ยิ่งเหนือกว่านาง เมื่อก่อนนางเคยเจอมาแล้ว นางไม่รู้ว่าจะมีวันไหนที่ตัวเองกลายเป็นเหมือนในฝันร้ายหรือเปล่า ในฝันเหมียวอี้สังหารนางด้วยใบหน้าดุร้ายน่ากลัว

นางไม่รู้ว่าตัวเองมีความสำคัญขนาดไหนในใจเหมียวอี้ ที่จริงนางอยากรู้มาก แต่ของแบบนี้ไม่สามารถชั่งน้ำหนักได้

ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองมีค่าในหัวใจเหมียวอี้หรือเปล่า แต่เหมียวอี้ก็ดูแลนางไม่ขาดตกบกพร่อง ให้เงินนางใช้จ่ายไม่ขาด และไม่ให้นางขาดแคลนทรัพยากรฝึกตนด้วย ค่าเลี้ยงดูที่ควรให้ก็ให้มาตลอด ไม่เคยหยุดเลย และไม่เคยน้อยลงด้วย ให้มากขึ้นตลอด บางทีอาจจะเป็นสิ่งที่ผู้หญิงในแดนฝึกตนปรารถนา เพียงแต่ทั้งสองได้พบกันน้อยมาก

ตัวเองเป็นเพียงอนุภรรยาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นฐานะหรือในการกระทำจริง ต่อให้นางไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้ไปทั้งชีวิต ในด้านศีลธรรมระหว่างชายหญิง นางก็มีใจเป็นหนึ่งเดียวต่อเหมียวอี้ ผู้หญิงของเขาก็ยังเป็นผู้หญิงของเขา ในจุดนี้นางเองก็ไม่มีทางปฏิเสธได้

ดังนั้นนางจึงจับตาดูความเคลื่อนไหวของเหมียวอี้มาตลอด แม้นางจะรู้ว่าเหมียวอี้อาจไม่ได้คิดถึงนาง แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะสนใจ ติดตามข่าวทุกอย่างของเหมียวอี้อย่างเงียบๆ ติดตามการใช้เล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลงสถานการณ์ของคนคนนั้นตลอดการเดินทาง บางครั้งก็เครียด บางครั้งก็กังวล บางครั้งก็ประหลาดใจ บางครั้งก็ตกตะลึง นางรู้ว่าครั้งนี้เหมียวอี้เผชิญความกดดันมหาศาลมาก

แต่นางก็รู้ว่าทุกสิ่งที่ตัวเองใส่ใจเขาคือสิ่งที่เกินความจำเป็น

ดังนั้นนางจึงชอบความรู้สึกที่เผชิญอยู่ตรงหน้า หลบอยู่ในบ้านเล็กท่ามกลางฝนอันขมุกขมัว ตัวอยู่ในนั้นแต่ก็ยังสามารถวางตัวไว้นอกเหตุการณ์เพื่อเชยชมได้ บางทีอาจจะเหงาไปบ้าง ทำได้เพียงถือถ้วยน้ำชาให้ตัวเองดูเอ้อระเหยลอยชายสักหน่อย…

“ศิษย์พี่หญิง ยังต้องรออีกนานแค่ไหน หรือพวกเราจะไปก่อนดีมั้ย ท่านอาจารย์กำหนดเวลามาแล้ว ข้ายังอยากเดินเล่นอยู่ในตลาดสวรรค์ให้มากๆ หน่อย”

บนยอดเขาแห่งหนึ่ง สตรีที่สวมชุดกระโปรงยาวสีขาวสลับชมพูคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ริมหน้าผา มีผู้หญิงสองคนอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ไกล หนึ่งในนั้นตะโกนบอกคนที่ยืนอยู่ริมหน้าผา

ผู้หญิงที่ยืนอยู่ริมหน้าผาหันกลับมายิ้มเรียบๆ “รออีกสักหน่อยเถอะ ศิษย์พี่กำลังจะมาถึงแล้ว”

ผู้หญิงอีกสองคนยิ้มหยอกล้อ ไม่รู้ว่ากำลังซุบซิบอะไรกัน

ผู้หญิงที่ยืนอยู่ริมหน้าผายิ้มเจื่อน รู้ว่าจะต้องพูดถึงนางแน่นอน

นางชื่อว่าจัวเซียงเหลียน ศิษย์สำนักเทียนกู่ ไม่นับว่าเป็นยอดหญิงงามอะไร แต่ถือว่าเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง เครื่องหน้างดงาม เค้าโครงเรือนร่างดูดี นิสัยอ่อนโยน

ที่สำนักเทียนกู่ วรยุทธ์ของนางไม่นับว่าต่ำต้อย เดิมทีจดจ่ออยู่กับการฝึกตน ไม่สนใจเรื่องระหว่างชายหญิง แน่นอนว่าไม่ได้ต่อต้าน ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ จนกระทั่งวันหนึ่งท่านอาจารย์ออกหน้าเป็นคนกลางติดต่อให้นางกับศิษย์พี่ซ่งต๋า นางเองก็ค่อนข้างชื่นชมศิษย์พี่ใหญ่ท่านนี้ จึงไม่ได้คัดค้าน ลองคบด้วยหลายปีแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยดี รอแค่ให้ท่านอาจารย์เลือกวันแต่งงานเท่านั้น

ผู้หญิงอีกสองคนก็คือศิษย์พี่หญิงและศิษย์น้องหญิงของนาง ศิษย์พี่หญิงชื่อว่าฉางหงเหมย ศิษย์น้องหญิงชื่อว่าต้วนอ้ายเอ๋อร์ เรื่องของศิษย์พี่ใหญ่กับจัวเซียงเหลียนกับประกาศอย่างเปิดเผยในสำนัก ไม่ใช่สิ่งที่เปิดเผยไม่ได้ เพียงแต่สาวๆ ในสำนักมักจะชอบหยอกล้อ จัวเซียงเหลียนเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็คุ้นชินแล้ว

ในขณะนี้เอง ตรงขอบฟ้ามีเงาคนหลายคนเหาะเข้ามา ขณะที่เหาะผ่านไป มีชายคนหนึ่งถลันตัวเหยียบลงพื้น รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าใสซื่อจริงใจ แต่ดูอาจหาญอยู่หลายส่วน สบตากับจัวเซียงเหลียนแล้วยิ้มให้กัน

“ศิษย์พี่ใหญ่มาแล้ว” ต้วนอ้ายเอ๋อร์ตะโกนเสียงดัง นางกับฉางหงเหมยเดินเข้ามาทำความเคารพด้วยรอยยิ้ม

ซ่งต๋าทักทายกลับแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้ากำลังจะไปไหนกัน?”

“ท่านอาจารย์ให้พวกเราไปซื้อของที่ตลาดสวรรค์” จัวเซียงเหลียนตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

ต้วนอ้ายเอ๋อร์พูดแทรกทันที “ศิษย์พี่ใหญ่ เพื่อที่จะรอท่าน ทำให้พวกเราเสียเวลาเดินเล่นที่ตลาดสวรรค์ ท่านต้องชดเชยให้พวกเรานะ ต้องให้เงิน!”

“อ้ายเอ๋อร์!” จัวเซียงเหลียนหันกลับมาถลึงตามองนาง

ต้วนอ้ายเอ๋อร์หัวเราะคิกคักทันที “ศิษย์พี่หญิง ท่านยังไม่ได้แต่งงานกับศิษย์พี่ใหญ่สักหน่อย เริ่มปกป้องซะแล้ว”

จัวเซียงเหลียนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที

“ฮ่าๆ!” ซ่งต๋าหัวเราะอย่างเปิดเผยจริงใจ แล้วดีดแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งเข้ามา “เอาไปสิ!”

หลังจากต้วนอ้ายเอ๋อร์รับมาตรวจดู นางก็ทำสีหน้าพอใจมาก ตอบอย่างหน้าชื่นตาบานว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่!” แล้วรีบเก็บไว้

ฉางหงเหมยที่อยู่ข้างๆ ส่ายหน้าอย่างจนใจ

สายตาของจัวเซียงเหลียนกลับมาอยู่บนใบหน้าซ่งต๋า ถามว่า “ไปฝึกครั้งนี้ราบรื่นใช่มั้ยคะ?”

“มีอุปสรรคนิดหน่อย เกือบจะหลงทางในอาณาเขตดาวนิรนามแล้ว แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ควรฝึกเหมือนกัน สรุปก็ถือว่าราบรื่น” หลังจากซ่งต๋าบอกให้ฟังคร่าวๆ ก็หยิบปิ่นปักผมอันหนึ่งมอบให้ “เห็นต้นไม้ประหลาดต้นหนึ่ง เลยหักมาทำปิ่นปักผมให้ เจ้าดูสิว่าชอบหรือเปล่า”

สายตาทุกคนไปหยุดอยู่บนปิ่นปักผมอันนั้น ทั้งตัวปิ่นสีขาวดุจหยก เห็นในแท่งที่โปร่งแสงเหมือนจะมีเส้นเลือดสีแดงอยู่ด้วย ใบไม้สีขาวที่อยู่ในจุดที่เหมาะเจาะทำให้ดูน่ารักสวยงาม เป็นกิ่งไม้กิ่งหนึ่งจริงๆ มีการตัดแต่งแก้ไขเล็กน้อยเท่านั้น ยังรักษาเค้าโครงเดิมส่วนใหญ่ไว้ แม้จะปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย แต่กลับมองออกว่าซ่งต๋าทุ่มเทความคิดไปมาก

“เป็นปิ่นที่สวยมากเลย!” ต้วนอ้ายเอ๋อร์ยื่นมือมาจะแย่งปิ่น

ฉางหงเหมยที่อยู่ข้างๆ รีบคว้าข้อมือนางกลับมา แล้วถลึงตาตำหนิ “อย่าทำเป็นเล่น”

จัวเซียงเหลียนรับปิ่นมาไว้ในมือ ในดวงตาฉายแววโปรดปราน พยักหน้าตอบว่า “ชอบค่ะ ขอบคุณศิษย์พี่”

“ข้าช่วยปักปิ่นให้เจ้านะ” ซ่งต๋าหยิบมาไว้ในมืออีกครั้ง แล้วปักบนมวนผมจัวเซียงเหลียนอย่างเรียบร้อย ก่อนจะก้าวถอยหลังแล้วพยักหน้าชม “สวยงาม”

แม้ข้างกายจะยังมีคนอื่นอีก แต่จัวเซียงเหลียนก็เขินอายเล็กน้อย

ต้วนอ้ายเอ๋อร์กลับยื่นจมูกดม แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “กลิ่นหอมชื่นใจมาก กลิ่นออกมาจากปิ่นปักผมเหรอ?”

จัวเซียงเหลียนกับฉางหงเหมยก็เหมือนจะได้กลิ่นหอมจางๆ เช่นกัน แม้กลิ่นจะอ่อนจาง แต่ดมแล้วทำให้คนรู้สึกสดชื่นสบายใจ

ซ่งต๋าพยักหน้ายิ้ม “ถูกต้อง ไม้นั้นย่อมส่งกลิ่นหอมโดยธรรมชาติ ข้ารู้สึกว่าเหมาะกับศิษย์น้องมาก แค่ไม่รู้ว่าศิษย์น้องหญิงจะชอบหรือเปล่า ถึงยังไงก็เด็ดมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ใช่ของที่มีราคา”

จัวเซียงเหลียนตอบอย่างเขินอาย “ชอบค่ะ”

ฉางหงเหมยบอกว่า “ศิษย์พี่ ท่านอาจารย์กำชับพวกเรามา ยังต้องไปที่ตลาดสวรรค์อีก เดี๋ยวพวกเราไว้คุยกันทีหลังเถอะ”

“ได้! ข้าเองก็จะไปรายงานผลภารกิจต่อท่านอาจารย์เช่นกัน ระหว่างทางพวกเจ้าก็ระวังตัวด้วย” ซ่งต๋ากล่าวด้วยรอยยิ้ม

“งั้นพวกเราไปก่อนนะคะ” จัวเซียงเหลียนบอกลา จากนั้นก็เหาะไปกับศิษย์พี่หญิงและศิษย์น้องหญิง

ซ่งต๋าที่ยืนบนหน้าหน้าผาโบกมือให้ รอจนกระทั่งเงาคนหายไปแล้ว ตัวเองก็เหาะไปยังแนวภูเขาที่อยู่ไกลๆ

…………………

ถ้าพูดจากบางระดับ การรู้วิธีหลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็คล้ายกับการมีซี่โครงไก่อยู่ในมือ ไม่มีค่ามากพอแต่จะทิ้งก็เสียดาย มิหนำซ้ำยังไม่รู้วิธีการอย่างแท้จริงด้วย ไม่อย่างนั้นก็สามารถพิจารณาร่วมงานกับอ๋องสวรรค์เพื่อต่อต้านประมุขชิงได้เลย

ระฆังดาราแบบใหม่น่าจะกลายเป็นช่องทางรายได้มหาศาลให้เขา แต่ถ้าผ่านด่านตรงหน้าไปไม่ได้ เกรงว่าแม้แต่ร้านขายของชำใหม่ก็เปิดไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าการวางจำหน่ายระฆังดาราแบบใหม่จะทำให้ขัดแย้งกับกลุ่มอำนาจที่มีระฆังดาราแบบเก่าจนนำมาซึ่งผลกระทบด้านลบ

สาเหตุที่เหมียวอี้กลุ้มใจ ก็เพราะมีของที่สามารถทำกำไรได้แต่ไม่สามารถนำออกมาทำกำไรได้ พรรคกล้านำออกมาขายตอนนี้ เกรงว่าคนที่อยากเล่นงานให้เขาตายจะมีมากขึ้น อ๋องสวรรค์พวกนั้นเดิมทีก็มีหุ้นของร้านค้าระฆังดาราอยู่แล้ว สำหรับอีกฝ่าย การขายสินค้าแบบใหม่จนทำลายสินค้าตัวเก่า ความต่างของกำไรไม่ได้มากนัก อยากที่จะอาศัยสิ่งนี้มาห้ามไม่ให้อีกฝ่ายลงมือได้ มิหนำซ้ำการโยนออกมาขายตอนนี้ก็ขาดทุนเกินไป อีกฝ่ายจะต้องฉวยโอกาสขูดรีดประโยชน์จากเขาแน่นอน จะฉวยโอกาสแย่งชิงก็เป็นไปได้

กล่าวโดยสรุปก็คือ ศักยภาพของเขายังไม่มากพอ ของที่ล่อตาล่อใจคนเกินไป ถ้าโยนออกไปขายตอนนี้จะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ประมุขชิงถอนกำลังกองทัพองครักษ์ที่ควบคุมศูนย์กลางของตลาดสวรรค์แต่ละแห่งอย่างเป็นทางการ กำลังพลเดิมที่ควบคุมส่วนใหญ่กลับมาแล้ว ความกดดันที่ตลาดสวรรค์นำมาสู่เหมียวอี้เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน เบื้องบนของตลาดสวรรค์เริ่มหาเรื่องแล้ว เหมียวอี้ได้รับข้อความขอคำชี้แนะอย่างต่อเนื่อง

เหมียวอี้ให้ทุกคนทนความกดดันเอาไว้ พร้อมรายงานขึ้นไปที่ตำหนักสวรรค์ ส่งคำขออันแรงกล้าเพื่อจะลงโทษกำลังพลตลาดสวรรค์ที่ปฏิเสธการมารายงานตัว

จากนั้นก็มีอีกข่าวที่แทบจะปิดบังไม่อยู่ส่งมาแล้ว นั่นก็คือกำลังพลของห้าอ๋องสวรรค์กำลังรวมตัวกันอย่างลับๆ แม้จะบอกว่าเป็นความลับ แต่จำนวนกำลังพลมีเยอะเกินไป จึงมีข่าวหลุดออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่ากำลังพลกลุ่มนี้รวมตัวกันทำไม

แต่เหมียวอี้เตรียมตัวรับศึกแล้ว เริ่มควบคุมกำลังพลใต้สังกัดแล้ว

“ประหาร!”

ดาวจันทร์อี่ ริมทะเล ศีรษะคนเกือบหมื่นร่วงลงพื้นตามคำสั่ง ทั้งหมดคือกำลังพลที่ย้ายมาจากตลาดสวรรค์ เสียงดิ้นรนขอร้องหายไปตามดาบที่ฟันลงมา

เหมียวอี้ใช้ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งลงโทษประหารคนพวกนี้ ศึกใหญ่กำลังจะมาถึง ไม่จำเป็นต้องเก็บพวกที่จะก่อปัญหาในภายหลังพวกนี้ไว้

ขณะมองดูศพเกลื่อนเต็มพื้น หวงลี่ก็หันไปหาหลงซิ่นที่อยู่ข้างกัน แล้วถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “ผู้ตรวจการใหญ่มีเจตนาอะไร?”

หลงซิ่นส่ายหน้า “เหล่าหวง พวกเราไม่ต้องสนใจมากขนาดนั้นหรอก ทำตามก็พอแล้ว”

ด้านนอกตลาดผี กำลังพลสิบล้านพลันปรากฏตัว ล้อมตลาดผีเอาไว้โดยสมบูรณ์ ทั้งตลาดผีปั่นป่วนวุ่นวาย

“หนิวโหย่วเต๋อคิดจะทำอะไร?”

ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านสีหน้าแย่มาก ตะคอกถามชิงเยว่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า

ชิงเยว่ตอบว่า “เถ้าแก่เฉาอย่าเข้าใจผิด ไม่ได้มีเจตนาอื่น ผู้ตรวจการใหญ่ต้องการจะกวาดล้างบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดของตลาดผี กวาดล้างออกจากแดนรัตติกาล ทัพใหญ่จะได้ฝึกได้สะดวก ไม่ได้ทำร้ายใคร”

เฉาหม่านโกรธจนหน้าเขียว หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้โดยตรง

ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้พูดอะไรบ้าง เฉาหม่านเริ่มมีสีหน้าจริงจัง หลังจากเก็บระฆังดาราแล้วก็ไม่สงสัยอะไรอีก บอกชีเจวี๋ยที่อยู่ข้างกันว่า “ประกาศให้เบื้องล่างให้ความร่วมมือ ออกจากแดนรัตติกาลชั่วคราว”

ไม่หนีไปไม่ได้หรอก กำลังจะเกิดศึกแล้ว อยู่ที่นี่อันตรายจริงๆ ต่อให้เขาจะมีกำลังมากแค่ไหน แต่ยามเผชิญกับการเข่นฆ่าขนาดใหญ่แบบนี้ ก็ยังไม่มีศักยภาพมากพอ แม้จะรู้เจตนาที่บรรดาอ๋องสวรรค์รวบรวมกำลังพลมาบ้างแล้ว แต่ก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้เตรียมจะใช้กำลังปะทะ

“ขอรับ!” ชีเจวี๋ยเอ่ยรับคำสั่ง

เมื่อได้รับความร่วมมือจากตึกศาลาสัตยพรต ก็ไม่มีความวุ่นวายใดๆ คนของตลาดผีหายไปหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว ถูกส่งออกไปภายใต้การคุ้มกันของทัพใหญ่ ทั้งหมดหนีออกจากแดนรัตติกาลแล้ว

คนที่มาล่าสัตว์ที่น้ำพุวังเวง หลังจากรู้เรื่องแล้วก็หนีออกจากแดนรัตติกาลทันที

เมื่อตลาดผีว่างเปล่าแล้ว เหมียวอี้ก็สั่งให้กำลังทหารปิดล้อมทางเข้าออกแดนรัตติกาล ขณะเดียวกันก็แอบย้ายกำลังพลกลุ่มหนึ่งออกไปซุ่มจับตาดูด้านนอกทางเข้าออก

จนป่านนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปล่อยให้คนนอกเข้าออกแดนรัตติกาลตามอำเภอใจ ถ้ามีคนลักลอบปล่อยกำลังพลกลุ่มใหญ่เข้ามาก็จะยุ่งยากแล้ว เขาเองก็ไม่รู้ว่าที่ตลาดผีมีคนมากขนาดไหนที่ถูกอำนาจภายนอกควบคุม ดังนั้นกวาดล้างให้หมดจะเหมาะสมกว่า

เขาเข้าใจชัดเจนดี มาถึงตอนนี้แล้ว อีกฝ่ายขาดแค่ข้ออ้างในการบุกโจมตีเท่านั้น เขาไม่อาจรอให้เกิดเรื่องก่อนแล้วค่อยเตรียมพร้อม

สร้างความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ ประกอบกับแอบย้ายกำลังพลกลุ่มใหญ่ในอาณาเขตสี่ทัพ จำไว้ให้คนนึกเชื่อมโยงก็คงยาก

ผู้ฝึกตนก่อสร้างบ้านเรือนเร็วมาก ทัพใหญ่และสมาชิกในครอบครัวทางฝั่งนี้เพิ่งจะมีที่อยู่ ก็ได้รับความกดดันมหาศาลทันที

มาถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวอี้รู้แล้วว่าต่อให้ปิดบังอีกก็กลับจะทำให้เกิดความวุ่นวายด้วยซ้ำ เขาเรียกรวมแม่ทัพหนึ่งหมื่นคนมาเตรียมในจวนผู้สำเร็จราชการก่อนทำศึก

บนลานกว้างนอกตำหนักมีคนรวมตัวกันนับหมื่น เหมียวอี้ที่อยู่บนบันไดหน้าตำหนักสวมเกราะรบสีสดทั้งตัว กำลังหันหน้าเข้าหากลุ่มคน

“ข้ารู้ว่าช่วงนี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างมาก คาดเดากันไปต่างๆ นานา ไม่มีอะไรน่าเดาแล้ว วันนี้ที่เรียกทุกคนมาก็เพราะจะประกาศอย่างจริงใจ มีบางคนนึกเชื่อมโยงไปแล้วว่าการเคลื่อนไหวของพวกเราเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ห้าอ๋องสวรรค์แอบระดมกำลังพล ไม่ผิดหรอก! ข้าได้ข่าวมาบ้างแล้ว ห้าอ๋องสวรรค์นั่นต้องการระดมทัพใหญ่แล้วหาข้ออ้างมาปราบพวกเรา ตอนนี้ขาดแค่ข้ออ้างที่จะลงมือเท่านั้น! ทำไมต้องการจะปราบพวกเราน่ะเหรอ ดูจากที่พวกนั้นปฏิเสธเข้าประชุมขุนนางก็รู้แล้ว พวกเขาไม่สนกฎเกณฑ์ คิดว่าใต้หล้าเป็นของพวกเขา ไม่ยอมให้อำนาจฝ่ายอื่นผงาดขึ้นมา แต่หนิวคนนี้ดันตั้งตัวเป็นอิสระนอกการปกครองของพวกเขา ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือช่วงนี้ข้ามีกำลังพลเพิ่มมาห้าสิบล้าน ก็เลยกลายเป็นตะปูตอกตา เป็นเสี้ยนหนามแทงเนื้อพวกเขา แม้พวกเราจะไม่ได้ทำความผิดอะไร แต่พวกเขาก็ยอมให้มีพวกเราอยู่ไม่ได้ แค่อยากจะกำจัดพวกเราทิ้ง!”

“บางมีอาจจะมีคนรู้สึกว่าศักยภาพต่างกันเกินไป ไม่สู้ยอมแพ้ดีกว่า! พูดถึงตัวข้าเองก่อน ข้าเป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลที่ตำหนักสวรรค์แต่งตั้ง ถ้ายอมแพ้ต่อพวกเขาแล้วจะกลายเป็นอะไรล่ะ? จะไม่กลายเป็นโจรกบฏของตำหนักสวรรค์หรอกหรือ! มิหนำซ้ำ ขอพูดสิ่งที่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ เกรงว่าต่อให้ยอมแพ้ไปก็ตายสถานเดียว! เช่นนั้นพวกเจ้าล่ะ?”

เหมียวอี้กำลังกล่าวเสียงดังก้องอยู่บนลานกว้าง แล้วจู่ๆ ก็ชี้ไปที่กลุ่มคน “หรือพวกเจ้าคิดว่ายอมแพ้แล้วจะมีทางรอด? คนที่มาหาข้าที่นี่ล้วนเป็นใครล่ะ? ส่วนใหญ่เป็นคนที่ภายนอกไม่โปรดปราน กำลังพลเดิมของแดนรัตติกาลหัวหน้าภาคล้วนถูกพวกเขาบีบคั้นจนหมดหนทาง ถึงได้มารวมตัวอยู่ด้วยกัน ถ้ายอมแพ้แล้วจะได้มีชีวิตที่ดีเหรอ? กำลังพลห้าสิบล้านที่มาใหม่ ทำไมถึงมาหาข้าที่นี่ล่ะ? ก็เพราะรู้แจ่มแจ้งไม่ใช่เหรอ ว่าถ้าไปพึ่งพาพวกเขาแล้วจะถูกบีบคั้น? หรือคืดว่าตอนหลังค่อยไปพึ่งพาพวกเขาแล้วจะได้อยู่อย่างสบาย? ไม่ผิดหรอก! ช่วงนี้ข้าปรับปรุงทัพใหญ่ บางทีอาจขัดใจบางคน อาจทำให้บางคนไม่พอใจ แต่จะไม่ปรับปรุงได้เหรอ? ท่ามกลางพวกเรามีสายลับของภายนอกอยู่มากเท่าไรล่ะ? ถ้าไม่ปรับปรุงแล้วเจอกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นตอนนี้ พวกเจ้าจะให้ข้าทำยังไง? ข้าจึงต้องปรับปรุง ไม่สนใจด้วยว่าจะมีคนไม่พอใจ อย่างน้อยอยู่กับข้าที่นี่ทุกคนก็มีโอกาสเท่าเทียมกัน ไม่ต้องกังวลว่าไปพึ่งพาคนนอกพวกนั้นแล้วจะได้รับความอัปยศจนอยู่มีสู้ตาย มีคนไม่น้อยที่มีครอบครัว พวกเจ้าทนรับความอัปยศพวกนั้นได้เหรอ พวกเจ้าทนมองเห็นครอบครัวได้รับความอัปยศได้หรือเปล่า? ไม่ต้องเดาข้าก็รู้ว่าหลังจากพวกเจ้าไปพึ่งพาพวกเขาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น จะโดนเพื่อนร่วมงานใช้อุบายรีดทรัพยื หยอกเย้าแย่งชิงภรรยาและลูกสาวพวกเจ้าไม่จบไม่สิ้น แต่พวกเจ้าทำอะไรไม่ได้เลยสักนิด ได้แต่มองดูเฉยๆ”

“บางคนอาจจะคิดว่า ถ้าไม่ยอมแพ้ พวกเขามีกำลังอำนาจมาก พวกเราไม่มีหวังที่จะชนะเลย ดูแล้วก็เหมือนจะเป็นอย่างนี้จริงๆ แต่พวกเจ้ารู้ไหม ว่าตอนข้าทำศึกกับพวกเขา ทำไมใช้คนน้อยกว่าแล้วเอาชนะพวกเขาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า? ก็เพราะกำลังพลเบื้องล่างของพวกเขามีเส้นสาย ความสัมพันธ์ญาติมิตรซับซ้อน มีพวกไร้ความสามารถเยอะมาก กลายเป็นฟืนผุแล้ว ดูเผินๆ เหมือนยิ่งใหญ่ แต่ความจริงแล้วทนรับการโจมตีไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นในปีนั้นสี่ทัพจะปรับปรุงกองทัพทำไม ปรับปรุงแล้วได้ประสิทธิภาพหรือเปล่าล่ะ? ไม่มี! พวกเขาก็แค่ทำผิวเผินเหมือนบีบตุ่มหนองก็เท่านั้นเอง หรือไม่ก็ฉวยโอกาสกำจัดคนคิดต่าง ตัดขาดไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นจริงๆ ก็จะอันตรายถึงชีวิตตัวเอง เพราะคนที่ปรับปรุงกองทัพเอง ญาติมิตรในครอบครัวพวกเขาก็ยื่นมือออกไปจนมั่วเช่นกัน ขนาดตัวเองยังไม่สะอาดด้วยซ้ำ ข้าไม่ได้ด้อยค่าพวกเขานะ เพราะพวกเขาก็มีกำลังอำนาจมากจริงๆ ถ้าคิดจะอาศัยคนของพวกเราเอาชนะพวกเขาก็เป็นเรื่องยาก ถ้าได้ยินมาว่าพวกเขาจะใช้ทัพใหญ่สี่ร้อยล้านมาล้อมปราบพวกเรา พวกเขารู้สึกว่าต้องทำสำเร็จแน่นอน แต่เกรงว่าจะไม่แน่! ข้าเตรียมตัวสำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว ต่อให้สละชีวิตกำลังพลยี่สิบสามสิบล้านคน ก็อาจจะไม่มีทางหนีพ้น แต่พวกเรามีความสามารถ และมีความมั่นใจด้วย จะให้ใช้กำลังพลสามสิบล้านกำจัดกำลังพลสามร้อยล้านของพวกเขาน่ะเหรอ! ไม่ไหวจริงๆ พวกเราควรหนีเข้าอาณาเขตดาวนิรนาม รับมือกับพวกเขาในระยะยาว ถ้ามีเวลาว่างค่อยออกมาสู้กับพวกเขาสักตั้ง ถ้าว่างค่อยออกมาฆ่าพวกเขา ถ้าว่างค่อยออกมาปล้นพวกเขา ถ้าพวกเราไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข พวกเขาก็เลิกคิดไปเลยว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุข กำลังพลหลายสิบล้านจู่โจมในระยะยาว ใต้หล้าใหญ่ขนาดนั้น ถ้าจะคอยดูว่าพวกเขาจะป้องกันได้ยังไง!”

เมื่อได้ยินว่าเตรียมตัวจะสละกำลังพลเกือบครึ่งหนึ่ง คนที่อยู่ตรงนั้นก็ฮือฮาทันที พากันซุบซิบปรึกษากัน

เหมียวอี้ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ พูดเสียงดังต่อไปว่า “ถ้าพวกเขากล้ามารุกล้ำจริงๆ ข้าจะเตรียมให้ครอบครัวของทุกคนย้ายไปก่อน! นอกจากนี้ ถ้าใครคิดจะไปพึ่งพาพวกเขาก็ถือโอกาสทำเสียตั้งแต่เนิ่นๆ อย่ารอให้ทหารมาบุกประชิดประตูเมืองแล้วค่อยเสี่ยงอันตราย ถ้าอยากจะไปตอนนี้ก็ไปได้เลย ข้าจะไม่ขัดขวางแน่นอน และไม่บังคับด้วย ไม่กลั่นแกล้งเด็ดขาด! ถ้าอยู่ต่อก็ต้องเตรียมตัวที่จะสู้ตายกับพวกเขา ถึงยังไงข้าก็จะไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว ต่อให้ตายแต่ก็ต้องกัดให้พวกเขาบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก…”

ประกาศสิ่งนี้อย่างเปิดเผย ไม่มีการปิดเป็นความลับใดๆ กอปรกับเหมียวอี้ตั้งใจกระจายข่าวสู่ภายนอก ในวันที่ประกาศแบบนี้ ข่าวก็แพร่ออกไปแล้ว แทบจะทำให้ใต้หล้าฮือฮา

จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ลุกขึ้นยืนแล้ว เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาพร้อมถามว่า “เจ้าเด็กนั่นคิดจะสู้ตายจริงเหรอ?”

เว่ยซูพยักหน้า “ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ก็เหมือนจะเป็นอย่างนี้จริงๆ แดนรัตติกาลถูกเขาย้ายคนออกจนว่างแล้ว เตรียมพร้อมรับศึกแล้ว”

เซี่ยโห้วลิ่งส่ายหน้า “ประสาท!”

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในป่าบีบแผ่นหยกในมือจนแหลก สีหน้าแย่สุดๆ เขาพบว่าตัวเองโดนปั่นหัว ที่แท้เจ้าเวรนั่นก็รู้แล้วว่าฝั่งนี้กำลังจะลงมือกับเขา

ก่วงเม่ยเอ๋อร์วิ่งเข้ามาในห้องของมารดา หลังจากกระซิบข้างหูมารดาพักหนึ่ง ก็ถามเบาๆ ว่า “ท่านแม่ เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ?”

เม่ยเหนียงส่ายหน้าถอนหายใจ “จริงเท็จแม่ก็ไม่รู้ รู้เพียงว่าเรื่องแบบนี้พวกเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ เข้าใจมั้ย?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้มหน้าเงียบๆ

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว หอสามรากฐาน โค่วหลิงซวีนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะยาว โยนแผ่นหยกที่อ่านแล้วลงบนโต๊ะ แล้วแสยะยิ้มพูดว่า “เขาคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะหยุดยั้งไม่ให้พวกเราลงมือกับเขาได้เหรอ?”

อุทยานหลวง พระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงที่เดินไปเดินมาอยู่ในศาลาบีบแผ่นหยกจนแหลก สีหน้าดูแย่มาก การที่เหมียวอี้ทำแบบนี้ ทำให้เขาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถ้าพวกอ๋องสวรรค์จะบุกโจมตีจริงๆ จะไม่กลายเป็นว่าเขาไร้ความสามารถที่จะหยุดยั้งหรอกหรือ?

แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง ในตึกศาลา หยางชิ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง ถือแผ่นหยกที่อ่านเสร็จแล้วไขว้หลังและทอดสายตามองไปไกล ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ด้านนอกไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นเหรอ?”

จินม่านที่อยู่ข้างๆ ถามว่า “ไม่มีความผิดปกติอย่างอื่น เจ้าอยากจะเห็นความเคลื่อนไหวอะไรกันแน่?”

หยางชิ่งส่ายหน้าเบาๆ แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “หรือเขาคิดจะนิ่งดูดายจริงๆ?”

………………

“อาจจะเหรอคะ” ชิงจวี๋ลองถาม “นายท่านยืนยันไม่ได้เหรอ?”

หยางชิ่งเอนกายแล้วส่ายหน้าตอบ “สถานการณ์ตอนนี้จัดการยาก อำนาจหลายฝ่ายร่วมมือกันใช้วิธีแข็งกร้าว อาศัยไพ่ที่อยู่ในมือพวกเราก็ยากจะงัดอะไรได้ มีเพียงคนที่รู้สถานการณ์ภายในอย่างเขายื่นมือเข้ามาเท่านั้นถึงจะมีน้ำหนักมากพอ แต่บรรดาอ๋องสวรรค์ร่วมมือกัน แม้แต่ประมุขชิงก็ยังกลัว เขาจะลงมือหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ เพราะจะเปิดเผยตัวได้ง่ายๆ”

เห็นหยางชิ่งเอ่ยถึงคนคนนั้นหลายครั้ง แต่กลับไม่บอกเลยว่าเป็นใคร ในเมื่อเขาไม่อยากพูด ชิงจวี๋ก็ไม่สะดวกจะถามมาก เพียงแต่ครั้งนี้รู้สึกแปลกใจมากจริงๆ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะลองถาม “นายท่าน คนที่ท่านพูดถึงคือใครกันแน่?”

หยางชิ่งเอียงหน้าจ้องนางตรงๆ สุดท้ายก็กล่าวออกมาช้าๆ ว่า “ประมุขไป๋!”

“…” ชิงจวี๋ตกตะลึงอ้าปากค้างทันที ทำสีหน้าอัศจรรย์ใจ ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

ส่วนเหมียวอี้ก็ไม่มีอารมณ์จะลาดตระเวนตรวจงานอีกแล้ว กำชับเรื่องนี้ลงไป ให้ทุกคนทำทุกอย่างเหมือนเดิม จากนั้นก็กลับมาที่จวนผู้สำเร็จราชการ

ส่วนเรื่องที่ทัพใหญ่จะบุกประชิดพรมแดน เหมียวอี้ไม่ได้บอกพวกเขา คนจะได้ไม่ว้าวุ่นใจ ขังตัวเองไว้ในห้องแล้วครุ่นคิด

ม่านราตรีห้อยลงมาเยือน หลังจากอวิ๋นจือชิวกลับมาแล้ว ก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติของเหมียวอี้ เมื่อเอ่ยถาม เหมียวอี้ก็ไม่ได้ปิดบังนาง เล่าสถานการณ์ให้นางฟังแล้ว

อวิ๋นจือชิวนั่งลงข้างเขา ตกอยู่ในความเงียบเช่นเดียวกัน หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ก็ถามว่า “หนิวเอ้อร์ ลงมือจากฝั่งโค่วหลิงซวีได้หรือเปล่า?”

“เจ้าหมายถึงเรื่องที่โค่วหลิงซวีแอบชุบเลี้ยงคนของพวกเราในกองทัพองครักษ์เหรอ?” เหมียวอี้ถาม

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “น่าจะขู่เขาได้”

เหมียวอี้ตอบว่า “ยากพอสมควร ก่วงลิ่งกงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะสั่งหารข้า กดดันให้โค่วหลิงซวีถอยจะมีประโยชน์อะไร? อ๋องที่เหลือก็สามารถปราบฝั่งนี้ได้เหมือนเดิม ปัญหาสำคัญก็คือโค่วหลิงซวีไม่มีทางทำให้ตระกูลอื่นถอยเพราะเรื่องนี้ได้ ถ้าพวกเราใช้เรื่องนี้ข่มขู่ เช่นนั้นเรื่องที่พวกเรารู้สถานการณ์ก็จะถูกเปิดโปงเช่นกัน พวกเรารู้เรื่องนี้นานแล้วแต่กลับไม่รายงานขึ้นไปบอกประมุขชิง โค่วหลิงซวีสามารถย้อนกลับมาขู่พวกเราได้เลย เมื่อเขากังวลว่าพวกเราจะสู้จนมัจฉาตายตาข่ายขาด ก็จะถอนกำลังทหารเพื่อคุมให้พวกเราสงบ แต่กลับไม่สามารถหยุดยั้งไม่ให้คนอื่นแตะต้องพวกเราได้ ยิ่งไปกว่านั้นการเปิดโปงคนพวกนั้นในตอนนี้ก็น่าเสียดาย บางคนมีอนาคตไม่เลวเลย ครั้งนี้ก็มีคนได้เลื่อนตำแหน่งสูงอีกด้วย เก็บพวกเขาไว้ในอนาคตถึงจะมีประโยชน์มากขึ้น ถ้าไม่จนตรอกจริงๆ ก็จะเปิดโปงคนพวกนั้นไม่ได้”

สำหรับสถานการณ์ของคนพวกนั้น อวิ๋นจือชิวเข้าใจดีที่สุด ปกตินางเป็นคนรับผิดชอบติดต่อกับคนเหล่านั้น ในศึกกองทัพองครักษ์กับอิ๋งจิ่วกวง ในบรรดาคนพวกนั้นก็มีนับร้อยที่ได้สร้างผลงานและเลื่อนตำแหน่ง มีหลายคนที่ไต่เต้าถึงตำแหน่งรองหัวหน้าภาคแล้ว

ตรงนี้กำลังคุยกันเรื่องกองทัพองครักษ์ อวิ๋นจือชิวก็ได้รับข่าวจากทางกองทัพองครักษ์แล้ว นางหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาติดต่อ

หลังจากติดต่อจบแล้ว อวิ๋นจือชิวก็มองเหมียวอี้ที่นั่งอยู่ข้างกัน “เป็นเหลียวอิงถง”

“เหลียวอิงถง?” เหมียวอี้ ถามอย่างงงๆ “คนที่ดูแลชิงหยวนจุนน่ะเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “เหลียวอิงถงบอกว่าเขาถูกย้ายออกไปแล้ว กองทัพองครักษ์หาคนนอกมารับช่วงต่อตำแหน่งของเขา ชื่อว่าหวังติ้งเฉา”

“หวังติ้งเฉา?” เหมียวอี้สงสัย “ทำไมชื่อนี้ข้าฟังดูคุ้นๆ?”

อวิ๋นจือชิวบอกว่า “เหลียวอิงถงบอกว่าคนคนนี้นายท่านน่าจะรู้จัก เขาเข้าร่วมการทดสอบแดนอเวจีรอบแรกพร้อมกับนายท่าน ตรวจสอบได้รับรางวัลอันดับหนึ่งจากประมุขชิง”

“อ้อ!” เหมียวอี้พยักหน้าซ้ำๆ นึกออกแล้ว มีเรื่องนั้นอยู่จริงๆ เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจว่า “คนนี้น่าจะเป็นแม่ทัพภาคอยู่ที่ตลาดสวรรค์นะ ทำไมไปที่กองทัพองครักษ์ได้ ทั้งยังไปดูแลชิงหยวนจุนโดยตรง คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกใช่ไหม?”

“อย่างอื่นเหลียวอิงถงไม่รู้ แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญตอนนี้ก็คือ เจ้าเตรียมจะทำยังไงกับวิกฤตที่อยู่ตรงหน้า?” อวิ๋นจือชิวถาม

เหมียวอี้เงียบไปนาน สุดท้ายก็กล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย “ควรจะทำยังไงก็ทำอย่างนั้น ใช้ว่าพวกเราจะไม่มีทางหนีทีไล่ ถ้าประมุขชิงไม่สนใจ ข้าก็ไม่เอารากฐานที่สร้างไว้ที่นี่แล้วก็ได้ อย่างมากก็แค่นำคนเข้าไปหลบในอาณาเขตดาวนิรนาม ต่อไปค่อยระดมกำลังพลของแดนอเวจีออกมาอีกที ช่วยกำลังพลหลายสิบล้านที่ค่าควบคุม แล้วในภายหลังถ้าว่างๆ ก็ค่อยเคลื่อนทัพออกมาก่อกวนพวกเขา ถ้าได้โอกาสก็ลงมือกวาดล้าง เป็นขุนนางไม่ได้ก็แค่เป็นโจร มีกำลังพลเกือบสองร้อยล้านอยู่ในมือ คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนมีรองเท้าใส่หรอก ไปปล้นที่ไหนก็ปล้นได้ดี ทุกคนจะได้คิดเลยว่าจะอยู่อย่างสงบสุข ข้าตัดสินใจอย่างนี้แล้ว!” เขาตบโต๊ะยืนขึ้น ตัดสินใจอย่างแน่วแน่

หลังจากแน่ใจแล้วว่ามีทางหนีทีไล่ เขาก็ไม่มีอะไรให้กังวล ไม่ว่าเบื้องบนของตลาดสวรรค์จะเปลี่ยนคนหรือไม่ แต่เขาก็เร่งรัดให้ลูกน้องที่อยู่ทางตลาดสวรรค์จัดการเรื่องร้านค้าให้เป็นรูปธรรมต่อไป

นอกตำหนักนารีสวรรค์ ซ่างกวนชิงที่เดินมาถึงประตูลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปหรือไม่ หลังจากคิดไปคิดมาก ก็แข็งใจเดินเข้าไป

เมื่อเห็นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ซ่างกวนชิงก็ทำความเคารพด้วยรอยยิ้มทันที “คำนับเหนียงเหนียง!”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่นั่งสง่าอยู่เบื้องบนพ่นเสียงทางจมูก “ผู้การใหญ่ไม่ไปรับใช้ท่านที่อยู่ตำหนักเย็นเหรอ ทำไมถึงถ่อมาหาข้าได้ล่ะ ข้ารับไว้ไม่ไหวหรอก!”

ซ่างกวนชิงยิ้มอย่างขมขื่น รู้อยู่แล้วว่าเมื่อมาถึงก็จะโดนพูดฉีกหน้า ตอนนี้นางกล้าด่าแม้กระทั่งราชันสวรรค์ นับประสาอะไรกับการพูดฉีกหน้าเขา เขาได้แต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน กุมหมัดคารวะ “เหนียงเหนียง ท่านคงทราบแล้วว่าจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลกำลังจะเผชิญวิกฤต แต่ดูจากความเคลื่อนไหวของหนิวโหย่วเต๋อที่ตลาดสวรรค์ เหมือนไม่มีท่าทีจะถอนกำลัง กองทัพองครักษ์ที่อยู่ตลาดสวรรค์กำลังจะถอนกำลังแล้วขอรับ” เขากำลังเตือนให้คนของหนิวโหย่วเต๋อที่ตลาดสวรรค์รีบถอนกำลัง จะได้ลดความเสียหายที่ไม่จำเป็น

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ฟังก็รู้ทันทีว่าเป็นความคิดของประมุขชิง นางน้ำตบโต๊ะแล้วยืนขึ้น ทำให้ซ่างกวนชิงตกใจจนแทบกระโดด

“ถอนกำลังเหรอ? ทำไมคนที่ได้รับแต่งตั้งจากข้าต้องถอยด้วยล่ะ? คิดว่าข้ารังแกง่ายเหรอ?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แสยะยิ้ม “ถ้าคนของตลาดสวรรค์ถอยแล้ว คนพวกนั้นจะยอมวางมือเหรอ? ในเมื่อจะยื่นหัวหรือหดหัวก็ล้วนต้องโดนดาบ ยังมีอะไรให้กลังอีก อย่าบอกนะว่าจะให้ข้าไปคุกเข่าขอร้องพวกเขา? ข้าไม่ใช่ฝ่าบาทนะ ที่จะไม่มีความเป็นลูกผู้ชายอย่างนั้น ขู่นิดหน่อยก็ยอมแพ้แล้ว ข้าแน่วแน่ใจเจตนำนงการรบแล้ว มีกำลังพลหลายสิบล้านอยู่ในมือ ข้าไม่กลัวใครทั้งนั้น ถ้าฝ่าบาทจัดการคนพวกนั้นไม่ได้ ข้าก็จะจัดการแทนพวกเขาเอง ใครกล้าโจมตีคนของข้า ข้าก็จะโจมตีคนคนนั้น” นางพูดเสียงดังฟังชัด มีความเผด็จการเต็มเปี่ยม!

เจตนานี้ย่อมเป็นเหมียวอี้ที่รายงานขึ้นมา และนางในตอนนี้ก็หลับหูหลับตาเชื่อมั่นในความสามารถของเหมียวอี้ กำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์โจมตีทัพเกรียงไกรหนึ่งล้าน ทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาลสามารถโค่นล้มทัพตะวันออกห้าล้านได้ ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อบอกแล้วว่าจะสู้ นางก็คิดว่ากำลังพลห้าสิบล้านของหนิวโหย่วเต๋อสู้กับกำลังพลสี่ร้อยล้านก็น่าจะไม่มีปัญหา ต่อให้มามากกว่านี้ก็ไม่กลัว ดังนั้นนางจึงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมต่อสิ่งที่พูดออกไป

สรุปก็คือ สิ่งที่เหมียวอี้หลอกลวงนาง นางคิดเป็นจริงเป็นจังแล้ว นางไม่รู้เลยว่าเหมียวอี้เตรียมตัวจะหนีเรียบร้อยแล้ว

“…” ซ่างกวนชิงมองนางอย่างพูดไม่ออก

หลังจากกลับพระตำหนักอุทยาน ซ่างกวนชิงก็รายงานความคิดของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ให้ประมุขชิงทราบ

แน่นอน เขาพูดข้ามคำด่าที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ด่าประมุขชิง ไม่อย่างนั้นจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว

ประมุขชิงก็อึ้งไปพักใหญ่เช่นกัน จากนั้นถึงได้ถามว่า “มีความคิดอย่างนี้จริงเหรอ ไม่ได้พูดเพราะอารมณ์โกรธหรอกนะ?”

ซ่างกวนชิงถอนหายใจ “บ่าวยืนยันทำแล้ว เหนียงเหนียงกับหนิวโหย่วเต๋อล้วนคิดจะสู้ โดยเฉพาะเหนียงเหนียงที่ตัดสินใจแน่วแน่มาก!”

“…” ประมุขชิงพูดไม่ออกไปพักใหญ่ สุดท้ายก็แสยะหัวเราะ “ใครกล้าโจมตีนาง นางก็จะโจมตีคนนั้นเหรอ? ไอ๊หยา กลายเป็นคนมีความมั่นใจมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ผู้หญิงบ้าคนนี้ไปเข้าพวกกับเจ้าลูกลิงแล้ว ใจกล้าเหมือนกินหัวใจหมีมา แต่ละคนช่างทำให้ข้าอึ้ง! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องกังวล ข้าจะตั้งตารอดู ถ้าต่อสู้ได้ดีจริงๆ ข้าก็ไม่ถือสาที่จะยื่นมือเข้าไปแทรกแซง!” เขาเลิกคิ้วอย่างรอคอย ถ้ามีโอกาสจริงๆ เขาก็ไม่ถือสาที่จะเคลื่อนกำลังพลไปฟันภูเขาที่เหลือเพื่อตัดแบ่งอำนาจ

จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม ใต้ต้นไม้โบราณสูงระฟ้า

เซี่ยโห้วลิ่งที่ได้ฟังรายงานถามอย่างเชื่อไม่ลง “ราชินีสวรรค์พูดอย่างนี้จริงเหรอ?”

เว่ยซูพยักหน้า “เอ๋อเหมยได้ยินเองกับหู ทั้งยังเห็นความเคลื่อนไหวที่ตลาดสวรรค์ด้วย หนิวโหย่วเต๋อไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ยังคงทำตามอำเภอใจ เกรงว่าจะเป็นเรื่องจริงขอรับ “

“…” เซี่ยโห้วลิ่งก็พูดไม่ออกเช่นกัน เรียกได้ว่ากลุ้มใจ ทำถึงขนาดนี้แล้วยังขู่หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ ไม่สามารถทำให้หนิวโหย่วเต๋อยอมแพ้ได้แล้ว สงสัยจะหมดหวังเรื่องบีบบังคับให้สำนักลมปราณกลับร้านขายของชำแล้ว เรื่องนี้ไม่อาจจะช้าได้ ขอผู้ถือหุ้นเรานั้นยังคงเร่งรัด ทำให้เขาว้าวุ่นใจต่อไป

ในจวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่นั่งอยู่ในห้องหนังสือขมวดคิ้วถามว่า “ไม่มีท่าทีจะวางมือเรื่องตลาดสวรรค์จริงเหรอ?”

โกวเยว่ตอบว่า “ไม่มีขอรับ มิเพียงแค่ไม่ถอนกำลังพลออกไป คนที่ควบคุมตลาดสวรรค์ยังค้นหาร้านค้าไปทั่วทุกแห่งด้วย คาดว่าสำนักลมปราณคงจะสร้างเตาไฟใหม่จริงๆ นอกจากนี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ถ่ายทอดคำสั่งไปแต่ละแห่งแล้ว ว่าให้ตลาดสวรรค์ทุกแห่งประกาศคำสั่งของนาง สั่งให้คนที่ปฏิเสธจะไปจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลพวกนั้นไปรายงานตัวในเวลาที่กำหนด ไม่อย่างนั้นจะมีความผิดข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง! นางประกาศใช้ไม้แข็งโดยไม่สนใจผลที่ตามมา ทำให้คนที่ปฏิเสธพวกนั้นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าไปแล้วก็กลัวโดนหนิวโหย่วเต๋อฆ่าตาย แต่ถ้าไม่ไป พวกเขาก็รับผิดชอบข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งอย่างเปิดเผยไม่ไหว”

กล่าวโดยสรุป การที่คนพวกนั้นกล้าไม่ไปรายงานตัว ล้วนเป็นเพราะเบื้องหลังมีคนยุยง ถูกใครยุยงทุกคนก็ล้วนรู้อยู่แก่ใจ

สำหรับก่วงลิ่งกงแล้ว เรื่องของคนพวกนั้นล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง ไม่ใช่คนของเขาฝ่ายเดียว ก่วงลิ่งกงไม่เก็บมาใส่ใจเช่นกัน สิ่งที่เขากลุ้มใจคืออีกเรื่องหนึ่ง “ดูท่าแล้ว หนิวโหย่วเต๋อจะไม่รู้จริงๆ ว่าข้าจะลงมือสังหารเขา…เฮ้อ!” เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง ที่หนิวโหย่วเต๋อตอบตกลงว่าจะแต่งงานกับลูกสาวเขา ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่องจริง ทำให้เขายิ่งกลุ้มใจที่ลงมือเร็วไปหน่อย ทำเอาขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะเป็นเรื่องดีขนาดไหนกัน แต่ถูกตัวเองทำพังไปแล้ว

ส่วนเหมียวอี้ก็กลุ้มใจมากเช่นกัน

เขาได้รับข่าวดีเรื่องหนึ่ง ทางฝั่งพิภพเล็ก เยารั่วเซียนที่คุมสำนักงามวิจิตรส่งข่าวดีมา ว่าเขาเอาชนะด่านยากในการหลอมสร้างระฆังดาราได้แล้ว เขาหลอมสร้างระฆังดาราแบบใหม่ออกมาแล้ว

ทำไมถึงเรียกว่าแบบใหม่? ก็เพราะในภายหลังจะไม่ต้องพกระฆังดาราติดตัวเป็นกองแล้ว ใช้ระฆังดาราอันเดียวก็สามารถติดต่อคนได้มากมายพร้อมกัน

แบบที่หลอมสร้างออกมาตอนนี้สามารถติดต่อคนได้พร้อมกัน หนึ่งร้อยคน หนึ่งพันคน หนึ่งหมื่นคน มีทั้งหมดสามแบบ ถ้าใช้จำนวนคนมากกว่านี้ก็ไม่จำเป็นแล้ว

นอกจากนี้ เยารั่วเซียนยังบอกอีกว่า การหลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็มีความคืบหน้าที่สำคัญมาก เพียงแต่ตอนนี้ยังมีปัญหานิดหน่อยที่ต้องก้าวข้ามไปให้ได้

แน่นอนว่านี่คือเรื่องดี เพื่อสนับสนุนการศึกษาค้นคว้าของเยารั่วเซียน เหมียวอี้ทุ่มเทกำลังทรัพย์ไปเยอะมาก ในที่สุดก็ได้รับผลตอบแทนแล้ว

ส่วนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จะหลอมสร้างออกมาได้หรือไม่ เหมียวอี้ไม่ค่อยเก็บมาใส่ใจเท่าไหร่ ต่อให้หลอมสั่งมาได้ แต่ถ้าจะให้สร้างขึ้นมาจำนวนมากจริงๆ เขาก็หาทรัพยากรเยอะขนาดนั้นมาไม่ได้ เสียค่าใช้จ่ายมากเกินไป

………………

ก่วงลิ่งกงที่ยกส่งน้ำชาจิบขานรับ “อืม” จากนั้นก็ไอต่อเนื่องกันสองที แทบจะสำลักตาย พลันหันมาถามโดยจิตใต้สำนึกว่า “เขาตอบตกลงแล้วเหรอ?”

เสียงกู่ฉินเงียบแล้ว สองแม่ลูกมองมา ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรทำให้ท่านอ๋องมีปฏิกิริยามากขนาดนี้

ก่วงลิ่งกงรู้ตัวเช่นกันว่าตัวเองเสียอาการ จึงมองสองแม่ลูกแวบหนึ่ง

โกวเยว่ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน เขาย่อมพูดเรื่องนี้ต่อหน้าหวังเฟยและบุตรสาวไม่ได้เหมือนตอนอยู่กับท่านอ๋อง จึงถ่ายทอดเสียงตอบ เล่าเรื่องที่เพิ่งติดต่อกับเหมียวอี้

ก่วงลิ่งกงก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงเช่นกัน “เจ้าคิดว่าจริงหรือโกหก? เป็นเพราะเขารู้แล้วหรือเปล่าว่ากำลังจะเผชิญหายนะ ถึงได้ยอมแพ้?”

โกวเยว่ตอบว่า “เป็นไปได้ขอรับ แต่ว่าท่านอ๋องบอกว่ายังไม่ได้กระจายข่าวไม่ใช่หรือ?”

พอได้ยินแบบนี้ ก่วงลิ่งกงก็กลุ้มใจทันที ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ข่าวแล้วยอมแพ้ เช่นนั้นก็แสดงว่าตนรีบร้อนจัดการเรื่องนี้เกินไปหน่อย ถึงแม้การโจมตีกำจัดหนิวโหย่วเต๋อจะแก้ไขภัยพิบัติในภายภาคหน้าได้ แต่ตัวเองก็ไม่ได้ผลประโยชน์อะไร เพราะการแอบรับหนิวโหย่วเต๋อมาเป็นลูกน้องมีข้อดีมากเกินไป

แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องนี้ยากจะหันหลังกลับ เขาเป็นคนเริ่มเรื่องนี้ ถ้ากลับคำพูดอีกก็จะเปิดโปงเจตนาของตัวเองได้ง่ายๆ ถ้าทำให้คนสงสัยแล้ว จะดึงหนิวโหย่วเต๋อมาเป็นพวกเอกก็ไม่มีความหมายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็ปลุกระดมให้เรื่องราวใหญ่โตแล้วด้วย ไม่อาจกดไว้ได้ง่ายๆ ใครจะไปรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อมีแผนการอะไร กอปรกับการกำจัดอำนาจของแดนรัตติกาลทิ้งก็มีจุดที่เป็นไปได้เช่นกัน

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ลงมือเรื่องตลาดสวรรค์แล้ว ถ้าหนิวโหย่วเต๋อขอให้ต้นระงับไว้อีก จะลงมือตอนนี้ก็สายไปแล้ว

หลังจากคุณคิดซ้ำไปซ้ำมา ก่วงลิ่งกงก็ส่ายหน้าเบาๆ “สายไปแล้ว”

โกวเยว่เข้าใจความคิดของเขา หยิบระฆังดารามาปฏิเสธเหมียวอี้ จากนั้นก็ถ่ายทอดความคิดของเหมียวอี้อีก “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่า เข้าใจเจตนาของท่านอ๋องแล้ว เพียงแต่ยังหวังว่าท่านอ๋องจะพิจารณาให้ดีสักหน่อย เขาจะรอฟังข่าวจากท่านอ๋อง”

“สายไปแล้ว!” ก่วงลิ่งกงใส่หน้าเบาๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้จริงใจหรือหลอกลวง ถ้าเป็นเรื่องจริงขึ้นมาล่ะ? ก็นึกเสียใจทีหลังนิดหน่อยที่ตอนแรกสนใจศักดิ์ศรีมากเกินไป ทำไมไม่ยืนยันซ้ำอีกละ? บางทีตอนนั้นหนิวโหย่วเต๋อก็คำนึงถึงศักดิ์ศรีเหมือนกัน กังวลว่าตอบตกลงง่ายเกินไปจะดูไม่ดี

เรื่องราวที่ว้าวุ่นใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน เอาเป็นว่าครั้งนี้เขาถูกเหมียวอี้ทำให้กลุ้มใจแล้วจริงๆ ไม่มีอารมณ์จะฟังเสียงกู่ฉินอีกแล้ว…

สาเหตุที่ประมุขชิงหลบหน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ก็เพราะมาเจอหน้ากัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็จะบ่นเรื่องจ้านหรูอี้ อีกทั้งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยังมีเหตุผลด้วย นอกจากใส่อารมณ์ด้วยแล้ว เขาก้หาเหตุผลมาเถียงไม่ได้ แล้วจะให้เขาอยากพบนาอีกได้อย่างไร?

แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังต้องแยกแยะ พอซ่างกวนชิงได้ยินว่าเป็นเรื่องงาน ก็ไม่กล้าขัดขวางอีก หลังจากรายงานประมุขชิงแล้ว ก็พาเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มาพบประมุขชิงพี่กำลังเสแสร้งฝึกวิชา

แต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ดันเดือดดาลทันทีที่เห็นประมุขชิง ต่อให้เรื่องของเหมียวอี้จะสำคัญสักแค่ไหน แต่พอพูดจบแล้วนางก็ข่มไฟโกรธไว้ไม่ได้ เอ่ยถึงเรื่องจ้านหรูอี้อีกแล้ว “ฝ่าบาท สถานที่กักขังจ้านหรูอี้ช่องทิวทัศน์ดี พวกน้องๆ ในวังเห็นแล้วชอบ ขนาดหม่อมฉันยังใจสั่นเลย ไม่สู้ให้หม่อมฉันยกตำหนักนารีสวรรค์ให้จ้านหรูอี้ แล้วให้หม่อมฉันไปอยู่ที่นั่นแทน”

ปาดเหงื่อ! ผู้หญิงคนนี้เอาอีกแล้ว…ซ่างกวนชิงรีบก้มหน้า ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไร กลุ้มใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงไม่รู้จักอ่านสถานการณ์ ไม่รู้จักจบจักสิ้นสักที

ประมุขชิงสีหน้าบึ้งตึงทันที “ไม่สู้ยกตำแหน่งราชินีสวรรค์ให้นางไปด้วยเลยล่ะ!”

ชั่วพริบตานั้นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ราวกับแม่เสือตัวเมียที่โดนยั่วโมโห นางเงยหน้ายืดอก จ้องมองด้วยแววตาโกรธแค้น แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ดี! เชิญฝ่าบาทถ่ายทอดคำสั่งเถอะ หม่อมฉันจะไม่บ่นเลย!”

ประมุขชิงตบโต๊ะยืนขึ้น “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือไง?”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พุ่งมาตรงหน้าเขาทันที แล้วตวาดว่า “ฝ่าบาทคือประมุขแห่งใต้หล้า ไม่มีเรื่องไหนที่ฝ่าบาทไม่กล้าทำ เชิญฝ่าบาทถ่ายทอดบัญชาได้เลย!”

ซ่างกวนชิงรู้สึกเหงื่อแตก ตั้งแต่เกิดเรื่องของจ้านหรูอี้ ราชินีสวรรค์ก็เหมือนกับไปกินดินปืนมา ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทยังสงบเสงี่ยมระวังตัว แต่ตอนนี้โยนท่าทีพวกนั้นทิ้งไปแล้ว พอเห็นฝ่าบาทก็โมโหจนกล้าพูดจาแข็งกร้าวด้วย ทั้งวังหลังไม่มีใครกล้ายั่วโมโหท่านนี้แล้วจริงๆ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือคนทั้งวังสวรรค์เห็นนานแล้วต้องหวาดกลัว

ประมุขชิงถูกนางยั่วโมโหจนตัวสั่น ชี้นางพร้อมด่าว่า “เจ้า…เจ้า…ได้ นี่เจ้าหาเรื่องใส่ตัวเองนะ!”

“ถูกแล้ว เป็นหม่อมฉันเองที่ไร้ยางอายหาเรื่องใส่ตัว ฝ่าบาทได้โปรดถ่ายทอดบัญชา!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เรายังโมโห

คำว่า ‘ไร้ยางอาย’ ไม่รู้ว่าพูดให้ใครฟัง ซ่างกวนชิงรีบพูดแทรกระหว่างทั้งสอง “เหนียงเหนียง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเถียงกัน หนิวโหย่วเต๋อกำลังจะประสบหายนะ นี่ต่างหากคือเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้!”

พอได้ฟังเรื่องนี้ ในที่สุดก็ระงับไฟโกรธของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ นางสะบัดแขนเสื้อเดินก้าวยาวออกไป พร้อมพูดทิ้งท้ายว่า “หม่อมฉันจะรอคำสั่งของฝ่าบาท ถ้าฝ่าบาทไม่ถ่ายทอดคำสั่งนี้ ก็ไม่ถือว่าเป็นผู้ชาย!”

ซ่างกวนชิงปาดเหงื่อด้วยความอับอายอีกครั้ง

ซ่างกวนชิงจนใจมาก พบว่าประมุขชิงก็ร้องดังเช่นกัน จะถอดตำแหน่งราชินีสวรรค์เพื่อหลานสาวโจรกบฏคนเดียวได้อย่างไร ถ้าทำเรื่องนี้จริงๆ ก็จะบันเทิงใหญ่แล้ว ราชินีสวรรค์จะถูกปลดหรือไม่นั้นไม่รู้ แต่จ้านหรูอี้จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้แน่นอน ถ้าประมุขชิงอยากปกป้องจ้านหรูอี้ ก็ไม่กล้าแตะต้องราชินีสวรรค์เรื่องนี้เลย นอกจากโพ่จวินจะยอมรับไม่ได้แล้ว ตระกูลของราชินีสวรรค์ก็มีคนทำงานให้เหมือนกัน

สิ่งที่ทำให้คนอับจนปัญญาที่สุดก็คือ ไม่ว่าเมื่อไหร่ไม่ว่าเรื่องอะไร ราชินีสวรรค์ก็จะโยงไปที่จ้านหรูอี้เสมอ ไม่ว่าฝ่าบาทจะตำหนิหรือด่าทอราชินีสวรรค์ นางก็จะคิดว่าฝ่าบาททำเพื่อจ้านหรูอี้ ต่อให้ฝ่าบาทเผยรอยยิ้ม นางก็จะสะบัดแขนเสื้อแล้วพูดแขวะว่า ‘สงสัยนางตัวดีที่อยู่ตำหนักเย็นจะปรนนิบัติฝ่าบาทได้ดีมาก’ แล้วจะให้ฝ่าบาทรู้สึกอย่างไร!

แต่สำหรับซ่างกวนชิง ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า เขารู้สึกว่าเมื่อก่อนสองคนนี้ไม่เหมือนสามีภรรยากัน รู้สึกแปลกหน้าเกินไป ห่างเหินกันเกินไป ตอนนี้ต่างหากถึงจะมีรสชาติของสามีภรรยาแล้วจริงๆ

ใครจะคิดว่าประเดี๋ยวเดียวประมุขชิงก็ระบายความโกรธมาที่ตัวเขาแล้ว ชี้เขาพลางด่าว่า “มันเรื่องอะไรกันแน่? ทัพใหญ่สี่ร้อยล้านต้องการจะล้อมโจมตีจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ทำไมเรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่ข้าไม่รู้เลยสักนิด ทำไมหนิวโหย่วเต๋อรู้เรื่องก่อน หรือว่าช่องทางข่าวสารของข้าสู้หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวไม่ได้? ข้าจะเก็บพวกเจ้าไว้ทำอะไรกิน?”

ซ่างกวนชิงรีบโค้งตัวพยักหน้า “บ่าวจะไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้”

“แล้วก็…” ประมุขชิงแทบจะคำรามข้างหูเขา “ต่อไปนี้ถ้าข้าไม่อนุญาต ก็ห้ามพาผู้หญิงปากร้ายคนนี้เข้ามาอีก!”

“ขอรับๆๆ!” ซ่างกวนชิงพยักหน้าซ้ำๆ คิดในใจว่า ก็เจ้าอนุญาตแล้วไงข้าถึงได้พามา!

เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนหน้าผายังคงเดินไปเดินมาอย่างลังเล อยากจะติดต่อหยางชิ่ง แต่ก็รู้สึกอับอายนิดหน่อย อย่างไรเสียตอนแรกหยางชิ่งก็เคยโน้มน้าวเขาแล้ว แต่เขาไม่ฟังเอง

หลังจากลังเลหลายครั้ง เขาก็ยังหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่ง เล่าสถานการณ์ให้ฟัง หวังว่าหยางชิ่งจะมีวิธีการแก้ไขปัญหาที่ดี เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว บางทีอาจจะไม่สนใจแล้วว่าน่าอับอายหรือไม่

เพื่อให้หยางชิ่งรู้สถานการณ์โดยสมบูรณ์ จะได้วินิจฉัยได้สะดวก เขาไม่ได้ปิดบังเรื่องที่ปฏิเสธก่วงเม่ยเอ๋อร์

หยางชิ่งที่ยืนอยู่ในตึกศาลามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยรอยยิ้มขื่นขม จะให้เขาพูดว่าอะไรดีล่ะ?

บอกเหมียวอี้ว่าอย่าให้เกิดปัญหาเข้ามาแทรก แต่ตอนที่กำลังเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น เหมียวอี้ก็ยังก่อเรื่องสำนักลมปราณจนได้ เพื่อเป่าเหลียนคนเดียวคุ้มค่าเหรอ? ตอนนี้ทำเอาเขาปวดหัวไปหมดแล้ว สำนักลมปราณเองก็เป็นทุกข์เช่นกัน คนที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกก็ยังไม่แน่ใจว่าเจ้ากับเป่าเหลียนมีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่ จะไม่ให้คนเข้าใจผิดว่าเจ้ากับเป่าเหลียนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันก็คงยาก ในภายหลังเจ้าจะให้อีกฝ่ายแต่งงานออกเรือนได้อย่างไร?

ต่อให้ทำเพื่อเป่าเหลียน เจ้าจำเป็นต้องสังหารเกาเหยียนในเวลานั้นเหรอ? เรื่องนี้โทษหลงซิ่นไม่ได้ เพราะถ้าเจ้าไม่ออกคำสั่ง หลงซิ่นก็คงไม่ทำเรื่องอย่างนี้ ผลปรากฏว่ายั่วโมโหให้ก่วงลิ่งกงลงมือแล้ว

ถ้าไม่มีเรื่องที่ยั่วโมโหก่วงลิ่งกงก่อนหน้านี้ ตอนหลังก่วงลิ่งกงก็อาจไม่เพ่งเล็งก็ได้ อาจจะสามารถนำเรื่องแต่งงานของลูกสาวมาขู่ให้จบเรื่องได้ อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ก่วงลิ่งกงก็ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มา อาจจะไม่อยากสร้างปัญหาอีกแล้ว เดิมทีสามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดีได้ เจ้ารับปากว่าจะแต่งงานกับลูกสาวของก่วงลิ่งกงแล้วจะเป็นไรไป ผู้หญิงของเจ้ามีเยอะเป็นกอง ไม่ถือสาที่จะแต่งงานรับมาเพิ่มอีกสักคนหรอก คุมสถานการณ์ตรงหน้าให้สงบก่อน เรื่องในอนาคตเดี๋ยวค่อยว่ากันภายหลัง จำเป็นต้องยั่วโมโหอีกฝ่ายต่อเนื่องกันในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ด้วยเหรอ คิดจริงหรือว่าอีกฝ่ายเป็นโคลนเหลวบีบง่าย ไม่ว่าจะเป็นใคร หากมีโอกาสก็อยากจะเล่นงานเจ้าทั้งนั้น

เรื่องที่ขยันปรับเปลี่ยนแผนการในตอนหลังก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ เลิกคิดไปได้เลยว่าจะเอาเรื่องที่ขัดแย้งกับตระกูลเซี่ยโห้วมาเบี่ยงเบนความกดดัน ตระกูลเซี่ยโห้วขี้คร้านจะสนใจเจ้าแล้ว เดี๋ยวก็มีคนมาจัดการเจ้าเอง แผนที่จะฉวยโอกาสควบคุมตลาดสวรรค์ก็ย่อมพังไปแล้ว ยังคิดจะอาศัยสำนักลมปราณสร้างช่องทางรายได้ใหม่ ตอนนี้ข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะสร้างอย่างไร

หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง หยางชิ่งก็เขย่าระฆังดาราถาม : นายท่านเตรียมจะทำยังไง?

เหมียวอี้ : ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าก็จะนำคนถอยไปเฝ้าน้ำพุวังเวง อาศัยสถานที่อันตรายมาป้องกัน!

ตอนนี้จะให้เขาหนีก็เป็นไปไม่ได้

หยางชิ่ง : ก็ใช่ว่าจะมีวิธีการเดียว เพียงแต่ในกำลังพลชุดนี้ ไม่รู้ว่ามีสายลับของอำนาจฝ่ายอื่นปะปนอยู่เท่าไร พอเกิดเรื่องขึ้นแล้วเผชิญความกดดันขนาดนี้ เกรงว่าอาศัยสถานที่อันตรายมาป้องกันก็อาจจะเฝ้าไม่ไหว ถ้าไม่ถึงคราวอับจนหนทาง ก็ยังไม่ต้องใช้วิธีนี้ดีกว่า

เหมียวอี้ : เจ้ามีวิธีการดีๆ อะไรหรือเปล่า?

หยางชิ่ง : วิธีการของข้าน้อยอาจจะไม่ได้ผล อยากจะเดิมพันสักตั้ง

เหมียวอี้ : ยินดีฟังความเห็นอันเหนือชั้น!

หยางชิ่ง : นายท่านต้องถอนกำลังคนมาจากตลาดสวรรค์เพื่อรอโอกาสเคลื่อนไหว หรือไม่ก็ทำสิ่งที่ควรทำต่อไปเสียเลย ทำเป็นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สองวิธีการนี้ล้วนเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ วิธีการแรกถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ลดความเสียหายได้มาก ส่วนวิธีการที่สอง ถ้าสถานการณ์เป็นใจก็สามารถปกป้องผลประโยชน์ตรงหน้าไว้ได้ ข้าน้อยรู้สึกว่าวิธีการที่สองมีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เอื้อประโยชน์ต่อพวกเรามาก

เหมียวอี้ถามทันที : การเปลี่ยนแปลงอะไร?

หยางชิ่ง : ตอนนี้ข้าน้อยก็บอกได้ไม่ไม่ชัดเจน ก็แค่คาดเดาเท่านั้น ดังนั้นถึงได้บอกว่าอยากจะเดิมพันสักตั้ง เหลือแค่ต้องดูว่านายท่านจะอยากเดิมพันหรือเปล่า

เหมียวอี้ : เจ้ารู้สึกว่าประมุขชิงจะลงมือหรือเปล่า?

หยางชิ่ง : หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น แล้วถ้าพวกอ๋องสวรรค์ตัดสินใจจะร่วมมือกันล่ะ เกรงว่าประมุขชิงก็ต้องกังวลอยู่บ้าง ตราบใดที่มีโอกาสเหมาะ ประมุขชิงก็อาจจะลงมือได้

เหมียวอี้ : โอกาสชนะเดิมพันเป็นยังไง?

หยางชิ่ง : แพ้ชนะอย่างละครึ่ง นายท่านยังต้องเตรียมตัวกลับแดนอเวจีเพื่อปกกันเหตุไม่คาดคิดด้วย

หลังจากทั้งสองปรึกษากันพักหนึ่ง หยางชิ่งก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันตัวกลับมานั่งลงบนเก้าอี้นอน สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล

“เป็นอะไรไป?” ชิงจวี๋เห็นสภาพดังนั้นก็เข้ามาถามใกล้ๆ

หยางชิ่งยิ้มเจื่อน แล้วเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ

“นายท่านอยากจะเดิมพันอะไร?” ชิงจวี๋แปลกใจ

หยางชิ่งขมวดคิ้วพร้อมตอบอย่างลังเล “เดิมพันว่าจะมีคนยื่นมือเข้ามา!”

“ใครคะ?” ชิงจวี๋ถาม

“คนที่หลบอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ เหมียวอี้เดินมาถึงวันนี้ได้ ข้าเดิมพันว่าคนคนนั้นคงไม่ยอมเห็นเหมียวอี้ล้มง่ายๆ แน่ คนนั้นอาจจะยื่นมือเข้ามา!” หยางชิ่งตอบ

………………

เมื่อได้ยินแบบนี้ ในใจเหมียวอี้ก็รู้สึกปวดอย่างรุนแรง หันหลังให้ทุกคน พร้อมเขย่าระฆังดาราในมือตอบกลับไป : เขาไม่เข้าใจว่าท่านบุรุษเว่ยหมายความว่าอะไร

พวกชิงเยว่มองเงาหลังของเขาที่ยืนอยู่ริมหน้าผา ไม่รู้ว่าเขากำลังติดต่อใคร

เว่ยซู : มีเรื่องกับคนเยอะเกินไป หนีไม่พ้นวันที่กรรมตามสนอง! ถ้าท่านผู้สำเร็จราชการดึงดันจะแกล้งโง่ งั้นข้าก็ไม่มีทางเลือกแล้ว ข้าก็แค่เตือนด้วยเจตนาดีเท่านั้น ถ้าเจ้ายังมีไมตรีต่อสำนักลมปราณ ก็อย่าทำร้ายพวกเขา ส่งสำนักลมปราณออกมาให้บริหารร้านขายของชำซื่อตรงต่อไป ไม่มีใครอยากมีเรื่องกับเงินทองหรอก พวกเขาย่อมปลอดภัยไร้กังวล ทำไมต้องให้พวกเขาลงหลุมศพไปกลับท่านผู้สำเร็จราชการด้วยล่ะ?

เหมียวอี้ : แล้วถ้าไม่ส่งให้ล่ะ?

เว่ยซู : ไม่อย่างนั้นสำนักลมปราณก็ต้องลงหลุมศพไปกับเจ้า ถึงตอนนั้นฝ่ายข้าก็สามารถชี้แจงต่อผู้ถือหุ้นของร้านขายของชำได้แล้ว ว่าสำนักลมปราณถูกพวกเขาสังหารแล้ว จะมาโทษฝ่ายพวกเราไม่ได้ หรือไม่พวกเขาก็ลงมือร์แย่งชิงคนของสำนักลมปราณกลับมา เจ้าคิดว่าการที่เจ้าจะส่งมาหรือไม่ส่งมาจะส่งผลกระทบต่อข้าเหรอ? ข้าก็แค่ไม่อยากให้สำนักลมปราณรับความลำบากนี้ก็เท่านั้นเอง…ไม่พูดอะไรจอมปลอมแล้ว ฝ่ายข้าขี้คร้านจะยุ่งยาก เราเองก็มีจิตสำนึกสักหน่อยเถอะ

เหมียวอี้ : น้ำใจของท่านบุรุษเว่ย ข้ารับไว้แล้ว

เว่ยซู : งั้นเจ้าก็ดูแลตัวเองให้ดีแล้วกัน!

ขณะที่ฝั่งนี้กำลังติดต่อกัน ในห้องหนังสือของจวนจอมพลสายเถาะ ผังก้วนเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาเงียบๆ ไม่หยุด เฉินหวยจิ่วมองตามเขาเดินไปเดินมา

รออยู่สักพัก เฉินหวยจิ่วก็บอกว่า “ท่านจอมพล ต้องการคนหรือต้องการทรัพย์สิน ถึงเวลาที่ควรจะตัดสินใจแล้วขอรับ”

ผังก้วนหยุดเดิน แล้วเงยหน้าถอนหายใจ “เลือกได้แค่อย่างเดียวเหรอ?”

เฉินหวยจิ่วยิ้มเจื่อน “ท่านจอมพล ท่านคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะหนีพ้นภัยพิบัติครั้งนี้ไปได้หรือ? ถ้าท่านคิดว่าหนีได้ เช่นนั้นท่านก็เลือกคนได้ แต่ถ้ารู้สึกว่าหนีไม่พ้น การทิ้งขว้างทรัพย์สินพวกนั้นไม่น่าเสียดายหรอกหรือขอรับ?”

ผังก้วนก้มหน้าไตร่ตรองเงียบๆ พักหนึ่ง แล้วเอียงหน้าถามว่า “แล้วถ้าเขาไม่ยอมให้ทรัพย์สินล่ะ? ในภายหลังถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปง เขาจะไม่รู้เจตนาของข้าในทันทีหรอกหรือ?”

“เรื่องนี้จัดการง่าย ลองพยายามสุดความสามารถสักครั้งก่อน ถ้าเขาไม่ยอม พวกเราค่อยรายงานตามความจริง ไม่ผิดใจใครด้วย แต่ถ้าเขายอมให้ เมื่อของมาถึงมือแล้ว ก็ปิดปากเขาซะ! ต่อให้เขาทิ้งแผนสำรองไว้ ไม่สะดวกจะปิดปาก แต่เขาก็ยากที่จะผ่านด่านตรงหน้าไปได้!” เฉินหวยจิ่วกล่าว

ผังก้วนกลั่นกรองความคิด แล้วสุดท้ายก็พยักหน้าเบาๆ แล้วโบกมือบอกใบ้เล็กน้อย

“รับทราบ!” เฉินหวยจิ่วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ทันที

ฝั่งเหมียวอี้เพิ่งจะจบการติดต่อกับเว่ยซู ในใจกำลังเก็บกลั้นความโกรธ จู่ๆ เฉินหวยจิ่วก็ติดต่อมา ทำให้เขารู้สึกผิดคาดเล็กน้อย เขาถือระฆังดาราขึ้นมา ถามว่า : พ่อบ้านเฉินมีอะไรจะกำชับ?

เฉินหวยจิ่วตอบว่า : มิบังอาจกำชับ ท่านผู้สำเร็จราชการ บ่าวจะมาบอกข่าวดีท่านเรื่องหนึ่ง ทางด้านแดนมรณะดึกดำบรรพ์ สุดท้ายท่านจอมพลก็เตรียมการเรียบร้อยแล้ว สามารถเข้าไปเอาของออกมาได้ทันที

เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ ยังนึกว่าส่งข่าวมาเตือนเสียอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเรื่องนี้ สีหน้าเขาค่อยๆ บึ้งตึงลงทีละนิด ตอบกลับไปว่า : พ่อบ้านเฉินคงจะรู้แล้วเช่นกัน ข้าเพิ่งได้รับกำลังพลห้าสิบล้าน งานในมือมีเยอะมาก ยังไปไหนไม่ได้ รอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อนดีไหม?

เฉินหวยจิ่วโน้มน้าวทันที : ท่านผู้สำเร็จราชการ ท่านเองก็รู้ ว่าการเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่ใช่เรื่องง่าย ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าท่านจอมพลจะหาโอกาสเตรียมการให้สักครั้ง ถ้าพลาดครั้งนี้ไป ครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไร

เมื่อได้ฟังแบบนี้ ไฟโกรธในใจเหมียวอี้ก็ลุกโหมขึ้นในชั่วพริบตาเดียว ในหัวมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา นั่นก็คือผังก้วนอยากจะฆ่าคนปล้นทรัพย์ ฆ่าปิดปากเขา!

เป็นเพราะเวลาที่นัดเขาเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์บังเอิญเกินไป เพิ่งจะรู้ว่ามีคนต้องการลงมือเล่นงานเขาให้ถึงตาย ผังก้วนก็นัดเขาเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ทันที จะไม่ให้เขาสงสัยก็คงยาก เขาจึงแสร้งทำเป็นไม่มีเวลาเพื่อหยั่งเชิง พบว่าอีกฝ่ายรีบร้อนจะลงมือจริงๆ ด้วย!

ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเพิ่งได้รับคำเตือนจากเว่ยซู เกรงว่าเขาคงจะเลอะเลือนและไปตามนัดจริงๆ ผังก้วนอยากจะชิงลงมือกอบโกยสมบัติก่อนที่คนพวกนั้นจะลงมือ ผังก้วนคงจะรู้ว่ามีคนต้องการลงมือกับเขา!

พอนึกถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็ตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า : พ่อบ้านเฉิน ท่านจอมพลผังอยากจะฆ่าปิดปากเหรอ?

เฉินหวยจิ่วสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย แล้วตอบกลับอย่างสุขุม : เหตุใดท่านผู้สำเร็จราชการจึงกล่าวเช่นนี้? ท่านจอมพลจะลงมือกับท่านผู้สำเร็จราชการได้ยังไง ถ้าท่านผู้สำเร็จราชการเหลือแผนสำรองไว้ แล้วเกิดเรื่องขึ้น เรื่องหาสมบัติของท่านจอมพลจะไม่ถูกเปิดโปงหรอกหรือ?

เหมียวอี้ : ท่ามกลางกำลังพลที่จะโจมตีจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เกรงว่าคงมีกำลังพลของท่านจอมพลสินะ?

ตอนนี้เฉินหวยจิ่วปีหน้าเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มองไปที่ผังก้วนด้วยรอยยิ้มเจื่อน “เขารู้ข่าวแล้วว่าจะมีคนลงมือกับจวนผู้สำเร็จราชการ เกรงว่าพวกเราคงปล่อยไก่แล้ว”

ผังก้วนประหลาดใจ “จะเป็นไปได้ยังไง? เบื้องบนก็แค่แจ้งให้ฝั่งนี้แอบเตรียมรวบรวมคน เบื้องล่างไม่มีใครรู้เรื่องนี้ เขาจะรู้ได้ยังไง?”

เฉินหวยจิ่วยิ้มเจื่อน “เขารู้แล้วจริงๆ เขายังถามอีกว่าในกำลังพลที่จะโจมตีจวนผู้สำเร็จราชการมีคนของท่านจอมพลหรือไม่ คาดว่าบรรดาท่านอ๋องคงจะมีใครปล่อยข่าวแล้ว เขาคือคนที่ประมุขชิงชุบเลี้ยงเพื่อชิงหยวนจุนไม่ใช่หรือ มีช่องทางข่าวสารของประมุขชิงอยู่เบื้องหลัง รู้ข่าวล่วงหน้าได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”

เหมียวอี้บอกอีกว่า : ทำไมพ่อบ้านเฉินเงียบไปแล้วล่ะ หรือว่ากินปูนร้อนท้อง?

“เขาถามว่ากินปูนร้อนท้องหรือเปล่า” เฉินหวยจิ่วถือระฆังดารายิ้มเจื่อนให้ผังก้วนอีกครั้ง

ผังก้วนก็ยิ้มเจื่อนเช่นกัน อยากอวดฉลาดแต่กลายเป็นปล่อยไก่แล้ว เขาพยักหน้าเล็กน้อย “เช่นนั้นก็บอกกับเขาให้ชัดเจนไปเลย เขาจะรับได้หรือไม่ก็ตามใจเขา ถึงยังไงเรื่องในปีนั้นก็ผ่านไปนานแล้ว เอาจุดอ่อนเล็กน้อยนั่นมาขู่ฆ่าไม่ได้อีก! อิ๋งจิ่วกวงก็ตายแล้ว เรื่องที่อุทยานหลวงในปีนั้นพี่ข้าปล่อยเขาให้เขาจนทำหลานชายของอิ๋งจิ่วกวงตาย ตระกูลอิ๋งก็ไม่มีใครมาหาเรื่องใครอีกแล้วอยู่ดี”

เฉินหวยจิ่วพยักหน้า ตอบว่า : ในเมื่อท่านผู้สำเร็จราชการรู้แล้ว เช่นนั้นก็จะพูดเปิดอกกันตรงๆ เรื่องในครั้งนี้ท่านจอมพลของเราช่วยท่านไม่ได้แล้วจริงๆ ที่ทำแบบนี้ก็เพราะไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ถ้าเปลี่ยนเป็นท่านบ้างจะทำอย่างไรล่ะ?

เหมียวอี้ : ก็ได้! ข้าก็ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล ข้าอยากจะรู้ว่าทำไมครั้งนี้ถึงต้องการโจมตีข้า?

เฉินหวยจิ่ว : ท่านจอมพลไม่ทราบรายละเอียดเช่นกัน รู้เพียงว่าตอนแรกตระกูลเหล่านั้นก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะใช้คนมากขณะนี้ เป็นอ๋องสวรรค์ก่วงที่กระตือรือร้นจะทำให้สำเร็จ!

ก่วงลิ่งกง? เหมียวอี้เข้าใจทันที ตามหลักแล้วไม่ถึงขั้นเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ บรรดาอ๋องสวรรค์จะร่วมมือกันส่งทัพใหญ่มาสู้กับเขาคนเดียวไปทำไม ถึงอย่างไรก็ยังมีอิทธิพลของประมุขชิง สงสัยก่วงลิ่งกงจะเล่นไม่ซื่ออยู่เบื้องหลัง!

พอมานึกดูตอนนี้ ก็พบว่าการที่ก่วงลิ่งกงทำแบบนี้ไม่ได้เหนือความคาดหมาย หลังจากเขาทำให้เกาเหยียนตาย ก่วงลิ่งกงเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนั้นเพื่อเล่นงานเขาได้ ก็จะเห็นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนใจกว้างอะไร เกรงว่าเรื่องปฏิเสธการแต่งงานครั้งก่อนคงทำให้ท่านนี้อับอายจนโมโห จะกลั่นแกล้งเขาอีกครั้งก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เป็นการอาศัยเรื่องส่วนรวมมาล้างแค้นส่วนตัวล้วนๆ

แต่จะว่าไปแล้ว พอคิดไปคิดมา ถ้าตัวเองเป็นก่วงลิ่งกง แล้วมีโอกาสโน้มน้าวคนอื่นให้ร่วมมือกันกำจัดเขา ก็คงจะไม่ปราณีเช่นกัน ถ้ามีแค่ก่วงลิ่งกงที่แบกรับผลที่ตามมาฝ่ายเดียว ก่วงลิ่งกงก็คงไม่ทำอย่างนี้

แต่เขาก็เข้าใจเช่นกัน ว่าแผนการที่หยางชิ่งวางไว้ดีๆ ถูกเขาทำให้ปั่นป่วนแล้ว คาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องที่ตลาดสวรรค์คงไม่ทำให้บรรดาอ๋องเลิกราง่ายๆ เตรียมแผนรับมือไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พอเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น เผชิญความกดดันจากกำลังทหารที่เหนือกว่า ไม่ว่าใช้แผนการอะไรก็เปล่าประโยชน์

ลองใช้ความคิดครู่หนึ่ง เหมียวอี้ถามอีกว่า : เตรียมจะใช้กำลังพลเท่าไหร่มาสู้กับข้า?

เฉินหวยจิ่ว : กำลังพลสี่ร้อยล้าน!

เหมียวอี้สูดหายใจลึกด้วยความตระหนก นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใช้กำลังพลเยอะขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าสี่อ๋องสวรรค์จะใช้กำลังคนเยอะกว่าเขาแปดเท่าเพื่อมาสู้กับเขา ประเมินเขาสูงเกินไปหน่อยแล้ว ก่อนหน้านี้เขายังมีความคิดว่าจะใช้กำลังปะทะกัน แต่ตอนนี้หมดความคิดนั้นโดยสิ้นเชิง รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลในชั่วพริบตาเดียว

มิน่าล่ะ ไม่แปลกใจที่ผังก้วนรีบจัดเก็บสมบัติในแดนมรณะดึกดำบรรพ์

เหมียวอี้ : จอมพลผังช่วยข้าได้หรือเปล่า?

เฉินหวยจิ่ว : ท่านผู้สำเร็จราชการ ท่านกำลังล้อเล่นใช่ไหม? จะช่วยได้ยังไง? พื้นที่เล็กน้อยอย่างแดนรัตติกาล ทั้งยังป้องกันอันตรายไม่ได้ ยัดกำลังพลมากขนาดนั้นเข้าไป ทุกที่มีแต่คน คาดว่าแม้แต่เปิดเผยสถานการณ์ทางทหารก็ไม่จำเป็นแล้วมั้ง? ท่านคงจะให้ท่านจอมพลหันหัวหอกไปช่วยเจ้าเข่นฆ่าไม่ได้หรอกมั้ง?

เหมียวอี้ : สมบัติที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ข้าขออภัยจริงๆ ตอนนี้ข้าให้จอมพลผังไม่ได้ รอให้ผ่านด่านตรงหน้าไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เฉินหวยจิ่ว : ได้ จะรอข่าวดีจากท่านผู้สำเร็จราชการ!

การติดต่อจบลงกลางคัน เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่บนยอดเขา ปากพึมพำซ้ำๆ ว่า “ก่วงลิ่งกง” น้ำเสียงฟังดูแค้นเคือง

พวกเหวินเจ๋อกำลังมองเขาเดินไปเดินมาอยู่ริมหน้าผาไม่ไกล รู้ว่าเขากำลังคิดหาทางรับมือเรื่องตลาดสวรรค์ ไม่มีใครรบกวนเขา

โชคดีที่คนกลุ่มนี้ยังไม่รู้ว่ากำลังจะมีกำลังพลสี่ร้อยล้านรุกโจมตี ไม่อย่างนั้นคงตกใจแน่นอน คาดว่าเหวินเจ๋อที่ถ่อมาเป็นรองผู้สำเร็จราชการคงจะเป็นคนแรกที่งงเป็นไก่ตาแตก

พอพึมพำชื่อก่วงลิ่งกงไปได้สักพักหนึ่ง เหมียวอี้ก็อารมณ์เสียแล้วเช่นกัน ตัดสินใจว่าจะไม่ยอมให้ก่วงลิ่งกงอยู่สบาย จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อโกวเยว่ พ่อบ้านของตระกูลก่วง

พวกเหวินเจ๋อก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขากำลังเปลี่ยนระฆังดาราไปติดต่อกับใครอีก

หลังจากโกวเยว่ได้รับข้อความแล้ว ก็ถามเขาเลยว่า : ท่านผู้สำเร็จราชการทำไมว่างมาติดต่อกับบ่าว?

ในคำพูดแฝงความหมายเหน็บแนมเย้ยหยันเล็กน้อย

เหมียวอี้บอกเขาอย่างเคร่งขรึมมากกว่า : ท่านบุรุษโกว เรื่องที่ท่านพูดครั้งก่อน ค่าลองคิดอย่างจริงจังแล้ว เงาร่างอันงดงามของคุณหนูเม่ยเอ๋อร์ยังวนเวียนอยู่ในหัวข้า ข้าตัดสินใจแล้ว การได้เป็นบุตรเขยของท่านอ๋องถือเป็นเกียรติยศของข้า คุณหนูของเจ้าจะมาเมื่อไหร่ล่ะ?

“…” โกวเยว่ที่อื่นอยู่ในศาลางงงวย ใบหน้าเย้ยหยันค้างนิ่ง ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรเหมียวอี้ดี งงเป็นไก่ตาแตก

ร้านจะเงียบไปพักใหญ่ เขาก็ทำได้เพียงตอบกลับมาอย่างซื่อๆ ว่า : เรื่องนี้ถ้าตัดสินใจไม่ได้ ให้ข้าไปรายงานท่านอ๋องก่อน แล้วจะตอบกลับอีกที

เหมียวอี้ : ดี! รบกวนท่านบุรุษโกวด้วย

หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็แสยะยิ้ม คิดในใจว่า ถ้าก่วงลิ่งกงเก่งนักก็ส่งลูกสาวมาสิ คอยดูว่าข้าจะกล้านอนด้วยหรือเปล่า พอนอนด้วยแล้วข้าค่อยเป็นฝ่ายรายงานประมุขชิงเอง!

เขาไม่คิดว่าก่วงลิ่งกงจะตอบตกลงเรื่องนี้ กำลังจงใจทำให้ก่วงลิ่งกงสะอิดสะเอียนเท่า ก่วงลิ่งกงจะได้ไม่ยินดีปรีดาในความโชคร้ายของเขาลับหลัง

จากนั้นก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แจ้งให้ทราบถึงวิกฤติที่กำลังจะเผชิญ ขอให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขอร้องต่อประมุขชิง ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ ก็ต้องลองดูสักหน่อย

ในจวนอ๋องสวรรค์ก่วง โกวเยว่ที่เก็บระฆังดาราอย่างงงงวยหันกลับมามองก่วงลิ่งกงที่กำลังฟังกู่ฉินอยู่ในศาลา ก่วงเม่ยเอ๋อร์กำลังดีดฉิน เม่ยเหนียงกำลังชี้แนะอยู่ข้างๆ

โกวเยว่ใช้สองมือลูบหน้าอย่างแรง ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากกับก่วงลิ่งกงอย่างไร ถ้าท่านอ๋องรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อยังสามาระตอบตกลงเรื่องนี้ จะนึกเสียใจทีหลังหรือเปล่าที่ลงมือเร็วเกินไป?

เรื่องบางเรื่องเขาไม่อาจตัดสินใจเองได้ คิดไปคิดมาก็แข็งใจเดินเข้าไป ย่องไปข้างกายก่วงลิ่งกง แล้วโน้มตัวถ่ายทอดเสียงกระซิบก่วงลิ่งกงที่กำลังนั่งขัดสมาธิไปไม่กี่ประโยค

……………

ในขณะที่เหมียวอี้กับเฉาหม่านกำลังเจรจากัน บริเวณพรมแดนสี่ทัพมีกำลังทหารรวมตัวกันอย่างหนาแน่น

บนเกาะที่มีหน้าผาและทิวทัศน์ทะเลงดงามราวกับความฝัน ตึกหอแบบโบราณตั้งเรียงราย ที่แห่งนี้ชื่อว่าหอสมุทรสุดฟ้า เป็นเพราะความได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์ เดิมทีคือจุดรวมตัวจองอ๋องสวรรค์ ครั้งนี้แม้อิ๋งจิ่วกวงจะไม่ได้มา ในภายหลังก็ไม่ได้มาเช่นกัน แต่เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อมาแล้ว

ฮ่าวเต๋อฟาง ก่วงลิ่งกงและโค่วหลิงซวีก็มาแล้ว มาแสดงความยินดีให้อ๋องสวรรค์ที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ทั้งสองคน

ถ้าพูดถึงศักยภาพและประสบการณ์ อ๋องสวรรค์ทั้งสามอาจจะไม่เห็นอ๋องสวรรค์ใหม่ทั้งสองอยู่ในสายตา แต่ภายนอกกลับดูไม่ออกเลยสักนิด ทั้งห้าคนนั่งล้อมวงกัน สังสรรค์เริงรื่น ท่าทีของอ๋องสวรรค์ทั้งสามดูอบอุ่นเป็นมิตร กล่าวแสดงความยินดีอย่างปลื้มอกปลื้มใจไม่หยุด

แน่นอน เถิงเฟยและเฉิงไท่เจ๋อก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน ยังคงพูดจาจอมปลอมประมาณว่าฝากเนื้อฝากตัวไม่หยุด ท่าทีค่อนข้างสงบเสงี่ยม

การที่พวกเขามานั่งอยู่ด้วยกันได้ การเฉลิมฉลองให้อ๋องสวรรค์คนใหม่ทั้งสองก็คือด้านหนึ่ง ทั้งยังถือโอกาสพูดคุยงานใหญ่ในใต้หล้าด้วย ท่าทีของพวกเขากำลังตัดสินแนวโน้มสถานการณ์ในใต้หล้าเช่นกัน

คนที่นั่งอยู่ในตึกศาลาก็มีแค่คนพวกนี้ คนอื่นถูกกันออกไปหมด

จู่ๆ ถังเฮ่อเหนียนก็โผล่หน้าอยู่ตรงจุดที่ไม่ไกล ถ่ายทอดเสียงบอกโค่วหลิงซวีที่อยู่ในตึกศาลาพักหนึ่ง

หลังจากถังเฮ่อเหนียนออกไปแล้ว โค่วหลิงซวีก็กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ทางวังสวรรค์ส่งข่าวมา ว่าลิ่งหูโต้วจ้งรวมทั้งลูกน้องคนสนิทถูกลงโทษแล้ว บอกว่าพวกเขาไม่พอใจกับการลดตำแหน่ง เป็นกบฏที่หลบหนี จึงถูกกองทัพองครักษ์ประหารแล้ว”

ฮ่าวเต๋อฟางพ่นเสียงทางจมูก “คนคงจะถูกประหารไปนานแล้วล่ะสิ เพิ่งมาประกาศตอนนี้ แค่จะหาข้ออ้างเล่นละครเท่านั้นเอง ต้องการปกปิดแต่กลับยิ่งเด่นชัด!”

โค่วหลิงซวีมองเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ “สหายเถิง สหายเฉิง ประมุขชิงอยากจะฉวยโอกาสควบคุมตลาดสวรรค์ ถ้าชักช้าอย่างนี้ต่อไป ประมุขชิงเห็นว่าอย่างเชิงแล้วไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ เกรงว่าข้าวสารจะกลายเป็นข้าวสุก แต่งตั้งกองทัพองครักษ์ให้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้วจริงๆ พวกเราสามคนตัดสินใจว่าจะสั่งสอนวังสวรรค์สักหน่อย ไม่ทราบว่าทั้งสองพิจารณาว่ายังไง?”

เถิงเฟยและเฉิงไท่เจ๋อสบตากัน แล้วพยักหน้า “ยินดีตอบรับทุกท่าน!”

“ดี! มาร่วมดื่มกัน!” โค่วหลิงซวีชูจอกสุราเชื้อเชิญ

ทั้งหมดยกจอกสุราดื่มจนหมดจอก ขณะที่กำลังรินสุราของตัวเอง ก่วงลิ่งกงก็บอกว่า “แดนรัตติกาลมีอำนาจใหม่เกิดขึ้นแล้ว อย่าบอกนะว่าทุกคนไม่มีแผนการอะไรเลย?”

“เจ้าก็มองออกแล้วไม่ใช่เหรอ มันคือกำลังอำนาจที่ประมุขชิงชุบเลี้ยงไว้ให้ลูกชาย อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะลงมือจริงๆ?” ฮ่าวเต๋อฟางถาม

ก่วงลิ่งกงกล่าวอย่างสบายๆว่า “มีกองทัพองครักษ์เป็นกำลังอำนาจให้ลูกชายยังไม่พออีกหรือ? ถ้ากลัวว่าประมุขชิงจะใช้ลูกชายมาเป็นข้ออ้างปิดบังคนอื่น ที่จริงแล้วอยากจะตอดกินพวกเราทีละก้าว ไม่ป้องกันไม่ได้หรอก ทุกวันนี้อำนาจถูกแบ่งมากพอแล้ว ถ้าไม่อยากเห็นอำนาจอะไรเกิดขึ้นมาอีก ไม่ว่าประมุขชิงจะมีจุดประสงค์อะไร ก็ต้องระงับไว้ หากพวกเจ้าไม่อยากลงมือ เช่นนั้นถ้าทำเองฝ่ายเดียวก็ได้ อย่าหาว่าข้าไม่บอกให้พวกเจ้าเตรียมตัวกันก่อนล่วงหน้าก็แล้วกัน!”

คนที่เหลือพูดไม่ออก ท่านนี้ต้องการจะเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อให้ถึงตายจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ว ครั้งนี้หนิวโหย่วเต๋อก็กระโดดโลกเต้นอย่างสำราญเกินไปจริงๆ ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กล้ามาเข้าร่วมเรื่องโค่นล้มตระกูลอิ๋ง เรื่องนี้เทียบกับในอดีตไม่ได้ รกหูรกตาพวกเขาแล้ว

นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ความเป็นความตายของหนิวโหย่วเต๋อไม่นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญเท่าไหร่ ที่สำคัญคือถ้าสี่ทัพต้องการจะใช้วิธีแข็งกร้าวจริงๆ ยั่วโมโหประมุขชิงแล้ว พวกเขาจะไม่มีปฏิกิริยาได้เหรอ? ถ้าปล่อยให้ก่วงลิ่งกงล้มจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเขา ก็เหมือนตอนแรกที่พวกเขารีบไปช่วยสนับสนุนอิ๋งจิ่วกวง นี่คือหลักการเดียวกัน ถ้าก่วงลิ่งกงดึงดันจะทำอย่างนี้ให้ได้ ก็เท่ากับบังคับมัดทุกคนไปด้วยแล้ว

ชั่วขณะนั้นบางคนก็ขมวดคิ้ว บางคนก็ครุ่นคิดเงียบๆ ที่ก่วงลิ่งกงพูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล จะปล่อยให้อํานาจอื่นขยายอีกไม่ได้แล้ว เพียงแต่ทุกคนกำลังไต่ตรองว่าจะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร

พอเห็นปฏิกิริยาของทุกคน ก่วงลิ่งกงก็บอกอีกว่า “แน่นอน ข้าลงมือฝ่ายเดียว สู้ลงมือร่วมกับทุกคนไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ทำให้ประมุขชิงกดดันขึ้นมากอีกหน่อย ทำให้ประมุขชิงลูบหน้าปะจมูก เจตนาของข้าก็คือ ก็แค่ไม่ลงมือเท่านั้นเอง ถ้าได้ลงมือจะต้องกวาดล้างภัยแฝงให้ราบเรียบในรวดเดียว แต่ละฝ่ายดึงกำลังพลออกมาร้อยล้าน สหายเถิงกับสหายเฉิงดึงออกมาคนละห้าสิบล้านก็พอ ทัพใหญ่สี่ร้อยล้านจะต้องเหยียบจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลให้ราบ! แน่นอน เรื่องนี้ข้าไม่บังคับ ถึงยังไงฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นบุตรสาวบุญธรรมของสหายโค่ว ก็อย่างที่บอก ถ้าคนอื่นไม่เข้าร่วม ข้าก็จะทำเองฝ่ายเดียว เพียงแต่ข้าทำฝ่ายเดียวอาจจะทำให้ประมุขชิงสะเทือนไม่ได้ ถ้ายั่วโมโหให้ประมุขชิงเข้ามาแทรกแซง ก็อาจจะนำปัญหายุ่งยากมาให้ทุกคนมากขึ้น”

สรุปก็คือ เหมียวอี้ยั่วโมโหเขาติดต่อกันหลายครั้ง โดยเฉพาะเรื่องที่ส่งลูกสาวไปให้แต่ถูกปฏิเสธ สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องน่าอัปยศจริงๆ แต่เขาไม่คิดจะดำเนินรอยตามอิ๋งจิ่วกวง ต้องการจะกำจัดเหมียวอี้ภายในครั้งเดียว ดังนั้นจึงกระตือรือร้นที่จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ

โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม “จองไม่ต้องใช้บุตรสาวบุญธรรมอะไรนั่นมายั่วยุข้าหรอก เจ้าคิดจะลงมือแล้ว ก็ต้องมีเหตุผลให้ลงมือ พยายามหลีกเลี่ยงอย่าให้ประมุขชิงมาแทรกแซง ไม่อย่างนั้นถ้าทำโดยไม่ชอบธรรม ต่อให้ประมุขชิงไม่อยากจะเข้ามาแทรกแซง แต่ก็โดนกดดันให้เข้ามาแทรกแซงอยู่ดี”

“เหตุผลในการลงมือข้าเตรียมไว้แล้ว เหลือแค่ให้ทุกคนเคลื่อนกำลังพลพร้อมกัน!” ก่วงลิ่งกงกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ

คนที่เหลือครุ่นคิดเงียบๆ…

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ในใต้หล้าสงบลงแล้ว เหมียวอี้ก็เพ่งสมาธิไปกับการจัดระเบียบกำลังพลใต้สังกัดของตัวเอง รวมทั้งเรื่องขยับขยายกำลังทรัพย์ด้วย ยกตัวอย่างเช่นเรื่องเปิดร้านค้าของสำนักลมปราณ อย่างไรเสียกำลังพลมากมายขนาดนั้นก็มีค่าใช้จ่ายไม่น้อย แม้กำลังพลที่ได้รับอนุญาตจากตำหนักสวรรค์จะมีค่าจ้างของตำหนักสวรรค์เลี้ยงดู แต่ถ้าเขาอยากจะซื้อหัวใจคน เงินรางวัลก็คือสิ่งที่ต้องมี ไม่ใช่ว่าแม้แต่การเคลื่อนไหวบางอย่างก็หาเงินมาไม่ได้

และงานแต่ละด้านก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาไปจัดการด้วยตัวเอง แค่ต้องติดตามความคืบหน้าเท่านั้น

ความคืบหน้าในเขตดาวจันทร์อี่ที่เน้นจับตาดูก็คือปัญหาเรื่องที่อยู่ของกำลังพลหลายสิบล้าน จะให้คนมากมายขนาดนี้นอนกลางป่าภูเขาไม่ได้ ยังมีสมาชิกในครอบครัวอีก ถ้าเวลายืดเยื้ออาจจะทำให้เบื้องล่างบ่นด้วยความคับแค้นได้

เหมียวอี้เรียกได้ว่าไปตรวจสอบความคืบหน้าที่จุดก่อสร้างทุกๆ วันสองวัน นี่คือจุดลาดตระเวนของเทียนเจิ้งและเหิงอู๋เต้า แต่จู่ๆ ชิงเยว่ก็มาหา นางเหาะลงมาจากฟ้าแล้วคํานับเหมียวอี้

“มีเรื่องอะไร?” เหมียวอี้ถาม

“นายท่าน กำลังพลที่ย้ายมาจากตลาดสวรรค์ดูไม่ค่อยชอบมาพากล” ชิงเยว่ตอบ

เหมียวอี้เลิกคิ้ว “มีคนก่อเรื่องเหรอ?”

ชิงเยว่ตอบว่า “นายท่านเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่มีคนก่อเรื่อง ช่วงนี้ข้าน้อยพบว่าจำนวนคนที่มารายงานตัวค่อนข้างแปลก ไม่กี่วันก่อนยังมีคนทยอยมาอยู่เลย แต่เมื่อวานกลับไม่เห็นใครมาสักคน ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ยังไม่เห็นใครมารายงานตัวสักคน ผิดปกติมาก ตอนนี้จำนวนคนที่มารายงานตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ครึ่งหนึ่ง” ตอนนี้นางรับผิดชอบด้านนี้ชั่วคราว จึงรู้ชัดเจนมาก

“มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือ?” เหมียวอี้ก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติเช่นกัน

เขากำลังจะติดต่อไปหาเหวินเจ๋อ แต่เหวินเจ๋อกลับเหาะเข้ามาแล้ว เพราะเห็นหน้าก็กุมหมัดคารวะ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “นายท่าน เกิดปัญหาแล้ว”

ทุกคนหูตั้งมองไปที่เขาทันที เหมียวอี้ถามว่า “มีเรื่องอะไร?”

เหวินเจ๋อตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คนกลุ่มหนึ่งทางฝั่งตลาดสวรรค์ที่ได้รับคำสั่งย้าย หลังจากออกจากตลาดสวรรค์แล้วก็ไม่ได้มาที่นี่ แต่กลับไปรวมตัวกันในอาณาเขตสี่ทัพ แห่งกำลังรวมรายชื่อฟ้องร้องขึ้นไป ตำหนิว่าจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลไม่มีอำนาจในการควบคุมตลาดสวรรค์ ไม่มีสิทธิ์สั่งย้ายพวกเขา ขอให้ตำหนักสวรรค์ตรวจสอบเรื่องนี้”

ชิงเยว่ เหิงอู๋เต้าและคนอื่นๆ สบตากัน พวกเขาค่อนข้างงุนงง สังเกตเห็นเบาะแสบางอย่างแล้ว

เหมียวอี้หรี่ตาแสยะยิ้ม “คำสั่งของราชินีสวรรค์ไม่ถือว่าเป็นคำสั่งหรือไง? คำสั่งย้ายของบุคคลระดับบนของตลาดสวรรค์ ไม่นับว่าเป็นคำสั่งย้ายเชียวหรือ?”

เหวินเจ๋อตอบว่า “พวกเขาถึงได้หลบเลี่ยงเบื้องบนของตลาดสวรรค์ เปลี่ยนเป็นรายงานต่ออำนาจท้องถิ่นของแต่ละฝ่ายแทน พวกเขาขอให้ยืนยันคำสั่งของเหนียงเหนียง”

เหมียวอี้พูดเหยียดหยามว่า “นี่ไม่ใช่การกระทำที่พุ่มเฟือยหรอกเหรอ? สงสัยจะเป็นพวกเสี้ยนหนามที่วอนโดนสั่งสอน!” เขากำลังครุ่นคิดแล้วว่าเมื่อรอให้คนพวกนี้มาถึงแล้วจะลงโทษอย่างไร

“เกรงว่าจะไม่ใช่การกระทำที่พุ่มเฟือย ข้าน้อยคิดว่าพวกเขากำลังถ่วงเวลา ท่านผู้สำเร็จราชการ การประชุมขุนนางที่ตำหนักสวรรค์เพิ่งจะจบลง จากข่าวที่ข้าน้อยสืบมา เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีกับพวกเรา” เหวินเจ๋อกล่าว

“ไม่เป็นผลดียังไง?” เหมียวอี้ถาม

เหวินเจ๋อตอบว่า “กลุ่มขุนนางบนราชสำนักกลั่นแกล้ง ขอให้ฝ่าบาทถอนกำลังของกองทัพองครักษ์ที่ควบคุมศูนย์กลางแต่ละแห่งของตลาดสวรรค์กลับมา ภายใต้การกดดัน ฝ่าบาทรับปากแล้วว่าจะถอนกำลังกองทัพองครักษ์ และส่งต่ออำนาจควบคุมให้ชั่วคราว”

หากเบื้องบนส่งต่ออำนาจเมื่อไหร่ แค่คิดก็รู้แล้วว่าคนที่ตัวเองส่งไปที่ตลาดสวรรค์จะเป็นอย่างไร จะต้องถูกหาเรื่องแน่นอน เหมียวอี้ขมวดคิ้วถาม “ทำไมฝ่าบาทถึงยอมแพ้ได้ง่ายขนาดนี้?”

เหวินเจ๋อส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม “เกรงว่าไม่ยอมแพ้คงไม่ได้ ข้าสืบข่าวมาจากทางตำหนักสวรรค์ ในอาณาเขตสี่ทัพกำลังเลือกสถานที่ บอกว่ากำลังจะบุกเบิกสร้างสถานที่ค้าขายแยกออกไป นี่คือกุญแจสำคัญในการกดดันฝ่าบาท!”

ชิงเยว่เป็นคนแรกที่รู้ตัว จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “คนพวกนี้ลงมือได้โหดมากจริงๆ ทำแบบนี้เพราะต้องการจะปล้นอำนาจตลาดสวรรค์! ถ้าฝ่าบาทไม่ตอบตกลง พวกเขาก็จะสร้างสถานที่คล้ายกับตลาดสวรรค์ในอาณาเขตตัวเอง ถึงตอนนั้นการค้าของแต่ละแห่งก็จะถูกควบคุมโดยอำนาจท้องถิ่นเอง ตำหนักสวรรค์อยากจะเข้าไปแทรกแซงอีกก็ยากแล้ว”

เหิงอู๋เต้าพยักหน้าเช่นกัน “ที่ยอมถอยก็พอจะเข้าใจได้ เดิมทีตลาดสวรรค์ก็อยู่บนอาณาเขตของอำนาจท้องถิ่นอยู่แล้ว ถ้าพวกเขาต้องการจะทำอย่างนี้จริง พวกพ่อค้าที่ตลาดสวรรค์จะกล้าต่อต้านพวกเขาได้ยังไง จะต้องย้ายไปยังสถานที่ค้าขายที่พวกเขาสร้างขึ้นใหม่แน่นอน เกรงว่าไม่กี่วันก็ทำให้ตลาดสวรรค์ทุกแห่งในใต้หล้ากลายเป็นเมืองร้างแล้ว ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการส่งภาษีให้ตำหนักสวรรค์ จะทำให้ฝ่าบาทเสียอำนาจในการควบคุมตลาดสวรรค์โดยสิ้นเชิงด้วย!”

เหมียวอี้ใบหน้ากระตุกอย่างรุนแรง เห็นได้ชัดเจนมาก เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อในทัพตะวันออกคงจะถูกจัดการแล้ว พวกอ๋องสวรรค์เริ่มร่วมมือกันตอบโต้แล้ว อานุภาพการโจมตีกลับนี้ แม้แต่ประมุขชิงก็รับไม่ไหว แล้วเหมียวอี้ทำอะไรได้ เกรงว่านี่คงจะเป็นแค่การเริ่มต้น ถ้าตัดขาดอำนาจการควบคุมของราชินีสวรรค์ที่มีต่อตลาดสวรรค์เมื่อไร ก็สามารถจินตนาการได้เลย ก้าวถัดไปจะต้องกำจัดคนที่เขาแทรกไว้ที่ตลาดสวรรค์แน่ จินตนาการผลที่ตามมาได้เลย

ถ้าสูญเสียอำนาจในการควบคุมตลาดสวรรค์เมื่อไหร่ ความคิดที่เขาจะใช้ประโยชน์สำนักลมปราณสร้างช่องทางรายได้ใหม่ที่ตลาดสวรรค์ก็คงจะถูกทำลายแล้ว

“มิน่าล่ะถึงไม่มารายงานตัว ที่แท้ก็มีที่พึ่งพิงจึงไม่กลัว!” เหมียวอี้เรายังเครียดแค้น

เหวินเจ๋อกล่าวช้าๆ ว่า “ท่านผู้สำเร็จราชการ มีคนให้ข้าฝากข้อความมาให้ทัน เบื้องบนเสียเวลานานมากไม่ได้เช่นกัน ให้ท่านผู้สำเร็จราชการเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ หลีกเลี่ยงความเสียหาย!”

เหมียวอี้เหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง คนอื่นก็เช่นกัน เขามาจากวังสวรรค์ ที่บอกว่า ‘มีคน’ จะต้องหมายถึงวังสวรรค์แน่นอน

ในขณะที่เหมียวอี้กำลังจมอยู่ในความคิด ก็มีคนเข้ามาประสมโรงด้วยอีก เว่ยซูส่งข้อความมาแล้ว

เหมียวอี้หยิบระฆังดาราขึ้นมาถาม : ท่านบุรุษเว่ยมีอะไรจะกำชับ?

เว่ยซูไม่พูดพร่ำทำเพลง : ส่งสำนักลมปราณออกมาเถอะ เจ้ากระเพาะเล็กเกินไป เนื้ออ้วนชิ้นนั้นเจ้ากลืนไม่ไหวหรอก! แล้วข้าก็จะเตือนเจ้าไว้ด้วย เรื่องที่ตลาดสวรรค์เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น ต่อไปคนพวกนั้นคงจะตัดรากถอนโคนจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลไปด้วย เจ้าชอบเอาชีวิตไปล้อเล่น แต่ไม่จำเป็นต้องดึงสำนักลมปราณเข้าไปเกี่ยวข้อง!

……………………

สุดท้ายปี้เยว่ก็ถูกเทียนหยวนทำให้ลำบากไปด้วย เหมือนที่ปฏิบัติต่อลิ่งหูโต้วจ้ง เบื้องบนไม่ยอมให้โอกาสปี้เยว่กุมอำนาจทางทหา ต่อให้เหมียวอี้จะวางขอบข่ายงานที่เหลวไหลแบบนี้แล้ว เบื้องบนก็ยังเตะปี้เยว่ออกจากตำหนักสวรรค์แล้ว ปี้เยว่กลายเป็นคนที่ไร้ตำแหน่ง นี่คือผลลัพธ์ที่เหมียวอี้ปกป้องไว้ ไม่อย่างนั้นหลังจากพาไปด้วย ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะมีจุดจบอย่างไร

เมื่อได้เห็นจุดจบของลิ่งหูโต้วจ้ง ปี้เยว่ก็ไม่มีอะไรให้ไม่พอใจกับสิ่งนี้ เมื่อพัวพันกับข้อหากบฏแบบนี้ แต่ยังรักษาชีวิตไว้ได้ ไม่ถูกดูหมิ่นข่มเหง ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ตั้งแต่นี้ไปนางติดตามอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว ส่วนมู่หรงซิงหัวก็ยังเป็นทหารหญิงที่คอยฟังคำสั่งอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว

เหยียนซิวกับหยางเจาชิงก็ถูกทำโทษเตะออกจากตำหนักสวรรค์เช่นกัน เพียงแต่สถานการณ์ของทั้งสองต่างกับปี้เยว่ ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ หยางเจาชิงกลายเป็นพ่อบ้านของเหมียวอี้อย่างเป็นทางการ ส่วนฐานะที่เป็นทางการของเหยียนซิว ก็ไม่มีใครรู้ว่านับเป็นอะไร

เมื่อมีกำลังพลมากขึ้น อันตรายที่แฝงเร้นก็เป็นสิ่งที่หลบเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้ไม่ได้ย้ายคนสุ่มสี่สุ่มห้ามาจากตลาดสวรรค์ แต่ท่ามกลางกำลังพลหลายสิบล้าน ใครจะไปรู้ว่ามีสายลับของคนอื่นอยู่เท่าไหร่? เหมียวอี้รู้ว่าหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยให้ค่อยเป็นค่อยไป ระมัดระวังมากขึ้น ถ้าจะให้ตั้งป้ายรับสมัครลูกน้องเหมือนที่จวนแม่ทัพภาพตลาดผีในปีนั้น ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว

กล่าวโดยสรุปก็คือ แนวโน้มสถานการณ์ของจวนผู้สำเร็จราชการเป็นรูปธรรมแล้ว

ส่วนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็นับว่าดูแลเหมียวอี้ไม่ขาดตกบกพร่อง เมื่อขึ้นป้ายจวนผู้สำเร็จราชการใหม่ คำสั่งแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ชั้นสี่ของอวิ๋นจือชิวก็มาแล้ว นี่คือสวัสดิการของฮูหยินท่านโหว ตั้งแต่นี้ไป อวิ๋นจือชิวไม่ต้องทำงานอะไรแต่ก็ยังได้ค่าจ้างประจำจากตำหนักสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยังสร้างคฤหาสน์เดี่ยวในอุทยานหลวงให้เหมียวอี้หลังหนึ่งด้วย หมายความว่าเหมียวอี้มีสิทธิ์เข้าออกอุทยานหลวงได้ทุกเมื่อ ได้รับสวัสดิการอย่างต่อเนื่อง มีแค่ไม่ได้สิทธิ์เข้าประชุมขุนนางเท่านั้นเอง นอกนั้นได้สวัสดิการเทียบเท่าท่านโหว

ดูจากแผนการระยะยาวของเหมียวอี้และหยางชิ่ง เมื่อผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้แล้ว ก็เข้าสู่ช่วงจำศีลอันยาวนานอีกครั้ง เลี้ยงดูกำลังพลที่มีฝีมือแล้วค่อยวางแผนอนาคตอีกที

ทว่าเรื่องงานที่อยู่ตรงหน้าเยอะเกินไปจริงๆ

เรื่องสลับตำแหน่งกำลังพลตลาดสวรรค์อละจวนผู้สำเร็จราชการยังอยู่ระหว่างดำเนินการ เบื้องล่างมีทั้งคนพอใจ มีทั้งคนไม่พอใจ

ทางตลาดสวรรค์ได้รับแจ้งจากเหมียวอี้แล้วเช่นกัน ให้แต่ละที่คิดหาทางสร้างร้านค้าหนึ่งร้าน ร้านขายของชำแห่งใหม่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

ทางตึกศาลาสัตยพรตถามหลายครั้งแล้ว ถามว่าเหมียวอี้จะว่างเมื่อไหร่ มีความเคลื่อนไหวบ่อยมาก คงจะเป็นเฉาหม่านที่ลงมือกับร้านค้าของตระกูลอิ๋งในตลาดมืด ร้านค้าที่ตัวเองได้มาจากพวกลิ่งหูโต้วจ้ง จะต้องเจรจากับเฉาหม่านให้ดี จะได้ไม่ประสบเคราะห์กรรมไปด้วย

สวีถังหรานสั่งให้ติดต่อกับบัญชีรายชื่อลับที่ได้มาจากพวกลิ่งหูโต้วจ้ง พวกลิ่งหูโต้วจ้งไม่อาจฟื้นคืนมาได้แล้ว จะทิ้งขว้างกำลังคนพวกนี้ให้เสียของไม่ได้ ถ้าดึงตัวมาได้ก็พยายามดึงตัวมา ยังมีเรื่องรับช่วงต่อร้านค้าที่ตลาดมืด งานนี้ส่งให้สวีถังหรานไปจัดการ สวีถังหรานเองก็ยุ่งจนปลีกตัวออกมาไม่ได้

สวีถังหรานเจ็บปวดแต่มีความสุข เขามีความทะเยอทะยานเสมอ มีประสิทธิภาพการทำงานสูงมาตลอด ภารกิจที่เหมียวอี้มอบหมายให้เขา ต่อให้เหมียวอี้ไม่เร่งเขา แต่เขาก็จะพยายามสุดความสามารถเพื่อทำให้สำเร็จ ไม่อย่างนั้นเวลาเหมียวอี้เลื่อนตำแหน่งแล้วจะคิดถึงเขาคนแรกได้อย่างไร ไม่ใช่แค่เพราะเขาประจบเก่ง แต่เรื่องที่ต้องทำอย่างลับๆ นั้น ส่งต่อให้สวีถังหรานจัดการจะเหมาะสมที่สุด

ทางด้านโถงชุมนุมอัจฉริยะ สวีถังหรานก็ไม่ได้วางมือ ดังนั้นสวีถังหรานจึงไม่มีทางเพ่งสมาธิไปที่งานในจวนผู้สำเร็จราชการได้ ส่วนใหญ่จัดการงานข้างนอก สำหรับเขาหัวหน้าภาคเป็นเพียงตำแหน่งขุนนาง เป็นแค่นามเท่านั้น

การสร้างจวนที่พักของสมาชิกในครอบครัวเหล่านั้นก็เริ่มขึ้นแล้ว ยังมีที่อยู่ของกำลังพลหลายสิบล้านด้วย ขนาดการก่อสร้างไม่เล็กเลยจริงๆ ช่างฝีมือจำนวนมากทำงานทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุด

เรื่องที่อยู่ของสมาชิกในครอบครัว เหมียวอี้ส่งต่อให้อวิ๋นจือชิวทั้งหมด เขาไม่ว่างมาติดต่อประสานงานกับพวกผู้หญิง แต่เรื่องที่พักของทัพใหญ่เขาค่อนข้างใส่ใจ แม้จะส่งต่อให้รองผู้สำเร็จราชการเหิงอู๋เต้าไปจัดการให้เป็นรูปธรรมด้วยตัวเองก็ตาม

วันนี้เหิงอู๋เต้าเชิญให้เหมียวอี้มาดูด้วยตัวเองว่ามีความเห็นอะไรหรือเปล่า เดิมทีเหมียวอี้จะไปตึกศาลาสัตยพรต แต่ทำได้เพียงมาดูสักหน่อย เดิมทีเหวินเจ๋อเน้นรับผิดชอบตลาดผีและน้ำพุวังเวง ต้องออกเดินทางไปตลาดผีกับเหมียวอี้อยู่แล้ว จึงถือโอกาสตามมาด้วยกัน

ขณะยืนบนยอดเขาทอดสายตามองงานก่อสร้างที่กำลังดำเนินการ หัวหน้าช่างฝีมือคนหนึ่งกับเหิงอู๋เต้าก็กำลังชี้จุดก่อสร้างเทียบกับแบบที่วางไว้ พลางอธิบายให้เหมียวอี้ฟัง ข้างหน้ามีจุดก่อสร้างหลายแห่งต่อเนื่องกันแล้ว

ขณะฟังคำอธิบาย เหมียวอี้ก็พยักหน้าพักหนึ่ง แล้วสั่งเหิงอู๋เต้าว่า “ถ้ายังยืนยันคำเดิม ให้เจ้ารับผิดชอบเรื่องนี้ ถ้าพี่น้องอยู่ไม่สบายก็จะมาคิดบัญชีกับเจ้าคนเดียว ยังมีทรัพย์สินที่ตำหนักสวรรค์ให้มา ตามหลักแล้วน่าจะเพียงพอ ราชินีสวรรค์พยายามเพื่อพวกเรามาก ถ้างบเกินเจ้าก็ต้องคิดหาทางเอาเอง”

เหิงอู๋เต้าส่ายหน้ายิ้มเจื่อน เหวินเจ๋อเองก็ยิ้มเห็นฟันอยู่ข้างๆ

ตรงนี้กำลังคุยกัน หยางเจาชิงที่อยู่ข้างกายก็เก็บระฆังดาราแล้วรายงานว่า “นายท่าน เจ้าสำนักจินหลิงของปราสาทดำเนินจันทร์มาแล้วขอรับ บอกว่าต้องการจะพบท่าน”

“ไม่ใช่ว่าจะไม่ติดต่อกับพวกเราจนกว่าจะแก่ตายหรอกหรือ? นางมาทำอะไรที่นี่?” เหมียวอี้ขมวดคิ้วพึมพำ แล้วเอียงหน้าบอกว่า “ให้คนไปนำทางมาเถอะ”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ แล้วถ่ายทอดคำสั่งลงไป

ใช้เวลาไม่นาน ในท้องฟ้าใกล้ๆ ก็มีทหารคนหนึ่งนำผู้หญิงสามคนเหาะมา ผู้ที่นำหน้ามาสวมชุดกระโปรงสีขาวดุจหิมะ เป็นสาวงามที่สวยสง่าภูมิฐานราวกับภาพวาด นางคือ จินหลิง เจ้าสำนักปราสาทดำเนินจันทร์ เหมียวอี้ไม่เคยเจอประมุขปราสาทลี่หัว แต่ก่อนหน้านี้เคยพบกับเจ้าสำนักท่านนี้แล้ว

“เจ้าสำนักจินให้เกียรติมาเยือน เป็นแขกที่มาไม่บ่อย!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้ม

จินหลิงกุมหมัดคารวะกลับ “ท่านผู้สำเร็จราชการเกรงใจแล้ว” ขณะที่พูดก็มองไปยังจุดก่อสร้าง “ช่างคึกคักจริงๆ”

“เจ้าสำนักมาที่นี่ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับ?” เหมียวอี้ถามด้วยรอยยิ้ม

“มิบังอาจกำชับหรอก” จินหลิงหันหน้ามา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะให้ท่านผู้สำเร็จราชการอธิบายต่อหน้าให้ชัดเจน จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดอะไรกัน”

ฟังน้ำเสียงดูจริงจัง เหมียวอี้ เหวินเจ๋อและเหิงอู๋เต้าสบตากันแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไร? หนิวจะล้างหูรอฟัง”

จินหลิงไม่อ้อมค้อม บอกตามตรงเลยว่า “ไม่กี่วันก่อน เว่ยซู พ่อบ้านใหญ่ของตระกูลเซี่ยโห้วไปลั่นวาจากับปราสาทดำเนินจันทร์แล้ว ว่าถ้าสำนักลมปราณมาปักหลักสร้างสำนักนี้ เขาก็จะมาปักหลักสร้างสำนักที่นี่เหมือนกัน ข้าไม่รู้ว่าเว่ยซูพูดจริงหรือไม่ เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่ปราสาทดำเนินจันทร์ต้องบอกท่านผู้สำเร็จราชการให้ชัดเจน ท่านผู้สำเร็จราชการต้องทราบไว้ว่าที่นี่คืออาณาเขตของปราสาทดำเนินจันทร์ ท่านเคยเห็นสำนักไหนบ้างที่ให้อีกสำนักเข้ามาแทรกอีก? ถ้าสำนักลมปราณต้องการจะปักหลักที่นี่จริงๆ เช่นนั้นข้าก็เตือนท่านผู้สำเร็จราชการได้เลย ว่าปราสาทดำเนินจันทร์ไม่อนุญาต เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องเจรจากัน ลาก่อน!” นางไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องเว่ยซู เปิดเผยออกมาโดยตรง พูดจบก็หันตัวเหาะไปเลย ท่าทางเหมือนไม่อยากสานสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเหมียวอี้ ไร้มารยาทมาก

เหมียวอี้เบะปากข้างเดียวเล็กน้อย มารดาเจ้าเถอะ เว่ยซูบังอาจเล่นสกปรกลับหลัง

แต่จะว่าไปแล้ว เขาก็ทำอะไรเว่ยซูไม่ได้จริงๆ ถ้ากล้าแตะต้องเว่ยซู ก็ไม่ต่างอะไรกับเปิดศึกกับตระกูลเซี่ยโห้วทั่วทุกด้าน มิหนำซ้ำเรื่องนี้ก็ถูกเว่ยซูเปิดโปงแล้ว ท่าทีของปราสาทดำเนินจันทร์ชัดเจนมาก เป็นไปไม่ได้แล้วที่จะต้มข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก ที่สำคัญที่สุดก็คือ พอลองคิดดูแล้วก็พบว่าปราสาทดำเนินจันทร์พูดไม่ผิด การสร้างสำนักในอาณาเขตสำนักของคนอื่นไม่เหมาะสมจริงๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาก็ไม่อนุญาตเหมือนกัน คาดว่าตำหนักสวรรค์ก็คงไม่อนุญาตคำขอที่เหลวไหลอย่างนี้ด้วย

แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือ สำนักลมปราณต้องได้รับการปกป้องจากเขา ถ้าออกจากแดนรัตติกาลไปอยู่ในอาณาเขตของสี่กองทัพ ก็ลงหลักปักฐานไม่สะดวก ตระกูลเหล่านั้นไม่ยอมให้สำนักลมปราณได้อยู่สบายแน่นอน แต่นอกจากอาณาเขตปราสาทดำเนินจันทร์ที่เหมาะสมในการตั้งสำนักระยะยาว ที่แดนรัตติกาลก็หาที่อื่นไม่ได้แล้ว

เป้าหมายของเว่ยซูก็ชัดเจนมาก นั่นก็คือบีบให้สำนักลมปราณออกจากแดนรัตติกาล แล้วค่อยใช้อำนาจกดดันอีกที!

“ท่านผู้สำเร็จราชการ ทำไมเว่ยซูถึงจะกัดสำนักลมปราณไม่ปล่อย?” เหวินเจ๋ออดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม เขาเคยได้ยินเรื่องเรื่องของสำนักลมปราณและเกาเหยียนแล้ว แต่ทำไมถึงถูกเว่ยซูเพ่งเล็งอีก เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจแล้ว เป็นเพราะตอนนี้เขาไม่เข้าใจสถานการณ์ของร้านขายของชำซื่อตรง

เหิงอู๋เต้ารู้สึกเหนือความคาดหมายนิดหน่อย ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจติดตามข่าวในด้านนี้เลย

“ร้านขายของชำซื่อตรง เดิมทีข้าเป็นคนสร้างขึ้นมาเองกับมือ แต่ถูกพวกหน้าไม่อายมาขอแบ่งไปแล้ว…” เหมียวอี้อธิบายสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ

เหวินเจ๋อกลับเหิงอู๋เต้าสบตากันอย่างพูดไม่ออก สงสัยจะวางกับดักเซี่ยโห้วลิ่งแล้ว ต้องการจะสร้างเตาไฟขึ้นมาใหม่ อีกฝ่ายกล้าโค่นล้มแม้กระทั่งอิ๋งจิ่วกวง มีหรือที่จะคบด้วยได้ง่ายขนาดนั้น

“ถ้าไม่มีที่ให้พักแล้วจริงๆ อย่างมากก็ให้สำนักลมปราณกระจายกันอยู่ตามตลาดสวรรค์ไปก่อน รอให้สถานการณ์คลี่คลาย จัดการเรื่องตรงหน้าให้เสร็จก่อนแล้วค่อยคิดหาวิธีการ” เหมียวอี้โบกมือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสำนักลมปราณ ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครโน้มน้าว ตอนแรกที่เขาก่อเรื่องเกี่ยวกับสำนักลมปราณ ก็ทำให้หยางชิ่งโมโหจนแทบกระอักเลือด กลั่นกรองแผนการใหญ่โตขนาดนั้น แต่เหมียวอี้ดันแอบทำเรื่องส่วนตัว หยางชิ่งกังวลมาตลอดว่าในภายหลังจะมีปัญหาอื่นเข้ามาแทรก แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะโน้มน้าวไม่ได้ผล!

แต่สำหรับเหมียวอี้ในตอนนั้น นักพรตเต๋าเต๋อหมิงติดต่อมาหาเขา รู้ว่าเป่าเหลียนพบปัญหาอย่างนั้น มีหรือที่เขาจะนิ่งเฉยได้?

“กุญแจสำคัญในตอนนี้ก็คือ เริ่มสร้างร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ เมื่อมีร้านค้าแล้ว สำนักลมปราณก็จะมีที่อยู่ เรื่องที่ตลาดสวรรค์ส่งให้เจ้าจับตาดูแล้วกัน ตอนนี้ศูนย์กลางที่ควบคุมตลาดสวรรค์แต่ละเขตก็คือกองทัพองครักษ์พอดี เจ้าคุ้นเคยกับกองทัพองครักษ์ ไปพูดคุยให้มากๆ หน่อย” เหมียวอี้หันหน้ามาโยนเรื่องนี้ให้เหวินเจ๋อเสียเลย ให้เหวินเจ๋อไปจัดการ

“ข้า…” เหวินเจ๋อชี้ที่ตัวเอง “ไม่เหมาะมั้ง ข้ารับผิดชอบเรื่องน้ำพุวังเวงกับตลาดผีแล้ว กลัวว่าจะยุ่งจนทำไม่ทัน! เหิงอู๋เต้าสร้างบ้านเสร็จก็ไม่มีงานอะไรแล้ว ให้เหิงอู๋เต้าไปจัดการสิ” เขาไม่ได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา นั่นก็คือ ร้านขายของชำคือช่องทางรายได้ส่วนตัวของเจ้า เจ้าให้ข้าช่วยเจ้าทำงานส่วนตัว เจ้าช่างกล้าเอ่ยปากขอเรื่องนี้

เหมียวอี้จ้องเขาอย่างเยียบเย็น “เจ้าต้องทำความเข้าใจเรื่องหนึ่งเอาไว้ ตอนนี้เจ้าคือคนของจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ไม่ใช่คนของกองทัพองครักษ์ เจ้ามารับตำแหน่งที่นี่ไม่ใช่เพราะเตรียมจะรับค่าจ้างไปทั้งชีวิตหรอกใช่มั้ย? ถ้าใช่ งั้นข้าก็ไม่บังคับแล้ว!”

“…” เหวินเจ๋อพูดไม่ออก สุดท้ายก็ตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ข้าจะลองพยายามให้เต็มที่ก็แล้วกัน”

เรื่องนี้ถูกกำหนดไว้อย่างนี้ชั่วคราว จากนั้นเหมียวอี้ก็นำเหวินเจ๋อไปที่ตลาดผี

เมื่อมาถึงตลาดผี เหวินเจ๋อก็ไปที่จวนแม่ทัพภาคเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างเป็นทางการ เดี๋ยวยังต้องไปตรวจดูที่น้ำพุวังเวงด้วย

เหมียวอี้ไปที่ตึกศาลาสัตยพรตแล้ว

เจรจากับเฉาหม่านราบรื่นมาก ทั้งสองฝ่ายล้วนพอใจ

ทว่าไม่ใช่ทุกเรื่องที่ราบรื่น สุดท้ายเรื่องที่ทำให้หยางชิ่งกังวลว่าจะเป็นปัญหาแทรกแซงก็เกิดขึ้นแล้ว

…………

สรุปแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายกุมทรัพย์สินส่วนนี้ไว้ จะต้องแย่งชิง!

คนหลายคนเหยียบลงพื้นมาดู มองสองฝ่ายเถียงกันจนหน้าแดงคอแห้ง เหลือแค่พี่น้องเข่นฆ่ากันเองเท่านั้น

จั่วเอ๋อร์กำลังมองฉากนี้ บอกไม่ถูกว่าบนใบหน้ามีสีหน้าอย่างไร ในดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ในหัวใจก็ยิ่งรู้สึกเหน็บหนาว

ตั้งแต่ตอนแรกที่ได้ยินข่าวการตายของอิ๋งจิ่วกวง คนสองกลุ่มนี้ก็เริ่มทะเลาะกันแล้ว ขนาดบ่าวไพร่อย่างนางยังกอดความหวังสุดท้ายเอาไว้ แต่พวกเขาที่อยู่ในฐานะบุตรแท้ๆ กลับไม่เศร้าโศกเสียใจที่บิดาตัวเองถูกสังหาร ไม่คิดเรื่องล้างแค้นให้บิดา ไม่คิดแผนที่จะลงหลักปักฐานในอนาคต ไม่คิดว่าจะทำให้ใจคนสงบลงได้อย่างไร กลับมาแย่งชิงสิ่งนี้กัน ตอนนี้คือช่วงเวลาที่ต้องสามัคคีกันเพื่อผ่านด่านยาก ไม่ใช่เวลามาทะเลาะแตกแยกกัน ทำแบบนี้จะให้พวกลูกน้องคิดอย่างไร? เปิดเผยสภาพน่าอับอายแบบนี้ต่อหน้าลูกน้องแล้ว ใจคนจะไปอยู่ที่ไหน? ไม่รู้เชียวหรือว่ากำลังพลเกรียงไกรชุดนี้ที่ตระกูลทิ้งไว้ต่างหากที่เป็นทรัพย์สินที่ดีที่สุด? เมื่อมีคนกลุ่มนี้อยู่ แล้วเสริมด้วยเศษเสี้ยวมรดกของตระกูลอิ๋ง นี่ต่างหากถึงจะเป็นแผนระยะยาว!

“คุณชายรอง คุณชายสาม เลิกทะเลาะกันได้แล้ว คุณหนูเยว่หัวร้อนหนีกลับไปแล้ว อาจจะมีอันตราย พวกเราช่วยกันติดต่อนางเถอะ โน้มน้าวให้นางรีบกลับมา อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม!” จั่วเอ๋อร์เดินมาโน้มน้ามตรงหน้าทั้งสองฝั่ง

พอนางออกหน้าเอง ก็ยังมีอิทธิพลต่อทั้งสองฝ่ายอยู่บ้าง ทั้งสองฝ่ายจึงหยุดทะเลาะกันชั่วคราว

อิงอู๋เชวียบอกว่า “นางเด็กนี่ยังมาเพิ่มความยุ่งยากในเวลานี้อีก ถ้าไม่ลำบากเสียบ้างก็ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ! พ่อบ้านจั่ว สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือจะรวบรวมคนที่แตกสามัคคีกันได้ยังไง พ่อบ้านจั่ว ท่านตัดสินหน่อยสิ แต่ไหนแต่ไรมาทำตามลำดับอาวุโสมันผิดด้วยเหรอ พี่ชายจะเป็นเจ้าบ้านมันผิดด้วยเหรอ?”

อิงอู๋เฟยกล่าวอย่างเดือดดาลทันที “บ้านวุ่นวายถึงขั้นนี้แล้ว ต้องให้คนมีความสามารถขึ้นสู่ตำแหน่ง ถึงจะนำตระกูลเดินออกจากความยากลำบากได้ พ่อบ้านจั่ว ท่านว่าควรจะใช้หลักการนี้หรือเปล่า?”

อิงอู๋เชวียชี้เขาพร้อมกล่าวอย่างโมโห “เจ้าก็เอาแต่พูดว่าต้องให้คนมีความสามารถขึ้นสู่ตำแหน่ง แล้วความสามารถเจ้าอยู่ที่ไหนกันแน่? เก่งเรื่องเคยนอนกับผู้หญิงมาเยอะใช่มั้ย?”

“เหลวไหล!” อิงอู๋เฟยด่า

“พอแล้ว!” จั่วเอ๋อร์ตะคอกเสียงต่ำ ตรงนั้นเงียบลงทันที เมื่ออิ๋งจิ่วกวงตายไป แม้จะทำให้คนพวกนี้ไม่มีความกดดันแบบนั้นแล้ว แต่อิทธิพลของนางก็ยังคงอยู่ ที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าบ้านของตระกูลอิ๋งอยู่ในการควบคุมของนาง สมบัติในที่ลับที่แจ้งของตระกูลอิ๋งมีมากขนาดไหน มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ชัดเจน ถ้านางสนับสนุนใคร หัวหน้าตระกูลคนใหม่ก็ไม่มีอะไรให้พะวงแล้ว

จั่วเอ๋อร์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วมองซ้ายมองขวา “คนในครอบครัวเดียวกันทะเลาะกันไปทะเลาะกันมาจนทำลายความสัมพันธ์ ตามความเห็นของบ่าว ไม่สู้เอาอย่างนี้ดีกว่า แบ่งครึ่งทรัพย์สินของตระกูลอิ๋ง คุณชายรองกับคุณชายสามคุมคนละครึ่ง ตอนหลังค่อยพิจารณาเรื่องทำงานร่วมกัน เป็นยังไง?”

“เรื่องนี้…” สองพี่น้องต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน คงคิดว่าถ้าไม่แบ่งให้ฝ่ายตรงข้ามเลยสักนิดก็คงยาก ที่เถียงกันตอนนี้ก็เพราะกลัวอีกฝ่ายจะฮุบไปคนเดียวไม่ใช่เหรอ ต่างคนต่างมองกลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังตัวเอง เหมือนพวกเขาจะไม่มีความเห็นแย้งอะไร

“ในเมื่อพ่อบ้านจั่วพูดอย่างนี้แล้ว ข้าเชื่อฟังก็ได้” อิงอู๋เชวียเอามือไขว้หลังแล้วพ่นเสียงทางจมูก

อิงอู๋เฟยกุมหมัดคารวะจั่วเอ๋อร์ “เช่นนั้นก็รบกวนพ่อบ้านจั่วให้รักษาความยุติธรรมให้แล้ว”

นึกไม่ถึงว่าสองคนนี้จะตอบตกลงแล้วจริงๆ จั่วเอ๋อร์มองทั้งสองด้วยแววตาที่มีความหวังเล็กน้อย

ในขณะนี้เอง จู่ๆ มารดาของอิงอู๋เชวียก็ก้าวขึ้นมา แล้วพูดจาแปลกๆ “พ่อบ้านจั่ว ตอนนี้ในมือตระกูลอิ๋งมีสมบัติอยู่เท่าไร พวกเราไม่รู้ชัดเจน ใช่ว่าท่านบอกว่ามีเท่าไรก็แปลว่ามีเท่านั้น จะนำบัญชีออกมากางก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องแบ่งสรรใช่หรือเปล่า?”

สายตาของทุกคนไปรวมอยู่บนตัวจั่วเอ๋อร์ทันที

จั่วเอ๋อร์โค้งตัวเล็กน้อยพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หรูฮูหยินพูดมีเหตุผล เอาอย่างนี้ ข้าจะให้ทุกคนนำบัญชีมาคิดยอดรวมกันก่อน แล้วค่อยประกาศออกมาให้ทุกคนตรวจสอบ เพื่อแสดงความยุติธรรม เป็นยังไง?”

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน จั่วเอ๋อร์ก็โบกมือไปทางซ้ายและขวา กลุ่มทหารอารักขาและบ่าวไพร่ที่ติดตามมาด้วยฟังคำสั่งนางและตามนางไปอีกด้านหนึ่ง

คนกลุ่มหนึ่งประชุมกัน หนึ่งในนั้นขมวดคิ้ว “พ่อบ้านจั่ว ต้องแบ่งทรัพย์สินในตระกูลจริงเหรอ? ถ้าแบ่งของให้พวกเขาหมด แล้วพวกเราจะทำยังไงล่ะ?”

“ตระกูลอิ๋งจบแล้ว จบแล้วจริงๆ ไม่มีหวังอีกแล้ว…” จั่วเอ๋อร์ฝืนยิ้ม

ไม่ถึงครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น คนพันกว่าคนข้างกายจั่วเอ๋อร์ก็ถลันตัวออกมาล้อมทุกคนของตระกูลอิ๋งไว้ แล้วเผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดออกมา เล็งไปที่พวกเขาแล้ว

พวกอิงอู๋เชวียตกใจมาก อิงอู๋เฟยมองจั่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ไกลๆ แล้วตะคอกอย่างหวาดกลัวปนโมโห “จั่วเอ๋อร์ เจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าคิดจะเป็นโจรในบ้านหรือไง?”

บึ้ม!

เสียงต่อสู้เข่นฆ่าอันดุดือดดังขึ้น จั่วเอ๋อร์หลับตาลงช้าๆ

รอจนกระทั่งทุกอย่างสงบลงแล้ว ทุกคนของตระกูลอิ๋งที่ทะเลาะกันก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครรอดสักคน กลุ่มบ่าวไพร่ที่ฆ่าเจ้านายกวาดทรัพย์สินบนตัวศพหมดเกลี้ยง แล้วรวมตัวกันมองมาที่จั่วเอ๋อร์

จั่วเอ๋อร์เงยหน้ามองดาราจักร เงียบงันเป็นเวลานาน…

สำหรับคนส่วนใหญ่ เรื่องของตระกูลอิ๋งไม่สำคัญอีกแล้ว ส่วนใหญ่นำมาเป็นหัวข้อในการพูดคุยเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นคนตามตรอกซอกซอยในตลาดสวรรค์ พวกเขาวิเคราะห์กันอย่างมีเหตุผล แต่ที่เชื่อถือได้กลับมีไม่มาก

ส่วนคนที่รู้เรื่องราวเบื้องล้วนก็ล้วนเพ่งสมาธิไปที่เรื่องของตัวเอง สำหรับพวกเขา ตระกูลอิ๋งเป็นอดีตไปแล้ว ไขว้คว้าสิ่งตรงหน้าไว้ต่างหากที่สำคัญที่สุด

เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อสมหวังดังใจปรารถนา เข้าร่วมประชุมขุนนางตามปกติ ประมุขชิงแต่งตั้งให้ทั้งสองเป็นอ๋องสวรรค์ตะวันออกซ้ายและอ๋องสวรรค์ตะวันออกขวา อาณาเขตเดิมของทัพตะวันออกถูกแบ่งให้ทั้งสองควบคุมอย่างเป็นทางการ จากนั้นอ๋องสวรรค์ทั้งสองก็ได้รับคุณงามความดีในการปราบกบฏ ในกำลังพลสายซ้ายและขวาได้เลื่อนตำแหน่งจอมพลสามคน ในหนึ่งสายมีคนที่ได้เลื่อนตำแหน่งไม่น้อย ประมุขชิงอนุมัติทั้งหมด ทุกคนในราชสำนักไม่มีใครคัดค้าน

อ๋องสวรรค์ใหม่ทั้งสองคนนี้ เดิมทีครอบครองอาณาเขตทัพตะวันออกคนละหนึ่งส่วนจากสามส่วน ตอนนี้ขยายเป็นครอบครองอาณาเขตคนละหนึ่งส่วนจากสองส่วนแล้ว ส่วนจอมพลที่ได้เลื่อนตำแหน่งใหม่ แม้จะได้พื้นที่เล็กลงเมื่อเทียบกับทัพตะวันออกเดิมที่มีจอมพลสามคน แต่สำหรับคนที่ได้เลื่อนตำแหน่ง พื้นที่กลับกว้างใหญ่กว่าเมื่อก่อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีฐานะเป็นจอมพล สถานการณ์เหมือนกับเถิงเฟยและเฉิงไท่เจ๋อ ส่วนเทพประจำดาวที่ระดับต่ำลงไปกลับไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน ด้วยเหตุนี้ใต้สังกัดของจอมพลแต่ละคนจึงมีเทพประจำดาวแค่สองคนเท่านั้น ประมุขชิงมีความตั้งใจที่จะขยายจำนวนเทพประจำดาวอีก เพียงแต่เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อไม่ยอม ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เมื่อเลื่อนตำแหน่งแล้วก็มีตำแหน่งว่างออกมา กอปรกับกลืนอาณาเขตของลิ่งหูโต้วจ้งไปแล้ว คนกลุ่มใหญ่จะถูกปรับเปลี่ยนตำแหน่งไปด้วยก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อเลี้ยงฉลองและปูนบำเหน็จรางวัลทัพใหญ่อีก ทั้งอาณาเขตทัพตะวันออกเรียกได้ว่าปลาบปลื้มยินดีเป็นที่สุด แน่นอนว่ามีคนที่เงียบเหงาเพราะเสียอำนาจเช่นกัน

กำลังพลจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเดิมก็ได้ผลงานจากการปราบกบฏเช่นกัน ทั้งหมดได้เลื่อนยศหหนึ่งขั้น ยกเว้นเหมียวอี้ เพียงแต่ผลประโยชน์แท้จริงที่เหมียวอี้ได้รับกลับชัดเจนมาก

ป้ายของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลถูกเปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนเป็นจวนผู้สำเร็จราชการอย่างเป็นทางการ เหมียวอี้รับหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการที่ดูแลห้าจวนอย่างเป็นทางการ

ประมุขชิงฝืนยัดเหวินเจ๋อให้กลายมาเป็นรองผู้สำเร็จราชการ เหิงอู๋เต้า แม่ทัพใหญ่เดิมของสายขาลกลายเป็นรองผู้สำเร็จราชการอีกคนหนึ่ง

เหมียวอี้ไม่มีทางเลือกจริงๆ ต่อให้เป็นสวีถังหรานก็ได้อาศัยบารมีเลื่อนยศเป็นแม่ทัพเกราะม่วงหกแถบแล้ว แต่ยศยังขาดอีกนิดหน่อย เบื้องบนต้องการยศของแม่ทัพใหญ่ ท่ามกลางลูกน้องคนสนิทเบื้องล่างยังไม่มีคนที่ยศสูงพอ เขาเองก็ไม่อาจให้คนของกองทัพองครักษ์ครองตำแหน่งรองผู้สำเร็จราชการเสียทั้งหมด พอเลือกไปเลือกมาจึงทำได้เพียงเลือกใช้งานเหิงอู๋เต้า

หัวหน้าภาคห้าคนใต้สังกัด สวีถังหรานย่อมได้ครองหนึ่งตำแหน่ง แต่คนที่ยศสูงมากพอที่จะเป็นหัวหน้าภาคได้มีน้อย เหมียวอี้ถึงขั้นแต่งตั้งให้ชีอู๋เจินเหรินที่ไร้ประสบการณ์คุมทัพให้เป็นหัวหน้าภาค นอกจากนี้ก็มีแม่ทัพใหญ่สายขาลเดิม หวงลี่ แม่ทัพใหญ่สายขาลเดิม หนานกงหรูอวี้(ญ) แม่ทัพใหญ่กองทัพองครักษ์ม่ายจื่อ (ญ)

หัวหน้าภาคห้าคนมีผู้หญิงแล้วสองคน ไม่ใช่ว่าเหมียวอี้ชื่นชอบในความงามของพวกนาง แต่เป็นเพราะสองคนนี้เข้ากับเพื่อนร่วมงานกลุ่มเดิมไม่ค่อยได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกนางเป็นผู้หญิงหรือเปล่า

ส่วนเรื่องความสามารถ ตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่เหมียวอี้พิจารณา ตอนนี้เหมียวอี้ยังไม่ใช้งานรองหัวหน้าภาคที่ถูกเลือก เป็นเพราะลูกน้องที่ไว้ใจได้ยังมียศไม่สูงพอ

ผู้บัญชาการใหญ่ห้าร้อยคนใต้สังกัด ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากเลย ฝูชิงและพรรคพวกจากทะเลดาวนักษัตรล้วนมีตำแหน่ง ชิงเยว่กับหลงซิ่นก็ย่อมขาดไม่ได้ คนอื่นๆ ที่ไว้ใจได้มียศไม่สูงพอ จึงใช้งานกำลังพลเดิมของสายขาลทั้งหมด

เพียงแต่ผู้บัญชาการใหญ่ห้าร้อยคนนี้ไม่มีอำนาจทางทหารเลย รวมทั้งหัวหน้าภาคทั้งห้าคนก็ไม่มีอำนาจนี้เช่นกัน เหมียวอี้อ้างเหตุผลว่าแดนรัตติกาลมีพื้นที่เล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องกระจายกำลังตั้งประจำการมากเกินไป เปลี่ยนเป็นใช้ระบบเรียกชื่อทหาร ให้กำลังพลทั้งหมดถูกควบคุมโดยจวนผู้สำเร็จราชการ ตอนปฏิบัติหน้าที่ค่อยกำหนดอีกทีว่าจะให้แม่ทัพคนไหนไปนำทัพ

เท่ากับว่าหัวหน้าภาคห้าคนและผู้บัญชาการใหญ่ห้าร้อยคนสูญเสียอำนาจทางทหารแล้ว ถูกเหมียวอี้ปล้นอำนาจไปแล้ว การฝึกประจำวันของกำลังพลหลายสิบล้าน แม้จะบอกว่าหมุนเวียนสับเปลี่ยนกัน แต่ที่จริงแล้วเหมียวอี้ส่งต่อให้ฝูชิงและพวกตาเฒ่าทะเลดาวนักษัตรทั้งหมด ทั้งยังมีชิงเยว่ หลงซิ่นและกำลังพลเดิมของแดนรัตติกาลด้วย

ส่วนแม่ทัพใหญ่เกราะแดงจำนวนหลายพัน รวมทั้งแม่ทัพใหญ่กองทัพองครักษ์ห้าสิบคนที่เหวินเจ๋อพามา แม่ทัพเกราะม่วงหลายล้านล้วนถูกเหมียวอี้คัดเลือกออกมาหมด จัดตั้งจวนกลยุทธ์ฟ้าที่ขึ้นตรงต่อจวนผู้สำเร็จราชการ ตั้งชื่อให้งดงามเพื่อให้ทราบว่าจวนผู้สำเร็จราชการ เป็นผู้วางแผน มีเหมียวอี้ควบคุมโดยตรง ถ้าจะพูดให้ถูก นี่ก็คือการเลี้ยงคนไว้เฉยๆ ถ้ามีสงครามเมื่อไรก็ค่อยเรียกมารับตำแหน่ง อย่างไรเมื่อก่อนคนพวกนี้ก็ไม่ได้มีตำแหน่งที่เป็นทางการอะไรอยู่แล้ว คุ้นชินแล้วเช่นกัน

ส่วนผู้บัญชาการใต้สังกัด เหมียวอี้ไมได้ทำอะไรซี้ซั้ว ถ้าเป็นผู้บัญชาการระดับต่ำสุด ต่อให้ปล้นอำนาจไปหมดก็ควบคุมไม่ได้อยู่ดี

เพื่อปลอบใจคนระดับต่ำสุด เหมียวอี้รับประกันว่ามีตำแหน่งสำหรับพวกเขา มีเพียงผู้บัญชาการเกือบหนึ่งหมื่นห้าพันคน ใช้งานมากขนาดนั้นไม่ไหว เยอะกว่าปกติเกือบหมื่นคน แต่ทางตลาดสวรรค์ขาดลูกน้องที่ไว้ใจได้ พวกเซียวหลิงโปครองตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ รองผู้บัญชาการใหญ่ พวกผู้บัญชาการและผู้ช่วยผู้บัญชาการส่วนใหญ่เป็นกำลังพลของท้องถิ่น ดังนั้นเหมียวอี้จึงย้ายพวกผู้บัญชาการและผู้ช่วยผู้บัญชาการจากตลาดสวรรค์มาที่นี่ทั้งหมด เรื่องรักษายศตำแหน่งไว้ก็เลิกคิดไปได้เลย ถ้าเจ้าเก่งนักก็ลองแก่งแย่งกับคนฝั่งนี้ดูสิ แค่ถ่มน้ำลายก็สามารถทำให้เจ้าจมตายได้ ส่วนผู้บัญชาการและผู้ช่วยผู้บัญชาการที่ถูกย้ายไปที่นั่นก็ย่อมดีใจเหนือความคาดหมาย นายท่านผู้สำเร็จราชการมอบตำแหน่งที่รายได้ดีให้พวกเขาแล้ว เป็นผลประโยชน์ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไป จึงรีบไปรับตำแหน่งและให้ความร่วมมือกับผู้บังคับบัญชาคนใหม่

ตำแหน่งผู้บัญชาการเบื้องล่างถูกเหมียวอี้ทำให้ว่างสามพันกว่าตำแหน่ง เพื่อควบคุมคนที่ถูกลดตำแหน่ง ทั้งยังรักษาตำแหน่งไว้เกือบสองพันตำแหน่งด้วย ตำแหน่งผู้บัญชาการสามพันกว่าตำแหน่งนั้น เหมียวอี้ย่อมใช้คนเก่าของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ยังมีคนเก่าอีกหมื่นสองหมื่นคนที่ยังรอฟังคำสั่งอยู่ในจวนผู้สำเร็จราชการ รวมตัวกันรักษาความปลอดภัยให้จวนผู้สำเร็จราชการ

เมื่อโครงสร้างนี้ออกมา ก็เท่ากับเลี้ยงดูรองผู้สำเร็จราชการไปจนถึงผู้บัญชาการใหญ่เบื้องล่างแล้ว ส่วนใหญ่ไม่มีอำนาจทางทหาร ขนาดเหวินเจ๋อยังอดไม่ได้ที่จะแอบด่าแม่ มีอย่างที่ไหนมาเล่นแบบนี้ สงสัยเจ้าจะอยากมีอำนาจตัดสินใจอยู่คนเดียว แต่แดนรัตติกาลก็ดันมีสถานการณ์พิเศษ กอปรกับกำลังพลที่โดนลดยศตำแหน่งก็ยังไม่นิ่ง ยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร ต่างก็ขอให้มีชีวิตสงบสุขโดยเร็ววัน ไม่มีใครคัดค้าน ถ้าเหวินเจ๋อคัดค้านก็จะถูกเล่นงานจนตายทั้งบ้าน ให้โอกาสเหมียวอี้ใช้ดาบใหญ่และขวานปากกว้างเพื่อปฎิรูป

เมื่อสิ่งที่เป็นรูปธรรมเกิดขึ้นไม่ขาดสาย ปี้เยว่ทำให้เหมียวอี้นึกเสียใจทีหลังนิดหน่อย

…………………

เซี่ยโห้วท่าเดินออกมายืนอยู่ใต้ชายคาอย่างเอื่อยเฉื่อย ขณะมองคล้อยหลังกลุ่มเด็กน้อยที่ซนเหมือนลิงวิ่งกระโดดโลดเต้นออกไป ในดวงตาก็ฉายแววอมยิ้มบางๆ

หลังจากเว่ยซูทำความเคารพอยู่ข้างๆ แล้ว ทั้งสองก็เดินตามกันออกมาจากรั้วสวน แล้วเดินเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่บนทางเล็กในชนบท พอเดินมาถึงบนสะพานเล็กตรงประตูหมู่บ้านก็หยุดยืนอยู่กับที่

เซี่ยโห้วท่าหันกลับไปมองควันจากการทำอาหารที่ลอยขึ้นมาในหมู่บ้านแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “เพิ่งจากกันไปไม่นาน ทำไมถึงมาอีกแล้ว?”

เว่ยซูโค้งตัวเล็กน้อย “ช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย อยากจะฟังความเห็นของนายท่านขอรับ”

“จะมีความเห็นอะไรได้? ตอนนี้ความเห็นของข้าไม่สำคัญแล้ว เข้าใจหรือเปล่า?” เซี่ยโห้วท่าหันกลับมาจ้องเขาแล้วชี้แนะ จากนั้นก็เดินลงจากสะพานไม้โค้ง เดินช้าๆ ตามทางต่อไป

เว่ยซูตามอยู่ข้างหลัง “หลังจากคุณชายรองลงมือ สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก แม้บ่าวจะปลอบใจคุณชายใหญ่แล้ว แต่ในใจก็ยังกระวนกระวาย”

“มีอะไรน่ากระวนกระวาย? กังวลว่าจะตีขวดพวกนั้นแตกเหรอ?” เซี่ยโห้วท่ากล่าวปนเสียงหัวเราะสองสามประโยค แล้วก็กล่าวด้วยความปลงอีกว่า “เจ้ารองคนนี้ สุดท้ายก็ยังอดไม่ไหวที่จะลงมือ เจ้าคิดว่าอยู่ดีๆ เขาจะเล่นงานอิ๋งจิ่วกวงจนถึงตายไปทำไมล่ะ? ทำลายความสมดุลเสียแล้ว! อดทนการยั่วยุไม่ไหว โดนหนิวโหย่วเต๋อปลุกปั่น ตอนนี้จบกัน โดนจูงจมูกแล้ว เจ้าอยากจะสร้างบารมี แต่กลายเป็นจุดอ่อนในมือคนอื่น ผลประโยชน์ที่มาส่งให้ถึงประตูบ้าน จะกินได้ง่ายๆ อย่างนั้นเชียวหรือ ตอนนี้เป็นฝ่ายถูกกระทำแล้วสินะ? แต่ข้าก็เข้าใจความรู้สึกของเจ้ารองได้ สำหรับเขาแล้ว การกุมอำนาจของตระกูลคือเรื่องที่สำคัญที่สุด ดังนั้นข้าก็บอกไม่ได้เช่นกันว่าอะไรถูกอะไรผิด ปล่อยให้เขาทำไปเถอะ”

“ประเด็นสำคัญในตอนนี้ก็คือคุณชายรองไม่สามารถใช้งานกำลังพลของตระกูลได้ ทุกที่ล้วนหดมือหกเท้า ไม่มีทางแสดงความสามารถได้เต็มที่” เว่ยซูกล่าว

เซี่ยโห้วท่าเอียงหน้ามองเขแวบหนึ่ง “สงสัยที่เจ้ามาครั้งนี้เพราะมีเรื่องจะพูดสินะ!”

เว่ยซูตอบว่า “บ่าวเพียงรู้สึกว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ล้วนไม่เป็นผลดีต่อคุณชายรองและตระกูลเซี่ยโห้ว…”

“เจ้าอยากจะให้ข้าแอบลงมือแทรกแซงเหรอ?” เซี่ยโห้วท่าพูดแทรกเขา ถามกลับแล้ว

เว่ยซูเงียบไป สุดท้ายก็แข็งใจพูดว่า “เป็นอย่างที่นายท่านบอก ตอนนี้คุณชายรองถูกหนิวโหย่วเต๋อจูงจมูกแล้ว เกรงว่าในภายหลังจะเสียเปรียบมาก”

“เจ้านี่นะ เสียเปรียบนิดหน่อยก็ทนไม่ไหวเสียแล้ว เมื่อก่อนเจ้าก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”

“ตอนที่นายท่านเป็นหัวหน้าตระกูล สถานการณ์ทั้งหมดล้วนอยู่ในการควบคุม คุณชายรองไม่มีความสามารถในการควบคุมเหมือนท่าน หากเป็นอย่างนี้ต่อไปเกรงว่าจะเกิดปัญหา”

“สถานการณ์ที่เจ้ารองเผชิญ เมื่อเทียบกับตอนที่หนิวโหย่วเต๋อยังต่ำต้อยแล้วเป็นอย่างไร? เงื่อนไขแต่ละด้านได้เปรียบกว่าไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากขนาดนั้น ขนาดหนิวโหย่วเต๋อยังไต่เต้าขึ้นมาได้เลย สิ่งนี้ไม่ควรค่าให้เจ้ารองทบทวนตัวเองเชียวหรือ? ตอนนี้จุดแย่งชิงผลประโยชน์อยู่ตรงไหนล่ะ? ก็แค่ร้านขายของชำเท่านั้นเอง ทนรับความเสียเปรียบนี้ไม่ไหวเหรอ? เจ้าลืมไปแล้วหรอว่าหุ้นของร้านขายของชำนั่นได้มาจากมือใคร? ในปีนั้นหนิวโหย่วเต๋อโดนตบจนฟันหักแต่ยังต้องกลืนฟันลงท้อง เสียเปรียบแต่พูดไม่ได้ จำเป็นต้องส่งหุ้นส่วนนั้นมา กล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อแลกกับสถานการณ์ภาพรวมชั่วขณะ ทำไมตระกูลเซี่ยโห้วถึงคุ้นชินกับการได้อย่างเดียวโดยไม่เสียซะแล้วล่ะ? ข้าอธิบายหลักการไม่ชัดเจนเหรอ”

“ไม่ใช่เรื่องร้านขายของชำขอรับ บ่าวรู้สึกว่าครั้งนี้หนิวโหย่วเต๋อสุขุมเยือกเย็นต่อคุณชายรองเกินไป เหมือนมีแผนสำรองบางอย่าง”

“แผนสำรอง? มีแผนสำรองจริงๆ ต้องคิดเยอะด้วยเหรอว่ามีแผนสำรองอะไร? อยู่ที่แดนรัตติกาลแต่สามารถสู้กับเจ้ารองได้อย่างสุขุมเยือกเย็นขนาดนี้…” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เซี่ยโห้วท่าก็ชำเลืองมองเว่ยซูแวบหนึ่ง แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เปลี่ยนประเด็นสนทนา “เจ้ารองอยากจะใช้วิธีการโค่นล้มอิ๋งจิ่วกวงมาสร้างบารมี เกรงว่าแผนนี้จะสูญเปล่าแล้ว พี่น้องพวกนั้นของเขาคงไม่ให้เขาสมปรารถนา ในระยะเวลาอันยาวนี้ เจ้ารองคงเลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้รับการสนับสนุนจากพี่น้อง แค่ไม่ขัดแข้งขัดขาก็ถือว่าดีแล้ว ต้องดูแล้วว่าเจ้ารองจะแก้ไขสถานการณ์ยังไง”

เว่ยซูถูกเขาพูดตัดบทจนคันหัวใจเกินทน ทำไมตอนจะพูดประเด็นสำคัญถึงเงียบไปแล้วล่ะ? เขารู้ว่าอาศัยไหวพริบสติปัญญาของเซี่ยโห้วท่า จะต้องมองอะไรออกแล้วแน่นอน จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “แผนสำรองของหนิวโหย่วเต๋อคืออะไรขอรับ?”

เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจ “เว่ยซู จุดประสงค์ที่ข้าแกล้งตายคืออะไร เจ้ารู้ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ?”

เว่ยซูเงียบไปแล้ว

เซี่ยโห้วท่าสายตาเลื่อนลอย ประคองไม้เท้าเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่บนทางขรุขระ สูดกลิ่นหอมของต้นหญ้าเขียวชอุ่มแล้วพ่นลมหายใจยาว “ข้ารู้ว่าในใจเจ้ากังวลอะไร เจ้าหวังให้ข้าแอบลงมือคุมหางเสือเรือของตระกูลเซี่ยโห้วอีกครั้ง แต่ยิ่งเจ้าเป็นแบบนี้ ข้าก็ยิ่งกังวล นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเองนะ อีกฝ่ายเพิ่งลงไพ่ในมือ ยังไม่ทันรู้แม้กระทั่งไปรับของอีกฝ่าย ก็จะบีบให้ข้าออกมาอีกครั้งแล้วหรือ ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีใครแล้วจริงๆ น่ะเหรอ? ที่แกล้งตายก็เพื่อหลอกคนนอก แต่กลับหลอกตัวเองไม่ได้ ช้าเร็วข้าก็ต้องตายอยู่ดี ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วไร้คนแล้วจริงๆ ข้าลงมือแล้วจะมีความหมายอะไร? ก็แค่ปกป้องตระกูลเซี่ยโห้วไว้ได้อีกไม่กี่หมื่นปีเท่านั้น ก็แค่เลื่อนปัญหาที่ต้องเผชิญตอนนี้ออกไปไม่กี่หมื่นปีก็เท่านั้นเอง อีกไม่กี่หมื่นปีหลังหากข้าตายแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วจะทำยังไงล่ะ? ปัญหาที่เผชิญตอนนี้ ในภายหลังก็ยังต้องเผชิญอยู่ดี ยังต้องให้พวกเขาแก้ไขกันเอง ข้าเคยบอกกับเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้ให้พวกเขาเสียเปรียบมากหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ถ้าไม่เสียเปรียบ ไม่ผ่านความยากลำบาก แล้วจะยืนทระนงอยู่ท่ามกลางความนาวเหน็บได้อย่างไร? ตอนนี้ข้ายังเฝ้าดูอยู่ ยังประคองตอนตึกใหญ่จะล้มได้ ช่วงเวลานี้ให้พวกเขาผ่านประสบการณ์ความพ่ายแพ้เพื่อเติบโต ถ้าโตได้ก็จะได้ต้อนรับยุคของพวกเขาเอง อยู่กับความรุ่งโรจน์ของตระกูลเซี่ยโห้วต่อไป ถ้าโตไม่ได้ข้าก็ทำได้เพียงยื่นมือประคองพวกเขาไว้สักระยะ แต่ข้าประคองพวกเขาเดินไปได้ไม่ไกลหรอก นั่คือการรักษาที่ยอดไม้ ไม่ใช่การรักษาราก! พอมาคิดดูตอนนี้ เป็นข้าเองที่วิสัยทัศน์ไม่กว้างไกลอาลัยอาวรณ์อยู่กับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลนานเกินไป ควรจะวางมือมายืนดูอยู่ไกลๆ ให้เร็วกว่านี้ ให้เวลาพวกเขามากขึ้นอีกหน่อย ถ้ารุ่นแรกไม่ไหว ไม่แน่ว่ารุ่นสองออกจะมีคนที่ยอดเยี่ยมโผล่ออกมาก็ได้ ข้าอยู่ในตำแหน่งนานเกินไป พวกเขาไม่กังวลถึงอนาคต ที่บอกว่าฝึกหนักอะไรนั่นล้วนเป็นเพียงฉากหน้าที่สวยงาม แต่ใช้การไม่ได้ ปัญหาเดียวกันนี้ไม่ได้เกิดกับแค่ตระกูลเซี่ยโห้วเท่านั้น แข่งขันกันไปก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งต้นไม้ใหญ่มากเท่าไร ใต้ต้นไม้ก็ยิ่งรับลมเย็นได้มากเท่านั้น ยากที่จะเห็นแสง ต้นไม้เล็กๆ ที่อยู่ใต้นั้นก็ยิ่งเติบโตลำบาก นี่คือกฎธรรมชาติ เกียรติยศความร่ำรวยตรงหน้าล้วนเป็นสิ่งที่ใช้หลอกตัวเอง เมื่อต้นไม้ล้มเมื่อไร แล้วลมฝนมาพร้อมกัน ก็จะหวาดกลัวและได้เห็นความสามารถที่แท้จริง! ในราชสำนักมีให้เห็นทั่วไป สุดท้ายก็ต้องเผชิญกับสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ไร้ผู้สืบทอดรุ่นหลัง ตอนนี้แข่งกันไปแข่งกันมาล้วนเป็นเรื่องน่าขำ สุดท้ายก็จะถูกคลื่นลูกหลังดันคลื่นลูกหน้า คนยุคใหม่แทนที่คนเก่า คนยุคหนึ่งทำแค่เรื่องในยุคตัวเองเท่านั้น เว่ยซู เจ้าต้องเข้าใจนะ ข้าใกล้จะเดินมาสุดทางแล้ว ยุคของข้ากำลังจะจบลงแล้ว สุดท้ายก็ต้องดูคนรุ่นหลัง”

เว่ยซูฟังอยู่ข้างหลังเขาเงียบๆ นับว่าเข้าใจแล้ว ถ้าไม่ถึงช่วงเวลาสำคัญที่ตระกูลเซี่ยโห้วกำลังเผชิญความเป็นความตายจริงๆ ท่านนี้ก็จะไม่สอดมือเข้ามายุ่ง มีแต่จะคอยดูอยู่ข้างๆ เท่านั้น ดูคนของตระกูลเซี่ยโห้วเจ็บปวด ดูคนของตระกูลเซี่ยโห้วร้องไห้ ดูคนของตระกูลเซี่ยโห้วดิ้นรนเอาชีวิตรอดท่ามกลางลมคาวฝนเลือด

“เจ้าน่ะ กลับไปเถอะ ทำไมระวังอีกก็ถึงเวลาพลาดได้เหมือนกัน ต่อไปนี้ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ก็อย่ามาที่นี่อีก”

“ขอรับ! บ่าวจะจำไว้”

เว่ยซูโค้งตัวค้างไว้นาน พอยืนตรงขึ้นมาอีกครั้ง ก็มองคล้อยหลังเงาร่างถือไม้เท้าที่ดูโดดเดี่ยวค่อยๆ เดินจากไปไกล…

เท้าเดินโซเซ รอบข้างมืดมิด อิ๋งอู๋หม่านรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองเดินออกจากความมืดไปยังอีกสถานที่มืดมิดอีกแห่งหนึ่ง

ทันใดนั้นด้านหลังก็มีแสงสว่าง อิ๋งอู๋หม่านรู้ตัวทันทีว่าตัวเองถูกปล่อยออกมาจากที่เก็บสมบัติแล้ว ตัวอยู่ในห้องศิลา ข้างหน้ามีโลงศพที่ทำจากหินวางอยู่หนึ่งโลง

เขาพลันหันตัวมองไปยังต้นกำเนิดแสงสว่างข้างหลัง แล้วก้าวถอยหลังด้วยความตระหนก ในมือเหยียนซิวกำลังถือไข่มุกราตรี ทำให้ใบหน้าที่เหมือนคนตายดูพิศวงยิ่งขึ้นอีก

อิ๋งอู๋หม่านมองไปรอบๆ อีกครั้ง แล้วถามเสียงต่ำว่า “จะขังข้าไว้ถึงเมื่อไหร่กันแน่?”

เหยียนซิวตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแหบพร่า “ตระกูลอิ๋งล้มแล้ว อิ๋งจิ่วกวงตายแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะขังเจ้าไว้อีกต่อไป”

อิ๋งอู๋หม่านแสยะยิ้ม “เอาเรื่องนี้มาหลอกข้าก็ไม่มีประโยชน์หรอก พูดมาตามตรงเถอะ คิดจะให้ข้าทำอะไรอีก?” เขาไม่เชื่อเลยว่าตระกูลอิ๋งล้มแล้ว

“ไม่มีความจำเป็นที่จะเก็บเจ้าไว้อีก” เหยียนซิวพูดเบาๆ แล้วยกมือข้างหนึ่งขยุ้มกลางอากาศ กรงเล็บแหลมทั้งห้านิ้วยาวขึ้นอย่างช้าๆ ทั้งตัวเขาอบอวลไปด้วยปราณหยินที่เย็นเยียบ

“นักพรตผี?” อิ๋งอู๋หม่านเบิกตากว้าง เหมือนจะเชื่อไม่ลงว่ามีคนสามารถฝึกวิชาพร้อมกันได้ทั้งหยินและหยาง

ปราณผีที่เยียบเย็นออกมาจากฝ่ามือเหยียนซิว อิ๋งอู๋หม่านถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์เอาไว้ ไม่มีทางหลบได้ ปราณผีที่ราวกับงูเลื้อยเจาะเข้าไปในทวารทั้งเจ็ดของเขา ทั้งตัวสั่นเทิ้มอยู่อย่างนั้น ไม่นานก็ถูกปราณผีครอบเอาไว้แล้ว…

บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง จั่วเอ๋อร์ยืนทอดสายตาอยู่บนยอดเขาอันโดดเดี่ยว ในมือกำระฆังดาราไว้แน่น

ยังคงติดต่ออิ๋งจิ่วกวงไม่ได้ แม้นางจะรู้ข่าวจากช่องทางอื่นว่าอิ๋งจิ่วกวงรบตายแล้ว แต่ก่อนที่ตำหนักสวรรค์จะประกาศอย่างเป็นทางการ นางก็ยังกอดความหวังอันน้อยนิดเอาไว้ และตอนที่เพิ่งมาถึง นางก็ได้รับข่าวอีกแล้ว ว่าตำหนักสวรรค์ประกาศต่อใต้หล้าอย่างเป็นทางการ ว่าอิ๋งจิ่วกวงมีความผิดข้อหาก่อกบฏ ตัดหัวเสียบประจาน!

ชายชราคนหนึ่งเหาะเข้ามา เหยียบลงพื้นข้างหลังนาง แล้วกล่าวเสียงสั่น “พ่อบ้านจั่ว ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง…”

“ข้ารู้แล้ว” จั่วเอ๋อร์เงยหน้าถอนหายใจยาว เรื่องราวในอดีตยังชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น วันคืนที่ใช้ร่วมกับอิ๋งจิ่วกวงพรั่งพรูขึ้นมาในใจ ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าเจ้าอาณาเขตผู้ยิ่งใหญ่จะปิดฉากลงอย่างหดหู่ถึงเพียงนี้ ล้มลงในชั่วพริบตาเดียว ล้มลงจนทำให้คนรับมือไม่ทัน

“เดิมทีท่านอ๋องมีโอกาสรอด” ชายชรากล่าวเสียงสะอื้น

“ยืนมองสรรพสิ่งจากที่สูงมาเนิ่นนาน ยอมยืนตายดีกว่ามีชีวิตอยู่อย่างอัปยศ!” จั่วเอ๋อร์หลับตาอย่างหดหู่ แล้วก็ถอนหายใจ นางเก็บระฆังดาราแล้วถามว่า “หาอิ๋งเยว่เจอหรือยัง?”

ชายชราส่ายหน้า “หาไม่พบขอรับ พบเพียงข้อความของคุณหนูเยว่บนหน้าผาแห่งหนึ่ง บอกว่าถ้าจะให้ฟังคนในครอบครัวทะเลาะกัน ไม่สู้ไปล้างแค้นดีกว่า ในเมื่อทุกคนไม่เห็นด้วย นางก็จะไปคนเดียว บอกว่าถ้าไม่ได้ฆ่าประมุขชิง โพ่จวิน อู๋ฉวี่ เซี่ยโห้วลิ่ง เถิงเฟย เฉิงไท่เจ๋อกับหนิวโหย่วเต๋อ นางก็สาบานว่าจะไม่เป็นคนแล้ว!”

จั่วเอ๋อร์ก้มหน้ายิ้มอย่างขมขื่น “ยังวุ่นวายไม่พออีกเหรอ? ไร้เดียงสาจนน่าขำ อาศัยนางคนเดียวน่ะหรือ คนพวกนั้นมีใครบ้างที่ไร้กำลังทหาร มีใครบ้างที่นางมีเรื่องด้วยไหว คนตระกูลอิ๋งยังตายไม่มาพอหรือไง? ยังจะไปรนหาที่ตายอีก…”

ชายชรามองนางด้วยดวงตาที่คลอน้ำตา “พ่อบ้านจั่ว ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดี?”

ในขณะนี้เอง ชายหนุ่มคนหนึ่งถลันตัวเข้ามา แล้วตะโกนบอกว่า “พ่อบ้านจั่ว รีบไปดูหน่อยเถอะ ทะเลาะกันอีกแล้ว”

จั่วเอ๋อร์หันขวับ แล้วรีบถลันตัวไปที่นั่น

“ข้าคือพี่น้องของเจ้า นับตามลำดับอาวุโส ถึงคราวเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน?”

“เจ้าลืมเรื่องที่เจ้าเสียหน้าในงานเลี้ยงวันเกิดเซี่ยโห้วท่าแล้วเหรอ? ท่านพ่อโยนเจ้าทิ้งไว้ข้างๆ นานแล้ว พวกไร้ความสามารถ ยังหวังให้เจ้าล้างแค้นให้ตระกูลอิ๋งได้อีกเหรอ?”

“ใครเป็นพวกไร้ความสามารถ? ต่อให้ไร้ความสามารถแต่ก็เก่งกว่าเจ้าแล้วกัน!”

ตรงตีนเขา อิงอู๋เชวียกับอิงอู๋เฟยกำลังเถียงกันอย่างดุเดือด ข้างหลังของทั้งสองล้วนมีมารดา พี่สาวน้องสาว ภรรยาและลูกตัวเองยืนอยู่ ยังมีอนุภรรยาบางส่วนของอิ๋งจิ่วกวงแบ่งฝ่ายยืนอยู่สองฝั่งเช่นกัน ตรงจุดไกลๆ มีคนนับพันมองดูเงียบๆ ล้วนเป็นทหารองครักษ์ที่ตามมาด้วยในครั้งนี้ พวกเขาไม่สะดวกจะเข้ามาแทรกแซงเรื่องในตระกูลอิ๋ง

สาเหตุที่เถียงกันก็ไม่ใช่อะไร เป็นเพราะรู้ข่าวว่าอิ๋งจิ่วกวงรบตาย กำลังเถียงกันว่าใครควรจะได้สืบทอดอำนาจในการควบคุมตระกูลอิ๋ง แม้ตระกูลอิ๋งจะล้มแล้ว แต่ก็จินตนาการได้เลยว่าต้องมีทรัพย์สมบัติมากมายทิ้งไว้แน่นอน คนในตระกูลไม่มีช่องทางรายได้อย่างอื่นแล้ว ต่อไปนี้ก็หวังได้เพียงมรดกพวกนี้แล้ว

……………

“ปัดโธ่โว้ย!” เหวินเจ๋อโวยวาย ตัวเองอธิบายไปแล้ว ไม่เชื่อหรอกว่าเหมียวอี้จะไม่รู้ว่านี่คือประสงค์ของประมุขชิง ไม่น่าเชื่อว่าจะฆ่าเขาแล้ว!

ลอบสังหาร? ลอบสังหารบรรพบุรุษเจ้าสิ เจ้าหาข้ออ้างดีๆ กว่านี้หน่อยได้มั้ย?

เจ้าเวรนี่คงไม่เอาจริงหรอกใช่มั้ย แต่เจ้าเวรตะไลนี่เหมือนจะทำได้ทุกอย่างนะ! เหวินเจ๋อหวาดกลัวทันที “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ากล้าเหรอ!”

กลุ่มทหารคุ้มกันฟังคำสั่งและปฏิบัติตามทันที ไม่มีอะไรน่าเกรงใจ ลากเหวินเจ๋อออกไปเสียเลย

เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังอยู่อย่างนั้น สีหน้าเย็นชาเรียบเฉย มองเหวินเจ๋อโดนลากออกไปโดยไม่พูดอะไร

เหวินเจ๋อหัวใจว้าวุ่นสับสน จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างได้ ร้องบอกว่า “เป็นตำแหน่งรอง เป็นผู้ช่วยของเจ้า!”

เหมียวอี้จึงเปิดปากพูดแล้ว “ให้เขาพูดให้จบ พากลับมาเถอะ”

เหวินเจ๋อที่ตกใจจนเหงื่อท่วมตัวถูกลากกลับมาอีกครั้ง ถูกมัดแบบเอามือไขว้หลังให้มายืนอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ เขารู้สึกแค้นจนคันฟันเล็กน้อย ยังแยกแยะลำบากว่าเหมียวอี้จะฆ่าตนจริงๆ หรือแกล้งขู่ตน เพียงแต่เขาเข้าใจเป้าหมายที่ถูกย้ายมาที่นี่ชัดเจน เหมียวอี้เองก็ต้องรู้แน่อน ไม่มีเจ้าอาณาเขตคนไหนยอมรับสิ่งนี้ได้

“ตำแหน่งรองอะไร?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ

เหวินเจ๋อจนใจมาก ตามหลักแล้วต้องรอให้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยประกาศอีกที เพียงแต่เขาพิจารณาว่าในภายหลังจะต้องทำงานอยู่ที่นี่ ถ้าไม่สานสัมพันธ์ให้ดีก็จะอึดอัดเกินไป ถึงได้เผยข่าวให้รู้เพื่อมิตรภาพในภายหลัง อยากจะเอาใจเหมียวอี้ จะได้ไม่กะทันหันเกินไป ใครจะคิดว่าเจ้าตะพาบน้ำนี่จะสั่งประหารตน

เมื่อไม่รู้เจตนาแท้จริงของเหมียวอี้ เหวินเจ๋อก็ไม่กล้าเสี่ยงเช่นกัน ถูกบีบให้พูดออกมาล่วงหน้าแล้ว “เป็นผู้ช่วยเจ้าไง รองผู้สำเร็จราชการ มาช่วยเหลือเจ้า ไม่ได้มาแบ่งเอาอำนาจจากเจ้า”

สงสัยจะส่งคนมาแทนตำแหน่งของลิ่งหูโต้วจ้ง เหมียวอี้นับว่าเข้าใจแล้ว มิน่าล่ะเหวินเจ๋อมาที่นี่จึงมีท่าทีต่างจากเมื่อก่อน ก่อนหน้านี้อยากจะหลบเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัย แต่ครั้งนี้ดึงมาดื่มสุราทั้งยังมีอัธยาศัยไมตรีเปี่ยมล้น

“มากันกี่คนแล้ว?” เหมียวอี้ถามอย่างเย็นชา

เหวินเจ๋อเรียกได้ว่าต้องเก็บกลั้นความโกรธ เดิมทีการถูกย้ายออกจากวังสวรรค์เป็นเรื่องน่าเฉลิมฉลอง มาอยู่ที่นี่ดีกว่าอยู่ในวังสวรรค์ที่ไร้น้ำใจของเพื่อมนุษย์ อย่างน้อยมาที่นี่ก็อิสระมากกว่า แต่กลับกลายเป็นถูกสอบสวน เขากลั้นไฟโกรธตอบว่า “คนที่มากับข้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ไปครึ่งหนึ่ง…” เมื่อเห็นเหมียวอี้ทำสายตาดุร้าย ก็รีบพูดเสริมอีกว่า “ฝ่าบาทไม่ได้คิดจะชิงอำนาจเจ้า แค่แต่งตั้งให้ข้ามาแทนลิ่งหูโต้วจ้ง คนอื่นไม่ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งโดยละเอียด” เขากำลังสื่อว่าเหมียวอี้มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่าง

เหมียวอี้ไม่ได้ถามอีกว่าจุดประสงค์ของประมุขชิงคืออะไร ไม่ต้องถามก็รู้ว่ากำลังจับตาดูกำลังพลของเขา เรื่องแบบนี้ถามให้ชัดเจนไปก็ไม่มีความหมาย จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “เพื่อที่จะปิดบังสายตาผู้คน เจ้าเป็นคนพาฮวาอี้เทียนมาเหรอ?”

เหวินเจ๋อถอนหายใจ “ใช่! ไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น”

“แล้วลงมือกับลิ่งหูโต้วจ้งที่ไหน?” เหมียวอี้ถาม

“คงจะเป็นที่ปราสาทดำเนินจันทร์” เหวินเจ๋อยิ้มเจื่อน ก่อนหน้านี้ไม่ยอมบอก ตอนนี้กลับถูกกดดันให้บอกแล้ว

เหมียวอี้คิดในใจว่า มิน่าล่ะถึงหลบเลี่ยงหูตาฝั่งนี้ได้ เขาถามอีกว่า “เจ้าหลอกลิ่งหูโต้วจ้งไปที่นั่นได้ยังไง?”

“เจ้าถามแบบนี้ฆ่าข้าเลยดีกว่า” เหวินเจ๋อตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

เหมียวอี้ขยับคิ้วเล็กน้อย ตอนนี้เข้าใจแล้ว คาดว่าในนั้นคงมีวิธีการที่บอกใครไม่ได้ของประมุขชิง ท่านนี้ไม่กล้าบอก

ดังนั้นจึงไม่ได้ถามต่ออีก เพียงพยักหน้าเบาๆ “ลากเขาออกไป ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ก็ห้ามปล่อยเขาออกมา!”

“หนิวโหย่วเต๋อ ข้ามาทำงานให้วังสวรรค์นะ เจ้าบังอาจทำกับข้าแบบนี้…” เหวินเจ๋อร้องโวยวายตลอดทาง แต่ก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ใครใช้ให้ก่อนหน้านี้เขาไม่ขัดขืนการถูกควบคุมล่ะ เลยโดนลากออกไปอย่างนี้แล้ว

“หึ!” เหมียวอี้แสยะยิ้มหนึ่งที เอามือไขว้หลังหันตัวกลับมา ไม่สนใจว่าเขากำลังร้องโวยวาย

ถ้าเหวินเจ๋อมาทำงานให้วังสวรรค์อย่างเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่มาถึงก็จะกลายเป็นผู้ช่วยของเขาทันที ถ้าถูกเบื้องหลังของเหวินเจ๋อขู่แล้ว ต่อไปนี้ใครจะมีอำนาจตัดสินใจล่ะ? เขาต้องการทำให้เหวินเจ๋อเข้าใจ ว่าเจ้ามาทำงานให้สวรรค์ก็ไม่มีประโยชน์ ต่อไปนี้ให้ทำตัวดีๆ หน่อย ต่อให้เจ้าเป็นคนของประมุขชิง แต่ถ้ายั่วโมโหข้า ข้าก็ทำให้เจ้าตายได้อยู่ดี!

ตอนนี้เขาไม่ใช่เหมียวอี้ในอดีตอีกแล้ว เมื่อก่อนพอได้ฟังบัญชาสวรรค์ก็ขยับมือขยับเท้าไม่ได้ เจ้าอาณาเขตย่อมมีความมั่นใจของเจ้าอาณาเขต

ส่วนประมุขชิงจะพอใจหรือไม่ก็ไม่มีประโยชน์ ขอเพียงประมุขชิงไม่ใช่คนโง่ ก็จะรู้ว่าบางตำแหน่งไม่ใช่ว่าใครก็จะนั่งได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขารับมือกับอำนาจฝ่ายต่างๆ อยู่ที่นี่ จะมีจวนแดนรัตติกาลโผล่ออกมาเหรอ? ถ้ากล้าย้ายเขาไปเมื่อไร เขาก็สามารถทำให้กำลังพลหลายสิบล้านไม่มีทางยืนอยู่ที่นี้ได้!

ยิ่งไปกว่านั้น ประมุขชิงก็รู้ด้วยว่าเขาไม่ถวายความจงรักภักดีต่อประมุขชิงเลย ถ้าเหวินเจ๋อจะฟ้องร้องเรื่องเขาก็ทำได้เลย ในภายหลังก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้อยู่ที่นี่

เพียงแต่เขารู้สึกเสียดายแทนเหวินเจ๋อนิดหน่อย เขากับเหวินเจ๋อยังมีไมตรีต่อกันอยู่บ้าง อยู่ที่วังสวรรค์ก็ดีอยู่แล้ว แต่ดันจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งนี้ให้ได้ ดีไม่ดีอาจได้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา ถ้าทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมา เขาก็ทำได้เพียงกำจัดเหวินเจ๋อทิ้ง

พูดกันตามจริง ประมุขชิงยังไม่เชื่อใจเขา และไม่ใช่ว่าจะเชื่อใจได้ง่ายๆ กำลังพลหลายสิบล้านไม่ใช่อาหารหนึ่งถาดที่ใครอยากจะกินก็กินได้ มีใครบ้างที่จะปล่อยไว้โดยไม่จับตาดู?

“เว่ยซูไปที่ปราสาทดำเนินจันทร์มาเหรอ?”

ในอุทยานหลวง ประมุขชิงที่ไม่อยากเห็นสีหน้าราชินีสวรรค์มาหลบหาความสงบอยู่ที่กระตำหนักอุทยาน เมื่อได้ยินรายงานก็ขมวดคิ้วถาม

เกาก้วนตามอยู่ข้างหลังเขา “ใช่แล้วขอรับ คนที่หน่วยตรวจการขวาแทรกเข้าไปเห็นแล้ว น่าจะไปพบกับลี่หัว เพียงแต่อยู่ไม่นานก็ไปแล้ว คนนอกไม่รู้รายละเอียดว่าทั้งสองคุยอะไรกัน ไม่สะดวกจะสืบหาหลักฐาน”

ประมุขชิงค่อนข้างอ่อนไหวกับความเคลื่อนไหวของสิบปราสาทดำเนิน หันมาบอกทันทีว่า “ซ่างกวน เจ้าติดต่อลี่หัวโดยตรง ดูว่านางจะพูดยังไง”

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที หลังจากผ่านไปพักใหญ่ถึงได้เก็บระฆังดารา แล้วรีบเดินเข้ามาในศาลา รายงานต่อประมุขชิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามว่า “ฝ่าบาท ลี่หัวบอกว่าเว่ยซูคงจะอยากมาหาเรื่องหนิวโหย่วเต๋อขอรับ”

“มาหาเรื่องหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?” ประมุขชิงหันมามองอย่างประหลาดใจ

ซ่างกวนชิงตอบว่า “ลี่หัวเองก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าเรื่องเป็นอย่างไร เว่ยซูบอกว่าเป็นเรื่องสำนักลมปราณ…” เขาเล่าสิ่งที่ลี่หัวบอกโดยละเอียด

ประมุขชิงครุ่นคิดเงียบๆ พักหนึ่ง แล้วเอียงหน้ามองเขา “ให้หน่วยตรวจการซ้ายไปตรวจสอบสักหน่อย”

การตรวจสอบครั้งนี้ใช้เวลาไม่น้อยเลย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือใช้เวลานานพอสมควร ประมุขชิงเหมือนจะอดทนรอฟังเรื่องของสิบปราสาทดำเนินมาก กำลังนั่งครุ่นคิดอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับไปไหน

รอจนกระทั่งระฆังดาราตอบกลับมา ซ่างกวนชิงถึงได้รายงานว่า “ตอนแรกเว่ยซูไปหาหนิวโหย่วเต๋อที่จวนผู้สำเร็จราชการก่อนเพราะเรื่องสำนักลมปราณ หนิวโหย่วเต๋อหลอกลวงเซี่ยโห้วลิ่งไปรอบหนึ่ง ฉวยโอกาสตอนที่ร่วมงานกับเซี่ยโห้วลิ่งก่อนหน้านี้ดึงให้สำนักลมปราณหลุดพ้นจากร้านขายของชำ ทีแรกหนิวโหย่วเต๋อรับปากแล้ว ว่าหลังจากจบเรื่องจะให้สำนักลมปราณกลับมาที่ร้านขายของชำเหมือนเดิม แต่ตอนหลังทั้งคู่เกิดความขัดแย้งกันนิดหน่อย เหมียวอี้จึงกลับคำพูด ไม่เพียงแค่ไม่ให้สำนักลมปราณกลับร้านขายของชำ ทั้งยังรับคนสำนักลมปราณไว้ที่ดาวจันทร์อี่ คุ้มครองไว้ที่อาณาเขตตัวเองด้วยขอรับ เว่ยซูทำแบบนี้ น่าจะต้องการบีบให้ลี่หัวไล่สำนักลมปราณออกไป”

ประมุขชิงพยักหน้าช้าๆ เค้าโครงเรื่องราวกระจ่างอยู่ในหัวแล้ว อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม “เป็นเรื่องเล็กน้อยเหมือนสุนัขกัดกันจริงๆ”

ซ่างกวนชิงลองถามหยั่งเชิงว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้บ่าวทราบมานิดหน่อย ว่าสำนักลมปราณกุมช่องทางการดำเนินกิจการของร้านขายของชำเอาไว้ ถ้าแยกกับสำนักลมปราณแล้ว เกรงว่าร้านขายของชำจะทำการซื้อขายไม่สะดวกขอรับ! ดูจากการที่หนิวโหย่วเต๋อวางแผนควบคุมตลาดสวรรค์ เกรงว่าต้องการจะสร้างเตาไฟขึ้นมาใหม่ ถึงตอนนั้นจะต้องบีบให้ร้านขายของชำล้มแน่นอน ตอนนี้ร้านขายของชำพังด้วยน้ำมือเซี่ยโห้วลิ่ง ผู้ถือหุ้นแต่ละฝ่ายมาสอบถาม เซี่ยโห้วลิ่งกดดันมากเช่นกัน”

ประมุขชิงเอียงหน้ามองมา “เหมือนเจ้าจะสนใจเรื่องนี้มากเชียวนะ ว่ามาเถอะ เจ้ามีหุ้นอยู่ที่ร้านขายของชำอยู่เท่าไร?”

ซ่างกวนชิงชูสองนิ้ว “ทางสมาคมวีรชนถือครองหุ้นสองส่วนขอรับ กำไรค่อนข้างงดงาม กำไรครึ่งหนึ่งถวายขึ้นมาเบื้องบน”

“ยังมีคนอีกเท่าไรที่ถือครองหุ้นพวกนั้น?” ประมุขชิงถาม

“มีไม่น้อยขอรับ เพียงแต่มากบ้างน้อยบ้างปนกันไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นธรรมเนียมเก่า ธุรกิจที่ทำกำไรได้ล้วนถูกทุกคนจับตาดู ไม่มีอำนาจฝ่ายไหนใจกว้างปล่อยผ่าน บางพื้นที่จะต้องมีคนมาหาเรื่องแน่นอน” ซ่างกวนชิงตอบ

ประมุขชิงพ่นเสียงทางจมูก “แล้วเจ้าจะกังวลไปทำไมกัน หนิวโหย่วเต๋อจะสร้างเตาไฟใหม่ไม่ใช่เหรอ? ต่อไปเจ้าค่อยให้เขาแบ่งหุ้นให้เจ้าสองส่วนก็สิ้นเรื่องแล้ว”

“ฝ่าบาททรงปราดเปรื่อง!” ซ่างกวนชิงหัวเราะแห้ง รู้ว่าประมุขชิงอยากจะเห็นเรื่องน่าขบขันของเซี่ยโห้วลิ่ง แต่ในใจกลับพึมพำว่า เรื่องมันง่ายเหมือนที่ท่านคิดเสียที่ไหนกัน ในเมื่อเจ้าเซ่อนั่นต้องการจะสร้างเตาใหม่ ก็เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาจะทำให้เป็นกิจการส่วนตัว ทั้งยังชอบใช้วิธีการหยาบคายป่าเถื่อน หุ้นสองส่วนนั้นได้มาไม่ง่ายแน่ หนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่คนที่ใครจะบีบบังคับได้เหมือนในปีนั้นอีกแล้ว คำขู่ธรรมดาทั่วไปไม่ได้ผล คาดว่าคงไม่ไว้หน้าสมาคมวีรชนแล้ว ต่อให้ข้าออกหน้า แล้วท่านกับราชินีสวรรค์จะทะเลาะกันขนาดไหน เมื่อราชินีสวรรค์ออกหน้าเมื่อไร ขนาดท่านยังหลบเลย แบบนี้ไม่ทำให้ข้าลำบากหรอกหรือ? หรือว่าท่านจะฝืนออกคำสั่งให้อีกฝ่ายแบ่งหุ้นให้ท่านล่ะ? ถ้าดูละโมบเกินไปท่านก็ไม่กล้าเอ่ยปากเองอยู่ดี

ในดาราจักรที่เงียบสงบ กว้างใหญ่ล้ำลึก พิศวงชวนสับสน และเต็มไปด้วยความลึกลับ

เงาร่างอันโดดเดี่ยวของเว่ยซูกำลังเหาะอยู่ในอาณาเขตดาวนิรนามอันกว้างใหญ่ผืนนี้ ผู้ติดตามคุ้มกันก็ถูกเขาเก็บไว้แล้ว มีดวงดาวรูปร่างต่างๆ บินชนด้วยความเร็วสูงเข้ามาชนเป็นระยะ เว่ยซูถลันตัวหลบเร็วมาก แล้วเหาะไปข้างหน้าต่อ

ดาวเคราะห์สีครามเข้มดวงหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า นี่คือดาวเคราะห์ส่วนตัวของตระกูลเซี่ยโห้ว ซ่อนตัวอยู่ในจุดลึกของอาณาเขตดาวนิรนาม คนที่รู้จักสถานที่นี้มีเพียงเซี่ยโห้วท่ากับเว่ยซูเท่านั้น

เว่ยซูไม่ลดความเร็ว บึ้ม! ฝ่าชั้นบรรยากาศเข้าไปโดยตรง แล้วแยกแยะทิศทางบนฟ้าเหาะอย่างรวดเร็ว

บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่สูงเสียดทะเลหมอก ตรงเรือนที่งดงามวิจิตร เว่ยซูเหาะมาเหยียบลงตรงหน้าประตูโดยตรง แล้วคารวะทหารยามหน้าประตู

“ไปในหมู่บ้านตรงตีนเขาแล้ว” ทหารยามกล่าว

เว่ยซูกลับตัวลอยลงไปทางตีเขาทันที

หมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งที่อยู่ติดภูเขาริมแม่น้ำ สะพานเล็ก ลำธารใส บ้านชาวนา ป่าท้อสิบลี้ริมน้ำ ชาวนากำลังจูงควายไถนา สตรีวัยกลางคนซักผ้าริมน้ำ เด็กน้อยวิ่งเล่นกันไปมา เว่ยซูเดินออกจากป่าท้อนอกหมู่บ้านชนบท เดินเข้ามาในหมู่บ้านชนบท แล้วหยุดอยู่นอกห้องเรียนส่วนตัวแห่งหนึ่งที่มีเสียงอ่านหนังสือดังออกมา

เด็กน้อยกลุ่มหนึ่งกำลังถือตำราพลางผงกศีรษะอ่านด้วยเสียงดังชัดใส ด้านหลังโต๊ะยาวข้างหน้าสุด เซี่ยโห้วท่าที่สวมชุดผ้าฝ้ายหยาบนั่งสง่าอยู่ตรงนั้น เขายิ้มพลางเอามือลูบเครา เว่ยซูที่ยืนมองตรงหน้าต่างกลับไม่ได้รบกวน

เซี่ยโห้วท่าชำเลืองมองเว่ยซูที่อยู่นอกหน้าต่างแวบหนึ่ง แต่กลับไม่สนใจ รอจนกระทั่งนักเรียนเรียนเนื้อหาของวันนี้จบ ลุกขึ้นคำนับอาจารย์แล้วรีบเก็บของวิ่งออกไป เขาถึงได้ประคองไม้เท้าข้างกายลุกขึ้นช้าๆ

เด็กน้อยร่าเริงสดใส พอออกจากห้องเรียนส่วนตัวก็วิ่งเพ่นพ่านไปทั่ว มีเด็กสองคนวิ่งชนเว่ยซูติดต่อกัน เว่ยซูตีศีรษะเด็กน้อยเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม หลีกทางให้โดยไม่ถือสา เดินมาหาเซี่ยโห้วท่าที่ออกมาต้อนรับตรงประตู

…………………

พวกเขารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เหมียวอี้ยังรู้สึกเก็บกดในใจ หันกลับมาตะคอกเรียก “เหิงอู๋เต้า!”

ฝั่งสมาชิกครอบครัว มีแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งถลันตัวเข้ามา แล้วกุมหมัดคารวะด้วยใบหน้าขื่นขม “ผู้ตรวจการใหญ่!”

กองทัพที่ยอมแพ้เหล่านี้ ไม่ว่าจะวรยุทธ์สูงหรือต่ำ ในตอนนี้แต่ละคนเรียกได้ว่าโวยวายอะไรไม่ได้

เหมียวอี้จ้องเขาพร้อมถามอย่างเย็นเยียบ “ถ้าจัดการเรื่องนี้ตามกฏทหาร ควรจะลงโทษคนพวกนี้ยังไง?”

เหิงอู๋เต้าปากแห้งกระหายน้ำ ขยับลูกกระเดือก แล้วกล่าวตอบอย่างยากลำบาก “ประหาร…”

เหมียวอี้ชี้กลุ่มคนที่คุกเข่าทันที แล้วกวาดมองสายตาแต่ละคู่ที่อยู่ท่ามกลางทัพใหญ่ พร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังว่า “ทั้งจวนผู้สำเร็จราชการฟังให้ดี ถ้ามีคนเกียจคร้านแบบนี้อีก ตัดสินลงโทษเหมือนกัน!” จากนั้นก็โบกมือ “ประหาร!”

“ผู้ตรวจการใหญ่…”

กลุ่มคนที่คุกเข่าหวาดกลัวแล้ว พากันดิ้นรนขอร้อง

กำลังพลของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลกลับไม่มีอะไรให้เกรงใจ ยกดาบในมือขึ้นมาแล้ว เลือดสดสาดกระจายกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ศีรษะคนกลิ้งบนพื้น คนนับพันชะตาขาดในชั่วพริบตาเดียว เลือดไหลนองเต็มพื้น ร่างล้มลงชักกระตุกอยู่บนพื้น

ทัพใหญ่ได้สติขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว ไม่มีการปราณีเพียงเพราะเจ้าเพิ่งมาหรืออยู่ในสถานการณ์พิเศษ ไว้ว่าก่อนหน้านี้จะมีความสัมพันธ์อะไร เป็นกำลังพลสายตรงอะไร มีความสนิทสนมอย่างไร ไม่อยู่ต่อหน้าผู้สำเร็จราชการผู้นี้ สิ่งเหล่านั้นล้วนไร้ประโยชน์ เรื่องอิ๋งจิ่วกวงทุ่มกำลังความคิดเพื่อปรับปรุงกองทัพ ไม่เกิดขึ้นกับท่านนี้ที่นี่เลย!

เมื่อก่อนตอนอยู่ทัพตะวันออก มีเรื่องน้ำใจและความสัมพันธ์มาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรก็จะมีคนมาขอร้องให้ แต่วันนี้ไม่มีใครออกมาขอร้องให้สักคน และผู้สำเร็จราชการท่านนี้ก็ไม่ให้โอกาสใครขอร้องด้วย สั่งประหารเสียเลย!

แต่ละคนในทัพใหญ่มีสีหน้าตึงเครียด ความตระหนักรู้ใหม่โผล่เข้ามาในหัวแล้ว ว่าสถานที่นี้ไม่เหมือนกับสถานที่ในอดีตแล้ว!

ผู้หญิงไม่น้อยที่อยู่บนพื้นที่ราบตกใจจนสีหน้าดูไม่ได้ รีบหันหน้าหนี ไม่กล้ามองอีก

ปี้เยว่ค่อนข้างพูดไม่ออก ตราบใดที่ทำงานร่วมกับเจ้าหนุ่มนี่ ไม่ว่าจะไปไหนก็จะเห็นเขาเปิดฉากสังหารใหญ่โตเสมอ ตอนอยู่ตลาดสวรรค์ก่อนหน้านี้ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว อีกฝ่ายเพิ่งมาขอพึ่งพา แต่จะเอาก็สังหารคนชุดนี้แล้ว ทำแบบนี้เหมาะสมแล้วหรือ?

พวกฝูชิงยังดีหน่อย ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์พวกเขาคุ้นชินกับลักษณะการทำงานของเหมียวอี้ตั้งนานแล้ว

“ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกเจ้าจะตำแหน่งสูงหรือมีอำนาจมากขนาดไหน ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นกำลังพลสายตรงของใคร ไม่สนด้วยว่าปูมหลังพวกเจ้าจะใหญ่โตขนาดไหน เมื่ออยู่ที่นี่ต้องรู้จักไว้คำเดียวเท่านั้น กฏทหาร! ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ ขนาดอิ๋งจิ่วกวงข้ายังไม่กลัว นับประสาอะไรกับพวกเจ้า! คนเยอะแล้วเก่งนักหรือไง? รู้ไว้แค่ว่าคนที่ยอมแพ้แม้จะมีมากขนาดไหน แต่ก็เป็นเพียงสวะไร้ประโยชน์ สวะไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้า ข้ารู้จักมานานแล้ว ตอนอยู่สระน้ำมังกรดำ กำลังพลหนึ่งแสนแดนรัตติกาลโจมตีสิ่งที่เรียกว่าทัพเกรียงไกรห้าล้านจนโงหัวไม่ขึ้นด้วยซ้ำ ก็เพราะมีลูกน้องขยะอย่างพวกเจ้าไง อิ๋งจิ่วกวงถึงได้ล้มไม่เป็นท่า…”

แสงจันทร์เก้าดวงส่องสว่างบนท้องฟ้า ระหว่างฟ้าเดินมีเพียงเหมียวอี้ที่ยืนร่ายอิทธิฤทธิ์ด่าอยู่ข้างๆ กองศพ การด่าครั้งนี้แทบจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ชี้หน้าด่ากำลังพลหลายสิบล้านเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ

คนกลุ่มนี้เรียกได้ว่าถูกด่ายับเยิน ถูกด่าจนกลายเป็นคนต่ำทรามจัญไร ถูกด่าจนดูกลายเป็นพวกไร้น้ำยา ไม่มีใครเถียง ได้แต่ทนโดนด่าอยู่อย่างนั้น ต่อให้ในใจจะขุ่นเคือง แต่อยู่ดีๆ ใครจะกล้ากระโดดออกมาเถียงในเวลานี้ สิ่งนี้กลับเพิ่มอำนาจบารมีให้เหมียวอี้มากขึ้น!

มีผู้หญิงไม่น้อยฟังจนอับอายแทนผู้ชายในบ้านตัวเอง ผู้ชายของตัวเองแย่เหมือนที่เคยด่าเลยเหรอ?

และมีผู้หญิงไม่น้อยพึมพำในใจ ฮูหยินอวิ๋นจือชิวคนนั้นดูไม่เลวเลย ทำไมผู้ตรวจการใหญ่ท่านนี้ถึงด่าแบบนี้ได้ แม้แต่คำพูดสกปรกหยาบคายพวกนี้ก็พูดออกมาได้ ไม่หิวน้ำบ้างเหรอ? จะด่าไปถึงเมื่อไรกัน?

แม้แต่อวิ๋นจือชิวที่อยู่ไกลๆ ก็พูดไม่ออกเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเหมียวอี้ด่าคนแบบนี้ พอได้เอ่ยปากก็พูดไม่รู้จักหยุดหย่อน

สำหรับเหมียวอี้ ไม่ด่าไม่ได้หรอก พวกลิ่งหูโต้วจ้งถูกกำจัดไปแล้ว ถ้าเขาไม่ฉวยโอกาสนี้สร้างบารมีความน่าเชื่อถือ แล้วจะรอถึงเวลาไหนล่ะ?

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาก็เดือดดาลมากจริงๆ ศัตรูมาถึงหน้าบ้านแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่ามีศัตรูมา ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้บัญชาการทัพคนอื่นก็ทนสิ่งนี้ไม่ได้เช่นกัน รับกำลังพลหลายสิบล้านมาแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีไว้ประดับเฉยๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เขาก็สามารถโดนคนอื่นพังบ้านได้ทุกเมื่อ

พอด่าจบ เหมียวอี้ก็หันกลับมาตะคอกอีกว่า “หลงซิ่น!”

“อยู่!” หลงซิ่นถลันตัวออกมา

เหมียวอี้ชี้เขาพร้อมตะคอกว่า “การป้องกันด้านนอก ตอนนี้เจ้าเป็นคนควบคุมดูแล แต่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้วเจ้ามีส่วนรับผิดชอบหรือไม่?”

หลงซิ่นพูดไม่ออก พึมพำในใจว่า เรื่องนี้โทษข้าได้เหรอ? ไม่ใช่คนใต้บังคับบัญชาของข้าสักหน่อย จะไปรู้ได้ยังไงว่าคนชุดนี้จะเป็นแบบนี้! แต่ถ้าดึงดันพูดอย่างนี้จริงๆ เขาเองจะมีทางเลือกอะไรได้ ทำได้เพียงกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยทราบความผิด!”

“ลดยศหนึ่งขั้น! ปรับค่าจ้างหนึ่งร้อยปี! ปรับปรุงการวางกำลังป้องกันใหม่เดี๋ยวนี้ ถ้าเกิดเรื่องอย่างนี้อีก ก็ถือหัวมาพบข้าได้เลย ไสหัวไป!” เหมียวอี้ตะคอก

“ขอรับ!” หลงซิ่นถอยออกไปอย่างกลุ้มใจ เขาไม่ได้โกรธเรื่องนี้ เขารู้ว่าตัวเองสร้างปัญหาเรื่องเกาเหยียน ยังไม่รู้เลยว่าก่วงลิ่งกงจะเล่นพิเรนทร์อะไรอีก แม้แต่ชิงเยว่ยังด่าว่าเขาเลอะเลือน ตอนนี้ถ้าเหมียวอี้จะใช้เขาเพื่อสร้างบารมี เขาก็ต้องยอมรับไว้

เหมียวอี้หันหน้าเดินออกไป หยางเจาชิงกลับเตือนอย่างรู้สถานการณ์ “นายท่าน เรื่องลงโทษลดยศตำแหน่งยังไม่จบไม่ใช่หรือขอรับ?”

เหมียวอี้เอียงหน้ามองเหวินเจ๋อที่ถูกมัดไว้ แล้วตะคอกว่า “ทำต่อไป” พูดจบก็เหาะขึ้นฟ้าไป

หยางเจาชิงโบกมือไปทางเหวินเจ๋อทันที ทางนั้นปล่อยเหวินเจ๋อแล้ว

“ทำต่อไป!” เหวินเจ๋อพูดทิ้งท้ายเช่นกัน จากนั้นรีบตามเหมียวอี้ไป

นอกจวนหัวหน้าภาค ทั้งสองเหยียบลงพื้นตามๆ กัน เหวินเจ๋อตะโกนปนเสียงหัวเราะอยู่ข้างหลัง “น้องชาย ขนาดข้ายังโดนเจ้ากระทำแบบนี้แล้ว เจ้ายังโกรธอยู่อีกเหรอ? เจ้ามัดข้าไว้อย่างนี้ ถ้าข้ารายงานขึ้นไปที่ตำหนักสวรรค์ เจ้าจะต้องได้รับผลที่ตามมาแน่!”

เหมียวอี้หยุดฝีเท้า แล้วหันตัวมาบอกว่า “เจ้าไปรายงานสิ รอให้เจ้ารายงานจบแล้ว ข้าค่อยลงมือกับเจ้าอย่างโหดเหี้ยมอีกที เจ้าเชื่อหรือไม่?”

“พอๆๆ ข้าเชื่อแล้วตกลงมั้ย? นี่คือถิ่นของเจ้า เจ้ามีพวกเยอะกว่า มีกำลังพลเข้มแข็งเกรียงไกร ข้าไม่เชื่อไม่ได้หรอก มีใครไม่รู้ถึงความเจ๋งของผู้ตรวจการใหญ่หนิวบ้าง ขนาดอิ๋งจิ่วกวงยังกล้าสู้ด้วย เจ้าเคยกลัวใครเสียที่ไหนล่ะ?” เหวินเจ๋อยกมือสองข้างห้ามเขา เดินมาตรงหน้าเขา ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ที่จริงในใจเจ้าก็รู้ชัดดีกว่าใคร เรื่องนี้มีแต่ผลดี ไม่มีผลเสียต่อเจ้า!”

เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย “เช่นนั้นก็ควรจะบอกข้าล่วงหน้าก่อนหรือเปล่า? ถ้าแม้แต่สิ่งนี้ยังทำได้ แล้วลูกน้องจะทำงานยังไง?”

เหวินเจ๋อยักไหล่ “เรื่องบางเรื่องมีแต่ต้องทำเท่านั้น พูดไม่ได้! พอทำสำเร็จแล้วค่อยให้เจ้ารู้ก็ไม่เป็นอะไร ถ้าทำพลาดแล้วก็จะไม่เอ่ยเรื่องนี้กับใคร ฝ่าบาทเองก็ไม่เคยมีบัญชาฆ่าทหารที่ยอมแพ้มาก่อน! เจ้าน่าจะเข้าใจหลักการนะ แล้วอีกอย่าง ต่อให้เจ้ารู้แล้วยังไงต่อล่ะ? อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์?”

เหมียวอี้เงียบไป ไม่ผิดหรอก เรื่องนี้ต่อให้เขารู้ล่วงหน้า เขาก็มีแต่ต้องให้ความร่วมมือ เขาจึงตอบประชดว่า “ฝ่าบาทช่างทุ่มเทเพื่อสิ่งนี้!”

เหวินเจ๋อตอบด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเจ้าจะพูดอย่างนี้ ก็ใช่ว่าจะพูดไม่ได้ ตอนนี้มีเรื่องหนึ่งที่ข้าจะเปิดเผยให้เจ้ารู้ แม้อิ๋งจิ่วกวงจะตายไปแล้ว แต่บุคคลสำคัญในครอบครัวบางส่วนหนีไปได้แล้ว ทั้งยังมีทหารกล้าไม่น้อยที่รอดไปได้ มีปลาหลุดแหไปไม่น้อยเลย เจ้าน่าจะเข้าใจความหมายที่ข้าพูดนะ”

เหมียวอี้ตะลึงเล็กน้อง แววตาวูบไหว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมประมุขชิงจึงลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้ ถ้าลิ่งหูโต้วจ้งยังมีอิทธิพลต่อกำลังพลสายตรงพวกนี้ ใครจะกล้ารับประกันว่าผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งจะไม่ติดต่อกับลิ่งหูโต้วจ้ง นี่คือทัพใหญ่ห้าสิบล้านนะ ผลประโยชน์ของลิ่งหูโต้วจ้งเองก็ตกฮวบ จะมีความคับแค้นอะไรหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้ ถ้าไปสมคบกับผู้รอดชีวิตตระกูลอิ๋งขึ้นมา ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากจะคิด!

เขาเข้าใจแล้ว ตอนแรกประมุขชิงอาจจะยังไม่คิดสังหารพวกลิ่งหู แต่หลังจากมีผลการรบครั้งสุดท้ายออกมา ประมุขชิงก็เกิดเจตนาสังหารต่อลิ่งหูโต้วจ้งแล้ว ไม่มีทางให้โอกาสลิ่งหูโต้วจ้งกุมกำลังพลห้าสิบล้านนี้อีกต่อไป ยอมฆ่าผิดตัวดีกว่ายอมปล่อยไป ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือไม่อยากให้โอกาสตระกูลอิ๋งกลับตัวอีก!

ในจุดนี้เข้านึกไม่ถึง คาดว่าหยางชิ่งก็คงนึกไม่ถึงเช่นกัน สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อน เพราะเขากับหยางชิ่งไมได้รู้ข้อมูลข่าวสารของศึกใหญ่แบบครอบคลุมทุกด้าน จนกระทั่งตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตระกูลอิ๋งมีปลาลอดแหมากเท่าไรกันแน่ แต่ประมุขชิงอยู่ในจุดที่สูงส่ง มองเห็นทุกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ รายงานลงโทษลดยศตำแหน่งที่ตัวเองส่งขึ้นไปเป็นแค่หนึ่งในโอกาสในการลงมือของประมุขชิงเท่านั้น ประมุขชิงไม่ได้ว่างมาช่วยเขาปรับปรุงกำลังพล นั่นคือเรื่องของเขา เป็นเขาเองที่คิดมากไปแล้ว

นี่คือราชันสวรรค์เชียวนะ! เหมียวอี้แอบทอดถอนใจ ก่อนหน้านี้ประมุขชิงสิ้นเปลืองกำลังความคิดไปมากขนาดนั้น แต่ทำให้ตนมองเบาะแสไม่ออกเลยสักนิด

ไม่ว่าจะอย่างไร ตัวเองก็ได้รับผลดีจากเรื่องนี้แล้วจริงๆ! แต่เหมียวอี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะขอบคุณ กลับเหล่ตามองเหวินเจ๋อ “ฮวาอี้เทียนเป็นคนที่เจ้าแอบพามาสินะ?”

เหวินเจ๋อหัวเราะเบาๆ แล้วส่งสายตาที่สื่อว่า เรื่องนี้เจ้ารู้อยู่แก่ใจแล้ว ถามอีกก็ไม่มีความหมาย

เหมียวอี้กลับไม่ยอมปล่อยผ่าน ถามอีกว่า “ลิ่งหูโต้วจ้งก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ไปลงมือกันที่ไหน ทำไมข้าถึงไม่รู้ความเคลื่อนไหวสักนิด?”

“ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ” เหวินเจ๋อยักไหล่สองข้าง กะพริบตาปริบๆ

เหมียวอี้หันหน้าหนีแล้วเดินจากไป ขี้คร้านจะสนใจเขาแล้ว

“ผู้ตรวจการใหญ่วันนี้ด่าได้สะใจเชียวนะ ควรค่าที่จะดื่มให้ถึงอกถึงใจ พวกเราดื่มสุราต่อเถอะ” เหวินเจ๋อกล่าวปนเสียงหัวเราะอยู่ข้างหลัง

“ไสหัวไป! ตรงนี้ไม่มีที่ให้เจ้าดื่มสุรา” เหมียวอี้ที่เดินก้าวยาวไม่เกรงใจเลยสักนิด

“หึ! ทุกครั้งที่มาเจ้าล้วนเสแสร้งรั้งข้าไว้ ก่อนหน้านี้ข้าไม่มีเวลามาโอ้เอ้ ตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่จะได้อยู่นานขึ้นสักหน่อย เจ้าดันเก่งซะแล้ว…”

“ข้าก็แปลกใจเหมือนกัน เจ้ามีฐานะเป็นคนของกองทัพองครักษ์ ยังกล้ามาเกาะแกะกับคนเบื้องล่างอย่างพวกเราอีก? อัธยาศัยดีเกินไปไม่กลัวปัญหาจะมาถึงตัวเหรอ?”

“เหอะๆ ในเมื่อน้องชายถามถึงแล้ว ถ้าข้ามัวปิดบังอีกก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ที่ข้ามาครั้งนี้ก็ไม่คิดจะกลับไปกรอก เตรียมจะมาหากินที่นี่กับเจ้าระยะยาว”

เหมียวอี้ที่เดินอยู่ข้างหน้าพลันหยุดเดิน ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว หันตัวมาหรี่ตาจ้องเขา “หมายความว่ายังไง?”

เหวินเจ๋อกระพริบตา แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะด้วยใบหน้าแข็งทื่อ “เจ้าเองก็รู้ว่าอยู่ที่วังสวรรค์น่าเบื่อเกินไป ข้าอยู่ที่วังสวรรค์มาหลายปีขนาดนั้น ควรจะผ่อนคลายได้แล้ว พวกเราสนิทสนมกันหลายปี เจ้าคงไม่ใจแคบขนาดนั้นหรอกมั้ง!”

“อย่ามาเล่นลูกไม้นี้!” เหมียวอี้เลิกคิ้ว แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนว่า “ทหาร มาไล่ตะเพิดให้ข้าหน่อย!”

ตรงจุดใกล้ๆ มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาทันที ทหารหนึ่งในนั้นยื่นมือเชิญ “ขุนพลเหวิน เชิญเถอะ!”

เหวินเจ๋อหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที “พอได้แล้ว! พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจ ต่อให้ไล่ก็ไล่ไม่ไปหรอก!”

“จับไว้!” เหมียวอี้พลันตะโกน

“นี่ๆๆ!” เหวินเจ๋อผลักซ้ายผลักขวา แต่ก็ไม่สะดวกจะขัดขืน จึงถูกจับคาที่ ถูกกดศีรษะให้ก้มลงแล้ว เขามองพื้นพลางร้องโวยวาย “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอย่าทำเกินไปนัก เจ้าคิดจะทำอะไร?”

เหมียวอี้แสยะยิ้ม “มีคนตั้งใจจะลอบสังหารผู้สำเร็จราชการ ลากออกไป ประหารซะ!”

……………

บางคนก็พาสมาชิกครอบครัวไปด้วยคนสองคน บางคนก็พาสมาชิกครอบครัวไปด้วยเป็นสิบเป็นร้อย พาไปด้วยเป็นพันก็มี

สีของท้องฟ้าเริ่มมืดลงทีละนิด เหตุการณ์ตรงนี้ยังคงดำเนินต่อไป กลุ่มคนเริ่มแบ่งเป็นสามกลุ่ม คนที่อยู่บนที่ราบหนึ่งกลุ่ม คนที่อยู่ในป่าหนึ่งกลุ่ม คนที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้หนึ่งกลุ่ม

ฝั่งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ส่งข่าวกลับมาหาเหมียวอี้แล้ว ไม่ได้เจอตัวประมุขชิง ช่วงนี้ประมุขชิงไม่อยากเจอนางก็เป็นเรื่องปกติ แต่ฝั่งซ่างกวนชิงให้คำตอบเซี่ยโห้วเฉิงอวี่แล้ว เพียงยอมรับว่าสิ่งที่ฮวาอี้เทียนทำคือประสงค์ของฝ่าบาท

คนในป่าลดน้อยลงเรื่อยๆ คนที่รวมตัวกันบนที่ราบมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ก็ลดลงไม่น้อย เมื่อเทียบกับกำลังพลหลายสิบล้าน อย่างไรเสียคนที่พาครอบครัวไปด้วยก็เป็นส่วนน้อย

การเรียกชื่อยังคงดำเนินไปท่ามกลางความมืด สำหรับนักพรตกลุ่มนี้ การใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ในความมืดไม่มีผลกระทบอะไร ถึงอย่างไรดวงจันทร์เก้าดวงบนศีรษะก็ยังส่องสว่างพร่างพราว สว่างกว่าแสงสว่างบนโลกตั้งเยอะ

วงล้อมของกองทัพองครักษ์ในป่ากำลังหดเล็กลงเรื่อยๆ

“ผู้ตรวจการใหญ่ เหตุใดจึงไม่เห็นนายท่านลิ่งหู?” จู่ๆ แม่ทัพคนหนึ่งก็ถ่ายทอดเสียงถามเหมียวอี้

มีหรือที่เหมียวอี้จะบอกว่าลิ่งหูโต้วจ้งถูกสังหารไปแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่บอก ตอนนี้ก็ยิ่งบอกไม่ได้ว่าตัวเองรู้ล่วงหน้าแล้ว ตอบเพียงว่า “ข้าติดต่อเขาไม่ได้”

คนของตระกูลลิ่งหูที่อยู่ในป่าก็สังเกตได้แล้วเช่นกัน เมื่อเห็นคนข้างกายเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ เส้าเซียงหัวก็ค่อนข้างกระวนกระวาย คอยถามพ่อบ้านที่อยู่ข้างกายเป็นระยะ “ติดต่อท่านจอมพลได้หรือยัง?”

พ่อบ้านก็ส่ายหน้าอย่างร้อนใจเช่นกัน “ก่อนหน้านี้ท่านจอมพลบอกว่ามีธุระ แล้วหายไปในป่าภูเขาด้านหลังเงียบๆ ไม่ทราบว่าไปไหนแล้ว บ่าวติดต่อไม่ได้เช่นกันขอรับ”

คนที่ร่ายอิทธิฤทธิ์เรียกชื่ออยู่บนยอดเขาพลันหยุดเรียก สมาชิกครอบครัวที่ถูกล้อมไว้ตระหนกตกใจทันที อย่าบอกนะว่าพวกเขาคือกลุ่มคนที่มีความผิด

โชคดีที่หลังจากรอไปได้ครู่หนึ่ง การเรียกชื่อก็เริ่มขึ้นอีก เพียงแต่เปลี่ยนคนเรียกก็เท่านั้นเอง

เพียงอึดใจเดียวก็เรียกชื่อไปแล้วร้อยคน หนึ่งในนั้นมีชื่อของลิ่งหูโต้วจ้ง แต่ท่ามกลางคนที่เดินออกไปกลับไม่มีลิ่งหูโต้วจ้ง

ลิ่งหูโต้วจ้งเป็นชื่อสุดท้ายที่ถูกเรียก แต่ไม่เห็นตัวคน

ร้อยคนที่ลงไปก็ยังออกมารับสมาชิกในครอบครัวไม่ได้เช่นกัน รออยู่ในวงล้อมครู่หนึ่งก็ยังไม่เห็นว่าวงล้อมจะเปิดออก แต่กลับมีกำลังพลกลุ่มหนึ่งมาล้อมไว้ ล้อมพวกเขาเอาไว้แล้วธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนเล็งมาที่พวกเขา เล็งไปที่สมาชิกในครอบครัวของพวกเขาแล้ว

คนที่อยู่ตรงนั้นหวาดหวั่นวุ่นวายทันที ผู้หญิงบางคนถึงขนาดตกใจจนกุมศีรษะร้องไห้อยู่กับคนข้างกาย

พอเหมียวอี้เห็นภาพเหตุการณ์ตรงนั้น ในใจก็พอจะมีข้อมูลบางแล้ว มีแม่ทัพหลายคนกับลิ่งหูโต้วจ้งหายไปแล้ว ล้วนเป็นคนที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับลิ่งหูโต้วจ้ง ส่วนแม่ทัพพวกนี้ที่ถูกล้อมไว้ เขาเองก็จำได้เช่นกันว่าส่วนหนึ่งมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับลิ่งหูโต้วจ้ง คนพวกนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับลิ่งหูโต้วจ้งกันแน่ เขาเองก็ไม่รู้แน่ชัด แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ นั่นก็คือตำหนักสวรรค์รู้สถานการณ์มากกว่าเขาแน่นอน และรู้อย่างละเอียดชัดเจนกว่าด้วย

แล้วคนพวกนี้ก็ดันถูกล้อมไว้แล้ว เขาพอจะตระหนักได้แล้วว่าประมุขชิงคิดจะทำอะไร

ไม่ใช่แค่เขา แม่ทัพบางส่วนก็พอจะตระหนักได้แล้วเช่นกัน เรื่องในวันนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา พวกเขาแค่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทำให้คนบางส่วนสงบลงก็เท่านั้นเอง ตอนนี้สุดแผนที่ปรากฏมีดสั้น[1]แล้ว!

“ลิ่งหูโต้วจ้งอยู่ที่ไหน?” ฮวาอี้เทียนพลันตะโกนถามอยู่บนฟ้า

ตรงนั้นไร้คนตอบกลับ เส้าเซียงหัวที่ถูกล้อมไว้กลับตะโกนเสียงดังพูดกับเหมียวอี้ “ผู้ตรวจการใหญ่หนิว พวกเรามาขอพึ่งพาด้วยความจริงใจ เจ้าทำแบบนี้มีจุดประสงค์อะไร? หรือคิดจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง?” เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่านางตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล

เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ อยู่ต่อหน้าลูกน้องมากมายขนาดนี้ เหมียวอี้ไม่มีทางทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ ตะโกนถามฮวาอี้เทียนด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธทันที “ผู้ตรวจการใหญ่ฮวา เจ้าทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาแตะต้องคนของข้า หรือว่าเป็นประสงค์ของฝ่าบาท?”

ฮวาอี้เทียนหันขวับมามองเขา พ่นเสียงทางจมูกเย้ยหยัน แล้วบอกว่า “ผู้ตรวจการใหญ่หนิว เจ้าจำไว้นะ กำลังพลหลายสิบล้านนี้คือกำลังพลของตำหนักสวรรค์ ไม่ใช่กำลังพลของใครคนใดคนหนึ่ง!”

ใครบางคนที่ว่า นอกจากลิ่งหูโต้วจ้งแล้วยังจะเป็นใครได้อีก? พูดประโยคเดียวก็เปิดเผยเจตนาของประมุขชิงแล้ว นี่คือความประสงค์ที่เข้าใจได้โดยไม่ต้องพูดออกมา!

เหมียวอี้ใบหน้าตึงเครียด เขาเข้าใจแล้ว ว่าขอเพียงแค่มีโอกาส ประมุขชิงก็จะไม่ปล่อยลิ่งหูโต้วจ้งไป ถ้าเขาเดาไม่ผิด โอกาสนี้เป็นเขาเองที่มอบให้ประมุขชิง การลงโทษที่เขารายงานขึ้นไปทำให้ประมุขชิงมองเห็นโอกาสในการลงมือ ไม่อย่างนั้นจะต้องกระตุ้นให้ลิ่งหูโต้วจ้งนำกำลังทหารสู้ตายแน่นอน แบบนั้นประมุขชิงก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นกัน

ฮวาอี้เทียนไม่รอให้เขาพูดอะไร ตะโกนสั่งแล้วว่า “นำตัวคนพวกนี้ไป! ใครขัดขืน ฆ่าได้เลย!”

ทัพใหญ่มีกำลังพลออกมาตัดวงล้อมไว้ทันที เส้าเซียงหัวตะโกนบอกเหมียวอี้ด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ นายท่านของข้ามาขอพึ่งพาด้วยความจริงใจ กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่ทำอะไรเลย?” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือให้เหมียวอี้ช่วยชีวิตพวกเขา

“แม่ทัพใหญ่เหิง…”

“แม่ทัพใหญ่เหิง…”

แม่ทัพที่ถูกล้อมไว้ถูกปลดอาวุธในมือแล้ว แต่ก็ไม่มีใครกล้าลงมือ ยังไม่ต้องพูดถึงความแตกต่างของพลัง ฝั่งนี้มีสมาชิกในครอบครัวจำนวนมากที่อยู่ภายใต้ดาบของกองทัพองครักษ์ จะต่อต้านได้อย่างไร? ทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่คนของตัวเอง พากันตะโกนบอกคนที่พาครอบครัวของตัวเองไป ตะโกนร้องขอให้ช่วยชีวิตเช่นกัน

เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา แม่ทัพที่อยู่ข้างกายบ้างก็ก้มหน้า บ้างก็หน้าตึงทนมองตรงๆ ไม่ได้ เราก็มองกำลังพลที่อยู่บนพื้นที่ราบกับครอบครัวอีก พวกนั้นหวาดกลัวไม่กล้าพูดอะไร ไม่มีท่าทีว่าจะลงมือสู้เลย

เหมียวอี้แอบถอนหายใจยาวๆ จบกัน! เจตจำนงในการต่อต้านของคนพวกนี้พังทลายโดยสิ้นเชิง ประการแรก พวกเขาเป็นสุนัขไร้บ้านที่หวาดระแวงกลัวเพราะอิ๋งจิ่วกวงรบตาย เดินมาเจอทางตันแล้วจึงมาขอพึ่งพาที่นี่ แล้วก็ถูกวิธีการอันชั่วร้ายของฝั่งนี้ทำลายโครงสร้างของลิ่งหูโต้วจ้ง จนกระทั่งมาเจอฉากตรงหน้า ภายใต้การโดนกระทำซ้ำไปซ้ำมา หัวใจคนกระจัดกระจายหมดแล้ว คนที่รอดชีวิตมาได้ตอนนี้คงไม่ขออะไรมาก ขอเพียงให้ตัวเองมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ ก็พอ

กำลังพลสายตรงของลิ่งหูโต้วจ้งอะไรพวกนั้น สมาชิกที่มีพลังในการปลุกระดมถูกควบคุมไว้แล้ว บทจะพังก็พังเลย เหมียวอี้รู้สึกขำ แต่ในใจกลับยิ่งเดือดดาล กำลังพลหลายสิบล้านเผชิญหน้ากับกองทัพองครักษ์สิบล้าน ไม่น่าเชื่อว่าจะคล้อยตามจนไม่กล้าแม้แต่จะต่อต้าน ได้แต่มองดูอีกฝ่ายจับคนของตัวเองไปอย่างนี้ ตั้งแต่เขาบัญชาการทหารมา ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์อันน่าอัปยศเช่นนี้มาก่อน แต่ไหนแต่ไรมาเขาใช้คนจำนวนน้อยสู้กับคนจำนวนเยอะ เรื่องที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ นับว่าเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าจริงๆ!

แต่ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก็ชัดเจนแล้ว เขาสามารถปลุกระดมคนพวกนี้ได้ด้วยหรือ? เจตจำนงในการต่อต้านของคนพวกนี้ถูกทำลายด้วยมือของเขาเอง!

มิหนำซ้ำก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะถ่ายทอดคำสั่งให้ต่อต้านตำหนักสวรรค์ในเวลานี้

เหมียวอี้เม้มริมฝีปากแน่น กำลังมองคนที่ถูกล้อมทยอยถูกจับกับตาตัวเอง

เส้าเซียงหัวถูกบ่าวไพร่คุ้มครองอยู่ตรงกลาง ขณะมองกองทัพองครักษ์ประชิดเข้ามา ในมือชักกระบี่ออกมาแล้ว ใบหน้าซีดเผือด สุดท้ายก็ยังไม่มีความกล้าที่จะออกคำสั่งต่อต้าน ที่สำคัญคือไม่รู้เลยว่าลิ่งหูโต้วจ้งไปอยู่ไหนแล้ว หรือสังเกตได้ว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล จึงทิ้งครอบครัวหนีไปแล้ว?

บ่าวไพร่ที่ร้องปกป้องนางไว้ถูกจับตัวไปชั้นแล้วชั้นเล่า สุดท้ายคมทวนก็จ่ออยู่บนตัวนาง มีบางคนใช้ทวนตีบนข้อมือนาง ทำให้กระบี่วิเศษในมือนางตกลงพื้น ไม่นานก็มีคนหลายคนกรูกันเข้าไป ฮูหยินจอมพลผู้สง่าภูมิฐานถูกผู้ชายตัวใหญ่หลายคนกดให้คุกเข่าบนพื้น ดึงมวยผมแล้วกดศีรษะไว้ ถูกควบคุมไว้ตรงนั้นแล้ว

เส้าเซียงหัวที่กำลังคุกเข่าน้ำตาไหลหยดลงพื้น บ่าวไพร่ที่ถูกควบคุมอยู่ข้างกันร้องไห้ไม่หยุด “ฮูหยิน ฮูหยิน…”

มีคนชรา มีผู้หญิง มีเด็กน้อย เด็กน้อยบางคนตกใจจนร้องไห้ ทั้งยังมีเด็กทารกบางคนที่หลับตานอนหลับสนิท ไม่รู้เลยว่าภายนอกเกิดอะไรขึ้น

ผ่านไปไม่นาน คนที่ถูกล้อมไว้ก็หายไปหมดแล้ว คนหมื่นกว่าคนถูกจับไปอย่างนี้แล้ว

ฮวาอี้เทียนไม่พูดอะไรทั้งนั้น เพียงชำเลืองมองเหมียวอี้แวบเดียว แล้วโบกมือนำทัพใหญ่ขอขึ้นฟ้าไป เหลือเพียงแสงจันทร์กระจ่างดุจน้ำสีเงินที่สาดส่องบนตัวพวกเหมียวอี้ ตรงนั้นเงียบงันไร้ที่เปรียบ มีเพียงเสียงลมพัดวูบ ทุกอย่างเหมือนจะผ่านไปอย่างนี้แล้ว

ฮวาอี้เทียนถึงขั้นไม่สนใจเหวินเจ๋อที่ถูกจับตัวไว้ หนีไปอย่างนี้แล้ว กองทัพองครักษ์ร้อยกว่าคนที่เหวินเจ๋อพามาด้วยก็ยังอยู่ที่นี่ สามารถถูกเหมียวอี้ลงโทษได้ทุกเมื่อ

ทหารคนหนึ่งของกองทัพองครักษ์เหาะมากมุหมัดคารวะตรงหน้าเหมียวอี้ “ผู้ตรวจการใหญ่ ควรจะปล่อยขุนพลเหวินไปได้แล้วใช่มั้ยขอรับ เรื่องลดยศตำแหน่งยังไม่จบ จะดำเนินต่อไปหรือไม่?”

“ไสหัวไป!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเย็น

ทหารคนนั้นหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก คิดในใจว่าเจ้าจะโมโหเหมือนเด็กทำไม นี่คือเรื่องดีของเจ้านะ แต่ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเหมียวอี้ได้ เขาถลันตัวกลับไปรอ คาดว่าช้าเร็วเหมียวอี้ก็คงจะคิดได้

“แม่ทัพหวง!” เหมียวอี้พลันจ้องแม่ทัพคนหนึ่งที่เฝ้าอยู่ข้างกายคนในครอบครัวข้างล่าง

คนผู้นี้ชื่อว่าหวงลี่ พอได้ยินดังนั้นก็หันกลับมาพยักหน้าให้คนในครอบครัว ดึงมือออกจากมือฮูหยินที่จับมือตัวเองไว้แน่น บอกใบ้ว่าไม่มีเรื่องอะไร เหาะขึ้นมาบนฟ้าแล้วกุมหมัดคารวะ “ผู้ตรวจการใหญ่!”

เหมียวอี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “พวกเขากระจายกำลังเฝ้าด้านนอก เมื่อเห็นคนบุกเข้ามา แม้แต่สถานการณ์ก็ไม่รู้แน่ชัดด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยเข้ามาโดยตรง แม่ทัพหวง เจ้าคิดว่าควรจะลงโทษอย่างไร?”

ที่จริงหวงลี่ก็เข้าใจความรู้สึกของคนพวกนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา เกรงว่าคงไม่กล้าขัดขวางพวกฮวาอี้เทียนเช่นกัน ตอนนี้ฐานะของทุกคนอยู่ที่นี่ เมื่อกองทัพองครักษ์จะฝืนบุกเข้ามา จะให้ต้านทานอย่างไรล่ะ? เขาทำสีหน้าลำบากใจทนัที ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร ถ้าพูดถึงกฎทหาร ก็เกรงว่าจะไม่มีจุดจบที่ดีสักเท่าไร

สถานที่ตรงนั้นเงียบงัน ไม่มีใครพูดอะไร

เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไร เหมียวอี้ก็ไม่ได้บังคับเขา หันกลับมาตะคอกสั่งว่า “พาคนพวกนั้นมาหาข้า!”

มีคนเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปทันที เหมียวอี้นำทัพใหญ่ทั้งหมดเหยียบลงพื้นแล้ว

ใช้เวลาไม่นาน กำลังพลกลุ่มเล็กจำนวนหนึ่งพันที่เฝ้าอยู่นอกดาวจันทร์อี่ก็ถูกพาตัวมา แต่ละคนยืนก้มหน้าอย่างกระวนกระวาย ไม่กล้ามองเหมียวอี้

เหมียวอี้เองก็ขี้คร้านจะมองพวกเขาเช่นกัน บอกประโยคเดียวว่า “ลงโทษ!”

สวีถังหรานสีหน้าดุร้าย โบกมืออย่างไม่ลังเล ข้างหลังมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาล้อมกำลังพลกลุ่มนี้ไว้ทันที แล้วจับกุมกดลงพื้นเอาไว้ตรงนั้น

“ผู้ตรวจการใหญ่ พวกเราสำนึกผิดแล้ว!”

“ผู้ตรวจการใหญ่ พวกเราถูกบีบจนหมดทางเลือกเหมือนกัน!”

“ผู้ตรวจการใหญ่ พวกเขาดึงดันจะบุกเข้ามาให้ได้…”

สมาชิกที่คุกเข่าอยู่บนพื้นขอร้องและแก้ตัวด้วยความหวาดกลัว

“หุบปาก!” เหมียวอี้ตะคอกตัดบท ชี้พวกเขาพร้อมหัวเราะประชดความโกรธ “ทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่กี่หมื่นยังเฝ้าจวนหัวหน้าภาคไม่ให้ใครบุกรุกตามอำเภอใจ มีสถานการณ์อะไรก็สามารถเตือนล่วงหน้าให้ทัพใหญ่เตรียมพร้อมรับมือตั้งแต่เนิ่นๆ ได้ แต่ดูพวกเจ้าสิ กำลังพลหลายสิบล้านเชียวนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีไว้ประดับเฉยๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยให้กำลังพลที่มีเจตนาไม่แน่ชัดบุกตรงเข้ามา ทำให้ผู้สำเร็จราชการคนนี้ไม่เข้าใจสถานการณ์! รอจนกว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร คนก็มาถึงหน้าประตูบ้านข้าแล้ว ดาบแทบจะมาจ่อคอข้าแล้ว ข้าถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร! ตั้งแต่หนิวผู้นี้บัญชาการทหารมา ยังไม่เคยได้ยินได้เห็น กำลังพลหลายสิบล้านไม่มีการเตรียมพร้อมป้องกันเลยสักนิด ได้แต่มองดูคนในครอบครัวตัวเองกลายเป็นตัวประกัน ได้แต่มองกำลังพลจำนวนน้อยแค่นั้นทำตามอำเภอใจ หน้าอับอายขายขี้หน้า อัปยศอดสูนัก! ถ้านี่เป็นสองทัพกำลังคุมเชิงกัน ผลที่ตามมาจะเป็นยังไง?”

ตรงนั้นมีเสียงคำรามอย่างเดือดดาลของคนคนเดียว คนที่เหลือเงียบงันไม่พูดอะไร คนที่ถูกกดคุกเข่าบนพื้นก็เงียบเช่นกัน บางทีในใจอาจจะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม

…………………………

[1] สุดแผนที่ปรากฏมีดสั้น 图穷匕见 เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุด ข้อเท็จจริงย่อมปรากฏออกมา

“สำนักลมปราณ?” ลี่หัวตะลึงงันกับคำพูดของเขา นางไม่เคยส่งคนเข้าไปประจำที่อาณาเขตของหนิวโหย่วเต๋อ มิหนำซ้ำนางก็ไม่ได้สนใจเรื่องของสำนักลมปราณสักเท่าไร จะไปรู้ได้อย่างไรว่าสำนักลมปราณมาที่นี่แล้ว นางจ้องเขาอย่างเย็นเยียบพักหนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “ข้าไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น!”

เว่ยซูพยักหน้า “ดี! งั้นข้าก็จะตั้งตารอ ถ้าสำนักลมปราณปักหลักอยู่ที่นี่ ข้าก็จะมารบกวนอีก” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป ไม่เปลืองคำพูดอีก

ลี่หัวยืนเงียบอยู่ในตำหนัก

พอออกจากตำหนักแล้ว เว่ยซูที่นำคนกลุ่มหนึ่งเหาะออกไปก็ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อชอบเล่นแบบนี้ ถึงอย่างไรมาถึงที่นี่แล้วก็ถือโอกาสแวะไปสักหน่อย

ตอนที่พวกเขาออกไปได้ไม่นาน กลุ่มคนที่มีสมาชิกเก้าคนก็เหาะมาจากดาราจักรด้วยความเร็ว เหาะฝ่าชั้นบรรยากาศ แล้วพุ่งไปยังตำแหน่งของปราสาทดำเนินจันทร์

ทว่าชั่วพริบตาที่พวกเขาปรากฏตัวบนท้องฟ้า บนพื้นก็มีคนจำนวนมากพุ่งขึ้นมา ดักพวกเขาเอาไว้กลางท้องฟ้า

เก้าคนที่เหาะมาหยุดและเตรียมพร้อมป้องกันทันที ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพวกลิ่งหูโต้วจ้งที่ปลอมแปลงใบหน้าแล้ว

เมื่อเห็นว่าบนพื้นมีคนหลายคนเข้ามาล้อมพวกเขาไว้ ลิ่งหูโต้วจ้งก็สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที ผู้ที่มาล้วนเป็นผู้ชาย ปราสาทดำเนินจันทร์มีผู้ชายมาจากไหนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ปลอมตัวมาแล้ว

ไม่รอให้พวกเขาเอ่ยถาม พอหลายคนที่ล้อมไว้โบกมือ ข้างหลังของแต่ละคนก็มีคนเพิ่มมาอีกสิบคน ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นทหารหลายหมื่นล้อมพวกลิ่งหูโต้วจ้งไว้ตรงกลาง คนพวกนี้สวมเครื่องแบบเกราะรบของตำหนักสวรรค์ ทั้งยังยศไม่ต่ำด้วย

ลิ่งหูโต้วจ้งสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย มองเห็นคนคุ้นหน้าจากตรงกลางแล้ว ในหัวมีเพียงคำว่า : กองทัพองครักษ์!

ผู้ที่นำหน้ามาถอดหน้ากากปลอมออก แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ลิ่งหูโต้วจ้ง ฮวาผู้นี้รอมานานแล้ว!”

“ฮวาอี้เทียน…” ลิ่งหูโต้วจ้งพลันเบิกตากว้างพลางกัดฟัน ตามที่เห็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากเล็งไปที่พวกเขา ในที่สุดก็ตระหนักได้แล้วว่าตัวเองตกหลุมพราง กำลังพลล้วนถูกควบคุมไว้ที่ดาวจันทร์อี่ ข้างกายเขาแทบจะไม่มีกำลังพลสักเท่าไรเลย เขายังนึกว่าประมุขชิงมีคำสั่งลับให้เขาจัดตั้งกลุ่มอำนาจลับเสียอีก ในใจยังแอบปลาบปลื้มอยู่เลย มีหรือที่จะรู้ว่าติดกับดักที่ถึงแก่ชีวิต…

เสียงระเบิดตูมตามดังอยู่ในท้องฟ้า เสียงดังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน!

ในตำหนักหลักของปราสาทดำเนินจันทร์ คนจำนวนมาถลันตัวมาข้างกายลี่หัว มีคนรายงานอย่างร้อนใจว่า “ประมุขปราสาท มีคนของตำหนักสวรรค์มาไล่ฆ่ากันที่นี่ จะส่งคนไปขับไล่หรือเปล่าคะ?”

ลี่หัวที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโบกแขนเสื้อสีเงินเบาๆ “ไม่ต้องแล้ว ทางวังสวรรค์บอกข้าล่วงหน้าแล้ว อีกไม่นานก็จะออกไปเอง สุนัขกัดกัน ไม่เกี่ยวกับพวกเรา!”

ดาวจันทร์อี่ การลงโทษคนหลายสิบล้านยังคงดำเนินต่อไป

เหวินเจ๋อที่ยืนอยู่บนเนินเขาพลิกมือคว้าระฆังดาราอันหนึ่ง ไม่รู้ว่าติดต่อไปที่ไหน จากนั้นก็เก็บระฆังดาราไว้อีก

เหมียวอี้เหล่ตามอง เหวินเจ๋อสังเกตเห็นแล้ว จึงยิ้มเรียบๆ แล้วบอกว่า “น้องชาย สงสัยจะต้องใช้เวลาอีกสักช่วงหนึ่ง พวกเราไม่จำเป็นต้องรออยู่ที่นี่เฉยๆ เหมือนพวกเราจะไม่ได้ดื่มสุราด้วยกันมานานมากแล้วนะ”

ในเมื่อเขาเอ่ยปากแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่กล้าปฏิเสธ แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล ไม่รู้ว่าตัวเองขี้ระแวงเกินไปหรือเปล่า เขาพยักหน้าเอ่ยรับและยื่นมือเชิญ แต่ก่อนจะไปยังแอบถ่ายทอดเสียงสั่งหยางเจาชิง ให้สังเกตดูความผิดปกติอย่างเข้มงวด

เหวินเจ๋อทิ้งลูกน้องไว้ตรงนี้ทั้งหมด แต่ตามเหมียวอี้กลับไปที่จวนหัวหน้าภาคเพียงลำพัง

ตอนที่กลับมาถึงหน้าประตูจวนหัวหน้าภาค เหวินเจ๋อก็ยังชี้ป้ายบนประตูพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “กำลังจะกลายเป็นจวนผู้สำเร็จราชการแล้ว”

เมื่อกลับเข้ามาในจวน ก็ย่อมมีคนเตรียมสุราอาหารมาส่งให้ ทั้งสองนั่งดื่มและพูดคุยอยู่ตรงข้ามกัน พูดคุยสัพเพเหระ โดยเฉพาะเรื่องในอดีตตอนอยู่อุทยานหลวง

เหมียวอี้ถือโอกาสถามเรื่องจ้านหรูอี้ เขาได้ยินเซี่ยโห้วเฉิงอวี่บ่นเรื่องในด้านนี้เยอะมาก

เหวินเจ๋อตอบไปส่งเดช ไม่อยากลงลึกรายละเอียด บอกเพียงว่าไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องสนใจ

พอดื่มไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ หยางเจาชิงก็รายงานมา “นายท่าน ได้ข่าวจากทหารยามในดาราจักร ฮวาอี้เทียน ผู้ตรวจการใหญ่กองทัพองครักษ์มาแล้ว เขาไม่สนใจคนขวาง บุกเข้ามาโดยตรงแล้วขอรับ!”

เหมียวอี้พลันยืนขึ้น แล้วถามด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว “ข้าให้พวกเขาเฝ้ายามอยู่ที่นั่น แต่มัวไปทำอะไรกินอยู่?”

หยางเจาชิงรีบตอบว่า “คนฝั่งลิ่งหูโต้วจ้งที่มาขอพึ่งพาค่อนข้างกลัวจนหัวหด ไม่กล้าขวางกองทัพองครักษ์ เป็นคนของพวกเราที่อยู่แถวนั้นเห็นแล้วเข้าไปถาม ถึงได้รู้สถานการณ์!”

“มากันกี่คน?” เหมียวอี้ถาม

หยางเจาชิงตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ ตามรายงาน ดูแล้วน่าจะมีประมาณร้อยคน แต่ที่แปลกก็คือเหมือนจะมาจากฝั่งปราสาทดำเนินจันทร์”

เหมียวอี้จ้องเหวินเจ๋อทันที ถามเสียงต่ำว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ฮวามาที่นี่ด้วยตัวเอง เหตุใดไม่รู้ข่าวล่วงหน้าเลยสักนิด? พี่เหวินกำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่?”

เหวินเจ๋อยิ้มบางๆ รินสุราดื่มเองแล้วตอบว่า “ข้าจะเล่นตุกติกอะไรได้ เป็นลิ่งหูโต้วจ้งที่เล่นตุกติก ก่อนหน้านี้ข้าก็เพิ่งรู้ข่าวเช่นกัน ลิ่งหูโต้วจ้งไม่พอใจกับคำสั่งลดยศต่ำแหน่ง นำกลุ่มลูกน้องคนสนิทไปวางแผนทรยศ ผลปรากฏว่าเจอผู้ตรวจการใหญ่ฮวา โดนผู้ตรวจการใหญ่ฮวาประหารไปแล้ว!”

“อะไรนะ?” เหมียวอี้ตกใจมาก กล่าวอย่างโมโหว่า “เป็นไปไม่ได้! กำลังพลของเขาล้วนอยู่ที่นี่ จะทรยศได้ยังไง?”

เหวินเจ๋อถอนหายใจ “น้องชาย ความจริงชนะคำแก้ตัว ในโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ดื่มสุราของเจ้าอย่างสงบใจเถอะ มีแต่ผลดีไม่มีผลร้ายกับเจ้า!”

“แซ่เหวิน เจ้าวางอุบายกับข้า!” เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้ามืดครึ้ม

พอพูดจบ ด้านนอกก็มีเสียงกำลังพลกลุ่มหนึ่งเข้ามา พวกชิงเยว่เข้ามาล้อมเหวินเจ๋อไว้โดยตรง ดาบในมือชิงเยว่จ่ออยู่บนคอเหวินเจ๋อแล้ว

เหวินเจ๋อไม่สะทกสะท้านเลย ยังคงเอาแต่ดื่มสุราของตัวเองไป

“เตรียมรบ!” เหมียวอี้คำรามสั่งหยางเจาชิงแล้ว

หยางเจาชิงแทบจะตะโกนตอบอย่างร้อนใจว่า “นายท่าน ฮวาอี้เทียนถูกทหารยามดักไว้ตรงประตู เรียกนายท่านให้ไปพบสักครั้งขอรับ”

“จับตัวไว้!” เหมียวอี้ตะคอกสั่ง เหวินเจ๋อจึงถูกมัดตรงนั้น แล้วถูกจูงตามหลังเหมียวอี้ที่เร่งฝีเท้าเดินออกไป

ระหว่างทาง หยางเจาชิงรายงานอีกว่า “ตรงจุดลงโทษมีกำลังพลกองทัพองครักษ์จำนวนมากปรากฏตัว ล้อมที่พักคนในครอบครัวพวกนั้นไว้แล้ว”

เหมียวอี้ถลันตัวเข้าไปทันที แทบจะถึงประตูในชั่วพริงตาเดียว เห็นเพียงทหารยามกำลังขวางคนสิบกว่าคนเอาไว้ ผู้ที่นำหน้ามาก็คือฮวาอี้เทียนที่กำลังยืนเอามือไขว้หลัง

ฮวาอี้เทียนเงยหน้ามองธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งพันคันบนกำแพงเมืองที่กำลังเล็งมาที่ตัวเอง แล้วยิ้มเรียบๆ ให้เหมียวอี้ที่ปรากฏตัว “ผู้ตรวจการใหญ่หนิวรับแขกอย่างนี้เหรอ?”

เหมียวอี้อยู่ภายใต้การคุ้มกันจากคนหลายร้อย แล้วตะคอกถามเสียงต่ำว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”

ในขณะนี้เอง อวิ๋นจือชิวนำคนเหาะลงมาจากฟ้า พอนางเห็นฉากตรงหน้า ก็หน้าซีดเผือดทันที ไม่กล้าเข้าใกล้

ฮวาอี้เทียนพยักหน้าเบาๆ ทักทายนาง แล้วบอกเหมียวอี้อีกว่า “พอแล้ว! หนิวโหย่วเต๋อ ข้ามาที่นี่ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเจ้า ไม่อย่างนั้นข้าคงเอากำลังทหารมาเยอะแล้ว คนของเจ้าเล็กน้อยเท่านี้ต้านข้าไม่ไหวหรอก ปล่อยมาเถอะ!” เขาพยักหน้าไปทางเหวินเจ๋อที่ยู่ท่ามกลางกลุ่มคน

“ถ้ากล้าขยับซี้ซั้วก็ฆ่าเขาซะ!” นี่คือคำตอบของเหมียวอี้ จากนั้นก็พูดกับฮวาอี้เทียนอย่างเย็นเยียบว่า “ต่อให้เป็นกองทัพองครักษ์ แต่ก็จะมาตามอำเภอใจที่นี่ไม่ได้ มีคำบัญชาจากฝ่าบาทหรือเปล่า!”

ฮวาอี้เทียนไม่แยแสเขาแล้ว พูดแค่ว่า “ไป” แล้วจากนั้นก็นำคนเหาะขึ้นฟ้าไปเสียเลย ดูจากทิศทางที่ไปก็รู้ว่าไปยังจุดลงโทษลดตำแหน่ง

เหมียวอี้พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว อวิ๋นจือชิวถลันตัวมาตรงหน้าเขา แล้วกล่าวอย่างร้อนใจว่า “จู่ๆ ก็มีกองทัพองครักษ์มาเยอะขนาดนี้ มันเรื่องอะไรกันแน่ มาล้อมที่พักสมาชิกในครอบครัวทหารพวกนั้นเอาไว้!”

ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ เหมียวอี้ยังไม่ทันได้ถามสถานการณ์ ก็มีคนอีกกลุ่มเหาะเข้ามาแล้ว เป็นลูกน้องบางส่วนของลิ่งหูโต้วจ้ง แต่ละคนมีสีหน้าเดือดดาล หนึ่งในนั้นถามว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ กองทัพองครักษ์ล้อมคนในครอบครัวพวกเราเอาไว้หมายความว่าอะไร?”

เหมียวอี้มองข้ามยอดฝีมืออย่างพวกเขา ก้าวไปข้างหน้า ดึงคอเสื้อคนคนนั้นแล้วตะคอกถามอย่างโมโหว่า “ข้าก็อยากจะถามเหมือนกันว่าคนที่พวกเจ้าพามานี่มันอะไรกันแน่? ข้าให้พวกเขาเฝ้าดาราจักรเอาไว้ แต่นึกไม่ถึงว่ามีคนมาแล้วจะไม่รู้จักขวางเอาไว้ ดันปล่อยให้เข้ามา คนบุกมาถึงประตูบ้านข้าแล้ว ดาบมาจ่อถึงคอข้าแล้ว ถ้าปล่อยให้พวกเจ้าเฝ้ายามต่อไป ตอนนอนหลับหัวข้าจะหลุดยังไงก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ คนหลายสิบล้านยังใช้การไม่ได้เท่าคนไม่กี่หมื่นของข้าเลย พวกสวะไร้ประโยชน์!” พูดจบก็ผลักอีกฝ่ายออกไป

คนกลุ่มนี้ถูกด่าจนพูดไม่ออก ข่าวที่ฝั่งนี้ได้รับมาก็คือพวกเขาถือวิสาสะปล่อยคนเข้ามา พอมองเหวินเจ๋ออีกครั้ง ก็นึกไม่ถึงว่าจะถูกเหมียวอี้จับไว้แล้ว เขาตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที มีคนรีบถามว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ มีเรื่องอะไรกันแน่?”

“เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใครล่ะ?” เหมียวอี้ชี้คนกลุ่มนี้พร้อมด่าว่า “มัวเหม่ออะไรอยู่ เรียกรวมกำลังพลของพวกเจ้ามาที่นี่ให้หมด เตรียมรบ!”

คนกลุ่มนี้รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ ค่อนข้างฉุกละหุก

ใช้เวลาไม่นาน กำลังพลหลายสิบล้านก็ตามมาแล้ว รีบสวมเครื่องแบบเตรียมรบอย่างรวดเร็ว เหมียวอี้นำคนกลุ่มนี้ออกไปอย่างโอ่อ่าทรงพลัง

ทัพใหญ่มาถึงที่เกิดเหตุ มองลงไปจากบนฟ้า อย่างน้อยก็มีกำลังพลกองทัพองครักษ์หลักสิบล้าน ขับไล่คนในครอบครัวจากที่พักไปรวมตัวที่จุดจุดหนึ่งแล้ว สมาชิกครอบครัวพวกนั้นมีสีหน้าหวาดกลัว บางคนร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนหาผู้ชายของตัวเองที่อยู่ในทัพใหญ่ฝั่งนี้ “นายท่าน!”

คนที่ถูกตะโกนเรียกแทบจะตาถลน แต่กลับไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร

เหมียวอี้ชี้ฮวาอี้เทียนที่ลอยอยู่บนฟ้าฝั่งตรงข้าม พร้อมตะโกนถามอย่างโมโห “ฮวาอี้เทียน เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”

ฮวาอี้เทียนร่ายอิทธิฤทธิ์ตอบเสียงดังทันที “ได้รับรายงานลับมา ว่ามีคนสมคบกับโจรกบฏ ต้องการจะให้โจรกบฏหลบหนี! ตอนนี้ข้าจะเรียกชื่อ ทหารที่ถูกเรียกชื่อไร้ความผิด พาครอบครัวของตัวเองหนีไปได้!” เขาไม่สนใจเลยว่าฝั่งนี้จะยินอยมหรือไม่ ตะโกนสั่งทันที “เรียกชื่อ!”

“เคอเฉียน นู่ซานเฉา หูเฟิง…” บนยอดเขาเบื้องล่างมีทหารคนหนึ่งถือแผ่นหยกเรียกชื่ออย่างรวดเร็ว ปากพ่นออกมาชื่อแล้วชื่อเล่าไม่หยุด พูดตรงไปตรงมาราวกับเทเม็ดถั่วออกมาจากกระบอกไม้ไผ่

เหมียวอี้แยกเขี้ยวยิงฟัน จ้องฮวาอี้เทียนไม่ละสายตา ไม่รู้ด้วยว่าเหวินเจ๋อพูดจริงหรือโกหก ตอนนี้ยังไม่เห็นเงาของลิ่งหูโต้วจ้งเลย มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่จนใจที่ตอนนี้เขาไม่กล้าพูดความจริงออกมา ถ้ายั่วให้ฝูงชนโกรธแค้นเมื่อไร ก็จะเกิดศึกเดือดทันที แม้แต่เขาเองก็จะถูกจัดอยู่ในพวกโจรกบฏด้วย

ที่นี่มีคนมากมายเท่าไรพาครอบครัวมาด้วย เขาย่อมรู้ชัดเจน แม้จะมีนับล้านคน แต่แท้จริงแล้วสมาชิกครอบครัวมาด้วยสองหมื่นกว่าคนเท่านั้น เงื่อนไขที่เป็นรูปธรรมทำให้นักพรตส่วนใหญ่ไม่อยากแต่งงาน คนมากมายหากฐานะไม่สูงในระดับหนึ่งก็ไม่อยากจะแต่งงาน

เหมียวอี้หันกลับไปมองซ้ายมองขวา เห็นเพียงนักพรตในกระบวนทัพที่ถูกเรียกชื่อกำลังร้อนใจไม่หยุด อยากจะไปรับครอบครัวของตัวเอง แต่ฝั่งนี้ยังไม่ออกคำสั่ง จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหว

คนที่ไร้ครอบครัวก็ย่อมไม่มีอะไรน่ากังวล ส่วนคนที่มีครอบครัวก็ไม่พิจารณาแล้วว่าจะทำศึกกับกองทัพองครักษ์หรือไม่ แต่กำลังกังวลถึงความปลอดภัยของครอบครัวที่อยู่ตรงหน้า ขวัญกำลังใจทหารว้าวุ่น มีคนมากมายขนาดนั้นเป็นตัวประกันอยู่ในมือกองทัพองครักษ์ ถ้าสู้กันขึ้นมาก็กลัวจะลูบหน้าปะจมูก

เขาอยากจะรู้ว่าตำหนักสวรรค์คิดจะทำอะไรกันแน่ จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ให้นางไปสืบข่าวให้

“ผู้ตรวจการใหญ่!” ทหารคนหนึ่งก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ “ให้พวกเขาไปเถอะ!” จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “ต่อให้เป็นการส่งคนส่วนหนึ่งไปหยั่งเชิงให้ก็ยังดี!”

พอหันกลับมาเห็นถ้าทางกระวนกระวายของคนพวกนี้ เหมียวอี้ก็ไม่มีทางปฏิเสธได้ ทำได้เพียงพยักหน้าด้วยสีหน้าเครียดขรึม พร้อมใช้ระฆังดาราติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต่อไป

ทหารคนนั้นโบกมือทันที “ใครโดนเรียกชื่อแล้วก็ไปเถอะ!”

คนกลุ่มหนึ่งในกระบวนทัพเหาะเข้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วคนที่ถูกเรียกชื่อก็ทยอยกันเหาะไป ข้างล่างมีคนของกองทัพองครักษ์คอยตรวจตราอิทธิฤทธิ์ทีละคน

ตรงเขตภูเขาที่ผนึกไว้เปิดช่องโหว่ช่องหนึ่ง สมาชิกครอบครัวที่ได้รับการปลดปล่อยเหาะไปหาเสาหลักของบ้านตัวเอง หนีตามออกไปอย่างหวาดกลัว ไปอยู่บนที่ราบของอีกฝั่งแม่น้ำภายใต้การบัญชาการของกองทัพองครักษ์

……………

เหมียวอี้เองก็สนใจปฏิกิริยาของกลุ่มคนเช่นกัน เมื่อเห็นคนส่วนใหญ่ดีใจเหนือความคาดหมาย ในใจก็รู้สึกสงบเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นถ้าไม่ระวังก็จะทำให้เกิดทหารก่อกบฏได้เลย

คนเราบางครั้งก็แปลกอย่างนี้ คนกลุ่มใหญ่ถูกลงโทษแท้ๆ ยังดีใจได้อีก คนเรามักทนการเปรียบเทียบไม่ได้

สำหรับเหวินเจ๋อที่มาเพื่อถ่ายทอดคำสั่ง เขาไม่ได้แย่แสเลยว่าคนกลุ่มนี้จะดีใจหรือไม่ดีใจ เขามองเหมียวอี้ที่อยู่ข้างกัน “ผู้ตรวจการใหญ่ ให้กำลังพลเบื้องล่างส่งเครื่องแบบและอาวุธออกมาเถอะ!”

เหมียวอี้พยักหน้าแล้วมองลิ่งหูโต้วจ้ง “ขุนพลลิ่งหู ท่านว่า…”

ลิ่งหูโต้วจ้งที่หน้าตึงพยักหน้าเงียบๆ สถานการณ์ตอนนี้ไม่ยอมให้เขาทำตามใจตัวเอง คำบัญชาเดียวทำลายการควบคุมทัพใหญ่ของเขาแล้ว ทำได้เพียงยอมรับชะตากรรม ในภายหลังค่อยวางแผนอีกครั้ง

ท่ามกลางสายตาฝูงชน ลิ่งหูโต้วจ้งถอดเกราะรบจอมพลบนตัวออก แล้วส่งออกไปพร้อมกับอาวุธและแผ่นหยกตำแหน่งขุนนางประจำตำแหน่ง

ภายใต้สถานการณ์การลดตำแหน่งและเลื่อนตำแหน่งของตำหนักสวรรค์ ของประจำตำแหน่งก่อนหน้านี้ล้วนต้องส่งออกมา

เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าด้วยตัวเอง รับของของเขาด้วยมือตัวเอง หลังจากตรวจนับเองแล้วก็ลงนามจบงาน แล้วส่งต่อให้หยางเจาชิงที่ตามอยู่ข้างกาย จากนั้นกุมหมัดคารวะลิ่งหูโต้วจ้ง “ลำบากขุนพลแล้ว” คำเรียกจอมพลเปลี่ยนเป็นขุนพลแล้ว

ลิ่งหูโต้วจ้งอยากจะแสดงความใจกว้างสง่าผ่าเผยและพูดจาตามมารยาทสักหน่อย แต่ก็พูดไม่ออก หลับตาลงอย่างปลงอนิจจัง หลับตาโดยไม่พูดอะไร เม้มริมฝีปากแน่น ยืนตรงอยู่อย่างนั้น ปอยผมสีขาวหลายช่อที่ถูกเกี่ยวลงมาตอนถอดเกราะหัวปลิวพลิ้วอยู่ท่ามกลางสายลม ให้ความรู้สึกว่าเป็นวีรบุรุษถึงคราวไม้ใกล้ฝั่งอยู่หลายส่วน

เส้าเซียงหัวที่อยู่ในป่ากำลังมองฉากนี้ นางยกมือปิดปากอีกครั้ง น้ำตาไหลพรากจนตาพร่ามัว ไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องไห้ออกมา มีเพียงหยดน้ำตาอุ่นร้อนที่ไหลอาบแก้มเท่านั้น นั่งอยู่กับผู้ชายของตัวเองมาตลอดทางจนถึงวันนี้ ย่อมรู้ว่าการที่ผู้ชายของตัวเองไต่เต้าถึงตำแหน่งนี้ได้ต้องใช้เลือดเนื้อหยาดเหงื่อและความพยายามไปขนาดไหน อดทนมาหลายปี ได้รับความลำบากมากมายกว่าจะแลกเกียรติยศความร่ำรวยมาได้ แต่ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปแล้ว

บ่าวไพร่ของตระกูลลิ่งหูที่อยู่ข้างกายก็สีหน้าหดหู่กันเป็นแถบ

อวิ๋นจือชิวมองเส้าเซียงหัวที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ นางแอบถอนใจ รู้ว่าเวลานี้เกลี้ยกล่อมอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ถึงไม่ได้ปลอบใจอีก ถ้าปลอบใจอีกจะดูปลอม นั่งมองไปทางลิ่งหูโต้วจ้งยืนโดดเดี่ยวอยู่หน้ากระบวนทัพอีกครั้ง ในใจแอบกล่าวว่า ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร!

กลุ่มคนที่ดำทะมึนอยู่บนที่ราบต่างก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด แต่ละคนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองเงาหลังของลิ่งหูโต้วจ้ง

“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอียงหน้าบอกใบ้อีกครั้ง หยางเจาชิงจึงรีบถ่ายทอดคำสั่งลงไป

ใช้เวลาไม่นาน คนนับหมื่นก็เหาะเข้ามา มาอุดตรงหน้าทัพใหญ่ราวกับเป็นกำแพง

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่อยู่ตรงหน้า บางคนก็ถอดเกราะรบออก บางคนก็แค่เอาแถบออกเพื่อแสดงออกว่าถูกลดยศ หลังจากคนทยอยกันเดินมาตรงหน้ากำแพงคนเพื่อรับส่งของกันแล้ว ก็เหาะไปที่อีกฝั่งของแม่น้ำตามคำบัญชาการ

กลุ่มคนไหลทะลักไปตรงหน้าอย่างช้าๆ ของที่ส่งออกมาก็ทยอยลอยไปที่อีกฝั่งของแม่น้ำ

ฉากที่อลังการเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่พวกฝูชิงก็ต้องมองหน้ากันเลิกลั่ก

คาดว่ากว่าทั้งทัพใหญ่จะส่งมอบของกันเสร็จก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย หลังจากเหวินเจ๋อจ้องและกวาดสายตามองทัพใหญ่พักหนึ่ง สายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวลิ่งหูโต้วจ้ง จากนั้นเดินลงจากเนินเขาสองสามก้าวไปตรงหน้าลิ่งหูโต้วจ้ง ยื่นมือบอกว่า “ขุนพลลิ่งหู ไปคุยกันเป็นการส่วนตัวได้ไหม”

เหมียวอี้และคนอื่นมองมา ไม่รู้ว่าทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร โดยเฉพาะเหมียวอี้ที่เลิกคิ้วเล็กน้อย ตัวเองเป็นขุนนางตำแหน่งสูงสุดของแดนรัตติกาล ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรถึงคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาของตนโดยต้องปิดบังตน

ลิ่งหูโต้วจ้งมองมาแล้วรู้สึกผิดคาดเล็กน้อย จากนั้นพยักหน้าเงียบๆ แล้วเหาะตามหลังเหวินเจ๋อไปยังจุดที่ไร้ผู้คน

เหมียวอี้ส่งสายตาให้หยางเจาชิงทันที บอกใบ้ให้จับตาดูไว้ เป็นคนถ่ายทอดบัญชาของวังสวรรค์แล้วอย่างไร มาทำซี้ซั้วบ่นอาณาเขตของตนไม่ได้อยู่ดี

หยางเจาชิงพยักหน้าเบาๆ สื่อว่าทราบแล้ว จากนั้นเขย่าระฆังดาราที่อยู่ในแขนเสื้อ

จากนั้นเหมียวอี้ก็หันกลับมาเรียก “ปี้เยว่!”

ปี้เยว่งงไปชั่วขณะ ก่อนจะเดินมากุมหมัดคารวะข้างกายเขา “ผู้ตรวจการใหญ่”

ตอนนี้นางยังไม่ค่อยคุ้นชินกับคำเรียกเปลี่ยนฐานะของทั้งสอง ทุกครั้งที่ตะโกนเรียกเลยรู้สึกแปลก ถึงในปีนั้นที่เจ้าหนุ่มนี่ถูกตนเรียกใช้

บางทีอาจเป็นเพราะเห็นที่ตรงนี้แล้วเกิดความรู้สึกบางอย่าง เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงคำว่า “หลายวันมานี้งานยุ่ง ไม่ได้มีเวลามาถามเจ้า ได้ข่าวจะฝั่งเทียนหยวนมาบ้างหรือยัง?”

ปี้เยว่สีหน้าสงบลงเยอะมาก ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “มีข่าวมาแล้ว เขาติดตามสงฉีสังหารฝ่าวงล้อมออกไปแล้ว หนีเข้าไปในอาณาเขตดาวนิรนาม เขาถามถึงสถานการณ์ของข้า ให้ข้าขอบคุณเจ้าแทนเขาด้วย บอกว่าถ้ามีโอกาสจะตอบแทนผู้ตรวจการใหญ่อีกที!”

ไม่น่าเชื่อว่าจะหนีไปแล้ว? เหมียวอี้รู้สึกเซ็งในใจ ไห่ยวนเค่อขอให้เขาช่วยเหลือแล้ว ต่อให้ไห่ยวนเค่อไม่บอก แต่ตอนนี้เขาย้ายปี้เยว่มาไว้ข้างกาย เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้ปี้เยว่มีความสัมพันธ์คลุมเครือกับเทียนหยวนต่อไป ตอนนี้เทียนหยวนเป็นโจรกบฏ ถ้าไปเกี่ยวข้องด้วยก็จะนำพาปัญหามาสู่ตัวเอง

ปากก็ขานรับไปอย่างนั้น แล้วก็ถามอย่างแนบเนียนอีกว่า “ตอนนี้ซ่อนตัวอยู่ที่ไหน สถานที่ซ่อนตัวปลอดภัยหรือเปล่า?”

ปี้เยว่ตอบว่า “หนีพ้นการไล่ตามของทหารตำหนักสวรรค์แล้ว อาณาเขตดาวนิรนามกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ถ้าอยากจะหาเขาให้เจออีกคงเป็นไปไม่ได้ คงจะปลอดภัยแล้ว เข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน บอกว่ารอให้หาที่พักได้แล้วจะติดต่อมาอีกที”

เหมียวอี้เพียงขานรับ แล้วบอกว่า “ปลอดภัยก็ดีแล้ว! เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องเตือนเจ้า คาดว่าในการชำระสะสางความแค้นครั้งนี้ ยังจะมีคนนำความสัมพันธ์ของเจ้ากับเทียนหยวนมาพูดหาเรื่องอีก ข้าย่อมช่วยรับประกันให้เจ้าอีกแรง แต่เจ้าก็จะให้ข้าแบกรับความเสี่ยงมากเกินไปไม่ได้หรอก เพื่อตัวเจ้า แล้วก็เพื่อตัวข้าเองด้วย ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งไปเจอกับเขาอีก รอให้สถานการณ์ในภายหลังนิ่งก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าฝั่งเทียนหยวนมีความจำเป็นอะไรจริงๆ เจ้าก็บอกฮูหยินสักหน่อย ให้ฮูหยินช่วยจัดหาคนไปจัดการให้เจ้า ตอนนี้เจ้าอย่าไปติดต่อกับเทียนหยวนด้วยตัวเอง”

“เข้าใจแล้ว” ปี้เยว่รับปาก

ที่ตีนเขาอีกแห่งหนึ่ง เหวินเจ๋อกับลิ่งหูโต้วจ้งเหาะลงมาด้วยกัน ลิ่งหูโต้วจ้งถามว่า “ขุนพลเหวินมีอะไรจะกำชับ?”

เหวินเจ๋อมองไปรอบๆ เสร็จแล้วถึงได้ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ฝ่าบาทมีคำสั่งลับให้เจ้า!”

ลิ่งหูโต้วจ้งตะลึงงัน จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงตอบ “ข้าน้อยรับบัญชา”

“แม้ตอนนี้ขุนพลจะถูกลดยศตำแหน่ง แต่การที่ฝ่าบาทเก็บเจ้าไว้ที่นี่ ก็เพราะจะใช้เจ้าทำงานสำคัญอีกอย่าง ก่อนมาฝ่าบาทสั่งข้าเป็นพิเศษ ให้ข้ามาบอกขุนพลว่าให้รีบไปที่ปราสาทดำเนินจันทร์สักเที่ยว ไปพบกับลี่หัว ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์สักครั้ง” เหวินเจ๋อกล่าว

“ไปพบลี่หัว?” ลิ่งหูโต้วจ้งประหลาดใจ แล้วถามอย่างสงสัยว่า “ไปพบนางทำไม?”

เหวินเจ๋อส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ว่าไปพบลี่หัวทำไม ฝ่าบาทไม่ได้บอกข้าเช่นกัน เพียงให้ข้ามากำชับเจ้า ว่าให้เจ้าพาคนที่เจ้าเชื่อใจและแบกรับหน้าที่สำคัญได้ไปด้วย ที่สำคัญคือเรื่องนี้ห้ามให้หนิวโหย่วเต๋อรู้!”

ไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อรู้ด้วยเหรอ? ลิ่งหูโต้วจ้งขมวดคิ้ว “ข้าก็ต้องรู้สิว่าข้าจะต้องทำอะไร?”

ชั่วพริบตาที่ร่างของเหวินเจ๋อสลับเข้ามาบังไว้ แผ่นหยกแผ่นหนึ่งก็ยัดเข้ามาในมือของเขาแล้ว “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะให้เจ้าทำอะไร เพียงแต่ฝ่าบาทบอกแล้ว ว่าเมื่อลี่หัวเห็นสิ่งนี้ ก็ย่อมบอกเจ้าเอง แต่ถ้าไม่เห็นสิ่งนี้ ลี่หัวก็จะไม่บอกอะไรเจ้าทั้งนั้น!”

ลิ่งหูโต้วจ้งรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอ่าน เห็นเพียงข้างในมีภาพวาดจิ้งจอกตัวหนึ่ง บนตัวจิ้งจอกมีตราอิทธิฤทธิ์ พอลองแยกแยะเล็กน้อยก็จะมองออกว่าเป็นตราอิทธิฤทธิ์ของประมุขชิง

เขาประหลาดใจสงสัยไม่หยุดทันที ประมุขชิงทำตัวลึกลับเพราะคิดจะทำอะไรกันแน่? ไปพบลี่หัวประมุขปราสาทดำเนินจันทร์เหรอ? ให้พากลุ่มลูกน้องที่รับตำแหน่งสำคัญได้ไปด้วย? ทั้งยังให้หลบเลี่ยงหนิวโหย่วเต๋อ? พอลองนึกเชื่อมโยง เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ปกติ

ตอนที่เขาคิดจะถามอะไรอีก เหวินเจ๋อก็พูดทิ้งท้ายแล้วเหาะออกไปแล้ว “ข้ารู้แค่เท่านี้”

ลิ่งหูโต้วจ้งงุนงง หลังจากลังเลซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ตัดสินใจจะติดต่อไปยืนยันกับประมุขชิงสักหน่อย ทว่าแม้เขาจะเป็นจอมพลที่อิ๋งจิ่วกวงเลื่อนตำแหน่งให้ แต่กลับไม่มีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับประมุขชิงโดยตรง แต่มีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับซ่างกวนชิงได้ จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับซ่างกวนชิง แล้วถามโดยตรงว่า : พ่อบ้านใหญ่ ขุนนางมีความผิดผู้นี้มีเรื่องจะรายงานฝ่าบาท!

ซ่างกวนชิง : ฝ่าบาทกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าถ้านายท่านลิ่งหูส่งข่าวมา ก็ให้บอกไปว่า พยายามปฏิบัติการให้เร็วที่สุด! ถ้านายท่านลิ่งหูรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ก็ให้ส่งของนี้คืนให้คนที่มอบให้เจ้า อย่างอื่นไม่ต้องถามมากแล้ว

ลิ่งหูโต้วจ้งเก็บระฆังดาราแล้วเงียบไป เพียงแต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ เป็นภารกิจลับที่ประมุขชิงมอบให้ตนจริงๆ

“พี่เหวิน ยุ่งมากเชียวนะ!”

เหวินเจ๋อกลับมาบนเนินเขา พอเจอกันเหมียวอี้ก็กล่าวประโยคที่มีความหมายล้ำลึกทันที

“น้องชายอย่าคิดมากเลย เห็นว่านายท่านลิ่งหูเงียบเหงาโดดเดี่ยว เลยปลอบใจไปสองสามประโยคก็เท่านั้นเอง” เหวินเจ๋อกล่าวกลั้วหัวเราะ

เหมียวอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มแข็งทื่อ “ควรจะปลอบใจสักหน่อย” ในใจกลับเต็มไปด้วยความระแวดระวัง

ทั้งสองพูดกันไม่กี่ประโยค แล้วก็เห็นลิ่งหูโต้วจ้งกลับมาอีก แต่ไม่ได้กลับมาทางนี้ เขากลับไปหาครอบครัวตัวเองด้วยสีหน้าหดหู่ จากนั้นครู่เดียวก็เห็นอวิ๋นจือชิวบอกลาจากฝั่งนั้นมา

ส่วนลิ่งหูโต้วจ้งที่กลับเข้ามาหาคนในครอบครัวตัวเองก็หายไปในป่าอย่างรวดเร็ว ไปหลบอยู่ใต้หน้าผาแห่งหนึ่งแล้วเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา สภาพภูเขาสูงชันอันตราย

ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนทยอยกันมาถึง ล้วนเป็นแม่ทัพใหญ่คนสนิทที่เขาเคยเชื่อใจทั้งนั้น

พวกแม่ทัพใหญ่ถามว่าเรื่องอะไร แต่เขาไม่บอก หลังจากทั้งแปดคนมากันครบแล้ว ลิ่งหูโต้วจ้งถึงได้บอกว่า “ข้ามีเรื่องต้องวางแผนร่วมกับทุกคน ทุกคนยินดีจะติดตามข้าหรือไม่?”

ทั้งแปดคนมองหน้ากันเลิกลั่ก พวกเขารู้สึกลำบากใจ ต่างก็คิดว่าตัวเองเดาออกแล้วว่าลิ่งหูโต้วจ้งคิดจะทำอะไร แม่ทัพคนหนึ่งยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “พวกเราเข้าใจความรู้สึกของท่านจอมพล แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นวิธีการโหดเหี้ยมของของประมุขชิงหรือหนิวโหย่วเต๋อ เกรงว่าใจคนคงไม่เป็นไปตามใจเรา เกรงว่าคงไม่ทำงานใหญ่ร่วมกับพวกเราอีก อาศัยแค่พวกเรายากจะทำงานให้สำเร็จได้ หวังว่าท่านจอมพลจะไตร่ตรองและไม่บุ่มบ่าม!”

“พวกเจ้าคิดมากไปแล้ว!” ลิ่งหูโต้วจ้งโยนแผ่นหยกออกมา “เหวินเจ๋อเพิ่งให้สิ่งนี้กับข้ามา พวกเจ้าดูกันเอาเถอะ”

ทั้งแปดทยอยกันอ่าน มีคนอุทานถามอย่างตกใจว่า “ตราอิทธิฤทธิ์ของประมุขชิง?” ทุกคนมองเขาอย่างตะลึงงัน

ลิ่งหูโต้วจ้งแอบประชุมลับกับพวกเขาพักหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็พยักหน้าเบาๆ แล้วบอกว่า “เรื่องนี้ต้องจัดการให้เร็วที่สุด พวกเจ้าแอบติดต่อกับสมาชิกรักษาความปลอดภัยของพวกเราที่อยู่ทั้งในและนอกดาวจันทร์อี่เดี๋ยวนี้ สืบให้กระจ่างว่าจุดสังเกตการณ์ที่อ่อนแออยู่ตรงไหน ฉวยโอกาสตอนที่ทางนั้นส่งต่องานกัน ยังมีเวลาเหลือให้รอดพ้นจากสายตาพวกเขาจะได้สะดวกให้พวกเรารีบไปปราสาทดำเนินจันทร์สักเที่ยว”

ทั้งแปดพยักหน้า หยิบระฆังดาราออกมาแบ่งกันติดต่อกันที

หลังจากนั้นพักหนึ่ง แผนที่ดาวแผ่นหนึ่งก็ถูกกางออกมา หลังจากพวกเขายืนยันเส้นทางแล้ว ก็รีบเก็บของ แล้วหายไปเงียบๆ โดยอาศัยลักษณะภูเขาบดบังร่างกาย

ปราสาทดำเนินจันทร์ ในตำหนักใหญ่ ลี่หัวใบหน้างามล้ำทว่าสีหน้าเรียบเฉย ลักษณะท่าทางเย็นชา มีสง่าราศีเหนือคนธรรมดา เดินเนิบนาบลากกระโปรงผ้ามุ้งสีเทาลงจากบันไดหยก

ตรงกลางตำหนัก เว่ยซูยืนเอามือไขว้หลัง มองนางพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ลี่หัว ไม่เจอกันหลายปี เจ้ายังสง่างามไม่น้อยลงกว่าในปีนั้น!”

ลี่หัวเดินมาหยุดตรงหน้าเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คำพูดตามมารยาทน่ะไม่ต้องแล้ว พ่อบ้านใหญ่เว่ยมาเยือนถึงที่ คงไม่ได้ตั้งใจมาเยินยอข้าโดยเฉพาะกระมัง?”

เว่ยซูกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ข้าก็ชอบนิสัยของประมุขปราสาทลี่นี่แหละ ได้ งั้นข้าก็จะพูดตรงๆ แล้วกัน ทางฝั่งข้ามีคนอยากจะสร้างสำนักสักแห่ง ข้าอยากจะเลือกสถานที่สักแห่งในอาณาเขตปราสาทดำเนินจันทร์เพื่อบุกเบิกภูเขาสร้างสำนัก หวังว่าลี่หัวจะไว้หน้าสักครั้ง แบ่งที่ให้ข้าสักแห่ง”

“คิดจะบุกเบิกภูเขาสร้างสำนักในอาณาเขตสำนักข้า เว่ยซู น้ำเข้าสมองเจ้าแล้วรึไง?” ลี่หัวถามอย่างเย็นชา

“อยากได้อะไรเจ้าก็เสนอมาตรงๆ ตราบใดที่ข้าทำได้ก็จะทำให้” เว่ยซูกล่าว

“จะให้ข้าหักหน้าเจ้า ไล่เจ้าออกไปให้ได้เลยใช่มั้ย?” ลี่หัวถาม

เว่ยซูจึงบอกว่า “เช่นนั้นข้าก็ไม่เข้าใจแล้ว ขนาดหนิวโหย่วเต๋อยังดึงสำนักลมปราณมาลงหลักปักฐานที่ถิ่นเจ้าได้เลย ทำไมข้าจะทำบ้างไม่ได้? หน้าข้าเทียบเขาไม่ได้หรือไง?”

……………

หยางเจาชิงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเตือนว่า “คนเยอะเกินไป เกรงว่าที่นี่จะรองรับไม่ไหวขอรับ”

เหมียวอี้นิ่งไปชั่วขณะ เป็นตัวเองที่เลอะเลือนไป กำลังพลห้าสิบล้านนั่นไม่ใช่กำลังพลตามกฎเกณฑ์ ถ้าจะให้ทหารที่ถูกลดยศตำแหน่งมากันหมด เกรงว่าที่นี่จะยืนกันไม่หมด ถึงได้เปลี่ยนคำสั่งว่า “เช่นนั้นก็สั่งให้ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่เดิมแล้วกัน”

“รับทราบ!” หยางเจาชิงหยิบระฆังออกมาถ่ายทอดคำสั่ง

ส่วนเหมียวอี้ก็เปลี่ยนใส่เกราะรบของเแม่ทัพใหญ่หนึ่งแถบตรงนั้นเลย จากนั้นก็เดินก้าวยาวออกไป มุ่งตรงไปยังสวนรับแขก

ระหว่างทางบังเอิญเจอกับหยวนกงที่เดินผ่านมาพอดี หยวนกงรีบเข้ามาทำความเคารพ จากนั้นก็ถามว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ เมื่อครู่นี้ข้าน้อยเห็นพ่อบ้านใหญ่เว่ยซูของตระกูลเซี่ยโห้วมาแล้ว เขามาทำอะไรถึงที่นี่ด้วยตัวเองขอรับ?”

เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก “ไม่ใช่เพราะเรื่องเส็งเคร็งของตระกูลเซี่ยโห้วนั่นเหรอ เขามาขู่ข้า พอค่าไม่ให้ความร่วมมือกับพวกเขา ก็เลยมาขู่ข้าแล้ว ข้าไม่ตกหลุมพรางหรอก ข้าก็อยากจะเห็นว่าใครกันแน่ที่จะได้สั่งสอนใคร!”

คำพูดนี้ฟังดูคลุมเครือ ซิงฟังแล้วรู้สึกว่ามีบางอย่างบิดเบือน ทว่ากลับเพียงพอที่จะทำให้หยวนกงครุ่นคิดถึงความหมายแฝงอันลึกซึ้งในคำพูด

คนที่มาถ่ายทอดคำสั่งให้ตำหนักสวรรค์กำลังรออยู่ในสวน เป็นทหารสวรรค์ทั้งหมดหนึ่งร้อยคน เป็นแม่ทัพใหญ่เกราะแดงเหมือนกันทั้งหมด จะเห็นได้ว่าตำหนักสวรรค์ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการลดยศตำแหน่งของกำลังพลห้าสิบล้านนี้ ถ้าส่งมาแค่คนสองคนดูไม่โอ่อ่ามากพอ

กลุ่มทหารที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดคำสั่งกำลังกินดื่มพูดคุยแย้มกันอยู่ในตึกศาลา พอเหมียวอี้มาถึง กลุ่มคนก็ทยอยกันลุกขึ้น ถือว่าเป็นมารยาทพื้นฐาน

คนที่มาประกาศคำสั่งยังเป็นคนคุ้นเคยของเหมียวอี้ เขาคือเหวินเจ๋อนั่นเอง

เหวินเจ๋อเดินออกมาจากศาลากลางน้ำ ส่วนคนที่เหลือก็ทยอยกันเดินออกมาจากที่ต่างๆ เดินมาอยู่ข้างหลังเขา

เมื่อพบหน้ากัน เหมียวอี้ก็กุมหมัดขออภัย “ให้พี่เหวินรอนานแล้ว”

“ไล่เว่ยซูไปแล้วเหรอ?” เหวินเจ๋อถามกลั้วเราะ

“ไปแล้ว!” เหมียวอี้พยักหน้ายิ้ม “เริ่มได้เลยใช่มั้ย?”

เหวินเจ๋อขานรับ “ในเมื่อผู้ตรวจการใหญ่เสร็จงานแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มเลยแล้วกัน!”

“เชิญ!” เหมียวอี้ยื่นมือหลีกทางให้ แล้วเดินเคียงข้างเหวินเจ๋อเข้าไป แล้วกลุ่มทหารก็เรียงแถวกันเดินตามหลัง

พอออกจากสวน กลุ่มคนที่ได้รับแจ้งก็รอยู่ด้านนอกแล้ว

สวีถังหราน ปี้เยว่ สงเวย ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ หงเทียนรวมทั้งกลุ่มวีรบุรุษของทะเลดาวนักษัตรล้วนยืนเรียงแถวรออยู่ด้านนอก ฉวยโอกาสจากคำสั่งของตำหนักนารีสวรรค์ เหมียวอี้ย้ายลูกน้องเก่าเหล่านี้มาหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าบุคคลระดับบนของตลาดสวรรค์ไม่ปล่อยคน เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน

อ้อมไปอ้อมมา วนไปวนมา สุดท้ายเหมียวอี้ก็ใช้งานกลุ่มคนที่สำรองไว้จากพิภพเล็ก

“ผู้ตรวจการใหญ่!”

เมื่อเหมียวอี้เดินออกมา สวีถังหรานก็นำทำความเคารพ ทั้งหมดเปลี่ยนใส่เกราะรบตามตำแหน่งขุนนางแล้ว

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ให้พวกเขา จากนั้นพวกเขาก็เดินตามขึ้นไป เสียงเกราะรบกระทบกันจนเกิดเสียงดัง ค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่ถูกปิดชั่วคราว กลุ่มคนเหาะออกไป ดึงดูดสายตาของทหารยามที่เฝ้าอยู่รอบๆ คนส่วนใหญ่ตระหนักได้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ ดีไม่ดีครั้งนี้ทหารยามที่อยู่ตรงนั้นจะต้องปล่อยกำลังพลกลุ่มใหญ่ใต้บังคับบัญชาของตัวเองไปคุมทัพอย่างเป็นทางการแล้ว

ดังนั้นกลุ่มทหารยามจึงยกระดับการเตรียมพร้อมป้องกัน อย่าให้เกิดเรื่องขึ้นตอนที่กำลังความพยายามครั้งสุดท้ายเด็ดขาด

ในถ้ำภูเขาแห่งหนึ่งบนยอดเขา ลิ่งหูโต้วจ้งที่ได้รับแจ้งจากหยางเจาชิงรีบเดินออกมาที่ปากถ้ำ แล้วตะโกนบอกทหารที่เฝ้าอยู่ตรงปากถ้ำ “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป บัญชาสวรรค์มาถึงแล้ว ให้กำลังพลทั้งหมดรวมตัวกัน!”

ตามเสียงถ่ายทอดคำสั่งของเขา ระหว่างแนวเทือกเขาที่สูงต่ำสลับกันรอบด้านคึกคักทันที กำลังพลทยอยกันเหาะออกมา พวกเขามารวมตัวกันบนที่ราบ ยิ่งใหญ่เกรียงไกรสุดลูกหูลูกตา ครอบคลุมทั้งพื้นที่ราบไว้แล้ว

ระหว่างแนวเทือกเขาคึกคักไม่หยุด สมาชิกครอบครัวเหล่านั้นทยอยกันโผล่หน้าออกมาแล้ว ต่างก็รู้ว่าช่วงเวลาที่จะเปลี่ยนอนาคตของเสาหลักในครอบครัวตัวเองมาถึงแล้ว ส่วนใหญ่ทุกคนรู้เรื่องแล้ว ทุกคนต้องถูกลดยศตำแหน่ง รู้แล้วว่าจะถูกลดตำแหน่งกลายเป็นอะไร!

ให้ความสนใจ กังวล กลัดกลุ้ม อารมณ์ต่างๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของบรรดาคนในป่า ต่างก็กำลังยื่นคอรอฟังข่าว

รอไม่นาน พวกเหมียวอี้ก็เหาะลงมาจากฟ้า ลิ่งหูโต้วจ้งก้าวขึ้นมาทำความเคารพและรับบัญชา!

เหมียวอี้ยกตำแหน่งหลักบนเนินเขาให้เหวินเจ๋อแล้ว เหวินเจ๋อถือบัญชาสวรรค์ หันมองไปรอบๆ พร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนประกาศเสียงดัง “ฝ่าบาทมีบัญชา หนิวโหย่วเต๋อ หัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ควบตำแหน่งผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์และทูตลาดตระเวนตลาดสวรรค์ จำนวนของกำลังพลใต้สังกัดไม่เพียงพอให้ควบตำแหน่งหลายพื้นที่พร้อมกัน จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลกกลังจะเปลี่ยนเป็นจวนผู้สำเร็จราชการ มีกำลังพลห้าจวนอยู่ใต้บังคับบัญชา หนิวโหย่วเต๋อรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ยศไม่เปลี่ยน!”

พวกลิ่งหูโต้วจ้งมองไปที่เหมียวอี้โดยไม่รู้ตัว

เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ เขาไม่รู้ว่าประมุขชิงยังมีบัญชานี้อีก เรื่องเลื่อนขั้นจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลให้เป็นจวนผู้สำเร็จราชการ ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย เหวินเจ๋อเองก็ไม่ได้แพร่งพรายข่าวให้เขารู้สักนิด แม้ตัวเขาเองจะไม่ได้เลื่อนยศ แต่อาณาเขตก็ได้เลื่อนระดับแล้ว เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าประมุขชิงจะมีน้ำใจขนาดนี้ สร้างความตื่นเต้นประหลาดใจให้เขานิดหน่อย ในภายหลังจะได้ไม่ยุ่งยากเรื่องความชอบธรรม ไม่รู้ว่าเป็นผลจากที่เฟยหงรายงานความลับไปยังหน่วยตรวจการซ้ายว่าเขาปฏิเสธก่วงลิ่งกงหรือเปล่า

“ข้าน้อยน้อมรับบัญชา!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะพร้อมกล่าวเสียงดังทันที มีเรื่องดีก็ย่อมต้องรับไว้ ถ้าถอดตำแหน่งของเขาออก เกรงว่าเขาจะต้องยื่นอยู่ท่ามกลางกำลังพลของตัวเองเพื่อซักถามความจริงของบัญชานี้ทันที

พวกลิ่งหูโต้วจ้งกลับแอบทอดถอนใจ ดูจากปฏิกิริยาของหนิวโหย่วเต๋อแล้วเหมือนจะไม่รู้ความจริง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้สำเร็จราชการโผล่มาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินตำหนักสวรรค์เอ่ยถึงตำแหน่งนี้ เพื่อที่จะให้หนิวโหย่วเต๋อควบคุมกำลังพลกลุ่มนี้ได้สะดวก ประมุขชิงช่างเอาใจใส่จริงๆ!

เหวินเจ๋อพูดต่อไปว่า “กำลังพลห้าสิบล้านของสายขาลที่นำโดยลิ่งหูโต้วจ้ง ไม่สำนึกบุญคุณสวรรค์ มีเจตนาช่วยอิ๋งจิ่วกวงก่อกบฏ เดิมทีมีโทษประหารทั้งตระกูล แต่เห็นแก่ที่กลับตัวกลับใจได้ทันเวลา จึงลดหย่อนโทษให้เป็นพิเศษ ลดยศตำแหน่งให้ทุกคนมาสร้างผลงานชดใช้ความผิดที่จวนผู้สำเร็จราชการ!” พูดจบก็กวาดสายตามองกลุ่มคนแวบหนึ่ง

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ลิ่งหูโต้วจ้งและบรรดาแม่ทัพกล่าวขอบคุณ แต่ในใจกลับยิ้มเจื่อน ถ้าต้องการจะฆ่าพวกเขา เกรงว่าอีกฝ่ายคงไม่มีคำว่ากลับตัวกลับใจอะไรนั่นแล้ว สรุปก็คือไม่ว่าจะพูดดีหรือพูดร้าย อำนาจการตัดสินใจก็ล้วนอยู่ในมือของคนที่ควบคุมแนวโน้มของสถานการณ์

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” กำลังพลหลายสิบล้านข้างหลังส่งเสียงดังเกรียวกราว

รอจนกระทั่งเสียงเงียบลง เหวินเจ๋อก็ประกาศต่อ “ลิ่งหูโต้วจ้งเป็นตัวการทำผิด ควรได้รับโทษหนักเพื่อให้สำนึก ปลดตำแหน่งจอมพลสายขาลของลิ่งหูโต้วจ้ง ลดยศจากแม่ทัพใหญ่หกแถบเป็นแม่ทัพสามแถบ รับตำแหน่งรองผู้สำเร็จราชการที่จวนผู้สำเร็จราชการชั่วคราว รอดูผลงานในภายหลัง!”

ลดยศรวดเดียวสิบขั้น เส้าเซียงหัวที่อยู่ไกลๆ เอามือปิดปากโดยไม่รู้ตัว หยดน้ำตาไหลออกจากดวงตาแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเกียรติยศความร่ำรวยในยุคสมัยหนึ่งจะตกต่ำจนถึงขนาดนี้

อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างๆ ปลอบใจทันที ประมาณว่าตราบใดที่ฝ่าบาทมีความตั้งใจนั้น ลดขั้นเร็วก็เลื่อนขั้นเร็วเช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อผู้ชายของนางก็เป็นประเภทนั้น

ลิ่งหูโต้วจ้งยิ้มอย่างขื่นขมในใจ กุมหมัดขอบคุณอีกครั้ง “ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

เหวินเจ๋อมองเขาแวบหนึ่งด้วยแววตาที่แฝงความหมายล้ำลึก จากนั้นก็ประกาศรายชื่อคนถูกลดยศตำแหน่งที่อยู่ข้างหลัง

เมื่อคำบัญชาหลังจากนั้นประกาศออกมา ทุกคนก็รู้สึกผิดคาดนิดหน่อย แม่ทัพคนสำคัญทั้งหมดถูกจัดให้เป็นผู้กระทำความผิดหลัก นอกจากจะปลดออกจากตำแหน่งแล้ว ยังลดยศรวดเดียวเก้าขั้น ลดลงจนถึงระดับผู้บัญชาการใหญ่เท่านั้น ส่วนแม่ทัพคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งสำคัญก็ถูกจัดให้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ถูกปลดออกจากตำแหน่งและลศยศเพียงสามขั้น เรื่องตำแหน่งจะให้หนิวโหย่วเต๋อจัดเตรียมรายงานขึ้นไปในภายหลัง สว่นระดับผู้บัญชาการเบื้องล่างก็จัดอยู่ในประเภทเชื่อฟังคำสั่งคนอื่น ลศยศเพียงขั้นเดียว ไม่ได้ปลดจากตำแหน่ง ถูกปรับเป็นค่าจ้างหนึ่งร้อยปี ส่วนคนที่อยู่ระดับล่างกว่านั้นก็ถูกปรับเป็นค่าจ้างเพียงไม่กี่ปี ยศตำแหน่งไม่ได้รับผลกระทบใดๆ

หรือพูดได้อีกอย่างว่า ในบรรดากลุ่มแม่ทัพใต้บังคับบัญชาของลิ่งหูโต้วจ้ง มีจำนวนไม่น้อยที่ยังอยู่ในยศแม่ทัพใหญ่เกราะแดง เพราะส่วนใหญ่ยศถึงขั้นสี่ห้าหกแล้ว พอลดยศสามขั้นก็ไม่ถึงขนาดต่ำกว่าระดับแม่ทัพใหญ่ พอเป็นแบบนี้ส่วนใหญ่จึงมียศสูงกว่าลิ่งหูโต้วจ้ง เพียงแต่ลิ่งหูโต้วจ้งกลับได้ครอบตำแหน่งรองผู้สำเร็จราชการแล้ว

ท่ามกลางทัพใหญ่ที่มารวมตัวกัน มีคนไม่น้อยเผยสีหน้าดีใจเหนือความคาดหมาย กำลังพลห้าสิบล้านของสายขาลที่มาที่นี่ล้วนเป็นกำลังพลสายตรงของลิ่งหูโต้วจ้ง มีเยอะกว่าระดับผู้บัญชาการตามสถานการณ์ปกติ ตามหลักแล้วกำลังพลห้าสิบล้านมีเพียงผู้บัญชาการประมาณห้าพันคนเท่านั้น แต่ที่นี่กลับมีหมื่นกว่าคน ตอนที่คนส่วนใหญ่ติดตามลิ่งหูโต้วจ้งมา พวกเขาไม่ได้มีลูกน้องติดตามาด้วย

คนนับหมื่นระดับผู้บัญชาการยังนับว่าเป็นส่วนน้อย แค่แม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่นี่ก็มีหลายพันคนแล้ว เกราะม่วงก็ยิ่งมีหลายล้าน ในกำลังพลเดิมของลิ่งหูโต้วจ้ง ทหารยศเกราะม่วงที่ติดตามมาด้วยก็มีมากถึงหนึ่งล้านแล้ว แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นแม่ทัพที่เตรียมสำรองไว้ใช้งาน ส่วนใหญ่ยศสูงแล้ว แต่กลับไม่ได้ครองตำแหน่งแม่ทัพตัวหลัก ยิ่งตำแหน่งสูงอำนาจมาก ยอดฝีมือใต้สังกัดก็ยิ่งมีเยอะ จึงถูกจัดไว้เตรียมใช้งานในกองทัพ เพราะไม่มีตำแหน่งมากมายขนาดนั้นมารองรับ

ลดยศเพียงขั้นเดียวเท่านั้น ปรับเป็นค่าจ้างหนึ่งร้อยปี ตำแหน่งก็ยังรักษาไว้เหมือนเดิม ที่อยู่ตำแหน่งต่ำกว่านั้นก็แทบจะไม่มีอะไรเสียหาย การลงโทษนี้เหนือความคาดหมายของบรรดาผู้บัญชาการจริงๆ

เมื่อได้ยินคำสั่งนี้ สมาชิกครอบครัวที่อยู่ในป่าบางส่วนก็ดีใจไม่หยุด รู้สึกโล่งใจแทนเสาหลักของครอบครัวตัวเอง

แม่ทัพที่ยศค่อนข้างสูงแต่ไม่ได้นั่งตำแหน่งสำคัญก็ค่อนข้างดีใจเหนือความคาดหมาย เมื่อก่อนไม่พอใจที่ไม่ได้นั่งตำแหน่งสำคัญ ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องดี เดิมทีไม่ได้ครองตำแหน่งสำคัญ จะโดนปลดหรือไม่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบเยอะ โดนลดยศเพียงสามขั้นเท่านั้น เมื่อเทียบกับพวกแม่ทัพคนสำคัญที่โดนลดยศรวดเดียวเก้าขั้น ก็ถือว่าดีกว่าไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว สุขทุกข์เป็นสิ่งไม่เที่ยงจริงๆ!

“ขอบคุณเมตตาจากสวรรค์!” ทันใดนั้นกำลังพลหลายสิบล้านก็กล่าวขอบคุณเสียงดังต่อเนื่องเป็นระลอก ในเสียงตะโกนเผยความรู้สึกดีใจ

ลิ่งหูโต้วจ้งและบรรดาแม่ทัพคนสำคัญกลับทำสีหน้าพยับเมฆ พาหันมองไปที่เหมียวอี้ ส่วนเหมียวอี้กลับยักไหล่อย่างจนใจ ถึงขั้นถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ข้าไม่ได้เห็นบัญชาล่วงหน้านะ นึกไม่ถึงด้วยว่าจะเป็นแบบนี้ นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะลดยศตำแหน่งแบบนี้เพื่อลงโทษ ข้าถึงขนาดไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลจะเลื่อนระดับเป็นจวนผู้สำเร็จราชการ!”

ลิ่งหูโต้วจ้งและบรรดาแม่ทัพคนสำคัญสีหน้าค่อนข้างแย่ รับปากหนิวโหย่วเต๋อแล้วว่าจะยอมรับการลดยศตำแหน่ง แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะใช้วิธีการนี้ลดยสตำแหน่ง สังเกตได้ถึงความโหดร้ายในบัญชานี้แล้ว

ผู้บัญชาการใหญ่เหล่านั้นถูกลดขั้นจนกลายเป็นตำแหน่งทั่วไปในรวดเดียว ถึงขั้นสู้พวกผู้ช่วยผู้บัญชาการไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่อให้เบื้องล่างเคยเป็นลูกน้องคนสนิทของพวกเขาแล้วอย่างไรล่ะ ตอนนี้ลูกน้องคนสนิทกลายเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้าแล้ว จะให้ลูกน้องคนสนิทมอบตำแหน่งให้เจ้าคงไม่ได้หรอกใช่มั้ย? ตัวเองยังคิดจะไต่เต้าขึ้นข้างบนอีก เพื่อที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง แค่คิดก็รู้แล้วว่าต้องพยายามไปพึ่งพิงหนิวโหย่วเต๋อสุดชีวิต ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ทุกระดับล้วนเป็นอย่างนี้ อย่างไรเสียงคนเบื้องล่างก็มีจำนวนเยอะที่สุด เท่ากับทำลายกำลังพลสายตรงของเขาในรวดเดียว ปล้นอำนาจของพวกเขาในครั้งเดียวแล้ว

นี่คือการใช้ประโยชน์คนของเขามาควบคุมคนของเขา แล้วค่อยควบคุมกำลังพลของเขาให้ครบทั้งหมด!

แต่พวกเขาดันไม่มีหนทางต่อต้าน หรือจะให้บอกกำลังพลเบื้องล่างว่า พวกเราโดนทำโทษหนักเกินไป ส่วนพวกเจ้าโดนทำโทษแรงเกินไป อย่างนั้นหรือ?

ถ้าใครกล้าพูดจาแบบนี้ ก็จะทำให้ฝูงชนโกรธแค้นทันที จะสงสัยว่าผู้บังคับบัญชาอย่างพวกเจ้าคงไม่อยากให้พวกเราได้ดีสินะ!

ตอนนี้ต่อให้ดึงกำลังพลเบื้องล่างมาก่อกบฏด้วยกัน แต่กำลังพลเบื้องล่างได้รับผลกระทบจากการทำโทษไม่เยอะ หลบพ้นวิกฤติที่ร้ายแรงที่สุดได้แล้ว เมื่อยกหินหนักอึ้งในใจออกไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายอีก ได้เจอหนทางท่ามกลางความยากลำบาก มีหรือที่จะยังมาเสี่ยงหัวหลุดเพราะการก่อกบฏร่วมกับเจ้า?

ดังนั้นคำบัญชานี้ดูเหมือนทั้งข้างล่างข้างบนถูกทำโทษอย่างทั่วถึง ดูเหมือนผู้กระทำความผิดและผู้สมรู้ร่วมคิดมีความแตกต่างกัน การลงโทษหนักเบาดูสมเหตุสมผลมาก แต่ความจริงแล้วดโหดร้ายที่สุด พวกลิ่งหูโต้วจ้งค่อนข้างขนลุก ไม่รู้ว่าใครกันที่คิดวิธีการโหดเหี้ยมร้ายกาจอย่างนี้ออกมาได้!

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาคิดไม่ตกก็คือ ตำแหน่งผู้บัญชาการเบื้องล่างมีเยอะกว่าจำนวนคนปัจจุบัน ถ้าปลดออกจากตำแหน่งหมดแล้วจะแบ่งกันอย่างไร? ค่าจ้างไม่เกี่ยวข้องกับการจ่ายของตำหนักสวรรค์ แต่ตำแหน่งมีจำกัด อย่าบอกนะว่าเตรียมจะกวาดล้างทีหลัง? ถ้าเป็นอย่างนี้ เมื่อเวลานั้นมาถึงแล้วใจคนสั่นคลอนก็ยังมีโอกาส!

………………

หยางเจาชิงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเตือนว่า “คนเยอะเกินไป เกรงว่าที่นี่จะรองรับไม่ไหวขอรับ”

เหมียวอี้นิ่งไปชั่วขณะ เป็นตัวเองที่เลอะเลือนไป กำลังพลห้าสิบล้านนั่นไม่ใช่กำลังพลตามกฎเกณฑ์ ถ้าจะให้ทหารที่ถูกลดยศตำแหน่งมากันหมด เกรงว่าที่นี่จะยืนกันไม่หมด ถึงได้เปลี่ยนคำสั่งว่า “เช่นนั้นก็สั่งให้ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่เดิมแล้วกัน”

“รับทราบ!” หยางเจาชิงหยิบระฆังออกมาถ่ายทอดคำสั่ง

ส่วนเหมียวอี้ก็เปลี่ยนใส่เกราะรบของเแม่ทัพใหญ่หนึ่งแถบตรงนั้นเลย จากนั้นก็เดินก้าวยาวออกไป มุ่งตรงไปยังสวนรับแขก

ระหว่างทางบังเอิญเจอกับหยวนกงที่เดินผ่านมาพอดี หยวนกงรีบเข้ามาทำความเคารพ จากนั้นก็ถามว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ เมื่อครู่นี้ข้าน้อยเห็นพ่อบ้านใหญ่เว่ยซูของตระกูลเซี่ยโห้วมาแล้ว เขามาทำอะไรถึงที่นี่ด้วยตัวเองขอรับ?”

เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก “ไม่ใช่เพราะเรื่องเส็งเคร็งของตระกูลเซี่ยโห้วนั่นเหรอ เขามาขู่ข้า พอค่าไม่ให้ความร่วมมือกับพวกเขา ก็เลยมาขู่ข้าแล้ว ข้าไม่ตกหลุมพรางหรอก ข้าก็อยากจะเห็นว่าใครกันแน่ที่จะได้สั่งสอนใคร!”

คำพูดนี้ฟังดูคลุมเครือ ซิงฟังแล้วรู้สึกว่ามีบางอย่างบิดเบือน ทว่ากลับเพียงพอที่จะทำให้หยวนกงครุ่นคิดถึงความหมายแฝงอันลึกซึ้งในคำพูด

คนที่มาถ่ายทอดคำสั่งให้ตำหนักสวรรค์กำลังรออยู่ในสวน เป็นทหารสวรรค์ทั้งหมดหนึ่งร้อยคน เป็นแม่ทัพใหญ่เกราะแดงเหมือนกันทั้งหมด จะเห็นได้ว่าตำหนักสวรรค์ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการลดยศตำแหน่งของกำลังพลห้าสิบล้านนี้ ถ้าส่งมาแค่คนสองคนดูไม่โอ่อ่ามากพอ

กลุ่มทหารที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดคำสั่งกำลังกินดื่มพูดคุยแย้มกันอยู่ในตึกศาลา พอเหมียวอี้มาถึง กลุ่มคนก็ทยอยกันลุกขึ้น ถือว่าเป็นมารยาทพื้นฐาน

คนที่มาประกาศคำสั่งยังเป็นคนคุ้นเคยของเหมียวอี้ เขาคือเหวินเจ๋อนั่นเอง

เหวินเจ๋อเดินออกมาจากศาลากลางน้ำ ส่วนคนที่เหลือก็ทยอยกันเดินออกมาจากที่ต่างๆ เดินมาอยู่ข้างหลังเขา

เมื่อพบหน้ากัน เหมียวอี้ก็กุมหมัดขออภัย “ให้พี่เหวินรอนานแล้ว”

“ไล่เว่ยซูไปแล้วเหรอ?” เหวินเจ๋อถามกลั้วเราะ

“ไปแล้ว!” เหมียวอี้พยักหน้ายิ้ม “เริ่มได้เลยใช่มั้ย?”

เหวินเจ๋อขานรับ “ในเมื่อผู้ตรวจการใหญ่เสร็จงานแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มเลยแล้วกัน!”

“เชิญ!” เหมียวอี้ยื่นมือหลีกทางให้ แล้วเดินเคียงข้างเหวินเจ๋อเข้าไป แล้วกลุ่มทหารก็เรียงแถวกันเดินตามหลัง

พอออกจากสวน กลุ่มคนที่ได้รับแจ้งก็รอยู่ด้านนอกแล้ว

สวีถังหราน ปี้เยว่ สงเวย ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ หงเทียนรวมทั้งกลุ่มวีรบุรุษของทะเลดาวนักษัตรล้วนยืนเรียงแถวรออยู่ด้านนอก ฉวยโอกาสจากคำสั่งของตำหนักนารีสวรรค์ เหมียวอี้ย้ายลูกน้องเก่าเหล่านี้มาหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าบุคคลระดับบนของตลาดสวรรค์ไม่ปล่อยคน เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน

อ้อมไปอ้อมมา วนไปวนมา สุดท้ายเหมียวอี้ก็ใช้งานกลุ่มคนที่สำรองไว้จากพิภพเล็ก

“ผู้ตรวจการใหญ่!”

เมื่อเหมียวอี้เดินออกมา สวีถังหรานก็นำทำความเคารพ ทั้งหมดเปลี่ยนใส่เกราะรบตามตำแหน่งขุนนางแล้ว

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ให้พวกเขา จากนั้นพวกเขาก็เดินตามขึ้นไป เสียงเกราะรบกระทบกันจนเกิดเสียงดัง ค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่ถูกปิดชั่วคราว กลุ่มคนเหาะออกไป ดึงดูดสายตาของทหารยามที่เฝ้าอยู่รอบๆ คนส่วนใหญ่ตระหนักได้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ ดีไม่ดีครั้งนี้ทหารยามที่อยู่ตรงนั้นจะต้องปล่อยกำลังพลกลุ่มใหญ่ใต้บังคับบัญชาของตัวเองไปคุมทัพอย่างเป็นทางการแล้ว

ดังนั้นกลุ่มทหารยามจึงยกระดับการเตรียมพร้อมป้องกัน อย่าให้เกิดเรื่องขึ้นตอนที่กำลังความพยายามครั้งสุดท้ายเด็ดขาด

ในถ้ำภูเขาแห่งหนึ่งบนยอดเขา ลิ่งหูโต้วจ้งที่ได้รับแจ้งจากหยางเจาชิงรีบเดินออกมาที่ปากถ้ำ แล้วตะโกนบอกทหารที่เฝ้าอยู่ตรงปากถ้ำ “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป บัญชาสวรรค์มาถึงแล้ว ให้กำลังพลทั้งหมดรวมตัวกัน!”

ตามเสียงถ่ายทอดคำสั่งของเขา ระหว่างแนวเทือกเขาที่สูงต่ำสลับกันรอบด้านคึกคักทันที กำลังพลทยอยกันเหาะออกมา พวกเขามารวมตัวกันบนที่ราบ ยิ่งใหญ่เกรียงไกรสุดลูกหูลูกตา ครอบคลุมทั้งพื้นที่ราบไว้แล้ว

ระหว่างแนวเทือกเขาคึกคักไม่หยุด สมาชิกครอบครัวเหล่านั้นทยอยกันโผล่หน้าออกมาแล้ว ต่างก็รู้ว่าช่วงเวลาที่จะเปลี่ยนอนาคตของเสาหลักในครอบครัวตัวเองมาถึงแล้ว ส่วนใหญ่ทุกคนรู้เรื่องแล้ว ทุกคนต้องถูกลดยศตำแหน่ง รู้แล้วว่าจะถูกลดตำแหน่งกลายเป็นอะไร!

ให้ความสนใจ กังวล กลัดกลุ้ม อารมณ์ต่างๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของบรรดาคนในป่า ต่างก็กำลังยื่นคอรอฟังข่าว

รอไม่นาน พวกเหมียวอี้ก็เหาะลงมาจากฟ้า ลิ่งหูโต้วจ้งก้าวขึ้นมาทำความเคารพและรับบัญชา!

เหมียวอี้ยกตำแหน่งหลักบนเนินเขาให้เหวินเจ๋อแล้ว เหวินเจ๋อถือบัญชาสวรรค์ หันมองไปรอบๆ พร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนประกาศเสียงดัง “ฝ่าบาทมีบัญชา หนิวโหย่วเต๋อ หัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ควบตำแหน่งผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์และทูตลาดตระเวนตลาดสวรรค์ จำนวนของกำลังพลใต้สังกัดไม่เพียงพอให้ควบตำแหน่งหลายพื้นที่พร้อมกัน จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลกกลังจะเปลี่ยนเป็นจวนผู้สำเร็จราชการ มีกำลังพลห้าจวนอยู่ใต้บังคับบัญชา หนิวโหย่วเต๋อรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ยศไม่เปลี่ยน!”

พวกลิ่งหูโต้วจ้งมองไปที่เหมียวอี้โดยไม่รู้ตัว

เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ เขาไม่รู้ว่าประมุขชิงยังมีบัญชานี้อีก เรื่องเลื่อนขั้นจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลให้เป็นจวนผู้สำเร็จราชการ ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย เหวินเจ๋อเองก็ไม่ได้แพร่งพรายข่าวให้เขารู้สักนิด แม้ตัวเขาเองจะไม่ได้เลื่อนยศ แต่อาณาเขตก็ได้เลื่อนระดับแล้ว เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าประมุขชิงจะมีน้ำใจขนาดนี้ สร้างความตื่นเต้นประหลาดใจให้เขานิดหน่อย ในภายหลังจะได้ไม่ยุ่งยากเรื่องความชอบธรรม ไม่รู้ว่าเป็นผลจากที่เฟยหงรายงานความลับไปยังหน่วยตรวจการซ้ายว่าเขาปฏิเสธก่วงลิ่งกงหรือเปล่า

“ข้าน้อยน้อมรับบัญชา!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะพร้อมกล่าวเสียงดังทันที มีเรื่องดีก็ย่อมต้องรับไว้ ถ้าถอดตำแหน่งของเขาออก เกรงว่าเขาจะต้องยื่นอยู่ท่ามกลางกำลังพลของตัวเองเพื่อซักถามความจริงของบัญชานี้ทันที

พวกลิ่งหูโต้วจ้งกลับแอบทอดถอนใจ ดูจากปฏิกิริยาของหนิวโหย่วเต๋อแล้วเหมือนจะไม่รู้ความจริง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้สำเร็จราชการโผล่มาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินตำหนักสวรรค์เอ่ยถึงตำแหน่งนี้ เพื่อที่จะให้หนิวโหย่วเต๋อควบคุมกำลังพลกลุ่มนี้ได้สะดวก ประมุขชิงช่างเอาใจใส่จริงๆ!

เหวินเจ๋อพูดต่อไปว่า “กำลังพลห้าสิบล้านของสายขาลที่นำโดยลิ่งหูโต้วจ้ง ไม่สำนึกบุญคุณสวรรค์ มีเจตนาช่วยอิ๋งจิ่วกวงก่อกบฏ เดิมทีมีโทษประหารทั้งตระกูล แต่เห็นแก่ที่กลับตัวกลับใจได้ทันเวลา จึงลดหย่อนโทษให้เป็นพิเศษ ลดยศตำแหน่งให้ทุกคนมาสร้างผลงานชดใช้ความผิดที่จวนผู้สำเร็จราชการ!” พูดจบก็กวาดสายตามองกลุ่มคนแวบหนึ่ง

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ลิ่งหูโต้วจ้งและบรรดาแม่ทัพกล่าวขอบคุณ แต่ในใจกลับยิ้มเจื่อน ถ้าต้องการจะฆ่าพวกเขา เกรงว่าอีกฝ่ายคงไม่มีคำว่ากลับตัวกลับใจอะไรนั่นแล้ว สรุปก็คือไม่ว่าจะพูดดีหรือพูดร้าย อำนาจการตัดสินใจก็ล้วนอยู่ในมือของคนที่ควบคุมแนวโน้มของสถานการณ์

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” กำลังพลหลายสิบล้านข้างหลังส่งเสียงดังเกรียวกราว

รอจนกระทั่งเสียงเงียบลง เหวินเจ๋อก็ประกาศต่อ “ลิ่งหูโต้วจ้งเป็นตัวการทำผิด ควรได้รับโทษหนักเพื่อให้สำนึก ปลดตำแหน่งจอมพลสายขาลของลิ่งหูโต้วจ้ง ลดยศจากแม่ทัพใหญ่หกแถบเป็นแม่ทัพสามแถบ รับตำแหน่งรองผู้สำเร็จราชการที่จวนผู้สำเร็จราชการชั่วคราว รอดูผลงานในภายหลัง!”

ลดยศรวดเดียวสิบขั้น เส้าเซียงหัวที่อยู่ไกลๆ เอามือปิดปากโดยไม่รู้ตัว หยดน้ำตาไหลออกจากดวงตาแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเกียรติยศความร่ำรวยในยุคสมัยหนึ่งจะตกต่ำจนถึงขนาดนี้

อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างๆ ปลอบใจทันที ประมาณว่าตราบใดที่ฝ่าบาทมีความตั้งใจนั้น ลดขั้นเร็วก็เลื่อนขั้นเร็วเช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อผู้ชายของนางก็เป็นประเภทนั้น

ลิ่งหูโต้วจ้งยิ้มอย่างขื่นขมในใจ กุมหมัดขอบคุณอีกครั้ง “ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

เหวินเจ๋อมองเขาแวบหนึ่งด้วยแววตาที่แฝงความหมายล้ำลึก จากนั้นก็ประกาศรายชื่อคนถูกลดยศตำแหน่งที่อยู่ข้างหลัง

เมื่อคำบัญชาหลังจากนั้นประกาศออกมา ทุกคนก็รู้สึกผิดคาดนิดหน่อย แม่ทัพคนสำคัญทั้งหมดถูกจัดให้เป็นผู้กระทำความผิดหลัก นอกจากจะปลดออกจากตำแหน่งแล้ว ยังลดยศรวดเดียวเก้าขั้น ลดลงจนถึงระดับผู้บัญชาการใหญ่เท่านั้น ส่วนแม่ทัพคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งสำคัญก็ถูกจัดให้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ถูกปลดออกจากตำแหน่งและลศยศเพียงสามขั้น เรื่องตำแหน่งจะให้หนิวโหย่วเต๋อจัดเตรียมรายงานขึ้นไปในภายหลัง สว่นระดับผู้บัญชาการเบื้องล่างก็จัดอยู่ในประเภทเชื่อฟังคำสั่งคนอื่น ลศยศเพียงขั้นเดียว ไม่ได้ปลดจากตำแหน่ง ถูกปรับเป็นค่าจ้างหนึ่งร้อยปี ส่วนคนที่อยู่ระดับล่างกว่านั้นก็ถูกปรับเป็นค่าจ้างเพียงไม่กี่ปี ยศตำแหน่งไม่ได้รับผลกระทบใดๆ

หรือพูดได้อีกอย่างว่า ในบรรดากลุ่มแม่ทัพใต้บังคับบัญชาของลิ่งหูโต้วจ้ง มีจำนวนไม่น้อยที่ยังอยู่ในยศแม่ทัพใหญ่เกราะแดง เพราะส่วนใหญ่ยศถึงขั้นสี่ห้าหกแล้ว พอลดยศสามขั้นก็ไม่ถึงขนาดต่ำกว่าระดับแม่ทัพใหญ่ พอเป็นแบบนี้ส่วนใหญ่จึงมียศสูงกว่าลิ่งหูโต้วจ้ง เพียงแต่ลิ่งหูโต้วจ้งกลับได้ครอบตำแหน่งรองผู้สำเร็จราชการแล้ว

ท่ามกลางทัพใหญ่ที่มารวมตัวกัน มีคนไม่น้อยเผยสีหน้าดีใจเหนือความคาดหมาย กำลังพลห้าสิบล้านของสายขาลที่มาที่นี่ล้วนเป็นกำลังพลสายตรงของลิ่งหูโต้วจ้ง มีเยอะกว่าระดับผู้บัญชาการตามสถานการณ์ปกติ ตามหลักแล้วกำลังพลห้าสิบล้านมีเพียงผู้บัญชาการประมาณห้าพันคนเท่านั้น แต่ที่นี่กลับมีหมื่นกว่าคน ตอนที่คนส่วนใหญ่ติดตามลิ่งหูโต้วจ้งมา พวกเขาไม่ได้มีลูกน้องติดตามาด้วย

คนนับหมื่นระดับผู้บัญชาการยังนับว่าเป็นส่วนน้อย แค่แม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่นี่ก็มีหลายพันคนแล้ว เกราะม่วงก็ยิ่งมีหลายล้าน ในกำลังพลเดิมของลิ่งหูโต้วจ้ง ทหารยศเกราะม่วงที่ติดตามมาด้วยก็มีมากถึงหนึ่งล้านแล้ว แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นแม่ทัพที่เตรียมสำรองไว้ใช้งาน ส่วนใหญ่ยศสูงแล้ว แต่กลับไม่ได้ครองตำแหน่งแม่ทัพตัวหลัก ยิ่งตำแหน่งสูงอำนาจมาก ยอดฝีมือใต้สังกัดก็ยิ่งมีเยอะ จึงถูกจัดไว้เตรียมใช้งานในกองทัพ เพราะไม่มีตำแหน่งมากมายขนาดนั้นมารองรับ

ลดยศเพียงขั้นเดียวเท่านั้น ปรับเป็นค่าจ้างหนึ่งร้อยปี ตำแหน่งก็ยังรักษาไว้เหมือนเดิม ที่อยู่ตำแหน่งต่ำกว่านั้นก็แทบจะไม่มีอะไรเสียหาย การลงโทษนี้เหนือความคาดหมายของบรรดาผู้บัญชาการจริงๆ

เมื่อได้ยินคำสั่งนี้ สมาชิกครอบครัวที่อยู่ในป่าบางส่วนก็ดีใจไม่หยุด รู้สึกโล่งใจแทนเสาหลักของครอบครัวตัวเอง

แม่ทัพที่ยศค่อนข้างสูงแต่ไม่ได้นั่งตำแหน่งสำคัญก็ค่อนข้างดีใจเหนือความคาดหมาย เมื่อก่อนไม่พอใจที่ไม่ได้นั่งตำแหน่งสำคัญ ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องดี เดิมทีไม่ได้ครองตำแหน่งสำคัญ จะโดนปลดหรือไม่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบเยอะ โดนลดยศเพียงสามขั้นเท่านั้น เมื่อเทียบกับพวกแม่ทัพคนสำคัญที่โดนลดยศรวดเดียวเก้าขั้น ก็ถือว่าดีกว่าไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว สุขทุกข์เป็นสิ่งไม่เที่ยงจริงๆ!

“ขอบคุณเมตตาจากสวรรค์!” ทันใดนั้นกำลังพลหลายสิบล้านก็กล่าวขอบคุณเสียงดังต่อเนื่องเป็นระลอก ในเสียงตะโกนเผยความรู้สึกดีใจ

ลิ่งหูโต้วจ้งและบรรดาแม่ทัพคนสำคัญกลับทำสีหน้าพยับเมฆ พาหันมองไปที่เหมียวอี้ ส่วนเหมียวอี้กลับยักไหล่อย่างจนใจ ถึงขั้นถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ข้าไม่ได้เห็นบัญชาล่วงหน้านะ นึกไม่ถึงด้วยว่าจะเป็นแบบนี้ นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะลดยศตำแหน่งแบบนี้เพื่อลงโทษ ข้าถึงขนาดไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลจะเลื่อนระดับเป็นจวนผู้สำเร็จราชการ!”

ลิ่งหูโต้วจ้งและบรรดาแม่ทัพคนสำคัญสีหน้าค่อนข้างแย่ รับปากหนิวโหย่วเต๋อแล้วว่าจะยอมรับการลดยศตำแหน่ง แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะใช้วิธีการนี้ลดยสตำแหน่ง สังเกตได้ถึงความโหดร้ายในบัญชานี้แล้ว

ผู้บัญชาการใหญ่เหล่านั้นถูกลดขั้นจนกลายเป็นตำแหน่งทั่วไปในรวดเดียว ถึงขั้นสู้พวกผู้ช่วยผู้บัญชาการไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่อให้เบื้องล่างเคยเป็นลูกน้องคนสนิทของพวกเขาแล้วอย่างไรล่ะ ตอนนี้ลูกน้องคนสนิทกลายเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้าแล้ว จะให้ลูกน้องคนสนิทมอบตำแหน่งให้เจ้าคงไม่ได้หรอกใช่มั้ย? ตัวเองยังคิดจะไต่เต้าขึ้นข้างบนอีก เพื่อที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง แค่คิดก็รู้แล้วว่าต้องพยายามไปพึ่งพิงหนิวโหย่วเต๋อสุดชีวิต ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ทุกระดับล้วนเป็นอย่างนี้ อย่างไรเสียงคนเบื้องล่างก็มีจำนวนเยอะที่สุด เท่ากับทำลายกำลังพลสายตรงของเขาในรวดเดียว ปล้นอำนาจของพวกเขาในครั้งเดียวแล้ว

นี่คือการใช้ประโยชน์คนของเขามาควบคุมคนของเขา แล้วค่อยควบคุมกำลังพลของเขาให้ครบทั้งหมด!

แต่พวกเขาดันไม่มีหนทางต่อต้าน หรือจะให้บอกกำลังพลเบื้องล่างว่า พวกเราโดนทำโทษหนักเกินไป ส่วนพวกเจ้าโดนทำโทษแรงเกินไป อย่างนั้นหรือ?

ถ้าใครกล้าพูดจาแบบนี้ ก็จะทำให้ฝูงชนโกรธแค้นทันที จะสงสัยว่าผู้บังคับบัญชาอย่างพวกเจ้าคงไม่อยากให้พวกเราได้ดีสินะ!

ตอนนี้ต่อให้ดึงกำลังพลเบื้องล่างมาก่อกบฏด้วยกัน แต่กำลังพลเบื้องล่างได้รับผลกระทบจากการทำโทษไม่เยอะ หลบพ้นวิกฤติที่ร้ายแรงที่สุดได้แล้ว เมื่อยกหินหนักอึ้งในใจออกไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายอีก ได้เจอหนทางท่ามกลางความยากลำบาก มีหรือที่จะยังมาเสี่ยงหัวหลุดเพราะการก่อกบฏร่วมกับเจ้า?

ดังนั้นคำบัญชานี้ดูเหมือนทั้งข้างล่างข้างบนถูกทำโทษอย่างทั่วถึง ดูเหมือนผู้กระทำความผิดและผู้สมรู้ร่วมคิดมีความแตกต่างกัน การลงโทษหนักเบาดูสมเหตุสมผลมาก แต่ความจริงแล้วดโหดร้ายที่สุด พวกลิ่งหูโต้วจ้งค่อนข้างขนลุก ไม่รู้ว่าใครกันที่คิดวิธีการโหดเหี้ยมร้ายกาจอย่างนี้ออกมาได้!

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาคิดไม่ตกก็คือ ตำแหน่งผู้บัญชาการเบื้องล่างมีเยอะกว่าจำนวนคนปัจจุบัน ถ้าปลดออกจากตำแหน่งหมดแล้วจะแบ่งกันอย่างไร? ค่าจ้างไม่เกี่ยวข้องกับการจ่ายของตำหนักสวรรค์ แต่ตำแหน่งมีจำกัด อย่าบอกนะว่าเตรียมจะกวาดล้างทีหลัง? ถ้าเป็นอย่างนี้ เมื่อเวลานั้นมาถึงแล้วใจคนสั่นคลอนก็ยังมีโอกาส!

………………

ก่อนตายเซี่ยโห้วท่ากำชับเอาไว้หลายเรื่อง เซี่ยโห้วลิ่งนึกไม่ค่อยออก หันกลับมาถามว่า “เรื่องไหน?”

“เกี่ยวกับราชินีสวรรค์เหนียงเหนียง ท่านพูดเอาไว้ตรงนี้” เว่ยซูตอบอย่างใจเย็น

เซี่ยโห้วลิ่งงงไปชั่วขณะ ชั่วพริบตาเดียวก็มีภาพเหตุการณ์หนึ่งกระโดดเข้ามาในหัวเขา ทำให้เขาค่อนข้างใจลอย

ไม่ผิดหรอก ใต้ต้นไม้ต้นนี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังป้อนอาหารท่านพ่อ หลังจากท่านพ่อไล่คนอื่นออกไป เหลือเขาเอาไว้ แล้วตั้งใจสั่งเสียเอาไว้หลายประโยค พอนึกขึ้นได้ประโยคเหล่านั้นดังก้องอยู่ในหูเขา

ท่านพ่อบอกว่า “รับปากข้าหนึ่งเรื่อง”

ข้าบอกว่า “ลูกชายฟังอยู่ขอรับ”

ท่านพ่อบอกว่า “ไม่ว่าในภายหลังจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าในภายหลังนางหนูเฉิงอวี่จะทำอะไร แต่ตระกูลเซี่ยโห้วต้องจำเอาไว้อย่างหนึ่ง จะต้องพยายามปกป้องชีวิตของนางไว้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็รับนางกลับบ้าน หาสภาพแวดล้อมดีๆ ให้นางอยู่อย่างสงบสุข ดูแลไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ปกป้องให้นางสิ้นอายุขัยตามธรรมชาติ?”

ข้าตอบว่า “เรื่องนี้ลูกจะจำใส่ใจไว้!”

เขาไม่ได้ลืมสิ่งเหล่านี้ แม้ในใจเขาจะรู้ชัดเจน แต่ตอนนี้ท่านพ่อยังไม่ตาย ไม่ว่าท่านพ่อจะขออะไร เขาก็รับปากทั้งนั้น เพราะขเารู้ว่าต่อให้ท่านพ่อจะมอบอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วให้เขา แต่ก็สามารถเรียกคืนกลับไปได้ทุกเมื่อ ต่อให้เขาไม่อยากเชื่อฟังก็ต้องเชื่อฟัง

เพียงแต่เรื่องในตอนนั้น เขาเองก็รับปากจากใจจริง เป็นเพราะรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย

ตอนนี้พอนึกย้อนกลับไปแล้ว เมื่อท่านพ่อตาย สถานการณ์ในใต้หล้านี้ก็เหมือนจะเปลี่ยนแปลงไม่สงบเหมือนเก่าแล้ว อิทธิพลที่ท่านพ่อมีต่อใต้หล้านี้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาเทียบได้เลย

หลังจากเซี่ยโห้วลิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก็บอกว่า “สงสัยท่านพ่อจะรู้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าหลังจากเขาตายไป เฉิงอวี่จะไม่ยอมถูกควบคุม”

เว่ยซูกล่าวว่า “นายท่านใหญ่เคยกล่าวไว้ นี่คือสิ่งที่แน่นอน ไม่มีใครยอมถูกบงการไปทั้งชีวิต ขอเพียงมองเห็นโอกาสก็ย่อมคิดหาทางหลุดพ้น” มีประโยคหนึ่งที่เขาไม่ได้เอ่ยออกมา นั่นก็คือ ตอนที่นายท่านใหญ่ยังอยู่ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้ว คำพูดแบบนี้ ถ้าพูดออกมาก็ไม่ต่างอะไรกับกำลังบอกว่าหัวหน้าตระกูลอย่างเขา มีบารมีไม่มากพอ

เซี่ยโห้วลิ่งกล่าวด้วยใบหน้าตึง “คำพูดของท่านพ่อ ข้ายอมปฏิบัติตาม แต่เฉิงอวี่ทำเกินไปแล้ว เป็นการทรยศต่อตระกูลเซี่ยโห้วชัดๆ!”

“ดังนั้น ตอนนั้นนายท่านใหญ่จึงกำชับเหนียงเหนียงไว้ด้วยว่า ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ล้ม เหนียงเหนียงก็จะไม่เป็นอะไร!” เว่ยซูกล่าว

คำพูดนี้เซี่ยโห้วลิ่งก็จำได้เช่นกัน ตอนที่พูดเขาก็อยู่ข้างๆ ด้วย “เกี่ยวอะไรกับที่ท่านพ่อกำชับข้าไว้?”

เว่ยซูบอกว่า “แน่นอนว่าเกี่ยวข้อง นายท่านใหญ่บอกเหนียงเหนียงว่าตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ล้มนางก็จะไม่เป็นอะไร ก็เพราะอยากจะให้นางเข้าใจว่านางคือคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลเซี่ยโห้วจะสนับสนุนอยู่ข้างหลังนางตลอดไป สิ่งที่นายท่านใหญ่บอกนายท่านไว้ ก็เพราะหวังว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะสามารถสนับสนุนราชินีสวรรค์เหนียงเหนียงตลอดไป สิ่งที่นายท่านใหญ่กำชับกับนายท่านและราชินีสวรรค์เหนียงเหนียงก็คือสิงที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน”

เซี่ยโห้วลิ่งไม่ค่อยเข้าใจ หันกลับมามองหน้าเขาตรงๆ หวังว่าเขาจะอธิบาย

เว่ยซูเข้าใจเจตนาของเขา อธิบายว่า “ตำแหน่งราชินีสวรรค์แม้จะดูสวยงาม แต่การที่เหนียงเหนียงเข้าวังไปนั่งตำแหน่งนั้น ก็เพื่อรับความอยุติธรรมแทนตระกูลเซี่ยโห้ว ได้รับความอยุติธรรมมากมาย ได้รับความอยุติธรรมอย่างที่คนนอกจินตนาการไม่ถึง แต่ก็เพราะตระกูลเซี่ยโห้ว นางจึงต้องอดทนไว้ ต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่าย นายท่านใหญ่บอกว่าเหนียงเหนียงอุทิศคุณูปการและเสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อตระกูลเซี่ยโห้ว เหนียงเหนียงก็คือธงอีกด้านของตระกูลเซี่ยโห้ว ตราบใดที่นางยังอยู่วังสวรรค์ ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่ล้ม ต่อให้ตอนนี้มีจุดใดที่ทำไม่ถูก แต่ก็แตะต้องนั่งไม่ได้ ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่ล้ม ช้าเร็วนางก็ต้องขอร้องให้ตระกูลเซี่ยโห้วช่วยเหลือ แต่ถ้ากำจัดนางเมื่อไหร่ นายท่านแน่ใจหรือว่าจะสนับสนุนคนอื่นของตระกูลเซี่ยโห้วให้เป็นราชินีสวรรค์อย่างราบรื่นได้? มิหนำซ้ำต่อให้เปลี่ยนผู้หญิงคนอื่นของตระกูลเซี่ยโห้วขึ้นสู่ตำแหน่งแล้ว แต่สถานการณ์เดียวกันก็จะเกิดขึ้นอยู่ดี ยังจะช่วงชิงผลประโยชน์ของตัวเองเหมือนเดิม

ราชินีสวรรค์ยังเป็นธงอีกด้านหนึ่งของผู้หญิงตระกูลเซี่ยโห้ว ความใจกว้างที่มีต่อเหนียงเหนียง ผู้หญิงของตระกูลเซี่ยโห้วก็จะได้เห็น ถ้าคนที่เสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อตระกูลเซี่ยโห้วอย่างเหนียงเหนียงยังให้อภัยไม่ได้ แล้วจะให้ผู้หญิงคนอื่นของตระกูลเซี่ยโห้วคิดยังไง? ยกคำพูดของนายท่านใหญ่มา ทุกเรื่องต้องมองถึงระยะยาว อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับความเสียหายของเรื่องไม่เป็นเรื่อง ต้องดูว่าใครจะได้หัวเราะจนถึงตอนสุดท้าย นายท่านใหญ่กำชับให้นายท่านปกป้องเหนียงเหนียง ไม่ใช่เพื่อเหนียงเหนียงเท่านั้น แต่เพื่อนายท่านด้วย เพื่อตระกูลเซี่ยโห้วด้วยเช่นกัน ลองคิดดูว่าถ้าเหนียงเหนียงล้ม แต่ตระกูลเซี่ยโห้วกลับไม่มีใครรับช่วงต่อตำแหน่งนั้นแล้ว ส่งผลกระทบใหญ่หลวง โดยเฉพาะกับนายท่าน!”

เซี่ยโห้วลิ่งเงียบไปนานมาก เมื่อได้ฟังแบบนี้ความโกรธก็หายไปแล้วเช่นกัน สุดท้ายก็ถอนหายใจ “เฉิงอวี่นางเด็กนั่นสมคบกับหนิวโหย่วเต๋อ ในภายหลังไม่รู้ว่าจะทำเรื่องอะไรอีก”

เว่ยซูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเหนียงเหนียงสมคบกับคนอื่นก็ยังควรค่าให้กังวล แต่ถ้าสมคบกับหนิวโหย่วเต๋อ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป จุดอ่อนที่ถึงตายของหนิวโหย่วเต๋ออยู่ในมือนายท่านแล้วไม่ใช่หรือขอรับ? หนิวโหย่วเต๋อสร้างอำนาจยิ่งใหญ่แล้ว สุดท้ายสิ่งเหล่านั้นก็ยังต้องตกมาเป็นของนายท่าน”

“เอ่อ…” เซี่ยโห้วลิ่งอึ้งทนัที เพี้ยะ! เขายกมือตบหน้าผากตัวเอง แล้วบอกว่า “ข้าโมโหนางเด็กเฉิงอวี่นั่นจนเลอะเลือนแล้ว” พูดจบก็ส่ายหน้าหลุดขำ เพียงแต่ขำไปขำมาก็เริ่มแข็งทื่อ ไม่ผิดหรอก สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อตระกูลเซี่ยโห้วจริงๆ แต่สำหรับเขาในตอนนี้ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีอะไร เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วถาม “อย่าบอกนะว่าจะให้นิ่งดูดายแบบนี้?”

“แน่นอนว่าไม่ได้ สิ่งที่ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ แต่สิ่งที่ควรทำก็ยังต้องทำ เป็นสิ่งที่คุ้มกันให้หนิวโหย่วเต๋อเช่นกัน ลูกท้อน่ะ ต้องกินตอนสุกถึงจะอร่อย ยิ่งไปกว่านั้น ก็อย่าให้หนิวโหย่วเต๋อได้คืบเอาศอก ขุดผลประโยชน์ฝั่งพวกเราไปหมด ถ้าไม่มีรากก็ปลูกต้นท้อไม่ขึ้นอยู่ดี นี่ก็คือจุดที่เลิศล้ำของนายท่านใหญ่ สู้ก็ส่วนสู้ แต่แม้ร้อยพันหมื่นเปลี่ยนแปลง แต่ใจความก็ยังคงเดิม สถานการณ์ตอนสุดท้ายอยู่ในการควบคุมของนายท่านใหญ่ตั้งแต่แรกแล้ว อยู่ในจุดที่จะไม่พ่ายแพ้มาตั้งแต่แรกแล้ว!” เว่ยซูกล่าว

เซี่ยโห้วลิ่งขานรับ หลังจากไตร่ตรองดู เขาก็บอกว่า “จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ข้าต้องไปสักรอบ”

บรรดาผู้ถือหุ้นของร้านขายของชำกำลังซักถามแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับร้านขายของชำ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงไปอยู่ในการดูแลของตระกูลเซี่ยโห้วได้ ธุรกิจดิ่งลง กระทบต่อผลประโยชน์ของทุกคน สำนักลมปราณหนีไปจนไม่เห็นแม้แต่เงา ไม่มีท่าทีว่าจะกลับมาจบธุรกรรมเลย เรื่องของร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ได้รับความเสียหายไม่น้อย ถ้าร้านขายของชำโดนวางกับดักอีก เขาก็จะกดดันมาก

“ขอรับ!” เว่ยซูเอ่ยรับ

เพล้ง! ชามหยกตกแตกบนพื้น

ในตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เริ่มพังข้าวของอีกแล้ว ทำให้เหล่านางในตกใจจนตัวสั่น ช่วงนี้นางเจ้าอารมณ์มาก

ถึงแม้นางกับเหมียวอี้จะได้รับชัยชนะในช่วงหนึ่งไปแล้ว แต่กลับทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นไม่ได้ สนมสวรรค์จ้านหรูอี้ดูเหมือนถูกกักบริเวณ แต่แบบนั้นเรียกว่ากักบริเวณหรอ? เป็นการเพิ่มระดับการปกป้องชัดๆ ไม่น่าเชื่อว่าราชินีสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยอย่างนางจะเข้าไปไม่ได้ แบบนี้หมายความว่าอะไร? เห็นได้ชัดว่าประมุขชิงกลัวนางจะทำร้ายจ้านหรูอี้

สิ่งที่ทำให้นางรับไม่ได้ที่สุดก็คือ ประมุขชิงไปที่ตำหนักบูรพาบ่อยขึ้น ถึงขั้นไปโผล่อยู่ที่นั่นวันละสองสามครั้ง ทำให้นางโมโหแทบบ้าอยู่แล้ว นี่นะเหรอเรียกว่ากักบริเวณ?

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้รู้ว่าบิดามารดาของจ้านหรูอี้ถูกปกป้อง นางก็แทบประสาทเสียแล้วจริงๆ ยังเป็นฝั่งเซี่ยโห้วลิ่งที่ไม่ถือสานาง ถึงขั้นเป็นฝ่ายวางแผนให้ นั่นก็คือปลุกปั่นให้โพ่จวินไปก่อเรื่อง

และช่วงนี้ประมุขชิงก็ค่อนข้างกลัวเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จริงๆ จะพูดอะไรก็ไร้ความมั่นใจ เพราะกินปูนร้อนท้อง ถ้าเขากล้าใส่อารมณ์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็จะใส่อารมณ์แรงกว่าเขา เรียกได้ว่าไม่กลัวตายเลย ตะคอกใส่เขาโดยตรงแล้ว ถามเขาตรงๆ ว่ายังจะมีกฎระเบียบไว้ทำไม? ประมุขชิงไร้เหตุผลจะเถียง จึงทำอะไรเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ได้ แล้วโพ่จวินก็ดันเข้ามาวุ่นวาย บอกประมาณว่าโทษของการก่อกบฏควรจะประหารเจ็ดชั่วโคตร ท่านเป็นราชันสวรรค์แต่ทำเกินไปแล้ว อิ๋งจิ่วกวงโดนลูกน้องเอาใจออกห่างก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ท่านจะดำเนินรอยตามหรือ?

สรุปก็คือจะบอกว่า ตกลงท่านจะลงโทษจ้านหรูอี้หรือไม่ ถ้าไม่ลงโทษ ข้าน้อยก็จะช่วยท่านลงโทษเอง!

ต้องขอบคุณที่ซ่างกวนชิงไหวตัวเร็ว เมื่อพบเค้ารางว่าโพ่จวินจะบุกเข้าวังสวรรค์ ก็สั่งให้คนพาตัวสนมสวรรค์ไปซ่อนไว้ทันที โพ่จวินถือกระบี่บุกเข้าตำหนักบูรพา ทหารยามขวางเขาไม่ได้ คนของหน่วยองครักษ์ซ้ายไม่กล้าลงมือกับเขา หน่วยองครักษ์ขวาได้รับคำเตือนเร่งด่วนจากอู๋ฉวี่ว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม

สรุปก็คือโพ่จวินต้องการจะเข้าตำหนักบูรพา ถ้าทหารยามต้องการจะสังหารเขาก็สังหารได้เลย แล้วเจ้าจะให้ทหารยามทำอย่างไรล่ะ? ถ้าไม่มีบัญชาจะราชันสวรรค์ จะมีใครกล้าสังหารโพ่จวิน?

เดินวนอยู่ในตำหนักบูรพารอบหนึ่งแต่ไม่พบใคร มีคนแอบบอกใบ้สถานที่ซ่อนตัวของประมุขชิง ประมุขชิงที่ซ่อนตัวอยู่ถูกโพ่จวินหาพบแล้ว!

ประมุขชิงด่าเขาว่าผู้ใต้บังคับบัญชามารังแกผู้บังคับบัญชา ต้องการจะประหารเขา ให้เขาไสหัวไป!

โพ่จวินไม่แยแสเขาเลย บอกแค่ว่า เจ้าจะฆ่าข้า หรือจะฆ่าจ้านหรูอี้!

บวกกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เรื่อง ชายหนึ่งหญิงหนึ่งเข้าประชิดวัง ประมุขชิงถูกบีบจนแทบจะเป็นบ้าแล้ว แต่เขาฆ่าโพ่จวินได้เหรอ? จะฆ่าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายเพราะเรื่องของจ้านหรูอี้น่ะเหรอ แบบนั้นไม่ต่างอะไรกับคนบ้า! แต่เขาก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะปกป้องจ้านหรูอี้!

โพ่จวินโมโหแล้ว ออกจากวังสวรรค์ทันที อีกประเดี๋ยวเดียวก็นำกองทัพใหญ่เข้ามา อุดประตูวังสวรรค์พร้อมตะโกนว่าต้องการกวาดล้างคนเลวข้างองค์ราชัน ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็จนใจมาก ดันมาเจอกับเจ้านายแบบนี้!

ประมุขชิงก็โมโหแล้วเช่นกัน ด่าโพ่จวินว่าจะก่อกบฏ สั่งให้อู๋ฉวี่เอาตัวไปประหารเดี๋ยวนี้ แต่อู๋ฉวี่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร จะให้เขารับบัญชานี้ได้ยังไง! ถ้าทำเรื่องนี้จริงๆ ไม่ใช่การทำลายประมุขชิงหลอกหรือ ถ้าประมุขชิงทำเรื่องนี้ ยังต้องการขวัญกำลังใจทหารของหน่วยองครักษ์ซ้ายอยู่ไหม? ทำไมกลัวพวกอ๋องสวรรค์ฉวยโอกาสต่อสถานการณ์วุ่นวายหรือ?

ประมุขชิงร้อนใจแล้ว สั่งให้ซ่างกวนชิงรวบรวมองครักษ์เงามาลงมือ ซ่างกวนชิงคุกเข่าตรงหน้าเขาทันที โดนเตะหลายครั้งแต่ก็ยังไม่ยอมรับบัญชา

จึงให้ซือหม่าเวิ่นเทียนระดมกำลังพลของหน่วยตรวจการซ้าย แต่ซือหม่าเวิ่นเทียนก็คุกเข่าเงียบๆ แล้วเช่นกัน

ให้เกาก้วนระดมกำลังพลหน่วยตรวจการขวา เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบว่า “ออกไปจัดการคดีหมดแล้วครับ ต้องรออีกนานกว่าจะมา”

ประมุขชิงท้อใจไปแล้วครึ่งหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยจะสั่งระดมกำลังพลไม่ได้สักหน่วย สุดท้ายก็สะบัดแขนเสื้อต้องการจะลงมือด้วยตัวเอง

โพ่จวินจึงชักดาบอยู่นอกวังเสียเลย สั่งให้คนล้อมวังสวรรค์ ตรวจค้น!

เมื่อเห็นตรงหน้ากำลังจะเกิดสถานการณ์ใช้กำลังทหารบีบบังคับราชัน

ซือหม่าเวิ่นเทียนและคนอื่นๆ ก็ต้องพุ่งเข้ามา ข้างในดึงตัวประมุขชิงเอาไว้ ส่วนข้างนอกก็ขวางโพ่จวินเอาไว้

สุดท้ายก็เป็นพวกซ่างกวนชิงที่โน้มน้าวอยู่พักหนึ่ง เรื่องราววุ่นวายถึงขั้นนี้แล้ว ประมุขชิงถูกกดดันจนต้องยอมถอย ถอดตำแหน่งสนมสวรรค์ของจ้านหรูอี้ แล้วส่งไปกลับบริเวณที่ตำหนักเย็น จะไม่ใช้งานนางตลอดไป!

เมื่อถ่ายทอดบัญชานี้ลงมา ทุกคนก็รู้ว่าจ้านหรูอี้ไม่มีวันขึ้นสู่ตำแหน่งราชินีได้อีกตลอดไป!

ไม่มีใครเข้าใจถึงความคับแค้นที่อยู่ในใจประมุขชิง ราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยปกป้องไม่ได้แม้แต่ผู้หญิงที่ตัวเองชอบ!

โพ่จวินนับว่าถูกปลอบโยนแล้ว ถอนกำลังทหารแล้ว!

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เองก็สบายใจขึ้นไม่น้อย แต่จากนั้นก็มีเรื่องที่ทำให้นางเดือดดาลอีก ครั้งนี้ประมุขชิงส่งจ้านหรูอี้ไปกักบริเวณที่อุทยานหลวง ให้จ้านหรูอี้ออกจากวังสวรรค์อันแสนเย็นชา ส่งไปกักบริเวณในจุดที่มีทิวทัศน์ภูเขาลำน้ำงดงาม มีกำลังทหารล้อมปกป้องอย่างแน่นหนา และวันนั้นประมุขชิงก็ค้างคืนที่นั่น!

แบบนี้เรียกว่าส่งตัวเข้าตำหนักเย็นเหรอ? แบบนี้เรียกกักบริเวณเหรอ? เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อยากจะระเบิดอารมณ์จริงๆ

……………

พูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ บางครั้งราชันสวรรค์อย่างเขาก็เทียบกับชาวนาอันธพาลไม่ติด เพราะพวกนั้นสามารถทำตามอำเภอใจได้

“สนมรัก เจ้าทำให้ข้าลำบากใจแล้ว!”

“ฝ่าบาทได้โปรดอนุญาต!”

จ้านหรูอี้โขกศีรษะกับพื้น สาเหตุไม่ใช่เพราะบิดาอย่างเดียว เดิมทีนางก็มีพื้นเพมาจากการบัญชาการกองทัพอยู่แล้ว เป็นสตรีที่เลือดร้อนคนหนึ่ง นับถือทหารที่สู้ตายไม่ยอมแพ้แบบนี้มาก กอปรกับลูกน้องเก่าของบิดาส่วนใหญ่เป็นคนที่นางรู้จักมาตั้งแต่เด็ก ทุกคนล้วนดีกับนาง มีหรือที่นางจะนิ่งดูดายทนเห็นครอบครัวของคนเหล่านั้นได้รับความอัปยศ ดังนั้นนางจึงเต็มใจทุ่มเทสุดความสามารถ

“สนมรัก เจ้าลุกขึ้นก่อนเถอะ” ประมุขชิงยื่นมือไปประคองนางอีก

“หากฝ่าบาทไม่ตอบตกลง หม่อมฉันก็จะไม่ลุกขึ้นเพคะ!” จ้านหรูอี้ชักมือกลับ ไม่ยอมลุกขึ้น

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ประมุขชิงคงโมโหตั้งนานแล้ว อยากจะลุกหรือไม่ก็ตามใจ เขาคงเดินไปทันที แต่ยามเผชิญหน้ากับจ้านหรูอี้สภาพนี้ เขาโกรธไม่ลงสักนิดเลยจริงๆ ในอกกลับเต็มไปด้วยความจนใจ สุดท้ายก็ยื่นมือไปด้านข้าง ส่งแผ่นหยกให้ซ่างกวนชิงอ่าน “เจ้าดูนี่สิ”

ซ่างกวนชิงรับมืออ่าน เข้าใจถึงความลำบากใจของประมุขชิงแล้ว เขาย่อมรู้ว่าจ้านหรูอี้คือจุดอ่อนของประมุขชิง จะไม่คิดหาทางก็คงไม่ได้ หลังจากครุ่นคิดสักครู่ก็ตอบว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องให้ฝ่าบาทออกหน้าเอง ให้สองคนนั้นไปคิดหาทางเอาก็ได้”

ประมุขชิงเข้าใจทันทีว่าหมายถึงเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ เขาลูบเคราพลางพยักหน้า สองคนนั้นยังรอการแต่งตั้งจากเขา ไม่อย่างนั้นต่อให้ได้ครอบครองอาณาเขตแล้วก็ไม่ได้ครอบครองอย่างชอบธรรม ขอเพียงใช้อำนาจกดดันสักหน่อย สองคนนั้นก็ไม่น่าจะขัดประสงค์ของเขาในเวลานี้ จากนั้นเขาจึงยื่นมือไปบังคับให้จ้านหรูอี้ลุกขึ้นยืน ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าไม่กล้ารับประกันว่าจะทำให้สนมรักสมปรารถนาได้ แต่จะพยายามเต็มที่!”

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในโถงหลัง เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อกำลังนั่งตรงข้ามกัน

ในเวลานี้ทั้งสองแบ่งอาณาเขตของลิ่งหูโต้วจ้งเรียบร้อยแล้ว ที่จริงก็เป็นการแบ่งครึ่งโดยไม่ให้ใครเสียเปรียบ ตอนนี้ไม่มีเวลามาคิดเล็กคิดน้อย แบ่งครึ่งไปเสียเลยจะได้ไม่มีใครเสียเปรียบ

ทั้งสองมาคุมที่นี่ด้วยตัวเองและกวาดล้างพรรคพวกที่เหลือของอิ๋งจิ่วกวง แต่สถานการณ์เหมือนจะไม่ค่อยดี สงฉีกับเฉาหยิน ทูตซ้ายขวาของอิ๋งจิ่วกวงนำยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งสังหารฝ่าวงล้อมออกไปแล้ว หนีหายไปในอาณาเขตดาวนิรนามอันกว้างใหญ่ กำลังพลที่จอมพลทั้งสองวางไว้ก็ค่อนข้างกระจายตัว ยังไม่สามารถรวบรวมกำลังสกัดไว้ได้ ดักทหารเล็กๆ ไว้ได้ไม่น้อย แต่สงฉีกับเฉาหยินนำคนส่วนหนึ่งหนีไปได้

จะว่าไปแล้ว การที่ทั้งสองหนีไปได้ก็ไม่พ้นเกี่ยวข้องกับกองทัพองครักษ์ หลังจากกองทัพองครักษ์โจมตีสังหารอิ๋งจิ่วกวงแล้ว ก็ทุ่มเทกำลังไปกับการล้อมปราบกำลังหลักของอิ๋งจิ่วกวง ไม่ค่อยออกแรงไล่ตามคนที่หนีไปสักเท่าไหร่ ไล่ตามไปสักพักก็ถอนกำลังแล้ว ไม่ได้กัดไม่ปล่อย ทิ้งปัญหาคาราคาซังไว้ให้เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อแล้ว

แน่นอน ทั้งสองไม่ได้ทุ่มเทความพยายามในการไล่ตามคนพวกนั้น แม้ทั้งสองจะคุมรักษาการที่นี่ แต่กลับไม่เป็นอุปสรรคให้ทั้งสองรีบระดมกำลังพลไปรับช่วงคุมอาณาเขตของลิ่งหูโต้วจ้งต่อ เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือควบคุมพื้นที่ของตัวเองในอาณาเขตทัพตะวันออกให้ได้ก่อน

ตอนนี้เถิงเฟยกำลังหน้าตึง เฉิงไท่เจ๋อยิ้มเจื่อนขณะถือกาสุรารินให้เขา “พี่เถิง ซ่างกวนชิงหมายความว่ายังไงกันแน่!”

ปั้ง! เถิงเฟยตบโต๊ะ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเยียบเย็น “ให้ข้าไว้ชีวิตจ้านผิงกับฮูหยิน ข้าก็อดทนไว้แล้ว ข้ารู้ว่าประมุขชิงโปรดปรานผู้หญิงคนนั้น แต่ตอนนี้ยังให้ข้าคิดหาทางปกป้องคนในครอบครัวที่เหลือรอดอีกเหรอ? ทหารเสี่ยงชีวิตอยู่บนสนามรบ ไม่น่าเชื่อว่าจะสู้ผู้หญิงคนเดียวที่ถอดกางเกงให้ไม่ได้ จะให้ข้าชี้แจงกับคนเบื้องล่างยังไงล่ะ?”

เฉิงไท่เจ๋อถอนหายใจ “พี่เถิง หลักการนี้ใช่ว่าข้าจะไม่รู้ แต่ในเวลาแบบนี้ท่านคิดว่าควรจะทำยังไงดีล่ะ?”

เถิงเฟยจ้องเขา “หลักการนี้คงไม่ต้องให้ข้าพูดหรอก เบื้องล่างติดตามเสี่ยงอันตรายกับข้า สู้ตายสู้ชีวิตแล้วก็ต้องได้ผลประโยชน์บ้าง เกรงว่าเบื้องล่างคงจะมีคนไม่น้อยที่เพ่งเล็งทรัพย์สมบัติกับสาวงามในตระกูลพวกนั้น นี่ก็คือสิ่งที่จะมอบเป็นรางวัลให้ทุกคน ถ้าจู่ๆ ข้าแย่งเนื้อที่กำลังจ่อมาถึงปากพวกเขา จะมีใครสบายใจบ้างล่ะ?”

“หมายความว่าเจ้าจะขัดบัญชาหรือ?” เฉิงไท่เจ๋อยิ้มแห้ง

เถิงเฟยหน้าตึงไม่ตอบอะไร หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ก็บอกว่า “ถ้าประมุขชิงอยากจะทำอย่างนี้จริงๆ ก็ให้ประมุขชิงมีบัญชามาเองสิ แล้วถ้าจะปฏิบัติตาม!”

“ไอ๊หยา! มีเจ้าพูดเพราะอารมณ์โกรธไม่ใช่หรอ? เพราะประมุขชิงเอ่ยปากสั่งไม่ได้ไง ถึงได้ให้เจ้ากับข้าเป็นแพะรับบาป”

“แล้วข้าสะดวกเอ่ยปากหรือไง?”

เฉิงไท่เจ๋อเงียบไปครู่เดียว จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน! ทุกคนถอยคนละก้าว ให้ประมุขชิงมีบัญชาลงมา ว่าจะไม่แต่งตั้งตำแหน่งให้จ้านผิงกับฮูหยินอีกตลอดไป กักบริเวณไปทางชีวิต! ส่วนคนในครอบครัวพวกนั้น สามารถปล่อยคนไปได้ แต่ต้องทิ้งทรัพย์สินทั้งหมดไว้ ส่วนพวกผู้หญิง ในภายหลังก็ยังมีโอกาส ไม่ได้ลิ้มรสก็คงไม่ตาย แล้วข้าค่อยให้ร้านค้าพวกนั้นชดเชยให้พวกทหาร เธอคิดว่ายังไง?”

เป็นฝ่ายหลีกทางผลประโยชน์ให้แบบนี้ก็เพราะไม่มีทางเลือก ตอนนี้ถ้าเถิงเฟยไม่ยอมรับปาก ก็จะส่งผลกระทบกับการแต่งตั้งตำแหน่งอ๋องของเขาด้วย อย่างไรเสียคนก็อยู่ทางฝั่งเถิงเฟย

เถิงเฟยก้มหน้าก้มตาพูด “เธอคิดว่าพวกลูกน้องจะปล่อยคนพวกนั้นไปหรอ? มีความแค้นถึงชีวิต ทิ้งปัญหาพวกนั้นไว้ใครบ้างจะไม่กังวล? เกรงว่าตอนแรกคงเชื่อฟังคำสั่งข้าแล้วปล่อยไป แต่ตอนหลังคุณจะแอบชิงตัวคนไป แล้วข้าจะไปเอาเรื่องพวกเขาได้เหรอ? ถึงตอนนั้นถ้าประมุขชิงมาหาว่าข้ากลับคำพูดแล้วจะทำยังไงล่ะ?”

เฉิงไท่เจ๋อระยะไกล “นี่เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับพวกเรา พวกเราทำได้ถึงขั้นนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว เรื่องอื่นควรจะให้ประมุขชิงไปกังวลเอาเอง”

เถิงเฟยหลับตาถอนหายใจ “พี่เฉิงจัดการเองตามเห็นสมควรก็แล้วกัน” นับว่าตอบตกลงแล้ว

เฉิงไท่เจ๋อหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับซ่างกวนชิงนานมาก แล้วก็ดื่มสุราเงียบๆ ครู่หนึ่งเพื่อรอฟังข่าว หลังจากได้รับข่าวจากซ่างกวนชิงอีกครั้ง ก็เก็บระฆังดาราอย่างมีแผนการในใจแล้ว ถึงได้บอกเถิงเฟยว่า “ทางนั้นรับปากแล้ว พวกเราไม่ต้องห่วงเรื่องคน ทางนั้นจะรับจ้านผิงกับฮูหยินไปกักบริเวณไว้ชั่วคราว ต่อไปจะจัดการยังไงก็ไม่ต้องให้พวกเราสนใจ ตอนนี้ก็ถึงคราวพวกเราที่ต้องคิดหาข้ออ้างกับลูกน้องให้ปล่อยคนแล้ว”

ขณะทั้งสองกำลังครุ่นคิด ลูกน้องคนหนึ่งของเถิงเฟยก็วิ่งเข้ามา “ท่านจอมพล ทหารคนหนึ่งของลิ่งหูโต้วจ้งมาขอพบท่านจอมพล”

เถิงเฟยเอียงหน้ามอง แล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านไหน?”

เฉิงไท่เจ๋อก็มองอย่างสนใจเช่นกัน ไม่รู้ว่าเป็นใครที่ไม่ได้ไปกับลิ่งหูโต้วจ้ง

ทหารที่มาตอบว่า “ชื่อว่าเฉาว่านเสียง ฮูหยินของเขาคือญาติห่างๆ ของจ้านผิง จ้านผิงต้องการจะสู้ตาย แต่เฉาว่านเสียงไม่รู้ว่ามองออกหรือเปล่าว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล กลัวตาย ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ติดตามไปด้วย หลังจากทรยศจ้านผิงแล้ว คงเดาออกว่าอยู่ฝั่งนี้คงไม่ได้มีจุดจบที่ดี ตอนหลังคิดจะหนีไป ปรากฏว่าโดนเพื่อนร่วมงานดักไว้ ตกมาอยู่ในมือพวกเราแล้ว รู้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับจ้านผิง พวกลูกน้องอยากจะฆ่าเขา แต่เขาขอร้องไว้ ขอพบท่านจอมพล”

เถิงเฟยพูดเหยียดหยาม “ญาติห่างๆ ของจ้านผิงบ้าอะไรล่ะ จะฆ่าก็ฆ่าไปสิ ไม่มีอะไรต้องพบ ให้ลูกน้องจัดการเอาเองเถอะ”

“ช้าก่อน!” เฉิงไท่เจ๋อยกมือห้าม แล้วกล่าวขณะครุ่นคิดว่า “เฉาว่านเสียง ทำไมข้าคุ้นหูชื่อนี้มาก เหมือนจะเคยได้ยินมาก่อนตอนไหนก็ไม่รู้”

ทหารที่มารายงานตอบด้วยรอยยิ้ม “จอมพลเฉิงความจำดีมาก กำลังจะพูดเรื่องนี้พอดี ตามที่เบื้องล่างรายงานมา เดิมทีเฉาว่านเสียงคนนี้เป็นหัวหน้าภาคคนหนึ่งในสังกีดจอมพลเฉิง เป็นลูกน้องคนสนิทของท่านโหวเทียนหยวน ตอนหลังได้รับผลกระทบจากเทียนหยวน เลยซวยไปด้วย เทียนหยวนเคยรู้จักกับจ้านผิงตอนที่อยู่ตระกูลอิ๋ง จึงอาศัยเส้นสายของจ้านผิงปกป้องลูกน้องส่วนหนึ่งไว้ได้ ตอนนั้นเฉาว่านเสียงก็เลยไปเป็นลูกน้องของจ้านผิง ในภายหลังเพื่อที่จะสร้างเส้นสายกับจ้านผิง จึงทิ้งฮูหยินของตัวเอง แล้วไปแต่งงานกับญาติห่างๆ คนนั้นของจ้านผิง จอมพลทั้งสองทราบหรือเปล่าว่าฮูหยินคนก่อนที่ถูกเฉาว่านเสียงทิ้งคือใคร?”

เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อสบตากัน แล้วเถิงเฟยก็หันกลับมาตะคอกถาม “จะมัวอุบไว้ทำไม?”

ทหารตอบด้วยรอยยิ้ม “ตอนหนิวโหย่วเต๋อเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกที่ตลาดสวรรค์ นางก็เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก ทั้งยังเข้าร่วมการทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิตกับหนิวโหย่วเต๋อด้วย เคยได้รับรางวัลจากฝ่าบาท ตอนหลังหนิวโหย่วเต๋อเลื่อนตำแหน่ง นางก็กลายเป็นลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อ หลังจากหนิวโหย่วเต๋อย้ายออกจากตลาดสวรรค์ ทั้งสองก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน จนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นถูกเฉาว่านเสียงทิ้ง ก็เลยไปขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋ออีก ตอนนี้เป็นลูกน้องคนสนิทอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว ฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อ ชื่อว่ามู่หรงซิงหัว! เพราะลูกน้องรู้ว่าความสัมพันธ์ระดับนี้อาจจะมีประโยชน์ต่อท่านจอมพล ถึงยังไม่ฆ่าเขา หลังจากข้าน้อยทราบเรื่องแล้ว ถึงได้บังอาจมารบกวนท่านจอมพล”

“อ๋อ! “เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อร้องอ๋อยาวๆ พร้อมกัน ถ้าพูดถึงเฉาว่านเสียง ทั้งสองอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าพูดถึงพวกลูกน้องคนสนิทข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ ทั้งสองก็พอรู้จักอยู่บ้าง รู้ว่ามู่หรงซิงหัวคือใคร

“ข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไมชื่อเฉาว่านเสียงถึงคุ้นหู ไม่ผิดหรอก เรื่องก็เป็นอย่างนั้นแหละ” เห็นได้ชัดว่าเฉิงไท่เจ๋อเริ่มนึกออกแล้ว หันกลับไปมองเถิงเฟยแล้วบอกอีกว่า “ก่วงลิ่งกงส่งข่าวมาแล้ว กำลังพลกลุ่มนั้นของลิ่งหูโต้วจ้งคงจะไปขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อแล้ว แล้วฮูหยินคนก่อนของเฉาว่านเสียงก็กลายเป็นลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ถ้าเก็บคนนี้ไว้ เมื่อถึงเวลาอาจจะมีประโยชน์ก็ได้!”

“เลิกกันแล้วก็เลิกกันสิ ยังจะมีประโยชน์อะไรอีก?”

“ทำความเข้าใจสถานการณ์ของทั้งสองก่อน แล้วค่อยจัดการก็ยังไม่สาย”

ทหารที่มากล่าวว่า “เฉาว่านเสียงคนนี้เพื่อที่จะรอดชีวิต เรียกได้ว่าทำทุกวิถีทาง ถ้าใช้เส้นสายอะไรได้ก็ใช้หมด คาดว่าคงรู้แล้วเหมือนกันว่าอดีตภรรยาของตัวเองเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อ เป็นความหวังเดียวที่จะทำให้เขารอดชีวิตได้ในตอนนี้ ดังนั้นเขาย้ำไม่หยุดว่า เขากับอดีตภรรยายังมีความรู้สึกต่อกันอยู่ เรียกได้ว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายในการช่วยชีวิต”

เถิงเฟยพิจารณานิดหน่อย แล้วพยักหน้าเบาๆ “ตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจเขา ไม่พบ! กักตัวไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน จะให้คนไปสืบเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับมู่หรงซิงหัวก่อนว่าเป็นยังไงกันแน่ ถ้าพูดโน้มน้าวมู่หรงซิงหัวไม่ได้ หรือไม่ส่งผลกระทบอะไรกับมู่หรงซิงหัว ก็ประหารไปซะ!”

“รับทราบ!” ทหารเอ่ยรับคำสั่ง

แม้ตอนนี้ตำหนักสวรรค์จะยังไม่ประกาศต่อใต้หล้าอย่างเป็นทางการ แต่เรื่องที่อิ๋งจิ่วกวงก่อกบฏและโดนประหารก็แพร่ข่าวไปทางใต้หล้าแล้ว ใต้หล้าเดือดปุดๆ เดือดไม่หยุด วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่ว จู่ๆ อ๋องสวรรค์แห่งยุคก็ถูกโค่นล้มลงอย่างนี้ คนส่วนใหญ่ยังรู้สึกเหลือเชื่อ

ตอนนี้มีอีกสถานการณ์หนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของใต้หล้าอีกครั้ง จู่ๆ ก็เปลี่ยนผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์หมดแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ในใต้หล้ากลายเป็นคนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลทั้งหมดในชั่วพริบตาเดียว หมายความว่าหนิวโหย่วเต๋อควบคุมตลาดสวรรค์ได้ทั้งหมดในชั่วพริบตาเดียว

ทว่าเกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ สามอ๋องสวรรค์ เถิงเฟย เฉิงไท่เจ๋อกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิด

จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้กลับคำรามเสียงต่ำด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “นางตัวแสบ ข้าว่าเจ้าคงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว!”

เมื่อได้ข่าวว่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เปลี่ยนคน เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าโดนเหมียวอี้วางกับดักแล้ว เกรงว่าสำนักลมปราณคงไม่กลับมาที่ร้านขายของชำอีก สิ่งที่ทำให้เขาคับแค้นใจที่สุดก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะสมคบกับหนิวโหย่วเต๋อทำเรื่องนี้ลับหลังเขา ทรยศกันจริงๆ!

เว่ยซูที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจ พอได้ยินแบบนี้ก็ต้องเตือนว่า “นายท่าน ยังจำเรื่องที่นายท่านใหญ่กำชับไว้ก่อนละสังขารได้หรือไม่ขอรับ?”

…………………………

สาวใช้ที่ทำความเคารพอยู่ข้างๆ ถูกตบรางวัลจนรู้สึกแปลกใจ

เม่ยเหนียงที่อยู่จวนอ๋องสวรรค์ก่วงก็แปลกใจเช่นกัน อยู่ดีๆ ก็ถูกเรียกมาเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนก่วงลิ่งกง แล้วก่วงลิ่งกงก็ไม่พูดอะไรสักคำ

รู้ว่าช่วงนี้ก่วงลิ่งกงอารมณ์ไม่ดี เม่ยเหนียงกลัวว่าจะพูดอะไรผิดหู จึงอยู่เป็นเพื่อนเขาเงียบๆ

“เม่ยเอ๋อร์ไม่ใช่เด็กแล้ว” ก่วงลิ่งกงที่เล่นหมากล้อมเงียบๆ สุดท้ายก็เปิดปากพูดแล้ว

“หืม?” เม่ยเหนียงเงยหน้ามองเขา ตามปกติแล้วคำพูดนี้หมายถึง…นางไม่กล้าแน่ใจ ถามหยั่งเชิงว่า “ท่านอ๋องมีตัวเลือกที่เหมาะสมแล้วหรือคะ?”

ก่วงลิ่งกงเหมือนไม่รู้จะพูดอย่างไรกับนางดี หลังจากวางตัวหมากลงช้าๆ ก็ถามว่า “เจ้ารู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นยังไง?”

“หา!” เม่ยเหนียงอุทานอย่างตะลึง นางกะพริบตาด้วยแววตาเป็นประกาย ในใจมีความหวังโผล่ขึ้นมาหลายส่วน รู้สึกว่าท่านอ๋องไม่ใช่คนที่ยิงธนูโดยไร้เป้า พูดอย่างนี้แสดงว่ามีสาเหตุแน่นอน อย่าบอกนะว่าโน้มน้าวหนิวโหย่วเต๋อและฮูหยินได้แล้ว? ถ้าเป็นอย่างนี้จริ เช่นนั้นก็ดีที่สุดแล้ว นางได้ยินข่าวลือมาบ้าง ว่าตอนนี้ในมือหนิวโหย่วเต๋อมีกำลังพลห้าสิบล้านเพิ่มขึ้นมา กอปรกับระดับผู้ตรวจการใหญ่ เป็นบุคคลที่มีอำนาจทางทหารอย่างแท้จริง สามารถหนุนหลังให้สองแม่ลูกได้ ต่อไปนี้คนทั้งจวนอ๋องก็ไม่มีใครกล้าชักสีหน้าใส่นางแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านอ๋องนางก็จะมีความมั่นใจในการพูดแล้ว ทั้งใต้หล้านี้หาลูกเขยที่เหมาะสมกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ

พอนึกถึงตรงนี้ นางก็แอบรู้สึกทอดถอนใจเป็นอย่างมาก ตอนแรกได้ยินคนไม่น้อยพูดว่าหนิวโหย่วเต๋อมีอนาคต ด้วยเหตุนี้จึงถ่อไปถึงน่านฟ้าระกาติง แต่ผลปรากฏว่าไม่สำเร็จ! เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้วว่าทุกคนพูดไม่ผิด หนิวโหย่วเต๋อคนนี้มีอนาคตจริงๆ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะโดดเด่นเร็วขนาดนี้ สร้างผลงานได้ขนาดนี้ตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม ในอนาคตก็ยิ่งไร้ขีดจำกัด แต่กลับถูกแม่หม้ายคว้าไปก่อนแล้ว เหตุผลนี้จะไปฟ้องที่ไหนได้ แม่หม้ายนั่นมีอาศัยอะไรกัน? ไม่มีจุดไหนที่เทียบลูกสาวนางได้เลยสักนิด ผู้ชายดีมักจะไม่ได้ภรรยาดี

ตอนนี้จู่ๆ ท่านอ๋องก็ถามแบบนี้ นางไม่กล้าแน่ใจ จึงถามหยั่งเชิงว่า “ก็คู่ควรกับเม่ยเอ๋อร์ แต่หนิวโหย่วเต๋อมีภรรยาเอกแล้ว จะให้เม่ยเอ๋อร์เป็นอนุภรรยาไม่ได้หรอก ใช่มั้ยคะ?”

ใครจะคิดว่าก่วงลิ่งกงจะกล่าวเสียงเรียกว่า “ที่จริงเป็นอนุภรรยาก็ไม่ได้แย่อะไร”

เม่ยเหนียงเหม่อทันที แบบนี้ไม่เหมือนที่นางจินตนาการไว้ นางจึงเริ่มร้อนใจแล้ว พลันลุกขึ้นยืน “ท่านอ๋อง ท่านไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม นางเป็นลูกสาวของท่านนะ! ไม่ได้ ข้าไม่ตกลง นอกเสียจากจะให้หนิวโหย่วเต๋อเลิกกับอวิ๋นจือชิว หรือไม่ท่านก็หาทางกำจัดอวิ๋นจือชิวนั่นสิ ไม่อย่างนั้นข้าไม่ตกลงแน่นอน!”

ก่วงลิ่งกงใช้นิ้วฟั่นเครา ดวงตาจ้องไปที่กระดานหมากล้อม กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “เจ้าเองก็เริ่มต้นจากการเป็นอนุภรรยาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”

เดิมทีเขาไม่อยากบอกเรื่องนี้กับเม่ยเหนียง เพียงแต่ตอนหลังก็ยังต้องให้มารดาอย่างนางมาปลอบใจลูกสาว เขาเองก็ไม่มีทางเอ่ยปากกับลูกสาวได้ ส่วนทางด้านหนิวโหย่วเต๋อเขาไม่กังวล เขาหลีกทางให้มากขนาดนี้แล้ว วางผลประโยชน์ให้ชัดเจน นอกเสียจากหนิวโหย่วเต๋อจะเป็นคนโง่เท่านั้น การที่หนิวโหย่วเต๋อไต่เต้าจนถึงตำแหน่งเหมือนอย่างวันนี้ได้ จะเป็นคนที่ไม่รู้จักแยกแยะผลดีผลเสียเชียวหรือ? เขาถึงขั้นรับประกันฐานะของอวิ๋นจือชิวด้วย ไม่ได้ทำให้หนิวโหย่วเต๋อลำบาก หนิวโหย่วเต๋อไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ

ดังนั้นหลังจากไตร่ตรองดูแล้ว ก็รู้สึกว่าต้องพูดกับลูกสาวให้เข้าใจก่อน อย่าให้เม่ยเอ๋อร์รู้ข่าวทีหลัง ผู้หญิงคนนี้ยอมรับความจริงไม่ได้ แล้วโวยวายจนคนรู้กันหมด

เม่ยเหนียงยืนหยัดไม่ทำตาม “แบบนั้นจะเหมือนกันได้ยังไง พื้นเพของข้าไปเทียบกับพื้นเพของเม่ยเอ๋อร์ได้เหรอ? ท่านอ๋อง ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงเม่ยเอ๋อร์ แต่ก็ควรคำนึงถึงตัวเองด้วยสิ ท่านอยากให้คนทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะท่านเหรอ?”

“เม่ยเอ๋อร์เป็นลูกสาวของข้า อ๋องผู้นี้จะไม่พิจารณาเพื่อนางเชียวเหรอ? ข้าจะให้นางเป็นอนุภรรยาตลอดไปได้ยังไง? เพียงแต่สถานการณ์ตอนนี้ซับซ้อนกว่าที่เจ้าคิด…” ก่วงลิ่งกงวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันให้ฟังทันที อธิบายชัดเจนว่ามีเพียงการให้เม่ยเอ๋อร์กับหนิวโหย่วเต๋อแอบคงความสัมพันธ์ชายหญิงไว้เท่านั้น ไม่ได้ประกาศให้คนอื่นรู้รอให้ถึงเวลาประกาศ ก็จะต้องไม่เกี่ยวข้องกับอวิ๋นจือชิวแล้วแน่นอน ตอนที่ประกาศ เม่ยเอ๋อร์ก็จะกลายเป็นฮูหยินเอกของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ขอเพียงเม่ยเอ๋อร์ตั้งใจ หนิวโหย่วเต๋อไม่มีสิทธิ์อนุญาตหรือไม่อนุญาตหรอก ตั้งครรภ์ลูกชายหรือลูกสาวก็เป็นเรื่องง่ายมาก

เมื่อฟังถึงตอนหลัง เม่ยเหนียงก็นั่งลงอย่างห่อเหี่ยว นางเข้าใจแล้ว ตอนแรกลูกสาวเป็นหมากตัวหนึ่งก่อน เรื่องรองถึงจะเป็นปัญหาการแต่งงานของลูกสาว เรื่องแบบนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ภาพรวมที่ท่านอ๋องวางไว้ นางไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ

แต่คิดไปคิดมาก็ใช่ว่าจะพิจารณาไม่ได้ นางกัดฟันมองฝั่งตรงข้ามอย่างจนใจ “ท่านอ๋อง งั้นท่านต้องรับปากข้า เมื่อประกาศความสัมพันธ์เมื่อไหร่ ต้องเป็นเวลาที่หนิวโหย่วเต๋อแต่งตั้งเม่ยเอ๋อร์ให้เป็นภรรยาเอก!”

ก่วงลิ่งกงลุกขึ้นยืน เดินมาข้างกายนางแล้วจับมือนางไว้ กล่าวปลอบใจว่า “หวังเฟยที่รักวางใจได้ เม่ยเอ๋อร์มีค่าดุจไข่มุกในมือข้า ข้ารักนางที่สุด มีหรือที่จะทำให้ชีวิตการแต่งงานของนางผิดพลาด? ข้าให้คำสัญญากับเจ้า ตอนที่ประกาศเรื่องความสัมพันธ์ เม่ยเอ๋อร์จะต้องเป็นฮูหยินเอกของหนิวโหย่วเต๋อแน่นอน ถึงตอนนั้นข้าจะให้เม่ยเอ๋อร์ออกเรือนอย่างมีหน้ามีตา ข้าจะยอมทุ่มทุกอย่างเพื่อจัดพิธีแต่งงานที่คนทั้งใต้หล้าอิจฉาให้เม่ยเอ๋อร์เพื่อชดเชย ไม่กลืนคำพูดตัวเองแน่นอน!”

เม่ยเหนียงก้มหน้าอย่างหดหู นับว่าตอบตกลงแล้ว

“ต่อไปถ้าเม่ยเอ๋อร์ติดต่อเจ้า หวังว่าเจ้า…” ก่วงลิ่งกงพูดไปปได้ครึ่งหนึ่งก็ปล่อยมือนาง หยิบระฆังดาราออกมา โกวเยว่ส่งข่าวมาแล้ว

โกวเยว่บอกว่าตอนนี้อยู่ระหว่างทางกลับ พูดเสริมด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ตอบตกลง เขาพาคุณหนูเม่ยเอ๋อร์กลับมาแล้ว

ก่วงลิ่งกงฟันแทบจะยื่นออกมา รีบหันตัวไปเขย่าระฆังดาราตะคอก : เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ตอบตกลง! ท่าทีของเจ้ามีปัญหาหรือเปล่า?

โกวเยว่คิดในใจว่า ท่าทีของข้าอาจจะมีปัญหาจริงๆ แต่เรื่องแบบนี้จะให้ข้าก้มหัวขอร้องเขาไม่ได้หรอก เขาจึงอธิบายสถานการณ์ให้ฟังอีกครั้งทันที

ไม่ตอบตกลงจริงๆ ก่วงลิ่งกงโกรธจนหน้าเขียวแล้ว กำระฆังดาราในมือไว้แน่น พร้อมกล่าวอย่างดุร้ายว่า “ข้าให้โอกาสเจ้าแล้วแต่เจ้าไม่เอา ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตายเอง เช่นนั้นก็อย่าโทษข้าแล้วกัน!”

ไปเทียบกับเรื่องเกาเหยียนไม่ได้ ครั้งนี้เขาถูกยั่วโมโหแล้วจริงๆ สิ่งนี้สร้างความอัปยศใหญ่หลวงต่อเขามาก!

เม่ยเหนียงเงยหน้าอย่างงุนงง รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายสังหารบนตัวก่วงลิ่งกง นางลุกขึ้นยืนแล้วถามว่า “ท่านอ๋อง เป็นอะไรไปคะ?”

พอได้ยินเสียงเสียงคนข้างหลัง ก่วงลิ่งกงก็แทบจะกระอักเลือด เมื่อครู่เขาดึงเพิ่งบอกเม่ยเหนียงไปว่าเรื่องนี้สำเร็จแน่นอน เขาไม่ได้มองหน้าเม่ยเหนียง เดินก้าวยาวออกไปพร้อมพูดทิ้งท้ายว่า “เจ้าไม่ต้องรู้สึกว่าขาดความยุติธรรมอีกแล้ว ข้าขอกลับคำพูด ไม่ต้องคิดจะให้เม่ยเอ๋อร์แต่งงานกับเขาอีกแล้ว!”

คำพูดประโยคเดียวก็ทำให้สถานการณ์จบลงด้วยดีแล้ว

“…” เม่ยเหนียงพูดไม่ออก ทันใดนั้นก็ไล่ตามไปที่ประตู นางอยากจะบอกว่านางไม่ได้รู้สึกว่าขาดความยุติธรรม เรื่องนี้ยังปรึกษากันได้อีก นางสามารถเร่งให้ลูกสาวรีบให้กำเนิดทายาทได้ ที่จริงตอนได้ยินว่าในภายหลังจะได้กลายเป็นฮูหยินเอก นางก็ไม่มีความเห็นแย้งแล้ว เมื่อครู่นางก็แค่อิดออดเฉยๆ ไม่อย่างนั้นผู้หญิงอย่างนางจะดูขี้ประจบสอพลอเกินไปยามอยู่ต่อหน้าท่านอ๋อง ที่จริงก็หาลูกเขยที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว ตราบใดที่ลูกสาวยืนยันความสัมพันธ์กับหนิวโหย่วเต๋อ ต่อให้เป็นการลักลอบ แต่ตัวเองที่อยู่ในจวนท่านอ๋องก็จะเหมือนมีพระคุ้มครองทันที มีลูกเขยเป็นผู้ตรวจการใหญ่ที่กุมกำลังทหารห้าสิบล้านเชียวนะ! อีกทั้งทัพเกรียงไกรห้าสิบล้านนี้ก็ไม่ถูกท่านอ๋องควบคุม เวลามีเรื่องอะไรไปฟ้องต่อหน้าท่านอ๋อง ท่านอ๋องก็จะต้องพิจารณาที่จะปกป้องนาง

พอวิ่งมาถึงประตูก็ไม่เห็นเงาก่วงลิ่งกงแล้ว…

“หึ! ก่วงลิ่งกงช่างหน้าไม่อายจริงๆ!”

ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงที่นั่งสง่าอยู่หลังโต๊ะยาวกำลังฟังรายงานของซือหม่าเวิ่นเทียน แต่ในใจก็ยังมีความสุข แสดงว่าหนิวโหย่วเต๋อยังมองสถานการณ์ภาพรวมได้ชัดเจน อำนาจอยู่ที่เขาแล้ว ไม่ได้อยู่ฝั่งก่วงลิ่งกง หนิวโหย่วเต๋อไม่ถูกล่อล่วงจากภายนอก มีจิตใจแน่วแน่ที่จะติดตามชิงหยวนจุน สิ่งนี้ทำให้เขาพอใจมาก พอใจมากจริงๆ

แน่นอน สิ่งที่ทำให้เขาพอใจไม่ได้มีแค่เรื่องนี้ ทั้งยังมีศีรษะคนในมือของอู๋ฉวี่ด้วย ศีรษะของอิ๋งจิ่วกวง

ตอนนี้ ลูกน้องคนสนิทมากันครบแล้ว โพ่จวินกับอู๋ฉวี่นำกองทัพองครักษ์ถอนกำลังกลับมาแล้ว

ซือหม่าเวิ่นเทียนกำลังรายงานลับ ดังนั้นทุกคนจึงไม่รู้ว่าการที่ประมุขชิงด่าก่วงลิ่งกงหมายความว่าอะไร

เห็นได้ชัดว่าประมุขชิงไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องสายลับที่อยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ สายตาเขาไปหยุดอยู่บนศีรษะอิ๋งจิ่วกวง ถามว่า “พวกคนสำคัญของตระกูลอิ๋งล่ะ?”

โพ่จวินส่ายหน้า “ตอนที่บุกสังหารไปถึงรังของอิ๋งจิ่วกวง คนพวกนั้นก็หายไปแล้ว คาดว่าคงหนีไปก่อนแล้วก้าวหนึ่ง”

ซือหม่าเวิ่นเทียนรายงายอีกว่า “ฝ่าบาท ตามที่สายลับของตระกูลอิ๋งรายงานมา ก่อนที่อิ๋งจิ่วกวงจะออกรบ จั่วเอ๋อร์ได้รวบรวมสมาชิกคนสำคัญในตระกูลอิ๋งไว้ด้วยกันแล้ว หลังจากอิ๋งจิ่วกวงออกรบ จั่วเอ๋อร์ก็พาพวกเขาหนีไปแล้ว คาดว่าคงพาบุคคลสำคัญของตระกูลอิ๋งหนีไปที่อาณาเขตดาวนิรนาม สายลับไม่มีทางปะปนเข้าไปได้ ถ้าคิดจะตามหาตอนนี้เกรงว่าคงยุ่งยาก”

ประมุขชิงแสยะยิ้ม “เช่นนั้นก็ไม่ต้องสนใจแล้ว พออิ๋งจิ่วกวงล้ม คนพวกนั้นก็ไม่เป็นโล้เป็นพายแล้ว เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อก็อีกฝ่ายจะมาล้างแค้น คงคิดทำทุกวิถีทางเพื่อตัดรากถอนโคน ให้พวกเขาสองคนไปกังวลกันเอาเอง”

ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ หัวคิ้วเขาก็ขยับเล็กน้อย ในดวงตาฉายแววประหลาดใจ หยิบระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจ้านหรูอี้จะเป็นฝ่ายติดต่อเขาก่อน

ทุกคนมองหน้าเขา ไม่รู้ว่าท่านไหนที่ติดต่อมาหาประมุขชิงโดยตรง

หลังจากติดต่อแล้ว ประมุขชิงถึงได้รู้ว่าจ้านหรูอี้ต้องการพบเขา เขาชำเลืองมองโพ่จวิน ถ้ามีโพ่จวินอยู่ตรงนี้ เขาก็ไม่กล้าเอ่ยเรื่องจ้านหรูอี้ โดยพาะในเวลาแบบนี้ เขาเก็บระฆังดาราอย่างแนบเนียน บอกว่า “เอาล่ะ ถ้ามีสถานการณ์อะไรก็รายงานขึ้นมาได้ทุกเมื่อ ลำบากทุกคนแล้ว กลับไปพักผ่อนกันก่อน”

“รับทราบ!” พวกโพ่จวินกุมหมัดคารวะแล้วออกไป

รอจนกระทั่งคนพวกนี้ออกไปแล้ว ประมุขชิงก็ลุกขึ้นยืนทันที “ไป ไปตำหนักบูรพา!”

“…” ซ่างกวนชิงพูดไม่ออก อดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อแทนเขา นับว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ๆ ประมุขชิงถึงต้องการจะไล่คนพวกนี้ออกไป สงสัยจะกลัวโพ่จวิน!

เขาเข้าใจดีเกินไป โชคดีที่ไม่ได้ให้โพ่จวินรู้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ตอนนี้กำลังปรึกษาเรื่องสำคัญกันอยู่ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะเลิกประชุมเพื่อจ้านหรูอี้ โพ่จวินอาจจะโมโหแล้วใช้กำลังทหารบีบบังคับราชัน นำคนไปล้างเลือดตำหนักบูรพาตัดหัวจ้านหรูอี้เลยก็ได้

ประมุขชิงเดินเร็วกว่าปกติ ทั้งสองเดินตรงไปที่ตำหนักบูรพา

พอเข้ามาในตำหนักหลัก เห็นจ้านหรูอี้แล้ว ประมุขชิงยังไม่ทันได้พูดอะไร จ้านหรูอี้ก็คุกเข่าใช้สองมือยื่นแผ่นหยกให้แล้ว

ประมุขชิงอึ้งไปชั่วขณะ รีบก้าวออกไปใช้สองมือประคองนาง “เหตุใดสนมรักจึงมากพิธีขนาดนี้?”

จ้านหรูอี้กลับไม่ลุกขึ้น ส่งแผ่นหยกให้ตรงหน้าเขา “ฝ่าบาทได้โปรดอภัยโทษคนเหล่านี้!”

ประมุขชิงลังเล หยิบแผ่นหยกในมือมาอ่าน ทำให้รู้สึกปวดหัวทันที นึกเสียใจทีหลังนิดหน่อยที่ให้จ้านหรูอี้กับพวกจ้านผิงติดต่อกัน ก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่เพราะกลัวนางจะคิดไม่ได้หรอกเหรอ ถึงได้ให้นางติดต่อกับบิดามารดา เขาแน่ใจได้เลยว่าจ้านผิงเป็นคนนำรายชื่อพวกนี้มาให้

ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นกำลังพลที่ติดตามจ้านผิงสู้ตายในตอนนั้น คนพวกนี้รบตายหมดแล้ว จ้านผิงต้องการจะปกป้องคนในครอบครัวพวกเขาไม่ให้ได้รับความอัปยศ

ประมุขชิงกำลังจะยัดข้อหากบฏไปให้อิ๋งจิ่วกวงอยู่แล้ว ทหารที่รบตายพวกนั้นไม่ยอมแพ้ล้วนเป็นคนที่ต่อต้าน ที่เขาปกป้องจ้านหรูอี้กับบิดามารดาก็ต้องทนคำวิพากษ์วิจารณ์แล้ว ถ้าปกป้องคนจำนวนมากขนาดนี้อีก จะให้เขาพูดออกไปได้อย่างไร คิดจริงเหรอว่าประมุขของใต้หล้าคิดจะทำอะไรก็ทำได้?

………………………

โกวเยว่โมโหแล้ว กล่าวเสียงต่ำว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ไว้หน้าแล้วก็อย่าปฏิเสธ!”

ไม่โมโหไม่ได้หรอก ท่านอ๋องทำถึงขั้นนี้แล้ว ขนาดคำพูดแบบนั้นก็ยังพูดออกมาได้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่รับน้ำใจ

เหมียวอี้กลับไม่โมโหเรื่องนี้ โบกมือพูดว่า “ท่านบุรุษโกวอย่าเพิ่งใจร้อน ในเมื่อท่านอ๋องไว้หน้า หนิวก็ย่อมต้องรับไว้ เพียงแต่แอบเป็นพันธมิตรกันก็ไม่จำเป็นต้องเสียสละคุณหนูเม่ยเอ๋อร์ และไม่จำเป็นต้องให้คุณหนูเม่ยเอ๋อร์มาเป็นคนกลางด้วย ขอเพียงทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลง ก็แอบให้ความร่วมมือกันก็ได้!”

“หึหึ…” โกวเยว่แสยะยิ้มไม่หยุด เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งรู้สึกขำ ให้บรรลุข้อตกลงกับเจ้าและแอบให้ความร่วมมือเหรอ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร?

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ สำหรับก่วงลิ่งกงแล้ว ระหว่างเขากับเหมียวอี้ไม่มีการเป็นพันธมิตรอะไรทั้งนั้น และไม่จำเป็นต้องเป็นพันธมิตรกับใครด้วย เขากับอ๋องสวรรค์คนอื่นๆจำเป็นต้องเป็นพันธมิตรกันด้วยเหรอ? ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เคยบอกว่าต้องการเป็นพันธมิตรกับเหมียวอี้เลย ที่บอกว่าแอบเป็นพันธมิตรกัน เป็นเป็นเหมียวอี้ที่คิดไปเองฝ่ายเดียว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ก่วงลิ่งกงต้องการ สิ่งที่ก่วงลิ่งกงต้องการก็คือ กำหนิวโหย่วเต๋อไว้ในมือ!

พันธมิตรคือสิ่งที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ ตราบใดที่มีผลประโยชน์ ก็สามารถร่วมมือกับเขาเพื่อต่อต้านศัตรูได้ทุกเมื่อ!

ทำไมก่วงลิ่งกงถึงไม่เสียดายที่จะมอบลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนอย่างก่วงเม่ยเอ๋อร์ให้เป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ล่ะ? ถึงขนาดให้โกวเยว่พาก่วงเม่ยเอ๋อร์มาด้วยตัวเองแล้ว ทั้งยังบอกชัดว่าสามารถมอบให้เหมียวอี้ใช้งานได้ทุกเมื่อ แบบนี้เท่ากับตัดทางถอยทางอื่นของเหมียวอี้แล้ว!

“ข้อตกลงอาบไม่น่าเชื่อถือ ความสัมพันธ์เขยพ่อตาน่าเชื่อถือกว่า!”

“หากท่านบุรุษโกวดึงดันจะพูดแบบนี้ เกรงว่าความสัมพันธ์พ่อตาลูกเขยคงไม่น่าเชื่อถือไปสักเท่าไหร่หรอก ถ้าต้องการจะแปรพักตร์ก็แปรพักตร์อยู่ดี ผู้หญิงของข้าเป็นลูกสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์โค่ว แล้วยังไงล่ะ?”

“ลูกสาวบุญธรรมจะมาเทียบกับลูกสาวแท้ๆ ได้ยังไง ผู้ตรวจการใหญ่อย่าลืมนะ มารดาของคุณหนูเม่ยเอ๋อร์ก็คือหวังเฟย!” พอพูดถึงตรงนี้ โกวเยว่ก็ไม่อยากอ้อมค้อมกับเหมียวอี้แล้ว พูดตรงๆ เลยว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ ตอนนี้ท่านยังไม่มีอะไรที่จะช่วยท่านอ๋องได้ ภายในระยะเวลาที่ค่อนข้างนานนี้ ท่านยังต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างลับๆ จากท่านอ๋อง เพื่อไม่ให้ถูกเปิดโปง ต้องใช้ความพยายามเยอะมาก นอกจากลูกเขยตัวเอง ท่านอ๋องก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจขณะนี้!”

“ท่านบุรุษโกวกำลังทำให้ข้าลำบากใจอยู่นะ!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ

โกวเยว่พ่นเสียงทำจมูก “ไม่รู้ว่ามีลูกหลานขุนนางใหญ่ตั้งมากมายเท่าไหร่ที่หวังจะดอมดมกลิ่นหอมของคุณหนูเม่ยเอ๋อร์ นี่เป็นเรื่องงดงามที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ทำไมกลายเป็นทำให้ลำบากใจไปได้ล่ะ?”

เหมียวอี้ขี้คร้านจะพูดเรื่องนี้กับเขาโดยไม่จบไม่สิ้นสักที “ท่านบุรุษโกว คุณหนูเม่ยเอ๋อร์เย้ายวนใจจริงๆ ข้าเองก็เป็นผู้ชาย คิดอยากจะดมดอมกลิ่นหอมจริงๆ แต่ถ้าคิดจะครอบครองนางอย่างสง่าผ่าเผยจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องลักลอบแบบนี้ ทางเลี่ยงให้กำเนิดลูกยังลับๆ ไม่สู้ท่านรายงานบอกท่านอ๋อง ว่าข้าจะแต่งงานกับคุณหนูเม่ยเอ๋อร์อย่างสง่าผ่าเผย แบบนี้ดีไหม?”

โกวเยว่หน้าดำทันที ล้อเล่นอะไรกัน ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ถ้ามอบให้เจ้าอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย งานจะไม่พังหรอกหรือ นอกจากท่านอ๋องจะมอบลูกสาวให้เปล่าๆ แล้ว ขนาดให้ลูกสาวแบบรับฐานะอนุภรรยา ก็ยังดึงตัวเจ้ามาไม่ได้ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ลูกสาวในจวนท่านอ๋องจะแต่งงานได้ง่ายๆ ขนาดนั้นเชียวหรือ?

“ผู้ตรวจการใหญ่จะไม่พิจารณาอีกแล้วจริงๆ เหรอ?”

“ถ้าค่าแต่งงานอย่างสง่าผ่าเผย แต่ท่านอ๋องกลับไม่ตอบตกลง งั้นก็ไม่จำเป็นต้องพิจารณาอีกแล้ว”

โกวเยว่หันตัวมา มองไปที่ประตูทางออก แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ที่นี่เล็กเกินไป ตาแก่คนนี้รู้สึกอึดอัด ปล่อยคนเถอะ!”

“ก็ได้!” เหมียวอี้ก็หันตัวแล้วเช่นกัน เอียงหน้าบอกใบ้หยางเจาชิง อยากจะไล่ตาแก่คนนี้กลับไปเต็มทีแล้ว

หยางเจาชิงไปจัดเตรียมเรื่องนี้ทันที

อวิ๋นจือชิวที่ได้ข่าวก็รีบพาก่วงเม่ยเอ๋อร์กลับมาเช่นกัน เมื่อรู้ว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว โกวเยว่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์อยู่ที่นี่ต่อ

เพียงแต่ก่อนจะไป โกวเยว่กลับขอช่องทางติดต่อของเหมียวอี้ ไม่อย่างนั้นถ้าติดต่อผ่านเม่ยเหนียงและลูกสาวเหมือนก่อนหน้านี้ ก็ยุ่งยากเกินไป ใครจะไปรู้ว่าในภายหลังยังจะต้องติดต่อกับเจ้าหนุ่มนี่อีกหรือเปล่า

นอกประตูใหญ่ของสำนัก ก่วงเม่ยเอ๋อร์กล่าวลาสองสามีภรรยาอย่างงุนงง ไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองถูกพาตัวมาด้วยจุดประสงค์อะไร เลอะเลือนนิดหน่อย ไหนบอกว่าจะพานางมาเที่ยวเล่นไม่ใช่หรือ? ทำไมจะพานางกลับเร็วขนาดนี้ล่ะ?

เหมียวอี้เห็นสายตานางแล้วรู้สึกเห็นใจอยู่บ้าง คิดในใจว่า ถ้าผู้หญิงคนนี้รู้ความจริง ในภายหลังจะทนความรู้สึกได้อย่างไร

ยังคงเป็นหลงซิ่นที่ไปส่ง ตัวประกันหนึ่งล้านนั่นไม่สะดวกจะปล่อยที่แดนรัตติกาล ออกจากแดนรัตติกาลก่อนถึงจะปล่อยได้ แล้วเหมียวอี้ก็ไม่ได้เล่นตุกติกอะไรเลยจริงๆ ปล่อยทหารออกไปโดยครบสมบูรณ์แล้ว

ขณะมองคนหายไปในท้องฟ้า เหมียวอี้ก็ค่อนข้างเงียบงัน อวิ๋นจือชิวหันกลับไปมองเขา แล้วถามอย่างค่อนข้างแปลกใจว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “จะมีเรื่องอะไรได้ล่ะ ก็แค่มาทวงตัวประกันคืน ข้ายังมีธุระ” พูดจบก็หันตัวเดินไปเลย ไม่ได้บอกความจริง อวิ๋นจือชิวจะได้ไม่คิดเพ้อเจ้อ

ถ้าต้องการตัวประกัน แล้วทำไมต้องรีบร้อนพาก่วงเม่ยเอ๋อร์มาแล้วรีบพากลับ อวิ๋นจือชิวทำสายตาสงสัย รีบย้ายสายตาไปที่หยางเจาชิง ต้องการสอบถาม

ใครจะคิดว่าหยางเจาชิงจะกุมหมัดคารวะทันที “ฮูหยิน ข้าน้อยยังมีธุระนิดหน่อย ขอตัวไปทำงานก่อน”

อวิ๋นจือชิวเป็นคนที่ถนัดเรื่องสังเกตสีหน้าท่าทางของคนที่สุด มองออกถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่างแล้ว พบว่านายบ่าวสองคนนี้มีท่าทีหลบเลี่ยงตน มีเรื่องอะไรปิดบังตัวตนอยู่สินะ! นางช้อนสายตามองทันที กล่าวด้วยเสียงปกติว่า “หยุดก่อน!”

หยางเจาชิงที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวหยุดชะงัก มองเงาร่างเหมียวอี้ที่อยู่ใกล้ๆ แอบร้องในใจว่าแย่แล้ว หลังจากหันตัวมาช้าๆ ก็ถามด้วยสีหน้าใจเย็น “ฮูหยินมีอะไรจะกำชับ?”

อวิ๋นจือชิวนำเสวี่ยเอ๋อร์เดินเนิบนาบเข้าไปใกล้ แล้วจ้องเขาอย่างเยียบเย็น “บอกมาเถอะ ในบ้านยังมีเรื่องอะไรต้องปิดบังข้าอีก?”

หยางเจาชิงแปลกใจ “ทำไมฮูหยินพูดอย่างนี้ขอรับ?”

อวิ๋นจือชิวยิ้มแข็งทื่อ “หยางเจาชิง ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดต่อเจ้าหรอกใช่ไหม? คิดจะโกหกเพราะข้าเป็นผู้หญิงใช่ไหม รู้สึกหลอกง่ายใช่ไหม? บอกมาเถอะ เจ้าเตรียมจะหลอกอะไรข้าอีก?”

หยางเจาชิงปาดเหงื่อ ถ้าวังสวรรค์มีบัญชามาเมื่อไหร่ ทั้งคู่ก็จะกลายเป็นนายบ่าวกันทันที คำถามนี้ทำให้เขากดดันมาก ทำไมบอกว่าตนจะหลอกอะไรนางแล้วล่ะ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความเชื่อใจ แล้วในอนาคตจะทำงานกันอย่างไร?

รู้ถึงความร้ายกาจของท่านนี้ทันที โดนจับพิรุธได้แล้ว เกรงว่าคงปิดบังต่อไปไม่ได้ หยางเจาชิงคิดเรื่องนี้อีกครั้ง รู้สึกว่าไม่น่ามีอะไรที่พูดไม่ได้ เดาว่าเหมียวอี้คงไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวคิดมากก็เท่านั้นเอง ทำได้เพียงถอนหายใจ เล่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของโกวเยว่ในวันนี้ให้ฟัง

อวิ๋นจือชิวฟังแล้วงง แต่ก็พอจะเข้าใจบางอย่างเหมือนกัน มิน่าล่ะก่วงเม่ยเอ๋อร์จึงรีบไปรีบกลับ นางเลิกคิ้ว แล้วปรายตาถามว่า “นี่เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรอ ก่วงเม่ยเอ๋อร์น่ะ ขนาดผู้หญิงด้วยกันเห็นแล้วยังหวั่นไหว เป็นไปได้ยังไงที่นายท่านจะไม่ตอบตกลง?”

หยางเจาชิงรีบโบกมือซ้ำๆ ” ไม่ได้ตอบตกลง! นายท่านไม่ได้ตอบตกลงจริงๆ!”

อวิ๋นจือชิวเปลี่ยนสีหน้าเป็นหรี่ตายิ้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องนี้ไม่มีผลเสียกับนายท่าน มีแต่ผลดี ก็ตอบตกลงไปสิ ไม่เห็นเป็นไร”

มีหรือที่หยางเจาชิงจะไม่รู้ว่าในรอยยิ้มของนางซ่อนดาบเอาไว้ เขาตอบอย่างหัวเระาไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ฮูหยินไม่ต้องอย่างเชิงข้าหรอก ข้าน้อยไม่ได้หลอกลวงฮูหยินจริงๆ นายท่านไม่ได้ตอบตกลงจริงๆ…” เขารีบเล่าว่าเหมียวอี้ปฏิเสธโกวเยว่อย่างไรเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ตัวเอง ก็ช่วยไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรนายท่านก็ผ่านไปได้ทั้งนั้น ติดแค่เรื่องกลัวเมีย พอเป็นแบบนี้ลูกน้องก็ช่วยสนับสนุนไม่ได้เช่นกัน!

หลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็ทำสีหน้าปกติ แล้วสะบัดชายเสื้อบอกว่า “ช่างเถอะ ข้าไม่ได้โทษเจ้าเสียหน่อย จะหวาดกลัวขนาดนั้นทำไม ไปเถอะ ไปทำงานของเจ้า”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงราวกับได้รับการอภัยโทษ รีบหนีออกไปแล้ว

อวิ๋นจือชิวสีหน้าผ่อนคลายแล้ว หันกลับไปมองเสวี่ยเอ๋อร์ที่หัวเราะคิกคัก แล้วดูว่า “หัวเราะอะไร? ถ้าหัวเราะอีก ฟันเจ้าร่วงแน่!”

เสวี่ยเอ๋อร์เม้มริมฝีปาก แล้วเดินตามหลังนางไป

เมื่อกลับเข้ามาด้านใน ก็ถามว่าเหมียวอี้อยู่ที่ไหน อวิ๋นจือชิวถือน้ำชาบุกเข้ามาในห้อง

เหมียวอี้ที่ยังนั่งอ่านบัญชีรายชื่อเหลือบตาขึ้น ตอบว่า “ไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนผู้หญิงพวกนั้นเหรอ?”

อวิ๋นจือชิววางน้ำชาลงข้างๆ เขา มองหน้าเขาพร้อมยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง

ผ่านไปพักใหญ่ก็ไม่ได้คำตอบ เหมียวอี้เงยหน้าอีกครั้ง “มีเรื่องอะไร?”

อวิ๋นจือชิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จะไม่มีเรื่องได้เหรอ สามีของข้ากำลังจะรับอนุภรรยา ฮูหยินอย่างข้าจะไม่ถามสักหน่อยได้ยังไง?”

เหมียวอี้เข้าใจทันที หยางเจาชิงคงจะโดนง้างปากแล้ว ตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหยางเจาชิงจะจงใจใส่ร้ายข้า ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว มาพูดหยอกข้าอีกสนุกนักเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวเดินอ้อมมาอยู่ข้างกายเขา โน้มตัวลงหมอบบนบ่า เอามือคล้องคอ หัวเราะคิกคักอยู่ข้างหู “ปฏิเสธแล้วจะไม่เสียดายได้ยังไง หน้าตาของก่วงเม่ยเอ๋อร์นั่นข้าจะไม่พูดถึงแล้ว แต่ข้าเคยอาบน้ำกับนาง หน้าอกนั่น บั้นท้ายนั่น รับรองว่าจะทำให้เจ้าพอใจ เจ้าไม่พิจารณาดูสักหน่อยเหรอ? ถ้าไม่คัดค้านหรอก”

เหมียวอี้ระวังตัวทันที จะตกหลุมพรางนี้ได้อย่างไร กล่าวอย่างจริงจังทันทีว่า “เลิกพาลหาเรื่องได้แล้ว ข้าไม่ขาดแคลนผู้หญิงเสียหน่อย ไม่สนใจก่วงเม่ยเอ๋อร์หรอก ก่วงลิ่งกงอยากจะถือโอกาสนี้ควบคุมข้า เจ้าดูไม่ออกเชียวเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจข้างหูเขา “ถ้าไม่มีผลประโยชน์ อีกฝ่ายจะมอบลูกสาวให้เจ้าทำไม ทุกเรื่องล้วนมีผลได้ผลเสีย ไม่มีเรื่องไหนที่ได้เปรียบอย่างเดียวโดยไม่เสียเปรียบ ได้รับความช่วยเหลืออย่างลับๆ จากเขา ถ้าในอนาคตมีกำลังยิ่งใหญ่แล้ว มีศักยภาพที่จะคานอำนาจกับฝ่ายต่างๆ แล้ว ต่อให้ประกาศแล้วจะยังไงล่ะ? เขาไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่รู้แม้แต่หลักการนี้? เรื่องนี้ข้าไม่คัดค้านแน่นอน ยืนหยัดสนับสนุนเจ้า เอาอย่างนี้ ตอนนี้หลงซิ่นน่าจะยังอยู่กับโกวเยว่ ข้าจะให้หลงซิ่นเชิญโกวเยว่กลับมา” พูดจบก็หยิบระฆังดาราออกมา

เหมียวอี้คว้าข้อมือนางไว้ เขาจะไม่รู้จักนางเชียวหรือ? ยิ่งบอกว่าเห็นด้วยหรือสนับสนุน ผลลัพธ์ที่ตามมาก็จะยิ่งร้ายแรง วางแผนไปถึงทายาทรุ่นต่อไปของผู้หฺญิงคนนี้แล้ว ถ้าตัวเองกล้ารับปาก คาดว่าห้องนี้คงจะถูกถล่มแน่ เดี๋ยวคนเต็มลานบ้านจะได้เห็นนางถือดาบมาสู้ตายกับตนแน่

เหมียวอี้ทำสีหน้าเคร่งขรึม พูดกับนางอย่างจริงจังมากกว่า “ข้าบอกเจ้าอย่างจริงใจเลย ลูกของข้าของเหมียวอี้จะต้องเกิดกับอวิ๋นจือชิวก่อน คนอื่นไม่มีความเป็นไปได้เลย!”

อวิ๋นจือชิวถลึงตาตำหนิเขา “เจ้าโง่หรือไง! ทุกอย่างต้องคำนึงถึงสถานการณ์ภาพรวมสิ!”

เหมียวอี้เหล่ตามองอย่างเย็นเยียบ มีท่าทีแน่วแน่มาก “เรื่องนี้ไม่ต้องปรึกษากันแล้ว ข้ารู้ว่าต้องทำยังไง ไม่ต้องให้เจ้ามาสอนข้าหรอก เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้ายังมีงานต้องทำ!” ตอนพูดประโยคนี้ดูมีความั่นใจมาก

“งั้นข้าก็ไม่รบกวนเจ้าแล้ว” อวิ๋นจือชิวก้มหน้าพ่นลมหายใจหอมข้างหูเขา เพียงแต่ยิงฟันกัดหูเขาอย่างแรงหนึ่งที

“โอย!” เหมียวอี้ร้องอย่างเจ็บปวด

ในห้องเริ่มวุ่นวายทันที โต๊ะคว่ำเก้าอี้ล้ม อวิ๋นจือชิวที่มวยผมโดนดึงจนเอียงโดนผลักออกไปแล้ว นางโซเซถอยหลัง ดวงตางามฉายประกาย ใบหน้าเผยรอยยิ้มจากใจ ทั้งยังแลบลิ้นเลียเลือดบนริมฝีปากตัวเองด้วย ราวกับเป็นอาหารเลิศรสของมนุษย์ จากนั้นย่อตัวคำนับเหมือนผู้หญิงเรียบร้อย “หม่อมฉันขอตัวเพคะ!”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ปิดปากเงียบ ทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น สำหรับอีกด้านที่เป็นนางมารร้ายของฮูหยิน พวกนางเห็นจนชินตาตั้งนานแล้ว

เหมียวอี้ยกมือขึ้นคลำหู ที่มือเต็มไปด้วยรอยเลือด โดนกัดจนเลือดไหลแล้ว โดนกัดหูจนเลือดไหลแล้ว เขาโมโหทันที ชี้แผ่นหลังอวิ๋นจือชิวที่เดินออกไปพลางตะโกนด่า “เป็นบ้าอะไรของเจ้า? ผู้หญิงใจร้าย! สักวันข้าจะหย่ากับเจ้า!”

“หม่อมฉันจะรอนะเพคะ” เสียงของอวิ๋นจือชิวลอยมาจากด้านอก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภูมิใจ

ปกติถ้านอกห้องมีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติอะไร เหยียนซิวก็จะปรากฏตัวเงียบๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้จะไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยสักนิด

อวิ๋นจือชิวที่เข้ามาถึงลานบ้านไม่สนใจภาพลักษณ์ที่ดุร้ายของตัวเอง ไม่ว่าเห็นอะไรก็หัวเราะคิกคักไปหมด ตอนที่เดินผ่านสาวใช้ จู่ๆ ก็บอกว่า “ช่วงนี้คนในจวนทำงานหนัก ตบรางวัลให้ทุกคน!”

“ค่ะ!” เสวี่ยเอ๋อร์กลั้นขำขณะเอ่ยรับ

………………………

เพียงแต่บนรายชื่อที่ส่งมามีสองรายชื่อที่เดิมทีไม่ควรจะปรากฏอยู่บนนี้

ชื่อของเหยียนซิวกับหยางเจาชิงถูกเติมไว้ข้างบน จะได้สะดวกหาข้ออ้างลงโทษ ถอดออกจากตำหนักสวรรค์ ทำให้ไร้ตำแหน่งติดตัว!

สาเหตุที่รีบรายงานขึ้นไปในเวลานี้ ก็เพราะประมุขชิงเปิดเผยเจตนาออกมาชัดเจนมาก เหมียวอี้ให้ความสำคัญกับกำลังพลห้าสิบล้านนี้มาก ประมุขชิงก็ให้ความสำคัญเช่นกัน ต้องการจัดการให้เรียบร้อยแข่งกับเวลา ไม่ถึงขั้นปฏิเสธรายชื่อกลับมาในเวลานี้จนกระทบต่อแผนของเหมียวอี้ ดังนั้นก็เป็นไปได้น้อยมากที่จะปฏิเสธเจตนาส่วนตัวของเหมียวอี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นยามปกติ ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะมีคนคิดขัดขวางหรือไม่

เมื่อแก้ไขปัญหาสำคัญเรื่องนี้แล้ว หยางเจาชิงก็ฮึกเหิมมีชีวิตชีวา เหมียวอี้ทำสำเนารายชื่อกิจการและบัญชีรายชื่ออีกฉบับให้หยางเจาชิง ให้เขาไปเรียบเรียงข้อมูล รายละเอียดกิจวัตรประจําวันในด้านนี้ส่งให้อวิ๋นจือชิวควบคุมดูแล โดยมีหยางเจาชิงช่วยเหลือ ถ้าพบสิ่งที่ตัดสินใจได้ยากหรือหาผลลัพธ์ได้ยาก ก็ให้รายงานไปที่เหมียวอี้

กำลังคุยเรื่องนี้กันอยู่ หยางเจาชิงก็ได้รับข่าวจากหลงซิ่นอีก บอกว่าลูกสาวของอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงเม่ยเอ๋อร์มาเล่นกับอวิ๋นจือชิวอีกแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้มีคนที่ค่อนข้างพิเศษมาด้วย โกวเยว่ พ่อบ้านของตระกูลก่วงร่วมเดินทางมาด้วย ให้หยางเจาชิงถามความเห็นของเหมียวอี้

แน่นอน ตอนนี้ยังไม่ประกาศเรื่องที่รายงานขึ้นไปว่าจะถอดหยางเจาชิงกับเหยียนซิวออกจากตำหนักสวรรค์

เมื่อได้ฟังรายงานจากหยางเจาชิงแล้ว เหมียวอี้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวก็ขมวดคิ้ว ยังแปลกใจอยู่เลยว่าจนป่านนี้แล้วทำไมตระกูลก่วงยังไม่เอ่ยถึงเรื่องแลกตัวประกัน ตามหลักแล้ว อาศัยช่องทางข่าวสารของตระกูลก่วง ก็น่าจะรู้แล้วสิว่าเขากลับถึงแดนรัตติกาล ที่แท้ก็ส่งตัวละครสำคัญมาด้วยตัวเอง เกรงว่ามาทวงตัวประกันคงจะเป็นแค่หนึ่งในจุดประสงค์ที่มาเท่านั้น ทั้งยังอยากสืบดูสถานการณ์ของกำลังพลห้าสิบล้านด้วย เพียงแต่ในเวลานี้ก่วงเม่ยเอ๋อร์จะเข้ามาประสมโรงด้วยทำไม?

“ให้หลงซิ่นพามาด้วยตัวเองแล้วกัน” เหมียวอี้โบกมือ พอครุ่นคิดเล็กน้อย ก็บอกอีกว่า “ก่วงเม่ยเอ๋อร์มาแล้ว บอกฮูหยินมารับไปด้วย” ไม่มีทางเลือก เพราะชายหญิงแตกต่างกัน เขาไม่สะดวกจะรับแขก ให้อวิ๋นจือชิวมาจะเหมาะสมกว่า

หยางเจาชิงเลยรับ แล้วเดินตามหลังเหมียวอี้ออกไปรับแขก

แม้ฐานะของโกวเยว่จะเป็นเพียงพ่อบ้าน แต่เบื้องหลังของบ้านที่อีกฝ่ายดูแลก็ไม่ใช่เล็กๆ ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็น ก็ไม่สะดวกจะวางมาดใหญ่โตต่อหน้าคนประเภทนี้ ถ้าอีกฝ่ายไม่พอใจขึ้นมา พูดแค่ประโยคสองประโยค ก็สามารถสร้างปัญหาใหญ่ให้เจ้าจนถึงแก่ชีวิตได้แล้ว

เมื่อได้รับข่าวแล้ว อวิ๋นจือชิวก็บอกให้พวกผู้หญิงเลือกกันเอาเอง แล้วนางก็กลับมาทันที

แทบจะตามกันมาติดๆ กลุ่มของโกวเยว่เหาะลงมาจากฟ้าแล้ว หลงซิ่นพาแขกมาด้วยตัวเอง เหมียวอี้และผู้หญิงรอต้อนรับอยู่นอกประตู นับว่าไว้หน้าโกวเยว่เต็มที่

สำหรับสิ่งนี้โกวเยว่รู้อยู่แก่ใจ แต่กลับรักษาธรรมเนียมของการเป็นบ่าว ให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์เดินอยู่หน้าสุด ส่วนเขาก็เดินตามอยู่ข้างหลัง ข้างหลังเขามีผู้ติดตามอีกหลายสิบคน

เหมียวอี้และผู้หญิงย่อมเดินเข้ามาทำความเคารพ “คำนับคุณหนูเม่ยเอ๋อร์”

“ไม่ต้องมากพิธี!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ฝืนยิ้ม

อวิ๋นจือชิวกับก่วงเม่ยเอ๋อร์คลุกคลีกันบ่อย สังเกตได้ว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

“เชิญด้านใน!” เหมียวอี้เบี่ยงตัวหลีกทาง แล้วยื่นมือเชิญ

อวิ๋นจือชิวกลับบอกว่า “ข้ากับคุณหนูเม่ยเอ๋อร์ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว ถ้าคุณหนูเม่ยเอ๋อร์ไม่รังเกียจ ออกไปเดินเล่นกับข้าวหน่อยสิ?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์เสียงน่าชำเลืองโกวเยว่แวบหนึ่ง เพราะเห็นโกวเยว่ไม่มีท่าทีคัดค้าน นางก็พยักหน้า ก่อนจะถูกอวิ๋นจือชิวจูงมือเดินออกไป

โกวเยว่พยักหน้าเล็กน้อย บอกใบ้ให้ผู้ติดตามตามก่วงเม่ยเอ๋อร์ไป แล้วตัวเองก็กุมหมัดคารวะพูดกับเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนผู้ตรวจการใหญ่แล้ว”

“ท่านบุรุษโกว เชิญ!” เหมียวอี้ยื่นมือ นำทางเข้ามาด้านในด้วยตัวเอง

ผู้ติดตามข้างหลังทำท่าจะเข้ามาด้วย แต่กลับถูกหลงซิ่นยื่นมือขวางไว้ ผู้ติดตามไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปสักคน

โกวเยว่หันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้บังคับ โบกมือบอกใบ้ให้พวกเขารออยู่ข้างนอก เขาไม่เชื่อว่าเหมียวอี้จะกล้าลงมือกับเขายังเปิดเผย

เดิมทีเหมียวอี้อยากจะเชิญให้โกวเยว่ไปดื่มน้ำชา โกวเยว่กลับไม่มีท่าทีจะตามใจเจ้าบ้าน ดึงดันจะไปเดินเล่นให้ได้ ทั้งยังไปเดินบนที่กว้างโล่งด้วย เหมียวอี้จึงตามใจเขา

หยางเจาชิงตามหลังทั้งสองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ฟังทั้งสองพูดคุยกันตามมารยาทน่าเบื่อหน่าย เดินเนิบนาบอยู่บนลานกว้างนอกตำหนัก

หลังจากคุยสัพเพเหระ โกวเยว่ก็เข้าสู่ประเด็นหลัก ถามว่า “ได้ยินว่าลิ่งหูโต้วจ้งนำกำลังพลชุดหนึ่งมาขอพึ่งพาผู้ตรวจการใหญ่หรือ?”

เหมียวอี้ตอบคนเสียงหัวเราะ “ไม่ใช่เสียหน่อย! เป็นคนที่มีความผิดติดตัวทั้งนั้น ทางวังสวรรค์สั่งให้ข้าควบคุมไว้ชั่วคราว กำลังรอการตัดสินโทษจากเบื้องบน”

“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” โกวเยว่เอามือไขว้หลัง ยืดอกเดินพร้อมพูดว่า “ได้ยินว่ากำลังพลในเขตทัพตะวันตกเกิดเรื่องผิดใจกับลิ่งหูโต้วจ้งนิดหน่อย บังเอิญว่าคุณหนูเม่ยเอ๋อร์จะมาเที่ยวเล่นพอดี ท่านอ๋องให้ข้าคุ้มกันส่ง เลยถือโอกาสให้ข้ามาถามสถานการณ์กับลิ่งหูโต้วจ้งสักหน่อย ไม่ทราบว่าจะให้ข้าพบเขาได้หรือไม่?”

“ไม่ต้องการตัวประกันหนึ่งล้านนั่นแล้วหรือ?” เหมียวอี้ถามกลับ

“ถ้าต้องการ ผู้ตรวจการใหญ่ก็ย่อมให้อยู่แล้ว” โกวเยว่ตอบ

ดูท่าทางแล้วต้องการจะพบลิ่งหูโต้วจ้งให้ได้ แต่จนใจที่เหมียวอี้ไม่อยากให้เขาพบเลย ตอบอย่างจริงจังว่า “ถ้าท่านอ๋องไม่ต้องการ ข้าก็ไม่ให้แล้ว”

โกวเยว่เลิกคิ้วเหล่ตา “ทำไมล่ะ? ผู้ตรวจการใหญ่กลัวว่าข้าจะเจอกับลิ่งหูโต้วจ้งมากนักหรือ?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ฟังท่านบุรุษโกวพูดเข้าสิ ข้ามีอะไรให้กลัว เพียงแต่เรื่องนี้ข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจ พวกเขาล้วนเป็นคนที่มีความผิด ก่อนที่จะสืบเรื่องนี้ชัดเจน ตำหนักนารีสวรรค์ออกคำสั่งอย่างเข้มงวด ว่าให้ติดต่อกับใครโดยพละการ ท่านบุรุษโกวจะให้ข้าขัดคำสั่งไม่ได้หรอกใช่ไหม!”

“หึ!” โกวเยว่แสยะยิ้ม อีกฝ่ายอ้างแม้กระทั่งเหตุผลนี้ เขารู้ว่าไม่มีหวังแล้ว จึงถามว่า “คนน่ะ ท่านเตรียมจะปล่อยเมื่อไหร่?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ท่านจะไปเมื่อไหร่ ข้าก็ให้ท่านพาไปเมื่อนั้น ไม่ทราบว่าท่านพอใจหรือไม่?”

โกวเยว่ตอบว่า “จะว่าดีมันก็ดี แต่ผู้ตรวจการใหญ่ก็ไม่ใช่เล่นๆ กลัวก็แต่ผู้ตรวจการใหญ่จะเล่นตุกติกอะไร!”

เหมียวอี้บอกว่า “เรื่องนี้ท่านวางใจได้ คำสัญญาของหนิวมีค่าเท่ากับทองพันชั่ง รับรองว่าคืนทหารที่ครบสมบูรณ์ให้ท่านอ๋อง ส่วนเรื่องที่ท่านอ๋องอยากจะสั่งหารข้า ข้าจะไม่สืบสาวเอาเรื่องแล้ว แล้วไม่เอ่ยเรื่องนี้กับภายนอกด้วย ถ้ามีคนถามว่าเคยเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นหรือไม่ ถึงยังไงหนิวก็ต้องรับผิดชอบเรื่องเกาเหยียนก่อนหน้านี้บ้าง ครั้งนี้นับว่าชดเชยให้ ท่านคิดว่ายังไงบ้าง?”

ที่จริงเขายังคิดจะถือโอกาสนี้รีดไถเงินสักก้อน แต่ในเวลานี้ไม่สะดวกจะสร้างปัญหาเพิ่มอีก ถ้าไปยั่วโมโหก่วงลิ่งกงแล้ว เรื่องในตอนหลังก็จะยุ่งยาก ขนาดเนื้อที่มาถึงปากยังไม่กล้ากินเลย!

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เรื่องนี้ก็ปล่อยให้ผ่านไป มาเริ่มคุยธุระหลักกันก่อนดีกว่า!” โกวเยว่กล่าว

“ธุระหลัก?” เหมียวอี้ไม่ค่อยเข้าใจ “ยังมีธุระหลักอีกหรือ?”

“เรื่องมงคล!” โกวเยว่พูดเสริม

“เรื่องมงคลอะไร?” เหมียวอี้งงทันที

“เรื่องอ๋องสวรรค์อิ๋ง ผู้ตรวจการใหญ่ไม่รู้สึกว่าตัวเองไปมีส่วนร่วมกับเรื่องที่ไม่ควรจะยุ่งหรือ?” โกวเยว่ถาม

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะแก่นี่จะอ้อมค้อมไปทำไม เขายักไหล่แล้วถอนหายใจ “ข้าก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ตระกูลอิ๋งไม่ปล่อยข้าไปแน่นอน บังเอิญว่าเซี่ยโห้วลิ่งมาหาค่าพอดี ต้องการจะช่วยข้ากำจัดปัญหาคาราคาซังไปตลอดกาล ข้าไม่มีเหตุผลที่จะไม่ให้ความร่วมมือ!” เขาทำได้เพียงผลักเรื่องนี้ไปที่เซี่ยโห้วลิ่ง

โกวเยว่ไม่แปลกใจเลยสักนิด เดิมทีก็คิดว่าเป็นแผนการของเซี่ยโห้วลิ่งอยู่แล้ว “บางสิ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ตรวจการใหญ่สามารถแตะต้องได้ เมื่อไปแตะต้องแล้วก็ต้องจ่าย บอกท่านตามตรงเลยแล้วกัน ต่อให้ท่านอ๋องไม่เอาเรื่อง แต่คนอื่นก็ไม่ปล่อยท่านไปอยู่ดี ผู้ตรวจการใหญ่เป็นคนฉลาด น่าจะเข้าใจ เพียงแต่เห็นแก่ที่คุณหนูเม่ยเอ๋อร์ขอร้อง ท่านอ๋องเตรียมคิดจะช่วยเหลือผู้ตรวจการใหญ่”

เหมียวอี้ยังไม่เชื่อว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์จะบงการเรื่องแบบนี้ได้ แต่ก็ขยับคิ้วเล็กน้อย ตระหนักอะไรบางอย่างได้ “เรื่องมงคลที่ท่านบุรุษโกวบอก คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณหนูเม่ยเอ๋อร์หลอกใช่ไหม?”

โกวเยว่พยักหน้า “ผู้ตรวจการใหญ่ฉลาดจริงๆด้วย ถ้าผู้ตรวจการใหญ่สามารถตกลงปลงใจกับคุณหนูเม่ยเอ๋อร์ได้ เช่นนั้นผู้ตรวจการใหญ่ก็จะได้เป็นลูกเขยของท่านอ๋องแล้ว ท่านอ๋องยอมต้องช่วยให้ผู้ตรวจการใหญ่ผ่านด่านยากนี้ไป นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล”

“เหอะๆ! ท่านบุรุษโกวล้อเล่นแรงเกินไปแล้ว ” เรื่องนี้ถ้าเหมียวอี้ตอบตกลงได้ก็แปลกแล้ว เพราะว่าเขาไม่เข้าข้างฝ่ายไหนทั้งนั้น ประมุขชิงถึงได้ปล่อยเขาไปและสนับสนุน ถ้ากล้าทรยศชิงหยวนจุนไปพึ่งพาตระกูลก่วง นั่นก็แสดงว่าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว

“ไม่ได้ล้อเล่น! หรือว่าความงามของคุณหนูเม่ยเอ๋อร์ขัดสายตาตรงไหน?”

“ท่านบุรุษโกวล้อเล่นแล้ว ความงามของคุณหนูเม่ยเอ๋อร์ไม่เป็นสองรองใคร เป็นหนิวเองที่ไม่คู่ควร แล้วอีกอย่าง ในปีนั้นตอนเกิดเรื่องน่าฟ้าระกาติง พวกเราก็เคยคุยกันไปแล้ว ขนาดในปีนั้นข้ายังไม่ตอบตกลงเลย นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่ข้ามีฮูหยินเอกแล้ว”

“รู้ว่าสามีภรรยารักกันลึกซึ้ง ท่านอ๋องจะไม่เอาไม้ไปตีคู่นกยวนยางให้แยกจากันเช่นกัน ฮูหยินท่านอ๋องก็ชื่นชมมากด้วย ยินดีให้คุณหนูเม่ยเอ๋อร์มาเป็นอนุภรรยาของผู้ตรวจการใหญ่ น้ำใจที่ลึกซึ้งแบบนี้ ถ้าผู้ตรวจการใหญ่ปฏิเสธก็จะฟังดูแล้วไหลแล้ว”

“เหอๆ…เหอะๆ…หึหึ วันนี้ท่านบุรุษโกวล้อเล่นแรงเกินไปแล้วจริงๆ หนิวรับไว้ไม่ไหว รับไว้ไม่ไหวจริงๆ”

“ท่านอ๋องตั้งใจจะช่วยให้สมปรารถนา ไม่มีอะไรรับไม่ไหว แต่เพื่อที่จะปกป้องผู้ตรวจการใหญ่ เรื่องที่ให้คุณหนูเป็นอนุภรรยาของผู้ตรวจการใหญ่จะเป็นความลับ คุณหนูจะยังพักอยู่ที่จวนท่านอ๋องตามปกติ เวลาว่างมาเที่ยวเล่นที่นี่ก็จะปิดบังสายตาคนอื่นได้ แน่นอนว่า เรื่องนี้ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ท่านอ๋องหวังจะให้คุณหนูให้กำเนิดหลานโดยเร็ววัน! คุณหนูงดงามไร้ที่เปรียบ ผู้ตรวจการใหญ่กระฉับกระเฉงทรงพลัง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้คงไม่ยากเกินความสามารถผู้ตรวจการใหญ่! ขอเพียงผู้ตรวจการใหญ่ตอบตกลง คุณหนูเม่ยเอ๋อร์ก็จะยังไม่กลับไปกับบ่าว ส่วนเรื่องพิธีรีตองอะไรนั่น รอให้ถึงเวลาเหมาะสมก่อนค่อยชดเชยให้ ท่านคิดว่ายังไง?”

หยางเจาชิงที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลได้ยินแล้วมุมปากกระตุก ยังเป็นท่านอ๋องอะไรกัน เขาพบว่าคนพวกนี้ช่างหน้าไม่อาย ไม่มีอะไรจะพูดแล้วจริงๆ

เหมียวอี้เองก็ตะลึงค้างกับคำพูดของโกวเยว่เช่นกัน พอลองคิดทบทวน เรื่องนี้ฟังดูหลอกลวงเหลวไหล ทว่านี่คือวิธีการดีที่ไม่มีอะไรเสียหาย แอบเป็นพันธมิตรกันอย่างลับๆ เรียกได้ว่ามีแต่ผลประโยชน์ต่อเหมียวอี้ ถ้ามีก่วงลิ่งกงแอบสนับสนุน ก็จะมีประโยชน์กับเขามาก ส่วนผลประโยชน์ที่ก่วงลิ่งกงจะได้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นการทำผิดต่ออวิ๋นจือชิว ลองคิดดูเล่นๆ ก็รู้แล้ว อีกฝ่ายคือลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของท่านอ๋อง จะปล่อยให้เป็นอนุภรรยาไปทั้งชีวิตเชียวหรือ? แค่เงื่อนไขที่ว่าให้กำเนิดหลานโดยเร็ว จะให้อวิ๋นจือชิวทนความรู้สึกได้อย่างไร?

หยางเจาชิงเริ่มทำสีหน้าครุ่นคิด เขาลองคิดในมุมของผลประโยชน์ ก็พบว่าเรื่องนี้ทำได้จริงๆ ก่วงลิ่งกงพิจารณาได้รอบด้าน เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปทางเหมียวอี้ นายท่านคงจะเข้าใจเหตุผลที่อยู่ในนั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่านายท่านจะให้คำตอบอย่างไร

เหมียวอี้หยุดฝีเท้า โกวเยว่เองก็หยุดแล้วหันตัวมามองเขา รอคอยคำตอบของเขา สายตาทั้งสี่สบประสานกัน

ผลประโยชน์หล่นใส่หัว! เหมียวอี้ยังตัดสินใจยืนหยัดบางสิ่งที่ควรจะยืนหยัด ยอมเสียสละทุกอย่างที่ควรจะจ่าย แต่ไม่ยอมผิดคำสัญญาสวยหรูที่ให้ไว้ที่ทะเลทรายท่านเมฆาในปีนั้น เป็นเพราะความงดงามในใจมีอยู่ไม่เยอะแล้ว ในปีนั้นเขาตัวเปล่า แต่ผู้หญิงปากร้ายคนนั้นก็ยังเทใจมาอยู่กับเขาราวกับคนโง่ เขาพยักหน้ายิ้ม “เรื่องที่ท่านบุรุษโกวกล่าวเมื่อครู่นี้ หนิวรับรองว่าจะไม่เปิดเผยต่อภายนอกแม้แต่คำเดียว แน่นอน หนิวเองก็ฟังไม่เข้าใจ ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น!”

โกวเยว่สีหน้าบึ้งตึงในฉับพลัน เราอย่างชัดเจนว่า “เรื่องนี้ไม่มีผลเสียอะไรกับท่าน มีแต่ข้อดี หวังว่าผู้ตรวจการใหญ่ไตร่ตรองให้ชัดเจนแล้วค่อยให้คำตอบ!”

“ไตร่ตรองชัดเจนแล้ว ไม่ต้องคิดแล้ว!”

…………………………

เจ้าหกไม่มีช่องทางติดต่อกับพี่น้องคนอื่น ท่ามกลางกำลังพลที่อยู่ในที่ลับ มีเพียงเขาที่ติดต่อกับพี่น้องคนอื่นได้

เขาไม่รู้ว่าทำไมเจ้าหกถึงรู้เรื่องการเจรจาลับของหนิวโหย่วเต๋อ เดาว่าข้างกายหนิวโหย่วเต๋อคงมีคนของเจ้าหก สำหรับตระกูลเซี่ยโห้ว นี่คือเรื่องที่ปกติมาก!

เพียงแต่เขาไม่สามารถยืนยันได้ว่าเจ้าหกพูดความจริงหรือไม่ ไม่น่าเชื่อว่าเซี่ยโห้วลิ่งมีเจตนาลงมือกับเฉาหม่าน เป็นไปได้หรือ?

เรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่กล้าคิดลึก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ ถ้ำกลางพี่น้องที่อยู่ในที่ลับ มีเพียงเขาที่ถูกวางไว้ในที่แจ้ง หลังจากบิดาจากโลกนี้ไป เขาก็กลายเป็นศูนย์กลางการติดต่อของพี่น้องที่อยู่ในที่ลับ ไม่รู้ว่าเซี่ยโห้วลิ่งสังเกตเห็นอะไรหรือเปล่า เขาคือคนที่มีภัยคุกคามต่อเซี่ยโห้วลิ่งมากที่สุด ถ้าเซี่ยโห้วลิ่งต้องการจะรวบอำนาจ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะลงดาบกับเขาคนแรก!

พอนึกเชื่อมโยงไปถึงวิธีการที่เซี่ยโห้วลิ่งใช้เล่นงานอิ๋งจิ่วกวงครั้งนี้ เฉาหม่านก็รู้สึกตัวสั่นหวาดกลัวแล้วจริงๆ เห็นรางๆ ว่าพายุกำลังจะโถมเข้ามาตรงหน้า

เขามีความคิดที่จะชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ แต่บิดาทิ้งวิธีการคานอำนาจเอาไว้ เหมาะกับการทำให้ทุกคนเกาะกลุ่มกัน ถ้าใครคนใดคนหนึ่งอยากจะทำงานเพียงลำพัง ก็มีโอกาสสำเร็จยาก ถ้าตัวเองไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเซี่ยโห้วลิ่งจะสู้กับตน ก็เป็นไปไม่ได้ที่พี่น้องพวกนั้นจะกระโดดขึ้นมาสนับสนุนง่ายๆ

ทำอย่างไรดีล่ะ? โจทย์ยากขนาดใหญ่วางอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว!

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ชีเจวี๋ยเข้ามาข้างใน รายงานสถานการณ์บางอย่างให้ฟัง

ตอนที่กำลังจะถอยออกไป เฉาหม่านก็ยกมือรั้งให้เขาอยู่ต่อ แล้วเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาในห้อง พอหยุดเดินแล้วถึงได้บอกว่า “ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อกลับมาแล้ว เจ้าติดต่อเขาสักหน่อย ให้เขามาเจอกัน”

จากน้ำเสียงของเขา ชีเจวี๋ยฟังออกว่าไม่เหมือนกับการเรียกหนิวโหย่วเต๋อมาหาในครั้งก่อนๆ อย่างไรเสียตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ใช่แม่ทัพภาคตลาดผีเหมือนในปีนั้นแล้ว ตำแหน่งไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาเอ่ยรับ “ขอรับ!” แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้ตรงนั้น

หลังจากติดต่อแล้ว ชีเจวี๋ยก็ตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าตอนนี้เขาไม่ว่าง รอให้มีเวลาก่อนแล้วจะมาเยี่ยมอีกที”

เฉาหม่านพยักหน้าเบาๆ “งั้นรออีกสองสามวันค่อยติดต่ออีกที” เขาไม่ได้บอกเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋ออาจจะสู้กับเขา

เพียงแต่ชีเจวี๋ยรู้สึกได้ว่าเถ้าแก่ใจร้อนอยากจะพบหนิวโหย่วเต๋อ…

หลังจากฟ้าสว่าง เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวก็ไปในป่าภูเขาจุดรวมตัวของสมาชิกครอบครัวด้วยกัน คนในครอบครัวของทหารที่ตำแหน่งค่อนข้างสูงตามอวิ๋นจือชิวไปหาที่พักด้วยกัน ส่วนเหมียวอี้ก็คุยกับพวกลิ่งหูโต้วจ้งพักหนึ่ง จากนั้นก็ไปหาคนของสำนักลมปราณตรงที่พักของสำนักลมปราณ

ไปแต่ละที่แค่พอเป็นพิธีเท่านั้น พอกลับเข้ามาในจวนหัวหน้าภาค ก็เข้ามาในตำหนักด้านข้าง คนนับร้อยกำลังทำงาน กำลังจัดระเบียบรายชื่อกำลังพลห้าสิบล้าน หยางเจาชิงเป็นคนดูแลภาพรวม นี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้

เหมียวอี้เข้ามาแล้วก็ไม่ได้รบกวน เพียงเดินเข้าไปข้างกายหยางเจาชิงแล้วถามว่า “เตรียมตัวเป็นยังไงบ้างแล้ว?”

หยางเจาชิงหันกลับมามองแวบหนึ่ง หลังจากรีบทำความเคารพแล้ว ก็รายงานว่า “ใกล้แล้วครับ วันนี้รายชื่อสมาชิกที่จะลดยศตำแหน่งจะออกมาได้แล้ว”

ไม่มีทางเลือก กำลังพลห้าสิบล้านมียศตำแหน่งแตกต่างกันไป เป็นไปไม่ได้ที่จะลดยศตำแหน่งไปอยู่ระดับต่ำสุดทั้งหมด

เหมียวอี้พยักหน้า ขณะกำลังจะเดินออกไป ทันใดนั้นก็ได้รับข้อความจากเว่ยซู เหมียวอี้จึงเดินไปในห้องเดี่ยวของตำหนัก ไม่รบกวนกลุ่มคนที่อยู่ข้างนอก

เมื่อเชื่อมสัญญาณติดแล้ว เหมียวอี้ก็กล่าวอย่างสุภาพ : พ่อบ้านเว่ย ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับ?

เว่ยซูก็สุภาพมากเช่นกัน: จะกล้ากำชับผู้ตรวจการใหญ่ได้อย่างไร

เหมียวอี้ : พ่อบ้านเว่ยมีธุระอะไรก็บอกมาได้เลย

เว่ยซู : งั้นข้าก็จะพูดตรงๆ แล้วกัน ทางตลาดสวรรค์มีร้านค้าของตระกูลเซี่ยโห้วไม่น้อยที่ถูกปล้น ต้องย้ายคนงานจากร้านอื่น ที่บังเอิญก็คือตอนนี้มีคนงานไม่น้อยถูกคนของร้านขายของชำซื่อตรงยึดไปแล้ว รบกวนผู้ตรวจการใหญ่เร่งคนของสำนักลมปราณให้รีบจบธุรกรรมของร้านขายของชำแล้วกลับไป

เหมียวอี้แอบรู้สึกบันเทิง คาดว่าคงรู้แล้วว่าคนของสำนักลมปราณมารวมตัวกันอยู่ฝั่งนี้ ไม่ได้กลับไปที่ดาวไร้ลักษณ์อีก สังเกตได้ถึงความผิดปกติแล้ว

คนของสำนักลมปราณออกจากร้านขายของชำได้อย่างราบรื่นแล้ว มีหรือที่เหมียวอี้จะปล่อยกลับไปง่ายๆ ตามแผนการของเขา เดิมทีก็อยากสร้างความขัดแย้งกับเซี่ยโห้วลิ่งสักหน่อยอยู่แล้ว ประการแรกก็เพื่อทำให้เฉาหม่านสงบใจ ประการรองก็คือ เรื่องในครั้งนี้ลุกลามใหญ่โตขนาดนั้น เข้าไปมีส่วนร่วมเรื่องโคนล้มอิ๋งจิ่วกวง นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก คาดว่าคนที่ต้องการลงมือสังหารตนคงไม่ได้มีแค่ก่วงลิ่งกง การโผล่หน้าที่ตลาดสวรรค์คือการหยั่งเชิงครั้งหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นจะต้องปลอบใจคนเรานั้นสักหน่อย การขัดแย้งกับเซี่ยโห้วลิ่งเพื่อคลี่คลายสถานการณ์คือเรื่องที่สมควรจะทำ

เริ่มตั้งแต่ที่หยางชิ่งแนะนำให้เหมียวอี้ฮุบกำลังพลห้าสิบล้านของลิ่งหูโต้วจ้งเอาไว้ หยางชิ่งก็กำลังวางแผนรับมือกับสถานการณ์แล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางฮุบกำลังพลห้าสิบล้านได้ง่ายๆ ขนาดนั้น

โค่นล้มอิ๋งจิ่วกวงได้เพราะอาศัยอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้ว เวลาจะแก้ไขปัญหาที่ตามมาในภายหลัง ก็ใช้วิธีการขัดแย้งกับเซี่ยโห้วลิ่งเพื่อคลี่คลายภัยคุกคามจากอ๋องสวรรค์คนอื่นๆ แต่ก็ใช่ว่าเซี่ยโห้วลิ่งจะถูกรังแกได้ง่ายๆ จึงต้องหลอกใช้หยวนกงให้เสี้ยมความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยโห้วลิ่งและพวกเฉาหม่าน ทำให้เซี่ยโห้วลิ่งใช้กำลังที่แข็งแกร่งมาสู้กับเหมียวอี้ให้ได้ ขณะเดียวกันก็ได้ผูกมิตรกับเฉาหม่านด้วย แบบนี้ถึงจะรับประกันได้ว่ากำลังพลห้าสิบล้านจะมีที่ยืนอย่างมั่นคงที่แดนรัตติกาล กอปรกับตลาดมืดถูกควบคุมโดยเฉาหม่าน ถ้าเขาต้องการจะฮุบกิจการของพวกลิ่งหูโต้วจ้งที่ตลาดมืด ก็จำเป็นต้องให้เฉาหม่านสนับสนุน!

ภายนอกไม่รู้เลยว่าเขามีตัวหมากอย่างหยวนกงเอาไว้คอยประเมินความมั่นใจของเซี่ยโห้วลิ่ง แล้วเรื่องโค่นล้มตระกูลอิ๋งก็ยังใช้ขู่เซี่ยโห้วลิ่งได้นิดหน่อย คาดว่าอ๋องสวรรค์ที่เหลือคงตั้งตารอใหเขากับเซี่ยโห้วลิ่งทะเลาะกัน สิ่งที่เขาต้องพยายามก็คือ ในเวลานี้ต้องทำให้อำนาจแต่ละฝ่ายสงบลง ม่ให้เป็นฝ่ายหันหัวหอกมาหาเขาก่อน

สรุปก็คือตั้งแต่เกิดการโค่นฟ้าพลิกดินรอบนี้ หยางชิ่งก็เรียกได้ว่าวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วนต่อเนื่องกัน อาศัยกำลังจากทั่วทุกที่ ไม่เพียงแค่ต่อต้านความกดดันจากแต่ละฝ่ายที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังต้องต้องฉวยโอกาสใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะมีแผนรับมือแล้ว การที่เหมียวอี้กล้าเล่นใหญ่ขนาดนี้ ก็เท่ากับรนหาที่ตาย คิดจริงเหรอว่าอ๋องสวรรค์พวกนั้นเป็นไก่อ่อน? ก่อนหน้านี้ที่เหมียวอี้อดทนเอาไว้หลังจากได้ข่าวเรื่องจูเก๋อชิง แล้วทำตามวิธีการของอวิ๋นจือชิว ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เพราะเขาไม่สามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างหยางชิ่งจริงๆ ไร้ความสามารถที่จะวางแผนกับทุกฝ่าย

ตอนนี้มีเรื่องที่สำเร็จรูปรออยู่แล้ว เหมียวอี้ย่อมถือโอกาสน้ำมาก่อกวนกับเฉาหม่านสักหน่อย แต่ปากก็ยังพูดเอาตัวรอดกับเว่ยซูว่า : ก็ได้ๆ ข้าจะเร่งให้แน่นอน!

ไม่ได้ยินว่าเป็นคำตอบที่เชื่อถือไม่ได้ เว่ยซูก็บอกทันทีว่า : ได้ยินว่าในมือผู้ตรวจการใหญ่มีกำลังพลเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย ยินดีด้วย นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่ผู้ตรวจการใหญ่สร้างจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลขึ้นมา ข้าก็ยังไม่เคยไปเยี่ยมเยียนเลยสักครั้ง อยากจะไปหาถึงที่ ไม่ทราบว่าผู้ตรวจการใหญ่ยินดีต้อนรับหรือเปล่า

เหมียวอี้ได้ยินก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการจะมาหาถึงที่เพื่อหยั่งเชิงตน จึงตอบอย่างกระตือรือร้นว่า : ยินดีต้อนรับ! พ่อบ้านเว่ยมาเยือนได้ ถือว่าเป็นเกียรติของหนิว ยินดีต้อนรับ!

ทั้งสองเพิ่งจะติดต่อกันเสร็จ เหมียวอี้ยังไม่ทันเดินออกมาจากห้องเดี่ยว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ส่งข่าวมาอีกแล้ว บอกว่ากองทัพองครักษ์มาคุมอยู่ที่ศูนย์กลางตลาดสวรรค์ และแต่งตั้งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ของแต่ละแห่งตามที่เขาบอกแล้ว

เหมียวอี้จึงเดินออกมาตรงประตูห้องเดี่ยว แล้วถ่ายทอดเสียงบอกหยางเจาชิงทันที

หลังจากหยางเจาชิงมาแล้ว เหมียวอี้ก็กำชับว่า “คำสั่งแต่งตั้งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์คนใหม่ออกมาแล้ว ฉวยโอกาสตอนเบื้องบนโดนกองทัพองครักษ์ควบคุมอยู่ เบื้องล่างไม่มีใครคัดค้านคำสั่งแต่งตั้งของราชินีสวรรค์ แจ้งให้คนที่อยู่ตามตลาดสวรรค์แต่ละแห่งรู้เดี๋ยวนี้ ให้รับช่วงดูแลตลาดสวรรค์แต่ละแห่งอย่างเป็นทางการ หลังจากสมาชิกเข้าประจำที่แล้ว ก็ให้ทำตามแผนสับเปลี่ยนกำลังพลทันที!”

“รับทราบ!” หยางเจาชิงรีบหยิบระฆังดาราออกมาแจ้งข่าวลงไป จากนั้นก็ได้รับข่าวอีกข่าวมา จึงรายงานว่า “ทางตลาดสวรรค์รวบรวมช่างก่อสร้างจำนวนมาก ตอนนี้กำลังมาที่นี่แล้ว”

“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้าสื่อว่ารู้แล้ว เพียงแต่ตอนที่สายตาหยุดอยู่บนใบหน้าหยางเจาชิง เขากลับเงียบไป ไม่พูดอะไรนานมาก

หยางเจาชิงถูกเขามองจนอึดอัดไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไปแล้ว อดไม่ได้ที่จะถามว่า “นายท่าน มีอะไรจะกำชับหรือขอรับ?”

“เจาชิง เจ้าอยู่กับข้ามาหลายปีขนาดนี้แล้ว…” เหมียวอี้เหมือนลังเลนิดหน่อย ภายใต้สายตาฉงนของหยางเจาชิง สุดท้ายก็พูดความจริงออกมา “คนที่อยู่ข้างกายข้าไม่สะดวกจะถูกตำหนักสวรรค์ควบคุมทั้งหมด ถ้าถูกเบื้องบนถ่ายทอดคำสั่งย้ายลงมา…ถ้าคุยกับทางเหยียนซิวแล้ว เขาไม่อยากได้อำนาจทางทหาร ดังนั้นค่าเตรียมจะถือโอกาสตอนลดตำแหน่งครั้งนี้ ทำให้เขาหลุดพ้นจากฐานะขุนนางตำหนักสวรรค์ ให้เขาติดตามค่าโดยไร้ตำแหน่งขุนนาง จะได้ลดอุปสรรคให้ข้าด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าความคิดของเจ้าเป็นยังไง แน่นอน เรื่องนี้ข้าไม่บังคับ ถ้าเจ้าอยากบัญชาการทหาร ก็จะได้ถือโอกาสนี้มอบอำนาจทางทหารให้กับเจ้า ก็เลยต้องขอความเห็นของเจ้าก่อน”

หยางเจาชิงตะลึงไปคู่เดียว จากนั้นถอยหลังหนึ่งก้าว คุกเข่าข้างเดียวพร้อมก้มหน้าบอกว่า “ข้าน้อยยินดีติดตามนายท่านโดยตำแหน่ง

พูดถึงขั้นนี้แล้ว มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจความคิดของเหมียวอี้ แบบนี้แปลว่ากำลังจะให้เขากลายเป็นพ่อบ้านของเหมียวอี้อย่างเป็นทางการแล้ว ฐานะของเขาตอนนี้เกี่ยวข้องกับความลับของเหมียวอี้เยอะเกินไป ไม่สะดวกจะเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ต่อไปแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นถ้าเบื้องบนมีคำสั่งย้ายลงมา ก็จะทำให้เหมียวอี้ตกอยู่ในสถานะ ฝ่ายถูกกระทำ

เขาย่อมรู้ว่าสิ่งนี้แฝงความหมายว่าอะไร แบบนี้เท่ากับตัดอนาคตของตัวเองโดยสิ้นเชิง เป็นการนำความมีเกียรติและความเสื่อมเสียของตัวเองไปผูกไว้กับตัวเหมียวอี้ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เขากำลังจะเปลี่ยนจากผู้ใต้บังคับบัญชาของเหมียวอี้ไปเป็นทาสในบ้านของเหมียวอี้แล้ว แต่ถ้ามองจากบางมุม เขาก็ได้กลายเป็นคนสนิทของเหมียวอี้อย่างแท้จริงแล้วเช่นกัน ได้รับความเชื่อใจจากเหมียวอี้โดยสมบูรณ์ เหมียวอี้ไม่ปฏิบัติต่อเขาอย่างไร้ความยุติธรรมแน่

เหมียวอี้ค่อนข้างตื้นตันใจ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่หยางเจาชิงกลับตอบตกลงอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด พิสูจน์ความภักดีได้ เพราะด้วยเหตุนี้เอง เหมียวอี้กลับไม่รีบรับปาก ลุกขึ้นก้าวออกมาใช้สองมือประคองเขา แล้วถามว่า “ต้องปรึกษากับหลินผิงผิงก่อนหรือเปล่า?”

อย่างไรเสียถ้าเขากลายเป็นทาส ฐานะของหลินผิงผิงก็จะต้องเป็นไปตามเขา

“ไม่ต้องแล้ว นางจะเห็นด้วยแน่นอน” หยางเจาชิงตอบด้วยรอยยิ้ม

ความสะเทือนใจทั้งหมดแสดงอยู่บนใบหน้า เหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรมาก ออกแรงตบบ่าหยางเจาชิง บอกใบ้ให้ไปทำงานต่อได้แล้ว

เขาเองก็ยังไม่ได้รีบไป หลบอยู่ในห้องส่วนตัวเพื่อตรวจสอบบัญชีรายชื่อและกิจการที่พวกลิ่งหูโต้วจ้งเพิ่งส่งขึ้นมา สุดท้ายคนพวกนี้ก็ยอมจำนนต่อความจริงแล้ว

หลังจากนั้นสองชั่วยาม รายชื่อรถตำแหน่งกำลังพลห้าสิบล้านก็ถูกร่างออกมาแล้ว หยางเจาชิงถือรายชื่อเดินเข้ามา ขณะที่เหมียวอี้กำลังตรวจอ่าน เขาก็คอยอธิบายอยู่ข้างๆ

รู้จักแน่ใจว่ารายชื่อบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ เหมียวอี้ก็ไม่ได้นำไปให้พวกลิ่งหูโต้วจ้งดูผ่านตาก่อน เพราะในนั้นซ่อนวิธีการกระจายคนตามที่หยางชิ่งแนะนำเอาไว้ ทำแบบนี้ก็เพื่อทำลายทางหนีทีไล่ของกำลังพลเหล่านี้ในภายหลัง กลัวว่าถ้าพวกลิ่งหูโต้วจ้งสังเกตเห็นแล้วจะไม่ยอมปล่อยผ่าน เตรียมจะให้ฝั่งตำหนักสวรรค์อนุมัติลงมาก่อน จะทำให้ไม้กลายเป็นเรือ ให้เรื่องราวดำเนินไปถึงขั้นที่เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้

เขาไม่ได้เก็บรายชื่อนี้ไว้นาน จะต้องทำงานแข่งกับเวลา ต้องส่งรายชื่อพวกนี้ไปที่วังสวรรค์ก่อนที่เรื่องของเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อจะเรียบร้อย มีเพียงทำให้เสร็จก่อนหน้านั้น แรงต้านถึงจะน้อยที่สุด สามอ๋องสวรรค์ก็ต้องให้ความร่วมมือกับสองคนนั้นเหมือนกัน

รายชื่อนี้ต้องอาศัยคนที่ไว้ใจได้นำไปส่งให้ เหมียวอี้สั่งให้เหยียนซิวที่กลับมาจากพิภพเล็กแล้วนำรายชื่อไปส่งที่วังสวรรค์ด้วยตัวเอง

…………………

เมื่อออกจากห้องอาบน้ำแล้ว บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวและดวงจันทร์ เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวขึ้นไปบนแท่นสังเกตการณ์ ทอดสายตามองราตรีที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

หลังจากมีความสุขด้วยกันแล้ว อวิ๋นจือชิวก็แนะนำให้เหมียวอี้วางงานแล้วผ่อนคลายก่อนชั่วคราว ให้ออกมาเดินเล่นเป็นเพื่อนนาง

สองสามีภรรยาล้วนสวมชุดลำลอง ปล่อยผมยาวโดยไม่ได้มัด ผมปลิวสยายตามลมราตรีที่พัดมา

ภาพเหตุการณ์สงบเงียบ หลังจากระบายไฟโกรธไปแล้วรอบหนึ่ง เหมียวอี้ก็อารมณ์สงบลงแล้ว เขาเอียงหน้าช้าๆ มองอวิ๋นจือชิวที่กำลังจับระเบียงมองทิวทัศน์ ถามว่า “เจ้าน่าจะรู้นะว่าสุดท้ายหยางชิ่งจะวางแผนกับใคร?”

“ก็เพราะข้ารู้เจตนาของเขาไงล่ะ” อวิ๋นจือชิวยิ้มเรียบๆ

เหมียวอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามอย่างไม่เข้าใจ “งั้นเจ้ายังกดไว้อีกเหรอ?”

“ทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่ปราสาทดำเนินจันทร์ช่างสวยงามจริงๆ!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจโดยไม่ตอบคำถาม ผมงามพัดผ่านใบหน้าเป็นระยะ มองทิวทัศน์ยามราตรีด้วยสายตาอ่อนโยน พร้อมกล่าวอย่างลาลัยอาวรณ์ว่า “เจ้าใช้อารมณ์มากเกินไปแล้ว แค่ตัวเจ้าเอง หยางชิ่งเคยวางแผนทำร้ายเจ้าหรือเปล่าล่ะ? เคยทรยศเจ้าหรือเปล่า? เคยทำเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อเจ้าหรือเปล่า? ไม่ใช่แค่ไม่มีนะ เขากลับสร้างผลงานให้เจ้า เขาผลงานใหญ่ให้เจ้า!”

เหมียวอี้อึ้งเล็กน้อบ ตะงันเพราะวิธีการพูดของอวิ๋นจือชิว ถ้าให้มองแบบแยกกันจริงๆ ถ้าพุ่งเป้ามาที่เขาคนเดียวจริงๆ หยางชิ่งก็ถือว่าทำผิดต่อเขาแล้ว…พอเริ่มจะคิดได้นิดหน่อย เขาก็พบว่าอวิ๋นจือชิวกำลังเปลี่ยนแปลงแนวคิดของเขา “พุ่งเป้ามาที่เจ้าหรือพุ่งเป้ามาที่ข้ามันต่างกันยังไง?”

พอได้ยินแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ยิ้มแล้ว บนใบหน้าเผยรอยยิ้มที่มาจากใจ แต่กลับส่ายหน้าเบาๆ “อย่างน้อยก็อธิบายได้แล้วว่าเขากับเจ้าอยู่บนเส้นทางเดียวกันตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่เคยมีใจคิดเป็นอื่นต่อเจ้าเลย! ส่วนที่เขาทำกับข้า…ถ้าอยู่ในจุดยืนของเขา การทำแบบนี้ถือว่าผิดเหรอ? คนอย่างหยางชิ่งน่ะ ให้เขายอมยกลูกสาวให้เป็นอนุภรรยาของเจ้าโดยไม่คับแค้นเลนสักนิด เจ้าคิดว่าเป็นไปได้เหรอ? เขาไม่ใช่ท่อนไม้เสียหน่อย ถ้าเปลี่ยนเป็นลูกสาวของหยางเจาชิงกับเหยียนซิวอยู่ในสถานการณ์แบบนี้บ้าง ถ้าเปลี่ยนเป็นใครก็ต้องเคยมีความคิดแบบนี้ทั้งนั้น ตราบใดที่มีทางเลือก หนิวเอ้อร์ ในอนาคตถ้าเจ้ามีลูกสาว เจ้าก็จะทำอย่างนี้เหมือนกัน!”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “เหตุผลนี้ข้าเข้าใจดี! เพียงแต่วิธีการของเขามักทำให้ข้าป้องกันไม่ชนะ น้องชิว ข้ากังวลมาก เจ้าไม่กังวลสักนิดเลยเหรอ?”

“ไม่! เจ้าไม่เข้าใจ!” อวิ๋นจือชิวปฏิเสธอย่างไม่ลังเล แล้วหันตัวมา มองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย “หนิวเอ้อร์ ข้าถามเจ้าหน่อย ถ้าพูดถึงตระกูลก่วง อนุภรรยาพวกนั้นของตระกูลก่วง มีใครบ้างที่กล้าใช้กำลังกำจักหวังเฟยเม่ยเหนียงทิ้ง?”

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ แล้วกล่าวอย่างฉงน “เจ้าอยากจะบอกอะไร…”

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “ตอบข้ามาตรงๆ ก็พอ”

เหมียวอี้ลองใช้ความคิดนิดหน่อย แล้วตอบว่า “ไม่กล้า!”

อวิ๋นจือชิวบอกอีกว่า “อิ๋งจิ่วกวงแล้วยังไง? อิ๋งจิ่วกวงคิดจะสนับสนุนให้จ้านหรูอี้ขึ้นตำแหน่งราชินีสวรรค์ แต่กล้าใช้กำลังทหารกำจัดเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หรือเปล่าล่ะ?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่กล้า! ใช้วิธีการอะไรก็ได้ แต่อย่างเดียวที่ไม่ใช่ก็คือ อยู่ที่วังสวรรค์ไม่มีทางทำสำเร็จ ต่อให้ไม่อยู่ที่วังสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ออกมาทัศนาจรข้างนอก ข้างกายก็มีทัพใหญ่ติดตาม ยอดฝีมือเยอะดั่งเมฆบนฟ้า ถ้าทำพลาดเมื่อไร ก็ไม่มีใครรับผลที่ตามมาไหว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่คือราชินีสวรรค์ ไม่ใช่สนมธรรมดา!”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ก็หลักการเดียวกัน! หยางชิ่งไม่กล้าใช้กำลังทหารมาสู้กับข้า ถ้าเรื่องแดงขึ้นมาเขาก็รับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหว ดังนั้น เขาก็ทำได้เพียงใช้วิธีการลักลอบใช้อุบาย! ตราบใดที่นายท่านก้าวไปข้างหน้าตลอด ยืนในที่สูงกว่าเดิม ข้าก็ยิ่งปลอดภัย อุบายตื้นๆ พวกนั้นไม่พอให้ข้าหวาดกลัวหรอก! ข้าไม่กลัวที่เขาฉลาด ไม่กลัวว่าเขาจะมีกลอุบายเหนือชั้น กลัวก็แต่เขาจะไม่ฉลาดพอ ไม่มีมีกลอุบายเหนือชั้นมากพอ กลัวก็แต่เขาจะไม่มีความสามารถทำงานให้เจ้า! ถ้าเขาไม่มีความสามารถ ถ้าข้าต้องการจะกำจัดเขาก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แต่เขามีความสามมารถ ข้าก็จะยอมให้เขาแสดงความสามารถเต็มที่!”

นางสะบัดแขนเสื้อชี้ไปยังภูเขาสูงที่วับแวมอยู่ใต้แสงจันทร์ “ถ้าเจ้าขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้นแล้วมองลงมาที่ใต้หล้า ข้าก็จะขึ้นไปชมทิวทัศน์อยู่เคียงข้างเจ้าได้ ต่อให้หยางชิ่งลาดกว่านี้แล้วยังไงล่ะ แผนการเยอะแล้วยังไงล่ะ? ข้าก็จะมองลงมา ปล่อยให้เขากระโดดโลดเต้นไป ในสายตาข้า สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นของเด็กเล่น ต่อให้เขากระโดดสนุกกว่านี้แล้วยังไงล่ะ? เขาก็เป็นแค่หินปูทางที่ให้ข้าเหยียบขึ้นไปยอดเท่านั้น เมื่อถึงตอนนั้นจะเอาไว้หรือไม่ก็ได้ ใครต้องกลัวใครกันแน่?”

“…” เหมียวอี้อ้าปากอยากจะพุดอะไรสักอย่าง

อวิ๋นจือชิวยกมือขึ้นแตะปากเขาเบาๆ “ข้าอวิ๋นจือชิวคือฮูหยินเอกคนแรกของเหมียวอี้ ในจุดนี้ไม่มีใครมาแทนที่ข้าได้ ไม่ว่าใครก็แย่งคำว่า ‘ฮูหยินคนแรก’ ไปไม่ได้ ในบ้านหลังนี้ นอกจากข้าที่คู่ควรจะเรียกเจ้าว่าหนิวเอ้อร์ ยังจะมีใครกล้ากบฏอีก?” นางใช้นิ้วชี้ไปที่ใต้เท้า ดวงตางามขับกับแสงจันทร์จนเปล่งประกายเหมือนดาราจักร มีอำนาจน่าเกรงขาม นางกล่างอย่างเปี่ยมพลังว่า “ข้าก็จะยืนอยู่ตรงนี้ ปล่อยให้เขาเรียกลมเรียกฝนมาเถอะ ปล่อยให้เขาอยู่ในลมคาวฝนเลือด ปล่อยให้เขาพลิกฟ้าดินไปสิ ข้าก็ตั้งตระหง่านไม่สั่นคลอนอยู่ดี!”

น้ำเสียงที่หยิ่งผยองและสูงต่ำมีจังหวะทำให้คนได้สติกลับมา!

เหมียวอี้มองนางด้วยความตะลึง เขาพบว่าชั่วพริบตานี้บนร่างกายอวิ๋นจือชิวระเบิดสง่าราศีที่พิเศษออกมา!

บุคลิกแบบนั้นทำให้คนทึ่งมาก มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่ มีพลังกลืนกินดาราจักร ทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ในห้วงฝันอย่างฉับพลัน

และสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ใต้คอเสื้อตรงหน้าอกเขา ลุกประคำสีเขียวเข้มนั้นเปล่งแสงสลัวออกมาแล้วเช่นกัน

“หนิวเอ้อร์! มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องรู้ว่า สิ่งที่เป็นของข้า ไม่ว่าใครก็แย่งไปไม่ได้ ปล่อยให้หยางชิ่งฉลาดล้ำโลก มีอุบายยอดเยี่ยม ต่อให้มีหยางชิ่งหมื่นคนก็ทำไม่ได้อยู่ดี! ถ้าเขาทำได้จริงๆ ข้าก็ไม่แพ้ด้วยน้ำมือเขาแน่นอน ถ้าจะแพ้ก็แพ้ด้วยน้ำมือเจ้าหนิวเอ้อร์ จะแพ้ก็เพราะหนิวเอ้อร์คิดจะทิ้งข้า ตราบใดที่หนิวเอ้อร์ยืนหยัดที่จะยืนอยู่ข้างหลังข้า หนุนหลังให้ข้า อุบายกระจอกๆ ก็เป็นแค่เรื่องธรรมดา ข้าไม่กลัวใครทั้งนั้น! จ้านหรูอี้แล้วยังไง? อิ๋งจิ่วกวงวางแผนกบฏแล้วยังไง? ต่อให้ฟ้าถล่มแผ่นดินแยก ตราบใดที่ประมุขชิงคอยกันให้นาง มีใครแตะต้องจ้านหรูอี้ได้สักนิดมั้ยล่ะ? หยางชิ่งกระจอกๆ คนเดียวเพียงพอให้กลัวด้วยเหรอ? แม้เขาจะเฉียบแหลมปราดเปรียว แต่ก็เป็นแค่บ่าวไพร่ที่ถ่วงม้าลงมาให้นายท่านเหยียบ ขนาดฮูหยินอย่างข้ายังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา แล้วนายท่านยังจะกลัวเขาอีกเหรอ? จิตใจของนายท่านจะสู้ฮูหยินข้างข้าไม่ได้เชียวเหรอ?”

ใช่แล้ว! เหมียวอี้ตาเป็นประกาย จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนโดนน้ำสาดเรียกสติ ตราบใดที่ศักยภาพของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ พลังที่จะปกป้องอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิวก็จะมั่นคงเช่นกัน โอกาสที่จะถูกกำลังอันป่าเถื่อนทำร้ายก็ยิ่งต่ำ ยิ่งหยางชิ่งฉลาดหลักแหลมเท่าไร ถ้ามองจากอีกบางมุม ก็ยิ่งเพิ่มพลังปกป้องให้อวิ๋นจือชิวได้มากเท่านั้น ตราบใดที่ตนปกป้องอวิ๋นจือชิวได้ อุบายตื้นๆ ที่คอยรบกวนก็จะไม่มีประโยชน์เลย นอกเสียจากตัวเองจะไม่เชื่อใจอวิ๋นจือชิวเท่านั้น ควรใช้สิ่งนี้เตือนสติตัวเองไว้!

พอคิดได้แบบนี้ ในใจเหมียวอี้ก็อดทึ่งไม่ได้ นี่หยางชิ่งวางแผนกับอวิ๋นจือชิว หรือว่าอวิ๋นจือชิวกำลังวางแผนกับหยางชิ่งกันแน่ คนหนึ่งเฉียบแหลมไร้ที่เปรียบ อีกคนใจกว้างดั่งมหาสมุทรต่อให้คนแรกจะเล่นลูกไม้เป็นร้อยอย่าง แต่ก็เป็นเพียงเรื่องธรรมดาทั่วไปเหมือนดอกไม้บานดอกไม้ร่วงอยู่ในโลกของอีกคนเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ ทำให้เหมียวอี้แอบตระหนักบางอย่างได้ ในใจรู้สึกอับอายเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะโดนหยางชิ่งปั่นสติปัญญา ไม่น่าเชื่อว่าจิตใจจะสู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้ อดไม่ได้ที่จะกุมหมัดคารวะอวิ๋นจือชิว “เหมียวอี้จิตใจไม่กว้างเท่าฮูหยิน! พอได้ฟังคำพูดพวกนี้จากฮูหยินแล้ว เหมียวอี้ก็กระจ่างในฉับพลัน!”

เมื่อเห็นเขาสีหน้าสดใส อวิ๋นจือชิวก็ยิ้มบางๆ นี่ก็คือสาเหตุที่นางดึงดันจะให้เขาวางงานเอาไว้ก่อนแล้วออกมาเดินเล่น ถ้าเอาแต่คิดเรื่องพฤติกรรมของหยางชิ่งตลอด ถ้ามีสภาพจิตใจแบบนั้นแล้วจะติดต่อกับหยางชิ่งได้อย่างไร อารมณ์แบบนั้นส่งผลกระทบต่อเรื่องอื่นเช่นกัน

ใครจะคิดว่าหลังจากนั่งยิ้มแล้ว ก็เลิกคิ้วบอกอีกว่า “อย่ามาเล่นลูกไม้นี้หน่อยเลย ข้าไม่ได้ใจกว้างขนาดนั้น ข้าก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง! ข้าจะบอกกับเจ้าจากใจจริงเลยนะ ถ้าจูเก๋อชิงล้ำเส้นแม้แต่ก้าวเดียว ไม่ต้องรอให้หยางชิ่งกำจัดนางรอง ข้านี่แหละที่จะฆ่านางเอง! นอกจากนี้ ข้าก็ไม่อยากเห็นผู้หญิงแบบนั้นคนที่สองปรากฏอยู่ข้างกายเจ้าอีก ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่ถือสาที่จะทำให้นางกลายเป็นจูเก๋อชิงคนที่สอง! ก็อย่างที่บอก ถ้าข้าไม่อนุญาต ผู้หญิงคนอื่นก็เลิกคิดได้เลยว่าจะเข้าบ้านนี้ เจ้าเองก็อย่าทำให้ข้าเกิดความคิดบิดเบี้ยวอะไร ข้าไม่ตกหลุมพรางหรอก!”

ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นผู้หญิงปากร้ายไปแล้ว!

เหมียวอี้ที่เพิ่งอารมณ์ดี ตอนนี้สีหน้านิ่งขรึมลงทันที ในหัวเขามีเงาของหวงฝู่จวินโหรวแวบผ่านเข้ามา ที่จริงเขาเคยคิดว่าจะทำให้หวงฝู่จวินโหรวเข้ามาอยู่ในครอบครัวได้อย่างไร คงจะไม่ให้คำชี้แจงต่ออีกฝ่ายไปทั้งชีวิตไม่ได้ เดิมทีภูมิหลังของหวงฝู่จวินโหรวก็มีปัญหาอยู่แล้ว เขายังคิดว่ารอให้ตัวเองมีศักยภาพแข็งแกร่งขึ้นแล้วค่อยแก้ปัญหา แต่ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะเอาก้อนหินมากดเรื่องนี้ไว้ เอามากดไว้ก้อนแล้วก้อนเล่า ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไหร่ถึงจะพลิกขึ้นมาได้

แต่ปากเขากลับไม่ยอมรับ แสยะยิ้มบอกว่า “เจ้าคิดมากไปเอง!”

“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น! เอาล่ะ นายท่านยังมีงานมากมายต้องจัดการ ข้าไม่รบกวนแล้ว!” อวิ๋นจือชิวพูดทิ้งท้ายแล้วลอยลงจากแท่นสังเกตการณ์ ก่อนจะเดินเข้าไปในลานบ้านลึก เสวี่ยเอ๋อร์เดินตามไป เชียนเอ๋อร์เงยหน้ามองอยู่ด้านล่าง กำลังรอเหมียวอี้

เหมียวอี้ที่อยู่บนแท่นสังเกตการเดินมาริมระเบียง ขณะมองเงาร่างที่เดินเข้าไปในลานบ้าน เขาก็ค่อนข้างพูดไม่ออก ก่อนหน้านี้คนที่บอกให้เขาวางงานไว้แล้วออกมาเดินเล่นก็คือนาง ตอนนี้คนที่บอกให้เขาไปทำงานแล้วตัวเองหนีไปก่อนก็คือนางเช่นกัน

แต่เขาก็หันกลับมาทอดสายตามองราตรีที่กว้างไกล ความกลัดกลุ้มในใจหายไปหมดแล้ว เรื่องที่คิดวนเวียนก็วางลงแล้ว นอกจากจะรู้สึกกระปรี้กระเป่าไปทั้งตัว ทั้งยังรู้สึกกล้าหาญชาญชัยมากขึ้นด้วย กำลังคิดว่าการระบายอารมณ์บนร่างกายอวิ๋นจือชิวนั้นได้ผลไม่เลวเลย พอนึกถึงท่าทางขอร้องจะเป็นจะตายของอวิ๋นจือชิวตอนอยู่ในห้องอาบน้ำก่อนหน้านี้ เขาก็ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์…

ตลาดผี โคมไฟสลับสีสันแพรวพราว ในทะเลสาบสะท้อนแสงไฟ เรือแล่นไปเล่นมา

ตึกศาลาสัตยพรต ริมหน้าต่างบานหนึ่งที่อยู่สูง ใบหน้าของเฉาหม่านซ่อนตัวอยู่ในความมืด

พายุหนึ่งลูกพัดผ่านไปแล้ว เขาย่อมกลับมาแล้วเช่นกัน เพียงแต่ในมือเขากำระฆังดาราไว้แน่น สำหรับเขา เหมือนว่าจะมีพายุอีกลูกมาเยือนเร็วๆ นี้

อิ๋งจิ่วกวงโดนโค่นล้มอย่างกะทันหัน นำความสะเทือนใจมาสู่เขา เขารู้อย่างชัดเจนมาก พวกพี่น้องออกแรงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ออกแรงมากเพื่อช่วยเซี่ยโห้วลิ่งเลย กลัวว่าเซี่ยโห้วลิ่งจะทำซี้ซั้วแล้วพวกเขาจะติดร่างแหซวยไปด้วย เขาเองก็หลบเลี่ยงไปแล้วเช่นกัน แต่ไม่น่าเชื่อว่าเซี่ยโห้วลิ่งจะโค้นล้มอ๋องสวรรค์อิ๋งที่มีชื่อเสียงบารมีสะท้านใต้หล้ามาหลายปีได้ จัดการได้อย่างง่ายดาย โจมตีจนอิ๋งจิ่วกวงไม่มีแรงจะโต้ตอบ ทำลายล้างได้ในรวดเดียว!

อาศัยแรงฝ่ายศัตรูโจมตีศัตรู ชนะได้อย่างหมดจดเรียบร้อย!

ตอนที่เกิดเรื่องขึ้น เขาก็รู้ถึงสถานการณ์ในสวนต้องห้ามแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งที่ก่อคลื่นยักษ์กลับนอนอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น เวลาบัญชาการก็ทำตัวสบายๆ เหมือนทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ดีดกู่ฉินอย่างเอ้อระเหย โบกสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่หยี่ระ ขณะที่ทำตัวสูงส่งสง่างามก็ทำให้โลกภายนอกพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน บีบให้ยักษ์ใหญ่แห่งยุคจบชีวิตลงด้วยความคับแค้น

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาย่อมรู้ว่าตัวเองประเมินเจ้ารองต่ำไป รู้สึกละอายที่เทียบไม่ติด ตอนนี้เหมือนเขาจะเข้าใจแล้วว่าทำไมบิดาถึงให้เจ้ารองรับช่วงต่อตำแหน่งหัวหน้าตระกูล บิดามีสายตาในการมองคนที่ค่อนข้างแม่นยำ

ในตอนนี้ คนที่เคยถูกเรียกรวมไปอยู่ในสวนต้องห้ามของจวนตระกูลเซี่ยโห้ววันนั้น หลังจากเข้าใจความจริงแล้ว เข้าใจแล้วว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่มีใครมีความมั่นใจที่จะแอบนินทาเจ้ารองอีก เพราะต่างก็ตะลึงค้างกับความสง่างามของเจ้ารองยามพลิกแพลงสถานการณ์ราวกับพลิกมือคว่ำเมฆหงายมือเสกฝน

เขาเชื่อว่าพี่น้องคนอื่นที่หลบอยู่ในที่ลับก็ตกตะลึงเหมือนเขา แต่ตอนนี้ในใจเขากลับรู้สึกหนาว เมื่อครู่นี้เพิ่งได้ข่าวจากเจ้าหก บอกให้เขาระวังตัวไว้ พร้อมทั้งเตือนพี่น้องคนอื่นให้ระวังตัวด้วยเช่นกัน!

………………

ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฉินซีก็อกสั่นขวัญแขวนแล้ว เดิมทีนางเป็นคนนิสัยเย็นชา ถ้าไม่ใช่เพื่อลูกสาว นางไม่มีทางเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย

พอนึกขึ้นได้ว่าเฟิงเป่ยเฉินตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ ทั้งพิภพเล็กถูกเหมียวอี้คุมไว้ กอปรกับกังวลว่าจะสร้างปัญหาให้ฉินเวยเวย นางจึงถามอย่างค่อนข้างกังวลว่า : เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่?

หยางชิ่ง : ฉินซี ตอนที่เจอปัญหาที่คิดไม่ตก ก็อย่าไปดันทุรังคิด เจ้าสามารถเตรียมตัวรับมือผลลัพธ์ที่เลงร้ายที่สุดไว้ก่อนได้ ใช้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดมาคาดการณ์เรื่องนี้ เจ้าก็จะหาคำอธิบายให้ความผิดปกติทุกอย่างได้แล้ว พอเป็นแบบนี้ พฤติกรรมที่ผิดปกติของเหยียนซิวก็สามารถอธิบายได้แบบนี้ ตอนที่สืบสวนกันพวกหลี่โม่จินไว้ ก็เพื่อปิดบังขั้นตอนการสืบสวน!หลังจากสืบสวนแล้วใช้ข้อหาแปลกๆ ประหารทุกคนตรงนั้นทันที ก็เพื่อปิดบังขั้นตอนการสืบสวนเช่นกัน และเพื่อปิดบังผลการสืบสวนด้วย! ทำไมก่อนเรื่องเกิดและหลังเรื่องเกิดล้วนต้องปิดบังขั้นตอนการสืบสวนล่ะ? ในนั้นจะต้องมีความลับที่บอกให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาดแน่นอน กอปรกับได้ผลลัพธ์เร็วขนาดนี้ ข้าสงสัยว่าเหยียนซิวคงมีวิธีการสืบสวนลับอะไรบางอย่างที่พวกเราไม่รู้ ความจริงถูกเหยียนซิวขุดออกมาแล้ว! ทำไมต้องปิดบังการสอบสวนด้วยล่ะ? สมมติว่าเหยียนซิวขุดเจอความจริงแล้ว แล้วทำไมต้องปิดบังความจริงอีกล่ะ? คำตอบที่ข้าเรียบง่ายมาก เหมียวอี้คิดว่าตอนนี้แตกคอกับข้าไม่เหมาะสม จึงทำให้คนอื่นที่เกี่ยวข้องตายไปด้วย ก็เพื่อจะปิดบังความจริงของเรื่องนี้ ไม่อยากให้พวกเรารู้ว่าเขารู้ความจริงแล้ว ถ้าใช้ผลลัพธ์นี้มาคาดการณ์ทั้งเรื่องราวอีกที…ทุกอย่างก็สามารถอธิบายได้ชัดเจน!

แม้ว่าเขาจะพูดไว้ชัดเจนมากแล้ว แต่สมองของฉินซีก็อยู่คนละระดับกับเขา ตามความคิดของเขาไม่ทันเลย ฟังแล้วเลอะเลือนนิดหน่อย เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ นางไม่คิดว่าทุกอย่างสามารถอธิบายได้ชัดเจน ไม่ค่อยอยากยอมรับผลลัพธ์นี้ จึงถามด้วยอารมณ์ที่ขัดแย้งกันว่า : เจ้าแน่ใจแล้วไม่ใช่เหรอว่าฟางเหลียวจะไม่พูดความจริง? ตอนนี้มีเหยียนซิวโผล่มาใช้วิธีการสอบสวนลึกลับที่คนไม่รู้อีก วิธีการสอบสวนลึกลับอะไร? ทีแรกเจ้ามัวไปทำอะไรอยู่?

หยางชิ่งทอดสายตามองไปนอกหน้าต่าง แล้วถอนหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรง ในมือถือระฆังดาราตอบกลับว่า : ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหยียนซิวมีวิธีการสืบสวนลับอะไร เพียงแต่ด้วยสมองของเขา แต่นายท่านยังส่งเขามาสืบคนเดียวได้ ก็น่าจะมีสาเหตุ ทำให้ข้าสงสัยก็เท่านั้นเอง! ส่วนใหญ่เหยียนซิวไม่ได้คบค้าสมาคมกับใครเลย และไม่มีอำนาจอะไรด้วย ถึงขั้นไม่พูดจากับใครเลยด้วยซ้ำ แทบจะตัดขาดการสื่อสารทั้งหมดกับคนนอก อยู่เหมือนเงาเหมียวอี้มาโดยตลอด ไม่ทำตัวเด่นอะไร สงบเสงี่ยมจนเหลวไหล ไม่ว่าใครก็ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ มีพลังอะไร แอบทำอะไรไปบ้าง คนที่หลบเหมือนเงาจนคลำหาเนื้อในไม่เจอแบบนี้ทำให้คนปวดหัวที่สุด ถ้าปัญหาอยู่ที่ตัวเหยียนซิวจริงๆ งั้นก็เหนือความคาดหมายข้าแล้ว…บางทีอาจเป็นโชคชะตามั้ง!

ฉินซีแทบจะประสาทเสีย ไม่อยากฟังสิ่งนี้ นางตะคอกตำหนิว่า : หยางชิ่ง! เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้ากำลังทำอะไร? เจ้าแบบนี้จะทำร้ายเวยเวยถึงตายได้ เหมียวอี้ฆ่าจูเก๋อชิงได้ ก็ฆ่าเวยเวยได้เหมือนกัน!

หยางชิ่งปลอบใจว่า : เจ้าคิดมากไปแล้ว ที่จูเก๋อชิงตายได้ ก็เพราะเบื้องหลังนางไม่มีอำนาจ แม้แต่พรรคดรุณีหยกก็ถูกข้าทำลายไปแล้ว เป็นคนโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง มีแต่จะโดนคนอื่นบงการ เหมียวอี้อยู่ในอารมณ์เดือดดาล ไม่คำนึงถึงอะไรถึงได้สั่งฆ่านาง ขอเพียงมีอำนาจเบื้องหลังที่สามารถถ่วงความเจริญของเหมียวอี้ได้สักหน่อย ทำให้เหมียวอี้คำนึงถึงได้บ้างสักหน่อย ครั้งนี้นางคงไม่ตายหรอก! คำบางคำ ถ้าข้าพูดไปแล้วเจ้าก็อาจไม่ชอบฟัง แต่ความจริงมันก็เจ็บปวดจนเลือดไหลแบบนี้ แต่เวยเวยนั้นต่างกัน ถ้าข้ายังอยู่ตรงนี้ เหมียวอี้ก็ไม่กล้าแตะต้องเวยเวยสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก ที่ครั้งนี้เขาต้องปิดบังความจริง ก็เพราะไม่อยากแตกคอกับข้า ถ้าเขาไม่แตะต้องข้า ก็จะไม่แตะต้องเวยเวย เจ้าวางใจได้เลย!

ฉินซีกล่าวอย่างแค้นใจว่า : หวังว่าเจ้าจะคาดการณ์ได้เหมือนเทพก็แล้วกัน ถ้าเกิดความผิดพลาดอะไรจนทำร้ายเวยเวยอีก ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าตลอดไป!

หยางชิ่งตอบอย่างโมโหว่า : ตอนนี้เจ้าเพิ่งรู้เหรอว่านางคือลูกสาวของเจ้า? ในปีนั้นที่เจ้าตั้งชื่อให้นางว่าเล็กน้อยเหมือนต้นหญ้า นางกำลังอ้าปากรอกินนมแต่เจ้าก็ทิ้งนางแล้วหนีไป ทำไมเจ้าไม่พูดแบบนี้ล่ะ? ตอนนี้เจ้ากล้าให้นางรู้มั้ยล่ะว่าตัวเองคือมารดาผู้ให้กำเนิดนาง?

เมื่อกล่าวเช่นนี้ ฉินซีก็น้ำตาไหลทันที พูดอะไรไม่ออกแล้ว นอนหมอบสะอึกสะอื้นอยู่บนโต๊ะไม้อย่างเจ็บปวดใจ นึกเสียใจทีหลังอย่างหาที่เปรียบมิได้

หยางชิ่งเก็บระฆังดารา แล้วหันตัวกลับมานั่งหลังโต๊ะยาวอย่างคับแค้น รู้สึกได้ว่าตัวเองควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องของจูเก๋อชิงมีช่องโหว่ จึงรีบสงบสติอารมณ์ หลับตาลงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

ชิงจวี๋ที่อยู่ข้างๆ สังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามหยั่งเชิงว่า “นายท่าน เป็นอะไรไป?”

หยางชิ่งลืมตาขึ้น แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “เรื่องเล็กน้อย แต่ข้ากลับทำพลาด เหมียวอี้สืบเจอการตายของจูเก๋อชิงแล้วเหมียวอี้”

“หา!” ชิงจวี๋ตกใจมาก นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ต่างอะไรกับการสังหารผู้หญิงของเหมียวอี้ นางถามอย่างหวาดกลัว “จะทำยังไงดีคะ?”

หยางชิ่งพิงเก้าอี้พลางถอนหายใจ “เหมียวอี้จงใจจะปิดบังเรื่องนี้ ตอนนี้น่าจะไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ในภายหลังจะมาสะสางบัญชีกับข้าหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้แล้ว…ได้แต่แค้นที่ข้าก้าวพลาดไปก้าวหนึ่ง แต่กลับก้าวพลาดต่อไปเรื่อยๆ ทำร้ายเวยเวยแล้ว!”

ชิงจวี๋ตกใจอีกครั้ง “หนิวโหย่วเต๋อทำอะไรคุณหนูไปแล้ว?”

หยางชิ่งโบกมืออย่างจนใจ “ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด เขาไม่ได้ทำอะไรเวยเวย ตอนนี้ยังทำอะไรกับเวยเวยไม่ได้ด้วย เพียงแต่ความล้มเหลวในครั้งนี้ คงทำให้เวยเวยสูญเสียโอกาสในการเป็นฮูหยินเอกตลอดไป ทำให้ตำแหน่งฮูหยินเอกของอวิ๋นจือชิวมั่นคงยิ่งขึ้นเช่นกัน ข้าเพียงเฝ้าหวังว่าอวิ๋นจือชิวจะไม่เป็นอะไร ถ้าเกิดเรื่องกับอวิ๋นจือชิวขึ้นมา ก็อาจจะถึงเวลาตายของเวยเวยแล้ว ต่อให้เวยเวยไม่ตาย แต่เหมียวอี้ก็จะทำให้นางอยู่มิสู้ตาย!”

“เพราะอะไรคะ?” ชิงจวี๋เบิกตากว้าง

หยางชิ่งถอนหายใจ “เรื่องไม่ได้ซับซ้อนเลย! ข้าเคยลงมือกับอวิ๋นจือชิวไปแล้วครั้งหนึ่ง รอยร้าวก่อนหน้านี้เหมือนเพิ่งจะหายไป ครั้งนี้ข้าก็ลงมือกับจูเก๋อชิงอีก ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ก็ล้วนมองออก ว่าท้ายที่สุดข้าจะเพ่งเล็งไปที่ตำแหน่งของอวิ๋นจือชิว ถ้าในภายหลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับอวิ๋นจือชิว ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่ เหมียวอี้ก็จะสงสัยข้าอยู่ดี เดิมทีข้าก็ระวังสิ่งนี้อยู่แล้ว ตอนนี้กลับตกหลุมพรางความฉลาดของตัวเอง…ดังนั้นจากที่ข้าเห็นตอนนี้ ไม่ใช่แค่ต้องหวังว่าอวิ๋นจือชิวจะไม่เป็นอะไร ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับอวิ๋นจือชิว พวกเราก็ต้องคิดหาทางปกป้อง ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ปล่อยให้เวยเวยอยู่อย่างมีความสุข ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของเขาตอนนี้ สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้!”

ชิงจวี๋ส่ายหน้าอย่างขมขื่น “นายท่าน บ่าวขออนุญาตพูดสิ่งที่ไม่สมควร ที่จริงท่านไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้เลย มีเรื่องราวมากมายที่ท่านคิดไปเองฝ่ายเดียวทั้งนั้น คุณหนูเองอาจจะไม่อยากช่วงชิงตำแหน่งฮูหยินเอกเลยก็ได้!”

“เจ้านี่นะ!” หยางชิ่งยกมือขึ้นชี้นาง แล้วถอนหายใจ “เวยเวยนางเด็กนั่นน่ะ ตอนนี้นางก็คิดไปเองฝ่ายเดียวเหมือนกัน จะบอกว่าวิสัยทัศน์ไม่กว้างไกล ก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป ใช่! ตอนนี้นางไม่อยากช่วงชิงจริงๆ แต่ในอนาคตล่ะ? ในอนาคตถ้านางมีลูกแล้ว ก็จะพบว่าเกิดจากบิดาเดียวกันแท้ๆ เพียงแต่ตัวเองเป็นอนุภรรยา ลูกของตัวเองจึงต้องก้มหัวต่ำกว่าพี่น้อง ความอัปยศต่างๆ จะตามมาไม่หยุดหย่อน ถึงตอนนั้นไม่ต้องให้ข้าเตือนหรอก เดี๋ยวนางก็จะเข้าใจเองว่าอะไรเรียกว่า เสียใจทีหลัง!”

ชิงจวี๋เงียบไป คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ามีเหตุผล พอเงยหน้าอีกครั้ง นางก็รีบเดินไปข้างเก้าอี้หยางชิ่ง คว้ามือของหยางชิ่ง คุกเข่าตรงหน้าเขา แล้วเงยหน้ามองเขา “นายท่านทั้งกังวลว่าในอนาคตเหมียวอี้จะมาสะสางบัญชีเรื่องจูเก๋อชิง แล้วก็หวังให้คุณหนูกลายเป็นฮูหยินเอกด้วย ไม่สู้เตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ล่ะคะ!”

“อ้อ!” หยางชิ่งก้มมองนาง แล้วถามอย่างสนใจ “เตรียมตัวยังไง?”

ชิงจวี๋กล่าวด้วยสายตาแน่วแน่ “ในเมื่อรู้แล้วว่าอาจจะมีจุดจบไม่ดี นายท่านก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกว่าตัวเองจะไหวหรือไม่หรือทำสำเร็จหรือเปล่า ลองคิดหาทางยืนด้วยลำแข้งตัวเอง บ่าวเชื่อว่าอาศัยความสามารถของนายท่าน ควรค่าแก่การรอคอยแน่นอน!”

ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน นางคงไม่หวาดกลัวเหมียวอี้ขนาดนี้ ถึงขั้นชื่นชมเหมียวอี้มากด้วย ไม่มีทางพูดแบบนี้กับหยางชิ่งเด็ดขาด ทว่าเหมียวอี้ในตอนนี้เริ่มทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวบ้างแล้ว

พูดตามตรง เป็นเพราะอำนาจของเหมียวอี้มากขึ้นเรื่อยๆ คนส่วนใหญ่สภาพจิตใจล้วนเปลี่ยนตาม เหมียวอี้เองก็เป็นเช่นนี้ สภาพจิตใจที่ชิงจวี๋มีต่อเหมียวอี้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

มีเรื่องมากมายที่ยากจะย้อนกลับไปในอดีต เหมียวอี้ในตอนนี้ไม่ใช่เหมียวอี้ขี้อายที่หลบอยู่ในอ่างอาบน้ำเหมือนตอนนั้นแล้ว ส่วนชิงจวี๋ก็ไม่ใช่ชิงจวี๋ที่ยืนหยอกล้อเขาอยู่ข้างอ่างอาบน้ำอย่างอุกอาจอีกแล้ว

“เหอะๆ!” หยางชิ่งหัวเราะเบาๆ ยกมือขึ้นลูบศีรษะนาง ในดวงตาฉายแววปลื้มใจ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้าคิดหรอก เจ้าเชื่อมั้ยว่าขอเพียงข้ากล้าทำอย่างนั้น ไม่ต้องรอให้เหมียวอี้สังหารข้าหรอก จะมีคนมาเอาชีวิตข้าทันที ถ้าเขาคิดจะทำลายข้าในตอนนี้ ก็เรียกได้ว่าง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ!”

“ใครกัน?” ชิงจวี๋ตกใจ

หยางชิ่งปล่อยนาง ลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วเดินเนิบนาบไปริมหน้าต่าง กล่าวด้วยสายตาเลื่อนลอย “เป็นคนหนึ่งที่ทำให้ประมุขพุทธะหวาดกลัว เป็นคนหนึ่งที่ทำให้ประมุขชิงหวาดกลัว เป็นคนหนึ่งที่กดให้ผู้เหลือรอดของหกลัทธิไม่กล้ากระดิกกระเดี้ย ข้าไม่รู้เลยว่าในมือของคนผู้นั้นมีไพ่เยอะขนาดไหน แต่ข้ากลับรู้สึกได้ว่ามือนั่นกำลังผลักดันสถานการณ์ทุกอย่างอยู่ในความลึกลับ ถ้าไม่มีคนผู้นั้นแอบช่วยเหลือ เหมียวอี้ก็ไม่มีทางได้ความสำเร็จในวันนี้เลย เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ซ่อนตัวลึกไม่เปิดเผย สูงส่งเกินคาดเดา มีความสามารถอันน่าทึ่ง ทั้งยังมีความอดทนต่อเป้าหมายมากด้วย คนแบบนี้น่ากลัวมาก เขารู้จักข้าแจ่มแจ้งชัดเจน แต่ข้ากลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ที่ไหน ข้าถึงขั้นกังวลว่าการที่จินม่านเข้าใกล้ข้าก็เป็นแผนของเขาเหมือนกัน จูเก๋อชิงตายไปคนเดียว ในสายตาเขาไม่นับเป็นเรื่องใหญ่เลย แต่ถ้าไปล้ำเส้นเขาและทำงานเขาพัง นั่นก็น่าจะถึงคราวตายของข้าแล้ว ตอนนี้ข้าไม่มีคุณสมบัติอะไรไปสู้กับเขา ต่อให้ข้าไปขอพึ่งพาประมุขชิงที่ตำหนักสวรรค์ แต่ก็รอดพ้นความตายได้ยากอยู่ดี…”

พอหันตัวมาเห็นชิงจวี๋กำลังเบิกตากว้างมองตัวเอง หยางชิ่งก็ยิ้มบ้างๆ “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ข้ามีอีกเรื่องหนึ่งให้เจ้าไปจัดการ แอบทำให้อนุภรรยาคนอื่นๆ ของเหมียวอี้รู้เรื่องที่เขาลงโทษตายกับจูเก๋อชิง คงไม่ดีถ้าให้เวยเวยประกาศเรื่องนี้”

ชิงจวี๋เหม่อนิดหน่อย ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เพื่ออะไรคะ?”

หยางชิ่งเอามือไขว้หลัง หันตัวไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง แล้วกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ถ้าการตายของจูเก๋อชิงเงียบเชียบแบบนี้ก็จะไร้ความหมาย จะให้ตายเปล่าไม่ได้ ต้องแสดงคุณค่าให้ใช้ประโยชน์บ้าง กระต่ายตายสุนัขจิ้งจอกร้องไห้ไง ฝังเมล็ดพันธุ์ไว้ในใจของพวกนางก่อน เพื่อรอโอกาสกระตุ้นในอนาคต ทางฝั่งอวิ๋นจือชิวพวกเราไม่สะดวกจะลงมืออีกแล้ว ทำได้เพียงเปลี่ยนแผน ต่อไปนี้เวยเวยต้องไม่แย่งชิง เปลี่ยนจากเคลื่อนไหวเป็นเงียบสงบ มองดูคนอื่นแย่งชิงกับอวิ๋นจือชิวอย่างเอาเป็นเอาตาย นี่ก็คือทางเลือกที่ดี!”

ชิงจวี๋เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ที่แท้นายท่านก็ยังไม่ทิ้งโอกาสในการแข่งขันให้ลูกสาว สิ่งที่เรียกว่าไม่แข่งขัน ที่จริงแล้วก็เป็นการแข่งขันประเภทหนึ่งเหมือนกัน…

………………

เหยียนซิวเอ่ยรับอย่างลังเล เห็นได้ชัดว่าลังเลที่อวิ๋นจือชิวบอกว่าอย่าให้นายท่านรู้ เพราะเขาสัมผัสได้ว่าการตายของจูเก๋อชิงไม่ได้ธรรมดาเรียบง่ายขนาดนั้น

แม้จะอยู่ห่างกันไกล แต่อวิ๋นจือชิวก็สัมผัสได้ถึงท่าทีของเหยียนซิว นางเก็บระฆังดารา ขยับร่างเปลือยจนน้ำกระเพื่อม ยืดหน้าอกที่อิ่มเอิบพิงบนอ่างอาบน้ำ ผมงามเอียงลาดบนหัวไหล่ขาว ตรงหว่างคิ้วเผยความรู้สึกกังวล

อยู่ด้วยกันมาหลายปีขนาดนี้ เสวี่ยเอ๋อร์ย่อมมองเบาะแสออกแล้วนิดหน่อย ขณะที่ขัดแขนให้นางเบาๆ ก็ถามหยั่งเชิงว่า “ฮูหยิน เป็นอะไรไปคะ?”

“เฮ้อ!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ แล้วเล่าสาเหตุการตายของจูเก๋อชิงให้ฟังคร่าวๆ

เสวี่ยเอ๋อร์ฟังแล้วอกสั่นขวัญแขวน หวาดกลัวกับวิธีการของหยางชิ่ง แต่กลับถามยังไม่เข้าใจอีกว่า “ทหารยามคนอื่นไม่ได้เกี่ยวข้อง มีแค่ฟางเหลียวคนเดียว ทำไมฮูหยินต้องลงโทษประหารพวกเขาทั้งหมดคะ?”

อวิ๋นจือชิตอบด้วยสีหน้าคืนคำว่า “ในท่านมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ เรื่องที่ต้องวางแผน ความสามารถของข้าไม่พอให้ช่วยเหลือ จำเป็นต้องให้คนที่มีความสามารถอย่างหยางชิ่งช่วยเหลือ หยางชิ่งเป็นคนวางแผนว่าให้นายท่านยืมดาบตระกูลเซี่ยโห้ว ยืมดาบประมุขชิงฆ่าคน วางแผนการไว้ต่อเนื่องกัน วางแผนการกับวีรบุรุษในใต้หล้า รอจนอิ๋งจิ่วกวงรู้ตัวก็สายไปแล้ว จู่โจมในชั่วพริบตาเดียว โค่นล้มอิ๋งจิ่วกวงได้ในครั้งเดียว แก้ไขปัญหาที่อันตรายถึงชีวิตอย่างตระกูลอิ๋งให้นายท่าน ที่นายท่านได้อำนาจในครั้งนี้ เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ของหยางชิ่ง ในวันข้างหน้ายังมีประโยชน์กับนายท่านมาก! ข้าไม่ควรสืบเรื่องนี้เลย ไปเอาเรื่องได้เหรอ? จะให้นายท่านตัดแขนตัวเองทิ้งข้างหนึ่งหรือไง? ที่สังหารผู้เกี่ยวข้องด้วยข้อหานั้น ก็เพราะจะแสดงออกว่าสืบไม่เจออะไร ประหารผู้เกี่ยวข้องก็เพื่อทำให้หยางชิ่งสงบใจ เขาจะได้ทำงานรับใช้นายท่านต่อไป!”

เสวี่ยเอ๋อร์เงียบไปพักหนึ่ง แล้วถามหยั่งเชิงอีก “แต่ปิดบังหลายท่านไว้จะเหมาะสมหรือคะ?”

อวิ๋นจือชิวเหล่ตามอง “จะคิดว่าจะปิดบังในท่านได้เหรอ? หรือจะคิดว่าเรื่องแบบนี้เหยียนซิวจะไม่รายงาน? ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้า เราจะเชื่อฟังข้าแล้วปิดบังไว้ไหมล่ะ?”

เสวี่ยเอ๋อร์ชั่งน้ำหนักในใจ คาดว่าเหยียนซิวจะต้องบอกนายท่านแน่นอน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย “แล้วทำไมฮูหยินยังกำชับเหยียนซิวให้ปิดบังอีก?”

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ “ข้าอยากให้นายท่านเข้าใจท่าทีของข้า กลัวว่านายท่านจะบุ่มบ่าม ข้าชี้แนะทิศทางการแก้ปัญหาให้นายท่านก็เท่านั้นเอง” พูดจบก็หลับตาลงช้าๆ ปล่อยให้เสวี่ยเอ๋อร์ช่วยขัดตัวให้เงียบๆ

ในตำหนักประชุม บรรดาแม่ทัพแยกย้ายกัน เหมียวอี้กับหยางเจาชิงมองคล้อยหลังกงหยวน จากนั้นก็ยิ้มให้กันอย่างเข้าใจ ตอนประชุมก่อนหน้านี้สังเกตได้ว่ากงหยวนค่อนข้างใจลอย

“ถ้าเป็นอย่างที่หยางชิ่งคาดไว้ พอเฉาหม่านรู้ข่าวแล้วจะต้องมาผูกมิตรกับข้าแน่นอน กำลังพลห้าสิบล้านนี้ก็จะปักอยู่ที่แดนรัตติกาลได้อย่างสงบใจ!” เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงหยอกล้อ

เรื่องราวก็ไม่ได้ซับซ้อน จู่ๆ แดนรัตติกาลมีกำลังพลเยอะขนาดนี้ เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อเฉาหม่านเกินไป มีหรือที่เฉาหม่านจะนิ่งดูดาย จะต้องใช้กำลังของตระกูลเซี่ยโห้วมาควบคุมแน่ ส่วนเหมียวอี้เดิมทีก็ไม่พอใจพฤติกรรมข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งของเซี่ยโห้วลิ่งอยู่แล้ว กอปรกับเหมียวอี้วางกับดักเซี่ยโห้วลิ่งเรื่องสำนักลมปราณ ถ้าเซี่ยโห้วลิ่งรู้ว่าตัวเองโดนวางกับดักเมื่อไร จะต้องสั่งสอนคืนแน่ เขาย่อมต้องไปเข้าพวกกับเฉาหม่านอยู่แล้ว ตอนนี้เฉาหม่านจะต้องกลัวเซี่ยโห้วลิ่งแน่นอน กลัวว่าเซี่ยโห้วลิ่งจะยืมกำลังพลในมือเหมียวอี้มากำจัดเขาทิ้ง ถ้าเซี่ยโห้วลิ่งต้องการให้เฉาหม่านช่วยสู้กับเหมียวอี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าเฉาหม่านจะคิดว่าเซี่ยโห้วลิ่งมีเจตนาไม่ซื่อ คิดว่าจะให้ตัวเองยั่วโมโหเหมียวอี้ ผลักให้เหมียวอี้ไปร่วมมือกับเซี่ยโห้วลิ่งเพื่อกำจัดเขา

พอเป็นแบบนี้ เฉาหม่านก็จะไม่ขับไล่กำลังพลของเหมียวอี้ง่ายๆ กลับจะผูกมิตรดึงเป็นพวกด้วยซ้ำ ฝั่งนี้อยากจะพูดมิตรกับสหายคนนี้มาก

มองจากบางระดับ ถ้าเซี่ยโห้วลิ่งอยากจะกุมอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วโดยสิ้นเชิงก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ตระกูลเซี่ยโห้วที่ใช้งานอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วที่ไม่ปรองดองกันทำให้คนกลัวไม่ได้หรอก แล้วเรื่องนี้ก็มีเพียงฝั่งนี้เท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ ในภายหลังยังมีจุดให้ใช้ประโยชน์ได้อีกมาก

หยางเจาชิงพยักหน้ายิ้ม แล้วกล่าวชมว่า “หยางชิ่งมีพรสวรรค์ในการปกครองใต้ล่าจริงๆ!”

ทั้งสองพูดคุยกันไปหัวเราะกันไป

เมื่อครู่นี้ตอนเอ๋ยถึงถึงเรื่องตระกูลเซี่ยโห้วต่อหน้าคนอื่น ย่อมเป็นการแสดงละครของทั้งสองอยู่แล้ว

เป็นอย่างที่อวิ๋นจือชิวคาดไว้ ตอนนี้เหยียนซิวส่งข่าวมาแล้วเช่นกัน เหมียวอี้ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มหยิบระฆังดาราขึ้นมา

นอกตำหนัก กงหยวนที่เดินลงบันไดเริ่มมีสีหน้าเครียดขรึม สีเทาค่อนข้างหนักแน่น

ในตำหนัก รอยยิ้มบนใบหน้าเหมียวอี้เริ่มแข็งทื่อ หลังจากนั่งลงอย่างช้าๆ ก็หายใจค่อนข้างลำบาก

ได้ข่าวที่เหยียนซิวรายงานมาแล้ว มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองโดนหยางชิ่งวางอุบายอย่างโหดเหี้ยม ไม่น่าเชื่อว่าจะจับสังเกตความคิดของเขาได้แบบนี้ แม้แต่ผู้หญิงของเขาก็ยังกล้าลงมือทำร้าย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว ครั้งก่อนก็เล่นงานอวิ๋นจือชิว ยังจะมีครั้งที่สองอีก มีอย่างที่ไหนกัน ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ!

ปั้ง! เหมียวอี้พลันใช้ฝ่ามือตบโต๊ะยาวจนแตกลงพื้น สีหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย พลันตะคอกเดือดดาลว่า “บังอาจมารังแกข้าแบบนี้!”

หยางเจาชิงตกใจ เมื่อครู่นี้ยังดีๆ อยู่เลย ตอนนี้เป็นอะไรไปแล้ว?

เขารีบถามว่า “นายท่าน เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

เหมียวอี้หันขวับ กล่าวด้วยความเคียดแค้นจนกัดฟันกรอด “การตายของจูเก๋อชิง เป็นหยางชิ่งที่วางอุบายข้า…” เขาเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง

หยางชิ่งคนนี้น่ากลัวจริงๆ! หยางเจาชิงแอบตกใจ อดไม่ได้ที่จะถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ในท่านเตรียมจะลงโทษยังไงขอรับ?”

เหมียวอี้ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้ายแทบจะพูดคำว่า “ฆ่า” ออกมาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็พูดไม่ออก สุดท้ายก็หลับตาลงช้าๆ แล้วกล่าวยังชัดถ้อยชัดคำว่า “ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น!”

หยางเจาชิงขมวดคิ้วพยักหน้า รู้ว่าเพราะอะไร แต่กลับแอบส่ายหน้า รู้ว่าสถานการณ์บีบบังคับนายท่านจึงต้องอดทนไว้ ส่วนหยางชิ่งก็คงโดนนายท่านเคียดแค้นแล้ว คาดว่าช้าเร็วนายท่านก็ต้องสะสางบัญชีนี้กลับหยางชิ่ง หยางชิ่งช่างน่ากลัวจริงๆ ฆ่าคนโดยไร้ร่องรอย ตัวเองก็ต้องระวังเอาไว้หน่อยเหมือนกัน จะได้ไม่โดนหรอกใช้ประโยชน์แล้วตายโดยไม่รู้ตัว

เหมียวอี้ถอนหายใจยาว เขย่าระฆังดาราตอบเหยียนซิว : ทำตามที่ฮูหยินสั่งก็แล้วกัน!

พูดจบก็เก็บระฆังดาราแล้วยืนขึ้น

“เฮ้อ!” หยางเจาชิงมองโต๊ะยาวที่ถูกตีพังพลางถอนหายใจ เดาว่าสิ่งที่หยางชิ่งทำคงไม่พ้นเกี่ยวข้องกับฉินเวยเวย

เชียนเอ๋อร์ที่เฝ้าประตูตำหนักหลังเห็นเหมียวอี้เดินหน้าตึงเข้ามา ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มองที่ตัวเองคำนับเลย เดินผ่านไปไกลอย่างนี้แล้ว ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงรีบเดินตามเข้าไป

เหมียวอี้เรียกได้ว่าเดินตรงไปที่ห้องอาบน้ำของอวิ๋นจือชิว เขาเข้ามาย่อมไม่มีใครขวางอยู่แล้ว

อวิ๋นจือชิวกับเสวี่ยเอ๋อร์ที่แช่อยู่ในน้ำหันมามองอย่างงุนงง

เหมียวอี้ถอนเสื้อผ้าตัวเองทิ้ง เดินไปด้วยโดยนทิ้งไปด้วย กระโดดลงอ่างน้ำอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ช้อนร่างเปลือยเปล่าของอวิ๋นจือชิวขึ้นมาจากน้ำ ไม่สนใจว่าอวิ๋นจือชิวจะผลักหรือจะถาม เขาดันนางขึ้นมาบนขอบอ่าง ยกต้นขานางขึ้นมาแล้วบุกทันที ราวกับเป็นสัตว์ร้ายที่ถูกยั่วโมโห บ้าระห่ำมาก

เชียนเอ๋อร์เดินตามหลังเข้ามา แล้วก็ยังมีเสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ในอ่างน้ำด้วย ทั้งสองตะลึงค้างแล้ว

ทำใจมองตรงๆ ไม่ได้ เชียนเอ๋อร์รีบหันหน้าหนีแล้วเดินออกไป เสวี่ยเอ๋อร์ก็รีบขึ้นจากอ่างน้ำเช่นกัน รีบใส่เสื้อผ้าแล้วเดินออกไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ…

ตำหนักดาวกลาง เหยียนซิวเก็บระฆังดารา อีกมือหนึ่งเก็บธงเรียกวิญญาณ สายตาที่เย็นเยียบกวาดมองกลุ่มคนที่เหม่อลอยไร้สติ

ไม่ใช่อวิ๋นจือชิวที่พูดอย่างนั้น แม้แต่เหมียวอี้ก็เอ่ยปากแล้ว เขาย่อมไม่มีอะไรต้องกังวล

เงาร่างแฉลบราวกับผี ทะลุผ่านกลุ่มคนที่ยืนอยู่ เร็วราวกับเงา สุดท้ายก็หยุดยืนอยู่บนบันไดนอกตำหนัก

บนคอของบทุกคนในตำหนักมีรอยเลือด แล้วก็กระอักเลือดออกมาอีก แต่ละคนเอามือปิดคอด้วยสีหน้าขื่นขม แล้วล้มลงชักกระตุกอยู่บนพื้น ไม่มีใครรอดชีวิตสักคน

เหยียนซิวที่ยืนอยู่บนบันไดนอกตำหนักเงยใบหน้านิ่งตายเหมือนผี วางเล็บที่เปื้อนเลือดเอาไว้ในปาก ดูดรอยเลือดแห้งนั่นช้าๆ แล้วห้อยแขนเสื้อสองข้างลง กึ่งเดินกึ่งลอยลงจากบันได เดินตรงออกประตูใหญ่ของตำหนักดาวกลางไปแล้ว

หลี่โม่จินและคนอื่นๆ ที่รออยู่ด้านนอกมองมา เหยียนซิวเดินมาตรงหน้าพวกเขาแล้วหยุด ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแหบพร่า “คนพวกนี้บกพร่องต่อหน้าที่ คุ้มกันจูเก๋อชิงไม่ดี ฮูหยินเดือดดาลมาก สั่งประหารหมดแล้ว!” พูดจบก็พุ่งตัวขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที

“…” สำนักงามวิจิตรมองหน้ากันเลิกลั่ก

หลี่โม่จินหันกลับไปมองในตำหนัก จากนั้นก็ถลันตัวเข้าไปทันที ศิษย์สำนักงามวิจิตรก็เหาะตามไปเช่นกัน

สุดท้ายทุกคนก็หยุดอยู่ตรงประตูตำหนักใหญ่ เพราะได้กลิ่นคาวเลือด ขณะมองน้ำเลือดไหลนอง เห็นแต่ละคนล้อมอยู่ท่ามกลางกองเลือด พวกเขาก็มองหน้ากันอย่างพูดไม่ออก

สิ่งที่ทำให้หลี่โม่จินตกใจก็คือ เหยียนซิวลงมือกับคนมากมายขนาดนั้น แต่ไม่น่าเชื่อว่าข้างนอกจะไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเลยสักนิด

สถานการณ์ถูกรายงานไปที่นภาอู๋เลี่ยงอย่างรวดเร็ว ในศาลาดอกไม้ของเรือนด้านใน ฉินเวยเวยที่ได้ข่าวพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็หันมามองฉินซีที่อยู่ข้างกัน “ท่านแม่! ท่านบอกความจริงข้ามา การตายของจูเก๋อชิงเกี่ยวข้องกับพวกท่านหรือเปล่า?”

“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” ฉินซียิ้มเจื่อน

ฉินเวยเวยกล่าวด้วยสายตาจริงจัง “เหยียนซิวไม่ใช่คนที่ใครจะบัญชาการก็ได้ ถ้าเรื่องนี้ไม่มีเงื่อนงำ แล้วทางนั้นจะส่งเขามาสืบเรื่องตอนที่จูเก๋อชิงยังมีชีวิตอยู่ได้ยังไง?”

ฉินซียักไหล่ “ข้าไปรู้ได้ยังไงล่ะ? เวยเวย เหมือนเจ้าจะหวังให้การตายของจูเก๋อชิงเกี่ยวข้องกับพวกเรามากเลยนะ!”

“ก็หวังว่าข้าจะคิดมากไป!” ฉินเวยเวยถอนหายใจ แล้วลุกขึ้นเดินลากกระโปรงยาวออกจากศาลา ท่วงท่ายามเดินสง่างาม ไหล่สองข้างตรงมั่นคง ไม่เหมือนท่าทางห้าวหาญยามนี่อาชามังกรเหมือนในปีนั้นแล้ว ห่างกันไกลมาก!

เมื่อไม่มีคนนอก ฉินซีที่นั่งลงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นางหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่ง บอกว่า : เรื่องคงใกล้จะจบแล้ว เหยียนซิวคงสืบเจออะไรบางอย่าง บอกว่าทหารยามพวกนั้นบกพร่องต่อหน้าที่ โทษที่พวกเขาเฝ้าไม่ดี เหยียนซิวจึงลงมือสังหารพวกเขาทั้งหมดด้วยตัวเอง

หยางชิ่งที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างตึกศาลากลับขมวดคิ้ว ถามยืนยันว่า : ตายหมดแล้วเหรอ?

ฉินซี : ใช่! ตอนนี้เสร็จแล้ว ตอนหลังไม่ต้องคิดเรื่องปิดปากฟางเหลียวแล้ว สมปรารถนาเจ้าแล้ว ข้าแนะนำว่าทีหลังเจ้าอย่าทำเรื่องแบบนี้อีก

หยางชิ่งกลับรีบถาม : รายละเอียดล่ะ! ข้าต้องการรู้สถานการณ์โดยละเอียด!

ฉินซีทำตามที่เขาต้องการ ติดต่อหลี่โม่จินเพื่อถามรายละเอียดแล้วบอกเขาทันที

หยางชิ่งที่รู้รายละเอียดแล้วครุ่นคิดเงียบๆ พักหนึ่ง แล้วทันใดนั้นก็เงยหน้าถอนหายใจยาว เขย่าระฆังดาราในมือตอบว่า : เป็นไปได้เก้าในสิบว่าเรื่องแดงแล้ว!

ฉินซีได้ยินแล้วตกใจมาก : เจ้าคิดมากไปแล้วหรือเปล่า? เรื่องแดงตรงไหน?

หยางชิ่ง : เลอะเลือน! ข้าถามเจ้าหน่อย สืบสวนคนมากมายขนาดนั้น ทำไมเหยียนซิวถึงไม่ต้องการผู้ช่วยล่ะ กลับให้พวกหลี่โม่จินรออยู่นอกตำหนักทำไม?

ฉินซี : บางทีอาจไม่อยากให้เรื่องฉาวภายในบ้านแพร่งพรายออกไป หรือไม่ก็ไม่เชื่อใจพวกหลี่โม่จิน

หยางชิ่ง : แปดสิบกว่าคน เหยียนซิวคนเดียวจะสืบสวนไปถึงเมื่อไรกันล่ะ แต่กลับได้ผลลัพธ์เร็วมาก ถ้าจะสืบสวนลวกๆ ก็ไม่จำเป็นต้องส่งเขามาสืบเอง เจ้าไม่สังเกตเห็นความผิดปกติเลยเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ลงโทษประหารทุกคนตรงนั้นทันที คนนอกไม่มีโอกาสถามอะไรด้วยซ้ำ!

………………

ดูท่าแล้ว สิ่งที่ฮูหยินสงสัยคงไม่ผิด การตายของจูเก๋อชิงมีเงื่อนงำซ่อนอยู่จริงๆ

เพียงแต่เหยียนซิวไม่เข้าใจ ว่าทำไมการร้องเพลงบวกกับปีนขึ้นหลังคาถึงทำให้เหมียวอี้ประทานความตายแก่จูเก๋อชิงได้ หรือว่ามีอะไรไม่ปกติ?

ดังนั้นเหยียนซิวจึงซักไซ้รายละเอียดอีกครั้ง แต่กลับไม่ได้รับข้อมูลที่สามารถคลายความสงสัยของเขาได้ ถามคนอื่นก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ ในบรรดาคนเหล่านี้มีเพียงฟางเหลียวที่ถูกฉินซีควบคุมไว้ คนอื่นล้วนไม่มีปัญหา สิ่งนี้ทำให้เขาตกอยู่ในความฉงนสนเท่ห์อย่างล้ำลึก แล้วแบบนี้จะชี้แจงกับฮูหยินอย่างไรล่ะ?

ดาวจันทร์อี่ ดวงจันทร์เก้าดวงส่องสว่างบนผืนแผ่นดินใหญ่ พื้นดินกว้างใหญ่สีขาวเงินขับกับดาวเดียรดาษบนท้องฟ้า

อวิ๋นจือชิวงานยุ่งจนกระทั่งตอนนี้ ถึงได้เดินผ่านตะวันจันทนรากลับมาในจวนหัวหน้าภาค รับแขกมาทั้งวัน คนอื่นมองว่านางมีหน้ามีตามาก แต่กลับไม่รู้ว่าเปลืองสมองขนาดไหน พูดจนปากแห้งไปหมดแล้ว

เสวี่ยหลิงหลงกับหลินผิงผิงขอตัวออกไปนอกจวนหัวหน้าภาคแล้ว นัดกับอวิ๋นจือชิวไว้แล้วว่าพรุ่งนี้เจอกัน ทำเรื่องเหมือนอย่างวันนี้ต่อไป

ทหารคุ้มกันแยกย้ายกันไปก่อนที่จะเข้ามาถึงเรือนด้านหลัง อวิ๋นจือชิวถามทหารยามที่เฝ้าอยู่ตรงประตูเรือนด้านหลังว่า “นายท่านล่ะ?”

“นายท่านอยู่ในตำหนักประชุมขอรับ” ทหารยามรายงาน

“อ้อ!” อวิ๋นจือชิวมองไปทางตำหนักประชุมแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมาบอกซิงกับเฟยหงว่า “ติดตามข้ามาวันหนึ่งแล้ว พวกเจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ”

ทั้งสองเอ่ยรับ แล้วอวิ๋นจือชิวก็พาแค่เสวี่ยเอ๋อร์เดินไปทางตำหนักประชุม ไม่ได้เดินไปทางประตูหลัก แต่เดินไปทางประตูหลัง ผลปรากฏว่าเห็นเชียนเอ๋อร์รออยู่ที่ประตูหลังของตำหนัก

หลังจากเชียนเอ๋อร์ทำความเคารพแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ถามอย่างแปลกใจ “เจ้ามายืนตรงนี้ทำไม ทำไมไม่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายนายท่าน?”

เชียนเอ๋อร์ตอบว่า “กลุ่มผู้ช่วยของนายท่านกลับมาจากข้างนอกแล้ว ทั้งยังพาคนทั้งสำนักลมปราณมาด้วย มีอีกหลายแสนคนค่ะ หลังจากเตรียมที่พักให้คนของสำนักลมปราณแล้ว กลุ่มผู้ช่วยก็กำลังคุยงานอยู่กับนายท่านข้างใน นายท่านให้บ่าวหลบออกมาก่อน”

อวิ๋นจือชิวเข้าใจ พวกยอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพของทัพใหญ่แดนรัตติกาลกลับมาแล้ว แต่การให้เชียนเอ๋อร์หลบเลี่ยงออกมาหมายความว่าอะไร? ในสมองนึกถึงคนของสำนักลมปราณ

จากนั้นนางก็ขอน้ำชา ตัวเองยกเข้าไปเอง ให้สาวใช้ทั้งสองรออยู่ข้างนอก นางเข้าไปแค่คนเดียว

ในตำหนักประชุมมีคนหลายสิบคนรวมตัวกัน เหมียวอี้อยู่หัวโต๊ะของโต๊ะยาว คนอื่นๆ นั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายและขวาของโต๊ะยาว

อวิ๋นจือชิวได้ยินมานิดหน่อยตอนอยู่หลังตำหนัก ได้ยินว่าเป็นเรื่องตลาดสวรรค์ครั้งนี้ นางสามารถไม่ต้องหลบเลี่ยงก็ได้ ยกถาดน้ำชาเดินเนิบนาบจากหลังตำหนัก เข้ามาหน้าตำหนัก

ที่จริงแล้ว คนในตำหนักใหญ่ต่างก็รู้ว่าการประชุมที่นี่ เหมียวอี้ไม่เคยหลบเลี่ยงอวิ๋นจือชิวเลย ธรรมเนียมค่อนข้างแตกต่างกับบางจวน

พอคนหลายสิบคนในตำหนักเห็นนางโผล่หน้ามา ก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพทันที “ฮูหยิน!”

อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างเป็นกันเองเพื่อบอกใบ้ให้ทุกคนนั่งลง จากนั้นก็เดินมานั่งคุกเข่าอย่างนุ่มนวลข้างโต๊ะเหมียวอี้ วางถาดน้ำชาลง แล้วรินน้ำชาถ้วยหนึ่งวางตรงหน้าเหมียวอี้

เหมียวอี้มองนางแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าขอบคุณเบาๆ ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่บนตัวทุกคนข้างล่างอีก

ได้ยินหยางเจาชิงที่นั่งอยู่ข้างล่างบอกว่า “การปฏิบัติการที่ตลาดสวรรค์ครั้งนี้ราบรื่นขนาดนี้ เป็นเพราะโชคดีที่ได้รับความร่วมมือจากตระกูลเซี่ยโห้ว พอโค่นล้มอิ๋งจิ่วกวงแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งก็นับว่าได้กู้หน้ากลับมาแล้วเช่นกัน”

เหมียวอี้แสยะหัวเราะ “เซี่ยโห้วลิ่งคนนี้ เดาว่าคงไม่ได้คิดจะโค่นล้มอิ๋งจิ่วกวงคนเดียว แม้แต่คนในครอบครัวตัวเอง ก็คงไม่อยากปล่อยไปเช่นกัน พอเซี่ยโห้วท่าตายไป เซี่ยโห้วลิ่งคนนี้ก็อาจทำให้ตระกูลเซี่ยโห้ววุ่นวายใหญ่โตก็ได้!”

กลุ่มคนข้างล่างงงไปชั่วขณะ แม่ทัพคนหนึ่งถามว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ หมายความว่ายังไงครับ?”

เหมียวอี้บอกว่า “การร่วมงานกันครั้งนี้ ข้าไปคุยกับเซี่ยโห้วลิ่งแบบต่อหน้า ทำไมเซี่ยโห้วลิ่งถึงกระตือรือร้นขนาดนี้ล่ะ ที่จริงก็เพราะอยากควบคุมอำนาจทั้งหมดของตระกูลเซี่ยโห้วโดยสมบูรณ์ไง โค่นล้มอิ๋งจิ่วกวงก็เพื่อสร้างบารมีความน่าเชื่อถือของตัวเองในตระกูล พูดให้ชัดก็คืออยากจะควบคุมอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วทั้งหมด อิ๋งจิ่วกวงเป็นเพียงก้าวแรกของเขาเท่านั้น ก้าวต่อไปคงจะเก็บอำนาจมาจากมือพี่น้องที่แอบกระจายตัวอยู่ตามที่ต่าง ข้าฟังจากที่เขาพูด เหมือนจะยังอยากให้ข้าช่วยเขาสู้กับพี่น้องตัวเองอีกด้วย”

ทุกคนสบตากันอย่างพูดไม่ออก กงหยวนที่นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยมองเหมียวอี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วเดินไปด้านหลังตำหนัก

หยางเจาชิงถามอย่างลังเล “นายท่าน เซี่ยโห้วลิ่งจะให้นายท่านช่วยทำเรื่องนี้ได้ยังไง?”

เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ “ก็เป็นเพราะพวกเราคุมแดนรัตติกาลอยู่ไม่ใช่เหรอ พวกเรามีกำลังพลที่แดนรัตติกาล ทุกคนลืมท่านนั้นที่อยู่ตึกศาลาสัตยพรตไปแล้วเหรอ?”

ทุกคนเข้าใจกระจ่างในทันที มีบางคนถามว่า “ต้องการจะสู้กับเฉาหม่านเหรอ?”

เหมียวอี้ส่ายหน้ายิ้มเย้ย “เมื่อก่อนข้าก็แค่ได้ยินเขาแอบสื่อในคำพูดเฉยๆ ไม่ได้พูดออกมาชัดเจน คงจะแค่หยั่งเชิงข้าเท่านั้น ต่อไปถ้ารอให้เขารู้ว่าพวกเรามีกำลังพลเพิ่มมาห้าสิบล้าน ความมั่นใจที่จะช่วยเขากำจัดเฉาหม่านมีมากขึ้น เกรงว่าคงอดทนไม่ไหวติดต่อเข้ามา นอกเสียจากเขาจะไม่อยากกุมอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ไม่อย่างนั้นข้ามีกำลังทหารมากมายขนาดนี้กุมแดนรัตติกาลอยู่ ตราบใดที่ข้าไม่ให้ความร่วมมือหรือแทรกแซง คนที่คิดจะแตะต้องเฉาหม่านก็ต้องผ่านด่านข้าไปก่อน คนอื่นก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะกำจัดเฉาหม่านทิ้งได้ราบรื่น!”

อวิ๋นจือชิวที่เลี้ยวเข้ามาด้านหลังตำหนักฟังจนหนังตากระตุก กงหยวนก็นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย นางรู้ดีว่าเหมียวอี้รู้ถึงตัวตนของกงหยวน แต่พูดแบบนี้ต่อหน้ากงหยวนหมายความว่าอะไร? ไม่ใช่ว่ากำลังวางกับดักเซี่ยโห้วลิ่งหลอกหรือ? ขนาดนางยังแอบรู้สึกแย่แทนเซี่ยโห้วลิ่ง เซี่ยโห้วลิ่งทุ่มทุนไปมากขนาดนั้นเพื่อโค่นล้มตระกูลอิ๋ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะสร้างชื่อเสียงบารมีในตระกูลได้ เดาว่าถ้าถูกสามีตัวเองเล่นงานแบบนี้ สิ่งที่ทำมาก็คงสูญเปล่าหมดแล้ว เกรงว่าคงจะรวบรวมกำลังทั้งหมดของตระกูลเซี่ยโห้วมาไว้ในมือไม่ได้อีก

อวิ๋นจือชิวอยากจะเห็นว่ากงหยวนมีสีหน้าอย่างไร แต่ก็ข่มอารมณ์ไว้ รู้ว่าการที่เหมียวอี้ทำแบบนี้จะต้องมีจุดประสงค์แน่นอน นางจะเผยพิรุธไม่ได้ จึงหันตัวเดินเลี้ยวเข้ามาหลังตำหนัก

กงหยวนที่นั่งอยู่ตรงนั้นฟังจนหนังตากระตุกอย่างแรง เขาบอกว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ ตระกูลเซี่ยโห้วมีกำลังทรัพย์และอิทธิพลเยอะมาก พวกเราไปแทรกแซงเรื่องนี้จะเหมาะสมเหรอ?” เห็นได้ชัดว่าอยากหยั่งเชิงท่าทีของเหมียวอี้

เหมียวอี้พ่นเสียงทำจมูก “ข้าก็ไม่ได้โง่เสียหน่อย ตระกูลที่ผ่านมาหลายยุคแล้วแต่ก็ยังไม่โค่น อยู่ดีๆ ข้าจะเข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องนี้ด้วย? เอาล่ะ เรื่องที่ไร้หลักฐานแบบนี้ พูดไปก็ไม่มีความหมาย อย่าให้ข่าวหลุดออกไปข้างนอกนะ ไม่อย่างนั้นทุกคนก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเหมือนกัน พวกเรามาปรึกษากันเรื่องกำลังพลห้าสิบล้านดีกว่า!”

อวิ๋นจือชิวที่อยู่หลังตำหนักหยุดตั้งใจฟังครู่หนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้เดินออกไป พึมพำในใจว่าเหมียวอี้กำลังเล่นอะไร นางกะว่าเดี๋ยวค่อยไปถามอีกที พอออกมาทางหลังตำหนักแล้วก็ให้เชียนเอ๋อร์เฝ้าตรงนี้ต่อ ส่วนตัวเองก็นำเสวี่ยเอ๋อร์กลับไป

พอเข้าในที่เรือนด้านในแล้ว เรื่องแรกที่ทำก็คือเข้าไปอาบน้ำ เสวี่ยเอ๋อร์ปรนนิบัติถอดผ้าคาดเอวให้อวิ๋นจือชิว เผยเรือนร่างเย้ายวนที่ทำให้ผู้พบเห็นเลือดลมสูบฉีด

พอเรือนร่างอวบอัดขาวหมดจดแช่ลองในน้ำ อวิ๋นจือชิวก็ขยับปากเบาๆ พ่นไอน้ำออกมา แล้วหลับตาลงด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

นางชอบแช่อยู่ในน้ำอุ่นที่สุด ความเคยชินในชีวิตประจำวันของนางก็เป็นแบบนี้ ขอเพียงมีเงื่อนไขพร้อม ถ้าวันไหนนางไม่ได้อาบน้ำก็จะรู้สึกไม่สบายตัว ดังนั้นผิวนางจึงชุ่มชื้นละเอียดอ่อนมาก และสาเหตุที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลสร้างไว้ที่นี่ ก็เพราะเหมียวอี้คำนึงถึงความเคยชินของนาง เพราะที่นี่มีบ่อน้ำร้อน ทำให้อวิ๋นจือชิวได้เสพสุขกับความเอาใจใส่นี้

เสวี่ยเอ๋อร์ที่ถอดเสื้อผ้าออกหมดแช่ลงในน้ำอย่างรวดเร็ว นางช่วยถอดเครื่องประดับศีรษะให้อวิ๋นจือชิว ผมดำขลับทั้งศีรษะแผ่ลงมาบนไหล่ขาวดุจหิมะของอวิ๋นจือชิว

ขณะที่ช่วยขัดตัวให้อวิ๋นจือชิวเบาๆ สายตาเสวี่ยเอ๋อร์ก็มองสำรวจเรือนร่างยั่วราคะของอวิ๋นจือชิว อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างอิจฉาว่า “ฮูหยินรูปร่างดีจริงๆ ค่ะ ไม่แปลกใจที่นายท่านชอบฮูหยินขนาดนี้”

“นางเด็กบ้า เสียคนแล้ว ข้าว่าเจ้ากำลังคิดอะไรลามกแล้วล่ะสิ?” อวิ๋นจือชิวถลึงตาจ้องนาง แล้วเอานิ้วจิ้มหน้าผากนาง

เสวี่ยเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก ทั้งสองพูดคุยปนสียงหัวเราะ น้ำใสกระเพื่อมเป็นระลอก เป็นภาพที่ยั่วยวนมาก

ผ่านไปไม่นาน จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็เงียบไป ในมือถือระฆังดาราขึ้นมาอันหนึ่ง พอเห็นนางมีสีหน้าจริงจัง เสวี่ยเอ๋อร์ก็เงียบแล้วเช่นกัน ไม่ได้รบกวน

เป็นเหยียนซิวที่ส่งข่าวมา คาดว่าคงสืบเรื่องราวได้แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าผลเป็นอย่างไร อวิ๋นจือชิวกำลังติดต่อกับเขา

หลังจากทำความเข้าใจสถานการณ์ชัดเจนแล้ว อวิ๋นจือชิวก็เริ่มมีสีหน้าเย็นเยียบลงทีละนิด

เหยียนซิวไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้แปลว่าอวิ๋นจือชิวจะไม่รู้ เพราะนางรู้จักเหมียวอี้ดีเกินไป นางคลำเส้นชีพจรของเขาได้หมด

ตอนรายงานขึ้นมาว่าจูเก๋อชิงร้องเพลง ทำไมต้องเสริมคำว่าปีนขึ้นหลังคาด้วยน่ะหรือ? ก็เพราะมีคนรู้จักนิสัยของเหมียวอี้เป็นอย่างดี รู้ว่าเหมียวอี้กับจูเก๋อชิงไม่มีความผูกพันกัน รู้ว่าตอนเหมียวอี้อยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น จะปล่อยให้หลังบ้านเกิดปัญหาไม่ได้ และไม่มีอารมณ์จะมาสืบโดยละเอียดด้วย จึงจงใจแสดงความไม่ปกติของจูเก๋อชิงเพื่อกระตุ้นเหมียวอี้ ทำให้เหมียวอี้รู้สึกอย่างชัดเจนว่า จูเก๋อชิงสามารถก่อเรื่องได้ทุกเมื่อ กระตุ้นนิสัยการฆ่าคนอย่างไม่ลังเลของเหมียวอี้เพื่อกำจัดจูเก๋อชิง

ฉินซีจะมีแผนอย่างนี้ได้หรือ? อวิ๋นจือชิวเคยคลุกคลีกับนางมาก่อน รู้ว่าไม่ใช่แผนของฉินซี ฉินเวยเวยเหมือนมารดา ไม่ได้มีสมองแบบนี้ มีความเป็นไปได้น้อยที่ทั้งสองจะรู้สถานการณ์ในตอนนั้นของเหมียวอี้ชัดเจน คนที่อยู่เบื้องหลังโผล่ออกมาทันที เรื่องนี้นอกจากหยางชิ่งก็ไม่มีใครแล้ว!

ตอนยังไม่สืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนก็ยังดีหน่อย แต่หลังจากรู้แล้ว อวิ๋นจือชิวก็ยังนึกกลัว สามารถวางแผนได้ละเอียดรอบคอบถึงขั้นนี้ ฆ่าคนโดยไร้ร่องรอยอย่างแท้จริง หยางชิ่งทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวจริงๆ!

นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องที่หยางชิ่งวางแผนทำร้ายนางที่พิภพเล็กในปีนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะมู่ฝ่านจวินเอ็นดูนางจึงไม่ได้ทำร้ายนาง กลับบอกเรื่องบางอย่างกับนางโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ความจริงปรากฏ นางก็คงจะตายโดยไม่รู้ความจริงด้วยซ้ำ

เรื่องที่เกิดกับจูเก๋อชิงในครั้งนี้ก็เหมือนกัน เป็นการรายงานตามปกติ เพียงแค่เลือกเวลาให้แม่นยำและเพิ่มคำที่ดูเหมือนไม่สำคัญก็เท่านั้น ก็ทำให้จูเก๋อชิงตายโดยไม่กระจ่างได้แล้ว

และครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะส่งเหยียนซิวไป ใช้ประโยชน์จากพลังอภินิหารของเหยียนซิว ก็ไม่อาจสืบหาความจริงเจอได้เลย โชคดีแล้วที่หยางชิ่งไม่รู้ว่าเหยียนซิวมีพลังอภินิหารขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าคงเทพไม่รู้ผีไม่เห็น

ต่อให้สืบเจอความจริงแล้วอย่างไรล่ะ? เรื่องแบบนี้เอาเป็นหลักฐานได้เหรอ? อย่างมากเจ้าก็โทษว่าฉินซีไม่ควรควบคุมฟางเหลียว ฉินซีก็แค่ให้ฟางเหลียวรายงานสิ่งที่ปกติธรรมดามากขึ้นไป แล้วจูเก๋อชิงก็ปีนขึ้นไปร้องเพลงบนหลังคาจริงๆ อีกฝ่ายพูดตามความจริง ไมได้พูดโกหกซี้ซั้ว แต่เป็นเหมียวอี้เองที่คิดมากจนฆ่าคนไปแล้ว!

ลองคิดดูแล้วน่ากลัวสุดๆ! อวิ๋นจือชิวคิดไม่ตก ว่าทำไมหยางชิ่งถึงต้องการจะฆ่าจูเก๋อชิง? ถ้าทำเพื่อฉินเวยเวยจริงๆ เพราะคิดจะดันฉินเวยเวยขึ้นสู่ตำแหน่งภรรยาเอกหรือเปล่า แล้วค่อยลงมือกับอวิ๋นจือชิวอีกครั้งเหรอ?

ทางเหยียนซิวถามนางว่าจะจัดการอย่างไร

อวิ๋นจือชิวสงบสติอารมณ์แล้วไตร่ตรอง สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ ตอบกลับไปว่า : ลงโทษประหารทหารยามที่เฝ้าจูเก๋อชิงให้หมดรวมทั้งฟางเหลียวด้วย! ชี้แจงกับนภาอู๋เลี่ยงว่าพวกเขาเฝ้าไม่ดี ไม่ต้องเปิดเผยความจริง อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้ให้นายท่านรู้ เดี๋ยวในภายหลังข้าจะอธิบายกับนายท่านเอง!

……………………

สิ่งที่ทำให้เฟยหงอิจฉายิ่งกว่าก็คือ นิสัยเข้าได้กับทุกคนยามที่อวิ๋นจือชิวอยู่กับคนในครอบครัวของทหารพวกนั้น ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะรู้จักกันหรือไม่ แต่พอพบหน้าก็ทักทายทันที พูดแค่สองสามประโยคก็เริ่มทำให้คนสนิทสนมแล้ว มีทักษะการเข้าสังคมที่ยอดเยี่ยมมาก

พวกอนุภรรยาของทหารยศเล็กบางส่วนที่ยืนอยู่ไกลๆ ไม่สะดวกและไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้ อวิ๋นจือชิวก็เป็นฝ่ายเดินเข้าไปพูดคุยผูกมิตรก่อนเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่นตอนคุยกับฮูหยินของแม่ทัพคนหนึ่ง สายตาชำเลืองไปเห็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ไม่ไกล แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าผู้ชายของพวกนางตำแหน่งไม่สูงเท่าไหร่ ไม่สะดวกใจที่จะมายืนใกล้ๆ อวิ๋นจือชิวที่พูดคล่องก็จะจ้องหนึ่งในนั้นพร้อมถามว่า “น้องสาวคนนั้นสวยจัง ไม่รู้ว่าขุนพลคนไหนมีวาสนาขนาดนี้?”

ฮูหยินพี่กำลังคุยด้วยย่อมต้องกล่าวแนะนำด้วยรอยยิ้ม พออีกฝ่ายเข้ามาใกล้แล้ว อวิ๋นจือชิวก็จะมองประเมินอย่างละเอียดพลางเดาะลิ้น “ข้าชอบผู้หญิงที่มีลักษณะท่าทางแบบน้องสาวคนนี้ ข้าถูกชะตามาก” จากนั้นสายตาก็ย้ายไปที่ผมของอีกฝ่าย ถือโอกาสดึงปิ่นปักผมที่สวยประณีตบนศีรษะตัวเองออกมา แล้วปักให้บนมวยผมของอีกฝ่ายอย่างสง่าผ่าเผย เสร็จแล้วก้าวถอยไปข้างหลัง มองประเมินอย่างละเอียดพร้อมถามคนที่อยู่ทางซ้ายและขวา “ทุกคนคิดว่าสวยไหม?”

คนที่อยู่ทางซ้ายและขวาย่อมไม่บอกว่าไม่สวยอยู่แล้ว พวกนางพากันกล่าวชม “สวย! สวยจริงๆ!”

ผู้หญิงที่ถูกกลุ่มคนกล่าวชมค่อนข้างเขินอาย แต่ในดวงตาฉายแววตื่นเต้นดีใจจริงๆ มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่ชอบเวลาคนอื่นชมว่าตัวเองสวย โดยเฉพาะครั้งนี้มีคนเป็นกลุ่มมาชมตัวเองว่าสวย ในใจต้องรู้สึกงดงามดีใจอยู่แล้ว

ส่วนอวิ๋นจือชิวก็คว้ามืออีกฝ่ายแล้วถามว่าชื่ออะไร จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “”ถ้าน้องสาวไม่รังเกียจว่าข้าเคยใช้ปิ่นปักผมด้ามนี้มาแล้ว เจ้าก็ปักผมไว้เถอะ คิดเสียว่าเป็นของขวัญแรกพบ ถึงยังไงคะก็รู้สึกว่าสวย เหมาะกับน้องสาวพอดีเลยนะ”

“วันแรกพบจากฮูหยิน ถ้าจะรังเกียจได้ยังไงคะ” ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับอย่างเกรงใจ

อวิ๋นจือชิวหัวเราะคิกคัก “เรียกฮูหยินห่างเหินไปแล้ว ทำไมรังเกียจก็เรียกพี่สาวสิ อืม…สง่าราศีของน้องสาว ข้ายิ่งมองก็ยิ่งชอบ วันหลังถ้ามีเวลาว่าง ก็อย่าลืมมาเล่นกับข้าบ่อยๆ นะ ข้าไม่ได้พูดตามมารยาทหรอกนะ เจ้าต้องมาให้ได้”

เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้ สมาชิกครอบครัวผู้หญิงที่ระดับพอๆ กันไม่น้อยก็ส่งสายตาอิจฉา สถานการณ์ของทุกคนในตอนนี้ มีสิ่งหนึ่งที่รู้อยู่แก่ใจ รู้ว่าในภายหลังต้องเชื่อฟังคำสั่งของที่นี่ แล้วอวิ๋นจือชิวก็คือนายหญิงของที่นี่ แล้วน้องสาวคนนี้ก็ได้เรียกพี่เรียกน้องกันกับนางเพราะว่านายหญิงถูกชะตา กลายเป็นสหายของนายหญิงแล้ว ได้ยินว่าอวิ๋นจือชิวได้รับความรักจากหนิวโหย่วเต๋อมาก ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ด้วยความสัมพันธ์ระดับนี้ก็อาจจะช่วยสามีตัวเองได้

ที่จริงอวิ๋นจือชิวก็มีความคิดที่จะสานสัมพันธ์อันดีกับผู้หญิงของทหารยศต่ำพวกนี้ สนับสนุนสามีของผู้หญิงพวกนี้ขึ้นมาให้เป็นตัวอย่าง พระนางก็กังวลใจเหมือนกันว่าเหมียวอี้จะควบคุมกำลังพลมากขนาดนี้ไหวหรือไม่ ถ้าดึงคนเหล่านี้มาเป็นพวกได้ ท่ามกลางกำลังพลมากมายขนาดนี้ ถ้าได้ยินข่าวอะไรมาบ้างก็อาจจะช่วยเหลือเหมียวอี้ได้ ส่วนคนที่ระดับสูงเกินไป นางก็ไม่สะดวกยื่นมือเข้าไปสนับสนุน เพราะอาจจะกระทบต่อการวางขอบข่ายงานด้านบุคลากรของเหมียวอี้ ส่วนคนที่อยู่ตำแหน่งต่ำจำนวนไม่มาก นางก็ยังบอกได้ไม่มีปัญหา

“กลัวก็แต่จะรบกวนฮูหยิน…” ผู้หญิงคนนั้นพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง พอเห็นอวิ๋นจือชิวถลึงตาแกล้งโกรธ ก็เปลี่ยนเป็นเรียกว่า “กลัวจะรบกวนพี่สาวค่ะ”

อวิ๋นจือชิวเอามือป้องปากหัวเราะคิกคักทันที “ไม่กลัวรบกวนหรอก กลัวว่าเจ้าจะไม่มารบกวนล่ะสิ ถ้าเห็นน้องสาวแล้วชอบมากจริงๆ”

ตอนที่กำลังคุยกัน เมื่ออวิ๋นจือชิวชวนคุยเมื่อไร ก็ย่อมชวนผู้หญิงที่อยู่ข้างกายผู้หญิงคนนั้นคุยด้วย ถามประมาณว่าเป็นคนที่ไหน

เมื่ออีกฝ่ายบอกว่ามาจากที่ไหน อวิ๋นจือชิวก็จะเอียงหน้าเล็กน้อย พวกช่างไม้ที่อยู่ข้างหลังนางก็จะเตือนว่าอวิ๋นจือชิวเคยไปทำอะไรที่นั่น อวิ๋นจือชิวก็จะเข้าใจทันที จึงมีประเด็นสนทนาเพิ่มขึ้นอีก

มีการอุ่นบรรยากาศกับผู้หญิงคนก่อนหน้านี้แล้ว พวกนางก็พบว่าอวิ๋นจือชิวไม่ได้คบยาก ผู้หญิงคนอื่นก็ผ่อนคลายขึ้นแล้วไม่น้อยเช่นกัน เปิดประเด็นสนทนาได้ง่ายมาก

เฟยหงรู้ว่าหลายปีมานี้อวิ๋นจือชิวไปเยี่ยมเยียนสถานที่ต่างๆ มาไม่น้อยเลย แต่นางไม่เชื่อว่าจะจำสถานที่ทั้งหมดได้ แต่อวิ๋นจือชิวก็ทำเหมือนเคยไปมาจริงๆ มีพวกช่างไม้ที่อยู่ข้างหลังให้ความร่วมมือ พออวิ๋นจือชิวส่งสายตาให้ ทำสีหน้าใส่ พวกช่างไม้ก็จะตอบรับอย่างเหมาะสม สร้างความปรองดองได้อย่างแนบเนียนไร้รอยต่อ

เฟยหงก็เคยคิดเพ้อฝันเหมือนกัน ว่าถ้าตัวเองได้กลายเป็นฮูหยินเอกบ้างจะเป็นอย่างไร แต่ครั้งนี้พอเดินวนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนไปทั่ว หลังจากได้ประสบการณ์ครั้งนี้ ก็รู้สึกละอายที่ตัวเองเทียบไม่ติด พบว่าอวิ๋นจือชิวเข้าสังคมเก่งเกินไป คุยกับใครก็คุยได้หมด บางทีก็ตรงไปตรงมา บางทีก็อ่อนโยนเข้าถึงง่าย รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาได้อย่างราบรื่น ไปกลับดูไม่เหมือนเสแสร้งเลยสักนิด ของแบบนี้ไทยวานางอยากจะเรียนรู้แล้วก็เรียนรู้ได้ อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ คิดว่าสมแล้วที่อีกฝ่ายเป็นฮูหยิน ส่วนตัวเองเป็นอนุภรรยา

พวกเสวี่ยหลิงหลงแอบนับถือ แอบรู้สึกหนาวในใจด้วย รู้สึกได้อย่างแจ่มแจ้งว่าฮูหยินคนนี้เป็นตัวละครที่หลอกลวงไม่ได้ง่ายๆ

โดยเฉพาะเสวี่ยหลิงหลง ปกติเวลาอยู่กับอวิ๋นจือชิวรู้สึกว่าอ่อนโยนมาก แต่นางรู้สึกได้ว่าสามีสวีถังหรานรู้สึกกลัวหนิวฮูหยิน สวีถังหรานมักจะบอกว่าหนิวฮูหยินเป็นบุคคลที่ไปหลอกลวงไม่ได้ง่ายๆ ก่อนหน้านี้นางไม่รู้สึกอย่างนี้ แต่ครั้งนี้นับว่ารู้สึกได้แล้ว

เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ผู้หญิงกลุ่มนี้เคารพยำเกรงอวิ๋นจือชิวมากขึ้นเรื่อยๆ

ทางนี้อวิ๋นจือชิวกำลังเดินสายทักทายไปทั่ว เหยียนซิวที่ไปถึงพิภพเล็กตั้งนานแล้วกำลังรอที่ตำหนักดาวกลางเงียบๆ กำลังยืนหลับตาอยู่กลางตำหนักอันกว้างโล่งที่จูเก๋อชิงเคยอาศัยตอนมีชีวิตอยู่ ยืนนิ่งราวกับเป็นรูปปั้น

เขาไปเยี่ยมคารวะฉินเวยเวยก่อน จากนั้นถึงได้มาที่ตำหนักดาวกลาง กำลังรอให้ทหารยามของตำหนักดาวกลางที่แยกย้ายกันไปแล้วมารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง สาเหตุที่ไปเยี่ยมคารวะฉินเวยเวยก่อนก็เพราะเหตุผลนี้ ต้องการให้ฉินเวยเวยออกคำสั่งเรียกรวมคนให้กลับมา

สาเหตุที่เหยียนซิวทำอย่างนี้ อย่าว่าแต่ฉินซีเลย แม้แต่ฉินเวยเวยเองก็สัมผัสได้ แม้เหยียนซิวจะบอกว่ามาถามสถานการณ์ก่อนตายของจูเก๋อชิง แต่เดาว่าคงมีความเป็นไปได้สูง ว่าจะมาสืบหาสาเหตุการตายของจูเก๋อชิง

ฉินซีกังวลเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะใช้ระฆังดาราติดต่อหยางชิ่ง กังวลว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง หยางชิ่งกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในตึกศาลาของตำหนักปราชญ์ เขาย่อมตระหนักได้ถึงความผิดปกติ เขาแทบจะตัดสินได้ทันทีว่าผู้บงการเบื้องหลังคืออวิ๋นจือชิว คงจะเป็นอวิ๋นจือชิวที่รู้เรื่องแล้วส่งเหยียนซิวไป ตอนนี้เหมียวอี้มีงานใหญ่รัดตัวอยู่เป็นกอง ไม่มีเวลามาสนใจด้านนี้เลย ไม่อย่างนั้นคงไม่ประทานความตายให้จูเก๋อชิงยังไม่ลังเลแบบนั้น น่าจะเป็นอวิ๋นจือชิวที่ได้กลิ่นอะไรบางอย่าง ผู้หญิงคนนี้รู้จักเหมียวอี้ดีเกินไป

หลังจากครุ่นคิดให้ละเอียด ก็เขย่าระฆังดาราปลอบใจฉินซี : เจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรหรอก ขอเพียงตอนที่ฟางเหลียวรายงานตามปกติไม่ได้เอ่ยถึงเจ้า ก็จะไม่มีเรื่องอะไรหรอก เป็นไปไม่ได้ที่เหยียนซิวจะสอบสวนอย่างเข้มงวด ไม่อย่างนั้นจะถือว่าไม่เชื่อใจเวยเวย จงใจหาเรื่องสงสัยในตัวเวยเวย แบบนี้จะทำให้เหมียวอี้ไม่พอใจ อวิ๋นจือชิวก็ไม่มีทางให้เหยียนซิวทำอย่างนี้เช่นกัน จะบอกเรื่องพวกนี้ให้ฟางเหลียวดูด้วย ให้เขามีข้อมูลอยู่ในใจ เขาจะได้ยืนกรานว่าเป็นการรายงานตามปกติ ในใจเขาก็รู้แจ้งเช่นกัน ว่าถ้ากล้าพูดซี้ซั้ว ก็จะตายสถานเดียว

ไม่ได้ยินเขาบอกแบบนี้ ฉินซีก็มีความมั่นใจแล้ว รู้แล้วว่าควรทำอย่างไร

นอกตำหนักดาวกลาง คนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า หลี่โม่จิน ลูกศิษย์ของเฟิงเป่ยเฉินนำคนของสำนักงามวิจิตรคุมคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา เป็นทหารยามชุดเดิมของตำหนักประมุขดาวกลางนั่นเอง

คนรออยู่นอกตำหนักแล้ว มีเพียงหลี่โม่จินที่เข้ามาในตำหนักใหญ่คนเดียว พูดตามตรง ที่จริงหลี่โม่จินไม่อยากเจอเหยียนซิวเลย รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว แต่ในเมื่อถูกเรียกแล้วก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงมาพบสักครั้ง

พอเข้ามาในตำหนัก ก็เห็นเหยียนซิวจ้องตนอย่างเย็นเยียบ หลี่โม่จินจึงใช้สองมือมอบแผ่นหยกให้ รายงานว่า “นายท่านเหยียนซิว ตรวจสอบมาแล้ว ทหารยามชุดเดิมของตำหนักดาวกลางมาแล้ว แปดสิบแปดคน ไม่ขาดไปสักคนขอรับ”

เหยียนซิวขยุ้มนิ้วทั้งห้าดูดแผ่นหยกมาไว้ในมือ

รอจนกระทั่งเหยียนซิวอ่านเสร็จแล้วไงเงยหน้าช้าๆ หลี่โม่จินก็กุมหมัดคารวะอีก “นายท่านเหยียนซิวยังมีอะไรจะกำชับอีกหรือไม่ขอรับ?”

“พวกเจ้ารออยู่นอกตำหนัก ให้ทหารยามเข้ามา” เหยียนซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“รับทราบ!” หลี่โม่จินเอ่ยรับแล้วเดินออกไป พอเดินไปถึงด้านนอก ก็ให้ฟางเหลียวนำคนเข้าไป ส่วนเขาก็นำลูกศิษย์สำนักงามวิจิตรออกจากตำหนัก

พอคนแปดสิบกว่าคนเข้าไปในตำหนัก ก็ทำให้ตำหนักใหญ่อันกว้างโล่งมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย เพียงแต่พวกฟางเหลียวพอเห็นท่าทางของเหยียนซิวแล้วพากันตกใจ เดิมทีเหยียนซิวเป็นผู้รับผิดชอบพวกเขา เพียงแต่ตอนหลังส่งต่อให้หยางเจาชิง ดังนั้นทั้งหมดจึงรู้จักเหยียนซิว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าพอไม่ได้เจอกับเหยียนซิวหลายปี สภาพจะเปลี่ยนกลายเป็นเหมือนผีไปแล้ว ใบหน้าที่เหมือนคนตายนั้นทำให้คนไม่กล้าสรรเสริญจริงๆ

เหยียนซิวใช้สายตามองสำรวจกลุ่มคน ยืนยันว่าเป็นกลุ่มคนในปีนั้นจริงๆ

“คารวะนายท่านเหยียนซิว” กลุ่มทหารยามทำความเคารพ

เหยียนซิวไม่พูดอะไรมาก ช่วยโอกาสตอนพวกเขาก้มหน้า โบก ‘ธงเรียกวิญญาณ’ ให้ลอยขึ้นมาวนด้านบนของตำหนักใหญ่

ทุกคนรู้สึกได้ว่าบนหัวมีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ พอเงยหน้ามอง ก็เห็นแสงสีดำผืนหนึ่งครอบพวกเขาเอาไว้แล้ว

ชั่วพริบตาเดียว ทหารยามกลุ่มนี้ก็ตกอยู่ในสภาวะเลอะเลือน แต่ละคนมองเหยียนซิวด้วยสายตาเหม่อลอย เหมือนคนที่วิญญาณหลุดลอยไปแล้ว

ธงเรียกวิญญาณตกลง เหยียนซิวปักด้ามธงไว้ที่พื้น มองปฏิกิริยาทุกคนอย่างละเอียด ถามด้วยเสียงแหบน่าสะพรึงกลัวว่า “ก่อนจูเก๋อชิงตายมีอะไรผิดปกติ?”

กลุ่มทหารยามตอบอย่างเหม่อลอยว่า “ไม่มี…มี…” ท่ามกลางคำตอบว่า ‘ไม่มี แซมด้วยเสียง ‘มี’ จึงดึงดูดสายตาของเหยียนซิวให้จ้องไปทันที เขาก็คือฟางเหลียวพี่อยู่ตรงหน้านี้เอง

เหยียนซิวแววตาวูบไหว ฟางเหลียวเดินเข้ามาช้าๆ มายืนอยู่ตรงหน้าเขา

เหยียนซิวจ้องตาเขา “มีอะไรผิดปกติ?”

ฟางเหลียวตอบอย่างแข็งทื่อไร้น้ำเสียง “ก่อนจูเก๋อชิงตาย หยางฮูหยินมาหาข้า ให้ข้ารายงานนายท่านหยาง บอกว่าจูเก๋อชิงปีนขึ้นไปร้องเพลงบนหลังคา หยางฮูหยินกำชับว่าตอนรายงานให้เพิ่มคำว่า ‘ปีนขึ้นหลังคา’ ตอนหลังจูเก๋อชิงก็ถูกท่านปราชญ์ประทานความตายแล้ว ข้ารู้สึกว่ามีเงื่อนงำ”

เหยียนซิวหรี่ตาอีก “หยางฮูหยินคนไหนมาพบเจ้า แล้วเจ้ารายงานขึ้นไปหานายท่านหยางคนไหน?” เพราะลูกน้องของเหมียวอี้มีหยางฮูหยินสองคนและมีนายท่านหยางสองคน

“ฉินซี หยางเจาชิง!” ฟางเหลียวตอบ

“พวกเจ้าอยู่ในสังกัดโดยตรงของหยางเจาชิง ทำไมเจ้าถึงฟังคำสั่งฉินซี?” เหยียนซิวถาม

“อยู่ที่นี่ไม่มีอนาคต ฉินซีมาหาข้าตั้งนานแล้ว รับปากว่าจะให้อนาคตกับข้า…” ฟางเหลียวเล่าเรื่องที่ตัวเองถูกฉินซีดึงเป็นพวกให้ฟัง แต่ก็ไม่ได้พาดพิงถึงหยางชิ่งเลยสักนิด

เหยียนซิวตกตะลึงในใจ ต่อให้เขาจะไม่ฉลาด แต่ก็รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้มีเงาของหยางชิ่งอยู่เบื้องหลัง จึงซักไซ้ฟางเหลียวต่อทันที ว่าทำไมฉินซีต้องให้เขารายงานอย่างนั้น ทว่าฟางเหลียวเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพราะฉินซีบอกเขาแค่เท่านี้ ไม่ได้บอกอะไรมากกว่านี้ แต่เวลาตอนเกิดเรื่องก็ทำให้เขารู้สึกได้รางๆ แล้วว่าคำสั่งของฉินซีเกี่ยวข้องกับการตายของจูเก๋อชิง

……………

หลังจากโกวเยว่ถ่ายทอดคำสั่งไปแล้ว ก่วงลิ่งกงก็โบกมือไล่เม่ยเหนียงอย่างทนรำคาญไม่ไหว “จะออกไปเถอะ ออกไป”

พอเม่ยเหนียงเดินออกไปแล้ว ก่วงลิ่งกงก็ลุกขึ้นเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง สีหน้ากระสับกระส่ายว้าวุ่นใจ

พอออกจากประตูมาแล้ว เม่ยเหนียงก็มีเรื่องราวในใจเยอะเช่นกัน รีบเข้าไปในห้องนอนของลูกสาว สองแม่ลูกได้แต่มองหน้ากัน…

ตรงจุดที่คุมเชิงกันอยู่ในดาราจักร เหยียนเซียวที่ได้รับข่าวมาแล้วก็ไม่ได้มีสีหน้าดีสักเท่าไหร่ แอบถ่ายทอดคำสั่งว่า ให้ทุกคนวางอาวุธลงให้หมด

ไม่เห็นความเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ก็รู้ว่าแผนการล้อมแต่ไม่โจมตีได้ผลแล้ว เหมียวอี้เอ็งก็ไม่เกรงใจเช่นกัน บอกใบ้พวกลิ่งหูโต้วจ้งทันที

ครั้งนี้แบ่งคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปทดสอบ หลังจากแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ขัดขืนจริงๆ ก็กรูกันเข้าไปทันที รีบควบคุมทัพใหญ่หนึ่งล้านไว้ เก็บไว้ในกระเป๋าสัตว์หมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว

ศึกใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นหายไปอย่างไรร่องรอย ลิ่งหูโต้วจ้งเก็บกำลังพลของตัวเองทันที ออกเดินทางกับกลุ่มของเหมียวอี้อีกครั้ง จากไปอย่างรวดเร็ว

ระหว่างทางราบรื่นปลอดภัย ไม่พบอุปสรรค

คนทางนี้ยังอยู่ระหว่างทาง ยังไม่ถึงจุดหมาย ชิงเยว่ก็ได้รับข่าวจากหลงซิ่นแล้ว กำลังพลที่ไปรับคนของลิ่งหูโต้วจ้งพาคนไปส่งที่ดาวจันทร์อี่ทั้งหมดแล้ว

ชิงเยว่ตรวจสอบความถูกต้องกับกับลิ่งหูโต้วจ้ง ให้กำลังพลที่มีครอบครัวต่างคนต่างติดต่อกับครอบครัวตัวเองเพื่อยืนยัน ดูว่ายังขาดใครไปหรือเปล่า

หลังจากยืนยันกับลูกน้องแล้ว ลิ่งหูโต้วจ้งก็แสดงความขอบคุณ คนมาถึงแล้ว เป็นเพราะเขาเตรียมตัวล่วงหน้าเช่นกัน

กำลังพลมาถึงแดนรัตติกาลอย่างปลอดภัย ทุกคนล้วนโล่งใจ จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเป็นจวนขุนนางของตำหนักสวรรค์อย่างชอบธรรม อำนาจจากภายนอกไม่กล้าบุกโจมตีโดยไร้เหตุผล ตอนนี้พวกลิ่งหูโต้วจ้งถอดหน้ากากปลอมบนใบหน้าออกแล้ว

ส่วนสมาชิกครอบครัวกำลังพลสายขาลที่มาถึงก่อนก็พักอยู่ในป่าผืนหนึ่งชั่วคราว จำนวนคนมีมากเกินไป แม้พลังอิทธิฤทธิ์จะสูงสักแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถสร้างที่พักได้มากมายขนาดนั้นได้ภายในเวลาสั้นๆ หลงซิ่นส่งคนไปเฝ้าไว้แล้ว

นอกป่าเป็นพื้นที่ราบที่พื้นไม่เสมอกันเล็กน้อย พวกเหมียวอี้เหาะลงมาจากฟ้า เหยียบลงในพื้นที่ราบนั้น กำลังพลสายขาลก็ถูกปล่อยออกมาหมดแล้วเช่นกัน ชั่วพริบตานั้นทัพใหญ่ห้าสิบล้านยืนเรียงราย ทุกคนล้วนสวมเกราะรบ เปล่งประกายเจิดจ้าอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ มีลักษณะทรงพลัง

นอกป่าภูเขา หลงซิ่นโบกมือบอกใบ้ ให้ทหารยามเปิดทาง

เมื่อเห็นเสาหลักของบ้านมาถึงอย่างปลอดภัย บรรดาคนที่อยู่ในป่าก็พุ่งออกมาราวกับกระแสน้ำ มองเหมียวอี้แล้วแอบเดาะลิ้น ตรงนี้มีคนเกือบหนึ่งล้าน ว่ากันว่าแค่ครอบครัวของลิ่งหูโต้วจ้งก็มีนับหมื่นแล้ว แน่นอนว่ารวมทั้งพวกข้าทาสบริวารด้วย นี่ยังโชคดีที่หลายคนยังไม่มีครอบครัว ไม่อย่างนั้นถ้ามีครอบครัวแล้วเกรงว่าคงจะมีคนมากกว่านี้หลายเท่า จะเยอะกว่ากำลังพลห้าสิบล้าน

“นายท่าน!” หลงซิ่นถลันตัวเข้ามารายงานภารกิจตรงหน้าเหมียวอี้

ส่วนผู้คนที่อยู่ในป่า แม้จะพุ่งออกมาราวกับกระแสน้ำ แต่ก็ยังเข้าใจกฎระเบียบ ไม่มีใครล้ำเส้นเกินหน้าเส้าเซียงหัว ฮูหยินของท่านจอมพล

พวกเหมียวอี้ยืนทอดสายตามองอยู่บนเนินเขาเล็กๆ เส้าเซียงหัวนำคนเข้ามาพบลิ่งหูโต้วจ้ง เมื่อได้พบกันอีกครั้งก็รู้สึกปลงเป็นพิเศษ นางคำนับอย่างเรียบร้อยเหมาะสม “ท่านจอมพล!”

ลิ่งหูโต้วจ้งประคองแขนนาง สบตากับนางพักหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ารู้สึกสะท้อนใจมาก ขอโทษในใจแล้วบอกว่า “ตำแหน่งท่านจอมพลกลายเป็นอดีตไปแล้ว ท่านนี้คือผู้ตรวจการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าน่าจะเคยเห็นที่อุทยานหลวง ตั้งแต่นี้ไป ตาแก่คนนี้คือลูกน้องของผู้ตรวจการใหญ่”

เส้าเซียงหัวข่มอารมณ์ทุกอย่างไว้ในส่วนลึกของหัวใจ นางย่อเข่าคำนับเหมียวอี้ “คำนับผู้ตรวจการใหญ่”

เหมียวอี้ยื่นมือออกมา “ลิ่งหูฮูหยินไม่ต้องมากพิธี ต่อไปก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว วันนี้สวมเกราะรบติดตัว ไม่สะดวกจะต้อนรับลิ่งหูฮูหยินแล้ว พรุ่งนี้ผู้หญิงของข้าจะกลับมา เดี๋ยวค่อยต้อนรับกันอีกที”

เส้าเซียงหัวพยายามเสียบรอยยิ้ม “ข้ากับผู้หญิงก็รู้จักกันมาก่อน คุยกันง่ายมาก” นี่เป็นคำพูดตามมารยาท ด้วยฐานะของนางเมื่อก่อนนี้ กอปรกับตระกูลอิ๋งหนุนหลัง จะไปคุยกับอวิ๋นจือชิวได้อย่างไร ฐานะของอวิ๋นจือชิวกับฐานะของนางอยู่คนละชั้นกันเลย

เหมียวอี้พยักหน้า เรื่องบางเรื่องก็รู้อยู่แก่ใจ ไม่ได้พูดอะไรกับนางอีก เขาทอดสายตามองไป เห็นเพียงคนที่พรั่งพรูกันออกมาจากในป่า ตอนนี้หยุดอยู่ที่ริมแม่น้ำสายหนึ่งแล้ว กำลังมองคนในครอบครัวที่อยู่ริมฝั่งโดยมีแม่น้ำกั้น เหมียวอี้บอกลิ่งหูโต้วจ้งว่า “ให้ลูกน้องได้พบหน้ากับคนในครอบครัวก่อน จะได้ทำให้ทุกคนสงบใจ”

“ผู้ตรวจการใหญ่พูดถูกมาก!” ลิ่งหูโต้วจ้งกำชับลงไปทันที แล้วบรรดาแม่ทัพก็รีบสั่งให้หน่วยของตัวเองแยกย้าย ส่วนลิ่งหูโต้วจ้งก็จูงมือเส้าเซียงหัวไปคุยกันข้างๆ ในฐานะที่เขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของคนพวกนี้ รู้ว่าต่อไปนี้อาจจะมีงานยุ่ง จึงฉวยโอกาสตอนนี้รีบสั่งสิ่งที่ควรจะสั่ง

บนไหล่เขา เหลือเพียงเหมียวอี้ หยางเจาชิง ชิงเยว่ หลงซิ่น ขณะมองทัพใหญ่ตรงหน้าแยกย้ายกันไป ได้เห็นฉากอลังการที่คนจำนวนไม่น้อยได้กลับมาพบกับครอบครัวกับตาตัวเอง

มาจนป่านนี้แล้ว คาดว่าคนในครอบครัวทุกคนคงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นสามีหรือภรรยาของตัวเองกลับมาอย่างปลอดภัย ก็มีบางคนรู้สึกปลาบปลื้ม บางคนก็ร้องไห้ยังปวดใจ มีบางคนแอบกระซิบกัน บางคนก็กอดกันโดยไม่พูดอะไร มีทั้งคนชราและเด็กน้อย

ส่วนใหญ่ทุกคนรู้แล้วว่าตัวเองกลายเป็นสุนัขไร้บ้าน และตอนนี้ก็ต้องเริ่มต้นใหม่ที่นี่ สรุปก็คือไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ท่านจอมพลก็เหมือนจะให้ทางรอดกับทุกคนแล้ว ไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะตกอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด ได้รับความอัปยศอดสู สำหรับคนส่วนใหญ่ ตอนนี้ไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น ขอเพียงคนในครอบครัวยังมีชีวิตอยู่ ก็ดีกว่าอะไรทั้งนั้น

บนทุ่งราบคึกคัก คนส่วนใหญ่ที่ไม่มีครอบครัวมารวมตัวอยู่ด้วยกัน บางคนพูดคุยแย้มเหมือนไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร บางคนก็มีสีหน้าเงียบขรึม

เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์จะมาชื่นชมและสะท้อนใจนานเกินไป เริ่มครุ่นคิดถึงปัญหาเรื่องที่อยู่ของคนพวกนี้แล้ว ผ่านไปครู่เดียว ก็หันกลับมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพวกชิงเยว่ ระดมสติปัญญาของทุกคนเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า

หลังจากลิ่งหูโต้วจ้งสั่งฮูหยินของตัวเองเสร็จแล้ว ก็เรียกรวมแม่ทัพคนสำคัญอีก ให้คนพวกนี้กำชับสมาชิกในครอบครัว ว่าต้องให้ความร่วมมือกับเส้าเซียงหัว ปลอบใจสมาชิกในครอบครัว คนมากมายขนาดนี้รวมตัวอยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีมากเกินไป เรื่องเล็กก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ง่ายมาก จะกระทบต่อขวัญกำลังใจทหาร อย่างไรเสีย ตอนนี้ก็ยังอยู่ในช่วงขันฟันฟืองกับจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลให้แน่น หนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่พวกถือศีลกินเจ เอะอะก็ลงไม้ลงมือฆ่า พยายามอย่าก่อเรื่อง

บรรดาแม่ทัพยอมเชื่อฟังคำสั่งอยู่แล้ว

จากนั้นลิ่งหูโต้วจ้งก็กลับขึ้นมาบนไหล่เขา แล้วกุมหมัดคารวะเหมียวอี้ “ผู้ตรวจการใหญ่ สมาชิกในครอบครัวมีเยอะเกินไป ที่นี่เหมือนจะยังไม่เหมาะสำหรับทำที่พักใช่ไหม?”

มีคนมากมายขนาดนี้ตามเขามาที่นี่ เขาในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดจะต้องรับผิดชอบ เรื่องที่พักคือปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข

เหมียวอี้บอกว่า “จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลอยู่ในอาณาเขตดาวจันทร์อี่ คาดว่าท่านจอมพลคงรู้แล้ว” ตอนที่ยังไม่ให้ตำแหน่งขุนนางกับอีกฝ่ายอย่างเป็นทางการ ก็ยังเรียกอีกฝ่ายว่าท่านจอมพล

ลิ่งหูโต้วจ้งพยักหน้า “พอจะรู้มาบ้างนิดหน่อย ข้างล่างล้อมรอบด้วยเขตมหาสมุทรผืนใหญ่ ที่อื่นล้วนเป็นอาณาเขตของดาวจันทร์อี่”

เหมียวอี้บอกว่า “ไม่ผิดหรอก! ที่พักก็ยังอยู่ในอาณาเขตผืนนี้ ที่อื่นพวกเราไม่สะดวกจะสอดเท้าเข้าไปอยู่ เจ้ารวบรวมคนที่เหมาะสมชุดหนึ่งเดี๋ยวนี้เลย ให้หาจุดที่เหมาะจะสร้างบ้านในอาณาเขตนี้สักหน่อย เลือกสถานที่ได้เลย เลือกที่ไว้มากๆหน่อย พอล้อมกรอบได้แล้วก็ปรึกษากับหยางเจาชิง ส่วนเรื่องช่างก่อสร้าง ข้าจะให้ทางตลาดสวรรค์รีบรวบรวมคนมาที่นี่ เพียงแต่ก่อนที่จะก่อสร้างเสร็จ เกรงว่าพวกเจ้าจะต้องลำบากสักหน่อย ด้วยปัจจัยในตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน” เขาบุ้ยปากไปทางคนในครอบครัวพวกนั้น

“ได้! ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” ลิ่งหูโต้วจ้งย่อมไม่มีความเห็นแย้งอะไรกับสิ่งนี้

เหมียวอี้บอกอีกว่า “ยังมีอีก การป้องกันที่แดนรัตติกาลห้ามหละหลวม โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ น้ำพุวังเวงคือหนึ่งในช่องทางรายได้ของพวกเรา เติมคนเข้าไปแทนที่คนที่ย้ายออกไปด้วย เจ้าดึงกำลังพลออกมาห้าล้านก่อน ให้ความร่วมมือกับหลงซิ่นวางกำลังป้องกันที่แดนรัตติกาล อย่าปล่อยให้มีคนสังหารมาถึงตรงหน้าพวกเราแล้วยังไม่รู้เรื่อง! แล้วก็บัญชีรายชื่อของคนพวกนั้นด้วย พยายามจัดระเบียบแล้วส่งต่อให้หยางเจาชิง “

“รับทราบ!” ลิ่งหูโต้วจ้งเอ่ยรับ ล้วนเป็นเรื่องที่สมควรทั้งนั้น ไม่มีอะไรให้ปฏิเสธ เมื่อวางกำลังป้องกันเหมาะสมแล้ว ก็ถือว่าเป็นความรับผิดชอบต่อตัวเองเหมือนกัน

หลังจากปรึกษากันเรียบร้อยแล้วก็ไปวางกำลังทันที เรื่องดึงตัวกำลังพลนั้นง่ายมาก ดึงตัวกำลังพลที่ไม่มีครอบครัวเป็นหลัก ไม่นานก็รวบรวมกำลังพลได้ห้าล้าน ให้แม่ทัพหลักให้ความร่วมมือกับการบัญชาการของหลงซิ่น

ใช้เวลาไม่นานก็รายงานบัญชีรายชื่อของแต่ละหน่วยขึ้นไปแล้ว ส่งไปถึงมือหยางเจาชิงแล้ว

พอได้บัญชีรายชื่อมา เหมียวอี้ก็จำคนกลับไปที่จวนหัวหน้าภาค ให้หยางเจาชิงรีบสืบสถานการณ์ของคนในรายชื่อให้ชัดเจน

พวกอวิ๋นจือชิวยังไม่กลับมา เหมียวอี้เลือกพลทหารจำนวนหนึ่งมาใช้งานก่อน

สำหรับตอนนี้ งานในมือเขามีเยอะเกินไป เรื่องทางตลาดสวรรค์ก็ต้องจับตาดู ทิ้งกำลังพลหลายหมื่นไว้ที่นั่นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ส่วนเรื่องลดตำแหน่งกำลังพลห้าสิบล้าน ก็ต้องรีบรายงานขึ้นไปเพื่อขอให้เบื้องบนอนุมัติโดยเร็วที่สุด เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ กลัวเวลานานไปแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ไหนจะเรื่องปล่อยตัวประกันหนึ่งล้านอีก แล้วก็เรื่องสำนักลมปราณกับตระกูลเซี่ยโห้ว

ชั่วขณะนี้ทุกเรื่องมากองให้จัดการอยู่ตรงหน้าแล้ว

โชคดีที่หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งวัน อวิ๋นจือชิวก็นำคนกลับมาแล้ว

เดิมทีอวิ๋นจือชิวอยากจะถามเรื่องจูเก๋อชิง แต่พอเห็นสถานการณ์แบบนี้ ก็รู้ว่าเหมียวอี้ไม่มีสมาธิจะมาคุยเรื่องนี้แล้ว จึงอดทนไว้ก่อน เอาไว้คุยกันทีหลัง

พออวิ๋นจือชิวกลับมาแล้ว เหมียวอี้ก็ผ่อนคลายขึ้นเยอะ เรื่องในจวนก็ไม่ต้องให้เขากังวลอีก เรื่องที่คุ้นชินแล้วก็เรียกให้พลทหารไปทำนั่นทำนี่ ล้วนเป็นมือใหม่ทั้งนั้น ถ้าไม่สั่งก็ทำไม่ได้ และไม่ถูกใจเขาด้วย แต่ละคนยังเร่งรีบจนทำอะไรไม่ถูก กลัวว่าจะเกิดความผิดพลาด

พออวิ๋นจือชิวมาถึงก็จัดการได้ราบรื่น สั่งให้เชียนเอ๋อร์ไปปรนนิบัติเหมียวอี้ สั่งให้มู่หรงซิงหัวไปเฝ้าในจวนผู้บัญชาการ ปล่อยชิงเยว่ออกมารับหน้าที่ประสานงานกับกำลังพลห้าสิบล้านของลิ่งหูโต้วจ้งโดยเฉพาะ หลงซิ่นรับหน้าที่บัญชาการกำลังพลแดนรัตติกาลให้วางกำลังป้องกัน หยางเจาชิงรวบรวมคนให้มาจัดระเบียบบัญชีรายชื่อ และรับหน้าที่ส่งต่อไปให้เหมียวอี้ สวีถังหรานนำคนลาดตระเวนตามที่ต่างๆ เฝ้าสังเกตการณ์อย่างเข้มงวด

ส่วนอวิ๋นจือชิวก็นำซิงและทหารบางส่วนมาคอยคุ้มกัน นำพวกผู้หญิงเข้ามาอยู่ท่ามกลางครอบครัวนับแสนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ให้สื่อการพูดคุย ทำความรู้จัก ฟังความเห็นและปลอบใจกัน ถามว่ามีอะไรที่ต้องการหรือไม่ ขณะเดียวกันก็เหมางานเรื่องก่อสร้างมาจากหยางเจาชิงทั้งหมด ให้หยางเจาชิงไปช่วยเหลือเหมียวอี้ให้เต็มที่

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตอนหลังเกิดเรื่องไม่น่าพอใจ ในวันต่อๆ มาอวิ๋นจือชิวถึงขนาดพาเส้าเซียงหัวและพวกผู้หญิงไปพิจารณาตรวจสอบจุดสร้างจวนด้วยตัวเอง ให้พวกนางเลือกสถานที่เอาเอง ให้พวกนางมีงานทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ จะได้ไม่รวมตัวอยู่ด้วยกันแล้วคิดฟุ้งซ่าน อย่าได้ดูถูกผู้หญิงพวกนี้เชียว ถ้าได้กระดกลิ้นพูดเมื่อไร เมื่อเวลานานไปก็จะส่งผลต่อผู้ชายของพวกนางบ้างไม่มากก็น้อย นางต้องรีบสร้างสัมพันธ์กับคนพวกนี้ ในภายหลังจะได้ทำงานได้สะดวก

สรุปก็คืออวิ๋นจือชิวจัดการกับเรื่องจิปาถะทั้งหลายได้อย่างง่ายดาย สั่งการให้พวกผู้หญิงที่อยู่ข้างกายทำงานได้อย่างเป็นระเบียบ ไม่ต้องให้เหมียวอี้กังวลใจเลย ให้เหมียวอี้เพ่งสมาธิไปรับมือกับงานใหญ่เท่านั้น

……………

ไม่ต้องพูดเลย ต้องถามก่วงลิ่งกงอยู่แล้วว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ เจ้าให้ข้ารวบรวมยอดฝีมือของสายมะเมียเยอะขนาดนั้น จะให้ทัพเกรียงไกรหนึ่งล้านของข้าจบเห่ตั้งแต่ยังไม่ได้แสดงความสามารถไม่ได้หรอกใช่ไหม จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อก่วงลิ่งกงทันที ติดต่อไปที่เจ้าตัวโดยตรง

ก่วงลิ่งกงที่แจกจ่ายงานเรียบร้อยแล้วกำลังนั่งเล่นหมากล้อมอยู่กับหวังเฟยเม่ยเหนียง และลูกสาวก่วงเม่ยเอ๋อร์ ในที่สุดก็ได้ออกจากห้องหนังสือเสียที อยากจะให้ตัวเองให้ผ่อนคลายสักหน่อย และอยากจะคลายความรู้สึกตึงเครียดที่เกิดขึ้นจากเรื่องก่อนหน้านี้ให้เม่ยเหนียงและลูกสาว

ไม่ว่าก่วงลิ่งกงจะพูดจายิ้มแย้มอย่างไร ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็เหมือนยังมีปมในใจ ใช้เวลาสั้นๆ ก็กู้สภาพจิตใจของสาวน้อยกลับคืนมาได้ยาก เชิญหน้ากับท่านพ่อนางกังวลเล็กน้อย แอบมองสีหน้าของก่วงลิ่งกงเป็นระยะ

ขณะที่พูดคุยอยู่ ก่วงลิ่งกงก็ได้รับข่าวจากหวงฮ่าว รอยยิ้มบนใบหน้าเข้มข้นขึ้น ยังนึกว่าหวงฮ่าวจัดการเรื่องทางนั้นเรียบร้อยแล้ว ใครจะคิดว่าหลังจากรู้สถานการณ์ชัดเจนแล้ว ก็เพราะว่าไม่ใช่เรื่องนั้นเลย ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่จัดการหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ กลับโดนทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อล้อมไว้ด้วย ความเป็นความตายของทัพเกรียงไกรหนึ่งล้านล้วนขึ้นอยู่กับคำพูดของหนิวโหย่วเต๋อ ตัวเองยังมีอารมณ์มาเล่นหมากล้อมอยู่ตรงนี้อีก คนที่โดนน้ำเย็นสาดหน้าเดือดดาลเต็มอกแล้ว

ก่วงลิ่งกงสีหน้าเครียดขรึมลงในชั่วพริบตาเดียว ยังจะมีอารมณ์เล่นหมากล้อมได้อย่างไรอีก หวงฮ่าวต้องการคำชี้แจง จงกล่าวเสียงต่ำว่า “ออกไป!”

“ท่านอ๋อง…”

เม่ยเหนียงยังไม่ทันลองถามจบประโยค ก่วงลิ่งกงก็ใช้สายตาเย็นเยียบมองมาแล้ว “ข้าให้พวกเจ้าออกไป ไม่ได้ยินเหรอ?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนอย่างตัวสั่นเหมือนนกกระทาทันที ย่อตัวคำนับตามมารดาแล้วรีบเดินออกไป

จากนั้นสองแม่ลูกก็ได้ยินเสียงอันเย็นเยียบของก่วงลิ่งกง “ให้โกวเยว่เข้ามา”

“ค่ะ!” เม่ยเหนียงเอ่ยรับ

ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว โกวเยว่ก็สาวเท้าเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ยังไม่ทันได้คำนับ ก่วงลิ่งกงก็โบกมือบอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี เล่าสถานการณ์ให้ฟังโดยตรงเลย

หลังจากฟังจบ โกวเยว่ก็ครุ่นคิด แล้วกล่าวยังไม่แน่ใจว่า “ล้อมไว้แต่ไม่โจมตี? ใช้งานทหารแบบนี้ไม่เหมือนลักษณะของหนิวโหย่วเต๋อ ยิ่งไปกว่านั้น หนิวโหย่วเต๋อจะบัญชาการทัพใหญ่ของลิ่งหูโต้วจ้งได้ยังไง หรือว่าลิ่งหูโต้วจ้งจะมีเรื่องอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อพอดี จู่ๆ ก็ถูกล้อมไว้ ไม่รู้เจตนาของฝ่ายพวกเรา นึกว่าพวกเราต้องการกำจัดเขา ลิ่งหูโต้วจ้งยอมต้องปกป้องตัวเองอยู่แล้ว”

ก่วงลิ่งกงตาเป็นประกายทันที ความมืดครึ้มในใจหายไปแล้ว ราวกับแหวกเมฆเห็นฟ้าใส มองโกวเยว่อย่างชื่นชม แล้วพยักหน้าซ้ำๆ “พูดได้ดีมาก!”

ในจวนจอมพลสายมะเมีย หวงฮ่าวพี่เดินไปเดินมาหยุดฝีเท้าแล้ว หลังจากได้รับการชี้แนะจากก่วงลิ่งกง ก็ทำสีหน้ากระจ่างขึ้นหลายส่วน ถอนหายใจแล้วบอกหลี่จวินว่า “ท่านอ๋องสมกับเป็นท่านอ๋อง บอกนิดเดียวก็มองทะลุหมดแล้ว กลับเป็นข้าที่ลนลาน ทำไมข้าถึงนึกไม่ได้นะ?”

ในดาราจักรยังคุมเชิงกันเหมือนเดิม ถึงได้ปรากฏสถานการณ์ที่มีวงล้อมซ้อนกัน เป็นเพราะการจับตาดูที่เข้มงวดของตระกูลก่วง จึงรู้ทิศทางกำลังพลของเหมียวอี้ พบว่าเหมียวอี้ที่ปล่อยกำลังพลเข้ามามาสำรวจเส้นทางก่อน เพื่อไม่ให้แหวกหญ้าให้งูตื่น ใครจะคิดว่ากำลังพลที่มาเบิกทางซ่อนกองทัพใหญ่เอาไว้ สถานการณ์จึงเป็นอย่างนี้

เบื้องบนมีการตัดสินใจแล้ว เบื้องล่างย่อมมีทิศทางการรับมือ ไม่อย่างนั้นคนเบื้องล่างที่ไม่รู้เรื่องก็ไม่เข้าใจสถานการณ์เลย

เหยียนเซียวที่เข้าใจเจตนาของเบื้องบนมีความมั่นใจขึ้นแล้ว ภายใต้การคุ้มกันของกำลังทหารที่หนาแน่น เขาก้าวขึ้นมาเล็กน้อย ตะโกนเรียกแม่ทัพคนหนึ่งที่รู้จัก “ใช่พี่ข่ง ข่งเซียนหรือเปล่า? ข้าเหยียนเซียวแล้ว!”

ลิ่งหูโต้วจ้งพี่อยู่ฝั่งนี้สั่งให้แม่ทัพใหญ่ข้างกายบอกเจตนาให้ข่งเซียนนั่นรู้ทันที ตอนนี้เขายังไม่อยากเปิดโปงตัวตน

แม่ทัพที่ชื่อว่าข่งเซียนทำความเข้าใจเงียบๆ แล้วตะโกนเสียงดังบอกเหยียนเซียว “อย่ามาแกล้งทำเป็นตาบอดกับข้า ข้ารู้ว่าเจ้าคือเหยียนเซียว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จ่อมาที่หัวข้อแล้ว ถ้ายังจำเจ้าไม่ได้อีก เกรงว่าคงต้องตายตาไม่หลับ!”

เหมียวอี้ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ชำเลืองมองข่งเซียนแวบหนึ่ง พบว่าท่านนี้พูดจาน่าสนใจ

เหยียนเซียวถามเสียงดังว่า “พี่ข่ง เข้าใจผิด ไม่ทราบว่าท่านจอมพลลิ่งหูอยู่ด้วยหรือเปล่า?”

“ไม่อยู่! ท่านจอมพลไม่อยู่แล้วจะทำไม? เจ้าจะแข่งจำนวนคนเหรอ? ต่อให้ท่านจอมพลไม่อยู่ คนข้างกายข้าก็เยอะกว่าเจ้าอยู่ดี” ข่งเซียนตอบ

เหยียนเซียวบอกว่า “พี่ข่ง เข้าใจผิดแล้วจริงๆ ข้าเล็งเป้าหมายมาที่ใครท่านก็รู้ดี ก่อนหน้านี้ไม่รู้จริงๆ ว่ากำลังพลของจอมพลลิ่งหูก็อยู่ด้วย มหันตภัยมาเยือนคนอยู่บ้านเดียวกันแล้ว ขออภัยจริงๆ วันหลังจะจัดโต๊ะชดเชยขอโทษ พี่ข่ง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกท่าน ข้าจะเปิดทางให้ ให้กำลังพลของพี่ข่งออกไปอย่างสบายใจได้เลย ข้าไม่กล้าล่วงเกินเด็ดขาด!”

ข่งเซียนบอกว่า “อย่ามาเล่นลูกไม้นี้! ถ้าฝั่งข้ามีคนน้อย เกรงว่าเจ้าหลานอย่างเจ้าคงจะออกคำสั่งให้ลงมือแล้ว ใช้ไม้แข็งไม่ได้ก็เลยใช้ไม้อ่อน เจ้าช่างกล้า! ข้าจะบอกเจ้าให้นะ สั่งให้คนของเจ้าวางอาวุธยอมแพ้เดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ!” พูดถึงการเจรจา ถ้ามีความมั่นใจเมื่อไร การพูดจาก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว

เหยียนเซียวไฟโกรธลุกเต็มอก แอบด่าว่าไอ้พวกฝูงหมาไร้เจ้าของ บังอาจทำตัวกำเริบเสิบสาน แต่ก็ต้องข่มความโกรธเอาไว้ เพราะคนอยู่เหนือสถานการณ์ ตะโกนเสียงดังว่า “พี่ข่ง เข้าใจผิดจริงๆ ก่อนหน้านี้ไม่รู้จริงๆ ว่าคนของจอมพลลิ่งหูท่านก็อยู่ด้วย เอาอย่างนี้นะ ข้าจะให้คนของข้าหลีกทางให้ก่อนเพื่อแสดงความจริงใจ…”

“อย่าเลย! ข้าเตือนเจ้าก่อน อย่าเคลื่อนไหวซี้ซั้ว ถ้ากล้าขยับตัว ก็อย่าโทษว่าดาบและธนูของข้าไร้ตา” ข่งเซียนไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายพลิกสถานการณ์เลย ใช้เวลามาบีบบังคับ “อย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้า ให้เวลาเจ้าไตร่ตรองสิบห้านาที ถ้าไม่ยอมแพ้ก็ฆ่า!”

เหยียนเซียวบอกว่า “พี่ข่ง เอาอย่างนี้ดีไหม เเจ้าหลีกทางให้ ให้พวกเราไปได้หรือเปล่า?” ดูจากสถานการณ์แล้ว ถ้าคนฝ่ายตัวเองอยากจะลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อ ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ ทำได้เพียงคิดหาทางปกป้องตัวเอง

“ในเมื่อจะสู้กันแล้ว ถ้าปล่อยพวกเจ้าไป ใครจะไปรู้ว่ากลับไปพวกเจ้าจะระดมกำลังพลมาสู้กับพวกเราหรือเปล่า อย่าเสียเวลาเลย ยอมแพ้เดี๋ยวนี้!” ข่งเซียนกล่าว

“พี่ข่ง ในอดีตพวกเราก็เคยดื่มสุราด้วยกัน ตอนนี้ทำไมต้องกลั่นแกล้งกันขนาดนี้?” เหยียนเซียวถาม

เขาเอาแต่เรียก ‘พี่ข่ง’ กล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่าย แต่ข่งเซียนกลับไม่รับน้ำใจนี้ “กลั่นแกล้งบ้าอะไรล่ะ! มาล้อมข้าไว้แล้ว ยังจะบอกว่ากลั่นแกล้งอีก ใครกลั่นแกล้งใครกันแน่? เห็นแก่ไมตรีในวันเก่า ข้าจะเตือนเจ้าไว้ก่อน ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ ถ้ายังพูดมากอีก ข้าจะไม่ให้เวลาเจ้าแล้วนะ!”

เห็นได้ชัดว่าเบื้องบนคาดการณ์ไว้ไม่ผิดพลาด ไม่มีทางเจรจาต่อไปได้เลย เหยียนเซียวทำได้เพียงถอยกลับไปในขณะที่กำลังทหารล้อมพิทักษ์ ติดต่อไปหาหวงฮ่าวอีกครั้ง

สุดท้ายสถานการณ์นี้ย่อมรายงานไปถึงก่วงลิ่งกง

ก่วงลิ่งกงกำลังนั่งอยู่ข้างกระดานหมากล้อม กำลังใช้หว่างนิ้วคีบเล่นตัวหมาก ขมวดคิ้วครุ่นคิดพลางบอกว่า “ทำไมกำลังพลของลิ่งหูโต้วจ้งถึงไปรวมกับหนิวโหย่วเต๋อได้ อย่าบอกนะว่าลิ่งหูโต้วจ้งต้องการจะไปขอพึ่งพาแดนรัตติกาล? ถ้าเป็นอย่างนี้จริง เรื่องนี้ก็ไม่พ้นเกี่ยวข้องกับประมุขชิง เขาอยากจะเปลี่ยนใช้อีกรูปแบบหนึ่งเพื่อฮุบกำลังพลกลุ่มนี้! ถ้าไม่ใช่ นี่เป็นความคิดของลิ่งหูโต้วจ้ง หรือเป็นความคิดของหนิวโหย่วเต๋อกันแน่?”

โกวเยว่เตือนว่า “ท่านอ๋อง อีกฝ่ายให้เวลาแค่สิบห้านาที ถ้าส่งข่าวกลับไปกลับมาอย่างนี้ เกรงว่าจะเสียเวลาไปไม่น้อย หนิวโหย่วเต๋อคนข้างบ้าบิ่น”

“เจ้าติดต่อไปถามลิ่งหูโต้วจ้งหน่อย” ก่วงลิ่งกงกล่าว

โกวเยว่ปฏิบัติตามคำสั่งทันที เพียงแต่ผ่านไปผู้เดียว ก็ถือระฆังดาราตอบว่า “ท่านอ๋อง ลิ่งหูโต้วจ้งไม่ตอบกลับ”

ก่วงลิ่งกงแสยะยิ้ม “ไปเรียกหวังเฟย”

ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว เม่ยเหนียงก็ถูกเรียกมาแล้ว เนื่องจากเรื่องก่อนหน้านี้ ในใจนางยังหวาดกลัวไม่หาย นางคำนับอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง!”

ก่วงลิ่งกงเชิดคางใส่นางเบาๆ “เจ้ามีช่องทางติดต่อกับอวิ๋นจือชิวนั่นหรือเปล่า? ตอนนี้เจ้าติดต่อนางเดี๋ยวนี้ สั่งให้นางบอกหนิวโหย่วเต๋อ ปล่อยคน!”

เดิมทีสามารถใช้ช่องทางติดต่อเหมือนก่อนหน้านี้ได้ เพราะเรื่องบางเรื่องก็ไม่อยากให้ผู้หญิงในบ้านเข้าไปยุ่งด้วย แต่ขโมยไก่ก็ไม่ได้ทั้งยังเสียข้าวสารอีกกำมือ ค่อนข้างเสียหน้า ให้คนในครอบครัวตัวเองบอกต่อให้จะดีกว่า

เม่ยเหนียงหวาดระแวงสงสัยไม่หยุด หนิวโหย่วเต๋อจับใครของท่านอ๋องไป? หนิวโหย่วเต๋อพุ่งเป้ามาที่ท่านอ๋องครั้งแล้วครั้งเล่า ใจกล้าเกินไปแล้วกระมัง? นางอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ปล่อยใครหรือคะ?”

ก่วงลิ่งกงตอบอย่างเย็นชา “สิ่งที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม เจ้าพูดตามที่ข้าบอก หนิวโหย่วเต๋อย่อมรู้”

“ค่ะ!” เม่ยเหนียงปฏิบัติตามทันที

ดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง อวิ๋นจือชิวที่เดินไปเดินมาอยู่ท่ามกลางป่าหินระเกะระกะกำลังกลุ้มใจ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างเป็นระยะ นางกำลังกังวลเรื่องเหมียวอี้ เพราะเหมียวอี้เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ผันผวนในใต้หล้า ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา ก็มีภัยถึงแก่ชีวิต แต่ในเมื่อสามีตัดสินใจแล้วว่าจะยืนหยัดอยู่ในโลกนี้ด้วยปณิธานอันยิ่งใหญ่ นางที่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ก็ไม่อยากจะเป็นภาระ ทำได้เพียงแอบกังวล

การได้รับข่าวอย่างกะทันหันจากเม่ยเหนียงทำให้นางตกใจ จู่ๆ ก็ติดต่อมาแบบนี้ ทำให้นางพูดไม่ออกมาก นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?

นางย่อมติดต่อเหมียวอี้ในทันที

ระฆังดารามีการตอบสนอง เหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางการล้อมพิทักษ์ของทหารก็ขมวดคิ้ว แอบคิดในใจว่า อวิ๋นจือชิวเปลี่ยนเป็นคนที่ไม่รู้ความตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงเอาแต่เข้ามายุ่งในเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ? ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าอวิ๋นจือชิวเป็นผู้หญิงที่รู้จักแยกแยะความสำคัญ ไม่ค่อยทำซี้ซั้วกับงานใหญ่ เกรงว่าเขาคงจะไม่สนใจใยดีเลยก็ได้

หลังจากหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อแล้ว ถึงได้รู้ว่าเข้าใจอวิ๋นจือชิวผิดไป นางไม่ได้ติดต่อมาเพราะเรื่องจูเก๋อชิง เขาสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมก่วงลิ่งกงถึงเปลี่ยนวิธีการติดต่อกับเขา

หลังจากรู้สถานการณ์แล้ว เหมียวอี้ก็ตอบว่า : จะบอกต่อให้ด้วยนะ ให้คนของเขายอมแพ้ ขอเพียงข้ากลับถึงแดนรัตติกาลอย่างปลอดภัย ข้าจะปล่อยคนของเขาเอง

อวิ๋นจือชิว : มันเรื่องอะไรกัน เจ้าจับคนของเขาไปเหรอ?

เหมียวอี้ : ไม่มีอะไร ตาแก่นั่นส่งกองทัพใหญ่หนึ่งล้านมาซุ่มโจมตีข้า ก็เลยโดนกำลังพลของข้าล้อมไว้

อวิ๋นจือชิว : เจ้าล้อมกำลังพลของเขาไว้เหรอ? เจ้าเอาคนมาจากไหนเยอะแยะขนาดนั้น?

เหมียวอี้ : ตอนนี้ไม่มีเวลามาอธิบายให้เจ้าฟัง ถ้าถ่วงเวลาต่อไป เกรงว่าคงให้เวลาพวกเขาคิดแผนชั่วได้ จะให้เวลาพวกเขาไตร่ตรองนานไม่ได้ กลับไปค่อยเล่ารายละเอียดให้ฟัง เจ้าบอกเขาเดี๋ยวนี้

อวิ๋นจือชิวไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญ รีบถ่ายทอดคำพูดของเหมียวอี้ให้เม่ยเหนียงรู้ทันที ขณะที่รอเม่ยเหนียงตอบกลับ นางก็กัดริมฝีปากแน่น รู้ว่าสามีของตัวเองตกอยู่ท่ามกลางความเป็นความตายอีกแล้ว บรรยายความรู้สึกนี้ออกมาได้ยาก!

หลังจากได้ฟังเม่ยเหนียงรายงานแล้ว ก่วงลิ่งกงก็นั่งหน้าตึงอยู่อย่างนั้น ตัวหมากในมือถูกบีบจนแตกเป็นผุยผง

โกวเยว่เตือนว่า “ท่านอ๋อง นี่เป็นทัพเกรียงไหนหนึ่งล้านเชียวนะขอรับ ถ้าเห็นว่าใกล้ตายแล้วไม่ช่วย เกรงว่าจะกระทบต่อขวัญกำลังใจทหาร โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ กองทัพของอิ๋งจิ่วกวงก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ไม่รู้ว่าประมุขชิงจะฉวยโอกาสก่อกวนอีกหรือเปล่า มิหนำซ้ำ ในจำนวนนั้นก็มียอดฝีมือของหวงฮ่าวอยู่ไม่น้อย ถ้าปล่อยให้เสียหายไปอย่างนี้ เกรงว่าหวงฮ่าวก็จะไม่พอใจเช่นกัน!”

เม่ยเหนียงแววตาวูบไหวอย่างต่อเนื่อง นางแอบตกใจ หนิวโหย่วเต๋อก็มีความสามารถที่จะกักตัวกำลังพลหนึ่งล้านของท่านอ๋องด้วยเหรอ?

ก่วงลิ่งกงลาวเสี่ยงต่ำว่า “บอกทางนั้นไป ถ้าเขากล้าพูดแล้วคืนคำ ก็ยังนึกว่าแดนรัตติกาลไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของข้า แล้วข้าจะไม่กล้าแตะต้องเขา ถึงตอนนั้นข้าจะทำลายแดนรัตติกาลเวลาเป็นหน้ากลองแน่นอน!”

โกวเยว่ยื่นมือเชิญให้เม่ยเหนียงเร่งมือทันที นางรีบทำตาม หลังจากตอบแล้ว เม่ยเหนียงก็ตอบกลับมาว่า “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าเขาไม่คืนคำ ขอเพียงเขาสามารถกลับไปได้อย่างปลอดภัย เขาก็จะทำเหมือนว่าเรื่องครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้น…แค่เท่านี้ ไม่มีแล้ว”

ปั้ง! ก่วงลิ่งกงกำหมัดทุบโต๊ะ บางครั้งเขาก็แค้นที่ตัวเองอยู่ในตำแหน่งสูง ต้องคำนึงถึงหลายอย่างมากเกินไป ไม่เหมือนหนิวโหย่วเต๋อที่ทำอะไรได้ตามอำเภอใจ เขาคบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ให้พวกเขาทนรับความไม่ยุติธรรมหน่อย!”

โกวเยว่เข้าใจแล้ว นี่คือการบอกให้ทางฝั่งนั้นยอมแพ้ เพียงแต่เขาไม่สะดวกจะพูดคำว่าคำว่า ‘ยอมแพ้’ ออกมาจากปาก

……………………

ถ้าไม่ใช่เคราะห์ก็เป็นวาสนา ถ้าเป็นเคราะห์ก็หนีไม่พ้น

สิ่งที่ควรจะมาสุดท้ายก็ยังต้องมา สายลับที่ส่งไปสำรวจทางเหมือนจะแสดงบทบาทอะไรบางอย่างแล้ว

ตอนที่เหลืออีกแค่ประตูดวงดาวสองแห่งก็จะออกจากอาณาเขตทัพตะวันออกแล้ว สายลับสิบกว่าคนที่ไปสำรวจทางล่วงหน้าบุกเข้าไปในประตูดวงดาว กว่าคนที่ไปสำรวจทางล่วงหน้าบุกเข้าไปข้างในก่อน ส่งข่าวกลับมาว่าสามารถผ่านไปได้ ตอนที่พวกเขาผ่านประตูดวงดาวแล้วถูกพ่นออกมา สถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงกะทันหัน

เพิ่งจะเหาะได้ไม่นาน จู่ๆ ลิ่งหูโต้วจ้งก็ยกมือขึ้น พวกเขารีบหยุด แล้วหันมองรอบๆ

เห็นกลุ่มดาวหินที่ลอยนิ่งๆ อยู่โดยรอบระเบิดออก รอบข้างปรากฏกำลังพลกลุ่มใหญ่ กำลังรวมตัวกันเข้ามาล้อม

กำลังพลกลุ่มนี้สวมเครื่องแบบชุดเกราะของตำหนักสวรรค์ แม้แต่ใบหน้าก็ไม่ปลอมแปลง เคลื่อนไหวมาทางฝั่งนี้อย่างอุกอาจเต็มที่ พระ

เมื่อลองประเมินดู พวกเหมียวอี้ก็นับได้คร่าวๆว่า กำลังพลของฝ่ายตรงข้ามมีประมาณหนึ่งล้าน

ผู้ติดตามของลิ่งหูโต้วจ้งถลันตัวเข้ามาคุ้มกันลิ่งหูโต้วจ้งรวมทั้งพวกเหมียวอี้ เฝ้าระวังทั้งสี่ด้านแปดทิศ

“เป็นคนทัพตะวันตกของก่วงลิ่งกง” ลิ่งหูโต้วจ้งจ้องแม่ทัพของฝ่ายตรงข้าม “ผู้บัญชาการสูงสุดก็คือลูกน้องคนสนิทของหวงฮ่าว เหยียนเซียว มียอดฝีมือมาไม่น้อย ทั้งยังส่งกำลังพลมาเยอะขนาดนี้ ดูท่าแล้วอ๋องสวรรค์ก่วงจะให้ความสำคัญกับผู้ตรวจการใหญ่มากทีเดียว!”

เหมียวอี้เอียงหน้ายิ้มบางๆ ให้เขา “ถ้าเทียบกับท่านจอมพลลิ่งหู ก็ย่อมไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง”

ลิ่งหูโต้วจ้งยิ้มเจื่อน เมื่อเห็นแถวหน้าของกำลังพลฝ่ายตรงข้ามเผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากมาล้อมไว้ เขาก็พยักหน้าเบาๆ ให้ทหารคนหนึ่งของตัวเอง

ทหารคนนั้นโบกมือ คนสิบคนปรากฏตัว แล้วก็เพิ่มจากสิบกลายเป็นพัน จากพันกลายเป็นหมื่น ชั่วพริบตาเดียวทัพใหญ่หนึ่งล้านก็ตั้งขบวนแล้ว คุ้มกันพวกเหมียวอี้เอาไว้ตรงกลาง ส่วนมือธนูก็วางกำลังป้องกันอยู่นอกวง

เหยียนเซียว แม่ทัพใหญ่สายมะเมียที่ล้อมเข้ามาอึ้งทันที ผู้ช่วยแม่ทัพที่อยู่ทางซ้ายและขวามองหน้ากันเลิ่กลั่ก เห็นได้ชัดว่านึกไม่ถึงว่าข้างกายเหมียวอี้จะมีกำลังพลเยอะขนาดนี้

ผู้ช่วยแม่ทัพที่อยู่ข้างๆ จำแม่ทัพบางคนที่โดนล้อมอยู่ได้ ถึงเตือนเหยียนเซียวทันทีว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่าไม่ดีแล้ว นั่นคือกำลังพลของลิ่งหูโต้วจ้ง ลิ่งหูโต้วจ้งนำกำลังพลส่วนหนึ่งหนีไปแล้ว ทิศทางไปไม่ชัดเจน นึกไม่ถึงว่าตอนนี้จะมาโผล่อยู่ที่นี่ ในบรรดาคนที่ปลอมตัวอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นลิ่งหูโต้วจ้งก็ได้”

เขาเองก็แยกไม่ออกว่าลิ่งหูโต้วจ้งที่ปลอมตัวคือคนไหน แต่กลับมองออกว่าข้างกายของลิ่งหูโต้วจ้งมีคนชูธงเล็กส่งสัญญาณจัดกระบวนทัพ พวกเหยียนเซียวพี่พอจะรู้ตัวแล้วรีบหันมองไปรอบๆ

เห็นเพียงสายลับสิบคนที่พุ่งเข้าประตูดวงดาวมาก่อนกลับไปแล้ว แม้จะถูกกันไว้นอกวงล้อม แต่กลับเพิ่มความเร็วในการเหาะอย่างกะทันหัน ไม่ได้มีความเร็วเหมือนที่ฝั่งนี้เห็นก่อนหน้านี้ ความเร็วนี้เป็นของยอดฝีมือเท่านั้น สิบกว่าคนนี้ตีโอบเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลังจากวางกำลังพลเป็นวงกว้าง ก็ทยอยกันยกมือปล่อยคน จากสิบเป็นพัน จากพันเป็นหมื่น กำลังพลที่หนาแน่นปรากฏตัว แม่ทัพรีบบัญชาการให้กำลังพลจัดกระบวนทัพ

ชั่วพริบตาเดียว ทัพใหญ่สิบล้านก็ปรากฏตัวอยู่ข้างหลังพวกเขา มาล้อมพวกเขาเอาไว้อีก ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากเรียนอยู่แถวหน้าภายใต้การบัญชาการของแม่ทัพ เล็งมาที่พวกเขาแล้ว

ภาพเหตุการณ์ในตอนนี้ก็คือ ทัพใหญ่สิบล้านล้อมทัพใหญ่สิบล้าน การจะโจมตีไม่ใช่เรื่องง่าย ข้างหลังก็มีทัพเกรียงไกรที่มากกว่าสิบเท่าล้อมไว้อีก ตกอยู่สถานการณ์โดนขนาบโจมตีโดนสิ้นเชิงแล้ว สามารถเล่นงานฝั่งนี้ให้ถึงตายได้ทุกเมื่อ

เหยียนเซียวขยับลูกกระเดือก รู้สึกเหงื่อแตกนิดหน่อย แม่ทัพที่อยู่ข้างกายสีหน้าเปลี่ยนกันหมด ต่างก็นึกไม่ถึงว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ต่างก็มองออกแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามคือทัพใหญ่ของลิ่งหูโต้วจ้ง ไม่ว่าจะเป็นกำลังทหาร หรือจำนวนยอดฝีมือ หรือจำนวนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ก็เป็นสิ่งที่ฝั่งนี้เทียบไม่ติด ทั้งยังตกอยู่ในสภาพลำบากแบบนี้ด้วย ไม่มีทางทำศึกนี้ได้เลย ถ้ากล้าขยับซี้ซั้วก็จะเกิดการเข่นฆ่าทันที

และกำลังพลของพวกเขาที่ถูกขนาบอยู่ตรงกลางก็ตกอยู่ในความกลัวแล้วด้วย ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ ก็ย่อมรู้ว่าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตายอย่างแน่นอน แต่ละคนบ้างก็ทำสีหน้ากังวลบ้างก็ทำสีหน้าหวาดกลัว มองซ้ายมองขวาอย่างกระสับกระส่าย ขวัญกำลังใจทหารปั่นป่วนโดยสิ้นเชิงแล้ว

“บอกเบื้องล่างว่าอย่าเคลื่อนไหวซี้ซั้ว” พอเหยียนเซียวเห็นกำลังใจทหารหย่อนยาน ก็กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิด ถ้ามือใครพลาดยิงธนูออกมา ก็จะทำให้ศึกใหญ่ปะทุทันที จึงรีบกำชับไว้

“ในเวลานี้เกรงว่าจะไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหว” ผู้ช่วยแม่ทัพที่อยู่ข้างกันถอนหายใจ ถ้าขยับตัวซี้ซั้วจะไม่รนหาที่ตายหรอกหรือ แต่ก็ยังถ่ายทอดคำสั่งลงไป

แม่ทัพอีกคนกล่าวเสียงต่ำว่า “แม่ทัพใหญ่ ท่านจอมพลบอกว่าข้างกายหนิวโหย่วเต๋อมีคนแค่ไม่กี่คนไม่ใช่หรือ? แบบนี้เรียกว่าไม่กี่คนที่ไหนกัน? ไม่ใช่ว่ากำลังวางกับดักพวกเราหรอกเหรอ? ทำไมมีทัพใหญ่ของลิ่งหูโต้วจ้งโผล่มาได้ ข่าวของท่านจอมพลนี่ยังไงกันแน่?”

สิ่งที่ฝั่งนี้ไม่รู้ก็คือ คนที่โผล่หน้ามาตอนนี้เป็นเพียงกำลังพลหนึ่งในห้าของลิ่งหูโต้วจ้งเท่านั้น

“มาพูดตอนนี้จะมีความหมายอะไร?” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่รีบลงมือ เหยียนเซียวก็รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหวงฮ่าว จอมพลสายมะเมีย บอกว่าขอคำชี้แนะก็ดีขอคำชี้แจงก็ได้ ต้องถามว่าเบื้องบนจะทำอะไรกันแน่

กำลังพลของลิ่งหูโต้วจ้งยังไม่ลงมือ เหมียวอี้ที่รอครู่หนึ่งเอียงน่ามองลิ่งหูโต้วจ้ง เห็นได้ชัดว่าทำสีหน้าไม่ค่อยพอใจ กล่าวอย่างเย็นชาว่า “หรือว่าท่านจอมพลลิ่งหูกับเหยียนเซียวมีไมตรีเก่าอะไรกัน?”

ลิ่งหูโต้วจ้งเข้าใจว่าเขากำลังเร่งให้ลงมือ จึงถามว่า “หรือว่าผู้ตรวจการใหญ่ต้องการจะกำจัดคนพวกนี้จริงๆ?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้าจับเป็นได้ก็พยายามจับเป็น เก็บไว้เป็นตัวประกัน ถ้าจับไม่ได้ก็ฆ่าซะ ลงมือเถอะ!”

ลิ่งหูโต้วจ้งทำยังลังเลว่า “ผู้ตรวจการใหญ่จะฟังข้าพูดสักหน่อยได้ไหม?”

เหมียวอี้รู้สึกเดือดในใจนิดหน่อย แต่กำลังพลที่อยู่ตรงหน้าล้วนเชื่อฟังลิ่งหูโต้วจ้ง ไม่ได้ถูกควบคุมอยู่ในมือเขา เขาโมโหไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้ากดดันให้จนตรอกก็อาจจะกบฏได้ จำเป็นต้องอดทนไว้ “ยินดีที่จะรับฟังความเห็นอันสูงส่ง!”

ลิ่งหูโต้วจ้งถามกลับ “ผู้ตรวจการใหญ่ ฆ่าคนพวกนี้เป็นเรื่องง่าย แต่เคยคิดถึงผลที่ตามมาหลังจากลงมือหรือเปล่า?”

“เจ้ากังวลว่าถ้าพวกเจ้าเปิดโปงตัวตนแล้ว จะไม่สามารถผ่านอาณาเขตทัพใต้ไปได้อย่างราบรื่นเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

ลิ่งหูโต้วจ้งตอบว่า “ไม่ผิดหรอก! แดนรัตติกาลกับทัพใต้อยู่ติดกัน ถ้าอยากจะเข้าแดนรัตติกาล ก็ต้องผ่านอาณาเขตทัพใต้ ถ้าฝั่งนี้ลงมือกำจัดคนของก่วงลิ่งกง ก่วงลิ่งกงจะต้องบอกฮ่าวเต๋อฟางแน่นอน ถ้าก่วงลิ่งกงฉวยโอกาสยุยง ถึงตอนนั้นพวกเราจะข้ามผ่านไปได้หรือเปล่าก็ยังเป็นปัญหาเลย และทัพตะวันตกจะยอมให้กำลังพลกลุ่มนี้มีอยู่หรือไม่ก็ยังเป็นปัญหา ผู้ตรวจการใหญ่โปรดใคร่ครวญ”

“คิดมากไปแล้ว ข้าก็เลยพยายามให้จับเป็นเพื่อเอามาเป็นตัวประกันไง” เหมียวอี้กล่าว

“ถ้าสู้กันขึ้นมา อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ต้องเสียหายเกินครึ่ง ก่วงลิ่งกงเสียหน้าแบบนี้ไม่ไหว ไม่มีทางยอมถูกขู่แบบนี้ด้วย” ลิ่งหูโต้วจ้งกล่าว

เหมียวอี้บอกว่า “ข้าจะแจ้งให้กำลังพลกองทัพองครักษ์มาเป็นพยาน คนพวกนี้ทำไม่ดีกับข้าก่อน”

ลิ่งหูโต้วจ้งส่ายหน้า “ผู้ตรวจการใหญ่คิดอะไรเรียบง่ายเกินไปแล้ว กับพวกตาแก่พวกนั้นข้ารู้จักดี ผู้ตรวจการใหญ่ทำแบบนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ สำหรับคนที่อยู่ระดับก่วงลิ่งกง พูดอธิบายเหตุผลได้ไม่ชัดเจนหรอก ถ้าบีบให้อีกฝ่ายร้อนรน กำลังทหารที่อยู่ในมืออีกฝ่ายก็จะไม่ใช้เหตุผลเหมือนกัน ใครหมัดใหญ่กว่าคนนั้นก็มีเหตุผล แบบนั้นฝ่าบาทก็จะต้องปิดตาข้างเดียวอยู่ดี กำลังพลกองทัพองครักษ์มาแล้วยังไงล่ะ ถ้าพวกเขายืนกรานว่าผ่านทางมาเฉยๆ แล้วถูกผู้ตรวจการใหญ่ล้อมโจมตี ดึงดันจะโยนความผิดกลับมา ฉวยโอกาสลงยาพิษกับผู้ตรวจการใหญ่ แล้วทีนี้จะทำยังไง?”

เหมียวอี้เลิกคิ้ว “จะปล่อยให้เขาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แบบนี้ได้ยังไง ท่านจอมพลไม่เคยได้ยินเรื่องที่สระน้ำมังกรดำหรือไง!”

ลิ่งหูโต้วจ้งยิ้มเจื่อน “ผู้ตรวจการใหญ่ นี่ไม่เหมือนสถานการณ์ที่สระน้ำมังกรดำ ไม่เหมือนกันเลย สระน้ำมังกรดำเป็นการอุดกำลังพลของอ๋องสวรรค์…อิ๋งจิ่วกวงไว้ข้างใน แล้วข้างนอกก็ปล่อยข่าวกำลังพลของตระกูลอิ๋งปลอมตัวเป็นโจร ตระกูลอิ๋งกลับไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับด้วยว่ากำลังพลของตัวเองขัดแย้งกับผู้ตรวจการใหญ่ แบบนี้ผลที่ได้ก็คือ พอกองทัพองครักษ์ไปถึงก็พบว่ากำลังพลของตระกูลอิ๋งอยู่ข้างใน ต่อให้ตระกูลอิ๋งมีเหตุผล แต่ก็อธิบายได้ไม่ชัดเจนแล้ว ทำได้เพียงฝืนใจยอมรับ แต่เรื่องที่อยู่ตรงหน้านี้ล่ะ…ผู้ตรวจการใหญ่ได้โปรดดูสิ!” เขาชี้กำลังพลที่ล้อมอยู่ด้านนอก “พุ่งเป้ามาหาผู้ตรวจการใหญ่อย่างอุกอาจ ไม่ปลอมตัวเลยสักนิด อีกฝ่ายไม่กลัวเลยถ้าเกิดเรื่องขึ้น ถึงตอนนั้นถ้าเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อให้ความร่วมมือมาเป็นพยานอีก พิสูจน์ว่ากำลังพลของตระกูลก่วงผ่านอาณาเขตนี้จริงๆ ต่อให้ทุกคนจะรู้อยู่แก่ใจว่าความจริงเป็นยังไง แต่บนราชสำนักจะต้องตำหนิเป็นเสียงเดียวกันว่าผู้ตรวจการใหญ่ไร้เหตุผลแน่นอน ถึงขนาดว่าก่อนที่จะได้ข้อสรุปในการประชุมขุนนาง พวกเขาก็สามารถทำให้ผู้ตรวจการใหญ่ไม่มีโอกาสแก้ตัวได้อีก อีกฝ่ายยืนกรานว่าผู้ตรวจการใหญ่ทำชั่วก่อน ต้องการจะจัดการพวกเราให้ได้ กำลังพลกองทัพองครักษ์ไม่กี่คนที่อยู่แถวนี้ ก็ต้านทานทัพใหญ่ของอีกฝ่ายที่จะมาลงมือกับพวกเราไม่ได้หรอก!”

เหมียวอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย พบว่าตัวเองคิดอะไรเรียบง่ายไปจริงๆ ประเมินความไร้ยางอายของคนพวกนี้ต่ำไป พบว่าลิ่งหูโต้วจ้งรู้จักคนพวกนี้ดีกว่าเขา สิ่งที่พูดก็มีเหตุผลอยู่บ้างหลายส่วน อารมณ์โกรธในใจจึงสงบลงบ้างแล้ว ถามยังลังเลว่า “หรือจะปล่อยพวกเขาไปอย่างนี้?”

ลิ่งหูโต้วจ้งโบกมือเบาๆ “ไม่หรอก! ถ้าปล่อยพวกเขาไปอย่างนี้ พวกเขาก็อาจไม่ปล่อยพวกเราไปก็ได้ ถ้าทัพตะวันตกตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ยอมให้กำลังพลของข้าเป็นอิสระ ตัวอย่างจะต้องลงมาอีกแน่นอน ไม่ปล่อยให้พวกเราออกจากอาณาเขตของพวกเขาไปอย่างราบรื่นแน่!”

เหมียวอี้ถามเสียงต่ำ “ตามที่ท่านจอมพลบอก งั้นควรจะจัดการยังไงดี?”

ลิ่งหูโต้วจ้งตอบว่า “ล้อมไว้แต่ไม่โจมตี บังคับให้ยอมแพ้ จับให้สำเร็จในรวดเดียว! ตราบใดที่ไม่สร้างความเสียหายให้ก่วงลิ่งกง แค่ไว้หน้าก่วงลิ่งกง เรื่องบางเรื่องทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ ถึงตอนนั้นพวกเราก็สามารถจี้ตัวประกันกลุ่มนี้กลับไปที่แดนรัตติกาลได้อย่างราบรื่น ขอเพียงก่วงลิ่งกงประกาศเรื่องนี้ก่อน ตอนหลังก็จะไม่เอ่ยปากแล้ว! ผู้ตรวจการใหญ่ ถ้าลงมือเมื่อไหร่ ก่วงลิ่งกงจะต้องปล่อยไปตามยถากรรม ต้องกู้หน้าอ๋องสวรรค์กลับมา จะต้องเล่นงานผู้ตรวจการใหญ่ถึงตายเพื่อล้างความอัปยศแม่นอน แต่ถ้าบีบบังคับให้ยอมแพ้ล่ะ ก่วงลิ่งกงไม่มีทางมองข้ามความตายของคนมากมายขนาดนั้น ถ้ามีข่าวแพร่ออกไปว่าเขาไม่สนใจความเป็นความตายของลูกน้อง เขาก็ต้องคำนึงถึงความคิดของลูกน้อง ดังนั้นผู้ตรวจการใหญ่ได้โปรดไตร่ตรองและอดทนไว้!”

เหมียวอี้เข้าใจทันที พยักหน้าเบาๆ “พอได้ฟังคำพูดท่านจอมพล ก็เข้าใจกระจ่างเหมือนเปิดจุกไหออก หนิวบุ่มบ่ามเกินไปจริงๆ ได้ ทำตามที่ท่านจอมพลบอก!”

ลิ่งหูโต้วจ้งยังกังวลว่าเหมียวอี้จะใช้วิธีแข็งกร้าวเหมือนที่คนลือกัน ตอนนี้พอเห็นเหมียวอี้คล้อยตามเหมือนสายน้ำได้ เขาก็โล่งอก แอบคิดในใจว่า ก็ไม่ได้สื่อสารด้วยยากขนาดนั้นนี่…หารู้ไม่ว่าเป็นเพราะตอนนี้อำนาจทางทหารยังอยู่ในมือเขา ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้เปิดฉากต่อสู้ตั้งนานแล้ว

เขาไม่ได้พิจารณาเพื่อเหมียวอี้ แต่พิจารณาเพื่อกำลังพลของตัวเอง

จวนจอมพลสายมะเมีย

ในตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง เมื่อได้รับข่าวแล้ว หวงฮ่าวก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา ค่อนข้างกระฟัดกระเฟียด กล่าวด้วยสีหน้าดุร้ายว่า “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้? ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้? ท่านอ๋องหมายความว่าอะไรกันแน่?” แล้วก็หันกลับมาบอกอีกว่า “บอกพวกเขา ไม่ต้องอวดดี ฝ่าวงล้อมสุดกำลัง!”

พ่อบ้านหลี่จวินยังถือระฆังดาราไว้ตลอด พอได้ยินก็บอกว่า “ท่านจอมพล กำลังพลของลิ่งหูโต้วจ้งไม่ได้รุกโจมตี แค่ล้อมไว้ ถ้าฝ่าวงล้อมเมื่อไหร่ อีกฝ่ายจะลุกโจมตี ฝ่ายพวกเราจะต้องเสียหายหนักมากแน่นอน เกรงว่าคงจะมีไม่กี่คนที่ฝ่าวงล้อมได้ ทำกลางกำลังพลกลุ่มนี้ มียอดฝีมือของพวกเราไม่ใช่น้อยๆ!” เขาจะสื่อว่ายอมรับความเสียหายนี้ไม่ค่อยได้

“ไม่ได้รุกโจมตีเหรอ?” หวงฮ่าวงงไปชั่วขณะ เอามือขยี้เครายาวดกดำมันวาวดุจหมึก พลางขมวดคิ้วกล่าวอย่างสงสัย “ไม่เหมือนลักษณะวู่วามใช้กำลังของหนิวโหย่วเต๋อ…”

“ขอให้ท่านอ๋องตัดสินใจเถอะขอรับ!” หลี่จวินกล่าว

………………

สาเหตุที่พูดแบบนี้ ก็เพราะเมื่อครู่นี้ชิงเยว่เพิ่งเตือนเขา เมื่อก่อนตอนที่นางโดนลดตำแหน่ง ก็ยังมีกิจการอยู่ที่ตลาดมืดเหมือนกัน แต่นางลงจากตำแหน่งแล้ว กลับขึ้นมาไม่ได้ กิจการพวกนั้นล้วนถูกตระกูลเซี่ยโห้วฮุบไปหมด นางเองก็ทำอะไรตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ ของพวกนี้ถ้าเจ้านำออกมาอยู่ในที่แจ้งก็เป็นหลักฐานอะไรไม่ได้เลย บางสิ่งบางอย่างถ้าไม่มีศักยภาพก็รักษาไว้ไม่ได้

ดังนั้นพวกเขาได้ยินแบบนี้ ก็พากันหน้าตึง สำหรับพฤติกรรมประเภทนี้ของตระกูลเซี่ยโห้ว พวกเขาก็พอได้ยินมาบ้าง ก็ช่วยไม่ได้ ตระกูลเซี่ยโห้วถือว่าเป็นเจ้าแห่งโลกใต้ดิน ถ้าไม่มีอำนาจอิทธิพลคอยปกป้อง ก็ไม่มีสิทธิ์ไปพูดคุยกับตระกูลเซี่ยโห้วด้วยเหตุผลเลย เพราะเจ้าสร้างภัยคุกคามอะไรต่อตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่รอให้คนอื่นมากินเช่นกัน มือใครยาวสาวได้สาวเอาอยู่แล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น พออิ๋งจิ่วกวงล้มลง เกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วคงต้องการจะกินให้อิ่ม ไม่ต้องคิดก็รู้ว่ากิจการของตระกูลอิ๋งที่ตลาดมืดใหญ่โตขนาดไหน ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วเพ่งเล็งแล้ว คาดว่าคนที่ดูแลกิจการของตระกูลอิ๋งที่ตลาดมืดพวกนั้น ต่อให้อยากจะหอบทรัพย์สินหนีไปก็หนีไม่พ้น

เดิมทีคิดจะเดินออกไปภายใต้ความโกรธ ตอนนี้แต่ละคนเม้มริมฝีปากแน่น ความคับแค้นในใจไม่รู้จะไประบายออกที่ไหน นึกไม่ถึงว่าจะเดินมาถึงขั้นที่ถูกคนอื่นบีบบังคับแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน หนิวโหย่วเต๋อกระจอกๆ ไม่ได้นับว่าเป็นอะไรในสายตาเขาเลย

ลิ่งหูโต้วจ้งมองปฏิกิริยาของพวกลูกน้อง เห็นแต่ละคนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ก็แอบถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ในเมื่อผู้ตรวจการใหญ่บอกแล้วว่าไม่บังคับ งั้นให้พวกเราพิจารณาเรื่องนี้อีกทีเถอะ” ที่จริงในใจเขาก็รู้ชัดเจน ว่าหนิวโหย่วเต๋อแสดงเหตุผลออกมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งตรงหน้าเขาแล้ว ไม่มีอะไรน่าพิจารณา เพียงแต่ไม่อยากยอมจำนนเร็วเกินไปจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะให้ทนความรู้สึกได้อย่างไร

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนแล้วเช่นกัน ถามด้วยรอยยิ้มว่า “พูดแบบนี้ แสดงว่าตกลงตามนี้แล้วใช่ไหม?”

ลิ่งหูโต้วจ้งกลับหันไปหาพวกลูกน้อง “ทุกคนคิดว่ายังไง?”

เพราะลูกน้องไม่พูดอะไร ลิ่งหูโต้วจ้งรู้ว่าพวกเขาเอ่ยปากลำบาก จึงทำได้เพียงตัดสินใจแทนพวกเขา พยักหน้าให้เหมียวอี้ “ผู้ตรวจการใหญ่ ท่านเองก็รู้สถานการณ์ของพวกเรา เกรงว่าจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ ไม่งั้นจะเกิดเหตุไม่คาดคิดได้ง่ายมาก ไม่ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่จะได้ไปที่แดนรัตติกาล?” เราก็ตอบตกลงแล้ว

เหมียวอี้ตอบว่า “เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องห่วง ที่ข้ากังวลก็คือคนในครอบครัวของพระเจ้า ต้องรีบพาไปที่แดนรัตติกาลให้เร็วที่สุด”

พอเขาพูดออกมาแบบนี้ ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกปลื้มใจ ตอนนี้ลิ่งหูโต้วจ้งไม่ปิดบังแล้ว “ไม่ปิดบังผู้ตรวจการใหญ่ ตอนนี้คนในครอบครัวกำลังแอบเดินทางไปที่แดนรัตติกาลแล้ว”

เหมียวอี้หันกลับมาเรียกทันที “ชิงเยว่”

“ค่ะ นายท่าน!” ชิงเยว่กุมหมัดคารวะ

“บอกหลงซิ่นเดี๋ยวนี้ ให้ส่งกำลังพลไปรับ พอเข้าใกล้ประตูดวงดาวสามแห่งของแดนรัตติกาล จะต้องรักษาความปลอดภัยให้คนในครอบครัวของท่านขุนพลทุกคน ถ้ามีคนจู่โจม ไม่สนว่าจะเป็นใคร ฆ่า!” เหมียวอี้สั่ง

เดิมทีเขาคิดจะเรียกหยางเจาชิง แต่พอคิดไปคิดมา เมื่ออยู่ต่อหน้าคนพวกนี้ก็เรียกใช้ชิงเยว่ดีกว่า ให้คนพวกนี้ปรับตัวสักหน่อย ถึงยังไงเมื่อปีนั้นตำแหน่งของชิงเยว่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนพวกนี้เลย

“รับทราบ!” ชิงเยว่เอ่ยรับคำสั่ง แล้วรีบใช้ระฆังดาราติดต่อหลงซิ่น

หลังจากกำชับแล้ว เหมียวอี้ก็บอกพวกเขาอีกว่า “ข้ารู้ว่าการที่ข้าทำแบบนี้ ทำให้ในใจทุกคนคับแค้นขนาดไหน รู้สึกว่าข้ากำลังใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ แต่ข้าก็จะบอกเอาไว้ให้ชัดเจน ถ้าไม่มีเหตุผลที่ต้องแบกรับความเสี่ยงอย่างนั้น ตอนหลังยังไม่รู้เลยว่าจะมีใครมาหาเรื่องพวกเจ้าบ้าง เรื่องนี้ข้าต้านให้ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ความสัมพันธ์ของพวกเจ้ากับตำหนักนารีสวรรค์ พวกเจ้าเองก็รู้ชัดอยู่แก่ใจ ข้าเองก็ต้องควักกระเป๋าติดสินบนเหมือนกัน”

“ผู้ตรวจการใหญ่ลำบากแล้ว” ลิ่งหูโต้วจ้งกล่าวอย่างปากไม่ตรงกับใจ

เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ “ติดตามข้าจะดีหรือจะร้าย วันหลังพวกเจ้าก็ย่อมรู้ มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้าจะเตือนทุกคนเอาไว้…ข้าคือคนขององค์ชาย!”

เมื่อกล่าวแบบนี้ ทีแรกพวกลิ่งหูโต้วจ้งก็เองไปก่อน จากนั้นในดวงตาก็ฉายแววอัศจรรย์ใจ คำว่า ‘ข้าคือคนขององค์ชาย’ มีความหมายล้ำลึกมาก ยังจะเป็นองค์ชายไหนได้อีก ย่อมเป็นโอรสสวรรค์ชิงหยวนจุนอยู่แล้ว! หมายความว่าอะไรล่ะ หมายความว่าการที่พวกเขามาขอพึ่งพาจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ก็ใช่ว่าจะลืมตาอ้าปากไม่ได้

ความสัมพันธ์ของหนิวโหย่วเต๋อกับตำหนักนารีสวรรค์ เมื่อมีความสัมพันธ์ชั้นนี้แล้ว ความสัมพันธ์กับโอรสสวรรค์ก็ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก ลองตัดเรื่องนี้ออกไป ทุกคนลองนึกเชื่อมโยงถึงท่าทีของ

ประมุขชิงก่อนหน้านี้อีก ก็แทบจะเข้าใจบางอย่างได้ในชั่วพริบตาเดียว พอจะตระหนักได้แล้วพวกเขาคือกำลังพลที่ประมุขชิงอุ้มชูขึ้นมาเพื่อโอรสสวรรค์ แบบนี้แสดงว่าอะไรล่ะ? แสดงว่าพวกเขาล้วนเป็นขุนนางของโอรสสวรรค์ ตอนหลังมีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขชิงจะช่วยโอรสสวรรค์ขยายกำลัง เมื่อตอนนั้นมาถึง ก็เป็นเวลาที่พวกเขาจะได้เปิดตัวอีกครั้งแล้ว

ยังมีโอกาสที่จะได้ลืมตาอ้าปากอีกครั้ง! ในใจทุกคนเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาแล้ว ชำระล้างความคับแค้นก่อนหน้านี้ไปแล้ว

“จากนี้ไปจะฟังคำสั่งผู้ตรวจการใหญ่!” ลิ่งหูโต้วจ้งนำแสดงท่าทีทันที

“ยินดีปฏิบัติตามคำสั่งผู้ตรวจการใหญ่!” จากนั้นทหารที่เหลือก็กุมหมัดคารวะตาม

เปลี่ยนท่าทีอย่างเด็ดขาดขณะนี้ ชัดแล้วว่ากำลังแสดงท่าทีว่ายินดีถวายชีวิตรับใช้โอรสสวรรค์ ไม่รู้เหมือนกันว่าตรงนี้มีสายลับของโอรสสวรรค์หรือไม่ หวังว่าโอรสสวรรค์จะได้เห็น

“ดี!” เหมียวอี้พยักหน้า สาเหตุที่เขาไม่เอ่ยถึงตั้งแต่ทีแรกว่าเขาคือคนของโอรสสวรรค์ การให้พุทราหวานแล้วใช้ไม้กระบองตี กับการใช้ไม้กระบองตีก่อนแล้วค่อยให้พุทราหวาน ให้ความรู้สึกต่างกันมั้ยล่ะ? “ตอนนี้ยังไม่พูดอะไรมาก กลับไปแล้วค่อยปรึกษากันเรื่องสถานที่พัก”

ฝูชิงที่อยู่ข้างๆ แอบทอดถอนใจ คนอื่นจะคิดอย่างไรเขาไม่รู้ เขารู้ว่าถ้าตัวเองเผชิญหน้ากับคนพวกนี้ ขนาดเวลาพูดยังต้องระวังเหมือนเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบาง แต่เหมียวอี้รับมืออย่างไรล่ะ? นี่กำลังทำอะไรอยู่? ไม่น่าเชื่อว่าจะรับคนพวกนี้ไว้ พูดไม่ออกจริงๆ ตอนนี้รู้สึกได้อย่างแท้จริงแล้วว่าตัวเองกลับเหมียวอี้ห่างชั้นกันขนาดไหน

“จะให้พวกเราเดินทางตอนนี้หรือว่า?” ลิ่งหูโต้วจ้งถาม ในใจรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ช่วงแรกยากจะเปลี่ยนสภาพจิตใจได้

“ทางฝั่งราชินีสวรรค์…เพราะเจ้าไม่ต้องกังวล เขาต้องหาทางเจรจากับทางราชินีสวรรค์ให้ เหนียงเหนียงไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับพวกเจ้า” เหมียวอี้ถอนหายใจอย่างจนปัญญา จากนั้นก็สั่งให้ชิงเยว่รับหน้าที่ติดต่อประสานงานเรื่องรับคนในครอบครัวของทหารเหล่านี้ แล้วตัวเองก็เดินไปที่โถงด้านหลังคนเดียว

พวกลิ่งหูโต้วจ้งสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขาเข้าใจดีว่าราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เป็นคนอย่างไร เข้าใจความลำบากของเหมียวอี้ด้วย เพราะแบบนี้ถึงนึกอะไรบางอย่างได้ ไม่รู้ว่าความแค้นระหว่างพวกเขากลับราชินีสวรรค์ จะส่งผลกระทบต่อท่าทีของโอรสสวรรค์ที่มีต่อพวกเขาหรือไม่

เมื่อได้รู้ว่าเหมียวอี้ต้องการจะรับกำลังพลห้าสิบล้านของลิ่งหูโต้วจ้ง ปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็รุนแรงมากอย่างที่คาดไว้ คัดค้าน!

นอกจากคัดค้านแล้ว ยังให้เหมียวอี้คิดหาทางเล่นงานพวกเขาให้ตายด้วย!

ที่นี่สนมสวรรค์จ้านหรูอี้ยังมีชีวิตอยู่ดี ยังไม่ตาย ทางนั้นพวกที่เคยแอบสั่งให้สนมในวังกลั่นแกล้งนางประสบปัญหาใหญ่ขนาดนี้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีชีวิตอยู่ดี ถ้ายังคิดจะให้นางปกป้องพวกเขาด้วย ล้อเล่นอะไรกัน รังแกกันเกินไปแล้ว คิดไปคิดมาแล้วก็เดือด ย่อมต้องฉวยโอกาสสาดน้ำใส่สุนัขเพื่อซ้ำเติมอยู่แล้ว!

เหมียวอี้พูดไม่ออกมาก เป็นราชินีสวรรค์มาหลายปีขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีมุมมองต่อสถานการณ์ภาพรวมเลยสักนิด ทำไมไม่เรียนรู้สิ่งที่ควรจะเรียนรู้บ้างเลย ทำตัวเหมือนเขาตอนเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์ มีความแค้นต้องชำระ!

แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เป็นคนเจ้าเล่ห์มากแผนการ เขาก็จะไม่ได้เข้ามายุ่งแล้ว คนโง่ถ้าตระหนักได้ถึงความโง่ของตัวเอง เช่นนั้นก็ไม่เรียกว่าโง่แล้ว

โชคดีที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับเขา ค่อนข้างเชื่อใจเขา ยังมีอีกหลายจุดที่ต้องพึ่งพาเขาด้วย ด้วยความที่เหมียวอี้เกลี้ยกล่อมซ้ำแล้วซ้ำอีก สุดท้ายนางก็ยอมข่มความแค้นนี้ไว้ แต่กลับกำชับเหมียวอี้ว่าให้จับตาดูคนพวกนี้ให้ดี ถ้ามีพฤติกรรมไม่ซื่อก็กำจัดทิ้งทันที เหมียวอี้ย่อมรับปากซ้ำๆ

หลังจากออกมาแล้ว ก็เรียกพวกฝูชิงมาสั่งงาน รอให้กองทัพองครักษ์มาควบคุมเบื้องบนของตลาดสวรรค์ ไม่มีใครกล้ารบกวนคำสั่งของราชินีสวรรค์ จะย้ายพวกเขาไปที่แดนรัตติกาลเดี๋ยวนี้ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ส่งต่อให้พวกเซียวหลิงโป ให้เขาแจ้งข่าวดีให้พี่น้องคนอื่นๆ รู้ ตอนนี้รักษาระเบียบของตลาดสวรรค์เอาไว้ก่อน

ริมหน้าต่างภัตตาคารหลังหนึ่งนอกตำหนักคุ้มเมือง มีคนสองคนกำลังนั่งตรงข้ามกันอยู่ริมหน้าต่าง มองไปทางตำหนักคุ้มเมืองเป็นระยะ

หนึ่งในนั้นแอบถ่ายทอดเสียงถามว่า “แน่ใจนะว่าคนยังอยู่ในตำหนักคุ้มเมือง?”

“ทั้งประตูใหญ่ประตูเล็กล้วนมีคนจับตาดูอยู่ ตอนนี้เห็นแต่คนเข้า ยังไม่เห็นคนออก น่าจะยังอยู่ในตำหนักคุ้มเมือง” อีกคนตอบ

คนแรกบอกว่า “ต้องจับตาดูไว้ให้ดี คนเบื้องบนยังอยู่ระหว่างทางมา ถ้าปล่อยให้หนีไปแล้ว พวกเราก็รับผิดชอบไม่ไหว”

คนบอกว่า “วางใจเถอะ มีเบื้องบนให้การสนับสนุนเต็มที่ สามารถระดมกำลังพลจากแต่ละแห่งได้ทุกเมื่อ จับตาดูคนเดียวไม่มีปัญหาหรอก ที่ประตูดวงดาวใกล้ๆ นี้ก็ส่งคนไปเฝ้าไว้หมดแล้ว ไปที่ไหนก็สังเกตเห็นหมด ถ้าพบว่าไปเมื่อไหร่ ก็รีบรวบรวมคนไปยังจุดที่สมาชิกคนอื่นอยู่ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจับตาดูได้ครบทุกด้าน อย่างน้อยก็จับตาดูตามทางได้เกินครึ่งแล้ว นอกเสียจากว่าเขาจะไม่ไปที่ประตูดวงดาว ไม่อย่างนั้นก็ไม่พ้นสายตาหรอก!”

“งั้นก็ดี…” แล้วจู่ๆ เสียงพูดก็หยุดไป “ออกมาแล้ว!” คนแรกกล่าว

อีกคนรีบมองตาม เห็นเพียงเหมียวอี้เดินวางมาดใหญ่โตออกมาจากประตูหลักของตำหนักคุ้มเมืองจริงๆ ด้วย ไม่แม้แต่จะปลอมตัว แยกแยะหน้าได้ง่ายมาก มองปราดเดียวก็จำได้แล้ว ข้างหลังมีคนกลุ่มหนึ่งติดตาม เหาะไปทางประตูเมืองฝั่งตะวันตกด้วยกัน

คนแรกถ่ายทอดเสียงบอกทันทีว่า “เร็วเข้า บอกสมาชิกที่อยู่ตามเส้นทางให้เตรียมตัวให้ดี รายงานขึ้นไปเบื้องบนทุกเมื่อ คนเบื้องบนจะได้ดักได้สะดวก!”

อีกคนรีบหยิบระฆังดาราเอาไว้ในกระบอกแขนเสื้อเพื่อติดต่อ…

หลังจากมาถึงดาราจักรแล้ว ลิ่งหูโต้วจ้งก็หันมองรอบๆ แวบหนึ่ง สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ตัวเหมียวอี้ แล้วเตือนว่า “ผู้ตรวจการใหญ่เหมือนจะมีศัตรูไม่น้อยเลย แต่กลับไม่ปลอมตัว ไม่กลัวศัตรูจับตามองเหรอ?”

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าท่านจอมพลลิ่งหูจะมา ข้าก็ย่อมไม่ทำอย่างนี้ หรือว่ากำลังพลห้าสิบล้านของสายขาลจะปกป้องข้าไม่ได้เชียวเหรอ? พูดตรงๆ แบบไม่ปิดบัง การเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ค่อนข้างใหญ่โต ทวนในที่แจ้งหลบง่าย เกาทัณฑ์ในที่ลับยากป้องกัน ไม่สู้ฉวยโอกาสทดลองสักหน่อย ข้าอยากจะเห็นว่าจะมีใครกระโดดออกมาหรือเปล่า จะได้ฉวยโอกาสโจมตีตอนศัตรูไม่ได้ป้องกัน สั่งสอนสักหน่อย การศึกมิหน่ายเล่ห์ไง!”

ลิ่งหูโต้วจ้งพูดไม่ออก สงสัยจะนับพวกเขาเข้ามาในแผนตั้งนานแล้ว นี่คือการฉวยโอกาสใช้งาน จึงกำชับคนที่อยู่ซ้ายขวาว่า “เตรียมป้องกัน!”

ทหารใต้บังคับบัญชาของเขาเริ่มสังเกตการณ์รอบๆ

หลังจากออกจากประตูดวงดาวต่อเนื่องหลายแห่ง ก็แทบจะสังเกตอะไรบางอย่างได้แล้วจริงๆ ถึงอย่างไรคนที่ติดตามมาก็มีศักยภาพไม่ธรรมดา ลิ่งหูโต้วจ้งที่ได้รับรายงานมาถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ ท่านอาจจะถูกเพ่งเล็งแล้วจริงๆ จะปลอมตัวสักหน่อยแล้วเปลี่ยนเส้นทางกับผู้ติดตามดีไหม?”

เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ไม่ต้องหรอก! ไปที่เส้นทางเข้าแดนรัตติกาลโดยตรง อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น!”

ลิ่งหูโต้วจ้งนับว่าได้สัมผัสกับตัวเองแล้ว ว่าท่านนี้ชอบมีเรื่องขนาดไหน พวกเขาก็ต้องประสมโรงไปด้วย ทำแบบนี้ต้องการจะล่อศัตรูให้มามีเรื่องกันชัดๆ เขาจินตนาการออกเลย ข้างกายเหมียวอี้มียอดฝีมือคุ้มกัน กอปรกับฐานะที่อยู่ที่นี่ คนที่กล้าแตะต้องเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

หลังจากถ่ายทอดคำสั่งของเหมียวอี้ลงไป วางกำลังไว้เล็กน้อย ตอนที่จะผ่านประตูดวงดาวอีกครั้งก็ส่งคนกลุ่มหนึ่งไปสำรวจทางก่อน จะได้ไม่ถูกคนที่ดักซุ่มอยู่ตรงนอกประตูดวงดาวโจมตีจนทำอะไรไม่ถูก

…………

โชคดีที่เหมียวอี้ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง โถงใหญ่ในเรือนด้านหลังของตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้ยืนอยู่บนบันไดมองเขาด้วยรอยยิ้มแล้วเดินเข้ามา

เขารู้จักเหมียวอี้ ชิงเยว่ที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้เขาก็รู้จักเช่นกัน ขอฉีกหน้ากากออก ผู้ติดตามที่อยู่ทั้งซ้ายและขวาก็ฉีกหน้ากากออกแล้ว

รอจนกระทั่งคนเดินเข้ามาใกล้ เหมียวอี้ก็ไม่ได้วางมาด รีบเดินลงบันไดมา แล้มกุมหมัดคารวะต้อนรับ “จอมพลลิ่งหูเดินทางมาไกล ข้าไม่ได้ไปต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ เขาไม่อยากให้คนนอกเห็นแล้วหาเรื่อง หวังว่าจอมพลจะไม่ถือสา!” ขณะเดียวกันก็กุมหมัดคารวะคนทางซ้ายและขวาของลิ่งหูโต้วจ้งเช่นกัน

ลิ่งหูโต้วจ้งเองก็กุมหมัดคารวะแล้วกล่าวอย่างถ่อมตน “แม่ทัพที่รบแพ้ รับชื่อเรียกจอมพลไม่ไหว คารวะผู้ตรวจการใหญ่”

ทั้งสองเจอกันด้วยความสุภาพเกรงใจมาก ถ่อมตัวมากเช่นกัน ไว้หน้ากันและกันมาก แต่ต่างก็รู้ว่าการจะได้นั่งลงเจรจากันหรือไม่ต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญ

“เชิญ!” เหมียวอี้ยื่นมือเชิญให้พวกเขาเข้ามานั่งในห้อง แล้วเดินเคียงข้างลิ่งหูโต้วจ้งขึ้นบันไดเข้า แล้วลิ่งหูโต้วจ้งก็กุมหมัดคารวะชิงเยว่ที่อยู่ข้างๆ อีก ส่วนคนอื่นๆ ในห้องเขาไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวแล้ว

ชิงเยว่ยังไม่รู้ว่าเหมียวอี้ต้องการจะทำอะไร จู่ๆ ก็เห็นลิ่งหูโต้วจ้งมาที่นี่ นางงุนงงเล็กน้อย ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์

ฝูชิงก็ตะลึงค้างเช่นกัน ท่านนี้ก็คือลิ่งหูโต้วจ้ง จอมพลสายขาลงั้นเหรอ? ดูจากภาพเหตุการณ์นี้ ในใจเขาก็ทอดถอนใจไม่หยุด หลายปีมานี้ที่ไม่ได้อยู่กับเหมียวอี้ เขาพบว่าตัวเองกับเหมียวอี้นับวันจะยิ่งแตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่บุคคลระดับลิ่งหูโต้วจ้งก็ยังเกรงใจขนาดนี้ เขาไม่มีทางบรรยายความรู้สึกของตัวเองได้เลยจริงๆ ขณะเดียวกันก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว มาครั้งนี้จะติดตามเหมียวอี้ ไม่อย่างนั้นถ้าตัวเองหลบอยู่ที่นี่ ตัวเองก็เหมือนเด็กน้อยเล่นพ่อแม่ลูก ไร้ระดับเกินไปแล้ว

ตอนแรกหยางเจาชิงก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร จนกระทั่งเหมียวอี้ให้เขาเตรียมคนไปรับลิ่งหูโต้วจ้งมา เขาถึงได้รู้

พอเข้ามาในนี้ก็ไม่ได้แบ่งแยกนายบ่าว เหมียวอี้กับลิ่งหูโต้วจ้งนั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายและขวาของโต๊ะน้ำชา คนของตัวเองก็ยืนอยู่ฝั่งตัวเอง น้ำชายกมาประดับโต๊ะเท่านั้น พวกลิ่งหูโต้วจ้งจะกล้ากินดื่มของที่นี่มั่วซั่วได้อย่างไร ถ้ามีคนเล่นตุกติกขึ้นมาล่ะ?

เหมียวอี้เชิญให้ดื่มแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ตัวเองจิบชาอย่างช้าๆ เหลือบตาขึ้นยิ้มตาหยีเป็นระยะ รอให้อีกฝ่ายเอ่ยปาก เจ้ามาขอร้องข้า ไม่ใช่ข้าขอร้องเจ้า ความเกรงใจก่อนหน้านี้ก็ส่วนความเกรงใจ

ลิ่งหูโต้วจ้งแอบกลุ้มใจ แต่กลับยอมรับในความกล้าหาญของเหมียวอี้ เจ้าเด็กนี่ช่างกล้ามาพบเขาโดยไม่ตรวจสอบเขา แน่ใจแล้วเหรอว่าเขาไม่กล้าทำซี้ซั้ว?

“ไม่ทราบว่าผู้ตรวจการใหญ่พิจารณาเรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว?” สุดท้ายลิ่งหูโต้วจ้งก็เอ่ยปากก่อน

“คุยง่าย!” เหมียวอี้พยักหน้า วางถ้วยน้ำชาลง “ท่านจอมพลมาขอพึ่งพา ไว้หน้าหนิว มีหรือที่หนิวจะไม่รับไว้”

ลิ่งหูโต้วจ้งโน้มตัวไปทางฝั่งเขาเล็กน้อย สังเกตสีหน้าของเขา “พูดแบบนี้ แสดงว่าผู้ตรวจการใหญ่ยินดีจะให้ที่ยืนกับพวกเราที่แดนรัตติกาลเหรอ?”

ตอนนี้พวกชิงเยว่ถึงได้ฟังอะไรออกแล้วนิดหน่อย สงสัยวพวกลิ่งหูโต้วจ้งคงจะไม่มีทางยืนที่ทัพตะวันออกได้แล้ว ต้องการจะไปที่แดนรัตติกาล เพียงแต่ว่า จะตอบรับสิ่งนี้ได้เหรอ? เรื่องที่เกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลังยุ่งยากเกินไปจริงๆ

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่เอ่ยเรื่องที่จะมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ก็เดาออกแล้วว่าคงจะมาพร้อมกับความหวังที่จะช่วงชิงตำแหน่ง เหมียวอี้จึงพูดให้ชัดเจนเสียเลย เรายังสบายๆ ว่า “ข้าก็มีความตั้งใจนี้นะ ทว่ามีความตั้งใจแต่ไร้ความสามารถ พวกเจ้าเป็นขุนนางที่มีความผิดทั้งนั้น จะต้องมีคนดูอยู่แน่นอน”

ลิ่งหูโต้วจ้งมองพวกลูกน้องแวบหนึ่ง แล้วกุมหมัดคารวะเหมียวอี้ “ยินดีเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาและเชื่อฟังคำสั่งของผู้ตรวจการใหญ่”

พวกชิงเยว่หัวใจกระตุกวูบ นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?

เหมียวอี้ไม่รีบตอบตกลง แต่ถามกลับว่า “ท่านจอมพลรู้ถึงความลำบากใจของข้าหรือเปล่า?”

“ไม่ทราบ ยินดีรับฟังรายละเอียด!” ลิ่งหูโต้วจ้งแกล้งโง่

เหมียวอี้มองไปที่ลูกน้องของลิ่งหูโต้วจ้งเช่นกัน แล้วบอกว่า “อิ๋งจิ่วกวงหนีข้อหาก่อกบฏไม่พ้น ทุกคนอยู่ในฐานะอะไรล่ะ? ขุนนางนักโทษ! ไม่ได้บอกว่าวางแผนก่อกบฏ แต่ก็ช่วยเหลือกันวางแผนก่อกบฏ ถ้าช่วยทุกคนรักษายศเดิมเอาไว้อีก อย่าว่าแต่ข้าเลย เกรงว่าแม้แต่ฝ่าบาทก็ทำไม่ได้ ข้อหาหนักขนาดนี้ ถ้าไม่เห็นอยู่ในสายตาก็จะฟังดูเหลวไหล เกรงว่าขุนนางทั้งราชสำนักคงไม่มีใครยอมสักคน ถ้าเปิดช่องโหว่นี้ จะไม่แย่หรอกหรือ? สรุปก็คือต้องให้คำชี้แจงกับคนในใต้หล้าสักหน่อยสิ!”

ลิ่งหูโต้วจ้งถอนหายใจ “เฮ้อ! หมดหนทางแล้วจริงๆ แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดอะไรตอนนี้ก็สายไปแล้ว ไม่ทราบว่าผู้ตรวจการใหญ่เตรียมจะให้พวกเราให้คำชี้แจงอย่างไร?”

เหมียวอี้เหล่ตามองแวบหนึ่ง “ในภายหลังพวกเราอาจจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมแล้ว ถ้าฝ่าบาทให้คำชี้แจงเรื่องนี้กับคนในใต้หล้าไม่ได้ ข้าก็ไม่มีความสามารถที่จะรับพวกเจ้าไว้ การช่วยเหลือกบฏเป็นข้อหาร้ายแรง ถ้าไม่ลงโทษให้หนักก็จะฟังดูเหลวไหล ทุกคนเริ่มจากยศระดับต่ำสุดก่อนแล้วกัน แบบนี้ถ้าถึงจะรายงานขึ้นไปที่ตำหนักสวรรค์ได้ ฝ่าบาทจะได้ให้คำชี้แจงต่อขุนนางในราชสำนักได้ ท่านจอมพลว่ามั้ย?”

ลิ่งหูโต้วจ้งสบตากับกลุ่มลูกน้อง แล้วถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ทราบว่าจะให้พวกข้าลดยศลดตำแหน่งไปถึงขั้นไหน?”

เหมียวอี้เอามือวาดบนปากถ้วยชา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฐานะของตำแหน่งของท่านจอมพลที่นี่ ไม่ว่าจะลดตำแหน่งยังไง ข้าก็ไม่สะดวกใจที่จะทำเกินไป ตายสังกัดของข้ายังเหลือตำแหน่งรองหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลหวยให้ท่านจอมพล ส่วนคนอื่นก็ลดหลั่นไปตามลำดับ คาดว่าส่วนใหญ่คงจะต้องเป็นพลทหาร”

ลิ่งหูโต้วจ้งสีหน้าเครียดขรึมลงแล้ว จากตำแหน่งท่านจอมพลลดลงมาเป็นรองหัวหน้าภาค แบบนี้ทำเกินไปแล้ว

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะพูดเสริมต่อไปว่า “ตำแหน่งที่ลดหลั่นกันไปรวมเป็นตำแหน่งรอง ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ต้องการจะตัดอำนาจทางทหารของทุกคน!”

ลูกน้องคนหนึ่งของลิ่งหูโต้วจ้งทนไม่ไหวแล้ว จู่ๆ ก็ก้าวออกมาบอกว่า “ผู้ตรวจการใหญ่รังแกกันเกินไปหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนี้ เราจะไม่กลายเป็นเนื้อปลาให้คนอื่นสับหรอกเหรอ?”

เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก ถ้าอีกฝ่ายเกรงใจเขาก็เกรงใจ ถ้าอีกฝ่ายไม่เกรงใจ เช่นนั้นก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้ยินคำพูดดีๆ จากเขา “คำพูดนี้กล่าวเกินไปหน่อย ลูกน้องข้ามีแค่ไม่กี่คนเอง แต่พวกเจ้ามีกันเท่าไหร่ล่ะ คนเบื้องล่างล้วนเป็นลูกน้องเก่าของพวกเจ้าทั้งนั้น ถ้าพวกเจ้าต้องการจะก่อเรื่อง ก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะเป็นเนื้อปลาของใครกันแน่ เกี่ยวด้วยเหรอว่าพวกเจ้าจะมีอำนาจทางทหารหรือไม่? ถ้าพูดแบบไม่น่าฟังหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นประสงค์ของฝ่าบาท ข้าก็ไม่อยากจะสร้างปัญหานี้เลย แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง ข้าไม่ได้รังแกเกินไปหรอก แต่ถ้าพวกเจ้ากุมอำนาจทางทหารต่อไป เจ้าคิดว่าจอมพลเถิง จอมพลเฉิงหรือคนอื่นๆ จะวางใจได้เหรอ? ถ้าจะให้คำชี้แจงกับตำหนักสวรรค์ ก็ต้องทำให้ดูด้วยสิ ทำไมล่ะ แค่ให้ทำแค่นี้ยังไม่อยากทำเลยเหรอ? ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะมาจัดการข้าที่แดนรัตติกาลใช่ไหม? วันนี้ข้าจะพูดเอาไว้ตรงนี้เลย แดนรัตติกาลก็คืออาณาเขตของข้า ถ้าเขาไม่อนุญาต ฝ่าบาทก็เข้ามาแทรกแซงไม่ได้ ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะมากันเท่าไหร่ ข้าจะกำจัดพวกเจ้าให้หมด ถ้าไม่เชื่อพระเจ้าก็ลองดูสิ! ไม่ต้องทดลองหรอก ถ้าข้าไม่อนุญาต พวกเจ้าก็เลิกคิดได้เลยว่าจะได้เข้าไป ขนาดอิ๋งจิ่วกวงข้ายังไม่กลัวเลย นับประสาอะไรกับพวกเจ้า?”

คำพูดนี้ ฝูชิงฟังจนแอบเดาะลิ้น ซิงเหมียวอี้ด้วยแววตาเป็นประกาย ชิงเยว่ฟังจนเลิกคิ้ว แต่ก็รู้สึกว่าน่าสนใจ ไม่เสียแรงที่ตัวเองมายอมลดเกียรติมาอยู่ที่แดนรัตติกาล

กลับเป็นหยางเจาชิงที่ทำสีหน้าสุขุมเยือกเย็น เขาติดตามเหมียวอี้อย่างจงรักภักดีมาตลอด ย่อมมีสาเหตุที่ทำให้เขาเชื่อถือและศรัทธา

ลิ่งหูโต้วจ้งสีหน้าแย่มาก แต่ก็ยังยื่นมือไปห้าม บอกใบ้ลูกน้องคนนั้นให้ระงับไฟโกรธแล้วถอยกลับไป ก่อนจะหันกลับมาตอบอย่างเด็ดขาด “ได้! พวกเราตกลง!”

เขาเองก็ไม่มีทางเลือกแล้วเหมือนกัน ก็เหมือนอย่างที่เหมียวอี้บอก กำลังพลห้าสิบล้านล้วนเป็นกำลังพลสายตรงของเขา ถ้ามีเรื่องขึ้นมาจริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเชื่อฟังใคร อาศัยคนจำนวนเล็กน้อยของเจ้าคิดจะมาควบคุมพวกเรางั้นเหรอ? รอให้ยืนอย่างมั่นคงแล้วผ่านด่านยากตรงหน้านี้ไปก่อนค่อยว่ากัน

“อย่าเพิ่งรีบตกลงเร็วเกินไปนักเลย” เหมียวอี้หันมามองเขาตรงๆ “ตลาดสวรรค์นับพันแห่งถูกข้าโจมตีแล้ว ตลาดสวรรค์หนึ่งแห่งมีร้านค้าสิบร้าน เดาว่าร้านค้าของตระกูลเซี่ยโห้วมีไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นร้านที่โดนปล้นไป น่าจะเป็นฝีมือกำลังพลของท่านจอมพลทั้งหมด นำทรัพย์สินส่วนนั้นมาให้ข้า!”

ลิ่งหูโต้วจ้งหัวเราะเจื่อน แล้วส่ายหน้าตอบว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ให้นะ ผู้ตรวจการใหญ่ดูกำลังพลขงข้าที่เหลืออยู่ก็จะรู้แล้ว ส่วนใหญ่ทรยศข้าไปแล้ว พอรู้ว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งรบแพ้ คนพวกนั้นรีบตามมาไม่ทัน ผู้ตรวจการใหญ่คิดว่าพวกเขายังจะมาตามหาพวกเราอีกเหรอ? เดาว่าทำไมกบฏไปขอพึ่งพาเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ ก็คงหนีเพ่นพ่านไปทั่ว ทรัพย์สินมากขนาดนั้น บางทีอาจจะเยอะกว่าค่าจ้างทั้งชีวิตของพวกเขาเลยก็ได้ ดีกว่าให้พวกเขามาทำงานรับเงินที่แดนรัตติกาลอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเอาไปมอบให้ทัพเหนือ ใต้ ตะวันตก ก็เพียงพอที่จะปกป้องตัวเองได้แล้ว”

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว สงสัยจะตักตวงทรัพย์สินพวกนั้นไม่ได้แล้ว

ใครจะคิดว่าทหารคนหนึ่งจะบอกว่า “อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ขนาดร้านค้าของพวกเราตามที่ต่างๆ พวกเราคอยติดต่อมาตลอดทาง พบว่าคนที่ดูแลร้านคงรู้ว่ากิจการในนามของพวกเราจะโดนตำหนักสวรรค์ยึด มีคนไม่น้อยกวาดทรัพย์สินไปขอพึ่งพาพวกลูกพี่ใหญ่คนอื่นๆ แล้ว หรือไม่ก็หอบของหนีไป ครั้งนี้คงรู้ว่าพวกเราถูกผู้ตรวจการใหญ่ลดตำแหน่งแล้วกลับตัวไม่ได้เดาว่าพวกที่คอยหลบสังเกตการณ์อยู่ก็คงไม่ปรากฏตัวอีกแน่ ว่ากันว่าไม้ล้มวานรกระเจิง มันเป็นอย่างนี้นี่เอง! ไปแล้วก็ดี ในภายหลังก็เลี้ยงพวกเขาไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”

ชิงเยว่แอบทอดถอนใจ นางเป็นคนหนึ่งที่เข้าใจสิ่งนี้ดีที่สุด ตอนที่เหมียวอี้มองมา นางก็พยักหน้าเบาๆ ให้เขา เพียงแต่ถ่ายทอดเสียงบอกอีกว่า “ตลาดมืด…”

เหมียวอี้หันมาบอกว่า “พวกเจ้าอย่าบอกเชียวนะว่ามีแต่กำลังพลในที่แจ้ง ไม่มีกำลังพลในที่ลับคอยช่วยทำงานเลย ข้าต้องการรายชื่อ!”

ลิ่งหูโต้วจ้งตอบกลั้วหัวเราะ “เมื่อไม่มีกิจการแล้ว พวกเราก็เลี้ยงพวกเขาไม่ไหว ในท่านอยากจะช่วยพวกเราเลี้ยงหรอ?”

เหมียวอี้ไม่สนใจเลย แสดงความละโมบต่อไป “ยังมีกิจการของพวกเจ้าที่ตลาดมืดอีก ส่งมาให้หมด!”

พวกเขาสีหน้าดำมืดแล้ว ลิ่งหูโต้วจ้งลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ถ้าผู้ตรวจการใหญ่พูดแบบนี้ งั้นพวกเราก็ไม่ต้องเจรจากันแล้ว พวกเราพาคนในครอบครัวมาด้วย อาศัยรายได้เล็กน้อยของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล จะดำรงชีวิตอยู่ได้ยังไง?”

เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าพวกเจ้าให้ข้าคุมกิจการที่ตลาดมืดของพวกเจ้า ก็ยังสามารถปกป้องไว้ได้! ตำหนักสวรรค์ไม่รู้ว่าพวกเจ้ากระจายกิจการอยู่ที่ตลาดมืด แต่ตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่รู้เชียวหรือ? หรือพวกเจ้านึกว่าตระกูลเซี่ยโห้วอ่อนด้อย? ของพวกนี้มีแต่ต้องอยู่ในมือข้าเท่านั้น ตระกูลเซี่ยโห้วแตะต้องตระกูลไหน ในใจข้าล้วนมีข้อมูล ถ้ามาแตะต้องของข้า ข้าจะต้องทวงกลับคืนมาแน่นอน แต่สถานการณ์ของพวกเจ้าตอนนี้ เกรงว่าคงทวงคืนกลับมาไม่ได้แล้ว เอาอย่างนี้ อิงตามกิจการที่ทุกคนส่งมาให้ เขาจะแบ่งปันผลกำไรบางส่วนให้ทุกคน! แน่นอน เขาไม่ได้บังคับ จะไม่ส่งมาก็ได้ แต่ถ้าต่อไปโดนตระกูลเซี่ยโห้วฮุบไว้ เขาก็จะไม่ออกหน้าให้หรอกนะ จะไม่ได้อะไรเลย หรือจะเอาส่วนแบ่งผลกำไร พวกเจ้าก็พิจารณาเอาเองแล้วกัน นอกจากนี้ ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่ค่อยน่าฟังสักหน่อย ต่อให้พวกเจ้าไปขอพึ่งพาคนอื่น ก็ยังไม่ต้องพูดถึงส่วนแบ่งเลย คนอื่นไม่ให้โอกาสพวกเจ้าได้รวมตัวกันมีกำลังทหารของตัวเองอีกแน่ๆ จะต้องจับพวกเจ้าแยกออกจากกัน ถึงตอนนั้นแม้แต่เศษกระดูกก็ต้องบีบให้พวกเจ้าคายออกมา! เมื่อไม่มีกำลังอำนาจแล้ว บรรดาสาวงามดุจดอกไม้ในบ้านพวกเจ้าจะมีจุดจบเป็นยังไงก็ไม่ต้องให้ข้าพูดเยอะ ข้าอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าพวกเจ้าจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว พวกเจ้าพิจารณาเอาเองแล้วกัน! ก็อย่างที่บอก ข้าไม่บังคับ!”

……………

“ขอรับ บ่าวจะติดต่อไปเดี๋ยวนี้” โกวเยว่พยักหน้าซ้ำๆ เขย่าระฆังดาราติดต่อเฉิงไท่เจ๋ออีก

เห็นได้ชัดว่าผลที่ได้จากการติดต่อครั้งนี้ไม่เลวเลย หลังจากเก็บระฆังดารา โกวเยว่ก็ตอบด้วยใบหน้ายิ้มว่า “ท่านอ๋อง เฉิงไท่เจ๋อบอกแล้ว ตอนนี้บนอาณาเขตของเขาไม่มีการป้องกัน ถ้าเกิดเรื่องอไรขึ้นแล้วดูแลไม่ทั่วถึงก็เป็นเรื่องปกติมาก เกิดเรื่องอะไรขึ้นเขาก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เบื้องล่างจะไม่มีใครรบกวน”

“หึ!” ก่วงลิ่งกงแสยะยิ้ม แล้วหันไปจ้องโกวเยว่ “พวกลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อ ส่วนใหญ่แยกย้ายกันไปก่อเรื่องนี้ตลาดสวรรค์ดาวอื่นแล้ว ต่อให้กำลังรวมตัวกันแต่ก็มาไม่ทันอยู่ดี ดังนั้นตอนนี้ในมือแทบจะไม่มีใครเลย อย่างมากก็มียอดฝีมือไม่กี่คนกับกำลังพลส่วนน้อยคอยคุ้มกัน เป็นโอกาสดีที่จะลงมือ! ให้คนทางนั้นจับตาดูทิศทางการเคลื่อนไหวของหนิวโหย่วเต๋อให้ดี ระดมทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนไปเดี๋ยวนี้ หักไม้กวนอุจจาระด้ามนี้ซะ!”

“รับทราบ!” โกวเยว่เอ่ยรับคำสั่ง ตอนที่เพิ่งจะหยิบระฆังดาราออกมา

“ช้าก่อน!” ใครจะคิดว่าจู่ๆ ก่วงลิ่งกงจะยกมือขึ้นห้ามเขาอีก

โกวเยว่มองเขาอย่างงงงวย จะกลับคำพูดเหรอ?

ก่วงลิ่งกงที่วางมือลงช้าๆ แล้วกล่าวด้วยท่าทางครุ่นคิด “แม้อ๋องผู้นี้จะเหม็นขี้หน้าเจ้าเด็กนั่น แต่ก็ต้องยอมรับ ก็เขาเป็นคนที่ชำนาญการทำศึกจริงๆ ศึกที่น่านฟ้าระกาติง ศึกที่สระน้ำมังกรดำ ไม่มีศึกไหนที่ไม่อาศัยกำลังน้อยโจมตีกำลังมากเลย ไม่ธรรมดาจริงๆ ดูถูกไม่ได้ อิ๋งจิ่วกวงเป็นแบบนั้นก็เพราะดูถูกเขา ไม่มีจุดจบน่าเศร้าอย่างนี้ ข้าไม่เดินรอยตามอิ๋งจิ่วกวงหรอก กำลังพลหนึ่งแสนไม่พอ ระดมกำลังพลหนึ่งล้านแล้วกัน แล้วก็เอายอดฝีมือไปเยอะๆ จะได้ไม่ผิดพลาด กำจัดปัญหาคาราคาซังให้สิ้นซาก!”

“รับทราบ” โกวเยว่เอ่ยรับอีกครั้ง แล้วก็เขย่าระฆังดาราในมือ

“เดี๋ยวก่อน!” ก่วงลิ่งกงยกมือห้ามอีกครั้ง

โกวเยว่ตะลึงงัน กำลังสงสัยว่าวันนี้ท่านอ๋องเป็นอะไรไปแล้ว เหมือนจะไม่มีความเด็ดขาดเหมือนยามปกติ เอาแต่เป็นทุกข์เป็นร้อนในเรื่องผลได้ผลเสียส่วนตัว

ก่วงลิ่งกงยกมือขยี้เครา ครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วบอกว่า “เจ้าหนุ่มนั่นมีฝีมือที่น่าฝึกเลี้ยงจริงๆ ถ้าข้าเก็บไว้ให้ตัวเองใช้งาน จะต้องเป็นดาบคมในมือข้าแน่ ถ้าทำลายไปแบบนี้ก็อาจจะน่าเสียดายไปหน่อย! เอาอย่างนี้ เรื่องนี้จะต้องรักษาความลับให้ดีที่สุด ตอนลงมือถ้าจะเป็นได้ก็พยายามจะเป็นมา ทางที่ดีจับเขามาอย่างเป็นความลับ คิดหาทางทำให้เขายอมจำนนให้ได้ ให้เขาแอบมาพึ่งพาอ๋องผู้นี้ แบบนี้เรื่องจะสวยงามกว่าไหม?”

โกวเยว่ไตร่ตรองเล็กน้อย แล้วพยักหน้าบอกว่า “ตอนนี้กำลังพลที่อยู่ข้างกายเขาคงจะมีไม่เยอะ ความเคลื่อนไหวคงจะไม่คึกโครมมาก บ่าวคิดว่าทำได้ขอรับ!”

“จัดการตามนี้เถอะ!” ก่วงลิ่งกงโบกมือ ตัดสินใจครั้งสุดท้ายแล้ว อารมณ์ผ่อนคลายขึ้นแล้วไม่น้อย

โกวเยว่สังเกตการณ์ หลังจากแน่ใจแล้วว่าเขาจะไม่เปลี่ยนใจอีก ถึงได้แจกจ่ายงานนี้ลงไป…

ปี้เยว่มาแล้ว นางคุ้นเคยกับตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวนที่สุด โดยเฉพาะที่ตำหนักคุ้มเมือง

นางปลอมตัวมา เดินขึ้นไปบนตึกศาลาในสวนด้านหลัง เหมียวอี้มาพบนางด้วยตัวเอง

ปี้เยว่ถอดหน้ากากออก ดวงตาค่อนข้างแดง อารมณ์กังวลที่แสดงออกตรงหว่างคิ้วยากที่จะหายไป

เมื่อเห็นสีหน้าห่อเหี่ยวของนาง เหมียวอี้ก็รู้แล้วว่านางยังกังวลเรื่องเทียนหยวน เขาเองก็เข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงคนนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับไห่ยวนเค่อเป็นอย่างไร เพราะไห่ผิงซินลูกสาวคนนั้นของนางได้พันธนาการนางไว้แล้ว แต่นางก็เป็นภรรยาของเทียนหยวน ไม่ว่าในอดีตเทียนหยวนจะปฏิบัติต่อนางอย่างไร แต่ท่ามกลางสถานการณ์ในตอนนี้ เทียนหยวนยังใส่ใจความปลอดภัยของนางได้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าปี้เยว่รู้สึกอย่างไร

เหมียวอี้รู้สึกทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ พวกที่อยู่แดนอเวจีทำเรื่องอะไรลงไป ทำร้ายให้ผู้หญิงคนนี้ถูกบีบอยู่ระหว่างผู้ชายสองคน จะตัดก็ตัดไม่ขาด

เขายื่นมือเชิญให้ปี้เยว่นั่งลง แล้วรินน้ำชาวางตรงหน้านางด้วยตัวเอง เเขานั่งลงข้างๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้สถานการณ์ของเทียนหยวนเป็นยังไงบ้าง?”

ปี้เยว่จะมีอารมณ์มาดื่มน้ำชาได้อย่างไร นางส่ายหน้าตอบอย่างกลุ้มใจ “ตัดขาดการติดต่อไปแล้ว ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นยังไงกันแน่ ก่อนหน้านี้ตอนเที่ยงติดต่อกันได้ เขากำลังถูกไล่สังหาร ตอนนี้อาจจะ…” นางไม่ได้พูดคำอัปมงคลออกมา น้ำตาร้อนๆ สองสายไหลอาบใบหน้างามแล้ว

เหมียวอี้รีบบอกว่า “เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้องไห้ ข้าถามเจ้าหน่อย นิสัยของเทียนหยวนเป็นยังไง เจ้าก็น่าจะรู้แล้ว ตามที่เจ้ารู้ม จะคิดว่าเทียนหยวนจะถวายชีวิตรับใช้อิ๋งจิ่วกวงจนตายเหรอ?”

ปี้เยว่สะอื้นพลางปาดน้ำตา พอจะเข้าใจความหมายที่เขาสื่อ นางลองไตร่ตรองแล้วบอกว่า “คงจะไม่หรอก เขาฉลาดเรื่องเอาตัวรอด มิหนำซ้ำอิ๋งจิ่วกวงก็ตายไปแล้ว”

เหมียวอี้ปลอบใจนางอย่างเสแสร้งทันที “งั้นก็สิ้นเรื่องแล้ว ขอแค่ไม่ยอมสู้ตายจนถึงที่สุด เขาก็อาจจะอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงแต่ว่าปลอดภัย ถ้าไม่ไหวจริงๆ เขาจะต้องยอมแพ้แน่ อย่างมากก็ลำบากนิดหน่อยเพราะกลายเป็นเชลยศึก ตราบใดที่รักษาชีวิตไว้ได้ ตอนหลังค่อยคิดหาทางอีกก็ยังไม่สาย”

เขากำลังหลอกลวงปี้เยว่ไม่เคยเห็นจริงๆ ว่าศึกใหญ่หน้าตาเป็นอย่างไร การตะลุมบอนขนาดใหญ่แบบนั้น การพลาดสังหารคนฝ่ายตัวเองเป็นเรื่องปกติมาก ถ้าจะยอมแพ้ก็ต้องดูด้วยว่าอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ไม่อย่างนั้นถ้ากำลังฆ่ากันจนตาแดงก็พูดยากแล้ว

ปี้เยว่พยักหน้า รู้สึกเบาใจแล้วไม่น้อย แต่ก็ถามเหมียวอี้อย่างเฝ้าคอยอีกว่า “ตระกูลเซี่ยโห้วรับปากว่าจะช่วยหรือยัง?”

เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ “ข้าเคยไปหาตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว แต่ฝั่งที่ลงมือคือกองทัพองครักษ์ ฝั่งกองทัพองครักษ์นั่น ตระกูลเซี่ยโห้วก็เข้าไปแทรกแซงไม่ได้เหมือนกัน ต่อให้แทรกแซงได้ก็ไม่ให้เขารู้หรอก เขาไม่รับปาก!” เหมียวอี้ส่ายหน้าอย่างจนใจ

เหตุผลนี้ทำให้ปี้เยว่เข้าใจได้ กองทัพองครักษ์คือเนื้อต้องห้ามของประมุขชิง การที่ตระกูลเซี่ยโห้วให้คำตอบแบบนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผล เพียงแต่สีหน้านางก็ดูหดหู่ลงอีกหลายส่วน

เหมียวอี้วกกลับมาประเด็นหลัก “ปี้เยว่ บางอย่างที่เทียนหยวนพูดไว้ก็ไม่ผิด สายฉลูนี้กำลังจะกลายเป็นอาณาเขตของเฉิงไท่เจ๋อโดยสมบูรณ์แล้ว เฉิงไท่เจ๋อจะต้องกำจัดพรรคพวกที่เหลือของอิ๋งจิ่วกวงแน่นอน ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเทียนหยวนก็เห็นๆ กันอยู่ เป็นไปได้ยากที่เฉิงไท่เจ๋อจะปล่อยเจ้าไป ต่อให้ไม่ฆ่าเจ้า แต่เจ้าก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้มีชีวิตที่ดี ไปกับข้าเถอะ ข้าจะขอคำสั่งย้ายจากราชินีสวรรค์ให้ ย้ายเจ้าไปที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลของข้า ยศของเจ้าตอนอยู่ที่นี่ ที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลของข้าก็มีคนยศสูงไม่เยอะ ต่อให้เห็นแก่หน้าไห่ยวนเค่อ พอเจ้าไปแล้วข้าก็จะไม่ปฏิบัติต่อเจ้ายังขาดความยุติธรรม”

ปี้เยว่กลับลังเลตัดสินใจไม่ได้ “เจ้ากับตระกูลอิ๋งวุ่นวายจนกลายเป็นอย่างนั้นแล้ว ที่อิ๋งจิ่วกวงโดนโค่นล้มนั้นเจ้าก็มีส่วน การที่เทียนหยวนตกต่ำจะมีจุดจบแบบนี้ เจ้าก็เป็นสาเหตุหนึ่งเหมือนกัน ถ้าเทียนหยวนโชคดีพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ แต่ข้ากลับไปอยู่กับเจ้าแล้ว ถ้าเขามารู้ทีหลัง ถ้าจะอธิบายยังไงล่ะ?”

เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง “นี่คือคำอธิบายที่ดีมาก! สี่ทัพสมคบกัน มีเพียงจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลที่ไม่ถูกรบกวน ในเวลานี้จะไม่มีทางไปแล้วถึงได้มาหาข้า อาศัยไมตรีในอดีตมาโน้มน้าว ข้าถึงได้ยอมรับไว้ ข้ารับประกันความปลอดภัยให้เจ้า เทียนหยวนควรจะขอบคุณข้าสิถึงจะถูก จนป่านนี้แล้ว ถ้าเทียนหยวนยังเอาแต่คิดถึงอิ๋งจิ่วกวง แบบนั้นต่างหากเรียกว่าสมองมีปัญหา”

ปี้เยว่พยักหน้าเงียบๆ

“เอาล่ะ! เจ้าพักอยู่ที่นี่อย่างสบายใจได้เลย ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย รอข้าจัดการงานที่นี่เสร็จก่อน เจ้าก็ตามข้ากลับไปที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลด้วยกัน ตกลงตามนี้” เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนแล้วตัดสินใจให้ตรงนั้นเลย แล้วก็เรียกฝูชิงเข้ามา ให้พาปี้เยว่ไปพักผ่อน พร้อมสั่งไว้ด้วยว่าให้ดูแลให้ดี อย่าเมินเฉยเย็นชา

เมินเฉยเย็นชาไม่ได้จริงๆ เก็บผู้หญิงคนนี้ไว้ในมือเขายังมีประโยชน์ ที่ลัทธิอู๋เลี่ยงไห่ยวนเค่อกุมอำนาจทางทหารเอาไว้พอสมควร

ตรงนี้เพิ่งจะส่งปี้เยว่ไป หยางเจาชิงก็วิ่งเข้ามารายงานว่า “นายท่าน ข่าวที่อิ๋งจิ่วกวงโดนโค่นล้มเริ่มแพร่ออกไปแล้ว ทางตลาดสวรรค์มีความเคลื่ิอนไหวไม่น้อย”

เหมียวอี้หัวเราะ “มันต้องแพร่ออกไปอยู่แล้ว สถานการณ์ภาพรวมถูกกำหนดแล้ว เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อต้องปลอบขวัญทหาร เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเราแล้ว ปล่อยเขาไปเถอะ” ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ เขาก็ชะงักเล็กน้อย หยิบระฆังดาราอันหนึ่งอกมา รู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย เมื่อครู่นี้ยังพูดเรื่องไห่ยวนเค่ออยู่เลย ตอนนี้ไห่ยวนเค่อส่งข่าวมาแล้ว สงสัยจะได้ยินข่าวมาเหมือนกัน ไม่รู้ว่าคนที่เงียบขรึมพูดน้อยคนนี้ต้องการจะพูดอะไร

เหมียวอี้ถามว่า : ขุนพลใหญ่มีเรื่องอะไรเหรอ?

ไห่ยวนเค่อถาม : ได้ยินว่าอิ๋งจิ่วกวงรบแพ้โดนประหาร เป็นเรื่องจริงหรอ?

เหมียวอี้ : ไม่ผิดหรอก

ไห่ยวนเค่อเงียบไปครู่หนึ่ง ถึงได้ถามว่า : ปี้เยว่จะติดร่างแหไปด้วยหรือเปล่า?

เหมียวอี้ : จะไม่ต้องห่วง นี่หรือที่ข้าจะไม่ใส่ใจเรื่องของเจ้า พอเกิดเรื่องขึ้น ข้าก็รีบเรียกปี้เยว่ไม่อยู่ข้างกายแล้ว จะขอคำสั่งย้ายเดี๋ยวนี้ จะพานางไปแดนรัตติกาลด้วยกัน พอไปถึงอาณาเขตของพวกเราแล้ว จะวางใจได้เลย ไม่ปฏิบัติต่อนางอย่างไร้ความยุติธรรมแน่

ไห่ยวนเค่อเงียบไปอีก ถามอีกว่า : สถานการณ์ของเทียนหยวนเป็นยังไงบ้าง?

เหมียวอี้อึ้งกับคำถามของเขา เจ้าหมอนี่ยังเป็นห่วงเทียนหยวนอีก ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม? เขารู้สึกขำนิดหน่อย ตอบกลับไปว่า : ตอนนี้เป็นตายยังไงยังไม่รู้ชัดเจน! มีความเป็นไปได้สามอย่าง หนีไปแล้ว ตายไปแล้ว ถูกจับไปแล้ว

เขาไม่ได้บอกเรื่องที่ปี้เยว่ห่วงใยเทียนหยวน เขาอยากไม่เข้าไปยุ่งเรื่องความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของคนอื่น

แต่ใครจะคิดว่าไห่ยวนเค่อจะพูดประโยคง่ายๆ ได้ใจความกระจ่าง : เรื่องบางเรื่องสักวันหนึ่งก็ต้องจบลงอยู่ดี ปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไปไม่ได้ ถ้าเทียนหยวนโดนจับเป็น ราชาปราชญ์ก็คิดหาทางช่วยข้ากำจัดเขาทิ้งเถอะ!

“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก เมื่อครู่นี้ยังคิดอยู่เลยว่าไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องในครอบครัวคนอื่น ตอนนี้เรื่องมาถึงตัวแล้ว โหดมากทีเดียว ถ้าเทียนหยวนยังไม่ตาย ไม่น่าเชื่อว่าจะให้ลงดาบซ้ำ

เหมียวอี้พิจารณาเล็กน้อย แล้วตอบว่า : เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะพยายามช่วยจัดการให้เจ้าให้เรียบร้อย!

ไห่ยวนเค่อ : ขอบคุณ!

พูดจบก็หยุดติดต่อกัน

เหมียวอี้เองก็ไม่รู้ ว่าเขากำลังขอบคุณที่ตนช่วยปกป้องปี้เยว่ หรือกำลังขอบคุณที่ตนช่วยเขาสังหารศัตรูหัวใจ หรือไม่ก็ขอบคุณทั้งสองอย่าง

พอเก็บระฆังดาราแล้ว ก็เดินไปตรงหน้าต่างของสวนด้านหลัง มองฝูชิงนำปี้เยว่เดินออกไปด้วยตัวเอง แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ “เรื่องราวในโลกแปรผันไม่หยุดนิ่ง มีคนมากมายทำตามใจตัวเองไม่ได้ มีความเป็นความตายของคนเท่าไหร่รวมอยู่ในนั้น!”

หยางเจาชิงที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง

ตรงจุดที่อยู่ห่างไกลจากตลาดสวรรค์ คนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า ผู้ที่นำหน้ามาก็คือลิ่งหูโต้วจ้งที่ปลอมตัวแล้ว แม่ทัพที่ติดตามมาล้วนเปลี่ยนใบหน้าแล้วทั้งหมด

ลิ่งหูโต้วจ้งเอียงหน้าบอกใบ้ มีคนหลายคนกระจายกันเข้าไปล้อมลาดสวรรค์ไว้ทันที ต้องเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดรอบนอกตลาดสวรรค์

ส่วนลิ่งหูโต้วจ้งก็รีบนำคนไปที่นอกประตูเมืองของตลาดสวรรค์ เข้าไปทางประตูตะวันออก หลังจากเข้าเมืองมาแล้ว ท่ามกลางผู้ติดตามก็มีบางคนแฝงตัวเดินอยู่ตามถนนเงียบๆ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะได้รับผิดชอบรับมืออยู่ในเมือง

หลังจากยืนยันแล้วว่าวางกำลังไว้ข้างนอกและข้างในอย่างเหมาะสม ลิ่งหูโต้วจ้งถึงได้ติดต่อเส้าเซียงหัวฮูหยินของตัวเอง ให้นางติดต่ออวิ๋นจือชิวให้บอกข่าวเหมียวอี้ ว่าเขามาถึงแล้ว!

ไม่ได้บอกเหมียวอี้ล่วงหน้าว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้บอกเช่นกันว่าตัวเองถึงไหนแล้ว

ในตำหนักคุ้มเมืองมีคนออกมาต้อนรับอย่างรวดเร็ว แล้วนำพวกลิ่งหูโต้วจ้งเข้าไปข้างใน ไม่มีใครตรวจสอบพวกเขา

สำหรับเรื่องนี้ ลิ่งหูโต้วจ้งรู้สึกผิดคาด ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ยอมให้จับกุมแต่โดยดี จะต้องมีกำลังทหารมากมายตามมาด้วยแน่นอน แต่นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะกล้ามาเจอเขาโดยไม่ค้นตัวเขา ไม่รู้ว่าใจกล้าจริงๆ หรือว่ามีอุบาย ที่จริงแล้วตัวคนไม่ได้อยู่ที่นี่เลย อดไม่ได้ที่จะใช้สายตาบอกใบ้ให้คนทางซ้ายและขวาระวังตัว เตรียมพร้อมรับมือตลอดเวลา

………………

ราชินีสวรรค์ส่งข่าวกลับมาแล้ว เหมียวอี้ที่อยู่บนหอประตูเมืองฉีกหน้ากากบนใบหน้าออก แล้วหันไปประกาศข่าวต่อทุกคนด้วยรอยยิ้มว่า “เถิงเฟย เฉิงไท่เจ๋อก่อกกบฎแล้ว อิ๋งจิ่วกวงรบแพ้โดนประหาร ถูกกองทัพองครักษ์จัดการแล้ว สถานการณ์ภาพรวมถูกกำหนดแล้ว สามารถเผยโฉมหน้าที่แท้จริงได้แล้ว” พูดจบก็เดินตรงไปที่บันไดทางเข้า

พวกหยางเจาชิงเดินตามไป ทยอยกันถอดหน้ากากออก มีเพียงซิงที่ไม่สะทกสะท้าน นางไม่คุ้นชิดกับกันเผยตัวในที่สาธารณะ

ชิงเยว่ที่เดินตามตกตะลึงมาก อิ๋งจิ่วกวงล้มแล้วเหรอ?

ความตกตะลึงในใจฝูชิงยากจะบรรยายออกมาได้ ขณะมองตามเหมียวอี้เดินลงตึกไป ในใจก็บรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ยาก

เมื่อเดินลงมาบนหอประตูเมือง แล้วเห็นคนในร้านค้าของขุนนางใหญ่ที่ถูกคุมตัวไว้ เหมียวอี้ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ “ปล่อยไปให้หมด คลายผนึกประตูเมืองทั้งสี่ด้าน ให้อิสระกับพ่อค้าด้วย แจ้งให้ตลาดสวรรค์แต่ละแห่งทำแบบนี้”

“รับทราบ!” หยางเจาชิงกับฝูชิงเอ่ยรับ

กลุ่มคนที่ถูกจับและถูกตั้งกลุ่มชั่วคราวบนหอประตูเมืองแยกย้ายกันทันที ทหารยามถล่มเปิดหอประตูเมืองแล้ว คลายผนึกประตูเมืองทั้งสี่ด้านพร้อมกัน

เพียงแต่มีคนไม่น้อยมองเหมียวอี้ด้วยความประหลาดใจ แค่เห็นลักษณะท่าทางก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา ข้างกายมียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์อยู่ด้วย แม้แต่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อย่างฝูชิงก็มีสิทธิ์แค่ยืนหลีกอยู่ข้างๆ แค่คิดก็รู้แล้วว่าคนผู้นี้มีฐานะเป็นอย่างไร

“นานมากแล้วที่ไม่ได้เดินตลาดที่นี่” เหมียวอี้กล่าวอย่างทอดถอนใจขณะเดินอยู่บนถนน ที่จริงเขาไม่มีอารมณ์มาเดินตลาด แต่เพื่อแสดงความจริงใจให้ลิ่งหูโต้วจ้งเห็น เขาเชื่อว่าอีกไม่นานลิ่งหูโต้วจ้งก็จะรู้

พอฝูชิงเห็นดังนั้น ทหารสวรรค์หายสิบคนมาเบิกทางข้างหน้าให้ ให้พ่อค้าบนถนนหลีกทางให้สองฝั่ง

“ผู้จัดการร้าน คนนี้คือใครกัน?” ตรงประตูร้านค้ามีคนถ่ายทอดเสียงถามผู้จัดการร้าน

ผู้จัดการร้านมองเหมียวอี้อย่างเหม่อลอยเล็กน้อย หลังจากดึงสติกลับมาแล้ว ก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงตอบทันทีว่า “คนที่กล้าเล่นแบบนี้ที่ตลาดสวรรค์ยังจะมีใครได้อีก? หัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ทูตลาดตระเวนตลาดสวรรค์หนิวโหย่วเต๋อไง! แต่ไม่ได้เห็นเขามาหลายปีแล้ว ทำไมมาโผล่อยู่ที่นี่อีก”

“โอ้โฮ นั่นใครน่ะ? มันไม่ใช่หนิวโหย่วเต๋อหรอกเหรอ?”

“จุจุ ข้าก็ว่าใครมันใจกล้าตัดหัวคนของตระกูลอิ๋ง ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง!”

“เถ้าแก่ เขาคือใครเหรอ?”

“หนิวโหย่วเต๋อไม่เคยได้ยินเหรอ? เขาเคยเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของที่นี่ ตอนนี้เป็นผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์ ควบตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้ว”

“เด็กดี หนิวโหย่วเต๋อไง เขานำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ตีทัพใหญ่หนึ่งล้านแตกพ่าย ที่ศึกสระน้ำมังกรดำก็นำกำลังพลหนึ่งแสนตีทัพตะวันออกห้าล้านแตกพ่าย!”

“สาวๆ รีบมาดูสิ หนิวโหย่วเต๋อ หนิวโหย่วเต๋อมาแล้วจริงๆ”

หอมงกุฎงาม ท่านแม่เฝิงยื่นตัวออกจากหน้าต่างบนตึก ชะโงกหน้ามองถนนอยู่ไกลๆ นางสะบัดผ้าเช็ดหน้าเรียกคนในห้องอย่างตื่นเต้น

ผ่านไปไม่นาน กลุ่มสาวงามที่ส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจก็เบียดกันยื่นศีรษะออกจากหน้าต่างหลายบาน แต่ละคนตาลุกวาว

“เขาก็คือหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลหนิวโหย่วเต๋อไง! มีสง่าราศีไม่ธรรมดาจริงๆด้วย!”

“พี่เขาลือกันเป็นเรื่องจริง รีบมาดูสิ ข้างกายเขามียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ติดตามด้วย”

“ท่านแม่ ทำไมไม่เห็นพี่เฟยหงล่ะ?”

“พี่เฟยหงของพวกเจ้าบินขึ้นยอดไม้ไปแล้ว เสพสุขกับเกียรติยศเงินทองเต็มที่กลายเป็นคนที่ดูแพงมาก ขนาดท่านแม่อย่างข้าอยากจะเข้าใกล้ก็ยังทำไม่ได้เลย พวกว่าพวกเจ้าอยากเห็นแล้วก็เห็นได้ นึกถึงในปีนั้นสิ ไม่มีใครเห็นดีด้วยกับนายท่านหนิวสักคน ตอนนี้ใครจะไปคาดคิดล่ะ กลายเป็นผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์ซะแล้ว ข้ามระดับท่านโหวไปแล้ว อีกนิดเดียวก็จะได้เข้าประชุมขุนนางแล้ว เฟยหงช่างมีวาสนาจริงๆ!” ท่านแม่เฝิงอุทานด้วยความทึ่ง จากนั้นก็พูดกับสาวงามชุดขาวที่คลุมผ้ามุ้งบนใบหน้าว่า “โยวหวน เห็นหรือยังล่ะ ถ้าอยากได้ดีก็ต้องกลายเป็นดาวเด่นให้ได้! เฟยหงจากหอมงกุฎงามได้ดีก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เสวี่ยหลิงหลงดาวเด่นของหอกลิ่นสวรรค์ในปีนั้น ตอนนี้เป็นภรรยาเอกของรองหัวหน้าภาคสวีเชียวนะ แต่ละคนล้วนได้ดี เราก็ต้องพยายามเข้านะ!”

สาวงามชุดขาวที่อยู่ข้างหลังมองเหมียวอี้เดินมาตลอดทาง นางเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ท่านแม่ เขาลือกันว่าคนของหอกลิ่นสวรรค์หายไปเกี่ยวข้องกับรองหัวหน้าภาคสวีคนนั้น ลูกสาวแนะนำว่าต่อไปนี้ ท่านอย่าดึงพี่เฟยหงมาเกี่ยวข้องกับหอมงกุฎงามอีกเลย ฐานะของพี่เฟยหงตอนนี้ไม่ธรรมดาแล้ว ไม่ควรเอ่ยถึงเรื่องที่เกี่ยวกับหอมงกุฎงามอีก ถ้าข่าวแพร่ไปออกไป จะไม่ดีต่อพวกเรา สำหรับอีกฝ่าย ชีวิตอันไร้ค่าของพวกเราเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่คุ้มเงินทอง”

ท่านแม่เฝิงตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ตัวสั่นด้วยความกลัว รีบบอกคนของหอมงกุฎงามว่าต่อไปนี้ห้ามเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก

เหมียวอี้เดินมาตลอดทาง สองริมฝั่งถนนซุบซิบกันไม่หยุด บางคนก็ทำสายตาอิจฉา บางคนก็ทำสายตาริษยา บางคนก็หวาดกลัว ร้านค้าของตระกูลอิ๋งถูกกวาดล้างไปแล้ว ถูกตัดหัวไปแล้ว ทุกคนต่างก็กำลังแอบพึมพำว่า พอท่านนี้มาถึงตลาดสวรรค์ ก็มีหัวคนร่วงลงพื้นทันที!

รอจนกระทั่งจบเรื่องแล้วรู้ข่าว รู้ว่าเหมียวอี้ตัดหัวคนที่ตลาดสวรรค์ไปแล้วรอบหนึ่ง ที่นี่ก็ยิ่งฮือฮาเข้าไปใหญ่ เพราะว่าท่านนี้ช่างจองเวรจองกรรมตลาดสวรรค์!

กลับเข้ามาในตำหนักคุ้มเมืองได้ไม่นาน เหมียวอี้ก็ได้ข่าวจากราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อีก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ราวกับเป็นบ้าไปแล้ว ให้เขาคิดหาวิธีการทำให้สนมสวรรค์จ้านหรูอี้ตาย!

เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก จ้านหรูอี้ได้รับการปกป้องจากราชันสวรรค์อยู่ที่วังสวรรค์ ต่อให้เขาเก่งกาจขนาดไหนก็แตะต้องไม่ได้ จะให้ฆ่าอย่างไรล่ะ? เป็นภารกิจที่ไม่มีทางสำเร็จ!

หลังจากอธิบายความเป็นไปไม่ได้แล้ว เขาก็ใช้อีกเรื่องหนึ่งมาเบี่ยงเบนความสนใจของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ บอกว่าในมือเขากำลังวางแผนเรื่องใหญ่ ถ้าทำสำเร็จเมื่อไหร่ ก็จะทำให้ในมือนางมีกำลังทหารห้าสิบล้าน!

เรื่องนี้ทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตะลึงค้างแล้วจริงๆ นางโยนเรื่องของจ้านหรูอี้เอาไว้ชั่วคราว แล้วถามว่าเรื่องเป็นอย่างไร

เหมียวอี้บอกว่าตอนนี้ยังอยู่ระหว่างติดต่อพูดคุย รอให้มีเค้าเรื่องก่อนแล้วค่อยรายงานอีกที ไม่กล้าพูดเรื่องที่ไม่มั่นใจซี้ซั้วต่อหน้าราชินีสวรรค์ ดังนั้นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จึงกล่าวชมเขา เรื่องที่กำจัดอิ๋งจิ่วกวงได้ นางก็ย่อมต้องชมเชย บอกว่านางจะรอฟังข่าวดีจากเขาอยู่ที่ตำหนักนารีสวรรค์

กำลังพลห้าสิบล้าน! เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักนารีสวรรค์ ตอนนี้ความโกรธแค้นถูกกวาดหายไปหมดแล้ว ในใจนางเฝ้ารอมาก ถ้าได้คุมกำลังพลมากขนาดนี้เมื่อไหร่ ตราบใดที่หนิวโหย่วเต๋อแน่วแน่ว่าจะเชื่อฟังนาง เกรงว่าแม้แต่ราชันสวรรค์ก็ต้องไว้หน้านางบ้าง ในมือมีอำนาจทางทหารแล้ว ยามพูดจาก็ย่อมแข็งข้อได้ ถ้าแนวโน้มสถานการณ์เป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักวันที่ตัวเองหลุดพ้นจากการควบคุมของตระกูลเซี่ยโห้วก็ได้ แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว แอบทึ่งไม่หยุด หนิวโหย่วเต๋อช่างเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถของหน้าจริงๆ!

หลังจากเดินไปเดินมาอยู่นาน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็แอบตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ว่าถ้าหนิวโหย่วเต๋อสามารถนำเรื่องน่ายินดีที่ใหญ่โตขนาดนั้นมาสู่นางได้ นางก็จะพยายามสุดความสามารถเพื่อหาบรรดาศักดิ์ใหญ่โตให้อวิ๋นจือชิว ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อให้ความสำคัญกับฮูหยินคนนั้นมาก

ถึงแม้ในสายตานางจะค่อนข้างดูถูกผู้หญิงพี่เคยแต่งงานแล้วยังอวิ๋นจือชิว แต่ก็ช่วยไม่ได้ นางจำเป็นต้องดึงหนิวโหย่วเต๋อมาเข้าพวกให้ได้!

ส่วนในตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้ที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในสวนดอกไม้ สุดท้ายก็หยุดเดินแล้วเงยหน้ามองฟ้า เขาถอนหายใจเบาๆ นึกไม่ถึงว่าจ้านหรูอี้ยังไม่ตาย เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าประมุขชิงจะยังปกป้อง จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าประมุขชิงรักจ้านหรูอี้ถึงขั้นไหน

ถ้ามองจากบางมุม เขายอมให้จ้านหรูอี้ตายไปเสียเลยดีกว่า เรื่องบางเรื่องจะได้จบๆ ไป ถ้ายังไม่ตายความรู้สึกผิดในใจเขาก็ยังไม่หายไปสักที

ในปีนั้นปฏิเสธจ้านหรูอี้ ตอนนี้ก็คนล้มทั้งตระกูลของอิ๋งจิ่วกวง ตอนที่เขาเคยอยู่อุทยานหลวง เขาก็พอจะรู้เรื่องของวังหลังอยู่บ้าง เมื่อไม่มีตระกูลอิ๋งปกป้องแล้ว จากนี้ก็จินตนาการได้เลยว่าชีวิตของจ้านหรูอี้ในวังจะเป็นอย่างไร เขาไม่รู้ว่าตอนนี้จ้านหรูอี้แค้นเขาไปถึงขั้นไหนแล้ว

เขาไม่รู้ว่าควรจะมองจ้านหรูอี้เป็นปัญหาเรื้อรังหรือเปล่า ประมุขชิงรักและโปรดปรานขนาดนี้ ถ้าจ้านหรูอี้ต้องการจะล้างแค้นขึ้นมา ก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาเลยจริงๆ…

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ในห้องหนังสือ ก่วงลิ่งกงหลับตานั่งอยู่บนเก้าอี้ จิตใจเซื่องซึม ถึงขั้นดูไร้ชีวิตชีวา ดูไม่มีพลังอำนาจเหมือนในอดีตแล้ว

การตายของอิ๋งจิ่วกวงส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเขามาก จะเรียกว่ากระต่ายสิ้นใจจิ้งจอกร่ำไห้ก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป วิธีการแข็งกร้าวของประมุขชิงทำให้เขาโกรธแค้นมาก ถึงขนาดสงสัยว่าคนต่อไปที่จะถูกลงดาบคือพวกเขาหรือเปล่า เขาเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะร่วมมือกับท่านอ๋องที่เหลือก่อกบฏ ทว่าสุดท้ายก็ดับความคิดนี้ไป เพราะไม่มีโอกาสชนะ!

โกวเยว่ที่ถือระฆังดาราอยู่ข้างๆ รายงานเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง คนของพวกเราที่ตลาดสวรรค์ถูกหนิวโหย่วเต๋อปล่อยตัวแล้ว แล้วหนิวโหย่วเต๋อก็ปรากฏตัวที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนด้วย ดูจากสถานการณ์แล้ว ตอนที่เกิดเรื่อง เขาคงจะหลบอยู่ในตลาดสวรรค์และคอยบัญชาการมาตลอด”

ก่วงลิ่งกงลืมตาอย่างช้าๆ แล้วจู่ๆ ก็แสยะยิ้มไม่หยุด ปั้ง! สุดท้ายก็ตบโต๊ะ “ใจกล้าไม่เบา ทั้งยังกล้าเปิดหน้าโอ้อวดอยู่ในอาณาเขตของสี่ทัพ! เรื่องสำนักลมปราณข้ายังไม่ได้สะสางบัญชีกับเขาเลย ยังกล้ามาเข้าร่วมเรื่องนี้อีก ก็ได้ สะสางทั้งบัญชีเก่าบัญชีใหม่พร้อมกันไปเลย ดาวเทียนหยวนเป็นอาณาเขตของเฉิงไท่เจ๋อใช่มั้ย?”

โกวเยว่พยักหน้า “ใช่ขอรับ”

ก่วงลิ่งกงแสยะยิ้ม “แจ้งเฉิงไท่เจ๋อ ว่าข้าไม่อยากเห็นหนิวโหย่วเต๋อมีชีวิตรอดออกจากอาณาเขตของเขา!”

“รับทราบ!” โกวเยว่เอ่ยรับคำสั่ง แล้วรีบติดต่อเฉิงไท่เจ๋อ ทว่าหลังจากติดต่อแล้ว ผลที่ได้ก็ไม่ค่อยน่าพอใจ ถือระฆังดาราพลางทำท่าอึกอักพูดไม่ออก แต่จะไม่พูดก็ไม่ได้ ต่อให้ท่านอ๋องอารมณ์ไม่ดี แต่เขาก็ต้องแข็งใจรายงานว่า “ท่านอ๋อง เฉิงไท่เจ๋อบอกว่าเขายังอยู่ที่รังเดิมของอิ๋งจิ่วกวง กำลังร่วมมือกับเถิงเฟยเพื่อล้อมปราบทหารที้เหลือ ยังต้องปรึกษากับเถิงเฟยเรื่องแบ่งอาณาเขตอีก งานยุ่งมาก ส่วนที่เทียนหยวนก็ไม่มีกำลังพลของเขา เกรงว่าจะทำให้ท่านอ๋องผิดหวังแล้ว”

ก่วงลิ่งกงพลันยืนขึ้น ตะคอกอย่างเดือดดาลว่า “ข้ออ้าง! ตอนนี้จะรีบดึงกำลังพลมาสักกลุ่มไม่ได้เชียวเหรอ? เขายังมีความจริงใจจะร่วมงานกันอยู่หรือเปล่า?”

“ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ!” โกวเยว่กุมหมัดคารวะ รู้ว่าตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดี ไม่ค่อยสุขุม จึงพูดปลอบว่า “ท่านอ๋อง พอจะเข้าใจความคิดของเฉิงไท่เจ๋อได้ ตอนนี้เรื่องที่ประมุขชิงสัญญากับเขาก็ยังไม่เป็นจริง ตอนนี้ถ้าให้เขาลอบสังหารผู้ตรวจการใหญ่ ก็ไม่รู้ว่าจะยั่วโมโหประมุขชิงหรือเปล่า ในเวลานี้เขาจะปล่อยให้มีปัญหาอื่นเข้ามาแทรกได้อย่างไรขอรับ?”

ก่วงลิ่งกงเองก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล เพียงแต่ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ เมื่ออธิบายเหตุผลชัดเจนแล้ว เขาก็ย่อมเข้าใจ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็บอกว่า “บอกเขาไป ในเมื่อเขาลำบากใจ ข้าก็ไม่บังคับ แต่ถ้าข้าจะระดมกำลังพลกลุ่มหนึ่งเข้าไปจัดการเรื่องนี้ในอาณาเขตเขา ก็คงได้ใช่มั้ย?”

…………

เขาไม่ค่อยเข้าใจ ถึงได้บอกให้อวิ๋นจือชิวรอสักครู่ จากนั้นติดต่อหยางชิ่ง เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง ให้หยางชิ่งช่วยออกความเห็นสักหน่อย อย่างไรเสียหลายปีมานี้หยางชิ่งก็ศึกษานิสัยคนในราชสำนักมาตลอด

หลังจากหยางชิ่งพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ก็ตอบกลับมาว่า : เกรงว่าจะต้องยินดีกับนายท่านแล้ว เมื่อได้กำลังพลห้าสิบล้านนี้ไป นายท่านก็จะได้เป็นเจ้าอาณาเขตสมคำร่ำลือแล้ว วันหลังไม่ว่าใครคิดจะแตะต้องนายท่านก็ต้องชั่งน้ำหนักผลที่ตามมาอยู่สักหน่อย!

กำลังพลห้าสิบล้าน? ยังจะแสดงความยินดีอีกเหรอ? เหมียวอี้กลอกตา เขาเองก็อยากได้ ตอนนี้กำลังขาดคนอยู่พอดี ทัพใหญ่หนึ่งแสนในมือถูกเขาพาทำศึกจนตายไปแล้วเกือบสี่หมื่น แม้จะทุ่มทรัพยากรมหาศาลเพื่อปลอบขวัญกำลังใจทหาร ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าทุ่มเทชีวิตทำงานให้เขานั้นคุ้มค่า แต่ก็ยังแก้ไขปัญหาเรื่องขาดคนไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ใช่ว่ารับไว้ได้หมดทุกคน!

เขาสงสัยนิดหน่อยว่าหยางชิ่งกำลังล้อเขาเล่นหรือเปล่า ถามว่า : เจ้าต้องอธิบายให้ชัดเจนนะ ข้าจะกลืนไหวเหรอ? กระเพาะไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น จะท้องแตกตายเอาได้!

หยางชิ่ง : ไม่ใช่ว่านายท่านกลืนไม่ไหว แต่ประมุขชิงอยากจะกลืนไหว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ แผนการที่เราวางไว้กับชิงหยวนจุนน่าจะเกิดผลต่อเนื่องแล้ว ประมุขชิงอยากจะสร้างกำลังพลสายตรงให้ชิงหยวนจุน เมื่อมีประมุขชิงแอบสนับสนุน นายท่านก็กลืนไหวอยู่แล้ว

เหมียวอี้แปลกใจ : ประมุขชิงอยากจะกลืนไว้เอง ทำไมย้งต้องอ้อมค้อมแบบนี้?

หยางชิ่ง : ถ้าเขาปลืนไว้โดยตรงก็ไม่มีข้ออ้างน่ะสิ! ในกำลังพลกลุ่มนี้ ใครจะไปรู้บ้างว่ามีสายลับของคนอื่นอยู่มากน้อยเท่าไร เขาไม่มีทางใส่เข้าไปในกองทัพองครักษ์ง่ายๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือ สี่ทัพไม่ตอบตกลงแน่นอน จะต้องวิจารณ์โจมตีอย่างรุนแรง ไม่มีทางปล่อยให้กำลังทหารในมือประมุขชิงมีมากกว่านี้ นายท่านลองจินตนาการดูสิ พอกำจัดอิ๋งจิ่วกวงแล้ว ประมุขชิงจะต้องให้คำชี้แจงกับคนในใต้หล้า จะฆ่าอ๋องคนหนึ่งโดยไร้เหตุผลไม่ได้หรอก มีความเป็นไปได้สูงว่าจะใช้ข้อหากบฏ แล้วลิ่งหูโต้วจ้งนั่น อย่างน้อยก็ช่วยเหลือกบฏ สิ่งนี้ทำให้ประมุขชิงไม่สะดวกจะกลืนไว้ แต่ถ้าโยนไว้ที่แดนรัตติกาลนั้นไม่เหมือนกัน เรียกได้ว่าเนรเทศ สามารถเรียกได้ว่าเป็นการลงโทษ เท่ากับให้คำชี้แจงกับภายนอกได้แล้ว!

เหมียวอี้ : แต่ข้ากลืนไม่ไหวหรอก กำลังพลสายตรงห้าสิบล้านของลิ่งหูโต้วจ้ง มันไม่ใช่ของเด็กเล่นนะ ถ้ารับพวกเขาไว้ ถึงตอนนั้นข้าไม่ถูกปล้นอำนาจไปหมดเหรอ แล้วใครจะเชื่อฟังใครกันแน่?

หยางชิ่ง : ดังนั้นประมุขชิงถึงได้ให้ลิ่งหูโต้วจ้งจัดการนายท่านให้ได้ก่อนไง ทำไมประมุขชิงถึงเตรียมการแบบนี้ล่ะ? ก็เพราะจะให้โอกาสนายท่าน ให้โอกาสนายท่านมีความมั่นใจที่จะกลืนลงไป นายท่านสามารถคิดได้เลยว่าจะทำอะไรที่มีประโยชน์กับตัวเอง ขอเพียงกลืนกำลังพลกลุ่มนี้ไว้ให้ได้ก็พอ นายท่าน แบบนี้เรียกฟ้าฟ้าดินเป็นใจแล้ว! ลิ่งหูโต้วจ้งไม่มีทางไปแล้ว ตราบใดที่นายท่านไม่บีบพวกเขาให้จนตรอก โดยพื้นฐานก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ตราบใดที่เราไม่ทำอะไรซี้ซั้ว ประมุขชิงก็จะหลับตาข้างเดียวแล้วอนุญาต โอกาสดีแบบนี้จะพลาดได้ยังไง!

เหมียวอี้หัวใจเต้นรัว แต่ก็สงสัยนิดหน่อย ถามว่า : แต่เจ้าก็บอกนี่ว่าในนั้นอาจจะมีสายลับอยู่ไม่น้อย รับคนพวกนี้ไว้จะเหมาะสมเหรอ?

หยางชิ่ง : นายท่านคิดมากไปแล้ว เมื่อเบื้องล่างมีคนมากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็เลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่แค่ตอนนี้ แต่ในภายหลังก็จะเป็นแบบนี้เช่นกัน อำนาจฝ่ายไหนบ้างที่กล้ารับประกันว่าคนฝั่งตัวเองไม่มีสายลับของคนอื่นแทรกอยู่ สุดท้ายก็ต้องเผชิญหน้า ทำได้เพียงต้องระวังให้มากขึ้น จะปล่อยให้ความกังวลนี้ทำให้ทิ้งโอกาสที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ ถึงขั้นทำให้ก้าวขาเดินไปข้างหน้าต่อไม่ได้

เหมียวอี้แอบส่ายหน้า คิดมากเกินไปจริงๆ เขาสบายใจแล้ว เกิดความฮึกเหิมขึ้นแล้วด้วย ถามว่า : ดูท่าแล้ว ในใจเจ้าคงจะมีแผนแล้วสินะว่าจะลงมือยังไง?

หยางชิ่งก็ไม่ปิดบังเช่นกัน บอกไปว่า : ลดยศก่อน! ลดยศและตำแหน่งของคนพวกนั้นให้อยู่ระดับต่ำสุด ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งอะไร แต่พวกเขาคือผู้มีความผิด ไม่มีอะไรน่ากังวล ลดตำแหน่งจนพวกเขาไม่มีคุณสมบัติในการควบคุมอำนาจทางทหาร ทัพใหญ่แดนรัตติกาลผ่านความเป็นความตายเพื่อนายท่าน คนเกือบครึ่งทำศึกตายเพราะนายท่าน มีคนมากมายที่มีแค่ตำแหน่ง แต่เบื้องล่างกลับไม่มีลูกน้อง ถึงเวลาที่ควรจะทำให้พวกเขาได้ยินดีปรีดาบ้างแล้ว เมื่อลดตำแหน่งแบบนี้แล้ว ประมุขชิงก็จะให้คำชี้แจงกับคนอื่นได้เช่นกัน พิสูจน์แล้วว่ากำลังเนรเทศนักโทษจริงๆ แบบนี้ถึงจะอุดปากคนอื่นได้สะดวก อำนาจฝ่ายอื่น ไม่เห็นว่าลิ่งหูโต้วจ้งและพรรคพวกถูกตัดอำนาจทางทหารแล้ว ก็จะไม่สืบสาวเอาเรื่อง จะให้เวลานายท่านได้ย่อยอย่างช้าๆ…

ทั้งสองเริ่มปรึกษากันถึงรายละเอียดที่จะเจรจากับลิ่งหูโต้วจ้ง

หลังจากปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็ยังกังวลนิดหน่อย : ถึงยังไงในกำลังพลกลุ่มนี้ ก็มีคนไม่น้อยที่เคยอยู่ในตำแหน่งสูงเมื่อก่อน ตำแหน่งที่ร่วงลงมาครั้งนี้ต่างกันมาก ถ้ากลัวว่าพวกเขาจะทำใจยอมรับได้ยาก ทำให้ใจมีความแค้นขึ้นมาก็จะยุ่งยากแล้ว ต่อให้ตัดอำนาจทางทหารยังไง ต่อให้ตอบตกลงได้เพราะสถานการณ์ตรงหน้าบีบบังคับ แต่ในวันข้างหน้าล่ะ? เกรงว่าพวกเขาคงแอบติดต่อสัมพันธ์ตามลำดับ คงไม่อยู่ในโอวาท ถ้าอยากจะย่อยช้าๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ!

หยางชิ่ง : เรื่องนี้ยากตรงไหน แค่พูดประโยคเดียวเพื่อดับความคับแค้นของพวกเขาก็พอ

เหมียวอี้รีบถาม : ยังไงหรอ?

หยางชิ่ง : นายท่านแค่ต้องบอกพวกเขาประโยคเดียว ข้าคือคนขององค์ชาย!

เหมียวอี้ตะลึงงาน จากนั้นก็ตาเป็นประกาย อุทานในใจว่าสุดยอดไปเลย!

หยางชิ่งพูดต่อว่า : เมื่อมีประโยคนี้ข่มไว้ ก็มีเวลาเพียงพอที่จะให้นายท่านย่อยพวกเขาแล้ว ในช่วงแรกลิ่งหูโต้วจ้งจะต้องช่วยนายท่านปลอบขวัญเบื้องล่างแน่นอน เมื่อเวลานั้นไป ใจคนจะเริ่มไล่ตามผลประโยชน์ ใครมีอำนาจตัดสินใจที่แดนรัตติกาล ใครจะให้อนาคตกับพวกเขาได้ ทุกคนยังมองไม่เห็นอีกหรือ? ใช่สิ่งที่คนพวกนี้พูดปากเปล่าแล้วจะก้าวร้าวได้เหรอ นอกจากนี้ จะต้องมีคนไม่น้อยที่พาครอบครัวมาพึ่งพาด้วย ดาวจันทร์อี่มีพื้นที่เล็กน้อยแค่นั้น เลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอหน้ากันบ่อยๆ อาศัยความสามารถของฮูหยิน รับมือได้อย่างราบรื่นอยู่แล้ว เรื่องนี้ต้องสำเร็จแน่นอน!

เหมียวอี้ตกๆอย่างตื่นเต้นทันที : ดี! งั้นเอาตามนี้ ถ้าจะติดต่อไปเจรจากับลิ่งหูโต้วจ้งทันที!

หยางชิ่งกลับเตือนว่า : นายท่านต้องระวังหน่อย ทางฝั่งลิ่งหูโต้วจ้งเคยเป็นกำลังพลสายตระกูลอิ๋ง นายท่านก็รู้เรื่องที่วังหลังดี เกรงว่าทางฝั่งราชินีสวรรค์จะไม่พอใจ ผู้หญิงคนนั้นไม่ใจกว้างหรอก ต้องปลอบโยนให้เหมาะสม ถึงยังไงเรื่องที่ตลาดสวรรค์ก็ยังต้องขอความร่วมมือจากนาง!

เหมียวอี้ : เรื่องนี้จัดการง่าย!

หลังจากทั้งสองติดต่อกันจบแล้ว เหมียวอี้ก็ติดต่อหาอวิ๋นจือชิวทันที ให้อวิ๋นจือชิวคำว่าลิ่งหูโต้วจ้งอยู่ตรงไหน ฝากข้อความกันไปกันมาแบบนี้ไม่สะดวก ต้องการจะเจรจาแบบต่อหน้ากับลิ่งหูโต้วจ้ง

อวิ๋นจือชิวหวาดระแวงกลัว : หนิวเอ้อร์ กำลังพลห้าสิบล้านเป็นยังไง คงไม่ต้องให้ข้าพูดเยอะหรอกมั้ง? เจ้าอยากจะรับพวกเขาไว้จริงหรอ?

เหมียวอี้ : ในใจข้ามีข้อมูลเยอะกว่าเจ้า เรื่องมันยาวพูดให้เข้าใจตอนนี้ไม่ได้ ข้ากับหยางชิ่งปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยววันหลังค่อยอธิบายให้เจ้าฟัง จะไปทำตามที่ข้าบอกก็พอ

ติดต่อลิ่งหูโต้วจ้งผ่านเส้าเซียงหัวก็ย่อมไม่ยาก แต่ลิ่งหูโต้วจ้งระมัดระวังตัวสูงมาก ไม่ยอมเปิดเผยว่าตอนนี้ทัพใหญ่อยู่ตรงไหน บอกว่าไปถึงแดนรัตติกาลก่อนแล้วคุยต่อหน้าก็ยังไม่สาย

เหมียวอี้ไม่อยากชักช้าร่ำไร คาดการณ์จากเวลา อีกฝ่ายน่าจะยังไม่ออกจากเขตทัพตะวันออก จึงให้เขาไปที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนโดยตรง เพื่อทำลายความเคลือบแคลง เหมียวอี้บอกว่าทำแบบนี้จะพิสูจน์ความจริงใจของเขาได้ ถ้าลิ่งหูโต้วจ้งไม่อยากเจรจาก็ไม่ต้องมา

ตรงนี้เพิ่งจะนัดกันเสร็จ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ส่งข่าวมาแล้ว นั่งคุยกับประมุขชิงเรียบร้อยแล้ว

พ่อออกจากตำหนักดาราจักร เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รู้สึกสบายใจเป็นพิเศษ นำเอ๋อเหมยที่รออยู่ข้างนอกเดินออกไปด้วยกัน เดินพูดคุยยิ้มแย้มกันไปตลอดทาง

ตอนที่ใกล้จะถึงตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็มองไปทางตำหนักบูรพาโดยจิตใต้สำนึก นางหันตัวไป ยังไม่กลับตำหนักนารีสวรรค์ แต่เดินไปทางตำหนักบูรพาแทน อยากจะไปดูสักหน่อย

พอมาถึงประตูตำหนักบูรพา ก็สังเกตได้ถึงความไม่ปกติ ทหารยามเหมือนจะเยอะเกินไปหน่อย พออยากจะเข้าไปก็ถูกทหารยามขวางไว้ “เหนียงเหนียง ฝ่าบาทมีคำสั่ง เรื่องสนมสวรรค์ยังตรวจสอบไม่กระจ่าง ไม่ว่าใครก็ห้ามถือวิสาสะเข้าไปพบกับสนมสวรรค์!”

ชั่วพริบตานั้น เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โกรธจนหน้าเขียวทันที “จะว่าอะไรนะ? นางตัวดีนั่นยังไม่ตายเหรอ?”

“เอ่อ…” ทหารยามพูดไม่ออก ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี ได้แต่ส่ายหน้า

ยังไม่ตาย! ไม่น่าเชื่อว่าจะยังไม่ตาย! เซี่ยโห้วเฉิงอยังนึกว่าจ้านหรูอี้ตายไปแล้ว จึงชี้หน้าด่าเขาทันที “ก่อนหน้านี้พวกเจ้าสังหารอยู่ตั้งครึ่งค่อนวัน มัวไปทำอะไรกินอยู่? หลีกไป!”

ไม่เพียงแค่ไม่หลีกทางให้ ไม่เห็นนางจะฝืนบุกเข้ามา กลุ่มองครักษ์ก็มาอุดขวางตรงหน้าประตูใหญ่ตำหนักบูรพา แม่ทัพกุมหมัดคารวะ “เหนียงเหนียง ได้โปรดอย่าทำให้พวกข้าน้อยลำบากใจเลยขอรับ!”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ชี้พวกเขา นางโมโหจนตัวสั่น มีเรื่องอะไรถึงห้ามให้คนไปเจอก่อนจะสืบสวนกระจ่าง ล้วนเป็นข้ออ้างทั้งนั้น นางรู้ดีถึงความคิดของประมุขชิง ทำแบบนี้ก็เพื่อจะปกป้องจ้านหรูอี้ ยังมีออยู่มั้ย!

ภายใต้ความเดือดดาล นางสะบัดแขนเสื้อหันตัวไป มุ่งตรงไปหาประมุขชิงที่ตำหนักดาราจักร

ในตำหนักดาราจักร ข่าวของซ่างกวนชิงรวดเร็วมาก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยังไม่ทันมาถึง ซ่างกวนชิงก็กระซิบข้างหูประมุขชิงแล้ว

ประมุขชิงใช้มือข้างหนึ่งนวดหน้าผาก รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย เรื่องนี้เขาไม่มีเหตุผลจะแก้ตัวจริงๆ โทษกบฏต้องประหารทั้งชั่วโคตร แต่เขาก็ไม่อยากให้จ้านหรูอี้ตาย รู้สึกกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย ไม่กล้าเจอเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เพราะเจอแล้วจะเถียงไม่ออก จึงเอียงหน้าส่งสายตาให้ซ่างกวนชิง

ผ่านไปไม่นาน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็มาถึงแล้ว แต่กลับถูกทหารยามเรียงแถวหน้ากระดานขวางไว้ไกลๆ นอกประตูใหญ่ของตำหนักดาราจักร

“หลีกไป! ถ้าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวด้วยสีหน้าโกรธเคือง

ทหารยามตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “เหนียงเหนียง ฝ่าบาทกำลังปรึกษาเรื่องใหญ่กับกลุ่มขุนนาง บาทกำลังปรึกษาเรื่องใหญ่กับกลุ่มขุนนาง ไม่ว่าใครกล้ารบกวน ใครขัดคำสั่งจะถูกประหาร!”

“เจ้าก็ลองประหารดูสิ!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดือดดาลสุดขีด เอ๋อเหมยดึงไว้แต่ก็ดึงไม่อยู่ นางดันทุรังจะวิ่งชนดาบของทหารยาม

กลุ่มทหารยามมองหน้ากันเลิกลั่ก ถูกกดดันจนเดินถอยหลัง ไม่มีใครกล้าแตะต้องนาง

ไม่เห็นว่าใกล้จะถอยถึงประตูตำหนักดาราจักรแล้ว เกาก้วนที่สวมหมวกทรงสูงและชุดคลุมสีดำก็เดินก้าวยาวออกมา มาขวางตรงหน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “เหนียงเหนียงต้องการจะพิสูจน์คำครหาของกลุ่มสนมใช่หรือไม่?”

ยามเผชิญหน้ากับผู้พิพากษาหน้านิ่งท่านนี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็หวาดกลัวอยู่บ้าง นางได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ชี้หน้าเกาก้วน “เจ้า…” แล้วก็ชี้ไปที่ตำหนักดาราจักรอีก “พวกเจ้ามันเหมือนงูกับหนูที่อยู่รังเดียวกัน แย่พอๆ กัน!” พูดจบก็สะบัดชายเสื้อเดินออกไป

หลังจากมองคล้อยหลังนางออกไปแล้ว เกาก้วนก็กำชับทหารยามสองสามประโยค แล้วเลี้ยวกลับเข้าไป

พอประมุขชิงเห็นเขา ก็ถามทันทีว่า “ราชินีสวรรค์ไปแล้วเหรอ?”

“ทูลฝ่าบาท ไปแล้วขอรับ ด่าข้าน้อยกับ…ฝ่าบาทสองสามคำ ข้าน้อยสามารถตรวจสอบลงทาได้!” เกาก้วนตอบ

“ช่างเถอะ จะไปคิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิงทำไม” ประมุขชิงโบกมือ แล้วกลับมานั่งที่เดิม ตอนนี้โล่งอกแล้ว แต่กลับพบว่าซ่างกวนชิงกับเกาก้วนมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ จึงกำมือไอแห้งๆ ทันที แล้วตบโต๊ะกล่าวด้วยสีหน้าเครียดขรึม “ไม่เอาไหนเกินไปแล้ว วังสวรรค์แห่งนี้ยังมีกฎระเบียบอยู่มั้ย?”

ซ่างกวนชิงกับเกาก้วนหลุบตาลง ต่างก็ไม่มีใครพูดอะไร ราวกับกำลังบอกว่า คนที่ทำลายกฎระเบียบก็คือตัวท่านเองไม่ใช่เหรอ?

ทั้งสองคาดว่า ถ้ามีจุดอ่อนนี้อยู่ ตราบใดที่สนมสวรรค์ยังไม่ตาย คาดว่าในภายหลังเมื่อฝ่าบาทเจอราชินีสวรรค์อีกก็คงหายใจไม่คล่อง

ซ่างกวนชิงกลับแอบทอดถอนใจ โถ่ฝ่าบาท ทำไมต้องลำบากขนาดนี้ ในเมื่อล่วงเกินสนมสวรรค์ไปแล้ว ยังจะยั่วโมโหราชินีสวรรค์อีก ไม่คุ้มทั้งสองฝั่งเลย…

…………………

“เพราะอะไรคะ?” ชิงจวี๋ตกใจ

หยางชิ่งไม่อยากบอก ว่าตัวเองได้กลิ่นอายอันตรายจากตัวเหมียวอี้ผ่านเรื่องของจูเก๋อชิงแล้ว เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า “เหมียวอี้ไม่ใช่เหมียวอี้ในปีนั้นอีกแล้ว เริ่มเผยลักษณะของสิงห์ร้ายที่ทะเยอะทะยาน ยิ่งข้าทำผลงานมาก ในอนาคตเขาก็ยิ่งเก็บข้าไว้ไม่ได้”

ชิงจวี๋ไม่อยากเห็นสถานการณ์นั้นเกิดขึ้น “ถ้านายท่านต้องการจะพูดอย่างนี้จริงๆ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ทำไมไม่ยืนด้วยตัวเองล่ะ อาศัยความเฉลียวฉลาดของนายท่าน ในอนาคตประสบความสำเร็จไม่แพ้เหมียวอี้แน่นอน”

“เหอะๆ!” หยางชิ่งส่ายหน้าหัวเราะ “ที่จริงพอลองคิดดูให้ละเอียด ที่จินม่านตำหนิข้าไว้ก็ถือว่าไม่ผิด เรื่องบางเรื่องเหมียวอี้สามารถทำให้สำเร็จได้ แต่ข้ากลับทำให้สำเร็จไม่ได้ สิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความเฉลียวฉลาด ข้ากับเหมียวอี้ต่างกันตรงไหนรู้มั้ย? ขอใช้คำพูดถ่อมตัวของเหมียวอี้ในปีก่อนๆ ก็แล้วกัน เพราะสิ่งนี้คือกุญแจสำคัญ เขาเรียนหนังสือมาน้อย!”

“…” คำอธิบายนี้ทำให้ชิงจวี๋พูดไม่ออก

บนดาวเคราะห์ที่รกร้าง ท่ามกลางปาหินระเกะระกะ ขณะมองดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า อวิ๋นจือชิวก็เก็บระฆังดาราอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าคลุมเครือยากอธิบาย

ในฐานะนายหญิง การตายของจูเก๋อชิง ฉินเวยเวยรายงานมาแล้ว อวิ๋นจือชิวตกใจมาก นางไม่ค่อยเชื่อด้วยว่าเหมียวอี้จะลงโทษตายกับจูเก๋อชิง นางถามว่าทำไมจึงลงโทษถึงตาย ฉินเวยเวยตอบว่าไม่รู้สาเหตุ นางจึงติดต่อเหมียวอี้เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้เอง เหมียวอี้เหมือนจะยอมรับเพราะทนรำคาญไม่ไหว ในมือยังมีงานต้องทำ ไม่อยากฟังนางบ่นไม่จบไม่สิ้น

นางรู้จักเหมียวอี้ดี เขาสามารถส่งเหยียนซิวกับหยางเจาชิงไปจับตาดูตำหนักประมุขดาวกลางได้ ก็เพราะต้องการปกป้องจูเก๋อชิง อยู่ดีๆ ทำไมถึงลงโทษตายต่อกับจูเก๋อชิงได้ล่ะ?

อวิ๋นจือชิวหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางเจาชิงอีก ถามว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่

หยางเจาชิงเพียงเล่าสถานการณ์ในตอนนั้นให้ฟัง บอกว่ารู้สึกแปลกใจเช่นกันที่จู่ๆ นายท่านต้องการจะลงโทษตายกับจูเก๋อชิง เขาอยากจะแจ้งให้นางรู้ ให้นางจัดการเรื่องนี้ แต่ว่านายท่านห้ามไว้

“ปีนขึ้นหลังคาไปร้องเพลงเหรอ?” อวิ๋นจือชิวที่กำลังถือระฆังดาราขมวดคิ้วมุ่น หลังจากเงียบไปนาน จู่ๆ นางเอียงหน้าเรียก “เหยียนซิว!”

เหยียนซิวที่ทำตัวผลุบๆ โผล่ๆ เหมือนผีมาปรากฏตัวข้างกายนางเงียบๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเยงแหบพร่าเยียบเย็น “ฮูหยิน!”

อวิ๋นจือชิวเล่าเรื่องที่จูเก๋อชิงโดนเหมียวอี้ประทานความตายให้ฟังคร่าวๆ “เจ้าไปที่พิภพเล็กสักรอบ ใช้พลังอภินิหารของเจ้า สืบเรื่องนี้มาจากทหารยามของตำหนักประมุขดาวกลาง โดยเฉพาะคนที่รายงานข่าวขึ้นมา ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล!”

“ฮูหยิน นายท่านให้ข้ารักษาความปลอดภัยให้ท่าน หรือจะรอให้งานของนายท่านเสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากันขอรับ?” เหยียนซิวลังเล

อวิ๋นจือชิวบอกว่า “เจ้าไม่ต้องรักษาความปลอดภัยให้ข้าหรอก ไปตอนนี้เลย เดี๋ยวนี้!” นางกังวลวว่าถ้ามีใครวางแผนจริงๆ ถ้าสายไปแล้วจะมีคนทำลายหลักฐาน

“จะบอกให้นายท่านรู้ก่อนหรือไม่ขอรับ?” เหยียนซิวลังเล

อวิ๋นจือชิวพลันหันตัวมา แล้วถลึงตาบอกว่า “เหยียนซิว ข้าควบคุมเจ้าไม่ได้แล้วใช่มั้ย? เรื่องในบ้านใครเป็นคนมีคำนาจตัดสินใจ? เจ้าต้องทำความเข้าใจเอาไว้หน่อยนะ ฐานะของเจ้าไม่ได้เป็นแค่ลูกน้องของนายท่าน แต่เป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวนี้ ที่บ้านเกิดเรื่องแล้ว คนคร่ำครึอย่างเจ้าเข้าใจหรือเปล่า?”

เหยียนซิวรู้ว่านางจะอ้างหลังการผู้ชายเป็นนายข้างนอก ผู้หญิงเป็นนายในบ้าน เวลาผู้หญิงคนนี้อารมณ์ร้ายขึ้นมาแม้แต่เหมียวอี้ก็ยังกลัว นับประสาอะไรกับเขา เขาโค้งตัวอย่างค่อนข้างจนใจ “ขอรับ!” พูดจบก็ถลันตัวเหาะขึ้นฟ้าไปทันที

อวิ๋นจือชิวมองตาม ใบหน้าเริ่มฉายแววกังวล ถ้าพูดจากบางมุม นางเองก็หวังว่าจะมีคนวางแผน ไม่ใช่การกระทำที่เกิดจากอารมณ์รุนแรงของเหมียวอี้ นางนึกถึงปีนั้นที่เหมียวอี้ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าเจ้าถึงขั้นจะลงโทษตายจีเหม่ยลี่และบรรดาอนุภรรยา นางกังวลมาก กังวลว่าเหมียวอี้จะกลายเป็นคนไม่เอาญาติมิตร ถ้ากลายเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทั้งสองเดินเส้นทางนี้ต่อไปโดยไม่เชื่อกัน แล้วยังจะมีความหมายอะไรอีก?

ส่วนเหยียนซิวพอมาถึงดาราจักรก็ติดต่อหาเหมียวอี้ทันที รายงานเรื่องที่อวิ๋นจือชิวสั่งให้เขาไปทำ

ไปเถอะ! ไปเถอะ! นี่ก็คือคำตอบของเหมียวอี้

เหมียวอี้รู้สึกกระสับกระส่ายใจนิดหน่อย เริ่มมีอาการตั้งแต่หลังจากจูเก๋อชิงตายแล้ว ใช่ว่าในใจจะไม่นึกเสียใจทีหลังเลย ก็เพราะแบบนี้เขาถึงไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่จบไม่สิ้นเสียที เดี๋ยวก็ฉินเวยเวยติดต่อเขา เดี๋ยวก็อวิ๋นจือชิวติดต่อเขา แม้แต่เหยียนซิวก็ยังประสมโรงด้วย แต่ละคนน้ำเข้าสมองหมดแล้วหรือไง? ไม่รู้เหรอว่าในมือเขามีงานสำคัญต้องทำ?

เรื่องในบ้านยังพัวพัน แต่เรื่องตรงหน้ากลับมีข่าวดี หยางเจาชิงเก็บระฆังดารา แล้วรายงานว่า “นายท่าน กำลังพลที่ล้อมตามตลาดสวรรค์ถอนกำลังไปแล้วขอรับ!”

“อ้อ!” เหมียวอี้รีบโยนความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง แล้วเอามือลูบคางพลางพึมพำว่า “หรือว่าศึกนี้จะมีบทสรุปแล้ว?”

ช่องทางข่าวสารของเขายังไม่ถึงขั้นรู้สถานการณ์ของอิ๋งจิ่วกวงได้ในทันที แล้วเซี่ยโห้วลิ่งก็ไม่บอกสถานการณ์จริงให้เขารู้อีก ไม่รู้ว่ากลัวจะเปิดโปงให้สายลับฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วรู้หรือเปล่า เมื่อครู่ก็เพิ่งล่วงเกินเซี่ยโห้วลิ่งไปด้วย

ฝั่งหวงฝู่จวินโหรวก็ยังไม่ได้ส่งข่าวมา เขาทำได้เพียงติดต่อไปหาเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทันที ทว่าฝั่งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ยังไม่รู้สถานการณ์เช่นกัน

ขณะกำลังจะติดต่อผังก้วน แต่ใครจะคิดว่าปี้เยว่จะเป็นฝ่ายส่งข่าวมาก่อน บอกว่าอิ๋งจิ่วกวงรบแพ้ อิ๋งจิ่วกวงตายคาสนามรบ ถูกกองทัพองครักษ์ตัดหัว ส่วนกำลังพลของอิ๋งจิ่วกวงก็ถูกตีพ่ายเหมือนภูเขาพังทลาย เทียนหยวนติดตามสงฉีสังหารฝ่าวงล้อมออกไป ตอนนี้ยังถูกตามฆ่าอยู่ เขาส่งข่าวมาบอกให้นางรีบหนีไป!

ขนาดอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น เทียนหยวนก็ยังไม่ลืมนึกถึงความปลอดภัยของนาง ปี้เยว่แทบจะร้องไห้ ตอนนี้เริ่มกลัวแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไรดี นางไร้ความสามารถจริงๆ ถามเหมียวอี้ว่ามีวิธีการไหนที่จะช่วยเทียนหยวนได้บ้าง หวังว่าเหมียวอี้จะขอให้ตระกูลเซี่ยโห้วช่วยเหลือได้

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเรื่องแบบนี้เหมียวอี้ไม่สามารถช่วยเทียนหยวนได้ ต่อให้มีทางช่วย เหมียวอี้ก็ไม่ช่วยอยู่ดี ยังไม่ต้องพูดถึงว่าช่วยมาแล้วจะชี้แจ้งกับไห่ยวนเค่ออย่างไร สำหรับเทียนหยวนเอง ถ้าในอนาคตเรื่องระหว่างปี้เยว่กับไห่ยวนเค่อถูกเปิดโปง ต่อให้เหมียวอี้จะช่วยเทียนหยวนไว้ แต่ก็กลายเป็นผู้มีพระคุณของเทียนหยวนไม่ได้ กลับจะกลายเป็นศัตรูของเทียนหยวนด้วยซ้ำ ไม่มีทางที่เขาจะช่วย

แต่จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้ เหมียวอี้รับปากไปแล้วว่าจะไปขอให้ตระกูลเซี่ยโห้วช่วย พร้อมทั้งโน้มน้าวนางว่าไม่ต้องกลัว ให้นางมาที่ดาวเทียนหยวนเดี่ยวนี้ เขาจะรักษาความปลอดภัยให้นางเอง

ยังไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับปี้เยว่ ต่อให้เห็นแก่หน้าไห่ยวนเค่ออย่างเดียว เขาก็จะปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับปี้เยว่ท่ามกลางภาวะสงครามแบบนี้ไม่ได้ ขณะเดียวกันก็เพื่อให้คำชี้แจงกับไห่ยวนเค่อด้วย

หลังจากปลอบใจปี้เยว่แล้วแล้ว เหมียวอี้ก็รู้สึกฮึกเหิมสดชื่น ในที่สุดความแค้นระหว่างเขากับตระกูลอิ๋งก็จบลงแล้ว แก้ไขปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ได้แล้ว

ยังไม่สนใจจะแสดงความดีใจ เขาติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่อีกครั้ง รายงานข่าวดีให้รู้ ให้นางฉวยโอกาสตอนสี่ทัพอ่อนแอก่อกบฏลำบาก ให้รีบไปขอคำสั่งจากประมุขชิงเดี๋ยวนี้ ให้อ้างว่าสี่ทัพเคลื่อนไหวผิดปกติ คนที่กุมอำนาจผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์ มีไม่น้อยที่เป็นคนของตระกูลอิ๋ง ขอให้ย้ายกองทัพองครักษ์มารับตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์ชั่วคราวเพื่อคุมสถานการณ์ให้สงบ แล้วให้คนในสังกัดของทูตลาดตระเวนตลาดสวรรค์มารับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แทนชั่วคราว ควบคุมตลาดสวรรค์เอาไว้ทุกด้าน

สิ่งที่ให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ระวังเอาไว้ก็คือ อย่าให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้ ให้ใช้ข้ออ้างเรื่องตระกูลอิ๋ง บอกแค่ว่าเป็นประสงค์ของประมุขชิง

“อิ๋งจิ่วกวงตายแล้ว…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่อยู่ในตำหนักนารีสวรรค์แอบจะหัวเราะออกมา ยังคิดจะแย่งตำแหน่งในวังหลังของนางอีกเหรอ ทั้ยังกล้าวางแผนใส่ร้ายลูกชายนางอีก ตอนนี้รุ้หรือยังว่าจุดจบเป็นอย่างไร ตอนนี้พวกนางแพศยาในวังหลังเห็นถึงความร้ายกาจของนางแล้วสินะ?

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ามาหยุดอยู่นอกห้อง ก็รู้ว่าเอ๋อเหมยมาถึงแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รีบเก็บสำรวมรอยยิ้ม ทำหน้าตึง พอเอ๋อเหมยเข้ามาใกล้ตรงหน้า นางก็ตบโต๊ะน้ำชาพร้อมตะคอกว่า “ฝ่าบาทยังจะกักบริเวณข้าไปถึงเมื่อไร?”

เอ๋อเหมยถอนหายใจแล้วเกลี้ยกล่อมว่า “เหนียงเหนียงอย่ารีบร้อน น่าจะใกล้ถึงเวลาแล้วเพคะ”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เหล่ตามองนางแวบหนึ่ง ในใจรู้สึกสะอิดสะเอียน นางไม่เชื่อหรอกว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่รู้ข่าวเรื่องตระกูลอิ๋งรบแพ้ แต่ตอนนี้กลับไม่บอกนางสักคำ นางพ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “ไม่ได้ ข้าจะไปถามฝ่าบาทให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้!” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินก้าวยาวออกไปเลย

“เหนียงเหนียง เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้เพคะ!” เอ๋อเหมยรีบเดินตามไปขอร้องอยู่ข้างหลัง

เรื่องแบบนี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่สนใจนาง แต่พอมาถึงประตูตำหนักนารีสวรรค์ กลับโดนทหารยามขวางไว้ ไม่ยอมให้นางออกไป เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ระเบิดอารมณ์ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อซ่างกวนชิง ผ่านไปครู่เดียวทหารยามก็ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน ว่าให้ปล่อยเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ขณะเดียวกันก็คลายผนึกตำหนักนารีสวรรค์ด้วย

ส่วนเหมียวอี้ที่อยู่บนหอประตูเมือง ยังไม่ทันได้ข่าวจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ก็ได้รับข่าวอีกข่าวที่เหนือความคาดหมายแล้ว

อวิ๋นจือชิวส่งข่าวมา ตอนแรกเหมียวอี้ยังนึกว่าอวิ๋นจือชิวจะมารบกวนเขาเพราะเรื่องจูเก๋อชิง แต่ใครจะคิดว่านางจะแจ้งข่าวที่ทำให้เขารู้สึกผิดคาดมาก

ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เส้าเซียงหัว ฮูหยินของลิ่งหูโต้วจ้งขอให้อวิ๋นจือชิวช่วยบอกข่าวให้ ลิ่งหูโต้วจ้งต้องการจะนำทัพใหญ่ห้าสิบล้านมาขอพึ่งพาเหมียวอี้

เหมียวอี้ถามอวิ๋นจือชิว : เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย?

อวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์ ข้าจะเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นกับเจ้าเหรอ? ตอนที่ลิ่งหูโต้วจ้งยังเป็นเทพประจำดาว ตอนข้ากับเส้าเซียงหัวเจอกัน ก็ทิ้งช่องทางการติดต่อของกันและกันไว้ นึกไม่ถึงว่าเส้าเซียงหัวจะติดต่อข้ามาเพราะเรื่องนี้

เหมียวอี้ : ลิ่งหูโต้วจ้งมาขอพึ่งพาข้า? นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่แรงเกินไปเหรอ? ข้าจะไปขอพึ่งพาเขามากกว่ามั้ง

อวิ๋นจือชิว : ข้าเองก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่คนที่ติดต่อข้ามาคือเส้าเซียงหัวจริงๆ นางย้ำว่าท่านจอมพลลิ่งหูจริงจังมาก ทั้งยังมาขอพึ่งพาอย่างจริงใจด้วย ไม่ได้โกหกแน่นอน เจ้าจะให้ข้าพูดยังไงดีล่ะ?

เหมียวอี้ : เหลวไหล! เขาเป็นใครกันล่ะ ถ้าพูดแบบไม่น่าฟังหน่อย เขาคือขุนนางที่มีความผิดฐานช่วยเหลืออิ๋งจิ่วกวงก่อกบฏ ต่อให้ข้ารับไว้ได้ แต่ข้าจะกล้ารับไว้เหรอ? แล้วอีกอย่าง กำลังพลที่สามารถติดตามเขามาในเวลานี้ได้ แสดงว่าเป็นกำลังพลสายตรง ทัพใหญ่ห้าสิบล้านถ่อมาถึงแดนรัตติกาล เขาเป่าลมหายใจทีเดียวก็กำจัดข้าได้แล้ว ตอนหลังเวลาจะทำอะไร ข้าไม่ต้องคอยดูสีหน้าเขาก่อนหรอกเหรอ แบบนั้นแปลว่าข้าสมองมีปัญหาแล้ว บอกเขาไป ว่าข้ารับไว้ไม่ไหว ให้เขาไปหาที่ดีๆ เอาใหม่!

อวิ๋นจือชิว : ก็ได้

พอเก็บระฆังดาราแล้ว เหมียวอี้ก็มองเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าขำ คิดแค่ว่าลิ่งหูโต้วจ้งกำลังป่วยเข้าขั้นวิกฤตก็เลยไปหาหมอมั่วๆ คาดว่าคงหาที่ไปไม่ได้แล้วจริงๆ ถึงได้มาหาเขา เขาไม่ลงไปย่ำน้ำโคลนนี้หรอก เฝ้ารอข่าวของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต่อไป

ใครจะคิดว่าผ่านไปไม่ทันไร อวิ๋นจือชิวก็ส่งข่าวมาอีกแล้ว เหมียวอี้ถามว่า : ทำไมเหรอ? หรือว่าทางนั้นยังเกาะแกะไม่เลิก?

อวิ๋นจือชิว : เส้าเซียงหัวช่วยส่งข่าวแทนลิ่งหูโต้วจ้งอีก ลิ่งหูโต้วจ้งบอกว่านี่คือประสงค์ของประมุขชิง ประมุขชิงบอกว่า ขอเพียงเจ้ายอมรับไว้ เขาก็จะปล่อยลิ่งหูโต้วจ้งไปสักครั้ง

ประสงค์ของประมุขชิงเหรอ? เหมียวอี้งุนงง ประมุขชิงมีเจตนาอะไรกันแน่?

ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เป็นประสงค์ของประมุขชิง แต่เขาก็จะหลับหูหลับตาทำตามไม่ได้ เพราะเขาให้ประมุขชิงรู้ถึงท่าทีของเขาผ่านชิงหยวนจุนมาตั้งแต่แรกแล้ว ว่าเขาไม่มีทางถวายชีวิตรับใช้ประมุขชิง ถ้าประมุขชิงจะฝืนยัดคนเข้ามาที่แดนรัตติกาลจริงๆ เช่นนั้นเขาก็ไม่ถือสาที่จะให้ทัพฝ่ายอื่นหาข้ออ้างดึงให้กำลังพลสายอื่นมากำจัดลิ่งหูโต้วจ้งเสีย เขาเดาว่ากำลังพลฝ่ายอื่นคงไม่ยินดีที่จะให้ความร่วมมือเช่นกัน

………………

ตอนนี้เกาก้วนถึงได้ทำสีหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง สุดท้ายก็ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่เหมาะสมขอรับ!”

“อ้อ!” ประมุขชิงเดินเนิบนาบกลับไปนั่งที่เดิม จ้องเกาก้วนพร้อมถามว่า “ไม่เหมาะยังไง?”

เกาก้วนตอบเสียงเรียบว่า “ถึงยังไงตระกูลเซี่ยโห้วก็เป็นตระกูลของราชินีสวรรค์ กำลังพลห้าสิบล้านจะว่ามากก็ไม่มาก จะว่าน้อยก็ไม่น้อย การที่สามารถติดตามลิ่งหูโต้วจ้งไปในเวลานี้ได้ แสดงว่าต้องเป็นกำลังพลสายตรงของลิ่งหูโต้วจ้งแน่นอน เกรงว่าพลังรบคงไม่อ่อนแอ ไม่สะดวกจะให้เหนียงเหนียงกุมไว้”

ประมุขชิงกลับไม่กังวลเรื่องนี้เลยสักนิด “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าย่อมมีการพิจารณาของตัวเองอยู่แล้ว”

เกาก้วนจึงบอกว่า “คาดว่าตระกูลที่เหลือคงไม่อยากเห็นลิ่งหูโต้วจ้งตกอยู่ในมือคนอื่น แดนรัตติกาลคืออาณาเขตของหนิวโหย่วเต๋อ หรือพูดได้อีกอย่างว่าเป็นถิ่นของเฉาหม่าน ตอนนี้ในมือหนิวโหย่วเต๋อมีกำลังพลแค่ไม่กี่หมื่นเท่านั้น ลิ่งหูโต้วจ้งนำทัพใหญ่ไปที่นั่น อาศัยกำลังอำนาจข่มขู่ ไม่ใช่สิ่งที่หนิวโหย่วเต๋อจะต้านไหวเลย จะนำภัยคุกคามมหาศาลมาสู่เฉาหม่านด้วย หนิวโหย่วเต๋อต้องไม่อยากเห็นสถานการณ์แบบนี้แน่ เฉาหม่านเองก็ไม่อยากเห็น ถ้าหนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลเซี่ยโห้วหรืออำนาจฝ่ายอื่นๆ สมคบกัน ลิ่งหูโต้วจ้งก็ไม่มีที่ยืนในแดนรัตติกาล ไปแล้วก็ไปเสียเที่ยว”

ประมุขชิงพูดเหมือนไม่ใส่ใจว่า “แล้วถ้าข้าจะย้ายหนิวโหย่วเต๋อออกไปล่ะ? ขอเพียงหนิวโหย่วเต๋อไม่อยู่แดนรัตติกาลแล้ว ก็จะไม่มีโอกาสได้แทรกแซงอย่างชอบธรรมอีก”

เกาก้วนถามว่า “ถ้าอย่างนั้น จะต่างอะไรกับการที่ฝ่าบาทรับลิ่งหูโต้วจ้งเอาไว้โดยตรง? ขอบังอาจถามฝ่าบาท ทำไมลิ่งหูโต้วจ้งจึงไม่มาขอพึ่งพาฝ่าบาทโดยตรง? ข้าน้อยขออนุญาตกล่าวสิ่งที่ไม่น่าฟัง หนิวโหย่วเต๋อเชื่อฟังเหนียงเหนียงได้ แต่เหนียงเหนียงกลับไม่อาจควบคุมทัพใหญ่ห้าสิบล้านของลิ่งหูโต้วจ้งได้ สนมที่ลิ่งหูโต้วจ้งส่งเข้าวัง มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ถูกกับเหนียงเหนียง เหนียงเหนียงใส่ซื่อเกินไปหน่อย!” เขาจะสื่อว่าเหนียงเหนียงจะถูกคนพวกนี้หลอกใช้ประโยชน์ได้ง่าย

ประมุขชิงครุ่นคิด แล้วเหล่ตาถามว่า “เจ้าหมายความว่า ตอบตกลงเงื่อนไขของลิ่งหูโต้วจ้งไม่ได้งั้นเหรอ?”

“ข้าน้อยสื่อว่า กำจัดให้สิ้นซากไปเสียเลย ปัญหาทุกอย่างจะได้จบ” เกาก้วนกล่าว

“เจ้ามันเป็นพวกชอบฆ่า รู้จักแต่การเข่นฆ่า หุบปากไปซะ!” ประมุขชิงกลอกตาตะคอก พบว่าถามไปก็ไม่ต่างอะไรกับไม่ได้ถาม ไม่ได้วิธีการดีๆ อะไรเลย มีแต่ทำตามวิธีการของตัวเอง เขาจึงยิ้มมุมปาก “ซ่างกวน เจ้าบอกลิ่งหูโต้วจ้ง ถ้าไม่มีคนใจกล้าแบบหนิวโหย่วเต๋อแบกรับความเสี่ยงให้เขา เขาก็หาที่ยืนที่แดนรัตติกาลไม่ได้หรอก ขอเพียงเขาทำให้หนิวโหย่วเต๋อยอมรับเขาได้ ข้าก็จะตอบรับเงื่อนไขของเขา!”

“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงตอบ ในใจกลับแอบเดาะลิ้น สงสัยฝ่าบาทคงตั้งใจจะปั้นกำลังพลให้องค์ชาย หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ได้อาศัยบารมีไปด้วยแล้ว

เห็นได้ชัดว่าความคิดของประมุขชิงไม่ได้อยู่ในด้านนั้น เขาเอนกายพิงเก้าอี้ ตบตรงที่วางมือเบาๆ ขมวดคิ้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจดีย์สยบปีศาจทางฝั่งพี่ใหญ่พุทธะยังไม่มีการตอบสนองอะไรอีกเหรอ ข้าก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เห็นเจ้าสามเคลื่อนไหวอะไร…เกาก้วน ทางสิบปราสาทดำเนินมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือเปล่า?”

“ไม่มีการตอบสนองใดๆ ขอรับ ทุกอย่างเหมือนเดิม!” เกาก้วนตอบ

ประมุขชิงตกอยู่ในความเงียบ…

ลิ่งหูโต้วจ้งกำลังอยู่ระหว่างทาง หลังจากได้รับข่าวจากซ่างกวนชิงแล้ว ก็ตกอยู่ในความเงียบเช่นกัน จากนั้นก็บอกสถานการณ์ให้บรรดาลูกน้องคนสนิทฟัง

“ประมุขชิงทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? พวกเราจะมีที่ยืนที่แดนรัตติกาล ยังต้องขอให้หนิวโหย่วเต๋ออนุญาตอีกเหรอ?” แม่ทัพคนหนึ่งถาม

ลิ่งหูโต้วจ้งยิ้มเจื่อน “หมายความว่าอะไรก็ไม่ซับซ้อนหรอก ต้องการให้พวกเราถูกหนิวโหย่วเต๋อควบคุมไง กลายเป็นกำลังพลใต้บังคับบัญชาของหนิวโหย่วเต๋อ”

แม่ทัพอีกคนถามอย่างตกใจ “ล้อเล่นอะไรกัน? อย่างหนิวโหย่วเต๋อน่ะเหรอจะมาควบคุมพวกเรา? ศักยภาพเล็กน้อยของเขาจะมาควบคุมอะไรพวกเราได้? ขี้โม้เกินไปแล้ว”

ลิ่งหูโต้วจ้งถอนหายใจ “ในเมื่อประมุขชิงพูดแบบนี้ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว พวกเรายังมีทางเลือกด้วยเหรอ? ถึงยังไงการมีหนิวโหย่วเต๋อคอยต้อนรับขับสู้ความสัมพันธ์กับตำหนักนารีสวรรค์ ก็อาจไม่ใช่เรื่องแย่ก็ได้ เมื่อก่อนพวกเราล่วงเกินท่านนั้นของตำหนักนารีสวรรค์เอาไว้ไม่น้อย แดนรัตติกาลเป็นสังกัดโดยตรงของตำหนักนารีสวรรค์นะ!”

บรรดาแม่ทัพพากันทำสีหน้าจนใจ

ตำหนักประมุขดาวกลาง บนเชิงหินกองหนึ่งริมทะเลสาบ จูเก๋อชิงนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น

ทะเลสาบสะท้อนเงาฟ้าคราวเมฆขาว นกป่ากำลังหยอกล้อกัน ลมโชยมา กระโปรงของคนที่นอนนิ่งอยู่ตรงนั้นขยับตามแรงลม ผมยาวปลิวสะบัด ใบหน้างามล้ำเลิศปรากฏให้เห็นเป็นบางครั้ง

ฉินเวยเวยมีอำนาจทางวาจาที่พิภพเล็ก นางในปีก่อนเทียบกับตอนนี้ไม่ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายหรือลักษณะท่าทาง สุภาพสง่างาม ดูมีความน่าเกรงขามในตัวเอง มีสง่าราศีมาก ดวงตางามกำลังจ้องร่างที่นอนแน่นิ่งด้วยแววตาล้ำลึก

พูดตามตรง นางไม่ชอบจูเก๋อชิง การที่ไม่ชอบคนที่มายั่วยวนผู้ชายของตัวเอง จัดว่าเป็นนิสัยตามธรรมชาติของผู้หญิง ทุกครั้งที่คิดว่าผู้หญิงที่อยู่ที่นี่เคยทำงานนั้นกับผู้ชายของตัวเอง ในใจนางก็รู้สึกไม่ปลื้ม ดังนั้นนางแทบจะไม่ได้มาที่นี่เลย ไม่อยากเจอหน้าจูเก๋อชิง นางถึงขนาดรู้สึกว่าอวิ๋นจือชิวทำได้ดี ควรจะขังจูเก๋อชิงไว้ ดังนั้นหลายปีที่จูเก๋อชิงโดนกักบวิเวณอยู่ที่นี่ นางก็แทบจะไม่ได้เจอจูเก๋อชิงเลย ตอนที่มาหาก็เพราะอยากเห็น ว่าผู้หญิงคนนี้สวยขนาดไหนกันแน่ ถึงทำให้ผู้ชายของนางวู่วามได้ หลังจากได้เห็นแล้ว ก็พบว่าอีกฝ่ายสวยมากจริงๆ นางเทียบไม่ติดเลย นางจึงไม่ได้มาที่นี่อีก

ทว่าเมื่อได้เห็นจุดจบของผู้หญิงคนนี้ ในใจนางก็รู้สึกเศร้าสลดอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่แอบถอนหายใจ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกจะทำอย่างนี้ทำไม!

ตอนแรกนางยังนึกว่าอวิ๋นจือชิวเก็บจูเก๋อชิงไว้ไม่ได้อีก ทว่าหลังจากยืนยันกับเหมียวอี้แล้ว นางถึงได้พบว่าการตายของจูเก๋อชิงเป็นประสงค์ของเหมียวอี้จริงๆ

ฉินซีที่อยู่ข้างๆ มีสีหน้านิ่งสงบ นางเอียงหน้าบอกใบ้ “เริ่มเถอะ!”

เมื่อได้รับคำชี้แนะ ฟางเหลียวก็หยิบหินผลึกไขมันเพลิงออกมาก้อนหนึ่ง จากนั้นจุดไฟแล้วโยนลงไปใต้เชิงหิน พรึ่บ! คนที่นอนอยู่บนเชิงหินถูกเพลิงเดือดกลืนกินในชั่วพริบตาเดียว

ขณะแสงของเปลวไฟสะท้อนในดวงตา ฉินเวยเวยรู้สึกค่อนข้างสับสน สายตาจ้องเปลวเพลิงที่กำลังกลืนกินอยู่นานมาก นางย้ายสายตาออกจากเปลวเพลิงอย่างยากลำบาก ปากพึมพำถามว่า “ทำไมนายท่านต้องทำแบบนี้?”

ฉินซีส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ไม่ได้บอกว่าเพราะอะไร แค่แจ้งให้ทหารยามลงมือโดยตรง”

ฉินเวยเวยค่อยๆ เอียงหน้ามองนาง “ข้าจำได้ว่าข้าเคยบอกท่านพ่อ ว่าจูเก๋อชิงอยู่ที่นี่วรยุทธ์ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิด ตอนนั้นเหมือนท่านพ่อจะบอกข้าว่าไม่ต้องสนใจ เรื่องนี้เขาจะจัดดการเอง! ท่านแม่ หรือท่านพ่อกังวลว่าทางนี้จะเกิดช่องโหว่อะไรจนส่งผลกระทบต่อข้า พวกท่านก็เลยแอบเล่นตุกติกอะไรกันหรือเปล่า?”

ฉินซีถอนหายใจ “เจ้าคิดมากไปแล้ว ที่นายท่านทำแบบนี้ แสดงว่าต้องมีเหตุผลแน่นอน ใครจะกล้าเล่นตุกติกกับเรื่องแบบนี้ล่ะ? ถ้าทำให้นายท่านโมโหขึ้นมา ใครจะรับผลที่ตามมาไหว?”

“หวังว่านางจะไม่ใช่เพราะคำพูดของข้าที่ทำร้ายนาง…” ฉินเวยเวยพึมพำ ดวงตางามมองไปทางเปลวเพลิงโชติช่วงอีกครั้ง สุดท้ายก็สั่งว่า “หลังจากเก็บกระดูกแล้ว…หาสถานที่ดีๆ ที่ไกลจากตำหนักประมุขดาวกลางฝังไว้!” พูดจบก็ถลันตัวเหาะขึ้นฟ้าไป นางไม่อยากอยู่ที่นี่นาน

หลังจากมองคล้อยหลังลูกสาว ในดวงตาฉินซีก็ฉายแววสงสัย นางย่อมรู้ว่านี่คือแผนการของหยางชิ่ง เพียงแต่นางไม่เข้าใจ ว่าประโยคธรรมดาที่รายงานขึ้นไปจะทำให้เหมียวอี้สั่งประทานความตายให้จูเก๋อชิงที่ดูแลมาหลายปีได้?

แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง ตำหนักปราชญ์ ริมหน้าต่างตึกศาลา หยางชิ่งทอดสายตามองท้องฟ้าไกลๆ อย่างเงียบงัน

เขาย่อมรู้ข่าวการตายของจูเก๋อชิงแล้ว ในที่สุดก็กำจัดทิ้งได้แล้ว แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เขาสะเทือนใจเหมือนกัน ผลเป็นการที่เขาคาดไว้ เพียงแต่ความเด็ดขาดของเหมียวอี้…เด็ดขาดโหดเหี้ยมจนทำให้เขาค่อนข้างกลัว ฟังจากข่าวที่รายงานกลับมา เหมือนเหมียวอี้จะไม่ลังเลอะไรเลย

หยางชิ่งดึงสติกลับมาแล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมา ฉินซีส่งข่าวมาแล้ว

ฉินซี : กำลังเผาร่างของจูเก๋อชิง เวยเวยสงสัยว่าเป็นแผนการของเจ้าหรือเปล่า

หยางชิ่งทำหน้าเครียดทันที : เจ้าเผลอพูดอะไรมีพิรุธหรือเปล่า? ข้าเคยกำชับเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าให้นางรู้?

ฉินซี : เจ้าคิดมากไปแล้ว เวยเวยบอกว่านางเคยบอกเจ้าเรื่องจูเก๋อชิง แล้วเจ้าบอกนางว่าไม่ต้องยุ่ง เดี๋ยวเจ้าจะจัดการเอง นางก็เลยสงสัยเจ้า เจ้าวางใจเถอะ เดี๋ยวข้าจะช่วยปรับความเข้าใจให้ เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจ ว่าทำไมรายงานคำพูดธรรมดาแบบนั้นไปประโยคเดียวแล้วทำให้นางตายได้? จูเก๋อชิงร้องเพลงก็เป็นเรื่องปกติมาก ตามที่ข้ารู้มา ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่รู้ว่าจูเก๋อชิงชอบร้องเพลงที่ตำหนักดาวกลาง ข้ามองไม่ออกว่ามีตรงไหนไม่เหมาะสม!

หยางชิ่ง : เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้มากขนาดนั้นหรอก เจ้าแค่ต้องรู้ไว้ว่าข้างกายเหมียวอี้ไม่ได้มีเวยเวยเป็นผู้หญิงคนเดียว เวยเวยต้องเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้เหมียวอี้วางใจ เป็นผู้หญิงที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำให้เหมียวอี้วางใจ วรยุทธ์ของจูเก๋อชิงสูงขึ้นทุกวัน ความทะเยอะทะยานมักจะเพิ่มขึ้นตามความสามารถ อยู่ที่พิภพเล็กอาจจะคุมตัวเองไม่อยู่ในทุกเมื่อ นางกลายเป็นความกังวลของเวยเวยแล้ว ข้าต้องกำจัดนาง!

ฉินซี : ข้าเข้าใจความตั้งใจดีของเจ้า เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจ ว่าทำไมเจ้าถึงไม่ยอมบอกข้า ในสายตาเจ้า ข้าดูไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเชียวเหรอ? หรือเป็นเพราะเฟิงเป่ยเฉิน?

หยางชิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ไหนๆ ก็พูดถึงขั้นนี้แล้ว เขาจึงต้องยอมบอก : ข้าพอจะรู้จักนิสัยของเหมียวอี้อยู่บ้าง เป็นคนที่ฆ่าคนอย่างไม่ลังเล มีอีกด้านหนึ่งที่เด็ดขาดดุร้าย เขากับจูเก๋อชิงไม่ได้มีความผูกพันอะไรกัน เขาเองก็รู้ว่าจูเก๋อชิงอยากจะหนีออกมาตลอด ที่นึกเสียดายก็เพียงเพราะสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนเท่านั้น ถึงได้อดกลั้นต่อนาง…ก็เป็นเพราะสิ่งที่ข้ารายงานเป็นเรื่องปกติของจูเก๋อชิงนี่แหละ แต่เวลาที่ข้ารายงานไม่ปกติ มีบางเรื่องที่เจ้าไม่รู้ ตอนนั้นคือช่วงเวลาที่เหมียวอี้กำลังเอาชีวิตหลายหมื่นของพี่น้องไปเดิมพัน มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิด เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนจำนวนมากเกินไป เขากดดันมาก ตอนนั้นเขาไม่มีทางมาคำนึงถึงสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยหรอก ไม่ว่าเรื่องไหนก็ไม่สำคัญในสายตาเขาเลย ถ้ารายงานว่าจูเก๋อชิงร้องเพลงบวกกับคำว่า ‘ปีนขึ้นหลังคา’ ด้วย จะทำให้เขาสังเกตได้ถึงความผิดปกติของจูเก๋อชิง รู้สึกได้ชัดเจนว่านางคับแค้นและอยากหลุดพ้น ตอนนั้นเขาไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นในครอบครัว…ข้าเดิมพันว่าความเด็ดขาดของเขาจะจบเรื่องที่ยืดเยื้อมานานหลายปีได้ ก็เลยลองดูสักหน่อย ผลก็เป็นอย่างที่คาดไว้ รวดเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก!

“ปีนขึ้นหลังคา…” ฉินซีพึมพำกับตัวเอง หันกลับไปมองเปลวเพลิงริมทะเลสาบ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนหยางชิ่งสั่งจึงเน้นคำพวกนี้ ที่แท้คำพูดแบบนี้ก็เล่นงานให้คนตายได้เหมือนกัน นางตอบกลับระฆังดาราในมือ : เจ้าน่ะ บางครั้งก็ทำให้คนรู้สึกกลัว หวังว่าเหมียวอี้จะไม่รู้ความจริงตลอดไป ไม่อย่างนั้นเขาไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จ หยางชิ่งก็ถอนหายใจยาว สะเทือนใจกับคำพูดของฉินซีนิดหน่อย เขาเดินนาบนาบไปโต๊ะ แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “พู่กัน หมึก กระดาษ!”

ชิงจวี๋ที่อยู่ข้างๆ ก้าวขึ้นมาทำให้ทันที

หลังจากฝนหมึกเสร็จแล้ว หยางชิ่งก็กางม้วนกระดาษ ยกพู่กันจุ่มหมึก เขียนอักษรตัวใหญ่สี่ตัวลงบนกระดาษอย่างมีพลัง : ทำสำเร็จแล้วถอนตัว!

ด้านข้างเขียนอักษรตัวเล็กอีกสองสามแถว แล้ววางพู่กัน แกะกระดาษออกมาสะบัด เป่ารอยหมึกให้แห้ง ยื่นให้ชิงจวี๋พร้อมบอกว่า “เจ้าเก็บสิ่งนี้ไว้ให้ดี! ถ้ามีวันไหนที่เหมียวอี้ทำงานใหญ่สำเร็จจริงๆ เจ้าต้องเอาตัวอักษรพวกนี้ให้ข้าอ่าน ไม่อย่างนั้นข้ากลัวว่าจะไม่ได้ตายดี!”

………………

“…” บรรดาแม่ทัพงงงวย บ้างก็ทำสีหน้าโง่เขลา บ้างก็ทำสีหน้าฉงนสนเท่ห์ บ้างก็เหมือนตกอยู่ในความฝันอย่างกะทันหัน

ต่อให้นอนฝันทุกคนก็คิดไม่ถึง ว่าท่านจอมพลจะวางแผนไปถึงแดนรัตติกาลแล้ว

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ แม่ทัพคนหนึ่งก็กล่าวอย่างลังเล “ตำหนักนารีสวรรค์จะยอมรับพวกเราได้ยังไง เบื้องหลังราชินีสวรรค์คือตระกูลเซี่ยโห้ว ต่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วยอมรับ แต่ประมุขชิงก็ไม่ยอมรับอยู่ดี ประมุขชิงจะให้ตระกูลเซี่ยโห้วกุมกำลังทหารได้ยังไง?”

ลิ่งหูโต้วจ้งส่ายหน้า “ไม่ใช่อย่างนั้น! พวกเราไปขอพึ่งพาตำหนักนารีสวรรค์ ถ้าประมุขชิงไม่ยอม แล้วตระกูลเซี่ยโห้วจะกุมอำนาจทหารทหารไว้ได้ยังไง? แม้ราชินีสวรรค์จะมาจากตระกูลเซี่ยโห้ว แต่อย่าลืมนะว่าประมุขชิงสามารถเปลี่ยนตัวราชินีสวรรค์ได้ทุกเมื่อ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยลักษณะการทำงานของตระกูลเซี่ยโห้ว เกรงว่าคงจะไม่ยอมรับผลกระทบเรื่องนี้ ตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะคัดค้านก็ได้ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถึงยังไงประมุขชิงก็ยังมีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้ สาเหตุที่ข้าเดาว่าประมุขชิงจะตอบตกลง ก็เพราะประมุขชิงไม่อยากให้กำลังพลกลุ่มเราไปตกอยู่ในมือคนอื่น!”

“เกรงว่าคนอื่นก็คงไม่อยากให้พวกเราตกอยู่ในมือประมุขชิงเหมือนกัน” แม้ทัพคนหนึ่งกล่าว

ลิ่งหูโต้วจ้งจึงบอกว่า “มันก็ดีตรงที่เป็นช่วงเวลานี้ อิ๋งจิ่วกวงตกจากตำแหน่ง ประมุขชิงมีอำนาจฝ่ายกระทำเยอะมาก อย่างแรกเลยนะ ถ้าเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋ออยากให้ประมุขชิงทำตามสัญญา พวกเขาก็จะไม่ต่อต้านประมุขชิง ถ้าสามอ๋องสวรรค์อยากจะดึงสองคนนี้มาเป็นพวก ก็จะไม่ทำให้สองคนนี้ลำบากเช่นกัน เมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไปแล้ว ถ้าคิดอยากจะไปแดนรัตติกาลอีกก็ไม่มีโอกาสแล้ว”

“ท่านจอมพล! แดนรัตติกาลเพิ่งจะระดับไหนเอง พวกเราไปจะเหมาะสมเหรอ?” แม่ทัพอีกคนถาม

ลิ่งหูโต้วจ้งถามกลับ “แล้วถ้าแดนอเวจีล่ะ? เข้าไปได้เหรอ? ผู้เหลือรอดของหกลัทธิจะเชื่อพวกเรามั้ย? หรือจะไปแดนสุขาวดี? ประมุขพุทธะจะรับกำลังพลของประมุขชิงได้เหรอ? ถ้าไปขอพึ่งพาประมุขชิงโดยตรง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะไม่มีที่ให้พวกเราอยู่ ยศของพวกเราก็จะรักษาไว้ไม่ได้ด้วย พวกเราเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของอิ๋งจิ่วกวงทั้งนั้น เป็นขุนนางที่มีความผิด! ไม่ฆ่าทิ้งก็ถือว่าเมตตาแล้ว! เมื่อรบแพ้ครั้งนี้ บนราชสำนักก็ไม่มีที่ยืนให้พวกเราแล้ว ต่อให้ดันทุรังไปเข้าประชุมขุนนาง แต่ก็จะต้องโดนทุกคนคัดค้านแน่นอน แล้วถ้าอยู่ที่ทัพตะวันออกต่อไปล่ะ? เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อจะต้องปราบพวกเราแน่นอน กอปรกับขวัญกำลังใจทหารของพวกเรายังไม่มั่นคง อิ๋งจิ่วกวงก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ทำผิดซ้ำรอยเดิมได้ง่ายๆ เลย อาณาเขตดาวนิรนามอันกว้างใหญ่มีที่ให้พวกเราไปเหรอ? คนมากมายขนาดนี้ต่างก็มีครอบครัวของตัวเอง แล้วเรื่องกินเรื่องอยู่จะทำยังไงล่ะ? หรือจะไปขอพึ่งพาอีกสามอ๋องสวรรค์? ทุกคนคงจินตนาการชีวิตในวันข้างหน้าได้ สถานการณ์ภายในของสามตระกูลนั้นเป็นยังไง พวกเราก็รู้อยู่แก่ใจ คนนอกอย่างพวกเราไม่โดนบีบคั้นก็แปลกแล้ว ทุกคนต่างก็มีครอบครัว ยินดีจะรับความออยุติธรรมนี้ไปด้วยกันมั้ยล่ะ? แต่ถ้าไปแดนรัตติกาลก็จะต่างกัน ต่อให้จะโดนลดยศเพราะเรื่องของอิ๋งจิ่วกวง แต่อย่างน้อยก็ปกป้องคนในครอบครัวให้ปลอดภับราบรื่นได้ ไม่ต้องให้พวกเราได้รับความลำบากไปด้วย แล้วอีกอย่าง คนที่แดนรัตติกาลเป็นประเภทไหนล่ะ ในปีนั้นตำแหน่งของชิงเยว่ไม่ได้ต่ำกว่าข้าเลย ในปีนั้นหลงซิ่นก็ได้เข้าประชุมในราชสำนักเหมือนกัน ล้วนเป็นพวกขุนนางที่ถูกยึดทรัพย์ ไปอยู่ที่นั่นก็ไม่มีใครดูถูกพวกเราหรอก แน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาเกียรติยศเงินทองของปัจจุบันไว้ แต่ทุกคนลองคิดดูสิ พวกเราก่อความวุ่นวายกับอิ๋งจิ่วกวง ไม่ว่าจะไปหรือไม่ไปแดนรัตติกาล ก็รักษาเกียรติยศเงินทองในตอนนี้ไว้ไม่ได้อยู่ดี อยากสุขสงบปลอดภัย หรืออยากได้รับความอัปยศ ทุกคนยังมีทางเลือกอีกเหรอ?”

พวกลูกน้องบ้างก็ลังเล บ้างก็พยักหน้า มีคนถอนหายใจแล้วบอกว่า “แต่นั่นคืออาณาเขตของหนิวโหย่วเต๋อ ถ้าตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อเล่นใช้อุบายต่อต้านล่ะ บวกกับตระกูลเซี่ยโห้วไม่ยินดี พอมีสองฝ่ายสมคบกัน หรือไม่ก็ไม่ได้สมคบกันแค่สองฝ่าย ถ้ายังมีพวกที่ไม่อยากให้พวกเราได้ดีร่วมมือด้วยอีกล่ะ ในที่แจ้งมีคนบนราชสำนักช่วย ในที่ลับมีตระกูลเซี่ยโห้วช่วย เกรงว่าจะค่อนข้างยุ่งยาก มิหนำซ้ำเจ้าเวรตะไลหนิวโหย่วเต๋อนั่นก็ทำได้ทุกอย่าง ขนาดเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นตอนนี้เขายังกล้าแหย่เท้าเข้ามายุ่ง ถ้าจะวางอุบายกับพววกเราขึ้นมา ก็เกรงว่าจะไม่ปรานี เขาทำได้จริงๆ!”

ลิ่งหูโต้วจ้งตอบว่า “นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้ากังวลเหมือนกัน พวกเราไปที่แดนรัตติกาลแล้วจะอยู่ร่วมกับหนิวโหย่วเต๋อยังไงก็ยังเป็นปัญหา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องรอง ขอเพียงประมุขชิงอยากจะฮุบพวกเราไว้ เขาย่อมคิดหาทางแก้ไขปัญหาอยู่แล้ว ถ้าเขากล้าขัดเจตนาของประมุขชิง ก็เป็นไปได้ว่าประมุขชิงจะย้ายเขาออกไป”

“ในเมื่อท่านจอมพลคิดไว้ชัดเจนแล้ว พวกข้าน้อยก็ยินดีติดตาม เพียงแต่จะทำยังไงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าดี กำลังพลพวกนี้?”

หลังจากปรึกษากันได้พักหนึ่ง ทุกคนก็ได้ข้อสรุปแล้ว ถ้าคิดจะให้กำลังพลพวกนี้ไปด้วยก็เป็นไปไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าในนั้นจะมีคนส่วนใหญ่ไม่ยอมไปกับพวกเขา ถ้าฝืนดึงตัวมาก็อาจจะมีคนอยากกบฏทันที กลับจะทำให้พวกเขาไปอย่างไม่เป็นอิสระก็ได้ ยังมีสิ่งที่สำคัญที่สุดอีกอย่าง แม้กำลังพลตรงหน้าจะมีทั้งดีทั้งเลวปนกัน แต่ก็เป็นกำลังพลเกือบหนึ่งพันล้าน แม้จะมีบางส่วนยังตามมาไม่ถึง แต่นี่ก็ยังไม่รวมนักพรตวรยุทธ์ต่ำกว่าบงกชทองที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ถ้าพาคนพวกนี้ไปด้วยกันหมด อำนาจฝ่ายไหนจะยอมนิ่งดูดายล่ะ? จะต้องสร้างปัญญาให้การกับการปลีกตัวของพวกเขาแน่นอน

หลังจากเรียกแม่ทัพของแต่ละกองมารวมกันแล้ว ลิ่งหูโต้วจ้งก็เผชิญหน้ากับทุกคนพร้อมกล่าวเสียงดัง “ข้ารู้ว่าในบรรดาพวกเจ้ามีบางคนที่ไม่ได้มีใจเป็นหนึ่งเดียวกับข้า สำหรับในจุดนี้ข้าก็ไปบังคับไม่ได้…”

เขาพูดประมาณว่า เป็นเพราะอิ๋งจิ่วกวงตายแล้ว ทุกคนล้วนอยากวิ่งไปสู่อนาคต ถ้าเต็มใจอยู่ก็อยู่ต่อ ถ้าเต็มใจจะตามเขาไปก็ตามเขาไป ทุกคนจากกันแต่โดยดี ไม่อยากให้ทุกคนใช้กำลังปะทะกัน แต่ลิ่งหูโต้วจ้งก็ยังไม่ได้บอกชัดเจนว่าจะไปที่ไหน ที่ไม่บอกก็เพราะจะเหลือแผนสำรองเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ถูกดัก

การตัดขาดกับลิ่งหูโต้วจ้งในเวลาแบบนี้ ที่จริงก็เป็นวิธีการปกป้องตัวเองอย่างหนึ่ง ดังนั้นผลที่ได้จึงทำให้ลิ่งหูโต้วจ้งค่อนข้างผิดหวังท้อใจ แม้แต่คนในเครือข่ายของเขาเองก็มีไม่น้อยที่ต้องการจะแยกจากกับเขาแต่โดยดี สุดท้ายคนที่ยินดีจะไปกับเขาก็มีแค่ประมาณห้าสิบล้านคนเท่านั้น ล้วนเป็นเครือข่ายสายตรงที่มีสายสัมพันธ์ค่อนข้างลึก รู้ว่าถ้าแยกกับลิ่งหูโต้วจ้งไปก็ไม่ได้ใช้ชีวิตสบายอยู่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ เกรงว่าคนที่อยากจะแยกย้ายไปหาอนาคตคงมีมากกว่านี้แล้ว

ความไร้น้ำใจของชาวโลกก็เป็นเช่นนี้ ลิ่งหูโต้วจ้งทำได้เพียงปล่อยวาง เพียงแต่กำลังพลจำนวนน้อยเท่านี้ทำให้เขาเสียต้นทุนในการเจรจาไปแล้วไม่น้อย แต่จนใจที่ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ไม่มีทางย้อนคืนวันวานได้ แต่ก็ช่างเถอะ สุดท้ายก็นำคนแยกตัวจากทัพใหญ่ แล้วหายไปในจุดลึกของดาราจักรอย่างรวดเร็ว

ใจคนก็เหมือนน้ำ ดอกไม้เบ่งบานและร่วงโรย เรื่องราวในโลกก็เป็นเช่นนี้ เกิดขึ้นภายในเวลาชั่วข้ามคืนเท่านั้น

อ๋องสวรรค์ยุคหนึ่งปิดฉากลงอย่างเศร้าสลด จอมพลยุคหนึ่งจากไปด้วยความสะเทือนใจ สถานการณ์ผันผวนไม่หยุดนิ่ง ทัพตะวันออกกลายเป็นประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ ความสำเร็จของแม่ทัพกลายเป็นหัวข้อสนทนาหลังอาหารของคนในใต้หล้า

เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อออกจากประตูดวงดาวฝั่งตะวันตกและตะวันออกมาแล้ว ทั้งสองมารวมตัวกันและดักซุ่ม เฝ้าอยู่ในท้องฟ้าผืนหนึ่ง แค่รอให้ให้ลิ่งหูโต้วจ้งเข้ามาแล้วก็จะโจมตีทันที ตอนนี้ทั้งสองตะลึงงัน ได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่ก

“หนีไปแล้วเหรอ? เขาจะไปไหนได้?” เถิงเฟยถาม

เฉิงไท่เจ๋อส่ายหน้า คิดไม่ออกเหมือนกันว่าลิ่งหูโต้วจ้งจะไปไหนได้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าประมุขชิงกับอีกสามอ๋องจะขัดใจและผลักพวกเขาให้ฝ่ายตรงข้ามโดยรับลิ่งหูโต้วจ้งไว้แทนในเวลานี้ แต่นอกจากสองฝั่งนี้ ลิ่งหูจะยังไปที่ไหนได้อีก? ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้

ที่สำคัญคือตอนนี้เจ้าไม่มีทางส่งคนไปสกัดขวางได้ เพราะกำลังพลที่ทำศึกได้ของแต่ละพื้นที่ในเขตทัพตะวันออกถูกย้ายออกไปแล้ว ทุกที่ว่างเปล่า ไม่มีใครขัดขวางกำลังพลห้าสิบล้านที่ลิ่งหูโต้วจ้งพาไปด้วยได้ มิหนำซ้ำยังเป็นกำลังพลห้าสิบล้านที่จนตรอกจนต้องสู้ตาย ตัดตัวภาระออกไปแล้ว พลังรบจะต้องแข็งแกร่งมากแน่นอน จะให้อีกสามอ๋องสวรรค์ช่วยสกัดให้เหรอ? ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้อีกฝ่ายจะยอมช่วยหรือไม่ ไม่แน่ว่าลิ่งหูอาจจะไปขอพึ่งพาพวกเขาแล้วก็ได้

สุดท้ายเฉิงไท่เจ๋อก็ถอนหายใจ “ช่างเถอะ ไปแล้วก็ดี จะได้ไม่ต้องเข่นฆ่ากันให้กำลังรบของพวกเราเสียหาย แค่กำลังพลไม่กี่สิบล้านคน สร้างเรื่องอะไรไม่ได้หรอก ขอแค่ไม่พาคนอื่นไปด้วยก็พอ ทั้งยังช่วยพวกเราควบคุมอาณาเขตสายขาลได้ด้วย สิ่งที่สำคัญตอนนี้ก็คือ ต้องปลอบขวัญทัพใต้ ทัพตะวันตก ทัพเหนือ กำลังหนุนของอีกฝ่ายกำลังตามมาที่นี่ ใกล้จะมาถึงแล้ว ตราบใดที่ทำให้สามอ๋องสงบใจได้ คนจำนวนเล็กน้อยของลิ่งหูโต้วจ้งก็ไม่พอให้กังวลหรอก โดยภาพรวมแล้วไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากแล้ว!”

เถิงเฟยพยักหน้า “ลิ่งหูโต้วจ้งหนีไปแล้ว สถานการณ์ภาพรวมถูกกำหนดแล้ว ติดต่อพวกเขาเถอะ!”

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว เกิดเสียงดังโครมในป่าไผ่ โค่วหลิงซวีที่อยู่ในศาลาโบกมือพลิกโต๊ะหินจนคว่ำ แล้วเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอย่างกระฟัดกระเฟียด คำรามเสียงต่ำราวกับสัตว์ป่า “คนอย่างเถิงเฟยน่ะเหรอคิดจะมายืนคุมเชิงกับอ๋องผู้นี้? คิดว่าตัวเองเป็นใคร? ฝันลมๆ แล้งๆ!”

พอชำเลืองมองโต๊ะหินที่พลิกคว่ำ ก็รู้แล้วว่าท่านพ่อกำลังเดือดดาล โค่วเจิงจึงไม่กล้าพูดอะไร

ในมือถังเฮ่อเหนียนยังใช้ระฆังดาราติดต่อ หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว ก็รายงานอีกว่า “ท่านอ๋อง เฉิงไท่เจ๋อส่งข่าวมา มีความคิดเหมือนกับเถิงเฟย เขาบอกว่ายินดีร่วมกับเถิงเฟยเพื่อคุมอาณาเขตเดิมของทัพตะวันออกให้ดี ยินดีเดินตามแนวทางเดิมของอิ๋งจิ่วกวง หวังว่าท่านอ๋องจะถอนกำลังทหารกลับไป บอกว่าไม่อยากปะทะกับคนของท่านอ๋อง!”

“ฝันลมๆ แล้งๆ!” โค่วหลิงซวีตะคอกอีกครั้ง

ถังเฮ่อเหนียนพูดไม่ออก ทำได้เพียงเฝ้ารอ รู้ว่าตอนนี้อารมณ์ของท่านอ๋องยังไม่สงบ การตายของอิ๋งจิ่วกวงทำให้เขายอมรับความจริงลำบาก

เป็นอย่างนี้จริงๆ หลังจากโค่วหลิงซวีเริ่มใจเย็นลงแล้ว ก็ค่อยๆ นั่งลงบนม้านั่งหิน ทุบหมัดบนเข่า “เฮ้อ!” หลังจากไตร่ตรองอยู่นานก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “อิ๋งจิ่วกวงเอ๊ยอิ๋งจิ่วกวง ทำไมไม่ยืนหยัดไว้อีกสักหน่อย…กำลังหนุนไม่มีเป้าหมายแล้ว ถอนกำลังเถอะ! ถอนกำลังคนที่ตลาดสวรรค์ด้วย” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความจนใจ ไม่อาจใช้อารมณ์ทำงาน สุดท้ายก็ต้องประนีประนอมกับความเป็นจริง

“รับทราบ!” ถังเฮ่อเหนียนเอ่ยรับ แล้วปฏิบัติตามนี้

ในตำหนักดาราจักร รายละเอียดของผลการรบยังไม่ออกมา แต่กองทัพองครักษ์เกิดการสูญเสียแล้ว จากสามร้อยล้านคนตายไปสามสิบล้านกว่าคน จากจุดนี้จะเห็นถึงกำลังรบของกองทัพอิ๋งจิ่วกวง ความเสียหายการรบครั้งนี้ทำให้ประมุขชิงตกอยู่ในความเงียบ

ทว่ารายงานลับจากซ่างกวนชิงก็ทำให้ประมุขชิงเงยหน้าอย่างงุนงงอีก “ตำหนักนารีสวรรค์? แดนรัตติกาล?”

ซ่างกวนชิงพยักหน้า “ขอรับ”

ประมุขชิงเดินออกจากโต๊ะ ขมวดคิ้วมุ่นดินไปเดินมาในตำหนัก หลังจากผ่านไปนาน จู่ๆ ก็หัวเราะเบาๆ “ลิ่งหูโต้วจ้งคนนี้น่าสนใจ สายตาช่างกลับกลอก! เกาก้วน เจ้าคิดว่ายังไง?”

เกาก้วนทำท่างงไปชั่วครู่ แล้วกุมหมัดคารวะ “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทหมายถึงเรื่องไหน?”

ประมุขชิงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้เป็นรายงานลับจากซ่างกวนชิง เกาก้วนยังไม่ได้ยิน จึงชี้เกาก้วนทันที “ซ่างกวน เจ้าบอกให้เขาฟังหน่อย”

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ แล้วก็บอกเกาก้วนอีก “ทูตขวาเกา ทัพใหญ่ของฝ่าบาทจู่โจมกะทันหัน ลิ่งหูโต้วจ้งมาช่วยอิ๋งจิ่วกวงไม่ทัน ตอนนี้นำกำลังพลห้าสิบล้านหนีไปแล้ว เพิ่งจะรายงานขึ้นมาขอรับผิดกับฝ่าบาท แต่กลับอาศัยกำลังพลที่มีในมือมาต่อรองกับฝ่าบาท บอกว่าอยากจะไปขอพึ่งพาตำหนักนารีสวรรค์ จะไปตั้งตัวที่แดนรัตติกาล!”

เกาก้วนแทบจะไม่คิดอะไร กล่าวเสียงเรียบว่า “เป็นทหารที่รบแพ้ แต่ยังบังอาจมาต่อรองกับฝ่าบาท ควรฉวยโอกาสนี้ปราบให้หมด ฝ่าบาทสามารถแจ้งผ่านกำลังพลในสี่ทัพให้ล้อมปราบได้เลย ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าสี่ทัพไม่เชื่อฟัง ฝ่าบาทก็สามารถขู่ได้ว่าจะรับกำลังพลของลิ่งหูโต้วจ้งไว้ สี่ทัพจะต้องร่วมมือกันล้อมปราบอย่างสุดกำลังแน่ ไม่ต้องให้ฝ่าบาทใช้กำลังพลตัวเองสักคน!”

“เจ้านี่ตั้งแต่เช้ายันค่ำรู้จักแต่ฆ่าๆๆ เจ้าฆ่าคนน้อยไปหรือไง?” ประมุขชิงหันตัวมาชี้เกาก้วน “ข้ากำลังสื่อว่า ข้าจะตอบตกลงเงื่อนไขของเขาดีมั้ย ไม่ได้ให้เจ้าคิดหาทางล้อมปราบ!”

…………………

แค่ลูกธนูหมื่นดอกยิงพร้อมกันเสียทีไหนล่ะ!

เสียงบึ้มๆ ดังสะเทือนเลือนลั่น สงฉีที่นำคนพุ่งสังหารเข้ามาแทบจะตาถลน ตกใจจนมือไม้อ่อน ในหัวมีเพียงคำว่า จบเห่!

อนุภรรยาของอิ๋งจิ่วกวงก็รู้เช่นกันว่าจะให้ค่ายกลลูกธนูของอีกฝ่ายแสดงอานุภาพไม่ได้ หลายคนดิ้นรนสู้ตายพุ่งออกไปแล้ว

ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิงที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์เข่นฆ่าในทัพใหญ่มาก่อน อิ๋งจิ่วกวงที่ปล่อยเจดีย์วิเศษยักษ์หลังหนึ่งออกมาตะโกนเรียกอย่างร้อนใจ “กลับมา!”

เสียงลำแสงนับไม่ถ้วนถล่มยิง เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นจนกลบเสียงตะโกนของเขาแล้ว กลบผู้หญิงพวกนั้นแล้วเช่นกัน

เจดีย์วิเศษเก็บอิ๋งจิ่วกวงและผู้หญิงที่เหลือร้อยกว่าคนเข้าไปแล้ว

เสียงชนกระแทกดังรวมอยู่ที่เจดีย์วิเศษ เกิดความเคลื่อนไหวราวกับฟ้าถล่มแผ่นดินแยก ชั่วพริบตาเดียวก็โจมตีจนเจดีย์วิเศษอับแสงและเกิดหลุมบ่อขรุขระ

ลำแสงนับไม่ถ้วนถล่มเข้ามาระลอกที่สอง บึ้ม! ราวกับฟ้าจะแยกออกจากกัน เจดีย์วิเศษที่ทนทานแข็งแรงพังทลายในชั่วพริบตาเดียว ระเบิดกลายเป็นฝุ่นผง แล้วไม่นานก็ถูกพลังอิทธิฤทธิ์พพัดกระเพื่อมออกไป กระจายไปยังกำลังพลที่ล้อมอยู่รอบข้าง ขยายไปยังกำลังพลที่กำลังตะลุมบอนกันอยู่

ภายใต้อานุภาพการโจมตีขนาดใหญ่ที่รวมกัน ในใต้หล้านี้ไม่มีของวิเศษใดที่ต้านไหว ภายใต้การโจมตีจากกำลังพลมากมายขนาดนี้ ต่อให้ไม่มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ใช้ดาบฟันอย่างเดียวก็ทำให้มันขาดได้เหมือนกัน ท่ามกลางการรวมกลุ่มทำศึกใหญ่ขนาดนี้ ไม่เหมาะจะใช้งานของวิเศษเลย

แต่อิ๋งจิ่วกวงไม่มีทางเลือก ถ้าต้านไว้ได้สักหน่อยก็ยังดี หวังว่าจะทนได้อีกสักหน่อยจนกองหนุนมาช่วย แต่เห็นได้ชัดว่าความหวังของเขาถูกทำลายแล้ว

ท่ามกลางฝุ่นที่ตลบอบอวล ผู้หญิงร้อยกว่าคนนั่น เกราะรบบนตัวสะเทือนหายไปแล้ว ร่างกายที่มีเลือดเนื้อหายไปหมดแล้ว บ้างก็กลายเป็นเศษเนื้อ บ้างก็โดนแทงจนร่างพรุนเหมือนรังผึ้ง ไม่มีใครที่รอดชีวิตสักคน

อิ๋งจิ่วกวงยังคงยืนตระหง่านอยู่อย่างนั้น เกราะรบบนตัวพังทลายแล้วเช่นกัน หกแขนปกป้องหัว บนแขนทั้งหกและบนร่างกายมีลูกธนูเสียบอยู่ไม่น้อย ทั้งหมดยิงเข้ามาหลังจากโจมตีเจดีย์วิเศษพังแล้ว

ฉึกๆๆ! ลูกธนูดาวตกทยอยเด้งกลับไป บนร่างกายอิ๋งจิ่วกวงมีเลือดไหล แขนทั้งหกก็ห้อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรงเช่นกัน ใบหน้าที่เปื้อนเลือดเงยหน้ากล่าวอย่างคับแค้นว่า “ประมุขชิง! ในปีนั้นตาแก่คนนี้ทำศึกเล็กศึกใหญ่มานับร้อย เอาตัวกระโจนเข้าไปเสี่ยงตายเพื่อให้เจ้าขึ้นสู่ตำแหน่ง แต่เจ้าบังอาจทำกับข้าแบบนี้ ข้า…”

ยังไม่ทันพูดจบ โพ่จวินก็ช้อนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มายิงใส่อีกดอก ดอกนี้ทะลุหัวใจของอิ๋งจิ่วกวง ไม่ให้เขาได้พูดสิ่งที่ไม่น่าออกมา

อิ๋งจิ่วกวงกระอักเลือดออกจากปาก ในที่สุดพลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มสุดท้ายที่ดันทุรังเก็บไว้ก็พังทลายแล้ว ผมขาวปลิวสยาย ดวงตาสองข้าเบิกกว้าง ร่างกายหมุนพลิกอยู่ในดาราจักร

ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้ามาหลายปี สุดท้ายก็มีจุดจบอย่างนี้

จากนั้นก็มีคนพุ่งเข้าไปเร็วมาก ใช้ดาบฟันศีรษะเขาลงมา แล้วยกขึ้นพร้อมตะโกนเสียงดัง “หัวของอิ๋งจิ่วกวงอยู่นี่แล้ว!”

“หัวของอิ๋งจิ่วกวงอยู่นี่!”

เสียงตะโกนดังครอบฟ้าคลุมดิน

ขณะชูหัวของอิ๋งจิ่วกวงตรงหน้ากระบวนทัพ ก็ตะโกนถามเสียงดังว่า “อิ๋งจิ่วกวงโดนตัดหัวแล้ว ถ้าไม่ยอมแพ้ตอนนี้แล้วจะรอถึงเมื่อไร?”

กำลังพลทัพตะวันออกสับสนอลหม่านทันที ยังจะสู้บ้าอะไรอีก! ขนาดอ๋องสวรรค์อิ๋งยังตายแล้ว สู้สุดชีวิตไปก็ไม่มีใครให้รางวัลเจ้าอยู่ดี

สงฉีที่น้ำตานองหน้ามองดูฉากนี้ สุดท้ายก็ตะโกนอย่างเศร้าโศก “หนี!”

เขารู้ว่าจบเห่แล้ว ทุกอย่างจบแล้ว หันตัวไปนำกำลังพลกลุ่มหนึ่งสู้ตายฝ่าวงล้อม เขารู้แจ่มแจ้ง ว่าบางคนยอมแพ้แล้วจะมีชีวิตรอด ส่วนบางคนก็ยอมตายที่กว่ายอมแพ้ เขาเป็นแบบหลัง ย่อมสู้ตายเพื่อฝ่าวงล้อมไป

องครักษ์เงาหายไปแล้ว ปรากฏตัวมาแสดงบทบาทเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากหยุดยั้งไม่ให้อิ๋งจิ่วกวงหนีไป พวกเขาก็หายไปอย่างรวดเร็ว

สถานการณ์ต่อจากนั้น แค่ลองคิดดูก็รู้แล้ว พออิ๋งจิ่วกวงตาย ขวัญกำลังใจทหารก็แตกซ่านโดยสิ้นเชิง บ้างก็ตาย บ้างก็ยอมแพ้ คนที่หนีไปก็ถูกลูกธนูดาวตกยิงตาย สนามรบกระจัดกระจายเหมือนผึ้งแตกรัง ไล่โจมตีไปทั่วทุกที่

โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ปรึกษากันเล็กน้อย จากนั้นก็เก็บศีรษะของอิ๋งจิ่วกวงไว้ในมือโพ่จวิน

ขณะมองศีรษะที่ตายตาไม่หลับ อู๋ฉวี่ก็ส่ายหน้าบอกว่า “ข้ากลัวจริงๆ ว่าเขาจะไม่โผล่หน้ามาใครจะคิดว่าเขาจะสวมเกราะรบลงสนามมาสู้ด้วยตัวเอง เหนือความคาดหมายข้าเกินไปแล้ว รนหาที่ตายแท้ๆ แต่ก็ลดความยุ่งยากให้พวกเราไม่น้อยเลย”

โพ่จวินแสยะยิ้ม “เขาก็แค่รู้สึกไม่ยอมที่ต้องถอยออกจากสนามไปแบบนี้ อยากจะเดิมพันสักตั้ง ถ้าอยากจะหนีจริงๆ มีทัพใหญ่ต้านไว้ให้ พวกเราก็จับเขาไม่ได้หรอก” พูดจบก็เอามือที่ถือหัวไขว้หลัง

ทั้งสองยืนเคียงบ่ากัน หันมองสนามรบที่ชุลมุนวุ่นวายรอบๆ พออิ๋งจิ่วกวงตายไป กำลังพลของเขาเองก็จิตใจหย่อนยานทันที สถานการณ์การรบกระจ่างชัดอย่างรวดเร็ว

เรื่องเหมางานตอนท้ายส่งต่อให้อู๋ฉวี่ โพ่จวินเป็นคนถือหัวของอิ๋งจิ่วกวง ระดมทัพใหญ่ห้าสิบล้านรีบตามไปที่สนามรบฝั่งตะวันออก

อู๋ฉวี่สั่งให้กำลังพลสายหนึ่งไล่สังหารพวงสงฉีที่หนีออกจากขบวนรบ สั่งให้กำลังพลอีกสายมุ่งตรงไปยังรังเดิมของอิ๋งจิ่วกวงเพื่อตรวจสอบและจับกุม ส่วนพวกทหารที่หนีไปก็ไม่สนใจแล้ว สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ย่อมมีคนที่เถิงเฟยและเฉิงไท่เจอวางกำลังไว้คอยจัดการ

“ดี!”

ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงตบโต๊ะยืนขึ้น แล้วเดินไปเดินมาอย่างตื่นเต้น

พออิ๋งจิ่วกวงตาย ก็หมายความว่าสามารถจบเรื่องศึกสงครามได้แล้ว ใจที่กังวลมาตลอด สุดท้ายก็หายกังวลเสียที

ซ่างกวนชิงยืนยิ้มอยู่ข้างๆ แต่ในใจกลับแอบทอดถอนใจ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพฮึกเหิมมีชีวิตชีวาของอิ๋งจิ่วกวงตอนเป็นขุนนางติดตามราชันในปีนั้น รอดชีวิตจากร้อยศึกจนได้มาเป็นอ๋องสวรรค์ สุดท้ายกลับตายด้วยน้ำมือขุนนางที่เข่นฆ่ากันเอง พอนึกถึงเรื่องในอดีตก็ทำให้คนรู้สึกปลงจริงๆ!

พอมองประมุขชิงที่เดินไปเดินมาไม่หยุดอีก ซ่างกวนชิงก็แอบขำในใจ ไม่รู้ว่าท่านนี้จะเผชิญหน้ากับสนมสวรรค์อย่างไร!

เกาก้วนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับรูปสลัก มีท่าทางไม่สะทกสะท้านอยู่อย่างนั้นเสมอ

“หยุด!”

ลิ่งหูโต้วจ้งที่เข้าใกล้ประตูดวงดาวฝั่งเหนือโบกมือตะโกนหยุด ในมือยังกำระฆังดารา ขณะมองดูประตูดวงดาวที่หมุนวนอยู่ไกลๆ เขากลับเหม่อค้างไป อิ๋งจิ่วกวงตายแล้ว อิ๋งจิ่วกวงตายไปแบบนี้แล้ว…

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ฮ่าวเต๋อฟางจับที่วางมือ ทอดสายตามองไปไกลอย่างเหม่อลอย

“เฮ้อ!” ซูอวิ้นที่ถือระฆังดาราอยู่ข้างๆ ถอนหายใจเสียงเบา

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่นั่งอยู่ในศาลาก้มหน้ามองเท้าอย่างเงียบงันนานมาก สีหน้าหดหู่สิ้นหวัง

“เฮ้อ!” ถังเฮ่อเหนียนที่ถือระฆังดาราก็ส่ายหน้าเบาๆ พลางถอนหายใจเช่นกัน

“ข่าวผิดพลาดหรือเปล่า?” โค่วเจิงขยับลูกกระเดือกกลืนน้ำลาย

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่เดินช้าๆ มาถึงหลังโต๊ะหย่อนก้นนั่งลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ตอนนี้มีสีหน้าห่อเหี่ยวใจ

โหวเยว่ที่กำลังถือระฆังดาราหัวเราะอย่างขื่นขม เข้าใจความรู้สึกของท่านอ๋อง ขนาดเขาเองยังรู้สึกว่าไม่ใช่ความจริง อิ๋งจิ่วกวงจะตายแล้วได้อย่างไร?

แต่ทางฝั่งกำลังพลที่รบแพ้รายงานข่าวมาแล้ว การที่สี่ทัพแทรกสายลับไว้ระหว่างกันเพื่อป้องกันความผิดพลาดนั้นเป็นเรื่องที่ปกติมา

จวนท่านปู่สวรรค์ ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า เว่ยซูเก็บระฆังดาราแล้ว เดินไปรายงานข้างหลังเซี่ยโห้วลิ่งที่กำลังเอามือไขว้หลังเงยหน้ามองฟ้า

เมื่อสังเกตสายตาของเซี่ยโห้วลิ่ง เว่ยซูก็รายงานอย่างใจเย็นว่า “นายท่าน ศีรษะของอิ๋งจิ่วกวงอยู่ในมือกองทัพองครักษ์แล้ว กำลังพลของสงฉีแพ้แล้ว ขาดคนที่เป็นแกนสำคัญแล้ว คาดว่าฝั่งเฉาหยินก็ใกล้แล้วเหมือนกัน ประคับประคองได้ไม่นานเท่าไร!”

“เป็นอย่างที่คาดไว้! ในเมื่อประมุขชิงลงมือแล้ว ก็คงไม่ยิงธนูโดยไร้เป้า ไม่อย่างนั้นจะทำให้ตัวเองหาทางลงไม่ได้ ต่อให้อิ๋งจิ่วกวงไม่ตายก็จบเห่อยุ่ดี!” เซี่ยโห้วลิ่งมองดาวบนฟ้าพลางกล่าวเสียงเรียบ ท่าทางไม่สะทกสะท้าน แต่ในใจกลับดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง เพียงแต่เมื่ออยู่ต่อหน้ากลุ่มคน เขาจะต้องแสดงความสุขุมของหัวหน้าตระกูลก็เท่านั้นเอง เขาจินตนาการได้เลยว่าหลังจากจบเรื่องนี้แล้ว คนในตระกูลก็จะมองเขาด้วยสายตาอีกแบบ “ตอนนี้บรรลุเป้าหมายแล้ว แจ้งให้คนทางตลาดสวรรค์หยุดเถอะ จะได้ไม่ต้องปะทะกับอีกสามตระกูล ถ้าหนิวโหย่วเต๋อจะก่อเรื่องก็ให้เขาทำต่อไป ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าแล้ว!”

“นายท่าน ทางตลาดสวรรค์เกิดความผิดพลาดนิดหน่อย” เว่ยซูตอบ

“มีเรื่องอะไร?” เซี่ยโห้วลิ่งงุนงง

“เพิ่งได้ข่าวมา ว่าพวกเรามีร้านค้านับหมื่นโดนล้างเลือดแล้ว…” เว่ยซูเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ

จะมีเรื่องอะไรได้ ก็ก่อนหน้านี้อิ๋งจิ่วกวงออกคำสั่งโจมตีเมืองแล้ว พอประตูเมืองพัง คนในร้านค้าของตระกูลเซี่ยโห้วก็หวังว่าคนของเหมียวอี้จะร่วมมือกันต่อต้าน คนของตัวเองวางแผนจะปลีกตัวออกไป แต่ใครจะคิดว่าคนของหนิวโหย่วเต๋อจะหนีไปก่อน มีการรวมกลุ่มต่อต้านเสียที่ไหนกัน เมื่อไม่มีการรวมกลุ่ม พอกำลังพลสังหารเข้ามาที่ตลาดสวรรค์ คนที่รวมตัวกันก่อนหน้านี้ก็แตกกระจายทันที ใครจะไปสู้ตายล่ะ ระยะปลอดภัยที่เซี่ยโห้วลิ่งคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ไม่เกิดขึ้น พอกำลังพลที่โจมตีเมืองควบคุมตลาดสวรรค์ได้ ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะรอดสักคน ฝ่ายแรกที่รับเคราะห์ก็คือร้ายค้าของตระกูลเซี่ยโห้ว โชคดีที่เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อกบฏไปแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้ากำลังพลของสองคนนั้นมาเข้าร่วมโจมตีเมืองด้วย ตระกูลเซี่ยโห้วก็จะบันเทิงแล้ว

“คนของหนิวโหย่วเต๋อล่ะ?” เซี่ยโห้วลิ่งถามด้วยใบหน้าพยับเมฆ

เว่ยซูส่ายหน้า “ตอนนี้สถานการณ์ที่ตลาดสวรรค์ชุลมุน ไม่รู้เหมือนกันว่าคนของเขาไปซ่อนตัวที่ไหน”

“สารเลว!” เซี่ยโห้วลิ่งกัดฟันด่า เดิมทีนี่เป็นเรื่องที่สมบูรณ์แบบมาก จู่ๆ ร้านค้านับหมื่นก็ถูกล้างเลือด ราวกับว่าโดนวางกับดัก เขาหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ทันที ถามไปว่า : ตลาดสวรรค์โดนโจมตี คนของเจ้าที่จะมารวมตัวกันต่อต้านไปไหนแล้ว?

เหมียวอี้เองก็ไม่เกรงใจ : ตามสัญญาที่ร่วมมือกัน ท่านปู่สวรรค์กลับไม่รายงานสถานการณ์ให้ข้ารู้ในทันที ข้าก็นึกว่าท่านปู่สวรรค์มีแผนการอีกอย่าง ข้ากลัวว่าจะควบคุมสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ไหว ก็เลยให้คนไปซ่อนตัวก่อน

เซี่ยโห้วลิ่ง : เจ้าเล่นลูกไม้นี้กับข้า ข้าว่าเจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วละมั้ง!

เหมียวอี้ : ถ้าท่านปู่สวรรค์คิดจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง หนิวก็ไม่กลัวการมีเรื่องหรอก ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู!

พูดจบก็ตัดขาดการติดต่อไปเลย เอามือไขว้หลังเดินออกไปนอกเมือง ไม่เห็นเซี่ยโห้วลิ่งอยู่ในสายตาเลย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ตราบใดที่เซี่ยโห้วลิ่งยังปรับให้ทั้งตระกูลเซี่ยโห้วกลมเกลียวกันไม่ได้โดยสมบูรณ์ เมื่อมีการร่วมงานกันครั้งนี้แล้ว เซี่ยโห้วลิ่งก็ไม่กล้าทำอะไรเขาหรอก ยังกล้ามาขู่เขาอีกเหรอ!

และเขาก็รับประกันได้เลย ว่าตราบใดที่หยวนกงยังอยู่ในมือเขา เซี่ยโห้วลิ่งก็แทบจะไม่มีโอกาสปรับกำลังของทั้งตระกูลเซี่ยโห้วให้รวมเป็นหนึ่งเดียวได้

อีกด้านหนึ่ง เซี่ยโห้วลิ่งกำระฆังดาราเงียบๆ เก็บกลั้นไฟโกรธเอาไว้เต็มอก แต่กลับระบายออกมาไม่ได้

“อ๋องสวรรค์อิ๋งรบแพ้แล้ว สิ้นชีพอยู่ในมือกองทัพองครักษ์”

กำลังพลหยุดอยู่ในดาราจักร ลิ่งหูโต้วจ้งหลบเลี่ยงคนนอก เรียกรวมลูกน้องคนสนิทแค่ไม่กี่คน แล้วประกาศข่าวร้ายนี้ให้ฟัง

บรรดาแม่ทัพมองหน้ากันเลิกลั่ก มีคนถามว่า “ไม่ทราบว่านายท่านเตรียมจะทำยังไงต่อ?”

ลิ่งหูโต้วจ้งถอนหายใจ “ประตูดวงดาวอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่กลับบุกเข้าไปไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นนอกจากจะถูกกำลังพลฝ่ายอื่นล้อมโจมตี บางคนที่ใจคิดไม่ซื่อก็คงจะกบฏทันที พวกเราจะตกอยู่ในแดนแห่งความตาย!”

แม่ทัพคนหนึ่งยิ้มอย่างขื่นขม “ท่านจอมพล ด้วยสถานการณ์ของพวกเราตอนนี้ เกรงว่าจะไม่มีทางให้ไปแล้ว ถ้ากลับไปที่สายขาล มีหรือที่เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อจะยอมรับพวกเราไว้ พวกเขาคงจะเสี้ยมให้ลูกน้องพวกเรากบฏได้ไม่น้อย เดิมทีสายขาลของพวกเราก็รักษาไว้ไม่ได้อยู่แล้ว อาณาเขตอื่นอาจไม่ใช่ทางไปที่ดี!”

ลิ่งหูโต้วจ้งหันมองรอบๆ “พวกเราก็มีทางไปอยู่ทางหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าพี่น้องทุกคนยินดีจะไปหรือเปล่า!”

ทุกคนสบตากัน แล้วบอกว่า “ยินดีรับฟังความเห็นอันสูงส่งของท่านจอมพล!”

“พึ่งพาตำหนักนารีสวรรค์ ไปแดนรัตติกาล!” ลิ่งหูโต้วจ้งกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ

……………

ความทรงพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากลูกธนูสามดอกทำให้ใจคนสั่นสะท้าน แม่ทัพที่อยู่ข้างๆ อุทานในใจว่า ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด!

ในมือสี่อ๋องสวรรค์มีก็มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดคนละหนึ่งคันเช่นกัน เพียงแต่ใช้กับลูกธนูดาวตกได้เพียงดอกเดียว ไม่ใช่ว่าอ๋องสวรรค์ไม่มีปัญญาใช้ แต่วิธีการหลอมสร้างอยู่ในมือประมุขชิงคนเดียว อาวุธที่อยู่ในมืออ๋องสวรรค์ก็ได้รับรางวัลมาจากประมุขชิงเช่นกัน ในมืออิ๋งจิ่วกวงย่อมมีอยู่แล้ว แต่เรือล่มในคลองแคบ ไม่ระวังจนทำตกอยู่ในมือเหมียวอี้แล้ว

ของวิเศษประเภทนี้ เวลาจะใช้งานสักครั้ง พลังงานที่เสียไปก็ไม่อาจใช้เงินเล็กน้อยซื้อเติมได้ พอยิงธนูหนึ่งดอก เกรงว่านักพรตทั่วไปคงหาเงินมาซื้อไม่ได้เลยทั้งชีวิต แต่อู๋ฉวี่กลับมีสามดอก

อู๋ฉวี่สายตาเย็นเยียบ คมธนูเล็งไปยังอิ๋งจิ่วกวงที่สังหารฝ่ามาตลอดทาง ง้างไว้แต่ไม่ยิง รอให้อิ๋งจิ่วกวงเข้ามาใกล้จนหลบไม่พ้น!

“ท่านอ๋อง ระวัง!”

อิ๋งจิ่วกวงบุกสังหารตลอดทาง มองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของอู๋ฉวี่ แต่คนที่ตามเขาอยู่ข้างบนกลับเห็นแล้ว จึงร้องเตือนอย่างตกใจ

อิ๋งจิ่วกวงถล่มคนที่ขวางตรงหน้า แล้วเงยหน้ามองแวบหนึ่ง

บึ้มๆๆ! เสียงระเบิดดังสามครั่ง ขณะที่อิ๋งจิ่วกวงมองไปทางอู๋ฉวี่ อู๋ฉวี่ก็ปล่อยสายธนูจากนิ้วแล้วเช่นกัน ลำแสงเรืองรองสามสายวาดผ่านดาราจักรเข้ามา มีเสียงดังราวกับฟ้าผ่าเก้าครั้ง คลื่นที่มองไม่เห็นกระเพื่อมออกไปโดยมีอู๋ฉวี่เป็นจุดศูนย์กลาง สาดซัดออกไปจนแม่ทัพที่อยู่รอบกายร่างสั่นไหวราวกับอยู่กลางคลื่น

ภายใต้อานุภาพของลูกธนูสามดอกที่ยิงพร้อมกัน จุดที่ลำแสงยิงไปถึง คนที่วรยุทธ์แย่หน่อยก็ปลิวว่อนราวกับพายุหมุน

เกิดความเคลื่อนไหวจากของที่มีอานุภาพมหาศาลขนาดนี้กะทันหัน แทบจะดึงดูดให้ทุกคนมองตาม สะเทือนจิตใจของคนทั้งสนามรบ

อยู่ใกล้กับอู๋ฉวี่ไม่ไกลแล้ว ลูกธนูสามดอกที่อู๋ฉวี่ยิงออกมาในเวลานี้ต้องการคร่าชีวิตคนแล้วจริงๆ

“หลีกไป!”

ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังคว้าโล่ขึ้นมากำบังอย่างฉุกละหุก ใครจะคิดว่าอิ๋งจิ่วกวงจะตะคอกแบบนี้ ไม่หลบหลีกใดๆ ตบฝ่ามือใส่ลูกธนูสามดอกที่ยิงเข้ามากลางอากาศ ป้ายคำสั่งที่ทำจากผลึกแดงบริสุทธิ์พลันยิงออกมา รับมือกับลำแสงสามสายที่ยิงเข้ามา

อิ๋งจิ่วกวงไม่มีแนวโน้มว่าจะลดความเร็ว ไล่ตามป้ายคำสั่งที่ยิงออกไป คนที่อยู่ข้างหลังเห็นแล้วเหงื่อแตก

ชั่วพริบตาที่ป้ายคำสั่งกับลำแสงสัมผัสกัน อิ๋งจิ่วกวงเปลี่ยนจากแบมือเป็นกำมือ ข้อนิ้วทั้งห้าเกิดเสียงกระดูก ป้ายคำสั่งผลึกแดงสามอันสั่นไหวและระเบิดออก ท่ามกลางฝุ่นโลหะ เงาสัตว์ประหลาดสามตัวปรากฏตัว งูเหลือมยักษ์ วานรยักษ์ วัวยักษ์ เงาที่ระเบิดออกมาทำให้ทหารรอบข้างปลิวกระเด็น

คนที่กำลังดูการต่อสู้ตกใจทันที ยันต์สะกดร่าง! นี่มันยันต์สะกดร่างขั้นที่เท่าไรกัน? หรือจะเป็นยันต์สะกดร่างขั้นเจ็ด?

ต้องทราบไว้ว่าภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ยันต์สะกดร่างใช้ได้กับพลังงานระดับต่ำเท่านั้น สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อน เพราะหนังสัตว์ไม่สามารถแบกรับการเก็บพลังงานที่แข็งแกร่งเดินไปได้ กอปรกับเป็นของที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง สิ้นเปลืองเกินไป ดังนั้นนักพรตระดับสูงจะไม่ใช่ของสิ่งนี้เลย แต่ดูจากยันต์สะกดร่างที่อิ๋งจิ่วกวงใช้ ก็ไม่เหมือนเอาหนังสัตว์มาทำเป็นตัวพาหะ แต่ใช้เครื่องมือผลึกแดงมาทำเป็นตัวพาหะ หมายความว่าอิ๋งจิ่วกวงมีวิธีการนำเครื่องมือโลหะมาหลอมสร้างให้มีความพิเศษเหมือนหนังสัตว์

ยันต์สะกดร่างขั้นเจ็ดเหรอ? อู๋ฉวี่หรี่ตาสองข้าง แค่มองปราดเดียวก็รู้จักแล้ว เขาพบว่าอิ๋งจิ่วกวงมีมือลับ ไม่เสียดายที่จะนำยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดมาหลอมสร้างของที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง

เงาสัตว์ประหลาดสามตัวที่ปรากฏในดาราจักรสยบลูกธนูดาวตกสามดอกไว้แล้ว แต่กลับผนึกอานุภาพการโจมตีที่พิเศษของลูกธนูดาวตกไม่ได้ อานุภาพการโจมตีจากลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดไม่ใช่สิ่งที่ยันต์สะกดร่างขั้นเจ็ดจะระงับไหว

บึ้มๆๆ! แทบจะชั่วอึดใจเดียว เงาสัตว์ประหลาดสามตัวระเบิดกลายเป็นลมสลายไป

ทว่าอานุภาพการโจมตีของลูกธนูดาวตกสามดอกก็ลดลงมากจริงๆ อิ๋งจิ่วกวงที่ถลันเข้ามาลงมือสองข้างพร้อมกัน มือซ้ายมือขวาคว้าจับอย่างต่อเนื่อง แย่งลูกธนูดาวตกสามดอกมาไว้ในมือ แล้วพลิกมือเก็บไว้แล้ว

ฝั่งทัพตะวันออกยังไม่ทันได้ร้องดีใจ ก็มีเสียงฟ้าผ่าเก้าครั้งดังจากมืออู๋ฉวี่แล้ว ลำแสงสามสายที่เหมือนคลื่นโหมสาดซัดถูกยิงออกมาอีกครั้ง

“ท่านอ๋อง!”

ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรตกใจจนร้องเสียงหลง ทั้งสองฝ่ายอยู่ใกล้กันมาก ไม่มีทางหลบได้เลยจริงๆ

ทว่าชั่วพริบตาที่ลำแสงเข้ามาใกล้อิ๋งจิ่วกวง อิ๋งจิ่วกวงกลับหายไปในอากาศ ทำให้คนตกใจไม่หยุด

ลำแสงสามสายเฉียดผ่านอิ๋งจิ่วกวงที่หายตัวไป เสียงฟ้าร้องที่ดังมาตลอดทางทำให้กำลังพลข้างหลังอิ๋งจิ่วกวงแหว่งเป็นสามทาง ถล่มสังหารไปตลอดทาง ทะลุเกราะแดงบนตัวคนสิบคนต่อเนื่องกัน สังหารจนกระบวนทัพของอิ๋งจิ่วกวงปั่นป่วน

ไม่มีอานุภาพของการโจมตีกลุ่มแล้ว ตกอยู่ในสภาพการต่อสู้ด้วยความยากลำบากท่ามกลางทัพที่วุ่นวายทันที

อู๋ฉวี่กลับพลิกมือเก็บธนู เผยดาบใหญ่ที่คล้ายดาบพิฆาตอาชาออกมาแทน หรี่ตามองแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งที่ยิงเข้ามาตรงหน้าราวกับเป็นดาวตก

แหวนเก็บสมบัติที่พุ่งเข้ามาระเบิดเสียงดังปั้ง ท่ามกลางฝุ่นโลหะ อิ๋งจิ่วกวงพลันปรากฏตัว ทั้งตัวสวมเกราะรบองอาจ แต่กลับมีสามหัวหกแขน ถือทวนยาวหกด้ามกระโจนเข้ามาสังหารอู๋ฉวี่

คนที่สายตาแย่เพิ่งจะเข้าใจ เมื่อครู่นี้ที่อิ๋งจิ่วกวงหายไป ที่แท้ก็เข้าไปซ่อนตัวในแหวนเก็บสมบัตินี่เอง อาศัยความเล็กหลบอันตราย ไม่น่าเชื่อว่าขนาดอยู่ในจุดอันตรายแบบนั้นยังจะหลบการโจมตีจากลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดสามดอกได้ รับมือสถานการณ์ฉุกเฉินได้เหมือนเทพแบบนี้ ทำให้คนต้องอุทานด้วยความทึ่ง สมกับเป็นอ๋องสวรรค์อิ๋งที่ชื่อเสียงกระฉ่อนทั้งใต้หล้า

“ฆ่า!” ฝั่งอู๋ฉวี่ แม่ทัพใหญ่เกราะแดงกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าไปสังหาร

อิ๋งจิ่วกวงที่มีสามหัวหกแขนเผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีจากสี่ด้านแปดทิศด้วยตัวคนเดียว ยังคงไม่ลดความเร็ว แม่ทัพใหญ่เกราะแดงถูกปาดพลิกด้วยทวนของเขาคนแล้วคนเล่า ชั่วพริบตาเดียวยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สิบกว่าคน ยอดฝีมือระดับบงกชกลายหลายสิบคนก็ตายด้วยทวนของเขา ทรงพลานุภาพ ห้าวหาญไร้ที่เปรียบ เข้าไปอยู่ในทัพที่วุ่นวายราวกับในนั้นไม่มีใคร บุกสังหารจนเกิดทางเลือดด้วยตัวคนเดียว พร้อมตะคอกว่า “โจรเฒ่าอู๋ฉวี่ รับความตายซะ!”

ยอดฝีมือมากมายขนาดนี้ยังต้านเขาไม่ไหว ถึงขั้นไม่อาจทำให้เขาหยุดก้าวไปข้างหน้าได้แม้แต่ก้าวเดียว!

กองทัพองครักษ์ที่เห็นฉากการต่อสู้กับตาตัวเองรู้สึกหนาวสั่นหวาดกลัว!

“ฆ่า!” สงฉีที่ดูฉากนี้จนเลือดเดือดคำรามอย่างเกรี้ยวกราด

ท่านอ๋องห้าวหาญขนาดนี้ ฝั่งทัพตะวันออกก็เลือดเดือดปุดๆ เช่นกัน ขวัญกำลังใจทหารโหมซัดสาด ร้องคำรามอยู่ท่ามกลางเสียงเข่นฆ่า ทุกคนล้วนห้าวหาญไม่กลัวตาย แสดงพลังแบบใช้หนึ่งคนต้านสิบคน!

“หลีกไป!” อู๋ฉวี่ตะโกน ถือดาบเฉียงไว้ในมือ ถลันตัวผ่านกลุ่มคนที่หลีกทางให้ทางหนึ่ง แล้วฟันปราณดาบที่สว่างเหมือนหิมะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

อิ๋งจิ่วกวงโบกทวนกระแทกเข้าไป ทำลายปราณดาบนั่นแล้ว ส่วนทวนอีกสองด้ามก็ไขว้กันต้านไว้ ค้ำดาบที่แหลมคม แล้วแทงทวนออกไปทางฝั่งซ้ายและขวาอย่างรวดเร็ว

อู๋ฉวี่ชักดาบออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วฟันไปทางซ้ายและขวาด้วยความเร็วที่ทำให้คนเห็นตาลาย เงาร่างของทั้งสองที่ต่อสู้กันรวดเร็วจนทำให้คนมองไม่ทัน เงาคนแวบไปแวบมาตัดสลับกัน การเข่นฆ่าอันดุเดือดส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไม่หยุด เหมือนสู้กันจนตัดสินแพ้ชนะไม่ได้สักที

แต่คนที่สายตาดีกลับมองออก ดาบใหญ่ของอู๋ฉวี่กำลังสู้กับหกร่างของอิ๋งจิ่วกวง ประกอบกับทวนยาวไร้เทียมทาน อู๋ฉวี่เสียเปรียบเกินไปแล้ว เหลือเพียงแรงต้าน

“ไสหัวไป!”

มีคนต้องการจะพุ่งเข้ามาช่วย แต่ถูกอู๋ฉวี่ตวาดให้ถอยกลับไป

แต่ในขณะนี้เอง โพ่จวินตามมาจากจุดลึกในดาราจักรอย่างรวดเร็ว เขาหยุดอยู่กลางอากาศ หลังจากมองเห็นสถานการณ์รบชัดเจนแล้ว กำลังพลจำนวนมากก็ปรากฏตัวอยู่ข้างหลัง รวมตัวตั้งขบวน แล้วสังหารฝ่าเข้าไปในขบวนรบโดยมีโพ่จวินเป็นผู้นำ ไม่พัวพันสู้กับทัพที่วุ่นวาย รวมตัวกันพุ่งไปหาอิ๋งจิ่วกวงกับอู๋ฉวี่ที่กำลังประมือกัน ผลักความยุ่งเหญิงออกไปตลอดทาง

เมื่อเห็นกำลังพลกลุ่มใหญ่ประชิดเข้าไปหาอิ๋งจิ่วกวง สงฉีก็บัญชาการกำลังพลที่อยู่ในทัพอันวุ่นวายให้มารวมตัวกัน แล้วไปดักไว้ทันที

ส่วนรองแม่ทัพของอู๋ฉวี่ก็บัญชาการให้กำลังพลเข้าไปโจมตีสกัดไว้

กำลังพลที่โพ่จวินนำมารวมตัวกันพุ่งโจมตีใส่อย่างหนาแน่น กำลังพลกลุ่มเล็กที่อยู่รอบข้างไม่มีทางฝ่าออกไปได้เลย จะรีบเข้าไปใกล้หาอิ๋งจิ่วกวง แต่อิ๋งจิ่วกวงก็ดันถูกอู๋ฉวี่พัวพันไว้อีก สามารถเอาชนะอู๋ฉวี่ได้ แต่กลับเอาชนะโดยเร็วไม่ได้

“ท่านอ๋อง! รีบถอนตัวออกมา!” มีคนตะโกนบอกอย่างร้อนใจ

อิ๋งจิ่วกวงก็สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้วเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าอู๋ฉวี่ต้องการจะหน่วงเหนี่ยวเขาเอาไว้ อยากจะถอยแต่ก็สายไปแล้ว พอทัพกลางฝั่งกองทัพองครักษ์เห็นโพ่จวินมาถึง ยอดฝีมือจำนวนมากที่คุ้มกันทัพกลางก็พุ่งเข้ามาทันที ยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ความร่วมมือกับอู๋ฉวี่ กอปรกับการโจมตีเฉียบแหลมของอู๋ฉวี่ ชั่วขณะนั้นทำให้อิ๋งจิ่วกวงราวกับตกอยู่ในบ่อโคลน

ยิ่งไปกว่านั้น จู่ๆ โพ่จวินก็ออกจากกำลังพลทัพใหญ่ นำคนสังหารมาแค่สี่ห้าคนเท่านั้น มาเข้าร่วมวงล้อมโจมตีอิ๋งจิ่วกวง ภายใต้ความร่วมมือของโพ่จวินกับอู๋ฉวี่ อิ๋งจิ่วกวงที่มีสามหัวหกแขนโดนพัวพันไว้ที่เดิม อยากที่จะปลีกตัวออกมาได้

ทว่าอิ๋งจิ่วกวงก็ร้ายกาจจริงๆ นอกจากจะต้านการรุกโจมตีของยอดฝีมือมากมายพร้อมกันแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าบนตัวจะมีลำแสงสีขาวแผ่ออกมาชั้นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะต้านไม่ให้แสงจากอาวุธเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาแทรกซึมเข้ามา รับมือกับศึกอันชุลมุนวุ่นวายได้อย่างอิสระ ให้ความรู้สึกว่าคนช่างเหมาะสมกับชื่อ[1]

เมื่อเห็นว่าในทัพชุลมุนมีกำลังพลรวมตัวกันพุ่งเข้ามาใกล้อิ๋งจิ่วกวงขึ้นเรื่อยๆ สงฉีก็บัญชาการให้กำลังพลบุกโจมตีไปทางนั้นอย่างบ้าคลั่ง หวังจะช่วยให้อิ๋งจิ่วกวงฝ่าวิกฤต ไม่อย่างนั้นถ้าถูกกำลังพลมากมายขนาดนั้นล้อมไว้ ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากจะคิด ทว่าพวกเขากลับโดนกำลังพลฝ่ายตรงข้ามมาดักไว้แล้ว

สงฉีบัญชาการให้ยอดฝีมือในทัพชุลมุนไปรวมตัวกันที่ฝั่งอิ๋งจิ่วกวงอีก มีหรือที่กองทัพองครักษ์จะปล่อยให้เขาสมหวัง บัญชาการให้คนไปดักพัวพันไว้

ในช่วงเวลาคับขัน ข้างกายอิ๋งจิ่วกวงที่แทงทวนต่อเนื่องหลายสิบครั้งเพื่อฝ่าวงล้อมก็พลันปรากฏกำลังพลหลายร้อย ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดจะเป็นสตรี แต่ละคนโบกอาวุธเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาตั้งขบวนรบล้อมพิทักษ์อิ๋งจิ่วกวงที่ฝ่าวงล้อม ลำแสงหลายสีไขว้ตัดสลับกันราวกับตาข่าย กดดันจนโพ่จวินกับอู๋ฉวี่ต้องหลบหลีก

โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ถลันหลบแยกกัน พวกเขาโบกมือหนึ่งครั้ง ตรงหน้าทั้งสองก็มีคนนับร้อยที่สวมเกราะรบผลึกแดงลายสัตว์ปีศาจปรากฏตัวขึ้น เกราะหัวก็แปลกเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะปิดคลุมไว้ทั้งศีรษะแล้ว เผยเพียงดวงตาสองข้าง ทำให้มองไม่ออกว่าเป็นใคร

“องครักษ์เงา!” อิ๋งจิ่วกวงที่มองข้างหน้าข้างหลังตะคอกเสียงต่ำ ความคับแค้นในดวงตายากจะบรรยายออกมาได้ เพื่อที่จะรับมือเขา องครักษ์เงาที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชน ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้ถูกประมุขชิงส่งมาแล้ว ทั้งยังส่งมาสองร้อยคน อีกฝ่ายต้องการจะเล่นงานเขาให้ถึงตายจริงๆ!

“สังหาร!” โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ชี้ไปทางอิ๋งจิ่วกวง

องครักษ์เงาสองร้อย ดาบใหญ่สีแดงสดสองด้ามอยู่ในมือพวกเขา พุ่งโจมตีเข้ามาอย่างฉับพลัน มองข้ามตาข่ายลำแสงเจ็ดอารมณ์หกปรารถยา บุกโจมตีเข้าไปโดยตรงอย่างห้าวหาญ

ใช้เวลาไม่นาน ในนั้นก็มีปราณดาบไขว้ตัดสลับกันหนาแน่นเหมือนป่า สังหารจนมีเสียงสตรีกรีดร้องเป็นพักๆ

แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน ทัพใหญ่ที่โพ่จวินพามาเข้าทัพชุลมุนสังหารมาถึงตัวแล้ว

“กวาดล้าง!” โพ่จวินชี้ทางซ้ายและขวา ทัพใหญ่รีบแยกไปฝั่งซ้ายขวาเพื่อกวาดล้างทัพชุลมุนรอบๆ โดยเอาจุดล้อมโจมตีให้เป็นจุดศูนย์กลาง ล้อมจุดที่ทำศึกเดือดกับอิ๋งจิ่วกวงเอาไว้หลายชั้น กำลังผลหลายล้านที่อยู่วงในนำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมาพร้อมกัน ทั้งหมดชี้ไปยังจุดที่ต่อสู้กัน

“กองทัพทั้งหมด สังหารตามข้ามา!” สงฉีจะโกนอย่างดุดัน นำยอดฝีมือทั้งหมดของทัพกลางสังหารเข้ามาด้วยตัวเอง ต้องการจะดิ้นรนช่วยให้อิ๋งจิ่วกวงฝ่าวงล้อม

“ถอย!” โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ส่งสายตาให้กันแล้วก็ตะโกนบอกพร้อมกัน กำลังพลองครักษ์เงาถลันตัวถอยพอดี

อิ๋งจิ่วกวงจะให้พวกเขาถอยไปได้อย่างไร จะต้องพัวพันเอาไว้สุดชีวิตแน่นอน ไม่อย่างนั้นถ้าคนพวกนี้ปลีกตัวออกไปได้ ก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่โดนลูกนับหมื่นยิงพร้อมกัน

ทว่าดวงตาของสมาชิกองครักษ์เงาพลันสะท้อนแสงสีแดงสด เงาดาบฟันไปที่อิ๋งจิ่วกวงอย่างบ้าระห่ำราวกับคลื่นคลั่ง อิ๋งจิ่วกวงใช้หกทวนพร้อมกันถึงต้านเงาดาบที่หนาแน่นพวกนั้นได้

ท่ามกลางเสียงโครมครามดังสนั่นหู องครักษ์เงาพวกนั้นถลันตัวถอยออกไปได้อย่างราบรื่น แต่อิ๋งจิ่วกวงกลับโซเซถอยหลังหลายก้าวกว่าจะยืนนิ่งได้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา

“ยิงธนู!” พอคนของตัวเองถอยออก โพ่จวินก็โบกมือออกคำสั่งอย่างไม่ลังเล

…………………………

[1] จิ่วกวง 九光 แปลว่าเก้าแสง

เดิมทีลิ่งหูโต้วจ้งก็รำคาญใจอยู่แล้ว ผู้หญิงคนนี้ยังจะเข้ามาประสมโรงอีก เขาย่อมทนรำคาญไม่ค่อยไหว พอติดต่อได้ก็ถามไปตรงๆ เลยว่า : มีเรื่องอะไร?

เส้าเซียงหัวเล่าเจตนาที่ติดต่อมาให้ฟังคร่าวๆ นางกลัวว่าลิ่งหูโต้วจ้งจะตำหนิ จึงเน้นว่า : นี่เป็นเพียงความเห็นของข้าเท่านั้น

ลิ่งหูโต้วจ้งกลับฟังจนอึ้ง สมองที่คิดวุ่นวายสับสนราวกับคนพบแสงสว่างท่ามกลางความมืด อดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ : ท่านน้าซ่งหยวนเต๋อของเจ้าคนนั้นมีความคิดแบบนี้เหรอ? เขาพูดกับเจ้าอย่างนี้จริงๆ เหรอ?

พอได้ยินแบบนี้ ทั้งสองเป็นสามีภรรยามาหลายปีมีหรือที่จะไม่เข้าใจกัน เส้าเซียงหัวสังเกตได้ทันทีว่าเหมือนสิ่งนี้จะมีประโยชน์กับสามีแล้วจริงๆ นางตอบว่า : เขาจะมีประสบการณ์ความรู้เสียที่ไหน แค่คุยกันเรื่องนี้แล้วเอ่ยถึงก็เท่านั้นเอง เขาจะสื่อว่ามีหลายหนทาง ถ้าทางนี้ไม่ผ่านก็ลองทางอื่น นี่คือตรรกะของเขา

ลิ่งหูโต้วจ้งกลับสนใจ ถามว่า : เขาไม่ได้บอกรรายละเอียดเหรอว่าต้องทำยังไง?

เส้าเซียงหัว : ข้าถามแล้ว เขาตอบว่าเขาจะไปรู้ได้ยังไง ก็แค่แนะนำด้วยความหวังดี พูดตรงๆ ก็คือกลัวว่าตระกูลเราจะล้มแล้วตอนหลังไม่มีที่ให้ขอเงิน ความคิดของเขาก็เหมือนที่ข้าเพิ่งบอกไป มีหลายทางวางอยู่ข้างหน้า ถ้าทางนี้ไม่ผ่านก็ไปทางอื่น เป็นวิธีการที่โง่สุดๆ ไปเลย ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่ท่านจอมพลคิดหรอก…ฟังจากที่ท่านจอมพลพูด อย่าบอกนะว่าความเห็นของท่านน้ามีประโยชน์?

ลิ่งหูโต้วจ้งคิดไปคิดมาก็เห็นด้วย ถ้าเจ้าคนระยำอย่างซ่งหยวนเต๋อสามารถชี้แนะชาติบ้านเมืองได้ นั่นต่างหากที่แปลก เขากดเรื่องนี้ไว้ก่อน สั่งนางว่า : เจ้ายังไม่ต้องสนใจว่ามีประโยชน์หรือเปล่า จัดการเรื่องในบ้านให้ดีก่อน เตรียมตัวย้ายหนีให้พร้อมทุกเมื่อ เข้าใจมั้ย?

เส้าเซียงหัว : เข้าใจแล้ว ท่านจอมพล ท่านระวังตัวเองด้วย

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว ลิ่งหูโต้วจ้งก็แววตาวูบไหวไม่หยุด ในใจเริ่มวางแผนแล้ว ไปขอพึ่งพาตำหนักนารีสวรรค์ แดนรัตติกาล…

ตอนยังไม่คิดถึงด้านนี้ก็ยังเฉยๆ แต่พอครุ่นคิดแล้ว ก็พบว่าน่าสนใจจริงๆ

ระดับของเขาไม่ธรรมดา ความเข้าใจต่อสถานการณ์ภาพรวมของใต้หล้าก็ย่อมไม่ธรรมดา รู้ว่าอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ ถ้าอิ๋งจิ่วกวงแพ้แล้ว ถ้าตัวเองไปขอพึ่งพาประมุขชิงโดยตรง ต่อให้ประมุขชิงจะหวั่นไหวกับคำขอนี้ แต่เกรงว่าประมุขชิงอาจจะไม่รับไว้ก็ได้ แต่ถ้าไปขอพึ่งพาตำหนักนารีสวรรค์ แบบนั้นก็ค่อนข้างน่าสนใจแล้ว เกรงว่าจะยั่วให้ประมุขชิงคิดมาก

พอลองคิดแบบนี้ แม้แต่ลิ่งหูโต้วจ้งเองก็ยังรู้สึกขำ ก่อนหน้านี้ตัวเองคำนวณไปคำนวณมาอยู่หลายเส้นทาง มีเพียงที่เดียวที่ไม่ได้คิดถึงก็คือแดนรัตติกาล ประเด็นก็คือเส้นทางนั้นไม่นับว่าเปป็นเส้นทางอะไร ทางแคบเกินไป แคบจนวางอยู่ข้างหน้าแล้วแทบมองไม่เห็น แต่เจ้าคนไม่เอาถ่านอย่างซ่งหยวนเต๋อดันใช้วิธีการโง่เง่าชี้เส้นทางเล็กๆ นี้แล้ว แม้เส้นทางจะเล็ก แต่พอลองย่ำเท้าก็เหมือนจะเข้าไปได้เช่นกัน

ในใจใคร่ครวญวางแผนอย่างรวดเร็ว ถ้ายังไม่ถึงคราวจนตรอก ก็ยังเดินเส้นทางนี้ไม่ได้ มีแต่ต้องหมดหนทางเดินเท่านั้นถึงจะทดลองไป

เมื่อเจอทางหนีทีไล่แล้ว คนก็มีความกระปรี้กระเปร่าแล้วเช่นกัน กวาดความรู้สึกกังวลหายไปหมด เขาหันหลังไปกวักมือเรียก “เร็วเข้า! เร็วอีกหน่อย!”

จุดที่ต่อสู้กัน เสียงฆ่าดังสะเทือนฟ้า หมอกเลือดลอยกระเพื่อมอยู่ในดาราจักร ราวกับเป็นดอกไม้เบ่งบานอยู่ในอากาศ ดอกไม้บานสองดอก

โพ่จวินกับอู๋ฉวี่นำกำลังพลโจมตีทางฝั่งซ้ายและขวา เดิมทีรอให้กำลังพลสายหนึ่งถ่วงกำลังหลักเอาไว้ แล้วให้อีกสายโจมตีเข้ารังอิ๋งจิ่วกวงโดยตรง รีบรบรีบจบแล้วกำจัดอิ๋งจิ่วกวงทิ้ง แต่ใครจะคิดว่าอิ๋งจิ่วกวงกลับแบ่งกำลังเป็นสองสายมาดักทำศึกเลือดกับพวกเขา

สงฉีที่อยู่ในทัพกลางกำลังโบกกระบี่บัญชาการ ตะโกนจนคอแทบแตกแล้ว ในใจซ่อนความเศร้าคับแค้นเอาไว้ สถานการณ์ทั้งหมดตรงหน้า มีเพียงผู้บัญชาการอย่างเขาที่รู้แจ่มชัดที่สุด กองทัพองครักษ์สมกับเป็นองครักษ์ของประมุขชิง เป็นสุดยอดของกำลังพลในใต้หล้าจริงๆ และในกำลังพลที่กำลังโจมตีชุดนี้ คาดว่าคงเลือกมาแต่คนเก่งๆ

พูดถึงกำลังรบก็สู้กองทัพองครักษ์ไม่ได้ พูดถึงอาวุธก็สู้กองทัพองครักษ์ไม่ได้ ถ้าพูดถึงจำนวนกำลังพล กองทัพองครักษ์ก็มีมากกว่าเกือบครึ่ง เขามีกำลังพลประมาณหนึ่งร้อยล้านเท่านั้น ถ้านับกำลังพลฝั่งอู๋ฉวี่แบบหยาบๆ คาดว่ามีประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบล้าน ยอดฝีมือนักรบที่รวมตัวกันก็มีมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านไหน ก็สามารถโจมตีบดขยี้ฝั่งนี้ได้ทั้งนั้น ฝั่งนี้เสียหายหนักมากจริงๆ

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร สงฉีก็ไม่เชื่อว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เตรียมตัวได้ละเอียดแม่นยำขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าประมุขชิงวางแผนมานานแล้ว

“ผู้ตรวจการขวา ท่านอ๋องมาแล้ว!” แม่ทัพใหญ่ข้างกายพลันตะโกนบอกอย่างดีใจ

สงฉีหันกลับมามอง เห็นเพียงอิ๋งจิ่วกวงสวมเกราะรบของอ๋องสวรรค์อย่างที่ไม่เคยเห็นมานานแล้ว ข้างหลังมีกำลังพลเกือบสิบล้านที่เทรังออกมาจนหมด อิ๋งจิ่วกวงพุ่งนำอยู่ข้างหน้าสุด

สงฉีตะโกนเสียงดังทันที “พี่น้องทั้งหลาย ท่านอ๋องสวมเกราะรบลงสนามมาช่วยพวกเราเอง สังหาร!” ขณะที่พูดก็ส่งสัญญาณมือให้โจมตี

บรรดาแม่ทัพสบตากันแวบหนึ่ง แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังทันที “พี่น้องทั้งหลาย ท่านอ๋องสวมเกราะรบลงสนามมาช่วยพวกเราแล้ว ฆ่าเลย!”

“พี่น้องทั้งหลาย ท่านอ๋องสวมเกราะรบลงสนามมาช่วยพวกเราแล้ว ฆ่าเลย!”

เสียงตะโกนที่ดังต่อเนื่องเป็นระลอกเดือดพล่านอยู่ในทัพตะวันออก คนมากมายหันกลับไปมอง พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำให้ขวัญกำลังใจทหารขึ้นสูงพรวดทันที

นี่เป็นการสู้ตายกับกองทัพองครักษ์ มีคนไม่น้อยอดไม่ได้ที่จะสงสัย ว่าทำไมประมุขชิงกล้าทำอย่างนี้ หรือว่าท่านอ๋องมีแนวโน้มว่าจะแพ้แล้วจริงๆ ตอนนี้พอเห็นอิ๋งจิ่วกวงโผล่หน้ามาแล้ว เห็นว่าไม่ได้ทอดทิ้งพวกเขา ทุกคนจึงมีความมั่นใจทันที ท่านอ๋องลงสนามรบด้วยตัวเอง ไม่ได้หนีไป หมายความว่าท่านอ๋องยังมีความมั่นใจ

สิ่งที่ปลุกใจคนยิ่งกว่านั้นก็คือ อ๋องสวรรค์อิ๋งลงสนามรบด้วยตัวเอง ขวัญกำลังใจที่นำมาสู่ทุกคนนั้นบรรยายเป็นคำพูดได้ยาก!

พอขวัญกำลังใจทหารเพิ่มขึ้น กำลังพลทัพตะวันออกที่ทรมานอยู่ท่ามกลางการใช้กำลังน้อยต่อต้านกำลังมากก็แข็งใจโจมตีตอบโต้ทันที สร้างความปั่นป่วนให้กองทัพองครักษ์ไม่น้อยเลย

อิ๋งจิ่วกวงนำกำลังพลเหาะเข้ามาด้วยสายตาเย็นเยียบ แต่ในใจกลับขื่นขม ทำศึกจนถึงขั้นต้องให้อ๋องสวรรค์อย่างเขาลงสนามด้วยตัวเอง ความร้อนหนาวนี้มีเพียงตัวเองที่รู้

เขาไม่อยากให้ทหารของตัวเองใช้กำลังปะทะแบบนี้ เขาสามารถนำทหารหนีไปก่อนได้เลย รอให้กำลังหนุนมาถึงก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่เขาก็ไม่อาจถอยได้ ทัพตะวันออกมีคนมากมายทรยศเขา แค่คิดก็รู้แล้วว่าขวัญกำลังใจทหารเป็นอย่างไร พอเขาถอยเมื่อไร ลิ่งหูโต้วจ้งจะผูกมัดกำลังพลสายขาลได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ถ้าเขาถอยไป ฝั่งลิ่งหูโต้วจ้งอาจจะกระจัดกระจายทันที ดีไม่ดีลิ่งหูโต้วจ้งอาจจะโดนสถานการณ์บีบให้ก่อกบฏก็ได้

สิ่งที่เรียกว่าควบคุมการใช้ระฆังดารา สามารถควบคุมเบื้องล่างได้ แต่ก็ควบคุมคนเบื้องบนไม่ได้ กำลังพลมากมายขนาดนี้ มีหรือที่จะควบคุมได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในช่วงเวลาใจที่ใจคนไม่หนักแน่นแบบนี้ ถ้าเขาเผชิญการกดดันจากกองทัพองครักษ์แล้วนำคนถอนกำลังไป ในสายตาคนอื่นอาจจะเป็นการหนี คนจะนึกว่าเขากลัว ถ้าแม้แต่ทหารของเขาเองยังไม่กล้าสู้ ตอนหลังกำลังพลหน่วยอื่นจะคิดอย่างไรล่ะ

ไม่ใช่ว่าเขาถอนกำลังไม่ได้ แต่ถ้ายังไม่ถึงคราวจนตรอก เขาก็จะไม่ถอนกำลัง ถ้าเขาถอนกำลังเมื่อไร ความพยายามในหลายปีของเขาก็จะจบเห่แล้ว

กำลังพลสายชวดกับสายฉลูทรยศเขาแล้ว ถ้ากำลังพลสายขาลกระจัดกระจายอีก แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เอาเป็นว่าในเวลาแบบนี้ อิ๋งจิ่วกวงจะแสดงความอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด!

ที่จริงเขาสามารถปรากฏตัวได้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่เขากำลังรอ รอให้กำลังพลฝั่งนี้ต่อสู้กันก่อน ไม่อย่างนั้นการโจมตีจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากของกองทัพองครักษ์ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เช่นกัน

พออิ๋งจิ่วกวงปรากฏตัว อู๋ฉวี่ก็ส่งต่ออำนาจบัญชาการให้รองแม่ทัพทันที รีบคว้าระฆังดาราติดต่อกับโพ่จวิน

บนสนามรบฝั่งตะวันออก พอโพ่จวินได้รู้ข่าว ก็ส่งต่ออำนาจบัญชาการให้รองแม่ทัพเช่นกัน เขาดึงกำลังพลเกรียงไกรสิบล้านออกจากสนามรบที่กำลังปะทะกันเสียเลย สังหารฝ่าออกมาจากทัพที่วุ่นวายภายใต้การช่วยเหลือจากทัพใหญ่ แล้วตามไปทางสนามรบฝั่งตะวันตกอย่างรวดเร็ว

ผู้ตรวจการซ้ายเฉาหยินที่บัญชาการทัพใหญ่เห็นสถานการณ์ดังนั้น ก็ตะโกนเสียงดังทันที “โพ่จวินหนีไปแล้ว! อ๋องสวรรค์สวมเกราะรบลงสนามเองอยู่ทางตะวันตก ทำให้อู๋ฉวี่ตกอยู่ในอันตรายแล้ว โพ่จวินกำลังตามไปช่วย อ๋องสวรรค์องอาจผ่าเผย!”

กำลังพลเบื้องล่างตะโกนเสียงดังต่อเนื่องเป็นระลอก “โพ่จวินหนีไปแล้ว! อ๋องสวรรค์สวมเกราะรบลงสนามเองอยู่ทางตะวันตก ทำให้อู๋ฉวี่ตกอยู่ในอันตรายแล้ว โพ่จวินกำลังตามไปช่วย อ๋องสวรรค์องอาจผ่าเผย!”

ที่จริงทุกคนก็ได้เห็นแล้วว่าโพ่จวินนำกำลังพลหนีออกไป กำลังพลกองทัพองครักษ์ตกใจทันที ส่วนกำลังพลทัพตะวันออกกลับมีขวัญกำลังใจมากขึ้น โจมตีโต้ตอบอย่างแข็งกร้าว

รองแม่ทัพที่รับอำนาจบัญชาการต่อจากโพ่จวินตะโกนบอกทันที “ถ้าจะตามไปช่วย มีหรือที่จะเอาคนไปน้อยขนาดนั้น อิ๋งจิ่วกวงถูกกำลังทหารฝ่ายเราล้อมไว้แล้ว นายท่านหน่วยองครักษ์ซ้ายกำลังไปช่วยนายท่านหน่วยองครักษ์ขวาเอาชีวิตอิ๋งจิ่วกวงแล้ว!”

ลูกน้องตะโกนเสียงดังตามทันที “ถ้าจะตามไปช่วย มีหรือที่จะเอาคนไปน้อยขนาดนั้น อิ๋งจิ่วกวงถูกกำลังทหารฝ่ายเราล้อมไว้แล้ว นายท่านหน่วยองครักษ์ซ้ายกำลังไปช่วยนายท่านหน่วยองครักษ์ขวาเอาชีวิตอิ๋งจิ่วกวงแล้ว!”

บนสนามรบ ขวัญกำลังใจทหารต้องมาก่อน ถ้าขวัญกำลังใจทหารพังเมื่อไร ก็จะเกิดสถานการณ์ทัพถูกตีพ่ายเหมือนภูเขาพังทลาย นี่ไม่ใช่เรื่องที่ยอดฝีมือสองสามคนจะประคับประคองไหวเลย ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงใช้อุบายใส่กันไปมา ล้วนทำไปเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจหทารฝ่ายตัวเองและดับขวัญกำลังใจทหารฝ่ายตรงข้าม

สนามรบฝั่งตะวันตก อิ๋งจิ่วกวงที่พุ่งไปทางสนามรบพลันส่งเสียงคำรามสั่นสะเทือน “ฆ่า!”

ยอดฝีมือข้างหลังล้อมพิทักษ์ทั้งบนล่างซ้ายขวาราวกับกระบวนทัพรูปลิ่มทันที ด้านหลังมีทัพใหญ่ แทงเข้าไปในขบวนรบฝ่ายตรงข้ามอย่างดุดันราวกับดาบคม

ไม่น่าเชื่อว่าอิ๋งจิ่วกวงจะไม่ใช่อาวุธอะไรเลย บุกโจมตีอยู่ข้างหน้าด้วยมือเปล่า แต่กลับเหมือนเข้าไปในดินแดนที่ไร้คน จุดที่เขาไปถึงล้มระเนระนาด ดาบทวนสังหารเข้ามา ถ้าไม่ถูกแขนที่หุ้มเกราะของเขาปัดออกโดยตรง ก็ถูกเขาคว้าหลังดาบแล้วกระทุ้งด้ามดาบกลับเข้าไป ชนจนผู้ที่เข้ามากระอักเลือดกระเด็นออกไป

คนฝ่ายตัวเองที่เกะกะขวางทางก็ถูกสะบัดมือปัดออกไปเช่นกัน ลงมือเร็วมาก ดุดันมั่นคงแม่นยำ ชั่วพบหน้ากันแทบจะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาเลย

เขาไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าคน คนที่เข้ามาล้วนถูกเขาโจมตีจนโซเซ กำลังพลที่จัดขบวนทัพรูปลิ่มตามหลังมาฉวยโอกาสป้อนดาบซ้ำทันที

ทัพใหญ่ที่อยู่ข้างหลังตามจังหวะการเข่นฆ่าของเขาไม่ทัน กระจายกันเข้าไปเข่นฆ่าในทัพใหญ่ที่กำลังตะลุมบอนกันแล้ว มีเพียงยอดฝีมือหนึ่งพันที่ตามติดข้างหลังอิ๋งจิ่วกวง อนุภรรยาหลายร้อยของอิ๋งจิ่วกวงยังไม่ปรากฏตัว

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ในทัพใหญ่ที่กำลังวุ่นวายก็ไม่มีใครต้านกำลังพลกลุ่มเล็กของอิ๋งจิ่วกวงได้เลย ราวกับฝ่าคลื่นฟันคลื่น ฝ่ายตรงข้ามโดนอิ๋งจิ่วกวงสังหารจนเกิดทางเลือด

จุดที่เส้นทางเลือดมุ่งไปก็คือตรงกลางกองทัพองครักษ์ อิ๋งจิ่วกวงนำคนเข้าไปสังหารอู๋ฉวี่โดยตรง เจตนาก็ชัดเจนมาก พอลงสนามมาก็จะประหารแม่ทัพและแย่งธงเลย

เมื่อเห็นอ๋องสวรรค์อิ๋งอาจหาญดุจเทพ โลดแล่นอยู่กลางทัพใหญ่นับร้อยล้านอย่างอิสระ ไม่มีใครขวางได้ คนกองทัพองครักษ์ที่พุ่งรับหวาดผวา ล้วนถอยไปสองฝั่ง ไม่มีใครกล้าสัมผัสคมดาบ ฝั่งทัพตะวันออกมีขวัญกำลังใจฮึกเหิม สงฉีถอืโอกาสตะโกนเสียงดัง “อ๋องสวรรค์องอาจ!”

“อ๋องสวรรค์องอาจ!” ทัพใหญ่ทยอยกันขานรับ

อู๋ฉว่พลิกมือเก็บระฆังดารา มองอิ๋งจิ่วกวงที่สังหารเข้ามาด้วยใบหน้าเย้ยหยัน ไม่กลัวอิ๋งจิ่วกวงปรากฏตัว กลัวก็แต่อิ๋งจิ่วกวงจะหนีไป!

“หลีกไป!” อู๋ฉวี่ตะคอกสั่ง ให้ฝั่งซ้ายขวาถอยหลีกไปเล็กน้อย แล้วพลิกมือคว้าธนูคันหนึ่งไว้ในมือ แล้วขยับแขนด้วยความเร็วจนหลายคนมองเห็นไม่ถนัด รอจนกระทั่งทุกคนเห็นความเคลื่อนไหวชัดเจน อู๋ฉวี่ก็ง้างสายธนูไว้ในมือแล้ว ลูกธนูสามดอกง้างอยู่บนสายธนู

ลำแสงที่ไหลเวียนอยู่บนสายธนูก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง บนลูกธนูยาวสามดอก ดอกหนึ่งมีแสงดำสายหนึ่งหนึ่งหมุนวนขึ้นไปตามด้ามลูกธนู ดอกหนึ่งมีแสงสีแดงหมุนวนขึ้นไปตามด้ามลูกธนู ดอกหนึ่งมีแสงสีทองหมุนวนขึ้นไปตามด้ามลูกธนู บนด้ามลูกธนูล้วนปรากฏลายมังกร ราวกับกำลังคำรามดิ้นรนออกจากกรง

…………………

ความคิดอ่านของสตรี? ในใจเส้าเซียงหัวทั้งโมโหทั้งรำคาญ ในใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่กล้าว่านางอย่างนี้ ท่านน้าผู้นี้ดันชอบอาศัยความอาวุโสมามาข่มคนอื่น พออ้าปากก็เรียกชื่อนางโดยตรง ทั้งจวนจอมพลนี้ นอกจากท่านจอมพลแล้ว ในสายตาเขาคนอื่นก็มีลำดับอาวุโสน้อยกว่าเขาหมด แล้วก็เป็นเพราะนาง คนอื่นในจวนจึงไม่กล้าถือสาท่านน้าผู้นี้ ช่างทำให้นางจนใจจริงๆ แต่ในใต้หล้าก็มีเพียงญาติที่หน้าด้านหน้าทนแบบนี้ ทำให้นางอับจนปัญญาจริงๆ

ทว่ายังไม่ทันแสดงความไม่พอใจออกทางสีหน้า นางก็ตะลึงค้างกับคำพูดตอนหลังของซ่งหยวนเต๋อแล้ว ถามอย่างตกใจว่า”ตำหนักนารีสวรรค์? ให้ท่านจอมพลไปขอพึ่งพาตำหนักนารีสวรรค์?”

“แน่นอน!” ซ่งหยวนเต๋อพยักหน้า พาดขานั่งไขว่ห้าง หยิบถ้วยน้ำชาด้านข้างขึ้นมา แล้วก็เริ่มจิบอย่างเอ้อระเหยลอยชาย ทำท่าทางยินดี

เส้าเซียงหัวครุ่นคิดเล็กน้อย รู้สึกว่าไม่น่าเชื่อถือเลย แต่พอลองเปลี่ยนความคิด ท่านน้าของตัวเองก็แค่เป็นโคลนที่ปั้นไม่ขึ้นเองไม่ใช่เหรอ ตัวเองก็เลอะเลือนเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมาฟังคำพูดเหลวไหลของเขา นางถอยหายใจทันที “ท่านน้า บางอย่างน่ะพูดต่อหน้าข้าก็พอ กลับไปแล้วอย่าพูดเหลวไหลต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะยั่วให้ท่านจอมพลไม่พอใจ ถึงตอนนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ช่วยท่านนะ”

รู้ว่าตัวเองถูกรังเกียจแล้ว รู้ว่าต่อไปอีกฝ่ายคงจะไล่ตัวเองแล้ว! ซ่งหยวนเต๋อเป่าเคราถลึงตาทันที “เซียงหัว ข้ารู้ว่าเจ้าดูถูกญาติที่ยากจนอย่างข้า เจ้าคิดว่าข้าอยากพูดอะไรพวกนี้ต่อหน้าเจ้าหรือไง? เจ้ารังเกียจข้า แต่ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้านะ ถึงยังไงพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ข้ารับปากแม่เจ้าแล้วว่าจะช่วยเหลือสงเคราะห์เจ้า เห็นว่าตระกูลลิ่งหูกำลังจะเจอภัยพิบัติใหญ่ ข้าถึงได้เตือน แต่ดูเจ้าทำสิ!”

เส้าเซียงหัวพูดไม่ออกจริงๆ นางมองเขาสายตาแปลกๆ เคยเห็นคนน่าไม่อาย แต่ไม่เคยเห็นใครน่าไม่อายขนาดนี้มาก่อน เจ้าไม่รังเกียจข้าเหรอ? ข้ายังหวังให้เจ้ารังเกียจข้าอยู่เลย ข้าจำเป็นต้องให้เจ้าสงเคราะห์ด้วยเหรอ? แค่เจ้าไม่สร้างปัญหาให้ข้าก็ดีแล้ว

แม้แต่สาวใช้ข้างๆ ก็ยังทำแก้มป้องกลั้นขำเมื่อได้ยินแบบนี้ แทบจะหลุดหัวเราะออกมา พบว่าท่านน้าผู้นี้ตลกเกินไปแล้ว

แต่คนหน้าด้านก็ย่อมมีหลักการของตัวเอง ซ่งหยวนเต๋อไม่แยแสกับปฏิกิริยานี้เลยสักนิด ถามกลับว่า “เซียงหัว ข้าถามเจ้าหน่อย ถ้าอ๋องสวรรค์อิ๋งรบแพ้ขึ้นมา ก็เท่ากับท่านจอมพลรบแพ้เหมือนกัน ในเขตทัพตะวันออกจะเก็บท่านจอมพลไว้ได้เหรอ? แต่ไหนแต่ไรมา ผู้ชนะเป็นเจ้าผู้แพ้เป็นโจร ฝ่าบาทปลอบใจเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อได้ แล้วยังจะปลอบใจท่านจอมพลได้อีกเหรอ? แล้วอีกสามอ๋องสวรรค์จะดึงเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อไปเป็นพวกหรือจะดึงท่านจอมพลไปเป็นพวกล่ะ? ในทัพตะวันออกไม่มีที่ยืนให้ท่านจอมพลแล้ว กองทัพองครักษ์ของฝ่าบทก็ไม่มีทางรับท่านจอมพลเหมือนกัน อีกสามอ๋องสวรรค์เพื่อที่จะร่วมแรงกันต่อต้านวังสวรรค์ ก็จะปฏิเสธการขอพึ่งพาจากท่านจอมพลโดยไม่ลังเล มอหนำซ้ำใต้บังคับบัญชาของอ๋องสวรรค์ก็ไม่ยอมให้คนนอกมาเบียดอยู่แล้ว ถ้าท่านอ๋องไปอยู่กับพวกเขา ก็จะได้รับความลำบากในระยะยาวแน่ๆ อีกสามอ๋องสวรรค์จะไม่คำนึงถึงความคิดในจุดนี้ของลูกน้องเชียวหรือ?ท่านจอมพลจะไปที่ไหนได้? คงไปขอพึ่งพาประมุขพุทธะที่แดนสุขาวดีไม่ได้หรอกมั้ง? ประมุขพุทธะจะแย่งคนของประมุขชิงได้ยังไง? จะให้ท่านจอมพลไปขอพึ่งพาโจรกบฏแดนอเวจีก็ไม่ได้หรอกมั้ง? อย่าว่าแต่เข้าไปไม่ได้เลย โจรกบฏแดนอเวจีจะกังวลว่าท่านจอมพลมีอุบายแอบแฝงน่ะสิ! ถ้าอ๋องสวรรค์อิ๋งแพ้เมื่อไร ทั้งใต้หล้าแห่งนี้ ที่เดียวที่จะยอมรับท่านจอมพลได้ก็เหลือแค่แดนรัตติกาลแล้ว ถ้าไม่ขอพึ่งพาตำหนักนารีสวรรค์แล้วยังจะไปที่ไหนได้อีก? เซียงหัว เจ้าสามารถบอกทางออกที่ดีกว่านี้ได้หรือเปล่าล่ะ?”

เส้าเซียงหัวเงียบแล้ว ถูกโน้มน้าวจนหวั่นไหวแล้ว

เมื่อเห็นว่าพูดหว่านล้อมนางได้แล้ว ซ่งหยวนเต๋อก็แอบภาคภูมิใจ รู้สึกสบายไปทั้งตัว ครั้งนี้สะใจมาก เมื่อก่อนมีแต่โดนตำหนิ ในที่สุดก็ถึงคราวที่ตนจะได้สั่งสอนบ้างแล้ว

จากนั้นครู่เดียว เส้าเซียงหัวก็กล่าวอย่างลังเลว่า “ตำหนักนารีสวรรค์มีราชินีสวรรค์คุมอยู่ ต่อให้คนที่ยินดีติดตามท่านจอมพลจะมีน้อยแค่ไหน แต่นั่นก็ไม่ใช่กำลังพลจำนวนน้อยๆ แถมราชินีสวรรค์ก็เป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ฝ่าบาทจะยอมให้ราชินีสวรรค์กุมอำนาจทางทหารมากขนาดนั้นเหรอ?” น้ำเสียงนางเหมือนลองถาม เพราะไม่ค่อยชินกับการขอคำชี้แนะจากท่านน้า

ใครจะคิดว่าซ่งหยวนเต๋อจะยักไหล่สองข้าง “ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ข้าก็แค่แนะนำด้วยความหวังดีเท่านั้น ท่าทางนี้ไม่ผ่านก็ลองทางอื่น มีอะไรไม่ถูกล่ะ?”

“…” เส้าเซียงหัวจ้องเขาอย่างพูดไม่ออก สงสัยพูดมาตั้งนานแต่ไม่มีประเด็นสำคัญ เท่ากับไม่ได้พูด ก็แค่ทำครึ่งๆ กลางๆ ในใจนางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เอาล่ะ ท่านน้า ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย ข้าไม่ส่งท่านไม่ได้แล้ว แต่ว่านะท่านน้า ข้าไม่ได้ว่าท่านนะ แต่ถ้ามีเวลาเที่ยวเล่นทั้งวัน ก็ไม่สู้เอาเวลาไปฝึกกตนดีกว่า” พูดจบก็ลุกขึ้นส่งแขก

“…” ตอนนี้ถึงคราวที่ซ่งหยวนเต๋อจะพูดไม่ออกบ้างแล้ว เขาด่าในใจว่า บทจะแตกคอก็แตกคอจริงๆ ถ้าลิ่งหูโต้วจ้งรบตายก็คงดี ข้าจะคอยดูว่าเจ้ายังจะมีคุณสมบัติอะไรมาวางมาดใหญ่โตอีก เพียงแต่บนใบหน้าก็ยังเจียดรอยยิ้มออกมา อย่างไรเสียก็ได้รับผลประโยชน์จากอีกฝ่าย ถ้าไปล่วงเกินแล้วครั้งหน้าอีกฝ่ายไม่ให้เงินอีก นั่นก็จะเป็นปัญาแล้ว เขาลุกขึ้นยืนทันที แล้ววางมาดผู้อาวุโส “คุ้นเคยทางแล้ว ไม่ต้องไปส่ง เจ้าทำงานของเจ้าไปเถอะ”

พูดจบก็เรียกผู้ติดตาม แล้วเดินวางมาดออกไป

แต่เส้าเซียงหัวกลับเริ่มขมวดคิ้วมุ่น เดินไปเดินมาอยู่ในจวน ค่อนข้างลังเลตัดสินใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะเตือนท่านจอมพลเรื่องขอพึ่งพาตำหนักนารีสวรรค์ดีหรือไม่…

พอออกจากจวนจอมพลแล้ว พอมาถึงดาราจักร ซ่งหยวนเต๋อก็มองไปรอบๆ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกบ่าวรับใช้ข้างกายว่า “ข้าแสดงผลงานเป็นยังไงบ้าง คุ้มราคามั้ยล่ะ?”

บ่าวรับใช้พยักหน้าเบาๆ ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ไม่เลว ดีมาก!”

เขาไม่ใช่บ่าวรับใช้ ทุกอย่างที่ซ่งหยวนเต๋อล้วนเป็นเขาที่เตรียมการให้ ส่วนสาเหตุว่าทำไมซ่งหยวนเต๋อจึงเชื่อฟังขนาดนี้ การรับมือกับคนประเภทนี้นั้นง่ายสุดๆ เงินถึงก็ซื้อได้แล้ว ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากเลย

ซ่งหยวนเต๋อถามอย่างค่อนข้างร้อนรนว่า “พูดตามที่เจ้าบอกแล้ว ควรจะให้เงินที่เหลือกับข้าได้แล้วมั้ง?”

บ่าวรับใช้คนนั้นยังมีท่าทางเคารพนอบน้อม ถ่ายทอดเสียงบอกอย่างแนบเนียนว่า “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ ที่นี่มีแต่หูตาของจวนจอมพล เจ้าไม่กลัวคนอื่นจะเห็นหรือไง? ไปให้ไกลกว่านี้หน่อยแล้วค่อยว่ากัน”

“อ๋อ! ใช่แล้วๆ” ซ่งหยวนเต๋อเอ่ยรับซ้ำๆ แต่ก็เตือนอีกว่า “ข้าเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ อย่าเล่นลูกไม้อะไรเชียว”

บ่าวรับใช้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็เจ้าบอกไว้แล้ว ว่าเจ้ากับจวนจอมพลรักษาความสัมพันธ์กันในระยะยาว ข้าจะกล้าเล่นลูกไม้อะไรล่ะ ถ้าเกิดเรื่องกับเจ้าเมื่อไร เรื่องในวันนี้ก็จะถูกเปิดโปงน่ะสิ”

“รู้ไว้ก็ดีแล้ว” ซ่งหยวนเต๋อกล่าวอย่างค่อนข้างภูมิใจ

หลังจากทั้งสองไปไกลแล้ว ก็เหาะลงมาในป่าหินบนดาวที่รกร้างดวงหนึ่ง

บ่าวรับใช้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับใครสักคน

ส่วนซ่งหยวนเต๋อก็เหลียวซ้ายแลขวา รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก จึงเตือนว่า “ตรงนี้ก็ไกลพอสมควรแล้ว เอาเงินที่เหลือมาให้ข้าสิ”

บ่าวรับใช้ตอบว่า “ข้าเองก็ทำงานตามคำสั่งคนอื่นเหมือนกัน ในมือไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นหรอก เจ้าไม่ต้องห่วง จ่ายครบอยู่แล้ว จะมีคนนำเงินมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ”

บอกว่าเดี๋ยวนี้ก็เดี๋ยวนี้จริงๆ ไม่ใช่อีกสักครู่ ตรงที่ไกลๆ มีเงาคนคนหนึ่งปรากฏตรงหน้าทั้งสอง อีกฝ่ายกวาดสายตามองทั้งสองอย่างสงบนิ่งแวบหนึ่ง ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือเผยโม่จากหน่วยตรวจการขวา

“นายท่าน!” บ่าวรับใช้กุมหมัดคารวะพร้อมถ่ายทอดเสียง ฐานะของเขาก็ย่อมเป็นคนของหน่วยตรวจการขวาเช่นกัน เป็นลูกน้องของเผยโม่

ซ่งหยวนเต๋อเองก็กุมหมัดคารวะเผยโม่ด้วยความเกรงใจ ในใจรู้สึกประหม่าเล็กน้อย

“ทำงานเป็นยังไงบ้าง ไม่มีอะไรผิดพลาดใช่มั้ย?” เผยโม่ถาม

“ไม่มีขอรับ ทุกอย่างราบรื่น…” บ่าวรับใช้รายงานสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ แล้วหันตัวไปชี้ซ่งหยวนเต๋อ “เขาต้องการเงินที่เหลือ”

“เงิน?” เผยโม่มองซ่งหยวนเต๋อพร้อมถามหยอกล้อ “เจ้าคิดว่าชีวิตของเจ้ามีราคาเท่าไร?”

ซ่งหยวนเต๋อตกใจ สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ถอยหลังช้าๆ พร้อมบอกว่า “ทำไมล่ะ? พวกเจ้าคิดจะเบี้ยวเงินเหรอ อย่าทำซี้ซั้วนะ ข้ามีความสัมพันธ์กับจวนจอมพล ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับข้า ความพยายามของพวกเจ้าก่อนหน้านี้ก็จะล้มเหลว!”

“สำหรับคนบางคนกับเรื่องบางเรื่อง ความเป็นความตายของเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพยามก่อนหน้านี้ ที่สำคัญคือเจ้าไปพูดให้แล้วต่างหาก” เผยโม่กล่าวเสียงเรียบ

ซ่งหยวนเต๋อรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามทั้งชีวิต จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง ถลันตัวเหาะขึ้นฟ้าหนีไปเลย

บ่าวรับใช้รีบเหาะตามไป เผยโม่โบกแขนถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหกไว้ในมือ ลำแสงสายหนึ่งยิงออกไปพร้อมเสียงดังปั้ง เกิดเสียงกรีดร้องบนท้องฟ้าทันที

บ่าวรับใช้ที่กลับมาแล้วหิ้วซ่งหยวนเต๋อที่ขื่นขมกลับมาด้วย เขามองอาวุธในมือเผยโม่หลายครั้ง

“ข้าไม่เอาเงินแล้ว ข้าให้เงินพวกเจ้า ไว้ชีวิตข้าสักครั้ง…” ซ่งหยวนเต๋อกล่าวขอร้องขณะเลือดกลบปาก

เผยโม่เอียงหน้าบอกใบ้เล็กน้อย บ่าวรับใช้ง้างดาบขึ้นมาตัดศีรษะใบหนึ่งกระเด็น ร่างไร้ศีรษะของซ่งหยวนเต๋อชักกระตุกเลือดไหลอยู่บนพื้น

พอเก็บดาบแล้ว บ่าวรับใช้ก็หันตัวไปถามว่า “นายท่าน เบื้องบนทำเรื่องนี้หมายความว่าอะไร?”

“เบื้องบนย่อมมีการพิจารณาของเบื้องบน อย่าถามสิ่งที่ไม่ควรถาม เจ้ากับข้าปฏิบัติตามคำสั่งก็พอ ไม่ควรจะอยู่ที่นี่นาน เจ้าไปก่อนเถอะ เดี๋ยวตรงนี้ข้าจัดการเอง” เผยโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ แล้วเอียงหน้าบอกใบ้ให้เขาไป

“รับทราบ!” บ่าวรับใช้กุมหมัดคารวะ แล้วเหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ใครจะคิดว่าตอนที่เพิ่งจะเหาะขึ้นฟ้าไป ก็ได้ยินเสียง “ปั้ง” ดังมาจากข้างล่าง พอก้มหน้ามอง ก็เห็นลำแสงสายหนึ่งยิงมาที่ตัวเองแล้ว ในดวงตาฉายแววคับแค้นและตกใจ…

ตำหนักนารีสวรรค์ เกาก้วนที่ยืนเงียบอยู่บนระเบียงริมสระน้ำเงยหน้ามองฟ้า หลังจากเก็บระฆังดาราที่อยู่ในแขนเสื้อ หันตัวเดินลากผ้าคลุมออกไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ตอนที่ออกจากตำหนักนารีสวรรค์ ก็หยุดเดินแล้วสั่งทหารยามว่า “ถ้าไม่มีคำสั่งจากฝ่าบาท ก็ห้ามให้ใครเข้าออก รวมทั้งราชินีสวรรค์ด้วย”

“รับทราบ!” ทหารยามกุมหมัดคารวะ

ผ้าคลุมสีดำปลิวสะบัดอีกครั้ง เกาก้วนสีหน้าเรียบเฉย เดินไปทางตำหนักดาราจักรด้วยย่างก้าวที่หนักแน่น…

อีกฝั่งหนึ่งของดาราจักร ลิ่งหูโต้วจ้งที่กำลังเร่งเดินทางเกิดความคิดร้อยแปดพันเก้า ยกาที่จะระบายความกังวลในใจทิ้งได้

แม่ทัพใหญ่ที่อยู่ข้างๆ แอบรายงานว่า “ท่านจอมพล ท่าไม่ดีแล้ว ทัพใหญ่ที่เข้าไปถึงประตูดวงดาวฝั่งเหนือเพื่อช่วยสนับสนุนโดนคนของเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อดักไว้ กำลังพลส่วนใหญ่โดนปลุกปั่นให้กบฏแล้ว คนส่วนน้อยที่ต่อต้านโดนฆ่าทิ้ง ตอนนี้ประตูดวงดาวฝั่งเหนือถูกทัพกบฏสามฝ่ายร่วมมือกันปิดล้อมไว้แล้ว!”

“…” ลิ่งหูโต้วจ้งแค้นจนกัดฟันกรอด บ้านหลังคารั่วซ้ำยังถูกฝนกระหน่ำทั้งคืนจริงๆ นึกไม่ถึงว่าขวัญหัวใจทหารของทัพตะวันออกจะหย่อนหยานถึงขั้นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะสิ้นหวังกับอ๋องสวรรค์อิ๋งขนาดนี้ กำลังพลมากมายนึกจะกบฏก็กบฏเลย แต่เขาจำต้องแข็งใจบอกว่า “ควบคุมการใช้ระฆังดารา อย่าให้ข่าวกระจายไปถึงเบื้องล่าง หลังจากเข้าประตูดวงดาวฝั่งเหนือแล้ว ให้ตีฝ่าวงล้อมสุดกำลังเพื่อไปช่วยอ๋องสวรรค์ ยอมแลกทุกอย่างเพื่อถ่วงเวลาให้ท่านอ๋อง!”

“รับทราบ!” แม่ทัพใหญ่เอ่ยรับ ในใจก็รู้สึกจนปัญญาแล้วเช่นกัน รู้ว่าท่านจอมพลไม่มีทางเลือก มีแต่ต้องทำอย่างนี้

ลิ่งหูโต้วจ้งที่กำลังเร่งเดินทางด้วยใบหน้านิ่งตึงขยับคิ้วเล็กน้อย หยิบระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง เป็นเส้าเซียงหัวที่ส่งข่าวมา ตอนนี้สถานการณ์รบตึงเครียด แต่ยังไม่รู้จักแยกความสำคัญติดต่อมารบกวนอีก ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเรื่องอะไร

เส้าเซียงหัวย่อมไม่ติดต่อเขาเพราะเรื่องอื่น เป็นเพราะถูกคำพูดของท่านน้าโน้มน้าวจนหวั่นไหวแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าไม่น่าเชื่อถือ นางเองก็ไม่รู้ว่าควรจะบอกสามีหรือไม่ แต่พอคิดไปคิดมา รู้สึกว่าเตือนไว้สักหน่อยก็ไม่เป็นไร สามีรู้สถานการณ์อย่างลึกซึ้ง ย่อมวินิจฉัยได้ถูกต้อง ดีกว่าให้นางหลับหูหลับตาครุ่นคิดอยู่ที่นี่ ถ้าพูดผิดไปอย่างมากก็แค่โดนด่า แต่ถ้าช่วยท่านสามีได้จริงๆ ล่ะ? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคนในครอบครัวเชียวนะ! ดังนั้น หลังจากพิจารณาแล้วก็รู้สึกว่าต้องเตือนสักหน่อย

…………………

เขาเองก็ไม่ได้พูดถ่อมตัวอะไร ถ่ายทอดเจตนาของประมุขชิงลงไปว่าให้ปฏิบัติต่อจ้านผิงและฮูหยินให้ดี จากนั้นก็ย้ายความสนใจไปที่ศึกใหญ่ที่รังของอิ๋งจิ่วกวง

เมื่อแก้ไขปัญหาเรื่องจ้านหรูอี้แล้ว ความสนใจของประมุขชิงก็ย่อมอยู่ที่อิ๋งจิ่วกวงแล้วเช่นกัน

ลิ่งหูโต้วจ้ง จอมพลสายขาลสายขาลที่กำลังเร่งเหาะอยู่ในดาราจักรกำลังสนใจสถานการณ์ของศึกใหญ่เช่นเดียวกัน ความกังวลใจของเขาไม่มีที่ให้ระบาย

จะไม่ให้กังวลคงไม่ได้ เพราะสถานการณ์ของเขานั้นพิเศษ เขารู้จักข้อบกพร่องของตนเอง ทำไมเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อถึงกบฏล่ะ? ถ้าไม่มีประมุขชิงสนับสนุน ทั้งสองก็ไม่มีทางทำอย่างนั้นได้เลย เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน แต่สองคนนั้นก็ยังให้ความร่วมมือ แสดงว่าประมุขชิงติดต่อกับทั้งสองไว้นานแล้ว ทำไมประมุขชิงจึงติดต่อเพียงสองคนนั้น แต่กลับไม่ติดต่อเขาล่ะ?

เขามีความขื่นขมที่บรรยายออกมาไม่ได้ เพราะเพิ่งรับตำแหน่งจอมพลสายขาลได้ไม่นาน ยังไม่ได้รับความร่วมมือกับเบื้องล่างเต็มที่ แต่จะฆ่าทิ้งหมดก็ไม่ได้หรอกใช่มั้ย? ทัพตะวันออกผ่านการปรับปรุงภายในมาครั้งหนึ่ง เดิมทีก็ทำให้ใจคนสั่นคลอนอยู่แล้ว ถ้าเขาทำอย่างนั้นอีก ดีไม่ดีอาจจะบีบให้ทหารก่อกบฏก็ได้ ดังนั้นจึงต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่อาจรีบร้อนจนทำให้คนบางกลุ่มกลายเป็นสุนัขที่กระโดดกำแพงเพราะจนตรอก

ดีจริงๆ เรื่องที่อยู่ในมือยังไม่ทันราบรื่น เรื่องของอิ๋งจิ่วกวงก็โผล่มาอีก คนอื่นเห็นว่าจอมพลอย่างเขาใช้ชีวิตอย่างมีหน้ามีตา แต่ความหนาวความร้อนกลับมีเพียงเขาที่รู้ดี ขื่นขมจนบรรยายออกมาไม่ได้

พออิ๋งจิ่วกวงล้มแล้ว เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อที่เสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงขนาดนั้น มีหรือที่จะยอมให้เขามีส่วนแบ่งผลประโยชน์ อย่าว่าแต่ฆ่าเขาเลย สองคนนั้นจะต้องให้เขาหลีกทางด้วยแน่นอน เพราะต้องการจะช่วงชิงผลประโยชน์ของเขาไป ถ้าเขาไปขอพึ่งพาประมุขชิง เพื่อที่จะปลอบใจเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ ก็ไม่มีความเป็นไปได้เลยที่ประมุขชิงจะรับเขาไว้ นอกเสียจากประมุขชิงจะหวังให้ใต้หล้าวุ่นวายจนสถานการณ์พังทลายโดยสิ้นเชิง การที่ประมุขชิงสามารถโน้มน้าวสองคนนี้ได้ ก็แสดงว่าต้องให้คำสัญญาอะไรสักอย่างแน่นอน

แล้วถ้าจะไปขอพึ่งพาอ๋องสวรรค์อีกสามคนล่ะ? นอกเสียจากสามคนนั้นจะก่อกบฏอย่างถึงที่สุด ไม่อย่างนั้นเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่อยากแตกคอกับประมุขชิง ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเก็บเขาไว้ กำลังพลเบื้องล่างของอีกสามอ๋องก็ไม่ยอมรับเช่นกัน อาณาเขตกว้างใหญ่แค่นี้ ถ้ามีคนอีกกลุ่มเข้ามาเบียดอีก ใครจะไปยอมล่ะ? นอกเสียจากคนตั้งแต่ระดับบนถึงระดับล่างรวมทั้งลิ่งหูโต้วจ้งจะยอมทิ้งตำแหน่งของตัวเอง แต่ถ้าจะให้ทำแบบนี้ ลูกน้องคนสนิทของเขาจะต้องไม่ยอมแน่นอน

ถ้าจะนำอาณาเขตไปสวามิภักดิ์ก็ยังพอเป็นไปได้ แต่เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อจะยอมได้อย่างไร ถ้าไม่มีอาณาเขตผืนนั้นของเขาแล้ว จะแตกต่างอะไรกับเมื่อก่อนล่ะ? สองคนนั้นจำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงขนาดนั้นไหม? เพื่อที่จะคุมสถานการณ์ให้สงบ อีกสามอ๋องสวรรค์จะให้ความร่วมมือกับเถิงเฟยและเฉิงไท่เจ๋อหรือจะให้ความร่วมมือกับลิ่งหูโต้วจ้ง ก็แทบจะไม่ต้องคิดมากเลย

พอคิดไปคิดมา ก็มีแค่ต้องภาวนาให้ฝั่งอิ๋งจิ่วกวงต้านทานไหว อดทนรอจนทัพหนุนของเขาไปช่วย ขอเพียงสามารถช่วยให้อิ๋งจิ่วกวงผ่านด่านนี้ไปได้…เอาล่ะ แม้จะสามารถช่วยให้อิ๋งจิ่วกวงผ่านด่านนี้ไปได้ เขาก็ไม่อาจไต่เต้าขึ้นข้างบนได้อีกแล้ว อิ๋งจิ่วกวงจะยกตำแหน่งอ๋องสวรรค์ให้เขาเชียวเหรอ? ตัวเองก็ยังอยู่ในตำแหน่งเดิมเหมือนตอนนี้ อย่างมากก็ได้รับความสำคัญจากอิ๋งจิ่วกวงมากกว่าเดิมเท่านั้นเอง ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าในศึกนี้จะต้องมีลูกน้องคนสนิทล้มตายไปกี่คน

มารดาเจ้าเถอะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ลิ่งหูโต้วจ้งแอบด่าในใจ

สิ่งที่เขากังวลที่สุดในตอนนี้ก็คือกำลังพลกลุ่มนี้ของเขา เห็นได้ชัดว่าบางคนไม่ค่อยยอมเชื่อฟังเขา เขากังวลมากว่าจะมีคนคิดไม่ซื่อยอมแพ้ให้ฝั่งศัตรูเมื่อเรื่องจวนตัว แบบนั้นจะเป็นปัญหาใหญ่ แต่ตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรอกวาดล้างลูกน้องก่อนแล้วค่อยรีบไปช่วย ถึงตอนนั้นนอกจากจะไม่ทันการณ์แล้ว ถ้าต่อสู้กันขึ้นมาก็เป็นฝ่ายตัวเองที่เสียหาย

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาหวังเพียงอิ๋งจิ่วกวงจะต้านไหว แล้วก็ต้านไว้อีก ขอเพียงอิ๋งจิ่วกวงต้านไหว เบื้องล่างก็จะหวาดกลัว ถึงอย่างไรชื่อเสียงบารมีของอิ๋งจิ่วกวงก็ยังอยู่ ถ้าอิ๋งจิ่วกวงต้านไม่ไหวแล้ว รัสมีเรืองรองของอ๋องสวรรค์อิ๋งผู้สง่าภูมิฐานก็จะขู่คนไม่ได้ ถ้าแม้แต่อ๋องสวรรค์อิ๋งก็ยังทนรับไม่ไหว เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าลูกน้องของเขาจะกบฏ

ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนคงไม่เกิดกบฏง่ายขนาดนี้ ที่สำคัญคือช่วงนี้อ๋องสวรรค์อิ๋งพ่ายแพ้หลายครั้งติดกัน เรื่องที่สระน้ำมังกรดำส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจทหารมากเกินไป คาดว่าเบื้องล่างคงมีกำลังพลไม่น้อยที่ยังด่าอิ๋งจิ่วกวงมาตลอดทาง

เมื่อเอาใจเขามาใส่ใจเรา ลิ่งหูก็ยังเดาความคิดของกำลังพลเบื้องล่างได้ ถ้าอิ๋งจิ่วกวงแพ้ให้เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อเมื่อไร ในทัพตะวันออกก็จะมีตำแหน่งว่างเยอะมากแน่นอน กำลังพลสายขาลที่ได้ผลงานจากการไปช่วยจะได้ทำงานในตำแหน่งสำคัญ จะได้รับรางวัลอย่างงาม ตำแหน่งจอมพลก็จะว่างสองตำแหน่ง ส่วนตำแหน่งอื่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นี่คือโอกาสของกำลังพลเบื้องล่าง และเป็นความหวังที่จะผูกมัดไม่ให้กำลังพลคนสำคัญมีใจเป็นอื่นด้วย

ดังนั้นในใจเขาเขาตอนนี้ก็เรียกได้ว่าวิงวอนฟ้าดินให้อ๋องสวรรค์อิ๋งต้านไหว เขากลัวจริงๆ ว่าอิ๋งจิ่วกวงทนไม่ไหวแล้วหนีไป ถ้าอิ๋งจิ่วกวงส่อแววว่าจะแพ้แล้วหนีไปเมื่อไร เช่นนั้นกำลังพลที่อยู่ข้างกายเขาก็คงจะมีความคิดไม่ซื่อทันที

ดังนั้นระหว่างทางที่มาเขาจึงพูดปลุกใจลูกน้องไม่หยุด บอกประมาณว่ากำลังหนุนของอ๋องสวรรค์ฮ่าว อ๋องสวรรค์ก่วง อ๋องสวรรค์โค่วกำลังจะมาถึงแล้ว หวังว่าจะปลุกใจให้ทุกคนมีความหวัง

เมื่อคิดทบทวนหลายด้าน ลิ่งหูโต้วจ้งเอียงก็หน้าถ่ายทอดเสียงถามคนข้างกาย “คนที่เกณฑ์มาจากสำนักต่างๆ ในสายขาลล่ะ ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง? ทำไมไม่เห็นรายงานความคืบหน้าเข้ามาเลย? ทำไมตลอดทางที่มาไม่เห็นกำลังพลสักกลุ่ม?”

แม่ทัพใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ไม่อยากจะบอกความจริงเลย กลัวว่าจะสะเทือนใจเขา แต่ในเมื่อถามแล้วก็ไม่สะดวกที่จะไม่ตอบ จึงถอนหายใจแล้วตอบว่า “แต่ละสำนักตอบมาว่ายังรวบรวมกำลังพลอยู่เลยขอรับ”

พอได้ฟังแบบนี้ ลิ่งหูโต้วจ้งก็รู้ว่าสำนักพวกนั้นจงใจถ่วงเวลา จึงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “ดี! รอจอมพลผู้นี้ก่อนเถอะ เดี๋ยวคอยดูว่าจอมพลผู้นี้จะจัดการพวกเขายังไง!”

มีบางอย่างที่เขาไม่รู้ นั่นก็คือตระกูลเซี่ยโห้วแอบยื่นมาเข้ามาแทรกแซงแล้ว สำนักฝึกตนที่ค่อนข้างโดดเด่นในอาณาเขตทัพตะวันออกแทบจะถูกมือที่มองไม่เห็นกดไว้หมดแล้ว สำหรับบางคนอาจเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่สำหรับตระกูลเซี่ยโห้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้าต้องการจะกดไว้ก็ง่ายมาก แค่มีจุดอ่อนของบุคคลสำคัญบางคนในสำนักไว้ในมือก็พอ เดิมทีนี่ก็คือเรื่องที่ตระกูลเซี่ยโห้วถนัดที่สุดอยู่แล้ว

ยกตัวอย่างเช่นจุดอ่อนของเหมียวอี้ สาเหตุที่ตระกูลเซี่ยโห้วมองเหมียวอี้อย่างเงียบๆ มาตลอดเพราะอะไรล่ะ? ก็เพราะรู้ว่าเหมียวอี้ไม่อาจพ้นเงื้อมมือของตระกูลเซี่ยโห้วได้ กำลังที่เหมียวอี้สะสมไว้ ในสายตาตระกูลเซี่ยโห้วล้วนเป็นงานที่ลำบากทำแทนตระกูลเซี่ยโห้วเท่านั้น ขอเพียงตระกูลเซี่ยโห้วอยากจะทำ ก็สามารถทำให้เหมียวอี้จบเห่ได้ทุกเมื่อ!

แน่นอน เซี่ยโห้วลิ่งเป็นคนผลักดันเรื่องนี้ แม้แต่เหมียวอี้ก็ไม่รู้ เซี่ยโห้วลิ่ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะโค่นล้มอิ๋งจิ่วกวง การที่ลิ่งหูโต้วจ้งยังหวังความช่วยเหลือจากคนพวกนี้นั้นคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แม้แต่ยุงตัวเดียวเซี่ยโห้วลิ่งก็ไม่ให้เขา

อย่าว่าแต่สำนักพวกนี้เลย แม้แต่ลูกน้องของจ้านผิงที่ก่อกบฏ บางทีคนอาจจะคิดว่าถูกสถานการณ์บีบบังคับ บางทีคนของหน่วยตรวจการซ้ายอาจจะนึกว่าเป็นผลงานจากการปลุกระดมให้ทหารก่อการกบฎของตัวเอง แต่ใครจะคิดว่าประสิทธิภาพในระหว่างนั้นคือผลงานอันแนบเนียนของตระกูลเซี่ยโห้ว? ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วต้องการจะสนับสนุนอิ๋งจิ่วกวง คาดว่าคงเกิดฉากอีกอย่างหนึ่ง

เพราะอะไรตระกูลเซี่ยโห้วจึงทำให้คนหวาดกลัว ผ่านมาหลายยุคแล้ว ยึกครองใต้หล้าโดยพลการมาหลายปี สภาพภายในของตระกูลนี้ลึกล้ำจนคนนอกจินตนาการไม่ออก สามารถโค่นล้มประมุขมาหลายยุคทั้งยังอุ้มชูประมุขมาหลายสมัย ความสามารถนี้ไม่ใช่เล่นๆ

เซี่ยโห้วลิ่งอาจไม่สามารถสั่งให้พี่น้องให้ความร่วมมือกับการเล่นใหญ่ของเขาได้ แต่ตอนที่ให้เฉาหม่านปล่อยข่าวลือที่ตลาดมืด เฉาหม่านก็มิอาจไม่ให้ความร่วมมือ ทำให้พี่น้องคนอื่นเข็นเรือไปตามน้ำ พี่น้องคนอื่นไม่สะดวกจะปฏิเสธ

ที่จริงแล้วเหมียวอี้เป็นคนริเริ่มเรื่องอิ๋งจิ่วกวง พูดแบบแรงๆ หน่อยก็คือเป็นคนแหย่รังแตน แต่ถ้าจะพูดถึงการโค่นล้มอิ๋งจิ่วกวงในครั้งนี้จริงๆ เมื่อมองจากบางมุมก็จะพบว่าเป็นตระกูลเซี่ยโห้วกับประมุขชิงร่วมมือกัน ทั้งสองฝ่ายต้องการร่วมมือกันเล่นงานให้อิ๋งจิ่วกวงถึงแก่ความตาย

แน่นอน เหมียวอี้ก็ใช้ประโยชน์จากจุดนี้เช่นกัน

จวนจอมพลสายขาล เส้าเซียงหัว ฮูหยินของลิ่งหูโต้วจ้งกำลังนั่งสง่าอยู่ในโงหลัก นางขมวดคิ้วมุ่น ตรงกว่างคิ้วเต็มไปด้วยความกังวล สิ่งที่กล่างกังวลก็คือสิ่งที่ลิ่งหูโต้วจ้งกังวล

เดิมทีนางไม่ได้คิดไกลขนาดนี้ เพียงกังวลความเป็นความตายของท่านจอมพลยามออกรบ

ทว่าตอนนี้ในโถงหลักมีชายชราหน้าตาเหมือนหัวขโมยคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย อีกฝ่ายกำลังคุยโวโอ้อวดให้นางฟัง พูดเป็นต่อยหอยจริงๆ สิ่งที่พูดก็คือความกังวลของลิ่งหูโต้วจ้ง

ชายชราหน้าตาเหมือนหัวขโมยคนนี้ชื่อว่าซ่งหยวนเต๋อ ถ้านับลำดับอาวุโสก็คือเป็นลูกพี่ลูกน้องมารดาของเส้าเซียงหัว

สำหรับท่านน้าคนนี้ ที่จริงเส้าเซียงหัวไม่ได้รู้สึกดีด้วยเท่าไรนัก ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือ俗 เขาคือแบบฉบับของพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ วันๆ ไม่ทำอะไรกิน เมื่อก่อนมาขอตำแหน่งขุนนางจากเส้าเซียงหัว นางเห็นว่าเป็นญาติกันจึงช่วยไปครั้งหนึ่ง ใครจะคิดว่าท่านน้าผู้นี้จะก่อเรื่องหนักเกินไป ก่อเรื่องใหญ่เข้าแล้ว ทำให้ลิ่งหูโต้วจ้งเดือดดาลจนเตะออกจากตำแหน่ง ลิ่งหูโต้วจ้งเตือนนางว่า โคลนเหลวที่ก่อเป็นกำแพงไม่ได้แบบนี้มีแต่จะทำให้งานเสีย ให้ดำรงตำแหน่งขุนนางไม่ได้!

ท่านน้าผู้นี้มีดีแค่เส้นสายเท่านั้น แต่กลับทำอะไรไม่สำเร็จเลย เวลาตกต่ำสุดท้ายก็มีแต่จะมาขอให้สงเคราะห์ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือมายื่นมือขอเงิน

เส้าเซียงหัวเองก็แค้นใจที่เคี่ยวเข็ยแล้วไม่ได้ดี นางไม่อยากสนใจเขาเลยจริงๆ แต่ถึงอย่างไรท่านนี้ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของมารดานาง ต่อให้ไม่เห็นแก่อย่างอื่น แต่ก็ต้องเห็นแก่ไม่ตรีของมารดาที่จากโลกนี้ไปแล้ว ตราบใดที่ท่านนี้ไม่ก่อเรื่อง ถ้าต้องการเงินนางก็พอจะให้ได้บ้าง ถึงอย่างไรนางก็ไม่ขาดแคลนเงินอยู่แล้ว

เส้าเซียงหัวคิดว่า หากรอให้ท่านนี้ตายไป นางก็จะตัดขาดกับบ้านนี้โดยสิ้นเชิง คนที่เรียกกันว่าญาติ ต้องเป็นรุ่นหนึ่ง รุ่นสอง รุ่นสาม รุ่นสี่เท่านั้นถึงจะนับญาติกัน ความหมายประมาณนี้ แต่ตราบใดที่ท่านนี้ยังมีชีวิตอยู่ ตระกูลลิ่งหูมีอำนาจมาก ชื่อเสียงบางอย่างก็ยังต้องระวังไว้ ถ้าคนอื่นได้ยินว่านางดูถูกญาติที่ยากจน ก็จะคิดว่านางขาดคุณธรรม ทุกคนล้วนต้องรักษาภาพลักษณ์ คนจากตระกูลใหญ่ที่แท้จริงล้วนถือสิ่งนี้

ใครจะคิดว่าหลังจากท่านน้านำเงินกลับไปแล้ว กลับกังวลถึงสถานการณ์ของลิ่งหูโต้วจ้ง เอ่ยถามถึงแล้ว

เดิมทีเส้าเซียงหัวรู้สึกว่าน่าขำ เตรียมจะฟังเพียงสองสามประโยคแล้วไล่ไป แต่คิดไม่ถึงว่าจะพบว่าคำพูดของท่านน้าก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่หลายส่วน จึงอดไม่ได้ที่จะตั้งใจฟัง

รอจนท่านน้าแสดง ‘ความคิดเห็นอันสูงส่ง’ จบแล้ว เส้าเซียงหัวก็ถามอย่างแปลกใจว่า “ท่านน้า ทำไมท่านถึงสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วล่ะ?”

ซ่งหยวนเต๋ออึ้งไปชั่วขณะ ผู้ติดตามที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบสังเกตด้วยแววตาเป็นประกาย แล้วยกถ้วยน้ำชาให้ “นายท่าน ดื่มให้ชุ่มคอหน่อยเถอะ”

ซ่งหยวนเต๋อรีบเปิดฝาถ้วยชาแล้วดื่มหลายอึก ฉวยโอกาสปิดบัง และฉวยโอกาสคิดหาคำตอบเช่นกัน

หลังจากวางน้ำชาลงแล้ว ซ่งหยวนเต๋อก็คลำกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือ ไอแห้งๆ หนึ่งทีแล้วตอบว่า “เซียงหัว ถึงยังไงพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าท่านจอมพลได้ดี ข้าถึงจะได้อาศัยบารมีไปด้วย”

เส้าเซียงหัวชำเลืองมองกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือเขาแวบหนึ่ง ทำให้รู้สึกทั้งโมโหทั้งอยากขำทันที อ้อมค้อมอยู่ตั้งนานก็เพื่อสิ่งนี้ กังวลว่าว่าถ้าตระกูลลิ่งหูล้มแล้วจะไม่มีใครให้แบมือขอเงิน

นางนับว่าเข้าใจแล้ว แต่ก็ค่อนข้างปลื้มใจ ต่อให้ท่านน้าจะยากจนอย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็หวังดีกับตระกูลลิ่งหู นับว่าไม่เสียแรงเปล่าที่ให้เงินมาหลายปี นับว่ามีมโนธรรมอยู่บ้าง นางเอ่ยถามพร้อมยิ้มบางๆ “ท่านน้ายังเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ?”

เมื่อได้ยินคำดูถูกแบบนี้ ซ่งหยวนเต๋อก็ไม่ยอมเลย ถลึงตาบอกทันทีว่า “เซียงหัว ฟังเจ้าพูดเข้าสิ เรื่องที่ใช้แค่สมองคิดแล้วพูดออกมาโดยไม่ต้องฝึก มีใครบ้างที่ทำไม่ได้! ข้าแค่ไม่ได้อยู่ใจตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นก็ไม่ด้อยกว่าใคร…”

เส้าเซียงหัวรีบยื่นมือห้าม กลัวท่านนี้จะแบมือขอตำแหน่งขุนนางอีก รีบเปลี่ยนประเด็น “ตามที่ท่านบอก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับอ๋องสวรรค์อิ๋ง ท่านจอมพลจะไม่หมดหนทางหรอกเหรอ?”

ซ่งหยวนเต๋อพูดเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ใครว่าล่ะ นั่นมันความคิดอ่านของสตรี พวกเจ้าไปขอพึ่งพาตำหนักนารีสวรรค์ได้อยู่แล้ว! ตำหนักนารีสวรรค์ยังมีอาณาเขตที่ควบคุมโดยตรงไม่ใช่เหรอ!”

……………

สนมบางคนยังไม่ทันถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง สนมบางคนพอเห็นกองทัพองครักษ์พรวดพราดเข้ามาแล้ว ถึงขั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คมดาบที่เย็นเยียบก็สังหารเข้ามาแล้ว ไม่มีที่ว่างให้อธิบายอะไรทั้งนั้น

คนที่ล้มตายไม่ได้มีแค่สนมเหล่านั้น หญิงรับใช้กับนางกำนัลในตำหนักก็เช่นกัน กองทัพองครักษ์ที่เย็นชาไร้หัวใจไม่ปล่อยให้รอดไปสักคน

เสียงร้องตกใจ เสียงกรีดร้องโหยหวน ทั้งยังมีเสียงเข่นฆ่าจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เสียงเหล่านี้ดังก้องทั้งวังสวรรค์

คนที่หลบหนีถูกไล่สังหารทันที ถูกล้อมปราบแล้ว

ผนังหยกขาวหลายแห่งที่สลักอย่างงดงาม ลานตำหนักที่ก่อสร้างฝีมือประณีตเหนือธรรมชาติ ตามติดด้วยเลือดสดที่พุ่งกระจายออกมา ทั้งหมดพังทลายลงท่ามกลางลำแสงของลูกธนูดาวตก

รอยยิ้มสวยสดใสดุจบุปผา ความเมตตาจากราชัน คำสัญญาด้วยความรักใคร่ ทั้งหมดที่เคยมีกลายเป็นความเย็นชาเมินเฉย กลายเป็นคมดาบที่เยียบเย็น กลายเป็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายท่ามกลางกองเลือด กลายเป็นความโศกสลดอยู่ท่ามกลางสายตาที่ค่อยๆ มืดสลัวลง

“เหนียงเหนียง! ท่านอ๋องอยู่ในอันตรายนะเพคะ! ท่านอ๋องคือท่านตาแท้ๆ ของท่านนะเพคะ!”

ในตำหนักบูรพา หยินซวงกับไป๋เสวี่ยพยายามบุกเข้าห้องสมาธิ แล้วก็นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ขอร้องวิงวอนจ้านหรูอี้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง

ที่จริงสนมหันก็เป็นแค่คนที่ถูกเลือกไว้เตรียมใช้ คนที่ตระกูลอิ๋งเลือกคนแรกก็ยังเป็นจ้านหรูอี้ หวังว่าจ้านหรูอี้จะไปขอร้องให้ ถ้าขอร้องไม่ได้ผล ก็ใช้วิธีการยั่วยวนแล้วฆ่าประมุขชิง

จ้านหรูอี้ที่สีหน้าเรียบเฉยลืมตาช้าๆ มองพวกนาง “ระหว่างฝ่าบาทกับท่านอ๋องมาถึงขั้นสุดแผนที่มีดปรากฏ[1]แล้ว พวกเจ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะมีความหมายเหรอ? เป็นเพียงการรนที่ตายอย่างกล้าหาญก็เท่านั้น ไม่ต้องรอให้พวกเราไปรนหาที่ตายเองหรอก เดาว่าคนที่จะมาสังหารพวกเราคงใกล้มาถึงแล้ว ทุกอย่างจบแล้ว…”

นางเพิ่งจะพูดจบ ด้านนอกก็มีเสียงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ดังสนั่น ทั้งยังมีเสียงกรีดร้องดังต่อเนื่องเป็นระลอก เสียงดังเข้ามาอย่างต่อเนื่องแล้ว

หยินซวงกับไป๋เสวี่ยพลันหันไปมอง พวกนางสีหน้าขาวซีด ตอนนี้ไม่สนใจจ้านหรูอี้แล้ว พวกนางรีบถลันตัวออกไป วิ่งไปดูข้างนอกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

แม้แต่จ้านหรูอี้ก็รีบถลันตัวออกจากเตียงเช่นกัน

ทั้งสามคนเพิ่งจะเข้ามาในเรือน กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่สวมเกราะรบกลุ่มหนึ่งก็บุกเข้ามาแล้ว เริ่มกระจายตัวเฝ้าตามจุดต่างๆ ในตำหนักบูรพา

พอแม่ทัพเกราะแดงคนสุดท้ายเดินเข้ามาเห็นจ้านหรูอี้ ก็รีบเร่งฝีเท้าทันที ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะกุมหมัดคารวะ “คำนับสนมสวรรค์!”

เสียงเข่นฆ่าข้างนอกยังดำเนินต่อเนื่อง จ้านหรูอี้ที่เงี่ยหูฟังเห็นกับตาว่าลำแสงหลายสิบสายบนท้องฟ้าไกลๆ กำลังยิงสังหารสนมคนหนึ่งที่นางรู้จัก นางย้ายสายตากลับมาบนใบหน้าแม่ทัพอีกครั้ง แล้วถามเสียงเรียบว่า “เจ้ามาเพื่อฆ่าข้าเหรอ?” สีหน้าท่าทางให้ความรู้สึกเหมือนจะเป็นหรือตายก็ปล่อยไปตามโชคชะตา หรือไม่ก็ให้ความรู้สึกหลุดพ้น

หยินซวงกับไป๋เสวี่ยสีหน้าแย่มาก ความตระหนกในดวงตายากจะปิดบังไว้ หวาดกลัวถึงขีดสุดแล้วจริงๆ

ทหารที่เข้ามาก้มหน้ากุมหมัดคารวะ “มิบังอาจ! เหนียงเหนียงเข้าใจผิดแล้ว วังหลังมีคนก่อกวน ฝ่าบาทมีคำสั่ง ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มาป้องกันตำหนักบูรพา ปกป้องความปลอดภัยของเหนียงเหนียง ถ้ารบกวนตรงไหน ก็หวังว่าเหนียงเหนียงจะอภัย!”

เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น ตามหลักแล้วจะเรียกว่าฆ่าล้างโคตรตระกูลอิ๋งก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป แต่ผู้หญิงคนนี้กลับยังไม่เป็นอะไร จะเห็นได้ว่าได้รับเกียรติและความโปรดปรานจากฝ่าบาทขนาดไหน ความโปรดปรานนับพันหมื่นมารวมอยู่ที่ตัวคนคนเดียวอย่างแท้จริง มีหรือที่เขาจะกล้าล่วงเกิน

เขาคิดไม่ตกจริงๆ ในวังมียอดหญิงงามมากมายขนาดนั้น มีคนไหนบ้างที่ไม่ผ่านการคัดเลือกอย่างดีจากอาณาเขตดาวผืนต่างๆ ความงามของสนมสวรรค์บอกได้เพียงว่าก็แค่ดูดี แต่ยังไม่ถึงขั้นยอดหญิงงาม ทั้งยังไม่สนใจใยดีฝ่าบาทด้วย แต่ฝ่าบาทดันหลงใหลราวกับผีดลบันดาล โปรดปรานนางเพียงคนเดียว ฝ่าบาทช่างชอบรสชาติเข้มข้นจริงๆ!

แน่นอน คำพูดนี้เก็บไว้ในใจเท่านั้น ไม่กล้าพูดออกมา

จ้านหรูอี้จ้องเขาพักหนึ่ง แล้วมองไปที่องครักษ์รอบๆ สุดท้ายก็มองไปทางตำหนักดาราจักร ขณะฟังเสียงเข่นฆ่ารอบข้าง ก็หันตัวกลับไปช้าๆ แล้วเดินลากกระโปรงยาวกลับเข้าไปในห้อง

หยินซวงกับไป๋เสวี่ยแอบโล่งอก ให้ความรู้สึกเหมือนหนีรอดจากความตายมาได้ พวกนางรีบก้มหน้าเดินตามจ้านหรูอี้ไป รู้สึกว่าตอนนี้มีแค่เดินตามอยู่ข้างกายจ้านหรูอี้เท่านั้นถึงจะปลอดภัยที่สุด เพียงแต่ยังคงตกใจจนเข่าอ่อน…

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

ตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ได้ยินเสียงความผิดปกติทางวังสวรรค์แทบจะยกกระโปรงวิ่งออกมา กลุ่มนางในก็กลัวจนมารวมตัวกันอยู่ข้างหลังนาง

“เหนียงเหนียง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน ถ้าไม่มีคำสั่งจากฝ่าบาท ทางที่ดีก็อย่าไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้าดีกว่า!”

ตรงจุดที่ไม่ไกลมีเสียงอันเย็นเยียบดังมา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่เดิมทีต้องการจะเหาะขึ้นฟ้าไปดูความเคลื่อนไหวจำเป็นต้องอดทนไว้ แล้วเอียงหน้ามองไปตามเสียง

บนระเบียงนอกศาลาริมสระน้ำ เกาก้วนที่สวมหมวกทรงสูงและผ้าคลุมสีดำกำลังยืนเอามือไขว้หลังพิงระเบียง เขาเงยหน้าเล็กน้อย กำลังมองเงาคนที่เหาะขึ้นมาบนฟ้าแล้วตกลงไปเป็นระยะด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในสระน้ำสะท้อนเงาอันโดดเดี่ยวของเขา

ในสายตาเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เกาก้วนโอหังและเย็นชาอย่างนี้มาตลอด

เพียงแต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่คิดไม่ตกนิดหน่อย เกาก้วนได้รับคำสั่งให้มาตรวจสอบตนชัดๆ ทว่าตั้งแต่ตนกักบริเวณอยู่ที่นี่ อีกฝ่ายก็ยังไม่เคยถามตนสักคำ ดูแล้วเหมือนจะไม่ต้องการสอบสวนนางเลยสักนิด

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดินเข้าไป ขณะที่เดินก็พูดไปด้วยว่า “ตอนที่ยังไม่ได้ตัดสินว่าข้ามีความผิด ข้าก็ยังเป้นประมุขของวังหลัง วังหลังกำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ข้ามีสิทธิ์จะรู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!”

เกาก้วนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งโดยไม่หันกลับมา “กองทัพองครักษ์สู้กับทัพตะวันออกแล้ว!”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หยุดเดิน หลังจากทำสีหน้างงงันอยู่พักหนึ่ง นางก็เข้าใจกระจ่างในทันที ตอนนี้คงกำลังกวาดล้างคนในเครือข่ายตระกูลอิ๋งที่วังหลัง

หลังจากเข้าใจแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เผยสีหน้าดีใจเป็นบ้าเป็นหลังอย่างปิดบังได้ยาก แทบจะมองไปทางตำหนักบูรพทันที ในใจหัวเราะเยาะอย่างบ้าคลั่ง นางตัวดี เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกันเหรอ!

สิ่งเดียวที่ทำให้นางรู้สึกเสียดายก็คือ ไม่ได้ทรมานนางตัวดีนั่นด้วยตัวเอง!

ถ้าผู้หญิงได้แค้นผู้หญิงสักคนหนึ่งเมื่อไร ก็เรียกได้ว่าโหดร้ายที่สุด

ในวังมีการเปลี่ยนแปลงกะทันหันขนาดนี้ จวนอ๋องสวรรค์ก่วง จวนอ๋องสวรรค์โค่ว จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวก็ได้รับข่าวนี้ในทันทีเช่นกัน

ก่วงลิ่งกง โค่วหลิงซวีและฮ่าวเต๋อฟางบ้างก็เงียบไป บ้างก็ทำสีหน้าตึงเครียด บ้างก็เดินไปเดินมา หลังจากรู้ว่าประมุขชิงไม่ได้แตะต้องคนของพวกเขา ทุกคนก็รู้แล้วว่าประมุขชิงกำลังส่งข้อความให้พวกเขา กำลังแสดงท่าทีว่าไม่คิดจะแตะต้องพวกเขา มีเจตนาจะทำให้พวกเขาสงบลง ให้พวกเขาไตร่ตรองสิ่งที่กำลังจะทำต่อไป

สำหรับประมุขชิง นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เขารับสนมเข้ามาในวังหลังมากมาย เขาใช้สิ่งนี้เพื่อแสดงท่าทีต่อเจ้าอาณาเขตเบื้องล่าง ใช้เพื่อถ่ายทอดเจตนา

ต่อให้เขาจะไม่ชอบผู้หญิงคนไหน แต่ถ้าคนที่อยู่เบื้องหลังผู้หญิงคนนั้นทำเรื่องที่ถูกใจเขา เขาก็จะฝืนตัวเองไปหาผู้หญิงคนนั้นได้ จะถ่ายทอดเจตนาที่ทุกคนล้วนเข้าใจ บางครั้งเวลามีอะไรที่ไม่สะดวกจะพูดออดมาตรงๆ เขาก็จะเปิดเผยให้ผู้หญิงบางคนรู้สักสองสามประโยค เขาเชื่อว่าผู้หญิงคนนั้นจะต้องถ่ายทอดเจตนาของเขาโดยเร็ว บางครั้งถ้าเขาอยากจะสร้างความบาดหมางให้เบื้องล่าง ก็จะจงใจไปโปรดปรานผู้หญิงบางคน

ความสัมพันธ์ระหว่างประมุขชิงกับสนมของวังหลัง แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นจุดสนใจของคนบางกลุ่มอยู่แล้ว

“เพล้ง…”

เสียงดังชัดเจน จอกหยกที่ใส่สุราไว้ครึ่งเดียวพลันหลุดจากมืออันเรียวงาม ตกลงพื้นจนแตก น้ำสุราสาดกระเด็น

กับแกล้มที่สวยประณีตหนึ่งโต๊ะ สุราเลิศรสหนึ่งกา

จูเก๋อชิงยามปกติเงียบเหงา พอเห็นสุราแล้วค่อนข้างกระหาย ตอนนี้จู่ๆ เอามือกุมหน้าท้อง เอามืออีกข้างยันโต๊ะไว้ ใช้หน้าผากขัดไปตามโต๊ะด้วยสีหน้าทุกข์ทรมาน สั่นเทิ้มไปทั้งตัว

สาวน้อยที่อยู่ทางซ้ายและขวาเห็นสภาพนางแล้วแปลกใจ ทั้งคู่เข้ามาประคองนาง “พี่สาวเทพเซียน เป็นอะไรไปคะ?”

จูเก๋อชิงพยายามโบกมือ ใช้แขนข้างหนึ่งยันโต๊ะโซเซลุกขึ้นมา นางค่อยๆ เงยหน้ามองสุราอาหารบนโต๊ะ แล้วเผยรอยยิ้มอันน่าเวทนา พึมพำกับตัวเองว่า “สิ่งที่ควรจะมา สุดท้ายก็มาแล้ว หึหึ…”

นางหันตัวไปกระแทกเก้าอี้ด้านหลัง แล้วเดินโซเซตลอดทางเพื่อไปหาเตียงที่อยู่ไม่ไกล นางกระโจนล้มลงบนเตียง แล้วนอนงอตัวเหมือนกุ้งอย่างเจ็บปวด

สาวน้อยทั้งสองตกใจแทบแย่แล้ว ตกใจจนลนลานทำอะไรไม่ถูก ไม่เคยพบเห็นสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ในสายตาพวกนาง พี่สาวเทพเซียนอาจจะกำลังป่วยแล้วก็ได้

สุดท้ายสาวน้อยที่อายุมากกว่าก็ตะโกนบอกว่า “รีบไปตามคน รีบไปตะโกนเรียกคน!”

คนที่อายุน้อยกว่ายกกระโปรงวิ่งออกไปทันที “ใครก็ได้ ใครก็ได้…”

สาวน้อยที่อายุมากกว่ากระโจนลงข้างเตียง แล้วเขย่าแขนจูเก๋อชิงพลางร้องไห้ “พี่สาวเทพเซียน ท่านเป็นอะไรไป ท่านเป็นอะไรไปแล้ว…”

จูเก๋อชิงที่นอนงอตัวพยายามลืมตามองนางอย่างไร้เรี่ยวแรง จากนั้นก็เหมือนใช้พลังทั้งตัวจนหมดแล้ว พยายามหันตัวมา วางร่างกายตัวเองให้นอนราบ พยายามรักษาลมหายใจเฮือกสุดท้ายเอาไว้ เหมือนอยากจะยื่นมือเข้าไปสัมผัสใบหน้าสาวน้อย

สุดท้ายก็ยังไม่ทันได้ลูบใบหน้านาง มือตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง หลับตาลงโดยมีน้ำตาสองสายไหลออกจากหางตา หยดน้ำตาใสดุจผลึก

นอกห้อง ทหารยามนับไม่ถ้วนถลันตัวเข้ามา เดินก้าวยาวมาข้างเตียง คนที่นำหน้ามาเอียงหน้ามองสุราอาหารบนโต๊ะ เขาไม่ใช่ใครที่ไหน ฟางเหลียว ผู้รับหน้าที่เฝ้าตำหนักประมุขดาวกลาง

พอมาถึงข้างเตียง ฟางเหลียวก็ตะโกนว่า “แม่นางชิง เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว?” เมื่อเรียกหลายครั้งแล้วไม่มีการตอบสนอง ก็เอียงหน้าบอกใบ้ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ

ผู้หญิงคนนั้นรีบยื่นมือออกมาตรวจสอบ หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจแล้ว ก็หันกลับมาตอบอย่างตกใจว่า “นาง…นางตายแล้ว…”

“หา!” คนอื่นๆ ก็ตกใจเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูไกลๆ

หลังจากแน่ใจว่าตายแล้วจริงๆ แต่ละคนก็เริ่มกลัวแล้ว พวกเขารับหน้าที่เฝ้ายาม แต่คนกลับตายไปแล้ว จะชี้แจ้งอย่างไรล่ะ?

“ทำยังไงดี?” มีบางคนถามอย่างตกใจ

“ไม่มีทาง ไม่มีทาง” สาวน้อยที่อยู่ข้างเตียงส่ายหน้าร้องไห้อย่างปวดใจ เขย่าตัวจูเก๋อชิงหวังให้ฟื้นขึ้นมา

มีบางคนพบความผิดปกติอย่างรวดเร็วเช่นกัน สังเกตเห็นจอกสุราที่ตกแตกกับเก้าอี้ที่พลิกล้ม

ฟางเหลียวที่ไม่สะทกสะท้านตั้งแต่ต้นจนจบหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องตรวจสอบแล้ว เป็นประสงค์ของท่านปราชญ์ แจ้งให้นภาอู๋เลี่ยงรู้ก็พอ อย่างอื่นพวกเราไม่ต้องกังวล” เขาเป็นคนวางยาพิษเอง ในใจเขาย่อมรู้ชัด พอมองใบหน้าที่งามเลิศล้ำของจูเก๋อชิง ในใจเขาก็แอบรู้สึกเสียดาย จากนั้นก็หันตัวเดินออกไปอย่างไม่รีบร้อน

บนหอประตูเมือง เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างพลันมองไปยังที่ไกลๆ ตรงนั้นเหมือนจะมีลมพัด ต้นไม้สั่นไหว ฝุ่นดินม้วนขึ้นฟ้าราวกับเสา แล้วจู่ๆ พังทลายลงอีก ความรู้สึกของเขาตอนนี้ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน จนกระทั่งตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าฝั่งประมุขชิงเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง กำลังพลแดนรัตติกาลหลายหมื่นที่กระจายอยู่ตามตลาดสวรรค์อาจจะโดนโจมตีได้ทุกเมื่อ ตอนนี้แววตาเขาเด็ดเดี่ยว ริมฝีปากตึงแน่น

ใต้กำแพงและบนกำแพงยังคงท้าทายกันและข่มขู่กัน ดาบจ่ออยู่บนคอคนงานในร้านค้าที่ถูกคุมตัวขึ้นมาบนกำแพงเมืองแล้ว ซิงยืนมองฉากนี้อยู่ริมหน้าต่างข้างกัน นางถอนหายใจเบาๆ เหมือนตระหนักได้ “ปณิธานอันยิ่งใหญ่เป็นเพียงเรื่องในวงสนทนาขบขัน ไม่สู้อยู่ในความฝันอันงดงามของชีวิต…”

เหมียวอี้เอียงหน้าเล็กน้อย เหล่ตามองนางเงียบๆ แวบหนึ่ง

…………………………

[1] สุดแผนที่มีดปรากฏ 图穷匕见 อุปมาว่าว่าเมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุด ข้อเท็จจริงย่อมปรากฏออกมา

การเข่นฆ่าของแนวหลังจบลงอย่างรวดเร็ว เป็นวิธีการต่อสู้แบบบดขยี้โดยแท้ ไม่เหลือทางใดๆ ไว้ให้ถอยกลับ

ตอนที่อิ๋งจิ่วกวงออกคำสั่งให้ลงมือ มีหรือที่จะไม่รู้ ที่จริงแล้วกำลังสั่งให้ลูกน้องเอาชีวิตไปทิ้งแท้ๆ จอมพลที่สะสมกำลังทหารไว้มากมายและวางแผนก่อกบฏจะรับมือด้วยง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร

การต่อสู้จบลงเร็วมาก สนามรบถูกเก็บกวาดอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงหมอกเลือดที่กระเพื่อมเป็นพักๆ กำลังพลถูกเก็บรวบเข้ากระเป๋าสัตว์ หลังจากแม่ทัพสิบคนเก็บทหารแล้ว ก็รีบเร่งความเร็วตาท่านจอมพลไป

เถิงเฟยที่ไม่ได้หันกลับมาเลยตลอดทางรู้ว่าการต่อสู้จบลงแล้ว ขณะมองดาราจักรอันกว้างใหญ่ แววตาก็สับสนงงงวยเล็กน้อย สุดท้ายอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ท่านก็อย่าโทษข้าเลย ข้าเองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ แต่พวกเจ้าสร้างเรื่องเก่งเกินไปแล้ว…”

เขาไม่ได้พูดโกหก เมื่อก่อนเขาไม่เคยคิดจะโค่นอิ๋งจิ่วกวงลงจากตำแหน่ง แต่เมื่อทัพตะวันออกก่อเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่า นอกจากขวัญกำลังใจทหารจะไม่มั่นคงแล้ว แม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกได้ถึงอันตราย คนที่เป็นจอมพลเหมือนกันถูกสังหาร เศร้าโศกเพราะเพื่อนร่วมงานทั้งยังถูกสถานการณ์บีบบังคับ จึงจำใจต้องทำอย่างนี้

ส่วนดาราจักรอีกผืนหนึ่ง เฉิงไท่เจ๋อออกคำสั่งกับลูกน้องเสียงดังเช่นกัน “บอกพวกเขา ต้องโจมตีกำลังพลของลิ่งหูโต้วจ้งให้แตกให้ได้ ขอเพียงทัพใหญ่ของลิ่งหูโต้วจ้งแตกแล้ว ต่อให้อิ๋งจิ่วกวงหนีไป แต่เมื่อในมือไม่มีกำลังพลแล้ว อิ๋งจิ่วกวงก็ไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้น เป็นภัยคุกคามต่อพวกเราไม่ได้อีก!”

“รับทราบ!” แม่ทัพเบื้องล่างรีบถ่ายทอดคำสั่งลงไป

อู๋ฉวี่ที่กำลังเร่งเหาะพลันกางแขน สมาชิกที่ติดตามรวมทั้งเขาหยุดกะทันหัน เพราะตรงหน้าเขาปรากกฏกำลังพลที่หนาแน่นอยู่ในดาราจักร ข้างหลังยังมีกำลังพลมารวมตัวด้วยไม่หยุดหย่อน

ฝั่งอู๋ฉวี่เข้าใจ นี่คือกำลังพลเดิมของอิ๋งจิ่วกวง และเป็นกำลังพลที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของทัพตะวันออก อาวุธก็ดีที่สุดในทัพตะวันออกเช่นกัน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ส่วนใหญ่ของทัพตะวันออกล้วนรวมอยู่ในมือกำลังพลเหล่านี้

เมื่อถูกกำลังพลกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ขวางไว้ ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะอ้อมผ่านไปเลย ถ้าไม่โจมตีกำลังพลกลุ่มนี้ให้แตก ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะทำอะไรอิ๋งจิ่วกวงได้

อู๋ฉวี่สายตาเย็นเยียบ ตะคอกว่า “เตรียมตัว!”

แม่ทัพในบังคับบัญชารีบถลันตัวออกไปทางซ้ายและขวา เงาคนที่มืดฟ้ามัวดินน่าสะพรึงกลัวปรากฏตัวกลางอากาศ คนจำนวนนับไม่ถ้วนตั้งกระบวนทัพแล้ว

แม่ทัพเกราะแดงนับพันล้อมพิทักษ์อู๋ฉวี่ไว้ตรงกลาง กลายเป็นเกราะคุ้มกันหลายชั้น กลายเป็นศูนย์บัญชาการระหว่างทำศึกแล้ว

ชายหน้าดำหนวดหยิกที่เป็นแม่ทัพใหญ่ในศูนย์บัญชาการฝ่ายตรงข้าม ชื่อว่าสงฉี เป็นผู้ตรวจการขวาในทัพของอิ๋งจิ่วกวงเอง

สงฉีถลึงตาจ้องอู๋ฉวี่ที่อยู่ฝั่งนี้ แล้วจู่ๆ ก็ชี้มา พร้อมตะคอกว่า “อู๋ฉวี่ กล้าสู้ตายกับข้าสักตั้งมั้ยล่ะ!”

อู๋ฉวี่ตอบกลับเสียงเย็น “เจ้าไม่คู่ควรหรอก ให้โจรกบฏอิ๋งจิ่วกวงโผล่หัวออกมาให้ฆ่าเดี๋ยวนี้!” เสียงพูดตามด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาด

“ชวิ้ง” สงฉีพลันชักกระบี่วิเศษตรงเองออก แล้วชี้ไปตรงหน้า

ธงผืนใหญ่ที่ปักตัวอักษร ‘อิ๋ง’ ตั้งขึ้นข้างหลังเขา

“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า…” ทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาตะโกนอย่างเป็นจังหวะพลางประชิดเข้ามา เสียงแบบนั้น พลังที่แสดงออกมาแบบนั้นราวกับจะพลิกทะเลคว่ำภูเขาได้ ต่อให้เป็นคนขี้ขลาดก็ถูกกระตุ้นให้ฮึกเหิมได้

แต่กลับประชิดเข้ามาไม่เร็ว เข้ามาช้ามาก รักษากระบวนทัพให้มั่นคงอยู่ตลอด

“ชวิ้ง” อู๋ฉวี่รับศึกทันที รีบชักกระบี่วิเศษออกมา แล้วออกแรงชี้ไปข้างหน้า

ธงใหญ่ของหน่วยองครักษ์ขวาตั้งขึ้นมาแล้ว จากนั้นธงองครักษ์กับธงต่อสู้ก็ชูตามขึ้นมา กำลังพลที่ถูกดึงตัวมาที่นี่ล้วนมีฝีมือ ระดับที่ต่ำกว่านี้ไม่มีธง เมื่อตะลุมบอนอยู่ท่ามกลางกำลังพลจำนวนมากขนาดนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องโยกย้ายกำลังพลกลุ่มเล็ก

“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า…” กำลังพลกองทัพองครักษ์ก็ตะโกนฆ่าเป็นจังหวะพลางประชิดเข้ามาเช่นกัน รูปกระบวนทัพก็เหมือนกับฝ่ายตรงข้าม เข้าไปรับหน้ากับอีกฝ่ายโดยไม่หลบหลีกแม้แต่น้อย

กำลังพลมีจำนวนมากถึงขั้นนี้แล้ว ตอนคุมเชิงกันก็ไม่ต้องใช้อุบายพลิกแพลงอะไรเลย มีแต่ใช้กำลังปะทะกันเท่านั้น…

ในเรือนด้านหลังของจวนท่านอ๋อง ทิศทัศน์งดงาม ดอกไม้แปลกตานานาพันธุ์ก็ย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง แต่ในสายตาจั่วเอ๋อร์ ทิวทัศน์ที่งดงามขนาดนี้กลับดูเศร้าวิเวก

หลังจากเดินขึ้นบันไดมาบนโถงหลักของเรือนด้านหลังแล้ว จั่วเอ๋อร์ก็กุมหมัดคารวะอิ๋งจิ่วกวงที่หันหลังให้ “ท่านอ๋อง ยืนยันแล้ว เป็นกองทัพองครักษ์ โพ่จวินกับอู๋ฉวี่นำทัพมาด้วยตัวเอง คุมเชิงอยู่กับคนของพวกเราแล้ว” นางรู้สึกหนักใจมาก พบว่าท่านอ๋องพูดไว้แม่นมาก กองทัพองครักษ์มาแล้วจริงๆ

อิ๋งจิ่วกวงที่เปลี่ยนใส่เกราะรบผลึกแดงหันตัวมา เกราะหัวและเกราะรบดูหนาหนักเป็นพิเศษ มันชื่อว่าเกราะสยบฟ้าดิน เต็มไปด้วยลวดลายงดงาม เป็นเกราะรบที่ตำหนักสวรรค์ตั้งใจหลอมสร้างให้สี่อ๋องสวรรค์ เขาไม่ได้ใส่มาหลายปีแล้ว แต่ความโอ่อ่าทรงพลังของเกราะวิเศษกลับยังอยู่ เพียงแต่กระพุ้งแก้มสองข้างใต้เกราะหัวเผยไรผมหงอกขาวให้เห็น

“ทุกคนเตรียมตัวแล้วหรือยัง?” อิ๋งจิ่วกวงถามด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

จั่วเอ๋อร์มองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย นานมากแล้วจริงๆ ที่ไม่ได้เห็นท่านอ๋องสวมเกราะรบ นางพยักหน้าตอบ “เตรียมทุกอย่างตามที่ท่านอ๋องกำชับไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ!”

อิ๋งจิ่วกวงก็มองเขาเช่นกัน แล้วจู่ๆ ก็เผยรอยยิ้มบางๆ “จู่ๆ ก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนพวกเราเจอกันครั้งแรก ชั่วพริบตาเดียวพวกเราก็แก่แล้ว…พอแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาหวั่นไหวเกินควร ฉวยโอกาสตอนนี้ เจ้าพาพวกอู๋เชวียไปก่อนเถอะ”

“ท่านอ๋อง…” จั่วเอ๋อร์พลันคุกเข่า เอาหน้าผากโขกพื้นพร้อมบอกว่า “ท่านอ๋องรักษาตัวด้วย!”

อิ๋งจิ่วกวงไม่ได้พูดอะไรมากอีก รองเท้ายาวโลหะย่ำพื้นจนเกิดเสียงดัง เดินกาวยาวออกไปนอกโถงแล้ว

จั่วเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นแล้วหันกลับมา ขณะมองเงาหลังของเขาที่กำลังเดินออกไป ดวงตาสองข้างก็มีน้ำตาคลอ นางเองก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ทั้งสองรู้จักกันในปีนั้นเช่นกัน เพียงแต่มีบางอย่างที่คนนอกไม่รู้ ที่จริงเรื่องราวระหว่างทั้งสองก็คล้ายกับฮ่าวเต๋อฟางและซูอวิ้น แต่ก็มีบางอย่างต่างกัน นั่นก็คืออิ๋งจิ่วกวงสังหารสามีที่อำมหิตของนาง ทั้งสองเดินมาด้วยกันจนถึงทุกวันนี้เพราะเดิมพันสัญญา ไม่รู้ว่าการจากกันครั้งนี้จะเป็นการจากกันตลอดไปหรือไม่

อิ๋งจิ่วกวงยืนอยู่บนบันไดสูงนอกโถง สายตามองมาเบื้องล่าง

คนนอกรู้เพียงว่าเขามีอนุภรรยาเยอะ แต่หารู้ไม่ว่าอนุภรรยาที่เขาทุ่มทรัพยากรมหาศาลเพื่อเลี้ยงดูหลายปีจะเป็นกำลังรบที่แข็งแกร่งและซื่อสัตย์ที่สุดในจวน

อนุภรรยาหลายร้อยสวมเกราะรบหมดแล้ว แน่นอนว่าไม่ใช่อนุภรรยาทั้งหมดในจวนท่านอ๋อง บางคนที่พลังไม่แข็งแกร่งพอก็ไม่มีสิทธิ์มาเข้าร่วมศึกใหญ่แบบนี้ได้เลย มีบทบาทไม่มากสำหรับเขา

ดวงตาแต่ละคู่เหลือบขึ้นมองอิ๋งจิ่วกวงที่ยืนอยู่บนบันได สายตาค่อนข้างสื่ออารมณ์ที่หลากหลาย

แนวหลังของกลุ่มอนุภรรยา นักพรตเกราะแดงหลายร้อยยืนเรียงราย เทียนหยวนก็รวมอยู่ในนั้นเช่นกัน เขากำลังมองอ๋องสวรรค์อิ๋งที่ยืนอยู่บนบันได

อิ๋งจิ่วกวงกวาดสายตามองกลุ่มคน เดินก้าวยาวลงบันได กลุ่มคนหลีกทางให้สองฝั่งโดยอัตโนมัติ แล้วก็ทยอยกันเลี้ยวตามหลังเขาไป

คนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากเรือนด้านใน เรือนด้านนอกมีนักพรตเกราะแดงอีกนับพันตามหลังไปทางฝั่งซ้ายและขวา…

“อะไรนะ?” อ๋องสวรรค์โค่วที่นั่งอยู่ในศาลาพลันยืนขึ้น แล้วตวาดว่า “สั่งให้กองหนุนเร่งความเร็ว เร็วๆๆ!”

ฮ่าวเต๋อฟางที่เดินไปเดินมาอยู่ในศาลาเอามือตบบนระเบียง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ฝั่งอิ๋งจิ่วกวงเกิดสถานการณ์คับขัน สั่งให้กองหนุนไปโดยเร็วที่สุด!”

ปั้ง! ก่วงลิ่งกงที่อยู่ในห้องหนังสือตบโต๊ะยืนขึ้น กล่าวด้วยสีหน้าเครียดขรึม “กองหนุนไม่ต้องไปด้วยกัน ใครที่เร็วกว่าก็ให้ไปก่อน ต้องไปถึงก่อนที่อิ๋งจิ่วกวงจะคุมสถานการณ์ไม่ไหว!”

วังสวรรค์ ในวังหลัง สนมลี่กับสนมหันนั่งอยู่ด้วยกัน กำลังกระซิบกระซาบกันด้วยสีหน้าหวาดกลัว

“พวกเราไม่มีทางถอยแล้ว ทำแล้วก็ตาย แต่ไม่ทำก็ไม่รอดอยู่ดี แต่อย่างน้อยถ้าทำแล้วก็ยังปกป้องพ่อแม่ได้ เจ้าจะเลือกแบบไหน?”

“แต่จะลงมือยังไงล่ะ! ต่อให้ฝ่าบาทนอนไปแล้ว แต่พอเจ้าพลิกตัวเบาๆ ฝ่าบาทก็ถามเจ้าอยู่ดีว่าทำไมไม่นอน ระวังตัวสูงมาก อาศัยวรยุทธ์ของฝ่าบาทตอนนี้ พวกเราก็ลงมือลำบากจริงๆ!”

“สนมหัน ฝ่าบาทชอบร่างกายเจ้าที่สุด ในเวลานี้มีแต่เจ้าที่ต้องคิดหาทางทดลอง ฉวยโอกาสตอนฝ่าบาทเกิดอารมณ์เสน่หาที่สุด บางทีอาจจะมีโอกาสลงมือก็ได้”

“ข้าคนเดียวเกรงว่าจะไม่ค่อยมั่นใจ”

“นี่ไม่ใช่ปัญหาว่ามั่นใจมากหรือไม่มั่นใจมาก มีแต่ต้องลองพยายามสุดความสามารถ เจ้าคิดหาวิธีการเรื่องฝ่าบาท ข้าจะไปปรึกษากับพวกน้องๆ ถ้าเจ้าพลาดเมื่อไร พวกน้องๆ ก็มีแต่ต้องร่วมมือกันสู้สักครั้ง”

สองคนที่ปรึกษากันเรียบร้อยแล้วทยอยกันรีบร้อนเดินออกจากเรือนพัก

ในตำหนักดาราจักร

เมื่อรู้ว่ากำลังพลของโพ่จวิน อู๋ฉวี่เผชิญหน้ากับกำลังพลของอิ๋งจิ่วกวงแล้ว ประมุขชิงก็นั่งไม่ติดที่เช่นกัน เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนัก แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้ว สั่งให้กองทัพองครักษ์ทั้งหมดรวมตัวกันเตรียมรับศึก!”

“รับทราบ!” ขณะซ่างกวนชิงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ จู่ๆ หูก็ขยับเล็กน้อย จึงมองไปยังชั้นหนังสือที่ตั้งเรียงรายแวบหนึ่ง สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ สังเกตเห็นเช่นกันว่าประมุขชิงหรี่ตาจนกลายเป็นร่องเล็กๆ ในดวงตาฉายแววเย็นเยียบ ไม่รู้ว่าใครกำลังติดต่อประมุขชิง

หลังจากถ่ายทอดคำสั่งเสร็จแล้ว ซ่างกวนชิงก็รายงานว่า “ฝ่าบาท ถ่ายทอดคำสั่งเรียบร้อยแล้วขอรับ”

ประมุขชิงค่อยๆ หลับตาลง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “วังหลังมีคนคิดจะก่อกวน คนของฝั่งตระกูลอิ๋ง นอกจากเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ คนอื่นฆ่าให้หมด อย่าเหลือไว้แม้แต่คนเดียว!”

ซ่างกวนชิงชำเลืองไปทางชั้นหนังสืออีก แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ทางฝั่งสนมสวรรค์ล่ะขอรับ?”

ประมุขชิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วลืมตาบอกว่า “สนมสวรรค์ไม่มีความผิด เพื่อป้องกันคนใช้ประโยชน์จากนาง กักบริเวณไว้ ส่งคนไปจับตาดูอย่างเข้มงวด!”

“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วเร่งฝีเท้าเดินออกไปทันที หลังจากออกจากตำหนักดาราจักร กลับหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทูตตรวจการซ้ายซือหม่าเวิ่นเทียน

เขาไม่ได้พูดอย่างอื่น บอกซือหม่าเวิ่นเทียนว่า : วังหลังก่อความวุ่นวาย ฝ่าบาทบอกว่าสนมสวรรค์ไร้ความผิด!

ตอนนี้ซือหม่าเวิ่นเทียนกำลังยืนอยู่บนยอดเขาหิมะ ยืนรับลมอันหนาวเหน็บ ข้างหลังมีคนชุดดำสวมหน้ากากยืนเรียงแถวหนึ่งแถว

ข่าวจากซ่างกวนชิงทำให้ซือหม่าเวิ่นเทียนอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจทันที ขนาดเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นกับตระกูลอิ๋ง แต่ฝ่าบาทก็ยังต้องการปกป้องสนมสวรรค์ จะเห็นได้ว่าโปรดปรานสนมสวรรค์ขนาดไหน ถ้าบิดามารดาของสนมสวรรค์ตายในครั้งนี้ สนมสวรรค์กับฝ่าบาทจะยังอยู่ด้วยกันต่อไปได้อย่างไร ฝ่าบาทต้องการให้เขาปกป้องจ้านผิงและฮูหยิน!

ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบนำระฆังดาราออกมาติดต่อคนของหน่วยตรวจการซ้าย สั่งให้ยอมแลกทุกอย่าง ต่อให้โดนเปิดโปงก็ต้องหาทางปกป้องจ้านผิงและฮูหยินเอาไว้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นให้ถือหัวมาพบ!

ในวังสวรรค์ที่งดงามราวกับสลักจากหยก ใต้กำแพงวัง กองทัพองครักษ์กลุ่มหนึ่งเดินลาดตระเวน สนมหันที่งดงามเย้ายวนนำสาวใช้มาสองคน ทั้งสองฝ่ายเดินเข้ามาเผชิญหน้ากัน

เหมือนยามปกติ กองทัพองครักษ์ที่ลาดตระเวนหลีกทางให้แล้วทำความเคาระ สนมหันพยายามทำสีหน้าสงบนิ่งขณะเดินผ่านไป ทว่าเรื่องที่ไม่สงบกลับเกิดขึ้นแล้ว กำลังพลกองทัพองครักษ์พลันถลันตัวมาล้อมไว้ แล้วชักทวนยาวออกมา พวกสนมหันที่ยังไม่ทันรู้ตัวตาเหลือก บนทวนยาวแต่ละด้ามที่เสียบบนตัวพวกนางมีเลือดสดไหลลงพื้น

แสงสะท้อนคมอาวุธแวบผ่าน คนที่นำหน้ามาใช้ดาบฟันศีรษะสนมหันแล้ว

สนมหลายคนรวมทั้งสนมลี่ที่เพิ่งเดินออกจากประตูเรือนก็ตะลึงค้างเช่นกัน เห็นเพียงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายคันกำลังเล็งมาที่พวกนาง ยังไม่ทันรอให้พวกนางพูดอะไร ก็มีเสียงดังปังๆ แล้ว

แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงธนูดังขึ้น จู่ๆ ก็มีกำลังพลกองทัพหลายกลุ่มพุ่งเข้าไปในตำหนักของเหล่าสนม

………………

พ่อค้ากลุ่มใหญ่ในร้านค้าถูกจับตัว ตอนนี้ถูกผลักขึ้นมาที่หอประตูเมืองแล้ว

พวกพ่อค้าขาจรที่ถูกตั้งกลุ่มขึ้นมาชั่วคราวเพื่อช่วยป้องกันตอนนี้เห็นแล้วหวาดระแวงกลัว ถ้าบอกว่าจับคนของตระกูลอิ๋ง ก่อนหน้านี้ยังมีปมเงื่อนอยู่บ้างก็พอเข้าใจได้ แต่ตอนนี้ขอบเขตการโจมตีกว้างขึ้นแล้ว หมายความว่าอย่างไร?

แม้คนส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฝั่งอิ๋งจิ่วกวง แต่ภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้คนมากมายตระหนักได้แล้ว ว่าใต้หล้ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วจริงๆ

“จับคนของพวกเราไปแล้วเหรอ? แม้แต่การไว้หน้าครั้งสุดท้ายก็จะไม่ทำให้ข้าแล้วใช่ไหม?”

ในจวนตระกูลโค่ว โค่วหลิงซวีที่นั่งติดตามข่าวอยู่ในศาลามีสีหน้ามืดครึ้มลงแล้ว

นับตั้งแต่หนิวโหย่วเต๋อมาฝากชื่อว่าเป็นญาติกัน ทั้งสองฝ่ายก็ไม่เคยฉีกหน้ากันอย่างเปิดเผยมาก่อน ต่อให้ตระกูลโค่วจะเข้าร่วมเรื่องล่อเหมียวอี้ไปฆ่าที่น้ำพุวังเวง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ทำอย่างเป็นความลับ ไม่ได้ประกาศออกไป ถึงแม้ครั้งนี้จะเกิดสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะสั่งให้โจมตีเมืองและสังหานคนของหนิวโหย่วเต๋อ แต่สำหรับเขา การที่หนิวโหย่วเต๋อแตะต้องคนของเขาอย่างเปิดเผยนั้นไม่ถูกต้อง แบบนี้เรียกว่าบังอาจ!

เรื่องบางเรื่องเนื่องจากฐานะสูงต่ำต่างกันมาก เนื่องจากศักยภาพต่างกัน ในสายตาคนบางคนจึงไม่มีการคุยถึงเรื่องหลักการเหตุผลอะไรทั้งนั้น

“เสียแรงที่ตอนแรกบ้านเราปกป้องเขาแบบนั้น เป็นหมาป่าตาขาวอกตัญญูจริงๆ!” โค่วเจิงกล่าวอย่างเดือดดาลเช่นกัน

ถังเฮ่อเหนียนถอนหายใจ “ไม่รู้ว่านี่เป็นความคิดของหนิวโหย่วเต๋อ หรือเป็นความคิดของเซี่ยโห้วลิ่ง”

จวนตระกูลก่วง ในห้องหนังสือ ก่วงลิ่งกงแสยะยิ้มไม่หยุด “ติดต่อเขา ให้เขาปล่อยคนเดียวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าอ๋องผู้นี้ไม่เกรงใจ!”

“รับทราบ!” โกวเยว่เอ่ยรับ แต่พึมพำในใจว่า จะได้ผลเหรอ? ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าทำแล้ว จะคิดไม่ได้เชียวเหรอว่าท่านจะไม่เกรงใจเขา?

จวนตระกูลฮ่าว ฮ่าวเต๋อฟางที่เดินไปเดินมาอยู่ในตึกศาลาขมวดคิ้ว

ซูอวิ้นพึมพำเสียงเบาอยู่ข้างๆ “ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าเขาไม่กล้ามีเรื่องกับหลายตระกูลพร้อมกัน พอมาดูตอนนี้แล้ว เขากลับทำให้พวกเราประมาท เสียเปรียบแต่พูดอะไรไม่ได้ ถ้ารู้ตั้งแต่แรก คงให้คนของหลายตระกูลร่วมมือกันต่อต้านแผนการที่พวกเขาจะคุมตลาดสวรรค์ ถ้าลงมือตอนนี้ ดีไม่ดีหนิวโหย่วเต๋ออาจจะลงมือสังหารจริงๆ ก็ได้ ถ้าเสียคนงานของร้านค้ามากมายขนาดนั้น ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็หาคนที่เหมาะสมมารับงานต่อได้ยากจริงๆ”

ฮ่าวเต๋อฟางส่ายหน้า “มาพูดสิ่งนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ประเด็นก็คือต้องดูว่าใครจะควบคุมตลาดสวรรค์ได้ก่อน ตอนที่เรื่องฝั่งอิ๋งจิ่วกวงยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอน การไปปะทะกับทัพที่เฝ้าตลาดสวรรค์ตั้งแต่แรกนั้นไม่เหมาะ ถึงยังไงคนที่มีผลประโยชน์ที่มากที่สุดในตลาดสวรรค์ก็ยังเป็นพวกเรา กฎเกณฑ์พวกนี้พวกเราต้องรักษาไว้เอง ถ้าพวกเราเปิดฉาก ในภายหลังคนอื่นก็จะเอาเยี่ยงอย่าง การหาข้ออ้างสักอย่างมันง่ายมากไม่ใช่เหรอ? นี่คือผลประโยชน์ในระยะยาวของพวกเรา…ตอนนี้อย่าเพิ่งให้ลูกน้องทำอะไรบุ่มบ่าม ดูสถานการณ์ฝั่งอิ๋งจิ่วกวงก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”

ตำหนักดาราจักร หลังจากรู้ข่าวเรื่องตลาดสวรรค์แล้ว ประมุขชิงก็เริ่มหน้าตึง ปั้ง! เขาตบโต๊ะแล้วกัดฟันบอกว่า “นี่เป็นความคิดของใครกันแน่ สารเลว!” นี่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในแผนการ!

ซ่างกวนชิงโค้งตัวเล็กน้อย เรื่องนี้พูดยาก

เขาเข้าใจความรู้สึกประมุขชิง ตอนนี้ฝ่าบาทต้องการเล่นงานแค่ตระกูลอิ๋งเท่านั้น ในสถานการณ์ที่เปราะบางแบบนี้จะทำให้เกิดการปะทุง่ายมาก ตลาดสวรรค์เกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ถ้ายั่วโมโหให้ตระกูลฮ่าว ตระกูลก่วง ตระกูลโค่วก่อกบฏพร้อมกัน เรื่องนี้ก็จะลุกลามใหญ่โตแล้ว จะทำให้สถานการณ์ในใต้หล้าวุ่นวายมาก จะทำให้สถานการณ์พังทลายโดยสิ้นเชิง

ปั้ง! อิ๋งจิ่วกวงที่อยู่ในห้องหนังสือของจวนตระกูลอิ๋งตบโต๊ะยืนขึ้น เขารู้เรื่องที่ตลาดสวรรค์แล้วเช่นกัน แต่ความคิดของเขาไม่ได้อยู่กับเรื่องนั้นแล้ว

“แน่ใจนะว่ากำลังพลตรวจตราตรงทางเข้าประตูดวงดาวฝั่งตะวันออกขาดการติดต่อไปแล้ว?” อิ๋งจิ่วกวงถามด้วยสีหน้าดุร้าย

จั่วเอ๋อร์พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมที่สุด “ไม่ใช่แค่ฝั่งตะวันออก กำลังพลตรวจตราตรงทางเข้าประตูดวงดาวฝั่งตะวันตกก็ขาดการติดต่อเหมือนกัน ตอนนี้มีแค่ประตูดวงดาวฝั่งเหนือของลิ่งหูโต้วจ้งที่ยังติดต่อได้! แต่ที่แปลกก็คือ กำลังพลตรวจตราที่อยู่ท่ามกลางกำลังพลของเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อยังติดต่อได้ ต่างก็บอกว่าไม่มีความผิดปกติอะไร”

เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อกำจัดกำลังพลตรวจตราตรงทางเข้าประตูดวงดาวสองด้านแบบสายฟ้าแลบ ไม่สะเทือนไปถึงกำลังพลตรวจตราที่อยู่ในพื้นที่อื่น ทำแบบนี้เพราะอยากจะช่วงชิงโอกาสให้กองทัพองครักษ์เข้าใกล้รังของอิ๋งจิ่วกวงสักหน่อย แต่กลับไม่รู้ว่าอิ๋งจิ่วกวงวางกำลังไว้อีกแบบ กำลังพลตรวจตราใช้วิธีการเว้นระยะสั้นๆ เพื่อตอบสนอง ถ้าขาดการตอบสนอง ก็จะถูกฝั่งอิ๋งจิ่วกวงจับพิรุธปัญหาได้ทันที

“ไม่มีอะไรน่าแปลก ก็แค่ไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่นเท่านั้น!” ใบหน้าอิ๋งจิ่วกวงเปลี่ยนเป็นดุดันน่ากลัว เดินออกจากหลังโต๊ะ กำหมัดแน่นสองข้างพร้อมบอกว่า “เป็นไปได้สูงว่ากองทัพองครักษ์จะเข้ามาในอาณาเขตดาวผืนนี้แล้ว คงจะกำลังมุ่งตรงมาที่บ้านของข้า! เถิงเฟย เฉิงไท่เจ๋อ ข้าดูแลพวกเจ้าไม่ขาดตกบกพร่อง บังอาจมาทรยศข้า!”

เรื่องราวมากมายในโลกก็เป็นแบบนี้ ไม่กลัวปัญหาภายนอก กลัวก็แต่ความวุ่นวายภายใน

จั่วเอ๋อร์ตกใจมาก “แล้วทำไมคนที่พวกเราแอบส่งไปแฝงตัวไว้ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย? เพิ่งจะมีข่าวลือ เรื่องที่ตลาดสวรรค์ก็เพิ่งเกิด กองทัพองครักษ์จะมาถึงที่นี่แล้วได้ยังไง? ทั้งยังไม่พบว่ากองทัพองครักษ์ที่กระจายตัวอยู่ตามที่ต่างๆ มีการเคลื่อนไหวผิดปกติด้วย!”

อิ๋งจิ่วกวงพลันหันตัวมา ใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อนาง แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “เป็นไปได้ว่าประมุขชิงจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าที่ตลาดสวรรค์จะเกิดเรื่องอะไร ไม่แน่ว่าอาจร่วมมือกับตระกูลเซี่ยโห้วเพื่อวางแผนแล้วกก็ได้!”

“เอ่อ…ตระกูลเซี่ยโห้วจะไปร่วมมือกับประมุขชิงมาสู้กับพวกเราได้ยังไง? ถ้าสี่อ๋องสวรรค์โดนโค่นล้ม ฝ่ายต่อไปที่ประมุขชิงจะสู้ด้วยก็คงเป็นตระกูลเซี่ยโห้ว อย่าบอกนนะว่าเซี่ยโห้วลิ่งไม่รู้แม้กระทั่งสัญญาลับนี้?”

“ไม่ใช่สี่ แต่เป็นข้าคนเดียว!” อิ๋งจิ่วกวงผลักนางพลางกล่าวอย่างคับแค้น “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพิจารณาเรื่องนี้ กองทัพองครักษ์จะเข้ามาแล้วหรือไม่ เดี๋ยวก็ตรวจสอบได้แล้ว ตอนนี้เจ้าต้องไปจัดการเรื่องบางอย่าง!”

“บ่าวเข้าใจแล้วค่ะ!” จั่วเอ๋อร์กล่าวอย่างประหม่า

อิ๋งจิ่วกวงชี้นางพลางสั่งงานอย่างจริงจัง “ถ้าแน่ใจแล้วว่ากองทัพองครักษ์จู่โจม เจ้าก็สั่งให้ลิ่งหูโต้วจ้งรีบนำกำลังพลมาสนับสนุน สั่งให้กำลังพลตรวจตราจับโจร พร้อมทั้งสั่งให้คนฝั่งวังสวรรค์ลงมือ ต่อให้ทำไม่สำเร็จ แต่ก็ต้องยอมแลกทุกอย่างเพื่อลงมือกับประมุขชิง เรื่องต่อมา สั่งให้กำลังพลที่ล้อมตลาดสวรรค์โจมตีเมืองล้างเลือด จากนั้นเจ้าก็ค่อยพาพวกอู๋เชวียออกไปจากที่นี่ ไปได้ไกลเท่าไรก็ยิ่งดี ไปซ่อนตัวในอาณาเขตดาวที่ไม่รู้จัก รอให้สถานการณ์ผ่านไปแล้วค่อยกลับมาก็ยังไม่สาย ปกป้องเลือดเนื้อเชื้อไขให้ข้า!”

ตอนแรกจั่วเอ๋อร์ยังพยักหน้าซ้ำๆ แต่พอฟังถึงตอนหลัง สีหน้าก็เปลี่ยนไปมาก “ท่านอ๋อง ถ้าท่านรู้สึกไม่มั่นใจ ไม่สู้หนีไปด้วยกันดีกว่า ตราบใดที่ภูเขาเขียว ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไร้ฟืน!”

“หนีเหรอ?” อิ๋งจิ่วกวงถลึงตา หนวดผมบานออก กางแขนกล่าวเสียงดังว่า “คามพยายามทั้งชีวิตของข้าอยู่ที่นี่ ถ้าแม้แต่ข้าก็หนีไปด้วย ขวัญกำลังใจทหารก็จะหย่อนยานทันที แล้วจะเอาความแน่วแน่จากไหนมาต่อต้าน? แบบนั้นความพยายามทั้งชีวิตข้าก็จะพังทลายแล้วจริงๆ! ตราบใดที่ข้ายังประคับประคองไว้ พวกโค่วหลิงซวีก็ไม่อาจนิ่งดูดาย แต่ถ้าข้าหนีไปเมื่อไร ใต้หล้านี้ก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าแล้ว!”

“ท่านอ๋อง ถ้าประมุขชิงลงมือขึ้นมาจริงๆ ก็จะต้องสังหารแน่นอน ท่านอ๋องโปรดไตร่ตรอง!” จั่วเอ๋อร์โน้มน้าวอยากยากเย็น

อิ๋งจิ่วกวงโบกมือ “เรื่องราวไม่ได้แย่อย่างที่เจ้าคิด คนที่กองทัพองครักษ์ส่งมาที่นี่มีไม่เยอะแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะไม่รู้ความเคลื่อนไหวเลยสักนิด ข้างกายข้ามีกำลังพลมากขนาดนี้ ถ้าลิ่งหูโต้วจ้งคิดจะรักษาชีวิตตัวเอง ก็จะต้องดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อมาสนับสนุน มีความหวังที่จะยืนหยัดจนกองหนุนมาถึง ถ้ายืนหยัดต่อไปไม่ได้ อ๋องผู้นี้ก็ไม่ใช่เล่นๆ เดี๋ยวค่อยหนีไปที่อาณาเขตดาวนิรนามก็ยังไม่สาย…พอแล้ว ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ทำตามที่ข้าบอกเถอะ”

นี่ท่านอ๋องจะลงสนามสู้เองชัดๆ! ในใจจั่วเอ๋อร์รู้สึกเศร้ารันทด มองเขาด้วยแววตาสับสน นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องผู้สง่าน่าเกรงขามจะถูกบีบจนถึงขั้นนี้ นางโค้งตัวกุมหมัดคารวะ “บ่าวน้อมรับคำสั่ง!”

ดาราจักรกว้างใหญ่ไพศาล กลุ่มของโพ่จวินเหาะด้วยความเร็วสูง แต่ละคนมีสายตาหนักแน่นเยียบเย็น

ทว่าถึงอย่างไรอาณาเขตดาวนี้ก็เป็นรังเดิมของอิ๋งจิ่วกวง มีหูตากระจายอยู่ทั่วทุกที่ เป็นเรื่องยากที่จะหลบเลี่ยงไม่ให้ถูกพบ

พรึ่บ! ลำแสงหลายสายพุ่งมาอย่างรวดเร็ว ต้องการจะบีบให้คนกลุ่มนี้หยุด

คนสิบคนถลันมาตรงหน้าโพ่จวินทันที เผยโล่ออกมาพร้อมกัน เกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น โล่กระแทกลูกธนูดาวตกที่ยิงเข้ามาจนกระเด็นออกไปพร้อมกัน พวกเขาไม่ได้ลดความเร็วลงเลย พุ่งตัวออกไปท่ามกลางดาวหลายดวงที่มีมือธนูดักซุ่ม

จากนั้นลำแสงนับพันก็ยิงตามมา ทว่าคนกลุ่มนี้ไม่แม้แต่จะมอง เพราะเหาะเร็วเกินไป ลูกธนูดาวตกธรรมดาตามพวกเขาไม่ทันเลย

มือธนูตกใจมาก คนกลุ่มนี้เป็นใครกันแน่ พลังต้องสูงถึงขั้นไหนกัน?

มีคนรีบหยิบระฆังดาราออกมารายงานข่าวให้แนวหลัง

โพ่จวินที่กำลังเหาะกล่าวเสียงต่ำว่า “บอกถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ บอกว่าถูกสังเกตเห็นแล้ว ให้พวกเขากระจายกำลังเดี๋ยวนี้ อย่าให้อิ๋งจิ่วกวงหนีไป!”

“รับทราบ!” แม่ทัพที่อยู่ข้างๆ รีบปฏิบัติตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว

ในดาราจักร เถิงเฟยนำคนนับร้อยเหาะอย่างรวดเร็ว

หลังจากแม่ทัพตรวจตราที่เหาะตามมาแนวหลังได้รับข่าวผ่านระฆังดารา เขาก็เก็บระฆังดาราเงียบๆ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง หลังจากแอบถ่ายทอดเสียงสั่งลูกน้องที่ตามมา จู่ๆ ก็ชี้เถิงเฟยที่อยู่ข้างหน้าพร้อมตะคอกอย่างเดือดดาล “โจรสุนัขเถิงเฟย บังอาจทรยศท่านอ๋อง ท่านอ๋องมีคำสั่ง ใครช่วยเหลือโจรกบฏจะโดนข้อหาสมรู้ร่วมคิด ใครที่ได้สติแล้วช่วยข้าสังหารจะพ้นโทษ จะมีรางวัลด้วย ตามข้าไปสังหาร!”

“ฆ่า!” แม่ทัพตรวจตราโบกทวนนำลูกน้องไล่สังหารตามมา จำนวนคนเพิ่มเป็นหลักหมื่นอย่างรวดเร็ว เสียงสังหารสะเทือนฟ้า

เถิงเฟยไม่แม้แต่จะหันกลับมา บนใบหน้าไม่มีความหวั่นไหวใดๆ มุ่งไปข้างหน้าต่อ ราวกับไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

กลับเป็นคนสิบคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาของเขาที่หันเลี้ยวมา พอพวกเขาโบกมือ ทัพใหญ่ที่หนาแน่นก็พลันปรากฏตัวกลางท้องฟ้า เรียงแถวอยู่ในดาราจักรราวกับเป็นกำแพงสูงตระหง่าน แถวหน้ามีลำแสงของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์นับไม่ถ้วนกะพริบพร้อมกัน ลูกธนูดาวตกที่แหลมคมง้างอยู่บนสายธนูแล้ว ทั้งหมดเล็งไปยังกำลังพลตรวจตราที่พุ่งเข้ามา

กำลังพลตรวจตราที่พุ่งเข้ามาตกใจมาก รีบหยุดกะทันหัน แม่ทัพที่นำหน้ามาโบกทวนตะคอก “เถิงเฟยวางแผนก่อกบฏ พวกเจ้าอยากจะลงหลุมศพไปด้วยกันใช่มั้ย?”

“ยิงธนู!” แม่ทัพที่อยู่ตรงข้ามกลับสั่งอย่างเยียบเย็น

ปั้งๆๆ…

ทันใดนั้น เสียงธนูก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องราวกับเสียงปะทัด ลำแสงนับไม่ถ้วนฝังกลบกำลังพลตรวจตราจนมิด

หลังจากมือธนูยิงโจมตีรอบแรก ก็รีบแยกออกไปทางบนล่างซ้ายขวา มีเสียง “ฆ่า” ดังสะเทือนเลือนลั่น กองทัพพุ่งออกมาล้อมปราบอย่างรวดเร็ว

เถิงเฟยยังคงไม่หันกลับมา สีหน้าเย็นชาขณะหยิบระฆังดาราออกมา จากนั้นก็กำชับคนที่อยู่ข้างหลังทางซ้ายและขวา “ทางฝั่งอิ๋งจิ่วกวงรู้ตัวแล้ว เผยไพ่ได้เลย ให้พี่น้องเบื้องล่างกำจัดสายลับข้างกายทิ้งให้หมด กำลังพลสี่ด้านเปลี่ยนทิศทางไปหาลิ่งหูโต้วจ้งเดี๋ยวนี้ พี่น้องที่เฝ้าประตูดวงดาวทางเข้ารังอิ๋งจิ่วกวงเข้าไปทันที กระจายกำลังตามแผน อย่าให้อิ๋งจิ่วกวงหนีไป!”

“รับทราบ!” แม่ทัพทางซ้ายและขวารีบเอ่ยรับคำสั่ง

………………

ข้างหลังเขามีคนพุ่งเข้ามานับหมื่นในทันที ทั้งหมดเผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เล็งไปที่ชายหน้าขาวหนวดยาวและพรคคพวก ชายหน้าขาวถามอย่างตกใจมากว่า “บังอาจ พวกเจ้าคิดจะก่อกบฏหรือไง?”

“ฆ่า!” แม่ทัพที่เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่ยกดาบขึ้นมาฟันหนึ่งทีเพื่อส่งสัญญาณ

ปั้งๆๆ พลังอิทธิฤทธิ์กระเพื่อมสาดซัด ลำแสงที่หนาแน่นยิงออกมาทันที ฝังกลบคนพวกนั้นเอาไว้

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” กำลังพลตรวจตราที่อยู่ไกลๆ เห็นความเคลื่อนไหวทางนี้แล้วตะคอกถาม

ใครจะคิดว่าทัพใหญ่ที่อยู่ทางซ้ายและขวาจะเปลี่ยนทิศทาง หันมารุกโจมตีเขาแทน

สถานการณ์คล้ายๆ กันแทบจะเกิดขึ้นทุกอาณาเขตที่มีทัพใหญ่อยู่นอกประตูดวงดาว กำลังพลที่เฝ้าประตูดวงดาวทยอยกันสลับอาวุธจู่โจม ลงมือกับกำลังพลตรวจตราแบบครอบคลุม

ความวุ่นวายยังมาทันสงบ แม่ทัพที่เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่ก็ชูธงขาวสะบัดไปทางประตูดวงดาว

ใช้เวลาไม่นาน แสงกลมขนาดใหญ่ที่เป็นค่ายกลปิดผนึกก็หมุนเปิดออก ตรงกลางมีช่องว่าง เผยประตูดวงดาวที่กำลังหมุนวนอย่างลึกลับ

ทัพใหญ่ที่ตั้งเรียงรายอยู่ข้างหน้ารีบเปิดทางซ้ายขวา เกิดเป็นเส้นทางเส้นทางหนึ่ง พอโพ่จวินโบกมือ คนสิบคนก็เข้ามาล้อมคุ้มกันเขาไว้ทันที แล้วพุ่งไปทางประตูดวงดาวที่เปิดออก

ความวุ่นวายนอกประตูดวงดาวสงบลงอย่างรวดเร็ว จำนวนกำลังพลตรวจตราที่อยู่ท่ามกลางทัพใหญ่ร้อยล้านจะก่อเรื่องก่อราวอะไรขึ้นมาได้ เมื่อฝั่งนี้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะกำจัดพวกเขา กอปรกับวางแผนลอบจู่โจม การกำจัดทิ้งก็เป็นเรื่องที่ทำได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว

จากนั้นก็ได้รับคำสั่งให้ระมัดระวังเพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างกาย ควบคุมการใช้ระฆังดาราอย่างเข้มงวด ป้องกันไม่ให้มีคนรายงานขึ้นไปจนข่าวหลุด

พวกโพ่จวินถูกพ่นออกมากลางอากาศแยกแยะทิศทาง แล้วมุ่งตรงไปที่รังของอิ๋งจิ่วกวง…

ตามตลาดสวรรค์แต่ละแห่ง ทัพใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ทยอยกันมาถึง กลุ่มเล็กก็หลักหมื่น กลุ่มใหญ่ก็เกินแสน พอกำลังพลมาถึงแล้ว ก็ล้อมตลาดสวรรค์เอาไว้ทันที พลทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองเครียดเป็นพิเศษ

“ข้าคือเคอเจิ้นเฟิง แม่ทัพภาคจวนเทียนไห่ รีบเปิดประตูเมือง!”

ประตูเมืองทั้งสี่ด้านปิดสนิทแล้ว เปิดใช้งานค่ายกลใหญ่คุ้มกันแล้ว แม่ทัพเกราะม่วงที่อยู่ใต้กำแพงเมืองไม่มีทางเข้าไปได้โดยตรง ตอนนี้ชี้อาวุธไปทางหอประตูเมืองพลางตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด ข้างหลังเขาคือกำลังพลนับหมื่นที่มาจากอาณาเขตใกล้ๆ นี้

ที่จริงไม่ว่าจะเป็นตลาดสวรรค์หรือบุคคลระดับสูงสุดของตลาดสวรรค์ เดิมทีก็มีกำลังพลไม่เยอะอยู่แล้ว เพราะในยามปกติจะไม่เกิดเรื่องอะไรที่ตลาดสวรรค์ กำลังพลที่ตลาดสวรรค์มีไว้รักษาระเบียบเท่านั้น ส่วนสาเหตุที่ไม่กลัวเกิดเรื่อง ก็เพราะที่ตลาดสวรรค์มีคนเยอะมาก ถ้าจู่โจมตำหนักคุ้มเมืองเมื่อไร พ่อค้ากลุ่มใหญ่ก็สามารถรวมตัวกันต่อต้านได้ทุกเมื่อ ไม่เหมือนกำลังพลที่ตั้งค่ายอยู่รอบๆ ที่หาใครไม่ได้

บนกำแพงเมือง เฉินเชียนชิวนำคนโผล่หน้ามาแล้ว ตะโกนตอบกลับไปว่า “ข้าคือลูกน้องของผู้ตรวจการหนิว ทูตลาดตระเวนตลาดสวรรค์ ได้รับคำสั่งจากราชินีสวรรค์ให้ตรวจสอบคนทำผิด ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตจากราชินีสวรรค์ ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าออกทั้งนั้น!”

เคอเจิ้นเฟิงชี้ทวนพลางตะคอกอย่างเดือดดาล “ตลกแล้ว! ตลาดสวรรค์คืออาณาเขตปกครองของข้า ขนาดข้ายังไม่ได้รับรายงานเลย ใครจะไปรู้ว่าคำสั่งในมือเจ้าคือของจริงหรือของปลอม รีบเปิดประตูเมืองให้ข้าตรวจสอบเดี๋ยวนี้!”

เฉินเชียนชิวตอบกลับเสียงดัง “ถ้านายท่านเคออยากจะตรวจสอบก็ง่ายมาก รายงานขึ้นไปถามเบื้องบนก็รู้แล้ว มีอย่างที่ไหนนำกำลังพลที่ไม่ใช่ของตลาดสวรรค์มาล้อมตลาดสวรรค์ไว้ หรือคิดจะก่อกบฏ?” จากนั้นก็โบกมือไปข้างหลัง บนกำแพงเมืองมีกำลังพลกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาทันที แต่งกายหลายแบบปนกัน ล้วนเป็นพ่อค้าขาจรที่มาตลาดสวรรค์ ถูกจับรวมกลุ่มกันเมื่อเรื่องจวนตัว

ไม่มีใครเต็มใจทำเรื่องนี้ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ถ้าเจ้าไม่ทำ อีกฝ่ายก็จะลงดาบกับเจ้าทันที เจ้ากล้าลงมือกำลังพลตำหนักสวรรค์ท่ามกลางฝูงชนเหรอ?

เอาเป็นว่าบนกำแพงเมืองปรากฏกลุ่มคนดำทะมึน มีจำนวนเยอะกว่ากำลังพลที่ล้อมกำแพงเมือง

เคอเจิ้นเฟิงกวาดสายตามองกำแพงเมือง แล้วตะคอกอย่างเดือดดาลอีกครั้ง “ให้เถี่ยฟางเจวี๋ยออกมาพบข้า!”

เฉินเชียนชิวตอบว่า “แม่ทัพภาคเคอ คำสั่งของราชินีสวรรค์เป็นของจริงหรือของปลอม เจ้าเองก็รู้ชัดกว่าใคร เจ้าไม่เพียงแค่นำกำลังพลมาล้อมตลาดสวรรค์ แต่ยังมาชี้นิ้ววาดเท้าอยู่ที่นี่อีก มีเจตนาอะไรกันแน่? ข้าจะยืนยันอีกครั้ง ข้าได้รับคำสั่งจากราชินีสวรรค์ให้มาตรวจสอบและยึดทรัพย์คนทำผิด ก่อนที่จะตรวจสอบความจริงให้กระจ่าง ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าออกโดยพลการ เจ้าแม่ทัพภาคเคอ ถ้าอยากขัดคำสั่งก็พูดออกมาต่อหน้าทุกคนเลย อย่ามาหาข้ออ้างอะไรตรงนี้!”

“ใครจะไปรู้ว่าตัวตนของเจ้าจริงหรือปลอม แม่ทัพภาคผู้นี้ได้รับรายงาน บอกว่าพวกเจ้าปลอมแปลงตัวตน เถี่ยฟางเจวี๋ย ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อยู่ที่ไหน ไม่ใช่ว่าถูกพวกเจ้าวางแผนทำร้ายแล้วหรอกนะ? ข้าเตือนพวกเจ้าไว้ก่อน ถ้าอ่านสถานการณ์ออกก็เปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้ ข้าไม่มีความอดทนมาเสียเวลากับพวกเจ้าหรอกนะ ถ้ายังไม่เปิดประตูให้ข้าตรวจสอบตัวตนอีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!” เคอเจิ้นเฟิงกล่าว

“ข้าก็อยากเห็นนักว่าเจ้าจะไม่เกรงใจยังไง ถ้าอยากจะก่อกบฏก็ลองดู ทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะต้องสังหารโจรกบฏแน่นอน!” เฉินเชียนชิวตะโกนเสียงดัง

ทัพใหญ่แดนรัตติกาลยังมีอิทธิพลมาก คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ใต้กำแพงเมืองมองไปรอบๆ โดยไม่รู้ตัว แม่ทัพที่อยู่ข้างหน้าเดินมาข้างกายเคอเจิ้นเฟิงแล้วถ่ายทอดเสียงโน้มน้าว “ท่านแม่ทัพภาคโปรดระงับโทสะ จะลงมือหรือไม่ลงมือก็รอเบื้องบนแจ้งลงมาก่อน อย่างไรเสียการโจมตีตลาดสวรรค์ก็ไม่ใช่ข้อหาเล็กๆ ขนาดเบื้องบนยังไม่ตัดสินใจเลย ทำไมพวกเราต้องหาเรื่องใส่ตัว!”

เคอเจิ้นเฟิงทำหน้าตึงแล้ว…

ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน นอกกำแพงเมืองก็กำลังคุมเชิงกันอยู่เช่นเดียวกัน เซียวหลิงโปกำลังทหารแม่ทัพอยู่ใต้กำแพงเมืองเช่นกัน สิ่งเดียวที่แตกต่างกันก็คือ ตลาดสวรรค์อาณาเขตทั้งจวนแม่ทัพภาคตงหัวไม่มีคนที่ปี้เยว่ส่งมาเลย พวกที่มามีแต่กำลังพลท้องที่

ปี้เยว่ได้ข่าวจากเหมียวอี้แล้ว ย่อมไม่ส่งคนมา ทำให้ตลาดสวรรค์ในอาณาเขตนี้ลดความกดดันลงไม่น้อย อย่างน้อยก็ไม่มีใครอาศัยเบื้องบนมากดดัน

พวกเหมียวอี้ที่ปลอมตัวแล้วปรากฏตัวอยู่ริมหน้าต่างบนหอประตูเมือง กำลังมองภาพเหตุการณ์ด้านนอก

สาเหตุที่เขาต้องซ่อนตัวอยู่ที่ตลาดสวรรค์ ก็เพราะลูกน้องที่อยู่ตามตลาดสวรรค์แต่ละแห่งมีน้อยเกินไป เขาจำเป็นต้องมาอยู่แนวหน้าเพื่อรับรู้สถานการณ์และบัญชาการด้วยตัวเอง

มีผู้ตรวจการใหญ่นำยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ของทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาคุมสถานการณ์บนหอประตูเมืองด้วยตัวเอง กำลังพลหลายหมื่นด้านนอกเป็นแค่กำลังพลของผู้บัญชาการใหญ่เท่านั้น ไม่พอให้กลัวเลย เซียวหลิงโปย่อมมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ไม่กังวลเลยสักนิด กลับต้องการจะโอ้อวดตนด้วยซ้ำ

“คนของพวกเราที่อยู่ในตลาดสวรรค์เขตทัพตะวันออกออกไปหมดแล้วใช่มั้ย?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ หลังจากได้รับข่าวจากตระกูลเซี่ยโห้วได้ไม่นาน ว่ากำลังพลท้องถิ่นกำลังตามมาที่ตลาดสวรรค์ เขาก็สั่งให้ลูกน้องที่ตลาดสวรรค์ในอาณาเขตทัพตะวันออกหนีออกไปซ่อนตัวเงียบๆ คนของเขาสั่งให้เปิดประตูเมืองฝั่งหนึ่งก่อนโดยปิดบังตระกูลเซี่ยโห้วไว้ หลังจากปลอมตัวแล้วก็หนีออกไปเงียบๆ จากนั้นใช้ระฆังดาราติดต่อให้คนของตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมตลาดสวรรค์ต่อไป ถึงอย่างไรตอนนี้คนของตระกูลเซี่ยโห้วก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ พูดอะไรก็เชื่อฟังทุกอย่างราวกับคนโง่ เรียกใช้ง่ายมาก

ตอนหลังถ้าตระกูลอิ๋งต้องการจะโจมตีเมืองจริงๆ เช่นนั้นก็ให้คนของตระกูลเซี่ยโห้วจัดการเอาเองแล้ว

ทำไมถอนกำลังคนของตลาดสวรรค์แค่ในอาณาเขตของทัพตะวันออกเท่านั้น สาเหตุก็เรียบง่ายมาก ถ้าฝั่งอิ๋งจิ่วกวงพบว่ากองทัพองครักษ์ลงมือเมื่อไร ก็จะต้องจนตรอกเป็นหมากระโดดกำแพงแน่นอน ในเมื่อฉีกหน้ากันแล้วก็ไม่มีอะไรต้องทนอีก ต้องออกคำสั่งโจมตีแน่นอน ถ้าไม่ถอนกำลังออกไป ทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่อยู่ในอาณาเขตทัพตะวันออกก็อาจจะเสียหายหนักได้

ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ถอนกำลังได้สะดวก นั่นก็คือกำลังพลทัพตะวันออกส่วนใหญ่ไปรวมตัวอารักขาอยู่ที่รังเดิมของอิ๋งจิ่วกวงหมดแล้ว คาดว่าการป้องกันในอาณาเขตทัพตะวันออกแทบจะกลายเป็นแค่สิ่งที่ตั้งแสดงไว้แล้ว ทำให้คนของเขาหนีออกไปได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องกลัวการล้อมจับกุม ส่วนสถานการณ์ในอาณาเขตทัพใต้ ทัพตะวันตก ทัพเหนือนั้นต่างกัน ตอนนี้ต้องอยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมป้องกันอย่างสูงแน่นอน

นอกจากนี้ ถ้าอิ๋งจิ่วกวงพ่ายแพ้จนเอาคืนไม่ได้เมื่อไร ทัพใต้ ตะวันตก เหนือก็ไม่จำเป็นต้องโจมตีตลาดสวรรค์จนโดนข้อหาวางแผนก่อกบฏอีก

นอกจากนี้ ถ้าถอนกำลังพลออกไปหมด เขากลัวว่าคนที่แฝงตัวอยู่ในกองทัพองครักษ์จะถูกเปิดโปง

ลูกน้องเก่าของเขากระจายตัวอยู่ที่กองทัพองครักษ์ ตอนที่วางกำลังไว้ก็ติดต่อคนพวกนั้นไว้เรียบร้อยแล้ว เดาว่าตอนที่กองทัพองครักษ์ระดมกำลัง จะต้องสั่งห้ามใช้ระฆังดาราแน่นอน ดังนั้นในตอนที่ยังไม่ถูกควบคุม เขาจึงขอให้คนพวกนั้นคอยติดต่อกับฝั่งนี้เป็นระยะ ผลก็คือพบว่าคนหลายร้อยขาดการติดต่อไปพร้อมกัน

ไม่ต้องคิดมากเลย เหมียวอี้เดาออกทันทีว่าแผนการที่ฝั่งนี้หลอกใช้ชิงหยวนจุนได้ผลแล้ว ประมุขชิงแอบลงมือแล้ว

ถ้าไม่มีความมั่นใจนี้ มีหรือที่เหมียวอี้จะกล้าเล่นอย่างนี้ เป็นการเอากำลังพลของตัวเองไปรนหาที่ตายชัดๆ

เขาจะให้ภายนอกรู้ไม่ได้ว่าเขารู้ความเคลื่อนไหวของกองทัพองครักษ์ ไม่อย่างนั้นประมุขชิงก็จะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยเขาไป เมื่อได้โอกาสเหมาะแล้วถอนกำลังไปหมด ก็จะมีคนสงสัยว่าเขารู้แล้วหรือเปล่าว่าประมุขชิงจะลงมือกับตระกูลอิ๋ง บรรลุเป้าหมายแล้วหนีไปทันทีงั้นเหรอ? ถ้าคนอื่นสงสัยก็ยังดีหน่อย แต่ถ้าประมุขชิงรู้ว่าตัวเองโดนหลอกใช้เมื่อไร นั่นต่างหากที่จะเป็นปัญหาใหญ่ นอกจากจะไม่ปล่อยเขาไปแล้ว ลูกน้องเก่าของเขาที่อยู่กองทัพองครักษ์ก็จะต้องถูกประมุขชิงขุดรากถอนโคนหมดแน่นอน คาดว่าประมุขชิงคงยอมฆ่าผิดตัวดีว่าปล่อยผ่านไป

สิ่งเดียวที่เขาไม่เข้าใจตอนนี้ก็คือ เขาไม่รู้ว่าประมุขชิงจะทำศึกอย่างไรกันแน่ เขาไม่รู้ด้วยว่าฝั่งประมุขชิงปลุกระดมให้เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อก่อกบฎแล้ว

ดังนั้นเมื่อดูจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว ในใจเขาก็เป็นกังวลอยู่บ้าง หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เขาก็เอียงหน้าบอกหยางเจาชิงว่า “ถ่ายทอดคำสั่งไปแต่ละพื้นที่ จับคนในร้านค้าของตระกูลก่วง ตระกูลฮ่าวและตระกูลโค่วเดี๋ยวนี้ ควบคุมตัวมาที่กำแพงเมือง! ถ้าพบว่ากำลังพลนอกเมืองส่อแววว่าจะโจมตีเมืองเมื่อไร ก็สั่งให้คนที่เฝ้าเมืองตะโกนว่าอิ๋งจิ่วกวงวางแผนก่อกบฏแพ้แล้ว ถูกตำหนักสวรรค์จับตัวไว้แล้ว! ถ้าอีกฝ่ายดึงดันจะโจมตีเมือง ก็ให้ประหารทุกคนที่จับตัวไว้ทันที!”

หยางเจาชิงเข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ ที่ให้ตะโกนแบบนี้ ก็เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามชั่งน้ำหนักสักหน่อย ว่าคุ้มหรือไม่ที่จะโจมตีตลาดสวรรค์เพื่ออิ๋งจิ่วกวงที่พ่ายแพ้ไปแล้ว ต่อให้จะไม่ใช่เรื่องจริง แต่ได้ถ่วงเวลาสักหน่อยก็ยังดี สาเหตุที่ก่อนหน้านี้ไม่แตะต้องคนของตระกูลอื่น ก็เพราะต้องการคุมให้ตระกูลเหล่านั้นสงบก่อน ถ้าอีกฝ่ายเกิดความคิดที่จะโจมตีเมืองจริงๆ ตัวประกันที่มีอยู่ในมือมากมายขนาดนี้ก็ทำให้อีกฝ่ายชั่งใจได้ การเสียคนงานในร้านค้าไปรวดเดียวเยอะขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เขาทำเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามสงบลงเช่นกัน!

“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับแล้วปฏิบัติตาม

ชิงเยว่กับซิงที่อยู่ข้างๆ สบตากันแวบหนึ่ง แม้เหมียวอี้จะไม่บอกพวกนางว่าเรื่องอะไรกันแน่ แต่สิ่งที่ได้เห็นและได้ยินตรงหน้าก็ทำให้ทั้งสองแอบด่าในใจว่าเหมียวอี้บ้าไปแล้ว!

แม่ทัพที่อยู่ใต้กำแพงเมืองถือระฆังดาราติดต่ออยู่พักหนึ่ง แล้วตะโกนขึ้นไปบนกำแพงว่า “ราชินีสวรรค์ออกคำสั่งเกินขอบเขต ถูกฝ่าบาทจับตัวไว้แล้ว คนบนกำแพงยังไม่รีบเปิดประตูอีก!”

เซียวหลิงโปชี้เขาพลางตะโกนว่า “บังอาจ กล้าใส่ร้ายราชินีสวรรค์กับฝ่าบาทเหรอ สงสัยพวกเจ้าคงคิดจะก่อกบฏแล้วจริงๆ!”

อย่าว่าแต่คนอื่นที่ไม่เชื่อ แม้แต่เหมียวอี้ที่อยู่บนหอประตูเมืองก็ไม่เชื่อเช่นกันว่าราชินีสวรรค์ถูกจับไปแล้ว ในเวลาแบบนี้ อยู่ดีๆ ประมุขชิงจะจับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไปทำไม เป็นเบื้องล่างที่จงใจปล่อยข่าวลือแน่นอน เขาไมได้ติดต่อกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ทางเซี่ยโห้วลิ่งรู้สถานการณ์เบื้องลึก แต่กลับจงใจปิดบังเหมียวอี้ ให้คนของเหมียวอี้ต้านอยู่ที่นี่ต่อไป ถ้าคนของเหมียวอี้ตายหมดเขาก็จะไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ ขอเพียงเขาบรรลุจุดมุ่งหมายก็พอแล้ว

ส่วนประมุขชิงก็ไม่สนใจความเป็นความตายของเหมียวอี้เช่นกัน ในสายตาประมุขชิงตอนนี้มีแต่อิ๋งจิ่วกวง ตราบให้ที่ทำให้อิ๋งจิ่วกวงประมาทและให้ความร่วมมือกับการเคลื่อนไหวของกองทัพองครักษ์ต่อไปได้ การคุมตัวราชินีสวรรค์จนส่งผลกระทบกับสถานการณ์ของเหมียวอี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้าเทียบกับอิ๋งจิ่วกวงแล้ว จะสละชีวิตหนิวโหย่วเต๋อไปสักคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยจริงๆ

ผ่านไปไม่นาน ตลาดสวรรค์แต่ละแห่งก็วุ่นวายจนไก่บินสุนัขกระโดด ถ้าร้านค้าของพวกขุนนางใหญ่เหล่านั้นต่อต้านตั้งแต่แรกก็ยังได้ผลบ้าง แต่ตอนนี้คนที่คุมตลาดสวรรค์อ้างคำสั่งราชินีสวรรค์เพื่อรวบรวมคนกลุ่มใหญ่มาล้อมจับ คนเยอะจึงกล้าหาญ!

…………………

กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นไม่ได้พูดอะไร ทุกคนได้แต่มองเขาพูด

ส่วนเฉิงไท่เจ๋อก็พูดไปพลางสังเกตปฏิกิริยาของทุกคนไปพลาง “จอมพลผู้นี้ขอให้สัญญาต่อหน้าพี่น้องทุกคน หากผิดคำสัญญา ในภายหลังก็ไม่มีหน้าไปเจอทุกคนแล้ว! ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต่างก็รู้ดี อิ๋งจิ่วกวงพ่ายแพ้ต่อเนื่องกันหลายครั้ง ทำให้ขวัญกำลังใจทหารหย่อนยาน ถามหน่อยว่าทัพใหญ่แบบนี้จะไปปะทะกับกองทัพองครักษ์ขงอฝ่าบาทได้ยังไง? ส่วนฝ่าบาทก็ระดมกำลังพลหนึ่งพันล้านมาดักซุ่มอยู่นอกประตูดวงดาวของที่พักอิ๋งจิ่วกวงแล้ว แค่รอให้ฝั่งพวกเราเปิดทางเข้า พวกเขาก็จะสังหารเข้ามาในรวดเดียว! ถ้าพวกเราไม่เปิดทางให้ กองทัพองครักษ์ก็จะฝืนโจมตีเข้ามา แล้วกำลังพลที่พวกเรารวบรวมไว้ตรงทางเข้าประตูดวงดาวตอนนี้ก็ต้านไม่ไหวอยู่ดี เป็นไปไม่ได้ที่ฝ่าบาทจะรอให้กำลังหนุนของฝ่ายตรงข้ามมาถึง ดังนั้นจึงเหลือเวลาให้พวกเราไม่มากแล้ว”

ที่จริงกองทัพองครักษ์ไม่ได้ระดมกำลังพลหนึ่งพันล้านอะไรเลย แต่วังสวรรค์ต้องการให้ฝั่งนี้สงบใจ จึงตบตาฝั่งนี้ ที่จริงแล้วมีกำลังพลมาแค่สามกองเท่านั้น เป็นเพราะไม่กล้าระดมพลเยอะเกินไป ถ้ามากันเยอะเกินก็จะถูกอำนาจแต่ละฝ่ายสังเกตเห็นว่าระดมกำลัง

เขาเองก็เดาจุดนี้ออกแล้ว แต่กลับยังกล่าวเกินจริงให้ลูกน้องฟัง เพื่อให้ลูกน้องแน่วแน่ต่อการตัดสินใจ

“ท่านจอมพล ที่รังเดิมจองอิ๋งจิ่วกวงระดมกำลังทหารไว้เกือบสองร้อยล้าน ถ้าต่อสู้กันขึ้นมาก็เป็นเรื่องยากที่พวกเราจะไม่เสียหาย ไม่ทราบว่าวางแผนการโจมตีไว้เรียบร้อยหรือยัง?” ทหารคนหนึ่งเอ่ยถาม

เฉิงไท่เจ๋อพยักหน้า “ถามได้ดี! นี่ก็คือสิ่งที่ข้าอยากบอกกับทุกคน ไม่ปิดบังทุกคน คนที่ได้คำสั่งแต่งตั้งอ๋องไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียว ยังมีเถิงเฟย จอมพลสายชวด ก่อนหน้านี้พวกเราติดต่อกันแล้ว ตัดสินใจแล้วว่าจะร่วมมือกันเคลื่อนไหว หลังจากจบเรื่องทัพตะวันออกก็จะแบ่งจากหนึ่งเป็นสอง ฝ่าบาทสัญญาแล้วว่าจะให้พวกเราสองคนเป็นอ๋อง!”

พอได้ยินว่าทัพตะวันออกจะแบ่งจากหนึ่งเป็นสอง ก็มีคนรู้สึกผิดหวังอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะตำแหน่งดีๆ มีน้อยลงแล้ว จึงถามว่า “ทำไมต้องยกประโยชน์ให้เถิงเฟย?”

เฉิงไท่เจ๋อส่ายหน้าถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าทุกคนคิดยังไง แต่ถ้ามีแค่พวกเราที่ได้ครองผลประโยชน์นี้ มีหรือที่เถิงเฟยกับลิ่งหูโต้วจ้งจะนิ่งดูดาย พอเกิดเรื่องขึ้นจะต้องรีบไปช่วยอิ๋งจิ่วกวงแน่นอน ถ้าแต่ละฝ่ายร่วมมือกันสู้กับพวกเรา เกรงว่าพวกเราคงกินเนื้อชิ้นนี้ไม่ลง กลับจะทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายด้วยซ้ำ อย่าบอกนะว่าทุกคนหวังให้กองทัพองครักษ์สู้หัวชนฝาเพื่อพวกเรา? เกรงว่าประมุขชิงคงหวังให้พวกเราเข่นฆ่ากันเองด้วยซ้ำ แล้วถ้าสงครามยืดเยื้อ หลังจากกำลังพลทัพใต้ ทัพตะวันตกและทัพเหนือตามมาถึงแล้ว จุดจบของพวกเราจะเป็นยังไงก็คงไม่ต้องให้ข้าพูดเยอะ นี่เป็นการกระทำที่จนใจเช่นกัน กำลังของพวกเรามีจำกัด กลืนเนื้อชิ้นใหญ่ขนาดนี้ไม่ไหว ต่อให้กลืนลงแล้ว แต่เรื่องย่อยภายในเวลาสั้นๆ นี้ก็จะกลายเป็นปัญหา ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ทำไมประมุขชิงถึงต้องการจะลงมือกับอิ๋งจิ่วกวงล่ะ? เรื่องที่สี่อ๋องสวรรค์ปฏิเสธการเข้าประชุมขุนนางได้ยั่วโมโหประมุขชิงแล้ว ช้าเร็วประมุขชิงก็ต้องแบ่งสี่ทัพเป็นแปดส่วน เพียงแต่เลือกลงมือกับอิ๋งจิ่วกวงก่อนก็เท่านั้นเอง ถ้าพวกเราฮุบไว้ฝ่ายเดียว เกรงว่ายังไม่ทันรอย่อย ประมุขชิงก็จะเริ่มลงมือกับพวกเราแล้ว ดังนั้นจึงต้องค่อยเป็นค่อยไป แก้ไขปัญหาตรงหน้าก่อน อย่าใจเร็วด่วนได้!”

กลุ่มแม่ทัพพยักหน้าเงียบๆ มีแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งบอกว่า “ที่ท่านจอมพลกล่าวมาก็มีเหตุผล”

เมื่อเห็นทุกคนไม่มีความคิดเห็นแย้งอะไร เฉิงไท่เจ๋อก็โบกมือไปด้านข้าง เซี่ยเซิงเผยเข็มทิศทันที ปรับแผนที่ดาวออกมาแล้ว

กลุ่มแม่ทัพทยอยกันเข้ามาล้อมโต๊ะยาว เฉิงไท่เจ๋อชี้เข็มทิศพร้อมอธิบาย “พวกเราไม่ใช่ฝ่ายรุกโจมตี กองทัพองครักษ์จะรับผิดชอบหน้าที่นี้เอง นี่คือสิ่งที่ข้ากับวังสวรรค์ปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว แบบนี้จะหลีกเลี่ยงความเสียหายของทุกคนได้ ใช้พิกัดเข็มทิศแบ่งเป็นทิศตะวันออกกับตะวันตก เถิงเฟยอยู่ที่ทางเข้าทิศตะวันออก ทัพข้าอยู่ที่ทางเข้าทิศตะวันตก หลังจากกองทัพองครักษ์เข้าอาณาเขตดาวที่อยู่ของอิ๋งจิ่วกวงแล้ว ก็จะโจมตีเข้ารังของอิ๋งจิ่วกวงโดยตรง ทัพของข้าจะตามเข้าไปทีหลัง แบ่งกำลังพลเป็นสองสายตีโอบเข้าไป ให้กำลังพลสายหนึ่งดักซุ่มไว้รอบๆ เตรียมป้องกันไม่ให้อิ๋งจิ่วกวงแพ้แล้วหนีไปที่อาณาเขตดาวนิรนาม ถ้าพบเห็นเมื่อไร ก็ต้องยอมแลกทุกอย่างเพื่อถ่วงเวลาอิ๋งจิ่วกวงไว้ให้ได้ ช่วงชิงเวลาให้กองทัพองครักษ์ไล่ตามมาสังหาร ต้องกำจัดภัยพิบัติในอนาคตอย่างอิ๋งจิ่วกวงให้ได้ในรวดเดียว ส่วนกำลังพลอีกสายหนึ่งก็มุ่งไปที่ทางเข้าประตูดวงดาวของลิ่งหูโต้วจ้งทางฝั่งเหนือทันที โจมตีขัดขวางไม่ให้ทัพใหญ่ของลิ่งหูมาช่วย เมื่อทัพใหญ่ของเถิงเฟยเข้ามาแล้ว ก็จะแบ่งกำลังพลเป็นสองสายเหมือนพวกเรา สายหนึ่งดักซุ่ม อีกสายหนึ่งร่วมมือกับพวกเราโจมตีสกัดทัพหนุนของลิ่งหูโต้วจ้ง เถิงเฟยจะควบคุมซีกตะวันออกของอาณาเขตดาว ข้าจะควบคุมซีกตะวันตกของอาณาเขตดาว แล้วกำลังพลของพวกเราสองฝั่งก็มารวมตัวกันอยู่ข้างนอกแล้วรีบเปลี่ยนทิศทาง โจมตีขนาบซ้ายขวาทัพใหญ่ของลิ่งหูโต้วจ้งที่ตามมาทีหลัง ทุกคนเข้าใจแล้วใช่มั้ย?”

“เข้าใจแล้ว” บรรดาแม่ทัพพยักหน้า ล้วนเป็นคนที่คุมทัพมาหลายปี เมื่ออธิบายตรงหน้าแผนผังดาวแบบนี้ ทุกคนย่อมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน

แต่ก็มีทหารถามอีกว่า “ท่านจอมพล ถ้าจบเรื่องแล้วประมุขชิงไม่ทำตามสัญญาล่ะ พวกเราจะทำยังไง?”

เฉิงไท่เจ๋อตอบว่า “เรื่องนี้ข้ากับเถิงเฟยปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว พวกเราจะไม่ปล่อยให้ประมุขชิงจูงจมูกเดิน ต้องตั้งมั่นเพื่อปกป้องตัวเองก่อน ถ้าฝั่งนี้กำจัดอิ๋งจิ่วกวงได้เมื่อไร ข้ากับเถิงเฟยก็จะร่วมมือกับฮ่าวเต๋อฟาง ก่วงลิ่งกงและโค่วหลิงซวีทันที แสดงความจริงใจต่อพวกเขา แสดงท่าทีว่าจะเดินในเส้นทางของอิ๋งจิ่วกวงต่อไป จะพึ่งพากันและกันกับพวกเขาต่อไป ขอเพียงอิ๋งจิ่วกวงพ่ายแพ้จนเอาคืนไม่ได้แล้ว ต่อให้ในใจอ๋องสวรรค์ทั้งสามจะไม่ยอม แต่ก็ต้องยอมจำนนต่อความจริงอยู่ดี เป็นไปไม่ได้ที่จะบีบให้พวกเราวกกลับไปหาประมุขชิงโดยสิ้นเชิง แบบนั้นจะทำให้ประมุขชิงได้กำลังทหารมากกว่าเดิมเพื่อมาสู้กับพวกเขา พอเป็นแบบนี้ ก็ย่อมกำจัดภัยคุกคามจากสามทัพนั้นได้ แล้วพวกเราก็อาศัยกำลังของสามทัพนั้นมาปกป้องตัวเองได้ด้วย แบบนี้ประมุขชิงก็ไม่จำเป็นต้องกลืนคำพูด งานใหญ่จะสำเร็จได้!”

“ดีมาก!” ทุกคนทยอยกันพยักหน้าเห็นด้วย

“ทุกคน!” เฉิงไท่เจ๋อเรียกดึงสติ หันมองรอบวง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ศึกนี้มีแต่ต้องรีบรบรีบจบเท่านั้น ปล่อยให้ยืดเยื้อไม่ได้ ถ้าได้รับสัญญาณลงมือจากข้า ก็ให้สังหารกำลังพลตรวจตราที่อิ๋งจิ่วกวงส่งมาอยู่ข้างกายทุกคนทันที! ก็อย่างที่บอก ข้าไม่สนว่าในบรรดาพวกเจ้าจะมีคนของอิ๋งจิ่วกวงหรือไม่ ข้าจะไม่ตรวจสอบด้วย ข้าแค่อยากจะให้เจ้าเข้าใจ ว่าต่อให้ศึกนี้จะขาดเจ้าไป ต่อให้เจ้าจะรายงานข่าวให้อิ๋งจิ่วกวงรู้เพื่อให้อิ๋งจิ่วกวงหนีไป ในเมื่อข้ากับเถิงเฟยคิดกบฎ อิ๋งจิ่วกวงก็ตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบแล้ว เจ้าจะร่วมกันรักษาเกียรติยศความร่ำรวยต่อไป หรือจะเอาชีวิตคนในครอบครัวลงหลุมศพไปพร้อมกับอิ๋งจิ่วกวง ข้ายินดีให้เจ้าชั่งน้ำหนักเอาเอง เอาเป็นว่าอิ๋งจิ่วกวงอาการร่อแร่แล้ว แพ้ศึกนี้แน่นอน!”

ทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง แล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ยินดีปฏิบัติตามคำสั่งท่านจอมพล!”

“ดี! วันนี้ไม่สะดวกจะคุยยาว เพื่อไม่ให้น่าสงสัย ทุกคนรีบไปเถอะ!” เฉิงไท่เจ๋อโบกมือให้ทุกคนแยกย้ายกัน

ข้างหูมีเสียงกิจกรรมในห้องนอนดังไม่หยุด หันเปินขมวดคิ้วเดินไปเดินมาอยุ่ในลานบ้าน

“อ๊า…”

คนในห้องพลันร้องเสียงสูง เสียงกิจกรรมที่ไม่เรียบร้อยเงียบลงเร็วมาก

ใช้เวลาไม่นาน เฉิงไท่เจ๋อที่ทำสีหน้าเหมือนกระปรี้กระเปร่าก็เดินออกจากห้อง แสยะยิ้มถามหันเปินว่า “ฟังหนำใจแล้วหรือยัง?”

“ท่านจอมพลล้อเล่นแล้ว” หันเปินตอบด้วยสีหน้าอึดอัด

เฉิงไท่เจ๋อขี้คร้านจะสนใจเขา เดินก้าวยาวออกไปแล้ว หันเปินรีบเดินตามเขาไป

คนกลุ่มนี้เพิ่งออกจากลานบ้านได้ไม่นาน พ่อบ้านเซี่ยเซิงก็รีบเดินเข้ามา ผลักประตูเข้ามาเสียเลย

สตรีวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พอหันกลับมาเหห้นก็ถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “พ่อบ้านเซี่ย ทำไมเสียมารยาทเช่นนี้?”

“ท่านจอมพลมีเรื่องสำคัญให้บ่าวมาบอกหรูฮูหยิน รีบร้อนจนเสียมารยาท หวังว่าหรูฮูหยินจะอภัย” เซี่ยเซิงที่เดินเข้ามากล่าวขออภัยซ้ำๆ

สตรีวัยกลางคนไม่กล้าล่วงเกินเขามากนัก เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มแล้ว “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มีเรื่องอะไร?”

เซี่ยเซิงชี้ที่ตลับแป้งบนโต๊ะเครื่องแป้ง สตรีวัยกลางคนหันกลับไปมองอย่างประหลาดใจ กลับไม่ป้องกันเซี่ยเซิงที่ลงมือจู่โจมข้างหลัง แสงสะท้อนคมอาวุธแวบผ่าน นางไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ ศีรษะกระเด็นออกไปแล้ว เลือดสดฉีดพุ่งออกจากคอที่ขาดอย่างบ้าคลั่ง เป็นเลือดสีแดงสด

ขณะมองร่างล้มลงพื้น เซี่ยเซิงก็ถอนหายใจ “เดิมทีคิดจะควบคุมเจ้าไว้ชั่วคราว แต่ท่านจอมพลไม่อยากให้คนรู้อุบายที่ใช้ในวันนี้ ยามปกติเจ้าก็ชอบพูดมากด้วย ท่านจอมพลจึงทำได้เพียงนำเจ้ามาสังเวยก่อนออกศึก…”

ในถ้ำภูเขาบนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง โพ่จวินที่ปลอมตัวแล้วกำลังจ้องอยู่หน้าเข็มทิศ ซ้ายขวามีแม่ทัพยืนเรียงแถว

มีบางคนเหมือนจะรอจนทนไม่ไหว ก้าวออกจากแถวมากุมหมัดคารวะ “นายท่าน จนป่านนี้แล้ว ทางฝั่งเถิงเฟยยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย ถ้าถ่วงเวลาต่อไปจนกองหนุนมาถึง เกรงว่าจะต้องพลาดโอกาสดีๆ ข้าน้อยยินดีนำทัพใหญ่สังหารเปิดทางเลือดขอรับ!”

โพ่จวินเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบ “นี่เจ้ากำลังพูดเหลวไหลอะไร ข้ากับอู๋ฉวี่แบ่งกำลังทหารกัน ตอนนี้ในมือมีกำลังพลร้อยล้านเท่านั้น แล้วกำลังพลที่เฝ้านอกทางเข้าประตูดวงดาวก็มีเป็นร้อยล้านเหมือนกัน แม้ทัพของอีกฝ่ายจะไม่แข็งแกร่งเท่าของข้า แต่ถ้าสู้กันก็ตีฝ่าเข้าไปไม่ได้ในเร็วๆ นี้อยู่ดี แบบนี้ต่างหากที่ถ่วงเวลา ทั้งยังทำให้เถิงเฟยเข้าใจผิดว่าฝ่ายพวกเรามีเจตนาไม่ซื่อด้วย ถึงตอนนั้นนอกจากจะกดดันให้เขาต่อต้านแล้ว กำลังพลฝั่งพวกเราก็จะเสียหายไม่น้อยเหมือนกัน ต่อให้สังหารเข้าไปถึงรังของอิ๋งจิ่วกวง แต่ถ้าสู้กับกำลังพลสองร้อยล้านของฝ่ายตรงข้ามอีก บวกกับพวกเถิงเฟยที่ตีย้อนกลับมา พวกเราจะสู้ยังไงล่ะ? รนหาที่ตายเหรอ?”

“ถ้าเถิงเฟยไม่ตอบสนองแบบนี้ต่อไปจะทำยังไงดี?” แม่ทัพถาม

สายตาของโพ่จวินไปหยุดอยู่บนเข็มทิศ “งั้นก็ถอนกำลัง ไม่สู้แล้ว!”

กลุ่มแม่ทัพบ้างก็มองหน้ากันเลิกลั่ก บ้างก็แอบสายหน้า ทำได้เพียงเฝ้ารอต่อไป

ในขณะนี้เอง จู่ๆ โพ่จวินก็ขยับคิ้ว หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อพักหนึ่ง แล้วรีบหยิบระฆังดาราอีกอันออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปที่ไหน หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว ก็กล่าวเสียงต่ำว่า “เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อกระจายงานกันเรียบร้อยแล้ว อู๋ฉวี่เชิญให้พวกเราลงมือพร้อมกัน ออกเดินทาง!”

บรรดาแม่ทัพมีสีหน้ากระปรี้กระเปร่า กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “รับทราบ!”

พอเก็บเข็มทิศแล้ว บรรดาแม่ทัพที่ปลอมตัวแล้วก็เหาะออกจากถ้ำพร้อมโพ่จวิน หายไปในดาราจักรอันกว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว

ใช้เวลาไม่นาน กลุ่มคนสิบคนนี้ก็มาถึงประตูดวงดาวแห่งหนึ่งที่ถูกปิดล้อมไว้ ค่ายกลใหญ่ที่เพิ่งผนึกไว้ราวกับเป็นแสงกลมขนาดมหึมา ปิดผนึกประตูดวงดาวที่หมุนวนอย่างลึกลับ ด้านนอกประตูดวงดาว กำลังพลนับไม่ถ้วนกระจายกำลังกันแน่นหนา ขบวนรบที่ยืนเรียงรายกำลังเตรียมพร้อมรับมือเหตุไม่คาดคิดทุกเมื่อ

พวกโพ่จวินยังไม่หยุด เข้าใกล้ขบวนรบต่อไป

“หยุดนะ ผู้ที่มาเป็นใคร!” มีเสียงแม่ทัพร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนถามไกลๆ กำลังพลทางซ้ายและขวาถืออาวุธเตรียมป้องกัน

ทางนี้เพิ่งจะพูดจบ แม่ทัพข้างๆ ก็ถลันตัวเข้ามา บอกว่า “เป็นพวกเดียวกัน” แล้วก็ส่งสายตาให้แม่ทัพที่เฝ้ายาม

แม่ทัพที่เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่เข้าใจทันที กดมือลงทางซ้ายและขวา กำลังพลที่เตรียมป้องกันวางอาวุธลงทันที

พวกโพ่จวินเข้ามาหยุดตรงหน้า ตอนนี้ท่ามกลางทัพใหญ่ที่วางกำลังไว้มีคนจำนวนมากถลันเข้ามา ชายหน้าขาวหนวดยาวที่นำหน้ามาตะคอกถาม “เป็นใคร?”

“ทหารสายตรวจที่จอมพลเถิงส่งมา” แม่ทัพที่เฝ้ายามที่ตอบด้วยรอยยิ้ม

“ทำไมข้ารู้สึกแปลกหน้ามา ทั้งยังใส่หน้ากากด้วย ค้นตัว!” ชายหน้าขาวหนวดยาวกล่าวด้วยใบหน้านิ่งตึง

แม่ทัพที่เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่ยื่นมือขวาง แล้วเลิกคิ้วบอกว่า “นายท่านซู ทหารคนสนิทของท่านจอมพลท่านก็จะค้นตัวเหรอ เกินไปหน่อยหรือเปล่า?”

พวกโพ่จวินมองดูเงียบๆ อย่างแนบเนียน แต่แอบเตรียมป้องกันแล้ว

“ท่านอ๋องมีคำสั่ง ถ้าพบบุคคลน่าสงสัยให้ควบคุมไว้ทันที ถ้าไม่มีคำสั่งจากท่านอ๋อง ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามาโดยพลการ เจ้าคิดจะขัดคำสั่งเหรอ?” ชายหน้าขาวหนวดยาวถามเสียงต่ำ

แม่ทัพที่เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่แสยะยิ้ม “นี่ท่านไม่ไว้หน้าท่านจอมพลของพวกเราเหรอ!” มือที่ไขว้อยู่ข้างหลังพัดโบกลงเล็กน้อย ส่งสัญญาณมือให้

………………

ซ่างกวนชิงหันตัวเดินตามไปเช่นกัน เพียงแต่ก่อนจะไปกลับถ่ายทอดเสียงบอกเกาก้วนว่า “ค่อยเป็นค่อยไปนะ!”

เกาก้วนพยักหน้าเบาๆ เข้าใจความหมายของเขา อะไรที่เรียกว่าค่อยเป็นค่อยไปล่ะ? นั่นก็คือไม่ต้องให้เขาสืบอย่างจริงจัง!

คำพูดของประมุขชิงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น นั่นคือความประสงค์ ทหารสวรรค์ที่กำลังล้อมอยู่สามารถลงมือสังหารได้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางก็ได้เจอประมุขชิงแล้วด้วย อีกฝ่ายให้คำชี้แจงแล้ว ตัวเองก็สามารถให้คำชี้แจงกับอำนาจที่อยู่เบื้องหลังได้แล้วเช่นกัน ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่อไป ดังนั้นเสียงร้องไห้เมื่อครู่นี้จึงหายไปแล้ว กลุ่มนางสนมทยอยกันลุกขึ้น พากันกลับไปแล้ว

ทหารสวรรค์ที่ล้อมอยู่ตรงนี้ คนที่พอจะมีประสบการณ์ความรู้บ้างแอบส่ายหน้า พวกเขาเข้าใจว่าการต่อสู้ข้างนอกลามเข้ามาถึงในวังแล้ว เพียงแต่มีคนไม่น้อยกำลังครุ่นคิดว่าฝ่าบาทกักบริเวณราชินีสวรรค์ไว้เพราะมีเจตนาอะไร

“เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถูกกักบริเวณแล้ว สนมสวรรค์ได้อำนาจที่วังหลังชั่วคราว?”

อิ๋งจิ่วกวงที่ยังวาดรูปอยู่ในห้องหนังสือ สุดท้ายก็หยุดมือแล้วเงยหน้าถาม

“ใช่ค่ะ ข่าวน่าจะไม่ผิดพลาด” จั่วเอ๋อร์พยักหน้า

“ทางกองทัพองครักษ์มีความเคลื่อนไหวอะไรมั้ย?” อิ๋งจิ่วกวงถามอีก

จั่วเอ๋อร์ส่ายหน้า “ดูจากข่าวแต่ละด้านที่ส่งมาตอนนี้ ก็ไม่เห็นกองทัพองครักษ์มีความเคลื่อนไหวอะไรค่ะ”

กองทัพองครักษ์ไร้ความเคลื่อนไหว ทั้งยังให้อำนาจมหาศาลของวังหลังแก่จ้านหรูอี้ อิ๋งจิ่วกวงอดไม่ได้ที่จะเกิดความหวังในใจ เพียงแต่ไม่กล้าฟันธงว่าประมุขชิงกำลังคิดจะตบตาให้ทุกคนประมาทหรือเปล่า สิ่งนี้เป็นไปได้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าสะเพร่า กล่าวเสียงต่ำว่า “กำลังพลตรวจตรากำลังติดตามความเคลื่อนไหวของแต่ละทัพอย่างเข้มงวด พร้อมรายงานขึ้นมาทุกเมื่อ!”

เขาไม่กลัวกองทัพองครักษ์ของประมุขชิง ถ้าใช้กำลังปะทะกันขึ้นมาจริงๆ แล้วอยากจะจัดการเขา กองทัพองครักษ์ก็ต้องจ่ายไม่น้อยเช่นกัน ประมุขชิงทนรับความเสียหายนั้นไม่ไหว ถ้ากำลังพลในมือประมุขชิงเสียหายรุนแรง นั่นก็ถึงคราวที่สี่ทัพจะพุ่งเป้าไปที่วังสวรรค์แล้ว สิ่งเดียวที่เขากังวลในตอนนี้ก็คือ ขวัญกำลังใจทหารเบื้องล่างที่ไม่มั่นคงจนก่อกบฎ เขาไม่กลัวปัญหาภายนอก กลัวก็แต่ปัยหาภายใน

จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “ท่านอ๋องวางใจได้ เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว กำลังพลตรวจตราจะรายงานความเคลื่อนไหวของแต่ละทัพขึ้นมาทุกๆ สิบห้านาที”

อิ๋งจิ่วกวงลงพู่กันบนกระดาษอีกครั้ง วาดไปพลางพึมพำพลาง “สี่ทางเข้าอาณาเขตดาวผืนนี้ มีสองทางอยู่บนอาณาเขตของเฉิงไท่เจ๋อ หนึ่งทางอยู่บนอาณาเขตของเถิงเฟย ยังมีอีกทางที่อยู่บนอาณาเขตของลิ่งหูโต้วจ้ง ลิ่งหูโต้วจ้งเพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่นาน ข้าไม่ค่อยกังวลเท่าไร แต่เฉิงไท่เจ๋อกับเถิงเฟยข้ายังไม่ค่อยวางใจ”

จั่วเอ๋อร์ลองถามว่า “ท่านอ๋องเคยให้คนหยั่งเชิงแล้วไม่ใช่เหรอ? ท่าทีของสองคนนั้นเด็ดเดี่ยวมาก ไม่มีการระดมกำลังพลผิดปกติอะไรด้วย”

อิ๋งจิ่วกวงส่ายหน้า “ก็เพราะเด็ดเดี่ยวเกินไปนี่แหละ ไม่เหลือช่องว่างไว้ปรึกษากันแม้แต่น้อย ข้าค่อนข้างเป็นกังวล อย่าบอกนะว่าพวกเขาไม่หวั่นไหวเลยจริงๆ? ไม่ว่าจะเป็นยังไง เวลาแบบนี้ระวังไว้หน่อยจะดีกว่า ข้ายอมไม่เชื่อใครเลยดีกว่า สั่งให้กำลังพลตรวจตราจับตาดูสี่ทางเข้าอาณาเขตดาวไว้ให้ดี บอกไปเพียงว่า ถ้าอ๋องผู้นี้ไม่ได้อนุญาตด้วยตัวเอง ก็ไม่ให้ใครเข้ามาทั้งนั้น ต้องยืนหยัดไว้จนกว่ากำลังพลทัพใต้ ทัพตะวันตกและทัพเหนือกำลังจะมาถึง มีแค่ต้องให้กำลังพลกลุ่มใหญ่รวมตัวกันเท่านั้น ประมุขชิงถึงจะไม่กล้าบุ่มบ่าม!”

“รับทราบ!” จั่วเอ๋อร์นำระฆังดาราขึ้นมาสั่งงานทันที

จวนจอมพลสายฉลู กลุ่มทหารรวมตัวกันอยู่ในโถง ทยอยกันรายงานความเคลื่อนไหวของทัพใหญ่ใต้สังกัด เฉิงไท่เจ๋อฟังด้วยท่าทางรอบคอบมาก พยักหน้าเป็นระยะ

หลังจากรายงานจบ เฉิงไท่เจ๋อก็กวาดมองทุกคนด้วยแววตาเป็นประกายมีชีวิตชีวา “ทุกคน พวกเราได้รับความเมตตาอันใหญ่หลวงจากท่านอ๋อง เกียจคร้านไม่ได้เด็ดขาด ต้องกลับไปเฝ้ารักษาการณ์ท่ามกลางกำลังพลแต่ละกองที่รวบรวมไว้ ควบคุมพฤติกรรมที่จะทำให้ขวัญกำลังใจทหารปั่นป่วน!”

“รับทราบ!” บรรดาแม่ทัพกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง

พอเฉิงไท่เจ๋อโบกมือ บรรดาแม่ทัพก็แยกย้ายกันออกไปทันที

ในขณะนี้เอง ในบรรดาคนสิบกว่าคนที่ยืนดูอยู่ข้างๆ หนึ่งในแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งเข้ามาใกล้ แล้วกล่าวอย่างจริงใจว่า “จอมพลเฉิง ท่านเองก็เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน ท่านอ๋องเร่งรัดซ้ำแล้วซ้ำอีก ได้โปรดรีบสั่งให้เบื้องล่างเร่งเดินทัพ!”

คนผู้นี้ชื่อว่าหันเปิน เป็นหนึ่งในสมาชิกกำลังพลตรวจตรา กลุ่มลูกน้องคนสนิทที่อิ๋งจิ่วกวงดึงตัวมาจากหน่วยต่างๆ ชั่วคราว และเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดของกำลังพลตรวจตราฝั่งสายชวด

เฉิงไท่เจ๋อพยักหน้าอย่างอย่างจริงจังตั้งใจ “แน่นอนอยู่แล้ว” พูดจบก็เดินก้าวยาวออกไปนอกตำหนัก

พอหันเปินโบกมือ ผู้ติดตามสิบคนก็ตามหลังเขาไป ทั้งหมดเดินตามหลังเฉิงไท่เจ๋อไปแล้ว

เฉิงไท่เจ๋อที่เข้ามาในประตูเรือนด้านในหยุดเดินแล้วหันมามอง “หันเปิน เจ้าตามติดข้าทุกฝีก้าวแบบนี้หมายความว่าอะไร?”

“จอมพลเฉิง ในเวลาแบบนี้ได้โปรดเข้าใจด้วย” หันเปินกุมหมัดคารวะ

เฉิงไท่เจ๋อหันตัวมา เอาสองมือไขว้หลัง พลางหรี่ตาถามว่า “พูดแบบนี้แปลว่าเป็นประสงค์ของท่านอ๋องสินะ หรือว่าท่านอ๋องไม่เชื่อใจจอมพลผู้นี้?”

“เปล่าๆ!” หันเปินรีบร้อนโบกมือ “จอมพลเฉิง ขออนุญาตพูดสิ่งที่ไม่น่าฟัง ตอนนี้สถานการณ์ไม่ปกติ ถ้าท่านจอมพลเคลื่อนไหวผิดปกตินิดเดียว ก็จะทำให้คนนินทาว่าร้ายได้ง่าย ที่พวกเราทำอย่างนี้ก็เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อท่านจอมพล ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรพวกเราก็เห็นได้ชัดเจน ถ้ามีใครพูดอะไร พวกเราจะได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ท่านจอมพลได้ ในเวลานี้ไม่จำเป็นต้องให้ผู้น้อยเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา ท่านจอมพลว่ามั้ยล่ะ?”

“หึ ถ้าข้าเข้าห้องน้ำ เจ้าก็จะตามมาดูด้วยด้วยใช่มั้ยล่ะ?” เฉิงไท่เจ๋อแสยะยิ้ม แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธไม่ให้คนพวกนี้ตามมาอีก

หันเปินส่ายหน้ายิ้มเจื่อน นี่เป็นงานที่ล่วงเกินคนอื่นจริงๆ แต่ก็ไม่มีทางเลือก ยังคงเรียกลูกน้องให้ตามไปด้วยกัน

ส่วนบรรดาแม่ทัพที่ออกจากตำหนักประชุมก็ยังไม่ได้ออกจากจวนจอมพล ถูกเซี่ยเซิง พ่อบ้านของจวนจอมพลดักไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ระหว่างทาง

เซี่ยเซิงกวักมือเรียกพวกเขาอยู่ใต้ต้นไม้ กลุ่มแม่ทัพที่เดินผ่านไปแล้วจึงเข้าไปทักทาย

หลังจากเซี่ยเซิงทักทายตามมารยาท ก็มองซ้ายมองขวา แล้วยื่นมือเชิญไปทางประตูพระจันทร์ด้านหลัง “ท่านจอมพลให้บ่าวเตรียมน้ำชาไว้เลี้ยงรับรองทุกท่านในเขตลานบ้านแล้ว เชิญด้านในขอรับ!”

กลุ่มแม่ทัพมองหน้ากันเลิกลั่ก เมื่อครู่นี้ท่านจอมพลยังให้ออกเดินทางทันทีไม่ใช่เหรอ ตอนนี้มาบอกว่าเตรียมน้ำชาไว้ หมายความว่าอย่างไร?

ไม่นานทุกคนก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง แอบส่งสายตาให้กัน แล้วรีบตามเซี่ยเซิงเข้าไป

ส่วนเฉิงไท่เจ๋อพอเดินไปถึงประตูลานบ้าน ก็มีสตรีวัยกลางคนที่งดงามเย้ายวนคนหนึ่งรีบเดินออกมาต้อนรับ นางย่อตัวคำนับอย่างออดอ้อนไร้ที่เปรียบ “ท่านจอมพล”

“ดี!” เฉิงไท่เจ๋อยื่นมือไปลูบหน้านางด้วยรอยยิ้ม คว้าแขนนางขึ้นมา จากนั้นก็งอแขนรวบต้นขาอุ้มไว้ในอ้อมกอด แล้วขมุบขมิบริมฝีปากบนหน้าอกที่อิ่มเอิบของสาวงาม

พอสตรีวัยกลางคนเห็นว่ามีคนนอกอยู่ ก็รีบปิดหน้าอกตัวเองไว้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเขินอาย “ท่านอ๋อง มีคน…”

เฉิงไท่เจ๋อหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วตะคอกอย่างโมโหทันที “พวกเจ้าทำอะไรกัน? หรือแม้แต่เวลาข้าทำกิจกรรมในห้องนอน พวกเจ้าก็อยากจะรับชมด้วย?”

“ไม่ๆๆ!” หันเปินโบกมือซ้ำๆ อีกครั้ง แล้วกุมหมัดคารวะ “ท่านจอมพล ท่านกำลังจะออกเดินทางไปคุมทัพใหญ่ที่รวมตัวกันไม่ใช่เหรอ? เรื่องกิจกรรมในห้องนอนจะเอาไว้หลังทำงานใหญ่เสร็จใช่มั้ย?”

“เหลวไหล การไปครั้งนี้ยังไม่รู้เลยว่าอีกนานแค่ไหนจะได้ลิ้มรสเนื้ออีก แต่ไหนแต่ไรมาก่อนจะออกศึก จอมพลผู้นี้ก็ต้องจัดเต็มให้ถึงอกถึงใจก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” เฉิงไท่เจ๋อพูดทิ้งท้าย แล้วอุ้มสาวงามมุ่งตรงไปที่เรือนด้านใน

“…” หันเปินยื่นมือไป รู้สึกพูดไม่ออกจริงๆ

สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือก จนกระทั่งเรียกคนให้ตามไป จนกระทั่งตามไปถึงนอกห้องนอนแล้วถึงได้หยุด ได้แต่มองเฉิงไท่เจ๋ออุ้มผู้หญิงเข้าห้องไปตาปริบๆ จากนั้นก็โบกมือสั่งให้ล้อมไว้รอบๆ ห้อง

เมื่อเข้ามาข้างในแล้วไม่เห็นว่ามีคนนอก สตรีวัยกลางคนก็เริ่มเป็นฝ่ายรุก สองแขนคล้องคอเฉิงไท่เจ๋อ แล้วเรียกอย่างออดอ้อนเขินอาย “ท่านอ๋อง…”

ใครจะคิดว่าสีหน้ากระเหี้ยนกระหือรือของเฉิงไท่เจ๋อจะหายไปในชั่วพริบตาเดียว เขาวางนางลง แล้วกระซิบข้างหูสองสามประโยค

สตรีวัยกลางคนอึ้งไป มองเข้าด้วยสายต่าระแวงสงสัยไม่หยุด

เฉิงไท่เจ๋อถลึงตาจ้องนางอย่างดุดัน นางจึงพยักหน้าซ้ำๆ ทันที รีบถอดเสื้อผ้าตัวเองแล้วขึ้นไปกลิ้งบนเตียง ส่งเสียงราวกับกำลังมีสองร่างกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนนั้น พร้อมส่งเสียงครางปนเสียงหอบหายใจ

เฉิงไท่เจ๋อเงี่ยหูตั้งใจฟังครู่หนึ่ง จากนั้นรีบเดินไปข้างตู้ตัวหนึ่ง ดันตู้ออกเบาๆ เผยช่องว่างช่องหนึ่ง ในนั้นมีบันได เขารีบเดินเข้าไป

“อ๊า…อา…อา…”

ไม่นานในห้องก็มีเสียงกิจกรรมระหว่างชายหญิงดังมา เสียงเนื้อกระแทกกันดังชัดเจนมาก สามคนที่เฝ้าอยู่ตรงประตูมองหน้ากันไปมองหน้ากันมาด้วยสีหน้าแปลกๆ หันเปินที่อยู่ตรงกลางก็ยิ่งหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขาเอานิ้วแหย่หู พบว่าเรื่องนี้วุ่นวายใหญ่โตแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นแอบฟังกิจกรรมในห้องนอนของท่านจอมพลอย่างเปิดเผย เขาส่งสายตาให้คนทางซ้ายและขวา เตือนว่าหลังจากออกไปแล้วห้ามพูดเรื่องนี้ซี้ซั้ว

บรรดาแม่ทัพที่ล้อมดื่มน้ำชาอยู่ข้างโต๊ะยาวตัวหนึ่งในเขตลานบ้านมองไปข้างนอกเป็นระยะ พบว่าถูกกลุ่มคนสวมหน้ากากดำกลุ่มหนึ่งจับตาดูอยู่ ไม่รู้ชัดว่าพลังของคนพวกนี้เป็นอย่างไร ส่วนเซี่ยเซิงก็หรี่ตายิ้มมองทุกคนอยู่ข้างๆ ตลอด

ผ่านไปครู่เดียว เงาร่างของเฉิงไท่เจ๋อก็ปรากฏตัวอยู่นอกประตูอย่างรวดเร็ว แล้วเดินก้าวยาวออกมา

บรรดาแม่ทัพยืนขึ้น ขณะกำลังจะเปล่งเสียงทำความเคารพ เฉิงไท่เจ๋อก็ยกนิ้วขึ้นขึ้นตั้งตรงปาก บอกใบ้ให้ทุกคนเงียบไว้ การกระทำนี้ทำให้ทุกคนสบตากันอย่างเข้าใจ

เฉิงไท่เจ๋อเดินมาตรงหัวโต๊ะ เผชิญหน้ากับกลุ่มคนทางซ้ายและขวาพร้อมบอกว่า “การที่ให้เซี่ยเซิงดักทุกคนไว้ คาดว่าคงเดาเจตนาของจอมพลผู้นี้ออกแล้ว พอออกประตูไปก็จะถูกกำลังพลตรวจตราติดตามทุกคนทันที ทำได้เพียงกล่าวสรุปสั้นๆ ที่นี่ ทุกคนอ่านสิ่งนี้สักหน่อยเถอะ” เขาโยนคำสั่งแผ่นหนึ่งออกไป ให้ทุกคนได้อ่านดู

เนื้อหาในคำสั่งก็ไม่ใช่อะไร เป็นหนังสือแต่งตั้งอ๋องที่ประมุขชิงเขียนเอง

แม่ทัพที่อ่านเนื้อหาแล้ว แต่ละคนทั้งตกใจทั้งดีใจ ที่แท้ท่านอ๋องก็มีความเคลื่อนไหวตั้งนานแล้วนี่เอง ก่อนหน้านี้ที่ทุกคนผลักดัน เขาก็แค่เสแสร้งปฏิเสธเท่านั้นเอง

สุดท้ายคำสั่งก็กลับมาอยู่ในมือเฉิงไท่เจ๋อ เฉิงไท่เจ๋อกล่าวเสียงต่ำว่า “หนังสือแต่งตั้งอ๋องฉบับนี้ ที่จริงแล้วมันอยู่ในมือข้ามาได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว!”

ทุกคนอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน เรื่องที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้มีผลกระทบเลย ขวัญกำลังใจทหารยังไม่ปั่นป่วนจนกลายเป็นแบบนี้ หมายความว่าประมุขชิงรู้มาตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนแล้วว่าจะเกิดเรื่องในวันนี้ขึ้น อย่าบอกนะว่าสถานการณ์วุ่นวายตรงหน้านี้เป็นแผนที่ประมุขชิงวางเองกับมือ?

ขณะมองปฏิกิริยาของทุกคน เฉิงไท่เจ๋อก็พูดต่อว่า “หลังจากข้าได้คำสั่งมาแล้ว ก็ยังไม่ได้ตอบรับในทันที เพราะรู้ว่าโอกาสที่เรื่องนี้จะสำเร็จมีไม่มาก ไม่อยากให้พี่น้องทุกคนเสี่ยงอันตราย จนกระทั่งเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ข้าถึงได้เข้าใจ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นสิ่งที่ฝ่าบาทวางแผนไว้นานแล้ว ข้าถึงได้พบว่าโอกาสสุกงอมแล้ว! ทุกคนติดตามข้ามาหลายปี ข้าเองก็หวังจะเห็นเกียรติยศความมั่งคั่งของทุกคนสูงขึ้นอีกขั้น ก่อนหน้านี้ทุกคนสนับสนุนแล้วข้าไม่กล้าตอบตกลง คาดว่าทุกคนก็คงรู้สาเหตุอยู่แก่ใจบ้างแล้ว ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจพี่น้องทุกคน แต่ใครก็ไม่กล้ารับประกันว่าท่ามกลางทุกคนมีใครแอบติดต่อกับอิ๋งจิ่วกวงหรือเปล่า? เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เกี่ยวข้องกับชีวิตครอบครัวของทุกคน จะประมาทได้อย่างไรล่ะ?”

ทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้ด้วยว่าในนี้มีใครแอบติดต่อกับอิ๋งจิ่วกวง จึงไม่เข้าใจว่าทำไมเฉิงไท่เจ๋อถึงกล้าพูดออกมาในเวลานี้ หรือว่าเจอตัวการที่แอบติดต่อกับอิ๋งจิ่วกวงแล้ว?

เฉิงไท่เจ๋อเข้าใจว่าทุกคนกำลังสงสัยอะไร “ที่ข้ากล้าพูดเปิดเผยออกมาตอนนี้ ก็เพราะอยากจะบอกทุกคน ข้าไม่สนว่าในพวกเจ้าจะมีสายลับของอิ๋งจิ่วกวงหรือไม่ ต่อให้มี แต่อิ๋งจิ่วกวงจะให้เจ้าได้สักเท่าไรเชียว? ขอเพียงงานครั้งนี้สำเร็จ นอกจากจะให้รางวัลทุกคนตามผลงานแล้ว ทรัพย์สินที่อิ๋งจิ่วกวงครอบครองไว้ ข้าก็ยินดีจะแบ่งกับพี่น้องทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าอิ๋งจิ่วกวงจะตบรางวัลอย่างไร ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกคนได้มากขนาดนี้!”

………………

หลังจากถ่ายทอดคำสั่งของเหมียวอี้ไปที่พิภพเล็กแล้ว หยางเจาชิงก็เก็บระฆังดาราแล้วแอบถอนหายใจ ตอนจูเก๋อชิงเกือบจะโดนคนลอบสังหาร จึงให้เหยียนซิวกับตนสลับกันจับตาดูสถานการณ์ของตำหนักประมุขดาวกลาง สิ่งนี้อธิบายได้แล้วว่านายท่านแอบปกป้องจูเก๋อชิง เขาแต่นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายจูเก๋อชิงจะถูกนายท่านประทานความตายเพียงเพราะร้องเพลง

เหมียวอี้ที่นิ่งเงียบเหมือนสัตว์ป่าถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ดับไฟโกรธที่ซ่อนไว้ในดวงตา รีบโยนเรื่องของจูเก๋อชิงทิ้งไว้ข้างหลัง เพราะวิกฤติใหญ่หลวงกำลังจะมาถึง เขาไม่มีกะจิตกะใจจะมาพัวพันอยู่กับเรื่องที่พิภพเล็ก ต้องรวบรวมสมาธิกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนมากเกินไป…

“เหนียงเหนียง…”

ในตำหนักบูรพา หยินซวง ไป๋เสวี่ยคุกเข่าอยู่ตรงหน้าจ้านหรูอี้ เรียกได้ว่าวิงวอนขอร้องไม่หยุด

จ้านหรูอี้หันตัวช้าๆ เดินเนิบนาบเข้าไปที่ห้องสมาธิของตัวเอง เสียงประตูหินปิดดังครืน ไม่สนใจใยดีความวุ่นวายของโลกภายนอกอีก

ผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่ข้างนอกสบตากันอย่างพูดไม่ออก ทำได้เพียงยืนขึ้นอย่างหน้าม่อยคอตก

ส่วนนอกตำหนักบูรพา ทั้งวังหลังปรากฏภาพเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สนมนับหมื่นจากแต่ละตำหนักทยอยกันเดินออกจากตำหนักบรรทมของตัวเอง รวมตัวเดินไปที่ตำหนักดาราจักรด้วยกันอย่างอึกทึกครึกโครม สะเทือนถึงประมุขชิง สะเทือนถึงตำหนักนารีสวรรค์ กองทัพองครักษ์ที่เฝ้าวังสวรรค์ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรู นอกวังสวรรค์ส่งกำลังพลกองทัพองครักษ์เข้ามาเพิ่มอีก

อย่าไปมองว่าผู้หญิงพวกนี้เป็นเพียงสนมของราชันสวรรค์ เพราะมีจำนวนไม่น้อยที่ฝึกตนอยู่ที่วังสวรรค์มานานมากโดยไม่ขาดทรัพยากร ถ้าพวกนางรวมตัวอยู่ด้วยกัน ก็เรียกได้ว่าเป็นกำลังรบที่เข้มแข็งมาก ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาก็สามมารถถล่มทั้งวังสวรรค์ได้

ระหว่างทางไปตำหนักดาราจักร เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ปรากฏตัวแล้ว แต่งกายอลังการสมกับเป็นมารดาแห่งใต้หล้า มองกำแพงสาวงามที่ประชิดเข้ามาด้วยสายตาเย็นเยียบ ข้างหลังนางมีสนมยืนอยู่ร้อยกว่า ล้วนเป็นคนในเครือข่ายของตระกูลเซี่ยโห้ว พวกนางย่อมยืนหยัดอยู่ข้างหลังนางอยู่แล้ว

นางสนมวังหลังที่ประชิดเข้ามาหยุดคุมเชิงอยู่ตรงหน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ พวกนางมีสีหน้าแตกต่างกันไป บ้างก็ประหม่า บ้างก็กังวล บ้างก็เด็ดเดี่ยว สรุปก็คือทุกคนล้วนโดนบีบจนไม่มีทางเลือก มือที่อยู่หลังม่านผลักให้พวกนางออกมา พวกนางจำเป็นต้องปฏิบัติตาม

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่สีหน้าเยียบเย็นดุจน้ำค้างเกาะ กวาดสายตามองกลุ่มคนพลางกล่าวเสียงต่ำ “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? อยากก่อกบฏเหรอ?”

“เหตุใดเหนียงเหนียงถึงยัดข้อหาใหญ่ขนาดนั้นเพคะ พวกเราพี่น้องแค่จะขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเท่านั้นเอง” สนมหันที่อยู่ตรงข้ามเอ่ยตอบ

“ขอพบฝ่าบาทจำเป็นต้องมากันเยอะแยะขนาดนี้ด้วยเหรอ? ส่งตัวแทนมาไม่กี่คนก็พอแล้ว!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าว

สนมหันตอบว่า “เหนียงเหนียง พวกเราพี่น้องไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์ที่จะพบฝ่าบาทเชียวหรือเพคะ?”

“ข้าบอกแล้วไง ส่งตัวแทนมาไม่กี่คนก็พอ คนอื่นๆ กลับไปให้หมด มีอย่างที่ไหนมาแออัดวุ่นวายในวังหลัง? กลับไป!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตะคอก

สนมที่อยู่ตรงนั้นไม่มีใครถอยไป สนมลี่กล่าวว่า “หรือว่าเหนียงเหนียงคิดจะตัดขาดช่องทางเสนอความเห็นของวังหลังเพคะ?” พอนางโบกมือ กลุ่มนางสนมก็ดันไปข้างหน้าอีกครั้ง

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พยักหน้าเบาๆ แล้วแสยะยิ้มไม่หยุด “กบฎแล้วจริงๆ ข้าก็อยากจะเห็นว่าวันนี้ใครจะกล้ากำเริบเสิบสาน ทหาร!”

แกร๊งๆ! เสียงเกราะรบเสียดสีสั่นไหว เสียงรองเท้าโลหะขยับวิ่งบนพื้น

ในประตูวงพระจันทร์ทางซ้ายและขวาข้างหลังนางมีทหารสวรรค์กลุ่มใหญ่พุ่งออกมาทันที มายืนเรียงแถวอยู่ข้างหลังเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แล้วแบ่งเป็นสองกลุ่มออกมาทางซ้ายและขวาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เข้ามาล้อมสนมสวรรค์กลุ่มใหญ่ไว้อย่างรวดเร็ว บนกำแพงก็มีมือธนูโผล่ออกมาตั้งแถวสองแถวพร้อมถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว ลำแสงท่วมท้น ปลายลูกธนูดาวตกเล็งไปยังนางสนมนับหมื่นที่อยู่บนทางขนาบกำแพงวัง บรรยากาศตึงเครียดมาก

กลุ่มนางสนามที่ประชิดเข้ามาหยุดแล้ว แต่ละคนมองหน้ากันเลิกลั่ก มีจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกเครียดมาก หวาดกลัวมาก

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กวาดสายตาควานหาอยู่พักหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เห็นเงาของสนมสวรรค์จ้านหรูอี้ ไม่อย่างนั้นนางจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อฉวยโอกาสนี้เล่นงานอีกฝ่ายให้ตาย ในใจนางเก็บกลั้นความโกรธเอาไว้ แล้วขู่เสียงเย็นว่า “พวกเจ้าจะถอยหรือไม่ถอย?”

ทว่าสนมที่อยู่แถวหน้ากลับทยอยกันคุกเข่า กลุ่มคนกลายเป็นเหมือนกระแสคลื่นทันที ทยอยกันนั่งคุกเข่า สนมนับหมื่นไม่มีขาดไปสักคน ทั้งหมดทั้งคุกเข่าแล้ว ใช้วิธีคุกเข่ายอมจำนนเพื่อแสดงท่าทีว่าไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่ไม่ใช่การถอยไปข้างหลัง และไม่พูดอะไรด้วย พวกนางต่อต้านเงียบๆ อยู่อย่างนั้น

ปล่อยให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขู่ไป ไม่สนใจว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะพูดอะไรอีก ก็แค่ไม่สนใจ แต่ต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท

การกระทำนี้ทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โกรธแทบแย่ นางเองก็ไม่มีทางสั่งประหารได้ เพราะผู้หญิงเหล่านี้ล้วนเป็นสนมของฝ่าบาท แค่นั่งคุกเข่าเพื่อขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเท่านั้นเอง แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย ถ้านางสั่งให้ลงมือ กองทัพองครักษ์ก็อาจจะไม่เชื่อฟังนาง ต้องทราบไว้ว่านี่ไม่ใช่การสังหารแค่คนสองคน มีแค่การพุ่งชนแนวป้องกันกองทัพองครักษ์จนเป็นภัยคุกคามต่อวังสวรรค์เท่านั้น ทหารองครักษ์ถึงจะสามารถลงมือได้

ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงหลับตาเอนกายอยู่หลังโต๊ะยาว สีหน้ามืดครึ้ม วังหลังมีการเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ จะปิดบังสายตาเขาได้อย่างไร เขาเองก็กำลังครุ่นคิดว่าจะประหารผู้หญิงเหิมเกริมกลุ่มนี้หรือว่าจะใช้วิธีการอื่น

“ฝ่าบาท ราชินีสวรรค์นำทหารไปล้อมคนไว้ในทางระหว่างกำแพงแล้ว…” ซ่างกวนชิงเก็บระฆังดารา แล้วรายงานข้างหูประมุขชิงอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็สังเกตสีหน้าประมุขชิง มองออกแล้วว่าตอนนี้ในใจประมุขชิงเดือดดาลมาก โมโหแล้วจริงๆ บนตัวเผยกลิ่นอายสังหารให้เห็นรางๆ

แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าประมุขชิงรักชื่อเสียง ถ้าสังหารผู้หญิงมากมายขนาดนี้ ผลที่ตามมาก็จะสะเทือนทั้งใต้หล้า จะต้องแบกรับชื่อเสียงว่าโหดเหี้ยมไร้น้ำใจ

“สนมสวรรค์เข้าร่วมด้วยหรือเปล่า?” ประมุขชิงที่กำลังหลับตาเอ่ยถามเสียงเรียบ

“เปล่าขอรับ ในบรรดาคนของสี่ตระกูล มีเพียงสนมสวรรค์ที่ยังอยู่ในตำหนักบูรพา” ซ่างกวนชิงตอบ

“หรูอี้ก็นิสัยแบบนั้น ตระกูลอิ๋งบงการนางได้ยาก ลองมองไปทั้งวังหลัง ก็มีแค่นางที่ประพฤติตนเหมาะสม” ประมุขชิงลืมตาพูดอย่างค่อนข้างชื่นชม จากนั้นก็เคาะข้อนิ้วบนโต๊ะเป็นจังหวะ “ตระกูลพวกนั้นกำลังหยั่งท่าทีข้าอยู่เหรอ”

ในขณะนี้เอง ทูตตรวจการขวาเกาก้วนก็เดินก้าวยาวเข้ามาพร้อมชุดคลุมสีดำ มาหยุดยืนอยู่เบื้องล่างแล้วทำความเคารพ “คารวะฝ่าบาท”

ประมุขชิงยืนขึ้นแล้วเดินอ้อมออกจากโต๊ะยาว เดินก้าวยาวออกไปนอกตำหนัก “ไปเถอะ! ไปดูสักหน่อย”

ผ่านไปไม่นาน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่และกำลังพลที่ปิดล้อมก็หลีกเปิดเส้นทางให้ทางหนึ่ง ประมุขชิงนำซ่างกวนชิงกับเกาก้วนเดินเข้ามาแล้ว ส่วนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็หลีกไปยืนด้านข้างแล้วย่อเข่าทำความเคารพ “หม่อมฉันคำนับฝ่าบาท”

เมื่อเห็นประมุขชิงมาแล้ว กลุ่มผู้หญิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็พากันน้อมคำนับ “ฝ่าบาท!”

บางคนถึงขั้นเริ่มร้องไห้แล้ว เหมือนได้รับความอยุติธรรมอย่างใหญ่หลวง

ประมุขชิงกวาดสายตามองกลุ่มนางสนม พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เป็นอะไรกันไปหมดแล้ว พากันคุกเข่าทำไม? ทุกคนลุกขึ้นเถอะ” ท่าทางแตกต่างกับคนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารก่อนหน้านี้ราวกับเป็นคนละคร

“ฝ่าบาท…” มีคนเริ่มร้องไห้ทันที ยังไม่มีใครยืนขึ้น สนมหันกล่าวเสียงสะอื้นว่า “ฝ่าบาท พวกพี่น้องแค่อยากจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่ราชินีสวรรค์กลับขวางไม่ให้พวกหม่อมฉันเข้าเฝ้าฝ่าบาท ทั้งยังให้ทหารล้อมพวกหม่อมฉันไว้ด้วยเพคะ”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดือดดาลทันที ชี้นางพลางตะคอกว่า “พูดจาเหลวไหล คนเยอะขนาดนี้เกรียวกราวไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทมันใช่เรื่องเหรอ? ข้าแค่บอกให้พวกเจ้าส่งตัวแทนมา แต่พวกเจ้าเองที่ดึงดันจะต่อต้านให้ได้ วังหลังนี้ยังมีกฎระเบียบอยู่หรือเปล่า?”

“อย่างนั้นเหรอ?” ประมุขชิงเอียงหน้าถามแม่ทัพที่อยู่ข้างกาย

ทหารคนนั้นกุมหมัดคารวะพร้อมรายงานสถานการณ์ทันที

ประมุขชิงฟังจบแล้วพยักหน้าเบาๆ เขามายืนข้างกายเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แล้วบอกกลุ่มผู้หญิงที่กำลังคุกเข่าว่า “ราชินีสวรรค์เป็นมประมุขของวังหลัง ที่รักษาระเบียบของวังหลังก็สมเหตุสมผล ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม นี่พวกเจ้ากำลังพาลหาเรื่องโดยไร้เหตุผลงั้นหรือ?”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ยืดเอวขึ้นมาแล้ว กวาดสายตามองทางซ้ายและขวา

“ไม่ใช่ว่าพวกหม่อมฉันพาลหาเรื่อง แต่เดิมทีพวกหม่อมฉันต้องการจะร้องเรียนฝ่าบาทเรื่องราชินีสวรรค์เพคะ ราชินีสวรรค์ห้ามไว้ พวกเราไม่มีที่ให้ร้องขอความเป็นธรรมแล้วเพคะ!” สนมจ้าวกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก

“ร้องขอความเป็นธรรม?” ประมุขชิงเลิกคิ้วถาม “ได้รับความไม่เป็นธรรมอะไร?”

สนมจ้าวกล่าวอย่างปวดใจว่า “ฝ่าบาท น้องสาวฝาแฝดของหม่อมฉันเที่ยวเล่นที่อุทยานหลวง เพียงแต่มีอยู่ครั้งหนึ่งไม่ได้สังเกตเห็นว่าราชินีสวรรค์เสด็จมา จึงถูกราชินีสวรรค์ลงโทษจนตายด้วยข้อหาไร้มารยาท นางตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ฝ่าบาทได้โปรดทวงความเป็นธรรมให้ด้วยเพคะ” นางหมอบพื้นพลางร้องไห้

“ฝ่าบาท สนมซ่งก็ถูกราชินีสวรรค์ลงโทษจนตายด้วยเหตุผลเดียวกันเพคะ”

“ฝ่าบาท สนมจินแค่รู้สึกว่าทหารยามที่มาใหม่แปลกหน้า จึงมองหน้าหลายครั้ง แล้วนางก็ถูกราชินีสวรรค์ลงโทษจนตายด้วยข้อหามีมลทินเพคะ”

“ฝ่าบาท ตอนสนมเมิ่งม้วนแขนเสื้อเล่นน้ำที่สระน้ำหยกแล้วเผยแขนออกมานิดหน่อย ราชินีสวรรค์ก็ลงโทษจนตายด้วยข้อหาว่ามีมลทินเหมือนกันเพคะ”

เสียงร้องเรียนดังต่อเนื่องเป็นระลอก ข้อหาอะไรก็ล้วนมีหมด ทหารยามที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินแล้วแอบเกาะลิ้น ไม่ว่าข้อหาพวกนี้จะเป็นความจริงหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก็พบว่าสนมวังหลังที่ตายด้วยน้ำมือราชินีสวรรค์มีไม่น้อยเลยจริงๆ

คำประณามที่ปะทุพร้อมกันแบบนี้ทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โกรธจนหน้าเขียว ตอนนี้เพิ่งตระหนักได้ว่านางแพศยาพวกนี้ที่แท้แล้วพุ่งเป้ามาที่ตน

“ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินว่าราชินีสวรรค์ถือวิสาสะสั่งหนิวโหย่วเต๋อหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล สั่งให้ฆ่าคน จับคน ปิดร้าน ปล้นสินค้าอย่างอุกอาจที่ตลาดสวรรค์โดยไร้ข้อหา”

“ฝ่าบาท หม่อมฉันก็ได้ยินว่าราชินีสวรรค์แอบสั่งให้หนิวโหย่วเต๋อรีดไถสมบัติ สมบัติที่รีดไถได้แอบส่งเข้าตำหนักนารีสวรรค์เพคะ”

แล้วก็มีคำประณามเกี่ยวกับเรื่องของตลาดสวรรค์ในช่วงนี้ถล่มไปที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อย่างต่อเนื่องอีก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำหมัดสองข้าง กัดฟันกรอดด้วยความแค้น

การฟ้องร้องแต่ละเรื่องช่างมากมายจนนับไม่ไหวจริงๆ ถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไป ก็ไม่รู้ว่าจะพูดไปถึงเมื่อไร

“พอแล้ว!” ประมุขชิงยกมือห้าม ห้ามไม่ให้กลุ่มสนมฟ้องร้องต่อไป แล้วหันกลับมาถามเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ว่า “ราชินีสวรรค์ ที่พวกนางพูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?”

“หม่อมฉันถูกใส่ร้ายเพคะ!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตอบอย่างโกรธแค้น

ประมุขชิงกวักมือ ซ่างกวนชิงก้าวขึ้นมาข้างหน้า จากนั้นประมุขชิงก็บอกว่า “กักบริเวณราชินีสวรรค์ไว้ที่ตำหนักนารีสวรรค์เดี๋ยวนี้ หากยังสืบเรื่องนี้ได้ไม่ชัดเจน ก็ห้ามออกจากตำหนักนารีสวรรค์โดยไม่ได้รับอนุญาต ให้สนมสวรรค์คุมกฎของวังหลังชั่วคราว”

“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ

กำลังจะมอบอำนาจในวังหลังให้จ้านหรูอี้เหรอ? เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตกใจจนหน้าถอดสี ในใจหวาดกลัวถึงขีดสุด “ฝ่าบาท หม่อมฉันถูกใส่ร้ายเพคะ! หม่อมฉัน…”

“พอแล้ว!” ประมุขชิงตะคอก ขู่ให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตกใจจนไม่พูดต่อ โบกมือสั่งว่า “พาตัวไป!”

มีแม่ทัพสองคนเข้ามายื่นมือเชิญเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทันที นางกัดริมฝีปากแน่นจนเกือบเลือดไหล มองกลุ่มนางสนมด้วยสายตาแค้นเคืองสุดขีด ก่อนจะก้มหน้าเงียบๆ ขณะถูกพาตัวไป

เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกันเหรอ? สนมจำนวนไม่น้อยที่กำลังคุกเข่ามีความแค้นกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ พวกนางแอบหัวเราะเยาะ เมื่อได้เห็นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เสียหน้าต่อหน้าฝูงชนแล้วสะใจจริงๆ

ประมุขชิงเอียงหน้านี้ “เกาก้วน เรื่องนี้เจ้าต้องตรวจสอบด้วยตัวเอง!”

“รับทราบ!” เกาก้วนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง

ประมุขชิงบอกกับกลุ่มสนมที่นั่งคุกเข่าอีกว่า “ถ้าได้รับความไม่เป็นธรรมอะไรก็ส่งหนังสือให้ผู้การซ่างกวนได้ มีอย่างที่ไหนมานั่งคุกเข่าร้องไห้? แต่ละคนยังมียางอายกันอยู่มั้ย? ให้เวลาพวกเจ้าแยกย้ายภายในสิบห้านาที…” จากนั้นหันกลับมาบอกทหารที่อยู่ข้างๆ อีกว่า “หลังจากนี้สิบห้านาที ถ้ายังมีคนอยู่ที่นี่ต่อจนวังหลังเสียระเบียบอีก ไม่ว่าจะเป็นใคร ให้ลงโทษในข้อหาขัดบัญชา ฆ่า!”

“รับทราบ!” ทหารกุมหมัดคารวะเอ่ยรับเสียงดัง จากนั้นหันตัวไปโบกมือ กำลังพลที่อุดทางข้างหลังไว้รีบแยกออกเป็นสองฝั่ง เปิดทางถอยกลับให้สนมกลุ่มนี้

ส่วนประมุขชิงก็หันเลี้ยวเดินจากไปเลย

……………

จากนั้นก็หันตัวมา แล้วบอกโกวเยว่อีกว่า “เจ้าหาทางติดต่อหนิวโหย่วเต๋อเดี๋ยวนี้ ทำให้เขาหยุดเดี๋ยวนี้ บอกเขาว่าเลิกก่อเรื่องได้แล้ว เขาก็จะบรรลุเป้าหมายเช่นกัน! ขอเพียงเขายอมหยุด ข้าก็จะยอมเป็นคนกลางรับประกันให้ รับประกันว่าเรื่องก่อนหน้านี้จะผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือตระกูลอิ๋งก็จะไม่ลงมือกับเขาอีก!”

“รับทราบ!” โกวเยว่เอ่ยรับ

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง

ตอนนี้อิ๋งจิ่วกวงยืนนเงียบๆ อยู่ข้างโต๊ะยาว อารมณ์สงบเยือกเย็น มีหมึกดำบนกระดาษขาว กำลังถือพู่กันวาดอย่างละเอียดละออ วาดภาพสตรีภาพหนึ่ง สีหน้าท่าทางของผู้หญิงสมจริงเป็นพิเศษ

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แม้แต่จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็ตระหนักได้ว่าท่านอ๋องกำลังเผชิญกับวิกฤติอันใหญ่หลวง ทว่าอิ๋งจิ่วกวงกลับดูใจเย็นสุขุมเป็นพิเศษ

จั่วเอ๋อร์กำลังรายงานข่าวอยู่ข้างๆ ถ่ายทอดคำสั่งของอ๋องท่านอื่นที่แจกจ่ายงานลงไป กำลังพลของทัพใต้กำลังเร่งตามมา กำลังพลของทัพตะวันตกกำลังเร่งตามมา กำลังพลของทัพเหนือก็กำลังเร่งตามมาเช่นกัน สี่ทัพกำลังจับตาดูทิศทางการเคลื่อนไหวของกองทัพองครักษ์อย่างเข้มงวด ตอนนี้ยังไม่พบความผิดปกติอะไร

“อืม!” อิ๋งจิ่วกวงฟังจบแล้วพยักหน้า พู่กันในมือยังวาดภาพต่อไป ถามว่า “สถานการณ์ในบ้านเป็นยังไงบ้าง?”

“คงจะได้ยินอะไรกันมาบ้างแล้ว ทุกคนสงบเงียบมากไม่ก้าวเท้าออกจากบ้านเลย ไม่กล้าสร้างปัญหาให้ท่านอ๋องค่ะ” จั่วเอ๋อร์รายงาน

อิ๋งจิ่วกวงกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “บอกพวกเขา อย่าทำตัวไร้ชีวิตชีวาเหมือนในบ้านมีคนตาย ควรจะดื่มก็ดื่ม ควรจะเล่นก็เล่น ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่พวกเขาคิด ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำ”

“รับทราบ!” จั่วเอ๋อร์เอ่ยรับคำสั่งแล้วเดินออกจากห้องหนังสือ พอมาถึงข้างนอกก็เรียกคนคนหนึ่งเข้ามา ให้เขาถ่ายทอดประสงค์ของอิ๋งจิ่วกวงลงไป

ตระกูลหวงฝู่ หลังจากหวงฝู่ตวนหรงกลับมาจากบ้านเดิม ก็เดินหน้าตึงเข้ามาในบ้านของตัวเอง

บนเก้าอี้นอนใต้ต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่ง อู่หนิงกำลังนอนเชยชมสมุดภาพเล่มหนึ่งอย่างเอื่อยเฉื่อย แสงแดดหลายสายลอดผ่านเงาของต้นไม้

หวงฝู่ตวนหรงที่เดินมาตรงหน้าจ้องเขาครู่หนึ่ง นางนั่งลงแล้วโค้งตัวกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “นอนขยับไปหน่อย”

อู่หนิงขยับขาเข้ามาข้างในเล็กน้อยเพื่อเว้นที่ให้ จากนั้นวางสมุดภาพไว้บนหน้าอก ชำเลืองหวงฝู่ตวนหรงพร้อมถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ท่านปู่ตำหนิเจ้าอีกแล้วเหรอ?”

หวงฝู่ตวนหรงถลึงตาจ้องเขา “อยู่ดีๆ จะมาตำหนิข้าทำไม? เจ้าอยากให้ข้าโดนตำหนิแทบแย่แล้วใช่มั้ย?”

“จะเป็นไปได้ยังไง ข้าก็ต้องอยากให้เจ้ามีความุขสิถึงจะถูก” อู่หนิงกล่าวรับประกันอย่างจริงจัง จากนั้นก็ถามอย่างแปลกใจอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะทำหน้าตึงทำไม?”

“เฮ้อ! เจ้าหนิวโหย่วเต๋อนั่นก่อเรื่องอีกแล้ว นายท่านเรียกข้าไปถามว่าสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง เจ้าหนุ่มนั่นปิดตลาดสวรรค์แล้ว ทั้งยังยึดทรัพย์ร้านค้าของตระกูลอิ๋งแล้วด้วย…” หวงฝู่ตวนหรงเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง

“เหมือนโหรวโหรวจะยังอยู่ที่ตลาดสวรรค์นะ นางไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?” อู่หนิงถามด้วยสีหน้าจริงจัง

“ไม่มีอะไร เขาสู้กับตระกูลอิ๋ง ไม่ลามมาแตะต้องสมาคมวีรชน” หวงฝู่ตวนหรงส่ายหน้า

หลังจากอู่หนิงไตร่ตรองเล็กน้อย ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยึดทรัพย์ก็ยึดทรัพย์สิ เกี่ยวอะไรกับพวกเรา? เจ้าจะไปสนใจหนิวโหย่วเต๋อทำไม ข้าว่าเจ้าคงไม่ได้ชอบเขาหรอกใช่มั้ย?”

“มารดาเจ้าสิ เหลวไหล!” หวงฝู่ตวนหรงราวกับแมวโดนเหยียบหา ถลึงตากลมโตราวกับจะพ่นไฟออกมา ใช้สองมือบิดเอวอู่หนิงราวกับจะบิดให้ถึงตาย

“ไอ๊หยา…” อู่หนิงขอร้องซ้ำๆ

โดนทำโทษอย่างรุนแรงไปยกหนึ่ง หลังจากหยุดมือแล้ว หวงฝู่ตวนหรงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เจ้าหนุ่มนี่ช่างขยันก่อเรื่องจริงๆ!”

ความรู้สึกในใจนางคือทั้งรักทั้งแค้น รักเพราะพบว่าลูกสาวตัวเองสายตาไม่เลวเลยจริงๆ ความสามารถของ ‘ลูกเขย’ คนนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงเลย แค่เรื่องรับสมัครคนที่ตลาดผีในปีนั้นก็ทำให้นางรู้สึกทึ่งแล้ว ตอนนี้ผลงานการรบที่สระน้ำมังกรดำก็ทำให้นางทึ่งอีก ‘ลูกเขย’ คนนี้ถ้าพาออกไปที่ไหนก็สามารถโอ้อวดได้เลย

ที่แค้นก็เพราะนางไม่สามารถพา ‘ลูกเขย’ ออกไปโอ้อวดได้ ยิ่งเป็นผู้ชายที่มีความสามารถก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่ ยิ่งเก่งมากก็ยิ่งดึงดูดความตายมาสู่ลูกสาวนาง ทั้งยังทำลายชีวิตการแต่งงานของลูกสาวนางอีก

ที่น่าแค้นกว่านั้นก็คือ ที่กล่าวมาข้างต้นก็ว่าหนักแล้ว แต่เจ้าหนุ่มนี่ก็ยังก่อเรื่องเก่งอีก แนวโน้มสถานการณ์ที่สระน้ำมังกรดำยังไม่ทันลดลง เขาก็ไปมีเรื่องกับตระกูลก่วงอีกแล้ว จากนั้นก็มาสมคบกับตระกูลเซี่ยโห้วก่อเรื่องใหญ่โตอีก หยุดพักบ้างได้ไหม? นางคิดว่าลูกสาวตัวเองอาจจะอกสั่นขวัญแขวนแล้วก็ได้ การเผชิญกับผู้ชายประเภทนี้ ลูกสาวนางนับว่าชะตาลำเค็ญมากทีเดียว

นางเองก็เข้าใจสิ่งที่เหมียวอี้ทำเช่นกัน รู้ว่าตระกูลอิ๋งไม่มีทางปล่อยเขาไป ตอนนี้เขากำลังชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ ถ้าสามารถผ่านภัยพิบัติครั้งนี้ไปได้อย่างราบรื่น ต้นทุนบางอย่างที่มองไม่เห็นก็จะเพิ่มสูงขึ้นอีกระดับ…สรุปก็คือไม่ว่าจะดีจะร้ายอย่างไรก็ทำให้นางคิดวนเวียนไม่หยุด

นางหันกลับมาตบเอวอู่หนิงที่กำลังนวดเอวอีกฉาด แล้วถามว่า “เจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนยังไง?”

อู่หนิงแปลกใจ “เจ้าจะทำอะไรล่ะ? ดีแล้วยังไง เลวแล้วยังไง พวกเราเลือกเขามาเป็นลูกเขยไม่ได้อยู่แล้ว เจ้าจะไปสนใจสุ่มสี่สุ่มห้าทำไม?”

หวงฝู่ตวนหรงหัวใจกระตุกวูบเพราะคำพูดของเขา จึงหาข้ออ้างตอบว่า “ข้ากลัวว่าในภายหลังเบื้องบนจะให้สมาคมวีรชนจับตาดูเขา ข้าก็เลยให้เจ้าช่วยวิเคราะห์สักหน่อย ในใจจะได้มีความมั่นใจไงล่ะ”

เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้ อู่หนิงก็เอนกายลงอย่างสงบใจอีกครั้ง หลังจากครุ่นคิดด้วยสีหน้าจริงจังครู่หนึ่ง ก็บอกว่า “เชี่ยวชาญการรบ เป็นแม่ทัพที่มีความสามารถจริงๆ ทั้งยังไม่ขาดการใช้เล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลงสถานการณ์ ถ้าไม่ติดว่าทำอะไรซี้ซั้ว อนาคตก็ไร้ขีดจำกัด แม้ในเรื่องผู้หญิงจะมีข้อบกพร่องไปบ้าง แต่ถ้าเทียบกับคนอื่นที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกับเขา เท่านี้ก็นับว่าดีมากแล้ว พูดตามตรง ถ้าได้มาเป็นลูกเขย ข้าก็ยินดีต้อนรับนะ แต่เจ้าเองก็รู้ คนที่อยู่ในระดับเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่”

ประโยคสุดท้ายให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเตือน สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร แค่รู้สึกว่าอารมณ์ของหวงฝู่ตวนหรงแปลกๆ นิดหน่อย เขาสงสัยว่าฮูหยินของตัวเองจะอยากได้หนิวโหย่วเต๋อเป็นลูกเขยแล้วจริงๆ ของดีๆ จะมีใครไม่อยากเก็บไว้ในบ้านตัวเองบ้างล่ะ ผู้หญิงที่มีลูกสาวล้วนอยากได้ลูกเขยดีๆ ไว้ประดับเกียรติตัวเองทั้งนั้น

เมื่อเห็นว่าสามีก็ชอบหนิวโหย่วเต๋อเหมือนกัน ในใจหวงฝู่ตวนหรงก็ดีใจมาก แต่ก็ต้องรู้สึกหดหู่อีกครั้ง ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “อู่หนิง เรื่องบางเรื่องพวกเราก็รู้อยู่แก่ใจ สมมุติว่า…สมมุติ…”

อู่หนิงเอามือลูบหลังนาง แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “สมมุติว่าอะไร?”

หวงฝู่ตวนหรงหันกลับมาจ้องตาเขา “สมมุติว่าวันหนึ่ง เบื้องบนจะกวาดล้างสมาคมวีรชน ไม่อยากเก็บตระกูลหวงฝู่ไว้แล้ว เจ้าจะยืนอยู่ฝั่งไหน? ความเป็นความตายของข้ากับโหรวโหรว…” นางพูดไม่ค่อยออก เริ่มสังเกตเห็นว่าอู่หนิงมีสีหน้าหดหู่ลง…

ในตึกศาลา เหมียวอี้เก็บระฆังดาราในมือ แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน

“นายท่าน หรือว่าจะเจรจาสันติอีกแล้ว?” หยางเจาชิงถามหยั่งเชิง

ขณะมองไปนอกหน้าต่าง เหมียวอี้เอาสองมือไขว้หลัง “นอกจากตระกูลอิ๋งแล้ว ข้าก็อยากจะเจรจาสันติตระกูลโค่ว ตระกูลก่วง ตระกูลฮ่าว แต่ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับตระกูลอิ๋งไปถึงขั้นที่ไม่ตายไม่เลิกแล้ว ถ้าให้ตระกูลอิ๋งได้พักหายใจ เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็พูดยาก ถ้าไม่ตัดรากถอนโคน จะต้องกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตแน่นอน!”

หยางเจาชิงพยักหน้าเงียบๆ

เหมียวอี้หยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา หลังจากสื่อสารกันอยู่พักหนึ่ง ก็วางระฆังดาราแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “เซี่ยโห้วลิ่งส่งข่าวมาเตือน ในอาณาเขตสี่ทัพมีกำลังพลเดินทางมาที่ตลาดสวรรค์แล้ว! ให้เบื้องล่างคงการติดต่อกันเอาไว้ ถ้าเกิดเรื่องอะไรให้รายงานขึ้นมาทุกเมื่อ!”

“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ เขารู้สึกได้ถึงความกดดันในน้ำเสียงของเหมียวอี้ รู้ด้วยว่านี่คือช่วงที่อันตรายที่สุดในแผนการ ถ้าทัพใหญ่โจมตีเมืองเมื่อไร ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากจินตนาการถึง

เหมียวอี้สีหน้าเรียบเฉย แต่เริ่มรู้สึกเครียดแล้ว ถ้าฝั่งประมุขชิงลงมือกับอิ๋งจิ่วกวงไม่ทันเวลา สี่อ๋องสวรรค์ก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ถ้าถ่วงเวลานานไปก็จะอันตรายมาก ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดสถานการณ์อะไรขึ้น!

หยางเจาชิงที่แจกจ่ายงานแล้วเปลี่ยนมาถือระฆังดาราอีกอัน ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน เขาเองก็ยิ้มเจื่อนเล็กน้อย

เหมียวอี้ชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “เป็นอะไรไป”

“หยางชิ่งขอรับ เขาคงจะได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นฝั่งนี้บ้างแล้ว เหมือนจะไม่ค่อยพอใจกับสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือแผนการ” หยางเจาชิงตอบ

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ รู้ว่าน่าจะหมายถึงเรื่องของสำนักลมปราณ

แดนอเวจี หยางชิ่งที่ยืนอยู่ริมหน้าผาเก็บระฆังดาราแล้ว จากนั้นเดินไปเดินมาเงียบๆ ผ้าคลุมข้างหลังปลิวสะบัดอย่างรุนแรง แล้วพลิกมือหยิบระฆังดาราอีกอันออกมา

พิภพเล็ก ในป่าที่มืดครึ้มวังเวงแห่งหนึ่งนอกตำหนักประมุขดาวกลาง ฉินซีที่มาคนเดียวกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในป่า

พอได้รับข้อความจากหยางชิ่ง ฉินซีก็ตอบทันทีว่า : ข้าอยู่ห่างจากตำหนักดาวไม่ไกล มาเจอกับฟางเหลียวได้ทุกเมื่อ

หยางชิ่ง : ตอนนี้หยางเจาชิงอยู่ข้างกายเหมียวอี้ สามารถทำตามที่ข้าบอกได้แล้ว

ฉินซี : ถ้ามีคนได้ยินแล้วไม่รู้สึกอะไรล่ะ ทำได้จริงเหรอ?

หยางชิ่ง : ทำตามที่ข้าบอกก็พอ ตอนนี้เลย อย่าถ่วงเวลาอีก ถ้าเกินเวลาจะไม่ได้ผล ทำเดี๋ยวนี้!

ฉินซี : ก็ได้!

ใช้เวลาไม่นาน ก็มีคนทางตำหนักประมุขดาวกลางคนหนึ่งเหาะมา เป็นหัวหน้าที่รับผิดชอบเฝ้าจูเก๋อชิง ชื่อว่าฟางเหลียว

พอใช้สายตามองหาจนเจอฉินซี ฟางเหลียวก็ถลันตัวมาตรงหน้า แล้วทำความเคารพ “คำนับฮูหยิน!” เขาอดไม่ได้ที่จะแอบมองฉินซีสองครั้ง เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้สวยเกินไปจริงๆ

“เจ้าติดต่อหยางเจาชิงแล้วรายงานสถานการณ์เดี๋ยวนี้ บอกว่าจูเก๋อชิงปีนขึ้นร้องเพลงบนหลังคา จำไว้นะ ตอนรายงานต้องบอกว่านางปีนขึ้นบนหลังคา อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เข้าใจมั้ย?” ฉินซีถาม

“รับทราบ!” ฟางเหลียวเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาปฏิบัติตามทันที

ฉินเวยเวยคุมพิภพเล็กมาหลายปี มิหนำซ้ำยังมีหยางชิ่งวางแผนอยู่เบื้องหลัง ถ้าฉินซีคิดจะควบคุมตัวละครเล็กๆ สักคนก็ย่อมสบายมาก

หลังจากรายงานอย่างเรียบง่ายแล้ว ฟางเหลียวก็เก็บระฆังดาราแล้วตอบว่า “ฮูหยิน เรียบร้อยแล้ว”

ฉินซีพยักหน้า หลังจากโบกมือให้เขาถอยออกไปแล้ว ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่งอีกครั้ง : จัดการตามที่เจ้าบอกเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องปิดปากฟางเหลียวจริงเหรอ?

หยางชิ่ง : ตอนนี้ยังไม่ต้อง เหมียวอี้จะไปใส่ใจอะไรกับฟางเหลียวคนเดียว ฟางเหลียวเองก็เข้าใจว่าต้องพึ่งพาใครถึงจะมีอนาคต มิหนำซ้ำก็ไม่ได้ให้เขาทำอะไร แค่ให้เขารายงานตามปกติเท่านั้นเอง ถ้าเจ้าปิดปากเขาตอนนี้ก็มีแต่จะทำให้เหมียวอี้สงสัย แต่เพื่อปกป้องภัยพิบัติในอนาคต รอให้ผ่านไปหลายๆ ปีจนทุกคนลืมแล้วค่อยว่ากัน เจ้าจำไว้นะ จะให้เวยเวยรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด!

ฉินซี : เข้าใจแล้ว

ริมหน้าผา หยางชิ่งสะบัดผ้าคลุม เดินก้าวยาวกลับเข้าไปในตำหนักปราชญ์

ในตึกศาลาของตำหนักคุ้มเมือง หยางเจาชิงเก็บระฆังดาราเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร

“เป็นอะไรไป?” เหมียวอี้เหล่ตามองแล้วถามอีก

หยางเจาชิงรู้ว่าตอนนี้เหมียวอี้กดดันมาก ตอนนี้ไม่ควรให้เสียสมาธิเพราะเรื่องในบ้าน เดิมทีเตรียมจะรายงานเรื่องนี้ทีหลัง ทว่าเมื่อถูกถาม ก็ทำได้เพียงตอบตามความจริง “คนเฝ้าตำหนักประมุขดาวกลางทางพิภพเล็กส่งข่าวมาขอรับ บอกว่าจูเก๋อชิงปีนขึ้นไปร้องเพลงบนหลังคา เขาไม่ได้บอกอะไรอย่างอื่น”

เดิมทีเหยียนซิวเป็นคนดูแลเรื่องที่ตำหนักประมุขดาวกลาง ในปีนั้นเนื่องจากเหยียนซิวแอบฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง เรื่องนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของหยางเจาชิง สาเหตุที่เหมียวอี้ให้คนสนิทข้างกายดูแลเรื่องนี้ ก็เพราะกลัวว่าจะมีคนแอบฆ่าจูเก๋อชิง ถึงอย่างไรก็มีไมตรีร่วมกันหนึ่งคืน

“ร้องเพลว? ทั้งยังปีนขึ้นไปร้องเพลงบนหลังคาด้วยเหรอ?” เหมียวอี้เอ่ยถาม

“ขอรับ!” หยางเจาชิงพยักหน้า

เหมียวอี้สีหน้ามืดครึ้มลงในชั่วพริบตาเดียว สุดท้ายก็หลับตาลงช้าๆ กล้ามเนื้อบนใบหน้าขยุกขยิก กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ประทานสุราพิษให้นางหนึ่งจอก!”

“…” หยางเจาชิงตะลึงงัน “นายท่านบอกว่า…”

“ประทานสุราพิษให้นางหนึ่งจอก!” เหมียวอี้ย้ำอีกครั้ง

หยางเจาชิงตกใจมาก รีบบอกว่า “นายท่าน จูเก๋อชิงร้องเพลงอยู่ในตำหนักดาวกลางเป็นเรื่องปกติมาก ท่านเองก็รู้ ส่งเรื่องนี้ให้ฮูหยินจัดการดีมั้ยขอรับ? ข้าน้อยจะติดต่อฮูหยินเดี๋ยวนี้…”

เหมียวอี้พลันหันกลับมาจ้องเขา สายตาเย็นเยียบดุร้าย!

สุดท้ายหยางเจาชิงก็กุมหมัดคารวะ “ขอรับ!”

……………

เหมียวอี้ : ไม่ใช่ว่าข้าเล่นลูกไม้อะไร แต่ตอนนี้ข้ากังวลสุดๆ ว่าท่านปู่สวรรค์จะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งหรือเปล่า เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ตอนนี้ถือว่าท่านปู่สวรรค์บรรลุเป้าหมายแล้ว ท่านปู่สวรรค์สามารถถอนตัวได้ทุกเมื่อ ถ้าท่านปู่สวรรค์สั่งให้เบื้องล่างหยุดมือขึ้นมา พี่น้องของข้าก็จะไม่มีแม้แต่คนช่วยทำธุระให้ด้วยซ้ำ อาศัยคนแค่ไม่เท่าไร ถ้าคิดจะคุมทั้งตลาดสวรรค์ก็อันตรายมาก ถ้าไม่ระวังนิดเดียวก็จะมีคนฉวยโอกาสปลุกระดมคนที่ตลาดสวรรค์ให้โต้ตอบ ทัพใหญ่แดนอเวจีของข้าก็จะตายหมดทันที!

เซี่ยโห้วลิ่ง : เจ้าวางใจเถอะ เรื่องนี้ยังไม่จบ คนของข้ายังให้ความร่วมมือกับเจ้าอยู่

เหมียวอี้ถามกลับ : ท่านปู่สวรรค์ต้องนึกถึงใจเขาใจเรา ถ้าเปลี่ยนให้ข้าพูดแบบนี้บ้าง ท่านจะวางใจหรือเปล่า?

เซี่ยโห้วลิ่ง : ข้าไม่เชื่อหรอกว่าก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้คาดเดาสถานการณ์ไว้เลย จู่ๆ ตอนนี้ก็มาเอ่ยถึงเรื่องนี้…เจ้าอย่าอ้อมค้อมเลยดีกว่า มีอะไรก็พูดมาตรงๆ

เหมียวอี้ : ก่อนหน้านี้ข้าคาดเดาไว้แล้ว แต่ข้าไม่มีทางเลือก เพราะในมือข้าหากำลังพลที่คอยช่วยเหลือไม่ได้จริงๆ ทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่คำสัญญาอันมีค่าดั่งทองของท่านปู่สวรรค์ ตอนนี้ข้ามีความคิดบางอย่างแล้วจริงๆ หวังว่าท่านปู่สวรรค์จะช่วยให้สมปรารถนา

เซี่ยโห้วลิ่ง : มีความคิดอะไร? ข้าแนะนำว่าอย่ามาเล่นลูกไม้

เหมียวอี้ : เรียกว่าเล่นลูกไม้ไม่ได้หรอก เมื่อครู่ข้าเพิ่งเจอกับอวี้หลิงเจ้าสำนักลมปราณ บังเอิญว่าสำนักลมปราณมีลูกมืออยู่ตามตลาดสวรรค์พอดี ข้าเลยลองขอให้สำนักลมปราณช่วยข้าอีกแรง ไม่ปิดบังท่านปู่สวรรค์นะ ข้ามีความสัมพันธ์อันดีกับกับสำนักลมปราณมาโดยตลอด ตอนนี้ปรมาจารย์ที่บุกเบิกสำนักลมปราณก็ทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาของข้า ดังนั้นใช้งานคนของสำนักลมปราณแล้วข้าวางใจมาก ปัญหาเดียวตอนนี้ก็คือ สำนักลมปราณมีความหวาดระแวง ถึงยังไงตระกูลอิ๋งก็เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของร้านขายของชำซื่อตรง ถ้าจะให้พวกเขาเข้าข้างฝ่ายอื่น พวกเขาก็ทำไม่ได้หรอก แล้วข้าก็ไม่สะดวกจะบอกพวกเขาด้วยว่าตระกูลอิ๋งกำลังจะล้มสลาย ดังนั้นจึงอยากขอให้ท่านปู่สวรรค์ช่วย

เซี่ยโห้วลิ่งงุนงงเล็กน้อย ไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอะไร จึงถามอย่างสงสัยว่า : เจ้าหมายถึง จะให้ข้าช่วยโน้มน้าวให้สำนักลมปราณหายระแวงเหรอ?

เหมียวอี้ : สิ่งนี้อาศัยแค่การโน้มน้าวแล้วไม่ได้ผลเลย ไม่อย่างนั้นแล้ว อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับสำนักลมปราณ ข้าโน้มน้าวเองได้ผลกว่าท่านปู่สวรรค์อีก ตอนนี้วิธีการที่จะให้สำนักลมปราณช่วยข้าได้อย่างชอบธรรม ก็คือให้สำนักลมปราณถอนตัวจากร้านขายของชำซื่อตรงชั่วคราว แต่ข้าก็ไม่อาจทิ้งร้านขายของชำโดยไม่สนใจใยดีได้ แต่ถ้าจะให้ผู้ถือหุ้นคนอื่นมาจบการทำธุรกรรมกับร้านขายของชำ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลโค่ว ตระกูลก่วงหรือตระกูลฮ่าวก็ไม่มีใครตอบตกลงหรอก คิดไปคิดมาก็มีแค่มาขอให้ท่านปู่สวรรค์ช่วยแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วมีคนอยู่ตามตลาดสวรรค์พอดี ทั้งยังเป็นคนที่ทำการค้าขายจนชำนาญแล้ว ถ้าจะจบธุรกรรมก็สะดวกมาก รอให้แนวโน้มสถานการณ์ผ่านไปแล้ว ตระกูลอิ๋งล่มสลายแล้ว สำนักลมปราณค่อยกลับมาอีกก็ยังไม่สาย

เซี่ยโห้วลิ่ง : เป็นไปไม่ได้

เหมียวอี้ : ดูท่าแล้วคงเป็นอย่างที่ข้าคาดไว้ ท่านปู่สวรรค์เตรียมจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งจริงๆ! ตอนนี้ข้าไม่มีทางถอยแล้ว ในเมื่อท่านปู่สวรรค์ไร้คุณธรรมก่อน ก็อย่าโทษว่าข้าไร้ศีลธรรมก็แล้วกัน!

เซี่ยโห้วลิ่งเดือดดาลในใจ ในเวลาแบบนี้ เจ้าเวรนี่ยังมีแววจะอู้งาน ท่านนั้นของวังสวรรค์ยังไม่เริ่มลงมืเลย!

เซี่ยโห้วลิ่งจำเป็นต้องพูดปลอบใจ : ไม่ใช่ว่าข้าไม่ช่วยเจ้า แต่ร้านขายของชำหนีไม่พ้นสำนักลมปราณหรอก ถ้าพวกเขาไปแล้วไม่กลับมา ตอนหลังข้าจะชี้แจงกับผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ ของร้านขายของชำยังไงล่ะ?

เหมียวอี้ : ถ้าพวกเขาไม่กลับร้านขายของชำแล้วยังจะไปไหนได้อีก? ในร้านขายของชำยังมีหุ้นของพวกเขาอีกครึ่งหนึ่งนะ นั่นไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ตอนนี้สำนักลมปราณมีลูกศิษย์มากขนาดนั้น ถ้าไม่มีช่องทางรายได้จากร้านขายของชำมาสนับสนุน พวกเขาจะเอาอะไรมาเลี้ยงชีพล่ะ? ข้าคงให้ทั้งสำนักลมปราณย้ายเข้ามาอยู่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลไม่ได้หรอกมั้ง ต่อให้ข้าจะตอบตกลง ก็ยังไม่ต้องพูดถึงว่าสำนักลมปราณจะตอบตกลงหรือเปล่า แค่ด่านในที่ประชุมขุนนางก็ไม่ผ่านแล้ว ขอแค่ท่านปู่สวรรค์ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง สำนักลมปราณก็ไม่มีเหตุผลที่จะกลับไป

เซี่ยโห้วลิ่งเริ่มแอบด่าแม่แล้ว เหมียวอี้อ้างสิ่งนี้มาตรวจสอบเขาว่าจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งหรือไม่ ตอนนี้สถานการณ์ภาพรวมยังไม่นิ่ง เขาจำเป็นต้องทำให้เหมียวอี้สงบลงก่อน ต่อให้ไม่อยากรับปากก็คงยาก ที่สำคัญคือขู่หนิวโหย่วเต๋อไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเจ้าบ้านี่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้อีกก็เดิมพันทรัพย์สินในบ้านทั้งหมดไว้แล้ว ไม่ต่างอะไรกับสุนัขบ้าที่โดนบีบให้จนตรอกจนเป็นสุนัขกระโดดกำแพง…

บนตึกศาลา เหมียวอี้ที่นั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้เก็บระฆังดารา แล้วพูดกับศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามที่กำลังมองตนอยู่ด้วยรอยยิ้มว่า “เรียบร้อยแล้ว พวกท่านแจ้งให้คนในร้านขายของชำเตรียมตัวได้เลย ตระกูลเซี่ยโห้วจะส่งคนไปรับงานต่อจากร้านขายของชำเดี๋ยวนี้ จะต้องรีบจบการทำธุรกรรมให้ชัดเจน”

จัดการได้เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ? ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่กอีกครั้ง พบว่ารวดเร็วดุจเทพเกินไปหน่อย เรื่องใหญ่ขนาดนี้ บทจะจัดการได้ก็จัดการได้เลยเหรอ?

ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามแลกเปลี่ยนความเห็นกันครู่หนึ่ง สุดท้ายเจ้าสำนักอวี้หลิงก็พยักหน้าบอกว่า “ดี ทำตามที่ผู้ตรวจการใหญ่วางแผนไว้แล้วกัน”

เหมียวอี้เตือนว่า “ตอนนี้ทุกอย่างต้องรีบเร่ง ตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่รู้บัญชีของร้านขายของชำชัดเจน สิ่งใดที่ตักตวงหรือเอาไปได้ สำนักลมปราณก็ขนไปให้หมด ขอเพียงมีหนังสือจบธุรกรรมชัดเจนแล้ว ถ้าจบเรื่องแล้วมีอะไรเสียหาย ตระกูลเซี่ยโห้วก็ทำได้เพียงฝืนใจยอมรับ”

“…” ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามพูดไม่ออกอย่างถึงที่สุด พบว่าท่านนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ ไม่ใช่แค่สู้กับตระกูลอิ๋ง ทั้งยังสู้กับตระกูลก่วงอย่างเปิดเผย แม้แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็กล้าต่อต้าน ท่านนี้ใจกล้าเกินไปแล้ว

หลังจากเจ้าสำนักอวี้หลิงอึ้งไปครู่หนึ่ง ก็โบกมือซ้ำๆ “ไม่ได้ๆ คนทำการค้าถ้าขาดความน่าเชื่อถือไปแม้แต่นิดเดียว วันหลังจะมีที่ยืนได้ยังไง?”

อวี้ซวีกับอวี้เลี่ยนพยักหน้าเงียบๆ สื่อว่าเห็นด้วย

“…” เหมียวอี้ไม่รู้จะพูดอะไรกับสองท่านนี้ดี เจ้าคิดว่าพอเจ้าจบการทำธุรกรรมชัดเจนแล้วคนอื่นจะไม่ว่าเจ้าเหรอ? เดี๋ยวพอจบเรื่องแล้วตระกูลเซี่ยโห้วพบว่าโดนปั่น ต่อให้ฝืนใจยอมรับไปแล้ว แต่ก็จะต้องปล่อยข่าวแน่ว่าสำนักลมปราณแอบฮุบของในร้านขายของชำ เอาเป็นว่าเลิกคิดไปได้เลยว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรดีๆ สิ่งที่กล่าวหากันลอยๆ เจ้าเองก็หาหลักฐานมาแก้ตัวไม่ได้ แล้วเจ้าก็ทำอะไรตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ด้วย คิดว่าอีกฝ่ายไม่กล้าสาดโคลนเหรอ? ตระกูลเซี่ยโห้วรวยจนน้ำมันจะไหลออกจากตัวอยู่แล้ว มีโอกาสให้ตักตวงแต่กลับไม่เอา จะทิ้งไปอย่างนี้น่ะเหรอ?

แต่เขาก็เข้าใจคุณธรรมประจำสำนักของสำนักลมปราณเป็นอย่างดี รู้ว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดเช่นกัน จึงตามใจพวกเขาแล้ว

ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนหลังก็คือ ร้านค้าของตระกูลเซี่ยโห้วตามตลาดสวรรค์รีบส่งคนไปจบการทำธุรกรรมของร้านขายของชำซื่อตรง บวกกับคนของสำนักลมปราณที่กระจายอยู่ตามตลาดสวรรค์ก่อนหน้านี้ แต่ละแห่งจึงมีคนหลายสิบคนไปช่วยงานคนของเหมียวอี้…

“ฝ่าบาท ทางตลาดสวรรค์ลงมือแล้ว!”

ในตำหนักดาราจักร ซ่างกวนชิงเก็บระฆังดาราแล้วรีบรายงานต่อประมุขชิงที่นั่งเอนกายงีบอยู่บนเก้าอี้

ประมุขชิงพลันลืมตา นั่งตัวตรงแล้วถามว่า “ยืนยันอีกครั้งว่าพวกโพ่จวินเข้าประจำที่แล้วหรือยัง?”

ซ่างกวนชิงรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็รีบรายงานว่า “กำลังพลเข้าประจำที่แล้วขอรับ รอเพียงฝ่าบาทออกคำสั่ง!”

ประมุขชิงใช้สองมือยันโต๊ะยืนขึ้น แล้วแสยะยิ้มบอกว่า “ให้หน่วยตรวจการซ้ายให้ความร่วมมือกับทัพใหญ่ให้ดี บอกพวกเขา ติดต่อเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ ลงมือ!”

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วเขย่าระฆังดาราอีกครั้ง

ประมุขชิงเดินอ้อมออกจากโต๊ะยาว แล้วเดินไปเดินมาอย่างรีบเร่งอยู่ในตำหนักดาราจักร

“อะไรนะ?” โค่วหลิงซวีที่นั่งอยู่ในศาลากลางป่าตะโกนถามอย่างตกใจ

ถังเฮ่อเหนียนยืนยันอีกครั้ง “หนิวโหย่วเต๋ออาศัยชื่อราชินีสวรรค์ อาศัยฐานะทูตลาดตระเวนตลาดสวรรค์ปิดล้อมตลาดสวรรค์แต่ละแห่งเอาไว้ ยึดทรัพย์ในร้านค้าของตระกูลอิ๋งที่อยู่ตามตลาดสวรรค์ ร้านค้าของตระกูลอื่นก็ถูกหนิวโหย่วเต๋อรวมคนมาล้อมไว้เช่นกัน สั่งให้คนในร้านเข้าได้แต่ห้ามออก รวมทั้งคนในร้านค้าของพวกเราด้วย ใครขัดคำสั่งจะถูกลงโทษขอรับ!”

โค่วเจิงส่ายหน้าด้วยความตกใจ “เจ้าเวรนี่บ้าไปแล้วจริงๆ!”

“ไม่ดีแล้ว!” โค่วหลิงซวีที่กำลังครุ่นคิดพลันยืนขึ้น แล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาก “ตลาดสวรรค์คือช่องทางรายได้ที่ใหญ่ที่สุดของแต่ละตระกูล อิ๋งจิ่วกวงจะทนรับความเสียหายนี้ได้ยังไง พอรู้ข่าวแล้วจะต้องส่งทหารไปแน่นอน เดิมทีทัพตะวันออกก็จิตใจว้าวุ่นอยู่แล้ว ถ้ารู้ข่าวความเคลื่อนไหวที่ตลาดสวรรค์อีก จะให้กำลังพลเบื้องล่างคิดยังไง? มีข่าวลือมาก่อน กำลังพลเบื้องล่างจะคิดว่าท่านนั้นของวังสวรรค์ลงมือกับอิ๋งจิ่วกวงแล้ว เดิมทีขวัญกำลังใจทหารก็ไม่มั่นคง ถ้าเผชิญความกดดันเรื่องทำศึกกับกองทัพองครักษ์อีก จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของทัพตะวันออกจะเหลืออยู่สักเท่าไร? สิ่งที่ยุ่งยากที่สุดตอนนี้ก็คือ ถ้าประมุขชิงรู้เรื่องนี้ แล้วจะอดใจไม่ลงมือไหวเหรอ? เซี่ยโห้วลิ่งช่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย เลื่อนแผนการมาจนถึงตอนนี้ เพราะต้องการจะยืมดาบฆ่าคน!”

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว

ฮ่าวเต๋อฟางกำลังนั่งอยู่ในศาลา พอได้ยินข่าวก็ลุกพรวดเช่นกัน ถามเสียงต่ำว่า “บัญชาการกำลังพลในตลาดสวรรค์ไม่ได้เหรอ?”

ซูอวิ้นส่ายหน้า “ติดต่อกำลังพลที่อยู่ระดับล่างสุดของตลาดสวรรค์ไม่ได้เลย คาดว่าคงเข้าสู่สภาวพสงครามแล้ว ถูกควบคุมการใช้ระฆังดารา ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ หนิวโหย่วเต๋อใช้ชื่อราชินีสวรรค์มาขู่ให้พวกพ่อค้ากลุ่มใหญ่ควบคุมคนของเราไม่ให้เคลื่อนไหว!”

เดิมทีสี่ทัพจะให้กำลังพลที่ตลาดสวรรค์ไปควบคุมร้านค้าของตระกูลเซี่ยโห้วไว้ แต่ใครจะคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ตรงกันข้าม กลับเป็นร้านค้าของตระกูลอิ๋งที่ถูกยึดทรัพย์ไปหมด ร้านค้าของแต่ละตระกูลถูกควบคุมไว้ เรื่องแบบนี้ถ้าใครได้เป็นฝ่ายรุก คนนั้นก็จะมีสิทธิ์ในการพูด ตอนนี้เหมียวอี้ควบคุมสถานการณ์ได้ก่อนและประกาศคำสั่งของราชินีสวรรค์แล้ว หลักการเดียวกัน ถ้าสี่ทัพได้อำนาจฝ่ายรุกที่ตลาดสวรรค์ไปเมื่อไร คำสั่งของราชินีสวรรค์ก็จะเข้ามาที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้เลย ไม่มีทางกระจายที่ตลาดสวรรค์ด้วย!

“เฮ้อ!” ฮ่าวเต๋อฟางกำหมัดทุบเสา แล้วกล่าวอย่างปวดใจว่า “วางแผนมานานแล้ว! เซี่ยโห้วลิ่งวางแผนมานานแล้ว! พวกเขาเตรียมตัวมาอย่างดี รอให้พวกเราวางกำลังเมื่อเรื่องจวนตัว มันก็สายไปแล้ว สายไปเสียแล้ว!”

“ตอนนี้ต้องติดต่อกับคนระดับบนของตลาดสวรรค์แต่ละแห้ง ส่งคนไปที่ตลาดสวรรค์เดี๋ยวนี้ ดูว่ายังจะแย่งอำนาจในการควบคุมกลับมาได้หรือเปล่า” ซูอวิ้นกล่าว

ฮ่าวเต๋อฟางบอกว่า “ตอนนี้ให้คนระดับบนของตลาดสวรรค์ออกหน้าก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขากดดันกำลังพลที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้เลย แต่คำสั่งของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับกดดันพวกเขาได้ มิหนำซ้ำตอนนี้ตลาดสวรรค์ก็อยู่ในการควบคุมของพวกเขาแล้ว จะให้โจมตีเมืองเชียวเหรอ? ไม่ได้การแล้ว! ต้องเตรียมตัวโจมตีเมือง ถ้าประมุขชิงมีเจตนาไม่ซื่อจริงๆ งั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรต้องพะวง ถึงตอนนั้นสั่งให้ทัพใหญ่โจมตีเมืองทันที!”

เขาพลันหันตัวมา ชี้ซูอวิ้นพร้อมออกคำสั่ง “ไม่ใช่แค่คนระดับบนของตลาดสวรรค์ที่ต้องรีบไป ระดมทัพใหญ่ที่อยู่แถวนั้นด้วย หลังจากกำลังพลไปถึงแล้วก็ให้ล้อมเมืองทันที นอกจากนี้ ให้คนในวังหลังเคลื่อนไหวได้เลย รวมตัวกันฟ้องตำหนักนารีสวรรค์ ขอร้องให้ประมุขชิงลงโทษเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ กดดันประมุขชิง ต้องทดสอบท่าทีประมุขชิงด้วย ถ่ายทอดเจตนารมณ์ของของไปให้ตระกูลอื่นๆ ทันที ต้องรีบปฏิบัติการ!”

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง

ก่วงลิ่งกงที่อยู่ในห้องหนังสือเดินไปเดินมาไม่หยุด ปากก็พูดไม่หยุดเช่นกัน “ดูท่าแล้ว คงจะต้องแจ้งให้ตระกูลที่เหลือรู้ ปิดประตูดวงดาวทางเข้าออกทั้งหมดในใต้หล้า ให้กำลังพลที่จะไปช่วยเสริมอานุภาพให้อิ๋งจิ่วกวงเร่งเดินทัพ! แล้วก็ฝั่งอิ๋งจิ่วกวงด้วย ให้กำลังพลของเขารีบไปรวมตัวกันเดี๋ยวนี้ เข้าสู่สภาวะเตรียมรับศึกทั่วทุกด้าน!”

……………

เซียวหลิงโปเข้าใจแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้านี้คือลูกน้องเก่าของผู้ตรวจการใหญ่ ระหว่างทางที่มายังคิดอยู่เลย ว่าถ้าท่านนี้ไม่ให้ความร่วมมือแล้วเขาลงมือโหดร้าย ก็ไม่รู้ว่าฝั่งผู้ตรวจการใหญ่จะไม่พอใจอะไรหรือเปล่า ตอนนี้ย่อมโล่งอกแล้ว ขณะเดียวกันก็มีความมั่นใจ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ทำเรื่องแบบนี้ กังวลว่าจะมีเหตุไม่คาดคิด ตอนนี้พอมีผู้ตรวจการใหญ่คุมแล้วก็ย่อมไม่ต้องกังวล

“รับทราบ!” พวกเซียวหลิงโปเอ่ยรับคำสั่ง

ผู้จัดการเซี่ยแอบชำเลืองมองเหมียวอี้สองครั้ง ตอนที่เรื่องราวยังไม่เปิดเผยจนถึงที่สุด เขาก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรกันแน่ แต่พอได้เห็นเหมียวอี้ปรากฏตัวที่นี่ ในใจเขาก็แอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว ทำไมเจ้าหนุ่มนี่ถึงมาโผล่ที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนอีก นึกถึงเหตุการณ์เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำในปีนั้นที่ท่านนี้ยังอยู่ที่นี่สิ!

พอเห็นเหมียวอี้ปรากฏตัวที่นี่ เขาก็สงสัยแล้วว่ากำลังจะเกิดเรื่องที่ตลาดสวรรค์

ส่วนฝูชิงก็บอกเซียวหลิงโปว่า “ด้านนอก ผู้บัญชาการสี่เขตเมืองกำลังรออยู่ ออกไปแล้วบอกตรงๆ ก็พอ”

เซียวหลิงโปกุมหมัดคารวะเขาอีกครั้ง จากนั้นก็รีบนำคนออกไป ไม่กล้าชักช้าเสียเวลา

เหมียวอี้เดินลงบันได กุมมือสองข้างตรงหน้าท้อง เดินช้าๆ ไปทางตึกศาลา โดยมีทุกคนเดินตามหลัง

“พี่รอง บอกพวกพี่ใหญ่สักหน่อยเถอะ ตอนนี้คนของข้าคงจะไปหาพวกเขาแล้ว ให้พวกเขาช่วยเหลือ อย่าทำอะไรขัดใจกัน”

“อืม!” ฝูชิงพยักหน้า แล้วรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ

“เจาชิง บอกพวกอวี้หลิงเจินเหริน บอกให้พวกเขามาพบผู้บัญชาการใหญ่ที่ตำหนักคุ้มเมือง” เหมียวอี้เดินไปข้างหน้าช้าๆ พร้อมออกคำสั่ง

“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อเช่นกัน

นอกตำหนักคุ้มเมือง พวกอวี้หลิงเพิ่งจะมาถึงนอกตำหนักคุ้มเมือง ขณะกำลังมองตำหนักคุ้มเมืองอย่างปลงอนิจจัง จู่ๆ ก็เห็นในตำหนักคุ้มเมืองมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเหาะไปทางเขตเมืองทั้งสี่

ในขณะเดียวกันนี้เอง อวี้หลิงเจินเหรินก็ได้รับข้อความจากหยางเจาชิงเช่นกัน หลังจากติดต่อเสร็จแล้วกำระฆังดาราไว้ เขาก็ถ่ายทอดเสียงบอกคนที่เหลือ “หนิวโหย่วเต๋อให้พวกเราไปพบฝูชิงที่ตำหนักคุ้มเมือง”

“ศิษย์พี่ เขาไม่ได้บอกเหรอว่าไปเจอฝูชิงเรื่องอะไร?” อวี้เลี่ยนเจินเหรินแปลกใจ

อวี้หลิงเจินเหรินส่ายหน้า แล้วขมวดคิ้วครุ่นคิด

อวี้ซวีเจินเหรินยกมือขึ้น “ไปก็ไปเถอะ เขาคงไม่ทำร้ายพวกเราหรอก”

ทั้งสี่เดินตรงไปที่ตีนบันไดของตำหนักคุ้มเมือง แล้วขอให้ทหารยามไปรายงาน ผลปรากฏว่าผ่านไปได้ตลอดทางอย่างราบรื่น มีคนพาพวกเขาไปที่ใต้ตึกศาลาโดยตรง จากนั้นก็เชิญให้พวกเขาขึ้นไปเอง

ทั้งสี่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา สุดท้ายก็ขึ้นไปข้างบนตลอดทาง

พอขึ้นมาบนตึกแล้ว ก็เห็นเหมียวอี้กำลังยิ้มให้เขาอย่างเป็นกันเอง ทั้งสี่อึ้งไปชั่วขณะ ต่างก็นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะมาอยู่ที่นี่ เป่าเหลียนเป็นคนเดียวที่ในดวงตาสื่อหลากหลายอารมณ์

“คารวะผู้ตรวจการใหญ่!” จากนั้นทั้งสี่ก็ทำความเคารพพร้อมกัน เหมียวอี้ในตอนนี้ไม่ใช่เหมียวอี้ในอดีตอีกแล้ว เมื่อเจอกันอีกครั้งก็ไม่กล้าเสียมารยาทใส่

“ไม่ต้องมากพิธี!” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ พลางผายมือ “ขออภัยทุกคนด้วย เมื่อครู่นี้หนิวอุบไว้”

“ไม่เป็นไร!” พวกอวี้หลิงหัวเราะกลบเกลื่อน มีเพียงเป่าเหลียนที่มีสีหน้าเรียบเฉย จึงดึงดูดความสนใจเหมียวอี้

เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องที่เจ้าสำนักอวี้หลิงพูดเรื่องแต่งงานของทั้งสองในปีนั้น เพียงแต่เรื่องผ่านไปนานมากแล้ว เหมียวอี้ก็แค่ยิ้มเวลานึกขึ้นได้ แต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

“เป่าเหลียน พวกเราไม่เจอกันนานแล้ว ไม่รู้ว่ายังจำภาพที่ตำหนักคุ้มเมืองในปีนั้นได้หรือเปล่า?” เหมียวอี้ชี้ไปที่นอกหน้าต่าง “ตำหนักคุ้มเมืองสร้างใหม่หลายรอบแล้ว เพียงแต่รูปแบบยังเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนไป ทำให้คนรำลึกถึงมาก”

“ออกไปนานแล้ว จำอะไรไม่ได้แล้ว” เป่าเหลียนตอบเสียงเรียบ

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “ยังโมโหเรื่องในปีนั้นอยู่อีกเหรอ? เจ้าเองก็รู้สถานการณ์ในปีนั้น ขนาดข้ายังปกป้องตัวเองลำบากเลย ไม่อยากให้เจ้ามาลำบากไปด้วย ข้าถึงได้ไล่เจ้าออกไป แล้วอีกอย่าง เรื่องเกาเหยียนข้าก็ช่วยเจ้าระบายความโกรธแล้วด้วย จะบอกว่าข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้ครั้งหนึ่งก็ไม่ถือว่าพูดเกินไป”

เป่าเหลียนยังกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ “ข้าไม่ได้ขอให้ท่านช่วยเสียหน่อย!”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ทำสีหน้าแปลกๆ หยางเจาชิงมองค้อนนางด้วยสายตาเย็นเยียบ ส่วนฝูชิงก็ยิ้มอ่อน ชิงเยว่กับซิงสบตากันแวบหนึ่ง

อวี้หลิงเจินเหรินตะคอกเป่าเหลียน “พูดอะไรของเจ้า? ยังไม่รีบขอโทษผู้ตรวจการใหญ่อีก”

เป่าเหลียนเม้มริมฝีปากแน่น เห็นได้ชัดว่าไม่อยากเอ่ยปาก

“พอแล้ว!” เหมียวอี้ยกมือห้าม ไม่อยากพัวพันอยู่กับเป่าเหลียนเช่นกัน “เจินเหรินทั้งสามอยู่ก่อน คนอื่นๆ ออกไปก่อนเถอะ”

เป่าเหลียนเป็นคนแรกที่หันหน้าหนีแล้วเดินออกไป ฝูชิง ชิงเยว่และซิงก็ลงไปแล้วเช่นกัน นอกจากหยางเจาชิงก็มีแค่เจินเหรินทั้งสามที่อยู่ข้างๆ

“นั่งลงคุยกันเถอะ!” เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ แล้วตัวเองก็นั่งลงหัวโต๊ะ ส่วนหยางเจาชิงก็ยืนอยู่ข้างๆ เขา

อวี้หลิงเจินเหรินที่นั่งลงทีหลังถามว่า “ไม่ทราบว่าผู้ตรวจการใหญ่เรียกพวกเรามาเพราะมีอะไรจะกำชับ?”

เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ที่จริงก็ไม่มีอะไร เป็นเรื่องของสำนักลมปราณ เคยมีเรื่องของเกาเหยียนแล้ว ถ้าสำนักลมปราณจะบริหารร้านขายของชำต่อไปก็ไม่เหมาะสมแล้ว ข้าอยากจะให้สำนักลมปราณถอนตัวจากร้านขายของชำอย่างเป็นทางการ ส่งร้านขายของชำออกมา แล้วพวกเราค่อยสร้างร้านแบบนี้ขึ้นมาใหม่ เป็นยังไง?”

ศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่ก หลังจากเงียบไปนาน อวี้ซวีเจินเหรินก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ผู้ตรวจการใหญ่ เกรงว่าจะถอนตัวไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น หลายปีมานี้ร้านขายของชำซื่อตรงมีอำนาจหลายฝ่ายคานกันอยู่ ช่องทางการบริหารก็อยู่ในมือสำนักลมปราณมาตลอด ถ้าสำนักลมปราณถอนตัวเมื่อไร การซื้อขายของร้านขายของชำซื่อตรงก็จะพังไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง จะส่งผลกระทบกับผลประโยชน์ของคนไม่น้อยเลย แล้วใครจะยอมมาติดต่อกับพวกเรา?”

เหมียวอี้โบกมือ “เรื่องนี้พวกท่านไม่ต้องกังวล ข้าย่อมมีวิธีการแก้ไขอยู่แล้ว”

ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามสบตากันแวบหนึ่ง อวี้ซวีเจินเหรินถามอย่างสงสัยว่า “เป็นการบริหารในขอบเขตเล็กๆ หรือเป็นการบริหารตอนร้านขายของชำกระจายสาขาไปที่ตลาดสวรรค์ทั้งใต้หล้า?”

“แน่นอนว่ารูปแบบไม่เปลี่ยน บริหารเหมือนตอนที่ร้านขยายสาขาแล้ว” เหมียวอี้กล่าว

อวี้ซวีเจินเหรินส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ผู้ตรวจการใหญ่ แบบนี้ดูจะเพ้อฝัน ทั้งใต้หล้ามีตลาดสวรรค์มากขนาดนั้น แค่ซื้อร้านค้าร้านเดียว ค่าใช้จ่ายก็สิ้นเปลืองจนทำให้รับไม่ไหวแล้ว ถ้าสำนักลมปราณถอนตัวออกจากร้านขายของชำซื่อตรงแล้วทำร้ายคล้ายๆ กันออกมาแข่ง ก็จะต้องโดนอำนาจกดดันแน่นอน”

เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ “คิดมากไปแล้ว เรื่องร้านค้าข้าจะแก้ไขปัญหาเอง เรื่องปกป้องร้านค้าข้าก็จะรับผิดชอบเอง ไม่ต้องให้สำนักลมปราณกังวล”

“เงินทุนล่ะ? ถ้าเปิดร้านค้ามากมายขนาดนั้น แล้วเงินทุนที่ใช้รับซื้อสินค้าล่ะ?” อวี้ซวีเจินเหรินถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “ก็อย่างที่ท่านบอกไว้ หลายปีมานี้การบริหารของร้านขายของชำซื่อตรงอยู่ในมือพวกท่านมาตลอด พอพวกท่านถอนตัวไป การซื้อขายของร้านขายของชำก็จะพังไปครึ่งหนึ่ง เพราอะไรล่ะ? เพราะแหล่งลูกค้าที่สำนักลมปราณสะสมมาหลายปีก็คือต้นทุนที่ใหญ่ที่สุดไง! ทุกคนยังจำได้มั้ยว่าในปีนั้นร้านขายของชำซื่อตรงก่อตั้งกิจการขึ้นมายังไง? ข้ายังจำได้ชัดเจนเลย ตอนนั้นเงินทุนก็ไม่มาก นำสินค้าเข้ามาก่อน พอขายได้แล้วค่อยจ่ายเงิน ตอนที่มีปัจจัยเหมือนในปีนั้นยังสร้างร้านขายของชำขึ้นมาได้เลย ตอนนี้ต่อให้ปัจจัยไม่เยอะ แต่ก็ดีกว่าในนั้นใช่มั้ยล่ะ? เริ่มต้นใหม่ก็แล้วกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก!”

ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามเงียบไปพักหนึ่ง เจ้าสำนักอวี้หลิงก็กล่าวอย่างลังเล “ผู้ตรวจการใหญ่ ร้านขายของชำจะต้องส่งต่องานกันตามปกติ ถ้าจบธุรกรรมไม่ชัดเจน จะต้องมีคนมาหาเรื่องแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นจะมีคนมาหาว่าเราฮุบเงินทอง”

เหมียวอี้ยิ้มตอบ “ข้าบอกแล้ว จะมีคนมาจบการทำธุรกรรมกับพวกท่าน ข้าจะทิ้งปัญหาคาราคาซังไว้ได้ที่ไหนล่ะ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ข้าต้องพูดให้ชัดเจนก่อน หลังจากสร้างร้านค้าใหม่ขึ้นมาแล้ว สำนักลมปราณครองหุ้นสองส่วน ข้าครองแปดส่วน!”

นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามจำเป็นต้องถ่ายทอดเสียงคุยกันพักหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ให้เจ้าสำนักอวี้หลิงพูดสรุปว่า “ขอเพียงผู้ตรวจการใหญ่แก้ปัญหาที่เพิ่งพูดเมื่อครู่นี้ได้ สำนักลมปราณก็ยินดีทำงานให้ผู้ตรวจการใหญ่!”

“ได้! งั้นตกลงตามนี้” เหมียวอี้ถูไม้ถูมือพลางหัวเราะลั่น ช่องทางรายได้ดีๆ ในปีนั้นถูกกลุ่มผู้มีอำนาจแบ่งไปต่อหน้าต่อตา เขาเรียกได้ว่าต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม แต่ก็ไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่าย จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่มีกำลังที่จะแย่งสิ่งที่เสียไปในปีนั้นกลับคืนมาได้ เขากำลังดึงฟืนที่กำลังไหม้ออกจากใต้หม้อเพื่อก่อเตาใหม่ ใช้อีกวิธีการเพื่อแย่งกลับมา นี่คือความมุ่งมาดปรารถนาดั้งเดิมของเขา หยางชิ่งไม่รู้

ในขณะนี้เอง ด้านนอกตลาดสวรรค์ก็มีเสียงดังวุ่นวายดังมา ความเคลื่อนไหวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นเดือดพล่าน

ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามตกใจ มองไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

อวี้เลี่ยนเห็นเหมียวอี้ยกถ้วยน้ำชาดื่มอย่างสบายๆ เหมือนคนไม่เป็นอะไร จึงอดไม่ได้ที่จะเตือนว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ เหมือนตลาดสวรรค์จะเกิดเรื่องแล้วนะ”

เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ไม่ต้องกังวล เป็นเรื่องเล็กน้อย ข้าส่งคนไปยึดทรัพย์ในร้านค้าของตระกูลอิ๋งเอง” พอพูดจบก็เสริมอีกว่า “ไม่ใช่แค่ที่นี่นะ แต่เป็นร้านค้าของตระกูลอิ๋งในตลาดสวรรค์ทุกแห่ง ยึดทรัพย์หมดแล้ว แต่น่าเสียดายที่เก็บของพวกนั้นเข้ากระเป๋าตัวเองไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องกลุ้มใจเรื่องเงินทุนของร้านค้าแล้ว!”

“…” ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามงงเป็นไก่ตาแตกทันที

สถานการณ์เหมือนกับตลาดสวรรค์แห่งอื่น ร้านค้าทั้งหมดของตระกูลอิ๋งถูกยึดทรัพย์ไปแล้วจริงๆ ยึดทรัพย์ จับคน ปิดร้าน ปิดเมือง ติดประกาศ รีบอ้างคำสั่งราชินีสวรรค์เพื่อรวบรวมคนในร้านค้าทั้งเล็กทั้งใหญ่ รวมทั้งพ่อค้าต่างถิ่นที่สัญจรไปมาด้วย ล้อมร้านค้าทั้งหมดของตระกูลโค่ว ตระกูลก่วงและตระกูลฮ่าวเอาไว้ สั่งคนในร้านค้าว่าเข้าได้เท่านั้น ออกไม่ได้

แน่นอน คนเยอะก็ไร้ระเบียบอย่างเลี่ยงไม่ได้ บางส่วนก็หัวหลุดลงพื้นแล้ว

แน่นอนว่าสถานการณ์ของตลาดสวรรค์บางแห่งนั้นต่างออกไป ตอนที่เกิดเรื่อง ผู้บัญชาการใหญ่บางคนไม่อยู่ที่ตลาดสวรรค์ แต่โชคดีที่คนของตระกูลเซี่ยโห้วให้ความร่วมมือเรื่องข่าวสาร ถ้าผู้บัญชาการใหญ่ไม่อยู่ ก็ลงมือควบคุมพวกผู้บัญชาการไว้ก่อนแล้วค่อยลงมือ โดยรวมนับว่าราบรื่น

จวนท่านปู่สวรรค์ เซี่ยโห้วลิ่งที่สวมชุดขาวดุจหิมะยังคงบรรเลงกู่ฉินอย่างเต็มที่

เว่ยซูโค้งตัวถ่ายทอดเสียงรายงานอยู่ข้างๆ “นายท่าน หนิวโหย่วเต๋อควบคุมสถานการณ์ที่ตลาดสวรรค์ไว้ได้อย่างราบรื่น”

คล้ายกับเสียงอาวุธกระทบกัน เซี่ยโห้วลิ่งกวาดมือบนสายฉิน หยุดดีดฉินแล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “สงสัยคนที่หนิวโหย่วเต๋อส่งไปจะทำงานได้ประสิทธิภาพสูงมาก ดูออกเลยว่าตั้งใจเลือกคนมาก…อดบ่นไม่ได้จริงๆ” ยิ้มบางๆ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้

พอติดต่อได้แล้ว เหมียวอี้ก็บอกว่า : ท่านปู่สวรรค์ ตอนนี้ควบคุมตลาดสวรรค์ได้อย่างราบรื่นแล้ว

เซี่ยโห้วลิ่ง : ข้ารู้แล้ว

เหมียวอี้ : ท่านปู่สวรรค์ ถ้าสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง จะให้คนของท่านกับคนข้างข้าร่วมมือกันต้านศัตรูได้หรือเปล่า?

เซี่ยโห้วลิ่งเลิกคิ้ว : ไม่ใช่ว่าไม่ช่วยเจ้า แต่พวกเราคุยกันไว้ก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ เจ้าเป็นตัวหลัก ข้าเป็นตัวเสริม คนของข้าจะไม่กระโดออกมาอย่างเปิดเผย ข้าคิดว่าข้าไม่ได้ผิดสัญญานะ?

เหมียวอี้ : ท่านปู่สวรรค์ ท่านน่าจะเข้าใจนะ สิ่งที่อันตรายที่สุดยังอยู่ตอนหลัง ทัพที่ตั้งค่ายอยู่ใกล้ๆ ได้ข่าวแล้วจะตามมาทันที ถ้าโดนบีบจนต้องสู้กันขึ้นมา คนที่ข้ากระจายไว้ที่ตลาดสวรรค์แต่ละแห่งนั้นน้อยเกินไป

เซี่ยโห้วลิ่ง : สถานการณ์แบบนี้ เจ้าก็น่าจะรู้ตั้งแต่แรก อย่าบอกนะว่าจนป่านนี้แล้วเจ้าเพิ่งรู้ตัว เล่นลูกไม้อะไรของเจ้า?

………………

เฉินเชียนชิวที่ได้รับการชี้แนะจากเบื้องบนกระโดดลงจากเตียง พาลูกน้องสามคนเข้าไปในลานบ้าน แล้วเดินไปเดินมาขณะเฝ้ารอ

ผ่านไปไม่นาน ผู้จัดการเซี่ยก็รีบร้อนเข้ามาในลานบ้าน เขาไม่อ้อมค้อม พอเข้ามาก็กุมหมัดคารวะทันที “ท่านบุรุษโยว ของที่ให้ท่านไว้ก่อนหน้านี้จะต้องตรวจสอบสักหน่อย”

เฉินเชียนชิวนำแหวนเก็บสมบัติที่รับไว้ก่อนหน้านี้ยื่นให้อีกฝ่ายทันที

พอรับของมาไว้ในมือ ผู้จัดการเซี่ยก็ร่ายอิทธิฤทธิ์เข้าไปตรวจดูในแหวนเก็บสมบัติ ผนึกที่คล้ายกับลูกแก้วน้ำยังอยู่ พิสูจน์แล้วว่าหลังจากอีกฝ่ายรับของไปแล้วไม่ได้ถือวิสาสะสอดแนม จึงใช้สองมือคืนแหวนเก็บสมบัติให้ทันที

พอรับแหวนเก็บสมบัติมาแล้ว เฉินเชียนชิวก็นำลูกแก้วน้ำที่ผนึกอยู่ในแหวนเก็บสมบัติออกมาอย่างเป็นทางการ ชั่วพริบตาที่ถือขึ้นมา ลูกแก้วน้ำก็กลายเป็นไอหมอกสลายหายไป แผ่นหยกแผ่นหนึ่งตกลงในมือ หลังจากเฉินเชียนชิวตรวจอ่านเนื้อหาในแผ่นหยกแล้ว ก็สูดหายใจลึกด้วยความตระหนก ถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ผู้จัดการเซี่ย ต่อไปยังต้องการความร่วมมือจากท่าน”

ผู้จัดการเซี่ยพยักหน้า “ได้รับคำสั่งมาจากเบื้องบนแล้ว ฝั่งพวกเราจะให้ความร่วมมือกับท่านบุรุษโยวเต็มที่”

“ดี!” เฉินเชียนชิวกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าต้องรู้ความเคลื่อนไหวของผู้บัญชาการใหญ่ที่ตำหนักคุ้มเมืองทันที”

ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไร จนกระทั่งได้รับข่าวจากเบื้องบนเมื่อครู่นี้ เขาถึงได้รู้ชัดว่าตัวเองต้องทำอะไร เบื้องบนบอกว่าคนของตระกูลเซี่ยโห้วที่อยู่ตลาดสวรรค์จะให้ความร่วมมือกับปฏิบัติการของเขาเต็มที่

ส่วนผู้จัดการเซี่ย ก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้เช่นกันว่าต้องให้ความร่วมมืออะไรกับเฉินเชียนชิว แต่เบื้องบนกลับมีอีกเรื่องหนึ่งให้เขาไปทำก่อน ตอนนี้เพิ่งเข้าใจว่าเรื่องที่เบื้องบนให้ตนเตรียมการไว้ล่วงหน้าล้วนทำเพื่อให้ความร่วมมือกับท่านนี้ จึงพยักหน้าทันที “ข้ามีข่าวความเคลื่อนไหวของตำหนักคุ้มเมืองแล้ว ตอนนี้เถี่ยฟางเจวี๋ยผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์กำลังอยู่ในตำหนักคุ้มเมือง”

“พาข้าไปที่ตำหนักคุ้มเมือง ข้าต้องการพบเขาเดี๋ยวนี้” เฉินเชียนชิวกล่าว

ลูกน้องสามคนข้างหลังเขามองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่านี่คือสถานการณ์แบบไหน

“ตอนนี้หรือ?” ผู้จัดการเซี่ยลังเลนิดหน่อย “รีบขนาดนี้เชียวหรือ?”

“เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ ต่อให้แลกทุกอย่างข้าก็ต้องพบเขาให้ได้” เฉินเชียนชิวกล่าวเสียงต่ำ

“ได้! ข้าจะจัดการให้เร็วที่สุด” ผู้จัดการเซี่ยรับปาก แล้วยื่นมือ “เชิญ!”

คนกลุ่มนี้เร่งฝีเท้าเดินออกมาทันที ระหว่างทาง เฉินเชียนชิวก็ถ่ายทอดเสียงอีก “คนของฝั่งท่านเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”

ผู้จัดการเซี่ยที่เดินอยู่ข้างๆ ตอบว่า “เตรียมตัวไว้หมดแล้ว รอฟังคำสั่งระดมพลได้ทุกเมื่อ”

เฉินเชียนชิวพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มกำชับลูกน้องสามคนให้เตรียมตัวให้ความร่วมมือ

ระหว่างทาง ผู้จัดการเซี่ยก็ติดต่อกับผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เถี่ยฟางเจวี๋ยแล้ว บอกว่ามีธุระขอเข้าพบ เน้นด้วยว่าเป็นเรื่องดี

อิทธิพลของตระกูลเซี่ยโห้วที่มีต่อตลาดสวรรค์ย่อมไม่มีอะไรน่าสงสัย ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ก็ต้องไว้หน้าบ้าง อย่างไรเสียก็รับสินบนจากอีกฝ่ายทุกปี

ถือเป็นข้อดี โชคดีที่มีความสัมพันธ์ระดับนี้อยู่ ไม่อย่างนั้นถ้าพวกเฉินเชียนชิวอยากจะพบเถี่ยฟางเจวี๋ยก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น อย่างน้อยก็ไม่สามารถพบได้โดยตรง นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ต้องขอความร่วมมือจากตระกูลเซี่ยโห้ว

ตอนที่คนกลุ่มนี้เดินมาถึงตำหนักคุ้มเมือง ทหารยามที่ได้ข่าวแล้วก็ปล่อยให้เข้าไป ตอนที่พวกเขาเดินขึ้นบันได พลทหารคนหนึ่งก็ยืนกุมหมัดคารวะอยู่ตรงประตูแล้ว “ผู้จัดการหนาน,ผู้บัญชาการใหญ่กำลังรออยู่ข้างในขอรับ”

เฉินเชียนชิวชำเลืองมองผู้จัดการเซี่ยที่อยู่ข้างๆ ที่แท้ท่านนี้ก็แซ่หนานนี่เอง

“รบกวนแล้ว รบกวนแล้ว!” หลังจากผู้จัดการเซี่ยกุมหมัดคารวะตอบ แล้วถือโอกาสยัดแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่มืออีกฝ่าย

พลหารคนนั้นหรี่ตายิ้มทันที แต่พอเห็นพวกเฉินเชียนชิวแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย “เหล่านี้คือ?” สื่อเจตนาสอบสวนชัดเจนมาก

“ล้วนเป็นคนที่มาคุยธุระด้วยกัน ทำไมหรือ? หรือว่าคนที่หนานพามารับประกันด้วยตัวเอง ขุนพลหนิวยังไม่เชื่ออีก?” ผู้จัดการเซี่ยมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ใช้อำนาจกดดันเล็กน้อย

พลทหารที่ถูกเรียกว่าขุนพลหนิวคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเห็นด้วย มีคนมากขนาดนี้เห็นกับตาตัวเอง ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ตระกูลเซี่ยโห้วก็ต้องรับผิดชอบ อีกฝ่ายคงไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้ว ประกอบกับตัวเองเพิ่งได้รับผลประโยชน์จากอีกฝ่าย จึงตอบพร้อมหัวเราะเสียงดังทันที “ผู้จัดการหนานกล่าวเกินไปแล้ว เชิญด้านใน!”

“เชิญ!” ผู้จัดการเซี่ยก็ยื่นมือเชิญอย่างสุภาพเช่นกัน แล้วเดินเคียงบ่ากันเข้าไปทันที พวกเฉินเชียนชิวเดินตามหลังไปอย่างแนบเนียน

ในโถงหลักที่ใช้รับรองแขกของตำหนักคุ้มเมือง หลังจากพวกเขามาถึงแล้วก็รออีกสักครู่หนึ่ง ก็ช่วยไม่ได้ อีกฝ่ายผู้บัญชาการใหญ่ ต้องมีวางมาดบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้อีกฝ่ายมารอพวกเขา

ผ่านไปครู่เดียว ขุนพลหนิวก็นำชายชาตรีรูปร่างกำยำแต่งกายชุดลำลองคนหนึ่งเข้ามา ผู้จัดการเซี่ยกุมหมัดคารวะด้วรอยยิ้มทันที “ผู้บัญชาการใหญ่ รบกวนแล้ว รบกวนแล้ว”

พอได้ยินคำเรียกนี้ พวกเฉินเชียนชิวก็รู้ทันทีว่าท่านนนี้คือเถี่ยฟางเจวี๋ย

“ผู้จัดการหนาน เจ้าเองก็รู้สถานการณ์ตอนนี้ เป็นช่วงที่มีเรื่องเยอะ มีธุระด่วนอะไรต้องมาพบข้า?” เถี่ยฟางเจวี๋ยพูดทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ แล้วหันตัวกลับไปนั่งที่หัวโต๊ะ สายตาหยุดอยู่บนตัวพวกเฉินเชียนชิวแล้ว

ผู้จัดการเซี่ยยืนหลีกไปด้านข้าง แล้วชี้พวกเฉินเชียนชิว “ข้าก็แค่นำทางมเท่านั้น พวกเขาอยากพบผู้บัญชาการใหญ่”

“อ้อ!” เถี่ยฟางเจวี๋ยเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ผู้จัดการเซี่ยติดต่อเขาบอกว่ามีเรื่องดี ความคิดแรกของข้าก็คือจะต้องมีผลประโยชน์อะไรสักอย่าง สายตาเขามองประเมินพวกเฉินเชียนชิวพร้อมถามว่า “ไม่ทราบพวกท่านเป็นปราชญ์เทพจากแห่งหนใด?”

เฉินเชียนชิวหยิบแผ่นหยกประจำตำแหน่งโยนออกมาเสียเลย

เถี่ยฟางเจวี๋ยยกมือคว้าไว้ เห็นว่าเป็นของของทางการ หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูเล็กน้อย เขาก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ เงยหน้าถามอย่างงุนงงว่า “คนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเหรอ?”

เฉินเชียนชิวตอบอย่างใจเย็น “แก้ไขให้ถูกสักหน่อย พวกเราสี่คนคือผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ตรวจการใหญ่หนิว ทูตลาดตระเวนตลาดสวรรค์ ได้รับคำสั่งให้มาตรวจตราที่นี่”

ขุนพลหนิวที่อยู่ข้างๆ ตะลึงค้าง เถี่ยฟางเจวี๋ยลุกขึ้นยืนช้าๆ จ้องผู้จัดการเซี่ยพร้อมกล่าวเสียงต่ำ “ผู้จัดการหนาน ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”

เฉินเชียนชิวพูดดักว่า “หรือว่าผู้บัญชาการใหญ่รู้สึกว่านายท่านทูตลาดตระเวนไม่มีอำนาจที่จะตรวจตราที่นี่?”

“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เถี่ยฟางเจวี๋ยโบกมือ “เพียงแต่ข้ายังไม่ได้รับแจ้งจากเบื้องบน จึงไม่สามารถยืนยันตัวตนของพวกท่านได้”

“การตรวจตรามีการตรวจอย่างเปิดเผยและตรวจอย่างลับๆ ที่เฉินได้รับคำสั่งให้มาครั้งนี้เป็นการตรวจอย่างลับๆ หวังว่าผู้บัญชาการใหญ่จะให้ความร่วมมือ” เฉินเชียนชิกล่าว

ผู้จัดการเซี่ยชำเลืองมองเฉินเชียนชิวแวบหนึ่ง พึมพำในใจว่า ที่แท้ท่านนี้ก็แซ่เฉินนี่เอง

“ย่อมต้องให้ความร่วมมืออยู่แล้ว แต่ต้องให้เถี่ยผู้นี้ขอคำชี้แนะจากเบื้องบนสักหน่อย” เถี่ยฟางเจวี๋ยหยิบระฆังดาราออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหล่ตามองผู้จัดการเซี่ยเบาๆ ในช่วงเวลาที่อ่อนไหวแบบนี้ กอปรกับเบื้องหลังของผู้จัดการเซี่ย เขาตระหนักได้แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล เขาเป็นคนของอ๋องสวรรค์ฮ่าว จะยอมให้ความร่วมมือง่ายๆ ได้อย่างไร

เห็นเงาคนแฉลบมาตรงหน้า เฉินเชียนชิวมาถึงตรงหน้าเถี่ยฟางเจวี๋ยแล้ว คว้าข้อมือเถี่ยฟางเจวี๋ยที่ถือระฆังดาราเอาไว้ แล้วจ้องอีกฝ่ายอย่างเยียบเย็น “ผู้บัญชาการใหญ่เถี่ย ข้าบอกแล้วว่าเป็นการตรวจอย่างลับๆ เรื่องที่ตรวจสอบเกี่ยวข้องกับผู้บังคับบัญชาสูงสุดของพวกเจ้า เพื่อไม่ให้แหวกหญ้าให้งูตื่น เจ้าให้ความร่วมมือดีกว่า ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าเฉินผู้นี้ปฏิบัติตามกฎอย่างไร้ความปรานี!”

ขุนพลหนิวที่อยู่ข้างๆ ตกใจมาก ขณะกำลังจะถลันตัวออกไป ก็ถูกคนถลันตัวมาขวางแล้ว

เถี่ยฟางเจวี๋ยพบว่าอีกฝ่ายวรยุทธ์สูงกว่าตัวเอง ตัวเองไม่มีความสามารถจะขัดขืนได้เลย จึงกัดฟันบอกว่า “นี่เจ้ากำลังข่มขู่ข้า ต่อให้พวกเจ้าเป็นคนของทูตลาดตระเวน พวกเจ้าก็ไม่มีอำนาจทำอย่างนี้!”

เฉินเชียนชิวหยิบแผ่นหยกออกมาอีก แล้วยัดใส่มืออีกฝ่าย “ดูเอาเอง!”

เถี่ยฟางเจวี๋ยใช้ฝ่ามือข้างเดียวถือแผ่นหยกร่ายอิทธิฤทธิ์อ่าน อ่านไปอ่านมาก็หนังตากระตุก พบว่าเป็นคำสั่งของราชินีสวรรค์ แม้จะไม่รู้ว่าเป็นตราอิทธิฤทธิ์ของเบื้องบนจริงหรือไม่ แต่เนื้อหาข้างในก็ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวน

เฉินเชียนชิวแย่งแผ่นหยกกลับมา แล้วใช้กระบี่วิเศษจ่อคอเถี่ยฟางเจวี๋ย “คำสั่งของเหนียงเหนียง ใครขัดคำสั่งก็ประหารก่อนแล้วค่อยรายงาน! นายท่านเถี่ย ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ตกลงจะให้ความร่วมมือมั้ย?”

เถี่ยฟางเจวี๋ยคิดว่าคำสั่งนี้คงเป็นของจริง ไม่อย่างนั้นผู้จัดการหนานคงไม่ใจกล้าขนาดนั้น ต่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วจะเก่งกาจแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าทำเรื่องพรรค์นี้อย่างเปิดเผย หมายความว่าอีกฝ่ายได้รับคำสั่งมาว่าให้ประหารก่อนแล้วค่อยรายงาน ถ้าฆ่าตนทิ้งก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรเลย เพียงแต่แบบนี้ถือว่าข้ามขั้นตอน กระโดดข้ามผู้บังคับบัญชาของเขาไปโดยตรง สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับสามัญสำนึก

สิ่งที่เรียกว่าสามัญสำนึกก็ต้องดูสถานการณ์เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นภายใต้สถานการณ์ที่ประมุขชิงให้เกียรติจอมพลของสี่ทัพ โดยทั่วไปยามจะออกคำสั่งก็ล้วนขอความคิดเห็นจากบรรดาจอมพลล่วงหน้าก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าฝืนถ่ายทอดคำสั่งลงมา แล้วเบื้องล่างหาข้ออ้างต่างๆ เพื่อไม่ให้ความร่วมมือ แบบนั้นก็จะเป็นปัญหาเช่นกัน ถึงตอนนั้นก็จะเหมือนประมุขชิงตบหน้าตัวเอง หลักการนี้ก็ใช้กับราชินีสวรรค์ในการควบคุมตลาดสวรรค์เช่นกัน แต่ดูจากเหตุการณ์ตรงหน้า ก็เห็นได้ชัดว่าราชินีสวรรค์กำลังบังคับโดยไม่สนใจว่าเบื้องล่างจะให้ความร่วมมือหรือไม่ การปฏิบัติจะได้ผลเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่คำสั่งนี้ได้ผลจริงๆ

สุดท้ายเถี่ยฟางเจวี๋ยก็ไม่มีความกล้าที่จะสู้ เพราะไม่คุ้มค่า ทำได้เพียงบอกว่า “น้อมรับบัญชาของราชินีสวรรค์!”

ใช้เวลาไม่นาน ทั้งตลาดสวรรค์ก็ตกอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด กำลังพลของสี่เขตเมืองเทรังออกมา ภายใต้การกำกับดูแลของสมาชิกตระกูลเซี่ยโห้ว ทหารพุ่งเข้าไปที่ร้านค้าของตระกูลอิ๋งที่ตลาดสวรรค์สิบกว่าร้าน จับคน ยึดสินค้า ปิดร้าน ปล้นแบบขนเกลี้ยงบ้าน

คนในร้านค้าของตระกูลอิ๋งไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนเลย ไม่มีใครกล้าขัดขืนการจับกุมอย่างเปิดเผย ร้านค้าทั้งเล็กทั้งใหญ่ถูกกำจัดอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

จู่ๆ ตลาดสวรรค์ก็เกิดสถานการณ์อย่างนี้ขึ้น พวกลูกค้าไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร กลัวจะติดร่างแหไปด้วย จึงทยอยกันหนีไปนอกเมือง

ใครจะคิดว่าพอวิ่งไปถึงประตูเมือง ประตูเมืองทั้งสี่ด้านก็ถูกปิดไว้แล้ว

“เป็นอะไรกันไปแล้ว?”

“ทำไมต้องปิดประตูเมือง?”

“ที่โดนยึดทรัพย์เหมือนจะเป็นร้านค้าของตระกูลอิ๋ง”

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ จู่ๆ ก็มีคนชี้บนประกาศที่เพิ่งติดใหม่บนกำแพงเมือง พร้อมอุทานว่า “รีบดูนั่นสิ!”

คนบนถนนทั้งใกล้ทั้งไกลใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป เห็นประกาศบนนั้นเขียนว่า ร้านค้าบางร้านที่ซ่อนสินค้าผิดกฎหมายเอาไว้ถูกตรวจสอบและยึดทรัพย์ ตอนนี้กำลังตรวจค้นพวกนักโทษหลบหนีของร้านค้าบางร้าน ปิดเมืองชั่วคราว ขอให้ทุกคนเข้าใจและให้ความร่วมมือ

ขณะที่ฝั่งของเฉินเชียนชิวกำลังลงมือ เซียวหลิงโป สหายเก่าของเขา คนที่ไปสมัครเข้าจวนแม่ทัพภาคทัพภาคด้วยกันกับเขาก็เข้าไปที่ตำหนักคุ้มเมืองดาวเทียนหยวนเช่นกัน มี ‘ผู้จัดการเซี่ย’ พาเข้าไปอย่างราบรื่นเช่นเดียวกัน

ฝูชิงเอามือไขว้หลังยืนตรงอยู่บนบันไดนอกโถงรับแขก กำลังรอคอยพวกเขา

ผู้จัดการเซี่ยแนะนำคนแล้วถอยออกไปยืนด้านข้าง เซียวหลิงโปโยนแผ่นหยกของตัวเองออกมา แต่ใครจะคิดว่าฝูชิงจะไม่รับไว้ สะบัดแผ่นหยกกลับไปเสียเลย

เซียวหลิงที่รับแผ่นหยกของตัวเองไว้พลันหรี่ตา สามคนข้างหลังทำสายตาไม่เป็นมิตรแล้ว คนที่ผ่านศึกใหญ่สระน้ำมังกรดำมาก่อน บนตัวมีความมั่นใจอีกแบบเพิ่มขึ้นมา

ในขณะนี้เอง ในโถงรับแขกข้างหลังฝูชิงก็มีคนสี่คนเดินออกมาอย่างไม่รีบร้อน ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหมียวอี้ หยางเจาชิง ชิงเยว่และซิงนั่นเอง

พวกเซียวหลิงโปงงงวยทันที จากนั้นก็รีบกุมหมัดคารวะ “คารวะผู้ตรวจการใหญ่”

เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนบันไดมองลงมา แล้วเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงสบายๆ “เรื่องที่นี่พวกเจ้าไม่ต้องกังวล กำลังพลตลาดสวรรค์จะให้ความร่วมมือกับพวกเจ้าเต็มที่ อย่าให้คนอื่นรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ ไปทำงานของพวกเจ้าต่อเถอะ”

………………

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง บึ้ม! ศิลาหินแท่งหนึ่งถูกอิ๋งจิ่วกวงใช้ฝ่ามือกวาดทีเดียวจนระเบิดเป็นผุยผง เขากำหมัดสองข้างไว้แน่น กล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย “ชาติหมา!”

จั่วเอ๋อร์ก็มีสีหน้าอาฆาตเช่นกัน ข่าวลือโถมเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์ คิดจะเล่นงานท่านอ๋องให้ถึงตายจริงๆ แล้วท่านอ๋องก็ดันไม่มีทางแก้ไขข่าวลือพวกนี้ได้

“ระดมทัพหนึ่งล้านไปที่ดาวจันทร์อี่ ฆ่าไม่ละเว้น!” อิ๋งจิ่วกวงพลันหันกลับมาสั่งด้วยดวงตาแดงก่ำเพราะความโกรธ

จั่วเอ๋อร์กุมหมัดคารวะ “ท่านอ๋องระงับโทสะ โปรดใจเย็น ไอ้จัญไรหนิวทำอย่างนี้ได้ แสดงว่าคงย้ายคนออกจากจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลไปแล้ว”

อิ๋งจิ่วกวงตวาดเสียงดุ “สั่งให้ทัพใหญ่หนึ่งล้านเป็นทัพใหญ่ปราบโจร สู้กับไอ้โจรหนิวโดยเฉพาะ ขอเพียงพบเขาโจรทรามนั่น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฆ่าทันที!”

“รับทราบ!” จั่วเอ๋อร์เอ่ยรับคำสั่ง

อิ๋งจิ่วกวงบอกอีกว่า “สร้างกำลังพลตรวจตราขึ้นมาหนึ่งกลุ่มเดี๋ยวนี้ ข้ามอบอำนาจให้ประหารก่อนแล้วค่อยรายงาน รีบตรวจสอบแต่ละหน่วย ถ้าพบใครปล่อยข่าวลือสั่นคลอนขวัญกำลังใจทหาร ฆ่าไม่ละเว้น!”

“รับราบ!” จั่วเอ๋อร์พยักหน้าเอ่ยรับซ้ำๆ นางรู้ว่านี่ต่างหากคือสิ่งที่ท่านอ๋องกังวลใจที่สุด กำลังพลทัพตะวันออกคือรากฐานที่ทำให้ท่านอ๋องมีที่ยืนในใต้หล้า ถ้าทัพตะวันออกปั่นป่วน นั่นต่างหากคือความยุ่งยากที่แท้จริง เดิมทีการปรับปรุงกองทัพก็ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของเบื้องล่างอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องที่สระน้ำมังกรดำ แม้แต่ท่านอ๋องเองก็ต้องลาดตระเวนไปทั่วเพื่อทำให้ขวัญกำลังใจทหารมั่นคง เมื่อมีข่าวลือจู่โจมในเวลานี้ แผนการที่อยู่ในนั้นก็ทำให้คนต้องตัวสั่น ถ้าเปิดโอกาสให้คนอื่นเมื่อไร ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากคิดถึง

อิ๋งจิ่วกวงรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อก่วงลิ่งกง พอติดต่อได้แล้ว ก็ตำหนิถามทันที : ก่วงลิ่งกง เจ้าหมายความว่ายังไง?

ก่วงลิ่งกงถูกเขาทำให้งง : หมายความว่ายังไงอะไร?

อิ๋งจิ่วกวงถามว่า : เจ้าเพิ่งจะปล่อยข่าวเสร็จ พวกเขาก็ทำต่อทันที เจ้าปรึกษากับพวกเซี่ยโห้วลิ่งเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย กลัวว่าเรื่องนี้จะไม่ลุกลามใหญโต!

ก่วงลิ่งกงโดนด่าจนทั้งโมโหทั้งอยากจำ จึงด่ากลับเสียเลย : มารดาเจ้าสิ พูดเหลวไหลตดหมาอะไรของเจ้า! กลัวว่าจะยุ่งยากไม่พอรึไง พาลหาเรื่องใช่มั้ย ไสหัวไปทางโน้นเลย!

เขาตัดสัญญาณอิ๋งจิ่วกวงเสียเลย เป็นฉากที่ไม่เสแสร้ง มีแค่ตอนอยู่กับคนระดับเดียวกันเท่านั้นถึงจะแสดงแก่นแท้ออกมา

ที่จริงอิ๋งจิ่วกวงก็รู้เช่นกันว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ แค่อยากจะระบายอารมณ์เท่านั้น

“เซี่ยโห้วลิ่ง!” อิ๋งจิ่วกวงพลันกำหมัดคำรามขึ้นฟ้า

ข่าวลือโหมซัดสาดเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์ ทำให้คนของทั้งจวนอ๋องสวรรค์อิ๋งเริ่มหัวหด คนที่ยามปกติชอบแต่งตัวสวยเดินกรีดกราย คนที่ยามปกติชอบเอะอะโวยวาย คนที่ยามปกติชอบเที่ยวเตร่ไปทั่ว ตอนนี้แต่ละคนอยู่ในบ้านไม่กล้าออกไปไหน ต่างก็รู้ว่าถ้าทำเรื่องขัดใจท่านอ๋องในเวลานี้ ก็จะไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แม้แต่จะพูดเสียงดังก็ยังไม่กล้า ไม่อย่างนั้นถ้าถูกมองว่าขัดหูขัดตาขึ้นมาแล้วโดนฟ้องก็จะเกิดปัญหา ตระกูลใหญ่คนเยอะมักจะเกิดเรื่องพรรค์นี้ได้ง่าย

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในศาลากลางป่าไผ่กำลังฟังรายงานจากถังเฮ่อเหนียน ตอนนี้ทำสีหน้าจริงจังหนักแน่น

หลังจากถังเฮ่อเหนียนเล่าสถานการณ์จบแล้ว โค่วเจิงก็กล่าวเสียงต่ำว่า “หนิวโหย่วเต๋อเป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่า? ไม่น่าเชื่อว่าจะก่อเรื่องสุ่มสี่สุ่มห้าไปกับเซี่ยโห้วลิ่งด้วย ตอนนี้คงไม่มีแม้แต่ทางจะถอยกลับแล้ว เกรงว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งคงจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อกำจัดเขาทิ้ง”

“เขาก่อเรื่องมาตลอดไม่หยุดหย่อน บีบให้ตัวเองจนตรอก ที่ทำแบบนี้ถือว่าเหนือความคาดหมาย แต่ก็สมเหตุสมผลเช่นกัน ต่อให้เขาไม่ทำแบบนี้ คาดว่าอิ๋งจิ่วกวงก็ไม่ปล่อยเขาไปอยู่ดี ไม่สู้ชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ! คาดว่าคงถูกเซี่ยโห้วลิ่งยุยง ถึงไม่เสียดายที่จะใช้วิธีหยกศิลาล้วนแหลกลาญแบบนี้ อิ๋งจิ่วกวงกระโดดออกมาเล่นงานตำหนักนารีสวรรค์ ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าเซี่ยโห้วลิ่งอดทนไว้แล้ว พอมาดูตอนนี้ เซี่ยโห้วลิ่งต้องการให้เขาได้ชดใช้แน่นอน แค่ไม่เคลื่อนไหวเท่านั้นเอง พอเคลื่อนไหวก็ทำให้อิ๋งจิ่วกวงเจ็บลึกถึงกระดูก ท่านอ๋อง ตั้งแต่เซี่ยโห้วลิ่งคุมตระกูลเซี่ยโห้ว นี่เป็นครั้งแรกที่แสดงพลัง ควรค่าที่จะเฝ้าระวัง” ถังเฮ่อเหนียนกล่าว

โค่วหลิงซวีลุกขึ้นช้าๆ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “การกัดครั้งนี้ กัดทีเดียวถึงกระดูกแล้วสามส่วน แต่เซี่ยโห้วลิ่งอาศัยมือนี้แล้วคิดจะโค่นล้มตระกูลอิ๋งก็เป็นไปไม่ได้ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ก็คือ ทางทัพตะวันออกมีช่องโหว่ให้คนฉวยโอกาส กลัวว่าจะถูกท่านนั้นของวังสวรรค์จับตาดูแล้ว ตอนนี้อิ๋งจิ่วกวงคงจะกระวนกระวายจนไฟลุกหัว ต้องเตือนให้เขาเตรียมแผนป้องกัน บรรดาอ๋องต้องรีบประสานงานกันสักหน่อย รีบระดมกำลังพลไปกดดันทัพตะวันออก เตรียมพร้อมสนับสนุนทุกเมื่อ ขู่คนที่มีเจตนาไม่ซื่อภายในทัพตะวันออก!”

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ทางเดินระหว่างตึกศาลา ฮ่าวเต๋อฟางที่เอามือไขว้หลังพิงระเพียงแสยะยิ้ม “เซี่ยโห้วลิ่ง อ๋องผู้นี้ประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ ล้างแค้นได้โหดมากทีเดียว ครั้งนี้อิ๋งจิ่วกวงคงโดนกัดเจ็บไปอีกนาน”

ซูอวิ้นที่อยู่ข้างๆ กล่าวว่า “ถ้าเป็นแค่การล้างแค้นจริงๆ ต่อให้เจ็บนานกว่านี้ แต่ก็ต้องถึงคราวที่อาการบรรเทา กลัวก็แต่เซี่ยโห้วลิ่งจะยังมีแผนอำมหิตตามมาอีก สร้างเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่กลัวอิ๋งจิ่วกวงจะล้างแค้นบ้างเหรอ? ข้ากังวลว่าเขาจะอยากฆ่าให้สิ้นซาก!”

ฮ่าวเต๋อฟางพยักหน้า “เรื่องนี้ไม่อาจนิ่งดูดาย อิ๋งจิ่วกวงจะล้มไม่ได้ ให้โอกาสเซี่ยโห้วลิ่งลงมือต่อไม่ได้แล้ว ต้องตรึงกำลังเพิ่ม ติดต่อตระกูลที่เหลือ สั่งให้กำลังพลทางตลาดสวรรค์ที่อยู่ในอาณาเขตของแต่ละฝ่ายรีบไปควบคุมร้านค้าของตระกูลเซี่ยโห้วไว้ แล้วก็เคลื่อนกำลังพลไปที่ตลาดมืดแต่ละแห่งเดี๋ยวนี้ บีบช่องทางรายได้ที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลเซี่ยโห้วไว้ก่อน แล้วก็ทางวังหลังของตำหนักสวรรค์ด้วย ให้คนของสี่อ๋องร่วมมือกันเล่นงานตำหนักนารีสวรรค์ ต้องทำให้เซี่ยโห้วลิ่งลูบหน้าปะจมูก อย่าให้เขาทำอะไรซี้ซั้วอีก ต้องหยั่งเชิงท่าทีของประมุขชิงด้วย”

นอกตำหนักประมุขถิ่นกลาง ทะเลสาบสีเขียวรกต ส่องสะท้อนฟ้าครามเมฆขาว

สถานการณ์ที่พิภพเล็กไม่ได้ผันผวนเหมือนพิภพใหญ่ ที่นี่ก็ยิ่งไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วของของโลกภายนอก ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ที่นี่ยังไม่เคยมีความเปลี่ยนแปลงเลย มีเพียงสี่ฤดูกาลที่สลับหมุนเวียนกันไป ต้นไม้ใบหญ้าแห้งเหี่ยวซ้ำแล้วซ้ำอีก ทิ้งร่องรอยแห่งกาลเวลาเอาไว้

“หลับไหลอยู่ในห้วงฝันอันยาวนาน มิรู้ตื่น มิรู้ตื่น สุดหล้าฟ้าเขียว ท้องฟ้าแสนไกล ท้องฟ้าแสนไกล…”

บนหลังคาตำหนักที่มีกระเบื้องซ้อนกันหลายชั้น จูเก๋อชิงที่ผมยาวปลิวสยาย สวมชุดกระโปรงยาวสีเงินกำลังยืนรับลมอยู่บนนั้น ใบหน้างามล่มเมืองยังไม่เปลี่ยนไป ในดวงตางามฉายแววเลื่อนลอยห่อเหี่ยว เสียงเพลงอ่อนหวานละมุนละไม ร้องเพลงเพียงลำพัง

ถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่หลายปี ด้านนอกฟ้าสูงแผ่นดินกว้าง แต่กลับทำได้เพียงมองจากที่ไกลๆ ไม่มีทางเข้าใกล้ได้เลย อยู่ที่นี่ไม่มีแม้กระทั่งคนที่จะคุยกับนางได้ นอกจากฝึกตนแล้วก็ไม่ได้ทำอย่างอื่น ยามเหงาก็มักจะร้องเพลงคนเดียว อาศัยวรยุทธ์ของนางในตอนนี้ ทหารยามสกัดขวางนางไม่ไหวเลย แต่นางไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกออกไป กำแพงที่ไร้รูปร่างผลึกนางไว้ที่นี่ นางต้องจ่ายไม่รู้จบกับการกระทำของตัวเองในปีนั้น

สาวน้อยสองคนเงยหน้าอย่างตะลึงงั้น มองบนหลังคาด้วยความอิจฉา

“พี่สาวร้องเพลงเพราะจัง” สาวน้อยคนหนึ่งกล่าวชื่นชม

“พี่สาวสวยขนาดนี้ เป็นเทพเซียน ก็ต้องร้องเพลงเพราะอยู่แล้ว” สาวน้อยอีกคนกล่าวอย่างมั่นใจมาก

“แต่ทำไมพี่สาวเทพเซียนไม่ออกจากประตูเลยล่ะ?”

สาวน้อยสองคนนี้ถูกส่งมาปรนนิบัติจูเก๋อชิง พวกนางไม่ใช่นักพรต ไม่กล้าส่งนักพรตมาปรนนิบัตินาง เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นลูกน้องคนสนิทของนางแล้วก่อเรื่องอะไรขึ้น ดังนั้นแต่ละช่วงจะเปลี่ยนคนใหม่มาทีละสองคน จะไม่ให้คนเก่าอยู่กับจูเก๋อชิงนานเกินไป

ในร้านค้าของตลาดสวรรค์แห่งหนึ่ง ในที่สุดคู่แค้นคู่หนึ่งก็นั่งด้วยกันอย่างสงบใจแล้ว หลันโฮ่วนั่งยืดตัวตรงอยู่บนฟูกกลม ถือกาสุรารินใส่ถ้วยให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้าม

จางเทียนเซี่ยวที่นั่งอยู่ตรงข้ามหันก้นให้เขาครึ่งหนึ่ง มือหนึ่งยันพื้นเอนกาย แขนอีกข้างพาดไว้บนเข่าที่ชันอยู่บนพื้น แม้จะแต่งกายเรียบร้อยแล้ว แล้วท่วงท่าที่ไร้ระเบียบวินัยก็ยังไม่เปลี่ยน ดวงตางามชำเลืองการเคลื่อนไหวของหลันโฮ่วที่อยู่ตรงข้ามแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ถามว่า “นายท่านสร้างความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?”

หลันโฮ่วยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจ่อปาก แล้วตอบเสียงเรียบ “ไม่รู้”

จางเทียนเซี่ยวโกรธอย่างบอกไม่ถูก ยื่นมือคว้าถ้วยน้ำชาสะบัดน้ำชาร้อนไปฝั่งตรงข้ามเสียเลย

หลันโฮ่วนั่งนิ่งไม่ขยับตัว ไม่หลบหลีกด้วย เพียงหลับตาลงเท่านั้น ปล่อยให้น้ำชาที่สาดใส่ใบหน้าตัวเองไหลเปียกคอเสื้อ เหมือนจะไม่ได้ร่ายอิทธิฤทธิ์ป้องกันด้วย ร่องรอยโดนน้ำร้อนลวกบนใบหน้าปรากฏให้เห็นทันที

จางเทียนเซี่ยวจ้องเขา แล้วจู่ๆ เท้าใต้กระโปรงก็โผล่ออกมา โครม! ถีบบนตัวหลันโฮ่วไปแล้วหลายที

หลันโฮ่วยังคงนั่งนิ่งสงบ จางเทียนเซี่ยวจึงลุกขึ้นแล้วบิดเอวเดินออกไป…

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ในห้องหนังสือ โกวเยว่ที่เก็บระฆังดาราแล้วรีบรายงานต่อก่วงลิ่งกงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาว “ท่านอ๋อง คนที่ส่งไปติดต่อที่สำนักลมปราณพบว่าคนของสำนักลมปราณหายไปหมดแล้วขอรับ ไม่ทราบว่าไปไหน”

“ศิษย์สำนักลมปราณที่ทำงานที่ร้านขายของชำซื่อตรงยังอยู่หรือเปล่า?” ก่วงลิ่งกงถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ถามแล้วขอรับ ยังทำงานตามปกติ ” โกวเยว่ตอบ

“พระหนีไม่พ้นวัดหรอก วางเรื่องนี้ไว้ก่อน รีบมือกับเรื่องตรงหน้าก่อน” ก่วงลิ่งกงกล่าว

ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน พวกอวี้หลิงที่ออกจากโรงน้ำชาแล้วเดินไปเดินมาอยู่บนถนน ตั้งใจฟังคนที่กำลังวิพากษ์วิจารย์อยู่รอบๆ

“จริงหรือล้อเล่น ทัพตะวันออกห้าล้านถูกทัพใหญ่แดนอเวจีหนึ่งแสนของหนิวโหย่วเต๋อกำจัดไปสามล้าน? จะเป็นไปได้ยังไง?”

“ฟังดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่เจ้าหมอนั่นเหมือนจะชำนาญเรื่องอาศัยคนน้อยโจมตีคนเยอะนะ ก่อนหน้านี้ก็เรื่องฉู่จื่อซาน ทัพใหญ่หนึ่งล้านถูกกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ของหนิวโหย่วเต๋อตีแตกไม่ใช่เหรอ”

“ทำไมไม่เห็นฝั่งตระกูลอิ๋งออกมาแก้ตัวอะไรเลย คงไม่ใช่เรื่องจริงหรอกใช่มั้ย?”

“แก้ตัวอะไร? ไม่ได้ยินเหรอว่าอิ๋งอู๋หม่านยังอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อ ต่อไปถ้าหนิวโหย่วเต๋อผลักอิ๋งอู๋หม่านออกมา จะไม่เท่ากับตระกูลอิ๋งตบปากตัวเองหรือไง”

“เด็กดี ข้าก็ว่าทำไมหนิวโหย่วเต๋อไต่เต้าถึงตำแหน่งผู้ตรวจการใหญ่ลาดสวรรค์ได้เร็วขนาดนั้น ที่แท้เบื้องหลังก็มีลับลมคมในนี่เอง!”

“ใช่แล้ว! มิน่าล่ะคนของโถงชุมนุมอัจฉริยะถึงโดนจับแล้วปล่อย ยาแก่นซียนหนึ่งหมื่นล้านล้านเม็ดเชียวนะ สงสัยสาเหตุที่ยาแก่นเซียนแพงขึ้นแทบตายล้วนเป็นเพราะตระกูลอิ๋ง!”

“สนมฉินนั่นบอกว่าอิ๋งจิ่วกวงจะก่อกบฎ ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือเปล่า”

“อย่าพูดซี้ซั้วเลย พอรวมเรื่องราวเข้าด้วยกันแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจเล่นงานอ๋องสวรรค์อิ๋ง”

“เจ้าเคยเห็นตราอิทธิฤทธิ์ของสนมฉินหรือเปล่าว่าเป็นยังไง?”

“เฮ่อ นี่เป็นอะไรกันไปแล้ว? ก่อนหน้านี้เพิ่งมีข่าวว่าหนิวโหย่วเต๋อโหดเหี้ยมทารุณ ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นข่าวคึกโครมของอ๋องสวรรค์อิ๋งซะแล้ว สิ่งที่โจมตีหนิวโหย่วเต๋อก่อนหน้านี้ก็เกิดจากฝีมืออ๋องสวรรค์อิ๋งไม่ใช่เหรอ?”

“เป็นไปได้ อ๋องสวรรค์อิ๋งเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อ แล้วหนิวโหย่วเต๋อก็โจมตีกลับทันที ก็ฟังขึ้นเหมือนกัน”

ทุกที่มีแต่คนไม่รู้ความจริงกำลังวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา คนระดับนี้ไม่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวชัดเจนเลย จะไปรู้การต่อสู้เบื้องหลังได้อย่างไร อำนาจในการรับรู้ข่าวก็มีขีดจำกัด อย่าว่าแต่อ๋องสวรรค์อิ๋งเลย แม้แต่เหมียวอี้เองก็ยังดูสูงส่งในสายตาบางคน ปกติไม่มีสิทธิ์จะติดต่อกันด้วยซ้ำ จะไปรู้เรื่องราวเบื้องลึกได้อย่างไร ได้แต่หลับหูหลับตาเดาเท่านั้น

ส่วนคนที่รู้เรื่องราวที่แท้จริงก็จะไม่วิจารณ์อย่างนี้

สิ่งที่ทำให้คนในใต้หล้าตกตะลึงจริงๆ ก็คือศึกสระน้ำมังกรดำ แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวลือว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งขนาดทุน แต่คนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึก ส่วนใหญ่จะไม่พูดเรื่องนี้ให้ภายนอกรู้ส่งเดช จนป่านนี้แล้วคนส่วนใหญ่เพิ่งจะได้สอดแนมความจริง พวกเขาตกตะลึงว่าหนิวโหย่วเต๋อทำศึกได้อย่างไร ตกตะลึงที่พลังรบของทัพใหญ่แดนอเวจีแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เรียกได้ว่าทำให้ผู้คนแตกตื่นหนักขึ้นเรื่อยๆ ในข้อคิดเห็นร่วมของฝูงชน เหมือนจะยกย่องให้ทัพใหญ่แดนอเวจีเป็นกองทัพอันดับหนึ่งของใต้หล้าอย่างเป็นทางการแล้ว!

…………………

ตอนนี้เม่ยเหนียงรู้สึกได้อย่างลึกซึ้ง ว่าอุบายที่ตัวเองใช้ในบ้านขุนนางยศใหญ่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงของเด็กเล่นเมื่อเทียบคนที่อยู่ข้างนอก สิ่งที่ตัวเองทำเรียกว่าเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว แต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำเรียกได้ว่าภูเขาถล่มแผ่นดินแยก โอ่อ่าทรงพลัง พอเคลื่อนไหวขึ้นมาก็ม้วนคลุมทั้งใต้หล้า!

ก่วงลิ่งกงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังเป็นพิเศษ “นี่ต้องการจะเล่นงานอิ๋งจิ่วกวงให้ถึงตาย สืบเจอหรือยังว่าใครเป็นคนกระจายข่าว?”

โกวเยว่ตอบว่า “จุดที่ข่าวกระจายเร็วที่สุดก็คือตลาดมืด เมื่อเชื่อมโยงกับเรื่องสำนักลมปราณ เกรงว่าคงไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อและตระกูลเซี่ยโห้ว! ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลเซี่ยโห้วเข้ามาแทรกแซง หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่มีกำลังมากพอที่จะทำให้ข่าวคึกโครมทั้งใต้หล้าได้เร็วขนาดนี้ ทางตลาดมืดก็ยิ่งปล่อยโดยไม่ควบคุมเลยสักนิด บ่าวสั่งให้คนตรวจสอบแล้ว ทว่าครั้งนี้เทียบกับครั้งก่อนไม่เหมือนกัน ครั้งก่อนอาศัยปากของโถงชุมนุมอัจฉริยะกระจายข่าวลือ สาวไปถึงตัวการได้ง่าย ครั้งนี้เป็นการยัดแผ่นหยกไปทั่วอย่างเงียบๆ พอแผ่นหยกทิ้งแผ่นหยกไว้แล้วก็จากไปอย่างไร้ซุ่มเสียง เวลาจะสืบหาขึ้นมาก็ยุ่งยาก”

ก่วงลิ่งกงราวกับใบหน้าโดนตะคริวกิน เขาเพิ่งจะกระพือข่าวลือของหนิวโหย่วเต๋อให้คึกโครมทั้งใต้หล้า แต่หนิวโหย่วเต๋อพลิกมือก่อหายนะให้ตระกูลอิ๋งโหดยิ่งกว่า คาดว่าคงจะกลบความเคลื่อนไหวที่เขาสร้างขึ้นมาได้ในทันที ทั้งสองลงมือก่อนหลังตามกันมา คลื่นลูกหลังสูงกว่าคลื่นลูกแรก ช่างมีจิตใจสื่อถึงกันจริงๆ เขาดันกลายเป็นคนร้องเพลงโหมโรงที่คอยกระพือเรื่องให้ลุกลามใหญ่โต นี่มันเรื่องอะไรกัน

“แผ่นหยกมากขนาดนี้ไม่ใช่ว่าจะทำเสร็จได้ภายในเวลาสั้นๆ เห็นได้ชัดว่าวางแผนมานานแล้ว หลังจากเกิดเรื่องที่สระน้ำมังกรดำ ก็เตรียมพุ่งเป้าเล่นงานอิ๋งจิ่วกวงแล้ว! หมาบ้าอย่างหนิวโหย่วเต๋อช่างเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ เกรงว่าต่อให้นอนฝัน อิ๋งจิ่วกวงก็คงนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าหนิวโหย่วเต๋อจะกล้าทำอย่างนี้ กลายเป็นส่งเป้าที่ใหญ่ขนาดนี้ให้อีกฝ่ายโจมตี!” ก่วงลิ่งกงเอามือไขว้หลังเดินมาริมหน้าต่าง ขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่างก็กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

โกวเยว่กล่าวว่า “ไม่ใช่แค่อิ๋งจิ่วกวงเท่านั้นที่นึกไม่ถึง เกรงว่าทุกคนก็นึกไม่ถึงเช่นกัน ตอนนี้พอมานึกดูแล้ว การที่หนิวโหย่วเต๋อทำอย่างนี้ก็ไม่แปลกเช่นกัน เขารู้ชัดว่าอิ๋งจิ่วกวงไม่มีทางปล่อยเขาไป เลยไม่ปล่อยให้อิ๋งจิ่วกวงได้พักหายใจ ชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ! แต่ถ้าจะบอกว่าตระกูลเซี่ยโห้วเชื่อฟังคำสั่งของหนิวโหย่วเต๋อ ก็ฟังดูเหลวไหลไปหน่อย มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าเซี่ยโห้วลิ่งเป็นคนชักจูง!”

ก่วงลิ่งกงพยักหน้าเบาๆ ขณะมองออกนอกหน้าต่าง “ก่อนหน้านี้ตระกูลเซี่ยโห้วเสียเปรียบตระกูลอิ๋ง แต่เซี่ยโห้วลิ่งนิ่งเฉยไม่เคลื่อนไหว สิ่งนี้ก็ทำให้คนรู้สึกแปลกใจแล้ว ที่แท้ก็แค่ไม่เคลื่อนไหวก็เท่านั้นเอง พอเคลื่อนไหวขึ้นมาก็เล่นงานตระกูลอิ๋งถึงตาย ต่อไปต้องระวังเจ้าเด็กนี่ไว้หน่อย” ตอนที่หันกลับมากำชับ เขาพบว่าเม่ยเหนียงและลูกสาวยังอยู่ในห้อง จึงโบกมือบอกใบ้ให้ทั้งสองถอยออกไปทันที

สองแม่ลูกที่ออกมาจากห้องเงียบงันผิดปกติ ยากที่จะกำจัดความรู้สึกตกตะลึงในใจให้หายไป

ระหว่างทางเดิน ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่เร่งฝีเท้าเดินตามมารดาแอบมองมารดาเป็นระยะ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านแม่ พี่ใหญ่หนิวทำเรื่องนี้จริงๆ เหรอคะ?”

เม่ยเหนียงถลึงตาจ้องนางทันที “เด็กน้อยพูดเหลวไหลอะไร? เรื่องแบบนี้ ผู้หญิงที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนอย่างพวกเราไปยุ่งไม่ได้ ตั้งแต่นี้ไปถ้าแม่ไม่อนุญาติ ก็ห้ามเจ้าไปที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลอีก เข้าใจมั้ย?”

“อื้ม!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์พยักหน้าซ้ำๆ เหมือนไก่จิกข้าวสาร รู้สึกตกใจกับเรื่องที่ได้ยินเมื่อครู่นี้เช่นกัน ภาพพจน์ของเหมียวอี้ในใจนางเพิ่มความน่าหวาดกลัวเข้ามาด้วยแล้ว

ตำหนักดาราจักร ซ่างกวนชิงรายงานเรื่องการตายของเกาเหยียนที่รู้มาจากชิงหยวนจุน

“ข้าก็รู้สึกอยู่แล้วว่าไม่ปกติ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้…” ประมุขชิงที่นั่งพิงเก้าอี้พยักหน้า หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็บอกอีกว่า “ในปีนั้นเกาก้วนเคยบอกว่าหนิวโหย่วเต๋ออาจจะกลายเป็นโพ่จวินคนที่สอง หึ! ตอนนี้ข้าไม่เห็นเงาของโพ่จวินในตัวเขาสักนิด กลับมีอีกคนที่ข้ารู้สึกว่าเหมือนโพ่จวิน”

“เอ่อ…” ซ่างกวนชิงตะลึงงัน แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ฝ่าบาทกำลังหมายถึง…” เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าประมุขชิงพูดถึงใคร แต่ก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองไม่รู้ และไม่ได้บอกว่าตัวเองรู้ด้วย เขาใช้น้ำเสียงวถามหยั่งเชิง

ประมุขชิงตอบว่า “หวังติ้งเฉานั่น ข้าว่าก็ไม่เลว ย้ายมาเป็นแม่ทัพภาคในเขตที่หยวนจุนอยู่เถอะ บอกฐานะของหยวนจุนให้เขารู้ ให้เขาดูหยวนจุนสักหน่อย ให้หยวนจุนทำความรู้จักเขาไว้มากๆ ด้วย อย่าให้หยวนจุนคิดแค่ว่าหนิวโหย่วเต๋อพึ่งพาได้ ให้ยวนจุนมีตัวเปรียบเทียบ”

หวังติ้งเฉา? ซ่างกวนชิงกระจ่างในฉับพลัน เข้าใจแล้วว่าเป็นใคร คนคนนี้ประมุขชิงจับตาดูมาตลอด ในปีแรกๆ ก็เข้าร่วมการทดสอบแดนอเวจีเหมือนหนิวโหย่วเต๋อ ตอนหลังหนิวโหย่วเต๋อไต่เต้าจนถึงตำแหน่งในปัจจุบันแล้ว แต่หวังติ้งเฉาคนนี้เหมือนจะเข้าสังคมไม่เก่ง ตอนนั้นที่ถูกแต่งตั้งให้อยู่ตำแหน่งแม่ทัพภาค ก็มีแววว่าจะเป็นไปทั้งชีวิต ถ้าไม่ใช่เพราะมีคำว่า ‘แต่งตั้ง’ คุ้มครองอยู่ เกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งแม่ทัพภาคก็รักษาไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

ซ่างกวนชิงเพิ่งจะเอ่ยรับคำสั่งเรื่องนี้ ก็มีข่าวส่งมาอีกแล้ว ยังไม่ทันได้เก็บระฆังดารา เขารีบรายงานด่วนต่อประมุขชิงอีก “ฝ่าบาท ข่าวลือที่พุ่งเป้าไปที่อิ๋งจิ่วกวงปะทุแล้ว…” เขารายงานสถานการณ์ของข่าวลือให้ฟังอย่างละเอียด

“ชาติสุนัขสองตัว ขนาดผู้หญิงที่ข้าเคยนอนด้วยแล้วก็ยังถูกใช้ประโยชน์ ช่างไม่สนกฎเกณฑ์ของสวรรค์จริงๆ!” ประมุขชิงตบโต๊ะยืนขึ้น เพียงแต่ไม่ได้ระบายไฟโกรธลงกับทางนี้ กลับตะโกนชมว่าดีแล้ว “ทางตลาดสวรรค์ใกล้จะได้ตั้งรับแล้ว บอกโพ่จวิน โพ่จวิน ซือหม่าเวิ่นเทียนให้ดำเนินการตามแผนเดี๋ยวนี้!”

“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ แล้วรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อคนเหล่านั้น

ในตำหนักคุ้มเมือง บนตึกศาลา หยางเจาชิงสาวเท้าเดินขึ้นไปหยุดอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ที่กำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง แล้วรายงานว่า “ข่าวแพร่ออกไปแล้วขอรับ ตลาดสวรรค์กำลังลือกันสนั่น”

“บอกให้หลงซิ่นรวบรวมกำลังพลที่เหลือ ถอนกำลังออกจากแดนรัตติกาลให้เร็วที่สุด บอกให้คนเบื้องล่างที่เข้าประจำที่แล้วเริ่มดำเนินการขั้นต่อไปได้!” เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำ

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง

เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเซี่ยโห้วลิ่ง

ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงดาว ค่ำคืนที่เงียบขรึม จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม

กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้ายื่นออกไปทั่วทุกทิศ บนนั้นแขวนโคมไฟเอาไว้ไม่น้อย กลุ่มผู้ช่วยจากเขตต่างๆ ของตลาดสวรรค์รวมตัวกันนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม สมาชิกของแต่ละบ้านก็นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ เช่นกัน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องยืนอยู่ตลอด เพียงแต่มองไปทางเซี่ยโห้วลิ่งที่นอนอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้เป็นระยะ ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่กำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่

ระฆังดาราในแหวนเก็บสมบัติของคนจำนวนไม่น้อยส่งเสียงดัง ทว่าฝั่งนี้ออกคำสั่งอย่างเข้มงวดแล้ว ว่าถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามติดต่อกับภายนอก ใครขัดคำสั่งจะโดนประหาร!

องครักษ์หัวหน้าตระกูลผู้ลึกลับสวมหมวกมุ้ง หน้ากากโลหะที่อยู่หลังผ้ามุ้งกำลังสะท้อนแสงอยู่ภายใต้โคมไฟ เขากำลังจ้องกลุ่มคนที่อยู่ตรงนี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ ทำให้คนพวกนี้ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

เซี่ยโห้วลิ่งที่กำลังนอนเอนกายหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง เขาโยนตำราโบราณไว้ข้างๆ ในที่สุดก็ลุกขึ้นมาแล้ว ทั้งตัวสวมชุดขาวราวกับหิมะ ประกอบกับลักษณะท่าทางที่สุขุมเยือกเย็น ทำให้เขาดูสูงส่งสง่างาม

เซี่ยโห้วลิ่งเดินออกจากเก้าอี้ไปพยักหน้าให้เว่ยซู แล้วเว่ยซูก็ถ่ายทอดเสียงออกคำสั่งกับตงหานที่อยู่ข้างๆ ทันที

ผ่านไปไม่นาน บรรดาผู้ช่วยเขตของตลาดสวรรค์ก็พากันหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับภายนอก

ส่วนเซี่ยโห้วลิ่งก็เดินไปข้างกู่ฉิน สะบัดชายชุดคลุมแล้วนั่งลงตรงหน้ากูฉินต่อหน้าทุกคน ก่อนจะใช้สิบนิ้วดีดบรรเลงบนสายฉิน

“ตง…ตง…ตง…ตัง…” เสียงฉินทำลายความเงียบยามค่ำคืน ลมราตรีที่พัดเข้ามาทำให้โคมไฟบนกิ่งไม้สั่นไหว มีใบไม้ปลิวร่วงลงมาใบแล้วใบเล่า

เสียงฉินเริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ คนที่ฟังฉินเป็นเริ่มฟังออกว่าในเสียงนั้นแฝงไปด้วยกลิ่นอายสังหารของสงคราม เซี่ยโห้วลิ่งดีดฉินอย่างหมกมุ่นมาก

สมาชิกในครอบครัวที่สนิทกับเซี่ยโห้วลิ่งต่างก็ค้นพบ ว่าวันนี้บนตัวเซี่ยโห้วลิ่งเผยกลิ่นอายความสงภูมิฐานยามกุมอำนาจมหาศาลไว้ในมือ สูงส่งราวกับนั่งอยู่บนเมฆอย่างแท้จริง

ตลาดผี สมาชิกของจวนแม่ทัพภาคกำลังกระจายกันเดินเตร่อยู่ตามถนนของตลาดผี ตอนนี้แหกปากร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนแล้ว

“ทุกคนฟังให้ดี ข่าวลือ ทั้งหมดเป็นข่าวลือ!”

“เรื่องนี้ไม่มีอยู่จริง! ทุกคนอย่าแพร่ข่าวลือซี้ซั้วอีก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ตรวจการใหญ่ของพวกเราสักนิด”

“คนที่สัญจรผ่านไปมา ความยุติธรรมยังมีอยู่มั้ย มีคนกำลังวางแผนใส่ร้ายผู้ตรวจการใหญ่ของพวกเรา”

“เห็นได้ชัดเจนมาก คนมีสมองล้วนมองออก ว่ามีคนกำลังวางแผนทำร้ายอ๋องสวรรค์อิ๋ง แต่กำลังผลักความผิดมาให้ผู้ตรวจการใหญ่ของะวกเรา!”

“ผู้ตรวจการใหญ่ให้พวกเรามาประกาศให้เด็ดขาดชอบธรรม ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผู้ตรวจการใหญ่เลย”

จู่ๆ พลทหารคนหนึ่งก็หยิบระฆังดาราขึ้นมาตั้งใจฟัง จากนั้นถ่ายทอดเสียงบอกเพื่อนร่วมงานข้างๆ ทันที “ผู้บัญชาการใหญ่มีคำสั่ง ให้ทุกคนไปรวมตัวกันเดี๋ยวนี้ ไป!”

ผ่านไปไม่นาน คนในจวนแม่ทัพภาคที่ตะโกนอยู่ตามถนนของตลาดผีก็หายไปเร็วมาก เหลือไว้เพียงเสียงวิจารณ์ทั่วทุกหนแห่ง

ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านวางสองมือบนขอบหน้าต่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กำลังจ้องโคมไฟของตลาดผี

“เถ้าแก่!” เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเสียงชีเจวี๋ย เฉาหม่านตะโกนบอกว่า “เข้ามา!”

ชีเจวี๋ยผลักประตูเข้ามาแล้วปิดไว้ เดินสาวเท้าเข้ามากุมหมัดคารวะข้างหลังเฉาหม่าน “เถ้าแก่ ปล่อยของที่ตลาดผีกับตลาดมืดทุกแห่งแล้ว คนของจวนแม่ทัพภาคกำลังป่าวประกาศทั่วทั้งตลาดผี พิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้หนิวโหย่วเต๋อ!”

“บริสุทธิ์เหรอ? บริสุทธิ์บ้าอะไรล่ะ ถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อ ข้ายอมให้ตัดหัวลงมาเลย! สองคนนั้นเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ไม่รู้ว่าพวกเราโง่หรือเจ้ารองโง่? นี่เจ้ารองคิดจะทำอะไร หรือคิดว่าแค่อาศัยข่าวลือพวกนี้ก็จะโค่นตระกูลอิ๋งได้? ถ้าเรื่องนี้เกิดช่องโหว่อะไรขึ้นมา ก็ให้เจ้ารองไปชี้แจงกับพวกพี่น้องเอาเองแล้วกัน!” เฉาหม่านวางมือลงพลางถอนหายใจ จากนั้นหันตัวมาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เพื่อป้องกันฝ่ายตรงข้ามแว้งกัด บอกให้สมาชิกที่อยู่ตามตลาดมืดหลบซ่อนเดี๋ยวนี้ พวกเป็นบ้าไปกับเจ้ารองไม่ไหว!”

“ขอรับ!” ชีเจวี๋ยเอ่ยรับ

เฉาหม่านเดินก้าวยาวออกจากห้องไป แล้วไม่นานคนทั้งตึกศาลาสัตยพรตก็หายไปหมดแล้ว

ทัพใหญ่สี่หมื่นแดนรัตติกาลไม่ได้กระจายตัวอยู่ที่ตลาดสวรรค์ทั้งหมด สมาชิกที่เข้าตลาดสวรรค์เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่อยู่ในเครือข่ายเท่านั้น ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ทำหน้าที่กระจายข่าวให้แต่ละชั้น ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยหยางเจาชิงคนเดียว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะติดต่อทุกคนที่ตลาดสวรรค์ ติดต่อไม่ไหว

บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง หยวนกงกำลังนั่งดูดาวอยู่บนหินก้อนหนึ่ง ปากกำลังพึมพำบางอย่าง ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังพึมพำอะไร เอาเป็นว่าเขารู้เรื่องข่าวลือแล้ว

วัดพุทธะหยก ในสระน้ำสีมรกตกลางหุบเขามีร่างเปลือยสองร่าง

ศีลแปดแช่อยู่ในน้ำครึ่งหนึ่ง ท่อนบนนอนคว่ำอยู่บนหินริ่มฝั่ง อวี้หลัวช่ากำลังนวดหลังให้ หลังจากนางบ่นอยู่พักหนึ่ง ก็เอานิ้วจิ้มบนหลังศีรษะล้านของศีลแปด “เจ้าไม่เป็นห่วงพี่ใหญ่สักนิดเลยเหรอ? ก่วงลิ่งกงปล่อยข่าวลือพวกนั้น เห็นได้ชัดว่าพุ่งเป้าไปที่พี่ใหญ่”

“เฮ้อ! จะกังวลเรื่องนี้ไปทำไม? ข้ารู้จักพี่ใหญ่ข้าดี โดนใส่ร้ายนิดหน่อยจะเป็นไรไป เขาเป็นคนที่อาบข่าวฉาวต่างน้ำ ได้ฉายาว่าจัญไร แค่นี้จะไปแยแสอะไร ไม่แน่ว่าอาจจะใช้ข่าวลือโต้ตอบกลับก็ได้” ศีลแปดกล่าวในขณะนอนหมอบหลับตา ท่าทางดูไม่แยแสเลย แอบขำอวี้หลัวช่าที่ไม่รู้ว่าตอนอยู่พิภพเล็กพี่ใหญ่เคยได้ฉายา ‘ไอ้เหมียวจัญไร’

“ได้ฉายาว่าจัญไรอะไร มีใครเขาว่าพี่ใหญ่ตัวเองแบบเจ้าบ้าง? ปัญหาก็คือมันอาจจะเป็นเพลงโหมโรงว่าก่วงลิ่งกงจะลงมือกับพี่ใหญ่ของเจ้า…” อวี้หลัวช่ายังไม่ทันพูดจบ ก็หิ้วระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน สีหน้านางเปลี่ยนโดยฉับพลัน จิ้มศีรษะศีลแปดอีก “เกิดเรื่องแล้ว พี่ใหญ่ของเจ้าก็กำลังปล่อยข่าวลือไปทั้งใต้หล้าเหมือนกัน”

ศีลแปดหัวเราะเบาๆ หันกลับมากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าพูดไม่ผิดใช่มั้ยล่ะ ใช้ข่าวลือสยบข่าวลือกลับแล้วสินะ”

อวี้หลัวช่าดึงหูเขาข้างหนึ่ง “เจ้าฟังให้ดีนะ ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ก่วงลิ่งกง แต่พุ่งเป้าไปที่อิ๋งจิ่วกวง…”

……………………

รอจนกระทั่งเหมียวอี้วางระฆังดารา หยางเจาชิงถึงได้รายงานว่า “นายท่าน คนของพวกเราพบกับคนของตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ทั้งหมดเข้าประจำที่แล้ว”

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วเดินไปเดินมาช้าๆ อยู่ในตึก จู่ๆ เรื่องของเกาเหยียนก็สร้างความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ได้ยินข่าว ไม่ใช่แค่เซี่ยโห้วลิ่งที่ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น อวิ๋นจือชิว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ชิงหยวนจุนหรือแม้กระทั่งหวงฝู่จวินโหรวก็ถามถึงเรื่องนี้เช่นกัน

ที่จริงเขาเองก็เพิ่งรู้ตอนได้ข่าวว่าเกาเหยียนถูกทรมานจนตาย เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับหลงซิ่นก็ได้ เดิมทีหลงซิ่นก็ย้ายออกมาจากทัพตะวันออกของตระกูลก่วงอยู่แล้ว และหลังจากตระกูลเซี่ยโห้วจี้เอาตัวเกาเหยียนไปแล้ว เขาก็มีธุระอยู่ข้างนอกพอดี จ่ายงานให้หลงซิ่นจัดการเรื่องนี้ต่อ

หลังจากลองครุ่นคิด เหมียวอี้ก็บอกว่า “ติดต่อหลงซิ่นไป ถามดูหน่อยว่าเรื่องเป็นยังไง”

หยางเจาชิงเข้าใจว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร รีบจัดการตามคำสั่งทันที หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหลงซิ่นแล้ว

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ หยางเจาชิงก็หยุดใช้ระฆังดาราแล้วรายงานว่า “นายท่าน หลงซิ่นบอกว่าเขาทำเรื่องนี้เองขอรับ”

เหมียวอี้หยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะ เอามือยันโต๊ะ จ้องเท้าพร้อมถามอย่างใจเย็นว่า “ข้าต้องการเหตุผล!”

หยางเจาชิงตอบว่า “ข้าน้อยถามแล้วขอรับ เขาบอกว่าในปีนั้นตอนที่สืบเรื่องที่ฮูหยินของตัวเองหายตัวไป มีข่าวบอกว่าคนแรกที่ชอบฮูหยินของเขาไม่ใช่โจวอ้าวหลินลูกชายของโจวจ้าว แต่เป็นเกาจื่อหู น้องชายของเกาจื่อเซวียนที่เป็นอนุภรรยาของก่วงลิ่งกง เป็นบิดาของเกาเหยียนเช่นกัน ตอนนั้นเขาก็สงสัยแล้ว ตอนที่ลูกน้องส่งสาวงามมาให้เขา โจวอ้าวหลินก็ไม่เคยเห็นมาก่อน อยู่ดีๆ จะมาขอคนได้ยังไง? แล้วคนที่มาขอผู้หญิงให้โจวอ้าวหลินก็คือเกาจื่อหู ในปีนั้นเกาจื่อหูเที่ยวเล่นตัวติดกับกับโจวอ้าวหลิน ตอนนั้นเขาก็เลยสงสัยว่ามีเกาจื่อหูคอยยุยงหรือเปล่า เพียงแต่เรื่องนี้ไม่มีหลักฐานอะไรเลย ครั้งนี้เกาเหยียนตกอยู่ในมือเขาแล้ว กระตุ้นความแค้นเก่าของเขา ถึงยังไงนายท่านก็บอกแล้วว่าให้ส่งคนตายไปให้ตระกูลก่วง เขาทนไม่ไหวจึงลงมือระบายความแค้นด้วยตัวเอง นึกไม่ถึงว่าจะทำให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตขนาดนี้ขอรับ”

เหมียวอี้ใช้นิ้วเคาะผิวโต๊ะเบาๆ หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ก็ตอบว่า “บอกหลงซิ่น ว่าเรื่องครั้งนี้ข้าจะรับไว้เอง ถ้ามีครั้งต่อไป ข้าไม่ปล่อยไปแน่นอน!” พูดจบก็หยิบระฆังดาราออกมา เริ่มชี้แจงให้แต่ละฝ่ายรับรู้

เขาบอกชิงหยวนจุนก่อน บอกว่าเขาสืบเรื่องนี้มาแล้ว พบว่าหลงซิ่นทำไปเพราะความแค้นเก่าในปีนั้น เขาไม่ได้รู้เรื่องนี้มาก่อน

ต่อมาก็ติดต่อไปอธิบายกับเซี่ยโห้วลิ่งด้วยตัวเอง เซี่ยโห้วลิ่งตอบมาว่า : เจ้าอธิบายเรื่องนี้กับข้าก็ไม่มีประโยชน์หรอก เห็นได้ชัดว่าก่วงลิ่งกงลงมือแล้ว เจ้าแน่ใจได้มั้ยว่าเขาจะไม่มีแผนสำรองอะไรอีก? ในเวลาแบบนี้ ถ้าก่วงลิ่งกงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เรื่องราวก็จะยุ่งยากแล้ว

เหมียวอี้บอกว่า : ฝั่งก่วงลิ่งกงข้าจะทำให้เขาสงบเอง

เซี่ยโห้วลิ่ง : หวังว่าเจ้าจะพูดได้ทำได้ ไม่อย่างนั้น อย่าหาว่าข้าทิ้งเจ้าไว้กลางทางแล้วหนีเอาตัวรอดไป

เหมียวอี้ : ท่านปู่สวรรค์วางใจ ข้าควบคุมน้ำหนักความสำคัญได้อยู่แล้ว!

บนตึกกำแพงของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล หลังจากได้รับข่าวจากหยางเจาชิง หลงซิ่นก็ถอนหายใจเบาๆ เขารู้สึกผิดในใจ และค่อนข้างซาบซึ้งด้วย ตัวเองก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของผู้ตรวจการใหญ่แน่นอน โดยเฉพาะเมื่อถูกคนเอาไปโยงกับเรื่องของฉู่จื่อซาน เท่ากับพิสูจน์ชื่อเสียงด้านความทารุณของผู้ตรวจการใหญ่แล้ว ทว่าผู้ตรวจการใหญ่กลับไม่ผลักเขาออกมารับผิดเพื่อให้ตัวเองบริสุทธิ์ กลับแบกรับผลที่ตามมาจากสิ่งที่เขาก่อไว้…

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ในเรือนหลักด้านใน ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่ถือระฆังดาราไว้ในมือมาหามารดาที่นี่ด้วยความกังวล นางชักช้าไม่เข้าประตูมาเสียที

เม่ยเหนียงที่กำลังปักผ้าชำเลืองมองแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “เป็นอะไรไป?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์เดินเข้ามาทำความเคารพ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ท่านแม่ หนิวโหย่วเต๋อส่งข่าวมาแล้ว เขาต้องการให้ลูกไปหาท่านพ่อ ต้องการให้ลูกเป็นสื่อกลางเจรจากับท่านพ่อค่ะ”

เม่ยเหนียงมองระฆังดาราในมือลูกสาว รู้สึกหวาดระแวงกลัวนิดหน่อย จิตใต้สำนึกของนางอยากจะห้ามไว้ นางถามว่า “เขาบอกหรือเปล่าว่าจะคุยเรื่องอะไร?” นางสงสัยว่าอาจจะเกี่ยวกับเรื่องที่เกาเหยียนโดนแล่หนังทั้งเป็นที่กำลังเป็นข่าวดังอยู่ตอนนี้

“เขาไม่ได้บอกค่ะ” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ส่ายหน้า

เม่ยเหนียงลังเลอยู่นานมาก ทว่าหลังจากได้บทเรียนครั้งก่อน นางก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแล้ว กลัวว่าถ้าห้ามไว้แล้วจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ถ้าจะให้ควบคุมเรื่องในจวนท่านอ๋อง นางก็พอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นเรื่องกองทัพที่อยู่ด้านนอก นางก็ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย กอปรกับครั้งก่อนขาดทุนไปแล้วครั้งหนึ่ง ในใจรู้สึกไม่มั่นใจจริงๆ สุดท้ายจึงวางของในมือ แล้วกัดฟันบอกว่า “แม่จะไปหาท่านพ่อด้วยกันกับเจ้า”

ตอนที่สองแม่ลูกไปหาก่วงลิ่งกง ก่วงลิ่งกงก็กำลังจัดการกิจธุระอยู่ในห้องหนังสือ

เมื่อได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อต้องการจะติดต่อตน ก่วงลิ่งกงก็ขานรับ “อ้อ” แล้วก็แสยะยิ้มถามว่า “ถามเขาไหมว่าเรื่องอะไร”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ทำตามที่บอก ตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าต้องยืนยันก่อนว่าท่านพ่องอยู่ที่นี่หรือไม่ เขาบอกว่าท่านพ่อย่อมมีวิธีการ”

ก่วงลิ่งกงเอียงหน้าบอกใบ้โกวเยว่ที่อยู่ข้างกัน โกวเยว่รีบให้ลูกน้องที่มีช่องทางติดต่อกับเหมียวอี้บอกเหมียวอี้ให้รู้

ระฆังดาราในมือก่วงเม่ยเอ๋อร์มีการตอบสนองเร็วมาก แต่กลับอึกอักไม่กล้าเอ่ยออกมา ทั้งยังแอบมองมารดาที่อยู่ข้างๆ เป็นระยะด้วย

เม่ยเหนียงหัวใจกระตุกวูบ ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว เมื่อกลัวสิ่งใด สิ่งนั้นก็มักจะมาเยือน ตอนนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของสองแม่ลูก โกวเยว่ก็สังเกตได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาแอบมองท่านอ๋องเงียบๆ แวบหนึ่ง ก่วงลิ่งกงก็ย่อมสังเกตเห็นแล้วเช่นกัน จึงกล่าวช้าๆ ว่า “เม่ยเอ๋อร์ พ่อรับประกันต่อเจ้าได้ เรื่องในอดีตก็คือเรื่องในอดีต พ่อไม่สืบสาวเอาเรื่องอะไรอีกแล้ว”

เม่ยเหนียงหัวใจเต้นแรงด้วยความประหม่า ฟังออกถึงความหมายแฝงในคำพูดของท่านอ๋องแล้ว จึงรีบส่งสายตาให้เม่ยเอ๋อร์

ตอนนี้ก่วงเม่ยเอ๋อร์ถึงได้แข็งใจบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อยอกว่า เขาไปล่วงเกินท่านพ่อโดยไม่ได้ตั้งใจค่ะ เรื่องที่สำนักลมปราณ ก่อนหน้านี้เขาเคยติดต่อมาทางนี้แล้ว เป่าเหลียนเคยทำงานอยู่ข้างกายเขามาหลายปี จึงอยากจะขอร้องให้เป่าเหลียนสักครั้ง ส่วนเรื่องที่สำนักลมปราณจะไปขอพึ่งพาฝ่ายไหน เดิมทีเขาไม่อยากยุ่ง ทว่าเกาเหยียนรังแกกันเกินไป นึกไม่ถึงว่าจะด่าหยามเกียรติเขา เขาถึงได้เข้ามาแทรกเรื่องนี้ ขอให้ท่านอ๋องโปรดอภัยให้ด้วย” มีอยู่จุดหนึ่งที่นางจงใจพูดข้ามไป นางแค่บอกว่าเหมียวอี้เคยติดต่อมาทางนี้ แต่ไม่ได้บอกว่าเหมียวอี้เคยติดต่อมาหานาง

ก่วงลิ่งกงเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะสืบสาวว่าเหมียวอี้เคยติดต่อใครที่อยู่ฝั่งนี้กันแน่ เขาแสยะยิ้มอีกที “เรื่องร้านค้าที่ตลาดผี เขาไม่คิดจะชี้แจงอะไรกับอ๋องผู้นี้เชียวหรือ?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์บอกเขา จากนั้นก็ถ่ายทอดคำพูดของเหมียวอี้ทันที เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้เบี่ยงประเด็นนี้ไปแล้ว “เรื่องที่เกาเหยียนถูกทรมาน เขาเองก็ไม่รู้เรื่องมาก่อน เป็นหลงซิ่นที่ทำไปเพราะความรู้สึกส่วนตัว หลังจากสืบแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นแค้นเก่าของหลงซิ่นกับเกาจื่อหู เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่โจวอ้าวหลินแย่งภรรยาหลงซิ่น ถ้าท่านพ่ออยากรู้ความจริง แค่ไปเกาจื่อหูก็จะรูแล้ว เขาไม่คิดจะเอ่ยเรื่องนี้กับภายนอก เรื่องที่ท่านพ่อส่งคนไปทำลายชื่อเสียงเขา เขาจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หวังว่าท่านพ่อจะใจกว้างปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป”

มาจนป่านนี้แล้ว เรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ไม่มีพยานหลักฐาน ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น

เม่ยเหนียงแววตาวูบไหว พึมพำในใจว่า เกาจื่อหูไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่โจวอ้าวหลินแย่งชิงภรรยาของหลงซิ่นจริงๆ ด้วย ไม่รู้ว่าอยู่ในบทบาทไหนของเรื่องนี้?

ก่วงลิ่งกงกับโกวเยว่สบตากันแวบหนึ่ง เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นอย่างที่คาดไว้ เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังบอกฝั่งนี้ว่า ถ้าฝั่งนี้กล้าทำอะไรซี้ซั้ว เขาก็จะเปิดโปงเรื่องที่ตระกูลก่วงให้ท้ายคนในครอบครัวแย่งเมียลูกน้อง

ก่วงลิ่งกงพนักหน้าให้ลูกสาว บอกให้ถามกลับไปว่า “นี่กำลังขู่อ๋องผู้นี้อยู่เหรอ?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์บอกเหมียวอี้ เมื่อได้คำตอบจากเหมียวอี้แล้วก็อึกอักไม่ยอมตอบ

“บอกมา!” ก่วงลิ่งกงตกคอกเสียงต่ำ

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ตกใจ รีบถ่ายทอดคำพูดของเหมียวอี้อย่างซื่อสัตย์ “ไม่ได้ขู่ แต่กำลังเตือน ถึงยังไงเมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลอิ๋งกก็ไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขอยู่แล้ว ชีวิตของเขาต่ำต้อย ถ้าท่านพ่อต้องการจะมีเรื่องกับเขาให้ได้ อย่างมากเขาก็จะสู้จนมัจฉาตายตาข่ายขาด ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดเลยว่าจะได้อยู่อย่างเป็นสุข…ท่านพ่อ ไม่มีแล้วค่ะ เขาไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว เขาบอกว่าถ้าท่านพ่อดึงดันจะอาศัยอำนาจรังแกกันโดยไร้เหตุผล ก็ให้ท่านพ่อตัดสินใจเอาเอง เขาพร้อมจะเล่นเป็นเพื่อนได้ทุกเมื่อ!”

เมื่อพูดจบ ขนาดนางเองก็ยังแอบอึ้ง เม่ยเหนียงที่อยู่ข้างๆ ก็แอบแลบลิ้นเช่นกัน พบว่าหนิวโหย่วเต๋อช่างใจกล้าจริงๆ

ปั้ง! ก่วงลิ่งกงตบโต๊ะยืนขึ้น แล้วตะคอกว่า “เหิมเกริม! คิดจริงเหรอว่าข้าจะทำอะไรเขาไม่ได้?”

ไฟโกรธสุมเต็มอก ยังนึกว่าเหมียวอี้จะขอร้องเขาอย่างไร สงสัยอ้อมค้อมอยู่ตั้งนานก็เพื่อจะขู่เขานี่เอง อดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ!

ส่วนโหวเยว่ที่หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อภายนอกก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก บอกว่า “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!”

ชั่วขณะนั้นไม่ได้สนใจว่าภรรยาและลูกสาว โกวเยว่พลันหันมาถามด้วยใบหน้าบึ่งตัง “เกิดอะไรขึ้น?”

โกวเยว่ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “จู่ๆ แต่ละแห่งในใต้หล้าก็ปรากฏแผ่นหยกที่ปลุกปั่นข่าวลือจำนวนมาก ทั้งหมดพุ่งเป้าไปที่อิ๋งจิ่วกวง หนึ่งในนั้นพูดถึงศึกสระน้ำมังกรดำ ตระกูลอิ๋งส่งทัพใหญ่ห้าล้านให้ปลอมตัวเป็นโจรไปโจมตีหนิวโหย่วเต๋อ ทัพตะวันออกสูญเสียกำลังพลไปแค่สองล้าน แต่กลับพูดเกินจริงว่าสามล้าน ทั้งยังบอกด้วยว่า เพื่อที่จะชนะในศึกนี้ ตระกูลอิ๋งไม่เสียดายที่จะออกคำสั่งยิงเชลยศึกหลายแสนที่หนิวโหย่วเต๋อผลักมาอยู่หน้ากระบวนทัพ แม่ทัพหลักที่นำทัพตะวันออกห้าล้านปลอมตัวเป็นโจรก็คือท่านโหวอิ๋งอู๋หม่าน โดนหนิวโหย่วเต๋อจับตัวไปทั้งเป็น ตอนนี้ยังอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อ!”

ก่วงลิ่งกงพลันหรี่ตา

โกวเยว่พูดต่อว่า “เรื่องที่สอง บอกว่าอิ๋งจิ่วกวงต้องการจะปิดบังความฉาวโฉ่ จึงยอมทุ่มทุกอย่างเพื่อแลกกับตัวประกันหลายแสนและศพนับล้านที่หนิวโหย่วเต๋อจับได้ที่ศึกสระน้ำมังกรดำ ปล่อยสมาชิกโถงชุมนุมอัจฉริยะที่จับตัวไว้ ตอบตกลงว่าจะช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อเลื่อนตำแหน่ง วางแผนช่วงชิงตำแหน่งผู้ตรวจการใหญ่และทูตลาดตระเวนตลาดสวรรค์ให้ให้หนิวโหย่วเต๋อ ทั้งยังกว้านซื้อยาแก่นซียนหนึ่งหมื่นล้านล้านเม็ดไปทั่วทุกที่เพื่อชดเชยให้หนิวโหย่วเต๋อ หมายจะแลกตัวอิ๋งอู๋หม่านกลับคืนไป!”

ก่วงลิ่งกงสูดหายใจลึกด้วยความตกใจ เรื่องนี้เกรงว่าอิ๋งจิ่วกวงจะแก้ตัวไม่ได้แล้ว กางเกงเปื้อนสีเหลืองแล้ว ต่อให้ไม่ได้อุจจาระแต่คนก็คิดว่าอุจจาระ คนของโถงชุมนุมอัจฉริยะถูกปล่อยและกลับคำพิพากษาแล้วจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อเองก็ได้เลื่อนตำแหน่งโดยสร้างผลงานปราบโจร ตอนนี้ยาแก่นเซียนในตลาดที่ราคาเพิ่มขึ้นก็ยังไม่ลดลงเลย

โกวเยว่บอกอีกว่า “เรื่องที่สาม สนมฉินเป็นพยานว่าถูกอิ๋งจิ่วกวงบงการ เพื่อที่จะช่วยให้สนมสวรรค์จ้านหรูอี้ขึ้นตำแหน่งราชินีสวรรค์ นางยอมเสียสละรูปลักษณ์เพื่อใส่ร้ายโอรสสวรรค์ เพื่อให้โอรสสวรรค์ถูกลดตำแหน่ง ตอนหลังครอบครัวสนมฉินพบว่าอิ๋งจิ่วกวงมีเจตนาจะวางแผนก่อกบฏ อิ๋งจิ่วกวงกดดันให้นางคิดวางแผนทำร้ายประมุขชิง ทั้งครอบครัวนางหวาดกลัวมาก ถึงได้หนีไปทั้งครอบครัว ครอบครัวสนมฉินต้องการจะหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนข้อหากบฎไปด้วย จึงตั้งใจเขียนหนังสือเปิดเผย บนแผ่นหยกมีตราอิทธิฤทธิ์ของทุกคนในครอบครัวสนมฉิน ตอนนี้ยังไม่รู้จริงเท็จ แต่ถ้าจะตรวจสอบก็ไม่ยากขอรับ”

ใส่ข้อหามาเป็นชุด เม่ยเหนียงกับลูกสาวอกสั่นขวัญแขวนแล้วจริงๆ รู้สึกได้ว่าคลื่นยักษ์โหมซัดสาดเข้ามาใส่หน้า แม้พวกนางจะไม่มีประสบการณ์ต่อสู้ข้างนอก แต่ก็รู้สึกได้ว่าที่เรื่องพวกนี้เปิดโปงออกมาพร้อมกัน ก็เพราะมีคนต้องการจะวางแผนทำร้ายตระกูลอิ๋ง

………………

ทว่าทั้งสามเห็นการกระทำของเฉินเชียนชิวแล้วปวดประสาทนิดหน่อย แต่ช่วยไม่ได้ที่คำสั่งทหารหนักแน่นดุจขุนเขา จึงไม่สะดวกจะพูดอะไร

เห็นได้ชัดว่าเฉินเชียนชิวไม่คุ้นเคยกับตลาดสวรรค์ เขาเอาแต่เหลียวซ้ายแลขวาตลอดทาง แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจได้ นั่นก็คือสาเหตุที่จุดหมายปลายทางอยู่กลางตลาดสวรรค์ เป็นเพราะจุดหมายปลายทางนี้มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาแน่นอน ปกติล้วนเป็นแปลงที่ดินที่ค่อนข้างดีของตลาดสวรรค์

เขาสันนิษฐานไม่ผิด ในที่สุดก็คือสถานที่เป้าหมายตรงบริเวณศูนย์กลางตลาดสวรรค์แล้ว เป็นภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทที่ตระกูลเซี่ยโห้วดำเนินกิจการ

หลังจากเจอสถานที่เป้าหมายแล้ว สิ่งแรกที่เฉินเชียนชิวทำก็คือ มองซ้ายมองขวาตรงประตูภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท พอเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนกอดอกกางขาเหลียวซ้ายแลขวา ก็เดินเข้าไปทันที แล้วกุมหมัดคารวะพร้อมถ่ายทอดเสียงถาม “ขออนุญาตถามว่าที่นี่มีที่พักหรือไม่?”

ชายหนุ่มที่ยืนกอดอกวางแขนลง มองประเมินเฉินเชียนชิวศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วก็มองสามคนข้างหลังเขา ถ่ายทอดเสียงตอบว่ “ได้ พวกท่านมีกี่คน?”

“ไม่แน่ใจ ท่านชื่อแซ่อะไร?” เฉินเชียนชิวถาม

“ข้าแซ่เซี่ย ท่านแซ่อะไร?” ชายหนุ่มถาม

“โยว!” เฉินเชียนชิวตอบ

เมื่อสัญญาณสอดคล้องกันแล้ว ชายหนุ่มก็มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ “ตามข้ามาเถอะ”

เฉินเชียนชิวหันมากวักมือเรียกสามคนข้างหลัง แล้วตามชายหนุ่มเข้าไปที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทด้วยกัน

สามคนที่เดินตามมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอะไร

พอเข้ามาในภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศเฉลิมฉลองอันรื่นรมย์ รอบข้างมีเสียงเสาะหาความสำราญดังแว่วมา เฉินเชียนชิวเดินตามผู้นำทางเข้าไปยังลานบ้านที่ลับตาคนแห่งหนึ่ง ไม่เห็นคนอื่นอยู่ที่นี่

“ทุกท่านรอสักครู่ ผู้จัดการกำลังจะมาเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มที่นำทางพูดจบแล้วเดินออกไป ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้ ทิ้งให้สี่คนนี้มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง

ผ่านไปครู่เดียว ก็มีชายชราผมขาวคนหนึ่งเดินเข้ามาลำพัง “เซี่ยมาช้าแล้ว คนไหนคือท่านบุรุษโยว?”

เฉินเชียนชิวก้าวขึ้นมาถาม “ของล่ะ?”

นี่ก็เป็นสัญญาณลับเช่นกัน และเป็นการทวงของจริงๆ ผู้จัดการเซี่ยพลิกมือมอบแหวนเก็บสมบัติให้วงหนึ่ง “เชิญตรวจสอบสินค้า!”

เฉินเชียนชิวรับแหวนเก็บสมบัติมาตรวจดู ข้างในมีแผ่นหยกที่ใช้วิชาลับผนึกไว้จนเหมือนลูกแก้วผลึก ถ้าร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูผ่านลูกแก้วน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือถือวิสาสะนำออกมาเอง ลูกแก้วน้ำก็จะแตกทันที เมื่อลูกแก้วน้ำหายไปแล้ว ก็แสดงว่าอีกฝ่ายไม่เคยเห็นเนื้อหาข้างใน

คำสั่งที่ได้รับมาก็คือ ถ้ายังไม่ได้รับคำสั่งขั้นถัดไป ก็ห้ามถือวิสาสะตรวจดูของสิ่งนี้ เดี๋ยวต่อไปต้องนำของส่งให้คนของตัวเองตรวจพิสูจน์ด้วย เมื่อเก็บแหวนเก็บสมบัติแล้ว เฉินเชียนชิวก็พยักหน้าสื่อว่าไม่มีปัญหา

ตอนนี้ผู้จัดการเซี่ยถึงได้ทำสีหน้าจริงจัง “ที่นี่จะไม่มีใครมารบกวน ของกินของใช้จะมีคนนำมาส่งให้ ทุกคนอยู่ที่นี่ก่อนชั่วคราว ถ้ามีเรื่องอะไรข้าจะมาหา”

เฉินเชียนชิวกุมหมัดขอบคุณ ผู้จัดการเซี่ยกุมหมัดคารวะแล้วรีบหันตัวออกไป

“อย่ามองข้า อย่าถามข้า ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไร” เฉินเชียนชิวหันตัวมาเห็นอีกสามคนกำลังมองตนด้วยสีหน้าสงสัย จึงพูดห้ามพวกเขาเสียก่อน จากนั้นชี้ไปรอบๆ “ตรวจสอบดูสักหน่อย”

ลูกน้องทั้งสามแยกย้ายกันตรวจสอบในลานบ้านทันที ส่วนเฉินเชียนชิวก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อผู้บังคับบัญชาตัวเอง

ที่จริงแล้วอย่าว่าแต่เฉินเชียนชิวเลย แม้แต่ผู้จัดการเซี่ยท่านนั้นก็เหมือนกัน จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ชัดเจนว่าเบื้องบนต้องการจะทำอะไรกันแน่ คนเบื้องล่างไม่มีใครรู้เป้าหมายสุดท้ายของเบื้องบนสักคน และไม่รู้ถึงตัวตนของคนที่มาติดต่อด้วย เอาเป็นว่าเบื้องบนแต่ต้องการให้พวกเขาปฏิบัติตามคำสั่ง

แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน ตลาดสวรรค์แต่ละแห่งในใต้หล้า ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน ไม่ว่าจะเป็นเช้าตรู่หรือตอนเย็น ทุกที่ล้วนแสดงฉากเดียวกัน ล้วนมีคนแซ่โยวไปเจอกับคนแซ่เซี่ยที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท

วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร ศพที่วางอยู่บนพื้นถูกเปิดผ้าขาวออกแล้ว เป็นภาพที่อนาถเกินกว่าจะทนมอง

ประมุขชิงยืนเอามือไขว้หลังอยู่ข้างๆ ขณะจ้องศพก็ถามเสียงเรียบว่า “หนิวโหย่วเต๋อทำเหรอ?”

“ตระกูลก่วงไม่ได้บอกว่าใครทำ เพียงบอกว่านำกลับมาจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ทัพตะวันตกไม่มีอำนาจควบคุมที่ตลาดผี ดังนั้นจึงขอให้ฝ่าบาทตรวจสอบอย่างเข้มงวด” ซ่างกวนชิงตอบ

“บอกว่าเกาเหยียนไม่มีตำแหน่งติดตัวแล้วไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่ขุนนางตำหนักสวรรค์ด้วย จำเป็นต้องส่งมาให้ข้าที่นี่ด้วยหรือ? ให้พวกเขาไปตรวจสอบเองสิ อย่าเอามาขวางหูขวางตาข้า…ไม่ว่าของอะไรก็กล้าส่งมาที่นี่ ปัญหาเยอะนัก เอาศพไปโยนให้หมาป่ากิน!” ประมุขชิงเหยียดหยาม

“แล้วต่อไปจะชี้แจงกับตระกูลก่วงยังไงขอรับ?” ซ่างกวนชิงลองถาม

“แค่บอกว่าข้ามีน้ำใจช่วยเผาให้พวกเขาแล้ว…แน่นอน ต้องแอบปล่อยข่าวให้พวกเขารู้ด้วยว่าศพถูกหมากิน ให้พวกแซ่เกาไปร้องไห้กับก่วงลิ่งกงเอง”

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ แล้วก็หันไปเรียกคนเข้ามา ชี้ที่ศพพลางกำชับว่า “หาที่เหมาะๆ เอาไปโยนให้หมากิน…”

หลังจากย้ายศพออกไปแล้ว พอหันกลับมาอีกทีก็พบว่าประมุขชิงกำลังนั่งเงียบอยู่หลังโต๊ะยาว ซ่างกวนชิงจึงเดินมายืนเก็บมืออยู่ข้างกายเขา

ผ่านไปไม่นาน ซ่างกวนชิงก็หยิบระฆังดาราออกมาตั้งใจฟังพักหนึ่ง แล้วโค้งตัวรายงานประมุขชิง “ฝ่าบาท เพิ่งจะได้ข่าวมาขอรับ ข่าวที่เกาเหยียนโดนหนิวโหย่วเต๋อแล่เนื้อทั้งเป็นแพร่ไปทั้งใต้หล้าแล้ว สิ่งที่ลือขึ้นมาพร้อมกันยังมีเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อเคยแล่เนื้อเถือหนังฉู่จื่อซาน อดีตหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงด้วย”

ประมุขชิงที่เงียบไปพักหนึ่งแสยะยิ้ม “เรื่องแปลกมีให้เห็นทุกปี แต่ปีนี้มีเยอะไปหน่อย ในแผนการของหนิวโหย่วเต๋อเหมือนจะไม่ได้ยั่วโมโหก่วงลิ่งกง นะเวลาแบบนี้หนิวโหย่วเต๋อจะสร้างปัญหาแทรกขึ้นมาทำไม? ที่แล่เนื้อเกาเหยียนทั้งเป็น ก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอว่าต้องการยั่วโมโหก่วงลิ่งกง? ก่วงลิ่งกงคนนี้ก็น่าสนใจเหมือนกันนะ เรื่องนี้มีค่าพอให้เขาปล่อยข่าวไปทั่วด้วยเหรอ? แต่ละคนยังมียางอายอยู่มั้ย? พวกเขาคิดจะทำอะไรกัน?”

ซ่างกวนชิงพยักหน้าเบาๆ “ฝ่าบาท จะให้องค์ชายถามหนิวโหย่วเต๋อมั้ยว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่?”

ประมุขชิงพยักหน้าเงียบๆ

ทว่ายังไม่ทันรอให้ซ่างกวนชิงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อชิงหยวนจุน ก็มีอีกข่าวส่งมาถึงมือเขาแล้ว หลังจากได้รู้สถานการณ์ก็รายงานประมุขชิงทันที “ฝ่าบาท จากที่จับตาดูแผนการของหนิวโหย่วเต๋อ เบื้องล่างพบว่าคนของหนิวโหย่วเต๋อกับคนของตระกูลเซี่ยโห้วเริ่มติดต่อกันแล้วขอรับ”

“เด็กดี ช่างกล้าไปวุ่นวายกับเซี่ยโห้วลิ่งจริงๆ!” ขณะที่ตบฝ่ามือบนโต๊ะเบาๆ ประมุขชิงก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง “ถ่ายทอดคำสั่งลงไปที่โพ่จวิน โพ่จวิน ระดมทัพองครักษ์สามกองเพื่อรอฟังคำสั่ง! สั่งให้แต่ละช่องทางจับตาดูความเคลื่อนไหวของทัพตะวันออก!”

“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับคำสั่งแล้วรีบไปปฏิบัติตาม

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง อิ๋งจิ่วกวงหัวเราะลั่น “ก่วงลิ่งกงกำลังทำอะไร? นี่สู้กับหนิวโหย่วเต๋อแล้วเหรอ?” เขาสุขใจที่ได้เห็นเรื่องนี้ ที่ปล่อยชีอู๋ไปก็ไม่ใช่เพราะอยากเห็นสถานการณ์อย่างนี้หรอกหรือ

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีกำลังเดินเล่นอยู่ในป่าไผ่ พอได้ข่าวแล้วก็ส่ายหน้าถอนหายใจเล็กน้อย “มีศัตรูอยู่ทั่วทิศ ทั้งยังเป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง เจ้าเด็กนั่นเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วรึไง!”

อ๋องสวรรค์ฮ่าว ตรงทางเดินระหว่างตึกศาลา ซูอวิ้นเดินตามอยู่ข้างหลังฮ่าวเต๋อฟาง ถามอย่างแปลกใจว่า “หนิวโหย่วเต๋อกับก่วงลิ่งกงกำลังเล่นอะไรกันแน่?”

“ไม่รู้หรอกว่ากำลังเล่นอะไร แต่ก่วงลิ่งกงปฎิบัติต่อหนิวโหย่วเต๋ออย่างเอาจริงเอาจังนั้นเป็นเรื่องจริง ไม่เลอะเลือนจนเสียเปรียบเหมือนอิ๋งจิ่วกวง” ฮ่าวเต๋อฟางกล่าวเสียงเรียบ

แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง ในตึกศาลามีเสียงดัง “ปั้ง” หยางชิ่งโมโหจนตบโต๊ะยืนขึ้น แล้วเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา

ข่าวนี้แพร่ไปทั้งใต้หล้าแล้ว ฝั่งนี้จะไม่รู้ได้อย่างไร เขายังกังวลว่าเหมียวอี้จะสร้างปัญหาเข้ามาแทรก นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแล้วจริงๆ เห็นได้ชัดว่าก่วงลิ่งกงเป็นคนลงมือเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นตระกูลก่วงจะมีใครกล้าก่อความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ได้? ตอนหลังยังไม่รู้ว่าก่วงลิ่งกงยังมีแผนสำรองอะไรอีกหรือเปล่า! เขาคิดไม่ตกแล้ว เจ้าอยากจะฆ่าคนก็ฆ่าเฉยๆ สิเหมียวอี้ จำเป็นต้องลงมือโหดเหี้ยมเพื่อยั่วโมโหก่วงลิ่งกงด้วยเหรอ ไม่ดูเสียบ้างว่าตอนนี้เป็นเวลาอะไร!

จนใจที่เขาทำได้เพียงอัดอั้นความโกรธ ไม่สะดวกจะถามอะไรเหมียวอี้

จวนท่านปู่สวรรค์ ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า เว่ยซูเดินมาข้างเก้าอี้นอน แล้วโน้มตัวถ่ายทอดเสียงบอกว่า “นายท่าน คนของหนิวโหย่วเต๋อติดต่อกับคนของพวกเราแล้วขอรับ ทั้งหมดเข้าประจำที่แล้ว”

เซี่ยโห้วลิ่งที่กำลังจ้องหน้าหนังสือตอบกลับเบาๆ “ให้เบื้องล่างปฏิบัติตามแผนทีละขั้นเถอะ”

“ขอรับ!” เว่ยซูเอ่ยรับคำสั่ง แล้วบอกอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งขอรับ ทางก่วงลิ่งกงกับหนิวโหย่วเต๋อมีเรื่องกันแล้ว ไม่รู้ว่าทั้งสองกำลังเล่นลูกไม้อะไร มองไม่ออกเลยขอรับ…” เขาเล่าข่าวลือข้างนอกให้ฟังคร่าวๆ

ในที่สุดหนังสือที่บังอยู่ตรงหน้าก็ย้ายออกแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งขมวดคิ้วลุกขึ้นยืน “หนิวโหย่วเต๋อกำลังเล่นลูกไม้อะไร ที่มันเวลาไหนแล้ว ยังจะก่อเรื่องอีกเหรอ? เจ้าถามเขาหน่อยว่าหมายความว่าอะไร สมองมีปัญหาหรือเปล่า?”

สำหรับเขา เรื่องในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกเหมียวอี้โน้มน้าว ครั้งนี้ตระกูลเซี่ยโห้วทำเรื่องใหญ่ จะยอมให้เกิดความผิดพลาดง่ายๆ ไม่ได้ แต่ช่องโหว่เล็กน้อยจากฝั่งเหมียวอี้กลับทำให้เขากังวลใจ

ดาวไร้ลักษณ์ ตลาดสวรรค์ ในภัตตาคาร อวี้หลิง อวี้ซวี อวี้เลี่ยน แล้วก็เป่าเหลียนที่ปลอมตัวแล้วนั่งล้อมโต๊ะกัน กำลังรับประทานอย่างเอื่อยเฉื่อย ขณะเดียวกันก็ตั้งใจฟังคำจารณ์ของคนในภัตตาคาร

“หนิวโหย่วเต๋อนี่โหดเหี้ยมทารุณจนเคยตัวแล้วจริงๆ นึกถึงปีนั้นที่ฆ่าจนหัวคนเกลื่อนตลาดสวรรค์สิ”

“จุจุ ตัดลิ้น ควักลูกตา ตอนอวัยวะเพศ กรีดหนัง ท่านย่าเขาเถอะ ทั้งยังกรีดหนังทั้งเป็น ต้องเป็นความแค้นที่ใหญ่โตขนาดไหนกัน!”

“เฮ้อ เจ้าหนุ่มนั่นน่ะ เพื่อผู้หญิงแล้วทำตัวเหมือนหมาบ้าตลอด ฉู่จื่อซานที่น่านฟ้าระกาติงนั่นก็ถูกสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นไม่ใช่เหรอ ขนาดกับหัวหน้าภาคยังกล้าลงมือโหดขนาดนั้น นับประสาอะไรกับเกาเหยียนนั่น”

“นั่นไม่เหมือนกันนะ ฉู่จื่อซานมีภูมิหลังยังไงล่ะ? แล้วเกาเหยียนมีภูมิหลังยังไง? ลุงเขยของเกาเหยียนคืออ๋องสวรรค์ก่วงเชียวนะ!”

“อ๋องสวรรค์ก่วงเหรอ? ขนาดอ๋องสวรรค์อิ๋งยังกล้าสู้เลย ยังจะกลัวอะไรกับอ๋องสวรรค์ก่วง?”

“แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องที่เจ้าหมอนั่นทำมาตลอดทาง ก็ไม่มีใครทำได้อีกแล้วจริงๆ จับใครได้ก็กัดคนนั้น เรียกว่าหมาบ้าก็ไม่ผิดเลยสักนิด”

“หลานชายข้าคนหนึ่งนับถือหนิวโหย่วเต๋อมาก ยังคิดอยู่เลยว่าจะหาโอกาสเข้าไปทำงานในจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลได้หรือเปล่า ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อโรคจิตไปหน่อย ไม่แปลกใจที่เอะอะก็เอาชีวิตลูกน้องไปปะทะ สงสัยจะไม่เห็นว่าชีวิตของลูกน้องนั้นสำคัญ เดี๋ยวกลับไปข้าต้องให้หลานชายข้าล้มเลิกความคิดนี้!”

พวกอวี้หลิงทำสายตาจริงจัง ต่างก็อยู่เงียบๆ โดยไม่พูดอะไร นึกไม่ถึงว่าเกาเหยียนถูกหนิวโหย่วเต๋อใช้วิธีการทารุณแบบนั้นเล่นงานถึงตาย เหมือนจะไม่มีความแค้นอะไรกัน แค่ด่าหนิวโหย่วเต๋อประโยคเดียวเอง พวกเขาไม่รู้ว่าในนระหว่างนั้นมีเรื่องอื่นปิดบังอยู่หรือเปล่า เป่าเหลียนกัดริมฝีปากเล็กน้อย

ที่พวกเขามาอยู่ที่ตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวน ก็เป็นเพราะความคิดของเหมียวอี้ เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าเหมียวอี้ก็ซ่อนตัวอยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน

แดนรัตติกาล ยังมีกำลังพลอีกสองหมื่นที่ยังไม่ย้ายออกไป หลงซิ่นรับหน้าที่เฝ้ารักษาการณ์จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล

ในตึกบนกำแพงจวนหัวหน้าภาค พลทหารคนหนึ่งที่มาจากตลาดผีเข้ามากระซิบข้างๆ หลงซิ่น “ตลาดสวรรค์ ข้างนอกลือกันคึกโครม ขนาดทางตลาดผียังเริ่มลือแล้ว เดี๋ยวต่อไปผู้ตรวจการใหญ่จะไม่มาเอาเรื่องหรือขอรับ?” ขณะที่พูดก็มองไปทางเรือนด้านในของจวนหัวหน้าภาค เขาไม่รู้ว่าเหมียวอี้ไม่อยู่ทางนี้แล้ว

หลงซิ่นนั่งนิ่งไม่ขยับไปไหน สีหน้ามืดครึ้ม ไม่ผิดหรอก เรื่องที่ทรมานเกาเหยียนจนตายเป็นฝีมือเขาเอง ทั้งยังลงมือด้วยตัวเองด้วย เพียงแต่เขานึกไม่ถึงว่าจะสร้างความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ แล้วเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเบื้องหลังมีปฏิบัติการใหญ่ของเหมียวอี้อยู่

คนทั่วไปคิดว่าเป็นแค่เรื่องคึกครื้น แต่เขาที่เคยอยู่ตำแหน่งโหวของตำหนักสวรรค์ย่อมตระหนักได้ถึงความผิดปกติของเรื่องนี้ สังเกตได้อย่างชัดเจนว่าตอนหลังยังมีอีกมือมาตีกวนเรื่องนี้อีก เขาไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เหมียวอี้จะทำในครั้งนี้หรือเปล่า เขาเริ่มกังวลแล้วว่าจะทำให้งานเหมียวอี้พังหรือไม่

………………

หลังจากมองคล้อยหลังโกวเยว่ออกไปแล้ว ก่วงจวินอันที่สีหน้าเจือความสงสัยก็หันกลับมาถาม “ท่านน้า พ่อที่บ้านโกวพูดเมื่อครู่นี้หมายถึงอะไรเหรอ?”

เกาจื่อหูส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน…” บังเอิญไปเห็นสายตาเย็นเยียบของพี่สาว ตอนหลังจึงกลืนคำพูดกลับลงไป

ทว่าเกาจื่อเซวียนถามเสียงเย็นแล้ว “หรือว่าเรื่องในปีนั้นเกี่ยวข้องกับเจ้าจริงๆ?”

“ท่านพี่ ไม่เกี่ยวข้องกับข้าจริงๆ” เกาจื่อหูรีบตอบ

“โกวเยว่เป็นคนพูดจาซี้ซั้วเหรอ?” เกาจื่อเซวียนใช้น้ำเสียงเย็นเยียบ

ก่วงจวินอันทนไม่ไหวแล้ว รสชาติยามถูกคลุมไว้ในกลองไว้นั้นยากจะทนไหว “ท่านแม่ พวกท่านกำลังพูดถึงอะไรกันแน่?”

เรื่องแดงออกมาแบบนี้แล้ว คงไม่ดีที่เกาจื่อเซวียนจะปิดบังลูกชายอีก เมื่ออยู่ในตำแหน่งแบบลูกชายนาง ก็จำเป็นต้องรู้เรื่องบางเรื่องและสถานการณ์บางอย่างไว้ ถึงจะรับมือได้สะดวก นางกล่าวเสียงต่ำว่า “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับโจวอ้าวหลินและหลงซิ่น ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก? ข่าวลือในปีนั้นบอกว่าคนที่ชอบผู้หญิงของหลงซิ่นก่อนก็คือท่านน้าของเจ้า แล้วตอนนั้นท่านน้าของเจ้าก็คลุกคลีอยู่กับโจวอ้าวหลินเป็นเวลานานเพื่อประจบเอาใจ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเป็นสุนัขรับใช้โจวอ้าวหลิน เขาลือกันว่าคนที่ยุยงให้โจวอ้าวหลินไปแตะต้องผู้หญิงของหลงซิ่นก็คือท่านน้าเจ้า ในปีนั้นโกวเยว่เคยได้รัยคำสั่งให้สืบเรื่องนี้ สืบจนมาเจอท่านน้าเจ้าเข้าแล้ว ท่านน้าเลยวิ่งมาร้องขอความยุติธรรมกับข้า ข้าช่วยพูดกับท่านอ๋องให้ ท่านอ๋องจึงยุติเรื่องนี้”

ก่วงจวินอันจ้องเกาจื่อหูด้วยสายตาเย็นเยียบทันที “มีเรื่องนี้จริงเหรอ?”

เกาจื่อหูรีบโบกมือ “อย่าไปฟังแม่เจ้าพูดซี้ซั้ว”

“แบบนี้แปลว่าโกวเยว่กำลังพูดซี้ซั้วงั้นสิ?” ก่วงจวินอันถามเสียงเย็น แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินก้าวยาวออกไป สีหน้าดูแย่มาก

เขาย่อมรู้ว่าเรื่องราวระหว่างหลงซิ่นกับโจวอ้าวหลินนั้นใหญ่โตแค่ไหน จอมพลคนหนึ่งถูกถอดออกจากตำแหน่งแล้ว เบื้องล่างไม่รู้ว่ามีตั้งกี่คนที่รับกรรมไปด้วย ทำให้ใจคนไม่สงบ ถ้าเกี่ยวข้องกับน้าชายของตัวเองจริงๆ กอปรกับเรื่องที่สายลับทางตลาดผีถูกกวาดล้างครั้งก่อน แบบนี้จะให้ท่านพ่อมองฝั่งนี้อย่างไรล่ะ?

“ท่านโหว ท่านโหว…” เกาจื่อหูรีบเดินตามไปเรียกรั้งก่วงจวินอัน ตอนที่เดินกลับมาทางนี้อีกครั้ง ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “ท่านพี่ ท่านจะบอกเรื่องนี้จวินอันทำไม?”

เกาจื่อเซวียนถลึงตาจ้องเขา “ท่านอ๋องไม่สืบสาวเอาเรื่องเจ้าแล้ว เจ้ายังมีอะไรต้องกลัวอีก ถ้าจวินอันไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดแล้วแล้วไปพูดอะไรผิดหูท่านอ๋อง นั่นต่างหากที่จะเป็นปัญหาแล้วจริงๆ เรื่องแยกแยะความสำคัญ ยังต้องให้ข้าสอนเจ้าอีกเหรอ?”

ระหว่างภูเขาที่มีลำน้ำสายสายเล็ก กลางหุบเขาแห่งหนึ่ง เถิงเฟยจอมพลสายชวดสวมชุดลำลองนั่งอยู่ริมน้ำ กำลังถือคันเบ็ดตกปลา รอบข้างสงบเงียบ มีเพียงเสียงน้ำไหลเท่านั้น

สำหรับคนอย่างเขา แต่ไหนแต่ไรมาการตกปลาไม่ใช่เป้าหมาย ที่จริงแล้วจะเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนอารมณ์ในการครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ

ข้างหลังมีเสียงฝีเท้าดังมา เดินตรงมาหยุดอยู่ข้างกายเขา วางเก้าอี้ตัวหนึ่งไว้ด้านข้าง แล้วโยนเบ็ดอีกคันลงน้ำ

เถิงเฟยดึงสติกลับมา เอียงหน้ามองแวบหนึ่งแล้วตะลึงงัน คนที่แต่งตัวเหมือนชาวนาคนหนึ่งมานั่งตกปลาอยู่ข้างกายเขา มองจากใบหน้าด้านข้างก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายสวมหน้ากากปลอม

ชาวนาเฒ่ามองทุ่นลอยที่อยู่ในน้ำเงียบๆ เหมือนจะสังเกตเห็นว่าเถิงเฟยกำลังมองเขาอยู่ จึงยกมือขึ้นดึงหน้ากากลงมา เผยโฉมหน้าที่แท้จริงก่อนจะหันกลับมายิ้มให้เถิงเฟยเบาๆ

รอยยิ้มนี้กลับทำให้เถิงเฟยขนหัวลุก เพราะเขาคุ้นเคยใบหน้ายิ้มนี้ดีมาก ไม่น่าเชื่อว่าผู้ที่มาจะเป็นซือหม่าเวิ่นเทียน ตำหนักสวรรค์ทูตตรวจการซ้าย

เถิงเฟยเบิกตากว้าง รีบมองไปรอบๆ ความรู้สึกตกตะลึงในใจนั้นยากจะบรรยายออกมาได้ ที่นี่ดูเหมือนสงบเงียบ แต่ที่จริงรอบข้างล้วนมีคนคุ้มกันอยู่ ซือหม่าเวิ่นเทียนมาถึงตัวเขาแล้ว แต่ทหารยามรอบๆ ไม่สังเกตเห็นสักนิดเลย แบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ?

“จอมพลเถิงไม่ต้องตกใจ แค่มาตกปลาก็เท่านั้นเอง” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าวกลั้วหัวเราะ

เถิงเฟยสีหน้าเครียดขรึมลงแล้ว กลับไปจะต้องตรวจสอบทหารคุ้มกันข้างกายตัวเองให้ละเอียดสักรอบ เขาถามเสียงเย็นว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“แค่อยากจะช่วยจอมพลเถิงสักครั้งก็เท่านั้นเอง” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบพร้อมรอยยิ้ม

“ช่วยข้า?” เถิงเฟยแสยะยิ้ม “ข้าว่าเจ้าอยากจะทำร้ายข้ามากกว่ามั้ง?” นี่เป็นการล้อเล่นที่แรงจริงๆ ถ้าให้อ๋องสวรรค์อิ๋งรู้ว่าตนแอบพบกับทูตตรวจการซ้ายตำหนักสวรรค์ ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่กล้าจินตนาการ จะไม่ให้อิ๋งจิ่วกวงคิดมากก็คงยาก โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ จะบอกว่ายอมฆ่าผิดตัวดีกว่าปล่อยไปก็ไม่ถือว่าพูดเกินไป

ซือหม่าเวิ่นเทียนถอนหายใจ “มาช่วยจอมพลเถิงจริงๆ จอมพลเถิงอย่าเข้าใจผิดล่ะ”

“อยากจะช่วยข้าก็มาพบกันแบบสง่าผ่าเผย ทำไมต้องทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ?” เถิงเฟยถาม

“ถ้าทำแบบสง่าผ่าเผย เกรงว่าจอมพลเถิงคงไม่ยอมพบข้าเพราะกลัวตกเป็นที่ต้องสงสัยน่ะสิ” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว

เถิงเฟยจึงบอกว่า “ข้าไม่ต้องการให้เจ้าช่วยอะไร เชิญตามสะดวก!” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือให้เขาไสหัวไป

“ดูสิ่งนี้ให้จบแล้วค่อยพูดก็ยังไม่สาย” ซือหม่าเวิ่นเทียนพลิกมือนำแผ่นหยกออกมายื่นให้เขา

เถิงเฟยจ้องแผ่นหยกที่ยื่นเข้ามา ชักช้าไม่รับมาเสียที ไม่รู้ว่าข้างในมีอะไร แต่ดูจากที่อีกฝ่ายมาส่งให้ด้วยตัวเอง แสดงว่าไม่ใช่ของธรรมแน่นอน เขากำลังลังเลว่าจะดูหรือไม่ดู

ซือหม่าเวิ่นเทียนหัวเราะเบาๆ แล้วพูดหยอก “จอมพลเถิงผู้สง่าภูมิฐานกลายเป็นขี้ขลาดแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร? เป็นของดี ดูเถอะ”

สุดท้ายเถิงเฟยก็แย่งมาไว้ในมือ ทว่าตอนยังไม่ดูก็ยังไม่เท่าไร พอได้ดูแล้วก็ตกใจจนเหงื่อท่วมตัว สิ่งนี้คือคำสั่งแต่งตั้งอ๋องที่ประมุขชิงเขียนให้เขา ถ้าให้อิ๋งจิ่วกวงรู้ เขาไม่โดนประหารทั้งโคตรก็แปลกแล้ว

“นี่เจ้ากำลังช่วยข้าเหรอ?” เถิงเฟยจ้องเขา สองตาแทบจะมีไฟลุกออกมา ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถาม

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “ความคิดของฝ่าบาทอยู่ในนี้หมดแล้ว ความคิดฝ่าบาทก็คือแนวโน้มของสถานการณ์ในใต้หล้า ผู้คล้อยตามรุ่งเรือง ผู้ฝ่าฝืนตาย จะเลือกอย่างไร จอมพลเถิงยังต้องคิดมากอีกเหรอ?” พูดจบก็ไม่ยอมให้เถิงเฟยพูดอะไรอีก ยกคันเบ็ดขึ้นมา เก็บคันเบ็ดแล้วลุกขึ้นเก็บเก้าอี้เดินไป เขาเข้าใจชัดเจนมาก ว่าวิธีการของประมุขชิงดูเพ้อฝัน ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันไม่อาจโน้มน้าวท่านนี้ให้คล้อยตามได้ พูดมากไปก็ไม่มีความหมายอะไร

แต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หันกลับมาพูดเสริมกับเถิงเฟยที่กำลังจ้องตนอย่างเย็นเยียบอีกว่า “เออใช่ ลืมบอกจอมพลเถิงไปเลย ในมือจอมพลเฉิงไท่เจ๋อก็มีสิ่งนี้เหมือนกัน ในมือจอมพลทั้งสามของทัพตะวันออก ฝ่าบาทให้สิ่งนี้กับสองคนเท่านั้น พวกเจ้าสองคนปรึกษากันก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ เรื่องนี้พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนให้คำตอบ ค่อยๆ พิจารณาได้ แต่การที่สี่อ๋องสวรรค์ปฏิเสธการเข้าประชุมขุนนางทั้งๆ ที่มีกำลังทหารมาก ก็ทำให้ฝ่าบาทตัดสินใจแน่วแน่ที่จะฟันแบ่งทัพตะวันออกจากหนึ่งให้กลายเป็นสองแล้ว จะคล้อยตามบัญชาสวรรค์หรือจะลงหลุมฝังศพไปด้วยกัน จอมพลเถิงตัดสินใจเองเถอะ!”

หลังจากพูดทิ้งท้ายไว้แล้ว ครั้งนี้เขาก็ไปแล้วจริงๆ ทิ้งเถิงเฟยที่มีสีหน้ามืดครึ้มเอาไว้…

จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม ผู้ช่วยเกือบร้อยคนที่ตลาดสวรรค์ส่วนใหญ่กลับมาที่นี่แล้ว ที่นี่คือศูนย์กลางของตระกูลเซี่ยโห้ว ยามปกติหาโอกาสมาได้ยาก

หลังจากคนทยอยกันมาถึงตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ก็ถูกเชิญเข้ามาในนี้โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่ละคนระมัดระวังตัวมาก ก่อนหน้านี้ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เข้ามาในสวนต้องห้าม

เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานที่คุ้นเคย ก็ไม่มีใครกล้ากระซิบกระซาบคุยกันง่ายๆ พวกเขามารวมตัวกันนั่งขัดสมาธิบนพื้นที่ว่างใต้ร่มของต้นไม้โบราณ รอบข้างมีกลุ่มคนลึกลับที่ชุดดำสวมหมวกมุ้งและหน้ากากผีโลหะกำลังเฝ้าพวกเขาอยู่

ตงหาน ผู้จัดการใหญ่เดินตามเว่ยซูเข้ามาในห้องเก่าแก่ของสวนต้องห้าม สำหรับตอนนี้ อำนาจที่เซี่ยโห้วลิ่งบีบไว้ในมืออย่างเปิดเผยก็มีแค่ตลาดสวรรค์แล้ว

เซี่ยโห้วลิ่งเอนกายพิงเก้าอี้อ่านตำราโบราณเล่มหนึ่งอย่างเกียจคร้าน หลังจากทั้งสองเข้ามาทำความเคารพแล้ว เว่ยซูก็รายงานว่า “นายท่าน ผู้ช่วยจากตลาดสวรรค์แต่ละเขตมากันครบแล้วขอรับ ของก็ส่งมาครบหมดแล้ว สามารถเริ่มได้ทุกเมื่อ”

เซี่ยโห้วลิ่งพลิกเปิดหน้าหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ดำเนินการตามแผน ควบคุมคนที่เข้ามาในจวนเอาไว้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าใครก็ห้ามติดต่อกับภายนอก คนไหนขัดคำสั่ง ไม่สนว่าจะเป็นใคร ประหาร!”

“รับทราบ!” เว่ยซูเอ่ยรับแล้วเดินออกไป ทิ้งตงหานให้ยืนเงียบๆ อยู่คนเดียว

ผ่านไปไม่นาน เจ้าบ้านคนอื่นๆ ของตระกูลเซี่ยโห้วรวมทั้งคนในครอบครัวสายตรงก็เข้ามาในสวนต้องห้ามทั้งหมด มารวมตัวกันใต้ต้นไม้โบราณแล้วเช่นกัน

ตอนที่พวกเขามาถึงที่นี่ เซี่ยโห้วลิ่งก็ย้ายมาใต้ต้นไม้แล้ว ถูกคนหามออกมาพร้อมเก้าอี้นอนตัวนั้น มองไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น ไม่ได้เหลือบตาขึ้นแม้แต่น้อย ยังคงนอนอ่านตำราอย่างเกียจคร้านอยู่อย่างนั้น

เมื่อเห็นผู้ช่วยเขตของตลาดสวรรค์มากมายมารวมตัวกันที่นี่ คนจากแต่ละบ้านก็ค่อนข้างแปลกใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นบุคคลลึกลับที่สวมหมวกมุ้ง คนที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกก็ยังดีหน่อย แต่คนที่รู้เรื่องจะรู้สึกหนักหัว รู้ว่านี่คือองครักษ์หัวหน้าตระกูลของตระกูลเซี่ยโห้วที่ไม่ได้โผล่หน้าออกมาง่ายๆ ไม่ถูกควบคุมจากคนไหนของตระกูลเซี่ยโห้วทั้งนั้น ฟังคำสั่งหัวหน้าตระกูลเพียงคนเดียว

“เว่ยซู เริ่มเถอะ” เซี่ยโห้วลิ่งที่กำลังนอนพลิกหนังสืออ่านพลันเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

เว่ยซูพยักหน้าให้ตงหานทันที ตงหานโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อรับคำสั่ง จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงบอกบางอย่างกับกลุ่มผู้ช่วยเขตตลาดสวรรค์ ผู้ช่วยเขตเกือบร้อยที่กำลังนั่งขัดสมาธิหยิบระฆังดาราออกมาทันที ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน

เว่ยซูเองก็หยิบระฆังดาราออกมาเช่นกัน ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน

รอจนกระทั่งตรงนั้นเงียบแล้ว เซี่ยโห้วซิ่น ลูกชายคนที่สามอย่างเปิดเผยของตระกูลเซี่ยโห้วก็กระแอมหนึ่งที แล้วเดินเข้าไปหาเซี่ยโห้วลิ่ง “พี่รอง เรียกพวกเรามาเพราะจะทำอะไรกันแน่?”

องครักษ์หัวหน้าตระกูลคนหนึ่งถลันตัวมาขวางตรงหน้าเซี่ยโห้วซิ่น แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ถอยไป!”

เซี่ยโห้วซิ่นตะโกนเรียกเซี่ยโห้วลิ่งที่กำลังนอนอีกครั้ง “พี่รอง…”

ซวบ! องครักษ์หัวหน้าตระกูลชักกระบี่ออกจากฝัก ในมือคว้าด้ามกระบี่ไว้แล้ว ม่านของหมวกมุ้งขยับเองโดยไร้ลม เผยกลิ่นอายสังหาร ดูจากท่าทางแล้ว ถ้าเซี่ยโห้วซิ่นกล้าก้าวเข้ามาอีกก้าวเดียว ก็จะได้เห็นเลือดทันที!

เมื่อเห็นเซี่ยโห้วลิ่งทำท่าเหมือนไม่ได้ยินอะไร เซี่ยโห้วซิ่นก็หน้าตึงทันที ในที่สุดก็ไม่กล้าเดินไปข้างหน้าอีกแล้ว ถอยหลังกลับไปช้าๆ…

บนตึกของตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้เก็บระฆังดารา เอียงหน้าบอกหยางเจาชิงว่า “ตระกูลเซี่ยโห้วลงมือแล้ว แจ้งคนของพวกเราให้ไปรับตระกูลเซี่ยโห้ว ทั้งสองฝ่ายต้องให้ความร่วมมือกัน ทุกอย่างดำเนินการตามแผน แจ้งโถงชุมนุมอัจฉริยะให้จับตาดูความเคลื่อนไหวของภายนอก”

“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อภายนอก

โรงเตี๊ยม เฉินเชียนชิวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหยิบระฆังดาราออกมาคุยพักหนึ่ง จากนั้นก็รีบลงจากเตียง แล้วถ่ายทอดเสียงบอกอีกสามคนที่อยู่ในห้อง “ไป!”

“ไปที่ไหน?” สามคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ทางซ้ายและขวาอดไม่ได้ที่จะถาม ทุกคนล้วนเป็นคนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ตั้งแต่ได้รับคำสั่งให้มาที่นี่ ก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องทำอะไร เฉินเชียนชิวคือหัวหน้ากลุ่มของพวกเขา

“อย่าถามมาก! ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ก็ห้ามใครติดต่อกับคนนอก ไม่อย่างนั้นก็ประหารไม่ละเว้น!” เฉินเชียนชิวถ่ายทอดเสียงตะคอกตอบ ทั้งสามจึงสบตากันแวบหนึ่ง แล้วรีบลุกขึ้นเดิมตามไป

ทั้งสี่ลงมาชำระบัญชีตรงหน้าโต๊ะคิดเงินแล้วออกไป พอมาถึงหัวถนน ทั้งสามก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน รู้แต่ต้องเดินตามหลังเฉินเชียนชิว

…………

ตลาดผียังคงแช่อยู่ในท้องฟ้ายามราตรี แสงจากโคมไฟสว่างพร่างพราว ตรงถนนมีผู้คนสัญจรไปมา แต่กลับไม่ได้ยินเสียงดังเอะอะโวยวาย มีเพียงเสียงฝีเท้าเท่านั้น

นอกจวนแม่ทัพภาค ทหารสวรรค์หลายร้อยยืนเรียงแถวเป็นระเบียบอยู่ตรงประตู ทหารยามขวางกำลังพลกลุ่มนี้ไว้ไม่ให้เข้ามา

แม่ทัพรูปหล่อร่างกำยำคนหนึ่งสวมเครื่องแบบกราะม่วงหกแถบ หนวดเคราบนใบหน้าเผยกลิ่นอายความเป็นชายเต็มเปี่ยม กำลังถูกตรวจสอบซักถามอยู่ตรงประตูด้วยสีหน้าเย็นเยียบ

แม่ทัพผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือเกาจื่อหู หัวหน้าภาคน่านฟ้าขาลปิ่ง เป็นน้าชายของท่านโหวก่วงจวินอัน และเป็นบิดาของเกาเหยียนนั่นเอง

ครอบครัวนี้เรียกได้ว่ามีเชื้อสายที่ดี ทั้งพ่อทั้งลูกล้วนเป็นผู้ชายประเภทที่หน้าตาดีมากๆ มีรูปลักษณ์ภายนอกดีมาก เกาจื่อเซวียนผู้เป็นพี่สาวก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เป็นยอดหญิงงามที่หาพบได้ยากได้โลกนี้ ไม่อย่างนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกอ๋องสวรรค์ก่วงรับเป็นอนุภรรยา ทั้งครอบครัวราวกับได้เป็นสุนัขระกาทะยานวิมานเนื่องจากเกาจื่อเซวียนได้แต่งงานกับคนดีๆ ได้รับผลประโยชน์มากมาย เสพสุขกับเกียรติยศความร่ำรวยเต็มที่

เกาจื่อหูมาที่นี่ก็เพราะได้รับแจ้งจากตระกูลก่วง บอกว่าศพลูกชายของเขาอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี ให้เขามารับกลับไป ต้องการให้เขามายืนยันด้วยว่าใช่ลูกชายของเขาหรือไม่ เพราะข่าวที่ได้รับมาบอกว่า แยกแยะหน้าตาลูกชายของเขาไม่ค่อยออกแล้ว

หลังจากตรวจสอบเรียบร้อย พลทหารคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าประตูก็ยื่นมือเชิญ “หัวหน้าภาคเกา เชิญด้านใน”

เกาจื่อหูสะบัดผ้าคลุมด้านหลัง แล้วเดินก้าวยาวขึ้นบันไดไป ข้างหลังมีคนกลุ่มหนึ่งต้องการจะตามเข้าไปด้วย แต่ใครจะคาดคิด ทหารยามถืออาวุธขวางไว้ทันที

พลทหารที่เข้ามารับบอกเกาจื่อหูว่า “หัวหน้าภาคเกา ท่านเข้าไปได้เพียงคนเดียว ให้กำลังพลรออยู่ข้างนอกเถอะ!”

นัยน์ตาเกาจื่อหูะลันฉายแววเดือดดาล จวนแม่ทัพภาคตลาดผีต่ำต้อยบังอาจเสียมารยาทกับเขาถึงเพียงนี้ เดิมทีเขาก็มาพร้อมความแค้นอยู่แล้ว อยากจะออกคำสั่งถล่มจวนแม่ทัพภาคแห่งนี้ให้ราบเสียเลย แต่ความจริงกลับทำให้เขาต้องข่มไฟโกรธเอาไว้ เพราะคนที่ควบคุมตลาดผีไม่ใช่จวนแม่ทัพภาค แต่เป็นตึกศาลาสัตยพรต ถ้าเขาก่อเรื่องนี้ที่นี่จนยั่วโมโหตึกศาลาสัตยพรต เกรงว่าคงรอดชีวิตออกจากที่นี่ไปไม่ได้

ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง จากที่พี่สาวบอกมา เขารู้แล้วว่าลูกชายตัวเองสร้างปัญหาไว้ใหญ่มาก ทำให้สายลับที่ท่านอ๋องวางกำลังไว้ที่ตลาดผีถูกกำจัดทิ้งไปหมด ท่านอ๋องเดือดดาลมาก!

ในเวลานี้ไม่เหมาะจะก่อเรื่องอะไรอีกแล้ว!

ปกติอาศัยว่ามีพี่สาวและพี่เขยหนุนหลัง ได้รับความอยุติธรรมน้อยมาก แต่ครั้งนี้กลับต้องกล้ำกลืนความแค้นเอาไว้ชั่วคราว โบกมือไปทางตีนบันได “ทุกคนรออยู่ข้างนอก!” เขาเองไม่ได้กลัวว่าเข้าไปในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแล้วจะมีใครกล้าทำอะไรเขา ถ้ากล้าลงมือกับเขาอย่างเปิดเผย หนิวโหย่วเต๋อก็ต้องรับผลที่ตามมาเช่นกัน

กำลังพลที่ตามมาถอยกลับไปทันที มองตามเกาจื่อเซวียนเข้าไปในจวนแม่ทัพภาค

ตรงประตูห้องใต้ดินห้องหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตู จู่ๆ พลทหารที่นำทางมาก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “หัวหน้าภาคเกา แม้จะยืนยันไม่ได้ว่าคนข้างในคือลูกชายของท่านหรือไม่ แต่ท่านได้โปรดเตรียมใจเอาไว้ให้ดี โจรลงมือได้โหดร้ายทารุณมาก”

“เปิดประตู!” เกาจื่อหูแทบจะเค้นเสียงออกมาตามไรฟัน สีหน้ามืดครึ้มน่ากลัว

แกร๊ก พอประตูเปิดออก ไอเย็นก็โผเข้ามาใส่หน้า ข้างในใส่ดวงจิตน้ำแข็งเอาไว้เพื่อไม่ให้ศพเน่าเปื่อย

ภายใต้ไข่มุกราตรี ไอหนาวเย็นยะเยือน ความเงียบเชียบเพิ่มความรู้สึกลี้ลับ

ในห้องมีของที่คล้ายกับลิ้นชักไม้ ไม่มีกระดานกั้น เป็นที่วางศพตามปกติ ทุกศพหันศีรษะออกด้านนอก สามารถแยกแยะได้สะดวก เกาจื่อหูเดินวนในห้องอย่างช้าๆ รอบหนึ่ง จ้องเพียงแท่นที่อยู่กลางห้อง มีผ้าขาวคลุมร่างร่างหนึ่งเอาไว้ เขาค่อยๆ เดินวนดู

สุดท้าย เขาก็หยุดอยู่ข้างศีรษะศพ พอคว้าผ้าขาวเลิกออก “อา” ในห้องก็มีเสียงคำรามร้องอันน่าเศร้าทันที…

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง สวนจิ้งเซวียน ในโถงหลักวางศพที่คลุมผ้าขาวเอาไว้ เกาจื่อหูที่กลับมาจากตลาดผียืนอยู่ข้างๆ ใบหน้าตึงนิ่ง ดวงตาแดงก่ำ กำหมัดแน่น ทั้งตัวแผ่ซ่านกลิ่นอายความน่าหวาดกลัว ราวกับเป็นสัตว์ป่าที่จะกินคนได้ตลอดเวลา

“จื่อหู…” เกาจื่อเซวียนสาวเท้าเดินมาพร้อมก่วงจวินอัน พอมาถึงก็เรียกทักทาย แต่สายกลับกลับมองศพบนพื้นแล้วตะลึงค้าง นางเดินช้าๆ ไปข้างศพแล้วถามว่า “นี่คือเหยียนเอ๋อร์เหรอ?”

เกาจื่อหูที่เงยหน้าขึ้นมาน้ำตาไหลพราก ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตอบว่ “ดูเอง!”

เกาจื่อเซวียนถอนหายใจเบาๆ แล้วตบแผ่นหลังของเขาเบาๆ เพื่อปลอบใจ จากนั้นก็คุกเข่าลงช้าๆ เลิกผ้าขาวที่คลุมศีรษะออก แต่มองเพียงแวบเดียวก็ร้อง “อ๊า” แล้ว นางตกใจจนล้มนั่งลงกับพื้น แล้วหันหน้าหนีพลางขยับถอยหลังไป

ก่วงจวินอันรีบเข้ามาประคองมารดาที่ตกใจจนหน้าซีด แล้วขมวดคิ้วมองศพที่โผล่ออกมานอกผ้าขาว

“ท่านพี่ ท่านต้องล้างแค้นให้เหยียนเอ๋อร์นะ!” สุดท้ายเกาจื่อหูก็ร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจจนไหล่สั่น

“ไป รีบไปเชิญท่านอ๋องเข้ามา รีบไป!” เกาจื่อเซวียนตะคอกสั่งทางประตูอย่างเดือดดาล

ท่านอ๋องไม่ได้มาเอง พ่อบ้านโกวเยว่มาแทน พอเปิดผ้าขาวดูศพก็แค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทั้งยังลงมือตรวจสอบศพอย่างละเอียดด้วยตัวเองรอบหนึ่งด้วย

ในสวนป่า ก่วงลิ่งกงกำลังนั่งเล่นกับนกขนสีรุ้งตัวหนึ่ง

หลังจากโกวเยว่กลับมาแล้ว ก็รายงานอยู่ข้างหลังเขาว่า “ท่านอ๋อง เป็นเกาเหยียนจริงๆ ขอรับ เพียงแต่หนิวโหย่วเต๋อลงมือโหดไปหน่อย”

“อ้อ!” ก่วงลิ่งกงเอียงหน้าถาม “โหดยังไง?”

โกวเยว่ส่ายหน้ายิ้มแห้ง “กรีดหนัง ตัดลิ้น ควักลูกตา ตอนอวัยวะเพศ ดูจากสภาพแล้ว เกาเหยียนคงจะถูกกรีดหนังทั้งเป็นๆ หนังยังถูกโยนทิ้งไว้ข้างศพ สภาพศพอนาถจนทนมองไม่ได้ ภายนอกร่างกายไม่มีบาดแผลที่ถึงแก่ความตาย สามารถสันนิษฐานได้ว่าเกาเหยียนไม่ได้ถูกฟันตาย แต่ถูกทรมานให้ตายทั้งเป็นๆ ขอรับ!”

ก่วงลิ่งกงเอามือไขว้หลังหันตัวมา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “โหดเหี้ยมถึงขนาดนี้เชียวหรือ? หรือว่าเกาเหยียนเคยทำเรื่องต่ำทรามอะไรกับหลานสาวเจ้าสำนักลมปราณคนนั้น?”

โกวเยว่ตอบว่า “น่าจะไม่ได้ทำขอรับ ไม่อย่างนั้นฝั่งนั้นคงไม่ถึงขั้นไม่ปริปากพูดอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้น จากที่ตรวจสอบมา ก่อนที่เกาเหยียนจะไปสำนักลมปราณ ก็ไม่เคยเจอเป่าเหลียนนั่นมาก่อน เพิ่งอยู่ที่สำนักลมปราณได้ไม่ถึงหนึ่งวัน ต่อให้เขาจะใจกล้าขนาดไหน แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำอะไรซี้ซั้วกับเป่าเหลียนที่สำนักลมปราณ ถ้ายั่วโมโหสำนักลมปราณจนทำให้งานท่านอ๋องเสีย…จากการสันนิษฐานของบ่าว เกาเหยียนยังไม่มีความกล้าขนาดนั้นขอรับ!”

ก่วงลิ่งกงประหลาดใจ “งั้นก็แปลกแล้ว แค่ด่าเขาไปสองประโยคเอง ทั้งยังไม่ได้ทำอะไรด้วย แค่ฆ่าทิ้งก็สิ้นเรื่อง จำเป็นต้องทรมานขนาดนี้เชียวหรือ? ด้วยฐานะของหนิวโหย่วเต๋อตอนนี้ จำเป็นต้องไประบายอารมณ์กับเกาเหยียนต่ำต้อยคนเดียวหรือไง? เกาเหยียนน่าจะไม่อยู่ในสายตาเขาสิ”

“ท่านอ๋องอย่าลืมนะขอรับ ฉู่จื่อซาน หัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงเคยถูกหนิวโหย่วเต๋อแล่เนื้อเถื่อหนังจนตายมาแล้ว!” โกวเยว่กล่าว

ก่วงลิ่งกงโบกมือ “นั่นไม่เหมือนกัน หนิวโหย่วเต๋อในตอนนั้นไม่ใช่หนิวโหย่วเต๋อในตอนนี้ คนคนนี้เมื่อเดินขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงในระดับหนึ่งแล้ว สิ่งที่พบเห็นมีเยอะ ประสบการณ์ก็เยอะด้วย เรื่องบางเรื่องย่อมเห็นจนชินชา ถ้าจะบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อเจ้าคิดเจ้าแค้นข้าก็เชื่อ คนที่ทำผลงานอย่างนั้นที่สระน้ำมังกรดำได้ คงไม่ถึงขั้นไร้ความใจกว้าง ที่ทำกับฉู่จื่อซานคือการระบายความแค้น แต่สิ่งเกาเหยียนทำมันไม่คุ้มค่าให้เขาแค้นฝังใจถึงขั้นนี้เลย แล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องยั่วโมโหข้าด้วย ข้ากำลังคิดว่า ถ้าไม่มีเรื่องลับเรื่องอื่นอีก ลูกน้องของเขาก็คงอยากแสดงผลงานแต่คาดเดาเจตนาเจ้านายผิด ถึงได้ทำเรื่องดีๆ แบบนี้ออกมาได้”

เขาเดาไม่ผิดจริงๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ เกาเหยียนไม่เคยได้ผ่านมือเหมียวอี้เลย เหมียวอี้แค่สั่งให้ลูกน้องส่งศพไปที่ตระกูลก่วงเท่านั้น ไม่ได้ให้ทำเรื่องแบบนี้ จนป่านนี้แล้วเหมียวอี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าเกาเหยียนถูกทรมานอย่างนี้ก่อนตาย

“พอท่านอ๋องพูดแบบนี้ บ่าวก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง” โกวเยว่พลันกล่าวขณะครุ่นคิด

“อ้อ” ก่วงลิ่งกงขานรับแล้วมองเขา รู้ว่าเขาไม่มีทางยิงธนูโดยไร้เป้า

โกวเยว่อธิบายอย่างไม่แน่ใจนัก “ท่านอ๋องยังจำความแค้นระหว่างหลวงซิ่นกับโจวจ้าว อดีตจอมพลสายมะแมได้หรือเปล่า? ตอนนั้นเกาจื่อหูยังไม่ได้อยู่ในตำแหน่งนี้ แต่โจวจ้าวเป็นเทพประจำดาวแล้ว ตอนนั้นเกาจื่อหูมักจะไปเที่ยวเล่นกับโจวอ้าวหลินลูกชายของโจวจ้าว ตามที่ทราบมา ตอนที่โจวอ้าวหลินขอผู้หญิงจากหลงซิ่น คนที่ออกหน้าพูดกับหลงซิ่นให้โจวอ้าวหลินก็คือเกาจื่อหู ตอนหลังหลงซิ่นกับโจวจ้าวทะเลาะกัน ท่านอ๋องก็เคยให้บ่าวไปสืบว่ามีเรื่องนี้หรือเปล่า ตอนนั้นมีข่าวลือว่า ที่จริงแล้วคนที่ชอบผู้หญิงคนนั้นก่อนก็คือเกาจื่อหู โจวอ้าวหลินก็รู้มาจากปากเกาจื่อหูเช่นกันว่ามีผู้หญิงคนนี้อยู่ เพียงแต่ไม่มีหลักฐานอะไร แล้วตอนนั้นท่านหญิงของสวนจิ้งเซวียนก็ได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋อง กอปรกับท่านอ๋องไม่อยากให้เรื่องฉาวโฉ่แปดเปื้อนเข้ามาในจวน จึงฝืนทำให้เรื่องนี้จบไป…ท่านอ๋อง ท่านว่าการตายอนาถของเกาเหยียนจะเกี่ยวข้องกับหลงซิ่นหรือเปล่า?”

“…” ก่วงลิ่งกงลูบเคราครุ่นคิด พอจะนึกออกแล้วว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร เขาแสยะยิ้มหนึ่งที “มิน่าล่ะ อ๋องผู้นี้เสนอผลประโยชน์มากขนาดนั้น แต่หลงซิ่นก็ไม่ยอมกลับมา ยอมติดตามหนิวโหย่วเต๋อเสียดีกว่า…ถ้าเป็นอย่างนี้จริง ช่างเป็นกรรมตามสนองจริงๆ! เรื่องราวผ่านไปแล้ว เอ่ยถึงอีกก็ไม่มีความหมายอะไร ทางสวนจิ้งเซวียนมีท่าทียังไงบ้าง?”

“ไม่มีอะไรนอกจากล้างแค้นกับขอคำชี้แจงขอรับ” โกวเยว่กล่าว

ก่วงลิ่งกงบอกอีกว่า “ตอนนี้ตระกูลเซี่ยโห้วมีทิศทางการเคลื่อนไหวไม่ชัดเจน ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ ตอนหลังค่อยว่ากัน ตอนนี้ให้พวกเขาทำตัวดีๆ หน่อย…ส่วนศพของเกาเหยียน ส่งไปที่วังสวรรค์”

“ส่งไปที่วังสวรรค์?” โกวเยว่งุนงง ไม่ค่อยเข้าใจ

ก่วงลิ่งกงอธิบายว่า “อิ๋งจิ่วกวงถูกประมุขชิงวางอุบายไปแล้วรอบหนึ่ง เรื่องที่ชิงหยวนจุนถูกลดตำแหน่งนั้นมีเงื่อนงำ ตอนนี้ข้าสงสัยนิดหน่อยว่าประมุขชิงกำลังหล่อเลี้ยงอำนาจให้ชิงหยวนจุนแล้วหรือเปล่า…ให้ท่านนั้นของวังสวรรค์ได้ดูสักหน่อยว่าหนิวโหย่วเต๋อมีสันดานยังไง! นอกจากนี้ ปล่อยข่าวด้วย ปล่อยข่าวเรื่องที่ฉู่จื่อซานของน่านฟ้าระกาติงถูกแล่เนื้อเถือหนังพร้อมกับข่าวของเกาเหยียนพร้อมกัน จะเป็นฝีมือหลงซิ่นหรือหนิวโหย่วเต๋อ เดี๋ยวสืบดูก็ย่อมรู้แล้ว ถ้าเป็นหลงซิ่นทำ ข้าก็อยากจะเห็นว่าหนิวโหย่วเต๋อจะผลักหลงซิ่นออกมาเพื่อล้างความบริสุทธิ์ให้ตัวเอง หรือยินดีจะแบกรับชื่อเสียงอำมหิตนี้ไว้เอง”

โกวเยว่เข้าใจกระจ่างในทันที เข้าใจเจตนาแล้ว พยักหน้าเอ่ยรับ “บ่าวเข้าใจแล้วขอรับ”

ผ่านไปครู่เดียว โกวเยว่ก็นำคนมาที่สวนจิ้งเซวียนอีก ต้องการจะยกศพของเกาเหยียนไป

เกาจื่อหูที่ลูกตาแดงก่ำรั้งโกวเยว่ไว้ แล้วกุมหมัดคารวะถามอย่างเกรงใจ “พ่อบ้านโกว ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเตรียมจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?”

โกวเยว่มองเขา แล้วถามอย่างใจเย็น “หัวหน้าภาคเกายังจำเรื่องดีที่ทำกับโจวอ้าวหลินในปีนั้นได้หรือไม่?”

โจวอ้าวหลิน? เกาจื่อเซวียนกับก่วงจวินอันได้ยินแล้วค่อนข้างแปลกใจ พ่อบ้านโกวเอ่ยถึงคนที่ตายไปแล้ว หมายความว่าอะไร?

“…” เกาจื่อหูอึ้งไปชั่วขณะ นึกตามไม่ค่อยทัน ‘เรื่องดี’ ที่เขากับโจวอ้าวหลินทำในปีนั้นมีมากเกินไป จึงถามอย่างไม่แน่ใจ “ไม่ทราบว่าพ่อบ้านโกวหมายถึงเรื่องไหน?”

“ตอนนี้หลงซิ่นอยู่ที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล” โกวเยว่ตอบเสียงเรียบ

เกาจื่อหูสีหน้าเปลี่ยนในฉับพลัน ตระหนักอะไรบางอย่างได้แล้ว ลูกกระเดือดขยับเล็กน้อย แก้ตัวว่า “เกาไม่ค่อยเข้าใจว่าพ่อบ้านโกวหมายความว่าอะไร”

โกวเยว่พอจะได้เบาะแสจากปฏิกิริยาของเขาแล้ว ในใจแอบทอดถอนใจ สงสัยจะเกี่ยวข้องกับเจ้าหมอนี่จริงๆ เขากล่าวอย่างสุขุมว่า “ฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร แค่รู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว เรื่องบางเรื่องท่านอ๋องหูสว่างตากระจ่าง ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่กำลังไว้หน้าหรูฮูหยิน! เรื่องของลูกชายท่าน ท่านอ๋องย่อมมีแผนการแล้ว หวังว่าหัวหน้าภาคเกาจะไม่ทำอะไรซี้ซั้ว ถ้าทำอีก อาจจะไม่ใช่แค่ทำร้ายตัวท่านเอง แต่จะทำร้ายหรูฮูหยินด้วย บ่าวพูดจบแล้ว!” พูดจบก็กุมหมัดคารวะเกาจื่อเซวียนกับก่วงจวินอันที่ยืนอึ้งอยู่ข้างๆ

………………

เป็นเขาเหรอ? ทุกคนประหลาดใจ แล้วรีบมองไปที่ฝูชิงอีก ฝูชิงพยักหน้าเบาๆ เพื่อยืนยัน

ทุกคนไม่ได้เจอเหมียวอี้มาหลายปีแล้ว ต้องทำแบบนี้เพื่อไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัย

เหมือนกับภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เหมียวอี้หยุดยืนตรงประตูบันไดพร้อมยิ้มให้อย่างสนิทสนม ดูจากปฏิกิริยาของทุกคนแล้ว ก็มองออกเลยว่าฝูชิงรักษาสัญญา ไม่ได้บอกให้คนพวกนี้รู้ล่วงหน้าก่อนที่เขาจะมา

เช่นเดียวกับสงเวย เหมียวอี้เห็นคนพวกนี้แล้วสะท้อนใจมาก ทุกคนกลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์หมดแล้ว ได้ครองตำแหน่งที่มีรายได้ดี นอกจากจะร่ำรวยมากแล้ว ทรัพยากรที่ใช้เติมเต็มการฝึกตนของตัวเองก็ไม่มีปัญหา กอปรกับอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างสงบ ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกตน วรยุทธ์ของพวกเขาบรรลุถึงระดับบงกชรุ้งแล้ว เมื่อเทียบกับแปดทูตก็ย่อมเหนือกว่าหนึ่งระดับ

ในปีแรกๆ เหมียวอี้ยังไม่มีความรู้ด้านนี้ แต่ตอนนี้เหมียวอี้สังเกตเห็นแล้ว ว่าถึงแม้การฝึกตนของคนพวกนี้จะไม่ก้าวหน้าเร็วเท่าเขา แต่ถ้าเขาไม่สามารถฝึกให้บรรลุได้อีก ช้าเร็วคนพวกนี้ก็ต้องฝึกได้ก้าวหน้าเร็วกว่าเขาแน่นอน

ยิ่งอยู่ที่พิภพใหญ่นานก็ยิ่งรู้มาก ยิ่งเข้าใจว่าเคล็ดวิชาฝึกตนที่พิภพเล็กนั้นไม่ธรรมดา ไม่มีหลักการไหนที่บอกว่าเคล็ดวิชาฝึกตนไม่ได้เรื่องเพราะอาณาเขตเล็ก เขาเริ่มค้นพบแล้วว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของสำนักใหญ่ๆ บางแห่งที่พิภพเล็กก็คือเคล็ดวิชาฝึกตนที่สูญหายจากพิภพใหญ่ไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าไปถ่ายทอดอยู่ที่พิภพเล็กได้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่นหกเคล็ดวิชาพิเศษ มหาเคล็ดวิชารวมศูนย์ที่มอบให้สวีถังหราน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเป็นมหาเคล็ดวิชาของหนึ่งในสามสิบสองประมุขดาวที่พิภพใหญ่

ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นก็คือ ตอนที่ส่งศีลแปดไปยังจุดซ่อนสมบัติลับสำหนักหนานอู๋ เขาก็ค้นพบว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของศีลแปดนั้นเกี่ยวข้องกับพุทธธรรมไร้ขอบเขตในตำนาน ว่ากันว่าเป็นวิชาที่พระปีศาจหนานโปหวาดกลัวด้วย แต่วิชาศีลถ่ายทอดอยู่ที่พิภพเล็กมานานแล้ว ทั้งยังไม่สอดคล้องกับตำนานเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนด้วย หมายความว่ามันอยู่มานานเกินหนึ่งแสนปี ตั้งแต่วิชาศีลถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจนที่สำนักทางพิภพเล็ก ในตอนนั้นคนคนนั้นเกิดหรือยังก็ไม่รู้ ต่อให้เกิดแล้วก็คาดว่ายังเด็กมาก

แล้วก็เป็นเพราะครั้งนั้น ทำให้เหมียวอี้ตระหนักได้แล้ว ว่าคนที่หนีการไล่ฆ่ามาจนถึงพิภพเล็กนั้นใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เขาสงสัยว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาเจอพิภพเล็กเพราะความบังเอิญ

และเป็นเพราะครั้งนั้นเช่นกัน เขาเริ่มสังเกตเคล็ดวิชาฝึกตนต่างๆ ที่มาจากพิภพเล็ก สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า เคล็ดวิชาฝึกตนที่สามารถโดดเด่นอยู่ที่พิภพเล็กได้ล้วนไม่ธรรมดา คนที่มีหน้ามีตาที่พิภพเล็กล้วนได้ฝึกเคล็ดวิชาที่ดี ถ้าได้ทรัพยากรฝึกตนที่เพียงพอเมื่อไร อนาคตสดใสไร้ที่สิ้นสุดแน่นอน

ด้วยเหตุผลนี้เอง เขาถึงเดินทางมาที่ตลาดสวรรค์ในครั้งนี้

“ข้าไม่ได้อยากปิดบังทุกคนนะ แต่ตอนแรกเจ้าห้าไม่ให้ข้าบอก” ฝูชิงยิ้มเจื่อนพลางกุมหมัดคารวะต่อทุกคน นับว่าขออภัยแล้ว

ทุกคนกำลังลังเลว่าจะเรียกขานอย่างไร ด้วยความสัมพันธ์ของทุกคนในตอนนี้ ถ้าจะเรียกว่าผู้ตรวจการใหญ่กับนายท่านก็เหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสม ถ้าเรียกตามความสนิทสนมต่อไป ตอนนี้อีกฝ่ายไม่ใช่คนเดิมในอดีต ถ้าเรียกแล้วก็ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะยอมรับได้หรือไม่ แต่พอได้ยินฝูชิงเรียกว่า ‘เจ้าห้า’ ทุกคนก็รู้แล้วว่าฝูชิงกำลังแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเหมียวอี้ให้พวกเขาเห็น

“เจ้าห้า!” สงเวย อิงอู๋ตี๋และหงเทียนเดินเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม ไม่สะดวกจะเรียก ‘น้องห้า’ อีกแล้ว

“คุณชายห้า!” ส่วนแปดทูตก็กุมหมัดคารวะพร้อมกัน

“หลายปีมานี้ทุกคนสบายดีมั้ย?” เหมียวอี้ยิ้มทักทายทุกคนอีก ไม่สะทกสะท้านกับคำเรียก ‘คุณชายห้า’ เช่นกัน

นี่คือความมั่นใจในด้านฐานะตำแหน่ง ประมุขถิ่นทั้งสี่รู้สึกว่าไม่สะดวกจะเรียกแปดทูตอีกแล้ว เพราะทุกคนอยู่ในตำแหน่งที่เท่าเทียมกัน แต่สิ่งนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเหมียวอี้ เพราะทุกคนเป็นลูกน้องเก่าของเขา และคือคนที่เขาคิดหาทางเลื่อนตำแหน่งให้ด้วย แม้แต่ประมุขถิ่นทั้งสี่เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น คำว่า ‘คุณชายห้า’ นี้ ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือจะเป็นตัวคนเรียกเอง ก็ไม่มีใครรู้สึกว่าไม่เหมาะสม

กลับเป็นพวกเขาที่พอได้เห็นเหมียวอี้แล้วรู้สึกสะท้อนใจมาก ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ทุกคนยังย่ำอยู่ที่เดิม แต่ท่านนี้กลับกระโดดพรวดไปถึงระดับนั้นแล้ว ล้ำหน้าไปถึงระดับแม่ทัพใหญ่ ยามปกติชอบก่อเรื่องคึกโครมจนพวกเขาได้ยินข่าวแล้วอกสั่นขวัญแขวน

ตอนที่พวกเขานั่งลงบนตึก ทุกคนก็ให้เหมียวอี้นั่งที่หัวโต๊ะ แต่เหมียวอี้กลับทิ้งตำแหน่งนั้นให้สงเวยที่เป็นพี่ใหญ่นั่ง แล้วตัวเองก็นั่งข้างหลังหงเทียนตามลำดับพี่น้องร่วมสาบาน ยังนับว่าตัวเองเป็นน้องห้า สิ่งนี้ทำให้ทุกคนสบายใจขึ้นไม่น้อย

“เจ้าห้า ครั้งนี้มาหาพวกเราเพราะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” หลังจากนั่งประจำที่แล้ว สงเวยก็เอ่ยถาม สายตาของทุกคนจ้องไปที่เหมียวอี้พร้อมกัน นี่คือเรื่องที่ในใจทุกคนอยากถาม

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมองทุกคนแล้วบอกว่า “จนป่านนี้แล้ว ข้าเองก็จะไม่ปิดบัง ข้าจะถามแค่คำเดียว พี่น้องทุกคนยินดีจะติดตามข้าเพื่อเดินไปสู่อนาคตด้วยกันมั้ย?”

พอใช้คำว่า ‘ติดตาม’ แค่ประโยคเดียวก็เปิดเผยชัดเจนแล้ว ว่าที่นั่งในปัจจุบันก็คือที่นั่งในปัจจุบัน หวังว่าในภายหลังพวกเจ้าจะทำงานรับใช้ข้า

ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก พบว่าคำถามนี้ไม่อ้อมค้อมเลยจริงๆ ฝูชิงถามอย่างลังเล “เจ้าห้า ประสบปัญหาอะไรแล้วต้องการให้พวกเราลงแรงช่วยหรือเปล่า? ตระกูลอิ๋งต้องการจะทำอะไรไม่ดีกับเจ้าหรือเปล่า?”

เรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลอิ๋ง ทุกคนล้วนจินตนาการได้ ตระกูลอิ๋งเสียเปรียบไปมากขนาดนั้น มีหรือที่จะยอมหยุดอยู่แค่นี้?

“ตระกูลอิ๋งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่ข้ามาหาทุกคนในครั้งนี้ ก็อย่างที่บอก พี่น้องทุกคนยินดีจะติดตามข้าเพื่อเดินไปสู่อนาคตด้วยกันมั้ย?” หลังจากเหมียวอี้ยืนยันอีกครั้ง ก็เท่ากับแสดงท่าทีชัดเจนแล้ว สื่อว่าไม่ต้องบ่นมากอีกแล้ว แค่รอคำตอบที่แน่นอนจากทุกคนเท่านั้น

ขณะเดียวกันเขาก็แอบสังเกตปฏิกิริยาของทุกคนด้วย

แต่ปัญหาก็คือเรื่องนี้กะทันหันเกินไป และค่อนข้างตัดสินใจยากด้วย ถ้าจะปฏิเสธก็เอ่ยออกมาลำบาก แต่ถ้าไม่ปฏิเสธ ทุกคนก็ดีรู้อยู่แก่ใจ ว่าการติดตามเหมียวอี้คือสิ่งที่อันตรายมาก มีความเป็นไปได้สูงว่าต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง หลังจากเหมียวอี้ออกจากตลาดสวรรค์ไปแล้ว แต่ละเรื่องที่เขาก่อมีเรื่องไหนเล็กบ้างล่ะ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตัวละครยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลอิ๋งจะนำแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวขนาดไหนมาให้ นี่คือการเดิมพันครั้งใหญ่จริงๆ!

แต่เหมียวอี้ดันนั่งอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้ว อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังปิดบังทุกคนด้วย ไม่ให้โอกาสทุกคนได้ปรึกษาอะไรกันเลย

ทุกคนมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ไม่สะดวกจะถ่ายทอดเสียงปรึกษากันต่อหน้าเหมียวอี้ ทำได้เพียงใช้สายตาสื่อสารกัน

การที่ประมุขถิ่นทั้งสี่สามารถประคับประคองตัวเองที่พิภพเล็กมาได้หลายปี ก็ไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน ในใจรู้อย่างชัดเจน ว่าการที่เหมียวอี้ทำถึงขั้นนี้ได้ ก็เท่ากับให้โอกาสครั้งสุดท้ายกับทุกคนแล้ว ถ้าตอบตกลงทุกอย่างก็ย่อมคุยง่าย ถ้าปฏิเสธก็เกรงว่าตั้งแต่นี้ไปจะต้องตัดขาดไมตรีกัน!

สุดท้าย ทุกคนก็ทยอยกันพยักหน้าเงียบๆ มีความเห็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว โดยให้พี่ใหญ่สงเวยเป็นคนตอบ “เจ้าห้า ต่อไปนี้ถ้ามีอะไรต้องให้พวกเราลงแรงช่วย ก็บอกมาได้เลย ขอเพียงพวกเราทำได้ ก็จะทำอย่างเต็มกำลังแน่นอน!”

“ดี!” เหมียวอี้วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ ตอนนี้ยิ้มแล้ว ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเดินมาตรงหน้าทุกคน “แม้ทุกคนจะนั่งอยู่ในตำแหน่งที่รายได้เยอะอย่างผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ แต่นั่นก็เป็นแค่สิ่งที่เทียบกันเท่านั้น ทรัพยากรที่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ฉกฉวยมา ในตอนนี้นับว่ายังสามารถเติมเต็มความต้องการของทุกคนได้ แต่ในอนาคตล่ะ? ถ้ารอจนวรยุทธ์ของทุกคนเพิ่มขึ้นมาแล้ว เกรงว่ารายได้คงไม่พอกับรายจ่าย ถ้าพูดแบบไม่น่าฟังก็คือ ทุกคนอาจจะลำบากเพราะข้าแล้ว ถ้าอยากจะไต่เต้าให้สูงกว่านี้ก็อาจจะยาก แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แบบนี้ต่อไป ถ้าเบื้องบนเปลี่ยน เบื้องล่างก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน ช้าเร็วตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ก็ต้องเปลี่ยนคน”

ทุกคนเงียบไป นี่ก็คือสาเหตุสำคัญที่พวกเขายอมตอบตกลงเหมียวอี้

พอดูปฏิกิริยาของทุกคนแล้ว เหมียวอี้ก็พูดต่อว่า “ช่องทางรายได้ที่ข้ามีอยู่ในมือตอนนี้ ถ้าอยากจะเติมเต็มสี่ทัพให้ได้เหมือนตัวละครยักษ์ใหญ่นั่น ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ถ้าจะให้เติมเต็มกำลังพลที่มีอยู่ตอนนี้ ก็นับว่าเหลือเฟือ ไม่ได้แย่กว่าตอนอยู่ตลาดสวรรค์เลย ข้าขอพูดตรงๆ เลยนะ ศึกสระน้ำมังกรดำน่ะ รางวัลที่พลทหารยศเล็กของข้าได้ยังเยอะกว่ารายได้ของพวกเจ้าหลายปีเลยล่ะ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้กำลังพลของข้าล้วนยศต่ำ แล้วทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ส่วนใหญ่ก็ยศสูงกว่าพวกเขาด้วย ถ้าเข้ามาอยู่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลของข้าตอนนี้ ก็ถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะเจาะ ถ้ามาช้ากว่านี้ ทุกคนก็จะทำได้แค่อยู่ใต้คนอื่นแล้ว!”

ตอนนี้เขาเพิ่งเผยผลประโยชน์ที่สามารถมอบให้ทุกคนได้ ก่อนหน้านี้เป็นการดูท่าทีของทุกคนก่อน ไม่ได้เอ่ยถึงผลประโยชน์สักคำ ถ้าคนพวกนี้ไม่ตอบตกลง เขาก็ย่อมไม่เอ่ยถึงผลประโยชน์อีกเลยตลอดไป นอกจากนี้ เขายังจะคิดหาทางกำจัดคนพวกนี้ทิ้งให้หมดด้วย เพราะคนพวกนี้มีความน่ากังวลต่ออนาคตของเขามากเกินไป ถ้าเมื่อก่อนทรยศเขาอาจจะไม่คุ้มเพราะได้ผลประโยชน์ไม่มาก แต่ตามแผนการของเขาที่ใหญ่ขึ้นทุกวัน เมื่อผลประโยชน์มีมากกว่าความเสี่ยง ก็รับประกันได้ยากว่าในบรรดาคนพวกนี้จะไม่มีใครทรยศเขาเพื่อแลกกับอนาคตตัวเอง อย่างไรเสียก็มีบางคนที่เขาไม่ได้สนิทมากเท่าไร เขาทำได้เพียงเล่นบทโหดแล้ว!

ตอนนี้ทุกคนตอบตกลงแล้ว เขาเองก็รู้ว่าทุกคนรู้สึกไม่สงบใจเช่นกัน ถึงได้บอกผลประโยชน์เพื่อทำให้ทุกคนสบายใจ

“เจ้าห้า หมายความว่าเจ้าจะไม่ให้พวกเราช่วยอะไรเจ้าที่ตลาดสวรรค์ แต่จะให้พวกเราย้ายเข้าจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเหรอ?” อิงอู๋ตี๋ถามเสียงต่ำ

เหมียวอี้พยักหน้า “ไม่ผิดหรอก! ทุกคนสู้กับหกปราชญ์ที่พิภพเล็กมาหลายมี ล้วนมีประสบการณ์ในการคุมทหาร ถ้าไปอยู่ที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม เวทีที่ตลาดสวรรค์เล็กเกินไป ไม่เหมาะให้พวกท่านแสดงฝีมือหรอก”

สงเวยถามอย่างลังเล “แม้ราชินีสวรรค์จะคุมตลาดสวรรค์ แต่ถึงยังไงตลาดสวรรค์ก็ถูกอำนาจหลายฝ่ายควบคุมอยู่ พวกเรากระจายตัวอยู่ในอาณาเขตของอำนาจใหญ่ฝ่ายต่างๆ ถ้าอยากจะโยกย้ายก็คงไม่ง่ายขนาดนั้น” เขาจะสื่อว่า พวกเรารู้ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับราชินีสวรรค์ แต่เกรงว่าเรื่องนี้คงจัดการลำบาก

เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้ทุกคนไม่ต้องกังวล ในเมื่อข้าพูดออกมาได้ ก็แปลว่ามีความมั่นใจ เมื่อโอกาสมาถึงเมื่อไร ก็จะถึงเวลาที่พวกเราพี่น้องได้รวมตัวกัน”

เรื่องราวก็ถูกกำหนดไว้อย่างนี้แล้ว จากนั้นเหมียวอี้ก็ไม่แนะนำให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อ ให้พวกเขากลับไปรอที่อาณาเขตตัวเองเพื่อรอฟังคำสั่งทันที

เรื่องนี้หยางชิ่งไม่รู้ หยางชิ่งกังวลว่าในแผนการตอนหลังของเหมียวอี้จะมีเรื่องส่วนตัวเข้ามาแทรก นับว่าเดาไม่ผิดจริงๆ

ก่อนจะออกจากทะเลดาวนักษัตร ทุกคนใจคอแห้งเหี่ยว ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าจะได้มาเดินร่วมทางกับเหมียวอี้อีก นึกย้อนไปถึงอดีต เพื่อที่จะรักษาความลับ ลูกน้องเก่าที่ทะเลดาวนักษัตรถูกพวกเขาทิ้งไว้ที่พิภพเล็กแล้ว ส่วนคนที่พามาด้วยส่วนใหญ่ก็ถูกพวกเขากำจัดทิ้งเพราะกลัวจะเป็นภัยคุกคาม ใครจะคิดว่าสุดท้ายจะกลายเป็นอย่างนี้ จะให้ทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร!

เหมียวอี้ยังไม่ได้ออกจากตำหนักคุ้มเมืองของดาวเทียนหยวนในทันที แอบพักอยู่ที่นี่ก่อนชั่วคราว

หลังจากนั้นหลายวัน หยางเจาชิงที่ปลอมตัวแล้วก็มาถึง ขึ้นมาพบเหมียวอี้บนตึกในลานบ้าน

เมื่อเจอกัน เหมียวอี้ก็ถามเลยว่า “เรื่องราวราบรื่นใช่มั้ย?”

หยางเจาชิงพยักหน้า “ส่งของให้คนของตระกูลเซี่ยโห้วแล้วขอรับ กำลังพลสี่หมื่นกระจายตัวอยู่ตามตลาดสวรรค์ของดาวต่างๆ แล้ว ตอนนี้ทุกอย่างราบรื่น”

เหมียวอี้เดินมาริมหน้าต่าง เอามือไขว้หลังมองไปข้างนอก ตรงหว่างคิ้วแสดงออกถึงความวิตกกังวล กำลังพลสี่หมื่นที่ย้ายออกมาแยกกันเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ละกลุ่มมีสี่คนขึ้นไป กระจายอยู่ตามตลาดสวรรค์หลายแห่งเพื่อรับมือกับมรสุมที่กำลังจะมาถึง ไม่รู้ว่าคนพวกนี้จะรับมือไหวหรือไม่

……………

สำนักลมปราณ หลังจากอวี้เลี่ยนจินเหรินได้รับข่าวจากเหมียวอี้ ก็รีบปรึกษากับศิษย์พี่อวี้หลิงเจินเหริน เหมียวอี้ขอให้สำนักลมปราณละทิ้งเขาชีอู๋ชั่วคราว ให้สมาชิกทั้งหมดของสำนักลมปราณหนีไปหลบที่ตลาดสวรรค์ก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกตระกูลก่วงก่อกวน

ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เหมียวอี้ติดต่อกับอวี้หลิงเจินเหรินแล้วไม่ได้ผล แล้วพบว่าติดต่อกับอวี้เลี่ยนตรงไปตรงมามากกว่า เขาก็ข้ามหัวอวี้หลิงไปติดต่อกับอวี้เลี่ยนโดยตรงเสียเลย

ในตำหนักใหญ่ อวี้หลิงเจินเหรินกำลังเดินไปเดินมา พลางกล่าวอย่างลังเลว่า “หลบที่ตลาดสวรรค์ก็จะพ้นการก่อกวนของตระกูลก่วงเหรอ? สำนักลมปราณมีลูกศิษย์มากมายกระจายอยู่ตามตลาดสวรรค์เพื่อบริการร้านขายของชำ ตระกูลก่วงไปหาได้ทุกเมื่อ ศิษย์น้อง ทำไมข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้หนิวโหย่วเต๋อไม่น่าเชื่อถือเท่าไร ถ้าบอกว่าหลบการก่อกวนจากตระกูลอิ๋งยังน่าเชื่อกว่าหน่อย เจ้าฟังมาผิดหรือเปล่า?”

อวี้เลี่ยนจินเหรินยักไหล่สองข้าง “ศิษย์พี่ ไม่ผิดจริงๆ ข้ายืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาหมายความอย่างนี้แหละ ท่านไม่ต้องสงสัยมากแล้ว เจ้าหนุ่มนั่นไม่เหมือนในอดีตแล้ว แต่ละเรื่องที่เขาทำไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะเข้าใจได้ ตอนนี้อีกฝ่ายเป็นคนที่ทำงานใหญ่ โลกทัศน์และฝีมือล้วนเหนือกว่าพวกเรา เรื่องที่พวกเราไม่เข้าใจก็อาจไม่ใช่เรื่องที่ผิดก็ได้ ที่เขาเตรียมการแบบนี้ แปลว่าเขาต้องมีแผนของตัวเองแน่นอน”

จุดนี้อวี้หลิงเจินเหรินไม่อาจปฏิเสธได้ แม้จะไม่รู้ว่าเหมาะสมหรือไม่ แต่ฝีมือในการช่วยแก้ไขปัญหาให้ก่อนหน้านี้ พวกเขาล้วนเห็นแล้ว ประกอบกับผลงานในการคุมสถานการณ์ของเหมียวอี้ในอดีต คำพูดของเหมียวอี้เริ่มมีบารมีความน่าเชื่อถือต่อศิษย์พี่และศิษย์น้องคู่นี้แล้ว

“ก็ได้ งั้นก็ทำตามที่เขาบอกแล้วกัน” อวี้หลิงเจินเหรินพยักหน้า ในที่สุดก็ตอบตกลงแล้ว เมื่อลองไตร่ตรองดู ก็พบว่ามิอาจไม่ตอบตกลง เพราะท่านอาจารย์ชีอู๋กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหนิวโหย่วเต๋อไปแล้ว

สำนักลมปราณไม่เหมือนในอดีตอีกแล้ว ตอนนี้มีกำลังทรัพย์พอสมควร ทั้งสำนักมีจำนวนลูกศิษย์เกินห้าแสนคน แม้ส่วนใหญ่จะวรยุทธ์ไม่สูง แต่การย้ายคนจำนวนมากออกไปตามเจตนาของเหมียวอี้ ก็จะต้องกระจายไปอยู่ตามตลาดสวรรค์ อวี้หลิงเจินเหรินจึงใช้ข้ออ้างว่าส่งลูกศิษย์ระดับกลางไปเรียนรู้หาประสบการณ์ที่ร้านขายของชำตามตลาดสวรรค์ จากนั้นก็สั่งให้ลูกศิษย์ระดับสูงพาคนส่วนหนึ่งออกไป

พวกอวี้หลิงเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ออกไปจากที่นี่ พวกเขายืดเวลาอยู่ที่นี่เพื่อเจรจากับคนที่ตระกูลก่วงส่งมา ขอร้องให้อีกฝ่ายขยายเวลาออกไป บอกประมาณว่าต้องขอความเห็นที่เป็นหนึ่งเดียวจากในสำนัก สรุปก็คือกำลังถ่วงเวลา นี่ก็เป็นความคิดของเหมียวอี้เช่นกัน เขายังต้องใช้เวลาเพื่อเตรียมงานให้เหมาะสม ถ้าจู่ๆ สำนักลมปราณหนีไปหมด ตระกูลก่วงอาจจะไปกดดันที่ร้านขายของชำทางตลาดสวรรค์ก็ได้ ถ้าจัดการไม่ดีก็อาจมีปัญหาใหม่สอดแทรกเข้ามา ตอนนี้เรื่องของสำนักลมปราณยังไม่ถึงเวลาสะสางขั้นสุดท้าย เขาต้องทำงานใหญ่ก่อน

ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งเดือน รอจนกระทั่งคนของสำนักลมปราณออกไปหมดแล้ว พวกอวี้หลิงถึงได้ออกไป ก่อนจะไปก็มองสำนักลมปราณที่ว่างเปล่าด้วยความสะท้อนใจไร้ที่เปรียบ…เดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง

ในตำหนักประชุมของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ภายใต้คำสั่งของรองหัวหน้าภาค บรรดาแม่ทัพมากันครบแล้ว

หลังจากมาถึง บรรดาแม่ทัพถึงได้พบว่ามีภารกิจลับ หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นคำสั่งทางทหารจากเหมียวอี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงตั้งตารอดู

หยางเจาชิงนำรายชื่อที่ร่างไว้แล้วแจกจ่ายลงไป นี่คือรายชื่อกำลังพลที่คัดจากความสามารถและความน่าเชื่อถือในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา เป็นการดึงตัวกำลังพลสี่หมื่นกว่าออกมาจากทัพใหญ่แดนรัตติกาลหกหมื่นอย่างลับๆ เพื่อที่จะรักษาความลับเอาไว้ ฝั่งนี้ยังเหลือกำลังพลอีกสองหมื่นเอาไว้ทำภารกิจประจำวันเพื่อตบตาคนอื่น อยู่ควบคุมไม่ให้กำลังพลเบื้องล่างใช้ระฆังดาราติดต่อกับภายนอก กำลังพลที่กำลังจะถูกย้ายไปก็ทำอย่างนี้เช่นกัน

หลังจากถ่ายทอดคำสั่งลับแล้ว บรรดาแม่ทัพก็แยกย้ายกันไปทำงาน

คำสั่งทหารหนักแน่นดุจขุนเขา คนส่วนใหญ่เร่งฝีเท้าเดินออกจากตำหนักประชุม ส่วนหลงซิ่นยังไม่ไป อยู่ขอคำชี้แนะจากหยางเจาชิง “แม่ทัพภาคหยาง ผู้ตรวจการใหญ่ต้องการจะทำอะไรกันแน่?” เขาฉงนใจมาก!

มีแค่เขาคนเดียวเสียที่ไหน สวีถังหรานที่อยู่ข้างๆ ก็งงมากเช่นกัน

หยางเจาชิงมองหลงซิ่นด้วยสายตาเย็นเยียบ “ผู้ตรวจการใหญ่ย่อมมีแผนของผู้ตรวจการใหญ่”

หลงซิ่นขมวดคิ้ว “แล้วตอนหลังต้องทำยังไงอีก ต้องให้ข้าเตรียมใจบ้างไม่ใช่รึไง?”

หยางเจาชิงกล่าวเสียงเรียบ “เมื่อถึงเวลาก็ย่อมประกาศ ผู้บัญชาการใหญ่หลง นี่คือคำสั่งลับของผู้ตรวจการใหญ่ กรุณาปฏิบัติตาม!” เขาจะสื่อว่าอย่าถามเยอะ

“…” หลงซิ่นพูดไม่ออก สุดท้ายก็ขมวดคิ้วเดินจากไปเงียบๆ

สวีถังหรานเกาศีรษะ ที่จริงเขาก็อยากจะสืบถามอีกสักหน่อย แต่พอได้ยินแบบนี้แล้ว เขาก็ทำได้เพียงกลืนคำถามลงท้องไป

จะว่าไปแล้ว แม้ตำแหน่งของเขาจะเป็นรองเพียงเหมียวอี้ แต่ในเวลานี้เขาก็ทำได้เพียงให้ความร่วมมือกับหยางเจาชิงเต็มที่

หลังจากออกจากจวนหัวหน้าภาค ต้วนอวิ๋นเปียวกับหยวนกงก็ไปด้วยกัน แอบถ่ายทอดเสียงถามว่า “พี่หยวน ผู้ตรวจการใหญ่กำลังจะทำอะไร?”

“เฮ่อๆ! ในเมื่อเป็นคำสั่งลับ พวกเราก็ไม่ต้องสืบเยอะหรอก ปฏิบัติตามคำสั่งก็พอ!” หยวนกงปากก็พูดไปหัวเราะไป ทั้งที่ในใจก็เคลือบแคลงสงสัยเช่นกัน แต่เขาก็ได้รับคำสั่งมาจากหัวหน้าตระกูลแล้ว สั่งไม่ให้เขาเพิ่มปัญหายุ่งยากให้หนิวโหย่วเต๋อ ในใจเขารู้ดี ว่าหัวหน้าตระกูลอาจจะรู้เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อกำลังจะทำแล้วก็ได้

มหาสมุทรสีเขียวมรกต บนเรือโหลวฉวนที่งดงามหรูหรา อวิ๋นจือชิวนำผู้หญิงกลุ่มหนึ่งขี่ลมฝ่าคลื่นอยู่บนทะเลอันกว้างใหญ่

ไม่ว่าจะดีใจจริงหรือไม่ แต่ผู้หญิงกลุ่มนี้ก็ยังไว้หน้าอวิ๋นจือชิวมาก พากันไปรับลมที่หัวเรือ พูดคุยกันอย่างสนุกสนานรื่นเริงมาก ไม่ใช่แค่เฟยหงกับพวกหลินผิงผิงเท่านั้น ยังมีคนในครอบครัวของแม่ทัพบางส่วนในจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลด้วย ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เหมียวอี้เองก็ไม่อาจขอให้ลูกน้องอยู่เป็นโสดได้ ที่จริงแล้วบางคนได้อวิ๋นจือชิวเป็นคนกลางติดต่อให้ด้วยซ้ำ

ในวันธรรมดาทั่วไป เหมียวอี้ดูแลงานในกองทัพ ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ไปมาหาสู่กับผู้หญิงของบรรดาแม่ทัพ เป็นการกระชับความสัมพันธ์กับทุกคน ถือว่าเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการช่วยคุมขวัญกำลังใจทหาร อย่าได้ดูถูกอานุภาพข้างหมอนของผู้หญิงพวกนี้เชียว เพราะตั้งแต่สมัยโบราณ มีหลายงานแล้วที่พังเพราะผู้หญิงข้างหมอนพวกนี้

ในจุดนี้อวิ๋นจือชิวจัดการได้ดีมาก เดิมทีนางก็ถนัดเรื่องเข้าสังคมอยู่แล้ว ยามปกติก็คุยเรื่องมโนสาเหร่กับผู้หญิงพวกนี้ เวลาใครถูกผู้ชายของตัวเองรังแก ก็จะร้องไห้มาฟ้องอวิ๋นจือชิว ขอให้อวิ๋นจือชิวทวงความยุติธรรมให้ ถ้าเป็นเรื่องที่มีเหตุผล อวิ๋นจือชิวก็จะเรียกแม่ทัพคนนั้นมาด่าสักยกหนึ่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่มีเหตุผล นางก็จะช่วยให้พวกเขาปรองดองกัน

คนเราล้วนมีอารมณ์ความรู้สึก ระหว่างสามีภรรยาไม่อาจเลี่ยงความขัดแย้งได้ แม้แต่อวิ๋นจือชิวเองก็ยังทะเลาะกับเหมียวอี้เลย ถึงขั้นลงไม้ลงมือสู้กันแล้วด้วย ส่วนแม่ทัพพวกนั้นก็ย่อมไม่ขัดที่ผู้หญิงของตัวเองจะมีสายสัมพันธ์อันดีกับฮูหยินผู้ตรวจการใหญ่ เพราเมื่อถึงเวลาสำคัญก็ยังสามารถอาศัยช่องทางนี้พูดขอร้องให้ไว้หน้ากันได้

“ทุกคน ฮูหยินเชิญไปที่ตึกเรือ” เสวี่ยเอ๋อร์ลงมาที่ดาดฟ้าเรือ เดินมาแจ้งตรงหน้ากลุ่มผู้หญิงที่ด้วยรอยยิ้ม

ผู้หญิงกลุ่มนี้ย่อมไม่มีใครปฏิเสธ ทยอยกันออกจากหัวเรือแล้วขึ้นไปบนตึกเรือ

หลังจากอวิ๋นจือชิวยิ้มทักทายพวกนางแล้ว ก็เชิญให้พวกนางนั่งลงตรงสองฝั่งของโต๊ะ หลังจากกวาดสายตามองซ้ายมองขวารอบหนึ่ง ก็ถามด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเองว่า “ไม่ทราบว่าทุกคนเชื่อใจอวิ๋นจือชิวหรือเปล่า?”

พวกผู้หญิงมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่านางถามอย่างนี้ทำไม เสวี่ยหลิงหลงเป็นคนแรกที่ตอบ “ข้าย่อมเชื่อใจฮูหยินอย่างไร้ความสงสัย”

“ใช่แล้ว ฮูหยินมีอะไรจะกำชับหรือคะ?” หลินผิงผิงกล่าวสนับสนุน จากนั้นคนอื่นๆ ก็พูดคล้อยตามเช่นกัน ล้วนแสดงออกว่าเชื่อใจอวิ๋นจือชิวมาก

อวิ๋นจือชิวพยักหน้ายิ้ม “งั้นก็ดี ในเมื่อทุกคนเชื่อใจข้า ข้าก็มีหนึ่งคำขอที่ไร้เหตุผล ข้าจะพาทุกคนเดินทางไปที่อันแสนไกล แต่ก่อนอื่นต้องขอให้ทุกคนส่งข้าวของเครื่องใช้บนตัวมาให้ข้าก่อน ไม่สามารถนำขึ้นมาดูหรือใช้งานได้แม้แต่น้อย เพื่อรับประกันความเป็นส่วนตัวของทุกคน หลังจากกลับมาแล้วจะคืนของให้ ข้ารู้ว่าทุกคนมีคำถาม ข้าจะสรุปสั้นๆ แล้วกัน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกิจทหารของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล เพื่อที่จะรักษาความลับ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ทุกคนห้ามติดต่อกับภายนอกชั่วคราว อย่างอื่นไม่ต้องถามอะไรมากอีก”

ผู้หญิงกลุ่มนี้ฉงนสนเท่ห์ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรให้จริงจังขนาดนี้ ศึกใหญ่สระน้ำมังกรดำผ่านไปแล้วไม่ใช่เหรอ?

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ถือถาดเดินไปทางสองฝั่งทันที เฟยหงเป็นคนแรกที่ส่งของของตัวเองออกมาโดยไม่ลังเล นางวางของไว้บนถาด จากนั้นเสวี่ยหลิงหลงกับหลินผิงผิงก็ไม่ลังเลเช่นกัน เมื่อมีพวกนางคอยนำ ตอนหลังไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ ทุกคนต่างก็ส่งของมาให้แต่โดยดี

ของถูกใส่ไว้ด้วยกัน อยู่ในกำไลเก็บสมบัติวงเดียวกัน ภายใต้การบอกใบ้ของอวิ๋นจือชิว กำไลเก็บสมบัติวงนี้ถูกห้อยไว้บนเอวเชียนเอ๋อร์ ทุกคนได้ควบคุมดูแลด้วยกัน

จากนั้นผู้หญิงพวกนี้ก็ถูกเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์ทั้งหมด ทิ้งเรือโหลวฉวนไว้ในทะเล พวกอวิ๋นจือชิวปลอมตัวแล้วพุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ออกจากดาวจันทร์อี่ไปแล้ว…

ดาวเทียนหยวน ตลาดสวรรค์ ชายร่างกำยำนำผู้ติดตามหลายคนเข้ามาทางประตูฝั่งตะวันออก ตอนที่เข้าใกล้ตำหนักคุ้มเมือง ผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังก็แยกตัวออกไป ตอนที่ชายร่างกำยำเดินมาถึงนอกตำหนักคุ้มเมือง ก็มีคนรอต้อนรับอยู่นานแล้ว จากนั้นพาเข้ามาข้างในโดยเลี่ยงการตรวจสอบจากทหารยาม

ในตำหนัก พอเข้ามาถึงประตูใหญ่ของสวนด้านในแล้ว ฝูชิงที่กำลังหลบสายตาผู้คนก็กำลังรออยู่ที่ด้านข้างประตู พอเห็นชายร่างกำยำเข้ามา ก็โบกมือไล่คนที่นำทางออกไปทันที จากนั้นถึงได้กุมหมัดคารวะต่อชายร่างกำยำ “พี่ใหญ่ เหลือแค่ท่านแล้ว” เขายื่นมือเชิญนำทาง

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือสงเวย ประมุขถิ่นทิศตะวันออกที่ปลอมตัวมา ขณะที่เดินมาด้วยกันก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้ารอง มีเรื่องด่วนอะไรถึงเรียกทุกคนมา?”

ฝูชิงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “คนที่มาถึงก่อนเร่งเร้าจนข้ากลุ้มใจแล้ว พี่ใหญ่อย่าเพิ่งใจร้อน อีกประเดี๋ยวก็จะรู้เอง!”

เขานำสงเวยไปที่ใต้ตึกศาลา แล้วก็ยื่นมือเชิญให้ขึ้นไปด้านบน

บนตึก หน้าต่างปิดสนิท คนกลุ่มหนึ่งบ้างก็ยืนบ้างก็นั่ง ไม่ใช่ใครที่ไหน ล้วนเป็นคนที่มาจากทะเลดาวนักษัตร อิงอู๋ตี๋ประมุขถิ่นทิศใต้ หงเทียนประมุขถิ่นทิศเหนือ ทูตทั้งแปดของประมุขถิ่นสี่ทิศในปีนั้นก็อยู่ด้วยเช่นกัน แบ่งเป็น จินกวง หยินกวง ลี่เฟิง ชิงเฟิง หลิงเทียน โพ่เทียน เปินเหลย ฮั่นเทียน

เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ทุกคนเปลี่ยนลักษณะการแต่งกายแบบตอนอยู่พิภพเล็กให้เป็นแบบคนทั่วไปตั้งนานแล้ว

บนตึกมีเสียงดัง สายตาของทุกคนพากันมองไปตรงบันได ฝูชิงโผล่หน้ามายืนอยู่ด้านข้างก่อน สงเวยที่อยู่ข้างหลังเดินขึ้นบันไดตามมาอย่างไม่รีบร้อน

สงเวยเดินขึ้นมาข้างบนแล้วหยุดยืนตรงทางเข้า กวาดสายตามองคนคุ้นเคยที่อยู่ตรงหน้า แล้วยกมือขึ้นถอดหน้ากากออก เผยโฉมหน้าที่แท้จริง

คนในห้องทยอยกันลุกขึ้น อิงอู๋ตี๋กับหงเทียนกุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่!”

ทูตทั้งแปดก็ทยอยกันกุมหมัดคารวะเช่นกัน “พี่ใหญ่!”

เมื่อได้เห็นคนพวกนี้ ในใจสงเวยกลับรู้สึกสะท้อนใจ ตอนนี้บรรดาพี่น้องเป็นขุนนางอยู่ตามตลาดสวรรค์ ขณะเดียวก็ต้องแยกจากกันเป็นเวลานานเพื่อไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัย จะไม่ทำอย่างนี้ก็ไม่ได้ เพราะเหมียวอี้ก่อเรื่องเก่งเกินไป แม้ตอนหลังจะดูเหมือนเหมียวอี้ทอดทิ้งพวกเขาไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังเป็นลูกน้องเก่าของเหมียวอี้ บางคนที่อยู่ในอาณาเขตอิ๋งจิ่วกวงก็ต้องทำตัวสงบเสงี่ยม ยกตัวอย่างเช่นฝูชิง พอรับช่วงต่อตลาดสวรรค์ของที่นี่แล้ว ก็จินตนาการได้เลยว่าต้องทำตัวอย่างไร แต่ก็ยังดีหน่อยที่มีปี้เยว่คุ้มครองอยู่

สงเวยก้าวขึ้นมาตบบ่าอิงอู๋ตี๋กับหงเทียน “เจ้าสาม เจ้าสี่” จากนั้นก็มองไปทางอีกแปดคน แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ต่อไปก็ไม่ต้องเรียกว่าคุณชายใหญ่อะไรนั่นแล้ว ตอนนี้ทุกคนล้วนเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ ฐานะเท่าเทียมทัน ถ้าเรียกคุณชายใหญ่อีกจะไม่เหมาะสม ถ้าทุกคนไม่สะดวกจะพูด ก็ให้พวกเขาเรียกว่าพี่ใหญ่ก็แล้วกัน”

ทูตทั้งแปดอึดอัดเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเรียกอย่างนี้จะเหมาะสมหรือไม่

ยังเป็นอิงอู๋ตี๋ที่ตะโกนถามฝูชิง “พี่รอง ตอนนี้ก็บอกทุกคนได้แล้วมั้งว่าเรียกพวกเรามาทำไม?”

“ให้ทุกคนได้เจอกับใครคนหนึ่ง” ฝูชิงยิ้มเจื่อน แล้วหยิบระฆังดาราติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง

รอไม่นาน ใต้ตึกก็มีเสียงฝีเท้าคนเดินขึ้นบันได ตามเสียงที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สายตาของทุกคนเริ่มฉายแววตะลึงงัน เหมียวอี้ที่ใบหน้าเจือรอยยิ้มเดินเข้ามาช้าๆ เพียงลำพัง

………………

ประมุขชิงเดินช้าๆ อยู่ในตำหนักใหญ่ พลางกล่าวว่า “ว่ากันว่าถ้าบรรพบุรุษมีวาสนามากเกินไป ลูกหลานก็จะอับโชค ข้าเห็นคนรุ่นหลังอยู่เต็มราชสำนัก คนที่ความสามารถเหนือกว่าบิดาก็แทบจะไม่มี ข้ายอมรับว่าแม้แต่ลูกชายตัวเองก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน นี่ไม่ใช่ข้อพิสูจน์คำโบราณนั่นหรอกเหรอ? เซี่ยโห้วท่าผ่านมาแล้วสามยุค ใช้เล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลงไปมาราวกับพลิกฟ้าคว้าฝน เสพสุขกับโชควาสนาในใต้หล้ามาเต็มที่ แต่กลับให้กำเนิดลูกชายอย่างเซี่ยโห้วลิ่งได้ นี่มันหลักการอะไรกัน?” เขาหันตัวมาโบกแผ่นหยกในมือให้ซ่างกวนชิง ถึงขนาดทอดถอนใจ “เป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่!”

ซ่างกวนชิงบอกว่า “หลังจากอิ๋งจิ่วกวงกระโดดออกมาก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย คำพูดเยาะเย้ยเขาต่างๆ นานาล้วนมีหมด ที่เขาลงมือกับตระกูลอิ๋งก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะโหดขนาดนี้ จะสังหารทั้งตระกูลอิ๋งให้สิ้นซาก แต่ก็สมเหตุสมผลเช่นกัน เซี่ยโห้วลิ่งต้องการการเคลื่อนไหวใหญ่ครั้งเดียวที่มีประสิทธิภาพ สยบรอบทิศในชั่วพริบตาเดียว รวมทั้งภายในตระกูลเซี่ยโห้วด้วย จะได้ทำตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของเขาให้มั่นคง!”

ขณะมองแผ่นหยกในมือ ประมุขชิงก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างคับแค้นอีก “ตระกูลเซี่ยโห้วจะมีเซี่ยโห้วท่าคนที่สองแล้วเหรอ? เจ้าเขี้ยวยาวตัวนี้ช่างน่าแค้นนัก นึกไม่ถึงว่าจะวางแผนลามขึ้นมาบนหัวข้าแล้ว อยากจะฉวยโอกาสเสี้ยมให้ตระกูลที่เหลือแว้งกัดเขาจริงๆ!”

ซ่างกวนชิงกล่าวอย่างลังเล “แต่ดูจากแผนการแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งนี่ก็เจ้าเล่ห์มาก เอาเรื่องที่อิ๋งจิ่วกวงจะเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อให้ถึงตายมาปลุกปั่นหนิวโหย่วเต๋อ หนิวโหย่วเต๋อต้องทำเพื่อให้มีชีวิตรอด จึงไม่มีทางเลือก ถูกเขาผลักมาเป็นผู้โจมตีหลักข้างหน้า ส่วนเขาก็เป็นตัวเสริม หมายความว่าเขาสามารถปลีกตัวหนีได้ตลอดเวลา พอเขาปลีกตัวไปไม่เข้ามาแทรกแซงอีก เกรงว่าตระกูลอื่นคงจะกลัวกำลังของตระกูลเซี่ยโห้ว ไม่ยอมให้หยกแหลกลาญไปพร้อมศิลา ถ้าอยากจะกัดเขาก็ค่อนข้างยาก”

ประมุขชิงสะบัดแขนเสื้อ แล้วกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “หนิวโหย่วเต๋อเป็นผู้โจมตีหลักเสียที่ไหนกัน เป็นข้าต่างหาก! คนที่ลงมือสังหารอิ๋งจิ่วกวงแท้จริงแล้วคือข้า ข้าถูกเขาผลักมาไว้ข้างหน้า วิธีการของเจ้าเขี้ยวยาวตัวนี้ไม่ด้อยไปกว่าจิ้งจอกเฒ่าเซี่ยโห้วท่าเลย!”

ซ่างกวนชิงเงียบไป คิดในใจว่า ถ้าเจ้าไม่อาศัยช่องทางนี้เพื่อลงมือ แผนร้ายของอีกฝ่ายก็จะทำลายตัวเอง

ทว่าคิดไปคิดมาก็แอบยิ้มเจื่อน เห็นได้ยินว่าอีกฝ่ายวางแผนนี้ขึ้นมาก็เพราะมองขาดเจตนาของฝ่าบาทแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางสร้างแผนนี้ขึ้นมาเลย ฝ่าบาทจะทิ้งโอกาสดีในการลงมือไปได้เหรอ? สี่อ๋องสวรรค์ไม่เข้าประชุมขุนนาง เขาอยู่ข้างกายประมุขชิงมาหลายปี นับว่าเข้าใจประมุขชิงดีเกินไป ใต้หล้ามีคนมากมายมองอยู่ ประมุขชิงไม่มีทางอดทนต่อไปได้ในระยะยาว ช้าเร็วก็ต้องหาโอกาสลงมือ ตอนนี้โอกาสงัดข้อมาถึงแล้ว ฝ่าบาทจะพลาดได้อย่างไร?

ถ้าพลาดโอกาสนี้ไป ตอนหลังต้องรอถึงเมื่อไร นี่คือแผนร้ายที่สง่าผ่าเผย! เซี่ยโห้วลิ่งคนนี้ร้ายกาจเกินไปจริงๆ ไม่แปลกใจที่ทำให้ฝ่าบาทหวาดกลัวได้…ซ่างกวนชิงแอบทอดถอนใจ รอจนกระทั่งการกระทำและคำพูดของประมุขชิงเหมือนจะใจเย็นลงแล้ว เขาถึงได้ถามหยั่งเชิงอีกว่า “ฝ่าบาท จะเรียกให้หนิวโหย่วเต๋อเข้ามามีส่วนร่วมสักหน่อยมั้ยขอรับ?”

“ไม่ต้องแล้ว!” ประมุขชิงที่เดินไปเดินไปมายกมือห้าม แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ดูสถานการณ์ก่อนว่าเป็นยังไงแล้วค่อยตัดสินใจ รีบไปเรียกซือหม่าเวิ่นเทียนมาพบข้า!”

ซ่างกวนชิงแอบยิ้มเจื่อนอีกครั้ง รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าถูกหลอกใช้ แต่ก็ยังเป็นฝ่ายกระโดดเข้าไปในกับดักของเซี่ยโห้วลิ่งแล้ว

เขาหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อซือหม่าเวิ่นเทียนเสียตรงนั้นเลย

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ถูกเรียกก็รีบเข้ามาที่วังสวรรค์อย่างรวดเร็ว พอเข้ามาในตำหนักดาราจักรก็ทำความเคารพ “ข้าน้อยคารวะฝ่าบาท ไม่ทราบว่าฝ่าบาทมีอะไรจะกำชับขอรับ?”

ตอนแรกประมุขชิงยังไม่ได้พูดอะไร เรื่องจวนตัวแล้วแต่ก็ยังเหมือนลังเลนิดหน่อย เขาเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้าซือหม่าเวิ่นเทียนไม่หยุด

ซือหม่าเวิ่นเทียนกลุ้มใจนิดหน่อย สายตาเขามองตามเขาเดินไปเดินมา เมื่อเห็นอีกฝ่ายชักช้าไม่ยอมพูดเสียที อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ซ่างกวนชิง อยากจะเห็นเบาะแสอะไรบ้าง

ซ่างกวนชิงหลุบตาลง แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดประมุขชิงก็มาหยุดตรงหน้าซือหม่าเวิ่นเทียน ซ่างกวนชิงสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ ในใจเข้าใจดี ว่าตอนนี้ฝ่าบาทตัดสินใจแน่วแน่แล้ว

เป็นอย่างที่คาดไว้ ประมุขชิงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ซือหม่าเวิ่นเทียน แล้วถามเสียงต่ำว่า “ครั้งนี้ต้องให้เจ้าไปด้วยตัวเอง แอบไปพบกับเถิงเฟยสายชวดจอมพลและเฉิงไท่เจ๋อจอมพลสายฉลู…” กำชับเรื่องที่ต้องทำอย่างจริงจัง

ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ่งฟังก็ยิ่งทำสีหน้าจริงจัง กระทั่งหลังจากเข้าใจเจตนาประมุขชิงแล้ว เขาก็อกสั่นขวัญแขวนแล้วจริงๆ อดไม่ได้ที่จะกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อติดตามอิ๋งจิ่วกวงมาหลายปี แบบนี้เท่ากับจะให้ทั้งสองทรยศอิ๋งจิ่วกวง เกรงว่าจะไม่ได้โน้มน้าวง่ายๆ ขนาดนั้น! บางทีลิ่งหูโต้ว จอมพลสายขาลคนใหม่อาจจะโน้มน้าวได้ง่ายกว่า จะ…”

ประมุขชิงโบกมือ “ลิ่งหูโต้วจ้งถูกอิ๋งจิ่วกวงเลื่อนขั้นให้ในเวลานี้ได้ แสดงว่าต้องมีเหตุผลแน่นอน แล้วลิ่งหูโต้วจ้งก็เพิ่งขึ้นตำแหน่ง สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องทำผลประโยชน์ให้มั่นคงก่อน ไม่มีทางเสี่ยงอันตรายในเวลานี้ แต่เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อนั้นไม่เหมือนกัน ผลประโยชน์ของพวกเขามั่นคงตั้งนานแล้ว การปรับปรุงทัพตะวันออกทำให้ลูกน้องของทั้งสองคับแค้น จุดจบของจอมพลสายขาลคนก่อน เกรงว่าคงสะเทือนถึงทั้งสองบ้างไม่มากก็น้อย กระต่ายสิ้นใจ จิ้งจอกร่ำไห้ เจ้าไปบอกพวกเขาสองคน ว่าหลังจากจบเรื่องแล้ว ทัพตะวันออกจะแบ่งจากหนึ่งเป็นสอง ข้าจะแต่งตั้งพวกเขาสองคนเป็นอ๋องสวรรค์ ตั้งแต่นี้ไปไม่ต้องถูกอิ๋งจิ่วกวงควบคุมอีกแล้ว! ข้ายินดีเขียนราชโองการให้เจ้านำไปให้พวกเขาสองคนก่อน พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลว่าหลังจบเรื่องแล้วข้าจะกลับคำพูด!”

ซือหม่าเวิ่นเทียนค่อนข้างลำบากใจ “ฝ่าบาท ไม่ใช่ว่าข้าน้อยไม่ยินดีทำงานรับใช้ เพียงแต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ แม้ทัพตะวันออกจะผันผวน แต่ก็มีอีกสามตระกูลช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง มีความเป็นไปได้ต่ำมากที่ทั้งสองจะเสี่ยงอันตราย เป็นไปไม่ได้เลยที่จะตอบตกลง หวังว่าฝ่าบาทจะไตร่ตรองอีกครั้ง!” เขาโค้งตัวจนแทบจะถึงพื้นแล้ว

ประมุขชิงประคองแขนเขาขึ้นมา “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าไม่ได้หวังให้พวกเขาตอบตกลงตอนนี้เลย”

“เอ่อ…” ซือหม่าเวิ่นเทียนยืนตรง แล้วถามอย่างไม่เข้าใจ “ข้าน้อยไม่เข้าใจเจตนาของฝ่าบาท”

ประมุขชิงแสยะยิ้ม “ข้าก็แค่ให้เจ้าไปปูทางออกให้พวกเขาก่อน รอจนโอกาสมาถึงแล้ว พอข้ากดดันอีก พวกเขาสองคนก็ย่อมตัดสินใจเลือกได้อย่างสมเหตุสมผล จำไว้นะ ครั้งนี้ข้าให้เจ้าออกหน้าเอง เจ้าก็น่าจะเข้าใจเจตนาของข้าแล้วนะ อย่าให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นเหมือนครั้งก่อนอีก”

พอได้ยินว่ายังไม่ต้องโน้มน้าวจอมพลทั้งสองในตอนนี้ ซือหม่าเวิ่นเทียนก็โล่งใจขึ้นบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่มีทางทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้เลย เขากุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยน้อมรับบัญชา จะพยายามสุดความสามารถแน่นอน”

ดังนั้นประมุขชิงจึงสะบัดแขนเสื้อ หยิบแผ่นหยกสองแผ่นออกมาเขียนคำสั่งแต่งตั้งตำแหน่งอ๋องให้ใฟ้เถิงเฟยและเฉิงไท่เจ๋อ

ฉวยโอกาสตอนที่ประมุขชิงกำลังเขียน ซือหม่าเวิ่นเทียนมองไปที่ซ่างกวนชิงด้วยสายตาสอบถามอีก เขายังมืดแปดด้านเหมือนมีในสมองมีแต่หมอกขาว นี่มันอะไรกันแน่ อยู่ดีๆ ทำไมถึงทำเรื่องนี้? นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยนะ ถ้าไม่ระวังก็อาจทำให้ใต้หล้าวุ่นวายได้เลย!

ทว่าซ่างกวนชิงยังคงยืนเก็บมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ไม่ยอมเปิดเผยอะไรทั้งนั้น…

ทิ้งปี้เยว่ให้นั่งอยู่คนเดียวในศาลากลางน้ำ เหมียวอี้พาวิงและชิงเยว่เหาะออกไป นับว่าโล่งใจแล้วเช่นกัน

วันนี้บังคับให้ปี้เยว่แสดงท่าที เขาเองก็พิจารณาแล้วเช่นกัน ถ้าปี้เยว่ไม่ยอมยืนอยู่ฝั่งไห่ยวนเค่อ ก็จะไม่เป็นผลดีต่อเรื่องที่เขาจะทำในภายหลัง ถ้าเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นความตายของเทียนหยวนทำให้ปี้เยว่เปิดโปงภูมิหลังของเขาเมื่อไร เช่นนั้นก็จะเป็นปัยหามาก ดังนั้น…วันนี้เกรงว่าเขาคงจะไม่ปล่อยให้ปี้เยว่รอดชีวิตออกไป เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนมากเกินไป เขาทำได้เพียงตัดไมตรีในวันเก่าไม่ให้เหลือเยื่อใย!

เหมียวอี้เองก็มองออกแล้วเช่นกันว่าปี้เยว่สับสน ระหว่างไห่ยวนเค่อกับเทียนหยวน นางไม่อาจตัดสินใจเลือกได้เลย ถึงขั้นเอนเอียงไปทางสามีเก่าด้วย โชคดีที่ลูกตุ้มน้ำหนักอย่างไห่ผิงซินได้แสดงบทบาทในช่วงเวลาสำคัญ ทำให้ปี้เยว่ตัดสินเลือกสิ่งที่เหมียวอี้หวังจะเห็น

ปี้เยว่ที่นั่งอยู่ในศาลากลางน้ำมีสีหน้าหดหู่ อาหารบนโต๊ะเย็นหมดแล้ว

แม้นางจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่อาจถูกขนาบอยู่ระหว่างไห่ยวนเค่อกับเทียนหยวนได้นานเกินไป ช้าเร็วก็ตัดสินใจต้องเลือกสักทาง แต่นางก็คิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้ นางไม่คิดว่าไห่ยวนเค่อจะออกจากแดนอเวจีในเร็วๆ นี้ ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเหมียวอี้จึงบังคับให้นางเลือกในเวลานี้…

หลังจากมาถึงดาราจักร เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาอีก ติดต่อไปหาเซี่ยโห้วลิ่งโดยตรง บอกว่า : ปฏิบัติการขั้นแรกเรียบร้อยแล้ว ทางนั้นสามารถเริ่มได้เลย

จากนั้นก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางเจาชิงอีก บอกว่า : เริ่มเลย!

จากนั้นก็บอกอวิ๋นจือชิวอีก แล้วก็บอกหยางชิ่ง สรุปว่าบอกต่อลงไปเรื่อยๆ

แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง บนหน้าผาที่มีคลื่นซัดกระทบฝั่ง หยางชิ่งยืนรับลม เก็บระฆังดาราในมืออย่างช้าๆ บนใบหน้าเริ่มฉายแววกลัดกลุ้ม

ตลาดผีเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนั้น หกลัทธิมีสายลับอยู่ที่นั่น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้สถานการณ์ พอถามเหมียวอี้ถึงได้รู้ว่าเกี่ยวข้องกับสำนักลมปราณและเป่าเหลียน

เขาไม่รู้จะด่าอะไรเหมียวอี้ดี งานใหญ่กำลังจะมาถึงแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ายังจะมีกะจิตกะใจไปมีเรื่องกับตระกูลก่วงอีก ที่เหมียวอี้บอกว่าจะให้คนนอกรู้ก่อนว่าเขากับตระกูลเซี่ยโห้วร่วมมือกัน ในสายตาหยางชิ่งเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้น พอเริ่มใช้แผนในตอนหลัง คนนอกก็ย่อมรู้ว่าเป็นตระกูลเซี่ยโห้วลงมือ จนป่านนี้แล้วยังนึกถึงไมตรีเก่าของสำนักลมปราณอีก

แบบนี้เท่ากับถือวิสาสะเปลี่ยนแผนเองแล้ว ทั้งยังไม่บอกล่วงหน้าด้วย หยางชิ่งนับว่าเข้าใจแล้ว ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เหมียวอี้เชื่อฟังเขาทั้งหมด ที่สำคัญคือเขาไม่รู้ว่าในระหว่างที่ปฏิบัติตามแผนในตอนหลัง เหมียวอี้จะแทรกตอนพิเศษเข้าไปหรือเปล่า เรื่องใหญ่ขนาดนี้ยังไม่ลืมที่แทรกเรื่องส่วนตัวเข้าไปอีก ทำให้เขากังวลจนเหงื่อแตกแล้วจริงๆ

จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล หยางเจาชิงเดินก้าวยาวเข้ามาที่เรือนด้านหลัง เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวนั่งสง่าอยู่ในศาลา ก็กุมหมัดคารวะแล้วบอกว่า “ฮูหยิน นายท่านกำชับมาแล้ว ตอนนี้เริ่มปฏิบัติตามแผนจริงจังแล้ว ต้องย้ายกำลังพลออกไป เกรงว่าคงไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่ต่อ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิด ฮูหยินออกเดินทางก่อนเถอะขอรับ”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “นายท่านบอกข้าแล้ว ข้ารูแล้ว เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะดูแลพวกหลินผิงผิงให้ดี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงกุมหมัดคาระแล้วถอยออกไป เสร็จแล้วเงยหน้าบอกเหยียนซิวที่ยืนอยู่ข้างๆ “ปกป้องฮูหยินให้ดี!”

เหยียนซิวพยักหน้าเบาๆ ตอนนี้หยางเจาชิงถึงได้หันตัวเดินก้าวยาวออกไป

ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวไม่ได้บอกให้ใครรู้ล่วงหน้า นางหาข้ออ้างพาพวกผู้หญิงออกไปเที่ยวเล่น พาพวกนางที่มีสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกไป

ขณะยืนอยู่บนกำแพงมองคล้อยหลังพวกผู้หญิงออกไป หยางเจาชิงก็เอียงหน้าบอกว่า “พี่สวี เรียกแม่ทัพทุกคนไปรวมตัวที่ตำหนักประชุมเดี๋ยวนี้!”

“เอ่อ…” สวีถังหรานที่อยู่ข้างๆ งุนงง “จะทำอะไร? นายท่านกับฮูหยินไม่อยู่ เรียกรวมกำลังพลไปที่ตำหนักประชุมเอง ไม่เหมาะมั้ง?”

หยางเจาชิงพลิกมือยื่นแผ่นหยกออกมา แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “คำสั่งของนายท่านอยู่นี่แล้ว ให้ฝ่าฝืน ประหาร!”

จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า เซี่ยโห้วลิ่งเก็บระฆังดาราแล้วเอามือลูบลำต้นที่ใหญ่หยาบ สีหน้าเลื่อนลอยเพ้อฝัน ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของบิดาตอนที่ลูบต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ในปีนั้นแล้ว ตัวเองก็คือต้นไม้ใหญ่ของตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกัน

“เว่ยซู แจ้งให้ผู้ช่วยที่อยู่ตามตลาดสวรรค์แต่ละแห่งมารวมตัวกัน ต้องเก็บเป็นความลับ ใครปล่อยให้ข่าวหลุด ฆ่า!” เซี่ยโห้วลิ่งเอามือลูบไล้ลำต้นพร้อมกล่าวเสียงเรียบ ในน้ำเสียงแฝงความเย็นเยียบดุร้าย

……………

ปากก็ด่าอย่างสบายใจ แต่สายตาที่มองเหมียวอี้กลับซ่อนความรู้สึกที่ล้ำลึกเอาไว้ เป็นไปไม่ได้ที่ในใจจะไม่รู้สึกปลงอนิจจังเลยสักนิด ตอนแรกที่อยู่ดาวเทียนหยวน ก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว ว่าคนคนนี้ไม่อยู่ในโอวาท ตอนนี้จะหยุดออกนอกลู่นอกทางได้อย่างไร เป็นพวกใจกล้าคับฟ้าโดยแท้ น่าขำที่ตอนนั้นนางกับเทียนหยวนใคร่ครวญคิดวางแผนเพราะวิตกกังวลกับผลได้ผลเสียของตน ช่างน่าขำจริงๆ

เพราะนางรู้มากกว่าคนอื่นนิดหน่อย เพราะนางรู้ว่าเบื้องหลังเหมียวอี้คือหกลัทธิ แม้จนกระทั่งตอนนี้นางจะยังไม่รู้ว่าเหมียวอี้มีฐานะอะไรที่หกลัทธิกันแน่ แต่นางก็สงสัยมากว่าเรื่องที่สระน้ำมังกรดำจะมีหกลัทธิเข้ามาแทรกแซง ด้วยความที่รู้ภูมิหลังของเหมียวอี้ นางย่อมคิดว่าการที่เหมียวอี้ทำศึกชนะทัพตะวันออกห้าล้านได้ ต้องเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากหกลัทธิแน่นอน

“ที่พูดมาก็ถูก” เหมียวอี้หัวเราะแห้ง เขายอมรับในจุดนี้เช่นกัน ผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์อย่างเขาไม่มีอาณาเขตใดๆ ในตลาดสวรรค์ ไปควบคุมปี้เยว่ไม่ได้ ต่อให้มีฐานะทูตลาดตระเวนตลาดสวรรค์ก็เหมือนกัน ถ้าเจ้าจะหาเรื่องปี้เยว่ ก็ต้องถามผู้บังคับบัญชาของปี้เยว่ก่อนว่าอนุญาตหรือไม่ “แต่จะว่าไปแล้ว ไม่เจอกันตั้งหลายปี พอเจอหน้ากันจำเป็นต้องก้าวร้าวขนาดนี้ด้วยเหรอ?”

ปี้เยว่ใช้นิ้วเคาะโต๊ะ “เจ้าก็ต้องถามตัวเจ้าเอง เฝิ่นเอ๋อร์ล่ะ? เจ้าบอกแล้วว่ายืมไปแล้วจะคืน จนป่านนี้แล้วยังไม่เห็นเจ้าคืนข้าเลย”

เหมียวอี้ยิ้มมุมปาก “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากคืนเจ้า แต่เฝิ่นเอ๋อร์ไม่อยากกลับมาต่างหาก”

ปี้เยว่ถลึงตา “นี่เจ้าตามใจนางเหรอ? เจ้าเปลี่ยนเป็นเชื่อฟังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร ปีศาจจิ้งจอกตัวหนึ่งสั่งให้เจ้าทำอะไร เจ้าก็ทำอย่างนั้นเหรอ?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ก็ข้าเห็นว่านางน่าสงสาร”

“อย่ามาเล่นลูกไม้นี้!” ปี้เยว่หลอกตา

เหมียวอี้กระแอม “นางไม่อยากกลับมาจริงๆ เอ่อคือ…นางเล่าเรื่องที่เจ้าบังคับให้นางทำให้ข้าฟังหมดแล้ว ข้ารู้สึกว่านางน่าสงสารจริงๆ”

ปี้เยว่ว้าวุ่นใจทันที แต่กลับฝืนทำตัวสงบเยือกเย็น “นางเป็นสัตว์เลี้ยงของข้า ข้าจะบังคับให้นางทำอะไรได้”

เหมียวอี้จึงเปิดโปงนางเสียเลย ยิ้มแห้งแล้วบอกว่า “เรื่องที่เจ้าบังคับให้นางแปลงร่างเป็นผู้ชาย ข้าคิดว่าตอนหลังคงไม่ต้องให้ข้าพูดอะไรมากแล้ว” ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาไม่พูดออกมาแน่นอน แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ฐานะเปลี่ยนแล้ว เรื่องบางเรื่องเขามีความมั่นใจที่จะควบคุมแล้ว

“…” ใบหน้างามของปี้เยว่แดงก่ำแล้ว อายจนแทบทนไม่ไหว แอบด่าว่าปีศาจจิ้งจอกสมควรตาย อย่าตกมาอยู่ในมือข้าแล้วกัน ไม่อย่างนั้นได้ตายแน่นอน ที่สำคัญที่สุดก็คือ นางเคยให้จิ้งจอกพันหน้าเปลี่ยนร่างเป็นเหมียวอี้ ตอนนี้มาเผชิญหน้ากับเหมียวอี้แล้ว จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็ใช้ชีวิตมาหลายปี ความอับอายไม่ทำให้คนตายหรอก จึงแสยะยิ้มบอกว่า “แล้วยังไงล่ะ? ข้าจะหาความสำราญสักหน่อยไม่ได้รึไง? ผู้ชายอย่างพวกเจ้าไม่มีดีสักตัว ทิ้งผู้หญิงในบ้านเอาไว้ไม่สนใจ ต้องให้หาความสำราญเอาเอง ข้าไม่ได้ลักลอบคบกับคนอื่นสักหน่อย ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ…”

เรียกได้ว่าด่ายับ เหมียวอี้นับว่ายอมแพ้นางแล้ว ด่าเหมือนเขาไปทำเรื่องน่าอับอายอะไรไว้อย่างนั้นแหละ เขารีบยกมือยอมแพ้ “ได้ๆๆ เป็นความผิดของข้าทั้งหมด ตกลงมั้ย แต่จิ้งจอกนั่นข้าไม่มีทางคืนให้เจ้าได้ นางอยู่ที่แดนอเวจี โดนกักตัวไว้แล้ว”

ในใจปี้เยว่ยังอับอายไม่หาย ไม่รู้ด้วยว่าจิ้งจอกได้บอกเรื่องที่ตัวเองแปลงร่างเป็นหนิวโหย่วเต๋อแล้วมีค่ำคืนอันแสนหวานกับนางหรือเปล่า แต่ก็ได้โอกาสหาบันไดลงจากเรื่องนี้พอดี รีบเลี่ยงประเด็นสนทนานี้ แล้วถามด้วยสีหน้าหดหู่ลง “ซินเอ๋อร์เป็นยังไงบ้าง?”

นางไม่ได้ติดต่อไห่ผิงซินมาหลายปีแล้ว หลังจากไห่ผิงซินไปที่แดนอเวจี ก็ตัดขาดการติดต่อจากโลกภายนอก สาเหตุก็เพราะเหมียวอี้ไม่อยากให้ปี้เยว่รู้ฐานะที่แท้จริงของเขาที่แดนอเวจี

เหมียวอี้ปลอบใจว่า “เจ้าวางใจเถอะ อาศัยฐานะของพ่อนางที่อยู่ทางนั้น นางไม่ได้ถูกเอาเปรียบอะไรหรอก เป็นเจ้ามากกว่า พวกเราไม่ได้ติดต่อกันหลายปีแล้ว เจ้าเป็นยังไงบ้าง?”

ปี้เยว่คว้าจอกสุราขึ้นมาดื่มอึกเดียวหมดจอก “ข้าจะเป็นยังไงได้ ถึงยังไงเทียนหยวนก็ยังทำงานอยู่ที่จวนตระกูลอิ๋ง คนที่เกี่ยวข้องยังไว้หน้าอยู่บ้าง ข้าเองก็ไม่มีใครมากลั่นแกล้ง…เทียนหยวนอยากจะมีลูก หลายปีมานี้อยากจะให้ข้ามีให้เขาสักคน แต่ข้าไม่เคยให้ความร่วมมือ”

ความสัมพันธ์ของนางกับเทียนหยวนไม่ราบรื่นแล้ว ตอนแรกเริ่มนางก็พึ่งพาเทียนหยวนเพื่อความอยู่รอด ตอนนั้นเทียนหยวนมีฐานะสูงและมีอำนาจ เรียกได้ว่าเย็นชาต่อนางมาก ตอนหลังพอเกิดเรื่องกับนางที่แดนอเวจี กอปรกับเทียนหยวนโดนโค่นจากตำแหน่ง นางก็วางตัวเป็นอิสระ ผลปรากฏว่าเทียนหยวนกะแกะนางไม่เลิก และไม่เย็นชาต่อนางเหมือนในปีนั้นอีก มักจะเป็นฝ่ายมา ‘แสดงความรัก’ ต่อนางก่อนเสมอ พอนางผลักไส เขาก็บังคับนาง เมื่อเวลานานไป ถึงอย่างไรทั้งสองก็มีฐานะเป็นสามีภรรยากันจริงๆ ถ้านางปฏิเสธต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร ดังนั้นนางจึงกึ่งผลักกึ่งยอมแล้วก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ

เหมียวอี้อึ้งทันที ไม่รู้ว่าเทียนหยวนคิดอย่างไร แต่เขาก็เข้าใจความสับสนของปี้เยว่ อยู่ที่นี่ก็มีสามี อยู่ที่แดนอเวจีก็มีสามี อยู่ที่แดนอเวจีก็ให้กำเนิดไห่ผิงซินแล้ว ถ้าคลอดลูกให้เทียนหยวนที่นี่อีก…เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าเพิ่งมีลูกเลย ให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

ปี้เยว่ยื่นจอกเปล่าให้ บอกใบ้ให้รินสุราให้ แล้วถามว่า “ให้ผ่านช่วงนี้ไป? มีคำอธิบายมั้ย?”

เหมียวอี้ถือกาสุรารินให้นางแล้วส่ายหน้า จะให้เขาพูดอย่างไรล่ะ เขากำลังจะลงมือกับตระกูลอิ๋งแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเกรงว่าฝ่ายที่เกี่ยวข้องคงจะไม่ปล่อยเทียนหยวนไป แค่ปกป้องปี้เยว่ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว นับว่าให้คำชี้แจงกับไห่ยวนเค่อได้แล้ว

ขณะกำลังรินสุราและพูดคุย ชิงหยวนจุนก็ส่งข่าวมาแล้ว

เหมียวอี้กล่าวขออภัย แล้วลุกขึ้นเดินออกจากศาลากลางน้ำ พอเดินออกไปไกลแล้วถึงได้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อชิงหยวนจุน

ผลปรากฏว่าเป็นอย่างที่คาดไว้ สิ่งที่ชิงหยวนจุนถามก็คือความเคลื่อนไหวที่ตลาดผี ถามเขาว่าสมคบกับตระกูลเซี่ยโห้วใช่หรือไม่

เหมียวอี้แอบโล่งใจ ชิงหยวนจุนไม่ได้มีช่องทางข่าวสารที่ปรุโปร่งขนาดนั้น จะต้องเป็นท่านนั้นของวังสวรรค์ที่สืบข่าวแน่นอน เขาจึงบอกสิ่งที่ตัวเองเตรียมไว้นานแล้วให้ฟังทันที แผนการถอนรากถอนโคนตระกูลอิ๋ง!

เพียงแต่ผู้วางแผนหลักไม่ใช่เขา กลายเป็นตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว!

ชิงหยวนจุนเรียกได้ว่าตกตะลึงมาก!

เหมียวอี้ไม่สนใจว่าเขาจะตกใจหรือไม่ตกใจ หลังจากอธิบายให้เขาฟังแล้วก็กลับไปนั่งลงตรงศาลากลางน้ำ

“ติดต่อกับใคร ทำไมนานขนาดนั้น?” ปี้เยว่ที่นั่งกินดื่มอยู่คนเดียวเอ่ยถาม

เหมียวอี้จ้องนาง ในที่สุดก็กล่าวถึงจุดประสงค์ที่เชิญนางมาที่นี่แล้ว “ปี้เยว่ ถ้าจะให้เจ้าเลือกฝ่ายหนึ่ง เจ้าจะเลือกยืนฝ่ายไห่ยวนเค่อกับซินเอ๋อร์ หรือจะยืนฝ่ายเทียนหยวน?”

ในศาลาเงียบกริบในชั่วพริบตาเดียว ถ้ามีเสียงเข็มร่วงพื้นก็คงได้ยิน ปี้เยว่มองเขาอย่างตะลึงงัน ตะเกียบที่ยืนออกไปค้างอยู่กับที่ ปากที่กำลังเคี้ยวอาหารก็ไม่เคี้ยวแล้วเช่นกัน

เหมียวอี้พยักหน้า “จะคลุมเครืออย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องเลือกมาสักทา!”

ตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่หลบอยู่ในห้องนอนตัวเองกำลังนั่งหน้าโต๊ะยาว ข้างกายเต็มไปด้วยแผ่นหยก เรียกได้ว่าเขียนไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน

เอ๋อเหมยเข้ามาปรนนิบัติเป็นระยะ หลังจากออกไปแล้วก็จับตาดูทิศทางความเคลื่อนไหวรอบตำหนักนารีสวรรค์อย่างเข้มงวด

ครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายไม่ได้หลบเลี่ยงกัน เรื่องที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำในตอนนี้ก็คือเรื่องที่ตระกูลเซี่ยโห้วกับเหมียวอี้ร่วมมือกัน ทางเอ๋อเหมยมีแต่จะต้องให้ความร่วมมือเต็มที่ ไม่ก่อกวนอะไร

จนกระทั่งชิงหยวนจุนส่งข่าวมา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถึงได้หยุดทำงานในมือ มาติดต่อกับลูกชายแทน

ชิงหยวนจุนที่ได้ข่าวจากเหมียวอี้รู้สึกเป็นกังวลมาก ถามมารดาว่ารู้เรื่องหรือเปล่า เพราะเสด็จพ่อกำลังถามเขา

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่บอกว่ารู้แล้ว นางทำตามที่เหมียวอี้กำชับไว้ ให้เขาบอกประมุขชิงอย่างซื่อสัตย์

หลังจากติดต่อจบแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ออกจากห้อง แล้วเดินยืดเส้นยืดสายช้าๆ อยู่ในลานตำหนัก ตอนที่เดินขึ้นบันกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง นางก้าวขึ้นมาบนบันได แล้วหันกลับไปมองทางตำหนักบูรพาที่อยู่ของสนมสวรรค์ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน พึมพำในใจว่า : หลังจากตระกูลอิ๋งสิ้นอำนาจแล้ว ข้าก็อยากจะเห็นนักว่านางตัวดีนั่นยังจะกำเริบเสิบสานยังไงได้อีก!

สำหรับแผนร่วมมือลับของตระกูลเซี่ยโห้วกับเหมียวอี้ในครั้งนี้ นางเฝ้าคอยมาก นางกลับเข้าไปในห้องอย่างแน่วแน่ แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานหนักต่อไป

ตำหนักดาราจักร ซ่างกวนชิงมือหนึ่งกำลังถือระฆังดารา มือหนึ่งกำลังถือแผ่นหยกร่ายอิทธิฤทธิ์บันทึก สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไปเยอะมาก

ประมุขชิงที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาสังเกตเห็นแล้ว ซ่างกวนชิงอยู่กับเขามาหลายปี มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าซ่างกวนชิงเป็นคนอย่างไร ถ้าสามารถทำให้ซ่างกวนชิงตอบสนองอย่างนี้ได้ แสดงว่าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่มากแน่นอน

รอจนกระทั่งซ่างกวนชิงติดต่อเสร็จแล้ว ประมุขชิงก็ถามว่า “มีเรื่องอะไร?”

“เรื่องใหญ่ขอรับ!” ซ่างกวนชิงตอบด้วยสีหน้าจริงจังหนักแน่น แล้วใช้สองมือยื่นแผ่นหยกให้ “เชิญฝ่าบาทตรวจสอบ!”

ประมุขชิงแย่งมาไว้ในมือ แล้วยืนตรวจอ่านเนื้อหาอยู่ในตำหนัก ตอนยังไม่อ่านก็ยังไม่รู้ พอยิ่งอ่านก็ยิ่งทำสีหน้าจริงจัง เริ่มขมวดคิ้วมุ่น ในใจตกใจไม่เบา นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะสมคบกับตระกูลเซี่ยโห้ววางแผนลับเพื่อจะขุดรากถอนโคนตระกูลอิ๋ง!

ในแผ่นหยกบันทึกแผนลับไว้ชัดเจน เพียงแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เหมียวอี้ไม่ได้ชี้แจงอย่างซื่อสัตย์

เหมียวอี้บอกชิงหยวนจุน ว่าเขาไม่ได้เป็นฝ่ายไปหาเซี่ยโห้วลิ่งก่อน แต่เป็นเซี่ยโห้วลิ่งที่เป็นฝ่ายมาหาเขาก่อน หลังจากเซี่ยโห้วท่าจากโลกนี้ไป อิ๋งจิ่วกวงก็เป็นคนแรกที่กระโดดออกมาสู้กับตระกูลเซี่ยโห้ว ตั้งแต่นั้นมาเซี่ยโห้วลิ่งก็เตรียมจะลงดาบกับอิ๋งจิ่วกวงแล้ว เตรียมจะขุดรากถอนโคนอิ๋งจิ่วกวง สะเทือนขวัญทั้งใต้หล้า!

เป็นเซี่ยโห้วลิ่งที่โน้มน้าวให้เหมียวอี้มาร่วมมือกัน เหตุผลที่เซี่ยโห้วลิ่งให้ไว้ก็ไม่ซับซ้อน : หลังจากเกิดเรื่องที่สระน้ำมังกรดำ เจ้าคิดว่าอิ๋งจิ่วกวงจะปล่อยเจ้าไปเหรอ? เจ้าอยู่ในสถานการณ์เฉียดตายแล้ว ถ้าอิ๋งจิ่วกวงทำให้จิตใจทหารมั่นคงได้เมื่อไร ก็จะเล่นงานเจ้าถึงตายทันที เคราะห์นี้หลีกหนีไม่พ้น ถ้าเขาไม่ตายเจ้าก็ตาย เจ้าจะเลือดฝั่งไหนล่ะ?

สาเหตุที่เปลี่ยนทิศทางอย่างนี้ สาเหตุที่ผลักผู้วางแผนหลักไปที่เซี่ยโห้วลิ่ง ก็เพราะเหมียวอี้เข้าใจชัดเจน ว่าเรื่องนี้ใหญ่โตเกินไป เขาแบกรับชื่อเสียงนี้ไม่ไหวจริงๆ ถ้าชื่อเสียงนี้ตกลงมาถึงเขาเมื่อไร ก็จะกดทับให้เขาถึงตายได้ ถ้าไม่ผลักชื่อเสียงนี้ทิ้งไป ต่อให้ตอนสุดท้ายจะทำเรื่องนี้สำเร็จ แต่อ๋องสวรรค์ที่เหลือก็ไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตรอดต่อไปแน่นอน จะรู้สึกว่าเขาอันตรายเกินไป จะต้องกำจัดเขาแน่นอน!

ตอนแรกเหมียวอี้กังวลว่าการทำแบบนี้จะทำให้โดนเซี่ยโห้วลิ่งโจมตีกลับ แต่หยางชิ่งบอกเขาว่าไม่ต้องกังวลเลย เซี่ยโห้วลิ่งต้องอาศัยการหล่อหลอมใจคนเพื่อดันให้ตัวเองขึ้นแท่นบูชา มีแต่จะช่วยปิดบัง ไม่มีทางทำลายร่างรื้อเวทีของตัวเอง!

อ่านดูในแผนการ ถึงขั้นบอกไว้ชัดเจนว่าต้องการผลักดันให้ประมุขชิงลงมือขุดรากถอนโคนอิ๋งจิ่วกวง บนใบหน้าประมุขชิงมืดครึ้มราวกับพยับเมฆ

หลังจากอ่านแผนในแผ่นหยกเสร็จแล้ว ทั้งสองก็สบตากันแวบหนึ่ง สีหน้าไม่ได้เครียดขรึมธรรมดา ทั้งสองไม่สงสัยเลยสักนิดว่าเหมียวอี้ใช้อุบาย แทบจะเชื่อสนิทเลยว่านี่คือแผนการที่เซี่ยโห้วลิ่งผลักดันด้วยมือตัวเอง ถึงขั้นไม่คิดโยงไปที่เหมียวอี้เลย!

“นี่ต้องการจะเล่นงานอิ๋งจิ่วกวงให้ถึงตายจริงๆ!” ประมุขชิงกำแผ่นหยกในมือไว้แน่น แล้วกล่าวเน้นทีละคำด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เซี่ยโห้วลิ่ง! น้ำนิ่งไหลลึก เก็บงำไว้ลึกมาก เหมือนงูพิษตัวหนึ่ง แค่ไม่ออกมาก็เท่านั้นเอง พอออกมาก็โจมตีถึงชีวิตเลย ข้าประเมินเขาต่ำไปจริงๆ!”

ซ่างกวนชิงพยักหน้า “เดิมทีบ่าวก็ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเขาเท่าไร แต่พอมาดูตอนนี้แล้ว เซี่ยโห้วท่าน เจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่นไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย ที่ผลักดันให้เซี่ยโห้วลิ่งมารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล”

………………

ก่วงลิ่งกงยังคงหลับตาตบจังหวะ ทำสีหน้าดื่มด่ำกับเสียงฉินไม่เปลี่ยนแปลง แต่แอบถ่ายทอดเสียงถามว่า “ทางตลาดผีล่ะ?”

“ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน แต่คาดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะต้องให้คำชี้แจ้งต่อเบื้องบนแน่นอน ถ้าถามทางวังสวรรค์ ก็น่าจะรู้ถึงเหตุผลที่หนิวโหย่วเต๋อลงมือขอรับ” โกวเยว่ตอบ

“ให้หวงฮ่าวหาข้ออ้างถามสักหน่อย บอกไปว่าคนของเขาไปซื้อของในร้านค้าที่ตลาดผี แล้วโดนคนของหนิวโหย่วเต๋อฆ่าตายโดยไร้สาเหตุ ให้หวงฮ่าวขอคำชี้แจงจากประมุขชิง” ก่วงลิ่งกงกล่าว

“ขอรับ!” โกวเยว่เอ่ยรับ

ส่วนก่วงลิ่งกงก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ แล้วลุกขึ้นยืน ลมพัดเข้ามาวูบหนึ่ง พัดจนชุดคลุมยาวปลิวสะบัด หันตัวนำโกวเยว่เดินลงจากไปตึกไป

เม่ยเหนียงเห็นสถานการณ์ดังนั้นจึงหยุดดีดฉิน แล้วรีบลุกขึ้นยืน ทว่ายังไม่ทันรอให้นางพูดอะไร ก่วงลิ่งกงก็พูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงรายเรียบแล้วว่า “หวังเฟย ไม่ตั้งใจดีดฉิน เหมือนวันนี้เจ้าจะมีเรื่องอะไรในใจนะ!” พูดจบก็ถลันตัวหายไป

โกวเยว่โค้งตัวให้เม่ยเหนียงเล็กน้อย จากนั้นถลันตัวหายไป

เม่ยเหนียงยืนเหม่ออยู่กับที่ แม้แต่โอกาสพูดแก้ตัวก็ไม่มี อีกทั้งคำพูดที่แฝงความหมายของก่วงลิ่งกงก็ทำให้นางตึงเครียดในใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกินปูนร้อนท้องหรือเปล่า

ก่วงลิ่งกงที่กลับเข้ามาในจวน ‘บังเอิญ’ เจอก่วงจวินอี้ลูกชายคนรองและก่วงจวินเหยาลูกชายคนที่สามเดินเข้ามาด้วยกันพอดี

ทั้งสองฝ่ายเจอหน้ากัน ย่อมต้องหยุดและยืนเผชิญหน้าพร้อมกัน ก่วงจวินอี้กับก่วงจวินเหยาทำความเคารพพร้อมกัน “ท่านพ่อ!” แล้วก็พยักหน้าให้พ่อบ้านโกวเยว่อีก ส่วนโกวเยว่ก็กุมหมัดคารวะตอบ

ก่วงลิ่งกงมองประเมินทั้งสองศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ “พวกเจ้าจะไปไหนกัน?”

ก่วงจวินอี้กุมหมัดคารวะตอบ “ได้ยินว่าที่อุทยานหลวงกลั่นสุราผลไม้เซียนชุดใหม่ ข้ากับน้องสามเลยเตรียมจะขอมาให้ท่านพ่อสักหน่อยขอรับ”

“อ้อ!” ก่วงลิ่งกงพยักหน้ายิ้ม “พวกเจ้านี่มีใจกตัญญู รีบไปรีบกลับเถอะ”

“ขอรับ!” ทั้งสองเอ่ยรับพร้อมกัน

ก่วงลิ่งกงเดินตรงไปข้างหน้าต่อ ตอนที่ลูกชายทั้งสองหลีกทางให้ ก่วงจวินอี้ก็กุมหมัดคารวะอีก “ท่านพ่อ ได้ยินว่าเกาเหยียนหลานชายของอี๋เหนียง[1]ใหญ่หายไปแล้ว ปกติพวกเราก็ไปเที่ยวเล่นด้วยกันบ่อย จะนิ่งดูดายได้ยังไง ข้ากับน้องสามยินดีจะไปตรวจสอบเรื่องนี้”

ก่วงลิ่งกงหยุดฝีเท้า โกวเยว่ที่ตามมาด้วยมองซ้ายมองขวา แล้วก็สังเกตปฏิกิริยาของก่วงลิ่งกง

ก่วงลิ่งกงมองลูกชายทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉยๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “อย่าเอาแต่เที่ยวเล่นทั้งวัน เวลาเที่ยวเล่นน่ะมีอยู่แล้ว ใช้เวลาฝึกตนมากๆ หน่อย” พูดจบก็เดินไปข้างหน้าต่อ

ก่วงจวินเหยาก้าวขึ้นมาข้างหน้าทันที “ท่านพ่อ พวกเราไม่ได้ไปเที่ยวเล่น จะไปตรวจสอบเกาเหยียน…”

“หืม?” ก่วงลิ่งกงหันขวับ พ่นเสียงทางจมูกอย่างแรงเพื่อเอ่ยถาม สายตาคมกริบน่าตกใจ

สองพี่น้องตกใจทันที ราวกับหนูเห็นแมว ก้มหน้ากุมหมัดคารวะอย่างอ่อนปวกเปียก “ขอรับ!”

ตอนนี้ก่วงลิ่งกงถึงได้เดินก้าวยาวออกไป

นายกับบ่าวเดินตามกันไปถึงเรือนหลักด้านหลัง สาวใช้ในเรือนนี้เห็นแล้วรีบเข้ามาทำความเคารพ”ท่านอ๋อง!”

ก่วงลิ่งกงหยุดเดินแล้วถามว่า “คุณหนูล่ะ?”

“คุณหนูอยู่ในห้องนอนตัวเองค่ะ” สาวใช้ตอบ

“ยังถูกหวังเฟยกักบริเวณอยู่อีกเหรอ?” ก่วงลิ่งกงถาม

สาวใช้ส่ายหน้า “หวังเฟยหายโกรธแล้ว แต่คุณหนูไม่ยอมออกมาเองค่ะ”

ก่วงลิ่งกงเดินตรงเข้าไปที่ห้องนอนของก่วงเม่ยเอ๋อร์ พอมาถึงประตู เขากับโกวเยว่ก็หยุดยืนอยู่นอกประตู ห้องนอนของผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน ต่อให้บิดาอย่างเขาก็ไม่สะดวกจะบุ่มบ่ามเข้าไปถ้าไม่ได้รับอนุญาต เขาจึงเคาะประตูที่ปิดสนิท “เม่ยเอ๋อร์ เม่ยเอ๋อร์!”

มีเสียงดังแกร๊ก ประตูเปิดออกเบาๆ ก่วงเม่ยเอ๋อร์โผล่หน้ามา แต่กลับทำสีหน้ากังวล รีบเดินออกจากประตู แล้วย่อเข่าทำความเคารพอย่างน่าเอ็นดู “ท่านพ่อ!”

เมื่อเห็นลูกสาวที่ยามปกติสดใสไร้เดียงสามีท่าทางอย่างนี้ โดยเฉพาะดวงตาที่ฉายแววกังวลหวาดกลัวชัดเจน สุดท้ายก่วงลิ่งกงก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งที่เตรียมมา แต่เผยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “เป็นอะไรไป? ได้ยินว่าโดนแม่เจ้ากักบริเวณเหรอ?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์รีบส่ายหน้า “เป็นลูกเองที่ไม่เชื่อฟัง ทำให้ท่านแม่โกรธแล้ว”

ก่วงลิ่งกงยกมือตีศีรษะนางเบาๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เด็กโง่เอ๋ย ไม่เป็นอะไรแล้ว ทุกอย่างผ่านไปแล้ว จะไปเที่ยวเล่นที่ไหนก็บอกพ่อบ้านก่อน ให้พ่อบ้านเตรียมการให้” ท่าทีที่มีต่อลูกสาวต่างกับลูกชายอีกสองคนโดยสิ้นเชิง

“ค่ะ!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างน่าเอ็นดู

“พ่อยังมีงานต้องจัดการอีก อยู่เป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว” ก่วงลิ่งกงพูดทิ้งท้ายแล้วหันตัวเดินออกไป

“ท่านพ่อกลับดีๆ นะคะ” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ตะโกนตามหลังด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก รอจนท่านพ่อหายไปแล้ว นางก็รีบเข้ามาหลบในห้อง ปิดประตู เอาหลังพิงประตูพร้อมเอามือกุมอก รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงจนแทบกระเด็นออกมา คำเตือนของท่านแม่ทำให้นางตกใจแล้วจริงๆ

ก่วงลิ่งกงที่กลับเข้ามาให้ห้องหนังสือได้แต่นั่งเงียบๆ ไม่พูดอะไร

โกวเยว่ที่อยู่ข้างๆ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ท่านอ๋อง เมื่อครู่ทำไมไม่ถามคุณหนูสักหน่อยล่ะขอรับ?”

ก่วงลิ่งกงถอนหายใจ “มีอะไรน่าถามอีก ช้าเร็วอ๋องผู้นี้ก็ต้องทำผิดต่อนาง ถ้าปล่อยให้นางใช้ชีวิตสุขสำราญได้อีกสักหน่อยก็ทำไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องทำให้นางตัวสั่นหวาดกลัวไม่มีความสุข ผู้หญิงคนนั้นก็น่ารังเกียจนัก ทำไมต้องดึงลูกสาวตัวเองเข้ามายุ่งจนนางตกใจขนาดนั้น เด็กสาวคนหนึ่งจะไปรู้เรื่องอะไร? ในบ้านไม่มีใครทำให้เบาใจเลย!”

โกวเยว่ลองครุ่นคิดตามก็เข้าใจแล้ว เมื่อครู่นี้ถ้าคุณหนูใช้อุบายอันชาญฉลาด แสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านอ๋องจะต้องถามแน่นอน แต่ท่าทางหวาดกลัวของคุณหนูกลับกระตุ้นความรู้สึกรักทะนุถนอมของท่านอ๋องเข้าแล้ว จึงพูดปลอบใจทันทีว่า “ท่านอ๋อง หัวใจคนเราล้วนมีเลือดมีเนื้อ มีความรู้สึกมีความปรารถนา เลี่ยงไม่ได้ที่จะเห็นแก่ความรู้สึกส่วนตัว”

ก่วงลิ่งกงพยักหน้าเงียบๆ

พอผ่านไปครู่หนึ่ง โกวเยว่ก็ถามว่า “ท่านอ๋อง เรื่องนี้ยังต้องสืบสาวอีกมั้ยขอรับ?”

ก่วงลิ่งกงตอบว่า “เรื่องในบ้านล้วนอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ ตอนนี้ตระกูลเซี่ยโห้วมีเจตนาอะไรและคิดจะทำอะไร นี่ต่างหากที่สำคัญที่สุด ตอนนี้อย่าเพิ่งให้ในบ้านเกิดความวุ่นวายอะไร น่าเสียดายที่ฉิงเอ๋อร์มาด่วนจากไป ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่ต้องกังวลเรื่องจุกจิกในบ้านแล้ว” พูดจบก็ถอนหายใจ

โกวเยว่พยักหน้า ฉิงเอ๋อร์คือฮูหยินคนเก่าของท่านอ๋อง เพียบพร้อมทั้งความงามและสติปัญญา เป็นรักแรกพบของท่านอ๋องเมื่อหลายปีก่อน แต่ยังไม่ทันได้ร่วมเสพสุขเกียรติยศเงินทองกับท่านอ๋องก็ด่วนจากไปแล้ว กลายเป็นเรื่องน่าเสียดายที่สุดในชีวิตของท่านอ๋อง เขาเห็นแล้วว่าท่านอ๋องมีสีหน้าคะนึงหา จึงไม่กล้าส่งเสียงรบกวน

ในใจเขารู้อย่างชัดเจน ว่าถ้าในบ้านมีผู้หญิงเพิ่มขึ้น ก็จะเกิดปัญหาตามมาได้ง่าย เรื่องราวระหว่างผู้หญิงเดิมทีก็มีเยอะอยู่แล้ว ถ้าทำตัวละเอียดรอบคอบหน่อยก็กลายเป็นจู้จี้ขี้บ่น แค่เรื่องเล็กน้อยก็สามารถทำให้กลายเป็นศัตรูกันได้ ที่บอกว่าผู้หญิงสามคนอยู่ร่วมกันแล้ววุ่นวายนั้นเรื่องจริง มิหนำซ้ำยังเป็นผู้หญิงกลุ่มใหญ่ มีหรือที่จะอยู่อย่างสงบได้ ด้วยฐานะของเขาทำให้ไม่สะดวกจะเข้าไปยุ่ง ถ้าท่านอ๋องเข้าไปยุ่งก็จะปวดหัวเช่นกัน สาเหตุแรกเป็นเพราะขีดจำกัดของกำลังความคิด ถ้าข้างนอกมีเรื่องเยอะแล้ว เขาจะเอากะจิตกะใจจากไหนมาคิดเรื่องมโนสาเร่ สาเหตุรองเป็นเพราะสังหารคนในครอบครัวไม่ได้ บ้านที่ไร้ผู้หญิงดูแลจัดการครอบครัวนั้นค่อนข้างยุ่งยาก แม้หวังเฟยเม่ยเหนียงที่เป็นฮูหยินเอกจะมีไหวพริบอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งโดยชอบธรรม คุมพวกผู้หญิงในบ้านไม่อยู่เลย ใช้อุบายใส่กันไปเรื่อยๆ ผลที่ตามมาก็มีแต่จะสู้กันไปสู้กันมา

“เสื้อผ้าสองชุดที่ตัดเย็บแล้ว ส่งไปให้หวังเฟยกับทางสวนจิ้งเซวียน…” ก่วงลิ่งกงพลันหรี่ตาพร้อมเอ่ยสั่ง

เม่ยเหนียงที่กลับมาถึงเรือนตัวเองได้ยินว่าท่านอ๋องมาพบลูกสาว นางจึงสอบถามก่วงเม่ยเอ๋อร์ นางกดดันก่วงเม่ยเอ๋อร์จนแทบร้องไห้ หลังจากอธิบายซ้ำว่าท่านพ่อไม่ได้ถามอะไร เม่ยเหนียงถึงได้โล่งใจ

พอกลับมานั่งพักในโถงหลักได้ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็มีบ่าวรับใช้ส่งเสื้อผ้ามาให้ชุดหนึ่ง บอกว่าท่านอ๋องส่งมาให้

ขณะที่ลูบไล่ชุดที่งดงามหรูหรา เม่ยเหนียงก็รู้สึกดีใจมาก นางไม่ค่อยได้เห็นท่านอ๋องใช้วิธีการนี้แสดงความรักสักเท่าไร ย่อมอดไม่ได้ที่จะลองใส่ดูสักหน่อย

บ่าวรับใช้สะบัดแขนเสื้อออกมาให้นางสวม แต่ใครจะคิด ว่าพอสอดแขนเข้าไปแล้ว แขนกลับลอดผ่านปากกระบอกแขนเสื้อได้ยาก นางอดไม่ได้ที่จะตรวจสอบว่าเป็นเพราะอะไร ตอนนี้ถึงได้พบว่าในกระบอกแขนเสื้อที่ใหญ่โคร่งมีการเย็บแขนเสื้อข้างในไว้อีกชั้น แต่ปากกระบอกแขนเสื้อข้างในหุบเล็กเกินไป ฝ่ามือนางไม่มีทางลอดผ่านได้เลย

“ชุดนี้ท่านอ๋องส่งมาจริงเหรอ?” เม่ยเหนียงแปลกใจ

“น่าจะไม่ผิดพลาดเจ้าค่ะ พ่อบ้านสั่งให้คนส่งมาให้เองเลย” สาวใช้ตอบ

ของขวัญที่ท่านอ๋องส่งมาให้ บ่าวรับใช้จะสะเพร่าขนาดนั้นได้อย่างไร? เม่ยเหนียงแปลกใจแล้ว พอตรวจดูให้ละเอียดถึงได้พบว่าผ้าของแขนเสื้อด้านไม่เหมือนกับชุดนี้ รอยเย็บยังใหม่อยู่ ทั้งยังเย็บตามอารมณ์มากด้วย เห็นได้ชัดว่าตั้งใจเย็บเพิ่มไปทีหลัง นางจึงรีบพลิกดูแขนเสื้ออีกข้างหนึ่ง พบว่าเป็นอย่างนี้เช่นเดียวกัน

เม่ยเหนียงงุนงงไปพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป พลิกปากกระบอกแขนเสื้อด้านในเล็กๆ นั่นออกมา ตระหนักได้ถึงความหมายลึกซึ้งที่แฝงอยู่ในนั้นแล้ว นี่อีกฝ่ายกำลังไม่พอใจที่กำปั้น(พ้องเสียงกับคำว่าอำนาจ) ของนางใหญ่เกินไป หรือไม่พอใจที่นางยื่นมือออกมายาวเกินไป[2]?

สวนจิ้งเซวียนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง เกาจื่อเซวียนที่ลองสวมชุดแล้วก็ถือชุดนั้นขึ้นมาดูอย่างเหม่อลอยเช่นกัน สุดท้ายก็โยนชุดในมือทิ้งราวกับโดนงูกัด สีหน้าดูแย่มาก ในดวงตาฉายแววหวาดกลัว

บางครั้งการเตือนโดยไร้เสียงก็น่ากลัวกว่าการเตือนแบบมีเสียง เพราะเจ้าไม่รู้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังเตือนเจ้าเรื่องอะไร เจ้าจะสามารถนึกเชื่อมโยงไปถึงเรื่องลับมากมายที่ตัวเองเคยทำไว้ ไม่รู้ว่าท่านอ๋องรู้มากขนาดไหนกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะเตือนด้วยวิธีการนี้!

เรื่องราวต่อจากนั้นก็ค่อนข้างบันเทิง บ่าวรับใช้ของทั้งสองคนที่ได้รับเสื้อผ้ามาย่อมอดไม่ได้ที่จะช่วยเจ้านายตัวเองโอ้อวด รู้สึกว่าตัวเองก็มีหน้ามีตาไปด้วย พออนุภรรยาคนอื่นๆ เห็นท่านอ๋องเอาใจใส่มอบเสื้อผ้าให้สองท่านนี้ ก็ดับความคิดที่จ้องจะฉวยโอกาสของใครหลายคนได้ เพราะท่านอ๋องกำลังแสดงท่าที ช่วงนี้จึงไม่มีใครบุ่มบ่ามไปทำอะไรผู้หญิงสองคนนั้น แต่สองคนที่รับเสื้อผ้าไว้กลับขมขื่นเกินบรรยาย ในใจรู้สึกหวาดกลัว ต้องหดหางทำตัวสงบเสงี่ยม ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้ในจวนท่านอ๋องจึงปรองดองกลมเกลียวกันหลายปี แน่นอนว่าล้วนเป็นเรื่องที่เอาไว้จัดการทีหลัง

บนเกาะที่โดดเดี่ยวแห่งหนึ่งกลางมหาสมุทรสีมรกต ปี้เยว่ฮูหยินเหาะลงมาจากฟ้า เหยียบลงในบ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง แล้วมองไปรอบข้างที่สงบเงียบอย่างระมัดระวัง เหมือนจะเงียบเหงาไร้คน

มีเสียงดังมาจากศาลากลางน้ำ ปี้เยว่ฮูหยินเดินอ้อมสิ่งปลูกสร้างที่บดบังสายตาแล้วมองไป เห็นเพียงเหมียวอี้นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะที่มีสุราอาหาร กำลังยื่นมือเชิญนางอย่างร่าเริง

ปี้เยว่กลอกตามองบน แล้วถลันตัวเข้าไปในศาลากลางน้ำ พอเดินไปถึงโต๊ะก็รูดกระโปรงยาวนั่งลงตรงข้ามเหมียวอี้ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “มีเรื่องอะไรต้องให้ข้ามาด้วยตัวเอง?”

เหมียวอี้ยกกาสุรารินให้นาง “ผ่านมาทางนี้พอดี พวกเราไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว เลยถือโอกาสมาพบกันสักหน่อย”

ปี้เยว่พ่นเสียงทางจมูก “ไปหาข้าโดยตรงก็สิ้นเรื่องแล้ว จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้ด้วยเหรอ?”

“ที่นั่นคนเยอะตาเยอะ ไม่สะดวกเท่าไร” เหมียวอี้

“ข้าว่าในใจเจ้ามีอะไรซ่อนอยู่มากกว่า” ปี้เยว่กล่าว

“ข้าว่านะปี้เยว่ ถ้าเทียบกันแล้ว ตอนนี้ข้าตำแหน่งเหนือกว่าเจ้านะ มีอย่างที่ไหนมาพูดจากับข้าแบบนี้?” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ

ปี้เยว่หัวเราะเยาะทันที “อย่าเอาฐานะผู้ตรวจการใหญ่มาขู่ข้าเลย เป็นแค่ตำแหน่งลอยไร้อำนาจที่แท้จริง มาควบคุมข้าไม่ได้หรอก”

…………………………

[1] อี๋เหนียง 姨娘 คำเรียกขานอนุภรรยา

[2] ยื่นมือยาวเกินไป 手伸太长 อุปมาว่าเรียกร้องมากเกินไป ร้องขอมากเกินไป

เรื่องในครอบครัวถูกโยนทิ้งไว้ชั่วคราว ก่วงลิ่งกงแสยะยิ้ม “เรื่องที่ตลาดผีไม่ปกติเอาเสียเลย มีหลายฐานถูกถล่มพร้อมกัน ถ้าหนิวโหย่วเต๋อรู้สถานการณ์ชัดเจนตั้งแต่แรกจริงๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้จักร้านของพวกเราตระกูลเดี๋ยว ตระกูลอิ๋งหาเรื่องเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กลับไม่เห็นเขาลงมือกับฐานของตระกูลอิ๋ง เจ้าไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีปัญหาเหรอ?”

“บ่าวก็สงสัยแบบนี้เหมือนกัน แต่จนป่านนี้แล้ว หนิวโหย่วเต๋อเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนั้นที่ตลาดผี แต่ไม่เห็นตึกศาลาสัตยพรตมีปฏิกิริยาอะไร ขัดแย้งกับพฤติกรรมการควบคุมตลาดผีของตึกศาลาสัตยพรต หรือพูดได้อีกอย่างว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าตึกศาลาสัตยพรตจะรู้เรื่องนี้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ถึงขั้นมีเหตุผลที่ชวนให้สงสัยว่าตึกศาลาสัตยพรตเผยข้อมูลให้หนิวโหย่วเต๋อรู้ เรื่องนี้ไม่พ้นเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว” โกวเยว่กล่าว

ก่วงลิ่งกงเริ่มเผยสีหน้าจริงจังหนักแน่น เรื่องภายในครอบครัวไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะอำนาจชี้เป็นชี้ตายอยู่ในมือเขาหมดแล้ว ในสายตาของเขา คนที่อยู่ในบ้านก็เหมือนแมวน้อยหมาน้อยเท่านั้น ต่อให้ก่อคลื่นใหญ่กว่านี้ เขาก็สามารถตบให้สงบได้ด้วยฝ่ามือเดียว การที่ตระกูลเซี่ยโห้วจงใจพุ่งเป้ามาที่ตระกูลก่วงต่างหากที่ทำให้เขามิอาจละเลยได้

โกวเยว่กล่าวอีกว่า “ยังมีอีกขอรับ พอเกิดเรื่องขึ้น บ่าวก็สืบให้ละเอียดทันที พบว่าทางฝั่งตระกูลอิ๋งก็มีจุดที่น่าสงสัยเหมือนกัน คนของพวกเราบอกมาว่า เดิมทีตระกูลอิ๋งกักบริเวณชีอู๋เจ้าสำนักลมปราณคนก่อนไว้ที่ทัพตะวันออก แต่เมื่อวานอยู่ดีๆ ก็ปล่อยตัว จั่วเอ๋อร์เป็นคนสั่งเอง แล้วชีอู๋นั่นก็ได้รับคำสั่งย้ายจากจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ตอนนี้กลายเป็นคนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้วขอรับ”

ก่วงลิ่งกงขมวดคิ้ว “หรือว่าพอพวกเราส่งสำนักลมปราณให้แล้ว แต่ตระกูลอิ๋งกลับคำ?”

โกวเยว่ตอบว่า “ต่อให้กลับคำ แต่ก็คงไม่จงใจส่งคนให้หนิวโหย่วเต๋อ แล้วเรื่องกลับคำก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าทำอย่างนั้นจริง ก็ไม่มีความซื่อสัตย์น่าเชื่อถือแม้แต่น้อย ในภายหลังใครจะกล้าทำข้อตกลงกับตระกูลอิ๋งอีก”

ก่วงลิ่งกงขี้เกียจเดาแล้ว หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อถามอิ๋งจิ่วกวงเสียเลย หลังจากจบการติดต่อแล้ว ก็เก็บระฆังดาราแล้วแสยะยิ้ม “เขาบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อกักตัวประกันของทัพตะวันออกไว้ บีบให้ฝั่งนั้นปล่อยตัวชีอู๋ คำสัญญาเรื่องที่จะให้พวกเราควบคุมสำนักลมปราณนั้นยังมีผล หนิวโหย่วเต๋อติดต่อไปฝั่งนั้นก่อนแล้ว ทางฝั่งนั้นคงเดาออกแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อจะก่อเรื่อง อิ๋งจิ่วกวงคงคิดจะลากพวกเราให้ไปสู้กับหนิวโหย่วเต๋อด้วยกัน”

โกวเยว่พยักหน้า ถามว่า “แล้วทางตระกูลเซี่ยโห้วล่ะขอรับ?” เขาจะสื่อว่าควรถามด้วยหรือไม่

“เรื่องแบบนี้ต่อให้ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ แต่เมื่อเจ้าไปถาม อีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับอยู่ดี ตอนนี้ต้องเรียบเรียงเรื่องราว ส่งคนไปสืบข่าวที่สำนักลมปราณให้ชัดเจน ที่หนิวโหย่วเต๋อลงมือที่ตลาดผีจะต้องมีเหตุผลสิ? ต้องสืบว่าตระกูลเซี่ยโห้วเข้ามาร่วมด้วยหมายความว่าอะไรกันแน่” ก่วงลิ่งกงกล่าว

“ขอรับ!” โกวเยว่พยักหน้าเอ่ยรับ เขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ว่าการรู้จุดประสงค์ของตระกูลเซี่ยโห้วต่างหากที่สำคัญที่สุด

แทบจะเป็นเวลาเดียวกันที่ตระกูลก่วงได้รับข่าว บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่มีทหารหนาแน่น แม่ทัพกลุ่มหนึ่งเดินตามหลังอิ๋งจิ่วกวงออกมาจากประตูใหญ่ อิ๋งจิ่วกวงที่กำลังเดินก้าวยาวไม่หันกลับไปมองข้างหลัง เพียงยกมือห้ามไม่ให้คนที่อยู่ข้างหลังไปส่ง

กลุ่มแม่ทัพกุมหมัดคารวะทันที “น้อมส่งท่านอ๋อง!”

จากนั้นผู้ติดตามของอิ๋งจิ่วกวงก็เหาะขึ้นฟ้าตามอิ๋งจิ่วกวงไป

จนกระทั่งเงาคนหายไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ กลุ่มแม่ทัพที่กุมหมัดคารวะถึงได้วางมือลง ทุกคนต่างทำสีหน้าโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก

ก่อนหน้านี้พวกเขาค่อนข้างวิตกกังวล เมื่อรู้ว่าท่านอ๋องเริ่มลาดตระเวนกำลังพลแต่ละสายของทัพตะวันออกแล้ว ทุกคนก็เดาออกว่าเกี่ยวข้องกับการเสียผลประโยชน์ที่ศึกสระน้ำมังกรดำ เห็นได้ชัดว่าท่านอ๋องกลัวคนจะจิตใจไม่มั่นคง ในเวลานี้ถ้ามีใครทำให้ท่านอ๋องรู้สึกว่ามีเจตนาไม่ซื่อ คาดว่าท่านอ๋องคงลงมืออย่างไม่ปรานี ความกังวลที่เกี่ยวข้องกับชีวิต จะไม่ให้เครียดได้อย่างไร

ในดาราจักร เมื่อเห็นอิ๋งจิ่วกวงมีเวลาว่างแล้ว จั่วเอ๋อร์ก็เริ่มรายงานความลับ “ท่านอ๋อง การแลกเปลี่ยนกับหนิวโหย่วเต๋อเสร็จสิ้นแล้วค่ะ”

อิ๋งจิ่วกวงเหล่ตามอง “หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้เล่นตุกติกอะไรใช่มั้ย?”

จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “น่าจะไม่ได้เล่นตุกติกอะไร จำนวนคนใกล้เคียงกับที่พวกเราคาดไว้ เพียงแต่ทั้งหมดกลับมามือเปล่า ไม่เหลือทรัพย์สินบนตัวแม้แต่น้อย ถูกเจ้าเวรนั่นฮุบไว้หมดแล้ว เรียกได้ว่าไม่ใช่จำนวนน้อยเลย”

อิ๋งจิ่วกวงกัดฟันกรอดทันที อาวุธของคนจำนวนมากขนาดนั้น ทัพตะวันออกจะต้องจ่ายเงินอีกไม่น้อย “ถ่ายทอดลงไปว่าให้พวกเขาปิดปากให้สนิท ส่วนเรื่องเงินทองก็รอให้คนของทัพตะวันออกมีจิตใจมั่นคงก่อนแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ ชอบฉกฉวยผลประโยชน์นักใช่มั้ย ช้าเร็วข้าจะให้เขาคายออกมาทั้งต้นทั้งดอก”

“รับทราบ! ยังมีอีกเรื่องค่ะ ทางตลาดผีเกิดปัญหาแล้ว…” จั่วเอ๋อร์เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ

“ล้างเลือดร้านค้าห้าร้านในตลาดผี?” อิ๋งจิ่วกวงค่อนข้างแปลกใจ “กำลังพลแดนรัตติกาลจะล้างเลือดร้านค้าห้าร้านนี้ทำไม?”

“ไม่ทราบค่ะ สืบหาเบาะแสของร้านค้าห้าร้านนี้แล้ว แต่ไม่พบอะไร เป็นเพราะสืบไม่เจอจึงน่าสงสัย ท่านอ๋อง จู่ๆ หนิวโหย่วเต๋อมาทำแบบนี้ที่ตลาดผีในเวลานี้ ร้านค้าห้าร้านเกี่ยวข้องกับตระกูลก่วงหรือเปล่า?” จั่วเอ๋อร์แสดงความสงสัย

อิ๋งจิ่วกวงที่เหาะด้วยความเร็วเอียงหน้ามองมา “เจ้ากำลังจะบอกว่าร้านค้าห้าร้านนี้คือฐานลับของตระกูลก่วงเหรอ?”

จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “เวลาที่เกิดเหตุบังเอิญเกินไป ตามที่สืบมา เป้าหมายที่กำลังพลแดนรัตติกาลลงมือนั้นชัดเจนมาก มุ่งตรงไปที่ห้าร้านนั้น พอล้างเลือดเสร็จแล้วก็ถอนกำลังทันที ที่แปลกที่สุดก็คือ กำลังพลแดนรัตติกาลเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ที่ตลาดผี แต่ตึกศาลาสัตยพรตกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้น เกาจื่อหู น้องชายของเกาจื่อเซวียนก็มาสืบข่าวเรื่องเกาเหยียนจากพวกเราด้วย เรื่องของลูกตัวเองแท้ๆ แต่ดันมาสืบข่าวจากพวกเรา บ่าวก็เลยลงมือจากคนข้างกายเขาทันที สืบข่าวมานิดหน่อย เหมือนว่าเกาเหยียนจะหายตัวไปหลังจากออกมาจากสำนักลมปราณ ติดต่อเขาไม่ได้อีกเลย เกาจื่อหูก็เลยสืบข่าวไปทั่ว”

“หึหึ! สงสัยหนิวโหย่วเต๋อจะลงมือกับตระกูลก่วงแล้วจริงๆ ช่างเป็นหมาบ้าที่กัดไม่เลือกหน้าจริงๆ ข้าว่า…” รอยยิ้มบนใบหน้าอิ๋งจิ่วกวงชะงักไป แล้วจ้องจั่วเอ๋อร์พร้อมถามว่า “เจ้าบอกว่าตึกศาลาสัตยพรตไม่มีปฏิกิริยาอะไรสักนิดเลยเหรอ?”

จั่วเอ๋อร์รู้ว่าเขาสังเกตเห็นบางอย่างแล้ว จึงพยักหน้าบอกว่า “คงจะเป็นตระกูลเซี่ยโห้วที่เข้ามาแทรกแซง”

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่กำลังเดินเล่นในป่าไผ่หยุดเดินแล้วหันตัวมา หลังจากแววตาวูบไหวอยู่พักหนึ่ง ก็หรี่ตาถามว่า “เซี่ยโห้วลิ่งสอดมือเข้ามาแทรกในเวลานี้ หมายความว่ายังไง?”

ถังเฮ่อเหนียนที่ติดตามอยู่ข้างกายส่ายหน้า “มองไม่ออกจริงๆ ขอรับ แต่ก็มีความเป็นไปได้อย่างอื่นเหมือนกัน หรือไม่เซี่ยโห้วลิ่งก็ไม่ได้เข้ามาแทรกแซงเลย บางทีอาจเป็นการเคลื่อนไหวจากอำนาจฝ่ายอื่นของตระกูลเซี่ยโห้ว ยกตัวอย่างเช่นเฉาหม่านที่ไม่ยอมอยู่อย่างเงียบเหงา ไม่ใช่ความคิดของเซี่ยโห้วลิ่ง แต่เป็นเพราะเฉาหม่านอยากสร้างผลงาน”

โค่วหลิงซวีเอามือขยี้เคราพลางหรี่ตา

วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงที่นั่งหลังโต๊ะยาวลุกขึ้นยืนช้าๆ จ้องซ่างกวนชิงพร้อมถามเสียงต่ำว่า “เซี่ยโห้วลิ่งกับหนิวโหย่วเต๋อสมคบกันเหรอ? ตัดสินได้ยังไงว่าร้านค้าห้าร้านนั้นเป็นของก่วงลิ่งกง?”

ซ่างกวนชิงตอบว่า “ก่อนหน้านี้ไม่แน่ใจ แต่เพิ่งได้ข่าวจากทูตซ้ายซือหม่า สายลับที่ส่งไปไว้ที่ตระกูลก่วงส่งข่าวกลับมาแล้ว…” สิ่งที่รายงานก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใด เป็นเรื่องแต่งงานของเกาเหยียน หลังจากเล่าสถานการณ์คร่าวๆ แล้ว ก็เน้นว่า “ตอนนี้เกาเหยียนออกจากสำนักลมปราณแล้ว แต่ก็ขาดการติดต่อกับตระกูลก่วง สองเรื่องนี้ประจวบเหมาะกันพอดี เป็นไปได้สูงว่าเกาเหยียนนั่นจะเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อ อาจจะถูกหนิวโหย่วเต๋อสังหารไปแล้วก็ได้ขอรับ”

ประมุขชิงไม่สนใจเรื่องแต่งงานบ้าบออะไรทั้งนั้น เลิกคิ้วแสยะยิ้ม “เจ้าลูกลิงนี่ใจกล้าไม่เบา เพิ่งจะมีเรื่องกับตระกูลอิ๋งเสร็จ ก็ลามไปมีเรื่องกับตระกูลก่วงอีกแล้ว แต่ตระกูลเซี่ยโห้วเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้หมายความว่ายังไง?”

ซ่างกวนชิงตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่ทราบขอรับ แต่ถึงยังไงเรื่องที่ตลาดผีก็เป็นฝีมือหนิวโหย่วเต๋อ ถ้าไปถามราชินีสวรรค์สักหน่อยก็อาจจะได้เบาะแสบ้าง”

“ไป! เจ้าไปถามที่ตำหนักนารีสวรรค์เดี๋ยวนี้เลย” ประมุขชิงสั่งทันที

“ขอรับ!” เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ซ่างกวนชิงก็รีบออกไป ถ้าประมุขชิงไม่ได้สั่ง เขาก็ไม่สะดวกจะบุ่มบ่ามไปซักถามราชินีสวรรค์ ไม่ใช่ว่าเขากลัวเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แต่ไม่ใช่เรื่องดีที่จะล้ำเส้นกฎเกณฑ์ระหว่างนายบ่าว

ไปเร็วมาเร็ว ตอนที่ซ่างกวนชิงกลับมาถึงตำหนักดาราจักร ประมุขชิงก็กำลังขมวดคิ้วเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนัก

“ฝ่าบาท เหนียงเหนียงบอกว่าได้รับรายงานจากหนิวโหย่วเต๋อ เดิมทีเตรียมจะมารายงานฝ่าบาทอยู่แล้ว เหนียงเหนียงบอกว่าเรื่องที่ตลาดผีเกิดขึ้นเพราะจวนแม่ทัพภาคตลาดผีได้รับแจ้ง ได้ยินว่ามีโจรจี้เอาตัวเกาเหยียนไป เขาคือหลานชายของเกาจื่อเซวียนซึ่งเป็นอนุภรรยาอ๋องสวรรค์ก่วง หนิวโหยว่เต๋อถึงได้ส่งคนไปช่วย ทว่ารอให้จนกำลังพลไปถึง ก็พบว่าสายไปเสียแล้ว เกาเหยียนถูกโจรสังหารแล้ว ตอนที่ไปเจอก็เหลือเพียงศพเท่านั้น ผู้ติดตามของเกาเหยียนก็ตายหมด” ซ่างกวนชิงรายงานข่าวที่สืบมาได้

ประมุขชิงแสยะหัวเราะ “โจร? หนิวโหย่วเต๋อนี่อะไรดีๆ กลับไม่เรียนรู้ ดันไปเรียนรู้การใช้ศัพท์ผิดความหมายมาซะแล้ว เอะอะก็โจร ใต้หล้าสงบสุขมาหลายปี จะมีโจรมาจากไหนมากมายขนาดนั้น? ล้างเลือดจนสะอาดขนาดนั้น ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว แล้วก็ยัดข้อหาให้โจรที่ไม่มีตัวตนเสียเลย ใช้ได้จริงๆ ข้าว่าเขาน่ารังเกียจกว่าโจรเสียอีก ในปากมีแต่คำพูดเหลวไหลทั้งนั้น ไม่มีความจริงเลย คงหวังให้เฉิงอวี้ตอบอย่างซื่อสัตย์ไม่ได้แล้ว เจ้าติดต่อหยวนจุนหน่อย ถามเขาว่ารู้เรื่องบ้างหรือเปล่า ถ้าไม่รู้ก็ให้เขาถามหนิวโหย่วเต๋อ ข้าอยากจะเห็นว่าหนิวโหย่วเต๋อจะพูดความจริงกับเขาหรือเปล่า!”

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อชิงหยวนจุนต่อหน้าประมุขชิง

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ตึกศาลาตั้งตระหง่านบนยอดเขาลูกหนึ่ง เป็นตึกชายคาโค้ง รอบข้างมีลมพัดมา ช้าบ้างเร็วบ้าง เมฆขาวลอยล่องเป็นกลุ่มก้อน ทิวทัศน์ภูเขาแม่น้ำอยู่ในสายตาทั้งหมด เป็นทำเลดีสำหรับการมองทิวทัศน์จากที่สูงอย่างแท้จริง ในตึกศาลามีคนอยู่สองคน

บนตึกกว้างโล่ง มองไม่เห็นโต๊ะเก้าอี้และของจิปาถะ ก่วงลิ่งกงนั่งขัดสมาธิบนฟูกกลม หลับตาทำสีหน้าดื่มดำ มือข้างหนึ่งตบเข่าเบาๆ ตามจังหวะเสียงฉิน

หวังเฟยเม่ยเหนียงก็นั่งบนฟูกกลมเช่นกัน กำลังดีดกู่ฉินอยู่ตรงหน้า สิบนิ้วดีดบรรเลงท่วงทำนองอย่างสง่างาม เพียงแต่เสียงฉินวันนี้เหมือนจะไม่ค่อยมั่นคงนัก เป็นเพราะเกี่ยวข้องกับอารมณ์ของนาง

นางรู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แน่ใจด้วยว่าก่วงลิ่งกงจะต้องรู้แล้วแน่นอน แต่ก่วงลิ่งกงกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าจะมานั่งฟังฉินที่นี่ ตอนนี้ไม่มีคนนอกแล้ว มีเพียงนางคนเดียว ทำให้นางแอบกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย จึงส่งผลกระทบต่อทักษะการเล่นฉิน

โกวเยว่ที่เดินขึ้นมาบนตึกมองนางแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้รบกวนนาง เดินย่องไปนั่งคุกเข่าข้างหน้าก่วงลิ่งกง แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ท่านอ๋อง สืบมาแล้วขอรับ เมื่อวานนี้คุณหนูถูกหวังเฟยกักบริเวณแล้ว เมื่อเทียบเวลาที่กักบริเวณ ก็พบว่าเป็นหลังจากตอนที่เกาเหยียนไปถึงสำนักลมปราณได้ไม่นาน คนที่ไปสำนักลมปราณก็สืบเรื่องมาชัดเจนแล้ว ว่าเกาเหยียนพอไปถึงก็ยัดเยียดสินสอดให้เป่าเหลียนทันที ตอนแรกสำนักลมปราณอ้างชื่อหนิวโหย่วเต๋อเพื่อขอให้ไว้หน้า แต่เกาเหยียนไม่เพียงแต่ไม่สนใจ ทั้งยังด่าหนิวโหย่วเต๋อด้วยว่านับเป็นตัวอะไร ตอนหลังสำนักลมปราณยอมประนีประนอมแล้ว รับปากว่าจะมาพึ่งพาท่านอ๋อง แต่เกาเหยียนไม่ยอม ดึงดันจะแต่งงานกับเป่าเหลียนนั่นให้ได้ ทั้งยังเอาเรื่องที่ชีอู๋ถูกทัพตะวันออกกักบริเวณมาขู่ด้วย จนกระทั่งชีอู๋ถูกทัพตะวันออกปล่อยตัว เกาเหยียนก็อาจได้รับข่าวว่าหนิวโหย่วเต๋อลงมือแล้ว ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี เลยลนลานหนีออกจากสำนักลมปราณกลางดึก แม้แต่สินสอดก็ยังไม่ทันได้เอาคืน สำนักลมปราณนำสินสอดของเกาเหยียนคืนให้คนของพวกเราแล้ว แต่พอเกาเหยียนออกไปก็ขาดการติดต่อไปเลย ไม่มีข่าวอะไรอีก ท่านอ๋อง สถานการณ์คร่าวๆ เป็นอย่างนี้ขอรับ”

……………

ชีเจวี๋ยได้ยินแล้วเงียบไป ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “เถ้าแก่ เรื่องนี้มีเงื่อนงำจริงๆ ขอรับ วิธีการนี้เจ้าบ้านเล่นได้ค่อนข้างล้ำลึกยากคาดเดา บ่าวก็มองไม่ออกเช่นกันว่าหมายความว่าอะไร”

“เจ้าบ้านไปผสมปนเปกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วหรือเปล่า?” หลังจากเฉาหม่านพึมพำ ก็ถอนหายใจอีก “หนิวโหย่วเต๋อนี่ยิ่งนับวันจะยิ่งใจกล้า ถ้าจะให้ข้าพูดนะ ไม่ควรจะให้เจ้าหมอนั่นมาที่ตลาดผีตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้เขาปีกกล้าขาแข็ง อยากได้กำลังพลก็มีกำลังพล อยากได้อาณาเขตก็มีอาณาเขต ทั้งยังตั้งตัวเป็นอิสระมากด้วย ขุนนางส่วนใหญ่ในราชสำนักไม่มีอำนาจที่จะควบคุมเขาเลย กลับเป็นเขาที่เดี๋ยวทำเรื่องนั้นเดี๋ยวทำเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าท่านนั้นที่อยู่ตำหนักสวรรค์นึกเสียใจทีหลังแล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นถ้าจับไปวางใต้บังคับบัญชาของใครสักคน หนิวโหย่วเต๋อก็กระโดดขึ้นมาไม่ได้อยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเติบโตถึงขั้นนี้ด้วย เจ้าพวกนั้นทุ่มหินใส่เท้าตัวเองแท้ๆ”

ชีเจวี๋ยยิ้ม “ตอนแรกที่ตำหนักสวรรค์โยนหนิวโหย่วเต๋อไว้ที่ตลาดผีก็แค่จะเนรเทศเท่านั้น คาดว่าคงนึกไม่ถึงเช่นกัน ว่าสถานการณ์จะกลายเป็นเหมือนทุกวันนี้”

เฉาหม่านถอนหายใจ “ใช่แล้ว! เดิมทีต้องการจะเนรเทศ แต่พอมาดูตอนนี้แล้ว กลับเป็นการมอบขีดกำจัดที่ใหญ่ที่สุดในการเลี่ยงอำนาจจากภายนอก จนเปิดโอกาสให้เขาผงาดขึ้นมาเร็วมาก จากเนรเทศกลายเป็นเลี้ยงลูกเสื้อลูกจระเข้ จากเดินสู่ทางตายกลายเป็นทางรอด จากสถานที่ตายกลายเป็นดินแดนล้ำค่า หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าหนุ่มช่างถนัดฉวยโอกาสพลิกกระดาน ช่างเถอะ ให้พวกขุนนางในราชสำนักปวดหัวไป ข้าอยากจะเห็นว่าเจ้าบ้านจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่…”

ฟ้าสว่างแล้ว สวนจิ้งเซวียน มารดาและลูกชายนั่งตรงข้ามกันบนโต๊ะอาหาร กำลังชิมรสอาหารเช้า แต่กลับไม่รู้สึกถึงรสชาติเท่าไร เพราะจิตใจค่อนข้างเหม่อลอย

สองแม่ลูกต่างก็เข้าใจดี ว่าปิดบังเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว กำลังปรึกษากันว่าจะไปขอรับโทษต่อท่านอ๋องอย่างไร

“ท่านแม่ ให้ข้าไปขอรับโทษต่อท่านพ่อเถอะ”

“ไม่ได้!”

“ท่านแม่…”

“ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าไปไม่เหมาะสม พ่อเจ้าอารมณ์ไม่ปกติ บางครั้งเรื่องเล็กก็ทำให้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้ เจ้าจำไว้นะ ขอเพียงเจ้าไม่เป็นอะไร แม่ได้รับความลำบากนิดหน่อยแต่ก็ยังมีโอกาสกลับตัวได้ แต่ถ้าเจ้าเสียอำนาจเมื่อไร แม่คงจะไม่มีทางออกแล้วจริงๆ นางตัวดีพวกนั้นไม่ปล่อยแม่ไปแน่”

“แต่ว่า…”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น เรื่องนี้ข้ารับไหว เกาเหยียนเป็นหลานชายข้า ข้าเป็นป้าเขา จะมีใจเห็นแก่ตัวบ้างก็ยังพอฟังขึ้น”

ขณะที่ทางนี้กำลังคุยกัน ก่วงจวินอันก็หยิบระฆังดาราขึ้นมารับข่าวจากใครบางคน จากนั้นทั้งเหม่อค้างไปทั้งตัว

เมื่อเห็นเขามีสีหน้าแย่มาก เกาจื่อเซวียนก็เริ่มเครียดทันที วางช้อนในมือลง แล้วถามว่า “เป็นอะไรไป?”

ปั้ง! ก่วงจวินอันกำหมัดทุบโต๊ะ แล้วตอบด้วยสีหน้าพยับเมฆ “เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว! ทางตลาดผี ทัพใหญ่แดนรัตติกาลล้างเลือดฐานลับของตระกูลก่วง พังฐานะลับของตระกูลก่วงหมดแล้ว!”

“หา!” เกาจื่อเซวียนอุทานตกใจ ต่อให้อยู่ในลานบ้านที่มีกำแพงล้อมรอบ นางก็เดาออกว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือใคร คนที่สามารถระดมทัพใหญ่แดนรัตติกาลให้ทำเรื่องนี้ได้ นอกจากหนิวโหย่วเต๋อแล้วยังจะมีใครได้อีก ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากหนิวโหย่วเต๋อ ก็ไม่มีทางเลยที่เบื้องล่างจะใจกล้าทำเรื่องนี้ จึงรีบถามซักไซ้ “มีเป้าหมายทั่วไป หรือพุ่งเป้ามาแค่ตระกูลเรา?”

“ท่านแม่ เลิกคิดได้แล้วว่าจะโชคดี พวกนั้นพุ่งเป้ามาที่ตระกูลพวกเรา ไม่แตะต้องร้านค้าอื่นๆ แม้แต่น้อย พุ่งเป้ามาที่ร้านค้าของพวกเราตระกูลเดียว” ก่วงจวินอันกล่าว

“หนิวโหย่วเต๋อเป็นสุนัขบ้าจริงๆ ด้วย ขนาดเกาเหยียนยอมถอยแล้ว ทำไมเขายังบีบคั้นอีก?” เกาจื่อเซวียนแค้นจนกัดฟันกรอด แต่กลับจนปัญญา ถ้าพวกแม่ทัพใหญ่ข้างนอกที่มีอำนาจทางทหารเกิดอาละวาดขาดสติขึ้นมา สตรีฐานะสูงส่งอย่างนางก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี ที่สำคัญคืออีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในการควบคุมของนาง ต่อให้ใช้เส้นสายก็ปกครองอีกฝ่ายไม่ได้ หลังจากด่าไปสองสามคำ นางก็พลันลุกขึ้นยืน “ชักช้าต่อไปไม่ได้แล้ว เรื่องนี้กำลังจะถึงหูท่านพ่อเจ้าแล้ว ถ้ารอให้เรื่องจบแล้วค่อยขอรับโทษก็จะสายไป ข้าจะไปหาพ่อเจ้าเดี๋ยวนี้”

“ท่านแม่!” ก่วงจวินอันยื่นมือขวาง กดมือบอกใบ้ให้นั่งลง แล้วส่ายหน้า “เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โตแล้ว ท่านแม่ไม่ต้องไปรับโทษอีกแล้ว”

เกาจื่อเซวียนนั่งลงช้าๆ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าหวาดระแวง “เรื่องนี้ปิดบังพ่อเจ้าไม่ได้เลย”

ก่วงจวินอันจึงบอกว่า “ก็เพราะเรื่องลุกลามใหญ่โตแล้ว ถ้าท่านพ่อจะลงโทษก็ต้องลงโทษสถานหนัก ถ้าท่านแม่ไปขอรับโทษ กลับจะทำให้ท่านพ่อลำบากใจด้วยซ้ำ ท่านแม่จะให้ท่านพ่อลงโทษท่านยังไงล่ะ? ถ้าไม่ลงโทษก็มีคนคอยมองอยู่มากมาย ดังนั้นเรื่องนี้พวกเราต้องแสร้งเลอะเลือนไปเสียเลย ถ้าเรื่องแดงขึ้นมา ก็ผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้ลูกผู้น้อง มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะโดนฆ่าตายไปแล้ว ไม่มีความยุติธรธรรมหรืออยุติธรรมอะไรอีกแล้ว อย่างมากท่านน้าก็ลำบากนิดหน่อย ในภายหลังถ้ามีโอกาส พวกเราค่อยชดเชยให้ท่านน้าก็ได้”

“ทำแบบนี้ได้เหรอ?” เกาจื่อเซวียนลังเล

ก่วงจวินอันพยักหน้า “เรื่องลุกลามใหญ่โตแล้ว ท่านพ่อไม่มีทางปล่อยให้คนนอกหัวเราะเยาะ เขาเองก็ต้องแสร้งเลอะเลือนปิดตาข้างเดียวเหมือนกัน”

ในเรือนหลักของฮูหยินเอก สาวใช้คนหนึ่งเข้ามาหยุดอยู่ในห้อง แล้วถ่ายทอดเสียงบอกเม่ยเหนียงที่กำลังนั่งดื่มน้ำชา

เม่ยเหนียงพลันเงยหน้า ถามด้วยแววตาประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าฐานลับทั้งหมดของตระกูลก่วงที่ตลาดผีถูกทัพใหญ่แดนรัตติกาลถล่มเหรอ?”

สาวใช้พยักหน้า “ไม่ใช่แค่ถล่มค่ะ แต่ถูกล้างเลือด ได้ยินว่าทางทัพใหญ่แดนรัตติกาลลงมือได้เหี้ยมโหดมาก พอบุกเข้าไปก็ไม่สนว่าเป็นคนงานหรือแขกในร้านค้า พวกนั้นไม่ไว้ชีวิตสักคน ถูกพวกเขาฆ่าหมดแล้ว คนที่โชคดีกำลังทำงานอยู่ข้างนอกก็ซ่อนตัว ไม่กล้ากลับไปอีกเลยค่ะ”

เม่ยเหนียงทำสีหน้าราวกับโดนตะคริวกิน นางพบว่าแม่ทัพที่มีอำนาจทางทหารอยู่ข้างนอกช่างแตกต่างกับผู้หญิงที่ต่อสู้อยู่ในบ้านอย่างนางจริงๆ เอะอะก็ล้างเลือดปล้นของ ฟังแล้วรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือด น่าตระหนกตกใจ

ดวงตางามวูบไหว ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ รีบลุกขึ้นเดินออกจากศาลา แล้วเดินตรงมาที่ห้องนอนของลูกสาว

นางผลักประตูเข้ามาแล้วปิดประตู เห็นเพียงก่วงเม่ยเอ๋อร์กำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างเบื่อหน่าย

เมื่อเห็นท่านแม่มาแล้ว ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็พลิกตัวเหมือนอารมณ์เสีย หันหลังให้มารดา

เม่ยเหนียงนั่งลงข้างเตียง คว้าแขนลูกสาวฉุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไม่เห็นท่าทางของมารดาผู้มีเมตตาเหมือนในอดีตสักนิด ถ่ายทอดเสียงด้วยสีหน้ามืดครึ้มว่า “เม่ยเอ๋อร์ เจ้าฟังให้ดีนะ เรื่องที่อวิ๋นจือชิวติดต่อเจ้ามา ห้ามเอ่ยให้ใครฟังเด็ดขาด…”

รอจนกระทั่งนางออกไปอีกครั้ง ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่นั่งบนเตียงเตี้ยก็เริ่มหน้าซีดนิดหน่อย มารดาให้อิสระนางแล้ว แต่ในดวงตานางกลับฉายแววหวาดกลัว

สวนสีคราม เจ้าของคือหนึ่งในอนุภรรยาของอ๋องสวรรค์ก่วง ชื่อว่าเยี่ยนฉินหลัน มีลูกชายหนึ่งคนชื่อว่าก่วงจวินอี้ เป็นลูกชายคนรองของก่วงลิ่งกง

ในศาลาเย็นที่มีดอกไม้บานสะพรั่งราวกับลายผ้าไหม ยอดหญิงงามอีกคนกำลังดื่มน้ำชาเป็นเพื่อนเยี่ยนฉินหลัน นางชื่อกัวอวี้เอ๋อร์ เป็นอนุภรรยาของก่วงลิ่งกงเช่นกัน เป็นมารดาของก่วงจวินเหยา ลูกชายคนที่สามของก่วงลิ่งกง

สองคนที่นั่งอยู่ในศาลากำลังพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่เกิดขึ้นที่ตลาดผี พอเกิดเรื่องขึ้นแล้ว กัวอวี้เอ๋อร์ที่ได้ยินข่าวก็มาที่นี่

ในเรือนใหญ่ตระกูลสูงแบบนี้ ขอเพียงเป็นคนที่เรืองอำนาจ มีใครบ้างที่ไร้สายลับสอดแนม ต่างคนต่างก็มีความจำเป็น คนที่เรืองอำนาจจำเป็นต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ต้องตบรางวัลสายลับบ้าง ที่สำคัญก็คือมีใครบ้างที่ไม่เคยทำพลาดกับเรื่องเล็กน้อย เมื่อมีผู้มีฐานะสูงช่วยพูดให้สองสามคำ ก็สามารถลดความยุ่งยากได้ไม่น้อยแล้ว แอบส่งพวกสายลับไปเดิมพันไว้ที่ฝ่ายอื่น ในอนาคตไม่ว่าใครจะได้กุมอำนาจ ตัวเองก็ล้วนไม่เสียเปรียบ

ในขณะนี้เอง สาวใช้ก็มารายงานว่า “ฮูหยิน หวังเฟยมาแล้วค่ะ”

ผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่ในศาลาสบตากันแวบหนึ่ง ไม่ต้องบอกเลย อีกฝ่ายจะต้องมาคุยเรื่องที่ตลาดผีแน่นอน

ผู้หญิงทั้งสองรีบลุกขึ้น รีบเดินออกไปต้อนรับทำความเคารพข้างนอก

จนกระทั่งเดินขนาบซ้ายขวาหวังเฟยเม่ยเหนียงกลับเข้ามานั่งในศาลาอีกครั้ง พวกนางก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดคุยถึงเรื่องตลาดผี พวกผู้หญิงไปแทรกแซงเรื่องภายนอกไม่ได้ อย่างมากก็แค่ขยับปากพูด ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อลูกชายตัวเองก็ได้ คนที่มีลูกชายคนไหนบ้างที่ไม่หวังให้ลูกตัวเองกลายเป็นเจ้านายของจวนท่านอ๋อง ถึงตอนนั้นมารดาก็จะได้อาศัยบารมีลูกชายไปด้วย เมื่ออยู่ในจวนท่านอ๋องก็จะไม่ต้องคอยดูสีหน้าคนอื่นอีกแล้ว

“เรื่องนี้ไม่พ้นความเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อแน่นอน ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อไปกินยาอะไรผิดมา เพิ่งจะมีเรื่องกับอ๋องสวรรค์อิ๋ง ตอนนี้กลับมายั่วโมโหท่านอ๋องของพวกเราแล้ว ไม่กลัวตายหรือยังไง?” กัวอวี้เอ๋อร์บ่น

เม่ยเหนียงขยับคิ้วเล็กน้อย ยกน้ำชาขึ้นมาจ่อปาก แล้วพูดเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “พวกเจ้าก็รู้ เม่ยเอ๋อร์มีความสัมพันธ์อันดีกับจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ตอนเช้าพอข้าได้ข่าวก็รีบให้เม่ยเอ๋อร์ถามให้เลย เหมือนอีกฝ่ายจะบอกว่าพวกเราไปยั่วโมโหพวกเขาก่อน เหมือนว่าเกาเหยียน หลานชายของฝั่งสวนจิ้งเซวียนจะบังคับแต่งงานกับหลานสาวสำนักลมปราณ…ฝั่งนั้นไม่ได้บอกอะไรมากกว่านี้แล้ว แต่ข้าเดาว่าเป่าเหลียนเคยเป็นลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อ อยู่ด้วยกันมานานขนาดนั้น เรื่องระหว่างชายหญิงไง ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ชายคนอื่น มีใครบ้างล่ะที่ได้ยินเรื่องนี้แล้วจะไม่โมโห”

มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? เยี่ยนฉินหลันกับกัวอวี้เอ๋อร์ได้ยินแล้วตาเป็นประกายเล็กน้อย เหมือนจับประเด็นอะไรบางอย่างได้แล้ว

จากนั้นในศาลาก็ค่อนข้างเงียบ กัวอวี้เอ๋อร์ที่ดื่มน้ำชาไปสองคำพลันวางถ้วยลง แล้วลุกขึ้นขออภัย “หวังเฟย พี่สาว ข้ามีเรื่องนิดหน่อย อยู่เป็นเพื่อนพวกท่านไม่ได้แล้ว ข้าขอตัวก่อน”

จากนั้นเม่ยเหนียงก็หาข้ออ้างขอตัวออกไป

เมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว เยี่ยนฉินหลันก็รีบเรียกก่วงจวินอี้ลูกชายตัวเองให้มาหา

เม่ยเหนียงที่ออกจากสวนสีครามทำสีหน้าปกติ เงยหน้ายืดอก ไหลสองข้างยืดตรง แววตาเยือกเย็นสุขุม เดินกลับมาอย่างผึ่งผายภูมิฐาน

ก่อนที่ผู้หญิงพวกนี้จะไปพบกัน ก่วงลิ่งกงก็ออกจากห้องสมาธิแล้วเช่นกัน มานั่งอยู่ในห้องหนังสือ ฟังรายงานของโกวเยว่

“หนิวโหย่วเต๋อคิดจะทำอะไร?” ก่วงลิ่งกงถามเสียงเย็น หายใจแรงนิดหน่อย

“เกรงว่าคงจะเกี่ยวข้องกับสำนักลมปราณขอรับ” โกวเยว่ตอบ

ก่วงลิ่งกงเหลือสายตาขึ้น “สำนักลมปราณ? เขายังมีความสัมพันธ์กับสำนักลมปราณอยู่อีกเหรอ?”

โกวเยว่ตอบว่า “จู่ๆ จ้าวจ้งก็ขาดการติดต่อไป บ่าวกำลังสืบเรื่องนี้อยู่ พอเชื่องโยงกับเรื่องที่ตลาดผี บ่าวก็สงสัยว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นเพราะสำนักลมปราณ ปัญหาคงอยู่ที่เกาเหยียนนั่นคิดจะแต่งงานกับเป่าเหลียน พอมาดูตอนนี้ เป่าเหลียนกับหนิวโหย่วเต๋อนั่นอาจจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้จริง ก็สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้”

เรื่องที่เกาเหยียนจะแต่งงาน ทางก่วงลิ่งกงก็รู้เช่นกัน รู้ถึงเจตนาไม่ซื่อของก่วงจวินอันด้วย แต่ก็ไม่ได้ห้าม ตั้งใจจะช่วยให้สมปรารถนา

“ข้าไม่สนว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันหรือไม่ เจ้าคิดหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนโง่เหรอ? เขาเพิ่งจะมีเรื่องกับอิ๋งจิ่วกวง ตอนนี้ก็มาสู้กับข้าอีก เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง? ใช่ว่าเขาจะไม่มีช่องทางติดต่อกับฝั่งนี้ เม่ยเอ๋อร์ไปที่นั่นบ่อยไม่ใช่เหรอ?บอกได้ตลอดเวลา…” พอพูดถึงตรงนี้ ก่วงลิ่งกงก็ชะงัก แล้วหรี่ตาถามว่า “เจ้าไปสืบมาหน่อย ดูว่าหวังเฟยเริ่มกักบริเวณเม่ยเอ๋อร์ตั้งแต่เมื่อไร สืบด้วยว่าเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นทิ้งระยะห่างเวลาเท่าไร”

โกวเยว่แววตาวูบไหวเล็กน้อย เอ่ยรับว่า “รับทราบ!”

…………………

ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ที่รับหน้าที่คุ้มกันไม่รู้ว่าถลันตัวมาจากตรงไหน ถามด้วยน้ำเสียงปกติว่า “นายน้อยเกามีอะไรจะกำชับ?”

“ท่านบุรุษจ้าวมีความมั่นใจที่จะปกป้องข้าจากหนิวโหย่วเต๋อได้หรือเปล่า?” เกาเหยียนคว้าแขนเสื้อของอีกฝ่าย แล้วรีบเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ ตอนที่เล่าก็หันมองรอบข้างที่ขมุกขมัวอยู่ใต้แสงจันทร์ รู้สึกว่าตรงไหนก็อันตรายทั้งนั้น

พอได้ยินเรื่องนี้ ท่านบุรุษจ้าวก็กล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “ถ้าสู้กันตัวต่อตัว หนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าแน่นอน แต่ในมือเขามีกำลังทหาร เป็นทหารเกรียงไกรห้าวหาญ ถ้าเขาระดมกำลังขึ้นมา งั้นก็ยุ่งยากแล้ว นายน้อยเกา เกรงว่าอาณาเขตทัพตะวันออกจะต้านหนิวโหย่วเต๋อไม่ไหว ไม่ควรอยู่ที่นี่นาน พวกเรารีบหนีกันเถอะ เรื่องอื่นอนาคตยังอีกยาวไกล ตอนหลังค่อยปรึกษากันก็ยังไม่สาย”

“ได้ๆๆ ที่พูดก็มีเหตุผล ฟังท่านบุรุษจ้าวแล้วกัน!” เกาเหยียนพยักหน้าซ้ำๆ รีบสั่งให้คนรวมตัวกัน แล้วออกไปจากเรือนรับแขกอย่างไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว

ในตำหนักใหญ่ของสำนักลมปราณ อวี้หลิงกับอวี้เลี่ยนยังปรึกษากันว่าพรุ่งนี้จะตอบเกาเหยียนอย่างไร เรื่องบางเรื่องหนิวโหย่วเต๋อพูดเหมือนง่าย แต่ถ้าคุณชายเจ้าชู้เสเพลอย่างเกาเหยียนใช้วิธีแข็งกร้าวขึ้นมาจะทำอย่างไร? ข้างกายอีกฝ่ายมียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์คุมสถานการณ์ ทางฝั่งนี้จะต้านไหวได้อย่างไร

ใครจะคิดว่าในเวลานี้ ศิษย์คนหนึ่งที่ชื่อว่าเต๋อจื้อเป้ยรีบวิ่งเข้ามาทำความเคารพ แล้วบอกว่า “อาจารย์ลุงเจ้าสำนัก อาจารย์อา!”

“มีเรื่องอะไรถึงรีบร้อนขนาดนี้” อวี้หลิงเจินเหรินกล่าวเสียงต่ำ

ศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองลุกขึ้นยืน พวกเขากังวลนิดหน่อย ตอนนี้คนในสำนักลมปราณที่ทำให้พวกเขากังวลใจได้ก็มีแค่เกาเหยียน เป็นเพราะกลัวเจ้าหมอนั่นจะทำซี้ซั้วในสำนักลมปราณ เดิมทีเจ้านั่นก็พุ่งเป้ามาที่เป่าเหลียนอยู่แล้ว ถ้าบังขืนใจเป่าเหลียนขึ้นมา อาศัยศักยภาพผู้ติดตามของอีกฝ่าย ทางฝั่งนี้ก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

ศิษย์คนนั้นกุมหมัดคารวะ “อาจารย์ลุง อาจารย์อา เกาเหยียนนั่นเพิ่งจะรวบรวมกำลังพลรีบร้อนหนีออกจากเขาชีอู๋ไปแล้ว ทหารยามที่เฝ้าประตูใหญ่ถามสองสามคำก็แทบจะโดนพวกเขาทำร้ายแล้ว”

ศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองงงทันที อวี้เลี่ยนถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าบอกว่าเกาเหยียนไปแล้วเหรอ? ตอนนี้? ไปตอนดึกป่านนี้เลยเหรอ?”

“อาจารย์อา ใช่แล้ว ทั้งยังไปแบบรีบร้อนมากด้วย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ศิษย์ที่เฝ้าประตูบอกว่าเกาเหยียนสีหน้าแย่มาก ถึงขั้นวิตกกังวลด้วย เหลียวซ้ายแลขวาเป็นระยะ หลบหลังยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์คนนั้นตลอด ดูท่าเหมือนจะหวาดกลัวมาก” ลูกศิษย์ตอบ

“หวาดกลัว…” อวี้เลี่ยนเจินเหรินอึ้งอีกครั้ง หันกลับมามองหน้าอวี้หลิงเจินเหรินอย่างเลิกลั่ก

“เข้าใจแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ ส่งคนออกไปสืบดูนอกภูเขาสักหน่อยว่ามีสถานการณ์อะไรผิดปกติหรือเปล่า” อวี้หลิงเจินเหรินโบกมือกำชับ

“ขอรับ!”

หลังจากศิษย์คนนั้นขอตัวออกไปแล้ว อวี้เลี่ยนเจินเหรินก็พึมพำว่า “ศิษย์พี่ คงไม่ได้โดนหนิวโหย่วเต๋อขู่จนตกใจหรอกใช่มั้ย?”

“ด้วยฐานะของเขา น่าจะไม่ขี้ขลาดถึงขั้นนั้นนะ แต่ต้องเกิดเรื่องอะไรที่พวกเราไม่รู้แน่นอน คาดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อ เอาเป็นว่าเขาไปก็ดีแล้ว” อวี้หลิงเจินเหรินถอนหายใจ จู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ ถามว่า “เป่าเหลียนล่ะ?”

“ได้ยินว่าหลบอยู่ที่ไร่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งวัน นางคงอยากจะหลบเกาเหยียนเหมือนกัน” อวี้เลี่ยนตอบ

อวี้หลิงเจินเหรินถอนหายใจอีก “บอกนางสักหน่อยเถอะ จะได้ไม่ต้องหวาดระแวงกลัวอยู่ตลอด”

ภายใต้แสงจันทร์และลมที่พัดเย็นสบาย ไร่ศักดิ์สิทธิ์ นอกเรือน สุราอาหารจัดวางอยู่บนโต๊ะเล็กตัวหนึ่ง มีเก้าอี้นอนวางฝั่งละตัว เต๋อหมิงกับเต๋อสือที่เอนกายอยู่บนนั้นกำลังเอ้อระเหยลอยชายเคล้ากลิ่นสุราอยู่ใต้แสงจันทร์ พันธนาการชีวิตที่เบิกบานใจขนาดนี้ เป็นสิ่งที่คนอื่นอิจฉาเพราะไขว่คว้าไม่ได้

บนโม่หนิขนาดใหญ่ตัวหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล เป่าเหลียนนั่งกอดเข่าอยู่บนนั้น เงยหน้ามองแสงจันทร์สว่างสดใสเงียบๆ ใบหน้าด้านข้างงดงามอ่อนโยน

ชายตาเหล่พลิกตัวเล็กน้อยแล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง จากนั้นลุกนั่งแล้วหัวเราะลั่น “เป่าเหลียน มาดื่มสุราเป็นเพื่อนอาจารย์อาหน่อย อาจารย์อามีข่าวดีจะบอกเจ้า”

สองพ่อลูกเอียงหน้ามองมาพร้อมกัน เป่าเหลียนหันมองแวบเดียวเท่านั้น แล้วก็เงยหน้ามองท้องฟ้าต่อไป ดูไม่ค่อยสะทกสะท้าน

“ฮ่าๆ!” ชายตาเหล่กล่าวกลั้วหัวเราะ “เป่าเหลียน เด็กสาวอย่างเจ้า จะว่าเด็กก็ไม่เด็กแล้วนะ คิดว่าพอไปเคยไปอยู่ตำหนักสวรรค์มาแล้ว กฎของสำนักก็ไม่มีผลอะไรต่อเจ้าแล้วใช่มั้ย? แม้แต่คำพูดของอาจารย์อาเจ้าก็ไม่เชื่อฟังด้วยใช่มั้ย?”

พอเขาอ้างกฎแล้ว เป่าเหลียนก็ทำได้เพียงกระโดดลงจากโม่หินอย่างไม่เต็มใจ นางเดินเข้ามา หยิบน้ำเต้าสุราของเต๋อหมิงขึ้นมากระดกดื่มอึกหนึ่ง แล้วถามอย่างหงุดหงิดว่า “พอใจแล้วใช่มั้ย?”

ชายตาเหล่หนี่ตายิ้ม “เป่าเหลียน พอแล้ว ข้าจะแจ้งข่าวดีให้เจ้ารู้ เรื่องนี้น่าจะผ่านไปแล้วล่ะ เจ้าเกาเหยียนนั่นหนีไปแล้ว”

เต๋อหมิงที่ตาพร่าเลือนเบิกตากว้างขึ้นหลายเท่า เป่าเหลียนเองก็ถามเขาอย่างงุนงงเช่นกัน “ไปแล้วจริงเหรอ?”

ชายตาเหล่ตบต้นขาแล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “เขาไม่ใช่แค่ไปแล้วนะ ทัพตะวันออกก็ปล่อยตัวบรรพจารย์แล้วด้วย บรรพจารย์ได้รับคำสั่งย้ายจากจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้ว กลายเป็นคนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้ว” เขามองเต๋อหมิงแล้วพุดต่อ “ศิษย์พี่ ดุท่าแล้ว ที่ท่านติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อจะมีประโยชน์แล้วจริงๆ เป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ลงมือแน่นอน! จุจุ เจ้าหนุ่มนั่นไม่เหมือนในอดีตแล้วจริงๆ เรื่องที่คนทั้งสำนักลมปราณจนปัญญา แต่เจ้าหนุ่มนั่นจัดการได้แบบไร้ซุ่มเสียง ความสามารถนี้ จุจุ!”

สีหน้าหดหู่ของเป่าเหลียนหายไปในชั่วพริบตาเดียว แสดงสีหน้าอารมณ์มากขึ้นแล้ว ดวงตาสวยสดใสกะพริบปริบๆ แล้วจู่ๆ ก็กระทืบเท้าพูดดูถูกว่า “ใครใช้ให้เขาลงมือล่ะ?” พูดจบกก็เหาะออกไปแล้ว ออกจากไร่ศักดิ์สิทธิ์ไป ไม่ชมพระจันทร์อีก

“ศิษย์พี่ หึ นางหนูนี่ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว!” ชายตาเหล่ชี้หลังเป่าเหลียนพลางบ่นด่า

ฝั่งตรงข้าม เต๋อหมิงที่วางมือสองข้างไว้ตรงท้องหลับตาลงช้าๆ ยิ้มมุมปากเบาๆ อย่างสังเกตเห็นได้ยาก เริ่มเสียงกรนดังขึ้น นอหลับภายใต้ม่านฟ้าเสื่อดิน…

ในดาราจักร เงาคนคนหนึ่งเหาะอย่างรวดเร็ว ประตูดวงดาวที่หมุนวนดำมืดอยู่ข้างหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ที่ถูกเรียกว่า ‘ท่านบุรุษจ้าว’ โล่งใจขึ้นบ้างแล้ว พอข้ามประตูดวงดาวตรงหน้าไปก็จะถึงอาณาเขตทัพตะวันตกแล้ว เมื่อไปถึงอาณาเขตตัวเองก็จะปลอดภัยมากกว่า เมื่อพบความผิดปกติอะไรก็จะเรียกกำลังพลมารับได้ทันเวลา

เพื่อที่จะเพิ่มความเร็ว รีบหนีให้พ้นอันตราย พวกเกาเหยียนถูกเก็บเข้าไปในกระเป๋าสัตว์แล้ว

ไม่จำเป็นต้องใช้กระสวยทองหรือกระสวยเงิน อาศัยวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งของตัวเอง ท่านบุรุษจ้าวดำหายเข้าไปในประตูดวงดาวโดยตรง

ไม่นานก็ถูกพ่นออกจากพื้นที่ว่างของดาราจักรอีกผืนหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันรอให้เขาตั้งสติ จู่ๆ ก็มีคนปิดหน้าหลายร้อยพุ่งออกมาจากสี่ด้านแปดทิศ

ท่านบุรุษจ้าวตกใจ นึกไม่ถึงว่าจะมีคนดักซุ่มตรงทางที่เขาต้องผ่าน แอบร้องในใจว่าซวยแล้ว ความคิดแรกในใจเขาก็คือ เจ้าบ้าหนิวโหย่วเต๋อมันลงมือจริงๆ ด้วย ทำไมถึงมาเร็วขนาดนี้ บังอาจมาลงมือในอาณาเขตทัพตะวันตก เขารีบปล่อยผู้ติดตามร้อยกว่าคนออกมา

“บึ้ม!”

เสียงตะโกนสังหาร เสียงระเบิด เสียงกรีดร้องเริ่มดังก้องในดาราจักร กำลังพลของทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนกันอย่างดุเดือด โดนสอยร่วงคนแล้วคนเล่า เลือดสดสาดกระจาย

ภายใต้กระบวนทัพต่อสู้ขนาดใหญ่ ความเป็นความตายของคนบางกลุ่มไม่ได้อยู่ในสายตาตัวละครใหญ่ๆ เลย อย่าว่าแต่คนพวกนี้ ต่อให้เป็นคนนับพันนับหมื่น ต่อให้เป็นความตายของคนนับล้านก็อาจเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของคนพวกนี้ไม่ได้อยู่ดี

คนที่ลอบจู่โจมมีพลังแข็งแกร่งมาก ต่อให้ท่านบุรุษจ้าวไม่ได้ตายคนแรก แต่ก็อยู่ในกลุ่มแรกที่ตายเร็วที่สุด พอประมือกันก็รู้ว่าตัวเองโดนยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สามคนล้อมโจมตี เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามเตรียมตัวมาดักซุ่มเส้นทางที่เขาจะต้องมา

การต่อสู้ไม่ได้ยืดเยื้อ ผู้ติดตามร้อยกว่าคนของเกาเหยียนไม่มีใครหนีไปได้แม้แต่คนเดียว เกาเหยียนคือคนสุดท้ายที่ถูกค้นออกจากกระเป๋าสัตว์ท่านบุรุษจ้าว

เมื่อเห็นคนปิดหน้าที่อยู่ข้างหน้า แล้วเห็นผู้ติดตามที่ตายอนาถ เกาเหยียนถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องแล้ว เขาตกใจจนตัวสั่น ร้องเสียงดังว่า “ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว ผู้น้อยสำนึกผิดแล้ว ผู้ตรวจการใหญ่หนิวไว้ชีวิตด้วย ผู้น้อยไม่กล้าอีกแล้ว ผู้ตรวจการใหญ่หนิวโปรดไว้ชีวิต!” ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะโต้ตอบ ศพของท่านบุรุษจ้าวลอยอยู่ไม่ไกล

ไม่มีใครฆ่าเขา และไม่มีใครสนใจด้วย แต่ควบคุมเขาไว้แล้วเก็บไว้ทันที คนหลุ่มหนึ่งรีบกวาดล้างสนามรบ แล้วก็หายไปในดาราจักรอย่างไร้ซุ่มเสียง

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง เส้นขอบฟ้ามีแสงสว่างเล็กน้อย เม่ยเหนียงผู้มีใบหน้างดงามสวมชุดสวยหรูหราเดินเนิบนาบออกจากห้อง เดินลากกระโปรงยาวลงบนบันได แล้วยืนมองน้ำค้างบนกลีบดอกไม้ในลานบ้านด้วยสีหน้าเหม่อลอย

สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาจากประตูพระจันทร์ด้านข้างอย่างเงียบๆ พอเดินมาถึงข้างกายนางก็ทำความเคารพ “หวังเฟย”

“คนออกมาหรือยัง?” เม่ยเหนียงเอียงหน้าถ่ายทอดเสียงถาม

สาวใช้ถ่ายทอดเสียงรายงาน “ยังเลยค่ะ หลังจากคุณชายใหญ่รีบร้อนเข้ามาในสวนจิ้งเซวียน จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีใครออกมาเลย”

“รู้แล้ว จับตาดูต่อไป”

หลังจากสาวใช้ถอยออกไปแล้ว เม่ยเหนียงก็ยืนนิ้วชี้ปาดน้ำค้างเม็ดหนึ่งบนกลีบดอกไม้ แล้วแสยะยิ้มพึมพำ “เชอะ! สงสัยจะเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ”

สวนจิ้งเซวียน ในโถงใหญ่ ก่วงจวินอันเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา ส่วนเกาจื่อเซวียนก็ระฆังดาราอย่างร้อนใจเป็นระยะ

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? นี่มันผ่านไปกี่ชั่วยามแล้ว ท่านแม่ ยังติดต่อไม่ได้อีกเหรอ?”

รอจนกระทั่งระฆังดาราในมือเกาจื่อเซวียนหยุดสั่น ก่วงจวินอันก็หยุดเดินแล้วหันกลับมาถาม

เกาจื่อเซวียนขมวดคิ้วส่ายหน้า “จู่ๆ ก็ขาดการติดต่อไป ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร น้าเจ้าก้บอกว่าติดต่อไม่ได้ หรือว่าจะเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ?”

“ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะลงมือ แต่อยู่ห่างกันขนาดนั้น เกาเหยียนก็หนีออกไปทันเวลาแล้ว กำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อไม่น่าจะตามไปดักไวขนาดนั้นสิ มิหนำซ้ำคนที่ส่งไปก็มีพลังไม่อ่อนแอ โดยเฉพาะจ้าวจ้ง ต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็คงไม่ถึงขั้นไม่ส่งข่าวกลับมาเลย? นอกเสียจากจะโดนลอบจู่โจม เจอคนที่มีกำลังเหนือกว่าข่มเหงให้รายงานกลับมาไม่ทัน” ก่วงจวินอันกล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง

เกาจื่อเซวียนกล่าวอย่างกังวลถึงขีดสุด “ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ คนอื่นหายไปก็ยังพูดง่ายหน่อย ลองคิดหาทางก็ยังปิดบังได้ แต่จ้าวจ้งคือองครักษ์ป้ายทองของจวนท่านอ๋อง ทุกวันต้องรายงานตัวกับหัวหน้าองครักษ์ ถ้าขาดการติดต่อไปจะต้องมีการสืบสาวราวเรื่องแน่ เกรงว่าคงจะปิดบังท่านพ่อของเจ้าไม่ได้แล้ว…”

ตลาดผี ถนนที่เงียบสงบพลันเกิดความวุ่นวาย ทหารสวรรค์กลุ่มใหญ่ปรากฏตัวกะทันหัน ล้อมร้านค้าร้านหนึ่งไว้แล้วสังหารเข้าไปโดยตรง บ้างก็เข้าทางประตู บ้างก็เข้าทางหน้าต่าง ไม่ให้เหลือช่องโหว่ไว้แม้แต่ช่องเดียว ส่วนด้านบนของตลาดผี มีกำลังพลกลุ่มใหญ่พุ่งลงมาจากด้านบนของร้านค้าเช่นเดียวกัน ล้อมขนาบโจมตีเข้ามาทุกด้าน พอพุ่งเข้าไปเจอคนก็ฆ่าทันที ไม่สนว่าเป็นลูกค้าหรือคนงานในร้านค้า ไม่ให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว เป็นการล้างเลือดโดยแท้ ทรัพย์สินในร้านค้าก็ถูกกวาดออกไปหมด

เรื่องแบบเดียวกันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่ร้านค้าร้านเดียวเท่านั้น ร้านค้าห้าร้านที่กระจายอยู่ในตลาดผีห้าแห่งก็ถูกทัพใหญ่แดนรัตติกาลล้างเลือดเช่นกัน

ปฏิบัติการนี้มาเร็วไปเร็ว หลังจากร้านค้าห้าร้านโดนกวาดล้าง ทัพใหญ่ก็ถอนกำลังอย่างรวดเร็ว

ทัพใหญ่แดนรัตติกาลโผล่มาเคลื่อวไหวอย่างดุร้ายแบบนี้ เรียกได้ว่าสะเทือนทั้งตลาดผี ข่าวและการวิจารณ์ต่างๆ นานากระจายออกไปทั่วสารทิศราวกับกระแสน้ำ

ริมหน้าต่างตึกศาลาสัตยพรต หลังจากฟังชีเจวี๋ยรายงานจบแล้ว เฉาหม่านที่กำลังหรี่ตามองแสงโคมไฟที่อยู่ไกลๆ ก็กล่าวช้าๆ ว่า “เฒ่าชี เจ้าคิดว่าจู่ๆ เจ้าบ้านท่านนั้นเคลื่อนไหวแบบนี้หมายความว่าอะไร? ไม่เคยได้ยินข่าวว่าตระกูลก่วงไปมีเรื่องอะไรกับเขา ข้ารู้สึกเหมือนในหัวมีแต่หมอกขาว ไม่เข้าใจเลย!”

………………

หลัวจากออกจากจวนท่านปู่สวรรค์มาถึงดาราจักร เหมียวอี้ก็ติดต่อหยางเจาชิงทันที มาสั่งงานเรื่องแลกเปลี่ยนเงื่ออนไขกับตระกูลอิ๋ง จากนั้นก็บอกให้หยางชิ่งรู้อีก ว่าจัดการทางตระกูลเซี่ยโห้วได้แล้ว ให้ดำเนินการแผนหลังจากนั้นต่อได้เลย

แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง บนตึกศาลาในตำหนักปราชญ์

หยางชิ่งที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างค่อยๆ กำระฆังดารามาไว้ตรงหน้าอก แล้วส่ายหน้าเบาๆ พลางอมยิ้ม เหมือนรู้สึกตกตะลึง

เขานึกไม่ถึงจริงๆ นึกไม่ถึงว่าแผนเมื่อครู่นี้จะสำเร็จแล้ว เพิ่งจะเริ่มผลักดัน พอเหมียวอี้ลงมือก็จัดการเซี่ยโห้วลิ่งได้เลย เปิดด่านที่ยากที่สุดได้ในรวดเดียว รวดเร็วขั้นเทพ เซี่ยโห้วลิ่งเองก็ไม่ใช่คนโง่ มีหรือที่ตระกูลเซี่ยโห้วจะฟังคำสั่งคนอื่นง่ายๆ ปฏิบัติการนี้ใช่ว่าใครก็สามารถทำได้

“งานใหญ่มีโอกาสสำเร็จ…” หยางชิ่งพึมพำแล้วถอนหายใจเบาๆ นี่ไม่ใช่การอนุมานต่อแผนการในครั้งนี้ แต่เป็นการประเมินค่าต่อเหมียวอี้ รอยยิ้มบนใบหน้าเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายก็กางแขน เงยหน้าขึ้นฟ้าพลางหัวเราะลั่น “ฮ่าๆ” หัวเราะอย่างบ้าคลั่งไร้ที่เปรียบ

คนนอกไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของเขาในตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเตรียมแผนการที่ใหญ่ขนาดนี้ ค้นพบความรู้สึกสะใจยามได้วางแผนจัดการกับวีรบุรุษในใต้หล้า

ชิงจวี๋ที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาไม่ไกลมองเขาอย่างงุนงง เวลาที่นายท่านปลดปล่อยอารมณ์เต็มที่ขนาดนี้ เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากมาก

จินม่านที่เพิ่งเข้ามาในลานบ้านก็ถูกดึงดูดด้วยเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งเช่นกัน นางเงยหน้ามองขึ้นไป เห็นหยางชิ่งกำลังปลดปล่อยอารมณ์ตามอำเภอใจอยู่ริมหน้าต่าง ก็อดไม่ได้ที่จะทำสายตาสงสัย

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในห้องหนังสือที่ปิดสนิท มีแสงสว่างขมุกขมัว ช่วงนี้อิ๋งจิ่วกวงมักจะชอบนั่งสมาธิเงียบๆ อยู่เพียงลำพังในห้องหนังสือ

ตอนนี้กำลังเขียนจดหมายขอโทษลงบนแผ่นหยก เรื่องเกิดที่ปราสาทดำเนินจันทร์ เขาส่งคนไปจับตัวคนที่ปราสาทดำเนินจันทร์ ผลปรากฏว่าจับใครไม่ได้ กลับถูกลี่หัวประมุขปราสาทดำเนินจันทร์ฟ้องไปทางวังสวรรค์ ประมุขชิงจึงสั่งให้อิ๋งจิ่วกวงเขียนจดหมายขอโทษ อิ๋งจิ่วกวงไม่มีเหตุผลแก้ตัว ทำได้เพียงปฏิบัติตาม

จั่วเอ๋อร์เข้ามาในห้องหนังสือ เดินมาตรงหน้าโต๊ะยาวแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านอ๋อง ทางหนิวโหย่วเต๋อส่งข่าวมา ว่าให้หยุดการแลกเปลี่ยนชั่วคราว”

“อะไรนะ หยุดการแลกเปลี่ยนชั่วคราว?” อิ๋งจิ่วกวงพลันเงยหน้า ถามด้วยสีหน้าพยับเมฆว่า “หรือเจ้าเวรนั่นคิดจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง? คิดว่าข้าทำอะไรเขาไม่ได้จริงๆ ใช่มั้ย?”

จั่วเอ๋อร์ส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ แต่หนิวโหย่วเต๋อเพิ่มเงื่อนไขอีกข้อ หวังว่าทางนี้จะเลิกกักบริเวณชีอู๋ เขาอยากจะย้ายชีอู๋ไปทำงานที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล”

“ชีอู๋?” อิ๋งจิ่วกวงค่อนข้างงุนงง “ชีอู๋ไหน? พวกเรามีคนคนนี้ด้วยเหรอ?”

จั่วเอ๋อร์ยิ้มเจื่อน “เจ้าสำนักคนก่อนของสำนักลมปราณ”

“สำนักลมปราณ…” อิ๋งจิ่วกวงงุนงง พอลองไตร่ตรอง ก็เริ่มนึกอะไรได้ วางแผ่นหยกในมือลง เอนกายพิงเก้าอี้ ทำสีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง เอานิ้วทั้งห้าเคาะโต๊ะพลางกล่าวอย่างแปลกใจ “หนิวโหย่วเต๋อไม่มีความเกี่ยวข้องกับสำนักลมปราณแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงเข้ามายุ่งเรื่องนี้อีก?”

จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “บางทีอาจไม่เป็นอย่างที่เห็นกันภายนอก ที่บังเอิญก็คือ ทางตระกูลก่วงก็มีคนส่งข้อความมาแล้วเหมือนกัน หวังว่าพวกเราจะกดดันชีอู๋ได้ เรื่องนี้เริ่มส่งให้คนเบื้องล่างจัดการแล้ว บ่าวรู้สึกว่ามันแปลกๆ ก็เลยถามรายละเอียด เป็นเกาเหยียน หลานชายของเกาจื่อเซวียน เขาต้องการแต่งงานกับเป่าเหลียน หลานสาวเจ้าสำนักลมปราณ แล้วเป่าเหลียนก็เคยเป็นลูกน้องข้างกายหนิวโหย่วเต๋อตอนอยู่ตลาดสวรรค์”

“เกาจื่อเซวียน? ภรรยาคนที่สองของก่วงลิ่งกงเหรอ?” อิ๋งจิ่วกวงถาม

“ค่ะ”

“เป่าเหลียนอะไรนั่นสวยมากเหรอ?” อิ๋งจิ่วกวงถามอีก

“ไปถามมาแล้วค่ะ ไม่นับว่างามเลิศล้ำอะไร แต่ก็สวยอยู่” จั่วเอ๋อร์ตอบ

อิ๋งจิ่วกวงครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “สงสัยเจ้าเกานั้นคงอยากควบคุมช่องทางรายได้ของร้านขายของชำ ยั่วโมโหจนหนิวโหย่วเต๋อออกโรงแล้ว น่าสนใจ”

“แล้วจะทำยังไงกับชีอู๋นั่นคะ?” จั่วเอ๋อร์ถาม

อิ๋งจิ่วกวงพ่นเสียงทางจมูกแล้วมองมา ตอบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “หนิวโหย่วเต๋อเป็นสุนัขบ้าตัวหนึ่ง ดูเหมือนจะอยากแก้ไขปัญหาให้สำนักลมปราณ คิดจะทำอะไรกัน? หึ ส่งคนให้เขาไป ข้าอยากจะเห็นว่าเขาจะฉีกหน้ากับก่วงลิ่งกงได้หรือเปล่า”

อ่องสวรรค์อิ๋งผู้สง่าผ่าเผยเอ่ยปากแล้ว เบื้องล่างของทัพตะวันออกยังกล้าขัดขวางอีกเหรอ?

นอกประตูใหญ่แห่งหนึ่งที่มีทหารยามหนาแน่น ชีอู๋เจินเหรินที่สวมเกราะม่วงเครื่องแบบตำหนักสวรรค์เดินลงบันไดอย่างช้าๆ พอเดินมาถึงบันไดขึ้นสุดท้าย เขาก็หันกลับไปมองบ้านเรือนที่ยาวเหยียดด้านหลังแวบหนึ่ง แล้วมองแผ่นหยกในมืออย่างงุนงง

ท่านหัวหน้าภาคมาพบเขาด้วยตัวเอง โยนคำสั่งย้ายฉบับนี้ให้เขา บอกว่าตั้งแต่นี้ไปเขาไม่อยู่ในสังกัดนี้อีกแล้ว ให้เขาไปรายงานตัวที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ชักช้าไม่ได้

พอพูดถึงจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ท่านหัวหน้าภาคที่ก่อนหน้านี้ชอบชักสีหน้าใส่เขาก็เปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มแล้ว ของที่ยึดเอาไว้ก็คืนให้เขาหมด ทั้งยังตบบ่าเขาด้วยสีหน้าเป็นมิตร บอกเขาว่าเรื่องก่อนหน้านี้อย่าเก็บมาใส่ใจ เขาเองก็ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน ยากจะฝ่าฝืนคำสั่ง ทั้งยังบอกอีกว่าเป็นความเข้าใจผิด ในเมื่อสนิทกับผู้ตรวจการใหญ่หนิวแล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นคงใช้ให้เขาทำงานในตำแหน่งสำคัญแล้ว สรุปก็คือพูดจาสุภาพเกรงใจเป็นชุด ส่งเขาออกมาอย่างเกรงอกเกรงใจ

ชีอู๋เจินเหรินกลุ่มใจนิดหน่อย ตอนที่เร่งเหาะอยู่ในดาราจักรก็คิดวนไปวนมา รู้สึกว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับสำนักลมปราณ จึงติดต่อไปถาม

สำนักลมปราณ ในตำหนักใหญ่ที่มีโคมไฟสั่นไหว ศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนฟูกกลม กำลังกลัดกลุ้มใจ นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเขายังคิดวนเวียนว่าพรุ่งนี้จะเผชิญหน้ากับการกดดันของเกาเหยียนอย่างไรดี

ระฆังดาราส่งข่าวมาแล้ว หลังจากอวี้หลิงเจินเหรินหยิบออกมาคุยพักหนึ่ง ก็อึ้งไปนานมาก

อวี้เลี่ยนเจินเหรินชำเลืองมองแล้วถามว่า “ศิษย์พี่ เป็นอะไรไป?”

“ท่านอาจารย์ถูกปล่อยแล้ว” อวี้หลิงเจินเหรินยิ้มเจื่อน

อวี้เลี่ยนเจินเหรินตาเป็นประกาย “จริงเหรอ? เป็นฝีมือหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า?”

“ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อลงมือแล้วหรือเปล่า แต่อาจารย์หลุดออกจากทัพตะวันออกแล้ว ถูกย้ายไปรับตำแหน่งที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ตอนนี้กำลังกลับมาที่สำนัก เตรียมจะกลับมาก่อนแล้วค่อยไปแดนรัตติกาล” อวี้หลิงเจินเหรินพูดจบแล้วถอนหายใจ แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ก็แน่ใจแล้วว่าเกี่ยวข้องกับเหมียวอี้แน่นอน

“หึ!” อวี้เลี่ยนเจินเหรินปรบมืออย่างตื่นเต้นดีใจ ลุกขึ้นยืนแล้วบอกว่า “ศิษย์พี่ ท่านดูสิ ข้าพูดไม่ผิดใช่มั้ยล่ะ ถ้าไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าหนิวโหย่วเต๋อทำได้หรือเปล่า ท่านดูสิ ทำสำเร็จแล้วไม่ใช่เหรอ?”

อวี้หลิงเจินเหรินพยักหน้าเงียบๆ รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย หนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลอิ๋งมีเรื่องกันขนาดนั้นแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่ตระกูลอิ๋งจะปล่อยคน เรื่องของเบื้องบนช่างเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้าเหมือนคลื่นเมฆ คนเบื้องล่างเห็นแต่เมฆหมอก ไม่รู้ชัดว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่

พอลองครุ่นคิดดู เขาก็กล่าวอย่างลังเลว่า “ศิษย์น้อง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าลองติดต่อหนิวโหย่วเต๋ออีกสิ ถามเขาหน่อยว่าขั้นต่อไปจะทำยังไงดี เรื่องบางเรื่องถ้าอาศัยโลกทัศน์ของพวกเราอย่างเดียวคงมองไม่กระจ่าง”

“ได้!” อวี้เลี่ยนเจินเหรินหยิบระฆังดารามาติดต่อเหมียวอี้ทันที หลังจากติดต่อเสร็จแล้ว ก็บอกว่า “ศิษย์พี่ เขายอมรับว่าเรื่องอาจารย์เป็นฝีมือเขาเอง ส่วนรายละเอียดนั้นไม่ได้บอก แค่ให้พวกเราทำอะไรก็ทำอย่างนั้น ทำตัวตามปกติก็พอ ส่วนทางเกาเหยียนก็ไม่ต้องสนใจ ต่อไปนี้เขาจะจัดการเรื่องอื่นๆ เอง”

“…” อวี้หลิงเจินเหรินพยักหน้าเงียบๆ

สวนจิ้งเซวียน ก่วงจวินอันสาวเท้าเดินเข้ามา มุ่งตรงมาที่โถงหลักของเรือนด้านหลัง มีสาวใช้ทำความเคารพตลอดทาง

พอเข้ามาในโถงใหญ่แล้ว ก่วงจวินอันก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา เริ่มขมวดคิ้วแล้ว

ผ่านไปครู่เดียว เกาจื่อเซวียนที่ปล่อยผมยาวประบ่าก็เดินเข้ามาพร้อมสาวใช้ พอเจอหน้าก็ถามทันทีว่า “ดึกดื่นป่านนี้แล้ว รีบร้อนมาพบข้า มีเรื่องอะไร?”

ก่วงจวินอันโบกมือไล่สาวใช้ข้างหลังนาง เมื่อไล่ออกไปหมดแล้ว ถึงได้เข้ามาใกล้แล้วกระซิบว่า “ท่านแม่ เกรงว่าเรื่องของเกาเหยียนคงมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย”

เกาจื่อเซวียนเลิกคิ้ว “หรือว่าสำนักลมปราณเล็กๆ จะไม่รู้จักแยกแยะขนาดนี้?”

ก่วงจวินอันขมวดคิ้ว “เพิ่งจะได้รับข่าวจากทัพตะวันออก ว่าทางนั้นปล่อยชีอู๋เจ้าสำนักลมปราณคนก่อนไปแล้ว ทั้งยังยุติความเกี่ยวข้องของเขากับทัพตะวันออกด้วย บอกว่าทางจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลต้องการคน”

“จวนผู้ตรวจการใหญ่แดนรัตติกาลหรือเปล่า? หนิวโหย่วเต๋อ?” เกาจื่อเซวียนตกใจ “ทัพตะวันออกจะปล่อยคนให้หนิวโหย่วเต๋อได้ยังไง?”

ก่วงจวินอันตอบว่า “ไม่รู้รายละเอียดของสถานการณ์ทางนั้นเหมือนกัน บอกแค่ว่าเบื้องบนสั่งมา ชีอู๋ได้รับคำสั่งย้ายจากจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้ว ข้าไปสืบเรื่องนี้มานิดหน่อย เป็นจัวเอ๋อร์ที่สั่งเอง เบื้องล่างไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง”

“แบบนี้ก็แสดงว่าหนิวโหย่วเต๋อเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้? หนิวโหย่วเต๋อตัดสัมพันธ์กับสำนักลมปราณแล้วไม่ใช่เหรอ?” เกาจื่อเซวียนสงสัยไม่หยุด

“เป่าเหลียนนั่นเคยเป็นลูกน้องข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ รับใช้หนิวโหย่วเต๋อเป็นเวลานาน ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวลือบางอย่าง บอกว่าผู้หญิงคนนี้เคยนอนกับหนิวโหย่วเต๋อมาแล้ว ถ้าข่าวลือเป็นเรื่องจริง เกาเหยียนก็ถือว่าไปแตะต้องผู้หญิงของเขาแล้ว จะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นก็ไม่แปลก” ก่วงจวินอันกล่าว

“เอ่อ…” เกาจื่อเซวียนทำสีหน้าจริงจังทันที ต่อให้เป็นก่อนหน้านี้ นางก็อาจจะไม่เห็นหนิวโหย่วเต๋ออยู่ในสายตาด้วยซ้ำ แต่พอเกิดเรื่องที่สระน้ำมังกรดำขึ้น ก็พบว่าเป็นคนที่กล้าสู้กับอิ๋งจิ่วกวง ผู้หญิงในตระกูลสูงศักดิ์อย่างนางแม้จะมีความร่ำรวย แต่ก็ยังไม่อยากไปมีเรื่องกับคนประเภทนี้ สาเหตุหลักเป็นเพราะกลัวเรื่องพัง พอเปลี่ยนความคิดแล้ว นางก็คว้าข้อมือก่วงจวินอัน “น้องชายเจ้าคงจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”

ก่วงจวินอันตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อเป็นสุนัขบ้าตัวหนึ่ง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัย สั่งให้เกาเหยียนกลับมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าหนิวโหย่วเต๋อทำให้เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โต พวกเราก็ไม่สะดวกจะชี้แจงกับท่านพ่อแล้ว ท่านคิดว่ายังไง?”

“ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล นี่เป็นเรื่องด่วน!” เกาจื่อเซวียนพยักหน้าซ้ำๆ รีบหยิบระฆังดารามาติดต่อหลานชาย

สำนักลมปราณ ในลานบ้านเรือนรับแขก สุราอาหารเลิศรส เกาเหยียนกำลังดื่มสุราชมจันทร์ ยังคิดว่าถ้าจัดการเรื่องสู่ขอเรียบร้อยจะรีบจัดการแต่งงาน จะได้ลิ้มลองรสชาติของพริกเม็ดนั้นโดยเร็ว ใครจะคิดว่าท่านป้าจะส่งข่าวมาในเวลานี้ ทำให้เขาตกใจจนเหงื่อแตกแล้ว

สงสัยสำนักลมปราณจะมีหนิวโหย่วเต๋อหนุนหลังจริงๆ พอนึกว่าตัวเองพูดจาล่วงเกินหนิวโหย่วเต๋อก่อนหน้านี้ ก็เรียกได้ว่าตกใจจนขนหัวลุกจริงๆ

ในใจเขารู้แจ่มแจ้ง ว่าฐานะของเขาเอาไว้ใช้หลอกคนทั่วไปยังพอไหว เอาไว้ข่มลูกผู้ดีทั่วไปยังพอไหว แต่เมื่อเจอกับหนิวโหย่วเต๋อที่มีกำลังทหารในมือ เอะอะก็ยกทัพมาหาเรื่อง รัศมีรอบกายตัวเองก็ไม่เปล่งแสงอีกแล้ว นั่นคือคนที่กล้าสู้ตายกับอ่องสวรรค์อิ๋ง ขนาดหลานชายของอิ๋งจิ่วกวงก็ยังโดนฆ่าต่อหน้าฝูงชน ญาติห่างๆ อย่างเขานับเป็นตัวอะไรล่ะ หัวหลุดได้เลย

ขนาดท่านป้ายังรู้สึกว่าเรื่องนี้ร้ายแรง บอกให้เขารีบหนีไป ยังสงสัยด้วยว่าเป่าเหลียนเป็นผู้หญิงของหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะคิดไม่ซื่อกับผู้หญิงของหนิวโหย่วเต๋อซะแล้ว ถ้าหูไม่หนวกก็ล้วนเคยฟังว่าหนิวโหย่วเต๋อยกทัพไปก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงเพื่อผู้หญิงคนเดียว เขาจะกล้าอยู่ต่อได้อย่างไร ลุกขึ้นตะโกนทันทีว่า “ท่านบุรุษจ้าว ท่านบุรุษจ้าว!

“……………

เซี่ยโห้วลิ่งที่ยืนตะเกียบออกมาครึ่งหนึ่งหยุดนิ่งกลางอากาศ ลูกกระเดือกขยับอีกครั้ง

ตอนที่ได้ยินคำพูดพวกนี้ เขารู้สึกแค่ว่ามีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนทั่วทั้งร่างกาย รู้สึกถึงมันจนนขนลุก รู้สึกเลือดเดือดปุดๆ การที่ไม่สามารถรวบรวมกำลังทั้งหมดของตระกูลเซี่ยโห้วมาไว้ในมือเขาได้ เป็นเหมือนก้างที่ติดคอเขามาตลอด โอกาสที่โผล่มาอย่างกะทันหันในตอนนี้เหมือนจะไขว้คว้าได้อย่างง่ายดาย ทำให้เขาควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จริงๆ

ยังไม่ต้องคิดให้รอบคอบว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะได้ประโยชน์หรือไม่ เพราะเห็นได้ชัดเจนมาก ว่าถ้าเขาทำตามที่อีกฝ่ายบอกจริงๆ ผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับนั้นมหาศาลมาก

เว่ยซูที่อยู่ข้างๆ ชำเลืองมองปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วลิ่ง เขาแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว คำพูดของหนิวโหย่วเต๋อเรียกได้ว่าโจมตีจุดสำคัญเซี่ยโห้วลิ่งในรวดเดียว เป็นสิ่งที่เซี่ยโห้วลิ่งปรารถนาแต่ไม่เคยได้รับ เกรงว่านายท่านคงจะถูกหนิวโหย่วเต๋อปลุกปั่นให้หวั่นไหวแล้วจริงๆ จึงแอบถ่ายทอดเสียงเตือนทันที “นายท่าน ไอ้หนิวจัญไรมันฝีปากคมคาย อย่าถูกเขาปลุกปั่นเชียวนะขอรับ!”

คำเตือนนี้มาได้เหมาะเจาะพอดี เซี่ยโห้วลิ่งที่เลือดร้อนพุ่งพล่านได้สติกลับมาแล้ว แต่หัวใจยังกระเพื่อมอยู่กลางคลื่น ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ข้าจะไม่รู้เชียวเหรอว่าเจ้าเด็กนี่มันกำลังใช้ฝีปากยั่วยุข้า แต่ที่เขาพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง ไม่ใช่คำพูดเหลวไหล ลองดูต่อไปสิ ถ้าเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ ตระกูลเซี่ยโห้วแค่ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ส่งผลเสียอะไรกับตระกูลเซี่ยโห้ว”

ในระยะที่ใกล้ขนาดนี้ เหมียวอี้ย่อมสังเกตได้ว่าทั้งสองแอบถ่ายทอดเสียงคุยกัน เขาชำเลืองเว่ยซูแวบหนึ่ง คนคนนี้อยู่กับจิ้งจอกเฒ่าเซี่ยโห้วท่ามาหลายปี ทำให้เขาหวาดกลัวอยู่บ้าง จู่ๆ มาถ่ายทอดเสียงกับเซี่ยโห้วลิ่งในเวลานี้ เหมียวอี้กังวลจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะทำให้งานใหญ่ของเขาพัง

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เหมียวอี้ไม่ได้กังวลเซี่ยโห้วลิ่ง หยางชิ่งศึกษานิสัยขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์มาแล้ว ประเมินเซี่ยโห้วลิ่งไว้ไม่สูง ก่อนที่เหมียวอี้จะมา หยางชิ่งกลับเตือนให้ระวังเว่ยซูไว้ ที่ให้ระวังก็เพราะหยางชิ่งไม่สามารถสืบให้ลึกถึงก้นบึ้งของเว่ยซูได้เลย คนที่สืบไม่เจอก้นบึ้งต่างหากที่อันตรายที่สุด ก็เหมือนกับตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลที่คลำไม่เจอก้นบึ้งนั่นทำให้คนหวาดกลัวจริงๆ

สำหรับลักษณะการทำงานของเว่ยซู หยางชิ่งเองก็คลำไม่เจอเส้นสนกลในเช่นกัน จึงเตือนเกี่ยวกับเว่ยซูไว้นิดหน่อย หลังจากเซี่ยโห้วท่าสิ้นอายุขัยไปแล้ว พ่อบ้านคนสนิทของเซี่ยโห้วลิ่งก็หายตัวไป พ่อบ้านของตระกูลเซี่ยโห้วยังคงเป็นเว่ยซู สองพ่อลูกอยู่กับตระกูลเซี่ยโห้วมาสามรุ่น แต่ยังไม่เคยสูยเสียอำนาจ อาศัยแค่ข้อนี้ ระวังตัวไว้หน่อยก็ไม่ได้เสียหายอะไร

หลังจากทั้งสองถ่ายทอดเสียงคุยกันเสร็จ เซี่ยโห้วลิ่งก็ใช้ตะเกียบอีกครั้ง คีบอาหารเข้าปากแล้วบอกว่า “ผู้ตรวจการใหญ่วางแผนใหญ่มาก พูดตามตรงนะ ขนาดข้ายังตกใจเลย ฟังดูแล้วก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพียงแต่ในทางปฏิบัติ เกรงว่าอาจจะไม่เป็นไปตามใจ!”

นี่ต้องการจะสืบดูรายละเอียดแผนการของเหมียวอี้ ทว่าเหมียวอี้กลับจงใจเอียงหน้ามองเว่ยซูที่อยู่ข้างๆ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เป็นคำพูดหยอกเล่น ข้าล้อเล่นเท่านั้น ถ้าคุยต่อไปกับข้าวอาจจะเย็นจริงๆ” เขาถือตะเกียบคีบอาหารกิน แล้วยกจอกสุราเชิญอีกครั้ง

เซี่ยโห้วลิ่งเฝ้ารอฟังรายละเอียดแผนการ รู้สึกเก็บกดจนแทบกระอักเลือด แต่ก็มองออกว่าเหมียวอี้ซ่อนความลับเอาไว้ ไม่สะดวกจะให้คนที่อยู่ข้างๆ รับรู้ เขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เขายกจอกสุรารับ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “พ่อบ้านเว่ยเป็นคนข้างกายข้าที่เชื่อถือได้แน่ใจ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ได้เลย”

“แน่นอนอยู่แล้ว” เหมียวอี้ขานรับพร้อมรอยยิ้ม แล้วยกกาสุราขึ้นมารินให้ทั้งสองฝ่ายอีก จากนั้นก็กล่าวชมเรื่องรสชาติอาหาร ไม่เอ่ยถึงประเด็นหลักเลย

เซี่ยโห้วลิ่งส่ายหน้าหัวเราะ แล้วเอียงหน้าบอกใบ้เว่ยซู

เว่ยซูเรียกได้ว่ากลุ้มใจ ถึงขนาดให้ข้ารู้เรื่องแผนการใหญ่ขนาดนี้แล้ว จะให้ข้ารู้รายละเอียดสักหน่อยไม่ได้เหรอ? ถ้าข้าจะเปิดเผยความลับจริงๆ แค่เปิดโผงแผนการใหญ่ของเจ้าก็เพียงพอที่จะทำให้งานเจ้าพังแล้ว หมายความว่าอะไรกัน หรือว่ายังมีความลับอะไรที่เบี่ยงเบนจากแผนการอีก แล้วไม่ต้องการให้ข้ารู้งั้นเหรอ?

ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ยังโค้งตัวด้วยความเคารพนอบน้อม แล้วเดินออกไปอย่างใจเย็น

เพียงแต่ก่อนที่จะออกไป แววตาที่มองเหมียวอี้ค่อนข้างสื่อความหมายล้ำลึก ลองคิดดูว่าตอนที่นายท่านคนเก่ายังอยู่ เจ้าเด็กปากดีคนนี้จะได้มาพูดจาเหลวไหลต่อหน้าหัวหน้าตระกูลเหรอ อีกทั้งดูจากความเคลื่อนไหวของคุณชายรอง ก็เหมือนจะถูกหนิวโหย่วเต๋อจูงจมูกเดินแล้ว ความต่างระหว่างสองคนนี้ทำให้ความเศร้ารันทดพรั่งพรูขึ้นมาในใจเขา

เหมียวอี้เอียงหน้าสังเกตปฏิกิริยาของเขา เป็นอย่างที่เว่ยซูคิด บอกแผนการใหญ่คร่าวๆ ให้เขารู้แล้ว ถ้าปิดบังรายละเอียดอีกก็ไม่มีความหมายจริงๆ ทว่าเหมียวอี้แค่อยากจะสืบดูความสัมพันธ์ระหว่างเว่ยซูกับเซี่ยโห้วลิ่งสักหน่อย หวังว่าจะมองอะไรออกจากรายละเอียดนี้ ในเมื่อมาถึงที่แล้ว สืบอะไรได้บ้างนิดหน่อยก็ย่อมดีกว่า

ทว่ามองไม่ออกเลยว่าเว่ยซูไม่เคารพเซี่ยโห้วลิ่งตรงไหน เขาเลยทำตัวต่ำทรามโดยไม่ได้อะไรกลับมา

รอจนเว่ยซูหายไปแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งก็ถามว่า “ตอนนี้ผู้ตรวจการใหญ่พูดสิ่งที่อยากพูดได้หรือยัง?”

“เป็นหนิวเองที่เอาใจของคนทรามมาวัดใจสัตตบุรุษ” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ จากนั้นก็โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย เริ่มกดเสียงต่ำพึมพำ ไม่ได้ถ่ายทอดเสียง เพียงกล่าวเสียงต่ำเท่านั้น สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร แค่อยากจะเห็นว่าเซี่ยโห้วลิ่งเฝ้ารอเรื่องนี้ขนาดไหน

จกานั้นก็เห็นเซี่ยโห้วลิ่งโน้มตัวมาข้างหน้าเรื่อยๆ เพื่อฟัง ทั้งสองแทบจะหน้าผากชนกันแล้ว ส่วนหลังจากนี้เซี่ยโห้วลิ่งจะตัดสินใจอย่างไร เหมียวอี้ก็มีแผนการในใจแล้ว

เซี่ยโห้วลิ่งฟังอย่างละเอียดรอบคอบมาก เพราะสนใจเรื่องนี้มากจริงๆ ไม่ได้สังเกตเห็นด้วยว่าเหมียวอี้ตาเป็นประกายในบางครั้ง พอฟังไปฟังมาเขาก็ทำสีหน้าครุ่นคิด บางครั้งก็ถามรายละเอียดแล้วคิดทบทวน

หลังจากผ่านไปนาน ทั้งสองก็นั่งตัวตรงแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งที่กำลังขบคิดถือกาสุรา พอรินให้เหมียวอี้เต็มจอก ก็ยังถามเสียงต่ำว่า “เจ้าเตรียมจะลงมือเมื่อไร?”

ที่จริงคำพูดนี้ก็เท่ากับแสดงท่าทีว่ารับปากเหมียวอี้แล้ว

“ก่อนจะลงมือ ข้าขอให้ท่านปู่สวรรค์ช่วยอะไรข้าสักอย่างก่อน” เหมียวอี้กล่าว

“อ้อ!” เซี่ยโห้วลิ่งเริ่มระแวดระวังในใจ กังวลว่าอีกฝ่ายจะเริ่มใช้แผนสำรอง “ไม่ทราบว่าเรื่องอะไร?”

เหมียวอี้ตอบว่า “หลายปีก่อนข้าออกมาจากสำนักลมปราณ ช่วงนี้มีเรื่องน่าสะอิดสะเอียนเกิดขึ้นนิดหน่อย ตระกูลอิ๋งต้องการจะมอบอำนาจควบคุมร้านขายของชำซื่อตรงให้ตระกูลก่วง ข้าคิดว่าจะให้ก็ให้ไปสิ ข้าไม่มีความเห็นอะไรอยู่แล้ว ถึงยังไงร้านขายของชำซื่อตรงก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้าแล้ว แต่ใครจะคิดล่ะ ทางตระกูลก่วงดันมีเจ้าหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อเกาเหยียน ต้องการจะบังคับแต่งงานกับเป่าเหลียนหลานสาวเจ้าสำนักลมปราณให้ได้ เป่าเหลียนคนนี้เคยติดตามทำงานกับข้ามาหลายปี นางมาขอร้องข้าแล้ว ข้าเองก็ไม่สะดวกจะนิ่งดูดาย แล้วข้าเองก็ไม่สะดวกจะเข้าไปยุ่งด้วย เลยบอกไปแค่ว่า พวกเจ้าอยากจะควบคุมสำนักลมปราณยังไงข้าไม่สน แต่เรื่องของเป่าเหลียนต้องไว้หน้าข้า ปล่อยนางไปสักครั้ง เรื่องนี้ก็จะถือว่าผ่านไป เฮ้อ! ใครจะคิด ว่าเจ้าเกาเหยียนอะไรนั่นจะด่าลามมาถึงข้าแล้ว ข้าไม่เข้าใจว่าตระกูลก่วงทำแบบนี้หมายความว่าอะไร คิดว่าข้าไม่กล้าไปถล่มเขาหรือไง?”

ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง ยังนึกว่าเรื่องใหญ่โตอะไร! เซี่ยโห้วลิ่งฟังแล้วรู้สึกขำ ยกจอกสุราขึ้นมาจิบแล้วบอกว่า “เรื่องนี้ข้าก็รู้มาบ้างนิดหน่อย ตระกูลอิ๋งกับตระกูลก่วงบอกตระกูลอื่นแล้ว รับประกันว่าจะไม่ให้กระทบต่อผลประโยชน์ของทุกคน ส่วนอำนาจควบคุมอะไรนั่น จะอยู่ในมือตระกูลอิ๋งหรือในมือตระกูลก่วงก็ไม่ต่างอะไรกัน ดังนั้นตอนที่สำนักลมปราณขอร้องฝั่งนี้มา ข้าก็เลยไม่ได้เข้าไปยุ่ง เกาเหยียนอะไรนั่นคือหลานชายของเกาจื่อเซวียน อนุภรรยาคนแรกของก่วงลิ่งกง เป็นลูกพี่ลูกน้องของก่วงจวินอันด้วย เกาจื่อเซวียนเองก็เป็นมารดาของก่วงจวินอัน ทำไมล่ะ? เจ้าคงไม่ได้คิดจะให้ข้าไปคุยกับก่วงลิ่งกงหรอกใช่มั้ย ถ้าเป็นแค่เรื่องแต่งงาน ก็จัดการง่าย ข้าจะให้เว่ยซูติดต่อไปบอกโกวเยว่พ่อบ้านตระกูลก่วง น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”

สถานการณ์เป็นอย่างที่เจ้าคิดเสียที่ไหนกันล่ะ! เหมียวอี้ขี้คร้านจะพูดพร่ำถึงรายละเอียด หัวเราะเยาะแล้วบอกว่า “บอกอะไรกันล่ะ พูดดีๆ ก็ไม่ฟัง ไว้หน้าแต่ก็ไม่รับ ข้าจะเด็ดหัวเขาเลยด้วยซ้ำ! ตอนนี้เกาเหยียนนั่นพาคนไปถกเถียงที่สำนักลมปราณ ฝืนยัดเยียดสินสอด เลวทรามจริงๆ…ก็ไม่ได้มีอะไรหรอก รบกวนท่านปู่สวรรค์บอกพวกลูกน้องหน่อย ว่าเจ้าเกาเหยียนอะไรนั่น ข้าจะเอาชีวิตเขา!”

เซี่ยโห้วลิ่งหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เรื่องเล็กแค่นี้ต้องให้ข้าลงมือด้วยเหรอ? ในมือเจ้ามีอำนาจทางทหาร ในมือก็มีคน เป็นทหารเกรียงไกรทั้งนั้น ขนาดทัพตะวันออกห้าล้านยังแพ้ให้เจ้า ถ้าอยากจะจัดการเขาก็แค่เอ่ยคำเดียว”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ใช่แค่เจ้านั่น รบกวนให้ท่านปู่สวรรค์บอกทางตึกศาลาสัตยพรตให้ด้วย บอกความลับของตระกูลก่วงให้ข้ารู้หน่อย ข้าจะนำทหารไปตรวจค้น!”

เซี่ยโห้วลิ่งฟังออกถึงความหมายที่แฝงอยู่ในนั้นพอดี หรี่ตาถามว่า “กับเรื่องนี้ จำเป็นต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “ท่านปู่สวรรค์ ขอพูดสิ่งที่ท่านอาจจะไม่ชอบฟัง เรื่องที่ราชินีสวรรค์ถูกหยามเกียรติ ไม่ใช่แค่คนอื่นที่เริ่มสงสัย ข้าเองก็สงสัยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าท่านปู่สวรรค์มีแผนอีกอย่าง หรือว่าระดมกำลังของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ไหวกันแน่ ไม่สู้ลองทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ดูสักครั้งสิ ดูว่าท่านปู่สวรรค์จะมีอิทธิพลต่อตึกศาลาสัตยพรตขนาดไหน จะได้ทำให้ข้ามีความมั่นใจด้วย ข้าคงไม่ทนวาดลายขมเปี๊ยะอยู่ตั้งนาน แต่สุดท้ายตัวเองกลับไม่ได้กัดสักคำหรอก ท่านคิดว่ายังไงล่ะ?”

พูดสงสัยในความสามารถโจ่งแจ้งขนาดนี้ ในใจเซี่ยโห้วลิ่งเริ่มเดือดดาลแล้ว

ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก เหมียวอี้พูดต่อไปว่า “นอกจากนี้ ยังต้องการให้ภายนอกรู้ด้วยว่า ตระกูลเซี่ยโห้วกับข้าร่วมมือกันแล้ว จะได้เป็นการเตือนฝ่าบาท ให้ฝ่าบาทเริ่มสนใจ ในเมื่อเกาเหยียนเพิ่งจะมาชนดาบข้า ดังนั้นไม่สู้เริ่มลงมือจากเรื่องนี้ดีกว่ามั้ย เริ่มทำให้ตระกูลพวกนั้นสนใจ ข้าจะได้มั่นใจกับปฏิบัติการในตอนหลัง! เมื่อมีจังหวะเริ่มต้นแบบนี้ ถ้าข้าเริ่มลงมือเมื่อไร คนอื่นรวมทั้งตระกูลเซี่ยโห้วก็จะคิดว่าท่านปู่สวรรค์เป็นคนลงมือดำเนินการเรื่องนี้เอง เป็นท่านปู่สวรรค์ที่เริ่มลงมือกับตระกูลอิ๋งแล้ว ข้ากำจัดตระกูลอิ๋งก็เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะ ส่วนผลงานเรื่องวางอุบายพลิกแพลงสถานการณ์ก็เป็นของท่านปู่สวรรค์ นี่ไม่ใช่คำพูดหลอกลวง ข้ากระดูกอ่อนแอ แบกรับชื่อเสียงนี้ไม่ไหวจริงๆ!”

เดิมทีไม่ได้คิดจะใช้วิธีการนี้ เหมียวอี้ยังไม่อยากมีเรื่องกับตระกูลก่วง เตรียมจะหลีกทางให้แล้ว เรื่องใหญ่กำลังจะมาถึง เขายอมให้สำนักลมปราณได้รับความอยุติธรรม ขอเพียงรักษาความบริสุทธิ์ของเป่าเหลียนไว้ได้ จะได้ตอบแทนไมตรีในปีนั้น ใครจะคิดว่าตระกูลก่วงดึงดันจะตบหน้าเขาให้ได้ แค่ไว้หน้าแค่นี้ยังทำให้เขาไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงยืมดาบของตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว มีตระกูลเซี่ยโห้วคุมอยู่ ตระกูลก่วงที่ไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนก็จะไม่กล้าลงมือส่งเดช

เซี่ยโห้วลิ่งไม่ได้บอกว่าตอบตกลงหรือไม่ โยนประเด็นนี้ทิ้งไปก่อน แล้วก็ถามเรื่องการร่วมมือกันอีกนิดหน่อย

เหมียวอี้ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องสำนักลมปราณอีก หลังจากปรึกษากันจบแล้วก็ปลอมตัวอีกครั้ง แล้วออกจากตระกูลเซี่ยโห้วไปท่ามกลางแสงแดดยามสายันห์

เว่ยซูกลับมาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้าอีกครั้ง แล้วทำท่าอึกอักเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง แต่ก็ไม่สะดวกจะให้เซี่ยโห้วลิ่งเล่าว่าคุยอะไรกับเหมียวอี้ เพียงต้องเตือนอีกครั้งว่า “นายท่าน หวังว่าท่านยังจำเรื่องในงานเลี้ยงวันเกิดของนายท่านใหญ่ได้ ประเมินไอ้หนิวจัญไรต่ำไม่ได้เด็ดขาด ระวังจะมีอุบาย!”

“เจ้าเด็กนั่นไม่ธรรมดาจริงๆ หกลัทธิดันตัวละครแบบนี้ออกมา ควรค่าที่จะครุ่นคิด…” เซี่ยโห้วลิ่งครุ่นคิดพลางพยักหน้า พอยกจอกสุรามาจ่อปากก็เงยหน้าบอกว่า “ทางสำนักลมปราณมีเรื่องนิดหน่อย เจ้าเตรียมคนไปจัดการสักหน่อยเถอะ…”

…………………

เหมียวอี้เหลือบตามองเว่ยซูโดยจิตใต้สำนึก สังเกตเห็นแล้วว่าบุคคลผู้มีอำนาจที่แท้จริงของตระกูลเซี่ยโห้วกำลังสังเกตตนอยู่

เพียงแต่สิ่งนี้ไม่ได้สำคัญ ความสนใจของเหมียวอี้ย้ายไปบนตัวเซี่ยโห้วลิ่งที่อยู่ตรงข้ามอีกครั้ง สังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เขาไม่เชื่อหรอกว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากรู้ว่าจุดประสงค์ในการมาของเขาคืออะไร ไม่เชื่อว่าจะไม่อยากรู้ว่าเขาจะช่วยเหลืออย่างไร ตอนนี้ก็แค่นั่งอย่างสง่าผ่าเผย อยากจะกุมอำนาจฝ่ายกระทำก็เท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นคงไม่มาพบเขา ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้เขาแอบเข้ามาในสวนต้องห้ามของตระกูลเซี่ยโห้ว สวนซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้ามาได้

ทั้งสองเหมือนจะไม่ค่อยสนใจกลับแกล้มที่อยู่บนโต๊ะ สนใจแต่ดื่มสุรา คนหนึ่งยิ้มอย่างเยือกเย็น อีกคนตั้งสมาธิอย่างใจจดใจจ่อ

รอจนเซี่ยโห้วลิ่งกำลังยกจอกสุราดื่ม เหมียวอี้ก็ชิงยื่นมือถือกาสุรารินให้อีกฝ่าย เซี่ยโห้วลิ่งไม่ได้ปฏิเสธ ยิ้มอย่างสุขุมเยือกเย็นอยู่ตลอด

พอตั้งกาสุราให้ตรง ตรงปากกาก็ไม่มีน้ำหยด ถือเป็นกาสุราที่ดี เหมียวอี้วางกาสุราลงแล้วถามว่า “หรือว่าท่านปู่สวรรค์ไม่รู้จริงๆ ว่าภายนอกวิจารณ์ท่านปู่สวรรค์ว่ายังไง?”

เซี่ยโห้วลิ่งวางมือสองข้างบนตัก แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ภายนอกจะวิจารณ์ข้าดีก้ช่าง จะวิจารณ์ข้าแย่ก็ช่าง ไม่จำเป็นต้องแยแสเกินไปนัก” ความหมายก็คือไม่อยากฟัง

เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ “ท่านปู่สวรรค์ใจกว้าง ควรค่าที่จะเอาเป็นแบบอย่าง หนิวไม่ได้เข้าใจอะไรง่ายเหมือนท่านปู่สวรรค์ แน่นอน คำวิจารณ์บางอย่างท่านปู่สวรรค์อาจจะไม่เคยฟังเลยตลอดชีวิต ยกตัวอย่างเช่น…” เขาชี้ไปทางเว่ยซู “อย่างน้อยพ่อบ้านเว่ยก็คงไม่บอกท่านปู่สวรรค์แน่”

เซี่ยโห้วลิ่งชำเลืองมองเว่ยซูโดยจิตใต้สำนึก

เจ้าหมอนี่คิดจะทำอะไร? เว่ยซูพึมพำในใจ แต่กลับโค้งตัวเล็กน้อย “ผู้ตรวจการใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าข้ากล่าวเกินไป แต่คนทั้งใต้หล้าล้วนรู้สึกว่าท่านปู่สวรรค์ไม่เหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้ว” ประโยคก่อนหน้ายังดีอยู่ แต่ประโยคหลังแรงจนไม่รู้จะแรงอย่างไรแล้ว เรียกได้ว่าเป็นยาแรง ต้องทำให้คนสะเทือนใจแน่นอน

รอยยิ้มของเซี่ยโห้วลิ่งเจือด้วยความเย็นเยียบขึ้นหลายส่วน จ้องเหมียวอี้พลางยิ้มเบาๆ

“ผู้ตรวจการใหญ่ ตระกูลเซี่ยโห้วให้เกียรติท่านในฐานะแขก โปรดระวังคำพูดด้วย!” เว่ยซูกล่าวเสียงต่ำ

เหมียวอี้ราวกับนั่งตกปลาอย่างสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางคลื่นยักษ์ ไม่สะทกสะท้าน หัวเราะอย่างสบายๆ แล้วบอกว่า “หรือว่าข้าพูดอะไรผิดไป? ก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง คนในใต้หล้าเปรียบเทียบท่านปู่สวรรค์คนเก่ากับท่านปู่สวรรค์คนใหม่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ผลของการเปรียบเทียบเป็นยังไง ท่านเองก็รู้อยู่แก่ใจแล้ว คำวิจารณ์พวกนี้มีน้อยเสียที่ไหนล่ะ? เพียงแต่ท่านไม่กล้าพูดให้ท่านปู่สวรรค์ฟังก็เท่านั้นเอง แล้วในความเป็นจริงล่ะ เกรงว่าคงไม่ได้มีแค่คนในใต้หล้าที่วิจารณ์แบบนี้ แม้แต่ภายในตระกูลเซี่ยโห้วเองก็มีให้ได้ยินบ้างเหมือนกัน ต่างก็รู้สึกว่าท่านปู่สวรรค์กับท่านปู่สวรรค์คนเก่าห่างกันไกลมาก พ่อบ้านเว่ยจะปฏิเสธความจริงเรื่องนี้ได้หรือเปล่า?”

เว่ยซูเผยสีหน้าถากถางเล็กน้อย แต่กลับเถียงไม่ออก ถ้าเขาบอกว่าไม่มีเรื่องแบบนี้อยู่ เกรงว่าแม้แต่เซี่ยโห้วลิ่งเองก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน

เซี่ยโห้วลิ่งยังมีท่าทางไม่สะทกสะท้าน แต่กลับอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ “ผู้ตรวจการใหญ่วิจารณ์อย่างนี้ต่อหน้าข้า ไม่ทราบว่าจงใจจะเหยียดหยามหรือกำลังยั่วยุให้ฮึกเหิมล่ะ? ท่านพ่อปราดเปรื่องเจ้าแผนการ ที่ข้าเทียบกับท่านพ่อไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติมาก จุดนี้ข้าเองยังต้องยอมรับ ทั้งยังยอมรับแบบปากกับใจตรงกันด้วย จำเป็นต้องให้ผู้ตรวจการใหญ่เตือนด้วยหรือ?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “จะกล้าเหยียดหยามได้อย่างไรกัน! ท่านปู่สวรรค์กตัญญู หนิวเองก็นับถือ จะเห็นได้ว่าท่านปู่สวรรค์คนเก่ามีสายตาแหลมคมในการแยกแยะคน เพียงแต่คนในใต้หล้าเลอะเลือน พอใบไม้หนึ่งใบบังตา ก็มองไม่เห็นภูเขาไท่ซานซะแล้ว คนในใต้หล้าเห็นแค่ว่าราชินีสวรรค์ที่มาจากตระกูลเซี่ยโห้วถูกคนรังแกจนได้รับความอัปยศ ขนาดลูกชายที่เป็นโอรสสวรรค์ถูกลดตำแหน่งก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ ต่างก็บอกว่าถ้าท่านปู่สวรรค์คนเก่ายังอยู่ ราชินีสวรรค์คงไม่ถูกหยามเกียรติขนาดนี้ แม้แต่ในตระกูลเซี่ยโห้วเอง คนที่วิจารณ์แบบนี้ก็เหมือนจะมีไม่น้อย บอกว่าคนที่เป็นฐานให้ตระกูลเซี่ยโห้วมีแต่ผู้มีฝีมือ ลองเลือกมาสักคนก็สามารถแบกรับหน้าที่ได้เพียงลำพังอยู่แล้ว ทำไมกลับให้คนที่ไม่เคยผ่านการขัดเกลา ตาสูงฝีมือต่ำมาเป็นหัวหน้าตระกูล ทำให้ทั้งตระกูลเซี่ยโห้วต่างก็เงยหน้าไม่ขึ้น เป็นความอัปยศใหญ่หลวงตั้งแต่ก่อตั้งตระกูลเซี่ยโห้วขึ้นมาจริงๆ…”

“บังอาจ!” เว่ยซูทนฟังต่อไปไม่ได้แล้ว จึงตะคอกเสียงดัง

เหมียวอี้รีบชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็รีบสังเกตปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วลิ่ง สังเกตเห็นว่าเซี่ยโห้วลิ่งเหมือนจะกำลังยิ้มอยากเยือกเย็น ที่จริงแล้วลูกกระเดือกขยับเล็กน้อย รู้ว่าตัวเองคงจะสะกิดโดนจุดที่เจ็บปวดของอีกฝ่ายแล้ว

ในใต้หล้ามีคนพูดอย่างนี้หรือไม่เขาก็ไม่รู้ คนในตระกูลเซี่ยโห้วมีพูดอย่างนี้หรือไม่เขาก็ไม่รู้ ไม่เคยสืบเรื่องในด้านนี้มาก่อนเลย แต่เขาเองต่างหากที่มองเซี่ยโห้วลิ่งแบบนี้ คาดว่าความคิดของคนในใต้หล้าก็คงไม่ดีกว่ากันสักเท่าไร

ที่จริงสองมือของเซี่ยโห้วลิ่งที่อยู่ใต้โต๊ะกำหมัดแน่นแล้ว กำจนเส้นเลือดดำปูดขึ้นมา ข้อนิ้วขาวซีด เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตระกูลเซี่ยโห้วมีคนมากมายไม่ยอมจำนนต่อหัวหน้าตระกูลอย่างเขา แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้เปิดเผยชัดเจน ตอนนี้โดนคนนอกเปิดโปงซึ่งๆ หน้าแล้ว ความคับแค้นกลัดกลุ้มที่สะสมมาทำให้เขาอับอายจนโมโห แทบจะระเบิดอารมณ์ชกเหมียวอี้ให้ฟันร่วงพื้น จะได้ไม่ต้องปากดีอีก

“ไม่เป็นไร ได้ฟังความเห็นอันเหนือชั้นของผู้ตรวจการใหญ่ก็น่าสนใจดีเหมือนกัน” เซี่ยโห้วลิ่งยิ้มพลางยกมือห้ามเว่ยซูที่กำลังทำสีหน้าเย็นเยียบ ถ้าโดนคนว่าแค่สองสามคำก็อับอายจนโมโหแล้ว แบบนั้นจะไม่เท่ากับรับสารภาพเอง เปิดโปงตัวเองหรอกหรือ ที่สำคัญคือเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเล่นงานเหมียวอี้ให้ตายที่นี่ คนที่รู้ว่าเหมียวอี้มาที่นี่ไม่ได้มีแค่เหมียวอี้เท่านั้น จะแกล้งทำใจกว้างหรือไม่ ก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ชัดอยู่แก่ใจ

“ไอ้หยา! มิน่าล่ะข้าถึงล่วงเกินคนอื่นได้ง่ายๆ คนทั้งใต้หล้านี้โดนข้าล่วงเกินมาหมดแล้ว ข้าปากหมานี่เอง!” เหมียวอี้ทำท่าเหมือนสำนึกได้ในฉับพลัน เหมือนเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป จู่ๆ ก็ทำสีหน้าหวาดกลัว รีบลุกขึ้นยืน กุมหมัดคารวะโค้งตัวต่อเซี่ยโห้วลิ่ง “เป็นหนิวเองที่บุ่มบ่ามพลั้งปาก หวังว่าท่านปู่สวรรค์จะใจกว้างไม่ถือสา”

เซี่ยโห้วลิ่งยื่นมือเชิญให้นั่ง ยังคงยิ้มเหมือนเดิม “เพื่อที่จะบรรลุจุดประสงค์ ผู้ตรวจการใหญ่ช่างทุ่มเทความคิดและฝีปากเต็มที่จริงๆ ไม่ทราบว่าเกี่ยวอะไรกับที่บอกว่าจะช่วยเหลือข้าอีกแรง? หรือว่าผู้ตรวจการใหญ่ต้องการจะช่วยข้าอุดปากคนในใต้หล้าพวกนั้น?”

ในที่สุดก็ก้าวเข้าสู่เส้นทางนี้แล้ว เหมียวอี้โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านปู่สวรรค์ปราดเปรื่อง ข้ามีเจตนานี้!”

เว่ยซูจ้องเหมียวอี้ด้วยสายตาระแวดระวังทันที

เซี่ยโห้วลิ่งอึ้งเล็กน้อย “ฮ่าๆ” แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าหัวเราะลั่นพักหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าบอกว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ช่างใส่ใจจริงๆ ขนาดตัวเองยังจะเอาไม่รอด ยังมาถึงเป็นห่วงข้า น่าสนใจๆ”

“ท่านปู่สวรรค์สงสัยในความจริงใจของข้าเหรอ?” เหมียวอี้ถามด้วยสีหน้าจริงจัง

เซี่ยโห้วลิ่งพูดหยอกว่า “ท่านคิดว่ายังไงล่ะ?” เขาถือตะเกียบชี้กับแกล้มที่อยู่บนโต๊ะ “ถ้าคุยต่ออาหารคงเย็นหมดแล้ว จะดูเหมือนตระกูลเซี่ยโห้วต้อนรับไม่ดี เชิญรับประทาน!”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “อาหารเย็นก็ดีกว่าจิตใจของตระกูลเซี่ยโห้วที่เย็นชาตั้งเยอะนะ! บอกตามตรง ถ้าไม่มีผลประโยชน์ ข้าก็ไม่ทำเรื่องนี้เหมือนกัน ถ้าไม่มีประโยชน์ต่อท่านปู่สวรรค์ ข้าก็ไม่มาเยี่ยมคารวะท่านปู่สวรรค์หรอก ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เป็นเรื่องที่ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน เหตุใดท่านปู่สวรรค์ไม่ยินดีที่จะทำล่ะ?”

เซี่ยโห้วลิ่งที่คีบอาหารเข้าปากแล้วกำลังเคี้ยวช้าๆ เหมือนดื่มด่ำกับรสชาติ ก่อนจะกล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า “ข้าว่าผู้ตรวจการใหญ่คงไม่ได้อยากจะช่วยข้าหรอก แต่อยากจะให้ข้าช่วยผู้ตรวจการใหญ่มากกว่า เอาล่ะ ผู้ตรวจการใหญ่เลิกอ้อมค้อมได้แล้ว ว่ามาเถอะ อยากจะให้ข้าช่วยอะไร ถ้าช่วยได้ข้าก็จะช่วยเต็มที่ แต่ถ้าช่วยไม่ได้ก็ขออภัย” เขารู้ถึงจุดประสงค์ที่อีกฝ่ายมาแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมทิ้งอำนาจฝ่ายกระทำ ยังคงวางมาดอยู่อย่างนั้น

เหมียวอี้ทำสีหน้าจริงจัง กล่าวสิ่งที่ทำให้คนตกตะลึง “ไม่พุดโกหกต่อหน้าคนจริง ข้าอยากจะถอนรากถอนโคนตระกูลอิ๋ง!”

“…” เว่ยซูที่อยู่ข้างๆ พูดไม่ออก

ตะเกียบที่เซี่ยโห้วลิ่งยื่นออกไปค้างนิ่ง มองเหมียวอี้อยู่พักใหญ่ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น ก็คีบตะเกียบลงที่อาหารอย่างช้าๆ คีบใส่ปากแล้วกัดเคี้ยว กำลังย่อยข้อความในคำพูดของเหมียวอี้ด้วยแววตาเป็นประกาย หลังจากผ่านไปพักใหญ่ถึงได้แสยะยิ้ม “นี่ผู้ตรวจการใหญ่กำลังล้อเล่น หรือกำลังพูดจาเพ้อฝัน? ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะช่วยเจ้าทำเรื่องนี้ไม่ได้ ต่อให้ยินดีช่วยเจ้าทำ แต่เจ้าคิดว่าอำนาจทางทหารในมืออ่องสวรรค์อิ๋ง กำลังพลทัพตะวันตกที่อยู่ในมือเขามีไว้ประดับเฉยๆ เหรอ?”

“แล้วถ้าทัพตะวันตกเกิดความขัดแย้งภายในล่ะ?” เหมียวอี้ถามทันที

เซี่ยโห้วลิ่งส่ายหน้า “ทัพใต้ ทัพเหนือ ทัพตะวันตกคงไม่อยู่เฉยๆ”

“ถ้าฝ่าบาทเข้ามาแทรกแซงอีกล่ะ?” เหมียวอี้ถามเสริม

เซี่ยโห้วลิ่งกับเว่ยซูเผยสีหน้าตกใจ สังเกตสีหน้าเหมียวอี้อย่างละเอียด กำลังแยกแยะว่าพูดจริงหรือโกหก

เหมียวอี้ถามอีกว่า “ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วยินดีจะร่วมมือกับหนิว หนิวก็มีวิธีการทำให้ทัพตะวันออกขัดแย้งภายในอยู่แล้ว ถ้ามีฝ่าบาทลงมืออีก อิ๋งจิ่วกวงจะต้องตายแน่นอน หนิวสามารถตักรากถอนโคนได้ตอนนี้เลย!”

“ฝ่าบาทชี้แนะให้เจ้าทำอย่างนี้เหรอ?” เซี่ยโห้วลิ่งถามเสียงต่ำ

“ไม่ใช่!” เหมียวอี้ส่ายหน้า เอานิ้วจุ่มลงในจอกสุรา แล้ววาดบนผิวโต๊ะ “สี่ทัพจัดระเบียบ ทำให้ภายในมีคนคับแค้นใจตั้งนานแล้ว เพียงแต่ถูกข่มไว้เลยไม่ปะทุออกมาก็เท่านั้นเอง ศึกสระน้ำมังกรดำทำให้อิ๋งจิ่วกวงสูญเสียบารมีความน่าเชื่อถือไปเยอะมาก ภายในทัพตะวันออกก็ยิ่งเริ่มมีคนบ่น ตอนนี้ถ้าใส่ยาแรงลงไปอีก ก็จะเป็นโอกาสดีที่สวรรค์ประทานให้! ท่านปู่สวรรค์ก็น่าจะรู้ ว่าการที่สี่อ๋องสวรรค์มีกำลังทหารแน่นหนาแต่ไม่เข้าประชุมขุนนางนั้น ได้ทำให้ฝ่าบาทเกิดความคิดที่จะตัดกำลังทหารของพวกเขาแล้ว เพียงแต่สี่อ่องสวรรค์ไหวตัวทัน เลยล้างเลือดไปยกหนึ่งเพื่อควบคุมไว้ ถ้าส่งโอกาสมาให้ตรงหน้า ท่านปู่สวรรค์ลองเดาดูสิว่าฝ่าบาทจะลงมืออีกครั้งหรือเปล่า? ถึงตอนนั้นท่านกับข้าไม่จำเป็นต้องทำอะไรหรอก ฝ่าบาทจะฉวยโอกาสเคลื่อนไหวแน่นอน! ท่านปู่สวรรค์ ท่านจะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้ พลาดแล้วพลาดเลยนะ ถ้ารอให้อิ๋งจิ่วกวงลดผลกระทบจากศึกสระน้ำมังกรดำได้แล้ว รอให้เขาคุมสถานการณ์จนมั่นคงใหม่อีกครั้ง ถ้าคิดจะลงมืออีก ก็เกรงว่าจะไม่ได้มีโอกาสดีอย่างนี้แล้ว!”

“ก็อย่างที่ข้าบอก ทัพใต้ ทัพตะวันตก ทัพเหนือไม่นิ่งดูดายแน่ถ้าเห็นอิ๋งจิ่วกวงล้มลง ถ้าเก้าอี้ขาดขาแล้ว พวกเขาก็เข้าใจถึงผลที่ตามมาดีกว่าใครทั้งนั้น” เซี่ยโห้วลิ่งกล่าว

เหมียวอี้จึงบอกว่า “โอกาสในการตัดสินชัยชนะบนสนามรบอยู่ตรงไหนล่ะ? จู่โจมไง! นี่ก็คือสาเหตุที่หนิวมาแอบพบกับท่านปู่สวรรค์ ถ้ามีตระกูลเซี่ยโห้วดึงดูดความสนใจของสามทัพนั้น ทำให้สามทัพไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแล้วมองข้ามอิ๋งจิ่วกวงไป ถึงจะมีโอกาสให้ฝ่าบาทจู่โจมกะทันหัน!”

เซี่ยโห้วลิ่งพ่นเสียงทางจมูก “ผู้ตรวจการใหญ่ช่างคิดคำนวณได้ดีจริงๆ ถ้าข้าทำให้สามคนนั้นโมโหแล้ว แต่เจ้ากลับสะบัดมือไม่สนใจ ตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่ต้องรับผลเสียนี้ไว้ฝ่ายเดียวหรอกหรือ?”

เหมียวอี้จับตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก กรอกสุราดื่มอึกหนึ่ง แล้วถือจอกสุรารินให้ทั้งสองฝ่ายอีกครั้ง “ท่านปู่สวรรค์กล่าวผิดแล้ว ผู้โจมตีหลักของเรื่องนี้ไม่ใช่ตระกูลเซี่ยโห้ว แต่เป็นหนิว!”

เซี่ยโห้วลิ่งหรี่ตา “เจ้า?” น้ำเสียงนี้เหมือนสงสัยในศักยภาพของเขา

เหมียวอี้พยักหน้า “ไม่ผิดหรอก! ผู้โจมตีหลักก็คือข้า ส่วนตระกูลเซี่ยโห้วก็เดินผ่านฉากพอเป็นพิธี ถ้าพบว่าเรื่อง ไม่เป็นผลเสียอะไรต่อตระกูลเซี่ยโห้วเลยสักนิด! ถ้าพูดให้ชัดก็คือ ข้าเองก็รู้ถึงความลำบากของท่านปู่สวรรค์ อาศัยความสามารถในการควบคุมตระกูลของท่านปู่สวรรค์ตอนนี้ ยังไม่สามารถระดมกำลังทั้งหมดของตระกูลเซี่ยโห้วให้เป็นผู้โจมตีหลักได้ หนิวก็เลยไม่บังคับ”

“ฮ่าๆ!” เซี่ยโห้วลิ่งกลั้นขำไม่ไหว “ไม่ต้องใช้วิธีการยั่วยุให้ฮึกเหิมแล้ว พูดมาตั้งนาน ตระกูลเซี่ยโห้วจำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายทำเรื่องนี้มั้ย?”

เหมียวอี้กดตะเกียบลงแล้วมองตรงๆ “ราชินีสวรรค์ถูกหยามเกียรติ ถูกตระกูลอิ๋งรังแก ไม่ใช่เพราะท่านปู่สวรรค์จัดการตระกูลอิ๋งไม่ได้ แต่เพราะวางแผนให้รอบคอบก่อนแล้วค่อยเคลื่อนไหวทีหลัง แค่ไม่เคลื่อนไหวเท่านั้นเอง ถ้าได้เคลื่อนไหวขึ้นมา ก็ทำให้ตระกูลอิ๋งปลิวสลายหายไปราวกับขี้เถ้าได้เลย! พอทำลายคำนินทาเหลวไหลได้ ทำตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของท่านปู่สวรรค์ให้มั่นคงได้ ในใต้หล้านี้ยังจะมีใครกล้าดูถูกหัวหน้าตระกูลคนใหม่ของตระกูลเซี่ยโห้วอีก ตระกูลเซี่ยโห้วยังจะกล้าพูดอีกมั้ยว่าหัวหน้าตระกูลอ่อนแอ ต่อไปทุกคนจะต้องเคารพยำเกรงแน่นอน ยามเห็นหัวหน้าตระกูลออกคำสั่ง พวกเขาก็จะพากันก้มหน้าด้วยความหวาดกลัว! ลองคิดดูสิ เรื่องที่แม้แต่ท่านปู่สวรรค์คนเก่ายังทำไม่ได้ แต่ท่านปู่สวรรค์กลับทำได้อย่างสบายมือ ฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างท่ามกลางละอองฝนโปรยปราย โจมตีทีเดียวถึงแก่ชีวิต จะต้องสะเทือนทั้งใต้หล้าแน่นอน นี่คือโอกาสดีที่จะหล่อหลอมจิตใจของทุกคนในตระกูลเซี่ยโห้ว ท่านปู่สวรรค์ตัดใจไม่ไขว่คว้าได้ยังไง?”

………………

“ใช่ ท่านแม่พูดถูก” ก่วงจวินอันพยักหน้า

จากนั้นก็เดินตามออกจากแปลงดอกไม้ แล้วรีบก้าวเข้ามาประคองมารดาเดินขึ้นบันได แล้วเดินเล่นช้าๆ อยู่ใต้ชายคาระเบียงด้วยกัน

ในขณะนี้เอง มีหญิงรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาแล้ว ถ่ายทอดเสียงบอกเกาจื่อเซวียนสองสามประโยค เกาจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วโบกมือบอกใบ้ให้สาวใชถอยออกไป

พอมองออกว่ามารดาดูไม่สบอารมณ์ ก่วงจวินอันก็ถามว่า “เป็นอะไรไป?”

เกาจื่อเซวียนตอบบเบาๆ “ท่านพ่อเจ้าไปหาหวังเฟยแล้ว เป็นฮูหยินเอกจริงๆ ด้วย ข้าแก่แล้วเทียบไม่ติดหรอก”

ก่วงจวินอันแอบถอนหายใจ การที่มารดาไม่ได้เป็นฮูหยินเอก กลายเป็นปมด้อยที่ใหญ่ที่สุดของเขา แต่ก็ยังพูดปลอบใจด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่ล้อเล่นแล้ว ลูกว่าท่านสวยที่สุดในจวนท่านอ๋องแล้ว ผู้หญิงที่แต่งตัวฉูดฉาดพวกนั้นก็แค่สวยแต่รูป ท่านพ่อไม่ใช่คนเลอะเลือน ในใจย่อมมีแผนการ ก็แค่ลิ้มลองของใหม่ก็เท่านั้นเอง สุดท้ายก็ไม่ลืมที่จะมาหาท่านที่นี่”

“มีแต่เจ้าที่ปากหวาน!” เกาจื่อเซวียนกลอกตามองเขา แต่บนใบหน้ากลับเผยรอยยิ้ม คำพูดของลูกชายใช้ได้ผล ความจริงก็เป็นอย่างนี้ ในจวนท่านอ๋องมีผู้หญิงขึ้นๆ ลงๆ มากมาย แต่นางกลับไม่เคยได้รับความชุ่มฉ่ำจากท่านอ๋องน้อยลงเลย

ทางด้านห้องหลัก หวังเฟยเม่ยเหนียงถอดเปลี่ยนชุดลำลองให้ก่วงลิ่งกง

ก่วงลิ่งกงที่จัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วมองไปรอบๆ “เม่ยเอ่อร์ นางหนูนั่น ปกติถ้าข้ามาก็จะกระโดดโลดเต้นเข้ามาแล้ว ทำไมวันนี้ไม่เห็นเลย?”

เม่ยเหนียงถอนหายใจ “นางหนูนั่นไม่เชื่อฟัง ทำให้ข้าโมโห ข้าก็เลยต้องขังนางไว้”

“เฮ่อๆ!” ก่วงลิ่งกงส่ายหน้าหัวเราะ มารดาอบรมลูกสาวก็เป็นเรื่องปกติ จึงไม่ได้ถามอะไรมาก เดินไปฝึกตนที่ห้องสมาธิแล้ว

เมื่อว่างงานแล้ว เม่ยเหนียงถึงได้กลับมาที่โถงหลัก เรียกสาวใช้ที่รออยู่ข้างนอกเข้ามา แล้วถามเบาๆ ว่า “ทางสวนจิ้งเซวียนมีความเคลื่อยชนไหวอะไรบ้าง?”

สาวใช้ตอบเสียงเบาว่า “ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรค่ะ คุณชายใหญ่ก็แค่อยู่ที่นั่น”

เม่ยเหนียงพยักหน้า บอกว่า “จับตาดูต่อไป คอยดูคุณหนูด้วย ถ้าข้าไม่อนุญาต ก็อย่าให้นางติดต่อใครทั้งนั้น”

“ค่ะ!” สาวใช้เอ่ยรับ

เม่ยเหนียงโบกมือให้นางออกไป แล้วนั่งลงครุ่นคิดเพียงลำพังพักหนึ่ง พลางพึมพำว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าเป็นพวกชอบก่อเรื่อง อย่าทำให้ข้าผิดหวังสิ…”

สำนักลมปราณ เรือนรับแขก เมื่อได้รับคำชี้แนะจากท่านป้าแล้ว เกาเหยียนไม่เพียงแค่เข้าใจว่าควรต้องทำอย่างไร ตอนนี้มีความมั่นใจมากขึ้นแล้วเช่นกัน เดินออกจากห้องตัวเองอย่างไม่หวาดกลัวแล้ว

พอมาถึงด้านนอกก็เรียกผู้ติดตาม “ตอนนี้เจ้าไปหาเจ้าจมูกวัวอวี้หลิงนั่นนะ บอกเขาว่าข้าจะแต่งงานกับเป่าเหลียนให้ได้ ถ้าพรุ่งนี้ข้าไม่ได้รับคำตอบที่ถูกต้อง ชีอู๋อาจารย์ของเขาก็จะได้รับความลำบากแล้ว ถึงตอนนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ช่วยพูดให้พวกเขา!”

“รับทราบ!” ผู้ติดตามรีบเอ่ยรับคำสั่งแล้วเดินออกไป

ความคิดของเขาส่งไปถึงอวี้หลิงเจินเหรินอย่างรวดเร็ว ศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองที่ยืนอยู่ในลานบ้านมีสีหน้าแย่มาก มองคล้อยหลังลูกน้องของเกาเหยียนที่เดินออกไปอย่างไม่แยแสทุกสิ่ง

“รังแกกันเกินไปแล้ว!” อวี้เลี่ยนเจินเหรินแค้นมาก

อวี้หลิงเจินเหรินหลับตาลงช้าๆ ยามเผชิญกับอำนาจที่แข็งแกร่งแบบนั้น แค่กดดันมานิดหน่อย ฝั่งเขาก็เริ่มทนรับไม่ไหวแล้ว ไม่ใช่เพราะเป่าเหลียนเป็นหลานสาวของตนจึงไม่ยอมให้แต่งงาน แต่ถ้าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศจริงๆ จะให้สำนักลมปราณทนความรู้สึกได้อย่างไร? แต่ถ้าไม่ตอบตกลง ชีอู๋เจินเหรินก็ไม่ใช่แค่อาจารย์ของเขาเท่านั้น ทั้งยังเป็นบรรพาจารย์ของสำนักลมปราณด้วย แม้แต่บรรพาจารย์ผู้บุกเบิกสำนักก็ยังทอดทิ้ง แล้วจะให้ชี้แจงกับทุกคนในสำนักลมปราณอย่างไร?

“ศิษย์น้อง เจ้าไปถามเป่าเหลียนแทนข้าหน่อย ถามว่านางยเต็มใจแต่งงานหรือเปล่า” อวี้หลิงเจินเหรินกล่าวอย่างจนใจ

อวี้เลี่ยนเจินเหรินเบิกตากว้าง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “สิ่งนี้ถามได้ด้วยเหรอ? พอเอ่ยปากถาม เป่าเหลียนจะต้องรู้แน่นอนว่าสำหรับแบกรับความกดดันนี้ไม่ไหว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเสียสละตัวเอง! ตอนนี้ความหวังสุดท้ายของเป่าเหลียนก็คือสำนัก พวกเราจะทำลายความหวังของนางได้ยังไง? คำถามนี้ข้าพูดไม่ออกหรอก ถ้าอยากจะถามก็ไปถามเอง!”

“งั้นเจ้าบอกหน่อยว่าตอนนี้ข้าควรจะทำยังไง?” อวี้หลิงเจินเหรินถอนหายใจ

อวี้เลี่ยนเจินเหรินสะบัดแขนเสื้อ แล้วชี้ไปด้านนอก “ไม่สู้ให้หนิวโหย่วเต๋อเข้ามาแทรกแซงก็สิ้นเรื่องแล้ว อย่างมากก็ยอมเป็นหยกที่แตกละเอียด ดีกว่าเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์”

“แล้วท่านอาจารย์ล่ะ?” อวี้หลิงเจินเหรินถามเสียงดัง “แล้วท่านอาจารย์ควรจะทำยังไง? ท่านอาจารย์อยู่ในมือของทัพตะวันออก เจ้าว่าสำหรับสำนักลมปราณแล้ว เป่าเหลียนสำคัญกว่าหรือท่านอาจารย์สำคัญกว่า?”

“…” อวี้เลี่ยนเจินเหรินพูดไม่ออก “เฮ้อ” ได้แต่ถอนหายใจแรงๆ แล้วหันตัวไปชกต้นไม้ อารมณ์คับแค้นที่แสดงบนใบหน้ายากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ทว่ายามเผชิญกับอำนาจที่แข็งแกร่งแบบนี้ ในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกจนใจไร้ความสามารถ

“ไปเถอะ!” อวี้หลิงเจินเหรินตบบ่าศิษย์น้อง “เรื่องนี้ข้าเอ่ยปากกับเป่าเหลียนลำบากจริงๆ เจ้าไปพูดให้ดีกว่า”

อวี้เลี่ยนเจินเหรินพลันหันตัวมา “ศิษย์พี่ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อสามารถช่วยชีวิตท่านอาจารย์ได้ล่ะ?”

“เขาล่วงเกินตระกูลอิ๋งถึงขนาดนั้นแล้ว ตระกูลอิ๋งจะปล่อยเขาไปได้ยังไง!” อวี้หลิงเจินเหรินกล่าวด้วยสีหน้าขื่นขม

“แล้วถ้าได้ล่ะ ถ้าไม่ลองจะรู้ได้ยังไง?” อวี้เลี่ยนเจินเหรินถามอย่างคับแค้น

อวี้หลิงเจินเหรินหลับตาถอนหายใจ “ถ้าเขาช่วยท่านอาจารย์ออกมาได้จริงๆ ก็จะทำตามทุกอย่างที่เขาบอก”

อวี้เลี่ยนเจินเหรินหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ทันที อวี้หลิงเจินเหรินพลันคว้าข้อมือเขา แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ศิษย์น้อง นี่คือเรื่องของสำนักลมปราณ ไม่จำเป็นต้องทำให้เขาลำลากไปด้วย”

อวี้เลี่ยนเจินเหรินฝืนแกะข้อมือเขาออกเหมือนอารมณ์เสีย จากนั้นวิ่งไปไกลๆ แล้วติดต่อหาเหมียวอี้ต่อไป

ตอนที่ได้รับข่าว เหมียวอี้ก็ยังเดินทางอยู่ในดาราจักร

ถามสถานการณ์จนรู้ชัด หลังจากจบการติดต่อแล้ว เหมียวอี้ก็เลิกคิ้วแล้วจริงๆ รู้สึกว่าตระกูลก่วงเหมือนจะพุ่งเป้ามาที่เขาแล้วจริงๆ ขนาดสำนักลมปราณตอบว่าจะไปอยู่ฝ่ายนั้นก็ยังไม่ยอมอีก ดึงดันจะแต่งงานกับเป่าเหลียนให้ได้ เป่าเหลียนกลายเป็นมีค่าดั่งทองขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? นี่ไม่ใช่ว่าต้องการจะตบหน้าเขาหรอกหรือ?

เขาหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางเจาชิงทันที ให้เขาชะลอการแลกเปลี่ยนนี้ไว้ก่อน อย่าเพิ่งส่งตัวประกันพวกนั้นให้ตระกูลอิ๋ง

จากนั้นก็รีบเหาะไปยังสถานที่เป้าหมาย ยังคงทำตามแผนที่ร่างไว้ก่อน

ในเรือนของเจ้าสำนัก เมื่อเห็นศิษย์น้องเลิกติดต่อแล้ว อวี้หลิงเจินเหรินก็ถามอย่างค่อนข้างเฝ้าคอย “เขาว่ายังไงบ้าง?”

อวี้เลี่ยนเจินเหรินที่ถือระฆังดาราตอบอย่างไม่แน่ใจ “เล่าสถานการณ์ให้เขาฟังชัดเจนแล้ว ข้าจงใจเน้นเรื่องอาจารย์ เขาบอกว่าเขารู้แล้ว บอกว่าเขาจะจัดการเอง บอกว่าพวกเราอย่าเข้ามาแทรกแซง ไม่ต้องสนใจทางตระกูลก่วง แต่เขาไม่ได้บอกรายละเอียดว่าจะทำยังไง เขาบอกว่าต่อให้ข้ารู้มากกว่านี้ก็ไม่มีความหมาย ในเมื่อเขาเข้ามาแทรกแซงแล้ว ก็จะให้คำชี้แจงกับพวกเราได้”

ตอนที่ครุ่นคิดเงียบๆ อวี้หลิงเจินเหรินก็หวาดระแวงกลัวนิดหน่อย ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะก่อเรื่องอะไรอีก เป็นเพราะแต่ละเรื่องที่เหมียวอี้ก่อในหลายปีมานี้ ไม่มีสักเรื่องที่สำนักลมปราณรับไหว

แต่ตอนนี้เขาก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน ต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมแล้วตอบรับเงื่อนไขของเกาเหยียน หรือไม่ก็รอดูฝั่งเหมียวอี้ที่รักษาม้าตายประดุจม้าเป็น…

คนกลุ่มหนึ่งเหาะฝ่าชั้นบรรยากาศ ลงจากฟ้ามาเหยียบลงตรงศาลาบนไหล่เขานอกจวนท่านปู่สวรรค์อันโอ่อ่า ในศาลามีป้ายศิลา บนป้ายมีอักษรตัวใหญ่เขียนว่า : เผชิญฟ้า

ดังนั้นอักษรศิลานี้จึงชื่อว่าป้ายศิลาเผชิญฟ้า เป็นตัวอักษรที่ประมุขชิงเขียนด้วยมือตัวเอง ลายมือมีพลังอำนาจไม่ธรรมดา พริ้วไหวราวกับมังกรบินที่ดิ้นรนจะหนีออกจะกรง

เผชิญฟ้า แฝงความหมายว่าเดชานุภาพสวรรค์อยู่ที่นี่ หรือไม่ก็มาถึงสถานที่ต้องห้ามแห่งแดนสวรรค์แล้ว แขกที่มาเยี่ยมคารวะที่นี่ พอมาถึงที่นี่แล้วล้วนต้องเหาะลงเหยียบพื้น นอกเสียจากฐานะของเจ้าจะเหนือกว่าประมุขชิง

เหมียวอี้ไม่ได้มาที่นี่อย่างกะทันหัน เขาแจ้งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไว้แล้วว่าจะมาเยี่ยมคารวะ นัดเวลากันเรียบร้อยแล้ว จึงมีคนมารอต้อนรับตั้งแต่แรก

ชายหนุ่มที่มารับไม่รู้ถึงตัวตนของเหมียวอี้ หลังจากสัญญาณลับสอดคล้องกันแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เชิญให้ทั้งสามเดินตามไป

เดินขึ้นบันไดเข้าไปที่จวนท่านปู่สวรรค์ พอมาถึงนอกสวนต้องห้ามสวนต้องห้าม ผู้ที่นำทางมาก็ขอตัวออกไป พวกเหมียวอี้ถูกสกัดขวางเอาไว้ ถูกทหารยามประตูค้นตัว เว่ยซูมองดูอยู่ข้างๆ อย่างสงบเงียบ มองประเมินสองคนที่ติดตามอยู่ข้างกายเหมียวอี้ มองไม่ออกว่าเป็นใคร แต่สังเกตได้ว่าเป็นผู้หญิงสองคน

ผู้หญิงสองคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นชิงเยว่กับซิงนั่นเอง ให้ความรู้สึกเหมือนมีดาวเดือนคอยติดตาม

หลังจากค้นตัวเหมียวอี้เสร็จแล้ว ชิงเยว่กับซิงก็ถูกขวางไว้ ไม่ให้เข้าไปด้วย เว่ยซูกล่าวกับเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้มว่า “สวนต้องห้ามคือสถานที่สำคัญ หวังว่าแขกผู้มีเกียรติจะเข้าใจ”

เหมียวอี้หันกลับไปบอกใบ้ให้ทั้งสองรออยู่ข้างนอก ส่วนตัวเองก็ตามเว่ยซูเข้าไปคนเดียว

หลังจากเข้ามาในสวนแล้ว เว่ยซูถึงได้เปิดเผยตัวตนของเหมียวอี้ “ผู้ตรวจการใหญ่สามารถถอดหน้ากากได้แล้ว อยู่ที่นี่สามารถวางใจได้เลย ไม่มีคนนอกรู้”

“พ่อบ้านเว่ยพูดขนาดนี้แล้ว หนิวยังจะพูดอะไรได้อีก” เหมียวอี้ยิ้มพลางถอดหน้ากากออก เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา ตอนที่เซี่ยโห้วท่าสิ้นอายุขัย เขาเคยเจอเว่ยซู่ที่จวนท่านปู่สวรรค์มาก่อน รู้ว่าท่านนี้เมื่ออยู่ที่ตระกูลเซี่ยโห้วก็เป็นรองเพียงหนึ่งแต่อยู่เหนือคนนับหมื่น อาศัยกำลังที่อยู่ในมือก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีอยู่น้อยมากในใต้หล้า

เว่ยซูหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วยื่นมือเชิญอีกครั้ง นำไปที่ทางแยก แล้วมุ่งตรงไปยังต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้าในสวนต้องห้าม

ใต้ต้นไม้ใหญ่ว่าโต๊ะเล็กไว้ตัวหนึ่ง บนโต๊ะวางเครื่องเคียงไว้สองสามอย่าง มีเบาะรองนั่งสองแผนวางแยกกัน เซี่ยโห้วลิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น พอเห็นเหมียวอี้มาแล้ว ก็ยิ้มบางๆ พลางยื่นมือเชิญให้นั่งตรงข้าม แล้วใช้อีกมือรินสุรา

เหมียวอี้ที่เข้ามาใกล้ก็ไม่เกรงใจเช่นกัน นั่งขัดสมาธิตรงข้าม แล้วกล่าวตามมารยาท “จะบังอาจรบกวนให้ท่านปู่สวรรค์รินสุราให้ข้าได้อย่างไร”

เซี่ยโห้วลิ่งรินใส่จอกตรงหน้าให้ตัวเองอีก แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ได้อยู่แล้ว ผู้ตรวจการใหญ่นำทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาลไปตีทัพตะวันออกห้าล้าน ทัพตะวันออกตายไปสองล้านกว่า แลกกับจอกนี้ไม่ถือว่าเกินไปเลย”

เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ท่านปู่สวรรค์ข่าวไวจริงๆ ด้วย” รายละเอียดเรื่องตัวเลขคนตายยังไม่ประกาศต่อภายนอก แต่ทางนี้ดันรู้แล้ว เขากำลังคิดว่าเกี่ยวข้องกับหยวนกง

เซี่ยโห้วลิ่งหัวเราะในใจ ข้างกายเจ้ามีคนของข้าอยู่ ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร เขายกจอกสุราขึ้นมา “เชิญดื่ม!”

หลังจากเหมียวอี้ยกจอกสุราดื่มร่วมกัน ก็ปล่อยให้อีกฝ่ายยกกาสุราอีกครั้ง

เซี่ยโห้วลิ่งที่รินสุรากล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ผู้ตรวจการใหญ่นัดพบอย่างลับๆ ปลอมตัวมาหา ไม่ทราบว่ามีอะไรจะชี้แนพ?”

เหมียวอี้นั่งตัวตรงแล้วเอามือวางบนเข่า “มาเพื่อช่วยท่านปู่สวรรค์อีกแรง!”

“ช่วยข้าอีกแรงเหรอ? เหอะๆ…” แม้ในใจเซี่ยโห้วลิ่งจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ยังส่ายหน้ายิ้ม ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่า ‘ข้ายังต้องให้เจ้าช่วยอีกแรงด้วยเหรอ?’ เขาไม่พูดถึงประเด็นนี้ต่อ ได้แต่ยื่นมือเชิญ “ในเมื่อให้ผู้ตรวจการใหญ่เข้ามาใส่สวนนี้แล้ว ผู้ตรวจการใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ กับแกล้มพวกนี้ ผู้ตรวจการใหญ่เชิญตามสะดวก”

เหมียวอี้สีหน้าไม่เปลี่ยน นั่งถามอย่างใจเย็นว่า “หรือว่าท่านปู่สวรรค์สงสัยในความจริงจังของหนิว?”

เซี่ยโห้วลิ่งโบกมือยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องช่วยข้าอีกแรงหรอก ดาบของตระกูลอิ๋งพาดอยู่บนคอผู้ตรวจการใหญ่แล้ว ผู้ตรวจการใหญ่ดูแลตัวเองยังลำบาก เหตุใดต้องลำบากใช้แรงใช้ความคิดเพื่อข้าอีก” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถอะ

เว่ยซูที่อยู่ข้างๆ สังเกตทั้งสองอย่างละเอียด ให้ความรู้สึกเหมือนคนหนึ่งคือสุภาพบุรุษดุจหยก ส่วนอีกคนคือแม่ทัพดุดันที่สงบนิ่งราวกับหญิงสาวบริสุทธิ์ ทั้งสองฝ่ายล้วนกำลังใช้ความคิด

…………………………

เหมียวอี้ที่เก็บระฆังดาราแล้วเร่งเหาะในดาราจักรต่อไป จุดหมายปลายทางไม่เปลี่ยนแปลง แม้เรื่องของเกาเหยียนจะทำให้เขาเดือดดาล แต่ก็ยังไม่พอให้กระทบถึงการปฏิบัติตามแผนที่ร่างไว้แล้ว เขาขมวดคิ้วครุ่นคิดตลอดทางว่าจะแก้ไขปัญหาเรื่องเป่าเหลียนอย่างไร ไหนจะท่าทีของตระกูลก่วงอีก

ส่วนอวี้เลี่ยนเจินเหริน หลังจากจบการติดต่อแล้วก็ไปหาศิษย์พี่เจ้าสำนักที่ห้องนอนทันที เล่าสถานการณ์ให้ฟัง

ศิษย์พี่และศิษย์น้องคู่นี้เดินวนไปวนมาอยู่ในลานบ้าน อวี้หลิงเจินเหรินส่ายหน้าถอนหายใจ “เฮ้อ ศิษย์น้องเจ้าเลอะเลือนแล้ว ทำไมเจ้าบอกเรื่องนี้กับเขา?”

อวี้เลี่ยนเจินเหรินยักไหล่สองข้าง “ในเมื่อเขาถามถึงแล้ว ข้ายังมีอะไรที่พูดไม่ได้อีกเหรอ”

อวี้หลิงเจินเหรินยิ้มเจื่อน “ก่อนหน้านี้เขาติดต่อข้ามาแล้ว ข้าเลยปฏิเสธไป! ความผันผวนวุ่นวายที่เขาก่อขึ้นในหลายปีมานี้ พวกเราได้ยินจนหูชา ด้วยลักษณะการทำงานของเขา ถ้าให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้องจริงๆ ผลที่ตามมาคงร้ายแรงจนไม่อยากจะคิดถึงเลย!”

อวี้เลี่ยนเจินเหรินขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่ ท่านอาจจะคิดมากไปแล้ว ตอนนี้ฐานะของเขาไม่เหมือนในอดีตแล้ว ลองดูสิ ขนาดตระกูลอิ๋งยังทำอะไรเขาไม่ได้เลย ในเมื่อเขาต้องการจะยุ่งเรื่องนี้ ก็แสดงว่ามีความมั่นใจอยู่บ้าง”

“ศิษย์น้องเลอะเลือน ที่ตระกูลอิ๋งทำอะไรเขาไม่ได้ เป็นเพราะทำอะไรเขาไม่ไหวเหรอ? อาศัยอำนาจของตระกูลอิ๋ง จะจัดการเขาไม่ไหวได้ยังไง แสดงว่าเจออุปสรรคบางอย่างแน่นอน ถึงต้องยอมระงับไว้ชั่วคราว เกิดเรื่องสระน้ำมังกรดำแล้ว เจ้าคิดว่าตระกูลอิ๋งจะปล่อยเขาไปได้เหรอ? แค่ไม่เคลื่อนไหวเท่านั้นแหละ ถ้าเคลื่อนไหวอีกครั้งก็ต้องเอาถึงตายแน่นอน! หนิวโหย่วเต๋อมีวิธีการแก้ปัญหายังไง ผ่านมาหลายปีขนาดนี้เจ้าไม่เคยได้ยินบ้างเหรอ? ใช้แต่วิธีการลงดาบ ตระกูลอิ๋งกดดันเขาใหญ่หลวงแล้ว ถ้าให้ตระกูลก่วงเช้ามาเกี่ยวข้องเพราะเรื่องนี้อีก นอกจากสำนักลมปราณจะประสบเคราะห์แล้ว ยังจะดึงเขามาลำบากอีก จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้นมั้ย? ตอนนี้เขามีปัญหามากพอแล้ว” อวี้หลิงเจินเหรินกล่าว

เหมียวอี้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ ตอนแรกอวี้เลี่ยนเจินเหรินยังแอบดีใจนิดหน่อย แต่อนนี้เริ่มมีสีหน้ากังวล ถามว่า “ศิษย์พี่ แล้วตอนนี้เราจะทำยังไงกันดี?”

อวี้หลิงเจินเหรินถอนหายใจ “ช่างเถอะ เรื่องนี้พวกเราแก้ไขกันเองดีกว่า! ในเมื่อเขาบอกแล้วว่าจะเข้ามายุ่ง งั้นพวกเราก็จะชักช้าไม่ได้เช่นกัน รีบแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ล่วงหน้าเถอะ ไม่จำเป็นต้องเพิ่มปัญหาให้เขา”

ดังนั้นศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองจึงออกจากเรือนด้วยกัน มุ่งตรงไปยังเรือนรับแขก

สำนักลมปราณในวันนี้ไม่เหมือนสำนักลมปราณในวันเก่าแล้ว แขกที่ไปมาหาสู่ก็เยอะกว่าในปีนั้น ระดับของแขกก้สูงขึ้นเช่นกัน ในมือมีความสามารถแล้ว เรือนรับแขกก็สร้างได้งดงามประณีตเช่นกัน

เพียงแต่ผู้ติดตามของเกาเหยียนคุ้มกันเรือนพักแขกไว้แล้ว ศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองต้องรายงานก่อนถึงจะเข้าไปได้ ตอนที่เพิ่งจะเข้าเรือนใหญ่ เกาเหยียนก็สาวเท้าเดินออกมาต้อนรับอย่างเริงร่าแล้ว “เจินเหรินทั้งสองมาแล้ว ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ เชิญ เชิญนั่งข้างในก่อน!”

ในใจเกาเหยียนเข้าใจแจ่มแจ้ง ว่าการที่สองท่านนี้มาที่นี่ คาดว่าคงได้ตัดสินใจไว้แล้ว คงคิดไว้แล้วว่าต้านทานตระกูลก่วงกับตระกูลอิ๋งไม่ไหว จะต้องยอมศิโรราบแล้วแน่นอน พอนึกว่าจะได้เข้าห้องหอกับพริกเผ็ดอย่างเป่าเหลียน หัวใจก็หวั่นไหวราวกับน้ำกระเพื่อม ดังนั้นจึงแสดงท่าทีค่อนข้างดี เฝ้ารอให้เรื่องมงคลสมหวังโดยเร็ว

ศิษย์พี่และศิษย์น้องคู่นี้กล่าวขอบคุณ พอเข้ามาในห้องรับแขกแล้วไม่กล้านั่งหัวโต๊ะ หลีกทางให้เกาเหยียนนั่ง

อวี้หลิงเจินเหรินที่นั่งลงแล้วยังคงครุ่นคิดว่าจะเอ่ยปากอย่างไร แต่เกาเหยียนก็ถามอย่างร้อนใจแล้วว่า “เรื่องของข้ากับเป่าเหลียน ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักพิจารณาถึงไหนแล้ว?”

พูดเปิดเผยอย่างนี้แล้ว อวี้หลิงเจินเหรินเองก็ไร้ทางถอย ถอนหายใจแล้วบอกว่า “นายท่านเกา เรื่องของเป่าเหลียน เกรงว่าสำนักเราคงต้องขออภัย…” พอเห็นเกาเหยียนหน้าบึ้ง ก็พูดเสริมทันทีว่า “เพียงแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ข้าไตร่ตรองไว้ดีแล้ว สำนักลมปราณยินดีจะย้ายเข้าไปในเขตทัพตะวันตก”

เกาเหยียนชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วขมวดคิ้วถามว่า “หมายความว่ายังไง?”

“สำนักลมปราณมีธรรมเนียมของสำนักลมปราณ เรื่องแต่งงานของศิษย์หญิงห้ามบังคับกัน ดังนั้นจึงทำได้เพียงขอบคุณเจตนาดีของนายท่านเกา เพียงแต่สำนักลมปราณยินดีจะไปพึ่งพาอ๋องสวรรค์ก่วง!” อวี้หลิงเจินเหรินตอบ

ปั้ง! เกาเหยียนตบโต๊ะลุกขึ้นยืน ไฟโกรธสุมเต็มอก ถ้ายังไม่ได้เห็นเป่าเหลียนก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้ได้เห็นเป่าเหลียนแล้ว ความดื้อรั้นของเป่าเหลียนยั่วให้เขารู้สึกคันที่หัวใจ เขากำลังฝันใฝ่ว่าจะได้ดมดอมกลิ่นหอมของสาวงาม แต่กลับถูกเอาน้ำเย็นสาดหน้า สำนักลมปราณกระจอกๆ บังอาจไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน!

“เจ้าสำนักอวี้หลิง นี่ท่านสุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์!” เกาเหยียนตะคอกเสียงต่ำ

ศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองลุกขึ้นยืนเช่นกัน อวี้เลี่ยนเจินเหรินสีหน้ามืดครึ้ม เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อวี้หลิงเจินเหรินทำได้เพียงแข็งใจบอกว่า “นายท่านเกา สำนักลมปราณก็มีกฎของสำนักลมปราณ เจ้าสำนักอย่างข้าก็ทำผิดกฎไม่ได้เช่นกัน นี่คือขีดจำกัดที่พวกเราสามารถรับได้ ถ้านายท่านเการู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม สำนักลมปราณก็ทำได้เพียงแสดงความเสียใจแล้ว”

เกาเหยียนวู่วามอยากจะฆ่าเจ้าโง่สองคนนี้ให้ตาย แต่จะว่าไปแล้ว สิ่งที่มีมูลค่ามากที่สุดของร้านขายของชำซื่อตรงไม่ใช่เป่าเหลียน และไม่ใช่หุ้นในมือสำนักลมปราณด้วย หุ้นของร้านขายของชำถูกอำนาจฝ่ายต่างๆ แบ่งไปพอสมควรแล้ว หุ้นในมือสำนักลมปราณเหลืออยู่เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น มูลค่าที่แท้จริงก็คือสำนักลมปราณที่ควบคุมการบริหารร้านขายของชำซื่อตรงต่างหาก ลูกค้าเก่าใหม่กับช่องทางค้าขายที่เป็นความลับล้วนอยู่ในมือสำนักลมปราณ นี่ก็คือผลิตผลที่อำนาจแต่ละฝ่ายคานอำนาจกันที่ร้านขายของชำซื่อตรงมาหลายปี

สำนักลมปราณแสดงท่าทีชัดเจนขนาดนี้แล้ว เกาเหยียนเองก็กังวลว่าจะทำเรื่องนี้พังจนทำให้งานของท่านอ๋องเสีย ถ้าไปยั่วโมโหท่านอ๋องเพื่อผู้หญิงคนเดียว เขาเองก็รับผลที่ตามมาไมไหว และไม่คุ้มค่าด้วย

สุดท้ายก็ข่มไฟโกรธเอาไว้ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าสำนักอวี้หลิง ยังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งวันเลย บางเรื่องท่านก็ควรไตร่ตรองก่อนสิ คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยให้คำตอบก็แล้วกัน ข้าส่งตรงนี้!” เขาโบกมือ บอกใบ้ว่าส่งแขก

ผู้ติดตามคนหนึ่งออกมายื่นมือเชิญทันที “ทั้งสองเชิญกลับเถอะ!”

ศิษย์พี่และศิษย์น้องทั้งสองกุมหมัดคารวะ แล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าแข็งทื่อ

เกาเหยียนที่ออกจากโถงรับแขกรีบเดินกลับมาที่ห้องตัวเอง จู่ๆ สำนักลมปราณก็เสนอเงื่อนไขอย่างนี้มา สามารถบรรลุจุดประสงค์ของท่านอ๋องได้ ทำให้เขาไม่สะดวกจะตัดสินใจเองแล้ว ต้องขอคำชี้แนะสักหน่อย ดังนั้นเมื่อครู่เขาถึงข่มอารมณ์ที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเอาไว้

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง สวนจิ้งเซวียน สร้างขึ้นหลังจากฮูหยินของเดิมของอ๋องสวรรค์ก่วงจากไป เป็นที่พักของเกาจื่อเซวียน อนุภรรยาคนแรกของเขา เดิมทีหวังเฟยเม่ยเหนียงก็เป็นหนึ่งในอนุภรรยาของอ๋องสวรรค์ก่วงเช่นกัน เพียงแต่พลังความงามที่ข่มสตรีคนอื่นของเม่ยเหนียงช่วงชิงความโปรดปรานของท่านอ๋องได้ แซงหน้ากลุ่มอนุภรรยามาเป็นฮูหยินเอกได้ในรวดเร็ว ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ยามเม่ยเหนียงเจอเกาจื่อเซวียนก็ยังเรียกว่าพี่สาวด้วยความสุภาพเกรงใจ การที่เกาจื่อเซวียนอาวุโสที่สุดในบรรดาสตรีของตระกูลก่วงนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ฐานะนี้ใช่ว่าจะเอาความอาวุโสมาตัดสินได้ อำนาจต่างหากถึงจะเป็นตัวตัดสิน อนุภรรยาของอ๋องสวรรค์ก่วงมีเยอะมาก คนที่ลำดับอาวุโสใกล้เคียงกับเกาจื่อเซวียนก็กลายเป็นเหมือนคนธรรมดาแล้ว แม้แต่จะโผล่หน้าออกมาก็ยังยาก ถ้าไม่มีงานใหญ่ๆ ก็แทบจะไม่เจอตัวเลย

สิ่งที่กำหนดฐานะของเกาจื่อเซวียนที่แท้จริงก็คือลูกชายของนาง ลูกชายของนางก็คือลูกชายคนโตของตระกูลก่วง ตอนนี้มีตำแหน่งโหวที่สามารถเข้าประชุมขุนนางได้ มีแนวโน้มว่าจะได้กลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งอ๋องแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาวาสนาของมารดาล้วนเกิดขึ้นเพราะลูกชาย ทุกคนของตระกูลก่วงจะมีใครกล้ามองข้ามท่านนี้?

แม้แต่ก่วงลิ่งกงก็ยังต้องคำนึงถึงความรู้สึกลูกชายตัวเอง ไม่ว่าจะโปรดปรานหรือไม่ แต่ก็ต้องมาโปรยฝนชุ่มฉ่ำให้ท่านนี้ที่สวนจิ้งเซวียนเสมอ ไม่สะดวกจะเย็นชาเกินไป

“ท่านแม่ ดอกไม้ดอกนี้เย่อหยิ่งมากเลย!”

ระหว่างแปลงดอกไม้ ดอกไม้ใหญ่เท่าชามเบ่งบานอยู่เพียงลำพัง มันมีสีขาวหมดจดและมีเกสรสีแดง บนกลีบดอกไม้ขาวไม่มีจุดด่างพร้อยเลยสักนิด ขาวบริสุทธิ์ดุจหยกอย่างแท้จริง แม้จะไม่สะดุดตาเหมือนดอกไม้โดยรอบ แต่กลับให้ความรู้สึกว่ากำลังมองเหยียดหยามมวลหมู่ดอกไม้รอบข้าง มันถูกจัดวางอยู่ตรงกลาง

ก่วงจวินอันที่กำลังชื่นชมอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะใช้มือสัมผัสกลีบดอกไม้

สตรีวัยกลางคนที่ถือบัวรดน้ำอยู่ข้างๆ พลันลงมือ ตีบนหลังมือก่วงจวินอันหนึ่งที พลางตะคอกว่า “อย่าไปแตะส่งเดช!”

ก่วงจวินอันหัวเราะแห้งๆ แล้วเก็บมืออย่างเก้อเขิน

คนในจวนท่านอ๋องที่กล้าลงมือสั่งสอนเขา นอกจากอ๋องสวรรค์ก่วง ก็มีแค่เกาจื่อเซวียนมารดาของเขาแล้ว

แม้เกาจื่อเซวียนจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่ก็บำรุงรักษาความงาม ดูเหมือนอายุประมาณสี่สิบ ตรงหางตามีริ้วรอยเล็กน้อย รูปร่างอวบอัดเหมาะเจาะ ผิวขาวหมดจดชุ่มชื่นจนแทบบีบน้ำออกมาได้ บนช่อผมปักปิ่นหยกหนึ่งอัน สวมชุดกระโปรงสีไม่ฉูดฉาด ออกมาพบปะผู้คนด้วยหน้าสด ไม่แต่งแต้มเครื่องประทินโฉม แต่กลับปิดบังความงามที่หาพบได้ยากบนโลกนี้ไม่ได้

ก่วงจวินอันเริ่มเอามือไขว้หลังและไม่กล้าแตะต้องอะไรอีก เขามองมารดาศีรษะจดเท้า แล้วขมวดคิ้วกล่าวว่า “ท่านแม่ เวลาที่ควรแต่งตัวก็ยังต้องแต่งตัวนะ ท่านแต่งตัวเรียบง่ายขนาดนี้ ถ้ามีคนที่ไม่รู้มาเห็นเข้า คงจะนึกว่าท่านคือบ่าวรับใช้ในจวนท่านอ๋อง ท่านไม่กลัวจะส่งผลกระทบต่อความประทับใจของท่านพ่อเหรอ”

เกาจื่อเซวียนที่ถือบัวรดน้ำดอกไม้กล่าวอย่างใจเย็นว่า “วังหลังมีหญิงงามนับไม่ถ้วน แต่รู้หรือเปล่าว่าทำไมสนมสวรรค์จึงเป็นคนเดียวที่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท?”

ก่วงจวินอันเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาย้ายไปที่ดอกไม้สีขาวดอกนั้น แล้วทำสีหน้าครุ่นคิด

เกาจื่อเซวียนส่งบัวรถน้ำให้เขา ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “บางครั้งการไม่แข่งขันก็คือการแข่งขันอย่างหนึ่งเหมือนกัน”

ขณะที่พูดก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา คนที่นางติดต่อด้วยก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหลานชายของนางนั้น้อง

เกาเหยียนติดต่อแม่สื่อก็ไม่ใช่เพราะสาเหตุอื่น เล่าเรื่องที่คุยกับสำนักลมปราณให้รู้ ขอคำชี้แนะว่าควรจะจัดการอย่างไรดี

เกาจื่อเซวียนเลิกคิ้ว ตรงหว่างคิ้วและดวงตาฉายแววดุร้าย แล้วตะคอกใส่ระฆังดารา :เลอะเลือน! จะตอบตกลงได้ยังไง? เจ้าต้องแต่งงานกับเป่าเหลียน!

เกาเหยียนกล่าวอย่างระมัดระวังว่า : แม่สื่อ แต่ท่าทีของสำนักลมปราณเหมือนจะแข็งกร้าวมาก

เกาจื่อเซวียน : พี่ชายเจ้าทำทุกวิถีทางกว่าจะช่วงชิงโอกาสนี้มาได้ เจ้ายังไม่เข้าใจเจตนาอีกเหรอ? ถ้าแต่งงานกับเป่าเหลียนแล้ว เจ้าก็จะได้ควบคุมสำนักลมปราณ แต่ถ้าไม่แต่งงานกับเป่าเหลียน สำนักลมปราณก็จะถูกควบคุมโดยจวนท่านอ๋อง ความแตกต่างอยู่ตรงไหนล่ะ ยังต้องให้ข้าสอนอีกไหม?

หลักการเดียวกัน นางก็แค่ไม่พูดออกมาก็เท่านั้นเอง ขอเพียงเกาเหยียนควบคุมสำนักลมปราณได้ ก็เท่ากับก่วงจวินอันลูกชายนางได้ควบคุมเองแล้ว เท่ากับว่าช่องทางรายได้นี้จะอยู่ในมือลูกชายนาง แต่ถ้าสำนักลมปราณมาขอพึ่งพาจวนท่านอ๋องโดยตรง ลูกชายนางก็จะไม่ได้ควบคุมช่องทางรายได้นี้โดยตรงแล้ว

เกาเหยียนเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ถ้าไม่แต่งงานกับเป่าเหลียน ต่อไปนี้อำนาจในการควบคุมร้านขายของชำซื่อตรงก็จะไม่เกี่ยวข้องกับตนแล้ว จึงตอบทันทีว่า : หลานเลอะเลือนเอง แม่สื่อวางใจเถอะ หลานรู้ว่าควรต้องทำยังไง

เห็นเกาจื่อเซวียนเก็บระฆังดารา สังเกตได้ว่าเมื่อครู่มารดาเพิ่งทำสีหน้าดุร้าย ก่วงจวินอันก็ถามพร้อมรอยยิ้มว่า “ใครยั่วโมโหท่านแม่อีกแล้ว?”

“เรื่องทางฝั่งเกาเหยียน…” เกาจื่อเซวียนเล่าเรื่องเมื่อครู่นี้ให้ฟังด้วยสีหน้าสุขมเยือกเย็น

“หึ! ขนาดเรื่องเล็กแค่นี้ยังเลอะเลือน” ก่วงจวินอันฟังแล้วส่ายหน้า “ท่านแม่ ขอพูดสิ่งที่ท่านแม่อาจจะไม่ชอบฟัง เกาเหยียนเป็นคุณชายเสเพลที่ว่างงาน ไม่คุณสมบัติมากพอให้รับหน้าที่สำคัญ”

เกาจื่อเซวียนเดินเนิบนาบออกมานอกแปลงดอกไม้ “แต่ยังไงก็เป็นคนบ้านเดียวกัน ปล่อยของไว้ในมือคนของเราหรือไว้ในมือคนนอกน่าวางใจกว่าล่ะ? ตอนนี้เจ้ากำลังสะสมกำลัง รอให้เจ้าทำสำเร็จแล้ว ค่อยเลือกคนที่มีความสามารถอีกทีก็ยังไม่สาย”

…………………………

เต๋อหมิงติดต่อเหมียวอี้แล้วจริงๆ เขากับเหมียวอี้มีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกันโดยตรงมาตั้งนานแล้ว เป็นเพราะตอนแรกเหมียวอี้แคยพักอยู่ที่สำนักลมปราณ

ผู้ตรวจการใหญ่หนิว ตอนเหมียวอี้ได้รับข่าวจากเต๋อหมิง ตัวก็กำลังเหาะด้วยความเร็วสูงอยู่ในดาราจักร กำลังจะไปปฏิบัติตามแผนการที่ปรึกษากับหยางชิ่งมาเนิ่นนาน จู่ๆ ก็ได้ยินเรื่องราวระดับนี้ ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ญาติของอนุภรรยาอ๋องสวรรค์ต้องการจะแต่งงานกับเป่าเหลียนงั้นเหรอ?

เต๋อหมิงไม่ได้บอกเขาว่าอีกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่ร้านขายของชำซื่อตรง ไม่ได้ปะปนกับเรื่องอื่น บอกแค่เรื่องเป่าเหลียน บอกเพียงว่าเกาเหยียนจะบังคับแต่งงานกับเป่าเหลียน อีกทั้งเจ้าตัวก็มาถึงสำนักลมปราณแล้ว เป่าเหลียนไม่เต็มใจแต่งงาน แต่สำนักลมปราณอาจจะแบกรับความกดดันนี้ไม่ไหว เรื่องอื่นไม่ได้เอ่ยถึงเลย ไม่ได้ขอร้องให้เหมียวอี้ช่วยเหลือลูกสาวด้วย

แต่ตอนนี้โลกทัศน์ของเหมียวอี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการรวบรวมข่าวจากทั่วทุกสารทิศ หรือจะเป็นระดับบุคคลที่คบค้า เดิมทีเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับเขาทางอ้อมอยู่แล้ว มีหรือที่จะเดาสาเหตุที่แท้จริงไม่ออก

ประการแรกเป็นเพราะฐานะของเกาเหยียน ด้วยฐานะอย่างนั้นอยากจะหาสาวงามอย่างไรก็ได้ ทำไมต้องพุ่งเป้ามาที่เป่าเหลียนคนเดียวไม่ยอมเลิก? แม้เป่าเหลียนจะเป็นผู้หญิงสวย แต่ก็ยังไม่สวยถึงระดับยอดหญิงงาม มีค่าถึงขนาดให้เกาเหยียนแต่งงานรับเป็นฮูหยินเอกเชียวหรือ? ไม่ได้จะรับเป็นอนุภรรยา แต่จะรับเป็นฮูหยินเอก! สาเหตุก็เดาได้ไม่ยาก เป็นเพราะพุ่งเป้ามาที่ร้านขายของชำซื่อตรงแล้ว

ตามหลักแล้ว เบื้องหลังร้านขายของชำซื่อตรงเกี่ยวข้องกับอำนาจหลายฝ่าย กอปรกับสำนักลมปราณอยู่บนอาณาเขตของตระกูลอิ๋ง ตระกูลก่วงอาศัยอะไรเพื่อเข้ามาก้าวก่ายบนอาณาเขตของตระกูลอิ๋งล่ะ? แสดงว่าได้รับอนุญาตจากตระกูลอิ๋งแล้วแน่นอน แล้วทำไมตระกูลอิ๋งจึงอนุญาต? ไม่ต้องบอกก็รู้ เขาเดาออกทันทีว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตน เพื่อที่จะเติมเต็มเงื่อนไขที่ตนเสนอ คาดว่าสำนักลมปราณคงจะเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ตระกูลอิ๋งนำไปประนีประนอมกับตระกูลก่วง เพราะเงื่อนไขบางข้อที่เขาเสนอ ต่อให้ตระกูลอิ๋งจะมีอำนาจมากขนาดไหน แต่ก็ไม่อาจเติมเต็มให้ได้โดยลำพัง ตอนนี้ตระกูลอิ๋งยอมทิ้งการควบคุมสำนักลมปราณและร้านขายของชำซื่อตรงแล้ว หลักการก็เรียบง่ายมาก สำนักลมปราณอยู่บนอาณาเขตของตระกูลอิ๋ง ก็ย่อมถูกควบคุมจากตระกูลอิ๋ง

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเป่าเหลียนติดตามรับใช้เขามากี่ปี อาศัยแค่เรื่องครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะได้รับผลกระทบจากเขา เขาก็ไม่สะดวกจะนิ่งดูดายแล้ว

ประเด็นของปัญหาในตอนนี้ก็คือ ถ้าเขาเข้าไปแทรกแซง ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสำนักลมปราณก็จะถูกเปิดโปงแล้ว อาจจะไม่ใช่เรื่องนี้สำหรับสำนักลมปราณ จากที่อยากจะช่วยอาจกลายเป็นสร้างปัญหา

พอคิดไปคิดมา ถ้าจะแก้กระดิ่งที่คอเสือ ก็ต้องแก้ที่คนผูกกระดิ่ง เขาไม่สะดวกจะเข้าไปก้าวก่ายอย่างเปิดเผย ทั้งยังต้องลงมือจากฝั่งตระกูลก่วงอีก จึงนำระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิว เล่าเรื่องให้ฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง ให้อวิ๋นจือชิวติดต่อก่วงเม่ยเอ๋อร์ เพราะอวิ๋นจือชิวกับก่วงเม่ยเอ๋อร์ค่อนข้างสนิทสนมกัน ให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์ไปช่วยพูดให้

หลังจากเตรียมการเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดาราแล้วเร่งเดินทางต่อ ตอนนี้เขามีเรื่องสำคัญกว่านั้นต้องจัดการ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนกลุ่มใหญ่ เรื่องของเป่าเหลียนเป็นเพียงเรื่องรองเท่านั้น

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่ได้รับข่าวจากอวิ๋นจือชิวไม่ชักช้าเลยสักนิด กระตือรือร้นกว่าเรื่องไหนทั้งนั้น ถือกระโปรงวิ่งไปคุยเรื่องนี้กับมารดา

เม่ยเหนียงนั่งสง่าอยู่ในห้อง หลังจากฟังจบแล้วก็เงียบไป เรื่องภายนอกนางอาจจะไม่มีประสบการณ์ แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับภายในบ้าน นางกลับตอบสนองเร็วมาก ถึงอย่างไรก็แช่อยู่ในนี้เป็นเวลานาน ตระหนักได้ถึงเงื่อนงำที่อยู่ในนั้นแล้ว ตำแหน่งของเกาเหยียนในทัพตะวันตกถูกท่านอ๋องถอดแล้ว เกาจื่อเซวียน แม่สื่อของเกาเหยียนอยากจะช่วยหาเส้นทางเติบโตใหม่ให้หลานชาย เรื่องที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของ เกรงว่าเกาจื่อเซวียนคงไม่ปล่อยไปง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางรายได้ ท่านอ๋องจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร

“เม่ยเอ่อร์ ถ้าจะมาเพราะเรื่องนี้เจ้ากลับไปเถอะ เรื่องนี้แม่ช่วยเจ้าไม่ได้หรอก” เม่ยเหนียงที่ใคร่ครวญพักหนึ่งส่ายหน้าถอนหายใจ

พอได้ยินดังนั้น ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็ไม่ทำแล้ว “เกาเหยียนนั่นยังไงกันแน่ อีกฝ่ายไม่อยากแต่งกับเขา เขามีสิทธิ์อะไรไปบังคับ ยังมียางอายอยู่บ้างไหม?”

เม่ยเหนียงยิ้มเจื่อน “เจ้าตัวแสบ พูดเหลวไหลอะไรกัน เจ้าไม่เข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่หรอก ฟังแม้นะ ฟังแม่นะ กลับไปเถอะ”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์จะยอมเสียได้อย่างไร นางยังเตรียมตัวจะไปเที่ยวเล่นที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลอยู่เลย ถ้าแม้แต่เรื่องนี้ก็ยังช่วยไม่ได้ นางจะมีหน้าไปเจอได้อย่างไร นางดึงแขนเสื้อมารดาทันที “ท่านแม่ แม่ใหญ่ต้องไว้หน้าท่านบ้างอยู่แล้ว เกาเหยียนก็ไม่กล้าไม่เชื่อฟังแม่ใหญ่ด้วย ท่านก็ไปคุยกับแม่ใหญ่ด้วยตัวเองสิ แม่ใหญ่จะต้องตอบตกลงแน่นอน…” เรียกได้ว่าเร้าหรือทุกวิถีทาง

สุดท้ายเม่ยเหนียงไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ได้แต่ทำหน้านิ่งพร้อมตะคอกนาง “นางหนู เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว เรื่องนี้ถ้าท่านพ่อเจ้าไม่อนุญาต แม่ใหญ่ของเจ้าก็ตัดสินใจเองไม่ได้หรอก”

“…” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ตะลึงทันที กะพริบตาใสแวววาวเย้ายวนใจปริบๆ ลองถามว่า “ท่านแม่ ท่านกำลังบอกว่า นี่คือความคิดของท่านพ่อเหรอ?”

เม่ยเหนียงพุ่นเสียงทางจมูก “เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าถามมากขนาดนั้น”

“ทำไมท่านชอบมองข้าเป็นเด็ก ข้าโตป่านนี้แล้ว”

“ต่อให้เจ้าโตกว่านี้ แต่ในสายตาแม่ก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่ง”

“ข้าไม่สนใจแล้ว ข้าจะไปคุยกับท่านพ่อ!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์กระทืบเท้า สะบัดมือออกจากแขนเสื้อมารดาแล้ววิ่งไป

“เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้นะ!” เม่ยเหนียงถลันตัวตามไป เอามือบีบหลังคอนางไว้ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าขรึมเครียด “ตอนนี้ติดต่ออวิ๋นจือชิวเดี๋ยวนี้ ตอบกลับเรื่องนี้ไป อย่าเข้าไปยุ่งเรื่องนี้อีก”

“ไม่…โอ๊ย ท่านแม่ ข้าเจ็บแล้วนะ…”

สุดท้ายก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เม่ยเหนียงกักบริเวณนางเสียเลย ถ้าเรื่องแต่งงานของเกาเหยียนยังไม่ได้ผลลัพธ์อะไรก็จะไม่ปล่อยตัวออกมา ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ให้นางเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้ ด้วยความที่ไม่มีทางเลือก ก่วงเม่ยเอ๋อร์ทำได้เพียงติดต่อไปขอโทษอวิ๋นจือชิว บอกไปตรงๆ เลยว่ามารดาไม่ให้นางมาก้าวก่ายเรื่องนี้ นางถูกกักบริเวณแล้ว

เมื่อได้ผลลัพธ์แบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ทำได้เพียงบอกความจริงให้เหมียวอี้รู้

เหมียวอี้ที่ยังเดินทางอยู่ในดาราจักรเริ่มขมวดคิ้ว ตอนนี้เขาไม่อยากหาเรื่องตระกูลก่วง หวังว่าพอตระกูลก่วงรู้เรื่องแล้วจะชั่งน้ำหนักดูสักหน่อย มีอะไรจะได้เจรจากันง่าย อย่างมากพวกเจ้าก็แค่เปลี่ยนวิธีการรับผลประโยชน์ส่วนนั้น ถ้าอยากจะควบคุมสำนักลมปราณก็ย่อมทำได้ เขาสามารถถอยให้หนึ่งก้าวเพื่อเรื่องตรงหน้าที่สำคัญกว่า แต่ไม่จำเป็นต้องบังคับแต่งงานกับเป่าเหลียน

ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ถึงอย่างไรตัวเองก็เป็นทูตลาดตระเวนของตลาดสวรรค์ ตระกูลก่วงมีกิจการมากมายที่ตลาดสวรรค์ ต่อให้ไม่มีอำนาจที่แท้จริง แต่การไปตรวจค้นร้านค้าของตระกูลก่วงทุกๆ สามวันห้าวันโดยไม่มีเรื่องอะไรก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว ถ้าข้าช่วยให้พวกเจ้าหลบเลี่ยงปัญหาได้นิดหน่อย เจ้าก็น่าจะไว้หน้าข้าสักหน่อยสิ?

ที่เขาให้ติดต่อกับก่วงเม่ยเอ๋อร์ ก็เพราะอยากให้ตระกูลก่วงรู้สถานการณ์ มีเรื่องอะไรจะได้เจรจากันได้สะดวก ต่อไปเขาจะได้บอกกับตระกูลก่วงได้ ว่าแม้เขาจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับสำนักลมปราณแล้ว แต่ถึงอย่างไรเป่าเหลียนก็ทำงานกับเขามานาน พวกเจ้าจะตบหน้าข้าอย่างนี้ไม่ได้ พอเป็นแบบนี้จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อสำนักลมปราณมากเกินไป

เมื่อไตร่ตรองได้แบบนี้ เขาก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวี้หลิงเจินเหรินโดยตรง บอกให้อวี้หลิงเจินเหรินบอกเกาเหยียนให้ ว่าให้เกาเหยียนไว้หน้าเขาสักครั้ง

แต่ใครจะคิด อวี้หลิงเจินเหรินกลับบอกว่าซาบซึ้งในน้ำใจของผู้ตรวจการใหญ่หนิวแล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องรบกวนท่าน

เหมียวอี้ที่ตัวอยู่ในดาราจักรแปลกใจทันที จึงติดต่ออวี้หลิงเจินเหรินอีกครั้ง แต่ใครจะคิด อวี้หลิงเจินเหรินไม่ตอบกลับอะไรอีกเลย

หรือว่าสำนักลมปราณอยากจะตัดขาดสัมพันธ์กับเขาแล้วจริงๆ? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ เช่นนั้นตัวเองไม่เข้าไปแทรกแซงก็ได้ แต่เต๋อหมิงจะติดต่อมาหาข้าทำไมล่ะ?

เขาจะไปรู้ได้อย่างไร ว่าเกาเหยียนเคยพูดต่อหน้าอวี้หลิงเจินเหรินว่า ‘หนิวโหย่วเต๋อนับเป็นตัวอะไร’ ใช่ว่าอวี้หลิงเจินเหรินจะไม่เคยอ้างชื่อหนิวโหย่วเต๋อมาก่อน อีกฝ่ายไม่เห็นหนิวโหย่วเต๋ออยู่ในสายตาเลย ถามหน่อยว่าอวี้หลิงเจินเหรินยังต้องสร้างความอัปยศให้ตัวเองอีกมั้ย?

สำหรับอวี้หลิงเจินเหริน ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ไว้หน้าหนิวโหย่วเต๋อ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องดึงหนิวโหย่วเต๋อมาลำบากด้วยอีกแล้ว ถ้าทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โตจริงๆ สำนักลมปราณกับหนิวโหย่วเต๋อประกาศยุติความสัมพันธ์กันแล้ว ถึงตอนนั้นไม่ใช่แค่จะทำให้หนิวโหย่วเต๋อลำบาก ทั้งยังทำให้สำนักลมปราณลำบากไปด้วย ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่ไม่เป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย

แต่เหมียวอี้ไม่เข้าใจ อย่างน้อยก็ต้องบอกให้ชัดเจนว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ จึงเปลี่ยนระฆังดาราอันใหม่ ติดต่อไปหาอวี้เลี่ยนเจินเหรินโดยตรง

หลังจากทั้งสองฝ่ายติดต่อกันแล้ว เหมียวอี้ก็กล่าวทักทาย : เจินเหริน สบายดีนะ!

เห็นได้ชัดว่าอวี้เลี่ยนเจินเหรินอารมณ์ไม่ดี ตอบกลับว่า : ไม่สบาย!

เหมียวอี้ : เป็นเพราะเจ้าเกาอะไรนั้นบังคับจะแต่งงานกับเป่าเหลียนใช่หรือไม่?

อวี้เลี่ยนเจินเหริน : เจ้ารู้แล้วเหรอ?

เหมียวอี้ : ข้าก็ติดต่อมาหาท่านเพราะเรื่องนี้นั่นแหละ เจินเหริน รบกวนท่านไปบอกเกาเหยียนอะไรนั่นให้หน่อย ให้เขาไว้หน้าข้าสักครั้ง ใจกว้างปล่อยเป่าเหลียนไปสักครั้ง

อวี้เลี่ยนเจินเหริน : ไม่ต้องแล้ว หน้าของเจ้าคงใช้ไม่ได้ผลแล้ว

เหมียวอี้รู้สึกขำ คิดในใจว่า หน้าของข้าใช้ได้ผลมากกว่าสำนักลมปราณแน่นอน แต่เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยสิ่งนี้ออกมา ตอบกลับว่า : เจินเหรินลองดูสักหน่อยก็ได้ แค่บอกชื่อข้าไป ไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้ยังไง?

พอพูดถึงตรงนี้ อวี้เลี่ยนเจินเหรินก็ค่อนข้างเดือด ตอบว่า : เจ้าคิดว่าเจ้าหน้าใหญ่มากใช่มั้ย! อีกฝ่ายมีอ๋องสวรรค์ก่วงหนุนหลัง เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยลองทำแบบนั้นเหรอ เจ้าแซ่เกานั่นวางสินสอดมาเลยโดยไม่สนใจว่าพวกเราจะเต็มใจหรือไม่ ศิษย์พี่เจ้าสำนักเคยอ้างชื่อเจ้าแล้ว แต่ใครจะคิดล่ะ เจ้าแซ่เกานั่นบอกว่า ‘หนิวโหย่วเต๋อนับเป็นตัวอะไร’ เจ้าคิดว่าข้าจำเป็นต้องเอาหน้าร้อนไปแนบก้นเย็นๆ อีกเหรอ?

เหมียวอี้คิ้วกระตุกทันที : เจินเหริน ท่านคงไม่ได้กำลังยั่วยุให้ข้าฮึกเหิมหรอกใช่มั้ย เขาพูดอย่างนี้จริงเหรอ?

เขาไม่ค่อยเชื่อเท่าไร เขาไม่เคยได้ยินชื่อเกาเหยียนตดหมาอะไรนั่นด้วยซ้ำ ลูกคนใหญ่คนโตที่ตายด้วยน้ำมือเขามีเยอะแยะ แม้แต่หลานชายของอ๋องสวรรค์อิ๋ง เขาก็ฆ่าต่อหน้าฝูงชนมาแล้ว ญาติห่างๆ คนหนึ่งของตระกูลก่วงจะใจกล้าขนาดนี้เชียวหริอ? วันหลังยังคิดจะออกจากบ้านอยู่หรือเปล่า?

อวี้เลี่ยนเจินเหริน : ยั่วยุให้ฮึกเหิมอะไรกันล่ะ! เจ้าฟังให้ดีนะ เขาพูดอย่างนี้จริงๆ ‘หนิวโหย่วเต๋อนับเป็นตัวอะไรล่ะ จะมายุ่งเรื่องแต่งงานของข้าเชียวหรือ’ ฟังชัดหรือยัง หรือต้องให้ข้าพูดอีกรอบ?

ใบหน้าใต้หล้ากากของเหมียวอี้ขรึมลงเล็กน้อย ถามอีกว่า : พูดจริงหรือเปล่ส?

อวี้เลี่ยนเจินเหริน : เจ้าเด็กนี่ยอมรับความจริงไม่ไหวใช่มั้ย!

หึ! เหมียวอี้แสยะยิ้มในใจ เป็นแค่ตั๊กแตนตัวหนึ่งก็กล้าออกมากระโดดซี้ซั้ว คงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ ตระกูลก่วงทำแบบนี้หมายความว่าอะไร?

ตอนนี้เขานับว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนแรกอวี้หลิงเจินเหรินพูดอย่างนั้น ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ถามอีกว่า : ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักอวี้หลิงเตรียมจะจัดการเรื่องนี้ยังไง?

อวี้เลี่ยนเจินเหริน : เมื่อครู่นี้เพิ่งปรึกษากัน ถึงยังไงก็หนีการควบคุมจากอีกฝ่ายไม่พ้น ท่านอาจารย์ถูกกักบริเวณที่ทัพตะวันออก เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทำได้เพียงผ่อนหนักเป็นเบา สำนักลมปราณยินดีจะพึ่งพาตระกูลก่วง ขอเพียงอีกฝ่ายปล่อยท่านอาจารย์กับเป่าเหลียนไป ไม่ว่าสำนักลมปราณจะเป็นยังไง แต่ก็ไม่มีทางนำผู้หญิงไปเจรจาสงบศึก ไม่อย่างนั้นคุณธรรมของสำนักจะไปอยู่ที่ไหน ความซื่อตรงจะไปอยู่ตรงไหน?

เหมียวอี้ฟังออกถึงความอับจนหนทางของอีกฝ่าย รู้สึกเดือดดาลนิดหน่อย จึงบอกไปอย่างดุดันว่า : ขอพึ่งพาบ้าอะไรล่ะ! พวกท่านบอกเจ้าแซ่เกานั่นด้วย อย่าคิดจะแตะต้องเป่าเหลียนแม้แต่ปลายนิ้ว เลิกคิดด้วยว่าจะตักตวงผลประโยชน์จากสำนักลมปราณ แค่บอกไปตามนี้ ถ้าเขาเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วก็ให้เขาลองดูได้ ข้าฝากบกด้วย!

อวี้เลี่ยนเจินเหริน : นี่เจ้าพูดตามอารมณ์เปล่า? ขู่ให้พวกเขาถอยได้จะมีประโยชน์เหรอ?

เหมียวอี้ : บอกเจ้าสำนักอวี้หลิงด้วย เรื่องนี้สำนักลมปราณไม่ต้องสนใจแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ใช่เหตุผล ทั้งยังลามมาด่าถึงหัวข้า เช่นนั้นก็ส่งเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าตระกูลก่วงจะอาศัยอิทธิพลปิดบังเรื่องนี้ได้!

จากนั้นอวี้เลี่ยนเจินเหรินจะติดต่อเขาอย่างไรก็ไม่มีอะไรตอบกลับ จึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าพึมพำ “เดี๋ยวนี้เจ้าเด็กนี่มันอารมณ์ขึ้นง่ายจริงๆ!”

……………

ชายตาเหล่เอียงหน้ามองเป่าเหลียน เต๋อหมิงกอดน้ำเต้าสุราไว้ตรงหน้าอกพลางมองข้างหน้า ฟังเสียงเป่าเหลียนกระดกสุราดื่มอึกๆ อย่างถึงอกถึงใจ

“เป่าเหลียน ไม่ใช่ว่าเอาสุรามาส่งให้พวกเราหรอกเหรอ?” ชายตาเหล่ถามกลั้วหัวเราะ “ทำไมดื่มคนเดียวซะแล้วล่ะ?”

เป่าเหลียนกลอกตามองเขา แล้วยกไหสุรากระดกดื่มต่อไป ผ่านไปครู่ใหญ่ก็เรอหนึ่งที กอดไหสุราพิงบนลำต้นของต้นไม้ใหญ่

เต๋อหมิงถอนหายใจเบาๆ “อายุน้อยแค่นี้ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจนักหนา”

ชายตาเหล่หัวเราะเบาๆ “ยังจะมีอะไรได้อีก ก็เรื่องแต่งงานน่ะสิ ได้ยินว่าเกาะแกะไม่ปล่อย เป่าเหลียน ถ้าเจ้าไม่อยากแต่งงานจริงๆ งั้นก็ไม่ต้องแต่งสิ ปฏิเสธไปเลยก็สิ้นเรื่อง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าสำนักลมปราณของเราจะทำเรื่องขายผู้หญิงแลกเกียรติยศได้”

เป่าเหลียนก้มหน้า “อาจารย์ปู่ถูกทัพตะวันออกกักบริเวณแล้ว ท่านคิดว่าคนพวกนั้นจะฆ่าล้างสำนักลมปราณไม่ได้เหรอ?”

“อาจารย์ปู่ถูกกักบริเวณแล้วเหรอ?” ชายตาเหล่เบิกตากว้างพร้อมอุทานอย่างตกใจ

เป่าเหลียนบอกอีกว่า “เมื่อครู่นี้เอง เกาเหยียนพาคนมาด้วยตัวเองแล้ว เหมือนจะเอาสินสอดมาด้วย ทั้งยังพายอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์มาอีก!”

ตอนนี้ชายตาเหล่ถึงได้รู้ว่าเป่าเหลียนมาหลบดื่มสุราย้อมใจอยู่ที่นี่ เขากัดฟันแล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ไอ้พวกน่ารังเกียจ เป็นคนดีก็โดนคนอื่นรังแก เป็นม้าดีก็โดนคนขี่ ในโลกนี้คนชั่วต้องโดนคนชั่วกว่าจัดการ ยิ่งพวกเราถอยอีกฝ่ายก็จะยิ่งประชิดเข้ามา นี่มารังแกกันถึงประตูบ้านแล้ว ดูอย่างหนิวโหย่วเต๋อสิ เอะอะก็สู้กันเอาเป็นเอาตาย ขนาดฆ่าคนของตระกูลอิ๋งแล้วยังได้เลื่อนขั้น ถึงขนาดได้เป็นผู้ตรวจการใหญ่แล้ว เฮ้อ ในปีนั้นตอนหนิวโหย่วเต๋อเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์มาพักที่สำนักลมปราณของพวกเรา ใครจะไปคิดว่าเขาจะมีวันนี้ได้ คนโหด ช่างเป็นคนโหด!”

พอพูดถึงเหมียวอี้ เป่าเหลียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงวันที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ ชีวิตในตอนนั้นเรียบง่ายมากจริงๆ มีเหมียวอี้คอยบังหน้าให้ ต่อให้พายุฝนแรงกว่านี้แต่ก็เหมือนจะไม่เป็นอะไร แต่หลังจากติดตามอาจารย์ปู่ ทั้งข้างบนข้างล่าง ทั้งในที่ลับและในที่แจ้งก็มีแต่คนคิดจะแต่งงานกับนาง สีหน้าท่าทางแบบนั้นนางเห็นแล้วสะอิดสะเอียน ถ้าไม่ใช่เพราะสำนักลมปราณมีอำนาจขึ้นมาบ้าง กอปรกับอาจารย์ปู่เพิ่งจะฝืนต้านไว้ เกรงว่านางคงจะเสียความบริสุทธิ์ไปนานแล้ว

หลังจากก้าวเข้าตำหนักสวรรค์ ที่จริงนางก็เริ่มเข้าใจแล้วเช่นกัน ถ้าหน้าตาสวยแล้วไม่มีใครหนุนหลัง ก็ยากที่จะหนีพ้นการถูกหยามเกียรติ ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์ก็เป็นมู่หรงซิงหัว จากนั้นสิ่งต่างๆ ที่เคยเห็นก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ผู้หญิงที่น่าสงสารกว่ามู่หรงซิงหัว ผู้หญิงที่ถูกหลายคนเก็บไว้เป็นของเล่นในเวลาเดียวกันก็มีไม่น้อย ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว พอลองคิดดูให้ดีก็พบว่าตอนอยู่ข้างกายเหมียวอี้สบายใจที่สุด นางเข้าใจตัวเองดีว่าที่จริงแล้วสนใจเหมียวอี้ ขอเพียงเหมียวอี้เต็มใจ นางก็ไม่รังเกียจ ทว่าเหมียวอี้เหมือนจะไม่สนใจนางเลย กลับไปรับพวกผู้หญิงที่นอกลู่นอกทางมา ตัวเองหน้าตาไม่สวยงั้นเหรอ? ตัวเองไม่สะอาดบริสุทธิ์กว่าผู้หญิงพวกนั้นหรอกหรือ? หลักการนี้นางจะไปพูดที่ไหนได้?

พอพูดถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะโมโห อุ้มไหสุราขึ้นมากระดกดื่มต่อไป

ชายตาเหล่มองเต๋อหมิง เห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนคนไม่เป็นอะไร อุ้มน้ำเต้าสุราดื่มอึกแล้วอึกเล่า เขาก็อดไม่ได้ที่จะโมโห แย่งน้ำเต้าสุรามาไว้ในมือ “ศิษย์พี่ เป่าเหลียนเป็นลูกสาวของท่านนะ!”

เต๋อหมิงเอียงหน้ามองมาช้าๆ “ต้องให้เจ้าเตือนด้วยเหรอ?”

“ลูกสาวท่านถูกบังคับให้แต่งงานนะ ท่านยังทำตัวเหมือนคนไม่เป็นอะไรอีกเหรอ?” ชายตาเหล่ถลึงตาถาม

เต๋อหมิงถามกลับว่า “แล้วข้ายังจะทำอะไรได้อีกล่ะ? ขนาดสำนักลมปราณยังต้านไม่ไหวเลย พวกเราสองคนจะมีวิธีการอะไรได้?”

“พูดแบบนี้ แสดงว่าเรื่องที่เป่าเหลียนโดนบังคับแต่งงานไม่ทำให้ท่านโมโหสักนิดเลยเหรอ ไม่มีความเห็นอะไรสักนิดเลยเหรอ?” ชายตาเหล่ถามด้วยความเหลือเชื่อ

เต๋อหมิงยื่นมือแย่ง แต่แย่งน้ำเต้าสุรากลับมาไม่ได้ ทำได้เพียงถามว่า “เจ้าอยากจะฟังเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกล่ะ?”

ชายตาเหล่ยืดคอตอบ “ก็ต้องอยากฟังความจริงสิ!”

เต๋อหมิงถอนหายใจแล้วตอบว่า “ดูจากสถานการณ์ภาพรวมของสำนักลมปราณ ถ้าเป่าเหลียนแต่งงานกับเกาเหยียน ก็นับว่ามีประโยชน์ต่อการเติบโตในระยะยาวของสำนักลมปราณ พวกเขาได้รับประโยชน์จากสำนักลมปราณ สำนักลมปราณก็สามารถอาศัยอิทธิพลของอีกฝ่ายเพื่อเติบโตได้เช่นกัน อย่างน้อยก็ช่วงชิงเวลาให้สำนักลมปราณเติบโตได้สักระยะหนึ่ง”

เป่าเหลียนได้ยินแล้วกระดกไหสุราดื่มอย่างหดหู่

“ท่าน…” ชายตาเหล่ชี้เต๋อหมิงขณะโกรธจนตัวสั่น แล้วตะคอกว่า “มีพ่อที่ไหนเขาทำอย่างท่านบ้าง? คนเจ้าชู้หลายใจอย่างเกาเหยียน มีผู้หญิงน้อยที่ไหนล่ะ? ถ้าเป่าเหลียนแต่งงานกับเขา ต่อไปก็ไม่รู้ว่าต้องโมโหมากขนาดไหน”

เต๋อหมิงถอนหายใจอีก “ร้านขายของชำซื่อตรงมีสำนักลมปราณควบคุมมาตลอด เครือข่ายธุรกิจของอำนาจฝ่ายต่างๆ ล้วนอยู่ในมือสำนักลมปราณ พ่อค้าจำนวนมากที่ไม่อยากเปิดเผยหน้าร่วมงานกับสำนักลมปราณมาหลายปีขนาดนั้น ด้วยความน่าเชื่อถือที่สะสมมา คนส่วนใหญ่มีแต่จะเชื่อถือสำนักลมปราณ ขอเพียงรับประกันจุดนี้ได้ ก็ไม่มีใครมาแทนที่สำนักลมปราณได้แล้ว ต่อให้เกาเหยียนแต่งงานกับเป่าเหลียนแล้ว แต่ก็ไม่กล้าปฏิบัติต่อนางไม่ดีหรอก หรือพูดได้อีกอย่างว่า แต่งงานกับใครก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? เมื่อครู่นี้เจ้าพูดถึงหนิวโหย่วเต๋อ หรือว่าหนิวโหย่วเต๋อมีผู้หญิงน้อยล่ะ? ต่อให้แต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” เขาเอียงหน้ามองเป่าเหลียนแวบหนึ่ง แล้วพูดต่อ “นางหนูเอ๋ย! หรือไม่ก็หาผู้ชายไร้ความสามารถสักคนที่ใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์สิ ผู้ชายที่โดดเด่นเกินไป ถ้าเจ้าอยากจะผูกมัดเขาไว้บนผ้าคาดเอวของเจ้าคนเดียวก็เป็นไปไม่ได้หรอก ทั้งอยากให้ผู้ชายคนนั้นมีประวัติโดดเด่นเหนือคนอื่น ทั้งอยากให้ผู้ชายคนนั้นมีแค่เจ้าคนเดียว เรื่องสมบูรณ์แบบอย่างนั้นก็อาจจะมี แต่มันมีน้อย ถ้าพูดถึงคนสวยที่มีอำนาจหนุนหลัง ก็มีคนที่เหนือกว่าเจ้าเยอะ เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปคิดถึงเรื่องดีงามอย่างนั้น? เจ้าเองไปไตร่ตรองให้ดีเถอะ เรื่องบางเรื่องคนอื่นก็ช่วยเจ้าไม่ได้หรอก”

ชายตาเหล่ทั้งโมโหทั้งอยากขำ “พ่อแบบท่านมีที่ไหนกัน? นี่เป็นคำพูดของคนเมาหรือเปล่า?”

เห็นได้ชัดว่าเป่าเหลียนก็โมโหเหมือนกัน พลันลุกพรวดแล้วมองเต๋อหมิง “ท่านหวังให้ข้าแต่งงานกับเกาเหยียนเหรอ?”

เต๋อหมิงที่พิงต้นไม้ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ไม่เกี่ยวว่าข้าหวังหรือไม่หวัง ที่สำคัญคือเจ้าต้องถามตัวเองว่าอยากหรือเปล่า เจ้าเต็มใจจะแต่งงานกับเขามั้ยล่ะ?”

“ข้ามีทางเลือกเหรอ?” เป่าเหลียนถามอย่างคับแค้นใจ

เต๋อหมิงหันหน้ากลับไปมองนางช้าๆ “ข้าแค่ถามเจ้าว่าเต็มใจแต่งงานกับเขาหรือเปล่า?”

เป่าเหลียนตะโกนเสียงดังว่า “ไม่เต็มใจ! เขาไม่ได้มีเป้าหมายที่ข้าเลย เขาพุ่งเป้าไปที่ร้านขายของชำซื่อตรงต่างหาก!” ทว่าสีหน้านางก็เหี่ยวเฉาลงเร็วมาก พึมพำว่า “ถ้าข้าไม่แต่ง พวกเขาจะต้องลงมือกับสำนักลมปราณแน่นอน!”

“เจ้าไม่เต็มใจก็พอแล้ว เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ” เต๋อหมิงค่อยๆ นั่งตัวตรง หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมาเขย่าในมือ

ชายตาเหล่กับเป่าเหลียนมองมองเขาอย่างงุนงง

ในขณะนี้เอง ทั้งสามก็แววตาวูบไหว พากันมองไปยังจุดไกลๆ แม้ทั้งสามจะไม่รู้จักเกาเหยียน แต่ก็รู้ว่าเกาเหยียนมาแล้ว

คนสิบกว่าคนเข้ามาในสวนศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์น้องคนหนึ่งที่ชื่อว่าเต๋อจื้อเป้ยก็นำทางมาด้วยสีหน้าตึงเครียด เกาเหยียนที่สวมชุดสีขาวดุจหิมะโบกพัดเดินตามมา ข้างหลังมีผู้ติดตามสิบกว่าคน พวกเขากำลังเดินมาทางนี้

พวกเขาเดินเข้ามาใต้ต้นไม้ ศิษย์น้องที่ชื่อเต๋อจื้อเป้ยทำความเคารพสองคนใต้ต้นไม้ “คารวะศิษย์พี่ทั้งสอง ท่านนี้คือเกาเหยียน”

เกาเหยียนกวาดสายตามองทั้งสองแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตาเป็นประกายทันทีที่จ้องเป่าเหลียน หน้าอกที่อิ่มเอิบนั่น เอวบางที่ดูมีพลัง ก้นที่กระดกงอนแบบนั้น อาศัยประสบการณ์เที่ยวผู้หญิงอันยาวนานของเขา แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นรูปร่างที่งดงามแข็งแรง ทั้งยังมีใบหน้ารูปไข่สวยน่ารัก บางทีคงเป็นเพราะดื่มจนเมา ทำให้ใบหน้านั้นแดงระเรื่อ ดวงตาโตเป็นประกายกำลังจ้องเขาด้วยแววตาไม่ยอมแพ้ ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความหัวแข็งดื้อรั้น กลิ่นกายหอมที่ปนกับกลิ่นสุราค่อนข้างยั่วยวนใจ

นึกไม่ถึงว่าจะเป็นสาวงาม! เกาเหยียนแอบดีใจทันที ก่อนหน้านี้คิดว่าฝืนใจแต่งงานไปเพื่อควบคุมร้านขายของชำซื่อตรงเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะเก็บได้สาวงาม ตอนนี้เขายิ่งเต็มใจมากกว่าเดิม บนใบหน้าเผยรอยยิ้มทันที มองข้ามเต๋อหมิงและศิษย์คนอื่นๆ ไปเลย เขาถือพัดกุมหมัดคารวะ “ใช่แม่นางเป่าเหลียนหรือเปล่า?”

เป่าเหลียนกุมหมัดคารวะด้วยท่าทางหยิ่งยโสราวกับอยากถอยห่างพันลี้ “คารวะนายท่านเกา”

ช่างเป็นพริกเผ็ดที่กำราบยาก ต้องแบบนี้สิ เวลากำราบได้ขึ้นมาถึงจะสะใจ! เกาเหยียนไม่ถือสาเลยสักนิด รอยยิ้มบนใบหน้ากลับเข้มข้นยิ่งขึ้น “แม่นางเป่าเหลียนทำตัวห่างเหินแล้ว ที่นี่ไม่มีนายท่านะอะไรหรอก” ขณะที่พูดก็มองไปรอบๆ “ข้าเองก็มาที่สำนักลมปราณเป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่าแม่นางเป่าเหลียนยินดีจะแสดงไม่ตรีของเจ้าบ้าน พาข้าไปเที่ยวชมสักรอบได้หรือไม่?”

“นายท่านเกา ขออภัย ให้อาจารย์อาไปเป็นเพื่อนท่านเถอะ” เป่าเหลียนมองเต๋อหมิง แล้วหาข้ออ้าง “ข้ายังต้องช่วยท่านพ่อทำงานอีก”

ท่านพ่อ? เกาเหยียนอึ้งไปชั่วขณะ ตอนนี้สายตาเพิ่งจะไปหยุดบนตัวเต๋อหมิงอย่างเป็นทางการ จากนั้นก็กุมหมัดคาระวอีกครั้งทันที “เสียมารยาทแล้ว ที่แท้ก็เป็นท่านอานี่เอง”

ทว่าเต๋อหมิงไม่มีท่าทีจะสนใจเขาเลย เพียงเหลือบตาขึ้นมองแวบหนึ่ง แล้วเขย่าระฆังดาราในมือต่อไป

เกาเหยียนโดนเมินใส่แล้ว จึงหัวเราะเสียงดังกลบเกลื่อน จากนั้นก็รออยู่ข้างๆ จนกระทั่งเต๋อหมิงเก็บระฆังดาราแล้ว ถึงได้กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอาคงยุ่งมาก!”

เต๋อหมิงตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “ก็ไม่ยุ่งหรอก ได้ยินว่ามีคนมาสู่ขอลูกสาวข้าเหรอ หัวหน้าภาคแดนรัตติกาลหนิวโหย่วเต๋อติดต่อมาถามข้า”

“…” เกาเหยียนอึ้งทันที มองเต๋อหมิงที่มีท่าทางสกปรกมอมแมม คิดในใจว่าอย่างเจ้าเนี่ยนะ หนิวโหย่วเต๋อจะเป็นฝ่ายติดต่อมาหาเจ้าก่อนเหรอ? บนใบหน้าเขาเผยรอยยิ้มทันที แทบจะหัวเราะออกมาแล้ว พบว่าสำนักลมปราณช่างน่าสนใจ ทั้งข้างล่างข้างบนล้วนอ้างชื่อหนิวโหย่วเต๋อมาขู่ ช่างไม่มีคนอื่นแล้วจริงๆ จึงพยักหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นก็ดีเลย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้า หนิวโหย่วเต๋อมีอะไรสงสัยก็ให้เขาถามข้าโดยตรงได้เลย ขอตัว!” เขากุมหมัดคารวะต่อทุกคนแล้วหันตัวเดินจากไป มองออกแล้วว่าคนที่นี่ไม่ค่อยยินดีต้อนรับเขา ไม่ต้องหวังแล้วว่าจะให้เป่าเหลียนมาเดินเล่นเป็นเพื่อนเขา ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัว รอให้ถึงวันเข้าห้องหอก่อน เขาจะทำให้ผู้หญิงคนนี้รับรู้ถึงความร้ายกาจเอง

ทางฝั่งนี้ยังมองส่งพวกเขาจากไป จู่ๆ เต๋อหมิงก้ลงมือแย่งน้ำเต้าสุรากลับมา แล้วพิงต้นไม้พลางดื่มช้าๆ อึกแล้วอึกเล่า

“เมื่อครู่นี้ท่านติดต่อใคร?” ชายตาเหล่ปรับอารมณ์แล้วลองถาม ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ตั้งแต่ท่านนี้ถูกลดตำแหน่งให้มาอยู่ที่ไร่ศักดิ์สิทธิ์ ก็เห็นเขาใช้ระฆังดาราน้อยมาก และไม่คิดว่าเมื่อครู่นี้เขาพูดความจริง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาเป็นฝ่ายติดต่อไปข้างนอกก่อน หนิวโหย่วเต๋อจะเป็นฝ่ายติดต่อมาก่อนเสียที่ไหนกัน ยังนึกว่าขู่อีกฝ่ายเฉยๆ

“เอิ๊ก…” เต๋อหมิงเรอหนึ่งทีแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าหนิวโหย่วเต๋อ?” จากนั้นก็กระดกน้ำเต้าสุราอุดปากอีก

“ศิษย์พี่ ท่านกำลังล้อเล่นใช่มั้ย?” ชายตาเหล่ยังไม่ค่อยเชื่อ

“นั่นจำเป็นด้วยเหรอ? ข้าก็แค่ติดต่อไปก่อนก็สิ้นเรื่องแล้ว” เต๋อหมิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ

เป่าเหลียนราวกับแมวที่ถูกเหยียบหาง ลุกพรวดในทันที แย่งน้ำเต้าสุรามาจากปากบิดา แล้วกระทืบเท้าบอกว่า “ท่านจะติดต่อไปหาเขาทำไม สำนักลมปราณไม่ได้ไปมาหาสู่กับเขานานแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปขอร้องเขา” ภาพที่นางออกจากตำหนักคุ้มเมืองปีนั้นยังติดตาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น คนคนนั้นไร้หัวใจ ขอร้องใครก็ได้แต่อย่าขอร้องคนคนนั้น

เต๋อหมิงยืดไหล่ “ข้าไม่ได้ขอร้องเขา ก็แค่เล่าสถานการณ์ของเจ้าให้เขาฟัง”

เป่าเหลียนกระทืบเท้าอีกครั้ง โกรธจนหน้าขาวหน้าแดง ในปีนั้นฝั่งนี้เคยขอให้เขามาสู่ขอแต่ถูกปฏิเสธ นางแค้นใจจริงๆ ที่บิดาของตัวเองไม่ได้เรื่อง ยังมีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่อยู่บ้างไหม? นางเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะบีบคอเขาให้ตายแล้ว

“หนิวโหย่วเต๋อตอบว่ายังไง?” ชายตาเหล่ถามอย่างสงสัยใคร่รู้

“ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาบอกว่าเขารู้แล้ว” เต๋อหมิงตอบอย่างเกียจคร้าน

“อย่างนี้เองเหรอ…” ชายตาเหล่น้ำเสียงอ่อนลง กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้หรือเปล่า ศิษย์พี่ แต่จะว่าไปแล้ว ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลอิ๋งวุ่นวายขนาดนั้น ถ้าเขาเข้ามาแทรกแซงจริงๆ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องนี้สำหรับสำนักลมปราณนะ!”

เต๋อหมิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าทำไร่ไถนา เกี่ยวอะไรกับข้า?” เขาทำท่าเหมือนกำลังบอกว่า ‘ข้าจำเป็นต้องพิจารณามาขนาดนั้นเชียวเหรอ’

“…” ชายตาเหล่อ้าปากค้าง

…………………………

ที่จริงแล้ว คนที่เกาเหยียนอยากแต่งงานด้วยมากที่สุดก็คือก่วงเม่ยเอ๋อร์ ด้วยความงามของก่วงเม่ยเอ๋อร์ แค่มองปราดเดียวก็ทำให้เขาใจเต้นแล้ว มองเป็นร้อยครั้งก็ไม่เบื่อ กอปรกับที่เป็นลูกสาวของอ๋องสวรรค์ก่วง เมื่อแต่งงานด้วยแล้วย่อมได้ผลประโยชน์เยอะมาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงตั้งใจไปเร้าหรือท่านป้าเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และแม่ซื้อของเขาก็เคยไปหาท่านอ๋องเพื่อคุยเรื่องมงคลแล้ว แต่รายละเอียดเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ สุดท้ายท่านป้าบอกเขาว่าให้ตัดใจ ก่วงเม่ยเอ๋อร์เหมือนไข่มุกล้ำค่าให้มือท่านอ๋อง ไม่ใช่ทุกคนที่มีสิทธิ์จะแต่งงานกับนางได้ จะเก็บไว้รอขายตอนราคาขึ้น!

เกาเหยียนเองก็เข้าใจความหมายแฝงในคำพูดเช่นกัน นั่นก็คือท่านอ๋องดูถูกเขา ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่นเขาคงใช้วิธีการแข็งกร้าวแน่นอน แต่นี่คือลูกสาวของท่านอ๋อง ต่อให้เขาใจกล้ากว่านี้อีกหมื่นเท่าก็ไม่กล้าทำซี้ซั้ว นอกเสียจากเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วเท่านั้น ทำได้เพียงมองบ้างเป็นบางครั้งเพื่อดับความกระหาย

ส่วนร้านขายของชำซื่อตรง ทุกวันนี้ถือเป็นธุรกิจที่หาได้ยากในใต้หล้า ถ้าได้มาควบคุม แค่คิดก็รู้ถึงทรัพยากรที่จะได้แล้ว เกาเหยียนย่อมยินดีปรีดา ส่วนจะชอบหรือไม่ชอบเป่าเหลียนนั้นไม่สำคัญ แต่งงานมีฮูหยินเอกสักคนก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับการรับอนุภรรยา ถ้าสามารถควบคุมช่องทางรายได้นี้ให้ตระกูลก่วงได้ ต่อให้ไม่ได้เป็นขุนนางตำหนักสวรรค์ แต่ในภายหลังตระกูลก่วงก็จะมีเส้นทางอื่นให้เดิน ท่านป้าเรียกได้ว่าลำบากลำบนทำให้ด้วยใจ ดังนั้นหลังจากเกาเหยียนเข้าใจแล้วก็ขอบคุณท่านป้าไม่หยุด ขอบคุณที่ตั้งใจจัดการเรื่องนี้ให้

ทว่าสำนักลมปราณกลับอ่านสถานการณ์ไม่ออก บ่ายเบี่ยงเรื่องนี้มาโดยตลอด ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงมาด้วยตัวเองแล้ว

ทางตระกูลก่วงถึงขั้นส่งยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์มาคุมสถานการณ์ ไม่ต้องบอกก็เข้าใจแล้ว การที่สามารถใช้ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ได้ เกาเหยียนก็มีความมั่นใจทันที เห็นได้ชัดว่านี่คือความคิดของลุงเขย ถ้าไม่มีลุงเขยอนุญาตก็ไม่มีทางเป็นไปได้

ตอนที่พวกเขามาถึงนอกประตูใหญ่ของสำนักลมปราณ เกาเหยียนก็มองไปรอบๆ อีกครั้งพร้อมกล่าวชม “เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ!” ที่จริงแล้วปากก็พูดไปอย่างนั้นเอง อาศัยฐานะของเขา เคยพบเจอสถานที่ดีมาแล้วมากมาย ทิวทัศน์ธรรมชาติของที่นี่ก็เป็นแค่สภาพแวดล้อมที่เลวร้ายสำหรับเขาเท่านั้น ทว่ากำลังจะมาสู่ขออีกฝ่าย ก็ย่อมต้องแสดงท่าทีอันดีงามอยู่แล้ว

“เชิญ!” อวี้หลิงเจินเหรินยื่นมือเชิญอีกครั้ง

ตอนนี้เกาเหยียนถึงได้หันตัวเดินตามเข้ามาในตำหนักใหญ่ ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ด้านนอก ข้างกายมีผู้ติดตามเข้าไปด้วยสองคนเท่านั้น

หลังจากเข้ามานั่งในตำหนักใหญ่และวางน้ำชาแล้ว เกาเหยียนก็ไม่ชักช้า พอเอ่ยปากก็เข้าประเด็นเลย “เจ้าสำนักอวี้หลิง เรื่องของผู้น้อยกับเป่าเหลียน ไม่ทราบว่าสำนักของท่านพิจารณาไปถึงไหนแล้ว?”

นึกไม่ถึงว่าจะตรงไปตรงมาขนาดนี้! อวี้หลิงเจินเหรินฝืนยิ้มพร้อมตอบว่า “นายท่านเกาเดินทางมาไกล ดาวไร้ลักษณ์แห่งนี้แม้จะจืดชืด แต่ก็มีสถานที่ที่น่าสนใจเช่นกัน ไม่สู้ให้ข้าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนนายท่านเกาสักหน่อยดีมั้ย?”

ฟังออกแล้วว่ากำลังปฏิเสธ เกาเหยียนเลิกคิ้ว เก็บพัดในมือ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เรื่องเที่ยวชมธรรมชาติเอาไว้คุยกันทีหลังก็ได้ หลังจากเรื่องของผู้น้อยกับเป่าเหลียนสมหวังแล้ว ในภายหลังดาวไร้ลักษณ์ก็ย่อมเป็นบ้านของตัวเอง อยากจะมาเที่ยวเล่นเมื่อไรก็ได้ ยังกลัวจะไม่มีโอกาสอีกหรือ?” พอเขากระดกพัดไปข้างหลัง ลูกน้องคนหนึ่งก็นำบัตรเชิญหนึ่งฉบับและกำไลเก็บสมบัติหนึ่งวงออกมาทันที แล้วใช้สองมือยื่นให้ตรงหน้าอวี้หลิงเจินเหริน

“นี่คือ…” อวี้หลิงเจินเหรินลุกขึ้นอย่างลังเล

เกาเหยียนก็ลุกตามเช่นกัน ใช้พัดชี้พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สินสอด!”

ศิษย์สำนักลมปราณที่อยู่ใต้ตำหนักได้ยินแล้วสีหน้าเปลี่ยนกันหมด นี่จะมัดมือชกกันชัดๆ!

“นายท่านเกา เป่าเหลียนเป็นผู้หญิงชาวป่าชาวเขา ไม่เหมาะกับท่านจริงๆ!” อวี้หลิงเจินเหรินปฏิเสธอ้อมๆ เขาจะกล้ารับสิ่งนี้ได้อย่างไร ถ้ารับสินสอดนี้ไว้แล้ว เกรงว่าต่อให้อยากถอยก็ถอยไม่ทันแล้ว จะไปล้อเล่นกับคนในครอบครัวอ๋องสวรรค์ก่วงได้อย่างไร

ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ที่เกาเหยียนพามาด้วยก้าวตามเกาเหยียนขึ้นมาข้างหน้า เกาเหยียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เหตุใดเจ้าสำนักต้องเหยียบย่ำหลานสาวตัวเองขนาดนี้ ข้าจริงใจกับเป่าเหลียนจริงๆ ในสายตาผู้น้อยเป่าเหลียนคือคนที่พิเศษไม่เหมือนใคร เจ้าสำนักได้โปรดช่วยให้สมปรารถนา!” พูดจบก็โค้งตัวกุมหมัดคารวะค้างไว้นานมาก

อวี้เลี่ยนเจินเหรินที่อยู่ข้างๆ ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว กล่าวเสียงเย็นว่า “เกรงว่านายท่านเกาคงไม่เคยเห็นแม้กระทั่งหน้าของเป่าเหลียนกระมัง? พุ่งเป้ามาที่ร้านขายของชำซื่อตรงก็บอกมาตรงๆ”

“ศิษย์น้อง!” อวี้หลิงเจินเหรินสีหน้าเปลี่ยนและตะคอกทันที เรื่องบางอย่างทำให้คลุมเครือไว้บ้างจะดีกว่า ถ้าเจาะรูกระดาษหน้าต่างหมดก็จะไม่มีทางหนีทีไล่แล้ว

เป็นอย่างที่คาดไว้ รอยยิ้มบนใบหน้าเกาเหยียนหายไปแล้ว เจ้าตัวค่อยๆ ยืนตัวตรง แล้วจ้องอวี้เลี่ยนเจินเหรินพร้อมบอกว่า “อาหารน่ะกินมั่วได้ แต่จะพูดจามั่วๆ ไม่ได้หรอกนะ แน่นอน ถ้าท่านดึงดันจะคิดอย่างนี้ ข้าเองก็ช่วยอะไรไม่ได้”

อวี้หลิงเจินเหรินรีบหันตัวมา “นายท่านเกา ข้ารับรู้ถึงน้ำใจของท่านแล้ว แต่ท่านอาจจะยังไม่รู้ ว่าเป่าเหลียนเคยเป็นลูกน้องคนสนิทผู้ตรวจการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อ ข้างนอกมีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับเป่าเหลียน พวกเราเองก็กังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของนายท่านเช่นกัน”

เขาเองก็หมดทางเลือดแล้ว ถึงได้อ้างชื่อเหมียวอี้ออกมา ตอนที่เกาเหยียนเริ่มกวนใจ ทางฝั่งนี้ก็ติดต่อตระกูลอิ๋งแล้ว แต่ตระกูลอิ๋งกลับแสดงท่าทีว่าฐานะของเกาเหยียนไม่ได้ทำให้เป่าเหลียนเสียศักดิ์ศรี หน้าตาก็ไม่ได้แย่ เหมาะสมกับเป่าเหลียนจนเหลือเฟือ เป็นผลดีต่อสำนักลมปราณเช่นกัน นี่คือเรื่องดี!

ทางนี้จึงท้อใจไปแล้วครึ่งหนึ่ง สำนักลมปราณถูกควบคุมอยู่บนอาณาเขตของตระกูลอิ๋ง แม้แต่ตระกูลอิ๋งก็ยังไม่ปกป้อง แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ทางนี้จึงติดต่อไปหาตระกูลฮ่าว ตระกูลโค่วและตระกูลเซี่ยโห้ว ผลปรากฏว่าไม่รู้เพราะอะไร ตระกูลฮ่าวกับตระกูลโค่วถึงไม่อยากเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ แสดงท่าทีคลุมเครือ ส่วนตระกูลเซี่ยโห้ว หลังจากรู้เรื่องนี้แล้วก็ให้ฝั่งนี้อาศัยฝีมือตัวเองเพื่อตักตวงความสุข ฝั่งนั้นรับประกันแล้วว่าจะไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลเซี่ยโห้วจึงไม่จำเป็นต้องก่อเรื่องเพื่อสำนักลมปราณ อย่างไรเสียคนที่ลงมือด้วยก็ไม่ใช่คนทั่วไป ซ้ำยังไม่รู้ชัดเจนด้วยว่าตระกูลเหล่านั้นร่วมมือกันหรือเปล่า

สุดท้ายจึงทำได้เพียงติดต่อหาสมาคมวีรชน ทว่าสมาคมวีรชนก็ไม่อยากเข้ามาก้าวกายเรื่องนี้เช่นกัน ทั้งยังไม่แน่ใจด้วยว่าตระกูลเหล่านั้นร่วมมือกันหรือไม่ แต่หลังจากนั้นจู่ๆ สมาคมวีรชนก็ติดต่อมาทางนี้อีก บอกว่าเป่าเหลียนเคยเป็นลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่หรือ? ให้สำนักลมปราณลองอ้างชื่อหนิวโหย่วเต๋อดูสิ นี่ก็คือสาเหตุที่อวี้หลิงเจินเหรินพูดอย่างนี้ออกมาในตอนนี้

และสิ่งที่ทำให้สำนักลมปราณลำบากกว่านั้นก็คือ หลังจากชีอู๋เจินเหรินทราบเรื่อง ก็แข็งใจถอดฐานะขุนนางตำหนักสวรรค์ของเป่าเหลียนเสียเลย ให้นางกลับสำนักลมปราณ จะได้ไม่ถูกฐานะของทัพตะวันออกควบคุม แต่ใครจะคิดว่าหลังจากนั้นชีอู๋เจินเหรินจะถูกกักบริเวณ เห็นได้ชัดว่ากำลังกดดันสำนักลมปราณ

“หนิวโหย่วเต๋อ?” เกาเหยียนแสร้งถามเหมือนแปลกใจ มองซ้ายมองขวาแล้วถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อคือคนไหน?”

จะแต่งงานกับเป่าเหลียน มีหรือที่จะไม่เคยได้ยินว่าเป่าเหลียนเคยทำงานรับใช้อยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ ว่ากันตามจริง เขาหวั่นเกรงหนิวโหย่วเต๋อมาก เพราะเจ้าเวรนั่นมันเป็นคนบ้า ทั้งยังเป็นคนบ้าที่มีความสามารถมากด้วย เป็นคนที่กล้าใช้กำลังปะทะกับทัพตะวันออกห้าล้าน เขาหวาดกลัวนิดหน่อย เหมือนจะได้ยินข่าวลือว่าแม้แต่อิ๋งอู๋หม่าน ลูกชายของอิ๋งจิ่วกวงก็ยังโดนเขาฆ่าทิ้งแล้ว ทั้งยังเคยสังหารหลานชายอ๋องสวรรค์อิ๋งต่อหน้าฝูงชน ภูมิหลังเส้นสายอันน้อยนิดของเขานี้ เอาไว้ใช้ขู่คนอื่นก็ยังพอไหว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหนิวโหย่วเต๋อเขาก็ไม่มีความมั่นใจนั้นเลยจริงๆ!

ยังเป็นท่านป้าที่ปลอบให้เขาสงบใจ บอกว่าในเมื่อฝั่งนี้ให้เขาไปแล้ว ก็ย่อมแสดงว่าเคยแอบสังเกตุการณ์มาแล้ว แม้แต่ศิษย์สำนักลมปราณยังบอกเลยว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ไปมาหาสู่กับสำนักลมปราณนานแล้ว เป็นเพราะในปีนั้นสำนักลมปราณเห็นว่าหนิวโหย่วเต๋อมีปัญหาติดตัว จึงเป็นฝ่ายรักษาระยะห่าง แม้แต่เป่าเหลียนก็ยังถูกชีอู๋เจินเหริน เจ้าสำนักลมปราณคนก่อนรับกลับมาจากตำหนักคุ้มเมืองด้วยตัวเอง ตั้งแต่นั้นมาทั้งสองฝ่ายก็เกิดช่องว่างต่อกันแล้ว ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีก

ข่าวที่สืบมาก็เป็นเรื่องจริง เพียงแต่สถานการณ์ของเหมียวอี้ในปีนั้น แม้แต่จะเอาตัวรอดก็ยังยาก จึงไม่อยากทำให้สำนักลมปราณลำบากไปด้วย จึงปล่อยข่าวพวกนั้นออกมา ที่จริงในปีนั้นเป่าเหลียนก็ไม่ได้อยากหนีออกจากข้างกายเหมียวอี้

ผู้ติดตามที่ถือสินสอดอยู่ข้างๆ กล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “ไม่เคยได้ยินเลย”

อวี้หลิงเจินเหรินรีบพูดเสริมว่า “ก็หัวหน้าภาคแดนรัตติกาลไง หนิวโหย่วเต๋อที่ช่วงนี้สร้างผลงานปราบโจรที่สระน้ำมังกรดำ เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์”

“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง ข้าก็ยังนึกว่าใครเสียอีก หนิวโหย่วเต๋อนับเป็นตัวอะไรล่ะ จะมายุ่งเรื่องแต่งงานของข้าเชียวหรือ?” เกาเหยียนกล่าวเหยียดหยามพลางหัวเราะ คิดในใจว่า นี่เจ้ากำลังขู่ใคร ในปีนั้นที่พวกเจ้าจงใจจะตัดสัมพันธ์กับหนิวโหย่วเต๋อเพื่อปกป้องตัวเอง คิดว่าข้าไม่รู้เหรอ ดึงอีกฝ่ายมาตีสนิทแบบนี้ หนิวโหย่วเต๋อจะสนใจเหรอว่าพวกเจ้าเป็นใคร?

อวี้หลิงเจินเหรินแอบตกใจ อีกฝ่ายไม่เห็นหนิวโหย่วเต๋ออยู่ในสายตาเลย วันนี้เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาแล้ว

ทุกวันนี้สำนักลมปราณนับว่าเป็นสำนักที่ใหญ่อันดับหนึ่งของดาวไร้ลักษณ์ มีกำลังทรัพย์ของร้านขายของชำซื่อตรงคอยสนับสนุน ต่อให้เทียบขนาดสำนักกับทั้งใต้หล้า ก็ถือว่าไม่เล็กแล้ว อาจเป็นเพราะผงาดขึ้นมาพรวดพราดเกินไป ขาดคนที่มีอำนาจมาคอยคุมสถานการณ์ในตำหนักสวรรค์ แค่เพราะรากฐานยังไม่หนาพอ ยามเผชิญหน้ากับอิทธิพลนี้ก็ไม่กล้าแม้แต่จะพูดเสียงดังด้วยซ้ำ อีกฝ่ายไม่เล่นงานเจ้าก็แล้วไป ถ้าจะเล่นงานขึ้นมา เจ้าก็ไม่มีแม้แต่ทางถอยด้วยซ้ำ

ในใจอวี้หลิงเจินเหรินเรียกได้ว่าเศร้าสร้อบ แต่บรรทัดฐานของสำนักลมปราณยังมีอยู่ เขายังกัดฟันบอกว่า “นายท่านเกา เรื่องนี้ยังต้องให้ทั้งสองฝ่ายยินยอมพร้อมใจ”

เกาเหยียนกล่าวเสียงเรียบว่า “การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ คำสั่งของพ่อแม่ คำพูดของท่านป้า ผู้อาวุโสสามารถตัดสินใจแทนได้ ถ้าเจ้าสำนักปฏิเสธออีก ก็แสดงว่ารังเกียจที่เกาผู้นี้ไม่เหมาะสมกับหลานสาวท่านใช่มั้ย?”

อวี้หลิงเจินเหรินโบกมือ “ไม่ได้หมายความอย่างนี้เลย เพียงแต่เรื่องนี้กะทันหันเกินไป เพราะเราไม่ได้เตรียมตัวเลยสักนิด…”

เกาเหยียนพูดตัดบทว่า “ที่กล่าวมาก็มีเหตุผล เอาอย่างนี้แล้วกัน รีบร้อนเกินไปคงไม่เหมาะจริงๆ ให้เวลาเจ้าสำนักพิจารณาหนึ่งวัน พวกเราจะรออยู่ที่นี่ คาดว่าสำนักลมปราณคงไม่ถึงขั้นไร้ที่พักรับรองแขกหรอกใช่มั้ย” ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายปฏิเสธอีกเลย เขาชี้พัดไปที่โต๊ะน้ำชา ผู้ติดตามที่อยู่ข้างกายนำสินสอดมาวางบนโต๊ะทันที

เกาเหยียนหันตัวเดินออกไปแล้ว กางพัดออกแล้วโบกพัดขณะเดินออกจากตำหนักใหญ่ กล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่าว่า “มาที่นี่เป็นครั้งแรก อยากจะตั้งใจเที่ยวชมสถานที่อันล้ำค่าแห่งนี้จริงๆ ใช่แล้ว แม่นางเป่าเหลียนอยู่ที่ไหน?”

“เจ้า…” อวี้เลี่ยนเจินเหรินเดือดดาลราวกับถูกไฟเผา อยากจะพุ่งเข้าไปต่อว่าต่อขาน แต่กลับถูกอวี้หลิงเจินเหรินพาดแขนขวางหน้าอกไว้ แล้วส่ายหน้าช้าๆ บอกใบ้ว่าอย่าวู่วาม

ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ที่อยู่ข้างหลังเกาเหยียนหันขวับ ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องอวี้เลี่ยนเจินเหรินที่จะพุ่งเข้ามา ลักษณะท่าทางข่มขวัญทั้งตำหนักใหญ่…

ไร่ศักดิ์สิทธิ์ ใต้ร่มไม้ของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เต๋อสือ นักพรตเต๋าตาเหล่ที่คุมไร่ศักดิ์สิทธิ์กำลังนั่งกางขาอยู่บนกิ่งไม้ เอนตัวพิงต้นไม้พลางกอดน้ำเต้าสุรากระดกดื่ม “เอิ๊ก” เขาเรอหนึ่งที แล้วใช้น้ำเต้าสุรากระแทกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

เต๋อหมิงที่นั่งกอดน้ำเต้าสุราอยู่ข้างๆ เหมือนกันผลักออก เรอหนึ่งทีแล้วบอกว่า “เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว”

ชายตาเหล่ยังคงใช้น้ำเต้าสุราตีแขนเขา “ศิษย์พี่ ลูกสาวท่านมาแล้ว”

“อืม?” เต๋อหมิงที่สะลึมสะลือลืมตามอง เห็นเงาคนรางๆ เดินเข้ามา ร่องตาเริ่มเบิกกว้างทีละนิด พบว่าเป็นเป่าเหลียนถูกสาวของตัวเองจริงๆ ด้วย เขาถอนหายใจ แล้วกระดกดื่มน้ำตาสุราต่อไป ไม่เศร้าโศกและไม่ยินดี

เป่าเหลียนถือไหสุราเดินเข้ามาสองใบ นางมองบิดาตัวเองด้วยสีหน้าหลากความรู้สึก นี่คือคนที่คุมร้านขายของชำซื่อตรงในปีนั้น ตอนนี้กลับแต่งตัวมอมแมมราวกับขอทาน

“เป่าเหลียนมาแล้วเหรอ เอาสุรามาส่งใช่มั้ย?” ชายตาเหล่ทักทายด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ

ทว่าเป่าเหลียนกลับนั่งลงข้างกัน นางเอาเยี่ยงอย่างพวกเขาบ้าง นั่งลงบนกิ่งไม้นั่น วางไหสุราใบหนึ่งไว้ ถือไหอีกใบขึ้นมาเปิดจุก แล้วอุ้มให้ขึ้นมาเงยหน้ากระดกดื่มหลายอึก

……………

ศีลแปดถูกนางมองจนอึดอัดไปทั้งตัว ถามอย่างกินปูนร้อนท้องเช่นกันว่า “จะมองข้าอย่างนั้นทำไม?”

“เจ้าบอกข้ามาแต่โดยดี เจ้ามาจากที่ไหน?” อวี้หลัวช่าถาม

ด้วยโลกทัศน์ของนาง นางย่อมเข้าใจว่าเรื่องที่สระน้ำมังกรดำนั้น อิ๋งจิ่วกวงไม่มีทางเลิกจองเวรเหมียวอี้แน่ ตอนแรกนางนึกว่าศีลแปดมาเพื่อหลบภัย ผลปรากฏว่าพูดเผยพิรุธทันที

เขาหันหลังเบี่ยงข้างให้ “ยังจะมาจากไหนได้อีก บอกแล้วไงว่าพี่ใหญ่บังคับให้ข้าเก็บตัวฝึกตนมาตลอด…ไอ้หยา เจ้าปล่อยนะ!” จู่ๆ ก็ร้องเสียงแปลกๆ อวี้หลัวช่าบีบข้อมือเขาไว้แล้ว ความรู้สึกนั้นราวกับกระดูกจะถูกบีบแตก

อวี้หลัวช่าคว้าข้อมือเขาสะบัด เนื้อย่างในมือศีลแปดกระเด็นหายจนไม่เห็นเงาแล้ว

หลังจากข้อมือได้รับอิสระแล้ว ศีลแปดก็กระโดดลงจากเตียงทันที นวดข้อมือพลางร้องบ่นว่า “อาศัยว่าวรยุทธ์สูงรังแกคนอื่นใช่มั้ย? ยังมีความเป็นกุลสตรีบ้างหรือเปล่า?”

อวี้หลัวช่านอนตะแคงเอามือหนุนศีรษะ แสยะยิ้มพลางบอกว่า “พูดเหลวไหลตาไม่กระพริบ เจ้าไม่ได้มาจากทางพี่ใหญ่เลย ไม่อย่างนั้นเรื่องที่พี่ใหญ่เจ้าเกือบเอาชีวิตไม่รอด คงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่รู้?”

ศีลแปดปวดใจทันที เบิกตากว้างขึ้นหลายเท่า “เจ้าพูดอะไรน่ะ? พี่ใหญ่เป็นอะไรไป?”

เขาจะไปรู้เรื่องสระน้ำมังกรดำได้อย่างไร เขาถูกขังอยู่ที่จุดซ่อนสมบัติลับสำนักหนานอู๋หลายปีขนาดนั้น เป็นการฝึกตนแบบสามวันจับปลา สองวันตากแห[1] ไม่มีกะจิตกะใจจะฝึกตนเลย ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือทนอุดอู้ไม่ไหว ตอนนั้นหลังจากเหมียวอี้ไปแล้ว เขาก็คิดหาทางที่จะออกมาตลอด แต่จนใจที่หาทางออกไม่เจอเลย เขาถึงได้บังคับตัวเองให้ลองฝึกตนดูสักครั้ง แต่วิธีฝึกตนที่ก่อกวนสภาพจิตใจแบบนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะรับไหว เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ แทบจะกลายเป็นบ้าอยู่แล้ว

ช่วงนี้เขาเพิ่งจะตระหนักถึงวิธีการเปิดประตู จึงแอบหนีออกมาทันที เขาไม่กล้าไปหาเหมียวอี้หรอก ยังฝึกไม่สำเร็จจะกล้าไปหาเหมียวอี้ได้อย่างไร อีกทั้งยังถูกขังมาหลายปีขนาดนั้น อยากจะหาผู้หญิงเพื่อผ่อนคลายสักหน่อย ตัวอยู่ที่แดนสุขาวดีพอดี อยู่ใกล้กับอวี้หลัวช่า เฝ้าคิดถึงวิธีการปรนนิบัติของอวี้หลัวช่ามาตลอด จึงมาด้วยความลุ่มหลงในความงาม ผลก็คือได้ผ่อนคลายจริงๆ ด้วย รสชาติแบบนั้นยอดเยี่ยมจนตอนอยู่ที่สถานที่ผนึกเทียบไม่ติด

อวี้หลัวช่าชำเลืองมองเขา “ปั้นเรื่องต่อไปเถอะ เจ้ามาจากทางพี่ใหญ่ไม่ใช่เหรอ?”

“เอ่อ…” เงียบ ตอนนี้รู้ตัวทันทีว่าตัวเองตกหลุมพรางแล้ว จึงเดินไปด้านข้างแล้วเหก็บเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ “ถ้าไม่ต้อนรับ ข้าไปก็ได้” ในใจพึมพำว่า ข้าได้คลายผนึกจุดหยางแล้ว ยังกลัวจะหาผู้หญิงไม่ได้เชียวเหรอ?

“พี่ใหญ่กับอิ๋งจิ่วกวงสู้กันแล้ว นำทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาลไปที่สระน้ำมังกรดำเพื่อทำศึกกับทัพตะวันออกห้าล้าน…” อวี้หลัวช่าที่เรือนร่างขาวดุจหยกเล่าสถานการณ์ที่รู้ให้ฟัง

ศีลแปดที่สวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วก้าวขาไม่ออกทันที ยืนฟังด้วยความตกตะลึง หลังจากฟังจบ ก็ลองถามว่า “หมายความว่าตอนนี้พี่ใหญ่ไม่เป็นอะไรแล้วใช่มั้ย?”

“จะต้องการจะไปไม่ใช่เหรอ?” อวี้หลัวช่าถามเสียงเย็น

“เหอะๆ! ข้าล้อเล่น เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปไหนได้ล่ะ” ศีลแปดนั่งลงบนเตียงอย่างหน้าด้านอีกครั้ง ขณะที่สองมือกำลังจะลูบไล้บนร่างกายนาง แต่กลับกลายเป็นร้อง “โอ๊ยๆ”

อวี้หลัวช่าบีบข้อมือที่มันแผล็บของเขา แล้วพูดทิ้งท้ายว่า “ไปล้างให้สะอาด!”

“ได้ๆ!” ศีลแปดถลันตัวไปริมลำธารทันที ล้างมือสะอาดแล้วถึงได้วิ่งกลับมา พอล้มตัวลง ก็กอดอวี้หลัวช่าด้วยความเซ็งอีกครั้ง พลางถามว่า “พี่ใหญ่ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”

อวี้หลัวช่าเอามือคล้องคอเขา พ่นลมหายใจหอมสดชื่นกระซิบข้างหูเขาว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะไม่รู้เลยสักนิด ตามหลักแล้วเจ้าสามารถติดต่อพี่ใหญ่ของเจ้าโดยตรงได้เลย ดูท่าแล้วเจ้าคงไม่อยากให้พี่ใหญ่เจ้ารู้ บอกมาแต่โดยดี เจ้ามาจากไหนกันแน่?”

นางเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน เดิมทีสามารถใช้วิชาเสน่ห์ทำให้ศีลแปดพูดอย่างซื่อสัตย์ได้ ทว่าสิ่งที่น่าแปลกก็คือ วิชาเสน่ห์ที่นางฝึกมาอย่างเชี่ยวชาญและลึกซึ้งได้ผลแค่นิดหน่อย ระบำมารสวรรค์ก็แค่เพิ่มความบันเทิงให้ศีลแปดนิดหน่อยเท่านั้น ตอนนี้ตัวเองเจอกับคู่รักคู่อาฆาตแล้วจริงๆ

สองมือเขากำลังลูบไล้อยู่บนตัวนาง “พูดความจริงก็ได้ ข้าเก็บตัวฝึกตนมาตลอด ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ข้าโดนพี่ใหญ่กักบริเวณไว้ในสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อบังคับให้ฝึกตน ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะงัดประตูแอบหนีออกมาได้ จะกล้าให้พี่ใหญ่รู้ได้ยังไงล่ะ เดี๋ยวกลับไปพี่ใหญ่ต้องหักขาข้าแน่”

อวี้หลัวช่าบิดร่างกาย ทำตาปรือกล่าวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “จริงเหรอ? เจ้านี่ใจกล้าไม่เบา ต่อไปถ้าพี่ใหญ่ลงมือกับเจ้า ข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้นะ”

ศีลแปดหัวเราะแห้งๆ “ก็ไม่ใช่เพราะข้าคิดถึงเจ้าหรอกเหรอ เลยอดใจไม่ไหวต้องแอบหนีมาหาเจ้าไง”

อวี้หลัวช่าพ่นเสียงทางจมูก ทำท่าเหมือนไม่ได้ปฏิเสธและไม่ได้ยอมรับ นางมีประสบการณ์เรื่องผู้ชายมาเยอะจนตัวเองก็ยังนับไม่หมด สันดานผู้ชายเป็นอย่างไร มีหรือที่นางจะไม่รู้ชัด แต่สิ่งนี้ไม่สำคัญแล้ว ขอเพียงศีลแปดรักษาสัญญาก็พอ นางจึงไม่พูดประเด็นนี้ ถามว่า “ไปถูกขังอยู่ที่ไหนมาตั้งหลายปี?”

ศีลแปดพลิกตัวเอนกายอยู่ข้างกัน แล้วกล่าวพร้อมยิ้มเจื่อน “เรื่องนี้บอกไม่ได้จริงๆ เจ้าเองก็อย่าถามเลย พี่ใหญ่ข้าหวังดี ข้าก็แค่เหงาจนทนไม่ไหว ทนความอดอยากไม่ไหวจนหนีออกมา” ขณะที่พูดก็ตบต้นข้านางเบาๆ “รีบบอกมาเถอะ เรื่องพี่ใหญ่ข้าเป็นยังไงกันแน่?”

อวี้หลัวช่าพลิกตัว ร่างกายครึ่งหนึ่งของนางนอนหมอบบนร่างกายเขา “ต้องบอกเลยว่าพี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ ทำศึกที่สระน้ำมังกรดำได้งดงาม ขนาดทัพตะวันออกห้าล้านยังต้านพี่ใหญ่ของเจ้าไม่ไหว ตอนนี้ได้เลื่อนตำแหน่งอีกแล้ว ได้กลายเป็นผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์อีกแล้ว…” นางเล่าสถานการณ์ปัจจุบันให้ฟังรอบหนึ่ง

ศีลแปดได้ฟังแล้วโล่งอก “ใช่แล้ว พี่ใหญ่ไม่ธรรมดามาตั้งแต่เด็กแล้ว”

อวี้หลัวช่าลูบไล้ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา กล่าวด้วยสายตาลุ่มหลงว่า “ศีลแปด ลูกของเราเติบโตแล้ว หน้าตาดีมาก เขาได้ข้อดีของพวกเราได้ บริสุทธิ์เหมือนหยกที่ยังไม่ได้เจียระไน”

ใบหน้ายิ้มเจื่อน แต่ในใจอยากจะร้องไห้โดยไร้น้ำตา พูดเป็นอะไรไปได้ เขาถามอย่างตะกุกตะกักว่า “เจ้าไปดูมาแล้วเหรอ?”

อวี้หลัวช่าแนบใบหน้าบนหน้าอกเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าทำใจอดคิดถึงลูกไม่ได้จริงๆ ข้าเว้นช่วงไปเยี่ยมเขาเสมอ พวกเราทำผิดต่อเขาเกินไป” ขณะที่พูดน้ำตาก็พรั่งพรูราวกับน้ำพุ เริ่มร้องไห้อย่างปวดใจบนตัวศีลแปด ตอนนี้นางนึกเสียใจทีหลังจริงๆ นึกเสียใจที่ตัวเองเดินบนเส้นทางนี้ ชื่อเสียงโด่งดังทั้งใต้หล้า จนถึงขั้นไม่กล้าให้ลูกรู้ว่าตัวเองคือมารดาของเขา รสชาติขื่นขมแบบนั้น คนนอกยากที่จะเข้าใจได้

ศีลแปดเองก็ถูกนางทำให้สับสนคิดวนเวียนแล้ว เขาไม่มีความกล้าที่จะไปเผชิญหน้ากับลูกตัวเองเลย ผ่านไปหนึ่งหมื่นปีกว่าแล้ว จินตนาการได้เลยว่าลูกเติบโตขนาดไหนแล้ว จู่ๆ ก็มีเด็กหนุ่มโผล่มาบอกว่าเป็นลูกชายของเขา ฉากนั้นงดงามเกินไป เขาตบหลังอวี้หลัวช่าเบาๆ แล้วเปลี่ยนประเด็นสนทนา “เจ้าไปที่นั่นไม่กลัวคนจะมองพิรุธออกเหรอ?”

อวี้หลัวช่าที่เปียกปอนน้ำตาส่ายหน้าสะอึกสะอื้น “ไม่เป็นไร ข้าประกาศแล้วว่าข้าคือศิษย์สำนักหนานอู๋ที่ยังรอดชีวิต ที่ข้าสนใจที่อยู่ของพระปีศาจหนานโปก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ในจุดนี้ข้ารู้จักประมาณตน”

ศีลแปดไม่อยากเอ่ยเรื่องลูกอีก จึงเปลี่ยนประเด็นต่อไป “ในภายหลังถ้าพี่ใหญ่ของข้าพบปัญหาอะไร เจ้าต้องยื่นมือเข้าไปช่วยนะ!”

อวี้หลัวช่าเอามือปาดน้ำตา “ข้าลงมือเองไม่สะดวก แต่เจ้าไม่ต้องห่วง พี่ใหญ่มีแผนในใจแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ต้องการให้ข้าช่วยจริงๆ เขาย่อมเอ่ยปากบอก แล้วข้าค่อยคิดหาทางช่วยเขาอีกที…ใช่แล้ว ต่อไปเจ้าฝึกตนอยู่ที่นี่ก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอก แล้วอีกอย่าง เจ้าก็รู้ถึงลักษณะพิเศษของสำนักหลัวช่า ข้าซ่อนผู้ชายไว้ที่นี่ก็ไม่ทำให้คนสงสัยหรอก”

“เอ่อ…” ศีลแปดรีบส่ายหน้า “แบบนี้ไม่เหมาะ ถ้าพี่ใหญ่ไปตรวจสอบขึ้นมาล่ะ ตอนนี้ข้าหายไปแล้ว เขาต้องตีข้าแน่นอน ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยเห็นฉากที่เขาซ้อมข้าจะเป็นจะตาย เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะมาเจอเจ้าบ่อยๆ แต่มีเงื่อนไขว่าเจ้าห้ามให้พี่ใหญ่รู้”

อวี้หลัวช่าลังเลนิดหน่อย ไม่รู้ว่าปิดบังเหมียวอี้แบบนี้จะเหมาะสมหรือเปล่า นางรู้ว่าเหมียวอี้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจแทนศีลแปดได้อย่างเบ็ดเสร็จ ถ้าทำให้เหมียวอี้เดือดดาลแล้วจะอึดอัดมาก แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้าเบาๆ “รอบนี้ยังไม่ต้องงรีบไป อยู่เป็นเพื่อนข้าอีกสักหน่อย…” จากนั้นก็ย้ายปากมาข้างหูเขา” ตั้งแต่มีเจ้า ข้าก็ไม่เคยแตะต้องผู้ชายที่ไหนอีกเลย ต่อไปนี้ก็จะเป็นอย่างนี้ ข้าพูดแล้วทำได้”

ศีลแปดเหล่ตามองบนร่างกายนาง ตอนนี้นางยั่วยวนใจเกินไป พอหันตัวมาก็ฉีกเสื้อผ้าน้อยชิ้นบนร่างกายนางออกอย่างดุดัน…

ดาวไร้ลักษณ์ สำนักลมปราณ ค่ายกลตรงประตูใหญ่เปิดออก กำลังพลตำหนักสวรรค์ร้อยกว่าคนเข้ามาข้างใน สวมเกราะรบสีม่วงทั้งหมด ชายหนุ่มชุดขาวที่ถือพัดอยู่ในมือดูเจ้าชู้รักอิสระ หน้าตาหล่อสดใส ผู้ติดตามข้างกายเป็นยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์หนึ่งคน

อวี้หลิงเจินเหรินเจ้าสำนักลมปราณและผู้อาวุโสอวี้เลี่ยนเจินเหรินออกมาต้อนรับหน้าประตูใหญ่ด้วยตัวเอง ทว่าแต่ละคนกลับมีสีหน้าซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก

“รบกวนเจ้าสำนักอวี้หลิงต้องออกมารับด้วยตัวเองแล้ว ผู้น้อยเกาเหยียนทักทาย” ชายหนุ่มชุดขาวที่ชื่อเกาเหยียนเก็บพัดแล้วกุมหมัดคารวะ ใบหน้ายิ้มแย้ม

“นายท่านเกาให้เกียรติมาเยือนด้วยตัวเอง ถือเป็นเกียรติของสำนักลมปราณ” อวี้หลิงเจินเหรินเจียดกล่าวพร้อมฝืนยิ้ม

เกาเหยียนหัวเราะเบาๆ แล้วยิ้ม “เรียกนายท่านอะไรกัน ทำตัวห่างเหินแล้ว แถมข้าก็ไม่ใช่นายท่านอะไรตั้งนานแล้ว เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น”

อวี้หลิงเจินเหรินมองยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ที่อยู่ข้างกายเขา แล้วเอียงตัวยื่นมือเชิญ “นายท่านเกาเชิญข้างใน!”

“ก็ดี!” เกาเหยียนกุมหมัดคารวะอีกครั้ง กางพัดโบกเบาๆ พร้อมเดินตามหลังอวี้หลิงเจินเหรินที่นำทางด้วยตัวเอง เขาเหลียวซ้ายแลขวาตลอดทาง “สถานที่อันงดงามก่อกำเนิดบุคคลอันยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจที่เป็นบ้านเกิดของสตรีผู้งดงามมากด้วยสติปัญญาอย่างเป่าเหลียน!”

พอกล่าวแบบนี้ อวี้หลิงเจินเหรินกับอวี้เลี่ยนเจินเหรินก็สีหน้าตึงเครียดอย่างอดไม่ได้ ศิษย์บางคนถึงขั้นเม้มริมฝีปากแน่นสายตาแฝงความไม่พอใจ กล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูด

เป็นเพราะสำนักลมปราณไปมีเรื่องกับคนคนนี้ไม่ไหวจริงๆ

ผู้ที่มามีประวัติไม่ธรรมดา เป็นลูกพี่ลูกน้องของก่วงจวินอัน เป็นลูกชายของน้องชายของมารดาก่วงจวินอัน เดิมทีเป็นแม่ทัพภาคคนหนึ่ง ตอนก่วงลิ่งกงจัดระเบียบทัพตะวันตก เพื่อที่จะแสดงถึงต้นแบบที่ดี จึงลงดาบกับญาติอย่างท่านนี้ก่อน เกาเหยียนขอร้องอาหญิงแล้วไม่ได้ผล เดิมทีก็คับแค้นในใจอยู่แล้ว ใครจะคิดว่าจะมีโชคร่วงลงมาใส่เขา อาหญิงให้เขาแต่งงานกับเป่าเหลียนจากสำนักลมปราณ

ตอนแรกเกาเหยียนยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เมื่อได้รับคำชี้แนะจากอาหญิงแล้วถึงเข้าใจ อาหญิงบอกว่าตระกูลก่วงสนใจหุ้นของสำนักลมปราณที่มีอยู่ในร้านขายของชำซื่อตรง ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ร้านขายของชำซื่อตรงก็ยังอยู่ในมือสำนักลมปราณ เดิมทีตระกูลก่วงไม่ได้มีความคิดนี้ เพราะอย่างไรเสียร้านขายของชำซื่อตรงก็ยังเกี่ยวข้องกับอำนาจอีกหลายฝ่าย แล้วสำนักลมปราณก็อยู่ในอาณาเขตของตระกูลอิ๋งด้วย ตระกูลก่วงจึงไม่สะดวกจะยื่นมือเข้ามา ทว่าหลังจากเกิดเรื่องนี้สระน้ำมังกรดำ ถูกเงื่อนไขของเหมียวอี้บีบบังคับ เพื่อที่จะให้ตระกูลก่วงช่วยเหลือ ตระกูลอิ๋งจึงนำสำนักลมปราณมาเป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยน ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือนำอำนาจในการควบคุมร้านขายของชำซื่อตรงมาเป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยน ไม่อย่างนั้นตระกูลก่วงจะช่วยตระกูลอิ๋งตอนประชุมราชสำนักได้อย่างไร

แม้จะบอกว่านำสำนักลมปราณมาเป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยน แต่การแย่งชิงมาอย่างเปิดเผยก็จะดูโลภเกินไป ถึงอย่างไรเบื้องหลังสำนักลมปราณก็เกี่ยวข้องกับอำนาจหลายฝ่าย โดยทั่วไปไม่มีใครกล้าแตะต้องสำนักลมปราณส่งเดช ไม่อย่างนั้นก็จะมีคนนำไปเป็นประเด็นถกเถียงในที่ประชุมขุนนางได้ทุกเมื่อ ย่อมต้องทำให้ดูดีสักหน่อย ส่วนเป่าเหลียนก็เป็นหลานสาวของอวี้หลิงเจินเหรินเจ้าสำนักลมปราณ ถ้าแต่งงานกับเป่าเหลียน แล้วมีตระกูลอิ๋งให้ความร่วมมือ ตระกูลก่วงก็ย่อมมีวิธีสนับสนุนให้เป่าเหลียนขึ้นสู่ตำแหน่งสำนักลมปราณอยู่แล้ว เท่ากับได้ควบคุมสำนักลมปราณ ได้มีอำนาจควบคุมร้านขายของชำซื่อตรง

…………………………

[1] สามวันจับปลา สองวันตากแห 三天打鱼两天晒网

เหมียวอี้เหล่ตาเล็กน้อย มองคล้อยหลังหยวนกงเดินจากไป จากนั้นก็นำคนที่เหลือเดินก้าวยาวเข้ามาในจวน

คนกลุ่มนี้เดินเข้ามาในเรือนด้านใน เกราะรบบนตัวเหมียวอี้สะดุดตาเกินไป กลุ่มผู้หญิงที่รออยู่จ้องบนตัวเหมียวอี้ด้วยตาเป็นประกายทันที เกราะรบของแม่ทัพใหญ่เชียวนะ! หรือว่าคนที่ถูกเรียกว่าผู้ตรวจการใหญ่คือท่านหัวหน้าภาคจริงๆ?

“นายท่าน!” หลังจากกลุ่มผู้หญิงทำความเคารพแล้ว สวีถังหรานก็ประกาศข่าวดีต่อทุกคนอย่างดีอกดีใจ ทำอย่างกับเขาได้เลื่อนเป็นผู้ตรวจการใหญ่เอง

แม้พวกผู้หญิงจะสำรวมท่าที แต่กลับตื่นเต้นดีใจจนปิดบังไว้ไม่อยู่ ย่อมเข้าใจหลักการเรือขึ้นสูงตามน้ำ ถ้ารอให้ผู้ตรวจการใหญ่ท่านนี้ยืนอย่างมั่นคงเมื่อไร ช้าเร็วผู้ชายของตัวเองก็จะได้เลื่อนขั้นสูงไปด้วย จึงรีบทำความเคารพ “คารวะผู้ตรวจการใหญ่!”

อวิ๋นจือชิวยืนมองเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้มสนิทสนม ในดวงตาฉายแววภาคภูมิใจ

ซิงยืนมองเงียบๆ อยู่ใต้ต้นไม้

มู่หรงซิงหัวที่อยู่ข้างๆ ดวงตาฉายแววอัศจรรย์ใจ เรียกได้ว่าเรื่องในอดีตยังติดตาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น ใครจะไปคาดคิดว่าเหมียวอี้จะเดินมาถึงขั้นนี้ ตอนแรกมีคนมากมายคิดว่าเขาจะหมดทางทำกินแล้ว

เหมียวอี้กล่าวถ่อมตัวว่า “เป็นเพียงตำแหน่งลอยเท่านั้นเอง แค่ตำแหน่งลอยเท่านั้น” หลังจากพูดตามมารยาทแล้ว ก็เดินก้าวยาวผ่านกลุ่มคนไป

อวิ๋นจือชิวกำชับให้เฟยหงต้อนรับแขก ส่วนตัวเองพาเชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์เดินตามไป

พอกลับมาถึงในห้อง ผู้หญิงทั้งสามก็ช่วยถอดเกราะรบให้เหมียวอี้ ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใส่สบายใจ เหมียวอี้กลับพูดเบาๆ ว่า “ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวสักประเดี๋ยว!”

ยังไม่ทันได้ร่วมแบ่งปันความดีอกดีใจก็ไล่ตนซะแล้ว อวิ๋นจือชิวบิดเนื้อที่เอวเขาหนึ่งที แล้วก็เตะอีกที แต่กลับไม่ได้เกาะแกะเขาต่อ รู้ว่าเขาต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน นางจึงกลอกตามองบนแล้วพาเชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์ออกไป

พอโบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ปิดประตู เหมียวอี้ก็นั่งลงข้างโต๊ะ เขาใช้มือลูบไล้เกราะรบที่เพิ่งถอดออก หลังจากเงียบไปครู่เดียว ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่ง

แผนการขั้นต้นผ่านไปได้อย่างราบรื่น เป็นเพราะแผนที่ทั้งสองวางไว้สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้ง่าย ขั้นต่อไปต่างหากที่เป็นการเริ่มต้นของจุดสำคัญ ทั้งสองอนุมานปรึกษากันไปทีละขั้น การปรึกษานี้ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวัน

เมื่อม่านราตรีมาเยือน เหมียวอี้ถึงได้ผลักประตูเดินออกมา นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นจือชิวยังนั่งอยู่ในโถงด้านนอก ข้างนางยังมีเชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์ยืนอยู่ด้วย ผู้หญิงทั้งสามมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ต่างก็มองออกว่าเหมียวอี้กำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไร

เหมียวอี้ขมวดคิ้วมุ่นขณะเอามือไขว้หลังเดินเนิบนาบไปหน้าบันไดนอกห้อง จากนั้นเงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงจันทร์หลายดวงส่องแสงสุกสกาวอยู่ในท้องฟ้ายามราตรี

กระแสความชื้นจากน้ำค้างแผ่ความหนาวเย็น ผ้าคลุมผืนหนึ่งพาดไหล่เหมียวอี้อย่างแผ่วเบา เหมียวอี้หันกลับไปมอง สบตากับอวิ๋นจือชิวแล้วยิ้มบางๆ จากนั้นยื่นมือไปกุมมือที่อ่อนนุ่มของนาง นางก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างเขา แล้วซบไหล่เขาเบาๆ เขายังคงเงยหน้ามองดาวบนฟ้า ทั้งสองต่างเงียบงัน…

“เฮ่อ ผิดหลักธรรมชาติเกินไปแล้ว! ผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์ เลื่อนขั้นเป็นผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์แล้วเหรอ? เรื่องที่สระน้ำมังกรดำมีใครบ้างที่ไม่รู้อยู่แก่ใจ ตระกูลอิ๋งกล้ำกลืนความแค้นนี้ได้ยังไง นี่ไม่ใช่การตบหน้าตระกูลอิ๋งเหรอ? ตระกูลอิ๋งไร้ประโยชน์จริงๆ ขนาดหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวยังจัดการไม่ได้…”

จวนจอมพลสายเถาะ ในห้องหนังสือ ผังก้วนยืนวาดๆ เขียนๆ อยู่หน้าโต๊ะ เฉินหวยจิ่วบ่าวชรายืนเก็บมืออยู่ข้างๆ เพียงมองผังก้วนที่กำลังวาดเขียนเป็นระยะ แล้วก็มองฮูหยินจาหรูเยี่ยนที่ท้งกลมยื่นออกมา

จาหรูเยี่ยนกำลังพร่ำบ่นไม่หยุด เฉินหวยจิ่วแอบส่ายหน้า พบว่าฮูหยินคนนี้อาศัยว่าตัวเองตั้งครรภ์ จึงเริ่มควบคุมปากตัวเองไม่ได้แล้ว นายท่านเองก็อดทนไว้เพราะเห็นแก่ลูกในท้องนาง แต่นางเลือกเป้าหมายที่จะบ่นผิดคนแล้ว ถ้าพูดต่อไปแบบนี้ก็ไม่รู้ว่านายท่านจะทนได้อีกนานแค่ไหน

แต่เขาก็พอเข้าใจได้ จาหรูเยี่ยนไม่รู้ว่านายท่านกับหนิวโหย่วเต๋อมีความสัมพันธ์ลับกัน นายท่านเองก็ไม่มีทางบอกให้คนปากมากอย่างฮูหยินรู้ ถ้าปากรั่วพูดออกไป นั่นก็จะบันเทิงแล้ว

ส่วนสาเหตุที่จาหรูเยี่ยนเหม็นขี้หน้าเหมียวอี้ก็ย่อมไม่ต้องพูดเยอะ เพราะตระกูลจาขาดลูกสิ้นหลานด้วยน้ำมือเหมียวอี้ จาหรูเยี่ยนกล้ำกลืนความแค้นนี้มาตลอดราวกับเป็นก้างติดคอ เพียแต่ก่อนหน้านี้ถูกผังก้วนควบคุมไว้จึงไม่กล้ารีบร้อน กอปรกับในมือเหมียวอี้เริ่มมีกำลังทหารมากขึ้น ไม่ใช่ว่าส่งยอดฝีมือไปคนสองคนแล้วจะจัดการได้ นางยังไม่มีสิทธิ์เรียกช้งานทัพใหญ่ ดังนั้นจึงทำอะไรเหมียวอี้ไม่ได้ ทว่าหลังจากผังก้วนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นจอมพลแล้ว ความได้หน้าได้ตาของจาหรูเยี่ยนก็ย่อมไม่เหมือนในวันเก่า สภาพจิตใจก็เปลี่ยนไปบ้างแล้ว ตอนที่เหมียวอี้อยู่อย่างสงบเสงี่ยม นางไม่ยินข่าวคราวจึงปล่อยผ่านไป แต่จู่ๆ เหมียวอี้ก็กลายเป็นคนที่ได้หน้าได้ตาแบบนี้ นางจึงเหมือนถูกยั่วยุอารมณ์อีกครั้ง กอปรกับมีลูกในท้องเป็นที่พึ่ง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว นางหวังว่าจะเกลี้ยกล่อมให้ผังก้วนล้างแค้นเพื่อตระกูลจาได้

พอเขียนเสร็จหนึ่งตัวอักษร ในที่สุดผังก้วนก็เงยหน้าขึ้น “เจ้าพูดจบแล้วหรือยัง?”

เฉินหวยจิ่วแอบคิดในใจว่าแย่แล้ว นายท่านจะระเบิดอารมณ์แล้ว หวังว่าจาหรูเยี่ยนจะอ่านสถานการณ์ออกสักหน่อย

ทว่าจาหรูเยี่ยนยืดท้องของตัวเองไปที่โต๊ะ นัยน์ตาแดงก่ำแล้วเช่นกัน กล่าวอย่างเศร้าโศกว่า “ด้วยคุณสมบัติและประสบการณ์ของเขา มีสิทธิ์อะไรเป็นผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์ คนในใต้หล้าตายกันไปหมดแล้วหรือไง? นายท่าน ที่ท่านมีวันนี้ได้ ตระกูลจาของข้าไม่มีผลงานเชียวเหรอ? นายท่าน ท่านต้องช่วยล้านแค้นให้ตระกูลจาของข้านะ!”

ปั้ง! ผังก้วนพลันตบพู่กันลงบนโต๊ะ เสียงดังสะเทือนจนจาหรูเยี่ยนตกใจ

รอไม่นาน ใบหน้างามของจาหรูเยี่ยนก็หันมาพร้อมน้ำตาแล้ว พลันตะคอกว่า “ท่านทำให้ลูกตกใจแล้ว!”

ผังก้วนกล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก เดินอ้อมจากโต๊ะยาวออกมา แล้วก็ลงมือกะทันหัน ใช้แขนกักคอที่ขาวหมดจดของนางเอาไว้ พร้อมเตือนด้วยน้ำเสียงดุร้ายว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ เจ้าตั้งใจฟังให้ดี หนิวโหย่วเต๋อจะมีวาสนาหรือมีเคราะห์ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ ข้าย่อมพิจารณาเองได้ เจ้าห้ามแอบเข้ามาก้าวก่ายลับหลัง ไม่อย่างนั้นอย่าโทษที่ข้าหย่ากับเจ้าก็แล้วกัน ไสหัวไป!” พูดจบก็ผลักนางออก

จาหรูเยี่ยนโซเซถอยหลัง ใบหน้าแดงก่ำ กระแอมไอติดต่อกันหลายครั้ง ราวกับเห็นผี ตั้งแต่ตังครรภ์นางก็ยังไม่เคยเห็นผังก้วนดุร้ายขนาดนี้มาก่อนเลย ถูกทำให้ตกใจแล้วจริงๆ นางก้มหน้าเดินออกไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

แคว่กๆๆ! ผังก้วนฉีกภาพที่เพิ่งวาดเสร็จแล้วโยนทิ้ง แล้วชี้ไปด้านนอกพลางสบถด่า “ผู้หญิงโง่คนนี้ บางครั้งข้าก็อยากให้นางไปตายไกลๆ จริงๆ!”

เฉินหวยจิ่วยิ้มอย่างสงบ “ที่จริงใจในลึกๆ ของนายท่านก็รักฮูหยิน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น นายท่านคงไม่อดทนมาถึงตอนนี้”

“…” ผังก้วนกลอกตามองบน แล้วก็ส่ายหน้าถอนหายใจ “เจ้าเองก็รู้เรื่องในปีนั้น ตอนนั้นข้าไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น…เฮ้อ อย่าพูดถึงเลย ศึกสระน้ำมังกรดำ เหตุการณ์ที่ทัพตะวันออกห้าล้านพ่ายแพ้ยับเยิน ตอนนี้ก็เข้าใจชัดเจนแล้ว การแสดงฝีมือของเจ้าหนุ่มนั่นทำให้คนรู้สึกทึ่งจริงๆ!”

เฉินหวยจิ่วพยักหน้า “วีรบุรุษแห่งยุคอย่างอ๋าวเฟยยังพังทลายในรวดเดียว”

“คนแบบนี้ ถ้าทิ้งไปจะไม่เสียดายหรอกเหรอ?” ผังก้วนเหล่ตาถาม

เฉินหวยจิ่วงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจความคิดของเขาทันที ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้อยู่ในตำแหน่งนี้ ตอนนี้บางอย่างก็ทำได้แค่คิดแล้ว ที่สำคัญคือคนอื่นก็อาจดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ง่ายๆ เช่นกัน ฝั่งเรากับหนิวโหย่วเต๋อแอบติดต่อกันกลับเป็นการวางหมากที่ดี มีเงื่อนไขดีกว่าใครทั้งนั้น บางทีอาจไม่ต้องดึงมาเป็นพวกอย่างโจ่งแจ้งก็ได้ ขอเพียงยามจำเป็นสามารถให้พวกเราใช้งานได้ก็พอแลว ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลง การได้ทหารคนนี้มาจะต้องเหมือนเสือติดปีกแน่นอน

“นายท่านสิ้นหวังต่อประมุขชิงขนาดนี้เชียวหรือ?” เฉินหวยจิ่วถามอย่างลังเล เพราะเรื่องราวก็เห็นกันอยู่แล้ว ตราบใดที่ประมุขชิงยังอยู่ นอกจากตำหนักนารีสวรรค์ก็ไม่มีใครหาทางดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อได้อีกแล้ว ขนาดสี่อ๋องสวรรค์ยังจนมุม ทางนี้ไม่ถึงขนาดหาเรื่องใส่ตัว อย่างน้อยก็ไม่ผ่านด่านอ๋องสวรรค์แล้ว นอกเสียจากทางด้านประมุขชิงจะมีการเปลี่ยนแปลง

ผังก้วนเอามือไขว้หลังพลางกล่าวอย่างกลุ้มใจ “พระปีศาจหนานโปยังไม่ตาย ทั้งยังมีร่างทิพย์ของประมุขไป๋ที่หนีไปอีก แดนอเวจีมีทางเข้าอีกทาง โจรกบฏพวกนั้นออกมาได้ยังไงล่ะ? สิ่งเหล่านี้ล้วนกำลังซ่อนตัวอยู่ ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของประมุขชิง ลองคิดดูสิ ว่าถ้าสิ่งเหล่านี้ปะทุออกมา มีใครบ้างที่จะปล่อยประมุขชิงไป? ทำไมยังอดทนจนถึงตอนนี้ได้โดยไม่มีปฏิกิริยาอะไรล่ะ พวกเขากำลังรออะไรหรือเปล่า หรือว่ากำลังรอโอกาส? ระหว่างประมุขชิงกับสี่อ๋องสวรรค์มีช่องว่างลึกขนาดนั้น ตอนนี้สี่อ๋องสวรรค์ไม่เข้าประชุมขุนนางด้วยซ้ำ แม้ทั้งสองฝ่ายจะอดทนเพื่อรักษาสถานการณ์โดยรวมเอาไว้ แต่ในใจประมุขชิงจะต้องขุ่นเคืองสี่อ๋องสวรรค์เป็นแน่ ตอนนี้ใต้หล้าดูเหมือนสงบเกินไป แต่ที่จริงแล้วประกายไฟอาจจะปะทุได้เสมอ ถ้าสถานการณ์ผันผวนเมื่อไร เงาผีพวกนั้นที่ซ่อนตัวอยู่จะไม่ฉวยโอกาสออกมาหรอกหรือ? ทำไมข้ารู้สึกว่าใต้หล้าจะวุ่นวายในเร็วๆ นี้ล่ะ บางทีข้าอาจจะคิดมากไป แต่คนเราถ้าไม่ตรองการไกล ความยุ่งยากใจก็จะใกล้เข้ามา! ไม่ได้บอกว่าจะต้องดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อมาเป็นพวกให้ได้หรอก อย่างน้อยอิ๋งจิ่วกวงก็ไม่ปล่อยเขาไปแน่ เขาจะผ่านด่านนี้ไปได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่ เพียงแต่พวกเราจะต้องสะสมกำลังเอาไว้รับมือ ไม่อย่างนั้นเมื่อลมหนาวมาถึงแล้วจะทนได้อย่างไร?”

เรื่องแบบนี้เป็นการคาดเดาที่ไร้หลักฐาน เฉินหวยจิ่วเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ตกอยู่ในความเงียบแล้ว…

“อ๋องอสรพิษดำไปขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”

ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวโน้มตัวมาข้างหน้าพลางเอ่ยถาม ท่าทางเหมือนแปลกใจนิดหน่อย

ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ยืนอยู่เบื้องล่างพยักหน้า “ใช่แล้ว! สายลับยืนยันแล้วขอรับ ผู้หญิงคนใหม่ที่มาจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลก็คือซิง อดีตอ๋องอสรพิษดำ ตอนนี้กำลังคอยรับใช้อวิ๋นจือชิว ฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อ”

ประมุขชิงใช้มือข้างเดียวลูบเครา เลิกคิ้วเล็กน้อย…

แดนสุขาวดี วัดพุทธะหยก สี่ด้านของยอดเขารายล้อมด้วยคลื่นเมฆ สายรุ้งทอดตัวราวกับสะพาน เสียงระฆังดังแว่วอยู่ระหว่างภูเขา งดงามราวกับแดนเซียน

ในหุบเขาเงียบสงัดที่มีค่ายกลป้องกันไม่ให้ใครบุกเข้ามาง่ายๆ ศีลแปดที่เปลือยไหล่เปลือยเท้ากำลังเอนกายนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงใต้ร่มไม้ มือข้างหนึ่งถือเนื้อย่างขึ้นมากัดกิน ตรงที่ไกลๆ มีน้ำตกสาดลงมาไม่ขาดสาย ข้างกายมีสาวงามเกล้าผมหลวมๆ แอบอิง

สาวงามย่อมไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นอวี้หลัวช่านั่นเอง ขณะนางมองศีลแปดที่กำลังกัดกินอาหารจนปากมันอย่างไม่หวาดกลัวสิ่งใด ก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “เจ้าทำตัวให้เหมือนคนออกบวชสักนิดได้มั้ย? ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าฝึกวิชาพุทธออกมาได้ยังไง”

ศีลแปดเอียงหน้ามองนางแวบหนึ่ง แล้วมองเนื้อในมือตามสายตานาง จากนั้นหัวเราะแห้งๆ แล้วบอกว่า “เหล้าเนื้อผ่านลำไส้ พุทธสถิตกลางหทัย เดิมทีข้าก็เน้นจิตใจอยู่แล้ว ตราบใดที่ในใจมีพุทธะ ภายนอกล้วนไม่สำคัญ จุดสำคัญอยู่ที่ภายใน”

อวี้หลัวช่าที่สีหน้าดูเกียจคร้านช้อนตามองเขา “ข้ออ้าง! พี่ใหญ่ให้เจ้ามาเหรอ?”

พอเอ่ยถึงเหมียวอี้ ศีลแปดก็ตอบอย่างคลุมเครือทันที “อื้ม พี่ใหญ่ให้ข้ามาเยี่ยมเจ้า”

คำพูดนี้อวี้หลัวช่าได้ฟังแล้วดีใจ นางก้มลงจูบที่หน้าอกเขาแล้วนอนหมอบบนนั้น “เรื่องที่สระน้ำมังกรดำใหญ่ขนาดนั้น รายละเอียดเป็นยังไงกันแน่? พี่ใหญ่คงไม่ได้ให้เจ้ามาหลบภัยหรอกใช่มั้ย?”

“สระน้ำมังกรดำ?” ศีลแปดแปลกใจ เขาไม่ได้มีความทรงจำเรื่องนี้ติดอยู่ในหัวเลยสักนิด เขากลอกตาไปมาพร้อมถามว่า “สระน้ำมังกรดำนั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ยังดีๆ”

อวี้หลัวช่าขยับคิ้ว จากนั้นเงยหน้าช้าๆ ค่อยๆ เท้าแขนลุกขึ้นนั่ง แล้วมองลงมาที่เขาด้วยสายตาเย็นเยียบ

…………………

ในที่ประชุมมีขุนนางไม่น้อยรู้สึกประหลาดใจ ทุกสายตาไปรวมอยู่ที่ตัวเขาอย่างอดไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไมชวีหลิงจวินจึงกระโดดออกมาช่วยบันทึกผลงานให้หนิวโหย่วเต๋อ แต่เรื่องนี้มีสาเหตุแน่นอน เมื่อเห็นพวกข้างหน้าไม่ได้บอกใบ้อะไร พวกเขาก็ได้แต่มองความเปลี่ยนแปลงเงียบๆ เช่นกัน

พอเห็นปฏิกิริยาของกลุ่มขุนนาง ประมุขชิงก็แสยะยิ้มในใจ แล้วถามคำเดิมอีกว่า “ขุนนางท่านไหนมีความเห็นต่างหรือไม่?”

ในที่ประชุมเงียบงัน เงียบวิเวกนิดหน่อย เซี่ยโห้วลิ่งหันกลับไปมองปฏิกิริยาของทุกคน ในใจยิ้มเย้ยเช่นกัน รู้ว่าขุนนางพวกนั้นล้วนไม่อยากขอผลงานให้หนิวโหย่วเต๋อ แต่กลับไม่สะดวกจะคัดค้าน

อาจเพราะเห็นว่าชวีหลิงจวินออกเสียงคนเดียวคงเหงาไปหน่อย ผ่านไปสักประเดี๋ยวจึงมีคนก้าวออกนอกแถวอีก กุมหมัดคารวะกล่าวว่า “ฝ่าบาท สร้างผลงานแล้วได้รางวัลคือเรื่องที่สมควรแล้ว ข้าน้อยเห็นด้วย”

“ดูท่าคงไม่มีความเห็นแย้งอื่นแล้ว” ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ แล้วถามอีกว่า “ทุกคนคิดว่าจะให้รางวัลยังไงดี?”

“ตามพยานบอกเล่าจำนวนมาก ทัพใหญ่แดนรัตติกาลสังหารโจรไปไม่ต่ำกว่าแสน ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเองก็เสียหายไปเกือบสี่หมื่น เป็นศึกเลือด ตามความเห็นของข้าน้อย เลื่อนตำแหน่งให้อีกขั้นก็ไม่ถือว่าเกินไปขอรับ” ชวีหลิงจวินออกหน้าอีกแล้ว

พยานบอกเล่าเหรอ? พยานบอกเล่าอะไรกัน? ประมุขชิงรู้อยู่แจ่มแจ้งว่าเป็นคำลวง แต่ก็รู้เช่นกันว่าถ้าขุนนางพวกนี้พร้อมใจกัน การหาพยานบอกเล่ามาก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร มิหนำซ้ำเขาก็มีแนวคิดของเขาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเอ่ยเรื่องพยาน เพียงกล่าวเสียงเรียบว่า “วรยุทธ์ของเขายังแค่ระดับบงกชรุ้ง ตอนนี้เขาอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าภาค ถ้าเลื่อนตำแหน่งอีกขั้นก็จะเป็นท่านโหวแล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้าจะให้สร้างตำแหน่งโหวขึ้นมาอีกหนึ่งตำแหน่ง หรือว่ามีใครยินดีจะหลีกทางให้ล่ะ?”

ในราชสำนักมีคนไม่น้อยแสดงปฏิกิริยาชัดเจน โดยเฉพาะท่านโหวเหล่านั้น ใจเย็นต่อไปไม่ได้แล้ว

ชวีหลิงจวินรีบบอกว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยไม่ได้หมายความอย่างนี้ ถ้าเป็นตำแหน่งโหว ประสบการณ์ของหนิวโหย่วเต๋อเหมือนจะยังห่างไปหน่อย แล้วเดิมทีหนิวโหย่วเต๋อก็อยู่ใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์อยู่แล้ว ตำหนักนารีสวรรค์ยังคุมตลาดสวรรค์ ไม่สู้ให้เขาเลื่อนตำแหน่งในขอบเขตตำหนักนารีสวรรค์ดีกว่า นับว่าสมเหตุสมผลเช่นกัน” ยามคนพวกนี้จะจัดการเรื่องอะไร ก็มักจะหาเหตุผลมาได้เสมอ

พอเขากล่าวอย่างนี้ สายตาของบรรดาท่านโหวที่จ้องมาถึงได้อ่อนโยนขึ้น

“ถ้าเลื่อนอีกขั้นก็เป็นผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์น่ะสิ? ก็ดีเหมือนกัน ผู้ตรวจการใหญ่เก้าตำแหน่งของตลาดสวรรค์ บวกไปอีกหนึ่งก็เป็นสิบพอดี ถ้าทุกคนไม่ว่าอะไร งั้นก็แบ่งเขตปกครองตลาดสวรรค์ใหม่ให้ผู้ตรวจการใหญ่สิบตำแหน่งแล้วกัน” ประมุขชิงกล่าว

ก่วงจวินอันรีบก้าวออกมา กุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท หนิวโหย่วเต๋อประสบการณ์น้อย ถ้าให้เขาเป็นผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์ เกรงว่าจะคุมคนลำบาก ตามความเห็นของข้าน้อย ไม่สู้ให้เขาอยู่ในตำแหน่งลอยไปก่อน ส่วนตำแหน่งที่ขาดจริงๆ ไม่สู้ปล่อยให้ว่างไว้ก่อน ให้เวลาเขาเรียนรู้อีกสักระยะ รอให้เขาเหมาะสมกับตำแหน่งจริงๆ ก่อน แล้วค่อยแบ่งใหม่ก็ยังไม่สาย!”

ในฐานะที่เป็นลูกชายคนโตของอ๋องสวรรค์ก่วง ที่เขาออกมาพูดด้วยตัวเอง ก็เพราะดูออกว่าประมุขชิงจะฉวยโอกาสนี้ซ้ำเติม ที่ตระกูลก่วงยอมให้อิ๋งจิ่วกวงมอบตำแหน่งผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์ให้หนิวโหย่วเต๋อ เดิมทีก็ไม่ค่อยเต็มใจอยู่แล้ว มีหรือที่จะให้หนิวโหย่วเต๋อกุมอำนาจมหาศาลของตลาดสวรรค์เอาไว้จริงๆ ที่นั่นคือแหล่งรายได้ใหญ่ที่สำคัญมาก

ประมุขชิงตอบว่า “เป็นแค่ตำแหน่งลอยเท่านั้น จะเหมาะสมเหรอ? เลื่อนตำแหน่งให้แต่กลับไม่มีงานทำ ถ้าข่าวลือออกไปคนจะไม่เข้าใจผิดว่ากำลังเลื่อนตำแหน่งให้เพียงฉากหน้าหรอกหรือ จะให้รางวัลแบบนี้ได้ยังไง?”

“แต่พ่วงตำแหน่งทูตลาดตระเวนตลาดสวรรค์ ตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเขาก็ควบต่อไปได้ เรียกได้ว่าได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย” ก่วงจวินอันตอบ

ประมุขชิงแสยะยิ้มในใจอีกครั้ง สายตามองไปที่กลุ่มขุนนาง สื่อว่ากำลังถามความเห็นจากทุกคน

“ข้าน้อยเห็นด้วย!”

“ข้าน้อยเห็นด้วย!”

ชั่วพริบตานั้นขุนนางกลุ่มใหญ่พากันแสดงออกว่าเห็นด้วย ล้วนเป็นคนในเครือข่ายของตระกูลก่วง ก่วงจวินอันออกหน้าด้วยตัวเองแล้ว ท่าทีของตระกูลก่วงชัดเจนแล้ว พรรคพวกของตระกูลก่วงก็ย่อมส่งเสียงช่วย

คนของตระกูลอื่นกลับยืนเงียบอยู่ที่เดิม ไม่ได้บอกว่าเหห็นด้วย แต่ก็ไม่คัดค้านเช่นกัน นับว่าไว้หน้าตระกูลอิ๋งเต็มที่แล้ว

สายตาประมุขชิงไปหยุดอยู่ที่เซี่ยโห้วลิ่ง ดวงตาฉายแววหยอกล้อ

เซี่ยโห้วลิ่งหลุบตาลง ทำท่าเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง

“ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน เรื่องนี้ก็ส่งต่อให้ตำหนักนารีสวรรค์ไตร่ตรองจัดการเอาเองแล้วกัน” ประมุขชิงโบกมือ ขี้คร้านจะอ้อมค้อมกับคนพวกนี้ต่อไป นับว่าเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอยากเห็นว่าเหมียวอี้จะลงมือกับตระกูลอิ๋งอย่างไร เขาก็อาจจะไม่ช่วยให้เรื่องในครั้งนี้สมปรารถนาเลย ไม่แน่ว่าอาจจะสั่งสอนเหมียวอี้ด้วยซ้ำ

ที่จริงการประชุมขุนนางก็เป็นอย่างนี้ พ่อตาบอกตัวเองมีเหตุผล แม่ยายบอกตัวเองมีเหตุผล ทุกคนต่างก็บอกว่าตัวเองมีเหตุผล จากไม่มีเหตุผลก็กลายเป็นมีเหตุผลได้

การประชุมขุนนางอนุมัติเรื่องนี้แล้ว ตำหนักนารีสวรรค์ย่อมไม่ขัดขวาง ส่งคำสั่งแต่งตั้งออกมาอย่างรวดเร็ว

“หัวหน้าภาคหนิว…ไม่สิ ตอนนี้ควรจะเรียกว่าผู้ตรวจการใหญ่หนิวแล้ว ยินดีด้วย”

จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล เหวินเจ๋อที่นำคำสั่งมาส่งเรียบร้อยแล้วกุมหมัดแสดงความยินดี ขณะเดียวกันก็ส่ายหน้าเดาะลิ้นไม่หยุด

เหมียวอี้รีบตอบกลับอย่างสุภาพ “เรื่องปราบโจรที่สระน้ำมังกรดำ เหล่าพี่น้องล้วนสละชีวิต หนิวก็แค่มีวาสนาได้อาศัยบารมีไปด้วย”

เหวินเจ๋อหัวเราะเบาๆ คิดในใจว่าเจ้ากับตระกูลอิ๋งต่างก็รู้อยู่แก่ใจ แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องเปิดโปงเช่นกัน เพราะเปิดโปงไปอีกฝ่ายก็อาจไม่ยอมรับก็ได้ ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัว

หลังจากนั้น ทางนี้ก็รั้งให้เหวินเจ๋ออยู่ต่ออีกสองสามวัน แต่เหวินเจ๋อปฏิเสธ เขารักษาความสัมพันธ์กับเหมียวอี้เอาไว้ แต่กลับไม่ยอมคบกันลึกซึ้งกว่านี้ ถึงอย่างไรตอนแรกทั้งคู่ก็อยู่ที่กองทัพองครักษ์เหมือนกัน สมาชิกกองทัพองครักษ์ไม่สะดวกจะสนิทสนมกับขุนนางภายนอกเกินไป โดยเฉพาะคนที่ประจำอยู่ที่วังสวรรค์ในระยะยาวก็ยิ่งต้องควบคุมตัวเอง

เหมียวอี้ไปส่งคณะของเหวินเจ๋อที่นอกประตูจวนด้วยตัวเอง มองส่งคนที่เหาะขึ้นฟ้าพลางโบกมือให้

จนกระทั่งมองไม่เห็นเงาคนแล้วถึงได้หันตัวมา ถึงได้พบว่าข้างหลังมีกลุ่มคนรีบยืนจัดแถวอย่างรวดเร็ว โดยมีสวีถังหรานคนนำ กลุ่มคนทยอยกันกุมหมัดคารวะ “คารวะผู้ตรวจการใหญ่!”

เสียงดังสะเทือนไปสี่ด้านแปดทิศ แสดงถึงความปีติยินดี

ตอนนี้เหมียวอี้คนเดียวควบสามตำแหน่ง หัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ทูตลาดตระเวนตลาดสวรรค์ ผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์ แม้ผู้ตรวจการใหญ่จะเป็นตำแหน่งลอย แต่กลับมีระดับสูงที่สุด พวกลูกน้องย่อมเรียกด้วยตำแหน่งที่สูงที่สุด

นกที่อยู่รอบๆ ตกใจเสียงของคนกลุ่มนี้จนบินหนีไปหมด

ในลานบ้านของหัวหน้าภาค อวิ๋นจือชิวรวมทั้งกลุ่มผู้หญิงที่อยู่ข้างกายหันไปมองทางประตูใหญ่นอกจวน เดิมทีก็รอฟังข่าวดีอยู่ที่นี่อยู่แล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงนี้ดังขึ้น ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ส่วนใหญ่ทำสีหน้างุนงง

“ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่มั้ย?” เสวี่ยหลิงหลงที่สวมหมวกบนศีรษะทำสีหน้าตกตะลึง ถามอย่างงุนงงว่า “พวกเขาตะโกนอะไรนะ? กำลังตะโกนว่าผู้ตรวจการใหญ่เหรอ? กำลังตะโกนเรียกนายท่านหรือเปล่า?”

อย่าว่าแต่นางเลย ตอนที่เหมียวอี้จัดการเรื่องนี้ แม้แต่สวีถังหรานก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แล้วเสวี่ยหลิงหลงจะไปรู้ได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้นางเพียงได้ยินสวีถังหรานบอกเรื่องที่หัวหน้าภาคจะขอผลงานให้ทุกคน คำสั่งประทานรางวัลกำลังจะมาถึงแล้ว ให้นางไปรายงานข่าวดีให้ฮูหยินรู้

หลินผิงผิงก็งงงวยเช่นกัน หยางเจาชิงรู้เรื่องนี้ เพราะหยางเจาชิงเป็นคนจัดการเรื่องข้อตกลงลับ แต่เรื่องงานหยางเจาชิงปิดปากสนิทมาก ส่วนใหญ่จะไม่บอกเรื่องงานให้ฮูหยินของตัวเองรู้

“ผู้ตรวจการใหญ่?” เฟยหงค่อนข้างประหลาดใจ

มู่หรงซิงหัวดึงสติกลับมาอย่างยากลำบาก ตำแหน่งผู้ตรวจการใหญ่มีเพียงสองที่เท่านั้น หนึ่งคือกองทัพองครักษ์ สองคือตลาดสวรรค์ นอกจากสองแห่งนี้ก็ไม่มีที่อื่นแล้ว ผู้ตรวจการใหญ่ของกองทัพองครักษ์คุมทัพใหญ่ร้อยล้าน แทบจะตำแหน่งสูงสุดในบรรดาทหารแล้ว แม้ระดับผู้ตรวจการใหญ่ของตลาดสวรรค์จะเทียบกองทัพองครักษ์ม่ได้ แต่ในมือก็คุมตลาดสวรรค์หนึ่งพันแห่ง ไม่รู้ว่าในมือกุมช่องทางรายได้สำคัญของคนไว้มากมายเท่าไร สรุปก็คือไม่ว่าจะเป็นผู้ตรวจการใหญ่ของที่ไหน ก็ล้วนข้ามระดับแม่ทัพใหญ่ไปแล้วทั้งนั้น

ซิงกำลังยืนอยู่ใต้ร่มไม้ที่อยู่ไม่ไกล พอได้ยินแล้วขมวดคิ้วเล็กหน่อย ปากพึมพำว่า “ผู้ตรวจการใหญ่?”

ถ้าจะบอกว่าตอนนี้นางเป็นบ่าวรับใช้ของเหมียวอี้ ไม่สู้บอกว่าเป็นบ่าวรับใช้ของอวิ๋นจือชิว คอยติดตามฟังคำสั่งอวิ๋นจือชิว

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มีสีหน้าปลาบปลื้ม เฟยหงค่อยๆ หันไปมองอวิ๋นจือชิว แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ฮูหยิน พวกเขาตะโกนเรียกนายท่านเหรอคะ?”

อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างสำรวมท่าที แล้วส่ายหน้าเบาๆ “ไม่แน่ใจ อีกประเดี๋ยวก็รู้แล้ว” ที่จริงนางก็รู้เรื่องแล้ว แต่ในบางมุมนางก็ไม่เคยแสดงออกเลย นางย่อมมีวิธีวางตัวของตัวเอง

ผู้หญิงกลุ่มนี้เริ่มเฝ้าคอยแล้ว

นอกประตูใหญ่จวนหัวหน้าภาค เหมียวอี้ยกมือสองข้าง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องมากพิธี”

หลังจากลุกขึ้นแล้ว สวีถังหรานยิ้มราวกับดอกไม้บาน ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้ยินคำสั่งนี้ในตำหนักประชุม เขาก็ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป นึกไม่ถึงจริงๆ ว่านายท่านจะเก็บงำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไว้ ทุกคนผลัดกันไปตรวจดู เขาเองก็เห็นแล้ว เขาได้เลื่อนขั้นกลายเป็นแม่ทัพเกราะม่วงห้าแทบ

ชิงเยว่ยิ้มพลางชี้เกราะรบสีแดงในมือเหยียนซิว “ผู้ตรวจการใหญ่จะนำเกราะรบชุดใหม่ไปลองว่าพอดีตัวหรือเปล่า ใช่มั้ย?”

“ดี!” สวีถังหรานปรบมือชม

“ดี!” คนกลุ่มหนึ่งส่งเสียงตาม หลงซิ่นก็หัวเราะร่าเช่นกัน เจอกับเรื่องมงคลแบบนี้ ทุกคนล้วนดีใจ ทั้งยังได้พบเรื่องน่ายินดีเหมือนกันด้วย ทุกคนล้วนได้เลื่อนยศ

ท่ามกลางคำขอที่อบอุ่นจากทุกคน เหมียวอี้ส่ายหน้าพลางรับเกราะรบมาจากมือเหยียนซิว คลายสลักออกแล้วสวมใส่บนร่าง

สวีถังหรานเขามาใกล้ทันที เป็นฝ่ายเสนอตัวช่วยเหลือเอง ทุกคนชินกับจอมประจบคนนี้แล้ว

ใช้เวลาไม่นาน เกราะรบแม่ทัพใหญ่สีแดงของตำหนักสวรรค์ก็สวมอยู่บนตัวเหมียวอี้แล้ว แม้จะเป็นเกราะหนึ่งแถบ แต่สำหรับกลุ่มคนที่อยู่ตำหนักสวรรค์ ความรู้สึกเวลามองนั้นต่างกันมาก

“เป็นยังไงบ้าง?” เหมียวอี้กางแขนหมุนตัวพลางเอ่ยถาม

หลายปีที่แดนรัตติกาลอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ด้วยความช่วยเหลือของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เขาได้ยศเกราะม่วงห้าแถบแล้ว สูงกว่าสวีถังหรานหนึ่งขั้น ครั้งนี้เหมียวอี้เองก็ไม่เกรงใจ ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีแรงต้านในการประชุม ขอให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ช่วยให้ตนเลื่อนยศข้ามไปเป็นแม่ทัพใหญ่เป็นกรณีพิเศษ ผลประโยชน์ที่ส่งให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ในหลายปีมานี้ก็ไม่ถือว่าสูญเปล่า

“ดี!”

“ดูดี!”

ทุกคนพากันปรบมือ สวีถังหรานตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “เกราะรบนี้พออยู่บนตัวผู้ตรวจการใหญ่แล้ว ดูดีกว่าเกราะรบแม่ทัพใหญ่หกแถบเสียอีก!”

เหมียวอี้รอให้ทุกคนคึกคักกันพอสมสมควรแล้ว ก็กล่าวว่า “เรื่องให้รางวัล ทุกคนรีบแจกจ่ายให้พี่น้องเบื้องล่างเถอะ ให้ทุกคนได้ดีใจสักหน่อย”

“ขอรับ!” ทุกคนเอ่ยรับ ตอนที่ทยอยกันแยกย้ายออกไป บนใบหน้ายังเจือด้วยความปลาบปลื้ม การเลื่อนยศหมู่ครั้งนี้ช่างโหดนัก กำลังพลส่วนใหญ่ของแดนรัตติกาลแทบจะข้ามไปเป็นเกราะทองหมดแล้ว ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ทำได้อย่างไร หรือว่าในราชสำนักไม่มีใครคัดค้านเลย?

มีเพียงหยวนกงที่รู้อยู่แก่ใจ บนราชสำนักไม่เพียงแค่ไร้คนคัดค้าน ทั้งยังมีกลุ่มคนสนับสนุนด้วย นายท่านหนิวใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟโดยไม่เกรงใจเลยสักนิด! แต่จะว่าไปแล้ว โอกาสดีๆ อย่างนี้ก็หายาก ถ้าปล่อยผ่านไปก็ถือว่าทำผิดต่อตัวเองจริงๆ

และมีเพียงหยวนกงที่ดีใจไม่ออก อำนาจที่เขาแอบกุมไว้เสียหายหนักมาก! รางวัลเล็กน้อยพวกนี้สำคัญเสียที่ไหน แต่ดันไม่มีทางบอกเล่าความทุกข์ในใจให้เหมียวอี้ฟังได้

…………………

“…” ซิงพูดไม่ออก นางย่อมเห็นแล้วว่าในกำไลเก็บสมบัติคือยาแก่นเซียนทั้งหมด เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะมีเยอะขนาดนี้ เยอะถึงขนาดคนที่เคยเป็นอ๋องของเผ่าเทพอสรพิษดำยังรู้สึกตกใจ นางขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมถามว่า “มอบให้ข้าเหรอ?”

ในใจนางเกิดความระแวดระวัง โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ นี่คิดจะซื้อตัวนางเหรอ?

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ได้ให้เจ้า ให้เผ่าเทพอสรพิษดำ”

ซิงมองเขาอย่างพูดไม่ออก

เหมียวอี้ถอนหายใจ “นับว่าเป็นการชดเชยให้เผ่าเทพอสรพิษดำก็แล้วกัน ข้ารู้ดี เผ่าเทพอสรพิษดำสละชีวิตไปมากขนาดนั้น ยาแก่นเซียนพวกนี้ไม่อาจชดเชยได้ แต่ตอนนี้ข้าก็ทำได้เพียงเท่านี้ แสดงถึงหัวใจที่ติดค้างก็แล้วกัน ในอนาคตถ้าข้ามีความสามารถมากกว่านี้ ข้าก็จะตอบแทนเผ่าเทพอสรพิษดำอย่างใหญ่หลวงแน่นอน!”

อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างๆ ปวดประสาทนิดหน่อย แม้ก่อนหน้านี้นางจะรู้ถึงการตัดสินใจของเหมียวอี้แล้ว แต่ก็ยัง…สามพันล้านล้านยาแก่นเซียนเชียวนะ! ความใจกว้างของเหมียวอี้ทำให้นางปวดประสาทจริงๆ

ไม่ใช่ว่านางตระหนี่ แต่ในบ้านมีค่าใช้จ่ายเยอะมาก ปกติเหมียวอี้ก็ไม่ได้มาดูแล ทั้งยังใช้เงินมือเติบอยู่บ่อยครั้ง เมื่อก่อนตอนนางบริหารโรงเตี๊ยมเมฆาวายุ นางต้องลำบากวิ่งเต้นหาเส้นสายไปทั่วเพื่อหาเงิน หลังจากมาที่พิภพใหญ่ ช่วงเวลาที่เงินขาดมือยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ นางคิดหาทางทุกอย่างเพื่อประคับประคอง ถึงขนาดเอ่ยปากขอยืมเงินจากครอบครัวเดิมของตัวเองด้วย แน่นอน งานที่เหมียวอี้ทำก็จะตระหนี่ใจแคบไม่ได้ แต่การโยนสามพันล้านล้านยาแก่นเซียนออกไปในรวดเดียวแบบนี้ ก็ยังทำให้นางปวดใจอยู่ดี

ซิงในนิ้วขูดถูกำไลเก็บสมบัติบนมือ แม้แต่คำขอบคุณสักคำก็ไม่ ถามเพียงว่า “ยังมีเรื่องอื่นอีกมั้ย?”

เหมียวอี้ยื่นมือ ทำสัญญาณมือว่าเชิญตามสะดวก

ซิงถือของหันตัวเดินจากไปเงียบๆ

หลังจากเหมียวอี้มองส่งนางเดินออกไป ก็พลิกมือโยนกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้หยางเจาชิง

“นี่…” หยางเจาชิงเห็นว่าในกำไลเก็บสมบัติคือยาแก่นเซียนเหมือนกัน แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ

เหมียวอี้ตอบว่า “ในนี้มียาแก่นเซียนสี่พันล้านล้าน เดี๋ยวเจ้าแจกจ่ายลงไปเป็นรางวัลตามธรรมเนียม เจ้ากับพวกชิงเยว่แบ่งกันสักหน่อย แล้วแจกจ่ายให้พวกพี่น้องเถอะ ทุกคนต้องได้ ถ้าใครมีครอบครัวก็ต้องจ่ายค่าบำรุงขวัญ ถ้าไม่มีครอบครัวก็รวบรวมไว้ในมือเพื่อใช้จ่ายอย่างอื่น…คาดว่าในหลายปีนี้ราคายาแก่นเซียนคงไม่ลดลง อย่าให้ในมือทุกคนขาดของ” เขาเคยบริหารร้านขายของชำมาก่อน พอจะเข้าใจสถานการณ์การซื้อขายของตลาดสวรรค์อยู่บ้าง ขณะเดียวกันก็มีพื้นเพมาจากผู้บัญชาการทัพ รู้ว่า ‘เสบียง’ มีผลต่อขวัญกำลังใจทหาร

ตอนนี้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลยังเหลือกำลังพลอีกหกหมื่น ยาแก่นเซียนสี่พันล้านล้านนี้ถ้าเฉลี่ยแล้วก็ได้คนละประมาณหกหมื่นล้านกว่าเม็ด ถ้าจำนวนมากกว่านี้ก็แบ่งไม่ไหว แต่ส่วนที่ได้ในตอนนี้ไปก็นับว่าไม่น้อยแล้วจริงๆ

“ขอรับ!” หยางเจาชิงพยักหน้าเอ่ยรับ

ส่วนสามพันล้านล้านเม็ดที่เหลือ เขาก็เตรียมไว้ทำอย่างอื่นแล้ว

ถึงอย่างไรครั้งนี้หกลัทธิก็ออกแรงช่วย จิตใจของคนฝั่งหกลัทธิก็ต้องได้รับการดูแลเช่นกัน จึงเตรียมไว้ลัทธิละสองร้อยล้านล้าน รวมแล้วก็ได้หนึ่งพันสองร้อยล้านล้านเม็ด

ครั้งนี้โถงชุมนุมอัจฉริยะเสียหายหนักมาก คนที่ถูกสี่ทัพจับไปแล้วฆ่าทิ้งมีเกินสองแสน จึงเตรียมสองร้อยล้านล้านเม็ดไว้จ่ายค่าบำรุงขวัญให้ครอบครัวคนพวกนั้น ส่วนพวกที่ถูกจับไปแล้วถูกปล่อยตัวมา ก็ต้องใช้อีกหนึ่งร้อยล้านล้านเม็ดเพื่อปลอบใจ เท่ากับชดเชยให้คนอื่นๆ จำนวนที่แบ่งให้โถงชุมนุมอัจฉริยะค่อนข้างน้อย เพราะกำลังพลของโถงชุมนุมอัจฉริยะไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันกับเขา ตระกูลเซี่ยโห้วต่างหากที่ควบคุมอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าอย่างไรตระกูลเซี่ยโห้วก็ต้องขาดทุนครั้งนี้ การที่เหมียวอี้นำทรัพยากรก้อนนี้ออกมาได้ ก็ต้องแบ่งสรรโดยเน้นไปทางด้านใดด้านหนึ่ง เขาเตรียมไว้ใช้ซื้อใจคน ถ้าอยากจะแบ่งให้ครบทุกคนนั้นเป็นไปไม่ได้

ครั้งนี้โถงชุมนุมอัจฉริยะส่วนใหญ่เหลือแต่ชื่อแล้ว ถ้าอยากจะค้าขายอย่างสง่าผ่าเผยเหมือนก่อนหน้านี้ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้อีก ต่อให้ตอนนี้สี่ทัพจะไม่มายุ่ง แต่ถ้าผ่านช่วงนี้ไปแล้วจะต้องกดขี่แน่นอน ไม่มีทางปล่อยให้เหมียวอี้รักษาช่องทางทำเงินนี้ไว้แน่ ศึกนี้นับว่าเสียช่องทางทำเงินนี้ไปแล้ว

แต่ก็ไม่อาจโยนตาข่ายขาดผืนนี้ทิ้งไปได้ เพราะยังเหลือคนอยู่อีกมาก บางคนยังมีประโยชน์ให้ใช้งาน จะต้องรักษาตาข่ายผืนนี้เอาไว้ ต่อให้ใช้เป็นเครือข่ายเพื่อรวบรวมข่าวก็ยังดี ดังนั้นจึงดึงห้าร้อยล้านล้านเม็ดไว้ให้อวิ๋นจือชิวจัดการใช้จ่าย หลังจากจบเรื่องอวิ๋นจือชิวย่อมให้สวีถังหรานไปจัดการ ไม่ต้องให้เหมียวอี้เป็นห่วงเรื่องนี้

ส่วนหนึ่งพันล้านล้านที่เหลือ ก็ต้องแบ่งให้คนในครอบครัวอีกนิดหน่อย เลี้ยงอนุภรรยาไว้มากขนาดนั้น จะไม่แสดงน้ำใจสักหน่อยก็ไม่ได้ ส่วนฝั่งราชินีสวรรค์ก็ต้องส่งขึ้นไปอย่างน้อยหนึ่งร้อยล้านล้านเม็ด แม้ก่อนหน้านี้จะบอกราชินีสวรรค์ไว้แล้ว บอกว่าต้องนำทั้งหมดมาใช้เป็นค่าบำรุงขวัญ แต่จะไม่ให้เลยสักนิดได้อย่างไร มิหนำซ้ำเขาก็ให้ราชินีสวรรค์กัดฟันช่วยเขาช่วงชิงผลประโยชน์มาแล้ว

ส่วนจำนวนที่เหลือก็ให้อวิ๋นจือชิวไปแบ่งสรรจัดการเองทั้งหมด

นอกจากกำลังทหารและสถานการณ์ภาพรวมที่เหมียวอี้คุมด้วยตัวเอง ที่เหลือก็ส่งต่อให้อวิ๋นจือชิวรับผิดชอบทั้งหมด เหมียวอี้เชื่อว่านางจะจัดการได้อย่างราบรื่น อย่าไปมองว่าเป็นแค่งานจิปาถะ เพราะมันใช้พลังความคิดสูงมาก เมื่อมีคนที่เชื่อใจได้แน่นอนอย่างอวิ๋นจือชิวช่วยจัดการ ก็ลดงานให้เขาได้ไม่น้อย ตอนนี้เขาไม่มีกำลังและความคิดจะมาสนใจเรื่องจิปาถะพวกนี้ เพราะยังมีงานสำคัญกว่าต้องครุ่นคิดลงมือทำ ร่างทิศทางใหญ่ไว้แล้ว ให้อวิ๋นจือชิวไปจัดการเองตามเห็นสมควร ส่วนใหญ่เขาจะไม่ไปยุ่ง นางย่อมช่วยเขาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน และมีวิธีคุมให้อยู่หมัดด้วย ในจุดนี้นางไม่เคยทำให้เหมียวอี้กังวลเลย

ตำหนักนารีสวรรค์ บนเตียงนอน ประมุขชิงพลิกตัวลุกขึ้น เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ปกปิดเรือนร่างไว้เล็กน้อยลุกนั่งตาม ดึงชุดคลุมตัวหนึ่งมาสวมไว้อย่างง่ายๆ แล้วนั่งคุกเข่าสวมรองเท้าให้ประมุขชิง

ขณะที่มือกำลังทำงาน นางก็เงยหน้ามองประมุขชิงที่กำลังหลับตา แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ฟ้าเพิ่งสว่าง ฝ่าบาทไม่พักผ่อนอีกสักหน่อยหรือเพคะ?”

“วันนี้มีประชุมขุนนาง” ประมุขชิงตอบเสียงเรียบ

“หม่อมฉันเลอะเลือนแล้ว” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตำหนิตัวเอง แล้วก็ลุกขึ้นประคองแขนประมุขชิง จากนั้นสวมชุดคลุมตัวนอกให้ ขณะเดียวกันปากก็พึมพำว่า “ฝ่าบาท เรื่องปราบโจรที่สระน้ำมังกรดำ หนิวโหย่วเต๋อรายงานขึ้นมาหาหม่อมฉันอีกแล้วเพคะ ขอจดบันทึกผลงานให้กำลังพลเป็นหมู่คณะ หม่อมฉันอยากฟังความเห็นของฝ่าบาท”

ประมุขชิงที่หลับตามาตลอดลืมตาขึ้นเล็กน้อย ปรายตามองนางแล้วถามว่า “ต้องการจะเลื่อนยศหมู่อีกแล้วเหรอ? นี่มันครั้งที่เท่าไรแล้ว? เขาช่างไม่อายจริงๆ ไม่กลัวคนอื่นจะไม่พอใจหรือไง?” แต่พอพูดจบ ขนาดเขาเองยังพูดไม่ออกเลย จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลขึ้นตรงต่อตำหนักนารีสวรรค์ ใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์ไม่มีกำลังพลคนอื่นที่มีหน้าที่ร่วมกันแล้ว ไม่ต้องกังวลเลยว่าทัพใหญ่สายอื่นจะไม่พอใจ

เขาเปลี่ยนเป็นบอกว่า “เรื่องปราบโจรที่สระน้ำมังกรดำยังไม่แน่นอน เขาบอกว่าสร้างผลงานก็แปลว่าสร้างผลงานเหรอ? ดูก่อนว่าพวกขุนนางในราชสำนักจะพูดยังไง”

“ที่ฝ่าบาทกล่าวก็ถูก หนิวโหย่วเต๋อคนนี้คิดแต่จะเลื่อนยศตำแหน่ง เขายังพูดจาโอ้อวดด้วยว่าผลงานของตัวเองสามารถทำให้นั่งตำแหน่งผู้ตรวจการใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ได้” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำเป็นบ่น แต่มือก็ยังไม่หยุดทำงาน

นางเองก็กัดฟันพูดประโยคนี้เช่นกัน นี่คือความคิดของเหมียวอี้ ไม่ได้ให้ทำอย่างอื่น แค่ให้นางพูดแบบนี้กับประมุขชิงก่อนเข้าประชุมขุนนาง ส่วนอย่างอื่นเขาก็ไม่ให้นางยุ่งแล้ว เพื่อเรื่องนี้ เมื่อวานนางถึงกับยอมหน้าด้านขอร้องให้ประมุขชิงมาค้างด้วย เรียกได้ว่าปรนนิบัติสุดความสามารถเพื่อให้ประมุขชิงเริงรมย์ อ้อมไปอ้อมมาก็เพื่อจะพูดอะไรพวกนี้ นับว่าใช้ความคิดไปมาก

พอประมุขชิงได้ฟัง เรื่องผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์อะไรนั่น เขาเองก็ได้ยินมาจากชิงหยวนจุนแล้ว นี่คือเงื่อนไขชดเชยของอิ๋งจิ่วกวง ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้อยู่ในหัวข้อการประชุมขุนนางครั้งนี้ เขารู้แล้วว่าวันนี้ในที่ประชุมจะเกิดอะไรขึ้น

ขณะมองผู้หญิงผมยาวถึงเอวที่อยู่ตรงหน้า หน้าตาก็ไม่ได้สวยเท่าไร แต่เรือนร่างที่มีผิวขาวละเอียดอ่อนก็ยังน่ามองอยู่บ้าง ปรากฏวับๆ แวมๆ อยู่ใต้ชุดคลุมผ้ามุ้ง ประมุขชิงมองด้วยหางตาโดยไม่พูดอะไร

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หลบสายตาทันที เริ่มเครียดกังวลแล้ว รู้สึกได้ถึงแรงกดดัน สิ่งที่ทำให้นางตัวแข็งยิ่งกว่านั้นก็คือ มือใหญ่ข้างหนึ่งขยุ้มหน้าอกนางไว้แล้ว บีบจนนางรู้สึกเจ็บนิดหน่อย แต่นางกลับพยายามแสร้งทำสีหน้าออดอ้อน “ฝ่าบาท…”

ประมุขชิงไถลมือไปที่หลังเอวของนาง แล้วจู่ๆ ก็ออกแรงที่แขน ดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอดในรวดเดียว จ้องลงมามองนางอย่างเย็นเยียบ ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา คลายแขนออก หันตัวเดินก้าวยาวออกไป พร้อมทั้งพูดทิ้งท้ายว่า “ไม่ต้องไปส่ง”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอามือลูบอก ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อครู่นี้นางตกใจมากจริงๆ หลังจากสงบสติอารมณ์แล้วก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ บอกว่าตัวเองทำสิ่งที่ควรทำไปแล้ว…

ตำหนักฟ้าดิน หลังจากเดินออกจากตำหนักหลังมานั่งบนบัลลังก์และรับการคารวะจากเหล่าขุนนาง ประมุขชิงก็กวาดสายตามองเบื้องล่าง แล้วจู่ๆ ก็ถามกลั้วหัวเราะ “ทำไมเหมือนขาดไปคนหนึ่งล่ะ? ท่านโหวอิ๋ง อิ๋งอู๋หม่านไปไหนแล้ว?”

คนส่วนใหญ่ในตำหนักมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอิ๋งอู๋หม่านถึงไม่มามา

พวกขุนนางใหญ่แถวหน้าที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกกลับมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่สะทกสะท้าน ทำท่าราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง แต่ในใจกลับเข้าใจว่าประมุขชิงกำลังจงใจทำให้คนสะอิดสะเอียน

ฉีหลิงหวนก้าวออกนอกแถว กุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท ตอนท่านโหวอิ๋งฝึกตนเกิดการผิดพลาดนิดหน่อย รายงานต่อผู้การซ่างกวนแล้วว่ามาเข้าประชุมไม่ได้ขอรับ”

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?” ประมุขชิงเอียงหน้ามองซ่างกวนชิง

ซ่างกวนชิงบอกประมุขชิงล่วงหน้าแล้ว แต่ตอนนี้กลับไม่ยอมปากรั่วพูดสิ่งที่ไม่ควรพูด โค้งตัวตอบว่า “ตอบฝ่าบาท มีเรื่องนี้จริงๆ ขอรับ”

“อ้อ!” ประมุขชิงพยักหน้า แล้วบอกซ่างกวนชิงว่า “เดี๋ยวส่งคนไปเยี่ยมสักหน่อย”

“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ

เซี่ยโห้วลิ่งที่ยืนอยู่แถวหน้ามีสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับแอบรู้สึกขำ เดี๋ยวถ้าคนที่ฝั่งนี้ส่งไปไม่เจออิ๋งอู๋หม่านก็บันเทิงแล้ว แต่เขาเองก็รู้ ว่าตราบใดที่ตระกูลอิ๋งหน้าด้านสักหน่อย ก็จะต้องคิดหาทางปัดความรับผิดชอบแน่นอน ประมุขชิงแค่จะทำให้ตระกูลอิ๋งสะอิดสะเอียนเท่านั้น

ประมุขชิงมองต่ำลงมาที่กลุ่มขุนนางด้วยสายตาที่เหนือกว่า กล่าวอีกว่า “เรื่องที่สระน้ำมังกรดำ คาดว่าทุกคนคงได้ยินมาแล้ว เมื่อวานราชินีสวรรค์รายงานข้า บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อขอจดบันทึกผลงานการปราบโจรให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาล เรื่องนี้ขุนนางที่รักทุกคนเห็นว่าอย่างไร?”

กลุ่มขุนนางที่ยืนอยู่เบื้องล่างสบตากันแวบหนึ่ง แต่ไม่มีใครพูดอะไร

ผังก้วนจอมพลสายเถาะแอบทอดถอนใจ เขาถูกสั่งมาจากเบื้องบนแล้ว ว่าวันนี้ต้องให้ความร่วมมือกับตระกูลอิ๋ง คาดว่าคนอื่นก็ถูกสั่งเช่นกัน ตอนนี้ถ้ามีคนออกมาปฏิเสธความดีความชอบในการปราบโจร ตอนหลังก็ไม่มีทางให้ความร่วมมือตระกูลอิ๋งได้อีกแล้ว หนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องนี้ในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าวางแผนไว้อย่างดี ช่างเลือกเวลาได้ดีจริงๆ…เขากลับไม่รู้ว่าเหมียวอี้วางแผนร่วมกับหยางชิ่งนานขนาดไหนเพื่อเรื่องนี้

เมื่อรอได้สักประเดี๋ยวแล้วไม่ได้ยินใครพูดอะไร ประมุขชิงก็กวาดสายตาปราดหนึ่ง พบว่าทุกคนมีความเห็นเป็นเอกฉันท์อย่างที่พบเห็นได้ยากจริงๆ เจ้าลูกลิงนั่นอาศัยอำนาจขึ้นมาถึงที่ประชุมราชสำนักแล้ว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แบบนี้แสดงว่าไม่มีใครคัดค้าน เช่นนั้นก็ส่งต่อให้ราชินีสวรรค์ไปจัดการเองแล้วกัน ขุนนางที่รักทุกท่านยังมีเรื่องอื่นอีกมั้ย? ถ้าไม่มีอะไรก็แยกย้ายเถอะ ข้ามีงานอื่นต้องจัดการอีก”

“ฝ่าบาท!” ชวีหลิงจวินก้าวออกนอกแถว กุมหมัดคารวะพร้อมกล่าวว่า “เรื่องสระน้ำมังกรดำมีพยานไม่น้อยที่พิสูจน์ได้วว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลทำศึกเดือดกับกองโจรจำนวนมากจริงๆ ทั้งยังประหารไปแล้วไม่น้อย เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าเป็นโจรจากไหน ยังไม่ได้ตรวจสอบให้กระจ่าง แต่ผลงานของหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่มีอะไรน่าเคลืองแคลงเพราะพยานมีเยอะมาก มีคำกล่าวว่าการให้รางวัลและการลงโทษนั้นต้องจัดากรอย่างชัดเจนยุติธรรม ฝ่าบาทได้โปรดตัดสินอย่างยุติธรรม!”

ท่านนี้คือคนในเครือข่ายของอ๋องสวรรค์ก่วง ที่กระโดดออกมาพูดในเวลานี้ได้ ก็ไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลอิ๋งอยู่แล้ว ตามหลักแล้วควรเป็นคนในเครือข่ายตระกูลอิ๋งออกหน้าเอง ทว่าเรื่องสระน้ำมังกรดำทำให้ตระกูลอิ๋งเสียหน้าหมดแล้ว ถ้าพูดในการประชุมว่าตัวเองเป็นโจรอีก จะไม่กลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยอะหรอกหรือ ที่จริงทุกคนก็รู้ชัดอยู่แก่ใจ ว่าโจรที่สระน้ำมังกรดำก็คือคนของอิ๋งจิ่วกวง

…………

ในตำหนักประชุมของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล เหมียวอี้ทำตัวราวกับเพิ่งมาเป็นครั้งแรก กำลังหันมองประเมินรอบๆ

เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี อวิ๋นจือชิวค่อนข้างเข้าใจเขา รู้ว่าเขาได้รับผลกระทบจากฉากที่สวีถังหรานและภรรยาหวนมาเจอกันอีกครั้ง เพียงแต่ในด้านความรู้สึกนั้น เขาคงไม่ปาดน้ำตาเหมือนผู้หญิงอย่างพวกนาง

อวิ๋นจือชิวโบกมือไล่เฟยหงและคนอื่นๆ ที่ตามมา แล้วเดินส่ายกระโปรงเบาๆ เข้ามาในตำหนักเพียงคนเดียว เดินมาอยู่ข้างหลังเหมียวอี้

เหมียวอี้ได้ยินเสียงฝีเท้าก็รู้ว่าเป็นใคร เขาถอนหายใจแล้วถามในขณะที่หันหลังให้นาง “ที่บ้านไม่มีเรื่องอะไรใช่มั้ย?” เขาเองก็เข้าใจอวิ๋นจือชิว ตอนที่เขามีงานใหญ่ต้องจัดการ ไม่ว่าที่บ้านจะมีเรื่องอะไร อวิ๋นจือชิวล้วนปิดบังเขาไว้ เพราะกลัวว่าจะรบกวนเขา แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องในบ้านอวิ๋นจือชิวก็จัดการได้ดีมากมาตลอด ไม่เคยต้องให้เขากังวลอะไร บริหารบ้านเรือนได้ดีมากและเหมาะสมมาก ทำให้เขาไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง

และสำหรับเหมียวอี้แล้ว เขาเองก็พยายามปกป้องตำแหน่งในบ้านของอวิ๋นจือชิวเอาไว้ ไม่อย่างนั้นถ้าเพิ่มปัญหายุ่งยากให้อวิ๋นจือชิว ก็เท่ากับเพิ่มปัญหายุ่งยากให้ตัวเองด้วย ถอยคนละก้าว ฟ้ากว้างทะเลไกล หลักการนี้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

“ที่บ้านมีเรื่องอะไร” อวิ๋นจือชิวเดินอ้อมมาตรงหน้าเขา สีหน้ากลัดกลุ้มเศร้าใจหายไปทันที นางกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเองว่า “ได้ยินว่านายท่านรับสาวงามมาด้วยคนหนึ่ง หม่อมฉันต้องยินดีกับนายท่านด้วยหรือไม่เพคะ?” ในน้ำเสียงแฝงความหมายล้ำลึก

“หืม…สาวงามอะไร?” เหมียวอี้งุนงง ดึงอารมณ์ออกจากเรื่องเมื่อครู่นี้ในชั่วพริบตาเดียว ในใจรู้สึกเครียดนิดหน่อย ทำไมดูจากท่าทางแล้ว เหมือนผู้หญิงคนนี้กำลังจะอาละวาดเลยล่ะ หรือว่านางรู้เรื่องหวงฝู่จวินโหรวแล้ว?

“นี่! แกล้งโง่กับข้ารึไง” อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม แล้วเอานิ้วจิ้มตรงหน้าอกเหมียวอี้ “ทำไมหม่อมฉันได้ยินว่าอ๋องของเผ่าเทพอสรพิษดำคนนั้นไม่ได้สวยธรรมดา เผ่าเทพอสรพิษดำเชียวนะ นายท่านมีรสนิยมจัดจ้านจริงๆ ด้วย ทำไมล่ะ? จะซ่อนสาวงามไว้ในห้องรึไง? ทำไมไม่นำออกมาให้หม่อมฉันดูสักหน่อยล่ะ ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นอนุภรรยาภูตผีมารปีศาจพวกนั้นของเจ้า ไม่ถือสาที่จะเห็นคนเผ่าเทพอสรพิษดำเพิ่มอีกสักคนหรอก”

คำพูดประหลาดคลุมเครือพวกนี้ทำให้เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่ก็โล่งใจมากเช่นกัน ยังนึกว่าเป็นหวงฝู่จวินโหรวเสียอีก ที่แท้ก็เป็นอ๋องอสรพิษดำ เขามีความมั่นใจทันที คนตัวตรงไม่ต้องกลัวเงาเอียงไงล่ะ แต่นางก็ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่ามีอ๋องอสรพิษดำ เขายังไม่ได้ปล่อยออกมา เพียงถอนหายใจแล้วบ่นว่า “น้องชิว คิดอะไรซี้ซั้ว ข้าเป็นคนประเภทนั้นเหรอ? ข้า…”

“จูเก๋อชิง…” อวิ๋นจือชิวถือโอกาสเอ่ยชื่อหนึ่งออกมาตัดบทเขา

“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างทันที ถึงขั้นอับอายจนโมโหด้วย ทำไมเอาแต่เอ่ยเรื่องนี้ อาศัยฐานะของพ่อ มีผู้หญิงมากหน่อยจะเป็นไรไป?

แน่นอน คำพูดนี้เก็บไว้ในใจเท่านั้น ไม่กล้าพูดออกมาแน่นอน ไม่อย่างนั้นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าจะต้องถือดาบมาสู้ตายกับเขาแน่นอน

เอาความจริงมาพูดกันดีกว่า เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดเลย”

“ทำไมข้ารู้สึกว่ารอยยิ้มของเจ้าดูปลอมล่ะ?” อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม

“คือย่างนี้นะ…” เหมียวอี้เล่าเรื่องระหว่างตัวเองกับอ๋องอสรพิษดำให้ฟังคร่าวๆ ทันที สุดท้ายก็ปล่อยอ๋องอสรพิษดำออกจากกระเป๋าสัตว์

อ๋องอสรพิษดำรีบมองไปรอบๆ ทันทีที่โผล่หน้าออกมา เหมียวอี้บอกว่า “ไม่ต้องเดาแล้ว ที่นี่คือจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ท่านนี้คือฮูหยินของข้า อวิ๋นจือชิว”

แล้วผู้หญิงสองคนนี้ก็มองประเมินกันด้วยความสงสัย

อ๋องอสรพิษดำมองอวิ๋นจือชิวด้วยสายตาผิดคาดนิดหน่อย ตามข่าวลือ ผู้หญิงที่ทำให้หนิวโหย่วเต๋อยอมนำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปสู้ตายกับทัพหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติง แม้จะสวยและมีสง่าราศีไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่ถึงขั้นงามล่มเมืองจนทำให้คนระดับหนิวโหย่วเต๋อสู้ตายเพื่อนาง แต่งตัวรุ่มร่ามด้วย ถ้าจะพูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ แต่งตัวบ้านๆ

นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าอวิ๋นจือชิวมีเรือนร่างที่ยั่วราคะ เป็นเพราะหลังจากจบเรื่องน่านฟ้าระกาติงแล้วกลัวจะสร้างปัญหาให้เหมียวอี้อีก เลยตั้งใจแต่งตัวให้สงบเสงี่ยม การที่ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถข่มธรรมชาติความรักสวยรักงามแบบนี้ไว้ได้ ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย

อวิ๋นจือชิวเดินวนรอบอ๋องอสรพิษดำที่สวมชุดกระโปรงยาวสีดำทั้งตัว มองสำรวจศีรษะจดเท้า พบว่าความงามของอ๋องอสรพิษดำแข่งกับเฟยหงได้เลย แต่เสน่ห์อันลึกลับราวกับดวงดาวในความฝันนั้นกลับเป็นสิ่งที่เฟยหงเทียบไม่ติด โดยเฉพาะเรือนร่างที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่านาง ผมยาวที่คลุมบ่าอย่างอิสระช่วยเพิ่มเสน่ห์ไปอีกแบบ

พอมองไปมองมา ในใจอวิ๋นจือชิวก็เริ่มไม่พอใจแล้ว นางเลิกคิ้วมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง

เหมียวอี้เดาออกแล้วว่านางกำลังคิดอะไร ได้แต่เงยหน้ามองเพดานอย่างพูดไม่ออก จิตใจเปี่ยมด้วยมโนธรรม เขาไม่ได้คิดอะไรกับอ๋องอสรพิษดำคนนี้เลยจริงๆ ตอนนี้ในมือยังมีงานสำคัญต้องทำ จะมีกะจิตกะใจมาคิดเรื่องผู้หญิงได้อย่างไร

“เจ้าก็คืออ๋องอสรพิษดำเหรอ?” อวิ๋นจือชิวที่เดินมาตรงหน้าอ๋องอสรพิษดำสอบถาม

“ไม่ใช่! อ๋องอสรพิษดำคือเรื่องในอดีต ตอนนี้อ๋องอสรพิษดำคือคนอื่นแล้ว ชื่อของข้าคือซิง” หลังจากซิงแนะนำตัวแล้ว ก็ย่อตัวทำความเคารพ “คำนับฮูหยิน”

อวิ๋นจือชิวเองก็ไม่เอ่ยเรื่องเป็นทาสเช่นกัน ถึงอย่างไรเมื่อครู่นี้เหมียวอี้ก็บอกไว้แล้ว ว่าระหว่างเขากับอ๋องอสรพิษดำมีข้อตกลงต่อกัน ว่าไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อใครได้ นางไม่อยากทำงานของเหมียวอี้พัง “ซิง[1]? มีแค่ตัวอักษรเดียวเหรอ?”

“ใช่แล้ว ชื่อก็เป็นแค่คำเรียกเท่านั้น จะตัวอักษรมากหรือน้อยก็ไม่ต่างกัน” ซิงตอบอย่างใจเย็น

“มาขอพึ่งพานายท่านด้วยความจริงใจหรือเปล่า?” อวิ๋นจือชิวถาม

ซิงพยักหน้า “ใช่แล้ว” แล้วก็มองไปที่เหมียวอี้อีก “จะคลายผนึกบนตัวข้าเมื่อไร?”

อวิ๋นจือชิวพูดแทรก “วรยุทธ์ของเจ้าไม่ธรรมดา ถ้าคลายผนึกออก แล้วเจ้ามีเจตนาไม่ซื่อขึ้นมาจะทำยังไง?”

“ข้าสาบานไว้แล้ว” ซิง

อวิ๋นจือชิวมองเหมียวอี้ “เชื่อถือได้มั้ย?”

“น่าจะได้มั้ง” เหมียวอี้เอามือลูบจมูก ดูจาดสถานการณ์ที่สระน้ำมังกรดำ ผู้หญิงคนนี้น่าจะไม่ทรยศคำสาบานที่ตัวเองมีต่อคนในเผ่า ทว่าเรื่องแบบนี้ใครจะแน่ใจได้?

“จะคลายผนึกให้เจ้าเมื่อไรน่ะเหรอ ข้าต้องรอดูอีกที” อวิ๋นจือชิวเหมาเรื่องนี้ไว้ในความรับผิดชอบของตัวเอง แล้วถามเหมียวอี้อีกว่า “เก็บไว้ใช้งานข้างกายข้า เจ้าคงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “เจ้าจัดการตามเห็นสมควรเถอะ”

“เชียนเอ๋อร์!” อวิ๋นจือชิวตะโกนเรียกข้างนอกอีก เรียกเชียนเอ๋อร์เข้ามา แล้วสั่งให้พาตัวซิงไป จากนั้นก็กำชับว่าให้จับตาดูซิงให้ดี

แยกจากกันไปนานก็เหมือนคู่แต่งงานใหม่ ต่อมาการออกแรงทำงานเพื่อ ‘ส่งข้าว’ ให้ท่านขุนนางเหมียวก็คือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้

หลังจากสุขสำราญกันแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ยังนอนกอดเหมียวอี้อยู่บนเตียงโดยไม่ยอมขยับไปไหนราวกับเป็นหนวดปลาหมึก เหมียวอี้แกะแขนขานางออก เพราะเขายังมีธุระสำคัญต้องจัดการ

เขาใส่ชุดลำลองเดินออกจาดห้อง ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย อารมณ์ฟุ้งซ่ายหายไปหมดสิ้น ทั้งตัวสงบเยือกเย็นแล้ว

เขามาเจอกับหยางเจาชิงในลานบ้านด้านนอก จากนั้นก็ถามถึงสถานการณ์ด้านนอก หลังจากรู้ว่ายาแก่นเซียนราคาสูงขึ้นเยอะ เหมียวอี้ก็รู้สึกขำ “คาดว่าถ้าไม่ใช่ท่านนั้นของวังสวรรค์ ก็เป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วที่ก่อกวน ตระกูลอื่นคงจะไม่ซ้ำเติมอิ๋งจิ่วกวงในเวลานี้ เรื่องนี้ไม่ต้องสนใจ เอาเป็นว่าอย่าชดเชยให้พวกเราน้อยลงก็พอ”

หลังจากปรึกษาเรื่องบางอย่างกัน หยางเจาชิงก็กล่าวขอตัวลา ส่วนเหมียวอี้ก็ได้รับข่าวจากหยางชิ่งเร็วมาก พอหยางชิ่งได้ยินเรื่องที่อ๋องอสรพิษดำมาที่นี่ ก็แปลกใจว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่

เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ สุดท้ายก็กล่าวอย่างจนใจ : เผ่าเทพอสรพิษดำได้เจอกับอ๋องแบบนี้ เป็นทั้งโชคดีและโชคร้าย ถ้ามองจากบางมุม คนนิสัยอย่างซิงไม่เหมาะจะกลายเป็นอ๋องของเผ่าเทพอสรพิษดำ

หลังจากหยางชิ่งครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก็บอกมุมมองอีกอย่าง : นายท่าน การที่ซิงทำอย่างนี้ เกรงว่าคงไม่ใช่อย่างที่ท่านจินตนาการ

เหมียวอี้ : หรือว่ามีเงื่อนงำอย่างอื่น?

หยางชิ่ง : นายท่านลองคิดดูสิ การที่เผ่าเทพอสรพิษดำมีที่ยืนอยู่ในใต้หล้า ก็ถือว่าหมดความเป็นไปได้ที่จะมีกำลังทหารที่พึ่งพาได้แล้ว ถ้ากำลังทหารแข็งแกร่งเมื่อไร ก็จะทำให้ถูกฆ่าล้างเผ่า ไม่ว่าประมุขคนไหนก็ไม่ยอมให้เผ่าเทพอสรพิษดำยิ่งใหญ่ขึ้นกว่านี้ หนทางรอดที่ดีที่สุดของเผ่าเทพอสรพิษดำก็คือ เลิกแข่งขันด้านกำลังทหารกับโลกภายนอก ทว่าสระน้ำมังกรดำดันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อย่างน้อยในสายตาเผ่าเทพอสรพิษดำ ในศึกนี้เผ่าเทพอสรพิษดำก็ได้แสดงบทบาทสำคัญแล้ว จู่ๆ พวกเขาก็พบว่าตัวเองมีศักยภาพในการสู้กับทัพตะวันออก เกรงว่าสภาพจิตใจคงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง ลองคิดดู ถ้ารู้สึกว่าตัวเองมีศักยภาพ ยังจะมีใครยอมถูกคนอื่นควบคุมไปตลอดอีกเหรอ? การที่อ๋องอสรพิษดำไปแล้วกลับมาหานายท่านอีกครั้ง เกรงว่าคงตระหนักได้ถึงจุดนี้แล้ว นางอาศัยอิทธิพลของตัวเองที่มีต่อเผ่ามาควบคุมจิตใจทะเยอะทะยานซึ่งจะก่อหายนะต่อเผ่า ตั้งแต่นางให้โม่โหยวรับตำแหน่งอ๋องต่อก็มีแนวโน้มนี้แล้ว นางเข้าใจชัดเจนว่าจะให้คนที่มีใจทะเยอะทะยานมาคุมเผ่าเทพอสรพิษดำไม่ได้…แน่นอน ข้าน้อยไม่ได้รู้จักเผ่าเทพอสรพิษดำดีนัก นี่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น

เหมียวอี้ : ถ้าพูดแบบนี้ ก็แสดงว่าอ๋องอสรพิษดำคนนี้แผนสูงมาก

หยางชิ่ง : ก็ไม่แน่ว่าจะแผนสูง ถ้าฉลาดจริงๆ ก็คงไม่เลือกมาเป็นทาสของนายท่าน…ข้าน้อยไม่ได้หมายความอย่างอื่นนะ

เหมียวอี้เข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ ฝั่งตัวเองก็ไม่ใช่ที่ที่สงบเท่าไร ถ้าเข้าใจสถานการณ์ก็จะรู้ว่าเขาอาจมีปัญหาและทำให้เผ่าเทพอสรพิษดำเดือดร้อนไปด้วยก็ได้

เรื่องของอ๋องอสรพิษดำ หยางชิ่งก็แค่ถือโอกาสถามเท่านั้น เรื่องที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือปรึกษากับเหมียวอี้ถึงแผนการขั้นที่สอง ฉวยโอกาสตอนที่ยังมีตระกูลอิ๋งต้านให้ ตอนยังไม่มีใครมาหาเรื่องที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล รีบอาศัยข้ออ้างในการปราบโจรครั้งนี้เลื่อนยศให้ลูกน้อง ตอนนี้เป็นเวลาที่แรงต้านน้อยที่สุด

ทั้งสองวางแผนลับกันนานมาก…

หยางเจาชิงที่เตรียมงานเสร็จแล้วกลับมาที่บ้านของตัวเอง ยังไม่ทันได้อุ่นเตียงกับหลินผิงผิง สวีถังหรานกับเสวี่ยหลิงหลงก็มาแล้ว

ที่มาที่นี่ก็ไม่ใช่เพราะเรื่องอะไร เมื่อรู้จากปากสวีถังหรานว่าหยางเจาชิงเสี่ยงอันตรายไปช่วยสามีนาง เสวี่ยหลิงหลงก็ดึงสวีถังหรานมาขอบคุณทันที

เมื่อเห็นเสวี่ยหลิงหลงตื้นตันใจจนจะคุกเข่าขอบคุณ หยางเจาชิงก็รีบบอกใบ้ให้หลินผิงผิงประคองเสวี่ยหลิงหลงขึ้นมา แล้วปลอบใจว่า “ทำตัวห่างเหินแล้ว เป็นคนกันเองทั้งนั้น เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่ ถ้าข้าประสบเคราะห์บ้าง เชื่อว่าพี่สวีก็คงช่วยข้าเต็มที่เหมือนกัน”

คำพูดนี้ทำให้สวีถังหรานรู้สึกละอายนิดหน่อย เขาลองถามตัวเอง ว่าถ้าหยางเจาชิงตกอยู่ในสภาพเดียวกับเขาจริงๆ เขาก็อาจจะไม่ไปเสี่ยงอันตรายเหมือนหยางเจาชิงก็ได้…

หลังจากนั้นเกือบครึ่งเดือน เหมียวอี้ก็ได้รีบยาแก่นเซียนหนึ่งหมื่นล้านล้าน ส่วนศพที่อยู่ในมือก็ส่งให้ตระกูลอิ๋งหมดแล้ว

ตอนนี้ยาแก่นเซียนข้างนอกขาดตลาด ราคาสูงลิ่ว เบื้องล่างก็ต้องใช้ยาแก่นเซียนมาฝึกตน เหมียวอี้ที่เป็นผู้ริเริ่มจะให้พวกลูกน้องต้องแบกรับความลำบากนี้ไม่ได้ ยาแก่นเซียนที่ได้มาจึงแก้ไขปัญหาได้พอดี นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องมีเงินหรือไม่มีเงิน

“ไม่กลัวข้ามีเจตนาไม่ซื่อแล้วเหรอ?”

ในลานบ้าน เหยียนซิวคลายผนึกบนตัวซิงแล้ว จากนั้นถอยกลับไปอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ส่วนซิงก็ถามอย่างประหลาดใจ

เหมียวอี้มองอวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกัน แล้วตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อน “นี่ไม่ใช่ความคิดของข้า ในจวนมีธรรมเนียม ฮูหยินเป็นคนดูแลผู้หญิงทั้งหมด ในเมื่อฮูหยินบอกว่าคลายผนึกบนตัวเจ้าได้ ข้าก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร”

อวิ๋นจือชิวถลึงตามองเขา การที่เขาพูดแบบนี้ทำให้นางดูเหมือนแม่เสือ ทำอย่างกับเจ้ากลัวเมียมาก

เหมียวอี้หัวเราะกลบเกลื่อน แล้วโยนกำไลเก็บสมบัติให้ซิงวงหนึ่ง

ซิงที่รับกำไลมาไว้ในมืออึ้งนิดหน่อย ถามด้วยความสงสัย “นี่คือ?”

“สามพันล้านล้านยาแก่นเซียน” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม

…………………

โม่โหยวที่รับตำแหน่งนี้ต่อก็ถูกกดดันจนไร้ทางเลือกเช่นกัน!

หลังจากอ๋องอสรพิษดำเข้าใจรายละเอียดสถานการณ์รบแล้ว รู้ว่าเหมียวอี้เป็นฝ่ายหยุดการต่อสู้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เผ่าเทพอสรพิษดำเสียสละชีวิตมากไปกว่านี้ ไม่ต่างอะไรกับการรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับนาง นางก็ย่อมต้องทำตามคำสาบานของตัวเองเช่นกัน นางจะไปรู้สาเหตุอื่นที่เหมียวอี้หยุดการรบได้อย่างไร อย่าว่าแต่นางเลย ตอนนี้ทั้งใต้หล้าก็มีคนรู้ไม่เยอะเช่นกัน

เผ่าเทพอสรพิษดำย่อมไม่ยอมให้อ๋องอสรพิษดำลงจากตำแหน่ง ทว่าอ๋องอสรพิษดำบอกว่านางสาบานเพื่ออนาคตของคนในเผ่า เหมียวอี้ถึงได้หยุดการสู้รบ นางมิอาจทรยศคำสาบาน ต้องถอยออกจากตำแหน่งให้ได้ ทางเผ่าเทพอสรพิษดำก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน ถึงขนาดสาบานแล้ว รู้ว่าขัดขวางไม่ได้แล้ว

โม่โหยวปฏิเสธหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ผล อ๋องอสรพิษดำใช้คำสั่งอ๋อง นางจึงต้องฝืนใจรับไว้ เพียงแต่ย้ำหลายครั้งว่า ขอเพียงอ๋องอสรพิษดำกลับมา นางก็พร้อมจะยื่นตำแหน่งอ๋องให้เสมอ

อ๋องอสรพิษดำไม่ใช่อ๋องอสรพิษดำอีกแล้วเหรอ? ยังคิดจะขอให้หัวหน้าภาคเก็บนางไว้ด้วย? พวกชิงเยว่ประหลาดใจไม่หยุด นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?

เหมียวอี้ย่อมเข้าใจคำพูดของอ๋องอสรพิษดำว่าหมายถึงอะไร ดูท่าแล้วอุบายตื้นๆ นั้นของตนจะได้ผลแล้ว บีบให้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นทาสได้แล้วจริงๆ เพียงแต่ดูจากที่ผู้หญิงคนนี้ประกาศออกมาอย่างเปิดเผย ก็เห็นได้ชัดว่าต้องการแยกแยะความความสัมพันธ์กับเผ่าเทพอสรพิษดำก่อนเพื่อป้องกันความผิดพลาด

ขณะที่สบสายตากับอ๋องอสรพิษดำ เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน ทำร้ายจนเผ่าเทพอสรพิษดำตายไปเยอะขนาดนั้น เขาจึงไม่เอ่ยถึงเรื่องคำสานบานนั่นแล้ว ถึงไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะทำจริง

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็ไม่ปฏิเสธผลประโยชน์ที่มาส่งถึงหน้าประตูบ้าน ตะโกนถามว่า “พูดจากใจจริงหรือเปล่า?”

ซิง อ๋องอสรพิษดำตอบเสียงดัง “ฟ้าดินเป็นพยาน!”

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ แล้วเอียงหน้าบอกใบ้คนข้างๆ มีคนเข้ามาผนึกวรยุทธ์บนร่างกายอ๋องอสรพิษดำทันที หลังจากค้นตัวแล้วถึงได้ปล่อยนางเข้ามา

หลังจากทั้งสองมายืนเผชิญหน้ากัน เหมียวอี้ถึงได้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทำไมเจ้าต้องลำบากทำขนาดนี้ ตอนนี้กลับคำพูดก็ยังไม่สาย ข้าจะทำเหมือนเจ้าไม่เคยตอบตกลงมาก่น”

อ๋องอสรพิษดำไม่เปลี่ยนท่าที กล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม “ข้าไม่กลืนคำพูดตัวเอง”

เป็นอย่างที่คาดไว้ เหมียวอี้รู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางเอาอนาคตของคนในเผ่ามาเสี่ยง จึงไม่พูดอะไรมากแล้ว เก็บนางเข้ากระเป๋าสัตว์เสียเลย อย่างไรเสียผู้หญิงคนนี้ก็วรยุทธ์สูงเกินไป ถ้าไม่ป้องกันไว้ก่อนคงไม่ได้ จากนั้นก็โบกมือตะโกนว่า “ออกเดินทาง!” แล้วเหาะขึ้นฟ้านำไปก่อน

ทัพใหญ่ทะยานฟ้าตามขึ้นไป เหาะไปยังจุดลึกของดาราจักรอย่างรวดเร็ว

โม่โหยวสะอึกสะอื้น กลุ่มผู้อาวุโสเงยหน้ามองตาม…

“กองทัพองครักษ์ถอนกำลังออกจากสระน้ำมังกรดำเร็วขนาดนั้นเชียวเหรอ?” ฮ่าวเต๋อฟางที่เดินอยู่ระหว่างตึกศาลาหันกลับมาช้าๆ ถามด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง

“ไม่ผิดค่ะ ถอนกำลังออกไปแล้วจริงๆ” ซูอวิ้นพยักหน้า

ฮ่าวเต๋อฟางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ตบระเบียงเบาๆ เงยหน้าถอนหายใจบอกว่า “อิ๋งจิ่วกวงเอ๋ยอิ๋งจิ่วกวง ได้รับความเป็นธรรมมั้ยล่ะ”

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่ยืนอยู่ใต้ชายคาของเรือนที่สูงใหญ่ถอนหายใจเบาๆ “อิ๋งจิ่วกวงไม่ได้แพ้ด้วยน้ำมือหนิวโหย่วเต๋อ แต่ถูกประมุขชิงวางแผนเล่นงานเข้าแล้ว แต่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ถือว่าได้ทดสอบขีดจำกัดของประมุขชิงแล้ว ตอนนี้ประมุขชิงไม่ได้คิดจะถอดราชินีสวรรค์ออกจากตำแหน่งเลย”

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่นั่งสมาธิอยู่ในห้องหนังสือเงียบไปนานมาก สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ตำแหน่งราชินีสวรรค์นี้เล่นงานอิ๋งจิ่วกวงเสียยับเยินแล้ว เรื่องส่งเม่ยเอ๋อร์เข้าวังพักไว้ก่อน ดูไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้านางอยากจะไปหาหนิวโหย่วเต๋ออีกก็ให้นางไปเถอะ”

โกวเยว่เอ่ยรับ “ขอรับ!”

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง แสงดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า สะท้อนแสงอยู่ในแม่น้ำที่ไหลเอื่อย

อิ๋งจิ่วกวงเอามือไขว้หลังยืนเงียบอยู่ริมแม่น้ำนานมาก สองมือที่ไขว้หลังกำหมัดแน่นไม่ปล่อย แต่ใบหน้ากลับสงบนิ่งมาก

บรรดาอ๋องสวรรค์รู้ข่าวเรื่องกองทัพองครักษ์ถอนกำลังออกจากสระน้ำมังกรดำแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้ คนอื่นล้วนมองออกถึงความหมายอันล้ำลึกที่แฝงอยู่ในนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมองไม่ออก บางทีเบื้องล่างอาจจะมองไม่เข้าใจ แต่คนที่อยู่ในสนามต่อสู้นั้นอย่างเขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร

การที่กองทัพองครักษ์ไปสระดำมังกรดำก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะทำให้เขาเริ่มเข้าใจบางอย่างแล้ว แต่ตอนนี้กองทัพองครักษ์เหมือนมาพอเป็นพิธีแล้วก็ถอนกำลังออกไป การกระทำนี้เท่ากับตัดสินการคาดเดาของเขาแล้ว กองทัพองครักษ์มาเพื่อหนุนหลังหนิวโหย่วเต๋อเฉยๆ มาข่มไม่ให้ทัพใหญ่กล้าเข้าไปยุ่งเรื่องที่สระน้ำมังกรดำ กดดันให้เขาจนตรอกจนต้องวางมือ

หรือพูดได้อีกอย่างว่า ประมุขชิงไม่ได้เตรียมจะถอดราชินีสวรรค์ออกจากตำแหน่งเลย ตอนแรกที่เรียกจ้านหรูอี้กลับวังสวรรค์อย่างกะทันหัน ก็จงใจปล่อยข่าวให้เขาใจผิด ล่อให้เขายอมทุ่มเทช่วงชิงตำแหนางราชินีสวรรค์ให้จ้านหรูอี้ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าจะทำไม่สำเร็จ มีหรือที่เขาจะทำถึงขั้นนี้

“เป็นข้าที่เพ้อฝันถึงอำนาจจนถูกหลอกใช้แล้ว!” อิ๋งจิ่วกวงเงยหน้าถอนหายใจขึ้นฟ้า “แต่ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องสู้กับตระกูลเซี่ยโห้วอย่างเอาเป็นเอาตาย ข้าอยู่มาจนอายุปูนนี้ แต่กลับระงับอารมณ์ได้ไม่ดีเท่าเซี่ยโห้วลิ่ง”

“เรื่องแลกเปลี่ยนกับหนิวโหย่วเต๋อยังดำเนินการต่อไปมั้ยคะ?” จั่วเอ๋อร์ถามหยั่งเชิง

อิ๋งจิ่วกวงตอบว่า “ทำต่อไป ถูกประมุขชิงเพ่งเล็งตั้งแต่แรก ตกหลุมพรางแล้ว ความเสียเปรียบนี้ยังไงก็ต้องรับไว้ ถ้าไม่เอาหลักฐานกลับมา จะให้ประมุขชิงจ้องจะข่มพวกเราต่อไปงั้นหรือ? ต้องเอาหลักฐานส่วนใหญ่กลับมาก่อน ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะเก็บไว้เองบ้าง แต่ก็ทำอะไรอ๋องผู้นี้ไม่ได้อยู่ดี ถ้ากล้าทำซี้ซั้วจริง อ๋องผู้นี้ก็จะโยนความผิดย้อนกลับไป ในอาณาเขตทัพตะวันออกถูกปล้น!”

จั่วเอ๋อร์พยักหน้า เข้าใจความหมายที่เขาสื่อแล้ว ถ้าในมือหนิวโหย่วเต๋อมีหลักฐานเยอะเกินไป เจ้าจะบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อมาปล้นเอาหลักฐานไปก็จะฟังไม่ขึ้น กำลังพลหนึ่งแสนของหนิวโหย่วเต๋อจะกำจัดทัพเกรียงไกรจำนวนมาของเจ้าได้อย่างไร? แต่ถ้าหลักฐานในมือหนิวโหย่วเต๋อมีไม่มาก ก็สามารถโยนความผิดกลับไปได้เลย

วันต่อมา ดวงอาทิตย์ขึ้นยามเช้าตรู่ นอกประตูใหญ่ที่สูงตระหง่านของจวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง อ๋าวเฟย หวังหย่วนเฉียว คงฮั่น ลู่ผิงฟาง อูจินหวน แม่ทัพใหญ่ห้าคนยื่นเรียงแถวกัน ทั้งหมดก้มหน้าเล็กน้อย อ๋าวเฟยคือคนที่สีหน้าแย่ที่สุด

รายงานมาเรียบร้อยแล้ว กำลังรออ๋องสวรรค์เรียกพบ

ตรงประตูมีเสียงฝีเท้าที่หนาแน่นดังอยู่พักหนึ่ง ทั้งห้าเงยหน้ามอง เห็นเพียงอิ๋งจิ่วกวงสวมชุดผ้าแพรของท่านอ๋อง ลักษณะท่าทางน่าเกรงขามนำคนกลุ่มหนึ่งออกมาด้วยตัวเอง

ในใจทั้งห้ารู้สึกสลดหดหู่ แม้แต่ประตูก็ไม่ให้เข้าไป ต้องการจะลงโทษพวกเขางั้นหรือ?

ใครจะคาดคิด “ฮ่าๆ” จู่ๆ อิ๋งจิ่วกวงที่ยืนอยู่บนบันไดก็ส่งเสียงหัวเราะอันเบิกบาน รีบเดินลงบันไดมา มาหมุนตัวอยู่ท่ามกลางคนห้าคนที่กำลังงุนงง มือข้างหนึ่งคว้าข้อมืออ๋าวเฟย มืออีกข้างคว้าข้อมือหวังหย่วนเฉียว แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ทุกคนลำบากแล้ว ไป อ๋องผู้นี้จัดงานเลี้ยงรับรองด้วยตัวเอง!”

อ๋าวเฟยกับหวังหย่วนเฉียวที่ถูกจูงไปมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าจริงหรือโกหก ทั้งสามก็ตามไปติดๆ เช่นกัน

จนกระทั่งเห็นสุราหยกบนโต๊ะหรูหรา เห็นอาหารเลิศรสจัดวางเต็มโต๊ะ นางระบำกำลังเต้นระบำอย่างแช่มช้อย อิ๋งจิ่วกวงชูจอกสุราเชิญดื่ม พวกเขาก็ยังไม่ค่อยกล้าเชื่ออยู่ดี

จนกระทั่งงานเลี้ยงจบลง ตบรางวัลอย่างงามให้ทั้งห้าแล้ว อิ๋งจิ่วกวงก็ยิ่งยอมรับต่อหน้าทุกคนว่าความผิดไม่ได้อยู่ที่ตัวทั้งห้าคน แต่เป็นอิ๋งจิ่วกวงเอง ทั้งห้าถึงได้เชื่อว่าเป็นความจริง ถึงได้รู้ว่าท่านอ๋องใจกว้าง พวกเขาตระหนกในความเมตตาประนี รีบเรียงแถวแล้วคุกเข่าข้างเดียว รู้สึกซาบซึ้งใจไม่หยุด ในที่สุดก็ยกหินก้อนใหญ่ที่กดทับอยู่ในใจออกแล้ว

ขณะมองท่านอ๋องยิ้มอย่างสบายใจเหมือนคนไม่เป็นอะไร จั่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างกันกลับแอบร่ำร้องในใจ ยาแก่นเซียนหนึ่งหมื่นล้านล้านไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ใช่ว่าตระกูลอิ๋งจะนำออกมาไม่ได้ แต่ที่สำคัญคือถ้าจะให้นำออกมารวดเดียวภายในเวลาสั้นๆ นี้ ก็ต้องส่งผลกระทบต่อการใช้ของคนอื่นด้วย สิ่งนี้ค่อนข้างน่ากดดัน ตอนนี้ร้านค้าใหญ่แต่ละร้านในเครือกำลังรวบรวมเงินอย่างโจ่งแจ้ง ทำให้ยาแก่นเซียนค่อนข้างขาดตลาด แล้วตอนนี้ท่านอ๋องก็ทุ่มตบรางวัลให้ห้าคนนี้อีกไม่น้อย ยิ่งทำให้กดดันมากขึ้นอีก

แล้วท่านนั้นของวังสวรรค์ดันกลัวว่าเรื่องนี้จะไม่คึกคัก ไม่น่าเชื่อว่าจะแอบส่งคนไปปล่อยข่าวลือ บอกว่ายาแก่นเซียนในใต้หล้ากำลังอยู่ในช่วงขาดตลาด แล้วคนก็ดันพากันเชื่อคำพูดเหลวไหล กอปรกับการซื้อจำนวนมากของฝั่งนี้ทำให้การซื้อขายขาดแคลนจริงๆ ทำให้คนแย่งกันซื้อ ภายใต้สถานการณ์ที่อุปทานไม่พอ ทำให้ยาแก่นเซียนราคาสูงขึ้นหลายเท่าตัว คาดว่าถ้าจำนวนยาแก่นเซียนในตลาดไม่เพิ่มขึ้นภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าราคาจะลง

ตระกูลเซี่ยโห้วก็เข้าร่วมด้วย จงใจป่วนตลอด นอกจากจะเพิ่มแรงกดดันให้การซื้อของฝั่งนี้แล้ว ยังทำให้ขาดทุนหลายเท่าด้วย

การแลกเปลี่ยนกับหนิวโหย่วเต๋อมีเวลาจำกัด เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะปล่อยให้เจ้าถ่วงเวลาต่อไป ต่อให้ไม่อยากควักเนื้อก็ต้องควักเนื้อ

ส่วนเงื่อนไขการแลกเปลี่ยนก็คือปล่อยคนของโถงชุมนุมอัจฉริยะก่อน แล้วค่อยส่งยาแก่นเซียนมาอีกที หลังจากทำสองรายการนี้เรียบร้อยแล้ว เขาถึงจะยอมมอบศพให้ แล้วถ้ารตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์มาเมื่อไร เขาถึงจะยอมปล่อยตัวประกันออกมา

ฟ้าสูงเมฆใส ทะเลสีฟ้าคราม

จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ทัพใหญ่กลับมาแล้ว ผู้หญิงหลายคนที่นำโดยอวิ๋นจือชิวกำลังรออยู่นอกประตูใหญ่จวนหัวหน้าภาค

พอพวกเหมียวอี้เหยียบลงพื้น อวิ๋นจือชิวและผู้หญิงคนอื่นๆ ก็ทำความเคารพด้วยรอยยิ้มที่สนิทสนม

พอเสวี่ยหลิงหลงที่สวมหมวกบนศีรษะเห็นสวีถังหรานยืนอยู่ข้างกายเหมียวอี้ นางก็เอามือปิดปาก นางไม่อยากส่งเสียงร้องไห้ต่อหน้าท่านหัวหน้าภาค เพราะสามีนางย้ำเสมอว่าอย่าเสียมารยาทต่อหน้าหัวหน้าภาค ทว่าตอนนี้กลับน้ำตาไหลอาบเต็มใบหน้า ร้องไห้จนตาพร่ามัว สวีถังหรานก็น้ำตาคลอเช่นกัน แต่กลับเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อสำรวมท่าที

ผู้หญิงคนอื่นๆ มองเสวี่ยหลิงหลงแวบหนึ่ง พวกนางพากันแอบทอดถอนใจ ตอนที่มีข่าวศึกสระน้ำมังกรดำปล่อยออกมา มีใครบ้างที่ไม่เครียด แต่ไม่มีใครกังวลเท่าเสวี่ยหลิงหลงอีกแล้ว แต่ด้วยความที่อวิ๋นจือชิวช่วยห้ามไว้ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าติดต่อไปที่สระน้ำมังกรดำ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย ชายชาตรีกำลังเอาชีวิตรอดในศึกเลือด ไม่อยากให้ความห่วงใยจากคนในครอบครัวกลายเป็นตัวถ่วง

อวิ๋นจือชิวกับเหมียวอี้ประสานมือกัน เห็นนัยน์ตาเหมียวอี้ฉายแววปวดใจ แล้วก็รีบเก็บซ่อนอย่างรวดเร็ว นางจึงเป็นฝ่ายคลายมือออกแล้วหลีกไปยืนด้านข้าง

เหมียวอี้หันตัวมาคว้าแขนสวีถังหราน ดึงมาตรงหน้าเสวี่ยหลิงหลง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “หลิงหลง ข้าพาผู้ชายของเจ้าตัวเป็นๆ กลับมาแล้ว”

เสวี่ยหลิงหลงร้องไห้จนพูดไม่เป็นภาษาทันที “ขอบคุณนายท่าน…”

เหมียวอี้ไม่กล้าอวดว่าเป็นฝีมือตน เงยหน้าถอนหายใจอีก “แลกมาด้วยชีวิตพี่น้องเกือบสี่หมื่น!”

เสวี่ยหลิงหลงหันหน้าหากลุ่มทหารทันที แล้วคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นซ้ำๆ “ขอบคุณ…ขอบคุณ…”

พวกทหารกลังทันที รีบเชิญให้นางยืนขึ้น ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนอึ้งก็คือ ตอนเสวี่ยหลิงหลงโขกศีรษะกับพื้น หมวกหลุดออกจากศีรษะแล้ว เผยให้เห็นศีรษะล้าน ผมดำเงางามของนางหายไปแล้ว

“เอ่อนี่…” เหมียวอี้งุนงง

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบว่า “หลังจากทัพใหญ่ออกเดินทาง เพื่อที่จะขอพรให้รองหัวหน้าภาคสวี น้องหลิงหลงโกนศีรษะคุกเข่าต่อสวรรค์เพื่อแสดงความจริงใจ นางคุกเข่ามาตลอด เมื่อครู่นี้เพิ่งจะลุกออกมาต้อนรับ บางทีความจริงใจของนางอาจทำให้สวรรค์เห็นใจแล้ว!”

สวีถังหรานได้ยินแล้วคุมสติไม่อยู่ ไม่สนอีกแล้วว่าหัวหน้าภาคจะยืนอยู่ตรงนี้หรือไม่ เขากระโจนลงไปคุกเข่า กอดเสวี่ยหลิงหลงที่โขกศีรษะเอาไว้แนบแน่น หนุนศีรษะโล้นของนางไว้บนใบหน้า อ้าปากพะงาบๆ อยู่อย่างนั้น น้ำตาพรั่งพรูออกมาโดยไร้เสียง

เสวี่ยหลิงหลงที่กำลังคุกเข่าดึงเสื้อเขาไว้ไม่ยอมปล่อย

ฉากนี้ทำให้กลุ่มคนทอดถอนใจไม่หยุด พวกทหารก็ยิ่งรู้ว่าผมที่อยู่ใต้เกราะหัวของสวีถังหรานก็สภาพเหมือนโดนสุนัขกัดแหว่งเช่นกัน พวกผู้หญิงเอามือปิดปาก แม้แต่อวิ๋นจือชิวก็ยังน้ำตาคลอหันหน้าหนี

เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้หยางเจาชิงว่าให้วางกำลังพลป้องกันเอาไว้ จากนั้นก็ทำหน้าตึง เม้มริมฝีปากแน่นเดินก้าวยาวเข้าไปข้างใน

อวิ๋นจือชิวเอามือปากน้ำตา แล้วโบกมือบอกให้บรรดาสาวใช้ที่อยู่ข้างหลัง

กลุ่มสาวใช้กรูกันเข้ามา ประคองสวีถังหรานและฮูหยินที่ร้องไห้กอดกันกลมเดินออกไปแล้ว

…………………

“เจ้าเด็กนี่มันขาดสติปัญญา ทำไมเรื่องอะไรก็เอาไปพูดข้างนอกหมด?”

ตำหนักดาราจักร จู่ๆ ประมุขชิงที่นั่งอ่านแผ่นหยกอยู่หลังโต๊ะยาวก็ทำสีหน้าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เอาแต่ส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น

ซ่างกวนชิงหัวเราะเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ แผ่นหยกนี้เขาส่งขึ้นมาเอง ข้างในคือเนื้อหาที่เขาถามชิงหยวนจุน หลังจากทางนี้ได้ข่าวว่าเหมียวอี้กับชิงหยวนจุนเจอกันแล้ว ประมุขชิงก็สั่งให้เขาถามชิงหยวนจุนว่าคุยอะไรกับเหมียวอี้บ้าง

สิ่งนี้ทำให้ชิงหยวนจุนแอบตกใจ แต่คิดไปคิดมาก็พบว่าไม่แปลก เพราะเดิมทีกองทัพองครักษ์ก็เป็นกลังพลสายตรงของเสด็จพ่ออยู่แล้ว จะรู้สถานการณ์ของตัวเองก็ไม่แปลกอะไร กอปรกับท่านแม่สั่งไว้ ท่านแม่คือคนที่เขาเชื่อใจมากที่สุดในโลกนี้ เขาเชื่อว่าท่านแม่ไม่มีทางทำร้ายเขา ดังนั้นถึงทำตามที่ท่านแม่กำชับไว้ รายงานบทสนทนาระหว่างตัวเองกับเหมียวอี้อย่างเปิดเผยซื่อสัตย์ ซ่างกวนชิงถามอะไรก็ตอบอย่างนั้น

ส่วนเนื้อหาที่ถามตอบกัน ซ่างกวนชิงก็เรียกได้ว่าคัดลอกไว้บนแผ่นหยกโดยไม่ขาดแม้แต่ตัวเดียว แม้แต่คำถามของตัวเองก็บันทึกลงไปด้วย เขาไม่กล้าเล่นตุกติกกับความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูกคู่นี้ ต้องรักษาท่าทีที่เที่ยงธรรมเอาไว้ ให้ประมุขชิงไปตัดสินเอง และไม่กล้าชักจูงชี้แนะอะไรด้วย ในฐานะที่เป็นคนสนิทข้างกายประมุขชิง เขารู้ว่าเรื่องบางเรื่องคนฐานะอย่างเขาไม่อาจแตะต้องได้ ถ้าคนฐานะอย่างเขากล้าเข้ามายุ่งเรื่องแบบนี้ ต่อให้อยู่กับประมุขชิงมานานแค่ไหน แต่ประมุขชิงก็ไม่มีทางเกรงใจเขาแน่

ซ่างกวนชิงย่อมรู้ว่าเพราะอะไรประมุขชิงถึงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เป็นเพราะเห็นว่าเหมียวอี้ยอมรับว่าราชินีสวรรค์สั่งให้ตัวเองลงมือกับสนมฉินแน่นอน ก่อนหน้านี้พอถามเรื่องนี้จากปากชิงหยวนจุน เขาก็รู้แล้วว่าจะทำให้ประมุขชิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ประมุขชิงจะลงโทษหรือไม่ลงโทษดีล่ะ? ใช่ว่าประมุขชิงจะไม่รู้ว่าตัวการใหญ่ที่ลงมือกับครอบครัวของสนมฉินคือราชินีสวรรค์ ก็แค่แกล้งโง่มาตลอดก็เท่านั้นเอง

“เฮ้อ! เจ้าเด็กนี่มันขาดสติปัญญา!” ประมุขชิงถอนหายใจอีกครั้ง ขณะที่กำลังยิ้มเจื่อน ก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาจำต้องยอมรับ นั่นก็คือลูกชายไม่เคยปิดบังอะไรเขาเลยตั้งแต่เด็กจนโต บางทีอาจจะขาดสติปัญญา แต่กลับไม่เคยหลอกลวงบิดาอย่างเขาและมารดาอย่างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ซื่อสัตย์กับบิดามารดามาตลอด

แน่นอน นี่คือสิ่งที่เขาตัดสินผิดพลาด อย่างน้อยครั้งนี้ชิงหยวนจุนก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ตัวเองขอเงินจากเหมียวอี้ และไม่ได้บอกมารดาด้วย ทั้งยังให้เหมียวอี้ช่วยปิดบังให้อีก

แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว เขาไม่สนใจว่าชิงหยวนจุนจะขาดสติปัญหาหรือไม่ เขาต้องวางแผนสร้างอนาคตให้พวกพี่น้องเบื้องล่างที่หลั่งเลือดทำงานเพื่อเขา ถ้าไม่คิดวางแผนเพื่อลูกน้อง แล้วจะมีใครมาทำงานรับใช้เขาอีก? แล้วจะหล่อหลอมขวัญกำลังใจทหารได้อย่างไร?

ส่วนคำพูดที่กระตุ้นให้ชิงหยวนจุนฮึกเหิม เขาก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ชิงหยวนจุนจะกลายเป็นประมุขวีรบุรุษแห่งยุคได้หรือไม่ สำหรับเขานั้นไม่สำคัญเลยสักนิด ถึงขนาดหวังให้ชิงหยวนจุนโง่เขลาสักหน่อยด้วยซ้ำ ถ้าชิงหยวนจุนไม่โง่เขลา แล้วลูกน้องคนสนิทอย่างเขาจะเรืองอำนาจได้อย่างไร? แต่ไหนแต่ไรมาสาเหตุที่ขุนนางกุมอำนาจการปกครองได้ ก็เพราะมีประมุขโง่เขลาไร้ความสามารถ อำนาจมหาศาลถึงตกอยู่ในมือคนข้างกาย ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอย่างประมุขชิง มีหรือที่จะปล่อยให้อำนาจตกอยู่ในมือคนข้างกาย สี่อ๋องสวรรค์อยู่มานานขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าถูกประมุขชิงบีบไว้แน่นหรอกหรือ

ตอนที่วางแผนเรื่องในอนาคตกับหยางชิ่ง หยางชิ่งก็ได้ชี้แนะไว้ชัดเจนแล้ว ว่าชิงหยวนจุนจะได้รับความคาดหวังจากประมุขชิงหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือต้องรักษาความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างชิงหยวนจุนกับประมุขชิงเอาไว้ นี่คือรากฐานของความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างประมุขชิงและชิงหยวนจุน ขอเพียงประมุขชิงยอมรับลูกชายคนนี้ในด้านความรู้สึก ในอนาคตไม่ว่าชิงหยวนจุนจะได้ขึ้นสู่ตำแหน่งหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ถึงตอนนั้นต่อให้ชิงหยวนจุนไม่ประสบความสำเร็จ ประมุขชิงก็จะคิดหาทางเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ลูกชายคนนี้ และจะไม่ตัดขาดพรรคพวกของชิงหยวนจุนด้วย หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ ประมุขชิงจะไม่แตะต้องเหมียวอี้ อย่างน้อยในช่วงระยะเวลาหนึ่งก็จะไม่แตะต้อง พอเป็นแบบนี้ก็สามารถทำเวลาให้เหมียวอี้ได้ไม่น้อย

สำหรับสิ่งนี้ เหมียวอี้เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง!

ซ่างกวนชิงจับสังเกตได้ว่าประมุขชิงไม่ได้ไม่พอใจอะไร จากคำว่า ‘เจ้าเด็กนี่’ จากปากประมุขชิงก็ทำให้รู้แล้ว

“เพื่อที่จะโน้มน้าวหยวนจุน เจ้าลูกลิงนั่นถึงขั้นใช้ประโยชน์จากความรักระหว่างแม่ลูกแล้ว นับว่าใส่ใจ” ประมุขชิงมองแผ่นหยกพลางพึมพำ “จะได้ผลกับหยวนจุนหรือเปล่า?”

ซ่างกวนชิงเดาออกทันทีว่าประมุขชิงคงเห็นที่หนิวโหย่วเต๋อบอกว่า ราชินีสวรรค์ได้รับความอัปยศใหญ่หลวงตอนอยู่ในวัง เขาจึงแสร้งทำเป็นไม่เห็น และไม่แสดงความคิดเห็นอะไรด้วย

“ครั้งนี้อิ๋งจิ่วกวงเสียหน้าหมดแล้วจริงๆ แต่ศึกนี้เจ้าลูกลิงก็ทำได้งดงาม นับว่าใช้ความพยายามทุกอย่าง” เมื่อได้อ่านขั้นตอนที่เกิดขึ้นระหว่างการรบ ประมุขชิงถึงได้เข้าใจว่าขั้นตอนการต่อสู้ที่แท้จริงเป็นอย่างไร แม้ทางนี้จะรู้สถานการณ์คร่าวๆ จากสายลับเผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว แต่รายละเอียดก็ไม่ชัดเจน นอกจากบุคคลระดับสูงของเผ่าเทพอสรพิษดำที่อยู่ที่ศูนย์บัญชาการกับเหมียวอี้ตลอด สมาชิกส่วนใหญ่ของเผ่าเทพอสรพิษดำก็รู้ไม่ครบว่าศึกนี้สำเร็จได้อย่างไร

“คนที่ข้าเลี้ยงมาตั้งหลายปี สุดท้ายก็เฉิงอวี่ก็ได้ชุบมือเปิบแล้ว” อ่านไปอ่านมาเขาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเหน็บแนม

ซ่างกวนชิงยิ้มบางๆ แล้วก็รีบเก็บสำรวมสีหน้าหน้าทาง ฟังออกแล้วว่าประมุขชิงไม่ค่อยพอใจ

“หึหึ หนึ่งหมื่นล้านล้านยาแก่นซียน ผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์…สงสัยคนของโถงชุมนุมอัจฉริยะที่ถูกปล่อยจะเป็นหนึ่งในการชดเชยของอิ๋งจิ่วกวง…” ประมุขชิงเดาะลิ้นส่ายหน้าอีก แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้ามองซ่างกวนชิง ถามอย่างตกใจว่ “อิ๋งอู๋หม่านยังไม่ตาย ยังอยู่ในมือเขาเหรอ?”

ซ่างกวนชิงพยักหน้า “องค์ชายพูดอย่างนี้ แม้แต่เรื่องสนมฉินก็ยังพูดแล้ว คาดว่าหนิวโหย่วเต๋อคงไม่เอาเรื่องนี้มาหลอกองค์ชายขอรับ”

ประมุขชิงเหล่ตามองแผ่นหยกในมือ “สะสางบัญชีกับตระกูลอิ๋ง เขายังคิดจะใช้อิ๋งอู๋หม่านมาลงมือกับตระกูลอิ๋งก่อน เจาคิดว่าเขาจะทำยังไง?”

ซ่างกวนชิงส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ บ่าวถามองค์ชายแล้ว องค์ชายบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้พูดรายละเอียดเรื่องนี้ เพียงเอ่ยถึงเท่านั้น”

“อ้อ!” ประมุขชิงแสยะหัวเราะ “เช่นนั้นข้าก็จะตั้งตารอดูแล้วกัน” พูดจบก็โยนแผ่นหยกไว้บนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะ เอามือไขว้หลังเดินเนิบนาบอยู่ในตำหนักใหญ่ พอเดินมาถึงหน้าประตูก็ยืนเงียบอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ถามด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้มว่า “เฉิงอวี่กับหยวนจุนดูเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันมากกว่าหรือเปล่า?”

ซ่างกวนชิงที่เดินตามอยู่ข้างหลังเข้าใจความรู้สึกของเขา กำลังถามว่าในฐานะบิดา เขาไร้ความปรานีเกินไปหรือเปล่า? จึงปลอบใจทันที “ฝ่าบาทมีปณิธานต่อใต้หล้า ในภายหลังองค์ชายย่อมเข้าใจ”

“มีปณิธานต่อใต้หล้า…” ประมุขชิงแววตาดูเลือนลอยขณะพึมพำกับตัวเอง สีหน้าเจือด้วยความสลดหดหู่

ซ่างกวนชิงหันมองใบหน้าด้านข้างแวบหนึ่ง แล้วรีบเปลี่ยนประเด็นสนทนาเพื่อคลายบรรยากาศ “ฝ่าบาท ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งแสนกว่าคันที่อยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อจะจัดการอย่างไรขอรับ? จะให้ส่งออกมาหรือเปล่า?”

“ในเมื่อทั้งสองฝ่ายล้วนแกล้งโง่ช่วยกันปิดบัง ถ้าข้าปิดบังตอนนี้จะไม่ไปลดโอกาสในการตักตวงผลประโยชน์ของเจ้าลูกลิงนั่นเหรอ ได้เห็นปฏิกิริยาของอิ๋งจิ่วกวงตอนขาดทุนควักเนื้อก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกเหมือนกันไม่ใช่หรือ ในเมื่อรู้ว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่ในมือเจ้าเด็กนั่นแล้ว มันจะหนีไปไหนได้อีก? ข้าเอากลับมาได้ทุกเมื่อ คอยดูไปเถอะ ข้าอยากจะเห็นนักว่าเขาจะหาเรื่องตระกูลอิ๋งยังไง…” ประมุขชิงพลันหรี่ตา “หนิวโหย่วเต๋อน่าจะรู้ว่าปิดบังเรื่องนี้ข้าไม่ได้ แต่กลับยังฮุบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้ไว้ แบบนี้แปลว่าอะไรล่ะ? แปลว่าเขารู้ว่าตอนนี้ข้าไม่อยากแตกคอกับอิ๋งจิ่วกวง ถึงได้ฉวยโอกาสนี้ตักตวงผลประโยชน์ไว้…เจ้าเด็กนี่ไม่เหมือนในปีนั้นแล้ว วิธีการยิ่งสูงส่งล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังช่ำชองการศึก ในภายหลังเกรงว่าสองแม่ลูกคงจะคุมไม่อยู่ ต้องสังเกตการณ์ไปก่อน!”

เริ่มฉายแววสิงห์ร้ายที่เห่อเหิมทะเยอทะยาน? ซ่างกวนชิงฟังแล้วแอบตกใจ นึกไม่ถึงว่าประมุขชิงจะวิจารณ์หนิวโหย่วเต๋อด้วยคำพูดประเภทนี้ มีความหมายแฝงอะไรกัน?

ทว่าในตอนนี้เอง ซ่างกวนชิงก็ดึงสติกลับมา แล้วดึงระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา หลังจากติดต่อได้ครู่เดียว ก็ทำสีหน้าตกตะลึง หลังจากเงียบไปสักพัก ก็รายงานว่า “ฝ่าบาท อ๋องอสรพิษดำมีรายงานขอรับ!”

“อ้อ!” ประมุขชิงก็ดึงสติกลับมาแล้วเช่นกัน “ปกติก็ไม่ติดต่อมาทางนี้ ทำไมนางถึงคิดได้ว่าต้องรายงานในเวลานี้ นางรายงานอะไรมาบ้าง?”

ซ่างกวนชิงตอบว่า “อ๋องอสรพิษดำบอกว่าคนในเผ่าประสบหายนะใหญ่หลวง บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน นางมิอาจเลี่ยงความผิดนี้ จึงสละตำแหน่งหัวหน้าเผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว ตอนนี้ให้ผู้อาวุโสโม่โหยวคุมเผ่าแทน จึงขอให้ฝ่าบาทถอดตำแหน่งอ๋องอสรพิษดำให้ หวังว่าฝ่าบาทจะส่งต่อมงกุฎอ๋องอสรพิษดำให้โม่โหยว”

ประมุขชิงพ่นเสียงทางจมูก “ตายไปล้านกว่าก็ทำท่าจะเป็นจะตายแล้ว ความคิดอ่านของสตรี! นางต้องขอบคุณหนิวโหย่วเต๋อกับอิ๋งจิ่วกวงสิถึงจะถูก เจ้าสองคนนั้นก่อเรื่องไว้ กลับถ่วงเวลาที่ข้าจะลงมือด้วยซ้ำ ถ้าจะให้ข้าลงมือเองจริงๆ เกรงว่าถึงตอนนั้นคงไม่ใช่แค่หนึ่งล้านคนแน่ๆ อนุญาตไปเถอะ แม้แต่หัวหน้าเผ่าก็ไม่ใช่แล้ว ยังจะสวมมงกุฎอ๋องไว้บนศีรษะนางทำไม!”

“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ แล้วเตรียมดำเนินการเรื่องนี้

สระน้ำมังกรดำ กองทัพองครักษ์ก็แค่ทำงานพอเป็นพิธีเท่านั้น ทั้งหาโจรไม่พบ และหาเผ่าเทพอสรพิษดำไม่พบด้วย หลังจากเตะถ่วงยืดเวลานิดหน่อยก็ถอนกำลังออกไปแล้ว

พอกองทัพองครักษ์ถอนกำลัง เหมียวอี้ก็ไม่สะดวกจะอยู่ที่สระน้ำมังกรดำนาน ถ้าอิ๋งจิ่วกวงโจมตีกลับมาอีกครั้งก็จะไม่สนุกแล้ว แม้จะรู้ว่าตอนนี้อิ๋งจิ่วกวงไม่น่าจะทำอย่างนั้น แต่ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็ ‘เชิญ’ กองทัพองครักษ์กลับไปแล้ว แต่ก็ยังต้องระวังเอาไว้ พยายามออกไปให้เร็วที่สุด

ขณะที่ฝั่งนี้กำลังเก็บรวมกำลังพล บนท้องฟ้ากลับมีคนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมา ชิงเยว่กับหลงซิ่นรวมถึงทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาล้อมคุ้มกันเหมียวอี้ทันที คอยเฝ้าระวังผู้ที่มา

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน อ๋องอสรพิษดำนั่นเอง ทั้งยังมีผู้อาวุโสอีกหลายคนของเผ่าเทพอสรพิษดำ

พวกเหมียวอี้สังเกตเห็นความผิดปกติ พบว่าที่คาดผมใบหัวใจสีเขียวบนศีรษะอ๋องอสรพิษดำหายไปแล้ว ตอนนี้สวมใส่อยู่บนศีรษะของโม่โหยวแทน ส่วนโม่โหยวและผู้อาวุโสคนอื่นๆ มีก็สีหน้าเศร้าสลดอย่างที่ปิดบังได้ยาก

เห็นได้ชัดว่าไม่ปกติ พวกเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอะไร อย่างไรเสียก็รู้สึกว่าไม่ปกติ

ท่ามกลางสายตาของทุกคน อ๋องอสรพิษดำก้าวออกมาจากวงผู้อาวุโส จากนั้นก็หันตัวไปหาโม่โหยว ค่อยๆ ย่อตัวลง แล้วคุกเข่าข้างเดียวทำความเคารพโม่โหยว

กลุ่มผู้อาวุโสทยอยกันคุกเข่าข้างเดียวทำความเคารพกลับ โม่โหยวก็ยิ่งรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า ใช้สองมือประคองให้อ๋องอสรพิษดำลุกขึ้นมา แล้วส่ายหน้าในขณะที่น้ำตาคลอ

พวกเหมียวอี้ยิ่งไม่เข้าใจแล้ว นี่อ๋องอสรพิษดำกำลังคุกเข่าทำความเคารพโม่โหยวเหรอ? สายตาของทุกคนย้ายไปรวมตรงที่คาดผมใบหัวใจสีเขียวบนศีรษะโม่โหยว ในใจแต่ละคนพึมพำว่า ไม่ใช่หรอกมั้ง หรือว่า…

อ๋องอสรพิษดำผละออกจากสองมือของโม่โหยว หันตัวก้าวเข้ามาช้าๆ เดินมาทางฝั่งเหมียวอี้

เหมียวอี้เอามือลูบจมูก พอจะเดาอะไรออกแล้ว รู้สึกอับอายนิดหน่อย

แต่พวกชิงเยว่กลับงุนงงเหมือนหมอกลงในสมอง เมื่อเข้ามาใกล้ในระยะหนึ่งก็ขวางอ๋องอสรพิษดำไว้ ไม่ให้นางเข้าใกล้เหมียวอี้เกินไป จะได้ไม่ภัยคุกคามต่อเหมียวอี้

อ๋องอสรพิษดำหยุดเดิน แล้วพูดกับเหมียวอี้ที่ยืนอยู่หลังการคุ้มกันที่หนาแน่นด้วยเสียงดังว่า “ข้าไม่ใช่อ๋องอสรพิษดำแล้ว ไม่ใช่หัวหน้าเผ่าเทพอสรพิษดำด้วย ถูกขับไล่ออกจากเผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว หัวหน้าภาคหนิวยินดีจะรับข้าไว้หรือไม่?”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เผ่าเทพอสรพิษดำและบรรดาผู้อาวุโสต่างก็มีสีหน้าเศร้าอาดูร โม่โหยวก็ยิ่งน้ำตาไหลเป็นสาย

…………

การที่คนเบื้องล่างยินดีติดตามเจ้า แม้จะมีปัจจัยทางด้านความรู้สึก หรือการหวังด้านผลประโยชน์ แต่จุดหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ ต้องดูว่าอยู่กับเจ้าแล้วจะมีความหวังหรือเปล่า ถ้าทำให้คนรู้สึกว่าอยู่กับเจ้าแล้วไม่มีหวัง ก็จะทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันได้ง่าย

ดังนั้นการมอบความหวังให้คนเบื้องล่างในเวลาที่เหมาะสม ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ไม่ใช่ว่าเหมียวอี้ต้องการจะโอ้อวดอะไรเสียหน่อย

เหลียวอิงถงที่เคยพิสูจน์มาแล้วแอบตกตะลึงในใจ มองเหมียวอี้ด้วยสายตาเคารพมากขึ้น รู้สึกนับถือเจ้านายเก่าท่านนี้จริงๆ ตอนแรกที่อยู่ตลาดผีแล้วใช้เล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลงไปมาราวกับพลิกฟ้าคว้าฝน นั่นก็ทำให้กลุ่มลูกน้องเก่าอย่างพวกเขามีใจใฝ่หาแล้ว ตอนหลังเงียบไปหมื่นปี ยังนึกว่าเจ้านายเก่าท่านนี้จะอยู่อย่างสงบได้แล้ว แต่ใครจะคิดว่าเป็นมังกรเร้นกาย ก็แค่ไม่ออกมาเท่านั้นเอง พอออกมาก็สร้างความเคลื่อนไหวใหญ่โตเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะโจมตีทัพตะวันออกห้าล้านจนแพ้แล้ว!

พลังอำนาจยามแสดงออกว่าไม่เห็นอ๋องสวรรค์อิ๋งอยู่ในสายตา สิ่งนี้ทำให้คนเห็นรู้สึกฮึกเหิม ความจริงเจ้าตัวก็ไม่ได้เห็นอ๋องสวรรค์อิ๋งอยู่ในสายตาอยู่แล้ว ในพิธีแต่งงานของสนมสวรรค์ปีนั้นก็ด่าอ๋องสวรรค์อิ๋งว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ เขาเห็นกับตาตัวเอง ใครกันล่ะที่ฆ่าหลานชายของอ๋องสวรรค์อิ๋ง? ตอนนี้ก็ยิ่งปะทะกับทัพใหญ่ของอ๋องสวรรค์อิ๋งอย่างไม่อ่อนข้อ ทั้งยังซัดกำลังพลของอ๋องสวรรค์อิ๋งจนหมอบ ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!

เหลียวอิงถงไม่คิดว่าเหมียวอี้โอ้อวดเกินไป วิธีการรับคนที่ตลาดผีก็อธิบายได้แล้วว่าเจ้านายเก่าท่านนี้ไม่ใช่คนเลอะเลือน แต่เป็นคนมั่นใจเพราะในใจมีแผนการณ์จริงๆ

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว นายท่านรอสักครู่!” เหลียวอิงถงกุมหมัดเอ่ยรับด้วยน้ำเสียงเคารพ

เรียกตัวเองว่า ‘ข้าน้อย’ การที่พูดคำนี้ออกมาได้ ก็ถือว่าทำผิดข้อห้ามของกองทัพองครักษ์อย่างใหญ่หลวงแล้ว แต่เรื่องบางเรื่องเขาก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน เขาได้รับความช่วยเหลืออย่างลับๆ จากเหมียวอี้มาหลายปี ไม่มีทางทำให้ความสัมพันธ์ลับระหว่างเขากับเหมียวอี้กระจ่างได้อีกแล้ว เพราะถ้าถูกเปิดโปงขึ้นมา เกรงว่ากองทัพองครักษ์คงจะไม่ใช่แค่ไล่เขาออกไป

สำหรับการช่วยเหลือสงเคราะห์ ในปีแรกๆ เขารับไว้อย่างสบายใจ ในปีนั้นเรียกได้ว่ามีความสัมพันธ์แบบผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ไม่อาจดูหมิ่นน้ำใจของนายท่าน มีปัจจัยด้านความรู้สึกที่ลบเลือนได้ยากมาเกี่ยวข้อง แต่จนกระทั่งเขาไต่เต้าขึ้นตำแหน่งสูง ถ้าจะบอกว่าไม่คิดทบทวนเลยสักนิดก็เป็นไปไม่ได้ มานึกเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว ถ้ารายงานขึ้นไปตั้งแต่แรกก็ยังไม่เป็นไร แต่รับความช่วยเหลือมาหลายปีแล้วค่อยรายงาน ก็ถือว่าทำผิดกฎกองทัพองครักษ์อย่างร้ายแรงแล้ว ในใจเขารู้อย่างแจ่มแจ้ง ว่าตัวเองขึ้นเรือโจรไปแล้ว ลงไม่ได้แล้ว ถ้าไม่ใช่ลูกน้องของเหมียวอี้แล้วจะเป็นอะไรไปได้?

มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมงานของเขาในปีนั้นอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขาหรือเปล่า เขาไม่กล้าไปสืบข่าว และไม่กล้าถามด้วย ถ้าเผยพิรุธอะไรให้คนอื่นจับได้ เขาก็จะต้องหัวขาด

ในถ้ำภูเขา ชิงหยวนจุนยกสุราอาหารมาจากด้านนอก มองเหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในนี้แวบหนึ่ง แต่กลับไม่ได้พูดอะไร ได้แต่วางสุราอาหารเงียบๆ อยู่อย่างนั้น

ทันใดนั้นด้านนอกก็มีคนมา รายงานเหลียวอิงถงที่นั่งอยู่ด้วยกันว่า “นายท่าน หัวหน้าภาคเรียกพบขอรับ!”

เหลียวอิงถงลุกขึ้นยืนทันที แล้วกุมหมัดคารวะเหมียวอี้ “หัวหน้าภาคหนิว ขออภัยด้วย นายท่านหัวหน้าภาคเรียกพบ ข้าต้องไปพบก่อน ท่านค่อยๆ กินไปนะ”

เหมียวอี้พยักหน้ายิ้ม “ไม่เป็นไร งานเป็นเรื่องด่วน!”

เหลียวอิงถงกล่าวขออภัยแล้วรีบเดินออกไป ในถ้ำจึงเหลือคนแค่สองคน เหมียวอี้พลันลุกขึ้นยืน รีบกุมหมัดคารวะชิงหยวนจุน “ข้าน้อยหนิวโหย่วเต๋อคารวะองค์ชาย!”

“องค์ชายอะไรกัน…” ชิงหยวนจุนหันกลับไปมองทางนอกถ้ำ แล้วพูดเย้ยตัวเองต่อไป “เป็นคนมีความผิดติดตัว เป็นทหารต่ำต้อย จะรับการคารวะจากหัวหน้าภาคได้ยังไง”

เหมียวอี้ยืนตัวตรง แล้วส่ายหน้าอย่างทนไม่ไหว “องค์ชายได้รับความลำบากแล้ว!”

“ไม่เกี่ยวว่าลำบากหรือไม่ลำบากหรอก ที่จริงอยู่ที่นี่ก็อิสระสบายใจดี” ชิงหยวนจุนกอดถาดอาหาร กล่าวด้วยสีหน้าไม่แยแส

“อิสระ?” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ แล้วก็ถอนหายใจทันที “องค์ชายคิดอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด องค์ชายอาจจะมีโอกาสนี้ตั้งแต่แรกแล้ว อย่าท้อใจเด็ดขาด ต้องทราบไว้ว่าเหนียงเหนียงแบกรับอันตรายมากขนาดไหนเพื่อองค์ชาย องค์ชายทำให้เหนียงเหนียงผิดหวังไม่ได้เด็ดขาด!”

“เสด็จแม่เป็นอะไรไป?” ชิงหยวนจุนถามด้วยสายตาจริงจัง

เหมียวอี้ลังเลครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็พูดเหมือนฝืนใจว่า “ที่องค์ชายถูกลดตำแหน่ง ทราบไหมว่าเพราะอะไร?”

ชิงหยวนจุนไม่รู้ว่าเขาโยงมาประเด็นนี้เพราะมีเจตนาอะไร จึงถามหยั่งเชิง “คงจะเป็นเพราะแผนของตระกูลอิ๋งละมั้ง หรือว่าตระกูลอิ๋งลงมือกับเสด็จแม่อีก? ตระกูลเซี่ยโห้วล่ะ? ตระกูลเซี่ยโห้วจะนิ่งดูดาบเชียวหรือ?” ตอนพูดประโยคสุดท้าย สีหน้าค่อนข้างดุร้าย

เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อองค์ชายรู้ว่าเป็นแผนของตระกูลอิ๋ง แต่ทราบหรือเปล่าว่าเหนียงเหนียงทำอะไรไปบ้างเพื่อล้างแค้นให้องค์ชาย? ไม่ปิดบังองค์ชาย เรื่องของครอบครัวสนมฉิน เหนียงเหนียงสั่งให้ข้าน้อยไปทำ”

“…” ชิงหยวนจุนเบิกตากว้างทันที อุทานว่า “ไม่ใช่ตระกูลเซี่ยโห้วทำเหรอ? เจ้าบ้าไปแล้ว นั่นคือสนมของเสด็จพ่อนะ ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปง เจ้ารู้ถึงผลที่ตามมาหรือเปล่า?”

เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าน้อยล่วงเกินคนไว้เยอะเกินไป ไม่มีทางถอยกลับแล้ว เหนียงเหนียงกับองค์ชายก็คือที่พึ่งสุดท้ายของข้าน้อย! และนี่ก็คือสาเหตุของศึกสระน้ำมังกรดำ ตระกูลอิ๋งต้องการจะตัดปีกของเหนียงเหนียง ตอนนี้เหนียงเหนียงแบกรับความกดดันอย่างหนัก ข้าน้อยไม่เสียดายที่จะนำกำลังพลหนึ่งแสนแดนรัตติกาลกระโดลงกับดักเพื่อทำศึกเลือดกับทัพตะวันออกห้าล้าน ในที่สุดก็ลำบากผ่านด่านนี้ไปได้ แต่องค์ชายทราบหรือเปล่า ว่าองค์ชายก็คืออนาคตของเหนียงเหนียง ถ้าองค์ชายไร้ความฮึกเหิม ทั้งหมดที่เหนียงเหนียงกับข้าน้อยทำไปก็จะไร้ความหมายแล้ว องค์ชายควรจะทราบไว้ ว่าสิ่งที่ตระกูลเซี่ยโห้วสนใจก็คือผลประโยชน์ของตระกูล ที่จริงแล้วเหนียงเหนียงอยู่ในวังอย่างโดดเดียวไร้ที่พึ่ง สิ่งเดียวที่เฝ้าหวังก็คืออนาคตขององค์ชาย หรือว่าองค์ชายทนเห็นเหนียงเหนียงเป็นอย่างนี้ต่อไปได้จริงๆ? หรือว่าองค์ชายทนดูเหนียงเหนียงถูกคนรังแก? ถึงยังไงเหนียงเหนียงก็เป็นราชินีสวรรค์มารดาแห่งใต้หล้านะ! ทำไมองค์ชายทนเห็นเหนียงเหนียงรับความอัปยศเช่นนี้ได้?”

“หัวหน้าภาคหนิวไม่ต้องพูดอีกแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้ว!” ชิงหยวนจุนตาแดงแล้ว เม้มริมฝีปากแน่นนานมาก รอจนกระทั่งอารมณ์สงบลงแล้ว ก็เอียงหน้ามองด้านนอกพร้อมถามว่า “นี่เจ้าตั้งใจเตรียมเองเหรอ? ไม่อย่างนั้นจะบังเอิญอะไรขนาดนี้ ให้ข้ามาส่งอาหารให้พอดี”

เหมียวอี้ตอบว่า “องค์ชาย เรื่องนี้ไม่สำคัญ เป็นเหนียงเหนียงที่สั่งให้ข้าน้อยมา องค์ชายลองดูว่าจำเป็นต้องใช้อะไรอีกมั้ย ข้าจะหาทางใช้โอกาสนี้เตรียมให้เรียบร้อย!”

ชิงหยวนจุนได้ยินแล้วลุกขึ้นอย่างเก้อเขินนิดหน่อย ตอบเหมือนไม่ได้ใส่ใจว่า “บนตัวมีทรัพยากรฝึกตนหรือเปล่า ให้ข้าหน่อย”

“… “เหมียวอี้อึ้งทันที แล้วถามอย่างสงสัยว่า “กองทัพองครักษ์มีค่าใช้จ่ายเยอะเหรอ? องค์ชาย ใช้จ่ายมากเกินไประวังถูกคนเปิดโปงตัวตนนะ ข้าน้อยคิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ฝ่าบาทอยากเห็น”

“เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว ตอนนี้ข้ามีแค่ค่าจ้างตามปกติ พอมาอยู่ที่นี่ ในวังก็ไม่ส่งเงินให้ข้าแล้ว” ชิงหยวนจุนกล่าวอย่างจนใจ

เหมียวอี้เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน พบว่าประมุขชิงโหดจริงๆ กำลังลับคมอย่างจริงจัง แม้แต่ทรัพยากรฝึกตนพื้นฐานก็ไม่ให้ ก่อนหน้านี้องค์ชายอยู่ที่วังสวรรค์ไม่เคยขาดอะไรเลย แม้ค่าจ้างกองทัพองครักษ์จะไม่น้อย แต่ถ้าอยากจะเติมเต็มทรัพยากรฝึกตนของท่านนี้ ก็ถือว่าแตกต่างไม่ใช่น้อย อย่างไรเสียก็เป็นแค่พลทหารคนหนึ่ง

“มีๆๆ” เหมียวอี้รีบค้นของจากกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้เขาทันที แต่ก็ยังถามอย่างแปลกใจนิดหน่อย “เรื่องนี้องค์ชายไม่เคยบอกเหนียงเหนียงเลยเหรอ?”

ตามหลักแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะทนเห็นลูกชายได้รับความลำบากได้อย่างไร ทรัพย์สินที่เขาส่งขึ้นมาถวายเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่น้อย ท่านนี้ยังขาดแคลนอีกหรือ?

ชิงหยวนจุนที่รับของมาแล้วอารมณ์ดีขึ้นนิดหน่อย “ตั้งแต่เด็กจนโตข้าไม่เคยขออะไรพวกนี้จากเสด็จแม่เลย เรื่องที่เจ้าให้ของข้า อย่าให้เสด็จแม่รู้นะ”

เหมียวอี้เข้าใจอีกแล้ว ของพวกนี้ไม่สะดวกจะเอ่ยปากขอ ที่อีกฝ่ายกระบิดกระบวนมาเอ่ยปากขอจากเขาได้ ก็เพราะกลัวจนแล้วจริงๆ ถ้าพูดจากบางมุม อีกฝ่ายก็เริ่มมองเขาเป็นพวกเดียวกันแล้ว นี่เป็นเรื่องดี เหมียวอี้พยักหน้าซ้ำๆ “เข้าใจ เข้าใจ วางใจเถิด เรื่องนี้มีแค่ฟ้าดินและท่านกับข้าที่รู้ ดังนั้นต่อไปนี้ถ้าองค์ชายต้องการอะไรก็ติดต่อข้าได้เลย ข้าจะเตรียมให้ ไม่ให้เหนียงเหนียงรู้แน่ขอรับ”

สภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเพราะความจนหายไปแล้ว ในที่สุดก็ไม่ต้องเห็นคนงานในร้านค้าพวกนั้นกลอกตาใส่อีกแล้ว ชิงหยวนจุนอารมณ์ดีมาก “เจ้าโจมตีทัพใหญ่ห้าล้านของอิ๋งจิ่วกวงแตกพ่ายจริงเหรอ? สถานการณ์เป็นยังไงกันแน่ เล่าให้ข้าฟังหน่อย”

นอกจากบางอย่างที่ไม่สะดวกจะพูด ที่เหลือเหมียวอี้ก็ไม่ปิดบังเขา แม้แต่เรื่องที่เจรจากับอิ๋งจิ่วกวงก็เล่าด้วย เดิมทีก็จะหาข้ออ้างคุยเรื่องนี้กับเขาอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นที่เก็บได้ก็จะกลายเป็นปัญหา ต้องหาใครสักคนที่สามารถต้านอันตรายได้

เริ่มตั้งแต่ทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาลเข้าสระน้ำมังกรดำ จนกระทั่งจับเผ่าเทพอสรพิษดำมาร่วมรบ จากนั้นก็กระจายข่าวลือ วางกับดัก โจมตีขนาบ ล่อข้าศึก วางอุบายข้าศึก ควบคุม ชิงหยวนจุนฟังการระดมกำลังเข่นฆ่าที่ต่อเนื่องกันจนหัวใจทะยานใฝ่หา มองเหมียวอี้ด้วยแววตาเป็นประกาย พบว่าท่านนี้ช่างโหดนัก กล้านำกำลังพลหนึ่งแสนไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยอย่างสระน้ำมังกรดำเพื่อสู้กับทัพห้าล้านของตระกูลอิ๋ง ไม่น่าเชื่อว่าจะสู้จนผลลัพธ์กลายเป็นอย่างนี้แล้ว เขาเองก็นับถือแล้วเช่นกัน

“สมคำร่ำลือ ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าทำไมในปีนั้นสี่อ๋องสวรรค์ถึงอยากให้ลูกสาวหลานสาวแต่งงานกับเจ้า ช่างเป็นแม่ทัพที่ห้าวหาญจริงๆ การที่เสด็จแม่ได้แม่ทัพแบบนี้มาช่วยถือเรื่องน่ายินดีมาก!” ชิงหยวนจุนกล่าวชมด้วยความทึ่ง

เหมียวอี้โบกมือ “องค์ชายชมเกินไปแล้ว อ๋าวเฟยนั่นมีลักษณะของแม่ทัพใหญ่ ถ้าไม่ใช่เพราะเจออุปสรรคหลายอย่าง ศึกนี้ใครจะชนะก็ยังไม่แน่เลย ทัพใหญ่แดนรัตติกาลรบตายไปเกือบสี่หมื่น เผ่าเทพอสรพิษดำก็ยิ่งสละชีวิตกำลังพลไปหนึ่งล้าน คำพูดที่อ๋องอสรพิษดำตำหนิข้าน้อยยังดังอยู่ในหูอยู่เลย!”

“ทหารที่รบตายพวกนั้นล้วนเป็นตัวอย่างที่ดี มอบเงินบำรุงขวัญอย่าให้ขาดตกบกพร่อง” ชิงหยวนจุนกล่าวอย่างเสียดายเช่นกัน

“ขอรับ!” เหมียวอี้กุมหมัดเอ่ยรับ แต่ในใจกลับพึมพำว่า เงินบำรุงขวัญเกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ เจ้าก็พูดได้คล่องปาก เจ้าหาเงินได้มั้ยล่ะ?

“อิ๋งอู๋หม่าน เจ้าเตรียมจะจัดการยังไง?”

“เอาเป็นว่าส่งคืนให้ตระกูลอิ๋งไม่ได้ ข้าน้อยเก็บไว้ก็ยังมีประโยชน์ จะให้ตระกูลอิ๋งเอาแต่ลงมือกับข้าไม่ได้ ควรจะเป็นข้าที่สะสางบัญชีกับตระกูลอิ๋งบ้าง”

ทั้งสองไม่สะดวกจะคุยกันนานเกินไป เดินออกจากถ้ำมาทีละคน พอเหมียวอี้มาถึงที่ลับตาคนแล้ว ก็ทรยศชิงหยวนจุนทันที พอหันหลังให้ก็ทรยศเลย รับปากแล้วว่าจะไม่บอกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แต่ก็บอกทันที ล้อเล่นอะไรกัน เรื่องที่สามารถประจบเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ เขาจะไม่พูดได้อย่างไร!

ทางตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แอบปาดน้ำตาอยู่ในห้องแล้ว นึกไม่ถึงว่าลูกชายจะน่าสงสารขนาดนี้ มารดาอย่างนางไม่รู้เรื่องเลยสักนิด แต่ก็รู้สึกว่าสิ่งที่เหมียวอี้กำชับไว้นั้นถูกต้องแล้ว ตนจะเปิดโปงเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นลูกชายจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน นางได้แต่กำชับเหมียวอี้ว่าต่อไปนี้ให้ติดต่อกับชิงหยวนจุนมากๆ หน่อย ขาดเหลืออะไรก็ให้คิดหาทางช่วยจัดการ เหมียวอี้ย่อมรับประกันซ้ำๆ

นี่ยังไม่เท่าไร เมื่อได้ยินว่าเหมียวอี้บอกความลับบางอย่างที่ไม่ควรเปิดเผยให้ชิงหยวนจุนรู้ ทั้งยังให้นางแอบยุยงให้ชิงหยวนจุนรายงานต่อประมุขชิงอย่างซื่อสัตย์ นางก็ตกใจทันที ดึงดันปฏิเสธว่า : จะทำได้ยังไง? ไม่ได้!

เหมียวอี้รู้ว่านางกลัวอะไร กลัวว่าประมุขชิงจะรู้เรื่องสนมฉิน จึงโน้มน้าวว่า : เหนียงเหนียงคิดว่าฝ่าบาทไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเรื่องสนมฉินมีใครบงการ? ฝ่าบาทแค่แกล้งโง่ก็เท่านั้นเอง เหนียงเหนียง ขอเพียงเป็นประโยชน์ต่อมุมมองที่ฝ่าบาทมีต่อองค์ชาย เหนียงเหนียงกับข้าน้อยจะได้รับความอยุติธรรมบ้างจะเป็นไรไป ตราบใดที่ฝ่าบาทเห็นความสำคัญขององค์ชาย ก็จะไม่แตะต้องคนขององค์ชาย…

ด้วยความที่โน้มน้ามซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงได้ทำลายความกังวลของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้

…………………

“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ค้นหา” โหมวฮ่าวหรานเอียงหน้ากำชับ หลังจากจ้องเหมียวอี้ครู่หนึ่ง ก็พูดเสริมอีกว่า “เอาตัวกำลังพลแดนรัตติกาลไปถามสถานการณ์”

ลูกน้องยังไม่ทันมีปฏิกิริยาอะไร เหมียวก็แย่งพูดแล้วว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ คนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลไม่ใช่คนร้าย” นี่คือการขัดขืนไม่ให้สอบสวนคนของเขา

“บังอาจ!” แม่ทัพคนหนึ่งของกองทัพองครักษ์ตะคอก

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะพร้อมกล่าวอย่างสุภาพ “เหมือนคนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลจะไม่ถูกควบคุมโดยกองทัพองครักษ์ กองทัพองครักษ์ไม่มีอำนาจสอบสวนคนของข้า”

โหมวฮ่าวหรานกล่าวช้าๆ ว่า “ข้าได้รับบัญชาจากฝ่าบาท จะทำไม่ได้เชียวหรือ?”

เหมียวอี้รีบบอกว่า “ในเมื่อฝ่าบาทมีบัญชา ข้าน้อยก็ย่อมไม่ขัดขืน แต่ผู้ตรวจการใหญ่ได้โปรดแสดงราชโองการของฝ่าบาทสักหน่อย ไม่อย่างนั้นจะไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ”

ชิงเยว่กับหลงซิ่นยังดีหน่อย แต่หยางเจาชิงกลับแอบปลงอนิจจัง ตอนนี้นายท่านไม่เหมือนในอดีตแล้วจริงๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนมีหรือที่จะกล้าเถียงกับผู้ตรวจการใหญ่ของกองทัพองครักษ์ ถ้าอีกฝ่ายโมโหขึ้นมาแล้วใส่ร้ายเพื่อซ้อมเจ้าสักยก เจ้าก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว แต่ตอนนี้ต่อให้ผู้ตรวจการใหญ่กองทัพองครักษ์จะอยากลงโทษแต่ก็ต้องชั่งน้ำหนักผลที่ตามมาสักหน่อย ตอนนี้นายท่านไม่ใช่ผู้ที่คนบางกลุ่มนึกจะแตะต้องก็แตะต้องได้ เพราะเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ถ้าจะแตะต้องก็ต้องมีเหตุผลที่ฟังขึ้น

ก็เหมือนความแตกต่างระหว่างพลทหารกับผู้ช่วยผู้บัญชาการของตลาดสวรรค์ ถ้าเป็นพลทหารตลาดสวรรค์ เกรงว่าแม้แต่คนงานในร้านค้าก็คงไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ แต่ถ้าอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการแล้ว แม้แต่พวกผู้จัดการร้านก็ไม่กล้ามามีเรื่องด้วยส่งเดช ไม่ใช่ว่าอำนาจที่อยู่เบื้องหลังผู้จัดการร้านพวกนั้นหวาดกลัว และไม่ใช่ว่าจะจัดการไม่ได้ แต่ผู้ช่วยผู้บัญชาการจะต้องเป็นคนที่ผู้บัญชาการดึงขึ้นตำแหน่งแน่นอน ต่อให้จัดการได้ แต่ราคาที่ต้องจ่ายก็จะมากขึ้น

“ข้าได้รับคำสั่งปากเปล่า ตอนนี้จะเอาจากไหนมาแสดงให้เจ้า?” โหมวฮ่าวหรานถาม

เหมียวอี้ตอบอย่างสุภาพว่า “แจ้งให้ตำหนักนารีสวรรค์รู้สักหน่อยได้มั้ย ขอเพียงราชินีสวรรค์มีคำสั่ง ข้าน้อยก็จะปฏิบัติตามทันที ไม่อย่างนั้นข้าน้อยจะชี้แจ้งต่อเหนียงเหนียงไม่สะดวก!”

สายตาของโหมวฮ่าวหรานเปลี่ยนเป็นล้ำลึกขึ้นทันที “ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมมากขนาดนั้น ข้าได้รับบัญชาสวรรค์ให้มาปราบโจร หรือว่าแค่จะถามเรื่องโจรจากปากคนของเจ้าก็ทำไม่ได้? อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะปิดบังให้โจร? หนิวโหย่วเต๋อ…อย่าลืมนะว่าเจ้าก็มีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์!” ประโยคสุดท้ายเหมือนจะบอกเหมียวอี้ว่าอย่าลืมกำพืดตัวเอง แต่จากน้ำเสียงที่ฟังเหมือนกำลังบอกว่า ข้าเห็นเจ้ามีพื้นเพจากกองทัพองครักษ์ก็เลยไว้หน้าเจ้า ถ้ายังพูดมากก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้า

เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “ในเมื่อจะถามเรื่องโจร คนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลก็ย่อมให้ความร่วมมือ” ขณะที่พูดก็ยื่นมือเชิญตามสะดวก

ที่เขาต้องการก็คือสิ่งนี้ แม้เขาจะกำชับเบื้องล่างไว้แล้วว่าควรพูดอย่างไร แต่ถ้าอีกฝ่ายใช้วิธีการทรมาน เขาเองก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะมีช่องโหว่หรือไม่

โหมวฮ่าวหรานไม่สนใจเขา เหมือนจะรู้ว่าถามอะไรจากเหมียวอี้ไม่ได้ จึงนำคนกลุ่มหนึ่งเดินก้าวยาวบุกเข้าไปในถ้ำศูนย์บัญชาการของเหมียวอี้ เหมียวอี้อยู่ด้วยข้างๆ กัน

เข็มทิศยังวางอยู่ในโถงถ้ำ โหมวฮ่าวหรานเอามือไขว้หลังเดินวนรอบหนึ่ง แล้วก็ยื่นมือลูบเข็มทิศพร้อมถามเสียงเรียบ “หัวหน้าภาคหนิว ข่าวลือด้านนอกบอกว่าโจรก็คือทัพตะวันออกห้าล้านปลอมตัวมา ไม่ทราบว่ามีเรื่องนี้หรือเปล่า?”

เหมียวอี้กล่าวอย่างลังเล “ข้าน้อยก็สงสัยอย่างนี้เช่นกัน แต่ก็ไม่กล้าฟันธง! ลองถามผู้ตรวจการใหญ่ ถ้าทัพตะวันออกปลอมตัวเป็นโจร ก็ย่อมไม่ให้ข้าน้อยจำได้ ล้วนเป็นใบหน้าที่แปลกตาทั้งนั้น ข้าน้อยเลยไม่กล้าฟันธง” เริ่มเสแสร้งแกล้งโง่แล้ว แต่ก็ไม่พูดให้ชัดเจนไปทางใดทางหนึ่ง จะได้เหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองได้

“งั้นเหรอ?” โหมวฮ่าวหรานเหล่ตามอง น้ำเสียงเหมือนไม่ได้แสดงออกว่าเห็นด้วยหรือปฏิเสธ

เหมียวอี้ไม่สนใจ อีกฝ่ายจะคิดอย่างไรก็ตามใจ ขอเพียงอีกฝ่ายกล้าขุดให้ถึงใต้เตียงของอิ๋งจิ่วกวงจริงๆ เขาก็ยินดีจะให้ความร่วมมือ ถ้าโค่นล้มอิ๋งจิ่วกวงได้ ของชดเชยพวกนั้นเขายอมที่จะไม่เอาก็ได้ แต่เป็นเพราะเขากังวลว่าท่านนั้นที่อยู่วังสวรรค์จะไม่ยอมแตกคอกับอิ๋งจิ่วกวงจนถึงที่สุด เขาถึงไม่จำเป็นต้องทำอย่างไร ไม่สู้ตักตวงผลประโยชน์ก่อนสักหน่อยแล้วค่อยว่ากัน

เรื่องบางเรื่องเมื่อเกิดขึ้นกับคนบางระดับ ทุกคนก็ล้วนรู้อยู่แก่ใจ เขาไม่เชื่อว่าท่านนี้จะไม่รู้อยู่แก่ใจ ทุกคนล้วนเสแสร้งแกล้งโง่ทั้งนั้น

ดังนั้นเหมียวอี้ก็กำลังดำเนินเรื่องโดยสังเกตท่าทีของโหมวฮ่าวหรานเช่นกัน ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ กำลังดูว่าประมุขชิงคิดจะเล่นงานอิ๋งจิ่วกวงจริงหรือไม่

ดังนั้นเหมียวอี้จึงถูกไล่ตะเพิดออกมา โถงถ้ำถูกโหมวฮ่าวหรานยึดใช้ชั่วคราว ครอบครองโดยพลการ เรื่องนี้เหมียวอี้โวยวายไม่ได้จริงๆ

หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วยาม แม่ทัพคนหนึ่งก็เข้ามาในโถงถ้ำ แล้วรายงานโหมวฮ่าวหรานว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ ค้นหาข้างนอกหลายที่แล้ว แต่ก็ไม่เจอเงาคนเผ่าเทพอสรพิษดำเลย ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่ที่ไหน นอกจาก เห็นได้ชัดว่ากำลังพลทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่ได้พูดความจริงเลย แต่ละคนพูดเป็นเสียงเดียวก่อน คาดว่าก่อนหน้านี้คงสมคบคิดกันไว้แล้ว จะง้างปากพวกเขาสักหน่อยมั้ยขอรับ?”

“ง้างปากอะไรกัน? ลองใช้สมองคิดให้ดี การที่เบื้องบนไม่ได้บอกรายละเอียดภารกิจให้ชัดเจนมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว” โหมวฮ่าวหรานกล่าวอย่างรู้สึกขำ เขาวางเก้าอี้ตัวหนึ่งข้างเข็มทิศ แล้วใช้สองเท้าพาดบนเข็มทิศเข็มทิศด้วยสีหน้าจนใจ ขณะกำลังใช้มีดเล็กเล่มหนึ่งตัดแต่งเล็บ ก็กล่าวอย่างสบายๆ ว่า “เผ่าเทพอสรพิษดำซ่อนตัวเหรอ? ถ้าอยากจะหาตัวพวกเขาจริงๆ คนมากขนาดนั้นจะไปซ่อนที่ไหนได้? เจ้าคิดว่าสายลับในมือฝ่าบาทอ่อนด้อยหรือไง? ทางเผ่าเทพอสรพิษดำจะต้องมีสายลับของเบื้องบนแน่นอน ถึงขั้นเป็นสายลับของอำนาจใหญ่ฝ่ายต่างๆ ด้วย เผ่าเทพอสรพิษดำมีประชากรเยอะขนาดนั้น จะไม่มีพวกกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาบ้างเหรอ? ก่อนหน้านี้ที่ไม่รู้สถานการณ์รบ ก็เพราะตอนสู้กันเผ่าเทพอสรพิษดำถูกระงับใช้ระฆังดารา แต่ตอนนี้ศึกจบแล้ว เกรงว่าอำนาจฝ่ายต่างๆ คงรู้สถานการณ์ชัดเจนตั้งนานแล้ว ยังต้องให้เจ้ากับข้ามาตรวจสอบอีกเหรอ? แล้วอีกอย่าง เรื่องตรวจสอบพวกเราก็ยุ่งไม่ได้เช่นกัน นั่นคืองานของเกาก้วน เจ้าจะกังวลไปเรื่อยทำไม”

“เอ่อ…” แม่ทัพคนนั้นงงไปชั่วขณะ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน “สงสัยพวกเราตั้งกระบวนทัพใหญ่ขนาดนี้ก็แค่มาแสร้งทำพอเป็นพิธีสินะขอรับ”

“จะบอกว่าทำพอเป็นพิธีก็ไม่ได้หรอก ถ้าพวกเราไม่มา เจ้าคิดว่าศึกนี้จะจบเร็วขนาดนี้เหรอ? ถ้าพวกเราไม่มา เจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะชนะเหรอ? ถ้าพวกเราไม่มา เจ้าคิดว่ากำลังพลของฮ่าวเต๋อฟางจะไม่กล้าเข้าไปสังหารหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?” โหมวฮ่าวหรานส่ายหน้าขณะถาม แล้วชี้มีดเล็กในมือเฉียงเล็กน้อย “เบื้องบนบอกมาแล้ว เจ้าไปเตรียมการสักหน่อย ให้องค์ชายพบกับหนิวโหย่วเต๋อสักครั้ง”

“ขอรับ!” แม่ทัพกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่งแล้วรีบเดินออกไป

ในโถงถ้ำไม่มีคนอื่นแล้ว โหมวฮ่าวหรานใช้นิ้วหัวแม่มือลูบคมมีด ครุ่นคิดพลางพึมพำว่า “หรือว่าเลี้ยงกำลังพลให้องค์ชายแล้ว? แต่ลดตำแหน่งให้อยู่ต่ำสุดหมายความว่ายังไง…”

ตอนชิงหยวนจุนอยู่กองทัพองครักษ์ก็ไม่ใช่ชื่อว่าชิงหยวนจุน แต่ชื่อว่าหูยง ไปเป็นพลทหารต่ำต้อยคนหนึ่งจริงๆ แม่ทัพภาคทุกคนไม่มีใครรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของหูยงเลย นี่คือสิ่งที่กองทัพองครักษ์ตั้งใจจัดรูปแบบไว้ แม้คนในใต้หล้าต่างก็รู้ว่าโอรสสวรรค์ถูกลดตำแหน่งให้มาอยู่กองทัพองครักษ์ แต่กองทัพองครักษ์ใหญ่ขนาดนี้ มีคนมากมายกระจายกันอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ตำหนักสวรรค์มีความสามารถที่จะสับหลีกเวลาเพื่อเลี่ยงไม่คนอื่นสงสัยแล้วยัดคนเข้าไป

อำนาจนอกกองทัพองครักษ์สอดมือเข้ามาได้ยาก คาดว่าอำนาจฝ่ายอื่นที่อยากจะหาว่าชิงหยวนจุนอยู่ที่ไหนก็คงทำไม่ได้ง่ายๆ เหมือนกัน แม้แต่เหมียวอี้เอง ตอนแรกก็ไม่รู้ชิงหยวนจุนถูกจัดให้ไปอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะชิงหยวนจุนติดต่อกับราชินีสวรรค์ แล้วราชินีสวรรค์บอกให้เขารู้ เขาก็อยากที่จะหาให้เจอได้

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มีคำสั่งแล้ว ต่อให้โหมวฮ่าวหรานไม่จัดเตรียมให้ แต่เหมียวอี้ก็ต้องไปเจอกับชิงหยวนจุนสักหน่อย

ตอนนี้ชิงหยวนจุนกำลังติดตามคนอื่นไปเฝ้าที่ช่องเขาแห่งหนึ่ง บังเอิญว่าเหมียวอี้ก็มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งอยู่ทางนั้นพอดี อาศัยโอกาสตอนลาดตระเวนมาที่นี่ พบกับเหลียวอิงถงแม่ทัพภาคที่เฝ้าอยู่ที่นี่

เป็นการพบกันอย่างสง่าผ่าเผย ดูจากภายนอกแล้ว เหลียวอิงถงกำลังกุมหมัดคารวะเหมียวอี้ตามปกติ แต่ความจริงแล้วพูดว่า “เหลียวอิงถงคารวะนายท่าน”

เหมียวอี้เองก็ไม่รู้ว่าประมุขชิงตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ในปีนั้นเหลียวอิงถงคือลูกน้องของเขาตอนอยู่กองทัพองครักษ์ และเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากศึกน่านฟ้าระกาติงด้วย ตอนหลังกองมังกรดำถูกจับให้แยกย้ายมาอยู่ที่นี่ แล้วชิงหยวนจุนก็บังเอิญเป็นลูกน้องของเหลียวอิงถงพอดี

เหมียวอี้กวาดสายตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าข้างๆ ไม่มีใคร ถึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เลวนี่ ได้กลายเป็นแม่ทัพภาคแล้ว”

ผู้ใต้บังคับบัญชาของธงพยัคฆ์ที่รอดชีวิตในปีนั้น ตอนนี้อยู่ที่กองทัพองครักษ์หลายปี บ้างก็ไต่เต้าเป็นผู้บัญชาการใหญ่ ที่นั่งตำแหน่งแม่ทัพภาคก็มีไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นเหลียวอิงถงที่อยู่ตรงหน้า ส่วนคนที่ความสามารถพื้นไม่ก้าวหน้าก็มีเหมือนกัน แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้แย่เกินไป ถึงอย่างไรเบื้องหลังก็มีทรัพยากรฝึกตนสนับสนุนเพียงพอ ช่วยเรื่องเพิ่มวรยุทธ์ได้มาก และการเพิ่มวรยุทธ์ก็คือสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการเลื่อนตำแหน่ง

“ให้นายท่านเห็นเรื่องน่าขำแล้ว เพิ่งจะเลื่อนตำแหน่งได้ไม่นาน เป็นเรื่องเมื่อห้าปีก่อน” เหลียวอิงถงตอบพร้อมรอยยิ้ม

เหมียวอี้กวาดสายตามองไปรอบๆ “เจ้ามาเจอข้าโจ่งแจ้งแบบนี้ ไม่กลัวว่าคนอื่นจะสงสัยเหรอ?”

เหลียวอิงถงตอบว่า “นายท่านอย่ากลัวไปเลย บังเอิญมาก เบื้องบนเพิ่งบอกใบ้มา ว่าให้ข้าหาทางรำลึกไมตรีเก่ากับนายท่านสักหน่อย จะได้ถือโอกาสจัดเตรียมให้นายท่านพบกับองค์ชายสักครั้ง”

ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าชิงหยวนจุนอยู่ใต้บังคับบัญชาเขา เนื่องจากช่วงนั้นคนที่ถูกย้ายเข้าย้ายออกไม่ได้มีแค่ชิงหยวนจุนคนเดียว ตอนหลังเป็นเพราะเหมียวอี้บอกเขา ให้เขาระวังไว้หน่อย ตอนนั้นเขาตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าโอรสสวรรค์จะมาอยู่ใต้บังคับบัญชาเขา

“อ้อ!” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ ช่างบังเอิญจริงๆ เขามาเพื่อสิ่งนี้พอดี จึงถามทันทีว่า “องค์ชายอยู่ที่ไหน?”

“บนช่องเขาทางด้านขวา คนที่เฝ้าอยู่ข้างโขดหิน”

เหมียวอี้เอียงหน้ามองทันที เป็นชิงหยวนจุนจริงๆ สวมเกราะทองทั้งตัว ในมือถือทวนยืนเงียบๆ ปะปนอยู่กับเพื่อนทหาร ไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป เพียงแต่เค้าโครงใบหน้าและสีหน้าดูเป็นผู้ใหญ่กว่าในปีนั้นอย่างชัดเจน อยู่ภายใต้แรงกระทบจากความแตกต่างแบบนั้น ทั้งยังอยู่ตำแหน่งต่ำมาหลายปี ถ้าไม่คิดจะโตเป็นผู้ใหญ่ก็คงยาก

เห็นได้ชัดว่าชิงหยวนจุนเห็นเขาแล้ว ตอนนี้กำลังสบตากับเขา แววตาดูสับสน

เหลียวอิงถงแอบสังเกตปฏิกิริยาของเหมียวอี้ ในใจแล้วรู้สึกอัศจรรย์ ไม่รู้ว่าเป็นสถานการณ์แบบไหนกันแน่ นึกไม่ถึงว่าเบื้องบนของกองทัพองครักษ์จะจัดเตรียมสิ่งนี้ให้ เขาพบว่าเจ้านายเก่าคนนี้ช่างล้ำลึกยากคาดเดา ส่วนเรื่องระหว่างเหมียวอี้กับทัพตะวันออกห้าล้านเขาก็ได้ยินข่าวมาแล้ว เพิ่งจะได้ยินข่าวลือมา ได้ยินว่าทัพตะวันออกห้าล้านแพ้ด้วยน้ำมือของเจ้านายเก่าคนนี้

“นายท่าน ได้ยินว่าทัพตะวันออกห้าล้านจะลอบโจมตีนายท่านที่สระน้ำมังกรดำเหรอ?” เหลียวอิงถงลองถาม

“อืม มีเรื่องแบบนี้จริงๆ เพิ่งจะถูกข้ากำจัดไปสองล้านกว่า กำลังพลที่เหลือหนีไปหมดแล้ว แต่เรื่องนี้เจ้าแค่รู้ไว้ก็พอ ตอนนี้อย่าเพิ่งประกาศต่อภายนอก ข้ายังต้องสู้กับอ๋องสวรรค์อิ๋งนั่นอีก” เหมียวอี้ที่ดึงสติกลับมาพยักหน้า ไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้กับเขา และจงใจจะแสดงออกให้เห็นว่าตัวเองสบายๆ ไม่เห็นอิ๋งจิ่วกวงอยู่ในสายตา จากนั้นก็มองเขาแล้วบอกว่า “เจ้าไปเตรียมการสักหน่อยสิ ให้ข้าพบองค์ชายสักครั้ง พยายามอย่าให้คนอื่นมองออก ยังต้องรักษาความลับเรื่องฐานะขององค์ชาย”

…………………

“ค่ะ!” จั่วเอ๋อร์เอ่ยรับ แล้วก็ลองเตือนอีกว่า “แล้วความเสียหายของร้านค้าหนึ่งพันกว่าล้าน…”

อิ๋งจิ่วกวงเอียงหน้ามองมา “พูดเรื่องนี้กับเขาจะมีความหมายเหรอ? ให้ตายยังไงเขาก็ไม่ยอมรับว่าเขาทำ แล้วพวกเราก็ไม่มีหลักฐานด้วย จะทำอะไรเขาได้เหรอ? ต่อให้มีหลักฐาน? ทำศึกแพ้แล้วมีสิทธิ์เสนอเงื่อนไขนี้รึไง! บอกหวังหย่วนเฉียว ถอนทัพเถอะ ให้เขาบอกเบื้องล่างให้ปิดปากให้สนิท”

“รับทราบ!” จั่วเอ๋อร์เอ่ยรับ แล้วเตือนอีกว่า “ทัพใต้ยังปิดล้อมอยู่นอกทางออกค่ะ”

“ข้าจะติดต่อฮ่าวเต๋อฟางให้สั่งกำลังพลของทัพใต้ถอนกำลัง ให้หวังหย่วนเฉียวรีบถอนกำลัง กองทัพองครักษ์ใกล้จะมาถึงแล้ว” อิ๋งจิ่วกวงกล่าว

“ค่ะ!” จั่วเอ๋อร์ไปปฏิบัติตามทันที

ในดาราจักร บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ถูกเผาจนดินดำเกรียม รองเท้ายาวที่ทำจากโลหะเหยียบขี้เถ้าหนาหลายชั้น หวังหย่วนเฉียวเก็บระฆังดารา แล้วถอนหายใจราวกับยกภูเขาออกจากอก ท่านอ๋องมีคำสั่งให้ถอนทัพ ยังทำภารกิจไม่สำเร็จก็จะมาโทษเขาไม่ได้ เขาเงยหน้าถอนหายใจขึ้นฟ้าแล้วบอกว่า “รวบรวมกำลังพล ถอนกำลังเถอะ! ระหว่างทางให้เตรียมระวังตัว ป้องกันหนิวโหย่วเต๋อวางอุบาย!”

คงฮั่นมองกำลังพลที่เดินไปเดินมาอยู่ไกลๆ แล้วหันกลับมาก้มหน้า “กลับไปอย่างนี้เหรอ? เรื่องนี้มีคนรู้เยอะเกินไป ต่อไปไม่มีทางปิดเป็นความลับได้เลย ปิดปากคนในใต้หล้าไม่ไหวหรอก ถึงตอนนั้นท่านอ๋องจะทนความรู้สึกได้ยังไง? เกรงว่าบารมีความน่าเชื่อถือของทัพตะวันออกคงได้รับผลกระทบอย่างหนัก…” ตอนพูดถึงประโยคสุดท้าย เสียงก็เริ่มเบาลง

หวังหย่วนเฉียวถอนหายใจ “ถ้าไม่ถอนกำลังแล้วจะทำยังไงได้? กองทัพองครักษ์กำลังจะมาถึงแล้ว หนิวโหย่วเต๋อก็จะไม่สู้แล้ว ถ้าเข้าจะซ่อนตัว พวกเราก็หาไม่เจอภายในเวลาสั้นๆ หรอก ในมือเขามีของที่ใช้จะใช้บีบท่านอ๋อง บารมีสำคัญกว่า หรือการฉีกหน้ากับประมุขชิงอันตรายกว่า?” เขายกมือตบบ่าคงฮั่น “นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราต้องกังวล เบื้องบนก็มีแนวคิดของเบื้องบน ในเมื่อท่านอ๋องตัดสินใจแล้ว พวกเราก็ทำตามเถอะ”

“เฮ้อ! ถ้ารู้ตั้งแต่แรกจะทำอย่างนี้ทำไม” คงฮั่นส่ายหน้ายิ้มอย่างขื่นขม มองไปตรงจุดไกลๆ แล้วถอนหายใจยาว “น่าเสียดายที่วีรบุรุษแห่งยุคอย่างอ๋าวเฟยต้องมาพังทลายลงที่นี่ น่าเสียดายพี่น้องสองล้านกว่าต้องมาตายเปล่า หลงเต๋ออัน หลัวเจ๋อ จงซานหมิง เจียงเชียนหลี่ ไป่หลี่เจี๋ย เวินลิ่วกง เชออู่ พี่ท่านพักผ่อนอย่างสงบเถิด!” พูดจบก็หันตัวไปรวบรวมกำลังพลแล้ว

ผ่านไปไม่นาน คนกลุ่มหนึ่งก็เปลี่ยนใส่เกราะรบของตำหนักสวรรค์อีกครั้ง แล้วรีบเหาะขึ้นฟ้าไป

กำลังพลทัพใต้ที่อยู่ตรงด้านนอกทางออกพลันหายไป กระทั่งหลังจากกำลังพลกลุ่มหนึ่งออกมา กำลังพลทัพใต้ก็ค่อยๆ ตามมาจากจุดที่ไม่ไกลอีก ตั้งกระบวนทัพอีกครั้งเพื่อรอปิดทางออก ส่วนทางด้านทางเข้า นอกจากเหลือคนส่วนน้อยไว้เฝ้าแล้ว กำลังพลหลายล้านก็เข้าในสระน้ำมังกรดำทั้งหมด ได้รับบัญชาจากราชันสวรรค์ให้มาตรวจสอบ แต่กลับชักช้าไม่มาเสียที

เรื่องที่กำลังพลทัพตะวันออกออกไปแล้ว ฝั่งเหมียวอี้ได้ข่าวนี้แล้ว เรื่องที่กำลังพลทัพใต้เข้ามาก็รู้แล้วเช่นกัน เพียงแต่เหมียวอี้กลับยังไม่โผล่หน้าออกมา ซ่อนตัวต่อไป ป้องกันการเล่นตุกติก

จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่ากำลังพลกลุ่มใหญ่ของกองทัพองครักษ์เข้าสระน้ำมังกรดำมาควบคุมแต่ละพื้นที่ไว้ เหมียวอี้ถึงได้วางใจอย่างแท้จริง หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ รายงานสถานการณ์การรบให้รู้

ตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังกระวนกระวายจนกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่ในห้องนอน จู่ๆ ก็ได้ข่าวจากเหมียวอี้ เรียกได้ว่าดีใจเหนือความคาดหมาย นางรีบหยิบระฆังดาราออกมาถาม : ท่านขุนนาง สถานการณ์รบเป็นอย่างไรบ้าง?

เหมียวอี้ตอบว่า : ด้วยการวินิจฉัยอันปราดเปรื่องของเหนียงเหนียง สุดท้ายก็ไม่ทำให้เหนียงเหนียงผิดหวัง ทัพใหญ่แดนรัตติกาลชนะโดยสมบูรณ์ กำจัดทัพฝ่ายศัตรูไปสองล้านสองแสนกว่า ทัพฝ่ายศัตรูหนีออกจากสระน้ำมังกรดำอย่างจนตรอก!

การวินิจฉัยอันปราดเปรื่องของตัวเองที่ไหนกันล่ะ แม้จะฟังคำพูดประจบเยินยอมาจนชินแล้ว แต่คำพูดนี้ก็ยังทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เขินแล้ว นางตื่นเต้นฮึกเหิมไม่หยุด ถามอย่างประหลาดใจว่า : ท่านขุนนางหนิวพูดจริงเหรอ? ชนะแล้วจริงเหรอ?

เหมียวอี้ : ข้าน้อยมิบังอาจหลอกลวงเหนียงเหนียง อิ๋งจิ่วกวงรับปากแล้วว่าจะปล่อยตัวกำลังพลโถงชุมนุมอัจฉริยะ จะช่วยให้ข้าน้อยนั่งตำแหน่งผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์ แล้วชดเชยอีกหนึ่งหมื่นล้านล้านยาแก่นซียน ข้าน้อยถึงได้ปล่อยกำลังพลที่เหลือออกไป ไม่อย่างนั้นข่าน้อยจะต้องล้างเลือดให้ถึงที่สุดแน่!

หนึ่งหมื่นล้านล้านยาแก่นซียน! เซี่ยโห้วเฉิงอวี่สูดหายใจลึก ดวงตาฉายประกาย ถามว่า : อิ๋งจิ่วกวงรับปากจะชดใช้มากขนาดนั้นเชียวหรือ? เขาจะไม่กลับคำใช่หรือเปล่า?

เหมียวอี้ : เหนียงเหนียงวางใจ ข้าน้อยได้ตัวเชลยศึกของทัพตะวันออกหนึ่งแสนกว่า ทั้งยังมีศพอีกหลายแสนอยู่ในมือ แม้แต่อิ๋งอู๋หม่านลูกชายของเขา ข้าน้อยก็ยังจับมาทั้งเป็นๆ ถ้าเขากล้าผิดสัญญา ข้าน้อยก็จะส่งคนให้ตำหนักสวรรค์ ดูซิว่าเขาจะชี้แจงต่อฝ่าบาทยังไง!

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : ตอนนี้ไม่ส่งคนให้ตำหนักสวรรค์เหรอ? แล้วถ้าส่งให้ทีหลัง ไม่กลัวฝ่าบาทจะลงโทษเจ้าข้อหาปิดบังหลอกลวงหรอกเหรอ?

เหมียวอี้ : กำลังตระกูลอิ๋งปลอมตัวเป็นโจร ข้าน้อยก็จำไม่ได้เหมือนกัน ของอยู่ในมือเผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว หลังจากเผ่าเทพอสรพิษดำสืบสวนแล้วจะส่งมาให้ ตอนหลังข้าน้อยเพิ่งจะรู้ว่ามีของพวกนี้อยู่ ถึงได้ส่งมอบให้ฝ่าบาททันที

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าใจความหมายที่เขาสื่อ : เจ้าเป็นคนมีความคิดมีวิธีการที่ดี เจ้าชั่งน้ำหนักเอาเองก็แล้วกัน ใช่แล้ว สถานการณ์รบเป็นยังไงกันแน่?

เหมียวอี้ไม่ปิดบังนางเช่นกัน เล่าสถานการณ์ตอนทำศึกในฟังรอบหนึ่ง

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฟังแล้วฮึกเหิมมาก กล่าวชมเต็มที่ว่า : ท่านขุนนางหนิวช่างสมคำร่ำลือ ช่างเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถจริงๆ ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!

นางพูดแบบนี้ และคิดแบบนี้เช่นกัน โชคดีที่ตัวเองได้แม่ทัพชั้นดีมา มิน่าล่ะตอนแรกถึงมีคนมากมายแย่งตัว

เหมียวอี้ : เหนียงเหนียงชมเกินไปแล้ว! ศึกนี้ฝ่ายข้าน้อยก็เสียหายไปมาก แต่โชคดีที่เผ่าเทพอสรพิษดำคอยช่วยเหลือ ดังนั้นหนึ่งหมื่นล้านล้านยาแก่นซียนที่ตระกูลอิ๋งให้ ข้าน้อยจะมอบเป็นรางวัลทั้งหมด!

ไม่พูดให้ชัดเจนก่อนคงไม่ได้ นี่ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ เดี๋ยวต่อไปถ้าไม่ถวายขึ้นมา ท่านนี้จะไม่พอใจเอาได้ ดังนั้นจึงหยั่งเชิงน้ำเสียงนางก่อน

ขุดเนื้อจากตัวตระกูลอิ๋งได้โหดมาก นำทรัพย์สินเยอะขนาดนี้มาเป็นรางวัลทั้งหมดก็น่าเสียดายไปหน่อย แต่วันนี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อารมณ์ดีมาก กล่าวเห็นด้วยซ้ำๆ ว่า : ท่านขุนนางปกครองทัพย่อมให้รางวัลและลงโทษได้ชัดเจนยุติธรรม เป็นสิ่งที่สมควรทำแล้ว สมกับเป็นทหารกล้าใต้สังกัดของข้า จะปฏิบัติต่อคนที่ทำงานรับใช้ข้าอย่างอยุติธรรมไม่ได้ ตบรางวัลอย่างงาม!

ก่อนที่ทั้งสองจะจบการติดต่อกัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ชี้แนะอีกเล็กน้อย บอกเหมียวอี้ว่าชิงหยวนจุนลูกชายนางก็ไปที่สระน้ำมังกรดำเช่นกัน ให้เขาดูแลให้หน่อย

แกร๊ก! ประตูที่ปิดสนิทเปิดออก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยืดอกเดินออกจากประตู พอเดินมาถึงบันไดตรงประตู นางก็ทอดสายตามองปราสาทราชวังตรงจุดไกลๆ ด้วยจิตใจที่เร่าร้อนฮึกเหิม

ทัพตะวันออกมีความหมายแฝงว่าอะไรล่ะ? หมายความว่าเป็นกำลังพลในขอบเขตระดับบนสุดของใต้หล้า แต่กลับแพ้อยู่ภายใต้น้ำมือนาง นางคิดเอาเองว่าต่อไปนี้คงไม่มีใครกล้าดูถูกนางแล้ว!

เอ๋อเหมยสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง สังเกตเห็นว่าความกังวลหายไปหมดสิ้น ตอนนี้แสดงสง่าราศีของมารดาแห่งใต้หล้าแล้ว!

เอ๋อเหมยแทบจะรู้คำตอบโดยไม่ต้องเดา หนิวโหย่วเต๋อทำศึกชนะแล้ว!

นางรีบไปหาที่ลับตาคน แล้วส่งข่าวให้ตระกูลเซี่ยโห้ว

จวนท่านปู่สวรรค์ เซี่ยโห้วลิ่งที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้าส่ายหน้ายิ้มเจื่อน เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อรบชนะ เขารู้เร็วกว่าเอ๋อเหมยเสียอีก เพราะเจ้าหกอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ มีหรือที่เขาจะไม่รู้

สำหรับบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ ส่วนใหญ่ต่างก็รู้ข่าวนี้กันหมดแล้ว ยกตัวอย่างเช่นพวกอ๋องสวรรค์ อิ๋งจิ่วกวงไปปรึกษาพวกเขาเรื่องที่จะประนีประนอมกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว กลับเป็นประมุขชิงที่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้อะไรชัดเจน

เพียงแต่บุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์เงียบไว้ตลอด ไม่ได้พูดกับคนนอกเรื่องนี้

จนกระทั่งในอาณาเขตของสี่ทัพปล่อยคนของโถงชุมนุมอัจฉริยะ บอกว่าสืบชัดเจนแล้ว ไม่พบความผิดก็ย่อมต้องปล่อย กอปรกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่วางมาดใหญ่โตไปทั่ววัง ประมุขชิงถึงตระหนักได้ว่าอิ๋งจิ่วกวงหลังชนฝาแล้ว จึงสั่งให้คนไปสืบสถานการณ์ให้ชัดเจนทันที

ในถ้ำ ในที่สุดอ๋องอสรพิษดำก็ถูกเหมียวอี้ปล่อยออกมาแล้ว เหมียวอี้ยื่นมือเชิญด้วยรอยยิ้ม ทางฝั่งซ้ายและขวาของเขามียอดฝีมือยืนเรียงแถวอยู่

“ท่านอ๋อง!” พวกโม่โหยวที่อยู่อีกฝั่งของเข็มทิศอุทานด้วยความดีใจ แทบจะวิ่งเข้ามาแล้ว แต่กลับถูกสายตาที่ดุเหมือนของตานฉิงห้ามไม่ให้เข้าใกล้

อ๋องอสรพิษดำจ้องเหมียวอี้พักหนึ่ง แล้วหันตัวเดินกลับไปยืนข้างคนในเผ่าตัวเอง

พวกโม่โหยวคุกเข่าข้างเดียวทำความเคารพทันที จากนั้นก็ก้าวขึ้นมาคลายผนึกบนตัวอ๋องอสรพิษดำ

ประโยคแรกที่อ๋องอสรพิษดำถามก็คือ “สถานการณ์ของเผ่าพวกเราเป็นยังไงบ้าง?”

ฝั่งเผ่าเทพอสรพิษดำเกิดบรรยากาศกดดันทันที โม่โหยวเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ

เมื่อได้รู้ว่าพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำรบตายไปหนึ่งล้านกว่า อ๋องอสรพิษดำก็หายใจถี่กระชั้นทันที พลันหันตัวไปมองเหมียวอี้ นางเดินเข้าไปหาทีละก้าว แต่ยังไม่ทันถึงตัวเหมียวอี้ ก็ถูกพวกตานฉิงมาขวางไว้แล้ว

“ยินดีด้วยนะหัวหน้าภาคหนิว หลังจากศึกนี้ชื่อเสียงเจ้าจะต้องสะท้านใต้หล้าแน่นอน!” อ๋องอสรพิษดำตวาดเสียงแสดงความยินดี เสียงแหลมจนน่าตกใจ

เหมียวอี้รู้ว่านางพูดประชด จึงแสดงความยินดีด้วยจริงๆ ก็แปลกแล้ว เขาได้แต่มองอย่างใจเย็น ไม่ถือสาอะไร

อ๋องอสรพิษดำพลันยกมือชี้เขา “หวังว่าตอนที่มีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า หัวหน้าภาคหนิวจะจดจำไว้ ว่าเกียรติประวัติของเจ้าได้มาจากชีวิตชายหนุ่มเผ่าเทพอสรพิษดำนับล้านกองสุมกัน!”

เหมียวอี้หลุบตาลงเล็กน้อย รู้สึกค่อนข้างหนักใจ จึงกล่าวอย่างเนิบช้าว่า “การช่วยเหลือจากเผ่าเทพอสรพิษดำครั้งนี้ หนิวไม่ลืมแน่นอน หากมีโอกาสย่อมตอบแทน ข้าไม่พูดอะไรมากกว่านี้แล้ว สิ่งที่ควรชี้แจงข้าก็บอกโม่โหยวไปหมดแล้ว กองทัพองครักษ์มาถึงแล้ว เรื่องต่อจากนี้เผ่าเทพอสรพิษดำไม่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องอีก ไปซ่อนตัวที่อาณาเขตดาวนิรนามก่อนเถอะ! รอให้ข้าจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยก่อน แล้วพวกเจ้าค่อยกลับมาก็ยังไม่สาย”

อ๋องอสรพิษดำหันหน้าเดินจากไปทันที พวกโม่โหยวรีบเดินตามหลังไป

เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่นางบอกว่าจะมาเป็นทาส เพียงเดินออกไปส่งนอกถ้ำ

หลังจากแน่ใจแล้วว่ากำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำออกไปหมดแล้ว จนกระทั่งหยวนกงรู้ตัวอีกที ก็พบว่าพวกตานฉิงหายไปอย่างเงียบๆ แล้ว ไม่รู้ว่าไปที่ไหนแล้ว

รอไม่นาน คนหลายร้อยที่สวมเกราะรบสีสดใสก็เหาะมา แล้วชั่วพริบตาเดียวก็ขยายตัวกลายเป็นทัพใหญ่ รีบเหาะไปควบคุมจุดต่างๆ ในบริเวณนี้อย่างรวดเร็ว

กำลังพลหลายแสนเหยียบลงพื้น แล้วกระจายกำลังป้องกันอีกครั้ง แม่ทัพใหญ่เกราะแดงร้อยกว่าคนตามหลังแม่ทัพคนหนึ่งเข้ามา ผู้ที่นำหน้ามาเหมียวอี้เคยเจอที่อุทยานหลวง โหมวฮ่าวหราน เป็นผู้ตรวจการใหญ่ของหน่วยองครักษ์ขวาแห่งกองทัพองครักษ์

เหมียวอี้รีบนำกำลังพลก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วก้าวออกจากแถวมากุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยหนิวโหย่วเต๋อคารวะผู้ตรวจการใหญ่!”

โหมวฮ่าวหรานจ้องเขาครู่หนึ่ง แล้วสายตาก็ย้ายไปทางชิงเยว่กับหลงซิ่น พยักหน้าให้สองคนนั้นเบาๆ แล้วจ้องเหมียวอี้อีก “ได้ยินว่าหัวหน้าภาคหนิวเจอโจรหลายล้านวางแผนทำร้ายที่สระน้ำมังกรดำ จึงปรายโจรไป ไม่ทราบว่ามีเรื่องนี้จริงหรือเปล่า?”

เหมียวอี้พยักหน้า “ผู้ตรวจการใหญ่ปราดเปรื่อง มีเรื่องนี้จริงๆ ขอรับ”

“สถานการณ์รบเป็นอย่างไร?” โหมวฮ่าวหรานถาม

เหมียวอี้ตอบสวยสีหน้าจริงจัง “ได้รับชัยชยะโดยสมบูรณ์ ปราบโจรไปได้สองล้านสองแสนกว่า เพียงแต่แค้นใจที่กำลังทหารมีน้อย จึงปล่อยให้โจรสองล้านกว่าที่เหลือหนีไปแล้ว ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเสียหายหนักมากเช่นกัน รบตายไปเกือบสี่หมื่นขอรับ!”

สองล้านสองแสนกว่า? โหมวฮ่าวหรานพลันเบิกตากว้าง แล้วก็หรี่ตาจ้องเหมียวอี้

แม่ทัพทุกคนข้างหลังเขามองหน้ากันเลิกลั่ก

“มีเชลยศึกกับศพมาเป็นหลักฐานมั้ย?” โหมวฮ่าวหรานถาม

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ตอนนั้นสถานการณ์คับขัน ไม่มีเวลาไปคิดถึงด้านนั้น”

โหมวฮ่าวหรานถามอีกว่า “อาศัยกำลังพลหนึ่งแสนแดนรัตติกาลของเจ้า ฆ่าโจรได้สองล้านสองแสนกว่าเชียวหรือ?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “โชคดีที่เผ่าเทพอสรพิษดำให้การช่วยเหลือสุดกำลัง”

โหมวฮ่าวหรานมองไปรอบๆ “แล้วคนเผ่าเทพอสรพิษดำหายไปไหนแล้ว?”

เหมียวอี้ : “ข้าน้อยก็กำลังสงสัยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเผ่าเทพอสรพิษดำไปไหนแล้ว ติดต่อไม่ได้ด้วย”

………………

จ้านหรูอี้ลุกขึ้นช้าๆ เดินเนิบนาบลากกระโปรงยาว ในใจเหมือนมีบางอย่างเดือดพล่าน ไม่น่าเชื่อว่าทัพตะวันออกห้าล้านจะถูกเขากำจัดไปแล้วเกือบครึ่ง?

หัวใจราวกับถูกคลื่นซัดขณะจินตนาการถึงฉากที่กำลังพลหลายล้านทำศึกใหญ่ จ้านหรูอี้อดไม่ได้ที่จะถามว่า : แล้วความเสียหายฝั่งเจ้าล่ะ?

เหมียวอี้จะเปิดเผยสถานการณ์รบให้นางรู้ได้อย่างไร ตอบเพียงว่า : อ๋องสวรรค์อิ๋งรู้อยู่แก่ใจก็พอ

จ้านหรูอี้ : เจ้าติดต่อข้ามาก ก็แค่จะให้ข้าส่งข้อความให้งั้นเหรอ?

เหมียวอี้ : ใช่แล้ว!

จ้านหรูอี้ : เจ้าอยากจะโอ้อวดข้าใช่มั้ย?

โอ้อวด? เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหนดี : ผู้น้อยไม่จำเป็นต้องโอ้อวดเหนียงเหนียง เพียงอยากให้เหนียงเหนียงส่งข้อความให้เท่านั้น

จ้านหรูอี้ : ทำไมไม่ไปหาคนอื่น แต่ดันมาหาข้า? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าอาณาเขตผู้สง่าน่าเกรงขามจะไม่มีใครส่งข้อความให้ ทำไมต้องติดต่อมาหาข้า? ในใจเจ้า ข้าสำคัญมากงั้นเหรอ?

เหมียวอี้พูดไม่ออกจริงๆ เป็นอะไรไปแล้วล่ะ เขาไม่อยากพัวพันอยู่กับนาง : ถ้าเหนียงเหนียงไม่อยากส่งข้อความให้ ผู้น้อยไปหาคนอื่นก็ได้

จ้านหรูอี้ : ข้าช่วยส่งข้อความให้เจ้าก็ได้ แต่เจ้าไม่กลัวข้าไปบอกฝ่าบาทเหรอ?

เหมียวอี้ : เหนียงเหนียงล้อเล่นแล้ว คาดว่าเหนียงเหนียงก็คงไม่อยากให้ตระกูลอิ๋งเดือดร้อนไปด้วยเช่นกัน! ข้าน้อยยังมีเรื่องต้องจัดการอีก ไม่รบกวนแล้ว

หลังจากทั้งสองติดต่อกันจบแล้ว เหมียวอี้ก็มองระฆังดาราในมือพลางถอนหายใจเบาๆ

ส่วนจ้านหรูอี้ก็มองระฆังดาราในมือเงียบๆ นานมาก สุดท้ายก็เก็บไว้แล้ว จากนั้นเปลี่ยนระฆังดาราอีกอันไว้ในมือ ติดต่อหาอิ๋งจิ่วกวงเสียเลย

ในบรรดารุ่นหลานของตระกูลอิ๋ง จ้านหรูอี้เป็นเพียงคนเดียวที่มีระฆังดาราติดต่อกับอ๋องสวรรค์อิ๋งได้โดยตรง คนอื่นไม่ได้รับสิทธิพิเศษนี้

หยินซวง ไป่เสวี่ยจ้องทุกการกระทำของนาง นอกจากใช้ระฆังดาราติดต่อบิดามารดา ก็เหมือนว่าสนมสวรรค์จะไม่ได้ติดต่อคนอื่นเลย แต่ดูจากท่าทางสนมสวรรค์แล้ว ก็ไม่เหมือนกำลังติดต่อบิดามารดา ควรค่าแก่การสงสัย

พอพูดถึงเรื่องใช้ระฆังดาราติดต่อ หยินซวง ไป่เสวี่ยก็ลำพองใจมาก เกรงว่าทั้งวังหลังคงต้องขอบคุณสนมสวรรค์ เพราะเรื่องบางเรื่องพวกนางได้เห็นกับตาตัวเอง ได้ยินกับหูตัวเอง

ฝ่าบาทรู้สึกว่าสนมสวรรค์เบื่อหน่าย บอกว่าในมือมีป้ายคำสั่งของเขา สามารถออกไปเดินเล่นได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องรายงาน ทั้งยังแนะนำให้เหนียงเหนียงออกไปผ่อนคลายมากๆ หน่อย เหนียงเหนียงบอกว่าไม่เป็นอะไร แบบนี้ก็ดีมากแล้ว ฝ่าบาทยังให้เหนียงเหนียงติดต่อคนในครอบครัวบ่อยๆ อีกด้วย จะได้ไม่เบื่อหน่ายอยู่ที่นี่ เหนียงเหนียงบอกว่าวังหลังควบคุมการใช้ระฆังดาราส่งข่าว ไม่มีความจำเป็นนั้น

ดังนั้นฝ่าบาทจึงครุ่นคิดพักหนึ่ง แล้วบอกว่าเรื่องนี้เขาจะแก้ปัญหาเอง

วันต่อมา ฝ่าบาทก็หาข้ออ้างให้คลายค่ายกลที่ระงับการใช้ระฆังดาราที่วังหลังแล้ว คนอื่นไม่รู้เหตุผลที่แท้จริง แต่พวกนางกลับรู้ชัด ฝ่าบาทแกกฏของวังหลังที่มีมาตั้งแต่ต้นก็เพื่อเหนียงเหนียง เกียรติพิเศษนี้มีเพียงเหนียงเหนียงคนเดียวที่ได้รับ แม้แต่ราชินีสวรรค์ก็ยังไม่ได้เลย

ริมแม่น้ำ อิ๋งจิ่วกวงกำลังยืนเอามือไขว้หลังด้วยสีหน้าดุร้าย ถือระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาด้วยสีหน้างุนงง

เขารู้สึกเหนือความคาดหมายนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าจ้านหรูอี้จะติดต่อเขา ก่อนส่งจ้านหรูอี้เข้าวัง เขาทิ้งระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับจ้านหรูอี้ไว้ แต่จ้านหรูอี้ไม่เคยใช้งานมันเลย นี่เป็นครั้งแรก เขาไม่รู้ว่าทำไมจ้านหรูอี้ถึงติดต่อเขามาในเวลานี้ อย่าบอกนะว่าเกี่ยวข้องกับสระน้ำมังกรดำ หรือไม่ทางวังสวรรค์ก็มีความเปลี่ยนแปลงอะไร?

หลังจากติดต่อได้แล้ว อิ๋งจิ่วกวงก็ตอบอย่างสุภาพ : ข้าน้อยถวายพระพรสนมสวรรค์!

จ้านหรูอี้ : หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งติดต่อข้ามา…

นางถ่ายทอดคำพูดของเหมียวอี้แล้ว

อิ๋งจิ่วกวงอึ้งไปชั่วขระ : ทำไมหนิวโหย่วเต๋อถึงติดต่อเจ้า?

จ้านหรูอี้ : ข้าก็ไม่เข้าใจเจตนาของเข้าเหมือนกัน

อิ๋งจิ่วกวงเงียบไป ไม่ค่อยเข้าใจเจตนาของเหมียวอี้ ไม่อาศัยเชลยจากสระน้ำมังกรดำติดต่อเขาก็เท่ากับแสดงความจริงใจในการเจรจา แสดงออกว่าไม่อยากยั่วโมโหเขา ให้สนมสวรรค์มาบอกต่อเขาก็เพราะหวังว่าเขาจะไต่ตรองด้วยความใจเย็น

ที่จริงประสิทธิภาพที่ได้ก็ชัดเจนมาก ถ้าให้อิ๋งอู๋หม่านกับเจ๋อชุนชิวเจ้าสองคนที่ทำเสียเรื่องนั่นมาเจรจา เขาก็จะเดือดดาลทันที พอจ้านหรูอี้เอ่ยปากแล้ว ก็ทำให้เขารักษาความใจเย็นไว้ได้จริงๆ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพูดอะไรหยาบคายกับจ้านหรูอี้โดยตรง

หนิวโหย่วเต๋อสามารถพิจารณาถึงจุดนี้ได้ แสดงว่าใช้ความคิดไปมาก อิ๋งจิ่วกวงพอจะเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายอยากจะเจรจาจริงๆ ไม่ได้กำลังล้อเล่นกับเขา

“กองทัพองครักษ์ไปถึงไหนแล้ว?” อิ๋งจิ่วกวงเอียงหน้าถาม

“คาดว่าอย่างมากอีกหนึ่งชั่วยามก็จะถึงสระน้ำมังกรดำแล้ว” จั่วเอ๋อร์ตอบ

อิ๋งจิ่วกวงเงยหน้าช้าๆ แล้วหลับตาลง ก่อนจะบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อไม่อยากสู้แล้ว”

“อะไรนะ?” จั่วเอ๋อร์งุนงง ตอนแรกเจ้าหนุ่มนั่นต้องการจะสู้ให้ถึงที่สุดไม่ใช่เหรอ?

อิ๋งจิ่วกวงเขย่าระฆังดาราในมือ บอกจ้านหรูอี้ว่า : ให้เขาเลือกสถานที่

จ้านหรูอี้ : ท่านตา เรื่องที่สระน้ำมังกรดำเกี่ยวข้องกับท่านจริงเหรอ?

อิ๋งจิ่วกวง : เหนียงเหนียง นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรถาม เจ้าถ่ายทอดคำพูดข้าไป เขาย่อมรู้ว่าหมายความว่าอะไร

หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว อิ๋งจิ่วกวงก็ก้มหน้ามองเงาตัวเองในแม่น้ำอีก พร้อมกล่าวอย่างจนใจว่า “บอกหวังหย่วนเฉียว ให้หยุดได้แล้ว! ให้คงฮั่นไปเจรจา…”

ในดาราจักร บนยอดเขาสูงสุดของดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง คงฮั่นเหยียบลงพื้น คนที่รับหน้าที่มารับก็คือหยวนกง

หลังจากหยวนกงค้นตัวเขาแล้ว ก็ผนึกพลังบนตัวแล้วเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์พาไปเลย

สายลับของเผ่าเทพอสรพิษดำคอยเฝ้าระแวดระวังอยู่ในดาราจักร ป้องกันไม่ให้มีคนสะกดรอยตาม

ห้องถ้ำในโถงถ้ำ หลังจากหยวนกงมาถึงแล้ว ก็โยนคงฮั่นออกมา แล้วหยวนกงก็กันตัวเองออกไป หยวนกงเข้าใจตัวเองชัดเจนดี ว่าตัวเองไม่ใช่คนที่อยู่กลุ่มลูกน้องคนสำคัญของหนิวโหย่วเต๋อ

เหมียวอี้นั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งด้วยเรียบเฉย เกราะรบยังไม่ถอด กำลังจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นเยียบ

หยางเจาชิงตรวจค้นตัวคงฮั่นอีกรอบ เสร็จแล้วถึงได้ถอยออกไปยืนด้านข้าง

คงฮั่นจ้องเหมียวอี้อย่างเย็นเยียบ “หนิวโหย่วเต๋อ!”

“ข้าเอง!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วชี้ที่เก้าอี้ตรงกันข้าม บอกใบ้ให้นั่งลง

คงฮั่นเดินไปนั่งลงอย่างกล้าได้กล้าเสีย พอชำเลืองมองสวีถังหรานที่นำน้ำชามาวาง เขาก็แค้นจนกัดฟันกรอด รู้ว่าเดิมทีสวีถังหรานเป็นคนที่ต้องตายแน่นอน ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยให้หนีไปได้ ถ้าจับตัวเจ้านี่ไว้ ไม่แน่ว่าอาจเอามาแลกเปลี่ยนกับหนิวโหย่วเต๋อได้

เหมียวอี้ยื่นมืออีก บอกใบ้ให้ดื่มน้ำชา

“ไม่ต้องแล้ว พูดมาตรงๆ เถอะ เจ้าอยากจะเจรจาอะไร?” คงฮั่นถาม

เหมียวอี้ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน “นายท่านคงรู้อยู่แก่ใจแล้วเหตุใดต้องถาม เจรจาอะไรก็ไม่ซับซ้อนเลย ในมือข้ามีเชลยศึกแสนกว่าและศพหลายแสนของทัพตะวันออก กองทัพองครักษ์กำลังจะมาถึงแล้ว ถ้าไม่อยากให้ข้าส่งต่อให้กองทัพองครักษ์ ก็ต้องเอาของมาแล้ว”

“เจ้าต้องการอะไร?” คงฮั่นถาม

“การเลื่อนขั้นและเงินทอง ข้าหวังว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งจะช่วยให้ข้าเลื่อนขั้นได้” เหมียวอี้ถาม

คงฮั่นตอบว่า “ถ้าเจ้าเลื่อนขั้นอีกก็จะกลายเป็นท่านโหวแล้ว อาศัยคุณสมบัติและวรยุทธ์ของเจ้า เจ้าคิดว่าเป็นไปได้เหรอ? บนราชสำนักยังไม่เคยมีตัวอย่างนี้มาก่อน”

“ถ้าเข้าประชุมขุนนางไม่ได้ ที่ตลาดสวรรค์ก็ได้ ข้าต้องการอำนาจในการควบคุมตลาดสวรรค์ทั้งใต้หล้า” เหมียวอี้กล่าว

คงฮั่นแสยะยิ้ม “นี่เจ้ากำลังพูดจาเพ้อฝันเหมือนคนปัญญาอ่อน!”

เหมียวอี้ไม่แยแสปฏิกิริยาของเขา พูดต่อไปว่า “ยังมีโถงชุมนุมอัจฉริยะอีก ปล่อยคนที่จับไปออกมาให้หมด กลับคำพิพากษาให้โถงชุมนุมอัจฉริยะ นอกจากนี้ เสียค่าปรับเป็นยาแก่นซียนให้ข้าอีกหนึ่งหมื่นล้านล้าน!”

หนึ่งหมื่นล้านล้านยาแก่นซียน? คงฮั่นพลันลุกขึ้น แล้วกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้! อย่างเจ้าเรียกว่าเจรจาเหรอ? ไม่มีความจริงใจเลยสักนิด!”

เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ “ท่าทีของเจ้าไม่สำคัญหรอก เจ้าไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้ ให้อ๋องสวรรค์อิ๋งไปพิจารณา แค่บอกสิ่งที่ข้าพูดก็พอ!”

คงฮั่นกัดฟันกรอด ไม่ผิดหรอก เขาไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้จริงๆ หวังหย่วนเฉียวที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจเช่นกัน จะตอบตกลงหรือไม่ สุดท้ายก็ต้องดูที่เจตนาท่านอ๋อง เขากล่าวด้วยสีหน้าดุร้ายว่า “อิ๋งอู๋หม่าน ท่านโหวอิ๋ง แล้วก็เจ๋อชุนชิว ข้าต้องการเจอพวกเขา”

“เกรงว่าจะทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว คนตายไปแล้ว ตอนสู้กันถูกผลักมาเป็นโล่ โดนคนของพวกเจ้ายิงตายไปแล้ว ร่างแยกเป็นสี่ส่วนห้าส่วน แม้แต่เค้าโครงศพก็ยังหาไม่เจอเลย ถ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลงถามคนของตัวเองดูสิ!” เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่แยแส

คงฮั่นอยากจะด่าแม่ กำลังผลที่ยิงตัวประกันอาจจะตายไปหมดแล้วก็ได้ เขาจะไปถามจากที่ไหนล่ะ? เขากล่าวเสียงต่ำว่า “เป็นไปไม่ได้ ถ้าฆ่าท่านโหวอิ๋งแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เบื้องล่างจะไม่รายงานขึ้นไป!”

เหมียวอี้ตอบว่า “เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้แล้ว เอาเป็นว่าคนตายไปแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมติดต่อพวกเจ้าหรอก? ให้อิ๋งอู๋หม่านติดต่อพวกเจ้าเองก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ”

“จริงใจเหรอ! ข้าไม่เห็นเลยว่าความจริงใจของเจ้าอยู่ไหน แบบนี้เจ้ายังคิดจะเจรจาอีกเหรอ?” คงฮั่นกัดฟันถาม

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน เดินมาตรงหน้าเขา ตบอกเขาพร้อมบอกว่า “นายท่านคง เจ้าพูดแบบนี้เหมือนจะอ่านสถานการณ์ไม่ออกเลยนะ ทำศึกแพ้แล้วยังคิดจะได้เปรียบบนโต๊ะเจรจาอีกเหรอ เป็นไปได้หรือไง? ตอนนี้เป็นข้าที่เสนอเงื่อนไข แค่จะถามพวกเจ้าว่าจะตอบตกลงหรือไม่ ถ้าไม่ตอบตกลงก็สู้กันต่อ หนิวพร้อมเล่นด้วยทุกเมื่อ!”

สำหรับคงฮั่นแล้ว นี่ไม่ใช่การเจรรา เห็นได้ชัดว่ากำลังถูกหยาม ทว่าท่าทีของเขาไม่ได้สำคัญเลยจริงๆ คุยกับเหมียวอี้ได้ไม่กี่คำก็ถูกเหมียวอี้ส่งแขกแล้ว เพียงแต่ก่อนจะไป เหมียวอี้ได้สร้างช่องทางการติดต่อกับเขาไว้แล้ว หลังจากนี้ก็ไม่ต้องให้คงฮั่นเทียวไปเทียวมาให้เสียเวลาอีก

หลังจากคงฮั่นกลับไปแล้ว ก็เล่าสถานการณ์ให้จั่วเอ๋อร์ฟัง จากนั้นเขาก็เป็นตัวกลางให้ระหว่างจั่วเอ๋อร์กับเหมียวอี้ คอยถ่ายทอดคำพูดของทั้งสองฝ่าย ตอนนี้การเจรจาที่แท้จริงถึงได้เริ่มขึ้น แน่นอน จั่วเอ๋อร์ย่อมรู้ว่าเจตนาของอิ๋งจิ่วกวงคืออะไร ไม่อย่างนั้นถ้าติดต่ออิ๋งจิ่วกวงโดยตรง จะให้อิ๋งจิ่วกวงทนความรู้สึกได้อย่างไร

ในระหว่างที่เจรจา อิ๋งจิ่วกวงก็ติดต่ออ๋องสวรรค์อีกสามคนเช่นกัน เพราะเรื่องบางเรื่องใช่ว่าเขาจะตอบตกลงคนเดียวได้ ส่วนเหมียวอี้ก็กำลังติดต่อกับหยางชิ่งเช่นกัน เนื่องจากการเจรจาทีบางจุดที่ติดขัด ปัญหาก็คือเรื่องบางเรื่องไม่ได้อยู่ในการตัดสินใจของอิ๋งจิ่วกวงคนเดียว

สุดท้ายการเจรจาก็ติดอยู่ที่เรื่องเลื่อนตำแหน่งของเหมียวอี้ จะถ้าเลื่อนตำแหน่งเป็นท่านโหวของตำหนักสวรรค์ อิ๋งจิ่วกวงไม่ตอบตกลง บอกตรงๆ ว่าไม่มีความสามารถที่จะทำได้ เหมียวอี้จึงพยายามไขว่คว้าอำนาจในการควบคุมตลาดสวรรค์ อิ๋งจิ่วกวงจึงตอบตกลงแล้ว แต่เป็นไปไม่ได้ที่อำนาจฝ่ายอื่นจะเอาแหล่งรายได้ที่ใหญ่ที่สุดให้ไปอยู่ภายใต้การคุกคามของเขา สุดท้ายจึงได้แต่รับปากว่าจะช่วยเอาตำแหน่งผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์มาให้ ทั้งยังเป็นตำแหน่งลอยที่ไม่ได้ควบคุมอาณาเขตโดยตรงด้วย เหมียวอี้จะยอมเอาแค่ตำแหน่งลอยได้อย่างไร

เมื่อเถียงกันไปเถียงกันมา สุดท้ายก็กำหนดตำแหน่งให้เหมียวอี้ได้แล้ว ให้อยู่ในระดับเดียวกับผู้ตรวจการใหญ่ตลาดสวรรค์ พ่วงตำแหน่งทูตลาดตระเวนตลาดสวรรค์ นี่นับว่าเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจทางทหารเพียงหนึ่งเดียวของตลาดสวรรค์แล้ว แล้วก็ให้ควบตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลต่อไป เป็นไปไม่ได้ที่เหมียวอี้จะทิ้งอำนาจทางทหารของตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล

สามารถพูดได้ว่า กับเรื่องนี้เหมียวอี้ยอมถอยให้แล้ว แต่อีกสามเรื่องไม่ได้เจรจาเลย เนื่องจากอีกฝ่ายสามารถทำได้อยู่แล้ว เหมียวอี้ไม่ได้ขออะไรมากกว่านี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าตระกูลอิ๋งจะตอบตกลงหรือไม่ ของที่สะดุดตาเกินไปจะก่อหายนะ รักษาไว้ไม่ได้

“ท่านอ๋อง เรื่องยาแก่นซียนหนึ่งหมื่นล้านล้านกับโถงชุมนุมอัจฉริยะ…” ตรงริมแม่น้ำ จั่วเอ๋อร์ลองถามหยั่งเชิง

อิ๋งจิ่วกวงสีหน้าเรียบเฉย มองไม่ออกวว่าอยู่ในอารมณ์ไหน กล่าวช้าๆ ว่า “ตอบตกลงไป ให้ผ่านเรื่องตรงหน้านี้ไปก่อน เดี๋ยวข้าสะสางบัญชีนี้กับเขาทีหลัง”

จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “แต่เขาไม่ยอมส่งของในมือมาให้พวกเราตอนนี้ ถ้ากองทัพองครักษ์มาแล้วเขามอบให้กองทัพองครักษ์ จะทำยังไงคะ?”

อิ๋งจิ่วกวงกล่าวอย่างไม่แยแส “ส่งให้กองทัพองครักษ์ก็ไม่เกิดผลดีกับเขาเช่นกัน? เขาไม่ได้โง่ขนาดนั้น ที่เสนอเรื่องเจรจาขึ้นมาก็เพราะอยากตักตวงผลประโยชน์?”

…………………

เอาคืนทั้งต้นทั้งดอก? สิงโตจะอ้าปากกว้าง[1]? เหมียวอี้หวั่นไหวทันที กล่าวอย่างลังเลว่า : เรื่องที่ทัพตะวันออกปลอมตัวเป็นโจรถูกเปิดโปงแล้ว กองทัพองครักษ์กำลังจะมาถึงในเร็วๆ นี้ เรื่องที่คนมากมายก็เห็นแล้ว แค่ตำหนักสวรรค์ไปตรวจสอบจากผู้ที่เกี่ยวข้องก็รู้แล้ว จะปิดบังได้ยังไง?

หยางชิ่ง : นายท่าน ตอนนี้ประมุขชิงอยากจะเปิดศึกกับตระกูลอิ๋งเหรอ? ถ้าเรื่องไม่วุ่นวายถึงระดับหนึ่ง ประมุขชิงก็ไม่อยากแตะต้องตระกูลอิ๋งสักเท่าไร ไม่อย่างนั้นก็จะบีบให้สี่อ๋องสวรรค์ร่วมมือกันกบฏ ถ้าท่านถอยหนึ่งก้าวก็เท่ากับให้ทางลงแก่ตระกูลอิ๋ง และให้ทางลงแก่ประมุขชิงด้วย ขอเพียงนายท่านยินดีจะแกล้งโง่ คู่กรณีทั้งสองฝ่ายล้วนแกล้งโง่ ตำหนักสวรรค์ก็จะไม่เอาจริง! นายท่านเคยคิดบ้างหรือเปล่า ว่าเรื่องเล็กแค่นี้ก็สะเทือนไปถึงประมุขชิงจนระดมทัพองครักษ์แล้ว เพราะอะไรล่ะ? คนอื่นอาจไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึก แต่นายท่านไม่รู้เหรอ? คาดว่าคงเป็นเพราะชิงหยวนจุน ประมุขชิงกำลังใช้วิธีการบางอย่างกดดันฮ่าวเต๋อฟางกับอิ๋งจิ่วกวง อย่างน้อยทัพใต้ที่อยู่ใกล้ก็ไม่กล้าส่งคนเข้าไปแทรกแซงที่สระน้ำมังกรดำง่ายๆ ประมุขชิงกำลังแอบใช้วิธีการบางอย่างช่วยนายท่าน!

เหมียวอี้ทำท่าครุ่นคิด ถามว่า : เอาคืนทั้งต้นทั้งดอกยังไง?

หยางชิ่ง : จะเป็นสิงโตอ้าปากกว้างยังไง คาดว่านายท่านย่อมชั่งน้ำหนักเองได้ แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่นายท่านต้องพยายามช่วงชิงให้ถึงที่สุด ตลาดสวรรค์! นายท่านต้องฉวยโอกาสบีบให้ตระกูลอิ๋งช่วยท่านสร้างอำนาจควบคุมตลาดสวรรค์ให้ท่าน! ต่อให้ตระกูลอิ๋งจะยุติความขัดแย้งชั่วคราว แต่ในภายหลังไม่มีทางเลิกจองเวรนายท่านแน่ ก็เหมือนที่ข้าน้อยเพิ่งบอกไป หดหมัดกลับมาเพื่อสะสมพลังแล้วค่อยปล่อยหมัดอีกที รอบต่อไปก็อย่าให้ตระกูลอิ๋งลงมือก่อนอีก ไม่อย่างนั้นนายท่านจะตกอยู่ในอันตรายมาก ควรจะถึงคราวพวกเราลงมือก่อนบ้างแล้ว ดังนั้นต้องเอาอำนาจควบคุมตลาดสวรรค์มาก่อน!

เหมียวอี้ประหลาดใจ ถามว่า : ทำไมต้องเอาอำนาจที่ตลาดสวรรค์มาให้ได้?

หยางชิ่งอธิบายทันที เหมียวอี้ยิ่งฟังก็ยิ่งตาเป็นประกาย พยักหน้าเงียบๆ อยู่อย่างนั้น เข้าใจแผนการของหยางชิ่งแล้ว แต่ก็ถามอย่างกังวลอีกว่า : ตลาดสวรรค์มีอำนาจหลายฝ่ายปนกัน ตระกูลอิ๋งจะมีอำนาจตัดสินใจได้ยังไง?

หยางชิ่ง : นายท่านไม่จำเป็นต้องลำบากใจแทนตระกูลอิ๋ง ตระกูลอิ๋งควรจะสละผลประโยชน์อะไรเพื่อขอให้อำนาจฝ่ายอื่นตอบตกลง นั่นก็เป็นเรื่องที่ตระกูลอิ๋งต้องไปปวดหัวเอาเอง นายท่านไม่จำเป็นต้องกังวล เอาเป็นว่าราชินีสวรรค์ที่ควบคุมตลาดสวรรค์แต่ในนามไม่มีทางขัดขวางนายท่าน เรื่องบนราชสำนักก็ให้ตระกูลอิ๋งไปจัดการเองแล้วกัน

เหมียวอี้ : เรื่องที่สระน้ำมังกรดำมีคนรู้เยอะเกินไป จะปิดยังไงก็ปิดไม่มิด ช้าเร็วข้างนอกก็ต้องรู้ข่าว กลัวก็แต่อิ๋งจิ่วกวงจะไม่ตอบตกลงให้เกิดความอัปยศ!

หยางชิ่ง : คนที่ขึ้นอยู่ตำแหน่งอ๋องสวรรค์ได้ มีใครบ้างที่ไม่ถนัดเรื่องการประนีประนอมกับคนอื่น ถ้าจะพูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ มีใครบ้างที่ไม่ได้อดทนต่อความอัปยศ ขอแค่ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้วรับไหว ก็จะตอบตกลง ไม่อย่างนั้นเมื่อก่อนที่นายท่านฆ่าหลานชายของเขา เขาก็คงยอมแลกทุกอย่างเพื่อจัดการนายท่านแล้ว ตอนนี้เขายังอดทนได้อยู่ ในเมื่อฆ่านายท่านไม่ได้ เขาก็จะตอบตกลง!

เหมียวอี้ : ได้! ข้าจะให้อิ๋งอู๋หม่านติดต่อพ่อเขาเดี๋ยวนี้

หยางชิ่ง : ไม่! ไม่อย่าใช้อิ๋งอู๋หม่าน คิดเสียว่าอิ๋งอู๋หม่านตายไปแล้ว ถ้าอิ๋งจิ่วกวงแน่ใจว่าอิ๋งอู๋หม่านยังมีชีวิตอยู่ ตอนหลังจะต้องเอามาอยู่ในเงื่อนไขการเจรจาแน่นอน จะส่งตัวให้อิ๋งจิ่วกวงไม่ได้ ยังเก็บไว้ใช้งานตอนหลังได้อีก มิหนำซ้ำถ้าใช้อิ๋งอู๋หม่าน ดีไม่ดีอาจจะยั่วโมโหอิ๋งจิ่วกวงก็ได้ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นอ๋องสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐาน อย่าได้คืบเอาศอกเกินไป ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายสักหน่อยดีกว่า หาคนที่เหมาะสมให้ส่งต่อคำพูดเถอะ!

หลังจากการเจรจาวางแผนลับของทั้งสองจบลงแล้ว หยางชิ่งก็เก็บระฆังดาราแล้วบอกว่า ในที่สุดก็โน้มน้าวเหมียวอี้ได้แล้ว

ส่วนรายละเอียดการปฏิบัติจริงจะเป็นอย่างไร เขาก็ไม่ได้กังวล ความสามารถในการปฏิบัติของเหมียวอี้ เมื่อเทียบกับเขาก็ไม่อ่อนด้อยอยู่แล้ว นี่คือสิ่งที่พิสูจน์มาหลายครั้งแล้ว

“เป็นอะไรไป? ดูเจ้าทำสีหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอกสิ” จินม่านที่กำลังพิงหน้าต่างพูดหยอกล้อ

หยางชิ่งยิ้มเจื่อน “ราชาปราชญ์ตอบตกลงว่าจะไม่โจมตีอีกแล้ว”

จินม่านย้ายตัวออกจากริมหน้าต่าง แล้วถามว่า “เจ้าเกลี้ยกล่อมเหรอ?”

หยางชิ่งยิ้มโดยไม่พูดอะไร ไม่ได้ปฏิเสธหรือยอมรับ ไม่อยากแสดงผลงาน

ใครจะคิดว่าจินม่านจะทำท่าทางเหมือนสาวน้อย กลอกตามองบนแล้วบอกว่า “เจ้าก็พอได้แล้วมั้ง! อย่างเจ้าน่ะเหรอ? ข้าไม่ได้ว่าเจ้านะ แต่เจ้าน่ะเวลาทำเรื่องอะไรก็คิดเยอะเกินไป ถ้าจะพูดให้ไม่น่าฟังหน่อยก็คือห่วงหน้าพะวงหลัง ถ้าเจอเรื่องที่เสี่ยงมากก็วางแผนคิดเยอะมาก สิ่งที่เจ้าขาดก็คือความโหด ความเถื่อนและความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจแบบที่มีบนตัวราชาปราชญ์! ถ้าให้เจ้ากับราชาปราชญ์อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน เจ้าอาจจะวางแผนเก่งกว่าราชาปราชญ์ แต่เจ้าเชื่อมั้ยว่าสุดท้ายคนที่ทำให้งานสำเร็จก็คือราชาปราชญ์ ไม่ใช่เจ้า?”

“ทำไมต้องพูดเสียดสีข้าอย่างนี้ ข้าไม่ได้ทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจหรอกใช่มั้ย?” หยางชิ่งยิ้มเจื่อน

“พูดเสียดสี?” จินม่านถลึงตาแสยเยิ้ม “เฮ้อ! ไม่ได้พูดเสียดสีเจ้าเลยจริงๆ! เพราะเรื่องบางเรื่องที่ราชาปราชญ์กล้าทำ ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้าคงไม่กล้าทำแน่! พูดแค่เรื่องสระน้ำมังกรดำก็ได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้า ถ้าคิดว่าไม่มีโอกาสชนะก็คงไม่ทำแน่อน แล้วผลที่ตามมาก็จะเป็นอีกอย่าง ใช่แล้ว เจ้าเป็นคนแผนการเยอะ แต่เจ้าวางแผนไปวางแผนมา ภายในเวลาสั้นๆ นี้จะวางแผนชนะอำนาจมหาศาลของอิ๋งจิ่วกวงได้เหรอ? จะต้องอยู่ในสภาพรับมือระยะยาวแน่ ต้องเป็นฝ่ายถูกกระทำแน่นอน แต่การสู้ครั้งนี้ของราชาปราชญ์ทำให้เกิดผลที่แตกต่างแล้ว คนที่มีตาล้วนมองออก ว่าลักษณะการโจมตีระหว่างราชาปราชญ์กับอิ๋งจิ่วกวง เป็นการเสี่ยงลงทุนน้อยรับผลตอบแทนมาก ตอนนี้ราชาปราชญ์กุมอำนาจฝ่ายรุกแล้ว ส่วนอิ๋งจิ่วกวงก็เป็นฝ่ายถูกกระทำ ถ้าไม่มีศึกเดือดครั้งนี้จะเกิดสถานการณ์แบบนี้ได้เหรอ? คำกล่าวในโลกมนุษย์ที่บอกว่าคนเรียนเยอะก่อกบฏสิบปีก็ไม่สำเร็จอะไรนั่นน่ะ ก็หมายถึงคนประเภทเจ้านี่แหละ”

ตั้งแต่ครั้งนั้นที่นางถูกปฏิเสธความรักอย่างอ้อมๆ นางก็พูดกับเขาอย่างไม่ค่อยเกรงใจนัก ให้ความรู้สึกเหมือนระบายโทสะ

“…” หยางชิ่งถูกนางว่าจนเถียงไม่ออก

หลังจากเหมียวอี้เก็บระฆังดาราแล้ว ก็เดินกลับมาตรงกลางโถงถ้ำ เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาพร้อมย่อยความคิดเห็นของหยางชิ่ง เกราะรบบนตัวส่งเสียงดังตามจังหวะก้าวเดิน

สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้น เดินไปข้างๆ เข็มทิศ แล้วบอกกับทุกคนที่ล้อมปรึกษากันอยู่รอบเข็มทิศ “ช่างเถอะ! เตรียมซ่อนตัว ไม่สู้แล้ว”

“ทำไมล่ะ?” ชิงเยว่ประหลาดใจ ถูกเนรเทศมาหลายปี ในใจนางมีความแค้นต่อสี่อ๋องสวรรค์ ถ้ามีโอกาสได้ระบายความแค้น นางก็ไม่ค่อยอยากพลาด ที่ดันทุรังปะทะกับทัพใหญ่แปดแสน ก็ใช่ว่าจะไม่มีอารมณ์นี้ซ่อนอยู่ข้างในเลย

แม่แต่ผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำหลายคนก็ยังมองเหมียวอี้เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เหมือนยังต่อสู้ไม่หนำใจ เช่นเดียวกัน เผ่าเทพอสรพิษดำถูกตำหนักสวรรค์ควบคุมมาหลายปีแล้ว ไม่เคยสะใจแบบนี้มานานมากแล้ว การได้เล่นงานกำลังพลตำหนักสวรรค์ถึงตาย เป็นการฆ่าโจรไม่ใช่เหรอ ไม่กลัวหรอกว่าจะต้องรับผิดชอบอะไร

ทว่ามีโม่โหยวอยู่ด้วย พวกเขาจึงไม่สะดวกจะพูดออกมา

โม่โหยวมองเหมียวอี้ด้วยแววตาเฝ้าคอย หวังว่าเขาจะพูดจริง นางเดินมาข้างเข็มทิศ แล้วถามว่า หัวหน้าภาคพูดจริงหรือเปล่า?”

เหมียวอี้มองนางพลางพยักหน้า “เผ่าเทพอสรพิษดำตายเยอะเกินไป ข้าทำใจไม่ได้จริงๆ ถึงยังไงก็รับปากอ๋องอสรพิษดำไว้แล้ว พยายามปกป้องพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำ หนิวพูดจริงทำจริง เรื่องที่รับปากแล้วจะไม่กลับคำเด็ดขาด ในเมื่อให้บทเรียนตระกูลอิ๋งแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องให้พี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำสบะชีวิตอีก คิดเสียว่าปล่อยทัพฝ่ายศัตรูไปสักครั้งแล้วกัน!”

“นายท่าน เกรงว่าต่อให้พวกเรายอมเลิก แต่ทัพฝ่ายศัตรูอาจจะไม่ยอมเลิกนะ!” หลงซิ่นโน้มน้าม สภาพจิตใจของเขาก็คล้ายๆ กับชิงเยว่ อยากจะแสดงให้คนในปีนั้นได้เห็น

เหมียวอี้ยกมือห้าม “ไม่ต้องพูดอีกแล้ว ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว!”

โม่โหยวถอนหายใจแรงอย่างโล่งอก ในดวงตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง โค้งตัวกุมหมัดขอบคุณ!

ผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำอีกหลายคนที่อยากจะสู้อีกได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่ก สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

“เพียงแต่ตอนที่ศึกยังไม่จบลง บทบาทของสายลับก็ยังไม่จบ ต้องเฝ้าระวังให้มากขึ้น ป้องกันไม่ให้ทัพฝ่ายศัตรูจู่โจม!” เหมียวอี้กล่าวขณะจ้องโม่โหยว

“ได้! เรื่องนี้ข้าเข้าใจ” โม่โหยวพยักหน้า

เหมียวอี้ทิ้งคนเอาไว้ในถ้ำแล้วเดินออกมาทันที เหยียนซิวตามหลังเขาโดยสัญชาติญาณ

ในห้องถ้ำห้องหนึ่ง หยางเจาชิงเฝ้าอยู่ด้านนอก เหยียนซิวตามเข้าไป

หลังจากวางเก้าอี้ตัวหนึ่ง เหมียวอี้ก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง ไม่รู้ว่าจะหาใครมาเป็นผู้ส่งข้อความ อิ๋งอู๋หม่านกับเจ๋อชุนชิวยังไม่ได้อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของเขา คำพูดบางอย่างทั้งสองยังไม่กล้าเอ่ยปากต่ออิ๋งจิ่วกวง คิดไปคิดมาก็คลายคิ้วที่ขมวด นึกถึงคนที่เหมาะสมจะติดต่อกับอิ๋งจิ่วกวงที่สุด

แต่พอหยิบระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับคนคนนั้นออกมา เขาก็ลังเลอีก ขณะมองระฆังดาราในมือ ในหัวก็มีฉากหลายฉากแวบเข้ามา เขาค่อนข้างเหม่อลอย

เรื่องบางเรื่อง ฉากบางอย่างนั้นฝังลึกลงกระดูกและหัวใจ ต่อให้ตอนนี้จะกลายเป็นเจ้าอาณาเขตแล้ว แต่ยิ่งไต่เต้าขึ้นตำแหน่งสูง ในใจก็ยิ่งรู้สึกผิด รู้สึกว่าได้เสียสละใครบางคนไปเพื่อแลกกับความสำเร็จในวันนี้

ตำหนักบูรพา หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จ้านหรูอี้นั่งเงียบๆ อย่างเหม่อลอย มองดูสาวงามในกระจกอย่างเลื่อนลอย

หยินซวงกับไป่เสวี่ยที่กำลังหวีผมให้นางสังเกตเห็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติของนางแล้วเช่นกัน พบว่าวันนี้สนมสวรรค์เหม่อลอยตลอดเวลา

“เหนียงเหนียง เหมือนท่านจะไม่ค่อยพอใจ พวกบ่าวปรนนิบัติไม่ดีหรือเพคะ?” หยินซวงมองปฏิกิริยาของคนในกระจกเงียบๆ ก่อนจะถามหยั่งเชิง

จ้านหรูอี้ได้ยินแล้วได้สติกลับมา จู่ๆ ก็ถามว่า “สระน้ำมังกรดำมีข่าวบ้างหรือเปล่า?”

หยินซวงส่ายหน้า “ด้านนอกยังมีข่าวลือพวกนั้น ที่บ้านก็ไม่ยอมบอกอะไรเพคะ บอกให้บ่าวอย่าสืบข่าวมาก”

จ้านหรูอี้จ้องตัวเองในกระจกอีกครั้ง แล้วจู่ๆ ก็แสยะหัวเราะ สายตาที่กำลังมองตัวเองฉายแววเยาะเย้ย

หลังจากนางได้ยินว่าเหมียวอี้นำทัพใหญ่สู้กับทัพตะวันออกที่สระน้ำมังกรดำ นางก็รู้สึกเลือดร้อนเล็กน้อย ใครจะแพ้หรือจะชนะก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญที่ในปีนั้นนางกับเหมียวอี้ล้วนเหมือนกัน เป็นผู้บัญชาการใหญ่เหมือนกัน แต่ตอนนี้เหมียวอี้กลับทำศึกอย่างห้าวหาญอยู่บนสนามรบ มีความกล้าหาญที่จะต่อต้านทัพเกรียงไกรแห่งใต้หล้า สังหารอาบเลือดอยู่ท่ามกลางกำลังพลหลายล้าน แต่นางล่ะ? เกราะรบฝุ่นเกาะแล้ว เปลี่ยนมาสวมใส่อาภรณ์แดงแล้ว เหมือนกับผู้หญิงนับไม่ถ้วนในวังหลัง วันๆ นั่งรอให้ผู้ชายคนนั้นมาโปรดปราน เหมือนสิ่งเดียวที่นางสามารถทำได้ก็คือถอดเสื้อผ้าให้ผู้ชายคนนั้น…

เห็นได้ชัดว่าคนในกระจกอึ้งไป จ้านหรูอี้ก้มหน้ามองกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือตัวเอง นางประหลาดใจเล็กน้อย หรือเป็นเพราะตัวเองมีจิตสื่อถึงเรื่องนั้น?

นางหยิบระฆังดาราขึ้นมา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหมียวอี้ นางประหลาดใจว่าทำไมเหมียวอี้ถึงติดต่อนางในเวลานี้ กำลังต่อสู้อยู่ที่สระน้ำมังกรดำไม่ใช่เหรอ?

หยินซวง ไป่เสวี่ยสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็มองออกว่าราชินีสวรรค์ที่ยามปกติหน้านิ่ง ตอนนี้มีปฏิกิริยาแปลกไปแล้ว

หลังจากระฆังดาราเชื่อมสัญญานติด จ้านหรูอี้ก็ถามว่า : มีธุระอะไร?

นางนึกว่าตอนนี้เหมียวอี้มีอะไรต้องการให้นางช่วยเหลือ จะให้นางไปขอร้องตระกูลอิ๋งให้เขา อะไรประมาณนั้น

ทางฝั่งเหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง แล้วถึงได้ตอบข้อความว่า : เหนียงเหนียง! รบกวนท่านบอกอ๋องสวรรค์อิ๋งให้สักหน่อย ทัพตะวันออกห้าล้านของเขาถูกข้าโจมตีไปเกือบครึ่งแล้ว ตอนนี้ในมือข้ายังมีเชลยศึกหมื่นกว่า แล้วก็ศพของคนทัพตะวันออกหลายแสน ถ้าอ๋องสวรรค์อิ๋งอยากจะเจรจากัน ข้าก็ยินดีจะส่งมอบของในมือให้เขา ถ้าเขาไม่ต้องการ ข้าก็ทำได้เพียงส่งให้กองทัพองครักษ์แล้ว!

…………………………

[1] สิงโตอ้าปากกว้าง 狮子大开口 หมายถึงเรียกข้อเสนอเยอะ ได้คืบจะเอาศอก

ทว่าในเมื่อชิงเยว่กล้าโจมตี ก็แสดงว่าต้องมีความมั่นใจแน่นอน ไม่อย่างนั้นนางที่มีพื้นเพจากขุนพลคงไม่ถึงขั้นบุ่มบ่ามแบบนี้ ฟังจากข่าวด่วนที่เวินลิ่วกงรายงานต่อหวังหย่วนเฉียวก็รู้แล้ว

กำลังพลของทั้งสองฝ่ายยังไม่ทันไปถึง ฉากการสู้รบที่ใช้กำลังอันแข็งแกร่งปะทะกันก็จบลงแล้ว

ชิงเยว่ที่เม้มริมฝีปากแน่นมองไปรอบๆ เห็นศพลอยอยู่ในดาราจักร แม้เสียงตะโกนสังหารดังสนั่นฟ้าจะหายไปแล้ว แต่หมอกเลือดที่ถูกพลังอิทธิฤทธิ์กระตุ้นกลับยากที่จะสลายไป เม็ดเลือดทั้งเล็กทั้งใหญ่ยังล่องลอยเลือนรางอยู่ในดาราจักร ทั้งยังมีแขนขามมนุษย์ เกราะรบที่ขาดเป็นชิ้นเล็กๆ พวกนั้นอีก

ทัพใหญ่ที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหอบหายใจเฮือกใหญ่ อ้าปากกว้างสูดอากาศที่สะสมไว้ นอกจากนางที่ตัวคอยบัญชาการอยู่ในทัพกลาง คนอื่นก็แทบจะไม่มีใครร่างกายสะอาดเลย บนตัวของทุกคนแทบจะมีรอยเลือด

คนที่เก็บกวาดสนามรบอย่างเหน็ดเหนื่อยเหมือนจะลดลงไปเยอะมาก เห็นได้ชัดว่าว่าชิงเยว่ที่กำลังกวาดสายตาไปรอบๆ มองออกแล้ว

ผลการรบรายงานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทัพใหญ่สองล้านห้าแสนกว่าที่นางกับหลงซิ่นรวมกันเหลือเพียงหนึ่งล้านห้าแสนเท่านั้น นั่นก็หมายความว่า ทัพใหญ่พันธมิตรเสียกำลังพลไปเกินหนึ่งล้าน ในและจำนวนนั้นก็มีเจ็ดส่วนที่เสียหายอยู่ที่นี่ หมายความว่ากำลังพลเจ็ดแสนตายในศึกนี้แล้ว จากสิ่งนี้จะเห็นได้ถึงความองอาจห้าวหาญของทัพตะวันออก อานุภาพของกำลังพลที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวไม่ได้เรียบง่ายเหมือนหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองอีกแล้ว

แม้การใช้อุบายเดิมของนางจะสำเร็จแล้ว แต่ประสิทธิภาพไม่ได้ดีเหมือนที่ใช้ครั้งแรกกับไป่หลี่เจี๋ย ทหารข้างกายเวินลิ่วกงกับหลงเต๋ออันก็เพิ่มขึ้นเท่าตัวเช่นกัน ยอดฝีมือคุ้มกันมากมาย ตอนที่พวกเมิ่งหรูจู่โจมกะทันหัน ยอดฝีมือข้างกายสองคนนั้นก็รีบถ่วงให้พวกเขาเชื่องช้าลง ช่วยหาโอกาสให้เวินลิ่วกงกับหลงเต๋ออันรีบถอนกำลังเข้ากลางขบวนรบ แม้ครั้งนี้พวกเมิ่งหรูจะนำกำลังพลหนึ่งแสนเสียบเข้าไปได้ แต่ทัพใหญ่แปดแสนที่อยู่ตรงหน้ากดดันขนาดไหน แค่ลองคิดดูก็รู้แล้ว

มีเวินลิ่วกงกับหลงเต๋ออันบัญชาการ สร้างภัยคุกคามต่อพวกเมิ่งหรูแล้วไม่น้อย โชคดีที่ชิงเยว่นำคนบุกโจมตีทันเวลา ไม่อย่างนั้นแม้แต่เมิ่งหรูก็รักษาชีวิตไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

แต่เมิ่งหรูและกำลังพลหนึ่งแสนที่พัวพันก่อกวนอยู่กลางทัพใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามก็สร้างความยุ่งยากไม่น้อยเช่นกัน ทำให้ภายในของฝ่ายตรงข้ามยุ่งเหยิงเช่นกัน นี่ก็คือกุญแจสำคัญที่ทำให้ชนะศึกนี้ได้

แม้จะชนะแล้ว แต่ผลการรบกลับเป็นแบบ ‘ฆ่าศัตรูตายหนึ่งพัน แต่ฝ่ายตัวเองตายแปดร้อย’ เป็นชัยชนะที่ยับเยิน!

ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเหลือเพียงหกหมื่นคน ศึกนี้เสียหายไปแล้วสามหมื่นกว่า ทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง ถ้าไม่ใช่เพราะมีการบาดเจ็บล้มตายของทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำมากลบไว้ เกรงว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็รบตายหมดแล้ว

ผลการรบก็ย่อมรุ่งโรจน์เช่นกัน ศึกนี้กำจัดทัพใหญ่แปดแสนของฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว เมื่อนับหลายศึกรวมกัน ก็กำจัดกำลังพลของฝ่ายศัตรูได้เกือบสองล้านสองแสนแล้ว ได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เพิ่มเกือบหนึ่งแสนสามหมื่นคัน!

“ทัพใหญ่เหนื่อยล้ามาก สู้ต่อไปไม่ไหวแล้ว!” พวกเมิ่งหรูบอกชิงเยว่ด้วยเสียงต่ำ

ทั้งสามก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน อ๋าวเถี่ยบาดเจ็บหนักที่สุด แขนหายไปข้างหนึ่งแล้ว ที่โชคร้ายกว่านั้นคือลูกน้องสามสิบคนที่ทั้งสามพามาด้วย ตอนนี้เหลือเพียงสิบแปดคนแล้ว

“เข้าใจแล้ว ข้าจะรายงานท่านหัวหน้าภาคเดี๋ยวนี้!” ชิงเยว่พยักหน้า แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้

เมื่อรู้ว่าได้รับชัยชนะโดยสมบูรณ์ ฝั่งเหมียวอี้ก็โล่งใจไปหนึ่งเปราะ บอกว่า : ทัพใหญ่ฝ่ายศัตรูกำลังจะตามมาทันแล้ว หาที่หลบเดี๋ยวนี้ รอข้าวางแผนใหม่อีกครั้ง!

ชิงเยว่ : นายท่าน ทัพใหญ่ทำศึกต่อเนื่อง ตอนนี้เหนื่อยล้าสุดๆ แล้ว ต้องใช้เวลาปรับปรุงกำลัง!

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า : ได้! หาที่ซ่อนตัวเดี๋ยวนี้ ข้าจะรีบไปรวมกับพวกเจ้า

ก่อนที่จะติดต่อกันเสร็จ เหมียวอี้ก็ถามถึงความเสียหายในการรบอีก เมื่อได้รู้ว่าศึกนี้เสียสละกำลังพลไปเจ็ดแสน เขาก็เงียบทันที

หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว เหมียวอี้ก็ถ่ายทอดคำสั่งด้วยเสียงต่ำว่า “ไม่ต้องตามแล้ว อ้อมไปรวมกับกำลังพลของชิงเยว่!”

พวกตานฉิงหักเลี้ยวหายไปในจุดลึกของดาราจักรอันกว้างใหญ่ทันที

กำลังพลของเวินลิ่วกงกับหลงเต๋ออันขาดการติดต่อไปแล้ว ทำให้หวังหย่วนเฉียวกดดันอย่างสูง โบกมือหยุดกำลังพลที่เดินทางไปข้างหน้า ไม่จำเป็นต้องตามไปอีกแล้ว ยังต้องพูดถึงผลลัพธ์อีกเหรอ?

พวกคงฮั่นพากันเงียบงัน รู้สึกหนักใจที่สุด ทัพตะวันออกห้าล้านเสียหายไปเกือบครึ่งแล้ว เหลือเพียงกำลังพลประมาณสองล้านแปดหมื่นกว่า

หวังหย่วนเฉียวกวาดสายตามองทุกคน พยายามบอกด้วยน้ำใจปลุกพลัง “ทุกคนไม่จำเป็นต้องทำลายความน่าเกรงขามของตัวเองจนเพิ่มขวัญกำลังใจให้ทหารฝ่ายอื่น ข้าเดาว่าต่อให้ฝ่ายตรงข้ามชนะ แต่ก็ชนะยับเยิน อีกฝ่ายสูญเสียกำลังพลไปไม่น้อย ฝ่ายเรายังได้เปรียบด้านกำลังทหาร ยังมีโอกาสกำจัดพวกเขาทิ้ง! สั่งให้ทัพใหญ่หนึ่งล้านของอูจินหวนกระจายตัวเป็นสายลับ พวกเราหาโอกาสโจมตีอีกศึก!”

ทหารทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง ยังได้เปรียบด้านกำลังทหารอยู่อีกเหรอ? อีกฝ่ายได้รับความช่วยเหลือจากเผ่าเทพอสรพิษดำ กระจายตัวสายลับได้ล้ำลึก แน่นหนา กว้างใหญ่กว่าพวกเรามาก แค่สิ่งนี้ก็เพียงพอที่จะเทียบเท่าทัพใหญ่สองล้านแล้ว แต่พวกเรากลับจะเอากำลังพลออกมาอีกหนึ่งล้าน ด้วยเวลาจำกัดจากท่านอ๋อง ยังคิดว่าจะทันอีกเหรอ?

ทหารทุกคนรู้อยู่แก่ใจ ต่อให้หวังหย่วนเฉียวไม่ทำแต่ก็ต้องแสร้งทำอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางชี้แจงต่อท่านอ๋องได้เลย จึงทยอยกันกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง “รับทราบ!”

เรื่องศึกจบลงชั่วคราว ผลการรบย่อมรายงานมาฝั่งแดนอเวจีเช่นกัน ถึงอย่างไรพวกตานฉิงก็เข้าร่วมรบด้วย

ใต้ตึกศาลา พวกอวิ๋นอ้าวเทียนบ้างก็ยืนบ้างก็นั่งรออยู่เงียบๆ กำจัดทัพตะวันออกไปสองล้านสองแสนกว่าแล้ว!

พวกเขาไม่ใช่แค่อยู่ที่แดนอเวจี เคยอยู่ข้างนอกมาก่อนเหมือนกัน ย่อมรู้ว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งมีตำแหน่งสูงอำนาจมากขนาดไหน ต่อให้ในมือพวกเขาจะมีทัพใหญ่แดนอเวจี แต่ก็พวกเขาก็ยังไปมีเรื่องกับอ๋องสวรรค์อิ๋งท่านนั้นไม่ไหวอยู่ดี และยิ่งเข้าใจว่าทัพตะวันออกอันเกรียงไกรหมายความว่าอะไร แต่ตอนนี้เหมียวอี้งัดข้อกับอ๋องสวรรค์อิ๋งแล้ว ทั้งยังกำจัดทัพตะวันออกไปสองล้านกว่าแล้ว

ทุกคนที่อยู่ข้างล่างไม่มีใครพูดอะไร ได้แต่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ที่จริงในใจกำลังทอดถอนใจ ตัวละครเล็กๆ ของพิภพเล็กในปีนั้น ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้จะเดินมาถึงขั้นนี้ มู่ฝานจวินยืนจ้องอยู่ตรงหน้าดอกไม้ดอกหนึ่ง สีหน้าสับสนที่สุด

บนตึกศาลา มีเข็มทิศกางอยู่อันหนึ่งเช่นกัน แผนที่ที่ปรับออกมาก็คือสระน้ำมังกรดำ หยางชิ่งไม่มีประสบการณ์ทำศึกในดาราจักร ตอนนี้จินม่านกำลังอธิบายข่าวสถานการณ์รบที่รวบรวมได้ให้ฟัง คลายความสงสัยให้หยางชิ่ง

หลังจากอธิบายจบ จินม่านก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ที่ศึกน่านฟ้าระกาติงตอนนั้น ข้ารู้ว่าเขากล้าหาญน่าชื่นชมมา พอมาดูตอนนี้แล้ว ราชาปราชญ์ช่ำชองการสู้รบจริงๆ ถ้าศึกนี้ราชาปราชญ์ถอยกลับมาได้ ชื่อเสียงก็จะสะท้านใต้หล้าแล้ว! พอมาดูตอนนี้ ความกังวลของผู้ช่วยใหญ่ก่อนหน้านี้อาจจะคิดเล็กคิดน้อยไปหน่อย กลับเป็นความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของราชาปราชญ์ที่ไม่ธรรมดา ยืนหยัดในความคิดที่ถูกต้องของตัวเอง ขนาดช่องทางทำเงินอย่างโถงชุมนุมอัจฉริยะก็ยังโยนทิ้ง ดูตอนนี้สิ กองทัพองครักษ์ใกล้จะมาถึงแล้ว ถ้าทัพตะวันออกคิดจะพลิกกระดานก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว นอกเสียจากแผนของราชาปราชญ์จะเกิดความผิดพลาดใหญ่หลวง!” ประโยคสุดท้ายหยอกล้อหยางชิ่งนิดหน่อย

หยางชิ่งเหมือนจะไม่เข้าใจที่นางหยอกล้อ หลังจากจ้องเข็มทิศเงียบๆ นานมาก สุดท้ายก็พยักหน้าช้าๆ “ใกล้แล้ว”

“ใกล้แล้วอะไร?” จินม่านงงนิดหน่อย ไม่เข้าใจว่าที่เขาพูดหมายความว่าอะไร

หยางชิ่งยิ้มเบาๆ ไม่ได้อธิบายอะไร หยิบระฆังดาราออกมาแล้ว

หลังจากไปถึงจุดที่กำลังพลของชิงเยว่อยู่ เหมียวอี้ที่ยังไม่ถอดเกราะรบก็เดินเข้าไปในถ้ำภูเขา พวกชิงเยว่เข้ามาต้อนรับ ชิงเยว่เป็นฝ่ายยอมรับผิดก่อน “ล้วนเป็นข้าน้อยที่บุ่มบ่าม ทำให้ทัพใหญ่เสียหายหนักมาก!”

เหมียวอี้จ้องนางพักหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเด็ดขาดว่า “สร้างผลงานใหญ่แต่ดันไม่แสดงออก ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้!” เขาเดินไปข้างกายพวกเมิ่งหรู มองทั้งสามที่ได้รับบาดเจ็บ จ้องอ๋าวเถี่ยที่เสียแขนไปข้างหนึ่ง เขาไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เดินก้าวยาวเข้าไปในโถงถ้ำแล้ว มายืนตรงหน้าเข็มทิศแล้วบอกว่า “ได้รับรายงานมาก ทัพฝ่ายศัตรูกระจายทัพใหญ่หนึ่งล้านไปเป็นสายลับอีกแล้ว จะเห็นได้ว่ายังไม่เลิกความคิดชั่วร้าย! แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว พวกเรายังเหลือกำลังพลอีกเกือบสองล้าน อีกฝ่ายก็เหลือไม่ถึงสามล้านเหมือนกัน ยังต้องเจียดกำลังพลไปเป็นสายลับอีกหนึ่งล้าน แล้วธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในมือพวกเราก็มีเกือบสี่หมื่นคัน สถานการณ์ดีกว่าตอนก่อนเปิดศึกตั้งเยอะ ขนาดก่อนหน้านี้ยังไม่กลัวเลย ตอนนี้ก็ยิ่งไม่ต้องกลัว! จุดที่สำคัญที่สุดก็คือ ฝ่ายศัตรูรีบร้อนจะมาทำศึกชี้ขาดกับพวกเรา แต่พวกเรากลับรอโอกาสเหมาะเพื่อลงมือได้ ดังนั้นยังคิดหาทางแบ่งแยกทัพฝ่ายศัตรูแล้วค่อยกำจัดได้ ตอนนี้สั่งให้ทัพใหญ่เร่งปรับปรุงกำลังแข่งกับเวลา!”

“รับทราบ!” ทหารทุกคนกุมหมัดคาระวพร้อมกัน

จากนั้นทุกคนก็ล้อมอยู่ตรงหน้าเข็มทิศเพื่อปรึกษาวางกลยุทธ์ขั้นต่อไป

โม่โหยวที่อยู่ข้างๆ กลับมีสีหน้าเศร้าอาดูร เพราะพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำรบตายไปนับล้าน!

คนข้างๆ นางที่เข้าร่วมศึกนี้ด้วยตัวเองกลับมีสีหน้าสุขุมเยือกเย็น ท่าทางราวกับตระหนักรู้และเกิดแรงบันดาลใจ ศึกนี้เรียกได้ว่าเผ่าเทพอสรพิษดำแสดงบทบาทเยอะมาก ที่แท้พี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำก็มีความสามารถที่จะสู้กับทัพตะวันออก!

หลังจากพวกขำเลืองมองอยู่ข้างเข็มทิศครู่หนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายเข้าไปฟังใกล้ๆ ว่าพวกเหมียวอี้แบ่งสรรกำลังพลอย่างไร เห็นได้ชัดว่ามีท่าทางปรารถนาที่จะเรียนรู้

เมื่อผ่านการชำระล้างจากศึกใหญ่นี้แล้ว ก็มีคนไม่น้อยที่สภาพจิตใจเปลี่ยนไป

เหมียวอี้ที่ปรึกษาหารือได้ครึ่งทางเดินออกจากเข็มทิศชั่วคราว หยิบระฆังดาราออกมาแล้ว เป็นหยางชิ่งที่ส่งข่าวมา

หลังจากหยางชิ่งทักทายตามมารยาท ก็ถามตรงๆ เลยว่า : ต่อไปนายท่านเตรียมจะทำอย่างไร?

เหมียวอี้ : สู้กันก็สู้ไปแล้ว ไม่มีอะไรน่าเกรงใจ พวกเขากล้าเล่น ข้าก็กล้าเล่นเป็นเพื่อน!

หยางชิ่ง : นายท่าน! ไม่ต้องสู้แล้ว วางมือได้แล้ว! กำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำยังไม่ต้องพูดถึง ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเหลือเพียงหกหมื่นคน นี่คือรากฐานของท่านในอนาคตนะ ในท่านลืมสถานการณ์ในปีนั้นยามในมือไร้คนให้ใช้งานไปแล้วเหรอ? หกหมื่นคนนี้จะเป็นกำลังสำคัญให้ท่านคุมอาณาเขต ถ้าให้พวกเขาไปรบตายหมด หรือว่าในอนาคตท่านจะไปพึ่งพาคนอื่นอีก?

พูดแทงใจดำเหมียวอี้แล้ว หลังจากเหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก็ตอบว่า : กลัวว่าข้ายอมเลิก แต่อีกฝ่ายจะไม่ยอมเลิกน่ะสิ มาถึงขั้นนี้แล้ว คนก็ล่วงเกินไปแล้ว ข้าก็ยิ่งแสดงความอ่อนแอไม่ได้!

หยางชิ่งโน้มน้าวปากเปียกปากแฉะ : อย่าใช้อารมณ์ทำงานอีก อวดดื้อถือดีไม่ได้แล้ว! บางครั้งการยอมถอยหนึ่งก้าวไม่ได้แปลว่ากลัวอีกฝ่าย และไม่ใช่การแสดงความอ่อนแอด้วย บางครั้งการชักหมัดกลับมาก็เพื่อสะสมกำลังให้ดีกว่าเดิมแล้วค่อยชกออกไปอีกครั้ง!

เหมียวอี้ : เจ้ามีวิธีการอะไร?

หยางชิ่ง : ก่อนหน้านี้ที่ให้นายท่านรวบรวมเชลยศึกกับศพ ก็เพื่อจะบีบให้ตระกูลอิ๋งวางมือ เพราะข้าน้อยได้ข่าวจากสายลับของหกลัทธิแล้ว ว่ากองทัพองครักษ์กำลังจะมาถึง ฝ่ายที่ควรร้อนรนก็คือตระกูลอิ๋งต่างหาก ไม่ใช่นายท่าน ถ้าสู้ต่อแล้วแพ้ทั้งคู่ก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าบีบจนอิ๋งจิ่วกวงไม่เหลือทางให้ประนีประนอมจริงๆ นายท่านก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย จะทำศึกสงครามที่ไร้ประโยชน์ไปทำไม? ตอนนี้อิ๋งจิ่วกวงถูกบีบจนหาทางลงไม่เจอแล้ว ถ้านายท่านยินดีช่วยหาทางลงให้อิ๋งจิ่วกวง การปิดบังอำพรางโจรคือเรื่องจริงของทัพตะวันออก ทั้งสองฝ่ายก็ยังเจรจากันได้ โถงชุมนุมอัจฉริยะเสียหายหนักขนาดนั้น นายท่านไม่อยากเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกบ้างเหรอ? นี่เป็นโอกาสดีที่สิงโตจะอ้าปากกว้างแล้ว!

……………

“ได้ๆ!” ชิงเยว่หรี่ตายิ้มพลางพยักหน้าซ้ำๆ ขอแค่พวกเขาไม่คัดค้านก็พอแล้ว

ทั้งสองไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อท่านหัวหน้าภาคทันที

“ทำได้งดงามมาก!” เหมียวอี้ที่ได้รับข่าวตบฝ่ามือบนเข็มทิศ นึกไม่ถึงว่าชิงเยว่จะจัดการกองหนุนฝั่งใต้ได้ง่ายขนาดนี้ เรียกได้ว่ารวดเร็วมาก เขากล่าวอย่างตื่นเต้นไม่หาย “บอกชิงเยว่ ข้าจะรับผิดชอบเรื่องกลยุทธ์เท่านั้น ส่วนรายละเอียดบนสนามรบว่าจะสู้ยังไง ให้นางเป็นแม่ทัพหลัก ให้อำนาจนางรับผิดชอบทั้งหมด ข้าจะไม่ก้าวก่าย จะพยายามไม่ก้าวก่าย เอาเป็นว่ารบให้ชนะก็พอ! บอกมู่ด้วยว่าให้ฟังคำบัญชาการของชิงเยว่!”

ทางฝั่งนี้ถ่ายทอดเจตนาของเหมียวอี้ทันที

โม่โหยวที่ฟังข่าวดีอยู่ข้างๆ ก็โล่งอกเช่นกัน ชนะได้ก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นทุกศึกที่แพ้ก็จะหมายความว่าพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำของนางจะตายเยอะกว่าเดิม

เหลิ่งจัวฉุนกำระฆังดาราในมือ ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “ราชาปราชญ์ ตานฉิงรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาแปลกไป รีบเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางไปแล้ว เลิกไล่ตามกำลังพลของอ๋าวเฟยแล้ว!”

เหมียวอี้ครุ่นคิดพลางพยักหน้าเบาๆ ตานฉิงก็ไม่ใช่คนธรรมเช่นกัน ในเมื่อทำอย่างนี้ได้ ก็คาดว่าคงพบเงื่อนงำอะไรแล้วจริงๆ

“มันเรื่องอะไรกัน?”

ในดาราจักร อ๋าวเฟยเพิ่งจะร่างแผนขนาบโจมตี คนเพิ่งจะหยุด ยังไม่ทันหันตัวมา ก็พบว่าพวกตานฉิงรีบเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทางไปแล้ว อ๋าวเฟยที่หันตัวมางงนิดหน่อย

ส่วนข้างหลัง กำลังพลหลายแสนก็ถูกปล่อยออกมาแล้ว

“ไล่ตาม! สั่งกำลังพลของอูจินหวนให้ดักด้านข้าง อย่าให้โอกาสพวกเขามารวมกัน!”

อ๋าวเฟยออกคำสั่ง กำลังพลหลายแสนรวมตัวอีกครั้ง รีบเปลี่ยนจากฝ่ายหลบหนีเป็นฝ่ายไล่โจมตี

ไล่ตามไปได้ครู่เดียว จู่ๆ หวังหย่วนเฉียวที่อยู่ข้างกันก็พลันบอกว่า “แม่ทัพใหญ่ กำลังพลของไป่หลี่เจี๋ยขาดการติดต่อไปแล้ว!”

อ๋าวเฟยกำลังจ้องตานฉิงด้วยแววตาเดือดดาลราวกับไฟลุก พอได้ยินก็หันขวับ แล้วถามอย่างโมโหว่า “อะไรนะ?”

หวังหย่วนเฉียวพยักหน้า บอกใบ้ว่าฟังไม่ผิด ขาดการติดต่อในเวลานี้หมายความว่าอะไรก็คงไม่ต้องอธิบายเยอะแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกกำลังพลของชิงเยว่กำจัดแล้ว

อ๋าวเฟยเหมือนจะยอมรับผลลัพธ์นี้ได้ยาก ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “ทำไมถึงเร็วขนาดนี้? สู้กันแล้วทำไมแม้แต่ฝั่งพวกเราก็ไม่ได้ข่าวเลยสักนิด? ติดต่อไปอีก!”

หวังหย่วนเฉียวยังจะทำอย่างไรได้อีก ทำได้เพียงหยิบระฆังดารามาติดต่ออีก

ตานฉิงที่เหาะอยู่ในดาราจักรหันกลับมามองแวบหนึ่ง และแสยะยิ้มเยาะเย้ย พบว่าคาดเดาไว้ไม่ผิดจริงๆ เผยกำลังพลออกมาหมดแล้ว ต้องการจะตีขนาบหน้าหลังจริงๆ ด้วย เขาหยิบระฆังดาราออกมาแจ้งคนที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์

“หึหึ!” เหมียวอี้ที่อยู่ในดาราจักรแสยะหัวเราะเช่นกัน จากนั้นก็ครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ถ้าถูกพวกเราไล่ตาม พวกเราก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะปล่อยให้พวกเขาไล่ตาม แต่ถ้าอ๋าวเฟยพบว่าไล่ตามพวกเราไม่ทัน เกรงว่าอาจจะไม่เสียเวลาไล่ตามพวกเราต่อไปแล้ว จะกังวลถึงกำลังพลที่บุ่มจู่โจมกะทันหันอีกสองกลุ่ม ดีไม่ดีอาจจะเลี้ยวกลับไปรวมกับกำลังพลสองกลุ่มนั้น ถ้าฝั่งพวกเราถ่วงเวลาเพื่อชิงเยว่ก็พยายามหน่อย เอาอย่างนี้ แจ้งไปที่อวิ๋น ปล่อยข่าวที่น่าตื่นตาให้อ๋าวเฟยรู้สักหน่อย โยนอาวุธปลอมพวกนั้นออกมาให้พวกเขาชมเป็นขวัญตา”

พอทางนี้เอ่ยสั่งแล้ว ตานฉิงก็ย่อมปฏิบัติตาม

ใช้เวลาครู่เดียว ในดาราจักรก็มีของโยนออกมาสะเปะสะปะ สาดลอยไปทางทหารที่ตามมาข้างหลังไม่ขาดสาย

จู่ๆ ก็มีของโผล่ออกมาเป็นกอง เพื่อที่จะป้องกันอุบาย กำลังพลของอ๋าวเฟยหลาแสนรีบเตรียมป้องกันอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเห็นชัดแล้วว่าเป็นเกราะรบและธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ คนที่อยู่ฝั่งนี้ก็งงเป็นไก่ตาแตก

จนกระทั่งของพวกนั้นลอยมาถึงมือแล้ว ในมืออ๋าวเฟยย่อมคว้ามาชุดหนึ่ง พอบีบสิ่งที่เรียกว่าเกราะรบ มันก็แตกหักทันที สิ่งที่เรียกว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็หักเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดจะเป็นไม้ทาสี ทั้งหมดเป็นของปลอม

ลากทัพใหญ่สองล้านกว่าให้ตามมาก็เพราะของสิ่งนี้เองเหรอ? ตัวเองจะคิดจะดึงอีกฝ่ายให้ไปไกลกว่านี้สักหน่อย ไม่ให้กำลังพลของอีกฝ่ายรวมกลุ่มกัน ตกลงว่าใครดึงใครกันแน่!

อ๋าวเฟยเบิกตากว้างมองของที่อยู่ในมือ สองมือที่ถือคันธนูหักสั่นเทา ใบหน้าขาวซีด

ทำศึกจนกลายเป็นแบบนี้ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะชี้แจงต่อท่านอ๋องอย่างไร จะโทษอิ๋งอู๋หม่านทั้งหมดได้เหรอ? อิ๋งอู๋หม่านโดนคนจับไป เขาไม่มีส่วนรับผิดชอบเลยเหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองไม่เข้มงวดกับคนนอก แล้วอีกฝ่ายจะจับตัวอิ๋งอู๋หม่านไปได้อย่างไร?

มาจนป่านนี้แล้ว ในใจเขาเรียกได้ว่าวนเวียนอยู่กับความแค้น ความรู้สึกผิดและตำหนิตัวเองต่างๆ นานา

พวกหวังหย่วนเฉียวที่กำลังถืออาวุธปลอมก็ทำสีหน้าสงสัยเช่นกัน

“ไอ้เด็กนี่มันปั่นหัวข้า…อา…” อ๋าวเฟยพลันแผดเสียง แล้วจู่ๆ ก็เอามือกุมอก ไฟโกรธโจมตีหัวใจ พลังปราณสับสน ความคิดว้าวุ่น ไม่มีทางควบคุมอารมณ์ให้สงบได้ “อั้ก” กระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ตาเหลือก ร่างกายเอนล้มอย่างเสียการควบคุมในชั่วพริบตาเดียว

“แม่ทัพใหญ่!” คนอื่นๆ อุทานตกใจ หวังหย่วนเฉียวกับคงฮั่นประคองแขนคนละข้าง บรรดาแม่ทัพมาล้อมเอาไว้

“เผ่าเทพอสรพิษดำ…ไม่มีกองทัพองครักษ์…เป็นเผ่าเทพอสรพิษดำปลอมตัวมา…ไล่ตาม…ตาม…ข้ามันซะ…” อ๋าวเฟยกล่าวด้วยริมฝีปากสั่น มือก็สั่นเช่นกัน พยายามชี้ไปทางจุดที่เหมียวอี้หลบหนี

แต่จนใจที่ตอนนี้เขาไม่มีทางร่ายอิทธิฤทธิ์ส่งสียงได้ ตอนอยู่ในดาราจักรไม่สามารถส่งเสียงได้ตามปกติ ทุกคนต่างฟังไม่ชัดว่าเขากำลังพูดอะไร แต่ดูจากปฏิกิริยาของเขาก็รู้แล้ว ต่อให้เขาไม่บอก ทุกคนก็เดาออกว่าไม่ใช่กองทัพองครักษ์ พวกเขาถูกปั่นหัวยับเยินมาก

อ๋าวเฟยที่อยู่ในสภาพนี้จะยังบัญชาการทัพใหญ่ได้อย่างไร รีบนำเขาเข้ากระเป๋าสัตว์เพื่อช่วยเหลือเร่งด่วน

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ลู่ผิงฟางที่ตามมาข้างหลังหน้าดำคร่ำเครียดแล้ว ในมือเขาก็ถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เช่นกัน เพิ่งจะเหาะผ่านทางนี้ไป ย่อมเก็บของได้แล้ว พอจะตระหนักได้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

หลังจากหวังหย่วนเฉียวโบกมือบอกให้ลู่ผิงฟางไล่ตามต่อไป ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออ๋องสวรรค์อิ๋งอีก

“ฮ่าๆ…ฮ่าๆ…”

ริมแม่น้ำ อิ๋งจิ่วกวงที่ได้ข่าวกางแขนหัวเราะลั่น ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าไม่มีกองทัพองครักษ์ตดหมาอะไรทั้งนั้น ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะเข้าใจผิดว่าประมุขชิงเข้ามาแทรกแซง น่าขำที่ตัวเองโง่เง่าขนาดนั้น!

ทว่าในเสียงหัวเราเจือด้วยความเศร้าสลด ผิวแม่น้ำสั่นสะเทือนจนเกิดละอองน้ำ พื้นดินสะเทือนจนฝุ่นกระเพื่อมขึ้นลง ต้นไม้ที่อยู่ไกลๆ สั่นสะเทือน คนของตระกูลอิ๋งที่เห็นสภาพนี้จากที่ไกลๆ ตกใจไม่เบา ไม่เคยเห็นท่านอ๋องมีท่าทางแบบนี้มาก่อน ไม่มีใครกล้าเข้าใจ

จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ก้มหน้าเงียบงัน เม้มริมฝีปากแน่น

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ อิ๋งจิ่วกวงที่อารมณ์สงบลงแล้วก็ส่ายหน้าหัวเราะไม่หยุด “ดี! ดี! ช่างดีจริงๆ! หนิวโหย่วเต๋อเอ๊ย หนิวโหย่วเต๋อ ไม่น่าเชื่อว่าทัพใหญ่ห้าล้านของตาแก่ผู้นี้ก็ยังทำอะไรเจ้าไม่ได้ ดีจริงๆ!อ๋าวเฟยเอ๊ย อ๋าวเฟย เสียแรงที่ข้าเชื่อใจเจ้า แต่เจ้าดันทำงานข้าเสีย! มันก็เท่านั้นเอง มันก็เท่านั้น…” เขาเอียงหน้าเล็กน้อย “สภาพของอ๋าวเฟยไม่เหมาะจะบัญชาการแล้ว สั่งให้หวังหย่วนเฉียวรับตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดต่อ บอกหวังหย่วนเฉียว ว่าถ้าแพ้ศึกนี้ ก็ให้เขาถือหัวมาพบข้า!”

“รับทราบ!” จั่วเอ๋อร์เอ่ยรับ แล้วรีบนำระฆังดาราออกมาถ่ายทอดคำสั่ง

เมื่อได้รับคำสั่งแต่งตั้งใหม่ หวังหย่วนเฉียวก็สีหน้าแย่มากเช่นกัน

คงฮั่นชำเลืองมองเขาแล้วถอนหายใจ ตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดนี้เขาไม่อิจฉาเลยจริงๆ ก่อนหน้านี้ตอนอ๋าวเฟยรับตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุด เขาก็ไม่อิจฉาเช่นกัน เพราะล่วงเกินอิ๋งอู๋หม่านแล้ว ตอนนี้หวังหย่วนเฉียวรับตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดต่อ ก็เห็นได้ชัดว่ากำลังให้เก็บกวาดปัญหายุ่งยาก

ที่จริงจะบอกว่าเก็บกวาดปัญหายุ่งยากก็ไม่ได้ เพราะยังมีโอกาสตัดสินแพ้ชนะอีก แต่กองทัพองครักษ์ใกล้เข้ามาแล้ว ไม่ให้โอกาสเข้าใช้วิธีการมั่นคงปลอดภัยเลย ตัวเองคุมจังหวะไม่ได้อีกแล้ว

หวังหย่วนเฉียวหันตัวเข้าไปในกระเป๋าสัตว์ ไปเยี่ยมอ๋าวเฟยที่กำลังลืมตาอย่างเหม่อลอยและนอนนิ่งรับการรักษา

หวังหย่วนเฉียวแอบทอดถอนใจ อ๋าวเฟยนับว่าเป็นขุนพลแห่งยุคเช่นกัน แต่กลับถูกบีบถึงขั้นนี้ เรียกได้ว่าวีรบุรุษแห่งยุคพังทลายในครั้งเดียว

เขายังจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงแอบยิ้มอย่างขื่นขม อ๋าวเฟยช่างล้มได้ดีจริงๆ เลยกลายเป็นเขาที่ต้องเก็บกวาดปัญหายุ่งยากแทน

หวังหย่วนเฉียวไม่พูดอะไรทั้งนั้น แค่มาเยี่ยมครู่เดียว แล้วก็หันตัวเดินออกไป

พอมาถึงด้านนอก ก็สงบสติอารมณ์ครู่หนึ่ง ในใจเขารีบเปลี่ยนบทบาทอย่างรวดเร็ว หลังจากจัดระเบียบความคิดแล้ว ก็ออกคำสั่งว่า “ถ่ายทอดคำสั่งไปที่อูจินหวน ให้ไล่โจมตีต่อไป สั่งให้ลู่ผิงฟางถอนกำลัง ให้มารวมกับกำลังพลของข้า สั่งให้เวินลิ่วกง หลงเต๋ออันเลิกไล่โจมตีกำลังพลของชิงเยว่ ให้เขากับสายลับที่รวมตัวกันอยู่แยกย้ายกัน กระจายกำลังสายลับที่สระน้ำมังกรดำอีกครั้ง”

คงฮั่นกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่ทัพใหญ่ ถ้ากระจายตัวสายลับใหม่ ยังจะทันอีกเหรอ? ท่านอ๋องให้เวลาพวกเราไม่เยอะแล้ว”

หวังหย่วนเฉียวถามกลับ “ยังจะทำอะไรได้อีก? ตอนนี้พวกเราตามืดไปหมด ศัตรูอยู่ในที่ลับ เราอยู่ในที่แจ้ง จะปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อจูงจมูกต่อไปเหรอ? สิ่งที่น่ากังวลที่สุดตอนนี้ก็คือกำลังพลฝั่งตะวันออกกับฝั่งเหนือ ตอนนี้สั่งให้พวกเขากระจายตัวเดี๋ยวนี้ ต่อให้พวกชิงเยว่จะเก่งกาจแค่ไหนก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้อยู่ดี ส่วนปัญหาเรื่องเวลา ก็พยายามเร่งมือหน่อยแล้วกัน!” พูดจบก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว

พูดจากใจจริง พอทำศึกจนสภาพกลายเป็นแบบนี้ ในใจเขาก็คับแค้นอยู่บ้าง เป็นอ๋องสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผย แต่กันไม่คำนึงถึงภาพรวม เอาชีวิตของทัพตะวันออกหลายล้านมาทำซี้ซั้วที่นี่เพื่อความแค้นเล็กน้อย จำเป็นต้องลำบากขนาดนี้เชียวหรือ!

ทว่าตอนที่เพิ่งจะพูดจบ ระฆังดาราในกำไลเก็บสมบัติของเขาก็ดังขึ้น เป็นเวินลิ่วกงที่ส่งข่าวมา

เวินลิ่วกงรายงานข่าวด่วน ว่ากำลังพลของเขากับหลงเต๋ออันมารวมกันแล้ว บวกกับสายลับที่รวบรวมได้ระหว่างทาง ก็มีทั้งหมดแปดแสนกว่าคน แต่ระหว่างทางกลับเจออุบายชั่วของชิงเยว่ โดนกำลังพลกลุ่มใหญ่ของชิงเยว่จู่โจมกะทันหัน ตอนนี้เสียหายหนักมาก สถานการณ์อยู่ในขั้นวิกฤติ ขอความช่วยเหลือเร่งด่วน!

หวังหย่วนเฉียวตกใจมาก ขนาดกำลังพลสายตะวันออกกับเหนือรวมตัวกันแล้ว นึกไม่ถึงว่ากำลังพลหนึ่งแสนของชิงเยว่จะยังกล้าเป็นฝ่ายรุกโจมตีอีก ทั้งยังทำให้กำลังพลสองสายนั้นเสียหายหนักจนขอความช่วยเหลือเร่งด่วน รีบบอกไปว่า : ต้านไว้! ต้านไว้ให้ข้า! ยอมแลกทุกอย่างเพื่อถ่วงรั้งพวกเขาไว้!

พอเก็บระฆังดาราแล้ว หวังหย่วนเฉียวก็ถ่ายทอดคำสั่งอีกครั้ง “แจ้งทางอูจินหวนว่าไม่ต้องไล่ตามแล้ว สายลับก็ไม่ต้องแยกย้ายแล้ว ระดมกำลังพลทั้งหมดเดี๋ยวนี้ รีบตามไปสนับสนุนทัพสายตะวันออกกับทัพสายเหนือโดยเร็วที่สุด!”

“เกิดอะไรขึ้น?” คงฮั่นถามอย่างตกใจ

“ไม่ทันแล้ว เดี๋ยวบอกระหว่างทาง ให้กำลังพลเร่งออกเดินทางเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า!” หวังหย่วนเฉียวโบกมือตะโกนอย่างร้อนใจ

ส่วนเหมียวอี้ที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์ก็ได้ข่าวเร็วมากเช่นกัน รู้ว่ากำลังพลหลายสายของอ๋าวเฟยเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนไหว ขณะที่จ้องเข็มทิศเพื่อดูทิศทาง เขาก็เข้าใจทันทีว่ากำลังพลหลายสายพวกนั้นต้องการจะไปสนับสนุน สถานการณ์การสู้รบทางฝั่งชิงเยว่เขาก็ย่อมรู้แล้ว

“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ไม่ต้องหนีแล้ว ไล่ตาม!” เหมียวอี้ถ่ายทอดคำสั่งทันที สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังมาก

ไม่ให้เขากังวลคงไม่ได้ เขานึกไม่ถึงว่าผู้หญิงอย่างชิงเยว่จะใจกล้าขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้กำลังปะทะกับทัพตะวันออกแปดแสนโดยตรง อานุภาพที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนคนที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวไม่ได้ธรรมดาเรียบง่ายเหมือนหนึ่งบวกหนึ่งได้สองแล้ว เขากังวลว่าฝั่งชิงเยว่จะต้านไหวหรือไม่ แม้กำลังพลหลายแสนของเขาจะไม่ได้เก่งกาจ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นกำลังพลหลายแสน ถ้าตามไปอาจจะตรึงกำลังทหารได้บ้างนิดหน่อย

ด้วยการดึงดูดจากสถานการณ์การสู้รบ กำลังพลของทั้งสองฝ่ายทยอยตามไปอย่างเร่งด่วน มีแนวโน้มว่าการสู้รบนี้จะเป็นศึกใหญ่ชี้ขาดแล้ว

…………………………

พอหันกลับไปมองกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อที่กำลังไล่โจมตี ในใจของอ๋าวเฟยก็เกิดความรู้สึกเศร้ารันทด ใคร่ครวญถึงการศึกก่อนหน้านี้

คนที่รบตายตอนแรกก็คือเจียงเชียนหลี่ที่นำกำลังพลหนึ่งแสนลาดตระเวน ถูกศัตรูโจมตีขนาบสองฝั่งจนตาย

คนต่อมาก็คือหลัวเจ๋อที่ไปเป็นกองหนุนให้เชออู่ เนื่องจากหลัวเจ๋ออยู่สายกลางที่สามารถเดินทางเชื่อมไปได้ทุกทิศ และอยู่ใกล้กับสนามรบที่สุดด้วย เป็นกองหนุนที่ไปถึงก่อนกองหนุนสายอื่นๆ ผลปรากฏว่าพอจะบุกเข้ากระบวนทัพก็ถูกทัพพันธมิตรดักตอนออกเป็นช่วงๆ ระหว่างทาง หลัวเจ๋อตายอยู่ภายใต้การล้อมโจมตีของผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำ ยังไม่ทันได้มาเจอกับเชออู่ แต่ก็เป็นเพราะกำลังพลกลุ่มใหญ่ของหลัวเจ๋อรีบไปถึง ไม่อย่างนั้นกำลังพลที่เหลืออยู่ไม่กี่หมื่นในมือเชออู่ก็ยืนยันต่อเนื่องจนถึงตอนนี้ไม่ได้เลย

ทว่าสิ่งที่อ๋าวเฟยไม่รู้ก็คือ สาเหตุที่หลัวเจ๋อตาย ก็เพราะเขาพาคนมาด้วยเยอะเกินไป นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมชิงเยว่ปล่อยให้จงซานหมิงกับเชออู่มาเจอกันได้ แต่กลับไม่ยอมปล่อยให้หลัวเจ๋อกับเชออู่มาเจอกัน ยอมแลกทุกอย่างเพื่อโจมตีอย่างบ้าคลั่งจนถึงแก่ความตาย

ตอนหลังก็เป็นเชออู่กับจงซานหมิงที่รบตาย

อ๋าวเฟยวางแผนผิดพลาด ทัพลาดตระเวนหนึ่งแสนของเจียงเชียนหลี่ กองหนุนสามแสนฝั่งตะวันตกของเชออู่ กองหนุนสามแสนที่อยู่สายกลางของหลัวเจ๋อ สายลับที่จงซานหมิงรวบรวมได้ก็โยนเข้าไปเกินสามแสน จนถึงตอนนี้สูญเสียแม่ทัพใหญ่ๆ ไปแล้วสี่คน แม่ทัพคนอื่นๆ ก็ไม่ต้องพูดถึง กำลังพลเสียหายไปเกินล้านแล้ว!

ภายใต้การคิดทบทวน อ๋าวเฟยรู้ว่าปัญหาของตัวเองเกิดจากการกระจายกำลังทหาร แต่หนิวโหย่วเต๋อกลับรวบรวมกำลังทหารที่เหนือกว่าหลายเท่าเพื่อมารบตั้งแต่ต้นจนจนจบ แต่เข้าเองก็ไม่มีทางเลือก หลังจากเขาวางแผนเรียบร้อยแล้วก็คิดจะใช้ยุทธศาสตร์ที่มั่นคงในการทำศึก ทว่ากลับถูกเรื่องราวนอกสถานการณ์การรบมาทำให้เรื่องนี้พัง หนิวโหย่วเต๋อปล่อยข่าวลือข้างนอกอย่างต่ำช้าสามาน สะเทือนจนกองทัพองครักษ์ตามมา ทางอ๋องสวรรค์อิ๋งกดดันให้เขารีบรบรีบจบ ทำให้จังหวะแผนการของเขาปั่นป่วนในรวดเดียว

ทว่าการศึกไม่หน่ายเล่ห์ สามารถคว้าชัยชนะบนสนามรบได้ก็คือความสามารถ หนิวโหย่วเต๋อยอมสละโถงชุมนุมอัจฉริยะเพื่อทำให้แผนของเขาปั่นป่วน สิ่งนี้จำเป็นต้องใช้ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว บุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์มีใครไม่รู้บ้างว่าโถงชุมนุมอัจฉริยะคือแหล่งสนับสนุนทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดของหนิวโหย่วเต๋อ แม้แต่สิ่งนี้ยังสละได้ เขาอ๋าวเฟยก็มีแต่ต้องนับถือแล้ว

ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง เขาเริ่มพิจารณาถึงเจตนาที่หนิวโหย่วเต๋อไล่ตามโจมตีเขาแล้ว เริ่มรู้สึกได้รางๆ ว่าตัวเองติดกับดักหนิวโหย่วเต๋อ คิดว่าหนิวโหย่วเต๋ออาจจะไม่ได้อยากจะไปรวมกลุ่มกับกำลังพลของชิงเยว่ ดูจากสถานการณ์ทุกด้านก็จะรู้ ว่าการไล่โจมตีนี้ของหนิวโหย่วเต๋อได้ตรึงทัพใหญ่สองล้านกว่าของเขาไว้แล้ว กำลังหทารส่วนใหญ่บนสนามรบตอนนี้ถูกหนิวโหย่วเต๋อตรึงไว้แล้ว

ตอนนี้เขาเริ่มกังวลถึงความปลอดภัยของกำลังพลสายตะวันออก ใต้ เหนือแล้ว กำลังพลของชิงเยว่ไปที่ไหนก็ไม่รู้ ตอนนี้เขาเพิ่งเข้าใจว่าตัวเองเสียจังหวะจนเดินหมากผิด ตัวเองไม่ควรเรียกรวมสายลับหนึ่งล้านนั่นเลย ตอนนี้ตัวเองไม่มีทางควบคุมสภาพการณ์บนสนามรบได้อีกแล้ว

แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าเขาไม่รวบรวมสายลับจำนวนมากมาเป็นกองหนุน เชออู่ก็ไม่มีทางยืนหยักได้นานเลย ยากที่จะถ่วงกำลังหลักของฝ่ายศัตรูเอาไว้เพื่อรีบรบรีบจบ ตอนนี้ต่อให้เขาอยากจะกระจายสายลับหนึ่งล้านออกไปแต่ก็ไม่ทันแล้ว อำนาจของฝ่ายรุกบนสนามรบไม่ได้อยู่ในมือเขาแล้ว

ดังนั้นตอนนี้เขาจึงกังวลความปลอดภัยของกองหนุนสามสายนั้น ไม่รู้ทิศทางว่ากำลังพลของชิงเยว่ไปที่ไหน ไม่กล้าให้กำลังพลสามสายนั้นเพ่นพ่านไปทั่ว กังวลว่าจะถูกเหมียวอี้โจมตีแตกทีละสาย ด้วยเหตุนี้ วิธีการที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือทำตามแผนเดิม นั่นก็คือให้กำลังพลสามสายมารวมตัวกันก่อนแล้วค่อยเตรียมวางแผนอีกที

ดังนั้นตอนนี้เขาถึงสงสัยเจตนาของหนิวโหย่วเต๋อที่ไล่ตามโจมตีเขา เขาคิดไม่ตกนิดหน่อย ในมือไอ้หนิวจัญไรมีกำลังทหารที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ ทำไมถึงไม่ไปรวมกับกำลังพลของชิงเยว่ล่ะ การที่ไม่รีบออกมาโจมตีกำลังพลสายอื่นๆ ของฝ่ายนี้ หนิวโหย่วเต๋อมีเจตนาอะไรกันแน่?

ไม่ว่าจะมีเจตนาอะไร ตอนนี้เขาก็ตระหนักได้แล้วว่าตัวเองถูกเหมียวอี้จูงจมูก มีหรือที่จะยังให้เหมียวอี้สมปรารถนาอีก…

“นายท่าน! มีความเคลื่อนไหว!”

ผู้ช่วยแม่ทัพคนหนึ่งที่อยู่ในดาราจักรชี้ไปข้างหน้าพร้อมรายงานไป่หลี่เจี๋ย ไป่หลี่เจี๋ยเห็นแล้ว ยกมือขึ้นมาแล้ว

ทัพใหญ่สามแสนสี่หมื่นโผล่หน้ามาแล้ว พวกเขาจัดกระบวนทัพต่อสู้อยู่ข้างหลัง เตรียมตัวรับข้าศึก กำลังพลอีกสี่หมื่นคือสายลับที่มารวมตัวกันระหว่างทาง จึงถือโอกาสพามาด้วย

“ไม่ถูก เหมือนไม่ใช่ทัพฝ่ายศัตรู!” ผู้ช่วยแม่ทัพที่อยู่ข้างๆ ร้องบอก

ทุกคนทอดสายตามองไป พบว่าแต่ละคนที่ทยอยมาถึงมีสภาพสะบักสะบอม บนตัวทุกคนมีบาดแผล

ตอนที่เข้าใกล้ฝั่งนี้ คนสภาพจนตรอกที่นำหน้ามาก่อนร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดัง “แม่ทัพไป่หลี่ อย่ายิงธนู เป็นคนฝ่ายตัวเอง ข้าคือหลิวเจิน อยู่ใต้บังคับบัญชาของของแม่ทัพเชอ!” ไม่กลัวไม่ได้หรอก ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มากมายขนาดนั้นเล็งมาที่ตนแล้ว

ไป่หลี่เจี๋ยหันกลับมาถาม “ใต้บังคับบัญชาของเชออู่มีคนคนนี้อยู่ด้วยเหรอ? ถามหน่อยว่ามีใครรู้จักมั้ย”

ไม่นานข้างหลังก็มีคนหนึ่งเข้ามาตอบ “ตอบท่านแม่ทัพ เป็นหลิวเจินลูกน้องแม่ทัพเชอจริงๆ ข้ารู้จักเขา ฝั่งนี้ก็มีคนไม่น้อยที่รู้จักเขา”

ไป่หลี่เจี๋ยเอียงหน้าสั่ง “ไปตรวจสอบสักหน่อย!”

ฝั่งนี้มีคนเข้ามาหลายคนทันที ค้นตัวหลิวเจินตั้งแต่ศีรษะจดเท้า หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่มีปัญหา ก็พาตัวหลิวเจินเข้ามา แต่กลับกันคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหลังเอาไว้ รักษาระยะที่ปลอดภัย

“คารวะแม่ทัพไป่หลี่!” จากนั้นหลิวเจินก็กุมหมัดคารวะด้วยสีหน้าเศร้าสลด

“เชออู่รบแพ้ แล้วเจ้ากลับมาได้ยังไง?” ไป่หลี่เจี๋ยถามเสียงต่ำ

“เดิมทีไม่อาจรอดชีวิตกลับมาได้ เป็นชิงเยว่ที่ปล่อยพวกเรากลับมา” หลิวเจินตอบอย่างอนาถใจ

ไป่หลี่เจี๋ยขมวดคิ้ว “ทำไมนางต้องปล่อยเจ้ากลับมา?”

“นางให้พวกเรามาบอกทัน บอกว่ากำลังพลของแม่ทัพเชอแพ้แล้ว…” หลิวเจินบอกคำพูดเดิมของชิงเยว่

ไป่หลี่เจี๋ยเงียบไปพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็แสยะยิ้ม พูดกับคนทางซ้ายและขวาว่า “ชิงเยว่ภายนอกแข็งกร้าวภายในอ่อนแอ เป็นเพราะรู้ว่ากำลังพลสามสายกำลังจะรวมกัน จงใจจะวางอุบายกับข้า”

“ท่านต้องระวัง แม่ทัพใหญ่อ๋าวถ่ายทอดคำสั่งมาแล้ว บอกให้พวกเราระวังกำลังพลของชิงเยว่เอาไว้” ผู้ช่วยแม่ทัพกล่าว

ไป่หลี่เจี๋ยบอกว่า “อย่าบอกนะว่าพอถูกชิงเยว่ขู่ พวกเราก็จะไม่ไปรวมตัวกับกำลังพลอีกสองสายแล้ว? แม่ทัพใหญ่ต้องการให้พวกเรารวมตัวกัน ตอนนี้ไม่กลัวกำลังพลของชิงเยว่ลงมือกับพวกเราหรอก กลัวก็แต่นางจะหนีไปจนหาตัวไม่เจอแล้ว”

ทหารที่อยู่ทางซ้ายและขวาเงียบไป พูดจากใจจริง เจียงเชียนหลี่ หลัวเจ๋อ เชออู่ จงซานหมิง ขนาดแม่ทัพใหญ่สี่คนนั้นยังรบแพ้ สิ่งนี้ทำให้พวกเขากังวลใจอยู่บ้าง

ไป่หลี่เจี๋ยบุ้ยปากไปทางทหารร้อยกว่าคนที่ทยอยตามหลังมา พร้อมถามหลิวเจินว่า “พวกเนี้คือคนของฝ่ายเราเหรอ?”

หลิวเจินหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าบอกว่า “ล้วนเป็นคนที่ชิงเยว่ปล่อยมา” นี่คือสิ่งที่เขาเห็นกับตา

ไป่หลี่เจี๋ยเชื่อว่าหลิวเจินที่รอดพ้นจากอันตรายแล้วไม่จำเป็นต้องหลอกเขา แต่ก็ยังถามอย่างระมัดะวัง “กำลังพลกลุ่มใหญ่ทยอยมาถึง อย่าให้โอกาสชิงเยว่ถ่วงเวลา ทิ้งคนกลุ่มหนึ่งไว้ตรวจสอบสักหน่อย ถ้าไม่มีปัญหาค่อยตามไปทีหลัง”

ทัพใหญ่รวมตัวกันอีกครั้ง คนพันกว่าคนเหาะไปทางร้อยคนนั้น แล้วล้อมไว้เตรียมจะตรวจสอบ

ไป่หลี่เจี๋ยนำทหารที่เหลือเดินทางต่อไป

ทว่าตอนที่กลุ่มของไป่หลี่กำลังผ่านร้อยกว่าคนที่กำลังโดนล้อม ก็เรื่องกะทันหันเกิดขึ้ย ท่ามกลางร้อยกว่าคนที่กำลังจะถูกคนตัว มีคนคนหนึ่งพลันโบกมือ แล้วจู่ๆ ก็กลายเป็นสามสิบกว่าคน ชั่วพริบตาเดียวก็ตีฝ่าพันคนที่ล้อมเอาไว้ ต้านอย่างไรก็ต้านไม่อยู่ สังหารในแนวขวางไปทางกลุ่มของไป่หลี่เจี๋ย

พวกไป่หลี่เจี๋ยตกใจมาก ตะโกนว่า “ข้าศึกบุก” ตอนที่กำลังพลสามแสนกว่าเพิ่งปรากฏตัว ทางฝั่งนี้ก็มีกำลังพลเพิ่มมาสามหมื่นแล้ว ตามหัวหน้าสามคนสังหารฝ่าออกไป

ตรงนั้นพลันเกิดเสียงสังหารดังสะเทือนเลือนลั่น

สามคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเมิ่งหรู อ๋าวเถี่ย จ่างหงนั่นเอง ก่อนหน้านี้เมิ่งหรูปลอมตัวเป็นทหารที่รอดชีวิต ตอนนี้บนใบหน้ายังมีรอยเลือด ตามหลังทหารผู้รอดชีวิตร้อยกว่าคนมาด้วย แม้ทหารที่เหลือรอดจะเป็นพวกเดียวกัน แต่กำลังพลทัพตะวันออกมีมากมายขนาดนั้น ระหว่างพวกเขาจำไม่ได้หมดว่าใครเป็นใคร เพราะเอาแต่คิดหนีเอาชีวิตรอดมาตลอดทาง ไม่มีกะจิตกะใจจะมาพูดคุยกัน

เพราะอยู่ใกล้กันเกินไป พวกไป่หลี่เจี๋ยหลบหลีกไม่ทัน เพิ่งจะตั้งวงล้อมป้องกันข้างกาย ทว่าพวกเมิ่งหรูโหดหาญเกินไป พอบุกโจมตีเข้ามาก็ทำให้วงล้อมป้องกันที่เพิ่งตั้งอย่างฉุกละหุกแตกกระเจิงแล้ว ชั่วพริบตาเดียวก็ต่อสู้กับพวกไป่หลี่เจี๋ยแล้ว

ไป่หลี่เจี๋ยที่ถูกพวกเมิ่งหรูล้อมโจมตี ประมือกันไม่กี่ท่าก็ถูกดาบฟันศีรษะแล้ว

ส่วนพวกเมิ่งหรูก็โหดเหี้ยมจริงๆ ทหารคนสำคัญข้างกายไป่หลี่เจี๋ยถูกฆ่าไปสิบกว่าในเวลาสั้นๆ

สองทัพพุ่งปะทะกัน แม้จะไม่มีแม่ทัพคอยบัญชาการจึงไร้ระเบียบนิดหน่อย แต่ทัพใหญ่สามแสนกว่าก็ยังล้อมกำลังพลสามหมื่นที่ลอบจู่โจมเอาไว้ได้ ถึงอย่างไรเบื้องล่างก็ยังมีทหารที่บัญชาการได้ การให้ความร่วมมือพื้นฐานย่อมไม่ต้องให้ใครสอน ล้อมโจมตีอย่างบ้าคลั่งแล้ว

แต่ในขณะนี้เอง ตรงด้านหลังของทัพใหญ่ที่กำลังสู้กัน เสียงตะโกน “ฆ่า” ดังขึ้นฟ้า จู่ๆ ก็มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวดำเป็นพืด แล้วเร่งจู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ชิงเยว่นำทัพใหญ่มาถึงแล้ว แบ่งทหารเป็นสองสาย แบ่งกับหลงซิ่นคนละสาย ตีโอบสนามรบเอาไว้ กำลังพลสองสายนี้ราวกับมังกรบิน พวกเขาไม่ได้พุ่งเข้าขบวนรบ แต่นำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมาทั้งหมด ลำแสงนับไม่ถ้วนล้อมยิงใส่ทัพใหญ่ที่กำลังประมือกันอย่างบ้าระห่ำ

ทัพใหญ่ของไป่หลี่เจี๋ยอยู่ภายใต้การบัญชาการที่วุ่นวายไร้ระเบียบ นอกจากจะไม่มีทางรวมทัพกันจนเกิดประสิทธิภาพการป้องกันแล้ว ภายในยังมีกำลังพลที่เมิ่งหรูนำมาด้วยคอยก่อกวน จึงไม่มีทางรวมตัวกันจนเกิดประสิทธิภาพการป้องกันได้เลย วุ่นวายทั้งข้างนอกข้างใน

เสียงกรีดร้องดังระงม เสียงร้องไห้ดังต่อเนื่องเป็นระลอก กำลังพลของไป่หลี่เจี๋ยสิ้นชีพอย่างรวดเร็วภายใต้การโจมตีสุดโหดของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์

จนกระทั่งกำลังพลฝ่ายศัตรูตายไปเกินครึ่ง กลัวว่าลูกธนูดาวตกจะทำคนฝ่ายตัวเองบาดเจ็บ ชิงเยว่ถึงได้สั่งให้ทัพใหญ่ล้อมโจมตี สังหารเข้าไปในขบวนรบแล้ว

ศึกนี้จบลงเร็วมาก พอการต่อสู้หยุดแล้ว เชลยศึกที่ยอมแพ้ก็ถูกจับได้แปดหมื่นกว่าคน ล้วนต้องโทษเบื้องบนที่จงใจปิดบังข่าวต่อเบื้องล่างว่ากำลังพลสายอื่นรบแพ้ กลัวส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจทหาร ถ้าคนพวกนี้รู้ว่ากำลังพลหนึ่งแสนของเจียงเชียนหลี่ตายอย่างไร คาดว่าต้องสู้ตายจนถึงที่สุด

“เป็นผลงานใหญ่ทุกคน! ถ้าไม่ใช่เพราะทุกคนกล้าหาญไปฆ่าแม่ทัพแย่งธงจากทัพฝ่ายศัตรูจนเกิดความวุ่นวาย ศึกนี้ก็ไม่อาจคว้าชัยได้ง่ายดายแบบนี้ คำขอบคุณข้าจะไม่พูดแล้ว จะรายงานต่อท่านหัวหน้าภาคแน่นอน!” หลังจากพบกับพวกเมิ่งหรู ชิงเยว่ก็กุมหมัดขอบคุณพวกเขาซึ่งร่างกายเต็มไปด้วยเลือด จากนั้นกะพริบตากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้ศัตรูอยู่ในที่แจ้ง พวกเราอยู่ในที่ลับ ข้ารู้เส้นทางของศัตรู แต่ศัตรูกลับไม่รู้เส้นทางของข้า มีวีรบุรุษอย่างพวกท่านอยู่ด้วย ข้าก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นเยอะ อยากจะใช้อุบายเดิมกับกองหนุนสายอื่นๆ ฝ่ายศัตรู ไม่ทราบว่าทุกคนคิดว่ายังไง?”

พวกเมิ่งหรูสบตากันแวบหนึ่ง แล้วอ๋าวเถี่ยก็ตอบว่า “นายท่านรับประกันได้เหรอว่าสถานการณ์รบของฝั่งนี้ยังไม่แพร่งพราย? ถ้ามันแพร่งพรายไปแล้ว เกรงว่าคงไม่ตกหลุมพรางอีก”

ชิงเยว่ตอบว่า “การจู่โจมกะทันหันของศึกนี้ทำให้ฝ่ายศัตรูป้องกันไม่ทัน อีกฝ่ายอาจจะไม่มีโอกาสรายงาน มิหนำซ้ำต่อให้รู้แล้ว แต่ด้วยความห้าวหาญของทุกท่าน ตอนที่พบความไม่ชอบมาพากลก็น่าจะหนีไม่ทันแล้ว คิดว่าจะลองอีกครั้งก็ได้”

ทั้งสามทั้งโมโหทั้งอยากขำ นี่ใช้งานพวกเขาจนเสพติดแล้วเหรอ ไม่รู้หรือว่าการทำแบบนี้อันตรายมาก? ต่อให้วรยุทธ์สูงกว่านี้ แต่หากถูกล้อมไว้ตอนตะลุมบอนกัน อาศัยพลังอิทธิ์อย่างเดียวก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้อยู่ดี เป็นเพียงข้อได้เปรียบจากศักยภาพส่วนตัวยามสู้ในระยะประชิดเท่านั้น อย่างไรเสียก็มีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา ยามต่อสู้ระยะใกล้ทหารเล็กๆ ก็ต้านทานได้ยากอยู่แล้ว

เมิ่งหรูตอบว่า “นายท่านถามความเห็นหัวหน้าภาคหนิวสักหน่อยเถอะ” พวกเขาก็ไม่อยากเสี่ยงอันตรายนี้บ่อยๆ เช่นกัน ลูกน้องที่พามาจากแดนอเวจีรบตายไปสองคนแล้ว

………………

ตามเสียงคำสั่งของเขา กำลังพลทัพกลางเดินทางไปข้างหน้าอีกครั้ง เพียงแต่ความเร็วลดลงเยอะมาก เมื่อมากจากที่ไกลๆ ก็แยกแยะไม่ได้ง่ายๆ

ตามที่สายลับรายงานมา เหมียวอี้ยังคงเร่งตามมาทางนี้ด้วยความรวดเร็ว

อูจินหวนกับลู่ผิงฟางเข้าใจแผนของอ๋าวเฟยแล้ว จึงไล่ตามต่อไป

“นายท่าน เร็วแล้ว!”

กุยอู๋ที่ยืนสังเกตความคืบหน้าสถานการณ์อย่างใกล้ชิดข้างศูนย์ประสานงานเดินกลับมาแล้ว มาเตือนเหมียวอี้ให้รู้

เหมียวอี้ใช้สองมือประคองริมขอบเข็มทิศ พลางถามเสียงต่ำ “กำลังพลทางตะวันออก ใต้ เหนือยังไม่เคลื่อนไหวเหรอ?”

“ยังขอรับ รวมทั้งฝั่งอ๋าวเฟยก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว ยังมุ่งหน้าไปทางจุดที่ต่อสู้กัน” กุยอู๋ตอบ

เหมียวอี้สีหน้าตึงเครียด “ดูท่าเจ้าเวรอ๋าวเฟยนั่นคงไม่คิดจะเคลื่อนไหวกำลังพลสามสายนั้นจริงๆ จนป่านนี้แล้วยังคิดจะกำจัดกำลังพลสองฝั่งปไปพร้อมกัน เกรงว่าทางฝั่งชิงเยว่จะต้องทำศึกที่เลวร้ายแล้ว”

เรื่องจริงล้วนอยู่ในการคาดเดาของเหมียวอี้และอ๋าวเฟย สุดท้ายกำลังพลของเหมียวอี้และกำลังพลของอ๋าวเฟยก็ได้มาพบกันตามที่วางแผนไว้

เมื่อเห็นกำลังพลของอ๋าวเฟยอยู่ไกลๆ ตานฉิงก็โบกมือ ทัพใหญ่ห้าแสนรวมทั้งเหมียวอี้ปรากฏตัวพร้อมกัน เหาะโผเข้ามาทางฝั่งอ๋าวเฟย

อ๋าวเฟยจ้องทัพใหญ่ห้าแสนที่ในมือแต่ละคนถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ พลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “ประมุขชิง!” จากนั้นโบกมือเลี้ยวกลับ ทำเหมือนกำลังหนี

ฝั่งตานฉิงเรียกรวมกำลังพลอย่างรวดเร็ว แล้วไล่ตามไปตลอดทาง

กลับเข้ามาในกระเป๋าสัตว์ หยิบเข็มทิศออกมาอีกครั้ง เหมียวอี้พยักหน้าซ้ำๆ “เป็นอย่างที่คาดไว้ อ๋าวเฟยเจ้าเวรนั่นต้องการเอาตัวเองมาเป็นเหยื่อล่อจริงๆ ใจกล้าไม่เบา นี่เป็นเพราะกำลังพลในมือเราเป็นของปลอมเฉยๆ หรอก ไม่อย่างนั้นข้าก็อยากกำจัดเขาทิ้งไปทีเดียวเลยจริงๆ! บอกตานฉิง ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่อ๋าวเฟยจะหันกลับมาโจมตีกะทันหัน ให้ตานฉิงควบคุมความเร็ว รักษาระยะห่างไว้ สังเกตระยะห่างระหว่างอ๋าวเฟยให้ดี ถ้าพบความผิดปกติ ก็ให้เลี้ยวหนีทันที ไม่อย่างนั้นถ้าถูกกำลังพลดักไว้ทั้งหน้าหลัง ไม่อย่างนั้นคนจำนวนเล็กน้อยในมือพวกเราก็สู้กำลังพลสองล้านกว่าของอีกฝ่ายไม่ได้เลย”

เหลิ่งจัวฉุนรีบติดต่อตานฉิง

เหมียวอี้ถ่ายทอดคำสั่งต่อไป “บอกชิงเยว่ ไม่ต้องพัวพันต่อสู้แล้ว กำจัดข้าศึกที่ล้อมในรวดเดียว จากนั้นสั่งให้ทหารไปทางใต้ทันที ดึงระยะห่างออกจากทัพฝั่งตะวันตกและฝั่งเหนือ ทำเวลาได้นิดหน่อยก็ยังดี ปะทะกับทัพใหญ่ฝั่งใต้โดยตรงเลย ต้องกำจัดทัพฝั่งใต้ทิ้งก่อนที่ทัพฝั่งเหนือกับตะวันออกจะตามไปถึง จากนั้นก็เตรียมตัวจัดระเบียบ รวบรวมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่ได้มาทั้งหมด เตรียมตัวล้างเลือดทัพฝั่งตะวันตกกับฝั่งเหนือ! ย้ำกับชิงเยว่ว่าต้องกำจัดทัพฝั่งใต้ให้ได้โดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นจะตกอยู่ในวงล้อมโจมตีของสามทัพ เมื่อเทียบศักยภาพของฝ่ายเรากับฝ่ายศัตรู ก็ต้องจะรักษาความได้เปรียบของกำลังทหารไว้ อาศัยคนเยอะโจมตีคนน้อย แบบนี้ถึงจะมั่นคง!”

เมื่อได้รับแจ้งมาแล้ว ตานฉิงก็รีบปลุกความฮึกเหิมและจ้องกำลังพลที่ไล่โจมตีอยู่ข้างหน้า

เสียงตะโกนฆ่าดังสะเทือนฟ้า น้ำเลือดกลายเป็นหมอกที่เปลี่ยนรูปร่างไม่แน่นอน จงซานหมิงที่รวมบัญชาการกับเชออู่เริ่มพบปัญแล้ว เขาคว้าแขนเชออู่ “พี่เชอ สถานการณ์รบเหมือนจะผิดปกติ เหมือนอีกฝ่ายจะไม่เคยพยายามสุดกำลังเลย”

เชออู่ที่ตาแดงก่ำมองไปรอบๆ อย่างุนงง “ก็ไม่นี่! ลักษณะการโจมตีของอีกฝ่ายเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว”

จงซานหมิงส่ายหน้า “ไม่ มันไม่ถูก อีกฝ่ายไม่ได้แสดงอานุภาพเต็มที่ตอนล้อมโจมตีเลย ชิงเยว่กับหลงซิ่นเป็นขุนพลเก่าในสนามรบ ไม่มีทางที่จะมองจุดนี้ไม่ออก ทั้งสองมีความสามารถที่จะแบ่งสรรการโจมตีให้ดีกว่านี้!”

เชออู่ยังคงเลอะเลือน แต่ก็ไม่แปลกที่เขาจะเลอะเลือน ที่จริงจังหวะการโจมตีของทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำก็มีปัญหามาตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าตามการฝึกฆ่าที่นานขึ้น พวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเชี่ยวชาญแล้ว ชิงเยว่บัญชาการได้สบายขึ้นเยอะ ไม่ได้พยายามอย่างเต็มกำลังจริงๆ

สำหรับเชออู่ จังหวะการโจมตีของทัพฝ่ายศัตรูเป็นแบบนี้มาตลอด แต่กับจงซานหมิงนั้นไม่เหมือนกัน เพราะเขาตามมาทีหลัง

“พี่จงคิดจะพูดอะไรกันแน่?” เชออู่ไม่เข้าใจ

จงซานหมิงตะโกนบัญชาการรูปแบบการโจมตี แล้วคว้าแขนเชออู่ต่อ “พี่เชอ มันแปลกจริงๆ นะ ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้โจมตีสุดกำลัง มันหมายความว่าอะไรล่ะ? หมายความว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องพัวพันต่อสู้อยู่กับพวกเรา สามารถกำจัดพวกเราได้เลย แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น”

เชออู่ตอบกลับว่า “นี่เป็นเรื่องดีไง! พวกเขาก็แค่ล่อกองหนุนออกมาโจมตี อยากจะกำจัดกำลังพลของพวกเรามากๆ หน่อย”

“งั้นเหรอ?” จงซานหมิงรีบมองไปรอบๆ “แต่ทำไมข้ารู้สึกว่ามันไม่ปกติเลย หรือว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่รู้ว่ากองหนุนของพวกเรากำลังตามมาแล้ว ยังจะหน่วงเหนี่ยวอยู่ที่นี่อีกเหรอ?”

ฝั่งนี้เริ่มจะรู้ตัว ทว่าสายไปเสียแล้ว

ชิงเยว่ที่อยู่ในกระบวนทัพฝ่ายตรงข้ามเก็บระฆังดาราในมือ แล้วกล่าวกับทุกคนข้างกายด้วยเสียงต่ำเบา “ท่านหัวหน้าภาคถ่วงกำลังพลสองแสนกว่าให้พวกเราแล้ว กองหนุนฝ่ายศัตรูใกล้จะมาถึงแล้ว ท่านหัวหน้าภาคมีคำสั่ง ให้กำจัดทัพฝ่ายศัตรูที่ถูกล้อมเดี๋ยวนี้!” นางชี้ไปทางจุดที่มีกำลังพลล้อมหาแน่น “ใครจะไปเด็ดหัวแม่ทัพฝ่ายศัตรูให้ข้า!”

เมิ่งหรู อ๋าวเถี่ย จ่างหงสบตากันแวบหนึ่ง แล้วเมิ่งหรูก็บอกชิงเยว่ว่า “เรื่องนี้ส่งให้พวกเราจัดการเถอะ นายท่านตั้งใจบัญชาการรบก็พอ!”

“ได้! งั้นก็ฝากทุกคนด้วย!” ชิงเยว่กุมหมัดคารวะทั้งสามคน แล้วตะโกนบอกหลงซิ่นว่า “เบิกทางให้ข้า!”

หลงซิ่นบัญชาการให้ทัพใหญ่อีกด้านเบิกทางทันที ส่วนพวกเมิ่งหรูก็นำคนสามสิบคนสังหารตามไปตลอดทาง โดยมีทัพใหญ่แดนรัตติกาลหนึ่งหมื่นตามติดอยู่ข้างหลัง

กำลังพลสายนั้นบุกฝ่าผ่าคลื่นเข้ามา เป็นการเตือนสติจงซานหมิงกับเชออู่ทันที เชออู่คำรามอย่างเดือดดาลว่า “ขวางพวกเขาเอาไว้!”

มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งเข้ามาดักอย่างบ้าคลั่งทันที เมิ่งหรูและผู้ติดตามสามสิบกว่าคนไม่สนใจทิศทางอื่น สนใจแค่บุกสังหารไปข้างหน้าตลอดทาง ทัพใหญ่แดนรัตติกาลหนึ่งหมื่นที่อยู่ข้างหลังน้อยลงเรื่อยๆ เพราะเข้ามาช่วยก่อกวนทัพฝ่ายศัตรูที่มาจากทิศทางอื่น จะได้ไม่เกะกะพวกเมิ่งหรู

สามสิบคนนี้สง่างามดั่งสายรุ้ง ราวกับเป็นปลายดาบแทงเข้าไปที่จุดบัญชาการทัพกลางของฝ่ายศัตรู

“ดี!” หลงซิ่นที่กำลังจับตาดูประมือชม “ช่างเป็นผู้กล้าที่ฟันศีรษะแม่ทัพท่ามกลางทัพฝ่ายศัตรูนับล้าน!”

ชิงเยว่พลันหรี่ตาพึมพำ “ไม่รู้ว่าเป็นผู้ช่วยที่นายท่านหามาจากไหน!”

ขณะเดียวกันนี้เอง ทัพพันธมิตรเปิดฉากสังหารอันเหี้ยมโหดแล้ว ผู้อาวุโสหลายคนของเผ่าเทพอสรพิษดำทยอยกันออกโรงด้วยตัวเอง พุ่งโจมตีแม่ทัพคนสำคัญที่หนึ่งคนเฝ้าด่าน ทหารหมื่นนายมิอาจกรายผ่านของฝ่ายศัตรู

เชออู่กับจงซานหมิงก็จ้องกลุ่มคนที่สังหารเข้ามาตลอดทางอย่างตกใจ

เมื่อเห็นวงล้อมป้องกันชั้นสุดท้ายโดนตีแตก แม่ทัพที่ขวางไว้โดยกลุ่มคนที่พุ่งเข้ามาสังหารจนยับเยิน ทั้งสองจะไม่ลงมือก็ไม่ได้แล้ว โบกมือตะโกนเกรี้ยวกราดพร้อมกันว่า “ฆ่า!”

ในที่สุดก็นำกลุ่มผู้คุ้มกันข้างหลังพุ่งออกมาลงมือด้วยตัวเองแล้ว

พอเมิ่งหรูเสยทวนเข้ามา จงซานหมิงก็โบกดาบยาว แกร๊ง! ทั้งสองพุ่งชนกันอย่างรุนแรง แต่กลับมีกำลังสูสีกัน ดาบทวนที่ค้ำอยู่ด้วยกันก็ยังไม่มีใครสะบัดใครออกได้ ทว่าตอนนี้กลับมีสายฟ้าจากฝั่งเมิ่งหรูเลื้อยผ่านอาวุธไปโจมตีสองแขนของจงซานหมิง

พอจงซานหมิงร่างสั่นสะท้าน เมิ่งหรูก็ฉวยโอกาสแทงทวนออกมา แทงจนคอจงซานหมิงขาดทันที เลือดสดพุ่งกระจาย จงซานหมิงถลึงตามองเมิ่งหรูด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ทั้งตัวกระเด็นออกไปแล้ว

แล้วเมิ่งหรูก็โบกบวนสังหารต่อเนื่องอีกนับไม่ถ้วน พอหันกลับมาอีกครั้ง เชออู่ก็ถูกจ่างหงกับอ๋าวเถี่ยรวมมือกันสังหารแล้ว

สามสิบกว่าคนสังหารอย่างบ้าคลั่งอยู่ในทัพกลางพักหนึ่ง กระบวนทัพหลักของทัพฝ่ายศัตรูแตกแล้วโดยสิ้นเชิง!

ทัพใหญ่ที่ตะลุมบอนกันไร้ผู้บัญชาการแล้ว เละเทะไร้ระเบียบทันที

“ดี!” ครั้งนี้เป็นชิงเยว่ที่ปรบมือชม รีบบัญชาการให้ทัพใหญ่แบ่งแยกทัพฝ่ายศัตรูที่กำลังวุ่นวายแล้วล้อมโจมตี

ใช้เวลาไม่นาน เสียงเข่นฆ่าที่ดังสะเทือนเลือนลั่นก็จบลง ในที่สุดการเข่นฆ่าที่ยาวนานก็จบลงแล้ว

“เร็ว! เร็ง! เร็ว!” หลงซิ่นตะโกนสั่งให้ทัพใหญ่รีบเก็บกวาดสนามรบ

ตอนที่พวกเมิ่งหรูกลับมาที่กระบวนทัพหลักฝ่ายตัวเอง ทั้งตัวก็มีแต่เลือด ชิงเยว่โค้งตัวกุมหมัดคารวะต้องพวกเขา

พวกเมิ่งหรูก็กุมหมัดคารวะตามมารยาทเช่นกัน แต่ใครจะคิดว่าชิงเยว่จะยืนตรง แล้วกุมหมัดขอร้องอีก “ข้าต้องรีบกำจัดกองหนุนทางฝั่งใต้ ไม่ทราบว่าทุกคนยินดีจะช่วยข้ามั้ย?”

พวกเมิ่งหรูสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นอ๋าวเถี่ยก็บอกว่า “ลองพูดให้ฟังหน่อย”

ทว่าชิงเยว่กลับเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง พึมพำกับพวกเขาอยู่พักหนึ่ง

พวกเมิ่งหรูได้ฟังแล้วลังเลนิดหน่อย ชิงเยว่จึงถ่ายทอดเสียงโน้มน้าวอีก “อาศักยภาพของทุกคน ต่อให้ทำพลาด แต่ตอนที่ทัพฝ่ายศัตรูยังไม่รวมตัวกันจนการโจมตีมีประสิทธิภาพ พวกเราก็ฉวยโอกาสรีบหนีไปได้ ถ้าพบความไม่ชอบมาพากล จะได้หยุดแล้วปกป้องตัวเองล่วงหน้าได้”

เมิ่งหรู จ่างหง อ๋าวเถี่ยแอบถ่ายทอดเสียงปรึกษากันพักหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ทยอยกันพยักหน้า นับว่าตอบตกลงแล้ว

ผ่านไปครู่เดียว ทางฝั่งนี้ก็คว้าตัวทหารพิการร้อยกว่าคนของทัพตะวันออกที่โชคดียังไม่ตาย ชิงเยว่พูดกับพวกเขาว่า “ตามที่ข้ารู้มา ไป่หลี่เจี๋ยนำทัพใหญ่สามแสนออกจากกองหนุนฝั่งใต้ไปสนับสนุนเชออู่ แต่กลับไม่รู้ว่าเชออู่โดนข้ากำจัดแล้ว! วันนี้ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าหรอก จะปล่อยพวกเขาไปบอกไป่หลี่เจี๋ยสักหน่อย บอกว่าเชออู่แพ้แล้ว บอกไป่หลี่เจี๋ยว่าอย่ามารนหาที่ตาย ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!” พูดจบก็ชี้ไปทางอื่นพร้อมตะคอก “ไสหัวไปให้หมด!”

ทหารร้อยกว่าคนนี้หนีรอดจากความตาย มีหรือที่จะไม่อยากรอดชีวิต พวกเขาหนีไปตามทิศทางที่ชิงเยว่ชี้บอกทันที เพียงแน่น่าสงสารที่บนตัวไม่มีของอะไรแล้ว ไม่มีแผนที่ไว้แยกแยะทิศทาง ไม่มีระฆังดาราไว้ติดต่อใคร ไม่รู้อีกว่ากำลังพลสายอื่นอยู่ทางไหน ได้แต่หนีไปตามทิศทางที่ชิงเยว่ชี้

จากนั้นชิงเยว่ก็ไม่สนใจความแตกต่างของชายหญิงแล้ว นางคว้าข้อมือหลงซิ่น แล้วถ่ายทอดเสียงคุยงานบางอย่างกัน

กำลังพลทางนี้เพิ่งไปได้ไม่นาน กองหนุนสามหมื่นกว่าคนที่รวมกลุ่มจากสายลับก็มาถึงที่เกิดเหตุ แต่เห็นเลือดลอยละล่อง ทั้งยังมีแขนขาลอยกระจัดกระจายเอื่อยเฉื่อย ทุกอย่างพิสูจน์ว่าการต่อสู้จบลงแล้ว

ทหารที่นำหน้ามามองไปรอบๆ อย่างงุนงงพักหนึ่ง แล้วรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ

“อะไรนะ?” อ๋าวเฟยที่อยู่ระหว่างทางได้ยินข่าวที่จุดสู้รบแล้วตกใจมาก “ก่อนหน้านี้สู้ถ่วงเวลามานานขนาดนั้น ทำไมจู่ๆ บทจะแพ้ก็แพ้?”

หวังหย่วนเฉียวที่เหาะมาด้วยส่ายหน้าอย่างขื่นขม “มีความเป็นไปได้สูงว่าฝ่ายเราแพ้แล้ว ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะติดต่อเชออู่กับจงซานหมิงไม่ติด ตอนนี้สายลับที่พวกเราปล่อยไปก็ทยอยมารวมตัวกันแล้ว กำลังพลกลุ่มนั้นของหนิวโหย่วเต๋อไปอยู่ไหนพวกเราเองก็ไม่รู้ นอกเสียจากสายลับที่มารวมตัวกับพวกเราจะบังเอิญเจอ ทว่าดาราจักรกว้างใหญ่ขนาดนี้ เหมือนจะมีความเป็นไปได้น้อย”

“เฮ้อ!” อ๋าวเฟยยกมือตบหน้าผาก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก “พี่เชอ พี่จง อ๋าวเฟยไร้ความสามารถ ทำผิดต่อพวกเจ้าแล้ว!”

แต่เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์นี้ เขาเองก็สงบจิตสงบใจเร็วเช่นกัน “พวกเราไม่มีสายลับ แต่สายลับของหนิวโหย่วเต๋อกลับยังอยู่ กำลังพลกลุ่มนั้นที่หายไปมีความเป็นไปได้สามอย่าง หนึ่งคือหลบซ่อน สองคือไปหากำลังพลฝั่งใต้แล้ว สามคือคิดหาทางไปบรรจบกับหนิวโหย่วเต๋อ สองอย่างหลังไม่น่าเป็นไปได้ สรุปก็คือไม่ว่าจะเป็นข้อไหน พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องหลอกล่อหนิวโหย่วเต๋ออีกแล้ว กำจัดทิ้งทันที แจ้งให้ลู่ผิงฟางกับอูจินหวนเตรียมตัวลงมือ แล้วก็บอกกำลังพลฝั่งตะวันออก ใต้ เหนือ ให้พวกเขามาเจอกันตามแผนเดิม อย่าให้ทัพฝ่ายศัตรูฉวยโอกาส มีแต่ต้องรวมตัวกันเท่านั้น ก็จะไม่มีอะไรน่ากังวลแล้ว”

“รับทราบ!” หวังหย่วนเฉียวเอ่ยรับ แล้วเขากับคงฮั่นก็รีบถ่ายทอดคำสั่งลงไป

………………

อิ๋งจิ่วกวง : ก่อนที่กองทัพองครักษ์จะไปถึง ถ้ามีคนของเจ้าเข้าร่วม ก็น่าจะกำจัดปัญหานี้ทิ้งได้

ฮ่าวเต๋อฟาง : ขนาดทัพใหญ่ห้าล้านยังกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เจ้าแน่ใจนะว่ากำลังพลของข้าที่อยู่แถวนั้นเข้าสระน้ำมังกรดำแล้วจะได้ผล? ฝั่งเจ้าให้ใครเป็นผู้บัญชาการรบ ทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้?

อิ๋งจิ่วกวง : อ๋าวเฟย!

ฮ่าวเต๋อฟางเงียบไปพักหนึ่ง เขารู้ถึงความสามารถของอ๋าวเฟย จึงตอบไปว่า : เจ้าคิดหาทางเอาเองแล้วกัน เรื่องนี้ข้าช่วยเจ้าไม่ไหว

อิ๋งจิ่วกวง : ตอนนี้ที่นั่นมีแค่คนของเจ้าที่อยู่ใกล้ สามารถไปได้ทันเวลา มีเงื่อนไขอะไรเจ้าเสนอมาได้

ฮ่าวเต๋อฟาง : มารดาเจ้าเถอะ ทำเรื่องพรรค์นี้อย่างกับหมาบ้า ยังจะให้ข้าบ้าไปกับเจ้าอีกเหรอ?เจ้ารีบฉวยโอกาสคิดหาวิธีอื่น

จากนั้นก็จบการติดต่อกับอิ๋งจิ่วกวงเสียเลย แล้วหันกลับมาสายหน้าให้ซูอวิ้นที่อยู่ข้างๆ “ครั้งนี้อิ๋งจิ่วกวงคงโดนเล่นงานจนหัวไฟลุกแล้ว”

“ไม่ได้ติดตามสถานการณ์ของสระน้ำมังกรดำหรือคะ?” ซูอวิ้นประหลาดใจเล็กน้อย “ทำไมกลายเป็นอย่างนี้ไปได้?”

“เขาบอกว่าประมุขชิงส่งกองทัพองครักษ์ห้าแสนไปช่วยหนิวโหย่วเต๋อที่สระน้ำมังกรดำ เรื่องนี้ข้าสงสัยนิดหน่อย ตาผีเฒ่านี่คงจะอยากดึงข้าลงน้ำไปด้วย” ฮ่าวเต๋อฟางตอบ

ซูอวิ้นครุ่นคิดพลางพยักหน้าเบาๆ “เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะทำอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้”

อิ๋งจิ่วกวงที่อยู่ริมแม่น้ำเขย่าระฆังดาราอีกหลายครั้งแต่ไม่ได้รับคำตอบจากฮ่าวเต๋อฟางอีก จึงเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากทุ่มระฆังดาราในมือ

เขาเก็บระฆังดาราแล้วหันกลับมา เห็นสีหน้าจั่วเอ๋อร์ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด รีบเขย่าระฆังดาราในมืออย่างร้อนใจ ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน ดูจากสีหน้าจั่วเอ๋อร์ก็รู้เลยว่าไม่ใช่ข่าวดีอะไร

อิ๋งจิ่วกวงรอด้วยสีหน้าบึ้งตึง กระทั่งจั่วเอ๋อร์วางระฆังดาราแล้ว ถึงได้ถามเสียงต่ำว่า “มีเรื่องอะไร?”

จั่วเอ๋อร์ฝืนตอบว่า “ทางแดนรัตติกาลรวบรวมคนไปขอคนที่ปราสาทดำเนินจันทร์ ด้วยความที่พวกเราขู่ ลี่หัวจึงไม่ได้ขัดขวาง แค่ประกาศว่าจะฟ้องประมุขชิง แต่คนในครอบครัวหนิวโหย่วเต๋อไปหลบที่ไหนหมดแล้วก็ไม่รู้ คนของพวกเรากลับไปมือเปล่า ไม่ได้อะไรกลับมา”

อิ๋งจิ่วกวงจ้องนางพักหนึ่ง “ไม่ถูก! เจ้ามีอะไรกำลังปิดบังข้า เรื่องที่ครอบครัวของหนิวโหย่วเต๋อหนีไปคือสิ่งที่ข้าคาดเดาไว้อยู่แล้ว จับไม่ได้ก็คือจับไม่ได้ ไม่ถึงขั้นทำให้สีหน้าเจ้าเป็นแบบนี้ บอกมา!” เขาตะคอก

จั่วเอ๋อร์ไม่อยากรายงานข่าวนี้ให้เขารู้เลยจริงๆ แต่ในเมื่อเขาถามถึงแล้ว ไม่สะดวกจะปิดบังด้วย จึงตอบอย่างไม่สบายใจว่า “ท่านอ๋อง เพิ่งได้ข่าวจากร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ บอกว่าร้านค้าได้ข่าวจากเจ๋อชุนชิวว่าให้นำทรัพย์สินในร้านค้ามาหมุนเวียนใช้ ร้านค้าจึงนำทรัพย์สินถ่ายเทให้คนที่มารับต่อ บ่าวรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล จึงสั่งให้ตรวจสอบทันที ผลก็คือพบว่าร้านค้านับพันในมือพวกเราถูกขนย้ายทรัพย์สินไปหมดแล้ว”

ร้านค้าของตระกูลอิ๋งนับพัน แค่คิดก็รู้แล้วว่าเป็นทรัพย์สินจำนวนเท่าไร อิ๋งจิ่วกวงถลึงตาตะคอกว่า “พวกเขาเป็นหมูรึไง? เจ๋อชุนชิวอยู่ที่สระน้ำมังกรดำ เป็นไปได้ว่าตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อตามไอ้ลูกทรพีนั่นไปแล้ว จะถ่ายทอดคำสั่งให้พวกเขาได้ยังไง!”

“ที่สำคัญคือเรื่องสระน้ำมังกรดำเป็นความลับ เบื้องล่างไม่รู้ว่าเจ๋อชุนชิวอยู่ที่สระน้ำมังกรดำ…” จั่วเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก คิดในใจว่านี่เป็นเพราะเบื้องล่างมีคนอยากนั่งตำแหน่งของเจ๋อชุนชิว จึงรายงานข่าวนี้มา ถึงได้เผยพิรุธของเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นก็คงถ่วงเวลาไปอีกสักพักถึงจะรู้

อิ๋งจิ่วกวงทำสีหน้าราวกับโดนตะคริวกิน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครทำ เป็นไปได้ว่าเจ๋อชุนชิวตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ยังจะมีใครทำได้อีก? เขาหัวเราะหึหึอยู่พักหนึ่ง เดือดดาลสุดขีดจนหัวเราะประชด “ดี! หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ากล้าหาญ…”

เขาโมโหจนแทบกระอักเลือด ในที่สุดเข้าใจความรู้สึกที่ว่า ‘บ้านหลังคารั่วซ้ำยังถูกฝนกระหน่ำทั้งคืน’ พบว่าประสบเคราะห์ภัยแล้วจริงๆ ฝ่ายนี้วางกับดักที่สระน้ำมังกรดำ แต่หนิวโหย่วเต๋อจับเผ่าเทพอสรพิษดำไปเป็นตัวประกันให้ต่อต้าน ต่อให้โถงชุมนุมอัจฉริยะพังทลายแต่ก็ต้องทำลายชื่อเสียงอ๋องสวรรค์อิ๋งให้ได้ ฝ่ายนี้ส่งคนไปจับตัวคนในครอบครัวของอีกฝ่าย แต่หนิวโหย่วเต๋อก็ส่งคนไปเล่นงานร้านค้านับพันของเขา เป็นการผลัดกันลงมืออย่างโหดเหี้ยมจริงๆ ไม่มีความปรานีใดๆ ล้วนอยากเล่นงานฝ่ายตรงข้ามให้ถึงตาย ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อยังสู้กับกำลังพลของเขาที่สระน้ำมังกรดำ นี่ยังไม่นับที่จับตัวอิ๋งอู๋หม่านลูกชายของเขาไป

ถ้าพูดจาอีกมุมหนึ่ง เขาก็ต้องยอมรับว่าหนิวโหย่วเต๋อยิ่งใหญ่แล้วจริงๆ เพราะใช้กำลังลงมือทั่วทุกที่ได้ ราวกับเป็นสุนัขบ้า ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังแล้วจริงๆ เสียใจที่ไม่กำจัดหนิวโหย่วเต๋อทิ้งตอนที่ยังไม่ยิง่ใหญ่ จึงทิ้งภัยพิบัติแบบนี้ไว้!

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ในโถงหลักของเรือนด้านหลัง เม่ยเหนียงและลูกสาวถูกกันออกไปแล้ว ก่วงลิ่งกงกับโกวเยว่เฝ้าอยู่ข้างเข็มทิศ โกวเยว่ได้รับข่าวจากสายลับที่อยู่ทางนั้นไม่หยุดหย่อน

“ทัพตะวันออกใช้กลยุทธ์เติมเชื้อเพลิง หนิวโหย่วเต๋อกำลังล่อกองหนุนออกมาโจมตี ทัพตะวันออกกำลังเอาชีวิตคนไปถ่วงเวลา หนิวโหย่วเต๋อไม่กลัวว่ากองหนุนฝ่ายตรงข้ามจะตามไปถึงเหรอ? สู้กันจนกลายเป็นอย่างนั้น สองฝ่ายกำลังเล่นบ้าอะไร?” ก่วงลิ่งกงเอามือลูบเคราพึมพำ

โกวเยว่กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ตอนยังไม่ประมือกันก็ยังไม่รู้ แต่ดูจากจุดที่ต่อสู้กัน ชีวิตคนทัพตะวันออกที่ทุ่มเข้าไปคงไม่ต่ำกว่าห้าแสน เสียกำลังพลไปมากขนาดนี้เพื่อรับมือกับทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาล มันช่าง…” เขาส่ายหน้า

“หนิวโหย่วเต๋อนี่ห้าวหาญมากทีเดียว ต่อให้ตายก็กัดไม่ปล่อยจริงๆ” ก่วงลิ่งกงกล่าวอย่างรู้สึกขำ

สระน้ำมังกรดำ ในพื้นที่วางของกระเป๋าสัตว์ พอพวกเหมียวอี้เข้ามาแล้ว ก็นำเข็มทิศออกมาทันที กำลังพลที่รับหน้าที่ประสานงานก็คอยใช้ระฆังดาราสื่อสารอยู่ข้างๆ ไม่หยุด บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด

เรื่องแรกที่เหมียวอี้ทำก็คือถามว่า “ตามมาหรือยัง?”

เหลิ่งจัวฉุนที่กำลังถือระฆังดาราติดต่อตานฉิงพยักหน้า “ตามมาแล้ว”

“ให้กำลังพลสายต่างๆ ที่จับตาดูฝ่ายศัตรูเคลื่อนไหวได้” เหมียวอี้กล่าว

ไม่นานก็มีคนมารายงาน “นายท่าน ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่ปิดทางเข้าเปลี่ยนเส้นทางมาดักแล้ว”

“กำลังพลสายอื่นมีปฏิกิริยาอะไรหรือเปล่า?” เหมียวอี้ถาม

“ตอนนี้ยังไม่เห็นมีปฏิกิริยาอะไร” ผู้รายงานตอบ

เหลิ่งจัวฉุนชี้ข็มทิศ “เจตนาของฝ่ายตรงข้ามชัดเจนมาก ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่ปิดล้อมทางเข้าเปลี่ยนเส้นทางก็เพื่อมาดักพวกเรา ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่ปิดล้อมทางออกก็ตามติดพวกเราไม่ปล่อย เพื่อที่จะตีขนาบหน้าหลังพวกเรา ตอนหลังค่อยรวบรวมกำลังพลสายอื่นไปกำจัดกำลังพลของชิงเยว่ แล้วค่อยรวบรวมกำลังพลทั้งหมดมากำจัดพวกเราทิ้ง”

เหมียวอี้พยักหน้า ชี้ที่เข็มทิศ “ทัพใหญ่ตรงทางออกอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ย้ายจากตรงนั้นมาตามหลังพวกเราแล้ว ทัพใหญ่ตรงทางเข้าอยู่ทางทิศตะวันตก เดิมทีมุ่งหน้าไปที่สนามรบ แต่ตอนนี้เปลี่ยนเส้นทางมาดักพวกเราแล้ว ตอนนี้พวกเราถ่วงรั้งทัพใหญ่สองล้านได้แล้ว แต่เท่านี้ยังไม่พอ ทางฝั่งชิงเยว่ต้านการล้อมปราบจากทัพตะวันออกสองแสนกว่าไม่ไหว ยังต้องให้พวกเราไปแก้สถานการณ์ให้ กำลังพลหนึ่งแสนที่เที่ยวตระเวนถูกกำจัดแล้ว กำลังพลที่ดักซุ่มทางทิศตะวันตกก็ถูกกำจัดแล้วเช่นกัน ตอนนี้สายลับหนึ่งล้านถูกพวกเรากำจัดไปสามแสนกว่า ที่เหลืออีกเจ็ดแสนยังเข้ามาเพิ่มไม่หยุดหย่อน แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว กลยุทธ์เติมเชื้อเพลิงก็แค่ส่งคนมารนหาที่ตายเท่านั้น

ตอนนี้ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของชิงเยว่ก็คือกำลังพลดักซุ่มฝั่งตะวันออก กำลังพลดักซุ่มฝั่งเหนือ กำลังพลดักซุ่มฝั่งใต้ แล้วยังมีทัพกลางของอ๋าวเฟยอีก จุดที่สู้กันอยู่ใกล้ทิศตะวันตกเฉียงใต้ หรือพูดได้อีกอย่างว่า กองหนุนทางฝั่งใต้จะไปโจมตีกำลังพลของชิงเยว่ก่อน ที่รองลงมาก็คือทัพกลางของอ๋าวเฟยที่วางกำลังไว้ตรงกลางสระน้ำมังกรดำ สุดท้ายถึงจะเป็นกำลังพลฝั่งตะวันออกกำลังฝั่งเหนือ ตอนนี้กำลังพลฝั่งใต้แทบจะสูญเสียการควบคุมแล้ว สิ่งที่พวกเราต้องทำตอนนี้ก็คือ ถ่วงทัพกลางของอ๋าวเฟย กำลังพลฝั่งตะวันออกและฝั่งเหนือเหนือเอาไว้ พยายามถ่วงเวลาให้กำลังพลของชิงเยว่สะสมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ให้ได้มากกว่านี้ บ่มเอาไว้โจมตีกลับ!”

“นายท่านคิดจะถ่วงรั้งยังไง?” เหลิ่งจัวฉุนถาม

เหมียวอี้ชี้ตำแหน่งคร่าวๆ ที่ทัพใหญ่ดักบนเข็มทิศ “ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบเปลี่ยนแปลง รอให้ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่ดักเข้าใกล่พวกเราก่อน ตอนที่ใกล้เข้ามาหาพวกเรา ให้เลี้ยวหลบพวกเขาทันที พยายามถ่วงเวลาให้ชิงเยว่!” นิ้วลากอยู่บนเข็มทิศ “ไปแทรกกลางทาง จู่โจมทัพกลางของอ๋าวเฟย ในมืออ๋าวเฟยคงจะเหลือกำลังพลแค่สี่แสน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ประมาณห้าพัน ยามเผชิญหน้ากับทัพใหญ่หนึ่งแสนติดอาวุธของพวกเรา มีหรือที่อ๋าวเฟยจะไม่กลัว ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่ตามมาทีหลังกลัวว่าพวกเราจะเป็นภัยคุกคามต่ออ๋าวเฟย จะต้องกัดไม่ปล่อยแน่ ถ้าอ๋าวเฟยโหดมากพอ เพื่อที่จะถ่วงพวกเราไม่ให้เข้าใกล้ชิงเยว่มากเกินไป ก็น่าจะเอาตัวเองมาเป็นเหยื่อล่อ แล้วดึงพวกเรามาไกลๆ หน่อยค่อยลงมือ! ข้าเดาว่าอ๋าวเฟยต้องทำอย่างนี้แน่นอน เจ้าหมอนี่มันเป็นคนโหด คนที่เอาชีวิตคนมาใช้กลยุทธ์เติมเชื้อเพลิงได้ สามารถทำแบบนี้ได้อยู่แล้ว”

กุยอู๋พยักหน้า “พอเป็นแบบนี้ ก็ลดแรงกดดันจากทัพกลางสี่แสนในมืออ๋าวเฟยให้ชิงเยว่ได้ชั่วคราว”

เหมียวอี้หดมือกลับมาจากเข็มทิศ “บอกให้ตานฉิงเตรียมตัวให้พร้อม”

ในดาราจักรหลากสีสัน กองหนุนที่ทยอยมาถึงอย่างต่อเนื่องได้รับคำสั่งตายแล้ว ให้ฝ่าเข้าขบวนรบไปช่วยเชออู่

จงซานหมิงนำกำลังพลหนึ่งแสนไปถึงอย่างรวดเร็ว ภายใต้การโจมตีอันดุเดือดของลูกธนูดาวตก เกิดการบาดเจ็บล้มตายอย่างหนัก สุดท้ายก็ฝ่าเข้าไปรวมกับเชออู่ในขบวนรบแล้ว

ตอนนี้เชออู่ตาสองข้างแดงก่ำ คำรามเสียงแตกเพื่อบัญชาการให้กำลังพลที่เหลือไม่มากสู้ตาย การมาถึงของจงซานหมิงทำให้เขาได้พักหายใจนิดหน่อยเท่านั้น ทั้งสองบัญชาการกำลังพลให้สู้ตายเพื่อถ่วงรั้งทัพพันธมิตรไว้ ถ้ทัพพันธมิตรจะถอย ฝั่งนี้ก็จะกระโดนเข้าใจอย่างไม่คิดชีวิตทันที ต่อสู้กันอย่างอุตลุต ไม่ให้อาสทั้งสองฝ่ายดึงระยะห่างออกจากกัน

ส่วนฝั่งทัพใหญ่พันธมิตรแม้จะบาดเจ็บล้มตายไปแล้วไม่น้อย แต่กลับโจมตีได้อย่างคล่องมือมากขึ้น ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งสู้ก็ยิ่งได้อาวุธยอดที่เยี่ยม ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเผ่าเทพอสรพิษดำเริ่มหลุดออกจากความรู้สึกหวาดกลัวเหมือนตอนแรกที่ต่อสู้แล้ว เมื่อเข่นฆ่ากันไปนานๆ ก็เริ่มมีประสบการณ์ คุ้นเคยกับการให้ความร่วมมือในขบวนรบมากขึ้นแล้ว

“นายท่าน สายลับรายงานมา ว่ากำลังพลฝ่ายศัตรูที่มากดักอยู่ไม่ห่างจากพวกเราแล้ว!”

ในกระเป๋าสัตว์ คนจากศูนย์ประสานงานรีบรายงานเหมียวอี้

เหมียวอี้ถ่ายทอดคำสั่งอย่างเด็ดขาด “เปลี่ยนทิศทาง บุกโจมตีทัพกลางของอ๋าวเฟย!”

ในดาราจักร พวกตานฉิงรีบเบี่ยงออกจากเส้นทางเดิม กำลังพลที่ตามหลังมากัดไม่ปล่อย กำลังพลที่ดักอยู่อีกฝั่งก็ปรับทิศทางตามมาเช่นกัน

หวังหย่วนเฉียวที่ได้รับข่าวรีบรายงานอ๋าวเฟย “แม่ทัพใหญ่ ลู่ผิงฟางที่ตามติดหนิวโหย่วเต๋อรายงานมา ว่าหนิวโหย่วเต๋อเปลี่ยนทิศทางแล้ว ไม่ได้ไปช่วยสนับสนุนทัพใหญ่”

“ไปไหนแล้ว?” อ๋าวเฟยรีบถาม

หวังหย่วนเฉียว: “ตอนนี้ยังไม่รู้เจตนาของหนิวโหย่วเต๋อ ไม่มีทางตัดสินทิศทางได้”

“บอกอูจินหวน ไม่ต้องตามหลังแล้ว ให้ตามอยู่ข้างๆ ไปทางสนามรบ ไล่โจมตีด้านข้าง ป้องกันไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อเปลี่ยนทิศทางกลับไปในเวลากระชั้นชิด ฝ่ายเราจะได้พร้อมดักได้ทุกเมื่อ” อ๋าวเฟยกล่าว

หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ตามรายงานการไล่โจมตีของลู่ผิงฟาง หวังหย่วนเฉียวเหมือนจะตัดสินอะไรบางอย่างได้แล้ว จึงรายงานต่ออ๋าวเฟยอีกครั้ง “แม่ทัพใหญ่ หนิวโหย่วเต๋อเหมือนจะมุ่งมาทางพวกเรา เหมือนจะมีเป้าหมายเป็นทัพกลางของพวกเรา!”

“หยุด!” อ๋าวเฟยที่คิ้วกระตุกพลันตะโกนหยุดกำลังพลที่กำลังเหาะไปข้างหน้า พวกเขาหยุดอยู่กลางท้องฟ้า แล้วแสยะยิ้มไม่หยุด “เจ้าเด็กดี อวดฉลาดนักนะ สงสัยจะตัดสินว่าอาวุธในมือทัพกลางของข้ามีไม่เยอะ รู้ว่าพวกเราต้านการโจมตีจากกำลังพลห้าแสนของเขาไม่ไหว!”

“ดูท่าแล้วเขาคงอยากโจมตีพวกเรา บีบให้กำลังพลสายอื่นเปลี่ยนทิศทางมาสนับสนุน จะได้ถ่วงเวลาให้จุดที่กำลังพลกำลังประมือกันได้สะดวก” คงฮั่นกล่าวเสียงต่ำ

อ๋าวเฟยพยักหน้า “ไม่ผิดหรอก เขาย่อมคิดว่าถ้าโจมตีศูนย์บัญชาการของเรา ก็จะบีบให้กำลังพลสายอื่นรีบมาช่วยได้! ดี งั้นข้าก็จะทำให้เขาสมปรารถนา ลดความเร็วลง รอให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ แล้วพวกเราค่อยหนีเพื่อล่อให้อีกฝ่ายโจมตี ต้องดึงกำลังพลเก่งๆ ของเขาให้อยู่ห่างจากจุดสู้รบสักหน่อย อย่าให้โอกาสกำลังพลสองกลุ่มนั้นรวมกัน บอกอูจินหวนกับลู่ผิงฟาง รอข้าให้ล่อหนิวโหย่วเต๋อออกไปไกลพอสมควร ข้าจะโจมตีกลับทันที สั่งให้สองคนนั้นให้ความร่วมมือเต็มที่ ไม่ต้องสนใจฝั่งข้า ให้รวมกำลังพลไปจัดการกำลังพลที่สู้กันอุตลุตอยู่ในสนามรบ!”

……………

นอกสระน้ำมังกรดำ ประตูดวงดาวตรงทางเข้าและจุดสุญญากาศตรงทางออก จู่ๆ ก็มีกำลังกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวขึ้น

ทั้งสองจุดล้วนมีทัพใหญ่หลายล้าน เป็นกำลังพลทัพใต้ที่ได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ให้มาตรวจสอบ ทว่ากำลังพลกลุ่มนี้ไม่ได้เข้าไปตรวจในสระน้ำมังกรดำตามคำสั่งตำหนักสวรรค์ แม่ทัพนำทัพใหญ่มารักษาการณ์ตรงทางเข้าออก เฝ้าไว้!

แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง บนตึกในเรือนด้านหลังของตำหนักปราชญ์

ใต้ตึก อวิ๋นอ้าวเทียน มู่ฝานจวิน ซือถูเซี่ยว ฉางเหลย จีฮวน ทั้งห้ามาถึงครบแล้ว ต่างคนต่างก็พาประมุขขุนพลมาด้วย พวกเขาเงยหน้ามองบนตึกเป็นระยะ

สถานการณ์ทางสระน้ำมังกรดำเริ่มดุเดือดขึ้น คนพวกนี้นั่งไม่ติดที่แล้ว ทยอยกันมาถึงที่นี่ แต่กลับถูกจินม่านขวางไว้ บอกว่าผู้ช่วยใหญ่มีธุระสำคัญ ไม่สะดวกจะรบกวน คนพวกนี้จึงทำได้เพียงรออยู่ตรงนี้

บนตึกศาลา หยางชิ่งนั่งพิงเก้าอี้อยู่ริมหน้าต่าง หลับตาโดยไม่พูดอะไร แต่มองเห็นได้ว่าลูกตาที่อยู่ใต้หนังตากำลังกลอกไปกลอกมาเป็นระยะ

จินม่านยืนกอดอกพิงริมหน้าต่าง มองดูมหาสมุทรกว้างที่อยู่ไกลๆ บางครั้งก็หันกลับมามองหยางชิ่งที่กำลังหลับตาอยู่ รู้ว่าเขากำลังครุ่นคิดเรื่องราว จึงไม่ได้รบกวนเขา

ตอนที่ได้ยินเก้าอี้ไม้ขยับเบาๆ พักหนึ่ง จินม่านก็หันกลับมามองอีกครั้ง เห็นหยางชิ่งค่อยๆ ลุกนั่ง แล้วยืนขึ้นอย่างช้าๆ

“เจ้าคิดหนักเกินไปแล้ว ในเมื่อตัดสินใจแทนราชาปราชญ์ไม่ได้ ต่อให้คิดมากกว่านี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” จินม่านพูดแขวะ

หยางชิ่งยิ้มบางๆ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้เสียเลย

ตรงทางออกสระน้ำมังกรดำ ทัพตะวันออกหนึ่งล้านที่เคยดักซุ่มอยู่ตรงนี้ปรากฏตัวหมดแล้ว กำลังเฝ้าที่นี่อย่างโจ่งแจ้ง

บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ไกลๆ พวกเหมียวอี้มาถึงแล้ว ตานฉิงรวมทั้งผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำโผล่หน้ามาต้อนรับ

มองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง ถามตรงๆ เลยว่า “สิ่งที่ให้พวกเจ้าเตรียมไว้ พวกเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยหรือยัง?”

ตานฉิงพยักหน้า “นายท่านวางใจ เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว”

ขณะกำลังจะเอ่ยปากพูด เหมียวอี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าหยางชิ่งกำลังติดต่อมาหาเขา จึงหยิบระฆังดาราออกมา แล้วถามว่า : มีเรื่องอะไร?

หยางชิ่ง : นายท่าน ศพกับเชลยศึกของทัพตะวันออกห้าล้าน นายท่านพยายามรวบรวมไว้ก็ได้ ไม่แน่ว่าอาจถึงเวลาได้ใช้งาน

เหมียวอี้เงียบไป รู้ว่าหยางชิ่งพูดแบบนี้แสดงว่ามีเหตุผลแน่ ตอนนี้เป็นเวลาเร่งด่วน เขาไม่มีเวลามาค่อยๆ คิด จึงไม่ได้ถามอะไรละเอียดอีก ตอบไปเพียงว่า : เข้าใจแล้ว

หลังจากเก็บระฆังดารา เขาก็สั่งให้หยางเจาชิงติดต่อชิงเยว่เพื่อดำเนินการเรื่องนี้

จากนั้นคนเกือบสิบคนก็เร่งเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า มุ่งตรงไปยังดาราจักร

“นายท่าน มีความเคลื่อนไหว!”

ในทัพใหญ่หนึ่งล้านที่แน่นขนัดอยู่นอกประตูดวงดาวทางออก แม่ทัพคนหนึ่งรีบมาเตือนลู่ผิงฟาง

ลู่ผิงฟางที่กำลังคุยกับบรรดาแม่ทัพรีบหันกลับมา แล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป เห็นเงาคนรางๆ หลายคนกำลังเร่งเหาะมาทางนี้จริงด้วย ยังไม่ทันมองให้ละเอียด ทันใดนั้นเงาคนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทักใหญ่กองหนึ่งเร่งประชิดเข้ามาทางนี้

ลู่ผิงฟางตกใจทันที เขาเองก็กำลังติดตามสถานการณ์รบ นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ตรงนี้จะมีกำลังพลกลุ่มใหญ่ปรากฏตัว จึงรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนว่า “ข้าศึกบุก!”

ทัพใหญ่หนึ่งล้านรีบวางกำลัง ทว่าตอนที่กำลังจะเข้าใกล้ ทัพใหญ่กลับหยุดกะทันหัน ผู้ที่นำหน้ามายกมือห้ามทัพใหญ่ไม่ให้ไปต่อ จากนั้นหยิบระฆังดาราขึ้น ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน

ลู่ผิงฟางและทัพใหญ่หนึ่งล้านที่ปิดล้อมทางออกประตูดวงดาวสูดหายใจอย่างตกตะลึง ทัพใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีกำลังพลประมาณห้าแสน ทั้งหมดแทบจะสวมเกราะรบเครื่องแบบตำหนักสวรรค์ แทบจะเป็นเกราะม่วงทั้งหมด หกสิบคนที่อยู่หน้าสุดสวมเครื่องแบบแม่ทัพเกราะแดง หมายความว่าหกสิบคนนี้อย่างน้อยต้องเป็นนักพรตบงกชกลาย

ที่น่าหวาดกลัวที่สุดก็คือ ในมือของกำลังพลห้าแสนแทบจะมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คนละคัน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมหาศาลขนาดนี้ทำให้ฝั่งนี้ตกใจมาก

“นายท่าน คนที่สวมเกราะแดงมีขนนั่นคือหนิวโหย่วเต๋อ!” ผู้ช่วยข้างกายลู่ผิงฟางพลันโบกมือชี้เหมียวอี้ที่กำลังใช้ระฆังดาราติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง

“เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นหนิวโหย่วเต๋อ?” ลู่ผิงฟางหันขวับกลับมาถาม

ผู้ช่วยบอกว่า “ไม่ผิดแน่ ในปีนั้นตอนหนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติง ข้าเคยติดตามพ่อบ้านจั่วไปที่ตลาดสวรรค์ทางนั้น ข้าเคยเจอเขา”

ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ข้างหลังมีคนทยอยบอกมาเรื่อยๆ ยืนยันว่าแม่ทัพที่อยู่ข้างหน้าคือหนิวโหย่วเต๋อ บางคนบอกว่าเคยเจอที่ตลาดผีมาก่อน บางคนบอกว่าโชคดีเคยเจอที่อุททยานหลวง บางคนบอกว่าในปีก่อนๆ เคยเจอที่ตลาดสวรรค์

ลู่ผิงฟางรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออ๋าวเฟยด้วยสีหน้าคร่ำเครียด

ขณะเห็นทัพใหญ่หนึ่งล้านฝั่งตรงข้ามตอบสนองราวกับพบศัตรูที่น่ากลัว จู่ๆ เหลิ่งจัวฉุนที่ทำท่าครุ่นคิดพักหนึ่งก็ถ่ายทอดเสียงถามเหมียวอี้ว่า “ราชาปราชญ์ ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ว่าทำไมท่านต้องให้จุดซ่อนตัวอยู่ตรงตำแหน่งกลางทางออกและทางเข้าสระน้ำมังกรดำ ที่แท้ก็ทิ้งทางหนีทีไล่ไว้ตั้งแต่แรกแล้วนี่เอง เพราะอยู่ใกล้”

“ก็แค่ป้องกันเหตุไม่คาดคิดเท่านั้น แสดงละครมาพอสมควรแล้ว ถอนกำลัง หนีเถอะ!” เหมียวอี้ที่เก็บระฆังดาราโบกมือ

ทัพใหญ่ห้าแสนฝั่งนี้หดตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งเก็บเหมียวอี้เข้ากระเป๋าสัตว์ของตานฉิง ทัพใหญ่เปลี่ยนจำนวนคนแล้ว จู่ๆ ก็เลี้ยวหนีไปเลย

ในดาราจักร อ๋าวเฟยที่กำลังเร่งเหาะอยู่ในดาราจักรได้รับข่าวจากลู่ผิงฟางอย่างกะทันหัน เขาเองก็ตกใจเช่นกัน รีบถามว่า : เจ้ามองผิดหรือเปล่า หนิวโหย่วเต๋อจะเอากำลังพลห้าแสนจากไหนมาใส่เครื่องแบบนี้?

ลู่ผิงฟาง : แม่ทัพใหญ่ ไม่ผิดจริงๆ ข้าเห็นเองกับตา ไม่ใช่ตัวปลอม หนิวโหย่วเต๋อนำทัพใหญ่มาด้วยตัวเอง ทางฝั่งข้ามีคนไม่น้อยเคยเห็นหนิวโหย่วเต๋อ มองปราดเดียวก็จำเขาได้

อ๋าวเฟยถามว่า : เป็นกองทัพองครักษ์หรือเปล่า? ไม่อย่างนั้นจะเอาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาจากไหนมากมายขนาดนั้น?

ลู่ผิงฟาง : เรื่องนี้ข้าไม่มีทางยืนยันได้

อ๋าวเฟยรีบถามอีก : แล้วสถานการณ์ทางเจ้าเป็นยังไงบ้าง?

ลู่ผิงฟางมองกำลังพลที่รีบรวมตัวกันแล้วหนีไป ก่อนจะตอบว่า : ทางฝั่งข้ายังไม่มีอุปสรรคอะไร หนิวโหย่วเต๋อยังไม่โจมตีกำลังของข้า แต่กลับหยุดอย่างกะทันหัน เก็บกำลังพลหนีไปแล้ว ค่อนข้างแปลก

ทัพใหญ่ติดอาวุธมาอย่างห้าวหาญขนาดนั้น เห็นได้ชัดว่ากำลังจะโจมตีลู่ผิงฟาง แต่กลับถอยไปแล้ว นี่มันหลักการอะไรกัน? อ๋าวเฟยครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็หนังตากระตุก รีบถามว่า : กำลังพลไปทางไหน?

ลู่ผิงฟางงงไปชั่วขระ หลังจากแยกแยะทิศทางที่เงาคนหายไปแล้ว ก็พลันเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน รีบตอบว่า : แม่ทัพใหญ่ เหมือนจะไปทางจุดที่ทัพใหญ่สองฝ่ายสู้กันแล้ว

อ๋าวเฟยหลับตาสะบัดหน้า “ฮึ่ย” แล้วรีบบอกว่า : พวกเขาจะไปช่วยกำลังพลที่ถูกถ่วงเวลาไว้ อย่าให้เขาหนีไป ตามติดหลังพวกเขาไป ข้าจะรีบดึงทัพใหญ่หนึ่งล้านของอูจินหวนไปดักไว้ ถึงตอนนั้นจะมีทัพใหญ่สองล้านล้านขนาบโจมตีหน้าหลัง ถ้ากำจัดไม่ได้ก็ถ่วงเวลาไว้ก็พอ!

ลู่ผิงฟางเข้าใจแล้ว รีบโบกมือให้บรรดาแม่ทัพ “ตามข้าไปจับตาดูพวกเขาไว้ ส่วนคนที่เหลือรวบรวมทัพใหญ่ตามมา!”

ไม่สนใจทัพใหญ่ที่รวมตัวกันข้างหลังแล้ว เขานำคนไม่กี่คนเร่งตามไปก่อน ถ้าถ่วงเวลานานกว่านี้ ศัตรูก็อาจหายไปจนไร้เงาแล้ว ตอนนี้สายลับหนึ่งล้านที่อยู่ฝั่งนี้กำลังรวมตัวแล้ว ไม่มีคนคอยช่วยจับตาดูให้พวกเขาอีกแล้ว

พอพวกอ๋าวเฟยไปแล้ว แม่ทัพที่อยู่ข้างหลังก็รีบรวบรวมทัพใหญ่ แล้วก็ตามหลังไป

อีกด้านหนึ่ง พอหวังหย่วนเฉียวเห็นอ๋าวเฟยมีสีหน้าโกรธแค้น ก็รีบถามว่า “แม่ทัพใหญ่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

อ๋าวเฟยตอบว่า “สาเหตุที่ไอ้จัญไรนั่นไม่โผล่มาเลย ก็เพราะในมือยังมีทัพใหญ่เกรียงไกรห้าแสน ทัพใหญ่ที่โดนพวกเราถ่วงไว้คือกับดัก เขาฉวยโอกาสตอนที่พวกเรารวมทัพใหญ่ นำทัพเกรียงไกรห้าแสนไปจู่โจมกำลังพลของลู่ผิงฟางแล้ว”

คงฮั่นประหลาดใจ “มีอะไรน่ากลัว? กำลังพลห้าแสนนั่นคงจะเป็นกำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำ ถ้าเจอกับลู่ผิงฟางก็ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย จะได้กำจัดรวดเดียวเลย”

อ๋าวเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ “ที่สำคัญคือกำลังพลห้าแสนนั่นไม่ใช่คนของเผ่าเทพอสรพิษดำ ทุกคนใส่เคนื่องแบบตำหนักสวรรค์ มีแต่ยอดฝีมือ แล้วในมือแต่ละคนก็ถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ นี่คือเครื่องแบบที่เผ่าเทพอสรพิษดำหามาได้เหรอ?”

อ๋าวเฟยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอีก “ข้าสงสัยว่าคนของกองทัพองครักษ์จะสอดมือเข้ามายุ่ง!”

“ประมุขชิงทำแบบนี้หมายความว่ายังไง? ให้ท่านอ๋องไปถามดูเถอะ!” หวังหย่วนเฉียวกล่าวอย่างโมโห

อ๋าวเฟยบอกว่า “ถ้ามบ้าอะไรล่ะ! ตอนนี้พวกเราเป็นโจร เปิดเผยฐานะที่แท้จริงได้เหรอ? กองทัพองครักษ์ปราบโจรผิดตรงไหน? ถ้าเปิดโปงขึ้นมา นอากจากประมุขชิงจะมาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย เรื่องที่พวกเราดักฆ่าหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นการทำผิดกฎ แล้วจะให้ท่านอ๋องชี้แจงยังไง?”

“สถานการณ์การรบฝั่งลู่ผิงฟางเป็นยังไง?” คงฮั่นถาม

อ๋าวเฟยส่ายหน้า “ไม่ได้สู้กันเลย หลังจากหนิวโหย่วเต๋อนำทหารไปถึง จู่ๆ ก็ถอนกำลัง ไปทางจุดที่ทัพใหญ่สองฝ่ายกำลังต่อสู้กัน สถานการณ์ชัดเจนมาก เขาโยนกำลังพลมาล่อให้ทัพใหญ่ฝั่งพวกเรารวมตัวกัน จากนั้นค่อยโจมตีลู่ผิงฟาง จุดประสงค์ก็เพื่อกำจัดกำลังพลของลู่ผิงฟางได้อย่างไม่มีอะไรมาถ่วงรั้ง แต่เขาก็นึกไม่ถึงว่ากำลังพลที่เขาโยนออกมาล่อโดนพวกเราพัวพันไว้แล้ว ถ้าเสียเวลาอยู่กับลู่ผิงฟางอีก ทัพใหญ่แดนรัตติกาลของเขาก็จะตายกันหมด พอในมือไม่มีกำลังพลแล้ว เขาก็แบกรับผลที่ตามมาไม่ไหว ดังนั้นจึงเลิกตามไปช่วยลู่ผิงฟางก่อน!”

หวังหย่วนเฉียวกล่าวเสียงต่ำว่า “จะให้ทัพใหญ่สองกลุ่มนั้นไปรวมตัวกันไม่ได้ ถ้ากำลังพลกลุ่มใหญ่รวมตัวกับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดใหญ่ สุดท้ายต่อให้พวกเราชนะ แต่ก็เป็นชัยชนะที่ยับเยิน เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้น แม้แต่กำลังพลหนึ่งล้านก็พากลับไปไม่ได้!”

อ๋าวเฟยแนะนำทั้งสองว่า “ดังนั้นข้าจึงสั่งให้ทัพใหญ่ของลู่ผิงฟางตามหลังเขาไป ตอนนี้สั่งให้ทัพใหญ่หนึ่งล้านของอูจินหวนเปลี่ยนทิศทาง ต้องดักหนิวโหย่วเต๋อไว้ให้ได้ แล้วค่อยตีขนาบหน้าหลังพร้อมกับลู่ผิงฟาง! ต่อให้กำจัดไม่ได้ แต่ก็รอให้พวกเราจัดการข้าศึกที่ติดพันต่อสู้นั่นก่อน แล้วจะตามไปสนับสนุน!”

ทั้งสองหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที ส่วนอ๋าวเฟยก็นำระฆังดาราขึ้นมาติดต่ออิ๋งจิ่วกวง

ริมแม่น้ำ อิ๋งจิ่วกวงราวกับสัตว์ร้ายที่ถูกยั่วโมโห พลันหันตัวมา ประชิดเข้าหาจนจั่วเอ๋อร์จนก้าวถอยหลัง “กองทัพองครักษ์ห้าแสน?”

จั่วเอ๋อร์ถอยหลังอย่างกังวลพร้อมตอบว่า “ท่านอ๋อง อ๋าวเฟยเองก็ยืนยันไม่ได้ เพียงเดาจากเครื่องแบบและอาวุธของฝ่ายตรงข้าม!”

อิ๋งจิ่วกวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “นอกจากกองทัพองครักษ์ หนิวโหย่วเต๋อจะเอาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาจากไหนมากขนาดนั้น? ตระกูลอื่นไม่มีทางให้เขา! ช่างดีนักนะประมุขชิง นึกไม่ถึงว่าจะวางกับดักข้าอย่างนี้ บัญชีนี้เอาไว้พวกเราค่อยๆ สะสางเถอะ!” เขาสะบัดแขนเสื้อ ถือระฆังดาราอันหนึ่งไว้ในมือ ติดต่อฮ่าวเต๋อฟางโดยตรงแล้ว

ฮ่าวเต๋อฟางถามว่า : ยังเหลือเวลาอีกไม่ถึงสามชั่วยาม สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?

อิ๋งจิ่วกวง : กำลังพลของเจ้าไปถึงด้านนอกสระน้ำมังกรดำหรือยัง?

ฮ่าวเต๋อฟาง : ถึงแล้ว เจ้าวางใจเถอะ ถ้ายังไม่ถึงเวลา คนของข้าก็ไม่เข้าไป

อิ๋งจิ่วกวง : สั่งให้คนของเจ้าเข้าไปเดี๋ยวนี้ ช่วยข้าอีกแรง!

ฮ่าวเต๋อฟาง : ล้อเล่นอะไรของเจ้า? เจ้าบ้าไปแล้ว หรือว่าข้าบ้าไปแล้ว? มีทัพเกรียงไกรห้าล้านแล้วยังจะให้คนของข้าไปช่วยอีกเหรอ?

อิ๋งจิ่วกวง : ประมุขชิงกำลังหนุนหลังหนิวโหย่วเต๋อ เล่นไม่ซื่ออยู่เบื้องหลัง ในสระน้ำมังกรดำมีกองทัพองครักษ์ห้าแสนโผล่มา!

ฮ่าวเต๋อฟางเงียบทันที สุดท้ายก็ตอบช้าๆ ว่า : งั้นคนของข้าก็ยิ่งเข้าไปไม่ได้ ตอนนี้กำลังพลห้าล้านของเจ้าคือโจร กองทัพองครักษ์ปราบโจรเป็นหลักการที่สมเหตุสมผล จะให้คนของข้าถ่อเข้าไปช่วยโจรโจมตีกองทัพองครักษ์หรือไง? อีกเดี๋ยวกำลังพลกองทัพองครักษ์กลุ่มใหญ่จะไม่กำจัดคนของข้าไปด้วยหรอกเหรอ!

……………

เหมียวอี้เงียบไป ไม่ได้ตอบเขา เอาแต่จ้องเข็มทิศพลางครุ่นคิด

ฝั่งซ้ายและขวาของเข็มทิศไม่มีใครรบกวนเขา

หลังจากนั้นครู่เดียว ก็มีคนรีบเดินเข้ามารายงาน “นายท่าน ทัพฝ่ายศัตรูที่ปิดล้อมทางเข้าสระน้ำมังกรดำเคลื่อนไหวแล้ว กำลังเร่งเดินทางไปที่สนามรบขอรับ”

พอได้ข่าวนี้มา เหลิ่งจัวฉุนกับกุยอู๋ก็เริ่มทำสายตาจริงจัง พวกโม่โหยวเริ่มทำสีหน้ากังวล ฝ่ายศัตรูเผยกองหนุนหนึ่งล้านในรวดเดียว แค่คิดก็รู้แล้วว่าทำให้ฝั่งนี้กดดันขนาดไหน ในที่สุดพวกโม่โหยวก็ตระหนักได้ว่ากำลังหลักของฝ่ายนี้ถูกทัพฝ่ายศัตรูพัวพันเอาไว้แล้ว

บนใบหน้าเหมียวอี้ไม่แสดงปฏิกิริยาอะไร ได้แต่โบกมือบอกใบ้ให้ถอยไป

ไม่นานก็มีคนมรายงานอีก “นายท่าน กำลังพลดักซุ่มทางทิศตะวันออก ทิศใต้และทิศเหนือมีความเคลื่อนไหวนิดหน่อย แต่ละทิศแบ่งคนหนึ่งร้อยคนไปทางสนามรบ”

มีอีกคนเข้ามารายงานติดๆ “นายท่าน สายลับฝ่ายเราที่กระจายตัวอยู่ตามจุดต่างๆ พบว่าสายลับของฝ่ายศัตรูทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ดูแล้วเหมือนจะไปรวมตัวที่สนามรบกันหมดขอรับ”

คนที่รายงานอยู่ทางนี้ยังไม่ทันออกไป ก็มีคนเข้ามารายงานอีกแล้ว “นายท่าน ทัพกลางของฝ่ายศัตรูมีกำลังพลกำลังเร่งไปยังสนามรบขอรับ”

ข่าวร้ายทยอยมาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ต่อให้เป็นพวกโม่โหยวก็มองออกแล้วว่าทัพฝ่ายศัตรูกำหนดให้จุดที่กำลังพัวกันต่อสู้กันเป็นศูนย์กลาง เริ่มรวมกำลังพลกลุ่มใหญ่ไปล้อมปราบที่นั่น ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนไปมาก

โม่โหยวอดไม่ได้ที่จะตะโกนว่า “หัวหน้าภาคหนิวรีบให้คนของพวกเราถอนกำลังเถอะ!”

เหลิ่งจัวฉุนมองนางแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ตอนนี้จะถอยได้ยังไง? ถ้าถอยตอนนี้ นอกจากจะไม่ได้กินเนื้อที่มาถึงปากแล้ว ยังถอนกำลังไม่พ้นด้วย สายลับหนึ่งล้านของอีกฝ่ายทยอยกันไปรวมตัวที่สนามรบ คนของพวกเราไม่ว่าจะไปไหนก็หนีไม่พ้นสายตาทัพฝ่ายศัตรู แล้วทัพฝ่ายศัตรูก็คงไม่ให้พวกเราหนีด้วย ต้องไล่ตามแบบกัดไม่ปล่อยแน่ กำลังพลดักซุ่มของทัพฝ่ายศัตรูที่ตามมาจากทั่วทุกทิศสามารถปรับทิศทางดักสังหารได้ตลอดเวลา จากนี้ไปพวกเราจะตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมปราบปรามอันไร้ที่สิ้นสุด!”

“แล้วจะทำยังไง?” โม่โหยวถามอย่างหวาดกลัว

สายตาของทุกคนมองไปที่เหมียวอี้พร้อมกัน

ส่วนเหมียวอี้ก็ทำท่าราวกับไม่ได้ยินและไม่เห็นปฏิกิริยาของทุกคน สายตาที่กำลังจ้องเข็มทิศวูบไหว แล้วจู่ๆ ก็ถามว่า “ถามหน่อย ทัพใหญ่ที่ปิดล้อมทางออกมีความเคลื่อนไหวหรือเปล่า”

กุยอู๋ไปสืบข่าวในถ้ำของศูนย์ติดต่อด้วยตัวเองทันที ไม่นานก็กลับมารายงานว่า “ทัพฝ่ายศัตรูมีเพียงกำลังพลทางนั้นที่ไม่เคลื่อนไหว”

เหมียวอี้แสยะยิ้ม “สงสัยคิดจะสังหารข้าให้สิ้นซากจริงๆ!” เขาชี้ตรงตำแหน่งทางออก “ตอนเข้าสระน้ำมังกรดำข้าก็สงสัยแล้วว่าอีกฝ่ายจะปิดทางออก เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ สงสัยข้าจะได้ใช้งานแผนสำรองแล้ว!”

เขาเก็บมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองทุกคน “แจ้งไปที่สนามรบ ให้หลงซิ่นส่งอำนาจบัญชาการให้ชิงเยว่คนเดียว ทัพใหญ่เฝ้าอยู่ที่สนามรบ ไม่ต้องรีบกำจัดทัพฝ่ายศัตรูที่ล้อมอยู่เร็วขนาดนั้น แต่ล่อให้ฝ่ายศัตรูเข้ามาเรื่อยๆ ล่อกองหนุนออกมาโจมตี! บอกชิงเยว่ ไม่ต้องสนใจพลังงานของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่หมดเปลือง อาศัยสิ่งที่ได้จากศัตรูมาทำศึกต่อ เอาทรัพยากรจากทัพฝ่ายศัตรูมาเติมได้เลย สรุปก็คือกำจัดข้าศึกที่มาสนับสนุนให้เร็วที่สุด!”

เหลิ่งจัวฉุนส่ายหน้า “ถ้าทางชิงเยว่ต้านกองหนุนไหว ก็คงไม่ยุ่งยากขนาดนั้นแล้ว”

เหมียวอี้โบกมือ “ไม่! ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด กำลังพลของทัพฝ่ายศัตรูที่โดนล้อมสู้กับทัพใหญ่สองแสนของพวกเราได้ไม่ได้นานนักหรอก เกรงว่าไม่ทันรอให้กองหนุนตามมาถึง พวกเราก็กำจัดกำลังพลที่ล้อมอยู่จนหนีไปได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นกองหนุนที่มาก็จะไม่มีความหมายเท่าไร พวกเจ้าสังเกตสถานการณ์นี้หรือเปล่า สายลับหนึ่งล้านของทัพฝ่ายศัตรูเคลื่อนไหวแล้ว กำลังเร่งไปรวมตัวกันที่สนามรบ ในบรรดาสายลับหนึ่งล้านนี้ มีส่วนหนึ่งที่อยู่ใกล้สนามรบที่สุด สามารถล่วงหน้าไปสนับสนุนพวกที่โดนล้อมได้ก่อนที่ทัพขนาดใหญ่ของฝ่ายศัตรูจะไปถึง”

กุยอู๋กล่าวเสียงต่ำว่า “เข้าใจแล้ว ทัพฝ่ายศัตรูกำลังใช้กลยุทธ์กลยุทธ์เติมเชื้อเพลิง อยากจะเติมเลือดให้ทัพฝ่ายตัวเองที่สนามรบ จะได้ถ่วงเวลาพวกเราได้สะดวก”

เหลิ่งจัวฉุนเข้าใจแล้วเช่นกัน พยักหน้าบอกว่า “ไม่ผิด! ดูท่าแล้วทัพฝ่ายศัตรูจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อกำจัดพวกเราจริงๆ เอากำลังพลกลุ่มเล็กมาเติมนั้นแก้ปัญหาไม่ได้ เป็นการส่งคนมาตายเรื่อยๆ โดยแท้”

เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ข้ากำลังกลุ้มใจพอดี กลุ้มใจที่ทำให้กำลังพลมหาศาลของอีกฝ่ายบาดเจ็บล้มตายไม่ได้ ในเมื่อมาส่งความตายถึงที่แล้ว มีหรือที่จะข้าจะปล่อยผ่าน ให้ชิงเยว่เปิดฉากสังหารเต็มที่!”

เหลิ่งจัวฉุนจ้องเข็มทิศพร้อมกล่าวอย่างลังเลว่า “ทำแบบนี้แม้จะกำจัดกำลังพลทัพฝ่ายศัตรูได้มาก แต่พอเป็นแบบนี้ต่อไป พวกชิงเยว่ก็จะยิ่งไม่มีเวลาถอนตัว ถ้ากำลังหลักฝ่ายศัตรูมาถึงเมื่อไร ก็ไม่มีความหวังที่จะปลีกตัวออกมาแล้วจริงๆ”

“ไม่แน่หรอก!” เหมียวอี้ตบเข็มทิศเบาๆ พลางส่ายหน้า จากนั้นก็แสยะยิ้ม “ตอนแรก ข้าคิดจะอาศัยความได้เปรียบจากสายลับเผ่าเทพอสรพิษดำที่สระน้ำมังกรดำ แต่ข้านึกไม่ถึงว่าอ๋าวเฟยจะโหดขนาดนั้น ถึงขนาดทุ่มทุนส่งทัพใหญ่หนึ่งล้านมาเป็นสายลับ เลยทำลายงานข้าพังไปงานหนึ่งแล้ว แต่พวกเจ้าดูตอนนี้สิ อ๋าวเฟยยกเลิกสายลับหนึ่งล้านแล้ว เท่ากับความได้เปรียบของพวกเราในตอนแรกกลับมาอีกครั้ง ต่อไปผลที่ตามมาจะเป็นยังไงล่ะ? พวกเราสามารถรู้ทุกความเคลื่อนไหวของพวกเขาไง แต่พวกเขากลับเหมือนคนตาบอด กำลังปล่อยให้พวกเราปั่นเล่นไม่ใช่หรอกเหรอ!”

“นายท่าน จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้!” กุยอู๋ถอนหายใจ แล้วชี้ไปตรงสนามรบ “ที่อ๋าวเฟยยกเลิกสายลับหนึ่งล้านนั่นก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ตอนนี้พวกเขากำลังถ่วงเวลารอกำลังหลักของพวกเรา ขอเพียงกำจัดกำลังหลักของพวกเราได้ จะมีหรือไม่มีสายลับพวกนั้นก็ไม่สำคัญแล้ว การกำจัดกำลังหลักของพวกเราต่างหากที่เป็นจุดประสงค์หลัก”

เหลิ่งจัวฉุนเองก็ถอนหายใจแล้วกล่าวยอมรับเช่นกัน “ถ้าฝ่ายศัตรูรวมทัพใหญ่มาล้อมปราบชิงเยว่ ต่อให้พวกเราจะรู้ทุกความเคลื่อนไหวของพวกเขาแล้วยังไงต่อล่ะ?”

เหมียวอี้ชี้เข็มทิศ แล้วถามกลับว่า “แล้วถ้าข้าทำให้แผนการล้อมโจมตีของพวกเขาพังล่ะ?”

เหลิ่งจัวฉุนกับกุยอู๋สบตากันแวบหนึ่ง แล้วถามเป็นเสียงกันว่า “หมายความว่ายังไง?”

“ตระกูลอิ๋งอยากจะฆ่าข้าไม่ใช่เหรอ? คงถึงเวลาที่ข้าต้องลงสนามรบเพื่อเป็นเหยื่อล่อเองแล้ว!” เหมียวอี้หรี่ตาแสยะยิ้ม แล้วหันขวับกลับมาบอกว่า “เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป! ชางไห่ เฟิ่งอู่ พวกเจ้าไม่ต้องเฝ้าอยู่ที่นี่อีกแล้ว ที่สนามรบเกิดศึกเดือด ยิ่งมียอดฝีมือเยอะก็ยิ่งดี พวกเจ้ารีบไปสนับสนุน ผู้อาวุโสโม่อยู่กับข้าคนเดียวก็พอ”

ชางไห่และเฟิ่งอู่มองไปที่โม่โหยวพร้อมกัน เรื่องมาถึงขั้นที่ลงหลังเสือได้ยาก โม่โหยวทำได้เพียงพยักหน้าให้ทั้งสอง “ไปเถอะ!”

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง โกวเยว่เร่งฝีเท้าเดินมาถึงนอกโถงหลักของเรือนหลัง เห็นก่วงลิ่งกงกำลังพูดคุยยิ้มแย้มกับหวังเฟยและลูกสาว จึงยืนรายงานอยู่ข้างนอก “ท่านอ๋อง!”

สามคนในห้องมองออกมา ก่วงลิ่งกงกวักมือเรียกเขาเข้าไป พร้อมทั้งชี้ถามก่วงเม่ยเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม “เม่ยเอ๋อร์ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อสหายคนนั้นของนางอาจจะมีปัญหา เลยวิ่งมาเกาะแกะถามซักไซ้ข้า ข้าบอกไม่รู้ นางก็ยังไม่เชื่อ ทางเจ้ามีข่าวบ้างมั้ย?”

เม่ยเหนียงได้ยินแล้วยกแขนเสื้อป้องปากหัวเราะ นางชอบที่สุดเวลาเห็นอ๋องสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยทำท่าจนปัญญากับลูกสาวตัวเอง

โกวเยว่หัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ท่านอ๋อง มีความเคลื่อนไหวจริงๆ ขอรับ หนิวโหย่วเต๋อกับกองทัพโจรเริ่มสู้กันแล้ว”

“อ้อ!” ก่วงลิ่งกงทำสีหน้าจริงจัง เขาย่อมรู้ว่าทัพโจรที่โกวเยว่เอ่ยถึงหมายถึงใคร “สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”

โกวเยว่ตอบว่า “ไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัด แต่จุดที่พวกเขาเพิ่งสู้กันอยู่ใกล้กับจุดซ่อนตัวของสายลับพวกเรา หนิวโหย่วเต๋อระดมทัพใหญ่สองล้านกว่าซึ่งรวมเผ่าเทพอสรพิษดำด้วย ล้อมกำลังพลประมาณสามแสนของกองทัพโจรไว้แล้ว คาดว่ากองทัพโจรกลุ่มนี้จะยืนหยัดได้อีกไม่นาน”

“แผนที่!” ก่วงลิ่งกงลุกขึ้นยืน

โกวเยว่รีบเผยเข็มทิศอันหนึ่ง ปรับแสดงภาพแผนที่สระน้ำมังกรดำออกมา แล้วชี้ไปยังจุดที่ต่อสู้กัน

เม่ยเหนียงกับก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็ล้อมเข้ามาเช่นกัน แต่กลับไม่เข้าใจอะไร

ก่วงลิ่งกงจ้องแผนที่พักหนึ่ง แล้วพึมพำว่า “สองล้านกว่าคน ดูท่าแล้ว กำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำที่ออกรบได้คงแทบจะเทรังออกมาทั้งหมด กองทัพโจรมีแค่สามแสนกว่า เรื่องนี้ดูมีเงื่อนงำ เกรงว่าจะเป็นเหยื่อล่อ แต่ทำไมหนิวโหย่วเต๋อตกหลุมพรางง่ายขนาดนั้น?”

ข้อมูลของสถานการณ์มีจำกัด สุดท้ายก่วงลิ่งกงก็ส่ายหน้า ไม่มีทางตัดสินได้จริงๆ ได้แต่กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เผ่าเทพอสรพิษดำนี่ก็น่าสนใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะเคลื่อนกำลังพลมากขนาดนั้นตามหนิวโหย่วเต๋อไปก่อเรื่อง ไม่กลัวหายนะจะมาถึงตัวรึไง? หนิวโหย่วเต๋อจับตัวประกันไว้แค่นั้นก็กดดันให้พวกเขาทำงานถวายชีวิตได้ขนาดนี้แล้วเหรอ? ไม่รู้เชียวหรือว่าตอนทำศึกจะต้องสละชีวิตคนในเผ่ามากกว่าชีวิตตัวประกัน? ไม่รู้ไปกินยาอะไรผิดมา!”

เม่ยเหนียงลองถามว่า “ท่านอ๋อง ศึกนี้ถ้าสู้กันน่าจะมีคนตายเท่าไร?”

ก่วงลิ่งกงพ่นเสียงทางจมูกแล้วตอบว่า “คนเจ็ดแปดล้านคนสู้กัน ต่อให้ผลแพ้ชนะออกมาแล้ว แต่ก็ตายหลายล้านเป็นเรื่องปกติ”

หลายล้านคน? เม่ยเหนียงเอามือปิดปากอย่างขวัญผวา

ก่วงเม่ยเอ๋อร์กลับพูดตรงๆ ตามที่ใจคิด “ท่านพ่อ ได้ยินว่ากองทัพโจรคือกำลังพลห้าล้านที่อ๋องสวรรค์อิ๋งแอบระดมไว้ จริงหรือเปล่าคะ?”

ก่วงลิ่งกงตะคอกทันที “เหลวไหล! ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าไปพูดซี้ซั้วข้างนอก”

“ข้าแค่พูดในบ้านก็ไม่ได้เหรอ?” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ทำปากจู๋ แล้วถามอีกว่า “ท่านพ่อ หนิวโหย่วเต๋อจะชนะหรือเปล่าคะ?”

ก่วงลิ่งกงส่ายหน้า “ไม่น่าจะชนะได้ ถ้าหัวไวหน่อยก็หนีไปที่อาณาเขตดาวนิรนามหรือไม่ก็รอกองทัพองครักษ์ บางทีเขาอาจจะรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ดูจากที่เขาดึงดันจะใช้กำลังปะทะแบบนี้ ก็อ้อนวอนขอพรให้ตัวเองแล้วกัน!”

“ท่านพ่อ!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ดึงเสื้อก่วงลิ่งกง แล้วพูดออดอ้อน “ท่านก็ช่วยเขาหน่อยสิ เขาคือสหายของข้า”

ก่วงลิ่งกงมองเม่ยเหนียง เม่ยเหนียงรีบดึงลูกสาวมาตำหนิ “เจ้าจะรู้อะไรเรื่องแผนการทางทหาร? อย่าพูดซี้ซั้ว!”

ในดาราจักรที่มีสีสันแพรวพราว เสียงสังหารดังไม่หยุด เลือกสาดกระเด็นเป็นเม็ดไข่มุก กระจายทั่วดาราจักที่ไร้แรงโน้มถ่วง

เชออู่ที่สังหารเข้าไปในทัพพันธมิตรกลับร้องในใจว่าแย่แล้ว สถานการณ์ไม่คาดคิดที่ถูกมองข้ามได้ง่ายเกิดขึ้นแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ากำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำจะมีอาวุธเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาไม่น้อยเลย ในกำลังพลของเขาก็มีอาวุธเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาอยู่บ้างเหมือนกัน ทว่าเผ่าเทพอสรพิษดำกลับไม่กลัวเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ภายใต้สถานการณ์ที่อีกฝ่ายกำลังเพิ่มขึ้น แต่อีกฝ่ายกำลังลดลงแบบนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่ากดดันขนาดไหน

สำหรับสถานการณ์แบบนี้ ชิงเยว่กับหลงซิ่นไม่ได้ผิดคาด ทัพใหญ่แดนรัตติกาลยังไม่มีอาวุธสำหรับสู้ระยะใกล้ที่แข็งแกร่งขนาดนั้น อาวุธเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาเปลืองเงินเกินไป จึงรีบให้กำลังพลถอยไปอยู่วงนอก แล้วส่งต่อภารกิจต่อสู้หลักๆ ให้ทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำ

“แม่ทัพเชออย่ากลัว ซูห่วงมาแล้ว!”

ตรงจุดไกลๆ มีเสียงตะโกนดังขึ้น กำลังพลสามหมื่นกว่าพลันปรากฏตัว ผู้ที่นำทัพมาบุกสังหารเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“สงสัยท่านหัวหน้าภาคจะเดาไว้ไม่ผิด!” ชิงเยว่แสยะยิ้ม เอียงหน้าบอกหลงซิ่นว่า “ภารกิจโจมตีกองหนุนข้าส่งต่อให้เจ้าแล้วกัน ไม่ต้องสู้ให้รู้แพ้รู้ชนะ ฆ่าให้ได้เกินครึ่งแล้วปล่อยไป ข้าจะปล่อยเขาไปรวมกลุ่มกับเชออู่”

หลงซิ่นระดมทัพใหญ่แดนรัตติกาลทั้งหมดทันที บวกทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำอีกสองแสน แล้วพุ่งออกจากกระบวนทัพไปรับข้าศึก

พอสองฝ่ายพบหน้ากัน กำลังพลสามหมื่นก็จัดกระบวนทัพรูปลิ่มพร้อมบังโล่โจมตีทันที ขณะเดียวกันก็ใช้ลูกธนูดาวตกยิงเบิกทาง

ทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำสองแสนจัดกระบวนทัพกำแพงโล่เพื่อคุ้มกันทัพใหญ่แดนรัตติกาล ตอนนี้ในมือทัพใหญ่แดนรัตติกาลรวบรวมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ได้เกือบสี่หมื่นแล้ว ตามที่เสียงคำสั่ง “ยิง” ของหลงซิ่นดังขึ้น ลำแสงนับไม่ถ้วนถล่มใส่กระบวนทัพรูปลิ่มจนวุ่นวาย เสียงกรีดร้องดังระงม

“หานหานมาสนับสนุนแล้ว แม่ทัพเชออย่ากลัว!”

อีกด้านหนึ่งของสนามรบ มีแม่ทัพนำกำลังพลห้าหมื่นสังหารเข้ามาอย่างรวดเร็ว

หลงซิ่นเลิกไล่สังหารกำลังพลที่เสียหายอย่างหนักตรงหน้าทันที เปลี่ยนไปโยกย้ายกำลังพลแล้ว แบ่งกำลังพลเป็นสองสายอ้อมสองฝั่งของสนามรบไป แล้วรบกับกำลังพลห้าหมื่นที่บุกเข้ามาอย่างบ้าระห่ำ

………………

อ๋าวเถี่ยที่นำคนสิบคนมาคุ้มครองข้างกายหลงซิ่นทำสีหน้าจริงจัง มองออกถึงอานุภาพกระบวนทัพโจมตีของอีกฝ่ายแล้ว

เป็นเพราะกำลังพลแดนอเวจีไม่เคยถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สู้กับกำลังพลตำหนักสวรรค์มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่นำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มารบ

เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่คมเก้าเล่มที่แทงเข้ามาอย่างห้าวหาญไม่กลัวตาย ก็กดดันให้ฝนธนูที่ยิงจากทัพแดนรัตติกาลกับเผ่าเทพอสรพิษดำต้องปรับทิศทาง จำเป็นต้องเล็งใส่กระบี่คมเก้าเล่มที่แทงเข้ามาอย่างห้าวหาญ การโจมตีของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดแบ่งเป็นเก้าสายทันที ยิงไปทางหัวลูกธนูเก้าดอกที่โจมตีเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

เป็นเพราะเจ้ามิอาจไม่ต้านทานการรุกโจมตีจากหัวลูกธนูเก้าดอกนี้ อีกฝ่ายพุ่งเข้ามาทางนี้อย่างไม่คิดชีวิต ถ้าไม่ระงับความเร็วของอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็จะพุ่งเข้ากระบวนทัพฝั่งนี้ทันที ความได้เปรียบจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของฝั่งนี้ก็จะหายไปทันที จะกลายเป็นการสู้ตะลุมบอนระหว่างสองฝ่าย เห็นได้ชัดว่านี่คือจุดประสงค์ที่อีกฝ่ายรุกโจมตีเข้ามา

ลำแสงฝนธนูถล่ม ‘หัวลูกธนู’ ที่พุ่งเข้ามาไม่ขาดสาย เสียงร้องน่าเวทนา หมอกเลือดระเบิดกระจาย ราวกับมีดอกไม้เก้าดอกเบ่งบานไม่หยุด แต่กำลังพลที่ทยอยพุ่งตามมาทีหลังก็คอยเติม ‘หัวลูกธนู’ ที่รุกโจมตีไม่หยุดเช่นกัน บุกโจมตีต่อไป

การโจมตีด้วยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของฝั่งนี้ถูกกำลังพลเก้าสายดึงดูด ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายพันของกระบวนทัพฝ่ายตรงข้ามจึงยิงโจมตีมาทางนี้อย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง

ตัวประกันหนึ่งแสนที่ถูกผลักออกมาตายหมดอย่างรวดเร็ว

แนวโล่ป้องกันที่อยู่แถวหน้าของฝั่งนี้แหว่งออกไม่หยุด แล้วก็มีคนพุ่งเข้ามาอุดรอยรั่วเรื่อยๆ

หลงซิ่นโบกดาบถ่ายทอดคำสั่งไม่หยุด สั่งกำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำให้พุ่งไปข้างหน้าสุดแล้วรวมตัวตั้งโล่เพื่อต้านธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของฝ่ายตรงข้าม จะได้บังทัพใหญ่ข้างหลังไว้

เหตุผลของหลงซิ่นก็คือคุ้มครองมือธนู แต่ที่จริงแล้วก็คือการคุ้มครองทัพใหญ่แดนรัตติกาลหนึ่งหมื่น อย่างไรเสียหนึ่งหมื่นคนนี้ก็มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ หลงซิ่นไม่ใช่พระเถระชั้นสูง ไม่มีทางให้ลูกน้องของตัวเองเอาชีวิตไปทิ้งก่อน

สิ่งที่เขาทำไม่ได้ เหมียวอี้ก็ทำไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นแม้เหมียวอี้จะรับปากอ๋องอสรพิษดำแล้วว่าจะพยายามไม่ส่งพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำไปตาย แต่ก็ยังไม่ได้ถ่ายทอดคำสั่งนี้ให้ลูกน้อง

สำหรับหลงซิ่น นอกจากเหตุผลที่ว่ามือธนูเป็นคนของตัวเองแล้ว ในทัพพันธมิตรฝ่ายนี้ กำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือกำลังพลแดนรัตติกาลหนึ่งหมื่นในมือตัวเอง แต่ละคนมีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งขึ้นไป ถ้าส่งคนพวกนี้ไปตายด้วยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก่อนก็ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด ถ้าประจัญบานกันเมื่อไร กำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำก็อาจต้านการโจมตีของทัพตะวันออกไม่ไหว เขาต้องเก็บกำลังที่มั่นคงไว้ก่อน แล้วค่อยให้กำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำมาช่วยเหลือ

ผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำสองคนที่อยู่ข้างหลงซิ่นตกใจกับฉากตรงหน้า ภาพโหดร้ายยามเลือดสาดแสดงตรงหน้าพวกเขาไม่หยุดหย่อน

ตัวประกันหนึ่งแสนคือคนของฝ่ายศัตรู แต่ไม่น่าเชื่อว่าฝ่ายศัตรูจะยิงตายหมดโดยไม่ลังเลสักนิด ไม่เหมือนเผ่าเทพอสรพิษดำของพวกเขาที่โดนขู่เลย

หัวลูกธนูเก้าสายที่พังทลายลงต่อเนื่อง แต่ก็มีมาเติมใหม่อีกเรื่อยๆ นั่นคือการเอาชีวิตคนมาเติมจริงๆ ไม่มีน้ำใจของมนุษย์เลยสักนิด

เผ่าเทพอสรพิษดำเคยประสบหายนะด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโปครึ่งหนึ่ง แล้วก็เคยประสบหายนะด้วยน้ำมือประมุขปราชญ์หกลัทธิครั้งหนึ่ง ตอนนั้นผู้อาวุโสทั้งสองก็ซ่อนตัวเหมือนพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำที่ไม่มีคุณสมบัติจะร่วมรบในตอนนี้ จึงไม่เคยเห็นศึกใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้พี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำอยู่อย่างสงบมานานเกินไป ไม่เคยเจอศึกใหญ่ที่น่าเวทนาขนาดนี้เลย

พอได้เห็นฉากในวันนี้ ผู้อาวุโสทั้งสองก็รู้จักทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์ที่อยู่โลกภายนอกอย่างลึกขึ้นแล้ว สภาพโหดร้ายตรงหน้าทำให้พวกเขามองข้ามพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำที่ล้มตายไม่หยุด เพราะกำลังพลตำหนักสวรรค์ตายเยอะกว่า

“นายท่าน ทัพกลางส่งข่าวมา ข้างหลังพวกเรามีกำลังพลกลุ่มเล็กปรากฏตัว แม่ทัพใหญ่บอกให้พวกเราระวังตัว อาจจะเป็นกองหนุนฝ่ายศัตรู”

ท่ามกลางเสียงรบพุ่งสังหารอันดุเดือด ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆ เชออู่กำระฆังดาราพร้อมรีบรายงานต่อเชออู่

เชออู่ที่สู้จนตาแดงเอียงหน้าถามว่า “แม่ทัพใหญ่ชี้แยะอย่างอื่นอีกมั้ย?”

ทหารผู้ช่วยส่ายหน้า “เปล่าขอรับ แต่บอกให้พวกเราระวังตัว”

ในขณะนี้เอง ด้านหลังก็มีคนตะโกน “นายท่าน ข้างหลังมีสถานการณ์ของข้าศึก!”

เชออู่หันตัวไปมอง เห็นคนกลุ่มเล็กกลุ่มคนเร่งเหาะมาจากจุดลึกของดาราจักร

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน ชิงเยว่นำกำลังพลมาถึงแล้ว

สามารถมองเห็นทัพฝ่ายศัตรูข้างหน้าได้ ชิงเยว่โบกทวนชี้ พลางตะโกนเสียงแหลม “จัดกระบวนทัพ บุกโจมตี!”

ชั่วพริบตานั้น เงาคนในดาราจักรก็ขยายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กำลังพลสองแสนปรากฏตัว แล้วพุ่งเข้ามาพร้อมตะโกนว่า “ฆ่า” ดังสนั่นฟ้า

เชออู่พลันหรี่ตา ทหารผู้ช่วยถามอย่างร้อนใจอยู่ข้างๆ “นายท่าน ข้าจะนำคนไปต้านข้างหลังไว้!”

“ไม่ต้องแล้ว!” เชออู่ปฏิเสธอย่างไม่ลังเล ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่สนใจทัพใหญ่ที่บุกสังหารมาทางด้านหลัง เขาโบกทวนชี้ไปข้างหน้าพร้อมบอกว่า “แม่ทัพทุกคนฟังคำสั่ง ถ้าถูกทัพฝ่ายศัตรูตีขนาบข้างหลัง ทัพของข้าก็จะต้องตายสถานเดียว ถ้าแบ่งทหารไปต้านไว้ ก็ยิ่งรนหาที่ตาย กลยุทธ์ในตอนนี้มีแต่ต้องสังหารเข้าไปในกระบวนทัพฝ่ายศัตรูเท่านั้น ถึงจะยืนหยัดได้จนกองหนุนของแม่ทัพใหญ่มาถึง! บุกโจมตีสุดกำลัง!”

“บุกโจมตี!”

“บุกโจมตี!”

“บุกโจมตี!”

กระบวนทัพรูปลิ่มสามสายโจมตีออกมาอีกครั้ง รวมกับกระบวนทัพรูปลิ่มเก้าสายก่อนหน้านี้ กลายเป็นกำลังพลสิบสองสายกำลังบุกโจมตีอย่างบ้าคลั่ง

ฝนลูกธนูดาวตกของทัพแดนรัตติกาลรวมกับเผ่าเทพอสรพิษดำถูกแบ่งอีกครั้ง หลังจากกระจายตัวแล้ว พลังโจมตีก็ย่อมอ่อนแอลง กอปรกับกำลังพลของฝ่ายตรงข้ามพุ่งเข้ามาราวกับเป็นบ้า ใช้เวลาไม่นานก็มีกระบวนทัพรูปลิ่มสายหนึ่งแทงเข้ามาในกระบวนทัพแดนรัตติกาลกับเผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว แถวหน้าของทัพวุ่นวายในชั่วพริบตาเดียว ราวกับถูกฉีกจนเกิดช่องโหว่

หลงซิ่นที่บัญชาการอยู่ตรงกลางเผยสีหน้าดุร้าย นึกไม่ถึงว่ากระบวนทัพป้องกันจะโดนตีแตกเร็วขนาดนี้ เขาโบกดาบตะโกนว่า “ฆ่า!”

กระบวนทัพโจมตีที่ทั้งยิงทั้งถอยหยุดลงทันที เริ่มบุกโจมตีกลับ

เชออู่ที่บัญชาการอยู่กลางทัพก็เผยรอยยิ้มดุร้ายเช่นเดียวกัน เขาเลิกป้องกันด้านหลังโดยสิ้นเชิง เผยด้านหลังให้กองหนุนฝ่ายศัตรูทั้งหมด ใช้การทุบหม้อข้าวเพื่อปลุกระดมให้ทัพใหญ่บุกโจมตี เมื่อรู้ว่ากำลังจะตายแล้ว อานุภาพการบุกโจมตีของทัพใหญ่ก็ระเบิดออกมาทั้งหมด ตีเปิดช่องโหว่กระบวนทัพฝ่ายศัตรูในชั่วอึดใจเดียว

“ทัพใหญ่ทั้งหมดโจมตี ฆ่า!” เชออู่ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด นำกำลังพลทัพกลางโจมตีขนาบไปพร้อมทัพใหญ่

แนวป้องกันของทัพพันธมิตรพลั้งมือแล้ว พอจังหวะปั่นป่วน แนวป้องกันแถวที่สิบเอ็ดข้างหลังก็ถูกกระบวนทัพรูปลิ่มกลุ่มที่สิบเอ็ดตีแตกทันที ทัพใหญ่ฝ่ายตรงข้ามทะลวงเข้ามาราวกับกระแสน้ำ ทัพใหญ่ของทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนกันในชั่วพริบตาเดียว

พลังอิทธิฤทธิ์โหมซัดซาดอย่างมโหฬารพันลึก ต่อให้วรยุทธ์สูงกว่านี้ ต่อให้พลังอิทธิฤทธิ์แข็งแกร่งกว่านี้ แต่เมื่อพุ่งเข้าไปอยู่ท่ามกลางความยิ่งใหญ่นี้ก็ได้แต่ทำตาปริบๆ ก็เหมือนยอดฝีมือคนหนึ่งที่ชกหมัดเดียวทะลุกำแพงได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าชกบนปุยฝ้าย ต่อให้พลังแข็งแกร่งแค่ไหนก็จะถูกทำให้ไร้รูปร่าง

ตอนนี้กลายเป็นการประจัญบานทั้งหมดแล้ว เป็นการเข่นฆ่าในระยะใกล้

ด้านหลัง ชิงเยว่นำทัพใหญ่บุกเข้ามา มือธนูทั้งหมดเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เตรียมจะยิงสังหารอย่างถึงอกถึงใจสักยก แต่ใครจะคิดว่าตอนที่ตามไปถึง ก็ได้แต่มองทัพฝ่ายศัตรูโจมตีเข้าไปในกระบวนทัพของหลงซิ่นแล้ว กำลังพลของทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนสู้อยู่ด้วยกันแล้ว

พอเป็นแบบนี้ ก็ไม่มีทางยิงสังหารทัพฝ่ายศัตรูอย่างเต็มที่ได้ ไม่อย่างนั้นจะทำให้ฝ่ายตัวเองเสียหาย การต่อสู้ในระยะใกล้ย่อมใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ได้ไม่สะดวกเหมือนการบุกโจมตีระยะไกล ทั้งยังทำให้ทัพฝ่ายศัตรูถ่วงเวลาได้ง่ายด้วย กำลังพลหลายแสนตะลุมบอนกัน ถ้าเจ้าบุกเข้าไปในกำลังพลสองกลุ่มนี้อีก ก็ไม่มีทางโจมตีให้ได้เปรียบได้อยู่ดี

ทัพใหญ่ทำศึกไม่ใช่การเข่นฆ่าของคนกลุ่มเล็ก สิ่งที่ให้ความสำคัญที่สุดก็คือการจัดวางกำลังทหาร อย่าให้เสียระเบียบ!

“หลงซิ่นสมควรตาย มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ตั้งสองสามหมื่นคัน ไม่น่าเชื่อว่ากำลังพลห้าแสนจะถูกคนสามแสนตีแนวป้องกันแตกได้!” เมื่อเห็นว่าผลงานการรบที่อุตส่าห์มาถึงมือแล้วกำลังถูกถ่วงเวลาจนเกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น ชิงเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะด่า จากนั้นก็โบกทวนตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ทั้งหมดบุกสังหาร!”

กำลังหลักทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่แท้จริงเก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว ตอนนี้ดาบทวนอยู่ในมือ ทัพใหญ่สองล้านเข้าร่วมเข่นฆ่าอยู่ในกระบวนทัพในชั่วพริบตาเดียว เสียงสังหารราวกับกระแสคลื่น

“ไอ้จัญไรนั่นเป็นอย่างที่ข้าคิดไว้ กำลังหลักซ่อนอยู่ตอนหลังจริงๆ ด้วย!” อ๋าวเฟยที่ได้รับข่าวทุบกำปั้นบนเข็มทิศ เมื่อรู้ว่าสุดท้ายเชออู่ตีแนวป้องกันทัพฝ่ายศัตรูแตก ถ่วงเวลาให้การบุกโจมตีตอนหลังได้มาก ก็เรียกได้ว่าเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ด้วยความดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง “เชออู่ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ ข้าจะใช้ศึกนี้ขอรางวังจากท่านอ๋องให้เจ้า!”

“กำลังพลในมือเชออู่เสียหายหนักมากแล้ว กำลังพลสองล้านกว่าของทัพฝ่ายศัตรูกำลังโจมตี เกรงว่าจะอดทนได้ไม่นานแล้ว!” หวังหย่วนเฉียวกล่าวเสียงต่ำ

“ฮ่าๆ!” อ๋าวเฟยเงยหน้าหัวเราะลั่น ตบบนเข็มทิศไม่หยุด “ข้ารับประกันว่าเขาจะถ่วงเวลากำลังหลักทัพฝ่ายศัตรูได้นาน!”

คงฮั่นกุมหมัดคารวะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่ทัพใหญ่รีบถ่ายทอดคำสั่งลงไปเถอะ!”

อ๋าวเฟยยิ้มชั่วร้าย “ถ่ายทอดคำสั่งให้จงซานหมิง สั่งให้สายลับหนึ่งล้านของเขารีบไปรวมตัวที่จุดต่อสู้ ให้กำลังพลที่อยู่แถวนั้นรีบรวมตัว รีบไปสนับสนุนเชออู่ กลุ่มที่ไปถึงแล้วก็ให้ฟังคำบัญชาการของเชออู่!” ขณะที่พูดก็ใช้สองมือกุมกัน ทำสัญญาณมือให้กวาดรวมกัน

หวังหย่วนเฉียวกับคงฮั่นเข้าใจทันที สายลับหนึ่งล้านของจงซานหมิงกระจายตัวทั่วสระน้ำมังกรดำ ถ้าสายลับของใครอยู่ใกล้จุดต่อสู้ ก็จะเป็นสายลับในมือจงซานหมิงแน่นอน บางทีคนที่อยู่ใกล้จุดต่อสู้อาจะไม่เยอะ แต่สามารถรวบรวมกำลังพลได้เรื่อยๆ กลุ่มแล้วกลุ่มเล่า เติมกำลังพลที่เสียหายให้เชออู่ได้ไม่หยุดตามระยะใกล้ไกล แม้จะไม่อาจช่วยให้เชออู่เอาชนะได้ แต่กลับช่วยให้เชออู่ยืนหยัดได้นาน ถ่วงเวลาให้ทัพใหญ่ชุดหลังมาล้อมปราบได้ศัตรูได้

ทั้งสองเข้าใจแล้วว่านี่คือกลยุทธ์เติมเชื้อเพลิง จะทำให้คนของฝ่ายตัวเองเสียหายหนักมาการเติมกำลังพลกลุ่มเล็กเข้าไปในกระบวนทัพสองล้านกว่าของฝ่ายศัตรู ลองคิดดูว่าเป็นการเอาชีวิตไปทิ้งหรือเปล่า? แต่เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว การบาดเจ็บล้มตายของสมาชิกไม่สำคัญแล้ว ที่สำคัญคือต้องทำตามเจตนารมณ์ของท่านอ๋องให้สำเร็จ ถ้าทัพเกรียงไกรห้าล้านไม่อาจกำจัดทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาลของหนิวโหย่วเต๋อได้ สำหรับท่านอ๋องแล้ว นี่นี่คือผลกระทบร้ายแรงต่อทัพตะวันออก

หลังจากรีบถ่ายทอดคำสั่งต่อจงซานหมิงแล้ว อ๋าวเฟยก็ถ่ายทอดคำสั่งต่อไปด้วยเสียงทุ้มต่ำ “สั่งให้ทัพใหญ่หนึ่งล้านของอูจินหวนที่ปิดทางเข้ารีบไปสนับสนุน สั่งกำลังพลดักซุ่มสี่สายของไป่หลี่เจี๋ย เวินลิ่วกง หลัวเจ๋อ หลงเต๋อให้รีบไปสนับสนุนอย่างเร็วที่สุด กำลังพลทัพกลางรีบถอนทัพแล้วออกเดินทาง ต้องล้อมปราบทัพฝ่ายศัตรูให้สิ้นซากในรวดเดียวอย่างเร็วที่สุด!”

“ยังมีทัพใหญ่หนึ่งล้านของลู่ผิงฟางที่กำลังปิดล้อมทางออก” หวังหย่วนเฉียวกล่าว

อ๋าวเฟยยกมือห้าม “กำลังพลของลู่ผิงฟางให้ดักซุ่มไว้ก่อน ป้องกันไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อหนีออกไป!” พูดจบก็เดินก้าวยาวออกไปข้างนอก

“รับทราบ!” หวังหย่วนเฉียวกับคงฮั่นกุมหมัดคารวะพร้อมกัน แล้วรีบออกไปถ่ายทอดคำสั่ง

ริมแม่น้ำที่กลายเป็นพื้นที่โล่งไร้ต้นไม้ อิ๋งจิ่วกวงกำลังยืนเอามือไขว้หลัง หลังจากได้ข่าวสถานการณ์การรบที่สระน้ำมังกรดำ จากที่หน้าดำคร่ำเครียดก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้นบ้างแล้ว เขาพยักหน้าเบาๆ “ดูท่าศึกที่สระน้ำมังกรดำคงใกล้จะจบแล้ว อ๋าวเฟยไม่ทำให้อ๋องผู้นี้ผิดหวัง!”

จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็โล่งใจตามไปด้วย

ในโถงถ้ำ เหมียวอี้ที่ได้ข่าวการรบทุบกำปั้นบนเข็มทิศ สีหน้าเรียบเฉยไม่เผยอารมณ์ใดๆ แต่ในใจกลับเดือดดาลมาก ไม่รู้ว่าหลงซิ่นทำศึกอย่างไร ขนาดมีเงื่อนไขได้เปรียบแบบนั้นยังถูกทัพฝ่ายศัตรูตีฝ่าแนวป้องกันได้ ตอนนี้ถูกพัวพันเอาไว้แล้ว การกำจัดทัพฝ่ายศัตรูคือสิ่งที่ต้องทำ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถูกถ่วงเวลานานแค่ไหน กำลังในมือเขาสู้นานขนาดนั้นไม่ไหว!

พวกโม่โหยวยังไม่ทันตระหนักได้ถึงความร้ายแรงนี้ แต่สีหน้าคร่ำเครียดเพียงเพราะได้ยินข่าวว่าพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำบาดเจ็บล้มตายเยอะมาก

เหลิ่งจัวฉุนกับกุยอู๋ย่อมเข้าใจ เหลิ่งจัวฉุนจึงถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ราชาปราชญ์ จะโทษหลงซิ่นก็ไม่ได้ ฟังจากข่าวที่อ๋าวเถี่ยส่งมา เผ่าเทพอสรพิษดำไม่มีประสบการณ์ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เลย ไม่มีแม้แต่เวลาฝึก ไปออกศึกอย่างฉุกละหุก ไม่มีประสบการณ์ป้องกันตอนทำศึกใหญ่ขนาดนี้ด้วย พอร่วมมือกันแล้วก็ไม่พ้นโดนทัพฝ่ายศัตรูเจาะช่องโหว่”

……………

หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับสิ่งนี้ กลับเป็นสวีถังหรานที่ได้ยินข่าวแล้วอดไม่ได้ที่จะมองหยางเจาชิงแวบหนึ่ง เดาออกถึงเจตนาที่เหมียวอี้ไม่ประกาศเรื่องนี้ อดไม่ได้ที่จะเสียดายแทนหยางเจาชิง ต้องทิ้งโอกาสในการมีชื่อเสียงโด่งดังไปอย่างนี้แล้ว

วางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว ความสนใจของทุกคนไปรวมอยู่ที่สถานการณ์การรบอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทางศูนย์ติดต่อรายงานข่าวมาไม่ขาดสาย

และไม่ว่าจะเป็นทัพใหญ่แดนรัตติกาลหรือทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำ หลังจากได้ยินข่าวชัยชนะแล้วก็ฮึกเหิมไม่หยุด รายงานข่าวชัยชนะศึกแกรก จับทัพตะวันออกหนึ่งแสนเป็นเชลยศึกได้ในรวดเดียว ชนะโดยสมบูรณ์!

เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเหมียวอี้สมกับมีพื้นเพมาจากการบัญชาการทัพ มีวิธีการเพิ่มขวัญกำลังใจหทาร ตอนนี้ทหารของสองทัพที่สวมกันมีขวัญกำลังใจสูงขึ้น ทำลายความกลัวที่มีต่อทัพตะวันออกห้าล้านจนหมดสิ้น ทหารแดนรัตติกาลก็ยิ่งฮึกเหิม กำลังคิดว่าโอกาสในการสร้างผลงานมาถึงแล้ว

ผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดของการรายงานข่าวชัยชนะศึกแรกก็คือ ทุกคนของทัพใหญ่แดนรัตติกาลเชื่อมั่นใจตัวเหมียวอี้ ก่อนหน้านี้มีคนไม่น้อยแอบบ่นว่าเหมียวอี้บุ่มบ่ามเกินไป ทำไมถึงทำเรื่องอย่างนี้ได้ พอมาดูตอนนี้แล้ว สงสัยหัวหน้าภาคจะมีเหตุผลที่ตัดสินใจทำแบบนี้

ความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นแฝงความหมายว่าทุกคนจะไม่สงสัยต่อการบัญชาการของเหมียวอี้อีก หมายความว่าถ้าเหมียวอี้สั่งให้ไปโจมตีที่ไหนก็ไปโจมตีที่นั่น ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง นี่ก็คือการสร้างอำนาจบารมี!

บนดาวเคราะห์ที่ซีกหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิด ในถ้ำที่ลับตาคน ชิงเยว่ เมิ่งหรู จ่างหงล้วนอยู่ที่นี่

“ไม่มีทหารตายสักคน จับทัพใหญ่หนึ่งแสนที่เที่ยวตระเวนได้หมด…” ชิงเยว่กล่าวด้วยสีหน้าอัศจรรย์ใจ หลังจากวางระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับหลงซิ่นแล้ว นางก็ส่ายหน้าเสียดาย “เจียงเชียนหลี่ไม่ใช่พวกฝีมือธรรมดา แต่ครั้งนี้กลับซวยด้วยน้ำมืออิ๋งอู๋หม่าน มันช่าง…อิ๋งจิ่วกวงวางหมากผิดเพราะเลอะเลือนไปชั่วขณะ! พอพลาดก้าวเดียว เกรงว่าคงทำให้ตัวเองกดดันจนไฟลุกหัว”

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราคาดหวังหรอกเหรอ? มีอะไรให้น่าเสียดายขนาดนั้น” จ่างหงถามเสียงเรียบ

ชิงเยว่หันกลับมามองแวบหนึ่ง ในใจรู้สึกสงสัย แม้จะรู้ว่าคนพวกนี้คือผู้ช่วยที่หัวหน้าภาคส่งมา แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์จากที่ไหน

ในขณะนี้เอง มีคนมารายงานข่าวว่า “นายท่าน ทัพกลางส่งข่าวมา ทัพฝ่ายศัตรูเข้าใกล้ทางนี้แล้ว”

ชิงเยว่ เมิ่งหรูและจ่างหงกระปรี้กระเปร่าทันที รีบถลันตัวเข้าไปในห้องหินที่มีปากถ้ำกำบัง แล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองลอดผ่านซอกไปยังดาราจักรที่มืดอึมครึม รออยู่ไม่นาน ก็เห็นเงาคนนับร้อยตรงท้องฟ้าไกลๆ กำลังเหาะมาทางนี้

“นายท่าน ต้องสกัดโจมตีหรือเปล่า?” ทหารที่อยู่ข้างหลังชิงเยว่ถาม กำลังถูไม้ถือมืออย่างกระเหี้ยนกระหือรือ อีกฝั่งหนึ่งสร้างผลงานสำเร็จแล้ว ทัพใหญ่แดนรัตติกาลขอเพียงสร้างผลงานก็จะได้เลื่อนยศไวมาก

“ไม่ต้อง! ปล่อยพวกเขาผ่านไป” ชิงเยว่ส่ายหน้า

“นายท่าน ฝั่งนายท่านหลงได้สร้างผลงานแล้ว ถ้าปล่อยคนผ่านไปก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวกับพวกเราแล้วนะ” ทหารรู้สึกไม่ยอมนิดหน่อย

ชิงเยว่หันกลับมามอง นางพูดไม่ออกนิดหน่อย เจ้าคิดว่าคนหนึ่งแสนจับง่ายขนาดนั้นหรือไง? แต่ทหารระดับล่างถูกควบคุมไม่ให้ใช้ระฆังดารา ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าฝั่งหลงซิ่นมีอิ๋งอู๋หม่านเป็นโล่กำบัง ดังนั้นจึงพอเข้าใจได้

เมิ่งหรูที่อยู่ข้างกันบอกว่า “ยี่คือคำสั่งของหัวหน้าภาค หัวหน้าภาคย่อมจ่ายงานแล้ว ศึกใหญ่ของคนหลายล้านไม่ใช่เรื่องเล็ก อย่าจ้องแค่สถานการณ์ตรงหน้า ตอนหลังยังมีเวลาให้เจ้าดิ้นรนสู้สุดชีวิตแน่”

พอได้ยินว่าเป็นการวางแผนงานของเหมียวอี้ ทหารคนนั้นก็ทำได้เพียงข่มอารมณ์ชั่ววูบที่จะแย่งสร้างผลงาน เดาว่าหัวหน้าภาคทำแบบนี้ต้องมีเหตุผลแน่นอน

ชิงเยว่ยิ่งจ้องยิ่งเห็นเงาคนชัดเจน จึงถามว่า “แน่ใจนะว่าคนพวกนี้คือกองหนุนฝั่งตะวันตก?”

คนพวกนี้น่าจะถูกสายลับจับตาดูอยู่นานแล้ว มีสายลับคอยส่งข่าวแทนกันตลอดทาง ข่าวที่ทางทัพกลางส่งมาน่าจะไม่ผิดพลาด” ทหารตอบ

ผ่านไปไม่นาน คนหนึ่งร้อยคนกลุ่มนั้นก็เหาะผ่านดาราจักรทางนี้ไปอย่างรวดเร็ว

ชิงเยว่หันตัวมาทนัที แล้วออกคำสั่ง “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป เตรียมรบ!”

“รับทราบ!” ทหารคนนั้นเอ่ยรับ แล้วมุดออกจากฟากถ้ำอย่างรวดเร็ว

อีกฝั่งหนึ่งของดาราจักร หลงซิ่นริบสมบัติจากเชลยศึกได้เยอะมาก เหมียวอี้กำชับอย่างเข้มงวดว่าให้รีบนับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ตอนนี้มีทั้งหมดสองหมื่นห้าพันคัน

นี่คือจำนวนที่เหมียวอี้สนใจมาก เหมียวอี้รู้มาจากปากอิ๋งอู๋หม่านแล้ว ว่าครั้งนี้ทัพตะวันออกแอบระดมทัพห้าล้าน อิ๋งจิ่วกวงเรียกได้ว่าลงทุนเยอะมาก รวบรวมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สองแสนหกหมื่นคัน ในมือลูกน้องจากทัพใหม่ของอิ๋งอู๋หม่านมีหนึ่งหมื่นคัน ส่วนกำลังพลที่เหลือ ถ้าเฉลี่ยแล้วทุกๆ หนึ่งแสนคนจะมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ห้าพันคัน

ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สองแสนหกหมื่นคันสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์บนสนามรบได้แน่นอน เหมียวอี้ย่อมให้ความสนใจมาก เขาจำเป็นต้องรู้เรื่องการแบ่งสรรอาวุธชุดนี้ ไม่อย่างนั้นถ้ากำลังพลของตัวเองไปบังเอิญเจอกับตอแข็งก็จะยุ่งยากแล้ว ทหารระดับล่างไม่ได้สนใจสิ่งนี้ แต่เขาในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุด เวลาควบคุมสถานการณ์บนสนามรบก็จำเป็นต้องสนใจสิ่งนี้

เมื่อรู้ว่าในมือกำลังพลหนึ่งแสนนี้มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เพิ่มมาสองหมื่นคัน ก็เดาออกแล้วว่าดึงอาวุธชุดนี้มาจากกำลังพลกลุ่มอื่น นั่นก็หมายความว่าในมือของกำลังพลอีกสี่แสนไม่ได้มีอาวุธอานุภาพแข็งแกร่งแบบนี้แล้ว ในมือของกำลังพลที่ส่งไปปฏิบัติภารกิจน่าจะไม่ขาดแคลน สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดตรงจุดที่มีดาวหกดวงล้อมรอบ เขาประเมินว่าในมือทัพกลางของอ๋าวเฟยเหลือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เพียงห้าพันคัน

ทางด้านหลงซิ่นรีบเปลี่ยนอาวุธตามคำสั่งเหมียวอี้ทันที ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สองหมื่นห้าพันคันกลายมาเป็นอาวุธอยู่ในมือกำลังพลฝ่ายตัวเองอย่างรวดเร็ว

กำลังพลรวมตัวกันเร็วมาก ตามการแบ่งงานของศูนย์บัญชาการ พวกเขาเหาะไปรับหน้ากองหนุนอย่างรวดเร็ว

กำลังพลของสองฝ่ายล้วนมีฝั่งละร้อย ไม่นานก็เจอกันในดาราจักรสีสันแพรวพราว ชั่วพริบตาที่มองเห็นกันตั้งแต่ไกลๆ กลิ่นอายสังหารลุกโชนทันที

เมื่อเห็นกำลังพลบุกเข้ามาตั้งแต่ไกลๆ เชออู่ก็โบกทวนชี้พร้อมตะโกน “จัดกระบวนทัพ! บุกโจมตี!”

เงาคนที่กำลังเหาะขยายเพิ่มขึ้น ทัพใหญ่สามแสนปรากฏตัวในชั่วพริบตาเดียว กองทัพรวมทั้งเชออู่ตะโกนเสียงดังพร้อมกัน

หลงซิ่นที่อยู่อีกฝั่งก็แทบจะโบกดาบคำรามอย่างบ้าคลั่ง “จัดกระบวนทัพ!บุกโจมตี!”

เงาคนเพิ่มขึ้นเร็วมาก ทัพใหญ่ห้าแสนกว่าพลันปรากฏตัว ขนาบคลุมหลงซิ่นเอาไว้เช่นกัน ตะโกนเสียงดังพร้อมบุกสังหารออกมา

ในดาราจักรราวกับเห็นกลิ่นอายสังหารล่องหนบิดเบี้ยวอยู่บนฟ้าเหนือทัพใหญ่ทั้งสองฝ่าย

“แม่ทัพใหญ่ ทัพใหญ่สามแสนของแม่ทัพเชอปะทะกับทัพใหญ่ห้าแสนของฝ่ายศัตรูแล้ว!”

ในโถงถ้ำ แม่ทัพคนหนึ่งรีบมารายงาน

อ๋าวเฟยเม้มริมฝีปากแน่นขณะจ้องเข็มทิศ แล้วกล่าวราวกับเค้นคำพูดออกมาจากซอกฟัน “สืบอีก!”

หวังหย่วนเฉียวกล่าวอย่างร้อนใจ “แม่ทัพใหญ่ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของเจียงเชียนหลี่ตกอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้วแน่นอน บวกกับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งหมื่นในมือฝ่ายตรงข้าม อาศัยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ห้าพันคันของกำลังพลสามแสนของเช่ออู่ เกรงว่าจะต้านทานได้ยากมาก!”

“แม่ทัพใหญ่ สั่งให้กองหนุนเคลื่อไหวเถอะ!” คงฮั่นกล่าวเสียงต่ำ

ปั้ง! อ๋าวเฟยทุบกำปั้นบนเข็มทิศ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง “เขาเดาว่าฝั่งเผ่าเทพอสรพิษดำคงส่งกำลังพลที่ออกรบได้ประมาณสองถึงสามล้านคน ไอ้จัญไรหนิวมมันเจ้าเล่ห์ ถึงได้ใช้แค่กำลังพลห้าแสน แล้วกำลังพลส่วนใหญ่ไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ? ข้าเดาว่าไอ้จัญไรนั่นต้องมีแผนสำรองแน่ ดูว่าใครจะทนได้ รออีกหน่อย!”

คงฮั่นกล่าวอย่างร้อนรน “ทัพใหญ่แดนรัตติกาลหนึ่งแสนของหนิวโหย่วเต๋อคือยอดของยอดฝีมือ ถ้าเวลานานไป เกรงว่าแม่ทัพเชอจะมีอันตราย!”

อ๋าวเฟยมีสีหน้าดุร้ายขึ้นหลายส่วน กล่าวเสียงต่ำว่า “รอก่อน! ข้าเชื่อว่าเชออู่จะต้องเอาอยู่!”

ในโถงถ้ำอีกแห่ง เมื่อได้รับรายงาน แน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายคือทัพใหญ่สามแสน เหมียวอี้ที่กำหมัดแน่นและเม้มริมฝีปากจ้องเข็มทิศก็หลับตาลงช้าๆ ในใจรู้สึกโล่งมาก ก่อนหน้านี้แค่เดาว่าอีกฝ่ายมีกำลังพลสามแสน แต่รายละเอียดความจริงเป็นอย่างไรก็ไม่รู้เลย ถ้ากองหนุนของทัพฝ่ายศัตรูไม่ได้วางกำลังอย่างที่คาดเดาไว้ เขาจะทำอย่างไรดีล่ะ?

การวางแผนงานโดยละเอียดของอ๋าวเฟย อิ๋งอู๋หม่านไม่รู้อะไรเลย เจียงเชียนหลี่ที่ถูกหลงซิ่นจับเป็นเชลยก็ไม่ยอมเปิดปาก น่าเสียดายที่เหยียนซิวไม่ได้อยู่ทางฝั่งนั้น ส่วนลูกน้องของเจียงเชียนหลี่ก็ไม่รู้เลยว่าทัพใหญ่ของอ๋าวเฟยมีการระดมกำลังพลอย่างไร

ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุด ถ้าตัดสินใจพลาดครั้งเดียวบนสนามรบ นั่นก็เท่ากับเอาชีวิตคนนับไม่ถ้วนไปเติมรูโหว่นี้

ในที่สุดตอนนี้ก็แน่ใจจำนวนคนของกองหนุนทางตะวันตกแล้ว เหมียวอี้พลันลืมตาขึ้น “สั่งชิงเยว่ให้นำทัพใหญ่ออกโจมตี ตีขนาบหน้าหลัง ต้องกัดให้หมด!”

ชั่วพริบตาที่ทัพใหญ่สองฝั่งพบหน้ากัน กลิ่นอายสังหารพุ่งพล่านบนท้องฟ้า

“เตรียมโล่ป้องกัน มือธนูเตรียมพร้อม!” เชออู่ที่อยู่กลางทัพใหญ่ที่บุกโจมตีตโกนสุดแรงเกิด ตะโกนจนเส้นเลือดดำบนคอปูดขึ้นมา

หลงซิ่นที่อยู่ตรงข้ามโบกดาบคำราม “โล่คน! เตรียมโล่ป้องกัน มือธนูเตรียมพร้อม!”

ทัพใหญ่ที่บุกโจมตีอยู่ข้างหน้า เจียงเชียนหลี่รวมทั้งกำลังพลหนึ่งแสนของเขาถูกผลักออกมาตรงหน้า แต่ละคนเผยแววตาหวาดกลัว

“กำลังพลหนึ่งแสนของเจียงเชียนหลี่อยู่นี่แล้ว!”

“กำลังพลหนึ่งแสนของเจียงเชียนหลี่อยู่นี่แล้ว!”

ทัพแดนรัตติกาลรวมกับเผ่าเทพอสรพิษดำกำลังพลห้าแสนผลักโล่คนขนาดใหญ่ออกมาพร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดัง เสียงสนั่นดาราจักร

กำลังพลสามแสนของกองหนุนทางตะวันตกได้ยินแล้วตกใจมาก เป็นไปไม่ได้ที่ฝ่ายนี้จะประกาศให้ลูกน้องตัวเองรู้ข่าวการรบแพ้ ตอนนี้เห็นอีกฝ่ายผลักโล่คนออกมากลุ่มใหญ่ ในจำนวนนั้นมีคนรู้จักอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะแม่ทัพใหญ่อย่างเจียงเชียนหลี่ ก็ยิ่งมีคนไม่น้อยที่รู้จักเขา ทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ? ฝั่งนี้วุ่นวายในชั่วพริบตาเดียว ขวัญกำลังใจทหารเริ่มปั่นป่วน

เจียงเชียนหลี่ฝืนยิ้มด้วยความเศร้า น้ำตาเอ่อล้นดวงตา รู้ว่าคนที่คุมกำลังพลที่บุกเข้ามาคือเชออู่

เชออู่ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ จึงมองเห็นเจียงเชียนหลี่ได้ชัดเจน สีหน้าของเจียงเชียนหลี่อยู่ในสายตาเขาหมดแล้ว เขาเบิกตากว้าง ตาแดงก่ำในชั่วพริบตาเดียว พอกวาดมองตัวประกันนับแสนที่อยู่ข้างหน้าอีก พบว่าในจำนวนนั้นมีไม่น้อยที่เคยเป็นลูกน้องของเขา

“ยิงธนู! ยิงธนู! ยิงธนู…” เชออู่พลันโบกทวนชี้ไป ตะโกนอย่างบ้าคลั่งจนคอแทบแตก ถ่ายทอดคำสั่งรุกโจมตีที่ยากที่สุดในชีวิตเขา

เขาบัญชาการทัพมาหลายปีขนาดนี้ จึงเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ชัดเจน ถ้าปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามตะโกนอย่างนี้ต่อไป จะต้องทำให้ขวัญกำลังใจทหารฝ่ายตัวเองปั่นป่วนมากแน่นอน ลังเลอีกไม่ได้แล้ว มิหนำซ้ำเข้าก็ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนมาด้วย แม้แต่อิ๋งอู๋หม่านปรากฏตัวก็ให้สังหารทิ้งทันที แล้วนับประสาอะไรกับพวกเจียงเชียนหลี่

ปั้งๆๆ…เสียงยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ดังอย่างหนาแน่นราวกับปะทัด พอลูกธนูดาวตกยิงออกไป มือธนูแต่ละคนก็ชาวาบหนังศีรษะ เพราะนี่คือการยิงสังหารพี่น้องทหารของตัวเอง!

ดาวตกนับไม่ถ้วนยิงเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม ฉากนั้นงดงามเสียขนาดนั้น เจียงเชียนหลี่ที่ยิ้มทั้งน้ำตาหลับตาลงแล้ว

ฉึกๆๆ! ชั่วพริบตาที่เลือดนับสิบสายกระฉูดจากร่างกายเจียงเชียนหลี่ เมื่อไม่มีเกราะพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว ทั้งร่างจึงถูกอานุภาพของลูกธนูดาวตกระเบิดจนแยกออกจากกัน

ท่ามกลางเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น กำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำที่ถือโล่คุ้มกันอยู่แถวหน้าถูกลูกธนูดาวตกยิงใส่ไม่หยุดจนเกิดช่องโหว่ จากนั้นคนชุดที่สองก็รีบเข้ามาเติมอย่างรวดเร็ว

“ยืนให้มั่น ถอยหลัง ยิง!” หลงซิ่นโบกดาบตะโกนเสียงดัง

ลำแสงนับไม่ถ้วนยิงม้วนไปทางฝ่ายตรงข้าม เห็นคนล้มตายอยู่ในกระบวนทัพฝ่ายตรงข้ามพักหนึ่ง

ฝั่งนี้กำลังยิงไปด้วยถอยไปด้วย อาศัยความได้เปรียบของจำนวนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาลดพลังชีวิตของฝ่ายตรงข้าม

เชออู่มองปราดเดียวก็รู้ว่าจำนวนอาวุธของฝ่ายตรงข้ามเยอะกว่าฝ่ายนี้ ถ้าสิ้นเปลืองต่อไปแบบนี้ต้องแพ้แน่นอน จะต้องสู้กันในระยะใกล้เพื่อลบข้อได้เปรียบด้านธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของฝ่ายตรงข้าม จึงโบกทวนตะโกนว่า “คนที่บุกสังหารเข้าไปในกระบวนทัพฝ่ายศัตรู จะเลื่อนยศให้สามขั้น ตบรางวัลอย่างงาม ใครขี้ขลาด ฆ่าไม่ละเว้น! ตั้งกระบวนทัพรูปลิ่ม บุกโจมตีด้วยความเร็วทั้งหมด!”

เมื่อมีคำสั่งออกมา ท่ามกลางทัพใหญ่ก็มีกำลังพลพุ่งออกมาเก้าสาย ราวกับเป็นปลายหอกเก้าด้าม เป็นกำลังพลเก้าหมื่น กองทัพกลายเป็นทัพเกราะเงินเก้าสาย กลายเป็น ‘หัวลูกธนู’ เก้าดอกที่ครอบบังด้วยโล่เงินซึ่งต้านรับฝนลูกธนูดาวตกพร้อมพุ่งเข้าหากระบวนทัพฝ่ายตรงข้ามอย่างดุร้าย

ท่ามกลางเสียงระเบิดดังตูมตาม ‘หัวลูกธนู’ ที่บุกโจมตีถูกฝนธนูยิงแหว่งไม่หยุด พอเกิดช่องโหว่ขึ้น กำลังพลข้างหลังก็เข้ามาเติมชั้นแล้วชั้นเล่า ทัพใหญ่สองแสนที่อยู่ข้างหลังก็คือทัพป้อนกำลังรบของหัวหอกเก้าด้ามที่กำลังบุกโจมตี

………………

ต่อให้ฝ่ายนี้ไม่ได้ทำตาย แต่ดูจากท่าทางของฝ่ายตรงข้ามแล้ว ขอเพียงฝั่งนี้กล้าลงมือ ฝั่งนั้นก็จะฆ่าท่านโหวอิ๋ง

คำพูดของแม่ทัพแถวหน้าทำให้ทัพใหญ่ที่อยู่ข้างหลังเกิดความวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง

“อย่ากลัว!” เจียงเชียนหลี่ตะคอกอย่างเดือดดาล รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออ๋าวเฟย รีบถามว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่

เมื่อเจอกับสถานการณ์อย่างนี้ เขาก็รู้ว่าไม่มีทางสู้ต่อได้แล้ว เขาอยากจะออกคำสั่งถอนกำลังมาก แต่ก็กังวลว่าพอฝั่งนี้ไปแล้วจะทำให้อิ๋งอู๋หม่านเป็นอันตรายถึงตาย ถึงตอนนั้นเขาเองก็รับผิดชอบไม่ไหว! อีกเรื่องหนึ่งที่กังวลมากก็คือ ถ้าหนีไปแล้วอาจจะเป็นการทำลายแผนการโจมตีของทัพใหญ่ จะสู้หรือจะหนี เขาไม่มีทางตัดสินใจเองได้

มิหนำซ้ำตอนนี้ก็ถอนกำลังไม่ทันแล้วเช่นกัน ถ้าหนีแล้วทัพใหญ่เสียระเบียบ ก็เท่ากับเกิดความวุ่นวายภายใน จะต้องเสียหายยับเยินแน่นอน

สรุปก็คือในใจเจียงเชียนหลี่ด่าแม่แล้ว ทัพฝ่ายศัตรูใช้วิธีการที่บาปกรรมชั่วร้ายเกินไป จะนำตัวอิ๋งอู๋หม่านออกมาตอนไหนก็ไม่ทำ ดันนำตัวออกมาอย่างกะทันหันตอนที่พุ่งมาตรงหน้าเจ้าแล้ว เป็นการวางกับดักให้คนตายจริงๆ

พอเห็นว่าฝั่งนี้มีความเคลื่อนไหว หลงซิ่นกับอ๋าวเถี่ยก็สบตากันแวบหนึ่ง อ๋าวเถี่ยพลันร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนว่า “อิ๋งอู๋หม่าน ท่านโหวอิ๋งมีคำสั่ง ให้พวกเจ้ายอมให้จับแต่โดยดี ใครขัดคำสั่ง ประหาร!”

“ท่านโหวอิ๋งมีคำสั่ง ให้พวกเจ้ายอมให้จับแต่โดยดี!” หลงซิ่นตะโกนเสียงดังพลางโบกมือ

“ท่านโหวอิ๋งมีคำสั่ง ให้พวกเจ้ายอมให้จับแต่โดยดี!”

กำลังพลเบื้องล่างร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนตามทันที ขวัญกำลังใจทหารเพิ่มสูงขึ้นในชั่วพริบตาเดียว จะไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นคงไม่ได้ เพราะว่าจับลูกชายของอ๋องสวรรค์อิ๋งได้แล้ว!

ตอนนี้จะมีเวลาให้เจียงเชียนหลี่ชักช้าอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร กำลังพลห้าสายพุ่งเข้ามาถึงในชั่วพริบตาเดียว

ทัพใหญ่ที่เที่ยวตระเวนเสียขวัญกำลังใจทันที กลุ่มคนถืออาวุธมองไปทั่ว พวกเขาล้วนมีสีหน้ากังวล ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกกำลังพลห้าสายล้อมไว้แล้ว

อ๋าวเถี่ยที่พุ่งนำเข้ามา ตอนนี้ถึงตรงหน้าเจียงเชียนหลี่แล้ว มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาในระยะใกล้ คมดาบที่จ่ออยู่บนคออิ๋งอู๋หม่านมีรอยเลือดแล้ว “วางอาวุธแล้วจะไม่ฆ่า!”

ขณะจ้องอิ๋งอู๋หม่านที่น้ำตาไหลราวกับหมดอาลัยตายอยาก เจียงเชียนหลี่ก็ทำสีหน้าไม่ถูก ไม่เคยทำศึกที่ไร้ความเป็นธรรมขนาดนี้มาก่อนเลย เขาไม่ได้สนใจความเป็นความตายของอิ๋งอู๋หม่านและอยากจะดิ้นรนต่อต้าน แต่สุดท้ายก็วางทวนยาวที่อยู่ในมือลงช้าๆ เขารู้ว่าถ้าผ่านเรื่องนี้ไป อิ๋งอู๋หม่านคงอยู่ในตำแหน่งโหวต่อไปไม่ได้แล้ว อนาคตที่จะได้สืบทอดตำแหน่งอ๋องสวรรค์ก็พังทลายแล้วเช่นกัน แต่ท่ามกลางสายตาฝูงชนแบบนี้ เขาแบกรับข้อหาที่ทำให้ลูกชายอ๋องสวรรค์ตายไม่ไหว

เขาเกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้น คนที่ตายคงไม่ได้มีเขาแค่คนเดียว แต่คนในครอบครัวของเขามากมายขนาดนั้นจะทำอย่างไร? อย่างน้อยถ้าวางอาวุธเพื่ออิ๋งอู๋หม่าน ก็พิสูจน์ความจงรักภักดีที่เขามีต่อตระกูลอิ๋งได้แล้ว ต่อให้พ่ายแพ้ แต่ตระกูลอิ๋งก็จะดูแลคนในครอบครัวเขาอย่างดี ไม่ถึงขั้นทำให้ครอบครัวของเขาได้รับความอัปยศเมื่อเขาไม่อยู่แล้ว

“ไว้ชีวิต จับตัวไป!” หลงซิ่นตะโกนสั่ง

ทัพใหญ่หลายแสนกรูเข้ามา หลงซิ่นควบคุมเจียงเชียนหลี่ไว้คนแรก ทัพใหญ่ที่เที่ยวตระเวนเดิมทียังมีคนอยากจะต่อต้าน แต่พอได้ยินว่า ‘ไว้ชีวิต’ ก็โล่งใจแล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาจะฆ่า คนอื่นๆ ก็ยอมแล้ว

สุดท้ายเจียงเชียนหลี่ก็มองไปที่อิ๋งอู๋หม่านด้วยแววตาที่ไม่มีทางบรรยายได้จริงๆ ในใจเรียกได้ว่าทอดถอนใจยาว ท่านโหวอิ๋งทำร้ายข้า!

ในขณะที่ลนลานทำอะไรไม่ถูก ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ทัพใหญ่หนึ่งแสนที่เที่ยวตระเวนทั้งหมดกลายเป็นเชลยศึกแล้ว ทั้งสองฝ่ายยังไม่ประมือกัน ยังไม่มีใครบาดเจ็บ แค่ชั่วพบหน้ากันก็จบลงเร็วมาก

“ปลดอาวุธ เปลี่ยนเครื่องแบบ เร็วๆๆ!” หลงซิ่นบัญชาการเสียงดัง

กำลังพลฝ่ายนี้ก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะชนะศึกนี้ได้สบายๆ ขนาดนี้ เพราะก่อนหน้านี้ไม่รู้ข่าวนี้สักนิดเลย มีคนไม่น้อยแทบจะหัวเราะออกมา บางคนก็กำลังแอบพึมพำแสดงความเห็น

“นายท่านจับลูกชายอ๋องสวรรค์อิ๋งมาได้ยังไง?”

“นี่คือท่านโหวที่ได้เข้าประชุมในราชสำนักเชียวนะ จับตัวมาโจ่งแจ้งขนาดนี้ คงจะไม่เกิดเรื่องหรอกใช่มั้ย?”

ขวัญกำลังใจทหารของเผ่าเทพอสรพิษดำก็ยิ่งเพิ่มขึ้นแล้ว

ในโถงถ้ำตรงจุดที่มีดาวหกดวงล้อมรอบ อ๋าวเฟยที่ได้รับข่าวด่วนจากเจียงเชียนหลี่กำลังกำระฆังดาราอย่างเหม่องง จากนั้นก็เขย่าระฆังดาราตอบเจียงเชียนหลี่ราวกับเสียสติ : เร็ว! ถอนกำลัง! ถอนกำลัง…

เขาเองก็ไม่กล้าสั่งให้เจียงเชียนหลี่ดันทุรังโจมตีเช่นกัน ถ้าทำให้อิ๋งอู๋หม่านตาย เจียงเชียนหลี่รับผิดชอบไม่ไหว เขาเองก็รับผิดชอบไม่ไหวเหมือนกัน ตอนนี้เขาอยากจะติดต่อท่านอ๋อง แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้จะยังส่งข่าวทันได้อย่างไร ปฏิกิริยาแรกก็คือสั่งให้เจียงเชียนหลี่ถอนทัพ หนีไป!

ทว่าทางฝั่งเจียงเชียนหลี่ไม่ตอบอะไรแล้ว อ๋าวเฟยหน้าซีดทันที โซเซถอยหลังหลายก้าว พึมพำด้วยสีหน้าอนาถใจ “หมดกัน! จบแล้ว…”

หวังหย่วนเฉียวกับคงฮั่นยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พอเห็นสภาพเขาเป็นแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ อ๋าวเฟยที่ช่ำชองสนามรบมานานกลายเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร แพ้ชนะเป็นเรื่องปกติของทหาร ต่อให้สู้แพ้ก็คงไม่ตกใจถึงขั้นนี้หรอกมั้ง! ทั้งสองพอจะรู้จักนิสัยของอ๋าวเฟย การแพ้ชนะของกำลังพลหนึ่งแสนไม่ทำให้เขาสะเทือนใจขนาดนี้แน่นอน จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วแน่ๆ

ทั้งสองเขามาประคองแขนซ้ายแขนขวาของเขา หวังหย่วนเฉียวถามอย่างตกใจว่า “ทำไมแม่ทัพใหญ่เป็นแบบนี้?”

“เฮ้อ!” อ๋าวเฟยย่ำเท้าผลักทั้งสองออกไป แล้วส่ายหน้าอย่างแรงๆ ถอนหายใจยาวด้วยหน้าสีขื่นขมจนปัญญา “ท่านโหวอิ๋งทำงานใหญ่ของข้าพัง!”

“ท่านโหวอิ๋ง?” หวังหย่วนเฉียวตกใจ ไม่รู้ว่าทำไมโยงไปถึงท่านโหวอิ๋งได้อีก

“ท่านโหวอิ๋งทำไมเหรอ?” คงฮั่นรีบถาม

ในขณะนี้เอง ในถ้ำก็มีทหารคนหนึ่งรีบเข้ามารายงาน “แม่ทัพใหญ่ ทัพใหญ่ที่นำโดยแม่ทัพเจียงรบแพ้ สายลับมองเห็นจากที่ไกลๆ ทัพใหญ่ทั้งหมดเหมือนจะถูกจับเป็นเชลยโดยไม่ต่อต้านใดๆ!”

หวังหย่วนเฉียวกับคงฮั่นตกใจมาก ถามเป็นเสียงเดียวกันว่า “ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้?”

ทหารที่เข้ามารายงานส่ายหน้า เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร สายลับไม่ได้เอาตัวเองไปอยู่ในทัพใหญ่ด้วย เพียงหลบมองอยู่ไกลๆ เท่านั้น มองไม่เห็นสถานการณ์ชัดเจน

อ๋าวเฟยหลับตาก้มหน้า “ท่านโหวอิ๋งอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ตอนใกล้จะทำศึก จู่ๆ อีกฝ่ายก็เอาท่านโหวอิ๋งมาเป็นโล่กำบัง ทัพฝ่ายเรากลัวลูบหน้าปะจมูก!”

“หา!” หวังหย่วนเฉียวกับคงฮั่นตกใจค้าง อิ๋งอู๋หม่านไปตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อได้ยังไง?

“ตกหลุมพรางชั่วของคนต่ำช้าแล้ว! มีความเป็นไปได้สูงว่าอู๋เซียนฉีจะโดนหนิวโหย่วเต๋อซื้อตัวแล้ว แล้วที่หนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ก็เป็นกลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม จงใจทำให้พวกเราสับสน!” อ๋าวเฟยส่ายหน้าฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวด “ใช้กลยุทธ์ชั้นสูงของทหาร ไอ้จัญไรหนิวช่างสมคำร่ำลือ นึกไม่ถึงว่าจะใช้กลยุทธ์นี้!”

หวังหย่วนเฉียวบอกว่า “แม่ทัพใหญ่ เชออู่นำกำลังพลมุ่งหน้าไปแล้ว ถ้าโดนอีกฝ่ายเอาท่านโหวอิ๋งมาขู่อีก จะไม่ผิดพลาดซ้ำรอยเดิมหรอกเหรอ รีบสั่งให้เขาถอยเถอะ!”

“ไม่รีบหรอก! ดูท่านอ๋องก่อนว่าจะตัดสินยังไง!” อ๋าวเฟยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ไม่ได้ลนลานอีกแล้ว หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจั่วเอ๋อร์ทันที

บึ้ม! ใต้ร่มไม้ริมแม่น้ำ ต้นไม้ใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางสิบกว่าจั้งกลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตาเดียว

จั่วเอ๋อร์ยกมือขึ้นป้องใบหน้า นางกำลังมองอิ๋งจิ่วกวงที่เดือดดาลสุดขีดจนเสื้อผ้าปลิวสะบัดราวกับอยู่บนยานพาหนะ

“ไอ้จัญไรนั่นรังแกข้าเกินไปแล้ว!” อิ๋งจิ่วกวงคำรามอย่างเดือดดาลสุดขีด แล้วหันขวับกลับมาด้วยสายตาราวกับจะกินคน “บอกอ๋าวเฟย! ไม่ต้องสนใจความเป็นความตายของไอ้ลูกทรพีนั่น ถ้าฝ่ายตรงข้ามผลักไอ้ลูกทรพีมาเป็นโล่กำบังอีก ก็ให้สังหารนำไปก่อน เด็ดหัวไอ้ลูกทรพีมาให้ข้า อ๋องผู้นี้จะตบรางวัลอย่างงาม!”

“รับทราบ!” จั่วเอ๋อร์รีบเอ่ยรับ ไม่กล้าพูดอะไรมากอีก สาเหตุแรกเป็นเพราะรู้ว่าอิ๋งจิ่วกวงเดือดดาลจนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว สาเหตุรองเป็นเพราะรู้ว่าถ้าถ่วงเวลาในสนามรบต่อไปจะไม่ทันแล้ว

ในโถงถ้ำ ไม่ว่าจะเป็นพวกเหมียวอี้ที่ภายนอกดูสงบใจเย็น หรือจะเป็นพวกโม่โหยวที่สีหน้ากระวนกระวาย ที่จริงแล้วพวกเขาต่างก็กำลังรอฟังรายงานการรบอย่างร้อนใจ

ผ่านไปม่นาน กุยอู๋ที่อยู่ฝั่งเหมียวอี้ ชางไห่ที่อยู่ฝั่งโม่โหยวต่างก็หยิบระฆังดาราออกมา

“ข่าวดี!” กุยอู๋วางระฆังดาราลงแล้วรายงานข่าวดีก่อน แล้วค่อยเล่ารายละเอียด “ข่าวชัยชนะศึกแรก ทัพฝ่ายเราไม่มีใครบาดเจ็บสักคน จัดการกองทัพลาดตระเวนฝ่ายตรงข้ามได้หนึ่งแสน ยังไม่มีใครหนีไปสักคน ทัพฝ่ายเราชนะโดยสมบูรณ์! ตอนนี้ทัพใหญ่ฝ่ายเรากำลังรีบเตรียมพร้อม”

เหลิ่งจัวฉุนฟังแล้วกะพริบตาปริบๆ เห็นได้ชัดว่าตกตะลึง เขาไม่เข้าใจว่าศึกนี้สู้กันอย่างไร จัดการทัพลาดตระเวนหนึ่งแสนได้โดยไม่มีใครบาดเจ็บสักคน? จริงหรือโกหก?

“ดี!” เหมียวอี้ที่หายเครียดแล้วตบบนเข็มทิศติดต่อกันสามที จากนั้นก็ควบคุมอารมณ์ตื่นเต้น แล้วถ่ายทอดคำสั่งทันทีว่า “ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป รายงานข่าวชัยชนะให้กำลังพลแต่ละสายของข้า รวมทั้งสายลับที่กระจายตัวอยู่ด้วย เพิ่มขวัญกำลังใจทหารให้ข้า ทุกคนจะได้รู้ว่าทัพตะวันออกห้าล้านมันก็แค่นี้เอง ทุกคนไม่จำเป็นต้องกลัว!”

จากนั้นก็ชี้บนเข็มทิศ “กองหนุนทางตะวันตกของฝ่ายศัตรูกำลังเร่งตามมา บอกหลงซิ่นว่าให้ทำตามแผนเดิม รับการโจมตีจากทัพข้าศึกซึ่งๆ หน้า อย่าชักช้าอืดอาด!”

“รับทราบ!” ทางนี้แจ้งคำสั่งลงไปทันที

จากนั้นเหลิ่งจัวฉุนก็ถ่ายทอดเสียงถามกุยอู๋ว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่

เห็นได้ชัดว่าโม่โหยวที่อยู่ตรงข้ามมีสีหน้าตื่นเต้นประหลาดใจ นางกำลังฟังชางไห่ถ่ายทอดเสียงรายงาน ดวงตางามเปล่งประกายลุกวาว มองเหมียวอี้ที่กำลังจ้องเข็มทิศครุ่นคิดเป็นระยะ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าฝ่ายนี้จับตัวอิ๋งอู๋หม่านได้ ก็ทำให้นางตกใจไม่เบาจริงๆ จับอิ๋งอู๋หม่านที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของทัพฝ่ายศัตรูได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?

สรุปก็คือไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่ทำให้นางดีใจที่สุดก็คือศึกนี้ไม่ทำให้พี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำบาดเจ็บล้มตายสักคน จะเห็นได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้เอาพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำของนางมาทำซี้ซั้ว โดยเฉพาะการที่เขาปฏิบัติกับทัพใหญ่แดนรัตติกาลอย่างเท่าเทียมกัน สิ่งนี้ทำให้นางค่อนข้างชื่นชม

ชางไห่ที่แอบถ่ายทอดเสียงเสร็จแล้วมองไปที่เหมียวอี้ด้วยสายตาสับสนนิดหน่อย ก่อนหน้านี้เขาใช้อารมณ์เถียงกับเหมียวอี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้นับว่ายอมแพ้จากใจแล้ว

“ยินดีกับหัวหน้าภาคหนิวที่ชนะตั้งแต่ยกแรก” โม่โหยวพยักหน้าแสดงความยินดีให้เหมียวอี้เบาๆ

เหมียวอี้เหลือบตาขึ้น แล้วยิ้มบางๆ “ยินดีเช่นกันๆ”

โม่โหยวกล่าวชื่นชมว่า “ได้ยินมานานว่าหัวหน้าภาคหนิวช่ำชองการศึก เคยนำกำลังพลครึ่งกองธงพยัคฆ์ไปตีทัพใหญ่หนึ่งล้าน ยังนึกว่าเยินยอเกินจริงเสียอีก วันนี้ถึงได้เห็นหัวหน้าภาคใช้งานทหารราวกับเป็นเทพ สมคำร่ำลือจริงๆ ด้วย”

“ผู้อาวุโสโม่ชมเกินไปแล้ว ชนะศึกแรกเพราะโชคดีเท่านั้น เป็นการฉวยโอกาสโดยแท้ ตอนหลังอาจจะไม่ราบรื่นแบบนี้ก็ได้!” เหมียวอี้ชี้เข็มทิศ “ตอนนี้ไม่มีทางที่ฝ่ายศัตรูจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่ากองหนุนทางตะวันตกรุดหน้ามาโดยไม่เสียระเบียบแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าอิ๋งอู๋หม่านถูกฝ่ายศัตรูทอดทิ้งแล้ว หมดประโยชน์แล้ว ต่อจากนี้จะเริ่มใช้กำลังต่อสู้อย่างแท้จริง หวังว่าอีกประเดี๋ยวหากเกิดเหตุการณ์ที่พี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำบาดเจ็บล้มตาย ผู้อาวุโสโม่จะควบคุมอารมณ์ไหว!” ขณะที่พูดก็ชำเลืองชางไห่แวบหนึ่ง

ชางไห่เข้าใจ ได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น ไม่ได้พูดอะไรอีก

“ในเมื่อหัวหน้าภาคหนิวกล้าสู้ คาดว่าต้องมีความมั่นใจแน่” โม่โหยวยิ้มบางๆ เมื่อมีชัยในศึกแรกแล้ว น้ำเสียงก็ผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย นี่ก็คือที่มาของขวัญกำลังใจทหาร

เหมียวอี้ยิ้มโดยไม่ตอบอะไร “สถานการณ์ศึกอาจเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ ตั้งตารอดูเถอะ”

“มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ อิ๋งอู๋หม่าน ผู้บัญชาการทัพสูงสุดฝ่ายศัตรูมาตกอยู่ในมือเจ้าได้ยังไง?” โม่โหยวถาม

“อิ๋งอู๋หม่านถูกอ๋องสวรรค์อิ๋งถอดจากตำแหน่งนานแล้ว ตอนนี้ผู้บัญชาการทัพสูงสุดฝ่ายศัตรูก็คืออ๋าวเฟย ดูถูกคนนี้ไม่ได้เลย เป็นแม่ทัพที่ช่ำชองการรบของทัพตะวันออก เป็นตัวละครที่มีน้อยจนนับได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเข้าสังคมไม่เป็นจนไปล่วงเกินคนอื่นเข้า ตอนนี้เกรงว่าคงได้ขึ้นตำแหน่งเทพประจำดาวแล้ว” เหมียวอี้ไม่ได้บอกละเอียดว่าอิ๋งอู๋หม่านถูกจับมาได้อย่างไร ฐานะท่านโหวของของอิ๋งอู๋หม่านก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าเปิดโปงว่าหยางเจาชิงจับตัวขุนนางของราชสำนักมา ก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับหยางเจาชิง ส่วนสถานการณ์ของอ๋าวเฟย เขารู้มาจากหวงฝู่จวินโหรว จึงเตือนให้ทุกคนระวังตัวไว้ อาศัยเรื่องนี้มาเปลี่ยนประเด็นสนทนา

เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่ยอมบอก โม่โหยวก็พยักหน้า ไม่ถามอะไรอีกแล้วเช่นกัน

……………

คงฮั่นพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน หลักการก็ไม่ได้ซับซ้อน ไม่ว่าจะกำจัดทัพใหญ่แดนรัตติกาลหรือว่ากำจัดหนิวโหย่วเต๋อ อย่างน้อยก็ยังชี้แจงกับท่านอ๋องได้ ถ้าถ่วงเวลาให้นานกว่านี้ไม่ใช่วิธีการที่ดี

สถานการณ์ชัดเจนมาก ราชันสวรรค์เรียกรวมกำลังพลหนึ่งหน่วยแล้ว ทำแบบนี้เพราะอยากควบคุมจังหวะของสระน้ำมังกรดำให้ถึงที่สุด ถ้ากำลังพลฝั่งนี้ถอนกำลังไม่ทันเวลา ถึงตอนนั้นถ้าอยากจะหนีก็หนีไม่ทันแล้ว ถ้าถูกกองทัพองครักษ์จับได้คาหนังคาเขา เช่นนั้นทัพตะวันออกก็จะเกิดปัญหายุ่งยากแล้ว ต่อให้มีปากก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน ดังนั้นการทำแบบนี้ก็แก้ปัญหาไปได้เรื่องหนึ่ง

“ถ้ากำจัดพร้อมกันได้ก็พยายามกำจัดไปพร้อมกัน!” อ๋าวเฟยจ้องเข็มทิศพลางพึมพำ เขากดดันไม่น้อย อิ๋งอู๋หม่านนำปัญหามาให้ หวังว่าจะไม่เกิดอะไรกับอิ๋งอู๋หม่าน ถ้าฝั่งนี้แสดงผลงานการรบได้ไม่งดงาม เกรงว่าถึงตอนนั้นเขาจะหาทางลงจากเรื่องนี้ได้ยาก!

ดาวเคราะห์เกิดควันโขมงทั่วทุกทิศ เจียงเชียนหลี่ที่ลอยอยู่บนฟ้าสูงเก็บระฆังดารา แล้วบอกผู้ช่วยข้างๆ ว่า “สั่งให้กำลังพลหยุดได้แล้ว รวมตัว เตรียมรบ!”

ตามคำสั่งที่ถ่ายทอดลงไป กำลังพลบนดาวเคราะห์รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว

ตำหนักนารีสวรรค์ เอ๋อเหมยเดินย่องไปนอกประตูห้องนอนที่ปิดสนิท แล้วเอ่ยเรียก “เหนียงเหนียง!”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่นั่งกระสับกระส่ายอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งหันกลับมาถาม “มีอะไร?”

นางกระวนกระวายใจมากจริงๆ นึกเสียใจทีหลังที่อนุญาตให้เหมียวอี้นำทัพใหญ่ไปที่สระน้ำมังกรดำ ระหว่างนั้นนางติดต่อเหมียวอี้หลายครั้ง เหมียวอี้ล้วนตอบประมาณว่าจัดรูปแบบกองทัพสำหรับสู้รบแล้วแล้ว ถอยไม่ได้แล้ว นางไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วย จะไปรู้ได้อย่างไรว่าจัดรูปแบบกองทัพสำหรับสู้รบแล้วแล้วจะถอยไม่ได้ เหมียวอี้ว่าอย่างไรนางก็ว่าไปตามนั้น สถานการณ์ทางนั้น เหมียวอี้ก็พูดอะไรได้ไม่ชัดเจนเช่นกัน บอกเพียงว่าสถานการณ์ยังไม่ชัดเจน

ที่จริงเหมียวอี้ไม่อยากให้นางรู้ กลัวว่าผู้หญิงคนนี้จะเข้ามาก้าวก่าย

สถานการณ์แบบนี้ให้ความรู้สึกว่าไม่รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างนอก

ที่จริงไม่ใช่แค่เหมียวอี้เท่านั้น ตระกูลอิ๋งก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ต่างก็พยายามปิดข่าวเอาไว้สุดชีวิต ไม่มีใครรายงานสถานการณ์ขึ้นมาเบื้องบน ไม่อย่างนั้นถ้าเบื้องบนเข้ามาก้าวก่ายก็จะเล่นต่อไม่ได้แล้ว จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายสั่งสมกำลังเต็มที่และจะสู้กับฝ่ายตรงข้ามให้ถึงที่สุด ถ้าไม่เห็นผลแพ้ชนะจะไม่ยอมเลิกรา

“ด้านนอกเกิดเรื่องนิดหน่อยเพคะ เกี่ยวข้องกับหัวหน้าภาคหนิว” เอ๋อเหมยยืนพูดอยู่ข้างนอก

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รีบลุกขึ้น ผลักประตูเดินออกมา แล้วถามอย่างร้อนใจ “หัวหน้าภาคหนิวเป็นยังไงบ้างแล้ว?”

นางแกล้งโง่ใส่ตระกูลเซี่ยโห้ว จึงไม่สะดวกจะให้เอ๋อเหมยไปสืบข่าวจากตระกูลเซี่ยโห้วโดยตรง เมื่อไม่มีช่องทางข่าวสารจากตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ตัวนางอยู่ในตำหนักตอนนี้ก็เหมือนตาทั้งคู่มืดดำจริงๆ ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น เรียกได้ว่าถูกควบคุมไว้แน่นหนา

เอ๋อเหมยบอกว่า “ด้านนอกมีข่าวลือบอกว่าตระกูลอิ๋งแอบระดมทัพตะวันออกห้าล้านไปดักซุ่มโจมตีหัวหน้าภาคหนิวที่สระน้ำมังกรดำ ตอนนี้ในอาณาเขตสี่ทัพกำลังจับกุมคนของโถงชุมนุมอัจฉริยะ…” นางเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ พร้อมทั้งสังเกตปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่

“ทัพตะวันออกห้าล้าน…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่สีหน้าซีดเผือด ร้องอุทานเสียงหลง ยากที่จะจินตนาการว่าทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาลจะต้านทานได้อย่างไร ตอนนี้โถงชุมนุมอัจฉริยะก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักเช่นกัน มีหรือที่นางจะไม่รู้ว่าโถงชุมนุมอัจฉริยะคือช่องทางรายได้ของนาง

นางตั้งสมาธิเล็กน้อย แล้วถามว่า “ยังมีอีกมั้ย?”

เอ๋อเหมยตอบว่า “ได้ยินว่าสระน้ำมังกรดำมีการโจรกรรมครั้งใหญ่ ฝ่าบาทเร่งระดมกำลังพลหนึ่งกองตามไปแล้ว องค์ชายเหมือนจะอยู่ในนั้นด้วย”

หลังจากถามโดยละเอียดอีกสองประโยค เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็รีบกลับเข้ามาในห้องอีก นางหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ นางต้องการให้เหมียวอี้รีบถอนกำลัง ทว่าครั้งนี้เหมียวอี้กลับไม่ตอบอะไร ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นหรือเปล่า สิ่งนี้ยิ่งทำให้นางกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ

จากนั้นก็ใช้ระฆังดาราติดต่อชิงหยวนจุน ทว่าตอนนี้ชิงหยวนจุนกำลังเซ็งอยู่ในห้องว่างที่ปิดสนิท ทัพใหญ่เดินทัพแล้ว จึงควบคุมการใช้ระฆังดาราอย่างเข้มงวด

ติดต่อไม่ได้ทั้งสองฝ่าย ขณะกำลังกังวลใจ จู่ๆ เอ๋อเหมยที่อยู่ข้างนอกก็กล่าวอีกครั้ง “เหนียงเหนียง ฝ่าบาทเรียกพบเพคะ!”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หัวใจกระตุกแรง ไม่รู้ว่าประมุขชิงต้องการจะตำหนินางหรือไม่

ในตำหนักดาราจักร ขุนนางใหญ่คนสนิทหลายคนมากันครบแล้ว ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงโยนม้วนหนังสือในมือ บอกเกาก้วนที่เพิ่งเดินเข้ามาว่า “เกาก้วน เหมือนในมือเจ้าจะมีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อหนิวโหย่วเต๋อได้โดยตรงใช่มั้ย?”

เกาก้วนพยักหน้าเบาๆ “ใช่แล้วขอรับ ในปีนั้นตอนหนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องที่ตำหนักสวรรค์ ข้าน้อยไปสืบสวนแล้วเก็บช่องทางการติดต่อของเขาไว้”

ประมุขชิงพูดเย้ยว่า “สระน้ำมังกรดำเกิดการโจรกรรมไม่ใช่เหรอ เจ้าลองถามเข้าหน่อยสิ สถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไงกันแน่ เรื่องโจรเป็นยังไงบ้าง? แน่นอน ที่สำคัญคือต้องสืบด้วยว่าเจ้าเด็กนั่นต้านไหวหรือเปล่า” ฝั่งนี้ที่ไม่รู้สถานการณ์ทางสระน้ำมังกรดำชัดเจนก็กลุ้มใจเหมือนกัน

“ขอรับ!” เกาก้วนหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อตรงนั้นเลย ทุกสายตาในตำหนักกำลังจับจ้องไปที่ตัวเขา

ในโถงถ้ำ เมื่อได้รับข้อความจากระฆังดาราของเขา เหมียวอี้ที่อยู่ตรงหน้าเข็มทิศก็อึ้งอยู่บ้าง ตอนนี้เป็นเวลาที่กำลังตึงเครียด เดิมทีก็ไม่อยากแบ่งสมาธิไปสนใจอยู่ ทว่าเขาไปมีเรื่องกับผู้พิพากษาหน้าตายอย่างเกาก้วนไม่ไหว หลังจากจบเรื่องท่านนี้อาจจะสอดมือเข้ามาสืบคดีก็ได้ ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหวจริงๆ ดังนั้นสุดท้ายจึงแข็งใจหยิบระฆังดาราออกมา ถามอย่างสุภาพว่า : ไม่ทราบว่าท่านทูตขวามีอะไรจะกำชับขอรับ?

เกาก้วน : ได้ยินว่าทางสระน้ำมังกรดำมีการโจรกรรมเหรอ?

เหมียวอี้คิดในใจว่า เจ้ารู้อยู่แก่ใจแล้วยังถามทำไม? แต่ภายนอกยังตอบกลับอย่างสุภาพ : เป็นอย่างนี้จริงๆ ตอนนี้ผู้น้อยกำลังสั่งให้กำลังพลปราบปราม

เกาก้วน : มีข่าวลือ ว่าการโจรกรรมที่สระน้ำมังกรดำนั้นเป็นอ๋องสวรรค์อิ๋งที่แอบระดมกำลังพล มีเรื่องนี้หรือเปล่า?

เหมียวอี้ถามเหมือนประหลาดใจมาก : มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ? ท่านทูตขวาพูดจริงหรือเปล่า?

เขาเองก็แกล้งโง่เช่นกัน ถ้าคายความจริงออกไป เขาก็โจมตีต่อไม่ได้แล้ว

เกาก้วนเองก็ไม่ได้เปิดเผย ถามอย่างอื่นอีกนิดหน่อยก็หยุดการติดต่อไปเอง จากนั้นกุมหมัดคารวะรายงานสิ่งที่ถามต่อประมุขชิง

“โถ่เอ๊ย!” ประมุขชิงหัวเราะร่า “เจ้าลูกลิงนี่น่าสนใจ จนป่านนี้แล้วยังไม่ยอมพูดอะไร สงสัยจะยังเหลือเฟือ สงสัยอิ๋งจิ่วกวงจะยังไม่บีบจนเขาหายใจไม่ออก นี่เขาคงคิดจะกัดอิ๋งจิ่วกวงสักคำ! หึหึ น่าสนใจ จนป่านนี้ทัพตะวันออกห้าล้านยังจัดการเจ้าเด็กนั่นไม่ได้ ทัพใหญ่ของข้าออกเดินทางแล้ว หนิวโหย่วเต๋อชิงเป็นฝ่ายได้เปรียบด้านเหตุผล ตระกูลอิ๋งไม่กล้าโผล่หน้าแล้ว อิ๋งจิ่วกวงคงจะนั่งไม่ติดที่ ดูท่าผลแพ้ชนะของทั้งสองฝ่ายคงอยู่อีกไม่ไกล”

ผ่านไปครู่เดียว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เข้ามาคำนับในตำหนักดาราจักร พวกเกาก้วนก็ทำความเคารพนางเช่นกัน

ประมุขชิงจ้องเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่มีสีหน้าวิตกกังวล แล้วถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “เฉิงอวี่ ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อนำทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาลไปปราบโจรที่สระน้ำมังกรดำ มีเรื่องนี้หรือเปล่า?”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฝืนยิ้ม “เรื่องนี้หนิวโหย่วเต๋อรายงานมาแล้วเพคะ หม่อมฉันอนุญาตเอง ตามที่หนิวโหย่วเต๋อรายงาน บอกว่าโจรที่สระน้ำมังกรดำจับตัวรองหัวหน้าภาคสวีถังหรานไป”

“อืม! เรื่องปราบโจรน่ะสมควรแล้ว ตอนนี้ทางสระน้ำมังกรดำเป็นอย่างไรบ้าง เจ้ารู้หรือเปล่า?” ประมุขชิงถามเสียงเรียบ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รู้สึกเครียดในใจ ตอบว่า “ตามที่หนิวโหย่วเต๋อรายงาน ตอนนี้สถานการณ์ซับซ้อน โจรเจ้าเล่ห์มาก ยากที่จะบอกสถานการณ์อย่างชัดเจนได้”

ในดาราจักรที่สวยแพรวพราว บนดาวเคราะห์ที่มีควันลอยโขมง กำลังพลกลุ่มใหญ่พุ่งออกมา แล้วตั้งกระบวนทัพรออยู่บนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

เจียงเชียนหลี่ที่อยู่ในกระบวนทัพสะบัดทวนยาวมาไว้ในมือ แล้วกำชับว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป มือธนูห้าพันคนที่อยุ่แถวหน้าเตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ปีกซ้ายปีขวาซุ่มมือธนูไว้หนึ่งหมื่นคน ถ้ายังไม่ได้รับคำสั่งจากข้า ห้ามเผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โดยพลการ ทัพของข้าศึกจะได้ไม่ตกใจจนหนีไป ถ้าประมือกันเมื่อไร ให้ปรับเปลี่ยนรูปทัพตามสถานการณ์เพื่อยิงโจมตีทันที!”

“รับทราบ!” ผู้ช่วยเอ่ยรับคำสั่ง แล้วรีบไปจัดการ

บนท้องฟ้าไกลๆ คนร้อยกว่าคนมาถึงที่นี่อย่างรวดเร็ว จากสถานการณ์ที่ศูนย์บัญชาการส่งข่าวมา ตอนนี้พวกเขาเข้าใกล้ทัพของฝ่ายศัตรูมากขื้นเรื่อยๆ แล้ว ในที่สุดหลงซิ่นก็ทนไม่ไหว แต่ก็ไม่ถามอ๋าวเถี่ยเช่นกัน อย่างไรเสียถามไปก็ไม่ได้เรื่องอะไร จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้โดยตรง บอกว่าถ้าใช้กำลังปะทะแบบนี้จะต้องเสียหายหนักแน่

ผ่านไปไม่นาน อ๋าวเถี่ยก็ได้รับข้อความจากเหมียวอี้ หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว ในที่สุดอ๋าวเถี่ยก็ถ่ายทอดเสียงเผยความลับให้หลงซิ่นรู้

“อิ๋งอู๋หม่านอยู่ในมือเจ้าเหรอ?” หลงซิ่นทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ

อ๋าวเถี่ยตอบว่า “นายท่านมีคำสั่ง หลังจากต่อสู้กันแล้วให้เผยตัวอิ๋งอู๋หม่านทันที ถ้าพบว่าอีกฝ่ายมีท่าทีไม่สนใจความเป็นความตายของอิ๋งอู๋หม่าน ก็แสดงว่ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าอิ๋งอู๋หม่านตกอยู่ในมือพวกเรา เตรียมตัวจะทิ้งอิ๋งอู๋หม่านแล้ว ก็ให้ทัพใหญ่ถอนกำลังทันที ไม่ต้องใช้กำลังปะทะกัน แต่ถ้าขู่ฝ่ายตรงข้ามได้ ก็อย่าให้โอกาสอีกฝ่ายรายงานกลับไปขอคำชี้แนะ…”

“ได้!” หลังจากหลงซิ่นฟังจล ก็กล่าวชมอย่างฮึกเหิม “นายท่านช่างเจ้าแผนการ ทำตามคำสั่งขุนพล!” เสร็จแล้วหันกลับไปตะโกนบอกข้างหลัง “เร่งความเร็วสูงสุด!”

กำลังพลกลุ่มนี้เร่งความเร็วในการเหาะอีกครั้ง

อ๋าวเฟยที่กำลังจ้องเข็มทิศได้รับข่าวทันที “รายงาน! ฝ่ายศัตรูเร่งความเร็วไปข้างหน้า ไปเปลี่ยนแปลงทิศทาง ใกล้จะประจัญบานกันแล้ว!”

“ได้!” อ๋าวเฟยกล่าวเสียงต่ำ “สั่งเจียงเชียนหลี่ หลังจากประมือกันแล้วให้ยอมทำทุกอย่างเพื่อถ่วงเวลาอีกฝ่ายเอาไว้ สั่งให้เชออู่เตรียมตัวจู่โจมด้วยความเร็วสูงสุด!”

หวังหย่วนเฉียวกับคงฮั่นต่างคนต่างใช้ระฆังดาราติดต่ออย่างรวดเร็ว บนใบหน้าอ๋าวเฟยเผยอารมณ์ฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่ามาก

ทัพใหญ่หนึ่งแสนฝ่ายศัตรูอยู่ตรงหน้า ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองก็เห็นแล้ว หลงซิ่นเผยดาบใหญ่ในมือ แล้วโบกดาบพร้อมตะโกนเสียงดัง “เตรียมรบ!”

พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!

ทัพใหญ่ห้าแสนหนึ่งหมื่นปรากฏตัวกลางอากาศอย่างรวดเร็ว จากนั้นรีบแบ่งทหารเป็นห้าสาย ทัพใหญ่แดนรัตติกาลหนึ่งแสนพุ่งตรงไปทางศัตรู ส่วนทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำที่เหลือเหาะแบ่งเป็นสี่สาย แบ่งเป็นบนล่างซ้ายขวาวนไปโอบล้อมทัพใหญ่ฝ่ายตรงข้ามที่ตั้งกระบวนทัพรออยู่

“แค่ห้าแสนคน…” เจียงเชียนหลี่ที่กำลังถือทวนยาวอยู่ในมือขมวดคิ้วพึมพำ อาศัยประสบการณ์ของเขา แค่กวาดสายตานับหยาบๆ ก็ตัดสินจำนวนกำลังพลคร่าวๆ ที่บุกเข้ามาได้แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นทัพใหญ่แดนรัตติกาลหนึ่งแสน เขาก็คงสงสัยว่านี่อาจจะเป็นแผนลวง

ในโถงถ้ำ เมื่อรู้ว่าทัพใหญ่ฝ่ายศัตรูปรากฏตัว อ๋าวเฟยก็ตบเข็มทิศพร้อมตะโกนว่า “ดี! สั่งให้เชออู่โจมตีด้วยความเร็วสูงสุด!”

“ตามหลักแล้วเผ่าเทพอสรพิษดำไม่ได้มีแค่กำลังพลเท่านี้ ทำไมมีแค่ห้าแสนคน?” หวังหย่วนเฉียวระแวงสงสัย

คงฮั่นกล่าวว่ “ตราบใดที่กำลังพลหนึ่งแสนแดนรัตติกาลอยู่ก็พอ เป้าหมายของพวกเราก็คือกำจัดพวกเขา ส่วนเผ่าเทพอสรพิษดำก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าให้หมด ส่วนจะมีแผนลวงอะไรหรือไม่ ยามเผชิญกับทัพใหญ่ของข้าก็เหมือนตั๊กแตนห้ามรถอยู่ดี ไม่ประเมินกำลังตัวเอง ไม่พอให้หวาดกลัวหรอก!”

ส่วนในกระบวนทัพที่พุ่งโจมตีออกมา อ๋าวเถี่ยดึงอิ๋งอู๋หม่านมาไว้ในมือแล้ว แผ่นหยกในมือโยนออกมาเป็นกอง บวกกับความเร็วนี้ มันยิงไปทางทัพใหญ่ที่ตั้งกระบวนทัพรอราวกับเป็นฝนดาวตก

มีคนไม่น้อยตรงแถวหน้าได้รับแผ่นหยก เจียงเชียนหลี่ก็คว้าเอาไว้แผ่นหนึ่งเช่นกัน พอรีบร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดอ่าน ก็ทำสีหน้าตะลึงงันทันที จากนั้นดวงตาก็แทบถลนออกมา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นจดหมายที่สั่งให้พวกเขาวางอาวุธและยอมให้จับแต่โดยดี ซึ่งจดหมายนี้เขียนโดยอิ๋งอู๋หม่านนั่นเอง เขาเคยเห็นตราอิทธิ์ของอิ๋งอู๋หม่านมาก่อน

เขาพลันเงยหน้าและใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป เงาคนเริ่มชัดเจนขึ้นทีละนิด ไม่ผิดหรอก คนที่ถูกควบคุมตัวมาไว้ข้างหน้าสุดก็คืออิ๋งอู๋หม่าน ตอนนี้มีสีหน้าน่าเวทนา กำลังโดนคนใช้ดาบใหญ่จ่อคอเอาไว้ เขาเคยเห็นอิ๋งอู๋หม่านมาก่อน เสื้อผ้าบนตัวก็ยังไม่เปลี่ยน กอปรกับตราอิทธิฤทธิ์อิ๋งอู๋หม่าน ก็ยิ่งแน่ใจได้อย่างไม่ต้องสงสัย

มิหนำซ้ำฝั่งนี้ก็ยังได้รับรายงานแล้วด้วย ว่าอิ๋งอู๋หม่านถูกอู๋เซียนฉีพาตัวไป ทางนั้นกำลังไล่ฆ่าอู๋เซียนฉีไม่ใช่เหรอ? ทำไมอิ๋งอู๋หม่านมาโผล่อยู่ในกระบวนทัพฝ่ายศัตรูได้ล่ะ

“นั่นคือท่านโหวอิ๋งหรือเปล่า?”

“เป็นท่านโหวอิ๋ง!”

“เป็นท่านโหวอิ๋งจริงๆ!”

“ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้?”

ทหารถือแผ่นหยกแล้วพากันฮือฮา มีบางคนมองเจียงเชียนหลี่แล้วถามอย่างร้อนใจ “แม่ทัพ จะทำยังไงดี?”

มารดาเจ้าเถอะ! ท่านโหวอิ๋งถูกผลักมาเป็นโล่กำบังข้างหน้า มือธนูที่อยู่ทางนี้จะมีใครกล้ายิงล่ะ! ใครมันจะกล้าลงมือ! ถ้ายิงตายขึ้นมาก็ไม่มีใครรับผิดชอบไหว!

………………

ถ้ามองจากอีกมุม จะเห็นได้ว่าตอนนี้เหมียวอี้มีอำนาจไม่น้อยแล้วจริงๆ มีเรื่องมากมายที่เขาไม่ต้องลงมือเอง มีคนกลุ่มใหญ่ให้ระดมใช้งานได้ทุกเมื่อ พอบอกให้กระจายข่าวลือก็รู้กันทั้งใต้หล้าทันที บอกว่ายักย้ายร้านค้าของตระกูลอิ๋งนับพันร้านก็มีคนไปดำเนินการให้ทันที

สำหรับเหมียวอี้ในปีแรกๆ ต่อให้เขาจะมีแผนการที่ดีกว่านี้ แต่ในมือก็ไม่ได้มีคนมากกว่านี้คอยดำเนินการให้ ยิ่งไปต้องพูดถึงการยืนหยัดต่อสู้กับตระกูลอิ๋งที่สระน้ำมังกรดำ

พอมองเจ๋อชุนชิวที่ถูกทรมานสาหัสจนแทบไม่เหลือสภาพคน แล้วมองสวีถังหรานที่กำลังมองตนอย่างกังวลและจนใจ เหมียวอี้ก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาดี คิดในใจว่า ตอนนี้เจ้ายักย้ายทรัพย์สินของอีกฝ่ายไปหมดแล้ว จะไม่ถูกตระกูลอิ๋งสงสัยได้ง่ายเหรอว่าอิ๋งอู๋หม่านตกอยู่ในมือฝ่ายศัตรูแล้ว?

แต่ในเมื่อทำก็ทำไปแล้ว กอปรกับเป็นเจตนาดีของสวีถังหราน มิหนำซ้ำก็เพิ่งได้รับความลำบากมาเพราะทำงานให้เขา จะให้เขาว่าอะไรได้อีกล่ะ? หวังเพียงว่าภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ทางร้านค้าจะยังไม่รู้ตัว ถึงอย่างไรก็ขนของในร้านค้าตระกูลอิ๋งไปหมดแล้ว

“เจ้า…” หยางเจาชิงจ้องสวีถังหราน เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะด่าแม่ ตัวเองเสี่ยงอันตรายขนาดนี้เพื่อเอาตัวอิ๋งอู๋หม่านมา ดีไม่ดีอาจจะหมดประโยชน์ด้วยน้ำมือเจ้าแล้ว

เหมียวอี้ยกมือห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ แล้วถามสวีถังหรานด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “ได้ทรัพย์สินมาเท่าไร?”

สวีถังหรานเห็นปฏิกิริยาของหยางเจาชิง ก็รู้ตัวแล้วว่าตัวเองทำอะไรผิดไป แต่เขาไม่รู้สถานการณ์คุมเชิงกันของฝั่งนี้ชัดเจน จึงเครียดทันที รีบกล่าวรับประกันว่า “นายท่าน แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้นับรวม แต่ทรัพย์สินของตระกูลอิ๋งก็เห็นๆ กันอยู่ ทรัพย์สินของร้านค้านับพันไม่น้อยแน่นอน เป็นจำนวนที่น่าตกตะลึงแน่”

“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกจริงๆ บางครั้งเงินทองก็ไม่ได้สำคัญเท่าเรื่องบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นผลแพ้ชนะของศึกที่อยู่ตรงหน้านี้ เขาขยับมุมปากเล็กน้อย แอบถอนหายใจแล้วฝืนยิ้มออกมา “ดี! ยังไงก็ชดเชยความเสียหายได้บ้าง…อิ๋งอู๋หม่านล่ะ?” ไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว เปลี่ยนประเด็นสนทนาแล้ว

สวีถังหรานรีบโยนอิ๋งอู๋หม่านออกมา อิ๋งอู๋หม่านถลึงตาอย่างเดือดดาลทันที “หนิว…”

เหมียวอี้เอามือบีบคอเขา ทำให้เขาพูดคำหลังไม่ออก แล้วบีบหน้าหันซ้ายหันขวา กล่าวพลางแสยะยิ้มว่า “ท่านโหวอิ๋ง นึกไม่ถึงว่าจะมีวันที่กลายมาเป็นเชลยของหนิวคนนี้สินะ? ดูเขาไว้ให้ดี ตอนนี้อย่าเพิ่งให้รู้!” เขาผลักออกไป แล้วหันตัวเดินก้าวยาวออกไป

พอเข้ามาในโถงถ้ำ เหมียวอี้ก็เดินมายืนตรงหน้าเข็มทิศ จ้องเข็มทิศพลางถามว่า “กำลังพลที่เที่ยวตระเวนกลุ่มนั้นไปถึงไหนแล้ว?”

เหลิ่งจัวฉุนชี้ที่ตำแหน่งหนึ่งบนเข็มทิศ “มาถึงตรงนี้ ยังห่างจากตำแหน่งที่ดักซุ่มไว้ล่วงหน้า”

เหมียวอี้จ้องเข็มทิศคำนวณอะไรนิดหน่อย แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ไม่ต้องรอแล้ว เตรียมรุกโจมตี”

รุกโจมตี? ทุกคนตกใจ เหลิ่งจัวฉุนเตือนทันทีว่า “ตำแหน่งของพวกเขาในตอนนี้ อยู่ใกล้กับกำลังพลดักซุ่มห้าจุด ถ้ารุกโจมตีตอนนี้ ก็จะมีกำลังเสริมมาสนับสนุนทันที หรือว่าจะทำตามแผนเดิม ให้พวกเขาออกห่างสักหน่อยเพื่อให้เวลาพวกเรา?”

เหมียวอี้ตะโกนทันที “จิน ฟังคำสั่ง!”

“ขอรับ!” อ๋าวเถี่ยเอ่ยรับ

เหมียวอี้ใช้นิ้วลากบนเข็มทิศ “เจ้าพาพี่น้องสิบคนไปที่จุดดักซุ่ม ไปขอกำลังพลแดนรัตติกาลหนึ่งหมื่นจากหลงซิ่น ติดอาวุธเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งคัน แล้วระดมกำลังพลห้าแสนของเผ่าเทพอสรพิษดำ ให้หลงซิ่นเป็นผู้บัญชาการ เจ้าคอยเป็นผู้ช่วย โจมตีกำลังพลหนึ่งแสนที่เที่ยวตระเวนอยู่ที่นั่นซึ่งๆ หน้า อย่าลืมล่ะ กำลังพลเก้าหมื่นที่ดึงจากเผ่าเทพอสรพิษดำให้ปลอมตัวเป็นกำลังพลแดนรัตติกาล”

“นายท่าน แค่กำลังพลแดนรัตติกาลหนึ่งหมื่นบวกกับกำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำห้าแสน เกรงว่าคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกำลังพลหนึ่งแสน ในเมื่ออิ๋งอู๋หม่านกล้าปล่อยคนหนึ่งแสนออกมา ก็เกรงว่าจะดูถูกไม่ได้ ข้าเดาว่าพวกเขามีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนไม่น้อยเลย” อ๋าวเถี่ยกล่าวอย่างงุนงง

“เรื่องนี้ข้ารู้ เดี๋ยวข้าจะมีคำสั่งอีกอย่าง ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมเข้าใจเอง” เหมียวอี้กล่าว

“ขอรับ!” อ๋าวเถี่ยฝืนใจเอ่ยรับ

“มู่ จี ฟังคำสั่ง” เหมียวอี้ตะโกนอีก

“รับทราบ!” เมิ่งหรูกับจ่างหงเอ่ยรับ

เหมียวอี้ชี้วาดบนเข็มทิศต่อไป “พวกเจ้าสองคนพาพี่น้องยี่สิบคนเจอกับชิงเยว่ นำทัพใหญ่แดนรัตติกาลเก้าหมื่นกับเผ่าเทพอสรพิษดำสองล้านที่เหลือไปที่นี่ ดักซุ่มเงียบๆ อยู่บนทางที่กองหนุนทางตะวันตกจะต้องผ่าน ปล่อยให้ข้าศึกผ่านไป ไม่ต้องขัดขวาง รอให้กำลังพลของหลงซิ่นปะทะกับกองหนุนแล้ว ก็เทรังออกมาให้หมดทันที สังหารมาจากข้างหลังด้วยความเร็ว ร่วมโจมตีขนาบทั้งด้านหน้าด้านหลังไปพร้อมกับกำลังพลของหลงซิ่น ต้องทำให้กองหนุนเสียระเบียบให้ได้ ต่อให้ไม่อาจกำจัดกองหนุนได้หมด แต่ก็ต้องกำจัดได้จำนวนมากแน่นอน ถ้ากำลังพลของหลงซิ่นไม่ได้ปะทะกับกองหนุน กำลังพลของเจ้าก็ซ่อนตัวต่อไป รอฟังคำสั่งของข้าตอนหลัง”

“รับทราบ!” เมิ่งหรูและจ่างหงเอ่ยรับ

“อวิ๋น ฟังคำสั่ง!” เหมียวอี้ตะโกนอีกครั้ง

“อยู่ขอรับ!” ตานฉิงขานรับ

เหมียวอี้ชี้ตรงทางออกสระน้ำมังกรดำ “ตรงนี้มีกำลังพลห้าสิบของเผ่าเทพอสรพิษดำดักซุ่ม เจ้านำพี่น้องสิบคนไปที่ทางออกสระน้ำมังกรดำ รวมตัวกับผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำที่นำทัพ จัดระเบียบกำลังพลอย่างเร็วที่สุด เตรียมตัวควบคุมกำลังพลให้คล่อง ตอนเรียกออกก็ต้องประจำที่ให้เร็วเหมือนฟ้าผ่า ตอนสั่งถอยก็อย่าให้ข้าศึกไล่ตามทัน เตรียมตัวฟังคำสั่งข้าให้ดี ถ้าไม่มีคำสั่งข้าก็ห้ามเคลื่อนไหวโดยพลการ ใครขัดคำสั่งโดนประหาร!”

“รับทราบ!” ตานฉิงเอ่ยรับ

คนกลุ่มหนึ่งร่วมทั้งพวกชำชองสนามรบที่มาจากแดนอเวจีต่างก็ไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้จัดเตรียมแบบนี้หมายความว่าอะไร

ส่วนเหมียวอี้ก็เรียกอ๋าวเถี่ยมาข้างกาย แล้วถ่ายทอดเสียงกำชับว่า “อ๋าวเถี่ย หยางเจาชิงไปเจรจาแล้วเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้เยอะมาก อิ๋งอู๋หม่านตกอยู่ในมือข้าแล้ว…”

อ๋าวเถี่ยยังฟังยิ่งตาเป็นประกาย หันกลับไปมองเข็มทิศ เผยสีหน้ากระจ่างทันที เหมือนเข้าใจแล้วว่าทำไมเหมียวอี้ต้องวางแผนอย่างนี้

สุดท้ายเหมียวอี้ก็ย้ำอีกว่า “เรื่องนี้คือกุญแจสำคัญของศึกนี้ จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาด ถ้ายังไม่ถึงตอนสุดท้ายก็ห้ามเผยตัวอิ๋งอู๋หม่าน เข้าใจมั้ย?”

“เข้าใจ!” อ๋าวเถี่ยพยักหน้า

“คนอยู่กับสวีถังหราน ไปเอาตัวมาเถอะ” เหมียวอี้เอียงหน้าบอก จากนั้นก็ตะโกนบอกกลุ่มคนอีกว่า “กฎทหารเข้มงวด ฟังคำสั่งข้า ใครขัดคำสั่ง ฆ่าไม่ละเว้น ปฏิบัติเดี๋ยวนี้ ไปได้!”

“รับทราบ!” สี่คนที่ถูกเรียกชื่อกุมหมัดคารวะพร้อมกัน จากนั้นก็ออกไปเตรียมตัวด้วยความรวดเร็ว

อ๋าวเถี่ยดึงสวีถังหรานไปที่ห้องถ้ำอีกด้านหนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้ออกไป

พวกโม่โหยวมองหน้ากันเลิกลั่ก เหมียวอี้ระดมกำลังพลอย่างเป็นระบบระเบียบสุดๆ ทำท่าเอาจริงเอาจัง ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ทำอย่างนี้ถูกหรือผิด แต่ศึกใหญ่กำลังจะเริ่มแล้ว คนกลุ่มนี้วิตกกังวลมาก ถ้าสู้ชนะก็ไม่เท่าไรหรอก แต่ถ้าสู้แพ้ขึ้นมา ก็กังวลจริงๆ ว่าเผ่าเทพอสรพิษดำจะถูกฝ่ายตระกูลอิ๋งล้างเลือด

“ผู้บัญชาการหนิว มีความมั่นใจในศึกหรือเปล่า?” สุดท้ายโม่โหยวก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

เหมียวอี้เหลือบตาขึ้นมองนาง “สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมากในชั่วอึดใจเดียว ตั้งตารอดูเถอะ”

ตรงจุดที่มีดาวหกดวงล้อมรอบ ในโถงถ้ำ หวังหย่วนเฉียวพลันกำระฆังดาราในมือแน่น กล่าวเสียงต่ำว่า “แม่ทัพใหญ่ สายลับพบร่องรอยของอู๋เซียนฉีแล้ว”

อ๋าวเฟยที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอย่างร้อนรนพลันหันตัวมา รีบถามว่า “คนอยู่ตรงไหน?”

มาจนป่านนี้แล้ว เขาไม่ได้กังวลว่าจะเกิดเรื่องกับอิ๋งอู๋หม่าน แต่กังวลว่าอิ๋งอู๋หม่านจะตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อแล้ว

หวังหย่วนเฉียวชี้เข็มทิศ “อู๋เซียนฉีปลอมตัวมา ตอนถูกพบที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ฝ่ายเราเข้าใจผิดว่าเขาคือสายลับฝ่ายศัตรู พวกเราเลยดักไว้ แต่ไม่มีใครดักไหว อาจจะเป็นเพราะเขารู้แล้วว่าจะถูกเปิดโปง เลยเร่งความเร็วหนีเต็มที่ ตอนหลังหลังยอดฝีมือหลายคนของจงซานหมิงร่วมมือกันดักไว้ พอประมือกันถึงได้รู้ตัวตนของเขา แต่ก็ยังดักเขาไว้ไม่ได้ เขาหนีไปแล้ว สายลับพบว่าเขาหนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตลอดทาง”

อ๋าวเฟยลากนิ้วไปตามทางที่เขาหนีไป แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “อยู่ไม่ห่างจากอาณาเขตดาวนิรนามแล้ว ให้จงซานหมิงรวบรวมสายลับที่อยู่ทางนั้น ต้องสกัดเขาไว้ให้ได้!”

หลังจากจ่ายงานเรียบร้อยแล้ว เขาก็โล่งอกมากเช่นกัน ขอเพียงคนยังไม่ตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อก็ยังดี

“นายท่าน สายลับฝ่ายศัตรูทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือรวมตัวกันเคลื่อนไหว เหมือนกำลังไล่ฆ่าใครสักคน”

ทางด้านเหมียวอี้ ทหารที่ทำหน้าที่ติดต่อออกมาแล้ว ชี้บนเข็มทิศดาวพลางรายงาน

เหมียวอี้เหล่ตามองเข็มทิศ ในหัวมีชื่อของคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา ‘อู๋เซียนฉี’ เขายิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ “ไม่ต้องสนใจ จับตาดูต่อไปก็พอ”

ใต้ร่มไม้ริมแม่น้ำ เสียงน้ำกระเด็นดังตู้ม ละอองน้ำกระจาย

อิ๋งจิ่วกวงทุ่มเก้าอี้ลงในแม่น้ำเสียเลย โกรธจนหน้าเขียวแล้ว “เดรัจฉาน! ถ้าเก่งนักก็อย่ากลับมาอีกเลย!”

เขามั่นใจกับสถานการณ์ทางด้านอ๋าวเฟยมาตลอด แต่พอได้รู้เรื่องราวทางนั้นแล้ว เขาก็โมโหแทบตาย เขาเองก็คิดว่าอิ๋งอู๋หม่านก่อเรื่องเพราะไม่ยอมแพ้อ๋าวเฟย แค้นใจที่ตัวเองอนุญาตตอนที่อิ๋งอู๋หม่านมาเสนอตัวทำงานนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเวรนี่ เรื่องดีๆ คงไม่กลายเป็นอย่างนี้

“บอกอ๋าวเฟย ทำงานของตัวเองให้ดี ไม่ต้องสนใจความเป็นความตายของเจ้าเดรัจฉานนั่น!” อิ๋งจิ่วกวงพลันหันมาบอก

“รับทราบ!” หลังจากจั่วเอ๋อร์เอ่ยรับแล้ว ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลองถามอีกว่า “นายท่าน ต่อให้คุณชายใหญ่จะเป็นยังไง แต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่รับข้อความระฆังดาราของท่านหรอกค่ะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า? หรือว่าเรื่องจะไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราคิดไว้ อู๋เซียนฉีเป็นคนจับท่านโหวไปหรือเปล่า?”

อิ๋งจิ่วกวงเงียบทันที หลังจากหรี่ตาเบาๆ ก็กล่าวเสียงต่ำว่า “ยังไม่ต้องสนใจเจ้าเดรัจฉานนี่ บอกอ๋าวเฟยไป ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คืออะไร อย่าให้เสียระเบียบเพราะเจ้าเดรัจฉานนี่!”

“ค่ะ!” จั่วเอ๋อร์เอ่ยรับแล้วจัดการ

อ๋าวเฟยที่ได้รับข้อความนั้นกลับเงยหน้าถอนหายใจเบาๆ หวังเพียงว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นกับอิ๋งอู๋หม่าน ไม่อย่างนั้นต่อให้ชนะศึกนี้ แต่พอกลับไปจะเผชิญหน้ากับท่านอ๋องได้อย่างไร เพราะถึงอย่างไรก็เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งอ๋อง

“แม่ทัพใหญ่ มีสถานการณ์ด่วนของข้าศึก!” หนึ่งในแม่ทัพเกราะม่วงที่รับหน้าที่ประสานงานวิ่งออกมา

“ว่ามา!” อ๋าวเฟยตะคอก หวังหย่วนเฉียวและคงฮั่นก็รีบเดินเข้ามาล้อมข้างเข็มทิศเช่นกัน

แม่ทัพเกราะม่วงชี้ “ทางตะวันตกเฉียงใต้ จู่ๆ ก็มีคนนับร้อยปรากฏตัว ดูจากกระบวนทัพแล้ว เป็นคนของทัพใหญ่แดนรัตติกาลจริงๆ กำลังมุ่งหน้าไปยังทัพใหญ่ที่เที่ยวตระเวนของฝ่ายพวกเรา!”

หวังหย่วนเฉียวเงยหน้ามองอ๋าวเฟย “คนนับน้อยจะบุ่มบ่ามไปหาทัพใหญ่หนึ่งแสนได้ยังไง คงจะมีกำลังพลซ่อนอยู่!”

อ๋าวเฟยกล่าวเสียงต่ำว่า “รวบรวมสายลับห้าร้อยให้ไปหยั่งเชิงเดี๋ยวนี้ สั่งให้เจียงเชียนหลี่เตรียมตัวรับข้าศึกด้วย สั่งให้กองหนุนทางตะวันตกเตรียมเข้ามาสนับสนุนได้ทุกเมื่อ”

คงฮั่นหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อถ่ายทอดคำสั่งให้ผู้นำของสามกองนั้นทันที

หลังจากนั้นพักหนึ่ง แม่ทัพเกราะม่วงก็พุ่งออกมาอีก รีบรายงานว่า “แม่ทัพใหญ่ สายลับห้าร้อยสกัดคนหนึ่งร้อยนั่นไม่ไหว อีกฝ่ายมีพลังแข็งแกร่งมาก สายลับห้าร้อยทนการโจมตีครั้งเดียวไม่ไหว พอประมือกันก็ร่วงเลย บาดเจ็บล้มตายไปเกือบสามร้อย อีกฝ่ายไม่เปลี่ยนแปลงทิศทาง!”

“คงจะเป็นยอดฝีมือที่ฝ่ายศัตรูรวบรวมไว้!” หวังหย่วนเฉียวกล่าว

ปั้ง! อ๋าวเฟยตบฝ่ามือบนเข็มทิศ แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ดี! ในที่สุดก็ออกมาแล้ว สงสัยหนิวโหย่วเต๋อจะอดใจไม่ไหว อยากจะกัดเนื้ออ้วนชิ้นนี้เต็มที ช่างใจกล้านัก! บอกเจียงเชียนหลี่ว่าต้องต้านไว้ให้ได้ บอกเชออู่ที่อยู่ทางตะวันตก ว่าถ้ายังไม่ได้รับคำสั่งจากข้าก็อย่าเคลื่อนไหวโดยพลการ อย่าทำให้อีกฝ่ายตกใจหนีไป รอให้ฝั่งเจียงเชียนหลี่ประมือจนแน่ใจว่าเป็นกำลังหลักของฝ่ายศัตรู พวกเราก็โจมตีทันที ไม่ต้องกวาดล้าง แต่ต้องพัวพันไว้ ถึงตอนนั้นค่อยสั่งให้สายลับหนึ่งล้านของจงซานหมิงที่กระจายตัวอยู่สี่ด้านแปดทิศไปรวมตัวกันที่จุดทำศึก พอเจอปลาลอดแหก็ฆ่าทิ้งซะ พร้อมสั่งให้กำลังพลดักซุ่มแต่ละสายเร่งตามมา ให้ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่ปิดทางเข้าไว้ก็รีบตามมาให้หมด กำลังพลของข้าก็จะรีบตามไปที่นั่นเหมือนกัน กำจัดข้าศึกทิ้งในรวดเดียว!”

“ไม่เคลื่อนไหวกำลังพลที่ปิดล้อมทางออกเหรอ?” คงฮั่นถาม

อ๋าวเฟยโบกมือ “เคลื่อนไหวกำลังพลตรงทางออกไม่ได้ ป้องกันไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม[1]แล้วฉวยโอกาสหนีไป! แต่เจ้าเวรนั่นถ้าจะหนีก็คงหนีไปนานแล้ว ที่ดึงดันอยู่ต่อได้ก็เพราะเป็นพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา!”

หวังหย่วนเฉียวกำหมัดตบฝ่ามือ “ดี! ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะหนีไป แต่ขอแค่กำจัดกำลังพลของเขาได้ พอในมือไม่มีกำลังทหารคุ้มครองแล้ว เขาก็ไม่เป็นโล้เป็นพายหรอก นอกเสียจากทั้งชีวิตนี้จะไม่โผล่หน้าออกมาอีกเลย ไม่อย่างนั้นก็โดนกำจัดได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ!”

…………………………

[1] กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม 声东击西 เป็นหนึ่งในกลศึกสามก๊ก เป็ฯการใช้วิธีหลอกล่อศัตรูให้เกิดการหลงทิศกับการบุกโจมตีและนำกำลังทหารไปเฝ้าระวังผิดตำแหน่ง

ไม่ต้องพูดอะไรมากเลย สวีถังหรานพยักหน้าซ้ำๆ สื่อว่าเข้าใจ บาดแผลบนตัวยังไม่ทันหายดี ความเร็วมีผลกระทบ จึงเป็นฝ่ายขอให้หยางเจาชิงเก็บเขากับอิ๋งอู๋หม่านเข้ากระเป๋าสัตว์อีกครั้ง

หยางเจาชิงที่หยิบระฆังดาราออกมารีบหนีออกไปจากด้านหลังของดาวดวงนั้น เร่งเหาะไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ติดต่อทางฝั่งเหมียวอี้

เหมียวอี้ที่อยู่ในโถงถ้ำหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อพักหนึ่ง “ฮ่าๆ” จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะลั่น หยางเจาชิงเรียกได้ว่าทำให้เขาประหลาดใจตื่นเต้นมาก นอกจากไป ‘เจรจา’ ช่วยสวีถังหรานกลับมาได้แล้ว ก็ยังมัดอิ๋งอู๋หม่านกลับมาได้ด้วย เป็นเรื่องน่ายินดีเหนือความคาดหมายจริงๆ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ นี่คือเรื่องที่น่ายินดีที่สุด

พวกอ๋าวเถี่ย พวกโม่โหยวต่างพากันมองเขาอย่างงุนงง บางครั้งก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงดีใจขนาดนี้

“ทำไมนายท่านหัวเราะล่ะ?” อ๋าวเถี่ยลองถาม

เหมียวอี้ยันมือสองข้างบนเข็มทิศพลางส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสดใสกระปรี้กระเปร่า เขาชี้ไปที่ตานฉิงกับเมิ่งหรู “หยางเจาชิงเจรจากลับมาแล้ว อวิ๋น มู่ พวกเจ้าสองคนรีบไปรับ จำไว้นะ ยอมแลกทุกอย่างเพื่อพาหยางเจาชิงกลับมาให้ได้!”

สาเหตุที่เรียกทั้งสองว่าอวิ๋น มู่ ก็ย่อมเป็นเพราะไม่สะดวกจะเผยตัวตนที่แท้จริงของทั้งสอง จึงเรียกแซ่ของหกปราชญ์ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาเสียเลย

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ดูจากท่าทีของเหมียวอี้ก็รู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงแน่นอน จึงกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “รับทราย!” เอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป

รอสักประเดี๋ยวเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเหมียวอี้ยังไม่หายไป โม่โหยวจึงอดไม่ได้ที่จะถาม “ผู้บัญชาการหนิว เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”

เหมียวอี้โบกมือ ไม่ยอมบอกอะไร “รออีกประเดี๋ยวก็จะเข้าใจเอง”

หยางเจาชิงบอกว่าเรื่องที่อิ๋งอู๋หม่านตกอยู่ในมือเขา อีกฝ่ายอาจจะยังไม่รู้ความจริง ตอนนี้เขาไม่สะดวกจะเปิดเผย ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางรับประกันได้ว่าที่นี่จะไม่มีใครปล่อยข่าวให้คนนอกรู้หรือไม่ ถ้าข่าวหลุดเมื่อไร อิ๋งอู๋หม่านก็อาจจะแสดงประโยชน์อย่างที่ควรจะเป็นไม่ได้แล้ว

ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ในใจมีคำถาม แต่ดูจากปฏิกิริยาเหมียวอี้แล้วก็รู้ว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องร้ายอะไร

จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ภายใต้แสงจันทร์ กลุ่มคนประมาณสิบกว่าคนเหาะลงจากฟ้า ลอยมาเหยียบบนหลังคาของตำหนักหลัก

ผู้ที่นำหน้ามาคือยอดหญิงงามสวมชุดกระโปรงยาวสีเงิน ดวงตางามสดใสกำลังกวาดมองไปรอบๆ ลักษณะสูงส่งเยือกเย็น ใบหน้าสวยสดใส ท่วงท่าอ่อนหวานแช่มช้อย มีสง่าราศีโดดเด่น ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือลี่หัว ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์นั่นเอง เวลาผ่านมาเนิ่นนาน คนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลขอเข้าพบทุกปี แต่กลับไม่ได้เห็นหน้านางเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้มาเยือนด้วยตัวเองแล้ว แต่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลตรงหน้ากลับเย็นชา ปล่อยให้คนเข้าออกโถงได้อย่างอิสระ ไม่เห็นเงาใครสักคน

ผู้ติดตามหลายคนพลันถลันตัวเหาะไปตรวจสอบทุกที่ในจวนหัวหน้าภาค ตอนที่ทยอยเหาะกลับมาบนหลังคาอีกครั้ง ก็พากันส่ายหน้าให้ลี่หัว

สาวสวยคนหนึ่งที่ยืนฝั่งขวาของลี่หัวบอกว่า “ประมุขปราสาท สงสัยจะซ่อนตัวหลบภัยแล้วจริงๆ”

สาวสวยฝั่งซ้ายบอกว่า “ได้ยินว่าสี่ทัพกำลังตามจับคนของโถงชุมนุมอัจฉริยะทั่วทุกหนแห่ง บ้างก็ถูกจับ บ้างก็ถูกฆ่า ที่บาดเจ็บก็นับไม่ถ้วน ไม่รู้เหมือนกันว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังทำอะไรกันแน่ ใจกล้าคับฟ้าจริงๆ”

ลี่หัวเงยหน้ามองพระจันทร์ที่เรียงกันบนท้องฟ้า กล่าวเสียงใสว่า “ความสำเร็จของหนึ่งแม่ทัพแลกด้วยกระดูกนับพันหมื่น…”

“ท่านอ๋องให้เวลาพวกเราห้าชั่วยามเพื่อกำจัดปัญหาในสระน้ำมังกรดำ”

ในโถงถ้ำ อ๋าวเฟยที่ยืนอยู่หน้าเข็มทิศกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังขณะเก็บระฆังดารา

หวังหย่วนเฉียวกับคงฮั่นล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ในมือทั้งสองล้วนถือระฆังดารา ล้วนมีลูกน้องอยู่ภายนอก ข้างนอกเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองจะไม่รู้ มีคนทยอยส่งข่าวให้พวกเขา เมื่อครู่นี้ทั้งสามก็จัดการเรื่องนี้อยู่ตลอด

“รีบรบรีบจบก็ย่อมไม่มีปัญหา ถ้าหนิวโหย่วเต๋อหลบไม่ยอมออกมา เกรงว่าห้าชั่วยามจะ…” หวังหย่วนเฉียวส่ายหน้าช้าๆ

อ๋าวเฟยถอนหายใจเบาๆ “กองทัพองครักษ์ระดมพลเยอะขนาดนั้น ทางท่านอ๋องก็กดดันมากเหมือนดัน เรื่องมาจนป่านนี้แล้ว ถ้าไม่แก้ไขซะ ทุกคนก็คงรู้ถึงผลที่ตามมาชัดเจนดี ถ้าแม้แต่ทัพใหญ่ห้าล้านยังกำจัดหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวไม่ได้ พวกเราคงไม่มีหน้ากลับไปเจอท่านอ๋องอีก คิดหาวิธีเถอะ หาทางบีบให้หนิวโหย่วเต๋อรีบรบรีบจบ!”

คงฮั่นยิ้มเจื่อน “อีกฝ่ายดันไม่ออกมา ถ้าพวกเรายังหาไม่เจออีก จะรีบรบรีบจบได้ยังไง?”

อ๋าวเฟยก้มหน้าเงียบๆ นานมาก ก่อนจะเงยหน้าบอกว่า “ไปหิ้วหยางเจาชิงเข้ามา ลองเริ่มจากตัวเขาก่อน”

นอกถ้ำมีคนไปปฏิบัติตามทันที ผลปรากฏว่ามีรายงานกลับมาบอกว่าไม่เห็นคนแล้ว

หวังหย่วนเฉียวกับคงฮั่นมองหน้ากันเลิกลั่ก อ๋าวเฟยเหม่องงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตะคอกใส่คนที่มารายงานอย่างเดือดดาลทันที “คนจะหายไปในอากาศเชียวเหรอ? พาตัวทหารยามที่เฝ้าเข้ามา!”

ผ่านไปไม่นาน ทหารยามสองคนก็ถูกผลักเข้ามา อ๋าวเฟยเอามือไขว้หลังเดินไปตรงหน้าทั้งสอง จ้องทั้งสองอย่างเย็นเยียบ อารมณ์หวาดกลัวบนใบหน้าทั้งสองยากจะปิดบังได้ อ๋าวเฟยมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามีปัญหา จึงถามเสียงต่ำว่า “คนไปไหนแล้ว?”

มาถึงขั้นนี้แล้ว ทหารยามทั้งสองยังจะกล้าปิดบังได้อย่างไร ทั้งสองคุกเข่าพร้อมกัน แล้วหนึ่งในนั้นก็ตอบอย่างหวาดกลัวว่า “ถูกผู้บัญชาการใหญ่อู๋พาตัวไปแล้วขอรับ”

ไม่บอกไม่ได้หรอก เป็นเพราะอู๋เซียนฉีไม่รักษาสัญญา บอกไว้แล้วว่าถ้าฝั่งนี้มาขอคนก็ให้ติดต่ออู๋เซียนฉีเพื่อนำคนกลับไปทันที แต่ใครจะคิดว่าจะติดต่ออู๋เซียนฉีไม่ได้ ทั้งสองรับผิดชอบสิ่งนี้ไม่ไหว

อ๋าวเฟยโน้มตัวจ้องทั้งสอง “ผู้บัญชาการใหญ่อู๋ไหน?”

คนนั้นตอบว่า “อู๋เซียนฉี ผู้บัญชาการใหญ่อู๋”

อ๋าวเฟยขมวดคิ้ว “พาไปไหนแล้ว?”

ทั้งสองส่ายหน้า ต่างก็บอกว่าไม่รู้

หวังหย่วนเฉียวกับคงฮั่นสบตากันแวบหนึ่ง แล้วทั้งคู่ก็เดินไปข้างกายอ๋าวเฟย หวังหย่วนเฉียวบอกว่า “อู๋เซียนฉีเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการใหญ่ทัพใหม่ของท่านโหวอิ๋ง เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับท่านโหว”

คงฮั่นพยักหน้าเช่นกัน สื่อเป็นนัยว่า นอกจากท่านโหวแล้วยังจะมีใครใจกล้าขนาดนี้อีก

“ไป! ไปดูหน่อย” อ๋าวเฟยพูดทิ้งท้าย แล้วนำคนเร่งฝีเท้าเดินไป ถ้าเขาไม่ออกหน้าเอง คาดว่าคนอื่นคงไม่กล้าพูดอะไรยามอยู่ต่อหน้าอิ๋งอู๋หม่าน

คนกลุ่มนี้รีบไปยังชัยภูมิถ้ำสวรรค์ที่ขังอิ๋งอู๋หม่านไว้ ทหารยามตรงประตูทำความเคารพ อ๋าวเฟยหยุดยืนตรงประตู แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ไปรายงาน”

แม้ตอนนี้ท่านโหวอิ๋งจะถูกควบคุมตัว แต่เขาก็ไม่กล้าเสียมารยาท

ทว่าทหารยามเข้าไปครู่เดียว ก็รีบร้อนวิ่งออกมาอย่างหวาดกลัวแล้ว “ท่านโหวหายไปแล้ว!”

“หายไปแล้ว?” อ๋าวเฟยถลึงตามองเขา จากนั้นโบกมือผลักเขาไปไว้อีกด้าน แล้วเดินก้าวยาวบุกเข้าไป

พวกเขาเข้าไปดูในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ปัญหาอยู่ตรงเรือนที่ระเบิดพังเป็นเศษเล็กเศษน้อย พวกเขาร่ายอิทธิฤทธิ์คนหาพื้นที่ว่างเล็กๆ ทั่วทุกซอกทุกมุม แต่ไม่เห็นเงาคนแล้ว

เรื่องที่เกิดขึ้นต่อมาก็จินตนาการได้ไม่ยาก เขาติดต่ออิ๋งอู๋หม่านทันที แต่ติดต่อไม่ได้ จึงติดต่ออู๋เซียนฉีอีก แต่ก็ยังติดต่อไม่ได้ จึงไปตรวจสอบทิศทางที่คนหายไป คนข้างนอกบอกว่าไม่เห็นอิ๋งอู๋หม่านหายไป เห็นแค่อู๋เซียนฉีพาคนออกไป ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว

อ๋าวเฟยโมโหแทบกระอักเลือด พบว่าทัพใหม่ช่างสมกับเป็นคนของอิ๋งอู๋หม่านจริงๆ มีคนถือวิสาสะบุกเข้าออกแต่ดันไม่มีใครรายงานขึ้นมาเลย เขารู้อยู่แจ่มแจ้งว่ากำลังพลกลุ่มนี้มีวรยุทธ์ค่อนข้างสูง ขนาดเขายังไม่กล้าให้เจียงเชียนหลี่นำออกไปใช้งาน เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่อง แต่ใครจะคิดว่าขนาดอยู่ในรังยังก่อเรื่องได้อีก

ฝั่งนี้คิดไปโดยสัญชาตญาณว่าอิ๋งอู๋หม่านไม่ยอมถูกักขัง จึงถือวิสาสะหนีไป แต่เจ้าจะไปก็ไปเฉยๆ สิ พาหยางเจาชิงไปด้วยหมายความว่าอะไร? จงใจจะถ่วงความเจริญกันใช่มั้ย?

อ๋าวเฟยที่สุดแสนเดือดดาลเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ตรงตีนเขาไม่หยุด สีหน้าแย่มาก

คนที่เฝ้าหยางเจาชิงอยู่นอกถ้ำ คนที่รับหน้าที่เฝ้าอยู่นอกชัยภูมิถ้ำสวรรค์ แล้วก็คนของทัพใหม่ที่รับหน้าที่เฝ้าด่านอยู่ทางนี้ นับรวมๆ แล้วได้เกือบร้อยคน ไม่นานทั้งหมดก็ถูกควบคุมตัวมาแล้ว แต่ละคนถูกเชือกมัดเซียนมัดไว้แน่น ถูกให้นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น

เมื่อถามซ้ำอีกครั้ง ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าอิ๋งอู๋หม่านกับอู๋เซียนฉีไปไหนแล้ว อ๋าวเฟยจ้องกลุ่มคนที่ถูกกดให้คุกเข่าบนพื้น ถ้อยคำที่โหดร้ายพุ่งพรวดออกมาจากซอกฟัน “ประหาร!”

“แม่ทัพใหญ่ไว้ชีวิตด้วย…”

ตรงนั้นมีเสียงวิงวอนขอร้องดังขึ้นทันที ทว่าจากนั้นก็ตามด้วยเลือดสดฉีดพุ่งสายแล้วสายเล่า ศีรษะหลายใบตกลงพื้น ไม่มีเสียงอะไรแล้ว

อ๋าวเฟยมองข้ามศีรษะที่กลิ้งอยู่บนพื้น ออกคำสั่งตรงนั้นเลยว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้สายลับที่กระจายตัวอยู่ค้นหาทิศทางของอู๋เซียนฉีเดี๋ยวนี้!”

ในโถงถ้ำศูนย์กลางของทัพใหญ่แดนรัตติกาลและทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำ ตานฉิงกับเมิ่งหรูเดินก้าวยาวกลับมารายงานผลการปฏิบัติงาน โดยมีหยางเจาชิงและสวีถังหรานเดินตามหลังเข้ามา

“นายท่าน โชคดีที่ยังมีชีวิตรอด จุดเดิมที่มีการดักซุ่มมีกำลังพลอยู่หลายแสนจริงๆ” หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะ

“นายท่าน!” สวีถังหรานผมหายไปเกินครึ่งหัว ผมที่เหลือยุ่งเหยิงแผ่สยาย บนตัวมีแต่รอยเลือด สภาพสะบักสะบอมเกินทน มาเข้ามาก็คุกเข่าทันที น้ำตาไหลพรากขณะเงยหน้ามองเหมียวอี้ “ข้าน้อยนึกไม่ถึงว่าจะยังรอดชีวิตกลับมาเจอนายท่านได้ เป็นข้าน้อยที่ไร้ความสามารถ สร้างปัญหาให้นายท่านแล้ว!” เสียงพูดสะอึกสะอื้นเล็กน้อย

เมื่อได้เจอเขา เหมียวอี้ก็ทอดถอนใจเช่นกัน แต่ก็ปวดประสาทนิดหน่อย ทำไมเล่นบทคุกเข่าร่ำไห้อีกแล้วล่ะ

หารู้ไม่ว่าครั้งนี้สวีถังหรานซาบซึ้งแล้วจริงๆ นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะยอมลงทุนสู้กับทัพใหญ่ห้าล้านของตระกูลอิ๋งจนถึงที่สุด ในหลายปีมานี้ มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนขี้ประจบในสายตาคนอื่น รู้ว่ามีคนมากมายแอบดูถูกเขา คาดว่านายท่านก็อาจจะดูถูกเขาด้วยเหมือนกัน แต่เขาเองก็ไม่ได้ถือสาอะไร ย่อมมีมุมมองต่อความประพฤติอยู่แล้ว ทว่าครั้งนี้เขาซาบซึ้งใจมากจริงๆ ที่แท้ในหัวใจนายท่าน ตนก็มีน้ำหนะกมากขนาดนี้ ไม่เสียแรงที่ตนคอยวิ่งเต้นรับใช้มาหลายปี ครั้งนี้รู้สึกมีเกียรติในฐานะมนุษย์แล้วจริงๆ!

“กลับมาก็ดีแล้ว” เหมียวอี้ยื่นมือประคองเขาให้ลุกขึ้นมา แล้วกวักมือเรียกทั้งสองคน “พวกเจ้าตามข้ามา”

สวีถังหรานปาดน้ำตาและเดินตามเหมียวอี้เข้าไปในถ้ำภูเขาพร้อมกับหยางเจาชิง

หลังจากพ้นสายตาคนอื่นแล้ว เหมียวอี้ก็ถ่ายทอดเสียงถามหยางเจาชิงทันที “แน่ใจนะว่าฝั่งนั้นยังไม่รู้ว่าอิ๋งอู๋หม่านอยู่ในมือพวกเราแล้ว?”

หยางเจาชิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทางนั้นให้ฟังคร่าวๆ ทันที สุดท้ายก็กล่าวสรุปว่า “ในช่วงสั้นๆ นี้อาจยังไม่รู้ นอกเสียจากอู๋เซียนฉีนั่นจะกลับไปรนหาที่ตายเอง ข้าน้อยเห็นว่าอู๋เซียนฉีนั่นไม่ใช่ทหารที่จงรักภักดีอะไร เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน น่าจะไม่ไปเสี่ยงอันตรายแบบนั้น”

“ดี!” เหมียวอี้ประมือ แล้วตบบ่าหยางเจาชิงอีก กล่าวชมอย่างจริงใจ “ทำได้ดีมาก!”

แม้เขาจะรู้ว่าหยางเจาชิงพูดเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่ที่จริงแล้วสุดแสนจะอันตราย ไม่ได้ผ่อนคลายขนาดนั้น ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่ได้โง่ หลังจากจบเรื่องย่อมทำความเข้าใจรายละเอียด ทว่าเขาก็ไม่ได้บอกหยางเจาชิงว่าเจ้าสร้างผลงานใหญ่จะตบรางวัลให้อย่างงาม เพราะสำหรับคนบางคน คำบางคำนั้นไม่จำเป็นต้องพูด

“เป็นเรื่องที่อยู่ในภาระหน้าที่” หยางเจาชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม แล้วก็ยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร ราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เพราะเขารู้ตำแหน่งของตัวเองดี เมื่ออยู่ข้างกายเหมียวอี้เขาก็แค่ต้องทำงาน ไม่จำเป็นต้องสร้างผลงานเพื่อเอารางวัล สิ่งที่ควรจะมีหรือควรจะให้ เหมียวอี้ก็ให้เขาเสมอ ดูแลเขาไม่ขาดตกบกพร่อง การสะสมผลงานอย่างแนบเนียนต่างหากถึงจะเป็นแนวทางในการยืนหยัดข้างกายเหมียวอี้ เขาไม่เปิดเผยขั้นตอนระหว่างจับตัวอิ๋งอู๋หม่านให้ใครรู้

ส่วนทางด้านนี้ สวีถังหรานโยนเจ๋อชุนชิวออกมาแล้ว กล่าวด้วยสีหน้าจนใจว่า “นายท่าน ข้าน้อยใช้ประโยชน์จากเจ้าเวรนี่สั่งให้คนยักย้ายทรัพย์สินร้านค้านับพันของตระกูลอิ๋งจนเกือบหมดแล้ว แต่จนใจที่ตอนนี้โถงชุมนุมอัจฉริยะเคลื่อนไหวไม่สะดวก ใช้งานคนบางกลุ่มไม่ได้ เป็นเพราะมีกำลังคนไม่พอจริงๆ ไม่อย่างนั้นข้าน้อยคงขนร้านค้าของตระกูลอิ๋งได้เป็นหมื่นร้านแล้ว”

เขารู้แล้วว่าโถงชุมนุมอัจฉริยะได้รับความเสียหาย ยิ่งรู้ด้วยว่าโถงชุมนุมอัจฉริยะคือช่องทางรายได้ของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ตอนนี้ช่องทางรายได้เสียหายไปมากมายเพราะเขา ในใจเขารู้สึกกระวนกระวายที่สุด ดังนั้นระหว่างทางจึงทำทุกวิถีทางเพื่อบีบให้เจ๋อชุนชิวคายสมบัติของตระกูลอิ๋งออกมา หวังว่าจะชดเชยความเสียหายได้บ้าง

……………

ภายใต้สถานการณ์ปกติ อ๋องสวรรค์อิ๋งผู้สง่าภูมิฐานให้ความสำคัญกับชื่อเสียงแน่นอน

แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ชื่อเสียงล้วนเป็นเรื่องรอง ก็แค่ไร้ยางอายนิดหน่อยเท่านั้นเอง ตราบใดที่หาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าเขาทำจริงไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้ทั้งนั้น ที่ทัพตะวันออกจะมีใครสืบหาหลักฐานว่าเขาทำได้ล่ะ? พูดในแง่ดีหน่อย ตราบใดที่ไม่มีทางควบคุมเขาได้ ก็ไม่มีใครกล้าสืบความจริงจากเขา ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการกดดันให้เขาหาทางลงไม่ได้จนต้องก่อกบฏ ตอนนี้เขากังวลแล้วจริงๆ ว่าข่าวลือนี้จะทำให้ขวัญกำลังใจทหารสั่นคลอน

การปรับปรุงสี่ทัพเพิ่งจะสงบลง แต่ยังมีคลื่นหลงเหลืออยู่ มีทั้งคนได้ประโยชน์และคนเสียประโยชน์ มีคนที่รู้สึกไม่ยอมบ้างเป็นเรื่องปกติ ในเวลานี้เกิดเรื่องระดับนี้ขึ้นจนขวัญกำลังใจทหารสั่นคลอนและโดนคนอื่นฉวยโอกาส สิ่งนี้ทำให้เขาเดือดดาลมาก

หลังจากกระฟัดกระเฟียดอยู่พักหนึ่ง ก็เริ่มปรับอารมณ์ตัวเอง อิ๋งจิ่วกวงหยุดฝีเท้า แล้วหันกลับไปจ้องจั่วเอ๋อร์ กล่าวด้วยสายตาดุร้ายเยือกเย็น “ส่งกำลังพลกลุ่มหนึ่งไปที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล จับคนในครอบครัวหนิวโหย่วเต๋อมาให้ข้าให้หมด ความบริสุทธิ์ของข้าจะต้องให้พวกเขายอมรับด้วยปากตัวเอง!”

“ท่านอ๋อง เกรงว่าจะไม่มีทางปฏิบัติการนี้เงียบๆ ได้ ทางปราสาทดำเนินจันทร์คงไม่ยอมนิ่งดูดาย” จั่วเอ๋อร์กล่าวอย่างลังเล

อิ๋งจิ่วกวงตอบว่า “ไม่ต้องปฏิบัติการเงียบๆ บอกแค่ว่าทางนั้นกระพือข่าวปลอมใส่ร้ายขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ จีบคนมาเลย ถ้าลี่หัวกล้าขัดขวาง ก็บอกนางว่า อย่าหาว่าอ๋องผู้นี้ล้างเลือดปราสาทดำเนินจันทร์ไปด้วยก็แล้วกัน! ถ้ายังกล้าขวางอีก ก็โจมตีได้เลย!”

จั่วเอ๋อร์มองออกแล้ว ครั้งนี้หนิวโหย่วเต๋อทำให้ท่านอ๋องเดือดดาลมากจริงๆ แม้แต่ลี่หัวก็ไม่ไว้หน้า จึงเอ่ยรับทันที “รับทราบ!”

“กวาดล้างสมาชิกโถงชุมนุมอัจฉริยะที่อยู่ในอาณาเขตทัพตะวันออกเดี๋ยวนี้!” อิ๋งจิ่วกวงสั่ง

“รับทราบ!” จั่วเอ๋อร์ตอบ

อิ๋งจิ่วกวงโบกมือให้นางไปจัดการ ส่วนตัวเองก็ถือระฆังดาราติดต่อกับภายนอกด้วยตัวเอง

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ในทางเดินยาวสวยวิจิตรที่เชื่อมต่อตึกศาลา นายกับบ่าวกำลังเดินเนิบนาบอยู่ด้วยกัน

ฮ่าวเต๋อฟางเอามือไขว้หลัง ขมวดคิ้วครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง

ซูอวิ้นเดินตามอยู่ข้างๆ อย่างไม่ช้าไม่เร็ว “วุ่นวายอยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็เกี่ยวข้องกับอ๋องสวรรค์อิ๋งจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะแอบระดมทัพตะวันออกห้าล้าน ประเมินหนิวโหย่วเต๋อสูงมากจริงๆ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางสระน้ำมังกรดำเป็นยังไงกันแน่ ยังไม่มีรายละเอียดออกมา แต่พอข่าวนี้ออกมา ก็ชัดเจนแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อเองก็กดดันไม่น้อย”

ฮ่าวเต๋อฟางพลันหยุดเดิน หยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา แล้วแสยะหัวเราะสองที

“เป็นอะไรไปคะ?” ซูอวิ้นลองถาม

“อิ๋งจิ่วกวงส่งข่าวมา เจ้าว่าจะเป็นยังไงได้ล่ะ?” ฮ่าวเต๋อฟางส่ายหน้า หลังจากเขย่าระฆังดาราตอบ ก็ไม่รอให้อิ๋งจิ่วกวงบอกว่าเรื่องอะไร ถามไปตรงๆ เลยว่า : เจ้าแอบระดมทัพใหญ่ห้าล้านไปสู้กับหนิวโหย่วเต๋อที่สระน้ำมังกรดำจริงเหรอ?

อิ๋งจิ่วกวงเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ก็รู้ว่าเรื่องนี้ถูกเปิดโปงแล้ว ปิดบังคนระดับฮ่าวเต๋อฟางไม่ได้ ถึงได้ยอมรับ : ไม่ผิดหรอก มีเรื่องแบบนี้จริงๆ

ฮ่าวเต๋อฟาง : อิ๋งจิ่วกวง เจ้าบ้าไปแล้วใช่มั้ย? ทัพใหญ่ห้าล้านรับมือกับหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวน่ะเหรอ?

อิ๋งจิ่วกวง : แล้วเจ้าว่าจะให้รับมือยังไงล่ะ? เจ้าเวรนั่นมันยิ่งใหญ่แล้ว รอบกายมีทหารรายล้อมหนาแน่น ใช่ว่าส่งคนไม่กี่คนไปลอบสังหารแล้วจะแก้ไขปัญหาได้ เขาหลบอยู่ที่ปราสาทดำเนินจันทร์ตลอด แล้วพวกเราก็ไม่มีอำนาจระดมกำลังพลของเขาด้วย และไม่มีอำนาจจะส่งเขาไปทำภารกิจอะไร ถ้าไม่ใช่กำลังทหารจำนวนมากกำจัด แล้วจะทำยังไงได้?

ฮ่าวเต๋อฟาง : ได้ เจ้าพูดมีเหตุผล ตอนนี้เจอหมาบ้าเข้าแล้วสิ ถูกเล่นงานจนหาบันไดลงไม่ได้แล้วสินะ?

อิ๋งจิ่วกวง : อย่าพูดแดกดันนักเลย ข้าไม่ได้ติดต่อมาเพื่อฟังเจ้าบ่น ฝั่งนั้นของสระน้ำมังกรดำเป็นชายแดนอาณาเขตของเจ้า เจ้ายังไม่ต้องรีบเข้ามาก้าวก่าย แค่ปิดทางเข้าไว้ อย่าให้คนอื่นเข้าไป ให้เวลาข้าหน่อย

ฮ่าวเต๋อฟางขมวดคิ้ว ถามว่า : เจ้าล้อเล่นใช่มั้ย? ทัพตะวันออกห้าล้านรับมือกับกำลังพลหนึ่งแสนของหนิวโหย่วเต๋อ ยังต้องให้ข้าให้เวลาเจ้าอีกเหรอ? เจ้าเลี้ยงไว้แต่ลูกน้องเศษสวะหรือไง?

อิ๋งจิ่วกวง : รออีกไม่นาน เดี๋ยวก็แก้ไขปัญหาได้

ฮ่าวเต๋อฟาง : ประมุขชิงระดมกำลังพลหนึ่งกองแล้ว ถ้ารวมทัพใหญ่เสร็จเมื่อไร ก็จะเดินทางไปถึงเร็วมาก

อิ๋งจิ่วกวง : ข้ารู้แล้ว

ฮ่าวเต๋อฟาง : ประมุขชิงมีคำสั่งแล้ว ทางทัพใต้จะให้คนที่อยู่แถวนั้นไปดูสักหน่อย คนเล็กน้อยแค่นั้นต้านทัพใหญ่มหาศาลของกองทัพองครักษ์ไม่ไหวหรอก ข้าให้เวลาเจ้าได้แค่ห้าชั่วยาม ถ่วงให้นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว!

อิ๋งจิ่วกวง : ได้ แค่ห้าชั่วยามพอ! ทางโถงชุมนุมอัจฉริยะเจ้าก็จัดการเองตามเห็นสมควร

ฮ่าวเต๋อฟางเก็บระฆังดาราแล้วไม่ได้พูดอะไร เอามือไขว้หลังเดินไปพิงระเบียงแล้วทอดสายตามองไปไกล

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ในห้องหนังสือ ถังเฮ่อเหนียนและโค่วเจิงที่ยืนเงียบมองโค่วหลิงซวีที่กำลังเก็บระฆังดาราเงียบๆ

หลังจากโค่วหลิงซวีหลับตาเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก็กล่าวช้าๆ ว่า “สั่งให้กำลังพลในอาณาเขตทัพเหนือกวาดล้างโถงชุมนุมอัจฉริยะ”

ถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงสบตากันแวบหนึ่ง ถังเฮ่อเหนียนลองถามว่า “ถ้าทางคุณหนูเจ็ดถามจะบอกยังไงขอรับ?”

โค่วหลิงซวีค่อยๆ ลืมตา ในดวงตาฉายแววเย็นเยียบ “ไม่ต้องอธิบายอะไร! โถงชุมนุมอัจฉริยะมีคนเยอะอำนาจมาก ทั้งยังไม่เคารพกฎระเบียบ บังอาจถือวิสาสะใส่ร้ายขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ เรื่องบางอย่างจะพูดซี้ซั้วโดยไร้หลักฐานได้เลย? ต่อไปถ้ามีคนเอาเยี่ยงอย่าง ใต้หล้าจะไม่วุ่นวายหรอกหรือ? ในเมื่อควบคุมปากตัวเองไม่ได้ ก็อย่าเก็บไว้อีก กำจัดให้หมด!”

“รับทราบ!” ถังเฮ่อเหนียนโค้งตัวเอ่ยรับ

แดนอเวจี บนหน้าผาริมทะเลมรกต หยางชิ่งที่จอนผมแซมหงอกกำลังยืนอยู่กับจินม่านที่สวมชุดกระโปรงยาวสีทอง

“เฮ้อ!” หยางชิ่งเงยหน้าถอนหายใจยาว “โถงชุมนุมอัจฉริยะ นั่นคือช่องทางรายได้! ราชาปราชญ์บุ่มบ่ามเกินไปแล้ว ลำบากลำบนสร้างรากฐาน ทำไมต้องทำพังในครั้งเดี๋ยวอย่างนี้!”

จินม่านยิ้มเจื่อน “ทำเพื่อลูกน้องได้ขนาดนี้ อย่างน้อยก็ได้ใจคนแล้ว ไม่ใช่หรอกเหรอ? เจ้าไม่ต้องท้อใจขนาดนี้หรอก”

“ข้าท้อแท้เหรอ?” หยางชิ่งพึมพำกับฟ้า แล้วหันตัวมาบ่นพึมพำ ก่อนจะเดินจากไปช้าๆ

พอกลับมาถึงตึกในเรือนตัวเอง เขาก็อยู่เงียบๆ พักหนึ่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมา

พิภพเล็ก แดนอู๋เลี่ยง ในห้องสมาธิ ฉินเวยเวยที่กำลังฝึกตนหยุดฝึกวิชาแล้ว นางหยิบระฆังดาราออกมาถามว่า : ท่านพ่อ มีเรื่องอะไรเหรอ?

หยางชิ่ง : สนมฉินกับครอบครัวอยู่ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?

ฉินเวยเวย : ทุกอย่างปกติ

หยางชิ่ง : เฝ้าคนไว้ให้ดี อย่าให้มีอะไรผิดพลาด อาจจะได้นำมาใช้ประโยชน์เร็วๆ นี้แล้ว

ฉินเวยเวย : ทราบแล้วค่ะ

หยางชิ่ง : แล้วเจ้าเป็นยังไงบ้าง? แม่เจ้าเป็นยังไงบ้าง?

ฉินเวยเวย : ทุกคนสบายดีค่ะ เพียงแต่…ข้ากังวลนิดหน่อย

หยางชิ่ง : กังวลอะไร?

ฉินเวยเวย : นักพรตทางนี้ย้ายออกไปพอสมควรแล้ว ไม่มียอดฝีมืออะไร คนที่อยู่ตำหนักประมุขถิ่นกลางก็มีทรัพยากรฝึกตนไม่ขาด…

หยางชิ่งเข้าใจแล้ว นางกำลังกังวลว่าเมื่อเวลานั้นมาถึงจะยังควบคุมจูเก๋อชิงได้หรือไม่ หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ก็ตอบว่า : ข้าเข้าใจแล้ว เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องด้วย ข้าจะจัดการเอง!

เมื่อเก็บระฆังดาราแล้ว หยางชิ่งก็ยืนอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายตามองไปไกลอย่างเงียบงัน…

ในดาราจักรที่สวยแพรวพราว ตอนที่เหาะผ่านดาวดวงหนึ่งที่ลอยเงียบๆ อยู่บนท้องฟ้า หยางเจาชิงก็หยุดชั่วคราว แล้วกางนิ้วทั้งห้า ดูดเอากำไลเก็บสมบัติที่ทิ้งไว้ตอนขามา

อีกสองคนที่มาด้วยหยุดแล้ว อู๋เซียนฉีมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง แล้วถามเสียงต่ำ “ตอนนี้ปล่อยคนได้แล้วละมั้ง?”

หยางเจาชิงใส่กำไลเก็บสมบัติกลับบนข้อมืออย่างเนิบนาบ แล้วเรียกสวีถังหรานกับอิ๋งอู๋หม่านออกจากกระเป๋าสัตว์ เสร็จแล้วถึงได้กล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ถ้าไม่ปล่อยแล้วจะทำไม?”

อิ๋งอู๋หม่านที่อยู่ข้างๆ ทำสีหน้าเดือดดาลทันที ยังไม่ทันพูดอะไร ก็ถูกสวีถังหรานบีบคอจนออกเสียงลำบากแล้ว

อู๋เซียนฉีเผยสีหน้าโกรธจัด โบกมือชี้และถามว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าเหรอ?”

หยางเจาชิงกล่าวด้วยสายตาสุขุมเยือกเย็น “ปล่อยคนแล้วยังไงต่อล่ะ? อาศัยวรยุทธ์ของขุนพลอู๋ เดี๋ยวก็จับข้ากลับไปได้เหมือนเดิม คิดจะพาท่านโหวกลับไปแล้วทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ? จะเป็นไปได้ยังไง! ตอนนี้เจ้ายังไม่ได้รับข้อความจากระฆังดารา แต่ก็ไม่ได้แปลว่าอีกประเดี๋ยวจะไม่ได้รับ มีเรื่องหนึ่งที่ข้ารับประกันได้เลย ไม่ทันรอให้ขุนพลพาท่านโหวกลับไปถึงฝั่งนั้น อ๋าวเฟยก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้น ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจกำลังตรวจสอบอยู่ก็ได้ ขุนพลอู๋ลองคิดดูสักหน่อยสิ อ๋าวเฟยกล้าลงโทษแม้กระทั่งผู้จัดการใหญ่ของท่านอ๋อง ก็แปลว่าเป็นคนที่ปกครองทัพอย่างเข้มงวด แล้วฐานะของขุนพลเมื่อเทียบกับเจ๋อชุนชิวเป็นยังไงล่ะ? ถ้าให้อ๋าวเฟยรู้ว่าขุนพลอู๋กล้าแอบทำเรื่องแบบนี้ยามศึกสงคราม เกือบจะทำให้ท่านโหวประสบอันตราย ขุนพลคิดว่าท่านโหวอิ๋งในตอนนี้จะปกป้องเจ้าไหวเหรอ? ถ้าดีหน่อยก็โดนลงโทษหนัก ถ้าแย่หน่อยก็ประหาร! เจ้าคิดว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้หรือเปล่า?”

อู๋เซียนฉีราวกับใบหน้าโดนตะคริวกิน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “ความอดทนของข้ามีจำกัด ปล่อยคน!”

หยางเจาชิงส่ายหน้า “คนน่ะ ข้าไม่ปล่อยหรอก! แต่ข้ามีวิธีการอย่างหนึ่ง สามารถช่วยให้ขุนพลหลบหายนะ!”

อู๋เซียนฉีหรี่ตาจ้องเขา แล้วจู่ๆ ก็แสยะยิ้ม “เจ้าจะมีเจตนาดีอย่างนี้เชียวเหรอ? ลองพูดมาให้ข้าฟัง?”

อิ๋งอู๋หม่านที่ตกอยู่ในมือสวีถังหรานถลึงตามองอู๋เซียนฉีอย่างเดือดดาล

หยางเจาชิงบอกว่า “ก็อย่างที่บอก ข้าไม่มีทางปล่อยคน ต่อให้ทำเพื่อปกป้องตัวเอง ข้าก็ไม่มีทางที่จะปล่อยไป ขุนพลจับข้าไว้แล้วยังไงล่ะ?” เขาชี้อิ๋งอู๋หม่าน “ท่านโหวก็ต้องตายอยู่ดี พอเขาตายแล้ว ขุนพลกลับไปจะหนีโทษตายพ้นเหรอ น้ำหนักของชีวิตท่านโหวอิ๋งน่ะ ต่อให้จับข้ากลับไปคนเดียวก็ชดเชยความผิดไม่ได้หรอก ขุนพล ขออภัยที่ข้าพูดตรงๆ นะ เรื่องมาถึงป่านนี้แล้ว เจ้าอยู่ที่ทัพตะวันออกต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ วิธีการเดียวก็คือรีบหนีไปซะ ไปหาสถานที่ปลอดภัยเพื่อใช้ชีวิตอย่างสงบ!”

บนใบหน้าอู๋เซียนฉีเผยรอยยิ้มชั่วร้าย จิตสังหารพรั่งพรูในดวงตา “เจ้าฝันหวานไปแล้ว เจ้าทำร้ายข้ายับเยินขนาดนี้ ยังคิดจะให้ข้าปล่อยเจ้าไปอีกเหรอ?”

หยางเจาชิงจึงบอกว่า “ไม่ต้องรีบลงมือหรอก ฟังข้าพูดก่อน พอท่านโหวอิ๋งตกอยู่ในมือผู้บัญชาการหนิว ผู้บัญชาการหนิวจะต้องนำเขามาขู่อ๋าวเฟยแน่ ถึงตอนนั้นความสนใจของอ๋าวเฟยก็จะไม่อยู่ที่ตัวเจ้าแล้ว ถ้าท่านโหวอิ๋งหายไปหรือว่าตายไป เจ้าคิดว่าอ๋าวเฟยจะสงสัยว่าใครเป็นผู้ร้ายล่ะ? ทางทัพใหม่มีคนไม่น้อยเห็นขุนพลออกมา ถึงตอนนั้นถ้าทัพใหญ่ใช้กำลังทั้งหมดมาจับกุมขุนพลล่ะ ขุนพลไม่รู้สึกว่าอันตรายเหรอ? เกรงว่าตระกูลอิ๋งคงไม่มีทางยกเลิกการจับกุมขุนพลตลอดไปแน่! ดังนั้นต้องให้ข้านำคนกลับไปดึงดูดความสนใจพวกนั้น นี่สิถึงจะเป็นกลยุทธ์ชั้นสูง ส่วนขุนพล…ยังไม่รีบหนีไปอีกเหรอ! เออใช่!” เขาหยิบระฆังดาราออกมาอีกสองอัน ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองแล้วโยนให้อู๋เซียนฉี “ทิ้งช่องทางติดต่อไว้ ไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจจะช่วยเหลือกันได้ ข้าสามารถส่งทรัพยากรฝึกตนให้ขุนพลได้”

อู๋เซียนฉีกำระฆังดาราสองอันไว้แน่น จ้องหยางเจาชิงไม่ละสายตา หยางเจาชิงยิ้มเบาๆ ให้เขา

อิ๋งอู๋หม่านขยับตัวไม่ได้ จะพูดก็พูดไม่ได้ มีเพียงดวงตาสองข้างที่จ้องอู๋เซียนฉีราวกับจะมีไฟพ่นออกมา

อู๋เซียนฉีพลันหันกลับไปมองทหารยศเล็กที่อยู่ข้างๆ “เจ้ากลับไปก็คงจะไม่ได้มีจุดจบที่ดี!”

ทหารยศเล็กคนนั้นพยักหน้ากล่าวอย่างเกรงกลัว “ข้ายินดีติดตามขุนพล!” เขารู้ว่าถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็ยังไม่ต้องพูดถึงว่ากลับไปจะมีจุดจบอย่างไร อย่างน้อยตอนนี้อู๋เซียนฉีก็ไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อแน่

อู๋เซียนฉีรีบลงตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราสองอัน แล้วโยนให้หยางเจาชิงอันหนึ่ง จากนั้นก็ดึงตัวทหารคนนั้นไว้ เร่งเหาะไปยังจุดลึกในดาราจักรโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไปอย่างรวดเร็วไม่ลังเล

หยางเจาชิงมองระฆังดาราในมือแล้วเก็บช้าๆ จากนั้นถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

สวีถังหรานก็โล่งใจมากเช่นกัน มองหยางเจาชิงพลางส่ายหน้า “พี่หยาง วันนี้สวีขอหมอบกราบท่านเลย!”

หยางเจาชิงรีบหันมองไปรอบๆ “คำพูดเกรงใจพวกนี้เอาไว้พูดทีหลัง อยู่ที่นี่นานไม่ได้ ทางอ๋าวเฟยน่าจะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าพบว่าอิ๋งอู๋หม่านหายตัวไป จะต้องรีบตามหาตรงทิศทางที่อู๋เซียนฉีเดินทางไปแน่นอน อู๋เซียนฉีหนีไปแบบนี้อาจจะเบี่ยงเบนความสนใจได้ ตอนที่ยังไม่รู้ว่าอิ๋งอู๋หม่านตกอยู่ในมือพวกเรา อิ๋งอู๋หม่านยังมีประโยชน์ต่อนายท่านมาก รีบติดต่อนายท่าน ให้นายท่านส่งคนมารับ”

……………

เห็นได้ชัดว่าเขาก็รู้เช่นกัน ว่าถ้าถูกจับตัวออกไปจากที่นี่แล้วจะอันตรายขนาดไหน

หยางเจาชิงไม่ได้สนใจสิ่งนี้เลย หยิบมีดสั้นออกจากกำไลเก็บสมบัติของอิ๋งอู๋หม่านอีก แล้วจ่อไปที่ซี่โครงของอิ๋งอู๋หม่านโดยตรง แทงลงไปช้าๆ พร้อมถามว่า “แล้วตกลงท่านโหวจะไปส่งหรือไม่ไปส่งล่ะ?”

อิ๋งอู๋หม่านที่รู้สึกได้ว่าคมมีดสั้นแทงเข้าไปในผิวแล้วรีบบอกว่า “ได้!”

มีดสั้นในมือเคลื่อนไหวช้าลง หยางเจาชิงจ้องไปทางเจ๋อชุนชิวและลูกน้องของเขา “ข้ากลัวว่าตอนที่พวกเราเพิ่งจะไป สองคนนั้นจะให้อ๋าวเฟยส่งทหารตามไปทันที”

เจ๋อชุนชิวรีบโบกมือ “เจ้าไม่ต้องห่วง ไม่หรอก ข้าไม่ทำแน่นอน”

“เจ้าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์” หยางเจาชิงปฏิเสธเสียเลย แล้วกระซิบข้างหูอิ๋งอู๋หม่านอีก “ท่านโหว ให้ลูกน้องเจ้าควบคุมสองคนนี้ไว้ก่อน รอให้ท่านโหวรอดกลับมาแล้วค่อยปล่อยพวกเขาสองคนก็ยังไม่สาย มีปัญหาหรือเปล่า?” มีดสั้นในมือกดแทงช้าๆ อีกครั้ง

อิ๋งอู๋หม่านขยับลูกกระเดือก สั่งอู๋เซียนฉีทันที “ทำตาม”

อู๋เซียนฉีที่หน้าตึงหันไปมองพวกเจ๋อชุนชิว ส่วนเจ๋อชุนชิวก็ถอยหลังช้าๆ กล่าวด้วยสีหน้าอึดอัดว่า “ท่านโหว แบบนี้ไม่เหมาะกระมัง?”

รอยเลือดบนซี่โครงอิ๋งอู๋หม่านซึมเปื้อนเสื้อผ้าเป็นวงกว้างแล้ว กัดฟันสั่งว่า “ลำบากพวกเจ้าชั่วคราว ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับข้า พวกเจ้าก็ไม่รอดเหมือนกัน”

ระโยคสุดท้ายก็คือใจความสำคัญ เจ๋อชุนชิวหยุดเดิน ทำสีหน้าลังเลสับสน

อิ๋งอู๋หม่านรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของมีดสั้นตรงซี่โครงได้อย่างชัดเจน เขาตะคอกอู๋เซียนฉี “เร็วหน่อย!”

อู๋เซียนฉีกุมหมัดคารวะเจ๋อชุนชิว “ผู้จัดการใหญ่ ล่วงเกินแล้ว” พูดจบก็ถลันตัวเข้ามาใกล้ แล้วลงมืออย่างรวดเร็ว ผนึกพลังบนร่างกายทั้งสอง

เจ๋อชุนชิวและลูกน้องเม้มริมฝีปากแน่นโดยไม่ได้ขัดขืน

ใครจะคิดว่าหยางเจาชิงจะบอกสวีถังหรานทันทีว่า “พี่สวี เข้าไปตรวจสอบสักหน่อย” ขณะที่พูดก็ส่งสายตาให้สวีถังหราน

สวีถังหรานเข้าใจแล้ว ถลันตัวเข้าไปพร้อมใบหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์

เจ๋อชุนชิวตระหนักได้ถึงอันตรายจากรอยยิ้มชั่วร้ายที่แวบผ่านหน้าสวีถังหราน รีบก้าวถอยหลัง หมายความว่ายังไง “หมายความว่ายังไง?”

อู๋เซียนฉีเองก็ตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน มาขวางตรงหน้าสวีถังหรานเอาไว้ “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

ใครจะคาดคิด อิ๋งอู๋หม่านที่อยู่ในศาลาตะคอกว่า “เจ้าหลีกไป!”

อู๋เซียนฉีอึ้งไปชั่วขณะ แล้วหลีกทางให้พร้อมสีหน้าบึ้งตึง

สวีถังหรานไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งเข้าไปตบทั้งสองคนละที ทำให้เจ๋อชุนชิวและลูกน้องฟันในปากเกือบครึ่งกระเด็นออกไปพร้อมเลือดสด ก่อนหน้านี้เขาก็เคยถูกทั้งสองจัดการแบบนี้ ฟันในปากหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว เขาเคยบอกเจ๋อชุนชิวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าอย่าตกอยู่ในมือเขาบ้างแล้วกัน!

สองคนที่โดนตบคว่ำพยายามส่ายหน้าอย่างมึนงง ภาพตรงหน้าพร่ามัว รู้สึกมึนศีรษะ ร่างกายถูกผนึกพลังเอาไว้ ไม่สามารถร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทานฝ่ามือของสวีถังหรานได้

หลังจากตรวจสอบแล้วว่าทั้งสองถูกผนึกพลังแล้ว สวีถังหรานก็เด็ดกระเป๋าสัตว์ใบหนึ่งจากตัวทั้งสอง แล้วเก็บทั้งสองเอาไว้เสียเลย

ขณะกำลังจะถลันตัวผ่านไป ผลปรากฏว่าถูกอู๋เซียนฉีคว้าตัวไว้ อู๋เซียนฉีดักไว้กลางทาง บีบคอสวีถังหรานไว้อีกแล้ว

อิ๋งอู๋หม่านรู้สึกได้ทันทีว่ามีดสั้นแทงตรงซี่โครงแรงขึ้น จึงตะโกนอย่างตกใจ “อู๋เซียนฉี เจ้าทำอะไร?”

อู๋เซียนฉีบีบคอสวีถังหราน กล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “ท่านโหว ข้าน้อยก็หวังดีกับท่านเหมือนกัน ถ้าพวกเขาพาท่านไปอย่างนี้ แล้วไม่ปล่อยท่านไป ท่านจะทำยังไง? ท่านโหว ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงหนิวโหย่วเต๋อมาก่อนเหมือนกัน มันเป็นคนบ้า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้หมดถ้าท่านตกอยู่ในมือเขาจริงๆ ก็จะอันตรายมาก!”

เขาอยากปกป้องตัวเอง เป็นเพราสิ่งที่เจ๋อชุนชิวประสบทำให้เขาค่อนข้างผิดหวัง ถ้าหยางเจาชิงคนนี้เอาอิ๋งอู๋หม่านมาขู่ให้เขายอมถูกจับขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ? เพื่อปกป้องชีวิตตัวเองตอนนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าอิ๋งอู๋หม่านจะตอบตกลง พอเห็นสิ่งที่เจ๋อชุนชิวประสบแล้ว เขาก็ไม่ยอมให้ตัวเองตกอยู่ในมืออีกฝ่ายเด็ดขาด การเอาชีวิตไว้ในมืออีกฝ่ายนั้นอันตรายเกินไป ต่อให้เป็นคำพุดของอิ๋งอู๋หม่านเขาก็ไม่เชื่อฟังอยู่ดี

อิ๋งอู๋หม่านเอียงหน้า “ที่เขาพูดก็ถูก หยางเจาชิง ข้าจะเชื่อได้ยังไงว่าเจ้าจะปล่อยข้ากลับมา?”

หยางเจาชิงตอบว่า “เรื่องนี้ง่ายมาก! ได้ยินท่านโหวเพิ่งเรียกเมื่อกี้ เจ้าชื่ออู๋เซียนฉีใช่มั้ย? อู๋เซียนฉี ตลอดทางนี้ให้เจ้าเป็นผู้คุ้มกันส่ง หลังจากหลุดออกจากฝั่งนี้แล้ว ข้าจะส่งท่านโหวให้เจ้าทันที ถ้าข้าไม่ยอมปล่อยคน พวกเราอยู่ใกล้กันแค่คืบ อาศัยวรยุทธ์ของเจ้าก็สังหารข้าได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ คนอื่นอยากจะช่วยชีวิตข้าก็คงไม่ทัน เป็นยังไง? ท่านโหว เจ้าคิดว่ายังไง?”

“ได้! หวังว่าเจ้าจะพูดคำไหนกันคำนั้น! อู๋เซียนฉี เจ้าฟังให้ดีนะ ถ้าเขากลับคำ ฆ่าพวกเขาทันที” อิ๋งอู๋หม่านกล่าว

“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!” อู๋เซียนฉีตอบอย่างตรงไปตรงมา แล้วผลักสวีถังหรานออกไป หลังจากแน่ใจแล้วว่าจะไม่เอาอิ๋งอู๋หม่านมาขู่เพื่อควบคุมเขาอีก แน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่มีอันตรายถึงชีวิต เขาก็วางใจแล้วเช่นกัน ชีวิตของอิ๋งอู๋หม่านล้วนเป็นเรื่องรอง จึงปล่อยคนไปอย่างไม่ลังเล

สวีถังหรานที่ได้กลับมาข้างกายหยางเจาชิงอีกครั้งส่งยิ้มให้อย่างชื่นชม นับว่าเข้าใจเจตนาที่หยางเจาชิงอ้อมค้อมจัดการพวกเจ๋อชุนชิวแล้ว เพราะถ้าไม่วางแผนควบคุมสองคนนี้ไว้ก่อน เกรงว่าเจ๋อชุนชิวคงไม่ยอมให้จับแต่โดยดีเช่นกัน

“พี่สวี เจ้าใส่เขาไว้ในกระเป๋าสัตว์ของข้า ขอเพียงพลังอิทธิฤทธิ์ของข้าขาดสัญญาณกับข้างในกระเป๋าสัตว์ ก็อย่าลังเล ฆ่าเขาทันที” หยางเจาชิงจ้องอู๋เซียนฉีที่มีสีหน้าดุร้ายพลางสั่งสวีถังหราน ขณะเดียวกันก็ส่งอิ๋งอู๋หม่านให้สวีถังหรานคุมตัวไว้ จากนั้นก็เก็บทั้งสองคนเข้ากระเป๋าสัตว์ตัวเองพร้อมกัน

ทางนี้ไม่กล้าถ่วงเวลาต่อไปอีก หลังจากคุยทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หยางเจาชิงก็รีบปลอมตัว สวมเกราะรบให้กลายเป็นลูกน้องของอู๋เซียนฉี

จากนั้น อู๋เซียนฉีก็อยู่ข้างหน้า หยางเจาชิงและทหารยศเล็กอีกคนติดตามอยู่ทางซ้ายและขวาของอู๋เซียนฉี ออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์ด้วยกัน

เมื่อมีอู๋เซียนคอยพรางตา ก็ผ่านทัพใหม่มาได้ตลอดทางอย่างราบรื่น พวกเขาออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้อย่างรวดเร็ว เร่งเหาะไปยังจุดลึกของดาราจักรอันกว้างใหญ่…

ทัพใหญ่หนึ่งแสนที่ตระเวนอยู่ในดาราจักรหยุดอยู่นอดดาวเคราะห์ที่อยู่อาศัยของผ่าเทพอสรพิษดำ แม่ทัพคนหนึ่งมองเจียงเชียนหลี่ที่อยู่ข้างๆ พร้อมบอกว่า “นายท่าน ไม่ต้องบอกเลย เผ่าเทพอสรพิษดำที่อยู่บนดาวดวงนี้ก็อพยพไปแล้วแน่นอน”

“ภารกิจของพวกเราก็คือล่อคนออกมา ไม่เกี่ยวว่าเผ่าเทพอสรพิษดำจะอพยพออกไปหรือไม่!” เจียงกล่าวเสียงเรียบเชียนหลี่ จ้องดาวเคราะห์ตรงหน้าครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็กล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ถ้าเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่อาศัยของสระน้ำมังกรดำ เผาให้ข้าให้หมด! เผาเสร็จแล้วถล่มให้พัง! ข้าต้องการให้สระน้ำมังกรดำกลายเป็นสถานที่ไร้ชีวิต คอยดูซิว่าพวกเขาจะทนไม่ยอมออกมาต่อไปได้ไหม!”

“เอ่อ…” แม่ทัพที่อยู่ข้างๆ ตกใจไม่เบา “นายท่าน ถึงยังไงในมือเผ่าเทพอสรพิษดำก็ควบคุมแหล่ง ‘น้ำตากลั่น’ พวกเราทำแบบนี้เกินไปหน่อยหรือเปล่า?”

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องพิจารณา ภารกิจของข้าคือล่อคนออกมา” เจียงเชียนหลี่เอียงหน้าบอก แล้วกล่าวเสียงต่ำอีกว่า “ไปปฏิบัติเดี๋ยวนี้!”

“รับทราบ!” แม่ทัพกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง

ผ่านไปไม่นาน ทัพใหญ่ก็บุกเข้ามาในดาวเคราะห์ ตามติดด้วยควันไฟลอยโขมงขึ้นทั่วทุกทิศ…

ในโถงถ้ำ ตรงหน้าแผนที่และเข็มทิศโลหะ เมื่อได้รับรายงานจากเผ่าเทพอสรพิษดำอีกครั้ง ชางไห่ก็เริ่มร้อนรนแล้ว เขาจ้องเหมียวอี้ที่ยืนอยู่ตรงข้ามพร้อมกล่าเสียงดัง “ผู้บัญชาการหนิว นี่เป็นดาวเคราะห์ดวงที่สิบห้าแล้ว เจ้ายังจะรอถึงเมื่อไรอีก?” เขาดวงไม่ดี เพราะบริเวณที่เจียงเชียนหลี่เริ่มทำลายคืออาณาเขตของเขา

เหมียวอี้จ้องเข็มทิศพลางกล่าวเสียงต่ำ “รอ! รอให้เขามาถึงอาณาเขตที่มีกำลังพลของพวกเราดักซุ่ม ช้าเร็วเขาก็ต้องมาถึง ถ้าเจ้ารอไม่ไหว ก็นำคนของเจ้าไม่สกัดไว้ก่อนได้เลย”

“เจ้า…” ชางไห่โบกมือชี้

กลับเป็นโม่โหยวที่ตะคอกว่า “หุบปาก! เข้าพูดถูกแล้ว พวกเราอยู่ไกลมาก ถ้ารีบเข้าไปตอนนี้ นอกจากจะหยุดพวกเขาไม่ได้แล้ว ระหว่างทางยังจะเจอกำลังพลดักซุ่มด้วย”

“ฮึ่ย!” ชางไห่สะบัดแขนเสื้อสองข้าง เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาไม่หยุด

ตานฉิงชำเลืองมองเขา แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าเด็กนี่อารมณ์ร้ายไม่เบา!”

ชางไห่พลันหันกลับมาตะคอก “เจ้าว่าใคร?”

ตานฉิงเอามือไขว้หลังเดินอ้อมเข็มทิศไป เดินตรงไปตรงหน้าชางไห่ “ข้าก็ว่าเจ้าไง เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ?”

“พอแล้ว!” เหมียวอี้ตะคอก

ตำหนักดาราจักร วันนี้ประมุขชิงว่างงาน นั่งอ่านหนังสืออย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่หลังโต๊ะยาวตลอด ที่จริงแล้วกำลังติตตามความเคลื่อนไหวทางสระน้ำมังกรดำ

ซ่างกวนชิงที่ยืนอยู่ข้างหลังวางระฆังดาราลง แล้วรายงานว่า “ฝ่าบาท เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

“เรื่องใหญ่?” ประมุขชิงย้ายสายตาจากม้วนหนังสือ “เรื่องใหญ่อะไร?”

ซ่างกวนชิงกล่าวว่า “มีคนปล่อยข่าวไปทั่ว บอกว่าเพื่อที่จะฆ่าหนิวโหย่วเต๋อ อิ๋งจิ่วกวงยอมส่งคนไปปลอมตัวเป็นโจรเพื่อจับรองหัวหน้าภาคสวีถังหรานเป็นตัวประกัน ล่อให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลไปปราบโจรที่สระน้ำมังกรดำ บอกว่าอิ๋งจิ่วกวงแอบระดมทัพตะวันออกห้าล้านไปปลอมตัวเป็นโจรดักฆ่าหนิวโหย่วเต๋อที่สระน้ำมังกรดำ ตอนนี้ข่าวลามไปทั้งใต้หล้าเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง สะเทือนกันทั้งใต้หล้า ลือกระฉ่อน!”

ประมุขชิงวางม้วนหนังสือในมือช้าๆ แล้วหรี่ตาถามว่า “ทัพตะวันออกห้าล้าน? อิ๋งจิ่วกวงปิดความลับได้ดีจริงๆ เคลื่อนพลเยอะขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะไม่ได้ข่าวเลยสักนิด? ยังไม่ได้ข่าวคนทางสระน้ำมังกรดำอีกหรือ? ยืนยันได้หรือเปล่าว่ามีกำลังพลมากขนาดนั้น?”

ซ่างกวนชิงตอบว่า “ตอนนี้สถานการณ์ทางสระน้ำมังกรดำซับซ้อนมาก ทุกที่มีแต่สายลับของทั้งสองฝ่าย พอโผล่หน้าไปก็อาจจะถูกพบและตามไล่ฆ่าได้ ถึงตอนนั้นจะซ่อนตัวก็ไม่ทันแล้ว ทางเผ่าเทพอสรพิษดำก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน คาดว่าครั้งนี้อิ๋งจิ่วกวงกับหนิวโหย่วเต๋อคงไม่มีใครเลิกราง่ายๆ ต้องประมือกันให้ได้แน่นอน เผ่าเทพอสรพิษดำที่อยู่กลางการต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายคงจะถูกจี้ตัวไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะติดต่อใครไม่ได้เลย คาดว่าอำนาจแต่ละฝ่ายคงสืบข่าวตามปกติไม่ได้เช่นกัน แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว ทางทัพตะวันออกคงจะมีคนไปไม่น้อยแน่ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่องจริงขอรับ”

“รู้มั้ยว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว?” ประมุขชิงถาม

“คนปล่อยข่าวถูกจับตัวไว้หลายคน เป็นคนของโถงชุมนุมอัจฉริยะขอรับ” ซ่างกวนชิงตอบ

“ทัพตะวันออกห้าล้าน…” ประมุขชิงนั่งเอนเก้าอี้เงียบๆ พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “สงสัยเจ้าลูกลิงนั่นคงถูกอิ๋งจิ่วกวงบีบจนเป็นสุนัขกระโดดกำแพงแล้ว เลยคิดจะอาศัยอำนาจภายนอก แม้แต่เรื่อง ‘ใส่ร้าย’ ขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ก็ยังทำได้ แบบนี้เท่ากับฉีกหน้ากันถึงที่สุดแล้ว ต้องการจะสู้แบบมัจฉาตายตาข่ายขาด! ถ่ายทอดคำสั่งข้า สั่งให้ทัพใต้เคลื่อนทัพเข้าไปตรวจค้นในสระน้ำมังกรดำ ดูว่ามีการโจรกรรมจริงหรือเปล่า สั่งให้ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ขวาระดมกำลังพลหนึ่งกองไปที่สระน้ำมังกรดำ เออใช่ พาหยวนจุนไปด้วย ให้เขาดูสักหน่อยว่าลูกน้องคนสนิทของเขากำลังทำอะไร”

“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับบัญชา

ร่มไม้ริมแม่น้ำ เกิดเสียงดังเพล้ง แผนที่และเข็มทิศโลหะหนักถูกเสยกลิ้งตกพื้น อิ๋งจิ่วกวงเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอย่างกระฟัดกระเฟียด ราวกับเป็นสัตว์ป่าที่ถูกยั่วโมโห จั่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างกันตกใจจนไม่กล้าพูดอะไร

ข่าวลือแพร่ไปทั้งใต้หล้าเร็วมาก อิ๋งจิ่วกวงมีช่อทางข่าวสารว่องไว้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ ลูกน้องของอ๋องสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยปลอมตัวเป็นโจรไปดักฆ่าขุนนางตำหนักสวรรค์ แบบนี้หมายความว่าอะไร บอกประมาณว่าอิ๋งจิ่วกวงยอมระดมทัพใหญ่หลายล้านเพื่อความแค้นส่วนตัว คนภายในทัพตะวันออกก็สนใจแอบสืบว่าเพื่อนร่วมงานไปไหนแล้วเช่นกัน เหมือนอยากจะยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เบื้องบนออกคำสั่งระงับการสืบข่าวซี้ซั้ว ผลก็คือทำให้เบื้องล่างสงสัยยิ่งกว่าเดิม

……………

“เอาให้เขาไปเถอะ” เจ๋อชุนชิวถอนหายใจ ลูกน้องที่อยู่ข้างๆ โยนระฆังดาราออกมาทันที

สวีถังหรานรับมาไว้ในมือ แล้วมองหยางเจาชิง อารมณ์ที่อยู่ในแววตานั้นทำให้หยางเจาชิงอกสั่นขวัญแขวนเล็กน้อย ถามว่า “เป็นอะไร?”

อิ๋งอู๋หม่านตะคอกเช่นกัน “เร็วๆ!”

สวีถังหรานหันหน้ามาตอบ “บนตัวข้าถูกผนึกพลัง ไม่มีทางควบคุมระฆังดาราได้”

“…” อิ๋งอู๋หม่านพูดไม่ออก ตอนนี้เขาอ่อนไหวกับคำว่า ‘ผนึก’ มาก เพราะตอนนี้เขาก็เป็นผู้ถูกกระทำเหมือนกัน แต่ดันมีคนเอ่ยถึงติดกันหลายครั้ง คิดไปคิดมาก็พบว่าใช่ บนตัวสวีถังหรานมีผนึกจริงๆ จึงโบกมือให้อู๋เซียนฉีทันที บอกใบ้ให้มาคลายผนึกให้

“ท่านโหว ถ้าแม่ทัพใหญ่อ๋าวรู้ว่าพวกเราเจรจากับท่าน จะทำยังไงล่ะ?” หยางเจาชิงฉวยโอกาสเบี่ยงเบนความสนใจของอู๋เซียนฉี พยายามทำให้อู๋เซียนฉีพิจารณาทางด้านอื่น อย่าให้จำได้ว่าคลายผนึกบนตัวเขาออกแล้ว

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล โหวผู้นี้มีความคิดเป็นของตัวเอง” อิ๋งอู๋หม่านกล่าวเสียงต่ำ

หยางเจาชิงบอกอีกว่า “ท่านโหว ท่านย่อมไม่กลัวแม่ทัพใหญ่อ๋าวอยู่แล้ว แต่ข้านั้นไม่เหมือนกัน คนที่คุมสถานการณ์ข้างนอกตอนนี้คืออ๋าวเฟย ให้ข้างนอกเฝ้าไว้หน่อยได้มั้ย ถ้าแม่ทัพใหญ่อ๋าวมา จะได้แจ้งให้ข้าหลบทัน จะได้ไม่ต้องโดนจับได้คาหนังคาเขา”

อิ๋งอู๋หม่านกำลังลังจะบอกเขาว่าอย่ามายุ่งเรื่องคนอื่น ยังไม่ทันเอ่ยปาก หยางเจาชิงก็แย่งพูดแล้ว “อย่างน้อยทุกคนจะได้ไม่ต้องอึดอัด ไม่อย่างนั้นต่อให้ท่านโหวจะเจรจากับหัวหน้าภาคของพวกเราแล้ว แต่ถ้าแม่ทัพใหญ่อ๋าวเข้ามาเกี่ยวข้อง เกรงว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลง”

คำอธิบายนี้ทำให้อิ๋งอู๋หม่านเงียบไป สายตาจ้องไปทางทหารยศเล็กที่นั่งคุกเข่าโดยไม่กล้าถือวิสาสะยืนขึ้นเอง “ไป! ไปจ้องข้างนอก”

ทหารคนนั้นอยากจะไปอยู่แล้ว รีบลุกขึ้นแล้วเร่งฝีเท้าเดินออกไป

อิ๋งอู๋หม่านจ้องไปที่สวีถังหรานอีก แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้ายังมัวอิดออดอะไร?”

สวีถังหรานที่กำระฆังดาราอยู่ในมือถอนกายใจเฮือกหนึ่ง เอามือลูบหน้าอกด้วยสีหน้าจนใจ “ท่านโหว โหยวฮ่วนทรมานข้าไม่เบาเลย ลูกน้องท่านก็ลงมือไม่ปรานี พลังอิทธิฤทธิ์เสียหายรุนแรงจริงๆ” เขามองไปที่อู๋เซียนฉี “ท่านโหวให้ยาแก่นเซียนผู้น้อยสักเม็ดได้มั้ย ให้อาการบรรเทาสักหน่อย ไม่อย่างนั้นพลังอิทธิฤทธิ์ในตอนนี้ก็ไม่พอสำหรับการเจรจาเลย ถ้าเจรจาได้ครึ่งทางแล้วหยุดพักก็คงจะไม่เหมาะหรอกใช่มั้ย?”

จุดนี้อิ๋งอู๋หม่านรู้ดี ตอนสวีถังหรานถูกโหยวฮ่วนส่งตัวมาก็สะบักสะบอมมากแล้ว ทั้งยังถูกทรมานอีก นี่ไม่ใช่ข้ออ้าง มิหนำซ้ำก็แค่ยาแก่นเซียนเม็ดเดียวเท่านั้น จะมีอะไรได้ล่ะ? เขาเอียงหน้ามองอู๋เซียนฉี “ให้เขา!”

อู๋เซียนฉีเองก็ไม่เห็นว่ายาแก่นเซียนเม็ดเดียวจะร้ายแรงอะไร จึงโยนให้สวีถังหรานเม็ดหนึ่ง

สวีถังหรานรับมาไว้ในมือ แล้วฉวยโอกาสบีบให้แตก

ปั้ง! มีเสียงดังหนึ่งครั้ง ยาแก่นเซียนที่สวีถังหรานรับมือระเบิดกลายเป็นหมอกขาว ถ้าของสิ่งนี้ไม่ถูกพลังอิทธิฤทธิ์ควบคุมไว้ก็จะเป็นสภาพอย่างนี้อยู่แล้ว

เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ขณะที่หมอกโผเข้ามาใส่หน้า ลมแรงกลุ่มหนึ่งก็โผเข้ามา อู๋เซียนฉีตั้งฝ่ามือต้านทานไว้โดยจิตใต้สำนึก ตอนที่ยื่นฝ่ามือออกไป ตอนที่เสียเวลาไปเล็กน้อยนั้น เขาก็แอบร้องว่าแย่แล้ว ในศาลามีเสียงตะคอกของหยางเจาชิงดังมา “ถ้าไม่อยากให้เขาตายก็หยุดเดี๋ยวนี้!”

บึ้ม! ห้องนั้นถูกพลังฝ่ามือของอู๋เซียนฉีถล่มพัง อู๋เซียนฉีสะบัดแขนเสื้อ ปัดไอหมอกกลุ่มใหญ่ออกไป

หมอกค่อยๆ หายไปกับความลึกลับ ในศาลา หยางเจาชิงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังอิ๋งอู๋หม่านแล้ว นิ้วทั้งห้าบีบบคออิ๋งอู๋หม่านไว้แน่น บีบจนอิ๋งอู๋หม่านแทบจะกระดิกกระเดี้ยไม่ได้

สวีถังหรานนอนหมอบอยู่บนพื้น ขณะที่บีบยาแก่นเซียนระเบิดและผลักไปหาอู๋เซียนฉี เขาเองก็หมอบแล้วเช่นกัน หมอบพื้นอย่างสุดชีวิต ลมแรงแทบจะถูหลังศีรษะเข้าออกไป แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อแล้วจริงๆ สองขาสั่นระริก เกือบปัสสาวะราด ด่าหยางเจาชิงอย่างบ้าคลั่ง ว่าทำไมกล้าทำเรื่องที่เสี่ยงชีวิตอย่างนี้

หารู้ไม่ว่าหยางเจาชิงก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน แม้เขาจะอยู่ใกล้กับอิ๋งอู๋หม่านในศาลามาก อยู่ห่างไม่ถึงสิบเก้า แต่อาศัยวรยุทธ์ของเขา แค่ถลันตัวไปก็ถึงแล้ว แต่การตอบสนองของยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็ไม่ใช่เล่นๆ เขาต้องให้สวีถังหรานช่วยถ่วงเวลาให้สักหน่อย เวลาเล็กน้อยเพียงชั่วขณะจิตเท่านั้น

สวีถังหรานที่มวยผมสยายออก ผมเกินครึ่งหัวกลายเป็นผงแป้งทำสีหน้าตกใจกลัวมาก รีบกึ่งคลานกึ่งกลิ้งไปหาหยางเจาชิง แต่กลับถูกเงาคนที่ถลันเข้ามาบีบคอให้ล้มลงพื้น

เขายังหนีพ้นได้ก็แปลกแล้ว ถูกอู๋เซียนฉีบีบคอไว้ บีบคอจนขยับตัวไม่ได้

เจ๋อชุนชิวที่กระโดดลงจากเตียงตกใจค้าง แม้แผลที่แผ่นหลังยังรักษาไม่หาย แต่การเคลื่อนไหวนี้ก็ทำให้เขาเจ็บจนเหงื่อแตก เขายังเบิกตากว้างมองอยู่อย่างนั้น ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าเหตุใดจึงกลายเป็นอย่างนี้ไปแล้ว? เขาไม่ได้เตรียมตัวป้องกันใดๆ เลย

ผู้ติดตามข้างกายเขาก็ตกใจค้างเช่นกัน พบว่าสองคนนี้ใจกล้าเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าเล่นลูกไม้นี้ใต้หนังตานักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ ช่างไม่กลัวตายจริงๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะทำสำเร็จแล้ว!

ทหารที่ออกไปข้างนอกก่อนหน้านี้กลับเข้ามาดูความเคลื่อนไหวในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ พอวิ่งเข้ามาเห็นก็งงเป็นไก่ตาแตกเช่นกัน

สวีถังหรานใบหน้าแดงก่ำขณะตกอยู่ในมืออู๋เซียนฉี กำลังมองหยางเจาชิงด้วยสายตาบ้าคลั่ง แสดงออกว่าขอความช่วยเหลือ

อู๋เซียนฉีจ้องหยางเจาชิงด้วยสีหน้าดุร้าย ในใจร่ำร้องอย่างขื่นขมว่า ประมาทเกินไปแล้ว ประมาทเกินไป!

เขานึกเสียใจทีหลังจนไส้เขียว! ที่สำคัญคือต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่านักพรตบงกชรุ้งสองคนจะใจ้กล้าขนาดนี้ต่อหน้าเขา!

อิ๋งอู๋หม่านเองก็ถูกบีบคอจนพูดไม่ออกเช่นกัน เหลือกตาอย่างเดือดดาลโกรธแค้น เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าขนาดมียอดฝีมือคุ้มครองรอบกายแล้วยังเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ได้

หยางเจาชิงไม่ลนลาน ใช้มือข้างหนึ่งรูดกำไลเก็บสมบัติของอิ๋งอู๋หม่านมาไว้บนข้อมือตัวเอง พร้อมทั้งกล่าวช้าๆ ว่า “ทุกคนอย่าขยับซี้ซั้ว พลังอิทธิฤทธิ์ของข้ารวมอยู่ที่หัวใจของเขาแล้ว ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้นกับข้า พลังอิทธิฤทธิ์ของข้าที่ไร้การควบคุมก็จะทำให้หัวใจของเขาระเบิดทันที ถ้าเขาตายไป จุดจบของพวกเจ้าจะเป็นยังไง ก็คงไม่ต้องให้ข้าเตือนหรอกใช่มั้ย?”

ที่จริงในใจเขาก็กลัวแทบแย่ เพียงแต่ตั้งแต่รู้ว่าพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวอิ๋งอู๋หม่านถูกควบคุม เขาก็คิดจะลงมือกับอิ๋งอู๋หม่านแล้ว ตอนบอกสวีถังหราน เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะโดนอู๋เซียนฉีผนึกพลังอิทธิฤทธิ์อีกรอบหรือไม่ ถ้าโดนอีกเขาก็จะคิดหาทางเบี่ยงเบนความสนใจคนพวกนี้ ให้สวีถังหรานลงมือเอง ตอนที่สัมผัสตัวสวีถังหรานก็แอบบอกให้สวีถังหรานรู้แล้ว

ใครจะคิดว่าอู๋เซียนฉีจะไม่ให้ความสำคัญกับเขาเลย แต่ก็เป็นเพราะเขาดูออกว่าพวกอู๋เซียนฉีเป็นทหารองครักษ์ที่ไม่ได้ทำหน้าที่สุดความสามารถ ดูจากเกราะรบบนตัวอู๋เซียนฉีก็รู้ถึงที่มาแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นคนที่ติดตามอยู่ข้างกายหัวหน้าภาคอย่างเหยียนซิว ความสนใจจะอยู่กับคนที่ต้องการจะปกป้องตลอดเวลา เขาหยางเจาชิงไม่กล้ามีความคิดนี้เลย

เจ๋อชุนชิวเองก็ไม่สนใจแล้วว่าตัวเองจะเจ็บหลัง ฉากตรงหน้าทำให้เขาตกใจจนชาไปหมด รีบกล่าวมาข้างหน้าแล้วกล่าวอย่างร้อนใจว่า “ปล่อยท่านโหว ข้ารับรองว่าพวกเจ้าสองคนจะได้ออกไปอย่างปลอดภัย!” เขาชี้สวีถังหรานที่อยู่ในมืออู๋เซียนฉี

“รับประกันบ้าอะไรล่ะ!” หยางเจาชิงพยักหน้าให้สวีถังหราน “ปล่อยเขาก่อนเดี๋ยวนี้”

“เลิกคิดไปได้เลย! ถ้าเจ้าไม่ปล่อยท่านโหว ก็เลิกคิดไปเลยว่าข้าจะปล่อยเขา!” อู๋เซียนฉีกัดฟัน

“พี่สวี ต่อให้เจ้าตายอยู่ที่นี่ก็คงไม่ถือว่าไร้ความเป็นธรรม! ชีวิตของเจ้าเทียบเท่ากับลูกชายของอ๋องสวรรค์อิ๋งแล้ว” หยางเจาชิงกล่าวกลั้วหัวเราะ มือค่อยๆ คลายออกจากคออิ๋งอู๋หม่าน แล้วกระซิบข้างหูเขาพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ท่านโหว ให้คนของเจ้าปล่อยคนเดี๋ยวนี้!”

อิ๋งอู๋หม่านไอหนึ่งที อาการเริ่มดีขึ้นแล้ว ตวาดอย่างเดือดดาลทันที “โหวผู้นี้คือขุนนางตำหนักสวรรค์ผู้น่าเกรงขาม ข่มขู่ข้าแบบนี้ เจ้ารู้ถึงผลที่ตามมามั้ย?”

“แล้วนายท่านของพวกเราไม่ใช่ขุนนางตำหนักสวรรค์หรือไง? เจ้าฆ่าเขาได้ แต่ข้ากลับจับตัวเจ้าไม่ได้รึไง นี่มันหลักการอะไรกัน?” หยางเจาชิงถามเสียงเรียบ มองไปรอบๆ ด้วยความระวังตัวอย่างสูง ไถมือข้างหนึ่งจากแขนขออิ๋งอู๋หม่านลงมาที่ฝ่ามือ แล้วบีบนิ้วเขาเสียงดัง ‘แกร๊ก’ บิดให้หักเสียเลย พร้อมทั้งตะคอกว่า “ให้พวกเขาปล่อยคน!”

“อา…” อิ๋งอู๋หม่านครางเสียงต่ำ รู้สึกเจ็บจนสั่นไปทั้งตัว เหงื่อกาฬแตกในชั่วพริบตาเดียว

อู๋เซียนฉีช้อนมือสวีถังหรานขึ้นมาเพื่อโต้ตอบเช่นเดียวกัน

“เจ้าก็ลองดูสิ!” หยางเจาชิงตะคอก บิดนิ้วที่สองของอิ๋งอู๋หม่านแล้ว

อู๋เซียนฉีทำสีหน้าเหมือนจะเป็นบ้า บีบสวีถังหรานโดยไม่ลงมือสักที กลัวลูบหน้าปะจมูก เป็นเพราะนิ้วของอิ๋งอู๋หม่านแพงกว่ามากเมื่อเทียบกับสวีถังหราน

หยางเจาชิงดึงนิ้วของอิ๋งอู๋หม่านขึ้นมาตั้งตรงตาอิ๋งอู๋หม่าน ทำท่าเหมือนจะบิให้หักได้ทุกเมื่อ “สถานการณ์ข้างนอกเป็นยังไง ท่านโหวเองก็รู้ ในเมื่อข้ามาเจรจาที่นี่ในเวลานี้ ก็ไม่เตรียมจะรอดชีวิตกลับไปอยู่แล้ว ท่านโหวอยากจะเดิมพันกับข้ามั้ยล่ะ? ให้พวกเขาปล่อยคน!”

อิ๋งอู๋หม่านที่เจ็บจนหอบหายใจเฮือกใหญ่ตะโกนไปฝั่งตรงข้ามทันที “ปล่อยคน ปล่อยเขา!”

“ท่านโหว!” อู๋เซียนฉีลำบากใจสุดๆ

อิ๋งอู๋หม่านหายใจถี่กระชั้น ตวาดด้วยน้ำเสียงโมโห “ข้าบอกให้เจ้าปล่อยคน!”

เจ๋อชุนชิวเองก็รีบเร่งอู๋เซียนฉีเช่นกัน “ยังไม่รีบปล่อยคนอีกเหรอ?”

เฮ้อ! อู๋เซียนฉีร้องเฮ้อในใจ เขารู้ชัดดีมาก ว่าถ้าปล่อยไปก็จะเกิดปัญหาใหญ่แล้ว ถือว่าปล่อยให้อีกฝ่ายทำสำเร็จ แต่เขาก็ไม่กล้าไม่ปล่อย คนที่อยู่ตรงหน้ามีฐานะสูงส่งมาก ถ้าได้รับความลำบากทุกข์ทนเพราะเขา เขาก็รับผิดชอบไม่ไหว

จึงใช้มือผลักออกไป กัดฟันผลักสวีถังหรานออกจากอ้อมกอด

สวีถังหรานที่ไอสองทีทั้งกลิ้งทั้งคลาน รีบวิ่งเข้าไปในศาลา ขบคิดถึงชั่วขณะที่ขวัญผวา

หยางเจาชิงสังเกตรอบๆ ด้วยความระวังตัวอย่างสูง พลางถ่ายทอดเสียงถาม “พี่สวีไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”

สวีถังหรานตระหนกพอสมควร แต่พอเห็นว่าตัวประกันอย่างอิ๋งอู๋หม่านมีอิทธิพลมากขนาดนี้ ใจก็สงบลงเร็วมาก ช่วยระแวดระวังรอบๆ ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ไม่เป็นอะไร ไม่ตายหรอก!”

“เมื่อครู่นี้สถานการณ์บีบบังคับ หวังว่าพี่สวีจะไม่เก็บมาใส่ใจ”

“เข้าใจๆ เจ้าเองก็กำลังเสี่ยงชีวิตเหมือนกัน ตอนนี้จะเอายังไงต่อ?”

“ก็ต้องรบกวนให้คนที่อยู่ในมือไปส่งพวกเราสักรอบไง แต่ไม่สะดวกจะไปแบบเอิกเกริก ถ้าบีบให้อ๋าวเฟยจนตรอกเป็นสุนัขกระโดดกำแพงก็จะยุ่งยากแล้ว”

สายตาสวีถังหรานไปหยุดอยู่ที่ตัวเจ๋อชุนชิวและลูกน้อง เมื่อในมือมีที่พึ่งแล้ว เขาก็เริ่มคิดเรื่องล้างแค้น “เจ้าสองตัวนั้นทรมานข้าโหดมาก ความแค้นนี้ข้ากลั้นไว้ไม่ไหว!”

“พี่สวีอย่าบุ่มบ่าม เดี๋ยวข้าจัดการเอง!” หยางเจาชิงรีบถ่ายทอดเสียงห้าม จากนั้นก็หัวเราะอยู่ข้างหูอิ๋งอู๋หม่านอีก “ท่านโหว เกรงว่าต้องรบกวนให้ท่านไปส่งข้าสักรอบแล้ว แต่หวังว่าพวกเราจะเคลื่อนไหวเบาๆ หน่อยนะ ข้าว่าท่านโหวก็คงไม่อยากให้ทุกคนเห็นตัวเองในสภาพนี้หรอกใช่มั้ย? ท่านคือคนที่จะรับตำแหน่งอ๋องสวรรค์ จอมทัพของทัพตะวันออกในอนาคต จะไม่หลงเหลือศักดิ์ศรีไว้สักหน่อยได้ยังไง?”

อิ๋งอู๋หม่านหอบหายใจ “ข้าแนะนำให้พวกเจ้าหยุดตอนนี้ ข้ารับประกันให้พวกเจ้าวางใจได้ รับประกันว่าจะให้พวกเจ้าทั้งสองจากไปอย่างปลอดภัย ไม่อย่างนั้น เจ้าน่าจะรู้ว่าอีกไม่นานอ๋าวเฟยจะพบความผิดปกติ ตอนนี้สถานการณ์ระหว่างข้ากับอ๋าวเฟยเป็นยังไง เจ้าก็คงรู้มาบ้างแล้ว การที่ข้าเป็นตัวประกันให้เจ้า ดีไม่ดีอาจได้ผลตรงกันข้าม!”

……………

หยางเจาชิงมีพื้นเพอย่างไร? เป็นคนประเภทที่ไม่มีเส้นสายภูมิหลังโดยแท้ ในปีนั้นที่ยังอยู่จวนเมฆธาราทางพิภพเล็ก เขาก็ฉวยโอกาสสร้างผลงานหนึ่งครั้ง รับตำแหน่งประมุขขุนเขาชั่วคราวเพื่อเผชิญการทดสอบของเหมียวอี้ เพื่อที่จะคว้าชัยชนะ เจ้าเวรนี่ดักปล้นคนแล้วเอาเงินไปจ้างกลุ่มนักพรตอิสระ แม้แต่กำลังพลใต้บังคับบัญชาของเขาก็ยังโจมตีกลุ่มเพื่อนร่วมงานจนพ่ายแพ้ยับเยิน ในเวลาครึ่งปีที่ทำศึกเล็กศึกใหญ่ยี่สิบแปดครั้งกับกำลังพลอีกเก้าขุนเขา ก็ไม่น่าเชื่อวจะไม่เคยแพ้เลย แสดงผลงานได้น่าทึ่งมาก ทำเอากลุ่มเพื่อนร่วมงานทยอยกันมาฟ้องต่อหน้าเหมียวอี้ ตั้งแต่นั้นมาความสามารถก็เข้าตาเหมียวอี้อย่างเป็นทางการ

ตอนหลังก็เฝ้าคุ้มครองที่ทะเลทรายม่านเมฆาอย่างจงรักภักดี การปฏิบัติของเขาทำให้ได้รับความชื่นชมจากเหมียวอี้ ตั้งแต่นั้นมาก็ถูกเหมียวอี้รับไว้เป็นลูกน้องคนสนิท เหมียวอี้เดินมาจนถึงทุกวันนี้ ใช่ว่าข้างกายจะไร้สหายที่เคยคบกัน ยกตัวอย่างเช่นพวกจ้าวเฟยกับซือคงอู๋เว่ย แต่นอกจากเหยียนซิวที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ตั้งแต่เหมียวอี้มีฐานะต่ำต้อย คนที่สามารถกลายเป็นลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้ได้ ทั้งยังถูกยอมรับจากอวิ๋นจือชิวยังจะมีใครอีกล่ะ? ก็มีแค่หยางเจาชิงแล้ว

ตั้งแต่ติดตามเหมียวอี้มา เขาอาจจะไม่เคยทำงานใหญ่ที่ครึกโครมโด่งดัง แต่ตลอดทางที่ติดตามรับใช้เหมียวอี้ก็ไม่เคยทำงานอะไรพลาดใหญ่หลวง ทำให้เหมียวอี้ไว้ใจมากขึ้น มองจุดเล็กทำให้เห็นภาพรวม จุดนี้เพียงพอที่จะให้เห็นความสามารถของเขาแล้ว ตอนนี้อยู่ข้างกายเหมียวอี้ก็แทบจะสวมบทบาทพ่อบ้าน ส่วนคนที่ติดตามเหมียวอี้มาก่อนอย่างเหยียนซิวกลับกลายเป็นองครักษ์ประจำตัว ทำไมถึงไม่เลือกเหยียนซิวแต่เลือกหยางเจาชิงน่ะเหรอ ก็เพราะเหมียวอี้เล็งเห็นความสามารถของหยางเจาชิง และการถูกคนระดับเหมียวอี้เลือกให้เป็นพ่อบ้านก็ได้แสดงให้เห็นอะไรบางอย่างแล้ว ลองถามหน่อยว่าพ่อบ้านของโค่วหลิงซวีและอ๋องสวรรค์คนอื่นๆ มีใครบ้างที่ธรรมดา

มีหรือที่อู๋เซียนฉีจะเอาเรื่องแบบนี้มาตบตาหยางเจาชิงสำเร็จ

พอหยางเจาชิงได้ฟัง ก็รู้สึกได้ถึงปัญหาทันที ที่อู๋เซียนฉีบอกว่านับถือเขาเป็นชายชาตรีถึงได้ช่วยเขาอะไรนั่น ถ้าเขาเชื่อก็แปลกแล้ว เขาเองก็ไม่ใช่พวกยอดเยี่ยมในยุทธภพที่จะหวั่นไหวเพราะคำพูดพวกนี้ อิ๋งอู๋หม่านจะพบตนก็เห็นได้ชัดว่าต้องหลบเลี่ยงอ๋าวเฟย ทั้งยังไม่อยากให้อ๋าวเฟยรู้อีกเหรอ?

พอนึกเชื่อมโยงกับก่อนหน้านี้ที่อ๋าวเฟยไม่ให้ตนพบกับอิ๋งอู๋หม่าน ทั้งยังบอกว่าตัวเองมีอำนาจตัดสินใจเรื่องยอมจำนน เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ตอนนี้ หยางเจาชิงก็ตระหนักได้เร็วมากว่าระหว่างอิ๋งอู๋หม่านกับอ๋าวเฟยเกิดปัญหาขึ้นแล้ว อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ยังจะเกิดปัญหาอะไรได้อีก? นอกเสียจากว่าคนที่มีอำนาจทางทหารจะตัดสินใจ

ตอนนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าคนที่คุมสถานการณ์อาจจะเป็นอ๋าวเฟย ไม่อย่างนั้นอู๋เซียนฉีคงไม่หวาดกลัวอ๋าวเฟยขนาดนี้ เพราะการพบอิ๋งอู๋หม่านครั้งเดียวไม่จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ ใครจะกล้าทำอะไรอิ๋งอู๋หม่านเชียวหรือ?

อาศัยฐานะของอิ๋งอู๋หม่าน ทำไมอ๋าวเฟยถึงข้ามขั้นไปคุมสถานการณ์โดยรวมได้ล่ะ? เป็นไปไม่ได้ที่อ๋าวเฟยจะแย่งอำนาจทางทหาร ความเป็นไปได้เดียวก็คืออ๋องสวรรค์อิ๋งมีประสงค์ให้ควบคุมอิ๋งอู๋หม่านไว้ แต่ในเมื่ออ๋องสวรรค์อิ๋งส่งลูกชายมาคุมสถานการณ์โดยรวม แล้วทำไมถึงเปลี่ยนแม่ทัพตอนศึกกระชั้นชิดเข้ามาด้วยล่ะ?

ชั่วพริบตานี้ จู่ๆ เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้หัวหน้าภาคถึงสงสัยมาตลอดว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ แปลกใจว่าทำไมตอนแรกกำลังพลของตระกูลอิ๋งชักช้า แต่ตอนหลังกลับลงมือต่อเนื่องราวกับฟ่าผ่า ทั้งยังลงมือได้ชำนาญมากด้วย ที่แท้ก็เปลี่ยนคนนี่เอง!

ในฐานะที่ใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพมานาน คิดได้ถึงขั้นนี้แล้วก็เดาความจริงได้ไม่ยาก อิ๋งอู๋หม่านทำพลาดจนเสียโอกาสดีในการรบ ทำให้อ๋องสวรรค์อิ๋งโมโห ด้วยเหตุนี้จึงถูกแย่งอำนาจทางทหาร เปลี่ยนให้อ๋าวเฟยมาคุมสถานการณ์รบเอง!

อู๋เซียนฉีเองก็ไม่กล้าพูดอะไรมากกับเขา หยางเจาชิงไม่มีสิทธิ์ตอบตกลงหรือไม่ตกลงด้วย เก็บหยางเจาชิงเข้ากระเป๋าสัตว์เสียเลย

“ทำเหมือนไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ถ้าทางนี้ต้องการคน ให้ติดต่อข้าทันที” อู๋เซียนฉีที่เดินมาถึงหน้าถ้ำสั่งทหารยาม

ล้วนเป็นพี่น้องของทัพใหม่ทั้งนั้น ย่อมรู้ว่าอู๋เซียนฉีทำงานรับใช้ใคร พวกทหารยามพยักหน้าซ้ำๆ “เข้าใจแล้ว!”

พอมองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง อู๋เซียนฉีก็รีบออกไป เขาไม่กล้าถ่วงเวลาแล้ว พยายามรีบไปรีบกลับโดยไม่สร้างความเคลื่อนไหวอะไร

ใช้เวลาไม่นาน อู๋เซียนฉีที่กลับเข้ามาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ก็ทำความเคารพอิ๋งอู๋หม่าน แล้วโบกมือเรียกหยางเจาชิงเข้ามา

พอโผล่หน้ามา หยางเจาชิงก็มองรอบๆ พอเห็นเจ๋อชุนชิวในสภาพอนาถ หยางเจาชิงก็งุนงงนิดหน่อย เขาไม่เคยเจอเจ๋อชุนชิว และไม่รู้ด้วยว่าเป็นใคร จากนั้นสายตาก็ไปหยุดที่อิ๋งอู๋หม่านในศาลา อีกฝ่ายกำลังมองเขาด้วยสายเย็นเยียบ จึงกุมหมัดคารวะด้วยความเคารพ “ผู้น้อยหยางเจาชิง คารวะท่านโหวอิ๋ง!”

อิ๋งอู๋หม่านเคยเจอหยางเจาชิงที่อุทยานหลวง ตอนนี้กำลังยกจอกสุราขึ้นจิบอย่างช้าๆ เสร็จแล้วถึงได้ถามว่า “ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อส่งเจ้ามาเจรจากับโหวผู้นี้เหรอ?”

“รับทราบ” หยางเจาชิงตอบอย่างสุภาพเกรงใจ

“เจรจาอะไร?” อิ๋งอู๋หม่านถาม

“เอ่อคือ…” หยางเจาชิงแสดงความลังเล

อิ๋งอู๋หม่านหรี่ตาถาม “มาเจรจากับโหวผู้นี้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องลังเล?”

หยางเจาชิงตอบว่า “เดิมทีคิดจะมาเจรจากับท่านโหวอิ๋งจริงๆ แต่ทางอ๋าวเฟย…” เขาทำท่าสับสนลังเล เหมือนพูดไม่ออก

“ทำไม? หรือว่าทางอ๋าวเฟยพูดอะไร?” อิ๋งอู๋หม่านเลิกคิ้วถาม

หยางเจาชิงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ท่านโหว เป็นคำพูดที่ไม่น่าฟังนัก ผู้น้อยไม่สะดวกจะพูดจริงๆ! ที่แม่ทัพใหญ่อ๋าวบอกก็คือ ตอนนี้ท่านโหวอิ๋งไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเจรจากับท่านโหวอิ๋ง ให้เจรจากับเขาโดยตรงได้เลย เขามีอำนาจตัดสินใจ”

อิ๋งอู๋หม่านทำสีหน้าดุร้ายทันที กำจอกสุราในมือไว้แน่น หายใจเข้าออกอย่างยากลำบาก สายตาค่อนข้างน่าตกใจ

หยางเจาชิงแอบสำรวจปฏิกิริยาที่เก็บกดของเขา ในใจได้คำตอบแล้ว พิสูจน์การคาดเดาของตนได้แล้ว

อิ๋งอู๋หม่านเองก็ไม่อยากแสดงออกให้คนนอกเห็นเยอะ พยายามข่มอารมณ์ที่ไม่ปกติเอาไว้ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “บอกมาเถอะ หนิวโหย่วเต๋อให้เจ้ามาเจรจาอะไรกับข้า”

หยางเจาชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ท่านโหว ท่านอย่ากดดันข้าสิ ถ้าให้แม่ทัพใหญ่อ๋าวรู้ว่าข้าไม่ทำตามที่เขาบอก เกรงว่าข้าคงไม่มีทางรอดชีวิตกลับไป”

อิ๋งอู๋หม่านแสยะยิ้ม

อู๋เซียนฉีที่อยู่ข้างๆ ถลันตัวเข้ามาทันที กระชากมวยผมของหยางเจาชิงไปข้างหลัง “เจ้าเชื่อมั้ยว่าข้านี่แหละที่จะทำให้เจ้ารอดกลับไปไม่ได้ตอนนี้เลย?”

“ข้าบอกแล้ว บอกแล้ว!” หยางเจาชิงที่กำลังเงยคอยอมบอกทันที กล่าวขอร้องซ้ำๆ

ตอนนี้อู๋เซียนฉีถึงได้ผลักเขาออก แล้วตะคอกว่า “รีบบอกมา!”

หยางเจาชิงเอามือลูบศีรษะ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็ไม่มีอะไร ท่านโหว…ไม่ถูกสิ แม่ทัพใหญ่อ๋าวมีวิธีการระดมกำลังพลที่ยอดเยี่ยมมาก บีบจนฝ่ายพวกเราตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายมาก หัวหน้าภาคหนิวส่งข้ามาเจรจาเรื่องยอมแพ้กับท่านโหวอิ๋ง”

“ยอมแพ้เหรอ?” อิ๋งอู๋หม่านตะลึงงัน แล้วถามอย่างสงสัย “หนิวโหย่วเต๋อจะยอมแพ้ได้เหรอ?”

เจ๋อชุนชิวที่นอนหมอบอยู่บนเตียงเตี้ยรวมทั้งอู๋เซียนฉีต่างก็ตะลึงงัน

หยางเจาชิงถอนหายใจ “แน่นอนว่ามีเงื่อนไข เงื่อนไขก็คือต้องรับประกันความปลอดภัยของหัวหน้าภาคหนิว”

“อ๋าวเฟยตอบตกลงแล้วเหรอ?” อิ๋งอู๋หม่านรีบถาม

หยางเจาชิงส่ายหน้า “ยังไม่ได้เจรจาอย่างเป็นทางการ แม่ทัพใหญ่อ๋าวกังวลว่าจะมีลับลมคมใน ตอนนี้กำลังตรวจสอบความจริงใจของหัวหน้าภาคหนิว”

ตอนนี้อิ๋งอู๋หม่านนั่งไม่ติดที่แล้ว เขายืนขึ้นแล้วเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา เขาพอจะได้ยินข่าวจากข้างนอกมาบ้าง ทั้งสองฝ่ายเหมือนจะยังไม่ได้ใช้กำลังทหารปะทะกันจริงๆ ถ้ากดดันจนหนิวโหย่วเต๋อยอมแพ้แบบนี้ เช่นนั้นการที่เขาขอคำชี้แนะก่อนหน้านี้จะไม่ดูเป็นการไร้ความสามารถหรอกหรือ แบบนั้นก็จะกลายเป็นคนที่ถูกหัวเราะเยาะ ในใจเรียกได้ว่าเซ็งมาก

ความไม่พอใจเป็นเรื่องรอง เพราะสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของเขา ถ้าถูกคนที่มีเจตนาไม่ซื่อใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากจะคิด

“ข้าต้องการติดต่อท่านพ่อ คลายผนึกบนตัวข้า” อิ๋งอู๋หม่านพลันตะคอก

ทหารยศเล็กที่อยู่ในศาลา อู๋เซียนฉีและเจ๋อชุนชิวที่อยู่ด้านนอกต่างก็ทำสีหน้าไม่ถูก พวกเขาก้มหน้าอย่างกินปูนร้อนท้อง ไม่มีใครกล้าตกปากรับคำ ใครจะไปกล้าล่ะ ถ้าอิ๋งอู๋หม่านกับท่านอ๋องติดต่อกันได้แล้ว เรื่องนี้ก็จะเกิดปัญหาทันที คนที่ท่านอ๋องถ่ายทอดคำสั่งลงโทษ ไม่น่าเชื่อว่าจะยังบัญชาการได้อย่างอิสระ แบบนี้จะไม่แย่หรอกหรือ? ท่านอ๋องจะพูดกลับไปกลับมาได้อย่างไร?

ถูกผนึกไว้เหรอ? หยางเจาชิงเหลือบตาสังเกตอย่างแนบเนียน

“เจ้า!” อิ๋งอู๋หม่านชี้ทหารที่อยู่ในศาลา อีกฝ่ายคุกเข่าทันที ก้มหน้าอยู่อย่างนั้นไม่ยอมพูดอะไร ผลปรากฏว่าถูกอิ๋งอู๋หม่านเตะกระเด็น

เจ๋อชุนชิวเห็นอิ๋งอู๋หม่านส่งสายตามา จึงรีบพูดพร่ำทันที “ท่านโหว ต่อให้บ่าวเสี่ยงตายคลายผนึกให้ท่าน แต่ท่านคิดถึงผลที่ตามมาบ้างหรือเปล่า? ต่อให้ท่านจะสร้างผลงานใหญ่ แต่เกรงว่าจะถูกข้อหาขัดคำสั่งท่านอ๋องมาเปิดกั้นอนาคต หากท่านโหวไม่เชื่อฟังคำสั่งท่านอ๋อง ท่านเคยคิดหรือเปล่าว่าท่านอ๋องจะมองท่านยังไง?”

ประโยคนี้ทำให้อิ๋งอู๋หม่านสงบลงอีกครั้ง สายตาจ้องไปที่หยางเจาชิงอีก “เจ้าติดต่อหนิวโหย่วเต๋อ คอยเป็นตัวกลางถ่ายทอดข้อความ โหวผู้นี้จะเจรจากับเขา”

“บนตัวผู้น้อยก็โดนผนึกพลังเหมือนกัน” หยางเจาชิงยิ้มเจื่อน

อิ๋งอู๋หม่านเอียงหน้าบอกใบ้อู๋เซียนฉี “คลายผนึกให้เขา!”

เรื่องนี้ก็ได้อยู่! อู๋เซียนฉีก้าวขึ้นมาลงมือทันที คำสั่งอ๋าวเฟยกับคำสั่งท่านอ๋องเป็นคนละเรื่องกันเลย ยิ่งไปกว่านั้น เดี๋ยวค่อยผนึกอีกรอบก็ได้ อาศัยวรยุทธ์ของเขาตอนนี้ก็ไม่กลัวว่าหยางเจาชิงจะเล่นตุกติกอะไร

หยางเจาชิงที่ถูกคลายผนึกแล้วขยับร่างกายเล็กน้อย แล้วก็สะบัดแขนเสื้อ ทว่าพอลูบที่ข้อมือ ก็ยิ้มเจื่อนแล้วบอกอีกว่า “ท่านโหว ข้าลืมไป ของบนตัวข้าถูกค้นไปหมดแล้ว ไม่มีทางติดต่อกับหัวหน้าภาคหนิวได้”

อิ๋งอู๋หม่านรู้สึกเหมือนโดนปั่นหัวทันที สีหน้าเครียดขรึมลง ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก หยางเจาชิงก็รีบโบกมือบอกว่า “ท่านโหวไม่ต้องกังวล ยังมีสวีถังหรานอีกคน บนตัวสวีถังหรานมีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อหัวหน้าภาคหนิว ให้สวีถังหรานเป็นตัวกลางสื่อสารได้เหมือนกัน”

อิ๋งอู๋หม่านจ้องเจ๋อชุนชิวทันที “พาตัวมาที่นี่”

หยางเจาชิงโล่งอกทันที สงสัยสวีถังหรานจะยังมีชีวิตอยู่

เจ๋อชุนชิวแอบทอดถอนใจ ลูกคนใหญ่คนโตที่สายตาสูงฝีมือต่ำแบบนี้ เขารับใช้ด้วยความยากลำบากจริงๆ แต่ดันไปยั่วโมโหไม่ได้อีก

เขาทำได้เพียงบอกใบ้คนที่กำลังรักษาบาดแผลให้ พอคนนั้นโบกมือ สวีถังหรานที่สภาพสะบักสะบอมก็ถูกโยนออกมา

สวีถังหรานที่ตกลงพื้นมองไปรอบๆ พอเห็นหยางเจาชิงก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน จากนั้นก็ดีใจมาก ความรู้สึกหดหู่ท้อใจหายไปหมด รีบเดินเข้าไปจับแขนหยางเจาชิง “พี่หยาง เจ้ามาได้ยังไง?” ความหมายในคำพูดก็คือ เจ้ามาช่วยข้าเหรอ? เรียกได้ว่าสายตาเต็มไปด้วยความหวัง เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะร้องไห้

หยางเจาชิงคว้าฝ่ามือเขาแล้วตบเบาๆ หนึ่งนิ้วด้านล่างขยับอย่างรวดเร็วที่ฝ่ามือสวีถังหราน นี่คือจังหวะที่ทั้งสองใช้ระฆังดาราติดต่อกันยามปกติ แต่ภายนอกกลับส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “พี่สวีไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เรื่องมันยาว ยากที่จะเล่าให้จบ!”

“หา…” สีหน้าเฝ้าคอยและเปี่ยมความหวังของสวีถังหรานหายไปหมดสิ้น แทนที่ด้วยสีหน้าสับสน กลืนน้ำลายอึกหนึ่งแล้วถามอย่างยากลำบาก “เจ้าก็โดนจับมาเหมือนกันเหรอ?”

“เร็วๆ!” อิ๋งอู๋หม่านไม่มีความอดทนจะดูฉากที่สองคนนี้ได้หวนมาพบกัน

หยางเจาชิงเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้สวีถังหรานฟังทันที สุดท้ายก็ปล่อยมือแล้วถอนหายใจ “ทำตามที่ท่านโหวอิ๋งบอกเถอะ พวกเราจะได้ลำบากน้อยลงหน่อย”

สวีถังหรานมองเขาอย่างงุนงงครู่หนึ่ง ในดวงตาฉายแววประหลาดใจ ถึงขั้นหวาดกลัวเล็กน้อย สุดท้ายก็ค่อยๆ หันกลับไปมองคนที่เพิ่งปล่อยตัวเองออกมาเมื่อครู่นี้ “ระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับนายท่านไม่ได้อยู่ในมือข้า”

…………………

ตอนยังไม่พูดก็ยังไม่เป็นไร แต่พอพูดออกมาแล้ว ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ทั้งสามก็เดาเจตนาของหยางเจาชิงได้ไม่ยาก เห็นได้ชัดว่านี่คือวิธีการปกป้องตัวเองของหยางเจาชิง อีกฝ่ายไม่ได้นำระฆังดารามาด้วย ถ้าเจ้าฆ่าทิ้งกลางคัน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะติดต่อหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ อย่างน้อยหนิวโหย่วเต๋อก็จะสงสัยเรื่องความจริงใจในการเจรจาของฝั่งนี้ก่อนแล้ว

ถ้าฝั่งนี้อยากจะล่อหนิวโหย่วเต๋อมาฆ่าจริงๆ ก็ยังฆ่าหยางเจาชิงคนนี้ไม่ได้ กักตัวไว้ก็ไม่ได้เช่นกัน

ไม่ผิดหรอก หยางเจาชิงวางแผนไว้อย่างนี้จริงๆ เขานึกได้ตั้งแต่ก่อนจะมาแล้ว ถ้าไม่นำระฆังดารามาด้วยก็จะมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น ถ้าอีกฝ่ายตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ปล่อยเขากลับไป ไม่ว่าเขาจะมีหรือไม่มีระฆังดาก็จะไม่ปล่อยไปอยู่ดี ดังนั้นต่อให้ใช้แผนนี้ไม่ได้ผล แต่ก็สามารถสืบได้ว่าสวีถังหรานตายหรือยัง ถ้าสวีถังหรานยังไม่ตาย อีกฝ่ายจะต้องให้สวีถังหรานใช้ระฆังดาราติดต่อนายท่านแน่ สวีถังหรานก็จะสามารถฉวยโอกาสบอกสถานการณ์ของฝั่งนี้ให้นายท่านรู้ได้ ดังนั้นการที่เขาไม่นำระฆังดารามาด้วยจึงไม่มีผลต่อความสำเร็จของภารกิจนี้

“ค้นตัว” อ๋าวเฟยเอียงหน้าสั่งว่า

คนที่ควบคุมตัวหยางเจาชิงมาตอบว่า “แม่ทัพใหญ่ เคยค้นไปแล้วขอรับ ไม่ได้พกของอะไรมาจริงๆ”

“หึ!” อ๋าวเฟยเลิกคิ้วเล็กน้อย มองหยางเจาชิงตั้งแต่ศีรษะจดเท้าอีกครั้ง แล้วเอียงหน้าบอกอีก “พาตัวไปแล้วเฝ้าไว้!”

มีคนมาลากหยางเจาชิงไปทันที

การกระทำนี้ทำให้หยางเจาชิงรู้สึกเหนือความคาดหมายมาก นึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้พบอิ๋งอู๋หม่านก็ถูกลากไปแล้ว ทั้งไม่ได้เห็นจำนวนคนของทัพใหญ่ และไม่ได้เจออิ๋งอู๋หม่าน จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้อย่างไร? จะไม่มาเสียเที่ยวหรอกหรือ จึงตะโกนเสียงดังทันที “แม่ทัพใหญ่หมายความว่ายังไง จะเจรจาหรือไม่ก็บอกมาตรงๆ สิ”

อ๋าวเฟยตอบเสียงเรียบว่า “เจ้าไม่ได้พกอะไรมาสักอย่าง ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าคือหยางเจาชิงจริงหรือเปล่า รอให้ข้ายืนยันตัวตนเจ้าได้แล้วรายงานท่านโหวก่อนค่อยว่ากัน”

พอได้ยินแบบนี้ หยางเจาชิงก็มีความหวัง ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องพูดอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นข้ออ้าง เขาจึงหยุดโวยวายแล้ว เพียงหันมาตะโกนถามว่า “ขุนพลคือใคร?”

“ข้าคืออ๋าวเฟย!” อ๋าวเฟยตอบคำเดียว

อ๋าวเฟยเหรอ? หยางเจาชิงที่ถูกคุมตัวไปลองครุ่นคิดเงียบๆ เขานึกออกแล้ว รู้ตั้งแต่ตอนได้ข่าวจากโหยวฮ่วน ว่านี่เป็นหนึ่งในผู้ติดตามของอิ๋งอู๋หม่าน ที่แท้คนนี้ก็คืออ๋าวเฟยนี่เอง

เมื่อในถ้ำไม่มีคนแล้ว อ๋าวเฟยก็หันซ้ายหันขวา “พี่หวัง พี่คง คิดว่ายังไง?”

หวังหย่วนเฉียวตอบกลั้วหัวเราะ “ไม่รู้ว่าเรื่องที่ไม่พกระฆังดารามาด้วยเป็นความคิดของหนิวโหย่วเต๋อ หรือว่าหยางเจาชิงคิดเอาเอง ถ้าเป็นความคิดตัวเองจริงๆ งั้นหยางเจาชิงคนนี้ก็น่าสนใจแล้ว ไม่รู้ว่าจะดึงมาเป็นลูกน้องตัวเองได้หรือเปล่า”

“สงสัยพี่หวังจะเริ่มโปรดปรานคนมีความสามารถแล้ว!” คงฮั่นหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็มองอ๋าวเฟยอีก “แม่ทัพใหญ่ ท่านคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะยอมจำนนเหรอ? ข้าว่ามีเงื่อนงำ”

อ๋าวเฟยหัวเราะหึหึ “ยอมจำนนเหรอ? ยอมกับผีน่ะสิ รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าเราต้องการเล่นงานเขาให้ถึงตาย เขาจะยอมจำนนเหรอ? ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่หวาดกลัวอิทธิพลท่านอ๋องแล้ววางแผนเพื่ออนาคต ก็อาจจะพูดยาก แต่เจ้าหนุ่มนี่กลัวสิ่งนี้ด้วยเหรอ? เห็นได้ชัดว่าเขาโยนเหยื่อล่อให้ข้าสนใจ ให้ข้าอยากลงมือ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้เหยื่อที่มีน้ำหนักมากขนาดไหน กังวลว่าจะไม่ติดเบ็ด ชัดเจนว่าส่งหยางเจาชิงมาสืบสถานการณ์ภายใน ข้ายังกังวลว่าเจ้านั่นจะซ่อนตัวไม่ยอมออกมา ดูท่าแล้วตอนนี้คงยังไม่ล้มเลิกความคิดชั่วร้าย ดีมาก!”

“ดูท่าแล้ว แม่ทัพใหญ่คงเตรียมจะเผยสถานการณ์ภายในให้หยางเจาชิงคนนี้เห็น อีกเดี๋ยวก็จะปล่อยเขากลับไป” หวังหย่วนเฉียวกล่าว

“ไม่ผิดหรอก! ปล่อยไว้ทางนี้ก่อน แต่อย่าแสดงออกตรงเกินไป ถ้าง่ายเกินไปกลับจะทำให้ฝั่งหนิวโหย่วเต๋อคิดว่ามีเงื่อนงำแล้วไม่กล้างับเหยื่อ” อ๋าวเฟยกล่าว

หวังหย่วนเฉียวกับคงฮั่นสบตากันแล้วหัวเราะ

พอฝั่งนี้ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ทัพใหญ่สี่แสนที่ซ่อนตัวอยู่ก็เผยโฉมทันที

พอทัพใหญ่เผยโฉม เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนยอดเขาก็เห็นแล้ว ตรงหว่างคิ้วฉายเสาแสงสีรุ้งปรับระดับสายตาจ้องไม่หยุด

พอหยางเจาชิงไปแล้ว เขาก็มาอยู่ที่นี่ ให้คนเฝ้ารอบๆ ไว้ไม่ให้ใครเข้าใกล้ แล้วใช้ตาทิพย์จ้องสะกดรอยตามจุดที่หยางเจาชิงเดินทางไป ตาทิพย์มองสำรวจจนทั่วแต่ยังไม่เห็นทัพใหญ่ จนกระทั่งทัพใหญ่ปรากฏตัวเอง เขาถึงได้โล่งใจ

เพียงแต่ไม่เห็นว่าอิ๋งอู๋หม่านอยู่ตรงไหน เขาเห็นพวกอ๋าวเฟยแล้ว แต่ไม่เห็นอิ๋งอู๋หม่าน ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์หลังนั้นที่มีทหารเฝ้าอยู่หรือเปล่า สุดท้ายตาทิพย์ก็จ้องไปที่หยางเจาชิงพักหนึ่ง เสร็จแล้วถึงค่อยๆ เก็บสายตากลับมา

พอกลับเข้ามาในถ้ำ เหมียวอี้ก็ยืนตรงหน้าเข็มทิศ สั่งให้สายลับเผ่าเทพอสรพิษดำจับตาดูทิศทางการเคลื่อนไหวของทัพใหญ่นั่น เขาเริ่มครุ่นคิดแล้วว่าจะลงมืออย่างไร แต่ตอนนี้ยังต้องรอก่อน เพราะไม่รู้ว่าทางนั้นจะปล่อยหยางเจาชิงกลับมาหรือไม่

สิ่งที่เขาสงสัยก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล อิ๋งอู๋หม่านอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์นั่นจริงๆ ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในศาลาด้วยสีหน้าบึ้งตึง เชือกที่มัดบนตัวถูกถอดออกแล้ว แต่ยังไม่มีใครคลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์ให้ ข้างๆ มีสุราอาหารครบครัน อิ๋งอู๋หม่านกรอกสุราเข้าปากจอกแล้วจอกเล่าอย่างหดหู่

นอกศาลามีเตียงไม้ตัวหนึ่ง เจ๋อชุนชิวที่แผ่นหลังเป็นแผลเหวอะหวะกำลังนอนหมอบอยู่อย่างนั้น มีคนใช้สมุนไพรเซียนซิงหัวช่วยเขาเยียวยาบาดแผลไม่หยุด สีหน้ายังแย่เหมือนเดิม ในดวงตาฉายแววคับแค้นในบางครั้ง

ปั้ง! ในศาลามีเสียงดัง เจ๋อชุนชิวรีบหันไปมอง เห็นเพียงอิ๋งอู๋หม่านตบจอกสุราในมือลงบนโต๊ะหิน

“ในนั้นต้องมีเงื่อนงำอะไรแน่ ไม่ได้แล้ว ข้าต้องถามท่านพ่อให้ชัดเจน” อิ๋งอู๋หม่านหันมาตะคอก “คลายผนึกบนตัวข้า!”

ทหารยศเล็กที่คอยรินสุราให้ข้างๆ ตอบด้วยสีหน้าขื่นขม “ท่านโหว ข้าน้อยไม่กล้า นี่เป็นคำสั่งท่านอ๋อง ถ้าท่านติดต่อท่านอ๋องได้แล้วท่านอ๋องโมโห หัวเดียวของข้าน้อยคงไม่พอให้ตัดทิ้งแล้ว!”

“พวกขี้ขลาดกลัวตาย!” อิ๋งอู๋หม่านตะคอกด่า แล้วหันไปหาเจ๋อชุนชิวที่อยู่ข้างนอกอีก “เจ๋อชุนชิว เจ้ามาคลายผนึก!”

“หา!” เจ๋อชุนชิวหนังหน้าย่นจนกลายเป็นลูกมะระ “ท่านโหว นี่เป็นคำสั่งท่านอ๋อง มองเป็นของเด็กเล่นไม่ได้ ต่อให้ข้าน้อยใจกล้าคับฟ้า แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งท่านอ๋องอยู่ดี! ท่านโหว ท่านอย่าทำให้บ่าวคนนี้ลำบากใจเลย! ยิ่งไปกว่านั้น การที่บ่าวสิ้นชีวิตนั้นเป็นเรื่องเล็ก ถ้าท่านอ๋องลามไปโกรธท่านโหวด้วยก็จะยุ่งยากแล้ว”

ปั้ง! อิ๋งอู๋หม่านตบโต๊ะ สีหน้าดุร้ายน่ากลัว

ในขณะนี้เอง นอกชัยภูมิถ้ำสวรรค์ก็มีทหารเกราะทองคนหนึ่งเข้ามา กุมหมัดคารวะเจ๋อชุนชิวที่นอนหมอบอยู่นอกศาลา แล้วเดินเข้ามากุมหมัดคารวะข้างใน “ท่านโหว หยางเจาชิง ลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อมาแล้ว”

“หืม?” อิ๋งอู๋หม่านงงเล็กน้อย ถามอย่างแปลกใจว่า “หยางเจาชิงเหรอ? เขามาทำอะไร?”

ทหารที่เข้ามาชื่อว่าอู๋เซียนฉี อย่าไปมองว่าเขาเป็นแค่ทหารเกราะทอง เพราะเขามีวรยุทธ์ระดับสำแดงฤทธิ์ เป็นหนึ่งในผู้นำของทัพใหม่ใต้บังคับบัญชาอิ๋งอู๋หม่าน เมื่อก่อนนับว่ามีฐานะไม่ต่ำต้อย แต่ตอนหลังมุทะลุดุดันจึงถูกลดตำแหน่งให้อยู่ต่ำสุด ทว่าเคราะห์และวาสนาคือสิ่งที่คาดเดาได้ยาก บังเอิญว่าอิ๋งอู๋หม่านตั้งทัพใหม่ จึงถูกอิ๋งอู๋หม่านดึงมาเป็นลูกน้อง เขาจึงได้มากอดขาอิ๋งอู๋หม่านอีกครั้ง พลิกชีวิตได้ทันที ใครก็รู้ทั้งนั้นว่าในอนาคตอิ๋งอู๋หม่านอาจจะมีตำแหน่งสูงสุดในบรรดาขุนนาง อนาคตน่าเฝ้าคอย ทำให้คนไม่น้อยรู้สึกอิจฉา

“ได้ยินว่าเป็นตัวแทนหนิวโหย่วเต๋อมาเจรจากับท่านโหว ตอนนี้ถูกแม่ทัพใหญ่อ๋าวกักตัวไว้ พี่น้องของพวกเรากำลังเฝ้าคนอยู่ขอรับ” อู๋เซียนฉีตอบ

อิ๋งอู๋หม่านถูกกักตัวไว้ แต่ทัพใหม่ของเขาไม่ได้ถูกกักตัวไว้ ตอนนี้ยังอยู่ในทัพกลาง ยังไม่ได้รับภารกิจ เมื่อไม่ได้รับภารกิจ คนอื่นก็ไม่กล้าใช้งานคนของเขาตามอำเภอใจเช่นกัน แม้อิ๋งอู๋หม่านจะถูกกักตัวและถูกตัดอำนาจทางทหารแล้ว แต่ทัพใหม่ล้วนเป็นคนของเขา ถ้าเขาอยากจะรู้ความเคลื่อนไหวข้างนอกก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร และไม่มีใครกล้าล่วงเกินเขารุนแรงด้วย ดูจากที่ถูกแก้มัดหลังจากเข้าชัยภูมิถ้ำสวรรค์ก็รู้แล้ว คาดว่าต่อให้อ๋าวเฟยรู้จะว่าเขาถูกแก้มัดแล้ว แต่ก็ทำได้เพียงปิดตาข้างเดียว ขอแค่ไม่ทำอะไรออกนอกลู่นอกทาง ไม่ออกจากที่นี่ ไม่ให้ท่านอ๋องรู้ อ๋าวเฟยก็ไม่กล้าทำอะไรเขาแล้ว

“เจรจากับข้าเหรอ? เจรจาอะไร?” อิ๋งอู๋หม่านงุนงง

อู๋เซียนฉีส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ทราบ พี่น้องทัพใหม่ของพวกเราไม่มีใครอยู่ที่ทัพกลาง”

“ไป พาคนมาให้ข้า” อิ๋งอู๋หม่านขมวดคิ้ว

“เอ่อ…” อู๋เซียนฉีค่อนข้างลำบากใจ “ท่านโหว แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะกระมัง?” ในใจพึมพำว่า เจ้าเป็นคนที่ถูกควบคุมตัว ทำแบบนี้ไม่มีเหตุผล ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังแทบแย่ ถ้ารู้แต่แรกคงไม่มาประจบสอพลอ

อิ๋งอู๋หม่านทำสีหน้าเย็นเยียบทันที “อีกฝ่ายมาเจรจากับข้า ไม่ให้ข้ารู้แม้กระทั่งว่ามีเรื่องอะไรงั้นเหรอ? ไม่ได้ให้เจ้าขัดคำสั่งทางทหารสักหน่อย ทำไมล่ะ เห็นข้าเสียอำนาจแล้ว การบัญชาการของข้าเลยไม่มีผลงั้นเหรอ?”

อู๋เซียนฉีปาดเหงื่อ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “ฟังท่านโหวพูดเข้าสิ ที่ข้าน้อยมีวันนี้ได้ล้วนเป็นเพราะท่านโหวให้ ขอเพียงท่านโหวออกคำสั่งมา ขอพูดตรงๆ เลยนะ ถ้าจะให้ข้าน้อยกบฏข้าน้อยก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ความจงรักภักดีที่ข้าน้อยมีต่อท่านโหว ตะวันและจันทราล้วนเป็นพยานได้ เพียงแต่กลัวว่าจะสร้างปัญหาให้ท่านโหว กังวลว่าจะคุยกับทางอ๋าวเฟยลำบาก ในมือของอ๋าวเฟยมีอำนาจมหาศาลที่ท่านอ๋องมอบให้เขาอยู่นะขอรับ!”

แม้แต่สั่งให้กบฏก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเหรอ! คำกล่าวนี้ทำให้อิ๋งอู๋หม่านสบายใจ นี่สิถึงจะเหมือนกำลังพลที่เขาเลี้ยงเองกับมือ ตอนนี้สีหน้าเขาอ่อนโยนขึ้นแล้ว “ข้าแค่อยากจะเข้าใจสถานการณ์สักหน่อย ไม่ขัดคำสั่งทางทหารหรอกมั้ง? อ๋าวเฟยเองก็ไม่ได้บอกว่าห้ามข้าพบใคร ไปพาคนมาเถอะ ถ้าอ๋าวเฟยมีอะไรไม่พอใจ โหวผู้นี้จะรับไว้เอง!”

“รับทราบ!” อู๋เซียนฉีเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป

ในถ้ำภูเขา หยางเจาชิงถูกควบคุมตัวไว้ข้างในชั่วคราว เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาขณะครุ่นคิด กำลังคิดว่าอ๋าวเฟยมีเจตนาอะไร อิ๋งอู๋หม่านมีเจตนาอะไร

ทหารยามที่เฝ้าอยู่นอกถ้ำคือคนของทัพใหม่ อู๋เซียนฉีบุกเข้ามาได้อย่างราบรื่น พอเห็นหยางเจาชิงก็มองประเมินศีรษะจดเท้า “เจ้าคือหยางเจาชิงเหรอ?”

“ใช่แล้ว เจ้าคือ?” หยางเจาชิงสงสัย

อู๋เซียนฉีสะบัดหน้า “ไปเถอะ ท่านโหวอิ๋งต้องการพบเจ้า”

“อ้อ!” หยางเจาชิงแอบดีใจ สงสัยอิ๋งอู๋หม่านจะอยู่ที่นี่จริงๆ และหมายความว่าที่นี่น่าจะมีกำลังพลรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย เขาไม่รู้ว่าตาทิพย์ของเหมียวอี้มองเห็นแล้ว พยักหน้าตอบทันที “รบกวนแล้ว” พูดจบก็ทำท่าจะเดินออกไปนอกถ้ำ

ใครจะคิดว่าอู๋เซียนฉีจะยกมือผลักหน้าอกเขา “เข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้า”

“กระเป๋าสัตว์?” หยางเจาชิงแปลกใจ “ทำไมต้องเข้ากระเป๋าสัตว์ นี่ไม่ใช่เรื่องที่บอกใครไม่ได้เสียหน่อย?” ในใจเขาเกิดความสงสัย หรือวว่าที่นี่กำลังสร้างสถานการณ์ตบตา ที่จริงแล้วอิ๋งอู๋หม่านไม่ได้อยู่ที่นี่?

อู๋เซียนฉีกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ต่อไปถ้าเจอแม่ทัพใหญ่อ๋าว เจ้าห้ามเอ่ยถึงเรื่องที่เคยพบท่านโหว” อิ๋งอู๋หม่านใจกล้า ข้าเริ่มจะกลัวแล้ว อ๋าวเฟยไม่กล้าทำอะไรอิ๋งอู๋หม่าน แต่จะไม่กล้าทำอะไรเขาเชียวหรือ? แต่เขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งอิ๋งอู๋หม่านอีก ทำได้เพียงนัดแนะหยางเจาชิงที่นี่ก่อน

หยางเจาชิงแปลกใจทันที “เพราะอะไร?”

อู๋เซียนฉีตอบว่า “อย่าถามมากขนาดนั้น ข้าเห็นแก่ที่เจ้ากล้าเอาตัวมาเสี่ยงอันตรายคนเดียว ข้านับถือในความเป็นชายชาตรีของเจ้าถึงได้ช่วยไว้เจ้าสักครั้ง ข้าทำแบบนี้ก็เพื่อตัวเจ้าเอง จำคำพูดข้าไว้ อ๋าวเฟยไม่ให้เจ้ากับท่านโหวพบกัน ถ้าเจ้าไม่เอ่ยเรื่องที่เคยพบกับท่านโหว เจ้าก็ยังมีโอกาสรอดชีวิตกลับไป ถ้าเอ่ยเรื่องนี้เจ้าก็จะต้องตาย เข้าใจใช่มั้ย?” ถ้าอีกฝ่ายเชื่อเขาจริงๆ ก็ย่อมไม่พูดซี้ซั้ว ดังนั้นจึงพูดจาคลุมเครือขู่ไปสักหน่อย

……………

หยวนกงกำลังนำคนเฝ้ารักษาการณ์อยู่ในหุบเขาด้านนอก ภายนอกดูเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ในใจแอบด่าแม่แล้ว

ตอนนี้สายลับเผ่าเทพอสรพิษดำกระจายตัวไปทั่ว จับตาดูบริเวณสระน้ำมังกรดำไว้อย่างเข้มงวด ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่กล้าเปิดเผยตัวตน คนที่ตระกูลเซี่ยโห้วส่งมาไม่มีทางเข้าใกล้เขาได้เลย หมายความว่าถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นกับเขา ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่มีทางเข้าช่วยเหลือได้ทันเวลา

คุณชายหกแห่งตระกูลเซี่ยโห้วผู้น่าเกรงขาม ไม่น่าเชื่อว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายขนาดนี้ หยวนกงได้แต่หัวเราะแห้งๆ ให้กับตัวเองที่ในปีนั้นมาสมัครเข้าจวนแม่ทัพภาคตลาดผี มานึกเสียใจทีหลังตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว

หลังจากหยางเจาชิงออกจากถ้ำมาถ่ายทอดคำสั่งของหัวหน้าภาค หยวนกงก็ย่อมไม่พูดพร่ำทำเพลง ปฏิบัติตามทันที จะได้ถือโอกาสนี้ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้ว สามารถหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทางตระกูลเซี่ยโห้วได้อย่างเปิดเผย

ในถ้ำ บรรดาขุนพลใหญ่แดนอเวจีสบตากัน สุดท้ายอ๋าวเถี่ย ขุนพลลัทธิอู๋เลี่ยงก็ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “นายท่าน คนที่อยู่ในตำแหน่งอย่างอิ๋งจิ่วกวง อำนาจอิทธิพลไม่ธรรมดาเลย ไม่ได้ ‘ใส่ร้าย’ กันง่ายๆ ขนาดนั้น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังไม่กล้าแตะต้องท่านอย่างเปิดเผย ถ้าท่านหยุดตอนนี้ก็ยังมีทางเหลือให้ชะลอความขัดแย้งกับตระกูลอิ๋งได้ ถ้าฉีกหน้ากันให้คนทั้งใต้หล้าเห็นหมด ผลกระทบก็จะร้ายแรงมาก เกรงว่าท่านคงจะรักษาโถงชุมนุมอัจฉริยะไว้ไม่ได้แล้ว”

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงตอบ “เขาไม่ให้ข้าอยู่อย่างสบาย เขาเองก็อย่าคิดเลยว่าจะได้อยู่อย่างสบาย อย่างมากก็มัจฉาตายตาข่ายขาด[1] ตอนนี้สนใจอะไรมากขนาดนั้นไม่ได้แล้ว”

“นายท่าน ท่านทำแบบนี้มีผลดีอะไรกับท่าน?” อ๋าวเถี่ยถาม

ในขณะที่เอง มีนายทหารระดับสูงมารายงานอีก “นายท่าน มีความเคลื่อนไหว” เขาก้าวขึ้นมายืนอยู่ข้างเข็มทิศ ชี้ห้าตำแหน่งบนแผนที่ดาวพร้อมพูดต่อว่า “สายลับของฝ่ายเราที่อยู่ห้าตำแหน่งนี้ถูกกวาดล้างจำนวนมาก สายลับตรงห้าจุดนี้แทบจะหายไปหมด ขณะเดียวกันก็มีกำลังพลหนึ่งแสนกำลังตระเวนทั่วดาวเคราะห์!”

หลังจากเหมียวอี้โบกมือให้เขาถอยออกไป ก็จ้องเข็มทิศพักหนึ่ง สุดท้ายก็ชี้ไปตรงห้าจุดที่นายทหารระดับสูงเพิ่งบอก แล้วมองรอบวงพร้อมถามว่า “ทุกคนมองเบาะแสอะไรออกหรือเปล่า?”

พวกโม่โหยวมองพวกเหมียวอี้ที่อยู่ตรงข้าม ทำท่าเหมือนต้องการฟังคำอธิบาย

จ่างหงขุนพลใหญ่ลัทธิปีศาจกล่าวว่า “ดูจากขอบเขตสระน้ำมังกรดำ ไม่ว่าตำแหน่งไหนของสระน้ำมังกรดำจะเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าตั้งทัพอยู่ที่ห้าจุดนี้ ก็ล้วนไปถึงภายในครึ่งชั่วยาม สงสัยอิ๋งอู๋หม่านจะให้ทหารดักซุ่มอยู่ที่ห้าจุดนี้”

“คงจะเป็นอย่างนี้” เหมียวอี้พยักหน้า

เมิ่งหรู ขุนพลใหญ่ลัทธิเซียนจ้องเข็มทิศพลางกล่าวอย่างลังเล “ปิดทางเข้าออก ต้องการจับตัวประกัน กระจายกำลังพลหนึ่งล้านเป็นสายลับ ภายในเวลาสั้นๆ ก็สามารถวางกำลังในจุดที่เชื่อมต่อทุกทิศทางได้ แล้วใช้ทัพเดี่ยวตระเวนไปทั่วด้วย ทีแรกก็แค่ไม่เคลื่อนไหว แต่พอได้เคลื่อนไหวก็ลงมือต่อเนื่องอย่างมีอานุภาพประดุจอัสนีบาต มีระเบียบขั้นตอน ประสบการณ์โชกโชน อิ๋งอู๋หม่านคนนี้ไม่ธรรมดาเลย!”

เหมียวอี้พยักหน้า “ข้าประเมินเจ้าหมอนี่ต่ำไปหน่อย ดูท่าแล้ว ที่อิ๋งจิ่วกวงส่งเขามาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล”

“อีกฝ่ายทำแบบนี้ บวกกับมีกำลังทหารเหนือกว่า สู้กันลำบากแล้ว! สายลับหนึ่งล้านที่เขาวางไว้ล่วงหน้าคือทางหนีทีไล่ที่สำคัญมาก ทำให้พวกเราไม่สะดวกจะเพ่นพ่านไปทั่ว ถ้าถ่วงเวลาต่อไปแบบนี้ ช้าเร็วอีกฝ่ายก็ต้องค้นเจอที่นี่ ถ้ากำลังหลักของพวกเราถูกเปิดเผยเมื่อไร จะออกก็ออกลำบาก พอถูกอีกฝ่ายกัดแน่นก็จะยุ่งยากแล้ว กำลังพลที่อีกฝ่ายวางไว้ห้าจุดสามารถโจมตีสกัดพวกเราได้จากทุกทิศทาง ถึงตอนนั้นจะหนีก็หนีไม่พ้นแล้ว” อ๋าวเถี่ยกล่าวขณะเอียงหน้ามองเหมียวอี้

ฝั่งโม่โหยวมองหน้ากันเลิกลั่ก

ทว่าเหมียวอี้กลับเลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงต่ออ๋าวเถี่ย “นี่ก็คือสาเหตุที่ข้ายอมปล่อยข่าวสู่ภายนอกให้เรื่องราวใหญ่โต จะให้อีกฝ่ายโจมตีเข้ามาอย่างมีระเบียบขั้นตอนไม่ได้ ต้องปั่นให้วุ่นวาย กดดันให้อิ๋งอู๋หม่านสะดุดขาตัวเอง พวกเราถึงจะมีโอกาสเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้มากขึ้น”

อ๋าวเถี่ยเข้าใจแล้ว พอปล่อยข่าวออกไป ทางตำหนักสวรรค์จะต้องส่งคนมาตรวจสอบ อิ๋งอู๋หม่านยังจะปิดกั้นไม่ให้คนของตำหนักสวรรค์เข้ามาในสระน้ำมังกรดำเชียวหรือ? ถึงตอนนั้นก็เหลือเวลาให้อิ๋งอู๋หม่านไม่มากแล้ว เขาพยักหน้าบอกว่า “ถ้านายท่านไม่อยากให้โถงชุมนุมอัจฉริยะเสียหายมากเกินไป ข้าแนะนำให้นายท่านแจ้งทางโถงชุมนุมอัจฉริยะ ว่าหลังจากปล่อยข่าวแล้วให้ซ่อนตัวทันที พยายามอย่าโผล่หน้าออกมา”

เหมียวอี้หันกลับมากำชับหยางเจาชิงทันทีว่าควรทำอย่างไร จากนั้นก็ชี้บนเข็มทิศ “ทางเข้าออกแต่ละทางมีทัพใหญ่หนึ่งล้าน สายลับก็โปรยออกมาหนึ่งล้าน ห้าจุดที่วางสายลับไว้ ข้าเดาว่ามีกำลังพลอย่างน้อยสามแสน ไม่อย่างนั้นถ้าเผชิญหน้ากับแรงต้านของฝ่ายพวกเราก็จะยืนหยัดได้ไม่นาน ใช้ประโยชน์จากกองหนุนไม่ได้ บวกกับรอบข้างมีกำลังพลหนึ่งแสนลาดตระเวนอยู่ทั่ว…ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังพลเดิมที่ดักซุ่มยังอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่อยู่แล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าแฝงตัวอยู่ท่ามกลางกำลังพลหนึ่งแสนนี้ แต่ถ้ายังอยู่ ก็แสดงว่ากำลังพลเดิมที่ดักซุ่มมีไม่เกินห้าแสน”

พวกอ๋าวเถี่ยพากันพยักหน้า

เหมียวอี้หยุดนิ้วบนเข็มทิศ “ถ้ากำลังพลหนึ่งแสนที่ลาดตระเวนคือจำนวนจริง ก็เป็นเป้าหมายแรกที่พวกเราต้องโจมตี”

เหลิ่งจัวฉุน ขุนพลใหญ่ลัทธิผีกล่าวเสียงเย็นว่า “นายท่าน ตามความเห็นของข้า เกรงว่ากำลังพลหนึ่งแสนที่ลาดตระเวนจะเป็นเหยื่อล่อ ถ้านายท่านโจมตี เกรงว่าจะตรงกับเจตนาของอิ๋งอู๋หม่านพอดี”

“เจ้าวางใจเถอะ ในเมื่อข้ากล้าโจมตี แสดงว่ามีวิธีการรับมืออยู่แล้ว ปัญหาตอนนี้ก็คือไม่รู้ว่ากำลังพลหนึ่งแสนนี้แอบซ่อนกำลังพลไว้หรือเปล่า ถ้าไม่มีก็เหมือนเป็นเนื้อในปากข้า แต่ถ้าซ่อนทัพใหญ่หลายแสนเอาไว้ พวกเรายอมไม่เคี้ยวดีกว่า เคี้ยวของแข็งไม่ดีต่อฟัน ถ้าถูกพัวพันไว้ แล้วกองหนุนมาถึง นั่นก็จะเกิดปัญหาแล้ว ดังนั้นตอนนี้ต้องยืนยันจำนวนคนของกำลังพลกลุ่มนี้” เหมียวอี้หันมองรอบวง แล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าทุกคนมีวิธีการอะไรวัดจำนวนคนของกำลังพลกลุ่มนี้บ้าง?”

พวกเขาลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายตานฉิง ขุนพลใหญ่ลัทธิมารก็กล่าวว่า “วิธีการใช่ว่าจะไม่มี แต่เกรงว่าอาจจะเสี่ยงนิดหน่อย”

เหมียวอี้ถามอย่างดีใจทันที “ไม่ทราบว่าขุนนพลจะชี้แนะข้าได้หรือเปล่า?”

ตานฉิงตอบว่า “ส่งคนที่กล้าหาญและรอบคอบเป็นตัวแทนนายท่านไปเจรจากับอิ๋งอู๋หม่าน ดูว่าอิ๋งอู๋หม่านอยู่ตรงไหน ถ้าอิ๋งอู๋หม่านยังอยู่ที่จุดดักซุ่มเดิม ด้วยฐานะอย่างเขาคาดว่าคงมีทัพใหญ่คุ้มครองไม่น้อย ถ้าได้เห็นจำนวนคนตรงนั้นด้วยก็ยิ่งดี เพียงแต่คนที่ไปเจรจาอาจจะตกอยู่ในความเสี่ยง ต้องดูว่าเขาจะรับมือไหวหรือเปล่า”

วิธีการนี้เสี่ยงจริงๆ เหมียวอี้และพวกขุนพลต่างก็เงียบ ไม่ว่าจะให้ใครไปก็ล้วนสงสัยว่าอาจเอาชีวิตไปทิ้ง และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำได้ ต้องใช้คนที่กล้าหาญและรอบคอบจริงๆ

“ไม่ทราบว่าใครยินดีจะไป?” เหมียวอี้เงยหน้ามองรอบวงพร้อมเอ่ยถาม รอได้ครู่เดียวไม่เห็นมีใครตอบ ก็ถามอีกว่า “ใครยินดีจะไป?”

“ข้าน้อยยินดีจะไป!” เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบ จู่ๆ หยางเจาชิงก็ยืนขึ้นกุมหมัดคารวะ

“เจ้าเหรอ!” เหมียวอี้หันกลับมาถามอย่างอึ้งๆ มุมปากกระตุกเล็กน้อย เพราะสวีถังหรานเข้าไปติดกับดักแล้ว มีหรือที่จะเพิ่มหยางเจาชิงไปด้วยอีกคน

“ให้ข้าน้อยไปดีกว่า” เหยียนซิวกล่าวด้วยเสียงแหบพร่าเยียบเย็น

สองคนที่ขอเสนอตัวเองทำให้พวกตานฉิงสบตากัน ยามถึงช่วงเวลาสำคัญถึงจะมองออกว่าใช่ลูกน้องคนสนิทหรือไม่ การที่เต็มใจรับภารกิจแบบนี้ ก็เห็นได้ถึงความจงรักภักดีที่ทั้งสองมีต่อเหมียวอี้แล้ว ทำให้คนมองด้วยสายตาที่สูงขึ้นอีกระดับ

ทว่าเมื่อสองคนนี้เอ่ยปาก ก็กลับทำให้เหมียวอี้ลำบากใจแล้ว เหมียวอี้ไม่อยากให้สองคนนี้ไปเสี่ยงอันตราย แต่สองคนนี้เป็นฝ่ายขอเสนอตัวแล้ว ถ้าเขายังห้ามไว้แล้วให้คนอื่นไปแทน จะให้คนอื่นคิดอย่างไร มิหนำซ้ำเรื่องแบบนี้ก็ต้องสมัครใจเองถึงจะดี

หลังจากลังเลซ้ำๆ ในที่สุดเหมียวอี้ก็ตัดสินใจอย่างยากลำบาก เขามองไปที่หยางเจาชิง “เจาชิงเหมาะสมกว่า เจาชิงไปก็แล้วกัน”

นี่ไม่ใช่คำพูดจอมปลอม เห็นได้ชัดว่าหยางเจาชิงตอบสนองเร็วกว่าเหยียนซิวเยอะมาก เหยียนซิวไม่เหมาะจะทำเรื่องแบบนี้เลยจริงๆ เรื่องนี้หยางเจาชิงก็รู้อยู่แก่ใจ

เหยียนซิวเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ในเมื่อเหมียวอี้พูดแบบนี้แล้ว เขาเองก็ทำได้เพียงถอยไปด้านข้าง สรุปกก็คือเหมียวอี้พูดอย่างไรเขาก็ทำอย่างนั้น

ส่วนเหมียวอี้ก็แอบถ่ายทอดเสียงบอกหยางเจาชิง สุดท้ายก็กำชับว่า “ต้องระวังตัวให้ดี อิ๋งอู๋หม่านเป็นคนยโสโอหัง อย่าไปดันทุรังเถียงกับเขา”

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะ แล้วก้าวยาวเดินออกไป

เหมียวอี้จ้องเข็มทิศพลางเม้มริมฝีปากแน่น ส่วนคนอื่นๆ ก็มองคล้อยหลังหยางเจาชิงเดินออกไปพร้อมกัน

พวกโม่โหยวสบตากัน ชางไห่เบะปากเล็กน้อย ในเวลาแบบนี้เหมียวอี้ไม่ได้ให้เผ่าเทพอสรพิษดำไปเสี่ยงอันตราย แต่กลับส่งลูกสน้องคนสนิทของตัวเองไป คำพูดประมาณว่าให้คนของเผ่าเทพอสรพิษดำเอาชีวิตไปทิ้ง ต่อไปนี้พวกเขาไม่สะดวกจะเอ่ยปากพูดง่ายๆ อีกแล้ว

จากสิ่งนี้ พวกโม่โหยวก็นับว่าเข้าใจคำพูดประโยคนั้นของเหมียวอี้อย่างลึกซึ้งแล้ว ทำสงครามจะไม่มีคนตายได้อย่างไร

“ผู้อาวุโสโม่ ให้คนของเจ้าซ่อนตัวไป อย่าให้พวกเขาเปิดโปงที่ซ่อนตัวของพวกเรา” เหมียวอี้พลันกล่าวทำลายความสงบ

โม่โหยวหันกลับมาสั่งทันที “เร็วเข้า!”

หลังจากนั้นไม่นาน หยางเจาชิงที่เหาะอยู่ในดาราจักรถึงได้แสดงอารมณ์ออกมา สีหน้าจริงจังหนักแน่น กำลังครุ่นคิดว่าอีกประเดี๋ยวจะรับมืออย่างไร เขาเองก็รู้ว่าการไปครั้งนี้อันตรายมาก เมื่อไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ เขาก็ขมวดคิ้ว มองไปรอบๆ แล้วถอดกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือ ตอนที่ผ่านข้างดาวดวงหนึ่งก็โยนกำไลเก็บสมบัติเข้าไปฝังในดวงดาวที่สภาพเหมือนอุกกาบาต

หลังจากนั้น หยางเจาชิงที่ทั้งตัวว่างเปล่าเร่งความเร็วเหาะเดินทางอีกครั้ง

ตรงจุดที่มีดาวหกดวงโอบล้อม อ๋าวเฟย หวังหย่วนเฉียวและคงฮั่นกำลังยืนล้อมเข็มทิศเพื่อปรึกษาเรื่องทำศึก กำลังคุยกันว่าหากหนิวโหย่วเต๋อหาสถานที่ซ่อนตัวเหมาะๆ ได้แล้วไม่ยอมออกมา หรือเข้าไปซ่อนตัวในอาณาเขตดาวปริศนา พวกเขาควรจะทำอย่างไร? พวกเขาตกอยู่ในความเงียบ เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดล้อมสระน้ำมังกรดำไปตลอด

ในขณะนี้เอง มีคนมารายงานว่า “แม่ทัพใหญ่ ข้างนอกจับสายลับได้คนหนึ่ง เขาบอกว่าตัวเองคือหยางเจาชิงลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อ บอกว่าเป็นตัวแทนหนิวโหย่วเต๋อมาเจรจากับท่านโหวอิ๋งขอรับ”

“หยางเจาชิง?” คงฮั่นหรี่ตา “คงจะเป็นลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อ สวีถังหรานนั่นมาติดกับดักแล้ว ส่งมาเพิ่มอีกคนหมายความว่ายังไง?”

“เล่นลูกไม้อะไรกัน?” อ๋าวเฟยขมวดคิ้วพึมพำ เงยหน้าบอกว่า “พาตัวมา ข้าอยากจะเห็นว่าหนิวโหย่วเต๋ออยากจะเล่นอะไร”

รอไม่นาน หยางเจาชิงก็ถูกควบคุมตัวมาถึงนอกถ้ำ ถูกคนผลักเข้ามาในถ้ำแล้ว หยางเจาชิงกวาดสายตามองไปทั่วตลอดทาง หวังว่าตัวเองจะมองเบาะแสอะไรออกสักหน่อย

เมื่อเข้ามาในถ้ำ ก็เห็นแม่ทัพเกราะแดงสามคนยืนอยู่เหนือแผนที่ดาวและเข็มทิศ ลักษณะองอาจห้าวหาญ

ทั้งสามก็ต้องประเมินหยางเจาชิงเช่นกัน เมื่อเห็นเขาไม่มีอารมณ์ลนลานหวาดกลัว อ๋าวเฟยก็ถามเสียงต่ำว่า “เจ้าคือหยางเจาชิงเหรอ?”

“ใช่แล้ว!” หยางเจาชิงตอบอย่างไม่ถือตัวหรือถ่อมตัว

“ว่ามาเถอะ หนิวโหย่วเต๋อคิดจะเจรจาอะไร?” อ๋าวเฟยถาม

“เจ้าไม่ใช่ท่านโหวอิ๋ง ข้าเคยเจอท่านโหวอิ๋งที่อุทยานหลวง” หยางเจาชิงกล่าว

“ท่านโหวอิ๋งคือคนที่เจ้าอยากจะเจอก็เจอได้งั้นเหรอ? บอกมาก่อนว่าเรื่องอะไร ดูว่าควรค่าให้ท่านโหวอิ๋งออกหน้ามาพบหรือเปล่า” อ๋าวเฟยกล่าว

หยางเจาชิงตอบว่า “ท่านหัวหน้าภาคของพวกเราบอกไว้แล้ว ขอเพียงท่านโหวอิ๋งรับประกันความปลอดภัยของเขาได้ หัวหน้าภาคก็จะยอมจำนน ไม่ทราบว่าควรค่าให้ท่านโหวอิ๋งออกมาพบหรือเปล่า?”

ทั้งสามสบตากันแวบหนึ่ง แล้วอ๋าวเฟยก็บอกว่า “เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเองได้ ตอนนี้เจ้าติดต่อหนิวโหย่วเต๋อซะ ขอเพียงเขาแสดงความจริงใจว่าจะยอมแพ้ ฝั่งนี้ก็รับประกันความปลอดภัยให้เขาได้”

หยางเจาชิงกางแขนสองข้าง “บนตัวข้าไม่มีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อใครได้เลย ติดต่อท่านหัวหน้าภาคไม่ได้หรอก ให้ข้ากับท่านโหวอิ๋งเจรจากันก่อน แล้วข้าค่อยกลับไปรายงาน”

ทั้งสามแทบจะหรี่ตาจ้องเขาพร้อมกัน จู่ๆ ก็พบว่าหยางเจาชิงคนนี้น่าสนใจ เพราะมาโดยที่ไม่มีเครื่องมืออะไรบนตัวเลย

…………………………

[1] มัจฉาตายตาข่ายขาด 鱼死网破 หมายถึงต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย

พวกโม่โหยวได้ข่าวแล้วเริ่มกังวล เพราะสายลับล้วนเป็นคนของเผ่าเทพอสรพิษดำ หมายความว่าคนที่ถูกไล่ฆ่าทั้งหมดล้วนเป็นคนของเผ่าเทพอสรพิษดำ

“หัวหน้าภาคหนิว เจ้าเตรียมจะรับมือยังไง?” โม่โหยวถามเสียงต่ำ

เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำเช่นกัน “รออีกสักหน่อย ดูเจตนาของอีกฝ่ายก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

โม่โหยวจึงกล่าวเสียงดัง “สายลับมีแต่คนวรยุทธ์ต่ำ จะต้านการไล่ฆ่าจากทัพตะวันออกไหวได้ยังไง ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาก็ตายสถานเดียว ถ้ารอต่อไปก็ไม่รู้ว่าคนเผ่าข้าต้องตายไปอีกเท่าไป อีกฝ่ายเคลื่อนไหวทัพใหญ่หนึ่งล้านแล้ว!”

เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำ “ทำสงครามจะไม่ให้มีคนตายเชียวเหรอ? เจ้าหวังจะให้ข้าส่งกำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำไปปะทะกับพวกเขาซึ่งๆ หน้ารึไง? ข้ารับรองว่ามีคนตายมากกว่านี้แน่นอน!”

ชางไห่กัดฟันบอกว่า “สายลับไม่ใช่คนของเจ้านี่ เจ้าก็ไม่แยแสอยู่แล้ว ทำไมไม่ใช้คนของเจ้าไปเป็นสายลับบ้างล่ะ!”

พวกตานฉิงที่อยู่ทางซ้ายและขวามองฉากนี้อย่างรู้สึกสนใจ อยากจะเห็นว่าราชาปราชญ์จะบัญชาการกำลังพลสองกลุ่มที่หน้าเข้ากันไม่ได้ ใจก็เข้ากันไม่ได้อย่างไร

ตอนพวกเขาอยู่แดนอเวจี ก็ลำบากลำบนจากการล้อมปราบของตำหนักสวรรค์มาเต็มที่แล้ว สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้น่ากดดันขนาดนั้น

เพล้ง! เหมียวอี้ตบฝ่ามือบนเข็มทิศ แล้วชี้หน้าชางไห่พลางตะคอก “มีแต่เจ้านี่แหละที่พูดมาก! ข้าเตรียมจะให้คนของข้าไปใช้กำลังปะทะ ได้! ขอเพียงเจ้าตอบตกลงว่าจะสลับหน้าที่กัน ข้าก็จะให้คนของข้าไปเป็นสายลับทันที แล้วเรื่องใช้กำลังปะทะก็ยกให้เผ่าเทพอสรพิษดำของพวกเจ้า!”

“เจ้า…” ชางไห่ชี้หน้ากลับ แต่กลับเถียงอะไรไม่ออก

โม่โหยวยื่นมือบอกใบ้ให้เขาถอยออกไป แล้วพยายามทำใจเย็นพูดกับเหมียวอี้ว่า “เผ่าเทพอสรพิษดำอยู่อย่างสงบสุขที่สระน้ำมังกรดำมานานเกินไป ไม่ถนัดเรื่องการรบ ทำได้แค่ใช้ทัพใหญ่ปะทะซึ่งๆ หน้า ในเมื่อตอนนี้ส่งต่อให้เจ้าบัญชาการแล้ว พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะร่วมมือกัน เจ้าก็จะเอาแต่ดูคนเผ่าเทพอสรพิษดำของข้าเอาชีวิตไปทิ้งเฉยๆ ไม่ได้หรอกใช่มั้ย? ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปแล้วจะร่วมงานกันยังไง?”

เหมียวอี้น้ำเสียงอ่อนลงเช่นกัน “ถ้าใช้กำลังปะทะ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมีคนตาย แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเกินไปนัก อีกฝ่ายดูเหมือนมีกำลังพลหนึ่งล้าน แต่กลับกระจายตัวกันแล้ว สระน้ำมังกรดำใหญ่ขนาดนั้น อาศัยคนกลุ่มเล็กแบบนั้นกระจายกำลังค้นหาไม่สำเร็จหรอก ตอนนี้เจ้าแจ้งให้สายลับเผ่าเทพอสรพิษดำซ่อนตัวเดี๋ยวนี้ จะลดความเสียหายได้มากแน่นอน ตอนนี้ข้าต้องรอดูสถานการณ์ขั้นต่อไป ดูว่าตอนนี้กำลังพลกลุ่มนั้นอยู่ที่ไหน ไม่มีทางเลือก ฝ่ายพวกเรากำลังน้อย ถ้าใช้กำลังปะทะซึ่งๆ หน้าก็เอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ ต้องข่มอารมณ์ไว้ ไม่อย่างนั้นจะมีคนตายมากกว่านี้!”

โม่โหยวหันกลับไปสั่งทันที “เร็วเข้า ถ่ายทอดคำสั่งของเขาลงไป”

เหมียวอี้หันตัวเดินออกไป นี่เพิ่งเริ่มต้น เผ่าเทพอสรพิษดำพวกนี้ก็เริ่มทนไม่ไหวแล้ว ต้องทำให้คนพวกนี้ใจเย็นลงสักหน่อย เขาเองก็ต้องใจเย็นเพื่อครุ่นคิดถึงการร่วมงานกับเผ่าเทพอสรพิษดำเช่นกัน

เหมียวอี้เข้ามาในห้องศิลา พื้นและผนังหินล้วนเว้านูนไม่เสมอกัน เขาหาพื้นที่ค่อนข้างเรียบเสมอกันโยนเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมา ปล่อยอ๋องอสรพิษดำที่ถูกผนึกพลังออกมาด้วย แล้วนั่งเงียบๆ มองราชินีเผ่าเทพอสรพิษดำที่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดแล้ว

อ๋องอสรพิษดำมองไปรอบๆ แล้วสุดท้ายสายตาก็ตกอยู่บนตัวเหมียวอี้ นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถามว่า “เจ้าทำอะไรกับเผ่าเทพอสรพิษดำของข้าแล้ว?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่เป็นอะไร แต่ศึกใหญ่กำลังจะเริ่มแล้ว!”

อ๋องอสรพิษดำเดินช้าๆ มาตรงหน้าเขา แล้วจ้องเขาไม่ละสายตา “ทำไมเจ้าต้องหาเรื่องตระกูลอิ๋งให้ได้ รีบออกไปเถอะ”

เหมียวอี้เถียงว่า “เจ้าพูดผิดไปเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่ข้าที่อยากหาเรื่องตระกูลอิ๋ง แต่เป็นตระกูลอิ๋งที่จะหาเรื่องข้าให้ได้ ข้าออกไปแล้วมีประโยชน์เหรอ? พวกเขาจะปล่อยข้าไปเหรอ? ถ้าไม่โจมตีพวกเขาให้เจ็บซะบ้าง ข้าก็ยิ่งมีปัญหา ข้าต้องทำให้พวกเขารู้ว่าข้าไม่ได้ถูกรังแกง่ายๆ”

“บุญคุณความแค้นระหว่างพวกเจ้า พวกเราไม่อยากเข้าไปแทรกแซง ปล่อยเผ่าเทพอสรพิษดำของพวกเราไป วันหลังเผ่าเทพอสรพิษดำจะส่ง ‘น้ำตากลั่น’ ให้เจ้าตามกำหนดเวลา” อ๋องอสรพิษดำกล่าว

เหมียวอี้กล่าวอย่างรู้สึกขำ “ไม่อยากแทรกแซงงั้นเหรอ? มารดาเจ้าเถอะ แล้วทีพวกเจ้าจับคนของข้าไปล่ะ?” เขาโบกมือห้าม “หุบปาก! อย่าอ้างเหตุผลที่ไร้ประโยชน์กับข้า พวกเราไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน พวกเจ้าไม่หาเรื่องข้า ข้าก็ไม่หาเรื่องพวกเจ้า ที่บ้านสวีถังหรานยังมีภรรยารอเขากลับไป เจ้าแค่อยากจะให้คำชี้แจงกับเผ่าเทพอสรพิษดำ แล้วเคยคิดบ้างรึเปล่าว่าข้าจะกลับไปชี้แจงกับฮูหยินของสวีถังหรานยังไง? นางจะกลายเป็นหม้ายแล้ว ข้าจะอธิบายกับนางยังไงล่ะ? ถ้าข้ากลับไปแบบนี้โดยไม่ได้ทำอะไรเลย เจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่าว่าข้าจะชี้แจงกับพี่น้องเบื้องล่างยังไง? ขนาดรองหัวหน้าภาคยังกลายเป็นอย่างนี้แล้ว แล้วพวกเขาจะคิดยังไงกับอนาคตตัวเอง? ดังนั้น เจ้าไปคิดดูเถอะว่าจะทำให้เผ่าเทพอสรพิษดำร่วมมือกับข้าแต่โดยดีได้ยังไง”

อ๋องอสรพิษดำเงียบไปพักหนึ่ง แล้วบอกว่า “ก็ได้ ให้ข้าออกไปเจอพวกเขา”

“อย่ามาเล่นลูกไม้นี้ ไม่ต้องเจอกันหรอก เขียนจดหมายสักฉบับแล้วกัน ข้าจะส่งต่อให้พวกเขาอ่าน” เหมียวอี้กล่าว

อ๋องอสรพิษดำจะยอมเขียนจดหมายได้อย่างไร ตอนนี้ก็กังวลมากพอแล้ว ยังจะถ่ายทอดคำสั่งขอความร่วมมือจากคนในเผ่าอีกเหรอ? อย่าแม้แต่จะคิดเลย

“เจ้าต้องการจะสู้ตายกับตระกูลอิ๋งให้ได้เลยใช่มั้ย?” อ๋องอสรพิษดำกัดฟันถาม

เหมียวอี้มองนางด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้พูดอะไรอีก ทำท่าเหมือนกำลังถามว่า ‘แล้วเจ้าคิดว่ายังไงล่ะ’

ทั้งสองจ้องตากันเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ อ๋องอสรพิษดำก็คุกเข่าต่อหน้าเหมียวอี้

เหมียวอี้ตกใจแทบแย่ นึกไม่ถึงว่าอ๋องอสรพิษดำผู้สง่าผ่าเผยจะคุกเข่าให้เขา จึงถามอย่างงุนงงว่า “หมายความว่ายังไง? ข้าบอกไว้ก่อนนะ ลูกไม้นี้ของเจ้าไม่ได้ผลหรอก การคุกเข่าของเจ้าเทียบกับชีวิตคนหนึ่งแสนไม่ได้”

อ๋องอสรพิษดำจ้องเขาพร้อมกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ได้ยินมานานว่าหัวหน้าภาคหนิวเชี่ยวชาญการรบ ในเมื่อยินดีจะสู้ตายแล้ว คาดว่าคงมีความมั่นใจอยู่บ้าง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้ารู้ว่าต่อให้พูดอะไรไปก็ทำให้หัวหน้าภาคหนิวเปลี่ยนใจไม่ได้ ข้าเพียงอยากขอร้องหัวหน้าภาคหนิวเรื่องหนึ่ง”

“เรื่องอะไร? ลองพูดมาก่อน” เหมียวอี้สงสัย

อ๋องอสรพิษดำตอบว่า “ให้ความร่วมมือก็ได้ แต่พยายามอย่าสละชีวิตคนในเผ่าข้า พยายามอย่าผลักคนเผ่าข้าไปเป็นโล่กำบัง พยายามปกป้องพวกเขา”

เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง แล้วกล่าวอย่างใจกว้าง “เรื่องนี้ข้ารับปากเจ้าได้อยู่แล้ว เจ้าเขียนจดหมายก่อนสิ ให้พวกเขาให้ความร่วมมือกับข้าอย่างสงบใจก็พอ”

“หัวหน้าภาคหนิวมีลักษณะของสิงห์ร้ายที่ทะเยอทะยาน ข้าจะกล้าเขียนจดหมายได้ยังไง? ข้าจะเอาชีวิตคนในเผ่าไปเสี่ยงอันตรายนี้ได้ยังไง?” อ๋องอสรพิษดำสีหน้าเศร้าสลด ในดวงตามีประกายน้ำตา “ขอเพียงหัวหน้าภาคหนิวตอบตกลงเงื่อนไขข้าข้อหนึ่ง หลังจากจบเรื่องถ้าได้รับการพิสูจน์แล้ว ข้ายินดีเป็นทาสหัวหน้าภาคหนิว! ผลประโยชน์ที่อยู่ในนั้น คาดว่าหัวหน้าภาคหนิวคงจินตนาการได้ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องน้ำตากลั่น ข้าสามารถรับประกันได้ในระดับหนึ่ง!”

“เอ๋…” เหมียวอี้ตกตะลึงอ้าปากค้าง รู้สึกว่าล้อเล่นเกินไปหน่อย จึงกระแอมแล้วบอกว่า “แบบนี้ไม่เหมาะสมมั้ง? อ๋องอสรพิษดำผู้สง่าภูมิฐานจะมาเป็นทาสของข้าเหรอ คนในเผ่าเจ้าจะยอมให้เจ้าไปกับข้ารึไง?”

อ๋องอสรพิษดำส่ายหน้า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง ข้ามีวิธีการของข้าเอง แต่เรื่องเป็นทาสจะประกาศไม่ได้ ถ้าประกาศเมื่อไรคำสัญญาของข้าจะเป็นโมฆะทันที” นางต้องการจะปกป้องหน้าตาศักดิ์ศรีของเผ่าเทพอสรพิษดำ

ถ้าไม่เสนอเงื่อนไข เหมียวอี้ก็ยังไม่เชื่อ พอเสนอเงื่อนไขขึ้นมาเขาก็เริ่มจะเชื่อแล้ว แต่ปากก็ยังถามว่า “ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าจบเรื่องแล้วเจ้าจะไม่กลับคำพูด?”

อ๋องอสรพิษดำเอามือกอดอก “ข้าเอาชะตากรรมของเผ่าเทพอสรพิษดำมาสาบาน ขอเพียงหัวหน้าภาคหนิวตอบตกลงเงื่อนไขของข้า ข้าก็จะรักษาสัญญาแน่นอน ถ้าข้าผิดคำสาบาน ก็ให้เผ่าเทพอสรพิษดำของข้าประสบหายนะทุกยุคสมัย!”

“เอ่ออันนี้…” เหมียวอี้เอามือลูบคางอย่างลังเลเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็ยื่นขึ้น ตอบด้วยรอยยิ้มสบายๆ “ข้าตอบตกลง รีบลุกขึ้นเถอะ”

เขานับว่ามองออกแล้ว ว่าคงเป็นไปไม่ได้หากจะกดดันให้นางเขียนจดหมาย ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดจะให้เหยียนซิวใช้วิธีการสกปรกกับนาง แต่เขาเคยเห็นเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางมาก่อน บนนั้นบันทึกไว้เป็นกรณีพิเศษ ว่าวิธีการของเหยียนซิวไม่มีผลกับเผ่าหงส์มังกรและเผ่าเทพอสรพิษดำ ไม่ใช่แค่สิ่งนี้ที่ไม่มีผล เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาก็ไม่มีผลต่อการผลิต ‘น้ำตากลั่น’ ของเผ่าเทพอสรพิษดำเช่นกัน นับว่าเป็นเผ่าที่ค่อนข้างแปลกพิสดาร

ในเมื่อบีบบังคับไม่ได้ เขาคิดไปคิดมาก็ตอบตกลงไปเสียเลย ถึงอย่างไรก็ตัดสินใจตามสถานการณ์ ควรจะทำอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น ไม่มีอะไรเสียหาย มีตัวเลือกที่เป็นไปได้เพิ่มมาอีกอย่างก็ไม่เลว

“นายท่าน มีข่าวส่งมาแล้ว” หยางเจาชิงปรากฏตัวตรงปากถ้ำและตะโกนบอก

ทว่าพอเห็นฉากที่อ๋องอสรพิษดำคุกเข่าตรงหน้าเหมียวอี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน ทำไมนายท่านถึงทำให้อ๋องอสรพิษดำผู้สง่าภูมิฐานคุกเข่าได้ล่ะ โหดเกินไปแล้ว! ถ้าให้เผ่าเทพอสรพิษดำมาเห็นจะไม่สู้ตายกันไปข้างหนึ่งเหรอ? แต่เขาก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว พอจะเดาออกแล้วว่าอ๋องอสรพิษดำกำลังขอร้องเหมียวอี้ เพียงแต่ต่อให้ฝันก็นึกไม่ถึงว่าอ๋องอสรพิษดำจะนำอะไรมาแลกเปลี่ยน

เหมียวอี้เองก็ไม่ได้พูดมาก เก็บอ๋องอสรพิษดำเอาไว้เสียเลย แล้วเร่งฝีเท้าเดินออกมา

พวกโม่โหยวยังยืนรออยู่ตรงหน้าเข็มทิศ พอเห็นเหมียวอี้กลับมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า เหมือนเห็นแววตาเหมียวอี้ที่มองพวกเขาแปลกไปนิดหน่อย

“นายท่าน สายลับของพวกเรามีร้อยกว่าคนที่ขาดการติดต่อไปแล้ว และหลังจากกำลังพลหนึ่งล้านนั่นแยกย้ายกัน ก็กระจายตัวเป็นกลุ่มเล็กๆ อีกครั้ง แบ่งกลุ่มละประมาณสองสามคนกระจายตัวอยู่ตามที่ต่างๆ ของสระน้ำมังกรดำ”

หลังจากนายทหารระดับสูงรายงานแล้ว เหมียวอี้ก็ขมวดคิ้วถาม “กระจายตัวกันขนาดนั้นเลยเหรอ?”

นายทหารระดับสูงตอบ “ใช่ขอรับ!” หลังจากรายงานจบ แน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรจะกำชับ เขาก็กลับออกไป

อ๋าวเถี่ย ขุนพลใหญ่ลัทธิอู๋เลี่ยที่อยู่อีกฝั่งของเข็มทิศอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “ช่างลงทุนลงแรง นี่เขากำลังใช้คนหนึ่งล้านคนมาเป็นสายลับ นายท่าน ผู้บัญชาการสูงสุดของอีกฝ่ายคงจะไม่ธรรมดา เกรงว่าศึกนี้คงจะต้องระวังหน่อยแล้ว”

ในขณะนี้เอง มีนายทหารระดับสูงอีกคนมารายงานว่า “นายท่าน กำลังพลที่แยกไปสองสายก่อนหน้านี้ สายหนึ่งแยกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งมุ่งตรงไปยังดาวเคราะห์ที่อยู่อาศัยของเผ่าเทพอสรพิษดำ หลังจากกระจายตัวแล้วก็เป็นกลุ่มคนประมาณสามแสน พวกเขาค้นหาทั่วทั้งดาวเคราะห์ของเผ่าเทพอสรพิษดำ อีกกลุ่มหนึ่งเร่งไปยังทางออกสระน้ำมังกรดำ แล้วซ่อนตัวที่ดาวเคราะห์แถวๆ นั้น อยู่ที่ตำแหน่งนี้ขอรับ ยังมีกำลังพลอีกสายที่ไปถึงทางเข้าสระน้ำมังกรดำแล้ว หลังจากกระจายตัวแล้วก็ได้ทัพใหญ่หนึ่งล้าน ปิดล้อมบริเวณทางเข้าไว้ พอเห็นคนก็ฆ่า เพียงแต่กำลังพลสองสายนี้ไม่ได้สวมเกราะรบเครื่องแบบตำหนักสวรรค์”

โม่โหยวสบตากับผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกาย แล้วมองไปที่เหมียวอี้พร้อมกัน พบว่าเจ้าหมอนี่เดาไม่ผิดจริงๆ กำลังพลของตระกูลอิ๋งคิดจะจับเผ่าเทพอสรพิษดำเป็นตัวประกันจริงด้วย โชคดีที่ก่อนหน้านี้รีบอพยพไปแล้ว พอนึกถึงตรงนี้ แต่ละคนก็กัดฟันกรอด ไม่ว่าจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อหรือตระกูลอิ๋ง ก็เห็นเผ่าเทพอสรพิษดำกลายเป็นเนื้อบนเขียงทั้งนั้น อยากจะหั่นอย่างไรก็หั่น ไม่หวาดกลัวเลยสักนิด

“ไม่ได้ใส่เกราะรบตำหนักสวรรค์ด้วยเหรอ?” เหมียวอี้ถามยืนยัน เรื่องปิดทางเข้าออกคือสิ่งที่เขาเดาไว้อยู่แล้ว แต่การที่อีกฝ่ายไม่ใส่เกราะรบตำหนักสวรรค์ทำให้เขาแปลกใจนิดหน่อย

“ใช่ขอรับ คนที่ออกมาล้วนไม่ได้สวมเกราะรบ” นายทหารระดับสูงตอบ

“แปลกจัง ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ก่อนหน้านี้ทำไมชักช้าไม่เคลื่อนกำลังพล?” เหมียวอี้พึมพำเบาๆ คิดไม่ตกกับปัญหานี้ จึงวางความคิดนี้ไว้ชั่วคราว อีกฝ่ายแสดงออกแล้วว่าจะฆ่าให้สิ้นซาก ปิดทางออกของเขาไว้แล้ว เขาเองก็ต้องวางแผนให้ไม่แพ้ก่อนที่จะวางแผนให้ชนะ เตรียมทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง จึงหันกลับมาตะโกนว่า “เจาชิง ให้หยวนกงติดต่อโถงชุมนุมอัจฉริยะ สั่งให้โถงชุมนุมอัจฉริยะกระจายข่าวให้ทั่วทั้งใต้หล้า บอกว่าเพื่อที่จะสังหารข้า อ๋องสวรรค์อิ๋งถึงกับยอมปลอมเป็นโจรมาจับตัวรองหัวหน้าภาคสวีเป็นตัวประกันเพื่อล่อให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาปราบโจรที่สระน้ำมังกรดำ ขณะเดียวกันก็แอบระดมทัพตะวันออกห้าล้านมาปลอมตัวเป็นโจรเพื่อดักสังหารข้าที่สระน้ำมังกรดำ…” เขามองพวกโม่โหยวที่อยู่ตรงข้าม แล้วบอกอีกว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เผ่าเทพอสรพิษดำเข้ามาเกี่ยวข้อง”

พวกตานฉิงสบตากันแวบหนึ่ง พบว่าท่านนี้ต้องการจะทำให้เรื่องราวใหญ่โตจริงๆ!

“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป

……………

หวังหย่วนเฉียว คงฮั่น เจียงเชียนหลี่ ทั้งสามคือแม่ทัพที่อ๋าวเฟยเหลืออยู่ข้างกายตอนนี้ พวกเขาได้ยินแล้วเดินเข้ามา

“ดูท่าแล้ว ตัวประกันพวกนั้นในมือหนิวโหย่วเต๋อคงได้ใช้ประโยชน์แล้ว เผ่าเทพอสรพิษดำเอนเอียงไปฝั่งหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ” หวังหย่วนเฉียวกล่าว

เจียงเชียนหลี่พยักหน้า “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ พอมาถึงก็ไม่ทำอย่างอื่น บุกโจมตีตลาดมืดโดยตรง ไม่กลัวว่าจะก่อปัญหาอะไรด้วย ช่วงชิงหาสภาพแวดล้อมที่เป็นประโยชน์กับตัวเองก่อน กลับสร้างความยุ่งยากให้ฝั่งพวกเราแล้ว”

“คนเผ่าเทพอสรพิษดำอพยพไปแล้ว ไม่ให้โอกาสพวกเราได้ลงมือ ไม่ต้องพูดเลย ต้องเป็นความคิดเจ้านั่นแน่นอน เขาต้องการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำกับเผ่าเทพอสรพิษดำ” อ๋าวเฟยถอนหายใจ แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อนอีก “ท่านโหวอิ๋งทำให้พลาดโอกาสดีในการรบ!”

เขาสามารถพูดออกมาได้ ส่วนอีกสามคนเพียงสบตากัน ไม่กล้าว่าอะไรอิ๋งอู๋หม่านมาก แต่ในใจนั้นเข้าใจทุกอย่าง ว่าถ้าไม่ใช่เพราะอิ๋งอู๋หม่านชักช้าลีลา ถ้าวางแผนกันอย่างนี้ตั้งแต่แรกแล้วจับตัวประกันก่อน ก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องทางเผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว จะทำลายทางหนีทีไล่ของหนิวโหย่วเต๋อ เพราะอาศัยกำลังพลหนึ่งแสนของหนิวโหย่วเต๋อทำอะไรไม่ได้หรอก ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อได้ความช่วยเหลือจากเผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว จะต้องเกิดอุปสรรคบางอย่างกับฝ่ายนี้บนอาณาเขตของเผ่าเทพอสรพิษดำแน่นอน

คงฮั่นยังสงสัยนิดหน่อย “ต่อให้ร่วมมือกับเผ่าเทพอสรพิษดำ แต่ถ้าเผชิญหน้ากับกำลังพลของพวกเรา พวกเขาก็มีโอกาสชนะไม่มาก หนิวโหย่วเต๋อจะกล้าสู้กับพวกเราจริงเหรอ? คงไม่หนีออกไปแล้วหรอกใช่มั้ย?”

“คิดว่าเจ้าเวรนั่นไม่กล้าสู้กับพวกเราเหรอ?” อ๋าวเฟยชี้ที่เข็มทิศ “ถ้าหนีไปได้ ก็คงไม่ได้เริ่มสู้กัน งั้นเผ่าเทพอสรพิษดำก็ไม่จำเป็นต้องอพยพเลย แต่นี่เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังให้ความร่วมมือกับปฏิบัติการของหนิวโหย่วเต๋อ หึ! เจ้าเวรนี่ใจกล้าไม่เบา สงสัยจะอยากถอนฟันจากปากเสือ แต่ก็สอดคล้องกับลักษณะการทำงานของเขาแล้ว หลังจากเกิดศึกน่านฟ้าระกาติง ข้าก็เริ่มจับตาดูเขา ชอบทำเรื่องที่ลงทุนน้อยได้ผลตอบแทนเยอะ ทำเรื่องเสี่ยงอันตรายยามจนตรอก ครั้งนี้ก็ไม่ผิดคาด ทำไมข้าต้องแบ่งทหารน่ะเหรอ? ข้าเดาว่าตอนนี้เขาคงกำลังครุ่นคิด ว่าจะทำให้พวกเรากระจายกำลังหทารยังไง เขาจะได้ลงมือสะดวก พวกเราเรียกได้ว่าตอบสนองความต้องการของอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นถ้าอีกฝ่ายมัวหลบไม่ยอมออกมา มันก็จะยุ่งยากแล้ว”

จากนั้นก็กอดอก จ้องเข็มทิศพลางไตร่ตรอง “จะให้นั่งรออยู่ที่นี่มันก็ไม่ใช่เรื่อง เจียงเชียนหลี่”

“ขอรับ!” เจียงเชียนหลี่กุมหมัดคารวะ

“เตรียมให้พี่เจียงทำเรื่องเสี่ยงอันตรายสักหน่อย ไม่รู้ว่าพี่เจียงจะคิดเห็นยังไงบ้าง?” อ๋าวเฟยถามพร้อมรอยยิ้ม

“ไม่ทราบว่าแม่ทัพใหญ่เตรียมจะให้ข้าเสี่ยงอันตรายยังไง?” เจียงเชียนหลี่ถามกลั้วหัวเราะ

อ๋าวเฟยตอบว่า “ให้กำลังพลหนึ่งแสนกับเจ้า แสดงทัพเดี่ยวให้ศัตรูเห็น ตระเวนไปที่สระน้ำมังกรดำ จู่โจมและก่อกวนให้ทั่ว ดูว่าจะล่อให้ใครโผล่ออกมาได้หรือเปล่า” แล้วก็ชี้อีกหลายจุดบนเข็มทิศ “สระน้ำมังกรดำใหญ่ขนาดนี้ ข้าให้พวกเชออู่วางกำลังกองละสามแสนซุ่มไว้ห้าทิศทาง ขอบเขตที่ห้าทิศทางนี้สามารถแผ่ขยายไปได้ ภายในครึ่งชั่วยามก็ครอบคลุมได้ทั้งสระน้ำมังกรดำ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถ้าเจ้าเจอการรุกโจมตี แค่ถ่วงเวลาอีกฝ่ายไว้ครึ่งชั่วยามเท่า กองหนุนก็จะมาถึง ถ้ากัดกำลังหลักของพวกเขาเอาไว้ไม่ปล่อย ไม่ว่าพวกเขาจะหนีไปไหน ก็ล้วนถูกกำพลดักซุ่มจากทิศทางอื่นเข้ามารับหน้าโจมตี ทางออกก็ถูกพวกเราปิดไว้แล้ว ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะไม่มีทางให้หนี ภายใต้การกดอัดของกำลังที่เหนือกว่าฝ่ายพวกเรา มีแต่จะถูกพวกเราฆ่าแกงเท่านั้น เป็นยังไง พี่เจียงยินดีจะลองเสี่ยงอันตรายดูสักครั้งมั้ย?” สามารถฟังออกได้จากคำพูดนี้ ว่าเขาไม่ได้บังคับ

เจียงเชียนหลี่หัวเราะเบาๆ แล้วกุมหมัดคารวะ “ยินดีฟังคำสั่งแม่ทัพใหญ่!”

“ดี!” อ๋าวเฟยพอใจมาก คว้าข้อมือเขาไว้พร้อมบอกว่า “ถ้าพี่เจียงสามารถล่อกำลังหลักของหนิวโหย่วเต๋อออกมาได้ ข้าก็จะรายงานผลงานใหญ่ของพี่เจียงต่อท่านอ๋อง พูดแล้วไม่คืนคำแน่นอน!”

เจียงเชียนหลี่กล่าวกลั้วหัวเราะ “พอเป็นแบบนี้ งั้นข้าก็ยิ่งต้องไปแล้ว” เขาถอยหลังสองสามก้าว แล้วกุมหมัดคารวะอีก “แม่ทัพใหญ่วางใจได้ ไม่ทำให้แม่ทัพใหญ่ผิดหวังแน่นอน”

อ๋าวเฟยโบกมือ “พี่เจียงอย่าประมาทศัตรู เอาอย่างนี้ ข้าจะแบ่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อีกสองหมื่นคันให้พี่เจียง ต้องระวังตัวนะ ประเมินหนิวโหย่วเต๋อต่ำไม่ได้!”

“ข้าจำไว้แล้ว!” เจียงเชียนหลี่กุมหมัดเอ่ยรับ แล้วถลันตัวจากไป

พอเงยหน้ามองคล้อยหลังคนเดินออกไป หวังหย่วนเฉียวก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “แม่ทัพใหญ่ปฏิบัติด้วยอย่างเอาจริงเอาจังขนาดนี้ ราวกับเป็นศึกใหญ่ ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อถูกประหาร ก็ถือว่าตายอย่างยุติธรรมแล้ว”

อ๋าวเฟยส่ายหน้า สายตาจ้องเข็มทิศพลางกล่าวช้าๆ “เจ้าเวรนี่มียอดฝีมือเรื่องพลิกแพลงสถานการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ป้องกันไม่ชนะ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยชอบก่อเรื่องของเขา จะรอดชีวิตมาถึงวันนี้ได้เหรอ ดูถูกเขาไม่ได้หรอก หวังว่าครั้งนี้พวกเราจะไม่มีช่องโหว่อะไร”

ใต้ร่มไม้ริมแม่น้ำ อิ๋งจิ่วกวงที่ได้รับแผ่นหยกรายงานลับอีกครั้งนั่งเงียบงันอยู่นานมาก ประโยคที่อ๋าวเฟยบอกว่า ‘ท่านโหวอิ๋งทำให้พลาดโอกาสดีในการรบ’ ทำให้เขาสะเทือนใจอย่างลึกซึ้ง ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความแตกต่างมหาศาลระหว่างอิ๋งอู๋หม่านกับอ๋าวเฟย หลังจากอิ๋งอู๋หม่านพบความผิดปกติแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีปฏิกิริยาช้ามาก ส่วนอ๋าวเฟยหลังจากรับงานมา เรื่องแรกที่ทำก็คือส่งคนไปจับตัวประกัน ปิดทางเข้าออกสระน้ำมังกรดำ เด็ดขาดที่สุด ทว่าสุดท้ายก็ยังเป็นอิ๋งอู๋หม่านที่ทำพลาดไป คนที่ต้องการจะจับเป็นตัวประกันอพยพไปแล้ว เมื่อมีเผ่าเทพอสรพิษดำคอยช่วยหนิวโหย่วเต๋อ ก็เรียกได้ว่าทำให้ฝั่งนี้เกิดความยุ่งยากไม่น้อย ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ทำโอกาสดีในการรบหลุดมือจนเกิดผลร้ายแบบนี้ เขาสั่งประหารไปนานแล้ว

จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ มองปฏิกิริยาของอิ๋งจิ่วกวงเงียบๆ นางไม่ได้พูดอะไรอีก…

ในหุบเขาที่ลับตาคนแห่งหนึ่ง ข้างในมีถ้ำใหญ่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตอนนี้วางไข่มุกราตรีไว้ไม่น้อย เป็นจุดศูนย์กลางความร่วมมือของของทัพใหญ่แดนรัตติกาลและกำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำ ในโถงถ้ำที่ใหญ่ที่สุด ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นแดนของแผนที่ดาวและเข็มทิศโลหะ กลุ่มคนที่นำโดยเหมียวอี้กำลังยืนอยู่ฝั่งนี้ของเข็มทิศ กลุ่มคนที่นำโดยโม่โหยวกำลังยืนอยู่ฝั่งนั้นของเข็มทิศ

ผู้อาวุโสหลายคนฝ่ายโม่โหยวแอบประเมินทางฝั่งเหมียวอี้เงียบๆ ชิงเยว่กับหลงซิ่นถูกเหมียวอี้ส่งออกไปนำกำลังพลแล้ว ทางนี้อดไม่ได้ที่จะเกิดความคิดลอบโจมตี เกิดความคิดที่จะชิงตัวอ๋องอสรพิษดำมาจากฝั่งเหมียวอี้ ทว่าฝั่งเหมียวอี้กลุ่มคนโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ แม้จะสวมเกราะรบตำหนักสวรรค์ แต่กลับใส่หน้ากากไว้

นี่ยังไม่เท่าไร ที่สำคัญคือหกคนที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้เป็นใครก็ไม่รู้ แต่กลับทำให้รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันตรายถึงขีดสุด แววตาเย็นชาเรียบเฉยที่มองมา เหมือนไม่แยแสผู้อาวุโสระดับสำแดงฤทธิ์หลายคนทางฝั่งนี้เลย

โดยเฉพาะผู้ชายคนหนึ่งในบรรดาหกคนนั้น ไม่รู้ว่าสัมผัสความคิดของพวกเขาได้หรือเปล่า เผยฟันขาวหัวเราะเจ้าเล่ห์ออกมาเป็นระยะ แววตานั่นราวกับต้องการจะกรีดเสื้อผ้าของพวกนางออกให้หมด ทำให้ผู้อาวุโสหญิงรู้สึกอึดอัด แววตานั่นคุกคามเกินไปจริงๆ

ทั้งยังมีคนใส่หน้ากากอีกหลายสิบคนที่เฝ้าอยู่ทั้งในและนอกถ้ำ กลิ่นอายที่แผ่ออกมารางๆ ทำให้รู้สึกว่าไม่ใช่คนธรรมดา

เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ไม่ปกติ ไม่ต้องมีชิงเยว่กับหลงซิ่นคุ้มครอง แต่ก็ยังกล้าอยู่ใกล้กับกลุ่มยอดฝีมือเผ่าเทพอสรพิษดำ โม่โหยวแอบใช้สายตาควบคุมพวกผู้อาวุโสไม่ให้ทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะค่อนข้างหวาดกลัวสิบกว่าคนที่เพิ่งโผล่ออกมาจากฝั่งเหมียวอี้ เพราะถ้าทำไม่สำเร็จขึ้นมา อ๋องอสรพิษดำก็จะอยู่ในอันตรายแล้ว

หยางเจาชิงเดินออกจากห้องถ้ำเล็กๆ แล้วใช้สองมือมอบเกราะรบสีแดงของตำหนักสวรรค์ชุดหนึ่งให้เหมียวอี้ ยื่นให้ตรงหน้าเหมียวอี้พร้อมบอกว่า “นายท่าน เรียบร้อยแล้ว”

เหมียวอี้มองธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์บนนั้นด้วยความสนใจ แล้วโยนให้โม่โหยวที่อยู่ตรงข้ามอีก “ผู้อาวุโสโม่ดูสิว่าเป็นยังไงบ้าง” ส่วนเขาก็ดึงเกราะรบบนนั้นขึ้นมาพลิกดู

โม่โหยวที่ได้ของมาไว้ในมืออึ้งชั่วขณะ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คันนี้เบาเกินไปจริงๆ พอตกอยู่ในมือแล้วค่อนข้างเบา พอลองเปลี่ยนมือ ก็พบว่าบนฝ่ามือเปื้อนสีแดง จึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าถามอย่างงุนงง “ของปลอมเหรอ?”

เหมียวอี้พยักหน้า “ไม่ผิดหรอก แกะสลักจากไม้ ประดิษฐ์ได้สะดวกสุด”

กลุ่มคนในโถงถ้ำอ้าปากค้าง โม่โหยวรีบบอกว่า “เจ้าคงไม่ได้คิดจะนำของสิ่งนี้มาขู่อีกฝ่ายใช่มั้ย? มันใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย ถ้าประมือกันจะต้องเผยพิรุธแน่”

“จะเอาของสิ่งนี้ไปสู้กับพวกเขาเสียที่ไหนล่ะ นั่นไม่ใช่รนหาที่ตายหรอกเหรอ? ถามหน่อยว่าถ้าผู้อาวุโสโม่ไม่ลงมือแล้วมองอยู่ไกลๆ จะเห็นพิรุธหรือเปล่า?” เหมียวอี้ถาม

โม่โหยวยกมือดูของ “ก็พอได้ ถ้าไม่ได้ดูใกล้ๆ ก็ไม่น่าจะปัญหาอะไร”

เหมียวอี้หิ้วเกราะรบขึ้นมาอีก “อาวุธพวกเกราะรบ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ สั่งให้กำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำที่เตรียมรบประดิษฐ์แบบนี้ เอาไว้ใช้ยามจำเป็นในบางครั้ง”

“จัดการตามนี้แล้วกัน!” โม่โหยวหันกลับมาสั่ง แล้วโยนของปลอมกลับมาอีก “หัวหน้าภาคหนิว เจ้าคงไม่ได้คิดจะรออยู่ที่นี่ตลอดหรอกใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ส่งของให้หยางเจาชิง ร่ายอิทธิฤทธิ์ลบสีแดงที่เปื้อนมือทิ้ง แล้วจ้องเข็มทิศพร้อมบอกว่า “ข้าแค่ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้หมายความว่าอะไร ตั้งแต่ข้าเริ่มลงมือที่ตลาดมืด จนกระทั่งตอนนี้ อีกฝ่ายก็ยังไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย แปลกจริงๆ จนป่านนี้แล้วยังไม่รู้อีกเหรอว่าข้ารู้เบื้องลึกของพวกเขาแล้ว ยังรอให้ข้าไปติดกับดักอยู่อีกเหรอ? เป็นไปไม่ได้มั้ง!”

เมื่อเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ไม่มีทางเลือก อีกฝ่ายให้ทัพตะวันออกห้าล้านเฝ้าอยู่ทางนั้นโดยไม่เคลื่อนไหวไปไหน ยามเผชิญหน้ากับกำลังที่เหนือกว่า ฝั่งนี้จะใช้อุบายตบตาอีกก็ไม่มีประโยชน์ แล้วก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ด้วย ส่งทัพใหญ่ขนาดนี้มาก็แค่เพื่อสู้กับตนไม่ใช่เหรอ? จะยอมล่อยให้ตนหนีไปเชียวเหรอ?

โม่โหยวบอกว่า “ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะลงมือ หัวหน้าภาคหนิว ไม่สู้หยุดไว้เพียงเท่านี้ ปล่อยอ๋องอสรพิษดำของพวกเราไป พวกเรารับปากว่าจะไม่เอาเรื่อง”

จะเป็นไปได้อย่างไร! เหมียวอี้ยิ้มบางๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะช่วยสวีถังหรานหรือไม่ เห็นได้ชัดว่าตระกูลอิ๋งตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเอาชีวิตเขา เขาไม่เชื่อว่าตัวเองยอมอดทนแล้วอีกฝ่ายจะมีเมตตาธรรม ในเมื่อฉีกหน้ากันแล้ว ยังมีอะไรให้เกรงใจกันอีก

ไม่พูดประเด็นนั้นต่อ เหมียวอี้ส่ายหน้าถามว่า “อิ๋งอู๋หม่านจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่?”

ในขณะนี้เอง ทหารสวรรค์คนหนึ่งที่สวมหน้ากากก็เดินออกจากถ้ำด้านข้าง ในถ้ำนั้นมีเผ่าเทพอสรพิษดำและทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่ทำหน้าที่ติดต่อกับกำลังพลเบื้องล่าง เหมียวอี้ตั้งใจให้แดนอเวจีเลือกคนไปช่วยจัดการข่าวสารต่างๆ ล้วนเป็นผู้ชำนาญในสนามรบทั้งนั้น

“นายท่าน ฝ่ายศัตรูมีการเคลื่อนไหวแล้ว” นายทหารระดับสูงคนหนึ่งเข้ามารายงานเหมียวอี้

เหมียวอี้กระปรี้กระเปร่าทันที รีบถามว่า “มีความเคลื่อนไหวอะไร?”

นายทหารระดับสูงเดินมาตรงหน้าเข็มทิศ ชี้ตำแหน่งด้านบนแล้วพยักหน้าบอกว่า “กำลังพลสองกลุ่มประมาณหลายสิบคน กลุ่มหนึ่งไปทางนั้น อีกกลุ่มหนึ่งไปทางนี้”

เหมียวอี้จ้องเข็มทิศพลางหรี่ตาเล็กน้อย แล้วพึมพำว่า “ดูจากทิศทาง สงสัยคิดจะปิดทางเข้าออกสระน้ำมังกรดำ คนไม่กี่สิบคนปิดไม่อยู่หรอก คาดว่ากำลังพลที่ซ่อนตัวอยู่คงจะมีไม่น้อย”

ผ่านไปไม่นาน ในถ้ำศูนย์กลางติดต่อกมีแม่ทัพอีกคนรีบเดินเข้ามารายงาน “นายท่าน ฝ่ายศัตรูเคลื่อนกำลังพลประมาณหนึ่งล้าน แต่กลับไม่ได้สวมเกราะรบตำหนักสวรรค์ พอปรากฏตัวก็แบ่งเป็นกลุ่มเล็กแล้วกระจายกันทันที ฝ่ายเรามีสายลับส่วนหนึ่งที่ถูกพบแล้ว ตอนนี้กำลังถูกไล่ฆ่า!”

ในที่สุดก็เริ่มประมือกันแล้ว เหมียวอี้ทำสีหน้าจริงจังทันที

………………

บรรดาแม่ทัพฟังอย่างจริงจังตั้งใจ ได้ยินแล้วพยักหน้า แสดงออกว่าเห็นด้วย

แม่ทัพคนหนึ่งที่ชื่อว่าลู่ผิงฟางกุมหมัดคารวะ “แม่ทัพใหญ่ อ๋องอสรพิษดำรู้สถานการณ์ชัดเจนแล้ว เพื่อที่จะช่วยตัวประกัน เกรงว่าคงจะไม่เจตนาดีรักษาความลับให้พวกเรา มีความเป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะรู้สถานการณ์เบื้องลึกของพวกเราแล้ว ดักซุ่มอยู่ที่นี่ก็ไม่มีความหมายอะไรอีก แต่ถ้าจะรุกโจมตีอย่างโจ่งแจ้งก็ไม่เหมาะอีก เรื่องนี้ค่อนข้างจัดการยาก”

ก่อนหน้านี้ไม่มีใครกล้าแสดงความเห็นต่อหน้าอิ๋งอู๋หม่านง่ายๆ ให้คนไม่เชี่ยวชาญมาบัญชาการคนที่เชี่ยวชาญ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่เจ็บปวดอยู่แล้ว แต่ภูมิหลังของอีกฝ่ายดันยิ่งใหญ่อีก ไม่คุ้มที่จะไปยั่วให้อีกฝ่ายไม่พอใจ ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ทุกคนต่างก็รู้จักกำพืดกันดี จึงค่อนข้างเปิดเผย

อ๋าวเฟยกล่าวเสียงต่ำว่า “ไม่มีอะไรจัดการยาก สั่งให้ทัพใหญ่ถอดเกราะรบตำหนักสวรรค์ เปลี่ยนเกราะรบที่ตัวเองเตรียมไว้ เปลี่ยนหน้ากากแล้วใช้ตัวตนปลอมรุกโจมตี ขอเพียงกำจัดหนิวโหย่วเต๋อและทัพใหญ่แดนรัตติกาลทิ้งได้ ยามถึงเวลาพิเศษก็ใช่ว่าจะใช้วิธีการพิเศษไม่ได้ เรื่องโต้เถียงบนราชสำนักก็มีแต่ต้องส่งให้อ๋องสวรรค์แบกรับ สิ่งที่พวกเรากังวลตอนนี้ก็คือ หนิวโหย่วเต๋ออาจจะรู้สถานการณ์แล้วหนีไปแล้ว ลู่ผิงฟาง!”

“ขอรับ!” ลู่ผิงฟางออกนอกแถวมากุมหมัดคารวะ

อ๋าวเฟยกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “พี่ลู่ ให้กำลังพลหนึ่งล้านแก่เจ้า ไปดักซุ่มบริเวณทางเข้าออกสระน้ำมังกรดำ ถ้าเจอพวกหนิวโหย่วเต๋อหนีไป จะต้องสกัดไว้ให้ได้ อย่าให้ใครหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว! เพื่อป้องกันไม่ให้ฝั่งเผ่าเทพอสรพิษดำทำอะไรที่ไม่เป็นผลดีต่อพวกเรา นำกำลังพลส่วนหนึ่งไปยังดาวเคราะห์ที่อยู่อาศัยของเผ่าเทพอสรพิษดำ จับตัวประกันมาให้ข้า ยิ่งมากก็ยิ่งดี ไปปฏิบัติเดี๋ยวนี้!”

“รับทราบ!” ลู่ผิงฟางเอ่ยรับคำสั่งแล้วหันตัวจากไป

อ๋าวเฟยย้ายสายตาไปที่คนอื่น แล้วตะโกนเรียก “อูจินหวน!”

“ขอรับ!” แม่ทัพอีกคนออกนอกแถวมากุมหมัดคารวะ

อ๋าวเฟยสั่งว่า “พี่อู ให้กำลังพลเจ้าหนึ่งล้าน ไปปิดทางเข้าสระน้ำมังกรดำให้ข้า ป้องกันไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อมีกำลังพลสนับสนุน ไม่ว่าจะมีใครเข้ามา ถ้ายังไม่มีคำสั่งของข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามปล่อยไปทั้งนั้น ฆ่าไม่ละเว้น!” บนใบหน้าเขายิ่งฉายแววดุร้าย เรื่องในครั้งนี้เขารู้ถึงจุดประสงค์ของอ๋องสวรรค์อิ๋งชัดเจน การที่ท่านอ๋องจับลูกชายไว้ก็ได้พิสูจน์แล้ว เขาจะต้องใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อทำให้บรรลุจุดประสงค์ของอ๋องสวรรค์อิ๋ง

ส่วนตัวเขาในตอนนี้ เมื่อเทียบกับยามปกติที่เป็นคนเชื่องช้า ก็แตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน ที่จริงแล้วหลายคนก็เป็นอย่างนี้ ไม่สามารถทำทุกเรื่องให้สมบูรณ์แบบได้ มีแต่ต้องอยู่ในขอบเขตที่ตัวเองถนัดเท่านั้น ถึงจะฉายแววเปล่งประกายแตกต่างไปจากเดิมได้ การที่อิ๋งจิ่วกวงเปลี่ยนให้เขามาคุมสถานการณ์รบหลังจากตระหนักได้ถึงสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ย่อมมองเห็นอีกด้านหนึ่งของเขาอยู่แล้ว

“รับทราบ!” อูจินหวนเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปปฏิบัติตาม

“จงซานหมิง!” อ๋าวเฟยเรียกอีก

“ขอรับ!” จงซานหมิงออกจากแถวมากุมหมัดคารวะ

“พี่จง ให้กำลังพลหนึ่งล้านแก่เจ้า เป็นสายลับให้ทัพใหญ่ที่สระน้ำมังกรดำ” อ๋าวเฟยกล่าว

เมื่อสั่งแบบนี้ จงซานหมิงก็อึ้งไปชั่วขณะ บรรดาแม่ทัพก็ยิ่งมองหน้ากันเลิกลั่ก ให้กำลังพลหนึ่งล้านไปเป็นสายลับเหรอ?

จงซานหมิงกุมหมัดคารวะ “แม่ทัพใหญ่ แค่สระน้ำมังกรดำเล็กๆ การใช้กำลังพลหนึ่งล้านไปเป็นสายลับนั้นเยอะไปหรือเปล่า? พอกำลังพลหนึ่งล้านไปแล้ว ในมือแม่ทัพใหญ่ก้จะเหลือกำลังพลเพียงสองล้านไม่ใช่เหรอ?”

อ๋าวเฟยตอบว่า “ข้ากลัวก็แต่หนิวโหย่วเต๋อจะหลบไปทั่วทุกที่ ถ้าใช้กำลังปะทะกันซึ่งๆ หน้า ต่อให้เผ่าเทพอสรพิษดำร่วมด้วย ใช้กำลังพลสองล้านนี้รับมือก็เพียงพอแล้ว ที่ข้ากังวลกว่านั้นก็คือหนิวโหย่วเต๋อจับคนพวกนั้นเป็นตัวประกันแล้ว จะทำงานร่วมกับเผ่าเทพอสรพิษดำหรือเปล่า?”

“เผ่าเทพอสรพิษดำจะกล้าล่วงเกินท่านอ๋องเหรอ?” จงซานหมิงถาม

อ๋าวเฟยกล่าวว่า “เผ่าเทพอสรพิษดำประสบหายนะ ในใจพวกเขาต้องเคียดแค้นท่านอ๋องแน่ ประการต่อมา อย่าลืมว่าเบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋คือตำหนักนารีสวรรค์ โยงไปถึงตระกูลเซี่ยโห้วได้ ท่านอ๋องยังใช้อำนาจกดดันเผ่าเทพอสรพิษดำได้เลย แล้วทำไมตระกูลเซี่ยโห้วจะทำบ้างไม่ได้ เผ่าเทพอสรพิษดำจะเอนเอียงไปฝั่งไหนก็เดาได้ยาก ในเวลานี้ วางแผนไม่ให้แพ้ก่อน แล้วค่อยวางแผนให้ชนะ อุดช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้นทิ้งไปก่อน จะให้ผิดพลาดไม่ได้ ถ้าเผ่าเทพอสรพิษดำเอนเอียงไปฝั่งหนิวโหย่วเต๋อ ปัจจัยด้านชัยภูมิและกำลังคลก็เอื้อให้ฝั่งพวกเราแล้ว จะต้องเกิดปัจจัยมากมายที่ไม่เป็นผลดีต่อพวกเราแน่นอน ตั้งแต่สมัยโบราณมา ตัวอย่างที่ฝ่ายกำลังอ่อนแอเอาชนะฝ่ายกำลังเข็มแข็งก็มีให้เห็นเยอะเยอะ มันเคยเกิดกับหนิวโหย่วเต๋อมาแล้ว หนิวโหย่วเต๋อชำนาญเรื่องใช้งานทหาร ข้าจับตาดูมานานแล้ว ความสามารถในการพลิกแพลงสถานการณ์ของเขาไม่ธรรมดา และที่นี่ก็คืออาณาเขตของเผ่าเทพอสรพิษดำ ทุกความเคลื่อนไหวของพวกเราอยู่ในสายตาเผ่าเทพอสรพิษดำหมดแล้ว หากเป็นอย่างนี้จริงๆ ก็ไม่เป็นผลดีกับพวกเราเลย เวลานี้ข้าจะต้องรู้ความเคลื่อนไหวที่สระน้ำมังกรดำเป็นอย่างนี้ ให้กำลังพลหนึ่งล้านกับเจ้า ไม่ใช่แค่ต้องแสดงบทบาทสายลับเท่านั้น แต่เมื่อพบสายลับของอีกฝ่ายก็กำจัดทิ้งทันที ข้าต้องการทำให้พวกเขาตาบอด เมื่อถึงเวลาจเป็นก็อาจจะต้องขอให้พี่จงร่วมมืออย่างเต็มกำลัง ดังนั้นเรื่องนี้สำคัญที่สุด พี่จงประมาทไม่ได้เด็ดขาด!”

“เข้าใจแล้ว แม่ทัพใหญ่วางใจได้!” จงซานหมิงพยักหน้า กุมหมัดเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป

จากนั้นอ๋าวเฟยก็นำแผนที่ดาวและเข็มทิศโลหะออกมา หลังจากจ้องแผนที่ดาวพลางครุ่นคิดเงียบๆ พักหนึ่ง ก็เรียกชื่ออีก “เชออู่ ไป่หลี่เจี๋ย เวินลิ่วกง หลัวเจ๋อ หลงเต๋ออัน”

แม่ทัพห้าคนก้าวออกมากุมหมัดคารวะ “ขอรับ!”

อ๋าวเฟยกวักมือเรียก บอกใบ้ให้ทุกคนล้อมเข้ามา แล้วชี้หลายจุดบนแผนผังดาว “ตรงนี้ ตรงนี้ ตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้ ข้าให้กำลังพลเจ้าหนึ่งล้านห้าแสน แบ่งไปคนละสามแสน ดักซุ่มอยู่ที่ห้าจุดนี้ เตรียมพร้อมสนับสนุนการจู่โจมทุกเมื่อ ข้าจะให้จงซานหมิงกวาดล้างสายลับตรงห้าจุดนี้ไว้ก่อน พวกเจ้ารอฟังคำสั่งข้า เตรียมตัวเข้าประจำที่ทุกเมื่อ”

“รับทราบ!” ห้าคนเอ่ยรับคำสั่ง แล้วไปนับกำลังพลก่อน

หลังจากกลุ่มแม่ทัพที่เหลือรออยู่สักพัก ก็เห็นอ๋าวเฟยจ้องเข็มทิศเงียบๆ เหมือนจะไม่มีงานของพวกเราแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะสบตากัน

แม่ทัพหวังหย่วนเฉียวเตือนว่า “แม่ทัพใหญ่ ที่พวกเราเหลือแค่กำลังพลห้าแสนแล้ว ถ้าทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำเข้าพวกกับทัพใหญ่แดนรัตติกาลจริงๆ ทางนี้ก็จะกดดันแล้ว เพราะเผ่าเทพอสรพิษดำรู้ตำแหน่งของพวกเรา พวกเราต้องย้ายที่ใหม่หรือเปล่า?”

อ๋าวเฟยจ้องเข็มทิศโดยไม่ได้เงยหน้า “ไม่ย้าย ไม่กลัวพวกเขาโจมตีเข้ามาหรอก กลัวก็แต่พวกเขาจะไม่มา ถ้าพวกเราเป็นเหยื่อล่อให้พวกเขาออกมาได้ นั่นก็ดีที่สุดแล้ว”

ในขณะนี้เอง มีแม่ทัพคนหนึ่งถือระฆังดาราแล้วหันมามอง “แม่ทัพใหญ่ สายลับรายงานมา เหมือนหนิวโหย่วเต๋อจะปล่อยตัวประกันของเผ่าเทพอสรพิษดำไปแล้ว เผ่าเทพอสรพิษดำแก้สถานการณ์ได้แล้ว แม้แต่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็แยกย้ายหายไปแล้ว สายลับมีจำกัด ไม่รู้เหมือนกันว่าควรตามไปทางไหน”

“หายไปแล้วเหรอ? น่าสนใจ” อ๋าวเฟยเอามือลูบคางครุ่นคิดพลางแสยะยิ้ม แล้วหันมาบอกว่า “ติดต่อท่านอ๋องเดี๋ยวนี้ ขอให้ท่านอ๋องติดต่อกับอ๋องอสรพิษดำสักหน่อย ข้าอยากจะรู้ท่าทีของอ๋องอสรพิษดำให้ชัดเจน”

เมื่อกล่าวแบบนี้ ก็มีคนหยิบระฆังดาราออกมาจัดการทันที

ใต้ร่มไม้ริมแม่น้ำ อิ๋งจิ่วกวงก็หยิบแผนที่ดาวและเข็มทิศออกมาเช่นกัน ยืนเอามือไขว้หลังจ้องประเมินแผนที่ดาวของอาณาเขตดาวสระน้ำมังกรดำ

จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ มือหนึ่งถือระฆังดารา อีกมือหนึ่งถือแผ่นหยกร่ายอิทธิฤทธิ์บันทึกอะไรบางอย่าง

ผ่านไปสักพัก จั่วเอ๋อร์ก็ก้าวขึ้นมามอบแผ่นหยกให้ “ท่านอ๋อง นี่คือความเคลื่อนไหวทุกอย่างเกี่ยวกับอ๋าวเฟยทางสระน้ำมังกรดำที่แอบรายงานมา อ๋องอสรพิษดำรู้ตัวแล้ว อ๋าวเฟยขอให้ทางนี้หยั่งเชิงท่าทีของอ๋องอสรพิษดำค่ะ”

อิ๋งจิ่วกวงรับแผ่นหยกมาไว้ในมือ “เจ้าติดต่อทางอ๋องอสรพิษดำได้หรือยัง?”

“ยังเลยค่ะ ทางนั้นไม่ตอบอะไรเลย ทุกคนที่รู้จักก็ติดต่อไม่ได้เลย” จั่วเอ๋อร์ตอบ

“งั้นเจ้าก็บอกอ๋าวเฟยตามความจริงแล้วกัน ตอนนี้เขาต้องบัญชาการโดยตัดสินจากสถานการณ์จริง” อิ๋งจิ่วกวงพูดทิ้งท้ายแล้วกลับมานั่งบนเก้าอี้ข้างๆ แล้วหยิบแผ่นหยกในมือมาตรวจอ่านเงียบๆ

“ค่ะ!” จั่วเอ๋อร์ทำตามที่สั่งทันที หลังจากรายงานสถานการณ์ไปทางสระน้ำมังกรดำแล้ว จู่ๆ นางก็เหลือบตาขึ้น พบหญิงงามสวมเครื่องประดับหรูหราสองคน ‘บังเอิญ’ ปรากฏตัวที่ริมแม่น้ำพอดี แล้วก็ ‘บังเอิญ’ เห็นอิ๋งจิ่วกวง จึงเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มทันที พวกนางคืออนุภรรยาทั้งสองของอิ๋งจิ่วกวงนั่นเอง

จั่วเอ๋อร์หันกลับไปมองอิ๋งจิ่วกวงแวบหนึ่ง จากนั้นก็รีบเข้าไปต้อนรับอนุภรรยาสองคนนั้น กันทั้งสองเอาไว้ แล้วทำความเคารพ “บ่าวคำนับฮูหยินทั้งสอง” ฮูหยินเอกของอิ๋งจิ่วกวงไม่อยู่แล้ว กลุ่มอนุภรรยาทั้งหมดล้วนเป็นฮูหยิน ดังนั้นอิ๋งจิ่วกวงจึงมีฮูหยินเยอะมาก มีหลายร้อยคน

หลังจากสามงามทั้งสองพยักหน้าแล้ว ก็แหวกม่านใบหลิวเดินไปข้างหน้าต่อ จั่วเอ๋อร์ยื่นมือห้ามทันที แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านอ๋องมีธุระ ไม่สะดวกจะรบกวนค่ะ”

สาวงามทั้งสองชำเลืองไปทางนั้น เห็นอิ๋งจิ่วกวงนั่งสบายๆ ข้างๆ ยังปักเบ็ดตกปลาไว้ด้วย เหมือนคนมีธุระเสียที่ไหนกัน จึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มทันที “พ่อบ้านจั่ว พวกเราแค่ไปทักทายท่านอ๋องแล้วก็จะไปแล้ว ไม่รบกวนท่านอ๋องหรอก”

รอยยิ้มบนใบหน้าจั่วเอ๋อร์หายไปทันที จ้องทั้งสองอย่างเย็นเยียบ แล้วยืนยันอีกครั้ง “ท่านอ๋องมีธุระ ไม่สะดวกจะรบกวน เชิญฮูหยินทั้งสองกลับไปก่อน!”

“…” สามงามทั้งสองยิ้มค้าง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือรู้สึกขนลุกเพราะแววตาแบบนั้นของจั่วเอ๋อร์ อยู่ที่จวนอ๋องสวรรค์ แม้แต่ลูกชายของอ๋องสวรรค์ก็ยังไม่กล้าล่วงเกินจั่วเอ๋อร์เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอนุภรรยาอย่างพวกนางแล้ว จึงกล่าวด้วยสีหน้าอึดอัดทันที “พ่อบ้านจั่วลำบากแล้ว งั้นพวกเราก็ไม่รบกวนท่านอ๋องแล้ว” พวกนางเลี้ยวกลับไปแต่โดยดี เพียงแต่ในใจคงจะด่าจั่วเอ๋อร์แทบตาย

แต่สำหรับจั่วเอ๋อร์แล้ว ความคิดภายในใจพวกนางไม่สำคัญเลยสักนิด นางเดินกลับมาอยู่ข้างกายอิ๋งจิ่วกวงอีก

ผ่านไปครู่เดียว อิ๋งจิ่วกวงที่อ่านเนื้อหาในแผ่นหยกจบแล้วก็เงยหน้าขึ้น แล้วโบกแผ่นหยกในมือพลางพยักหน้ากล่าวว่า “อ๋าวเฟยน่ะ ปากจริงจังไปหน่อย ล่วงเกินคนอื่นได้ง่าย ให้คุมอาณาเขตไม่ค่อยเหมาะ แต่ให้นำทัพออกศึกยังพอได้ วางแผนไม่ให้แพ้ก่อน แล้วค่อยวางแผนให้ชนะ…อืม ดี! มีเขาอยู่ทางนั้น ข้าก็วางใจแล้ว เดี๋ยวเจ้าจับตาดูไว้นะ อย่าให้ใครทำอะไรซี้ซั้วกับเขา จะได้ไม่ทำให้คนผิดหวังท้อใจ ลูกน้องข้าต้องมีคนที่ทำงานจริงได้ไว้บ้างสิ จะมีแต่พวกขี้ประจบไม่ได้หรอก!”

“ใช่ค่ะ!” จั่วเอ๋อร์พยักหน้ายิ้ม

นางเองก็เฝ้าหวังให้อ๋าวเฟยทำงานให้ดี เพราะนางทำพลาดเรื่องหนิวโหย่วเต๋อหลายครั้งแล้ว ถูกด่าจนแทบจะโง่หัวไม่ขึ้นแล้ว พอเห็นอิ๋งอู๋หม่านถ่อไปหลับหูหลับตาทำงานนางก็เซ็งแล้ว ถ้าทำพลาดอีกครั้งนางจะชี้แจ้งอย่างไร? ดังนั้นจึงไม่ทันรอให้อิ๋งอู๋หม่านปล่อยหมัด นางก็วางอุบายนิดหน่อยเพื่อกันอิ๋งอู๋หม่านไว้แล้ว

นี่ก็คือสาเหตุที่อนุภรรยาสองคนเมื่อครู่นี้กับทุกคนในจวนอ๋องสวรรค์กลัวนาง ไม่มีเรื่องกับคนสนิทข้างกายท่านอ๋องไม่ได้ แม้แต่ลูกชายของท่านอ๋องเอง บทจะโดนกลั่นแกล้งก็โดนกลั้นแกล้งโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเลย นับประสาอะไรกับคนอื่นล่ะ?

เมื่อได้รับข่าวจากจั่วเอ๋อร์ อ๋าวเฟยก็เงียบไปแล้ว

ในตอนนี้เอง ลูกน้องที่ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานก็มารายงานว่า “แม่ทัพใหญ่ ทางแม่ทัพลู่รายงานมา กำลังพลบุกเข้าไปยังดาวเคราะห์ที่อยู่อาศัยของเผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว แต่ไม่เห็นเงาเผ่าเทพอสรพิษดำเลยสักคน แปลกพอสมควร ตอนนี้กำลังต้นหาต่อไปขอรับ”

อ๋าวเฟยเอียงหน้าครุ่นคิด แล้วยกมือขึ้น “ไม่ต้องค้นหาแล้ว คนน่าจะย้ายไปก่อนแล้ว ถ้าค้นหาอีกก็เปลืองแรง ไปบอกแม่ทัพลู่ ให้เขาเฝ้าทางเข้าออกไว้ อย่าให้ใครหนีไป หนิวโหย่วเต๋อน่าจะยังอยู่ที่สระน้ำมังกรดำ ข้าจะปิดประตูตีสุนัข!”

………………

เจ๋อชุนชิวหัวเราะแห้งอยู่ข้างๆ สิ่งที่เขาถนัดที่สุดก็คือการบริหารร้านค้า ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องยกทัพจับศึก ในเมื่อท่านโหวบอกว่าดี เช่นนั้นก็ย่อมดี ยิ่งไปกว่านั้น หนิวโหย่วเต๋อก็ถูกเผ่าเทพอสรพิษดำล้อมไว้แล้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นเรื่องดี

อิ๋งอู๋หม่านหัวเราะอยู่พักหนึ่งแล้วก็เงียบไปอีก ทำท่าขมวดคิ้วเล็กน้อย มองซ้ายมองขวาพลางกล่าวเสีนงต่ำว่า “แม่ทัพทุกคน แผนมีการเปลี่ยนแปลง ดูท่าว่าการดักซุ่มที่นี่จะไม่จำเป็นแล้ว ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป ให้กำลังพลที่ดักซุ่มมารวมกันตัว แล้วตามข้าไปดูเอาสนุกด้วยกัน”

ดูจากปฏิกิริยาตอนก่อนและตอนหลังของเขา ในบรรดาแม่ทัพมีคนพึมพำในใจ สงสัยว่าอิ๋งอู๋หม่านอาจจะไม่ค่อยพอใจที่ไม่ได้ลงมือเก็บผลงานนี้ด้วยตัวเอง ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนเนื้อชิ้นใหญ่มาจ่อถึงปากอิ๋งอู๋หม่านแล้ว

คิดก็ส่วนคิด บรรดาแม่ทัพยังกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง “รับทราบ!”

ทว่ากลับมีหนึ่งในนั้นที่ยืนตรงไม้ขยับเขยื้อน ก้มหน้าที่ตึงเครียดเล็กน้อย มือข้างหนึ่งกำระฆังดาราแน่นโดยไม่พูดอะไร

คนคนนี้คือใครล่ะ? เขาชื่อว่าอ๋าวเฟย เป็นแม่ทัพที่ก่อนหน้านี้โน้มน้าวอิ๋งอู๋หม่านจนยั่วให้อิ๋งอู๋หม่านไม่พอใจ

เขายืนตรงอยู่อย่างนั้น โดดเด่นเหมือนนกกระเรียนในฝูงไก่เกินไปแล้ว จะไม่อยากให้คนสังเกตเห็นก็คงยาก

สายตาของอิ๋งอู๋หม่านหยุดอยู่ที่เขา กำลังหรี่ตาจ้อง

ปฏิกิริยาของอิ๋งอู๋หม่านทำให้แม่ทัพคนอื่นๆ เหล่ตามองแล้วเช่นกัน ต่างก็มองไปที่อ๋าวเฟย

“เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ! เลิกเหม่อได้แล้ว ท่านโหวอิ๋งถ่ายทอดคำสั่งแล้ว ยังไม่รีบเอ่ยรับคำสั่งอีก!” จงซานหมิง เป็นแม่ทัพที่แอบถ่ายทอดเสียงโน้มน้าวอ๋าวเฟยก่อนหน้านี้เช่นกัน ตอนนี้รีบถ่ายทอดเสียงเตือนอ๋าวเฟยอีกแล้ว

อ๋าวเฟยเม้มริมฝีปากแน่นขณะค่อยๆ หันไปมองอิ๋งอู๋หม่าน แต่ก็ยังไม่พูดอะไรสักคำ พิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ได้เหม่อลอย แต่ไม่เอ่ยรับคำสั่งจริงๆ

“อ๋าวเฟย เจ้าช่างใจกล้านักนะ ไม่เคารพคำสั่งทางทหารงั้นเหรอ!” เจ๋อชุนชิวพลันตวาด

อ๋าวเฟยพลันจ้องเขา พลางเถียงกลับอย่างเดือดดาล “ที่นี่คือศูนย์กลางเดินทัพ เจ้าก็แค่พ่อค้าต่ำต้อยคนหนึ่ง ยังไม่ถึงคราวให้เจ้ามาชี้นิ้ววาดเท้าที่นี่หรอก!”

เจ๋อชุนชิวยิงฟันเล็กน้อย สองตาราวกับไฟลุก ทว่าอีกฝ่ายก็พูดไม่ผิด เขาเป็นเพียงพ่อค้าต่ำต้อยจริงๆ ตามหลักแล้วไม่มีอำนาจมาก้าวก่ายแผนยุทธการ

เจ้าหมอนี่ ทำไมต้องหาเรื่องลำบากใส่ตัวด้วย ไม่รู้ถึงความสำคัญระหว่างพ่อค้ากับตระกูลอิ๋งเหรอ? แม่ทัพคนอื่นๆ มองไปที่อ๋าวเฟยพลางแอบทอดถอนใจ มีบางคนแอบถ่ายทอดเสียงโน้มน้าวเช่นกัน

อิ๋งอู๋หม่านแสยะยิ้ม แล้วกล่าวอย่างไม่แย่แส “อ๋าวเฟย เจ้ากล้าไม่เคารพคำสั่งทางทหาร หรือคิดว่าโหวผู้นี้ไม่กล้าใช้กฎทหารกับเจ้า?”

อ๋าวเฟยรีบกุมหมัดคารวะ “ท่านโหวเข้าใจผิดแล้ว อ๋าวเฟยไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น ท่านโหว…” เขาอึกอักไม่ยอมพูด เหมือนไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไร

ใครจะคิดว่าอิ๋งอู๋หม่านจะตะคอกอย่างไม่ลังเล “คำสั่งทางทหารไม่ใช่ของเด็กเล่น ค่านิยมนี้ไม่ควรปล่อยไว้นาน ทหาร! ลากออกไป เฆี่ยนแส้สยบมังกรยี่สิบครั้ง!”

เจ๋อชุนชิวยกมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ มองอ๋าวเฟยด้วยแววตาหยอกล้อ

ยี่สิบแส้สยบมังกร? ทำให้คนตายได้เลยนะ! บรรดาแม่ทัพตกใจ ทยอยกันกุมหมัดขอร้อง

“ท่านโหว! โปรดยั้งมือไว้ไมตรีด้วย!”

“ท่านโหว อ๋าวเฟยบอกแล้วว่าไม่ได้มีเจตนานี้ โปรดให้เขาอธิบายก่อน”

“ท่านโหว ศึกใกล้เข้ามาแล้ว ท่านโหวได้โปรดให้โอกาสอ๋าวเฟยสร้างผลงานชดใช้ความผิด”

ทหารสวรรค์หลายคนที่พุ่งเข้ามาปฏิบัติตามคำสั่งถูกสายตาของพวกแม่ทัพหยุดยั้งไว้ พวกเขาลังเลเช่นกัน ท่วาพอเห็นท่าทีอันแน่วแน่ของอิ๋งอู๋หม่าน ก็ทำได้เพียงพุ่งมาข้างหน้าต่อ จะควบคุมตัวอ๋าวเฟยไปลงโทษให้ได้ พวกเขาไม่มีทางเลือก เพราะถ้าไม่ปฏิบัติตาม คนที่ซวยก็จะเป็นพวกเขาเอง

ทว่าชั่วพริบตาที่ทหารสวรรค์เข้ามาใกล้ สุดท้ายอ๋าวเฟยก็แข็งใจบอกว่า “ท่านอ๋องสวรรค์ จอมทัพแห่งทัพตะวันออกมีคำสั่ง!”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ทหารสวรรค์กลายคนที่เข้ามาใกล้ก็ทำสีหน้าจริงจังทันที ทั้งหมดถอยหลังไปยืนตรงเก็ฐมือ ส่วนคนที่เหลือรวมทั้งอิ๋งอู๋หม่านก็มองอ๋าวเฟยอย่างตะลึงงัน ท่าทางเหมือนทำใจเชื่อได้ยาก

อ๋าวเฟยหันมองโดยรอบ แล้วกล่าวเสียงดังหนักแน่น “ท่านอ๋องสวรรค์ จอมทัพแห่งทัพตะวันออกมีคำสั่ง!”

บรรดาแม่ทัพสลับตำแหน่งยืนทันที รวมทั้งอิ๋งอู๋หม่านด้วย ทั้งหมดต่างกุมหมัดคารวะไปทางอ๋าวเฟย เจ๋อชุนชิวเองก็ยิ้มไม่ออกแล้ว ก้มศีรษะอย่างอ่อนปวกเปียก

“ท่านอ๋องสวรรค์ จอมทัพแห่งทัพตะวันออกมีคำสั่ง ถอดอิ๋งอู๋หม่านออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุด ตั้งให้อ๋าวเฟยเป็นผู้บัญชาการสูงสุดแทน ถ้ามีใครไม่ยอมรับคำสั่งนี้ ให้ประหารก่อนแล้วรายงานทีหลังได้!” อ๋าวเฟยกล่าวเสียงต่ำ

“…” ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเงยหน้ามองเขาอย่างงุนงง อิ๋งอู๋หม่านก็รู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อยเช่นกัน

สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อกว่านั้นยังอยู่ตอนหลัง เห็นเพียงอ๋าวเฟยถอนหายใจเบาๆ “ท่านอ๋องมีคำสั่ง ให้ควบคุมตัวอิ๋งอู๋หม่านไว้ หากกล้าขัดขืนการจับกุม ประหาร!”

“…” ตอนนี้คนที่อยู่ตรงนั้นพากันงงเป็นไก่ตาแตก ทางนี้ยังรอท่านอ๋องตัดสินใจอยู่เลย ทำไมรอแล้วได้คำสั่งอย่างนี้ล่ะ

อิ๋งอู๋หม่านกลับวางมือลง จ้องอ๋าวเฟยอย่างโกรธแค้น ที่บอกว่าเปลี่ยนผู้บัญชาการสูงสุดนั้นเขายังพอเชื่อได้ คาดว่าอ๋าวเฟยคงไม่กล้าปลอมแปลงคำสั่งทางทหาร แต่ที่บอกให้ควบคุมตัวเขาไว้ เขาก็ไม่ค่อยเชื่อแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องประหารอะไรนั่นเลย ล้อเล่นอะไรกัน?

“อ๋าวเฟย เจ้ากล้าปลอมแปลงคำสั่งทางทหารเหรอ!” อิ๋งอู๋หม่านพลันโบกมือชี้พลางตะคอกอ๋าวเฟย

คนอื่นๆ ก็ทำสีหน้าไม่เชื่อเช่นกัน แต่ดูจากสีหน้าอ๋าวเฟยก็มองอะไรไม่ออกเช่นกัน

อ๋าวเฟยกุมหมัดคารวะ “ท่านโหวได้โปรดพิสูจน์ว่าคำสั่งทางทหารจริงหรือเท็จ!”

พิสูจน์ว่าคำสั่งทางทหารจริงหรือเท็จ? แน่นอนว่าต้องพิสูจน์อยู่แล้ว! อิ๋งอู๋หม่านไม่มีทางยอมรับคำสั่งทางทหารอันอัปยศนี้โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เพราะคำสั่งทางทหารนี้สร้างความอัปยศให้เขาจริงๆ ทำลายหน้าตศักดิ์ศรีของตระกูลอิ๋งจริงๆ เขาไม่เชื่อว่าท่านพ่อจะถ่ายทอดคำสั่งทางทหารแบบนี้ได้ จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อบิดาตรงนั้นเลย

จิ่วกวงยืนเอามือไขว้หลังอยู่ใต้ร่มไม้ริมแม่น้ำ หลับตาเงียบๆ ไม่พูดอะไร หลังจากได้รับข่าวจากอิ๋งอู๋หม่าน ก็ตอบกลับอย่างไม่ซับซ้อนว่า : ไม่ผิด!

จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ เหลือบตาขึ้น พอจะเดาออกแล้วว่าใครส่งข้อความมา

อิ๋งอู๋หม่านสีหน้าเปลี่ยนทันที เปลี่ยนเป็นข่าวซีด ยังคงทำใจเชื่อได้ยากเหมือนเดิม สายตาไปหยุดอยู่บนหน้าอ๋าวเฟย แล้วย้ายไปที่ระฆังดาราในมือของอ๋าวเฟยอย่างช้าๆ แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถามว่า “เจ้ารายงานอะไรท่านพ่อกันแน่?”

เมื่อถามคำถามนี้ออกมา บรรดาแม่ทัพก็เข้าใจทันที ว่าคำสั่งทางทหารเป็นความจริง

อ๋าวเฟยรู้ว่าเขาเข้าใจผิด จึงถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข้าน้อยไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน แค่ได้รับคำสั่งทางทหารมาก็เท่านั้น ข้าน้อยเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ ท่านโหวได้โปรดอย่าเข้าใจผิด”

อิ๋งอู๋หม่านเชื่อก็แปลกแล้ว คนพื้นเพกำเนิดอย่างเขาคุยเคยกับเรื่องวางอุบายทำร้าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ก็มักคิดไปถึงการวางอุบายทำร้ายเสมอ นี่ก็เป็นสาเหตุที่จั่วเอ๋อร์รู้สึกว่าเขาเหมาะจะอยู่ในราชสำนัก แต่ไม่เหมาะจะบัญชาการทัพออกศึก

อิ๋งอู๋หม่านเขย่าระฆังดาราติดต่ออิ๋งจิ่วกวงอีกครั้ง : ท่านพ่อ อ๋าวเฟยบอกอะไรกับท่านหรือเปล่า? ในนั้นจะต้องมีการเข้าใจผิดอะไรกันแน่นอน!

อิ๋งจิ่วกวงที่เดิมทีมีสีหน้าเย็นเย็นสุขุม ตอนนี้เดือดดาลทันที ขนาดตนถ่ายทอดคำสั่งทางทหารลงไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ายังจะมาต่อรองกับตนอีก ตอนนี้เขายิ่งเข้าใจคำพูดของจั่วเอ๋อร์ก่อนหน้านี้ ตอบกลับอย่างโมโหเพียงสองคำว่า : หุบปาก!

แล้วหันกลับมาตะคอกสั่งจั่วเอ๋อร์อีก “จับตาดูความเคลื่อนไหวของคนทางนั้นอย่างเข็มงวด ให้คนทางนั้นแอบรายงานมาเป็นระยะ!”

อิ๋งอู๋หม่านที่อยู่อีกฝั่งตะลึงค้างไปเลย เก็บระฆังดาราเงียบๆ ด้วยสีหน้านิ่งเฉย ยืนอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ

หลังจากอ๋าวเฟยรอได้สักประเดี๋ยว ก็ลองถามว่า “ท่านโหว ตรวจสอบคำสั่งทางทหารทางทหารเรียบร้อยหรือยังขอรับ?”

อิ๋งอู๋หม่านก้มหน้ากุมหมัดคารวะ “ตรวจสอบเสร็จแล้ว ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”

ฉากนี้ทำให้แม่ทัพคนอื่นๆ ค่อนข้างปวดประสาท ที่จริงคนที่ปวดหัวยิ่งกว่านั้นก็คืออ๋าวเฟย หลังจากพยักหน้าแล้ว ก็แข็งใจออกคำสั่งว่า “ทหาร จับตัวอิ๋งอู๋หม่านไว้!”

ทหารสวรรค์หลายคนที่ปฏิบัติตามกฎสบตากันแวบหนึ่ง แล้วเดินไปกุมหมัดคารวะข้างกายอิ๋งอู๋หม่าน “ท่านโหว ล่วงเกินแล้ว” พูดจบก็ลงมือทันที

อิ๋งอู๋หม่านไม่ขัดขืน ยอมให้จับแต่โดยดี หลังจากควบคุมแล้วก็มัดไว้อย่างแน่นหนา ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจนึกถึงงานตรงหน้าแล้ว แต่กำลังคิดว่าหลังจากข่าวนี้แพร่ออกไป เขาจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้อย่างไร สีหน้าหดหู่เล็กน้อย

เจ๋อชุนชิวที่อยู่ข้างๆ งุนงงแล้วจริงๆ ไม่เข้าใจเลยว่านี่มันสถานการณ์อะไรกันแน่

อ๋าวเฟยเองก็ไม่สะดวกจะเผชิญหน้ากับอิ๋งอู๋หม่านให้อึดอัดอีกแล้ว ให้คนเก็บอิ๋งอู๋หม่านไว้ แล้วหันตัวไปมองเจ๋อชุนชิว

เจ๋อชุนชิวถูกเขามองจนหนาวสั่นในใจ ต้องทราบไว้ว่าในตอนนี้อ๋าวเฟยมีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ ถ้าจะฆ่าเขาก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ง่ายยิ่งกว่าบีบมดตัวหนึ่งให้ตายเสียอีก แค่เอ่ยสั่งประโยคเดียวเท่านั้น

“ทหาร!” ในที่สุดสิ่งที่เจ๋อชุนชิวกังวลก็มาถึงแล้ว อ๋าวเฟยที่เพิ่งรับตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดต้องการจะใช้เขาเพื่อสร้างบารมี เขาเพิ่งจะโผล่หัวออกมา ช่างเป็นเครื่องมือสำเร็จรูปให้อีกฝ่ายจริงๆ “ลากพ่อค้าที่ไม่เคารพกฏ วิจารณ์แผนการทางทหารออกไป รับห้าแส้สยบมังกร!”

เจ๋อชุนชิวโล่งอก ลำบากหน่อยก็ไม่เป็นไร ไม่ตายก็พอแล้ว ถูกลากตัวไปแต่โดยดี ไม่ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย

จงซานหมิงที่ค่อนข้างสนิทกับอ๋าวเฟยตาเป็นประกาย รีบถ่ายทอดเสียงบอกอ๋าวเฟยว่า “ในเมื่อเจ้าล่วงเกินเจ้าเวรนี่แล้ว เจ้าก็ประหารเขาเสียเลยสิ! มีท่านอ๋องออกคำสั่งแล้ว อิ๋งอู๋หม่านหวาดกลัวอยู่บ้าง อาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้ ในทางกลับกัน ถ้าไปมีเรื่องกับคนต่ำช้าอย่างนี้ ถ้าอีกฝ่ายแค้นเจ้าเมื่อไร บวกกับในมือมีทรัพกรไม่น้อย ถ้าวางอุบายทำร้ายขึ้นมาก็ป้องกันไม่ชนะหรอก ไม่สู้ฆ่าทิ้งไปเลย ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม!”

“พี่จง ทำไมข้าจะไม่รู้ล่ะ เพียงแต่เจ้าเวรนี่ยังใช้ประโยชน์ได้อยู่ ถึงยังไงเขาก็เป็นคนร่วมมือกับคนที่อยู่ฝั่งนี้ บางทีตอนหลังอาจยังมีเรื่องที่ต้องถามเขาอีกก็ได้” อ๋าวเฟยหันกลับมาตอบอย่างจนใจ ตอนนี้เขารู้สึกกดดันมาก นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะให้จัดการอิ๋งอู๋หม่านต่อหน้าทุกคน นี่เป็นการใช้อำนาจกดดันเขาชัดๆ ชัดเจนแล้วว่าเรื่องนี้มีแต่ต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น ล้มเหลวไม่ได้!

ในเมื่อเขาพูดอย่างนี้แล้ว จงซานหมิงไตร่ตรองดูก็พบว่ามีเหตุผลเช่นกัน ไม่ได้พูดอะไรอีก

อ๋าวเฟยขมวดคิ้วครุ่นคิด ข่าวนี้มาอย่างกะทันหันเกินไป เขาต้องจัดระเบียบความคิดสักหน่อย

ตรงจุดที่ไม่ไกลมีเสียงร้องครวญครางดังมาเป็นพักๆ ผ่านไปไม่นาน เจ๋อชุนชิวที่เปื้อนเลือดก็ถูกลากเข้ามาโยนตรงเท้าอ๋าวเฟย เจ๋อชุนชิวใบหน้าซีดขาว พยายามเงยหน้ากล่าวขอร้อง “ท่านแม่ทัพโปรดไว้ชีวิต ท่านแม่ทัพโปรดไว้ชีวิต ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว!”

อ๋าวเฟยพอเอียงหน้า ก็มีคนมาลากเจ๋อชุนชิวออกไปอีก

หลังจากความรู้สึกนึกคิดชัดเจนแล้ว อ๋าวเฟยก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ตระหนักได้ว่าตอนนี้ได้เลี่ยนบทบาทแล้ว หันหน้าหาทุกคนพร้อมถามว่า “พี่น้องทุกคน ยินดีฟังคำสั่งข้าหรือเปล่า?”

จิตใจของบรรดาแม่ทัพก็เหมือนจะเปลี่ยนตามไปด้วยเช่นกัน ท่าทางสำรวมระมัดระวังตัวตอนอยู่ต่อหน้าอิ๋งอู๋หม่านหายไปหมดแล้ว พวกเขายืนเรียงเป็นสองแถวแล้วกุมหมัดคารวะ “ยินดีฟังคำสั่งแม่ทัพใหญ่!”

ว่ากันตามจริง ตอนนี้ไม่มีใครอิจฉาตำแหน่งของอ๋าวเฟย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าท่านอ๋องมีเจตนาอะไร เหตุใดจึงทำแบบนี้ แต่ถึงอย่างไรการถอดอิ๋งอู๋หม่านออกจากตำแหน่งก็เป็นการล่วงเกินอิ๋งอู๋หม่านอย่างแรง เรื่องในอนาคตนั้นพูดยากแล้ว ดังนั้นทุกคนต่างรู้สึกโชคดีที่ท่านอ๋องไม่ได้เลือกตน

“เช่นนั้นข้าก็จะหน้าด้านรับตำแหน่งนี้ไว้ ร่วมแรงร่วมใจกับพี่น้องเพื่อปฏิบัติภารกิจจากท่านอ๋องให้สำเร็จลุล่วง” อ๋าวเฟยกุมหมัดคารวะขอบคุณการสนับสนุนจากทุกคน จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังต่อว่า “ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ขออภัยที่ต้องพูดสิ่งที่ไม่น่าฟัง ส่วนตัวข้ารู้สึกว่าก่อนหน้านี้ท่านโหวอิ๋งอวดดีเกินไป ประเมินเผ่าเทพอสรพิษดำต่ำไปหน่อย อาจจะสร้างผลกระทบในทางลบได้ แล้วก็ประเมินหนิวโหย่วเต๋อต่ำไปด้วย หนิวโหย่วเต๋อชำนาญการรบ ชื่อเสียงนั้นไม่ใช่เรื่องโกหกแน่ ที่นำกำลังพลไปตีตลาดมืดนั้นต้องมีสาเหตุแน่นอน ดังนั้นสถานการณ์อาจจะไม่ได้ดีเหมือนที่ท่านโหวอิ๋งจินตนาการไว้ ด้วยสาเหตุสองประการข้างตน ความเคลื่อนไวที่ตลาดมืดสะเทือนไปถึงอ๋องอสรพิษดำแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่อ๋องอสรพิษดำจะไม่สืบสาวหาสาเหตุ จนป่านนี้โหยวโยวยังไม่ส่งข่าวมาเลย แสดงว่าเกิดเรื่องกับนางแล้วแน่นอน คงปิดความลับที่พวกเราระดมกำลังพลห้าล้านไม่ได้แล้ว กอปรกับหนิวโหย่วเต๋อเปิดฉากสังหารใหญ่ต่อเผ่าเทพอสรพิษดำ ก็รับประกันได้ยากว่าอ๋องอสรพิษดำจะไม่ลามมาโกรธพวกเรา ดังนั้นแผนที่ท่านโหวอิ๋งจะไปดูเอาสนุกเฉยๆ ข้าขอยกเลิกตรงนี้!”

…………………..……

หยวนกงที่อยู่ข้างๆ ชำเลืองมองชางไห่ที่ค่อนข้างเหม่องง เขาแอบรู้สึกขำ นับว่ายอมเหมียวอี้แล้ว มีเจตนาไม่ซื่อแท้ๆ แต่กลับพูดให้ดูเหมือนหวังดีไปได้ ทำเหมือนกำลังช่วยชีวิตอ๋องอสรพิษดำอย่างนั้นแหละ แต่เรื่องจริงก็เหมือนจะเป็นอย่างนี้ นำความจริงมาอ้างแล้ว อุบายนี้ช่างร้ายกาจ!

แต่ยังไม่ทันแอบหัวเราะเสร็จ หยวนกงเองก็อึ้งไป เมื่อครู่นี้ตัวเองยังรู้สึกเครียดเพราะอยู่ในอันตรายอยู่เลย ยังแอบถือระฆังดาราอยู่ในมือ ทำไมผ่านไปชั่วพริบตาเดียว ตัวเองก็มีอารมณ์มาแอบหัวเราะแล้วล่ะ?

ตั้งแต่เขาเข้ามาอยู่ที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ก็วิ่งเต้นทำงานอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน ที่จริงไม่ค่อยได้คลุกคลีกับเหมียวอี้เท่าไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกมาทำงานอะไรด้วยกัน เรียกได้ว่าไม่ค่อยได้สัมผัสกับเหมียวอี้โดยตรง ที่ได้ยินมาล้วนเป็นคำบอกเล่าจากคนอื่น วันนี้ถึงได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริงแล้ว

หยางเจาชิงกับเหยียนซิวที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้เกิดอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เพราะทั้งสองติดตามเหมียวอี้หลายปีอย่างจงรักภักดีมาโดยตลอด เมื่อเวลานานไปก็ย่อมมีสาเหตุที่ทำให้พวกเขาศรัทธาเชื่อถืออยู่แล้ว จึงไม่รู้สึกแปลกใจกับการแสดงฝีมือของเหมียวอี้ ถ้าอยู่ภายใต้ความกดดันแบบนี้แล้วเห็นเหมียวอี้สติไม่อยู่กับตัว ทำอะไรไม่ถูก ลนลานหวาดกลัว แบบนั้นต่างหากที่จะทำให้พวกเขาแปลกใจ

ชางไห่เฉื่อยไปพักหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี สุดท้ายก็ถามว่า “หัวหน้าภาคหนิวจะเอายังไงกันแน่?”

เหมียวอี้บอกตรงๆ เลยว่า “ในใจเจ้าก็รู้ดีว่าตัวการใหญ่เรื่องนี้คือใคร ในเมื่อวกเราจะร่วมงานกันแล้ว ก็อย่าแสร้งใส่กันเลย! ข้าอยากจะช่วยคน อยากจะคิดบัญชีกับพวกเขา ในเมื่อเผ่าเทพอสรพิษดำของพวกเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว ลามมามีเรื่องกับข้าแล้ว ก็เลิกคิดได้เลยว่าจะถอนตัวกลางคัน บนโลกนี้ไม่มีเรื่องดีๆ แบบนั้นหรอก แล้วอีกอย่าง ข้าไม่ยอมถูกตระกูลอิ๋งกระทำอย่างนี้แน่ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเผ่าเทพอสรพิษดำของพวกเจ้าจะกล้ำกลืนความแค้นนี้ได้?”

กล้ามเนื้อตรงแก้มของชางไห่แข็งทื่อ การที่ตระกูลอิ๋งทำแบบนี้ ทำให้เผ่าเทพอสรพิษดำเดือดดาลมากจริงๆ “ฐานะของเผ่าเทพอสรพิษดำเทียบเจ้าไม่ได้ เจ้าเป็นขุนนางตำหนักสวรรค์ หลังจากจบเรื่องตระกูลอิ๋งก็ไม่กล้าแตะต้องเจ้า แต่กับพวกเราไม่เหมือนกัน ตระกูลอิ๋งมีอิทธิพลมาก พวกเรารับผลที่ตามมาไม่ไหว!”

“ไม่เสียดายที่จะระดมกำลังพลห้าล้านมารับมือกับข้า เนี่ยน่ะเหรอที่บอกว่าตระกูลอิ๋งไม่กล้าแตะต้องข้า?” เหมียวอี้ถาม

ชางไห่เงียบไป ตอนที่เพิ่งได้ยินโหยวโยวบอก เขาเองก็รู้สึกเช่นกันว่าตระกูลอิ๋งบ้าไปแล้วหรือเปล่า รับมือกับหนิวโหย่วเต๋อคนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะระดมทัพใหญ่ขนาดนั้น

“หัวหน้าภาคหนิว ข้าว่าเจ้าน่าจะเข้าใจนะ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ไม่มีทางที่ตระกูลอิ๋งจะปล่อยคนให้!” ชางไห่จ้องเหมียวอี้พลางเตือนอย่างจริงจัง

“พวกเขาไม่ปล่อยคน ข้าก็จะโจมตีเขา ต่อให้ช่วยคนไม่ได้ ข้าก็จะฆ่าคน!” เหมียวอี้กล่าวอย่างเยือกเย็น

ชางไห่แสยะยิ้ม เหมือนกำลังเหน็บแนมเหมียวอี้ว่าไม่ประเมินกำลังตัวเอง “นั่นคือกำลังพลห้าล้านของทัพตะวันออกนะ อาศัยกำลังเล็กน้อยแค่นี้ของเจ้าน่ะเหรอ?”

เหมียวอี้ไม่แยแสคำพูดเหน็บแนม “แล้วยังไงล่ะ? ข้าก็จะโจมตีเหมือนเดิม!”

“ขอโทษที่ข้าพูดตรงนะ ต่อให้กำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำร่วมมือกับกำลังพลของเจ้า ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทัพตะวันออกห้าล้านอยู่ดี!” ชางไห่กล่าว

“เจ้าผิดแล้ว!” เหมียวอี้เถียงกลับอย่างไม่ลังเล กล่าวเสียงดังว่า “ขอเพียงเผ่าเทพอสรพิษดำให้ความร่วมมือกับพวกเราเต็มกำลัง ศึกนี้หนิวต้องชนะแน่นอน ทัพตะวันออกห้าล้านน่ะ ข้ากำจัดได้ครึ่งหนึ่งอย่างไม่มีปัญหา!”

ชางไห่แสยะหัวเราะ “พูดจาฟังดูดีนี่ เจ้าลองบอกมาซิว่าจะอาศัยอะไรไปชนะ?”

“ก็อาศัยที่โอกาส ชัยภูมิและคนล้วนเป็นใจให้ฝั่งข้าไง!” เหมียวอี้กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว

“ช่างน่าสรรเสริญในความกล้า!” ชางไห่ยังคงกล่าวเสียดสี

สงสัยที่พูดไปตั้งนานจะไม่ได้ประโยชน์อะไร เหมียวอี้เริ่มเดือดแล้ว จู่ๆ ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนว่า “ผู้อาวุโสชาง นี่เจ้าคิดจะบีบให้ข้าสังหารอ๋องอสรพิษดำ จะได้ขึ้นตำแหน่งแทนได้สะดวกใช่มั้ย!”

เมื่อเขากล่าวแบบนี้ ทางเผ่าเทพอสรพิษดำก็กลันจ้องมาทางนี้ทันที แต่ละคนเบิกตากว้างจ้องชางไห่ เหมือนกำลังถามว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่? จู่ๆ หนิวโหย่วเต๋อพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร?

“เหลวไหล!” ชางไห่ตะคอกกลับ โมโหจนแทบกระทืบเท้า รีบแก้ตัวว่า “อ๋องของเผ่าเทพอสรพิษดำต้องเป็นสตรีเท่านั้น!”

เมื่อเขาพูดคำนี้ออกมา ก็พบว่าเหมียวอี้กำลังมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ จึงได้สติทันที พบว่าตัวเองตกหลุมพรางแล้ว เหงื่อแตกเต็มหลัง ทำไมพูดว่าอ๋องของเผ่าเทพอสรพิษดำต้องเป็นสตรีเท่านั้นล่ะ? ทำอย่างกับเขาเตรียมตัวจะเปลี่ยนตัวท่านอ๋องแล้วจริงๆ

“เจ้า…” ชางไห่หันกลับไปมองสายตาของคนในเผ่าที่กำลังจ้องตัวเอง แล้วก็มองเหมียวอี้อีกครั้ง ชี้หน้าเหมียวอี้ด้วยความโกรธแค้นแทบกระอักเลือด รู้สึกเหมือนกางเกงเจ้าเปื้อนสีเหลืองแล้ว ต่อให้เจ้าไม่ได้อุจจาระ แต่คนก็คิดว่าเจ้าอุจจาระอยู่ดี

หลงซิ่นอดไม่ได้ที่จะหันไปอีกด้านหนึ่ง เม้มปากกลั้นหัวเราะ พบว่าหัวหน้าภาคท่านนี้ช่างร้ายนัก พออีกฝ่ายพูดจาไม่เกรงใจแค่สองสามประโยค เจ้าก็ให้บทเรียนเขาแล้ว สั่งสอนไปสักหน่อย

หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ก็คิดตามไม่ทันเหมือนกัน ไม่ได้คิดเรื่องที่อ๋องเผ่าเทพอสรพิษดำต้องเป็นผู้หญิงเลย แค่เถียงไปส่งเดชเท่านั้น ใครจะคิดว่าชางไห่จะให้ความร่วมมือขนาดนี้ หลังจากชางไห่พูดออกมาเขาถึงตระหนักได้ว่ามีปัญหา ถึงได้ทำสีหน้าแปลกๆ

แน่นอน เรื่องนี้เขาไม่จำเป็นต้องอธิบาย

สุดท้ายชางไห่ก็สะบัดแขนเสื้อ ข่มไฟโกรธเอาไว้ แล้วถามเสียงต่ำว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าจะเอายังไงกันแน่?”

เหมียวอี้สีหน้าเย็นเยียบ พูดให้แตกคอในชั่วพริบตาเดียว “พูดดีๆ ด้วยไปหมดแล้ว ข้าไม่มีเวลามาเปลืองกับพวกเจ้า ตั้งแต่นี้ไป กำลังพลเผ่าเทพอสรพิษดำฟังคำสั่งข้า ถ้ากล้าไม่เชื่อฟัง ก็รอไปเก็บศพอ๋องอสรพิษดำได้เลย! ไสหัวไป! เปลี่ยนคนมาคุย!”

ชางไห่อยากจะสู้ตายกับเขาสักตั้งจริงๆ แต่ก็ทำได้เพียงถลึงตาโมโห สุดท้ายก็หันหน้าจากไป พอไปถึงฝั่งนั้นก็เล่าเรื่องที่เพิ่งปรึกษากันให้ฟังรอบหนึ่ง โดยเน้นอธิบายเรื่องที่เหมียวอี้วางกับดักเขา

เมื่อได้ยินว่าเขาโดนวางกับดัก โม่โหยว ผู้อาวุโสหญิงหนึ่งในนั้นก็ทำสีหน้าครุ่นคิด “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้มีชื่อเสียงกระฉ่อนใต้หล้าได้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ชางไห่ เขาบอกจริงเหรอว่าสู้กับทัพตะวันออกห้าล้านแล้วจะชนะแน่นอน?”

“เขาพูดอย่างนี้ พูดจาโอ้อวดไม่เบา” ชางไห่ตอบกลับอย่างเคารพ

คนที่สามารถเรียกชื่อชางไห่ตรงๆ ได้ กอปรกับท่าทีเคารพของชางไห่ อีกทั้งนางยังมีที่ยืนท่ามกลางผู้อาวุโสทุกคน สิ่งนี้ก็อธิบายฐานะของโม่โหยวในเผ่าเทพอสรพิษดำได้แล้ว หลังจากโม่โหยวจ้องเหมียวอี้จากที่ไกลๆ พลางไตร่ตรอง จู่ๆ ก็บอกว่า “ข้าจะไปคุยกับเขาด้วยตัวเอง”

“ผู้อาวุโสโม่!” ผู้อาวุโสที่เหลือเรียกอย่างกังวลพร้อมกัน

สุดท้ายก็เปลี่ยนการตัดสินใจของโม่โหยวไม่ได้ ผู้อาวุโสหญิงคนหนึ่งที่ชื่อเฟิ่งอู่ไปเป็นเพื่อนชางไห่ ทั้งยังพายอดฝีมือไปด้วยประมาณร้อยคน

หลังจากแนะนำตัวเสร็จแล้ว เหมียวอี้เห็นท่าทีของชางไห่และผู้อาวุโสอีกสองคนที่มีต่อโม่โหยว ก็มองออกแล้วว่าฐานะของโม่โหยวไม่ธรรมดา อีกทั้งชิงเยว่ก็คอยแนะนำอยู่ข้างๆ บอกว่าพอโม่โหยวเป็นผู้อาวุโสตั้งแต่สมัยอ๋องเผ่าเทพอสรพิษดำคนก่อนแล้ว ตอนนี้เป็นผู้อาวุโสที่วัยวุฒิสูงที่สุดของเผ่าเทพอสรพิษดำ

เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะมองนางหลายครั้ง พบว่าเป็นสตรีวัยกลางคนที่สวยมาก แค่ผู้หญิงเผ่าเทพอสรพิษดำก็หน้าตาดีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรือนร่างที่เย้ายวนนั่น เพียงแต่เกล็ดบนร่างกายที่ใช้ทำเป็นเครื่องประดับนั้นทำให้คนไม่กล้ายอมรับง่ายๆ มีแค่อ๋องอสรพิษดำที่ดูเหมือนคนปกติมากที่สุด

โม่โหยวเอ่ยปากพูดตรงๆ เลยว่า “หัวหน้าภาคหนิวจับอ๋องของพวกเราไปเป็นตัวประกัน แม้จะขู่เผ่าเทพอสรพิษดำได้ แต่คาดว่าอ๋องของพวกเราก็ไม่อยากเห็นคนในเผ่าเทพอสรพิษดำเลือดนองเป็นแม่น้ำเช่นกัน เป็นไปไม่ได้ที่เผ่าเทพอสรพิษดำจะเอาชีวิตคนในครอบครัวทั้งหมดไปพ่วงด้วย ต่อให้หัวหน้าภาคหนิวใช้ท่านอ๋องมาขู่ก็ไม่มีประโยชน์” เมื่อเห็นเหมียวอี้มีอะไรจะพูด นางก็ยกมือห้ามอีก แล้วพูดต่อไปว่า “แน่นอน พวกเราไม่มีทางไม่สนใจใยดีท่านอ๋อง แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่พวกเราต้องแน่ใจก่อน ร่วมงานกันก็ได้ ฟังคำบัญชาการของหัวหน้าภาคหนิวก็ไม่มีปัญหา แต่พวกเราจะแน่ใจได้ยังไง ว่าหัวหน้าภาคหนิวจะไม่เอาชีวิตพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำไปเล่น จะแน่ใจได้ยังไงว่าหัวหน้าภาคหนิวไม่ได้จงใจให้พี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำไปต้านดาบรับความตาย? ถ้ากำจัดความสงสัยนี้ให้พวกเราไม่ได้ ก็ขออภัยที่จะไม่ฟังคำสั่ง แต่ถ้าสามารถแก้ไขปัญหานี้ เรื่องร่วมงานกัน ข้าก็สามารถตัดสินใจตอบตกลงได้เลย” พูดจบก็จ้องเหมียวอี้เพื่อรอคำตอบ

ไม่ว่าจะอย่างไร อย่างน้อยท่านนี้ก็พูดจาน่าฟังกว่าชางไห่ตั้งเยอะ ชางไห่นั่นเอะอะก็พูดเหน็บแนม ไม่เหมือนคนมาเจรจา เหมียวอี้ไม่ยอมรับ

เหมียวอี้พยักหน้า “ผู้อาวุโสโม่พูดมีเหตุผล หนิวเองก็ไม่ใช่คนพูดจาไร้เหตุผล” ขณะที่พูดก็ชำเลืองชางไห่แวบหนึ่ง สื่อความหมายในคำพูดแล้ว ทำเอาชางไห่โมโหจนถลึงตาเป่าเครา เหมียวอี้ไม่สนใจเขา พูดต่อไปว่า “หนิวเองก็ไม่ใช่คนที่ไร้คุณธรรมน้ำมิตร ในเมื่อจะร่วมงานกัน ก็ย่อมต้องหาวิธีการที่ทั้งสองฝ่ายล้วนยอมรับได้ เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะบัญชาการกำลังพลทั้งสองฝ่าย แต่เรื่องวางแผนก็ให้ทั้งสองฝ่ายทำด้วยกัน คำสั่งที่มีต่อเผ่าเทพอสรพิษดำ ก็ให้เผ่าเทพอสรพิษดำของพวกเจ้าถ่ายทอดลงไปเอง ผู้อาวุโสโม่ยอมรับได้มั้ย?”

โม่โหยวไตร่ตรองเล็กน้อย แล้วพยักหน้าบอกว่า “งั้นก็เอาตามนี้!” จากนั้นก็ถามต่อเลยว่า “ไม่ทราบว่าหัวหน้าภาคหนิวเตรียมตัวจะเปิดยังไง? ฝั่งพวกเราจะได้เตรียมตัวสะดวก” เห็นได้ชัดว่านางอยากจะทความเข้าใจสถานการณ์ภายใน

“ไม่ทราบว่าเผ่าเทพอสรพิษดำจะดึงกำลังพลออกมาร่วมรบได้เท่าไร?” เหมียวอี้ถาม

โม่โหยว “ที่พอถูไถออกรบได้ ก็มีไม่ถึงสามล้าน แต่ศักยภาพของพวกเขา เกรงว่าแม้แต่กำลังพลแปดแสนของทัพตะวันออกก็ต้านไม่อยู่”

เหมียวอี้ถามทันที “ตามที่ข้ารู้มา จำนวนคนเผ่าเทพอสรพิษดำมีมากกว่าสิบล้าน ที่บอกว่าไม่ถึงสามล้านหมายความว่ายังไง?”

โม่โหยวตอบว่า “คนน่ะมีไม่น้อย แต่คนพวกนั้นวรยุทธ์ต่ำ จะเอาอะไรไปต้านทัพตะวันออกที่ดุร้ายเหมือนเสือ จะให้พวกเขาเอาชีวิตไปทิ้งเชียวเหรอ?”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ผู้อาวุโสโม่เข้าใจผิดแล้ว ถ้าคิดจะใช้ความอ่อนแอเอาชนะความแข็งแกร่ง ก็ต้องได้เปรียบในระดับหนึ่งก่อน ข้าต้องการรู้ความเคลื่อนไหวทุกอย่างของกำลังพลทัพตะวันออกที่สระน้ำมังกรดำ ที่นี่คืออาณาเขตของเผ่าเทพอสรพิษดำ พวกเจ้าคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและชัยภูมิ ใช้ประโยชน์คนที่ไม่ได้เข้าร่วมรบให้จับตาดูพวกเขา คงจะไม่มีปัญหาใช่มั้ย?”

“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา” โม่โหยวพยักหน้า ถามอีกว่า “ยังมีอย่างอื่นอีกมั้ย?”

เหมียวอี้เองก็ไม่อยากถ่วงเวลาต่อไปแล้ว “พวกเจ้าถ่ายทอดคำสั่งลงไปทันที ให้คนเผ่าเทพอสรพิษดำที่ไม่เกี่ยวข้องกับศึกนี้หาที่ปลอดภัยซ่อนตัวไว้ จะได้ไม่ถูกเอามาเกี่ยวข้อง”

โม่โหยวอยากจะกลอกตามองบน เพราะเดาจุดประสงค์ของเหมียวอี้ออกแล้ว กลัวว่าทัพตะวันออกจะจับคนเผ่าเทพอสรพิษดำมาเป็นตัวประกันเหมือนที่เหมียวอี้ทำ ถึงตอนนั้นเผ่าเทพอสรพิษดำคงลูบหน้าปะจมูก เช่นนั้นเหมียวอี้ก็จะยุ่งยากแล้ว นี่คือการตัดความห่วงหน้าพะวงหลัง เพียงแต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ส่งผลร้ายต่อเผ่าเทพอสรพิษดำ จึงหันกลับมาสั่งทันที “เฟิ่งอู่ ไปจัดการสองเรื่องตามที่หัวหน้าภาคหนิวบอกเดี๋ยวนี้!”

เฟิ่งอู่เรียกอีกคนจากข้างหลังแล้วไปจัดการทันที

เหมียวอี้บอกอีกว่า “ส่งกำลังพลห้าแสนไปดักซุ่มที่ทางเข้าออกบริเวณสระน้ำมังกรดำ รอฟังคำสั่งข้าให้ปิดทางเข้าออก!”

โม่โหยวเถียงกลับทันที “ถ้าทัพตะวันออกจะไป กำลังพลห้าแสนของเผ่าเทพอสรพิษดำก็ต้านไม่ไหวเลย ไม่ต่างอะไรกับเอาชีวิตไปทิ้ง!”

เหมียวอี้ไม่เถียงอะไรเช่นกัน พูดต่อไปตามขั้นตอนของตัวเอง “ห้าแสนคนนี้ ให้ดึงคนวรยุทธ์ต่ำสุดมาจากกำลังพลสามล้านของฝ่ายเจ้า ให้คนที่พลังอ่อนแอที่สุดไป”

ทุกคนงุนงง โม่โหยวถามอย่างแปลกใจว่า “ส่งคนที่กำลังอ่อนแอไปปิดทางเข้าออก หมายความว่าอะไร?”

เหมียวอี้บอกว่า “ผู้อาวุโสโม่ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าย่อมมีที่ให้ใช้งานอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่สะดวกจะพูดมาก เอาเป็นว่าข้ารับประกันว่าพวกเขาจะไม่เสียหายแม้แต่น้อย ถ้ามีจุดไหนที่ไม่เป็นผลดีกับพวกเขา ก็ไม่ต้องทำตามคำสั่งข้าก็ได้ ไม่เป็นผลเสียอะไรกับพวกเขาเช่นกัน”

โม่โหยวเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกำชับเฟิ่งอู่อีก “จัดการตามนี้!”

จุดที่ดาวหกดวงโอบล้อม บนยอดเขาที่รกร้าง อิ๋งอู๋หม่านกำลังเอามือไขว้หลังเดินกลับมารอฟังข่าวจากจวนอ๋องสวรรค์

หลังจากแม่ทัพใหญ่ที่อยู่ข้างๆ เก็บระฆังดาราแล้ว ก็กุมหมัดคารวะ “ท่านโหวอิ๋ง! สายสืบรายงานว่า กำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อถูกกำลังพลหนึ่งล้านของเผ่าเทพอสรพิษดำล้อมไว้แล้ว!”

“อ้อ!” อิ๋งอู๋หม่านหันตัวมา แล้วเลิกคิ้วบอกว่า “หรือว่าเจ้านั่นเปิดฉากสังหารใหญ่ที่ตลาดมืดจนยั่วโมโหเผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว!”

แม่ทัพใหญ่พยักหน้า “เป็นแบบนี้จริงๆ ขอรับ สายลับเห็นรางๆ ว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลจับคนเผ่าเทพอสรพิษดำไม่น้อยมาเป็นตัวประกัน ตอนนี้กำลังคุมเชิงกับทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำ”

อิ๋งอู๋หม่านถูฝ่ามือพลางหัวเราะลั่นทันที “ก่อกรรมเอง หนีไม่พ้นหรอก สวรรค์ช่วยข้าจริงๆ!”

………………

คำกล่าวนี้สื่อเจตนาที่จะแลกเปลี่ยนอย่างชัดเจน ขอเพียงเหมียวอี้ยอมปล่อยคน เรื่องที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลฆ่าคนเผ่าเทพอสรพิษดำมากมายขนาดนั้น นางก็เตรียมจะปล่อยผ่าน เหตุผลฟังดูเสียเปรียบไปบ้าง แต่ที่สำคัญคือนางไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวความขัดแย้งระหว่างเหมียวอี้กับตระกูลอิ๋ง ถึงได้ยอมสละชีวิตคนมากมายขนาดนี้เพื่อแลกเปลี่ยน

ตอนนี้นางนับว่าเข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘ประตูเมืองไฟไหม้ เดือดร้อนถึงปลาในคูเมือง[1]’ เผ่าเทพอสรพิษดำเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในตำหนักสวรรค์แล้ว เผ่าเทพอสรพิษดำของนางกลายเป็นตัวหมากในมือคนอื่น การต่อสู้ในตำหนักสวรรค์โหดร้ายมาก อำนาจที่เกี่ยวข้องซับซ้อนมาก เรื่องเล็กน้อยมักจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในสายตาคนที่ตั้งใจจะสร้างสถานการณ์เสมอ ดีไม่ดีอาจจะทำให้เผ่าเทพอสรพิษดำโดนขุดรากถอนโคน พวกผู้มีอำนาจมหาศาลเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นใคร เผ่าเทพอสรพิษดำก็มีเรื่องด้วยไม่ไหวทั้งนั้น นางอยากจะถอนตัวให้เร็วที่สุด

นางนึกว่าตัวเองยอมจ่ายมากพอแล้ว ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็สังหารเผ่าเทพอสรพิษดำไปมากขนาดนั้น ทว่าเหมียวอี้ไม่ยอมให้นางสมปรารถนาเลย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต้องอ้อมไกลขนาดนี้ คงไปหาตระกูลอิ๋งโดยตรงแล้ว เขาแสยะยิ้มบอกว่า “ตระกูลอิ๋งเหรอ? หนิวไม่เข้าใจความหมายของอ๋องอสรพิษดำ ทำไมไปเกี่ยวข้องกับตระกูลอิ๋งได้ล่ะ? ในเมื่ออ๋องอสรพิษดำใจกว้างขนาดนี้ หนิวก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้กาลเทศะ…”

พอพูดถึงตรงนี้ เดิมทีอ๋องอสรพิษดำนึกว่าจะพลิกสถานการณ์ได้ แต่ใครจะคิดว่าคำพูดของเหมียวอี้เกือบทำให้นางเสียสติ “ขอเพียงอ๋องอสรพิษดำสามารถทำให้ตระกูลอิ๋งพูดเรื่องนี้ออกมาชัดๆ ให้ยอมรับว่าพวกเขาจับตัวสวีถังหรานไป เรื่องที่ราวต่อจากนี้อ๋องอสรพิษดำก็ไม่ต้องกังวลแล้ว จะปล่อยคนของเผ่าเทพอสรพิษดำทันที ไม่กลืนคำพูดตัวเองเด็ดขาด!”

อ๋องอสรพิษดำกัดฟันกรอดจนฟันแทบแตก เรื่องแบบนี้ตระกูลอิ๋งจะยอมรับได้อย่างไร ไปถามที่ตำหนักสวรรค์ถามก็ไม่ยอมรับเช่นกัน นางไม่มีทางทำให้ตระกูลอิ๋งเปิดปากพูดได้เลย ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ความแค้นระหว่างเจ้ากับตระกูลอิ๋ง ตัวเจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจ เผ่าเทพอสรพิษดำของข้าบริสุทธิ์ เจ้าอย่ารังแกกันเกินไปนัก!”

เหมียวอี้บอกว่า “จะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ข้าก็ไม่รู้หรอก ใครจับคนของข้าไป ข้าก็จะไปทวงจากคนนั้น เป็นหลักการฟ้าดิน! เผ่าเทพอสรพิษดำของเจ้าจับคนไปแล้วไม่ยอมปล่อย พูดปากเปล่าว่าเกี่ยวข้องกับตระกูลอิ๋งก็จะให้ข้าเชื่อแล้วเหรอ ยังมาบอกว่าข้ารังแกกันเกินไป ใครกันแน่ที่รังแกกันเกินไป!” ชัดเจนว่ากัดเผ่าเทพอสรพิษดำแน่นไม่ยอมปล่อย

ชิงเยว่กับหลงซิ่นสบตากันแวบหนึ่ง มองเหมียวอี้ด้วยสายตานับถือเล็กน้อย

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้ายังมองเจตนาของเหมียวอี้ไม่ออก เช่นนั้นทั้งสองก็ไม่ต้องทำมาหากินแล้ว ตอนแรกยังนึกว่าเหมียวอี้ต้องการล้างแค้นให้สวีถังหราน แต่ตอนนี้ทั้งสองนับว่าเข้าใจแล้ว ว่าทำไมเหมียวอี้ถึงดึงดันจะล้างเลือดดาวเคราะห์ดวงนี้ ต่อให้พวกเขาจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ต้องปฏิบัติตาม รู้ว่าตระกูลอิ๋งมีกำลังมาก จึงไม่ปะทะกับตระกูลอิ๋งโดยตรง แต่จับตัวประกันแล้วบีบให้เผ่าเทพอสรพิษดำไปเผชิญหน้ากับตระกูลอิ๋งแทน

ตั้งแต่ทั้งสองมาขอพึงพาเหมียวอี้ จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลก็อยู่ในสภาพสั่งสมกำลังเงียบๆ มาตลอด ทัพใหญ่แดนรัตติกาลยังไม่เคยเคลื่อนไหวใหญ่มาก่อน วันนี้ทั้งสองได้ติดตามเหมียวอี้มาปฏิบัติภารกิจใหญ่ขนาดนี้ นับว่าได้รู้แล้วว่าหัวหน้าภาคท่านนี้ยอดเยี่ยมแค่ไหน ลองนึกถึงข่าวลือเมื่อก่อนนี้ ถึงได้รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อสมคำร่ำลือจริงๆ!

ส่วนสาเหตุที่ก่อนหน้านี้ไม่บอกพวกเขา ทั้งสองก็เข้าใจได้เช่นกัน กุญแจสำคัญของแผนนี้ก็คือ ถ้าปล่อยให้ให้ข่าวหลุดจนถูกตระกูลอิ๋งฉวยโอกาสไปก่อน เขาก็เล่นแผนนี้ไม่ได้แล้ว สิ่งที่ต้องการก็คือต้องฉวยโอกาสตอนอีกฝ่ายไม่เตรียมตัว จู่โจมอีกฝ่ายจนลนลานทำอะไรไม่ถูก

ทั้งสองเดาไว้ไม่ผิดสักนิด เหมียวอี้ไม่ได้คิดจะใช้กำลังปะทะกับตระกูลอิ๋งซึ่งๆ หน้าตั้งแต่แรกแล้ว โดยเฉพาะหลังจากรู้ว่าตระกูลอิ๋งแอบระดมทัพใหญ่ห้าล้าน เขาก็รู้แล้วว่าถ้าอาศัยแค่ทัพใหญ่แดนรัตติกาล ถึงอย่างไรก็ตายสถานเดียว

เขาเองก็รู้แจ่มแจ้งมาก ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลอิ๋งจะปล่อยสวีถังหราน ถึงขั้นแม้แต่เก็บศพก็ไม่ให้โอกาสเขาด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังอยากพยายามให้เต็มที่ แต่การพยายามเต็มที่ไม่ได้แปลว่าเขาต้องเอาทัพใหญ่หนึ่งแสนลงหลุมศพไปด้วยกัน

ในอดีตยังเป็นชายหนุ่มเลือดร้อน การที่คนบางพวกเสียสละคนอื่นเพื่อคำนึงถึงภาพรวม เขารู้สึกว่าการกระทำนี้ไร้ยางอายและน่าโกรธแค้น เพราะไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่เขาเคยถูกทำให้กลายเป็นเครื่องสังเวยนั้น พอเดินมาถึงจุดนี้เขาถึงได้เข้าใจ ทั้งยังตัดสินใจเลือกอย่างไม่ลังเล วันนี้เขากลายเป็นคนที่ตัวเองในปีนั้นเคยเกลียดชังเสียแล้ว

ดังนั้นตอนที่เขานำกำลังพลมา ก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะเสียสละสวีถังหราน ไม่มีทางเอาชีวิตของทัพใหญ่หนึ่งแสนไปดันทุรังสู้เพื่อสวีถังหรานคนเดียว และไม่ใช้ให้ทัพจากแดนอเวจีไปทำอย่างนั้นด้วย ถ้าใช้ทัพแดนอเวจีไปสู้กับตระกูลอิ๋งเมื่อไร ต่อให้เขาชนะก็เท่ากับแพ้อยู่ดี ส่วนตระกูลอิ๋งนั้นต่อให้แพ้ก็ถือว่าชนะแล้ว

หยวนกงที่อยู่ในขบวนรบจ้องเหมียวอี้ด้วยแววตาเป็นประกาย กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

อ๋องอสรพิษดำกลับถูกคำพูดเหมียวอี้กดดันจนแทบเป็นบ้า ตวาดเสียงแหลมว่า “ตกลงเจ้าจะปล่อยหรือไม่ปล่อย!”

เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ของนาง อ่อนปวกเปียกแทบไม่ไหว มีแนวโน้มว่าจะใช้กำลังปะทะ ทำให้พวกชิงเยว่มีสีหน้าตึงเครียด

ส่วนเหมียวอี้ที่มีสีหน้าสุขุมกลับยกมืออย่างเด็ดขาด ชูสองนิ้วชี้ไปเพื่อให้คำตอบ

ก่อนหน้านี้เคยเห็นแล้ว ว่าหลังจากเขาชูนิ้วแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำตึงเครียดทันที พอจะเดาออกแล้วว่าชูสองนิ้วหมายความว่าอะไร

ผลที่ได้ก็ไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง ทัพใหญ่แดนรัตติกาลคุมตัวพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำสองพันคนที่กำลังร้องตะโกนขอความช่วยเหลือมาหน้าแถวทันที แต่ละคนกำลังวิงวอนไปทางอ๋องอสรพิษดำ

หลงซิ่นอกสั่นขวัญแขวนนิดหน่อย ถ้าใช้กำลังปะทะกันแบบนี้ ดีไม่ดีจะแหลกราญทั้งหินทั้งหยก

เหมียวอี้หันขวับกลับมา จ้องหลงซิ่นด้วยสายตาเย็นเยียบ ในดวงตาฉายแววมุ่งสังหารแล้ว ความหมายตำหนิชัดเจนมาก

เหมียวอี้โมโหแล้วจริงๆ เขาเป็นคนที่ดิ้นรนสู้ตายมาจนชินแล้ว เวลานี้แบบนี้คือการเดิมพันชีวิต มีหรือที่จะให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกว่าฝ่ายนี้อ่อนแอน่ารังแก!

หลงซิ่นหัวใจกระตุกวูบ รู้ว่าความลังเลของตัวเองยั่วโมโหเหมียวอี้แล้ว จึงตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “เตรียมลงโทษประหาร!”

ชวิ้ง! ดาบละกระบี่ชูขึ้นอีกครั้ง พี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำสองพันคนหวาดกลัวถึงขีดสุด เรียกได้ว่าดิ้นรนเอาชีวิตรอด ทว่าพลังอิทธิฤทธิ์ถูกระงับไว้จึงหนีไม่พ้น

“ท่านอ๋อง…”

“ท่านอ๋อง! ช่วยพวกเรา…”

เสียงวิงวอนร้องขอชีวิตนั้นน่าอนาถจนไม่คิดว่ามีอยู่จริงในโลกนี้

ฉากนี้ทำให้ทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำแทบตาถลนแล้ว พวกเขาหายใจลำบาก เพราะในจำนวนนั้นมีเด็กน้อยอยู่มากมาย!

ในดวงตาอ๋องอสรพิษดำแทบจะแดงเดือดไปด้วยเลือด พลันชี้ไปที่เหมียวอี้แล้วคำรามอย่างเดือดดาลโกรธแค้น “เจ้ากล้าเหรอ!”

“ประหาร!” เหมียวอี้ตะโกนสั่งอย่างไม่ลังเล เสียงดังก้องราวกับฟ้าผ่า เด็ดขาดที่สุด!

“หยุดนะ!” ท่ามกลางทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำ มีคนไม่น้อยตะโกนอย่างเสียสติ

ทว่าตะโกนอะไรไปก็สายไปเสียแล้ว เหมียวอี้ปกครองทัพเข้มงวดมาก การปฏิบัติตามคำสั่งและการละเว้นตามข้อห้ามคือเรื่องพื้นฐานที่สุด

แสงดาบเงากระบี่แวบผ่าน เลือดสายสายพุ่งพรวด ศีรษะสองพันใบกระเด็นออกไปแล้ว ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเด็ดขาดมากจริงๆ

“อา…”

ทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำทุบอกคำรามอย่างเสียสติ ราวกับจะร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด ได้แต่มองเด็กสตรีและคนชราในเผ่าตัวเองตายอนาถโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้ หัวใจเจ็บปวดรวดร้าว หัวใจสลายหมดแล้ว อ๋องอสรพิษดำหน้าซีดเผือด ทั้งร่างกายสั่นเทิ้ม มือสองข้างกำหมัดแน่น อยากจะตะโกนคำว่า “ฆ่า” หลายครั้ง กัดริมฝีปากจนเลือดไหลแล้ว

โหยวฮ่วนที่ตกอยู่ในมือทัพใหญ่แดนรัตติกาลหลับตาในขณะที่น้ำตาไหล ทนมองฉากอันน่าสังเวชใจต่อไปไม่ได้แล้ว

โหยวโยวที่อยู่ในกระบวนทัพเผ่าเทพอสรพิษดำตัวสั่นเช่นกัน หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงถี่กระชั้น ขณะมองดูบาปที่ตัวเองก่อไว้ ทันใดนั้นก็คำรามอย่างเสียสติว่า “ข้าจะสู้ตายกับพวกเจ้าแล้ว!” นางถลันตัวออกมาอย่างรวดเร็ว

“กลับมา!” อ๋องอสรพิษดำตวาดเรียกอย่างตกใจ

ชิงเยว่ หลงซิ่นแทบจะมาขวางตรงหน้าเหมียวอี้พร้อมกัน วรยุทธ์ของโหยวโยวไม่ได้อ่อนด้อย เป็นยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์

มือธนูสามพันคนออกมาอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงดังสนั่น ลำแสงเกือบหมื่นสายยิงรวมไปที่คนคนเดียว

บึ้ม!

หมอกสีแดงกลุ่มหนึ่งระเบิดอยู่ในดาราจักร คนเป็นๆ คนหนึ่งไร้รูปร่างในชั่วพริบตาเดียว เห็นเพียงละอองเลือดล่องลอย

โหยวโยวพุ่งออกมาแล้วจริงๆ ที่ดิ้นรนสู้ตายก็เป็นความจริง แต่กลับไม่ได้ต้านทาน ไม่ว่าใครก็เห็นทั้งนั้นว่าวินาทีสุดท้ายนางกางแขนปล่อยให้ลูกธนูนับหมื่นแทงผ่านหัวใจ ถูกพลังโจมตีที่แข็งแกร่งฉีกร่างแหลกเป็นผุยผง

วินาทีนั้นแม้แต่เหมียวอี้ก็ตะลึงเช่นกัน มองออกแล้วว่าโหยวโยวกำลังร้องขอความตาย

“ท่านแม่…” โหยวฮ่วนพลันลืมตาเพราะได้ยินเสียงตะโกนของโหยวโยว เขาได้แต่พึมพำร้องไห้อย่างน่าเวทนา

ฝั่งเผ่าเทพอสรพิษดำก็หยุดแล้วเช่นกัน มองดูหมอกเลือดกลุ่มนั้นเงียบๆ

เหมียวอี้ทำลายความเงียบอีกครั้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อ๋องอสรพิษดำ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง สวีถังหราน พวกเจ้าจะปล่อยหรือไม่ปล่อย!”

อ๋องอสรพิษดำยกมือขึ้นช้าๆ ชี้เหมียวอี้พลางกล่าวด้วยสีหน้าเยียบเย็นราวกับน้ำค้างเกาะ “ถ้าฆ่าหมดแล้ว เจ้าก็อย่าคิดเลยว่าจะรอดชีวิตออกจากที่นี่ไปได้ อย่าคิดว่าจะรอดออกไปแม้แต่ตัวเดียว!”

เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ “หนิวผู้นี้ผ่านศึกสงครามมาเนิ่นนาน เอาชีวิตรอดจากศึกตายมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว อยู่บนสนามรบไม่เคยประนีประนอม อ๋องอสรพิษดำกำลังขู่ข้าเหรอ? ดีมาก! วันนี้ข้าก็อยากจะเห็นว่าเผ่าเทพอสรพิษดำจะต้านทานทัพใหญ่แดนรัตติกาลของข้าได้หรือเปล่า ถ้ารั้งข้าไว้ไม่ได้ วันข้างหน้าข้าจะต้องมาขุดรากถอนโคนเผ่าเทพอสรพิษดำแน่นอน!” พูดจบก็ยกกระบี่ขึ้น แล้วพาดไปที่คอโหยวฮ่วน

โหยวฮ่วนหลับตาลง ปิดสองตาที่เต็มไปด้วยน้ำจาอย่างช้าๆ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มแห่งการหลุดพ้น

ชวิ้ง! ดาบทวนของทัพใหญ่แดนรัตติกาลชูขึ้นทันที เตรียมตัวจะสังหารเชลยศึกเผ่าเทพอสรพิษดำให้หมด แค่รอให้ศีรษะของโหยวฮ่วนกระเด็นเพื่อเป็นสัญญาณคำสั่ง

“ท่านอ๋อง…”

ชั่วพริบตานั้นเสียงร้องขอชีวิตก็ดังต่อเนื่องเป็นระลอก ทั้งทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำแทบจะหยุดหายใจ ส่วนใหญ่ถลึงตาจ้อง กำอาวุธในมือแน่นจนแทบแตกละเอียดแล้ว

หยวนกงจ้องเขม็ง คอแห้งจนกลืนน้ำลาย ตอนนี้นึกเสียใจทีหลังแทบแย่ ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก ก็ไม่ควรไปขอสมัครเข้าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีเลย เขากำระฆังดาราไว้ในมือเงียบๆ เตรียมตัวจะเรียกคนมารับทุกเมื่อ

“หยุดนะ!”

ตอนนี้กระบี่ในมือเหมียวอี้กำลังจะออกแรงฟันคอโหยวฮ่วน อ๋องอสรพิษดำก็พลันตะโกนห้าม ตะโกนบอกราวกับเป็นบ้าไปแล้ว “เดี๋ยวค่อยปรึกษากันก็ได้!”

เมื่อเจอกับคนบ้าแบบนี้ นางก็ไม่กล้าเดิมพันอีกแล้ว ได้ยินว่าเจ้าบ้านี่กล้านำกำลังพลครึ่งกองธงไปสู้ตายกับทัพใหญ่หนึ่งล้าน เจ้าคิดว่าเขาไม่กล้าฆ่าตัวประกันจนหมดแล้วค่อยสู้ตายกับเผ่าเทพอสรพิษดำเหรอ? ถึงตอนนั้นคนที่ตายก็ไม่ได้มีแค่แสนกว่าแล้ว หากสองฝ่ายเข่นฆ่ากันจริงๆ ต่อให้ฝั่งนี้ชนะ แต่คาดว่าคงบาดเจ็บล้มตายไม่น้อย กำลังพลหนึ่งแสนฝ่ายตรงข้ามไม่มีใครวรยุทธ์ต่ำกว่าบงกชรุ้ง ทั้งยังมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่ในมือด้วย

ในฐานะที่เป็นอ๋องเผ่าเทพอสรพิษดำ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าเผ่าเทพอสรพิษดำ การพยายามปกป้องคนในเผ่าคือภารกิจของนาง…

เหมียวอี้ชะลอกระบี่ในมือวางไว้บ่าของโหยวฮ่วน แล้วเลิกคิ้วถามว่า “หรือว่าอ๋องอสรพิษดำยินดีจะส่งคนให้?”

ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่จิตใจพะวงอยู่กับการเคลื่อนไหวของกระบี่ในมือเขา

“เจ้าปล่อยคนในเผ่าข้าก่อน!” อ๋องอสรพิษดำกล่าว

“เจ้าคิดว่าเป็นไปได้เหรอ?” เหมียวอี้ถามเสียงต่ำ

อ๋องอสรพิษดำกล่าวเสียงดังว่า “สถานการณ์เป็นยังไง เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ คนอยู่ในมือตระกูลอิ๋งแล้ว ต่อให้ตอนนี้เจ้าฆ่าพวกเขาจนหมด ข้าก็ส่งตัวคนให้เจ้าไม่ได้อยู่ดี พวกเราแลกเปลี่ยนกันได้ เจ้าปล่อยพวกเขา แล้วข้าจะไปเป็นตัวประกันเอง พวกเราปรึกษากันได้ว่าจะช่วยคนจากตระกูลอิ๋งยังไง ใช้ประโยชน์คนเผ่าเทพอสรพิษดำของข้าคือผลลัพธ์ที่เจ้าต้องการไม่ใช่เหรอ?”

ในใจนางมีแผนการแล้ว นางเตรียมจะสละตัวเองแล้ว ถ้าคนในเผ่านางหลุดพ้นการควบคุมเมื่อไร นางก็จะสั่งให้คนในเผ่าไม่ต้องช่วยนาง ให้ถอนกำลังไปทันที

“ท่านอ๋อง! ไม่ได้นะ”

“ท่านอ๋อง! ทำอย่างนี้ไม่ได้ ท่านเสี่ยงอันตรายนี้ไม่ได้ พวกเราไม่ยอมเอาท่านไปแลกเปลี่ยน!”

ทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำทั้งซาบซึ้งทั้งเศร้าโศก ผู้อาวุโสหลายคนตะโกนเกลี้ยกล่อมอ๋องอสรพิษดำซ้ำๆ

…………………………

[1] ประตูเมืองไฟไหม้ เดือดร้อนถึงปลาในคูเมือง 城门失火殃及池鱼 หมายถึง คนใหญ่คนโตขัดแย้งมีปัญหากัน แต่ผู้น้อยเดือดร้อนไปด้วย

ทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำที่มาพร้อมความแค้น พอได้ยินคำพูดนี้ไฟโกรธก็ดับลงทันที ต่างก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ รวมทั้งอ๋องอสรพิษดำด้วย

ถ้ามีคนมาก่อกวนที่นี่ อย่างมากเผ่าเทพอสรพิษดำก็ออกไปสู้ตายสักตั้ง แต่ถ้าแอบจับตัวขุนนางตำหนักสวรรค์ไว้จริง ทั้งยังกล้าระดมกำลังพลมาต่อต้าน ก็น่ากังวลจริงๆ ว่าหายนะการถูกฆ่าล้างเผ่าจะมาเยือน

ไฟโกรธในดวงตาอ๋องอสรพิษดำหายไปบางส่วน ในใจเกิดความสงสัยรางๆ เดิมทีนางก็แปลกใจอยู่แล้ว สงสัยว่าในนั้นมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แดนรัตติกาลอยู่ห่างจากที่นี่มาก เหตุใดหนิวโหย่วเต๋อจึงถ่อมาล้างเลือดไกลถึงขนาดนี้ จะแค่เพราะว่าเผ่าเทพอสรพิษดำอ่อนแอรังแกง่ายเชียวหรือ? ไม่มีเหตุผล หรืว่าฝั่งนี้มีคนจับตัวขุนนางตำหนักสวรรค์ไว้จริงจนอีกฝ่ายจับจุดอ่อนได้?

เรื่องลงมือกับขุนนางตำหนักสวรรค์ ใช่ว่าเผ่าเทพอสรพิษดำจะไม่เคยทำ เรื่องบางเรื่องต้องขู่ให้กลัวเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยให้พวกขุนนางตำหนักสวรรค์พากันคิดว่าที่นี่เหมือนลูกพลับอ่อนที่บีบง่าย แบบนั้นจะไม่แย่เหรอ? ในบรรดาขุนนางตำหนักสวรรค์มีพวกโลภมากไม่ขาดอยู่แล้ว ต้องมีขู่กันบ้าง แต่ทีสำคัญคือต้องทำโดยไม่ให้จุดอ่อนไปตกในมือคนอื่น ไม่อย่างนั้นกฎสวรรค์ก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

แม้ในใจจะมีความสงสัย แต่อ๋องอสรพิษดำไม่ยอมรับแน่นอน ตะคอกตอบว่า “หากตั้งใจจะใส่ความ ก็หาข้ออ้างได้เสมอ!”

“พูดได้ดี!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม แล้วกวักมือข้างหนึ่งเบาๆ ข้างหลังมีคนคุมตัวโหยวฮ่วนที่สภาพสะบักสะบอมมาตรงหน้าทันที เหมียวอี้เหล่ตามอง แล้วพลันตะคอกว่า “ผู้ช่วยโหยว บอกอ๋องของพวกเจ้าซิ ใครเป็นคนจับสวีถังหรานรองหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลไป?”

ชั่วพริบตานั้น สายตานับไม่ถ้วนจากเผ่าเทพอสรพิษดำไปจ้องอยู่บนตัวโหยวฮ่วนทันที ต่างก็รู้สึกประหลาดใจสงสัย รองหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเหรอ?

แม้แต่พวกพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำที่ถูกจับไว้ก็หยุดร้องไห้แล้ว ทุกคนมองและตั้งใจฟังเงียบๆ

โหยวฮ่วนเม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้ามีแต่ความจนใจ ไม่ยอมพูด และไม่กล้าพูดด้วย ยิ่งไม่กล้ามองสายตาของคนในเผ่า

อ๋องอสรพิษดำจ้องโหยวฮ่วนครู่หนึ่ง แล้วเอียงซ้ายเอียงขวา หลานคนเข้าใจความหมายที่นางสื่อ รีบถลันตัวจากไป ไม่รู้ว่าไปไหนและจะทำอะไร ส่วนอ๋องอสรพิษดำก็ตะโกนเสียงดังว่า “จะดำหรือจะขาวก็ไปโต้เถียงกันที่ตำหนักสวรรค์ได้ ปล่อยคนเผ่าเทพอสรพิษดำของพวกเราก่อน!”

“ปล่อยคน! ปล่อยคน!”

“ปล่อยคน! ปล่อยคน!”

ทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำถูกจุดไฟโกรธขึ้นพร้อมกันทันที พากันโบกอาวุธคำราม เสียงดังขึ้นๆ ลงๆ ตามคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ ขณะเดียวกันก็แปรรูปขบวน เข้ามาล้อมทัพใหญ่แดนรัตติกาลไว้อย่างรวดเร็ว สร้างแรงกดดันให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่ใช่น้อย ถึงอย่างไรทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำก็มีกำลังพลมากกว่าฝ่ายนี้ ทั้งยังดูมีศักยภาพไม่อ่อนแอด้วย แถวหน้าสุดก็ยิ่งมีแต่ยอดฝีมือยืนอยู่

ทว่าสำหรับเหมียวอี้ที่ช่ำชองสงครามและผ่านศึกความเป็นความตายมามาก สถานการณ์ตอนนี้กลับไม่มีอะไรให้กลัว ยิ่งอยู่ในเวลาแบบนี้ ยิ่งเขาใจเย็นมากเท่าไร ความคิดก็ปลอดโปร่งมากเท่านั้น เขามีสีหน้าเรียบเฉย สายตาเย็นชา ลักษณะท่าทางสุขุมเยือกเย็น ยามเผชิญหน้ากับแรงกดดันที่ดุร้ายน่ากลัวก็ยังไม่สะทกสะท้าน มองข้ามทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำที่ล้อมเข้ามา

อ๋องอสรพิษดำและบุคคลระดับสูงของเผ่าเทพอสรพิษดำสังเกตปฏิกิริยาของเหมียวอี้ ตระหนักได้ทันทีว่าฉากนี้ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายตกใจเลย พวกเขาเคยได้ยินชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต๋อมาแล้วไม่น้อย วันนี้ถึงได้รู้ว่าเป็นสมคำร่ำลือจริงๆ ตระหนักได้เช่นกันว่าเรื่องในวันนี้คงจะจบลงสมใจปรารถนาพวกเขาได้ยาก

ไม่ใช่แค่เหมียวอี้ หยางเจาชิงและเหยียนซิว มีใครบ้างที่ไม่ได้ติดตามฝ่าอุปสรรคมาพร้อมกับเหมียวอี้ตลอดทาง พวกเขายืนนิ่งสุขุมเช่นกัน ชิงเยว่กับหลงซิ่นก็ยิ่งเป็นขุนศึกในยุคบุกยึดใต้หล้า ทั้งสองกวาดสายตาเย็นเยียบมองไปรอบๆ อย่างไม่ลนลาน

รอจนกระทั่งฝั่งนี้ถูกล้อมไว้โดยสิ้นเชิง เหมียวอี้ถึงได้เหลือบตาขึ้น แล้วกล่าวอย่างเย็นชา “ถ้าไม่ปล่อยแล้วจะทำไม?”

อ๋องอสรพิษดำที่กระโปรงปลิวสะบัดกล่าวข่มทันที “อ๋องผู้นี้ได้รับแต่งตั้งจากฝ่าบาท สามารถเข้าประชุมขุนนางในราชสำนักได้ สระน้ำมังกรดำคือสถานที่ส่วนตัวของฝ่าบาท ไม่ยอมให้ใครมาพาลเกเรง่ายๆ หากมีใครมากำเริบเสิบสาน ก็อย่าหาว่าเผ่าเทพอสรพิษดำของข้าไม่เกรงใจ!”

เหมียวอี้เอียงหน้าถ่ายทอดเสียงทันที แล้วยกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ่ว ตอบเสียงแข็งกลับไปว่า “หนิวคนนี้ก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเจ้าจะไม่เกรงใจยังไง!”

ทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำยังไม่ทันเข้าใจว่าการยกนิ้วหมายความว่าอะไร กำลังพลข้างหลังเหมียวอี้ก็เคลื่อนไหวแล้ว นำพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำพันคนที่จับได้มาไว้ข้างหน้าทันที แต่ละคนถูกกดหัวเอาไว้

“เตรียมลงโทษประหาร!” หลงซิ่นตะโกนเสียงดัง

ดาบพันเล่มถูกยกขึ้นมา พร้อจะฟันลงไปได้ทุกเมื่อ

“ท่านอ๋อง! ช่วยพวกเราด้วย…”

พี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำที่กำลังจะถูกลงโทษประหารร้องไห้ด้วยความตระหนก มีเด็กจำนวนไม่น้อยตกใจจนร้องไห้

“หยุดนะ!”

“เจ้ากล้าเหรอ!”

“เจ้าลองดูสิ!”

ฝั่งทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำมีเสียงตะโกนทันที บ้างก็ตะโกนห้าม บ้างก็ใช้อำนาจข่ม บ้างก็ขู่ให้ตกใจ เสียงของอ๋องอสรพิษดำก็ปนอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน

เหมียวอี้สีหน้าเย็นชา ตะโกนเสียงดังว่า “ประหาร!”

ชวิ้ง! เงากระบี่แสงดายแวบผ่านไป เสียงร้องไห้ที่ดังระงมเงียบแล้ว ศีรษะหลายใบลอยออกไปในดาราจักร เลือดสดหลายสายพุ่งออกมา แล้วกระเด็นไปทางทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำที่อยู่ตรงข้าม

เด็กสตรีและคนชราของเผ่าเทพอสรพิษดำนับพันวอดวายชีวาในชั่วพริบตาเดียว ศพคืนร่างเดิมอย่างรวดเร็ว กลายเป็นงูดำที่ตัวกับหัวอยู่กันคนละที่ ศพที่ไม่สมประกอบถูกผลักไปฝั่งทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว เศษร่างกายม้วนกลิ้งอย่างไร้ระเบียบอยู่ในดาราจักร ตัดกับสีของดาวเคราะห์ทะเลเพลิงที่อยู่ไม่ไกล อยู่ในดาราจักรสามารถมองเห็นทะเลเพลิงบนดาวเคราะห์ดวงนั้นได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ราวกับเป็นพระอาทิตย์ดวงเล็ก แต่สิ่งที่แตกต่างกับพระอาทิตย์ก็คือมีควันหนาลอยโขมง

มือดาบที่ลงโทษประหารแล้วถอยกลับเข้าไปในกระบวนทัพใหญ่ทันที

ทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำตะลึงค้างแล้ว จากนั้นก็มีคนคำรามอย่างโกรธแค้น “ท่านอ๋อง! ฆ่าพวกมันเลย!”

บางคนถึงขั้นไม่สนใจคำสั่งท่านอ๋อง ตะโกนเสียงแตกบอกคนในเผ่าตัวเองแล้วว่า “ตามข้าไปสังหาร!”

กระบี่ในมือเหมียวอี้จ่อบนคอโหยวฮ่วนแล้ว หลงซิ่นส่งสัญญาณมือให้ทัพใหญ่ข้างหลังทันที ทัพใหญ่แดนรัตติกาลจ่อดาบบนคอเชลยศึกเผ่าเทพอสรพิษดำอีก

“ท่านอ๋อง! ช่วยพวกเราด้วย…”

ชั่วพริบตาเดียว เสียงร้องตกใจ เสียงกรีดร้อง เสียงร้องไห้ดังขึ้นอีกครั้ง

“หยุดนะ!” อ๋องอสรพิษดำรีบตะโกนห้ามคนที่พุ่งออกไป

ไม่ต้องรอให้นางตะโกน กำลังพลกลุ่มที่พุ่งออกไปชำเลืองมอง เด็กสตรีและคนชราเผ่าเทพอสรพิษดำที่กำลังจะหัวหลุดแล้ว พวกเขาทยอยกันหยุดเพราะกลัวลูบหน้าปะจมูก ชายร่างกำยำที่นำหน้ามาตะโกนด่าเหมียวอี้อย่างเกรี้ยวกราด “ต่ำช้า! ไร้ความละอาย!”

เหมียวอี้ชี้กระบี่ในมือไปทางกำลังพลที่พุ่งเข้ามา กำลังพลสามพันคนข้างหลังเขาลอยขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สามพันคันง้างสายแล้ว

“ถอย!” ชายร่างกำยำที่พุ่งเข้ามาสั่งให้กำลังพลถอยไปข้างหลังทันที

ทว่าบอกให้ถอนกำลังตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว เหมียวอี้โจมตีอย่างไม่ปรานีหากคนพวกนี้เคลื่อนไหวผิดปกติ เจตจำนงที่เขาแสดงออกมาตอนนี้ จะให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขากังวลหรือหวั่นไหวไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับเอาชีวิตของทัพใหญ่หนึ่งแสนมาล้อเล่น ต้องรู้ไว้ว่าตอนนี้ทัพใหญ่หนึ่งแสนกำลังถูกทัพใหญ่ของ่ายตรงจ้ามล้อมไว้ เจตจำนงและการแสดงออกของเขาจะเป็นตัวตัดสินขวัญกำลังใจของทัพใหญ่หนึ่งแสนโดยตรง

ในฐานะผู้บัญชาการทัพ ตอนนี้เขาแสดงความเด็ดขาดในการสังหารออกมาจนหมด อยู่บนสนามรบต้องพลิกแพลงตามสถานการณ์ ต้องไร้หัวใจ เพราะผลที่ตามมาจากการเมตตาศัตรู เขาเองนั้นรับผิดชอบไม่ไหว

เขาผ่านศึกเล็กศึกใหญ่มาแล้วกี่ครั้ง แม้แต่ตัวเองก็นับจำนวนได้ไม่ชัดเจน เริ่มตั้งแต่ที่พิภพเล็ก เวลานำทัพออกรบแล้วกลับมา หลายครั้งที่เขามองกำลังพลที่เหลือด้วยความหดหู่ ศึกที่น่านฟ้าระกาติงยับเยินขนาดไหน กำลังพลครึ่งกองธงถูกโจมตีจนพิการ ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพ นั่นคือผลลัพธ์ที่เขาไม่อยากเห็น ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพ เมื่อนำกำลังพลออกมาแล้ว ความรับผิดชอบตามจริยธรรมของเขาก็คือพยายามนำกำลังพลกลับไปโดยครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับไม่ซื่อสัตย์ต่อกลุ่มคนที่จงรักภักดีต่อตน!

ดังนั้นเขาจึงชี้คมกระบี่ไปตรงหน้าอีกครั้งด้วยสีหน้าเย็นเยียบเงียบขรึม ออกคำสั่งโจมตี!

เสียงยิงลูกธนูดาวตกดังเหมือนจุดปะทัด ลูกธนูสามดอกยิงพร้อมกัน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สามพันคัน มีลูกธนูดาวตกเกือบหมื่นกลายเป็นลำแสงยิงออกไปราวกับพายุฝนคลั่ง

กำลังพลตรงข้ามที่กำลังถอยหลังชุลมุนวุ่นวายทันที ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังถี่และต่อเนื่อง บางคนลนลานยกโล่ขึ้นมากำบัง บางคนส่งเสียงร้องคร่ำครวญ

คนสิบกว่าคนรีบชูโล่กำบังมาขวางตรงหน้าชายร่างกำยำคนนั้น แต่กลับถูกฝนธนูที่ยิงรวมเข้ามาอย่างหนาแน่นถล่มจนกระเด็นออกไปแล้ว ชายร่างกำยำสะเทือนจนกระอักเลือด ร่างกายสั่นเทิ้มอยู่พักหนึ่ง ทั้งตัวถูกลูกธนูเสียบราวกับเม่น ลูกธนูที่เด้งกลับมาดึงเลือดให้พุ่งกระฉูดออกมาด้วย ลูกธนูดาวตกเกือบหมื่นส่วนใหญ่เล็งไปหาเขาที่พุ่งนำออกมาก่อน แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร

ในดาราจักรทิ้งศพไว้อีกนับร้อย คนที่เหลือรอดหนีกลับมาอย่างหวาดกลัว

“หนิวโหย่วเต๋อ!” อ๋องอสรพิษดำที่งดงามราวเทพีไม่รักษาภาพลักษณ์แล้ว ชี้หน้าคำรามใส่เหมียวอี้จนคอแทบแตก

ทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำแต่ละคนเดือดดาลจนตาแทบลุกเป็นไฟ อยากจะพุ่งเข้าไปสับเหมียวอี้เป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น ทว่าไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ชีวิตของเด็กสตรีและคนชรานับแสนของเผ่าเทพอสรพิษดำอยู่ภายใต้คมดาบของเหมียวอี้แล้ว

โหยวฮ่วนที่มองตาปริบๆ มีสีหน้าอย่างไรบอกไม่ถูก ให้ความรู้สึกเหมือนโดนทรมานจนเป็นบ้าไปแล้ว ถ้ายังมีโอกาสรอดชีวิตต่อไป ทั้งชีวิตนี้เขาก็ไม่อยากเห็นหนิวโหย่วเต๋อคนนี้อีก!

เหมียวอี้ราวกับราชามารที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบ กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “หนิวจะพูดอีกครั้ง ส่งตัวสวีถังหรานมา ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าหนิวคนนี้เอาชีวิตพวกเจ้าฝังลงหลุมศพเป็นเพื่อนสวีถังหราน!”

ในขณะนี้เอง โหยวโยวมาแล้ว ถูกผู้อาวุโสหลายคนของเผ่าเทพอสรพิษดำลากกลับมาด้วยกัน ผมยาวยุ่งเหยิง ทั้งตัวราวกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มองดาวเคราะห์ที่ยังคงลุกไหม้ แล้วมองศพเผ่าเทพอสรพิษดำที่ลอยอยู่ในดาราจักรอีกครั้ง สีหน้าเศร้าสลดใจ

หลังจากทำให้เรื่องลุกลามจนไม่อาจแก้ไขได้ นางเคยคิดจะหนี อยากจะหนีหายไปในทะเลดาวอันกว้างใหญ่และไม่คิดจะกลับมาอีก แต่ลูกชายนางอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อ ทั้งยังมีเผ่าเทพอสรพิษดำมากมายที่ตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋ออีก สุดท้ายนางก็ไม่ได้หนี

ตอนนี้นางไม่กล้าเผชิญหน้ากับสายตาของคนในเผ่า นางเห็นลูกชายที่กำลังทำสีหน้าเศร้าสลด พอจะเดาออกแล้วว่าคนที่อยู่หน้าสุดฝ่ายตรงข้ามคือหนิวโหย่วเต๋อ จู่ๆ น้ำตาก็ไหลพราก กล่าวด้วยรอยยิ้มน่าเวทนา “หนิวโหย่วเต๋อ ถ้ามีอะไรข้าจะรับไว้คนเดียว คนในเผ่าข้าไม่เกี่ยว ปล่อยพวกเขาไป!”

หลังจากได้รับคำบอกใบ้นี้ รู้แล้วว่าคนคนนี้คือโหยวโยว เหมียวอี้ก็บอกว่า “ชีวิตต่ำต้อยของเจ้าชีวิตเดียวรับผิดชอบไม่ไหวหรอก ส่งตัวสวีถังหรานมา ข้าจะปล่อยพวกเขาไป ไม่อย่างนั้นก็เลิกคิดจะรอดกลับแม้แต่คนเดียว!”

“มีเรื่องอะไรกันแน่?” อ๋องอสรพิษดำเดือดดาลแล้ว จ้องโหยวโยวพลางตะคอกถาม

โหยวโยวหันตัวมาช้าๆ แล้วร้องไห้พลางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ไฟ ไม่ได้ปิดบังอะไร

ขอบเขตการถ่ายทอดเสียงไม่กว้างมาก มีเพียงพวกอ๋องอสรพิษดำที่อยู่ตรงหน้าที่ได้ยิน ทว่าความจริงของเรื่องนี้ก็ทำให้คนโกรธจนตัวสั่น แต่ละคนอยากสับนางสักพันดาบ

“เจ้า…” อ๋องอสรพิษดำชี้นาง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงถี่กระชั้น สุดท้ายนางก็พยายามข่มไฟโกรธเอาไว้ ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องรับมือกับภายนอก เรื่องภายในเผ่าเทพอสรพิษดำเดี๋ยวค่อยว่ากัน นางจ้องเหมียวอี้อีกครั้ง แล้วกล่าวเสียงดังว่า “คนที่เจ้าต้องการอยู่ในมือตระกูลอิ๋ง ถ้าตอนนี้เจ้าปล่อยพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำของข้ามา ข้าจะทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ข้ารับประกันตรงนี้ ว่าเผ่าเทพอสรพิษดำจะไม่สืบสาวเอาเรื่อง ถ้าอยากได้คนก็ไปเอาที่ตระกูลอิ๋งเอง ปล่อยคนเดี๋ยวนี้!”

………………

“รับทราบ!” จั่วเอ๋อร์กุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง ในใจกลับทอดถอนใจไม่หยุด จับกุมท่านโหวต่อหน้าทุกคนแบบนั้น ส่งผลกระทบต่อบารมีความน่าเชื่อถือของท่านโหวไม่น้อยเลย

ทว่าเรื่องราวเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน หลุดจากแผนการโดยสิ้นเชิง หนิวโหย่วเต๋อทำเรื่องราวให้ลุกลามใหญ่โตขนาดนี้แล้ว หลังจากจบเรื่องหากให้คนอื่นรู้ว่าทัพตะวันออกแอบระดมกำลังพลห้าล้านแต่กลับจัดการทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาลไม่ได้ แล้วทัพตะวันออกจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ส่งผลกระทบรุนแรงต่อชื่อเสียงบารมีท่านอ๋องมาก ความไม่พอใจที่เกิดจากการปรับปรุงทัพตะวันออกในหลายปีมานี้จะต้องปะทุแน่นอน

เห็นได้ชัดว่าท่านอ๋องตระหนักได้ถึงความหมายแฝงในคำพูดนางแล้วเช่นกัน นอกจากจะถอดตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของท่านโหวออก ยังป้องกันไม่ให้ท่านโหวอาศัยภูมิหลังวงศ์ตระกูลมาก้าวก่ายเรื่องนี้ด้วย จึงออกคำสั่งจับตัวท่านโหวไว้ก่อนเสียเลย จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าศึกนี้สำคัญขนาดไหน ขณะเดียวกันก็เป็นการกดดันแม่ทัพคนอื่นเช่นกัน ว่าศึกนี้จะต้องสำเร็จ แพ้ไม่ได้!

ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงที่นั่งพิงเก้าอี้กำลังเปิดม้วนตำราอย่างช้าๆ ในดวงตาฉายแววงุนงงตกตะลึง จ้องมองที่กำลังรีบร้อนรายงานสถานการณ์ทางสระน้ำมังกรดำ

หลังจากซ่างกวนชิงเล่าจบในอึดใจเดียว เขาก็เงยหน้ามองปฏิกิริยาของประมุขชิงแวบหนึ่ง

หลังจากย่อยข้อมูลครู่หนึ่ง ประมุขชิงทำสีหน้าราวกับโดนตะคริวกิน พึมพำว่า “ถ่อไปตั้งไกลแต่ไม่ช่วยคน ดันไปล้างเลือดตลาดมืด…” พอครุ่นคิดไปสักพัก จู่ๆ ก็ยิ้มมุมปากอย่างร่าเริง “เจ้าลูกลิงนี่ไม่ตกหลุมพราง นี่กำลังเล่นลูกไม้ไหนอีกล่ะ?”

“คนของพวกเราที่อยู่ตลาดมืด บ้างก็ตายบ้างก็ถูกหนิวโหย่วเต๋อจับตัวไปแล้ว” ซ่างกวนชิงลองถามหยั่งเชิง

“ตายไปบ้างก็ดี” ประมุขชิงกล่าวอย่างสบายๆ แต่กลับทำให้ซ่างกวนชิงอึ้งทันที รู้สึกหนาวในใจนิดหน่อย พูดในใจว่า นี่เป็นคนของท่านทั้งนั้นนะ ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ? เห็นเพียงประมุขชิงยกม้วนตำราปิดหน้า “ถึงยังไงเผ่าเทพอสรพิษดำก็สืบเผ่าพันธุ์ได้เร็ว ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่ลงมือ ช้าเร็วข้าก็ต้องลงมือลดจำนวนลงสักหน่อยอยู่ดี จับตาดูต่อไป”

ที่แท้ก็เป็นเผ่าเทพอสรพิษดำ! ซ่างกวนชิงโล่งอก แล้วโค้งตัวเอ่ยรับคำสั่ง “ขอรับ!”

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่กำลังเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่ในสวนดอกไม้พลันหยุดเดินแล้วหันตัวมา จ้องถังเฮ่อเหนียนพลางถามเสียงต่ำว่า “กำลังล้างเลือดตลาดมืดเหรอ?”

ถังเฮ่อเหนียนตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ขอรับ! ไม่ว่าจะเป็นชายหญิงเด็กคนแก่ ก็ไม่ปล่อยไปเลยสักคน เปิดฉากสังหารใหญ่ ทั้งเผาทั้งฆ่าทั้งปล้น ตะโกนอ้างว่าปราบโจร ที่เกิดเหตุน่าเวทนามาก ผู้ช่วยคนหนึ่งของจวนเราที่รับผิดชอบร้านค้าในตลาดมืดอยู่ทางนั้นพอดี ตายด้วยน้ำมือทัพใหญ่แดนรัตติกาลเช่นกัน คนที่โชคดีหนีพ้นก็ไม่กล้ากลับไปอีกเลย บอกเพียงว่าหนิวโหย่วเต๋อไปแล้ว!”

โค่วเจิงที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วโกรธแค้น “กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา จะดีจะร้ายเขาก็เรียกท่านพ่อว่าท่านพ่อบุญธรรม ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่คนของตระกูลโค่วก็ไม่ปล่อยไป!”

โค่วหลิงซวีชำเลืองมองเขาวบหนึ่ง แล้วถามถังเฮ่อเหนียนอีกว่า “คนตระกูลอื่นล่ะ? พุ่งเป้ามาที่ตระกูลโค่วหรือว่ายังไง?”

ถังเฮ่อเหนียนตอบว่า “ตามรายงาน ดูจากตอนที่ลงมือ ขอเพียงเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะจับไปหมด ใครหนีก็ฆ่า คงจะไม่ได้พุ่งเป้ามาที่ตระกูลโค่วอย่างเดียว…” เขาชำเลืองมองโค่วเจิงเล็กน้อย แล้วพูดต่อว่า “คนของเราที่อยู่ตลาดมืด หนิวโหย่วเต๋อก็จะไม่รู้จัก น่าจะแยกไม่ออกว่าพวกไหนคือคนของพวกเรา”

โค่วเจิงขยับมุมปากเบาๆ หลุบตาลงเล็กน้อย ไม่พูดอะไรแล้ว

โค่วหลิงซวีเอามือไขว้หลัง หรี่ตามองฟ้า พลางกล่าวอย่างลังเลว่า “เจ้าเด็กนั่นกินยาผิดมาหรือเปล่า? ทำไมถ่อไปอาละวาดที่นั่นแล้ว เกิดเรื่องอะไรกันแน่ เจ้าเด็กนั่นถึงเปิดฉากสังหารใหญ่ขนาดนั้น?”

“ตอนนี้ยังมองเบาะแสอะไรไม่ออกขอรับ แต่ต้องมีสาเหตุแน่นอน ดูจากที่ลงมือสังหารเผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว แม้แต่กับเด็กทารกยังไม่เว้น ทั้งยังถ่อไปไกลถึงสระน้ำมังกรดำ มีความเป็นไปได้สูงว่าเผ่าเทพอสรพิษดำจะเกี่ยวข้องด้วย” ถังเฮ่อเหนียนตอบ

“ถามอ๋องอสรพิษดำหน่อยว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่” โค่วหลิงซวีถาม

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องหนังสือ ขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิด

โกวเยว่ใช้ระฆังดาราติดต่อเสร็จแล้ว รายงานว่า “ท่านอ๋อง ทางฝั่งอ๋องอสรพิษดำก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ได้ตอบอะไร”

ก่วงลิ่งกงเดินกลับมานั่งข้างหลังโต๊ะ แล้วครุ่นคิดพลางถามว่า “เจ้าเด็กนั่นมีเจตนาอะไรกันแน่? คนของพวกเราไม่ตอบกลับมาเลยเหรอ?”

“จากรายงานที่ได้รับมา หลังจากรู้ว่าพวกเขาอยู่ในสถานการณ์วิกฤติ ตามคำสั่งท่านอ๋อง บ่าวให้พวกเขาเลิกขัดขืนแล้วยอมแพ้ ตอนนี้ติดต่อไม่ได้แล้ว น่าจะตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อแล้ว จะเป็นหรือตายก็ไม่รู้ ทัพใหญ่แดนรัตติกาลฆ่าคนจนเสียสติไปแล้ว ถ้าเห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ปล่อยไป คนที่เฝ้าดูก็ไม่กล้าเข้าไปตรวจสอบใกล้ๆ เช่นกัน คงทำได้เพียงรอให้จบเรื่องแล้วค่อยไปขอคนจากหนิวโหย่วเต๋อทีหลัง” โกวเยว่ตอบ

“มารดามันเถอะ!” ก่วงลิ่งกงสบถคำด่า

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ฮ่าวเต๋อฟางที่เดินเนิบนาบอยู่ระหว่างตึกศาลากล่าวอย่างสงสัยว่า “เผ่าเทพอสรพิษดำก่อเรื่องอะไรที่ทำให้ฟ้าพิโรธคนแค้น ทำให้เจ้าเด็กนั่นอาละวาดขนาดนั้น”

ซูอวิ้นที่เดินตามอยู่ข้างๆ ซ่ายหน้า “อ๋องอสรพิษดำไม่มีท่าทีตอบสนอง ผู้อาวุโสโหยวโยวก็ไม่ตอบเช่นกัน ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ไม่รู้ชัดว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ค่ะ”

จวนท่านปู่สวรรค์ ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า เซี่ยโห้วลิ่งที่กำลังนั่งดีดฉินเหม่อไปพักใหญ่

ตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ปิดตัวเองอยู่ในห้องเพียงลำพัง กำลังเดินไปเดินมาอย่างร้อนรน ไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางฝั่งเหมียวอี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว

โครม!

สุดท้ายต้นสับปลับใต้เท้าที่ถูกเพลิงเดือดกลืนกินก็พังครืนแล้ว

พวกเหมียวอี้ที่ลอยอยู่บนฟ้ากำลังสังเกตการณ์โดยรอบ คลื่นร้อนข้างล่างกำลังลอยตัวสูงขึ้น เมื่อทอดสายตามองไปทั้งดาวเคราะห์ ก็จะพบว่ามันอยู่ในทะเลเพลิงแล้ว เป็นเพราะเปลวเพลิงที่เกิดจากหินผลึกไขมันเพลิงนั้นโหดเกินไป

โหยวฮ่วนร่ำไห้อย่างปวดใจจนเสียงแหบ น้ำตานองเต็มหน้าแล้วจริงๆ

เหมียวอี้เพิ่งเก็บระฆังดารา ตอนนี้เรียกได้ว่ายิ้มเจื่อนในใจ จอมพลสายเถาะผังก้วนติดต่อมาหาเขาด้วยตัวเอง ถามเขาว่าหมายความว่าอะไร เป็นบ้าอะไรไปอีก?

เหมียวอี้ไม่ได้ปิดบังเขาเช่นกัน เล่าเรื่องระหว่างตัวเองกับตระกูลอิ๋งให้ฟัง เพียงแต่ขอให้เขาช่วยปิดเป็นความลับ

ผังก้วนได้ฟังแล้วเข้าใจเจตนา ไม่ได้พูดอะไรอีก แค่บอกเหมียวอี้ว่าอย่าฆ่าคนของเขา ให้ปล่อยคนของเขาที่ตลาดมืดไป

เหมียวอี้ตอบว่า ไม่รู้ว่าใครบ้างที่เป็นคนของผังก้วน ถึงอย่างไรก็ฆ่าไปแล้วไม่น้อย ไม่รู้ว่ามีคนของผังก้วนหรือเปล่า ถ้าในบรรดาตัวประกันที่จับได้มีคนของผังก้วนอยู่ เดี๋ยวต่อไปก็จะปล่อยแน่นอน

ผังก้วนพูดไม่ออก ไม่ได้ตอบอะไรแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังโมโหหรือกลุ้มใจ

“นายท่าน! ที่ตลาดมืดมีร้านค้าไม่น้อยที่เกี่ยวข้องกับคนใหญ่คนโตในตำหนักสวรรค์ ท่านทำแบบนี้ ไม่กลัวจะล่วงเกินพวกเขาจริงๆ เหรอ?” ชิงเยว่เก็บสายตากลับมาจากที่ไกลๆ หันกลับมามองเหมียวอี้ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถาม

เหมียวอี้ไม่มองว่าสำคัญอะไรเลย “ล่วงเกินเหรอ? โทษข้าได้รึไง? ช้าเร็วพวกเขาก็ต้องรู้ความจริงเรื่องนี้ ตระกูลอิ๋งต่างหากที่เป็นคนเริ่มเรื่อง ไม่ใช่ข้าคนเดียวเสียเมื่อไร ข้าก็เป็นผู้เสียหายเหมือนกัน จะมาโทษข้าคนเดียวได้ยังไงล่ะ?”

“…” ชิงเยว่อ้าปากค้าง สงสัยท่านนี้คงกำลังหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเอง ไม่แปลกใจที่กล้าลงมือสังหารปละปล้นทรัพย์สินเต็มที่แบบนี้ เขาพบว่าตรรกะของหัวหน้าภาคท่านนี้ช่างขัดกับคนปกติจริงๆ แต่จะว่าไปแล้วก็มีเหตุผล

หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ พลันเอ่ยถาม “นายท่าน สายลับรายงานมา ว่ากำลังพลกลุ่มใหญ่ของเผ่าเทพอสรพิษดำกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้”

เหมียวอี้พยักหน้า บอกใบ้ว่ารู้แล้ว “ในที่สุด คนที่ควรมาก็มาแล้ว ข้ายังนึกว่าพวกเขาจะไม่สะทกสะท้านต่อไปซะอีก สงสัยสองแม่ลูกจะปิดข่าวไม่ให้อ๋องอสรพิษดำรู้มาตลอด ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ถอนกำลังแล้วจัดกระบวนทัพ เตรียมรบ!”

ตามคำสั่งทหารที่ถ่ายทอดลงไป ในทะเลเพลิงมีเสียงระเบิดดังไม่หยุด สี่ด้านแปดทิศล้วนเป็นเช่นนี้ เสยีงตูมตามดังถี่ ทั่วทุกหนแห่งมีแสงจากเปลวไฟยิงไม่หยุด ราวกับฟ้าถล่มแผ่นดินแยก ทัพใหญ่กำลังปฏิบัติตามแผนรุกโจมตีที่วางไว้ล่วงหน้าแล้ว

ชิงเยว่มองไปทั่วทุกที่ เรียกได้ว่าทอดถอนใจด้วยความหดหู่ ตลาดมืดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายปี ตลาดมืดที่อยู่มานานกว่าอายุของนางเสียอีก ครั้งนี้ดูท่าจะพังแล้ว มีจุดจบอยู่ในมือท่านหัวหน้าภาคของพวกเราโดยสิ้นเชิงแล้ว

ทัพใหญ่รวมตัวกันกลับมา กำลังพลแต่ละคนที่ผ่านการล้างเลือดมาแผ่กลิ่นอายดุดันโหดร้าย ในดวงตาถึงขั้นฉายแววตื่นเต้นดีใจ ปล้นได้ถึงอกถึงใจมาก!

“จับคนเผ่าเทพอสรพิษดำได้เท่าไร ที่ยังเป็นๆ อยู่เอาออกมาให้หมด” เหมียวอี้ถ่ายทอดคำสั่งอย่างเย็นเยียบอีกครั้ง

ผ่านไปไม่นาน ทั้งชายทั้งหญิง ทั้งเด็กทั้งคนชราถูกปล่อยออกมา แต่ละคนถูกควบคุมไว้แล้ว มีจำนวนไม่น้อยที่ร้องไห้ไม่หยุด พวกเขาปะปนอยู่ท่ามกลางทัพใหญ่ ชั่วขณะนั้นนับไม่ถ้วนว่ามีจำนวนเท่าไร ถึงอย่างไรก็เยอะกว่ากำลังพลทัพใหญ่แดนรัตติกาล

“ไป!” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วพุ่งขึ้นฟ้านำไปก่อน แล้วทัพใหญ่ก็ควบคุมเชลยศึกทะยานขึ้นฟ้าตามไป

ทัพใหญ่มาที่ดาราจักรอีกครั้ง พอเหมียวอี้หยุด กลุ่มคนข้างหลังที่ดำทะมึนก็หยุดเช่นกัน แล้วหันหน้าไปทางสายลับที่มารายงาน

ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว ทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำก็มาถึงแล้ว มีจำนวนนับล้านคน ทั้งหมดสวมเกราะรบ เห็นได้ชัดว่ามีศักยภาพถึงระดับที่จะร่วมรบได้แล้ว

“ท่านอ๋อง!”

“ช่วยพวกเราด้วย!”

พี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำที่ถูกควบคุมตัวมา พอเห็นทัพใหญ่ทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำ ก็ร้องไห้วิ่งวอนอย่างเศร้าโศกทันที

เหมียวอี้ที่สีหน้าเย็นชาแสยะยิ้ม “นอกตำหนักสวรรค์ ไม่น่าเชื่อว่ายังมีทัพใหญ่ขนาดนี้เอาไว้ส่วนตัว สงสัยเผ่าเทพอสรพิษดำจะแพร่พันธุ์เก่งมาก”

หลงซิ่นที่อยู่ข้างๆ บอกว่า “เผ่าเทพอสรพิษดำสืบสกุลทางฝ่ายมารดา ฐานะของผู้หญิงสูงกว่าผู้ชาย ไม่มีการแต่งงานผูกมัด ขอเพียงผู้หญิงเต็มใจ ก็มีผู้ชายช่วยให้พวกนางสืบทอดทายาทอยู่แล้ว อีกทั้งเผ่าเทพอสรพิษดำยังมีพลังอิทธิฤทธิ์โดยกำเนิด พอเติบโตเต็มวัยก็จะกลายร่างเป็นมนุษย์ มีความสามารถในการปกป้องตัวเองได้ตั้งแต่เด็ก ไม่ตายตั้งแต่ยังเยาว์วัยง่ายๆ กอปรกับอยู่ในอาณาเขตที่สงบสุข จำนวนคนก็ย่อมไม่น้อย”

เหมียวอี้บอกว่า “เรื่องนี้ข้าเคยได้ยินมาแล้ว เพียงแต่กำลังพลเยอะขนาดนี้ ไม่กลัวว่าจะผิดข้อห้ามเหรอ? เดชานุภาพสวรรค์ยากคาดเดา!” คำพูดนี้ซ่อนความหมายแฝงเอาไว้

ชิงเยว่กับหลงซิ่นสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็เข้าใจความหมายในคำพูดของเหมียวอี้

ชิงเยว่บอกว่า “จะว่าไปแล้ว การขยันแพร่พันธุ์ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่เผ่าเทพอสรพิษดำใช้ปกป้องตัวเองเหมือนกัน ใช่ว่าเผ่าเทพอสรพิษดำจะไม่เคยประสบเคราะห์ภัย แต่มีจำนวนเยอะจนฆ่าเท่าไรก็ไม่หมด ตราบใดที่รุ่นหลังยังมีคน เผ่าใหม่ก็ย่อมเกิดขึ้นได้อีก…คนที่สวมมงกุฎใบไม้บนหัวก็คืออ๋องอสรพิษดำ นางชื่อซิง!”

ตอนนี้ทัพใหญ่ทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้ว สายตาของเหมียวอี้หยุดอยู่บนศีรษะผู้หญิงที่สวมมงกุฏดอกไม้จากก้านหัวใจสีเขียว เขาตกตะลึงอยู่บ้าง กิริยาท่าทางแบบนั้น เรือนร่างนั้น ใบหน้านั้น สวยสดใสโดดเด่น เป็นยอดหญิงงามแห่งยุคอย่างแท้จริง นึกไม่ถึงว่าสาวงามที่หาพบได้ยากจะเป็นอ๋องแห่งเผ่าเทพอสรพิษดำ

“ชิงเยว่ หลงซิ่น!” อ๋องอสรพิษดำจ้องประเมินทางนี้ จำทหารอารักขาข้างซ้ายและขวาของเหมียวอี้ได้ทันที เห็นได้ชัดว่ารู้จักสองคนนี้

หลงซิ่นแสยะยิ้ม ส่วนชิงเยว่ก็กล่าวทักทายเสียงเรียบ “ซิง ไม่เจอกันนานเลยนะ!”

อ๋องอสรพิษดำไม่สนใจนาง สายตาจ้องบนตัวเหมียวอี้พลางตวาดถาม “เจ้าคือหนิวโหย่วเต๋อ หัวหน้าภาคแดนรัตติกาลใช่มั้ย?”

เหมียวอี้มองนางอย่างเย็นชา จ้องด้วยสายตาเย็นเยียบ “ในเมื่อรู้ว่าเป็นข้า ยังไม่ยอมให้จับแต่โดยดีอีก!”

ทัพใหญ่เผ่าเทพอสรพิษดำเดิมทีก็มีสีหน้าโกรธแค้นอยู่แล้ว ตอนนี้พอได้ยินแบบนี้ แต่ละคนก็แทบจะมีไฟลุกจากดวงตา

อ๋องอสรพิษดำตะโกนเสียงแตก “เผ่าเทพอสรพิษดำของข้าไม่มีบุญคุณความแค้นกับเจ้า ทำไมจึงลงมือสังหารที่นี่?”

“ไม่มีบุญคุณความแค้นงั้นเหรอ!” เหมียวอี้พลันชักกระบี่ออกจากเอว แล้วชี้อีกฝ่ายในระยะไกล “แอบจับตัวขุนนางตำหนักสวรรค์ไว้ส่วนตัว ทั้งยังกล้าฝ่ากฎระดมทัพส่วนตัว วันนี้ถ้าเผ่าเทพอสรพิษดำไม่ส่งขุนนางตำหนักสวรรค์มาให้ข้า ก็อย่าหาว่าทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์กวาดล้างสระน้ำมังกรดำ ขุดรากถอนโคนเผ่าเทพอสรพิษดำแล้วกัน!”

……………

“ผู้อาวุโส คนในเผ่ากำลังถูกสังหาร ลังเลอีกไม่ได้แล้ว!”

ชายร่างกำยำที่นั่งคุกเข่าราวกับน้ำตาจะเป็นสายเลือด โหยวโยวที่ล้มนั่งอยู่บนพื้นกลับเรียกสติคืนกลับมาได้ยาก

เมฆดำพลิกม้วน ใต้ท้องฟ้าที่มีสายฟ้าแลบแวบวับ ปราสาทหลังมหึมาที่มีต้นสับปลับรุมเร้าตั้งตระหง่านตั้งโดดเด่น บนประตูมีตัวอักษรขนาดใหญ่ที่ถูกต้นสับปลับเลื้อยพัน : ปราสาทเทพ!

เงาคนคนหนึ่งถลันเข้ามา สตรีชุดผ้ามุ้งดำเดินลากกระโปรงยาวอยู่นอกประตูใหญ่ของปราสาท กระโปรงผ้ามุ้งสั่นไหวตามแรงลม มีฟ้าแลบหลายสายบนท้องฟ้า ทำให้เรือนร่างอรชรใต้ชุดผ้ามุ้งปรากฏให้เห็นวับๆ แวมๆ มงกุฎที่ถักทอด้วยก้านหัวใจสีเขียวบนศีรษะทำให้นางดูเหมือนเทพี

กระโปรงผ้ามุ้งสีดำ เรือนร่างอรชรอ่อนช้อย ผิวขาวดุจหิมะ สวมมงกุฏดอกไม้สีเขียวมรกต ผมยาวปลิวไสว ฟ้าแลบปรากฏภาพอันน่าตกตะลึง ส่องสว่างใบหน้างามเลิศล้ำ คนยืนอยู่ตรงนั้นราวกับเป็นดอกกล้วยไม้ต้นหนึ่ง เมื่อปรากฏอยู่ในโลกที่มืดครึ้มแบบนี้ ก็ทำให้รู้สึกถึงความวิจิตรพิสดาร

บนท้องฟ้าที่มีสายฟ้าแวบวับ ผู้หญิงคนนี้พลันใช้สายตาเย็นเยียบจ้องไปข้างบน จากนั้นกระโปรงยาวก็ปลิวสะบัด ทั้งตัวนางลอยขึ้นมาบนฟ้าแล้ว ก่อนจะก็พุ่งฝ่าเมฆดำราวกับลูกธนูที่ยิงออกจากสาย หายไปบนท้องฟ้าสดใสที่ปรากฏในรอยแยกของเมฆดำ โดยมีกลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงตีนบันไดปราสาทเหาะตามไปอย่างรวดเร็ว!

“ไม่เลว!”

บนฟ้าของดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง อิ๋งอู๋หม่านลอยขึ้นมาข้างบนและใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองข้างล่าง ตรงจุดที่ทัพใหญ่ซ่อนตัวมองไม่เห็นเบาะแสใดๆ เขาจึงพยักหน้ากล่าวชื่นชม

ทางด้านซ้ายและด้านขวา เจ๋อชุนชิวกับแม่ทัพสิบสองคนยืนอยู่กับเขา

“เตรียมทุกเรื่องไว้พร้อมแล้ว ขาดเพียงลมบูรพา[1] ขอเพียงเขาบุกเข้ามา ข้าก็จะทำให้เขากลับออกไปไม่ได้อีก!” อิ๋งอู๋หม่านเงยหน้ามองดาราจักรพลางแสยะยิ้ม แล้วจู่ๆ ก็หันตัวไปเผชิญหน้ากับทุกคน หลังจากใช้สายตาไตร่ตรองอย่างละเอียดสักพัก ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “หากทัพใหญ่แดนรัตติกาลเข้ามาในตาข่ายอิทธิฤทธิ์เมื่อไร ก็ให้ทุกหน่วยล้อมไว้ก่อน ยังไม่ต้องโจมตี มอบหน้าที่ผู้โจมตีหลักให้ทัพใหม่หนึ่งแสน โหวผู้นี้อยากจะเห็นว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะทนการโจมตีจากทัพใหม่ของข้าได้นานแค่ไหน!”

มีแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งกุมหมัดคารวะทันที “ท่านโหว การบุกจู่โจมศัตรูมิอาจถ่วงเวลาได้ หนิวโหย่วเต๋อลือชื่อเรื่องการรบ ไม่ได้มีดีแค่เชื่อเสียงแน่นอน ประเมินเขาต่ำไม่ได้เด็ดขาด ควรดำเนินการตามแผนที่วางไว้แล้ว ถ้าเขาติดกับดักเมื่อไร พวกเราก็ร่วมแรงกันกำจัดทันที จะได้ไม่ต้องเพิ่มการบาดเจ็บล้มตายของฝ่ายเราโดยไม่จำเป็น ไม่ทำให้ขวัญกำลังใจทหารปั่นป่วน ไม่เปิดให้โอกาสฝ่ายศัตรูด้วย จัดการให้จบในครั้งเดียว คว้าชัยชนะกลับมา!”

อิ๋งอู๋หม่านใช้สายตาเย็นเยียบจ้องเขาทันที สายตานั้นจ้องจนแม่ทัพใหญ่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

แม้แต่เจ๋อชุนชิวเองก็จ้องด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเช่นกัน ส่วนพวกแม่ทัพก็ทำสีหน้าสังเกตการณ์เงียบๆ

แต่จากนั้นเจ๋อชุนชิวก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ไม่รู้เหมือนกันว่ามีข่าวส่งมาจากไหน

เพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างกันรีบถ่ายทอดเสียงบอกแม่ทัพใหญ่คนนั้นว่า “เจ้าโง่รึไง! ศึกนี้ต้องชนะแน่ ทัพใหญ่แดนรัตติกาลได้รับขนานนามว่าเป็นทัพอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า แถมหนิวโหย่วเต๋อก็มีผลงานการรบด้วย ได้ชื่อว่าเป็นทหารเสือ ถ้าถูกทัพใหม่ของท่านโหวอิ๋งทำลายล้าง ท่านโหวก็จะได้เขียนโอ้อวดประวัติส่วนตัวลงในบันทึกตระกูลอิ๋งแล้ว สรุปก็คือไม่ว่าจะร่วมมือกันโจมตี หรือจะให้ทัพใหม่โจมตีก่อน เจ้ายังจะไปแย่งผลงานกับเขาได้เหรอ? ไม่ว่าทัพใหม่จะต่อสู้เป็นยังไง สุดท้ายเขาก็เป็นคนรายงานขึ้นไปตามใจอยู่ดี เจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องความแค้นระหว่างหนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลอิ๋งรึไง? ครั้งนี้ท่านโหวมาเพื่อล้างความอัปยศ ท่านโหวผู้สง่าภูมิฐานมาควบคุมการรบด้วยตัวเองแล้ว ก็ต้องสร้างผลงานที่โดดเด่นกลับไปสักหน่อยสิ ไม่อย่างนั้นถ้าให้ใช้ทัพห้าล้านโจมตีทัพหนึ่งแสน เขายังจะมีหน้าไปโอ้อวดคนข้างนอกได้ยังไง? เจ้าหวังดีกับเขา แต่เขาอาจจะไม่รับน้ำใจก็ได้ ไม่ว่าเขาจะพูดยังไง พวกเราแค่ทำตามนั้นก็พอ โต้เถียงไปจะเกิดผลดีอะไรกับเจ้าล่ะ? ที่เจ้าพูดโจ่งแจ้งแบบนี้ ไม่ใช่การตำหนิว่าเขาไม่เข้าใจเรื่องบัญชาการทัพออกศึกหรอกเหรอ? เจ้ายังอยากทำมาหากินอยู่ในทัพตะวันออกอีกมั้ย?”

ด้วยการเตือนอย่างเร่งด่วน แม่ทัพใหญ่ถึงได้รู้ว่าตัวเองทำผิดข้อห้ามแล้ว เขาเผยสีหน้าเข้าใจกระจ่างทันที แล้วพยักหน้าให้อิ๋งอู๋หม่านซ้ำๆ “ท่านโหวช่างปราดเปรื่อง ข้าน้อยไม่ได้ไตร่ตรองให้รอบคอบ” ในใจแอบปาดเหงื่อแล้ว

อิ๋งอู๋หม่านไม่สนใจเขา สุดท้ายก็ย้ายสายตาออกจากหน้าเขา แล้วมองไปที่เจ๋อชุนชิว “ถามโหยวโยวว่าคืบหน้าไปยังไงบ้างแล้ว” ผลก็คือพบว่าเจ๋อชุนชิวที่กำลังถือระฆังดารามีสีหน้าแปลกไป จึงถามอีกว่า “เป็นอะไรไป?”

เจ๋อชุนชิวกลืนน้ำลาย แล้วตอบด้วยสีหน้าตกตะลึกพรึงเพริด “ท่านโหว ผู้จัดการร้านที่ตลาดมืดขอความช่วยเหลือ!”

อิ๋งอู๋หม่านขมวดคิ้ว “ตลาดมืดไหน? นี่มันเวลาไหนแล้ว เจ้ายังมีอารมณ์มาพูดเรื่องนี้กับข้าอีกเหรอ ให้คนที่อยู่แถวนั้นไปจัดการสิ”

เจ๋อชุนชิวตอบด้วยสีหน้าขื่นขม “ท่านโหว เป็นตลาดมืดของที่นี่ ทัพใหญ่หนึ่งแสนของหนิวโหย่วเต๋อกำลังรุกโจมตีอย่างบ้าระห่ำ ไม่สนใจว่าจะเป็นชายหญิงเด็กหรือคนแก่ พอเห็นคนแล้วก็จับ พอเจอคนแล้วก็ปล้น เห็นใครหนีก็ฆ่าเลย ปล่อยให้เกิดเพลิงไหม้เป็นบริเวณกว้าง กำลังล้างเลือดจุดไฟเผาทั้งดาวเคราะห์ สถานการณ์เลวร้ายจนทนดูไม่ได้ พวกคนงานในร้านค้าแทบจะประสบหายนะกันหมด ผู้จัดการร้านที่บาดเจ็บสาหัสกำลังซ่อนตัวอยู่ ทัพใหญ่กระจายตัวกันค้นหาเร็วมาก คาดว่าคงซ่อนได้ไม่นานแล้ว เลยติดต่อบ่าวมาขอความช่วยเหลือเร่งด่วน!” พอพูดถึงตรงนี้ ในใจก็พูดเสริมอีกว่า คนที่อยู่ใกล้เหรอ? ก็มีแต่เจ้าไงที่อยู่ใกล้!

ผ่านไปไม่นาน สายลับที่อยู่ทางทัพใหญ่ก็รายงานสถานการณ์ทางทหารที่คล้ายกันกลับมาเช่นกัน

“ไอ้บ้านั่นคิดจะทำอะไร?” กลุ่มแม่ทัพฮือฮาทันที

“…” อิ๋งอู๋หม่านงงงวย ไม่ได้มาเพื่อช่วยคนหรอกเหรอ? ไม่ช่วยคนแล้ว จะถ่อไปโจมตีตลาดมืดทำไม? เมื่อดึงสติกลับมาแล้วก็รีบถามว่า “ทำไมหนิวโหย่วเต๋อโจมตีตลาดมืด?”

เจ๋อชุนชิวส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ ผู้จัดการร้านได้ยินอีกฝ่ายประกาศว่าปราบโจร!”

“ปราบโจร?” อิ๋งอู๋หม่านเดือดดาลทันที ตะคอกว่า “โจรที่ไหนมันเข้ามายุ่งจนทำลายเรื่องดีๆ ของข้า!” ในหัวสมองเขานึกถึงทฤษฎีสมคบคิดแล้ว สงสัยว่าอำนาจฝ่ายไหนยื่นมือเข้ามาปลุกปั่นสถานการณ์

เจ๋อชุนชิวตอบด้วยสีหน้าขมขื่น “ไม่ทราบขอรับ ทางผู้จัดการร้านก็ไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนเหมือนกัน ทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาแบบกะทันหันแล้วก็ฆ่าเลย”

ข้างๆ กันมีแม่ทัพอีกคนบอกว่า “ท่านโหว บางทีการปราบโจรอาจจะเป็นข้ออ้างของหนิวโหย่วเต๋อ หนิวโหย่วเต๋ออาจจะรู้แล้วว่าฝ่ายพวกเราจะสู้กับเขา ก็เลยหลบเลี่ยงกำลังหลักของศัตรู แล้วรุกโจมตีจุดอ่อนของศัตรูแทน!”

เมื่อได้รับคำเตือนนี้ อิ๋งอู๋หม่านก็ได้สติอย่างฉับพลัน มองดูกำลังพลที่ดักซุ่มอยู่ข้างล่าง เขาอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกทันที

หาสถานที่ลับตาคนไว้ลงมือเพื่ออะไรล่ะ? ก็เพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้คนอื่นจับจุดอ่อนได้ไง ถ้าสามารถโจมตีได้ตามอำเภอใจ ยังต้องถ่อมาถึงที่นี่อีกเหรอ? ทัพตะวันออกคงส่งทัพใหญ่ไปกำจัดหนิวโหย่วเต๋อที่แดนรัตติกาลตั้งนานแล้ว ยังต้องสิ้นเปลืองความคิดมาวางกับนี่อีกเหรอ?

เดิมทีฝั่งนี้ขี้คร้านจะหาข้ออ้างอะไร ขอเพียงหนิวโหย่วเต๋อเข้ามาติดกับดัก ก็จะล้อมปราบทันที แล้วตอนหลังก็สาดโคลนทั้งหมดใส่หนิวโหย่วเต๋อไปเลย บอกเพียงว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นฝ่ายรุกโจมตีก่อน ฝั่งนี้ถูกบีบให้โต้ตอบ อย่างไรเสียคนตายก็แก้ตัวอะไรไม่ได้ เป็นเหตุผลที่หนิวโหย่วเต๋อเคยใช้ตอนสู้กับฉู่จื่อซานที่น่านฟ้าระกาติง บอกว่าฉู่จื่อซานรุกโจมตีก่อน ถูกบีบให้หมดทางเลือกถึงได้กำจัดฉู่จื่อซานทิ้ง

ตอนนี้จะทำอย่างไรล่ะ? ดึงกำลังพลไปรุกโจมตีทางนั้นเหรอ? ทางนั้นมีหูตาเยอะมาก ถ้าเจ้าเป็นฝ่ายไปโจมตีก่อน ทุกคนก็จะเห็นกันหมด แล้วเจ้าจะอธิบายอย่างไรล่ะ? บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อฆ่าคนของตระกูลอิ๋งที่ตลาดมืดเหรอ? เรื่องที่ร้านค้าในตลาดมืดไม่อาจนำมาเปิดเผยในที่แจ้งได้เลย ไม่มีทางนำเรื่องนี้มาพูดเพียงเพื่อจะล้างแค้น

ต่อให้ดึงดันไปโจมตีตอนนี้ แต่ก็ไม่ได้ผลดีเหมือนบุกจู่โจม ถ้าอีกฝ่ายไม่สู้กับเจ้า ถ้าหนิวโหย่วเต๋อคิดจะหนีไป ก็เกรงว่าคงจับตัวไม่ได้ง่ายๆ อีกแล้ว

ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้? อิ๋งอู๋หม่านงงงวย ใช่ว่าตระกูลอิ๋งจะวางแผนไว้ไม่แยบยล พวกเขาจับจุดอ่อนของโหยวโยวและลูกชายได้อย่างเฉียบคม แล้ววางแผนได้อย่างชาญฉลาด หลอกใช้จุดอ่อนของสองแม่ลูกให้ใช้กลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเล[2] น่าจะปิดบังสายตาของอำนาจส่วนใหญ่ได้แล้วสิ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าวางแผนนี้สำเร็จแล้ว ถ้าล่อหนิวโหย่วเต๋อมาได้จริงๆ ทั้งยังนำกำลังพลกลุ่มใหญ่มาด้วย ทางนี้ก็แค่รอให้หนิวโหย่วเต๋อมาหาโหยวโยวเพื่อคิดบัญชีและเอาตัวคนคืนไป จากนั้นก็ล่อหนิวโหย่วเต๋อให้ติดกับดัก ใครจะคิดว่าจู่ๆ หนิวโหย่วเต๋อจะลงมือแบบนี้ นำคนไปโจมตีตลาดมืดแล้ว แล้วเรื่องช่วยคนล่ะ? เจ้ามาเพื่อช่วยคนไม่ใช่เหรอ?

อีกฝ่ายเดินทางมาอย่างเอิกเกริกตั้งแต่ไกลๆ ทำให้เขาตั้งตารอ แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่เล่นกับเจ้าเลย เจ้าวางกับดักรออยู่ตรงนี้ แต่อีกฝ่ายไปปราบโจรอยู่อีกทาง ไม่ให้ความร่วมมือกันเลย

มาช่วยตัวประกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมกลายเป็นปราบโจรไปได้? อิ๋งอู๋หม่านคิดไม่ตกว่าแผนที่วางไว้อย่างดีกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร แล้วต่อไปจะทำอะไรต่อล่ะ?

พอเหลือบตาขึ้น เห็นบรรดาแม่ทัพตรงหน้า อิ๋งอู๋หม่านก็รีบถามว่า “ทุกคนคิดว่าขั้นต่อไปจะทำยังไงต่อ?” เขาหวังว่าจะได้คำแนะนำที่มีประโยชน์

กลุ่มแม่ทัพกลับอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่อย่างนั้น ใครก็มองออกทั้งนั้นว่าวางแผนพลาดแล้ว บางคนก็มีวิธีการอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าไม่สามารถนำวิธีการไปใช้งานจริงได้อย่างราบรื่น ดีไม่ดีอาจจะกลายเป็นแพะรับบาปแทนท่านโหวผู้นี้ก็ได้ แม่ทัพใหญ่ที่ออกมาพูดก่อนหน้านี้ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ท่านโหวผู้นี้ไต่เต้าขึ้นตำแหน่งได้อย่างราบรื่นเกินไป ไม่เคยมีประสบการณ์ทำศึกอะไรเลย ชนะได้แต่แพ้ไม่เป็น มาตักตวงผลงานเฉพาะเรื่องที่มีโอกาสชนะเท่านั้น ไม่ว่าใครก็ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่จำเป็น กระทำผิดหมู่ลงโทษยาก ดังนั้นแต่ละคนจึงทำท่าครุ่นคิดเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร

พวกสวะไร้ประโยชน์! อิ๋งอู๋หม่านไม่กล้าพูดออกมา แต่ในใจกลับด่าไปแล้ว

มีอยู่ข้อหนึ่งที่เขารู้ดี นั่นก็คือการล่วงเกินพวกแม่ทัพในเวลาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีอะไร

“อะไรนะ? ไม่ติดกับดัก กำลังปราบโจร? กำลังโจมตีตลาดมืด?”

ริมแม่น้ำ อ๋องสวรรค์อิ๋งที่กำลังถือคันเบ็ดหันมาถามอย่างงุนงง

จั่วเอ๋อร์พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “สถานการณ์ที่ทางท่านโหวรายงานมาเป็นอย่างนี้ค่ะ”

“ทัพใหญ่รับมือยังไง?” อิ๋งจิ่วกวงถามเสียงต่ำ

จั่วเอ๋อร์ลังเลครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ท่านโหวกำลังรอให้ท่านอ๋องตอบค่ะ”

ตู้ม! อิ๋งจิ่วกวงกระแทกคันเบ็ดลงในน้ำ พลันลุกขึ้นยืนแล้วถลึงตากล่าวว่า “สถานการณ์บนสนามรบมีการเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง แม่ทัพบัญชาการทัพอยู่ข้างนอก ควรจะเฝ้าสังเกตศัตรูแล้วพลิกแพลงตามสถานการณ์ เขารู้สถานการณ์ตรงนั้นชัดเจนกว่าข้า จังหวะได้เปรียบในสนามรบผ่านไปไวมาก เขาในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการทัพก็ควรรีบตัดสินใจให้เด็ดขาด เขาไม่รู้จุดประสงค์ของการทำศึกครั้งนี้เชียวหรือ? ยังจะรอคำตอบจากข้าอีก หนิวโหย่วเต๋อโจมตีโครมๆ อยู่ทางนั้น เขาจะดูอยู่ข้างสนามจนตาแห้งเลยใช่มั้ย? งั้นข้าจะให้เขาไปทำไมล่ะ? แม่ทัพสังกัดเขามัวทำอะไรอยู่เป็นคนที่บัญชาการทัพมาหลายปีทั้งนั้น จะออกความคิดที่เข้าท่าสักอย่างไม่ได้เชียวหรือ?”

จั่วเอ๋อร์แอบถอนถอนใจ พูดในใจว่า เจ้าไม่ควรอยากให้คนตระกูลอิ๋งไปล้างความอัปยศอดสูให้ตระกูลอิ๋งตั้งแต่แรก ไม่ควรอยากสะสมผลงานและบารมีให้ท่านโหว ส่งคนไม่ประสีประสาไปบัญชาการกลุ่มแม่ทัพผู้ช่ำชอง เดิมทีก็ไม่เหมาะอยู่แล้ว ท่านโหวเติบโตในสภาพแวดล้อมแบบนี้ เหมาะจะเรียนรู้การควบคุมสถานการณ์ภาพรวมในการประชุมราชสำนักมากกว่า ไม่เหมาะจะไปบัญชาการทัพทำศึก

“ท่านโหวมีบารมีสูงมาก บางทีบรรดาแม่ทัพอาจกำลังตั้งตารออยู่ค่ะ” จั่วเอ๋อร์ลองเตือน ที่จริงนางก็อยากพูดประโยคนี้ตั้งต่แรกแล้ว แต่พอนึกได้ว่าวางแผนไว้เหมาะสมเรียบร้อยแล้ว เป็นเรื่องที่รอไปเก็บผลงานเท่านั้น อิ๋งอู๋หม่านเป็นฝ่ายอาสาไปทำเอง นางจึงไม่สะดวกจะกล่าวล่วงเกิน

อิ๋งจิ่วกวงพลันหรี่ตาจ้องนาง ตระหนักได้ถึงความหมายแฝงในคำพูดนางแล้ว เขากระตุกมุมปากอย่างแรง แล้วกล่าวอย่างดุดันว่า “ถ่ายทอดคำสั่งทหารลงไป ตัดอิ๋งอู๋หม่านออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุด ตั้งให้อ๋าวเฟยเป็นผู้บัญชาการสูงสุด ถ้ามีใครไม่ยอมรับคำสั่งนี้ ก็ประหารก่อนแล้วรายงานทีหลังได้เลย…ควบคุมตัวอิ๋งอู๋หม่านไว้ตรงนั้น ถ้าเขาขัดขืน ประหาร!”

…………………………

[1] เตรียมทุกเรื่องไว้พร้อมแล้ว ขาดเพียงลมบูรพา 万事俱备 只欠东风 อุปมาว่า เตรียมทุกเรื่องไว้พร้อมแล้ว แต่ขาดเรื่องสำคัญไปหนึ่งเรื่อง

[2] กลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเล 瞒天过海 การอำพรางเป้าหมายที่แท้จริงของตน โดยมีเป้าหมายปลอมๆ หลอกเอาไว้

เหม่อ! โหยวฮ่วนเหม่องงในชั่วพริบตาเดียว คำพูดของเหมียวอี้สะเทือนใจจนทำให้เขาเหม่อแล้ว!

เจ้าตั้งใจมาช่วยชีวิตคนไม่ใช่เหรอ? คนอยู่ในมือตระกูลอิ๋ง เจ้ามาลงมือกับเผ่าเทพอสรพิษดำของเราแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ต่อให้เจ้าฆ่าเผ่าเทพอสรพิษดำจนหมด ตระกูลอิ๋งก็ไม่คืนคนให้เจ้าหรอก!

โหยวฮ่วนที่ตกตะลึงอ้าปากค้างได้แต่มองเหมียวอี้อย่างเหม่อลอย หวังว่าตัวเองจะฟังผิดไป ทว่าพอเงยหน้ามอง ความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว

ตามเสียงเอ่ยรับคำสั่งจากบรรดาแม่ทัพใหญ่ ชั่วพริบตานั้นทัพใหญ่หนึ่งแสนก็อมใบไม้สีเขียวมรกตไว้ในปาก ไม่ใช่ของวิเศษอะไร มันคือหัวใจสีเขียวนั่นเอง ก่อนที่ทัพใหญ่จะมา พวกหยวนกงได้เตรียมสิ่งนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว แจกให้คนในทัพใหญ่หนึ่งแสนไว้คนละสองใบ

เหมียวอี้หยิบใบหัวใจสีเขียวมาไว้ในมืออย่างไม่ใส่ใจ พอพลิกดูสองสามครั้งก็เอาเข้าปากอย่างช้าๆ ทำให้กลิ่นหอมเย็นกลุ่มหนึ่งซึมซาบเข้าหน้าอก

หลังจากเบื้องล่างรายงานว่าเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็พยักหน้าเบาๆ

หลงซิ่นที่รับหน้าที่ควบคุมการรบหันหน้าหาทัพใหญ่แล้วควงดาบใหญ่ออกมาทันที ชี้ดาบไปยังดาวเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้า

ทัพใหญ่หนึ่งแสนของแดนรัตติกาลปล่อยคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์กระเพื่อมออกมาราวกับมหาสมุทร ต่อให้เป็นคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็ถูกหลอมรวมอยู่ในนั้นเช่นกัน

ชั่วพริบตานั้น ทัพใหญ่หนึ่งแสนกระจายขึ้นบนลงล่าง กระจายไปทางซ้ายและขวา เรียงแถวกลายเป็นมังกรยาวยี่สิบกว่าตัวอ้อมผ่านเหมียวอี้ไป พุ่งไปยังดาวเคราะห์ตรงหน้าภายใต้การบัญชาการของขุนศึก

กำลังใจทหารเพิ่มขึ้นทันตาเห็น ต่างก็รู้ว่าโอกาสสร้างผลงานมาถึงแล้ว เพราะมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทุกคนเชื่อมั่น เหมียวอี้ไม่เคยไม่ปฏิบัติตามหลักการนี้เลย มีผลงานต้องให้รางวัล!

เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับทัพใหญ่ ถ้าการให้รางวัลเกิดตกหล่นครั้งเดียว ไม่ว่าใครก็รู้สึกไม่ยุติธรรมทั้งนั้น!

ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล กำลังพลหนึ่งแสนก็ยังไม่เคยผ่านศึกใหญ่มาก่อนเลย เคยผ่านแค่การต่อสู้เล็กน้อย จับพวกหัวขโมย หรือไม่ก็โจมตีพวกที่ไม่เชื่อฟัง ที่รุนแรงขึ้นมาหน่อยก็แค่ให้ความร่วมมือกับปฏิบัติการของโถงชุมนุมอัจฉริยะ แต่ทุกครั้งที่สร้างผลงาน ถ้าไม่ได้เลื่อนยศก็จะได้รางวัลเป็นทรัพยากรฝึกตน

ครั้งนี้คือปฏิบัติการที่ยิ่งใหญ่มาก ถือเป็นศึกแรกสำหรับทัพใหญ่แดนรัตติกาล ไม่ว่าก่อนหน้านี้ทุกคนจะมีความคิดอย่างไร แต่ตอนนี้ก็ถูกดึงมาที่สนามรบแล้วจริงๆ เช่นนั้นก็มีแต่ต้องลงสนามออกรบแล้ว บอกได้เพียงว่าโอกาสสร้างผลงานมาถึงแล้ว

ไม่อย่างนั้นแล้ว นอกจากผู้ที่สร้างผลงานจะได้รางวัล ผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งก็รับผลที่ตามมาไม่ไหวเช่นกัน

การจัดกระบวนทัพไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชิงเยว่หรือหลงซิ่น พวกเขาก็ล้วนเป็นขุนศึกที่ช่ำชองสนามรบมาตั้งแต่ปีนั้นแล้ว การฝึกในช่วงหลายปีมานี้เป็นเพียงของเด็กเล่นเท่านั้น

โหยวฮ่วนได้แต่มองทัพใหญ่เคลื่อนกำลังออกไป

ชิงเยว่ หยางเจาชิง เหยียนซิวยังอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ข้างหลังยังมีกำลังพลอีกหนึ่งหมื่นที่ยังไม่เคลื่อนไหว

จู่ๆ นอกดาวเคราะห์ก็เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ เป็นเรื่องยากที่จะไม่ให้คนเผ่าเทพอสรพิษดำถูกรบกวน คนเผ่าเทพอสรพิษดำกลุ่มหนึ่งพุ่งฝ่าเมฆดำมาถึงดาราจักรเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นทัพใหญ่พุ่งเข้ามา พวกเขาก็ตกใจมาก คนที่เป็นหัวหน้ารีบโบกมือ ทุกคนนำอาวุธออกมาเตรียมพร้อมป้องกันทันที หัวหน้าตะโกนถามอย่างเดือดดาลว่า “เป็นใครกัน?”

ชั่วพริบตาเดียวก็เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น แล้วเสียงก็เงียบลงเร็วมาก กำลังพลกลุ่มหนึ่งที่พุ่งมาตรงหน้าชนคนหลายสิบคนนั้นจนร่วงระนาวในชั่วพริบตาเดียว แทบจะพุ่งเข้าไปโดยไร้อุปสรรคขัดขวาง เหลือเพียงชิ้นส่วนร่างกายที่ลอยพลิกอยู่ในดาราจักร คนที่คอยเก็บงานอยู่ท้ายขบวนกวาดเรียบทั้งของทั้งศพ

โหยวฮ่วนที่ได้ยินเสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราดเบิกตากว้างทันที ถ้าเขาจำไม่ผิด คนที่ตะโกนเมื่อครู่นี้น่าจะเป็นลูกน้องคนสนิทของเขา คนกลุ่มนั้นคงจะเป็นลูกน้องของเขาทั้งหมด แต่ถูกสับร่างไปอย่างนี้แล้ว!

“นายท่าน เรื่องครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับคนอื่นๆ ของเผ่าเทพอสรพิษดำนะ!” โหยวฮ่วนรีบหันกลับมาบอกเหมียวอี้ด้วยน้ำเสียงร้อนรน

เหมียวอี้เอาแต่จ้องไปทางจุดที่กำลังพลรุกโจมตี ไม่สนใจใยดีเขา

กลับเป็นหยางเจาชิงที่ตอบแทน “ตอนที่ลงมือกับนายท่านสวี ทำไมพวกเจ้าไม่คิดดูบ้างว่าเกี่ยวข้องกับคนเผ่าเทพอสรพิษดำหรือเปล่า?”

ในสายตาหยางเจาชิง แม้แต่กับสวีถังหรานนายท่านยังทำถึงขนาดนี้ ถ้าในภายหลังเขาประสบพบเจอเรื่องอะไรบ้างก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงแล้ว

หลังจากเห็นกำลังพลยี่สิบกว่ากลุ่มตีโอบล้อมเข้าไปในดาวเคราะห์ดวงนั้นแล้ว เหมียวอี้ก็โบกมือ นำกำลังพลพุ่งเข้าไปทางดาวเคราะห์ดวงนั้นเช่นกัน

ท้ายขบวนเหลือคนจำนวนหนึ่งเอาไว้มองสังเกตุการณ์จากที่สูง ส่วนคนอื่นๆ รวมทั้งเหมียวอี้พุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศเข้าไปด้วยกัน ถล่มเปิดเมฆดำที่มีสายฟ้าแวบวับ

ทันใดนั้น ตรงหน้าก็มีคนคนหนึ่งหลบหนีออกมา มีลำแสงสายหนึ่งยิงตามหลัง เป็นลูกธนูดาวตกของทัพใหญ่แดนรัตติกาลนั่นเอง ลูกธนูยิงทะลุหลังอีกฝ่าย คนที่ตามหลังมาใช้ดาบฟันศีรษะหนึ่งที จากนั้นก็เก็บทั้งศีรษะทั้งร่างกายเอาไว้ด้วยกัน ตอนหลังจะได้นับอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ยึดมาได้สะดวก

ก่อนทำศึกนี้ก็บอกไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าถ้าใครแย่งชิงของอะไรมาได้ ของก็จะเป็นของคนนั้น ไม่ต้องส่งขึ้นมาเบื้องบน!

ร้านค้าที่อยู่ในตลาดมืด ไม่ว่าจะเป็นร้านของตระกูลไหน ถ้ามีคนหลบหนีการจับกุม ก็จะโดนทำโทษข้อหาสมรู้ร่วมคิด ฆ่า! ปล้น!

สิ้นเปลืองทรัพยากรไปเยอะมาก เช่นใช้พลังงานเติมในธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ตัวเองต้องคิดหาทางเติมพลังงานเอง ถ้ามาถึงตลาดมืดแล้วยังหาเติมได้ไม่พอ นั่นก็แปลว่าตัวเองไร้ประโยชน์แล้ว

สรุปก็คือ การที่เหมียวอี้นำทัพใหญ่มาครั้งนี้ ก็ไม่คิดจะคุยเรื่องคุณธรรมความถูกต้องกับคนที่สระน้ำมังกรดำอยู่แล้ว แค่จะมายุงยงให้ทหารทำตัวเป็นโจรเท่านั้นเอง ที่บอกว่าจะปล้นจะล้างเลือดนั้น เขาไม่ได้พูดเล่น!

ยังไม่รู้ว่าตอนหลังจะเจออันตรายอะไรบ้าง เหมียวอี้จำเป็นต้องมีของมากพอให้ปลุกขวัญกำลังใจทหาร ปลุกเร้าความมุทะลุดุดันของทัพใหญ่ออกมา!

ทัพใหญ่ที่ได้รับคำสั่งทางทหาร ได้รับอนุญาตให้กลายเป็นโจรเหี้ยมได้อย่างสง่าผ่าเผย ตอนนี้พวกเขาจึงไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว เป็นการปล่อยเสือหิวออกจากภูเขาแท้ๆ เลย แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลที่ตามมาและสภาพอันเลวร้ายจะเป็นอย่างไร โหดเหี้ยมจนโจรตัวจริงเทียบไม่ติด กวาดปล้นโดยมียุทโธปกรณ์ มีขอบข่าย มีกลุ่มก้อน!

คนที่เพิ่งไล่สังหารพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำชำเลืองมองพวกเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วถลันตัวกลับไปอีก ไปเข้าร่วมขบวนรบของตัวเองเพื่อไล่ปล้นฆ่าต่อไปตลอดทาง

เห็นคนที่หลบหนีถูกดักฟันไม่หยุด บางครั้งก็เห็นคนที่หลบหนีถูกลำแสงที่ไล่ตามมายิงจนล้มคว่ำ

ท่ามกลางเสียงตะโกนเข่นฆ่าที่ดังไม่หยุด ท่ามกลางเสียงกรีดร้องที่ดังต่อเนื่อง พวกเหมียวอี้ลอยลงมาเหยียบบนต้นสับปลับที่ทอดตัวในแนวขวางเหมือนร่างแห พวกเขากวาดสายตาเย็นเยียบมองรอบๆ เสียงกรีดร้องเศร้ารันทดที่ดังก้องอยู่บนท้องฟ้าเป็นครั้งคราวทำให้คนรู้สึกชาวาบหนังศีรษะ

“พวกเราทำอะไรผิด?”

“ท่านอ๋อง! ช่วยคนของเผ่าท่านด้วย!”

มีคนหนีเตลิดเปิดเปิงทั่วทุกที่บนท้องฟ้า คนวิ่งหนีบนพื้นก็มี ลำแสงหลายสายแวบไปแวบมาอยู่กลางท้องฟ้า ทัพใหญ่แดนรัตติกาลใช้งานธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เต็มที่ เพราะทรัพยากรที่เสียไปก็ไม่ต้องควักกระเป๋าตัวเอง พอฆ่าปีศาจพวกนี้ทิ้งแล้วก็เอายาเม็ดปีศาจมาเติมพลังงานให้อาวุธได้ทุกเมื่อ สะดวกสุดๆ ไปเลย

คนหลายสิบคนรวมกลุ่มกันหนีอุตลุต แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนของเผ่าเทพอสรพิษดำ ทว่ามีกำลังพลกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาปิดทางไว้ ทำให้พวกเขาต้องพุ่งขึ้นฟ้า

ลำแสงนับร้อยพุ่งจากสี่ด้านแปดทิศ บนฟ้ามีเสียงระเบิดตูมตามพักหนึ่ง จากนั้นคนจำนวนหลายร้อยก็รีบหนีขึ้นมา ต่อด้วยลำแสงอีกหลายสิบสายตามยิงในระยะใกล้ ชั่วพริบตาเดียวคนส่วนใหญ่ก็ถูกกำจัดเกือบหมดแล้ว มีเพียงคนเดียวที่ห้าวหาญดุร้ายมาก ไม่น่าเชื่อว่ากำลังพลแดนรัตติกาลโจมตีอยู่ตั้งนานแต่ยังเอาชนะไม่ได้ อีกฝ่ายฟันสังหารโต้ตอบจนตายไปสิบกว่าคน

“หลีกไป!”

ชิงเยว่พลันหรี่ตา ขณะกำลังจะลงมือ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราด หลงซิ่นทะยานขึ้นฟ้า ขณะที่เหาะก็ฟันเข้ามาหนึ่งดาบ

ชั่วขณะนั้น บนฟ้ามียอดฝีมือสองคนสู้กันอย่างดุเดือด สุดท้ายหลงซิ่นกวาดดาบในแนวขวางจนเกิดฝนเลือดเพื่อปิดงาน ศีรษะคนใบหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า หลงซิ่นยื่นมือไปข้างหลังเพื่อคว้าศพเอาไว้ แล้วรีบแฉลบไปอีกทิศทางหนึ่งทันที

ชายหนุ่มเผ่าเทพอสรพิษดำคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัสจนคืนร่างเดิม เขากลายเป็นงูดำพุ่งขึ้นฟ้า คิดจะควบคุมสายฟ้าและเมฆหมอกบนท้องฟ้า เพราะนี่คือพลังอภินิหารโดยกำเนิดของเผ่าเทพอสรพิษดำ แต่กลับถูกคนอีกหลายคนถลันเข้ามาฟันจนขาดหลายท่อน แต่ก็มีคนเผ่าเทพอสรพิษดำบางคนพุ่งขึ้นไปเรียกลมเรียกฝนบนยอดเมฆแล้ว สร้างปรากฏการณ์ฟ้าผ่าได้แล้ว แต่กลับถูกลำแสงหลายสายยิงร่วงลงมา

สาวน้อยเผ่าเทพอสรพิษดำคนหนึ่งกำลังอุ้มเด็กที่ร้องไห้ตกใจเหาะหนี ผลปรากฏว่าถูกลูกธนูยิงทะลุทั้งสองคน ตอนที่ร่วงลงมาเหมือนจะเห็นโหยวฮ่วนที่กำลังตกใจจนหน้าซีด ไม่รู้ว่านางรู้จักโหยวฮ่วนหรือไม่ ขณะที่ตรงมุมปากมีเลือดไหล นางส่งสายตาวิงวอนขอความช่วยเหลือ พยายามยื่นมือคว้าไปทางโหยวฮ่วน ผลปรากฏว่ามีเงาคนคนหนึ่งแฉลบผ่านไป ฟันดาบเดียวจนนางตัวขาดสองท่อน

รอบๆ มีแต่ฉากตายอนาถของคนในเผ่า โหยวฮ่วนหายใจถี่กระชั้น ถลึงตาสองข้างที่แดงก่ำราวกับมีเลือดไหล สองมือที่กุมศีรษะสั่นเทิ้ม บนใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา ร้องคร่ำครวญต่อเหมียวอี้ว่า “นายท่าน เป็นคนของตระกูลอิ๋ง ไม่เกี่ยวกับคนอื่นของเผ่าเทพอสรพิษดำ ปล่อยพวกเขาไปเถอะ!”

ถ้าไม่ใช่เพราะถูกหยางเจาชิงหิ้วไว้ เขาก็จะคุกเข่าขอร้องเหมียวอี้แล้ว

เหมียวอี้เหลือบมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ราวกับกำลังบอกว่า มาสำนึกผิดตอนนี้มันสายไปหน่อยหรือเปล่า?

ไม่แยแสอะไรทั้งนั้น ชวิ้ง! เหมียวอี้ชักกระบี่วิเศษตรงเอวขึ้นมา แล้วฟันบนต้นสับปลับ พิสูจน์ความอัศจรรย์ของต้นสับปลับนี้กับตาตัวเอง

ลูกธนูดาวตกที่ยิงออกมาราวกับไม่ต้องจ่ายเงินมีอานุภาพมากเกินไปแล้ว คนส่วนใหญ่ไม่กล้าหลบหูหลับตาหนีอีก ทยอยกันอาศัยต้นสับปลับพรางตัว

ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเตรียมตัวเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่แรก เตรียมยุทโธปกรณ์สำหรับรับมือไว้ล่วงหน้า หินผลึกไขมันเพลิงหลายก้อนถูกจุดไฟ หินนับไม่ถ้วนติดไฟแล้ว พวกมันถูกโยนไปทางดาวเคราะห์ที่มีต้นสับปลับปกคลุมเหมือนร่างแห ต่อให้ต้นสับปลับจะงอกใหม่ได้อย่างอัศจรรย์สักแค่ไหน แต่ก็ต้านเพลิงเดือดไม่ไหว เมื่อไม้เจอกับมือปราบ ก็ส่งเสียงเปาะแปะอยู่ท่ามกลางเพลิงเดือด

ทุกที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงลุกไหม้ ทั้งดาวเคราะห์ราวกับถูกจุดไฟ ถ้ามีไฟตรงไหนถูกดับ ก็แสดงว่าตรงนั้นต้องมีคนแน่นอน ทัพใหญ่ที่ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์สำรวจก็จะเล็งเป้าหมายแล้วพุ่งลงไปทันที

หินผลึกไขมันเพลิงคือของที่ใช้หลอมสมบัติ พอติดไฟขึ้นมาก็ใช่ว่าจะดับได้ด้วยน้ำนิดเดียว ขณะมองขอบเขตการลุกไหม้ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว มองต้นสับปลับที่ถูกเผาถล่มเป็นวงกว้างไม่หยุด ควันดำพวยพุ่งขึ้นฟ้า ทั้งยังมีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังแทรกต่อเนื่อง โหยวฮ่วนตัวสั่นเทิ้ม เขารู้ว่าตอนนี้ตัวเองกับมารดาได้กลายเป็นคนบาปของเผ่าเทพอสรพิษดำไปแล้ว!

หยวนกงที่อยู่ไม่ไกลหันมามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง พึมพำในใจว่า ไอ้คนบ้าบิ่น!

โชคดีที่เขาให้คนของตระกูลเซี่ยโห้วที่อยู่ในตลาดมืดหนีไปก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นดูจากสภาพการณ์ตอนนี้ ไม่เหมือนพุ่งเป้าไปที่คนเผ่าเทพอสรพิษดำแล้ว นี่คือการพุ่งเป้าไปที่คนเป็นต่างหาก ไม่รู้ว่าในจำนวนนั้นมีคนของขุนนางตำหนักสวรรค์และร้านค้ามากมายเท่าไรที่ติดร่างแหไปด้วย

แต่คิดไปคิดมาก็แอบยิ้มเจื่อนในใจอีกครั้ง หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ทำเรื่องพรรค์นี้เป็นครั้งแรก เมื่อก่อนก็ทำที่ตลาดสวรรค์ ตอนนี้ลามมาทำที่ตลาดมืดแล้ว เจ้าเวรนี่มันเป็นคู่ชงของพ่อค้าแม่ค้าหรือไง?

บึ้ม! เสียงระเบิดดินดังอีกครั้ง ทัพใหญ่เริ่มบุกลงไปโจมตีใต้ดินแล้ว

“ผู้อาวุโส รีบช่วยคนในเผ่าสิ!”

ตำหนักโยว ชายร่างกำยำคนหนึ่งคุกเข่าตรงหน้าโหยวโยว มือหนึ่งถือระฆังดารา หลังจากรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นทางตลาดมืดแล้ว เขาก็กล่าววิงวอนด้วยความความทุกข์โศก

โหยวโยวหน้าซีดหมดสภาพ นางโซเซก้าวถอยหลังจนล้มลงนั่งกับพื้น หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงถี่ๆ ปากพึมพำด่าไม่หยุด “สารเลว! ไร้ความละอาย! ไอ้เสียสติ! หมดกัน ทุกอย่างจบแล้ว…”

นางนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะทำอย่างนี้ พอมาถึงก็ไม่สนใจความเป็นความตายของสวีถังหรานเลย นึกไม่ถึงว่าจะเอาชีวิตเผ่าเทพอสรพิษดำก่อน ไม่ใช่แค่เผ่าเทพอสรพิษดำเท่านั้น แต่เป็นการลงมือสังหารคนทั้งตลาดมืด ไม่รู้เชียวหรือว่าตลาดมืดเกี่ยวข้องกับบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์มากมายเท่าไร?

นางยังมั่นใจกับความสามารถในการคุมอาณาเขตของตัวเอง เดิมทีคิดจะปิดข่าวที่อาณาเขตตัวเองไว้ แต่ตอนนี้เรื่องลุกลามกลายเป็นอย่างนี้แล้ว ยังจะปิดบังอ๋องอสรพิษดำอย่างไรได้อีก ยังจะรอให้จบเรื่องแล้วค่อยให้อ๋องสวรรค์อิ๋งช่วยคุยกับอ๋องอสรพิษดำได้อีกเหรอ? นางไม่มีทางชี้แจงต่ออ๋องอสรพิษดำและทั้งเผ่าเทพอสรพิษดำได้อีกแล้ว อ๋องสวรรค์อิ๋งช่วยนางไม่ได้แล้ว!

นางสังหรณ์ใจแล้ว ว่าเรื่องนี้สะเทือนไปถึงอ๋องอสรพิษดำแล้วแน่นอน อีกฝ่ายกำลังจะมา!

……………

จากนั้นอิ๋งอู๋หม่านที่ใส่หน้ากากอีกครั้งก็เรียกใช้โหยวโยว “นำทางไป”

สามารถพูดได้ว่าใช้งานจนคล่องปาก ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เผ่าเทพอสรพิษดำต่ำต้อยไม่ได้อยู่ในสายตาอีกฝ่ายเลย

โหยวโยวฝืนยิ้มพลางพยักหน้า นางยื่นมือเชิญ นางนึกเสียใจทีหลังจนไส้เขียวไปหมด ทางนี้เรียกใช้นางอย่างไม่เกรงใจ ทางหนิวโหย่วเต๋อก็จับลูกนางเป็นตัวประกันอีก ดึงดันจะให้นางคิดหาทางปกป้องชีวิตสวีถังหรานให้ได้ แต่นางจะเอาอะไรมาปกป้องล่ะ ตอนนี้แม้แต่หน้าสวีถังหรานนางยังไม่เห็น ถ้าทำให้ตระกูลอิ๋งสงสัยนางขึ้นมา ให้รู้ว่านางคิดจะทำลายเรื่องดีๆ ของตระกูลอิ๋ง นางก็สงสัยว่าอีกฝ่ายจะฆ่านางทิ้งทันที คำพูดเมื่อครู่ของอิ๋งอู๋หม่านนางได้ยินหมดแล้ว เมื่อล่อหนิวโหย่วเต๋อเข้ามาตกหลุมพรางได้เมื่อไร ก็ไม่ต้องใช้ข้ออ้างอะไรทั้งนั้น จับตายให้หมดเสียเลย เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจกกฎเกณฑ์อของตำหนักสวรรค์แล้ว

นางนับว่ามองออกแล้ว ว่าตำหนักสวรรค์ไม่มีใครดีสักคน มีแต่คนโหดร้ายทั้งนั้น!

โหยวฮ่วนเกลี้ยกล่อมนางตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ในตำหนักสวรรค์ แต่นางไม่เชื่อฟัง ดันทุรังจะทำเรื่องที่ไม่คุ้ม ตอนนี้เลยได้มาเจอกับคนโหด ถ้าอีกฝ่ายเดือดดาลขึ้นมา ก็ไม่มีใครที่นางมีเรื่องด้วยไหวสักคน จะรุกก็ไม่ได้ จะถอยก็ไม่ได้ หาทางลงไม่ได้เลย เป็นการนำนางไปย่างไว้บนไฟแท้ๆ

แสงอาทิตย์สดใส ใต้ร่มไม้ริมแม่น้ำ อิ๋งจิ่วกวงเอามือข้างหนึ่งลูบเครา ส่วนมืออีกข้างถือคันเบ็ด

จั่วเอ๋อร์เดินย่องเบามาหยุดอยู่ข้างกายเขา แล้วรายงานว่า “ท่านอ๋อง ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเข้าไปในสระน้ำมังกรดำแล้วค่ะ”

“หึหึ” อิ๋งจิ่วกวงแค่แสยะยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไรอีก

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงกำลังฝึกคัดอักษรอยู่ในห้องหนังสือ พอได้ยินข่าวก็เงยหน้า จ้องโกวเยว่พร้อมถามอย่างประหลาดใจ “สระน้ำมังกรดำเหรอ? เข้าไปที่สระน้ำมังกรดำแล้ว? เจ้าหนุ่มนั้นคิดจะทำอะไร?”

เม่ยเหนียงที่ฝนหมึกอยู่ข้างๆ ก็งงเช่นกัน โกวเยว่ตอบอย่างเก้อเขินนิดหน่อยว่า “ตอนนี้ยังไม่รู้จุดประสงค์แน่ชัด แต่ส่งคนไปติดตามจับตาดูไว้ตลอดขอรับ”

ก่วงลิ่งกงไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะวางพู่กันไว้ แล้วบอกเม่ยเหนียงที่อยู่ข้างๆ ว่า “เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

“ค่ะ ข้าขอตัวก่อน” เม่ยเหนียงรู้ว่าเขากำลังกันนางออกไป ต้องการจะพูดเรื่องบางอย่างที่ไม่สะดวกจะให้นางรู้ จึงทำความเคารพแล้วถอยออกไป ขณะเดียวกันก็พยักหน้าให้โกวเยว่ด้วย

โกวเยว่กุมหมัดคารวะน้อมส่งทันที

เมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว ก่วงลิ่งกงก็หยิบพู่กันขึ้นมาอีก วาดเขียนบนกระดาษตามอารมณ์พลางบอกว่า “ซื้อยุทโธปกรณ์จำนวนมากที่ตลาดผี ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเทรังออกมาทั้งหมด แล้วตอนนี้ก็ไปที่สระน้ำมังกรดำอีก ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็ว่าไปอย่าง แต่หนิวโหย่วเต๋อเจ้าหนุ่มนั่น…ทำไมข้ารู้สึกว่ากำลังจะเกิดเรื่องล่ะ สระน้ำมังกรดำยังมีที่อื่นให้ผ่านไปอีกเหรอ? ไม่ใช่ว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะยกทัพไปตีสระน้ำมังกรดำหรอกใช่มั้ย?”

“ตอนนี้บ่าวก็สงสัยแบบนี้เหมือนกันขอรับ ก่อนหน้านี้ได้ยินข่าวมา เหมือนโถงชุมนุมอัจฉริยะจะยื่นมือเข้าไปที่สระน้ำมังกรดำ ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือเปล่า” โกวเยว่ตอบ

ก่วงลิ่งกงบอกว่า “เดาทางหนิวโหย่วเต๋อได้ไม่ยาก ในมือมีทัพเกรียงไกร หลบเข้ากระดองอยู่ที่แดนรัตติกาล เฝ้าเป็นเสือนอนกินอยู่ที่น้ำพุวังเวง โถงชุมนุมอัจฉริยะคิดจะขยายช่องทางรายได้ หลายปีมานี้สี่ทัพกำลังเกิดความวุ่นวายภายในจนไม่มีเวลาไปยุ่ง เขาอาศัยโอกาสนี้อยู่เงียบๆ สั่งสมกำลัง นี่คือกลยุทธ์ชั้นยอด ตามหลักแล้วควรจะเป็นอย่างนี้ต่อไป แต่ครั้งก่อนจู่ๆ ก็เข้าไปยุ่งเรื่องน่านฟ้าชวดเกิง ครั้งนี้เคลื่อนไหวใหญ่โตอีก ดูท่าแล้วประมุขชิงจะโยนความผิด สร้างความกดดันให้ตำหนักนารีสวรรค์ หนิวโหย่วเต๋อที่มีตำหนักนารีสวรรค์หนุนหลังก็นั่งไม่ติดที่แล้วเช่นกัน แต่จะว่าไปแล้ว เขาควรจะรู้ดีว่าการสั่งสมกำลังเงียบๆ ต่อไปต่างหากถึงจะเป็นการกระทำที่ชาญฉลาด จู่ๆ เคลื่อนไหวแบบนี้ แสดงว่าไม่ใช่ความต้องการของเขาแค่ฝ่ายเดียว ถูกยั่วยุจากอะไรสักอย่างแน่นอน”

โกวเยว่พยักหน้า “ท่านอ๋องปราดเปรื่อง แต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

ก่วงลิ่งกงกำลังวาดเขียนส่งเดช จู่ๆ ก็เลี่ยนประเด็นสนทนา “ระหว่างเม่ยเอ๋อร์กับหนิวโหย่วเต๋อก้าวหน้าไปถึงขั้นไหนแล้ว ในใจเจ้ามีคำตอบใช่มั้ย?”

โกวเยว่อึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบว่า “ทุกครั้งที่กลับมาจากที่นั่น คุณหนูล้วนมีอาการวิตกกังวลกับผลได้ผลเสีย สามารถแน่ใจได้แล้วว่าคุณหนูสนใจหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ ตอนนี้ขอเพียงทางหนิวโหย่วเต๋อสนใจ ทั้งสองก็น่าจะเข็นเรือไปตามน้ำได้แล้ว แต่ว่าบ่าวเคยถามสาวใช้ข้างกายคุณหนู แม้คุณหนูจะขยันไปที่นั่น แต่ก็ไม่ค่อยได้เจอหนิวโหย่วเต๋อ คนที่ออกมาต้อนรับล้วนเป็นอวิ๋นจือชิว ตอนนี้คุณหนูกับอวิ๋นจือชิวค่อนข้างสนิทสนมกัน พูดให้ชัดก็คือคุณหนูมีโอกาสใกล้ชิดกับหนิวโหย่วเต๋อน้อยเกินไป ไม่แน่ใจว่าอวิ๋นจือชิวตั้งใจมาแทรกกลางหรือว่าหนิวโหย่วเต๋อตั้งใจหลบเลี่ยง”

“หึ! อุตส่าห์ไว้หน้าแต่ไม่รับไว!” ก่วงลิ่งกงทุบพู่กันในมือลงบนโต๊ะ เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ นึกไม่ถึงว่าส่งของขวัญให้ถึงประตูบ้านแล้วแต่ยังไม่รับไมตรี

โกวเยว่ลองถามว่า “ท่านอ๋อง เกี่ยวข้องกับเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อเคลื่อนทัพเข้าสระน้ำมังกรดำหรือเปล่าขอรับ?”

ก่วงลิ่งกงเอามือสองข้างไขว้หลัง เงยหน้ามองเพดานพลางพึมพำว่า “หวังเฟยเอ่ยถึงหลายครั้งแล้ว รวมถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ด้วย ทั้งยังพูดเรื่องที่จะให้เม่ยเอ๋อร์หาผู้ชายน่าพอใจสักคน ให้ข้าหาคนดีๆ สักคนจากทัพตะวันตกให้ ข้าบอกเพียงว่าไม่ต้องรีบ ข้าอยากให้นางอยู่ข้างกายข้าอีกหลายๆ ปี แต่อายุของเม่ยเอ๋อร์ก็ไม่น้อยแล้วจริงๆ”

โกวเยว่แววตาวูบไหว ฟังออกแล้วว่าคำพูดนี้มีความหมายแฝง “หรือว่าท่านอ๋องเจอผู้ที่เหมาะสมแล้ว เปลี่ยนความคิดแล้ว?”

ก่วงลิ่งกงถอนหายใจเบาๆ “สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง หากจะรับมือก็ต้องมีการเปลี่ยนแผน สี่ทัพมีการปรับปรุงภายใน รวมทั้งทัพตะวันตกด้วย ทุกคนล้วนได้รับความเสียหาย มีหลายคนรู้สึกไม่สงบใจ หวงฮ่าว จอมพลสายมะเมียเคยเอ่ยต่อหน้าข้าหลายครั้งแล้ว เขาบอกว่าตั้งแต่หวงจี๋ลูกชายคนโตของเขาเป็นพ่อม่าย สาเหตุที่ไม่ได้แต่งงานใหม่อีกเลยก็เพราะชอบเม่ยเอ๋อร์ เขาบอกใบ้เจตนาชัดเจนมากแล้ว”

โกวเยว่เข้าใจแล้วเช่นกัน ท่านอ๋องคิดจะให้คุณหนูแต่งงานกับลูกชายของหวงฮ่าวเพื่อปลอบขวัญกำลังใจทหาร เขาจึงลองหยั่งเชิงความคิด “แม้หวงจี๋จะไม่ได้แต่งงานใหม่เลย แต่ข้างกายก็ซ่อนผู้หญิงเอาไว้ไม่น้อย เหมือนบางคนจะเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้วด้วย”

“ผู้หญิงแบบไหนที่แตะต้องได้ ผู้หญิงแบบไหนที่ไม่ควรไปยุ่ง หวงจี๋ก็ยังทำได้ค่อนข้างเหมาะสม ในจุดนี้ดีกว่าลูกชายของโจวจ้าวเยอะ รายนั้นแม้แต่ผู้หญิงของลูกน้องก็กล้าแตะต้อง! ถ้าให้เม่ยเอ๋อร์แต่งงานกับหวงจี๋ ตระกูลหวงก็ไม่กล้าดูแลไม่ดี ส่วนเรื่องเจ้าชู้อะไรนั่นล้วนเป็นเรื่องเล็ก หวงจี๋มีชาติกำเนิดอย่างนี้ เจ้าจะขอให้เจ้ามีผู้หญิงคนเดียวไปตลอดก็ไม่สอดคล้องกับความจริง หนิวโหย่วเต๋อนั่นจะดีกว่ากันขนาดไหนเชียว?”

ก่วงลิ่งกงพูดจบแล้วโบกมือ โบกใบ้ว่าเรื่องพวกนี้ล้วนไม่ใช่ปัญหา “สถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน ท่าทีของประมุขชิงต่อตำหนักนารีสวรรค์…หึหึ อิ๋งจิ่วกวงรีบกระโดดออกมาก็เพราะอยากให้สนมสวรรค์ขึ้นตำแหน่งสูงสุดไม่ใช่เหรอ? ถ้าประมุขชิงต้องการจะให้ตำหนักนารีสวรรค์เปลี่ยนนายหญิงจริงๆ ไม่รู้ว่าถ้าส่งเม่ยเอ๋อร์เข้าวังแล้วจะเป็นยังไง? ขนาดคนที่ไม่ใช้แซ่ของตระกูลอิ๋งยังเป็นสนมสวรรค์ได้เลย แล้วลูกสาวข้าจะรับตำแหน่งสนมสวรรค์ไม่ได้เชียวเหรอ? แต่ประเด็นก็คือความรู้สึกที่ประมุขชิงมีต่อจ้านหรูอี้เหมือนจะไม่ธรรมดา เมื่อเม่ยเอ๋อร์เข้าวังแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะได้รับความโปรดปรานจากประมุขชิงหรือเปล่า…”

โกวเยว่พยักหน้าเบาๆ เข้าใจว่าการที่ประมุขชิงกดดันตำหนักนารีสวรรค์ ก็เพราะต้องการให้ท่านอ๋องเกิดความคิดทะเยอะทะยานอยากส่งคุณหนูเข้าตำหนักนารีสวรรค์ ผลประโยชน์ที่ตระกูลอิ๋งได้หลังจากส่งจ้านหรูอี้เข้าวังนั้นชัดเจนมาก ทุกคนต่างรู้สึกได้ถึงอิทธิพลที่จ้านหรูอี้มีต่อประมุขชิง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ตระกูลอิ๋งล้วนได้รับผลประโยชน์จากในนั้น กับเรื่องเล็กน้อยบางอย่าง ประมุขชิงล้วนเลือกจะที่หลับตาข้างเดียวเพื่อไว้หน้าจ้านหรูอี้ ถ้าในวังมีผู้หญิงแบบนี้อยู่สักคน ก็ได้ผลเทียบเท่ากับการถกเถียงในราชสำนักไม่หยุด

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ครั้งก่อนเซี่ยโห้วท่าสิ้นอายุขัย ทุกคนต่างไม่รู้ความจริงเพราะตระกูลเซี่ยโห้วปิดความลับดีมาก แต่เป็นอิ๋งจิ่วกวงที่ให้จ้านหรูอี้สืบมาจากปากประมุขชิง ตอนหลังเรื่องที่อิ๋งจิ่วกวงมาขอรับโทษ เดิมทีบอกว่าต้องคุกเข่าสามวัน แต่พอจ้านหรูอี้พูดขอร้องให้ ผลปรากฏว่าได้คุกเข่าไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีจ้านหรูอี้อยู่ในวัง อิ๋งจิ่วกวงจะกล้าถ่อไปเสี่ยงอันตรายลำพังที่วังสวรรค์หรือ?

มีหลายเรื่องที่ยามปกติอาจมองอะไรไม่ออก แต่เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญ ก็จะพบว่าบทบาทของจ้านหรูอี้มีส่วนสำคัญมาก ถ้าคุณหนูเม่ยเอ๋อร์เข้าวังแล้วแสดงบทบาทได้อย่างนี้ เช่นนั้นก็ดีกว่าแต่งงานกับคนอื่นตั้งเยอะ สมมุติว่าเข้าตำหนักนารีสวรรค์แล้วให้กำเนิดทายาทของประมุขชิงได้จริงๆ เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนตำแหน่งราชันเมื่อไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ประมุขชิงเตรียมไว้หลังจากสิ้นอายุขัยไปแล้ว หรือจะเป็นราชันคนใหม่รับตำแหน่งต่อจากนั้น ก็ล้วนต้องขอการสนับสนุนจากตระกูลก่วง รับประกันได้ว่าตระกูลก่วงจะผ่านช่วงเปลี่ยนยุคได้อย่างราบรื่น สามารถผ่านวิกฤติ ‘เปลี่ยนราชันใหม่เปลี่ยนขุนนางทั้งราชสำนัก’ ไปได้ หากแต่งงานกับคนอื่นจะได้ประโยชน์แบบนี้หรือ?

โกวเยว่ส่ายหน้า “ท่านอ๋อง ตำแหน่งที่ตำหนักนารีสวรรค์ เกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่ปล่อยไปง่ายๆ เกรงว่าถ้าไปปะทะตอนนี้ ก็จะต้องสู้กับตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว แล้วอำนาจฝ่ายอื่นก็คงไม่ให้พวกเราทำสำเร็จด้วย”

ก่วงลิ่งกงหรี่ตาถาม “ไม่รู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะปกป้องโอรสสวรรค์ไว้ได้หรือเปล่า ถ้าทำได้ ให้เม่ยเอ๋อร์แต่งงานกับชิงหยวนจุนก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่แย่”

โกวเยว่นับว่าเข้าใจแล้ว ท่านอ๋องยังไม่ได้ตัดสินใจเด็ดขาด ทั้งตัดสินใจจะให้ลูกสาวแต่งงานกับลูกชายของหวงฮ่าว ทั้งคิดจะส่งลูกสาวเข้าวังไปเป็นสนม แล้วตอนนี้ก็คิดจะให้แต่งงานกับโอรสสวรรค์อีก เขาจึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า “แล้วทางหนิวโหย่วเต๋อ จะให้คุณหนูตัดขาดการไปมาหาสู่หรือไม่ขอรับ?”

“เรื่องดีๆ ที่คนอื่นไม่กล้าแม้แต่จะคิดฝัน แต่เจ้าเด็กนั่นไม่เห็นคุณค่า” ก่วงลิ่งกงทำเสียงฮึดฮัด แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ตอนนี้สถานการณ์ยังคลุมเครือ รอดูอีกหน่อยแล้วกัน ไม่ต้องรีบตัดสินใจ”

ไม่ใช่แค่ตระกูลก่วงเท่านั้น ตระกูลโค่วกับตระกูลฮ่าวที่จับตาดูทิศทางการเคลื่อนไหวของทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน สาเหตุที่อำนาจหลายฝ่ายสนใจขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะหนิวโหย่วเต๋อมีตำแหน่งสูงและอำนาจมาก แต่เป็นเพราะทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาล้วนไม่ใช่เรื่องเล็ก ถึงขั้นมีผลกระทบต่อวงกว้างด้วย เรื่องน้ำพุวังเวงก็เรียกได้ว่าฉีกหน้าตำหนักสวรรค์ไปแล้ว ทำให้สี่อ๋องไม่เข้าประชุมในราชสำนัก ตอนนี้มีเรื่องโผล่มาอีก จะไม่ให้เตรียมพร้อมป้องกันสักหน่อยก็คงยาก

ในดาราจักร นอกประตูดวงดาว ทัพใหญ่แดนรัตติกาลหยุดเดินทางชั่วคราว รอฟังรายงานจากกำลังพลที่ไปถึงก่อน หลังจากแน่ใจแล้วว่าในนั้นไม่มีอันตราย ขบวนทัพใหญ่ที่ยาวเหยียดเหมือนมังกรถึงได้เข้าไปในประตูดวงดาวแห่งนั้น

ดาวเคราะห์ที่ถูกขนานนามว่างดงามที่สุดปรากฏอยู่ตรงหน้า สีสันแพรวพราวสดใส ทัพใหญ่ที่จัดกระบวนตั้งรับหยุดพักชั่วคราว แล้วมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง

หยวนกงที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ชี้ไปยังท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ บอกว่าดาวเคราะห์ที่มีสภาพแวดล้อมเหมือนที่ตลาดมืดคือดาวเคราะห์ที่อยู่อาศัยของเผ่าเทพอสรพิษดำ

จากนั้นทัพใหญ่ก็เข้าใกล้ดาวเคราะห์ที่ตั้งของตลาดมืดดวงนั้น เหมียวอี้จ้องดาวเคราะห์ที่มีเมฆดำกับสายฟ้าปกคลุมครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยเรียก “โหยวฮ่วน!”

โหยวฮ่วนถูกหิ้วออกมา แล้วควบคุมตัวไว้ตรงหน้าเหมียวอี้

เหมียวอี้ไม่แม้แต่จะชายตามองเขา จ้องเพียงดาวเคราะห์ตรงหน้า แล้วถามเสียงเรียบว่า “แม่เจ้ายังหาทางช่วยสวีถังหรานออกมาไม่ได้อีกเหรอ?”

โหยวฮ่วนที่อยู่ในสภาพจนตรอกตอบด้วยสีหน้าจนใจว่า “คนอยู่ในมือตระกูลอิ๋งแล้ว ท่านแม่ไร้ความสามารถจริงๆ นายท่านลองขอให้ราชินีสวรรค์ติดต่อตระกูลเซี่ยโห้วดูสิ ให้ตระกูลเซี่ยโห้วส่งคนไปหาตระกูลอิ๋ง”

“ไปทวงคนจากตระกูลอิ๋งเหรอ? ใครจะจับไป ข้าก็จะทวงกับคนนั้น เกี่ยวอะไรกับตระกูลอิ๋งล่ะ?” เหมียวอี้เอียงหน้ามองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบปราดหนึ่ง แล้วหันกลับไปอีก จ้องดาวเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้า แววตาเริ่มฉายแววดุร้าย แล้วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป จับคนในดาวเผ่าเทพอสรพิษดำมาให้ข้า ขอเพียงเป็นเผ่าเทพอสรพิษดำ ไม่ว่าจะชายหญิงเด็กหรือคนชรา ใครกล้าขัดขืน อย่าปล่อยให้เหลือรอด ฆ่า!”

…………………

“ขอรับ!” หยางเจาชิงกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง แล้วเดินก้าวยาวออกไป

ชิงเยว่กับหลงซิ่นสบตากันแวบหนึ่ง แล้วมองไปทางเหมียวอี้ที่ยืนเอามือไขว้หลังเงียบๆ ไม่รู้ว่าเหมียวอี้มีแผนการอื่นหรือว่าคิดจะช่วยชีวิตสวีถังหรานจริงๆ ถ้าเป็นอย่างหลัง ต้องการจะใช้กำลังปะทะทั้งที่รู้ว่าทัพตะวันออกแอบซุ่มทัพใหญ่ห้าล้านไว้ที่สระน้ำมังกรดำ ก็อาจไม่ใช่วิธีการที่ชาญฉลาดนัก

หยวนกงยืนเงียบอยู่ข้างล่างมาตลอด สายตาแอบซ่อนความหวาดระแวงขณะมองประเมินปฏิกิริยาของเหมียวอี้ เหมือนจะมองเส้นสนกลในบางอย่างออกแล้ว

ผ่านไปไม่นาน นักพรตบงกชกลายยี่สิบกว่าคนที่สวมเกราะรบก็เข้ามาด้านใน หลังจากทำความเคารพแล้วก็เข้ามารวมตัวในศาลา เหมียวอี้วางแผ่แผนที่และเข็มทิศโลหะที่ใหญ่เท่าผิวโต๊ะออกมา จากนั้นเริ่มใช้กระบี่วิเศษในมือชี้บนเข็มทิศพร้อมพูดวางแผน

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม ตรงประตูชัยภูมิถ้ำสวรรค์ก็มีลำแสงกระเพื่อมเป็นคลื่นไม่หยุด เหมียวอี้นำออกมาก่อน แม่ทัพทุกคนตามหลังออกมา

หยางเจาชิงที่ออกมาหลังสุดเป็นคนเก็บชัยภูมิถ้ำสวรรค์เอาไว้

ขณะยืนอยู่ริมหน้าผา เหมียวอี้ใช้ฝ่ามือข้างเดียวรองถือเกราะรบผลึกแดงบริสุทธิ์ชุดหนึ่ง พอร่ายอิทธิฤทธิ์เล็กน้อย เกราะรบก็ปล่อยลำแสงสีรุ้งออกมา แล้วม้วนขึ้นมาสวมใส่บนตัวเขา ตรงเอวห้อยกระบี่วิเศษ ทั้งชุดเป็นของวิเศษขั้นหก ตอนที่เขาบรรลุระดับบงกชรุ้งได้ไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็รวบรวมทรัพยากรไปให้ทางเยารั่วเซียนหลอมสร้างเกราะรบระดับสูงกว่าเดิมให้เหมียวอี้

ชวิ้ง! เหมียวอี้พลันชักกระบี่วิเศษตรงเอวออกมา ชี้กระบี่ขึ้นฟ้า แล้วตะโกนเสียงดังลั่น “ทั้งหมดออกเดินทาง!”

“รับทราบ!” แม่ทัพทุกคนกุมหมัดเอ่ยรับคำศัพท์ แล้วแยกย้ายกันแฉลบขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว ต่างคนต่างระดมพลของตัวเองเพื่อจัดกระบวนทัพ

จะทำอย่างนี้จริงเหรอ! ชิงเยว่ หลงซิ่นมองหน้ากันเลิกลั่กอีกครั้ง เมื่อครู่ตอนปรึกษากันก็มีความเห็นที่แตกต่างอยู่บ้าง พวกเขาสองคนต่างก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม แต่ก็ถูกเหมียวอี้ข่มไว้ เหมียวอี้บอกว่าตัวเองจะไม่ทำศึกที่ตัวเองไม่มั่นใจ บอกประมาณว่ามีแผนการของตัวเองแล้ว

แต่กลับมีเรื่องหนึ่งที่เหมียวอี้ปิดบังทุกคนเอาไว้ เขาไม่ได้เอ่ยเรื่องทัพใหญ่ห้าล้านของตระกูลอิ๋ง ทั้งสองที่รู้เรื่องนี้ก็อดกลั้นไม่พูดถึงเช่นกัน เพราะรู้ว่าพูดแล้วจะทำให้ขวัญทหารสั่นคลอน ทั้งสองเองก็เคยเป็นขุนศึกในช่วงบุกยึดใต้หล้ามาก่อน เป็นคนที่เคยทำศึกมาจนชำนาญ รู้อย่างลึกซึ้งว่าการทำลายขวัญทหารเป็นข้อห้ามที่ร้ายแรงมาก จึงไม่กล้าพูดซี้ซั้ว!

แม้ทั้งสองจะไม่พอใจกับสิ่งนี้ แต่ถ้ามองจากอีกมุม ก็ทำให้ทั้งสองมองเหมียวอี้ด้วยสายตาที่สับสนหลากอารมณ์ ศึกนี้เรียกได้ว่าโง่เขลาที่สุด ทว่าการที่เหมียวอี้ทำเพื่อลูกน้องได้ถึงขั้นนี้ ทั้งสองก็มิอาจไม่เลื่อมใส มีเจ้านายดีแบบนี้แล้วยังมีอะไรให้บ่นอีก

หยวนกงก้มหน้าเงียบๆ ขณะไปเรียกรวมกำลังพลของโถงชุมนุมอัจฉริยะ ล้วนเป็นหนึ่งร้อยกว่าคนที่ติดตามสวีถังหรานมาในครั้งนี้

หยวนกงภายนอกดูเงียบๆ แต่ในใจกลับแอบร้องว่าแย่แล้ว กำลังแอบด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเหมียวอี้ เขาย่อมรู้ชัดว่าตัวเองมีฐานะอะไร ถ้าเอาชีวิตไปทิ้งเพราะความวู่วามชั่วขณะของเจ้าหัวหน้าภาคก้นสุนัขนี่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่คุ้มค่าเลยจริงๆ แต่ตอนนี้เขาจะหนีทัพก่อนทำศึกก็ไม่ได้ เพราะวินัยทหารไม่ใช่ของเด็กเล่น!

ผ่านไปไม่นาน ทัพใหญ่หนึ่งแสนก็ตั้งขบวนยาวเหยียดดุจมังกรเหาะพุ่งเข้าไปในจุดลึกของดาราจักรอีกครั้ง

“หยุดตั้งค่ายแล้วเหรอ?”

ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงกำลังพลิกอ่านม้วนตำราโบราณอยู่ระหว่างชั้นหนังสือ พอได้ยินข่าวก็เงยหน้าเอ่ยถาม

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงตอบพร้อมยิ้มบางๆ

“อยู่ห่างจากสระน้ำมังกรดำไม่ไกลแล้ว แต่จู่ๆ ก็หยุดตั้งค่าย! ดูท่าเจ้าจะพูดถูกแล้วจริงๆ ก็แค่แสร้งวางมาดตบตา จะได้ให้คำอธิบายต่อลูกน้องสะดวกก็เท่านั้นเอง” ประมุขชิงส่ายหน้ายิ้มเยาะ แล้วพลิกอ่านสิ่งที่อยู่ในมือต่อไป

หลังจากเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่ท่ามกลางทะเลหนังสือพักหนึ่ง ซ่างกวนชิงก็ตามประมุขชิงเข้ามาในตำหนักอีก ในมือประมุขชิงหยิบตำราโบราณอะสักอย่างออกมา แล้วนั่งพิงเก้าอี้อ่านอย่างออกอรรถรส

หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ซ่างกวนชิงก็หยิบระฆังดาราออกมาอีก ไม่รู้ว่าได้รับข่าวจากที่ไหน เขากระตุกมุมปากเบาๆ แอบมองประมุขชิงเป็นระยะ ทำท่าอึกอักเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่

ประมุขชิงที่กำลังจ้องม้วนตำราราวกับหน้าผากมีตาอีกดวง ตอนพลิกกระดาษถือโอกาสถามว่า “มีอะไร?” จากนั้นวางม้วนหนังสือลงช้าๆ ดวงตาทั้งคู่กำลังจ้องมองเขา

ซ่างกวนชิงทำสีหน้าเก้อเขินนิดหน่อย “ฝ่าบาท ทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาลออกเดินทางอีกแล้ว ไปที่…ไปที่…” ชักช้าไม่ยอมบอกชื่อสถานที่สักที

ประมุขชิงเลิกคิ้ว เดาออกแล้วว่าไปที่ไหน พรึบ! ม้วนตำราในมือพลันขว้างออกไป กระแทกหน้าซ่างกวนชิง

ซ่างกวนชิงโอบแขนรับม้วนตำราเอาไว้ แล้วก้มหน้าเงียบๆ

“ยังมัวเหม่ออะไร ยังไม่รีบไปจับตาดูอีก!” ประมุขชิงลุกขึ้นเอามือไขว้หลังข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็แทบจะจิ้มโดนหน้าผากเขา

“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ แล้วรีบหันตัววิ่งออกมา ถ้ารอให้จิ้มโดนหน้าผากจะต้องมีเท้าเตะตามมาแน่นอน

หลังจากประมุขชิงมองคล้อยหลังเขาด้วยความหงุดหงิด ก็เอามือไขว้หลังข้างเดียวเดินเข้าไปในตำหนักอีก จากนั้นทำสายตาครุ่นคิดพลางพึมพำ “เจ้าลูกลิงไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ หรือว่ารู้ความจริงแล้ว?”

ก๊อกๆๆ …

จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม ใต้ต้นไม้โบราณสูงระฟ้า บนโต๊ะยาวมีควันเขียวจากธูปกำยานลอยวนเวียน เซี่ยโห้วลิ่งนั่งขัดสมาธิ หลับตาดีดกู่ฉิน เสียงฉินเดี๋ยวดังเอื่อยเดี๋ยวดังกังวาน ทำให้รู้สึกว่าคนดีดฉินกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ บางครั้งในใจก็แฝงเจตนาสังหาร

ตรงประตูใหญ่ เว่ยซูรีบร้อนวิ่งเข้ามา พอมาถึงใต้ต้นไม้โบราณ ก็รีบร้อนกุมหมัดคารวะ ไม่สนใจด้วยว่าจะรบกวนอารมณ์ศิลปินของเซี่ยโห้วลิ่งหรือไม่ กล่าวอย่างร้อนใจเลยว่า “นายท่าน คุณชายหกขอความช่วยเหลือเร่งด่วนขอรับ!”

สิบนิ้วที่ดีดฉินหยุดชะงัก เซี่ยโห้วลิ่งใช้ฝ่ามือสองข้างกดบนสายฉิน หยุดเสียงที่ดังค้างจากสายฉินที่ยังสั่น จากนั้นลืมตาขึ้นมา ดูจากปฏิกิริยาแล้ว เหมือนสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า “เจ้าบอกว่าเจ้าหกขอความช่วยเหลือเร่งด่วนเหรอ?”

“ใช่แล้วขอรับ”

“เกิดอะไรขึ้น?”

เว่ยซูสงบสติอารมณ์ จัดระเบียบความคิด แล้วรีบบอกว่า “คุณชายหกได้ข่าวมา ว่าตระกูลอิ๋งแอบระดมทัพตะวันออกห้าล้านไปซุ่มรอที่สระน้ำมังกรดำแล้ว แต่หนิวโหย่วเต๋อกลับไม่ยอมฟังทั้งที่รู้ว่ามีกับดัก ดึงดันจะพุ่งชนกำแพง คุณชายหกขอให้นายท่านระดมกำลังคนทางนั้นเดี๋ยวนี้ เพื่อให้เตรียมพร้อมรับมือได้ทุกเมื่อ แล้วครั้งนี้หนิวโหย่วเต๋อก็มีเจตนาสังหารแล้วด้วย เกรงว่าจะลงมือกับตลาดมืดที่สระน้ำมังกรดำ คุณชายหกขอให้นายท่านอพยพคนของเราที่อยู่ตลาดมืดสระน้ำมังกรดำเดี๋ยวนี้ จะได้ไม่ติดร่างแหไปด้วย ตอนนี้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลสั่งห้ามใช้งานระฆังดาราแล้ว คุณชายหกคิดหาทางแอบส่งข่าวมา”

“ทัพตะวันออกห้าล้าน?” เซี่ยโห้วลิ่งตกใจจนลุกขึ้นยืนเช่นกัน แล้วกล่าวพลางส่ายหน้าไม่หยุด “มีกำลังพลเคลื่อนไหวมากขนาดนั้น แต่พวกเรากลับไม่รู้เรื่องเลย สงสัยจะแอบระดมทัพเกรียงไกรมาจากหลายที่จริงๆ รอบนี้อิ๋งจิ่วกวงเอาจริงแล้ว ต้องการจะฆ่าให้หมดสิ้น ยอมลำบากครั้งเดียวเพื่อกำจัดหนิวโหย่วเต๋อให้สิ้นซาก! หนิวโหย่วเต๋อนั่นบ้าไปแล้วหรือเปล่า? นี่ไม่ใช่ทัพเกรียงไกรของน่านฟ้าระกาติงนะ นี่คือทัพเกรียงไกรของทัพตะวันออก ยังคิดจะแสดงบทนำกำลังพลครึ่งกองธงไปตีทัพใหญ่หนึ่งล้านอีกเหรอ? เป็นความเพ้อฝันของคนโง่จริงๆ! หรือว่าทางหกลัทธิให้ความร่วมมือ? ไม่ถูกสิ ถ้าหกลัทธิมีการเคลื่อนไหวใหญ่โตจริงๆ ตัวตนของหนิวโหย่วเต๋อก็จะถูกเปิดโปงทันที จะหาที่ยืนในตำหนักสวรรค์ลำบากแล้ว ความเพียรพยายามที่ผ่านมาก็จะสูญเปล่า เจ้านั่นคิดจะทำอะไรกันแน่?”

เว่ยซูตอบว่า “ทางคุณชายหกไม่รู้เลยว่าหนิวโหย่วเต๋อกับหกลัทธิมีความเกี่ยวข้องกัน คาดว่าตอนนี้คงกำลังอกสั่นขวัญแขวน อีกทั้งสถานการณ์ก็คลุมเครือ คุณชายหกอาจจะมีอันตรายจริงๆ” เขาไม่สะดวกจะพูดว่าต้องช่วยคนให้ได้ เพราะกังวลว่าเซี่ยโห้วลิ่งจะมีแผนการอีกอย่าง ทำได้แค่บอกให้ชัดเจนอีกครั้งว่าคุณชายหกมีอันตราย

เซี่ยโห้วลิ่งพยักหน้า “เรื่องนี้เจ้ารีบไปจัดการ สั่งให้สมาชิกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือเต็มที่ จำไว้ พยายามอย่าให้ฐานะของเจ้าหกถูกเปิดเผย!”

“ขอรับ!” เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว เว่ยซูก็กุมหมัดเอ่ยรับคำสั่งทันที

นอกประตูใหญ่ตำหนักโยว คนหลายสิบคนเหาะลงจากฟ้า ผู้ที่นำหน้ามาเดินก้าวยาวอย่างทรนงองอาจ ข้างหลังทางซ้ายและขวามีคนเดินเรียงแถวฝั่งละหกคน คนกลุ่มนี้มองข้ามทหารยามตรงประตูตำหนักโยว เรียกได้ว่าไม่เห็นใครอยู่ในสายตา บุกเข้าไปโดยตรงเลย

แต่ทหารยามที่เฝ้าตรงประตูก็ไม่กล้าขวางพวกเขาเช่นกัน มีคนรีบเข้ามาต้อนรับและนำทางด้วยซ้ำ

เมื่อนำคนกลุ่มนี้เดินตรงมาถึงประตูตำหนักหลัง ผู้ที่นำทางถึงได้ถอยไป โหยวโยวและพวกเจ๋อชุนชิวยืนรอต้อนรับอยู่ตรงประตูตำหนักหลังแล้ว ที่ไม่ไปต้อนรับตรงประตูใหญ่เพราะกลัวจะสะดุดตาเกินไป

ผู้ที่นำหน้ามาดึงหนังปลอมบนใบหน้าออก แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปในตำหนักหลัง เขาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นท่านโหวอิ๋ง อิ๋งอู๋หม่านนั่นเอง แสดงลักษณะท่าทางหยิ่งผยองราวกับมองสรรพสิ่งเป็นมด ลักษณะแบบนี้ก็มีแบ่งแยกเช่นกันว่าจะแสดงให้ใครดู

“คารวะท่านโหว!” เจ๋อชุนชิวกับโหยวโยวทำความเคารพอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน

อิ๋งอู๋หม่านเพียงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ บอกใบ้ให้ทั้งสองถอยออกไป ทั้งสองจึงรีบไปยืนด้านข้างทันที

“ลำบากผู้จัดการใหญ่แล้ว” อิ๋งอู๋หม่านกล่าวตามมารยาทขณะเดินต่อไปข้างหน้า

เจ๋อชุนชิวที่รีบเดินตามไปพยายามเจียดรอยยิ้ม “ล้วนเป็นงานในหน้าที่ของบ่าวขอรับ”

ส่วนโหยวโยวก็แอบด่าในใจไม่หยุด นางไม่พอใจท่าทีของอิ๋งอู๋หม่านเป็นอย่างมาก ทำเหมือนนางเป็นคนนอก ทำเหมือนที่นี่คือตระกูลอิ๋ง

คนกลุ่มนี้เข้ามาในโถงหลักของตำหนักหลัง อิ๋งอู๋หม่านมองประเมินสภาพแวดล้อมข้างใน แล้วกล่าวเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ตามที่สายลับรายงานมา อีกประมาณครึ่งชั่วยามทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็จะถึงสระน้ำมังกรดำแล้ว ทางนี้เตรียมตัวเรียบร้อยหรือยัง?”

“เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วขอรับ เรียบร้อยแล้ว” เจ๋อชุนชิวตอบซ้ำๆ โบกมือกางแผนที่และเข็มทิศโลหะแผ่นใหญ่ออกมา เป็นของที่ใช้ยามเดินทัพทำศึก “ท่านโหวเชิญดูทางนี้”

ผู้ติดตามของอิ๋งอู๋หม่านล้อมเข้ามาดูด้วยกัน พวกเขากวาดสายตามองแผนที่ดาวที่ระยิบระยับอยู่บนบนเข็มทิศอย่างชำนาญ

เจ๋อชุนชิวยืนมือไปวงตรงจุดหนึ่งบนเข็มทิศ “ตรงนี้ก็คืออาณาเขตที่ผู้อาวุโสโหยวดูแล” พูดจบก็ใช้นิ้วแตะบนอาณาเขตผืนหนึ่ง ภายใต้การร่ายอิทธิฤทธิ์ ภาพดาวที่อยู่โดยรอบเลือนหายไป ส่วนภาพดาวตรงที่นิ้วเขาแตะก็ขยายใหญ่เต็มแผ่นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ชี้ดาวเคราะห์เจ็ดดวงที่อยู่ใกล้กัน “ท่านโหวโปรดดู ตรงนี้มีดาวเคราะห์ตรงกลางดวงหนึ่ง รอบข้างมีดาวเคราะห์หกดวงล้อมรอบพอดี ดาวเคราะห์หกดวงนี้เหมาะจะให้ท่านโหวตั้งทัพ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อถูกล่อมาอยู่ตรงกลางเมื่อไร ก็จะตกอยู่ในกับดักที่หนียากทันที แล้วตรงนี้ก็มีข้อดีอีกอย่าง นั่นก็คือค่อนข้างลับตาคน เวลาลงมือสู้กันไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็นได้ง่ายๆ”

อิ๋งอู๋หม่านพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นเอียงหน้ามองไปทางโหยวโยว ทำท่าเหมือนเพิ่งสังเกตเห็นนาง “ผู้อาวุโสโหยว เหมือนพวกเราจะไม่ได้เจอกันหลายปีแล้วนะ”

โหยวโยวกวาดมองลูกน้องแววตาดุร้ายของเขาแวบหนึ่ง แล้วฝืนยิ้ม “ไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว ท่านโหวยังมีสง่าราศีเหมือนเดิม”

“เรื่องใช้สวีถังหรานเป็นเหยื่อล่อหนิวโหย่วเต๋อคงต้องฝากเจ้าแล้ว พวกเราไม่สะดวกจะเผยตัวตน ไม่อย่างนั้นจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น” อิ๋งอู๋หม่านไม่สนใจว่าโหยวโยวจะเห็นด้วยหรือไม่ พอพูดจบก็กวาดมองลูกน้องทางซ้ายและขวา “ทุกคนจำไว้ ถ้ากำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อเข้ามาติดกับดักเมื่อไร ก็เคลื่อนไหวตามคำสั่งพร้อมกันทันที ไม่ต้องอาศัยข้ออ้างอะไรทั้งนั้น ล้อมไว้ทันที จับตาย อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!”

“รับทราบ!” ทั้งยี่สิบคนเอ่ยรับคำสั่ง

…………………

ก่อนเข้าไปข้างไหน ได้เห็นฉากทัพใหญ่ยืนถืออาวุธตั้งเรียงราย ประเมินจำนวนคนคร่าวๆ แล้วก็พบว่าเทออกมาทั้งรังจริงๆ โหยวฮ่วนรู้สึกตึงเครียดในใจเล็กน้อย

ชัยภูมิถ้ำสวรรค์ ในศาลาเปิดโล่ง เหมียวอี้นั่งยกจอกสุราดื่มอยู่หลังโต๊ะหินอย่างเอื่อยเฉื่อย เหยียนซิวและหยางเจาชิงยืนอยู่ทางซ้ายและขวาข้างหลังเขา ส่วนชิงเยว่กับหลงซิ่นก็ยืนอยู่ข้างโต๊ะหิน

โหยวฮ่วนประเมินสภาพแวดล้อมในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ครู่เดียว หลังจากเห็นคนในศาลาแล้ว ก็พอจะเดาได้ว่าคนที่นั่งอยู่ในนั้นคือหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลหนิวโหย่วเต๋อ มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สองคนคุ้มกัน น่าจะไม่ผิดแล้ว หยวนกงที่นำทางมายืนอยู่ข้างบันไดนอกศาลา แบบนี้ก็ยิ่งไม่ผิดแล้ว

“ผู้ช่วยโหยวฮ่วนจากเผ่าเทพอสรพิษดำคารวะท่านหัวหน้าภาค” โหยวฮ่วนที่หยุดยืนอยู่ตรงตีนบันไดเปิดหมวกออก คารวะโดยเผยโฉมหน้าที่แท้จริง เขาเองก็เพิ่งเคยเจอเหมียวอี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน เขารู้สึกแปลกใจกับหัวหน้าภาคในตำนานท่านนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะมองหลายครั้ง

เหมียวอี้เหลือบตาขึ้น กวาดสายตาเย็นเยียบมองแวบหนึ่ง พอทั้งสองสบตากัน โหยวฮ่วนก็รู้สึกหนาวในใจ รู้สึกได้ถึงเจตนาสังหารในดวงตาอีกฝ่าย จึงรีบหลุบตาลง

ในตอนนี้โหยวฮ่วนรู้สึกขมปากขมคอ ทอดถอนใจว่าเหตุใดมารดาจึงต้องลำบากขนาดนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นหัวหน้าภาคทั่วไปก็คงไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขา ถึงอย่างไรเผ่าเทพอสรพิษดำก็เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจหลายฝ่าย แล้วดูตอนนี้สิ เขากลับต้องเป็นฝ่ายถ่อมาก้มหัวให้ก่อน

“ใจกล้าไม่เบา จับคนของข้าไป แล้วยังกล้ามามาโอ้อวดถึงที่นี่ คิดว่าจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลของข้าไร้คนงั้นเหรอ?” เหมียวอี้แสยะยิ้ม มีอำนาจบารมีในตัวเองทั้งที่ยังไม่ได้แสดงความโกรธ

โหยวฮ่วนแก้ตัวทันที “หัวหน้าภาคเข้าใจผิดแล้ว ตอนนั้นพวกเราสองแม่ลูกก็ถูกตระกูลอิ๋งกดดันจนไร้ทางเลือกเช่นกัน เดิมทีตระกูลอิ๋งต้องการจะให้จับคนทั้งหมดของท่านหัวหน้าภาคเอาไว้ เป็นแม่ข้าที่พยายามรับมือเต็มที่ในระหว่างนั้น ต่อให้อยู่ในสถานการณ์ที่ลูกน้องของนายท่านสังหารพี่น้องของเผ่าเทพอสรพิษดำไปแล้วไม่น้อย แต่ก็ยังพยายามไม่แตะต้องคนอื่นแล้วปล่อยออกมา เรื่องนี้ให้ลูกน้องของนายท่านเป็นพยานได้…” เขาบอกเล่าความทุกข์ในใจอยู่พักหนึ่ง

เหมียวอี้จึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ในเมื่อถูกกดดันจนไร้ทางเลือก งั้นก็คุยง่ายเหมือนกัน ปล่อยคนมาก่อนเถอะ” แม้เขาจะรู้ว่ามีความเป็นไปได้ต่ำที่จะช่วยชีวิตสวีถังหรานกลับมา แต่ก็ยังพยายามจะลองให้ถึงที่สุด

โหยวฮ่วนเงยหน้า กล่าวด้วยสีหน้าขื่นขม “คนถูกตระกูลอิ๋งนำตัวไปแล้ว พวกเราไม่มีอำนาจตัดสินใจแล้ว”

เหมียวอี้สีหน้าเย็นเยียบทันที “งั้นเจ้าถ่อมาทำอะไรที่นี่? ล้อข้าเล่นเหรอ?”

โหยวฮ่วนกุมหมัดคารวะ “ท่านหัวหน้าภาคอาจยังไม่รู้ ตระกูลอิ๋งแอบระดมทัพใหญ่ห้าล้านของทัพตะวันตกเข้ามาที่สระน้ำมังกรดำแล้ว มีเจตนาไม่ซื่อต่อนายท่าน หลังจากแม่ข้ารู้ข่าวก็ตกใจมาก สั่งให้ข้าแอบหลบสายตาตระกูลอิ๋งมาหานายท่าน บอกมาสถานการณ์ให้นายท่านรู้ จะได้ไม่ตกหลุมพรางตระกูลอิ๋ง!”

ทัพใหญ่ห้าล้าน? ชิงเยว่ หลงซิ่นและคนอื่นๆ สูดหายใจลึกด้วยความตระหนก ตระกูลอิ๋งนี่ช่าง…ไม่น่าเชื่อว่าจะดึงทัพใหญ่ห้าล้านมาสู้กับทัพใหญ่แดนรัตติกาล แบบนี้ต้องการจะฆ่าให้สิ้นซากชัดๆ! พวกเขาหันกลับไปมองเหมียวอี้ รู้สึกว่าข่าวนี้มาทันเวลาพอดี ถ้าพวกเขาไปปะทะด้วยจริงๆ ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่กล้านึกถึง

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าตระกูลอิ๋งจะลงทุนมากขนาดนี้เพื่อสู้กับเขา ต้องทำให้เขาตายให้ได้แน่นอน สงสัยหยางชิ่งจะพูดไว้ไม่ผิด ครั้งก่อนล่วงเกินตระกูลอิ๋งไว้แรงมากจริงๆ

โหยวฮ่วนรู้สึกได้ว่าบรรยากาศตรงนี้เปลี่ยนไป ในใจรู้สึกโล่งไปหนึ่งเปราะ เดาว่าน่าจะหลบศึกครั้งนี้ได้แล้ว ขอเพียงหลบศึกครั้งนี้ได้ ไม่ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะขอบคุณหรือไม่ เขาก็ไม่ถือสาอะไรทั้งนั้น

“แค่นี้น่ะเหรอ?” เหมียวอี้พลันเอ่ยถามทำลายความเงียบ

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร โหยวฮ่วนหัวใจกระตุกวูบ “ไม่ทราบว่านายท่านยังอยากรู้อะไรอีก? หากผู้น้อยรู้ก็จะตอบแน่นอน”

เหมียวอี้ยกกาสุราเทให้ตัวเอง แล้วถามเหมือนไม่ใส่ใจอะไรนัก “ข้าแค่อยากจะรู้ว่าจะช่วยรองหัวหน้าภาคของข้ากลับมาได้หรือเปล่า”

“…” โหยวฮ่วนอ้าปากค้างครู่หนึ่ง “คุยกับตระกูลอิ๋งไม่ง่ายเลย แต่ท่านแม่ของผู้น้อยก็จะพยายามเต็มที่แน่นอน ผู้น้อยจะกลับไปคิดหาทางกับท่านแม่เดี๋ยวนี้ นายท่านรักษาตัวด้วย ผู้น้อยขอตัว” เขารู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของเหมียวอี้ไม่ชอบมาพากล มอบไมตรีให้มากมายขนาดนี้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีคำขอบคุณสักคำ เหนือความคาดหมายมาก เขารู้สึกว่าท่าไม่ดีแล้ว จึงตัดสินใจหลบเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นก่อน

“ไม่ต้องรีบ” เหมียวอี้ขัดขวาง วางจอกสุราลง แล้วจ้องเขาพร้อมถามอย่างใจเย็น “สวีถังหรานยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?” ฝั่งนี้ติดต่อสวีถังหรานมาตลอด แต่ไม่เคยติดต่อได้เลย จึงสงสัยว่าสวีถังหรานจะประสบอันตรายไปแล้วหรือเปล่า

พบว่าไม่มีทางคาดเดาอารมณ์ของเหมียวอี้ได้เลย ไม่มีทางใช้หลักการทั่วไปมาวัดได้ โหยวฮ่วนเริ่มรู้สึตึงเครียดในใจแล้ว รีบพยักหน้าตอบว่า “ยังมีชีวิตอยู่ ตระกูลอิ๋งเตรียมจะใช้นายท่านสวีเป็นเหยื่อล่อ ถ้านายท่านยังไม่ติดเบ็ด นายท่านสวีก็คงยังไม่เป็นอะไร”

เหมียวอี้หรี่ตาจ้องเขา “ข้าติดต่อเขาไม่ได้ เจ้ามีหนทางติดต่อเขาหรือเปล่า?”

โหยวฮ่วนอยากจะบอกเหมือนกันว่าไม่มีทาง แต่สัมผัสความเย็นเยียบในร่องตาอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน จึงตอบอย่างลำบากใจว่า “ผู้น้อยจะลองคิดหาทาง” ขณะที่พูดก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อมารดา ตอนนี้มีแต่ต้องให้มารดาคิดหาทางแล้ว

เหมียวอี้มีความอดทนมาก รินสุราดื่มเองอยู่อย่างนั้น รอคอยอย่างช้าๆ

ตำหนักโยว โหยวโยวทีได้รับข่าวจากลูกชายตกใจมาก เพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองติดสินหนิวโหย่วเต๋อผิดพลาดอย่างต่อเนื่อง นึกไม่ถึงว่าตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้วยังคิดจะช่วยคนอีก หรือว่าความเป็นความตายของทัพใหญ่หนึ่งแสนก็ยังเทียบกับสวีถังหรานคนเดียวไม่ได้? ถ้าไม่มีกำลังพลในมือ หัวหน้าภาคแดนรัตติกาลอย่างเจ้าก็จะขาดอำนาจทางทหาร อาศัยแค่รองหัวหน้าภาคคนเดียวจะมีประโยชน์อะไร คนที่ไม่มีแม้กระทั่งชีวิตแล้วจะช่วยให้ได้ขึ้นมา คนที่ไต่เต้าถึงตำแหน่งนี้ได้ ไม่รู้จักแม้กระทั่งการชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียเหรอ?

ตอนนี้นางตระหนักได้อย่างแท้จริง ว่าไม่อาจใช้หลักการปกติมาศึกษานิสัยหนิวโหย่วเต๋อ รู้ตัวว่าตัวเองอาจจะส่งลูกชายเข้าปากเสือแล้ว

ทว่าตอนนี้ยังไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของเหมียวอี้ ถ้าสามารถช่วยหาทางหนีทีไล่ให้ลูกชายได้สักหน่อย นางก็ยังต้องพยายามให้เต็มที่ นางจึงรีบไปหาเจ๋อชุนชิวที่เรือนรับแขก

เมื่อได้ยินว่าเหมียวอี้ส่งคนมาติดต่อโหยวโยวเพื่อยืนยันว่าสวีถังหรานยังมีชีวิตอยู่ เจ๋อชุนชิวก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ นี่คือเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายของเขาตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นคงไม่เก็บสวีถังหรานเอาไว้

สวีถังหรานที่เลือดท่วมทั้งตัวถูกนำมาโยนไว้บนพื้น ตอนที่ตกลงมาเขาส่งเสียงครางในลำคอ

พอเจ๋อชุนชิวสะบัดคาง ก็มีคนคลายผนึกบนตัวสวีถังหรานทันที แต่กลับใช้อาวุธจ่อคอเอาไว้

ตอนนี้สวีถังหรานว่านอนสอนง่าย ก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร และไม่กล้าชักสีหน้าให้ใครไม่พอใจด้วย ทั้งตัวห่อเหี่ยวอยู่อย่างนั้น เห็นแล้วยังสงสาร ความคิดของเขาไม่ได้ซับซ้อน ถ้ายังรักษาชีวิตไว้ได้ก็พยายามรักษาไว้ อย่างน้อยถ้าทำตัวซื่อสัตย์ก็ไม่ต้องเจ็บตัว

โหยวโยวเห็นการตอบสนองที่ขี้ขลาดของสวีถังหรานแล้วคลื่นไส้นิดหน่อย มีลูกน้องแบบนี้ หนิวโหย่วเต๋อนั่นไม่กลัวตายจริงเหรอ?

เจ๋อชุนชิวเอามือลูบเคราที่คาง พลางกล่าวปนเสียงหัวเราะ “นายท่านสวี หนิวโหย่วเต๋อติดต่อมาหาเจ้า ตอนนี้ให้โอกาสเจ้าติดต่อนายท่านของเจ้าแล้ว เร็วเข้าสิ”

ชั่วขณะนั้น สวีถังหรานฮึกเหิมทันที แววตาเป็นประกาย ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาเขาทนอยู่ในความหวาดระแวงกลัวมาตลอด ไม่รู้ว่าตัวเองจะตายเหมือนกัน ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลไม่ส่งข่าวอะไรมาเลย เขาสงสัยนิดหน่อยว่าตัวเองถูกทิ้งแล้วหรือเปล่า ตอนนี้พอรู้ว่านายท่านยังไม่ทิ้งเขา ก็เหมือนได้เห็นความหวังที่จะมีชีวิตรอดอยู่บ้าง

พอมองดูปฏิกิริยาของคนรอบกาย สวีถังหรานถึงได้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้อย่างระมัดระวัง

ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์มีเสียงดัง “ปั้ง” คนที่เหลือหันไปมอง เห็นเหมียวอี้ตบวางจอกสุราในมือลงบนโต๊ะ แล้วหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา

เมื่อสองฝั่งเชื่อมต่อสัญญาณติดแล้ว เหมียวอี้ก็ถามทันทีว่า : สวีถังหราน เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?

สวีถังหรานค่อนข้างซาบซึ้ง : นายท่าน ข้าน้อยยังพอเอาตัวรอดไปวันๆ ได้

เหมียวอี้เงียบไปประเดี๋ยวเดียว ก่อนจะตอบว่า : ข้านำทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาลมาถึงแล้ว!

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร สวีถังหรานรู้สึกคัดจมูกเล็กน้อย รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมา เขาเองก็ตระหนักได้เช่นกันว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล รู้สึกว่ามีมือขนาดใหญ่มือหนึ่งกำลังปลุกปั่นเผ่าเทพอสรพิษดำ แค่คิดก็รู้แล้วว่าใครสามารถบงการผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำได้ เมื่อลองชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย เขาก็เริ่มสงสัยว่าตัวเองคงถูกทิ้งแล้ว ถึงอย่างไรโลกนี้ก็มีคนประจบสอพลอยู่มากมาย มีคนมาแทนที่เขาได้ทุกเมื่อ เขารู้สึกว่าอย่างมากนายท่านก็แค่จะทำเท่าที่ทำได้ แต่ใครจะคิดว่านายท่านจะเทรังนำทัพใหญ่แดนรัตติกาลออกมาเพื่อช่วยชีวิตเขาคนเดียว ตอนนี้เขาแทบจะถามตัวเองว่า ตัวเองมีคุณธรรมหรือความสามารถอะไรที่คู่ควร!

รู้สึกเหมือนถูกลืมไว้กลางทะเลแล้วถูกคลื่นซัดออกมา ทำให้สวีถังหรานอยากจะร้องไห้จริงๆ เขาข่มความรู้สึกตื้นตันใจเอาไว้ ตอบกลับว่า : นายท่านระวังตัว เรื่องในครั้งนี้ดูไม่ค่อยชอบมาพากล

ทางนี้ไม่ได้บอกให้สวีถังหรานรู้ว่าตระกูลอิ๋งลงมือแล้ว และเหมียวอี้ก็ไม่คิดจะบอกเช่นกัน เพราะกังวลว่าเจ้าหมอนี่จะปากเบา เพราะสวีถังหรานดูเหมือนไม่ใช่คนที่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีอะไร ถ้าให้ตระกูลอิ๋งรู้ว่าเหมียวอี้รู้แล้ว บางทีกลับจะกลายเป็นทำร้ายสวีถังหรานด้วยซ้ำ

เหมียวอี้ : ข้ารู้…ครั้งนี้ข้าอาจจะหาทางช่วยเจ้ากลับมาไม่ได้ แต่ว่า…ข้าจะล้างแค้นให้เจ้า!

จะต้องตายอยู่ที่นี่จริงเหรอ? สวีถังหรานปวดใจ พอนึกย้อนไปว่าตัวเองต้องลำบากพยายามขนาดไหนเพื่อไต่เต้าขึ้นตำแหน่งนี้ ก็ถึงได้ค้นพบความสุขของคนต่ำต้อยต่ำต้อยเหล่านั้น ตัวเองได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้แล้วยังไงล่ะ? ตอบกลับอย่างเศร้าสลด : ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!

เหมียวอี้ : เจ้าพยายามรักษาตัวให้ดี ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็น ก็อาจจะเปิดเผยความลับได้นิดหน่อย พยายามเอาชีวิตรอดให้ได้ มีชีวิตอยู่ถึงจะมีความหวัง เสวี่ยหลิงหลงกำลังรอให้เจ้ากลับไป อย่างอื่นล้วนไม่สำคัญ!

ในดวงตาเล็กๆ มีประกายน้ำตา สวีถังหรานยังคิดจะพูดอะไรอีก ทว่าเจ๋อชุนชิวที่อยู่ข้างๆ กลับกล่าวเสียงเรียบว่า “คุยนิดหน่อยก็พอแล้ว”

เพี้ยะ! จู่ๆ ด้านข้างก็มีฝ่ามือลอยมา สวีถังหรานโดนจบจนมึน ระฆังดาราในมือถูกแย่งไปแล้ว ถูกควบคุมพลังไว้อีกครั้ง

ส่วนทางฝั่งเหมียวอี้ หลังจากพยามยามติดต่อซ้ำอีก พบว่าสวีถังหรานไม่มีการตอบสนองอะไรแล้ว ก็พอจะเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงเก็บระฆังดาราเงียบๆ

หลังจากโหยวฮ่วนที่ยืนอยู่ตรงตีนบันไดสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก็กุมหมัดคารวะ “ถ้านายท่านไม่มีอะไรจะกำชับแล้ว ผู้น้อยก็ขอตัวกลับไปปรึกษากับท่านแม่ก่อน ดูว่าจะคิดหาทางช่วยนายท่านสวีออกมาได้หรือไม่”

เหมียวอี้ก้มหน้ามอง “ที่นี่ใช่ว่าใครคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป…”

“นายท่านหนิว…” โหยวฮ่วนตกใจมาก

เหมียวอี้ยังไม่ทำอะไร กล่าวอย่างใจเย็นต่อไปว่า “อยู่ที่นี่อย่างสงบใจเถอะ ถือโอกาสติดต่อแม่เจ้าด้วย บอกให้นางพยายามปกป้องชีวิตสวีถังหรานเอาไว้ ถ้าสวีถังหรานมีอันเป็นไป ข้าก็จะเอาชีวิตลูกชายนางมารองก้นโลงศพให้สวีถังหราน”

โหยวฮ่วนตกใจจนหน้าถอดสี “นายท่าน ถ้าข้ากลับไปไม่ได้ ตระกูลอิ๋งจะต้องสงสัยแน่นอน ชีวิตนายท่านสวีจะตกอยู่ในอันตราย!”

“จัดการ!” เหมียวอี้ออกคำสั่งอย่างไม่แยแส

หลงซิ่นพลันถลันตัวออกมา ใช้เท้าเตะหนึ่งที

“อั้ก!” โหยวฮ่วนหลบไม่ทัน กระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง กระเด็นตกกระแทกพื้น งอตัวร้องครวญคราง

หลงซิ่นใช้มือข้างหนึ่งหิ้วเขาขึ้นมา แล้วกระชากหัวพลางตะคอกสั่ง “ติดต่อแม่เจ้า!”

ในใจหลงซิ่นเดือดดาลเช่นกัน อย่างไรเสียในปีนั้นเขาก็เคยอยู่ตำแหน่งโหว เผ่าเทพอสรพิษดำกล้ามาหาเรื่องเสียเมื่อไรกัน แล้วดูตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงลงมืออย่างไม่ปรานี

โหยวฮ่วนที่เลือดกลบปากเอียงศีรษะ หยิบระฆังดาราออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวดทรมาน

หลังจากโหยวฮ่วนถูกเก็บเอาไว้แล้ว เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในศาลาก็ถามว่า “อิงจากความเร็วในการเดินทัพตอนนี้ ต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะถึงสระน้ำมังกรดำ!”

หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ ตอบว่า “ไม่เกินสองชั่วยามขอรับ!”

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เรียกรวมแม่ทัพแต่ละกอง ร่างแผนการโจมตี!”

………………

ทัพใหญ่ห้าล้าน! โหยวโยวและลูกชายสูดหายใจอย่างตกตะลึง ดูท่าแล้วคงจะอยากปราบปรามทัพใหญ่แดนรัตติกาลให้สิ้นซากจริงๆ!

เมื่อเห็นสองแม่ลูกทำสีหน้าตกตะลึง เจ๋อชุนชิวก็ค่อนข้างภูมิใจในตัวเอง ถามเสียงเรียบว่า “ทำไมล่ะ หรือว่าผู้อาวุโสโหยวรู้สึกว่ามีปัญหา?”

“ค่ะ! ข้าจะไปเตรียมที่พักให้ทัพใหญ่เดี่ยวนี้” โหยวโยวฟื้นยิ้ม จากนั้นสองแม่ลูกก็ขอตัวออกไป

หลังจากกลับถึงตำหนักหลัก สองแม่ลูกก็ยากจะสงบใจได้ รู้สึกว่าเรื่องราวลุกลามใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกที่ตระกูลอิ๋งบอกว่าจะกำจัดหนิวโหย่วเต๋อ กลายเป็นจะกำจัดทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาลแล้ว หลังจากจบเรื่องนี้ ใต้หล้าจะต้องสะเทือนแน่

โหยวฮ่วนที่ก้มหน้าเงียบเงยหน้าขึ้นช้าๆ จ้องผู้หญิงผมยาวลากพื้นตรงหน้า พร้อมบอกว่า “ท่านแม่ พวกเราช่วยตระกูลอิ๋งมากเกินไปหรือเปล่า? ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาจริงๆ ท่านแม่คิดว่าข้ายังจะคุมตลาดมืดต่อไปได้เหรอ? ถึงตอนนั้นบนตัวพวกเราสองแม่ลูกก็ประทับตราตระกูลอิ๋งไว้ลึกมาก เท่ากับว่าถลำลึกทำผิดกฎของอ๋องอสรพิษดำที่บอกว่าจะวางตัวเป็นกลาง เกรงว่าตำแหน่งผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำของท่านแม่ก็จะรักษาไว้ได้ยากเช่นกัน เผ่าเทพอสรพิษดำจะปล่อยให้คนที่ได้รับอิทธิพลจากนอกเผ่ามากุมอำนาจมหาศาลในเผ่าได้ยังไง!”

“เจ้ากำลังโทษข้าเหรอ?” โหยวโยวสะบัดผมยาว พลันหันตัวมา ในดวงตาแฝงไฟโกรธ เอามือตบหน้าอกอิ่มเอิบของตัวเองพลางตวาดว่า “ข้าทำอย่างนี้ก็เพื่อใครล่ะ? ทั้งหมดไม่ใช่เพื่อเจ้าหรอกเหรอ? ตอนนั้นข้ามีทางเลือกรึไง? ตระกูลอิ๋งเล็งเป้ามาที่พวกเราสองแม่ลูกแล้ว พวกเราจะหลบพ้นมั้ย? ถ้าจะโทษก็โทษหนิวโหย่วเต๋อว่าไม่ควรส่งคนมาที่นี่ ถ้าคนไม่มาที่นี่ พวกเราสองแม่ลูกจะถูกตระกูลอิ๋งเพ่งเล็งได้ยังไง?”

โหยวฮ่วนก้มศีรษะ ใบหน้าคร่ำเคร่งไม่เอ่ยพูดอะไรอีก

โหยวโยวที่ระบายความโกรธแค้นไปยกหนึ่งก็ใจเย็นลงแล้วเช่นกัน รู้ว่าเรื่องนี้โทษลูกชายไม่ได้ นางเดินเท้าเปล่าขยับร่างอรชรไปมาอยู่ในตำหนักไม่หยุด

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ฝีเท้านางก็เริ่มช้าลง พอเดินผ่าตัวลูกชายก็หยุดเดิน จ้องลูกชายพร้อมบอกว่า “จะให้พวกเขาสู้กันไม่ได้! ไม่อย่างนั้นไม่ว่าจะใครจะแพ้หรือชนะ พวกเราก็ไม่มีทางยุติเรื่องนี้ได้อยู่ดี!”

โหยวฮ่วนเงยหน้าด้วยความงุนงง “จะห้ามยังไง? เมื่อก่อนเคยได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนบ้าบิ่น พอมาดูตอนนี้ก็เหมือนจะเป็นคนบ้าจริงๆ มีข่าวส่งมาตลอดทาง ว่าทัพใหญ่หนึ่งแสนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด มุ่งหน้ามาทางสระน้ำมังกรดำอย่างไม่ต้องสงสัย เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะห้ามยังไง? พวกเราจะห้ามคนบ้าคนนี้ไหวเหรอ?”

โหยวโยวแสยะยิ้ม “คนที่เล่นเดิมพันในงานเลี้ยงวันเกิดเซี่ยโห้วท่าได้ เจ้าคิดว่าจะโง่หรือไง?”

“ลูกไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านแม่พูด” โหยวฮ่วนลังเล

โหยวโยวจ้องเขา “กำลังพลหนึ่งแสนของเขาไม่มีทางสู้ทัพใหญ่ห้าล้านของตระกูลอิ๋งได้เลย ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ เขาก็น่าจะรู้ ถ้าใช้กำลังปะทะตรงๆ ก็มีแต่ตายสถานเดียว อีกทั้งตระกูลอิ๋งแอบระดมทัพใหญ่ห้าล้าน แสดงว่าต้องเตรียมตัวมาอย่างดีที่สุดแน่นอน รักษาความลับได้สุดยอด เขาน่าจะยังไม่รู้ความจริง!”

โหยวฮ่วนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะกระจ่างในฉับพลัน “ท่านแม่หมายความว่า จะเผยความลับเหรอ ให้เขารู้ว่ายากลำบากแล้วถอยไปเอง?”

โหยวโยวยกมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ พยักหน้าเบาๆ

โหยวฮ่วนลังเลอีก “แต่ถ้าให้ตระกูลอิ๋งรู้ว่าพวกเราปล่อยข่าว มีหรือจะเลิกรา?”

โหยวโยวกล่าวอย่างคับแค้น “เป็นตระกูลอิ๋งที่อาศัยว่าตัวเองมีอำนาจมากมารังแกคนอื่น มาทรยศคำสัญญาก่อน เอง เรื่องราวในตอนนี้ไม่เหมือนที่พวกเขาพูดไว้ตอนแรกเลย เขาไร้คุณธรรมก่อน จะมาโทษว่าข้าขาดคุณธรรมไม่ได้หรอก แล้วอีกอย่าง ตระกูลอิ๋งมายุ่งทางนี้ไม่ได้หรอก ขอเพียงระงับการเข่นฆ่าครั้งนี้ได้ อย่างมากตระกูลอิ๋งก็แค่ก่อกวนให้เจ้าเสียอำนาจควบคุมตลาดมืด ทำให้ตำแหน่งผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำของข้าสะเทือนไม่ได้ ถ้าไม่เกิดเรื่องก็ยังปกป้องได้อย่างหนึ่ง แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา พวกเราสองแม่ลูกก็จะปกป้องอะไรไม่ได้เลย” นางยื่นมือไปตบบ่าโหยวฮ่วน “ตราบใดที่แม่ยังรักษาตำแหน่งไว้ได้ ก็ยังมีอำนาจออกความเห็นที่เผ่าเทพอสรพิษดำ เจ้าก็ยังมีโอกาสประสบความสำเร็จ ใช่มั้ยล่ะ?”

โหยวฮ่วนพูดไม่ออกมาก อ้อมไปอ้อมมาก็กลับมาที่เดิม แบบนี้จะต่างอะไรกับตอนแรก ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นอย่างนี้ แล้วจะชักสุนัขจิ้งจอกเข้าบ้านทำไม?

โหยวโยวตบบ่าเขาเบาๆ “เพียงแต่พอเป็นแบบนี้ เกรงว่าต้องลำบากเจ้าแล้ว! เพียงแต่ถ้าทำได้ดี ตระกูลอิ๋งก็อาจไม่รู้ว่าเป็นพวกเราสองแม่ลูกที่ปล่อยข่าว!”

“ท่านแม่คิดจะทำยังไง? ส่งใครไปวิ่งเต้นเรื่องนี้จะเหมาะสมที่สุด?” โหยวฮ่วนถาม

ฝ่ามือของโหยวโยวไหลลงมาจากบ่า ปลายนิ้วจิ้มที่หน้าอกเขา “มาถึงขั้นนี้แล้ว เราจะวางไข่ไว้ในตะกร้าเดียวกันไม่ได้ พวกเราต้องดูแลทั้งสองฝั่ง พยายามไม่ล่วงเกินหนิวโหย่วเต๋อและไม่ล่วงเกินตระกูลอิ๋งด้วย ไม่อย่างนั้นต่อให้หลบเลี่ยงเจ้าคนบ้านั่นได้ชั่วคราว แต่ก็ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ตลอดชีวิต ถ้าตระกูลอิ๋งไปเมื่อไร เขานำคนมาก่อเรื่องอีกก็จะลำบากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องแบบนี้ใช่ว่าส่งใครก็ได้ไปคุยแล้วหนิวโหย่วเต๋อจะยอมเชื่อ ดังนั้นเจ้าต้องไปแสดงความจริงใจด้วยตัวเอง บอกเรื่องที่ตระกูลอิ๋งระดมทัพใหญ่ห้าล้านให้หนิวโหย่วเต๋อรู้ แสดงความหวังดีต่อเขา พร้อมทั้งบอกด้วยว่าไม่อยากมีเรื่องกับเขา ตอนนั้นถูกตระกูลอิ๋งบีบจนไม่มีทางเลือก ต่อให้พวกเราไม่ทำ คนอื่นก็ทำอยู่ดี แต่พวกเราพยายามช่วยเขาเต็มที่แล้ว จับสวีถังหรานไว้คนเดียว ไม่แตะต้องคนอื่นแม้แต่น้อย เจ้าเข้าใจที่ข้าบอกมั้ย?”

โหยวฮ่วนพยักหน้า “เข้าใจแล้ว เปิดเผยความลับต่อเขา ช่วยให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลรอดพ้นความเสียหายที่กำลังจะเกิด ทำแบบนี้เพื่อชดเชยความผิดก่อนหน้านี้ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ก็ยังให้สัญญาว่าจะมอบผลประโยชน์ให้เขาได้ด้วย!”

โหยวโยวพยักหน้าอย่างปลื้มใจ “เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ รีบไปจัดการ ตอนไปพยายามรักษาความลับด้วย อย่าให้คนตระกูลอิ๋งจับได้”

โหยวฮ่วนกุมหมัดคารวะ แล้วรีบออกไป

ผ่านไปไม่นาน นอกประตูจวนแม่ทัพภาคตลาดผี มีคนมาหาถึงประตู

“นายท่าน ทางตลาดผีส่งข่าวมา ผู้ช่วยโหยวฮ่วนจากสระน้ำมังกรดำต้องการพบท่าน!”

ทัพใหญ่หนึ่งแสนเร่งเหาะอยู่ในดาราจักร หยางเจาชิงที่ติดตามอยู่ข้างกายเหมียวอี้กำระฆังดาราพร้อมถ่ายทอดเสียงรายงาน

เหมียวอี้หันมามอง แล้วออกคำสั่งด้วยเสียงเย็นเยียบ “นัดเวลาและสถานที่!”

หยางเจาชิงเขย่าระฆังดาราอีกครั้งในทันที

ริมทะเลกว้างใหญ่คลื่นมรกต คลื่นซัดกระทบฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า ริมฝั่งมีคนสามคนยืนเคียงกัน เหลิ่งจัวฉุนขุนพลใหญ่ลัทธิผี กุยอู๋ขุนพลใหญ่ลัทธิพุทธ ตานฉิงขุนพลใหญ่ลัทธิมาร ในป่าที่อยู่ไม่ไกลจากข้างหลังพวกเขามีคนอยู่สามสิบคน บ้างก็นั่ง บ้างก็ยืน บ้างก็พิงต้นไม้

“ได้ยินว่าสวีถังหรานคือเจ้าคนประจบสอพลอนั่น อาศัยประจบราชาปราชญ์จนไต่เต้าขึ้นตำแหน่งรองหัวหน้าภาค จะล้างแค้นเพื่อคนแบบนี้ เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้คุ้มแล้วเหรอ?” กุยอู๋หันหน้าเข้าหาทะเล หลังจากถอนหายใจเฮือกหนึ่งก็ประนมมือกล่าวอามิตาพุทธ

เหลิ่งจัวฉุนกล่าวอย่างไม่ใส่จ “ราชาปราชญ์จะต้องมีเหตุผลที่ทำอย่างนี้แน่ พวกเราจดจำแค่ภารกิจของพวกเราก็พอ ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้น ก็รักษาความปลอดภัยของราชาปราชญ์ให้เต็มที่ คุ้มครองราชาปราชญ์ให้หนีไป นี่คือสิ่งที่ทางบ้านย้ำมา”

กุยอู๋เอียงหน้าบอกว่า “ได้ยินว่าหลังจากผู้ช่วยใหญ่รู้ว่าราชาปราชญ์มอบหมายภารกิจนี้ให้พวกเรา เขาก็โมโหจนกระทืบเท้า ผู้ช่วยใหญ่เหมือนจะบอกว่า หากครั้งนี้ราชาปราชญ์ทำพลาดเปิดโปงตัวตนของพวกเรา ก็คาดว่าต้องถอนกำลังกลับแดนอเวจีโดยสิ้นเชิง การต่อสู้ระหว่างโจรกบฏกับพวกเราก็จะดำเนินเต็มรูปแบบแล้ว!”

เหลิ่งจัวฉุนถอนหายใจ “ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ทางพวกเรายังเตรียมตัวไม่เสร็จเลยนะ! พูดตามตรง นี่ไม่ใช่เวลาที่จะลงมืออย่างเป็นทางการ ถ้าเทียบกับโจรกบฏแล้ว…” เขาพูดไม่จบ ได้แต่ส่ายหน้าสื่อความหมายทุกอย่างแล้ว

กุยอู๋หันไปมองตานฉิงที่อยู่ข้างกัน “มารเฒ่าตาน ปกติเจ้าพูดมากที่สุด ทำไมไม่พูดแล้วล่ะ กลัวเหรอ?”

“กลัวเหรอ?” ตานฉิงงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะลั่นทันที “ข้ากำลังคิดอยู่ว่า ผู้หญิงเผ่าเทพอสรพิษดำที่ชื่อโหยวโยวนั่น เหมือนข้าจะเคยนอนกับนางนะ! โหยวฮ่วนอะไรนั่นคงไม่ใช่ลูกชายข้าหรอกใช่มั้ย? ข้าจำได้ว่าตอนนั้นข้าอยากนอนกับลูกสาวผู้นำเผ่าเทพอสรพิษดำ แต่ผู้นำคนนั้นจะเป็นจะตายก็ไม่ยอม เลยยัดโหยวโยวนั่นมาอยู่กับข้าช่วงหนึ่ง พวกเจ้าไม่รู้ว่าผู้นำดาวนั่นน่าหลงใหลขนาดไหน ตอนนี้เหมือนจะกลายเป็นอ๋องอสรพิษดำแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าโหยวโยวนางตัวแสบนั่นจะกลายเป็นผู้อาวุโสแล้ว พวกเจ้าคงไม่เคยลิ้มลองรสชาติผู้หญิงเผ่าเทพอสรพิษดำล่ะสิ ไอ๊หยา แรงดี ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ นางตัวแสบนั่น…”

เขาพูดพร่ำไม่หยุด เลิกคิ้วภูมิใจ น้ำลายกระเด็น สดชื่นกระปรี้กระเปร่า เหลิ่งจัวฉุนกับกุยอู๋พูดไม่ออก กลอกตามองบนพร้อมกัน ยังนึกว่าเขากำลังคิดเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก ไม่น่าเชื่อว่าจนป่านนี้แล้ว เขายังมาคิดเรื่องไร้สาระอย่างนี้ได้

จากนั้นเหลิ่งจัวฉุนก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ตั้งใจฟังครู่หนึ่ง พอเก็บระฆังดาราแล้ว ก็กล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าแซ่ตาน เจ้าหุบปากได้แล้ว พวกเขาสามคนมาถึงแล้ว”

ผ่านไปไม่นาน สามคนก็เงยน้ามอง เห็นเงาคนสามคนเหาะลงมาจากฟ้า ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นจ่างหงขุนพลใหญ่ลัทธิปีศาจที่ เมิ่งหรูขุนพลใหญ่ลัทธิเซียน อ๋าวเถี่ยขุนพลใหญ่ลัทธิอู๋เลี่ยง ทั้งสามล้วนปลอมตัวแล้ว พอเหยียบลงพื้น เหลิ่งจัวฉุนก็ก้าวขึ้นมาถามว่า “พาคนมาครบหรือยัง?”

ทั้งสามโบกมือเบาๆ มีคนอีกสามสิบคนปรากฏตัวอยู่ริมทะเล

ขุนพลใหญ่ทั้งหกประชุมกันนิดหน่อย จากนั้นยอดฝีมือหกสิบคนที่มาจากแดนอเวจีก็มารวมตัวกัน แล้วแบ่งเก็บใส่กระเป๋าสัตว์ของทั้งหกคน

“ไป!” อ๋าวเถี่ยกล่าวเสียงเรียบ แล้วพุ่งขึ้นฟ้านำไปก่อน แล้วอีกห้าคนก็พุ่งขึ้นฟ้าตามไป

เพราะรู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วจับตาดูกำลังพลหกลัทธิที่อยู่ข้างนอก กำลังพลหกลัทธิข้างนอกจึงไม่ได้เคลื่อนไหวเลย หกสิบหกคนที่ออกเดินทางนี้ล้วนเป็นคนที่เหมียวอี้พาออกมาจากแดนอเวจีในตอนแรก เหมียวอี้ไม่ใช้งานคนพวกนี้ง่ายๆ แต่ถ้าครั้งนี้ไม่เอายอดฝีมือมารองฐาน เหมียวอี้ก็ไม่มีความมั่นใจเหมือนกัน

“ฮูหยิน ทำไมสวีถังหรานไม่ตอบข้า เกิดเรื่องขึ้นกับเขาแล้วหรือเปล่า?”

ในจวนตระกูลสวีที่อยู่ด้านนอกจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลไม่ไกล ผู้หญิงหลายคนกำลังนั่งพูดคุยกัน จู่ๆ เสวี่ยหลิงหลงที่หยิบระฆังดาราออกมาก็ถามประโยคนี้ ทำให้บรรยากาศตรงนั้นเงียบทันที เสวี่ยหลิงหลงมองปฏิกิริยาของอวิ๋นจือชิวอย่างวิตกกังวล

หลินผิงผิงกับเฟยหงรู้อยู่แก่ใจแล้ว พอได้ยินคำถามนี้ก็เงียบแล้วแอบมองอวิ๋นจือชิวเช่นกัน

มีการระดมทัพใหญ่ อวิ๋นจือชิวและคนอื่นๆ มาอยู่เป็นเพื่อนนางทุกวันอย่างที่ไม่เคยเป็น สุดท้ายก็ทำให้นางสงสัย หลังจากติดต่อกับสวีถังหรานซ้ำแล้วติดต่อไม่ได้ กอปรกับทัพใหญ่แดนรัตติกาลเคลื่อนไหวผิดปกติ นางจึงรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล

อวิ๋นจือชิวเงียบไปพักหนึ่ง คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าปิดบังเสวี่ยหลิงหลงต่อไปก็ไม่มีความหมาย ในเมื่ออีกฝ่ายสังเกตได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว ถ้าปิดบังต่อไปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ดีไม่ดีอาจจะโดนแค้น สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ “เกิดเรื่องนิดหน่อย…” นางเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง

หลินผิงผิงรีบปลอบใจอีก “เจ้าวางใจเถอะ ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก ท่านหัวหน้าภาครีบนำทัพใหญ่ไปช่วยแล้ว!”

เฟยหงพยักหน้าซ้ำๆ เช่นกัน “ใช่แล้ว ต้องไม่เป็นอะไรแน่”

เสวี่ยหลิงหลงนั่งเหม่อลอย น้ำตาสองสายไหลอาบแก้ม พึมพำกับตัวเองว่า “เขาวิ่งเต้นทำงานข้างนอกบ่อยๆ ข้ากังวลมานานแล้วว่าช้าเร็วก็ต้องเกิดเรื่อง ข้ากำชับเขาเสมอว่าให้ระวังตัว แต่ก็ยังเกิดเรื่องแล้ว…”

บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง ทัพใหญ่หนึ่งแสนตั้งค่ายชั่วคราว ตรงหน้าชัยภูมิถ้ำสวรรค์หลังหนึ่งตรงหน้าผา ลำแสงสายหนึ่งวับวาบ หยวนกงที่ถูกเหมียวอี้เรียกเดินออกมากลางอากาศแล้ว เขาเดินก้าวยาวมาตรงหน้าประตูค่าย ด้านนอกประตูมีคนคนหนึ่งสวมชุดคลุมมีหมวกสีดำคลุมทั้งร่างกาย เจ้าตัวกำลังก้มหน้า มองเห็นหน้าไม่ชัด

หยวนกงที่เดินมาถึงประตูยกมือเปิดหมวกของอีกฝ่าย แล้วยื่นมือดึงหนังปลอมใบหน้าอีกฝ่ายเสียเลย เป็นโหยวฮ่วนนั่นเอง พอหยวนกงเอียงหน้า ก็มีกำลังพลสองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวามาค้นตัวโหยวฮ่วนทันที

หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติ หยวนกงถึงได้พาโหยวฮ่วนเข้าไปข้างใน พอเดินไปตรงหน้าชัยภูมิถ้ำสวรรค์บนหน้าผา ก็กลายเป็นลำแสงกระเพื่อมเหมือนคลื่น ทั้งสองทยอยกันเข้าไปข้างใน

…………………………

ในครั้งนี้ไม่ว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะอนุญาตหรือไม่ ที่จริงเขาก็จะทำอยู่ดี คำพูดของหยางชิ่งก็มีเหตุผลเหมือนกัน แต่เหมียวอี้ก็ยังตัดสินใจแล้ว

ทว่าเมื่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินว่าจะล้างเลือดสระน้ำมังกรดำ ก็เรียกได้ว่าตกใจมาก รีบโน้มน้าวว่า : ท่านเหมียวต้องใจเย็นๆ นะ แม้สัตว์เลื้อยคลานพวกนั้นจะน่ารังเกียจ แต่ศักยภาพก็ไม่ได้อ่อนแอเลยจริงๆ ทั้งยังเจริญพันธุ์ได้ดี ยอดฝีมือก็มีไม่น้อย กำลังพลใต้บังคับบัญชาของเจ้าปะทะด้วยไม่ไหว อีกทั้งสระน้ำมังกรดำก็เกี่ยวข้องกับอำนาจหลายฝาย เจ้าอย่าทำซี้ซั้วเชียวนะ!

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ ครั้งนี้นางก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่เหมียวอี้เคยทำในอดีต นั่นยิ่งทำให้นางใจสั่นหวาดหวั่นมากขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกชัดเจนว่าเหมียวอี้ไม่ได้พูดเล่น แต่ต้องการจะล้างเลือดสระน้ำมังกรดำจริงๆ

เหมียวอี้ : เหนียงเหนียง เผ่าเทพอสรพิษดำจะไม่รู้เชียวหรือว่าจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลอยู่ใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์? เผ่าเทพอสรพิษดำจะไม่รู้เชียวหรือว่าสวีถังหรานคือคนของเหนียงเหนียง? แค่รังงูที่อยู่ในซอกหลืบ ทั้งที่รู้ชัดว่าเป็นคนของราชินีสวรรค์ แต่ก็ยังกล้าลงมือ ช่างองไม่เห็นเหนียงเหนียงอยู่ในสายตาจริงๆ ผู้ที่อีกฝ่ายหยามเกียรติไม่ใช่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล แต่หยามเกียรติตำหนักนารีสวรรค์! ที่เผ่าเทพอสรพิษดำกล้าทำอย่างนี้ บางทีอาจะเป็นเพราะรู้ว่าเหนียงเหนียงจะอดทนอย่างนี้ไงขอรับ!

เมื่อพูดแบบนี้ ก็เรียกได้ว่าทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เกิดความทุกข์เต็มอก รู้สึกแล้วว่าเผ่าเทพอสรพิษดำหยามเกียรตินาง เรื่องจริงก็เป็นอย่างที่หนิวโหย่วเต๋อบอก เผ่าเทพอสรพิษดำรู้ว่าเป็นคนของตำหนักนารีสวรรค์แต่ยังกล้าแตะต้อง ไม่ใช่ว่าไม่เห็นนางอยู่ในสายตาหรอกหรือ? นางเกลียดพวกที่ไม่เห็นราชินีสวรรค์อย่างนางอยู่ในสายตาที่สุด!

เหมียวอี้พูดต่อว่า : มือมืดที่อยู่หลังม่านก็คือตระกูลอิ๋ง จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเล็กๆ ไม่อยู่ในสายตาตระกูลอิ๋ง ดังนั้นนอกจากพุ่งเป้าไปหาเหนียงเหนียงก็ไม่มีใครอื่นแล้ว ส่วนเหตุผลว่าทำไมจึงพุ่งเป้าไปที่เหนียงเหนียง? ทุกคนต่างรู้ถึงความตั้งใจของตระกูลอิ๋ง เพราะคิดจะให้สนมสวรรค์มาแทนที่เหนียงเหนียง ที่พุ่งเป้าลงมือกับจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ก็เพราะเดาได้แล้วว่าการหายตัวไปของสนมฉินเกี่ยวข้องกับเหนียงเหนียง มีเจตนาตัดปีกที่กำลังเติบโตของเหนียงเหนียงไงล่ะ เหนียงเหนียง องค์ชายเพิ่งจะถูกพวกเขาขับไล่ออกจากวังสวรรค์ แผนสำรองก็ทยอยอออกมาเรื่อยๆ เหนียงเหนียงอดทนแล้วมีประโยชน์เหรอ? เหนียงเหนียงอดทนแล้วพวกเขาจะเลิกเล่นงานเหนียงเหนียงเหรอ?

บางทีเหนียงเหนียงอาจจะยอมไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง แต่เหนียงเหนียงเคยคิดบ้างหรือไม่ แม้ตอนนี้ฝ่าบาทจะตั้งใจขัดเกลาองค์ชาย แต่หากสนมสวรรค์เข้ามาอยู่ที่ตำหนักนารีสวรรค์เมื่อไร ตระกูลอิ๋งก็จะคิดหาทางกำจัดปัญหาค้างคาอย่างองค์ชายทันที เป็นไปไม่ได้ที่จะให้โอกาสองค์ชายขึ้นตำแหน่งใหญ่มาเป็นภัยคุกคามของพวกเขา มีสนมสวรรค์คอยพูดใส่ร้ายข้างหูฝ่าบาท ความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างองค์ชายและฝ่าบาทจะคงอยู่ได้นานแค่ไหนกัน? เกรงว่าชีวิตองค์ชายจะตกอยู่ในวิกฤติแล้ว! หากเหนียงเหนียงฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ตระกูลเซี่ยโห้ว นั่นก็เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง เหตุใดตอนนี้จึงเกิดเรื่องมากมายขนาดนั้นล่ะ? เพราะท่านปู่สวรรค์สิ้นอายุขัยไปแล้ว หัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันไม่ได้มีอิทธิพลเท่าท่านปู่สวรรค์ ความสามารถในการควบคุมตระกูลเซี่ยโห้วอ่อนแอลงมาก

ตระกูลอิ๋งถึงได้กล้าวางอุบายต่อเนื่องกัน ตอนนี้ทุกคนต่างก็กำลังดูอยู่ หากแน่ใจเมื่อไรว่าเหนียงเหนียงรังแกง่าย เกรงว่าถึงตอนนั้นคงไม่ได้มีเพียงตระกูลอิ๋งแล้ว แต่จะเป็นการโจมตีหมู่ แล้วเหนียงเหนียงจะถอยไปไหนได้อีก? เหนียงเหนียง พึ่งใครก็ไม่สู้พึ่งตัวเอง ถ้าแม้แต่ตัวเองยังใช้ไม้แข็งไม่ไหว การฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่คนอื่นก็ไม่ใช่วิธีการที่ดีในระยะยาว!

คำพูดแต่ละประโยคแทงใจดำเซี่ยโห้วเฉิงอวี่โดยตรง ทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่คิดถึงสถานการณ์ของตัวเองแล้วใจสั่น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถามว่า : ท่านหนิวมีความมั่นใจว่าจะรับมือกับสระน้ำมังกรดำไหวเหรอ?

เหมียวอี้ : ข้าน้อยล่วงเกินคนมาเยอะแล้ว ไม่มีทางหนีทีไล่ที่ตำหนักสวรรค์ มีเพียงการจงรักภักดีต่อเหนียงเหนียงอย่างถึงที่สุดเท่านั้นที่เป็นหนทางปกป้องตัวเอง ข้าน้อยกับเหนียงเหนียงรุ่งโรจน์ด้วยกัน ตกต่ำด้วยกัน ครั้งนี้หากยอมถอย ในภายภาคหน้าก็จะมีภัยตามมาไม่จบไม่สิ้น! ครั้งนี้ไม่ว่าจะมีความมั่นใจหรือไม่ ไม่ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ ข้าน้อยก็จะทำศึกเลือดให้ถึงที่สุด ไม่ประนีประนอมเด็ดขาด ยินดีนำทัพใหญ่แดนรัตติกาลอุทิศชีวิตรับใช้เพื่อปกป้องความน่าเกรงขามของตำหนักนารีสวรรค์และบารมีของเหนียงเหนียง ต่อให้ไม่สำเร็จแต่ก็ได้ทำสิ่งที่มีคุณธรรม!

นี่ต้องการจะไปสู้ตายชัดๆ! เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตื้นตันใจ พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว นางยังมีอะไรจะพูดอีก ถูกทำให้ซาบซึ้งใจแทบบ้าแล้วเช่นกัน

เมื่อได้รับอนุญาตจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่แล้ว เหมียวอี้ก็เดินก้าวยาวลงบันได มายืนอยู่หน้าประตูตำหนักประชุม หยางเจาชิงรีบก้าวมาข้างหน้า

เหมียวอี้กวาดสายตาเย็นเยียบมองปราดเดียว แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เลี้ยงดูทหารหนึ่งพันวันเพื่อใช้งานทหารชั่วครั้งคราว ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป รวมทัพใหญ่…ปราบโจร!”

หยางเจาชิงตกใจ จากนั้นกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่งทันที “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”

ตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่เดินออกจากประตูมายืนบนบันไดมีสีหน้าตึงเครียด วิตกกังวล!

ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบร้อนมาถึงวังสวรรค์ สาวเท้าเดินเข้าตำหนักดาราจักรโดยตรง เมื่อเห็นประมุขชิงกำลังจัดการราชกิจ กุมหมัดคารวะทันที “ฝ่าบาท สายลับรายงานมา บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังระดมทัพใหญ่แดนรัตติกาล ต้องการจะยกทัพไปปราบสระน้ำมังกรดำ!”

ประมุขชิงที่กำลังก้มหน้าอ่านแผ่นหยกตะลังงัน พลันเงยหน้าถามว่า “ยกทัพไปปราบสระน้ำมังกรดำ? สองฝ่ายห่างไกลไม่เกี่ยวข้องกัน ไปพัวกันกันได้ยังไง?”

ซ่างกวนชิงที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะก็งงงวยสับสนเช่นกัน

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “ตามที่สายลับรายงานมา สวีถังหราน รองหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลที่รับผิดชอบโถงชุมนุมอัจฉริยะถูกโหยวโยวซึ่งเป็นผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำกักตัวไว้ ต้องการให้หนิวโหย่วเต๋อไปขอโทษด้วยตัวเองถึงจะยอม ส่วนหนิวโหย่วเต๋อก็มีเหตุผลที่ทำให้เชื่อว่าผู้บงการเบื้องหลังคือตระกูลอิ๋ง”

ประมุขชิงวางงานที่อยู่ในมือ หัวเราะหึหึแล้วบอกว่า “ดูท่าครั้งนี้อิ๋งจิ่วกวงคงโมโหแล้วจริงๆ ต้องการเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อให้ถึงตาย ชัดเจนว่าไม่สะดวกจะลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อที่หลบอยู่ในปราสาทดำเนินจันทร์ ต้องคิดหาทางล่อหนิวโหย่วเต๋อออกไป! ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อรู้ว่าตระกูลอิ๋งบงการเบื้องหลัง คาดว่าคงรู้เจตนาของตระกูลอิ๋ง เขาต้องการจะระดมกำลังพลไปที่สระน้ำมังกรดำจริงเหรอ?”

“ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้นขอรับ ตอนหลังจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ไม่อาจทราบได้” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ

“เรื่องนี้ชักน่าสนุกแล้ว” ประมุขชิงเอียงหน้ามองซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างกันพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ ส่วนซ่างกวนชิงก็พยักหน้าหัวเราะแห้ง ประมุขชิงลุกขึ้นเดินออกจากโต๊กยาว เอามือลูบเคราพลางเดาะลิ้น “หนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลอิ๋งมีความแค้นต่อกันมาหลายปี ครั้งนี้ต้องการจะสู้กันซึ่งๆ หน้าเหรอ? เจ้าลูกลิงนี่ทำอะไรเกินตัวไปหน่อยรึเปล่า!”

ซ่างกวนชิงเดินตามหลัง กล่าวอย่างลังเลว่า “หนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่คนโง่ ตระกูลอิ๋งไม่ใช่สิ่งที่กำลังเล็กน้อยของเขาจะปะทะด้วยตรงๆ ไหว ตามความเห็นของบ่าว คาดว่าน่าจะวางมาดใหญ่โตตบตาผู้คน รู้ว่าช่วยชีวิตคนกลับมาไม่ได้แล้ว กำลังแสร้งวางมาดเฉยๆ จะได้ชี้แจงกับพวกลูกน้องสะดวกขอรับ”

ประมุขชิงลองคิดตามแล้วพยักหน้าเบาๆ เห็นด้วยความคิดนี้ และไม่ได้มองเป็นเรื่องสำคัญอะไร หลังจากคุยเรื่อยเปื่อยกับซือหม่าเวิ่นเทียนอีกสองสามประโยค ก็กลับเข้ามาทำงานต่อในตำหนักดาราจักร

จวนท่านปู่สวรรค์ เซี่ยโห้วลิ่งได้รับข่าวจากหยวนกงนานแล้ว รู้เรื่องของสวีถังหรานที่สระน้ำมังกรดำแล้ว ทางฝั่งนี้ก็เดาเจตนาของตระกูลอิ๋งออกแล้วเช่นกัน กำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวของทั้งสองฝ่ายอย่างเข้มงวด

ดวงดาวเดียรดาษเต็มท้องฟ้า ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า ข้างบนแขวนโคมไฟไว้หนึ่งดวง เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งอยู่ใต้โคมไฟมือหนึ่งถือม้วนหนังสืออ่าน อีกมือหนึ่งถือจอกสุราจิบเบาๆ

เว่ยซูรีบร้อนเข้ามา หลังจากทำความเคารพแล้วก็รายงานว่า “นายท่าน หนิวโหย่วเต๋อกำลังระดมทัพใหญ่ กำลังถอนกำลังทั้งหมดกลับมาจากน้ำพุวังเวง ปล่อยให้คนที่ล่าสัตว์เข้าออกได้อย่างอิสระ ดูท่าแล้วเหมือนจะรวบรวมกำลังพลทั้งหมดของทัพใหญ่แดนรัตติกาล ส่วนจวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็กำลังซื้อยุทโธปกรณ์ที่ตลาดผีกันอย่างโจ่งแจ้ง ให้ความรู้สึกเหมือนเตรียมสั่งสมกำลังก่อนทำศึก”

“เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนั้นเชียวเหรอ?” เซี่ยโห้วลิ่งเงยหน้าถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าสามไม่ได้ถ่ายทอดคำพูดข้าให้หนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”

“คุณชายสามไปที่จวนหัวหน้าภาคด้วยตัวเอง ได้พบหนิวโหย่วเต๋อแล้วด้วย เปิดเผยแล้วว่าอาจจะเป็นอุบายของตระกูลอิ๋ง แต่หนิวโหย่วเต๋อกลับบอกว่าเขาเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว กลับถามคุณชายสามว่าเหตุใดจึงไม่ให้ตระกูลเซี่ยโห้วกดดันตระกูลอิ๋งให้ปล่อยคน” เว่ยซูตอบ

“แล้วเจ้าสามตอบว่ายังไง?” เซี่ยโห้วลิ่งถาม

เว่ยซูตอบว่า “ในเมื่อนายท่านส่งข่าวให้คุณชายสามแล้ว คุณชายสามก็ย่อมรู้ว่าควรทำยังไง มิหนำซ้ำตอนที่นายท่านใหญ่ยังอยู่ เดิมทีก็มีเจตนานี้อยู่แล้ว ต้องการจะดูว่ามือมืดเบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อจะปรากฏตัวเมื่อไร คุณชายสามย่อมไม่ตอบตกลงอะไร”

เซี่ยโห้วลิ่งวางจอกสุราและม้วนหนังสือ แล้วพึมพำว่า “รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าตระกูลอิ๋งอาจจะวางกับดักรอเขา แต่ก็ยังทำอย่างนี้ หมายความว่าอะไร? หรือเขาคิดจริงๆ ว่าแค่ทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนจะทำให้ทั้งทัพตะวันออกสะเทือนได้?” เขาลุกขึ้นยืนแล้วเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาสองก้าว แล้วก็เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน “ดูท่าเขาจะรู้ชัดอยู่แก่ใจแล้ว ว่าตระกูลอิ๋งไม่มีทางปล่อยสวีถังหรานแน่นอน ถ้าไม่ไปช่วยเหลือ ก็อาจจะทำให้พวกลูกน้องผิดหวังท้อใจ เขากำลังแสร้งสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญ!”

เว่ยซูลังเลนิดหน่อน ยังคงเตือนว่า “นายท่าน คนอย่างหนิวโหย่วเต๋อ เกรงว่าคงใช้หลักการเหตุผลปกติมาวัดไม่ได้ เรื่องที่ใช้วิธีการแข็งกร้าวก็ทำมาไม่น้อย”

เซี่ยโห้วลิ่งไตร่ตรองเงียบๆ…

จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเคลื่อนไหวใหญ่โตเกินไป กำลังพลรวมตัวกัน ซื้ออาวุธจำนวนมากที่ตลาดผีอย่างเปิดเผย ดึงดูดความสนใจจากอำนาจฝ่ายต่างๆ ทันที

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่ยืนให้อาหารปลาอยู่บนสะพานเล็กชะงักไปชั่วครู่ หันกลับมาถามว่า “เรื่องเป็นยังไง หนิวโหย่วเต๋อกำลังจะเล่นลูกไม้อะไรอีก?”

ถังเฮ่อเหนียนส่ายหน้า “ไม่เข้าใจขอรับ บ่าวติดต่อไปถามแล้ว แต่หนิวโหย่วเต๋อพูดจาคลุมเครือไม่ยอมตอบ”

“หึ!” โค่วหลิงซวีพ่นเสียงทางจมูก แล้วโปรยอาหารปลาในมือต่อไป

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ฮ่าวเต๋อฟางที่อยู่ในห้องหนังสือเอนหลังบนเก้าอี้ช้าๆ สั่งคำเดียวว่า “สืบ!”

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงที่เดินเนิบนาบอยู่ในสวนป่าพึมพำว่า “เจ้าหนุ่มนั่นคิดจะทำอะไร? อยู่อย่างสงบเสงี่ยมมาหลายปี แค่ไม่ออกมาเท่านั้นเอง ทำไมพอออกมาก็มีเรื่องต่อเนื่อง? ไปสืบมาอีก ดูว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่”

สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าเผ่าเทพอสรพิษดำกักตัวสวีถังหรานไว้ ก็ไม่มีทางนึกเชื่อมโยงไปถึงเรื่องระหว่างหนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลอิ๋งเลย มึนงงเหมือนหมอกลงสมอง ไม่เข้าใจว่าหนิวโหย่วเต๋อต้องการจะทำอะไร

ส่วนคนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกกลับตั้งตารอ รวมทั้งตระกูลอิ๋งด้วย

คำวิจารณ์จากอิ๋งจิ่วกวงกลับเป็นเสียงหัวเราะเยาะ “ชักช้าลีลา กลัวก็แต่เขาจะสร้างสถานการณ์ตบตาเฉยๆ ไม่กลัวเขาไม่มา กลัวก็แต่เขาจะไม่มา!”

หลังจากนั้นสองวัน ทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาลเคลื่อนพลผ่านอาณาเขตทัพใต้ ทำให้กำลังพลทัพใต้ต้องรวมตัวกันตลอดทาง เรียกได้ว่าเฝ้าระวังอย่างสูง กลัวว่าหนิวโหย่วเต๋อจะทำซี้ซั้ว

ทัพใหญ่เร่งบุกไปทางสระน้ำมังกรดำตลอดทาง ไม่มีการแวะพักใดๆ ส่วนใหญ่ถอดเครื่องแบบเกราะรบแล้ว เปลี่ยนเป็นสวมใส่เกราะรบขั้นสูงที่เตรียมมาเอง

เมื่อทราบว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ด้วยเจตนาสังหารจริงๆ โหยวโยวผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำถึงได้เริ่มหวาดกลัว ตลาดผีเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เผ่าเทพอสรพิษดำจะไม่มีช่องทางจับตาดูความเคลื่อนไหวข้างนอกเลย เดิมทีนางคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่กล้าใช้กำลังปะทะ แต่ใครจะคิดว่าหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลท่านนี้จะเป็นตามคำร่ำลือ ใช้วิธีการแข็งกร้าวแล้วจริงๆ นำกำลังพลบุกเข้ามาอย่างดุร้ายหมายสังหารแล้ว

นางไม่กลัวว่าเผ่าเทพอสรพิษดำจะเอาชนะทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่ได้ แต่การสู้กับทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์อย่างโจ่งแจ้ง นางก็รับผิดชอบผลที่ตามาไม่ไหว ต่อไปนางจะอธิบายกับท่านอ๋องอสรพิษดำอย่างไรล่ะ?

หลังจากรู้สถานการณ์แล้ว โหยวโยวก็ไปหาเจ๋อชุนชิวที่เรือนรับแขกทันที

เจ๋อชุนชิวกลับไม่คิดอย่างนั้น “ทางอ๋องอสรพิษดำ เจ้าไม่ต้องห่วง หลังจากจบเรื่องท่านอ๋องจะช่วยเจ้าจัดการปัญหา ข้ากำลังจะปรึกษาผู้อาวุโสโหยวพอดี ข้าเพิ่งได้ข่าวมา ท่านอ๋องแอบเคลื่อนทัพใหญ่ห้าล้านมาถึงก่อนล่วงหน้าแล้ว ท่านโหวอิ๋งนำทัพมาด้วยตัวเอง หนิวโหย่วเต๋อไม่มาก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามาจริงๆ ทัพใหญ่หนึ่งแสนของเขาก็เลิกคิดได้เลยว่าจะรอดกลับไป! ทางเราจะจัดการเรื่องนี้เอง ไม่ต้องให้ผู้อาวุโสใช้กำลังพลตัวเองแม้แต่น้อย คนอยู่ในมือพวกเรา ให้หนิวโหย่วเต๋อมาหาพวกเราก็พอ สิ่งที่ผู้อาวุโสต้องทำตอนนี้ก็คือหาที่อยู่เหมาะๆ ให้ทัพใหญ่ห้าล้านของท่านโหวอิ๋ง!”

……………

ไม่มีประโยชน์ อีกฝ่ายไม่ชายตามองผู้บัญชาการใหญ่เล็กๆ คนเดียว ไม่คุยกับหยวนกงเลย บอกให้พวกเขาไสหัวไป ต้องการให้หนิวโหย่วเต๋อมาชี้แจงด้วยตัวเอง

สวีถังหรานตกอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว ทางนี้จึงไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้ว กลัวลูบหน้าปะจมูก จะสู้ก็ไม่มั่นใจว่าจะชนะ สระน้ำมังกรดำคือรังของเผ่าเทพอสรพิษดำ พลังของโหยวโยวเองก็ถึงระดับสำแดงฤทธิ์แล้ว ไม่เปิดฉากสังหารพวกเขาก็นับว่าใจกว้างมีเมตตาแล้ว เพียงแต่ก็มองออกเช่นกันว่าโหยวโยวยังหวาดกลัวอยู่บ้าง

อย่างน้อยจนกระทั่งตอนนี้ที่หยวนกงยอมถอยแล้ว ต่อให้พวกเขาจะสังหารพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำไปไม่น้อย แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สังหารกำลังพลตำหนักสวรรค์เลยสักคน ต่อให้สวีถังหรานตกอยู่ในมือพวกเขาแล้ว แต่ก็แค่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น

ขณะมองภาพพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำเก็บกวาดศพในที่เกิดเหตุ โหยวฮ่วนก็หันกลับมาถ่ายทอดเสียงบอกโหยวโยวว่า “ท่านแม่ แบบนี้คุ้มเหรอ?”

โหยวโยวถอนหายใจเบาๆ แล้วถ่ายทอดเสียงตอบ “ข้าเองก็ไม่อยากปล่อยพวกเขาไป แต่การสังหารขุนนางตำหนักสวรรค์ไม่ใช่เรื่องเล็ก เรื่องแบบนี้ส่งให้พวกเขาไปทำเองเถอะ ถ้าพวกเราหลบเลี่ยงได้ก็หลบเลี่ยง”

“ข้าไม่ได้ถามถึงสิ่งนั้น ข้าถามว่าพวกเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้มันคุ้มเหรอ?” โหยวฮ่วนถาม

โหยวโยวย้ายสายตาออกจากคนที่กำลังเก็บกวาดที่เกิดเหตุ นางมองตัวโหยวฮ่วน พร้อมบอกว่า “พวกเขาให้ผลประโยชน์เจ้าเท่าไร เจ้าถึงช่วยพูดให้พวกเขาแบบนี้? หรือเจ้าคิดว่าผลประโยชน์ที่ตระกูลอิ๋งให้น้อยกว่าที่พวกเขาได้?”

โหยวฮ่วนสูดหายใจลึก “ไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์น้อยหรือมาก หลายปีมานี้ เผ่าเทพอสรพิษดำอยู่ผ่านมาหลายยุค อาศัยเหตุผลพิเศษในการดำรงอยู่เพื่อปกป้องชีวิตตัวเองมาตลอด แต่ไหนแต่ไรมาก็วางตัวเป็นกลาง การเข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ภายในตำหนักสวรรค์ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด ท่านแม่ ฟังข้าสักครั้งเถอะ กลับตัวตอนนี้ยังทันที!”

โหยวโยวสีหน้าเย็นเยียบ “ทันเหรอ? เจ้ากำลังล้อเล่นหรือไง? ตั้งแต่วันที่ถูกตระกูลอิ๋งเพ่งเล็ง ตั้งแต่วันที่ตระกูลอิ๋งตัดสินใจจะใช้ประโยชน์พวกเรา พวกเราก็เลือกอะไรไม่ได้แล้ว เจ้ายินดีจะเลิกควบคุมตลาดมืดที่สระน้ำมังกรดำเหรอ? ถ้ากุมช่องทางผลประโยชน์ของเผ่าเทพอสรพิษดำไว้ ก็จะมีประโยชน์มากต่อการเลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสของเจ้าในอนาคต เจ้าตัดใจทิ้งลงเหรอ?”

“ข้ายอมรับว่าตระกูลอิ๋งมีอำนาจมาก แต่ก็ยังมายุ่งกับทางนี้ไม่ได้หรอก พวกเราไม่จำเป็นต้องก้มหัวเชื่อฟัง!” โหยวฮ่วนเถียงกลับ

โหยวโยวจึงถ่ายทอดเสียงตะคอก “เจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว! ตระกูลอิ๋งมายุ่งกับทางนี้ไม่ได้ แต่ตระกูลอิ๋งมีกำลังมากพอที่จะทำลายทางนี้ให้พังได้ ตระกูลอิ๋งสามารถบีบจนตลาดมืดไม่มีที่ยืนอยู่บนดาวเคราะห์วงนี้ ขอเพียงตระกูลอิ๋งลงมือ ภายในเผ่าเทพอสรพิษดำก็มีคนให้ความร่วมมืออยู่แล้ว มีคนจ้องอยากจะย้ายตลาดมืดไปไว้ที่อาณาเขตของพวกเขา เจ้ามีแต่ต้องต้องกุมตลาดมืดไว้ในมือเท่านั้น เจ้าถึงจะมีสิทธิ์พูดในเผ่าเทพอสรพิษดำ ที่ข้าทำแบบนี้ก็เพื่อใครล่ะ?”

โหยวฮ่วนจ้องนาง พร้อมกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ท่านแม่ หรือท่านลืมอำนาจที่หนุนหลังหนิวโหย่วเต๋อไปแล้ว? หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของตำหนักนารีสวรรค์ ท่านนั้นที่อยู่ตำหนักนารีสวรรค์ก็เป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ไปมีเรื่องกับตระกูลเซี่ยโห้วถือเป็นเรื่องดีเหรอ?”

โหยวโยวบอกลูกชายว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว จุดนี้ข้ารู้ดีกว่าเจ้า หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของตำหนักนารีสวรรค์ แต่ตำหนักนารีสวรรค์กับตระกูลเซี่ยโห้วมีอำนาจอ่อนแอในที่ประชุมราชสำนัก ไม่มีสิทธิ์แสดงความเห็นเท่าไรเลย ถ้าประมือกันในที่ประชุมราชสำนัก พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลอิ๋ง แล้วอีกอย่าง มีความเป็นไปได้ต่ำที่ตระกูลเซี่ยโห้วจะช่วยหนิวโหย่วเต๋อ เพราะตระกูลเซี่ยโห้วส่งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าวังเพื่อจะควบคุมนาง ไม่มีทางทนดูนางปีกกล้าขาแข็งบินเองได้หรอก พูดได้อีกอย่างก็คือ ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ค่อยแยแสความเป็นความตายของหนิวโหย่วเต๋อ ไม่ออกหน้าเพื่อหนิวโหย่วเต๋อด้วย ถ้าแม้แต่จุดนี้ข้ายังมองไม่เข้าใจ มีหรือที่จะกล้าสอดมือเข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้”

โหยวฮ่วนขมวดคิ้ว นิ่งเงียบไม่พูดอะไร

โหยวโยวหันตัวมาโบกมือ เก็บสวีถังหรานที่สลบเป็นตายเอาไว้ ตอนเดินผ่านโหยวฮ่วนนางพูดทิ้งท้ายว่า “ตามข้ามา!”

สองแม่ลูกออกจากตำหนักใต้ดิน ออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้ไปที่ดาวเคราะห์อีกดวง สภาพแวดล้อมเหมือนดาวเคราห์ที่มีตลาดมืด ที่จริงดาวทุกดวงที่เผ่าเทพอสรพิษดำอยู่อาศัยล้วนมีสภาพแวดล้อมเหมือนกัน เพียงแต่บนดาวดวงนี้สร้างตำหนักหลังหนึ่งที่สูงกว่าเครือข่ายต้นสับปลับเอาไว้เท่านั้นเอง

เผ่าเทพอสรพิษดำมีระบบการสืบสกุลทางมารดา ที่เผ่านี้ผู้หญิงมีฐานะเหนือกว่าผู้ชาย ไม่มีการแต่งงานผูกมัดอะไรทั้งนั้น ขอเพียงฝ่ายหญิงเต็มใจ ไม่ว่าผู้ชายคนไหนของเผ่าเทพอสรพิษดำก็ล้วนสามารถมีวาสนารักชั่วคราวกับนางได้ ดังนั้นลูกชายลูกสาวที่เกิดมาล้วนใช้แซ่ตามมารดา โดยส่วนใหญ่จะไม่รู้แน่ชัดว่าบิดาของลูกคือใคร โหยวฮ่วนก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง

ผู้ชายที่ได้กุมอำนาจทางทหารเหมือนโหยวฮ่วนมีไม่มาก ทั้งเผ่าเทพอสรพิษดำมีผู้อาวุโสเก้าคน มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เป็นผู้ชาย หน้าที่หลักก็คือเสี่ยงชีวิตรบราฆ่าฟัน แม้แต่อ๋องอสรพิษดำก็ยังเป็นผู้หญิงเลย

ตำหนักใต้ดินแห่งนี้ตั้งชื่อให้สอดคล้องกับชื่อของโหยวโยว ชื่อว่าตำหนักโยว

ทุกที่ในตำหนักมีอสรพิษดำนอนขดตัวแลบลิ้น ในเรือนรับแขกมีคนที่ไม่ใช่คนของเผ่าเทพอสรพิษดำหลายคน

ในเรือนมีดอกไม้กลีบสีขาวบริสุทธิ์ดุจหยกซ้อนกันจนสูงหนึ่งฉื่อ(33 เซนติเมตร) ริมทางเดินก็มีดอกไม้แปลกเกสรสีทองยาวเกือบหนึ่งฉื่อโชยกลิ่นหอมอัศจรรย์จนทำให้สมองคนสดชื่นเช่นกัน ชายชราชุดเทาคนหนึ่งเอามือไขว้หลังยืนดมอยู่ตรงหน้าดอกไม้ ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือเจ๋อชุนชิวผู้จัดการใหญ่ของร้านค้าตระกูลอิ๋ง ตรงจุดที่ไม่ไกลมีทหารอารักขายืนอยู่หลายคน

หลังจากโหยวโยวและลูกชายเข้ามาแล้ว โหยวโยวที่เห็นฉากนี้ก็ถามพร้อมรอยยิ้มทันที “หรือว่าผู้จัดการใหญ่สนใจดอกไม้นี้?”

เจ๋อชุนชิวหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วตอบกลั้วหัวเราะ “ข้าเพิ่งเคยเห็นดอกไม้นี้เป็นครั้งแรก หรือว่านี่จะเป็น ‘ดอกโยวถานอมตะ ‘ ในตำนาน?”

โหยวโยวพยักหน้ายิ้ม “ผู้จัดการใหญ่สายตาแหลมคม นี่คือ ‘ดอกโยวถานอมตะ ‘ หากใช้กลิ่นของดอกไม้นี้อาบน้ำเป็นประจำ จะมีผลคงความอ่อนเยาว์ให้นักพรตมนุษย์ และถ้าอาบให้ศพก็จะรักษาสภาพไม่ให้เน่าเปื่อย ข้าเองก็บังเอิญพบเลยได้มาต้นหนึ่ง ถ้าผู้จัดการใหญ่ชอบ ตอนกลับก็สามารถนำกลับไปด้วยได้”

“น้ำใจนี้ยากจะปฏิเสธ เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” เจ๋อชุนชิวกุมหมัดขอบคุณอย่างเริงร่า นี่คือของดี ถ้าส่งไปที่จวนท่านอ๋อง ผู้หญิงในจวนท่านอ๋องจะต้องโปรดปรานแน่นอน

โหยวโยวพยักหน้ายิ้ม แล้วโบกมือโยนสวีถังหรานที่กำลังสลบไว้ตรงเท้าเจ๋อชุนชิว

“คนที่ผู้จัดการใหญ่ต้องการ ข้าส่งมาให้ตามที่สั่งแล้ว”

เจ๋อชุนชิวเลิกคิ้ว ใช้ปลายเท้าเขี่ยหน้าสวีถังหรานให้หันตรงแล้วมองสำรวจ เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วขมวดคิ้วถามอีกว่า “แค่เขาเองเหรอ? ไหนว่าข้างกายเขามีคนติดตามอยู่ไม่น้อย?”

โหยวโยวถอนหายใจเบาๆ “พูดตามตรงนะ เผ่าเทพอสรพิษดำของข้าไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องพรรค์นี้ แต่ในเมื่อผู้จัดการใหญ่ออกหน้าด้วยตัวเอง ข้าจะไม่ไว้หน้าก็ไม่ได้ แต่อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ หวังว่าผู้จัดการใหญ่จะเข้าใจความลำบากใจของฝ่ายข้า”

เจ๋อชุนชิวขมวดคิ้วเล็กน้อย โหยวโยวกำชับพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำที่อยู่ข้างๆ อีกว่า “ต่อไปตอนผู้จัดการใหญ่ออกไป อย่าลืมช่วยผู้จัดการใหญ่เก็บดอกไม้ให้เรียบร้อย” จากนั้นก็หันมาพูดกับเจ๋อชุนชิวด้วยรอยยิ้มอีก “ดอกไม้นี้เป็นของดี แต่การเพาะเลี้ยงค่อนข้างยุ่งยาก ต้องใช้ของมีพิษทำเป็นปุ๋ย”

เจ๋อชุนชิวปรายตามอง ‘ดอกโยวถานอมตะ’ เริ่มคลายคิ้วที่ขมวดแล้วเช่นกัน ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับจำนวนคนที่จับได้อีก

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้กลิ่นหอมของดอกไม้หรือเปล่า สวีถังหรานที่นอนอยู่บนพื้นสะลึมสะลือฟื้นขึ้นมา เขาลืมตาช้าๆ พลังอิทธิฤทธิ์ถูกควบคุมไว้ บนตัวเต็มไปด้วยบาดแผล ขยับตัวลำบากมาก ได้แต่เอียงหน้ามองซ้ายมองขวา สายตาจ้องอยู่ที่ตัวเจ๋อชุนชิว มองออกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนของเผ่าเทพอสรพิษดำ

เจ๋อชุนชิวเอามือรูดเคราพลางกล่าวหยอกว่า “ได้ยินว่าเป็นคนขี้ประจบข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ อาศัยการประจบสอพลอไต่เต้าขึ้นตำแหน่งรองหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ที่ข้าพูดถึงใช่เจ้าหรือเปล่า?”

สวีถังหรานถ่มน้ำลายปนเลือด แล้วถามอย่างยากเย็น “เจ้าเป็นใคร?”

“ข้าเป็นใครแล้วสำคัญด้วยเหรอ?” เจ๋อชุนชิวถาม

“ข้าเป็นขุนนางตำหนักสวรรค์ พวกเจ้าช่างบังอาจ!” สวีถังหรานโมโห

เจ๋อชุนชิวพูดเหยียดว่า “ขุนนางตำหนักสวรรค์เหรอ? ตาแก่คนนี้เห็นขุนนางตำหนักสวรรค์มาเยอะแล้ว ส่วนใหญ่เวลาเจอข้าก็ต้องนอบน้อมเกรงใจกันทั้งนั้น เจ้านับเป็นตัวอะไรล่ะ?”

“ไอ้แก่นี่ อย่าให้ตกอยู่ในมือข้าแล้วกัน!” สวีถังหรานโกรธแค้น

เจ๋อชุนชิวแสยะยิ้ม พูดในใจว่า เจ้าคิดว่าตัวเองจะรอดชีวิตกลับไปได้เหรอ?

ทันใดนั้นก็ยกเท้าขึ้น เหยียบกดใบหน้าสวีถังหรานแนบกับดิน ในปากสวีถังหรานพ่นฟองเลือดออกมา พยายามออกแรงดิ้นรน สีหน้าสุดแสนเจ็บปวดทรมาน

เจ๋อชุนชิวยกเท้าขึ้น แล้วพูดหยอกอีก “ลองปากดีให้ข้าฟังอีกสิ”

สวีถังหรานหอบหายใจสองสามครั้งแล้วหุบปาก เขาเป็นคนที่อ่านสถานการณ์ออก ชายชาตรีย่อมทนความอัปยศชั่วคราวได้ เก็บรักษาชีวิตเอาไว้ก่อน รอให้เหมียวอี้คิดหาวิธีมาช่วยเขา…

ตอนนี้เหมียวอี้นั่งลำพังอยู่ในตำหนักใหญ่ของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ในตำหนักที่กว้างโล่งเหลือเขาเพียงคนเดียว กันคนอื่นออกไปหมดแล้ว ในดวงตาฉายแววสังหาร สีหน้าเย็นเยียบดุร้าย

อวิ๋นจือชิวก็ถูกเขาเรียกให้ไปอยู่เป็นเพื่อนเสวี่ยหลิงหลงแล้ว ตอนนี้เสวี่ยหลิงหลงยังไม่รู้สถานการณ์ของสวีถังหราน ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องทำให้นางกังวลใจ

พวกหยวนกงรายงานสถานการณ์ทางสระน้ำมังกรดำมาแล้ว อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยคน ต้องการให้เหมียวอี้ไปขอโทษด้วยตัวเอง

ตอนแรกเหมียวอี้สงสัยว่าหยวนกงกำลังวางกับดักหรือเปล่า อย่างไรเสียหากสวีถังหรานตาย เขาก็คือคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะรับตำแหน่งต่อจากสวีถังหราน จะเปลี่ยนฐานะได้อย่างรวดเร็ว แต่ตอนหลังมาปรึกษากับหยางชิ่ง หยางชิ่งตัดความเป็นไปได้ว่าหยวนกงวางกับดักออก ถ้าจะทำก็คงทำตั้งแต่ตอนเข้าสระน้ำมังกรดำแล้ว เป็นจังหวะที่ไม่ถูกต้อง สายลับอย่างหยวนกงไม่มีทางทำอะไรน่าสงสัยให้ตัวตนเปิดโปงง่ายๆ ด้วยฐานะของหยวนกง ไม่มีทางที่จะกระโดดไปเป็นคู่กรณีอยู่ข้างหน้าสุด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาอาจจะกลายเป็นเป้าโจมตีได้ง่ายมาก และจะดึงดูดความสนใจมากขึ้นด้วย สิ่งที่สวีถังหรานประสบตอนนี้ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ถ้าไม่ถูกคนเพ่งเล็งแล้วจะกลายเป็นอย่างนั้นเหรอ ดังนั้นจึงไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เบื้องหลังของหยวนกงต้องการ

สุดท้ายความคิดเห็นของทั้งสองก็แทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน มีความเป็นไปได้สูงว่าตระกูลอิ๋งลงมือแล้ว ต้องการใช้สวีถังหรานมาเป็นเหยื่อล่อเหมียวอี้!

ขณะเดียวกัน หยางชิ่งก็ให้เหมียวอี้เตรียมตัวคิดให้ดี ในเมื่อสวีถังหรานตกอยู่ในมือตระกูลอิ๋ง โดยภาพรวมก็ไม่มีโอกาสรอดชีวิตกลับมาแล้ว ถ้าเหมียวอี้ไม่ไปช่วย ทางนั้นก็อาจจะให้ปล่อยให้สวีถังหรานมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักพัก แต่ถ้าเขาไปถึงเมื่อไร นั่นก็จะถึงคราวตายของสวีถังหราน!

ในเมื่อไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาก็ช่วยออกมาไม่ได้…เช่นนั้นก็ทำได้เพียงทอดทิ้ง!

คำแนะนำของหยางชิ่งก็คือ คนที่สามารถกดดันตระกูลอิ๋งได้ในตอนนี้ เหมียวอี้เองก็นำผลประโยชน์ไปแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายไม่ไหว ต่อให้แลกได้ก็ไม่กล้านำออกมาแลกอยู่ดี แค่ทำพอเป็นพิธีเพื่อให้คำอธิบายกับพวกลูกน้องก็พอ ตอนนี้ก็ทำได้เพียงเท่านี้แล้ว

ไตร่ตรองคำชี้แนะของหยางชิ่งนานมาก สุดท้ายเหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เพราะหากจะเคลื่อนกำลังพลไปทางนั้น ตามหลักแล้วต้องได้รับอนุญาตจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก่อน ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็ไม่เหมือนครั้งก่อนที่ทำงานให้นาง ครั้งนั้นไม่ว่าอะไรนางก็ยอมแบกรับไว้หมด!

เหมียวอี้ยกระดับความสำคัญของสวีถังหรานไว้ค่อนข้างสูง บอกว่าเขาเป็นคนที่คอยหาเงินให้ฝ่ายนี้ พอเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินว่าตระกูลอิ๋งต้องการจะตัดช่องทางรายได้ของนาง ก็รู้สึกโกรธแค้นเช่นกัน ถามว่า : ยังช่วยชีวิตคนกลับมาได้หรือเปล่า?

เหมียวอี้ : ต่อให้ช่วยกลับมาไม่ได้ก็อย่ายกประโยชน์ให้พวกเขา ข้าน้อยขออนุญาตเคลื่อนพล ไปล้างเลือดสระน้ำมังกรดำ!

…………………

“ผู้อาวุโส?” สวีถังหรานอึ้งไปชั่วขณะ พวกหยวนกงก็ตะลึงเช่นกัน ได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่ก

จากนั้นหยวนกงก็ถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าเป็นผู้อาวุโสท่านไหน?”

ใต้สังกัดอ๋องเผ่าเทพอสรพิษดำไม่ได้มีผู้อาวุโสแค่คนเดียว พวกเขามาที่นี่ก็ไม่ได้ติดต่อกับคนระดับผู้อาวุโสเช่นกัน เพียงติดต่อกับผู้ช่วยคนหนึ่งของผู้อาวุโสเท่านั้น และผู้ช่วยคนนี้ก็มีอำนาจไม่น้อย เป็นเพียงคนเดียวที่ดูแลตลาดการค้าภายนอกของสระน้ำมังกรดำ เป็นผู้รับผิดชอบตลาดมืดแห่งนี้ด้วย ชื่อว่าโหยวฮ่วน

พวกสวีถังหรานเองก็คุยกับโหยวฮ่วนคนนี้เรียบร้อยแล้ว ถึงได้สร้างเครือข่ายการร่วมงานกับเผ่าเทพอสรพิษดำได้ ส่วนโหยวฮ่วนก็รับผิดชอบตลาดมืดของที่นี่ สวีถังหรานจึงฉวยโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อนฉกฉวยร้านค้าที่นี่ไว้หนึ่งร้าน

“ย่อมเป็นผู้อาวุโสโหยวโยวที่รับหน้าที่ดูแลบริเวณนี้อยู่แล้ว และเป็นมารดาของท่านผู้ช่วยด้วย” แม่นางจิงจิงกล่าว

พวกเขาสบตากันอีกครั้ง หยวนกงถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสโหยวโยวจะพบเจ้าบ้านรองของพวกเราด้วยธุระอะไร?” สวีถังหรานมาที่นี่โดยไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง แต่มาในนามเจ้าบ้านรองของพันธมิตรทะเลดาว เปลี่ยนชื่อเป็นสวีไห่

แม่นางจิงจิงตอบว่า “เหมือนมีเรื่องบางอย่างต้องการให้ท่านบุรุษสวีช่วย ส่วนรายละเอียดข้าก็ไม่รู้ชัดเจน ท่านบุรุษสวี เชิญตามข้ามาเถอะ อย่าให้ผู้อาวุโสรอนาน”

สวีถังหรานเริ่มกระปรี้กระเปร่า ด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ ไม่กลัวว่าเครือข่ายจะกว้างขึ้น กลัวก็แต่เครือข่ายจะไม่กว้าง ถ้าสร้างความสัมพันธ์กับผู้อาวุโสเผ่าเทพอสรพิษดำได้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร อย่างน้อยในภายหลังหากทางนี้มีเรื่องอะไรจะได้ผ่อนผันให้ได้ จึงพยักหน้าทันที “ได้!”

“เชิญท่านบุรุษสวี!” แม่นางจิงจิงยื่นมือเชิญ

สวีถังหรานเพิ่งจะขยับเท้า หยวนกงที่ขมวดคิ้วเล็กน้อยก็แอบถ่ายทอดเสียงห้ามไว้ “นายท่าน เรื่องราวกะทันหันเกินไป สถานการณ์ไม่ชัดเจน ระวังตัวไว้หน่อยดีกว่า”

สวีถังหรานกลับไม่คิดอย่างนั้น “พวกเราไม่มีความแค้นอะไรกับเผ่าเทพอสรพิษดำ น่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก”

แม้จะพูดอย่างนี้ แต่ก็ไม่กล้าประมาทเช่นกัน จึงพาหยวนกงและพวกฝีมือดีไปด้วยกัน

กลุ่มของสวีถังหรานเดินขวักไขว้อยู่ในทางใต้ดิน มีคนของเผ่าเทพอสรพิษดำอย่างจิงจิงนำทางอยู่ข้างหน้า ระหว่างทางยามเจอภูตผีปีศาจอะไร อีกฝ่ายก็ล้วนหลีกทางให้พวกเขาก่อน เห็นได้ชัดที่อาณาเขตดาวสระน้ำมังกรดำไม่มีใครอยากมีเรื่องกับคนเผ่าเทพอสรพิษดำ อยู่ที่นี่เผ่าเทพอสรพิษดำคือเจ้าถิ่นเผด็จการ คนทั่วไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว

เมื่อมาถึงก็เจอตำหนักใต้ดินแห่งหนึ่ง พวกสวีถังหรานไม่ได้มาเป็นครั้งแรก เป็นที่อยู่ของโหยวฮ่วนนั่นเอง ตอนที่เข้ามาใกล้ ในโพรงทั้งเล็กทั้งใหญ่ของกำแพงรอบด้านก็มีอสรพิษดำยื่นหน้าออกมาแลบลิ้นจ้องพวกเขาเป็นระยะ เมื่ออยู่ที่นี่ หากคนนอกอยากจะเข้าใกล้ตำหนักใต้ดินเงียบๆ ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

ประตูใหญ่ของตำหนักใต้ดินก่อสร้างได้มีพลังอำนาจ ตรงประตูมีทหารยามสวมเกราะของเผ่าเทพอสรพิษดำยืนถือขวานปากไก่ กำลังจ้องกลุ่มคนที่เดินเข้ามาด้วยสายตาเย็นเยียบ

หลังจากพวกเขาเข้ามาในตำหนักหลัก จู่ๆ แม่นางจิงจิงก็หยุดเดินแล้วหันตัวมา ยื่นมือขวางเอาไว้ “ผู้อาวุโสมีเรื่องสำคัญจะพบแค่ท่านบุรุษสวีคนเดียวเท่านั้น คนอื่นโปรดรออยู่ตรงนี้”

พวกหยวนกงทำสีหน้าระแวดระวังทันที สวีถังหรานขมวดคิ้วเล็กน้อย บอกว่า “นี่เป็นลูกน้องคนสนิทของข้าทั้งนั้น มีเรื่องอะไรไม่ต้องหลบเลี่ยงพวกเขาก็ได้”

แม่นางจิงจิงส่ายหน้า “บอกสิ่งนี้กับข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ผู้อาวุโสบอกแล้วว่าจะพบท่านสวีคนเดียว”

สวีถังหรานครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง ทางแดนรัตติกาลกับที่นี่ไม่มีความเกี่ยวข้องเรื่องผลประโยชน์อะไรกัน ทั้งสองฝ่ายไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกัน รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องทำร้ายตน ตอนที่เขาเพิ่งจะก้าวเข้าไป พวกหยวนกงก็ส่งเสียงห้ามพร้อมกัน “นายท่าน!”

ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับสวีถังหราน พวกเขาก็ไม่มีทางไปชี้แจ้งกับท่านหัวหน้าภาคได้เลย

สวีถังหรานหยุดเดินแล้วหันตัวมา กล่าวกับพวกลูกน้องด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสโหยวโยวให้เกียรติ สวีก็มิอาจไม่รับไว้ ไม่เป็นไร ไปประเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็กลับ!” เขากดมือลง บอกใบ้พวกลูกน้องไม่ให้วู่วาม พูดจบก็หันตัวเดินตามแม่นางจิงจิงไปที่ตำหนักหลัง เจ้าเวรนี่ผ่านประสบการณ์โชกโชนมาหลายปี เรียกได้ว่าเห็นโลกกว้างมาจนชิน ความใจกล้าก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย พลังอำนาจในตัวก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน

หยวนกงหันกลับมา แอบถ่ายทอดเสียงบอกคนข้างกายว่า “สั่งให้คนของเราออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้เดี๋ยวนี้ ถ้าประสบเหตุไม่คาดคิดอะไร หรือภายในครึ่งชั่วยามไม่เห็นพวกเราตอบกลับ ก็รายงานสถานการณ์ต่อหัวหน้าภาคทันที”

ต้วนอวิ๋นเปียวถือระฆังดาราอันหนึ่งไว้ในกระบอกแขนเสื้อ รีบติดต่อกำลังพลที่อยู่รักษาการณ์ข้างนอก

ด้านหลังของตำหนักหลังมีเส้นทางอีกทาง ด้านบนฝังเลี่ยมไข่มุกราตรีเพิ่มบรรยากาศขมุกขมัวไปอีกแบบ ทำให้คนรู้สึกอึดอัด

ระหว่างทางมีกระแสน้ำไหลพุ่งแรงเหมือนน้ำตก พอเข้าไปได้สองร้อยจั้งก็ถึงปลายทาง มีตำหนักใต้ดินที่ใหญ่โตอลังการอีกแห่งปรากฏอยู่ตรงหน้า เมื่อเดินเข้ามาในตำหนักใต้ดิน สวีถังหรานก็เห็นผู้ชายปล่อยผมยาวคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว เขาคือผู้ช่วยโหยวฮ่วนที่คุมตลาดมืดแห่งนี้ เพียงแต่ตอนนี้สายตาของสวีถังหรานกลับถูกดึงดูดจากสตรีวัยกลางคนที่นั่งสง่าอยู่บนบันไดตำหนักหลักแล้ว

แต่งกายเหมือนกับแม่นางจิงจิง มีเพียงหน้าอกและใต้หว่างขาที่มีเกล็ดดำปิดไว้ เพียงแต่ระดับความอวบอัดนั้นก็ทำให้คนใจเต้นรัวจริงๆ เอวบางที่ทำให้คนรู้สึกว่าใช้สองมือโอบได้ เรือนร่างมีส่วนเว้าส่วนโค้งไร้ที่เปรียบ ขาเรียวยาวขาวดุจหยก บนไหล่กลมกลึงสองข้างสวมห่วงโลหะเอาไว้ ยืนเท้าเปล่าอยู่ด้านบน ดวงตางามคู่นั้นเย็นยะเยือก เค้าโครงใบหน้าที่สวยประณีตให้ความรู้สึกว่ามีมิติมาก

ลายงูดำตรงหว่างคิ้วเป็นสิ่งพิสูจน์แล้วว่านางมีวรยุทธ์ระดับสำแดงฤทธิ์

จุดที่สตรีวัยกลางคนผู้นี้แตกต่างกับแม่นางจิงจิงที่สุดก็คือผมยาวทั้งศีรษะ ผมยาวดำขลับจนเป็นประกายสีม่วงอ่อนๆ ผมยาวจนลากอยู่บนพื้น ตอนนั่งนิ่งอยู่เบื้องบนนั้นสวยประณีตราวกับหยกแกะสลัก

ครั้งแรกที่เห็นผู้หญิงคนนี้ ก็บรรยายได้เพียงคำว่า ‘น่าทึ่ง’

“ผู้ช่วยโหยว คาดว่าท่านนี้คงจะเป็นผู้อาวุโสโหยวแล้ว” สวีถังหรานที่เข้ามาข้างในคำนับโหยวฮ่วน แล้วกุมหมัดคำนับสตรีวัยกลางคนที่นั่งอยู่เบื้องสูงอีก

ในดวงตาโหยวฮ่วนฉายแววหลากหลายความรู้สึก พยักหน้าตอบว่า “เป็นมารดาของข้า!”

แม่นางจิงจิงที่นำทางมาหันตัวเดินออกไปแล้ว สวีถังหรานหันกลับไปมองแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมากุมหมัดถามสตรีที่นั่งอยู่เบื้องสูงอีก “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสโหยวมีอะไรจะกำชับผู้น้อย?”

ผมยาวประกายม่วงขยับเองโดยไร้ลม ลอยขึ้นมาอย่างนุ่มนวล โหยวโยวลุกขึ้นช้าๆ ผมยาวปลิวพลิ้วอยู่ระหว่างเอวขณะก้าวเท้าเรียวลงบันได เอวโยกไหวเบาๆ เปล่งเสียงที่ฟังดูอึมครึมและมีเสน่ห์ราวความฝัน “ได้ยินว่ารองหัวหน้าภาคสวีถังหรานจากจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลมาที่สระน้ำมังกรดำ ไม่ทราบว่าท่านบุรุษสวีไห่รู้จักหรือเปล่า?”

สวีถังหรานตะลึงงัน จากนั้นรีบหันมองรอบๆ พบว่าสี่ด้านแปดทิศมีแต่อสรพิษดำกำลังเลื้อย พวกมันกลายร่างเป็นชายรูปร่างกำยำมาล้อมเขาไว้ ตัดทางถอยเขาแล้ว ขนาดบนเพดานยังมีหลายคนเลื้อยขึ้นมาจ้องเขาแล้วเลย

สวีถังหรานตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ใช้สายตาเย็นเยียบมองโหยวฮ่วน แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ผู้ช่วยโหยว หมายความว่าอะไร?”

โหยวโยวเดินเข้ามาทีละก้าวพร้อมถามด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย “ข้าถามว่าเจ้ารู้จักหรือไม่?”

สวีถังหรานรู้ว่าการที่อีกฝ่ายถามอย่างนี้สดงว่ารู้อะไรมาบางแล้ว จึงตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เป็นข้าเอง แล้วจะทำไมเหรอ?”

“รองหัวหน้าภาคสวีแฝงตัวมาหลอกพวกเราสองแม่ลูกที่นี่ คิดว่าพวกเราสองแม่ลูกรังแกง่ายงั้นเหรอ?” โหยวโยวที่ยืนอยู่ไม่ไกลถามเสียงราบเรียบ

พอได้ยินแบบนี้ สวีถังหรานก็รู้ตัวทันทีว่าเกิดปัญหาแล้ว ตามที่เขารู้มา คนของตำหนักสวรรค์ที่มาติดต่อทำการค้าที่นี่โดยไม่ใช้ตัวตนที่แท้จริงมีเยอะมาก ไม่ได้มีแค่สวีถังหรานคนเดียว ทำไมต้องยัดข้อหานี้ใส่เขาคนเดียวด้วย เห็นได้ชัดว่าจงใจหาเรื่อง

“ผู้อาวุโสโหยวกล่าวเกินไปแล้ว ในเมื่อผู้อาวุโสโหยวจะพูดอย่างนี้ให้ได้ เช่นนั้นก็เรื่องการซื้อขายก็ช่างเถอะ คิดเสียว่าสวีไม่เคยมา ขอตัว!” สวีถังหรานกุมหมัดคารวะ แล้วหันตัวเดินออกไปเลย

“คิดว่าพวกเราสองแม่ลูกรังแกง่ายจริงๆ ด้วย ยังไม่ทันให้คำชี้แจงก็จะไปแล้วเหรอ?” โหยวโยวแสยะยิ้ม

พอเสียงนางเงียบลง ชายฉกรรจ์ที่เข้ามาล้อมก็พลันสะบัดแส้ยาวตะขอหนามคล้ายๆ แส้สยบมังกรออกมา

สวีถังหรานยกแขนขึ้น โบกทวนยาวในมือแทงขึ้นไปด้านบน เกิดเสียงสะเทือนดังโครมคราม หินดินแผ่นใหญ่ถล่มลงมา เขารู้ชัดอยู่แก่ใจ ว่าด้วยวรยุทธ์ของโหยวโยว ตัวเองก็ไม่มีทางหนีพ้น จึงฉวยโอกาสส่งเสียงเตือนพวกหยวนกง

แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน สวีถังหรานอาศัยตอนดินหินปลิวร่วงลงมราวกับฝน รีบพุ่งทะยานขึ้นฟ้า หมายจะฝ่าผิวดินขึ้นไป

พรึ่บ! โหยวโยวพลันเอียงหน้าสะบัด ผมยาวยืดขยายยาวอีกครั้ง ผมยาวครึ่งศีรษะยิงออกไปราวกับฝนลูกธนู ชั่วพริบตาเดียวก็ทะลุหินดินเหล่านั้น

พอสะบัดผมอีกครั้ง ก็ดึงคนที่อยู่ท่ามกลางหินดินปลิวว่อนออกมา สวีถังหรานราวกับถูกผมม่วงทั้งศีรษะเสียบจนพรุนเป็นร้อยแผล นอกจากอวัยวะสำคัญที่ไม่เป็นอะไร บนตัวก็เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยเลือด สภาพเหมือนไม่ใช่คนแล้ว ทวนยาวในมือตกลงพื้น ตัวถูกลากมาตรงหน้าโหยวโยวในชั่วพริบตาเดียว หมดความสามารถที่จะต้านทานแล้ว เขาหายใจหอบ เลือดออกปากออกจมูกขณะถลึงตาจ้องโหยวโยว

โครม ตรงทางออกด้านนอกมีเสียงเข่นฆ่าอันดุเดือดดังมา

บึ้ม! หนึ่งในเผ่าเทพอสรพิษดำกระแทกกองหินจนเปิดออก ตกลงพื้นกระอักเลือด พวกหยวนกงโจมตีฝ่าเข้ามาด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด แต่ละคนสวมเกราะรบเข่นฆ่าอย่างบ้าระห่ำ เผ่าเทพอสรพิษดำที่ล้อมโจมตีทยอยร่วงตกพื้น ต้านทานการบุกสังหารของคนพวกนี้ไม่ไหว ภูเขาสะท้านแผ่นดินสะเทือน อุโมงค์ใต้ดินที่มั่นคงแข็งแรงราวกับจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” โหยวโยวตะคอกเสียงเย็น เผ่าเทพอสรพิษดำที่ล้อมโจมตีถอยออกไปทันที เหลือไว้เพียงงูดำเต็มพื้นที่เริ่มปรากฏร่างเดิม

เมื่อไม่มีใครห้าม พวกหยวนกงก็รีบถืออาวุธบุกเข้ามาหมายจะช่วยคน

โหยวโยวยื่นมือออกมา คว้าคอหอยของสวีถังหรานเอาไว้ “ลองกล้าขยับดูสักนิดสิ”

พวกหยวนกงกลัวจะลูบหน้าปะจมูก หยวนกงรีบนำระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้

“ข้าเป็นขุนนางที่ได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ นางตัวแสบ เจ้าบังอาจนัก!” สวีถังหรานที่ทำสีหน้าดุร้ายตะโกนด้วยเสียงแหบอย่างเดือดดาล

“จัดการ!” โหยวโยวเอ่ยอย่างสบายๆ มีหลายคนพุ่งเข้ามากดสวีถังหรานพลิกลงกับพื้นทันที แล้วจ่ออาวุธไว้ที่คอสวีถังหราน

ผมยาวหดกลับมาจากตัวสวีถังหราน สวีถังหรานเจ็บจนครางเบาๆ หลังจากถูกดึงให้ลุกขึ้นแล้ว ก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “นางตัวดี อย่าตกอยู่ในมือข้าแล้วกัน ไม่อย่างนั้นเจ้าจะได้เสียใจเพราะเกิดมาผิดท้องแน่!”

เพี้ยะ! โหยวโยวใช้หลังมือตบหน้าเสียงดังสนั่น ตบจนสวีถังหรานเลือดกลบปาก ฟันร่วงออกมาหลายซี่ สวีถังหรานสลบไสลคาที่

หยวนกงที่ติดต่อกับเหมียวอี้ได้รับคำชี้แนะจากเหมียวอี้มาแล้ว ทุกอย่างอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องปกป้องชีวิตสวีถังหราน!

หยวนกงเก็บระฆังดารา แล้วถามเสียงต่ำ “พวกเรากับเผ่าเทพอสรพิษดำไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ทำไมต้องทำอย่างนี้?”

“ใช้ชื่อปลอมมาหลอกลวงพวกเราสองแม่ลูก ทั้งยังสังหารพี่น้องเผ่าเทพอสรพิษดำของข้าที่นี่ ยังกล้าพูดอีกเหรอว่าไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน?” โหยวโยวถาม

หยวนกงจึงบอกว่า “ถ้ามีอะไรก็ปล่อยคนมาก่อนแล้วค่อยคุยกัน ที่นี่คืออาณาเขตของเผ่าเทพอสรพิษดำ คงไม่ถึงขั้นกลัวพวกเราจะหนีไปหรอกใช่มั้ย?”

โหยวโยวเชิดคางไปทางศพตรงประตูตำหนักใต้ดิน “ยังต้องคุยอะไรอีกเหรอ? ถ้าอยากให้ข้าปล่อยคนก็ไม่ยากหรอก เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลของพวกเจ้าต้องให้คำอธิบาย”

“อยากได้คำอธิบายอะไร?” หยวนกงถาม

“เจ้าเป็นใคร เป็นตัวแทนจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลได้หรือเปล่า?” โหยวโยวถาม

“ข้าคือผู้บัญชาการใหญ่หยวนกง อยู่ใต้สังกัดจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล นายท่านหัวหน้าภาคให้อำนาจข้าแล้ว มีเรื่องอะไรก็คุยกับข้าได้เลย” หยวนกงกล่าว

……………

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ฮ่าวเต๋อฟางได้ข่าวแล้วเดินไปเดินมาอยู่ในศาลา

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง หลังจากได้ข่าวแล้ว ก่วงลิ่งกงก็ยืนเงียบอยู่บนเส้นทางเล็กในป่าภูเขานานมาก

แดนอเวจี หยางชิ่งได้ข่าวแล้วติดต่อเหมียวอี้ทันที ถามว่าใช่ฝีมือเขาหรือเปล่า

แม้หยางชิ่งจะอยู่ที่แดนอเวจี แต่ถึงอย่างไรด้านนอกก็มีคนของหกลัทธิ ใช่ว่าจะไม่รู้ข่าวสารอะไรจากภายนอกเลย

สำหรับเขา เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรน่าปิดบังเช่นกัน เหมียวอี้ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนทำ

หยางชิ่งพูดไม่ออกมาก ตอนแรกที่ปรึกษาเรื่องนี้กัน เขาเองก็นึกวิธีการดีๆ ไม่ออก นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะถ่อไปเยี่ยมคารวะถึงประตูบ้านของจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงโดยตรง หลังจากเหมียวอี้ถอนกำลังกลับมาแล้วถึงได้รู้เรื่องนี้ เขาเดาออกแล้วว่าเหมียวอี้ถูกทัพตะวันออกบีบให้ถอย เมื่อถอยมาแล้วเขาก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก อย่างไรเสียช่วงนี้เขาก็ควบคุมตัวเองมาก แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้ที่ถอนตัวออกไปแล้วก็อยู่ไม่สุขเช่นกัน โยนท่าไม้ตายออกมาอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวคนออกมาจากจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงได้ เขานับว่ายอมเหมียวอี้แล้ว

เมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว เขาก็ไม่สะดวกจะว่าอะไรเหมียวอี้มาก เพียงเตือนอย่างจนใจว่า : นายท่าน ในเมื่อท่านโผล่หน้าไปอย่างสง่าผ่าเผยแล้ว ก็ไม่ควรทำเรื่องนี้ติดกันในทันที คนที่ตั้งใจดู เกรงว่าคงยากที่จะไม่นึกเชื่อมโยงมาถึงท่าน อย่างน้อยก็ต้องเว้นช่วงสักระยะแล้วค่อยลงมือ

เหมียวอี้ : เรื่องที่ไร้หลักฐาน สงสัยข้าแล้วจะทำอะไรข้าได้ล่ะ?

หยางชิ่ง : เรื่องราวไม่ได้ธรรมดาอย่างที่นายท่านคิด คนที่อยู่ในระดับนั้นอย่างอ๋องสวรรค์อิ๋ง เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องมีหลักฐานด้วยเหรอ? ครั้งนี้ลำบากจนทำให้ทั้งทัพตะวันออกปิดล้อมค้นหา ไม่ใช่เรื่องความแค้นส่วนตัวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ อ๋องสวรรค์อิ๋งก็ต้องให้คำชี้แจ้งกับเบื้องล่างบ้าง กับตระกูลเซี่ยโห้วก็กัดไม่ได้ง่ายๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าครั้งนี้เขาจะลงดาบกับนายท่านก่อน ไม่เหมือนที่ผ่านมาแล้ว ครั้งนี้เกรงว่านายท่านจะต้องระวังตัวแล้ว

พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็ทำให้เหมียวอี้หนักใจทันที : ตามที่เจ้าบอก ข้าจะต้องเปลี่ยนที่อยู่เพื่อหลบภัยสักหน่อยมั้ย?

หยางชิ่ง : เรื่องหลบน่ะไม่ต้องก็ได้ ปราสาทดำเนินจันทร์เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างปลอดภัย ต่อให้อิ๋งจิ่วกวงจะลงมือยังไง แต่ก็คงไม่ถึงขั้นไปลงมือที่ปราสาทดำเนินจันทร์ ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์ลี่หัวไม่ได้รังแกง่ายขนาดนั้น ถ้ายั่วโมโหจนลี่หัวออกโรง อิ๋งจิ่วกวงก็จะปวดหัวเอง แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าน้อยเท่านั้น เพียงแต่ตอนนี้นายท่านจะต้องระวังตัวเอาไว้ ถ้าข้างกายเกิดเรื่องผิดปกติอะไร ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าอิ๋งจิ่วกวงจะพุ่งเป้ามาที่นายท่านแล้ว ประมาทไม่ได้เด็ดขาด! ยามจำเป็นก็ต้องหลบอยู่ในจวนหัวหน้าภาค ไม่ต้องออกมา ถ้ามีคนก่อความวุ่นวายที่แดนรัตติกาล ก็ต้องหาข้ออ้างเพื่อเชิญกองทัพองครักษ์มาคุมสถานการณ์ไว้ บีบให้กองทัพองครักษ์เข้ามาแทรกแซง ตระกูลเซี่ยโห้วจะคิดหาทางทำให้กำลังพลของตระกูลอิ๋งถอยไปเอง ถึงตอนนั้นก็ย่อมกำจัดอันตรายได้แล้ว

เหมียวอี้พยักหน้าเงียบๆ จดจำสิ่งที่เขาบอกเอาไว้แล้ว…

การประชุมขุนนางตำหนักสวรรค์ อิ๋งจิ่วกวงที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมหลายปี ในที่สุดก็โผล่หน้ามาแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้เข้าราชสำนัก ใส่เสื้อเปิดไหล่นั่งคุกเข่าข้างเดียวอยู่ตรงตีนบันไดนอกตำหนักฟ้าดิน ยอมรับผิดในสิ่งที่ทำลงไป!

ส่งกำลังพลจำนวนมากมาไว้ที่อาณาเขตตัวเอง แต่ก็ยังทำให้สนมของราชันสวรรค์หายตัวไป เรื่องนี้จะต้องให้คำชี้แจง เขาสามารถหาคนมารับผิดแทนได้ แต่ครั้งนี้เขามิอาจไม่ออกหน้าเอง การโผล่หน้ามาที่นี่นั้นอันตรายมาก จึงไว้หน้าประมุขชิงเต็มที่ อ๋องสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยมาที่นี่เพื่อยอมรับผิด การโจมตีนี้นับว่าโหดพอสมควร บีบให้ขุนนางใหญ่ทำถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าประมุขชิงยังจะแตะต้องเขาอีกก็จะฟังดูเหลวไหลไปหน่อย

นอกจากตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว กำลังพลสายต่างๆ ในราชสำนักก็รวมตัวกันพูดขอร้องให้อิ๋งจิ่วกวง ผลปรากฏว่าประมุขชิงสะบัดแขนเสื้อ พูดทิ้งท้ายแล้วเดินจากไปเลย : ให้เขาคุกเข่าสำนึกผิดสักสามวันแล้วค่อยว่ากัน!

หลังจากจบประชุม กลุ่มขุนนางก็เดินออกมา ระหว่างที่เดินผ่านก็ไม่สนว่าจะจริงใจหรือไม่ แต่ละพากันกล่าวปลอบใจ

มีเพียงเซี่ยโห้วลิ่งที่ออกมาแล้วแสยะยิ้มตรงหน้าอิ๋งจิ่วกวง “อ๋องสวรรค์อิ๋ง เหตุใดต้องลำบากขนาดนี้เล่า?” คำพูดนี้ไม่นัยยะแอบแฝง

คนที่รู้เรื่องย่อมฟังเข้าใจ เขากำลังสื่อว่า ทำไมอิ๋งจิ่วกวงต้องลำบากกระโดดออกหาเรื่องตระกูลเซี่ยโห้วก่อน

ในฐานะที่เป็นลูกชาย อิ๋งอู๋หม่านเดือดดาลแล้ว กล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านปู่สวรรค์โปรดสำรวม!”

เซี่ยโห้วลิ่งเหล่ตามองอย่างเหยียดหยาม แล้วสะบัดชายเสื้อเดินออกไป

การคุกเข่าครั้งนี้ของอิ๋งจิ่วกวง มีหรือที่ตระกูลอิ๋งจะนิ่งดูดายปล่อยให้อิ๋งจิ่วกวงนั่งคุกเข่าสามวัน อิ๋งลั่วหวนรีบไปที่อุทยานหลวง ไปพบจ้านหรูอี้ลูกสาวตัวเอง นางแทบจะคุกเข่าต่อหน้าลูกสาวแล้ว จ้านหรูอี้จะทำอย่างไรได้อีก ทำได้เพียงไปขอร้องประมุขชิง

ไปหาที่อุทยานสายัณห์ พอพบหน้ากัน จ้านหรูอี้ก็คุกเข่าตรงหน้าประมุขชิงเสียเลย ขอร้องให้อิ๋งจิ่วกวง

ครั้งนี้ประมุขชิงอยากจะให้บทเรียนแก่อิ๋งจิ่วกวงจริงๆ บัญชีแค้นในปีนั้นเขายังหาโอกาสชำระไม่ได้ ครั้งนี้มีหรือที่จะปล่อยผ่านไปง่ายๆ ทว่าประมุขชิงไม่ตอบตกลง จ้านหรูอี้ก็คุกเข่าไม่ยอมลุก ถ้าเปลี่ยนเป็นสนมคนอื่น ประมุขชิงอาจจะไม่สนใจ แต่สำหรับสนมสวรรค์ท่านนี้ ประมุขชิงเห็นอกเห็นใจนางจริงๆ ความเอ็นดูโปรดปรานนับพันหมื่นมารวมอยู่ที่ตัวนางคนเดียว ไม่อยากเห็นนางได้รับความอยุติธรรมใดๆ

ดังนั้นอิ๋งจิ่วกวงจึงคุกเข่าไม่ถึงหนึ่งวัน ราชันสวรรค์ก็ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้ปรับลดค่าจ้างอิ๋งจิ่วกวงเป็นเวลาหนึ่งพันปี

โทษปรับนี้จะเรียกว่าไม่หนักก็ไม่ได้ ค่าจ้างของอิ๋งจิ่วกวงในหนึ่งพันปีไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แต่สำหรับอิ๋งจิ่วกวงกลับไม่ถือว่าเป็นจำนวนมากมายอะไร สุดท้ายเขาก็ออกจากวังสวรรค์ไปอย่างปลอดภัย

เพียงแต่การกระทำของจ้านหรูอี้กลับยั่วโมโหเซี่ยโห้วเฉิงอวี่อีกแล้ว นางเรียกจ้านหรูอี้มาตำหนิยกใหญ่ สั่งสอนประมาณว่าวังหลังไม่อาจก้าวก่ายราชกิจ กดดันให้จ้านหรูอี้นั่งคุกเข่าหน้าตำหนักนารีสวรรค์ ต้องการให้จ้านหรูอี้นั่งคุกเข่าชดเชยเวลาที่ยังไม่ครบให้อิ๋งจิ่วกวง

แต่ช่วยไม่ได้ที่ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวัน ประมุขชิงก็มาอีกแล้ว หาข้ออ้างช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้จ้านหรูอี้ ทำเอาเซี่ยโห้วเฉิงอวี่โมโหจนทำลายข้าวของไปเป็นชุด

ส่วนจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงก็ตระหนกวุ่นวายจนไก่บินสุนัขกระโดด ผู้พิพากษาหน้าตายเกาก้วนนำกำลังพลหน่วยตรวจการขวามาสืบคดีด้วยตัวเอง พอมาถึงก็แสดงอำนาจบารมีก่อน ฆ่าคนที่บกพร่องต่อหน้าที่ไปหลายสิบคนก่อนแล้วค่อยว่ากัน ทำเอาทุกคนในน่านฟ้าชวดเกิงตกใจจนตัวสั่น เหยียนซู่ที่อยู่ในเหตุการณ์ตระหนกจนใจเต้นไม่เป็นจังหวะ นางย่อมได้ยินชื่อเสียงของเกาก้วนมานาน เดิมทีก็กินปูนร้อนท้องอยู่แล้ว ตอนนี้เกาก้วนมาเยือนด้วยตัวเอง นางจะไม่กลัวได้อย่างไร?

จากนั้นเกาก้วนที่เดินมาพร้อมกลิ่นคาวเลือดก็เข้ามานั่งตรงตำแหน่งสูงในโถงหลัก ก่อนจะถ่ายทอดคำสั่งอีกครั้ง จับกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่รับหน้าที่อารักขาสนมฉินเข้าคุกใหญ่ให้หมด นำรายชื่อน่านฟ้าชวดเกิงขึ้นมา วงรายชื่อจำนวนหนึ่งแล้วพาตัวไปสอบสวนทีละคน

ตอนที่เหยียนซู่ถูกพาตัวมา คำถามของเกาก้วนตรงจุดหนักแน่นดุดัน ถามไม่กี่ประโยคก็จับพิรุธในคำพูดของเหยียนซู่ได้แล้ว ทำลายกำแพงใจของเหยียนซู่ได้แล้ว ภายใต้ประโยคกดดัน ‘ให้การอย่างซื่อสัตย์สามารถละเว้นโทษตาย’ ของเกาก้วน เหยียนซู่ก็พลันคุกเข่าดังตุ้บ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังโดยละเอียด

ทางนี้เพิ่งจะมีคำสั่ง ทางน่านฟ้าวอกอี่ก็ให้กำลังพลหน่วยตรวจการขวาเคลื่อนไหวทันที ให้ควบคุมตัวฟางอ้าวหลินมาสืบสวนอย่างลับๆ เมื่อมีคำให้การของเหยียนซู่แล้ว ฟางอ้าวหลินมีหรือจะทนการสอบสวนไหว แม้แต่เรื่องที่ฆ่าปิดปากลูกน้องสี่คนก็ถูกเปิดโปงออกมาด้วยแล้ว

หลังจากนั้นหลายวัน ผู้พิพากษาหน้าตายเกาก้วนก็เดินลากชุดคลุมดำเข้ามาในวังสวรรค์ เข้ามารายงานต่อหน้าประมุขชิงในตำหนักดาราจักร

ในตำหนักมีเพียงประมุขชิงกับซ่างกวนชิง หลังจากฟังรายงานจบ ประมุขชิงก็บอกว่า “ถ้าพูดแบบนี้ แสดงว่าสุนัขตัวผู้ตัวเมียคู่นั้นไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของผู้ร้ายเหรอ?”

เกาก้วนตอบว่า “น่าจะไม่รู้ขอรับ พวกเขาเพียงถูกหลอกใช้ให้พาผู้ร้ายเข้าจวนหัวหน้าภาค แต่ไม่รู้ขั้นตอนที่ผู้ร้ายลงมือ เพียงแต่เจตนาของผู้ร้ายนั้นชัดเจน อยากจะอาศัยโอกาสควบคุมพวกเขาสองคนเอาไว้ใช้งานทีหลัง ดังนั้นจึงยังจะไม่แตะต้องพวกเขาสองคน และไม่ทำให้คนอื่นแตกตื่นด้วย จะให้โอกาสสองคนนี้สร้างผลงานชดใช้ความผิด ถ้าผู้ร้ายติดต่อพวกเขาเมื่อไร ทางหน่วยตรวจการขวาจะแจ้งสถานการณ์ให้ทราบทันที”

ประมุขชิงหรี่ตาเล็กน้อย “น่าสนใจทีเดียว จะเป็นฝีมือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”

“มีความเป็นไปได้สูงขอรับ แม้แต่ฟางอ้าวหลินก็รู้สึกเช่นกันว่าเป็นฝีมือหนิวโหย่วเต๋อ แต่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ จึงไม่อาจแน่ใจได้” เกาก้วนกล่าว

“เจ้าลูกลิงนี่มีความสามารถไม่น้อยเลย!” ประมุขชิงพึมพำ

“ฝ่าบาท จะจับตัวหนิวโหย่วเต๋อมาสอบสวนสักหน่อยหรือไม่ขอรับ?” เกาก้วนถาม

ประมุขชิงลังเลนิดหน่อย จากนั้นนั่งโบกมืออยู่หลังโต๊ะยาว “ช่างเถอะ จับตาดูสุนัขตัวผู้ตัวเมียคู่นั้นไว้ให้ดี ถ้าสืบเจอว่าเป็นฝีมือหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ ก็อย่าเพิ่งประกาศบอกใคร ข้ามีแผนการของตัวเองแล้ว เจ้าวิ่งเต้นไปมาก็ลำบากแล้วเหมือนกัน กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

“รับทราบ!” เกาก้วนเอ่ยรับแล้วกล่าวขอตัวออกไป

ประมุขชิงเองก็ลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินออกจากหลังโต๊ะเช่นกัน สายตามองคล้อยหลังเกาก้วน พลางพยักหน้าชม “เกาก้วนทำงานได้ไม่เลวเลย จนตอนนี้ทัพตะวันออกยังหาเบาะแสไม่เจอ แต่ทางนี้คลำเจอก้นบึ้งแล้ว”

ซ่างกวนชิงที่เดินตามอยู่ข้างหลังกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพียงแต่วิธีการโหดร้ายไปหน่อย พอไปถึงยังไม่ทันสอบสวนอะไรก็ฆ่าคนของทัพตะวันออกไปแล้วหลายสิบคน ทางทัพตะวันออกไม่ค่อยพอใจ”

ประมุขชิงพ่นเสียงทางจมูกเยาะเย้ย “เวลาที่สมควรแสดงบารมีก็จะเบามือไม่ได้ จุดนี้เกาก้วนไม่ได้ทำผิด จนป่านนี้อิ๋งจิ่วกวงก็ยังพูดอะไรได้ไม่ชัดเจนเลย จะมาไม่พอใจอะไรได้ล่ะ?”

หลังจากเดินอยู่ในตำหนักกว้างโล่งไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็พูดเหมือนเยาะเย้ยตัวเอง “ถ้าเป็นเจ้าลูกลิงนั่นทำจริงๆ แสดงว่าใต้บังคับบัญชาเฉิงอวี่ก็มีคนที่เก่งกาจจริงๆ น่ะสิ!”

“กล่าวได้เพียงว่าเหนียงเหนียงได้มาชุบมือเปิบจากฝ่าบาทแล้ว” ซ่างกวนชิงหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวประจบ

ประมุขชิงแสยะยิ้ม “ใจกล้าไม่เบา ถึงขนาดกล้าลงมือกับสนมของข้าแล้ว สงสัยจะรู้สึกว่าข้าไม่มีค่าพอให้เขาจงรักภักดีจริงๆ โง่เขลาเบาปัญญา!”

ซ่างกวนชิงเงียบแล้ว ไม่สะดวกจะพูดอะไรต่อ…

สระน้ำมังกรดำ ดาวเคราะห์ที่มีต้นสับปลับปกคลุมเป็นตาข่าย ตลาดมืดอยู่ลึกลงมาใต้ผิวดิน ที่นี่ขุดทางใต้ดินขนาดใหญ่เอาไว้หลายเส้นทาง โยงใยกันอยู่ใต้ดินราวกับใยแมงมุม ผู้คนสัญจรไปมาโดยไม่เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง ภูตผีมารปีศาจอยู่ปะปนกัน ทุกช่วงของทางใต้ดินนี้จะมีร้านค้าที่ประดับตกแต่งประตูแตกต่างกัน แต่ละแห่งจะปิดประตูใหญ่ไว้สนิท ผู้ที่มีความจำเป็นก็ผลักประตูเข้าไป หลังจากเข้าไปแล้วประตูก็จะปิด ทำให้คนมองไม่เห็นถึงสถานการณ์การซื้อขายข้างใน

ในประตูใหญ่บานหนึ่งที่ปิดสนิทและยังไม่ได้แขวนป้ายร้าน สวีถังหรานกำลังนำคนกลุ่มหนึ่งตรวจสอบทั้งชั้นบนและชั้นล่างของร้านค้า

หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดรอบหนึ่งและกลับมาที่โถงหลัก สวีถังหรานที่เหลียวซ้ายแลขวาก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “ไม่เลวๆ ตั้งแต่วันนี้ไป พวกเราก็นับว่ามีที่พักที่ตลาดมืดแห่งนี้แล้ว มีสถานที่ที่พวกเราควบคุมเองได้ เวลาจะพักผ่อนหรือทำอะไรก็ไม่ต้องระแวงแล้ว”

เขาอารมณ์ดีจริงๆ ภารกิจในการเดินทางครั้งนี้ก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังคิดหาทางจนได้ร้านค้ามาหนึ่งร้าน กลับไปก็นับว่ารายงานผลการปฏิบัติงานต่อนายท่านได้แล้ว

ในขณะนี้เอง ตรงประตูใหญ่ก็มีเสียงคนเคาะ พวกเขาหันกลับไปมอง เห็นมีคนผลักประตูเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญแล้ว เป็นสตรีเผ่าเทพอสรพิษดำที่แต่งตัวเปิดเผยคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่รับหน้าที่ให้มาพบพวกเขาในตอนแรกที่มาที่นี่

“แม่นางจิงจิง เจ้ามาได้ยังไง?” สวีถังหรานเข้ามาต้อนรับอย่างร่าเริง

สตรีเผ่าเทพอสรพิษดำที่ชื่อจิงจิงกล่าวเสียงเรียบ “ท่านบุรุษสวี ผู้อาวุโสของพวกเราเชิญพบ”

……………

ตำหนักดาราจักร ขุนนางใหญ่คนสนิทอยู่ด้วยหลายคน

ประมุขชิงเอามือไขว้หลังยืนตรงประตูใหญ่และมองไปข้างนอกเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วก็เดินเนิบนาบกลับมาท่ามกลางการจับจ้องของสายตาหลายคู่ เขาหันซ้ายหันขวาแล้วถามว่า “เป็นตระกูลเซี่ยโห้วทำหรือเปล่า? มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อมั้ย?”

“หนิวโหย่วเต๋อไม่น่าจะเป็นไปได้ ผู้ที่สามารถพาคนออกไปเงียบๆ ภายใต้หนังตาคนมากมายขนาดนั้น ทั้งยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มีกำลังพลเฝ้าแน่นหนา นอกจากตระกูลเซี่ยโห้ว ก็คาดว่าจะไม่มีคนอื่นสามารถทำได้แล้วขอรับ” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ

“แล้วทำได้ยังไงกันแน่? หลังจากเกิดเรื่องหวังจัวก็ยังใช้ระฆังดาราตอบกลับมาได้ หรือว่าจะถูกบีบบังคับ?” ประมุขชิงถาม

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “ข้าน้อยสงสัยว่าหวังจัวอาจจะเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ตอนที่หวังจัวออกไปคนเดียว ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะพกคนในครอบครัวออกไปด้วยกันแล้ว นอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถพาคนตระกูลหวังออกไปอย่างไร้ซุ่มเสียงได้”

“อ้อ!” ประมุขชิงยกมือขยี้เครา แล้วพยักหน้าเบาๆ สายตามองไปยังคนที่เหลือ เหมือนกำลังถามว่าพวกเจ้ายังมีความคิดเห็นอะไรอีก

ขณะที่พวกเขากำลังครุ่นคิดเงียบๆ เกาก้วนกลับกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าน้อยมีความเห็นแตกต่างเล็กน้อย ความเห็นของข้าน้อยค่อนข้างเอนเอียงไปทางหนิวโหย่วเต๋อขอรับ”

คำกล่าวนี้ทำให้คนอื่นมองมาพร้อมกันทันที ประมุขชิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ทุกคนต่างรู้ว่าเกาก้วนดูแลหน่วยตรวจการขวามาหลายปี เชี่ยวชาญการสืบคดี ในเมื่อเขาพูดแบบนี้แล้ว แสดงว่าเขาไม่พูดลอยๆ เหมือนยิงธนูไร้เป้าแน่

ประมุขชิงชักสนใจแล้ว ไม่ได้เดือดดาลที่สนมของตัวเองถูกชิงตัวไปเลยสักนิด ถามอย่างสนใจว่า “ทำไมคิดอย่างนั้น?”

“หลังจากเกิดเรื่อง คำตอบที่หวังจัวบอกว่าโบยบินจากไปไกลอะไรนั้นก็คือพิรุธที่ใหญ่ที่สุด ยิ่งปิดก็ยิ่งน่าสงสัย” เกาก้วนตอบ

“ยิ่งปิดยิ่งน่าสงสัยตรงไหน?” ซือหม่าเวิ่นเทียนไม่ยอม

เกาก้วนตอบว่า “หากโบยบินจากไปไกลจริง ก็ไม่จำเป็นต้องตอบกลับเลย แค่ไปเงียบๆ ทำให้ทุกคนไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนจะไม่ปลอดภัยกว่าหรือ? เหตุใดต้องบอกว่าโบยบินจากไปไกลเพื่อให้ทัพตะวันออกแตกตื่นค้นหาจนทั่ว? ถ้าไม่ใช่เพราะหวังจัวโง่ ก็แสดงว่ามีคนบีบให้หวังจัวพูดอย่างนี้ เพื่อปกปิดว่าครอบครัวของหวังจัวถูกคนชิงตัวไป”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็พยักหน้าเงียบๆ แม้แต่โพ่จวินที่เหม็นขี้หน้าเกาก้วนมาตลอดก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน จำเป็นต้องยอมรับการวิเคราะห์นี้ของเกาก้วน

ซือหม่าเวิ่นเทียนขมวดคิ้ว “นั่นก็อาจเป็นฝีมือตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกัน พิสูจน์ไม่ได้ด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อทำ”

เกาก้วนเหล่ตาบอกว่า “ข้าแค่บอกว่าความคิดข้าเอนเอียงไปทางหนิวโหย่วเต๋อ ไม่ได้ฟันธงว่าเขาทำ ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อปรากฎตัวอย่างเปิดเผยที่จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิง ข้าก็สังเกตได้ถึงความไม่ปกติแล้ว พอลองจัดระเบียบข้อมูลจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิง ตอนที่เห็นรายชื่อสมาชิกจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิง ก็สังเกตเห็นชื่อของแม่ทัพภาคคนหนึ่ง ชื่อว่าเหยียนซู่ รู้สึกคุ้นหน้ามาก ตอนหลังจึงสั่งให้คนตรวจสอบประวัติ พบว่าเดิมทีคนคนนี้เคยเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่ราชันสวรรค์แต่งตั้ง เคยทำงานกับหนิวโหย่วเต๋อที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว ในปีนั้นที่ข้าสืบคดีก็เคยเห็นรายชื่อนี้ มีอยู่จุดหนึ่งที่เกรงว่าทูตซ้ายซือหม่าคงปฏิเสธไม่ได้ หากเรื่องนี้มีคนวางอุบายจริง ก็จะต้องทำงานข้างในกับข้างนอกให้สอดคล้องกัน การปรากฏตัวของเหยียนซู่จะเป็นเรื่องบังเอิญเชียวหรือ? ดังนั้นหนิวโหย่วเต๋อจึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยของข้า!”

ทุกคนกระจ่างทันที ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

หลังจากในตำหนักเงียบไปพักหนึ่ง ประมุขชิงก็กล่าวเสียงต่ำ “เกาก้วน หน่วยตรวจการขวาของเจ้าต้องเข้าร่วมเรื่องนี้!”

“ขอรับ!” เกาก้วนกุมหมัดคารวะ

ประมุขชิงกล่าวเสียงต่ำอีกว่า “โลงโทษสถานหนักกับกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่อารักขาสนมฉิน!”

โพ่จวินอึกอักเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง คนที่จะถูกลงโทษสถานหนักคือคนของเขา เขาอยากจะปกป้องสักหน่อย แต่ในฐานะที่เป็นทหารองครักษ์ การปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ ถึงขนาดว่าทำคนหายไปแล้วยังไม่รู้ตัว นั่นคือการบกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรงจริงๆ เขาเองก็หาเหตุผลมาปกป้องไม่ได้เช่นกัน

“อิ๋งจิ่วกวงเองก็ควรจะให้คำชี้แจงกับข้าเช่นกัน ข้าอยากเห็นว่าครั้งนี้เขายังจะมีเหตุผลอะไรมารับมืออีก!” ประมุขชิงแสยะยิ้ม

จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล เหยียนซิวกลับมาแล้ว

ในเขตเรือนพัก เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ตรงประตูหลัก ยิ้มตาหยีมองเหยียนซิวเดินก้าวยาวกลับมา ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกปลื้มอกปลื้มใจ

อวิ๋นจือชิวที่ยืนอยู่ข้างกันมองเหยียนซิว แล้วก็มองปฏิกิริยาของเหมียวอี้ นางยิ้มตามเช่นกัน นางเข้าใจดีที่สุดว่าก่อนหน้านี้เหมียวอี้กังวลขนาดไหน

“นายท่าน! ปฏิบัติภารกิจลุล่วง!” เหยียนซิวที่เดินมาถึงตีนบันไดกุมหมัดทำความเคารพ

เหมียวอี้รีบเดินลงบนได ใช้สองมือประคองพร้อมกล่าวอย่างอบอุ่น “ลำบากเจ้าแล้ว”

“เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่” เหยียนซิวถอยสองก้าว แล้วโบกมือปล่อยไป๋เฟิ่งหวงออกมา เนื่องจากตัวตนของนาง ถึงอย่างไรก็ไม่สะดวกจะเข้าออกให้คนนอกเห็น

พอไป๋เฟิ่งหวงโผล่หน้ามาเห็นเหมียวอี้กำลังหรี่ตายิ้ม นางก็กลอกตาใส่ทันที เชิดจมูกขึ้นฟ้าอีกแล้ว

“ครั้งนี้โชคดีที่ได้ไป๋เฟิ่งหวงคอยช่วย” เหยียนซิวชี้ไปที่ไป๋เฟิ่งหวง ไม่ได้แย่งผลงานนาง

เหมียวอี้พยักหน้ายิ้มให้ไป๋เฟิ่งหวง “ทำได้ไม่เลว”

“อย่ามาเล่นลูกไม้นี้ ต่อไปนี้อย่าเอาเรื่องที่เสี่ยงหัวหลุดมาให้ข้าทำ งานก็ทำให้เจ้าแล้ว ถ้าไม่มีอะไรก็ขอตัวก่อน” ไป๋เฟิ่งหวงพูดจบแล้วหันเลี้ยวเตรียมจะไป ไม่เกรงใจเลยจริงๆ

“ไม่ต้องรีบไป!” เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ไป๋เฟิ่งหวงหยุดเดินแล้วหันกลับมา ถลึงตาถามว่า “ยังมีเรื่องอะไรอีก?”

เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้อวิ๋นจือชิว แล้วตัวเองก็กลับเข้ามาในจวน อวิ๋นจือชิวเดินไปคุยกับไป๋เฟิ่งหวงทันที

หลังจากหลบเลี่ยงคนอื่นแล้ว เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : เหนียงเหนียง เรื่องที่ท่านกำชับมา ข้าน้อยจัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินแล้วดีใจมาก : จริงเหรอ?

เหมียวอี้ : หวังจัวกับฮูหยิน อนุภรรยาทั้งสามของหวังจัว ลูกชายของหวังจัว เจ็ดคนในครอบครัวสนมฉิน ทั้งยังมีหญิงรับใช้สองคนที่ร่วมวางกับดักโอรสสวรรค์ก็ถูกจับเช่นกัน ทั้งเก้าคนนี้รอเพียงเหนียงเหนียงออกคำสั่ง!

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กระปรี้กระเปร่าแล้ว กล่าวชมซ้ำๆ ว่า : ท่านหนิวไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ ดี ดีมาก! ผลงานนี้ของเจ้า ข้ากับโอรสสวรรค์จะจดจำไว้ในใจ!

เหมียวอี้ : หากเหนียงเหนียงมีคำสั่ง ข้าน้อยก็พร้อมบุกน้ำลุยไฟ เหนียงเหนียง เก้าคนนี้เหนียงเหนียงต้องการจะจัดการเองหรือไม่ขอรับ?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ย่อมแค้นจนอยากจะลงมือสังหารสนมฉินระบายอารมณ์ด้วยมือตัวเองอยู่แล้ว ทว่าสถานการณ์จริงไม่เป็นใจให้นางทำอย่างนี้ ข้างกายนางมีหูตาเต็มไปหมด เหมียวอี้เองก็ไม่มีทางเข้ามาในเขตวังสวรรค์ได้ ไม่อาจผ่านด่านตรวจสอบขององครักษ์ นางจึงทำได้เพียงออกคำสั่งอย่างเคียดแค้น : อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว ใช้โทษประหารทั้งหมด!

เหมียวอี้ : ข้าน้อยน้อมรับบัญชา! เพียงแต่ว่าเหนียงเหนียง ข้าน้อยใช้วิธีการบางอย่างที่ไม่อาจบอกใครได้ หวังว่าเหนียงเหนียงจะรักษาความลับ

ทำไมเขาไม่กำจัดคนพวกนี้ในจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงโดยตรง ทำไมเขาต้องให้หวังจัวส่งข่าวกลับมาก่อนว่าจะโบยบินจากไปไกล ก็เพราะการลงมือกับสนมของราชันสวรรค์ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้าพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้คนนึกเชื่อมโยงมาที่ตัวเขาได้ เขาก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยง ครั้งนี้ไม่ต้องทำตัวเด่นก็ได้ ทำไปเพื่อรายงานผลงานต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ล้วนๆ

ตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ติดต่อกับเขาเสร็จแล้วก็นั่งไขว่ห้าง กรอกน้ำชาดื่มอย่างถึงอกถึงใจ ราวกับดื่มน้ำฝนในหน้าแล้ง นางรู้สึกสะใจ และดื่มด่ำกับความรู้สึกที่ได้ถ่ายทอดคำสั่งทำให้เรื่องราวเป็นไปตามใจได้

ในเวลานี้เอ๋อเหมยกลับรีบสาวเท้าเดินเข้ามา รายงานว่า “เหนียงเหนียง เกิดเรื่องกับสนมฉินแล้วเพคะ” ตอนที่บอกสิ่งนี้ นางก็แอบสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเงียบๆ

ส่วนทางด้านเซี่ยโห้วลิ่ง หลังจากได้รู้ข่าวจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงก็ยังนึกว่าเจ้าเก้าสั่งให้หวังจัวหนีไป แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ เจ้าเก้าจะส่งข่าวมาถาม ถามว่าเขาทำหรือเปล่า ตอนนี้เขาถึงรู้ตัวว่าเกิดเรื่องกับครอบครัวสนมฉินแล้ว ถึงได้ให้เอ๋อเหมยมาสืบความจริงกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินแล้วเลิกคิ้ว “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

เอ๋อเหมยรายงานว่า “สมาชิกเจ็ดคนในครอบครัวสนมฉินรวมทั้งหญิงรับใช้หายตัวไปทั้งหมด บอกว่าหวังจัวไม่อยากทำงานแล้ว จึงพาทั้งครอบครัวโบยบินจากไปไกล ตอนนี้จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงวุ่นวายมาก ทัพตะวันออกปิดล้อมค้นหา ฝ่าบาทเดือดดาลมากเพคะ กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่ติดตามอารักขาสนมฉินถูกลงโทษสถานหนักทั้งหมด ทูตตรวจการขวาเกาก้วนนำคนไปตรวจสอบด้วยตัวเอง”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แอบรู้สึกสะใจมาก แต่ภายนอกยังทำใจเย็น แสยะยิ้มแล้วบอกว่า “นางตัวดีนั้นเป็นพวกเกิดมาสร้างปัญหาอยู่แล้ว จะก่อเรื่องขึ้นก็ไม่แปลก มีอะไรน่าตะหนกตื่นตูมขนาดนั้น”

ผ่านไปไม่นาน เซี่ยโห้วลิ่งที่อยู่จวนท่านปู่สวรรค์ก็ได้รับรายงานจากเอ๋อเหมย สิ่งที่เอ๋อเหมยวิเคราะห์ได้ก็คือ ราชินีสวรรค์ดูไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เลยสักนิด เหมือนจะรู้เรื่องนี้ล่วงหน้าแล้ว

เอ๋อเหมยอยู่ข้างกายเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มานานเกินไป รู้จักอุปนิสัยของนางดีมาก พอหยั่งเชิงนิดหน่อยก็มาพิรุธออกแล้ว

ใต้ต้นไม้โบราณสูงระฟ้า หลังจากเซี่ยโห้วลิ่งฟังเว่ยซูรายงานจบแล้ว เขาก็ครุ่นคิดเงียบๆ ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “เป็นฝีมือหนิวโหย่วเต๋อ!”

คนที่สามารถทำเรื่องลับลวงพรางให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ นอกจากตระกูลเซี่ยโห้วก็มีแต่หนิวโหย่วเต๋อ แม้จะย้ายโอรสสวรรค์ไปไว้กองทัพองครักษ์ แต่ในมือก็ไม่มีอำนาจทางทหาร และไม่มีทางทำเรื่องอย่างนี้ได้ด้วย กองทัพองครักษ์ใช้กำลังปะทะยังพอไหว แต่ไม่มีศักยภาพที่จะลงมือเงียบๆ อย่างนี้ ประมุขชิงมีศักยภาพที่จะทำอย่างนี้ แต่ถ้าประมุขชิงจะลงโทษสนมฉิน ก็ต้องมีวิธีการอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายนี้เลย หากพลาดขึ้นมาแล้วทัพตะวันออกรู้ก็จะไม่คุ้ม คำนวณไปคำนวณมาก็มีแต่ตระกูลเซี่ยโห้วกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ทำ เช่นนั้นก็เหลือแค่หนิวโหย่วเต๋อแล้ว

เว่ยซูที่อยู่ข้างๆ กล่าวอย่างสงสัย “ไม่รู้เหมือนกันว่าหนิวโหย่วเต๋อทำได้อย่างไร เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์อย่างนั้น การจะพาคนออกไปไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

“สงสัยหกลัทธิจะเหมือนกิ้งกือที่ตายแล้วร่างยังดิ้นได้ มีพลังเหนือกว่าที่ข้าจินตนาการไว้” เซี่ยโห้วลิ่งกล่าว

“เรื่องนี้ แม้แต่คุณชายเก้าก็สงสัยว่าเป็นฝีมือนายท่าน เกรงว่าคนอื่นคงคิดอย่างนี้เช่นกัน” เว่ยซูกล่าว

เซี่ยโห้วลิ่งแสยะยิ้ม “อย่างไรเสียหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่กล้าพูดอะไร บางทีให้คนนอกเข้าใจผิดบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแย่”

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีที่นั่งอยู่ในศาลาป่าไผ่เงียบงั้นอยู่นานมาก แล้วจู่ๆ ก็ถามว่า “เรื่องนี้พวกเจ้าเห็นว่าอย่างไร?”

ใบไผ่ปลิวตามลมหมุนแล้วตกลงพื้น ถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงที่ยืนอยู่ข้างๆ สบตากัน ถังเฮ่อเหนียนตอบอย่างลังเลว่า “ตอนนี้พอนำเรื่องราวมาเชื่อมโยงกัน การที่หนิวโหย่วเต๋อปรากฎตัวที่นอกจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิง ก็เห็นได้ชัดว่าตระกูลเซี่ยโห้ววางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว สร้างความเคลื่อนไหวที่ทัพตะวันออกก่อนแล้วจากไป หลังจากทำให้จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงยกระดับการป้องกันแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วก็ค่อยลงมือ ให้ความรู้สึกเหมือนบีบลูกพลับอ่อนไม่สะใจเหมือนบีบลูกพลับแข็ง แค่อยากให้ตระกูลอิ๋งเตรียมพร้อมให้เต็มที่แล้วค่อยลงมืออีกที ต้องการจะสร้างความอัปยศให้อิ๋งจิ่วกวงอย่างรุนแรง ทั้งใช้เล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลงไปมาราวกับพลิกฟ้าคว้าฝน ทั้งยังเก็บงานได้อย่างไร้ซุ่มเสียง เซี่ยโห้วลิ่งคนนี้ช่างไม่ธรรมดา!”

โค่วหลิงซวีพยักหน้าช้าๆ “ประเมินเซี่ยโห้วลิ่งต่ำไปแล้ว วางหมากได้ต่อเนื่อง ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ที่ผ่านมาเขาแค่ไม่ลงมือเท่านั้น พอลงมือก็เป็นฝ่ายกระโดดออกมาทำให้อิ๋งจิ่วกวงเสียหน้ายับเยิน ตอนนี้ถึงได้รู้ ว่าที่จิ้งจอกเฒ่าเซี่ยโห้วท่าเลือกเซี่ยโห้วลิ่งให้เป็นผู้สืบทอดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ลูกชายเขาเอง มีแต่เขาที่รู้จักดีที่สุด ควรมีลูกชายอย่างเซี่ยโห้วลิ่งสิ!” ขณะที่พูดประโยคนี้ ก็ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือบังเอิญชำเลืองไปทางโค่วเจิง บอกไม่รู้ว่าเป็นสายตาแบบไหน

โค่วเจิงที่บังเอิญเห็นสายตานั้นก็เงียบงันพูดไม่ออก เขาทำสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับกัดริมฝีปากแน่น

………………

ราบรื่นมาก ดูเหมือนผ่อนคลายมาก แต่คนที่กำลังทำเรื่องนี้อยู่กลับรู้ตัวว่าหวาดเสียวขนาดไหน หากมีคนติดต่อสนมฉินไม่ได้ขึ้นมา ก็มีความเป็นไปได้สูงว่ากองทัพองครักษ์จะไปตรวจสอบทันที หรือไม่ถ้ามีคนติดต่อหวังจัวไม่ได้ ถ้าเรื่องปกติต่างๆ บังเอิญสอดคล้องกันพอดี ก็อาจจะเผยพิรุธทันที

ที่จริงโอกาสที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือฉวยโอกาสตอนยังไม่มีเรื่องอะไรถอนกำลังออกไปเดี๋ยวนี้ แต่เจตนาของเหมียวอี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ทางนี้ยังต้องพยามยามสุดความสามารถเพื่อทำให้สำเร็จ

จนกระทั่งได้สมาชิกในครอบครัวเจ็ดคนมาไว้ในมือ ไป๋เฟิ่งหวงถึงได้ถอนกำลังอย่างรวดเร็ว

ที่เรียกว่าถอนกำลังอย่างรวดเร็วก็คือหนีไปทันที แต่ไม่ใช่การวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง อยู่ที่นี่ไม่กล้าทำอะไรที่สะดุดตาเกินไป ‘หวังจัว’ เดินลงภูเขาจวนหัวหน้าภาคอย่างอกสั่นขวัญแขวนตลอดทาง ตั้งแต่สมัยโบราณ เรื่องที่เหมือนจะสำเร็จแต่มาล้มเหลวทีหลังนั้นมีเยอะแยะ ตอนที่ยังไม่ได้ออกจากที่นี่โดยสมบูรณ์ ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าพูดทั้งนั้นว่าทำสำเร็จแล้ว

เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าอาศัยตัวตนของ ‘หวังจัว’ ออกไปจากที่นี่สะดวกกว่าใช้ตัวตนของ ‘เนี่ยนเซี่ย’ ประการแรกก็เพราะหวังจัวคือเจ้าของที่นี่ ประการต่อมาก็เพราะเป็นการออกไป ไม่ใช่การเข้ามา ตลอดทางที่ออกไปไม่มีใครตรวจสอบเลย กลับมีคนทำความเคารพเยอะด้วยซ้ำ

พอออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้แล้ว ‘หวังจัว’ ก็หนีหายไปในจุดลึกของดาราจักร จากนั้นเปลี่ยนทิศทางเหาะหนีด้วยความเร็วสูงอีกครั้ง ไป๋เฟิ่งหวงรู้ว่าต้องมีคนไม่น้อยเห็นทิศทางที่นางไป สรุปก็คือหลังจากหนีพ้นสายตาที่จะตรวจสอบได้แล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็กลายร่างเป็นคนอื่นทันที แล้วดิ้นรนหนีสุดชีวิต นางไม่กล้าหนีไปทางแดนรัตติกาล ไปอีกทิศทางหนึ่งแทน ยอมอ้อมไปไกลดีกว่า

อาศัยวรยุทธ์ของนาง การมุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วทั้งที่มีก็ย่อมไม่ช้าอยู่แล้ว นางออกจากน่านฟ้าชวดเกิงเร็วมาก แล้วก็ออกจากเขตทัพตะวันออก จนกระทั่งเข้าไปในเขตทัพใต้ เมื่อออกจากทัพตะวันออกที่อาจจะเสี่ยงโดนปิดล้อมได้ทุกเมื่อแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงถึงได้โล่งอก แล้วหาที่ลับตาคนหยุดพัก

หลังจากโยนเหยียนซิวออกมา ไป๋เฟิ่งหวงก็ทำท่ากอดอกเชิดปลายจมูกขึ้นฟ้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกำลังบอกเหยียนซิวว่าไม่มีเรื่องอะไรที่นางจัดการไม่ได้

เหยียนซิวรีบหยิบแผนที่ดาวมาตรวจดู พบว่าตัวเองมาถึงทัพใต้แล้ว จึงรีบเงยหน้าถาม “ได้คนมาหรือเปล่า?”

“ข้าลงมือด้วยตัวเอง ตัดคำว่า ‘หรือเปล่า’ ออกไปได้เลย!” ไป๋เฟิ่งหวงพ่นเสียงทางจมูก โบกมือโยนทั้งครอบครัวออกมา แล้ววางมาดสูงส่งอวดดีอีกครั้ง

เหยียนซิวไม่ได้เถียงกลับที่นางเคยบอกว่า ‘เสี่ยงอันตรายเอาชีวิตมาทิ้ง’ เขารีบตรวจสอบทันที หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นครอบครัวนั้น เขาก็ดีใจมาก เก็บคนพวกนั้นเอาไว้แล้ว

“เอาล่ะ ไปบอกเจ้าแซ่หนิวนั่นด้วย ต่อไปอย่าเอาเรื่องบ้าบอแบบนี้มารบกวนข้าอีก ไปละ!” ไป๋เฟิ่งหวงพูดทิ้งท้าย ทำท่าจะจากไป

“ช้าก่อน!” เหยียนซิวรีบตะโกนหยุดนาง แล้วกุมหมัดคารวะ “ยังต้องรบกวนเจ้าอีกหน่อย ข้าต้องรีบกลับไป กลัวชักช้าแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง เจ้าเหาะได้เร็ว รบกวนไปส่งข้าอีกสักครั้ง”

“น่ารำคาญ ปิดงานสิ จะไปแล้ว” ไป๋เฟิ่งหวงสะบัดแขนเสื้ออย่างทนรำคาญไม่ไหว

เหยียนซิวไม่ถือสานาง รู้ว่าครั้งนี้นางสร้างผลงานใหญ่แล้วจริงๆ ถ้าไม่มีปีศาจตนนี้ ก็ไม่มีทางทำภารกิจสำคัญครั้งนี้สำเร็จได้เลย

“รอประเดี๋ยว!” หลังจากเหยียนซิวกุมหมัดขอบคุณแล้ว ก็โบกมือเรียกฟางอ้าวหลินออกมา พร้อมนำลูกน้องสี่คนของเขาออกมาด้วย ห้าคนสลบไสลกลิ้งอยู่ในทะเลทรายที่มีลมทรายพัดม้วนเข้ามา หลังจากเหยียนซิวทำอะไรบางอย่างบนตัวสี่คนนี้แล้ว ก็หยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าเขียนอะไรลงไป เขียนเสร็จแล้วก็ยัดใส่ปกเสื้อตรงหน้าอกฟางอ้าวหลิน เสร็จแล้วถึงได้พยักหน้าบอกใบ้ไป๋เฟิ่งหวงว่าไปกันได้แล้ว

“เจ้าไม่ฆ่าปิดปากพวกเขาเหรอ?” ไป๋เฟิ่งหวงแปลกใจ

“ไม่ต้อง นายท่านมีแผนการอีกอย่าง!” เหยียนซิวตอบ

ไป๋เฟิ่งหวงพึมพำเบาๆ ไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังเล่นอุบายอะไร นางโบกแขนเสื้อเก็บเหยียนซิวเข้ากระเป๋าสัตว์แล้วพุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ฟางอ้าวหลินที่แทบจะโดนลมทรายพัดกลบก็ไอ “แค่กๆ” เขาลุกขึ้นแล้วพ่นเม็ดทรายออกจากปากกับจมูก แต่ไม่นานก็หันมองสภาพแวดล้อมรอบๆ อย่างมึนงง สายตาไปหยุดอยู่บนตัวลูกน้องอีกสี่คนแล้วงงอีกประเดี๋ยวหนึ่ง พอลองร่ายอิทธิฤทธิ์ ก็พบว่าใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้อย่างอิสระ เหมือนจะไม่ได้รับความเสียหายอะไร จากนั้นรีบตรวจดูของในกำไลเก็บสมบัติ พบว่าสมบัติส่วนใหญ่ยังไม่ได้ถูกปล้นไป ข้างในยังมีแผนที่ดาว จึงรีบเรียกออกมาดูตำแหน่งของตัวเอง พอพบว่าตัวเองมาอยู่ในอาณาเขตทัพใต้แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

ในขณะนี้เอง ลูกน้องทั้งสี่ของเขาก็ทยอยกันฟื้นขึ้นมา แต่ละคนลุกพรวดแล้วมองสำรวจโดยรอบ หนึ่งในนั้นถามอย่างประหลาดใจ “นายท่าน นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

ฟางอ้าวหลินเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ภาพสุดท้ายในความทรงจำของเขาก็คือตัวเองอยู่ในถ้ำมืดสลัว ส่วนตอนหลังเกิดอะไรขึ้นเขาก็ไม่รู้แล้ว ยอดฝีมือระดับนั้นจะปล้นตนแค่เพื่อทรัพย์สินเงินทองเชียวหรือ?

รู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าไม่ชอบมาพากล แผ่นหยกแข็งๆ ตรงหน้าอกหลบเลี่ยงการสังเกตของเขาไม่ได้ เขายื่นมือเข้าไปในคอเสื้อ หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูแล้ว ก็พบตัวอักษรสี่ตัวในนั้น : ติดต่อเหยียนซู่!

หมายความว่าอะไร? ฟางอ้าวหลินสงสัย รีบหยิบระฆังดาราที่ใช้ติดต่อเหยียนซู่ออกมา แล้วเขย่าติดต่อนาง

ประโยคแรกที่เหยียนซู่ตอบกลับมาฟังดูร้อนรนมาก : เจ้าเป็นอะไรไป ทำไมไม่ติดต่อกลับมาเลย?

ฟางอ้าวหลินแปลกใจ ลองคำนวณเวลาที่แยกออกจากกัน น่าจะเพิ่งแยกกันไม่นานนี่ ทำไมถึงร้อนรนจะติดต่อตนขนาดนั้น จึงถามว่า : มีเรื่องอะไร?

เหยียนซู่ : เจ้ารู้อยู่แก่ใจแล้วยังแกล้งถามอีกเหรอ? สองคนนั้นแอบเข้าไปในจวนหัวหน้าภาคนานแล้ว ตอนนี้ยังไม่ตอบอะไรกลับมาเลย ข้ากังวลมาก เจ้าแน่ใจนะว่าจะไม่เป็นอะไรจริงๆ?

ฟางอ้าวหลินงุนงงราวกับหมอกน้ำค้างลงสมอง : แอบเข้าไปในจวนหัวหน้าภาค หมายความว่าอะไร?

เหยียนซู่ร้อนใจทันที : ฟางอ้าวหลิน เจ้าหมายความว่าอะไร? คิดจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งเหรอ?

ทั้งสองเถียงกันนิดหน่อย จนกระทั่งหลังจากฟางอ้าวหลินเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เหม่อค้างไปเลย

ขณะที่ทั้งสองกำลังติดต่อกัน ในที่สุดในจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงก็เกิดเรื่องแล้ว เรื่องแดงขึ้นมาเพราะบ่าวไพร่ของบรรดาอนุภรรยาของหวังจัวหานายหญิงตัวเองไม่พบ ตอนแรกก็นึกว่าตามหวังจัวออกไป จนกระทั่งพบว่าบ่าวไพร่ของอนุภรรยาที่เหลือก็ไม่พบนายหญิงตัวเองเหมือนกัน พวกบ่าวรับใช้ถึงได้พบความผิดปกติ พอจะไปถามฮูหยินเอก ก็พบว่าฮูหยินไม่อยู่แล้วเช่นกัน ไปหาหวังจัวก็ไม่เจอ จนสุดท้ายก็พบว่าสนมฉินก็หายไปแล้วเหมือนกัน

แม่ทัพใหญ่ของกองทัพองครักษ์ที่ทำหน้าที่อารักขาตกตะลึงพรึงเพริด ฆ่าคนในจวนหัวหน้าภาคไปหลายคนมาก สุดท้ายรองหัวหน้าภาคก็ติดต่อไปหาหวังจัว ใครจะคิดว่าหวังจัวกลับพูดประมาณว่า เขาเล่นไม่ไหว ไม่เล่นแล้ว จะพาทั้งครอบครัวโบยบินจากไปไกล

นี่ไม่ใช่คำพูดล้อเล่นหรอกเหรอ? ทั้งจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงเละเทะเป็นหม้อโจ๊กทันที กำลังพลทั้งหมดออกค้นหา กำลังพลของเหยียนซู่ก็ย่อมอยู่ในนั้นด้วย

หลังจากได้รู้ว่าหวังจัว ‘โบยบินจากไปไกล’ แล้ว เหยียนซู่ก็เรียกได้ว่าโล่งใจมาก นางดาออกแล้วว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับสองท่านนั้นแน่นอน เพียงแต่ค่อนข้างประหลาดใจว่าสองท่านนั้นทำได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรวิธีการแบบนั้นก็เป็นผลดีต่อนางมากที่สุดจริงๆ ไม่เปิดโปงนางง่ายๆ

ขณะที่นำกำลังพลค้นหาจนทั่ว เหยียนซู่ก็ย่อมแอบบอกสถานการณ์ให้ฟางอ้าวหลินรู้ทันที

ฟางอ้าวหลินตกใจจนเหงื่อกาฬแตก เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องสนมของราชันสวรรค์แล้ว อ๋องสวรรค์อิ๋งจะเดือดดาลขนาดไหนก็คงเดาได้ไม่ยาก ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ ทั้งยังกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย เรื่องนี้ต่อให้เขาจะไปสารภาพ แต่ก็ไม่รู้แม้กระทั่งว่าผู้ร้ายเป็นใคร ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น จุดจบของเขาต้องไม่ดีแน่ อยู่ที่ทัพตะวันออกหากยั่วโมโหแค่ราชันสวรรค์ก็ยังคุยง่ายหน่อย แต่ถ้าไปยั่วโมโหอ๋องสวรรค์อิ๋ง ก็ไม่อยากจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย

เริ่มจากที่เขากับเหยียนซู่สมคบเป็นชู้กัน ถึงได้เปิดโอกาสผู้ร้ายฉกฉวยประโยชน์ อาศัยแค่ข้อหานี้ก็ทำให้เขาไม่กล้านึกถึงผลที่ตามมาแล้ว

เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ร้ายทำได้อย่างไร ต่อให้เหยียนซู่พาคนเข้ามาแล้ว แต่การป้องกันแน่นหนาขนาดนั้น อีกฝ่ายจะพาหวังจัวและครอบครัวออกไปเงียบๆ ได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่แค่คนสองคน แต่เป็นเจ็ดคน ยอดฝีมือในจวนหัวหน้าภาคตายกันไปหมดแล้วเหรอ?

เขาถึงขั้นสงสัยไปที่ตัวหนิวโหย่วเต๋อ สงสัยว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนทำหรือเปล่า อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ก็เคยเจอหนิวโหย่วเต๋อที่ประตูใหญ่หน้าจวนหัวหน้าภาคมาแล้ว อีกทั้งหนิวโหย่วเต๋ออาจจะมีเจตนานี้จริงๆ ด้วย แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ สงสัยอะไรไปก็ไม่จำเป็นแล้ว โชคดีที่ผู้ร้ายไม่ฆ่าปิดปากเขา และไม่สร้างความเคลื่อนไหวอะไรในจวนหัวหน้าภาคด้วย แต่พาคนออกไปจัดการโดยตรงเลย เป็นการให้ทางรอดแก่เขาหากแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและอยู่เงียบๆ อย่างผู้ไม่เกี่ยวข้อง

แต่เขาก็เข้าใจผลที่ตามมาชัดเจน ตราบใดที่เขาปิดบังไม่รายงานเรื่องนี้ จุดอ่อนที่ใหญ่มากของเขาก็ตกอยู่ในมือของผู้ร้ายแล้ว เกรงว่านี่คงจะเป็นจุดประสงค์ที่คนร้ายปล่อยเขาไว้

วิธีการนี้โฉดชั่วเกินไปแล้ว!

ฟางอ้าวหลินแค้นจนกัดฟันกรอด ทั้งกลัวในความโฉดชั่วของผู้ร้าย และกลัวในพลังอภินิหารของผู้ร้ายด้วย ขนาดนี้ยังทำได้เลย กล้าทำได้อย่างไร? ช่างใจกล้าคับฟ้าจริงๆ!

ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังจนไส้เขียว แค้นที่ตอนแรกไปคบชู้กับเหยียนซู่ ไม่อย่างนั้นจะซวยเจอหายนะหล่นใส่อย่างนี้เหรอ?

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้เขามีทางเลือกด้วยหรือไง? จะให้เข้ามอบตัวเองก็ไม่กล้า ถ้าไม่มอบตัวก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้ชั่วคราว

มาถึงขั้นนี้แล้วก็ตัดสินใจเลือกได้ไม่ยาก ฟางอ้าวหลินรีบหยิบระฆังดารามากำชับเหยียนซู่ ว่าให้ย่อยเรื่องนี้ลงกระเพาะไปเสีย ไม่อย่างนั้นเจ้ากับข้าก็ตายสถานเดียว!

หลังจากเก็บระฆังดาราเงียบๆ ฟางอ้าวหลินก็ชำเลืองมองลูกน้องสี่คนที่อยู่ไกลๆ ในดวงตาฉายแววสังหาร จะต้องฆ่าปิดปาก!

พอเกิดความคิดนี้ขึ้น เขาก็แค้นผู้ร้ายอีกครั้ง ผู้ร้ายทิ้งสี่คนนี้ไว้ให้เขาจัดการเอง ถ้าฆ่าสี่คนนี้แล้ว เขาจะต้องหมดทางกลับตัวโดยสิ้นเชิง ในภายหลังจะต้องถูกผู้ร้ายควบคุมแน่…

เพล้ง! ถ้วยหยกตกแตกกระจายบนพื้น น้ำชาสาดกระเซ็น

ในจวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง อิ๋งจิ่วกวงอาละวาดเหมือนฟ้าผ่า ทุบทำลายข้าวของ ชี้นิ้วคำรามใส่จั่วเอ๋อร์ “จะเป็นไปได้ยังไง! สิ้นเปลืองความคิดมากมายให้ไต่เต้าขึ้นตำแหน่งหัวหน้าภาค จู่ๆ มาทิ้งลาภยศแล้วบอกว่าโบยบินจากไปไกลอะไรนั่น เจ้าเชื่อเหรอ? เหลวไหลสิ้นดี!”

จั่วเอ๋อร์เองก็ตกใจจนไม่กล้าพูดดัง ตอบว่า “ถ้าเป็นอย่างที่ท่านอ๋องเดาจริงๆ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าคนที่ทำเรื่องนี้คือตระกูลเซี่ยโห้วกับหนิวโหย่วเต๋อ ทั้งยังมีความสามารถพาคนออกไปเงียบๆ แบบเทพไม่รู้ผีไม่เห็น เกรงว่าคงจะมีแต่ตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว!”

อิ๋งจิ่วกวงตะคอกด้วยความเดือดดาล “เจ้ามาพูดอยู่ต่อหน้าข้าตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร? ข้าตั้งใจส่งกำลังพลมากมายขนาดนั้นไปเฝ้าคุ้มครอง แต่สนมของราชันสวรรค์กลับหายไปจากอาณาเขตข้าแล้ว แล้วต่อไปข้าจะชี้แจงต่อประมุขชิงยังไง?”

“บ่าวไร้ความสามารถ!” จั่วเอ๋อร์รีบคุกเข่าข้างเดียว

“เซี่ยโห้วลิ่ง ดี ข้าก็ประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ ตบรางวัลบนหน้าข้าหนึ่งฉาดโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง ดี ดีมาก!” อิ๋งจิ่วกวงกระฟัดกระเฟียดเดินไปเดินมา สุดท้ายก็หยุดฝีเท้า “แล้วก็หนิวโหย่วเต๋อนั่นอีก ข้าไม่สนว่าเรื่องนี้เขาจะเป็นคนทำหรือไม่ ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าไม่อยากเห็นเขาอีก ไม่อยากได้ยินชื่อเขาด้วย ทำให้เขาหายไปซะ!” เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวประโยคนี้

“รับทราบ!” จั่วเอ๋อร์ตอบอย่างหวั่นเกรง

…………………………

เมื่อเข้าใจรายละเอียดที่ควรถามและสิ่งที่อยากรู้ไปพอสมควรแล้ว ก็พบปัญหาหนึ่งที่ยุ่งยากมาก นั่นก็คือบนตัวเนี่ยนเซี่ยไม่พกกระเป๋าหรือแหวนเก็บสมบัติใดๆ เลย พอถามแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นความต้องการของจวนหัวหน้าภาค ถ้าไม่ใช่เพราะมีแค่คนข้างกายสนมฉินเท่านั้นที่รู้ว่าสนมฉินชื่นชอบการเปลี่ยนสีสันดอกไม้ถึงได้ให้นางออกมาเก็บดอกไม้ แม้แต่จะออกมาข้างนอกนางก็ทำไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ป้องกันไม่ให้นางพกของอะไรเข้าออกเป็นการส่วนตัว เป็นการอุดช่องโหว่เพื่อความปลอดภัย

เรื่องนี้แม้แต่เหยียนซู่เองก็ไม่รู้ นึกไม่ถึงว่าจวนหัวหน้าภาคจะรักษาความปลอดภัยแน่นหนาถึงขั้นนี้ ตอนนี้เหยียนซิวเริ่มขมวดคิ้ว แบบนี้ก็ไม่มีทางเข้าไปได้เลย ถ้าบนตัวไป๋เฟิ่งหวงมีกระเป๋าหรือกำไลเก็บของอะไร ก็จะถูกสงสัยทันที แบบนั้นคงไม่เหลือโอกาสให้กู้สถานการณ์ด้วยซ้ำ

เหยียนซิวพลันมองไปที่ไป๋เฟิ่งหวง “ถ้าเจ้าเข้าไปคนเดียวจะจัดการได้หรือเปล่า? ถ้าเอาตัวเป็นๆ ออกมาไม่ได้ ทิ้งคนตายไว้ก็พอ!”

พอไป๋เฟิ่งหวงได้ยินเนื้อหาที่เขาถามเนี่ยนเซี่ย ก็รู้แล้วว่าเขากำลังกังวลอะไร นางทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “แม้แต่เรื่องเล็กแค่นี้ยังจัดการไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะส่งเจ้ามาทำไม! ขอแค่เจ้าเรียกข้าว่า ‘กูไหน่ไน[1]’ สักคำ ข้าก็มีวิธีพาเจ้าเข้าไปอยู่แล้ว”

เหยียนซิวไม่พูดพร่ำทำเพลง อ้าปากเรียกอย่างไม่ลังเลว่า “กูไหน่ไน!” ทว่าเป็นเสียงที่เย็นเยียบแหบพร่า คำว่า ‘กูไหน่ไน’ นี้ทำให้คนรู้สึกขนพองสยองเกล้า

“…” ไป๋เฟิ่งหวงอ้าปากค้าง ทำสีหน้าไม่ถูก ความตรงไปตรงมาของเหยียนซิวทำให้นางหมดคำจะเอ่ย ทำให้นางคิดตามไม่ทัน ภายใต้การจับจ้องจากสายตาอันน่าสะพรึงของเหยียนซิว ไป๋เฟิ่งหวงหุบปากแล้วกลืนน้ำลาย ก่อนจะโบกมือบอกว่า “เรื่องนี้ข้าจะแก้ไขปัญหาเอง”

เหยียนซิวไม่อิดออด มองไปทางเนี่ยนเซี่ยพร้อมถามว่า “ยังมีอะไรที่เจ้าต้องให้นางอธิบายอีกมั้ย?”

ไป๋เฟิ่งหวงที่ยังไม่หายเซ็งพยายามวางมาดโอหังอวดดีอย่างที่เคยทำ เชิดคางบอกว่า “ก็รู้พอสมควรแล้ว”

เหยียนซิวถามอีกว่า “เจ้าแน่ใจนะ? ถึงตอนนั้นก็อย่าทำอะไรซี้ซั้ว” พูดจากใจจริงเลย เขารู้สึกว่าปีศาจตนนี้ดูพึ่งพาไม่ค่อยได้

เมื่อเห็นเขาสงสัยตน ไป๋เฟิ่งหวงก็ถลึงตาทันที “ข้าหวังแค่เจ้าจะไม่ทำซี้ซั้วจนข้าต้องเดือดร้อนไปด้วยก็พอแล้ว!”

เหยียนซิวไม่เถียงกับนางอีก เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้ว “เริ่มเลย ให้นางออกมานานเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนสงสัยได้ง่าย”

“เชอะ!” ไป๋เฟิ่งหวงเชิดใส่ แล้วเดินวนรอบตัวเนี่ยนเซี่ยสองสามรอบ มองประเมินรายละเอียดซ้ำไปซ้ำมา สุดท้ายก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ ร่างกายเลื้อยขยุกขยิกเปลี่ยนแปลง ไม่นานก็กลายเป็นอีกคนที่หน้าตาเหมือนเนี่ยนเซี่ยทุกอย่าง นางยืนเคียงกับเนี่ยนเซี่ยแล้วถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”

เหยียนซิวเงียบไปครู่หนึ่งแล่วบอกว่า “เสียงยังแตกต่าง”

ไป๋เฟิ่งหวงขยับคอเล็กน้อย มองออกเลยว่าตรงคอหอยของนางไหลขยับซ้ำไปซ้ำมา ปรับโครงสร้างอณูตรงส่วนคอหอยอย่างช้าๆ เปล่งเสียงทดสอบไม่หยุด จนกระทั่งเหยียนซิวแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไรถึงได้หยุด

ยังไม่ฆ่าเนี่ยนเซี่ย เหยียนซิวนำป้ายผ่านทางของนางโยนให้ไป๋เฟิ่งหวงก่อนจะเก็บนางเข้ากระเป๋าสัตว์ แล้วกล่าวกับไป๋เฟิ่งหวงด้วยสีหน้าจริงจัง “ต่อไปต้องดูแล้วว่าเจ้าจะรับมือยังไง”

“พอเปลี่ยนจากน้ำเต้าใบ้กลายเป็นหีบเสียงพูดมากแล้วน่ารำคาญจริงๆ อย่าเปลืองน้ำลาย!” ไป๋เฟิ่งหวงพูดเหยียดหยาม แล้วยกมือขึ้นมา ขยุ้มนิ้วทั้งห้าไปทางเหยียนซิว เห็นเพียงฝ่ามือนางพลันกลายเป็นหลุมดำหลุมหนึ่ง มันขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ราวกับเป็นปากของปีศาจ พออ้าปากก็กินเหยียนซิวเข้าไปแล้ว

เหยียนซิวที่ใช้ความเงียบเผชิญหน้าเข้ามาอยู่ในสุญญากาศดำมืดในชั่วพริบตาเดียว เขาหันมองโดยรอบอย่างช้าๆ

หลังจากเก็บเหยียนซิวที่ไม่ขัดขืนเข้ามาแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็ก่นด่าสาปแช่งไปยกหนึ่ง เริ่มด่าตั้งแต่เหยียนซิวไปยันเหมียวอี้ ทั้งยังประกาศว่าจะไม่ทำแบบนี้แล้ว บอกว่าจะหนีไป

แต่สุดท้ายก็ยังไม่หนีไป ถือตะกร้าดอกไม้ของเนี่ยนเซี่ยกลับมาที่หุบเขาดอกไม้อีก แล้วเลียนแบบลักษณะท่าทางของเนี่ยนเซี่ยเดินออกจากหุบเขาดอกไม้ไปยังภูเขาจวนหัวหน้าภาค

ผ่านการตรวจสอบป้ายคำสั่งตลอดทาง ไป๋เฟิ่งหวงอกสั่นขวัญแขวนเช่นกัน โชคดีที่คนตรวจสอบวรยุทธ์ไม่สูงเท่าไร บวกกับทุกคนเห็นนางเป็นเนี่ยนเซี่ยแล้ว ตอนตรวจสอบจึงไม่ได้เอาจริงเอาจังเกินไป ไม่อย่างนั้นก็คงปิดบังพิรุธบางอย่างไม่ได้

ตลอดทางที่มาไม่รู้ว่าด่าเหมียวอี้ไปกี่รอบแล้ว เพราะนี่คือการกระทำที่เสี่ยงและไม่คุ้ม วิธีการโง่เง่าอย่างนี้ก็กล้าใช้ ถ้าถูกเปิดโปงขึ้นมา นางก็ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะรอดชีวิตออกไปได้อย่างไร ถ้าตกอยู่ในมือประมุขชิงเมื่อไร โดนสะสางทั้งบัญชีเก่าบัญชีใหม่พร้อมกัน นางไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย

อย่างไรเสียนางก็เข้าจวนหัวหน้าภาคเป็นครั้งแรก ยังรู้สึกว่าสภาพพื้นที่จริงกับสภาพพื้นที่ในแผนที่ต่างกัน นางเดินโดยทำท่าเหมือนคุ้นทางมาตลอดทาง กล้าใช้หางตาจำทางเอาเท่านั้น ไม่กล้ากลอกสายตาลอกแล่ก และไม่กล้าเหลียวซ้ายแลขวาด้วย นางทำตัวผ่อนคลายแต่ภายในตึงเครียดราวกับเดินบนแผ่นน้ำแข็งบาง เดินมาเรื่อยๆ จนถึงนอกเขตเรือนแห่งหนึ่ง

นอกประตูมีคนของกองทัพองครักษ์เฝ้าอยู่ ในศาลาด้านข้างยังมีแม่ทัพเกราะแดงสองคนนั่งดื่มน้ำชาอยู่ด้วย แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ ท่าทางยามถือถ้วยน้ำชาพลางเหล่ตามองแบบนั้นทำให้ไป๋เฟิ่งหวงตึงเครียดในใจ ถ้าให้ท่านนี้ตรวจสอบจริงๆ นางจะต้องเผยพิรุธแน่นอน สุญญากาศที่สร้างขึ้นในร่างกายสามารถปิดบังทหารเล็กๆ ที่ความรู้น้อยได้ แต่กลับปิดบังแม่ทัพใหญ่ท่านนี้ไม่ได้

โชคดีที่ท่านนั้นไม่ได้ทำอะไรมาก เพียงกวาดสายตาเย็นเยียบมองนางแวบหนึ่ง ส่วนทหารยามตรงประตูก็แค่ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบทั้งตัวนางรอบหนึ่งแล้วปล่อยไป อย่างไรเสียตอนนี้นางก็คือเนี่ยนเซี่ยแล้ว เข้าออกที่นี่อยู่บ่อยๆ ไม่ทำให้ใครสงสัยง่ายๆ สาเหตุหลักคงเป็นเพราะปลอมตัวเป็นเนี่ยนเซี่ยแล้ว

“สวยจัง!”

ไป๋เฟิ่งหวงเพิ่งเข้ามาในเขตเรือนได้ไม่นาน ก็เห็นหนิงชุนเข้ามาต้อนรับแล้ว อีกฝ่ายรับตะกร้าดอกไม้จากมือนางแล้วเอ่ยชม

ไป๋เฟิ่งหวงจำได้ว่านางคือหนิงชุน จึงไม่กล้าคุยด้วยมากเพราะกลัวเผยพิรุธ ถามไปตรงๆ เลยว่า “เหนียงเหนียงล่ะ?”

หนิงชุนกำลังคัดเลือกดอกไม้ ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “กำลังฝึกฉิน ไปกันเถอะ พวกเรานำดอกไม้ที่จัดเสร็จแล้วไปให้เหนียงเหนียงดูกัน” พูดจบก็คว้าข้อมือไป๋เฟิ่งหวง

ไป๋เฟิ่งหวงชักมือกลับมา “ข้ามีธุระกับเหนียงเหนียงนิดหน่อย”

หนิงชุนมองนางศีรษะจดเท้า แล้วถามอย่างระแวง “เหมือนเจ้าดูแปลกไปนะ มีเรื่องอะไรเหรอ?” นางดูไม่ปกติจริงๆ สำหรับคนที่คุ้นเคยกัน อย่างน้อยสายตาของ ‘เนี่ยนเซี่ย’ คนนี้ก็ไม่ปกติ ภายนอกสามารถเลียนแบบกันได้ แต่สายตานั้นยากจะทำให้เหมือนได้

“เฮ้อ!” ไป๋เฟิ่งหวงถอนหายใจเบาๆ แล้วส่ายหน้ากระบิดกระบวนไม่ตอบคำถาม จากนั้นแยกแยะจดจำเส้นทางครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปตามเสียงฉินที่ดังแว่วมา

หนิงชุนอุ้มตะกร้าดอกไม้พลางจ้องแผ่นหลังนาง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัย

ในตึกศาลา ไป๋เฟิ่งหวงเดินตามระเบียงวนรอบหนึ่ง เดินมาเรื่อยๆ จนถึงในตำหนักที่สร้างติดริมน้ำ เห็นได้ชัดว่านางก็กล้าหาญเหมือนกัน ถือวิสาสะโบกมือให้นางในที่อยู่ด้านนอกตึกถอยออกไป แล้วยืนจ้องผู้หญิงหน้าตางดงามที่กำลังดีดฉินอย่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาข้างใน หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นสนมฉินก็เดินเข้าไป แล้วหันตัวไปปิดประตูไว้

ใครจะคิดว่าสนมฉินที่กำลังดีดฉินจะไม่เงยหน้าขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย นอกจากจะมีสีหน้าผิดหวังแล้ว ในเสียงฉินก็ยิ่งเจือความรู้สึกคับแค้น ไม่สนใจการกระทำใดๆ ของไป๋เฟิ่งหวงเลย

ไป๋เฟิ่งหวงเดินช้าๆ ไปยืนข้างหลังนาง จากนั้นมองซ้ายมองขวา แล้วเข้าไปในตำหนักหลังอีก หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจให้แน่ใจว่าไม่มีคนอื่น ถึงได้เดินอ้อมมาข้างหลังสนมฉิน รอจนทำนองเสียงต่ำลงและหยุดชะงักกลางคันจนไม่สะดุดหูใคร ก็ยื่นมือไปบีบควบคุมที่หลังคอของสนมฉินเสียเลย จากนั้นก็วางนางไว้บนพื้น

ง่ายดายแบบนี้ ไม่เปลืองแรงเลยสักนิด ไป๋เฟิ่งหวงชำเลืองมองบนพื้นพลางยิ้มมุมปาก จากนั้นโบกมือเรียกเหยียนซิวออกมาอีก แล้วบุ้ยปากไปทางสนมฉินที่นอนอยู่บนพื้นอย่างโอ้อวด

เหยียนซิวรีบนั่งยองๆ จับหน้าสนมฉินหันซ้ายหันขวาเพื่อยืนยันตัวตนให้แน่ใจ

สนมฉินถลึงตาจ้องทั้งสองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

สิ่งที่ทำให้นางหวาดกลัวกว่านั้นยังรออยู่ตอนหลัง ‘เนี่ยนเซี่ย’ เดินวนรอบนางสองสามรอบ แล้วกางแขนหมุนตัวอย่างอ่อนช้อยต่อหน้านาง ชั่วพริบตาเดียวก็กลายสภาพเป็นนางแล้ว

ในขณะนี้เอง ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังแว่วมา เหยียนซิวรีบเก็บสนมฉินบนพื้นแล้วถลันตัวไปที่ตำหนักหลัง

ไป๋เฟิ่งหวงรีบกลับไปนั่งที่เดิม แล้วใช้นิ้วเรียวสวยวาดบรรเลงบนสายฉินจนเกิดจังหวะที่ไพเราะ

เหยียนซิวที่หลบอยู่ในตำหนักหลังยื่นศีรษะออกมามองแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าไป๋เฟิ่งหวงจะดีดฉินได้ชำนาญแบบนี้

ประตูตำหนักถูกผลักออกเบาๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหนิงชุนนั่นแอง

หนิงชุนมองสนมฉินที่กำลังดีดฉินครู่หนึ่ง แล้วมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย นึกไม่ถึงว่าจะไม่เห็นเนี่ยนเซี่ยแล้ว

เสียงฉินหยุดลง สนมฉินเอามือลูบคอตัวเอง ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ไปเชิญท่านหัวหน้าภาคมาสักรอบ”

หนิงชุนประหลาดใจ “เหนียงเหนียง คอท่านเป็นอะไรไป?” เห็นได้ชัดว่าเสียงพูดแปลกไป

สนมฉินเหล่ตามองแวบหนึ่ง “ไป! เดี๋ยวนี้!”

หนิงชุนตกใจ ยังไม่เคยเห็นเหนียงเหนียงทำสายตาดุร้ายขนาดนี้มาก่อน นางตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรอีก รีบออกไปทันที

ไป๋เฟิ่งหวงหันกลับมา ถลึงตาใส่เหยียนซิวที่ยื่นศีรษะออกมาสอดแนม สิบนิ้ววางลงบนสายฉินอีกครั้ง ท่วงทำนองที่สง่างามดังขึ้นอีก

รออยู่ไม่นาน หวังจัวก็เดินก้าวยาวเข้ามา เข้ามาในตำหนักแล้วกุมหมัดคารวะ “คำนับสนมฉิน”

ไป๋เฟิ่งหวงใช้สองมือกดหยุดสายฉิน พอเสียงฉินหยุดดังแล้ว นางก็ยกมือบอกใบ้หวังจัวว่าไม่ต้องมากพิธี แล้วโบกมือบอกใบ้หนิงชุนที่เดินตามหลังมาให้ถอยออกไป

หนิงชุนถอยออกไปอย่างเคารพเชื่อฟัง ในสายตาดูระแวงสงสัยไม่หยุด ไม่รู้ว่าวันนี้สนมฉินเป็นอะไรกันแน่

เมื่อไม่มีคนนอก หวังจัวก็ถามอย่างห่วงใยในฐานะบิดา “ฟางเอ๋อร์ ได้ยินว่าเจ้าเจ็บคอเหรอ?”

ไป๋เฟิ่งหวงส่ายหน้า แล้วลุกขึ้นบอกใบ้ให้หวังจัวตามนางไปที่ตำหนักหลัง

หวังจัวไม่ระแคะระคาย เพียงสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเฉยๆ ใครจะคิดว่าตอนเพิ่งก้าวเข้าตำหนักหลัง ก็ถูกแสงสีดำสายหนึ่งเข้ามาปะทะหน้า เขาตกอยู่ในมือเหยียนซิวแล้ว

ไป๋เฟิ่งหวงที่เดินเข้ามาในตำหนักหลังปรายตามองหวังจัวที่ยืนเหม่อแวบหนึ่ง ก่อนจะหันตัวเดินกลับมาที่ตำหนักหน้า แล้วยืนกวักมือไปทางนอกประตู เรียกหนิงชุนเข้ามาอีกครั้ง

หนิงชุนหลังจากเข้ามาแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็บีบคอนางซึ่งๆ หน้า ทำให้นางสลบได้อย่างราบรื่นฉับไว

พอปิดประตูตำหนัก นางก็กลับเข้ามาในตำหนักหลังอีกครั้ง ตอนนี้เหยียนซิวถามทางหวังจัวจนได้แผนที่ฉบับหนึ่งมาแล้ว โดยที่ไป๋เฟิ่งหวงตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ

รออยู่ครู่เดียว ไป๋เฟิ่งหวงก็กลายร่างเป็นเนี่ยนเซี่ยเดินออกจากตำหนัก กำชับนางในที่อยู่ข้างนอกว่าถ้าไม่ได้รับอนุญาต ก็ไม่ให้ใครเข้ามารบกวนทั้งนั้น

พอกลับเข้ามาในตำหนัก ก็มองศึกษารูปร่างหน้าของหวังจัวแล้วกลายร่างเป็นหวังจัวอีก หวังจัวตัวจริงถูกเหยียนซิวเก็บไว้แล้ว ส่วนไป๋เฟิ่งหวงก็เก็บเหยียนซิวไว้อีกที ตอนนี้ถึงได้แปลงร่างเป็นหวังจัวเดินออกจากตำหนัก เดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผย

ครั้งนี้นางมีความมั่นใจมากขึ้นแล้ว ออกจากเขตเรือนของสนมฉินแล้วมุ่งตรงไปเขตเรือนหลัก พอเจอหน้าฮูหยินแล้ว ‘หวังจัว’ ก็จูงมือนางเข้ามาในห้องเสียเลย แล้วฉวยโอกาสตอนไม่มีใครเห็นจับนางไว้ ง่ายดายมากจริงๆ

ผ่านไปครู่เดียว ‘หวังจัว’ ก็เดินออกจากที่นั่นอีก เดินไปบ้านถัดไป เข้าออกทีละบ้าน จับอนุภรรยาสามคนและลูกชายหนึ่งคนของหวังจัวเอาไว้แล้ว

…………………………

[1] กูไหน่ไน 姑奶奶 เป็นสรรพนามเรียกผู้หญิงที่แสดงถึงความอวดดี เหนือกว่าผู้อื่น

ไป๋เฟิ่งหวงที่รังเกียจและไม่อยากเข้ามา สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะก้าวเข้ามา นางกำลังมองฉากนี้ด้วยความระแวงสงสัย

ฟางอ้าวหลินใช้ระฆังดาราติดต่อเสร็จแล้ว หลังจากถ่ายทอดเสียงคุยกับเหยียนซิวพักหนึ่ง ก็ถูกเหยียนซิวเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์อีก

เมื่อเห็นเหยียนซิวทำเสร็จแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็กล่าวอย่างระแวงสงสัยว่า “ไม่ผิดแน่ เป็นธงเรียกวิญญาณจริงๆ เมื่อก่อนข้าเคยเห็นคนใช้มัน ทำไมเจ้าถึงควบคุมธงเรียกวิญญาณได้ล่ะ?” นางมองประเมินเหยียนซิวศีรษะจดเท้าด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “อย่าบอกนะว่าเจ้าคือนักพรตผี? ไม่ถูกสิ บนตัวเจ้าปล่อยปราณหยางชัดๆ!”

เหยียนซิวดึงธงเรียกวิญญาณขึ้นมาเก็บ แล้วกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “ไปได้แล้ว ทางนั้นจะมีคนเตรียมการให้พวกเราเข้าไป”

“เรื่องเอาชีวิตไปทิ้งน่ะ ข้าไม่สนใจหรอก ไม่ไป!” ไป๋เฟิ่งหวงพูดเหยียด แล้วกอดอกหันหลังให้

เหยียนซิวไม่เปลืองคำพูดกับนางเลย เขาหันตัวแล้วเดินออกไป เหมียวอี้สั่งเขาไว้แล้ว บอกว่าปีศาจไป๋เฟิ่งหวงปากแข็ง แต่ไม่กล้าไม่ทำตาม!

จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล บนแท่นสังเกตการณ์ เหมียวอี้ขึ้นไปยืนบนที่สูงแล้วทอดสายตามองไปไกล ตรงหว่างคิ้วแสดงอารมณ์กลัดกลุ้ม เยืนอยู่ตรงนี้ครึ่งวันโดยไม่ขยับไปไหน

อวิ๋นจือชิวขึ้นมาบนแท่นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ นางจ้องแผ่นหลังเหมียวอี้พักหนึ่ง ย่องมาข้างหลังเขา แล้วใช้สองมือโอบเอวเขาไว้ ขณะร่างกายแนบชิดกับแผ่นหลังของเขา นางก็ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “กำลังกังวลอะไรอยู่?”

เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง ลูบไล้มืออ่อนนุ่มตรงเอวตัวเอง ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ครั้งนี้ข้าใช้วิธีการอันตราย ให้พวกเขาสองคนเข้าถ้ำเสือไปเสี่ยงอันตรายสูงมาก ทั้งยังไม่มีทหารสนับสนุน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ก็ไม่มีหวังจะรอดชีวิตกลับมาแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเหยียนซิวจะรับมือไหวหรือเปล่า”

“เรื่องเสี่ยงอันตรายเจ้าทำมาน้อยเสียที่ไหนล่ะ ตอนนี้เจ้าเข้าใจความรู้สึกของข้าตอนแรกแล้วสินะ?” อวิ๋นจือชิวถาม

“เหอะๆ” เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ

“ถ้าเจ้ารู้สึกไม่มั่นใจจริงๆ ตอนนี้ให้พวกเขากลับมาก็ยังทันนนะ” อวิ๋นจือชิวกล่าว

เหมียวอี้ส่ายหน้า “อันตรายบางอย่างนั้นต้องเสี่ยง ถ้าอยากได้การสนับสนุนจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต่อไป ครั้งนี้ก็ต้องให้คำชี้แจ้งกับนางได้ นี่คือภารกิจแรกที่นางมอบหมายให้ ถ้าข้าออกโรงเอง ก็ยังมีความมั่นใจอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าความสามารถในการรับมือของสองคนนั้นเปนยังไง เหยียนซิวไม่ถนัดเรื่องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า!”

อวิ๋นจือชิวปล่อยมือจากเขา เดินมาจ้องใบหน้าด้านข้างของเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าพวกเขาทำพลาดแล้วถูกจับได้จะทำยังไง จะไม่เปิดโปงเจ้าเหรอ?”

เหมียวอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงอึมครึม “ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิด เหยียนซิวจะฉวยโอกาสที่ไป๋เฟิ่งหวงไม่ระวังกำจัดนางทิ้ง ส่วนเหยียนซิวก็จะ…” เขาหลับตาลงช้าๆ “เขารับประกันกับข้า ว่าเขาจะไม่ให้ตัวเองถูกเปิดโปง”

อวิ๋นจือชิวเข้าใจแล้ว สีหน้าฉายแววหดหู่แวบหนึ่ง นางเข้ามาใกล้ แล้วค่อยๆ เข้าไปแอบอิงในอ้อมกอดเขา…

น่านฟ้าชวดเกิง จวนหัวหน้าภาค แม้ภัยคุกคามจากทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะจากไปแล้ว แต่ฝั่งหวังจัวก็ยังไม่คลายการป้องกัน เป็นเพราะไม่ค่อยวางใจหนิวโหย่วเต๋อ ไม่เพียงแค่ไม่ผ่อนการป้องกัน ทั้งยังเรียกทัพใหญ่เกรียงไกรของน่านฟ้าชวดเกิงมาคอยเฝ้าระวังด้วย

กำลังพลของเหยียนซู่ก็อยู่ในจำนวนนั้นเช่นกัน นางเฝ้าป้องกันอยู่บริเวณนอกจวนหัวหน้าภาค

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ การตรวจสอบกำลังพลตามกำหนดเวลาเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

ลาดตระเวนตลอดทางจนมาถึงจุดประการนอกภูเขา แล้วก็เหาะไปตรวจสอบบนท้องฟ้าอีกเล็กน้อย หลังจากมาประจำในจุดป้องกันแล้ว เหยียนซู่ก็เจียดเวลาว่างออกจากหน่วยของตัวเอง แล้วหลบมาเข้ามาในจุดลึกของดาราจักร

บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากจุดป้องกันของตัวเอง เหยียนซู่ถลันตัวลงมา แล้วหันมองไปรอบๆ พบว่ามีแต่ฝุ่นละอองหนาแน่น รกร้างว่างเปล่า สุดท้ายสายตาก็จ้องไปด้านข้าง นางได้แต่มองเงาคนสองคนโผล่มาจากระหว่างกองหินตะปุ่มตะป่ำที่อยู่ไกลๆ แล้วก็ถลันตัวมาตรงหน้านาง

สองคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหยียนซิวกับไป๋เฟิ่งหวงที่เปลี่ยนแปลงใบหน้าแล้ว แม้ไป๋เฟิ่งหวงจะขมุบขมิบปากด่า แต่สุดท้ายก็ยังตามมา

“ท่านมาจากไหน?” เหยียนซู่มองสอบสวนทั้งสองอย่างระแวดระวัง

“อย่าถามที่มา” เหยียนซิวกล่าว

เมื่อสัญญาณลับสอดคล้องกัน เหยียนซู่ก็ทำสีหน้าสับสนนิดหน่อย ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็นึกไม่ถึงว่าฟางอ้าวหลินคือคนของตระกูลเซี่ยโห้ว นึกไม่ถึงด้วยว่าจะให้นางทำเรื่องแบบนี้ ในระหว่างนั้นเสี่ยงอันตรายเกินไป แต่ฟางอ้าวหลินบอกนางว่าไม่ต้องกังวล บอกว่ามีการเตรียมการไว้แล้ว จะไม่ทำร้ายนาง บอกว่าทำร้ายนางไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เขาไม่จำเป็นต้องทำร้ายฝ่ายตัวเอง ถึงได้พูดโน้มน้าวนางได้

ในเมื่อฟางอ้าวหลินดึงดันจะทำอย่างนี้ นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน เดิมทีตอนนี้นางก็พึ่งพาอยู่ใต้เครือข่ายของฟางอ้าวหลินอยู่แล้ว ประการต่อมา อำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ใช่สิ่งที่นางจะต้านไหว ถ้ายั่วโมโหตระกูลเซี่ยโห้วขึ้นมา เกรงว่าอีกฝ่ายคงจัดการนางได้ไม่ยาก เมื่อได้มารู้ความลับอย่างนี้แล้วนางก็ไม่มีทางเลือกอื่นเลย

“เจ้าแน่ใจนะว่าจะไม่ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวอะไร?” เหยียนซู่ถามอย่างระแวง

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าแค่อยากจะรู้ว่าพวกเราจะหลบเลี่ยงการตรวจสอบได้หรือเปล่า” เหยียนซิวตอบ

เหยียนซู่บอกอีกว่า “ตอนนี้ฝั่งนี้ป้องกันเข้มงวดมาก จะเข้าออกก็ต้องค้นตัวตรวจสอบให้ละเอียด ข้าพาพวกเจ้าเข้ามาทางเขตที่ลูกน้องข้าเฝ้าได้ ขอแค่ยืนยันตัวตนของข้าได้ ลูกน้องข้าก็ไม่ถึงขั้นมาค้นตัว ข้าช่วยได้แค่เท่านี้ ส่วนสถานการณ์ในจวนหัวหน้าภาค ข้าก็ควบคุมอะไรไม่ได้”

“เรื่องอื่นพวกเราย่อมจัดการเอง จะไม่เปิดโปงเจ้า” เหยียนซิวกล่าว

เหยียนซู่พยักหน้าเงียบๆ แล้วก็มองไป๋เฟิ่งหวงอีกแวบหนึ่ง พบว่าท่านนี้จมูกเชิดขึ้นฟ้า ทำท่าทางกระฟัดกระเฟียด นางจึงบอกว่า “ถ้าต้องการจะเข้าไป เกรงว่าจะต้องรบกวนทั้งสองให้เข้ามาอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของข้า ไม่อย่างนั้นคนแปลกหน้าก็ไม่มีทางเข้าไปได้เลย ตอนนี้คุมเข้มมาก”

เหยียนซิวย่อมไม่มีความเห็นอะไร แต่เป็นไป๋เฟิ่งหวงที่ดูไม่พอใจมาก พูดจาแปลกๆ เป็นชุด ทว่าสุดท้ายก็ยังตามเหยียนซิวเข้าไปในกระเป๋าสัตว์ของเหยียนซู่ ทำแบบนี้เท่ากับเอาชีวิตส่งให้เหยียนซู่แล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น สมมุติเหยียนซู่ส่งพวกเขาสองคนให้คนอื่น พวกเขาที่หลบอยู่ในกระเป๋าสัตว์ก็จะไม่รู้เรื่องเลย

เหยียนซู่ที่แอบพกสองคนนี้เอาไว้รีบกลับมา นางกลับมาเหาะวนบนท้องฟ้าที่กำลังพลของตัวเองเฝ้าป้องกันรอบหนึ่ง ทำทีเหมือนลาดตระเวน แล้วสุดท้ายก็เรียกลูกน้องไม่กี่คนเหาะฝ่าชั้นบรรยากาศกลับมาด้วยกัน มีลูกน้องติดตามไปด้วยแบบนี้ เวลาผ่านเขตที่ตัวเองป้องกันจะได้ไม่ทำให้ใครสงสัย

ลูกน้องของเหยียนซู่ตามนางมาที่บ้าน หลังจากปรึกษางานกันนิดหน่อยก็ออกไปแล้ว ตอนนี้นางถึงได้ขึ้นมาบนตึก แล้วปล่อยเหยียนซิวกับไป๋เฟิ่งหวงออกมา

บนตึก ทั้งสองจ้องประเมินสภาพพื้นที่รอบๆจวนหัวหน้าภาคที่อยู่บนยอดเขาผ่านซอกหน้าต่าง ขณะเดียวกันเหยียนซิวก็ถือระฆังดาราติดต่อกับเหมียวอี้ อธิบายสถานการณ์ทางนี้ให้ฟัง

“ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ที่นี่จะไม่มีใครขึ้นมา พวกเจ้าเตรียมจะลงมือเมื่อไร?” เหยียนซู่ถามอยู่ข้างๆ นางเองก็อยากจะเตรียมพร้อมทางด้านจิตใจเช่นกัน

เหยียนซิวเดินออกจากริมหน้าต่าง ตอบว่า “ไม่รีบ ที่พักของสนมฉินมีใครเข้าออกบ่อยที่สุดไหม?”

เหยียนซู่คุร่นคิดเล็กน้อย “สนมฉินเหมือนจะไม่โผล่หน้าออกมาเลย อยู่ในเรือนตลอด คนข้างกายนางก็เหมือยจะไม่ค่อยออกมาเหมือนกัน ข้าไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด แต่ทุกๆ สองสามวันสาวใช้ข้างกายสนมฉินจะไปเก็บดอกไม้สดในหุบเขาด้านข้างด้วยตัวเอง ข้าว่าคงจะเด็ดกลับมาเตรียมให้สนมฉิน”

“สืบจังหวะเวลาที่สาวใช้คนนี้ปรากฏตัวให้ชัดเจน!” เหยียนซิวกล่าว

เหยียนซู่พยักหน้า “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา”

“เจ้าทำแผนภาพภายในจวนหัวหน้าภาคได้หรือเปล่า?” เหยียนซิวถาม

เหยียนซู่ตอบว่า “ข้าอยู่ที่น่านฟ้าชวดเกิงมาหลายปีเหมือนกัน ตอนที่หวังจัวยังไม่ได้เข้ามาพักที่นี่ ข้าก็เข้าออกที่นี่บ่อยอยู่แล้ว ข้าเป็นผู้หญิง เรือนพักผู้หญิงที่ปกติผู้ชายเข้าไม่ได้ ข้าเองก็เคยเข้าไปหลายรอบแล้ว ตำแหน่งที่ตั้งในลานบ้านข้าก็พอจะวาดออกมาได้ แต่คงจะทำให้ละเอียดเกินไปไม่ได้”

“ในจวนหัวหน้าภาค เจ้าวาดบุคคลในจวนที่เจ้ารู้จักได้หรือเปล่า?” เหยียนซิวถาม

“อันนี้ง่าย แต่อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย” เหยียนซู่กล่าว

“เจ้าแค่ต้องจัดการสามสิ่งนี้ให้ข้าให้ชัดเจน เรื่องอื่นเจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามาเสี่ยง” เหยียนซิวกล่าวเสี่ยงเรียบ ไม่สะทกสะท้านเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

จนกระทั่งเหยียนซู่ออกไปแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็เดินออกจากริมหน้าต่างแล้วเช่นกัน นางมองสำรวจเหยียนซิวศีรษะจดเท้า แล้วกล่าวเหน็บแนม “เจ้าหน้าตาย ข้ามองไม่ออกเลยนะ สมองเจ้าก็ปลอดโปรงเหมือนกันนี่”

“นายท่านเตรียมวางแผนไว้หลายชุดตั้งแต่แรก ข้าแค่ต้องทำตามก็พอ” เหยียนซิวกล่าว

“เจ้ามันโง่ เขาส่งเจ้ามาตาย เจ้ายังไม่รู้อีกเหรอ?” ไป๋เฟิ่งหวงถาม

เหยียนซิวไม่ได้สนใจนาง

หลังจากนั้นครึ่งเดือน ในหุบเขาแห่งหนึ่งนอกจวนหัวหน้าภาค บนพื้นเต็มไปด้วยดอกไม้สีสันละลานตา สตรีสวมชุดนางในที่หน้าตาสวยสดงดงามคนหนึ่งถือตะกร้าเดินมา นางเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในทุ่งดอกไม้ เลือกเด็ดดอกไม้ช้าๆ จนะกระทั่งตอนที่ดอกไม้เต็มตะกร้าแล้วหันตัวกลับมา จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงปรบมือด้านหลัง นางหันตัวมองรอบๆ แต่ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ตอนที่นางหันกลับมาช้าๆ ด้วยสีหน้าสงสัย ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ผิดปกติ นางจึงหันขวับกลับไปอีกครั้ง

แสงดำสายหนึ่งอาศัยพงดอกไม้พรางตัว ทันใดนั้นก็กระโจนขึ้นมาตรงเท้านาง มากระแทกบนตัวนางพอดี ทั้งตัวนางชะงักค้างอยู่กับที่ จากนั้นก็เหยียบผ่านพงดอกไม้ช้าๆ เดินไปทางหน้าผาที่อยู่ตรงหน้า ตรงตีนหน้าผาที่รอยแยกรอยหนึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ทำให้คนตะแคงตัวเข้าไปได้พอดี

เหยียนซิวที่อยู่ในถ้ำภูเขาใช้ฝ่ามือข้างเดียวรองธงเรียกวิญญาณด้ามกระดูกขาวที่กำลังหมุนวนและยังไม่ขยายใหญ่ นางในที่เข้ามายืนเหม่ออยู่ตรงหน้าเขา

ผ่านไปไม่นาน นอกถ้ำก็มีหินก้อนหนึ่งถลันตัวเข้ามาตั้งอยู่ หินเลื้อยขยุกขยิก เปลี่ยนกลับมาเป็นไป๋เฟิ่งหวงแล้ว

เหยียนซิวมองด้วยสายตาสอบถาม ไป๋เฟิ่งหวงจึงพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “วางใจเถอะ เจ้าอยากรนหาที่ตาย แต่ข้าอยากอยู่อีกหลายๆ ปี ในเมื่อข้าส่งสัญญาณได้ ก็แสดงว่ารอบข้างปลอดภัย ไม่มีใครสังเกตเห็น”

ตอนนี้เหยียนซิวถึงได้วางใจ จ้องนางในพร้อมถามด้วยเสียงแหบแห้ง “เจ้าชื่ออะไร?”

“เนี่ยนเซี่ย!” นางในตอบกลับอย่างเชื่องช้า

“สนมฉินอยู่ในจวนหัวหน้าภาคหรือเปล่า?” เหยียนซิวถามอีก

ทั้งสองเริ่มถามตอบกันอย่างละเอียด ไป๋เฟิ่งหวงมองอยู่ข้างๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น สายตาที่มองเหยียนซิวยิ่งดูระทึกขวัญขึ้นเรื่อยๆ นางระทึกขวัญในวิธีการของเหยียนซิว ไม่เคยได้ยินว่าคนที่เคยใช้ธงเรียกวิญญาณในปีนั้นมีความสามารถนี้ด้วย นางนึกไม่ถึงว่าข้างกายหนิวโหย่วเต๋อจะมีคนที่น่ากลัวขนาดนี้อยู่ ถ้าศัตรูตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อเมื่อไร ยังจะมีความลับอะไรได้อีกล่ะ? ตอนนี้นางรู้สึกตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว

ก่อนหน้านี้เหยียนซิวกับฟางอ้าวหลินถ่ายทอดเสียงคุยกัน ไป๋เฟิ่งหวงยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้เหยียนซิวต้องการให้นางคุ้นเคยสถานการณ์ในจวนหัวหน้าภาคเหมือนกัน เรียกได้ว่าแสดงให้นางเห็นแล้ว ทำให้นางค่อนข้างตกใจ

สิ่งที่ไป๋เฟิ่งหวงไม่รู้ก็คือ พลังอภินิหารนี้ของเหยียนซิวเพิ่งจะฝึกได้เมื่อพันปีก่อนนี้เอง

……………

ควบคุมทางเข้าออกนอกประตูดวงดาวไว้แล้ว ทหารสวรรค์หนึ่งพันได้แต่มองทัพใหญ่กลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านไป แทบทุกคนสวมเกราะรบสีดำ แต่ตรงหว่างคิ้วแทบจะเป็นกำลังพลระดับบงกชรุ้งทั้งหมด ไม่มีใครขัดขวาง เบื้องบนออกคำสั่งให้ปล่อยไป อย่าให้เกิดความขัดแย้ง

กำลังพลแปดหมื่นรวมตัวกันออกจากน่านฟ้าชวดเกิง คนแรกที่ได้ข่าวก็ต้องเป็นหวังจัวหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงอยู่แล้ว

“แน่ใจนะว่าเป็นกำลังพลแปดหมื่น?” หลังจากได้รับรายงาน หวังจัวก็ยืนยันอีกครั้ง

รองหัวหน้าภาคของเขาตอบว่า “นายท่าน ไม่ผิดแน่ คนผ่านหน้าพวกเราไปกับตา”

หวังจัวสูดหายใจลึกอย่างตระหนก เจ้าเวรนั่นนำคนมาด้วยจริงๆ! ทัพใหญ่หนึ่งแสนแดนรัตติกาล ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าเวรนั่นจะพามาแปดหมื่น นี่คิดจะทำอะไรล่ะ? มาแสดงความยินดีที่เขาได้เลื่อนตำแหน่ง จำเป็นต้องนำกำลังพลมาเยอะขนาดนั้นเชียวหรือ?

ตอนนี้เขาแน่ใจมากว่าก่อนหน้านี้เหมียวอี้คิดจะลงมือกับเขา

ตอนนั้นถ้าทัพใหญ่แปดหมื่นบุกโจมตีจวนหัวหน้าภาคก่อน กำลังสนับสนุนยังมาไม่ถึง เขาไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่จะตามมาเลย

ไอ้บ้าเอ๊ย! หวังจัวด่าในใจ พอลองคิดดูก็เหงื่อแตกแล้ว โชคดีที่ขอความช่วยเหลือทันการณ์ ขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก ไปแล้วก็ดี!

ตอนแรกเขาคิดว่าการที่เหมียวอี้ถอนกำลังกลับไปเป็นเพราะอิทธิพลที่หนุนหลังเขาอยู่ คิดว่าเป็นทางตำหนักนารีสวรรค์ที่ถ่ายทอดคำสั่งต่อเหมียวอี้ เขาไม่คิดว่าเหมียวอี้ได้รับแรงกดดันมหาศาลจากทัพตะวันออก กลัวจริงๆ จึงไม่มาแล้ว

หลังจากคนฝั่งเขาได้ข่าวแล้ว ก็คิดเช่นกันว่าเป็นเพราะตำหนักนารีสวรรค์ ค่อนข้างพอใจกับการกระทำของเซี่ยโห้วลิ่ง

“ถอนกำลังไปแล้วเหรอ?”

จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม เซี่ยโห้วลิ่งที่ได้รับข่าวรู้สึกงุนงง เขาสงสัยเช่นกันว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยอมรามือแล้วเหรอ

เว่ยซูตอบว่า “ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ว่าถอนกำลังจริงหรือเปล่า แต่หนิวโหย่วเต๋อนำทัพใหญ่ออกจากน่านฟ้าชวดเกิงไปไกลแล้วจริงๆ ขอรับ”

วังสวรรค์ ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงที่ได้รับข่าวค่อนข้างงุนงง นึกไม่ถึงว่าจะไม่ทำแล้ว แบบนี้ไม่ค่อยเหมือนลักษณะของหนิวโหย่วเต๋อ เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “หรือว่าเฉิงอวี่วางมือแล้ว? นี่ไม่เหมือนนิสัยของเฉิงอวี่เลยนะ หรือว่าถูกตระกูลเซี่ยโห้วกดดัน? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ตระกูลเซี่ยโห้วคิดจะทำอะไรกันแน่? ยิ่งนับวันจะยิ่งเดายากแล้วจริงๆ” พอหันกลับมา ก็ถามอีกว่า “แน่ใจนะว่าถอนกำลังออกไปแล้ว?”

ซ่างกวนชิงตอบว่า “ดูเหมือนจะถอนกำลังออกไปแล้วจริงๆ ขอรับ เห็นได้ชัดว่ากลับไปแดนรัตติกาล”

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง อิ๋งจิ่วกวงเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา หลังจากจั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ วางระฆังดาราแล้ว ก็เป็นฝ่ายถามก่อนว่า “เป็นยังไงบ้าง?”

จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “ท่านอ๋อง ยืนยันได้แล้ว กำลังพลออกจากเขตทัพตะวันออกไปแล้ว”

อิ๋งจิ่วกวงหน้าดำคร่ำเคร่งทันที กล่าวเสียงต่ำว่า “จัญไรน่ารังเกียจ!”

เขารู้สึกว่าตัวเองโดนปั่นหัว มาป่วนเงียบๆ ให้ทางนี้วุ่นวายจนไก่บินสุนัขกระโดด พอทางนี้รีบระดมกำลังพลไปสนับสนุน หนิวโหย่วเต๋อก็ถอนกำลังพลกลับไปอย่างเอิกเกริกแล้ว ถ้าไม่ใช่กำลังล้อเขาเล่นแล้วจะเป็นอะไร? ความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ปิดบังใครไม่ได้ รอจนกระทั่งข่าวแพร่ออกไป ก็จะทำให้คนหัวเราะเยาะแน่นอน หัวเราะเยาะที่อ๋องสวรรค์ผู้สง่าน่าเกรงขามถูกหนิวโหย่วเต๋อปั่นหัวจนวิตกกังวลขนาดนี้

จั่วเอ๋อร์เข้าใจความคิดของเขา จึงถามเสียงเบาว่า “ทัพใหม่ที่คุณชายใหญ่พาไป ตอนนี้ถอนกำลังได้แล้วใช่มั้ยคะ?”

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ในศาลาที่ตั้งเดี่ยวอยู่บนเนินเขียวชอุ่ม หลังจากฮ่าวเต๋อฟางฟังซูอวิ้นรายงานจบแล้ว ก็ถามอย่างแปลกใจเช่นกัน “มีเรื่องอย่างนี้ด้วยเหรอ?”

“เรื่องนี้ค่อนข้างแปลก ตอนนี้แน่ใจได้แล้วว่าเรื่องที่โอรสสวรรค์ถูกลดตำแหน่งเกี่ยวข้องกับสนมฉิน แต่แทนที่ตระกูลเซี่ยโห้วจะออกหน้า กลับเป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ออกหน้าคนแรก ไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นยังไงกันแน่ค่ะ” ซูอวิ้นตอบ

หลังจากฮ่าวเต๋อฟางเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “ไม่รู้ว่าเซี่ยโห้วลิ่งสร้างสถานการณ์เพราะตั้งใจจะสร้างความอับอายให้อิ๋งจิ่วกวง หรือเป็นหนิวโหย่วเต๋อเองที่ต้องการปั่นหัวอิ๋งจิ่วกวง เกรงว่าอิ๋งจิ่วกวงคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว”

ในป่าภูเขานอกจวนอ๋องสวรรค์โค่ว นายกับบ่าวเดินอยู่บนทางหินเล็กๆ กลางไหล่เขา หลังจากรายงานข่าวเสร็จแล้ว ถังเฮ่อเหนียนก็กล่าวด้วยรอยิ้มเจื่อน “ไม่รู้ว่าถูกตระกูลเซี่ยโห้วบงการ หรือว่าเขากระโจนเข้าใส่ตระกูลอิ๋งแล้วจริงๆ”

โค่วหลิงซวีที่เงียบไปพักหนึ่งกลับถอนหายใจเบาๆ “ครั้งนี้ไม่ใช่ความแค้นส่วนตัว แต่เป็นเรื่องครอบครัว ปั่นหัวทัพตะวันออกจนมึน อย่างน้อยในสายตาอิ๋งจิ่วกวงก็เป็นอย่างนี้ ครั้งนี้ล่วงเกินอิ๋งจิ่วกวงแรงไปหน่อย คนหนุ่มไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”

ด้วยความตั้งใจจะอยู่ท่ามกลางสายตาฝูงชน ทัพใหญ่แปดหมื่นของแดนรัตติกาลกลับถึงแดนรัตติกาลอย่างราบรื่น ทำให้คนมากมายรู้สึกค่อนข้างแปลกใจ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ติดตามสถานการณ์รบอยู่ตลอด พอได้ยินว่าไม่ได้สู้กัน ถอนกำลังกลับมาแล้ว ก็ถามสอบสวนเหมียวอี้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น? เหมียวอี้ทำได้เพียงปลอบโยน บอกว่าสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง เขามีแผนอีกอย่างหนึ่ง สิ้นเปลืองคำพูดไปมากมายกว่าจะปลอบผู้หญิงคนนี้ให้สงบลงได้ เขาพบว่านางเจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ ถ้าไม่ทำให้สนมฉินตายทั้งตระกูลก็จะไม่ยอม

ดาราจักรกว้างใหญ่ คนหกคนเหยียบลงบนดาวดวงหนึ่งที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง เหยียนซิวที่ปลอมตัวแล้วบอกกับห้าคนข้างหลังที่ปลอมตัวแล้วเช่นกันว่า “พวกเจ้าห้าคนกลับไปรายงานผลการปฏิบัติงานกับนายท่านก่อน เรื่องครั้งนี้ห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด ระหว่างทางต้องระวัง อย่าเปิดเผยตัวตน”

ทั้งสองฝ่ายไม่เปลืองคำพูดอะไรมาก บอกลากันตรงนี้ รวดเร็วฉับไวมาก

หลังจากมองคล้อยหลังห้าคนนั้นจากไปแล้ว เหยียนซิวก็รีบติดต่อเหมียวอี้ บอกว่าทำงานเรียบร้อยแล้ว

หลังจากได้รับคำชี้แนะถึงขั้นตอนถัดไปแล้ว เหยียนซิวก็เก็บระฆังดาราแล้วนำแผนที่ดาวออกมาตรวจสอบ ก่อนจะรีบดำหายไปในจุดลึกของดาราจักรอันกว้างใหญ่

ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงดาวเคราะห์ที่เหมาะแก่การดำรงชีวิต เหยียนซิวหาเกาะแห่งหนึ่งที่ลับตาคน หาถ้ำภูเขาแห่งหนึ่งทีมีลำธารไหลผ่าน หลังจากติดต่อเหมียวอี้อีกครั้ง เขาก็หลบอยู่ที่นี่แล้ว

หลังจากนั้นสองวัน บนท้องฟ้าก็มีเงาคนคนหนึ่งเหาะเข้ามา เหาะวนบนท้องฟ้าเหนือเกาะรอบหนึ่งก่อนจะถลันตัวลงมา เหยียบลงในลำธารระหว่างหุบเขา เป็นชายรูปร่างกำยำคนหนึ่ง หลังจากกวาดสายตามองรอบๆ ก็ตะโกนเรียกด้วยเสียงผู้หญิงว่า “เจ้าหน้าตาย!”

ผ่านไปไม่นาน เหยียนซิวก็ถลันตัวออกมาจากถ้ำลึก มองประเมินอีกฝ่ายศีรษะจดเท้า แล้วถามเสียงเบาว่า “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว?”

เขากำลังส่งสัญญาณลับ ชายหนุ่มร่างกำยำกลับกลอกตามองบน “เลิกทำลับๆ ล่อๆ ได้แล้ว เจ้าแซ่หนิวนั่นเชิญข้ามา” เขาขี้คร้านจะมากพิธี ใบหน้าและร่างกายเลื้อยขยุกขยิก ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นผู้หญิงรูปร่างอรชรอ่อนช้อยที่มีสีขาวตั้งแต่เส้นผมยันปลายเท้า ถ้าไม่ใช่ไป๋เฟิ่งหวงแล้วจะเป็นใครไปได้ “มีวาจาก็รีบเอ่ย มีผายลมก็รีบปล่อย เรียกข้ามาจะให้ทำอะไร?”

เหยียนซิวกลับมามีเสียงแหบพร่าอีกครั้ง ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เข้ามาคุยกันข้างใน” พูดจบก็หันตัวกลับเข้าถ้ำไปแล้ว

ไป๋เฟิ่งหวงชำเลืองมองปากถ้ำที่เย็นมืดพิศวง “มีเรื่องอะไรก็รีบพูด อย่ามาทำตัวลึกลับกับข้า” เท้ายังไม่ขยับไปไหน เห็นได้ชัดว่าไม่ให้ความร่วมมือ

เหยียนซิวหยุดเดินแล้วหันกลับมามองนางแวบหนึ่ง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปรอบๆ แล้วสุดท้ายก็หันตัวเดินกลับมา ยังคงถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ฆ่าคนไม่กี่คน!”

ก็ยังนึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก! ไป๋เฟิ่งหวงแสยะยิ้ม แต่นางก็รู้เช่นกันว่าต้องมีสาเหตุที่ทำให้ระมัดระวังตัวขนาดนี้ จึงเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงเช่นกัน “ฆ่าใคร?”

“ครอบครัวสนมฉิน เจ็ดคน!” เหยียนซิวตอบ

“สนมฉิน?” ไป๋เฟิ่งหวงอึ้งทันที “สนมฉินไหน?” ข่าวบางอย่างไม่อาจเผยแพร่ซี้ซั้วได้ กอปรกับนางไม่มีช่องทางข่าวสารด้านนี้ นอกเสียจากจะคึกโครมจนคนรู้กันทั้งใต้หล้า ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่รู้เรื่องสนมฉินกับโอรสสวรรค์เลยจริงๆ

“สนมของประมุขชิง สนมฉิน!” เหยียนซิวตอบ

“…” ไป๋เฟิ่งหวงตกตะลึงอ้าปากค้าง ที่จริงนางกลัวประมุขชิงมาก นางเปลี่ยนสีหน้าเร็วมาก กล่าวอย่างตกใจว่า “หนิวโหย่วเต๋อบ้าไปแล้วสินะ คงไม่ได้จะให้ข้าเข้าวังสวรรค์ไปฆ่าคนหรอกใช่มั้ย นี่ไม่ใช่ให้ข้าเอาชีวิตไปทิ้งหรอกเหรอ?”

“คนไม่ได้อยู่ที่วังสวรรค์ อยู่ที่น่านฟ้าชวดเกิง…” เหยียนซิวเล่าสถานการณ์ของน่านฟ้าชวดเกิงให้ฟังโดยละเอียด

หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว ไป๋เฟิ่งหวงก็ถามอย่างระแวง “มีคนลงมือเท่าไร?”

“แค่พวกเราสองคน จากสถานการณ์ทางนั้น คนไปเยอะจะไม่สะดวก” เหยียนซิวตอบ

“พวกเราสองคนเหรอ?” ไป๋เฟิ่งหวงถลึงตาโต ตอนนี้นางอยากจะบีบคอเหมียวอี้ให้ตายคามือ ชั่วพริบตานั้นใบหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาล “เหลวไหล! เรื่องแบบนี้อาศัยแค่พวกเราสองคนจะทำสำเร็จเหรอ? ข้างในมียอดฝีมือตั้งเท่าไรคอยคุ้มกัน อีกทั้งรอบข้างก็มีกำลังพลมากมายคุ้มกัน ต่อให้ข้าจะแปลงร่างได้ แต่ก็ทนการตรวจสอยไม่ไหวหรอก ถ้าตรวจสอบเจอพิรุธขึ้นมา ข้าจะไม่เอาชีวิตไปทิ้งหรอกเหรอ?”

“นายย่อมมีวิธีการทำให้เจ้าเข้าไปอยู่แล้ว” เหยียนซิวกล่าว

“ถุย! ทำไมตัวเขาเองเข้าไปไม่ได้ล่ะ?” ไป๋เฟิ่งหวงพูดเหน็บแนม บอกเพียงว่า “ไม่ไป!”

เหยียนซิวไม่เถียงอะไรกับนางเลย และไม่โน้มน้าวนางด้วย เขาถลันตัวเข้าไปในถ้ำมืด แล้วสลัดมือโยนคนคนหนึ่งลงพื้น ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นฟางอ้าวหลินหัวหน้าภาคน่านฟ้าวอกอี่

ฟางอ้าวหลินที่ถูกควบคุมวรยุทธ์ไว้เงยหน้ามองไปรอบๆ ถ้ำมืดสลัว เมื่อขาดพลังอิทธิฤทธิ์ควบคุม จึงมองไม่ออกถึงสภาพแวดล้อมในถ้ำ เพียงเห็นเงาคนรางๆ ยืนอยู่ตรงหน้า จึงโซเซลุกขึ้นมา แล้ตะคอกถามด้วยความโมโห “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?”

เขาอยู่ในจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงช่วงหนึ่ง ถ่อมาตั้งไกล เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ดื่มด่ำกับเสน่ห์ของเหยียนซู่สักหน่อย ใครจะคิดว่าระหว่างทางกลับจะถูกยอดฝีมือซุ่มจู่โจม พลังเหนือกว่าพวกเขาทั้งหมด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร ถูกชิงตัวมาที่นี่อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

เหยียนซิวพลิกมือ เรียกของสิ่งหนึ่งออกจากกำไลเก็บสมบัติ ธงเล็กด้ามหนึ่งขยายใหญ่ขึ้นทีละนิดขณะหมุนวนอยู่บนฝ่ามือ ในมือเขาคว้าจับด้ามธงที่ไม่รู้ว่าใช้กระดูกขาวหลอมสร้างไปมากมายเท่าไร บนด้ามธงเป็นแผ่นสีดำ บนนั้นมีตัวอักษรสำหรับคนตายแถวหนึ่ง ไอสีดำพวยพุ่งเป็นพักๆ ทำให้คนรู้สึกถึงความอัปมงคล เหมือนกับธงเรียกวิญญาณของเฮยหวังในปีนั้นมาก นี่ก็คือธงเรียกวิญญาณที่เหยียนซิวหลอมสร้างขึ้นมา แต่เห็นได้ชัดว่าประณีตกว่าของเฮยหวังมาก ทั้งยังเปลี่ยนขนาดได้ด้วย

ฟางอ้าวหลินเห็นเหตุการตรงหน้าไม่ชัด เพียงรู้สึกได้ถึงความหนาวยะเยือก เขาสัมผัสได้ถึงอันตราย จึงถอยหลังช้าๆ พร้อมเตือนด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าคือหัวหน้าภาคที่ตำหนักสวรรค์แต่งตั้ง พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”

เหยียนซิวที่กำลังจ้องเขาโบกธงเบาๆ แสงดำสายหนึ่งยิงออกมาจากตัวอักษรบนธง โดนใบหน้าฟางอ้าวหลินพอดี ชั่วพริบตานั้นฟางอ้าวหลินยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิม ร่างกายเหมือนจะสั่นไหวตามจังหวะผ้าธงที่สั่นเบาๆ เป็นฉากที่พิศวงมาก

“ธงเรียกวิญญาณ!” เสียงอุทานของไป๋เฟิ่งหวงดังขึ้นในถ้ำ

เหยียนซิวไม่หันหน้ากลับมาแม้แต่น้อย เขารู้ว่าเสียงตะคอกของฟางอ้าวหลินจะดึงดูดให้ไป๋เฟิ่งหวงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

ปักด้ามธงกระดูกขาวลงบนพื้น เหยียนซิวยืนอยู่ใต้ธงสีดำที่กระเพื่อมไอสีดำเย็นยะเยือกออกมา สีของดวงตาทั้งคู่เริ่มประหลาดขึ้นทีละน้อยขณะจ้องฟางอ้าวหลิน

เห็นเพียงฟางอ้าวหลินเดินเข้ามาอย่างช้าๆ เดินมาตรงหน้าเหยียนซิวแล้ว

เหยียนซิวพลันลงมือ ใช้นิ้วจิ้มบนร่างกายเขาต่อเนื่องกันไม่กี่ครั้ง คลายผนึกพลังบนตัวฟางอ้าวหลิน

ธงเรียกวิญญาณสะบัดเองโดยไร้ลม ฟางอ้าวหลินที่อยู่ใต้แผ่นธงหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกจากกำไลเก็บสมบัติ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่า ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปหาใคร

……………………

เอาเป็นว่าเคยได้ยินข่าวว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนเจ้าอารมณ์ เหยียนซู่ยังอยู่ตรงนี้นะ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อได้เจอเหยียนซู่ ตัวเองจะติดร่างแหไปด้วยหรือเปล่า?

ความคิดฟุ้งซ่านผ่านเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว ฟางอ้าวหลินแอบร้องว่าแย่แล้ว ทำไมบังเอิญมาเจอเจ้าหมอนี่ได้? แต่ภายนอกกลับฝืนยิ้ม “ผ่านทางมาที่นี่ ได้ยินว่าหัวหน้าภาคคนใหม่เพิ่งรับตำแหน่ง เลยถือโอกาสมาแสดงความยินดี” ชั่วขณะนั้นเขาก็หาเหตุผลอะไรดีๆ ไม่ได้เหมือนกัน สงสัยนิดหน่อยว่าเหมียวอี้ไม่ได้มาดี จึงไม่สะดวกจะพูดว่าตัวเองรู้จักกับหวังจัว

ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ เขาสามารถเผชิญหน้ากับเหมียวอี้อย่างสบายๆ ได้เลย เพียงแต่เวลานี้และสถานที่นี่ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าเหมียวอี้เคยเป็นตัวละครแบบไหน

เหตุผลนี้ฟังดูดันุรังไปหน่อย คิดว่าข้าปัญญาอ่อนรึไง? เหมียวอี้มองเขาศีรษะจดเท้า ชั่วขณะนั้นไม่ได้รู้สึกดีอะไรด้วยแล้ว เขาหัวแห้งๆ แล้วกล่าวยด้วยรอยยิ้มแข็งทื่อ “บังเอิญแล้ว นึกไม่ถึงว่าพี่ฟางกับหนิวจะมาเยี่ยมคารวะหัวหน้าภาคหวังด้วยเหตุผลเดียวกัน พอดีเลย จะได้ไปด้วยกัน”

มีแต่ผีน่ะสิที่จะไปกับเจ้า! ฟางอ้าวหลินอยากจะหลบให้ไกลๆ จะได้ไม่ต้องสร้างความขัดแย้งอะไร ปากก็ขานรับ แล้วบอกว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” จากนั้นก็ถามเหมือนแปลกใจอีกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมพี่หนิวมารออยู่ตรงนี้ ไม่เห็นมีใครมาต้อนรับแขกสักทีล่ะ?”

เหมียวอี้ชำเลืองมองบนภูเขา “อีกฝ่ายบอกว่าต้องการตรวจสอบตัวตนข้าน่ะ ใช้เวลาตรวจสอบครึ่งชั่วยามแล้ว ยังไม่ได้ข่าวอะไรเลย หนิวเองก็กำลังอดทนอยู่นะ!”

เจ้ามีความอดทนด้วยเหรอ? กลัวว่าจะมีเจตนาไม่ซื่อมากกว่ากระมัง? ฟางอ้าวหลินกล่าวเหยียดหยามในใจ แต่ภายนอกกลับขมวดคิ้ว มองไปบนภูเขาพลางทำเสียงฮึดฮัด ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำว่า “พวกเราอุตส่าห์มีเจตนาดีมาแสดงความยินดี นึกไม่ถึงว่าหวังจัวจะรับแขกแบบนี้ แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน! คนที่หยิ่งยโสแบบนี้ ข้าไม่พบก็ได้!” พูดจบก็สะบัดชายเสื้อ หลังจากแสดงความแค้นเคืองแล้ว ก็กุมหมัดคารวะเหมียวอี้ “พี่หนิว ฟางขอตัวก่อนแล้วกัน!”

มารดาเจ้าเถอะ! เหมียวอี้เลิกคิ้ว พบว่าเจ้าหนุ่มนี่เจ้าเล่ห์พอสมควร ไม่ทันไรก็ดึงตนเข้าไปอยู่ในคำพูดของเขาเสียแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าตนจะทำให้เขาหาข้ออ้างหนีไปได้อย่างสง่าผ่าเผย เห็นข้าแล้วหนีทำไม? หรือว่าในใจมีอะไรแอบแฝง?

ชิงเยว่เองก็อดไม่ได้ที่จะมองฟางอ้าวหลินหลายครั้ง

เมื่อมองเจตนาของอีกฝ่ายออกแล้ว เหมียวอี้มีหรือที่จะให้เขาสมหวัง พูดห้ามว่า “พี่ฟางพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกนะ หัวหน้าภาคหวังอาจจะไม่พอใจอะไรหนิวก็ได้ แต่พี่ฟางกับหัวหน้าภาคหวังกลับไม่มีความแค้นอะไรกัน อาจจะได้รับการปฏิบัติไม่เหมือนกัน อย่าเข้าใจการวางตัวของหัวหน้าภาคหวังผิดเพราะหนิวเลย พี่ฟางให้ลูกน้องไปรายงานก่อนก็ได้ ดูท่าทีของหัวหน้าภาคหวังแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย” สายตาจ้องไปที่สี่คนข้างหลังของฟางอ้าวหลิน บอกใบ้ให้ไปรายงาน

ชิงเยว่แอบรู้สึกขำ ถึงอย่างไรก็ติดตามเหมียวอี้มาหลายปี พอจะรู้จักนิสัยของเหมียวอี้อยู่บ้าง รู้ว่าเหมียวอี้คิดจะพัวพันกับเจ้าหมอนี่แล้ว สมน้ำหน้าเจ้าหมอนี่เหมือนกัน อยู่ดีๆ จะมาแสดงละครหลอกคนอื่นทำไม ถ้ายังหน้าซื่อใจคดต่อไป คาดว่าคงจะกระตุ้นเจตนารมณ์อันแน่วแน่เหมียวอี้แน่

สี่คนที่อยู่ข้างหลังฟางอ้าวหลินย่อมไม่ฟังคำชี้แนะของเหมียวอี้ ทั้งสี่ย่อมรู้ว่าเหมียวอี้เป็นคนอย่างไร พอจะรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว

ฟางอ้าวหลินไม่อยากจะพัวพันกับเหมียวอี้อีกต่อไป ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ช่างเถอะ ต่อให้ฟางเข้าไปได้ แต่พี่หนิวกลับถูกเมินอยู่ตรงนี้…” เขาส่ายหน้า ความหมายที่สื่อก็คือไม่อยากให้เหมียวอี้ดูแย่

ใครจะคิดว่าว่าเหมียวอี้จะพ่นสียงทางจมูกด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ไม่เป็นไร ไม่ต้องไว้หน้าข้าหรอก ยังไงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกัน เจ้าเข้าไปเถอะ ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า” เมื่อครู่นี้ยังเรียกกันว่าพี่น้องอยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวก็มาบอกแล้วว่าไม่คุ้นเคยกัน

“ช่างเถอะ ข้าขอตัวลาตรงนี้ พี่หนิว วันหลังถ้ามีโอกาสค่อยพบกันอีก!” ฟางอ้าวหลินกุมหมัดคารวะอีกครั้ง หันตัวไปอย่างทนรอไม่ไหว กำลังจะหนีไปจากตรงนี้

“ช้าก่อน!” เหมียวอี้กล่าวด้วยเสียงเย็นชา

ฟางอ้าวหลินหยุดชะงัก ไม่กล้าหนีไปไหน หันตัวมาช้าๆ พยายามทำสีหน้าใจเย็น “ไม่ทราบว่าพี่หนิวมีอะไรจะกำชับ?”

เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “กำชับบ้าอะไร! เจ้าคิดว่าหนิวคนนี้เป็นเด็กสามขวบรึไง?” เขาจะสื่อว่า เจ้ากำลังล้อข้าเล่นเหรอ?

“ทำไมพี่หนิวพูดอย่างนี้?” ฟางอ้าวหลินถามเหมือนประหลาดใจ

เหมียวอี้บอกว่า “เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นหัวหน้าภาคน่านฟ้าวอกอี่ก็แปลว่าเป็นหัวหน้าภาคน่านฟ้าวอกอี่แล้วเหรอ? ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้าคือตัวปลอมล่ะ? หัวหน้าภาคหวังก็เป็นคนของทัพตะวันออกเหมือนกัน แยกแยะได้ง่ายว่าใครตัวจริงหรือตัวปลอม ไป ไปตรวจสอบตัวตนกับหัวหน้าภาคหวังเองสักหน่อย ถ้าบังอาจปลอมตัวเนขุนนางตำหนักสวรรค์…หนิวเป็นคนที่ยอมให้ทรายเข้าตาไม่ได้!”

เขาแน่ใจว่าคนคนนี้รู้จักหวังจัวแน่นอน หวังจัวให้เขารออยู่ที่นี่ แล้วเจ้าหมอนี่ก็หาข้ออ้างหนีไปทันทีที่รู้ถึงฐานะของเขา มารดาเจ้าเถอะ ตอนนี้เขาต้องการให้เจ้าหมอนี่อยู่รอด้วยกัน

แน่นอน ทุกคนล้วนเป็นคนของตำหนักสวรรค์ ถ้าจะหาเรื่องก็ต้องหาข้ออ้างที่ฟังขึ้น จะทำซี้ซั้วไม่ได้ เขาจึงทำได้เพียงอ้างว่าสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นตัวปลอม แล้วต้องการจะตรวจสอบตัวตน

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา พวกฟางอ้าวหลินก็สีหน้าเปลี่ยนทันที ดูท่าแล้วหนิวโหย่วเต๋อคงต้องการจะให้พวกเขาอยู่ต่อ

ชิงเยว่แอบถอนหายใจ เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ ท่านนี้เกิดเจตนารมณ์อันแน่วแน่แล้ว

เหยียนซิวทำท่าราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเอง ไม่กระพริบตาเลยตั้งแต่ต้นจนจบ จ้องพวกเขาอย่างเย็นเยียบราวกับเป็นคนตาย

ฟางอ้าวหลินหยิบแผ่นหยกขุนนางออกมา “แผ่นหยกรับตำแหน่งอยู่นี่แล้ว พิสูจน์ฐานะของข้าได้แล้ว”

เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไม่ได้อยู่สายเดียวกับเจ้า แยกตราอิทธิฤทธิ์ของขุนนางทัพตะวันออกไม่ออก ข้าแนะนำให้เจ้าทำตามข้าแต่โดยดี สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์!”

“เจ้า…” ฟางอ้าวหลินเดือดดาลในใจ รังแกกันเกินไปแล้ว

ลูกน้องสี่คนของเขาก็เดือดดาลเช่นกัน ทุกคนเป็นหัวหน้าภาคเหมือนกันหมด เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาทำกำเริบเสิบสานขนาดนี้?

ทว่ากล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูด แค่ชิงเยว่ปรายตามองอยู่ข้างๆ ก็ทำให้พวกเขากดดันพอแล้ว เป็นสายตาที่กดพวกเขาไม่ให้กล้าขยับตัว

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น พวกเขาก็ขี้คร้านจะแยแสแน่นอน ไม่เชื่อว่าจะกล้าทำซี้ซั้ว แต่พอนึกถึงประวัติคดีของหนิวโหย่วเต๋อ ก็พบว่าเป็นตัวละครที่เคยโดนหมาบ้ากัดมา ถ้าเขากล้าก็ลองหันหน้าเดินหนีไปสักก้าวสิ? นั่นคือการเดิมพันด้วยชีวิตแท้ๆ เลย!

เหมียวอี้ถามข่มว่า “เจ้าอะไร? ถ่วงเวลาแบบนี้หรือว่ากินปูนร้อนท้อง?” เขายื่นมือรับแสงแดดที่ลอดผ่านต้นไม้ลงมา แล้วมองสีของท้องฟ้า “ความอดทนข้ามีจำกัด เร็วเข้า ถ้าช้ากว่านี้ก็อย่าเสียใจทีหลัง!”

เจออุปสรรคใหญ่โตมามากมาย สำหรับคนประเภทนี้ เขาไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรเลยจริงๆ

ฟางอ้าวหลินแอบกัดฟันกรอด จนใจที่มาเจอกับคนแข็งกร้าวอย่างเหมียวอี้ ตัวเองจะใช้วิธีการเสแสร้งก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงเอียงหน้าบอกใบ้ให้คนไปรายงาน

หนึ่งในนั้นเดินไปทางประตูใหญ่

เหมียวอี้ก็เอียงหน้าบอกใบ้เหยียนซิวเช่นกัน “ไปถามหน่อย ว่าหัวหน้าภาคหวังคิดว่าตำหนักนารีสวรรค์รังแกง่ายเลยจงใจมาดูหมิ่นหนิวเหรอ?”

พอเดินมาตรงหน้าประตูใหญ่ หลังจากลูกน้องของฟางอ้าวหลินแจ้งกับทหารยามแล้ว ก็แอบถ่ายทอดเสียงอีกสองสามประโยค ส่วนเหยียนซิวที่เดินตามมาก็ไม่เกรงใจ ถ่ายทอดคำพูดของเหมียวอี้เสียเลย

ต่อจากนั้น พวกฟางอ้าวหลินก็ย่อมไปไหนไม่ได้ อยู่เป็นเพื่อนพวกเหมียวอี้ตรงนั้น อารมณ์เป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ในมือถือระฆังดารา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน

ในแขนเสื้อเหมียวอี้ก็ถือระฆังดาราเช่นกัน สั่งให้คนตรวจสอบกำพืดของฟางอ้าวหลิน

ครั้งนี้ไม่ได้รอนาน บนภูเขามีคนมาแล้ว พอออกจากประตู ก็กุมหมัดกล่าวขออภัย “ขออภัยจริงๆ ลำบากให้หัวหน้าภาคทั้งสองรอนานแล้ว เชิญด้านใน!”

“สงสัยพี่ฟางจะหน้าใหญ่จริงๆ! ไปด้วยกันเถอะ!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม

สุดท้ายพวกเขาก็ได้เข้าประตูใหญ่แล้ว ทว่าหลังจากขึ้นมาบนเขา ก็ถูกเมินให้อยู่ในเรือนรับแขก โดยให้เหตุผลว่าสนมฉินมีธุระเรียกพบ ตอนนี้หวังจัวยังปลีกตัวออกมาไม่ได้

ส่วนความเป็นจริง ตอนนี้หวังจัวกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้านตัวเอง เขากระวนกระวายมาก รอให้ยอดฝีมือของทัพตะวันออกมาถึง เบื้องบนให้เขาคุมหนิวโหย่วเต๋อให้สงบลงก่อน เขาทำได้เพียงคิดหาทางถ่วงเวลาได้นิดหน่อย

มาจนป่านนี้แล้ว มีหรือที่เหมียวอี้จะดูไม่ออกว่าหวังจัวตั้งใจถ่วงเวลา เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าหวังจัวถ่วงเวลาแบบนี้หมายความว่าอะไร

บังเอิญว่าตอนนี้หวงฝู่จวินโหรวส่งข่าวมาพอดี บอกว่ามารดานางสั่งให้เหมียวอี้ระวังตัวหน่อย เพราะพบว่าทัพตะวันออกกำลังระดมกำลังพลกลุ่มใหญ่มาที่นี่ ขณะเดียวกันก็มียอดฝีมือของทัพตะวันออกจำนวนไม่น้อยกำลังเคลื่อนไหวผิดปกติ ไม่รู้รายละเอียดว่าไปที่ไหน แต่เมื่อนึกโยงกับการเคลื่อนไหวของกำลังพลกลุ่มใหญ่แล้ว พวกเขาก็น่าจะมาที่นี่

โชคดีที่วังสวรรค์สั่งให้สมาคมวีรชนจับตาดูความเคลื่อนไหวของทัพตะวันออกพอดี ไม่อย่างนั้นเกรงว่าหวงฝู่ตวนหรงคงจะรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวไม่ทัน หวงฝู่ตวนหรงจะกล้าสั่งให้คนของสมาคมวีรชนจับตาดูทิศทางการเคลื่อนไหวของทัพตะวันออกได้อย่างไร ถ้าออกคำสั่งอย่างนี้จริงๆ คงจะทำให้คนสงสัยแน่

เหมียวอี้ได้ข่าวแล้วตกใจอยู่บ้าง เพิ่งจะตระหนักได้ถึงสาเหตุที่หวังจัวถ่วงเวลาไว้ เหมือนที่หวังจัวกังวลว่าเขาจะลงมือ การเคลื่อนไหวของทัพตะวันออกก็ทำให้เขากังวลเช่นกันว่าตระกูลอิ๋งจะลงมือ ถ้าต้องสู้กับกำลังพลน่านฟ้าชวดเกิงอย่างเดียวเขาก็ไม่กลัว แต่ทัพตะวันออกระดมพลและยอดฝีมือมามากขนาดนี้ในรวดเดียว ทำให้เขากลัวแล้วจริงๆ การนำทัพใหญ่แดนรัตติกาลไปสู้กับทัพตะวันออก แบบนี้ไม่ใช่แกว่งเท้าหาเสี้ยนหรอกหรือ ต่อให้จะหนีไปได้ แต่ก็จะทำให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเสียหายยับเยินแน่นอน

บวกกับสถานการณ์ในตอนนี้ ต่อให้เจอหวังจัวแล้ว แต่อีกฝ่ายก็เตรียมป้องกันกันแน่นหนา เลิกคิดไปได้เลยว่าจะสืบความจริงอะไรได้

“กลับ!” เหมียวอี้เรียกชิงเยว่และเหยียนซิวกลับอย่างไม่ลังเล ขณะเดียวกันก็สั่งให้ทั้งสองเตรียมตัวฝ่าวงล้อม เขากังวลว่าทางฝั่งนี้จะล้อมเขาไว้ จึงสั่งให้ทัพใหญ่ที่รอสนับสนุนด้านนอกเตรียมตัวรุกโจมตี

ตอนที่ออกจากโถงรับแขก เหมียวอี้ก็กวาดสายตามองพวกฟางอ้าวหลิน

ระหว่างทางไม่มีใครขัดขวาง ทั้งสามออกไปได้อย่างปลอดภัย

“ไปแล้วเหรอ?” หวังจัวที่อยู่ในลานบ้านบนภูเขาได้ยินข่าวแล้วแปลกใจมาก ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เหมียวอี้ถึงกลับไป

หลังจากแน่ใจว่าไปแล้วจริงๆ หวังจัวถึงได้รีบเชิญฟางอ้าวหลินมาพบ ขณะเดียวกันก็ถามถึงสาเหตุที่เหมียวอี้กลับไปด้วย

“ไปแล้วเหรอ?” นึกไม่ถึงว่าฟางอ้าวหลินจะประหลาดใจมากเหมือนกัน เขายังนึกว่าเหมียวอี้ได้มาพบหวังจัวแล้ว

เหมียวอี้ที่มาเจอกับกำลังพลสนับสนุนรีบออกไปทันที เร่งเหาะด้วยความเร็วสูงอยู่ในดาราจักร แต่ระหว่างทางกลับได้ข่าวจากหวงฝู่จวินโหรวอีก เป็นข่าวเกี่ยวกับฟางอ้าวหลิน เดิมทีหวงฝู่ตวนหรงก็คุมร้านค้าของสมาคมวีรชนทั้งใต้หล้าอยู่แล้ว ข่าวจากแต่ละที่ล้วนผ่านมือนาง ในมือนางมีข้อมูลคร่าวๆ ของฟางอ้าวหลินอยู่แล้ว ไม่ต้องรบกวนใครมากก็สืบข่าวได้

เหมียวอี้ถึงได้รู้ว่าฟางอ้าวหลินสังหารสามีของเหยียนซู่แล้วขึ้นสู่ตำแหน่งแทน ถ้าไม่ใช่เพราะหวงฝู่จวินโหรวเอ่ยถึง เขาก็แทบจะลืมไปแล้วว่าเหยียนซู่คือใคร ส่วนข่าวลือที่บอกว่าเหยียนซู่ไปซบอกฟางอ้าวหลิน ข่าวที่มีอยู่ในมือหวงฝู่ตวนหรงก็ยังยืนยันไม่ได้เช่นกัน สมาคมวีรชนไม่กล้ายื่นมือออกไปยาวเกินไป แต่ก็บอกแล้วว่ามีความเป็นไปได้ เพราะหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงคนก่อนคือสหายของฟางอ้าวหลิน การที่เหยียนซู่ย้ายมาที่นี่ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับฟางอ้าวหลิน

เหยียนซู่อยู่ที่น่านฟ้าชวดเกิงเหรอ? เหมียวอี้งงนิดหน่อย แสดงว่าก่อนหน้านี้ตัวเองก็เข้าใกล้เหยียนซู่แล้วน่ะสิ?

ตอนนี้ไม่ต้องให้สมาคมวีรชนยืนยันแล้ว เขาสามารถยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างฟางอ้าวหลินกับเหยียนซู่เองได้ พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมฟางอ้าวหลินมาที่นี่ เป็นเพราะรักเก่าตัดยากจริงๆ!

“เหยียนซิว!” หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง เหมียวอี้ที่กำลังเหาะอยู่บนฟ้าก็เรียกเหยียนซิวเข้ามาใกล้ แล้วถ่ายทอดคำสั่งลับ “พาคนไปสักสองสามคน ดักซุ่มระหว่างทางไปกลับน่านฟ้าชวดเกิงกับน่านฟ้าวอกอี่ ถ้าพบพวกฟางอ้าวหลินผ่านไป ก็จัดการซะ ต้องจับเป็นนะ อย่าให้ข่าวหลุดเด็ดขาด!”

นักพรตบงกชกลายห้าคนที่ค่อนข้างได้รับความไว้วางใจจากเหมียวอี้ออกไปกับเหยียนซิวเงียบๆ ส่วนเหมียวอี้ก็แสดงกำลังพลทั้งหมดออกมา ถอนทัพใหญ่แดนรัตติกาลแปดหมื่นอย่างเอิกเกริก ทำแบบนี้เพื่อปกปิดปฏิบัติการต่อไปของเหยียนซิว!

………………………

ประมุขชิงยิ้มบางๆ คำพูดนี้ทำให้เขาค่อนข้างอิ่มอกอิ่มใจ แม้เรื่องบางเรื่องจะเหนือความคาดหมายของเขาไปบ้าง แต่สถานการณ์ภาพรวมก็เป็นเขาที่ควบคุมเองกับมือ

ที่จริงเขาก็รู้สึกแปลกนิดหน่อยที่เหมียวอี้ออกหน้าเอง เขารู้ว่าช้าเร็วเหมียวอี้ก็ต้องถูกตำหนักนารีสวรรค์ดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะออกหน้าเรื่องนี้เป็นคนแรก “พอเซี่ยโห้วท่าตาย ก็ทำให้คนคลำชีพจรของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ค่อยแม่นแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งกำลังทำเรื่องอะไรอยู่ การควบคุมตระกูลเซี่ยโห้วจะอ่อนแอถึงขั้นนี้เชียวหรือ? ก่อนจิ้งจอกเฒ่าเซี่ยโห้วท่านั่นจะตาย คงไม่ถึงขั้นไม่เตรียมอะไรไว้เลยหรอกกระมัง ไม่อย่างนั้นเซี่ยโห้วลิ่งมารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลจะมีความหมายอะไร?”

ซ่างกวนชิงก็สงสัยอยู่บ้างเช่นกัน “มองไม่ค่อยออก เซี่ยโห้วลิ่งคงจะไม่ได้มีแผนอีกอย่างใช่มั้ยขอรับ?”

“อ้อ! งั้นข้าก็จะตั้งตารอดู” ประมุขชิงแสยะยิ้ม แล้วหลับตาลงช้าๆ “ทางด้านสนมฉิน เจ้าหาทางให้คำชี้แจ้งสักหน่อยแล้วกัน”

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ

น่านฟ้าชวดเกิง นอกประตูใหญ่จวนหัวหน้าภาค ดวงอาทิตย์เริ่มสูงขึ้น เหมียวอี้เดินออกจากประตูมาอยู่ใต้ร่มไม้ด้านข้างแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะดันทุรังยืนตากแดดอยู่ตรงนั้น

ชิงเยว่กับเหยียนซิวตามอยู่ทางซ้ายและขวา

ทั้งสามรออยู่นอกประตูใหญ่ของจวนหัวหน้าภาคเป็นเวลาครึ่งชั่วยามเต็มๆ จวนหัวหน้าภาคให้เหตุผลว่ากำลังตรวจสอบตัวตนของพวกเขาอยู่ เพียงแต่เวลาตรวจสอบอาจจะต้องยืดออกไปอีกหน่อย ใช้ระฆังดาราส่งข่าว จำเป็นต้องใช้เวลานานขนาดนี้ด้วยเหรอ?

ที่นี่จะต้องมีปัญหาแน่นอน!

เหมียวอี้กลุ้มใจแล้ว หวังจัวคนนี้กำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่ เขานึกถึงภาพที่ตัวเองมารับตำแหน่งที่กองทัพองครักษ์ครั้งแรก เข้าประตูไม่ได้เช่นกัน อย่าบอกนะว่าหวังจัวกำลังแสดงบารมีใส่เขาอยู่? คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง เพราะทั้งสองมีระดับเท่ากัน แล้วตัวเองก็มาแสดงความยินดี มากลั่นแกล้งแขกในวันมงคลแบบนี้ มีอย่างที่ไหนกัน? หวังจัวคงไม่ใจแคบขนาดนั้นหรอกมั้ง? อย่าบอกนะว่าอาศัยที่ลูกสาวตัวเองเป็นสนมราชันสวรรค์ ตอนนี้เลยกำลังวาดมาด? มารดาเจ้าเถอะ สนมของราชันสวรรค์จะสำคัญอะไรล่ะ!

คนที่อยู่ระดับเจ้าอาณาเขตล้วนเป็นบุคคลที่มีกำลังทหาร พวกเขาไม่เห็นพวกนางสนมที่ไร้อำนาจทางทหารอยู่ในสายตาเลย ต่อให้จะเห็นอยู่ในสายตา แต่ก็ต้องดูว่าภูมิหลังวงศ์ตระกูลของสนมเหล่านั้นมีอำนาจมากแค่ไหน เพราะสนมของราชันสวรรค์มีมากเกินไป หมายความว่าครอบครัวสนมของราชันสวรรค์ก็มีอยู่ทั่วทั้งใต้หล้า ถ้าจะให้สนองความต้องการทุกคนเหมือนเป็นบรรพบุรุษ เช่นนั้นเจ้าอาณาเขตสายต่างๆ ก็ไม่ต้องทำงานแล้ว ให้คนในครอบครัวสนมช่วยราชันสวรรค์ปกครองใต้หล้าเสียเลย ทุกคนพยายามคลอดลูกสาวสวยๆ ส่งเข้าวังก็พอแล้ว ดังนั้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่มีใครเกรงใจทั้งนั้น ถ้าข่มได้ก็จะข่มเหมือนเดิม นอกเสียจากสนมสวรรค์จะได้รับความโปรดปรานเป็นอันดับต้นๆ จากราชันสวรรค์ แบบนั้นถึงจะทำให้ราชันสวรรค์ช่วยออกหน้าแทนนางได้

อำนาจของครอบครัวสนมฉิน หวังจัวก็เป็นเพียงหัวหน้าภาคคนหนึ่งมิใช่หรือ? สนมฉินไม่ว่าจะอยู่นอกวังหรือในวัง แต่ก็มายุ่งกับเหมียวอี้ไม่ได้ เหมียวอี้จะกลัวนางได้ก็แปลกแล้ว!

แน่นอน ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ ภายนอกก็ล้วนต้องแสดงความเคารพต่อสนมของราชันสวรรค์อยู่แล้ว ไม่มีใครโง่ถึงขั้นฉีกหน้าราชันสวรรค์อย่างโจ่งแจ้ง

วางความคิดสัพเพเหระเอาไว้ก่อน ที่เหมียวอี้มาแสดงความยินดีก็เป็นข้ออ้างเช่นกัน เพราะความจริงมาที่นี่เพื่อสืบข่าว ช่องทางข่าวสารที่เขามีไม่สามารถคลำหาสถานการณ์ในรังของหวังจัวได้เลย แล้วทางเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ดันเร่งทุกสามวันห้าวัน เร่งให้เขาลงมือเร็วๆ เขาไม่รู้จะด่าผู้หญิงคนนี้อย่างไรดี คิดว่าเรื่องนี้มันง่ายเหมือนขโมยลูกท้อเหรอ บทตะลงมือก็ลงมือได้เลยหรือไง?

ทว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฝากความหวังกับเขาเอาไว้มาก ในภายหลังถ้ายังอยากได้ความเชื่อใจจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เขาจะไม่แสดงผลงานเลยก็คงไม่ได้ แต่เรื่องนี้ก็ไม่อาจทำซี้ซั้ว จากการคาดเดา ดีไม่ดีตระกูลอิ๋งอาจจะวางกำลังไว้ที่จวนหวังจัวแล้วก็ได้ ไม่ว่าจะลอบสังหารหรือใช้กำลังปะทะตรงๆ เขาก็ต้องรู้สถานการณ์ทางนี้ให้ชัดเจนก่อน ถ้าฝั่งนี้มีอันตรายมาก เขาก็คงไม่วิ่งเอาชีวิตไปทิ้งหรอกใช่มั้ย? ต่อให้ตายก็จะตายอย่างเลอะเลือนไม่ได้เช่นกัน!

แน่นอน เขาเองก็เตรียมตัวไว้บ้างเช่นกัน เขาแอบระดมทัพใหญ่แดนรัตติกาลแล้วจริงๆ เขาต้องเตรียมพร้อมป้องกันสิ ถึงอย่างไรเขากับตระกูลอิ๋งก็มีความแค้นที่ลึกล้ำต่อกัน ถ้าฝั่งนั้นฉวยโอกาสหาเรื่องเขา ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะนั่งรอความตาย ถ้าใครกล้าทำซี้ซั้ว ก็อย่าหาว่าเขาไม่เกรงใจแล้วกัน กำลังพลในมือเขาก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน!

แน่นอน ที่ครั้งนี้เขามาอย่างสง่าผ่าเผย ก็เพราะมีเป้าหมายอีกอย่างที่สำคัญกว่า เขาหวังว่าจะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้เกี่ยวข้องให้กดดันเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ ขอเพียงกดดันจนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่สั่งให้เขาหยุดได้ เขาก็จะไม่ต้องหาเรื่องใส่ตัวแบบนี้แล้ว จะกลับไปอยู่อย่างสงบเสงี่ยมต่อไป

ด้วยสถานการณ์ของเขาตอนนี้ เขาไม่จำเป็นต้องก่อเรื่องเลยจริงๆ ในมือมีอำนาจทางทหารและช่องทางรายได้เพียงพอ ไม่ขาดทรัพยกรฝึกตน ตอนนี้เป็นเวลาสงบใจฝึกฝนสะสมพลัง

ทว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่ตัวเขาเองยังนึกไม่ถึง เขาประเมินพลังอำนาจของตัวเองต่ำไป!

ผู้เล่นในกระดานหลงทางเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เขายังไม่หลงตัวเองถึงขั้นครุ่นคิดว่าตัวเองสามารถขู่ใครได้ถึงขั้นนี้ ในสายตาของเขาเอง ทุกคนล้วนเป็นขุนนางตำหนักสวรรค์ ถ้าไม่มีเรื่องอะไร ใครจะกล้าทำซี้ซั้วกับคนอื่นล่ะ? มิหนำซ้ำเขากับหวังจัวก็ยังอยู่ระดับเดียวกัน ถ้าพูดถึงกำลังพล อีกฝ่ายมีเยอะกว่าเขาเสียอีก ถ้าพูดถึงอาณาเขต อีกฝ่ายก็มีพื้นที่ใหญ่กว่าเขา ถ้าพูดถึงอำนาจ อีกฝ่ายก็มีทั้งทัพตะวันออกหนุนหลัง แต่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลของเขาเป็นทัพโดดเดี่ยวที่กำลังอยู่เงียบๆ สั่งสมกำลัง

เขาซ่อนตัวแต่ไม่ได้หลบเลี่ยงสังคม ยามปกติบางครั้งก็ได้เจอกับพวกหัวหน้าภาคบ้าง แต่ก็ไม่เห็นใครมีท่าทีว่าหวาดกลัวเขาเลย อีกฝ่ายคุยกับเขาตามปกติ

ยืนอยู่ในมุมที่ต่างกัน วิธีการคิดที่มีต่อปัญหาก็ต่างกัน เกรงว่าเขาเองก็คงไม่รู้ตัว ว่าความน่ากลัวของเขาเกิดขึ้นตอนกำลังจะก่อเรื่อง ตอนที่เขาเป็นฝ่ายมาหาเรื่องถึงประตูบ้าน สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับหลายเรื่องที่เขาทำในปีนั้น

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เหมียวอี้ที่เอามือไขว้หลังอยู่ใต้ร่มไม้ทนไม่ไหวแล้ว ไฟโกรธเริ่มลุกในใจ นี่เจ้าแซ่หวังนั่นกำลังดูหมิ่นข้าเหรอ? สงสัยพอข้าทำตัวสงบเสงี่ยมงานเกินไป คงมีคนคิดว่าข้าเป็นแมวป่วยไปแล้ว!

ชิงเยว่สังเกตความเคลื่อนไหวบนภูเขาของจวนหัวหน้าภาคอยู่ไกลๆ มาตลอด “เกรงว่านายท่านต้องระวังหน่อยแล้ว บนภูเขาเหมือนมีเค้าว่ากำลังระดมกำลังพล”

“อ้อ!” เหมียวอี้พลันหรี่ตาจ้องไปบนภูเขา

ชิงเยว่มองเขา “นายท่าน ครั้งนี้ท่านคงไม่ได้พุ่งเป้ามาที่ครอบครัวของสนมฉินหรอกใช่มั้ย?”

“ทำไมพูดแบบนี้?” เหมียวอี้หันกลับมาถาม

ชิงเยว่ตอบว่า “เพราะข้าน้อยรู้ว่านายท่านไม่ได้สนิทสนมกับหวังจัว เพียงแต่ข้าน้อยกลับได้ยินข่าวลือบางอย่างมา บอกว่าที่โอรสสวรรค์ถูกลดตำแหน่งนั้นเกี่ยวข้องกับสนมฉิน นายท่านเป็นคนของตำหนักนารีสวรรค์ แต่จู่ๆ ก็มาเยี่ยมเยียนเขา ถ้าเปลี่ยนเป็นข้าน้อยก็คงคิดมากเหมือนกัน เกรงว่านี่คงจะเป็นสาเหตุที่นายท่านไม่ได้เข้าไปข้างในสักที”

เหมียวอี้ไม่ได้ปฏิเสธการคาดเดาของเขา มองไปที่ภูเขาอีกครั้ง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หรือพูดได้อีกอย่างว่า เป็นไปได้ที่หวังจัวจะชิงลงมือก่อน?”

“พูดยาก” ชิงเยว่ตอบ

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “เหยียนซิว ไปถามดูหน่อยว่าทำไมเมินแขกขนาดนี้ ไปถามหน่อยว่าหวังจัวตายหรือยัง?”

ชิงเยว่เหล่ตามอง พบว่าความป่าเถื่อนบ้าพลังของเจ้าหนุ่มนี่ส่อเค้าจะปะทุอีกแล้ว

เหยียนซิวเองก็ไม่สนใจว่าถามแบบนี้จะเหมาะสมหรือไม่ แค่ต้องไปถามทหารยามโดยไม่ให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว

บังเอิญว่าตอนนี้มีคนหลายคนเหาะลงมาจากฟ้าพอดี มาเหยียบลงนอกประตูใหญ่ เหมียวอี้อุทาน “หืม” แล้วหยุดเหยียนซิวเอาไว้ชั่วคราว

มากันห้าคน ผู้ที่นำหน้ามามีบุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าสี่คนข้างหลังเป็นผู้ติดตาม พอเหยียบลงพื้นแล้ว สัญลักษณ์พลังอิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วก็แสดงแล้วว่าทั้งห้าล้วนเป็นนักพรตบงกชรุ้ง

แล้คนพวกนั้นก็ไม่ได้ตามบอก ย่อมมองเห็นสามคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้แล้ว

ตอนแรกก็กวาดสายตามองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นทั้งสามถูกเมินไว้ใต้ต้นไม้ พวกเขาก็ไม่เก็บมาใส่ใจ แต่พอได้เห็นสัญลักษณ์รูปงูตรงหว่างคิ้วชิงเยว่ พวกเขาที่หันหน้ามาก็เดินกลับมาอีก ยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป สายตาทุกคนไปรวมอยู่บนใบหน้าชิงเยว่

นี่มันสถานการณ์อะไร? นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์เหรอ? พวกเขาระแวงสงสัยทันที นี่กำลังถูกเมินอยู่นอกประตูใหญ่หรือว่ากำลังมีธุระรอคนอื่นอยู่?

ในดวงตาชิงเยว่ฉายแววเย็นเยียบดุร้าย ไม่ว่าใครที่ถูกจ้องตามอำเภอใจอย่างนี้ก็ต้องรู้สึกอึกอัดทั้งนั้น โดยเฉพาะคนที่มีความหยิ่งผยองในใจอย่างนาง

ผู้ที่นำหน้ามาเหม่อลอยเล็กน้อย พอเห็นเหมียวอี้ที่อยู่ตรงกลาง ก็พบว่าเหมียวอี้เป็นหัวหน้าของอีกสองคน คนที่สามารถใช้ยอดฝีมือเป็นผู้ติดตามได้ เกรงว่าคงเป็นลูกหลานผู้มีอำนาจของบ้านไหนสักบ้าน ผู้ที่นำหน้ามาจึงรีบก้าวเข้ามา “ผู้น้อยฟางอ้าวหลินหัวหน้าภาคน่านฟ้าวอกอี่ ไม่ทราบว่าท่านเป็นผู้สูงส่งจากที่ใด?”

มีมารยาทมากก็ไม่มีใครว่าอะไร เผื่อเป็นลูกหลานคนใหญ่คนโตสักคนในทัพตะวันออก ถ้าไม่ให้ตนมีมารยาทแล้วจะให้ตนล่วงเกินหรืออย่างไร? ดังนั้นฟางอ้าวหลินคนนี้จึงมีท่าทีเคารพนอบน้อมและสุภาพมาก หางตายังชำเลืองชิงเยว่เป็นระยะ แล้วก็มองเหยียนซิวที่หน้านิ่งอีก ท่านนี้ก็น่าจะไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนกัน

หัวหน้าภาคน่านฟ้าวอกอี่? เหมียวอี้ตะลึงนิดหน่อย ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเคยอยู่ในอาณาเขตของท่านโหวเทียนหยวน แม้ทั้งหมดจะอยู่ในทัพตะวันออก แต่อยู่ไกลจากที่นี่มาก ทำไมถึงมาด้วยล่ะ? หรือว่าเป็นสหายของหวังจัว?

เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ แล้วกุมหมัดคารวะ “หัวหน้าภาคแดนรัตติกาลหนิวโหย่วเต๋อ!”

หัวหน้าภาคแดนรัตติกาล? ฟางอ้าวหลินตะลึงงัน หัวหน้าภาคในใต้หล้านี้ล้วนคุมอาณาเขตที่ตั้งชื่อโดยใช้กิ่งฟ้าก้านดิน ชื่อพิเศษนอกจากนี้มีไม่เยอะ มีน้อยจนนับนิ้วได้ ฟางอ้าวหลินพอจะเดาได้แล้ว เขาเบิกตากว้างขึ้นหลายเท่า “เจ้าก็คือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”

“ไม่ปลอมหรอก? ถ้าปลอมยินดีจะห่อให้ใหม่เลย!” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ

“…” ฟางอ้าวหลินพูดไม่ออก รีบมองชิงเยว่อีก พอจะเดาได้แล้วว่าเป็นใคร ในใจกระจ่างทันที มิน่าล่ะถึงใช้งานยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์มาเป็นผู้ติดตามได้ ที่แท้ก็เป็นเจ้าหนุ่มนี่นี่เอง เขาอดไม่ได้ที่จะถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมหัวหน้าภาคหนิวมายืนอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ หรือว่า…” พูดได้ครึ่งเดียว จู่ๆ ก็หนังตากระตุก เหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ ข่าวที่โอรสสวรรค์ถูกลดตำแหน่งเพราะเกี่ยวข้องกับสนมฉิน เขาเองก็ได้ยินมาบ้างเหมือนกัน

เหมียวอี้บุ้ยปากไปทางประตูใหญ่ “ก็รอหัวหน้าภาคหวังเรียกพบน่ะสิ ไม่ทราบว่าหัวหน้าภาคฟางมาทำอะไรที่นี่?”

ฟางอ้าวหลินตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้วเช่นกัน แม้จะเขาจะเป็นหัวหน้าภาคในอาณาเขตทัพตะวันออก แต่ก็อยู่ห่างจากที่นี่ไกลมาก เขายังไม่รู้ข่าวที่ทัพตะวันออกกำลังระดมกำลังพล ไม่อยากนั้นคงไม่บังเอิญมาเจอกันอยู่ตรงนี้

ส่วนสาเหตุว่าเขามาทีนี่ทำไม ก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย เขาก็คือคนที่ฆ่าสามีของเหยียนซู่ตายและเก็บเหยียนซู่ไว้เป็นเนื้อต้องห้ามของตัวเอง หัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงคนก่อนคือสหายของเขา กอปรกับช่วงนี้สี่ทัพมีการปรับปรุงอย่างรุนแรง เขาเองไม่สะดวกจะเก็บเหยียนซู่ไว้ข้างกาย จึงนำเหยียนซู่มาไว้ที่นี่ ตอนนี้สหายของเขาย้ายไปแล้ว แต่เหยียนซู่ยังอยู่ ถ้าเขาต้องการจะดูแลเหยียนซู่ ก็ต้องสร้างเส้นสายกับหวังจัวสักหน่อย ถือโอกาสมาดื่มด่ำกับเสน่ห์ของเหยียนซู่ด้วย

ใครจะไปคิดล่ะ ว่าจะบังเอิญมาเจอหนิวโหย่วเต๋อ หวังจัวไม่รู้ชัดเรื่องบุญคุณความแค้นของเหยียนซู่และหนิวโหย่วเต๋อ แต่เขาฟางอ้าวหลินที่อยู่น่านฟ้าวอกอี่กลับเคยได้ข่าวมาบ้าง รู้ว่าในปีนั้นพวกเหยียนซู่เคยดูหมิ่นหนิวโหย่วเต๋ออย่างรุนแรง ถึงขั้นเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อจนเกือบตายด้วย เพราะในปีนั้นเขาสนใจเหยียนซู่มาตลอด ส่วนเรื่องในตอนหลังที่หนิวโหย่วเต๋อระบายความโกรธ เขากลับไม่รู้ ตอนนั้นที่พวกเหยียนซู่แทบจะโดนเอาคืนกันหมด จึงไม่มีใครประกาศให้คนอื่นรู้

………………

จากคำพูดพวกนี้ก็สามารถฟังออก ต่อให้จนกระทั่งตอนนี้ สำหรับหวังฮูหยินแล้ว หนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียวไม่ได้น่ากลัวเท่าราชินีสวรรค์เลย คนที่นางกลัวไม่ใช่หนิวโหย่วเต๋อแต่เป็นราชินีสวรรค์ เพราะในสายตานาง ฐานะสำคัญกว่าอำนาจทางหทาร ไม่แปลกใจที่หนิวโหย่วเต๋อมีความกล้าหาญมาขู่คุกคามถึงฝั่งนี้ ที่แท้ก็มีราชินีสวรรค์หนุนหลังอยู่นี่เอง!

หวังจัวไม่มีอารมณ์มาเถียงกับฮูหยินต่อแล้ว ปัญหาเรื่องแนวคิดใช่ว่าพูดนิดหน่อยแล้วจะโน้มน้าวได้ โดยเฉพาะระหว่างสามีภรรยา ถึงได้โน้มน้าวอีกฝ่ายหนึ่งแทน ทำได้เพียงพูดกับลูกสาวว่า “เป็นเรื่องอะไรกันแน่ข้าก็ไม่รู้ชัด แต่จิตใจของราชินีสวรรค์น่ะ เจ้าอยู่ในวังน่าจะรู้ดีกว่าข้า หนิวโหย่วเต๋อนั่นไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น กันไว้ดีกว่าแก้”

การวางแผนเล่นงานโอรสสวรรค์กลายเป็นเงามืดในใจสนมฉินไปแล้ว นางกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “แต่ลูกไม่สามารถติดต่อฝ่าบาทโดยตรงได้!” ประโยคเดียวก็เปิดเผยระดับความโปรดปรานที่ราชันสวรรค์มีต่อนางแล้ว ความหยิ่งในเกียรติยศยามกลับมาเยี่ยมบ้าน ตอนนี้หายไปราวกับฟองอากาศที่โดนจิ้มแตก ผู้หญิงในวังหลังที่สามารถติดต่อกับประมุขชิงได้โดยตรงมีน้อยจนนับนิ้วได้ ราชินีสวรรค์กับสนมสวรรค์ย่อมสามารถติดต่อได้โดยตรง เพียงแต่ในสถานการณ์ปกติ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทราบได้ว่าประมุขชิงกำลังยุ่งกับงานอะไร ไม่มีใครกล้าไปรบกวน ล้วนต้องให้คนไปรายงานก่อนตามธรรมเนียม

ส่วนสถานการณ์อีกอย่างหนึ่งก็คือ ส่วนใหญ่ถ้าผู้หญิงในวังมีเรื่องอะไรก็จะไปหาราชินีสวรรค์ผู้ซึ่งคุมวังหลัง ถ้าตอนนี้นางติดต่อหาราชินีสวรรค์ ราชินีสวรรค์จะบอกต่อให้หรือไม่ก็ยังเป็นปัญหาเลย ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ไม่กล้าติดต่อไปหาราชินีสวรรค์ด้วย

หวังจัวพบว่าลูกสาวลนลานแล้ว จึงเอียงหน้าไปข้างนอกพร้อมบอกว่า “บอกให้คนในวังรู้ ถ้าข่าวไปถึงหูคนที่ดูแลงานในวัง เสียงก็ย่อมดังไปถึงสวรรค์!”

สนมฉินเข้าใจทันที บิดากำลังหมายถึงคนที่ในวังส่งมาจับตาดูนาง เพียงแต่อยู่ต่อหน้ามารดาจึงไม่สะดวกจะพูดชัดเจนเกินไป

สนมฉินพยักหน้าและจัดการตามที่บอกทันที สั่งให้นางในตะโกนเรียกแม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่รับหน้าที่คุ้มครองเข้ามา โดยทั่วไปเมื่อสนมออกจากวัง ก็ล้วนมีคนทำหน้าที่คุ้มครองโดยเฉพาะ ไม่เหมือนในวังที่มียอดฝีมืออยู่เยอะ

แม่ทัพใหญ่ชื่อว่ามู่ตั๋ว พอได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมาหาเรื่อง เขาก็พูดไม่ออกนิดหน่อย หนิวโหย่วเต๋อก็เป็นคนที่ออกไปจากกองทัพองครักษ์เช่นกัน ทั้งสองเคยเจอกันตอนเฝ้าอุทยานหลวง แต่เขาก็รู้ดี ว่าถ้าหนิวโหย่วเต๋อจะลงมือจริงๆ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนมากมาย เกรงว่าคงจะไม่เห็นแก่ไมตรี มีแต่จะต้องฆ่าปิดปากเขาไปด้วย!

มู่ตั๋วขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่เดียว จากนั้นก็พยักหน้าแล้วหันตัวเดินออกไป

จากนั้นหวังจัวก็กำชับให้สองแม่ลูกไปหาเรือนอื่นหลบสักหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ให้โอกาสคนเล็งเป้าหมายได้โดยตรง เตรียมหนีออกไปจากที่นี่ได้ทุกเมื่อหากเกิดเรื่องขึ้น

สองแม่ลูกเตรียมตัวอย่างลนลาน ในจวนหัวหน้าภาครีบเตรียมแบ่งสรรกำลังพล บรรยากาศทั้งจวนเริ่มตึงเครียดแล้ว

จวนท่านปู่สวรรค์ ตำหนักหลัก เซี่ยโห้วลิ่งกำลังเรียกรวมคนในจวนมาประชุม

เว่ยซูที่หลบไปชั่วคราว ตอนนี้ออกมาจากตำหนักด้านหลังแล้ว เดินมาข้างกายเซี่ยโห้วลิ่งแล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “นายท่าน หนิวโหย่วเต๋อไปที่จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิงแล้ว!”

เซี่ยโห้วลิ่งกระปรี้กระเปร่าทันที กล่าวขออภัยทุกคนตรงนั้น แล้วลุกขึ้นเดินไปที่ตำหนักหลังกับเว่ยซู

เมื่อข้างกายไม่มีคนอื่นเห็นแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งก็ยังถ่ายทอดเสียงถามว่า “สถานการณ์เป็นยังไง หนิวโหย่วเต๋อลงมือแล้วเหรอ?”

เว่ยซูตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่ลงมือ บ่าวตรวจสอบข่าวมาจากคุณชายห้าแล้ว ทางจวนหัวหน้าภาคยังไม่ได้ให้หนิวโหย่วเต๋อเข้าประตู ฉากหน้าหนิวโหย่วเต๋อพามาแค่ชิงเยว่กับเหยียนซิว แต่ในจวนหัวหน้าภาคเริ่มตึงเครียดทันที เหมือนเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจแล้ว เร่งระดมกำลังพลสายต่างๆ ให้เตรียมตัวแล้ว ข่าวนี้คุณชายเก้าส่งมาก่อน คุณชายเก้าเหมือนจะไม่ค่อยพอใจ ถามว่าหมายความว่าอะไร ถามว่าราชินีสวรรค์ไม่ให้ร่วมมือใช่หรือเปล่า? ถ้าหากใช่ ก็ขอให้พวกเราหยุดนางเดี๋ยวนี้!”

เซี่ยโห้วลิ่งตะลึงงัน “ไม่ให้เข้าประตู? ภายนอกพาคนไปด้วยแค่สองคน? หนิวโหย่วเต๋อไปหาถึงที่อย่างสง่าผ่าเผยเหรอ?”

“ใช่ขอรับ อ้างว่าไปแสดงความยินดีที่ได้เลื่อนตำแหน่ง” เว่ยซูตอบ

“นี่เขาคิดจะทำอะไร? กำลังพลของขวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลมีความเคลื่อนไหวหรือเปล่า?” เซี่ยโห้วลิ่งแปลกใจ

เว่ยซูตอบว่า “หลังจากได้ข่าวจากคุณชายเก้า บ่าวก็ไปตรวจสอบกับคุณชายสามแล้ว ทางคุณชายสามพบว่าทัพใหญ่แดนรัตติกาลมีเค้าว่าแอบเคลื่อนพล เหมือนจะมีกำลังพลหายตัวไปไม่น้อย ตอนหลังก็ตรวจสอบกับคุณชายหกอีก คุณชายหกสืบจำนวนที่แท้จริงมาแล้ว หนิวโหย่วเต๋อแอบย้ายทัพใหญ่แปดหมื่นออกจากแดนรัตติกาล ภายนอกเหลือกำลังพลเอาไว้ประกอบฉากนิดหน่อย รายละเอียดว่าไปที่ไหนก็ไม่ทราบแน่ใจ”

“ทัพใหญ่แปดหมื่น…” เซี่ยโห้วลิ่งใบหน้ากระตุกเล็กน้อย ถาเหมือนพึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าหมอนั่นคงไม่คิดจะใช้กำลังหรอกใช่มั้ย?”

เว่ยซูกล่าวว่า “ต่อให้ใช้กำลัง แต่เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อก็คงไม่ได้เปรียบเท่าไรนัก ต่อทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะต่อสู้เก่งขนาดไหน แต่นั่นคือเขตใจกลางของทัพตะวันออก ทัพตะวันออกจะสามารถระดมกำลังพลกลุ่มใหญ่ล้อมปราบได้ทุกเมื่อ ถ้าสู้กันขึ้นมาเกรงว่าจะแพ้ยับเยิน ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะใช้งานกำลังพลสำรองจากหกลัทธิได้หรือเปล่า”

เซี่ยโห้วลิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง เจ้าเก้าต้องการจะเก็บคนไว้ เขาไม่สะดวกจะไม่ไว้หน้า แต่ก็อยากจะกำจัดหวังจัวทั้งตระกูลอีก เขาจึงคิดจะยืมมือหนิวโหย่วเต๋อ เขารู้จักนิสัยเซี่ยโห้วเฉิงอวี่พอสมควร รู้อย่างลึกซึ้งว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะต้องไปหาหนิวโหย่วเต๋อแน่นอน แต่ใครจะคิดหนิวโหย่วเต๋อจะเล่นลูกไม้นี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไปหาถึงประตูบ้านอย่างเปิดเผย ทำเอาเขากลายเป็นฝ่ายโดนกระทำ ต้องเชื่อฟังเจ้าเก้า ให้ราชินีสวรรค์ไปห้ามหนิวโหย่วเต๋องั้นเหรอ?

พอครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็บอกว่า “เจ้าถ่วงเวลาเจ้าเก้าไว้ก่อน บอกว่าทางราชินีสวรรค์ไม่รู้เรื่อง กำลังตรวจสอบสถานการณ์ ดูความเคลื่อนไหวทางน่านฟ้าชวดเกิงก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

เว่ยซูเข้าใจเจตนาของเขา อยากจะดูว่าหนิวโหย่วเต๋อจะสามารถช่วงชิงโอกาสหุงข้าวสารให้เป็นข้าวสุก[1]ได้หรือไม่ สำหรับสิ่งนี้เว่ยซูไม่ได้แสดงความเห็นอะไร พยักหน้าเอ่ยรับ “ขอรับ!”

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ริมลำธารที่มีสะพานเล็ก พ่อกับลูกชายกำลังเล่นหมากล้อมและพูดคุยกัน การเล่นหมากล้อมไม่ใช่เป้าหมายหลัก ทำเพื่อสร้างบรรยากาศเฉยๆ การพูดคุยกันต่างหากที่เป็นเรื่องหลัก

จั่วเอ๋อร์รีบร้อนเดินเข้ามา อิ๋งอู๋หม่านชำเลืองแวบหนึ่ง แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าเรื่องดีหรือเรื่องร้าย

จั่วเอ๋อร์ทำความเคารพ หลังจากรายงานสถานการณ์แล้ว สองพ่อลูกก็ตะลึงกันพร้อมกัน

“หนิวโหย่วเต๋อ?” อิ๋งจิ่วกวงงุนงง

อิ๋งอู๋หม่านก็มีปฏิกิริยาคล้ายกัน หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ข่าวคราวเงียบหายไปนานมากแล้ว ทำไมพอมีอะไรเกี่ยวข้องกับเขานิดหน่อย เขาก็กระโดดออกมาแล้วล่ะ นี่กำลังจะกระโจนเข้าใส่ตระกูลอิ๋งเหรอ?

จั่วเอ๋อร์พยัคหน้า “ค่ะ! ส่งคนไปยืนยันแล้ว เป็นหนิวโหย่วเต๋อไม่ผิดแน่ แต่ฉากหน้าพาคนไปแค่สองคน คนหนึ่งคือชิงเยว่ อีกคนพวกเขาไม่เคยเห็น คาดว่าน่าจะเป็นลูกน้องคนสนิทข้างกายหนิวโหย่วเต๋อที่ชื่อเหยียนซิว”

อิ๋งจิ่วกวงขมวดคิ้วเป็นร่อง สิ่งนี้ทำให้เขาผิดคาดนิดหน่อย เขาย่อมรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหนิวโหย่วเต๋อกับตำหนักนารีสวรรค์ แต่ตามหลักแล้วไม่ควรจะให้หนิวโหย่วเต๋อออกหน้าสิ เพราะกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อมีจำกัด ยามเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ จะไม่ให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตก็คงยาก การฆ่าสนมของราชันสวรรค์อย่างคึกโครม มีแต่คนสมองมีปัญหาเท่านั้นที่จะทำ มีแค่ต้องให้ตระกูลเซี่ยโห้วลงมือถึงเท่านั้น ถึงจะควบคุมความเคลื่อนไหวไว้ในขอบเขตที่กำหนดได้

แต่ถ้าใครจะบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนโง่ แล้วการสร้างสถานการณ์ที่งานเลี้ยงวันเกิดท่านปู่สวรรค์มันคืออะไรล่ะ? จะขึ้นไปนั่งตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลได้อย่างไร? แค่ทรยศประมุขชิงก็ทำให้ประมุขชิงรังเกียจแล้ว นี่ยังจะฆ่าสนมของประมุขชิงอย่างคึกโครมอีกเหรอ คิดว่าประมุขชิงจะไม่กล้าฆ่าเขาหรือไง?

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? อิ๋งจิ่วกวงมองไม่ค่อยเข้าใจ ถามเสี่ยงต่ำว่า “เป็นไปไม่ได้ที่จะลงมือโดยใช้คนไม่กี่คน ทัพใหญ่แดนรัตติกาลของเขามีการเคลื่อนไหวหรือเปล่า?”

จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “ตรวจสอบกับทางตลาดผีแล้ว จากเบาะแสต่างๆ เหมือนจะมีกำลังพลหายไปจริงๆ คาดว่าน่าจะห้าหมื่นขึ้นไป ส่วนรายละเอียดเรื่อจำนวน พวกเรายังไม่ทราบค่ะ”

อิ๋งจิ่วกวงโยนตัวหมากทิ้งแล้วยืนขึ้น ร้อนรนจนนั่งไม่ติดที่แล้ว เพราะจับจุดอ่อนของหนิวโหย่วเต๋อไม่ไหวจริงๆ คนอื่นอาจจะตัดสินตามหลักเหตุผลได้ แต่เจ้าเวรหนิวโหย่วเต๋อนั่นทำแต่เรื่องที่กลับกลอกยากคาดเดา ถึงขนาดระดมทัพใหญ่แล้ว ถ้าจะต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ เขาก็ไม่ได้กังวลว่ากำลังพลน้อยนิดนั่นจะกำเริบเสิบสานที่ใจกลางอาณาเขตทัพตะวันออก แต่ปัญหาก็คือกำลังของทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่ได้อ่อนแอเลย บวกกับฝีมือบัญชาการรบของหนิวโหย่วเต๋อ ถ้ามาตบหน้าทัพตะวันออกต้องดูแย่แน่ แล้วอ๋องสวรรค์อิ๋งผู้สง่าภูมิฐานอย่างเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เขาเสียหน้าให้คนคนนั้นไม่ไหวหรอก

“รีบสั่งให้ยอดฝีมือที่อยู่แถวนั้นรีบไปคุมสถานการณ์ไว้ก่อนล่วงหน้า สั่งให้หวงชิ่งระดมทัพใหญ่ไปเตรียมสนับสนุนที่น่านฟ้าชวดเกิงเดี๋ยวนี้ ถ้าลงมือเมื่อไร อย่าปล่อยให้กำลังพลแดนรัตติกาลเหลือรอดไปแม้แต่คนเดียว ให้พวกเขาถือหัวของหนิวโหย่วเต๋อมาพบอ๋องผู้นี้!” อิ๋งจิ่วกวงถ่ายทอดคำสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ค่ะ!” จั่วเอ๋อร์รีบหยิบระฆังดาราออกมาถ่ายทอดคำสั่ง

อิ๋งจิ่วกวงพลันเอียงหน้ามองอิ๋งอู๋หม่าน “ทัพใหม่ที่เจ้าสร้างขึ้นมา มีความมั่นใจที่จะสู้กับทัพใหญ่แดนรัตติกาลหรือเปล่า?”

อิ๋งจิ่วกวงหัวใจกระตุกวูบ คงไม่ได้คิดจะให้ทัพใหม่ไปทดสอบฝีมือหรอกใช่มั้ย? เขาตอบอย่างลังเลนิดหน่อย “ไม่เคยลงมือกับทัพใหญ่แดนรัตติกาล แพ้ชนะยากจะตัดสิน”

ตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถูกเซี่ยโห้วลิ่งสอบถาม เซี่ยโห้วลิ่งถามอย่างคลุมเครือ ถามว่าหนิวโหย่วเต๋อไปทำอะไรที่น่านฟ้าชวดเกิง?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ดีใจแทบบ้า นี่หนิวโหย่วเต๋อกำลังจะไปลงมือระบายความโกรธให้นางแล้วเหรอ? แต่คำตอบที่ให้กลับไปก็คลุมเครือเช่นกัน นางตอบว่าไม่รู้!

เซี่ยโห้วลิ่งเตือนไปนิดหน่อย บอกว่าทางนี้ได้รับข่าวมา ว่าหนิวโหย่วเต๋อแอบระดมทัพใหญ่แดนรัตติกาลจนวนแปดหมื่น ให้นางไปถามให้ชัดเจนว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร บอกว่าอย่าให้ก่อเรื่อง

หนิวโหย่วเต๋อระดมทัพใหญ่แปดหมื่นแล้วเหรอ? ตอนนี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ภายนอกดูสงบใจเย็น แต่มือที่อยู่ในแขนเสื้อกำลังกำหมัดด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้สัมผัสความรู้สึกยามได้ออกคำสั่งให้ทัพใหญ่ไปเปลี่ยนแปลงสถานการณ์

นางไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หยุดยั้งเหรอ? ทำไมต้องหยุดล่ะ? เมื่อถึงตอนนั้น นางแค่บอกว่าตัวเองไม่รู้เรื่องก็พอ ค่อยหาทางปกป้องหนิวโหย่วเต๋อทีหลัง สิ่งที่นางกังวลตอนนี้ก็คือหนิวโหย่วเต๋อจะเอาชนะได้หรือเปล่า?

ถ้าหนิวโหย่วเต๋อรู้ถึงความคิดของนางตอนนี้ คาดว่าคงอยากจะบีบคอนางให้ตาย

ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงที่กำลังจัดการราชกิจแทบจะได้รับข่าวพร้อมกัน ตอนนี้เขาหรี่ตานั่งพิงเก้าอี้

ซ่างกวนชิงยืนอยู่ข้างๆ หลังจากใช้ระฆังดาราเสร็จแล้วก็หันตัวกลับมารายงานว่า “ถามทางซือหม่าเวิ่นเทียนแล้วขอรับ ตามที่สายลับรายงานมา หนิวโหย่วเต๋อแอบระดมทัพใหญ่แดนรัตติกาลแปดหมื่นแล้ว ไม่ทราบแน่ชัดว่าไปไหน แต่ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อยังถูกกันอยู่นอกจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดเกิง ยังไม่ได้เข้าไป เพียงแต่ในจวนหัวหน้าภาคเริ่มตึงเครียดแล้ว ทุกคนตระหนกมาก ทัพใหญ่เกรียงไกรสายต่างๆ ของน่านฟ้าชวดเกิงกำลังเร่งไปที่นั่น หวงชิ่งเองก็รีบระดมทัพใหญ่ไปสนับสนุนเช่นกัน ทัพตะวันออกรีบส่งยอดฝีมือจำนวนมากเร่งตามไป ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างนี้ขอรับ”

“ไปแสดงความยินดีอย่างสง่าผ่าเผย เล่นลูกไม้อะไรกัน? ฮ่าๆ!” ประมุขชิงพลันหัวเราะ แล้วลืมตาบอกว่า “เจ้าลูกลิงนั่นมีพลังอำนาจขนาดนั้นเชียวเหรอ? ไม่ได้โผล่หน้าออกมาหลายปี ขนาดมาคนเดียวนะ ยังไม่ทันได้เข้าประตูบ้านก็ทำให้คนแตกตื่นใหญ่โตขนาดนี้แล้วเหรอ? ดูวางมาดเข้าสิ แค่แมวน้อยตัวหนึ่ง ทำไมเฉิงอวี่ทำเหมือนตัวเองกำลังปล่อยเสือออกจากภูเขาล่ะ นึกไม่ถึงว่าฝั่งนั้นจะวิตกกังวล อะไรจะขนาดนั้น?”

ซ่างกวนชิงโค้งตัวเล็กน้อย หัวเราะตามเขาพร้อมบอกว่า “เป็นฝ่าบาทที่ปล่อยเสือออกจากภูเขา!”

……………………

[1] หุงข้าวสารให้เป็นข้าวสุก 生米煮成熟饭 หมายถึง ทำให้เรื่องราวเลยจุดที่จะแก้ไขได้เลย

พอได้ยินคำสั่งนี้ก็รู้สึกแปลกนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าสาเหตุที่สั่งระดมพลมาเตรียมไว้ก็เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่ญาติสนิทมิตรสหาย ไม่เคยเห็นหน้าอีกฝ่ายก็ตัดสินแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดี อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็มาแสดงความยินดี แต่ฝั่งกลับต้องการระดมพลมาเตรียมป้องกัน

แน่นอน แม้คำสั่งที่ถ่ายทอดลงจะไปแปลกๆ แต่ทุกคนก็เข้าใจได้ ถึงอย่างไรทุกคนก็กังวลเหมือนกัน เพราะการที่หนิวโหย่วเต๋อถ่อมาในเวลานี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันแล้วจริงๆ

“ขอรับ!” กลุ่มลูกน้องเอ่ยรับคำสั่งเสียงดัง ต่างคนต่างรีบหยิบระฆังดาราระดมกำลังพลของตัวเอง

ส่วนหวังจัวก็รีบหันตัวเดินเข้าไปในโถงด้านหลัง ไม่มีอารมณ์จะอยู่กับพวกลูกน้องกลุ่มนี้แล้ว

เหยียนซู่ที่เห็นฉากนี้แอบทอดถอนหายใจไม่หยุด ยังไม่ทันเห็นตัวหนิวโหย่วเต๋อ แค่ได้ยินว่าคนจะมาก็ทำให้ทั้งน่านฟ้าชวดเกิงตกใจจนลุกลี้ลุกลนแล้ว ลองนึกย้อนไปถึงฉากที่คนกลุ่มหนึ่งพูดเหยียดหยามแสดงความอัปยศต่อหนิวโหย่วเต๋อในปีนั้น แล้วลองมาดูตอนนี้อีก ก็พบว่าแตกต่างกันไม่ใช่น้อยๆ แม้แต่นางเองก็ยังคิดไม่ตกว่าคนกลุ่มนั้นอาศัยอะไรไปเหยียดหยามอีกฝ่าย? โง่เง่านัก ไม่ได้โง่ธรรมดา เรียกได้ว่าเรื่องราวเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน ภาพตรงหน้าก็คือตัวอย่างแล้วว่าอย่ารังแกเด็กแล้วคนจน คนที่ในปีนั้นอาศัยภูมิหลังเล็กน้อยรังแกคนไม่มีภูมิหลัง ในตอนนี้ไม่มีใครชีวิตดีกว่าหนิวโหย่วเต๋อสักคน

หวังจัวที่เดินเข้าโถงด้านหลังหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วทันที จะถามว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ คุยกันแล้วไม่ใช่หรือว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่แตะต้องเขา แล้วจู่ๆ หนิวโหย่วเต๋อโผล่มาที่นี่หมายความว่าอย่างไร? แม้หนิวโหย่วเต๋อจะดูเหมือนไม่ใช่คนของตระกูลเซี่ยโห้ว แต่กลับเป็นคนของราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ก็นับว่าเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกันน่ะสิ? เจ้าเวรนี่ถ่อเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย น่าตกใจแทบตาย สร้างความกดดันยิ่งกว่าคนตระกูลเซี่ยโห้วแอบส่งคนมาเสียอีก มาอย่างสง่าผ่าเผยโดยอ้างว่าจะแสดงความยินดี ทำให้ไม่รู้ว่าจะเชิญเข้ามาหรือไม่เชิญเข้ามาดี ถ้าให้เข้ามาก็กลัวอีกฝ่ายจะมาหาเรื่อง ถ้าไม่ให้เข้ามาก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเสียหน้าจนหาโอกาสอาละวาด

เมื่อนึกเชื่อมโยงกับพฤติกรรมในอดีตของเจ้าบ้านั่น กฎหรือธรรมเนียมของตำหนักสวรรค์มีผลกับเขาด้วยเหรอ? นั่นคือคนที่กล้านำกำลังพลมาจ่อนอกตลาดสวรรค์แล้วประกาศอย่างโจ่งแจ้งว่าจะล้างเลือดทั้งเมือง เจอกับคนที่ไม่สนใจกฎกติกาแบบนี้น่าปวดหัวที่สุด

หนิวโหย่วเต๋อ? ตระกูลเซี่ยโห้วได้ข่าวแล้วแปลกใจมาก ให้เขาพยายามคุมสถานการณ์ไว้แล้ว ทางนี้จะรีบสืบให้ชัดเจนว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่

หวังจัวที่เดินออกจากโถงด้านหลังมาปรึกษากับชายชราสามคนที่แต่งกายเหมือนผู้ใต้บังคับบัญชา พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือที่ตระกูลเซี่ยโห้วส่งมา ทั้งสามเป็นนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ ทั้งยังมีนักพรตบงกชกลายอีกยี่สิบคนที่ซ่อนตัวอยู่ในจวนด้วย

หวังจัวเองก็ไม่รู้ว่าสามคนนี้เป็นใคร ปกติจะเรียกว่าฉินใหญ่ ฉินรองและฉินสาม ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นชื่อปลอม ยังไม่ต้องสนใจว่าชื่อจริงของอีกฝ่ายคืออะไร ตอนนี้ให้อีกฝ่ายเตรียมตัวคุ้มกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน

“หนิวโหย่วเต๋อ?” ทั้งสามได้ยินแล้วพึมพำ ฉินใหญ่ขมวดคิ้วถาม “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นหนิวโหย่วเต๋อ?”

หวังจัวส่ายหน้า “ทางฝั่งข้าก็ไม่แน่ใจว่ามีใครเคยเห็นเขาหรือเปล่า แต่เดาว่าน่าจะไม่ใช่ตัวปลอม ใครจะถ่อมาปลอมเป็นเจ้าหมอนั่นล่ะ?”

ฉินใหญ่ถามว่า “มีกำลังพลมาเท่าไร?” เห็นได้ชัดว่าอีกสองคนก็สนใจจุดนี้เช่นกัน เป็นเพราะกำลังคนที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลไม่อ่อนแอเลย

หวังจัวตอบว่า “ภายนอกพาผู้ติดตามมาด้วยสองคน แต่แอบมีกำลังพลดักซุ่มหรือเปล่าก็ไม่รู้”

ฉินใหญ่ค่อนข้างงง “แค่สองคนเองเหรอ? ใช่ชิงเยว่กับหลงซิ่นหรือเปล่า? ถ้าเป็นสองคนนี้ก็ยุ่งยากนิดหน่อย เพราะทั้งสองล้วนเป็นขุนพลตอนที่ทำศึกบุกยึดใต้หล้า ในปีนั้นชิงเยว่คือขุนพลที่มีอยู่จำนวนน้อยนิดของฮ่าวเต๋อฟาง แค่นางคนเดียว พวกเราสามคนก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง”

หวังจัวฝืนยิ้ม “ไม่รู้สิ ทางฝั่งข้าอาจจะไม่มีใครรู้สักพวกเขาสองคน”

ฉินใหญ่เอียงหน้าบอกทันที “ฉินสาม เจ้ารีบไปดู”

ฉินสามพยักหน้าแล้วรีบออกไป ไปเร็วมาเร็ว ทางนี้รอได้ประเดี๋ยวเดียว ฉินสามก็วิ่งกลับมาแล้ว “เป็นชิงเยว่ ส่วนอีกคนไม่รู้จัก ไม่ใช่หลงซิ่น หน้านิ่งมาก มีพลังระดับไหนก็ไม่รู้ แต่ถ้าสามารถเคียงกับชิงเยว่ได้ คาดว่าพลังคงไม่ได้น้อยกว่าชิงเยว่”

“ในเมื่อชิงเยว่มาแล้ว สงสัยจะไม่ต้องเดา คงจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อนั่นจริงๆ” ฉินรองกล่าวเสียงต่ำ

หวังจัวรีบถาม “ถ้าหนิวโหย่วเต๋อมาหาเรื่อง คนที่ทั้งสามท่านพามาจะต้านไหวหรือเปล่า?”

ทั้งสามอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันเลิกลั่ก มีกำลังพลกลุ่มใหญ่อยู่ในจวนหัวหน้าภาค บวกกับยอดฝีมืออย่างพวกเขา พวกนี้ล้วนใช้รับมือกับการลอบจู่โจม ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะรับมือกับการรุกโจมตีของทัพใหญ่ ตระกูลเซี่ยโห้วที่วางกำลังไว้ล่วงหน้าก็ไม่อาจรุกโจมตีอย่างโจ่งแจ้งได้เช่นกัน การวางกำลังพลไว้ในที่แจ้งแล้วสู้กันไม่ใช่ลักษณะของตระกูลเซี่ยโห้ว จุดอ่อนที่ใหญ่ขนาดนี้ตระกูลเซี่ยโห้วอาจรับไม่ไหว ต้องทราบไว้ว่านี่คือการสังหารสนมของราชันสวรรค์ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ได้ไม่คุ้มเสีย ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้โง่ขนาดนั้น

แต่นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต๋อที่ข่าวคราวเงียบหายไปหลายปีจะโผล่มาแล้ว เจ้าคนทึ่มนี่ไม่ได้ยึดหลักการ ‘ได้ไม่คุ้มเสีย’ อะไรทั้งนั้น ขนาดหลานชายทั้งอ๋องก็ยังฆ่าเลย เรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสียเขาทำมาเยอะแล้ว เป็นพวกที่ชอบก่อเรื่องก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องเช็ดก้นทีหลัง นี่มาหาถึงประตูบ้าน ทั้งยังมาอย่างสง่าผ่าเผยด้วย แสดงลักษณะของเจ้านกโง่ให้เห็นแล้ว

ถ้าหนิวโหย่วเต๋อใช้วิธีการแข็งกร้าว สั่งให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลบุกโจมตี ทางฝั่งนี้ก็ไม่มีความมั่นใจอะไรเลยจริงๆ

“ถ้ามีแค่สามคนนี้ก็ยังจัดการง่ายหน่อย แต่พวกเราถ่วงเวลาพวกเขาไว้ได้ แล้วให้ทัพใหญ่ของหัวหน้าภาควางกำลังช่วยเหลือ ก็น่าจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าอีกฝ่ายซ่อนทัพใหญ่เอาไว้ คาดว่าหัวหน้าภาคหวังคงเคยได้ยินเรื่องทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาแล้วเหมือนกัน ฝ่ายเราอาจจะลำบากแล้ว” ฉินใหญ่ไม่มั่นใจ

หวังจัวฟังแล้วเครียด รีบกุมหมัดคารวะ “หวังว่าท่านจะรีบรายงานท่านอ๋อง รีบส่งยอดฝีมือมาสนับสนุน”

ฉินใหญ่พยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว หัวหน้าภาคหวังก็ควรแจ้งท่านโหวหวงทันที ให้ระดมทัพใหญ่มาสนับสนุน ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่กำลังพลน่านฟ้าชวดเกิง เกรงว่าจะต้านทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่ไหว!”

“เข้าใจแล้ว!” หวังจัวกุมหมัดคารวะทั้งสามอีกครั้ง “ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร ทั้งสามจะต้องคุ้มครองครอบครัวข้าก่อน” การที่พูดแบบนี้ได้ ก็แสดงว่าไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่ากำลังพลของตัวเองจะต้านทัพใหญ่แดนรัตติกาลไหว ยังไม่ต้องพูดถึงปัจจัยอื่น แค่ที่หนิวโหย่วเต๋อเคยนำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์โจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงจนแตกยับก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว

“พวกเราย่อมทำสุดความสามารถ” ฉินใหญ่พยักหน้าเอ่ยรับ

ฉินสามบอกอีกว่า “เพื่อความปลอดภัย หัวหน้าภาคหวังให้สนมฉินติดต่อขอความช่วยเหลือจากวังสวรรค์ก็ได้ ขอเพียงราชันสวรรค์ห้ามราชินีสวรรค์ไว้ เมื่อคำสั่งราชินีสวรรค์ออกมาเมื่อไร หนิวโหย่วเต๋อกับหัวหน้าภาคหวังไม่ได้มีความแค้นอะไรกัน คาดว่าคงไม่อยากก่อเรื่องนี้ เดี๋ยวก็ย่อมถอยไปเอง”

“ข้าก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน!” หวังจัวกุมหมัดคาระวแล้วไม่อิดออด รีบไปจัดการตามนั้นทันที

ฉินใหญ่และอีกสองฉินสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขารู้สึกปวดประสาท พบว่าการที่หนิวโหย่วเต๋อมาถึงประตูบ้านอย่างสง่าผ่าเผยทำให้ทางนี้เป็นฝ่ายถูกกระทำมาก ต่อให้อีกฝ่ายมีเพียงสามคน แต่ทางนี้ก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม อีกฝ่ายมาอย่างสง่าผ่าเผย ถ้าบุ่มบ่ามลงมือกับคนตำแหน่งใหญ่ของตำหนักสวรรค์ ข้อหาก็ไม่ใช่เล็กๆ เจ้าคงเอาเยี่ยงอย่างหนิวโหย่วเต๋อที่ชอบทำซี้ซั้วไม่ได้หรอก อย่างไรเสียก็ต้องดูก่อนว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเป็นฝ่ายก่อเรื่องก่อนหรือไม่

ถ้าหาข้ออ้างไปหาเรื่องให้หนิวโหย่วเต๋อลงมือก่อนล่ะ? เกรงว่าจะสมความปรารถนาของอีกฝ่ายพอดี ดีไม่ดีอีกฝ่ายอาจกำลังกลุ้มใจที่หาโอกาสลงมือไม่ได้ เจ้าลองเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนดูสิ คาดว่าน่านฟ้าชวดเกิงคงจะโดนตีจนฟ้าพลิกทันที เจ้าเอ๋อนั่นเป็นประเภทที่กลัวว่าเรื่องราวจะไม่ใหญ่โตอยู่แล้ว

ในเรือนที่อยู่ลึกเข้าไปข้างใน ที่พักของสนมฉิน มีคนของวังสวรรค์เฝ้าอยู่ ไม่ต่างอะไรกับการถูกกักบริเวณไว้ในบ้าน

หวังฮูหยินมารดาของนางมักจะมาอยู่เป็นเพื่อนลูกสาวเพื่อคลายความกังวล เรื่องบางเรื่องคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดก็อาจเป็นคนที่รู้น้อยที่สุด จนป่านนี้หวังฮูหยินก็ยังไม่รู้เลยว่าลูกสาวตัวเองเกี่ยวข้องกับเรื่องที่โอรสสวรรค์ถูกลดตำแหน่ง คนที่ไปมาหาสู่ด้วยไม่โง่จนถึงขั้นเปิดเผยต่อหน้านาง หวังจัวและลูกสาวก็ไม่บอกนางเพราะกลัวนางกังวล แค่อ้างไปว่าผู้หญิงของราชันสวรรค์มาเยี่ยมญาติก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว สนมของราชันสวรรค์ไม่สะดวกจะคลุกคลีกับผู้ชายข้างนอก หาข้ออ้างดีๆ เพื่อการกักบริเวณครั้งนี้ได้แล้ว

ตอนที่หวังจัวมาถึง สองแม่ลูกก็กำลังคุยกันอยู่พอดี

“หนิวโหย่วเต๋อ? กล้ามาก่อเรื่องที่นี่ด้วยเหรอ? ไม่ดูเสียบ้างว่าที่นี่คือที่ไหน!” พอได้ยินว่าสามีบอกว่าหนิวโหย่วเต๋ออาจจะมาก่อเรื่องที่นี่ หวังฮูหยินก็ตบโต๊ะถลึงตา มองลูกสาวแวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างภูมิใจว่า “ลูกสาวข้าเป็นสนมรักของฝ่าบาท หนิวโหย่วเต๋อจะกล้ากบฏเหรอ เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วละมั้ง?”

ใบหน้างามของสนมฉินเจือรอยยิ้มอ่อน ยกน้ำชาในมือจิบอย่างสง่างาม ผู้หญิงที่ราชันสวรรค์โปรดปราน ในใจย่อมมีความภาคภูมิใจเล็กๆ ไม่แยแสหัวหน้าภาคเล็กต่ำต้อยคนหนึ่งเลยจริงๆ ปกติตอนอยู่วังสวรรค์นางเจอบุคคลระดับไหนบ้างล่ะ? แน่นอนว่าตัดบิดาตัวเองออก นางไม่ได้ดูถูกบิดาตัวเอง

นอกจากนี้ยังรู้สึกหยิ่งในศักดิ์ศรีนิดๆ พอกลับมาที่บ้านตัวเอง ก็อยากจะวางมาดผู้หญิงของราชันสวรรค์บ้าง

ทางนี้กำลังอกสั่นขวัญแขวนที่ภัยมาถึงตัว แต่ดูท่าทีของสองแม่ลูกนี่สิ เหมือนจะไม่สนสี่สนแปดอะไรเลย! หวังจัวเห็นแล้วเดือดดาลนิดหน่อย อย่างไรเสียลูกสาวก็เป็นสนมของราชันสวรรค์ เขาไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก ได้แต่จ้องฮูหยินพลางตะคอก “เจ้าจะเข้าใจอะไรล่ะ?”

หวังฮูหยินลุกขึ้นยืน แล้วถามอย่างรู้สึกขำ “เป็นความผิดของข้ารึไง? หนิวโหย่วเต๋อคิดจะก่อกบฏเหรอ?”

นางพูดไม่ผิดเลยจริงๆ พูดได้ถูกจุดแล้ว

สนมฉินเห็นบิดาทำท่าจะอาละวาด จึงปลอบว่า “ท่านพ่อ หนิวโหย่วเต๋อนั่นลูกก็รู้จักเหมือนกัน เคยได้ยินมาด้วย ไปมีเรื่องด้วยยากจริงๆ แต่ยังไงก็ต้องรู้สึกบันยะบันยัง ลูกเป็นสนมของฝ่าบาท อาศัยฐานะเขาตอนนี้ เขากล้าแตะต้องลูกด้วยเหรอ? เขาไม่มีความกล้านั่นหรอก! ท่านพ่อ อีกฝ่ายอาจจะมาแสดงความยินดีจริงๆ ก็ได้ค่ะ ท่านคงคิดมากไปแล้ว”

หวังจัวอดกลั้นไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็โพล่งคำพูดแรงๆ ออกมา “สุดท้ายทั้งใต้หล้านี้ก็ยังดูกันที่ว่าใครมีศักยภาพแข็งแกร่งกว่า ดูว่าในมือใครมีกำลังทหารเข็มแข็งกว่า! เป็นสนมของฝ่าบาทแล้วยังไง? ในสายตาของขุนนางที่มีอำนาจ เจ้าไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้น! แม้แต่โอรสสวรรค์ยังกล้าวางแผนเล่นงาน เจ้าคิดว่าตัวเองสำคัญกว่าโอรสสวรรค์รึไง! เรื่องตัดหัวคนน่ะ หนิวโหย่วเต๋อนั่นเคยทำมาน้อยเหรอ? เคยดูหมิ่นสนมสวรรค์ต่อหน้าอ๋องสวรรค์อิ๋ง เจ้าลองเทียบตัวเองกับสนมสวรรค์ดูว่าเป็นยังไง? หนิวโหย่วเต๋อเริ่มตั้งแต่สังหารข้าทาสขุนนางใหญ่ที่ตลาดสวรรค์จนเลือดนองเป็นแม่น้ำ…”

เขาเล่าเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อเคยทำออกมาทีละเรื่อง ใช่ว่าสองแม่ลูกจะไม่เคยได้ยินมาก่อน เพียงแต่สิ่งที่ได้ยินล้วนเป็นเรื่องของคนอื่น ไม่เคยเกี่ยวข้องกับตัวเองเลย จึงไม่เก็บมาใส่ใจ ในสายตาพวกนาง เรื่องพวกนั้นไม่สำคัญเท่าการเลือกเสื้อผ้าใส่ในชีวิตประจำวันด้วยซ้ำ และไม่มีใครเคยวิเคราะห์ถึงความเกี่ยวโยงที่ร้ายแรงให้พวกนางฟังด้วย หลังจากเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อมีคุณสมบัติอย่างไร สองแม่ลูกก็เริ่มสีหน้าเปลี่ยน

“ที่นี่ไม่มีคนนอก ข้าจะพูดอย่างไม่กลัวเสียหน้าเลยแล้วกัน ข้าไม่มีความมั่นใจเลยว่ากำลังพลในมือข้าจะต้านทานกำลังพลในมือเจ้าบ้านั่นไหว ฟางเอ๋อร์ เจ้าอย่าลืมนะว่าหนิวโหย่วเต๋อคือขุนพลสายตรงของตำหนักนารีสวรรค์ มีความเป็นไปได้สูงว่าครั้งนี้ราชินีสวรรค์ส่งเขามา!”

เพล้ง! สนมฉินมือสั่น ถ้วยชาตกพื้นแตกกระจาย น้ำชาสาดกระเซ็น นางลุกพรวดด้วยสีหน้าซีดเผือด กล่าวอย่างลนลนว่า “ท่านพ่อ ท่านบอกว่าท่านคุยกับฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วแล้วไม่ใช่เหรอ?”

หวังฮูหยินตกใจ “ราชินีสวรรค์? เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับราชินีสวรรค์? แล้วทำไมราชินีสวรรค์ต้องส่งคนมาหาเรื่องพวกเรา?” นางหันกลับมามองลูกสาว “ฟางเอ๋อร์ หรือว่าเจ้าหาเรื่องใส่ตัว ไปแย่งชิงความรักกับราชินีสวรรค์?”

……………………

หนิวโหย่วเต๋อเหรอ? กลุ่มแม่ทัพภาคที่อยู่ในโถงเงียบขรึมในชั่วพริบตาเดียว ในโถงเงียบจนหากมีเข็มตกลงพื้นเล่มเดียวก็จะได้ยิน ทุกคนล้วนตะลึงไปชณะเพราะการมาของชื่อนี้ คาดว่าในใต้หล้าคงมีชื่อนี้ไม่เยอะ

ที่สำคัญก็คือ พวกเขาไม่ได้ยินชื่อนี้มานานแล้ว หลายปีแล้วที่ไม่ได้ยินคนเอ่ยถึงชื่อนี้ คนที่รู้จักชื่อต่างก็รู้ว่าในปีนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังจริงๆ นั่นคือคนที่บุกทะลวงไปข้างหน้าตลอดทาง ใช้วิธีเร่งเติบโตอย่างหฤโหดเพื่อไต่ตขึ้นตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล เมื่อเอ่ยถึงหนิวโหย่วเต๋อผู้นี้ บรรดาแม่ทัพภาคที่สร้างผลงานในปีนั้นก็ล้วนมีภาพฝังลึกในความทรงจำ

ตอนเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ก็ประหารข้าทาสของบรรดาขุนนางใหญ่จนศีรษะกลิ้งเต็มพื้น

ล่วงเกินคนอื่นจนถูกส่งไปแดนอเวจี แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะรอดกลับมาได้ ถือทวนบุกเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน ด่าเย้ยกำลังพลนับล้านว่าเป็นหนูสกปรก!

ชิงตัวนางคณิกาจนล่วงเกินคนอื่น จึงถูกทำโทษย้ายไปกองทัพองครักษ์ ผลปรากฏว่าจัดการกำลังพลใต้บังคับบัญชาจนหมอบราบคาบแก้ว ตอนหลังก็นำกำลังพลกองทัพองครักษ์ไปล้อมตลาดสวรรค์อย่างเปิดเผย ขู่จนร้านค้าในตลาดสวรรค์ตกใจเป็นไก่บินสุนัขกระโดด ภายใต้การใช้อำนาจอิทธิพลขู่บังคับ ร้านค้าตลาดสวรรค์ใจป้ำส่งมอบทรัพย์สินให้ เรื่องนี้ถึงได้จบลง ตอนนั้นเคยมีคำพูดล้อเลียนว่า ชื่อของหนิวโหย่วเต๋อสามารถใช้ขู่ให้เด็กที่ตลาดสวรรค์หยุดร้องไห้ได้ เรียกได้ว่าความเคลื่อนไหวนั้นทำให้คนรู้กันทั้งใต้หล้า

ที่ยอดเยี่ยมกว่านั้นยังอยู่ตอนหลัง หนิวโหย่วเต๋อคนนี้โจมตีหลานสาวอ๋องสวรรค์อิ๋งซึ่งเป็นสนมโปรดของราชันสวรรค์ ทั้งยังจับแขวนให้อับอายอยู่บนเสาธงอีกด้วย

แต่ต่อให้เป็นอย่างนี้ อีกฝ่ายก็ยังอาศัยผลงานไต่เต้าขึ้นตำแหน่งแม่ทัพภาคกองมังกรดำของกองทัพองครักษ์ได้ การสร้างผลงานที่กองทัพองครักษ์คือต้นทุนที่สุดยอดแล้ว

ได้เลื่อนยศไม่นานก็ก่อเรื่องในพิธีรับสนมสวรรค์ของราชันสวรรค์ เจ้าเวรนี่ด่าอ๋องสวรรค์อิ๋งต่อหน้าฝูงชนว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ ชั่วขณะนั้นเกิดเสียงฮือฮา ถูกทำโทษให้ไปอยู่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ตาย รอดชีวิตกลับมาชิงตัวแม่หม้ายของหัวหน้าภาคคนหนึ่ง นอกจากจะใจกล้าคับฟ้าลงทัณฑ์ทรมานหัวหน้าภาคคนนั้นจนตายแล้ว ยังนำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์โจมตีทัพใหญ่เกรียงไกรหนึ่งล้านจนพ่ายแพ้ด้วย สังหารคนตายไปหลายแสน นั่นคือศึกที่ทำให้ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า สี่อ๋องสวรรค์ที่ได้ยินข่าวล้วนเชิญชวนเขามาเป็นเขย ตอนหลังอ๋องสวรรค์โค่วรับแม่หม้ายคนนั้นเป็นบุตรสาวบุญธรรมทำถึงได้ดึงตัวเขาไปได้ แต่ศึกนั้นกลับทำให้กองมังกรดำสลายตัวไป ส่วนหนิวโหย่วเต๋อเองก็ถูกลดตำแหน่งมาเป็นพลทหารเฝ้าที่นาหลวง แต่กลับไม่ได้บทเรียน ยังก่อเรื่องสังหารลูกหลายขุนนางใหญ่อีกไม่น้อย แม้แต่หลานชายของอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ถูกเขากำจัดทิ้งแล้ว

ตอนหลังถูกส่งไปตลาดผี แล้วก็สร้างผลงานซ้ำแล้วซ้ำอีกจนได้ยศกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว นำจวนแม่ทัพภาคของตลาดผีที่ตั้งมั่นมาหลายปีไปสลับกับวัดพระกษิติครรภ์ แล้วก็วางอุบายเดิมพันในราชสำนักจนทำให้ตลาดผีมีเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินทั้งใต้หล้ามาขอพึ่งพา เรื่องนี้ฮือฮาไปทั่วหล้า ขยายระดับจวนแม่ทัพภาคให้กลายเป็นระดับจวนหัวหน้าภาค ด้วยเหตุนี้จึงไต่เต้าขึ้นตำแหน่งหัวหน้าภาค!

สำหรับกลุ่มคนที่อยู่ตรงนี้ รายละเอียดบางอย่างอาจจะไม่รู้ชัดเจน แต่กระบวนการคร่าวๆ ก็พอจะได้ยินมาบ้าง หนิวโหย่วเต๋อคนนี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของบุคคลระดับในราชสำนักครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปก็คงตายไปหลายรอบแล้ว แต่เจ้าเวรนี่กลับยังมีชีวิตอยู่อย่างดี เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมจริงๆ สมแล้วที่แซ่หนิว

ก็เพราะเดินริมแม่เท้าเท้าย่อมเปียก เดินบนถนนมืดต้องมีสักครั้งที่ได้เจอผี เพราะทุกคนคิดว่าต่อไปนี้เจ้าเวรนี่จะก่อเรื่องไม่หยุดแน่นอน ช้าเร็วก็ต้องมีวันที่พลาด แต่จู่ๆ ก็ดันอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ใต้หล้าใหญ่ขนาดนี้ ข่าวคราวของเขาเริ่มหายไปทีละน้อย จนกระทั่งข่าวเงียบสนิท รู้เพียงว่าน้ำพุวังเวงที่เคยเข้าออกได้อย่างอิสระถูกเจ้าเวรนั่นเรียกเก็บภาษีแล้ว!

พอทุกคนลองนึกย้อนนิดหน่อย เรื่องในอดีตของหัวหน้าภาคหนิวก็ปรากฏอยู่ในหัวแล้ว แต่ละคนแอบพึมพำว่า หนิวโหย่วเต๋อคนนี้เก็บตัวมาเกือบหนึ่งหมื่นปีแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงโผล่มาที่นี่ได้ล่ะ?

ทุกคนรีบมองปฏิกิริยาของหัวหน้าภาค พบว่าหัวหน้าภาคเริ่มมีสีหน้าตึงเครียดแล้ว มีคนไม่น้อยแอบส่งสายตาให้กัน

บนโลกนี้ไม่มีกำแพงไหนที่ไม่มีช่องลม โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้สถานาการณ์ที่คนมากมายล้วนคาดคะเนไว้แล้ว เรื่องบางเรื่องไม่นับว่าเป็นความลับอะไรเลย ทางนี้ก็ได้ยินข่าวมาแล้วเช่นกัน ว่ากันว่าที่โอรสสวรรค์โดนทำโทษวันนั้นอาจะเกี่ยวข้องกับสนมฉิน เพียงแต่สนมฉินทำอะไรกันแน่ ก็ไม่มีใครบอกความจริงได้เช่นกัน

นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่สำคัญคือหนิวโหย่วเต๋อเป็นแม่ทัพสายตรงของตำหนักนารีสวรรค์ ถูกควบคุมโดยตรงจากราชินีสวรรค์ เป็นแม่ทัพหนึ่งเดียวในมือราชินีสวรรค์ หากข่าวลือเป็นจริง ว่าสนมฉินเกี่ยวข้องกับการลดตำแหน่งโอรสสวรรค์ ตอนนี้แม่ทัพอันดับหนึ่งของราชินีสวรรค์มาหาถึงประตูบ้านแล้ว ทำไมรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลล่ะ!

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ผู้ที่มาหาถึงที่ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดังในปีนั้น!

มีเรื่องอะไรบ้างที่เจ้าบ้านี่ไม่กล้าทำ? ขนาดอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ยังเคยด่ามาแล้ว กล้าก่อเรื่องในงานรับสนมของราชันสวรรค์ ทั้งยังฆ่าหลานชายของอ๋องสวรรค์ หัวหน้าภาคเล็กๆ คนหนึ่งจะอยู่ในสายตาเขาได้อย่างไร ใช่ว่าเขาจะไม่เคยฆ่าหัวหน้าภาคเสียหน่อย เคยโดนเขาจับไปแล่เนื้อเถือหนังแล้วด้วยซ้ำ!

สิ่งที่ทำให้ทุกคนชาวาบหนังศีรษะที่สุดก็คือ ในมือท่านนั้นมี ‘ทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ ระดับหัวหน้าภาคอยู่ด้วย เป็นสุดยอดของทัพเกรียงไกรหนึ่งแสน ทหารยศเล็กในมืออีกฝ่ายไม่ว่าใครก็มีศักยภาพที่จะเป็นแม่ทัพภาคของที่นี่ได้ แค่ยอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพก็มีหลายสิบคนแล้ว คาดว่าทั้งใต้หล้าคงหาหัวหน้าภาคคนไหนที่ได้สวัสดิการแบบนี้ไม่เจออีกแล้ว คนนี้ก็คือหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลหนิวโหย่วเต๋อ!

นี่อีกฝ่ายมาหาเรื่องเพราะโอรสสวรรค์จริงๆ เจ้าบ้านั่นกล้านำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปสู้กับทัพใหญ่เกรียงไกรหนึ่งแสน ตอนนี้ในมือกุมทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนเอาไว้แล้ว ถ้าหากจะใช้กำลังสู้กันจริงๆ มารดาเจ้าเถอะ ที่นี่จะมีใครต้านทานได้บ้าง! คาดว่าคงทำให้ทั้งน่านฟ้าชวดเกิงราบเป็นหน้ากองได้แน่!

“ตามหลักแล้วเจ้าเวรนี่น่าจะไม่ทำอะไรซี้ซั้วนะ จะมาโจมตีน่านฟ้าชวดเกิงโดยไร้เหตุผล ข้อหานี้เขาจะรับไหวเหรอ?”

“ตามหลักเหรอ? คนอื่นทำอะไรตามหลักการ แต่เจ้าเวรนี่ทำตามหลักการด้วยเหรอ? เจ้าคิดว่าข้อหาความผิดที่เขาย่อยทิ้งไปมีน้อยรึไง?”

“…”

“ราชินีสวรรค์บ้าไปแล้วสินะ ทำไมเรียกเจ้าเวรนี่มาได้?”

บรรดาแม่ทัพภาคที่อยู่ตรงนั้นเริ่มแอบถ่ายทอดเสียงคุยกัน ยามปกติต่อให้ในปีนั้นเหมียวอี้จะเข็มแข็งเกรียงไกร แต่พวกเขาก็แค่เคยได้ยินมาเท่านั้น หรือไม่ก็พูดถึงนิดหน่อย ใต้หล้าใหญ่ขนาดนี้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเหมียวอี้จะมาเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาได้ ไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาได้ ดังนั้นจึงไม่เคยเห็นเป็นภัยคุกคามเลย

ทว่าตอนนี้ เหมียวอี้มาหาถึงประตูบ้านแล้วจริงๆ พอนึกถึงเรื่องที่ท่านขุนนางหนิวเคยทำ ก็รู้สึกว่าภัยคุกคามประชิดมาจ่อตรงขนคิ้วแล้วจริงๆ แต่ละคนเรียกได้ว่าขนลุกซู่

ในเวลานี้พวกเขาล้วนรู้สึกแบบนี้ ราวกับได้กลิ่นลมคาวเลือด พยัคฆ์ร้ายออกจากเขาแล้ว!

ในบรรดาแม่ทัพภาคที่อยู่ตรงนี้ มีสตรีวัยกลางคนหน้าตางดงามคนหนึ่งเงียบมาก ไม่ได้แอบถ่ายทอดเสียงคุยกับคนอื่น นางนึกว่าชาตินี้จะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวอะไรกับเหมียวอี้อีกแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะได้บังเอิญเจอกันที่นี่อีก

นางคือใครล่ะ? นางชื่อว่าเหยียนซู่ ในปีนั้นตอนอยู่จวนแม่ทัพภาคตงหัว นางเคยเป็นเพื่อร่วมงานกับเหมียวอี้ ตอนนั้นนางกับเหมียวอี้ล้วนเป็นผู้บัญชาการตลาดสวรรค์ เคยร่วมกับคนกลุ่มหนึ่งสร้างความอัปยศให้เหมียวอี้อย่างรุนแรง ตอนหลังเข้าร่วมการทดสอบแดนอเวจี ก็ถูกเหมียวอี้ไล่ฆ่าจนหนีหัวซุกหัวซุน หลังจากทดสอบเสร็จแล้วกลับจวนแม่ทัพภาคตงหัว ก็ถูกเหมียวอี้บีบให้ส่งเงินมาแทนคำขอโทษอีก ทั้งยังโดนเหมียวอี้ตบหน้าไปหนึ่งฉาดด้วย ทุกคนล้วนโดนเหมียวอี้ตบหนึ่งฉาดเพื่อเป็นดอกเบี้ย

ตอนนั้นนางยังเป็นฮูหยินของหัวหน้าภาคท่านหนึ่ง ได้ครอบครองทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ของตลาดสวรรค์ ตอนหลังท่านโหวเทียนหยวนตกจากตำแหน่ง สามีของนางก็ถูกคนฉวยโอกาสลอบกัดจนถึงแก่ชีวิต ทรัพยากรที่ได้จากการอาศัยเครือข่ายย่อมมาไวไปไว นางเสียตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แล้ว คนที่เล่นงานสามีนางจนตายนับว่าเป็นศัตรูหัวใจของสามีนาง ในปีนั้นเคยตามขอความรักจากนาง แต่นางเลือกคนที่มีเงื่อนไขดีกว่า และหลังจากท่านนั้นเล่นงานสามีนางตาย ก็ยังมาระบายความแค้นกับนางด้วย เพื่อที่นางจะรักษาชีวิตตัวเองไว้ จึงแอบไปขอร้องท่านนั้นให้ไว้ชีวิตนาง เมื่อเดินไปถึงขั้นนั้นแล้ว ผู้หญิงคนหนึ่งยังจะเอาอะไรไปแปลกเปลี่ยนเพื่อขอร้องได้ล่ะ? นอกเสียจากจะยอมให้ท่านนั้นได้ในสิ่งที่ต้องการ ทว่าท่านนั้นมีฮูหยินเอกแล้ว และเป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งงานกับนางอีก ไม่สนใจจะแต่งงานกับนางด้วย เขาเก็บนางไว้เป็นของส่วนตัวเพื่อชดเชยความบกพร่องของหัวใจในปีนั้น ทั้งสองฝ่ายรักษาความสัมพันธ์นี้เป็นความลับมาตลอด

นับว่าจ่ายไปก็ได้สิ่งตอบแทนกลับมา ด้วยความที่ตั้งใจปรนนิบัติอย่างดี ท่านนั้นค่อนข้างดื่มด่ำกับความรู้สึกนี้ ไม่ได้ดูแลนางขาดตกบกพร่องเช่นกัน ช่วยหาเส้นสายให้ทางสะดวกแก่นาง ถึงได้ขึ้นสู่ตำแหน่งแม่ทัพภาคอย่างทุกวันนี้ได้ ตอนนี้ท่านนั้นก็เป็นหัวหน้าภาคเช่นกัน นับว่าเป็นเพื่อนร่วมงานของหวังจัว

เพื่อที่จะช่วยให้นางรักษาเส้นสายนี้ให้มั่นคง ท่านนั้นจึงแอบบอกใบ้นาง ว่าวันนี้ให้มาร่วมแสดงความยินดีที่หวังจัวได้เลื่อนตำแหน่ง

ตอนแรกเหยียนซู่ยังนึกว่าเหมียวอี้พุ่งมาที่นาง แต่พอลองคิดดูใหม่ นางก็รู้สึกขำ หนิวโหย่วเต๋อยังเห็นนางอยู่ในสายตาอีกเหรอ? อีกทั้งในปีนั้นก็ให้หนิวโหย่วเต๋อระบายความโกรธไปแล้ว ทั้งชดเชยเป็นเงินทั้งโดนตบ

“แม่ทัพภาคเหยียน ในปีนั้นเจ้าเป็นเพื่อนร่วมงานของหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่เหรอ?”

จู่ๆ ข้างกายก็มีคนถ่ายทอดเสียงถาม

“คงใช่ละมั้ง” เหยียนซู่ตอบอย่างปลงเล็กน้อย

รายละเอียดที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวปีนั้น คนที่อยู่ไกลเกินไปไม่ค่อยรู้ชัดเจน แต่หลังจากนางย้ายมาที่นี่ก็รู้ว่าตัวเองมีด้านที่ไร้เกียรติ จึงไม่ได้เอ่ยเรื่องในอดีตที่เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อให้คนอื่นฟังอีก

“เจ้ากับหนิวโหย่วเต๋อมีความสัมพันธ์กันยังไง?” คนนั้นถามอีก

“ไม่นับว่าสนิทอะไรกันหรอก แค่คนรู้จักเจอกันแล้วทักทาย” เหยียนซู่ตอบ

“หนิวโหย่วเต๋อกำแหงเหมือนที่ลือกันจริงมั้ย?”

“อาจจะใช่!”

หวังจัวที่ค่อนข้างตกใจทำสายตาลอกแล่ก หลังจกครุ่นคิดครู่ใหญ่ ถึงได้ถามเสียงต่ำว่า “หนิวโหย่วเต๋อไหน?”

แม้ผู้ที่มาจะรายงานชัดเจนแล้ว แต่ดูจากท่าทางของหัวหน้าภาคที่ดูเหมือนไม่เชื่อ จึงรายงานให้ชัดเจนอีกครั้ง “เป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลหนิวโหย่วเต๋อ”

หวังจัวสีหน้าเปลี่ยนอีกครั้ง ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “คนอยู่ที่ไหน?”

“รออยู่นอกประตูใหญ่ขอรับ” ผู้ที่มารายงานตอบ

หวังจัวถามซักไซ้ “มากันกี่คน”

“มีผู้ติดตามแค่สองคนขอรับ”

“แน่ใจเหรอว่ามาแค่สองคน?” หวังจัวไม่กล้าเชื่อ ถามว่า “ค้นตัวตรวจสอบหรือยัง?”

“…” ผู้ที่มาถูกถามจนพูดไม่ออกนิดหน่อย จะดีจะร้ายอีกฝ่ายก็เป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล เจ้าเองก็เป็นหัวหน้าภาค ไปมาหาสู่ด้วยฐานะที่เท่าเทียม มีเหตุผลอะไรไปค้นตัวอีกฝ่ายล่ะ? แบบนั้นไม่ถือเป็นการดูหมิ่นหรอกเหรอ? ถ้าเจ้าไม่ออกสำสั่ง ใครจะกล้าทำอย่างนี้ล่ะ? หลังจากอึ้งไปครู่เดียว เขาก็ส่ายหน้าตอบว่า “เปล่าขอรับ! นายท่าน ต้องค้นตัวด้วยเหรอ?”

บรรดาแม่ทัพภาคที่อยู่ตรงนั้นพากันมองหวังจัวด้วยสีหน้าแปลกๆ พบว่าหัวหน้าภาคยืนไม่มั่นคงแล้ว แต่ละคนอดไม่ได้ที่จะแอบพึมพำว่า เรื่องบางเรื่องหัวหน้าภาคน่าจะมีแผนในใจแล้ว สงสัยสนมฉินจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่โอรสสวรรค์ถูกทำโทษจริงๆ ไม่อย่างนั้นท่านหัวหน้าภาคคงไม่ถึงขั้นอารมณ์ว้าวุ่น

พอหวังจัวถามออกไปแล้ว ก็รู้ตัวเช่นกันว่าตัวเองความคิดว้าวุ่นไป จึงโบกมือบอกว่าไม่ต้องค้นตัว

“นายท่าน จะเชิญเข้ามาหรือว่า…” ผู้ที่รายงานถาม

“หาข้ออ้างถ่วงเวลาเขาไว้ก่อน!” หลังจากหวังจัวไล่คนรายงานออกไปแล้ว ก็กวาดสายตามองพวกลูกน้องในโถงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จู่ๆ ก็กล่าวเสียงดังว่า “ข้ากับหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่ทั้งมิตรและศัตรู ไม่รู้จักกันมาก่อน ผู้ที่มาย่อมไม่มาดี มิอาจไม่ป้องกัน ทุกคนถ่ายทอดคำสั่งเดี๋ยวนี้ รีบระดมกำลังพลฝีมือดีมาเตรียมพร้อมที่นี่!”

…………………………

และเนื่องจากน้ำตากลั่นไม่สามารถเก็บรักษาได้เป็นเวลานาน จึงทำให้อำนาจแต่ละฝ่ายล้วนอยากสร้างอุปสงค์อุปทานโดยตรงที่กลุ่มปีศาจเทพอสรพิษดำ ใช่ว่าจะซื้อจากมือคนอื่นไม่ได้ ราคาสูงก็คือความไม่สะดวกอย่างหนึ่ง สาเหตุรองก็เป็นเพราะในมือคนทั่วไปไม่อาจเก็บรักษาของสิ่งนี้ไว้ได้ ของที่สามารถเก็บรักษาไว้ได้เพียงสามปี สำหรับนักพรตถือว่าเวลาสั้นเกินไป ถ้าไม่ระวังก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยคามือ ดังนั้นส่วนใหญ่จะซื้อสิ่งนี้โดยตรงจากมือของเผ่าเทพอสรพิษดำ

เผ่าเทพอสรพิษดำในฐานะที่เป็นผู้ผลิตเพียงหนึ่งเดียวก็ย่อมหยิ่งผยองอยู่แล้ว นอกจากขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์และอำนาจบางฝ่าย พวกเขาก็ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลยจริงๆ ราคาสินค้าในตลาดนั้นมีไว้แสดงเฉยๆ พุ่งเป้าไปที่กลุ่มพิเศษที่กล่าวถึงข้างต้นเท่านั้น เพราะยามเผชิญหน้ากับคนพวกนี้ เผ่าเทพอสรพิษดำไม่อยากสร้างปัญหา ส่วนคนอื่นๆ เผ่าเทพอสรพิษดำอยากจะขายก็ขาย ถ้าไม่อยากขายก็จะไม่ขาย ราคาก็เดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ ทำให้คนประสาทกินจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะตำหนักสวรรค์ควบคุมทั้งเผ่าและจำกัดอิสระเอาไว้ที่นี่ คาดว่าคงยกหางขึ้นฟ้าได้แล้ว

และแน่นอน ก็เพราะความวุ่นวายนี้เอง อำนาจภายนอกถึงอยากจะสร้างเครือข่ายการซื้อขายที่แน่นอนกับเผ่าเทพอสรพิษดำ ทำอย่างไรถึงจะสร้างเครือข่ายการซื้อขายที่มั่นคงได้ล่ะ? ก็ย่อมต้องสร้างเส้นสายกับคนที่พูดจามีน้ำหนักในเผ่าเทพอสรพิษดำอยู่แล้ว

นี่ก็คือจุดประสงค์ที่สวีถังหรานมาที่นี่ เป็นคำชี้แนะของอวิ๋นจือชิวเช่นกัน ดังนั้นสวีถังหรานถึงได้ออกหน้าเอง

สำหรับเหมียวอี้ การมีความสัมพันธ์ที่ดีเผ่าเทพอสรพิษดำคือเรื่องที่ต้องทำแน่นอนอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าเมื่อไรเขาอาจจำเป็นต้องใช้น้ำตากลั่นจำนวนมากก็ได้

พอเข้าใกล้ดาวเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้า แต่ละคนก็นำใบไม้สีเขียวขจีอมไว้ในปาก ความหอมเย็นซึมซาบเข้าหน้าอกทันที สิ่งนี้ชื่อว่า ‘หัวใจสีเขียว’ นำมาเพื่อแก้พิษ เป็นเพราะบนดาวเคราะห์ดวงนี้เต็มไปด้วยอากาศพิษประหลาด เกราะอิทธิฤทธิ์ต้านทานได้ในเวลาสั้นๆ เท่านั้น ใช้งานนานๆ ไม่ได้ เพราะอากาศพิษที่นี่สามารถซึมเข้าเกราะอิทธิฤทธิ์ ถ้าถูกพิษของที่นี่เมื่อไร กายเนื้อก็จะถูกทำให้กลายเป็นไม้ กลายเป็นของประเภทไม้แกะสลัก

สำหรับเผ่าเทพอสรพิษดำ พวกเขาไม่กลัวอากาศพิษของที่นี่ เพราะยิ่งอากาศพิษเข้มข้ม พวกเขาก็ยิ่งได้เสพสุข แต่สำหรับคนนอก ‘หัวใจสีเขียว’ คือยาถอนพิษเพียงชนิดเดียว แต่ ‘หัวใจสีเขียว’ ก็ดันถูกควบคุมอยู่ในมือเผ่าเทพอสรพิษดำเท่านั้น ถูกเผ่าเทพอสรพิษดำถือไว้ขาย เท่ากับว่าคนที่จะไปมาตลาดผีของที่นี่ล้วนต้องจ่ายค่าผ่านทางให้เผ่าเทพอสรพิษดำก่อน

ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้บังคับ เจ้าอยากจะซื้อก็ได้ หรือจะไม่ซื้อก็ได้ ถ้าเก่งนักก็ไปต้านทานเอาเอง ไม่มีใครบังคับให้พวกเจ้ามา

คนกลุ่มนี้ฝ่าชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็ว ทะลุผ่านเมฆครึ้มที่มีสายฟ้าไปโดยตรง พลังอิทธิฤทธิ์ม้วนกระเพื่อมออกมา กระจายไปที่เมฆครึ้มแล้ว

แสงแดดส่องลงมาเป็นเส้นตรงราวกับเสาต้นหนึ่ง ส่องสว่างพื้นดินด้านล่าง พื้นดินที่นี่ค่อนข้างแปลก ราวกับมีวัตถุรูปตาข่ายครอบอยู่ มองจากบนฟ้าเหมือนห่อชะลอมเอาไว้

คนนับร้อยเหาะลงมาจากฟ้า หลังจากได้เหยียบบน ‘ชะลอม’ แล้วถึงได้พบว่า สิ่งที่มองไกลๆ เหมือน ‘ชะลอม’ พอมองใกล้ๆ ถึงรู้ว่าเป็นเส้นใยที่ใหญ่หยาบเหมือนลำต้นของต้นไม้ ใหญ่จนคนสิบคนโอบไม่มิด ที่เล็กก็มีขนาดเท่าลำตัวของผู้ใหญ่คนหนึ่งเท่านั้น ที่จริงแล้วนี่ก็คือลำต้น เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า ‘สับปลับ’ เพียงแต่ต้นไม้ชนิดนี้ไม่รู้ว่ายอดไม้อยู่ที่ไหน และไม่รู้ด้วยว่ารากที่อยู่ใต้ดินเป็นของต้นไหน ลำต้นของต้นไม้ต้นหนึ่งไม่รู้แผ่ขยายไปที่ไหนบ้าง ว่ากันว่าไม่มีใครรู้ว่าลำต้นยาวเท่าไร เพราะระหว่างที่ลำต้นเติบโตคดเคี้ยวยาวเหยียด มันก็จะมีรากงอกแทงลงไปใต้ดินด้วย ผิวไม้ที่แตกบนลำต้นเต็มไปด้วยมอส มองไม่เห็นกิ่งใบ เหมือนจะมีแค่ลำต้นแต่ไร้ใบ ที่จริงแล้ว ‘หัวใจสีเขียว’ ก็ได้มาจากต้นไม้ชนิดนี้

พวกสวีถังหรานที่ยืนบนลำต้นที่ไขว้ตัดสลับกันเหมือนกรงได้กลิ่นเหม็นรุนแรง กลิ่นเหม็นนี้มาจากลำต้น และเป็นที่มาของอากาศพิษบนดาวเคราะห์ดวงนี้ด้วย โชคดีที่ในปากอม ‘หัวใจสีเขียว’ เอาไว้ กลิ่นหอมช่วยขจัดอากาศพาได้ ไม่อย่างนั้นก็ทำให้คนรู้สึกเหม็นจนอยากสลบ

เสาแสงที่ส่องทะลุเมฆครึ้มเหนือศีรษะของทุกคนยังคงอยู่ เมฆครึ้มยังไม่ทันกลับมาประสานกันดี ผู้ที่มาครั้งแรกล้วนมองโลกประหลาดรอบๆ สวีถังหรานที่วิ่งเต้นไปทั่วในหลายปีมานี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นดาวเคราะห์ประหลาดแบบนี้ แม้จะได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วก็ตาม

ตรงจุดไกลๆ มีเมฆครึ้มแยกออกจนปรากฏเสาแสงส่องลงมา เป็นคนที่สัญจรไปมากับที่นี่

คนหนึ่งร้อยรีบแยกย้ายกันเฝ้าระวังรอบๆ รักษาความปลอดภัยให้สวีถังหราน

สวีถังหรานที่ชื่นชมไปนิดหน่อยพลันชักกระบี่วิเศษออกมา แล้วฟันไปที่ลำต้นด้านข้างเสียงดังฉึก ผลปรากฏว่าคมกระบี่เพิ่งจมลงครึ่งเดียว ก็มีของเหลวสีเขียวโผล่ออกมาแล้ว กลิ่นเหม็นรุนแรง สิ่งนี้พิสูจน์คำบอกเล่าแล้วจริงๆ ว่าต้นสับปลับนี้แข็งแรงทนทานมาก สวีถังหรานชัดกระบี่วิเศษกลับมา เห็นเพียงรอยแผลบนลำต้นกำลังสมานตัวอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงใช้พลังอิทธิฤทธิ์ฟันลงไปอีกที ถึงทำให้ลำต้นในแนวราบตรงหน้าขาดได้

หลังจากตัดขาดสองท่อนแล้ว ตรงจุดที่ขาดก็เริ่มกระเพื่อม เห็นเพียงรอยขาดที่มีของเหลวสีเขียวซึมเริ่มเลื้อยขยุกขยิกเติบโตอย่างรวดเร็ว มันไต่ไปบนลำต้นตามอำเภอใจ และไม่นานก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ตรงรอยขาดทั้งสองท่อนล้วนเป็นเช่นนี้ ราวกับไม่เคยถูกตัดมาก่อน มีเพียงร่องรอยสดใหม่ที่พิสูจน์ได้ว่าเคยเกิดอะไรขึ้น

สวีถังหรานที่ถือกระบี่เดาะลิ้นกล่าวว่า “สมคำร่ำลือ ต้นสับปลับนี้ทนทานจริงๆ งอกใหม่เร็วอย่างที่คาดไว้” เขากันกลับมาถามว่า “ไหนบอกว่าหัวใจสีเขียวก็มาจากต้นสับปลับไง ทำไมไม่เห็นล่ะ?”

ยอดฝีมือบงกชกลายคนหนึ่งที่ชื่อต้วนอวิ๋นเปียวตอบพร้อมรอยยิ้ม “หัวใจสีเขียวไม่ใช่ว่าจะเกิดที่ไหนก็ได้ มันเกิดแค่บนรากแก้วของต้นสับปลับเท่านั้น เติบโตอยู่บนเส้นฝอยของส่วนราก พวกเรายืนอยู่ในตำแหน่งนี้มองไม่เห็นหรอก หัวใจสีเขียวสามารถขายได้ จุดที่มีหัวใจสีเขียวงอกก็ย่อมมีเผ่าเทพอสรพิษดำเฝ้า คนนอกเข้าใกล้ได้ยาก”

สวีถังหรานมองที่ใต้เท้าตัวเอง ตลอดทางมานี้ไม่รู้ว่ามีลำต้นที่ไขว้ตัดสลับกันในแนวนอนกี่ต้น มีสิ่งเหล่านี้บังตาก็ไม่อาจมองเห็นพื้นดินได้เลย ต้องร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจลึกลงไปห้าร้อยกว่าจั้ง พลังอิทธิฤทธิ์ถึงจะสำรวจเจอพื้นดิน

วงแสงรอบด้านเริ่มกดเล็กลงเรื่อยๆ พอเงยหน้ามอง ก็เห็นว่าเมฆครึ้มบนฟ้ากำลังจะสมานตัวแล้ว

พอเก็บสายตากลับมา สวีถังหรานก็ถามว่า “บอกว่าสานสัมพันธ์กับคนเผ่าเทพอสรพิษดำดีแล้วไม่ใช่เหรอ? คนที่มารับอยู่ที่ไหนล่ะ?”

หยวนกงกำลังมองสำรวจรอบๆ พอได้ยินก็บอกต้วนอวิ๋นเปียวว่า “รบกวนพี่ต้วนไปตรวจสอบสักหน่อย”

ต้วนอวิ๋นเปียวพยักหน้า แล้วโบกมือเรียกสองคนที่ถูกบังอยู่ใต้ตาข่ายลำต้นแนวราบที่อยู่ไกลๆ

ขณะที่กำลังรอ วงแสงบนท้องฟ้าก็หายไปโดยสิ้นเชิง ด้านล่างมืดสลัวเป็นแถบๆ สายฟ้าที่กระพริบเลื้อยอยู่บนฟ้าทำให้ทั้งโลกนี้ตกอยู่ในสภาพเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง

เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีใคร หยวนกงก็มองสวีถังหรานที่ยืนเอามือไขว้หลังครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ถามด้วยรอยยิ้ม “ช่วงนี้นายท่านเหมือนจะสนใจหัวหน้าภาคหวังจัวทางน่านฟ้าชวดเกิง!”

สวีถังหรานหันกลับมามองเขาแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ “แค่ปฏิบัติตามที่หัวหน้าภาคสั่งก็พอ”

หยวนกงบอกว่า “หวังจัวเป็นบิดาของสนมฉิน ได้ข่าวว่าที่โอรสสวรรค์ถูกลดตำแหน่งนั้นเกี่ยวข้องกับสนมฉิน ที่หัวหน้าภาคจับตาดูหวังจัว เพราะเกี่ยวข้องกับทางตำหนักนารีสวรรค์หรือเปล่า?”

สวีถังหรานถอนหายใจแล้วบอกว่า “ใครจะไปรู้ล่ะ แต่ขอให้ไม่มีเรื่องอะไรแล้วกัน ในเมื่อนายท่านหัวหน้าภาคกำชับแล้ว พวกเราก็จับตาดูให้มากหน่อยแล้วกัน”

หยวนกงพยักหน้า “นั่นก็แน่อยู่แล้ว พวกเรา…” เสียงพูดหยุดชะงัก จู่ๆ ก็หันกลับไป

เห็นเพียงแมลงเปลือกแข็งสีน้ำตาลที่ลำตัวยาวโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ยาวเท่าแขน บนตัวเป็นโลหะมันเลื่อม บนเปลือกยังมีมอสงอกอีกด้วย ตอนนอนหมอบอยู่บนลำต้นนั้นเหมือนกับเป็นเนื้อเดียวกับลำต้นรอบๆ จู่ๆ มันก็ยิงฟันแหลมในปากมาทางนี้

สวีถังหรานเอียงหน้ามองไปเช่นกัน คาดว่านี่คงเป็นแมลงสับปลับ ปกติแฝงตัวบนต้นสับปลับ ดูดของเหลวจากต้นสับปลับเพื่อดำรงชีวิต เมื่อโดนมันกัด ก็มีผลไม่ต่างอะไรกับโดนอากาศพิษ ทำให้คนเป็นอัมพาตได้ ถ้าไม่รักษาให้ทันเวลา คนก็จะกลายเป็นไม้ได้เช่นกัน

สัตว์ตัวนี้ไม่ต่างกับยุงในป่าสักเท่าไร ว่ากันว่าเป็นอาหารเลิศรสที่เผ่าเทพอสรพิษดำชื่นชอบ

ตรงนี้ยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก ก็ไม่รอให้หยวนกงลงมือ ใต้ลำต้นที่งอกในแนวขวางจู่ๆ ก็มีงูใหญ่เกล็ดดำตัวใหญ่เท่าถังน้ำตัวหนึ่งกระโจนออกมาราวกับลูกธนูพุ่งออกจากสาย มันอ้าปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคม พอแลบลิ้นสีแดงออกมา ก็ตวัดแมลงสับปลับเช้าปากทันที หลังจากบิดร่างกายกลางอากาศกลืนแมลงสับปลับลงท้องไปแล้ว ถึงได้ทะยานไปตกลงบนลำต้น แล้วเลื้อยบนลำต้นเข้ามาอย่างนี้อย่างช้าๆ

ผู้คุ้มกันหลายคนปรากฏตัวรอบทิศ จ้องมาทางนี้เตรียมโจมตี หยวนกงยกมือห้ามแล้ว

งูใหญ่เกล็ดดำแลบลิ้นเลื้อยเข้ามา ในดวงตามีขอบสีทองวงหนึ่ง สองข้างของหัวมีหูหยักเหมือนขน

สวีถังหรานเดาว่านี่คือคนของเผ่าเทพอสรพิษดำ ที่เรียกว่าเผ่าเทพอสรพิษดำก็คืองูชนิดหนึ่ง ที่จริงก็คือเผ่างู งูชนิดนี้เรียกว่าเทพอสรพิษดำ ทั้งยังมหัศจรรย์กว่างูธรรมดาทั่วไป ไม่เหมือนงูทั่วไปที่ต้องเบิกสติปัญญาก่อนแล้วถึงจะบำเพ็ญเพียรได้ หลังจากเผ่าเทพอสรพิษดำเติบโตเต็มวัยก็สามารถแปลงร่างเป็นคนได้เลย หลังจากมีพลังอิทธิฤทธิ์ก็สามารถสร้างเมฆเรียกฝนได้โดยธรรมชาติ เปรียบเทียบตัวเองเป็นมังกร ถึงได้เรียนสถานที่ที่ตัวเองอาศัยอยู่ว่าสระน้ำมังกรดำ

เป็นอย่างที่คาดไว้ งูใหญ่เกล็ดดำมันวาวเลื้อยมาตรงหน้าทั้งสองแล้วกลายร่างเป็นคน กลายเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมยาวประบ่า

ผมยาวดำขลับปลิวไสว เรือนร่างงดงามเย้ายวนใจ ไม่ใส่เสื้อผ้าสักชิ้น หน้าอกอิ่มเอิบและจุดลับด้านล่างถูกเกล็ดดำปกปิดเอาไว้ บนหน้าผากมีเกล็ดดำปกปิดอยู่จำนวนบ้าง ยืนเปลือยเท้าอยู่บนลำต้น วงแหวนสีทองในดวงตายังอยู่ นับว่าเป็นสาวงามคนหนึ่ง

“มาจากไหน?” ผู้หญิงเผ่าเทพอสรพิษดำถามเสียงเรียบ

หยวนกงตอบว่า “มาเดินดูเรื่อยเปื่อย”

นี่คือคำพูดที่เป็นสัญญาณลับ นับว่าสอดคล้องกันแล้ว ผู้หญิงเผ่าเทพอสรพิษดำหยักหน้า “ข้าจะพาพวกเจ้าไปดู” พูดจบก็กระโดดลงไปในตาข่ายลำต้นด้านล่าง

หยวนกงพยักหน้าให้สวีถังหราน แล้วกวักมือเรียกทหารยามที่อยู่โดยรอบ คนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันมุดลงด้านล่างทันที ตามเผ่าผู้หญิงเทพอสรพิษดำที่ถลันตัวลงไปด้านล่างแล้ว…

น่านฟ้าชวดเกิง จวนหัวหน้าภาค เรื่องทิวทัศน์งดงามของที่นี่ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง จวนของผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในอาณาเขตนี้มีหรือที่จะแย่

ตอนนี้เรียกได้ว่ามีคนไปมาหาสู่ แสดงความยินดีที่ท่านหัวหน้าภาคหวังตัวได้เลื่อนตำแหน่ง

เดิมทีหวังจัวไม่อยากทำเรื่องนี้ ในใจรู้ดีว่าอาศัยลูกสาวตัวเองทำเรื่องอย่างนี้เพื่อให้เลื่อนตำแหน่งนั้นไม่มีเกียรติ ทว่ากลุ่มลูกน้องขอแล้วขออีกว่าให้จัดงานฉลอง จึงปฏิเสธการเชิญชวนได้ยาก กอปรกับทางด้านจวนอ๋องสวรรค์บอกใบ้ว่าให้จัดได้ ถึงได้ถ่วงเวลามาถึงตอนนี้แล้วค่อยจัดงาน

ทางจวนอ๋องสวรรค์บอกใบ้เจตนามาแล้ว คาดว่าคงมีคนต้องการจะทำไม่ดีกับเขา ป้องกันแน่นหนาเกินไปไม่ใช่เรื่องดี ให้จงใจหาโอกาสให้คนลงมือ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือวางกับดัก ทางจวนอ๋องสวรรค์ส่งยอดฝีมือมาเพียงพอแล้ว

หวังจัวแอบรู้สึกขำกับสิ่งนี้ เขารู้ดีว่าจวนอ๋องสวรรค์วางกับดักรออะไร แต่ในใจเขาเข้าใจดี ว่าคนทางนั้นไม่มีทางฆ่าเขาได้ เพราะเขาเป็นคนของฝ่ายนั้นอยู่แล้ว

งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม หวังจัวกำลังต้อนรับแขกอยู่ในโถงหลัก มีลูกน้องมาแสดงความยินดีต่อหน้าไม่ขาดสาย บรรยากาศก็รื่นเริงเช่นกัน

ในขณะนี้เอง จู่ๆ ด้านนอกก็มีคนมารายงาน “นายท่าน หนิวโหย่วเต๋อหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลมาแสดงความยินดีขอรับ!”

หนิวโหย่วเต๋อ? เป็นคนแปลกหน้าไม่เคยติดต่อกันมาก่อน เขาจะมาทำไม? หวังจัวงงไปชั่วขณะ แต่ในใจกลับแอบตกใจ ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ พลันลุกยืนขึ้นแล้ว

……………………

คำพูดนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกหนักใจอยู่บ้าง หยางชิ่งตำหนิตัวเอง แต่เขาก็รู้ว่าเรื่องบางเรื่องไม่อาจไปโทษหยางชิ่งได้ ไม่มีใครที่วางแผนได้โดยไร้ช่องโหว่ ใครจะไปคาดคิดว่าจู่ๆ จะยั่วให้ประมุขชิงขัดเกลาลูกชาย เขาเหมียวอี้ตั้งใจทำให้ประมุขชิงคิดว่ากำลังติดตามรับใช้ลูกชายของอีกฝ่าย แต่กันบังเอิญมาชนคมดาบแล้วจริงๆ เหมือนเอาเชือกมาผูกคอตัวเอง ทั้งยังแก้มัดไม่ได้ด้วย

อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาแก้มัดเชือก ถ้าให้ประมุขชิงมองออกว่ากำลังโดนปั่นหัวและไม่มีเรื่องอะไรอย่างนั้นเลย เขาจะต้องตายอนาถมากแน่นอน

เหมียวอี้ตอบหยางชิ่งอย่างจนใจ : สงสัยคงจะมีแค่วิธีการนี้แล้ว

หยางชิ่งปลอบใจว่า : ความเสี่ยงก็หมายถึงโอกาสเช่นกัน ในเมื่อประมุขชิงมองนายท่านว่าเป็นผู้ช่วยของโอรสสวรรค์ หากมองจากอีกมุมหนึ่ง นายท่านก็อาจจะได้รับการประคองจากประมุขชิงก็ได้ แรงประคองจะมากจะน้อย ก็เกรงว่าต้องดูผลงานของฝั่งพวกเรา!

เหมียวอี้ตาเป็นประกายทันที : ดูท่าแล้ว ทิศทางการสนับสนุนสองแม่ลูกของตำหนักนารีสวรรค์จะยังเบี่ยงเบนไม่ได้

ทั้งสองปรึกษากันสักพัก ตอนนี้แม้แต่สถานการณ์ฝั่งสนมฉินเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ชัดเลยสักนิด ไม่มีเบาะแส จึงยังหาวิธีการที่เป็นรูปธรรมไม่ได้เช่นกัน ทำได้เพียงสืบให้รู้สถานการณ์ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน จึงหยุดติดต่อกันชั่วคราว

ทางด้านเฟยหง อาหารทะเลปรุงเสร็จแล้ว เหมียวอี้คุยงานเสร็จแล้วกลับมานั่งกินอย่างใจลอยเล็กน้อย

บังเอิญเหลือบไปเห็นเฟยหงที่ก้มหน้าเงียบๆ ก็รู้ตัวว่าตัวเองทำลายอารมณ์สุนทรีของเฟยหงแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะออกมาเที่ยวกับนางตามลำพังได้ เหมียวอี้ดึงความคิดออกมาจากเรื่องงานทันที ถามหยอกล้อว่า “คนสวย กำลังคิดอะไรอยู่ล่ะ?”

“เอ๋…” เฟยหงเงยหน้า เมื่อเห็นสาวใช้สองคนเม้มปากหัวเราะ นางก็มองค้อนเหมียวอี้แวบหนึ่ง

เหมียวอี้กำชับสาวใช้ทั้งสองด้วยเสียงเรียบว่า “หรูฮูหยินจะเต้นระบำ ไปเฝ้าแถวนี้ไว้หน่อย อย่าให้ใครเข้าใกล้” ทุกวันนี้เวลาเขาจะทำ ‘เรื่องบัดสี’ เวลาเอ่ยออกมาก็เหมือนจะไม่ถือสาอะไรอีกแล้ว

“ค่ะ!” สาวใช้ทั้งสองรีบถอยออกไปอย่างรู้กาละเทศะ

เฟยหงมองออกถึงเจตนาในสายตาของเหมียวอี้ นางกัดริมฝีปาก ใบหน้าแสดงอาการเขินอายเล็กน้อย ภายใต้สายตาบอกใบ้ของเหมียวอี้ สุดท้ายนางก็ลุกออกจากโต๊ะอาหาร กางแขนขาร่ายรำอย่างสง่างามรับลมทะเล เอวอ่อนดุจสายลมร่ายรำเบาๆ เป็นจังหวะ ท่วงท่าชดช้อยมีเสน่ห์

ดูไปดูมา เหมียวอี้ลุกออกจากที่นั่งแล้วเช่นกัน ยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายในขณะที่เฟยหงช้อนสายเสน่หามองพลางร่ายรำอยู่ข้างกายเขา เขาก็ยื่นมือคว้าเอวอ่อนของนางมาไว้ในอ้อมกอด แล้วพาเหาะลงไปในน้ำทะเลมรกตด้วยกัน ตอนที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งสองที่ตัวเปียกลู่ก็กอดรัดฟัดจูบกันแล้ว…

หลังจากนั้นไม่กี่วัน เหมียวอี้ก็ไปโผล่ที่ชายหาดของดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง คนที่กอดรัดอยู่ด้วยกันก็เปลี่ยนแล้วเช่นกัน เปลี่ยนเป็นหวงฝู่จวินโหรวแล้ว

ความเร่าร้อนดุจไฟของหวงฝู่จวินโหรวทำให้คนเคลิบเคลิ้มราวกับวิญญาณหลุดจากร่าง หลังจากสนุกกันเต็มที่แล้ว เหมียวอี้ก็บีบจุดที่อิ่มเอิบบนตัวนางอย่างแรงหนึ่งที “ผู้หญิงเสเพล!”

หวงฝู่จวินโหรวที่ผิวแดงเรื่อทั้งตัวกัดปากของเหมียวอี้ทันที กัดจนเขาแทบจะเลือดไหล นับว่าเป็นการล้างแค้นที่ถูกเขาด่า พอเงยหน้าขึ้นมาแล้ว ก็จ้องเหมียวอี้ที่โดนกดอยู่ข้างล่าง พร้อมกล่าวด้วยสายตาฉ่ำเยิ้ม “ก็เสเพลกับเจ้าคนเดียว เจ้าจะทำไมล่ะ?”

เหมียวอี้เลื้อยฝ่ามือขึ้นไปบนตัวนาง พร้อมพูดหยอกล้อ “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ ยามปกติดูสง่าภูมิฐานมากเชียวนะ”

หวงฝู่จวินโหรวคล้องคอเขาอย่างสบายใจ พร้อมพูดตามอำเภอใจว่า “ตอนอยู่ส่วนตัว ข้าอยากจะทำอะไรก็จะทำ เจ้าไม่พอใจรึไง?” จากนั้นก็คลอเคลียข้างหู “หรือจะให้ข้าหาที่เงียบๆ คลอดลูกชายให้เจ้าสักคนดีล่ะ?”

เหมียวอี้ตกใจทันที เขาผลักนางออก แล้วเตือนด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าอย่าทำซี้ซั้วนะ!”

แค่ทำซี้ซั้วลับหลังอวิ๋นจือชิวแบบนี้ เขาก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว ถ้าคลอดลูกชายคนแรกออกมาทั้งยังลักลอบเลี้ยงข้างนอก อวิ๋นจือชิวจะต้องตีเขาพิการแน่นอน

“ดูความขี้ขลาดของเจ้าสิ” หวงฝู่จวินโหรวกลอกตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วเข้ามากอดรัดอีกครั้ง “แต่ไหนแต่ไรมา ถ้าข้าไม่เอ่ยปากเจ้าก็ไม่มา ครั้งนี้เจ้ามาหาข้าก่อนจะต้องมีเหตุผลแน่”

เหมียวอี้จับตัวนางพลิกมานอนราบบนขาของเขา พร้อมลูบไล้เรือนร่างอรชรของนางตามอำเภอใจ “เรื่องของสนมฉิน เจ้าเองก็เคยได้ยินมาใช่มั้ย”

หวงฝู่จวินโหรวช้อนตามองเขา “ตอนนี้เจ้าอยู่กับตำหนักนารีสวรรค์ ต่อให้ไม่อยากสนใจก็คงยาก พอจะได้ข่าวมาบ้าง น่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่โอรสสวรรค์โดนลดตำแหน่งสินะ”

“ช่วยข้าสืบเรื่องของนางสักหน่อย” เหมียวอี้กล่าว

หวงฝู่จวินโหรวคว้ามือของเขาที่กำลังย่ำยีหน้าอกของนาง แล้วลืมตาถามว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“ข้าอยากจะกำจัดนาง…ทั้งตระกูล!” เหมียวอี้ตอบตามตรง

“…” หวงฝู่จวินโหรวได้สติกลับมาได้ฉับพลัน นางผุดลุกแล้วถลึงตาถามว่า “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ? หวังจัวเป็นเจ้าอาณาเขต การไปแตะต้องเขามีความเสี่ยงขนาดไหน ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ เจ้าจะไปแตะต้องเขาทำไม? เป็นความคิดของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เหรอ?” พูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่โง่ก็เดาได้ไม่ยากว่าใครบงการ

เหมียวอี้บอกว่า “ก็เพราะอันตรายนี่แหละ ถึงได้ให้เจ้าช่วยสืบข่าวไง ไม่อย่างนั้นข้าจะมาหาเจ้าทำไมล่ะ?”

“สารเลว!” หวงฝู่จวินโหรวเริ่มเดือดแล้ว นางจับเหมียวอี้พลิกแล้วทุบตีพักหนึ่ง สุดท้ายความโกรธก็ยังไม่หายไป ลุกขึ้นมาเก็บเสื้อผ้าใส่ นางโมโหแล้วจริงๆ

ทว่ามีเหมียวอี้ก่อกวนอยู่ข้างๆ เสื้อผ้าที่เก็บขึ้นไปแล้วถูกเหมียวอี้ดึงลงมาอีก ทั้งสองฉุดยื้อกันซ้ำไปซ้ำมาจนเสื้อผ้าขาด สุดท้ายหวงฝู่จวินโหรวจึงไม่เอาเสื้อผ้าแล้ว นางทิ้งเสื้อผ้าแล้ววิ่งตัวเปลือยออกไปเสียเลย ทั้งสองเห็นกันจนชินนานแล้ว ไม่มีอะไรให้เขินอาย

รอจนกระทั่งเหมียวอี้สวมเสื้อผ้าแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ค้นหานางจนเจอ ก็เห็นนางกำลังแช่อยู่ในสระน้ำระหว่างหุบเขา เหมียวอี้จึงถอดเสื้อผ้าแล้วหน้าด้านเดินลงไปแช่ในสระน้ำอีก เขาถามกลั้วหัวเราะว่า “ข้าล้อเล่นกับเจ้านะ นี่โกรธจริงๆ เหรอ?”

หวงฝู่จวินโหรวโบกมือกวาดน้ำใส่หน้าเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ตอนนี้ข้านับเป็นอะไร? ข้านับเป็นอะไรของเจ้า? ใช่ ก็เหมือนที่เจ้าเพิ่งบอก ปกติข้าดูเป็นคนสง่าภูมิฐาน แต่ลับหลังข้าทำเรื่องไร้ยางอายเต็มที่”

เหมียวอี้อยากจะบอกมากว่า ตอนแรกเจ้าพอใจจะทำอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ? แต่เขารู้ว่าพูดสิ่งนี้ออกไปไม่ได้ จึงถามเพียงว่า “เจ้าเสียใจทีหลังเหรอ?”

หวงฝู่จวินโหรวอึดอักเหมือนอยากจะพูดอะไร ไม่นับว่าเสียใจทีหลังหรอก แต่ลองถามใจตัวเองดู ทั้งสองแอบลักลอบเจอกันมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่เหมือนตอนแรกรักที่ยอมแบกรับทุกอย่าง เมื่อเวลานานไปแล้วบางครั้งเห็นคนอื่นอยู่กันเป็นคู่ นางก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้แย่กว่าผู้หญิงพวกนั้น ทำไมทำได้แค่อิจฉาล่ะ? พอนึกว่าเหมียวอี้มีภรรยาและอนุภรรยาอยู่ด้วยกัน แล้วตัวเองนับเป็นตัวอะไรล่ะ? ในใจรู้สึกคับแค้นอยู่บ้าง หรือไม่ก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เพื่อนและญาติที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกก็แนะนำผู้ชายมาให้นางเป็นระยะ อาจจะไม่ได้เป็นเจ้าอาณาเขตอย่างเหมียวอี้ และไม่ได้เก่งกาจเหมือนเหมียวอี้ แต่อย่างน้อยก็สามารถอยู่กับนางอย่างสง่าผ่าเผยได้ ไม่ต้องหลบซ่อนอย่างนี้

คนเรามักอยากจะได้สิ่งที่ตัวเองไม่มี คำพูดในใจเมื่อเอ่ยออกมาก็เปลี่ยนเป็น “เจ้าต่างหากที่เสียใจทีหลัง! ข้าหมายถึงว่าข้าไม่มีทางช่วยเจ้าได้ เรื่องที่ข้าเข้าไปแทรกแซงได้มีจำกัด จู่ๆ จะให้ไปสืบข่าวเรื่องครอบครัวสนมฉิน เจ้าไม่กลัวว่าข้าจำทำให้คนอื่นสงสัยเหรอ?”

เหมียวอี้โพล่งไปว่า “ก็คุยกับแม่เจ้าสิ แม่เจ้ามีอำนาจมากกว่า ถ้าจับตาดูเรื่องบางเรื่องก็ไม่ทำให้คนสงสัยง่ายขนาดนั้นหรอก ให้แม่เจ้าไปสืบสิ”

ตัวเขาในวันนี้ เวลาพูดอะไรแบบนี้ออกมาก็ไม่มีความละอายเหลืออยู่แล้วสักนิด ทำเรื่องบางเรื่องจนชำนาญเสียแล้ว มีความมั่นใจที่จะจับจุดอ่อนคนแล้วจริงๆ เขาเรียกใช้หวงฝู่ตวนหรงโดยตรงเสียเลย หวงฝู่ตวนหรงในตอนนี้ขู่อะไรเขาไม่ได้ทั้งนั้น เขาวางแผนกับประมุขชิงทั้งครอบครัวแล้ว ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญที่บ่มเพาะขึ้นมาทีละนิดเพียงพอที่จะทำให้เขาเลิกหวาดกลัวบางสิ่งแล้ว

“เจ้านี่หน้าด้านใช้ได้เลยนะ ทำกับลูกสาวนางแบบนี้ ยังกล้าหาเรื่องมาให้นางทำอีกเหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวเหยียดหยาม

“เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ช้าเร็วก็ต้องประกาศ เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดบังไปทั้งชีวิต ข้ามีอะไรต้องเกรงใจล่ะ” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ

คำพูดนี้มีความหมายต่อคนฟัง ไม่ต่างอะไรกับการให้ความหวังและการรับประกัน ทะลวงเข้าไปในใจหวงฝู่จวินโหรวได้ในรวดเดียว ทำให้นางรู้สึกหวานซึ้งสบายใจ ชั่วพริบตานั้นความรู้สึกน้อยใจหายไปหมดแล้ว ดวงตางามฉ่ำเยิ้มราวกับน้ำจะหยดออกมา “คนบ้า!” เสียงด่ายังไม่ทันเงียบ นางก็กางแขนกระโจนเข้าไปกอดรัดอีกแล้ว ความเร่าร้อนที่ทำให้คนละลายเผยออกมาอีกครั้ง เหมียวอี้ค่อนข้างรับไม่ไหว…

คนนับร้อยพลันปรากฏตัวกลางอวกาศ เห็นได้ชัดว่าข้ามประตูดวงดาวมา ภาพแรกที่ปรากฏก็คือดาราจักรที่สวยแพรวพราวเป็นพิเศษ แพรวพราวจนทำให้คนตาลาย ราวกับเป็นกล้องสลับลาย หลังจากปรากฏตัวแล้ว คนกลุ่มนี้ก็ลอยยืนอยู่กับที่ ผู้ที่นำกลุ่มมาหันมองโดยรอบ พลางเดาะลิ้นชมว่า “จักรวาลยิ่งใหญ่ สิ่งมหัศจรรย์ใดๆ ล้วนมีให้เห็น สวย!”

ผู้ที่นำหน้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นสวีถังหรานที่ปลอมตัวเรียบร้อยแล้ว

ผู้ที่อยู่ข้างกายเขาก็คือหยวนกงที่ปลอมตัวแล้วเช่นกัน หยวนกงมองไปรอบๆ พลางพยักหน้า “สระน้ำมังกรดำคือชื่อของสถานที่ที่งดงามที่สุดในดาราจักร สมคำร่ำลือ”

สวีถังหรานได้ยินแล้วพูดเหยียด “สระน้ำมังกรดำอะไรกัน รังสัตว์เลื้อยคลานเท่านั้นแหละ”

หยวนกงยิ้มแห้ง โบกมือบอกว่า “นายท่านอยู่ที่นี่โปรดระวังคำพูดหน่อย ถ้าปีศาจเทพอสรพิษดำได้ยินเข้าจะเกิดปัญหาได้”

สวีถังหรานหัวเราะแห้งๆ แล้วหยิบแผนที่ดาวขึ้นมาตรวจดู ส่วนหยวนกงก็โบกมือชี้ไปข้างหน้า “มุ่งตรงไปข้างหน้าเท่านั้น ตลาดมืดของสระน้ำมังกรดำอยู่ตรงหน้านี้แล้ว”

หลังจากเทียบแผนที่ดาวจนแน่ใจแล้ว สวีถังหรานก็โบกมือ กลุ่มคนเร่งเหาะไปข้างหน้าทันที

ท้องฟ้าตรงหน้าแพรวพราวหลากสีสัน ผ่านไปไม่นาน ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ถูกเมฆครึ้มและสายฟ้าปกคลุมก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ที่อาณาเขตดาวผืนนี้ ดาวเคราะห์ประเภทนี้มีนับพันดวง เพียงแต่ทั้งหมดมีเจ้าของ ที่ปล่อยไวให้ภายนอกมีเพียงดวงเดียวเท่านั้น

ที่บอกว่าที่นี่มีเจ้าของ ก็เพราะเทพอสรพิษดำเจ้าของอาณาเขตนี้ได้รับแต่งตั้งจากตำหนักสวรรค์ ถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องอสรพิษดำ เดิมทีเจ้าของอาณาเขตนี้เรียกตัวเองว่าเทพ หลังจากถูกตำหนักสวรรค์แต่งตั้งจึงถูกลดกลายเป็นอ๋อง แต่อ๋องท่านนี้มีจุดที่แตกต่างกันสี่อ๋องสวรรค์ เพราะไม่ครองตำแหน่งในตำหนักสวรรค์ และไม่กุมอำนาจทางทหารของตำหนักสวรรค์ด้วย นอกจากจะไม่มีค่าจ้างแล้ว กลับต้องส่ง ‘น้ำตากลั่น’ ไปบรรณาการตามกำหนดเวลาด้วย เหตุใดจึงเรียกว่าเทพอสรพิษดำน่ะเหรอ? ก็เพราะเป็นของที่จำเป็นต้องใช้ยามของอาวุธวิเศษเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา เป็นเรื่องยากที่จะใส่เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาไว้บนของวิเศษได้ แต่น้ำตากลั่นกลับช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างอัศจรรย์

น้ำตากลั่นก็คือสิ่งที่กลั่นจากน้ำตาของปีศาจเทพอสรพิษดำ และที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของปีศาจเทพอสรพิษดำ และเป็นสาเหตุที่ตำหนักสวรรค์แต่งตั้งอ๋องให้เป็นกรณีพิเศษ

ทว่าแม้น้ำตากลั่นจะอัศจรรย์ แต่กลับมีจุดที่แตกต่างจากสิ่งอื่น นั่นก็คือไม่สามารถเก็บรักษาได้นาน หลังจากผลิตขึ้นมาแล้วอยู่ได้เพียงสามปีเท่านั้น หลังจากนั้นสามปีก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ปัจจุบันยังไม่มีใครค้นหาวิธีเก็บรักษามันได้ ภายใต้อุปสงค์และอุปทาน ที่นี่จึงค่อยๆ กลายเป็นตลาดมืดแห่งหนึ่งเนื่องจากน้ำตากลั่น

ตลาดผีในตลาดมืดเดิมทีก็อยู่ที่นี่ ตอนหลังที่ตำหนักสวรรค์กวาดล้างที่นี่เพื่อข่มตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลเซี่ยโห้วจึงทิ้งที่นี่ย้ายไปตลาดผี กระแสคนที่ทำการค้าขายก็เป็นฝ่ายย้ายตามไปตลาดผีเช่นกัน ตำหนักสวรรค์ถึงได้รู้ว่าการไม่รักษาที่ต้นเหตุของโรคนั้นเปลืองแรง ตอนหลังจึงไม่ทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์แบบนี้แล้ว

…………………………

ตอนนี้โพล่งเรื่องระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมา จินม่านที่เป็นเจ้าของเรื่องนี้โดยตรงเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร หมายความว่าอายุของทั้งสองไม่ได้ห่างกันแบบธรรมดา

จินม่านหันตัวมาจ้อง “เจ้ารังเกียจที่ข้าอายุมากเกินไปเหรอ?”

หยางชิ่งยังคงหันหลังให้ “คนในแดนฝึกตนมีใครสนใจเรื่องอายุบ้าง ผิวหนังไม่เหี่ยวย่นก็มองข้ามอายุได้”

“งั้นเจ้าหมายความว่ายังไง?” จินม่านถาม

หยางชิ่งตอบว่า “ถ้าเจ้าไม่สามารถบรรลุระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เจ้าคงจะมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าข้าอีกหน่อย ตอนที่เจ้าเข้าใกล้ระดับนั้น เจ้ารู้หรือเล่าว่าเจ้าจะมีสภาพจิตใจยังไง ดังนั้นมีบางเรื่องที่เจ้าจะต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง”

จินม่านเข้าใจความหมายที่เขาสื่อ เขาไม่ได้ปฏิเสธนาง จึงเดินกลับมาด้วยแววตาเป็นประกาย มายืนอยู่ข้างหลังเขา แล้วกล่าวอย่างรู้สึกขำเล็กน้อย “เจ้าน่ะอะไรก็ดีหมด แต่กับบางเรื่องก็ห่วงหน้าพะวงหลังเกินไป”

“ข้าเคยได้ยินบางอย่างมา เป็นเรื่องระหว่างเจ้าและประมุขไป๋” หยางชิ่งกล่าว

จินม่านหรุบตาลงเล็กน้อย “ไม่ผิดหรอก เมื่อก่อนข้าเคยรักประมุขไป๋ แต่นั่นเป็นแค่รักข้างเดียว ในปีนั้นผู้หญิงที่เคยรักประมุขไป๋ไม่ได้มีข้าคนเดียว ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด ระหว่างข้ากับเขาไม่ได้มีอะไรกัน”

หยางชิ่งหันตัวมา แล้วถามอย่างแปลก “อย่าบอกนะว่าเจ้ารู้สึกว่าข้าดีกว่าประมุขไป๋?”

จินม่านเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่มีทางเทียบกันได้ ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าเอาตัวเองไปเทียบกับเขาดีกว่า จะทำให้เจ้ารู้สึกต่ำต้อยเสียเปล่าๆ น่าเสียดายที่เจ้าไม่เคยเห็นเขา ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเข้าใจว่าข้าหมายความว่าอะไร”

หยางชิ่งอดไม่ได้ที่จะเอามือลูบจมูก คำพูดนี้ฟังแล้วค่อนข้างสะเทือนใจ เขาใช้มือข้างเดียวรองไหสุราดื่มอีกอึก แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มเจื่อน “ข้าก็เลยไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเจ้า”

จินม่านจึงบอกว่า “คนบางคนเป็นได้แค่ความฝันเท่านั้น ส่วนบางคนก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริง ต้องสิ่งนี้ไม่ได้ขัดแย้งกัน เจ้าก็คือความจริงที่อยู่ตรงหน้าข้า เรื่องความรู้สึกข้าเองก็พูดได้ไม่ชัดเจน อยู่ดีๆ ข้าก็เกิดความรู้สึกกับเจ้าโดยไม่มีเหตุผล ทั้งยังรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน ตัวข้าเองยากจะควบคุมได้ ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าอธิบาย ข้าก็ไม่มีทางอธิบายได้ อายุมากแล้วผ่านลมคาวฝนเลือดมาแล้วไม่น้อย นิสัยสุกงอมเป็นผู้ใหญ่เกินไป จะให้ทำตัวเหมือนสาวน้อยข้าก็ทำไม่ไหวแล้ว ข้าบอกได้เพียงว่าไม่หลอกหัวใจตัวเอง!”

“ด้วยฐานะของเจ้ากับข้า ถ้าอยู่ด้วยกันจะรู้สึกอ่อนไหวไปหน่อย จะมีคนเดาว่าเจ้าควบคุมข้า หรือเป็นข้าที่ควบคุมเจ้า” หยางชิ่งกล่าว

จินม่านใช้ฝ่ามือแนบตรงหัวใจ จ้องเขาพร้อมบอกว่า “ข้าถามเจ้าสักคำ ถ้าข้าไม่ได้อยู่ในฐานะนี้ ด้วยความงามอย่างข้าจะทำให้เจ้ามีความปรารถนาบางหรือเปล่า? ความปรารถนาที่ชายมีต่อหญิง มีหรือเปล่า?”

หยางชิ่งครุ่ยคิดเล็กน้อย แล้วพยักหน้าบอกว่า “ไม่จำเป็นต้องตัดเงื่อนไขอะไร ฐานะของเจ้าทำให้ได้คะแนนเพิ่ม แต่ข้ายังไม่ได้คิดดูให้ชัดเจน ให้ข้าไตร่ตรองดูสักหน่อย”

จินม่านหันตัวไป ขณะที่เดินไปก็กล่าวอย่างผิดหวังว่า “รู้จักเจ้ามาหลายปีขนาดนี้ ข้าค้นพบจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเจ้า เจ้าชอบเก็บทุกเรื่องมาคิดทำความเข้าใจก่อนแล้วค่อยทำ แต่เรื่องความรู้สึกนั้นสามารถคิดทำความเข้าใจได้เหรอ? อย่างเจ้าเรียกว่าตกหลุมพรางความฉลาดของตัวเอง พูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ เจ้าห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่สามารถเกิดความรู้สึกกับใครเพราะอารมณ์ชั่ววูบ จะเอามาทำอะไรได้ล่ะ? เจ้าลองค่อยๆ คิดดูเถอะ ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าวันไหนปีไหนเจ้าถึงจะคิดได้…วันนี้ ข้าไม่มีอารมณ์เตรียมสุราอาหารแล้ว รอข้าอารมณ์ดีก่อนค่อยว่ากัน บางทีอาจจะกลายเป็นข้าเองที่คิดได้แล้วเลิกสนใจเจ้าก็ได้” เสียงเงียบไป คนเดินไปไกลแล้ว

ลมทะเลกระพือชุดคลุมตีหลังหยางชิ่ง เขาใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งรองไหสุรา ก้มหน้ามองน้ำสุราใสในไหเงียบๆ ใต้หน้าผาด้านหลังมีเสียงคลื่นซัดกระทบฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า…

ริมชายหาด ในหม้อบนกองไฟเดือดปุดๆ ในนั้นเต็มไปด้วยอาหารทะเล หัวหน้าภาคหนิวตกปลาและถือทัพพีคนด้วยตัวเอง กลิ่นหอมโชยไปทั่วทิศ

เฟยหงที่อาบน้ำสะอาดแล้วพาสาวใช้ทั้งสองจัดโต๊ะและเก้าอี้อยู่ด้านข้าง เฟยหงค่อนข้างตื่นเต้นดีใจ เพราะนายท่านลงครัวทำอาหารให้นางด้วยตัวเอง ตอนอยู่ที่บ้านมักเป็นฮูหยินที่ดูแลเรื่องอาหารการกินของนายท่าน ดังนั้นแม้แต่ฮูหยินเองก็ไม่เคยได้ดื่มด่ำกับการบริการนี้

ทว่ายังไม่ทันต้มอาหารจนสุก งานก็เข้าแล้ว เหมียวอี้หยิบระฆังดาราขึ้นมา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ส่งข่าวมาแล้ว เหมียวอี้จึงเรียกเฟยหงแล้วส่งทัพพีให้นาง ส่วนตัวเองก็ถือระฆังดาราติดต่อกับใครบางคนอยู่ข้างๆ

หลังจากทักทายอย่างสุภาพ เหมียวอี้ก็ถามว่า : ไม่ทราบว่าเหนียงเหนียงมีอะไรจะกำชับขอรับ?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : ข้ามีเรื่องต้องฝากฝังให้เจ้าไปทำ

เหมียวอี้ย่อมตอบว่า : เหนียงเหนียงกำชับมาได้เลยขอรับ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เองก็ไม่เกรงใจ : สนมฉิน ช่วยข้ากำจัดนางที ข้าต้องการให้ทั้งครอบครัวนางไม่ตายดี!

“…” เหมียวอี้งงเป็นไก่ตาแตกทันที ก่อนหน้านี้ผังก้วนจอมพลสายเถาะได้บอกทิศทางการเคลื่อนไหวให้เขารู้แล้ว ทางฝั่งนี้เพิ่งปรึกษากับหยางชิ่งได้ไม่นาน กำลังดีใจที่ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่าจะทำไม่สำเร็จ นึกไม่ถึงว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะหาเรื่องแบบนี้มาให้เขาทำ

หลังจากเหม่อไปประเดี๋ยวเดียว มีหรือที่อยู่ดีๆ เหมียวอี้จะหาเรื่องใส่ตัว รีบปฏิเสธว่า : เหนียงเหนียง การทำเรื่องแบบนี้ อาศัยกำลังของตระกูลเซี่ยโห้วน่าจะเหมาะสมที่สุด

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : พอตระกูลเซี่ยโห้วเปลี่ยนเจ้าบ้านแล้ว กระบวนการความคิดก็แตกต่างจากเมื่อก่อน ข้าเคยบอกไปแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ตอบตกลง ข้าเองก็รู้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยากสำหรับเจ้า กำลังพลของหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลล้วนอยู่ในที่แจ้ง แต่ในมือเจ้ายังมีโถงชุมนุมอัจฉริยะไม่ใช่เหรอ?

โถงชุมนุมอัจฉริยะบ้านแปะเจ้าสิ! เหมียวอี้ไม่รู้จะด่านางอย่างไรแล้วจริงๆ ตอนนี้หวังจัวบิดาของสนมฉินเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาคแล้ว กลายเป็นเจ้าอาณาเขตแล้ว มีกำลังพลเยอะกว่าคนของเขาเสียอีก จุดที่อีกฝ่ายพักอยู่จะต้องมีกำลังทหารคุมแน่นหนาแน่นอน จะไม่ให้นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์สังเกตเห็นตอนเข้าใกล้ก็คงยาก ถ้าจะลอบสังหารก็เหนื่อยพอสมควร อย่างไรเสียถ้าเกิดความเคลื่อนไหวขึ้น กำลังพลของหวังจัวก็จะปิดล้อมประตูดวงดาวทางเข้าออกบริเวณนั้นทันที ทั้งยังมีกำลังพลในอาณาเขตอื่นที่จะรีบเข้ามาสมทบอีก ถ้าทำให้ทัพตะวันออกกระจายกำลังค้นหาเป็นวงกว้างเมื่อไร นั่นก็จะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว กำลังพลตำหนักสวรรค์จะโดนสังหารง่ายๆ อย่างนั้นได้อย่างไร นึกถึงตอนแรกที่พวกอวิ๋นอ้าวเทียนสังหารผู้บัญชาการตลาดสวรรค์แค่ไม่กี่คนสิ ถ้าไม่ใช่เพราะหนีเข้าแดนอเวจี ก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว

ถ้าคิดจะอาศัยกำลังพลน้อยนิดลอบสังหารเจ้าอาณาเขตสักคนนั้นเป็นเรื่องเพ้อฝัน อย่างน้อยก็ต้องเสี่ยงอันตรายมาก เรียกได้ว่ายากกว่าลอบสังหารเหมียวอี้เสียอีก เบื้องหลังเหมียวอี้ไม่มีเครือข่ายกำลังพลสนับสนุน หลังจากทำสำเร็จแล้วก็หลบหนีได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้น ดีไม่ดีหลังจากสนมฉินก่อเรื่องแล้ว ตระกูลอิ๋งก็อาจจะส่งยอดฝีมือไปคุ้มกันแล้วก็ได้

นอกเสียจากจะส่งกำลังพลจำนวนมากไปโจมตี สังหารเข้าไปและสังหารฝ่าออกมาตลอดทาง แต่กำลังพลจำนวนมากของโถงชุมนุมอัจฉริยะจะทำเรื่องนี้อย่างเปิดเผยได้เหรอ? นี่ไม่ต่างอะไรกับการก่อกบฎ ต่อไปนอกจากจะถูกตำหนักสวรรค์ประกาศยกเลิกแล้ว เหมียวอี้ก็เลิกคิดที่จะทำมาหากินไปได้เลย

เรื่องนี้มีแต่ต้องให้ตระกูลเซี่ยโห้วลงมือเองถึงจะเหมาะสมที่สุด ตระกูลเซี่ยโห้วมีช่องทางข่าวารรวดเร็ว สามารถหาโอกาสเหมาะลงมือได้ สามารถหายตัวไปอย่างเงียบๆ ได้ก่อนที่จะเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โต

ดังนั้นเหมียวอี้จึงอธิบายความลำบากให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รู้ : เหนียงเหนียง บงการให้กลุ่มนักเลงสังหารคนตำแหน่งใหญ่ของตำหนักสวรรค์ นอกเสียจากจะปิดบังความลับได้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ไม่อยากจะจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย!

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เองก็เน้นย้ำความลำบากของตัวเองเช่นกัน : ถูกคนใช้วิธีการชั้นต่ำเล่นงานแบบนี้ ข้าทนเก็บความแค้นนี้ไม่ไหวจริงๆ ถ้านางตัวดีนั่นไม่ถูกกำจัด ข้าก็กินอยู่ไม่เป็นสุข!

นี่น่ะเหรอความลำบากของนาง เหมียวอี้พูดไม่ออกมาก

เหมียวอี้เองก็ตระหนักได้เช่นกันว่าการบอกปัดตรงๆ ไม่ใช่วิธีการที่ดี จึงปฏิเสธอ้อมๆ : เรื่องนี้จะบุ่มบ่ามไม่ได้เด็ดขาด เหนียงเหนียงให้เวลาข้าน้อยไตร่ตรองสักหน่อย

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : ท่านหนิว เรื่องนี้ข้าหวังพึ่งเข้าได้คนเดียวเท่านั้น อย่าทำให้ข้าผิดหวังเด็ดขาด!

นี่มันเรื่องอะไรกัน! เมื่อคุยกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็ถือระฆังดารายืนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

เฟยหงที่กำลังถือทัพพีกวนอาหารมองมาทางนี้ เหมียวอี้โบกมือบอกใบ้ให้นางจัดการเอง แล้วก็หยิบระฆังดารามาติดต่อหยางชิ่งอีก

หยางชิ่งยังยืนอยู่ริมหน้าผา ถือไหสุราครุ่นคิดเกี่ยวกับชีวิต ถูกเสียงเตือนข้อความจากปลุกเรียกสติ จึงหยิบระฆังดาราขึ้นมาถามว่ามีเรื่องอะไร

เหมียวอี้ : งานเข้าแล้ว

หยางชิ่งเงยหน้ากรอกสุราเข้าปาก เรียกสติตัวเองอีกครั้ง แล้วถามว่า : เกิดอะไรขึ้นขอรับ?

เหมียวอี้ : เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะให้ข้าสังหารสนมฉิน ทั้งยังบอกว่าต้องการให้ทั้งครอบครัวของสนมฉินไม่ตายดีด้วย นี่ไม่ใช่งานเข้าแล้วหรือไง?

“…” หยางชิ่งเองก็ค่อนข้างพูดไม่ออก ถามว่า : นางไม่ได้ไปขอให้ตระกูลเซี่ยโห้วทำเหรอ?

เหมียวอี้เล่าบทสนทนาระหว่างตัวเองกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ให้ฟังคร่าวๆ ทันที

หยางชิ่งอุ้มไหสุราขมวดคิ้ว แล้วชี้แนะเลยว่า : สาเหตุที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ยอมลงมือมีอยู่สามข้อ หนึ่งคือทำไม่ไหว สองคือไม่อยากทำเพราะสาเหตุบางอย่างที่พวกเราไม่รู้ สามก็คือรู้อยู่แล้วว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะมาขอให้นายท่านทำ

เหมียวอี้ : เจ้ามีวิธีปฏิเสธหรือเปล่า? เรื่องนี้ยุ่งยากมาก ขนาดตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่ยอมลงมือเลย ข้าสงสัยว่าฝั่งตระกูลอิ๋งอาจจะเตรียมตัวไว้นานแล้ว

หยางชิ่ง : ไม่วาตระกูลเซี่ยโห้วจะมีเหตุผลอะไร แต่ขอถามนายท่านสักหน่อย ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกใช่มั้ยที่ราชินีสวรรค์เอ่ยปากขอให้นายท่านช่วยอย่างเป็นทางการ?

เหมียวอี้ : นับว่าใช่ก็ได้

หยางชิ่ง : แล้วนายท่านจะปฏิเสธได้ยังไง? แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนเป็นนายท่านที่ขอให้ราชินีสวรรค์ช่วย นี่เป็นครั้งแรกที่ราชินีสวรรค์ขอให้นายท่านช่วย ถ้านายท่านปฏิเสธ จะให้ราชินีสวรรค์คิดยังไงล่ะ?

เหมียวอี้ : จะให้ตอบตกลงจริงเหรอ?

หยางชิ่ง : ก่อนหน้านี้ข้าน้อยก็บอกไว้แล้ว ว่าการลับคมขัดเกลาโอรสสวรรค์ของฝ่าบาทครั้งนี้ จะต้องให้คนกลุ่มใหญ่กลายเป็นหินลับคม นายท่านเองก็ยากที่จะหนีพ้น พอโอรสสวรรค์ไปกองทัพองครักษ์แล้ว เกรงว่าฝ่าบาทก็คงจะหาเรื่องให้เขาทำเช่นกัน ต่อให้ครั้งนี้ราชินีสวรรค์ไม่มาหานายท่าน แต่ถ้าครั้งหน้าโอรสสวรรค์ประสบปัญหาอีก เกรงว่าราชินีสวรรค์ก็ต้องมาหานายท่านเหมือนเดิม จะว่าไปแล้วก็ล้วนเป็นเพราะข้าน้อยวางแผนพลาด แม้จะทำให้นายท่านเปลี่ยนภาพลักษณ์คนทรยศในสายตาประมุขชิงได้แล้ว แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะมีปัญหาตามมาอีก ประมุขชิงมองใต้หล้าเป็นตัวหมาก เกรงว่าจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลจะอยู่อย่างสงบได้ยากแล้ว!

……………

ม่านไข่มุกเปิดออก จ้านหรูอี้เดินออกมา

ลีลาการเดินของนางไม่นับว่าเย้ายวนอะไร ไม่มีความอ่อนหวานของผู้หญิงด้วย นางไม่เคยแสดงลักษณะท่าทางของผู้หญิง เครื่องแต่งกายที่สวมใส่เพียงข่มความสง่าอาจหาญของนางไว้ แต่กลับแสดงความเยือกเย็นสุขุมอีกส่วนของนางอย่างแจ่มชัด นางเงยหน้ายืดอกเดินอย่างสุขุม ท่าทีสงบนิ่งอยู่ตลอด

พอเดินมาตรงหน้า ประมุขชิงก็ลืมตามองนาง ยื่นมือไปจูงมือนางมาด้านข้าง ให้นางนั่งลงข้างกัน กุมหมัดนางไว้ตรงท้องตัวเองไม่ยอมปล่อย

จ้านหรูอี้ไม่คุ้นชินกับอะไรแบบนี้ หลังจากฝืนได้สักพัก นางก็ยังชักมือกลับมาอย่างอึดอัด แล้วนั่งอยู่ข้างกายเงียบๆ

ประมุขชิงถอนหายใจเบาๆ วันนี้เหมือนจะไม่มีความคิดอะไรเป็นพิเศษ หลับตาลงช้าๆ อีกครั้ง

ทั้งสองเงียบไปพักใหญ่ แล้วจู่ๆ จ้านหรูอี้ก็ถามว่า “ได้ยินว่าองค์ชายถูกลดตำแหน่งหรือเพคะ?”

ประมุขชิงหนังตากระตุก ลืมตาขึ้นช้าๆ ในดวงตาฉายแววสนใจ หรี่ตามองนางเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่เห็นจ้านหรูอี้สนใจเรื่องในด้านนี้ ในที่สุดก็หวั่นไหวกับตำแหน่งราชินีแล้วเหรอ? “ใช่แล้ว ทำผิดก็ย่อมต้องถูกลงโทษ”

จ้านหรูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “องค์ชายน่าจะไม่ทำผิดง่ายขนาดนั้น ในนั้นอาจจะมีความจริงอีกอย่าง”

ประมุขชิงกะพริบตา รู้สึกผิดคาดนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่านางจะช่วยพูดให้ชิงหยวนจุน เขาเงยหน้าเล็กน้อย ร้องอ้อแล้วถามว่า “หรือว่าสนมสวรรค์รู้ว่าความจริงบางอย่าง?”

จ้านหรูอี้ย่อมรู้ความจริงที่ซ่อนอยู่ในนั้น ตอนแรกตระกูลอิ๋งมาหานาง ถ้านางออกหน้าเอง ก็ไม่ต้องใช้วิธีการต่ำช้าอย่างนี้ อาศัยระดับความโปรดปรานที่ประมุขชิงมีต่อนาง นางสามารถให้เบื้องล่างสร้างสถานการณ์กระทบกระทั่งกับชิงหยวนจุนได้ตามสบาย จากนั้นนางก็จะไปยัดข้อหาชิงหยวนจุนต่อหน้าประมุขชิง บอกว่าชิงหยวนจุนไม่เคารพนาง แค่นั้นก็สามารถหยั่งเชิงประมุขชิงได้แล้ว ทว่านางไม่ยอมมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

ตอนหลังได้เห็นสนมฉินที่เป็นคนของตระกูลอิ๋งถูกพาตัวออกจากที่นาหลวง จากนั้นสนมฉินก็กลับบ้านไปเยี่ยมญาติ แม้คนอื่นจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางกลับเดาได้ว่าตระกูลอิ๋งอาจจะส่งสนมฉินไปทำอะไรสักอย่างกับชิงหยวนจุน เพียงแต่ตอนหลังเห็นชิงหยวนจุนไม่เป็นอะไรเลย นางยังนึกว่าตัวเองเดาผิดไป ตอนนี้จู่ๆ ชิงหยวนจุนก็ถูกลดตำแหน่ง นางถึงตระหนักได้ว่าตัวเองเดาไม่ผิด เพียงแต่ก่อนหน้านี้ประมุขชิงปกปิดไว้ เพราะการที่โอรสสวรรค์ถูกลดตำแหน่งแค่เพราะทำตำหนักตัวเองพัง ก็ดูจะทำเกินไปหน่อย

นางเองก็รู้ว่าจุดประสงค์ที่ตระกูลอิ๋งวางกับดักชิงหยวนจุนคืออะไร เพราะตอนที่บอกให้นางทำก่อนหน้านี้ก็บอกนางไว้ชัดเจนแล้ว ว่าทำเพราะหวังดีกับนาง ต้องการจะกดสองแม่ลูกที่ตำหนักนารีสวรรค์ และเชิดชูให้นางขึ้นตำแหน่งมารดาแห่งใต้หล้า

ทว่านางไม่ได้สนใจตำแหน่งมารดาแห่งใต้หล้าอะไรนั่นเลย และไม่อยากมีโอรสสวรรค์ให้ประมุขชิงด้วย ตั้งแต่นางถูกบีบให้เข้าวัง ภูเขาใหญ่ที่กั้นระหว่างนางกับประมุขชิงก็ยากที่จะย้ายออกไปแล้ว นางคิดมาตลอดว่าตัวเองกำลังเสียสละเพื่อผลประโยชน์ของตระกูล ไม่เคยคิดว่าประมุขชิงเป็นผู้ชายของนางจริงๆ เลยสักครั้ง

สาเหตุที่นางเตือนเรื่องนี้กับประมุขชิงในตอนนี้ ก็เพราะคิดว่าไม่อยากใช้ความต่ำช้าของตัวเองทำร้ายชิงหยวนจุน นางอับอายเพราะวิธีการของตระกูลอิ๋งมาตลอด นางคิดว่าการแพ้ชนะที่แท้จริงควรจะตัดสินอย่างสง่าผ่าเผย เหมือนที่หนิวโหย่วเต๋อกล้านำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปสู้กับทัพเกรียงไกรหนึ่งล้าน ทั้งยังโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านจนพ่ายแพ้ยับเยิน ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าเพราะเรื่องนี้ นี่ต่างหากคือเรื่องที่ตระกูลอิ๋งสมควรจะทำ

แน่นอน นางยังไม่ถึงขั้นคร่ำครึเกินไป และไม่ต่อต้านการใช้อุบายบางอย่างด้วย ยกตัวอย่างเช่นตอนที่หนิวโหย่วเต๋อใช้อุบายเดิมพันในงานเลี้ยงวันเกิดของท่านปู่สวรรค์จนได้ตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลมาอย่างสง่าผ่าเผย ตอนหลังมีใครด่าว่าหนิวโหย่วเต๋อไร้ยางอายบ้างล่ะ? ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือสหายก็ล้วนชมว่าหนิวโหย่วเต๋อมีความสามารถ

ขนาดหนิวโหย่วเต๋อที่ต่ำต้อยยังทำสำเร็จได้ แต่ตระกูลอิ๋งที่สง่าน่าเกรงขามกลับใช้วิธีการต่ำช้ามาแล้วทุกอย่าง ในปีนั้นที่หนิวโหย่วเต๋อด่าว่า ‘ขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ’ ตอนนี้แม้แต่นางก็ยังรู้สึกอับอายแทนตระกูลอิ๋งเอ่ย

เพียงแต่ความคิดส่วนตัวก็ยังเป็นความคิดส่วนตัว นางยังไม่ถึงขั้นทรยศตระกูลอิ๋ง ไม่อย่างนั้นการที่นางเสียสละเขาวังในตอนแรกก็จะไร้ความหมาย

ตอนนี้ประมุขชิงถามอย่างนี้ จ้านหรูอี้ก็ส่ายหน้าตอบว่า “ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร แค่ได้ยินว่าราชินีสวรรค์อบรมเข้มงวดกับองค์ชายมาก องค์ชายไม่น่าจะทำผิดง่ายๆ หวังว่าฝ่าบาทจะตรวจสอบให้กระจ่าง” คำพูดนางหยุดเพียงเท่านี้ ไม่อยากพูดอะไรมากกว่านี้แล้ว

หลังจากประมุขชิงหยั่งเชิงหลายประโยคแต่ไม่ได้คำตอบ ก็ได้แต่มองนางพร้อมอมยิ้ม ในรอยยิ้มซ่อนความรู้สึกปลื้มใจบางอย่างเอาไว้

ทำไมจู่ๆ เขาถึงเรียกจ้านหรูอี้เข้าวัง? พอจ้านหรูอี้เข้าวังมาก็อยู่ภายใต้การจับตาดูของเขาตั้งนานแล้ว แม้จะไม่รู้ความจริงชัดเจน แต่เบาะแสบางอย่างก็ทำให้เขารู้ตั้งนานแล้ว ว่าก่อนสนมฉินจะวางกับดักชิงหยวนจุน ตระกูลอิ๋งคงจะตั้งใจให้จ้านหรูอี้ลงมือเอง แต่คงโน้มน้าวจ้านหรูอี้ไม่สำเร็จ ผลก็คือหยินซวงจึงต้องไปหาสนมฉิน เขาพอจะเดาได้ว่าคนก่อเรื่องอาจเป็นสนมฉิน แล้วผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เขาคาดไว้

เมื่ออยู่ในวัง ขอเพียงเขาตั้งใจจะทำอะไรบางอย่าง เรื่องราวมากมายก็ปิดบังหูตาของเขาไม่ได้ง่ายๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะหลับอย่างสงบได้อย่างไร

การที่จ้านหรูอี้ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้ทำให้เขาปลื้มใจมาก แต่เขายิ่งนึกไม่ถึงว่าจ้านหรูอี้จะช่วยพูดให้ชิงหยวนจุน

แม้จ้านหรูอี้จะไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้ เพียงเตือนนิดหน่อยเพราะอยากจะช่วยชิงหยวนจุนทางอ้อม แต่นี่ก็เพียงพอแล้ว เพราะในสายตาประมุขชิง การที่นางทำได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่าไม่ธรรมดาแล้ว ประมุขชิงเองก็เข้าใจจุดยืนของนางเช่นกัน

“สนมรัก!” ประมุขชิงคว้ามือนางมาวางบนท้องตัวเองอีก เขาตบหลังมือนางเบาๆ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มปลาบปลื้ม “เจ้าช่างดีนัก ดีมาก ดีมาก…” ชมติดต่อกันหลายครั้ง จู่ๆ ก็สักผ่อนคลายทั้งตัว ความว้าวุ่นใจก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น

ประมุขชิงพบว่าที่นี่มักชำระจิตใจให้เขาได้เสมอ ไม่น่าเชื่อว่าจะผล็อยหลับไปเร็วมาก…

จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ริมทะเล เฟยหงกำลังนำสาวใช้สองคนม้วนขากางเองอยู่บนโคลนทรายริมทะเล กำลังเดินเท้าเปล่าเก็บอาหารทะเล พูดคุยหัวเราะกันอย่างร่าเริง โคลนทรายเปื้อนเต็มเท้า แต่กลับเล่นกันอย่างเบิกบานใจมาก

เหมียวอี้ก็เท้าเปื้อนโคลนเช่นกัน แต่กลับเดินออกมาจากโคลนทรายแล้ว กำลังถือระฆังดาราติดต่อกับหยางชิ่งที่แดนอเวจี

ได้ยินว่าชิงหยวนจุนเกือบถูกย้ายมาที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้ว แต่กลับถูกขุนนางคนสนิทของประมุขชิงขวางไว้ หยางชิ่งอดไม่ได้ที่จะถาม : นายท่าน ท่านแน่ใจนะว่าคนที่เอ่ยปากห้ามคนแรกคือเกาก้วน?

เหมียวอี้ : น่าจะไม่ผิด ทำไม เจ้ารู้สึกว่ามีปัญหาเหรอ?

หยางชิ่ง :แค่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ข้าน้อยศึกษานิสัยคนพวกนั้นในตำหนักสวรรค์มาหลายปีแล้ว ลักษณะของทูตขวาเกาก้วนชัดเจนมาก เป็นแบบฉบับของคนเย็นชาไร้อารมณ์ ค่อนข้างมีทักษะ มีอำนาจประหารก่อนรายงานทีหลัง แข็งกร้าวมาก ชอบใช้ไม้แข็ง ไม่ได้มีนิสัยชอบเถียงกับคนอื่น ต่อให้อยู่ในราชสำนักก็ไม่เอ่ยปากพูดอะไรมาก ดังนั้นต่อให้ประมุขชิงจะบงการลูกน้องให้ช่วยแสดงละคร แต่ก็ไม่น่าจะเลือกเกาก้วนก่อน ตอนนี้เกาก้วนกลับเป็นคนแรกที่ขัดขวางไม่ให้ชิงหยวนจุนมาที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ข้าสงสัยนิดหน่อย ว่านี่อาจไม่ใช่การแสดงละครระหว่างประมุขชิงกับลูกน้องคนสนิท การให้ชิงหยวนจุนไปกองทัพองครักษ์อาจไม่ใช่สิ่งที่ประมุขชิงเลือกไว้ตั้งแต่แรก เพราะอุบายของพวกเราก่อนหน้านี้ บวกกับประมุขชิงตั้งใจจะขัดเกลาชิงหยวนจุน ดีไม่ดีความตั้งใจแรกของประมุขชิงอาจจะเป็นการส่งชิงหยวนจุนมาที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลจริงๆ ก็ได้ เพราะประมุขชิงรู้แจ่มแจ้ง ว่าพวกขุนนางใหญ่ไม่มีทางรับชิงหยวนจุนไว้ ตอนแรกเขาก็กำหนดให้ชิงหยวนจุนลดตำแหน่งไปเป็นเทพแห่งผืนดินแล้ว กองทัพองครักษ์มีตำแหน่งเทพแห่งผืนดินเสียที่ไหนกัน? ถ้าเดาไม่ผิด แผนของประมุขชิงอาจจะพังเพราะพวกลูกน้องคนสนิทขัดขวางจริงๆ!

คำพูดนี้ฟังดูมีเหตุผล เนื่องจากมีเหตุผลนี่แหละ เหมียวอี้จึงต้องปาดเหงื่อ ถ้าหยางชิ่งเดาไม่ผิด เขาก็นับว่าโชคดีรอดพ้นปัญหาได้อย่างหวุดหวิดแล้วจริงๆ ประมุขชิงส่งสัญญาณนั่นแล้ว ถ้าย้ายชิงหยวนจุนมาที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลจริงๆ ก็ปัญหาก็จะทยอยมาไม่ขาดสาย จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลจะกลายเป็นจุดศูนย์รวม ขัดกับนโยบายเก็บซ่อนศักยภาพ ตอนนี้เป็นเวลาสั่งสมกำลังเงียบๆ มิหนำซ้ำนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ เพราะเกี่ยวข้องกับการแก่งแย่งในวังหลัง

เหมียวอี้โล่งอก : โชคดี ตอนนี้ชิงหยวนจุนมีกองทัพองครักษ์ดูแลอยู่ ด้านราชินีสวรรค์ก็มีตระกูลเซี่ยโห้วคุ้มกันอยู่ พวกเราสามารถวางตัวเองไว้นอกเรื่องได้ต่อไปได้

หยางชิ่ง : สถานการณ์ที่เป็นประโยชน์ที่สุดก็เป็นอย่างนี้

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ที่อารมณ์ดีมากก็วิ่งเท้าเปล่าไปเล่นกับเฟยหง แอบนำโคลนไปป้ายหน้านาง ทำให้นางร้องตกใจ คว้าโคลนวิ่งไล่ตามเหมียวอี้บ้าง

ส่วนหยางชิ่งที่ตัวอยู่แดนอเวจีก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ริมหน้าผาที่ถูกคลื่นทะเลซัดกระทบ บางครั้งก็ก้มหน้าจมอยู่กับความคิด บางครั้งก็ขมวดคิ้วทอดสายตามองไปไกล ปากพึมพำชื่อคนเป็นระยะ “เกาก้วน…เกาก้วน…”

ชุดกระโปรงยาวสีทองของจินม่านปลิวสะบัดรับลม นางเดินเนิบนาบเข้ามา แล้วจู่ๆ ก็หยุดยืนกอดอกอยู่ไม่ไกล กระดกนิ้วเรียกไหสุราไหหนึ่งไหสุรา แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ผู้ช่วยใหญ่คิดอะไรอยู่อีกล่ะ?”

ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมาหลายปี นางมองออกแล้วว่าหยางชิ่งไม่ได้กำลังครุ่นคิดเรื่องสำคัญอะไร นางถึงได้กล้าออกมาส่งเสียงรบกวน

หยางชิ่งดึงสติกลับมา แล้วตอบกลั้วหัวเราะ “เรื่องเล็กน้อย”

“ผู้ช่วยใหญ่เป็นคนที่รักการใช้สมองโดยธรรมชาติ!” จินม่านพูดหยอก แล้วโยนไหสุราเข้ามา ท่วงทาสง่างามผ่าเผย นางเดินเข้ามาใกล้ “สุราชั้นดีที่นำมาจากพิภพเล็ก เบื้องล่างส่งมาใหม่ ลองชิมดูว่าถูกปากมั้ย ถ้าพอใช้ได้ ข้าจะไปทำกับแกล้มสักหน่อย”

หยางชิ่งรับไหสุรามาไว้ในมือ ชำเลืองมองนางด้วยสายตาล้ำลึก ถือโอกาสตีเปิดผนึกไห แล้วเงยหน้ากรอกหนึ่งคำ แต่กลับอาศัยการชิมสุรามาพูดถึงสิ่งที่มีความหมายล้ำลึก “สุราไม่เลว พอพูดพิภพเล็กฮูหยินของข้ายังอยู่ที่นั่นอยู่เลย”

จินม่านอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เคยได้ยินมาก่อน ว่าเป็นผู้หญิงที่แต่งงานครั้งที่สอง อีกทั้งราชาปราชญ์ยังบังคับให้เจ้าแต่งงานด้วย ถ้าผู้ช่วยใหญ่รู้สึกเหงา พิภพใหญ่ก็ใช่ว่าจะไร้ผู้หญิงดีๆ ให้คลายความเหงา ผู้ชายมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องปกติ คาดว่าฮูหยินของเจ้าคงไม่ได้คุยยากขนาดนั้น” จากนั้นก็เปลี่ยนประเด็น “ในเมื่อผู้ช่วยใหญ่รู้สึกว่าสุรานี้ไม่เลว ข้าก็จะไปทำกลับแกล้มให้สักหน่อย จะดื่มกับผู้ช่วยใหญ่สักสองจอก”

นางเพิ่งจะหันตัวเดินไปได้ไม่กี่ก้าว หยางชิ่งที่หันหน้าให้ทะเลกว้างจนชุดคลุมปลิวสะบัดก็ถามเสียงเรียบว่า “ไม่ทราบว่าประมุขปราชญ์จินมีความมั่นใจที่จะบรรลุระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า?”

จินม่านตัวสั่นเล็กน้อยขณะหยุดเดิน นางฟังออกว่าหยางชิ่งหมายถึงอะไร เขาให้นางพิจารณาดูให้ดี

หยางชิ่งเองก็ไม่ใช่คนโง่ ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ต่อให้ตอนแรกจะดูไม่ออก แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ตอนหลังจะดูไม่ออกเลย เขารู้แล้วว่าจินม่านสนใจเขา ระหว่างทั้งสองนั้นรู้อยู่แก่ใจ เหลือแค่เจาะกระดาษหน้าต่างชั้นสุดท้ายก็เท่านั้นเอง

พิจารณาถึงสภาพแวดล้อมปัจจุบันและความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง หยางชิ่งจงใจแกล้งโง่ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปนาน จินม่านกลับเป็นฝ่ายรุกมากขึ้น รุกจนทำให้คนที่มีตาล้วนดูออก ยกตัวอย่างเช่นเมื่อครู่ที่บอกว่า ผู้ชายมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องปกติ

…………………

มาส่งตลอดทางถึงดาราจักรจึงกระทั่งไม่เห็นเงาลูกชายแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถึงได้ปาดน้ำตากลับมาที่อุทยานหลวง นางตรงไปที่เรือนพักของตระกูลเซี่ยโห้ว ตอนนี้เซี่ยโห้วลิ่งยังไม่ได้ออกไป เซี่ยโห้วเฉิงอวี่นัดพบกับเขา

หลังจากจบการประชุมขุนนาง เกาก้วนกับอู๋ฉวี่และคนอื่นๆ ก็ถูกประมุขชิงเรียกไปที่ตำหนักดาราจักรเช่นกัน

ขณะมองบรรดาลูกน้องคนสนิทยืนอยู่เบื้องล่าง ประมุขชิงที่วางสองมือบนโต๊ะก็มีสีหน้าดุร้าย เขาอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ สงสัยนิดหน่อยว่าวันนี้ลูกน้องคนสนิทของตัวเองแต่ละคนไปกินยาผิดมาหรือเปล่า ภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่ได้บอกใบ้ให้ทำ เริ่มตั้งแต่ที่โพ่จวินกระโดดออกมาเถียง แล้วก็เกาก้วน แล้วก็อู๋ฉวี่อีก แม้แต่ซือหม่าเวิ่นเทียนก็กระโดดออกมาเช่นกัน ทำให้เรื่องราวเบี่ยงจากทิศทางเดิมแล้ว

“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?” เสียงทุ้มต่ำของประมุขชิงทำลายความเงียบของตำหนักดาราจักรแล้ว “เรื่องของโอรสสวรรค์ ใครใช้ให้พวกเจ้ามายุ่งด้วยซี้ซั้ว!”

เกาก้วนไม่ได้ตอบอะไร ซือหม่าเวิ่นเทียนรู้ตั้งนานแล้วว่าตัวเองเจตนาดีจนทำเสียงเรื่อง ตอนนี้ก้มหน้าอย่างกินปูนร้อนท้อง ซ่างกวนชิงชี้ให้เขารู้ถึงความตั้งใจของประมุขชิงตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาต้องทำเป็นไม่รู้เหมือนคนอื่น เขาพอจะรู้จักนิสัยประมุขชิงอยู่บ้าง กังวลเช่นกันว่าหากชิงหยวนจุนทำให้ประมุขชิงพอใจไม่ได้ ประมุขชิงก็อาจทำเรื่องโกหกให้เรื่องจริง ถ้าอยากจะโน้มน้าวให้ประมุขชิงมีลูกอีกคนก็เกรงว่าจะไม่ง่ายแล้ว มีอู๋ฉวี่คอยจับตาดูให้นั้นเหมาะสมที่สุด

อู๋ฉวี่กุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท ที่ทูตขวาเกานำราชินีสวรรค์มาเป็นโล่กำบังนั้นเป็นแค่ข้ออ้าง ที่จริงการให้องค์ชายไปที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลนั้นไม่เหมาะสมจริงๆ แม้หนิวโหย่วเต๋อจะมีทัพเกรียงไกรหนึ่งแสน แต่ถ้าในราชสำนักมีคนคิดใช้วิธีสกปรกกับองค์ชายจริงๆ ความปลอดภัยขององค์ชายก็จะน่ากังวลแล้วขอรับ!”

ซ่างกวนชิงได้ยินแล้วแอบส่ายหน้า

ปั้ง! ประมุขชิงตบโต๊ะยืนขึ้น “ข้าจะไม่รู้เชียวหรือ? จำเป็นต้องให้พวกเจ้ามาเตือนมั้ย?”

อู๋ฉวี่เบิกตากว้าง ไม่ง่ายเลยกว่าจะโน้มน้ามให้ประมุขชิงยอมมีลูกชายสักคน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของลูกน้องคนสนิท เขาอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความตกใจ “หรือว่าฝ่าบาทจะถอดตำแหน่งองค์ชายจริงๆ ขอรับ?”

ภายใต้สถานการณ์ที่ประมุขชิงเรียกสนมสวรรค์กลับเข้าวังก่อนหน้านี้ ก็ได้ดึงดูดความสนใจของคนกลุ่มนี้แล้ว ตอนนี้พอได้ยินแบบนี้อีก จะไม่ให้สงสัยก็คงยาก

ประมุขชิงได้ยินแล้วปวดประสาท รู้ถึงความคิดของคนพวกนี้แล้ว ทว่าบางเรื่องนั้นทำได้แค่คิด แต่ไม่อาจพูดออกไปได้ เขาโบกมืออย่างเดือดดาลรำคาญใจ “ไสหัวออกไปให้หมด!”

เกาก้วนกับซือหม่าเวิ่นเทียนขอตัวลา แต่อู๋ฉวี่กลับยังกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท โพ่จวิน…”

“ไสหัวไป!” ประมุขชิงพลันโบกมือแนวขวาง กวาดของบนโต๊ะตกลงพื้นเสียงดังเพล้ง รู้สึกหงุดหงิดสุดขีด

บางครั้งเรื่องในครอบครัวก็น่าหงุดหงิดกว่าราชกิจ เพราะราชกิจยังสามารถทำตามหน้าที่ได้ แต่หากเป็นเรื่องในครอบครัว เวลาจะจัดการขึ้นมาก็ต้องใจแข็งแน่วแน่ อย่างไรเสียเขาก็มองชิงหยวนจุนเติบโตมาทีละน้อยตั้งแต่อยู่ในอ้อมอก ถ้าพูดจากมุมมองค่านิยมในครอบครัวอย่างเดียว เขารู้สึกพอใจกับลูกชายคนนี้มาก เวลาพ่อลูกอยู่ด้วยกันในครอบครัว เขาไม่อยากให้ลูกชายทำตัวหน้าไหว้หลังหลอกกับพ่ออย่างเขา แต่ลูกเกิดในราชสำนัก หากวันใดขาดการคุ้มครองที่แน่นหนาแล้วลูกปกป้องตัวเองไม่ได้ล่ะ…เขาจินตนาการได้เลยว่าตอนนี้ลูกชายเคียดแค้นเขามากขนาดไหน เขาถึงขั้นอ้างกรมภูษามาสร้างความอัปยศให้ลูกชาย แต่เขาไม่อาจให้ลูกชายรู้ได้ว่าตอนนี้เขากำลังขัดเกลาลูกชายอยู่ ทำอย่างนั้นถึงแม้จะได้รับความซาบซึ้งใจจากลูก แต่กลับทำให้การขัดเกลาไม่ได้ผล จะทำให้ลูกชายขาดหัวใจที่จะพึ่งพาตัวเอง

พอกวาดของบนโต๊ะแล้ว ประมุขชิงก็เดินก้มหน้ากระฟัดกระเฟียดเดินออกไปก่อน เดินตรงไปหลบชำระจิตใจกับสนมสวรรค์ที่ตำหนักบูรพา

เรือนพักตระกูลเซี่ยโห้ว เมื่อเห็นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดินก้าวยาวเข้ามา เซี่ยโห้วลิ่งก็แสร้งคำนับด้วยความรพ “คำนับราชินีสวรรค์เหนียงเหนียง!”

“ไม่ต้องมากพิธี!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ค่อยเกรงใจ นางเดินมาตรงหน้าเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร “ได้ยินว่าในการประชุมราชสำนักมีคนเสนอให้จุนเอ๋อร์ไปที่อาณาเขตตระกูลเซี่ยโห้ว เหตุใดท่านปู่สวรรค์ไม่ยอมรับไว้?”

ช่วงนี้เซี่ยโห้วลิ่งค่อนข้างอารมณ์ไม่ดีเช่นกัน พอได้ยินแบบนี้ เขาก็ขมวดคิ้ว แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “อิ๋งอู๋หม่านเป็นคนเสนอความคิดนี้ เจ้าคิดว่าเขาจะหวังดีกับองค์ชายเหรอ? เขากำลังทำร้ายองค์ชายต่างหาก! ตอนนี้พอจะมองเจตนาของฝ่าบาทออกบ้างแล้ว เขาตั้งใจจะวัดกำลังของตระกูลเซี่ยโห้ว การที่เขาลงโทษองค์ชายก็ทำให้คนนอกจินตนาการไปไกลแล้ว เมื่อองค์ชายมาที่ตระกูลเซี่ยโห้ว ก็จะต้องดึงดูดให้คนที่คิดไม่ซื่อโจมตีแน่นอน จะทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วสิ้นเปลืองกำลังความคิดเยอะมาก แต่ถ้าส่งองค์ชายไปที่ตระกูลอิ๋ง ตระกูลอิ๋งกลับจะลูบหน้าปะจมูกด้วยซ้ำ จะพยายามสุดความสามารถเพื่อรักษาความปลอดภัยให้องค์ชาย ดังนั้นหากองค์ชายไปที่อาณาเขตของพวกเขาก็จะปลอดภัยกว่า ตอนนี้องค์ชายไปที่กองทัพองครักษ์ได้ก็อาจไม่ใช่เรื่องแย่”

พอได้ยินคำพูดประมาณว่า พอจะมองเจตนาของฝ่าบาทออกบ้างแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ทนฟังอะไรหลังจากนั้นไม่ไหวอีก คิดเสียว่าเป็นคำพูดเหลวไหลเหมือนผายลม ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองกับเซี่ยโห้วลิ่งมีบรรพบุรุษคนเดียวกัน นางก็อยากจะด่าบรรพบุรุษเขาเสียเลย ขนาดหนิวโหย่วเต๋อยังมองเจตนาของฝ่าบาทออกแล้ว แต่เจ้าเป็นหัวหน้าของตระกูลอันดับหนึ่งในใต้หล้า ไม่น่าเชื่อว่าจะทำตัวราวกับกำลังฝันอยู่ โง่เหมือนหมู่จริงๆ บุคคลปราดเปรื่องแห่งยุคอย่างท่านปู่เลือกคนโง่อย่างเจ้ามาเป็นหัวหน้าตระกูลได้ยังไง?

“พูดไปพูดมา ก็ยังกลัวว่าลูกชายข้าจะสร้างปัญหาให้ตระกูลเซี่ยโห้วล่ะสิ?” น้ำเสียงของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ปิดบังความเคียดแค้นไม่ไหวแล้ว

บนใบหน้าเซี่ยโห้วลิ่งฉายแววโกรธเคืองทันที อยากจะถามนางมากว่าได้ตำแหน่งราชินีสวรรค์มาได้อย่างไร ไม่ผิดหรอก สาเหตุที่ไม่ให้ชิงหยวนจุนมาที่อาณาเขตตระกูลเซี่ยโห้ว ก็เพราะคำนึงถึงสถานการณ์ภาพรวม หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหากับตระกูลเซี่ยโห้ว แน่นอนว่าคำบางคำไม่อาจพูดออกมาได้ เขาข่มกลั้นไฟโกรธเอาไว้ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เหนียงเหนียง อย่าลืมสิ่งที่ท่านปู่เจ้ากำชับเอาไว้ ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ล้ม เจ้าก็จะไม่เป็นอะไร!”

น้ำเสียงเขาราวกับมีกลิ่นดินปืนโชยออกมา ปลุกให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้สติแล้วไม่น้อย อย่างน้อยตอนนี้นางก็ยังขาดการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ การพูดกับหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วคนปัจจุบันด้วยน้ำเสียงอย่างนี้ถือว่าทำเกินไปจริงๆ

เมื่อเห็นว่าขู่นางได้ผล เซี่ยโห้วลิ่งก็หายใจคล่องขึ้นแล้วเช่นกัน เปลี่ยนเป็นพูดอย่างจริงใจว่า “ข้ารู้ว่าตอนนี้เหนียงเหนียงโกรธเคืองข้า แต่ทุกอย่างที่ข้าทำก็ล้วนหวังดีกับเหนียงเหนียง และยิ่งหวังดีกับตระกูลเซี่ยโห้วด้วย ในฐานะที่ข้าเป็นหัวหน้าตระกูล ข้าไม่อาจสนใจเฉพาะสิ่งตรงหน้าได้ ไม่อาจใช้อารมณ์ทำงานได้ เหนียงเหนียงต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรองดูสักหน่อย ตอนนี้องค์ชายมีกองทัพองครักษ์ปกป้อง ไม่มีทางเกิดอันตรายใหญ่หลวงแน่นอน ตอนนี้คนที่ตกอยู่ในอันตรายจริงๆ ก็คือเหนียงเหนียงเอง ฝ่าบาทลงโทษองค์ชายจนเกิดทิศทางการเคลื่อนไหวแบบนี้ ไม่ดีต่อฐานะในวังของเหนียงเหนียงเป็นอย่างมาก ตอนนี้ตระกูลเซี่ยโห้วต้องใช้ความพยายามเยอะมากเพื่อปกป้องไม่ให้ตำแหน่งในวังของเหนียงเหนียงสั่นคลอน หวังว่าเหนียงเหนียงจะเข้าใจ!”

การที่ต้องพูดพร่ำยาวเหยียดเพื่อโน้มน้าวนางก็เพราะไม่มีทางเลือก ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่เซี่ยโห้วท่า เรื่องที่เซี่ยโห้วท่าพูดแค่สองสามคำก็แก้ปัญหาได้ แต่เขากลับต้องใช้ความพยายามมากกว่านั้น แน่นอน นี่ล้วนเป็นกระบวนการลากของหนักเพื่อให้กลายเป็นเบา ไม่มีใครเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ตั้งแต่เกิด มีแต่ต้องลากของหนักจนเคยชินถึงจะรู้ว่าจะผ่อนแรงอย่างไร คนที่รับภาระหนักมักจะเดินขากะเผลก ความยากลำบากเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เซี่ยโห้วท่าในวัยหนุ่มก็ผ่านกระบวนการนี้มาแล้ว ชื่อเสียงบารมีเป็นสิ่งที่สะสมขึ้นมาทีละเล็กละน้อย

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะฟังเข้าใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก็ควบคุมตัวเองได้แล้วเช่นกัน “ที่อารองพูดก็มีเหตุผล เพีนงแต่มีอยู่เรื่องหนึ่ง ข้าหวังว่าอารองจะระบายอารมณ์โกรธให้ข้าได้!”

พอได้ฟังอย่างนั้น เซี่ยโห้วลิ่งก็รู้ทันทีว่านางอยากจะเอ่ยเรื่องอะไร เขาปวดประสาทนิดหน่อย ถามหยั่งเชิงว่า “สนมฉินเหรอ?”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ออกแรงพยักหน้า “อารองปราดเปรื่อง เป็นสนมฉินนั่นแหละ นางตัวดีนั่นมันแสบขนาดนี้ ได้ยินว่าตอนนี้พ่อนางยังได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาคด้วย ทำร้ายพวกเราสองแม่ลูกจนกลายเป็นอย่างนี้แล้ว แต่ทั้งบ้านนางกลับภาคภูมิใจ จะให้ข้าข่มความโกรธนี้ได้ยังไง!”

เซี่ยโห้วลิ่งแอบทอดถอนใจ เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ เขาตอบอย่างลังเล “เหนียงเหนียงทนไว้ก่อน ไม่ใช่ว่าช่วยเจ้าระบายความโกรธไม่ได้ แต่กับสนมฉินข้ามีแผนการอีกอย่างแล้ว ตอนนี้ยังไม่สะดวกจะแตะต้องนาง”

ไฟโกรธที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ระงับไว้ลุกพรึ่บอีกครั้ง นางพยายามถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เพราะอะไร?”

“หากในภายหลังมีโอกาสก็ย่อมบอกให้เจ้าเข้าใจเอง!” เซี่ยโห้วลิ่งส่ายหน้า ไม่ยอมบอกนาง

เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะบอกอีกฝ่ายว่าสนมฉินเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเกี่ยวข้องกับความลับ แค่ทำร้ายสองแม่ลูกก็ยั่วให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โกรธแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าคนของตระกูลเซี่ยโห้วจะทำร้ายสองแม่ลูก จะให้นางทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไร เขาไม่มีทางอธิบายสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเขาให้นางรู้

ที่สำคัญคือตอนนี้เขาไม่สะดวกจะแตะต้องสนมฉินจริงๆ คนที่เจ้าเก้าต้องการจะเก็บไว้ เขาเพิ่งจะรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลได้ไม่นาน ยังต้องการให้พี่น้องช่วยเขาข้ามผ่านพายุก้อนแรกที่ตระกูลเซี่ยโห้วอาจต้องเผชิญ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้วิธีการแข็งกร้าวเกินไปจนพี่น้องคิดว่าเขาเผด็จการ ไม่ว่าตัวเองจะพอใจหรือไม่ แต่อยู่ในตำแหน่งนี้แล้ว เขาไม่อยากทำงานโดยใช้อารมณ์ ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ภาพรวม…ที่จริงบางครั้งเขาก็เดือดดาลยิ่งกว่าใคร แต่ก็ต้องอดทนเอาไว้ก่อน!

“ในเมื่ออารองพูดอย่างนี้แล้ว เฉิงอวี่ก็เข้าใจแล้ว! ข้ายังต้องไปพบฝ่าบาทอีก ขอตัวก่อน” หลังจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่พยักหน้าอย่างใจเย็นเป็นพิเศษ ก็หันตัวเดินออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว ภายนอกดูสงบใจเย็น แต่ที่จริงสองมือที่อยู่ในแขนเสื้อกำลังกำหมัดแน่น โมโหจนตัวสั่นเล็กน้อย

ตอนที่ท่านปู่ยังอยู่ ในวังมีใครกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับนางบ้าง ตระกูลเซี่ยโห้วล้วนช่วยจัดการให้นางเสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่ไม่แยแสนางแบบนี้

สำหรับสนมฉิน นางไม่เคยแค้นผู้หญิงคนไหนขนาดนี้มาก่อน สนมฉินคือคนแรก ก่อนหน้านี้กังวลเรื่องลูกชายอยู่ นางจึงไม่กล้าทำซี้ซั้ว ตอนนี้ลูกชายลูกลดตำแหน่งอย่างนี้แล้ว ทั้งยังเป็นฝีมือนางตัวดีนั่น ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้วิธีการชั้นต่ำอย่างนี้ ต่ำทรามจนไม่รู้จะต่ำทรามอย่างไรแล้ว แทบจะทำลายชื่อเสียงลูกชายนางไปทั้งชาติ แทบจะทำลายอนาคตลูกชายนาง ไม่ว่าจะอย่างไร นางไม่มทางทนข่มความโกรธนี้ได้

จนกระทั่งตอนนี้ สำหรับนางแล้ว นางสามารถปล่อยใครไปก็ได้ แต่ปล่อยสนมฉินไปไม่ได้เด็ดขาด!

ในเมื่อตระกูลเซี่ยโห้วไม่ตอบตกลง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็รู้ว่าไม่มีทางบังคับตระกูลเซี่ยโห้วได้ แต่ตอนนี้นางก็ไม่จำเป็นต้องใช้งานตระกูลเซี่ยโห้วเสมอไป เพราะในมือนางยังมีกำลังพลกลุ่มหนึ่ง นางมีทัพใหญ่เกรียงไกรหนึ่งแสน!

ในเมื่อตระกูลเซี่ยโห้วไม่ช่วยนางระบายความโกรธนี้ นางก็ต้องเล่นบทโหดแล้ว ครั้งนี้นางจะแก้ปัญหาเอง!

ขณะมองคล้อยหลังนางจากไปเงียบๆ เซี่ยโห้วลิ่งก็ยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ หรี่ตาพึมพำว่า “เจ้าเก้า ไม่ใช่ว่าพี่รองไม่ไว้หน้าเจ้านะ แต่ถ้านางหนูนี่ไปหาคนอื่นมาลงมือให้ งั้นก็โทษข้าไม่ได้แล้ว หกลัทธิหนุนหลัง หึหึ…”

ตำหนักบูรพา พอประมุขชิงมาถึง ก็ไม่ได้ทำอย่างอื่น เขาหาเก้าอี้นอนมาตัวหนึ่ง แล้วหลับตาเอนกายพักผ่อนทันที เรื่องในวันนี้ทำให้ขาว้าวุ่นใจจริงๆ เรื่องลูกชาย เรื่องลูกน้องคนสนิท เรื่องครอบครัว ราชกิจ ทั้งหมดปะปนระคนกันให้มั่วไปหมด

เงาร่างสูงระหงปรากฏอยู่หลังม่านไข่มุกด้านข้าง นางจ้องประมุขชิงเอนกายบนเก้าอี้พลางขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร

ประมุขชิงเหมือนจะรู้สึกได้ว่านางมาแล้ว หลับตากวักมือให้นางอย่างไร้เรี่ยวแรง บอกใบ้ให้นางมาที่นี่

…………………

“นี่คือความคิดของเจ้าเก้าเหรอ?” เซี่ยโห้วลิ่งเอ่ยถามช้าๆ

เว่ยซูพยักหน้า “คุณชายเก้าคิดว่าในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทำลายกำลังของตัวเองอีก ถ้าจะลงมือก็ชี้ดาบไปทางตระกูลอิ๋งเสียเลย”

เซี่ยโห้วลิ่งลงจากเตียงแล้วลุกขึ้นยืน ถามด้วยน้ำเสียงแบบเดิม “เรื่องนี้ เหตุใดพอข้าถามเขาค่อยบอกว่าเป็นคนของพวกเรา?”

เว่ยซูได้ยินแล้วเข้าใจทันที เซี่ยโห้วลิ่งสนใจอีกด้านหนึ่ง ตอบว่า “คุณชายเก้าบอกว่า หากนายท่านดึงดันจะทำ เขาก็จะไม่ปฏิเสธเช่นกัน เพียงหวังว่าจะยังให้โอกาสหวังจัวสักครั้ง ปกป้องชีวิตลูกสาวของหวังจัว ให้หวังจัววางแผนสร้างสถานการณ์ ใช้กลยุทธ์ต้นสาลี่ตายแทนต้นท้อ ฆ่าสนมฉินตัวปลอม”

เซี่ยโห้วลิ่งหน้าตึงไม่พูดอะไร…

ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งปี สำหรับนักพรตเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่ดีดนิ้วเท่านั้น

งานเลี้ยงอุทยานกำลังจะมาถึง อุทยานหลวงประดับผ้าและโคมไฟ ชิงหยวนจุนเข้าวังมาคำนับมารดาตามธรรมเนียม ฟังเสด็จแม่สั่งสอน

สองแม่ลูกกำลังคุยกัน จู่ๆ ด้านนอกก็มีนางในมารายงาน “เหนียงเหนียง ฝ่าบาทเสด็จเพคะ!”

สองแม่ลูกสบตากันแวบหนึ่ง แล้วรีบลุกขึ้นออกไปต้อนรับพร้อมกัน เจอกับประมุขชิงที่เดินก้าวยาวมาตรงประตู ทั้งสองคำนับพร้อมกัน “ฝ่าบาท เสด็จพ่อ!”

ประมุขชิงขานรับ แต่ไม่ได้หยุดเดิน เขาเดินตรงเข้ามาในห้องพร้อมบอกว่า “คนอื่นถอยออกไป!”

ซ่างกวนชิงที่ตามหลังมากวาดสายตามองเอ๋อเหมยแวบหนึ่ง เอ๋อเหมยค่อนข้างกลัวผู้การใหญ่ท่านนี้ จึงรีบโบกมือเรียกพวกนางในให้ถอยออกไปแล้ว

ประมุขชิงนั่งลงบนตำแหน่งหลัก ซ่างกวนชิงยืนอยู่ข้างๆ ชิงหยวนจุนยืนเก็บมือ ส่วนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะไปรินน้ำชาด้วยตัวเอง ประมุขชิงกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องแล้ว!”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่งงทันที ทำได้เพียงหยุดแล้วหันตัวเดินกลับมา ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มฝืนๆ “ฝ่าบาทมีเวลาว่างมาได้อย่างไรเพคะ”

สายตาประมุขชิงไปหยุดบนตัวชิงหยวนจุน แล้วถามโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “มีที่ไหนที่อยากไปหรือเปล่า?”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับชิงหยวนจุนมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอย่างนี้หมายความว่าอะไร

ประมุขชิงพูดต่อว่า “เอาแต่คลุมหัวฝึกวิชาจะไม่มีสมอง ต่อให้วรยุทธ์สูงกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ หาอะไรทำสักอย่างแล้วกัน ซ่างกวน กรมภูษาในวังหาตำแหน่งว่างให้หยวนจุนสักตำแหน่งได้หรือเปล่า?”

“เอ่อ…” ซ่างกวนชิงชำเลืองมองชิงหยวนจุนแวบหนึ่งเงียบๆ

สองแม่ลูกที่ยืนอยู่เบื้องล่างสีหน้าเปลี่ยนแล้ว กรมภูษาเป็นสถานที่แบบไหนล่ะ? นั่นคือสถานที่ซักผ้าให้คนในวังหลังโดยเฉพาะ วังหลังมีอะไรเยอะที่สุดล่ะ ก็ผู้หญิงไง และหมายความว่ามีเสื้อผ้าเปลี่ยนซักของผู้หญิงเยอะมาก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รีบถามว่า “ฝ่าบาท โอรสสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานจะไปทำงานประเภทนั้นได้อย่างไรเพคะ?”

ใครจะคิดว่าประมุขชิงจะกล่าวเสียงเรียบว่า “เขาชอบดูผู้หญิงอาบน้ำไม่ใช่เหรอ กรมภูษาน่าจะตรงรสนิยมเขานะ”

เมื่อกล่าวเช่นนี้ ชิงหยวนจุนก็หน้าซีดทันที เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ยิ่งหัวใจกระตุกวูบ ตอนนี้นับว่าแน่ใจแล้วว่าเหมียวอี้พูดไว้ไม่ผิด ในที่สุดก็มาถึงแล้ว

“ฝ่าบาท เรื่องนั้นผ่านไปแล้วไม่ใช่หรือเพคะ? พวกสนมฉินก็ยืนยันแล้วว่าจุนเอ๋อร์ไม่ได้ตั้งใจ” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงวิงวอน

“ไม่ได้ตั้งใจงั้นเหรอ?” ประมุขชิงแสยะยิ้ม แล้วจ้องชิงหยวนจุนพร้อมกดดันถาม “ในเมื่อไม่ได้ตั้งใจ แล้วหลังจากเกิดเรื่องทำไมไม่มายอมรับผิดทันที แต่กลับติดต่อไปปรึกษาเสด็จแม่ก่อน ทั้งยังส่งเย่เสี้ยวไปสืบข่าวที่กองทัพองครักษ์ ปรึกษากันเสร็จแล้วจะได้ตบตาข้าง่ายๆ ใช่มั้ย?”

หากตั้งใจจะใส่ความ ก็หาข้ออ้างได้เสมอ พอได้ยินแบบนี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับชิงหยวนจุนก็คุกเข่าพร้อมกัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ซ้ำอีกว่าไม่ได้ตบตาจริงๆ

ซ่างกวนชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ นิ่งสงบ ในใจกลับทอดถอนใจไม่หยุด ฝ่าบาทตัดสินใจไปแล้ว อธิบายไปจะมีประโยชน์เหรอ?

ประมุขชิงไม่ฟังจริงๆ ด้วย จ้องชิงหยวนจุนพร้อมกล่าวอย่างเย็นเยียบ “ตอนนั้นไม่ได้ลงโทษเจ้า เพราะกังวลถึงหน้าตาของตระกูล เห็นแก่ที่เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ข้ายังไว้หน้าเจ้าอยู่บ้าง เจ้าหาทางสำนึกผิดหาบันไดลงเองแล้วกัน!”

มาถึงขั้นนี้แล้ว ชิงหยวนจุนเองก็ไม่มีอะไรจะพูด ขานรับด้วยสีหน้าเศร้าเสียใจ “ลูกน้อมรับบัญชา!”

ซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่กำลังคุกเข่าราวกับได้รับความพ่ายแพ่อันใหญ่หลวง นางนั่งพับลงไปแล้ว เหมียวอี้พูดถูกหลายครั้งต่อเนื่องกัน นางรู้แล้วว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่การจะให้ลูกชายนางไปซักผ้าให้ผู้หญิง จะให้นางทนยอมรับได้อย่างไร นางสายหน้าขอร้อง “ฝ่าบาท ถ้าไปที่กรมภูษาแล้ว ต่อไปนี้จุนเอ๋อร์จะยังมีหน้าไปเจอใครอีกเพคะ?”

“ในเมื่อราชินีสวรรค์ขอร้อง เช่นนั้นก็ลดตำแหน่งไปเป็นเทพแห่งผืนดินแล้วกัน” ประมุขชิงพูดทิ้งท้ายแล้วลุกขึ้นเดินออกไปเลย โดยที่ซ่างกวนชิงก็เดินตามไป

“ฝ่าบาท…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หันตัวมาหมายจะวิงสอนอีก โอรสสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานจะตกต่ำไปเป็นเทพแห่งผืนดินแล้ว จะให้ทนความรู้สึกได้อย่างไร!

แต่ประมุขชิงก็ไม่ให้โอกาสนางบ่นอีก เจ้าตัวเดินออกไปแล้ว ตอนนี้นางถึงได้ขบคิดแล้วเข้าใจ ว่ากรมภูษาอะไรนั่นเป็นเรื่องโกหก การล่อนางให้เดินมาบนทางนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องจริง สมองของนางสู้ประมุขชิงไม่ได้เลย

“เสด็จแม่!” ชิงหยวนจุนลุกขึ้นประคองมารดา กัดริมฝีปากแน่นครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ไม่ต้องขอร้องเขาอีกแล้ว เทพแห่งผืนดินก็คือเทพแห่งผืนดิน ดีกว่าอยู่ในวังที่ไร้หัวใจนี่ตั้งเยอะ!”

เพี้ยะ! เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หันตัวมาตบเขาหนึ่งที แล้วตวาดเสียงแหลมว่า “เจ้าจำไว้นะ! ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนเขาก็คือเสด็จพ่อของเจ้า ทำอะไรก็ล้วนหวังดีกับเจ้าทั้งนั้น เจ้าห้ามเคียดแค้น!” สุดท้ายก็แอบถ่ายทอดเสียงเตือนว่า “ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปดีๆ อะไรที่ไม่ควรพูดก็กลืนลงไปย่อยในท้องเจ้าซะ!” ถ้าไม่ใช่เพราะเหมียวอี้ย้ำเตือน นางก็อยากจะบอกความจริงกับเขาเสียตอนนี้เลย

ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็ถึงงานเลี้ยงอุทยาน กลุ่มขุนนางนำคนในครอบครัวมาที่ราชสำนัก พระตำหนักอุทยานบรรเลงเพลงสร้างบรรยากาศ ตอนที่ทุกคนกำลังสนุกกันเต็มที่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังโครมครามมาจากจุดไกลๆ ทำให้แขกทุกคนในพระตำหนักอุทยานมองหน้ากันเลิกลั่ก เสียงดนตรียังดังต่อไป ซ่างกวนชิงที่ยืนอยู่บนตำหนักส่งสายตาให้ ด้านนอกมีคนรีบออกไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวทันที

รออยู่ไม่นาน ผู้ที่ออกไปตรวจสอบก็บุกเข้ามาในตำหนักใหญ่ แล้วรายงานประมุขชิงด้วยเสียงอันดังก้องต่อหน้าฝูงชนว่า “ฝ่าบาท วังเหนือสวรรค์เกิดเพลิงไหม้ ตำหนักพังไปเกินครึ่งขอรับ”

ประมุขชิงขมวดคิ้ว ซ่างกวนชิงโบกมือทันที ให้ผู้ที่เข้ามารายงานถอยออกไป เสียงเพลงยังดังต่อเนื่อง ไม่ได้ถูกรบกวนเพราะเรื่องนี้

กลุ่มขุนนางที่อยู่เบื้องล่างค่อนข้างแปลกใจ วังเหนือสวรรค์จะเกิดเพลิงไหม้ได้อย่างไร อีกทั้งตำหนักยังพังถล่มไปเกินครึ่ง เล่นบ้าอะไรกัน?

วังเหนือสวรรค์ โอรสสวรรค์…อิ๋งอู๋หม่านที่กำลังนั่งประจำที่แววตาวูบไหวเล็กน้อย แอบสังเกตปฏิกิริยาของประมุขชิงเงียบๆ ทว่ามองเบาะแสอะไรไม่ออก

เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหนังตากระตุก

สวนด้านหลัง ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับเหล่าสนมวังหลังกำลังกินเลี้ยงอยู่กับกลุ่มผู้หญิงของครอบครัวขุนนาง นางได้รับข่าวแบบเดียวกันไวมาก ทำให้คนไม่น้อยแอบกระซิบกระซาบวิจารณ์

สนมสวรรค์จ้านหรูอี้ที่นั่งอยู่เบื้องล่างทำท่าครุ่นคิด จากนั้นปรายตามองเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่นั่งอยู่ข้างบน พบว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มีสีหน้าเศร้าสลดเล็กน้อย นางที่เข้าใจเรื่องนี้จ่อจอกสุราอยู่ตรงปากเงียบๆ นานมาก

ในการประชุมขุนนางหลังจากงานเลี้ยงอุทยานจบลง สาเหตุที่วังเหนือสวรรค์เกิดเพลิงไหม้จึงได้ถูกประกาศออกมา เป็นเพราะโอรสสวรรค์เสาะหารวบรวมของเล่นใหม่จำนวนหนึ่งมาซ่อนไว้ในวังเหนือสวรรค์แล้วไม่ได้จัดการให้ดี ผลปรากฎว่าบังเอิญติดไฟแล้วลุกไหม้ไปครึ่งค่อนตำหนักแล้ว

ไม่น่าเชื่อว่างานเลี้ยงอุทยานที่จัดหนึ่งครึ่งต่อหนึ่งพันปีจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ประมุขชิงเดือดดาลมาก ถ่ายทอดคำสั่งต่อขุนนางทั้งราชสำนัก ว่าจะลดตำแหน่งโอรสสวรรค์ชิงหยวนจุนให้ไปเป็นเทพแห่งผืนดิน การที่เขาไม่อาละวาดที่งานเลี้ยงอุทยาน ก็เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์อันสุนทรีย์ของทุกคนที่หนึ่งพันปีจะมีสักครั้ง

โพ่จวินผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายของกองทัพองครักษ์กระโดดออกมาคัดค้านต่อหน้าฝูงชน โดยให้เหตุผลว่า ต่อให้โอรสสวรรค์จะทำผิดสักแค่ไหน แต่ก็ไม่ถึงขั้นลดตำแหน่งให้เป็นเทพแห่งผืนดิน อีกทั้งยังเถียงประมุขชิงต่อหน้าฝูงชนด้วย ประมุขชิงเดือดดาลมาก สั่งให้คนลากโพ่จวินออกจากราชสำนักเสียเลย

โพ่จวินร้องเหมือนผีไม่หยุดอยู่นอกราชสำนัก ทำให้ประมุขชิงต้องออกคำสั่งให้คนอุดปากโพ่จวินไว้ ส่งเข้าคุกคุกสวรรค์ข้อหาโวยวายที่ราชสำนัก!

หลังจากจบเรื่อง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ได้ยินข่าวก็รู้สึกซาบซึ้งอยู่หลายส่วน แม้โพ่จวินจะไม่ถูกกับตระกูลเซี่ยโห้วและนางมาตลอด แต่ถึงอย่างไรก็ยังยืนข้างราชันสวรรค์ ท่าทีที่มีต่อนางและลูกชายต่างกันโดยสิ้นเชิง

ส่วนในราชสำนัก ประมุขชิงถามว่าขุนนางใหญ่คนไหนยินดีจะรับชิงหยวนจุนเอาไว้บ้าง ผลก็คือไม่มีใครอยากรับ ‘เทพแห่งผืนดิน’ คนนี้เลย ไม่ว่าใครก็ตระหนักได้ทั้งนั้นว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยชอบมาพากล ใครจะไปรู้ว่าจะโยงไปถึงเรื่องอะไรอีก นี่ไม่ใช่เทพแห่งผืนดินธรรมดา ถ้าเกิดเรื่องขึ้นในอนาเขตของตน ก็จะเกิดปัญหาที่ไม่ธรรมดาแล้ว ต่อให้ตระกูลอิ๋งจะอยากเล่นงานชิงหยวนจุนให้ตาย แต่ก็ไม่ถึงขั้นลงมือในอาณาเขตตัวเอง ไม่มีใครอยากรับเผือกร้อนเอาไว้ให้ลวกมือ รูปก็คือขุนนางในทั้งราชสำนักปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม ปฏิเสธด้วยเหตุผลต่างๆ กันไป

อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่คนของตระกูลเซี่ยโห้วเองก็ยังไม่ยอมรับไว้ การที่ประมุขชิงลดตำแหน่งโอรสสวรรค์ก็ถือเป็นอย่างส่งสัญญาณ อำนาจท้องถิ่นของตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ได้แข็งแกร่ง การรับชิงหยวนจุนไว้ก็เท่ากับรับปัญหาใหญ่เอาไว้ ต้องให้ตระกูลเซี่ยโห้วส่งกำลังคนในที่ลับมาคุ้มกันเท่าไรล่ะ? ดีไม่ดีชิงหยวนจุนคนเดียวอาจจะกลายเป็นไม้ที่มางัดฝาของตระกูลเซี่ยโห้วก็ได้ การที่ตระกูลเซี่ยโห้วรับชิงหยวนจุนไว้ไม่ใช่การช่วยชิงหยวนจุน นั่นกลับเป็นการทำร้ายชิงหยวนจุนด้วยซ้ำ เท่ากับนำหัวหอกที่เดิมทีก็เตรียมจะก่อความวุ่นวายอยู่แล้วมารวมกันไว้ ต้องวางไว้ในมือของฝ่ายอื่นต่างหากถึงจะเป็นการปกป้องชิงหยวนจุนอย่างแท้จริง

ขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันไม่จบไม่สิ้น อิ๋งอู๋หม่านก็ยืนขึ้นกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท ไม่สู้องค์ชายลงโทษให้ไปที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล หนิวโหย่วเต๋อหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงของราชินีสวรรค์เหนียงเหนียงพอดี องค์ชายไปที่นั่นก็สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว”

ใครจะคิดว่าเกาก้วนที่เป็นคนพูดน้อยจะเอ่ยห้ามแล้ว “องค์ชายไปรับโทษ ไม่ได้ไปรับการดูแล ถ้าไปที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ต่อให้ราชินีสวรรค์ไม่เอ่ยปาก แต่หนิวโหย่วเต๋อจะกล้าไม่ดูแลองค์ชายหรือ?”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็ดึงดูดสายตาคนไม่น้อย ประมุขชิงเองก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองเกาก้วน ขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจ

เกาก้วนชำเลืองอู๋ฉวี่ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ขวาของกองทัพองครักษ์ รีบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “มีคนเจตนาไม่ซื่อ กำลังของหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลไม่พอให้รักษาความปลอดภัยให้องค์ชาย!”

อู๋ฉวี่แอบตกใจ ยืนออกนอกแถวทันที กุมหมัดคารวะกล่าวว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อองค์ชายไม่มีที่ไปที่เหมาะสม ไม่สู้ให้องค์ชายมาเป็นทหารเล็กๆ ในหน่วยองครักษ์ขวาที่ตำแหน่งเทียบเท่าเทพแห่งผืนดิน อาศัยวรยุทธ์ขององค์ชายก็เพียงพอให้รับตำแหน่งแล้วขอรับ! ข้าน้อยรับประกันตรงนี้ กองทัพองครักษ์มีกฎทหารเข้มงวด เมื่อองค์ชายมาแล้วก็จะปฏิบัติด้วยเหมือนคนทั่วไป ไม่ดูแลเป็นกรณีพิเศษแน่นอน!” พูดจบก็ส่งสายตาให้ซือหม่าเวิ่นเทียนอีก

ซือหม่าเวิ่นเทียนก้าวอออกมากล่าวทันที “ข้าน้อยเห็นด้วย!”

“ข้าน้อยเห็นด้วย!” เกาก้วนกุมหมัดคารวะ

เซี่ยโห้วลิ่งก้าวออกนอกแถวเช่นกัน “ข้าน้อยเห็นด้วย!” สำหรับเขา มีกองทัพองครักษ์ปกป้องชิงหยวนจุน นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว

ขุนนางเครือข่ายตระกูลเซี่ยโห้วกล่าวสนับสนุนด้วยทันที ในเมื่อเผือกร้อนในมือมีที่ไปแล้ว สำหรับสิ่งนี้คนอื่นๆ รักษาความเงียบเอาไว้ ไม่มีใครบอกว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย

เจตนาเดิมของประมุขชิงก็คือให้ชิงหยวนจุนไปที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล เขาย่อมมีแผนการของเขา แต่ใครจะคิดว่าเกาก้วนจะทำแผนเขายุ่งเหยิงโดยให้คนอื่นมาขัดขวางเขาไว้

สุดท้ายภายใต้สถานการณ์ที่ไร้คนคัดค้าน ชิงหยวนจุนจึงถูกลดตำแหน่งให้ไปที่หน่วยองครักษ์ขวา

เมื่อจบการประชุม คำสั่งก็มีผลบังคับใช้ทันที คนของหน่วยองครักษ์ขวาพาตัวชิงหยวนจุนไปแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่รีบตามไปส่งที่อุทยานหลวงร้องไห้ฟูมฟาย ไม่รู้ว่าลูกชายไปครั้งนี้จะได้รับความลำบากอะไรบ้าง ดูท่าแล้วฝ่าบาทคงไม่ให้ลูกชายได้อยู่อย่างผ่อนคลายแน่

………………

คลื่นลมฉากหนึ่งได้ผ่านไปอย่างนี้แล้ว ประมุขชิงเหมือนจะอยากทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก เรื่องก็เล็กลงแล้ว

สนมฉินรวมทั้งหญิงรับใช้ทั้งสองไม่ได้กลับวังสวรรค์ ตอนออกจากพระตำหนักอุทยานก็ถูกคนดักไว้ แล้วส่งพวกนางกลับไปเยี่ยมญาติที่ครอบครัวตัวเอง นี่คือคำพูดฉากหน้าเท่านั้น เพราะแอบสั่งเป็นการส่วนตัวไว้แล้ว ว่าให้สนมฉินกลับไปบ้านแล้วกักบริเวณตัวเอง หากไม่ได้รับบัญชาสวรรค์ก็ห้ามออกข้างนอกโดยพลการ

ไม่ให้พวกนางมีโอกาสแม้กระทั่งกลับวังไปเก็บกระเป๋า คุ้มกันส่งพวกนางกลับไปเสียเลย ทำให้พวกนางสนมที่มีเจตนาจะสืบข่าวผิดหวังแล้ว

สำหรับสนมฉิน นี่กลับเป็นความโชคดีในความโชคร้าย ไม่ได้สิ้นชีวิตก็นับว่าดีแล้ว แต่นางก็ตระหนักได้เช่นกัน ว่าไม่ใช่เพราะประมุขชิงไม่อยากฆ่านาง แต่เป็นเพราะถ้าฆ่านางตอนนี้จะเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตเกินไป จะทำให้คนคิดมากได้ง่าย

ส่วนทางด้านชิงหยวนจุน ตอนนี้ยังไม่มีความเห็นที่จะลงโทษใดๆ ราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รู้สึกไม่มั่นใจ จึงถามความเห็นของเหมียวอี้ ทางฝั่งเหมียวอี้รู้สึกว่าในเมื่อประมุขชิงตั้งใจจะฝึกฝนลับคมชิงหยวนจุนแล้ว ก็ไม่น่าจะปล่อยผ่านไปง่ายๆ อย่างนี้ เพียงแต่นี่เป็นเรื่องเสื่อมเสียภายในครอบครัว ประมุขชิงไม่อยากให้วุ่นวายจนทุกคนรู้กันหมด ไม่อยากให้คนนำเรื่องการลงโทษสนมฉินกับการลงโทษชิงหยวนจุนมานึกเชื่อมโยงกัน

พอเป็นอย่างนี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็พะวงใจอีกแล้ว ไม่รู้ว่าลูกชายตัวเองกำลังรอการลงโทษอะไร

ส่วนตระกูลเซี่ยโห้วนั้น หลังจากได้รู้ว่าสนมฉินเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ รู้ว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เป็นฝ่ายนำตัวชิงหยวนจุนไปรับผิดเอง ก็ทำให้เซี่ยโห้วลิ่งโมโหพอสมควร จึงตักเตือนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไปยกหนึ่ง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โดนด่าจนข่มกลั้นไฟโกรธไว้เต็มอก แอบด่าในใจว่าตัวเองไม่มีประโยชน์เอง แล้วยังจะมาโทษข้าอีกเหรอ?

ไม่เหมือนตอนเผชิญหน้ากับเซี่ยโห้วท่า บารมีของเซี่ยโห้วลิ่งยังห่างกับเซี่ยโห้วท่าไม่ใช่น้อยๆ คนที่สภาพจิตใจเปลี่ยนแปลงไม่ได้มีแค่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ พวกพี่น้องของเซี่ยโห้วลิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับก็เหมือนกัน หากเซี่ยโห้วท่ายังอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องให้เซี่ยโห้วท่าพูดอะไร ทุกคนก็ยำเกรงหวาดกลัวแล้ว

หลังจากจบการประชุมราชสำนักของตำหนักสวรรค์ กลุ่มขุนนางก็แยกย้ายกันไป จู่ๆ อิ๋งอู๋หม่านที่เดินมาถึงประตูวังสวรรค์ก็ถูกนางในคนหนึ่งเชิญให้หยุด “ท่านโหวอิ๋ง ทูตขวาเกาเชิญตัวค่ะ”

อิ๋งอู๋หม่านมองตามนางใน เห็นเพียงเกาก้วนที่สวมชุดคลุมดำและหมวกทรงสูงกำลังยืนบนบันไดหน้าตำหนักใหญ่อย่างเย็นชา กำลังใช้สายตาเย็นเยียบจ้องเขา

อิ๋งอู๋หม่านบอกเพื่อมร่วมงานที่เดินอยู่ข้างกัน แล้วเลี้ยวกลับมา เดินไปถึงตีนบันไดแล้วกุมหมัดคารวะเกาก้วนด้วยรอยยิ้ม “ทูตขวาเกา ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับ?”

“เชิญไปคุยกันเป็นการส่วนตัว!” เกาก้วนมองต่ำลงมาพลางเดินลงบันได ตอนที่เดินผ่านเขาไปก็พูดทิ้งท้ายเอาไว้ แล้วตัวเองก็เดินออกไปคนเดียว

ต้องไปคุยกันเป็นการส่วนตัวด้วยเหรอ? อิ๋งอู๋หม่านแปลกใจนิดหน่อย ไม่รู้ว่าผู้พิพากษาหน้านิ่งท่านนี้อยากจะคุยอะไรกับเขา แต่เชื่อว่าคงไม่ถึงขั้นถือวิสาสะมาแตะต้องเขา ถึงได้เดินตามไปที่ลานตำหนักด้านข้าง

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึงเลยก็คือ พอเข้ามาในประตูพระจันทร์ก็พบความไม่ชอบมาพากลทันที คนชุดดำแถวหนึ่งมาขวางตรงหน้าเขา แล้วก็มีคนชุดดำอีกแถวรีบเดินแทรกไปด้านหลังเพื่อตัดทางถอยของเขา ชั่วพริบตานั้นดาบทวนเผยออกมาพร้อมกัน ล้อมเขาเอาไว้ตรงกลาง คมทวนแทบจะจิ้มแผ่นหลังเขาแล้ว

คนที่ล้อมเขาไว้สวมหมวกสีดำปักลายเมฆทอง ชุดคลุมสีดำขอบทอง ตรงเอวคาดเข็มขัดหยก ชัดเจนว่าทุกคนคือคนของหน่วยตรวจการขวา

อิ๋งอู๋หม่านมองไปรอบๆ ด้วยสายตาเย็นเยียบ จ้องเกาก้วนที่เดินออกจากกลุ่มคนอย่างไม่รีบร้อน พร้อมถามเสียงเข้ม “เกาก้วน หมายความว่าอะไร?”

เกาก้วนไม่แม้แต่จะหันกลับมา เพียงหันหลังให้อีกฝ่ายเท่านั้น กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “มีคนรายงานว่าท่านโหวอิ๋งสมคบกับโจรกบฏ เชิญท่านโหวอิ๋งกลับไปช่วยตรวจสอบ!”

“หากตั้งใจจะใส่ความ ก็หาข้ออ้างได้เสมอ ข้าต้องการพบฝ่าบาท!” อิ๋งอู๋หม่านกล่าวด้วยเสียงเดือดดาล

“หน่วยตรวจการขวาฟังคำสั่ง ใครฝ่าฝืนการตรวจสอบ ให้มองว่าช่วยเหลือโจรกบฏ ฆ่า!” เกาก้วนขี้คร้านจะเปลืองคำพูด ถ่ายทอดคำสั่งลงไปเสียเลย

ดาบจอบนคออิ๋งอู๋หม่านทันที อิ๋งอู๋หม่านที่กำลังจ้องเงาร่างสวมชุดคลุมดำเดินจากไปไกลเรียกได้ว่าโมโหแต่ไม่กล้าพูดอะไร คนอื่นจะสังหารเขาอาจจะต้องไตร่ตรองสักหน่อย แต่ในมือของเจ้าสารเลวเกาก้วนมีอำนาจที่สามารถประหารก่อนรายงานได้ ทั้งยังถ่ายทอดคำสั่งฆ่าแล้ว ถ้าเขากล้าขัดขืนแม้แต่นิดเดียว หัวก็จะร่วงลงพื้นทันที

ลักษณะการทำงานของเกาก้วนก็เห็นๆ กันอยู่ ไม่จำเป็นต้องสงสัยเลย

ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ท่านโหวอิ๋งผู้สง่าภูมิฐานถูกหน่วยตรวจการขวาพาตัวไปอย่างนี้แล้ว

“ตรวจสอบเจอหรือยัง?”

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ถังเฮ่อเหนียนก้าวเดินเบาๆ อยู่ในป่าไผ่ โค่วหลิงซวีที่กำลังคุยกับโค่วเจิงในป่าเห็นเขามาแล้วเช่นกัน จึงเอ่ยปากถาม

ถังเฮ่อเหนียนย่อมรู้ว่าเขากำลังถามอะไร หลังจากกุมหมัดคารวะทั้งสองแล้ว ถึงได้ส่ายหน้าตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าสนมฉินกลับไปเยี่ยมบ้านเหตุใด ในวังเหมือนจะไม่มีใครรู้สาเหตุขอรับ แต่จากเหตุการณ์ที่นำตัวไปจากที่นาหลวง ก็แสดงว่าในนั้นมีปัญหาอะไรแน่นอน สนมฉินคือคนที่ฝั่งตระกูลอิ๋งส่งเข้าวัง คาดว่างทางอิ๋งจิ่วกวงอาจจะรู้เบื้องหลังบางอย่าง ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับที่สนมสวรรค์กลับวังหรือไม่ขอรับ”

โค่วหลิงซวีเอามือขยี้หนวด กล่าวอย่างลังเลว่า “ประมุขชิงส่งสัญญาณแล้ว เกรงว่าคงจะกระตุ้นให้อิ๋งจิ่วกวงเกิดความคิดที่จะให้สนมสวรรค์ขึ้นตำแหน่งสูงสุด ไม่รู้ว่าในระหว่างนั้นสนมฉินได้แสดงบทบาทอะไรไปแล้วบ้าง”

คนที่ติดตามทิศทางการเคลื่อนไหวของสนมฉินไม่ได้มีแค่ตระกูลโค่ว เดิมทีก็มีกลุ่มคนจับตาดูทิศทางการเคลื่อนไหวของวังหลังตำหนักสวรรค์อยู่แล้ว ชั่วขณะนั้นก็ต่างคนต่างสืบข่าวและคาดเดา เพราะอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง อิ๋งจิ่วกวงที่ในอยู่ในห้องหนังสือกำลังโบกพู่กันสะบัดหมึกเขียนอักษร ดูมีความรู้ที่ฝึกฝนบ่มเพาะมาดี

หลังจากจั่วเอ๋อร์เข้ามาทำความเคารพข้างใน ก็เดินมาใกล้โต๊ะหนังสือแล้วรายงานว่า “สนมฉินกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว มีคนจากวังตามเข้าไปจับตาดูด้วย แต่สิ่งที่บิดานางรายงานขึ้นมามีความหมายคลุมเครือ บอกว่าลูกสาวเขาต้องจ่ายไปเยอะขนาดนี้ สิ่งที่ควรทำก็ได้ทำแล้ว แล้วตำแหน่งหัวหน้าภาคจะให้เขาเมื่อไร”

“บอกเขาไป ว่าอ๋องผู้นี้ไม่เคยปฏิบัติอย่างอยุติธรรมต่อคนที่ทำงานให้ ถ้าเลื่อนตำแหน่งให้เขาตอนนี้จะชัดเจนเกินไป ทนต่อแนวโน้มสถานการณ์ตอนนี้อีกสักคน ในวังท่านนั้นยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ต่อโอรสสวรรค์เหรอ?” อิ๋งจิ่วกวงเอ่ยถามขณะยกพู่กันจุ่มหมึก

จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่เคลื่อนไหว มีความเป็นไปได้ว่าไม่อยากให้เรื่องฉาวโฉ่ในบ้านแพร่งพราย ไม่อยากลงโทษพร้อมสนมฉินให้คนนึกเชื่อมโยงกันได้ หรือไม่ประมุขชิงก็ตามใจลูก ไม่คิดจะจัดการโอรสสวรรค์หรอก”

อิ๋งจิ่วกวงเขียนอักษรเสร็จแล้วก็วางพู่กันไว้ด้านข้าง รับผ้าเปียกจากมือจั่วเอ๋อร์มาเช็ดมือ “ถ้าเป็นอย่างหลังจริงๆ ก็เกรงว่าพวกเราจะเดาเจตนาของประมุขชิงผิดไปแล้ว การจะให้สนมสวรรค์แทนที่ตำแหน่งราชินีสวรรค์ เกรงว่าจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้น” เรื่องในครั้งนี้นับว่าเป็นการหยั่งเชิงของพวกเขา

จั่วเอ๋อร์บอกว่า “ถ้าเป็นอย่างแรก เกรงว่าประมุขชิงไม่อยากให้เรื่องฉาวในครอบครัวแพร่งพรายก็คงยาก หากสนมสวรรค์ขึ้นตำแหน่งเมื่อไร ก็ต้องตัดโอกาสผู้สืบทอดของชิงหยวนจุน จะต้องเก็บโอกาสนี้ไว้ให้ลูกของสนมสวรรค์…” ความหมายในคำพูดก็คือสามารถปล่อยข่าวได้

อิ๋งจิ่วกวงพยักหน้า “รอไปก่อนแล้วกัน ถ้าจะจัดการจริงๆ ก็คงไม่นานเกินไป หากพวกเราเข้าใจผิดจริงๆ เช่นนั้นก็หยุดเถอะ พวกเราพุ่งนำหน้าไปปะทะกับตระกูลเซี่ยโห้วไม่ใช่เรื่องดีอะไร ใครจะไปรู้ว่าผีตาแก่เซี่ยโห้วท่าวางหมากอะไรไว้บ้างตอนยังมีชีวิตอยู่”

ในขณะนี้เอง จั่วเอ๋อร์ก็ได้รับข่าวจากระฆังดารา หลังจากหยิบระฆังดารามาสื่อสารแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องกับท่านโหวแล้ว ถูกเกาก้วนพาตัวไปแล้ว ถูกขังและสอบสวนที่คุกสวรรค์”

“สอบสวน?” อิ๋งจิ่วกวงอึ้งไปชั่วขณะ แล้วถามอย่างเดือดดาล “มีเรื่องอะไร?”

“ผู้ติดตามของท่านโหวถามแล้ว บอกว่ามีคนรายงานว่าท่านโหวสมคบกับโจรกบฏ หลังจากจบการประชุมขุนนางแล้ว ท่านโหวยังไม่ทันออกจากวังสวรรค์ก็ถูกเกาก้วนถูกคุมตัวไปอย่างลับๆ แล้ว” จั่วเอ๋อร์ตอบ

แต่ความโกรธนี้ก็มาไวไปไว ไม่นานสีหน้าโกรธเคืองก็หายไปเร็วมาก เขาหรี่ตาแล้วโบกมือ “บอกลูกน้องของอู๋หม่านว่าอย่าประกาศ เกาก้วนน่าจะปล่อยอู๋หม่านเร็วๆ นี้ เขาไม่เป็นอะไรหรอก”

จั่วเอ๋อร์งงไปชั่วขณะ ยังไม่ทันเข้าใจ ถามว่า “เพราะอะไรคะ?”

“ก็อย่างที่บอก ประมุขชิงไม่อยากให้ข่าวฉาวในบ้านแพร่งพราย เขาคุมตัวอู๋หม่านไปเพราะกำลังจะเตือนพวกเรา ว่าถ้าเรื่องฉาวในบ้านเขาแพร่งพรายไปเมื่อไร เขาก็จะเอาชีวิตอู๋หม่านได้ทุกเมื่อ นอกเสียจากต่อไปนี้คนของตระกูลอิ๋งจะไม่เข้าประชุมราชสำนักอีก ไม่อย่างนั้นคนของตระกูลอิ๋งก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะมีที่ยืนในราชสำนัก ขอเพียงพวกเรากล้าทำ เขาก็กล้าเอาคืนเช่นกัน” อิ๋งจิ่วกวงแสยะยิ้ม

จั่วเอ๋อร์ได้ยินแล้วเงียบไป ในใจแอบถอนหายใจ สงสัยจะแพร่งพรายเรื่องฉาวในครอบครัวประมุขชิงไม่ได้อีกแล้ว ก็ช่วยไม่ได้ อำนาจการควบคุมที่อยู่ในมือประมุขชิงไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลอิ๋งจะเทียบติด เขาสามารถตัดขาดความคิดของตระกูลอิ๋งได้ด้วยมือเดียว

เป็นอย่างที่คาดไว้ ไม่นานจั่วเอ๋อร์ก็ได้รับข้อความผ่านระฆังดาราอีก หลังจากติดต่อเสร็จแล้วก็ถอนาหายไป แล้วรายงานว่า “ท่านอ๋อง เป็นอย่างที่ท่านคาดไว้ หน่วยตรวจการขวาปล่อยตัวท่านโหวแล้ว”

เมื่ออิ๋งจิ่วกวงอนุญาตแล้ว เรื่องนี้ก็ถูกวางไว้ชั่วคราว เขาเอามือไขว้หลังเดินอ้อมโต๊ะออกมา “วิธีการจัดการปัญหาของตระกูลเซี่ยโห้วในครั้งนี้ทำให้ข้ารู้สึกผิดคาด ไม่น่าเชื่อว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะเป็นฝ่ายนำโอรสสวรรค์ไปยอมรับผิดก่อน ไม่มีท่าทีว่าจะงัดข้อกับข้าเลยสักนิด เซี่ยโห้วลิ่งเพิ่งจะขึ้นตำแหน่งก็ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้เรื่องแล้วเหรอ?”

“บางทีเซี่ยโห้วลิ่งอาจมีอำนาจสั่งการภายในตระกูลเซี่ยโห้วไม่พอ ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม” จั่วเอ๋อร์กล่าว

“อำนาจสั่งการไม่พอนั้นแน่นอนอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เซี่ยโห้วลิ่งจะมีบารมีเท่าเซี่ยโห้วท่า แต่ก็จะประมาทไม่ได้” อิ๋งจิ่วกวงหันตัวมาจ้อง บอกว่า “ถ้าเซี่ยโห้วลิ่งต้องการจะลงมือ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะลงดาบกับสนมฉินก่อน!”

จั่วเอ๋อร์พยักหน้า เข้าใจความหมายของเขาแล้ว

จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม ใต้ต้นไม้ใหญ่โบราณ เซี่ยโห้วลิ่งที่เรียกเว่ยซูมาหาก็ถามคล้ายๆ กับอิ๋งจิ่วกวงเช่นกัน “ทางวังสวรรค์ประมุขชิงไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับองค์ชายเลยเหรอ?”

“ยังไม่มีขอรับ” เว่ยซูตอบ

เซี่ยโห้วลิ่งไตร่ตรองพักหนึ่ง แล้วบอกว่า “ไม่รอแล้ว สนมฉินอะไรนั่น หึ! ต้องเชือดไก่ให้ลิงดู ต่อไปคอยดูว่าประมุขชิงจะเอายังไงกันแน่ ถ้าไปคิดบัญชีนี้กับตระกูลอิ๋ง! พี่น้องพวกนั้นของข้าคงไม่ถึงขั้นทำเรื่องพวกนี้ได้ไม่ดีหรอกใช่มั้ย?”

เว่ยซูเข้าใจ นี่ต้องการจำลงมือกับสนมของราชันสวรรค์ จึงตอบว่า “ในเวลาแบบนี้ บรรดาคุณชายไม่ถึงขั้นแยกแยะความสำคัญไม่ได้ จะจัดการอย่างดีขอรับ”

“เตือนพวกเขาให้ระวังตัวหน่อย ดีไม่ดีทางนั้นอาจจะวางกับดักรอไว้แล้ว อย่าให้ติดกับดัก” เซี่ยโห้วลิ่งกล่าว

“ขอรับ!” เว่ยซูเอ่ยรับแล้วออกไปเตรียมการ

ทว่าเมื่อผ่านไปครึ่งวัน เว่ยซูก็รีบร้อนมาหาเซี่ยโห้วลิ่งที่สวนต้องห้าม “นายท่าน เกรงว่าจะลงมือกับสนมฉินนั่นไม่สะดวกแล้ว”

เซี่ยโห้วลิ่งนั่งขัดสมาธิแต่ไม่ได้ฝึกตน กำลังพักผ่อนร่างกาย เขาลืมตาแล้วถามว่า “มีปัญหาอะไร?”

เว่ยซูยิ้มเจื่อน “คุณชายเก้าส่งข่าวมา บอกว่าที่จริงแล้วสนมฉินนั่นเป็นคนของเรา ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ หวังจัวบิดาของสนมฉินคือคนของเราขอรับ”

เซี่ยโห้วลิ่งนิ่งชะงัก แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบในชั่วพริบตาเดียว “ล้อเล่นอะไรกัน ถ้าเป็นคนของพวกเราจริงๆ สนมฉินทำเรื่องแบบนี้ทำไมพวกเราถึงไม่รู้เลยสักนิด?”

เว่ยซูตอบว่า “สนมฉินเองก็ไม่รู้ถึงภูมิหลังที่แท้จริงของบิดาตัวเอง ทางตระกูลอิ๋งควบคุมก่อนลงมือได้ดีมาก ไม่ให้มีข่าวใดๆ เล็ดรอด หวังจัวไม่รู้เรื่องนี้ล่วงหน้าเช่นกัน หลังจากจบเรื่องสนมฉินถูกส่งตัวกลับมาถึงได้รู้เรื่องนี้ ตอนนี้หวังจัวกำลังทวงคำสัญญาที่ตระกูลอิ๋งให้ไว้กับลูกสาวเขา ดังนั้นอีกไม่นานหวังจัวก็จะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาคแล้ว ในอนาคตอาจจะได้แสดงบทบาทมากกว่านี้!”

………………

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถูกเสียงนี้ทำให้ตกใจ ตกใจจนแทบเหม่อ สีหน้าซีดเผือด

ไม่ว่าประมุขชิงจะทำอะไรกับนาง แค่หลายปีที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยเห็นประมุขชิงเดือดดาลขนาดนี้ต่อหน้านาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำเสียงแบบนี้

ชิงหยวนจุนตกใจจนตัวสั่น พลันเงยหน้าสบกับสายตาน่าสะพรึงกลัวของบิดา

ซ่างกวนชิงยังคงก้มหน้าอยู่ข้างๆ อย่างเงียบงัน ราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง

ประมุขชิงค่อยๆ ย่อเข่าลง นั่งคุกเข่าตรงหน้าลูกชายตัวเอง ใช้สายตาเย็นเยียบที่เจือด้วยความโกรธจ้องสายตาหวาดกลัวของลูกชาย

ชิงหยวนจุนทนไม่ไหวกับสายตานี้จริงๆ เขาทำสายตาลอกแล่ก เอียงศีรษะหลบหลีก

“หืม?” ประมุขชิงพ่นเสียงทางจมูก บีบคางชิงหยวนจุนให้หันกลับมา แล้วตะคอกว่า “มองข้า!”

ชิงหยวนจุนถูกกดดันจนไร้ทางเลือก ทำได้เพียงสบตากับเขาต่อไป

แม้จะเป็นการบังคับ แต่ความรู้สึกหวาดกลัวที่อยู่ในสภาะคงที่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะคงอยู่โดยไม่เปลี่ยนแปลงเลย ของแบบนี้เรียกว่าเริ่มคุ้นชินทีละนิด ชิงหยวนจุนเหมือนจะเริ่มปรับตัวได้แล้ว ความรู้สึกหวาดกลัวในแววตาลดลง อารมณ์หวาดกลัวก็บรรเทาลงไม่น้อยแล้วเช่นกัน เริ่มควบคุมร่างกายที่สั่นเทิ้มได้แล้ว

กลิ่นอายน่าสะพรึงที่แผ่จากตัวประมุขชิงทั้งยังมีสายตาที่ทำให้คนรู้สึกกดดัน ไม่ใช่ทุกคนที่มีโอกาสได้คุมเชิงกับเขานานขนาดนี้ ต่อให้เป็นแค่ครั้งเดียว แต่สภาพจิตใจของชิงหยวนจุนก็จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงแน่นอน อย่างน้อยครั้งหน้าถ้าเผชิญสถานการณ์เดียวกันอีกก็ไม่หวาดกลัวถึงขั้นนี้แล้ว

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่วิตกกังวลอยู่ข้างๆ ตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรซี้ซั้วอีก

เมื่อรู้สึกได้ว่าสายตาของลูกชายมีการเปลี่ยนแปลง ในที่สุดประมุขชิงก็ปล่อยมือจากคางเขาแล้ว ถามเสียงเย็นว่า “เห็นใครในหุบเขา?”

“ไม่…” ชิงหยวนจุนเพิ่งจะก้มหน้า ยังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงประมุขชิงขานรับ “อืม” แล้ว จึงเงยหน้ามองเขาอีกครั้งราวกับถูกกระตุ้น “ไม่เห็นชัดว่าเป็นใครขอรับ”

“แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าเป็นสนมในวังหลัง?” ประมุขชิงถาม

“เหมือนจะเคยเห็นนางมาคำนับเสด็จแม่ที่ตำหนักนารีสวรรค์ขอรับ” ชิงหยวนจุนตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก

“เล่าสถานการณ์ตอนนั้นให้ฟังโดยละเอียด ห้ามตกหล่นแม้แต่น้อย” ประมุขชิงกล่าวเสียงเย็น

“ตอนนั้นลูกเพิ่งทำงานสวนเสร็จ เลยไปอาบน้ำที่สระมรกตตามปกติ พอเข้าไปในหุบเขานั้น…” ชิงหยวนจุนพยายามนึกย้อนไปถึงสถานการณ์ตอนนั้น อธิบายตะกุกตะกักด้วยความประหม่า

“พูดติดอ่างแบบนั้น พูดให้ตัวเองฟังเหรอ? พูดจาให้ชัดถ้อยชัดคำ!” ประมุขชิงตะคอกอีกครั้ง เหมือนจะไม่สนใจรายละเอียดแล้ว ดูจากสายตาแล้วเหมือนจะให้ความสำคัญกับท่าทีของชิงหยวนจุนยามอธิบายภายใต้ความกดดันมากกว่า

หลังจากอธิบายจบ ประมุขชิงก็ยืนขึ้น แล้วก้มมองพร้อมถามเสียงเย็น “บังเอิญเจอจริงเหรอ?”

ชิงหยวนจุนหันกลับมาหมอบกราบทันที ใช้ศีรษะกระแทกพื้นไม่หยุดพลางอธิบาย “เสด็จพ่อ ลูกไม่ได้คิดอะไรเพ้อเจ้อเลยจริงๆ ไม่ว่าครั้งไหนที่ลูกทำนาเสร็จก็จะไปที่นั่นเสมอ ไม่ใช่นึกอยากจะไปขึ้นมาชั่ววูบ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เสด็จพ่อโปรดตรวจสอบให้กระจ่าง!”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็คุกเข่าลงเช่นกัน “ฝ่าบาท หม่อมฉันกล้าเอาชีวิตมาเป็นประกัน จุนเอ๋อร์ไม่ใช่คนอย่างนั้นแน่นอนเพคะ จุนเอ๋อร์…”

“หุบปาก!” ประมุขชิงตะคอกตัดบท แล้วเอียงหน้ามองซ่างกวนชิง “ตรวจสอบ! เรียกผู้เกี่ยวข้องมาหาข้าให้หมด!”

“น้อมรับบัญชา!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับด้วยน้ำเสียงปกติ แล้วรีบออกไป

ส่วนสองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ประมุขชิงก็ไม่ได้ให้พวกเขาลุกขึ้นมาเช่นกัน เขาหลับตายืนเอามือไขว้หลังอยู่อย่างนั้น

ที่นาหลวง สนมฉินกลับมานานแล้ว นางกลับมาแต่งหน้าและแต่งตัวกึ่งหญิงสาวชาวนาเหมือนเดิม ตอนนี้กำลังทำนาโดยมีหนิงชุนและเนี่ยนเซี่ยทำอยู่ด้วยกัน

ในขณะนี้เอง ทหารสวรรค์เกราะแดงสิบกว่าคนก็เหาะลงมาจากฟ้า ผู้ที่นำหน้ามาก็คือเหวินเจ๋อคนรู้จักเก่าของเหมียวอี้ ในจำนวนนั้นมีทหารเกราะทองสองคนถูกผลักออกมา พวกเขามองประเมินพวกสนมฉินโดยละเอียด แล้วหันมาพยักหน้าให้เหวินเจ๋อ

พอเหวินเจ๋อโบกมือ ก็มีทหารจำนวนหนึ่งถลันตัวมาตรงหน้าพวกสนมฉิน

ที่จริงพวกสนมฉินเห็นพวกเขาแล้ว แต่ยังพยายามควบคุมสีหน้าที่เผยอารมณ์หวาดกลัวให้เห็นเป็นระยะอย่างที่ปิดบังได้ยาก

เหวินเจ๋อกุมหมัดคารวะ “สนมฉิน ข้าน้อยได้รับบัญชาจากฝ่าบาท เชิญไปกับข้าน้อยสักรอบขอรับ”

“มีเรื่องอะไร?” สนมฉินฝืนถาม

“เชิญขอรับ!” เหวินเจ๋อไม่ให้คำตอบเลย เอียงตัวหลีกทางแล้วยื่นมือเชิญ

สนมฉินทำได้เพียงวางเครื่องมือการเกษตร ขณะที่วางมือก็สั่นเล็กน้อย หันกลับไปบอกหนิงชุนกับเนี่ยนเซี่ยว่า “พวกเจ้าทำงานไปก่อน”

ใครจะคิดว่าเหวินเจ๋อจะบอกอีกว่า “ไม่ต้องแล้ว พาไปด้วยกันเลย!” ขณะที่พูดเขาก็โบกมือ

สำหรับสาวใช้ทั้งสองก็ไม่มีอะไรให้เกรงใจ มีทหารสองคนยื่นมือมาบีบหลังคอ กดศีรษะเดินไปแล้ว

เหาะขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วตลอดทาง เหาะไปทางพระตำหนักอุทยาน

ฉากนี้ทำให้เหล่าสนมที่อยู่ในนาแถวนั้นพากันชี้มาทางนี้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูจากท่าทีที่ทหารสวรรค์ไม่เกรงใจ ก็มองออกแล้วว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไร

“เป็นอะไรไปแล้ว? ทำไมดูไม่ชอบมาพากล!”

“สนมฉินคนนี้เพิ่งจะได้รับความโปรดปรานไม่ใช่เหรอ? ชั่วพริบตาเดียวทำไมถูกปรนนิบัติด้วยอย่างนี้แล้ว ไม่เข้าใจ!”

“หรือว่าหลงระเริงแล้วไปล่วงเกินคนที่ไม่สมควรจะล่วงเกิน?”

เริ่มมีสนมมารวมตัวกันพูดจาเยาะเย้ยเหน็บแนม ล้วนเป็นพวกที่อยู่ในวังมานานจนทนมองเห็นผู้หญิงคนอื่นได้ดีไม่ได้

ไม่นานก็พาตัวมาถึงนอกตำหนักหลักของพระตำหนักอุทยาน ซ่างกวนชิงที่ยืนอยู่บนบันไดโบกมือ พวกเหวินเจ๋อถอยออกไป ปล่อยให้สนมฉินและสาวใช้สองคนขึ้นบันไดมาพร้อมทหารเกราะทองเท่านั้น จินตนาการออกเลยว่าคนพวกนี้มีสีหน้าหวาดกลัวขนาดไหน

ตอนที่ซ่างกวนชิงยื่นมือเชิญพวกเขาเข้ามาข้างใน จู่ๆ ด้านนอกก็มีคนคนหนึ่งถลันตัวเข้ามา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นโพ่จวิน ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายของกองทัพองครักษ์

ซ่างกวนชิงถลันตัวออกมาคนเดียว มาขวางหน้าโพ่จวินเอาไว้ ยื่นมือกดตรงหน้าอกโพ่จวิน “ตอนนี้ฝ่าบาทไม่ว่างพบเจ้า รออยู่ข้างๆ ก่อน!”

“เรื่องสับปะรังเคนั่นข้ารู้แล้ว ข้าพบฝ่าบาทเพราะมีเรื่องจะคุย!” โพ่จวินปัดมือเขาออก พวกลูกน้องรายงานสถานการณ์ให้เขารู้แล้ว ได้ยินว่าคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายถูกพาตัวมา เขากังวลว่าพวกลูกน้องจะถูกฆ่าปิดปาก จึงตั้งใจมาหาโดยเฉพาะ

พรึ่บ! มืออีกข้างของซ่างกวนชิงกดที่หน้าอกของโพ่จวินอย่างว่องไวราวกับเงาผี เหล่ตามองอย่างเย็นเยียบพร้อมกล่าวว่า “ตาแก่โพ่จวิน ข้าจะขอพูดอีกรอบ ตอนนี้ฝ่าบาทไม่วางมาพบเจ้า รออยู่ตรงนี้ก่อน อย่าสร้างความวุ่นวายเพิ่ม ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ แทบจะมีไอเย็นลอยออกมาแล้ว ท่าทีแข็งกร้าวอย่างที่พบเห็นไม่บ่อย

โพ่จวินสบตาเขาอย่างเกรี้ยวกราด คุมเชิงกันอยู่อย่างนั้น สุดท้ายก็สะบัดแขนเสื้อ ยอมถอยให้อย่างที่ไม่ค่อยได้ทำเช่นกัน เขาพ่นเสียงทางจมูกแล้วหันตัวเดินออกไป เดินไปถามสถานการณ์กับเหวินเจ๋อที่ถอยออกไปไกลแล้ว

ตอนนี้ซ่างกวนชิงถึงได้ถลันตัวหายไปราวกับควัน กลับเข้าไปในตำหนักแล้ว

พวกสนมฉินที่เข้ามาในตำหนักเห็นทั้งสองกำลังคุกเข่า พบว่าแม้แต่ราชินีสวรรค์ก็คุกเข่าด้วย พวกนางจึงพากันคุกเข่าทันที “คารวะฝ่าบาท!”

ประมุขชิงลืมตาขึ้นช้าๆ ใช้สายตาเย็นชาไร้อารมณ์กวาดมองหลายคนที่อยู่ตรงนั้น ชั่วพริบตาที่ได้สบประสานกับสายตานี้ ก็ทำให้พวกเขารู้สึกเย็นเยียบราวกับอยู่ในบ้านน้ำแข็ง

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หันมาคนแรก พอเห็นว่าเป็นสนมฉิน ก็พบว่าที่แท้ก็เป็นผู้หญิงคนนี้นี่เอง นางถลึงตาใส่ แทบจะมีไฟลุกออกมาจากตาแล้วจริงๆ ราวกับอยากจะโจนเข้าไปฉีกเนื้อสนมฉินทั้งเป็น เพียงแต่สนมฉินกลับยังก้มหน้า ไม่ได้เงยหน้าจึงไม่เห็น

ซ่างกวนชิงรีบไปข้างกายประมุขชิง แล้วถ่ายทอดเสียงพึมพำสองสามประโยค เสร็จแล้วถึงได้ถอยออกไปยืนด้านข้าง

ประมุขชิงเอามือไขว้หลังเดินเนิบนาบไปข้างกายชิงหยวนจุน แล้วถามเสียงเรียบว่า “หันกลับมามอง ใช้นางหรือเปล่า?”

ชิงหยวนจุนหันกลับมาช้าๆ เพียงมองปราดเดียวเท่านั้น พบว่าสอดคล้องกับเงาร่างสวยหยาดเยิ้มที่โผล่ขึ้นจากน้ำ เขารีบก้มหน้าทันีท แล้วตอบเสียงเบาว่า “ขอรับ!”

“สนมฉิน เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับข้าเหรอ?” ประมุขชิงถามเสียงเรียบ

สนมฉินยังไม่ทันพูดอะไร ก็ร้องไห้โฮก่อนแล้ว น้ำตาสองสายไหลอาบแก้ม

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หันกลับไปมองอีกครั้ง สำหรับนางที่รู้ล่วงหน้าแล้วว่าเป็นกับดักลอบทำร้ายลูกชาย พอเห็นผู้หญิงคนนี้ยังแสร้งทำตัวน่าสงสารอยู่ ก็ไม่ต้องบอกเลยว่านางอยู่ในอารมณไหน เคียดแค้นผู้หญิงคนนี้ถึงขีดสุดแล้วจริงๆ

ประมุขชิงเอียงหน้ามองซ่างกวนชิงแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก

ซ่างกวนชิงเข้าใจความหมายที่เขาสื่อ ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วถามทหารสองคนที่นั่งคุกเข่าว่า “ได้ยินว่าพวกเจ้าเห็นองค์ชายลนลานหนีออกมาหุบเขา เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?”

ทหารสวรรค์สบตากันแวบหนึ่ง แล้วตอบเสียงอ่อน “ขอรับ!”

“ตอนนั้นพวกเจ้าเห็นอะไร ได้ยินอะไร ตอบมาตามความจริง หากโกหกแม้เพียงประโยคเดียว ฆ่าไม่ละเว้น!” ซ่างกวนชิงกล่าว

ทหารสวรรค์สองคนนั้นกลืนน้ำลาย ย่อมรู้ว่าท่านนี้มีอำนาจที่วังสวรรค์ พูดจริงทำจริงแน่นอน หนึ่งในนั้นตอบอย่างกังวลว่า “พวกข้าน้อยกำลังประจำการอยู่บริเวณนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนว่า ‘จับโจร’ จึงรีบตามไปทันที แล้วบังเอิญเห็นองค์ชายลนลานหนีออกมาจากหุบเขาทันที จากนั้นก็เห็นนางในคนหนึ่งไล่ตามมาข้างหลัง นางในคนนั้นเรียกพวกเรา ให้พวกเราจับตัวองค์ชาย พวกเราไม่กล้าบุ่มบ่าม จึงปล่อยองค์ชายไปแล้วขอรับ แล้วดักนางในไว้เพื่อถามสถานการณ์ ชั่วขณะนั้นนางในหลุดปากบอกว่า…บอก…”

“บอกว่าอะไร?” ซ่างกวนชิงตะคอกทันที

ทหารคนนั้นตกใจ รีบตอบว่า “บอกว่ามีคนแอบดูเหนียงเหนียงอาบน้ำ แต่ก็รีบเปลี่ยนคำพูดเป็นว่ากำลังเล่นกัน แล้วเลี้ยวกลับไปทันที เหมือนกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง จากนั้นก็เห็นผู้หญิงจากวังสามคนรีบออกจากหุบเขานั้นไป มีเท่านี้ขอรับ”

ซ่างกวนชิงมองไปที่อีกคน เขารีบตอบว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้จริงๆ ขอรับ ไม่ผิดพลาด”

“นางในที่ตามมาอยู่ตรงนี้หรือเปล่า?” ซ่างกวนชิงถามอีก

ทหารสวรรค์สองคนมองไปทางหนิงชุนที่กำลังคุกเข่าพร้อมกัน หนึ่งในนั้นชี้บอก ” เป็นนางขอรับ!”

“ผู้หญิงสามคนที่หนีออกจากหุบเขาก็พวกนางสามคนเหรอ?” ซ่างกวนชิงถาม

ทหารสวรรค์สองคนนั้นพยักหน้าพร้อมกัน “ใช่ขอรับ!”

ซ่างกวนชิงเดินไปตรงหน้าหนิงชุนที่กำลังคุกเข่าอีก “ที่พวกเขาสองคนพูดมีตรงไหนไม่ถูกต้องหรือไม่?”

หนิงชุนส่ายหน้า ซ่างกวนชิงถามอีกว่า “เหตุใดเจ้าถึงไล่ตามองค์ชาย? เจ้าบอกว่ามีคนแอบดูเหนียงเหนียงอาบน้ำ หมายความว่าเจ้ากำลังไล่ตามองค์ชายที่หลบหนีเหรอ?”

หนิงชุนรีบตอบว่า “ตอบผู้การใหญ่ ตอนนั้นที่บ่าวรีบตามไป องค์ชายยกแขนเสื้อบังหน้า บ่าวไม่ทราบว่าเป็นองค์ชาย ถึงได้ทนไม่ไหวไล่ตามไป ตอนหลังได้ยินสนมฉินเอ่ยขึ้นมา ถึงได้ทราบว่าเป็นองค์ชาย”

“เจ้าเห็นองค์ชายแอบดูสนมฉินอาบน้ำเหรอ?” ซ่างกวนชิงถาม

หนิงชุนรีบส่ายหน้า “องค์ชายไม่ได้แอบมองเหนียงเหนียงอาบน้ำ คงจะไม่รู้ว่าสนมฉินกำลังอาบน้ำอยู่นหุบเขาค่ะ แค่บังเอิญมาเจอก็เท่านั้นเอง องค์ชายแค่เห็นหน้าแวบเดียวก็หลบเลี่ยงไปทันที”

ซ่างกวนชิงถามอีกว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าองค์ชายไม่ได้จงใจแอบดู? แล้วเหตุใดตอนนั้นต้องตะโกนต่อหน้าฝูงชนว่ามีคนแอบดูเหนียงเหนียงอาบน้ำ?”

หนิงชุนตอบว่า “ตอนนั้นบ่าวก็ร้อนใจเช่นกัน ตอนนั้นนอกจากคำว่า ‘แอบดู’ ก็ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรมาบรรยายแล้ว” ความจริงก็เป็นตามที่นางบรรยาย นอกจากคำว่า ‘แอบดู’ ก็ไม่มีคำอื่นที่เหมาะสมกว่านี้แล้ว ที่จริงสำหรับผู้หญิงแล้ว สถานการณ์แบบนั้นก็จัดอยู่ในขอบเขตคำว่า ‘แอบดู’ เช่นกัน ตอนนั้นคงตะโกนไม่ได้ว่า ‘มีคนบังเอิญมาเห็นเหนียงเหนียงอาบน้ำ’

สรุปก็คือ ต่อจากนั้นไม่ว่าซ่างกวนชิงจะถามอะไรทั้งสาม ทั้งสามคนก็บรรยายเหตุการณ์ตอนนั้นเป็นเสียงเดียวกันว่า ชิงหยวนจุนบังเอิญไปเห็น ไม่ได้แอบดู

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับชิงหยวนจุนเรียกได้ว่าโล่งอก มีคู่กรณีทั้งสามมาให้การเอง ลักษณะเหตุการณ์ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว

แต่สำหรับซ่างกวนชิงกลับไม่เหมือนกันแล้ว ‘พูดเป็นเสียงเดียวกัน’ ของทั้งสามคนนั้นไม่ธรรมดาแล้ว นี่จะต้องเป็นบุคคลระดับสูงที่คุ้นเคยกับประมุขชิงบงการเบื้องหลังแน่นอน เขาเอียงหน้ามองปฏิกิริยาของประมุขชิง พอเห็นประมุขชิงไม่แสดงท่าทีอะไร ก็ไม่ถามอะไรแล้ว

ประมุขชิงก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน กวาดสายตาเย็นเยียบมองพวกเขาแวบหนึ่ง เอามือไขว้หลังเดินก้าวยาวออกไปนอกตำหนัก ซ่างกวนชิงหันตัวเดินตามหลังไป

นอกตำหนัก โพ่จวินเห็นประมุขชิงออกมาแล้ว จึงรีบเข้าไปต้อนรับ “ฝ่าบาท ข้าน้อยมีบางอย่างจะกล่าว!”

“ตาแก่น่าตาย ไสหัวไป!” ประมุขชิงตะคอก แล้วก็ถลันตัวหายไปไกล

“ตาแก่โพ่จวิน ข้ารู้ว่าเจ้าคิดจะพูดอะไร ให้ลูกน้องควบคุมปากให้สนิท ไม่อย่างนั้นเจ้าคงรู้ผลที่ตามมา” ซ่างกวนชิงหยุเดินแล้วหันมากำชับโพ่จวิน จากนั้นก็ถลันตัวหายไป

โพ่จวินงงไปชั่วขณะ จากนั้นถลันตัวไปตรงประตูตำหนัก พบว่าคนข้างในยังคุกเข่าอยู่อย่างนั้น จึงเข้าไปเดินวนรอบหนึ่ง ตอนเดินผ่านหน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ชำเลืองสองที เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เงยหน้ามองเขาเช่นกัน ทั้งสองถลึงตาหรี่ตามองกัน ให้ความรู้สึกราวกับเจอศัตรูในที่แคบ

แล้วก็มองบาดแผลหลายรอยบนตัวชิงหยวนจุนอีก แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าชิงหยวนจุนลุกขึ้นมา แล้วกล่างอย่างไม่เกรงใจว่า “ฝ่าบาทไปแล้ว พวกเจ้ายังคุกเข่าอยู่ตรงนี้ทำไมอีก?”

ไปแล้ว? ไปอย่างนี้แล้วเหรอ? ทุกคนในนั้นงุนงง

โพ่จวินหันตัวเดินออกไป พร้อมโบกมือให้ลูกน้องทั้งสองคน “จะมัวคุกเข่ารอความตายอยู่ที่นี่รึไง ยังไม่รีบไสหัวกลับไปอีก!” เขาเรียกให้ลูกน้องสองคนออกไปก่อน

………………

“ถ้าเสด็จแม่รู้เรื่อง จะ…” ชิงหยวนจุนสับสนแล้ว เรื่องแบบนี้จะให้เขาอธิบายกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่อย่างไร?

“โถ่องค์ชายของข้าน้อย ตอนนี้ไม่ใช่เวลามากลัวเสียหน้า ยิ่งไปกว่านั้นท่านก็ไม่ได้ตั้งใจเลย เหตุใดต้องกินปูนร้อนท้อง?”

เมื่อถูกเย่เสี้ยวโน้มน้าว ชิงหยวนจุนก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามแล้ว

จากนั้นทั้งสองก็รีบแบ่งกันดำเนินการ ชิงหยวนจุนติดต่อเสด็จแม่ เย่เสี้ยวรีบไปสืบข่าวจากองครักษ์พวกนั้น

ที่นาหลวง ในสายตาประมุขชิงไม่มีใครอื่น ได้แต่ใช้จอบก้มตัวถากดินอยู่ระหว่างต้นกล้าเขียว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่อยู่ไม่ไกลคอยทำงานตามสามีด้วยความกลมเกลียว

เสียงระฆังดาราจากลูกชายทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หยุดทำงานชั่วคราว หลังจากหยิบระฆังดารามาติดต่อแล้วก็สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เรียกเอ๋อเหมยเข้ามา แล้วส่งต่องานในมือให้นางชั่วคราว ส่วนตัวเองก็แสร้งทำเนียนกลับมาที่ชายป่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็เหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

ประมุขชิงปรนนิบัติต้นกล้าในนาอย่างไม่วอกแวก ซ่างกวนชิงปรากฏตัวที่ชายป่าตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ จ้องเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่เหาะออกไป แล้วเขย่าระฆังดาราอันหนึ่งในแขนเสื้อ ไม่นานก็มีทหารสวรรค์ของคนตามเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไปอย่างเงียบๆ

จากนั้นซ่างกวนชิงก็เดินเข้ามาในนา เดินตามข้างกายประมุขชิง แล้วถ่ายทอดเสียงพึมพำไม่กี่ประโยค “ทางกองทัพองครักษ์ส่งข่าวมาแล้วขอรับ…”

ประมุขชิงหยุดเคลื่อนไหวครู่หนึ่ง แล้วเอียงหน้าถ่ายทอดเสียงถาม “สืบได้หรือยังว่าเป็นใคร?”

“น่าจะเป็นสนมฉินขอรับ” ซ่างกวนชิงตอบ

ประมุขชิงขยับคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะแสยะยิ้มอย่าไม่แยแส แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก ทำงานในมือของตัวเองต่อไปอย่างเป็นขั้นตอน

เมื่อเห็นเขาไม่ได้ชี้แนะใดๆ ซ่างกวนชิงก็ถอยกลับไปที่ชายป่า สายตามองสำรวจความเคลื่อนไหวรอบๆ

พอมาถึงวังสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ให้นางในที่ติดตามรออยู่ข้างนอก ตัวเองเดินสาวเท้าเข้าไปคนเดียว

ชิงหยวนจุนกำลังร้อนรนเหมือนมดในกระทะ เมื่อเห็นมารดามาถึง ก็ราวกับเห็นดาวช่วยชีวิต รีบก้าวเข้ามาต้อนรับ”เสด็จแม่!”

เพี้ยะ! เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โบกมือตบหน้าเสียงดังฟังชัด ตบจนชิงหยวนจุนโซเซ พร้อมชี้หน้าตะคอกด่า “เจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง อยู่ในวังนี้เจ้าไม่รู้แม้กระทั่งว่าควรจะหลบเลี่ยงของต้องห้ามยังไงเหรอ? ต่อให้ในวังนี้จะมีสาวงามเยอะขนาดไหน ต่อให้เปื่อยอยู่ในหม้อแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ชายอื่นจะหมายปองได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องหัวหลุด เข้าใจมั้ย?”

ชิงหยวนจุนยิ่งหวาดกลัว คุกเข่าลงบนพื้น กล่าวเสียงตระหนกว่า “เสด็จแม่ ลูกไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ลูกนึกไม่ถึงว่าจะไปบังเอิญเจอ ไม่ได้ตั้งใจสบประมาทใดๆ เสด็จแม่ช่วยข้าด้วย!”

“เรื่องเป็นยังไงกันแน่ เล่ามาให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

จนป่านนี้แล้วมีหรือที่ชิงหยวนจุนจะกล้าปิดบัง เล่ารายละเอียดในตอนนั้นให้ฟังทุกอย่าง

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฟังจบแล้วถามอย่างละเอียด “เป็นใครที่กำลังอาบน้ำ?”

ชิงหยวนจุนส่ายหน้า “ลูกจำได้ไม่ชัดเจนว่าเป็นใคร แต่เคยเห็นมาคำนับเสด็จแม่ที่ตำหนักนารีสวรรค์”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยกเท้าถีบบ่าเขาจนล้มลงพื้น แล้วเดินไปเดินมาด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด ในเวลานี้คนที่นางนึกถึงไม่ใช่ตระกูลเซี่ยโห้ว แต่นางติดต่อเหมียวอี้ทันที แล้วเล่าสถานการณ์ให้ฟัง

เหมียวอี้ได้ข่าวแล้วถามรายละเอียดสองประโยค สุดท้ายก็ตอบว่า : สิ่งที่ควรจะมาก็มาถึงแล้ว เหนียงเหนียงโปรดใจเย็น ข้าน้อยเคยบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าองค์ชายจะต้องได้รับความลำบากนิดหน่อย ก็อย่างที่บอก อยู่ในสถานการณ์หวาดเสียวแต่ไร้อันตราย!

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อึ้งชั่วขณะ นึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เหมียวอี้บอกไว้ตอนแรก จึงถามซักไซ้ทันที : เจ้ากำลังบอกว่า อุบัติเหตุครั้งนี้คือกับดักที่วางไว้ดักจุนเอ๋อร์เหรอ?

เหมียวอี้ : สนมสวรรค์ทั้งคนอาบน้ำอยู่ข้างนอก มีหรือที่จะไม่มีใครดูต้นทางให้? องค์ชายมุ่งหน้าไปที่หุบเขา ทำไมไม่สังเกตเห็นตั้งแต่แรกล่ะ ดันรอให้องค์ชายไปเจอก่อนค่อยสังเกตเห็น?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขบคิดนิดหน่อย ตอนนี้เข้าใจแล้ว พรึ่บ! ไฟโกรธลุกพรึ่บในใจ ในอกในสมองมีแต่ไฟโกรธ ชั่วร้ายเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้วิธีการต่ำช้าอย่างนี้กับลูกชายนาง อย่าไปมองว่าวิธีการต่ำช้าอย่างนี้จะประกาศให้ใครรู้ไม่ได้ เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นกลับวางกับดักให้คนตายได้ นี่ไม่ใช่แค่จะเสี้ยมพ่อลูกให้แตกคอกัน ทั้งยังจะทำลายชื่อเสียงของลูกชาย ทำให้ลูกชายเงยหน้าไม่ขึ้นไปทั้งชีวิตด้วย!

ถ้าต้องแบกรับชื่อเสียงเสื่อมเสียอย่างนี้จริงๆ ต่อให้จะไม่เป็นอะไร แต่อนาคตก็พังทลายโดยสิ้นเชิงแล้ว ลูกชายคนนี้คือความหวังเดียวของนาง ไม่น่าเชื่อว่าจะต้องการทำให้ลูกชายนางกลับตัวไม่ได้ตลอดไป!

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ในดวงตาเต็มไปด้วยความดุร้าย ปากก็สาปแช่งไม่หยุด “นางตัวดี! ข้าจะทำให้เจ้าไม่ตายดี!”

ชิงหยวนจุนที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่ามารดากำลังด่าใคร ตอนเห็นนางหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อภายนอก ก็ยังนึกว่ากำลังติดต่อหาตระกูลเซี่ยโห้ว

ที่จริงชิงหยวนจุนรู้แค่ความสัมพันธ์ฉากหน้าระหว่างเหมียวอี้กับตำหนักนารีสวรรค์เท่านั้น ความสัมพันธ์ประเภทที่แอบติดต่อกันส่วนตัว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ได้บอกให้เขารู้ นี่ก็คือผลจากการที่เหมียวอี้ย้ำกับนาง

เหมียวอี้ถามต่อว่า : เหนียงเหนียง สนมที่อาบน้ำคนนั้นคือใคร?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : ในวังมีสนมเยอะเกินไป จุนเอ๋อร์แค่เคยเห็นเท่านั้น ไม่รู้จักฐานะของนาง เป็นเพราะเจ้าเด็กนี่โง่เง่า เจอเรื่องแบบนี้แต่ไม่รู้จักปิดปาก!

เหมียวอี้ : ปิดปากไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกฝ่ายวางกับดักรอไว้แล้ว ถ้าองค์ชายกล้าปิดปาก อีกฝ่ายย่อมมีทางทำให้เรื่องราวใหญ่โตอยู่แล้ว เมื่อเปิดตาข่ายที่ใช้วางกับดักองค์ชายแล้ว อีกฝ่ายไม่มีทางปล่อยให้องค์ชายหลุดไปง่ายๆ เพียงแต่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ในที่สุดเรื่องนี้ก็ปะทุออกมาแล้ว ดีกว่าคอยพะวงอยู่ตลอด

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : เจ้าแน่ใจนะว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้วแต่จุนเอ๋อร์จะยังไม่เป็นอันตรายได้อีก?

เรื่องนี้ไปเทียบกับเรื่องอื่นไม่ได้ ลูกชายไปแอบดูผู้หญิงของพ่ออาบน้ำ ถ้าให้ประมุขชิงรู้เข้า นางก็ไม่มีทางจินตนาการผลที่ตามมาได้เลย ยิ่งตำแหน่งสูงเท่าไร ความกระหายของเพศผู้ที่ต้องการครอบครองเพศเมียก็ยิ่งสูง ต่อให้วางไว้โดยไม่ใช่งาน แต่ก็ไม่ให้คนอื่นมาชุบมือเปิบ กอปรกับอีกฝ่ายจงใจวางกับดักแล้ว เกรงว่าคงจะไม่เห็นพ้องว่าชิงหยวนจุนบังเอิญไปเห็น ถ้าอีกฝ่ายยืนกรานว่า ‘แอบดู’ แค่คิดนางก็ขนลุกแล้ว

เหมียวอี้ : เหตุใดเหนียงเหนียงจึงประเมินฝ่าบาทต่ำขนาดนั้น? วังสวรรค์เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ปิดบังความจริงจากสายตาฝ่าบาทไม่ได้อยู่แล้ว ให้องค์ชายไปยอมรับผิดเถอะขอรับ

หลังจากทั้งสองปรึกษากันสักพัก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ติดต่อไปหาตระกูลเซี่ยโห้วอีก เรื่องใหญ่ขนาดเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่แจ้งให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้

เซี่ยโห้วลิ่งก็บอกให้นางใจเย็นๆ เช่นกัน บอกว่าตราบใดที่มีตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ก็ไม่ต้องกลัวฟ้าพลิก ให้ใช้ความนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว ดูให้ชัดเจนก่อนว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ อย่างน้อยก็ต้องรู้ชัดให้ได้ก่อนว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ดูว่าฝ่าบาทเป็นผู้กำกับการแสดงนี้หรือไม่ หรือว่ามีคนกำลังขัดคอ จากนั้นค่อยตัดสินใจอีกที

เขาเองก็พูดไว้ไม่ผิดเช่นกัน แต่กลับทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รังเกียจและดูถูกแล้ว ทางหนิวโหย่วเต๋อคาดเดาได้นานแล้วว่าประมุขชิงต้องการจะลับคมลูกชาย เดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเกิดเรื่องกับลูกชาย แต่เซี่ยโห้วลิ่งกลับยังให้ทำความเข้าใจสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อน ทำอะไรของเจ้าน่ะ นางพบว่าเซี่ยโห้วลิ่งกับท่านปู่แตกต่างกันไม่ใช่น้อยๆ

ไม่พูดอะไรมากกว่านี้แล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ่งเชื่อมั่นฝั่งเหมียวอี้มากกว่าเดิม นางติดต่อเหมียวอี้อีกครั้ง บอกเจตนาของตระกูลเซี่ยโห้วให้รู้ ถามเหมียวอี้ว่าความเห็นของตระกูลเซี่ยโห้วเป็นอย่างไรบ้าง? เหมียวอี้ก็ยังบอกเหมือนเดิม ว่าให้ชิงหยวนจุนไปยอมรับผิด!

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่มีความมั่นใจ นางไม่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเหมือนเหมียวอี้ หลังจากถามรายละเอียดชัดเจนแล้วก็ตัดสินใจแน่วแน่ แข็งใจจูงลูกชายเดินออกไป คอยสั่งตลอดทางว่าควรจะทำอย่างไร

“เป็นอะไรไปอีก? เขาทำให้เจ้าโกรธอีกแล้วเหรอ?”

ตำหนักใหญ่ของพระตำหนักอุทยาน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่บอกให้ซ่างกวนชิงไปเชิญประมุขชิงที่อยู่ในชุดชาวนามาหา พอซ่างกวนชิงเดินตามประมุขชิงเข้ามาในตำหนัก ก็เห็นชิงหยวนจุนที่สวมชุดชาวนาเช่นเดียวกันนั่งคุกเข่าอยู่กลางตำหนัก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังถือกิ่งไม้ด้ามหนึ่งฟาดจนชิงหยวนจุนเกิดแผลหลายรอย

เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ ประมุขชิงที่เดินเข้ามาก็ย่อมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม ขณะเดียวกันก็คว้าข้อมือเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอาไว้ ห้ามไม่ให้นางตีเขาอีก มองประเมินลูกชายที่ถูกตีจนเสื้อผ้าขาดเห็นรอยเลือดและกำลังก้มหน้าไม่พูดอะไร เป็นอาการบาดเจ็บภายนอกเท่านั้น ไม่บาดเจ็บถึงกระดูก

ตีลูกชายในฐานะมารดา แม้แต่ประมุขชิงก็ยังไม่สะดวกจะพูดอะไร เป็นหลักการธรรมชาติที่มิอาจเปลี่ยนแปลง

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หันตัวไปคุกเข่า แล้วกล่าวพร้อมน้ำตาพราก “ล้วนเป็นหม่อมฉันที่สั่งสอนลูกไม่ดี ขอยอมรับโทษกับฝ่าบาทเพคะ!”

ประมุขชิงที่ถือไม้อยู่ในมือถามเสียงเรียบว่า “พวกเจ้าสองแม่ลูกไปก่อเรื่องอะไรมา?”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ส่ายหน้าน้ำตานอง “หม่อมฉันเอ่ยปากไม่ได้จริงๆ เพคะ”

ประมุขชิงหักไม้ในมือทิ้ง “งั้นเจ้าเรียกข้ามาทำอะไร? ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ถอยไปเถอะ” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป

“ฝ่าบาท!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่คลายเข่าไปข้างหน้า กอดต้นขาประมุขชิงเอาไว้ “หม่อมฉันไม่กล้าปิดบัง หม่อมฉันเลี้ยงลูกไม่ดี วันนี้หยวนจุนเรียนรู้การทำนาจากฝ่าบาท พอทำงานเสร็จแล้วก็เหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัว เลยไปอาบน้ำที่สระมรกตตามความเคยชินที่ทำมาหลายปี…”

นางเล่ารายละเอียดทุกอย่าง ชิงหยวนจุนกลับเหงื่อแตกด้วยความกลัว ก้มหน้ามองหน้าอก ตกใจจนตัวสั่นแล้ว

หลังจากเล่าจบ ในตำหนักใหญ่ก็เงียบจนน่ากลัว สายตาประมุขชิงเปลี่ยนแปลงยากคาดเดา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เงยหน้ามองสีหน้าเขาอย่างอกสั่นขวัญแขวน ชิงหยวนจุนคุกเข่าตัวสั่นอยู่อย่างนั้น ซ่างกวนชิงกม้หน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

“ฝ่าบาท จุนเอ๋อร์ไม่ได้มีใจโสมมแน่นอน เขาบังเอิญไปเจอพอดี” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ส่ายหน้ากอดขาประมุขชิงพลางตะโกนทำลายความเงียบ นางทำสีหน้าวิงวอนขอร้อง พูดไปตั้งมากมาย ประโยคนี้เพิ่งจะกล่าวถึงประเด็นสำคัญ

เดิมทีนางอยากจะบอกว่ามีคนวางแผนทำร้ายลูกชาย แต่ทางฝั่งเหมียวอี้ย้ำมา ว่าอย่าบอกว่ามีคนวางแผนทำร้าย ให้ประมุขชิงไปตัดสินด้วยตัวเอง

ประมุขชิงก้มมองด้วยสายตาเย็นเยียบ “เจ้าหมายความว่า ข้าควรจะชมเขางั้นเหรอ? พวกเจ้าสองแม่ลูกกำลังเล่นละครบทเศร้าให้ข้าดูที่นี่ ใครสอนพวกเจ้า? ตระกูลเซี่ยโห้วเหรอ?”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ส่ายหน้าหวาดกลัว “ไม่มีใครสอนเพคะ หม่อมฉันพาจุนเอ๋อร์มารับโทษอย่างจริงใจ”

“เจ้ากล้าบอกไหมว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้ติดต่อตระกูลเซี่ยโห้ว?” ประมุขชิงถามด้วยสีหน้าเย็นเยียบ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก้มหน้าตอบ “ติดต่อแล้วเพคะ แต่ทางบ้านหม่อมฉันสงสัยว่ามีคนกำลังวางแผนทำร้ายจุนเอ๋อร์ ให้หม่อมฉันคอยดูสถานการณ์เงียบๆ ทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้กระจ่างก่อนแล้วก็ว่ากัน” นางเงยหน้าบอกอีก “แต่เรื่องแบบนี้หม่อมฉันไม่กล้าถ่วงเวลานาน ถ้ายื้อเวลาต่อไป เกรงว่าถึงตอนนั้นฝ่าบาทจะเข้าใจผิดว่าหม่อมฉันมีแผนร้ายในใจ ฝ่าบาท จุนเอ๋อร์ไม่ได้ตั้งใจนะเพคะ!”

ต่อให้ประมุขชิงไม่ถาม นางก็จะพูดอย่างนี้ นางไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเหมียวอี้ดึงดันจะให้นางทำอย่างนี้ หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ก็แค่รู้สึกกังวลกับสมองของนาง กลัวว่านางจะใช้อุบายตื้นๆ จนเสียเรื่อง จึงให้นางทำตัวจริงใจสักหน่อย

ประมุขชิงแววตาวูบไหว ก็ใช่น่ะสิ เขารู้สึกว่าตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่ถึงขั้นให้สองแม่ลูกมาเล่นละครบทเศร้า ในช่วงเวลาแบบนี้ตระกูลเซี่ยโห้วไม่น่าจะแสดงความอ่อนแอได้ ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงบารมีของหัวหน้าตระกูลของเซี่ยโห้วลิ่ง สงสัยจะเป็นการกระทำของผู้หญิงคนนี้เอง

ชั่วขณะนี้ เขารู้สึกได้ว่าการตายของเซี่ยโห้วท่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ ของตระกูลเซี่ยโห้วเท่านั้น เพราะสภาพจิตใจของผู้หญิงคนนี้ก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

พอคว้าข้อมือเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ดึงให้หลบไปด้านข้าง ประมุขชิงก็หันตัวช้าๆ ไปตรงหน้าชิงหยวนจุน แต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่กำลังคุกเข่าก็ยังวิงวอนอีกว่า “ฝ่าบาท จุนเอ๋อร์ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เพคะ!”

เมื่อเห็นชิงหยวนจุนตกใจจนตัวสั่น ประมุขชิงก็ทำสีหน้าดุร้ายทันที เขาโกรธมาก ไม่ใช่เพราะอะไร แค่เพียงเพราะตื่นตระหนกของชิงหยวนจุน นี่คือลูกชายของเขานะ!

“ถ้าในใจไร้ความผิด เจ้าจะก้มหน้าทำไม? เอาหน้าของเจ้า…” พอประมุขชิงพูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก แล้วพลันเปลี่ยนเป็นตะคอกอย่างเดือดดาลว่า “เงยขึ้นมา!” เสียงดังก้องทั้งตำหนักใหญ่

………………………

หยินซวงโน้มตัวลงเล็กน้อย หน้าแทบจะชนกับใบหน้านางแล้ว จ้องตานางพร้อมบอกว่า “ทั้งเจ้าและข้าล้วนไม่ต้องรู้ว่าเพราะอะไร ให้ทำแบบนี้ก็แสดงว่ามีเหตุผลให้ต้องทำแบบนี้แน่นอน”

สนมฉินส่ายหน้าด้วยความคับแค้น “ในวังมีคนตั้งมากมาย ทำไมต้องเลือกข้าด้วย?”

อย่าไปมองว่านางเป็นสนมของราชันสวรรค์ เพราะหยินซวงกับไป๋เสวี่ยต่างหากที่เป็นตัวแทนตระกูลอิ๋งเพื่อกำกับดูแลที่วังสวรรค์

เดิมทีคนที่กำกับดูแลควรจะเป็นจ้านหรูอี้ แต่จนใจที่จ้านหรูอี้ไม่ตอบรับ

“เพราะฝ่าบาทมาอยู่กับเจ้าหลายครั้งแล้ว ตอนนี้ยังสนใจเจ้าอยู่ ยิ่งทำให้ฝ่าบาทเดือดดาลได้” หยินซวงกล่าวเสียงเรียบ

สนมฉินฝืนยิ้ม “สงสัยครั้งนี้ข้าจะต้องตายแน่นอนแล้ว”

หยินซวงส่ายหน้า “เจ้าวางใจเถอะ ไม่ได้อันตรายอย่างที่เจ้าคิด ต่อให้ทำให้พี่น้องในวังดู หลังจากจบเรื่องแล้วตระกูลตงจะพยายามปกป้องเจ้าเต็มที่ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ทัพตะวันออกจะเลื่อนตำแหน่งให้พ่อเจ้าเป็นหัวหน้าภาคด้วย แต่ในทางตรงกันข้าม เจ้าก็น่าจะรู้ผลที่ตามมานะ”

สนมฉินย่อมเข้าใจว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรหากตัวเองไม่รับปาก นั่นก็คือสักวันหนึ่งตนจะต้องตายอยู่ในวังอย่างไม่ทราบสาเหตุ และจุดจบของคนในครอบครัวนางก็เกรงว่าจะยิ่งอนาถ นางไม่มีทางเลือกเลย ครอบครัวนางอยู่ในมือทัพตะวันออก ต่อให้เป็นประมุขชิงก็อาจจะช่วยออกมาไม่ได้เช่นกัน

เคยมีอุทธาหรณ์แบบนี้มาก่อน หากสนมคนหนึ่งต้องการจะหลุดพ้นจากการควบคุม ก็จะต้องไปสารภาพต่อฝ่าบาท แต่เป็นคำพูดปากเปล่าที่หาพยานไม่ได้สักคนด้วยซ้ำ ไม่สะเทือนถึงคนใหญ่คนโตในตำหนักสวรรค์เลย ฝ่าบาทจะเอ่ยปากขอตัวคนในครอบครัวของสนมคนนั้น แต่ขุนนางใหญ่ท่านนั้นกลับชิงพูดจาเหลวไหล บอกว่าคนในครอบครัวของสนมคนนั้นเกิดอุบัติเหตุตายไปแล้ว ผลปรากฏว่าเป็นอย่างที่พูดไว้จริงๆ คนในครอบครัวสนมคนนั้นบทจะตายก็ตายแล้วจริงๆ ถูกล้างตระกูลตั้งแต่ก่อนคนของฝ่าบาทจะไปถึง โหดร้ายราวกับไม่มีอยู่จริงในโลกนี้

ตอนหลังสนมคนนั้นกลับไปสมคบกับทหารที่เฝ้าอุทยานหลวงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ถูกคนจับได้ว่านอนด้วยกัน หลังจากทหารคนนั้นยอมรับผิดก็ปลิดชีพตัวเอง ส่วนสนมคนนั้นก็ร่ำร้องว่าถูกใส่ร้าย แม้จะมีร้อยปากแต่ก็ยากที่จะแก้ตัวได้ สุดท้ายจึงถูกลงโทษแล่เนื้อเถือหนังจนถึงแก่ความตาย จุดจบอนาถมาก

สำหรับคนทรยศอย่างนี้ อย่าว่าแต่สี่อ๋องสวรรค์เลย แม้แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็เหมือนจะยืนอยู่บนแนวรบเดียวกัน เวลาจะลงโทษขึ้นมาก็ไม่ปรานี!

หลังจากหยินซวงออกไปแล้ว สนมฉินก็นั่งน้ำตาไหลเงียบๆ อยู่อย่างนั้น เป้าหมายที่นางเข้าวังก็คือแย่งชิงความโปรดปรานจากฝ่าบาท ไม่เคยคิดเลยว่าเพิ่งจะได้ชุ่มหมอกชุ่มฝนแต่กลับเกิดภัยที่ไม่คาดคิดเพราะสิ่งนี้ ถ้ารู้เช่นนี้ตั้งแต่แรกนางคงไม่ไปหว่านเสน่ห์เรียกร้องความสนใจ

หนิงชุนกับเนี่ยนเซี่ยสาวใช้ของนางเข้ามาแล้วสบตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่านางเป็นอะไรไป เพียงแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่แน่ใจได้ ว่าท่านนั้นที่เข้ามาจะต้องพูดอะไรแน่อน

ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายเดือน อุทยานหลวงมีดอกไม้ผลิบาน เป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับทำการเพาะปลูก

เป็นเหมือนเช่นเคย ประมุขชิงที่แต่งตัวเหมือนชาวนากำลังใช้แรงงานอยู่ในนา กลุ่มนางสนมในวังก็เปลี่ยนมาแต่งชุดชาวนาเช่นกัน พวกนางกำลังเลียนแบบเบื้องบน

ผู้หญิงกลุ่มนี้แสร้งทำพอเป็นพิธีเท่านั้น บางคนก็ยิ่งมาเพื่อประกอบฉากเฉยๆ อย่างไรเสียฝ่าบาทก็ไม่สนใจพวกนาง อาศัยโอกาสมาเที่ยวเล่นผ่อนคลายที่อุทยานหลวง

ชิงหยวนจุนก็มีนาดีอยู่หลายผืนเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในบริเวณที่นาหลวง เพราะที่นาหลวงมีผู้หญิงอยู่เยอะเกินไป เขาไปสะดวกจะเข้าไป ชิงหยวนจุนที่ยามนี้สวมเสื้อลำลองทั้งตัวกำลังเพาะปลูกอยู่บนผืนนา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เป็นคนกำชับให้เขาทำนาที่นี่ ให้เขาเลียนแบบประมุขชิง ทั้งยังไม่อนุญาตให้ใครช่วยเหลือ และไม่ให้อาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ด้วย ต้องเป็นชิงหยวนจุนออกแรงเอง

ภายใต้การกดดันของมารดา เขาทำงานแบบนี้ได้รวดเร็ว ในเวลาไม่ถึงครึ่งวันก็ทำเสร็จแล้ว

ตามความเคยชิน ชิงหยวนจุนที่เสื้อผ้าเหม็นเก็บของแล้ว เดินตามลำธารสายเล็กระว่างทุ่งนาเข้าไปในหุบเขา ต้องการจะไปอาบน้ำที่สระน้ำมรกตในหุบเขาสักหน่อย

ตอนมาถึงริมสระน้ำมรกต จู่ๆ ก็พบว่าริมสระมีเสื้อผ้าของผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกองไว้ ชิงหยวนจุนอึ้งทันที จากนั้นมองไปรอบๆ

ใครจะคิดว่าในสระน้ำจะมีเสียงดังจ๋อม เงาร่างที่อรชรอ้อนแอ้นโผล่ขึ้นจากน้ำ ผมยาวที่เปียกน้ำสะบัดไปข้างหลัง ใบหน้างามสบตากับชิงหยวนจุนพอดี ร่างเปลือยอ้อนแอ้นที่แช่อยู่ในน้ำนั่น ก้อนเนื้อกลมกลึงขาวละมุนที่จมอยู่ในน้ำครึ่งหนึ่งนั่น ชิงหยวนจุนมองไม่ชัดเช่นกันว่าเป็นใคร แต่เหมือนจะเคยเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้ที่ไหนมาก่อน

ผู้หญิงคนนั้นพลันเบิกตากว้าง รีบใช้มือปิดหน้าอก “อ๊า…” นางส่งเสียงกรี๊ดออกมา

ท่ามกลางเสียงกรี๊ด ชิงหยวนจุนนึกออกทันทีว่าเคยเห็นผู้หญิงคนนั้นที่ไหน เคยเห็นที่วังหลัง จำชื่อไม่ได้ แต่กลับแน่ใจว่าเป็นหนึ่งในสนมของเสด็จพ่อแน่นอน เหมือนจะเคยมาคำนับเสด็จแม่ที่ตำหนักนารีสวรรค์

“ใครกัน!” ในหุบเขามีเสียงแหลมเล็กสองเสียง เงาคนสองคนกระโจนเข้ามา เป็นหนิงชุนกับเนี่ยนเซี่ยที่รับหน้าที่ดูต้นทาง ส่วนผู้หญิงในสระน้ำก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นสนมฉินนั่นเอง

ชั่วพริบตานี้ ชิงหยวนจุนที่นึกออกถึงฐานะของผู้หญิงคนนี้ก็ตกใจจนขวัญกระเจิง รีบยกแขนเสื้อบังหน้า แล้วถลันตัวเลี้ยวหนีไป

“ทหาร จับโจร!” หนิงชุนตะโกนตามอย่างโมโห เนี่ยนเซี่ยสะบัดผ้าคลุมตัวใหญ่กระโดดลงน้ำไปห่อตัวสนมฉิน

เสียงตะโกนนั้นของหนิงชุน ทำให้กำลังพลที่เฝ้าประจำการแถวนั้นเหาะเข้ามาทันที มาขวางจับชิงหยวนจุนได้คาหนังคาเขา แต่หลังจากเห็นว่าเป็นชิงหยวนจุนก็ไม่มีใครกล้าขวาง รีบปล่อยให้เขาหนีออกไป เพียงแต่สงสัยนิดหน่อยว่าทำไมโอรสสวรรค์กลายสภาพเป็นจนตรอกเหมือนสุนัขไร้ญาติเสียแล้ว

“จับเขาไว้ จับเขาไว้!” หนิงชุนที่ไล่ตามมาอย่างร้อนใจกลับถูกขวางไว้

เมื่อทหารยามเห็นนางแต่งตัวเหมือนสาวใช้ ก็ตะคอกถาม “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

“มีคนแอบดูเหนียงเหนียงอาบน้ำ เร็วเข้า…” พอพูดถึงตรงนี้ หนิงชุนก็ราวกับได้สติ นางหุบปากแล้ว เอาแต่ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่มีอะไร กำลังเล่นกันเฉยๆ” พูดจบก็รีบเหาะกลับไป

แต่กลุ่มทหารยามกลับตกใจไม่เบา เรียกได้ว่าตกตะลึงพรึงเพริด ทยอยกันหันไปมองยังทิศทางที่ชิงหยวนจุนหนีไป ในใจแต่ละคนสงสัยไม่หาย อย่าบอกนะว่าโอรสสวรรค์…

ผ่านไปไม่นาน ทหารยามที่เฝ้าอยู่ก็เห็นผู้หญิงสามคนเหาะหนีไปจากหุบเขาอย่างกลัวเกรง เห็นได้ชัดว่าหนึ่งในนั้นแต่งกายหรูหราเหมือนนางสนมในวัง แต่ผมยังเปียกและยังไม่ทันได้จัดทรง

โอรสสวรรค์หลบหนีราวกับสุนัขไร้ญาติ ผู้หญิงสามคนของวังก็หนีไปอย่างหวาดกลัวอีก บวกกับคำพูดของหนิงชุนก่อนหน้านี้ ทหารยามแต่ละคนที่ลอยอยู่บนฟ้าก็ชาวาบหนังศีรษะ ถ้าเดาไม่ผิด เรื่องนี้จะลุกลามใหญ่โตแล้วจริงๆ

ปิดบังไม่รายงานเหรอ? ความผิดที่หลอกลวงเบื้องสูง ไม่ว่าใครก็รับผิดชอบไม่ไหว! แต่ถ้ารายงานไปล่ะ? นี่คือเรื่องฉาวโฉ่ในครอบครัวของฝ่าบาทนะ ดีไม่ดีพวกเขาอาจจะถูกฆ่าปิดปากก็ได้!

ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงทั้งนั้นว่าอยู่ดีๆ จะเจอกับเผือกร้อนลวกมืออย่างนี้

พวกเขาปรึกษากันเล็กน้อย ความรับผิดชอบนี้วพวกเขารับไม่ไหวจริงๆ ส่งต่อให้คนที่อยู่สูงกว่านี้แบกไว้ก็แล้วกัน รีบรายงานขึ้นไปที่ผู้บังคับบัญชาสูงสุด ให้เบื้องบนตัดสินใจ หลังจากเบื้องบนได้ข่าวก็แทบอยากจะบีบคอพวกเขาให้ตาย

“องค์ชาย เป็นอะไรไป?”

เย่เสี้ยวพ่อบ้านวังเหนือสวรรค์เห็นชิงหยวนจุนกลับมาด้วยสภาพจนตรอก จึงถามอย่างฉงนใจ เขานึกไม่ออกเลยว่าชิงหยวนจุนจะประสบความยุ่งยากอะไรที่อุทยานหลวงได้

ใครจะคิดว่าชิงหยวนจุนกลับถึงแขนเสื้อเขา รีบดึงเขาไปหลบในห้อง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนนอก ถึงได้มือสั่นหน้าซีดบอกว่า “เย่เสี้ยว ช่วยข้าด้วย!”

เย่เสี้ยวตกใจไม่เบา ยังไม่เห็นชิงหยวนจุนมีท่าทางหวาดกลัวขนาดนี้มาก่อน นี่มาขอให้เขาช่วยอย่างนั้นหรือ?

หารู้ไม่ว่าครั้งนี้ชิงหยวนจุนกลัวแล้วจริงๆ

“องค์ชาย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” เย่เสี้ยวระแรงสงสัยไม่หยุด

“ข้า…ข้า…” ชิงหยวนจุนเองก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากบอกอย่างไร กลับมองไปนอกหน้าต่างเป็นระยะ ทำท่าเหมือนกังวลว่าจะมีคนมาจับเขา ตื่นตระหนกสุดขีด

เย่เสี้ยวคว้าสองแขนของเขาเอาไว้ทันที “องค์ชายมีเรื่องอะไรให้ตระหนกขนาดนี้?” สองมือออกแรงบีบจนชิงหยวนจุนเจ็บ ถึงได้เรียกสติกลับมาได้

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ…” สุดท้ายชิงหยวนจุนก็ยังเล่าเรื่องให้ฟังอย่างตะกุกตะกัก

หลังจากฟังจบ เย่เสี้ยวก็เหม่อไปเลย เรื่องอื่นยังพอคุยได้ แต่นี่มันเรื่องอะไรกัน? คนที่ตำแหน่งสูงสุดสองคนมีอยู่สองสิ่งที่ใช้ร่วมกันไม่ได้ หนึ่งคืออำนาจ สองคือผู้หญิง ตั้งแต่สมัยโบราณ สองสิ่งนี้ทำให้คนในครอบครัวเข่นฆ่ากันเองมานับไม่ถ้วนแล้ว

เย่เสี้ยวที่รีบสงบจิตใจจับสองบ่าของเขาพร้อมเร่งถาม “ท่านแน่ใจนะว่าเป็นสนมของวังหลัง? ไม่ใช่พวกนางในใช่มั้ย?”

ชิงหยวนจุนส่ายหน้าอย่างหวาดกลัว “ข้าจำชื่อนางไม่ได้ แต่เคยเห็นนางมาคำนับเสด็จแม่ที่ตำหนักนารีสวรรค์ น่าจะเป็นเสด็จพ่อของเสด็จพ่อ”

“มีคนอื่นเห็นอีกหรือเปล่า?” เย่เสี้ยวถามอีก

“สะเทือนไปถึงองครักษ์ ข้ามักจะไปอยู่ที่อุทยานหลวง พวกเขาคงจะจำข้าได้” ชิงหยวนจุนตอบ

“เฮ้อ!” เย่เสี้ยวเอามือผลักเขาออก กระทืบเท้าอย่างแรง ถอนหายใจด้วยความโมโห “องค์ชายนะองค์ชาย เจอสถานการณ์อย่างนั้นท่านจะหนีทำไม อาศัยศักยภาพของท่านยังจัดการพวกนางไม่ได้อีกเหรอ? ควรตัดสินใจเด็ดขาดในยามวิกฤติ ฆ่าปิดปากพวกนางยังดีกว่าปล่อยให้สถานการณ์เป็นเหมือนตอนนี้เสียอีก! ต่อให้มีคนมา ท่านก็สามารถโยนความผิดกลับไปได้ว่ามีคนต้องการจะลอบสังหารท่าน เรื่องที่พยานตายไปแล้ว ใครจะมาทำอะไรท่านได้?”

ชิงหยวนจุนไม่เคยประสบกับเรื่องราวอย่างนี้มาก่อน ตอนนั้นจะนึกออกได้อย่างไรว่าควรฆ่าปิดปากเพื่อรับมือ เขาได้แต่กล่าวอย่างกระสับกระส่ายว่า “ช่วยข้าด้วย!”

“ข้า…ท่าน…” เย่เสี้ยวไม่รู้จริงๆ ว่าควรด่าเขาอย่างไร ส่ายหน้าบอกว่า “ข้าเองก็ช่วยท่านไม่ไหว หวังว่าพยานจะรู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงจนไม่กล้าแพร่งพราย บางทีอาจจะผ่านด่านนี้ไปได้ นอกจากนี้ แจ้งให้ราชินีสวรรค์ทราบทันที ตอนนี้ผู้ที่ช่วยท่านได้มีเพียงราชินีสวรรค์ ดูว่าสามารถขอให้ตระกูลเซี่ยโห้วช่วยได้หรือไม่ ตอนนี้ข้าน้อยจะไปสืบข่าวจากองครักษ์เหล่านั้นสักหน่อย ดูว่าพวกเขารู้สถานการณ์มากน้อยเพียงใด!”

…………………

สำหรับตอนนี้ เมื่อเทียบกับตระกูลเซี่ยโห้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เชื่อใจเหมียวอี้มากกว่า หลักการบางอย่างที่เรียบง่ายที่สุดนางก็ยังพอทำความเข้าใจได้ ตอนนี้เหมียวอี้ผูกติดเป็นพวกเดียวกับนางแล้ว เหมียวอี้จะช่วยนางจากใจจริง ถ้าพวกนางสองแม่ลูกล้มลงเมื่อไร ตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลของเหมียวอี้ก็จะสั่นคลอนเช่นกัน

วิธีการที่เหมียวอี้สร้างสถานการณ์ราวกับพลิกมือคว่ำเมฆงายมือเรียกฝนในปีนั้นทำให้นางมองว่าเขาคือมันสมองของนาง

เมื่อได้ข่าวจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เหมียวอี้ก็ตกใจเช่นกัน ชั่วขณะนั้นไม่เข้าใจว่าประมุขชิงหมายความว่าอะไร เขาขอให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ใจเย็นๆ ให้เวลาเขาคิดเสียหน่อย

ทางนี้หยุดติดต่อกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลางคัน แล้วรีบติดต่อไปหาหยางชิ่งอีก บอกเรื่องนี้ให้รู้ อยากจะฟังความเห็นของหยางชิ่ง

หลายปีมานี้ หยางชิ่งให้เหมียวอี้สืบข่าวทั้งเล็กทั้งใหญ่ของวังสวรรค์ผ่านเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มาตลอด เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่มองว่าเหมียวอี้คือมันสมองก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ นางเองก็รู้ว่าถ้าอีกฝ่ายไม่รู้สถานการณ์ก็ไม่มีทางช่วยนางวิเคราะห์ปัญหาได้ ดังนั้นเหมียวอี้รู้ว่าหยางชิ่งศึกษาคนและเรื่องในวังสวรรค์มาหลายปีแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเข้าใจและตัดสินคนในวังสวรรค์ได้ในระดับหนึ่ง ก่อนหน้านี้หยางชิ่งก็ไม่กล้าใช้งานเฟยหงเพื่อพลิกเปลี่ยนภาพพจน์ของเขาที่ติดอยู่ในความทรงจำประมุขชิง

ตามที่หยางชิ่งบอก การจะรับมือกับคนที่เก่งเรื่องแยกแยะวินิจฉัยอย่างประมุขชิง การให้เฟยหงช่วยพูดให้เหมียวอี้นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว กลับจะทำให้พวกประมุขชิงสงสัยในตัวเฟยหงได้ง่ายด้วยซ้ำ คนที่อยู่ในตำแหน่งระดับนั้นล้วนเป็นคนขี้ระแวงสงสัย ดีไม่ดีอาจจะทำให้เรื่องแย่ จึงดำเนินการในสิ่งที่ตรงกันข้ามโดยทำให้เหมียวอี้อยู่ในความเสี่ยง ประการแรกสามารถช่วยให้เฟยหงไม่ถูกสงสัย เวลาเฟยหงรายงานข่าวขึ้นไปที่ตำหนักสวรรค์ ทางนั้นจะได้เชื่อสนิทใจ ไม่สงสัยว่าเฟยหงถูกเหมียวอี้ซื้อไว้แล้ว เมื่อไม่มีความสงสัยระดับนี้ ประมุขชิงก็ย่อมใช้ดุลยพินิจช่างน้ำหนักผลประโยชน์ เหลือทางไว้ให้ประมุขชิงเลือกเอง ผลลัพธ์ที่ประมุขชิงวิเคราะห์เองถึงจะเป็นสิ่งที่เชื่อถือที่สุด พฤติกรรมพยายามบีบบังคับใดๆ ล้วนเป็นสิ่งที่โง่เง่า

ตอนที่ได้รับข่าวจากเหมียวอี้ หยางชิ่งกำลังลาดตระเวนแต่ละพื้นที่พร้อมกลุ่มยอดฝีมือของแดนอเวจี จู่ๆ หยางชิ่งก็ออกจากกลุ่มลาดตระเวนลงมาเหยียบบนยอดเขา คนอื่นๆ สบตากันแวบหนึ่ง แล้วทยอยตามลงมา

เมื่อเห็นหยางชิ่งขมวดคิ้วครุ่นคิด จินม่านก็ยกมือห้ามกลุ่มคนที่กำลังจะเอ่ยถาม ทำสัญญาณมือให้พวกเขาเงียบๆ ทำให้พวกเขามองหน้ากันอย่างงุนงง

หลังจากเงียบไปครู่เดียว หยางชิ่งก็รีบเขย่าระฆังดาราในมือถามเหมียวอี้ : เรื่องนี้กะทันหันจนผิดปกติ นี่คือการหันหัวหอกไปหาเซี่ยโห้วเฉิงอวี่และลูกชาย ข้าน้อยจับตาดูประมุขชิงมานานขนาดนี้ ไม่เชื่อหรอกว่าประมุขชิงจะทำเรื่องแบบนี้ได้ในเวลานี้ จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน นายท่านรีบให้ราชินีสวรรค์สืบมาว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ข้าน้อยต้องการทราบสถานการณ์โดยละเอียดเพื่อตัดสิน แล้วก็ถามราชินีสวรรค์ด้วยว่า ประมุขชิงได้พบโอรสสวรรค์หรือไม่ หลังจากพบโอรสสวรรค์แล้วเรียกพบซือหม่าเวิ่นเทียนต่อหรือไม่!

เหมียวอี้ไม่ลังเล นำคำถามของหยางชิ่งไปถามเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต่อทันที

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินแล้วตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้ที่อยู่แดนรัตติกาลจะเดาออกว่าประมุขชิงทำอะไร สมแล้วที่เป็นมันสมองของนาง

ส่วนคำตอบที่เหมียวอี้ได้ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ประมุขชิงพบโอรสสวรรค์ก่อน จากนั้นก็เรียกพบซือหม่าเวิ่นเทียน ตอนหลังถึงได้เรียกสนมสวรรค์จ้านหรูอี้กลับวัง

หลังจากเหมียวอี้บอกข่าวนี้ให้หยางชิ่งรู้แล้ว หยางชิ่งก็ซักไซ้อีกว่า : ทางวังสวรรค์ได้ซักถามถึงคำพูดที่ไม่ถ่อมตัวของนายท่านหรือเปล่า?

เหมียวอี้สืบข่าวจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่อีกครั้ง หลังจากได้ข่าวแล้วว่าทางประมุขชิงไม่มีความเคลื่อนหวอะไร ถ้าจะแตะต้องเหมียวอี้จริงก็จะต้องบอกตำหนักนารีสวรรค์ก่อน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนของตำหนักนารีสวรรค์ นี่คือการเรียกจ้านหรูอี้กลับวังกะทันหันเฉยๆ

หยางชิ่งเดินมาริมหน้าผม ทอดสายตามองแผ่นดินอันกว้างใหญ่พร้อมยิ้มเจื่อน แล้วเขย่าระฆังดาราตอบเหมียวอี้อีก : ยินดีกับนายท่าน เกรงว่าแผนของพวกเราจะได้ผลแล้ว เรื่อที่นายท่านทรยศประมุขชิง ประมุขชิงน่าจะปล่อยผ่านแล้ว ต่อไปนี้คงจะไม่เอาเรื่องอีก

เหมียวอี้ไม่เข้าใจ : แล้วที่ตอนนี้ประมุขชิงหันหัวหอกไปหาสองแม่ลูกที่ตำหนักนารีสวรรค์หมายความว่ายังไง?

หยางชิ่ง : เกรงว่าพวกเราจะทำให้ประมุขชิงพิจารณาถึงอนาคตของชิงหยวนจุนล่วงหน้า ตราบใดที่ประมุขชิงยังอยู่ ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องชิงหยวนจุน ดังนั้นประมุขชิงจึงเป็นฝ่ายหันหัวหอกไปทางตำหนักนารีสวรรค์เอง เกรงว่าชิงหยวนจุนจะได้รับความลำบากแล้ว

เหมียวอี้เพราะจะเข้าใจความหมายบ้างแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของทั้งสองนิดหน่อย อดไม่ได้ที่จะถามอย่างตกใจ : ทำไมกลายเป็นอย่างนี้ไปได้?

หยางชิ่ง : ข้าน้อยเองก็นึกไม่ถึงว่าจะกระตุ้นให้ประมุขชิงเกิดความคิดนี้ ประมุขชิงต้องการจะลับคมชิงหยวนจุน เกรงว่าคนกลุ่มหนึ่งจะต้องกลายเป็นหินลับมีดในมือประมุขชิงแล้ว ตอนนี้นายท่านผูกติดกับตำหนักนารีสวรรค์ เกรงว่าจะหนีไม่พ้นแล้ว

เหมียวอี้ : ขนาดพวกเรายังดูออก คนอื่นจะดูไม่ออกเชียวหรือ?

หยางชิ่ง : เพราะพวกเรารู้ว่าพวกเราทำอะไรลงไป พอโยงกับสถานการณ์ปัจจุบันอีก พวกเราก็เลยมองออก คนนอกไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จะมองออกได้อย่างไรเล่า? ไม่ว่าใครก็คงคิดว่าเซี่ยโห้วท่าตายไปแล้ว ประมุขชิงส่งสัญญาณเพื่อวัดกำลังของตระกูลเซี่ยโห้ว

เหมียวอี้ : หรือพูดได้อีกอย่างว่า ชิงหยวนจุนตกอยู่ในสถานการณ์น่ากลัวแต่ไร้อันตราย?

หยางชิ่ง : จะพูดอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าชิงหยวนจุนทำให้ประมุขชิงผิดหวังเกินไป ก็รับประกันได้ยากว่าคนจิตใจอย่างประมุขชิงจะไม่ทำเรื่องหลอกให้กลายเป็นเรื่องจริง

หลังจากทั้งสองปรึกษากันสักพัก เหมียวอี้ก็รีบติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่อีก บอกความจริงที่คาดเดาได้ให้รู้

แน่นอนว่าเรื่องบางเรื่องยังบอกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่วางใจ กลัวว่านางจะทำเรื่องโง่อะไรออกมา ฝั่งนี้ก็ไม่อยากบอกนางเลยจริงๆ

เมื่อทราบว่าประมุขชิงตั้งใจจะลับคมลูกชาย เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ทั้งตกใจทั้งดีใจ ดีใดที่ประมุขชิงไม่ได้ทอดทิ้งลูกชาย กลับตั้งใจจะอบรมบ่มเพาะด้วยซ้ำ แต่ตกใจที่ลูกชายกำลังจะได้รับความลำบากแล้ว

เหมียวอี้บอกอีกครั้ง : เหนียงเหนียง ห้ามให้องค์ชายรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ฝ่าบาทฉลาดปราดเปรื่องมาก รู้จักอุปนิสัยขององค์ชายดี ถ้าเสแสร้งแกล้งทำนิดเดียวก็จะถูกฝ่าบาทมองออกได้ง่าย ดังนั้นจึงทำได้เพียงปล่อยตามธรรมชาติ องค์ชายตกอยู่ในสถานการณ์หวาดเสียวแต่ไร้อันตราย จะไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไร ไม่อย่างนั้นจะได้ผลทางตรงกันข้าม นอกจากนี้ ทางเหนียงเหนียงเองก็ต้องทำตัวตามปกติ เรื่องนี้รู้อยู่ในใจเหนียงเหนียงผู้เดียวเท่านั้น จะบอกใครไม่ได้เด็ดขาด อย่าให้ใครมองออกเด็ดขาด…

“แน่ใจนะว่าประมุขชิงออกคำสั่งเรียกสนมสวรรค์กลับวังแล้ว?”

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง อิ๋งจิ่วกวงได้ข่าวแล้วถามอย่างประหลาดใจ

จั่วเอ๋อร์ที่มารายงานข่าวพยักหน้า “ไม่มีผิดพลาดค่ะ ทางสนมสวรรค์ได้รับข่าวและเตรียมจะออกเดินทางแล้ว”

อิ๋งจิ่วกวงเอามือขยี้เคราเดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้าน “สนมสวรรค์ถูกกดดันให้อยู่บ้านครอบครัวตัวเองมาหลายปี ช่วงไว้ทุกข์เซี่ยโห้วท่ายังไม่ผ่านไป ตอนนี้ประมุขชิงทำเรื่องนี้ ดูไม่ค่อยปกติ”

“ไม่ค่อยปกติ บางทีพวกเราอาจจะคิดมากไป ทุกคนต่างรู้ว่าประมุขชิงโปรดปรานสนมสวรรค์ บางทีประมุขชิงอาจจะคิดถึงสนมสวรรค์จึงรีบเรียกกลับวัง” จั่วเอ๋อร์กล่าว

อิ๋งจิ่วกวงส่ายหน้า “ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ยังถือสาที่จะถ่วงเวลาอีกสองสามปีเชียวเหรอ? ข้างกายประมุขชิงไม่ขาดผู้หญิง ไม่กระหายถึงขั้นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็มักจะแอบมาหาสนมสวรรค์บ่อยๆ ใครจะขัดขวางไม่ให้เขามาหาความสำราญกับสนมสวรรค์ได้เชียวหรือ? จะอยู่หรือไม่อยู่ข้างกายเขาก็ไม่ได้ต่างกันค่ะ”

“พอเป็นแบบนี้ ประมุขชิงวางแผนลงมือกับตระกูลเซี่ยโห้วจริงเหรอ?” จั่วเอ๋อร์ถาม

อิ๋งจิ่วกวงครุ่นคิด “พูดยาก ถ้ามีความคิดนี้จริงๆ นี่ก็เป็นโอกาสที่สนมสวรรค์จะได้ขึ้นตำแหน่งแล้ว”

สนมสวรรค์จ้านหรูอี้อยู่ที่บ้านตัวเองมาหมื่นปี จู่ๆ ก็ได้รับคำสั่งเรียกกลับวังสวรรค์ อาจจะไม่มีความสำคัญอะไรต่อคนส่วนใหญ่ แต่สำหรับขุนนางในราชสำนัก สิ่งนี้กลับทำให้พวกเขาตระหนักได้ถึงความไม่ปกติ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าประมุขชิงส่งสัญญาณที่ไม่ปกติแล้ว เพราะเวลาไม่ถูกต้อง

ชั่วขณะนั้น ขอเพียงสายตายังใช้งานได้ ทุกสายตาก็แทบจะจับจ้องไปที่วังหลังของตำหนักสวรรค์

พอคนพวกนี้จับจ้องไปที่วังหลัง กลุ่มผู้หญิงในวังหลังก็เริ่มคึกคักทันที ทุกคนเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว พวกนางเข้าประตูนั้นออกประตูนี้ ที่จริงแล้วกำลังสืบข่าว

เมื่อรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของวังหลัง ประมุขชิงที่ส่งสัญญาณไม่ปกติกลับไม่เคลื่อนไหวอย่างอื่นแล้ว เขาทำเหมือนในปีแรกๆ ตำหนักบูรพาของสนมสวรรค์คือที่ที่เขาขยันไปที่สุด

แน่นอนว่าประมุขชิงไม่อาจแช่อยู่ข้างกายสาวงามตลอดไปได้ การฝึกตนก็ไม่อาจละทิ้ง

“สนมสวรรค์เหนียงเหนียง!”

ตอนที่ประมุขชิงออกจากตำหนักบูรพาไปเก็บตัวฝึกตนที่ตำหนักชีพนิรันดร์วันที่สาม ในตำหนักบูรพา หยินซวง ไป๋เสวี่ยคุกเข่าหมอบศีรษะอยู่ตรงหน้าจ้านหรูอี้พร้อมกัน วิงวอนขอร้องไม่หยุด

จ้านหรูอี้ยืนมองต่ำลงมาที่พวกนางด้วยสายตาเย็นชา

“เหนียงเหนียง หากท่านไม่ตอบตกลง ท่านอ๋องจะฆ่าพวกเราสองคนเพคะ” หยินซวงหมอบพื้นร้องไห้

ไป๋เสวี่ยเงยใบหน้านองน้ำตา “เหนียงเหนียง พวกบ่าวรับใช้ท่านมาหลายปีขนาดนี้ ต่อให้ไม่สร้างผลงานแต่ก็ลำบากทำงาน ท่านโปรดช่วยชีวิตพวกเราด้วย!”

จ้านหรูอี้หันตัวเดินออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่กล่าวอะไรสักคำ เข้ามาในห้องสมาธิแล้วปิดประตูหินที่หนักหนา

“ท่านพ่อ…”

หลังจากนั้นหลายวัน ฉากคุกเข่าร้องไห้ก็ปรากฏขึ้นในเรือนในของจวนอ๋องสวรรค์อิ๋งอีก อิ๋งลั่วหวนมารดาของจ้านหรูอี้คุกเข่าแทบเท้าอิ๋งจิ่วกวง กอดต้นขาอิ๋งจิ่วกวงพลางร้องไห้อย่างปวดใจ

ด้านข้าง จั่วเอ๋อร์กับอิ๋งอู๋หม่านขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร

“เจ้าบอกมาสิ ตั้งแต่เด็กจนโตข้าเคยดูแลเจ้าไม่ดีไหม?” อิ๋งจิ่วกวงชี้ศีรษะอิ๋งลั่วหวนพร้อมตะคอกอย่างเดือดดาล “อ๋องผู้นี้เคยทำร้าวลูกสาวอย่างเจ้ามั้ย? หรือที่อ๋องผู้นี้ทำไม่ใช่เพราะหวังดีกับเจ้า? เจ้าดูเสียบ้างว่าลูกสาวเจ้าเป็นอย่างไร ตระกูลอิ๋งทุ่มเทความพยายามไปเท่าไรเพื่อนาง มีสักกี่ครั้งที่นางฟังคำพูดของข้า นางตอบแทนกันอย่างนี้เหรอ? หรือนางคิดว่าตัวเองกลายเป็นสนมสวรรค์แล้วข้าจะทำอะไรนางไม่ได้?”

“ท่านพ่อ! ลูกขอร้องท่าน ลูกขอร้องท่านล่ะ อย่ากดดันนางอีกเลย…” อิ๋งลั่วหวนที่น้ำตาไหลไม่ขาดสายส่ายหน้าวิงวอนบิดา

“ข้าหวังดีกับนาง แต่ในสายตาพวกเจ้าคือข้ากดดันนางเหรอ? ดี! ไสหัวไป!” อิ๋งจิ่วกวงเดือดดาลถึงขีดสุด สะบัดเท้าเตะอิ๋งลั่วหวนที่กำลังกอดขากระเด็นออกไปทันที ตกกระแทรกตรงตีนบันไดจนกระอักเลือด

จั่วเอ๋อร์รีบตามไปประคองนางขึ้นมา

ส่วนอิ๋งอู๋หม่านก็กุมหมัดคารวะอิ๋งจิ่วกวงที่กระฟัดกระเฟียดเดินไปเดินมา “ท่านพ่อโปรดระงับโทสะ!”

“ไสหัวไป!” อิ๋งจิ่วกวงชี้ไปทางอิ๋งลั่วหวนที่สะบักสะบอมเลือดกลบปากอยู่ข้างนอกอีกครั้ง

จั่วเอ๋อร์รีบไปประคองอิ๋งลั่วหวนหลบหลีก

วังสวรรค์ ในลานบ้านที่สนมฉินพักอยู่ หยินซวงมาถึงแล้ว ไม่มีใครขวางทาง พอสนมฉินได้ยินข่าวก็รีบออกมาต้อนรับ

ทว่าหลังจากทั้งสองกลับเข้ามาคุยกันลับๆ ในเรือนด้านในแล้ว สนมฉินก็หน้าซีดทันที เดินโซเซถอยหลังนั่งลงบนเก้าอี้ มองหยินซวงด้วยสีหน้าตกใจกลัว

หยินซวงเดินช้าๆ มาตรงหน้านาง จ้องนางพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “ทำไม เจ้าไม่เต็มใจเหรอ?”

“ทำไมต้องเป็นข้า?” สนมฉินส่ายหน้าอย่างทุกข์ใจ กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าโศก “เป็นเรื่องที่สนมสวรรค์เอ่ยคำเดียวก็จัดการได้แท้ๆ เหตุใดต้องให้ข้าเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงขนาดนี้? เพราะอะไร?”

…………………

อย่าว่าแต่ประมุขชิง แม้แต่ซ่างกวนชิงก็ยังอกสั่นขวัญแขวนเมื่อได้ฟัง เขาพบว่าเจ้าเวรหนิวโหย่วเต๋อปากไม่มีหูรูดจนติดเป็นนิสัยแล้ว ลองคิดดูว่าตอนแรกด่าใครว่าชายผู้หญิงแลกเกียรติยศ ถ้าไม่ใช่เพราะโพ่จวินออกโรงปกป้อง ก็แทบจะโดนเล่นงานตายไปแล้ว ยังมีสันดานเดิมแก้ไม่หาย! ตอนแรกบอกว่าปัสสาวะลงกระโถนเดียวกับฝ่าบาทไม่ได้ ตนอหลังก็บอกอีกว่าฝ่าบาทไม่ควรค่าให้ถวายความจงรักภักดี นี่เป็นการเร่งรนหาที่ตายชัดๆ!

“เขาพูดอย่างนี้จริงเหรอ?” ประมุขชิงจ้องตาซือหม่าเวิ่นเทียนด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง สงสัยนิดหน่อยว่าหนิวโหย่วเต๋อโง่ขนาดนั้นจริงหรือเปล่า ไม่รู้เชียวหรือว่าอะไรควรพูดต่อหน้าคนอื่นหรือไม่ควรพูดต่อหน้าคนอื่น?

ซือหม่าเวิ่นเทียนตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นก็เรียกสติกลับมา ตระหนักได้แล้วว่าคำพูดของตัวเองมีปัญหา ทำให้ประมุขชิงสงสัยว่าตัวเองจะวางกับดักหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า ในใจเรียกได้ว่าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แค่หนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียวควรค่าให้ตนสิ้นเปลืองความคิดมาวางแผนซ้ำเติมด้วยเหรอ ตัวเองกับหนิวโหย่วเต๋อไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน จึงรีบอธิบายว่า “เขาพูดอย่างนี้จริงๆ ขอรับ แต่พูดกับผู้หญิงของตัวเองเป็นการส่วนตัว สายลับของหน่วยตรวจการซ้ายได้รับความไว้วางใจจากหนิวโหย่วเต๋อเต็มที่แล้ว”

“หึหึ…” ประมุขชิงแสยะยิ้มแล้วเงียบไป

ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนสังเกตสีหน้าและคำพูด ใครจะคิดว่ารออยู่ตั้งนานแต่ไม่เห็นประมุขชิงพูดอะไรเสียที เห็นเพียงสายตประมุขชิงเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง

สุดท้ายก็ไม่ได้ยินประมุขชิงเอ่ยว่าต้องากรสั่งสอนเหมียวอี้ กลับเห็นประมุขชิงที่เงียบไปพักหนึ่งกล่าวช้าๆ ว่า “สายลับคนนั้นของหน่วยตรวจการซ้ายทำได้ดีมาก ตบรางวัลหนักๆ”

“ขอรับ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนเอ่ยรับ ในใจกลับพึมพำว่า หน่วยตรวจการซ้ายสร้างผลงานใหญ่มากมายแต่ไม่ได้รับคำชมอะไร แต่สายลับข้างกายหนิวโหย่วเต๋อรายงานสถานการณ์ขึ้นมานิดหน่อยก็ทำให้ฝ่าบาทเอ่ยปากชมได้แล้ว ทั้งยังเอ่ยปากเองด้วยว่าจะตบรางวัลอย่างงาม

เขาเหล่ตามองปฏิกิริยาของซ่างกวนชิง ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำให้เขาหาเบาะแสไม่ได้ อย่าบอกนะว่าทางหนิวโหย่วเต๋อเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้ว?

ช่วยไม่ได้ที่ตอนนี้อยู่ต่อหน้าประมุขชิง จึงไม่สะดวกถามซ่างกวนชิง

ใครจะคิดว่ายังไม่จบเพียงเท่านี้ ประมุขชิงบอกอีกว่า “หน่วยตรวจการซ้ายต้องพยายามปิดบังตัวตนของสายลับให้เต็มที่ อย่าให้นางถูกเปิดโปง ในอนาคตข้ามีเรื่องต้องใช้งานนางอีก”

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ่งคิดก็ยิ่งงงเหมือนหมอกลงเต็มสมอง แต่ก็ยังเอ่ยรับด้วยความเคารพ “ขอรับ!”

ประมุขชิงไม่ได้อธิบายอะไรมาก โบกมือให้เขาถอยอกไป แล้วครุ่นคิดอะไรเงียบๆ อีกพักหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินไปยืนพิงระเบียงทอดสายตามองปราสาทราชวังที่อยู่ไกลๆ

“หยวนจุนดูเหมือนเด็กที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ความจริงยังอ่อนหัดมาก”แประมุขชิงถอนหายใจเบาๆ

ตรงนี้ไม่มีคนนอก คำพูดนี้เขาพูดให้ตัวเองฟัง ซ่างกวนชิงก้าวขึ้นมาข้างกาย แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเบาๆ “อายุขององค์ชายก็ไม่น้อยแล้ว เมื่อเทียบกับคนรุ่นเดียวกันก็นับว่าสุขุมเยือกเย็นเช่นกันขอรับ”

ประมุขชิงส่ายหน้าเบาๆ “สิ่งที่เรียกว่าสุขุมเยือกเย็นล้วนเป็นมารดาที่บีบให้เขาทำ การได้เป็นลูกชายข้านับว่าเป็นทั้งโชคดีและโชคร้ายของเขา เขายังขาดประสบการณ์ขัดเกลา ถามหน่อยว่าเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อทำตอนอายุเท่านี้ หยวนจุนจะรับมือไหวหรือเปล่า?”

ซ่างกวนชิงรีบบอกว่า “ชาติกำเนิดต่างกัน ประสบการณ์ต่างกัน บางอย่างที่ต่างกันก็พอเข้าใจได้ขอรับ ถึงอย่างไรองค์ชายก็ยังอ่อนเยาว์ ให้เวลาเคี่ยวกรำอีกสักหน่อย ก็ย่อมสุกงอมเป็นผู้ใหญ่เองขอรับ”

ประมุขชิงชี้เขาที่ยืนอยู่ข้างหลัง “ก่อนหน้านี้เจ้ายังบอกอยู่เลยว่าหยวนจุนอายุไม่น้อยแล้ว ตอนนี้กลับมาบอกว่าหยวนจุนยังอ่อนเยาว์ ขนาดเจ้ายังเป็นอย่างนี้เลย นี่ก็คือข้อแตกต่างด้านสภาพแวดล้อมระหว่างหยวนจุนกับหนิวโหย่วเต๋อ คนหนึ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ราบรื่น คนหนึ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุปสรรค”

ไม่รอให้ซ่างกวนชิงพูดอะไรปลอมๆ อีก ประมุขชิงพูดข่มคำพูดขาเสียเลย “เซี่ยโห้วท่าเพิ่งตาย เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนอยากวัดกับเซี่ยโห้วลิ่งสักหน่อย สถานการณ์ในวังเป็นอย่างไรบ้าง?”

ซ่างกวนชิงครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ นั้นไม่มี เพียงแต่บรรดาเหนียงเหนียงในวังติดต่อกับข้างนอกบ่อยไปหน่อย”

“เห็นหรือยังล่ะ นี่แหละผู้หญิงของข้า!” ประมุขชิงแสยะยิ้ม แล้วถามอีกว่า “ทางตระกูลเซี่ยโห้วมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง?”

“ตอนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรขอรับ เพียงแต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่หายตัวไปอย่างลึกลับ” ซ่างกวนชิงตอบ

“หายไปอย่างลึกลับ?” ประมุขชิงหันมาถาม “เป็นใครบ้าง?”

ซ่างกวนชิงตอบว่า “บรรดาอนุภรรยาของเซี่ยโห้วท่า นอกจากคนที่มีลูกแล้วติดตามลูกไป ที่เหลือก็หายไปทั้งหมดขอรับ ตามรายงาน เมื่อแอบร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจพวกข้าวของเครื่องใช้ของเซี่ยโห้วท่า ก็พบว่าในนั้นมีศพผู้หญิงจำนวนมาก แม้จะไม่ได้ตรวจดูให้ละเอียด แต่ก็เดาได้ว่าคงจะเป็นพวกอนุภรรยาที่หายไป น่าจะถูกฝังไปพร้อมเซี่ยโห้วท่าแล้ว”

ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ “นี่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่ละคนเป็นยอดหญิงงามที่หาพบได้ยากในใต้หล้า ทั้งยังมีหลายคนด้วย เมื่อได้ชื่อว่าเคยผ่านเซี่ยโห้วท่ามาแล้ว คนข้างหลังก็ไม่สะดวกจะยุ่งมากเกินไป เวลาเปลี่ยวเหงาเกินทนก็จะเกิดเรื่องสกปรมโสมมอย่างเลี่ยงไม่ได้ เซี่ยโห้วท่าเป็นวีรบุรุษแห่งยุค มีหรือที่จะยอมให้เกิดเรื่องน่าหัวเราะเยาะเช่นนี้ ฝังไปด้วยกันก็เป็นเรื่องธรรมาชาติ ข้าเองก็หลีกหนีประตูผีนั่นไม่พ้น…” พูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก สายตากวาดมองสิ่งปลูกสร้างทั้งเล็กทั้งใหญ่ในวัง พร้อมกล่าวเสียงเย็นว่า “บรรดาสนมในวังหลังของข้าก็จัดการตามนี้เช่นกัน!”

ซ่างกวนชิงค่อนข้างตกใจ เมื่อยามนั้นมาถึง คนที่จะถูกฝังไปด้วยคงนับได้หลักหมื่น ปากกลับกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “ฝ่าบาทต้องผ่านด่านนั้นได้แน่นอนขอรับ!”

“ในเมื่อใช้รูปลักษณ์สร้างความสำราญให้คน เมื่อคนไม่อยู่แล้ว จะอยู่เพื่อสร้าความสำราญให้ใครล่ะ?” ประมุขชิงกล่าวเสียดสี และไม่อยากพัวพันกับประเด็นนี้อีก วกกลับมาพูดประเด็นหลักแล้ว “อานุภาพของเซี่ยโห้วท่ายังหลงเหลือ แม้จะมีคนอยากวัดฝีมือเซี่ยโห้วลิ่ง แต่ก็ไม่ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เช่นนั้นข้าจะส่งสัญญาณให้เอง ปลุกความกล้าให้ใครบางคนสักหน่อย เริ่มจากวังหลังของข้าก็แล้วกัน!”

“หา!” ซ่างกวนชิงอุทานตกใจ คนตระกูลเซี่ยโห้วในวังหลัง นอกจากราชีนีสวรรค์แล้วยังจะมีใครอีก? เขารีบถามว่า “ฝ่าบาท มีหรือที่องค์ชายจะมองมารดาที่แท้ๆ ของตัวเอง…”

ประมุขชิงยกมือตัดบท “เด็กนั่นควรผ่านอุปสรรคเสียบ้าง ถ้าข้าไม่บังคับสักหน่อย จะมีคนกล้าแตะต้องเขายังไง”

ซ่างกวนชิงเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ที่แท้ก็ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แต่เป็นลูกชายของฝ่าบาทเอง “ฝ่าบาท สิ่งนี้โหดร้ายกับองค์ชายเกินไปมั้ยขอรับ?”

“ความโหดร้ายที่ข้ามีต่อเขายังเหลือทางหนีทีไล่ให้บ้าง ถ้าถึงคราวที่คนอื่นโหดร้ายกับเขาเมื่อไร ใครจะปรานีเขาล่ะ? หยกที่ไม่ผ่านการเจียระไนย่อมใช้งานไม่ได้!” ประมุขชิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ซ่างกวนชิงถอนหายใจเบาๆ “หากองค์ชายแค้นฝ่าบาทเพราะเรื่องนี้ จะไม่กลายเป็นทำให้เรื่องแย่ลงหรือขอรับ?”

ประมุขชิงตอบว่า “หากจะแค้นก็ต้องดูว่าตัวเองมีความสามารถนั้นหรือเปล่า หากข้ายังอยู่ในตำแหน่งนี้ ต่อให้เขาแค้นก็ต้องทนต่อไป หากข้าสลายไปราวกับหมอกควันเหมือนเซี่ยโห้วท่าเมื่อไร ก็ปล่อยให้เขาแค้นไปเถอะ ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่อย่างดี…ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป เรียกสนมสวรรค์จ้านหรูอี้กลับวัง!”

ซ่างกวนชิงแอบทอดถอนใจไม่หยุด ศพเซี่ยโห้วท่ายังไม่ทันเย็น ทางนี้ก็จะรับจ้านหรูอี้กลับมาเสียแล้ว เกรงว่าจะไม่ให้คนบางคนคิดมากก็คงยาก คนพวกนั้นจะต้องอาศัยโอกาสนี้หยั่งเชิงประมุขชิงแน่นอน ทว่าในเมื่อประมุขชิงตัดสินใจอย่างนี้แล้ว เขาก็ทำได้เพียงโค้งตัวเอ่ยรับคำสั่ง “ขอรับ!”

เมื่อออกมาจากอุทยานสายัณห์ ซ่างกวนชิงก็ถูกซือหม่าเวิ่นเทียนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกดักไว้อีก

“เรื่องวันนี้เป็นยังไงกันแน่?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนถูกทำให้เลอะเลือนนิดหน่อย ถ้าไม่ถามให้ชัดเจน ก็กลัวว่าตัวเองจะแสดงอะไรโง่ๆ ออกมา ย่อมต้องดึงตัวซ่างกวนชิงมาถามให้รู้ชัด

“เป็นยังไงอะไรล่ะ?”

“เจ้าจะแกล้งโง่กับข้าทำไม ฝ่าบาทไม่ได้เตรียมจะสั่งสอนหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ เหรอ?”

ซ่างกวนชิงพยักหน้าสื่อว่าเป็นเรื่องจริง จากนั้นหันตัวเดินไป เขายังมีงานต้องทำอีก

ซือหม่าเวิ่นเทียนคว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้ “เรื่องวันนี้ไม่มีต้นสายปลายเหตุ เจ้าชอบเห็นข้าทำงานแบบเลอะเลือนเหรอ หรือเจ้าจงใจจะวางกับดักข้า?”

“ดูเจ้าพูดเข้าสิ ข้าวางกับดักอะไรเจ้า?” ซ่างกวนชิงสะบัดแขนเสื้อแต่กลับสะบัดไม่ออก ซือหม่าเวิ่นเทียนดึงแน่นไม่ยอมปล่อย ซ่างกวนชิงนับว่ามองออกแล้ว ว่าถ้าวันนี้ไม่อธิบายให้ชัดเจน อีกฝ่ายก็จะเกาะแกะไม่ปล่อยแน่นอน เขาถึงได้พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ “พวกเราอายุมากแล้ว อยู่กับองค์ชายไปทั้งชีวิตไม่ได้หรอก”

ชั่วพริบตานั้นซือหม่าเวิ่นเทียนพอจะเข้าใจบ้างแล้ว และรู้สึกตกใจเช่นกัน ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “อย่าบอกนะว่าฝ่าบาทจะ…”

ซ่างกวนชิงพยักหน้าอย่าแฝงความหมายลึกซึ้ง

ซือหม่าเวิ่นเทียนระแวงไม่หยุด “แต่หนิวโหย่วเต๋อพูดจาล่วงเกินแบบนั้น ชัดเจนแล้วว่าไม่ยอมถวายความจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ฝ่าบาทจะยอมทนได้ยังไง?”

ซ่างกวนชิง “เขาบอกว่าไม่อยากถวายความจงรักภักดีต่อฝ่าบาท แต่ก็ยังบอกว่าเหลือเพียงองค์ชายที่เป็นทางหนีทีไล่ ทั้งใต้หล้าเขาจะจงรักภักดีต่อองค์ชายคนเดียวเท่านั้น เขาเชื่อฟังองค์ชาย ส่วนองค์ชายก็เชื่อฟังฝ่าบาท!” พูดจบก็ค่อยๆ คลายนิ้วออกจากแขนเสื้อของอีกฝ่าย แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป

ชั่วขณะนี้ ซือหม่าเวิ่นเทียนเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน สุดท้ายก็เข้าใจแล้วว่าทำไมประมุขชิงจึงต้องการให้เขาปกป้องสายลับคนนั้นไว้ ทำไมถึงบอกว่าในอนาคตจะมีเรื่องให้ใช้งาน ที่แม้ก็เตรียมไว้ให้องค์ชายนี่เอง เขาอดไม่ได้ที่จะพึมพำว่า “ขนาดนี้ยังบอกว่าไม่มีเรื่องอะไรอีกเหรอ? พูดจาล่วงเกินเบื้องบนขนาดนั้นแต่ไม่น่าเชื่อว่ายังพลิกชะตาได้ เจ้าเด็กนั่นช่างดวงดีจริงๆ…เฮ้อ!” เขาส่ายหน้าแล้วหันตัวเดินจากไป

ตำหนักนารีสวรรค์ ชิงหยวนจุนที่เข้ามาในวังย่อมต้องมาหามารดา เขายังไม่ทันออกไป ก็เห็นเอ๋อเหมยรีบร้อนวิ่งเข้ามาแล้ว นำข่าวที่ประมุขชิงถ่ายทอดคำสั่งเรียกสนมสวรรค์จ้านหรูอี้กลับวังมาบอก

ชิงหยวนจุนที่นั่งยกถ้วยชาอยู่ข้างๆ นิ่งชะงัก เขาเคยเจอสนมสวรรค์จ้านหรูอี้ที่งานเลี้ยงอุทยาน ไม่เคยพูดคุยกันจริงจัง

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่สีหน้าแย่มาก ถามว่า “ข่าวนี้ยืนยันหรือยัง?”

เอ๋อเหมยก็กล่าวด้วยสีหน้ากังวลเช่นกัน “เหนียงเหนียง ข่าวไม่ผิดแน่เพคะ ตอนที่ผู้การซ่างกวนถ่ายทอดคำสั่งนี้ นางในที่อยู่ข้างๆ ก็ได้ยิน ได้ยินว่าเป็นคำสั่งของฝ่าบาทจริงๆ เพคะ คนที่รับคำสั่งมาก็ออกไปแล้ว”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หน้าซีดทันที เดินโซเซถอยหลังไปสองสามก้าว นั่งลงราวกับไร้วิญญาณ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเครียดแค้น “ฝ่าบาทใจร้ายนัก ต่อให้เจ้าจะโปรดปรานนางแพศยานั่นขนาดไหน แต่ก็ต้องเห็นแก่หน้าแม่ของลูกบ้างสิ ท่านปู่ของหม่อมฉันเพิ่งจะจากโลกนี้ไป กระดูกยังไม่ทันเย็นเลย!” จากนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมา “ฝ่าบาทอยู่ที่ไหน ข้าจะไปพบฝ่าบาท!”

เอ๋อเหมยมาขวางนางไว้ “เหนียงเหนียง ฝ่าบาทไปหาสนมฉินแล้วเพคะ เกรงว่าตอนนี้คงกำลังสำราญอยู่ ถ้าเหนียงเหนียงไปทำลายบรรยากาศ เกรงว่าจะทำให้เรื่องแย่ลง ทางตระกูลบอกมาว่า ฝ่าบาททำแบบนี้แสดงว่าได้ไตร่ตรองมาแล้วแน่นอน เหนียงเหนียงไปหาก็ไม่มีปรระโยชน์ ฝ่าบาทอาจจะไม่ยอมพบเหนียงเหนียงก็ได้ ถ้าเหนียงเหนียงเคลื่อนไหวแล้วแต่ยังไม่ได้พบฝ่าบาท ก็อาจจะทำให้คนอื่นหัวเยาะด้วยซ้ำ ทางตระกูลบอกมาว่าให้เหนียงเหนียงคอยดูสถานการณ์เงียบๆ เพื่อเตรียมรับมือ ตอนนี้ไปห้ามไม่ให้สนมสวรรค์กลับวังก็ไม่ได้ผลอะไรเพคะ!”

การที่สามารถพูดแบบนี้ได้ ก็เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าก่อนจะมารายงานนาง อีกฝ่ายรายงานสถานการณ์ให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้ล่วงหน้าแล้ว

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กัดริมฝีปากเงียบๆ ทำสีหน้าราวกับเสียขวัญ

ชิงหยวนจุนนั่งเม้มริมฝีปากอยู่อย่างนั้น เขารู้ว่าถ้าผู้หญิงคนโปรดของเสด็จพ่อมาเมื่อไร แม้แต่เสด็จแม่ก็ยังต้องหวาดกลัวสามส่วน สถานการณ์ภาพรวมของวังหลังจะเปลี่ยนแปลงไปมากทันที เมื่ออีกด้านหนึ่งมีคนสำคัญคอยต้านทาน อำนาจการตัดสินใจที่วังหลังก็จะไม่อยู่ที่มารดาของเขาอีกแล้ว แล้วยามเขาเจอกับผู้หญิงคนนั้น เขาควรจะจัดการกับตัวเองอย่างไร?

“ให้ข้าอยู่เงียบๆ สักหน่อย!”

รวมชิงหยวนจุนไว้นนั้นด้วย ทุกคนในห้องล้วนถูกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไล่ออกไป เมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็หยิบระฆังดารามาติดต่อเหมียวอี้ทันที นางต้องการถามถึงแผนที่จะรับมือ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เริ่มกลัวแล้ว นางไม่รู้ว่าจู่ๆ ประมุขชิงทำอย่างนี้เพราะมีเจตนาอะไร หรือว่าเป็นเพราะท่านปู่นางเพิ่งจากไป จึงทำให้ฝ่าบาทไม่กังวลที่จะลงมือกับตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ก็อย่าว่าแต่นางเลย เกรงว่าแม้แต่ลูกชายนางก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายแล้ว ที่โหดเหี้ยมที่สุดก็คือครอบครัวกษัตริย์!

……………………

พอมาถึงวังสวรรค์ องครักษ์ก็หยุดอยู่นอกวัง ชิงหยวนจุนเข้ามาในวังคนเดียว มีนางในรอต้อนรับอยู่ตรงประตูและพาเขาเข้ามา นางในนำทางตรงไปยังอุทยานสายัณห์

ตรงมุมหนึ่งในสวน เสียงฉินดังสูงดังแผ่วรื่นหู ประมุขชิงที่อยู่บนตึกศาลากำลังเอามือไขว้หลังพิงระเบียง ซ่างกวนชิงยืนเงียบอยู่ข้างๆ รอบด้านไม่มีผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง สนมและนางในหลายคนที่คอยปรนนิบัติก่อนหน้านี้ถอยออกไปก่อนที่ชิงหยวนจุนจะมาถึง

ประมุขชิงมองลงเบื้องล่าง ดวงตาเล็กเรียวจ้องสตรีที่ดีดฉินอยู่ข้างหลัง นางสวมชุดชมพูสวยเย้ายวน ขณะที่นิ้วเรียวทั้งสิบบรรเลงเพลง นางก็เงยหน้ามองขึ้นมาข้างบนอย่างออดอ้อนเสน่หาเป็นระยะ

“ดีดฉินได้ไม่เลว” ประมุขชิงเอ่ยวิจารณ์เสียงเรียบ

“ทักษะการดีดฉินของสนมฉินเรียกได้ว่าในวังหลังไม่มีใครเทียบเทียม” ซ่างกวนชิงที่อยู่ด้านข้างกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

หากสนมที่ดีดฉินอยู่ข้างล่างรู้ว่าซ่างกวนชิงชมนางเช่นนี้ เกรงว่าต้องซาบซึ้งใจจนสติแตก ต้องทราบไว้ว่าคำพูดของผู้การใหญ่เมื่ออยู่ต่อหน้าว่าบาทมักจะดึงดูดความสนใจได้มากกว่าตอนที่เจ้าโอ้อวดเสน่ห์เสียอีก

“สนมฉิน?” ประมุขชิงทำสีหน้าครุ่นคิด ไม่น่าเชื่อว่าจะนึกไม่ออกว่าท่ามกลางสนมของตัวเองจะมีคนชื่อนี้อยู่ด้วย เขาเพียงนึกอยากฟังเสียงขึ้นมา จึงให้ซ่างกวนชิงเรียกคนมา ตอนนี้พอได้เห็นหน้าตาและทักษะการเล่นฉินของผู้หญิงคนนี้พบว่าไม่ธรรมดาจริงๆ “แซ่ฉินนี้คือแซ่เดิมของนางหรือเปล่า?”

“ไม่ใช่ขอรับ เปลี่ยนก่อนจะเข้าวัง คงหวังจะดึงดูดความสนใจของฝ่าบาท” ซ่างกวนชิงตอบ

“ทักษะฉินข้างนางในวังหลังไร้ผู้ใดเทียบเทียมจริงเหรอ?” ประมุขชิงถามขณะจ้องสังเกตข้างล่าง

ซ่างกวนชิงโค้งตัวเล็กน้อย “เป็นเรื่องจริงขอรับ พรสวรรค์บางอย่างไม่ใช่สิ่งที่ฝึกแล้วจะทำสำเร็จได้ สนมฉินมีพรสวรรค์ด้านนี้จริงๆ ขอรับ เกรงว่านี่คงจะเป็นสาเหตุที่นางเข้าวังเช่นกัน”

ประมุขชิงหันกลับมา “เจ้ารับผลประโยชน์จากอีกฝ่ายมาเท่าไร? ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยนางพูดเช่นนี้”

ซ่างกวนชิงเก้อเขินเล็กน้อย เพราะเขารับผลประโยชน์มาจากอีกฝ่ายแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่บังเอิญเรียกสนมฉินมาดีดฉินพอดีหรอก และยิ่งไม่ช่วยพูดให้ด้วย เขาตอบด้วยรอยยิ้มขัดเขิน “นางมอบของหายากให้บ่าวจริงๆ ขอรับ”

ประมุขชิงเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวนางอีกครั้ง “ตระกูลไหนส่งเข้าวัง”

“ตระกูลอิ๋งส่งมาบรรณาการขอรับ ตอนเข้าวังก็เริ่มมีอายุแล้ว” ซ่างกวนชิงตอบ

ประมุขชิงจ้องความงามของผู้หญิงคนนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาย้ายไปมาตรงหน้าอกอิ่มเอิบขาวดุจหิมะของนาง แล้วหยุดบนสิบนิ้วที่ขยับขึ้นลงอย่างงดงาม สุดท้ายก็ค่อยๆ หลับตาตั้งใจฟังเสียงบรรเลงฉินอันสง่างามครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเอื่อยว่า “ในเมื่อนี่คือน้ำใจที่ผู้การใหญ่อย่างเจ้าติดไว้ คืนนี้ข้าจะไปค้างกับสนมฉินก็แล้วกัน”

นี่ก็คือข้อดีของการมีคนข้างกายราชันสวรรค์ช่วยพูดให้ วังหลังมีสนมแสนสวยนับไม่ถ้วน แต่ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสชุ่มชื่นหยาดน้ำฝน พอซ่างกวนชิงแนะนำนิดหน่อย เรื่องราวก็สำเร็จลุล่วงแล้ว ได้ผลยิ่งกว่าสนมฉินพยายามแนะนำตัวเองตั้งหมื่นเท่า

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงพยักหน้าเอ่ยรับ

ใครจะคิดว่าประมุขชิงจะถามอีกว่า “อีกฝ่ายส่งของหายากอะไรมาให้?”

ซ่างกวนชิงโค้งตัวเล็กน้อย “วางอยู่ด้านในตำหนักดาราจักรแล้วขอรับ” คนที่ส่งของให้เขามีไม่น้อย แต่เขาก็ไม่กล้าฮุบไว้คนเดียวอยู่ดี ทุกอย่างล้วนวางไว้ให้ประมุขชิงดูผ่านตาก่อน ถ้าประมุขชิงไม่เอาเขาถึงจะเก็บไว้เป็นของตัวเองได้

สนมฉินหยุดขยับนิ้วบรรเลง ลุกขึ้นคำนับมาทางด้านบนเพื่อขอตัวออกไ ก่อนจะไปก็ไม่ลืมส่งสายตาซาบซึ้งใจให้ซ่างกวนชิง ส่วนกู่ฉินที่ทิ้งไว้ก็ถูกนางในที่ติดตามเก็บออกไปพร้อมกันแล้ว

“เสด็จพ่อ!” ชิงหยวนจุนมาถึงแล้วทำความเคารพ จากนั้นพยักหน้าเบาๆ ให้ซ่างกวนชิง นับว่าทักทายแล้วเช่นกัน

ลูกน้องคนสนิทของบิดาพวกนี้ ต่อให้เป็นเขาก็ไม่กล้าล่วงเกินเช่นกัน คนที่สามารถเข้าพบและพูดคุยกับบิดาได้ทุกเมื่อ ไม่ใช่คนที่เขาจะไปล่วงเกินได้เลยจริงๆ ถ้าพวกเขาพูดอะไรสักสองสามประโยคในช่วงเวลาสำคัญ ก็สามารถเปลี่ยนชะตาของเขาได้เลย ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่นอน ผลที่ตามมาร้ายแรงมาก ดังนั้นต่อให้เป็นโพ่จวินที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เกลียดที่สุด แต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็กำชับให้ลูกชายแสดงความเป็นมิตรอยู่ดี นางสามารถแตกหักกับโพ่จวินได้ แต่ลูกชายนางกลับทำไม่ได้

การสร้างเส้นสายนั้นต้องใช้เงิน เงินภาษีในวังก็มีการคำนวณไว้แล้ว ประมุขชิงย่อมมีวิธีการอบรุมลูกชาย ไม่มีทางปล่อยให้ลูกชายใช้จ่ายมือเติบ คนเบื้องล่างเองก็ไม่กล้าเข้าใกล้ชิงหยวนจุนเกินไปนัก เพราะกลัวประมุขชิงจะคิดมาก อีกทั้งเมื่อก่อนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่ได้ขาดเงิน เพราะไม่มีที่ให้ใช้เงิน แต่หลังจากมีลูกชายคนนี้แล้ว นางจึงมีที่ให้ใช้จ่ายเงินไม่น้อยเพื่ออนคตของลูกชาย แน่นอนว่านางสามารถเอ่ยปากขอจากตระกูลเซี่ยโห้วได้ ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ขาดเงินให้นางใช้แน่นอน แต่ถ้าจะให้ราชินีสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานเอ่ยปากขอเงินจากครอบครัวก็กระไรอยู่…จะยิ่งทำให้ขาดความมั่นใจได้ง่าย โชคดีที่หลังจากสนับสนุนเหมียวอี้แล้ว เหมียวอี้ก็ไม่ทำให้นางผิดหวังเช่นกัน นำทรัพย์สินมาแสดงความกตัญญูก็ฟุ่มเฟือยหรูหรามาก ให้การสนับสนุนทางการเงินที่ใหญ่มากแก่นาง ดังนั้นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จึงชอบอวิ๋นจือชิวมาก ก็ช่วยไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่อวิ๋นจือชิวมาก็จะนำเงินมาให้นาง ใครจะไม่ชอบได้ล่ะ?

แน่นอนว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ยื่นหมูยื่นแมวเช่นกัน มีคนนำเรื่องที่ทัพใหญ่แดนรัตติกาลเฝ้าน้ำพุวังเวงไปวิจารณ์ว่าเป็นเสือนอนกิน แนะนำให้ประกาศยกเลิก ควบคุมดูแลภาษีที่เก็บได้ หลังจากเหมียวอี้ได้ข่าวจากผังก้วนก็แจ้งต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทันที เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เองก็ไม่ห่วงหน้าตาศักดิ์ศรีแล้ว จูงมือลูกชายไปหาประมุขชิงด้วยกัน ไปฟ้องว่ามีคนรังแกพวกนางสองแม่ลูก ภายนอกดูเหมือนพุ่งเป้าไปที่หนิวโหย่วเต๋อ แต่ที่จริงแล้วพุ่งเป้าไปที่พวกนางสองแม่ลูก ขอให้ประมุขชิงทวงความยุติธรรมให้ เมื่อเห็นลูกชายหน้านิ่งไม่พูดอะไร กับเรื่องน้ำพุวังเวงนี้ ประมุขชิงก็กดดันลงไปให้สิ้นเรื่องเช่นกัน

“องค์ชาย!” ซ่างกวนชิงทักทายกลับด้วยความเคารพ

ประมุขชิงหันตัวมาจากระเบียง เดินมาถึงหัวโต๊ะแล้วนั่งลง เขามองประเมินลูกชายศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แม่ลูกชายคนนี้จะได้รับผลกระทบทางสายเลือดจากตระกูลเซี่ยโห้วแรงมาก ไม่นับว่าหน้าตาดี แต่ก็ไม่อัปลักษณ์เช่นกัน คิ้วและดวงตาคล้ายประมุขชิงอยู่หลายส่วน กอปรกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทุ่มเทความคิดในการอบรมสั่งสอนลูกชายมากจริงๆ ไม่ว่าจะเกิดมาเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยอากัปกิริยาและบุคลิกประจำตัวก็ยังเหมาะสมมาก ทำให้เขาปลื้มอกปลื้มใจ

เขากวักมือบอกใบ้ให้ชิงหยวนจุนนั่งลงที่ม้านั่งตัวถัดไป เสร็จแล้วถึงได้กล่าวด้วยรอยยิ้มเรียบๆ “พิธีศพของเซี่ยโห้วท่าเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ย่อมจัดอย่างสมเกียรติ แต่ครั้งนี้เสด็จแม่เหมือนจะสะเทือนใจไปหน่อย เศร้าโศกเสียใจจริงๆขอรับ” ชิงหยวนจุนตอบ

ประมุขชิงพยักหน้า “อย่างไรเสียเสด็จแม่ของเจ้าก็เติบโตจากตระกูลเซี่ยโห้ว เซี่ยโห้วท่าก็คือเสาหลักของตระกูล ทั้งยังรักใคร่ห่วงใยเสด็จแม่เจ้ามากด้วย เลี่ยงความเสียใจได้ยาก เจ้าในฐานะที่เป็นลูกชาย เดี๋ยวกลับไปก็ปลอบใจเสด็จแม่เจ้ามากๆ หน่อยแล้วกัน”

บางทีประมุขชิงเองอาจไม่รู้ตัว หลังจากมีลูกชายคนนี้แล้ว ท่าทีของประมุขชิงที่มีต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เปลี่ยนไปบ้างโดยไม่รู้ตัว อาจไม่ถึงขั้นเรียกว่าโปรดปรานรักใคร่ แต่สายใยครอบครัวระหว่างกันก็เกิดขึ้นแล้วเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน เริ่มมีบ้างแล้วไม่มากก็น้อย

ในจุดนี้คนอื่นอาจจะมองไม่ออก แต่ซ่างกวนชิงที่เป็นขุนนางคนสนิทนั้นมองเห็นอย่างชัดเจน

ชิงหยวนจุนที่นั่งตัวตรงเรียบร้อยพยักหน้าเงียบๆ

จู่ๆ ประมุขชิงก็หัวเราะเสียงเบา “ได้ยินว่าครั้งนี้เจอหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ทั้งยังคุยกันเป็นการส่วนตัวด้วย”

ชิงหยวนจุนแอบตกใจเงียบๆ นึกไม่ถึงว่าบิดาจะรู้แม้กระทั่งเรื่องภายในของตระกูลเซี่ยโห้ว ตอนนั้นหลบเลี่ยงองครักษ์แล้วแท้ๆ เขาพยักหน้าตอบว่า “ใช่แล้วขอรับ เสด็จแม่หวังให้ลูกเรียนรู้จากหนิวโหย่วเต๋อให้มากๆ หน่อย”

“อ้อ!” ประมุขชิงถามด้วยรอยยิ้มอีก “แล้วเจ้ารู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ตอนนี้ยังบอกได้ไม่ชัดเจนขอรับ เพียงแต่รู้สึกว่าเขาค่อนข้างน่าสนใจ” ชิงหยวนจุนตอบ

“ค่อนข้างน่าสนใจเหรอ?” ประมุขชิงเริ่มสนใจแล้ว “คุยอะไรกับเขาไปบ้างล่ะ”

“คุยกันไม่น้อยเลยขอรับ…” ชิงหยวนจุนเล่าบทสนทนาระหว่างตัวเองกับเหมียวอี้ให้ฟังโดยละเอียด ไม่ได้ปิดบังใดๆ

ที่จริงก็เป็นหยางชิ่งที่บอกให้เหมียวอี้เสนอแผนการให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตั้งแต่แรก ให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เตือนชิงหยวนจุนเมื่อนานมากแล้ว ว่าอย่าปิดบังประมุขชิงไม่ว่าเรื่องอะไร โดยเฉพาะที่วังสวรรค์ สองแม่ลูกมีกำลังอ่อนแอไร้การปกป้อง น่าจะไม่มีเรื่องอะไรที่ปิดบังสายตาประมุขชิงได้ ผลที่ตามมาหลังจากปิดบังประมุขชิงนั้นร้ายแรงมาก ครั้งสองครั้งยังไม่เป็นไร แต่ถ้าหลายครั้งจะทำให้ประมุขชิงไม่พอใจแน่นอน ดังนั้นต่อให้ทำอะไรผิดแล้วบอกประมุขชิงไปตรงๆ ก็ไม่เป็นอะไร ขอเพียงไม่หลอกลวงประมุขชิง ประมุขชิงก็ย่อมแบกรับให้ชิงหยวนจุนอยู่แล้ว ถ้าพูดจาบางมุม เซี่ยโห้วเฉิงอวี่สามารถปิดบังประมุขชิงได้ แต่ชิงหยวนจุนทำอย่างนี้ไม่ได้

เช่นเดียวกัน หลังจากได้เห็นเรื่องที่เหมียวอี้เดิมพันกับกลุ่มขุนนางในงานเลี้ยงวันเกิด เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็มองว่าเหมียวอี้เป็นมันสมองของนางแล้ว ไม่ว่ามีเรื่องอะไรก็จะแอบติดต่อขอความเห็นจากเหมียวอี้ตลอด และเหมียวอี้ก็รู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของวังสวรรค์ชัดเจนผ่านซี่ยโห้วเฉิงอวี่เช่นกัน ขุนนางใหญ่คนอื่นต้องส่งสาวงามเข้าวังถึงจะบรรลุเป้าหมาย แต่เหมียวอี้นั้นทำสำเร็จแล้ว

หลังจากรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวภายในวังสวรรค์แล้ว เหมียวอี้ก็ทอดถอนใจในความเจ้าแผนการของหยางชิ่งอีกครั้ง เพราะสนใจตัวหมากอย่างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตั้งนานแล้ว วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ตระกูลเซี่ยโห้วและประมุขชิงได้ชัดเจน ให้เขาฉวยโอกาสกัดเอาไว้แต่เนิ่นๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะกล้าบุ่มบ่ามลงมือกับคนของตระกูลเซี่ยโห้วและประมุขชิงได้อย่างไร ตอนนี้ได้เก็บเกี่ยวประโยชน์มากมายจริงๆ ด้วย

พอได้ยินว่าชิงหยวนจุนถามเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อเอ่ยปากตอบได้ยากไม่หยุด ประมุขชิงก็กลั้นขำไม่ไหว “สุดท้ายเขาบอกความจริงเจ้าหรือเปล่า?”

“เปล่าขอรับ สิ่งที่ลูกวิจารณ์กลับไปต่อหน้าเขาก็คือ ไม่ว่าเขาจะทำเรื่องชั่วอะไร แต่เขาไม่เคยยอมรับเลย” ชิงหยวนจุนตอบ

“ฮ่าๆ! พูดไม่ผิด วิจารณ์ได้ลึกซึ้ง” ประมุขชิงหัวเราะลั่น ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างกันก็หัวเราะแห้งเช่นกัน

รอจนกระทั่งชิงหยวนจุนพูดเรื่องที่เหมียวอี้บอกว่าปัสสาวะลงกระโถสเดียวกับประมุขชิงไม่ได้ ประมุขชิงก็หัวเราะไม่ออกทันที สีหน้าขรึมลงแล้ว

ซ่างกวนชิงก็ตำหนิเช่นกัน “เจ้าเด็กกำเริบเสิบสาน!”

สองพ่อลูกคุยกันพักหนึ่ง หลังจากถามลูกชายถึงสถานการณ์ช่วงนี้แล้ว ประมุขชิงก็ให้ชิงหยวนจุนถอยออกไป จากนั้นก็บอกซ่างกวนชิงว่า “เรียกซือหม่าเวิ่นเทียนมาพบข้า!”

ซ่างกวนชิงรู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร เตรียมจะหาจุดอ่อนภายในจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล แม้จะทำอะไรหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ แต่คาดว่าต้องสั่งสอนหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย

ผ่านไปไม่นาน ซือหม่าเวิ่นเทียนก็เข้ามาตามคำสั่งแล้ว

หลังจากเขาทำความเคารพ ประมุขชิงก็ไม่เปลืองคำพูด ถามตรงๆ เลยว่า “ช่วงนี้ทางจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลมีความผิดปกติอะไรหรือเปล่า?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบครุ่นคิดถึงเจตนาของคำพูดนี้ ชำเลืองมองซ่างกวนชิงแวบหนึ่ง แต่มองไม่ออกถึงคำตอบที่ตัวเองอยากรู้ จึงรายงานตามความจริง “โดยรวมไม่มีอะไรผิดปกติขอรับ เพียงแต่ได้รับรายงานมาจากสายลับ ว่าหนิวโหย่วเต๋อบอกเองว่าไปพบเหนียงเหนียงและองค์ชายที่จวนท่านปู่สวรรค์ หลังจากหนิวโหย่วเต๋อกลับมาแล้วก็พูดบางอย่างที่ล่วงเกินเบื้องบน เพียงแต่เรื่องนี้ไม่มีหลักฐาน ถ้าหาหลักฐานเจอเมื่อไร เกรงว่าสายลับจะถูกเปิดโปงตัวตน”

“คำพูดล่วงเกินเบื้องบน?” ประมุขชิงหรี่ตา “พูดอะไรไปบ้าง?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “บอกว่าองค์ชายพูดจาไม่ค่อยไว้หน้า แต่กลับสั่งคนข้างกายไว้แล้ว ว่าต่อไปเมื่อพบองค์ชายจะต้องเคารพนอบน้อม บอกว่าตัวเองตัวเองถูกบีบให้ทรยศฝ่าบาท ต่อให้ถวายความจงรักภักดีต่อฝ่าบาทแค่ไหน แต่ก็ยากที่จะได้รับความไว้วางใจ บอกว่าฝ่าบาทไม่ควรค่าให้เขาถวายความจงรักภักดี บอกว่าหลังจากผ่านเรื่องในอดีตมาหลายครั้ง ก็พบว่าไม่มีขุนนางใหญ่คนไหนสามารถเป็นทางหนีทีไล่ที่พึ่งพาได้สักคน ตอนนี้เขาผูกติดตัวเองกับตำหนักนารีสวรรค์แล้ว ตั้งแต่นี้ไปทั้งใต้หล้านี้เขาทำได้เพียงถวายความจงรักภักดีต่อองค์ชายผู้เดียวเท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เขาพูดประมาณนี้ขอรับ”

ประมุขชิงสีหน้าขรึมเครียดลง ประโยค ‘ฝ่าบาทไม่ควรค่าให้เขาถวายความจงรักภักดี’ เรียกได้ว่าแสลงหูเขาเป็นพิเศษ

………………

“…” ชิงหยวนจุนแทบจะสำลักตาย นึกไม่ถึงเหมียวอี้จะให้คำตอบนี้ เขาอ้าปากค้างพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง ทำสีหน้าอัศจรรย์ใจมาก ไม่ง่ายเลยกว่าดึงสติกลับมาได้ “เจ้าไม่พอใจฝ่าบาทเหรอ?”

“องค์ชายเข้าใจผิดแล้วขอรับ” เหมียวอี้ตอบ

คำตอบจบลงตรงนี้ จากนั้นก็ปล่อยให้ชิงหยวนจุนถามอย่างไรก็ถามไป จะเป็นจะตายเขาก็ไม่ยอมพูดความจริงว่าปัสสาวะลงกระโถนเดียวกันไม่ได้หมายความว่าอะไร ไม่สนว่าเจ้าจะเดาไปในทางที่ดีหรือทางที่ร้าย เขาอยู่ในตำแหน่งนี้แล้ว ไม่เชื่อหรอกว่าประมุขชิงจะลงโทษเขาเพราะคำพูดที่เชื่อถือไม่ได้ประโยคเดียว

เมื่อเห็นเขาไม่ยอมพูดอะไรพวกนี้แล้วจริงๆ ชิงหยวนจุนก็ยิ้มบางๆ “ดูท่าแล้วหัวหน้าภาคหนิวจะยังพูดทุกอย่างกับข้าไม่ได้ แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ในภายหลังถ้าเจ้ากับข้าใช้เวลาด้วยกันมากๆ หน่อย เจ้าก็จะรู้ว่าข้าเป็นคนยังไง วันหลังถ้ามีโอกาส ข้าอาจจะไปเดินเล่นที่แดนรัตติกาล หัวหน้าภาคหนิวคงจะยินดีต้อนรับข้าใช่มั้ย?”

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “องค์ชายล้อเล่นแล้ว ผืนดินในใต้หล้า มิมีที่ใดที่ไม่ใช่ของราชัน ไม่ว่าองค์ชายจะไปไหนก็ไม่มีใครกล้าไม่ต้อนรับหรอกขอรับ”

หลังจากทั้งสองคุยกันอีกสักพัก บทสนทนาของการพบกันครั้งแรกก็จบลงเท่านี้ ต่างก็รู้ว่าเป็นการพบกันครั้งแรก เป็นไปไม่ได้ที่จะคุยกันลึกซึ้ง ถ้าเล่นละครตบตาต่อไปก็ไม่มีความหมายเช่นกัน กลับทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาปลอมเกินไปด้วยซ้ำ ควรจะหยุดพูดเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ที่จริงวันนี้ชิงหยวนจุนก็ถามเกินไปเช่นกัน

ที่จริงบางคำถามเหมียวอี้ก็สามารถปฏิเสธที่จะไม่ตอบได้เลย โอรสสวรรค์คนหนึ่งที่ไม่มีกำลังพลเป็นของตัวเองทำอะไรเหมียวอี้ไม่ได้ มิหนำซ้ำเหมียวอี้ก็ไม่ปล่อยให้เขาทุบตีด่าทอเหมือนนางในอยู่แล้ว เพราะเป็นเจ้าอาณาเขตที่ได้รับแต่งตั้งจากตำหนักสวรรค์ และยิ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงเพียงหนึ่งเดียวของมารดาเขาด้วย เขาเองก็ไม่กล้าล่วงเกินมากเกินไป ถ้ายั่วโมโหจนเหมียวอี้เอาใจออกห่างจากมารดาจริงๆ ก็จะทำให้มารดาของตนคุมกองทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนไม่ได้ เรื่องนี้จะทำให้มารดาเดือดดาลแน่ มารดาอยู่ที่วังสวรรค์อาจจะทำอะไรคนอื่นไม่ได้ แต่ในฐานะมารดาคนหนึ่ง ถ้าอยากจะทำโทษลูกชายจริงๆ เขาก็ไม่มีสิทธิ์บ่นอะไรเลย ถ้ากล้าทำเรื่องที่อกตัญญูต่อบิดามารดา ก็ยังต้องกังวลถึงทัศนคติของบิดาที่มีต่อเขาอีก ขอเพียงบิดาเต็มใจ ก็สามารถคลอดบุตรชายคนที่สองหรือคนที่สามได้อยู่แล้ว วังหลังไม่ขาดแคลนผู้หญิงที่จะคลอดลูกให้

“จุนเอ๋อร์ คุยกับหนิวโหย่วเต๋อเป็นยังไงบ้างลูก?”

เมื่อเห็นชิงหยวนจุนกลับมาแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่สวมชุดไว้ทุกข์ทั้งตัวก็ลุกขึ้นทันที แล้วถามด้วยแววตาที่เฝ้าคอยคำตอบ

ชิงหยวนจุนยิ้มเรียบๆ “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ค่อนข้างน่าสนใจ” เขาไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้ ลักษณะท่าทางยังสุขุมสง่างาม เพราะนี่คือสิ่งที่มารดาหวังจะเห็นตั้งแต่เด็กจนโต ถ้าเขาทำได้ไม่เหมาะสมเมื่อไร มารดาก็จะลงโทษเขาอย่างเข้มงวด ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้ามารดาเขาก็จะพยายามแสดงกิริยาวาจาให้เหมาะสมเต็มที่

ตอนเด็กยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดมารดาจึงโหดร้ายต่อเขาขนาดนี้ หลังจากเติบโตแล้วถึงเริ่มเข้าใจ ว่ามารดาและตระกูลที่อยู่เบื้องหลังมารดาไม่เป็นที่โปรดปรานของบิดา เข้าใจแล้วว่าผู้หญิงที่บิดาโปรดปรานคือคนอื่น เข้าใจแล้วว่ามารดากังวลอะไรที่สุด กังวลว่าทิ้งความรู้สึกไม่ดีไว้ให้ให้บิดา และเข้าใจเช่นกันว่าความมีเกียรติและความรุ่งโรจน์ของพวกเขาสองแม่ลูกนั้นเชื่อมโยงเป็นสิ่งเดียวกัน

เมื่อเห็นลูกชายมีท่าทีสุขุมเยือกเย็น เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็พยักหน้าด้วยความปลื้มอกปลื้มใจ ต่อให้ไม่สนใจความสัมพันธ์แม่ลูก แต่ลูกชายคนนี้ก็มีความสำคัญต่อนางมากจริงๆ อนาคตทั้งหมดของนางขึ้นอยู่กับลูกชายคนนี้

วันที่จัดพิธีฝังเซี่ยโห้วท่า ก็ฝังในหลุมใหญ่โตอย่างมีหน้ามีตา เพียงแต่สิ่งที่ฝังไปมีเพียงเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้

กำลังพลสายต่างๆ ทยอยกันกลับมา เมื่อพิธีศพจบแล้ว เว่ยซูก็เดินตามหลังเซี่ยโห้วลิ่งไปยังประตูใหญ่ของสวนต้องห้ามที่ไม่ได้อนุญาตให้ใครเข้าไปก็ได้

สำหรับเซี่ยโห้วลิ่ง การเดินมาที่นี่ในครั้งนี้กับครั้งก่อนให้ความรู้สึกต่างกันโดยสิ้นเชิง ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น สวนต้องห้ามอาจไม่ได้หรูหรา กลับดูโบราณเรียบง่ายด้วยซ้ำ แต่ทุกคนของตระกูลเซี่ยโห้วต่างก็รู้ว่าการย้ายเข้ามาอยู่ที่สวนต้องห้ามหมายความว่าอะไร

เมื่อเซี่ยโห้วลิ่งก้าวเท้าเข้าประตูใหญ่สวนต้องห้าม แล้วไม่เห็นใครมาขวางเขา เขาก็รู้สึกชาวาบหนังศีรษะ ราวกับมีกระแสไฟฟ้าเลื้อยบนผิว ความรู้สึกตื่นเต้นแบบนั้นเป็นสิ่งที่คนนอกยากจะเข้าใจ เพราะคนนอกไม่รู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วเก็บซ่อนกำลังไว้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน

เขามองปราดเดียวก็เห็นต้นไม้โบราณในสวนต้นนั้นแล้ว เขาหันตัวเล็กน้อย เดินตรงไปใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น ยื่นมือลูบลำต้นใหญ่หยาบ มันหยาบหนามากจริงๆ แต่กลับทำให้คนรู้สึกได้ว่าต้นไม้ใหญ่ต้นนี้สงบเงียบดุจขุนเขาไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้

เขารู้ดี ว่าตั้งแต่นี้ไป เขาต่างหากที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงของสวนต้องห้ามแห่งนี้!

แต่กลับพูดอย่างนี้อย่างเปิดเผยไม่ได้ กลับถอนหายใจเบาๆ “ตอนนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าทำไมตอนท่านพ่อมีชีวิตอยู่ถึงชอบต้นไม้ต้นนี้ คนที่ยืนอยู่ตรงนี้ต้องบังลมบังฝนให้ตระกูลเซี่ยโห้ว”

“ที่นายท่านพูดก็มีเหตุผล” เว่ยซูโค้งตัวเล็กน้อย

“แต่คนบางพวกล่ะ? ไม่เห็นบิดามารดาอยู่ในสายตา!” เซี่ยโห้วลิ่งพลันหันตัว ในดวงตาฉายแววเย็นเยียบ

พอพูดถึงเรื่องนี้ ในใจเขาก็ค่อนข้างเดือดดาล เพื่อปลอบโยนพี่น้องที่กุมอำนาจแต่ละฝ่ายของตระกูลเซี่ยโห้วในที่ลับ เขาอาศัยฐานะหัวหน้าตระกูลเรียกรวมพี่น้องในที่ลับมาคารวะศพ นับว่าเป็นการหยั่งเชิงเช่นกัน ใครจะไปคิดว่าผลลัพธ์ของการหยั่งเชิงจะน่าเวทนา ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครฟังคำสั่งเขา ไม่มีใครมาสักคน กลับบอกว่าทำแบบนั้นอาจจะถูกเปิดโปงได้ง่าย บ้างก็บอกว่าไม่มีทางปลีกตัวมาได้ จึงทำได้เพียงคารวะศพจากทางไกลเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เอง เซี่ยโห้วลิ่งจึงเข้าใจทันที ว่าในบรรดาพี่น้องที่ซ่อนตัวอยู่ไม่มีใครเชื่อใจเขาสักคน ทั้งยังแสดงบารมีให้เขาเห็นด้วย สิ่งนี้หมายความว่าอะไรล่ะ? หมายความว่าแม้เขาจะรับช่วงต่อตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว แต่กลับไม่ได้ควบคุมอำนาจที่แท้จริงของตระกูลเซี่ยโห้ว

ไม่ว่าใครก็เข้าใจทั้งนั้น ว่าอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้อยู่ในที่แจ้งเลย สิ่งที่ทำให้คนหวาดกลัวอย่างแท้จริงนั้นอยู่ในที่ลับ ถ้าควบคุมอำนาจใต้ดินของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ ก็หมายความว่าเขาเป็นหัวหน้าตระกูลแค่เปลือกนอกเท่านั้น นี่มันเรื่องอะไรกัน?

ก่อนหน้านี้ ตอนที่บิดายังไม่ตาย เขาก็อดทนมาตลอด วันนี้ เขาต้องการเผยไพ่ต่อเว่ยซู!

เว่ยซูย่อมรู้ว่าเขาหมายถึงคนพวกไหน เขาก้มหน้าเล็กน้อย ไม่ตอบอะไร

“เว่ยซู ถ้าท่านพ่อยังอยู่ เมื่อเจอการขัดคำสั่งแบบนี้ ท่านพ่อจะจัดการยังไง?” เซี่ยโห้วลิ่งถามเสียงต่ำ

“ไท่ยอมทนเด็ดขาด ฆ่าหนึ่งเพื่อตักเตือนร้อย!” เว่ยซูกล่าวเสียงเบา

เซี่ยโห้วลิ่งจ้องเขา “งั้นเจ้าคิดว่าข้าควรทำไง?”

“ฆ่า!” เว่ยซูตอบ

สำหรับคำตอบนี้ เซี่ยโห้วลิ่งค่อนข้างโล่งใจ สายตาที่กำลังตรวจสอบก็อ่อนโยนลงเช่นกัน เขาเอามือไขว้หลังหันตัวมา “อย่างไรเสียก็เป็นพี่น้องกัน ถ้าไม่อับจนหนทางจริงๆ ก็อย่าทำอย่างนี้จะดีกว่า”

พอพูดถึงเรื่องนี้ ตอนที่เขายังไม่เข้าใจก้นบึ้งของตระกูลเซี่ยโห้วก็ยังดีหน่อย แต่หลังจากเข้าใจแล้วก็ค่อนข้างเดือดดาล ปัญหายุ่งยากอยู่ที่โครงสร้างอำนาจใต้ดินของตระกูลเซี่ยโห้ว เขาพบว่าตัวเองที่เพิ่งรับตำแหน่งยากที่จะผูกขาดฟ้าดินอย่างท่านพ่อได้

เขาเอียงหน้ามองเว่ยซูพร้อมกล่าวเสริมอีกว่า “ตอนที่ท่านพ่อยังอยู่ คงจะมีวิธีคานอำนาจพี่น้องพวกนั้นของข้า”

เว่ยซูพยักหน้า “วิธีการคานอำนาจก็เรียบง่ายมาก ก็คือทำให้ทุกคนไม่รู้จักกำพืดของกันและกัน ทำให้คุณชายพวกนั้นหวาดกลัวเพราะไม่รู้ นี่ก็คือวิธีคานอำนาจที่ดีที่สุดขอรับ”

เซี่ยโห้วลิ่งพูดเสริมอีกว่า “ถ้ามีคนก่อกบฎจริงๆ ล่ะ?”

เว่ยซูอธิบายว่า “ไม่มีใครก่อกบฏง่ายๆ ขอรับ เพราะไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของทุกคน คุณชายเหล่านั้นแม้จะต่างคนต่างมีกำลังของตัวเอง แต่กลับแบ่งแยกชัดเจนเสมอมา พวกเขาสนับสนุนกันและกัน จุดสำคัญที่เชื่อมต่อคุณชายแต่ละท่านไว้ด้วยกันก็คือหัวหน้าตระกูล ตอนนายท่านยังมีชีวิตอยู่ก็รักษาโครงสร้างแบบนี้ไว้ตลอด รักษาความเป็นเอกเทศของทุกคนเอาไว้ ทั้งป้องกันไม่ให้กระทบคนอื่นเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพลาด และเพื่อป้องกันไม่ให้เติบโตจนควบคุมยาก หลังจากนายท่านทุ่มเทความพยายามสร้างรูปแบบนี้แล้ว บรรดาคุณชายก็จะไม่สอดมือเข้ามาแทรกแซงขอบเขตอำนาจของคุณชายท่านอื่นได้ง่ายๆ

………………………………

เมื่อเห็นเหมียวอี้สงบเสงี่ยม ชิงหยวนจุนก็ยิ้มพร้อมบอกว่า “ทำไมไม่พูดล่ะ ข้าทำให้เจ้ารู้สึกว่าข้าวางมาดใหญ่โตจนเจ้าไม่กล้าทำความรู้จักเหรอ? ตอนที่ฮูหยินของเจ้ามาพบเสด็จแม่ของข้า ข้าก็ได้เจอฮูหยินของเจ้าหลายครั้งแล้ว ฮูหยินเจ้าพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับข้าจนทำให้เจ้าหวาดกลัวขนาดนี้ล่ะ?”

เหมียวอี้เป็นคนที่ถ้าเรียกพลังให้ตัวเองกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเมื่อไร ก็จะตอบสนองเร็วมาก เขาโพล่งออกไปทันที “องค์ชายกล่าวเกินไปแล้ว เพียงแต่เรื่องเมื่อครู่นี้ทำให้ข้าน้อยนึกขึ้นได้ถึงเรื่องอื่นก็เท่านั้นเอง ได้ยินว่านางในข้างกายเหนียงเหนียงถูกองค์ชายประหารไปแล้วไม่น้อย ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ขอรับ”

ชิงหยวนจุนตอบกลั้วหัวเราะว่า “มีเรื่องอย่างนี้จริงๆ เป็นเพราะคนพวกนั้นใจคด ข้าจงใจหาเรื่องลงโทษระบายอารมณ์ก็เท่านั้นเอง” รอยยิ้มดูไม่หยี่ระ เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่ตระกูลเซี่ยโห้วกำลังจัดพิธีศพไม่ได้สำคัญกับเขา

เหมียวอี้ถอนหายใจ “บางเรื่ององค์ชายอาจไม่พิจารณาพึงเหนียงเหนียง แต่องค์ชายก็ต้องพิจารณาเพื่อตัวเองให้มากๆ หน่อย การสังหารบ่าวไพร่ชั่วร้ายเป็นเรื่องเล็ก เพียงแต่การทำแบบนี้ในระยะยาวจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงเกียรติยศขององค์ชายเองขอรับ”

ชิงหยวนจุนหลุดขำ “แล้วชื่อเสียงเจ้าดีถึงขนาดไหนเชียว? ได้ยินว่าตอนเจ้าอยู่ตลาดสวรรค์ ชื่อเสียงก็ฉาวโฉ่ไปทั่วถนนแล้ เจ้ามาเตือนให้ข้าระวังชื่อเสียงเนี่ยนะ?”

เหมียวอี้เอามือลูบจมูกอย่างขัดเขินเล็กน้อย “องค์ชายกับข้าน้อยจะนำมาเทียบกันได้อย่างไรขอรับ ชื่อเสียงของข้าน้อยจะฉาวโฉ่หน่อยก็ไม่เป็นไร แต่องค์ชายย่อมไม่เหมือนกันขอรับ”

ชิงหยวนจุนหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “พอพูดถึงเรื่องตลาดสวรรค์ ข้าก็ไม่มีงานอะไรทำพอดีเลย อยากจะของานเสด็จพ่อทำสักหน่อย เจ้าคิดว่าตลาดสวรรค์เป็นยังไง? ให้ข้าไปดูแลตลาดสวรรค์สักหน่อยมั้ย แล้วเจ้าก็ย้ายไปช่วยงานข้าที่ตลาดสวรรค์ เป็นยังไง? ได้ยินว่าคนที่ตลาดสวรรค์กลัวเจ้าสุดๆ พอเจ้าไปถึงก็ทำให้พวกเจ้าตกใจจนปิดร้านหนีกันหมดเลยนี่”

ล้อเล่นอะไรกัน? ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะควบคุมกำลังพลกลุ่มนี้ได้ ตอนนี้ก็ไม่ได้ขาดเงินใช้ด้วย จะให้ตามเจ้าไปที่ตลาดสวรรค์เหรอ? แบบนั้นแสดงว่าสมองมีปัญหาแล้ว เหมียวอี้บ่นในใจไม่หยุด รีบโบกมือปฏิเสธ “องค์ชาย เรื่องนี้ไม่เหมาะสมขอรับ! ขออภัยที่ข้าน้อยพูดตรง ตลาดสวรรค์เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของขุนนางใหญ่เต็มราชสำนัก ไม่ว่าใครไปก็จัดการยากทั้งนั้น หากองค์ชายไปแล้วไม่อยากสร้างผลงานก็ยังพอไหว แต่ถ้าอยากสร้างผลงานก็จะต้องล่วงเกินคนไม่น้อยเลย มีแต่โทษไร้ประโยชน์ต่อองค์ชายขอรับ”

“เจ้ายังกลัวจะล่วงเกินคนอื่นด้วยเหรอ? ได้ยินว่าตอนอยู่ตลาดสวรรค์เจ้าสังหารคนของขุนนางใหญ่พวกนั้นจนเลือดนองเป็นแม่น้ำนี่นา!” ชิงหยวนจุนกล่าว

สำหรับเขา ตอนที่เหมียวอี้ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า เขาก็ยังไม่เกิด ทั้งยังไม่เคยคลุกคลีกับเหมียวอี้มาก่อน ดังนั้นเรื่องทุกอย่างของเหมียวอี้เขาขึงแค่ได้ยินมา

เหมียวอี้ฝืนยิ้ม “ข้าน้อยเป็นคนเท้าเปล่าไม่กลัวคนสวมรองเท้าหรอก มีคนต้องการจะบีบให้ข้าน้อยตาย ข้าน้อยย่อมต้องดิ้นรนสุดชีวิต ไม่เกี่ยวกับล่วงเกินคนอื่นหรือไม่ ที่จริงข้าน้อยกลัวการล่วงเกินคนอื่นมาก”

“ข้าได้ยินมาว่า ในปีนั้นตอนองค์ชายแต่งงานกับสนมสวรรค์ เจ้าก่อเรื่องใหญ่โตในงานต้อนรับสนม เจ้าเคยชี้หน้าด่าอ๋องสวรรค์อิ๋งใช่มั้ย?” ชิงหยวนจุนถาม

“…” เหมียวอี้ปาดเหงื่อเบาๆ เจ้าเป็นผู้ชายแท้ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะเอาเรื่องเมียข้ามาวิจารณ์คนอื่นซี้ซั้ว ครั้งแรกที่ได้คลุกคลีกับเจ้าหมอนี่ เขาก็รู้แล้วว่าเจ้าหมอนี่กำลังใช้คำพูดหยั่งเชิงตน จึงรีบอธิบายว่า “เป็นเรื่องที่ไม่มีจริง มีคนพูดเกินจริงขอรับ”

ชิงหยวนจุนกล่าวกลั้วหัวเราะ “งั้นเหรอ? อย่าบอกนะว่าทุกคนกำลังพูดโกหก? ข้าได้ยินมาว่าเจ้ายังถูกทำโทษให้เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปีเพราะเรื่องนี้ด้วย หรือว่าเรื่องนี้ก็ปลอมเหมือนกัน?” เห็นได้ชัดว่ากำลังบอกว่าเหมียวอี้โกหก

“อย่างน้อยก็ไม่ได้เกินจริงขนาดนั้น” เหมียวอี้กล่าวอย่างเก้อเขิน

ชิงหยวนจุนบันเทิงแล้ว “ข้ายังได้ยินมาด้วยว่าเจ้ามักจะมีเรื่องกับสนมสวรรค์ ตอนอยู่ที่การทดสอบแดนอเวจีเจ้าโจมตีสนมสวรรค์บาดเจ็บสาหัส เกือบจะฆ่าสนมสวรรค์ตายแล้ว ตอนหลังที่อยู่กองทัพองครักษ์ก็จัดการสนมสวรรค์อีก จับสนมสวรรค์แขวนบนเสาธงให้ได้รับความอับอายตั้งหลายวัน รุ่นหลานของตระกูลอิ๋งก็โดนเจ้าสังหารไปแล้วหลายคน มีเรื่องนี้หรือเปล่า?”

เหมียวอี้นับว่าฟังออกแล้ว เจ้าเวรนี่ไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตาหรอก แต่เหม็นขี้หน้าสนมสวรรค์ต่างหาก ก็พอจะเข้าใจได้เช่นกัน อย่างไรเสียเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เป็นมารดาของเขา เรื่องที่ประมุขชิงโปรดปรานจ้านหรูอี้ทุกคนรู้กันหมด กอปรกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่อาจจะพูดถึงจ้านหรูอี้และตระกูลอิ๋งในทางที่ไม่ดีต่อหน้าเจ้าเวรนี่บ่อยๆ ถ้าเจ้าเวรนี่รู้สึกดีกับตระกูลอิ๋งและจ้านหรูอี้ได้ก็แปลกแล้ว

“ก็ได้! เหมียวอี้เข้าใจแล้ว ว่าตัวเองถูกเจ้าเวรนี่จัดให้มาอยู่พวกกันโดยไม่รู้ตัว เขาได้แต่ยิ้มเจื่อน องค์ชาย นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วขอรับ ข้าน้อยจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว”

“นี่เจ้ากำลังแกล้งโง่น่ะเนี่ย! ทำก็ทำไปแล้ว ทำจนคนรู้กันหมด เจ้ายังจะอุดปากคนอื่นได้เชียวหรือ?” ชิงหยวนจุนส่ายหน้าแสดงอาการเหยียดหยาม แล้วถามต่อว่า “ข้ายังได้ยินมาด้วยว่าเพื่อที่จะชิงตัวฮูหยินคนปัจจุบัน เจ้านำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปตีทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติง อาศัยกำลังพลห้าหมื่นสังหารคนหลายแสน เรื่องนี้คงไม่ได้ยินมาผิดใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ทำสีหน้าจริงจังทันที “ไม่เกี่ยวกับการชิงตัวผู้หญิงเลยขอรับ ต่อให้ข้าน้อยจะไม่รู้จักบันยะบันยังแค่ไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำเรื่องแบบนั้น เป็นเพราะตอนแรกพบเบาะแสโจรราคะเจียงอีอีจริงๆ กำลังพลน่านฟ้าระกาติงต้องการจะแย่งผลงาน ชิงลงมือกับกำลังพลของข้าน้อยก่อน กำลังพลของข้าน้อยจึงถูกบีบให้ต้องโจมตีกลับ”

ชิงหยวนจุนหัวเราะร่า “ขนาดเสด็จแม่ยังบอกว่าเจ้าชิงตัวผู้หญิง จงใจวางกับดักล่อให้กำลังพลน่านฟ้าระกาติงไปติดกับดักแล้วลงมือสังหาร อย่าบอกนะว่าเสด็จแม่จะหลอกข้าได้?”

เหมียวอี้ก้มหน้าก้มตาตอบ “บางทีเหนียงเหนียงอาจจะจำผิดก็ได้ขอรับ” ถึงแม้เขาจะรู้ว่าทุกคนต่างรู้ความจริงอยู่แก่ใจ แต่เรื่องแบบนี้เขาจะยอมรับได้อย่างไรล่ะ ชีวิตของคนหลายแสน ลูกน้องของตัวเองรบตายไปตั้งเท่าไร พูดตรงๆ ก็คือรู้สึกผิดต่อลูกน้องที่รบตายไป

ชิงหยวนจุนที่เดินเนิบนาบเอาสองมือไขว้หลัง ชื่นชมทิวทัศน์ดอกไม้แปลกตาตรงหน้า แล้วส่ายหน้าเดาะลิ้น “ทำไมข้ารู้สึกว่าคำพูดจากปากเจ้าไม่ซื่อสัตย์ล่ะ ตราบใดที่เจ้าไม่ยอมรับเรื่องชั่วที่ทำ เสด็จแม่ยังบอกว่าเจ้าเป็นคนที่ควรค่าให้เชื่อใจ เจ้าคงไม่ได้หลอกเสด็จแม่ข้าบ่อยๆ หรอกใช่มั้ย?”

เหมียวอี้อยากจะบีบคอเจ้าหมอนี่ให้ตาย รีบโบกไม้โบกมือ “ไม่มีเรื่องแบบนั้นเลย ข้าน้อยพูดจริงทุกประโยค เหนียงเหนียงถูกคนตบตาแน่นอน เข้าใจผิดคำพูดใส่ร้ายพวกนั้น”

“งั้นเหรอ?” เห็นได้ชัดว่าชิงหยวนจุนไม่เชื่อ

เหมียวอี้ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “เป็นอย่างนี้จริงๆ ขอรับ องค์ชายไปสืบดูก็จะทราบแล้ว คนที่ข้าน้อยล่วงเกินมีเยอะเกินไปจริงๆ มีคนใส่ร้ายข้าน้อย ข้าน้อยไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด”

ชิงหยวนจุนกล่าวด้วยสีหน้าแปลกใจ “ได้ยินว่าศึกนี้ทำให้เจ้าชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า ใช้ทัพห้าหมื่นสู้กับทัพหนึ่งแสน ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์เสียเปรียบแต่ยังรบชนะได้ ขนาดเสด็จแม่ยังชมว่าเจ้าเป็นแม่ทัพผู้เหี้ยมหาญ เจ้ารีบบอกมาซิว่าเจ้าหลอกยังไง คนพวกนั้นถึงได้ติดกับดักเจ้า?”

สงสัยที่อธิบายไปจะเปล่าประโยชน์ ข้าหลอกบรรพบุรุษเจ้าสิ! เหมียวอี้ด่าในใจ เขาไม่เชื่อหรอกว่าท่านนี้อยู่ภายใต้การอบรมสั่งสอนของประมุขชิงหลายปีแล้วจะไร้เดียงสาขนาดนั้น สิ่งที่อีกฝ่ายร่ำเรียนล้วนเป็นกลอุบายของกษัตริย์ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายของวังหลวง จะเป็นคนดีบริสุทธิ์ผุดผ่องได้เหรอ? พูดอย่างกับตัวเองเป็นคนโง่อย่างนั้นแหละ เขาก้มหน้าก้มตาตอบ “องค์ชาย ไม่มีเรื่องหลอกลวงหรือไม่หลอกลวงอะไรเลยจริงๆ ขอรับ”

“ได้ ไม่ใช่การหลอกลวง แค่บอกมาว่าทำศึกนั้นยังไงก็ได้มั้ง?” ชิงหยวนจุนถาม

อีกฝ่ายพูดจาถึงขั้นนี้แล้ว กอปรกับฐานะของอีกฝ่าย เป็นไปได้ที่เหมียวอี้จะไล่ให้เขาไปตาย ไม่สะดวกจะไม่ตอบด้วย ทำได้เพียงเล่าโดยเลี่ยงขั้นตอนที่หลอกลวง เริ่มตั้งแต่ตอนจับเจียงอีอีตัวปลอมได้แล้วถูกกำลังพลน่านฟ้าระกาติงรุกโจมตี

พอนึกถึงการต่อสู้ที่ดุเดือด ความคิดของเหมียวอี้ก็ค่อยๆ จมลงสู่เหตุการณ์ในปีนั้น น้ำเสียงฟังดูเจ็บปวด เล่าอธิบายทีละฉาก

ตอนที่ได้ยินว่าทหารที่ตกอยู่ในสภาพตกอับพากันร้องไห้ตะโกนว่าสู้ตาย ตะโกนว่าจะดักหลังให้เหมียวอี้ ให้เหมียวอี้หนีไปก่อน แต่เหมียวอี้กลับสู้ตายไม่ยอมถอย ชิงหยวนจุนก็ทำสีหน้าตื้นตันใจ ตอนได้ยินว่าตีทัพใหญ่ล้านแตกพ่าย กำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์แทบจะถูกโจมตีจนพิการหมด แต่ละคนสภาพเหมือนปีขึ้นมาจากบ่อเลือด บนตัวทุกคนมีบาดแผลหลายรอย ในบรรดาคนที่รอดมาได้ยังมีคนที่แขนขาดขาขาดไม่น้อย ชิงหยวนจุนก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ทัพที่ถูกบีบจักต้องได้ชัยชนะ!”

เหมียวอี้จมอยู่ในเหตุการณ์ของปีนั้นแล้วจริงๆ สีหน้าฉายแววเศร้าโศก ชิงหยวนจุนที่ดึงสติกลับมาแล้วจ้องสีหน้าของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มอีก “ได้ยินว่าเจ้าคือศิษย์ของอสุราอัคนี?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ใช่ขอรับ! เพียงแต่เป็นศิษย์ต่างยุค มีวาสนาไปพบของที่เขาทิ้งไว้โดยบังเอิญเท่านั้นเอง”

“ข้ายังเคยได้ยินอีกว่า หลังจากจบศึกนั้น พวกอ๋องสวรรค์แย่งกันรับเจ้าเป็นเขย?” ชิงหยวนจุนถาม

เหมียวอี้อยากจะให้เขาหุบปากจริงๆ แต่ฐานะของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ เขาไม่สะดวกที่จะไม่ตอบ ไม่อย่างนั้นคงสะบัดหน้าหนีไปนานแล้ว เขาส่ายหน้าตอบ “องค์ชาย ข้าน้อยจำได้ไม่ชัดเจนแล้วจริงๆ ขอรับ”

ชิงหยวนจุนถามอีก “ได้ยินว่าตำแหน่งหัวหน้าภาคนี้เจ้าก็หลอกเอามาได้ เจ้าสร้างสถานการณ์หลอกขุนนางเต็มราชสำนักให้ตอบรับการเดิมพันของเจ้ายังไง ไหนเล่าขั้นตอนมาให้ข้าฟังหน่อย”

ข้าหลอกบรรพบุรุษเจ้าน่ะสิ! ไอ้ลูกตะพาบเอ๊ย ได้ยินมาจากไหนมากมายขนาดนั้น? เหมียวอี้ด่ากราดในใจ ภายนอกก็ยกมือนวดหน้าผาก ทำท่านึกไม่ออก “หลอกลวงที่ไหนกันขอรับ ข้าน้อยโดนอิงอู๋เชวียบีบจนเป็นแบบนั้น ด้วยความร้อนใจ…”

“หุบปากเถอะ! อย่ามาเล่นลูกไม้นี้กับข้า!” ชิงหยวนจุนยกมือตัดบท แล้วกล่าวอย่างเริงร่า “ไม่ต้องพูดแล้ว เข้าใจแล้ว ก็อย่างที่บอก ตราบใดที่เจ้าไม่ยอมรับเรื่องชั่วที่ทำ ข้าถามไปก็เปล่าประโยชน์ เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าตอบคำถามข้าอีกข้อเดียว ขอเพียงเจ้ายอมพูดความจริง ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจอีก เป็นยังไง?”

“ที่ข้าน้อยพูดล้วนเป็นความจริง” เหมียวอี้กล่าวอย่างซื่อสัตย์

ชิงหยวนจุนแสยะยิ้ม “อย่ามาเล่นลูกไม้นี้กับข้า ข้าถามเจ้าคำถามเดียว เจ้าคงไม่ถึงขั้นไม่รับปากหรอกมั้ง”

เหมียวอี้ยังปากแข็ง “อยู่ต่อหน้าองค์ชาย ข้าน้อยต้องพูดความจริงแน่นอนขอรับ แต่เรื่องผ่านมานานแล้ว เกรงว่าข้าน้อยจะจำได้ไม่ชัดเจน!”

“เรื่องนี้เจ้าต้องจำได้ชัดเจนแน่นอน” ชิงหยวนจุนยิ้มเบาๆ

ถูกกัดไม่ปล่อยแล้วจริงๆ! เหมียวอี้โดนบีบจนหมดทางเลือก “ข้าน้อยจะลองดูแล้วกันขอรับ”

ชิงหยวนจุนพลันอมยิ้ม “ตามที่ข้ารู้มา เดิมทีเจ้าเป็นคนใต้สังกัดกองทัพองครักษ์ของเสด็จพ่อ ทำไมต้องทรยศองค์ชายไปพึ่งพาตระกูลโค่ว…” ยังไม่ทันรอให้เหมียวอี้อธิบาย เขาพูดต่อว่า “อย่าพูดอะไรจอมปลอมกับข้า ถ้าเจ้าบอกว่าทำเพื่อฮูหยิน ข้าจะเชื่อเจ้าก่อนก็ได้ เพียงแต่ข้าจะถามเรื่องในตอนหลัง เหตุใดตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแล้วไม่ขอพึ่งพาเสด็จพ่อ ตอนนี้กลับมาพึ่งพาเสด็จแม่?”

ทำไมเจ้าหมอนี่ต้องถามเรื่องที่ตนไม่สะดวกจะพูดต่อหน้าเขาด้วยนะ? เหมียวอี้นับว่ามองออกแล้ว เจ้าหมอนี่แสร้งว่ามีข้อมูลอยู่ในใจแล้ว ไม่เข้าใจแต่แกล้งเข้าใจ เรื่องเมื่อก่อนซับซ้อนขนาดนั้น มีหรือที่จะใช้คำว่าขอพึ่งพามาอธิบายได้ เขาพบว่าพูดกับเจ้าหมอนี่ไปก็พูดได้ไม่ชัดเจน จึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “องค์ชายอยากจะฟังจริงหรือขอรับ?”

“เจ้าคิดว่ายังไง?” ชิงหยวนจุนถาม

“ข้าน้อยเกรงว่าพูดออกมาแล้วจะรับผิดชอบไม่ไหว” เหมียวอี้กล่าว

ชิงหยวนจุนบอกว่า “ข้าไม่เอาเรื่องเจ้าหรอก! อย่างไรเสียก็ไม่มีคนนอก คำพูดจากปากเจ้า ฟังเข้าหูข้า ฟ้ารู้ดินรู้ เจ้ากับข้ารู้ พูดจบแล้วเจ้าไม่ต้องยอมรับก็ได้ พอออกจากที่นี่ไปแล้วก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น”

เหมียวอี้หันซ้ายหันขวา คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย จึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “สาเหตุก็เรียบง่ายมาก เป็นเพราะข้าน้อยกับองค์ชายปัสสาวะลงกระโถนเดียวกันไม่ได้[1]!”

…………………………

[1] ปัสสาวะลงกระโถนเดียวกันไม่ได้ 尿不到一只壶里去 อุปมาว่าอุดมการณ์ต่างกัน

เฉาหม่านขมวดคิ้ว ครุ่นคิดเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร

ผู้ที่มามองปฏิกิริยาของเขา แล้วโน้มน้าวต่อว่า “มาถึงขั้นนี้แล้ว สำหรับพี่น้องที่หลบอยู่ในที่ลับอย่างพวกเรา ต่อให้ไม่อยากเข้าใจแต่ก็ถูกท่านพ่อบีบให้เข้าใจอยู่ดี เจตนาของท่านพ่อคืออะไร เป็นเรื่องยากที่พวกเราจะไม่เข้าใจชัดเจน ตอนที่ยังหาเป้าหมายที่เหมาะสมกว่านี้ไม่เจอ ท่านพ่อไม่มีทางวางไข่ทุกใบไว้ในตะกร้าเดียวกัน แต่ใช้ขาหลายข้างเดินไปด้วยกัน เจตนาของท่านพ่อก็เรียบง่ายมาก หากพี่รองทำได้ดี ทุกอย่างก็ย่อมก้าวไปข้างหน้า ถ้าพี่รองไร้ฝีมือไม่สามารถทำให้พวกเราเชื่อใจและยอมรับได้ เช่นนั้นเขาก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะคว้าอำนาจทุกอย่างเอาไว้ในมือได้ เพราะแบบนั้นจะเป็นการทำลายตระกูลเซี่ยโห้ว สถานการณ์ในตอนนั้นก็คือพี่รองยืนอยู่ในที่แจ้งต่อไป พวกเราก็หลบอยู่ในที่ลับต่อไป ที่ลับกับที่แจ้งไม่รุกรานกัน ใช้วิธีการนี้รักษาอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วต่อไป ถ้าพี่รองเป็นพวกหัวสูงฝีมือต่ำแล้วทำซี้ซั้วอยู่อย่างนั้น พวกเราก็ไม่มีทางอื่นนอกจากร่วมมือกันแทนที่เขาแล้ว สรุปก็คือไม่สนว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ก็ต้องพยายามสุดความสามารถเพื่อรักษาอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วเอาไว้ ครั้งนี้ท่านพ่อผลักดันให้พี่รองเป็นหัวหน้าตระกูล ดูเผินๆ เหมือนไม่ยุติธรรมต่อพวกเรา แต่ภายใต้แผนที่ท่านพ่อวางไว้ ที่จริงได้เติมน้ำใส่ชามไว้เท่ากันแล้ว ไม่ได้ลำเอียงช่วยใคร พี่รองแค่ยืนอยู่หน้าแถวตามลำดับก่อนหลังก็เท่านั้นเอง สุดท้ายคนที่รับช่วงต่อตระกูลเซี่ยโห้วก็มีเพียงเงื่อนไขเดียวเท่านั้น ผู้ที่มีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่ง!”

“เป็นข้าเองที่มองไม่ทะลุเพราะตัวอยู่ในสถานการณ์” จู่ๆ เฉาหม่านก็ถอนหายใจ เขาไม่ได้ยืนอยู่ในตำแหน่งของพี่น้องคนอื่น จึงมองไม่เห็นว่าตำแหน่งที่ตัวเองยืนอยู่มีความหมายอย่างไร แต่พี่น้องคนอื่นๆ กลับถูกท่านพ่อบีบให้มองให้เห็นให้ชัดเจน ตอนนี้เจ้าหกเตือนแบบนี้แล้ว เรียกได้ว่ารู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย ก่อนหน้านี้เขายังมีความคับแค้นต่อท่านพ่ออยู่บ้าง แต่พอมาคิดดูตอนนี้ ท่านพ่อไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างไร้ความยุติธรรม ก็เหมือนที่เจ้าหกบอก ท่านพ่อเทน้ำใส่ชามไว้เท่านั้นแล้ว คนมีความสามารถเท่านั้นจะได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง

เมื่อเห็นเขายอมรับแล้ว ผู้ที่มาก็พูดต่อไป “พี่สาม ตอนนี้ท่านน่าจะเข้าใจแล้วใช่มั้ย นายท่านแค่ให้พี่รองคุมตระกูลเซี่ยโห้วในฉากหน้าเท่านั้น และจะให้เขาควบคุมสถานการณ์บางอย่างของพวกเราพี่น้องแน่นอน ทำให้เขาได้เปรียบโดยธรรมชาติ แต่ท่านพ่อไม่มีทางปล่อยให้เขาเอาชะตากรรมของทั้งตระกูลมาทำซี้ซั้ว นั่นคือสิ่งที่ตระกูลเซี่ยโห้วเอาชีวิตคนมาเติมเท่าไรก็ไม่เต็ม ดังนั้นคนที่บีบอำนาจที่แท้จริงของตระกูลเซี่ยโห้วเอาไว้ก็คือท่านนะพี่สาม ที่จริงแล้วท่านพ่อมอบชีวิตของเหล่าพี่น้องไว้ในมือท่านแล้ว ตอนนี้ท่านจะแสร้งทำเลอะเลือนต่อไปได้อีกเหรอ?”

เฉาหม่านอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ท่านพ่อมีความคิดลึกล้ำ เฉาคนนี้เทียบไม่ติด!” กล่าวจบก็ไม่เปลืองคำพูดแล้ว ไม่พิสูจน์ตัวตนของน้องหกเช่นกัน ลงตราอิทธิฤทธิ์ไว้บนระฆังดาราสองอันบนโต๊ะทันที สำหรับคนฉลาด เรื่องบางเรื่องแค่ชี้แนะนิดหน่อยก็รู้คำตอบแล้ว ไม่จำเป็นต้องสืบเสาะไปจนถึงราก

หลังจากต่างคนต่างหยิบระฆังดาราไปแล้ว เฉาหม่านก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เจ้าหก อย่างน้อยข้าก็ต้องรู้ว่าเจ้าควบคุมกำลังคนทางไหน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้น ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะติดต่อไปหาเจ้าหรือไม่”

“กลุ่มก๊วน!” ผู้ที่มากล่าวเบาๆ

เฉาหม่านพยักหน้าเบาๆ จดจำไว้แล้ว ถามอีกว่า “ตอนนี้ยังไม่ให้ข้าเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าอีกเหรอ?”

ผู้ที่มาแกว่งระฆังดาราในมือ “นี่คือจุดที่ชาญฉลาดของท่านพ่อ ตราอิทธิฤทธิ์ของพวกเราพี่น้องล้วนไม่ได้อยู่ในคลังเปรียบเทียบ และไม่ให้พวกเรารู้จักโฉมหน้าของกันและกันด้วย ใต้หล้ามีคนในกลุ่มก๊วนมากมาย ต่อให้พี่สามอยากจะสืบให้เจอข้าแต่ก็ยาก นี่ก็คือไพ่ลับใบสุดท้ายที่ข้าใช้ปกป้องตัวเอง ย่อมไม่บอกพี่สามง่ายๆ อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าวันไหนพี่สามทำซี้ซั้วขึ้นมา ใครจะยังคานอำนาจกับพี่สามได้ล่ะ? ขอเพียงพี่รองไม่ทำซี้ซั้ว ข้าก็ไม่ต่อต้านเขาง่ายๆ เช่นกัน ที่สร้างช่องทางติดต่อกับพี่สามโดยตรงก็เพื่อเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเอง ทำมากเกินไปก็ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น ใครจะไปรู้ว่าท่านพ่อเหลือแผนสำรองอะไรไว้อีกหรือเปล่า? ท่านพ่อไม่ได้อ่อนด้อยฝีมือ ที่จริงเป็นแบบนี้ก็ดีมากแล้ว อย่างน้อยถ้ามีจุดไหนสักจุดเกิดเรื่องขึ้น ก็จะไม่ถูกโจมตีรอบด้าน พี่สามไม่จำเป็นต้องสนใจโฉมหน้าที่แท้จริงของข้าหรอก ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองก็ต้องป้องกันพี่สามไม่ให้มีปัญหาอะไร ถูกไหมล่ะ?”

เฉาหม่านพยักหน้าเห็นด้วย

ที่มาเดินไปปักธูปหนึ่งดอกในกระถางธูป จากนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรมากอีก พอบรรลุจุดประสงค์แล้วก็จากไปเลย

เฉาหม่านเองก็ไม่ได้บอกว่าให้กลับดีๆ เดินมาปักธูปหนึ่งดอกในกระถางธูปเช่นกัน แล้วเดินเนิบนาบไปผลักบานหน้าต่างออก มองดูท้องฟ้าราตรีด้านนอกแล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

เมื่อเรื่องบางเรื่องแจ่มชัด ก็ย่อมเป็นไปตามสิ่งที่คาดไว้ ไม่ใช่แค่เจ้าหกเท่านั้น อำนาจใต้ดินฝ่ายต่างๆ ที่ตระกูลเซี่ยโห้วซ่อนไว้ทยอยกันมาคารวะถึงประตูบ้าน เหตุใดจึงมากันในเวลานี้ เฉาหม่านก็เดาเหตุผลได้ไม่ยาก ประการแรกเป็นเพราะตระกูลเซี่ยโห้วกำลังจัดพิธีศพ ทำให้แบ่งสมาธิความสนใจของเซี่ยโห้วลิ่งไม่น้อยแน่นอน ไม่ค่อยได้จับตาดูทางฝั่งนี้สักเท่าไร ประการต่อมาเป็นเพราะทุกคนรีบร้อนสร้างช่องทางติดต่อกับเขา การถ่วงเวลาให้นานขึ้นไม่ใช่เรื่องดี หากเกิดปัญหาขึ้นก็ไม่อาจติดต่อกันโดยตรงได้

เรื่องนี้ย่อมทำให้ชีเจวี๋ยเกิดความสงสัย จู่ๆ ช่วงนี้ก็มีกลุ่มสหายของเถ้าแก่โผล่มา นี่มันสถานการณ์อะไร?

จวนท่านปู่สวรรค์ ผ้าขาวปลิวสะบัดราวกับธง มีคนเข้าออกไม่ขาดสาย

เหมียวอี้ที่สวมชุดดำทั้งตัวมาคนเดียว กำลังพลที่ติดตามถูกกันไว้ข้างนอก ไม่ให้เข้ามาที่นี่ มีอีกสถานที่หนึ่งเตรียมไว้แล้ว

คนที่รับแขกอยู่ตรงประตูก็เป็นคนมีประสบการณ์ความรู้เช่นกัน ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็เคยเป็นแม่ทัพภาคอุทยานหลวง ไม่ยากที่จะจำได้

“หัวหน้าภาคหนิว เชิญด้านใน!”

ลงตราอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบตัวตน หลังจากวางของขวัญไว้แล้ว ก็มีคนเชิญให้เขาเข้าประตูไป เส้นทางหลังจากนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครนำ เดินตรงไปตามเส้นทางที่มีธงขาวตั้งไว้ก็พอ ที่ตั้งโลงศพก็อยู่ในตำหนักหลักนี่เอง

เพิ่งจะก้าวขึ้นบนไดตำหนักใหญ่ ก็มีคนประกาศแล้วว่า “หนิวโหย่วเต๋อหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลมาถึงแล้ว!”

คนระดับหัวหน้าภาคเกรงว่าจะยังไม่มีสิทธิ์มาคารวะศพที่นี่ เหมียวอี้เป็นข้อยกเว้นจากคนกลุ่มนั้น

ตรงประตูมีคนส่งธูปให้เหมียวอี้ พอเดินเข้ามาข้างใน ก็เห็นโลงศพตั้งอยู่ด้านบน ด้านซ้ายและขวามีทั้งชายทั้งหญิงนั่งคุกเข่าตาแดงก่ำ ทยอยกันโค้งตัวขอบคุณเหมียวอี้

เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาหน้ากระถางธูปและเทียน หลังจากไหว้ปักธูปในกระถางธูปแล้ว ก็หันตัวไปหาพวกเซี่ยโห้วลิ่งที่อยู่ด้านข้าง แล้วกล่าวปลอบใจเสียงเบา “ขอแสดงความเสียใจด้วย”

พวกเซี่ยโห้วลิ่งกุมหมัดขอบคุณ ขณะเดียวกันก็จ้องประเมินเหมียวอี้อย่างตั้งใจ คนอื่นๆ ที่คุกเข่าปลอบใจอีกครั้ง

ทางนี้เพิ่งจะเดินลงบันไดตำหนักใหญ่ เอ๋อเหมยก็รออยู่ด้านล่างแล้ว ยื่นมือบอกใบ้ให้หมียวอี้เดินตามนางไป

เมื่อมีเอ๋อเหมยนำทาง ก็เดินผ่านฉลุยตลอดทาง เข้ามาในเรือนหลังหนึ่งในสวนของจวนท่านปู่สวรรค์ ตรงประตูมีทหารสวรรค์เฝ้าอยู่ มีจำนวนไม่น้อยเป็นแม่ทัพเกราะแดง ส่วนใหญ่เหมียวอี้รู้จักหมด ยังเคยดื่มสุราด้วยกัน ล้วนเป็นคนของกองทัพองครักษ์

พบหน้ากันแล้วทักทายกันสองสามประโยค ค้นตัวเหมียวอี้เสร็จแล้วถึงได้ปล่อยเข้าไป

พอเดินมาตลอดทางจนถึงโถงหลัก ก็เห็นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังนั่งสง่าอยู่ในนั้น

ตอนนี้ราชินีสวรรค์ตาแดงก่ำ สวมชุดสีขาวทั้งตัว ถอดเครื่องประดับบนศีรษะออกหมดแล้ว เกล้ามวยผมขึ้นอย่างเรียบง่าย กลับดูสบายตาน่ามองขึ้นกว่ายามปกติ

เหมียวอี้พึมพำในใจ รู้สึกว่าเวลาเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่แต่งกายฉูดฉาดหรูหราเหมือนยามปกติ ก็ดูดีขึ้นหลายส่วน แน่นอน ต่อให้ตีเขาให้ตายเขาก็ไม่พูดสิ่งนี้ออกมา เขาก้าวขึ้นมาข้างหน้า “ข้าน้อยหนิวโหย่วเต๋อคำนับเหนียงเหนียง ขอแสดงความเสียใจกับเหนียงเหนียงด้วยขอรับ!”

“เจ้ามาแล้วเหรอ ไม่ต้องมากพิธี” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พยักหน้า ในที่สุดก็ได้เจอคนที่ทำให้นางรู้สึกคลายกังวลได้บ้างแล้ว แต่จนใจที่ไม่สะดวกจะยิ้มในงานแบบนี้ หันกลับมาบอกกับคนข้างๆ ว่า “จุนเอ๋อร์ เหมือนพวกเจ้าจะไม่เคยเจอกันมาก่อนนะ นี่คือทหารใต้สังกัดของแม่โดยตรง หัวหน้าภาคแดนรัตติกาลหนิวโหย่วเต๋อ เป็นคนที่ควรค่าให้แม่เชื่อใจ”

เหมียวอี้เพิ่งจะย้ายความสนใจไปที่ตัวชายร่างสูงตระหง่านที่ยืนอยู่ข้างๆ สวมชุดผ้าแพรตัวยาวสีเขียว อาจจะเป็นเพราะเซี่ยโห้วท่าเพิ่งจากไป บนตัวจึงมีเสื้อกั๊กสีขาวตัวหนึ่ง หน้าตาไม่นับว่าหล่อเหลา แต่กลับมีสง่าราศีในตัวเอง เผยให้เห็นความสูงส่งโดยธรรมชาติ แววตามีประกาย หน้าตาคล้ายประมุขชิงอยู่หลายส่วน

มีทั้งคำว่า ‘จุนเอ๋อร์’ มีทั้งคำว่า ‘ท่านแม่’ ถ้ายังเดาไม่ออกว่าเป็นโอรสสวรรค์ชิงหยวนจุนลูกชายของประมุขชิง เหมียวอี้ก็ใกล้เคียงกับคนโง่แล้ว จึงรีบกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยคารวะองค์ชาย!”

ชิงหยวนจุนอมยิ้มในดวงตา พยักหน้าเบาๆ “หัวหน้าภาคหนิว ข้าได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว วันนี้เจอตัวจริง นับว่ามีลักษณะไม่ธรรมดา” สายตาที่มองประเมินเหมียวอี้ดูค่อนข้างสนใจใคร่รู้

มองออกว่าไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับเหมียวอี้ ถึงอย่างไรก็เป็นลูกน้องคนสนิทของมารดาตัวเอง

“มองออกเลยว่าพวกเจ้าสองคนถูกชะตากันมาก ถ้ามีโอกาสก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันสักหน่อย” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ดันทุรังสรุปเอาเอง

“ขอรับ!” ชิงหยวนจุนกับเหมียวอี้กลับรีบกุมหมัดเอ่ยรับพร้อมกัน

“พักอยู่ที่ไหน เตรียมจะกลับเมื่อไร?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถามอีก

เหมียวอี้ตอบอย่างเคารพ “รอเสร็จพิธีศพของท่านปู่สวรรค์ก็จะกลับแล้วขอรับ ตอนนี้พักที่เรือนรับแขกด้านนอกชั่วคราว”

มีเอ๋อเหมยและคนอื่นๆ อยู่ด้วย เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ หลังจากพูดจาตามมารยาทโดยไม่มีความหมายอะไรสองสามประโยค นางก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าอ่อนเพลียนิดหน่อย คนหนุ่มอย่างพวกเจ้าไปเดินเล่นกันสักหน่อยเถอะ” นางโบกมือบอกชิงหยวนจุนที่อยู่ข้างๆ

“ขอรับ!” ทั้งสองกุมหมัดเอ่ยรับพร้อมกัน

หลังจากมองคล้อยหลังสองคนนี้เดินตามกันออกประตูไป เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็แอบพยักหน้าอย่างรู้สึกคลายกังวล

ทั้งสองที่ออกมาแล้วเดินเล่นอยู่ในสวน ไม่มีใครเอ่ยปากก่อนทั้งนั้น เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดถึงนิสัยใจคอของโอรสสวรรค์ พิจารณาว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร ขณะเดียวกันก็แอบทอดถอนใจ ในปีนั้นท่านนี้ยังอยู่ในท้องเซี่ยโห้วเฉิงอวี่อยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวก็โตขนาดนี้แล้ว ทำให้เขาพลันรู้สึกว่าตัวเองก็อายุไม่น้อยแล้วเช่นกัน

เพียงแต่คิดไปคิดมาก็ยอมรับ นั่นเป็นเรื่องเมื่อหนึ่งหมื่นปีที่แล้ว อีกฝ่ายจะไม่เติบโตได้อย่างไร

พอเดินเข้ามาในสวนดอกไม้ จู่ๆ ชิงหยวนจุนก็หยุดฝีเท้า แล้วหันขวับมาถาม “พวกเจ้าจะตามข้ามาทำไม?”

เหมียวอี้หันตัวมองตาม เห็นเพียงนางในสองคนตอบอย่างหวาดกลัวว่า “ข้างกายองค์ชายจะไร้คนปรนนิบัติได้อย่างไรเพคะ! บ่าว…”

“ไสหัวไป!” ชิงหยวนจุนตะคอกอย่างไม่เกรงใจ

สตรีทั้งสองตกใจจนหน้าซีด ก้มหน้าถอยออกไปทันที ตอนนี้ชิงหยวนจุนถึงได้หันกลับมายิ้มกับเหมียวอี้ “พี่หนิวอย่าเก็บมาใส่ใจเลย ตระกูลเซี่ยโห้วจับตาดูเข้มงวด เห็นแล้วรำคาญ ถ้าให้ตามอยู่ข้างกายจะทำให้เสียบรรยากาศ”

เหมียวอี้พยักหน้ายิ้ม เขาไม่รู้สึกผิดคาดเลยสักนิด ข้างกายเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มีแต่หูตาของตระกูลเซี่ยโห้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ปลื้ม ประมุขชิงก็ย่อมไม่ชอบเช่นกัน คนที่บิดามารดาตัวเองรำคาญ ลูกชายที่เห็นเองได้ยินเองจะชอบได้ก็แปลกแล้ว

เพียงแต่จะว่าไปแล้ว ก็มีเพียงชิงหยวนจุนที่กล้าชักสีหน้าใส่คนพวกนี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่กล้าทำอย่างนี้ ประมุขชิงมีฐานะสูงส่งจึงรู้จักวางมาด เหมียวอี้เคยได้ยินอวิ๋นจือชิวเล่า ว่านางในข้างกายเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถูกโอรสสวรรค์ท่านนี้กลั่นแกล้งจนโดนตีตายไปหลายคนแล้ว แม้แต่เอ๋อเหมยก็ยังเคยโดนซ้อมไปยกหนึ่ง เพียงแต่ตีตายไปเท่าไร ตระกูลเซี่ยโห้วก็ส่งเข้ามาเพิ่มเท่านั้น เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่กล้าไม่รับไว้

……………………

ประมุขชิงนำขุนนางใหญ่พวกนี้เดินออกจากห้อง ได้ยินเสียงร้องไห้ทั้งข้างนอกข้างใน แต่ละคนมีสีหน้าจริงจังหนักแน่น

ไม่ว่าในอดีตจะเคยมีบุญคุณความแค้นอะไรกับเซี่ยโห้วท่า แต่นั่นก็ผ่านไปแล้ว ฉากที่เซี่ยโห้วท่าสิ้นอายุขัยดุจเปลวไฟที่ดับลงราวกับเป็นหินหนักหน่วงก้อนหนึ่งที่กดหัวใจพวกเขา ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีวันนี้ด้วยหรือเปล่า

ประมุขชิงกับกลุ่มขุนนางใหญ่ไม่ได้อยู่ต่อ พวกเขาออกไปตั้งแต่ตอนนี้ ส่วนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ยังอยู่ต่อ คาดว่าถ้าพิธีศพของเซี่ยโห้วท่ายังไม่เรียบร้อย นางก็ยังไม่สะดวกออกไป ที่จริงก็ไม่ได้มีพิธีฝังศพอะไรหรอก คนก็ไม่อยู่แล้ว ถ้าจะฝังก็ฝังได้แค่เสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้ เพียงแต่ขั้นตอนที่จำเป็นก็ยังต้องดำเนินการ คาดว่าตระกูลเซี่ยโห้วก็คงไม่อยากโดนคนอื่นตำหนิว่าเป็นลูกหลานอกตัญญูเช่นกัน ตระกูลใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีหน้าตาเป็นพิเศษ เพราะคนที่ดูอยู่มีเยอะเกินไป

จัดพิธีศพใหญ่โต!

ในระหว่างนั้น ฐานันดรท่านปู่สวรรค์ของเซี่ยโห้วลิ่งกลายเป็นความจริงแล้ว ผ่านมติราชสำนักโดยแทบจะไม่มีแรงต้านอะไร ราบรื่นมาก

ข่าวการตายของเซี่ยโห้วท่าแพร่ไปทั้งใต้หล้า ชีวประวัติเกี่ยวกับเซี่ยโห้วท่าถูกคนนำมาพูดถึงใหม่อีกครั้ง

หลังจากเหมียวอี้ได้รู้ข่าวแล้ว ก็ติดต่อหาราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทันที ขอให้นางระงับความเศร้าโศก ขณะเดียวกันก็บอกด้วยว่าตัวเองจะไปสักการะศพที่ตระกูลเซี่ยโห้ว ยามปกติแอบอ้างบารมีเซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดอย่างนั้นอย่างนี้ ตอนนี้เซี่ยโห้วท่าจากโลกนี้ไปแล้ว ถ้าไม่ไปก็จะดูไม่ค่อยเหมาะสม

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อนุญาตแล้ว แต่กลับให้เขาติดต่อเอ๋อเหมย ส่วนเหตุผลน่ะเหรอ เหมียวอี้ย่อมรู้อยู่แก่ใจ เขากับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต้องแสร้งทำเป็นไม่มีวิธีติดต่อกันโดยตรง

พอทางนี้ติดต่อเอ๋อเหมยได้ เอ๋อเหมยก็รีบขอคำชี้แนะจากเว่ยซู ส่วนเว่ยซูก็ถามความเห็นจากเซี่ยโห้วลิ่งทันที แต่ใครจะคิดว่าเซี่ยโห้วลิ่งจะตอบตกลงง่ายมาก

หลังจากเตรียมตัวที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้ว เหมียวอี้ก็นำกำลังพลกลุ่มหนึ่งออกเดินทางอย่างรวดเร็ว

ก่อนออกเดินทาง เหมียวอี้ก็ได้รับข่าวจากสวีถังหรานอย่างกะทันหัน บอกว่าหยวนกงขอลาหยุด ไม่รู้ชัดว่าจะไปไหน เหมียวอี้รู้สึกแปลกใจ หรือว่าหยวนกงจะกลับไปเคารพศพเหมือนกัน? ตามหลักแล้วนี่คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หยวนกงจะกล้าเปิดเผยตัวตนเหรอ?

ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านอุดอู้อยู่ในห้องมืดสลัว ในห้องวางธูปบูชาเอาไว้ ควันเขียวลอยโขมง เฉาหม่านที่สวมชุดขาวทั้งตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ

ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จากนั้นชีเจวี๋ยก็เข้ามาเองโดยไม่ต้องให้เชิญ เฉาหม่านที่กำลังหลับตาอยู่บนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรงกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่มีธุระสำคัญก็อย่ามารบกวนข้า”

ชีเจวี๋ยถือจดหมายอยู่ในมือ ไม่ใช่แผนหยก แต่เป็นจดหมายที่เขียนใส่กระดาษ “เถ้าแก่ มีคนบอกว่าเป็นสหายของท่าน ต้องการพบท่าน บอกว่าหากท่านอาจจดหมายนี้แล้วก็จะรู้ว่าเขาคือใครขอรับ”

เฉาหม่านเหลือบตาขึ้น ในดวงตาฉายแววแปลกใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนใช้วิธีการเขียนจดหมายแบบนี้ติดต่อเขา ไม่กลัวว่าเนื้อหาในจดหมายจะถูกเปิดโปงเชียวหรือ?

เมื่อรับจดหมายว่าไว้ในมือ ถือซองจดหมายที่ปิดผนึกแน่นพลิกดูซ้ำไปซ้ำมา แล้วก็ฉีกซองจดหมายออก ดึงกระดายขาวที่บางเหมือนปีกจั๊กจั่นออกมา ที่แปลกกว่านั้นก็คือ บนกระดาษขาวสะอาดหมดจด ไม่มีตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นว่าบนนั้นทิ้งร่องรอยอะไรไว้

เฉาหม่านขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปที่มุมห้อง กรอกน้ำใส่ในถังเงินใบหนึ่ง แล้ววางกระดาษขาวลงในน้ำอย่างแผ่วเบาราบเรียบ

กระดาษขาวเปียกจนเปลี่ยนสี ด้านบนปรากฏตัวอักษรตัวหนึ่ง มีเพียงตัวเองเท่านั้น เป็นตัวอักษร ‘หก’ ตัวเดียว

หมายความว่าอะไร? เฉาหม่านงงไปชั่วขณะ ตัวอักษรหายไปเร็วมาก แม้แต่กระดาษแผ่นนั้นก็กระจัดกระจายแยกจากกัน ค่อยๆ ละลายอยู่ในน้ำ ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้

ส่งมาแค่คำว่า ‘หก’ เหตุใดกลับทำลึกลับขนาดนี้ ตัวอักษร ‘หก’ นี้สำคัญมากเหรอ? เฉาหม่านกำลังครุ่นคิด ในดวงตาลุกวาวทันที เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ พลันหันกลับมาถาม “คนอยู่ที่ไหน?”

ชีเจวี๋ยไม่อาจนำสิ่งของอันตรายเขามาที่นี่ได้ ก่อนหน้านี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบของในซองจดหมายแล้ว แต่ตรวจสอบไม่เจออะไร ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเฉาหม่านตรวจสอบอะไรแล้ว จึงตอบอย่างเคารพว่า “รออยู่ในโถงรับแขกด้านล่างขอรับ”

“เชิญ!” เฉาหม่านกล่าว

หลังจากชีเจวี๋ยออกไปได้ไม่นาน นำชายหนุ่มหนวดงุ้มเข้ามา เห็นได้ชัดว่าปลอมแปลงใบหน้ามาแล้ว มองปราดเดียวก็รู้

หลังจากคนคนนี้มาแล้ว ก็ยืนสบตากับเฉาหม่านพักหนึ่ง จากนั้นก็มองประเมินกันและกัน ผู้ที่มามองสำรวจรอบห้อง หลังจากสายตาไปหยุดอยู่บนธูปบูชาแล้วก็ดูค่อนข้างเศร้าสลด

เฉาหม่านโบกมือให้ชีเจวี๋ย “เจ้าถอยออกไปก่อน ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ก็ห้ามไม่ให้ใครเข้ามารบกวน”

“ขอรับ!” ชีเจวี๋ยออกไปแล้วปิดประตู

ตอนนี้เฉาหม่านจ้องอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยถามเสียงเรียบ “ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร ทำไมปลอมตัวเป็นสหายของเฉาผู้นี้?”

ผู้ที่มากลับถ่ายทอดเสียงตอบว่า “พี่สาม ท่านรู้แล้วยังแกล้งถามทำไมอีก ในเมื่อท่านปล่อยให้ข้ามาพบ แสดงว่าท่านก็เข้าใจความหมายในจดหมายแล้ว”

เฉาหม่านเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงแล้วเช่นกัน “เจ้าคือเจ้าหกเหรอ?”

ผู้ที่มาพยักหน้า

“เจ้าไม่ถอดหน้ากากออก แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าคือตัวจริงหรือตัวปลอม?” เฉาหม่านถาม

“ท่านกับข้าเป็นพี่น้องที่ไม่เคยพบหน้ากัน ถ้าข้าถอดหน้ากากแล้วท่านจะจำข้าได้เหรอ?” ผู้ที่มาถามกลั้วหัวเราะ

“ในเมื่อเจ้ามาพบข้าแล้ว จะไม่แสดงความจริงใจสักหน่อยเหรอ?” เฉาหม่านถาม

ผู้ที่มาส่ายหน้า “ตอนท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ก็มีกฎ ว่าตอนที่ยังไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ ระหว่างพวกเราพี่น้องก็ห้ามเผยตัวตนต่อกันและกัน นี่เป็นการพิจารณาเรื่องความปลอดภัยเช่นกัน”

“เจ้าแน่ใจขนาดนี้ว่าข้าคือพี่สามของเจ้า อย่าบอกนะว่าเจ้าเคยพบข้า?” เฉาหม่านถาม

ผู้ที่มาตอบว่า “ท่านแทบจะวางตัวเองไว้ในที่แจ้ง ข้าว่าพี่น้องคนอื่นคงไม่มีใครข่มความสงสัยนี้ได้ เชื่อว่าคนอื่นๆ ก็มาพบพี่สามตั้งนานแล้วเช่นกัน”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไม่เสียเปรียบเกินไปหน่อยเหรอ” เฉาหม่านกล่าว

ผู้ที่มาบอกว่า “ควรจะบอกว่าพี่สามได้เปรียบสิถึงจะถูก พวกเราต่างก็รู้จักพี่สาม แต่พี่สามกลับไม่รู้จักพี่น้องอย่างพวกเราสักคน ใครที่เสียเปรียบกว่าล่ะ?”

“แล้วข้าจะตัดสินได้ยังไงว่าตัวตนของเจ้าจริงหรือปลอม?” เฉาหม่านถาม

ผู้ที่มาตอบว่า “ฐานะของข้าจะจริงหรือปลอม ในเวลานี้ไม่สำคัญสำหรับพี่สามหรอก” เขาเดินมาด้านข้างโต๊ะยาว หยิบระฆังดาราสองอันออกมาวางบนโต๊ะ “ทิ้งวิธีการติดต่อโดยตรงเอาไว้สำคัญกว่า ข้าคิดว่าพี่สามคงรู้ว่าหมายความว่าอะไร”

เฉาหม่านเดินมาข้างโต๊ะยาวเช่นกัน “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร”

“พี่สามไม่จำเป็นต้องแกล้งเลอะเลือน” ผู้ที่มากล่าว

“ถ้าเจ้าคือเจ้าหกจริงๆ รู้ตัวมั้ยว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” เฉาหม่านถาม

ผู้ที่มากล่าวว่า “ย่อมรู้แน่นอน เพียงแต่ท่านพ่อไม่อยู่แล้ว ใครจะรู้ว่าท่านนั้นจะทำเรื่องอะไรได้บ้าง ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเป็นปฎิปักษ์กับหัวหน้าตระกูลที่ท่านพ่อกำหนด ท่านพ่อได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษแห่งยุค ทำแบบนี้จะต้องมีเหตุผลของเขาแน่นอน ข้าไม่อยากให้ตระกูลเซี่ยโห้วเกิดเรื่องเช่นกัน ถ้าเกิดเรื่องกับตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่เป็นผลดีกับพวกเราคนไหนทั้งนั้น แต่หลายปีที่ผ่านมาพวกเราอยู่ในที่ลับมาตลอดเพื่อตระกูลเซี่ยโห้ว ต่อให้ไม่มีผลงานแต่ก็ลำบากทำงาน ถ้าเพราะคำพูดของท่านพ่อคนเดียวแล้วข้าต้องยื่นคอรอเชือด ข้าทำไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ต้องให้เหตุผลที่ทำให้ข้ายอมได้ ข้ายังยืนยันคำเดิม ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเป็นปฎิปักษ์ต่อการตัดสินใจของท่านพ่อ ข้าไม่ได้เจตนาจะรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนใหม่ด้วย แต่ชีวิตข้าใช่ว่าใครจะเอาก็เอาได้ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะทำให้ข้าเชื่อถือศรัทธา ถ้าเขาแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาได้ ข้าก็จะยอมรับ ไม่อย่างนั้นทุกคนก็เป็นลูกอนุภรรยาเหมือนกันหมด เขามีสิทธิ์อะไรมาทำซี้ซั้วอย่างนี้ล่ะ?”

เฉาหม่านสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด “เฉาผู้นี้ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเชื่อการตัดสินใจของท่านพ่อ และยืนหยัดจะปกป้องหัวหน้าตระกูลคนใหม่ด้วย ถ้าใครกล้ามีเจตนาไม่ซื่อทำเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อตระกูลเซี่ยโห้วและหัวหน้าตระกูล ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยเขาไป!”

ล้อเล่นอะไรกัน เขายืนยันตัวตนของอีกฝ่ายไม่ได้ด้วยซ้ำ มีหรือที่จะเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายง่ายๆ ถ้าเป็นสายลับที่ใครบางคนส่งมาจะทำอย่างไรล่ะ? เขาย่อมต้องยืนหยัดแสดงท่าทีให้ชัดเจน มีหรือที่จะตกหลุมพรางได้ง่ายๆ ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ก็แสดงว่าเขาใช้ชีวิตมาโดยสูญเปล่าแล้ว

ผู้ที่มาบอกว่า “พี่สาม ข้าเองก็ขี้คร้านจะเดาว่าคำพูดของท่านจริงหรือปลอม แต่ท่านพ่อเอาชีวิตของกลุ่มพี่น้องไว้ในมือท่านแล้ว ท่านต้องรับผิดชอบสิ่งนี้ให้ไหว”

“เกรงว่าจะทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว ตอนท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้ฝากฝังอะไรไว้กับข้าทั้งนั้น” เฉาหม่านกล่าว

ผู้ที่มาจึงบอกว่า “การฝากฝังบางอย่างไม่จำเป็นต้องพูดออกมา ยามปกติไม่ว่าใครก็สัมผัสไม่ได้ แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่ตัวอยู่ในฐานะนั้นถึงจะตระหนักได้ คนนอกยากที่จะเข้าใจ นี่คือจุดที่ล้ำลึกของท่านพ่อที่ทำให้คนต้องนับถือ”

“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร” เฉาหม่านกล่าว

ผู้ที่มาบอกว่า “นี่พี่สามกำลังแกล้งเลอะเลือนหรือว่าเป็นคนที่อยู่ในสถานการณ์เองก็เลยงง? ใช่แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วมีแค่คนที่ยืนอยู่ในที่แจ้งเท่านั้นถึงจะมีหวังรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล พวกเราหมดหวังตั้งแต่ใช้แซ่ลับแล้ว แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่พี่สามห้ามลืม แม้พี่รองจะยืนอยู่ในที่แจ้ง แต่ท่านเองก็แทบจะยืนอยู่ในที่แจ้งเหมือนกันนะพี่รอง อย่างน้อยก็เป็นคนที่เปิดเผยตัวตนไปแล้วครึ่งหนึ่ง!”

พออีกฝ่ายพูดแบบนี้ เฉาหม่านก็ตัวสั่นเล็กน้อย เหมือนจะตระหนักอะไรได้บ้างแล้ว

ผู้ที่มาพูดต่อว่า “ตอนแรกข้าก็ไม่ได้คิดถึงจุดนี้เช่นกัน จนกระทั่งเริ่มมีอันตรายที่แท้จริงประชิดเข้ามา บีบให้ข้าต้องพิจารณาทางหนีทีไล่ บีบให้ข้าอยากปกป้องชีวิตตัวเอง บีบให้ข้าหมดหนทางจะอยู่อย่างโดดเดี่ยว บีบให้ข้าอยากหาพี่น้องมาเป็นพันธมิตรปกป้องตัวเอง สายตาข้าจึงจ้องไปที่พี่สามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้ข้าแน่ใจอยู่จุดหนึ่งแล้ว เกรงว่านี่คงจะไม่ใช่ความคิดของข้าคนเดียวเท่านั้น พี่น้องคนอื่นๆ จะต้องคิดเหมือนข้าแน่นอน จนกระทั่งตอนนี้ข้าก็เพิ่งเข้าใจกระจ่าง เพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดท่านพ่อจึงเปิดเผยตัวตนของท่านไว้ครึ่งหนึ่ง ทำไมถึงให้พี่น้องที่อยู่ในที่ลับทุกคนรู้ถึงการมีอยู่ของท่าน ก็เพราะท่านพ่อทิ้งทางหนีทีไล่สำรองเอาไว้ นี่คือทางหนีทีไล่ที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้พวกเราพี่น้องในช่วงเวลาสำคัญ!”

เฉาหม่านทำสีหน้าตกตะลึง ไม่มีทางปิดบังได้เลย

ผู้ที่มาอธิบายอีกว่า “ท่านพ่อเป็นคนที่เคยผ่านวิธีการเข่นฆ่ากันเองมาก่อน เขารู้ถึงความโหดร้ายที่อยู่ในนั้น แต่ในปีนั้นเขาก็ไม่มีทางเลือก ข้าคิดว่าถ้าหลบเลี่ยงได้ ในฐานะคนเป็นพ่อ ไม่ว่ากับคนไหนก็ต้องคิดหาทางให้หลบเลี่ยงให้ได้มากที่สุด พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดฉากเข่นฆ่ากันเองซ้ำในตระกูลเซี่ยโห้ว ข้าคิดว่าท่านพ่อเปรียบเทียบพี่รองกับพี่สามไว้ตั้งแต่แรกแล้ว นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมท่านพ่อถึงให้พี่รองยืนขึ้น แล้วให้พี่สามยืนขึ้นมาครึ่งเดียว เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อกังวลที่พี่รองมีความสามารถจำกัด ไม่อย่างนั้นพอตัดสินใจให้พี่รองรับตำแหน่งต่อแล้ว ก็จะช่วยพี่รองกวาดล้างอุปสรรคอย่างพวกเรา แต่ท่านพ่อกลับไม่ได้ทำอย่างนั้น นี่ก็คือทางหนีทีไล่ที่เขาตั้งใจเตรียมให้พวกเรา และเหลือทางหนีทีไล่ให้ตระกูลเซี่ยโห้วเช่นกัน! ท่านพ่อรู้ชัดดีมาก รู้ว่าพวกเราคงไม่อยู่ในกรอบแต่โดยดี และกำลังคนที่พวกเราแต่ละคนกุมไว้ก็เป็นไพ่ลับสุดท้ายที่จะใช้ปกป้องชีวิตตัวเอง ไม่มีทางเปิดเผยตัวตนให้พี่น้องคนอื่นรู้ง่ายๆ หมายความว่าถ้าพวกเราไม่หมดทางเลือก ก็จะไม่ต่อต้านพี่รองง่ายๆ

ภายใต้พื้นฐานนี้ ขอเพียงพี่รองไม่ใช้วิธีการรุนแรงกำจัดพวกเรา พวกเราก็ย่อมให้ความร่วมมือ อย่างไรเสียพวกเราก็ไม่อยากให้ตระกูลเซี่ยโห้วโชคร้าย ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วล้มลงก็ไม่เป็นผลดีต่อพวกเราเช่นกัน ขอเพียงเขามีความสามารถที่จะนำพาตระกูลเซี่ยโห้วก้าวไปข้างหน้าต่อได้ สามารถทำให้พวกเรายอมรับจากใจได้ พวกเราก็จะยอมศิโรราบอยู่แล้ว นี่ก็ต้องดูความสามารถของเขา ดูบททดสอบที่ท่านพ่อให้เขา แต่ถ้าเขาไม่ทำงานมัวแต่คิดจะกำจัดพวกเรา เช่นนั้นพวกเราก็ทำได้เพียงสั่งสอนเขา อย่างมากก็สะบัดเขาทิ้งไปเสีย มาอยู่แต่ใต้ดินโดยสมบูรณ์ พวกเราก็ร่วมมือกันทำงานของพวกเราเอง ผลักดันให้คนไปเจรจากับตำหนักสวรรค์ มีอำนาจอยู่ในมือยังกลัวว่าตำหนักสวรรค์จะไม่ยอมถอยอีกเหรอ ยังกลัวว่าจะแทนที่เขาไม่ได้อีกเหรอ?”

…………………

ตลาดผี ตึกศาลาสัตยพรต

ด้านนอกหน้าต่างมีเรือสัญจรไปมา ตรงจุดไหนที่เรือแล่นผ่าน โคมไฟจากเรือก็จะสะท้อนผิวทะเลสาบจนเกิดคลื่นระยิบระยับ หลังจากเรือผ่านไปก็ตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง เรือที่อยู่ไกลๆ ราวกับเป็นหิ่งห้อยหลายตัวในม่านราตรี

ทิวทัศน์ค่ำคืนที่อยู่ท่ามกลางความมืดตลอด หลายปีมานี้ยังไม่เคยเปลี่ยนไป

ของทุกอย่างที่ให้แสงว่างในห้องเลือนรางแล้ว เฉาหม่านจมอยู่ในความมืด ยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองดูแสงจากโคมไฟที่อยู่ไกลๆ ก็เหมือนกับชีวิตของเขา ที่ทำได้เพียงหลบแสงสว่างอยู่ในความมืดตลอดไป

ในชั่วขณะนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมองจนเหม่อ สีหน้าเลื่อนลอย ดวงตาพร่ามัวไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ สุดท้ายน้ำตาสองสายก็ไหลพราก ไหลร้อนผ่าวลงมาตามแก้ม ตกลงปนกับน้ำในทะเลสาบ มีเสียงพึมพำปนเสียงร้องไห้ “ท่านพ่อ…”

ชีเจวี๋ยที่ที่ยืนเงียบอยู่ข้างกายมาตลอดเงยหน้าขึ้นช้าๆ เขาฟังออกว่าในน้ำเสียงนั้นมีทั้งความรักและความแค้นปนกัน

“เถ้าแก่ โปรดระงับความเศร้า…” ชีเจวี๋ยกล่าวโน้มน้าว ในมือถือระฆังดาราสองอัน วางเบาๆ ตรงหน้าเขา “เถ้าแก่ นี่คือระฆังดาราที่หัวหน้าตระกูลให้คนส่งมาให้ขอรับ หัวหน้าตระกูลหวังจะติดต่อกับท่านได้โดยตรง”

“หัวหน้าตระกูล?” เฉาหม่านเงยหน้าหลับตา น้ำตาสองสายไหลอาบแก้มอีกครั้ง “เขามีคุณสมบัติอะไรมาเป็นหัวหน้าตระกูล? เพราะว่าพี่ใหญ่ไม่อยู่เหรอ เพราะลับดับเขาอยู่ถัดจากนั้นเหรอ? หรือว่าสิ่งนี้ก็มีการเรียงลำดับอาวุโสด้วย? เขาสร้างผลงานอะไรให้ตระกูลเซี่ยโห้ว? หรือเป็นเพราะเขาอยู่ในที่แจ้ง แต่พวกเราและคนอื่นอยู่ในที่แจ้งไม่ได้?”

“เถ้าแก่ ห้ามพูดอะไรแบบนี้อีกเด็ดขาด ถ้ารู้ไปถึงหูคนนอก เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อเถ้าแก่!” ชีเจวี๋ยค่อนข้างหวาดกลัว

เฉาหม่านก้มหน้า แล้วส่ายหน้าช้าๆ “ถ้าข้าไม่พูดอะไรพวกนี้แล้วจะมีผลดีกับข้าเหรอ? เสือสองตัวอยู่ภูเขาเดียวกันไม่ได้ มิหนำซ้ำก็ยังไม่รู้ว่าบนภูเขาของตระกูลเซี่ยโห้วมีเสืออยู่กี่ตัว ตราบใดที่พวกเรายังอยู่ เขาจะสงบใจได้เหรอ?”

ชีเจวี๋ยบอกว่า “เถ้าแก่ เป็นพี่น้องที่สนิทชิดเชื้อ สถานการณ์อาจไม่ได้แย่อย่างที่ท่านคิด”

“ในปีนั้นตอนที่นายท่านขึ้นสู่ตำแหน่ง เขาทำอย่างไรกับพี่น้องตัวเองล่ะ?” เฉาหม่านถาม

ชีเจวี๋ยตอบว่า “ตอนนี้ไม่เหมือนอดีตแล้ว ไปเทียบกับปีนั้นไม่ได้ด้วย ในปีนั้นพี่น้องของนายท่านล้วนอยู่ในที่แจ้ง ทุกคนล้วนมีความหวัง ย่อมแก่งแย่งแข่งขันกัน แต่เถ้าแก่และคนอื่นๆ ที่กุมอำนาจล้วนอยู่ในที่ลับ นี่อาจจะเป็นจุดที่ชาญฉลาดของนายท่าน ตั้งแต่วันที่เริ่มให้เถ้าแก่และคนอื่นๆ ซ่อนตัว ก็เท่ากับไร้วาสนาต่อตำแหน่งหัวหน้าตระกูลแล้ว”

“เขาเป็นหัวหน้าตระกูล ข้าก็ไม่พร่ำบ่นอะไรหรอก เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่านายท่านคิดยังไง เซี่ยโห้วลิ่งไม่เคยยืนหยัดด้วยลำแข้งตัวเองจริงๆ เลย เป็นเพียงพวกหัวสูงฝีมือต่ำเท่านั้น เขารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลแล้วจะออกคำสั่งกับคนอื่นได้เหรอ? หากทุกคนไม่พอใจขึ้นมา วิกฤติก็จะมาเยือนตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว จะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์กระจัดกระจาย หรือว่านายท่านแอบช่วยเขาควบคุมอำนาจไว้เพียงพอแล้ว? แล้วทำไมเขาถึงเพิ่งมาติดต่อกับข้าโดยตรงตอนนี้?” เฉาหม่านถาม

“สิ่งที่เถ้าแก่สงสัย เหตุใดไม่ถามนายท่านให้รู้ชัดไปเลยขอรับ?” ชีเจวี๋ยถาม

เฉาหม่านบอกว่า “ข้าเคยถามแล้ว นายท่านให้ข้าตั้งใจทำงานของตัวเองให้ดี จนป่านนี้นายท่านยังไม่ยอมเผยความจริงเลย กำลังกังวลอะไรอยู่? เป็นอย่างที่เจ้าบอก ในปีนั้นตั้งแต่เข้ามาอยู่ในความมืด ข้าก็รู้แล้วว่าตัวเองไม่มีวาสนากับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล แต่มาจนป่านนี้แล้ว ทำไมไม่ให้โอกาสข้าพบหน้าเขาสักครั้ง? ท่านพ่อป่วยขั้นวิกฤติ ในฐานะลูกชายไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะไปเยี่ยมเลยเหรอ?”

ชีเจวี๋ยเงียบงัน ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร แต่รู้ว่าตอนนี้เขาอารมณ์ไม่มั่นคง จึงมองระฆังดาราในมือครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “คนที่หัวหน้าตระกูลส่งมายังอยู่ จะตอบกลับเรื่องระฆังดารานี้อย่างไรขอรับ?”

เฉาหม่านเงียบไปประเดี๋ยวเดียว แล้วจู่ๆ ก็โบกมือกวาดซ้ำๆ ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองบนระฆังดาราสองอัน ถือโอกาสเก็บอันหนึ่งเอาไว้ แล้วกำชับว่า “จิตใจคิดร้ายผู้อื่นมิควรมี ทว่าจิตใจระวังผู้อื่นก็มิควรขาด ตอนนี้ต่อให้เขามีความคิดอะไร แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาเหมาะสมที่จะแตะต้องข้า ถ้าเขาอยากจะควบคุมฝั่งนี้ ก็ต้องสืบสถานการณ์ฝั่งนี้ให้ชัดเจนก่อน เกรงว่าจะเริ่มลงมือกับคนข้างกายข้าก่อน เป้าหมายที่เหมาะสมที่สุดก็คือเจ้า ต่อไปนี้เวลาเจ้าออกไปข้างนอกก็ต้องระวังตัว ข้างกายต้องมียอดฝีมือคุ้มกันเพียงพอ อย่าให้ใครได้ฉวยโอกาส! อยู่กับเจ้ามาหลายปีขนาดนี้ อยากจะให้เจ้าเข้าใจเรื่องหนึ่งเอาไว้ เจ้าอยู่กับข้ามาหลายปีขนาดนี้ ต่อให้ไปพึ่งพาเขา แต่ก็กลายเป็นลูกน้องคนสนิทของเขาไม่ได้”

“บ่าวเข้าใจแล้วขอรับ” ชีเจวี๋ยเอ่ยรับ

“หึหึ…” จู่ๆ เฉาหม่านก็ฝืนหัวเราะอีก ถ้าถามว่าเขายอมหรือไม่ เขาไม่ยอมแน่นอน เพียงแต่เขาไม่รู้ชัดเลยว่าตระกูลเซี่ยโห้วมีคนแบบเขาอยู่มากมายเท่าไรกันแน่ ต่อให้เขาจะอยากเชื่อมต่อแต่ก็ไม่มีทางลงมือได้ ต้องนับถือความฉลาดในการวางหมากปีนั้นของท่านพ่อ ถ้าไม่ได้การสนับสนุนจากอำนาจฝ่ายอื่นๆ ต่อให้มีความคิดอะไรก็เปลืองสมองเปล่าๆ ถ้าอาศัยอำนาจฝ่ายเดียวก็ทำอะไรไม่สำเร็จทั้งนั้น แต่เซี่ยโห้วลิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากท่านพ่อกลับสืบก้นบึ้งของตระกูลเซี่ยโห้วได้อย่างง่ายดาย!

จวนท่านปู่สวรรค์ เว่ยซูรีบเดินออกจากสวนต้องห้าม มาถึงเรือนของเซี่ยโห้วลิ่ง ตอนนี้เซี่ยโห้วท่ายังไม่ได้จากโลกนี้ไป เซี่ยโห้วลิ่งยังไม่บังอาจเข้ามาพักในสวนต้องห้าม

สาวใช้คนหนึ่งออกมาต้อนรับเขา แล้วพาไปนอกห้องหนังสือของเซี่ยโห้วลิ่ง ก่อนจะแจ้งว่า “นายท่าน พ่อบ้านเว่ยมาแล้วค่ะ”

“เข้ามาได้!” ในห้องมีเสียงเซี่ยโห้วลิ่งดังเข้ามา

สาวใช้คนนั้นยืนมือเชิญแล้วถอยออกไป เว่ยซูผลักประตูเข้าห้อง ผลปรากฏว่าพอเปิดประตูเข้ามาก็อดไม่ได้ที่จะขยับปีกจมูก เพราะได้กลิ่นคาวเลือดโชยมาแล้ว

ในห้องหนังสือไม่มีคน เว่ยซูเดินเข้ามาแล้วอึ้งไปชั่วขณะ เห็นที่มาของลิ่นคาวเลือดแล้ว ฟู่ถงพ่อบ้านของเซี่ยโห้วลิ่งนอนจมกองเลือด เบิกตากว้าง ตรงตำแหน่งหัวใจมีรูโหว่ กระบี่วิเศษที่เปื้อนเลือดด้ามหนึ่งโยนไว้บนโต๊ะหนังสือ ส่วนเซี่ยโห้วลิ่งก็นั่งมองเขาอยู่ด้านหลังโต๊ะ

ระหว่างทั้งสองเกิดความเงียบงันไปพักหนึ่ง เซี่ยโห้วลิ่งกล่าวว่า “ตั้งแต่พ่อเจ้าเริ่มติดตามรับใช้ท่านปู่ข้า จนกระทั่งเจ้าติดตามรับใช้ท่านพ่อข้า ตระกูลเว่ยกับตระกูลเซี่ยโห้วก็เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว หนึ่งคนร่วงทั้งหมดร่วง หนึ่งคนรุ่งทุกคนรุ่ง สายตาของท่านพ่อไม่มีอะไรน่าสงสัย ดังนั้นข้าจึงไม่เคยสงสัยในความจงรักภักดีของพ่อบ้านเว่ยเลย เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่น ที่ข้าสังหารฟู่ถงก็เพราะอยากให้เจ้าเข้าใจ ว่าฐานะของเจ้าที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีใครแทนที่ได้ เจ้ายังเป็นพ่อบ้านของตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนเดิม”

เว่ยซูโค้งตัว “ขอบคุณที่นายท่านเชื่อใจ”

เซี่ยโห้วลิ่งลุกขึ้นยืน “ท่านพ่อไม่กระปรี้กระเปร่าเหมือนแต่ก่อน ทุกครั้งที่คุยกันยาวๆ ล้วนส่งผลเสียต่อกายเนื้อของท่านพ่อ สิ่งนี้ขัดต่อความกตัญญูที่ลูกพึงมีต่อบิดา ดังนั้นข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า เรื่องที่ข้าอยากรู้ตอนนี้ เจ้าบอกข้าได้หรือเปล่า?”

เว่ยซูไม่ได้พูดต่อ เดินมาตรงหน้าศพฟู่ถงแล้วเริ่มตรวจสอบ ถึงขั้นคลำรอยนิ้วมือแล้ว ประทับรอยนิ้วมือทั้งสิบของฟู่ถงไว้บนกระดาษขาว จากนั้นก็หยิบกระดาบขาวอีกแผ่นออกมา บนกระดาษขาวแผ่นหลังก็มีรอยนิ้วมือเช่นกัน จากนั้นวางกระดาษเปล่าสองแผ่นเพื่อเปรียบเทียบรอยนิ้วมือโดยละเอียด

“ทำไม? ข้าไม่ควรค่าให้เจ้าเชื่อใจขนาดนั้นเชียวเหรอ?” เซี่ยโห้วลิ่งขมวดคิ้ว

หลังจากแน่ใจแล้วว่าคนที่ตายคือฟู่ถงจริงๆ เว่ยซูถึงได้ยืนขึ้น แล้วกุมหมัดคารวะ “นายท่านโปรดระงับโทสะ นี่เป็นประสงค์ของนายท่านใหญ่”

ตอนนี้เปลี่ยนคำเรียกแล้ว

“หมายความว่ายังไง?” เซี่ยโห้วลิ่งงงไปชั่วขณะ

เว่ยซูตอบว่า “ก่อนที่นายท่านใหญ่จะสิ้นอายุขัย เว่ยซูฟังคำสั่งเพียงนายท่านใหญ่ผู้เดียวขอรับ หลังจากนายท่านใหญ่สิ้นอายุขัยไปแล้ว เว่ยซูก็ฟังเพียงคำสั่งของนายท่าน นายท่านใหญ่สั่งไว้แล้วขอรับ ตราบใดที่นายท่านใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ก็มิอาจนั่งมองความลับของตระกูลเซี่ยโห้วตกอยู่ในมือคนนอก ไม่อาจะให้ความลับของตระกูลเซี่ยโห้วตกอยู่ในมือของคนที่นายท่านใหญ่ไม่เชื่อใจ เพราะสำหรับตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว สิ่งนี้อันตรายเกินไปจริงๆ นายท่านใหญ่กำชับบ่าวมา ให้บ่าวรอคอย รอให้ฟู่ถงตายขอรับ!”

“…” เซี่ยโห้วลิ่งพูดไม่ออกนิดหน่อย ก่อนที่เขาจะลงมือกับฟู่ถง เขาก็ยังลังเลมาก ถึงอย่างไรก็เป็นลูกน้องคนสนิทของเขามาหลายปี ทว่าหลายครั้งที่ถามถึงสถานการณ์บางอย่างจากเว่ยซู เขากลับไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย เว่ยซูหลบเลี่ยงมาตลอด ทำให้เขาหัวร้อนมาก แต่ก็ดันไม่กล้าทำอะไรเว่ยซูอีก ตอนนี้เขาแอบเดือดดาลในใจแล้ว บัญชีนี้ค่อยชำระภายหลัง เพื่อให้ได้รับความเชื่อใจจากเว่ยซู เขาถึงได้ทำใจโหดลงมือกับฟู่ถง

ใครจะไปคาดคิด วุ่นวายมานานขนาดนี้ ที่แท้ก็เป็นประสงค์ของท่านพ่อนี่เอง ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้ว ว่าท่านพ่อไม่ใช่แค่ปูทางให้เขา ขณะเดียวกันก็ปูทางให้เว่ยซูด้วย การทำให้เว่ยซูหายห่วงหน้าพะวงหลัง เท่ากับว่าปูทางให้เขาด้วยเช่นกัน นี่คือการบีบให้เขาหาความเชื่อใจจากเว่ยซู มอบความจงรักภักดีให้แก่เขา

ความโกรธที่เก็บกลั้นไว้ในใจเซี่ยโห้วลิ่งหายไปทันที “ในเมื่อพูดแบบนี้ ตอนนี้พูดได้แล้วหรือยัง?”

“นายท่านมีคำถามอะไรก็ถามมาได้เลย หากเว่ยซูทราบก็จะตอบทุกอย่างขอรับ” เว่ยซูโค้งตัว

“ตอนนี้ข้าอยากรู้ว่าข้ามีพี่น้องกี่คนกันแน่ที่ควบคุมอำนาจใต้ดินสายต่างๆ อยู่!” เซี่ยโห้วลิ่งกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ

ทั้งสองถามตอบกันอยู่ภายในห้องหนังสือที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจากศพ อุดอู้อยู่ในนี้หนึ่งวันเต็มๆ เซี่ยโห้วลิ่งถึงได้หยุดถาม

ตอนนี้ในใจเซี่ยโห้วลิ่งตกตะลึงจนอธิบายเป็นคำพูดได้ยาก เขานึกไม่ถึงว่าอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วจะเหนือกว่าที่เขาจินตนาการไว้ ไม่น่าเชื่อว่าพี่น้องของตัวเองจะแฝงตัวทำงานใต้บังคับบัญชาหนิวโหย่วเต๋อ นี่มันช่าง…

“เซี่ยโห้วท่าใกล้สิ้นอายุขัยแล้ว นึกไม่ถึงเลยจริงๆ!”

แดนรัตติกาล เหมียวอี้และอวิ๋นจือชิวที่ได้ข่าวทอดถอนใจไม่หยุด จะไม่ให้รู้สึกปลงก็ไม่ได้ สุดท้ายผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคก็หลีกหนีอายุขัยไม่พ้น

อวิ๋นจือชิวที่นั่งจิบสุราอยู่ในศาลากล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ถ้าเซี่ยโห้วท่าตายไป ก็ไม่รู้ว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรให้ใต้หล้าได้หรือเปล่า ถึงยังไงท่านนั้นที่ตำหนักนารีสวรรค์ก็ยังเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ไม่รู้ว่าจะดึงพวกเราไปเกี่ยวข้องในนั้นด้วยหรือเปล่า”

“ให้สวีถังหรานจับตาดูหยวนกงให้มากกว่านี้” เหมียวอี้พึมพำ

“ตอนได้ยินข่าวก็เคยถามแล้ว หยวนกงนอกจากเงียบลงไปมาก ก็ไม่มีความผิดปกติอย่างอื่น” อวิ๋นจือชิวกล่าว

รอจนทางฝั่งนี้รู้สถานการณ์หมดแล้ว ข่าวที่เซี่ยโห้วท่าใกล้สิ้นอายุขัยก็แทบไม่ใช่ความลับอะไร ทุกคนต่างก็รอคอยวันนี้ ถ้าจะพูดให้ถูกกว่านั้นก็คือ กำลังดูว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่ ทำเอาคนไม่น้อยเริ่มกังวลแล้ว

และเซี่ยโห้วท่าเองก็ประคับประคองตัวเองไม่ได้แม้แต่ปีเดียว ตอนที่หลับตาลง ประมุขชิงก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยและกุมมือดูเขาหลับไป นอกจากสี่อ๋องสวรรค์ ขุนใหญ่ราชสำนักก็มารวมที่จวนท่านปู่สวรรค์แทบทั้งหมด

“ท่านปู่สวรรค์ยังมีอะไรจะพูดอีก?” ประมุขชิงที่นั่งอยู่ข้างเตียงเห็นเซี่ยโห้วท่าอ้าปากพะงาบ จึงกุมมือเขาพลางเอ่ยถาม

สุดท้ายเซี่ยโห้วท่าก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ในดวงตาที่ค่อยๆ ปิดลงมีน้ำตาเอ่อ น้ำตาสองหยดไหลออกจากหัวตา ร่างกายเสื่อมโทรมเหมือนม้าตีนปลายที่เคยอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ประคับประคองทั้งหมด ยามนี้เหมือนพลังกลุ่มสุดท้ายสลายไป ร่างกายที่มีเลือดเนื้อก็ปลิวกระจายไปราวกับควัน ลอยไปตามกระแสลมอ่อนๆ ในห้องราวกับควันไฟ

กลุ่มคนที่อยู่ในห้องกำลังมองควันลอยออกนอกประตูกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ลอยไปตามซอกหน้าต่าง ลอยไปที่ไม้คานโต่งกงบนเพดานโค้ง แล้วก็เหมือนจะสัมผัสบนร่างกายของทุกคน อ่อนโยนอะไรเช่นนี้ ช่างเป็นภาพที่อัศจรรย์มาก

สุดท้ายมือของประมุขชิงก็จับกับความว่างเปล่า เซี่ยโห้วท่าที่นอนอยู่บนเตียงเหลือเพียงเสื้อผ้าชุดหนึ่งวางนอนไว้

“ท่านพ่อ!” เซี่ยโห้วลิ่งคุกเข่าร่ำร้องอย่างเศร้าโศก บรรดาลูกหลานในห้องก็คุกเข่าร้องไห้เช่นกัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ประมุขชิงลุกขึ้นยืน ถอนหายใจเอกหนึ่ง สีหน้าสื่ออารมณ์หลากหลายมาก เขากุมหมัดคารวะต่อเซี่ยโห้วท่า แล้วโค้งตัวค้างไว้นาน “ท่านปู่สวรรค์จงไปดี!”

บรรดาขุนนางใหญ่ที่มีสิทธิ์อยู่ในห้องนี้ก็กุมหมัดคารวะโค้งตัวด้วยท่าทางจริงจังเช่นกัน

ผ่านไปไม่นาน ทั้งด้านในและด้านนอกตระกูลเซี่ยโห้วก็มีเสียงร้องไห้ดังเป็นแถบ

………………………

“ขอรับ!” ถังเฮ่อเหนียนก้มหน้าเอ่ยรับ แล้วเงยหน้าถามอีกว่า “กลัวก็แต่ว่าเรื่องนี้จะมีการหลอกลวง บางทีข่าวที่ประมุขชิงบอกจ้านหรูอี้อาจจะไม่ใช่ความจริง”

โค่วหลิงซวีกล่าวอย่างลังเลว่า “ดูจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตระกูลเซี่ยโห้วตอนนี้ เหมือนจะมีเพียงคำอธิบายนี้ที่สอดคล้องกัน ทางอิ๋งจิ่วกวงก็กลัวว่าจะมีการหลอกลวงเหมือนกัน เจตนาของเขาก็คือ ให้พวกเราไปสืบดูสักหน่อย ไปพบหน้าเซี่ยโห้วท่าด้วยตัวเองสักครั้งก็จะรู้ความจริงเอง”

โค่วเจิงรีบบอกว่า “ไม่ได้! ถ้าประมุขชิงกับเซี่ยโห้วท่าร่วมมือกันสร้างสถานการณ์ ท่านพ่อจะไม่ตกอยู่ในอันตรายหรือขอรับ? ลูกยินดีไปสืบแทนท่านพ่อด้วยตัวเอง”

โค่วหลิงซวีโบกมือ “เจ้าไม่ก็ไม่มีประโยชน์ เจ้ายังมีคุณสมบัตินั้นไม่พอ เจ้าไปแล้วยังไม่ทันได้พบหน้าเซี่ยโห้วท่า เซี่ยโห้วลิ่งก็จะไล่เจ้าแล้ว เจ้าจะฝืนบุกเข้าไปเชียวหรือ? ต่อให้เจ้าจะเจอได้แต่ก็เจอได้เพียงไกลๆ ไม่มีทางได้สัมผัสถึงตัวเซี่ยโห้วท่าเลย มีเพียงอ๋องสวรรค์อย่างพวกเราเท่านั้นถึงจะไปสืบความจริงด้วยตัวเองได้”

โค่วเจิงรีบบอกว่า “แต่นี่มันอันตรายเกินไป”

โค่วหลิงซวีเดินมาตรงประตูแล้วทอดสายตามองไปไกล “เจ้าวางใจเถอะ พวกเราไม่รวมกลุ่มไปพร้อมกันหรอก จะผลัดกันไป ส่วนอีกสามคนจะเตรียมตัวสนับสนุน คาดว่าประมุขชิงกับเซี่ยโห้วท่าคงไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า!”

จวนท่านปู่สวรรค์ อิ๋งจิ่วกวงเป็นคนแรกที่มาถึง ก่อนมายังไม่ได้ข่าวอะไรเลยสักนิด จนกระทั่งมาถึงหน้าประตูใหญ่ของตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลเซี่ยโห้วถึงได้รู้ข่าว

เซี่ยโห้วลิ่งออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง “อ๋องสวรรค์อิ๋งให้เกียรติมาเยือนด้วยตัวเอง เหตุใดจึงไม่บอกกันก่อน ขออภัยที่ไม่ได้ต้อนรับให้ดี หวังว่าท่านอ๋องจะไม่เคือง”

อิ๋งจิ่วกวงส่ายหน้า “หลานชาย จู่ๆ อ๋องผู้นี้ก็ได้ข่าวไม่ดี จึงร้อนใจดั่งไฟเผาต้องมาพิสูจน์ รีบร้อนจนลืมเตรียมตัว บุ่มบ่ามมาเยี่ยม หวังว่าจะไม่ถือสา!”

เซี่ยโห้วลิ่งแอบดูถูกเหยียดยามในใจ คนฐานะอย่างเจ้า เวลาจะออกมาข้างนอกยังลืมเตรียมตัวอีกเหรอ? ลูกน้องที่เลี้ยงไว้เยอะขนาดนั้นมัวไปทำอะไรกินหมดล่ะ?

แน่นอน เขาย่อมรู้ชัดถึงเจตนาที่อีกฝ่ามาที่นี่ จึงรีบยื่นมือเชิญ “อ๋องสวรรค์ เชิญด้านใน!”

อิ๋งจิ่วกวงกลับคว้าข้อมือเขาไว้ แล้วเดินเข้าไปด้วยกัน พร้อมถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ได้ยินว่าท่านปู่สวรรค์ใกล้สิ้นอายุขัยแล้วเหรอ เรื่องจริงหรือเปล่า?”

จนกระทั่งตอนนี้ ตระกูลเซี่ยโห้วก็ยังปิดข่าวสนิท เซี่ยโห้วลิ่งไม่รู้ว่าเขาได้ยินข่าวมาจากไหน แต่ก็พอจะตัดสินได้บ้างนิดหน่อย ก่อนหน้านี้ตอนปิดข่าวยังไม่เห็นมีใครมาหา แต่หลังจากประมุขชิงมาแล้วท่านนี้ก็รู้ข่าวพอดี เป็นไปได้สูงว่าทางวังสวรรค์ปล่อยข่าว

“เฮ้อ!” เซี่ยโห้วลิ่งพยักหน้า

“ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้?” อิ๋งจิ่วกวงทำท่าเจ็บปวดใจสุดขีด ดึงมือเซี่ยโห้วลิ่งเอาไว้ “เร็วๆๆ รีบพาอ๋องผู้นี้ไปพบท่านพ่อของเจ้า!”

เมื่อเห็นตาแก่หนังเหนียวเล่นบทหลั่งน้ำตา เซี่ยโห้วลิ่งก็ค่อนข้างพูดไม่ออก ทำราวกับว่าที่นี่คือบ้านของตัวเอง เขาแทบจะถูกอิ๋งจิ่วกวงลากเข้าสวนต้องห้ามแล้ว

“พี่ชาย น้องชายมาเยี่ยมท่านแล้ว”

พอเข้ามาในตำหนักนอน ก็เห็นเซี่ยโห้วท่านั่งสมาธิด้วยสีหน้าเซื่องซึม อิ๋งจิ่วกวงร้องเรียกเสียงเศร้าทันที ทำท่าราวกับแค้นใจที่ตัวเองมาช้าไป

“อ๋องสวรรค์อิ๋งมาแล้ว” เซี่ยโห้วท่าพยักหน้ายิ้มอ่อน ขณะกำลังจะทำความเคารพกลับ ใครจะคิดว่าอิ๋งจิ่วกวงจะชิงก้าวเข้ามาก่อน ใช้สองมือประคองเขาเอาไว้ ให้เขานั่งลงพักผ่อนด้วยความเคารพมาก แล้วถือโอกาสตรวจเส้นชีพจรให้ด้วย ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบอยู่อย่างนั้น “พอได้ยินข่าว น้องชายก็ยากจะเชื่อความจริง!”

ทำท่าใส่ใจร่างกายเซี่ยโห้วท่า ช่วยดูอาการป่วยให้

เซี่ยโห้วลิ่งแอบด่าในใจอยู่ข้างๆ หน้าด้านใช้ได้เลย!

“เอ่อ…นี่…หรือว่าจะเป็นความจริง?” หลังจากปล่อยมือจากชีพจรเซี่ยโห้วท่าแล้ว อิ๋งจิ่วกวงทำสีหน้าตกตะลึงเหลือเชื่อ

“มาตัวเปล่า ไปตัวเปล่า ธรรมชาติของมนุษย์” เซี่ยโห้วท่าตอบกลับพร้อมยิ้มอ่อน แล้วถอนหายใจอีก “มีเรื่องหนึ่งที่หวังจะให้อ๋องสวรรค์ช่วยสักหน่อย!”

อิ๋งจิ่วกวงแทบจะตบอกรับประกัน “พี่ชายบอกมาได้เลย ขอเพียงน้องชายทำได้ ก็จะไม่พูดพร่ำทำเพลงแน่นอน!”

เซี่ยโห้วท่าพยักหน้าไปทางเซี่ยโห้วลิ่ง “ร่างกายข้าเสื่อมโทรมลงทุกวัน ยากจะกำกับดูแลได้ เจ้ารองรับตำแหน่งตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ฝ่าบาทก็อนุญาตให้เขารับตำแหน่งท่านปู่สวรรค์เช่นกัน เพียงแต่ข้าเกรงว่าตัวเองคงจะไม่ได้เห็นวันนั้นแล้ว กังวลว่าเรื่องนี้จะเกิดเหตุเปลี่ยนแปลง เรื่องรับฐานันดร หวังว่าในการประชุมราชสำนัก อ๋องสวรรค์จะช่วยเป็นแรงสนับสนุนสักหน่อย!”

อิ๋งจิ่วกวงตบหลังมือเซี่ยโห้วท่า กล่าวรับประกันอย่างแน่ใจมาก “พี่ชายวางใจได้เลย เรื่องนี้ต่อให้เลือดสาดสามฉื่อแต่ก็ต้องผลักดันจนถึงที่สุด ไม่เลอะเลือนแน่นอน!”

“ขอบคุณมาก!”

“พี่ชายอย่าพูดจาเหมือนคนนอก”

อิ๋งจิ่วกวงย่อมไม่อาจอยู่ที่นี่นานอยู่แล้ว อันตรายเกินไป!

สุดท้ายก็กล่าวขอตัวลา แล้วขอให้เซี่ยโห้วท่ารักษาสุขภาพ ก่อนไปก็ยังมอบของขวัญสำหรับการมาเยี่ยมให้ด้วย

หลังจากเขากลับไปแล้ว โค่วหลิงซวีก็มาอีก สี่อ๋องสวรรค์เรียกได้ว่าผลัดกันมาเยี่ยม

ที่สำคัญคืออิ๋งจิ่วกวงแน่ใจแล้วว่าเซี่ยโห้วท่าใกล้สิ้นอายุไขแล้วจริงๆ โค่วหลิงซวีเองก็ไม่กล้าเชื่อเสียทั้งหมด ยังต้องมาสืบดูด้วยตัวเองถึงจะวางใจ

โค่วหลิงซวีเป็นเช่นนี้ ฮ่าวเต๋อฟางกับก่วงลิ่งกงก็เป็นแบบนี้เช่นนั้น ต่อให้คนสุดท้ายจะได้ยินคำพูดสามอ๋องแล้วแต่ก็ไม่กล้าเชื่อ กับเรื่องแบบนี้ไม่มีใครสรุปเรื่องเพราะฟังข่าวลือที่ได้ยินมา ต้องยืนยันให้แน่ใจ

ตอนหลัง แต่ละคนสนใจช่วยดูอาการป่วยให้เซี่ยโห้วท่ามาก เซี่ยโห้วลิ่งที่คอยดูอยู่ข้างๆ นับว่าได้รับรู้ถึงความไร้ยางอายของอ๋องสวรรค์แล้ว แต่ละคนภายนอกดูสง่าผ่าเผยสุดๆ ตอนนี้ถึงเข้าใจแล้ว ว่าไม่ว่าจะจับคนไหนโยนขึ้นเวทีก็ล้วนแสดงละครได้ทั้งนั้น

เซี่ยโห้วท่าเองก็ฝากฝังเรื่องฐานันดรของเซี่ยโห้วลิ่งให้พวกเขาเช่นกัน สี่อ๋องสวรรค์ไม่มีใครปฏิเสธ แต่ละคนแทบจะตบอกรับประกัน ขาดก็แต่สาบานเท่านั้น สำหรับสี่อ๋องสวรรค์ ถ้าไม่ถือโอกาสมอบไมตรีพวกนี้ให้ก็จะเสียเปล่า เซี่ยโห้วลิ่งจะได้รับฐานันดรท่านปู่สวรรค์หรือไม่ ที่จริงก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ภาพรวมสักเท่าไร ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ทุกคนยังต้องไว้หน้าเซี่ยโห้วท่า

เซี่ยโห้วลิ่งเพิ่งจะรับช่วงต่อตระกูลเซี่ยโห้ว งานในมือมีเยอะมากจริงๆ แต่เวลาอ๋องสวรรค์มาเยี่ยมก็ต้องออกมารับแขก ในที่สุดหลังจากพวกเขากลับไปแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งถึงได้รีบตระเตรียมงานในครอบครัว

กระทั่งเขามาเยี่ยมบิดาอีกครั้ง ก็พบว่าบิดาออกมาจากห้องแล้ว ไปอยู่ใต้ต้นไม้โบราณที่ชอบที่สุด นอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้นอน บนตัวห่มผ้านวมผืนหนึ่ง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังนั่งคุยอยู่ข้างกาย ปอกอาหารป้อนเข้าปากเซี่ยโห้วท่าด้วยตัวเอง

เซี่ยโห้วท่าที่กึ่งหรี่ตาเหมือนจะดื่มด่ำกับรสชาตินี้มาก เว่ยซูยืนเก็บมืออยู่ข้างกายอย่างเงียบๆ

“เหนียงเหนียง!” เซี่ยโห้วลิ่งก้าวขึ้นมาทำความเคารพ

“ท่านอารอง!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ตาแดงก่ำรีบลุกขึ้นบอกใบ้ให้อีกฝ่ายนั่งลงอีกครั้ง สำหรับเซี่ยโห้วลิ่งคนนี้ นางไม่กล้าวางมาดกับเขา เพราะท่านนี้คือหัวหน้าตระกูลคนใหม่ของตระกูลเซี่ยโห้ว ในภายหลังนางยังต้องอาศัยเป็นที่พึ่งพิง

“ท่านพ่อ!” จากนั้นเซี่ยโห้วลิ่งก็ทำความเคารพเซี่ยโห้วท่า

เซี่ยโห้วท่าไม่สนใจเขา สายตาจ้องเพียงเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่กำลังก้มหน้าเงียบๆ ปากยังขมุบขมิบเคี้ยวของที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เพิ่งป้อน หลังจากกลืนแล้ว จู่ๆ ก็ยกมือขึ้นช้าๆ บอกใบ้ให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยื่นศีรษะเจ้ามา แล้วยื่นมือไปลูบหลังศีรษะนาง ถอนหายใจแล้วบอกว่า “นางหนูเอ๊ย หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”

พอได้ยินท่านปู่พูดประโยคนี้ ก็เรียกได้ว่ากระทบใจนางแล้วจริงๆ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ทันที ซบอกเซี่ยโห้วท่าร้องไห้โฮ ระบายอารมณ์ที่ข่มกลั้นมาหลายปีออกมาแล้ว ร้องไห้อย่างเจ็บปวดรวดร้าวใจ กล่าวเสียงสะอื้นไม่หยุดว่า “ท่านปู่ เฉิงอวี่ทำใจปล่อยท่านไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเฉิงอวี่ที่ไม่ดีเอง เฉิงอวี่ทำให้ท่านโกรธเคือง เฉิงอี่ไม่อยากให้ท่านตาย…”

“นางเด็กโง่ ปู่อยู่มาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นใครหนีความตายพ้นสักคน ขึ้นอยู่กับกว่าจะอายุสั้นหรืออายุยืนเท่านั้น เมื่อเคราะห์ภัยมาถึงไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น” เซี่ยโห้วท่าตบหลังนางเบาๆ ปลอบโยนว่า “นางหนู อย่าร้องไห้เลย อย่าร้องเลย! เงยหน้าขึ้นมา ท่านปู่มีบางอย่างจะบอกกับเจ้า”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่นั่งตัวตรงแล้วปาดน้ำตาสะอื้น

เซี่ยโห้วท่าบอกว่า “คำที่ปู่เคยบอกเจ้า วันนี้จะบอกเจ้าอีกรอบ จงจำเอาไว้นะ! ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่ล้ม เจ้าก็จะไม่เป็นอะไร ฟังเข้าใจใช่มั้ย?”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่สะอื้นพลางพยักหน้า “หลานเข้าใจแล้วค่ะ”

ดูจากสภาพจิตใจของนางตอนนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฟังเข้าใจจริงหรือเปล่า เซี่ยโห้วท่าไม่ได้บ่นอะไรนางมากอีก ยกมือปัดพร้อมบอกว่า “ข้ากับท่านอารองของเจ้ายังมีเรื่องต้องคุยกันอีก ไปเถอะ!”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เองก็ไม่กล้าเกะกะตอนพวกเขาคุยงานกัน ทำได้เพียงกล่าวอำลา

เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งก็ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “พวกนั้นที่มาเยี่ยมท่านพ่อ เกรงว่าจะคงจะกระสับกระส่าย”

เซี่ยโห้วท่าแสยะยิ้ม “ความคิดระมัดระวังตัวของพวกเขา ไม่ว่าใครก็มีทั้งนั้น ทำไมล่ะ เจ้ากลัวเหรอ?”

เซี่ยโห้วลิ่งลังเลอีกครั้ง สุดท้ายก็บอกตรงๆ ว่า “ไม่ใช่ว่าลูกกลัว เพียงแต่ตอนนี้ที่บ้านยังมีเรื่องมากมายที่ลูกยังไม่รู้ชัด เกรงว่าจะรับมือได้ไม่รอบด้าน”

เซี่ยโห้วท่าบอกว่า “ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย ไม่มีใครกล้าแตะต้องเจ้าหรอก ต่อให้ข้าตายไปแล้ว แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่ดี มีเวลาเหลือเฟือให้เจ้าเตรียมตัว”

“กลัวก็แต่พวกเขาจะรู้เรื่องนี้เช่นกัน คงไม่ให้เวลาข้าเตรียมตัวมากนัก” เซี่ยโห้วลิ่งกล่าว

เซี่ยโห้วท่าหลับตาลง “คิดมากไปแล้ว แม้เสือตาย แต่บารมีเสือยังอยู่!”

เมื่อเห็นเขามั่นใจขนาดนี้ เซี่ยโห้วลิ่งก็มีความมั่นใจแล้วเช่นกัน

หลังจากทั้งสองพูดคุยกันพักหนึ่ง เซี่ยโห้วลิ่งก็ขอตัวถอยออกไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงบิดาเรียกอีก “เจ้ารอง!”

เซี่ยโห้วลิ่งหยุดเดินแล้วหันตัวมา เห็นเซี่ยโห้วท่าลืมตาปรือๆ จ้องเจ้า “รับปากข้าเรื่องหนึ่ง”

เซี่ยโห้วลิ่งรีบกลับมาฟังคำสั่ง “ลูกฟังอยู่ขอรับ”

เซี่ยโห้วท่ากล่าวช้าๆ ว่า “ไม่ว่าในภายหลังจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าในภายหลังนางหนูเฉิงอวี่จะทำอะไร แต่ตระกูลเซี่ยโห้วต้องจำเอาไว้อย่างหนึ่ง จะต้องพยายามปกป้องชีวิตของนางไว้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็รับนางกลับบ้าน หาสภาพแวดล้อมดีๆ ให้นางอยู่อย่างสงบสุข ดูแลไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ปกป้องให้นางสิ้นอายุขัยตามธรรมชาติ! เจ้าทำได้หรือไม่?”

เซี่ยโห้วลิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องนี้ลูกจะจดจำไว้ในใจ!”

เซี่ยโห้วท่ากล่าวเสียงเรียบอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง บรรดาอนุภรรยาของข้า หลังจากข้าตายแล้ว หากมีลูกก็ให้พวกนางตามลูกไป ถ้าไม่มีลูกก็ให้พวกนางไปกับข้าก็แล้วกัน เรื่องนี้เว่ยซูจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่ให้เจ้าแบกรับความผิดอะไร”

นี่ไม่ต่างอะไรกับการให้คนหลายร้อยลงหลุมศพไปพร้อมกับเขา เซี่ยโห้วลิ่งตกใจไม่เบา ชำเลืองมองเว่ยซูที่แววตาสุขุมเยือกเย็น แล้วข่มคำพูดที่อยากถามเอาไว้ ได้แต่พยักหน้าตอบว่า “ขอรับ!”

“อืม! ไปเถอะ” เซี่ยโห้วท่าหลับตาสองข้าง

เซี่ยโห้วลิ่งโค้งตัวแล้วถอยออกไป พอเดินไปไกลแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองอีก

เขาไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า ท่านพ่อดูมีชีวิตชีวามากกว่าตอนอยู่ในห้องนิดหน่อย ตอนคุยกันอยู่ในห้องเรียกได้ว่าป่วยไร้เรี่ยวแรง และตอนนี้ถึงแม้จะป่วยอยู่ แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงพลังอำนาจที่เก็บซ่อนไว้บนตัวบิดา

…………………………

ประมุขชิงปล่อยมือจากชีพจรของเขาเงียบๆ

ซือหม่าเวิ่นเทียนและเกาก้วนคอยระแวดระวังรอบข้าง ขณะเดียวกันก็สังเกตปฏิกิริยาของประมุขชิง

“หลายปีก่อนเกิดเหตุไม่คาดคิดบางอย่าง หักอายุขัยธาตุหยางไปบ้างก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล พลังอิทธิฤทธิ์ของร่างกายมาจากฟ้าดิน แล้วก็กลับคืนสู่ฟ้าดินอีก ไม่มีอะไรน่าเสียดาย เพียงแต่รบกวนไปถึงฝ่าบาทแล้ว ถือเป็นความผิดจริงๆ” เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะ พลางใช้มือข้างหนึ่งตบหลังมือเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เบาๆ

ประมุขชิงถอนหายใจ “ข้ายังนึกว่าท่านปู่สวรรค์มีโอกาสก้าวเข้าระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จนเป็นอมตะเสียอีก นึกไม่ถึงเลยจริงๆ”

เซี่ยโห้วท่าหัวเราะเบาๆ “ระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์? เกรงว่าก้าวเข้าระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อาจไม่ใช่เรื่องดี แม้ระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะเป็นอมตะ แต่ความเป็นจริงล่ะ? ท่ามกลางความลี้ลับเหมือนจะมีสิ่งที่ยากจะต้านทานคงอยู่ ผู้ที่วรยุทธ์ถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังไม่เคยได้ยินว่าคนไหนเริ่มต้นเหมาะสมและจบลงด้วยดีสักคน ให้มีจุดจบอย่างนี้ดีกว่า”

คำพูดนี้ทำให้ประมุขชิงจมอยู่ในความคิด

“ฝ่าบาท! คนยังไม่ตาย ข้าน้อยมีเรื่องจะขอร้อง ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะอนุญาตหรือไม่?” เซี่ยโห้วท่าพลันเอ่ยขึ้น

ประมุขชิงพยักหน้า “ตราบใดที่ไม่ผิดกฎสวรรค์ แล้วข้าสามารถทำได้ ท่านปู่สวรรค์ก็บอกมาได้เลย”

เซี่ยโห้วท่าจ้องเขา “ข้าน้อยตัดสินใจยกตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วให้เซี่ยโห้วลิ่งผู้เป็นบุตรชายแล้ว ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะอนุญาตให้เซี่ยโห้วลิ่งรับฐานันดรท่านปู่สวรรค์ด้วยได้หรือไม่?”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เซี่ยโห้วลิ่งที่อยู่ข้างๆ หัวใจเต้นรัว ตอนนี้ในใจเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ก่อนตายท่านพ่อยังปูทางไว้ให้เขาด้วย!

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เหลือบตาขึ้นมองเซี่ยโห้วลิ่งทั้งน้ำตา ประมุขชิงเอียงหน้ามองเซี่ยโห้วลิ่ง นอกจากเซี่ยโห้วท่าที่จ้องประมุขชิง สายตาของคนที่เหลือก็ไปรวมอยู่บนตัวเซี่ยโห้วลิ่งอยู่แล้ว

สุดท้ายประมุขชิงก็หันกลับมา กล่าวกับเซี่ยโห้วท่าด้วยรอยยิ้มว่า “จะว่าไปเซี่ยโห้วลิ่งก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของเฉิงอวี่ รับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วต่อ รับตำแหน่งท่านปู่สวรรค์ด้วยก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเช่นกัน ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม” นับว่าเป็นไมตรีครั้งสุดท้ายระหว่างขุนนางและราชันก็แล้วกัน

เซี่ยโห้วท่าดันทุรังก้มตัว “ขอบพระทัยฝ่าบาท” หลังจากถูกประมุขชิงและเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ประคองแล้ว เขาก็บอกเว่ยซูอีกว่า “เว่ยซู เรียกรวมคนจากห้องอื่นๆ ไปฟังคำสั่งด้านนอก”

“ขอรับ!” เว่ยซูโค้งตัวรับคำสั่ง จากนั้นก็รีบหันตัวเดินออกไป

ทางด้านนี้ หลังจากประมุขชิงกับเซี่ยโห้วท่าคุยกันอีกไม่กี่ประโยค เว่ยซูก็มารายงานว่า “นายท่าน คนมาครบแล้วขอรับ”

เห็นเพียงรอบกายเซี่ยโห้วท่ากระเพื่อมไปด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ หย่อนเท้าสองข้างลงจากเตียงลุกขึ้นแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะไปประคองเขา แต่เขาผลักมือห้ามไว้ ดันทุรังให้พลังอิทธิฤทธิ์ประคับประคองอยู่อย่างนั้น ประคองร่างกายที่มีเลือดเนื้อเดินไปข้างนอก

เซี่ยโห้วลิ่งรีบก้าวเข้าไปจะประคอง แต่เซี่ยโห้วท่าโบกมือให้หลีกทาง ไม่ให้ใครประคองทั้งนั้น

“ท่านพ่อ!” เซี่ยโห้วลิ่งที่เดินตามอยู่ข้างกายเรียกด้วยเสียงสะอื้น น้ำตาไหลพรากอาบหน้า ขณะมองร่างกายที่ดันทุรังยืนขึ้นของบิดา ในใจก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าแสนสาหัส ในเวลานี้ความรู้สึกที่เขามีต่อท่านพ่อนั้นมาจากใจจริง เขารู้สึกปวดใจแทนท่านพ่อจริงๆ แล้ว

แน่นอน หากเซี่ยโห้วท่ามีการเตรียมการอีกอย่าง ในใจเขาก็ยิ่งจะมีแต่ความแค้นมากกว่า

ตรงตีนบันไดนอกตำหนักนอน มีคนยืนปนกันอยู่เป็นพัน ลูกหลานของเซี่ยโห้วท่ามีแค่ส่วนน้อย นอกนั้นเป็นอนุภรรยาทั้งหมด และในบรรดาอนุภรรยาพวกนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงของเซี่ยโห้วท่า หน้าตาอ่อนเยาว์งดงามดุจเทพธิดา มีบางส่วนที่แก่ชราแล้วเช่นกัน ยามปกติพวกที่แก่ชราแล้วจะไม่ค่อยโผล่หน้าออกมา แต่วันนี้นับว่ามากันครบแล้ว

ส่วนฮูหยินเอก ทั้งชีวิตนี้เซี่ยโห้วท่าไม่เคยแต่งงานอย่างจริงจังมาก่อน ดังนั้นตระกูลเซี่ยโห้วจึงไม่มีการแก่งแย่งเป็นลูกภรรยาเอก ลูกหลานล้วนมีฐานะเหมือนกันหมด

ตอนนี้ทุกคนล้วนได้ยินข่าวแล้ว รู้แล้วว่าอายุขัยของเซี่ยโห้วท่ากำลังจะมาถึง เมื่อเห็นเซี่ยโห้วท่าอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ประคองร่างกายเดินขึ้นมาบนบันได กลุ่มคนก็มีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป มีบางคนสะอึกสะอื่น บางคนร้องไห้อย่างปวดใจ บางคนมีสีหน้าซับซ้อนหลากอารมณ์ บางคนเงียบงันไม่พูดอะไร

ขณะกวาดมองกลุ่มคนที่อยู่เบื้องล่าง เซี่ยโห้วท่าไม่ได้บ่นมาก ตอนนี้ไม่มีแรงจะบ่นมากเช่นกัน ร่ายอิทธิฤทธิ์กล่าวเสียงต่ำว่า “ตาแก่ผู้นี้ใกล้สิ้นอายุขัยแล้ว วันนี้มีฝ่าบาท เหนียงเหนียงเป็นพยาน แต่งตั้งเซี่ยโห้วลิ่งบุตรชายคนรองเป็นหัวหน้าตระกูลรุ่นสามของตระกูลเซี่ยโห้ว ตั้งแต่บัดนี้ไป ทุกคนในครอบครัวยกให้เซี่ยโห้วลิ่งเป็นใหญ่ คนที่ไม่เคารพถือว่าทำผิดกฎครอบครัว!”

“ท่านพ่อ!”

“ท่านปู่!”

ด้านล่างมีเสียงร้องไห้ดังเป็นแถบ ลูกหลานทยอยกันคุกเข่าลง ส่วนบรรดาอนุภรรยาของเซี่ยโห้วท่าส่วนใหญ่ยืนปาดน้ำตา ไม่รู้ว่าต่อไปจะทำอย่างไรดี

“เซี่ยโห้วลิ่ง!” เซี่ยโห้วท่าตะโกนเสียงต่ำ ในมือชูกระบี่วิเศษลักษณะโบราณเรียบง่ายสีดำขลับทั้งด้ามทั้งปลอก เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนหัวหน้าตระกูลผู้กุมอำนาจตระกูลเซี่ยโห้ว

เซี่ยโห้วลิ่งรีบเดินออกมา เดินมาคุกเข่าบนบันไดขึ้นที่หนึ่ง ใช้สองมือรองรับไว้ แล้วเซี่ยโห้วท่าที่กำลังมองลงมาก็วางกระบี่วิเศษในมือเขา

เซี่ยโห้วลิ่งถือกระบี่วิเศษพร้อมเอาศีรษะโขกพื้นสามที จากนั้นลุกขึ้นยืน ใช้สองมือตั้งกระบี่ตรงหน้าอก เผชิญหน้ากับทุกคนของตระกูลเซี่ยโห้ว

ครั้งนี้คนที่คุกเข่ายืนขึ้นอีกครั้ง คนของตระกูลเซี่ยโห้วที่ยืนอยู่ข้างล่าง แม้แต่เว่ยซูเองก็รีบเดินลงบันไดมา โค้งตัวคำนับและกล่าวพร้อมกัน “คารวะหัวหน้าตระกูล!”

ตอนนี้เซี่ยโห้วลิ่งรู้สึกตื่นเต้นในใจ ในบรรดาคนพวกนี้ มารดาของเซี่ยโห้วลิ่งก็ตื่นเต้นที่สุดเช่นกัน

ตรงริมหน้าต่างในห้อง ประมุขชิงเอามือไขว้หลังมองฉากนี้ด้วยความสนใจ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดูเอาสนุก จะไม่ให้ดูเอาสนุกก็คงยาก มีหรือที่เขาจะไม่รู้ ว่าคนส่วนใหญ่ที่คำนับอยู่ตรงนี้คือลูกหลานตระกูลเซี่ยโห้วที่ไม่มีอำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือ ลูกหลานตระกูลเซี่ยโห้วที่กุมอำนาจมหาศาลเอาไว้ไม่มีใครโผล่หน้าออกมาเจอแสงได้สักคน ไม่มีใครอยู่ที่นี่สักคน เขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่า สิ่งของตัวแทนหัวหน้าตระกูลด้ามนั้นในมือเซี่ยโห้วลิ่งจะออกคำสั่งกับคนพวกนั้นได้หรือเปล่า?

เขายิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกสนุก รู้สึกว่าไม่เสียแรงที่มารอบนี้

หลังจากมีเสียงคำนับดังขึ้นแล้ว แต่ละห้องของตระกูลเซี่ยโห้วก็พากันแยกย้าย ประมุขชิงกล่าวปลอบใจแล้วเอ่ยขอตัวลาเช่นกัน และอนุญาติให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อยู่แสดงความกตัญญูที่นี่เป็นกรณีพิเศษ

ทหารตำหนักสวรรค์ถอนกำลังพลออกจากจวนท่านปู่สวรรค์ เหลือไว้คอยฟังคำสั่งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เพียงส่วนน้อยเท่านั้น

หลังจากมองคล้อยหลังประมุขชิงจากไป เซี่ยโห้วลิ่งก็กล่าวเสียงต่ำว่า “ทุกคนในจวนปฏิบัติตามคำสั่งของนายท่านตามเดิม!”

“ขอรับ!”

“ขอรับ!”

ข้างหลังกลับมีเสียงเอ่ยรับคำสั่งสองเสียงดังมาจากข้างหลัง พอเซี่ยโห้วลิ่งหันกลับไปมอง ก็อดไม่ได้ที่จะงง เว่ยซูกับอีกคนหนึ่งมองหน้ากันเลิกลั่ก

อีกคนหนึ่งชื่อว่าฟู่ถง เป็นพ่อบ้านที่มักจะฟังคำสั่งอยู่ข้างกายเซี่ยโห้วลิ่งเช่นกัน เป็นฟู่ถงคนนี้

เซี่ยโห้วลิ่งออกคำสั่ง ฟู่ถงก็เอ่ยรับคำสั่งด้วยความเคยชิน และในสายตาเว่ยซู ตอนนี้เซี่ยโห้วลิ่งออกคำสั่งในนามหัวหน้าตระกูล เขาก็ย่อมต้องเอ่ยรับคำสั่ง เพียงแต่พอเป็นแบบนี้ คำสั่งแรกที่เซี่ยโห้วลิ่งถ่ายทอดลงไปหลังจากได้รับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลก็สร้างความขัดแย้งแล้ว

เมื่อถูกเว่ยซูชำเลืองมอง ฟู่ถงก็ตกใจจนขนลุก พ่อบ้านอย่างเขากับพ่อบ้านอย่างเว่ยซูมีฐานะแตกต่างกันเกินไป ถ้ามองจากบางมุม นอกจากเซี่ยโห้วท่าแล้ว ตัวละครอย่างเว่ยซูก็เรียกได้ว่ามีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งของตระกูลเซี่ยโห้ว เพราะในมือเชื่อมโยงกำลังพลลับสายต่างๆ ที่คนนอกไม่รู้เอาไว้มากมาย แม้แต่เซี่ยโห้วลิ่งเองก็ยังหวาดกลัวสามส่วน ไม่กล้าล่วงเกิน เขาไม่รู้ว่าคำสั่งที่ตัวเองเพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้จะทำให้เว่ยซูคิดอย่างไร

ฟู่ถงรู้อย่างแจ่มแจ้ง ว่าแม้ในตอนนี้เซี่ยโห้วลิ่งจะเป็นหัวหน้าหัวหน้าตระกูลแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ยืนอย่างมั่นคง ถ้าเว่ยซูต้องการจะเล่นงานฟู่ถงให้ถึงตาย เกรงว่าแม้แต่เซี่ยโห้วลิ่งก็ยังปกป้องเขาไม่ได้

“พ่อบ้านเว่ย ตั้งแต่นี้ไป ฟู่ถงจะฟังคำสั่งของท่าน” ไม่ว่าจะจริงใจหรือไม่จริงจ เซี่ยโห้วลิ่งก็ประกาศฐานะของทั้งสองให้ชัดเจนไปเสียเลย

“ขอรับ!” ครั้งนี้ทั้งสองเอ่ยรับพร้อมกัน

วังสวรรค์ พอประมุขชิงกลับมาถึง พวกซ่างกวนชิงที่รออยู่นอกประตูตำหนักดาราจักรก็หันตัวเดินตามเข้าไปทันที

“นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?” อู๋ฉวี่ถามซือหม่าเวิ่นเทียนและเกาก้วน

ซือหม่าเวิ่นเทียนเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ โพ่จวินได้ยินแล้วขมวดคิ้วถาม “ถ้าพูดแบบนี้ เซี่ยโห้วท่าก็ใกล้สิ้นอายุขัยแล้วจริงๆ?”

“ข้าตรวจสอบด้วยมือตัวเอง เป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่ใช่การปลอมแปลง ต่อให้ปลอมแปลงแต่ก็ยากที่จะปลอมแปลงกิริยาท่าทางของเซี่ยโห้วท่าได้สมจริงขนาดนี้” ประมุขชิงที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาแสยะยิ้ม ดูตื่นเต้นมีชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ “เซี่ยโห้วท่าใช้ความคิดวางแผนมาทั้งชีวิต แต่ช่วยไม่ได้ที่หลีกหนีชะตาไม่พ้น! ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้คุมหางเสือเรือแล้ว หึหึ…”

“ในเมื่อเซี่ยโห้วท่าสามารถให้เซี่ยโห้วลิ่งคุมตระกูลเซี่ยโห้วต่อได้ คาดว่าคงจะเตรียมการไว้เหมาะสมแล้ว” เกาก้วนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยๆ

“เซี่ยโห้วลิ่ง?” ประมุขชิงหัวเราะเย้ยสามที “ปณิธานอันยิ่งใหญ่อาจมีอยู่บ้าง แต่กลับเป็นพวกหัวสูงฝีมือต่ำ ไม่พอให้ข้ากังวล!”

โพ่จวินกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาทยังต้องระวังไว้ ประมาทไม่ได้ ไม่แน่ว่าจิ้งจอกเฒ่านั่นอาจจะวางกับดักรอให้คนกระโดดลงไป”

อู๋ฉวี่ก็พยักหน้าเตือนเช่นกัน “แม้เซี่ยโห้วท่าจะไม่อาจใคร่ครวญวางแผนเรื่องในภายหลังได้หมด แต่เขาก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้ ว่าหลังจากตัวเองตายแล้วตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะเผชิญวิกฤติ มีความเป็นไปได้สูงว่าเตรียมสะสมกำลังเชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อสร้างบารมีแล้ว เกรงว่าใครพรวดพราดเข้าไปชนก็ต้องหัวร้างข้างแตกแน่!”

ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ หลังจากเงียบไปพักหนึ่งก็ถอนหายใจอีก “ทั้งชีวิตนี้ของเซี่ยโห้วท่า…” พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็ส่ายหน้าทอดถอนใจ

ในจวนอ๋องสวรรค์โค่ว ในตำหนักใหญ่ของสวนด้านใน โค่วหลิงซวีเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาไม่หยุด หัวคิ้วขมวดมุ่น

ทางนี้ย่อมรู้ถึงความผิดปกติของตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว แต่คิดจนหัวแทบแตกแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทั้งยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีก

นอกตำหนัก โค่วเจิงเร่งฝีเท้าเดินตามหลังถังเฮ่อเหนียน ทั้งจากทั้งสองทำความเคารพแล้ว ยังไม่ทันพูดอะไร โค่วหลิงซวีก็ถามเสียงต่ำแล้วว่า “สืบได้ข่าวอะไร?”

ถังเฮ่อเหนียนส่ายหน้า “ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน แต่ในวังก็ส่งข่าวมาแล้วขอรับ มีคนเห็นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ร้องไห้ไปหาประมุขชิงที่ตำหนักดาราจักร จากนั้นประมุขชิงกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไปที่จวนตระกูลเซี่ยโห้วด้วยกัน ตอนนี้ประมุขชิงกลับมาแล้ว แต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยังอยู่ที่ตระกูลเซี่ยโห้ว”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” โค่วหลิงซวีใจเย็นไม่ไหวแล้ว เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะสืบไม่เจอข่าวอะไรสักนิด เป็นฝ่ายถูกกระทำมากเกินไปแล้วจริงๆ

ในขณะนี้เอง มีระฆังดาราส่งข่าวมาแล้ว หลังจากโค่วหลิงซวีหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ ก็ตกตาตึงตาค้างยืนเหม่ออยู่ที่เดิม พูดไม่ออกนานมาก

ถังเฮ่อเหนียนเดาออกโดยสัญชาติญานว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว จึงถามว่า “นายท่าน เกิดเรื่องอะไรขอรับ?”

โค่วหลิงซวีเก็บระฆังดาราเงียบๆ “อิ๋งจิ่วกวงส่งข่าวมา เซี่ยโห้วท่าใกล้สิ้นอายุขัย ภายใต้ประจักษ์พยานของประมุขชิง เขาส่งต่อตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วให้เซี่ยโห้วลิ่งแล้ว ประมุขชิงให้สัญญาแล้วว่าจะให้เซี่ยโห้วลิ่งรับตำแหน่งท่านปู่สวรรค์ต่อ!”

“หา!” ถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงอุทานพร้อมกัน ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะเกิดสถานการณ์อย่างนี้ นั่นคือเซี่ยโห้วท่าเชียวนะ! จะตายแล้วเหรอ?

ถังเฮ่อเหนียนดึงสติกลับมา รีบถามว่า “นายท่าน ข่าวน่าเชื่อถือหรือไม่ขอรับ? ตระกูลเซี่ยโห้วปิดข่าวสนิทมาก อิ๋งจิ่วกวงรู้ข่าวนี้ได้ยังไง?”

โค่วหลิงซวีหลับตา “ข้าก็สงสัยเรื่องนี้เหมือนกัน ครั้งนี้อิ๋งจิ่วกวงกดดันให้สนมสวรรค์จ้านหรูอี้สืบข่าวจากประมุขชิง นี่คือสิ่งที่ประมุขชิงบอกกับจ้านหรูอี้เอง…อิ๋งจิ่วกวงส่งหลานนอกคนนี้เข้าวังนับว่าคุ้มค่า! นางถูกปากประมุขชิง เฒ่าถัง เรื่องนี้เจ้าต้องตรวจสอบวิเคราะห์ให้ดีสักหน่อย พวกเราส่งสาวงามเข้าวังไปมากขนาดนั้น เหตุใดยังไม่มีใครถูกปากประมุขชิงเท่าจ้านหรูอี้สักคน เกรงว่าคงไม่ใช่เหตุผลเรื่องฐานะตำแหน่งอย่างเดียวแล้ว?”

……………

สายลมอ่อนหยุดคนได้ ผมยาวปลิวสะบัด อวี้หลัวช่าหยุดอยู่กับที่ มองตามหลังเขาเดินออกไป

เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนเนินดินเล็กเห็นทั้งสองแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นศีลแปดกลับมาอย่างปลอดภัย ในที่สุดเขาก็โล่งใจแล้ว หลังจากศีลแปดวิ่งออกไปคนเดียว เขาก็ไม่ได้หลับตาเลยทั้งคืน เฝ้ารออยู่ที่นี่ตลอด เพราะกังวลที่อวี้หลัวช่าปลิ้นปล้อนเกินไป กลัวว่าจะเกิดเรื่องกับศีลแปด

“พี่ใหญ่!” ศีลแปดวิ่งขึ้นมาที่เนินดิน แล้วชี้อวี้หลัวช่าที่ยืนอยู่ไกลๆ ด้วยใบหน้ายิ้มทะเล้น “ผู้หญิงคนนี้เกาะแกะไม่เลิกจริงๆ ดิ้นรนสู้ตายเก่งมากด้วย ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเส้นทางกลางคัน ทั้งยังกระโดดลงแม้น้ำเชี่ยวกราด สุดท้ายก็ไปหลบในป่าไม้โบราณ หลบในร่องน้ำระหว่างภูเขาที่ไร้เดือนไร้ตะวัน แต่ก็ยังถูกข้าจับได้อยู่ดี”

อวี้หลัวช่ากลับมาแล้ว เหมียวอี้ย่อมเห็นแล้ว เขามองประเมินศีลแปดศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”

ศีลแปดกางแขนสองข้าง แล้วกล่าวปนเสียงหัวเราะร่า “ข้าจะเป็นอะไรได้ล่ะ พี่ใหญ่ ท่านคงไม่ได้รอข้างทั้งคืนหรอกใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ไม่ได้บอกว่าตัวเองรอมาทั้งคืน ถามเพียงว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

พอได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนี้ ศีลแปดก็เข้าใจแล้ว ว่าพี่ใหญ่รอเขาด้วยความเป็นห่วงมาทั้งคืนจริงๆ ทำให้เขารู้สึกผิด เขากับอวี้หลัวช่านัวเนียกันสุขสำราญอยู่ทางนั้น แต่พี่ใหญ่กลับรอเขาอยู่ที่นี่ แต่เขาก็ยังหนังหน้าหนาเหมือนกัน ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ

“เจ้ามีวิธีหาตัวนางกลับมาได้ แต่เจ้าไม่มีวิธีฆ่านางเชียวเหรอ?” เหมียวอี้จ้องอวี้หลัวช่าพร้อมเอ่ยถาม

ศีลแปดเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนตอบว่า “ถ้าจะฆ่านางก็ไม่ยากหรอก ไม่ใช่ว่าข้าฆ่านางไม่ได้ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่อยากฆ่านาง”

เหมียวอี้สังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลตั้งนานแล้ว ขมวดคิ้วถามว่า “เพราะอะไร? เจ้าคงไม่ได้ถูกความงามของนางล่อลวงหรอกใช่มั้ย?”

ศีลแปดถอนหายใจ “พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องพูดเลย ข้าชอบความงามของนางนิดหน่อยจริงๆ”

เหมียวอี้หน้าดำในชั่วพริบตาเดียว กล่าวเสียงเข้มว่า “สมองเจ้ามีปัญหาเหรอ เจ้าไม่รู้หรือไงว่านางเป็นคนยังไง?”

ศีลแปดโบกมือ “พี่ใหญ่ ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด พูดไปพี่ใหญ่ก็อาจจะไม่เชื่อ เอาเป็นว่าข้าค้นพบแล้ว ว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของตัวเองแตกต่างกับพวกท่านจริงๆ ความก้าวหน้าในวรยุทธ์ของพวกท่านต้องอาศัยการฝึกตน แต่ข้ากลับต้องฝึกใจ การต่อต้านปีศาจเฒ่าทำให้วรยุทธ์ข้าสูงขึ้นแบบพรวดพราด ผู้หญิงคนนี้มาที่นี่ได้ไม่ถึงสองวัน จู่ๆ ข้าก็พบว่าวรยุทธ์ตัวเองก้าวหน้าแล้วไม่น้อยเลย ข้าถึงได้เข้าใจกระจ่าง ว่าที่แท้แล้วความงามของนางที่ยั่วยวนข้าก็เป็นการฝึกตนประเภทหนึ่งเหมือนกัน”

เหมียวอี้ถูกทำให้ตกใจแล้วจริงๆ เพราะคำพูดของศีลแปดทำให้เขานึกถึงสิ่งที่จินม่านบอก จินม่านบอกว่าระบำมารสวรรค์เดิมทีเป็นสิ่งที่ศิษย์สำนักหนานอู๋ใช้ฝึกตน อย่าบอกนะว่าบนตัวศิษย์ชาวพุทธอย่างศีลแปดก็ได้ผลเหมือนกัน? ประการต่อมา เรื่องที่ศีลแปดหยุดยั้งพระปีศาจหนานโปแล้ววรยุทธ์สูงขึ้นพรวดพราด เขาเชื่อว่าศีลแปดน่าจะไม่ได้หลอกเขา

พอเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความลังเล “เจ้าแน่ใจนะว่านางช่วยเจ้าเพิ่มวรยุทธ์ได้?”

ศีลแปดพยักหน้าซ้ำๆ “เวลาสั้นๆ เพียงสองวัน วรยุทธ์ข้าก้าวหน้าแล้วไม่น้อย ทุกครั้งที่เข้าใกล้นางก็จะรู้สึกได้ชัดเจนมาก”

“อย่าบอกนะว่านอกจากนางแล้ว ผู้หญิงคนอื่นก็ไม่ทำให้เจ้ารู้สึกว่าวรยุทธ์เติบโต?” เหมียวอี้ถาม

ศีลแปดตอบว่า “ไม่รู้สิ! อย่าน้อยข้าก็ไม่รู้สึกจากตัวปาไห่ กับผู้หญิงที่เคยคลุกคลีด้วยก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้สึก”

เหมียวอี้เหล่ตามถาม “เจ้าหมายความว่าจะให้ข้าปล่อยนางไปเหรอ?”

ศีลแปดรีบโบกมือ “พี่ใหญ่เข้าใจผิดแล้ว ต่อให้อาตมาจะเป็นคนไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญ แต่การปล่อยนางไปจะไม่เป็นการทำร้ายพี่ใหญ่หรอกเหรอ? ข้าคิดอย่างนี้ ยังไงก็ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งปีกว่าค่ายกลใหญ่จะหยุดทำงาน ข้าอยากจะลองอาศัยนางดูหน่อย ว่าจะช่วยข้าเพิ่มวรยุทธ์ได้ถึงขั้นไหน เอาเป็นว่าข้ารับประกันต่อพี่ใหญ่เลย ก่อนที่ค่ายใหญ่จะหยุดทำงาน ข้าไม่ให้นางมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่แน่”

ที่เขาพูดก็ฟังดูดี ที่จริงเพิ่งจะได้รู้รสชาติของเนื้อ ยังไม่หนำอกหนำใจ เกี่ยวบ้าอะไรกับการฝึกตนล่ะ แต่ก็ไม่ใช่คำโกหกเสียทั้งหมด คนแบบอวี้หลัวช่าผ่านผู้ชายมาเยอะเกินไป ถ้าจะให้ศีลแปดชอบอวี้หลัวช่าจากใจจริงก็เป็นไปไม่ได้ ยิ่งเป็นคนเลวก็ยิ่งชอบคนไร้เดียงสา ศีลแปดก็ไม่ใช่คนดีอะไร คนที่เขาชอบก็คือผู้หญิงบริสุทธิ์ไร้เดียงดุจกระดาษขาวคนหนึ่ง นางมีอยู่ในป่าและมีใบหูยาวแหลม

สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ตัวเองไม่ได้ชอบ นางไม่ได้ความสำคัญกว่าชีวิตของพี่ใหญ่แน่นอน

“แน่นอน ถ้าพี่ใหญ่ไม่เห็นด้วย ข้าก็จะคิดหาวิธีฆ่านางเลย!” ศีลแปดพูดเสริมอีก

เหมียวอี้เงียบไปสักพัก แล้วถามว่า “ข้ากลัวว่าเวลานานไปแล้วจะเกิดเรื่องขึ้น เจ้าแน่ใจนะว่าควบคุมนางได้?”

ศีลแปดตบอกรับประกัน “พี่ใหญ่วางใจได้ นางหนีไม่พ้นหรอก!”

เหมียวอี้ชำเลืองอวี้หลัวช่าที่อยู่ไกลๆ ปราดหนึ่ง เก็บกระบี่ในมือเข้าฝักตรงเอว “เจ้าจัดการเองตามเห็นสมควรเถอะ! แต่มีจุดหนึ่งที่เจ้าต้องจำไว้ นางจะรอดชีวิตออกจากที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด!” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป นับว่าอนุญาตศีลแปดแล้ว

ศีลแปดรีบตอบว่า “ต่อให้พี่ใหญ่ไม่บอกข้าก็เข้าใจ” หลังจากมองคล้อยหลังเหมียวอี้เดินไปแล้ว เขาถึงได้หันตัวมาโบกมือให้อวี้หลัวช่า

ผมยาวปลิวไสวตามสายลม อวี้หลัวช่าเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน นางเดินมาตรงหน้าศีลแปด มอบรอยยิ้มบางๆ ให้และยื่นมือไปคล้องแขนเขา

ใครจะคิดว่าศีลแปดจะทำตัวราวกับคนใจดำอำมหิต เขารีบหลบเลี่ยงนางแล้วกำชับว่า “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ! ถ้าให้พี่ใหญ่เข้า แม้แต่ข้าก็ปกป้องเจ้าไม่ได้นะ!”

อวี้หลัวช่าหน้าซีดในชั่วพริบตาเดียว เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว นางหันตัวช้าๆ แล้วเดินไปทางหุบผา

“นี่! ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ” ศีลแปดตะโกนบอก

อวี้หลัวช่าหันกลับมามอง ลมพัดปอยผมโยกไหวบนใบหน้า นางฝืนยิ้มพร้อมบอกว่า “ข้ารู้แล้ว ไม่ถามเรื่องในอดีต วันนี้มีสุราก็เมามายวันนี้ ไม่สนใจท้องฟ้าวันพรุ่งนี้ เรื่องเมื่อคืนผ่านไปแล้ว” พูดจบก็เดินไปข้างหน้าต่อ

ศีลแปดรีบเดินก้าวยาวเข้าไป แล้วถามด้วยความสงสัย “เจ้าไม่สงสัยเหรอว่าทำไมข้าโน้มน้าวพี่ใหญ่ได้?”

อวี้หลัวช่าตอบไม่ตรงคำถาม “พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก กว่าเขาจะเดินมาถึงวันนี้ได้ก็ไม่ง่ายเลย ข้ามองออกว่าเขาดีต่อเจ้ามากจริงๆ” หลังจากพูดจบ นางก็ดูเงียบเป็นพิเศษ

หลังจากเดินมาข้างหุบผา ศีลแปดก็ชี้ทะเลสาบที่อยู่ไกลๆ “ไปที่ริมทะเลสาบนั่นเถอะ ข้าสร้างห้องให้เจ้าริมทะเลสาบ อยู่ริมทะเลสาบจะได้ใช้ชีวิตสะดวก”

อวี้หลัวช่าพยักหน้า “ข้าอยากจะไปหาอาจารย์เจ้าสักหน่อย”

“เจ้าจะไปหาเขาทำไม?” ศีลแปดแปลกใจอีกแล้ว

อวี้หลัวช่าตอบเสียงเรียบ “ก่อนหน้านี้เขาเคยดึงแขนเจ้ากับหนิวโหย่วเต๋อไว้เพื่อให้ข้าหนีไป ข้าจะไปขอบคุณก็สมเหตุสมผลแล้ว” พอพูดจบ นางก็ไม่รอให้ศีลแปดอนุญาต เดินเข้าไปในหุบผาเองแล้ว

ศีลแปดบ่นตามหลัง “ถ้าให้เขารู้ว่าข้าตามเจ้ากลับมา ข้าจะไม่ต้องฟังเขาบ่นอีกเหรอ?”

อวี้หลัวช่าไม่ได้ตอบอะไร

ทั้งสองมาถึงนอกวัดอีกครั้ง เหมียวอี้กำลังนั่งขัดสมาธิตรงข้ามไต้ซือศีลเจ็ด ทั้งสองกำลังคุยกัน ปีศาจโลหิตคอยรินน้ำชาให้อยู่ข้าง

เมื่อเห็นอวี้หลัวช่ากลับมาแล้ว เหมียวอี้ก็แค่เอียงหน้ามองปราดเดียว ส่วนไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิตก็ทำสีหน้างุนงง

อวี้หลัวช่าเดินมามองตรงประตูวัดก่อน แล้วหันตัวเดินมาตรงหน้าไต้ซือศีลเจ็ด จากนั้นยกกระโปรงขึ้นเล็กน้อย นั่งคุกเข่าตรงหน้าไต้ซือศีลเจ็ดแล้ว “ขอบคุณไต้ซือที่ช่วยชีวิตข้าไว้ก่อนหน้านี้”

“อามิตตาพุทธ” ไต้ซือศีลเจ็ดส่ายหน้าพลางถอนหายใจเบาๆ “สงสัยอาตมาจะช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ เหตุใดต้องมีมารยาทขนาดนี้?”

อวี้หลัวช่าไม่ได้ลุกขึ้น คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขาอย่างนั้น แล้วถามว่า “ไต้ซือ ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอคำชี้แนะ ไม่ทราบว่าจะถามได้หรือไม่?”

เหมียวอี้กับศีลแปดจ้องนางพร้อมกัน ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะทำชั่วอะไร

ศีลเจ็ดประนมมือ “บอกมาได้เลย”

อวี้หลัวช่าเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “คาดว่าไต้ซือกับหนิวโหย่วเต๋อคงจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน ในเมื่อไต้ซือรู้แล้วว่าข้าเป็นศัตรูของเขา เหตุใดจึงช่วยให้ข้าหนีไปอีก?”

“ศัตรู…” ไต้ซือศีลเจ็ดทำท่าครุ่นคิดพลางกล่าวอย่างเนิบช้า “สรรพสิ่งล้วนเท่าเทียม อาตมาบำเพ็ญมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่เคยมีศัตรูไม่มีศัตรู!”

“ไม่มีศัตรูสักคนเชียวหรือ?” อวี้หลัวช่าค่อนข้างแปลกใจ

“ไม่มี!” ไต้ซือศีลเจ็ดส่ายหน้า

ใบหน้าอวี้หลัวช่าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ นางยังสงสัยว่าศีลเจ็ดช่วยนางเพราะมีลับลมคมในบางอย่าง บางทีไต้ซือศีลเจ็ดอธิบายอะไรนางอาจจะไม่เชื่อเลยก็ได้ เพราะนางมาหยั่งเชิงเฉยๆ แต่ประโยคที่ว่า ‘ไม่มีศัตรู’ ได้คลายความสงสัยทุกอย่างของนางในรวดเดียว ได้ผลกว่าการอธิบายยาวเหยียดเป็นร้อยพันคำเสียอีก สุดท้ายนางก็พยักหน้าช้าๆ “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณไต้ซือที่ชี้แนะ!” จีบนิ้วมุทราคีบบุปผาตรงหน้าอก ย่อตัวขอบคุณ แล้วลุกขึ้นเดินออกไป

แสงแดดแก่กล้า ริมทะเลสาบมีไม้กลมวางอยู่กองหนึ่ง เรือนไม้รูปรังนกยกพื้นสูง ศีลแปดที่เปลือยไหล่ข้างเดียวเหงื่อท่วมตัวราวกับอาบน้ำฝน กำลังปีนขึ้นบนเพิงไม้และควงค้อนตีตรงข้อต่อไม้

ในศาลาที่อยู่ข้างกัน อวี้หลัวช่าที่นั่งพิงอยู่ข้างเสาถือกาน้ำดื่มน้ำช้าๆ บางครั้งก็เอียงหน้ามองศีลแปดที่กำสร้างสร้างบ้านให้นาง มองออกเลยว่าเขาพิถีพิถันกับการสร้างบ้านหลังนี้ขนาดไหน

ดูได้ประเดี๋ยวเดียว จู่ๆ อวี้หลัวช่าก็ลุกเดินออกจากศาลา เดินเข้าไปในบ้านไม้รูปรังนก ชูกาน้ำให้ศีลแปดที่อยู่บนคาน “ลงมาดื่มน้ำก่อน”

ศีลแปดมองแวบหนึง แล้วปีนลงจากคาน ยื่นมือไปรับกาน้ำ แต่ใครจะคิดว่าอวี้หลัวช่าจะหดกาน้ำกลับมาไว้ข้างหลัง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “บอกก่อนว่าเจ้ารักข้า!”

ศีลแปดงงไปชั่วขณะ แล้วกล่างอย่างรู้สึกขำ “เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว ข้ากระหายน้ำ”

อวี้หลัวช่าส่ายหน้าไม่ยอมให้ ถามเพียงบอกว่า “จะพูดหรือไม่พูด?”

ศีลแปดถอนหายใจ “ข้ารักเจ้า พอใจหรือยัง!” สำหรับเขา คำพูดประเภทนี้ไม่มีค่าอะไร พูดได้ง่ายๆ อยู่แล้ว

อวี้หลัวช่ากลับยิ้มอย่างเข้าใจ จากนั้นก็หัวเราะอย่างสดใจทันที ความไม่สบอารมณ์บนใบหน้าเหมือนจะสลายไปราวกับเมฆหมอกใช้ชั่วพริบตาเดียว นางยกกาน้ำชากรอกน้ำใสปากตัวเอง จากนั้นก็โยนไว้ข้างหลัง

ศีลแปดงุนงง “เจ้าเป็นบ้าเหรอ? ข้า…” ยังไม่ทันพูดจบ อวี้หลัวช่าก็กระโจนเข้ามากอด และใช้ปากอุดปากของเขาไว้แล้ว จากนั้นก็กรอกน้ำในปากตัวเองใส่ปากเขา

ศีลแปดดื่มน้ำได้นิดเดียวเพราะวิธีการนี้ เขาต้องการจะผลักนางออก แต่นางกลับกอดแน่นไม่ยอมปล่อย กระซิบข้างหูเขาว่า “ครอบครองข้าสิ!”

“เอ่อ…กลางวันแสกๆ ทำที่นี่ไม่เหมาะสมมั้ง?”

“ข้าเพิ่งดูมา ข้างนอกไม่มีคน”

ศีลแปดมองไปรอบๆ ทันที พบว่าเหมือนจะไม่มีคน จึงไม่เกรงใจแล้วเช่นกัน ไม่นานก็ถอดเสื้อผ้าอวี้หลัวช่าออกจนหมด…

หลังจากนั้นสองวัน วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในวัดก็ส่งเสียงแกร๊กๆ บนตัววิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เหมือนรูปปั้นเริ่มเกิดรอยแตก สุดท้ายก็แตกออก ร่างกายที่เปล่งแสงสีทองยืนขึ้นอีกครั้ง เปลือกที่แตกตกลงพื้นกลายเป็นเถ้าปลิวหายไปอย่างลึกลับ ส่วนนอกประตู เสียงสวดมนต์ของปีศาจโลหิตก็ดังขึ้นอีกครั้งเช่นกัน

เหมียวอี้ยืนรอตรงหน้าประตู จึงได้เห็นฉากปาฏิหารย์นี้กับตาตัวเอง

ดวงตาเพลิงทองของพระปีศาจหนานโปจ้องเหมียวอี้ ลอยเข้ามาช้าๆ ทั้งสองจ้องประเมินกันโดยมีประตูใหญ่ล่องหนกั้น

“เจ้าก็คือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?” พระปีศาจหนานโปส่งเสียงดังก้อง

เหมียวอี้แปลกใจนิดนห่อย “เจ้าเคยได้ยินชื่อข้ามาก่อนเหรอ?” สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเป็นเกียรติอยู่บ้าง

พระปีศาจหนานโปมองไปทางปีศาจโลหิตที่สวดมนต์อยู่ข้างนอก “ทุกคนที่มีคนมาที่นี่ ข้าจะถามถึงเรื่องราวข้างนอก ในปีนั้นตอนนางถูกข้าควบคุม ข้ารู้มาจากปากนาง”

“แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าคือหนิวโหย่วเต๋อ?” เหมียวอี้แปลกใจอีก

………………………

พวกใบไม้ตะไคร่น้ำลอยขึ้นจากน้ำ ทั้งหมดแทบจะเป็นสิ่งสกปรกที่มาจากตัวอวี้หลัวช่า

ละอองน้ำกระเพื่อมเคลื่อนไหว ฟองอากาศไหลกลิ้ง สิ่งสกปรกลอยไปตามกระแสคลื่น

สองคนที่ตกลงน้ำโผล่ศีรษะขึ้นมาพร้อมกัน สระน้ำไม่ลึก สูงแค่หน้าอกและไหล่ของทั้งสอง

อวี้หลัวช่ายกมือรูดผมงามไปไว้ด้านหลัง ส่วนมืออีกข้างสลัดไม่หลุด เพราะถูกอีกฝ่ายคว้าไว้แน่นตลอดเวลา

ศีลแปดเช็ดน้ำบนใบหน้า จับมือเรียวสวยของอีกฝ่ายที่กำลังดิ้นรนไม่ยอมปล่อย

สุดท้ายอวี้หลัวช่าก็เลิกดิ้นรนแล้ว ทั้งสองที่กำลังแช่สระน้ำมองกันและกันอยู่ภายใต้แสงจันทร์ จีวรสีขาวพระจันทร์ลอยกระเพื่อมอยู่ในสระน้ำ

ศีลแปดมองนางด้วยใบหน้าอมยิ้ม

ไม่รู้ว่าในดวงตาของอวี้หลัวช่าเป็นน้ำหรือน้ำตา หลังจากจ้องอีกฝ่ายอยู่ตั้งนาน ก็ถามอย่างเจ็บปวดรวดร้าวใจ “ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องฆ่าข้า ทำไมไม่ลงมือซะเลย เจ้าต้องการอะไรกันแน่? ปั่นหัวข้าเหมือนของเล่นสนุกนักหรือไง? ได้ทรมานพุทธะหน้าหยกผู้สง่าน่าเกรงขามแล้วเจ้ารู้สึกประสบความสำเร็จสินะ?”

ศีลแปดออกแรงดึงที่แขน สองคนที่อยู่ในน้ำแทบจะตัวติดกัน สายตาสบประสานกันในระยะใกล้ “อย่างน้อยอาตมาก็ไม่เคยคิดที่จะฆ่าเจ้า”

“หรือพูดได้อีกอย่างว่าข้าเดาไม่ผิด ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องฆ่าข้าเพื่อหนิวโหย่วเต๋อ ใช่มั้ยล่ะ?” อวี้หลัวช่าถาม

“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำยังไง?” ศีลแปดถาม

“ปล่อยข้า!” อวี้หลัวช่าตะคอก

“ไม่ปล่อย!” ศีลแปดกล่าว

“…” อวี้หลัวช่าโบกหมัดอีกข้างเข้ามาทันที ออกแรงทุบตรงหน้าศีลแปด เหมือนเป็นบ้าไปแล้ว

ศีลแปดยังมีใบหน้ายิ้ม ปล่อยให้นางทุบตีต่อไป ผิมน้ำระหว่างทั้งสองโดนตีจนกระเพื่อมสาดกระจาย

รอจนอวี้หลัวช่าทุบตีจนเหนื่อยแล้ว นางก็หยุดพลางหอบหายใจ ศีลแปดดึงเสื้อผ้าตรงหน้าอกออก เห็นเพียงบนหน้าอกข้างขวาถูกตีจนเขียวช้ำเป็นวงใหญ่ ทั้งยังห่อเลือดด้วย ต่อให้อยู่ใต้แสงจันทร์ก็มองเห็นชัดเจน

อวี้หลัวช่ามองบาดแผลตรงหน้าอกเขาอย่างตะลึงงัน เมื่อครู่นี้นางออกแรงเยอะจริงๆ ไม่ได้ออมมือเลย

“แค่กๆ…” จู่ๆ ศีลแปดก็ไอพักหนึ่ง ที่มุมปากมีเลือดไหลออกมา เลือดแดงหยดบนผิวน้ำระหว่างทั้งสองคน

อวี้หลัวช่ามองรอยเลือดที่หยดมาถึงคางเขาอย่างงุนงง แล้วถามด้วยสีหน้าสับสนเป็นพิเศษ “ทำไมเจ้าไม่หลบ?”

“เพราะข้าเต็มใจ” ศีลแปดยิ้มอ่อน

อวี้หลัวช่าพูดไม่ออก มองเขาด้วยสีหน้าเหม่อลอยประเดี๋ยวเดียว สุดท้ายก็แสยะยิ้ม “เหลวไหล! เจ้าต้องมีเจตนาอะไรแน่นอน”

ศีลแปดยิ้มตอบ “ถ้าเจ้าดึงดันจะบอกว่าข้ามีเจตนาอะไร งั้นก็ได้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่อาตมาเห็นเจ้า อาตมาก็ชอบเจ้าแล้ว”

ร่างงามของอวี้หลัวช่าสั่นอย่างหาคำตอบนไม่ได้ ทันใดนั้นนางก็พบว่าตัวเองทนสายตาของเขาไม่ไหว เอียงหน้ามองไปอีกด้าน “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเหรอ? ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบนะ!”

ศีลแปดหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “งั้นข้าเปลี่ยนเหตุผลใหม่ ข้าให้เจ้าตบตียกหนึ่ง ระหว่างพวกเราสองคนก็เท่าเทียมกันแล้ว ทำให้เจ้าหายโกรธได้หรือยัง?”

อวี้หลัวช่าหันกลับมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแทบขอร้อง “เจ้าจะเอายังไงกันแน่?”

“ยังไม่เชื่อเหรอ? งั้นอาตมาก็จะพูดความจริงแล้วกัน อาตมาเกิดอารมณ์ทางโลกแล้ว ชอบในรูปลักษณ์ความงามของเจ้า” ศีลแปดกล่าว

“…” อวี้หลัวช่ามองเขาอย่างอึ้งๆ ไม่รู้จะตอบกลับว่าอะไร หลังจากเงียบไปพักใหญ่ถึงได้บอกว่า “เพราะอยากได้ร่างกายของข้าเหรอ?”

“หรือเจ้าก็ไม่เชื่อเหตุผลนี้ด้วยเหมือนกัน?” ศีลแปดถามเหมือนแปลกใจ

อวี้หลัวช่าตอบว่า “ข้าตกอยู่ในมือเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าอยากได้ก็เอาไปข่มเหงได้ทุกเมื่อ จำเป็นต้องอ้อมค้อมขนาดนี้ด้วยเหรอ?” ขณะที่พูด สายตานางชำเลืองหน้าอกที่มีรอยช้ำของเขาครู่เดียว

“อาตมาเคยบอกแล้ว จนกระทั่งตอนนี้อาตมายังไม่เคยเสียตัวเลย ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง” ศีลแปดกล่าว

“…” อวี้หลัวช่าอ้าปากค้าง จู่ๆ ก็กลั้นขำไม่ไหว หัวเราะจนร่างงามสั่นเทิ้ม สุดท้ายก็ไม่รู้นึกอะไรขึ้นได้ นางหยุดยิ้มกะทันหัน แล้วก้มหน้าบอกว่า “อย่างที่หนิวโหย่วเต๋อบอก ข้าสกปรกมาก นอนกับผู้ชายมากี่คนแล้ว ขนาดข้ายังนับไม่ได้เลย เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้ายังต้องการจริงๆ?”

“มิถามไถ่วันวาน มิถามไถ่อดีต มิถามเหตุผล วันนี้มีสุราก็เมามายวันนี้ มิสนขอบฟ้าของวันพรุ่งนี้ จดจำเพียงวันนี้!” ศีลแปดกล่าว

“จดจำเพียงวันนี้…” อวี้หลัวช่าพึมพำอย่างเหม่อลอย นางมองเขาเงียบๆ สุดท้ายก็ค่อยๆ ยกมือขึ้น ดึงเสื้อตรงหน้าอกตัวเองออก เผยหน้าอกอิ่มเอิบขาวเนียนดุจหิมะ ผลไม้สีแดงอยู่บนยอดเนินขาวหมดจด มีหยดน้ำแต้มอยู่บนนั้น ภายใต้แสงจันทร์ หยดน้ำใสดุจผลึกไหลผ่านหน้าอกหยดแล้วหยดเล่า

มืออีกข้างดิ้นรนเล็กน้อย ตอนนี้ศีลแปดปล่อยมือนางแล้ว

อวี้หลัวช่าถอดเสื้อผ้าในขณะที่ตัวแช่อยู่ในน้ำ ต่อให้ถูกทรมานจนเสื้อผ้าหลวมก็ไม่นึกเสียใจทีหลัง นางถอดโยนขึ้นบนฝั่งทีละชิ้น สุดท้ายร่างกายก็เปลือยล่อนจ้อนอยู่ในน้ำ นางเข้าใกล้ศีลแปดอย่างช้าๆ แล้วใช้สองแขนคล้องคอเขา เป็นฝ่ายจูบเขาก่อน เป็นจูบที่ดุดือดเร่าร้อนจนต้องหอบหายใจ เมื่อไฟปรารถนาติดแล้ว แม้แต่นางก็ควบคุมตัวเองได้ยาก

ทั้งสองนัวเนียกันอยู่ในน้ำ สุดท้ายก็เปลือยเปล่าทั้งคู่ แล้วก็มานัวเนียกันต่อบนฝั่ง กลิ้งเกลือกบนพื้นหญ้า

ในป่าภูเขามีเสียงแมลงร้องเป็นพักๆ แสงจันทร์กะรจ่างฟ้า เสียงอันเย้ายวนใจดังไม่หยุด อาชามังกรที่อยู่บนฝั่งส่งเสียงจามเป็นระยะ

คืนนี้อวี้หลัวช่าบ้าระห่ำที่สุด เกิดจิตปฏิพัทธ์อย่างสุดซึ้ง นางเรียกร้องอย่างบ้าระห่ำหลายครั้ง ราวกับกลัวว่าหากผ่านวันนี้ไปแล้วจะสูญเสียทุกอย่างไป สุดท้ายสองร่างก็นอนกอดกันบนพื้น ศีลแปดที่หายใจหอบมองแสงจันทร์ที่สุกประกาย พร้อมกล่าวปนเสียงหัวเราะ “ที่แท้รสชาติก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”

อวี้หลัวช่าหลุดขำ “ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าไม่เคยเสียตัวมาก่อน”

ศีลแปดถอนหายใจ “อาตมาเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่เคยพูดโกหก”

“เจ้าซื่อสัตย์ก็แปลกแล้ว” อวี้หลัวช่าพูดเหยียดเขา แล้วเอามือนอนเท้าแขน กระพริบตาถามเขาว่า “งั้นที่เจ้าบอกว่าชอบข้าตั้งแต่มองแวบแรกเป็นเรื่องจริงเหรอ?”

“ตอนนี้ข้าเหนื่อยมากก็เป็นเรื่องจริง เจ้าสามารถฉวยโอกาสฆ่าข้าได้เลย!” ศีลแปดตอบปนเสียงหัวเราะ

อวี้หลัวช่าฟังออกว่าเขาหลบเลี่ยงจะตอบคำถามนี้ นางจึงก้มหน้าใช้ริมฝีปากแดงจูบบนหน้าอกเขา ขึ้นไปนอนบนตัวเขาอีกครั้งแล้วสะบัดผมยาวไว้ด้านข้าง จากนั้นจ้องดวงตางามของเขาพักหนึ่ง ก่อนจะประทับรอยจูบบนริมฝีปากเขาอย่างลึกซึ้ง สุดท้ายก็ก้มหน้าตรงบ่า คลอเคลียจอนผมของเขาพลางพึมพำเบาๆ “คืนนี้ช่างงดงาม!”

สองมือของศีลแปดเลื้อยอยู่บนแผ่นหลังของนาง “เจ้าไม่อยากถามเหรอว่าข้ามีความสัมพันธ์ยังไงกับหนิวโหย่วเต๋อ?”

“ไม่ถามแล้ว” อวี้หลัวช่าส่ายหน้าเหมือนละเมอ “คืนนี้ไม่ถามเรื่องในอดีต วันนี้มีสุราก็เมามายวันนี้ ไม่สนใจท้องฟ้าวันพรุ่งนี้ จดจำเพียงวันนี้! ไม่สนว่าต่อไปเจ้ากับข้าจะเป็นยังไง ข้าหวังว่าเจ้าจะจดจำวันนี้ได้ตลอดไป ข้าคือผู้หญิงคนแรกของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะจดจำว่าวันนี้มีเพียงความงดงาม!”

“ที่เราทำกันเมื่อครู่นี้คือการฝึกฌานเสพสังวาสของสำนักหลัวช่าเหรอ?”

“เจ้าทึ่ม! ข้าร่ายอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ จะใช้การฝึกฌานเสพสังวาสได้ยังไง? ในอนาคตถ้ายังมีโอกาส ข้าก็จะให้เจ้าได้สมปรารถนา”

หลังจากฟ้าเริ่มสว่าง ทั้งสองก็ใส่เสื้อผ้าที่เปียกชื้น แล้วขี่อาชามังกรด้วยกัน

เพียงแต่ครั้งนี้อวี้หลัวช่านั่งซ้อนข้างหลัง ใช้สองมือคล้องเอวศีลแปด ใช้ทั้งตัวแนบนิดแผ่นหลังศีลแปดอย่างผ่อนคลายมาก สีหน้าเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด อารมณ์ซับซ้อนหลากหลายในแววตาลดลงไม่น้อยเลย แววตาเปลี่ยนเป็นใสสะอาด ชัดเจนว่าในใจรู้สึกสงบ

อาชามังกรเดินช้าๆ อยู่ในป่าภูเขา ไปรวมกับฝูงอาชามังกรที่รออยู่อีกครั้ง

อาชามังกรที่แบกศีลแปดและอวี้หลัวช่าอยู่นำหน้าฝูง วิ่งตะบึงอยู่ท่ามกลางสายลม เสื้อผ้าของทั้งสองถูกเป่าจนแห้งแล้ว จีวรปลิวสะบัดอยู่ภายใต้ฟ้าขมุกขมัว ผมยาวของอวี้หลัวช่าปลิวไสวท่ามกลางสายลม

อาชามังกรวิ่งตะบึงแฉลบผ่านทุ่งหญ้า กระโดดข้ามลำธาร ทะยานผ่านป่ารกร้าง สุดท้ายก็มาหยุดอยู่บนเนินดินแห่งหนึ่ง

ศีลแปดทอดสายตามองไปไกล “ตรงหน้าก็เป็นหุบผาแล้ว ข้าไม่สะดวกจะขี่สัตว์พาหนะกลับไปกับเจ้าอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่จะโกรธมาก เจ้าเดินกลับไปเถอะ”

อวี้หลัวช่าที่กำลังกอดและแนบใบหน้ากับแผ่นหลังเขาตอบอย่างเกียจคร้าน “อืม”

ศีลแปดบอกอีกว่า “เดี๋ยวถ้ากลับไปเจอพี่ใหญ่ เจ้าเองก็ไม่ต้องพูดอะไร ข้าจะห้ามเขาเอง แต่เจ้าจำไว้นะ ว่าต่อไปนี้ห้ามยั่วโมโหพี่ใหญ่อีก”

บนใบหน้าอวี้หลัวช่ากระเพื่อมเผยรอยยิ้ม คำพูดนี้ทำให้ใจนางมีความสุขไร้ที่เปรียบ ตอบเบาๆ อีกว่า “อืม”

ศีลแปดตบขานางเบาๆ “ลงเถอะ”

อวี้หลัวช่าเงยหน้ามองขอบฟ้าที่ขาวสว่างเหมือนพุงปลา แล้วก็มองดวงดาวกับพระจันทร์บนฟ้าที่ยังไม่ถดถอยหายไป พร้อมบอกว่า “ข้าอยากให้เจ้าดูพระอาทิตย์ขึ้นเป็นเพื่อนข้าให้เสร็จก่อน ได้หรือเปล่า?”

ศีลแปดมองขอบฟ้า เขาไม่ได้ตอบอะไร นั่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน เท่ากับตอบตกลงแล้ว

อวี้หลัวช่าค่อยๆ แนบใบหน้ากับแผ่นหลังของเขาอีกครั้ง สายลมอ่อนภายใต้ฟ้าสีครามครึ้มพัดผมยาวสยายของนาง ทั้งสองขี่สัตว์พาหนะอยู่บนเนินเงียบๆ เพื่อรอให้รุ่งอรุณผ่านไป ฝูงอาชามังกรที่เดินไปมาข้างล่างเนินดินส่งเสียงจามเป็นระยะ ภาพที่บรรจงวาดไว้ระหว่างฟ้าดินฉากนี้ งดงามมาก!

ยามขอบฟ้าปรากฏแสงสีทอง แสงอันเจิดจ้าระบายย้อมทุกสิ่งในโลก ทำให้ทุกชีวิตรู้สึกว่าตัวเองก็เล็กน้อยแค่นี้เอง เหาะได้บินได้แล้วอย่างไรล่ะ? ใหญ่ก็ใหญ่อยู่อย่างนั้น เล็กก็เล็กอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครคงอยู่ได้นานเกินกว่าจักรวาลนิรันดร์นี้ ทุกชีวิตล้วนเล็กน้อยราวกับละอองฝุ่น

ทั้งสองที่อยู่บนสัตว์พาหนะก็ถูกแสงสีทองย้อมระบายเช่นกัน ผมดำขลับของอวี้หลัวช่าที่ปลิวไสวท่ามกลางสายลมเปลี่ยนเป็นสีทองแล้ว ทั้งสองมองไปยังทิศทางเดียวกัน เมื่อได้ชื่นชมทิวทัศน์งดงามตระการตาเช่นนี้ ใบหน้าของนางก็ฉายแววหลงใหลในขณะที่หันเข้าหาแสงสว่าง

ดวงอาทิตย์ขึ้นสูง ฝูงอาชามังกรวิ่งตะบึงไปไกล ทั้งสองเดินเคียงกันลงเนินเขา สุดท้ายก็ก้าวเข้ามาในทุ่งหญ้าบริเวณหุบผาแล้ว

ยิ่งเข้าใกล้หุบผามากขึ้น จู่ๆ อวี้หลัวช่าก็ถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าแคยคิดหรือเปล่า?”

“เคยคิดอะไร?” ศีลแปดงุนงงเหมือนหมอกลงสมอง

อวี้หลัวช่าเอียงหน้ามองเขา เผยรอยยิ้มเห็นฟัน “อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยคิด? ตั้งแต่ที่พวกเราเจอกันจนถึงตอนนี้ยังใช้เวลาไม่ถึงสองวันเลย”

“แล้วยังไงล่ะ?” ศีลแปดยังไม่เข้าใจ

“ช่างทึ่มจริงๆ!” อวี้หลัวช่ากระพริบตาหยอกเย้า “เจ้าถูกขังอยู่ที่นี่มาหลายปี เพราะกำลังรอการมาถึงของข้าตลอดเลยใช่มั้ยล่ะ?”

ศีลแปดประนมมือ “อามิตตาพุทธ เจ้าหลงตัวเองเกินไปแล้ว”

“ฮ่าๆ…” อวี้หลัวช่าเปล่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข จู่ๆ ก็กางแขนวิ่งไปทางหุบผา เหมือนต้องการไปเผชิญหน้ากับทุกสิ่งด้วยความกล้าหาญ

ทว่าความเป็นจริงนั้นโหดร้าย ทันใดนั้นนางก็หยุดอยู่กับที่ หัวเราะไม่ออกแล้ว เพราะเห็นเงารางๆ ยืนค้ำด้ามกระบี่อยู่บนเนินดินเล็กๆ ถ้าไม่ใช่เหมียวอี้แล้วจะเป็นใครไปได้

การปรากฏตัวของเหมียวอี้ทำให้นางตื่นจากฝันกลับสู่ความเป็นจริงทันที

ศีลแปดเดินมาข้างหลังนาง เห็นชัดแล้วเช่นกันว่าคนบนเนินดินคือเหมียวอี้ เขาเกาศีรษะอย่างรู้สึกผิดนิดหน่อย พึมพำว่า “ไม่ใช่ว่าพี่ใหญ่ยืนรอข้าทั้งคืนหรอกใช่มั้ย…” เขาเดาว่ามีความเป็นไปได้สูง

อวี้หลัวช่าที่เงียบไปครู่เดียวพลันเอ่ยถาม “ถ้าข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าสู้กัน เจ้าจะช่วยฝ่ายไหน?”

“ช่วยบ้าอะไรล่ะ! เจ้าจำคำพูดข้าไว้ก็พอ ข้าย่อมมีวิธีการช่วยเจ้าจัดการกับพี่ใหญ่อยู่แล้ว เจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าให้เจ้าไปเจ้าก็ค่อยไป” ศีลแปดเอียงหน้ากำชับ แล้วเดินก้าวยาวไปข้างหน้า

…………………………

หลังจากเดินไปตามทิศทางนี้ได้สักพัก บนป่ารกร้างก็ไม่เห็นการชี้ทางใดๆ เหมียวอี้คอยมองปฏิกิริยาของศีลแปดเป็นระยะ

ใครจะคิดว่าหลังจากนั้นชั่วประเดี๋ยวเดียว กองดินตรงหน้ากองหนึ่งหนึ่งก็กลายเป็นสีดำ มีบางอย่างกำลังเลื้อยขยุกขยิก หลังจากเดินเข้าไปไกล เหมียวอี้ถึงได้พบว่าเป็นฝูงมดไต่ออกมาจากโพรง มดที่หนาแน่นดำเป็นพืดกำลังเดินไปข้างหน้าอยู่บนพื้น ไม่ใช่ทิศทางตรงกันข้ามกับที่ทั้งสองกำลังจะไป

ศีลแปดขยับปากพึมพำเบาๆ สองประโยค ฝูงมดกลับมาอย่างรวดเร็ว ไต่กลับมาที่กองดินอีกครั้ง และไม่นานทั้งหมดก็กลับเข้าไปในโพรงมด

หลังจากเดินเข้ามาใกล้โพรงมด จู่ๆ ศีลแปดก็หยุดอยู่กับที่ แล้วเงยหน้ามองฟ้า เหมียวอี้ก็เงยหน้ามองตาม เห็นเพียงเหยี่ยวนกเขาสองตัวที่บินร่อนอยู่บนฟ้ากำลังร่อนลงมา ไม่นานก็มากระพือปีกอยู่เหนือศีรษะทั้งสอง ศีลแปดกล่าวเบาๆ ว่า “อามิตตาพุทธ!”

เหยี่ยวนกเขากระพือปีกบินขึ้นมาทันที พุ่งขึ้นฟ้าสูงไปโดยตรง จากนั้นก็กางปีกทั้งคู่ร่อนบนฟ้า ร่อนไปยังทิศทางที่ฝูงหมดชี้บอก

หลังจากเหยี่ยวนกเขาบินไปแล้ว ศีลแปดถึงได้วางสองมือลงช้าๆ สีหน้ากลับมาเป็นปกติตามเดิม แล้วหยิบกาน้ำที่สะพายตรงเอวขึ้นมาดื่ม

เหมียวอี้เห็นเขาไม่ก้าวไปข้างหน้าแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถาม “เหยี่ยวนกเขาสองตัวนั้นกำลังตามหาอวี้หลัวช่าเหรอ?”

ศีลแปดวางกาน้ำแล้วยื่นให้เหมียวอี้ พอเห็นเหมียวอี้ไม่เอา เขาก็เก็บกลับไว้ที่เอวเหมือนเดิม แล้วพยักหน้าตอบว่า “ยืนยันทิศทางที่อวี้หลัวช่าหนีไปได้คร่าวๆ แล้ว นางไม่มีทางค่อยๆ เดินไปแน่นอน จะต้องวิ่งไปแน่ พวกเราเดินหาช้าๆ แบบนี้ ก็เท่ากับเหลือเวลาให้อวี้หลัวช่าเยอะมาก ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้นมาก็จะแย่แล้ว แต่ในเมื่อยืนยันทิศทางของนางได้ ก็ให้เหยี่ยวไปตรวจสอบยืนยันสักหน่อย ตราบใดที่จับตาดูนางเอาไว้ นางก็หนีไม่ได้หรอก”

“พวกเรารออยู่ที่นี่เหรอ?” เหมียวอี้ถาม

ศีลแปดตอบกลั้วหัวเราะ “พี่ใหญ่ ท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าไปคนเดียวก็ได้ เรื่องเล็กแค่นี้ไม่จำเป็นต้องให้พวกเราสองพี่น้องลงมือพร้อมกันหรอก”

“ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา เจ้าไปคนเดียวข้าไม่วางใจ” เหมียวอี้ส่ายหน้า

ศีลแปดเดาะลิ้น “พี่ใหญ่ดูถูกข้าเกินไปแล้ว ท่านกลับไปเถอะ ข้ารับรองว่าจะพานางกลับมาแน่ รับรองว่าถ้ายังเป็นก็จะได้เห็นตัว ถ้าตายแล้วก็จะได้เห็นศพ แล้วอีกอย่างนะ ถ้าท่านอยู่ข้างกายข้าจะทำให้ข้าไม่มีสมาธิได้ง่าย ถ้าเวลานานไปข้าจะรวบรวมสมาธิท่องวิชานี้ไม่ได้”

เหมียวอี้ทำสายตาฉงน สื่อความหมายว่ามีคำถาม เหมือนกำลังถามว่า จริงเหรอ?

ศีลแปดพยักหน้า “พี่ใหญ่ จริงๆ ข้าไม่หลอกท่านหรอก ท่านวางใจ ข้าไปคนเดียวไม่เป็นอะไรแน่นอน”

“เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าไปกับเจ้าเล่นๆ ไม่เข้าใกล้เจ้าหรอก ไม่ส่งผลกระทบกับเจ้าแน่” เหมียวอี้กล่าว

“…” ศีลแปดพูดไม่ออก สุดท้ายก็ยิ้มเจื่อน “ก็ได้!” พูดจบก็เดินก้าวยาวไปข้างหน้า

เหมียวอี้รอจนเขาเดินไปไกลแล้ว ถึงได้เดินตามหลังอย่างช้าๆ

ครั้งนี้เดินไปได้ไม่นาน จู่ๆ บนป่ารกร้างก็มีเสียงดังโครมคราม จุดสีดำๆ ฝูงหนึ่งวิ่งผ่านป่ารกร้างจนฝุ่นตลบอบอวล พอเข้าไปใกล้ถึงได้พบว่าเป็นอาชามังกรฝูงหนึ่งกำลังวิ่งตะบึงอย่างอิสระ

ฝูงอาชามังกรวิ่งผ่านหน้าไปแล้ว แต่ใครจะคิดว่าพวกมันจะเลี้ยวอีก วิ่งอ้อมมาตรงหน้าศีลแปดแล้ว

เหมียวอี้ที่ตามหลังอยู่ไกลๆ ได้แต่มองศีลแปดพลิกตัวขี่บนอาชามังกรตัวหนึ่ง ศีลแปดหันกลับมามองเขาพร้อมชี้สีของท้องฟ้า จากนั้นก็โบกมืออีก เหมียวอี้เข้าใจสิ่งที่ศีลแปดสื่อความหมายแล้ว ศีลแปดกำลังบอกใกล้ค่ำแล้ว ถ้าฟ้ามืดก็จะหาคนลำบาก ให้เขากลับไปก่อน

พอส่งสัญญาณมือเสร็จแล้ว ศีลแปดก็ขี่สัตว์พาหนะไปข้างหน้าต่อ จีวรปลิวสะบัด นำฝูงอาชามังกรฝึกตะบึงออกไป

เหมียวอี้ที่มองอยู่ไกลๆ งงเป็นไก่ตาแตก อยากจะตามแต่ก็ตามไม่ทัน หลังจากอยู่ตรงนั้นได้ครู่หนึ่งก็ทำได้เพียงกลับมา บนดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ปลอดภัย ตลอดทางมานี้เขากับอวี้หลัวช่าเจอกับสัตว์ร้ายไม่น้อยเลย

กระทั่งเหมียวอี้กลับมาถึงหุบผา ท้องฟ้าก็เป็นสีแดงพลบค่ำแล้ว

ส่วนศีลแปดในตอนนี้ก็กำลังอยู่นอกป่าโบราณที่กว้างใหญ่ผืนหนึ่ง เหยี่ยวสองตัวที่บินวนอยู่บนฟ้าสูงเหนือป่าบินเข้ามา บินอยู่ทางซ้ายและขวาของศีลแปด ศีลแปดเข้าใจความหมายของพวกมัน แน่ใจแล้วว่าอวี้หลัวช่าเข้าไปหลบอยู่ในภูเขาใหญ่ที่อันตรายน่ากลัวแห่งนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่ตรงไหน

ศีลแปดเองก็ทอดถอนใจ เพื่อที่จะหลบหนีเอาชีวิตรอด อวี้หลัวช่าช่างก่อความวุ่นวายเก่งจริงๆ เพื่อที่จะหายไปเงียบๆ นางยังกระโดดลงไปตามกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองใช้งานเหยี่ยวให้จับตาดูจากบนฟ้าได้ทันเวลา เกรงว่าผู้หญิงคนนี้คงจะหนีพ้นไปได้แล้วจริงๆ ถ้าอยากจะหาอีกก็ต้องใช้ความพยายามมากแน่นอน

เขาขี่อาชามังกรข้ามน้ำข้ามเขาไปตลอดทาง ถึงได้ไล่ตามมาถึงที่นี่

ศีลแปดโบกมือ ปล่อยให้เหยี่ยวสองตัวนั้นจากไป แล้วขี่อาชามังกรสำรวจที่ภูเขาใหญ่ตรงหน้าเงียบๆ จากนั้นก็ประนมมือเหมือนก่อนหน้านี้ บนพื้นหญ้าสองฝั่งก็ปรากฏร่องรอยเหี่ยวเฉา รอยยาวไปตลอดจนถึงในภูเขา ทำให้ดอกไม้บางส่วนพลอยเหี่ยวเฉาไปด้วย สรุปก็คือมีเส้นทางที่ชัดเจนทางหนึ่งปรากฏขึ้น

สุดท้ายก็ลงจากอาชามังกรแล้วพุ่งเข้าไปในป่าภูเขาลึก ส่วนอาชามังกรฝูงใหญ่ข้างหลังก็รออยู่ที่เดิม

ถึงอย่างไรตอนนี้ศีลแปดก็ควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ ไม่กล้าขี่อาชามังกรพุ่งชนอยู่ในป่า ไม่อย่างนั้นถ้าไปชนกับพวกง่ามไม้ก็จะทนไม่ไหว พอเข้ามาในป่าก็ผ่อนความเร็วลง แล้วเดินไปข้างหน้าช้าๆ ตามทางที่มีร่องรอย

ทะลุผ่านเข้าป่า ขึ้นเขาลงห้วย ข้ามร่องน้ำตามหุบเขา สุดท้ายอาชามังกรก็หยุดอยู่บนหน้าผาของร่องน้ำระหว่างภูเขาแห่งหนึ่ง ร่องน้ำระหว่างภูเขามีสภาพพื้นที่ลึกเกือบสิบกว่าจั้ง โขดหินสูงชะโงกอันตราย ข้างในมีน้ำทั้งเล็กทั้งใหญ่อยู่ไม่น้อย มีเสียงน้ำหยดดังมาเป็นระยะ ทั้งยังมีสัตว์เลื้อยคลานตัวเล็กชนิดต่างๆ ไต่อยู่บนหน้าผาด้วย

ศีลแปดขี่อาชามังกรเดินอ้อมร่องน้ำระหว่างภูเขารอบหนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าร่องรอยหยุดอยู่ที่ร่องน้ำระหว่างภูเขาแห่งนี้ เขาก็มองสภาพอันตรายในร่องน้ำระหว่างภูเขา กำลังจินตนาการถึงภาพที่ผู้หญิงคนนี้ปีนลงไป เขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ ผู้หญิงคนนี้ต้องดิ้นรนขนาดไหนเพื่อจะเอาชีวิตรอด

“อวี้หลัวช่า ไม่ต้องซ่อนแล้ว เจ้าหนีไม่พ้นหรอก ออกมาเสียดีๆ เถอะ” ศีลแปดตะโกนลงไปที่ร่องน้ำระหว่างภูเขาด้านล่าง เสียงดังก้องอยู่ในร่องน้ำระหว่างภูเขา

ตะโกนอยู่พักหนึ่ง แล้วก็รออีกพักหนึ่ง ในร่องน้ำระหว่างภูเขาไม่มีเสียงตอบกลับใดๆ

“อวี้หลัวช่า จะให้อาตมาร่ายอิทธิฤทธิ์บีบให้เจ้าออกมาจริงเหรอ? อย่าให้สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์!”

ศีลแปดกล่าวเตือน ผลก็คือในร่องน้ำระหว่างภูเขายังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ

ศีลแปดส่ายหน้าหัวเราะร่า แล้วนั่งลงช้าๆ ด้วยท่าทางจริงจัง จากนั้นประนมมือสองข้าง ทำสีหน้าท่าทางบริสุทธิ์ผุดผ่องอีกครั้ง

ผ่านไปไม่นาน ในร่องน้ำระหว่างภูเขาก็มีสัตว์เลื้อยคลานชนิดต่างๆ ไต่ขึ้นมา พรั่งพรูเข้าไปในถ้ำเล็กถ้ำใหญ่ทั่วทุกที่ ไม่ใช่แค่เท่านี้ ระหว่างภูเขารอบๆ เริ่มมีเสียงเสียดสีกัน มีงูทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กโผล่ออกมา ตัวเล็กก็มีขนาดเท่านิ้ว ตัวใหญ่ก็มีขนาดเท่าถังไม้ มีหลากสีสัน งูนานาชนิดทยอยกันเลื้อยเข้าไปในร่องน้ำระหว่างภูเขา มุดเข้าไปในถ้ำเล็กถ้ำใหญ่

จนถึงตอนสุดท้าย รอบข้างก็มีงูมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับงูทั้งภูเขากำลังเลื้อยมาทางนี้ พรั่งพรูเข้ามาราวกับกระแสน้ำจริงๆ แม้แต่อาชามังกรที่ศีลแปดกำลังขี่ก็ยังกระสับกระส่าย ใต้ขาทั้งสี่มีงูเลื้อยผ่านหนาแน่น

ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น ร่องน้ำระหว่างภูเขาดูมืดสลัวเป็นพิเศษ ฝูงงูที่เลื้อยเข้ามาราวกับกระแสคลื่น ก่อให้เกิดลมกลิ่นกลิ่นเหม็นคาว

“ข้าออกไปก็ได้!” ในร่องน้ำระหว่างภูเขามีเสียงร้องตกใจของอวี้หลัวช่าดังขึ้นจากถ้ำห้องหนึ่ง

ผ่านไปไม่นาน ฝูงงูตรงหน้าห้องถ้ำด้านล่างก็หลีกทางออกสองฝั่ง เกิดเป็นทางทางหนึ่ง เงาคนที่สะบักสะบอมเกินทนคลานออกมา ถ้าไม่ใช่อวี้หลัวช่าแล้วจะเป็นใครได้อีก? เพียงแต่จีวรสีขาวพระจันทร์เปียกน้ำแล้ว ชุดแนบติดตัวจนเผยเรือนร่างเย้ายวน เพียงแต่สกปรกมาก เปรอะเปื้อนพวกตะไคร่น้ำเต็มไปหมด ผมยาวยุ่งเหยิง ขณะมองดูฝูงงูรอบๆ ที่ราวกับจะทำให้นางจมมิดได้ทุกเมื่อ ก็ทำให้ในแววตานางเผยความหวาดกลัวอย่างที่ควบคุมได้ยาก เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นสั่นสะท้าน

ถ้าเปลี่ยนเป็นตอนที่นางมีพลังอิทธิฤทธิ์ นางไม่เห็นสัตว์พวกนี้อยู่ในสายตาเลย

เงยหน้ามองด้านบนของร่องน้ำระหว่างภูเขา ก็เห็นศีลแปดขี่อาชามังกรและมองต่ำลงมาหาทาง ใบหน้าอมยิ้มเล็กน้อย เหนือศีรษะของเขามีพระจันทร์เสี้ยว ฉากนี้ดูเหมือนบทกวีอยู่หลายส่วน แต่ในสายตาอวี้หลัวช่า ศีลแปดในตอนนี้กลับเหมือนมารที่น่าหวาดกลัว

หลังจากนางวิ่งนี้ออกจากหุบผาได้สักพัก นางก็กลัวว่าจะถูกตามทันที จึงจงใจเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง พอวิ่งผ่านป่ารกร้างมาเจอแม่น้ำสายหนึ่ง ก็กระโดดลงกระแสน้ำเชี่ยวพร้อมกอดขอนไม้ให้ตัวเองไหลกระแทกลงมาตามน้ำ เดิมทีนึกว่าจะไม่มีใครหานางพบอีก เพียงรอเงียบๆ ให้ถึงวันที่ค่ายกลใหญ่ปิดใช้งานก็พอ แต่ใครจะคิดว่าตอนอยู่ในแม่น้ำจะบังเอิญเห็นเหยี่ยวสองตัวบินร่อนอยู่บนฟ้า เดิมทีก็ไม่ใส่ใจอะไร แต่ผลก็คือพบว่าไม่ว่าตัวเองจะลอยไปไกลขนาดไหน เหยี่ยวสองตัวนั้นก็ตามอยู่บนฟ้าสูงตลอด นางตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว หลังจากเจอภูเขาใหญ่ลูกนี้ นางจึงไม่ลังเลที่จะทิ้งท่อนไม้ นางดิ้นรนว่ายน้ำขึ้นฝั่งท่ามกลางกระแสน้ำไหลเชี่ยว หนีเข้ามาในป่าภูเขาตลอดทาง หลบเลี่ยงการสะกดรอยตามจากเหยี่ยวสองตัวนี้ แล้วก็หลบเข้ามาในพื้นที่อันตรายอีก ใครจะคิดว่ายังหนีไม่พ้นเงื้อมมือมารของศีลแปด อีกฝ่ายยังตามมาเจอได้อีก

ใช้ความพยายามไปมากขนาดนี้ ทุ่มเทลำบากลำบนขนาดนี้ แต่กลับได้ผลลัพธ์อย่างนี้ อวี้หลัวช่ารู้สึกอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา

แทบจะไม่มีเวลาให้คิดอะไรมาก อวี้หลัวช่าวิ่งโซเซไปที่หน้าผาทันที ฝูงงูด้านล่างมีแต่หลีกทางให้นาง นางก็แค่วิ่งหนีออกไปตามทางที่ฝูงงูหลีกให้ วิ่งหนีไปหาศีลแปด บนหน้าผาเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ หลายครั้งที่นางเกือบลื่นตกลงไป

นางดิ้นรนปีนขึ้นมา เพิ่งจะยืนยืดตัวตรงได้ ก็มีมือสะอาดข้างหนึ่งยื่นมาตรงหน้านางแล้ว

อวี้หลัวช่าเงยหน้ามอง เป็นศีลแปดที่โน้มตัวยื่นมือมาหานาง มองนางด้วยใบหน้าอมยิ้ม

อวี้หลัวช่าที่สภาพสกปรกมอมแมมกัดริมฝีปาก วางมือบนมือของอีกฝ่าย พอศีลแปดออกแรง ก็ดึงนางขึ้นบนอาชามังกรด้วยกัน

ทั้งสองขี่อาชามังกรตัวเดียวกัน อวี้หลัวช่านั่งหน้า ศีลแปดที่นั่งข้างหลังไม่รังเกียจที่นางสกปรก ใช้มือโอบเอวบางของนาง แล้วเลี้ยวอาชามังกรกลับไป

ร่างกายที่หนาวเย็นแนบชิดเขามาในอ้อมกอดอันอบอุ่น ความรู้สึกเวลาอยู่ท่ามกลางโดดเดี่ยวสิ้นหวังแต่จู่ๆ ก็มีที่พึ่งพิงอันอบอุ่น สิ่งนี้ทำให้อวี้หลัวช่าร้องไห้จนไหล่สั่น น้ำตาไหลพรากอย่างไม่เอาไหน นางกำหมัดทุบต้นขาศีลแปด ร้องไห้สะอื้นพลางด่าเสียงดัง “คนสารเลว! ข้าเกลียดเจ้า! ข้าเกลียดเจ้า…”

นางพบว่าตัวเองเกินเยียวยาแล้วจริงๆ เมื่อเจอกับพระสารเลวคนนี้ ตัวเองก็กลายเป็นผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง รอยแดงจากฝ่ามือบนใบหน้ายังไม่หายไปหมดเลย เป็นฝีมือเจ้าสารเลวนี่เช่นกัน

ศีลแปดกอดนางไม่ปล่อย สีหน้าเริงร่าหรรษา ปล่อยให้นางทุบตีไป

ระหว่างทางเจอบ่อน้ำสีมรกตแห่งหนึ่ง อาชามังกรหยุดเดิน ศีลแปดกระโดดลง แล้วยื่นมือดึงอวี้หลัวช่าลงมาอีก อุ้มไว้ในอ้อมกอดแล้ววางลงพื้น

“ตัวเจ้าสกปรกเกินไป ไปอาบน้ำสักหน่อยเถอะ” ศีลแปดชี้ที่บ่อน้ำพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม

อวี้หลัวช่ายกมือปาดน้ำตา จ้องเขาพร้อมด่าว่า “ไร้ยางอาย! เจ้าอยากจะเห็นข้าถอดเสื้อผ้าออกหมดอีกใช่มั้ย?”

ศีลแปดจึงตอบปนเสียงหัวเราะ “ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็น เห็นอีกสักครั้งก็ไม่มีอะไรหายไปหรอก ถ้าเจ้ารู้สึกเสียเปรียบ อาตมาถอดเป็นเพื่อนเจ้าก็ได้ ถึงยังไงก็ถูกเจ้าทำให้สกปรกไปด้วยแล้ว” พูดจบก็จูงมืออวี้หลัวช่ากระโดดลงน้ำพร้อมกัน ละอองน้ำสาดกระเด็น

…………………………

ท่ามกลางเสียงระฆังที่ดังอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดหย่อย เสียงกรีดร้องโหยหวนที่ทำให้คนขนลุกก็เริ่มเงียบลง สุดท้ายก็ไม่เห็นแสงไฟในรอยแยกนั้นแล้ว วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ล้มลงพื้นกลายเป็นรูปปั้นสีเทาโดยสิ้นเชิง เพียงแต่สภาพขดตัวดิ้นรนอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมานสมจริงมาก

เมื่อจัดการจนวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปแห้งเหี่ยวไปแล้ว ศีลแปดถึงได้หยุดมือ แล้วแบกค้อนใหญ่เดินไปอีกฝั่งของวัด ซ่อนอาวุธเอาไว้ เพราะไต้ซือศีลเจ็ดต่อต้านการใช้กำลัง

ฉากนี้ทำให้เหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าตกตะลึงอ้าปากค้าง สายตามองตามเงาหลังที่สง่าผ่าเผยของศีลแปด

เหมียวอี้ยังดีหน่อย ถึงอย่างไรก็แค่เคยได้ยิน ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์ในยุคที่พระปีศาจหนานโปยังอยู่

แต่อวี้หลัวช่านั้นต่างกัน นางรู้สึกได้อย่างลึกซึ้งว่าพระปีศาจหนานโปเป็นอย่างไรในปีนั้น แต่ตอนนี้กลับถูกศีลแปดด่าแบบนี้แล้ว โดนจัดการแบบนี้แล้ว นางได้เห็นความเผด็จการแข็งกร้าวอย่างที่บรรยายได้ยากจากตัวศีลแปดแล้ว!

“ไม่เป็นอะไรแล้ว รับรองว่าภายในสามวันนี้เขาไม่มีทางก่อกวนได้” ศีลแปดที่กลับมาแล้วหัวเราะร่าพลางกล่าวปลอบใจทั้งสอง

เหมียวอี้ที่เงียบไปครู่เดียวเดินเข้าไปใกล้ประตูใหญ่ของวัด ยืนตรงประตูแล้วมองเข้าไปในวัด แต่เห็นไม่ค่อยชัดเจน จึงขึ้นบันไดไปดู แล้วก็อยากจะยื่นมือไปสัมผัสสักหน่อยว่าประตูที่ดูเหมือนไม่มีผนึกอะไรนั้นควบคุมวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปไม่ให้หนีออกมาข้างนอกได้อย่างไร แต่ใครจะคิดว่าศีลแปดรีบตะโกนบอก “พี่ใหญ่ หยุดนะ!”

เหมียวอี้ที่กำลังจะยื่นมือหันกลับมา ถามว่า “ทำไมเหรอ?”

ศีลแปดทำสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ตกใจจนหน้าซีดแล้ว เขารีบสาวเท้าเดินเข้ามา สิ่งแรกที่ทำก็คือดึงมือของเหมียวอี้ที่กำลังจะยื่นออกไป ดึงเหมียวอี้ลงจากบันได แล้วเอามือตบหน้าอกอย่างขวัญเสีย “ท่านไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ? อานุภาพของค่ายกลใหญ่คุมขังนี้ไม่ธรรมดานะ ไม่ใช่แค่ผนึกไม่ให้ปีศาจเฒ่าออกจากประตูอาคมได้ แต่ถ้ากายหยาบไปสัมผัสโดนก็จะสะเทือนจนกลายเป็นฝุ่นผงทันที ไปแตะซี้ซั้วไม่ได้!”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็ตกใจเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะเดินไปที่ประตูผีแล้ว

ตอนนี้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปถูกควบคุม ยังก่อกวนลำบาก ไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิตก็ทยอยกันยืนขึ้นเช่นกัน

“โยมเหมียว ประตูใหญ่ของวัดไม่อาจก้าวข้ามซี้ซั้วได้” ไต้ซือศีลเจ็ดยืนยันอีกครั้ง

เหมียว? อวี้หลัวช่าทำสายตาสงสัย

เหมียวอี้ประนมมือ “ข้าบุ่มบ่ามไปเอง” ขณะที่พูดก็เหล่ตามองอวี้หลัวช่า คิดในใจว่า ถ้ารู้แต่แรกคงให้ผู้หญิงคนนี้ไปสัมผัสสักหน่อยแล้ว

อวี้หลัวช่าสัมผัสบางอย่างได้จากสายตาของเขา นางมองไปรอบๆ แล้วถอยกลับไปทางบันไดอย่างช้าๆ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะได้หนีสะดวก ไม่อย่างนั้นถ้ากระโดดจากกลางไหล่เขาลงไปก็จะไม่มีเวลาให้นางถอดเสื้อผ้าบินแล้ว

“โยมผู้นี้เป็นใคร?” ไต้ซือศีลเจ็ดหันกลับไปมองศีลแปด แล้วถามอย่างสงสัย “เมื่อครู่นี้เจ้าเรียกนางว่าพุทธะหน้าหยกเหรอ?”

ศีลแปดตอบปนเสียงหัวเราะ “นางแซ่อวี้ ฉายานามพุทธะหน้าหยก ไม่ใช่คนเดียวกับพุทธะหน้าหยกของแดนสุขาวดีหรอก มีอย่างที่ไหนให้เด็กสาวคนหนึ่งมาเป็นพุทธะหน้าหยก”

เหมียวอี้มองเขาแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขากำลังเล่นลูกไม้อะไร แม้แต่อวี้หลัวช่าเองก็ยังพึมพำในใจ ไม่รู้ว่าศีลแปดปิดบังฐานะของนางเพราะมีเจตนาอะไร

ศีลเจ็ดไม่สงสัยว่าจะมีการเล่นตุกติก เป็นเพราะอวี้หลัวช่าดูอ่อนเยาว์เกินไปจริงๆ จึงถามเหมียวอี้ว่า “เป็นสหายของโยมเหรอ?”

เหมียวอี้เหลือบมองศีลแปด แล้วส่ายหน้าตอบ “ไม่ใช่ เป็นศัตรู”

“ศัตรู…” ไต้ซือศีลเจ็ดถอนหายใจ เขาเพิ่งจะหันตัวไปมองอวี้หลัวช่า ศีลแปดก็มองออกทันทีว่าเขากำลังเทศนาธรรมชุดใหญ่อะไรสักอย่าง จึงรีบก้าวขึ้นไปห้าม หัวเราะเบาๆ พร้อมกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่รบกวนให้ท่านอาจารย์ลงมือหรอก ศิษย์แก้ไขความแค้นระหว่างพวกเขาได้อยู่แล้ว”

ไต้ซือศีลเจ็ดสงสัยในคำพูดของเขา ตัวเองรู้ชัดว่าลูกศิษย์คนนี้นิสัยเป็นอย่างไร แค่ไม่ช่วยเหมียวอี้ฆ่าคนก็นับว่าดีแล้ว จะคลายปัญหาเหรอ? แม้ไต้ซือศีลเจ็ดมีจิตใจดีงาม แต่ก็ไม่กล้าเชื่อคำพูดเหลวไหลของศีลแปดอยู่ดี

เขาแบฝ่ามือข้างหนึ่งให้เหมียวอี้ “โยมเหมียว ขอยืมมือสักหน่อย”

เหมียวอี้ไม่เข้าใจ แต่ก็ยังวางมือบนฝ่ามือของเขาตามที่บอก

ใครจะคิดว่าไต้ซือศีลเจ็ดจะยื่นมืออีกข้างไปที่ศีลแปดอีก ศีลแปดแปลกใจ “อาจารย์ หมายความว่าอะไร?”

ไต้ซือศีลเจ็ดไม่พูดอะไร แค่รออยู่อย่างนั้น

ศีลแปดเอาสองมือไขว้หลัง “อาจารย์ ท่านทำอะไรน่ะ? ข้า…” ผลก็คือพบว่าเหมียวอี้กำลังจ้องตนด้วยสายตาเย็นเยียบ ก็ได้ เขาทำได้เพียงหุบปาก แล้ววางมือให้ไต้ซือศีลเจ็ดอย่างไม่เต็มใจ

สิ่งที่ทำให้ทั้งสองคิดไม่ถึงก็คือ ไต้ซือศีลเจ็ดพลิกมือแล้วคว้าข้อมือทั้งสองคนไว้ ทั้งยังจับไว้แน่นมากด้วย ถ้าทำแค่นั้นก็ว่าไปอย่าง แต่ดันพูดกับอวี้หลัวช่าว่า “เหลือเวลาอีกสามปี ค่ายกลระงับพลังอิทธิฤทธิ์ของที่นี่ก็จะใช้ไม่ได้ผลช่วงหนึ่ง พลังอิทธิฤทธิ์ของเจ้าจะกลับมาชั่วคราว”

ไม่ต้องพูดถึงเลย อวี้หลัวช่าเดาได้ตั้งแต่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนแล้ว นางใคร่ครวญวางแผนเรื่องนี้ไว้แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ไม่ค่อยเข้าใจว่าไต้ซือศีลเจ็ดมีเจตนาอะไร นางงงนิดหน่อย

ผลปรากฏว่าไต้ซือศีลเจ็ดพูดเสริมอีก “โยมอวี้ ถ้าไม่ไปตอนนี้แล้วจะรอตอนไหน?”

ศีลแปดกับเหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนพร้อมกัน เหมียวอี้รีบสะบัดแขน แต่จนใจที่ไต้ซือศีลเจ็ดต้องใจดึงเขา จับข้อมือเขาไว้อย่างสุดชีวิตแล้ว

เหมียวอี้คว้าด้ามกระบี่ตรงเอวโดยจิตใต้สำนึก ต้องการจะชักกระบี่จากฝักไม้ออกมาฟันพันธนาการ

“เวรเอ๊ย! ตาแก่โล้น เจ้าหลอกลวง!” ศีลแปดด่าแล้ว

อวี้หลัวช่ากระจ่างทันที เข้าใจเจตนาของไต้ซือศีลเจ็ดแล้ว ชำเลืองเหมียวอี้ที่กำลังจะชักดาบแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง หันเลี้ยวหนีไปทันที

มองอวี้หลัวช่าที่วิ่งหนีไป แล้วก็หันไปมองไต้ซือศีลเจ็ดอีก เหมียวอี้ตะคอกด้วยสีหน้าเดือดดาล “ไต้ซือ อย่าบีบข้านะ!” เขาชูกระบี่ขึ้นหมายจะฟันไต้ซือศีลเจ็ด แต่ก็ยังลังเลไม่ฟันเสียที อยากจะใช้ฝักกระบี่ตีแขนไต้ซือศีลเจ็ด แต่ก็ขยับเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ทุบฝักกระบี่ลงไป

“อามิตตาพุทธ!” ไต้ซือศีลเจ็ดส่ายหน้าให้ปีศาจโลหิตที่กำลังจะก้าวเข้ามา ห้ามไม่ให้ปีศาจโลหิตมาช่วย

ปีศาจโลหิตได้แต่ประนมมือมองด้วยสีหน้ากังวล เหมียวอี้เป็นตัวละครที่โหดขนาดไหน นางก็เคยสัมผัสมาอย่างลึกซึ้งแล้ว ตัวเองเคยเกือบตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้

“พี่ใหญ่ ท่านคงไม่ฟันจริงๆ หรอกใช่มั้ย? ยังไงเขาก็เป็นอาจารย์ข้านะ พี่ใหญ่ ไว้หน้าข้าเถอะ” จู่ๆ ศีลแปดก็กระแอมหนึ่งที ทำท่าเหมือนเป็นลูกศิษย์ที่ดี พูดจบก็ยังก้มศีรษะโล้นด้วย

เหมียวอี้มองเขาแวบหนึ่ง เริ่มสังเกตอะไรบางอย่างได้นิดหน่อย จึงเก็บกระบี่ยาวกลับเข้าฝักช้าๆ แต่อดไม่ได้ที่จะบ่น “ไต้ซือ นี่ท่านกำลังเมตตาเกินพอดีหรือเปล่า? ท่านรู้มั้ยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? ท่านรู้มั้ยว่าถ้านางหนีไปจากที่นี่ได้ จะมีอีกกี่คนที่ต้องตาย?”

ตอนนี้นางถึงได้พบว่าตัวเองเกลียดนิสัยคร่ำครึของศีลเจ็ดขนาดไหน

เมื่อได้ยินแบบนี้ ไต้ซือศีลเจ็ดก็หลับตากล่าวว่า “อามิตตาพุทธ ความผิดทุกอย่างอาตมาจะรับไว้ผู้เดียว!”

เหมียวอี้กล่าวเน้นทีละคำอย่างเย็นเยียบว่า “ช่วยชีวิตคนเดียวแต่ฆ่าคนมากกว่านั้น ท่านรับผิดชอบไหวเหรอ?” เขาหันไปมองปีศาจโลหิต “ปีศาจโลหิต รีบไปขัดขวางนาง!”

ปีศาจโลหิตมองปฏิกิริยาของไต้ซือศีลเจ็ด แล้วค่อยๆ ก้มหน้าประนมมือ ไม่สนใจคำพูดของเหมียวอี้

ศีลแปดแอบส่งสายตาให้เหมียวอี้เงียบๆ หลังจากเหมียวอี้เห็นแล้ว ก็หลับตาลงช้าๆ เช่นกัน

พวกเขายืนค้างอยู่ตรงนี้ หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ไต้ซือศีลเจ็ดถึงได้ปล่อยข้อมือเหมียวอี้ แล้วประนมมือกล่าวว่า “ใช้ว่าความแค้นจะต้องใช้ความตายมาแก้ไขเสมอไป ถ้าโยมเหมียวยอมถอยสักก้าว อีกฝ่ายอาจจะไม่ก่อกรรม!”

เหมียวอี้ฟังหลักการพวกนี้ไม่ไหวแล้ว หันตัวไปตะคอกบอกศีลแปด “ไป!”

“ตาแก่โล้น ท่านชั่วร้ายเกินไปแล้ว” ศีลแปดเอ่ยชมอาจารย์ตัวเอง แล้วรีบหันตัวตามเหมียวอี้ไปเช่นกัน

สองพี่น้องเร่งฝีเท้าวิ่งลงบันไดไป

เมื่อเห็นทั้งสองออกไปแล้ว ปีศาจโลหิตก็ก้าวมาข้างหน้า “อาจารย์ โยมอวี้ท่านนั้นจะหนีพ้นหรือเปล่า?”

ไต้ซือศีลเจ็ดถอนหายใจเบาๆ “อาตมาทำเต็มที่แล้ว” เขาช่วยถ่วงเวลาให้อวี้หลัวช่าหนึ่งชั่วยามแล้ว ตามหลักแล้วเพียงพอให้อวี้หลัวช่าหลบหนี ดาวเคราะห์กว้างใหญ่ขนาดนี้ หาที่ไหนหลบสักแห่งก็ได้ ถ้าคิดจะหาให้เจอก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจับเหมียวอี้กับศีลแปดเอาไว้ตลอด

เมื่อเดินมาถึงก้นบึ้งของหุบผา เหมียวอี้ก็เงยหน้ามองตำแหน่งวัดที่อยู่กลางไหล่ผา แล้วถามเสียงต่ำ “เจ้ามีวิธีหานางตัวแสบนั่นหรือเปล่า?”

ศีลแปดแอบหัวเราะเบาๆ “นอกเสียจากนางจะเหาะหนีเท่านั้นแหละ ไม่อย่างนั้นก็เลิกคิดได้เลยว่าจะหนีพ้น พี่ใหญ่ ท่านลืมที่ข้าบอกแล้วเหรอ ต้นไม้ทุกต้นที่นี่ล้วนเป็นสายตาของข้า ถ้านางอยากจะหนีก็ต้องถามข้าก่อนว่าอนุญาตหรือเปล่า”

“อย่าบอกนะว่าไต้ซือศีลเจ็ดไม่รู้ว่าเจ้ามีความสามารถนี้?” เหมียวอี้สงสัยอยู่บ้าง

ศีลแปดตอบว่า “เขาไม่รู้ ข้าไม่กล้าให้เขารู้หรอก ถ้าให้เขารู้ว่าข้าใช้วิธีการไหนฆ่าสัตว์กิน ข้าจะไม่หาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ”

เหมียวอี้โล่งอก “ต้องหานางให้เจอ ต้องกำจัดนางทิ้ง จะให้นางหนีไปไม่ได้”

ศีลแปดหัวเราะแห้ง “พี่ใหญ่ วันนี้ท่านได้รับรู้ความคร่ำครึของตาแก่โล้นแล้วรึยัง? ต่อไปท่านจะมาโทษข้าไม่ได้นะที่ข้าไม่เคารพเขาเป็นอาจารย์”

“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก ก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่เพราะเขาใช้สายตาบังคับให้ศีลแปดส่งมือให้ศีลเจ็ดแต่โดยดี อวี้หลัวช่าก็ไม่หนีไปได้หรอก สุดท้ายจึงต้องโต้แย้งอย่างไร้เหตุผล “เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น”

“เหอะๆ” ศีลแปดเบะปากมองฟ้า

ทั้งสองออกจากหุบผาแล้ว ทอดสายตามองไปรอบๆ จะเห็นเงาอวี้หลัวช่าเสียที่ไหนกัน

สายตาเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนตัวศีลแปดอย่างรวดเร็ว “เจ้ารอง ต้องหวังพึ่งเจ้าแล้ว”

“วางใจเถอะ ข้าไม่ให้นางเป็นภัยต่อบรรดาพี่สะใภ้หรอก” ศีลแปดเก็บสีหน้าทะเล้น ประนมมือสองข้าง ความบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคีปรากฏบนตัวเขาแล้ว

ที่ต้นหญ้าด้านข้างมีเสียงเหยียบเบาๆ เหมียวอี้ได้ยินแล้วหันมอง เห็นหญ้าสองกอแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว ปรากฏรอยที่คนเคยเหยียบ รอยแบบนี้ยาวเหยียดไปตลอดทาง เกิดเป็นร่องรอยคนเดินผ่านชัดเจน

“นี่คือทิศทางที่นางตัวแสบหนีไปเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

ศีลแปดเลิกประนมมือ แต่ไม่ได้ตอบอะไร เหมือนไม่อยากหลุดพ้นจากสภาวะนี้ เขาใช้การกระทำจริงตอบ เดินไปตามรอยหญ้าแห้งตลอดทาง ส่วนเหมียวอี้ก็เดินเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ

หลังจากเดินไปได้หลายลี้ก็เลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง เปลี่ยนไปเดินอีกทิศทางหนึ่ง เหมียวอี้แสยะยิ้ม “นางตัวแสบเจ้าเล่ห์จริงๆ”

หลังจากเดินได้หนึ่งชั่วยาม หญ้าที่พื้นก็เริ่มบางตา ตรงหน้าเป็นบริเวณทรายกรวดที่ไกลสุดสายตา ที่จริงบริเวณหุบผาก็มีสภาพเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ตอนหลังเนื่องจากเหตุปัจจัยบางอย่างทำให้ฝนตกบ่อย ถึงได้เกิดพื้นที่สีเขียวเพิ่ม

เมื่อไม่มีหญ้านำทางแล้ว ก็หารอยเท้าจากพื้นทรายกรวดลำบาก เหมียวอี้อดกังวลไม่ได้

ทว่าตรงจุดห่างออกไปสิบกว่าจั้ง จู่ๆ ก็มีสัตว์จำพวกหนูตัวหนึ่งโผล่ออกจากรู แล้วเอาก้นไถขุดดินที่อยู่ทางขวาด้านหน้า ศีลแปดเดินไปทางหลุมดินทันที ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้เข้าใจว่า ‘หนู’ นั่นกำลังบอกทางศีลแปด

…………………………

ยังไม่ทันเห็นสภาพวัดทั้งหมด ก็ได้ยินเสียงสวดมนต์พึมพำดังมาไม่หยุด เสียงไม่ดังมาก แต่เสนาะหู ราวกับเป็นบทเพลงจากสรวงสวรรค์ เป็นเสียงของผู้หญิง

เมื่อเสียงสวดมนต์ดังเข้าหู ก็ทำให้เหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าจิตใจสงบผ่อนคลายทันที มีผลต่อการคลายอารมณ์ตึงเครียด

ทั้งสามที่อยู่ตรงตีนบันไดทยอยกันยื่นศีรษะออกมา ทำให้เห็นสภาพด้านนอกวัดชัดเจนแล้ว ด้านนอกประตูวัดมีคนศีรษะโล้นสองคนนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงข้ามกันที่ฝั่งซ้ายและขวาของประตู

ไต้ซือศีลเจ็ดกำลังหลับตาด้วยสีหน้าเมตตาใจบุญ นอกจากสร้อยประคำในมือที่ขยับอย่างช้าๆ ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอื่น อีกคนที่นั่งหันหลังให้บันไดดูร่างผอมเล็กเมื่ออยู่ในจีวรตัวใหญ่โคร่ง โกนศีรษะโล้นแล้วเช่นกัน เสียงสวดมนต์ของผู้หญิงก็มาจากนางนั่นเอง

จีวรไม่ได้สะอาดใหม่เอี่ยมเหมือนจีวรบนตัวศีลแปด จีวรบนตัวทั้งสองเก่าจนดูไม่ได้ ศีลแปดที่เดินไปตรงหน้าทั้งสองยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับยืนเผชิญหน้าขอทานสองคน ภาพนี้ฉากนี้ทำให้เหมียวอี้เห็นแล้วคันฟันหมั่นไส้ เขารู้สึกว่าถ้าตัวเองเป็นไต้ซือศีลเจ็ด ก็จะต้องหักขาเจ้าศิษย์อกตัญญูคนนี้แน่นอน

ในวัดดำมืด เหมียวอี้และอวี้หลัวช่าที่ไม่สามารถใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไม่เห็นสภาพข้างในชัดเจน

ศีลแปดมองเข้าไปในประตูใหญ่ของวัด พร้อมบอกว่า “อาจารย์ มีคนมาเยี่ยมท่านแล้ว”

ศีรษะโล้นของปีศาจโลหิตตากแดดจนกลายเป็นสีน้ำตาล ใบหน้าก็ดำคล้ำเช่นกัน นางราวกับไม่สนใจสิ่งเร้าภายนอก กำลังตั้งใจสวดมนต์อย่างเคารพเลื่อมใส ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของศีลแปด

เหมียวอี้มองปีศาจโลหิตที่อยู่ตรงหน้า ตอนนี้ความรู้สึกของเขาซับซ้อนมาก ยังนึกถึงฉากที่ตัวเองกับจงหลีค่วยพบปีศาจโลหิตครั้งแรกได้ ปีศาจโลหิตในตอนนั้นแปลกประหลาดอัศจรรย์ ทั้งตัวเต็มไปด้วยเสน่ห์ของมารปีศาจ งดงามมากด้วย ความน่าทึ่งของค่ายกลมารโลหิตก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างทั้งสองในอดีตยังคงติดตามเหมือนเกิดขึ้นใหม่ แต่บนตัวปีศาจโลหิตในตอนนี้ไม่มีกลิ่นอายของมารปีศาจแม้เพียงครึ่งเดียว ความงดงามในอดีตก็เสื่อมถอยหมดแล้ว กำลังหลับตาด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น ผิวที่ตากแดดจนดำคล้ำก็เหมือนสตรีวัยกลางคนที่เป็นชาวนาในโลกมนุษย์

ชีวิตคนเหมือนการเล่นหมากล้อมจริงๆ ทำให้เหมียวอี้ทอดถอนใจไม่หยุด เพียงชั่วพริบตานี้ เหมียวอี้ไม่เกิดความคิดที่จะล้างแค้นปีศาจโลหิตอีกแล้ว

พอได้ยินเสียงศีลแปด เหมียวอี้ก็รีบมองไปที่ไต้ซือศีลเจ็ด

ไต้ซือศีลเจ็ดลืมตาขึ้นช้าๆ พอเห็นเหมียวอี้ก็ทำสีหน้าตะลึงงันทันที เห็นได้ชัดว่าประหลาดใจ ไม่ค่อยกล้าเชื่อว่าเหมียวอี้จะมาปรากฏตัวที่นี่ได้ มือที่คีบสร้อยประคำไข่มุกประนมมือกล่าวว่า “อามิตตาพุทธ” บนใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนๆ พูดน้อยลงกว่าเมื่อก่อนมาก

สำหรับท่านนี้ เหมียวอี้รู้สึกเคารพเลื่อมจากใจมาตลอด ท่านนี้สิถึงจะเป็นชาวพุทธที่มีเมตตาธรรมยิ่งใหญ่ในสายตาเขาอย่างแท้จริง ยามต้องสละตัวเองเพื่อปกป้องสัจจธรรมก็ไม่เคยแสดงความอ่อนแอ ที่พิภพเล็กไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรม ล้วนไม่มีใครว่าอะไรท่านนี้ได้ ไม่ใช่ชาวพุทธที่มือถือสากปากถือศีลแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังดูแลเจ้ารองมาหลายปี เป็นเพราะท่านนี้มีเมตตาจิต ถ้าเปลี่ยนให้อาจารย์คนอื่นเจอกับลูกศิษย์อย่างเจ้ารอง ไม่โดนทอดทิ้งก็แปลกแล้ว มีหรือที่จะยอมให้เจ้ารองก่อเรื่องซี้ซั้วเป็นเวลานาน ในขณะที่รู้สึกเคารพ ก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณจากใจ เหมียวอี้โค้งตัวประนมมือด้วยความเคารพ “ไต้ซือ พบกันอีกแล้ว”

อวี้หลัวช่าที่อยู่ข้างกันเห็นฉากนี้แล้วประหลาดใจอยู่บ้าง ตามที่นางรู้มา สิ่งต่างๆ ที่หนิวโหย่วเต๋อทำที่ตำหนักสวรรค์ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เป็นคนที่กล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับขุนนางใหญ่ทั้งตำหนักสวรรค์ ต่อให้เผชิญหน้ากับตนในเมื่อก่อน การพูดการจาก็ไม่แสดงความอ่อนข้อเลยสักนิด แต่ตอนนี้กลับแสดงความเคารพอย่างจริงใจ เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นจริงๆ นางอดไม่ได้ที่จะมองประเมินไต้ซือศีลเจ็ดอย่างจริงจัง

ไต้ซือศีลเจ็ดมองอวี้หลัวช่าแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ พร้อมประนมมือทักทาย อวี้หลัวช่าจีบนิ้วตรงหน้าอกเพื่อทักทายกลับ

ในขณะนี้เอง จู่ๆ ในวัดก็พลันระเบิดยิงแสงสีทองออกมา ดึงดูดความสนใจของเหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าทันที ทั้งสองรีบหันมอง

ในประตูวัดที่ก่อนหน้านี้ยังดำมืดว่างเปล่า ตอนนี้ปรากฏเงาร่างคนสีทองคนหนึ่ง อีกฝ่ายตัวสูงใหญ่ ห่มจีวรเฉียงเปลือยไหล่ข้างเดียว เปลือยแขนและสองเท้า ราวกับเป็นรูปปั้นทองในวัด ทั้งตัวราวกับฉาบด้วยผงทอง ใบหน้าอยู่ภายใต้แสงสีทองเหมือนจะเห็นไม่ชัดเจน จมูกโด่งสันเป็นคม กระดูกโหนกแก้มสูง ริมฝีปากใหญ่หนา แก้มตอบ ในดวงตาสองข้างมีแสงสีทองรุ่งโรจน์ ราวกับมีเปลวเพลิงสีทองในดวงตา น่าสะพรึงมาก

ต่อให้ถูกควบคุมอยู่ในวัด แต่ความรู้สึกกดดันอย่างที่บรรยายเป็นคำพูดได้ยากนั้นทำให้คนหวาดระแวงกลัว

อุณหภูมินอกวัดเหมือนจะลดลงในชั่วพริบตาเดียว ลมหนาวยะเยือกเริ่มพัดวูบ พัดฝุ่นดินบนพื้นให้ปลิวขึ้นมา

ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่านี่คือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโป เหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าแทบจะหยุดหายใจพร้อมกัน จ้องเงาคนสีทองข้างในไม่ละสายตา ขนาดอยู่ในสภาพนี้แล้วยังทำให้คนรู้สึกกดดันขนาดนี้ได้ ทั้งสองจินตนาการได้เลยว่าตอนยังมีชีวิตอยู่คนคนนี้มีพลังอำนาจขนาดไหน ตำนานร่ำลือกันว่าเจ้าหมอนี่ตั้งตัวเองเป็นเทพสูงสุด มองสรรพสิ่งในใต้หล้าราวกับเป็นมด

ทั้งสองรู้สึกได้ว่าสายตาเพลิงสีทองคู่นั้นกำลังจ้องประเมินพวกเขาอยู่ แม้จะเห็นสายตาของอีกฝ่ายไม่ชัดเจน แต่กลับรู้สึกได้ถึงความเคียดแค้นในสายตาอีกฝ่าย

“มีมาเนอเวิง…” จู่ๆ ทั้งสองก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ที่เร่งรีบดังขึ้น เสียงดังก้องอยู่ในหัวสมอง ไม่นานก็ก่อรูปเป็นน้ำวนสายหนึ่ง ใต้น้ำวนราวกับเป็นห้วงลึกไรที่สิ้นสุด จิตสำนึกของทั้งสองจมดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว

จิตสำนึกที่จมดิ่งกลับมาได้สติอีกครั้งในชั่วพริบตาเดียว ภาพตรงหน้าที่เหมียวอี้เห็นก็คือไต้ซือศีลเจ็ดกับศีลแปดกำลังยิ้มกริ่มคลั่งไคล้ ท่าทางเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว พวกเขากำลังถอดเสื้อผ้าของอวิ๋นจือชิวกับเยว่เหยา ผู้หญิงสองคนนี้กำลังร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน ส่วนปีศาจโลหิตก็กำลังถือดาบตัดคอหงเฉินและอนุภรรยาคนอื่นๆ เสียงเรียงโหยหวนดังต่อเนื่อง เหมียวอี้มองจนตาแทบถลนออกมา

อวี้หลัวช่าไม่รู้ว่าเห็นอะไร ดวงตางามเบิกกว้าง ในดวงตาเต็มไปด้วยเลือดแดง นิ้วทั้งสิบสั่นเทิ้มขณะมองไต้ซือศีลเจ็ด ศีลแปดและปีศาจโลหิต เหมือนอยากจะพุ่งเข้าไปสู้ตาย

ศีลแปดหันกลับมามองเหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าที่เอามือกุมศีรษะเป็นระยะ จากนั้นชักกระบี่ตรงเอวออกจากฝัก แล้วขว้างไปที่ผนังวัดอย่างแรง

แกร๊ง…

ทันใดนั้นในวัดก็มีเสียงระฆังดัง เงาคนสีทองในประตูวัดกรีดร้อง “อา” เอามือกุมศีรษะพลางโซเซถอยหลัง ราวกับถูกของหนักทุบศีรษะ

ปีศาจโลหิตที่กำลังนังขัดสมาธิสวดมนต์ประนมมือเปล่งเสียงดังขึ้น เสียงสวดมนต์ดังขึ้นในชั่วพริบตาเดียว

ไต้ซือศีลเจ็ดที่นั่งขัดสมาธิรีบประนมมือ เปล่งเสียงสวดมนต์ดังขึ้น

เหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าเดินโซเซเล็กน้อย ใบหน้าซีดขาวเหงื่อท่วมตัว หลับตาและสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

ศีลแปดที่โยนกระบี่ออกไปรีบหันตัวมา เดินมาตรงหน้าทั้งสองแล้วโบกกระบอกแขนเสื้อ นิ้วทั้งสิบที่อยู่ในแขนเสื้อรีบจีบเป็นมุทรา เหมือนกับมุทราคีบบุปผาของอวี้หลัวช่า จู่ๆ ก็มุทราคีบบุปผาก็แบ่งเป็นสองอัน ไปแตะตรงหว้างคิ้วเหมียวอี้กับอวี้หลัวช่า ปากก็พึมพำต่อเนื่องกันว่า “มิใช่มารมิใช่เคราะห์ ไม่ยึดติดไม่เพ้อฝัน ไร้ฝุ่นไร้ราคี ไม่สัมผัสไม่คล้อยตาม อย่ารักอย่าโกรธ ยากจะหาจุดเริ่มต้น ยากจะหาจุดจบ หยิบยื่นบุปผา เป็นเพียงฝันฉากหนึ่ง…”

หลังจากทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา พอกล่าวถึงประโยคสุดท้าย ศีลแปดก็เรียกได้ว่าตะคอกอย่างเด็ดขาด การตะคอกที่เหมือนตีแสกหน้า เหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าที่ตื่นรู้ก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว ทั้งคู่ลืมตาขึ้นช้าๆ สายตากลับมาแจ่มแจ้ง มองศีลแปดพร้อมหายใจอย่างร้อนรน เหงื่อบนใบหน้ายังคงไหล เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ก็เหมือนกับประโยคสุดท้ายที่ศีลแปดตะคอก เป็นเพียงฝันฉากหนึ่ง! ทั้งสองราวกับตื่นขึ้นจากฝันร้าย

ศีลแปดวางมือสองข้างลง แล้วประสมมือกล่าวว่า “อามิตตาพุทธ!”

เหมียวอี้กับอวี้หลัวช่ามองเข้าไปในวัดอีกครั้ง วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปนั่งสมาธิแล้ว แสงทองที่ส่องจากตัวอ่อนจางลงแล้วเช่นกัน เปลี่ยนแสงเป็นสลัว แต่ฉากเมื่อครู่นี้ยังทำให้ทั้งสองหวาดกลัวอยู่เลย ในใจทั้งสองรู้ดีมาก ว่าเมื่อครู่เกือบถูกพระปีศาจหนานโปควบคุมแล้ว เกือบจะพุ่งเข้าไปช่วยเขาสู้กับศีลเจ็ด ศีลแปดและปีศาจโลหิต

เสียงสวดมนต์ที่ดุเดือดของไต้ซือศีลเจ็ดและปีศาจโลหิตขึ้นลงพร้อมกันเป็นจังหวะ ไม่เพียงแค่ทำให้แสงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปค่อยๆ มืดลงเท่านั้น แต่ช่วยปลอบประโลมอารมณ์ตื่นตระหนกของเหมียวอี้และอวี้หลัวช่าอย่างรวดเร็วด้วย

“เจ้าได้ชื่อว่าเป็นพุทธะหน้าหยกไม่ใช่เหรอ? ทำไมตกหลุมพรางง่ายขนาดนี้ล่ะ?” ศีลแปดจ้องอวี้หลัวช่าอย่างค่อนข้างดูถูก

อวี้หลัวช่าขยับปากจะเถียง แต่เมื่อเทียบกับอีกฝ่ายแล้ว สุดท้ายก็ไร้ความสามารถเถียงอะไรได้

ศีลแปดหันตัวเดินไปทางประตูวัด จ้องวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างในพลางแสยะยิ้ม เขาเก็บกระบี่มาใส่ไว้ในฝักข้างเอวก่อน จากนั้นทิ้งคนที่เหลือเอาไว้และหันตัวเดินอ้อมไปอีกฝั่งของวัด เขาหายไปครู่เดียว รอจนเขากลับมาอีกครั้ง ในมือก็ถือค้อนเหล็กอันใหญ่มาจากไหนก็ไม่รู้ เขาใช้ด้ามค้อนยืนกระทุ้งอยู่ตรงประตู มือหนึ่งจับด้ามค้อน อีกมือเท้าเอว จ้องวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างในอย่างเย็นเยียบดุร้าย เพียงแต่เมื่อรวมกับจีวรบนตัวแล้วดูขัดกัน

ศีลแปดกล่าวทักข้างในว่า “จนป่านนี้แล้วยังไม่ล้มเลิกความคิดชั่วร้ายอีกเหรอ? เฒ่าจัญไร เจ้าคิดว่าพ่อมาอยู่ประดับที่นี่เฉยๆ เหรอ?”

วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่นั่งสมาธิพลันลืมตา สายตาเพลิงสีทองปรากฏอีกครั้ง เมื่อคนลุกขึ้นยืน แสงทองบนตัวพลันสาดส่อง ลอยมาตรงประตู อยู่ห่างจากศีลแปดเพียงหนึ่งช่วงแขน แล้วกล่าวเสียงดังก้อง “เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก เหตุใดต้องลำบากทำสิ่งไร้ประโยชน์ ยิ่งเจ้าล่วงเกินข้าฝังลึกมากเท่าไร ในอนาคตหลังจากข้าออกไปได้แล้ว เจ้าก็ยิ่งมีจุดจบอนาถ เจ้าไม่เข้าใจเชียวเหรอ? เจ้าเชื่อมั้ยว่าข้าจะทำให้เจ้าทรมานเวียนวายตายเกิดอยู่ในทะเลทุกข์ตลอดไปทุกชาติภพ?”

ปีศาจโลหิตกับไต้ซือศีลเจ็ดแทบจะหยุดสวดมนต์พร้อมกัน พวกเขาเอียงหน้ามองศีลแปด ไต้ซือศีลเจ็ดถอนหายใจ “ศีลแปด!” เหมือนตั้งใจจะห้าม

แต่ศีลแปดไม่สนใจเขาเลย จ้องเพียงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พลางพูดเย้ย “บ่นมาเป็นชุด เจ้ากลัวหรือไม่มั่นใจเข้าแล้วล่ะ? คุกเข่าขอร้องข้าสิ ไม่อย่างนั้นอาตมาจะให้เจ้าทรมานซะเดี๋ยวนี้เลย!”

“เด็กไม่รู้ความ ไม่รู้จักพลานุภาพ…” เสียงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ดังก้อง

ยังไม่ทันพูดจบ ศีลแปดก็ถ่มน้ำลายแล้วด่าว่า “ชาติสุนัข!”

ไม่น่าเชื่อว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะเถียงไม่ออก โมโหจนเสียงสั่น ทว่าได้รับรู้ฝีปากของศีลแปดมานานแล้ว ถ้าพูดถึงการด่า เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศีลแปดเลยจริงๆ ต่อให้ตอนมีชีวิตอยู่เขาจะวางอำนาจบาตรใหญ่ในใต้หล้า แต่เขาก็รู้ว่าถ้าตัวเองกล้าต่อปากต่อคำ ก็จะได้ยินสิ่งที่ไม่น่าฟังเอามากๆ ทันที

“ตกต่ำจนกลายเป็นนักโทษแล้ว ยังกล้ามาอวดอ้างพลานุภาพต่อหน้าปู่อีกเหรอ เจออานุภาพของปู่เจ้าสักยกก่อนเถอะ!” ศีลแปดพูดเหยียดหยาม แล้วถือค้อนเดินไปข้างๆ แล้วใช้สองมือควงค้อนทุบกำแพงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

แกร๊งๆๆ…

แขนเสื้อจีวรสะบัดไม่หยุด ทุบค้อนแล้วค้อนเล่า

แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง…

เสียงระฆังในวัดดังก้องไม่หยุด

“อา…” วิญญาณศักดิ์สิทธิ์เอามือกุมศีรษะทันที เสียงกรีดร้องโหยหวนปนเสียงระฆัง ทั้งตัวโซเซไปมาอยู่ในวัด ทำท่าเหมือนทรมานจนทนไม่ไหว แสงทองบนตัวมืดสลัวลง ร่างกายสีทองเปลี่ยนเป็นสีเทาอยู่ภายใต้เสียงระฆังที่ดังต่อเนื่อง เหมือนหินหนืดภูเขาไฟที่ค่อยๆ เย็นตัวลงแต่กลับเห็นไฟอยู่ข้างในผ่านรอยแยก วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ดิ้นรนร้องครวญครางอย่างทุกข์ทรมาน

…………………

สองพี่น้องกำลังพูดคุยกันอยู่ข้างหน้า อวี้หลัวช่าเดินตามหลังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จีวรบนตัวค่อนข้างใหญ่หลวมดูตลก ทั้งสามล้วนใส่จีวรสีขาวพระจันทร์

พอใกล้จะได้เห็นสมบัติลับสำนักหนานอู๋ในตำนาน อวี้หลัวช่าก็ทั้งเฝ้าคอยทั้งกังวล นางเฝ้าคอยที่จะได้เห็น แต่ก็กลัวว่าเหมียวอี้จะวางกับดักอะไรนางด้วย

สรุปก็คือ ตอนนี้นางไม่เชื่อใจเหมียวอี้เลยสักนิด สายตานางหยุดอยู่บนหลังที่สง่างามของศีลแปด ไม่สนว่าโดนตบไปหนึ่งฉาดแล้วจะแค้นศีลแปดหรือไม่ ในตอนนี้ความรู้สึกปลอดภัยเพียงอย่างเดียวของนางผูกติดอยู่ที่ตัวศีลแปดคนเดียว

ทางหุบผาชัน ดูเหมือนไม่ไกล แต่กลับเดินมานานมากจริงๆ ใช้เวลาเดินสองชั่วยามกว่าจะถึงหุบผาชัน

หุบผาชันกว้างมาก ลึกหลายสิบจั้ง ตอนยืนอยู่ริมหุบผาชันก็เหมือนยืนอยู่ริมหน้าผาสูง ต้นหญ้ารอบๆ มีแต่ดอกไม้ป่าที่ไม่รู้จักชื่อ และในหุบผาชันก็ราวกับปูด้วยผ้าแพร ราวกับเป็นหุบเขาดอกไม้ สามารถได้กลิ่นหอมดอกไม้ที่กระแสลมพัดม้วนขึ้นมาจากด้านล่าง

ยืนบนหน้าผาชันแล้วทอดสายตามอง ศีลแปดชี้ไปยังหน้าผาชันที่อยู่ตรงข้าม “มันอยู่ฝั่งตรงข้าม”

เหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าที่ยืนอยู่ไกลๆ มองตาม แยกแยะได้ง่ายมาก วัดประหลาดแห่งหนึ่งที่สร้างจากไม้สีดำขลับทั้งหมดฝังเลี่ยมอยู่บนหน้าผาชัน เห็นรางๆ ว่านอกวัดมีคนสองคนกำลังนั่งสมาธิ เหมียวอี้เดาว่าเป็นไต้ซือศีลเจ็ดกับปีศาจโลหิต

“เอ่อ…” จู่ๆ อวี้หลัวช่าก็อุทาน เมื่อได้เห็นวัดประหลาดแห่งนี้ ก็เหมือนจะทำให้นางนึกอะไรขึ้นได้ นึกถึงรายงานที่ตำหนักสวรรค์ส่งมา นึกถึงวัดผนึกที่ปีศาจจิ้งจอกสามหางบรรยายถึง ทำไมรู้สึกว่าเหมือนวัดแห่งนี้มากเลยล่ะ? หุบผาชัน เป็นวัดที่ฝังเลี่ยมไว้บนหุบผาชันเหมือนกัน ทั้งยังมีสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้อีก

ชั่วพริบตานี้ เหมือนนางจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว

เหมียวอี้กับศีลแปดเอียงหน้ามอง เห็นเพียงอวี้หลัวช่ามีใบหน้าซีดเผือด มีสีหน้าหวาดกลัวปรากฏให้เห็น

“อวี้หลัวช่า เป็นอะไรไป?” ศีลแปดถามด้วยรอยยิ้ม

อวี้หลัวช่าหันขวับมามองเขา แล้วเอ่ยถามขณะที่หายใจหอบเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าฉายานามของไต้ซือคืออะไร?”

เหมียวอี้ได้ยินแล้วรู้สึกขำ ตอนนี้เพิ่งจะมาถามเนี่ยนะ?

ศีลแปดประนมมือ “อาตมามีฉายานามว่าศีลแปด!”

“เจ้าก็คือพระรูปหล่อคนนั้นเหรอ…” อวี้หลัวช่าเบิกตากว้าง แล้วก็รีบมองวัดประหลาดนั่นอีก ก่อนจะหลุดอุทานว่า “ที่นี่คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป?”

เหมียวอี้พูดเหน็บแนมทันที “ข้าบอกเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่มีสมบัติลับสำนักหนานอู๋อะไรนั่นหรอก บอกเจ้าตั้งนานแล้วว่านี่คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป แต่เจ้ากลับไม่เชื่อ ดันคิดว่าข้ากำลังหลอกเจ้า ดูจากท่าทางเจ้าแล้ว คงรู้เรื่องของปีศาจจิ้งจอกสามหางมาสินะ คนที่ฉลาดขนาดนี้ ตามหลักแล้วถ้าสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของดาวเคราะห์ดวงนี้ เจ้าก็น่าจะเดาออกแล้วสิ หึหึ ข้าแปลกใจแล้ว ก่อนหน้านี้เจ้ายังสงสัยว่าที่นี่คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปอยู่เลย พอสัมผัสด้วยตัวเองแล้วว่าโดนระงับพลังอิทธิฤทธิ์ ทำไมจะเป็นจะตายกลับไม่ยอมเชื่อ สงสัยเจ้าจะเข้าใจหนิวผิดแบบลึกซึ้งเลยสินะ จะเป็นจะตายก็ไม่เชื่อหนิว น่าขำจริงๆ!”

“เอ !”ศีลแปดส่ายหน้าถอนหายใจ “นี่แหละที่เรียกว่าโดนกับดักความฉลาดของตัวเอง ก็เป็นอย่างนี้เอง!”

“พวกเจ้า…” อวี้หลัวช่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยสีหน้าซีดเผือด นางไม่ใช่แค่ดันทุรังทำสิ่งไร้ค่าเพราะไม่เชื่อคำพูดเหมียวอี้ แต่นางไม่คิดว่าเหมียวอี้จะรู้เรื่องที่เป็นความลับอย่างสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป นางไม่คิดว่าเหมียวอี้จะมาในสถานที่แบบนี้ หลังจากนางมาที่ดาวเคราะห์แล้ว ก็ไม่ได้สัมผัสถึงมนต์คร่าชีวิตอย่างที่ปีศาจจิ้งจอกสามหางบอก

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือความโลภของนาง ยามคนเราเผชิญหน้ากับทางเลือก ก็จะมีวิธีตัดทางเลือกสองอย่าง อย่างแรกก็คือตัดอันตรายแฝงเร้นทุกอย่างแล้วหาจุดที่มีประโยชน์ อย่างหลังก็คือตัดจุดที่มีประโยชน์ทุกอย่างแล้วหาอันตรายแฝงเร้น อย่างหลังเป็นสำนึกในการเตรียมพร้อมป้องกันก่อนเกิดเหตุร้าย อย่างแรกก็ยิ่งเกือบเป็นจิตใจของนักพนัน และคนเราเมื่อเกิดความโลภในใจแล้ว ยามอยากนำเกาลัดออกจากกองไฟก็จับจ้องผลประโยชน์โดยมองข้ามอันตรายได้ง่ายมาก

“พลังอิทธิฤทธิ์ของเจ้าก็ถูกควบคุมเหมือนกัน!” อวี้หลัวช่าพลันจ้องศีลแปด

ศีลแปดยิ้มบางๆ รอยยิ้มเริ่มเปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์ไร้ราคี จู่ๆ ก็เห็นเขาโบกแขนเสื้อกวาดพื้น ดอกไม้ป่าเล็กๆ ตรงหน้าก็ผลิดอกออกผลอย่างรวดเร็วแบบที่ตาเปล่าสังเกตเห็นได้ แล้วก็เห็นเขาโบกแขนเสื้อกวาดอีกครั้ง พืนพรรณหลายต้นที่มีผลสุกใกล้ร่วงก็มีดอกตูมดอกใหม่เบ่งบานอย่างรวดเร็ว ดูน่าอัศจรรย์มาก

อวี้หลัวช่ามองจนปากคอแห้ง ศีลแปดยิ้มเบาๆ “ตอนที่อาตมาเพิ่งมาก็ถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์จริงๆ แต่ตอนหลังก็พบวิถีทางบางอย่างในการหลบเลี่ยงแล้ว”

เหมียวอี้แอบขำในใจ เจ้ารองแสร้งทำตัวเป็นเทพมาพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว

“แค่เพราะวิชาพุทธของเจ้าล้ำลึกจริงใจเฉยๆ หรอก” อวี้หลัวช่ากล่าว

ศีลแปดจึงบอกว่า “งั้นเจ้าก็ลองไม่ใช้พลังอิทธิฤทธิ์แล้วแสดงความจริงใจให้ข้าดูสักหน่อยสิ! ย่าเจ้าเถอะ เป็นครั้งแรกที่เจอคนบอกว่าข้ามีวิชาพุทธล้ำลึก ขอบคุณที่ชมนะ!” เขาสะบัดแขนเสื้อ ราวกับบอกว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ

อวี้หลัวช่าแววตาวูบไหวร้อนรน ไม่รูเหมือนกันว่านางเชื่อหรือไม่เชื่อ

เหมียวอี้มองไปรอบๆ แล้วบอกว่า “สภาพแวดล้อมที่นี่เหมือนจะดีกว่าที่ร่ำลือกันนะ”

ศีลแปดตอบกลั้วหัวเราะ “นั่นแสดงว่าท่านไม่รู้ว่าตอนที่ข้าเพิ่งมาที่นี่สภาพแวดล้อมเป็นยังไง ในหุบผาชันเป็นพื้นที่รกร้าง ในหุบเขามีลมหนาวพัดเป็นพักๆ อากาศถูกเมฆหมอกปกคลุมไว้ น่าตกใจมาก ใต้ดอกไม้พวกนี้ฝังกระดูกไว้นับไม่ถ้วน หลังจากควบคุมปีศาจเฒ่านั่นไว้แล้ว สภาพแวดล้อมที่นี่ถึงได้ดีขึ้นตามลำดับ”

พอพูดถึงเรื่องกระดูก เหมียวอี้ก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องบางอย่าง ถามว่า “คนที่ถูกขังไว้ที่นี่ตอนแรกมาจากข้างนอกหมดเลยเหรอ?”

“แน่นอนสิ คงไม่ใช่เพราะธรรมชาติสร้างขึ้นหรอกมั้ง?” ศีลแปดถาม

เหมียวอี้แปลกใจ “คนพวกนี้ถูกระงับพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว ตอนเข้ามาในดาวเคราะห์ดวงนี้ก็ต้องตกจากที่สูง ทำไมยังมีชีวิตรอดได้อีกล่ะ? ต่อให้ตกลงบนผิวน้ำก็กระแทกตายอยู่ดีละมั้ง?”

ศีลแปดตอบว่า “คนที่วางค่ายกลนี้ไว้ตอนแรกคงจะป้องกันจุดนี้ไว้แล้ว กังวลว่าจะมีคนปล่อยปีศาจเฒ่าออกไป ก็เลยเกิดสถานการณ์อย่างที่พี่ใหญ่บอก ไม่ว่าใครที่เข้ามาในนี้ ส่วนใหญ่ก็จะตกลงมาตายหมด แต่เหมือนคนวางค่ายกลจะจินตนาการไม่ถึงความน่ากลัวของปีศาจเฒ่านั่น แม้ปีศาจเฒ่าจะไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว แต่ก็ยังควบคุมคนได้ ยังควบคุมสิงห์สาราสัตว์ชนิดต่างๆ ได้ พอมีคนตกลงมาก็จะถูกสัตว์ปีกตัวใหญ่ช่วยชีวิตไว้ และในคืนที่ข้ากับปาไห่ตกลงมา ก็มีฝูงค้างคาวกับไม่ถ้วนมาช่วยไว้ พวกเราถึงได้รอด แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับความช่วยเหลือทันเวลา มีคนไม่น้อยตกลงมาตาย คนที่ไม่ตกลงมาตายก็โดนมนต์คร่าชีวิตของปีศาจเฒ่าสะกดให้มาที่หุบผาชันแห่งนี้หมด”

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้! เหมียวอี้พยักหน้า ชำเลืองมองอวี้หลัวช่าแวบหนึ่ง ยังนึกว่ากางเสื้อผ้าบินเหมือนอวี้หลัวช่ากันหมด พอมาดูตอนนี้แล้ว การที่ผู้หญิงคนนี้รอดชีวิตมาจนทุกวันนี้ก็ไม่ธรรมดาจริงๆ ขนาดตกลงจากฟ้าก็ยังพ้นเคราะห์ได้ ช่างดวงแข็งจริงๆ!

จู่ๆ ศีลแปดก็จ้องวัดประหลาดนั่นพลางถอนหายใจ “ปีศาจเฒ่านี่ชั่วร้ายจริงๆ อาตมาค่อนข้างกังวล กังวลว่าสักวันหนึ่งปีศาจเฒ่าจะหลุดออกมาได้ พวกเราคงไม่ต้องเฝ้าไปทั้งชีวิตหรอกใช่มั้ย ถ้าเขาหลุดออกมาแล้วจะมาคิดบัญชีกับอาตมาหรือเปล่า?”

“งั้นข้าจะฆ่าเขา!” เหมียวอี้กล่าว

อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม “คิดฝันเพ้อเจ้อ ถ้าฆ่าเขาได้ยังจะต้องให้เจ้าพูดอีกเหรอ? ถ้าฆ่าเขาได้ ประมุขปราชญ์หกลัทธิคงทำไปนานแล้ว ยังจะขังเขาไว้ที่นี่ทำไมอีก? ตอนพระปีศาจหนานโปยังมีชีวิตอยู่ วรยุทธ์ของเขาถึงระดับที่ไม่ตายไม่ดับสูญแล้ว คนที่วรยุทธ์ถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ว่าใครคิดจะทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็จะทำลายได้ ต่อให้กำลังพลของแดนสุขาวดีกับตำหนักสวรรค์หาที่นี่พบ ก็ทำได้เพียงขังเขาไว้ที่นี่ต่อไป หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาหลุดออกมาเท่านั้น”

เหมียวอี้นึกถึงเทพมังกรที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าโลกนี้จะมีสิ่งที่ฆ่าไม่ตาย”

อวี้หลัวช่าบอกว่า “คนที่สามารถทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้ก็ใช่ว่าจะไม่มี วิญญาณศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่กระโดดออกจากสามภพไม่ได้อยู่ในห้าธาตุ ว่ากันว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของประมุขไป๋เหนือกว่าสามภพห้าธาตุ จึงทำให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ปลิวสลายเป็นเถ้าถ่านได้ แต่น่าเสียดายที่ประมุขไป๋…แต่ยังมีอีกตำนานหนึ่ง ว่ากันว่าสำนักหนานอู๋ซ่อนวิชาพุทธไร้ขอบเขตเอาไว้ หลังจากฝึกสำเร็จแล้วก็จะสามารถคลอบคลุมสรรพสิ่งได้ สามารถกำจัดพระปีศาจหนานโปได้เหมือนกัน”

“วิชาพุทธไร้ขอบเขต?” ในหัวเหมียวอี้ฉายภาพในจุดซ่อนสมบัติลับสำนักหนานอู๋ แล้วถามเสียงเรียบว่า “ที่เจ้าพูดแบบนี้ ไม่ใช่เพราะอยากหาสมบัติลับสำนักหนานอู๋หรอกใช่มั้ย?”

อวี้หลัวช่าบอกว่า “ผลก็คือเจ้าพาข้ามาดูสิ่งนี้” ในที่สุดนางก็เชื่อแล้วว่าไม่มีสมบัติลับอะไรทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดอย่างนี้ออกมาหรอก

เคล็ดวิชาฝึกตนของประมุขไป๋จะกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปได้หรือไม่ เหมียวอี้ไม่กล้าฟันธง อย่างไรเสียแม้แต่อาจารย์ของประมุขไป๋ก็ยังตายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโปไปแล้ว เขาขมวดคิ้วถาม “นอกจากวิธีการตามสองตำนานนี้ อย่าบอกนะว่าไม่มีวิธีการอื่นอีก?”

“มี!” อวี้หลัวช่าตอบอย่างมั่นใจมาก “นอกเสียจากจะมียอดฝีมือระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัว แล้วอาศัยวรยุทธ์ระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาข่มวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโป ถึงจะอาศัยพลานุภาพอันน่าเกรงขามกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาทิ้งได้ ไม่อย่างนั้นคนทั่วไปก็ฆ่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทิ้งไม่สำเร็จเลย ต่อให้เจ้าทำลายเขาแล้ว เขาก็ออกจากความลึกลับกลับมารวมตัวกันได้อีก แต่ยอดฝีมือระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้ถูกพระปีศาจหนานโปฆ่าตายหมดแล้ว ถ้าอยากจะให้มีคนที่เป็นภัยคุกคามต่อวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาโผล่มาอีก ก็ไม่รู้เลยว่าเมื่อไร”

“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์…” เหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง สายตามองไปทางวัดประหลาดที่ฝังเลี่ยมอยู่บนหน้าผาอีกครั้ง แล้วบอกศีลแปดว่า “ไป พาข้าไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย”

ศีลแปดพยักหน้า แล้วหันกลับมาถามอวี้หลัวช่า “เจ้าจะไปดูสักหน่อยมั้ย?”

อวี้หลัวช่ามองวัดประหลาดด้วยสายตาหวาดกลัว แต่พอนึกได้ว่าคนในวัดถูกควบคุมไว้แล้ว และขนาดคนพวกนี้ยังไม่กลัว แล้วตัวเองจะต้องกลัวอะไรล่ะ นางก็เลยเงยหน้ายืดอก “ถึงแม้ข้าจะไม่เคยเห็นตัวจริงของพระปีศาจหนานโป แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็อยากจะเห็นสักหน่อยว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจที่เคยวางอำนาจบาตรใหญ่ในจักรวาลเป็นยังไง” นางเดินตามหลังทั้งสองไป

ทั้งสามไม่ได้กระโดดลงไปโดยตรง แต่เดินเลียบหน้าผาไปจนปลายสุดของหุบผาชันแล้วถึงเลี้ยวลงไป

เพราะด้วยเหตุนี้เอง อวี้หลัวช่าที่ตามอยู่ข้างหลังจึงมองศีลแปดด้วยแววตาแปลกๆ นางเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างที่สังเกตเห็นได้ยาก แต่บนใบหน้ากลับไม่แสดงสีหน้าผิดปกติใดๆ

ตลอดทางเต็มไปด้วยหญ้าเขียวแล้วดอกไม้ เห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นเพราะมีคนเหยียบเข้าเหยียบออกที่นี่บ่อยๆ ทั้งสามเดินไปข้างหน้าตามทางคดเคี้ยวยาวเหยียด สุดท้ายก็มาถึงด้านล่างของวัด แล้วก็ปีนขึ้นตามบันไดที่ขุดขึ้นไปบนหน้าผาอีก

เมื่อเห็นปลายทางบันไดของวัดที่ฝังเลี่ยมบนหน้าผาปรากฏ เหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าก็เริ่มวิตกกังวลนิดหน่อย เป็นเพราะชื่อเสียงบารมีของพระปีศาจหนานโปโด่งดังเกินไป คนที่ไม่รู้ก็ว่าไปอย่าง แต่คนที่รู้ประวัติความเป็นมาของพระปีศาจตนนี้ มีใครบ้างที่กล้าบอกว่าตัวเองไม่กดดันเลยสักนิด? เกรงว่าแม้แต่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็ยังไม่กล้าพูดโอ้อวดเลย

กลับเป็นศีลแปดที่เคยชินแล้ว สะบัดแขนเสื้อตัวใหญ่เดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว อย่างไรเสียเขาก็คือคนที่เคยด่าพระปีศาจหนานโปมาเป็นเวลาหนึ่งเดือน ทั้งใต้หล้ามีเขาคนเดียว

…………………

คนที่น้อยเนื้อต่ำใจก็มีแต่ตัวเอง ไม่มีใครมาร่วมเห็นอกเห็นใจ

อย่างน้อยศีลแปดกับเหมียวอี้ก็ไม่มีทางเห็นอกเห็นใจอวี้หลัวช่าได้ เพราะศีลแปดมีเจตนาไม่ซื่อต่อนาง ส่วนเหมียวอี้ก็อยากกำจัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลังอย่างนางโดยเร็ว

ไม่ว่าทั้งสองจะมีจุดประสงค์อะไร หรือเตรียมจะใช้วิธีการอะไร สรุปก็คือผู้ชายสองคนนี้ตัดสินใจแล้วว่าจะรังแกผู้หญิงคนนี้ มีแต่ต้องฉวยโอกาสตอนผู้หญิงคนนี้กลายเป็นมนุษย์ธรรมดา ฉวยโอกาสตอนที่นางอ่อนแอที่สุดรังแกนางสักหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะเป็นฝ่ายรังแกใครกันแน่

ส่วนอวี้หลัวช่าก็เปลี่ยนจากแข็งกร้าวที่สุดกลายเป็นดิ้นรนจากความตาย นางผ่อนคลายร่างกายจิตใจอย่างเต็มที่ พอถึงตอนนี้ก็เข้าใจผิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายถูกคนอื่นฆ่าแกงเท่านั้น สภาพจิตใจมีการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก เท่ากับว่าถูกลอกเปลือกออกที่ละชั้นจนถึงหัวใจ นางมีความหวังต่อท่าทีอันบริสุทธิ์อ่อนโยนของศีลแปดมาก ผลปรากฏว่าพอโดนศีลแปดตบไปหนึ่งฉาด ก็ทำให้นางเจ็บแล้วจริงๆ เจ็บปวดรวดร้าวใจ!

นางไม่เคยร้องไห้มาตั้งกี่ปีแล้ว จู่ๆ คืนนี้นางก็รู้สึกเหมือนได้กลับไปถึงช่วงเวลาในปีนั้น ช่วงเวลาที่ตัวเองไร้ที่พึ่งพา หลังจากร้องไห้เสร็จก็ปาดน้ำตาแล้วเผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานทุกสิ่งอย่าง จนสุดท้ายถึงได้ขึ้นสู่ตำแหน่งพุทธะหน้าหยก

ตอนที่นั่งอยู่ลำพังที่นี่ นางยังนึกว่าตัวเองจะได้กลับไปเผชิญกับเหตุการณ์ในปีนั้นซ้ำอีกรอบ แต่ใครจะคิดว่าจะมีมืออันอบอุ่นยื่นเข้ามา เป็นมือที่ยื่นเสื้อผ้าสะอาดและอาหารให้นาง ทั้งยังพูดจาเหมือนดุร้ายแต่ที่จริงแล้วเป็นห่วงนาง

จุดอ่อนในใจนางถูกโจมตีในรวดเร็ว นางไม่อยากร้องไห้เหมือนผู้หญิงอ่อนแอ แต่นางไม่สามารถร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับได้ น้ำตายังไหลอย่างควบคุมไม่อยู่ ตอนนี้นางรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่าตัวเองไม่ใช่พุทธะหน้าหยกอะไรหรอก เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ในอดีตจะเคยยืนอยู่สูงขนาดไหนก็ตาม

“พี่ใหญ่ รสชาติเป็นยังไงบ้าง?” ศีลแปดที่นั่งกินดื่มอยู่ข้างกองไฟเอ่ยถามปนเสียงหัวเราะ

เหมียวอี้ที่กินอย่างตะกละตะกลามกรอกสุราเข้าปากคำหนึ่ง จากนั้นถอนหายใจยาวแล้วบอกว่า “ระหว่างทางขอแค่มีกินก็พอ เหมือนไม่ได้กินของอร่อยแบบนี้มานานแล้ว”

ศีลแปดเหม่อไปชั่วครู่ จากนั้นก็กล่าวตำหนิตัวเอง “พี่ใหญ่ ข้าขอโทษ ล้วนเป็นความผิดของข้า”

เหมียวอี้เอียงหน้ามองเขา แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “อย่างที่เจ้าบอก คนบ้านเดียวกันไม่พูดจาเหมือนเป็นคนนอก เออใช่ สถานที่ลับตาคนแบบนี้เจ้าหาเจอได้ยังไง?”

ศีลแปดยิ้มเจื่อน “สถานที่ผีๆ แบบนี้น่ะเหรอ ก็บังเอิญเจอเทพพยากรณ์ที่สามารถทำนายอนาคตได้ไง เขาบอกทางมา ถ้าเขาไม่บอกแล้วใครจะรู้จักที่นี่ได้ล่ะ? มาก็มาแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอตัวประหลาดนั่น นี่เทพพยากรณ์ไม่ได้วางกับดักกันหรอกเหรอ วางกับดักข้าก็ว่าแย่แล้ว เขากับตาแก่โล้นเป็นสหายกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะวางกับดักตาแก่โล้นด้วย เสียแรงที่ข้าเชื่อใจเขา”

เป็นเขาจริงๆ ด้วย! เหมียวอี้ขมวดคิ้วทันที เขาไม่ได้มีความแค้นกับคนนี้ เพราะเขาเลือกเส้นทางเอง ไม่เคยนึกเสียใจทีหลัง แต่การเอาศีลแปดมาเสี่ยงอันตรายอย่างนี้ทำให้เขาไม่พอใจแล้วจริงๆ

เขายืนยันไม่ได้ว่าการที่ศีลแปดกับอาจารย์มาที่นี่เพราะมีเทพพยากรณ์ยุยงหรือไม่ ดังนั้นถ้ามีโอกาสพบกัน เขาจะต้องถามให้กระจ่าง!

“พี่ใหญ่ เจ้าสามอยู่กับนายแก่นแก้วไร้ไมตรีนั่นเป็นยังไงบ้างแล้ว?” ศีลแปดถาม

พอพูดถึงเยว่เหยา เหมียวอี้ก็อึ้งไปชั่วขณะ เขาย่อมรู้ว่ายายแก่นแก้วไร้ไมตรีที่ศีลแปดพูดถึงคือมู่ฝานจวิน เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ข้าแต่งงานรับเจ้าสามเป็นอนุภรรยาแล้ว”

“อุบ…” ศีลแปดสุราพุ่งจากปาก พอเช็ดน้ำสุราที่คางแล้ว ก็มองเหมียวอี้อย่างเหม่อลอยโง่งง หจากนั้นกลืนน้ำลายแล้วถามหยั่งเชิง “เมื่อครู่ท่านพูดว่าอะไรนะ ข้าได้ยินไม่ชัด ท่านพูดอีกรอบได้มั้ย?”

เหมียวอี้พยายามทำท่าทางสบายๆ แล้วพูดย้ำว่า “ข้าแต่งงานกับเจ้าสามแล้ว”

พอพูดจบแล้วเห็นอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองพักใหญ่ รอจนเขาค่อยๆ หันไปมอง ก็พบว่าศีลแปดกำลังมองตัวเองด้วยท่าทางแปลกๆ ในใจรู้สึกอับอายมาก แต่ภายนอกยังทำสุขุม “ทำไม ข้าแต่งไม่ได้เหรอ?”

“ได้!” ศีลแปดตอบลากเสียงยาว แต่จากนั้นก็หัวเราะเสียงแปลกๆ “พี่ใหญ่ ท่านนี่ใช้ได้เลยนะ! ข้ามองไม่ออกเลยจริงๆ วางมาดสง่าเคร่งขรึมเชียว!”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “อย่ามาพูดจาคลุมเครือ เจ้าซ่อนอยู่ที่นี่จะไปรู้อะไร? ที่ข้าแต่งงานกับเจ้าสามก็เพราะจนใจเหมือนกัน เจ้าสามเกือบถูกคนอื่นทำร้ายแล้ว ตอนนั้นอารมณ์นางไม่ปกติ ข้าเลยขอร้องให้พี่สะใภ้เจ้ารับนางเข้าบ้าน”

พอได้ยินว่าเกือบเกิดเรื่องกับเจ้าสาม ศีลแปดก็เริ่มมีสีหน้าเคร่งขรึมแล้ว “มันเรื่องอะไรกัน? อาศัยภูมิหลังอย่างเจ้าสาม ทั้งยังมีพี่ใหญ่คุ้มครอง ที่พิภพเล็กมีใครกล้าคิดไม่ซื่อกับเจ้าสามด้วยเหรอ?”

“ตอนนี้รู้จักถามแล้วเหรอ? ตอนที่หลบซ่อนตัว ไม่ว่าใครติดต่อไปก็ไม่ตอบ เจ้ามัวไปทำอะไรอยู่ล่ะ? ไม่ใช่ที่พิภพเล็ก เจ้าสามก็มาที่พิภพใหญ่เหมือนกัน…” เหมียวอี้เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับห้าปราชญ์ไปแดนอเวจีก็ละไว้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจศีลแปด แต่เพราะเขาไม่เชื่อในสันดานของศีลแปด เรื่องบางเรื่องเขาไม่อยากให้ศีลแปดเข้ามาพัวพัน

พอได้ยินว่าเยว่เหยาเกือบตกอยู่ในมือโจรราคะเจียงอีอีที่พิภพใหญ่ ใบหน้าศีลแปดก็เต็มไปด้วยความดุร้าย ทำสีหน้าเหมือนจะกินคน กำหมัดแน่นจนเล็บจิกเนื้อในฝ่ามือ พอได้ยินว่าเจียงอีอีถูกอวิ๋นจือชิววางแผนกำจัดทิ้งแล้ว สีหน้าถึงได้อ่อนลง แบมือสองข้าง ถอนหายใจยาวแล้วบอกว่า “สมกับเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ อาตมาเอาใจช่วยนาง พี่ใหญ่เลือกคนไม่ผิด แบบนี้สิถึงจะเหมือนครอบครัวเดียวกัน ถ้ามีพี่สะใภ้อยู่ ต่อไปเจ้าสามก็ไม่ต้องรับความอยุติธรรมอะไรแล้ว เจ้าสามแต่งงานกับพี่ใหญ่ก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน ต่อให้ท่านด่านางตีนางก็เพราะหวังดีกับนาง อย่างน้อยก็ไม่รังแกนาง ถ้าเจ้าสามแต่งงานกับคนอื่นข้าก็ไม่วางใจจริงๆ ผู้ชายหาดีไม่ได้สักคน นี่ก็เป็นเหตุผลที่อาตมาโน้มน้าวให้ท่านแต่งงานกับนางมาตลอด พี่ใหญ่ แล้วตอนนี้ท่านเป็นยังไงบ้าง?”

พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง เหมียวอี้ก็เล่าคร่าวๆ เท่านั้น แต่ศีลแปดได้ยินแล้วอกสั่นขวัญแขวนพอสมควร

หลังจากฟังจบ ศีลแปดก็ถอนหายใจเบาๆ “นึกไม่ถึงว่าหลายปีมานี้จะเกิดเรื่องเยอะขนาดนี้ น่าเสียดายที่วรยุทธ์อย่างช้าช่วยอะไรท่านไม่ได้”

พอพูดถึงวรยุทธ์ เหมียวอี้ก็ย่อมอดไม่ได้ที่จะถาม “ตอนนี้เจ้าวรยุทธ์เท่าไรแล้ว?”

ศีลแปดถอนหายใจ ก่อนจะตอบว่า “ก็พอได้ ไม่กี่ปีก่อนบรรลุระดับบงกชทองขั้นหนึ่งแล้ว”

“เพิ่งบงกชทองขั้นหนึ่งเองเหรอ? แล้วเจ้ายังมีอารมณ์มานอนหลับอีกหรือไง? โดนขังอยู่ที่นี่ไม่มีทรัพยากรฝึกตนเหรอ?” เหมียวอี้ถามเสียงเข้ม

ศีลแปดหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ท่านไม่เข้าใจเคล็ดวิชาฝึกตนของข้าหรอก ตอนแรกมีทรัพยากรฝึกตนจริงๆ แต่ตอนหลังก็ยิ่งไม่มีประโยชน์ พอวรยุทธ์ก้าวหน้าแล้วก็เพิ่มขึ้นทีละนิดตามจังหวะตายตัวอย่างกับหอยทาก กินยาแก่นเซียนไปกองใหญ่ก็เหมือนปลอม ให้ทรัพยากรฝึกตนข้ามากกว่านี้ก็สิ้นเปลืองอยู่ดี หลายปีมานี้การฝึกของข้าก็นับว่าเร็วแบบก้าวกระโดดแล้ว เร็วกว่าตาแก่โล้นตั้งเยอะ หลายปีมานี้ตาแก่โล้นไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลย หลังจากวรยุทธ์ข้าเพิ่มเร็วแบบก้าวกระโดด ก็เหมือนจะมาติดแหง็กอยู่ตรงนี้ ส่วนใหญ่ไม่มีความก้าวหน้าเลย”

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ได้วิเคราะห์สาเหตุสักหน่อยเหรอ? ไม่ได้วิเคราะห์เหรอว่าก่อนหน้านี้ตอนวรยุทธ์เจ้าขึ้นเร็วเพราะสาเหตุอะไร? ต้องหาปัญหาให้เจอก่อนสิ ถึงจะแก้ไขสะดวก”

ศีลแปดพยักหน้า “เคยวิเคราะห์แล้ว แต่วิเคราะห์ได้ซะที่ไหนล่ะ จะว่าไปก็แปลก ตอนที่วรยุทธ์ข้าขึ้นพรวดพราด ข้าไม่ได้ฝึกตนอะไรเลย วรยุทธ์มันขึ้นของมันเอง จนกระทั่งไล่ตามตาแก่โล้นทัน”

“ไม่ได้ฝึกแต่วรยุทธ์ขึ้นพรวดพราด จะเป็นไปได้ยังไง เจ้าทำอะไรลงไป?” เหมียวอี้ประหลาดใจ

ศีลแปดตอบว่า “จะทำอะไรได้ล่ะ? มัวเสียเวลากับปีศาจเฒ่าในวัดนั่นน่ะสิ ไม่มีเวลาฝึกตนด้วย ใช้กำลังวังชาทั้งหมดไปกับการควบคุมปีศาจเฒ่านั่น ผลปรากฏว่าวรยุทธ์เพิ่มขึ้นเอง เร็วจนเหลือเชื่อ”

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นเจ้าก็ไปควบคุมปีศาจเฒ่านั่นต่อสิ!” เหมียวอี้ตกตะลึง

ศีลแปดกัดขากระต่ายเคี้ยวกิน แล้วโบกขากระต่ายไปมา “ท่านคิดว่าข้าไม่อยากทำเหรอ แต่ไม่มีประโยชน์หรอก ตั้งแต่สามารถควบคุมปีศาจเฒ่านั่นได้อย่างสบายๆ วรยุทธ์ข้าก็ไม่ก้าวหน้าแล้ว เหมือนเจอผีเลย ท่านไม่เห็นเหรอว่าข้าว่างขนาดไหน ตอนนี้เวลาจะควบคุมปีศาจเฒ่าก็ไม่ต้องให้ข้าลงมือแล้ว มีตาแก่โล้นคนเดียวก็พอแล้ว แถมยังมีปาไห่ช่วยอีกคน ท่านคิดดูสิ ตอนนี้ข้าฝึกก็ก้าวหน้าเท่านี้ ไม่ฝึกก็ก้าวหน้าเท่านี้ แล้วข้าจะยังฝึกให้เหมือนนกโง่ทำไม แบบนั้นแปลว่าสมองมีปัญหาแล้วล่ะ”

เหมียวอี้ลังเลอยู่พักหนึ่ง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร เขาถามว่า “จะลองเปลี่ยนวิชาฝึกดูมั้ย? ข้ามีหฤทัยสูตรสุขาวดีภาคดินของปราชญ์พุทธะอยู่”

ศีลแปดส่ายหน้า “ไม่มีประโยชน์หรอก หลายปีมานี้ข้าเคยลองสร้างเคล็ดวิชาฝึกตนเองมาแล้ว ถ้าเปลี่ยนเคล็ดวิชาฝึกก็เหมือนโยนทรายเม็ดเดียวลงทะเล ฝึกไปฝึกมาก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย มิใช่มารมิใช่เคราะห์ ไม่ยึดติดไม่เพ้อฝัน อาตมาก็ยังเป็นอาตมา ข้าน่ะ สุดท้ายก็นับว่าเข้าใจแล้ว…” เขาพูดกลางส่ายหน้า

“เข้าใจอะไร?” เหมียวอี้ถาม

ศีลแปดประนมมือ “เมื่อเข้าประตูศีลมาแล้วก็ล้ำลึกดุจทะเล มีชะตาเป็นพระโดยกำเนิด อามิตตาพุทธ!”

เหมียวอี้เงียบแล้ว ดื่มสุราเงียบๆ ศีลแปดมีปัญหาประหลาดเรื่องเคล็ดวิชาฝึกตน เขาก็มีปัญหาประหลาดเรื่องเคล็ดวิชาฝึกตนเช่นกัน สองพี่น้องเป็นอะไรไปแล้ว?

พอคิดไปคิดมา จู่ๆ ก็เหมือนมีแสงสว่างวาบในหัว เคล็ดวิชาอัคนีดาราของเขา เมื่อฝึกถึงระดับหนึ่งแล้ว หากไม่มีพลังลึกลับคอยช่วย ที่จริงก็อาจฝึกได้ไม่ก้าวหน้าเร็วเท่าคนอื่นก็ได้ ตอนที่ศีลแปดวรยุทธ์เพิ่มขึ้นพรวดพราด ก็ไม่ใข่เพราะมีเหตุปัจจัยที่สามารถควบคุมพระปีศาจหนานโปได้หรอกเหรอ? เขาครุ่นคิดพลางกล่าวอย่างลังเล “ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องรีบ ข้าว่าเจ้าก็ยังหาสาเหตุที่กระตุ้นให้วรยุทธ์เพิ่มเร็วไม่ได้เหมือนกัน ถ้าหาเจอแล้ว ข้าว่าวรยุทธ์เจ้าคงสูงขึ้ยพรวดพราดอีกครั้ง”

ศีลแปดหัวเราะแห้งๆ “รีบอะไรกันล่ะ? อาตมารีบเสียที่ไหน อาตมาไม่รีบเลยสักนิด ไม่ง่ายเลยกว่าจะก้าวเข้าแดนฝึกตนได้ ควรใช้เวลาในโลกนี้ให้ดีสิ ควรจะตั้งใจดื่มด่ำให้ดีสิถึงจะถูก ถ้าเอาเวลาไปใช้กับการฝึกตน นั่นต่างหากที่บ้า”

เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัด “ข้าจะคอยดูว่าเวลาเจ้าเจอปัญหาแล้วไร้ที่พึ่ง เจ้าจะยังคิดแบบนี้อยู่หรือเปล่า”

“ถ้าเจอปัญหาอะไรแล้วไม่รู้จักแม้กระทั่งแยกแยะหลบหลีก ข้ายังจะ…” ศีลแปดที่พูดส่งเดชหยุดชะงัก เห็นเหมียวอี้วางมาดพี่ใหญ่สั่งสอนน้องอีกแล้ว เขาปวดหัวแล้ว รีบเปลี่ยนประเด็นสนทนา ไอแห้งๆ แล้วถามว่า “พี่ใหญ่ ท่านว่าตอนข้าเจอเจ้าสามครั้งหน้า ข้าจะเรีบกนางว่าพี่สะใภ้หรือเรียกว่าน้องสามดี?”

เหมียวอี้หน้าดำทันที ยกเท้าเตะออกไปเสียเลย

ศีลแปดร้อง “โอ๊ย” ถูกเตะกลิ้งออกไปแล้ว…

ในคืนนี้ สองพี่น้องที่ไม่ได้พบกันนานพูดคุยกันเยอะมากภายใต้ท้องฟ้าที่สว่างไปด้วยดวงดาว

จนกระทั่งฟ้าสว่างวันต่อมา หลังจากเหมียวอี้ยืนขึ้นแล้วมองไปทางหุบผาชัน ศีลแปดถึงได้ปัดก้นลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปในศาลา แล้วเรียกอวี้หลัวช่าที่หลับตานอนตะแคง “ไม่ต้องแกล้งหลับแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นแล้ว”

อวี้หลัวช่าลืมตามอง แล้วก็หลีบตาอีก ทำเสียงฮึดฮัดแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าไต้ซือมีอะไรจะกำชับ?”

“ได้ยินว่าเจ้าอยากไปเห็นสมบัติลับสำนักหนานอู๋เหรอ?” ศีลแปดถามกลั้วหัวเราะ

อวี้หลัวช่าพลันลืมตา จิตใจทะเยอทะยานลุกโชนอีกครั้ง

ศีลแปดกวักมือ “ไปเถอะ ไม่ให้เจ้ามาเสียเที่ยวหรอก จะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป

อวี้หลัวช่าพลิกตัวลุกขึ้นยืน ขณะกำลังจะตามหลังเขาไป ก็นึกอะไรขึ้นได้ นางวิ่งไปที่ริมทะเลสาบก่อน แล้ววักน้ำล้างหน้า ส่องเงาตัวเองในน้ำพลางเอามือรูดผม เสร็จแล้วถึงได้รีบสาวเท้าเดินตามไป

…………………………

เหมียวอี้หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสะบัดดู มองไม่ผิดหรอก เป็นจีวรสีขาวพระจันทร์ที่ศีลแปดใส่บ่อยนั่นเอง กลายเป็นอย่างนี้แล้ว ไม่มีอะไรต้องพิถีพิถันอีก ใส่แก้ขัดไปก่อนแล้วกัน ก่อนออกจากศาลา ก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับว่า “ระวังหน่อย ผู้หญิงคนนี้แผนเยอะมาก”

“รู้แล้วน่า รู้แล้ว ข้าจ้องนางอยู่ ท่านไปเถอะ” ศีลแปดโบกมือหัวเราะร่า

มีศีลแปดจ้องอยู่ เหมียวอี้ก็วางใจแล้วเช่นกัน เขาเดินเลียบฝั่งทะเลสาบไปไกลแล้วถึงได้ถอดเสื้อผ้าอาบน้ำ

ศีลแปดกำลังถือกระบอกไม้ไผ่จิบสุราอย่างเนิบช้า หลังจากแน่ใจแล้วว่าเหมียวอี้ไม่รู้สถานการณ์ทางฝั่งนี้ เขาก็วางกระบอกไม้ไผ่ลง หยิบเสื้อผ้าอีกชุดออกจากห่อผ้าน้ำมัน แล้วเดินออกจากศาลาไปที่ริมทะเลสาบ

อวี้หลัวช่าที่นั่งยองๆ ริมทะเลสาบล้างอาหารป่าไปพอสมควรแล้ว นางหันกลับมามอง

ศีลแปดวางเสื้อผ้าไว้ข้างตัวนาง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีเสื้อผ้าของผู้หญิง ล้วนเป็นจีวรของอาตมา สะอาดแล้ว ถ้าไม่รังเกียจก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ได้”

อวี้หลัวช่าพยักหน้าหน้าในขณะที่ล้างปลาตัวสุดท้ายเสร็จ แม้แต่กระบี่วิเศษก็เก็บใส่ไว้ในถังไม้ด้วยกัน

ศีลแปดกล่าวด้วยรอยยิ้มอีก “อาหารพวกนี้เดี๋ยวข้าย่างเอง เจ้าไปอาบน้ำเถอะ” พูดจบก็ถือถังไม้เดินออกไป

อวี้หลัวช่าที่นั่งยองๆ อยู่ริมทะเลสาบหันกลับมามองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็มองเสื้อผ้าที่วางอยู่ข้างตัวเอง นางเงียบไปพักเดียว แล้วสุดท้ายก็ลุกขึ้นมา นางไม่ได้เดินไปไกลเหมือนเหมียวอี้ แต่ยืนถอดเสื้อผ้าอยู่ที่เดิม ถอดเสื้อผ้าออกจนหมด แล้วเดินเนิบนาบลงไปแช่ในทะเลสาบเย็นสดชื่น

นางไม่รู้ว่าศีลแปดแอบมองนางหรือไม่ จนกระทั่งร่างกายทั้งหมดแช่ลงในน้ำแล้ว ถึงได้พลันหันกลับไปมอง ใช้อุบายลอบจู่โจมยามเผลอ

ผลก็คือพบว่าศีลแปดไม่ได้แอบมองนาง แต่ยืนมองอยู่ตรงนั้นอย่างสง่าผ่าเผย บนใบหน้ายังเผยรอยยิ้มหื่นกระหายอีกด้วย เดี๋ยวก็หัวเราะแห้งๆ เดี๋ยวก็หยุด ราวกับยังมองไม่หนำใจ

คนอะไรกัน! ความบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคีก่อนหน้านี้ไปไหนหมดแล้ว? อวี้หลัวช่ากลอกตามองบน แต่กลับผ่อนคลายยิ่งกว่าเดิม ไม่เหมือนสัตว์เลือดเย็นที่ไม่รู้จักเห็นค่าสาวงามอย่างหนิวโหย่วเต๋อ นางหันกลับมา แล้วจู่ๆ ก็กัดริมฝีปากยิ้ม กางแขนสองข้างแก้มัดมวยผมด้วยท่าทางผ่อนคลาย อาบน้ำให้ตัวอย่างอย่างสบายใจอยู่ในทะเลสาบใสเย็น ถึงขั้นร้องเพลงเบาๆ ด้วย

ยามปกตินางมีสีหน้าเย็นชาตลอด น้อยครั้งมากที่จะยิ้มออกมาจากใจอย่างนี้ ขนาดตัวนางเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไรไป

พอนึกถึงการเดินทางครั้งนี้ อวี้หลัวช่าเองก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ นึกไม่ถึงว่าพุทธะหน้าหยกผู้สง่าภูมิฐานจะเผชิญกับสถานการณ์อย่างนี้ นางรู้สึกตึงเครียดเพราะต้องสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับหนิวโหย่วเต๋อมาตลอดทาง ขนาดเวลานอนยังอยากจะลืมตาข้างหนึ่งเลย พอเห็นพระรูปนี้นางกลับผ่อนคลายแล้ว ทั้งยังผ่อนคลายทั้งตัวและใจอย่างเต็มที่ สภาพจิตใจเกิดความหรรษาเหมือนคนวัยหนุ่มสาวอย่างบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกที่วิเศษมาก

ตอนนี้นางอยากรู้มากว่าพระรูปนี้จะฆ่านางหรือไม่ จะขัดขวางหนิวโหย่วเต๋อไม่ให้ฆ่านางหรือไม่?

ศีลแปดตัดฟืนที่เตรียมไว้ ก่อกองไฟขึ้นมากองหนึ่งแล้วเสียบกองป่าย่างบนกองไฟ ขณะเดียวกันก็เชยชมสาวงามอาบน้ำในทะเลสาบ เขาเองก็รู้สึกมีความสุขมากเช่นกัน เพราะอยู่อย่างน่าเบื่อมาหลายปีแล้ว

อวี้หลัวช่าไม่กล้าอาบน้ำในทะเลสาบนานเกินไป แค่อาบให้สะอาดก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้ารอให้เหมียวอี้กลับมา ตัวนางที่ยังอยู่ในทะเลสาบจะเป็นอะไรบ้างก็ยังไม่รู้

เดินเปลือยกายล่อนจ้อนลงน้ำ แล้วก็เดินเปลือยกายล่อนจ้อนขึ้นฝั่งอีก เผยเรือนร่างอรชรอ่อนช้อยที่ทำให้คนเลือดลมสูบฉีดให้ศีลแปดได้เชยชม ก่อนหน้านี้บนตัวสกปรกมาก จึงปิดบังหลายอย่างเอาไว้ แต่ตอนนี้ผิวกลับขาวเกลี้ยงเกลาดุจหยก ศีลแปดมองจนแทบน้ำลายไหล

นางสังเกตเห็นปฏิกิริยาของศีลแปดแล้ว อวี้หลัวช่าถลึงตาจ้องเขาสองที เขาจึงหัวเราะแห้งๆ แล้วทำงานของตัวเองต่อไป ไม่มีท่าทีละอายใจเลยสักนิด

เมื่อเจอกับคนประเภทนี้ อวี้หลัวช่าก็ทำได้เพียงกลอกตามองบนเช่นกัน หลังจากเช็ดหยดน้ำบนร่างกายแห้งแล้ว ก็หยิบเสื้อผ้าแห้งบนพื้นขึ้นมาใส่ ทุกท่วงท่าเย้ายวนใจคน ทำให้ศีลแปดหัวเราะแห้งหนักกว่าเดิม

จีวรที่สวมใส่บนตัวนางดูค่อนข้างใหญ่โคร่งชัดเจน แต่นางก็ยังรู้ว่าแต่งตัวอย่างไรจึงจะยั่วยวนชายได้ยิ่งกว่านั้น ม้วนผมงามขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ ช่วยขับดุนเสน่ห์ที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด

“ไต้ซือ ข้าช่วยท่าน” อวี้หลัวช่าเดินมาข้างกองไฟและเป็นฝ่ายเสนอตัวช่วย

“เหอะๆ!” ศีลแปดพยักหน้า หยิบกระบอกไม้ไผ่ข้างๆ มายื่นให้นาง “สุราที่ลิงในภูเขากลั่นให้ รสชาติไม่เลว ลองชิมดูสิ”

อวี้หลัวช่าเองก็ไม่กังวลว่าจะมีปัญหาอะไรหรือไม่ รับมาแล้วดื่มเลย

ศีลแปดมองนางพร้อมกล่าวชม “นักพรตหญิงแม้แต่ตอนดื่มสุราก็ยังงดงาม”

“อุบ…แค่กๆ” อวี้หลัวช่าพ่นสุราออกมาคำหนึ่งแล้วไอสำลักทันที ไม่ง่ายเลยกว่าอาการจะบรรเทา แล้วสุดท้ายก็ยิ้มตอบ “ขอบคุณไต้ซือที่ชม”

“ดื่มช้าๆ หน่อย ดื่มช้าๆ ไม่ต้องรีบ ยังมีอีก ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก” หลังจากศีลแปดพูดปลอบใจสองสามประโยค แล้วจู่ๆ ก็บอกว่า “ที่จริงจนถึงทุกวันนี้อาตมายังไม่เคยเสียตัวเลย”

“อุบ…แค่กๆ” อวี้หลัวช่าพ่นสุราแล้วไออีก นางมองพระประหลาดตรงหน้าพลางตบหน้าอก หลังจากหายใจคล่องแล้ว ก็ถามว่า “ไต้ซือคิดจะพูดอะไรกันแน่?”

ศีลแปดถอนหายใจ “ได้ยินว่าเจ้าคือพุทธะหน้าหยกแห่งแดนสุขาวดี ค่อนข้างมีความรู้เกี่ยวกับการฝึกฌานเสพสังวาส วิถีทางนี้อาตมาแค่เคยได้ยินเท่านั้น ยังไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสศึกษาวิชาพุทธทางด้านนี้กับนักพรตหญิงหรือไม่?”

“…” อวี้หลัวช่างงไปครู่เดียว จากนั้นก็ถามด้วยอารมณ์ทั้งโมโหทั้งอยากขำ “ไต้ซืออยากจะศึกษาอย่างไร?”

“อาตมาได้ยินว่าหญิงชายของสำนักหลัวช่าไม่ถือสาเรื่องเพศ” ศีลแปดถาม

“สงสัยไต้ซือจะเกิดความรู้สึกเรื่องทางโลก…หนิวโหย่วเต๋อมาแล้ว” อวี้หลัวช่ากล่าว

ศีลแปดที่กำลังจะพยักหน้าหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นเหมียวอี้กลับมาแล้วจริงๆ เขาจึงกระแอมหนึ่งที ไม่พูดอะไรอีกแล้ว ทั้งสองสบตากันอย่างเข้าใจ ทำท่าเหมือนถ้ามีโอกาสค่อยศึกษากันต่อ จัญไรเหลือเกิน

เหมียวอี้ที่กลับมาถึงชำเลืองมอง เห็นได้ชัดว่าอวี้หลัวช่าอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว พอหันไปเห็นเสื้อผ้าผู้หญิงตรงริมทะเลสาบ เขาก็หน้าดำคร่ำเครียดทันที จ้องอวี้หลัวช่าพร้อมกล่าวเสียงเย็น “เจ้าอาบน้ำตรงหน้าเขาเหรอ?”

อวี้หลัวช่าชักสีหน้าเย็นเยียบตอบ “แล้วจะทำไม?”

เหมียวอี้โบกกระบี่ทันที กล่าวเสียงเข้มว่า “เก็บสำรวมอาการจิ้งจอกร่านที่โดนพันคนขี่หมื่นคนควบของเจ้าเอาไว้” เขาก้าวมาข้างหน้าเตรียมจะลงมือ แต่ใครจะคิดว่าศีลแปดจะรีบก้าวขึ้นมาขวาง “พี่ใหญ่ มีอะไรก็คุยกันดีๆ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”

“เชื่อเจ้าได้ก็แปลกแล้ว” เหมียวอี้ผลักเขาออก แล้วชี้กระไปที่อวี้หลัวช่า “เจ้ารู้รึเปล่าว่าผู้หญิงนคนนี้มีพื้นเพเป็นยังไง? ชอบยั่วยวนผู้ชาย เจ้าระวังจะตกหลุมพรางนางแล้วไม่รู้ตัวเถอะ”

อวี้หลัวช่าสีหน้าค่อนข้างแย่ จู่ๆ คว้ากระบี่วิเศษข้างกายแล้วยืนขึ้น ตวาดเสียงเข้มว่า “คิดว่าข้ากลัวเจ้ารึไง!”

ศีลแปดหันขวับ ตอนนี้โมโหแล้ว โบกมือชี้นางพลางตะคอก “เจ้าคิดจะทำอะไร? ใครให้เจ้าใช้กระบี่ชี้พี่ใหญ่ของข้า วางลง!”

“เขารังแกกันเกินไป!” อวี้หลัวช่ากล่าวอย่างโมโห

ศีลแปดหันตัวมา แล้วพูดเน้นที่ละคำ “ข้าให้เจ้าวางลง ได้ยินมั้ย?”

อวี้หลัวช่าทำสีหน้าโกรธเคือง แต่ทนสายตาของศีลแปดไม่ได้ สุดท้ายก็โยนกระบี่ในมือทิ้ง เสียงกระบี่ตกพื้นดังแกร๊ง

“เจ้าชักสีหน้าใส่ใคร?” ศีลแปดด่าอีก ความโกรธยังไม่หายไป เดินก้าวยาวเข้าไปโบกมือตบหนึ่งฉาด เพี้ยะ! เสียงดังฟังชัดมาก ตบจนอวี้หลัวช่าโซเซก้าวถอยหลัง บนใบหน้ามีรอยฝ่ามือแดงเถือกทันที มุมปากมีเลือดไหล

อวี้หลัวช่าที่ไม่แม้แต่จะหลบเอามือปิดหน้า นางกัดฟันมองเขา เหมือนจะน้ำตาคลอด้วย จากนั้นหันตัวเดินออกไป เดินเข้าไปในศาลา แล้วนั่งกอดเข่าบนเตียงไม้เงียบๆ

ขณะมองผิวทะเลสาบใสที่มีปลาว่ายน้ำขึ้นมาหายใจจนเกิดคลื่นในบางครั้ง จู่ๆ นางก็ค่อนข้างเหม่อลอย ไม่รู้เป็นอะไรไปแล้ว

นางรู้สึกว่าตัวเองควรจะทนรับความอัปยศเพื่อปกป้องตัวเอง ปกป้องตัวเองเพื่อให้ออกไปจากที่นี่ได้ แต่ทำไมในใจถึงรู้สึกทุกข์ทรมานอย่างนี้? นี่ตัวเองกำลังทุกข์ทรมานเหรอ? รสชาติที่ทรมานแบบนี้ เหมือนนางจะลืมไปนานมากแล้ว…

เหมียวอี้ตกตะลึงอ้าปากค้าง มองศีลแปดราวกับเห็นผี ตกตะลึงกับความเด็ดขาดของศีลแปดแล้ว เขาคิดไม่ตกนิดหน่อย อวี้หลัวช่าที่รับมือยากเมื่ออยู่กับเขา ทำไมเมื่อตกอยู่ในมือศีลแปดแล้วกลายเป็นอย่างนั้นไปได้ สั่งให้ทำงานก็ทำ บทจะด่าก็ด่า บทจะตีก็ตี ไม่แสดงความเจ้าอารมณ์เลยสักนิด นี่ใช่พุทธะหน้าหยกท่านนั้นหรือเปล่า?

คาดว่าต่อให้เขานอนฝันก็นึกไม่ถึง ว่าเจ้ารองบ้านตัวเองเพิ่งจะเจอกับอีกฝ่ายก็เตรียมสมคบกันเสียแล้ว

เขาย่อมนึกไม่ถึงเรื่องตะพาบน้ำมองถั่วเขียว[1] ย่อมนึกไม่ถึงว่าบนโลกนี้ยังมีสิ่งหนึ่งที่ข่มอีกสิ่งหนึ่งได้

“พี่ใหญ่ ท่านอย่าไปถือสานางเลย นางไม่มีค่าพอให้ท่านโมโหหรอก ท่านนั่งสงบอารมณ์ก่อน ใกล้จะย่างเสร็จแล้ว” ศีลแปดหัวเราะร่าพลางกดเหมียวอี้ให้นั่งลง แล้วนำสุราที่เพิ่งให้อวี้หลัวช่าดื่มยื่นให้เหมียวอี้ต่อ

เหมียวอี้หายโมโหแล้ว ศีลแปดตบอวี้หลัวช่าไปหนึ่งฉาดจึงทำให้เขาหายโมโหแล้ว

“ไม่ค่อยปกติ นางว่านอนสอนง่ายเกินไปหรือเปล่า? นางจะมีแผนการอะไรมั้ย?” เหมียวอี้ถามเบาๆ แล้วก็ดื่มสุราอีกคำหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นกระบอกที่อวี้หลัวช่าเพิ่งดื่มไป

ศีลแปดชำเลืองกระบอกไม้ไผ่ เหมือนจะรู้ตัวแล้ว แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ ถ้าพูดออกไปจะไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ เขาไอแห้งๆ แล้วตอบเสียงต่ำ “เป็นไปได้สูงว่าผู้หญิงคนนี้จะถูกข้าหลอกสำเร็จแล้ว นึกว่าข้าสามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้” เขาปรายตามอง พลางบุ้ยปากไปทางดอกไม้บนพื้น

อ๋อ! เหมียวอี้เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน เรื่องหลอกลวงตบตาคือสิ่งที่เจ้ารองถนัดที่สุดจริงๆ ด้วย จึงวางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว “เดี๋ยวต่อไปพาข้าไปดูที่วัดนั่นหน่อย”

“รอให้เดินไปถึงฟ้าก็มืดแล้ว รอพรุ่งนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ศีลแปดมองสีของท้องฟ้าแล้วหัวเราะแห้ง จากนั้นหยิบเครื่องปรุงในห่อมาทาบนสัตว์ที่ย่าง

ท้องฟ้าสีแดงส้ม อาหารย่างเสร็จแล้ว หลังจากศีลแปดแบ่งอาหารให้เหมียวอี้แล้ว ก็มองอวี้หลัวช่าที่นั่งเหม่ออยู่ในศาลาแวบหนึ่ง จากนั้นถือกระบี่ปาดถาดไม้กลมขึ้นมาอันหนึ่ง นำเนื้อสัตว์แต่ละชนิดใส่ไว้เต็มถาด แล้วลุกขึ้นเดินออกไป

หลังจากเข้ามาในศาลา ศีลแปดก็ส่งอาหารไปตรงหน้าอวี้หลัวช่า แล้วบอกว่า “ย่างแล้ว ชิมรสชาติดูหน่อยว่าเป็นยังไง น่าจะอร่อยกว่าของที่พวกเจ้ากินระหว่างทาง”

อวี้หลัวช่าพ่นเสียงทางจมูก มองเขาด้วยสายตาเคียดแค้น แล้วกล่าวเสียงเย็น “ไม่บังอาจ! รับไว้ไม่ไหวหรอก!”

ศีลแปดหัวเราะคิกคัก “รีบกินตอนร้อนๆ ต้องบำรุงร่างกายให้ดี ถึงจะมาล้างแค้นอาตมาได้ ถูกมั้ยล่ะ?”

อวี้หลัวช่าหันหน้าหนี

ศีลแปดเลื่อนของไปไว้ตรงข้างกายนาง “ไม่กินก็ต้องกิน เจ้าต้องกิน กินอย่าให้เหลือแม้แต่น้อย ถ้ากินไม่หมดแสดงว่าไม่ไว้หน้าอาตมา เชื่อมั้ยว่าอาตมาจะง้างปากเจ้าแล้วยัดเข้าไป? อาตมาพูดจริงทำจริง ไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู!”

คำพูดนี้ฟังดูป่าเถื่อน แต่กลับทำให้อวี้หลัวช่าใจสั่น หลายปีแล้วที่ไม่ได้รู้สึกถึงความห่วงใยที่จริงใจแบบนี้ เพิ่งจะตบนางไปแล้วก็มาทำอย่างนี้อีก แบบนี้หมายความว่าอะไร คิดว่านางเป็นเด็กอายุสามขวบหรือไง? นางยิ่งหันหน้าหนีอย่างไม่ใยดี

ศีลแปดโน้มตัวลงหยิบสุรากระบอกไม้ไผ่จากใต้ดิน วางสองกระบอกตรงหน้าอวี้หลัวช่า แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าเจ็บใช่มั้ย? สุรา! ขอโทษเรื่องเมื่อครู่นี้ด้วย ข้าเองก็ทำเพื่อปกป้องเจ้า” จากนั้นก็เดินก้าวยาวถือสุราออกไป

อวี้หลัวช่าแทบจะร้องไห้โฮเพราะเขา ต่อให้นางจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง กัดฟันทนมาจนถึงที่นี่ตลอดทาง สู้กับหนิวโหย่วเต๋อที่ดุร้ายมาตลอดทางก็ยังไม่เคยแสดงความอ่อนแอเลย แต่พอมาเจอกับพระประหลาดท่านนี้กลับทำให้ตัวเองรู้สึกน้อยใจแทบแย่ ตัวเองถึงขั้นไม่รู้จักฉายานามของพระรูปนี้ด้วยซ้ำ ทำไมใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่ถึงครึ่งวันก็ทำให้ตนอยากร้องไห้แล้ว

“ทนไว้! สักวันจะทำให้เจ้าไม่ตายดีแน่!” อวี้หลัวช่าพึมพำสาปแช่ง หยิบถาดข้างกายขึ้นมา แล้วคว้าอาหารยัดเข้าปากโดยตรง กินอย่างตะกละมูมมาม กินอย่างเร่งรีบเกินไป พอสำลักอาหารก็รีบหยิบกระบอกไม้ไผ่ข้างๆ ขึ้นมากรอกสุราเข้าปาก

กรอกไปกรอกมา น้ำสุราไหลอาบแก้ม น้ำตาก็ไหลอาบแก้มอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นกัน ใบหน้าแดงฉานยังรู้สึกแสบร้อน รสชาตินี้ฝังลึกถึงกระดูก

………………………

[1] ตะพาบน้ำมองถั่วเขียว 王八和绿豆 อุปมาว่าชายหญิงมองเห็นแค่คนที่ตัวเองรัก เหมือนตะพาบน้ำที่มีขนาดตาเท่าเม็ดถั่วเขียว เมื่อนำถั่วเขียวมาวางตรงหน้าก็เห็นแค่เม็ดถั่วเขียว

เหมียวอี้เองก็ตกใจไม่เบา เขาเดินตามอยู่ข้างกายศีลแปด จึงแน่ใจได้ว่าศีลแปดไม่ได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ใดๆ แต่กลับเห็นกับตาว่าจุดที่เท้าคนปกติย่ำผ่านกระเพื่อมไปด้วยกลิ่นหอมละมุน มหัศจรรย์เกินไปจริงๆ

ศีลแปดที่เดินส่งเดชไปได้ไม่กี่ก้าวหันกลับมาหัวเราะคิกคักอีก “พี่ใหญ่ เป็นยังไง หลอกคนพอไหวมั้ย?”

“เจ้าทำได้ยังไง? ข้าไม่เห็นเจ้าใช้พลังอิทธิฤทธิ์เลย” เหมียวอี้สนใจแค่จุดเดียว

ศีลแปดเกาหัว “น่าจะเป็นพลังจิตละมั้ง” จากนั้นก็ส่ายหน้าอีก “แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่พลังจิต ถ้าจะพูดให้ถูกก็น่าจะเป็นสภาพจิตใจ”

“สภาพจิตใจ?” เหมียวอี้งงนิดหน่อย ถามด้วยสีหน้าสับสน “สภาพจิตใจทำให้ดอกไม้บานได้ด้วยเหรอ? มันคือสภาพจิตใจแบบไหน?”

ศีลแปดครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถามว่า “น่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ระดับสูงกว่าพลังจิตละมั้ง พลังจิตมีลักษณะบังคับกว่า แต่สภาพจิตใจมีลักษณะกระตุ้นความรู้สึกมากกว่า ลองเปรียบเทียบนะ ถ้าใช้พลังจิตทำให้ดอกไม้บาน นั่นก็คือการบังคับให้ดอกไม้บ้าน แต่สภาพจิตใจกลับทำให้ดอกไม้ใบหญ้ารู้ซึ้งถึงสภาพจิตใจของข้าแล้วยินดีเบ่งบานเอง ยินดีปฏิบัติต่อข้าอย่างเคารพเลื่อมใส”

เหมียวอี้มองต้นไม้ใบหญ้าบนพื้น แต่ก็ยังถามอย่างโง่งง “สภาพจิตใจทำให้เกิดผลอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ?”

“สรรพชีวิตรู้ใจข้า ใจข้าเชื่อมกับสรรพชีวิต ข้าโศกเศร้าสรรพชีวิตร่ำไห้ ข้าปีติสรรพชีวิตยิ้มแย้ม หนึ่งใบหนึ่งต้นล้วนมีความรู้สึก ความเหี่ยวเฉาและรุ่งเรืองล้วนเป็นวัฏจักร ใจข้าเมตตา สรรพชีวิตตามข้า สวดด้วยกัน อามิตตาพุทธ!” ศีลแปดประนมมือ

เหมียวอี้มองเขาอย่างเหม่องง ฟังไม่ค่อยเข้าใจ สุดท้ายก็ถามว่า “หมายความว่าอะไร?”

ศีลแปดเงยหน้าเกาศีรษะอีกครั้ง “ความหมายคร่าวๆ ก็ประมาณนี้ ถ้าท่านจะให้ข้าพูดชัดแจ้ง ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ถึงยังไงก็พอจะรู้สึกได้รางๆ ว่าเป็นแบบนี้ ของแบบนี้แค่ดูก็พอแล้ว อย่าไปจริงจัง สำนักพุทธมีอุบายหลอกคนแบบนี้เยอะแยะ ดีร้ายมีสองด้าน เป็นตายล้วนพูดได้ สรุปก็คือไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ล้วนขึ้นอยู่กับข้า ในจุดนี้ข้าเข้าใจดี ไม่พูดเรื่องจอมปลอมปวดสมองแล้ว” เขาบุ้ยปากไปทางอวี้หลัวช่า “พี่ใหญ่ ท่านเตรียมจะจัดการผู้หญิงคนนี้ยังไง?”

เหมียวอี้เอียงหน้ามองไปทางอวี้หลัวช่าเช่นกัน แล้วกล่าวเสียงต่ำ “จะให้ผู้หญิงคนนี้มีชีวิตรอดกลับไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่ง่ายเลยกว่าจะล่อนางมาที่นี่ได้ จะทิ้งปัญหาในอนาคตไว้ได้ยังไง เออใช่ ระยะเวลาหนึ่งพันปียังเหลืออีกนานแค่ไหน?”

ศีลแปดถอนหายใจ “อีกประมาณเกือบสามปี อยู่ที่นี่น่าเบื่อเกินไปแล้ว ข้านั่งนับเวลาที่จะออกไปทุกวัน ไม่ผิดแน่ ข้านับได้แม่นยำมาก”

“ก่อนที่จะครบเวลาหนึ่งพันปี จะต้องกำจัดนางทิ้งให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาใหญ่ เป็นภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงเกินไปสำหรับข้า” เหมียวอี้กล่าว

ศีลแปดทำสายตาลอกแล่ก “พี่ใหญ่ ส่งผู้หญิงคนนี้ให้อาตมาเถอะ อาตมาจะช่วยท่านจัดการแน่นอน”

“คิดหาวิธีด้วยกันดีกว่า ผู้หญิงคนนี้รับมือยากเกินไป สู้ด้วยลำบาก” เหมียวอี้บอก

ศีลแปดกล่าวอย่างสุภาพ “ดูท่านพูดเข้าสิ คนบ้านเดียวกันไม่พูดจาเหมือนคนอื่นไกล มาถึงเขตของอาตมาแล้วยังต้องให้ท่านสิ้นเปลืองความคิดอีกเหรอ? ข้าไม่กลัวว่านางจะรับมือยากหรอก พี่ใหญ่วางใจได้ ส่งคนให้อาตมาจัดการ รับรองว่าท่านจะได้คำตอบที่น่าพอใจ”

เหมียวอี้ชำเลืองเขา พลางขมวดคิ้วถาม “เจ้าแน่ใจนะว่าไม่มีปัญหา?”

“หึ!” ศีลแปดกวาดแขนเสื้อเบาๆ “ทำไมพี่ใหญ่ต้องดูถูกกันด้วย ถ้าไม่ไหวจริงๆ พวกเราค่อยร่วมมือกันก็ได้ เรื่องนี้ตกลงตามนี้แล้วกัน”

เหมียวอี้รู้ว่าศีลแปดไม่ใช่คนดีอะไร กะล่อนปลิ้นปล้อนมาก อย่างน้อยก็เจ้าเล่ห์กว่าเหมียวอี้แล้วกัน อวี้หลัวช่าไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว ถ้าคิดจะเล่นตุกติกอะไรก็ไม่น่าจะเป็นภัยคุกคามต่อศีลแปด คิดไปคิดมาก็พยักหน้า “เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือจะปล่อยให้นางหนีไปไม่ได้…”

“วางใจได้ นางหนีไม่พ้นหรอก” ศีลแปดโบกมือชี้ไปรอบๆ “ทุกที่ล้วนมีหูตาของอาตมา นางไม่มีทางหลบพ้น ยังจะหนีไปไหนได้อีก?”

“หูตา?” เหมียวอี้มองไปรอบๆ อย่างงุนงง แล้วถามว่า “ที่ไหน?”

ศีลแปดยิ้มบางๆ “บนพื้นมีหญ้า ในภูเขามีป่าไม้ บนดินมีมด ในน้ำมีปลา บนฟ้ามีนก ทั้งหมดล้วนเป็นหูตาของอาตมา ถ้าอาตมาไม่อนุญาต นางหนีไปไหนก็เปล่าประโยชน์”

พอพูดถึงต้นไม้ใบหญ้า เหมียวอี้ก็มองบนพื้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด เขาพอจะเข้าใจคร่าวๆ แล้ว ศีลแปดน่าจะมีความสามารถในการสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้

“ผู้หญิงคนนี้รับมือด้วยยากจริงๆ ระวังตัวไว้ดีกว่า เรื่องบางเรื่องเจ้าต้องระวัง…” เหมียวอี้บอกเรื่องที่ต้องระวังให้เขารู้ โดยเน้นว่าจะปล่อยให้อวี้หลัวช่ารู้เรื่องเวลาหนึ่งพันปีไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอวี้หลัวช่าจะหนีไปซ่อนตัวเพื่อรอให้เวลาหนึ่งพันปีมาถึง

“อืมๆ!” ศีลแปดพยักหน้าสื่อว่าจำได้แล้ว จากนั้นหันตัวเดินไปทางอวี้หลัวช่า

“เจ้าจะทำอะไร?” เหมียวอี้ถาม

ศีลแปดตอบโดยไม่หันหน้ากลับมา “มีแขกมาจากแดนไกล จะไม่ทักทายได้อย่างไร อาตมาไม่ใช่คนไร้มารยาท”

เหมียวอี้มองคล้อยหลังอยากพูดไม่ออก คิดในใจว่า ถ้าคนอย่างเจ้ามีมารยาทนี่สิแปลก

เขาไม่รู้ว่าศีลแปดจะทำชั่วอะไรอีก แต่เขาก็เอาใจช่วยให้ทำสำเร็จ ถ้าศีลแปดสามารถทรมานอวี้หลัวช่าได้สักยกจริงๆ ก็จะสามารถคลายความแค้นในใจเขาได้ เพราะตลอดทางมานี้เขาลำบากเพราะนางแทบแย่

จีวรสีขาวพระจันทร์กำลังปลิวกระเพื่อมเบาๆ ท่ามกลางสายลม ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าสั่นไหว เดินเข้ามาเงียบๆ

อวี้หลัวช่ารีบลุกขึ้น ก้าวถอยหลังโดยจิตใต้สำนึก นางคิดจะหนี แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตัวคนคนนี้มีพลังอิทธิฤทธิ์ ต่อให้ตัวเองหนีก็หนีไม่พ้น ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์อย่างนั้น นางจึงแข็งใจยืนรออยู่อย่างนั้น

จนกระทั่งศีลแปดเดินเข้ามาใกล้แล้ว ได้เห็นหน้าศีลแปดชัดเจน ใบหน้าที่หล่อเหลาบริสุทธิ์นั่นก็ทำให้อวี้หลัวช่าอึ้งไปชั่วขณะ ทำให้นางใจเต้นรัวในชั่วพริบตาเดียว ราวกับมีคนต้องการยื่นมือเข้ามาดึงนางออกไปในขณะที่ตัวนางจมอยู่ในโคลนตม แค่มองปราดเดียวก็เหมือนได้แหวกเมฆครึ้มออกไปเจอท้องฟ้าที่สดใส

ช่างเป็นพระที่หล่อเหลา! อวี้หลัวช่าพึมพำในใจ แล้วตัวเองก็ตกใจตัวเองทันที รีบถามตัวเองว่าเป็นอะไรไปแล้ว? ทำไมถึงรู้สึกเหมือนเจอรักแรกพบยามเป็นสาววัยแรกรุ่น

แต่นางก็ต้องยอมรับ ตัวเองอยู่ที่แดนสุขาวดีมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นพระที่หล่อขนาดนี้ โดยเฉพาะบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคีที่ยากจะบรรยาย ทำให้ตัวเองเกิดความรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยเป็นพิเศษ

ในใจไล่ถามไม่หยุดว่าตัวเองเป็นอะไรไปแล้ว ชั่วขณะนั้นก็นึกขึ้นได้ถึงหลักการที่เกี่ยวกับระบำมารสวรรค์

ก่อนที่พระเถระจะตรัสรู้ จะต้องมีมารต่างๆ มาพัวพันเสมอ จิตมารยากทำลาย นางมารสวรรค์ก็คือหนึ่งในมาร ใช้รูปลักษณ์ยั่วยวน

และระบำมารสวรรค์ก็คือสิ่งที่สำนักหนานอู๋เคยใช้เพื่อทำให้ศิษย์ในสำนักผ่านกัลป์มาร ถ้าไม่ทำลายจิตมาร ก็ยากที่จะได้เป็นตถาคต

อวี้หลัวช่าเหมือนจะเข้าใจบ้างแล้ว เมื่อได้พบพระเถระที่บรรลุธรรมอย่างแท้จริง นางที่เคยฝึกระบำมารสวรรค์มาก็จะมีปฏิกิริยา ยิ่งฝึกระบำมารสวรรค์ล้ำลึกเท่าไร ก็ยิ่งเข้าใกล้นางมารสวรรค์ที่แท้จริงมากขึ้นเท่านั้น ก็จะยิ่งกระตุ้นให้นางเกิดปฏิกิริยาด้านนี้ได้ง่ายขึ้น

แน่นอน นางไม่รู้ว่าตัวเองกำลังปลอบใจตัวเองอยู่หรือเปล่า

สุดท้ายศีลแปดก็มายืนยิ้มอ่อนอยู่ตรงหน้านาง สง่างามเรียบง่ายดุจดอกบัว ปลอบประโลมใจคน สง่าราศีและความรู้สึกแบบนั้นยิ่งทำให้อวี้หลัวช่าใจเต้น ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน

“อามิตตาพุทธ ได้ยินว่านักพรตหญิงก็เป็นศิษย์สำนักพุทธเช่นกัน” ศีลแปดประนมมือทักทาย

อวี้หลัวช่าจีบนิ้วตรงหน้าอก ย่อตัวเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพกลับ “เป็นสหายธรรมเช่นเดียวกับไต้ซือ”

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เหมียวอี้ที่ชำเลืองมาทางนี้ปวดประสาทเล็กน้อยทำไมอวี้หลัวช่าถึงเปลี่ยนเป็นมีมารยาทขนาดนี้ได้?

อวี้หลัวช่าวางมือลงแล้วชำเลืองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ถามว่า “ไต้ซือต้องการจะใช้วัชระสยบมารเพื่อให้หนิวโหย่วเต๋อกำจัดข้าเหรอ?”

“นักพรตหญิงเป็นมารหรือ?” ศีลแปดถาม

“ไม่ใช่” อวี้หลัวช่าปฏิเสธ

“ในเมื่อไม่ใช่มาร แล้วเหตุใดจึงพูดว่าวัชระสยบมาร?” ศีลแปดถาม

“ก่อนหน้านี้ข้าเห็นไต้ซือเดือดดาลโมโหร้าย ต้องการจะถือกระบี่มาสังหารข้า หรือว่าข้ามองผิดไป?” อวี้หลัวช่าถาม

“รูปคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าก็คือรูป” ศีลแปดกล่าว

อวี้หลัวช่าบอกอีกว่า “จะฆ่าจะแกงก็จะให้ตามที่ขอ ไต้ซือไม่จำเป็นต้องนำคำพูดหลอกลวงสาวกมาตบตาข้า”

ศีลแปดประนมมือ “อามิตตาพุทธ ในเมื่อรู้ว่าความเป็นความตายขึ้นอยู่กับชั่วขณะจิตของข้า แล้วจะยังไม่ปล่อยวางเชียวหรือ?”

อวี้หลัวช่าอึ้งทันที คิดในใจว่าใช่แล้ว ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็สามารถเล่นงานข้าให้ถึงตายได้ทุกเมื่อ แล้วข้ายังมีอะไรน่ากังวลอีก?

นางคิดได้แล้ว จึงผ่อนคลายร่างกายและจิตใจทันที ทำความเคารพกลับอีกครั้ง “ขอบคุณที่ไต้ซือชี้แนะ”

ศีลแปดไม่พูดอะไรอีก หันตัวเดินกลับไปข้างกายเหมียวอี้ แล้วเหมียวอี้ก็ถามเขาว่า “เจ้าคุยอะไรกับนาง?”

“ไม่มีอะไร แค่ทักทายกันเฉยๆ” ขณะที่พูดศีลแปดก็นำกระบอกไม่ไผ่ลงมาจากตัวเขา ดึงตะแกรงทิ้งแล้วดม จากนั้นก็โยนทิ้ง แล้วก็หยิบเนื้อแห้งบนตัวเหมียวอี้ขึ้นมาดูอีก จากนั้นก็โยนทิ้งเช่นกัน

“เอ…” เหมียวอี้ที่ตุนเสบียงไว้ยังไม่ชิน จึงยื่นมือออกไปด้วยสีหน้าทนไม่ไหว ต้องการจะนำกลับมา

ศีลแปดกดมือเขาเอาไว้ “มาถึงถิ่นของอาตมาแล้ว จะให้ท่านกินสิ่งนี้ได้ยังไง” พูดจบก็กวักมือ พาเหมียวอี้กลับเข้าไปในศาลา แล้วเตะถังไม้สองสามที “สดใหม่มาก เลี้ยงต้อนรับท่าน”

เหมียวอี้ชำเลืองมอง เห็นในถังไม้มีปลาสองตัว จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่พอกิน”

“พูดได้ดี!” ศีลแปดหยิบกระบี่ที่วางนอนบนถังไม้ขึ้นมา แล้วเดินออกจากศาลา มือข้างหนึ่งถือกระบี่ มืออีกข้างตั้งฉากตรงหน้าอก

ผ่านไปไม่นาน เหยี่ยวตัวหนึ่งที่ร่อนอยู่บนท้องฟ้าก็บินมา บินวนเหนือศีรษะศีลแปดสองสามรอบแล้วก็ตกลงตรงหน้าเขา จากนั้นก็เหมือนจะตกใจอะไรบางอย่าง กำลังกระพือปีกจะบินหนี ศีลแปดก็ใช้กระบี่แทงมันตกลงพื้นแล้ว

ใช้วิธีการเดียวกัน ไม่นานก็มีกระต่ายป่าสองตัวโผล่ออกมาจากที่ไหนสักแห่ง มันกระโดดปนวิ่งเข้ามาตรงเท้าศีลแปด ผลปรากฏว่ามีจุดจบเหมือนเหยี่ยว ต่างก็ถูกศีลแปดฟันล้มแล้ว

เหมียวอี้พูดไม่ออก อวี้หลัวช่าที่อยู่ไม่ไกลก็งงเช่นกัน

ศีลแปดกวักมือเรียกอวี้หลัวช่าอีก

อวี้หลัวช่าลังเลครู่เดียว แล้วสุดท้ายก็ยังเดินเข้ามา แต่กลับไม่กล้าเข้าใกล้ ค่อนข้างหวาดกลัวกระบี่ในมือศีลแปด กังวลว่ามันจะมาลงบนร่างกายตัวเอง

ใครจะไปคาดคิด ยังไม่ทันให้นางได้เอ่ยปากถามอะไร ศีลแปดก็โยนกระบี่ในมือมาปักตรงหน้านางแล้ว จากนั้นชี้ของที่อยู่บนพื้น “พวกท่านสองคนก็หิวแล้ว ไปกรีดล้างให้สะอาด ย่างก่อนแล้วค่อยกิน” พูดจบก็เดินตรงกลับเข้าไปที่ศาลา แล้วถือถังไม้ออกมานอกศาลาอีก “ยังมีปลาอีกสองตัว”

เหมียวอี้กลับจ้องกระบี่วิเศษตรงหน้าอวี้หลัวช่า ส่วนนางก็จ้องกระบี่วิเศษตรงหน้าตัวเองเช่นกัน

สุดท้าย อวี้หลัวช่าก็ดึงกระบี่มาไว้ในมือ แล้วเก็บอาหารป่าบนพื้นเดินเข้ามา ตอนที่เดินผ่านศาลา นางก็หยิบถังไม้ขึ้นมาอีก เสร็จแล้วเดินไปริมทะเลสาบ นั่งยองๆ กรีดล้างเนื้อสัตว์

เหมียวอี้ยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป อวี้หลัวช่าเปลี่ยนเป็นว่านอนสอนง่ายตั้งแต่เมื่อไรกัน ไม่น่าเชื่อว่าสั่งให้ทำอะไรก็ทำอย่างนั้น แม้แต่บ่นสักคำก็ไม่มี?

“เจ้าเอากระบี่วิเศษให้นางได้ยังไง?” เหมียวอี้หันกลับมาถามเสียงเข้ม

“เดี๋ยวให้นางเอากลับมาคืนก็สิ้นเรื่องแล้ว” ศีลแปดทำสีหน้าไม่ใส่ใจ แล้วโน้มตัวลงเปิดไม้กระดานด้านล่าง หยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมาหลายอัน “นี่คือสุราผลไม้ที่กลั่นจากลิงในภูเขา รสชาติไม่เลว ดื่มได้เต็มที่เลย ดื่มหมดแล้วข้าจะให้ลิงเอามาส่งให้อีก” จากนั้นก็หยิบห่อผ้าน้ำมันออกมาอีกอัน ปิดฝาไม้กระดาน เดินไปเปิดห่อผ้าน้ำมัน แล้วโยนเสื้อผ้าให้เขา “ท่านสกปรกจนดูไม่ได้ ไปอาบน้ำก่อนเถอะ ข้าไม่มีเสื้อผ้าอย่างอื่น มีแต่จีวรที่ข้าใส่ ถ้าท่านไม่ชอบ ต่อไปข้าค่อยไปฟันกำไลเก็บสมบัติสักสองวง”

………………

ปีศาจโลหิตเหรอ? ปีศาจโลหิตเป็นปัญหาอย่างไรก็ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่รู้ นั่นคือมารปีศาจขนานแท้ เหมียวอี้ตกใจไม่เบา “ไต้ซือศีลเจ็ดรับมารปีศาจมาเป็นลูกศิษย์ได้ยังไง?”

“สงสัยพี่ใหญ่จะมีอคติต่อนาง” ศีลแปดทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนเป็นอธิบายว่า “เมื่อก่อนนางเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทั้งยังมีปัญหามากด้วย แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว พี่ใหญ่ ข้าพูดอย่างนี้ก็แล้วกัน ปีศาจโลหิตเปลี่ยนตัวเองใหม่แล้ว วางดาบแล้วหันเข้าหาพระธรรมแล้ว นางบวชถึงแก่นแท้ยิ่งกว่าข้าเสียอีก”

เหมียวอี้ไม่ค่อยเชื่อ “ไต้ซือศีลเจ็ดมีจิตใจเมตตา อย่าโดนนางหลอกเชียวนะ นางฝึกวิชามารโลหิต กระหายเลือดโดยธรรมชาติ ไม่ใช่บทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้ เจ้าแน่ใจนะว่านางไม่ได้มีเจตนาอะไร?”

ศีลแปดเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น “ก็ไม่ใช่ว่าบทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนหรอก พี่ใหญ่ไม่ใช่ศิษย์สายพุทธ พูดไปท่านก็อาจไม่เข้าใจ เรื่องราวระหว่างนั้นซับซ้อนมาก ตอนที่ข้ากับนางเพิ่งมาถึงที่นี่ นางผ่านประสบการณ์ฝันร้ายอย่างที่ท่านจินตนาการไม่ถึงเลย สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง มันเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายจนไม่อยากย้อนไปนึกถึง ตอนหลังนางฟังธรรมจากตาแก่โล้นกับอาตมาเป็นพันกว่าปี เริ่มเปลี่ยนความคิดทีละนิด ประมาณแปดร้อยปีก่อนก็กลับตัวอย่างจริงใจ ตาแก่โล้นถึงได้รับนางเป็นศิษย์ ให้ฉายายามว่าปาไห่ ตอนนี้ปีศาจเฒ่านั่นถูกนางกับตาแก่โล้นควบคุมอยู่ ไม่อย่างนั้นอาตมาจะว่างมานั่งตกปลาที่นี่เหรอ พี่ใหญ่ จริงๆ นะ นางเปลี่ยนไปเยอะกว่าที่ท่านจินตนาการอีก เปลี่ยนไปในทางที่ดีกว่าที่ท่านจินตนาการด้วย ไม่ใช่ปีศาจโลหิตคนนั้นอีกแล้ว บุญคุณความแค้นในอดีตพวกนั้นก็ปล่อยผ่านไปเถอะ ท่านปล่อยนางไปเถอะ แน่นอนว่าถ้านางมีเจตนาอะไรเหมือนที่พี่ใหญ่บอกจริง พี่ใหญ่ก็ไม่ต้องไว้หน้าข้าเลย”

เจ้ารองบ้านตัวเองเป็นคนอย่างไร เหมียวอี้เข้าใจแจ่มแจ้ง เจ้ารองปลิ้นปล้อนมาก และเป็นคนที่ไม่เชื่อใจใครง่ายๆ ด้วย อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนหลายปีขนาดนี้ ถ้าคิดจะปิดบังเจ้ารองโดยไม่เผยพิรุธเลยสักนิด ก็เกรงว่าจะทำไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น การที่สามารถทำให้เจ้ารองพูดได้อย่างจริงใจขนาดนี้ได้ คาดว่าปีศาจโลหิตนั่นคงจะกลับตัวกลับใจแล้วจริงๆ

ส่วนที่เจ้ารองบอกว่าปีศาจโลหิตผ่านประสบการณ์ฝันร้ายอะไรนั่น เหมียวอี้ก็พอจะเดาได้คร่าวๆ เช่นกัน เพราะตอนแรกเคยได้ยินเกาก้วนเอ่ยถึง ในคำให้การของปีศาจจิ้งจอกที่ตำหนักสวรรค์จับได้มีบรรยายถึง ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นต้องนอนกับผู้ชายไม่หยุดเป็นเวลาหลายปี หลังจากคลอดลูกออกมามากมาย สุดท้ายก็ถูกเผาทำลายทั้งเป็นๆ คาดว่าปีศาจโลหิตที่ตัวตกอยู่ในถ้ำผีแบบนั้นก็ยากที่จะหนีพ้น มีประสบการณ์น่ากลัวขนาดนั้น แค่คิดถึงก็ทำให้คนสะเทือนใจแล้ว

ตอนนี้วางเรื่องปีศาจโลหิตไว้ก่อน เหมียวอี้จ้องผมบนศีรษะศีลแปด “เจ้าสึกแล้วเหรอ?”

“เอ่อ…” ศีลแปดอึ้งไปชั่วขณะ แต่ก็ตอบสนองได้เร็วมาก จับผมตัวเองสะบัดไปข้างหลัง แล้วตอบกลั้วหัวเราะ “ท่านพูดถึงผมใช่มั้ยล่ะ? เฮ้อ สึกเสิกอะไรกัน เป็นพระก็ดีมากอยู่แล้ว สามารถเป็นคนได้สองด้าน แล้วก็…ท่านอย่างถลึงตามองข้าสิ ไม่ได้หมายความอย่างนั้น เป็นเพราะเวลาส่วนใหญ่ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ เวลาจะโกนหัวก็ลำบาก เลยขี้คร้านจะสนใจ ถ้าวันไหนทนรำคาญไม่ไหวก็ค่อยโกนสักครั้งหนึ่ง พอเวลานานไปผมก็ต้องยาวขึ้นอยู่แล้ว”

เหมียวอี้ยกมือกดบนบ่าเขา กดให้เขานั่งลง แล้วชูกระบี่ในมือขึ้นมา

“พี่ใหญ่ ท่านจะทำอะไรน่ะ? คนเราจะทำตัวไร้เหตุผลไม่ได้นะ…” ศีลแปดจ้องคมกระบี่พลางร้องโวยวาย

จนกระทั่งเหมียวอี้ยื่นมือไปรวบผมผมยาวให้ตึงถึงเอวของเขา แล้วโบกกระบี่ตัดทิ้ง เขาถึงได้เข้าใจว่าเหมียวอี้ต้องการจะทำอะไร แอบรู้สึกสะเทือนใจมาก ยากที่จะสงบอารมณ์ได้ ประนมมือสองข้างพร้อมบอกว่า “อามิตตาพุทธ…” เขาหลับตาลงช้าๆ ริมฝีปากทั้งคู่พึมพำสวดมนต์อย่างคุลมเครือไม่หยุด

คมกระบี่วิเศษ ยามที่คมแหลมเย็นเยียบโกนผ่านหนังศีรษะ ราวกับหัวใจเขาโดนกรีด เส้นผมดำขลับปลิวผ่านสายลมช่อแล้วช่อเล่า ความสง่าภูมิฐานย่อมปรากฏบนใบหน้าศีลแปดแล้ว สีหน้าเริ่มเผยขาวเกลี้ยงเกลาทีละนิด

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า เขาฟังบทสวดมนต์ของศีลแปดไม่เข้าใจ แต่กลับรู้สึกว่าแต่ละคำล้วนเคาะโดนส่วนลึกในใจของเขา ทำให้ในใจเขารู้สึกสงบ เขารู้สึกว่าอาจเป็นเพราะตัวเองไม่ได้เจอศีลแปดมานาน ตอนโกนหัวให้ศีลแปดรู้สึกเหมือนได้เจอคนในครอบครัวที่จากกันมานานแล้ว ดังนั้นในใจจึงรู้สึกสงบเช่นนี้

แต่ในสายตาคนนอกกลับไม่ใช่อย่างนี้ อวี้หลัวช่าที่จ้องทุกการเคลื่อนไหวในศาลามาตลอด พอเห็นเหมียวอี้โกนหัวให้ศีลแปดก็ยังแปลกใจว่าหมายความว่าอะไร ตอนหลังพอเห็นศีลแปดประนมมือสวดมนต์ กอปรกับจีวรบนตัวศีลแปด นางถึงได้แน่ใจว่าคนคนนี้คือพระ

สิ่งที่ทำให้นางคาดไม่ถึงก็คือ บรรยากาศลึกลับรอบข้างเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างรอบข้างเหมือนจะเปลี่ยนเป็นมงคลสงบสุขแล้ว นางไม่รู้ว่านางรู้สึกไปเองหรือเปล่า จู่ๆ ก็เห็นรุ้งสายหนึ่งปรากฏเหนือศาลาอย่างรวดเร็ว ผิวทะเลสาบกระเพื่อมเป็นคลื่น นางเอียงหน้ามองไปในทะเลสาบ เห็นฝูงปลาว่ายน้ำมารวมกันที่ผิวทะเลสาบอย่างไร้กังวล และสิ่งที่ทำให้นางยิ่งรู้สึกอัศจรรย์ใจก็คือ บนพื้นใต้เท้าและรอบๆ มีหญ้าต้นเล็กที่ไม่รู้จักทยอยกันเผยดอกไม้ตูม และเบ่งบานเร็วมากจนตาเปล่ามองเห็นได้ สดชื่นมีชีวิตชีวาน่ารักมาก

ใช้เวลาสั้นนิดเดียว ริมทะเลสาบในรัศมีหลายสิบจั้งของศาลาก็เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน ดอกไม้นานาพันธุ์เบ่งบานพร้อมกัน ค่อยๆ ส่งกลิ่นหอมที่ทำให้คนผ่อนคลายจิตใจ

อวี้หลัวช่าที่เป็นชาวพุทธตระหนักได้ทันทีว่านี่คือลางมงคลของวิชาพุทธ เป็นสิ่งที่เกิดจากวิชาพุทธ สายตานางมองไปยังศีลแปดที่กำลังประนมมือสวดมนต์อีกครั้ง อย่าบอกนะว่านี่คือผลจากการกระทำของพระรูปนี้? นางค่อนข้างทำใจเชื่อได้ยาก

พอมองสายรุ้งที่ทอดผ่านด้านบนของศาลา มองดูฝูงปลาว่ายน้ำอย่างร่าเริงในทะเลสาบ แล้วก็ดูดอกไม้สดใต้เท้าตัวเอง อวี้หลัวช่าก็เริ่มนั่งยองๆ ยื่นมือไปเด็ดดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ดอกหนึ่งขึ้นมาดม จากนั้นก็เอาเข้าปากอย่างช้าๆ แล้วกัดเคี้ยวเบาๆ เคี้ยวจนน้ำของดอกไม้ซึมออกมา มันมีรสขมฝาดกลืนยาก

แต่สิ่งกลับพิสูจน์บางอย่างได้แล้ว ว่านี่คือสิ่งมีชีวิตของจริง ไม่ใช่ลางมงคลของวิชาพุทธที่นางเคยเห็น แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘หากมีศรัทธา แม้แต่โลหะและหินก็หลีกทางให้’ อวี้หลัวช่าที่ลุกขึ้นช้าๆ มองไปยังศีลแปดที่กำลังประนมมือสวดมนต์อยู่ในศาลา เรียกได้ว่าทำสีหน้าตกตะลึง อย่าบอกนะว่านี่คือผลงานของพระจริงๆ หรือว่าวิชาพุทธของพระรูปนี้ล้ำลึกจนถึงขั้นนี้แล้วจริงๆ ต้นไม้ใบหญ้างอกงามและแห้งเหี่ยวเพียงชั่วขณะจิตของเขาเหรอ?

จะเป็นไปได้อย่างไร? อวี้หลัวช่ายังไม่กล้าเชื่อ ถึงแม้ตอนนี้นางจะใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ แต่นางก็ยังสัมผัสได้ถึงสิ่งที่มากระทบคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเอง แต่ตอนนี้นางยังสัมผัสไม่ได้ถึงพลังอิทธิฤทธิ์ใดๆ เลย แต่กลับเห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ยามดอกไม้นานาพันธุ์เบ่งบานพร้อมกันกับตาตัวเอง

ต่อให้เป็นประมุขพุทธะใช้วิชาพุทธสร้างปรากฏการณ์ระดับนี้ แต่ก็ต้องอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ควบคุม นางเองก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์เช่นกัน ฉากตรงหน้าทำให้นางอธิบายไม่ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่นางเชื่อว่าต้องเกี่ยวข้องกับพลังอิทธิฤทธิ์แน่นอน เพียงแต่นางยังไม่เข้าใจเท่านั้นเอง หรือพูดได้อีกอย่างว่า พระรูปนี้สามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์ที่นี่ได้!

ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ที่นี่ก็อาจจะเป็นจุดซ่อนสมบัติจริงๆ และพระรูปนี้ก็คือผู้ที่เฝ้าสมบัติลับ คนที่วางค่ายกลดวงดาวจะต้องเป็นคนที่ฝังสมบัติลับไว้แน่นอน ดังนั้นจึงมีวิธีการหลบเลี่ยงค่ายกล สมบัติลับของสำนักหนานอู๋ อย่าบอกนะว่าผู้นี้คือศิษย์ของสำนักหนานอู๋?

อวี้หลัวช่าเหมือนจะเข้าใจแล้ว ถ้าหนิวโหย่วเต๋อต้องการออกไปจากที่นี่ เกรงว่าวิธีการคงจะอยู่ที่ตัวของคนเฝ้าสมบัติลับ

ด้วยเหตุนี้ความกลัวจึงพรั่งพรูขึ้นมาในใจ เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต๋อมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับคนเฝ้าสมบัติลับ พลังอิทธิฤทธิ์ของตัวนางเองใช้ไม่ได้ แต่คนเฝ้าสมบัติลับกลับสามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้ แค่คิดก็รู้ถึงจุดจบของตัวเองแล้ว

เหมียวอี้ที่กำลังตั้งใจโกนผมให้ศีลแปดไม่ได้สังเกตสิ่งเหล่านี้ กำลังรู้สึกสงบใจ หลังจากช่วยโกนหัวให้ศีลแปดแล้ว เขาก็ลูบศีรษะโล้นของศีลแปด จากนั้นก็ตบเบาๆ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “พอแล้ว! ข้าลงมือด้วยตัวเอง ยกประโยชน์ให้เจ้าเลย” ขณะที่พูดก็ยื่นมือไปปัดผมบนตัวศีลแปดทิ้ง

“อามิตตาพุทธ!” ศีลแปดกล่าวนามพระพุทธเจ้า แล้วลืมตาอย่างช้าๆ

ชั่วพริบตานี้ เหมียวอี้ที่กำลังมองศีลแปดอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน ความบริสุทธิ์สง่าภูมิฐานของศีลแปดรุนแรงมาก ชนปะทะจิตใจเขาโดยตรง ทำให้เขารู้สึกแทบจะคุกเข่ากราบอย่างควบคุมสติไม่ไหว

เพียงแต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างนั้นหายไปในชั่วพริบตาเดียว ศีลแปดเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มทะเล้น ยกมือลูบศีรษะโล้นตัวเอง แล้วกล่าวอย่างรู้สึกขำขัน “เรียกว่ายกประโยชนให้ข้าได้ยังไง? พี่ใหญ่ หัวโล้นของข้าไม่ใช่ว่าใครจะมาสัมผัสได้นะ คนที่ตบหัวข้าได้จะต้องมีวาสนามากแน่นอน”

เหมียวอี้กลอกตามองบน ขี้คร้านจะถือสาเจ้าคนขี้เกียจคนนี้

ทว่าพอศีลแปดกล่าวคำนี้ออกมา ก็ราวกับเป็นคำทำนายบางอย่าง จู่ๆ ก็มีเสียงดังครั่นครืนบนฟ้า ราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ

“เอ!” ศีลแปดอุทานแปลกใจ ลุกขึ้นเดินไปตรงรั้ว แล้วยื่นศีรษะออกไปเหลียวซ้ายแลขวา พร้อมกล่าวอย่างฉงนสนเท่ห์ “สภาพอากาศนี่แปลกจัง เมื่อครู่ยังท้องฟ้าสดใสหมื่นลี้อยู่เลย ทำไมมีฟ้าร้องได้ล่ะ อย่าบอกนะว่าฝนจะตก? ไม่เหมือนเลยนะ!” เขาก้มศีรษะโน้มตัว เก็บเบ็ดที่ตัวเองโยนลงไปขึ้นมา แล้วนำมาตั้งไว้ในศาลา

เหมียวอี้ที่ได้กลิ่นดอกไม้ขยับจมูกดม เขามองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง พอเห็นดอกไม้แปลกตาหลากสีสันบานอยู่ริมทะเลสาบ ก็ยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป จึงกระโดดออกจากศาลาไปเด็ดมาขยำในมือดอกหนึ่ง พบว่ามองไม่ผิด เป็นดอกไม้จริงๆ แต่เขาแน่ใจได้ว่าก่อนหน้านี้ที่ริมทะเลสาบไม่มีดอกไม้ป่าพวกนี้แน่นอน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่ชัดเจนก็คือ ตรงที่ไกลๆ ไม่มี มีแต่บริเวณรอบศาลา ดอกไม้ป่าพวกนี้ดูเหมือนตั้งใจเกินไปหรือเปล่า เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะชี้ถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ารอง ดอกไม้พวกนี้มันอะไรกันแน่?”

ศีลแปดชี้ที่ตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ บอกใบ้ว่าเป็นผลงานของตัวเอง กล่าวปนเสียงหัวเราะว่า “ฝีมือเล็กน้อยไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง ก็ดูดีแค่ฉากหน้าเท่านั้น เวลาต่อสู้ขึ้นมาก็ฆ่าคนไม่ได้ ปกป้องตัวเองไม่ได้ด้วย ไม่มีประโยชน์อะไร เป็นกลวงตื้นๆ เท่านั้น”

“เจ้ามีความสามารถนี้ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมข้าไม่รู้?” เหมียวอี้ฉงน

ศีลแปดเอามือกอดอกและพิงเสา บุ้ยปากไปทางหุบผาชันอย่างเกียจคร้าน “ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามีความสามารถนี้ได้ยังไง ถึงยังไงก็ถูกบีบเพราะความจนใจ แม้ปีศาจเฒ่าในวัดจะวิปริต แต่วิชาพุทธของเขาล้ำลึกมาก เพื่อที่จะควบคุมปีศาจเฒ่า ข้าต้องสวดมนต์พร้อมปีศาจเฒ่าเพื่อข่มกัน ก็เลยถูกปีศาจเฒ่าบีบให้ฝึกแบบนี้ แม่งเอ๊ย หลายปีมานี้ข้าข้าคงสวดมนต์ของชาตินี้กับชาติหน้าไปหมดแล้ว ถ้าชาติหน้ามีจริงข้าคงไม่ต้องบวชเป็นพระแล้วล่ะ ชาตินี้ข้าเป็นไปหมดแล้ว เฮ้อ ในปีนั้นตอนที่เรียนกับตาแก่โล้น ขนาดโดนตีจนขาหักข้าก็ยังไม่เคยขยันแบบนี้เลย แม่งเอ๊ย เพื่อที่จะช่วยชีวิตตาแก่โล้น ข้าเองก็ยอมแพ้ตัวเองแล้วเหมือนกัน พี่ใหญ่ ท่านรู้มั้ยว่าตอนนั้นข้าน่าเคารพเลื่อมใสขนาดไหน พูดแล้วก็น้ำตาจะไหล แต่ตาแก่โล้นนั่นดันคิดว่าสมเหตุสมผลแล้ว ไม่ซาบซึ้งเลยสักนิด นี่มันใช่เรื่องซะที่ไหน!”

เหมียวอี้ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดสะเปะสะปะ เพียงแปลกใจว่าศีลแปดทำได้อย่างไร “เมื่อครู่ข้าไม่เห็นว่าเจ้าทำได้ยังไง ไหนลองอีกทีสิ ให้ข้าดูหน่อย ข้าอยากเปิดหูเปิดตา”

“เฮ้อ ได้ ให้ท่านได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อย” ศีลแปดกระโดดข้ามคันเบ็ดได้วยใบหน้าทะเล้น เดินไปที่เนินเขาไกลๆ โดยมีเหมียวอี้เดินตามไป

อวี้หลัวช่าไม่รู้ว่าพวกเขาไปไหนกัน นางจึงกัดฟันเดินตามไปในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกล

เมื่อเดินมาถึงปลายสุดที่ดอกไม้บาน ศีลแปดก็หันกลับมาพูดกับเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ ข้าจะให้ท่านได้เห็นอะไรที่แปลกใหม่สักหน่อย ดูให้ดีนะ สังเกตที่ใต้เท้าข้าสิ” พูดจบก็ประนมมือ แล้วก้าวไปข้างหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

เหมียวอี้ย่อมมองที่เท้าเขาตามที่บอก ไม่นานก็เบิกตากว้าง เห็นเพียงจุดที่ศีลแปดเหยียบผ่านมีต้นหญ้าเด้งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วก็มีดอกไม้ตูมงอกขึ้นมาระหว่างกิ่งไม้ แต่ละดอกเบ่งบานอย่างเงียบเชียบ ไม่ว่าศีลแปดย่ำไปตรงไหนก็จะเกิดสภาพอย่างนี้

“ย่างก้าวเกิดปทุมในตำนาน…” อวี้หลัวช่าที่จ้องทางนี้หลุดปากอุทาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง

………………

ไม่แปลกใจที่ตามติดพัวพันไม่เลิก ที่แท้ก็ไม่เคยยอมแพ้เรื่องสมบัติลับเลย นางไม่เชื่อเลยว่าที่นี่คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป!

เหมียวอี้พึมพำในใจ เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งอยากขำ ก่อนจะมาดาวเคราะห์ดวงนี้ ผู้หญิงคนนี้ถึงขั้นสงสัยว่าที่นี่คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป ตัวเองยังต้องตั้งใจอธิบายให้ฟังอีก พอตอนนี้จะมาบอกว่าที่นี่คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป ผู้หญิงคนนี้กลับไม่เชื่อแล้ว นี่เรียกว่าเป็นบ้าอะไรกัน

ชั่วพริบตานั้น เหมียวอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย เขาแทบจะแน่ใจได้ ว่าถ้ายืนยันสถานที่ซ่อนสมบัติลับเมื่อไร เกรงว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องประสาทเสียแย่งชิงสุดชีวิต

แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าพบว่าที่นี่คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะรู้สึกอย่างไร คาดว่าคงไม่มีความคิดจะสู้ตายกับตนแล้วล่ะ แต่จะคิดหาทางขอร้องให้ตนพานางออกไปจากที่นี่แทน

เมื่อเห็นทิศทางของหุบผาชันที่นางชี้ไป เหมียวอี้ก็เก็บความรู้สึกขำขันเอาไว้ ในใจแอบรู้สึกทอดถอนใจ ในที่สุดก็มาถึงแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าศีลแปดยังอยู่หรือเปล่า จะสบายดีหรือไม่ ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้นมาจริงๆ เขาก็จะไม่มีหน้าไปเจอกับวิญญาณบนสรวงสวรรค์ของพ่อแม่ศีลแปดแล้ว ยามเขาตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก สองสามีภรรยาที่ทำดีกับเขามีลูกชายอยู่เพียงคนเดียว! สายเลือดคนสุดท้ายของสามีภรรยาคู่นั้น ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ต้องพยายามปกป้องให้ถึงที่สุด!

เขาไม่บอกอวิ๋นจือชิวล่วงหน้าว่าจะมาที่นี่ เป็นเพราะรู้ว่าอวิ๋นจือชิวจะต้องห้ามแน่นอน แต่เขาจะต้องมาให้ได้

ถ้าพยายามสุดความสามารถแล้วทำไม่สำเร็จ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าไม่แม้แต่จะลองพยายาม แล้วเกิดเหตุไม่ดีกับศีลแปดขึ้นมา เขาก็จะไม่มีทางให้อภัยตัวเองไปทั้งชีวิต

เขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ว่าการที่ตัวเองมาเสี่ยงอันตรายอย่างนี้ถือว่าไม่รับผิดชอบต่ออวิ๋นจือชิว ถ้าตัวเองเป็นอะไรไป แล้วจะให้อวิ๋นจือชิวทำอย่างไรต่อไปล่ะ? ถ้าต้องเลือกระหว่างอย่างคนนี้ เขาทำได้เพียงเลือกปฏิบัติอย่างอยุติธรรมต่ออวิ๋นจือชิว สามีภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาหวังว่าอวิ๋นจือชิวจะเข้าใจเขา

ผ่านความยากลำบากมาเต็มที่กว่าจะมาถึงที่นี่ได้ เขาหวังว่าศีลแปดจะยังสบายดี ถ้าศีลแปดยังมีชีวิตอยู่ ก็จะเป็นประโยชน์สำหรับเขาเช่นกัน สองพี่น้องร่วมมือกันกำจัดอวี้หลัวช่าก็มีโอกาสสำเร็จสูงกว่า สรุปก็คือถ้าปล่อยอวี้หลัวช่าเอาไว้ ก็จะเป็นภัยพิบัติแอบแฝงที่ใหญ่มาก จะให้อวี้หลัวช่ามีชีวิตอยู่ไม่ได้เด็ดขาด

“ในเมื่อเจ้าคิดว่าเป็นจุดซ่อนสมบัติ งั้นเจ้าก็ไปสิ” เหมียวอี้กล่าวอย่างสบายๆ แล้วนั่งยองๆ ริมทะเลสาบ ใช้มือวักน้ำใสขึ้นมาล้างหน้า ต้องล้างหน้าให้สะอาดสักหน่อย น้องชายจะได้จำได้สะดวก

พอเขาพูดอย่างนี้แล้ว อวี้หลัวช่ากลับกลายเป็นลังเลตัดสินใจไม่ได้ ทั้งสองมาด้วยกันตลอดทาง ต่างคนต่างวางกับดักต่อกันให้ถึงตาย ใช้วิธีการชั่วร้ายต่างๆ มาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคำพูดไหนของเหมียวอี้นางก็ล้วนเคลือบแคลงเสมอ คงไม่ขุดหลุมพรางให้นางกระโดดลงไปหรอกใช่มั้ย? หรือว่ากำลังพูดตรงข้ามกับความจริงล่ะ?

ตัดสินจริงเท็จยากจริงๆ สุดท้ายอวี้หลัวช่าก็ยังไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม นางรออยู่ข้างๆ

ส่องน้ำทะเลสาบเป็นกระจก ใช้กระบี่โกนหนวดบนใบหน้าจนสะอาดเกลี้ยงเกลา หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็ดึงกระบี่ข้างกายมาไว้ในมือ แล้วเดินอ้อมริมทะเลสาบไปทางหุบผาชัน หุบผาชันที่เป็นสถานที่ผนึกน่าอยู่ทางทิศตรงกันข้ามกับทะเลสาบแห่งนี้

ใช้เวลาเดินไปเกือบสองชั่วยาม ทั้งสองถึงได้เดินมาถึงฝั่งตรงข้ามของทะเลสาบ

ขณะกำลังจะไปทางหุบผาชัน จู่ๆ อวี้หลัวช่าก็ร้องอุทานตกใจ

เหมียวอี้หันกลับมามอง แล้วถามอย่างระวังตัว “นางตัวแสบ คิดจะเล่นลูกไม้อะไรอีกล่ะ?”

อวี้หลัวช่าเคยชินแล้วที่ถูกเขาเรียกด้วยถ้อยคำต่ำทรามต่างๆ นานา จึงไม่ได้แยแสเลย นางชี้ไปที่ริมทะเลสาบ “เจ้าดูสิ หรือว่าที่นี่มีคน?”

เหมียวอี้มองตามที่นางบอก เห็นรางๆ ว่าข้างหน้ามีศาลาริมน้ำหลังหนึ่ง ดูจากเค้าโครงแล้วเห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่สิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้น เหมือนเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็ทำสีหน้าระแวงสงสัย แล้วทั้งสองก็รีบเดินไปทางนั้น

หลังจากเดินเข้าไปใกล้จนเห็นชัดเจน ก็พบว่าไม่ได้เข้าใจผิด เป็นศาลาหลังหนึ่งจริงๆ แต่ไม่ใช่ศาลาที่ได้มาตรฐานอะไร เป็นศาลาไม้เรียบง่ายที่ใช้หญ้าปูเป็นหลังคา เป็นศาลาที่มนุษย์สร้างขึ้นจริงๆ

“ในศาลามีคน” อวี้หลัวช่ากล่าวเสียงต่ำ ขณะเดียวกันก็สังเกตปฏิกิริยาของเหมียวอี้ สงสัยว่าเหมียวอี้รู้ตั้งแต่แรกแล้วหรือเปล่าว่าที่นี่มีคน ถ้าเป็นพวกเดียวกับเหมียวอี้ ก็จะไม่เป็นผลดีต่อตัวนางเอง

เหมียวอี้ตะลึงงัน เขาเองก็เห็นแล้วเช่นกัน ที่ศาลามีคนอยู่หนึ่งคนจริง เหมือนจะกำลังนอนหลับอยู่ในศาลา

เหมียวอี้ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ จู่ๆ ก็เดินก้าวยาวเข้าไป แล้ววิ่งไปตรงหน้าศาลา มองคนที่กำลังนอนหลับในศาลาอย่างตะลึงงัน

นอกศาลามีเบ็ดตกปลาปักเฉียงอยู่หนึ่งคัน สายเอ็นจมอยู่ในน้ำ ทุ่นลอยอยู่บนผิวน้ำ ในศาลามีเตียงไม้ตัวหนึ่ง คนที่นอนเอนกายอยู่บนเตียงสวมจีวรสีขาวพระจันทร์ กำลังหันหลังให้เขา ผมยาวดำขลับทั้งศีรษะ ข้างเตียงวางถังไม้ไว้อันหนึ่ง บางครั้งในนั้นก็มีเสียงปลากระโดด บนถังไม้วางกระบี่วิเศษไว้หนึ่งด้าม

เมื่อเห็นจีวรสีขาวพระจันทร์ที่คุ้นตา เหมียวอี้ก็แทบจะน้ำตาคลอ ถ้าไม่ใช่เครื่องแบบของสำนักศีลแล้วจะเป็นอะไรไปได้อีก เพียงแต่ผมยาวดำขลับของคนคนนั้นทำให้เขาไม่กล้ายืนยัน เขาเดินอ้อมศาลา ต้องการจะเดินไปดูใบหน้าอีกฝ่ายให้ชัดเจน

เหมียวอี้เหยียบหินใต้เท้าจนพลิก จึงเกิดเสียงดังขึ้น

คนบนเตียงไม้ได้ยินเสียงแล้วพลิกตัวนอนในแนวตรง ขณะเดียวกันก็บิดขี้เกียจหนึ่งที กล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “ปาไห่ สวดมนต์ของเจ้าไปเถอะ อย่ามารบกวนข้า”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ กอปรกับพลิกตัวมาให้เห็นใบหน้าชัดเจน เหมียวอี้ก็สะเทือนใจจนพูดไม่ออกแล้ว

ส่วนคนบนเตียงไม้ก็ลุกขึ้นแล้วเช่นกัน ยื่นมือไปช้อนเบ็ดตกปลาบนคันเบ็ด ดึงสายเอ็นในน้ำขึ้นมา จับตะขอเบ็ดไว้ในมือ แล้วส่ายหน้าพึมพำ “ช่างเป็นปลาที่เจ้าเล่ห์ กินแต่เหยื่อไม่ยอมกัดตะขอ อย่าให้พ่อตกได้นะ ไม่อย่างนั้นะหั่นเจ้าแปดชิ้นเลย!” เขาหยิบเหยื่อมาเกี่ยวบนตะขออีกครั้ง แล้วก็โยนสายเอ็นลงในทะเลสาบ

“เจ้ารอง!” ในที่สุดเหมียวอี้ก็ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

คนคนนั้นที่กำลังจะปักเบ็ดตกปลาได้ยินแล้วตัวสั่น ราวกับถูกฟ้าผ่าทั้งร่าง แล้วบ่นว่า “ปาไห่ เลิกล้อเล่นได้แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะโมโหจริงๆ แล้วนะ”

“เจ้ารอง เป็นเจ้าจริงเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

มือที่กำลังถือคันเบ็ดสั่นทันที เขาหันหน้ามาช้าๆ ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏให้เห็น ถ้าไม่ใช่ศีลแปดแล้วจะเป็นใครไปได้

จ๋อม! เบ็ดตกปลาร่วงลงน้ำ ศีลแปดลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ แล้วหันตัวมาอย่างไม่รีบร้อน มองเหมียวอี้ด้วยความตะลึงเหม่อ จากนั้นก็ขยี้ตาตัวเอง ยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป

เหมียวอี้แน่ใจแล้ว เป็นศีลแปดจริงๆ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มทันที เจ้ารองยังมีชีวิตอยู่อย่างดี ไม่เสียแรงที่ตัวเองลำบากมาถึงที่นี่ ในใจรู้สึกอิ่มเอมมาก

“พี่…พี่ใหญ่!” ศีลแปดยกมือที่สั่นเทิ้มชี้เหมียวอี้ “ท่านอย่าทำให้ข้าตกใจสิ! พี่ใหญ่ เป็นท่านจริงเหรอ?”

“ถ้าเป็นสินค้าปลอมก็จะเปลี่ยนให้ใหม่เลย!” เหมียวอี้ยิ้มบางๆ

“พี่ใหญ่!” ศีลแปดน้ำตาไหลพรากทันที ซาบซึ้งจนทำอะไรไม่ถูก รีบพุ่งเข้ามา ขณะที่เท้าเหยียบราวรั้วกำลังจะกระโดดออกมา จู่ๆ ก็หยุดกะทันหัน ยกแขนเสื้อปาดน้ำตา แล้วชี้เหมียวอี้พลางกล่าวปนเสียงสะอื้น “เดี๋ยวก่อน ไม่มีทางที่เจ้าจะหาที่นี่พบ รีบบอกมา เจ้าเป็นใครกันแน่ บังอาจมาหลอกอาตมา! ถ้าบอกเหตุผลที่ฟังขึ้นไม่ได้ อาตมาก็ไม่ถือสาที่จะโปรดให้เจ้าลงนรกไปอีกสักคน!”

เหมียวอี้ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี สัญชาติสุนัขอดกินขี้ไม่ได้ ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว นิสัยเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนยังแก้ไม่หายสักที

เหมียวอี้ถอนหายใจ “เจ้ารอง หรือต้องให้ข้าเล่าเรื่องที่เจ้าปีนขึ้นหลังคาบ้านเพื่อนบ้านไปแอบดูแม่หม้ายอาบน้ำ เจ้าถึงจะเชื่อข้า?”

ศีลแปดเบิกตากว้าง ร้องไห้ไปหัวเราะไป ถลันตัวออกจากคันเบ็ด พุ่งมาตรงหน้าเหมียวอี้แล้วกางแขนกอด ในขณะที่ร้องไห้โฮก็พูดว่า “พี่ใหญ่! พี่ใหญ่! ข้าคิดถึงท่านจะตายอยู่แล้ว! พี่ใหญ่ ท่านมาได้ยังไง…” เรียกได้ว่าพูดพร่ำพรรณนาถึงความคิดถึงอย่างปวดใจ

ตอนแรกที่เขากำลังนอนหลับ พอได้ยินเสียงฝีเท้าก็ยังนึกว่าเป็นปาไห่ เพราะที่นี่สงบเงียบเกินไป โดยปกติแล้วจะไม่มีคนมา ต่อให้มีคนมาแล้วก็อาจจะหาที่นี่ไม่พบก็ได้ คนที่ไปมาที่นี่มีอยู่ไม่กี่คน เขานึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะหาที่นี่พบ

อวี้หลัวช่าที่มองอยู่ไกลๆ เข้าใจแล้ว ที่นี่มีคนอย่างที่คาดไว้ ดูจากสถานการณ์แล้วยังเป็นคนรู้จักของหนิวโหย่วเต๋อด้วย ดีไม่ดีอาจจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกถึงวิกฤติอย่างรุนแรง นางรู้สึกทันทีว่าตัวเองติดกับดักเหมียวอี้แล้ว!

นางมองไปทางหุบผาชัน อยากจะไปดูจุดที่ซ่อนสมบัติลับเอาไว้ แต่ก็ไม่กล้าไปอีก ที่นี่มีคนอยู่ ทั้งยังดูเหมือนสวมจีวรพระด้วย หรือว่าจะเป็นคนที่เฝ้าสมบัติลับ? ทางหุบผาชันยังจะมีคนอยู่อีกหรือเปล่า? ถ้ามีคนเฝ้าสมบัติลับจริงๆ อย่าบอกนะว่ามีคนเฝ้าแค่คนเดียว?

นางรู้สึกได้ว่าการไปคนเดียวอันตรายเกินไป ยังตัดสินใจเฝ้ามองสถานการณ์เพื่อเตรียมรับมือ ตราบใดที่ไม่วิ่งเข้ากับดักง่ายๆ นางก็ยังสามารถหนีทัน นางจึงเดินช้าๆ ไปทางศาลา

ด้านนอกศาลา หลังจากเหมียวอี้เล่าคร่าวๆ ว่าทำไมตัวเองถึงมาที่นี่ได้และมาอย่างไร ศีลแปดก็ผลักเหมียวอี้ออก มองดูสภาพเสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ยทั้งตัว บนตัวยังพกกระบอกไม้ไผ่เขียวและเนื้อแห้งด้วย พอเห็นเหมียวอี้สกปรกไปทั้งตัว ก็ยิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้น

เขาจินตนาการออกว่าตลอดทางที่ผ่านมานี้เหมียวอี้ลำบากขนาดไหนเพื่อที่จะตามหาเขา เขากล่าวเสียงสะอื้น “พี่ใหญ่ ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว อาตมาผิดไปแล้ว” จู่ๆ เขาก็ปาดน้ำตา แล้วเงยหน้าอย่างโมโห “มารดาเจ้าเถอะ อวี้หลัวช่าอยู่ที่ไหน เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ ขนาดพี่ใหญ่ของอาตมาเจ้าก็ยังกล้ารังแก เจ้า ใช่เจ้าหรือเปล่า? โผล่หัวออกมาให้อาตมาเดี๋ยวนี้!” หลังจากสายตาเล็งไปที่อวี้หลัวช่า เขาก็ชี้นางแล้วหันตัวกระโดดเข้าไปในศาลา หยิบกระบี่วิเศษบนถังไม้ จะพุ่งออกไปสู้ตายกับนาง

โชคดีที่เหมียวอี้ดึงแขนเขาไว้ “เจ้ารอง เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา รับมือยากมาก สู้ด้วยลำบาก”

อวี้หลัวช่าที่กำลังจะเข้าใกล้ทางนี้ตกใจจนร้องแหกปากร้อง ขณะกำลังจะหนี ก็เห็นเหมียวอี้ดึงแขนอีกฝ่ายเอาไว้ นางถึงได้หยุด

แต่ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้ว ว่าคนคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะเรียกหนิวโหย่วเต๋อว่าพี่ใหญ่ ตอนนี้เกิดปัญหาแล้วจริงๆ

“อวี้หลัวช่า…ช้าก่อน!” ศีลแปดที่ถูกดึงแขนไว้เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ปาดน้ำตาแล้วถามเหมียวอี้อย่างแปลกใจ “พี่ใหญ่ ท่านบอกว่าผู้หญิงคนนี้คือพุทธะหน้าหยกอวี้หลัวช่าไม่ใช่เหรอ? อวี้หลัวช่าหน้าตาสวยมากไม่ใช่เหรอ? ทำไมสภาพเหมือนยายแก่ขอทานล่ะ?”

เหมียวอี้ตอบอย่างหงุดหงิดว่า “ขนาดข้ายังสภาพกลายเป็นอย่างนี้แล้ว แล้วนางจะดีกว่าขนาดไหนเชียว? เดี๋ยวอาบน้ำสะอาดก็สวยแล้ว”

“นั่นก็ใช่” ศีลแปดจ้องอวี้หลัวช่าพลางเอามือลูบคางทำท่าครุ่นคิด อารมณ์เศร้าโศกเมื่อครู่นี้เหมือนจะหายไปหมดสิ้นในชั่วพริบตาเดียว

“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าอวี้หลัวช่าสวยมาก อย่าบอกนะว่าเจ้าเคยเจอนาง?” เหมียวอี้ถาม

ศีลแปดกล่าวกลั้วหัวเราะ “ไม่เคยเห็นหรอก แต่เคยได้ยินปาไห่เอ่ยถึง บอกว่าอวี้หลัวช่างามล้ำเลิศอย่างที่หาพบได้น้อยในโลกนี้ โดยเฉพาะฝีมือในการปรนนิบัติผู้ชาย ได้ยินว่าผู้ชายในใต้หล้าแย่งกันไล่จีบ,นึกไม่ถึงว่าอาตมาจะมีโอกาสได้พบตัวจริง อืม ถึงตอนนี้จะดูอัปลักษณ์ แต่เดี๋ยวอาบน้ำสักหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้ว…” สายตาที่จ้องอวี้หลัวช่าไม่ยอมย้ายออกไปไหน

“ปาไห่? ปาไห่คือใคร?” เหมียวอี้แปลกใจ

“ศิษย์น้องหญิงของข้าเอง ลูกศิษย์ที่ตาแก่โล้นรับไว้” ศีลแปดตอบส่งๆ

เหมียวอี้ยิ่งแปลกใจ “วิชาศีลถ่ายทอดได้คนเดียวไม่ใช่เหรอ? ทำไมรับศิษย์อีกแล้ว?”

“ศิษย์สายพุทธ มีบางประเภทไม่เหมือนกับข้า” หลังจากศีลแปดจ้องอวี้หลัวช่าพลางขมุบขมิบปากสองสามประโยค จู่ๆ ก็หัวเราะออกมา แล้วหันกลับมาบอกว่า “เฮ้อ ท่านเองก็รู้จักปาไห่ นางชื่อว่าอะไรนะ ก่อนหน้านี้เป็นหนึ่งในศัตรูของท่านไง นึกออกแล้ว นางคือปีศาจโลหิต”

…………………

แน่นอน จะมีแต่กระบี่วิเศษอย่างเดียวก็ไม่ได้ ถ้าไม่มีการตอบสนองและฝีมือแบบนี้ ก็จะต้องสิ้นชีพภายใต้คมเขี้ยวของฝูงหมาป่าอยู่ดี

รอบข้างอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ไม่ง่ายเลยกว่าจะหายใจคล่องขึ้นมาหน่อย เหมียวอี้หันกลับไปมอง อวี้หลัวช่าหยุดวิ่งหนีแล้ว นางกำลังมองมาทางนี้อย่างเงียบๆ

เหมียวอี้เดินไปข้างหน้าต่อ เจอกระเป๋าสัตว์ที่อวี้หลัวช่าโยนออกมาแล้ว เขาเก็บขึ้นมาเหน็บไว้บนเอวตัวเอง โล่งอกไปที นับว่าตัดทางหนีทีไล่ของอวี้หลัวช่าได้โดยสิ้นเชิงแล้ว ขอเพียงกำจัดผู้หญิงคนนี้ได้ภายในหนึ่งพันปี ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีปัญหาตามมาทีหลังแล้ว

เขาหันตัวกลับมา เดินไปข้างศพฝูงหมาป่า ถอนหญ้าจำนวนหนึ่งมามัดเป็นเชือก เฉือนเนื้อบนต้นขาหมาป่าตัวแล้วตัวเล่า ใช้เชือกหญ้าสอดร้อยเป็นพวง แล้วสะพายไว้บนบ่า เสร็จแล้วถึงได้เดินไปที่หุบผาชัน

อวี้หลัวช่ารอเขาอยู่ที่เดิมตลอด มองเหมียวอี้เดินกลับมาช้าๆ เดินเข้ามาใกล้ทีละนิด หลังจากทั้งสองอยู่ห่างกันสองสามจั้ง เหมียวอี้เดินเข้ามาก้าวหนึ่ง นางก็ถอยหลังก้าวหนึ่ง รักษาระยะห่างที่ปลอดภัย สุดท้ายทั้งสองก็หยุดนิ่งและเผชิญหน้ากัน ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน

ท้องฟ้าสูงสีครามมีเมฆบาง ฝั่งนี้ของหุบผาชันมีทุ่งหญ้าเขียวขจีตัดกับท้องฟ้า ลมพัดมาวูบหนึ่ง ทุ่งหญ้าเขียวขจีกระเพื่อมราวกับคลื่น สองคนที่ยืนสบตากันอยู่ในนั้นตัวเล็กกระจิ๊ดริดมากเมื่อเทียบกับฟ้าดิน

สายตาของอวี้หลัวช่าหยุดอยู่บนกระเป๋าสัตว์ของตัวเอง แววตาค่อนข้างหลากอารมณ์ นี่คือสิ่งที่ตัวเองโยนให้อีกฝ่ายไปแล้ว สายตาย้ายไปบนเนื้อพวงใหญ่บนตัวเหมียวอี้ นางถอนหายใจอีกครั้ง อีกฝ่ายมีภาระบนตัวเพิ่มแล้ว หมายความว่าไม่คิดจะไล่ตามนางอีกแล้ว

เป็นอย่างที่คาดไว้ เหมียวอี้บอกว่า “เจ้าไปได้แล้ว ข้าไม่ตามเจ้าอีกแล้ว” พูดจบก็เลี้ยวเดินไปอีกทาง ที่สำคัญคือต่อให้อยากตามก็ตามไม่ทัน

อวี้หลัวช่าในตอนนี้ ต่อให้อยากจะตามก็ตามไม่ทันแล้ว พอเหมียวอี้เดินจากไป นางก็ตามทันที ครั้งนี้นางตามอยางจริงจังสุดจิตสุดใจแล้ว ความหวังสุดท้ายที่จะทำให้รอดจากที่นี่อยู่บนตัวเหมียวอี้ แล้วยังจะให้นางไปที่ไหนได้อีก?

พอเดินมาถึงทางเข้าหุบผาชัน เหมียวอี้ก็หยุดฝีเท้าแล้วหันตัวมา “ตามข้ามาทำไม? คงไม่ได้ตกหลุมรักข้าหรอกใช่มั้ย?”

ก็ได้ อวี้หลัวช่ายอมอดทนแล้ว “พวกเราเจรจากันดีๆ ได้ เจ้าน่าจะเข้าใจชัดเจนนะ ว่าข้ามีอำนาจไม่น้อยที่แดนพุทธ เป็นแรงสนับสนุนที่ใหญ่มากเพื่อให้เจ้าเติบโตที่ตำหนักสวรรค์ในอนาคต เจ้ามีความกังวลอะไรก็บอกมาได้เลย ข้าคิดหาทางช่วยเจ้าแก้ไขปัญหาได้ จะเจรจาจนกว่าเจ้าจะพอใจ ส่วนจะชอบหรือไม่ชอบ ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกเปลี่ยวเหงาจริงๆ ข้าก็ปรนนิบัติให้เจ้าผ่อนคลายได้ รับรองว่าเจ้าจะรู้สึกผ่อนคลายแบบที่หาไม่ได้จากตัวผู้หญิงคนอื่น แน่นอน ขอเพียงเจ้าต้องการ ต่อให้ออกไปจากที่นี่แล้ว ข้าก็สามารถปรนนิบัติเจ้าได้ทุกเมื่อ” พูดจบก็แอ่นหน้าอก ทำท่าทางยั่วยวน เดินวนรอบช้าๆ ให้ผู้ชายเชยชม

สามารถพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้ แสดงว่านางยอมแพ้แล้วจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้ สถานการณ์แข็งแกร่งกว่าคน นางเลือกที่จะประนีประนอมอย่างไม่ลังเล

แน่นอน ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่รับประกันได้ว่านางจะรอดชีวิตออกไปจากที่นี่

เหมียวอี้พยักหน้า “ก็ได้ ถอดสิ”

“อะไรนะ?” อวี้หลัวช่างงไปชั่วขณะ

เหมียวอี้ควงกระบี่ชี้ “ข้าให้เจ้าถอดเสื้อผ้า เจ้าบอกว่าจะปรนนิบัติข้าไม่ใช่เหรอ? ถอดสิ ถอดให้หมด”

อวี้หลัวช่าทำหน้าตึง “ตอนนี้ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องเจรจาจนเจอวิธีการที่ทำให้เจ้ากับข้าไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังก่อน ตอนนี้ข้าถอดเสื้อผ้าเข้าไปใกล้ชิดเจ้า แล้วถ้าเจ้าเอากระบี่ฟันข้าขึ้นมาจะทำยังไง? อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่กลัวว่าข้าจะลอบโจมตีเจ้า?”

เหมียวอี้หัวเราะร่า ปักกระบี่ยาวไว้บนพื้น จากนั้นชี้หน้านาง “เจ้าไม่ดูสภาพตัวเองเสียบ้าง หน้าอย่างกับแมว เหมือนสุนัขจรจัด หน้าสกปรกอย่างกับอะไร เห็นแล้วหมดอารมณ์ ยังจะเข้าใกล้อีกเหรอ? ต่อให้เจ้าไม่เสนอเงื่อนไขนี้ ข้าก็ไม่สนใจเจ้านิด ไปผ่อนคลายตัวเองตรงโน้นไป”

อวี้หลัวช่ามองร่างกายตัวเองโดยจิตใต้สำนึก เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเองตอนก่อนหน้านี้ ก็สกปรกจนมองดูไม่ได้จริงๆ นางลูบใบหน้าตัวเอง จินตนาการได้เลยว่าสะบักสะบอมขนาดไหน แต่ผู้หญิงทนไม่ได้ที่สุดเวลามีคนมาว่าตัวเองขี้เหร่ อับอายจนโมโหภายในชั่วพริบตาเดียว “หนิวโหย่วเต๋อ! เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้ารึไง? ถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ เจ้าอาจจะไม่ใช่ฝ่ายได้เปรียบก็ได้!”

“ไสหัวไป! อัปลักษณ์น่าไม่อาย อย่ามาตามข้า!” เหมียวอี้เถียงกลับประโยคเดียว แล้วหันตัวเดินจากไปแล้ว

อวี้หลัวช่าทำสีหน้าไม่ถูก แต่สุดท้ายก็ยังกัดฟันเดินตามไป

ในหุบผาชัน เหมียวอี้เจอของที่ตัวเองโยนทิ้งไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เขาเก็บมาสะพายไว้บนตัวอีกครั้ง

ทั้งสองเดินออกจากหุบผาชันตามกันมา เดินไปที่ป่ารกร้างแล้ว แต่ยังไม่ทันเดินออกจากป่ารกร้างฟ้าก็มืด

ทั้งสองอยู่ภายใต้ม่านราตรีที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ย่างก้าวค่อนข้างล่องลอย ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเมื่อวานผ่านความยากลำบากมา แถมยังไม่ได้นอนทั้งคืน วันนี้ก็วิ่งไปวิ่งมาอีก เหนื่อยแทบทนไม่ไหวนานแล้ว ทั้งสองต่างก็อ่อนแรงเต็มทน ต่างก็ดันทุรังทนไว้

“ที่จริงเจ้าสามารถใช้กระบี่วิเศษของเจ้าเปิดกระเป๋าสัตว์ของข้า ปล่อยสัตว์พาหนะของข้าออกมาได้นะ”

“ไสหัวไป!”

“พวกเราทำลายความพะว้าพะวงของกันและกันก่อน จากนั้นเจ้าค่อยปล่อยสัตว์พาหนะของข้าออกมาก็ยังไม่สาย เราทั้งคู่ไม่ต้องลำบากขนาดนี้ก็ได้”

“คนอัปลักษณ์น่าไม่อาย ไสหัวไป!”

ในที่สุดก็มาถึงตีนเขาที่รกร้างแห่งหนึ่งแล้ว เป็นสถานที่เป้าหมายที่เหมียวอี้กำหนดไว้แล้วเช่นกัน เหมียวอี้หย่อนก้นนั่งลงทันที

เมื่อเห็นเขาพักแล้ว อวี้หลัวช่าเองก็หมดภาพลักษณ์เช่นกัน ล้มลงราวกับเป็นโคลนเหลว

ภายใต้ม่านราตรี เหมียวอี้รวบรวมกิ่งไม้แห้งกองหนึ่งมาสุมไฟย่างเนื้อ กลิ่นหอมกระจายไปทั่ว เนื้อป่าอร่อยกว่าเนื้อเหยี่ยวมารตั้งเยอะ

อวี้หลัวช่าที่ยืนอยู่ไม่ไกลหยิบผลไม้ลูกสุดท้ายออกมา นางกัดกินอย่างช้าๆ แม้แต่เม็ดก็ไม่คายทิ้ง เคี้ยวทั้งหมดกลืนลงท้อง แต่ท้องก็ยังร้องจ๊อกๆ เพราะกินไม่อิ่ม ได้แต่มองเหมียวอี้กินอยู่ทางนั้นตาปริบๆ

“หนิวโหย่วเต๋อ แบ่งให้ข้ากินหน่อยสิ” อวี้หลัวช่าตะโกนเรียก

เหมียวอี้กวักมือ บอกใบ้ให้นางเข้ามาหยิบไปเอง

อวี้หลัวช่ามองกระบี่วิเศษที่เสียบอยู่ด้านข้าง นางไม่กล้าเข้าไป จึงตะโกนบอกว่า “เจ้าโยนมาสิ”

เหมียวอี้แสยะยิ้ม ทำท่าราวกับถามว่าทำไมข้าต้องทำอย่างนั้น แล้วก็กินของตัวเองไป ขี้คร้านจะสนใจนาง

เหมียวอี้กำลังอยากให้นางหิวจนวิ่งไม่ไหว จะได้เอากระบี่ไปแทงนางได้สะดวก

ตอนเที่ยงคืน เหมียวอี้ที่ได้ยินเสียงผิดปกติพลันหันกลับไปมอง เห็นเพียงอวี้หลัวช่ากระโจนกลิ้งไปด้านข้างท่ามกลางความมืด เหมือนกำลังถือหินขว้างใส่บางอย่างด้วยความบ้าคลั่ง เกิดเสียงดังตุ้บตั้บ ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร รอจนกระทั่งตอนที่อวี้หลัวช่ากลับมาก่อกองไฟ ถึงได้พบว่าอวี้หลัวช่าลากงูตัวใหญ่เท่าแขนกลับมาตัวหนึ่ง นางกลับมานั่งลงข้างกองไฟแล้วใช้ฟันกัดทั้งเป็นๆ กัดหัวงูออกมาแล้วโยนไปด้านข้าง จากนั้นก็ถลกหนังงู หลังจากถลกหนังแล้วก็พันไว้บนเอว เอาดีงูออกแล้วกลืนลงไปเลย นางใช้ท่อนไม้เสียบงูตัวใหญ่ย่างบนไฟ

เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว ขณะที่เขากำลังถือกระบี่ยืนขึ้น อวี้หลัวช่าที่ระวังตัวมากก็รีบลุกเช่นกัน ทำท่าเหมือนจะลากงูวิ่งหนี

มารดาเจ้าเถอะ! เหมียวอี้แอบด่าในใจแล้วนั่งลงอีกครั้ง เขาเองก็ตามไม่ไหวแล้วเช่นกัน อวี้หลัวช่านั่งลงตามเขาช้าๆ แล้วย่างงูต่อไป

หลังจากกลิ่นหอมของเนื้อโชยมาพักหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าย่างสุกหรือไม่ อย่างไรเสียก็เห็นอวี้หลัวช่าเขมือบอย่างตะกละมูมมามแล้ว ส่วนเนื้อที่กินไม่หมด นางก็เลียนแบบเหมียวอี้เช่นกัน อังไฟให้กลายเป็นเนื้อแห้ง

วันต่อมาตอนฟ้าสว่าง ทั้งสองที่ไม่ได้หลับตาทั้งคืนขอบตาดำแล้ว

ระหว่างทางเจอลำธาร ทั้งสองก็รีบหมอบดื่มอย่างกระหาย เหมียวอี้ดื่มเสร็จแล้วก็เก็บน้ำไว้ในกระบอกกระดูกต่อ แต่สิ่งที่ทำให้เขาพูดไม่ออกก็คือ อวี้หลัวช่านำหนังงูที่ถลกเมื่อคืนนี้มาใส่น้ำแล้ว หลังจากอุดรอยรั่วแล้วก็พันไว้บนตัว

เมื่อมีลำธารโผล่มา สีเขียวขจีก็เริ่มปรากฏเช่นกัน พวกเขาข้ามผ่านลำธารเล็กๆ พอเดินไปได้ครึ่งวัน ในที่สุดก็เห็นป่าไม้ผืนหนึ่งแล้ว

ทั้งสองเหนื่อยจนแทบไม่ไหวแล้วจริงๆ เดินไม่ไหวแล้ว ถ้ายังไม่พักผ่อนอีกก็จะต้องเหนื่อยตายแน่นอน เหมียวอี้ยอมใจผู้หญิงคนนี้แล้วจริงๆ ขนาดเขายังทนไม่ได้เท่านางเลย ไม่ให้โอกาสเขาลงมือเลยสักนิด

พอเดินมาถึงป่าไม้ อวี้หลัวช่าก็คิดถึงวิธีการพักผ่อนได้แล้ว เหมียวอี้ที่เหนื่อยแทบทนไม่ไหวก็เห็นด้วย

ในที่สุดเหมียวอี้ก็ตัดต้นไม้ โค่นต้นไม้ที่อยู่รอบๆ จนล้มหมด ป้องกันไม่ให้อวี้หลัวช่ากระโดดผ่านบนต้นไม้เข้ามา เสร็จแล้ถึงได้ปีนขึ้นไปตัดกิ่งไม้บนต้นไม้ใหญ่ ถักทอชั้นหนาบนกิ่งไม้เพื่อเป็นอุปสรรคหนึ่งชั้น ถ้าอวี้หลัวช่าปีนขึ้นบนไม้ก็จะต้องเจออุปสรรรคชั้นนี้ขัดขวาง จะต้องเกิดเสียงดังเพื่อเตือนเขาแน่นอน

หลังจากจัดที่เรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็ปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้อีกครั้ง ตัดกิ่งไม้มาปูเป็นพื้นอย่างหยาบๆ จากนั้นถึงได้โล่งใจแล้วเอนกายลง

เช่นเดียวกัน ถ้าเหมียวอี้อยากจะลงจากต้นไม้ ก็จะต้องทำลายอุปสรรคสำหรับลงไป ก็จะส่งเสียงดังเช่นเดียวกัน ถ้ากระโดดลงไปโดยตรงก็จะไม่มีเสียงความเคลื่อนไหว

ตอนนี้อวี้หลัวช่าถึงได้ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ หาง่ามไม้ที่หยาบทนทาน แล้วก็ปีนขึ้นไปข้างบนราวกับสุนัขตัวหนึ่ง ไม่นานก็นอนหลับลึกแล้ว นอนหนุนบนมวยผมของตัวเอง ปอยผมยุ่งปลิวกระเพื่อมตามลม ภาพลักษณ์ของพุทธะหน้าหยกผู้สง่าน่าเกรงขามหายไปหมดแล้ว

การหลับครั้งนี้ ทั้งสองหลับจนมืดฟ้ามัวดินแล้วจริงๆ คาดว่าต่อให้อีกฝ่ายเล่นตุกติกมาดึงกิ่งไม้ที่ถักทอไว้ อีกฝ่ายก็อาจจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำ การสร้างอุปสรรคไว้อย่างนี้ก็เพื่อความสบายใจของตัวเองล้วนๆ

ดวงอาทิตย์ตกลงทางทิศตะวันตก ฟ้ามืด ฟ้าสว่างอีกรอบ จนใกล้ถึงเวลาเที่ยง เหมียวอี้ถึงได้ตื่นขึ้นมา เมื่อเห็นอวี้หลัวช่าที่อยู่บนกิ่งไม้ยังหลับ เขาก็ลงจากต้นไม้อย่างเงียบๆ คิดจะเข้าไปลอบโจมตี แต่ช่วยไม่ได้ที่ตอนดึงอุปสรรคที่กั้นไว้ทำให้เกิดเสียงดัง ปลุกอวี้หลัวช่าที่อยู่บนต้นไม้ให้ตื่นทันที นางมองมาทางนี้อย่างรวดเร็ว

ถ้าทำอย่างนี้ตอนที่อวี้หลัวช่ายังหลับลึก เขาอาจจะลงมือสำเร็จแล้วจริงๆ ก็ได้ แต่อวี้หลัวช่าในตอนนี้หลับไปนานพอสมควรแล้ว ถ้าทำอย่างนี้อีกก็สายไปแล้ว

พอเห็นเหมียวอี้ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ อวี้หลัวช่าก็แสยะหัวเราะ นางพลิกตัวไหลลงจากต้นไม้ การเคลื่อนไหวว่องไวขึ้นอีกครั้ง บาดแผลบนตัวเหมือนจะไม่เป็นอุปสรรคสักเท่าไร

ที่จริงถึงแม้จะใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ แต่อย่างไรเสียกายหยาบก็ผ่านการขัดเกลาจากพลังจิตวิญญาณมาแล้ว การเยียวยาตัวเองแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ธรรมดา

“แค่กๆ!” เหมียวอี้ไอแห้ง พอรู้สึกกระปรี้กระเปร่าแล้วก็เก้อเขินเช่นกัน ควงกระบี่ฟันอุปสรรคแล้วไถลลงมา เดินทางไปข้างหน้าต่อแล้ว

ตลอดทางที่เดินไป อวี้หลัวช่าเกาะติดเหมียวอี้ราวกับเป็นขนมหนิวผีถัง ไล่ไม่ไปด่าไม่หนีแต่ก็ฆ่าทิ้งไม่ได้ ตามติดไม่ปล่อยอยู่อย่างนั้น ชัดเจนว่าอยากจะเห็นว่าเหมียวอี้จะออกไปจากที่นี่อย่างไร เหมียวอี้อารมณ์เสียใส่นางไปก็ไม่มีประโยชน์

เหมียวอี้นับว่ามองออกถึงเคล็ดลับการเอาชีวิตรอดของอวี้หลัวช่าแล้ว สมัยก่อนพุทธะหน้าหยกท่านนี้คงจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีหน้ามีตาเหมือนตอนกลายเป็นพุทธะแล้ว ต้องเคยได้รับความลำบากมาก่อนแน่นอน มีความสามารถในการปรับตัวใช้ชีวิตเป็นพิเศษ ถ้าคิดจะเล่นงานนางให้ตายก็เท่ากับเจอคู่ต่อสู้แล้วจริงๆ ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น หลายครั้งแล้วที่เกือบโดนอวี้หลัวช่าเล่นงานกลับจนถึงแก่ชีวิต

ทั้งสองข้ามน้ำข้ามภูเขา ผ่านลมผ่านฝนและหลุมบ่อขรุขระ หลังจากเดินทางอยู่สามเดือนเต็มๆ ภาพตรงหน้าก็เริ่มทำให้ทั้งสองรู้สึกตื่นเต้นแล้ว เห็นทะเลสาบน้ำสีเขียวมรกตแล้ว ความตื่นเต้นไม่ได้อยู่บนทะเลสาบ แต่เป็นบนภูเขาลูกใหญ่ริมทะเลสาบที่สูงเสียดฟ้าทะลุเมฆ

“นางตัวแสบ เจ้าจะตื่นเต้นอะไรนักหนา?”

เมื่อเห็นอวี้หลัวช่าตื่นเต้นดีใจจนกระโดดโลดเต้นถึงขั้นก้าวเข้าไปในทะเลสาบ เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

อวี้หลัวช่าเหล่ตามองอย่างเหยียดหยาม “แผนที่นั้นอยู่ในมือข้ามาหลายร้อยปี เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยศึกษามันเลยเหรอ? บนดาวเคราะห์ดวงนี้ จุดที่ทำสัญลักษณ์วัดไว้มีเครื่องหมายระบุทะเลสาบและยอดเขารูปกรวยตั้งตระหง่านเอาไว้แยกแยะ” นางชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “ถ้าข้าเดาไม่ผิด ทางนั้นมีหุบผาชันอีกแห่งหนึ่ง จุดซ่อนสมบัติก็อยู่ในหุบผาชันนั่นแหละ!”

จุดซ่อนสมบัติ? เหมียวอี้ทำสีหน้าแปลกๆ สงสัยผู้หญิงคนนี้จะยังคิดว่าตนหลอกนาง ยังคิดว่าที่นี่มีที่ซ่อนสมบัติลับของสำนักหนานอู๋

………………

อวี้หลัวช่าแค้นจนกัดฟันกรอด ยามยอดฝีมือสำแดงฤทธิ์ผู้สง่าน่าเกรงขามเผชิญหน้ากับนักพรตบงกชรุ้งต่ำต้อยคนหนึ่ง ก็ยังไม่เคยไร้ความสามารถเช่นนี้มาก่อน นางหันหน้าหนีไม่มองเขา ระบายความเดือดดาลในใจลงในผลไม้ ออกแรงกัดเคี้ยวคำแล้วคำเล่า

เหมียวอี้รู้สึกบันเทิงแล้ว กำลังเดาว่าในใจอีกฝ่ายคงกำลังเดือดแค้น กำลังรอให้ถึงวันที่เขาตกอยู่ในมือนาง แต่เขาไม่ให้โอกาสนั้นกับนางหรอก

นำกระบอกกระดูกสะพายไว้ข้างหลังเหมือนเดิม เหมียวอี้ไม่กล้านอนหลับเช่นกัน กลัวว่าผู้หญิงคนนี้จะลอบโจมตี เขาเริ่มสังเกตและจดจำดวงดาวบนท้องฟ้าเงียบๆ ด้วยความระมัดระวัง ถ้าหลงทางเมื่อไร การเรียงตัวของดวงดาวบนท้องฟ้าก็ยังทำให้แยกแยะทิศทางได้

ทั้งสองนั่งอยู่ข้างกองไฟอย่างนี้ทั้งคืน

วันต่อมาเมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างสลัวๆ เหมียวอี้ก็ปีนขึ้นไปบนยอดเขาและยืนยันตำแหน่งอีกครั้ง แล้วก็เดินลงเขาไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง อวี้หลัวช่าเดินไปข้างหน้าต่อ ทั้งสองไม่ได้หลับตาเลยทั้งคืน เพราะกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะลอบโจมตี

ฝั่งนี้ของภูเขาเป็นป่ารกร้าง พอเดินผ่านป่ารกร้างมาถึงหุบผาชันแห่งหนึ่ง ก็จะพบว่าหินผาที่แหลมราวกับโดนมีดตัดในหุบผาชันนั้นไร้ต้นไม้ใบหญ้า ทุกที่มีแต่หินผาที่แหลมคม เวลาเดินก็ถึงขั้นทำให้ย่ำเท้าลำบากนิดหน่อย อวี้หลัวช่ายังคงตามเหมียวอี้ไปตลอดทาง

เหมียวอี้ใช้กระบี่เคาะหินผาแหลมคมหุบผาชันสองสามที ไม่น่าเชื่อว่าจะคล้ายเสียงโลหะ “แกร๊งๆ” แข็งแรงทนทานมาก

หลังจากเดินออกจากหุบผาชัน ด้านหน้าก็ยังเป็นป่ารกร้าง เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง แต่ไม่เห็นอวี้หลัวช่าตามออกมา

ตอนแรกเหมียวอี้ก็ไม่ได้สนใจอะไร จึงใช้สายตาคาดคะเนทิศทางอีกครั้ง จากนั้นเดินลงไปที่เนินเขาที่เป็นทางออกของหุบผาชัน แต่พอหันกลับมามองอีกครั้งก็ยังไม่เห็นอวี้หลัวช่าออกมา

เหมียวอี้แปลกใจทันที ตามหลักแล้วไม่น่าจะเป็นแบบนี้ เพราะอวี้หลัวช่าไม่รู้ถึงสถานการณ์ของดาวเคราะห์ดวงนี้เลย ไม่รู้ว่าทุกหนึ่งพันปีจะสามารถหนีออกไปได้หนึ่งครั้ง จะเป็นไปได้อย่างไรที่นางจะไม่ตามตนมา?

บางทีอวี้หลัวช่าอาจไม่รู้ ที่จริงเหมียวอี้ก็ต้องการให้นางตามเขาไปเช่นกัน เพราตอนนี้เขาฆ่านางไม่ได้ มีแต่ต้องล่อให้ตามไปตลอดทางจนเจอโอกาสเหมาะถึงจะลงมือได้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าความสามารถของกายหยาบตัวเองจะเอาชนะผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้ เดี๋ยวรอให้อวี้หลัวช่าหมดแรงไปพอสมควร ก็จะถึงโอกาสดีสำหรับลงมือแล้ว

เหมียวอี้ตระหนักได้ถึงความผิดปกติแล้ว รีบกลับไปอีกครั้ง

ตอนที่เข้าใกล้ทางออกของหุบผาชัน เหมียวอี้ก็ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง เฝ้าระแวะระวังในหุบผาชัน กังวลว่าจะมีการซุ่มโจมตี

พอเข้ามาในหุบผาชันอีกครั้งได้ไม่ไกลมาก ก็ได้ยินเสียง “ซาๆๆ” ดังแว่วมาจากข้างใน

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เหมียวอี้เงี่ยหูฟังครู่หนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็แน่ใจได้ว่าเป็นเสียงความเคลื่อนไหวของอวี้หลัวช่า เพราะก่อนหน้านี้ที่เดินผ่านหุบผาชันมาไม่มีเสียงผิดปกติเลยสักนิด นอกจากนางตัวแสบอวี้หลัวช่านั่นแล้วจะเป็นใครไปได้อีก?

เหมียวอี้เดินย่องเข้าไปใกล้จุดเลี้ยวโค้ง ยื่นศีรษะออกไปตรวจดู ตอนยังไม่เห็นก็ไม่รู้ แต่พอเห็นแล้วตกใจมาก

อวี้หลัวช่าไม่ได้ตามเขามาจริงๆ นางเห็นว่าในหุบผาชันมีหินผาแหลมคมอยู่ทุกที จึงเกิดความคิดบางอย่างขึ้นแล้ว พอมองคล้อยหลังเหมียวอี้ออกจากหุบผาชันไป ตัวเองก็กลับเข้ามาอีก จากนั้นถอดกระเป๋าสัตว์ออกมา นั่งบนโขดหินแล้วใช้สองมือดึงกระเป๋าสัตว์ลับบนหินผาแหลมคม

สำหรับนักพรต ขอเพียงใช้อาวุธแหลมคม ก็จะสามารถทำให้กระเป๋าสัตว์ขาดได้ง่ายมาก แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ของธรรมดา ยังคงแข็งแกรงทนทานมากสำหรับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มิติว่างที่สามารถบรรจุของได้เยอะขนาดนั้นมีหรือที่จะขาดได้ง่ายๆ ไม่อย่างนั้นจะจุของได้อย่างไร

ที่ลำบากลำบนขนาดนี้ อวี้หลัวช่าก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วเช่นกัน ไม่สามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์สื่อสารกับงูมังกรในกระเป๋าสัตว์ได้ ก็ไม่สามารถทำให้งูมังกรทำลายกระเป๋าสัตว์แล้วออกมาเองได้ ทำได้เพียงใช้วิธีการโง่ๆ แบบนี้แล้ว

เหมียวอี้ที่แอบดูอยู่เริ่มเบิกตากว้าง ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ว่าในกระเป๋าสัตว์ของอวี้หลัวช่ามีตัวอะไรอยู่ ถ้าปล่อยให้อวี้หลัวช่าเปิดกระเป๋าสัตว์ได้ ปล่อยสัตว์พาหนะงูมังกรออกมาแล้ว อวี้หลัวช่าก็จะมีวิธีหนีออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้

ถึงแม้เขาจะรู้ว่าอวี้หลัวช่าอาศัยกายเนื้อเปิดกระเป๋าสัตว์ให้ขาดได้ยาก แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาหวาดระแวงกลัว ถ้าเกิดสถานการณ์ฝนทั่งให้กลายเป็นเข็มขึ้นมาจะเป็นอย่างไรล่ะ? ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ยอมทิ้งกำไลเก็บสมบัติที่ใส่ทรัพย์สินเอาไว้ แต่ไม่ยอมมอบกระเป๋าสัตว์ให้เขา สงสัยจะมีแผนการหาทางเปิดกระเป๋าสัตว์ตั้งแต่แรกแล้ว

อวี้หลัวช่าก้มหน้าก้มตาพยามยามอย่างหนักขนาดนั้น

เหมียวอี้ถือกระบี่ขึ้นมาแล้ว เขาย่องมาข้างหลังนางอย่างช้าๆ พยายามไม่ส่งเสียงอะไร เตรียมจะใช้กระบี่ฟันอวี้หลัวช่าเงียบๆ

ทว่าคนที่ไต่เต้าถึงตำแหน่งพุทธะหน้าหยกได้ก็ไม่ใช่ไก่อ่อน เป็นไปไม่ได้ที่นางจะลับกระเป๋าสัตว์อยู่ตรงนี้อย่างใจจดใจจ่อ นางคอยระแวดระวังรอบข้างเป็นระยะ

ผลปรากฏว่าพอเงยหน้าขึ้น ก็สบตากับเหมียวอี้ทันที

เหมียวอี้ที่ถือกระบี่เดินย่องเข้าไปตัวแข็งทื่ออยู่กับที่แล้ว ส่วนอวี้หลัวช่าก็ทำสีหน้างุนงง

อวี้หลัวช่าค่อนข้างนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะกลับมา ตามความเห็นของนาง เหมียวอี้น่าจะอยากรีบสลัดนางทิ้ง อยากจะให้นางแก่ตายอยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้เหมียวอี้ก็ทำอย่างนี้ และพูดอย่างนี้แล้วด้วย

อึ้งไปชั่วขณะก็ได้สติกลับมา เจ้าเวรนี่มันอยากสลัดตนทิ้งเสียที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าอยากจะจูงจมูกตนแล้วหาโอกาสเหมาะลงมือทำร้าย ก่อนหน้านี้จงใจพูดและทำอย่างนั้น ชั่วร้ายเกินไปแล้ว!

นางเองก็รู้ว่าเปิดกระเป๋าสัตว์ได้ยาก แต่พอเห็นสภาพแวดล้อมของที่นี่ ทุกที่มีแต่หินแข็งแรงแหลมคม ดังนั้นนางจึงคิดจะลอง ถึงอย่างไรนางก็พอเดาทิศทางคร่าวๆ ที่เหมียวอี้จะไปได้แล้ว นางอยากจะลองดูก่อนว่าได้ผลหรือไม่ ถ้าไม่ได้ผลก็จะตามต่อไป

ใครจะคิดว่าพอลองแล้วจะเกิดปัญหา เหมียวอี้วิ่งกลับมาอีกแล้ว อีกทั้งยังมองเจตนาของนางออกด้วย

ทั้งสองสบตากันอย่างตะลึงงันครู่เดียว

ทันใดนั้น เหมียวอี้ก็พุ่งเข้ามาควงกระบี่ฟันอย่างรวดเร็วดุดัน อวี้หลัวช่ากระโดดหลบแล้วเลี้ยววิ่งหนีทันที

เพื่อที่จะลดภาระบนตัวให้ไล่ตามโจมตีได้สะดวก ของบนตัวที่โยนทิ้งได้เหมียวอี้ก็ทิ้งหมดแล้ว กระบอกกระดูกที่ใส่น้ำ หรือเสบียงอาหารแห้งอะไรก็โยนทิ้งหมด ครั้งนี้เหมียวอี้สู้ตายโดยไม่ยอมปล่อยอวี้หลัวช่าไป ไม่ให้โอกาสอวี้หลัวช่าได้เปิดกระเป๋าสัตว์

อวี้หลัวช่าก็รู้ว่าการกระทำของตัวเองได้ก่อปัญหาแล้ว ทำให้อีกฝ่ายเกิดความคิดจะลงมือฆ่าเต็มที่ รู้ว่าเหมียวอี้ไม่มีทางให้โอกาสนางพลิกสถานการณ์แน่นอน จะต้องฆ่านางให้ได้ ดังนั้นจะทำอย่างไรได้อีกนอกจากหนี?

“นางตัวแสบ อย่าหนีนะ!” เหมียวอี้ที่ไล่ตามอยู่ข้างหลังคำรามอย่างดุดัน

อวี้หลัวช่าไม่หนีก็แปลกแล้ว ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ ฝีมือของตัวเองได้อยู่ในจุดที่ได้เปรียบเลย

ทางในหุบผาชันเดินลำบาก ทุกที่บนพื้นมีก้อนหินแหลมคม ถึงแม้ทั้งสองจะปราดเปรียวว่องไว กระโดดหลบและเลือกวิ่งจุดที่ย่ำเท้าง่ายๆ แต่เวลาที่วิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายและมักพลาดบ่อยแบบนี้ ไม่นานก็ทำให้ฝ่าเท้าของทั้งสองมีเลือดไหลแล้ว

เหมียวอี้ยังดีหน่อย เขามีความเคยชินอย่างหนึ่ง นั่นก็คือกินสมุนไพรเซียนซิงหัวเตรียมไว้จำนวนมากก่อนเสี่ยงอันตราย นี่คือความเคยชินที่เกิดจากการออกไปเสี่ยงชีวิตบ่อยๆ ฤทธิ์ของสมุนไพรเซียนซิงหัวในร่างกายของเขายังไม่หมด

สุดท้ายทั้งสองก็พุ่งออกจากหุบผาชันตามๆ กันไป กลับมาบนทุ่งหญ้าผืนนั้นอีกครั้ง วิ่งอยู่บนทุ่งหญ้าอย่างบ้าระห่ำ

วิ่งไปวิ่งมา พอเวลาผ่านไปนานๆ เข้า กายหยาบคนเราก็เริ่มทนไม่ไหวแล้ว ความเร็วเริ่มลดลงทีละนิด แต่ทั้งสองรักษาระยะห่างระหว่างกันพอสมควร ไม่ได้ทิ้งห่างจากกันเลย และไม่ได้เข้าใกล้กันด้วย

เดิมทีอวี้หลัวช่ายังได้เปรียบ แต่จนใจที่เท้าโดนขูดจนบาดเจ็บแล้ว เหมียวอี้มีฤทธิ์ของสมุนไพรเซียนซิงหัวคอยเยียวยา แต่กระบี่หนักเกินไป

ทั้งสองล้วนมีภาระ

ทั้งสองเริ่มหอบหายใจแรงเหมือนวัว ตอนแรกไม่ยอมหยุด ตอนหลังไม่ยอมปล่อย เปลืองแรงอยู่อย่างนั้นตลอด ความเร็วก็ยิ่งลดลงเรื่อยๆ

“เจ้าไม่ต้องตามแล้ว” อวี้หลัวช่าที่ทนไม่ไหวหันกลับมาตะโกนบอก

“ส่งกระเป๋าสัตว์มา แล้วข้าจะไม่ตามเจ้าแล้ว” เหมียวอี้ก็ประนีประนอมเช่นกัน เป็นเพราะเหนื่อยเกินทนจริงๆ

ส่งกระเป๋าสัตว์ให้เหรอ? อย่าแม้แต่จะคิด! สำหรับอวี้หลัวช่า ตราบใดที่มีกระเป๋าสัตว์อยู่ในมือ ต่อให้ตัวเองจะเปิดไม่ออก งูมังกรในกระเป๋าสัตว์สามารถอยู่อย่างว่านอนสอนง่ายได้นานสุดพันสองพันปี ถ้าโดนขังนานแล้วไม่ถูกเติมพลังงาน มันก็จะทำลายกระเป๋าสัตว์ออกมาแองเช่นกัน และนางก็ไม่รู้สถานการณ์ของที่นี่เลย นางเองก็ไม่ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเหมียวอี้ กระเป๋าสัตว์นี้คือความหวังสุดท้ายของนาง นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมก่อนหน้านี้นางจึงยอมสละทรัพย์สินแต่ไม่ยอมมองกระเป๋าสัตว์ให้เหมียวอี้

อวี้หลัวช่ากัดฟัน แข็งใจเดินต่อไปข้างหน้า

เหมียวอี้ที่หอบหายใจแรงเหมือนวัวก็ไม่ยอมเลิกราเช่นกัน ถ้าปล่อยให้อวี้หลัวช่าหนีไป เมื่ออยากจะตามหานางอีกบนดาวเคราะห์ดวงนี้ก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรแล้ว ต่อให้ตัวเองจะสามารถกลับได้อย่างราบรื่น แต่ถ้าทิ้งอันตรายแฝงเร้นนี้ไว้ ไม่ช้าก็เร็วจะเกิดปัญหาใหญ่ จึงปล่อยนางตัวแสบไปไม่ได้เด็ดขาด ต้องฆ่าทิ้ง!

“เลิกไล่ตามได้แล้ว ข้าให้เจ้า!” จู่ๆ อวี้หลัวช่าก็ตะโกนบอกด้วยเสียงเหนื่อยหอบ นางถอดกระเป๋าสัตว์ตรงเอวออกและโยนออกไป จากนั้นก็วิ่งหนีไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีเจตนาอะไร แต่ก็ยังคิดว่าเอากระเป๋าสัตว์มาก่อนสำคัญที่สุด ถ้าได้กระเป๋าสัตว์มาก็เท่ากับตัดทางหนีทีไล่ของผู้หญิงคนนี้แล้ว เดี๋ยวค่อยไล่ตามทีหลังก็ยังไม่สาย

ทว่ายังไม่ทันรอให้วิ่งไปถึงกระเป๋าสัตว์ เขาก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติแล้ว เขารีบหยุดอยู่กับที่ เห็นเพียงพงหญ้าข้างหน้ามีบางอย่างเคลื่อนไหว หลังของสัตว์ที่มีขนปุกปุยโผล่ออกมาตัวแล้วตัวเล่า จนกระทั่งได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงชัดเจน ถึงรู้ว่าเป็นฝูงหมาป่า แววตาของแต่ละตัวดูหิวโหยดุร้าย เริ่มมาล้อมเขาไว้เป็นรูปใบพัดแล้ว

อวี้หลัวช่าย้อนกลับมาอีกครั้ง นางวิ่งไปทางหุบผาชัน พร้อมทั้งหันกลับมามองทางนี้เป็นระยะ

เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่งเช่นกัน นับว่ายอมใจผู้หญิงคนนี้แล้ว เขาพบว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้รับมือยากธรรมดา นางรับมือยากเกินไปจริงๆ

เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าก่อนหน้านี้อวี้หลัวช่าเห็นฝูงหมาป่าก่อนแล้ว นางรู้สถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ ว่าถ้าอยากจะสู้กับฝูงหมาป่าด้วยมือเปล่านั้นเป็นไปไม่ได้เลย อีกทั้งร่างกายก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า อาจจะวิ่งไม่ชนะฝูงหมาป่าเช่นกัน ดังนั้นนางจึงโยนกระเป๋าสัตว์ที่ก่อนหน้านี้จะเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือออกไป เพื่อให้เหมียวอี้มาล่อฝูงหมาป่าให้ตัวเอง ตัวเองจะได้มีเวลาหนีมากพอ

หลักการก็เรียบง่ายมาก ถ้าแม้แต่ตรงหน้ายังปกป้องชีวิตตัวเองไม่ได้ แล้วเก็บกระเป๋าสัตว์ไว้จะมีประโยชน์อะไรล่ะ?

เหมียวอี้ที่กำลังเผชิญหน้ากับฝูงหมาป่ารู้ว่าตัวเองโดนฝูงหมาป่าล้อมแล้ว จะวิ่งก็วิ่งไม่ชนะพวกมัน เดิมทีก็วิ่งจนเหนื่อยอยู่แล้ว แทบจะวิ่งไม่ไหวแล้ว

ขณะมองหมาป่าหลายสิบตัวที่อยู่รอบๆ เหมียวอี้ก็ถือกระบี่เฉียงไว้ในมือ เริ่มสูดหายใจเฮือกใหญ่ พยายามปรับสภาพร่างกายตัวเองเงียบๆ หลับตาลงช้าๆ พร้อมสัมผัสเสียงลมอ่อนแผ่วบนทุ่งหญ้า

“อะอู๊วว…” น่าฝูงเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า

ในบรรดาฝูงหมาป่าที่ล้อมเหมียวอี้ไว้ จู่ๆ ก็มีสามตัวกระโดดเข้ามาจากสามทิศทาง กระโจนใส่เหมียวอี้แล้ว

เหมียวอี้เปิดร่องตาเล็กน้อย พอเอียงตัวก็หลบหมาป่าตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามาได้ทันที แสงสะท้อนคมกระบี่ในมือวับวาบ เริ่มจากข้างล่างขึ้นข้างบน เขาฟันเอวมันขาดโดยตรง แล้วหมุนตัวกวาดกระบี่ในแนวขวาง เลือดแดงสาดกระจาย หมาป่าอีกสองตัวตกลงพื้นร้องครวญคราง

กลิ่นคาวเลือดโชยออกมาทันที ฝูงหมาป่ากรูกันเข้ามา เหมียวอี้กระโจนตัวหลบ แสงสะท้อนคมกระบี่วับวาบ

รอจนกระทั่งเขาหมุนกระบี่ฟันหัวหมาป่าแล้วยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว หมาป่าที่เหลืออีกไม่กี่ตัวก็ตกใจจนหนีกระเจิดกระเจิงไปแล้ว

เหมียวอี้มองหมาป่าไม่กี่ตัวที่หนีไป แล้วก็มองศพหมาป่าเกือบสิบตัวที่อยู่รอบๆ จากนั้นปักกระบี่ยาวลงบนพื้น หอบหายใจเฮือกใหญ่ เดิมทีก็วิ่งจนเหนื่อยแทบทนไม่ไหวอยู่แล้ว ต้องมาเร่งใช้กำลังกับการต่อสู้สนามนี้อีก กายหยาบของเขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

ทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยเลือด ทั้งหมดแทบจะเป็นเลือดของหมาป่า ตัวเองไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด ฝูงหมาป่าทำร้ายเขาไม่ได้เลย

แม้จะขาดพลังอิทธิฤทธิ์จนทำให้การเคลื่อนไหวช้าลงไม่น้อย แต่ความเร็วก็พอๆ กัน ความเร็วในระยะไกลอาจจะแข่งกันไม่ไหว แต่การตอบสนองในระยะใกล้ยามสู้กับหมาป่าไม่กี่ตัวก็ยังไม่มีปัญหา แน่นอนว่ายังอาศัยคมของกระบี่วิเศษในมือ ถ้าไม่มีกระบี่วิเศษ เกรงว่าวันนี้เขาต้องสิ้นชีพภายใต้คมเขี้ยวฝูงหมาป่าแล้ว

………………

เหมียวอี้วิ่งตามไป สองมือควงกระบี่ฟัน โครม! ต้นไม้ต้นใหญ่อีกต้นล้มลง อวี้หลัวช่าพลิกตัวทะยานไปบนต้นไม้อีกต้นแล้ว

เป็นแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา เหมียวอี้ฟันต้นไม้ไปสิบกว่าต้นต่อเนื่องกันแต่ก็ยังแตะต้องอวี้หลัวช่าไม่ได้แม้แต่ปลายขน จนกระทั่งอวี้หลัวช่ากระโดดไปบนต้นไม้ใหญ่อีกต้นที่ต้องใช้คนห้าหกคนโอบถึงจะมิด เหมียวอี้ฟันหลายครั้งกว่าจะโค่นต้นไม้ล้มได้ กระบี่ที่จมลงในลำต้นแทบจะดึงไม่ออก ตอนนี้เขาดึงได้หยุดมือแล้ว

เขาหอบหายไปพลางเงยหน้ามองอวี้หลัวช่าที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ แล้วตะโกนถามเสียงดัง “นี่เจ้าเป็นแม่ลิงเหรอ?”

อวี้หลัวช่าก้มมองลงมาจากที่สูง “เจ้าเคยเห็นแม่ลิงที่สวยขนาดนี้หรือเปล่าล่ะ?”

เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก “กระโดดไปกระโดดมาเดี๋ยวเจ้าก็เหนื่อยตาย”

“ฟันต่อไปเถอะ ถ้าเก่งนักก็ฟันให้หมดป่า คอยดูซิว่าเจ้าจะเหนื่อยตายหรือเปล่า” อวี้หลัวช่ากล่าว

เหมียวอี้คิดจะฟันให้หมดป่าจริงๆ แต่พอเห็นนางกระโดดแบบนั้น เขาก็มองไปรอบๆ อย่างจนปัญญา มีต้นไม้ส่วนใหญ่ที่แข็งแรงทนทาน บางต้นฟันเป็นร้อยครั้งก็อาจจะไม่ล้มก็ได้ ถ้าออกแรงฟันต่อไปก็อาจจะเหนื่อยตายจริงๆ

เขาสามารถปีนขึ้นไปได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนอยู่บนต้นไม้ตัวเองอาจไม่ปราดเปรียวเท่านาง เวลานางตัวแสบนี่จะปราดเปรียวขึ้นมาก็ราวกับคนไม่มีกระดูก ตอนนี้เขาเพิ่งค้นพบว่าระบำมารสวรรค์ที่อวิ๋นจือฝึกกับระบำมารสวรรค์ที่นางตัวแสบนี่ฝึกต่างกันไม่ใช่น้อยๆ ถ้าตัวเองปีนขึ้นไปก็อาจจะตามแม่ลิงตัวนี้ไม่ทันก็ได้

“อวี้หลัวช่า เจ้าไม่เห็นเหรอว่าบนต้นไม้มีหนอนบุ้งเยอะขนาดไหน?” เหมียวอี้พลันตะโกนถาม

อวี้หลัวช่ามองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวังทันที พอแสดงนิสัยธรรมชาติของผู้หญิงออกมาแล้ว ถึงได้รู้ว่าโดนอุบายตื้นๆ ของอีกฝ่ายขู่ให้ตกใจ นางมองลงใต้ต้นไม้พลางกัดฟันกรอด ผลก็คือพบว่าเหมียวอี้ถือกระบี่เดินออกไปแล้ว

นางกระโดดจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปบนต้นไม้อีกต้นหนึ่งทันที ไล่ตามไปตลอดทาง

เหมียวอี้หันกลับมามองเป็นระยะ เขาไม่ได้สนใจ เดินไปยังจุดที่ตัวเองตกลงมาก่อนหน้านี้ จุดหมายปลายทางหาได้ไม่ยาก เป็นจุดที่มีต้นไม้ล้มเป็นวงกว้าง

พอเจอเหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่ตกกระแทกอยู่บนพื้น ก็พบว่าหัวของมันจมอยู่ในดิน เขาเดินวนพลางเอามือคลำหลายรอบ พบว่ามันตายสนิทแล้ว ไม่มีโอกาสช่วยชีวิตกลับมาได้อีกแล้ว

เขาเงยหน้ามองอวี้หลัวช่าที่นั่งอยู่บนต้นไม้ รู้สึกแค้นจนกัดฟันกรอด เขานำเหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวนี้มาก็เพราะรู้ถึงสถานการณ์ของดาวเคราะห์ดวงนี้ เตรียมจะนำมาเป็นสัตว์พาหนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะตายด้วยน้ำมืออวี้หลัวช่าอย่างนี้ ตอนนี้ตัวเองไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์ไว้พึ่งพาแล้ว ถ้าคิดจะอาศัยพลังเท้าตัวเองเดินตามหา ก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน คนอยู่บนพื้นดินมีขีดจำกัดด้านสายตา แบบนี้ก็ยุ่งยากแล้ว

เดิมทีเขาสามารถนำสัตว์พาหนะที่บินได้มาได้หลายตัว แต่ก็กลัวอวี้หลัวช่าจะสงสัยถึงไม่พกมาด้วย ตั๊กแตนหยินหยางก็ไม่ได้เอามาเช่นกัน

สรุปก็คือครั้งนี้โดนอวี้หลัวช่าทำร้ายเสียยับเยิน โชคดีที่เขาเตรียมตัวไว้ล้ำหน้ากว่าอีกฝ่าย เตรียมตัวป้องกันไว้ล่วงหน้าหลายปีแล้ว

ตอนนี้คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ เหมียวอี้จ้องศพของเหยี่ยวมารวานรยักษ์เงียบๆ พักหนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ ถือกระบี่ฟันขาเหยี่ยวมารวานรยักษ์จนเกิดแผลรอยหนึ่ง อวี้หลัวช่าที่นั่งอยู่บนต้นไม้แปลกใจว่าเจ้าหมอนี่คิดจะทำอะไร จนกระทั่งเห็นเหมียวอี้ใช้กระบี่กรีดเนื้อชิ้นหนึ่งตรงเอวถึงได้เข้าใจ ที่แท้ก็กำลังตุนอาหารนี่เอง เพราะตอนนี้ไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์คอยดูดพลังงานจากฟ้าดินแล้ว ถ้าไม่เติมพลังให้กายเนื้อก็จะอดทนอยู่ได้ไม่นาน

จากนั้นก็ตัดเนื้ออีกหลายชิ้นยัดเข้าปากและเคี้ยวกลืนลงท้อง ไม่ว่าจะดิบหรือไม่ ไม่ว่าจะรสชาติย่แค่ไหน แต่เติมท้องให้อิ่มก่อนแล้วค่อยว่ากัน

พอกินแก้ขัดเหมือนคนยุคดึกดำบรรพ์เสร็จแล้ว เหมียวอี้มองไปรอบๆ แล้วเดินไปทางงยอดเขาลูกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล

รอจนกระทั่งเหมียวอี้เดินออกไปไกลหน่อย อวี้หลัวช่าก็รีบลงมาจากต้นไม้ เดินไปข้างศพเหยี่ยวมารวานรยักษ์ แล้วเริ่มพยามใช้มือฉีกเหมียวอี้ตรงจุดที่เคยตัดเนื้อไว้ นางคิดจะตุนอาหารให้ตัวเองเหมือนกัน ผลปรากฏว่าเนื้อเหยี่ยวมารวานรยักษ์ไม่ได้เหนียวธรรมดา ทั้งยังลื่นเป็นมันด้วย ฉีกไม่ออกเลย สุดท้ายก็ปีนขึ้นไปใช้ฟันกัดเสียเลย

เหมียวอี้ที่คอยระวังตัวอยู่เป็นระยะย่อมเห็นฉากนี้แล้ว เขาหลุดขำอย่างอดไม่ได้ สามารถทำให้พุทธะหน้าหยกผู้สง่าน่าเกรงขามกลายเป็นอย่างนี้ได้ ก็นับว่าตัวเองไม่ขาดทุนแล้ว

อยากจะตุนอาหารเหรอ? เหมียวอี้ทำสายตาลอกแล่ก ในใจเกิดความคิดชั่วร้าย จู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดังว่า “อวี้หลัวช่า เจ้าค่อยๆ กินไปเถอะ ข้านำไปก่อนแล้วนะ” พูดจบก็วิ่งเข้าไปในป่า

อวี้หลัวช่าที่ยังกัดเนื้อไม่ออกแม้แต่คำเดียวเงยหน้ามอง นางทิ้งอาหารทันที ยังกินเนื้อไม่ได้สักคำ รีบตามออกไป

ไม่ไล่ตามไม่ได้หรอก ตอนนี้ไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว ถ้าปล่อยให้เหมียวอี้หนีไปจนหาไม่พบ แล้วนางจะออกจากที่นี่ได้อย่างไรล่ะ จะให้แก่ตายอยู่ที่นี่จริงๆ ไม่ได้ จะต้องจับตาดูเจ้าหนุ่มนั่นไว้ นางไม่เชื่อว่าเหมียวอี้จะมมีหนทางออกจากที่นี่ ตราบใดที่จับตาดูเอาไว้ นางก็จะรู้แล้วว่าเหมียวอี้จะใช้วิธีการไหนหนีออกไป แบบนั้นนางถึงจะมีหนทางออกไป

เหมียวอี้พกกระบี่หนักบนตัว ทั้งยังมีเนื้อชิ้นใหญ่ห้อยพะรุงพะรัง เดิมทีก็ไม่ปราดเปรียวเท่าอวี้หลัวช่าอยู่แล้ว ไม่นานนางก็ไล่ตามทัน

เหมียวอี้หันกลับมามองแวบเดียว เห็นอวี้หลัวช่าที่ไม่ได้กินเนื้อสักคำ แต่กลับหน้าเปื้อนเลือดแดงจนเสียภาพพจน์หมดแล้ว เหมียวอี้ก็หัวเราะจนเจ็บท้อง

อวี้หลัวช่าเองก็ไม่เปลืองแรงกับการขึ้นต้นไม้อีก เพียงตามเหมียวอี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ไม่ว่าเหมียวอี้จะไปไหน นางก็จะตามไปที่นั่น

ตอนนี้นางไม่มีท่าทีว่าจะลงมือกับเหมียวอี้ ก่อนหน้านี้ลงมือกับเขาก็เพราะคิดว่าฝีมือตัวเองไม่เลวและสามารถควบคุมเขาได้ แต่หลังจากประมือกันถึงได้พบว่าอีกฝ่ายเหมือนจะห้าวหาญกว่าตอนมีพลังอิทธิฤทธิ์เสียอีก ต่อให้ทั้งสองคนต่างก็ไม่ใช้อาวุธ แต่เวลาต่อสู้กันขึ้นมา นางก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมียวอี้ก็ได้ มิหนำซ้ำเหมียวอี้ยังมีกระบี่วิเศษช่วยเสริมอีก

สุดท้ายเหมียวอี้ก็ปีนขึ้นไปบนยอดเขาเป้าหมาย เขาทอดสายตามองไปโดยรอบ หันกลับมามองจุดที่เหยี่ยวมารวานรยักษ์ตก จากนั้นมองดวงอาทิตย์บนฟ้าอีกครั้ง นึกเชื่อมโยงกับสภาพพื้นที่ที่ตัวเองเห็นตอนอยู่บนท้องฟ้า แล้วนึกย้อนตำแหน่งของสถานที่ผนึกที่อยู่ในความทรงจำรอบหนึ่ง ไม่นานก็ได้ตำแหน่งคร่าวๆ แล้ว

สายตาเขามองไปยังทิศทางที่ตัดสินได้คร่าวๆ ใช้ระยะทางไม่ไกลมากก็สามารถเดินออกจากป่าผืนนี้ได้แล้ว นอกป่าเหมือนจะมีทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งด้วย

หลังจากยืนยันยอดเขาอีกไม่กี่แห่ง ในหัวก็กำหนดตำแหน่งได้แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หลงทางในป่า เขาทอดสายมองไปยังตำแหน่งที่สะดุดตาตรงปลายสุดของทุ่งหญ้าอีก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองเดินเบี่ยงออกจากเส้นทาง เขาถึงได้ลงจากยอดเขาแล้วเดินไปข้างหน้าต่อ

อวี้หลัวช่าก็ตามติดไม่ห่างเลยจริงๆ ตามต่อไปในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกล ตรงหน้ามีเหมียวอี้โบกกระบี่เบิกทาง นางที่ตามหลังไปก็สบายขึ้นไม่น้อย

มีน้ำตกและน้ำพุ เหมียวอี้เด็ดใบไม้ใบใหญ่ห่อเป็นชามเพื่อตักน้ำดื่มดับกระหาย อวี้หลัวช่าที่ตามหลังมาก็เลียนแบบเขาบ้าง

เมื่อเจอผลไม้ป่าที่ไม่รู้จักชื่อม เห็นว่าสัตว์เล็กกินได้ อวี้หลัวช่าก็ปีนขึ้นไปเด็ดแล้วห่อไว้ในกระโปรงทันที เดินไปด้วยกินไปด้วย เหมียวอี้ที่หันกลับมามองเป็นครั้งคราวรู้สึกขำ พบว่าผู้หญิงคนนี้ฉลาดจริงๆ ด้วย นึกถึงภาพที่นางถอดเสื้อผ้าบินอยู่บนฟ้า แล้วก็ภาพที่กระโดดขึ้นต้นไม้อีก เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน ต้องยอมรับว่าผู้หญิงคนนี้มีความสามารถในการปรับตัวไม่ธรรมดา ไม่แปลกใจที่ไต่เต้าขึ้นตำแหน่งพุทธะหน้าหยกได้

ระหว่างทางบางครั้งก็จะเจอสัตว์ป่าดุร้าย อวี้หลัวช่าหนีขึ้นไปหลบบนต้นไม้ทันที รอจนเหมียวอี้โบกกระบี่ฆ่าทิ้งแล้วถึงได้ลงมา

เดินเท้าได้เกือบสองชั่วยามเต็มๆ ทั้งสองถึงได้เดินตามกันขึ้นไปบนป่าภูเขา ข้างหน้าเป็นทุ่งหญ้ากว้างโล่งแห่งหนึ่ง มีเพียงจุดไกลๆ ที่สามารถมองเห็นยอดเขาได้รางๆ

เหมียวอี้หันกลับมามอง เห็นว่าในที่สุดอวี้หลัวช่าก็ไม่มีป่าให้หลบแล้ว มุมปากเขาก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ

จู่ๆ บนทุ่งหน้าก็มีเสียงวิ่งตะบึง ทั้งสองพากันหยุด เห็นเพียงอาชามังกรฝูงหนึ่งวิ่งตะบึงอย่างอิสระอยู่ไม่ไกล

ที่นี่มีอาชามังกรด้วยเหรอ? เหมียวอี้ดีใจทันที ราวกับได้เห็นพลังเท้า แต่จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนอีก เพราะตัวเองไม่สามารถควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ได้ ถ้าอยากจะสยบอาชามังกรก็เป็นการรนหาที่ตายจริงๆ ถ้ามีพลังอิทธิฤทธิ์มาสยบอาชามังกร ก็แสดงว่าไม่จำเป็นต้องไปควบคุมอาชามังกรแล้ว เพราะตัวเองสามารถเหาะได้

ตอนนี้เขาเริ่มคิดถึงเฮยทั่นแล้ว ถ้ามีเจ้าอ้วนมาเป็นพลังเท้าก็จะสบายขึ้นแน่นอน ไม่รู้เหมือนกันว่าเฮยทั่นที่อยู่แดนมรณะดึกดำบรรพ์จะเป็นอย่างไรบ้าง

ชายหญิงคู่นี้มองอาชามังกรตาเป็นมันอยู่ไกลๆ แค่มองเฉยๆ ก็พอ อย่างอื่นไม่ต้องไปคิดถึงแล้ว ทั้งสองเดินทางไปข้างหน้าต่อ

จนกระทั่งสีของท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นใกล้ค่ำ จู่ๆ เหมียวอี้ก็ไม่เดินต่อแล้ว อวี้หลัวช่าก็หยุดแล้วเช่นกัน เพียงแต่อวี้หลัวช่าเบิกตากว้างขึ้นหลายส่วน หันเลี้ยวแล้ววิ่งหนีทันที

“คอยดูซิว่าตอนนี้เจ้าจะหนีไปไหนได้อีก!” จู่ๆ เหมียวอี้ก็หันตัวมา หัวเราะเสียงแปลกๆ แล้วถือกระบี่ไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง

ทั้งสองวิ่งไล่กันบนทุ่งหญ้าที่สูงต่ำไม่เสมอกัน

ไล่ตามกันนานมาก ท้องฟ้าใกล้จะเป็นสีดำแล้ว เหมียวอี้ก็ยังไล่ตามอวี้หลัวช่าไม่ทัน ผู้หญิงคนนี้ร่างกายปราดเปรียวมากทีเดียว วิ่งได้เร็วกว่าเขาเสียอีก ไม่ใช่แค่ตามไม่ทัน ระยะห่างระหว่างทั้งสองทิ้งห่างกันเรื่อยๆ ด้วย

สุดท้ายเหมียวอี้กักกระบี่ยาวลงพื้นพลางหอบหายใจ เขาไม่ไล่ตามแล้ว ทางอวี้หลัวช่าก็เหมือนจะเหนื่อยแล้วเช่นกัน ไม่หนีแล้ว

“มารดาเจ้าเถอะ นับว่าเจ้าโหด!” เหมียวอี้ที่ค่อยยังชั่วแล้วโบกกระบี่ชี้อวี้หลัวช่าพร้อมตะโกนด่า จากนั้นเล็งทิศทางแล้วไปข้างหน้าต่อ

ระหว่างทางเจอลำธารสายหนึ่ง เหมียวอี้ก็นั่งยองๆ ใช้สองมือวักดื่ม จากนั้นยืนขึ้นแล้วก็เดินไปข้างหน้าต่อ อวี้หลัวช่าที่ตามมาข้างหลังทำตามอีกครั้ง

เหมียวอี้เดินไปข้างหน้าได้ไม่ไกล บังเอิญเจอโครงกระดูกของสัตว์อะไรสักอย่างที่ไม่รู้จัก พอเดินกลับไปแล้วก็ถอยกลับมาอีก แล้วหยิบกระดูกต้นขาขึ้นมา ใช้กระบี่วิเศษเจาะให้เป็นรูหนึ่งรู แล้วเริ่มเดินกลับมาข้างหลัง

อวี้หลัวช่าไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร จึงหลบไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย

เหมียวอี้กลับมาที่ลำธารอีกครั้ง แช่กระดูกต้นขาลงในน้ำ ตรงรูที่เจาะไว้มีฟองอากาศลอยออกมา หลังจากใส่น้ำไว้ครึ่งหนึ่งแล้ว ก็ออกแรงเขย่าให้มันพุ่งขึ้นมา แล้วเทน้ำสกปรกข้างในรดต้นหญ้า เขาทำซ้ำอย่างนี้หลายครั้ง จนกระทั่งน้ำที่เทออกมาเปลี่ยนเป็นสีใส เขาถึงได้กรอกน้ำจนเต็มอีกครั้งแล้วขยุ้มกองหญ้ามาอุดไว้ จากนั้นถอดผ้าคาดเอวมัดกระดูกต้นขาที่เติมน้ำจนเต็มคาดไว้ข้างหลัง เสร็จแล้วเดินทางไปข้างหน้าต่อ

อวี้หลัวช่าเข้าใจเจตนาของเขาแล้ว แต่นางก็ได้แค่มองตาปริบๆ เพราะในมือตัวเองไม่มีอุปกรณ์นี้

ฟ้ามืดแล้ว เห็นดาวแล้ว ทั้งสองยังคงเดินตามกันไปบนทุ่งหญ้า

จนกระทั่งเดินมาถึงภูเขาใหญ่จุดหมายที่กำหนดไว้ เหมียวอี้ที่เดินขึ้นมาถึงกลางไหล่เขาถึงได้หยุด ฟ้ามืดแล้วมองเห็นไม่ชัด เมื่อไม่แน่ใจเป้าหมายถัดไปก็ไม่สะดวกจะเดินต่อ ไม่อย่างนั้นอาจจะเดินออกนอกเส้นทางได้

เมื่อหาสถานที่หลบลมเจอแล้ว เขาก็ตัดกิ่งไม้แห้งมานิดหน่อย แล้วเจาะไม้จุดไฟ สุมไฟกองหนึ่งขึ้นมา เขานั่งอยู่ข้างกองไฟ หลังจากน้ำเนื้อที่พกมาด้วยย่างจนสุกแล้ว ก็หั่นเป็นชิ้นกินเติมลงกระเพาะ ส่วนที่เหลือก็วางตากไว้ข้างกองไฟ ยังไม่รู้ว่าต้องเดินทางอีกนานแค่ไหน ต้องเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าสักหน่อย

อวี้หลัวช่าก็ก่อกองไฟเช่นกัน นั่งข้างกองไฟและจ้องเหมียวอี้ที่อยู่ทางนี้ นางกำลังดมกลิ่นเนื้อ ขณะมองเหมียวอี้กินเนื้ออยู่ตรงนั้น นางก็แอบกลืนน้ำลายเบาๆ แล้วหยิบผลไม้ในกระโปรงออกมากัดกิน

เหมียวอี้ที่กินอิ่มแล้วถอนกระบอกกระดูกข้างหลังออกมาดื่มน้ำไม่กี่อึก ถึงแม้น้ำที่แช่อยู่ข้างในจะเปลี่ยนรสชาติจนไม่ค่อยดีเท่าไร แต่เขาก็ยังหัวเราะใส่อวี้หลัวช่าอย่างยั่วยุอารมณ์

………………

ยังเป็นนางที่พูดถูกจุดสำคัญ เหมียวอี้เองก็ต้องยอมรับ ว่าผู้หญิงคนนี้มองเบาะแสมากมายออกตั้งแต่แรกแล้ว ทุกครั้งที่นางตัดสินล้วนแม่นยำ เล็งโดนปัญหาของเหมียวอี้ทุกครั้ง แต่สาเหตุที่ทำให้เดินมาถึงครั้งนี้ ก็เพราะอวี้หลัวช่าเองไม่อาจหลุดพ้นจากความยั่วยวนของสมบัติลับสำนักหนานอู๋ ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้ก็ไม่มีทางล่อนางมาถึงที่นี่ได้เลย

เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ออกได้หรือไม่ได้แล้วยังไงล่ะ ที่นี่ออกจะดี ไม่มีบุญคุณความแค้น เหมาะให้เจ้าพักผ่อนยามชรา”

คำว่า ‘พักผ่อนยามชรา’ เหมือนจะยั่วอารมณ์นางอยู่บ้าง เพราะเป็นผู้หญิง ไม่มีใครไม่ชอบให้ตัวเองไปเกี่ยวข้องกับความแก่ชรา นางขยับตัวด้วยสีหน้าโกรธจัด ทำท่าจะลงมือ

เหมียวอี้ยกกระบี่วิเศษในมือขึ้นมาชี้ กดดันให้นางหยุดแล้ว

ขณะมองกระบี่วิเศษแหลมคมในมือเหมียวอี้ นางก็มองกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือตัวเองโดยจิตใต้สำนึก ตอนนี้เอาอะไรออกมาไม่ได้ทั้งนั้น นางจึงข่มความโกรธพร้อมเอ่ยถาม “เจ้าอยากจะโดนขังตายอยู่ที่นี่จริงเหรอ?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ถ้าจะให้บอกวิธีการกับเจ้า ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ก็มีเงื่อนไขนิดหน่อย”

“เงื่อนไขอะไร?” อวี้หลัวช่าถาม

เหมียวอี้ชี้คมกระบี่ไปที่ของจำพวกกำไลเก็บสมบัติและกระเป๋าสัตว์ “ถ้าเจ้ายอมมอบของทั้งหมดบนตัวเจ้าให้ข้า ข้าก็จะลองพิจารณาดู”

อวี้หลัวช่าสีหน้าเย็นเยียบ “ถ้าข้าไม่ให้เจ้าล่ะ?” ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ นางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย ของบนตัวคือหลักประกันสุดท้าย ถึงแม้ตอนอยู่ที่นี่นางจะไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์เรียกของออกมาได้ แต่อย่างน้อยถ้ายังมีของพวกนี้อยู่ ก็สามารถคิดหาวิหาวิธีการได้

ยิ่งไปกว่านั้นนางก็เข้าใจดี ว่าถ้าส่งของให้อีกฝ่ายจริงๆ เกรงว่าอีกฝ่ายก็ยิ่งไม่ให้นางรอดชีวิตออกไป

“เจ้าก็ต้องให้ผลประโยชน์ข้าสักหน่อยสิ ไม่อย่างนั้นข้าจะบอกเจ้าทำไมล่ะ?” เหมียวอี้ถาม

“ถ้าให้ผลประโยชน์เจ้า เจ้าจะยอมบอกเหรอ?” อวี้หลัวช่าถาม

“แน่นอน!” เหมียวอี้ตอบ

“ข้าจะรู้ได้ไงว่าเจ้าพูดจริงหรือเปล่า?” อวี้หลัวช่าถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “ลองเดิมพันกันดูสักตั้งก็ได้”

อวี้หลัวช่าเงียบไปครู่เดียว แล้วก็ยกมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างคว้ากำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งบนข้อมือเอาไว้ จากนั้นรูดออก แล้วโยนเข้ามาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ตอนนี้นางเก็บกำไลเก็บสมบัติไว้ก็ไม่มีประโยชน์ นอกเสียจากจะแย่งกระบี่วิเศษผลึกแดงมาจากมือเหมียวอี้ได้ ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่มีทางนำของข้างในออกมาได้เลย รอให้จัดการเหมียวอี้ได้ก่อน เดี๋ยวก็ได้กำไลเก็บสมบัติกลับมาเอง ดังนั้นนางจึงให้โดยไม่ลังเล แต่กระเป๋าสัตว์กลับไม่ยอมให้ คนที่อยู่ระดับนาง เวลาจะทำอะไรสักอย่างก็เด็ดขาดที่สุด

เหมียวอี้รับของมาไว้ในมือ พลิกดูไปมา กำลังคิดว่าในนี้มีของล้ำค่ามากมายเท่าไรกันแน่ ของติดตัวพุทธะหน้าหยกผู้น่าเกรงขามคงจะมีมูลค่าไม่น้อย เขารู้สึกบันเทิงแล้ว ถือโอกาสสวมกำไลเก็บสมบัติไว้บนข้อมือตัวเอง แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “ข้าเป็นคนรักษาคำพูด ที่จริงวิธีการออกไปจากที่นี่ก็ไม่ซับซ้อนเลย เจ้าอยากรู้จริงเหรอ?”

“อย่าเปลืองคำพูด ผลประโยชน์ก็ได้ไปแล้ว บอกมา!” อวี้หลัวช่าสั่ง

เหมียวอี้ยิ้มตอบ “ที่จริงแล้วไม่มีสมบัติลับสำนักหนานอู๋อะไรนั่นเลย หรืออาจจะมีก็ได้ แต่ข้ากลับไม่เคยได้ยินเรื่องสมบัติลับสำนักหนานอู๋อะไรมาก่อน ตอนแรกที่เม่ยจีมาหาข้า นางมาถามข้าเรื่องนี้ ข้าเลยได้ยินมาบ้างนิดหน่อย เลยถือโอกาสเอาเรื่องสมบัติลับสำนักหนานอู๋มาทดสอบสักหน่อย ใครจะคิดว่าข้าจะทดสอบแม่นแล้ว”

อวี้หลัวช่าขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอนแรกเม่ยจีไม่ได้รายงานนาง ว่าตัวเองเคยพูดอะไรกับเจ้าหนุ่มนี่หรือสร้างช่องโหว่อะไรไว้บ้าง นางยืนยันไม่ได้ เม่ยจีตายไปแล้ว ตัวเองไม่รู้จะพิสูจน์จากตรงไหน “เป็นไปไม่ได้ อายุของแผนที่ซ่อนสมบัติน่ะ ข้ามองปราดเดียวก็รู้แล้ว ไม่เหมือนของปลอมแน่นอน แล้วเรื่องที่เจ้าไปปัดกวาดซากสำนักหนานอู๋ที่ดาวพิษ เจ้าจะอธิบายยังไง?”

เหมียวอี้ตอบปนเสียงหัวเราะ “ข้าไปที่ซากสำนักหนานอู๋จริงๆ แผนที่นั่นข้าก็หามาจากซากสำนักหนานอู๋ แต่แผนที่นี้กลับไม่เกี่ยวอะไรกับสมบัติลับ เป็นของที่อสุราอัคนีซ่อนไว้ที่สำนักหนานอู๋ในปีนั้น ข้าก็แค่เอาออกมาก็เท่านั้นเอง”

อวี้หลัวช่าแววตาวูบไหว “ไม่ใช่แผนที่ซ่อนสมบัติ แล้วมันคืออะไรล่ะ?”

“เจ้าเดาออกแล้วไม่ใช่เหรอ?” เหมียวอี้ถาม

“ข้าเดาออกแล้วเหรอ?” อวี้หลัวช่าไม่เข้าใจ

เหมียวอี้หัวเราะร่าพักหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างชัดเจนว่า “สถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป!”

“…” อวี้หลัวช่าเบิกตากว้าง สูดหายใจลึกด้วยความตกใจ ในดวงตาถึงขั้นฉายแววหวาดกลัว มองไปรอบๆ โดยจิตใต้สำนึก

สำหรับคนส่วนใหญ่ในใต้หล้า พระปีศาจหนานโปเป็นเพียงตำนานช่วงหนึ่งในอดีตเท่านั้น ต่ำหรับบุคคระดับสูงของตำหนักสวรรค์และแดนพุทธ พระปีศาจกลับเป็นความน่าสะพรึงกลัวที่สลักลึกลงกระดูกฝังลึกจงจิตใจอย่างแท้จริง ฝังใจจนทำให้พวกเจาตัวสั่นได้ พระปีศาจหนานโปคือตัวละครที่สามารถมองพวกเขาเป็นมดตัวเล็ก จะราชันสวรรค์หรือประมุขพุทธะก็ล้วนเป็นเรื่องน่าขำในสายตาพระปีศาจหนานโปทั้งนั้น แล้วจะนับประสาอะไรกับอวี้หลัวช่า ขนาดตอนสำนักหนานอู๋รุ่งเรืองยังถูกพระปีศาจหนานโปทำลายเลย แล้วนางอวี้หลัวช่าล่ะเป็นตัวอะไร?

ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าอวี้หลัวช่าจะหายจากอาการตกตะลึง “อย่ามาหลอกข้า เกี่ยวอะไรกับวิธีการออกไปจากที่นี่?”

เหมียวอี้บอกว่า “แน่นอนว่าเกี่ยวข้องกัน กองทัพองครักษ์ส่งกำลังพลกลุ่มใหญ่มาค้นหาแล้วไม่ใช่เหรอ? ดูจากสถานการณ์แล้ว ไม่ช้าก็เร็วจะต้องค้นหาเจอที่นี่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเดือนไหนปีไหนก็เท่านั้นเอง ขอเพียงพวกเขามาเจอ เจ้าก็ย่อมมีโอกาสหนีออกไปจากที่นี่ได้”

ใบหน้าไร้เดียงสาของอวี้หลัวช่าเริ่มบูดบึ้ง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “เจ้าล้อข้าเล่น!”

เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ในเมื่อมาที่นี่แล้ว เจ้ายังคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้ารอดออกไปอีกเหรอ?”

ประโยคนี้ได้ทำลายความจอมปลอมชั้นสุดท้ายระหว่างทั้งสองคนโดยสิ้นเชิงแล้ว ทุกคนไม่ต้องแสดงละครต่ออีกแล้ว

อวี้หลัวช่ากวาดสายตาเย็นเยียบมองกระบี่วิเศษในมือเขา แล้วรีบชำเลืองซ้ายขวา จู่ๆ ก็ดึงกระโปรงยาวม้วนใต้หว่างขา หันตัววิ่งตะบึงพุ่งไปตรงหน้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง กระโดดเหยียบต่อเนื่องกัน เหยียบลำต้นแล้วพุ่งขึ้นสูงสองจั้ง ยื่นมือดึงเถาวัลย์ที่เลื้อยอยู่บนต้นไม้ใหญ่แล้วกระโดดลงมาอีกครั้ง

เถาวัลย์เส้นหนึ่งถูกนางดึงลงมาแล้ว สุดท้ายก็ทนรับแรงตอนนางตกลงพื้นไม่ไหว เถาวัลย์ขาดแล้ว

การดึงเถาวัลย์เพื่อผ่อนแรงทำให้นางตกพื้นเบาลง ตามติดด้วยเสียงเถาวัลย์ดั้งเปรี๊ยะๆ อวี้หลัวช่าเคลื่อนไหวเถาวัลย์ในมือราวกับเป็นแส้เส้นหนึ่ง ข้างหลังยังลากมายาวมากด้วย แส้เถาวัลย์ที่ร่อนมาตรงหน้าประชิดเข้าไปหาเหมียวอี้อย่างรวดเร็ว

กระบี่วิเศษในมือเหมียวอี้ฟันตัดสลับกัน มีเสียงฉึบฉับดังไม่หยุด เถาวัลย์ถูกฟันขาดปลิวว่อนอย่างต่อเนื่อง แม้ความเร็วจะเทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้ แต่ความเร็วของอีกฝ่ายก็เทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้เช่นกัน แม้เหมียวอี้จะไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์สนับสนุน แต่พลังสายตาก็ยังไม่ธรรมดา พื้นฐานที่เกิดจากเหล่าไป๋บังคับให้ฝึกโหดบนเกาะในปีนั้นก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน

ขณะที่อวี้หลัวช่าโบกแส้เถาวัลย์รุกโจมตีไม่หยุด จู่ๆ นางก็งอเท้าไปข้างหลัง แล้วใช้ขายาวกวาดไปที่ผิวดิน เถาวัลย์ที่ลากอยู่ข้างหลังถูกนางใช้เท้าเลิกขึ้นมา นางเตะเถาวัลย์ม้วนออกไปหาเหมียวอี้ มือข้างบนไม่หยุดเคลื่อนไหว เท้าข้างหนึ่งเปลี่ยนเป็นงอขยับเถาวัลย์ได้คล่องแคล่วตามใจนึก เรียกได้ว่ารุกโจมตีทั้งข้างบนข้างล่างพร้อมกัน โจมตีจนเหมียวอี้ฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก

เหมียวอี้ทึ่งไม่หยุด นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะสามารถนำเถาวัลย์ธรรมดามาใช้ได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้

ชั่วขณะที่ไม่ทันระวัง สองเท้าของเหมียวอี้ตึงทันที ถูกอวี้หลัวช่าใช้เท้าหวดแส้เถาวัลย์มามัดสองเท้าไว้แล้ว

อวี้หลัวช่าใช้เท้าข้างเดียวเกี่ยวเถาวัลย์ไปเหยียบไว้ข้างหลังทันที ชั่วพริบตานั้นเหมียวอี้ใจไม่นิ่ง ทั้งยังต้องหลบการโจมตีจากข้างบนอีก จึงล้มลงพื้นเสียเลย

อวี้หลัวช่าหยุดเคลื่อนไหวสองมือ แล้วกลิ้งไปที่พื้น จากนั้นใช้สองมือคว้าเถาวัลย์บนพื้นขึ้นมาอีก ลากวิ่งไปเสียเลย

ซวบ! เหมียวอี้ที่ถูกมัดเท้าสองข้างโดนลากไปตลอดทาง ใช้กระบี่ยาวปักพื้นแต่ก็ต้านไม่ไหว การที่กระบี่วิเศษคมเกินไปก็มีข้อเสียเหมือนกัน ผิวดินถูกขูดจนเป็นรอย

ตอนที่เหมียวอี้กำลังจะชักกระบี่ฟันเถาวัลย์ที่มัดขา อวี้หลัวช่าก็หมุนตัวพร้อมควงแขน สะบัดทั้งตัวเหมียวอี้ขึ้นมา สะบัดร่างเหมียวอี้ไปกระแทกต้นไม้ใหญ่เหมือนเป็นตัวอะไรสักอย่าง

เหมียวอี้ง้างตัวขึ้นขณะลอยอยู่กลางอากาศ ฟันเถาวัลย์ที่มัดสองขาจนขาดภายในกระบี่เดียว แผ่นหลังของร่างที่ง้างขึ้นแฉลบผ่านลำต้นไป เขารีบโบกแขนโอบลำต้นเอาไว้ แรงเฉื่อยทำให้ทั้งตัวโอบหมุนรอบต้นไม้รอบหนึ่ง แต่กลับพบว่ากระบี่ในมือตึงแน่น เพราะถูกอวี้หลัวช่าสะบัดแส้เถาวัลย์มามัดมือไว้แล้ว

เหมียวอี้กอดลำต้นไว้แน่น สองขาหนีบลำต้นเอาไว้แน่น อวี้หลัวช่าใช้สองแขนดึงเถาวัลย์ ทำให้เถาวัลย์ที่อยู่ระหว่างทั้งสองคนตรึงเป็นเส้นตรง

ทั้งสองต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน คนหนึ่งอยู่ล่างคนหนึ่งอยู่บน ประลองพละกำลังกันอยู่อย่างนั้น

“นึกไม่ถึงเลยจริง ขนาดสาวสวยไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์สนับสนุน แต่ร่างกายยังปราดเปรียวได้ขนาดนี้เชียว” เหมียวอี้ที่เกาะต้นไม้ยังมีอารมณ์มาล้อเล่น

ที่จริงอวี้หลัวช่าไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์ที่น่ากลัวนั่นสนับสนุนแล้ว เหมียวอี้ไม่กลัวนางเลยจริงๆ

อวี้หลัวช่าที่ดึงเถาวัลย์ไว้แน่นแสยะหัวเราะ “ถ้าแม้แต่ความปราดเปรียวนี้ยังไม่มี เจ้าคิดว่าข้าฝึกระบำมารสวรรค์มาให้สูญเปล่าเหรอ? การตอบสนองที่ว่องไวของหน้าภาคหนิวต่างหากที่ทำให้พุทธะผู้นี้รู้สึกผิดคาด”

เหมียวอี้ตอบกลั้วเสียงหัวเราะ “ที่แท้ระบำมารสวรรค์ก็มีประโยชน์อย่างนี้นี่เอง ข้าก็นึกว่าระบำมารสวรรค์เอาไว้ล่อผู้ชายมานอนด้วยเฉยๆ เสียอีก เออใช่ อวี้หลัวช่า ทั้งชีวิตนี้เจ้านอนกับผู้ชายมาแล้วกี่คนกันแน่ หนึ่งพัน? หนึ่งหมื่น? หรือว่าหนึ่งแสน? บอกจำนวนให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อยเถอะ”

อวี้หลัวช่าตอบว่า “ทำไมล่ะ? เจ้าอยากจะมาเป็นขุนนางใต้กระโปรงพุทธะผู้นี้เหมือนกันเหรอ? ขอแค่เจ้าเชื่อฟังแต่โดยดี ข้ารับรองว่าจะทำให้เจ้าไม่เสียชาติเกิดแน่”

“สกปรกเกินไป ไม่ต่างอะไรกับกระโถน ไม่สนใจเลยจริงๆ” เหมียวอี้หัวเราะลั่น

“ปากดีไปเถอะ อีกประเดี๋ยวคอยดูว่าเจ้าจะร้องไห้ยังไง!” อวี้หลัวช่ากล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบ

“แต่กระบี่วิเศษในมือเหมียวคมกว่านะ!” เหมียวอี้พลันตะโกน ใช้สองเท้าถีบบนลำต้นกระโจนขึ้นฟ้าโดยตรง จากนั้นใช้กระบี่ฟันเถาวัลย์บนข้อมือจนขาด

เงาแส้ในมืออวี้หลัวช่าสะบัดอย่างว่องไว รีบโจมตีไปทางเหมียวอี้ที่โผเข้ามา

“ขาด!” เหมียวอี้ที่ทะยานขึ้นมาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด สองมือถือกระบี่ฟันรัวๆ ฟันเส้นเถาวัลย์จนปลิวว่อน ใช้วิธีการโจมตีแบบออกแรงคนเดียวเอาชนะสิบคน

แสงสะท้อนคมกระบี่วับวาบเข้ามา อวี้หลัวช่ารีบถอยหลัง เหมียวอี้ที่ตกพื้นกลิ้งใช้กระบี่ฟันไปที่ขาสองข้างของนาง แต่นางพลิกตัวหลบไปข้างหลัง ร่างกายยืดหยุ่นปราดเปรียวเหลือเชื่อ เขาลุกขึ้นมาและไม่ให้โอกาสนางพักหายใจ ถือกระบี่ไล่ตามสังหารไปตลอดทาง

อวี้หลัวช่าพุ่งมาตรงหน้าต้นไม้ใหญ่แล้วย่ำเท้าถีบต่อเนื่องกัน นางไต่ขึ้นไปตามต้นไม้อย่างรวดเร็ว แล้วใช้มือดึงกิ่งไม้เอาไว้ สองขาที่ทะยานขึ้นฟ้ากางออกเป็นเส้นตรง หลบกระบี่ที่เหมียวอี้กระโดดฟันขึ้นมา นางงอท้องขึ้นด้วยร่างกายที่ยืดหยุ่นมาก สองเท้ายืนเหยียบอยู่บนกิ่งไม้ คว้ากิ่งไม้ข้างบนแล้วกระโดดขึ้นไปอีกครั้ง

เหมียวอี้ที่กระโดดตกลงพื้นควงกระบี่ฟันต้นไม้ใหญ่ แสงสะท้อนคมกระบี่วับวาบ ต้นไม้ใหญ่โค่นล้ม ทำให้อวี้หลัวช่าที่อยู่บนต้นไม้ล้มลงไปด้านข้าง และชั่วพริบตาที่ล้มลง อวี้หลัวช่าก็กระโจนตัวขึ้นมาอีกครั้ง แสดงเรือนร่างอันงดงามกลางอากาศ ยื่นแขนไปคว้ากิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างกัน นางเหมือนลิงตัวหนึ่ง ขยับหนีไปบนต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่งแล้ว

รอบนี้ท่านขุนนางเหมียวตะลึงค้างของจริง ไม่ได้ตะลึงเพราะความงามและเรือนร่างที่ทำให้เลือดลมชายสูบฉีด แต่ตะลึงเพราะวิธีการบินของอวี้หลัวช่า เคยเห็นคนโหดมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครโหดขนาดนี้ ยังบินแบบนี้ได้อีกเหรอ?

เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนที่ถอดเสื้อผ้าบิน ผู้หญิงคนหนึ่งถอดเสื้อผ้าบินอยู่บนฟ้า ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ช่างเข้าใจเล่นจริงๆ!

ความคิดเหลือเชื่อต่างๆ นานา พรั่งพรูขึ้นในใจ เหมียวอี้ค่อนข้างตกใจ ที่สำคัญคือไม่เคยเห็นจริงๆ เขาไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าทำแบบนี้แล้วบินได้จริงๆ หรือนางมีพลังอิทธิฤทธิ์เป็นพื้นฐาน ถ้าเป็นอย่างหลัง เช่นนั้นก็เกิดปัญหาแล้ว

อวี้หลัวช่ายิ่งบินยิ่งเขามาใกล้ ใกล้จนทั้งสองฝ่ายเห็นสีหน้าของกันและกันชัดเจน

เร็วเข้า! เร็วเข้า! เร็วเข้า! เหมียวอี้ที่คล้องคอเหยี่ยวมารวานรยักษ์เร่งให้มันบินอย่างสุดชีวิต

แต่จนใจที่เหยี่ยวมารวานรยักษ์บาดเจ็บสาหัสเกินไป ตรงส่วนท้องมีเลือดสดไหลไม่หยุด ปากส่งเสียงร้องครางเป็นระยะ ปีที่กระพือก็เหมือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ขยับปีกช้าลงเรื่อยๆ แล้ว เรื่องความเร็วก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ระดับความสูงลดลงตลอดทาง

วูบ! เงามืดสายหนึ่งใต้แสงอาทิตย์แฉลบผ่านศีรษะเหมียวอี้ไป เขาที่กำลังหมอบและกอดคอเหยี่ยวมารวานรยักษ์เงยหน้ามอง เห็นอวี้หลัวช่าที่ใช้แขนขาทั้งสี่กางเสื้อผ้าแฉลบผ่านหัวหัวเขาไป กำลังจ้องเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ พร้อมทั้งตวาดเสียงแข็ง “หนิวโหย่วเต๋อ!”

ความเคียดแค้นในน้ำเสียงทำให้คนตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว ราวกับเห็นไปหนาวแทรกออกมาจากร่องฟันของนาง

ระดับความสูงในการบินลดลงเร็วมาก เหมียวอี้ตระหนักได้ว่าเหยี่ยวมารวานรยักษ์บินไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาตบบ่าเหยี่ยวมารวานรยักษ์ บอกใบ้ให้เหยี่ยวมารวานรยักษ์ร่อนลงพื้น เพราะเขารู้สึกว่าอยู่บนฟ้าไม่ปลอดภัย ถ้าเหยี่ยวมารวานรยักษ์บินไม่ไหวแล้วดิ่งตกลงมาจะทำอย่างไร?

เหยี่ยวมารวานรยักษ์หยุดขยับปีแล้ว มันกางปีกร่อนและพุ่งไปที่พื้นในแนวเฉียง

วูบ! วูบ! วูบ!

อวี้หลัวช่าบินวนอยู่บนฟ้ารอบแล้วรอบเล่า แขนขาทั้งสี่ที่กางเสื้อผ้าเอียงตัวบินฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศ บินวนรอบเหยี่ยวมารวานรยักษ์ เห็นได้ชัดว่าความเร็วนั้นเหนือกว่าเหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่ร่างกายใหญ่เทอะทะ และปราดเปรียวกว่าเหยี่ยวมารวานรยักษ์เยอะด้วย

เหยี่ยวมารวานรยักษ์กางปีกประคองตัวเองอย่างลำบาก อวี้หลัวช่าที่อยู่บนฟ้าสง่างามเก๋ไก๋มาก ไม่ใช่แค่สามารถเอียงตัวบินวนได้ ทั้งยังพลิกตัวได้ด้วย ทำให้เหมียวอี้ยิ่งสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้ยังควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ได้หรือเปล่า

อวี้หลัวช่าที่บินร่อนขึ้นร่อนลงได้แสดงความงามของรูปร่างผู้หญิงเต็มที่ เรือนร่างงามขาวหมดจดที่อรชรอ่อนช้อยจนทำให้เลือดลมสูบฉีดพลิกไปพลิกมาอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ชายกระโปรงที่กางออกปลิวไสวอยู่กลางอากาศ ประกอบกับฉากหลังท้องฟ้าสีคราม เรียกได้ว่าสวยงดงามจนทำให้จิตใจผ่อนคลาย

ความงามที่พบเห็นได้ยากในโลกแบบนี้ เหมียวอี้กลับไม่มีกะจิตกะใจมาสัมผัส เขากำลังรีบใช้ความคิด ไตร่ตรองว่าควรจะรับมืออย่างไร ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะเกิดสถานการณ์อย่างนี้ขึ้น เขาถึงขั้นมองเสื้อผ้าบนร่างกายตัวเองหลายครั้ง คิดว่าควรจะถอดเสื้อผ้าแล้วบินเลียนแบบอวี้หลัวช่าหรือไม่ แต่เขาไม่เคยใช้วิธีการนี้มาก่อนเลย จึงไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจแล้ว ว่าถ้ารอดชีวิตไปจนถึงตอนที่สามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้ จะต้องทดลองบินเหมือนอวี้หลัวช่าแน่นอน จะดูว่าตัวเองจะเล่นอย่างนี้ได้หรือไม่

วูบ! วูบ! วูบ!

อวี้หลัวช่ายังคงบินร่อนอยู่บนฟ้ารอบแล้วรอบเล่า บางครั้งก็ลอดผ่านด้านล่างของเหยี่ยวมารวานรยักษ์ไปอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็แฉลบผ่านด้านบนเหยี่ยวมารวานรยักษ์ไป ทำเอาเหมียวอี้ต้องคอยระวังตัวอย่างสูง กังวลว่าผู้หญิงคนนี้จะฉวยโอกาสลงมือหรือเปล่า

สรุปก็คืออวี้หลัวช่าเอาแต่จ้องเหมียวอี้ไม่ละสายตา บินวนอยู่ข้างๆ อย่างนั้น

ดวงตาทั้งคู่ของเหยี่ยวมารวานรยักษ์เหมือนง่วงมาก เดี๋ยวหลับตาเดี๋ยวลืมตา บางครั้งปีกที่กางออกก็มีเค้าลางว่าจะตกลง

เหมียวอี้รู้ว่ามันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว จ้องพื้นดินที่กำลังจะพุ่งลงไป มันกำลังร่อนพุ่งไปที่พื้นดินจริงๆ

ชั่วพริบตาที่กำลังจะกระแทกพื้น เหมียวอี้พลันโบกกระบี่ตบหัวเหยี่ยวมารวานรยักษ์ พร้อมตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ตื่น!”

ชั่วขณะนั้นเหยี่ยวมารวานรยักษ์ตื่นนิดหน่อย มันเงยหน้าและดึงร่างตัวเองขึ้นมาเล็กน้อย

แต่สายไปเสียแล้ว ยังตกกระแทกที่ป่าผืนเล็กเขียวชอุ่มแห่งหนึ่งอยู่ดี เพียงแต่ชั่วขณะที่มันดึงตัวขึ้นมายามตกกระแทก อย่างน้อยก็ลดแรงกระแทกให้เบาลงได้ในระดับหนึ่ง

ตอนที่ตกกระแทกในป่าผืนเล็ก สองมือของเหมียวอี้ปล่อยจากคอเหยี่ยวมารวานรยักษ์แล้ว เขาพลิกตัวกลิ้งไปข้างหลัง สองเท้ารีบเหยียบหนึ่งที กระโดดออกมาแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้ชนกระแทกหน้าไปพร้อมเหยี่ยวมารวานรยักษ์

โครม!

ป่าไม้ล้มไปแถบหนึ่ง ถูกร่างมหึมาของเหยี่ยวมารวานรยักษ์ชนล้มตลอดทาง

ถึงแม้เหมียวอี้จะเด้งออกมาด้านข้างแล้ว แต่ก็ยังถูกแรงเฉื่อยจากการชนของเหยี่ยวมารทำให้ร่างกระเด็นไปที่ป่าในแนวเฉียง ศีรษะกระแทกกับต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วจริงๆ ภายใต้สถานการณ์เร่งด่วน เขารีบโบกกระบี่ฟัน กระบี่วิเศษผลึกแดงคมมาก แม้จะขาดพลังอิทธิฤทธิ์คอยเสริมอานุภาพ แต่ก็ยังคมจนตัดต้นไม้ขาดได้ภายในครั้งเดียว

เดิมทีเหมียวอี้คิดว่าไม่มีปัญหา แต่พอลงมือแล้วถึงรู้สึกได้ ว่าเมื่อขาดพลังอิทธิฤทธิ์คอยเสริมอานุภาพ การตอบสนองของตัวเองก็เร็วไม่เท่าเมื่อก่อนแล้ว ตอนออกแรงฟันกระบี่วิเศษผลึกแดง เขารู้สึกว่ามันหนักกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า ความปราดเปรียวในการเรียกใช้ก็เทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้เช่นกัน

ความตั้งใจเดิมของเขาก็คือ ตัวเองฟันกระบี่ทีเดียวแล้วลำต้นขาด พอลำต้นล้มลง ตัวเองก็หลบไม่ให้ถูกชน ทว่าหลังจากโบกกระบี่ฟันหนึ่งครั้ง เขาถึงรู้ว่าช้าเกินไป แม้ลำต้นจะถูกฟันขาดแล้ว ทว่ายังไม่ทันรอให้มันล้มลงมา ร่างกายก็ยังเข้าไปกระแทกเหมือนเดิม

ชั่วขณะนั้นเขาถูกชนจนสับสนวุ่นวาย คนล้มลงพื้นพร้อมลำต้น ตกกระแทกบนพื้นแล้ว เขากลิ้งลงมาตามพื้นที่ลาด แล้วก็ชนกับต้นไม้ที่อยู่ใต้เนินก่อนจะหยุด ปากกระอักเลือดสดคำหนึ่ง ร่างกลิ้งไปนอนอยู่ตรงนั้นแล้วหอบหายใจแรง

นอกจากจะเจ็บแปลบแสบร้อนทรวงอกแล้ว ยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของแขนขาทั้งสี่หลังจากกลิ้งลงจากเนินเขา เหมียวอี้ที่กำลังหอบหายใจอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา นานแล้วที่ไม่ได้สัมผัสความรู้สึกมนุษย์ธรรมดาแบบนี้

ผ่านไปไม่นาน ความรู้สึกเย็นสดชื่นที่ผ่อนคลายจนทำให้อยากครางก็ปลอบประโลมไปทั้งตัว เหมียวอี้หัวเราะอีกครั้ง รู้ว่าสมุนไพรเซียนซิงหัวแสดงบทบาทแล้ว สมุนไพรเซียนซิงหัวที่เขายัดใส่ปากล่วงหน้าแสดงสรรพคุณแล้ว เมื่อมีสิ่งนี้รับประกัน เขาก็รู้ว่าตราบใดที่ตัวเองไม่ขาดใจก็จะไม่ตาย

“เหอะๆ…” เสียงหัวเราะหยุดชะงัก เหมียวอี้มองผ่านรอยระหว่างกิ่งไม้แล้วเห็นเงาคนแฉลบลงต่ำเข้ามา อวี้หลัวช่านั่นเอง

เขาหันหน้า สายตามองตามทิศทางที่อวี้หลัวช่าแฉลบไป ผ่านไปครู่เดียว ตรงจุดที่ไม่ไกลก็มีเสียงต้นไม้โยกไหวดังมา เหมือนจะมีอะไรสักอย่างตกลงพื้นแล้ว

เหมียวอี้ขยับหัวคิ้ว ไม่ต้องบอกเลย นางตัวแสบที่จ้องตนมาตลอดบินลงมาที่นี่แล้ว

เหมียวอี้พลิกตัวลุกขึ้น ขยับแขนขาทั้งสี่ พบว่านอกจากเจ็บหน้าอกเพราะโดนกระแทก สภาพร่างกายโดนรวมก็ไม่ได้แย่ ไม่ได้สาหัสเหมือนที่จิตนาการไว้ ไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของตัวเอง เพียงแต่กระบี่วิเศษหล่นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

เขามองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง เจอกระบี่วิเศษตกอยู่ตรงกลางเดินเขา จึงรีบวิ่งเข้าไปหา เขาต้องเอากระบี่วิเศษมาไว้ในมือให้ได้ เพราะมันคือที่พึ่งสุดท้ายในตอนนี้ เขาไม่สามารถนำของที่อยู่ในมิติเก็บสมบัติมาใช้ได้เลย

เขาเพิ่งจะเก็บกระบี่วิเศษไว้ในมือ ก็ได้ยินเสียงเหยียบกิ่งไม้ดังอยู่พักหนึ่ง พอหันกลับไปมอง ก็เห็นอวี้หลัวช่าวิ่งตะบึงเข้ามาแล้ว ขณะที่วิ่งก็ใส่เสื้อผ้าไปด้วย ทั้งสองเห็นกันและกันแล้ว

เหมียวอี้เลิกคิ้ว เห็นสภาพตอนผู้หญิงคนนี้วิ่ง ดูเหมือนไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์คอยช่วย เขาหันตัวมาแล้วถือกระบี่ยืนรอตรงกลางเนินเขา

อวี้หลัวช่าวิ่งมาถึงใต้เนินเขาก็หยุดแล้ว นางจ้องหนิวโหย่วเต๋อที่อยู่บนเนิน พร้อมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเรียก “หนิวโหย่วเต๋อ!”

ปากก็เรียกอย่างเคียดแค้น แต่มือยังยังไม่หยุดเคลื่อนไหว กำลังดึงเศษผ้ามาห่อหุ้มร่างกาย เพียงแต่ก่อนหน้านี้นางเคยฉีกเสื้อผ้าบนตัว รอยโหว่ที่เคยฉีกออกเหมือนจะไม่ทางทำให้สมบูรณ์เหมือนเดิมได้ สุดท้ายนางจึงดึงผ้าคาดเอวมามัดเสื้อผ้าไว้บนร่างกายเสียเลย

บนตัวเหมียวอี้เต็มไปด้วยกิ่งไม้ใบหญ้า

บนตัวอวี้หลัวช่าก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร มวยผมหลวมและมีใบไม้ติดกระจาย บนตัวก็มีพวกกิ่งไม้ต้นหญ้าเช่นกัน หนอนบุ้งที่ไต่บนหัวไหล่นางถูกปัดทิ้งไปแล้ว

มองไปมองมา เหมียวอี้ก็รู้สึกบันเทิงแล้ว เพราะเขาแน่ใจแล้ว ว่าผู้หญิงคนนี้ควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่กลายเป็นอย่างนี้หรอก

เหมียวอี้ปักกระบี่ในมือลงพื้น แล้วถามเหมือนสอดรู้สอดเห็นว่า “อวี้หลัวช่า ข้าแปลกใจมากเลย เจ้าไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์คอยเสริมอานุภาพ ก่อนหน้านี้เจ้าบินอยู่บนฟ้าได้ยังไง?” ฉากที่อีกฝ่ายบินอยู่บนฟ้าทำให้เขาตะลึงค้างจริงๆ มารดาเจ้าเถอะ บินได้อย่างสง่างามเกินไปแล้ว ความงดงามอย่างนั้นสง่างามเปี่ยมพลังกว่าใช้พลังอิทธิฤทธิ์ทะยานฟ้าเสียอีก

อวี้หลัวช่าแค้นจนอยากจะถลกหนังเขาอยู่แล้ว จะมีอารมณ์มาคุยเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้อย่างไร นางพุ่งร่างออกมา วิ่งไปหาเหมียวอี้บนเนินเขาด้วยความรวดเร็ว การเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉงปราดเปรียวมาก

เหมียวอี้หัวเราะแห้ง หยิบกระบี่แล้ววิ่งหนีเลย วิ่งขึ้นเนินไปแล้ว

ทว่าการเคลื่อนไหวของอวี้หลัวช่าเหมือนจะปราดเปรียวกว่าหนึ่งระดับ นางเหยียบลำต้นเป็นระยะ ใช้มือดึงกิ่งไม้ ร่างกายพลิ้วไหว ไม่นานก็ไล่ตามเหมียวอี้ทันแล้ว แทบจะขึ้นเนินพร้อมกับเขาเลย

เหมียวอี้ที่หันกลับมามองค่อนข้างแปลกใจ พบว่าผู้หญิงคนนี้ว่องไวเหมือนลิงตัวเมีย ขนาดอยู่ในป่าตัวเองยังวิ่งไม่ทันนางเลย ที่สำคัญคือกระบี่วิเศษผลึกแดงบนตัวเขากลายเป็นตัวถ่วง มันค่อนข้างหนัก ส่งผลกระทบต่อความเร็วของเขาโดยตรง

เหมียวอี้ไม่หนีแล้ว สุดท้ายทั้งสองก็ยืนเผชิญหน้ากัน

อวี้หลัวช่าสีหน้าเย็นเยียบ ชี้เขาพร้อมตะคอก “บังอาจทำร้ายข้าเหรอ!”

เหมียวอี้หัวเราะแห้ง “ข้าทำร้ายเจ้าเสียที่ไหนล่ะ? เจ้าทำร้ายข้าชัดๆ เจ้าฆ่าสัตว์พาหนะของข้าแล้ว ทำร้ายข้าจนสภาพเป็นแบบนี้”

อวี้หลัวช่าตะคอก “ยังมาปลิ้นปล้อนอีก เจ้ารู้สถานการณ์ที่นี่ชัดเจนมาตั้งแต่แรก ถึงได้พกเหยี่ยวมารวานรยักษ์ติดตัวมาด้วยไง เห็นได้ชัดว่าเจ้าหลอกให้ข้ามาติดกับดัก”

เหมียวอี้พูดหยอกว่า “เปล่าเสียหน่อย ข้าบอกแล้วไงว่าจะมาสืบทางให้ก่อน มีอันตรายอะไรก็จะแบกรับไว้ก่อน ไม่ได้ให้เจ้าตามมานี่ เจ้าเป็นฝ่ายบุกเข้ามาเองนะ เป็นเจ้าต่างหากที่โลภ ทำไมกลับมาโทษข้าแล้วล่ะ?”

ถ้าเปลี่ยนเป็นยามปกติ เหมียวอี้ไม่กล้าพูดหยอกอีกฝ่ายแบบนี้เลย กังวลว่าอีกฝ่านจะบีบคอเขาตาย แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ พอนึกว่ายอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ผู้น่าเกรงขามไม่มีทางทำอะไรได้ ถูกดึงระดับลงมาเท่ากับเขาแล้ว แค่คิดยังรู้สึกสะใจเลย

“อย่าพูดไร้สาระ จะออกไปจากที่นี่ยังไง? ขอแค่เจ้าบอกข้ามา ข้ารับรองว่าจะปล่อยวางเรื่องในอดีต” อวี้หลัวช่ากล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห

เหมียวอี้เงยหน้าหัวเราะลั่น “อวี้หลัวช่า ข้าจะบอกความจริงเจ้าแล้วกัน ขอเพียงมาถึงที่นี่แล้ว ก็จะไม่มีทางออกไปอีก เจ้าเองก็สัมผัสได้แล้วเหมือนกัน ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้แล้ว ยังจะไปได้ยังไง?”

“อย่ามาเล่นลูกไม้นี้ ต้องมีวิธีออกไปสิ ไม่อย่างนั้นเจ้าไม่บุกมาที่นี่หรอก” อวี้หลัวช่ากล่าว

………………

จากคำพูดของนาง เหมียวอี้ฟังออกถึงอะไรบางอย่างแล้ว แม้แต่นางก็กวาดกลัวอานุภาพของค่ายกลดวงดาวเช่นกัน ไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไปง่ายๆ

แต่จะว่าไปแล้ว ก่อนหน้านี้เหมียวอี้ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าที่นี่มีค่ายกลดวงดาวอะไรนี่อยู่ด้วย รู้เพียงว่าที่นี่มีดาวเคราะห์ประหลาดอยู่ดวงหนึ่ง ตอนนี้พอได้ยินอวี้หลัวช่าเอ่ยขึ้น ถึงได้เข้าใจว่าความประหลาดของดาวเคราะห์ดวงหนึ่งเกิดจากค่ายกลดวงดาว

คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย ค่ายกลที่สามารถขังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่แตกดับของพระปีศาจหนานโปได้นานขนาดนี้ ก็ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว

ขณะเดียวกัน เหมียวอี้ก็เข้าใจแล้วเช่นกัน ว่าอวี้หลัวช่ายังยืนยันไม่ได้ว่านี่คือกับดักหรือไม่ เขาจึงกล้าวกลั้วหัวเราะ “เจ้านี่ขี้สงสัยจริงๆ เลยนะ”

อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม “ถ้าไม่ระวังตัวมากหน่อย ข้าจะรอดชีวิตมาจนถึงตอนนี้เหรอ?”

“ต่อให้มีค่ายกลอะไร แต่ข้าคิดว่ามันคงไม่ใช่กับดักอะไรหรอก” เหมียวอี้กล่าวอย่างลังเล

“ทำไมเจ้ามั่นใจขนาดนี้?” อวี้หลัวช่าถาม

เหมียวอี้บอกว่า “สมบัติลับอาจจะถูกปกป้องเอาไว้ในค่ายกลอะไรนั่นจริงๆ ก็น่าจะแค่ไม่ให้คนเอาสมบัติออกไปง่ายๆ ข้าแค่สงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับสูตรหาสมบัติที่ข้ารู้หรือเปล่า ไม่แน่ว่าสูตรหาสมบัติอาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดค่ายกลเพื่อเอาสมบัติลับออกมา”

อวี้หลัวช่าเงียบไปประเดี๋ยวเดียว นางรู้สึกวที่เขาพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน “บอกสูตรมาให้ฟังหน่อย”

“เจ้าคิดจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งเหรอ?” เหมียวอี้เตือนทันที

อวี้หลัวช่าทำเสียงฮึดฮัด “ถ้าข้าคิดจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง อีกประเดี๋ยวพอหาสมบัติลับเจอ ข้าก็ต้องข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”

เหมียวอี้จงใจพูดแบบนี้ เขาไม่รีบให้อีกฝ่ายติดกับดัก เพราะรู้ว่าบางอย่างถ้าใจร้อนจะทำไม่สำเร็จ ต้องค่อยๆ ทำให้อีกฝ่ายหายระแวง “ในเมื่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว พวกเรามาเจรจาเงื่อนไขกันเถอะ ข้าจะเชื่อได้ยังไงว่าเจ้าจะไม่ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน?”

“มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังใสเจรจาเงื่อนไขกับข้าอีกเหรอ ไม่รู้สึกว่าสายเกินไปหรือไง?” อวี้หลัวช่าถาม

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่สายหรอก!เพราะข้ารู้ว่าสมบัติลับถูกค่ายกลใหญ่ปกป้องไว้จริงๆ ถ้าดันทุรังเปิดโดยไม่ใช้วิธีการที่ถูกต้อง สมบัติข้างในก็จะเสียหาย ใครจะไปรู้ว่าข้างในมีของล้ำค่าอะไรบ้างที่ห้ามถูกทำลาย มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากมาล้มเหลวตอนจบหรอกมั้ง? จานป่านนี้แล้ว ข้าไม่มีทางถอยอีก เจ้าเองก็ไม่ต้องขู่ข้าหรอก ถ้ารับประกันความปลอดภัยไม่ได้ ข้าก็ตายสถานเดียว ต่อให้เจ้าสังหารข้าตาย ข้าก็ไม่พูดอยู่ดี”

“งั้นเจ้าจะให้ข้าทำยังไง เจ้าถึงจะเชื่อว่าข้าจะไม่ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง” อวี้หลัวช่ากล่าวถามเสียงเรียบ

“สาบานสิ” เหมียวอี้ตอบ

“สาบานแล้วจะมีประโยชน์เหรอ?” อวี้หลัวช่าเลิกคิ้ว

เหมียวอี้บอกว่า “ข้าเหลือทางหนีทีไล่ไว้แล้ว ถ้าข้ารอดชีวิตกลับไปไม่ได้ เรื่องระหว่างข้ากับเจ้าก็จะเปิดเผยทันที บวกกับคำสาบานของเจ้าอีก อย่างน้อยข้าก็มีหลักประกันสองอย่างแล้ว ทำไม เจ้าไม่ยอมสาบานเพื่อพิสูจน์ความจริงใจของตัวเองเหรอ?”

อวี้หลัวช่าจ้องเขาด้วยสายตาเย็นเยียบครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ข้าอวี้หลัวช่าขอสาบานตรงนี้ ว่าหลังจากได้สมบัติแล้ว ถ้าข้าทำเรื่องไม่ดีต่อหนิวโหย่วเต๋อ ขอให้ข้าโดนสวรรค์ลงโทษ ขอให้ไม่ตายดี!ตอนนี้เจ้าพอใจรึยัง?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า แสดงออกว่ายังไม่พอใจชัดเจนมาก “เจ้าแสดงความจริงใจหน่อยได้มั้ย มาถึงขั้นนี้แล้วยังเล่นลิ้น จะทำให้ข้าสงสัยกว่าเดิมนะ หลังจากได้สมบัติลับแล้วหมายถึงอะไร? หมายความว่าถ้าเจ้าฆ่าข้าทิ้งหลังจากบอกสูตร ก็ไม่ถือว่าผิดคำสาบานใช่มั้ย?”

อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม “ยังมาบอกอีกว่าข้าขี้ระแวง คนที่ขี้ระแวงก็คือเจ้าต่างหาก?”

“ถ้าไม่ระวังตัวไว้สักหน่อย ข้าจะรอดชีวิตมาถึงตอนนี้ได้ยังไง?” เหมียวอี้ตอบกลับด้วยคำพูดของนาง

เดินมาถึงหน้าธรณีประตูแล้ว อวี้หลัวช่าไม่มีอารมณ์จะมาเถียงกับเขา จึงสาบานอีกครั้ง “ข้าอวี้หลัวช่าขอสาบานตรงนี้ ขอเพียงหนิวโหย่วเต๋อไม่ทำเรื่องไม่ดีต่อข้า ข้าก็ไม่ทำเรื่องไม่ดีต่อหนิวโหย่วเต๋อ ไม่อย่างนั้นขอให้สวรรค์ลงโทษ ต้องไม่ตายดี!”

เหมียวอี้พูดไม่ออก ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ มาจนป่านนี้แล้วยังคิดเงื่อนไขเพิ่มเติมได้อีก ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเขาไม่ทำร้ายนางก่อน

ทว่าคำสาบานของอีกฝ่ายก็มีเหตุผล ทำให้เขาเถียงอะไรไม่ได้เช่นกัน

“มัวเหม่ออะไรอยู่ได้ จะบอกสูตรได้หรือยัง?” อวี้หลัวช่าถาม

เหมียวอี้กล่าวอย่างชัดเจนว่า “เริ่มจากมุมตะวันตกเฉียงเหนือ กลางเผิงไหลสามพัน” เขาพูดมั่วไปอย่างนั้นเอง

“นี่คือสูตรหาสมบัติเหรอ?” อวี้หลัวช่าขมวดคิ้ว

เหมียวอี้พยักหน้า “ถูกต้อง”

“แค่สองประโยคเนี่ยนะ?” อวี้หลัวช่าสงสัย

เหมียวอี้ตอบว่า “ประโยคแรกที่บอกว่า ‘เริ่มจากมุมตะวันตกเฉียงเหนือ’ ก็คือกุญแจสำคัญในการคลายปริศนาแผนที่ซ่อนสมบัติ ส่วนมุมตะวันตกเฉียงเหนือของแผนที่ซ่อนสมบัติก็คือจุดเริ่มต้นบริเวณชายแดนน่านฟ้าเถาะติง ประโยคหลัง ‘กลางเผิงไหลสามพัน’ ตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร คาดว่าต้องไปถึงสถานที่จริงก่อนถึงจคลายปริศนาได้”

อวี้หลัวช่านำลูกกลมโลหะออกมาตรวจสอบทันที พบว่าเป็นอย่างที่เหมียวอี้บอกจริงๆ ตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือก็คือจุดเริ่มต้นของแผนที่ซ่อนสมบัติ นางจึงเก็บลูกกลมโลหะเงียบๆ แล้วมองดาวเคราะห์รอบด้านที่เหมือนค่ายกล พอมองดาวเคราะห์งดงามที่เป็นสถานที่เป้าหมาย ก็เหมือนจะยังระแวงสงสัย

เพื่อจะทำลายความหวาดระแวงของนาง เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ในเมื่อเจ้าไม่วางใจ งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะไปสืบทางก่อน ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเจ้าก็จะเห็น ถ้ามีอันตรายข้าก็จะแบกรับไว้ก่อน แบบนี้คงทำให้เจ้าเชื่อได้แล้วใช่มั้ย?”

อวี้หลัวช่าไม่พูดอะไร แต่ปล่อยมือที่คว้าแขนเขาเอาไว้ออกแล้ว เห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยที่จะให้เขาไปสืบทางดูก่อน

มารดาเจ้าเถอะ!ช่างเห็นแก่ตัวจริงๆ อีกประเดี๋ยวข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะร้องไห้ยังไง…เหมียวอี้พึมพำด่าในใจ แล้วหันหน้าไปหาดาวเคราะห์ดวงนั้น

รอจนดาวเคราะห์ที่หมุนรอบตัวเองดวงนั้นย้ายไปบริเวณเดียวกับเครื่องหมายบนแผนที่แล้ว เหมียวอี้ถึงได้เหาะเข้าไป เหาะไปทางวัดที่ทำเครื่องหมายไว้ แต่ไม่ได้เหาะเร็วเท่าไรนัก

อวี้หลัวช่าพลันใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้อง และตามหลังไปอย่างไม่ใกล้ไม่ไกล เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด

สิ่งที่ทำให้นางงุนงงก็คือ ชั่วพริบตาที่เหมียวอี้ทะลุฝ่าชั้นบรรยากาศ ก็เห็นเหมียวอี้พลันชักกระบี่ด้ามหนึ่งออกมา พร้อมทั้งปล่อยเหยี่ยวมารวานรยักษ์ออกมาตัวหนึ่งด้วย เขาควบคุมเหยี่ยวมารวานรยักษ์ให้บินเร็วกว่าเดิม และหันกลับมาเป็นระยะ ทำท่าทางเหมือนกำลังจะหนี

อวี้หลัวช่าตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที ไม่สนว่าจะใช่หรือไม่ เอาเป็นว่านางรู้สึกว่าเหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวนั้นดูแปลกๆ เพราะความเร็วของเหยี่ยวมารวานรยักษ์ยังไม่เท่าเหมียวอี้ตอนเหาะเอง การปล่อยเหยี่ยวมารวานรยักษ์ออกมาตอนนี้แสดงว่ามีปัญหาแน่นอน ความคิดแรกของนางก็คือต้องกำจัดเหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวนี้ทิ้ง

อวี้หลัวช่าสะบัดมือปล่อยกระบี่บินด้ามหนึ่งออกมา ยิงกระบี่ออกไปราวกับสายฟ้า ตัวนางก็ตามไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ฝ่าชั้นบรรยากาศตามไปแล้ว

เหมียวอี้ที่กำลังยัดสมุนไพรเซียนซิงหัวเข้าปากหันกลับมามองแวบหนึ่ง เขาตกใจมากทันที รีบเร่งความเร็วเหยี่ยวมารวานรยักษ์และถลันตัวหลบกระบี่ด้ามนั้น

ทว่ากระบี่บินของอวี้หลัวช่าเร็วเกินไป กอปรกับอวี้หลัวช่าตามหลังมาตลอด ระยะห่างระหว่างทั้งสองก็ไม่ได้ไกล ลงมือกะทันหันอย่างนี้ อีกทั้งเหยี่ยวมารวานรยักษ์ก็ไม่ได้ตัวใหญ่ จะหลบก็หลบไม่พ้น ขณะที่เอียงตัวหลบ ลำแสงสายหนึ่งก็ขูดตรงท้องเหยี่ยวมารวานรยักษ์จนเกิดฝนเลือดสายหนึ่ง

“วี๊ด…” เหยี่ยวมารวานรยักษ์กรีดร้อง พลิกตัวกลางอากาศทันที เหมียวอี้โผไปที่ตัวมัน ใช้แขนข้างหนึ่งคล้องคอเหยี่ยวมารวานรยักษ์ไว้แน่น กอดแน่นไม่ยอมปล่อย ทั้งตัวม้วนกลิ้งสะบัดไปสะบัดมากลางอากาศ วรยุทธ์ของตัวเองแทบจะไม่มีประโยชน์อะไร

อวี้หลัวช่าที่พุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศตามเข้ามาติดๆพบว่าดวงตาอิทธิฤทธิ์ของตัวเองขุ่นมัว ภาพมายาดาวเคราะห์งดงามที่เปี่ยมพลังชีวิตดวงนั้นหายไปแล้ว เป็นแค่ดาวเคราะห์ธรรมดาที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยเท่านั้น ไม่ได้งดงามน่าประทับใจเหมือนที่เห็นตอนอยู่ในดาราจักร

ภาพมายาค่ายกล? ในหัวอวี้หลัวช่ามีความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว สิ่งที่ทำให้นางยิ่งหวาดกลัวก็คือ จู่ๆ นางก็พบว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองปั่นป่วน กลายเป็นควบคุมไม่ได้ เหมือนมีพลังลึกลับบางอย่างรบกวนการใช้พลังอิทธิฤทธิ์ของนาง

ในขณะที่ตระหนกตกใจ อวี้หลัวช่าอยากจะรวบรวมพลังอิทธิฤทธิ์อีกครั้งเพื่อหนีออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้ แต่ก็ไม่ทันแล้ว ร่างกายชะงักอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ตกลงพื้นอย่างรวดเร็วโดยที่ทำอะไรไม่ถูก

“หนิวโหย่วเต๋อ…” อวี้หลัวช่าแหกปากตะโกนอย่างดุร้ายน่ากลัว

นางคิดไม่ตก คิดไม่ตกจริงๆ ว่าทำไมหนิวโหย่วเต๋อถูกนางใช้โลหิตมารสวรรค์ควบคุมแล้วแต่ยังกล้าทำอย่างนี้ หรือว่าเขากำจัดโลหิตมารสวรรค์บนร่างกายตัวเองได้แล้ว?

อวี้หลัวช่าเรียกได้ว่าแค้นมาก ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นอย่างนี้ เมื่อครู่นางก็ไม่ควรใช้กระบี่ฟันเหยี่ยวมารวานรยักษ์ แต่ควรจะฟันไอ้สารเลวหนิวโหย่วเต๋อมากกว่า

เหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่บาดเจ็บสาหัสกำลังม้วนกลิ้ง ไม่ง่ายเลยว่าเหมียวอี้จะพยายามควบคุมมันไว้ได้ บินส่ายไปส่ายมาอยู่บนฟ้าช้ามาก แต่ต่อให้ช้าอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ไม่ใช่แค่พลังอิทธิฤทธิ์ของอวี้หลัวช่าที่ใช้ไม่ได้ เขาเองก็สูญเสียความสามารถในการควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์เช่นกัน รสชาติของการตกกระแทกพื้นนั้นทรมาน นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงพาเหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวนี้มาด้วย

เพราะเขารู้ตั้งแต่แรกว่าที่นี่ไม่ปกติ อยู่ที่นี่พลังอิทธิฤทธิ์ไม่มีประโยชน์ ถึงได้นำเหยี่ยวมารวานรยักษ์มาเป็นพาหนะตัวหนึ่ง

เดิมทีเขานึกว่าอวี้หลัวช่าตามมาเพราะเห็นว่าเขาจะหนี แต่ใครจะคิดว่านางตัวแสบจะทำร้ายสัตว์พาหนะของเขาก่อน พอลงมือก็โจมตีโดนจุดอ่อนของเขาเลย

ตรงท้องของเหยี่ยวมารวานรยักษ์มีเลือดไหล ส่งเสียงร้องทรมาน เหมียวอี้รู้ว่ามันจะทนได้ไม่นาน จึงหวังแค่ให้ตัวเองตกพื้นอย่างปลอดภัยก็พอ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าคนที่บุกเข้ามาในนี้ทำไมตกกระแทกพื้นแล้วยังไม่ตายอีก

จู่ๆ ข้างหลังก็มีเสียงร้องของอวี้หลัวช่าดังขึ้น เหมียวอี้หันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นรางๆ ว่าร่างของอวี้หลัวช่าหล่นโครมลงมา แต่มองเห็นไม่ค่อยชัด เพราะดวงตาอิทธิฤทธิ์ใช้งานไม่ได้ แต่ก็จินตนาการออกว่าตอนนี้อวี้หลัวช่าสะบักสะบอมขนาดไหน เขารู้สึกบันเทิงทันที หัวเราะลั่นและบอกว่า “นางตัวแสบ เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกันเหรอ!”

เขารีบควบคุมเหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่บินโคลงเคลงไล่ตามทางที่อวี้หลัวช่าตกลงมา ไม่ไล่ตามไม่ได้หรอก เพราะบนตัวอวี้หลัวช่ามีป้ายคำสั่งผ่านทาง ถ้าไม่ได้ป้ายคำสั่งแผ่นนั้นมา เกรงว่าตอนกลับคงจะยุ่งยาก ถ้าตอนนี้ไม่ไปเอาป้ายผ่านทางตรงจุดที่อวี้หลัวช่าตก ตอนหลังก็อาจยุ่งยาก เพราะอยู่ในขอบเขตที่กว้างใหญ่ทั้งยังสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ เหยี่ยวมารวานรยักษ์ก็ใช้งานไม่ได้ ถ้าจะให้หาศพบนแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลขนาดนั้นก็ลำบาก มิหนำซ้ำก็ยังไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายจะตกลงมาตายหรือเปล่า อย่างไรเสียศีลแปดก็ไม่ได้ตกลงมาตาย

จนกระทั่งเขาตามไปถึง จู่ๆ ก็พบความไม่ชอบมาพากล เหมือนร่างของอวี้หลัวช่าจะยังลอยอยู่กลางอากาศ

พอมองดูให้ดี ก็พบว่ายังไม่ตกลงมาจริงๆ เหมือนยังเหาะขึ้นมาได้ กำลังเหาะมาทางนี้ด้วย

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้ยังใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้อีก? หรือว่าค่ายกลใหญ่อะไรนั่นมีข้อจำกัดกับยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์?

พอคิดได้แบบนี้ เหมียวอี้ก็เริ่มกลัวแล้ว เพราะเขาโดนควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์อยู่ ถ้าเป็นอย่างที่ตัวเองเดาจริงๆ อีกเดี๋ยวอวี้หลัวช่าจะต้องจับเขาไปทารุณจนตายแน่นอน

ด้วยความเร่งรีบ เขาควบคุมเหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่บินโคลงเคลงให้เลี้ยวหนีทันที

แต่จนใจที่เหยี่ยวมารวานรยักษ์บินช้าเกินไป มันแค่กำลังประคับประคองไม่ให้ตัวเองตายเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ตกลงข้างล่างอย่างช้าๆ มันบินไม่ไหวแล้ว

อวี้หลัวช่าที่อยู่ข้างหลังตามมาอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเหมียวอี้ที่หันกลับมาเป็นระยะเห็นสถานการณ์ชัดเจน ดวงตาทั้งคู่ก็แทบถลนออกมา

เสื้อผ้าบนร่างกายอวี้หลัวช่าหลุดออกมาแล้ว เหลือเพียงชุดชั้นในไว้ปิดบังความอับอายเท่านั้น เรือนร่างนั้นทำให้คนรู้สึกเลือดลมสูบฉีด แต่เหมียวอี้จะมีอารมณ์มามองเสียที่ไหนกัน สิ่งที่เขาสนใจก็คืออวี้หลัวช่าที่กำลังกางแขนกางขาตรึงเสื้อผ้าไว้ข้างหลัง ทั้งตัวราวกับเป็นว่าวตัวหนึ่งที่ร่อนอยู่บนฟ้า ไม่รู้จริงๆ ว่านางทำออกมาได้อย่างไร

“เวรเอ๊ย! แบบนี้ก็ได้เหรอ…” เหมียวอี้อุทานคำหยาบออกมา

………………………

“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ข้าอยากดูให้ทั่ว ไม่มีปัญหาใช่มั้ย?” อวี้หลัวช่าถาม

“เกรงว่าข้าคงจะอยู่เป็นเพื่อนไม่ได้…” เทียนเจี้ยนกล่าวอย่างลังเล

อวี้หลัวช่าพยักหน้าเบาๆ “เข้าใจ เจ้ารักษาการณ์อยู่ที่ศูนย์บัญชาการ ไม่สะดวกจะออกจากที่นี่ ให้บัตรผ่านข้าแผ่นเดียวก็พอ อาจไม่ใช่ทุกคนที่รู้จักข้า”

เทียนเจี้ยนเข้าใจสิ่งที่นางพูด กำลังพลเบื้องล่างที่รู้จักอวี้หลัวช่ามีไม่เยอะ กอปรกับอวี้หลัวช่ายิ่งนับวันยิ่งอ่อนเยาว์ลงเรื่อยๆ เหมือนเป็นสาวน้อยคนหนึ่ง อาจจะทำให้คนมองพลาดแล้วเข้าใจอะไรผิดได้จริงๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้อวี้หลัวช่าเอาแต่อธิบายว่าตัวเองเป็นใคร เขาจึงพยักหน้าแล้วยื่นป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งให้นาง

อวี้หลัวช่ารับป้ายคำสั่งมาดูครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ถ้าข้าไม่ได้กลับมาที่เดิม จะให้คนนำมาส่งให้เจ้า”

เทียนเจี้ยนพยักหน้าสื่อว่าเข้าใจ พุทธะหน้าหยกผู้สง่าผ่าเผยอาจะไม่ต้องถ่อกลับมาอีกครั้งเพื่อป้ายคำสั่งแผ่นเดียว นางอาจจะกลับไปเลย

ไม่พูดพร่ำทำเพลง อวี้หลัวช่าพุ่งขึ้นฟ้าไปแล้ว เทียนเจี้ยนเงยหน้ามองตาม

พอออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้แล้ว อวี้หลัวช่าก็ช้อนลูกกลมโลหะไง้ในกรระบอกแขนเสื้อ กำลังตามหาดาวเคราะห์ที่ระบุไว้ แยกแยะทิศทางแล้วไปข้างหน้า ที่จริงดาวเคราะห์เมื่อครู่นี้ก็เป็นหนึ่งในเครื่องหมายบอกทางเช่นนั้น

เมื่อไม่มีป้ายคำสั่งผ่านทาง ก็เป็นเรื่องยากที่จะไม่ถูกสอบสวน อาณาเขตผืนนี้คือบริเวณบริเวณแนวหน้าของการค้นหา กำลังพลกลุ่มใหญ่กำลังกระจายกำลังตรวจค้น เป็นไปไม่ได้ที่ผ่านทางนี้แล้วจะไม่ถูกพบ อวี้หลัวช่าที่ถูกสกัดสิบกว่าครั้งเผยป้ายคำสั่งจนผ่านไปได้ตลอดทาง

หลังจากเร่งเดินทางในดาราจักรได้ครึ่งวัน เห็นว่าไม่มีใครดักสอบสวนอีก อวี้หลัวช่าก็แน่ใจว่าหลุดออกจากอาณาเขตค้นหาของกำลังพลกลุ่มใหญ่แล้ว ตอนนี้นางถึงได้เหยียบลงบนดาวดวงหนึ่งที่ลอยนิ่งอยู่อวกาศเงียบๆ เป็นเส้นยาว แล้วสะบัดแขนเสื้อปล่อยเหมียวอี้ออกจากกระเป๋าสัตว์

เหมียวอี้ปรากฏตัวแล้วมองไปรอบๆ “นี่คือที่ไหน?”

อวี้หลัวช่าใช้ฝ่ามือข้างเดียวถือรองลูกกลมโลหะขึ้นมา เหมียวอี้ตะลึงงัน จากนั้นก็แอบดีใจ เขาเข้าใจแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่บนเส้นทางของแผนที่แล้ว เขายื่นมือกดบนนั้น หลังจากยอมให้พลังอิทธิฤทธิ์ของอวี้หลัวช่าลากไปถึงตำแหน่งที่ระบุ แล้วมองดวงดาวรูปเส้นยาวที่มองปราดเดียวก็สามารถเห็นทั้งหมด ก็เข้าใจแล้วว่าตัวเองอยู่ตรงจุดไหน

หลังจากปล่อยมือ เหมียวอี้ก็มองดาราจักรรอบๆ พร้อมพึมพำ “ดูจากเครื่องหมายบนแผนที่ พวกเราน่าจะมาถึงหนึ่งในหกส่วนของเส้นทางทั้งหมดแล้ว”

“คงประมาณนั้น” อวี้หลัวช่าเห็นด้วย ถาม “สูตรล่ะ?”

“เมื่อถึงเวลาที่ควรบอก ข้าก็ย่อบอกเอง” เหมียวอี้ตอบ

“ข้าสงสัยว่าจะไม่มีสูตรหาสมบัติอะไรเลย แค่เป็นวิธีที่เจ้าใช้ถ่วงเวลาเท่านั้น” อวี้หลัวช่ากล่าว

ช่างเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้กระจ่างจริงๆ แต่ตราบใดที่เจ้ายังโลภไม่หาย ต่อให้เข้าใจกระจ่างก็กลายเป็นเรื่องโกหกอยู่ดี!เหมียวอี้รู้สึกขำในใจ แต่ปากก็ยังกล่าวอย่างจนใจว่า “เจ้านี่ขี้สงสัยเกินไปแล้ว ตอนนี้ข้ากำลังตกอยู่ในมือเจ้า ถ้าเจ้าอยากจะทำให้ข้าตาย ก็ง่ายเหมือนเหยียบมดตัวเดียว ข้าหลอกเจ้าก็ไม่เท่ารนหาที่ตายหรอกเหรอ”

อวี้หลัวช่าพ่นเสียงทางจมูก “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว”

“ตอนมาไม่ได้โดนใครตรวจสอบใช่มั้ย? เจ้าไม่ได้ทำให้พวกเขาสงสัยหรอกใช่มั้ย?” เหมียวอี้ถาม

อวี้หลัวช่าโบกมือเผยป้ายคำสั่ง “ผู้ตรวจการใหญ่เทียนเจี้ยนของหน่วยเจิ้นติง ให้ป้ายคำสั่งผ่านทางกับข้า ยังมีคำถามอะไรอีกมั้ย?” ถ้าไม่ใช่เพื่อควบคุมเหมียวอี้ให้พาตนไปหาสมบัติลับอย่างราบรื่น นางก็ไม่อยากจะเปลืองคำพูดกับเหมียวอี้เลย

เหมียวอี้จ้องป้ายคำสั่งด้วยแววตาเป็นประกาย แอบดีใจอย่างบ้าคลั่ง เขากำลังครุ่นคิดว่าถ้าฆ่าผู้หญิงตายแล้วกลับมาเจอคนตรวจสอบจะทำอย่างไร นึกไม่ถึงว่าในมือนางจะมีป้ายคำสั่งผ่านทางอยู่ด้วย แบบนี้ดีสุดๆ ไปเลย จึงกล่าวสรรเสริญเยินยอทันที “สมกับเป็นพุทธะหน้าหยก ไม่ว่าเรื่องอะไร ถ้ามาถึงมือเจ้าแล้วก็ไม่มีปัญหา”

อวี้หลัวช่าไม่ซาบซึ้งในคำเยินยอนี้เลย “อย่าพูดมากในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ข้าถามเจ้าหน่อย จะหาตามเครื่องหมายบอกทางไปอย่างนี้เรื่อยๆ เหรอ?”

“ข้าเองก็มาครั้งแรก ฟันธงไม่ได้ว่ามีปัญหาหรือเปล่า” เหมียวอี้ตอบ

อวี้หลัวช่าบอกอีกว่า “เจ้าบอกว่าอาณาเขตดาวของจุดซ่อนสมบัตินั่นอยู่ในวงโคจรไม่หยุดนิ่ง เจ้าแน่ใจนะว่าตอนกลับจะมาตามเครื่องหมายบอกทางบนแผนที่ดาวได้?” ปัญหานี้สำคัญมาก นางต้องทำให้กระจ่าง ถ้าอาณาเขตดาวโคจรผิดตำแหน่งขึ้นมา ไม่สามารถกลับทางเดิมตามเครื่องหมายบอกทางได้ ต่อให้วรยุทธ์นางจะสูงกว่านี้ ดีไม่ดีนางอาจจะเหนื่อยตายอยู่ในดาราจักรอันไร้ที่สิ้นสุดนี้ อาจกลับมาไม่ได้อีก นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางอยากเห็น

“เจ้าไม่ต้องห่วง ถึงจะอยู่ท่ามกลางการโคจร แต่ขอบเขตการย้ายตำแหน่งของดาวภายในหนึ่งปีก็ไม่ใหญ่มาก สามารถหาเจอแล้วกลับมาได้” เหมียวอี้ตอบ

“เจ้าแน่ใจนะ?” อวี้หลัวช่าถาม

เหมียวอี้จึงตอบว่า “นี่สุดสวย ข้ากำลังอยู่กับเจ้านะ ถ้าเจ้ากลับไม่ได้ ข้าจะไม่ซวยไปด้วยหรอกเหรอ ข้าจำเป็นต้องหลอกเจ้ามั้ย? หวังก็แต่ให้เจ้ารักษาคำพูด ไม่ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง”

พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ อวี้หลัวช่าก็หมดความสงสัยในใจแล้ว ไม่เปลืองคำพูดอีก คว้าแขนเขาไว้ ดึงเขาแฉลบไปยังจุดลึกของทะเลดาวอันกว้างใหญ่ด้วยกันอย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้ที่ถูกพาเหาะด้วยความเร็วสูงกลับหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิว เตรียมจะบอกความจริงกับอวิ๋นจือชิว ถ้าเกิดเรื่องอะไรกับตนขึ้นมา อวิ๋นจือชิวจะได้ไม่ถึงขั้นไม่รู้อะไรเลย จะได้รู้ว่าจะเตรียมทางถอยอย่างไร

อวี้หลัวช่าเหล่ตามอง พร้อมเตือนว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าเล่นตุกติก ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าทรมานจนมีชีวิตอยู่มิสู้ตาย!”

เหมียวอี้ชูระฆังดาราขึ้นมาแล้วถอนหายใจ “คนสวย ข้าเป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลนะ มีงานในมือต้องจัดการ ในเมื่อนแน่ใจแล้วว่าจะไปหาสมบัติจริงๆ ข้าก็ต้องวางแผนงานให้ลูกน้องหน่อยสิ ไม่อย่างนั้นถ้าลูกน้องติดต่อข้าไม่ได้ก็จะเกิดเรื่องแล้ว”

อวี้หลัวช่าเบะปาก เพื่อจะที่จะคุมให้เหมียวอี้พาไปหาสมบัติลับอย่างราบรื่น นางจึงตามใจ นางเชื่อว่าเหมียวอี้ไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วเมื่ออยู่ในมือนาง ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับเอาชีวิตมาล้อเล่น

“คนระยำ!”

จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล หลังจากอวิ๋นจือชิวได้รู้ความจริง ก็อย่างโมโหเดือดดาล

นางลุกจากเก้าอี้ เดินไปเดินมาไม่หยุดด้วยสีหน้ากระวนกระวาย ร้อนใจเหมือนมดบนกระทะ นางคาดไม่ถึงเลยว่าเหมียวอี้จะคิดหาวิธีการที่เสี่ยงอันตรายขนาดนี้ได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะอาศัยกำลังของอวี้หลัวช่าบุกฝ่าการตรวจสอบของกองทัพองครักษ์ ทั้งยังคิดจะกำจัดอวี้หลัวช่าอีก อวี้หลัวช่าเป็นตัวละครแบบไหนกัน? นี่ไม่ใช่การวางแผนเอาหนังเสือหรอกหรือ?

แต่เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้นางอยากห้ามก็ห้ามไม่ไหว เหมียวอี้อยู่ในมืออวี้หลัวช่าแล้ว ไม่ใช่ว่านึกอยากจะกลับก็กลับได้ คนทางฝั่งนางก็ไม่มีทางหลบเลี่ยงการตรวจสอบของกองทัพองครักษ์ได้เช่นกัน ต่อให้อยากจะไปรับก็ทำไม่ได้

เห็นได้ชัดเจนมา เหมียวอี้วางแผนจะทำอย่างนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว เขาถึงได้ปิดบังนาง ไม่อย่างนั้นถ้านางรู้ก่อน ก็จะไม่ให้เขาไปแน่นอน

“ฮูหยิน เป็นอะไรไปคะ?” เชียนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ถามด้วยความกังวล

อวิ๋นจือชิวร้อนรนเพราะไร้หนทางแก้ไขปัญหา นางได้แต่ส่ายหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร รู้ว่าพูดไปก็แก้ปัญหาไม่ได้อยู่ดี อย่างมากก็เพิ่มความกังวลให้สองคนนี้ จำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วยเหรอ? สุดท้ายนางก็หย่อนก้นนั่งลงที่เดิม เอามือจับหน้าผากเงียบๆ พูดจากใจจริง ตอนนี้นางค่อนข้างแค้นเจ้ารองศีลแปด ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเวรที่ไว้ใจไม่ได้คนนี้ พวกเขาสองสามีภรรยาจะต้องมาเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงขนาดนี้ได้อย่างไร? คนหนึ่งก็เจ้ารอง คนหนึ่งก็เจ้าสาม สองพี่น้องคู่นี้ไม่มีใครทำให้เบาใจได้สักคน ตอนนี้เจ้าสามถูกรับเป็นอนุภรรยาแล้วก็ยังดีหน่อย นับว่าสงบใจแล้ว แต่เจ้ารองนั่นกลับไว้ใจไม่ได้โดยแท้ เป็นคนระยำที่วางกับดักทำร้ายคนอื่นจริงๆ!

นางไม่เข้าใจเลย สามีตัวเองก็ใช้ชีวิตลำบากมากอยู่แล้ว ทำไมต้องมาเจอกับสองพี่น้องที่ไว้ใจไม่ได้คู่นี้ด้วย?

หลังจากเอามือกุมหน้าผากอย่างจนใจพักหนึ่ง ในใจก็พรั่งพรูความรู้สึกภาคภูมิใจ สุดท้ายตัวเองก็เลือกคนไม่ผิด ต่อให้ถูกความจริงชำระล้างบางอย่างไป แต่สุดท้ายผู้ชายของตัวเองก็มีคำว่า ‘คุณธรรมน้ำมิตร’ อยู่ในใจเสมอ ความตั้งใจแรกเริ่มยังไม่สูญสิ้นไป ถามหน่อยว่าในใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่ไปเสี่ยงทำเรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนี้โดยไม่มีผลประโยชน์ใดๆ เกี่ยวข้องเหมือนสามีนางบ้าง?

เหมียวอี้ทำก่อนแล้วค่อยบอกทีหลัง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางรู้ว่าตอนนี้ร้อนใจอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ต้องใจเย็นแล้วค่อยๆ คิด

พอลองคิดดูดีๆ ก็เข้าใจทุกอย่าง สามีนางดึงดันจะไปเพื่อยืนยันความปลอดภัยของเจ้ารอง ที่ไม่บอกนางเพราะไม่อยากให้นางห้าม เพราะถ้านางห้ามเขา ก็จะทำลายความรู้สึกระหว่างสามีภรรยาแน่นอน ตอนหลังถึงบอกนางให้ชัดเจน ให้นางเตรียมตัวเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิด

ขณะเดียวกันเหมียวอี้ก็บอกแล้วจริงๆ ว่ารู้สถานการณ์เกี่ยวกับสถานที่ที่เจ้ารองถูกขังมาบ้างแล้ว ภายในไม่กี่ปีนี้เขาอาจจะขาดการติดต่อไป ในช่วงนี้ต้องให้อวิ๋นจือชิวคิดหาทางรับมือกับทั้งข้างบนข้างล่าง รอเขากลับไป

อวิ๋นจือชิวนั่งขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่บนเก้าอี้ กำลังคิดว่าจะรับมือกับหลายปีต่อจากนี้อย่างไร โชคดีที่ปกติแล้วนางก็มีบารมีต่อกำลังพลเบื้องล่างอยู่บ้าง คำพูดของนางก็มีน้ำหนักเท่ากับเหมียวอี้ ถ้าไม่มีเหตุไม่คาดคิดอะไร นางออกหน้าเองก็น่าจะควบคุมสถานการณ์ไหว ไม่อย่างนั้นถ้าไม่มีข่าวคราวเหมียวอี้เลย เบื้องล่างจะต้องวุ่นวายแน่นอน

เรื่องที่เหมียวอี้ทำก่อนแล้วค่อยบอก นางเองก็ทำได้แค่พยายามให้ดีที่สุด ใครใช้ให้นางแต่งงานกับเจ้าเวรนี่ล่ะ…

ในจุดลึกของดาราจักรนิรนาม ในที่สุดชายหญิงคู่หนึ่งก็เดินทางตามเครื่องหมายบนแผนที่มาจนถึงปลายสุดแล้ว ขณะที่ตัวอยู่ในดาราจักร ก็รู้สึกได้ว่าดาวเคราะห์งดงามเปี่ยมพลังชีวิตอยู่ตรงหน้าแล้ว

ทั้งสองหยุดอยู่ในดาราจักร ดวงตาของอวี้หลัวช่าเบ่งบานไปด้วยความยินดีปรีดา ตรวจสอบแผนที่ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ผิดหรอก ดาวเคราะห์งดงามตรงหน้าก็คือจุดหมายปลายทางนั่นเอง

เหมียวอี้ดีใจแทบบ้าเช่นกัน ชี้ไปที่นั่งพลางตะโกนบอก “ถึงแล้วๆ ในที่สุดก็ถึงแล้ว” เขาชักแขนตัวเองออกจากมืออวี้หลัวช่า แล้วทำท่าจะพุ่งเข้าไป

ใครจะคิดว่าอวี้หลัวช่าจะถลันตัวมาคว้าแขนเขาเอาไว้ แล้วตะคอกว่า “เดี๋ยวก่อน ดาวเคราะห์ดวงนี้มีปัญหานิดหน่อย”

“…” เหมียวอี้ตะลึงงัน หันกลับมาถามว่า “จะมีปัญหาอะไรได้?”

“ถ้าจะมีก็อาจจะเป็นกับดัก!” อวี้หลัวช่าใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ราวกับคบเพลิง กวาดมองดาราจักรรอบๆ

“กับดัก?” เหมียวอี้มองไปรอบๆ อย่างงุนงง มองเบาะแสอะไรไม่ออก จึงถามอย่างสงสัย “จะมีกับดักอะไรได้?”

อวี้หลัวช่าชี้ไปทางดาวเคราะห์น้อยใหญ่รอบๆ พร้อมกลาวเสียงต่ำ “ทิศทางการกระจายตัวของดาวเคราะห์พวกนั้นไม่ปกติ เหมือนค่ายกลที่วางเอาไว้ อาจจะมีผู้ยิ่งใหญ่สักคนใช้ประโยชน์จากดวงดาววางค่ายกลอะไรสักอย่างไว้”

เหมียวอี้แอบตกใจ ขนาดนี้ยังดูออกอีกเหรอ สมกับเป็นพุทธะหน้าหยก

เขาย่อมรู้ว่าดาวเคราะห์ดวงนี้มีปัญหา มีกับดักอยู่จริงๆ ถ้าไม่มีกับดักเขาจะกล้าพาอวี้หลัวช่ามาที่นี่ตามลำพังได้อย่างไร เขาอยากจะล่อให้อวี้หลัวช่ามาติดกับดัก นึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันล่ออีกฝ่ายไปติดกับดัก อีกฝ่ายก็มองออกภายในปราดเดียวแล้ว สายตาแหลมคมจริงๆ

เหมียวอี้ถามกลับ “เป็นกับดักแบบไหน?” ขณะที่ถามคำนี้ ขนาดตัวเขาเองยังอกสั่นขวัญแขวน กังวลว่าอีกฝ่ายจะมองกับดักออก กลัวนางจะเดาออกว่าตนวางกับดักนาง แบบนั้นตัวเองก็จะแย่แล้ว ต่อให้ไม่ตายก็โดนถลกหนังแน่นอน

อวี้หลัวช่ากวาดตามองโดยรอบอย่างระแวดระวัง แล้วส่ายหน้าเบาๆ “ไม่รู้ว่าเป็นกับดักอะไร แต่ถ้าเป็นกับดักจริงๆ ค่ายกลที่เกิดจากดวงดาวมีอานุภาพไม่ธรรมดาแน่ ถ้าเข้าไปอยู่ในนั้นเมื่อไร ก็จะเป็นอันตรายมาก”

………………

นี่ยังเดาได้อีกเหรอ? เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ แต่กลับกลอกตาใส่นาง “เจ้านี่ช่างคิดได้จริงๆ ถ้านี่คือแผนที่ของสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป ข้าคงถวายให้ตำหนักสวรรค์เพื่อเลื่อนตำแหน่งตั้งนานแล้ว ยังจะโดนบีบอยู่ที่ตลาดผีจนกลายเป็นอย่างนี้อีกเหรอ? แล้วอีกอย่าง เวลาที่สำนักหนานอู๋ถูกกวาดล้างกับเวลาที่พระปีศาจหนานโปถูกผนึกสอดคล้องกันเหรอ? ถ้าไม่ใช่แผนที่ซ่อนสมบัติ ข้าจะเดาแม่นทันทีได้ยังไง จะเดาออกได้ยังไงว่าสำนักหนานอู๋มีสมบัติลับ?”

อวี้หลัวช่าอึ้งไปชั่วขณะ คิดตามแล้วก็เห็นด้วย ถ้าไม่รู้เรื่องสมบัติลับสำนักหนานอู๋ อีกฝ่ายก็ไม่มีทางล่อให้ฝ่ายตนไปติดกับดักที่น้ำพุวังเวงได้เลย

“เอาเป็นว่าปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อไม่ได้อีกแล้ว” อวี้หลัวช่าโบกมือตัดสินใจ

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ไม่ใช่ว่าข้าอยากให้ยืดเยื้อ แต่กองทัพองครักษ์ค้นหาอยู่บริเวณนั้น ถ้าเจอคนของกองทัพองครักษ์แล้วจะอธิบายยังไง!”

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้ามีวิธีการแก้ปัญหาอยู่แล้ว เจ้าเป็นห่วงสิ่งนี้ดีกว่า!” อวี้หลัวช่ายกลูกกลมโลหะบนฝ่ามือขึ้นมา

“ข้าจะเป็นห่วงมันทำไม?” เหมียวอี้งุนงง

อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม “แผนที่นี้จะจริงหรือปลอม เดี๋ยวข้าทดสอบแล้วก็รู้เอง”

“อย่าบอกนะว่าเจ้าจะไปทดสอบที่สถานที่จริง ไปแหวกหญ้าให้งูตื่นจนตำหนักสวรรค์สงสัย?” เหมียวอี้ถามกลั้วหัวเราะ

อวี้หลัวช่าตอบว่า “ตำหนักสวรรค์ค้นหาบริเวณนั้นมาตั้งนาน แผนที่อาณาเขตดาวฉบับใหม่น่าจะออกแล้ว เจ้าคิดว่าข้าหาแผนที่ฉบับใหม่มาเทียบมันยากนักเหรอ?”

เหมียวอี้กลอกตามองบน “ตามใจเจ้า รอให้เจ้ารู้ชัดแล้วค่อยมาหาข้า ข้าไปก่อนล่ะ” ตอนเขาเพิ่งจะหันตัวไป ก็มีมือข้างหนึ่งมาพาดบนบ่าเขาแล้ว กดเขาไว้จนกระดิกตัวไม่ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะตะคอกถามเสียงต่ำ “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“รอให้ข้าตรวจสอบให้เสร็จแล้วเจ้าค่อยไปดีกว่า” พอพูดจบ นางก็รีบควบคุมเหมียวอี้ไว้ ยัดเข้ากระเป๋าสัตว์แล้วเหาะขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว

พอตกลงในกระเป๋าสัตว์ เหมียวอี้ก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าทันที ท่ามกลางความมืดมีดวงตาเขียวขลับดวงใหญ่คู่หนึ่งกำลังจ้องเขาอยู่ เขาถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์จึงใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดำมืด เขาจึงไม่รู้ว่านั่นคือตัวอะไร รู้สึกเพียงว่ามือสัมผัสไปโดนเกราะเกล็ดที่เย็นเฉียบ เหมือนมีร่างกายขนาดใหญ่กำลังเลื้อยขยุกขยิก ไม่นานลิ้นใหญ่ที่เหม็นคาวก็เลียบนใบหน้าเขาอีก ลิ้นที่เลียบนใบหน้าเขามีของเหลวเหม็นคาว แต่จะหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น ไม่รู้ด้วยว่าในกระเป๋าสัตว์ของอวี้หลัวช่าซ่อนสัตว์ประหลาดอะไรไว้

ถ้าเปลี่ยนเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ก็คงตกใจตายไปแล้ว แต่เหมียวอี้ไม่เป็นอะไร อย่างไรเสียก็รู้ว่าตัวเองยังไม่มีอันตรายอะไร

หนึ่งวันหรือสองวัน? เขาเองก็ไม่รู้ว่าต้องอยู่ท่ามกลางกลิ่นเหม็นคาวนานเท่าไร สรุปว่าตอนที่ถูกโยนออกมาอีกครั้ง เขาก็มาโผล่อยู่ในห้องที่สลักจากหยกขาวห้องหนึ่ง เพดานห้องฝังไจ่มุกราตรีเม็ดหนึ่ง นอกจากสิ่งนี้ ก็ไม่มีเครื่องประดับอะไรแล้ว

อวี้หลัวช่ากลับสู่ร่างจริงที่เหมือนสาวน้อยบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว นางปรายตามองเหมียวอี้ที่ใบหน้าและเส้นผมถูกเลียจนเปียก นางเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วหันตัวเดินออกไป

“เดี๋ยวก่อน!” เหมียวอี้โบกมือให้นางหยุด เอามือเช็ดของเหลวเหนียวหนืดบนใบหน้า แล้วมองไปรอบๆ พร้อมถามว่า “นี่ข้ากำลังอยู่ที่ไหน?”

อวี้หลัวช่าหันตัวมามองครู่เดียว แล้วตอบเสียงเรียบ “วัดพุทธะหยก!” จากนั้นก็หันตัวเดินออกไปอีกครั้ง

เหมียวอี้นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะพาตัวเองกลับมาที่สำนักหลัวช่า จึงตะโกนเรียกอีก “ช้าก่อน!”

อวี้หลัวช่าหยุดเดิน แล้วถามโดยไม่หัยกลับมา “กลัวแล้วเหรอ?”

“ข้าจะกลัวอะไร?” เหมียวอี้แปลกใจ

“กลัวว่าข้าจะรู้ว่าแผนที่ซ่อนสมบัติเป็นของจริงหรือปลอมไง” อวี้หลัวช่าตอบ

เหมียวอี้รู้สึกอยากขำ “ไม่ว่าเจ้าจะตรวจสอบยังไงมันก็ไม่ปลอมหรอก สิ่งที่ข้ากังวลตอนนี้ก็คือทางตำหนักนารีสวรรค์”

อวี้หลัวช่าที่หันหลังให้เขาเอียงหน้าเล็กน้อย “เจ้านี่เรื่องเยอะจริงๆ ทำไมโยงไปเกี่ยวกับตำหนักนารีสวรรค์อีกแล้วล่ะ?”

เหมียวอี้ที่เหนียวเปียกไปทั้งตัวเดินเข้ามา “ไม่ใช่ว่าข้าเรื่องเยอะหรอก ข้าถูกดูแลโดยตรงจากตำหนักนารีสวรรค์ ทางตำหนักนารีสวรรค์อาจจะติดต่อข้าได้ทุกเมื่อ ถ้าติดต่อไม่ได้ขึ้นมา ก็อาจจะเกิดความวุ่นวายได้”

“นี่เจ้ากำลังขู่ข้าเหรอ?” อวี้หลัวช่าถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่ใช่ว่าข้าขู่เจ้า เดินมาถึงขึ้นนี้แล้ว ขู่เจ้าไปก็ไม่มีความหมายอะไร ในเมื่อข้ากล้ามาแล้ว ก็ย่อมต้องมีแผนสำรองสิ ถ้าข้ารอดชีวิตกลับไปไม่ได้ ก็อย่าว่าแต่ตำหนักนารีสวรรค์เลย จะมีคนส่งของบางอย่างให้ตึกศาลาสัตยพรตทันที แค่นั้นตระกูลเซี่ยโห้วก็จะรู้เรื่องระหว่างเจ้ากับข้าชัดเจนแจ่มแจ้ง รวมทั้งเรื่องวิธีการหาสมบัติลับด้วย ตระกูลเซี่ยโห้วมีกำลังมากขนาดไหน ก็คงไม่ต้องให้ข้าอธิบายเยอะหรอก ที่จริงเจ้ากับข้าก็รู้ชัดอยู่แก่ใจ ในปีนั้นที่เจ้าปล่อยข้ากลับไป ก็ไม่มีทางลงมือกับข้าได้ง่ายๆ อีกแล้ว นี่ก็เป็นสาเหตุที่ข้ากล้ามาที่นี่ แน่นอน ถ้าไม่ถูกกดดันจนหมดทางเลือก ข้าก็ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องระหว่างเราง่ายๆ เช่นกัน นี่ก็เป็นสาเหตุที่เจ้ากล้าปล่อยข้าในปีนั้น ครั้งนี้ข้ามาเพราะอยากจะร่วมงานกับเจ้าจริงๆ ดังนั้นเจ้าวางใจได้เลย ข้าจะทำงานร่วมกับเจ้าอย่างดีแน่นอน”

“ร่วมงาน?” อวี้หลัวช่าถามอย่างเย็นชา “ร่วมงานยังไง?”

เหมียวอี้บอกว่า “ข้าจะช่วยเจ้าหาสมบัติลับ เจ้าไว้ชีวิตข้าสักครั้ง เจ้าเองก็บีบจุดอ่อนข้าอยู่ ต่อไปกล้าไม่กล้าพูดอะไรซี้ซั้วหรอก”

อวี้หลัวช่าแสยะยิ้มในใจ ถ้าได้สมบัติลับในตำนานที่แม้แต่พระปีศาจหนานโปยังหวาดกลัวมาจริงๆ ยังต้องแยแสตำแหน่งพุทธะอะไรนี่ด้วยเหรอ?

แน่นอนว่านางไม่พูดสิ่งนี้ออกมา ตอนนี้นางอยากจะคุมเหมียวอี้ให้สงบ อยากจะให้เขาช่วยนางหาสมบัติลับเหมือนกัน “ได้! ตกลง!”

นางสะบัดแขนเสื้อไปข้างหลัง พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดกลุ่มหนึ่งชนเหมียวอี้จนกระเด็นออกไป เขากระแทกผนังก่อนจะตกลงพื้น กระอักเลือดสดคำหนึ่ง เอามือกุมอกลุกขึ้นยืน ขณะกำลังจะพูด กลับพบว่าผนึกวรยุทธ์บนร่างกายตัวเองคลายออกแล้ว เขากลับมาควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองได้แล้ว

“ข้าเองก็รับประกันไม่ได้ว่าวัดพุทธะหยกมีสายลับของคนอื่นอยู่หรือเปล่า อยู่ในนี้แต่โดยดี ถ้ากล้าเพ่นพ่านไปทั่วก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” อวี้หลัวช่าพูดทิ้งท้ายแล้วเดินเนิบนาบออกไป

เขายกมือเช็ดคราบลือดที่มุมปาก ถ่มน้ำลายสองคำ ด่าในใจว่า นางตัวแสบ คอยดูเถอะ!

อวี้หลัวช่ากำลังควบคุมเขา ส่วนเขาก็ควบคุมอวี้หลัวช่าได้เหมือนกันไม่ใช่หรอกหรือ

ยังไม่ต้องสนใจอย่างอื่น ตอนนี้นำน้ำจากกำไลเก็บสมบัติออกมาล้างตัวก่อน เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่แล้วค่อยว่ากัน ส่วนน้ำสกปรกบนพื้นเขาก็ใช้ไฟเผาจนสะอาดเกลี้ยง ไม่มีกลิ่นคาวหลงเหลืออยู่แล้ว จากนั้นโยนเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมา แล้วนั่งขัดสมาธิบนนั้น

เท่ากับรออยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายเดือน ไม่มีใครโผล่หน้ามาสักคน หลังจากนั้นหนึ่งเดือนถึงได้เห็นอวี้หลัวช่าโผล่หน้ามาอีกครั้ง

เหมียวอี้กระโดดลงจากโต๊ะ แล้วถามพร้อมรอยยิ้ม “เป็นยังไงบ้าง? ข้าไม่ได้หลอกเจ้าเรื่องแผนที่ใช่มั้ยล่ะ?”

อวี้หลัวช่าหาแผนที่อาณาเขตดาวฉบับใหม่มาแล้วจริงๆ ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หลังจากเปรียบเทียบตามวิธีการที่เหมียวอี้บอก ก็พบว่าเป็นตามนั้นจริงๆ ทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นมาก แต่นางก็ยังไม่ได้ตอบเขา กลับเตือนว่า “ถ้าไปตามแผนที่ของเจ้าแล้วหาของไม่เจอ เจ้าก็คงรู้ผลที่ตามมานะ”

“แผนที่ซ่อนสมบัติเป็นของจริงแน่นอน แต่ปัญหาก็คือจะผ่านด่านกองทัพองครักษ์ไปได้ยังไง” เหมียวอี้กล่าว

อวี้หลัวช่าบอกเขาด้วยน้ำเสียงปกติ “เนื่องจากตำหนักสวรรค์ส่งคนมาได้ไม่เยอะ แดนสุขาวดีก็เข้าร่วมค้นหาสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปเหมือนกัน มีคนสำนักหลัวช่าของข้าเข้าร่วมพอดี ข้าจะไปดูด้วยตัวเอง เหมือนจะสมเหตุสมผลใช่มั้ยล่ะ?”

เหมียวอี้แอบดีใจแทบบ้า ผู้หญิงคนนี้มีกำลังดำเนินงานเยอะจริงๆ ด้วย เขาอดไม่ได้ที่จะถาม “เจ้าจะทำได้ยังไง?”

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” พออวี้หลัวช่าพูดจบ ก็คว้าตัวเหมียวอี้เอาไว้ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจค้นของในกระเป๋าของเหมียวอี้ จากนั้นก็ดึงเหมียวอี้เก็บเข้ากระเป๋าสัตว์

เหมียวอี้ที่ตกลงกระเป๋าสัตว์อีกครั้งไม่เหมือนครั้งก่อนแล้ว เขาใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง ในที่สุดก็เห็นชัดว่าสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์ของอวี้หลัวช่าคือตัวอะไรกันแน่

เป็นสัตว์ขนาดใหญ่มหึมาตัวหนึ่งที่หน้าตาเหมือนทั้งมังกรเหมือนทั้งงู มีปีกเนื้อคู่หนึ่ง บนหัวมีดวงตาขนาดใหญ่สีเขียวขลับ ในฟันที่แหลมคมเหมือนฟันเลื่อยเต็มปากแลบลิ้นสีแดงสดที่มีของเหลวเหนียวยืด ลมหายใจมีกลิ่นเหม็นคาว มีกรงเล็บแหลมครมสองข้าง ทั้งตัวมีเกราะเกล็ดสีทอง ปีกเนื้อสีทองระยิบระยับเหมือนเสื่อน้ำมัน

งูมังกร? เหมียวอี้แอบตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสัตว์ในตำนาน ตามที่ได้ยินมา ปกติมันจะซ่อนตัวอยู่ในหุบเลวลึกไร้ที่สิ้นสุด มีพลังแข็งแกร่ง นึกไม่ถึงว่าอวี้หลัวช่าจะมีสิ่งนี้อยู่ในมือ

เมื่อเห็นเหมียวอี้ งูมังกรก็แลบลิ้นขนาดใหญ่เข้ามาเลียอีก แต่ครั้งนี้เหมียวอี้มีเกราะอิทธิฤทธิ์ป้องกันตัว

ดาราจักรกว้างใหญ่ บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง กลุ่มสัตว์ขนาดใหญ่กำลังรวมกลุ่มกันวิ่งตะบึงอย่างบ้าระห่ำอยู่ตรงตีนเขา ด้านหลังมีสัตว์ประหลาดดุร้ายสิบกว่าตัวกำลังวิ่งไล่ล่า

ตำหนักไม้ที่สร้างขึ้นชั่วคราวบนยอดเขาก็คือศูนย์ค้นหาของหน่วยเจิ้นติงสังกัดหน่วยองครักษ์ขวา เป้าหมายในการสืบหาก็คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป

ดาวเคราะห์ดวงนี้คือสถานที่ดำรงชีวิตที่ค้นพบใหม่ ยืดเวลาการค้นหาที่น่านฟ้าเถาะติงหลายปีถึงได้พบดาวเคราะห์ที่เหมาะแกการดำรงชีวิตดวงนี้ ข้อมูลถูกใส่ไว้ในแผนที่อาณาเขตดาวฉบับใหม่แล้ว อีกไม่นานก็จะมีพวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินมารับตำแหน่งที่นี่

ศูนย์บัญชาการของทัพใหญ่ค้นหาย้ายมาที่นี่แล้ว อยู่ใกล้กับบริเวณที่ค้นหา จะได้บัญชาการได้สะดวก

ชายหญิงคู่หนึ่งยืนเคียงกันอยู่บนริมเขา กำลังดูการฝูงสัตว์วิ่งตะบึงที่ตีนเขา

ผู้ชายรูปร่างกำยำ เป็นผู้ตรวจการใหญ่ของหน่วยเจิ้นติง ชื่อว่าเทียนเจี้ยน ส่วนผู้หญิงก็คือสาวน้อยที่สวมชุดขาวดุจหิมะ ไม่ใช่ใครที่ไหน อวี้หลัวช่านั่นเอง

กำลังพลที่เดินไปมาอยู่นอกตำหนักไม่รู้จักอวี้หลัวช่า พวกเขาแอบตกตะลึง ไม่รู้ว่าสาวน้อยคนนี้เป็นใคร ไม่เชื่อว่าผู้ตรวจการใหญ่ต้องมาคอยต้อนรับด้วยตัวเอง

“เทียนเจี้ยน พวกเราไม่ได้เจอกันเกือบสองหมื่นปีแล้วสินะ?” อวี้หลัวช่าที่กำลังมองตีนเขาถามเสียงเรียบ

“คงจะอย่างนั้นกระมัง กองทัพองครักษ์ได้รับคำสั่งให้ย้ายไปทั่ว พบกันได้ยากก็เป็นเรื่องปกติ” เทียนเจี้ยนยิ้มเบาๆ จากนั้นเอียงหน้ามองนาง “ถ้าเทียบกับปีนั้น พุทธะหน้าหยกเหมือนจะอ่อนเยาว์ขึ้นนะ ช่างทำให้ผู้หญิงในใต้หล้าอิจฉาจริงๆ! การได้เจอพุทธะหน้าหยกที่นี่ก็ทำให้เทียนเจี้ยนรู้สึกผิดคาด ไม่ทราบว่าพุทธะหน้าหยกมาเยือนด้วยตัวเองเพราะมีธุระอะไร?”

อวี้หลัวช่าตอบอย่างใจเย็น “ไม่ปิดบังเจ้านะ ข้ามีพื้นเพจากสำนักหนานอู๋ เรื่องที่พระปีศาจหนานโปกวาดล้างสำนักหนานอู๋ในปีนั้นฝังใจข้ามาก ข้าโชคดีรอดมาได้ครั้งหนึ่ง บางทีอาจจะเป็นเพราะกลัว พอได้ยินว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปยังไม่ดับ อาจจะปรากฏตัวอีกครั้ง ข้าก็กระวนกระวายใจจริงๆ เขาหลิงซานมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้พอดี ข้าเลยถือโอกาสมาดูสักหน่อย”

เทียนเจี้ยนถอนหายใจ “ข้าเข้าใจความรู้สึกของพุทธะหน้าหยก พระปีศาจหนานโปมองสรรพสิ่งเหมือนต้นหญ้า ถ้าเกิดใหม่อีกครั้ง ใต้หล้าก็จะเกิดหายนะ คาดว่าคงไม่มีใครไม่กลัว ทว่าดาราจักรกว้างใหญ่ ถ้าใช้วิธีการแบบนี้ค้นหาต่อไป คนในมือข้าก็ไม่พอจริงๆ เป็นไปไม่ได้ที่กองทัพองครักษ์จะนำคนทั้งหมดมาใช้ที่นี่ ครั้งนี้แดนสุขาวดีเป็นฝ่ายส่งคนมาร่วมค้นหากับตำหนักสวรรค์ ลดความกดดันให้ข้าได้เยอะเลย จะเห็นได้ว่าประมุขพุทธะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ขนาดไหน”

“ประมุขพุทธะเห็นว่าสี่ทัพถอนกำลังออกแล้วไม่เคลื่อนไหวสักที กังวลว่าจะเสียเวลา ถึงได้ติดต่อตำหนักสวรรค์และเสนอตัวส่งคนมาช่วย” อวี้หลัวช่ากล่าว

“อยู่ต่อหน้าคนชัดเจนไม่พูดคลุมเครือ ทางสี่อ๋องสวรรค์…เฮ้อ!” เทียนเจี้ยนส่ายหน้า

…………………

ตั้งแต่ตอนแรกที่ได้รับข้อความว่า ‘พระปีศาจหนานโป’ จากระฆังดาราของไต้ซือศีลเจ็ด เขาก็เริ่มนับเวลามาตลอด ตอนหลังถูกทำโทษขังอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์จึงเสียเวลาไปนิดหน่อย แล้วก็ถูกลงโทษให้เฝ้าที่นาหลวงในอุทยานหลวงอีกหนึ่งร้อยปี ที่จริงก็เหลือเวลาอีกแปดร้อยปีเท่านั้นที่พวกศีลแปดจะออกมา

ตอนแรกที่เขาอ้างเรื่องสมบัติลับหนานอู๋มาหลอกอวี้หลัวช่า ที่บอกว่าอีกเก้าร้อยปีหลังจึงจะถึงเวลาที่เหมาะสมสำหรับหาสมบัติ ที่จริงแล้วเขาเหลือทางถอยให้ตัวเองนิดหน่อย เพื่อให้ตัวเองได้รับมือล่วงหน้าหากแผนการในปีนั้นมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ให้ถึงขั้นฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก

ที่จริงสำหรับเขาแล้ว ถ้าอยากกำจัดอวี้หลัวช่าทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องยากเท่าไรนัก กำลังพลในมือเขาอาจจะรับมือกับสำนักหลัวช่าได้ไม่ง่ายนัก แต่ถ้าจะรับมือกับอวี้หลัวช่าคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ก็แค่เอาเรื่องหาสมบัติมาล่ออวี้หลัวช่าเข้าแดนอเวจี ที่แดนอเวจีมียอดฝีมือเยอะขนาดนั้น ขอเพียงอวี้หลัวช่าเข้าแดนอเวจี โดยพื้นฐานก็ไม่มีโอกาสรอดชีวิตแล้ว

แต่เขาต้องหลอกใช้อวี้หลัวช่าให้ช่วยชีวิตศีลแปด ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเวรศีลแปดนั่น เขาก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้

จุดเริ่มต้นของสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปอยู่บริเวณน่านฟ้าเถาะติง ถึงแม้ตำหนักสวรรค์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดุเดือดช่วงหนึ่งจนถอนกำลังพลที่ค้นหาออกไป จนตอนนี้ก็ยังไม่กลับไปค้นหาต่อเพราะมีการปรับปรุงภายในของสี่ทัพ แต่กำลังพลกองทัพองครักษ์ก็กลับไปค้นหาต่อแล้ว จากสิ่งนี้ยังไม่เห็นอีกเหรอ ว่าสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปมีความสำคัญขนาดไหน

ถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็คือ เหมียวอี้ไม่มั่นใจว่าจะหลบเลี่ยงกำลังพลตำหนักสวรรค์ที่กำลังค้นหาได้ ต้องยืมมืออวี้หลัวช่ามาคิดหาวิธีการ

“ต้องให้พวกชิงเยว่ไปด้วยหรือเปล่า?” อวิ๋นจือชิวถามอย่างค่อนข้างกังวล

“ไม่ต้อง ข้าไม่สะดวกให้คนนอกรู้ว่าตัวเองไปเจออวี้หลัวช่า เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ข้ามีแผนในใจแล้ว ไม่ทำใหตัวเองเกิดปัญหาหรอก” เหมียวอี้อ้างเหตุผลตบตานาง

เขาก็อยากจะพาพวกชิงเยว่ไปด้ววยเพื่อเป็นผู้ช่วยลับ แต่อวี้หลัวช่าจะต้องค้นตัวเขาแน่นอน เขาซ่อนพวกชิงเยว่ไม่พ้นเลย ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่สะดวกจะให้พวกชิงเยว่รู้เรื่องนี้จริงๆ

หลังจากออกจากการเก็บตัวฝึกวิชาแล้ว เหมียวอี้ก็ยังไม่รีบไป เขาตั้งใจใช้ชีวิตสุขสำราญผ่อนคลายกับบรรดาภรรยาก่อน จากนั้นถึงได้ใช้ระฆังดาราติดต่ออวี้หลัวช่า ทั้งสองนัดเวลาพบกันแล้ว

หลังจากนั้นหลายวัน เหมียวอี้ก็ออกไปเงียบๆ คนเดียว

ขณะมองคล้อยหลังเหมียวอี้จากไป อวิ๋นจือชิวก็กระสับกระส่าย นางรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จุดที่น่าสงสัยก็คือเหมียวอี้ไม่ยอมบอกเรื่องราวให้ชัดเจน เหมือนมีเรื่องบางอย่างกำลังปิดบังนาง

หรือว่าจะแอบไปหาชู้รัก? อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะคิดไปในทางนั้น เพราะด้วยนิสัยประหลาดของเหมียวอี้ ใช่ว่านางจะไม่เคยได้บทเรียนมาก่อน

นางเดาไม่ผิด เหมียวอี้แอบไปหาชู้รักก่อนจริงๆ นัดกับหวงฝู่จวินโหรวก่อนที่จะนัดกับอวี้หลัวช่า ที่จริงในระหว่างนั้นเขาจะกลับไปหาฉินเวยเวยที่พิภพเล็กเสมอ อวิ๋นจือชิวเป็นคนเร่งให้เขาไป เพราะหยางชิ่งมีบทบาทสำคัญมาก จะเย็นชาเมินเฉยกับฉินเวยเวยไม่ได้ แต่เหมียวอี้กลับฉวยโอกาสนี้ไปหาความสำราญกับหวงฝู่จวินโหรวมาหลายครั้งแล้ว คู่นี้ก็ไม่กลัวว่าเรื่องราวจะใหญ่โตเลย ถ้าโดนจับได้ขึ้นมา ทั้งสองก็ไม่อาจแบกรับผลที่ตามมาไหว แต่กลับยังเสี่ยงอันตรายอยู่อย่างนี้

สถานที่นัดพบกับอวี้หลัวช่า ก็คือดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ไม่ไกลจากอารามแปดทิศซึ่งเป็นทางเข้าแดนสุขาวดีเท่าไรนัก นัดเจอบนเกาะกลางทะเลแห่งหนึ่ง

เหมียวอี้ที่ปลอมแปลงใบหน้าแล้วเหาะลงมาจากฟ้า หลังจากเหยียบลงบนเกาะ ก็เห็นสตรีชราคนหนึ่งยืนอยู่บนหินโสโครกริมทะเล จากนั้นโบกมือเรียกอย่างร่าเริง “อวี้หลัวช่า!”

สตรีชราหันกลับมามองแวบหนึ่ง ก่อนจะถลันตัวมาตรงหน้าเขา นางถามอย่างแปลกใจอยู่บ้างว่า “ทำไมเจ้าแน่ใจขนาดนี้ว่าเป็นข้า?”

เหมียวอี้แอบตะลึงไปชั่วขณะ แอบคิดว่าตัวเองประมาทไป เป็นเพราะกังวลว่าอีกฝ่ายจะเล่นไม่ซื่อ ตอนที่อยู่ในดาราจักรจึงใช้ตาทิพย์สำรวจล่วงหน้านิดหน่อย จึงเห็นตัวจริงขอสตรีชราคนนี้ชัดเจน ย่อมรู้อยู่แล้วว่านางคืออวี้หลัวช่า แต่การอวดฉลาดกลับกลายเป็นการปล่อยไก่ เพียงแต่เขามีเหตุผลมาอ้างอยู่แล้ว เขาชี้ไปรอบๆ พร้อมกล่าวอย่างไม่ตื่นเต้น “บนเกาะมีเจ้าอยู่คนเดียว ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครไปได้? อวี้หลัวช่า ถึงยังไงเจ้าก็เป็นยอดหญิงงาม ทำไมเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์อย่างนี้แล้ว? เจ้า…เอ่อ!” เขาเบิกตากว้าง ยังไม่ทันเปลี่ยนประเด็นพูด ก็ถูกอีกฝ่ายบีบคอเสียแล้ว

อวี้หลัวช่าโมโหนิดหน่อย นางคิดว่าตัวเองเป็นพุทธะหน้าหยกผู้สง่าภูมิฐาน แต่เจ้าหมอนี่กลับเอ่ยนามของนางตรงๆ จะไม่สั่งสอนสักหน่อยได้อย่างไร แต่สิ่งที่ทำให้นางเดือดดาลที่สุดก็คือ นางรู้สึกได้ตั้งแต่พบกันครั้งแรก ว่าเจ้าเวรนี่ไม่มีความเกรงกลัวต่อนางเหมือนคนทั่วไปเลย ถึงขั้นรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นนางอยู่ในสายตา สิ่งนี้ทำให้นางไม่สบอารมณ์เอามากๆ เพียงแต่เมื่อได้ฟังข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับเหมียวอี้ ก็พบว่าเจ้าเวรนี่ใจกล้าบ้าบิ่นจริงๆ ขนาดอยู่ในงานเลี้ยงวันเกิดเซี่ยโห้วท่าที่มีขุนนางใหญ่มากมายก็ยังกล้าสร้างเดิมพันขึ้นมา สอดคล้องกับนิสัยของเขา แต่นางก็ยังมีปฏิกิริยากับพฤติกรรมที่เขาอ้าปากหุบปากก็เรียกนางว่า ‘อวี้หลัวช่า’ อยู่ดี

เหมียวอี้ถูกบีบคอจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ดวงตาทั้งคู่แทบจะถลนออกมา

เมื่อบีบคอจนเหมียวอี้เกือบขาดใจแล้ว อวี้หลัวช่าถึงได้ดึงหน้ากากบนใบหน้าออก พอยืนยันตัวตนแล้วก็ผลักออกหนึ่งที ทำเอาเหมียวอี้ไอไม่หยุด

“เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอาณาเขตดาวของจุดซ่อนสมบัติกำลังโคจรไม่หยุดนิ่ง ทุกๆ หนึ่งพันปีถึงจะกลับมาทีเดิมสักครั้ง ครั้งต่อไปที่จุดซ่อนสมบัติจะเปิดก็คืออีกเก้าร้อยปี? ทำไมเพิ่งผ่านไปแปดร้อยปีเจ้าก็บอกว่าได้แล้วล่ะ?” อวี้หลัวช่ากล่าวเสียงเย็น

เหมียวอี้เอามือลูบคอ ไม่ง่ายเลยกว่าจะหายใจคล่อง “ก็เกือบแล้วล่ะ แปดร้อยปีกับเก้าร้อยปีก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอก ข้าไม่เคยไปที่นั่น ระหว่างทางยังต้องใช้เวลาค้นหาอีก ไปถึงล่วงหน้าสักหน่อยก็ดีกว่าพลาดเวลานั้น แถมเรื่องนี้ก็อาจจะยุ่งยากนิดหน่อยด้วย ไม่มาล่วงหน้าไม่ได้หรอก”

“ปัญหาอะไร?” อวี้หลัวช่าหรี่ตาถาม

“ข้ากังวลว่ากองทัพองครักษ์ของตำหนักสวรรค์จะมาพบว่าพวกเราจะไปหาสมบัติ” เหมียวอี้ถาม

“กองทัพองครักษ์?” อวี้หลัวช่าขมวดคิ้ว “หรือว่าจุดซ่อนสมบัติมีกองทัพองครักษ์ประจำการอยู่?”

เหมียวอี้ตบหน้าอกตัวเอง เอียงคอที่เพิ่งถูกบีบจนเจ็บ แล้วตอบว่า “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก เพียงแต่บางเส้นทางที่ไปจุดหาสมบัติ ถ้าพวกเราผ่านไปทางนั้น ก็อาจจะหลีกเลี่ยงหูตาของกองทัพองครักษ์ลำบาก ถ้าไม่อยากถูกพบก็คงยาก”

“เจ้าคงไม่ได้จงใจหาข้ออ้างหรอกใช่มั้ย?” อวี้หลัวช่าระแวดระวัง

“แผนที่ซ่อนสมบัติที่ข้าให้เจ้าไว้ ตอนนี้คงจะอยู่บนตัวเจ้าใช่มั้ย เอามาให้ข้า” เหมียวอี้กล่าว

อวี้หลัวช่าทำสีหน้าระแวง แต่ก็ยังโยนลูกกลมโลหะออกมา

หลังจากเหมียวอี้รับมาแล้ว ก็กวักมือให้นางอีก แต่นางก็ไม่เข้าใจ “อะไร?”

เหมียวอี้ใช้ฝ่ามือข้างเดียวรองถือลูกกลมโลหะ “เอามือมา ข้าจะชี้แนะว่าเจ้าจะคลายปริศนาแผนที่นี้ได้ยังไง”

อวี้หลัวช่าขมวดคิ้วอีก นางไม่ชอบความรู้สึกเวลาโดนคนจูงจมูกเลย แต่ก็ไม่มีทางเลือก ยังคงเดินเข้าไป แล้วยื่นมือกดบนลูกกลมโลหะ มองเข้าไปภายในลูกกลมโลหะแล้ว พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งมารวมกับพลังอิทธิฤทธิ์ของนาง ดึงให้นางเดินไปตามพลังอิทธิฤทธิ์ของเขา

นางไม่ได้ปฏิเสธ พลังอิทธิฤทธิ์ของนางตามพลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ไป แต่สายตากลับหยุดอยู่บนใบหน้าเหมียวอี้ มองออกว่าอีกฝ่ายใจเย็นและไม่สะทกสะท้าน

พอนำทางนางไปถึงมุมหนึ่ง ก็ชี้ไปที่จุดหนึ่งตรงนั้น หลังจากวนรอบดาวเคราะห์หลายดวง เหมียวอี้ก็บอกว่า “ตำแหน่งนี้อยู่บริเวณชายแดนน่านฟ้าเถาะติง ข้าบอกไปเจ้าอาจจะไม่เชื่อ เจ้าหาลองแผนที่ดาวธรรมดามาสักฉบับแล้วก็หาตำแหน่งนี้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” พูดจบก็พลิกฝ่ามือ ลูกกลมโลหะกลับไปอยู่ในฝ่ามือของอีกฝ่ายแล้ว เขาคลายมือออกแล้ว

“บริเวณชายแดนน่านฟ้าเถาะติงเหรอ? แผนที่ดาวธรรมดา?” อวี้หลัวช่าพึมพำด้วยความสงสัย แต่ก็ยังรีบทำตามที่บอก หยิบแผ่นหยกออกมาเทียบทีละแผ่นอย่างฉับไว

หลายปีมานี้นางศึกษาแผนที่ซ่อนสมบัติฉบับนี้มาไม่น้อย แต่จนใจที่มองเบาะแสอะไรไม่ออก บนตัวนางก็มีแผนที่ดาวของน่านฟ้าเถาะติงเช่นกัน กอปรกับเหมียวอี้ชี้แนะว่าอยู่บริเวณชายแดนของน่านฟ้าเถาะติง ทำให้ขอบเขตในการค้นหาหดแคบลงเยอะมาก

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่นางก็ยังเปรียบเทียบค้นหาอยู่เกือบครึ่งวัน จนกระทั่งฟ้ามืด นางถึงได้เจอจุดที่เหมียวอี้ระบุไว้ หลังจากเปรียบเทียบจนแน่ใจ สุดท้ายก็เข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร นางเงยหน้ามองเหมียวอี้ แล้วเอ่ยถามเสียงต่ำ “สถานที่ที่เจ้าบอก ก็คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปที่ตำหนักสวรรค์ส่งกำลังพลไปค้นหาเหรอ?”

“ถูกต้องแล้ว” เหมียวอี้พยักหน้า

อวี้หลัวช่าใช้ฝ่ามือรองลูกกลมโลหะ “ข้าเคยศึกษาแผนที่ซ่อนสมบัตินี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ดาราจักรในนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่รู้จักเลย เจ้าวนรอบดาวเคราะห์แค่ไม่กี่ดวงก็บอกแล้วว่าอยู่ที่น่านฟ้าเถาะติง หรือว่าอยากจะให้ข้ารู้ว่ายากแล้วยอมถอยไปเอง? ข้าจะบอกเจ้าไว้ก่อนนะ อย่าเล่นตุกติกอะไรเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าทรมานจนมีชีวิตอยู่มิสู้ตาย”

เหมียวอี้ไม่หวาดกลัวเลยสักนิด ส่ายหน้าแล้วกล่าวช้าๆ ว่า “เจ้าคิดผิดแล้ว บนแผนที่ไม่ใช่อาณาเขตดาวหรือดาราจักรอะไรหรอก แผนที่ดาวฉบับนี้น่ะ ถ้าเจ้ามองว่ามันเป็นแผนที่ดาวก็ถือว่าเข้าใจผิดมหันต์ มันไม่ใช่แผนที่ดาวธรรมดา แต่เป็นแผนที่เครื่องหมายบอกทางของดาราจักร แผนที่นี้รวมเครื่องหมายบอกทางทั้งหมดไว้เป็นก้อนเดียว เป็นปริศนามาก ไม่ว่าใครมองก็ต้องนึกว่าเป็นแผนที่ดาว ถ้าหาตำแหน่งจุดเริ่มต้นไม่เจอ ก็คลายปริศนาแผนที่นี้ไม่ได้เลย จุดที่ข้าเพิ่งระบุไปเมื่อครู่นี้ ก็คือจุดเริ่มต้น!”

“แผนที่เครื่องหมายบอกทาง…” อวี้หลัวช่าพึมพำ รีบร่ายอิทธิฤทธิ์เข้าไปตรวจดูในลูกกลมโลหะอีกครั้ง

เหมียวอี้เตือนปนเสียงหัวเราะอยู่ข้างๆ “อย่าสิ้นเปลืองพลังความคิดเลย ขนาดตำแหน่งจุดเริ่มต้นยังอยู่บริเวณชายแดนน่านฟ้าเถาะติง จุดที่เครื่องหมายบอกทางชี้ไปไม่ได้อยู่ในดาราจักรที่รู้จักเลย ดูแบบนี้ก็ไม่เข้าใจหรอก มีแค่ต้องไปหาสถานที่จริงเท่านั้นถึงจะเข้าใจ” เขาเคยเปรียบเทียบหาแผนที่ดาวประเภทนี้มาก่อน จึงมีประสบการณ์

อ่านไม่ออกจริงๆ อวี้หลัวช่าค้นหาในลูกกลมโลหะแต่ก็มองเบาะแสอะไรไม่ออก จึตกอยู่ในความเงียบ

บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว เหมียวอี้แหงนหน้ามอง เสียงคลื่นทะเลซัดกระทบหินดังเป็นระลอก ทิวทัศน์ยามราตรีงดงามมาก

“เจ้าบอกวิธีการหาให้ข้ารู้แล้ว ไม่กลัวโดนฆ่าปิดปากเหรอ?” อวี้หลัวช่าพลันเอ่ยถาม

เหมียวอี้ยังมองท้องฟ้า พร้อมตอบด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “ข้าจะไม่รู้จุดนี้ได้ยังไง เจ้าลืมสูตรหาสมบัติที่ข้าบอกไปแล้วเหรอ? อาศัยสิ่งที่เจ้าได้ไปตอนนี้ ยังไม่พอให้หาสมบัติเจอหรอก ที่สำคัญคือของยังอยู่ในมือเข้า ต่อให้เจ้าฆ่าข้าทิ้ง เจ้าก็ยังหาสมบัติไม่เจออยู่ดี ข้าไม่ใช่คนโง่นะ!”

อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม แล้วเริ่มขมวดคิ้วครุ่นคิดอีก เห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างจัดการยาก

“ที่จริงหลังจากข้าหาแผนที่ดาวเจอ ก็คิดไว้ตั้งแต่แรกว่าจะไปสืบ แต่จนใจที่ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ค้นหาบริเวณจุดเริ่มต้นตลอด ข้าไม่มั่นใจว่าจะเลี่ยงพ้น” เหมียวอี้เก็บสายตากลับมาจากท้องฟ้า เขาสบตาอวี้หลัวช่าพร้อมบอกว่า “แผนที่ฉบับนี้น่ะ ถ้าไม่เริ่มเทียบจากจุดเริ่มต้นก็หาไม่เจอเลย ไม่สู้พวกเรารอให้ทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์ถอนกำลังไปก่อนแล้วค่อยไปหา ดีไหม?”

อวี้หลัวช่านึกว่าเขากำลังถ่วงเวลา จึงปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “ไม่ได้! คนรุ่นหลังอย่างเจ้าไม่รู้ว่าหรอกว่าพระปีศาจหนานโปน่ากลัวขนาดไหน ถ้าหาสถานที่ผนึกไม่เจอ ประมุขชิงไม่ถอนกำลังง่ายๆ แน่…” เสียงพูดหยุดชะงัก นางร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจในลูกกลมโลหะอีกครั้ง สายตาไปหยุดอยู่ที่เงาคนของวัดแห่งหนึ่ง แล้วพลันเงยหน้าถามว่า “แผนที่นี้คงไม่ใช่แผนที่ของสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปหรอกใช่มั้ย?”

…………………………

หยางเจาชิงเลือกสถานที่สร้างจวนไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นจุดที่มีสภาพแวดล้อมดีที่สุดของแผ่นดินผืนนี้ มีภูเขาสูง ทุ่งหญ้า หุบเขาดอกไม้ น้ำพุร้อน น้ำตก ทะเลสาบ เดิมทีเป็นสถานที่ฝึกตนของศิษย์ปราสาทดำเนินจันทร์คนหนึ่ง ตอนนี้ก็เหลือแค่รอให้เหมียวอี้มาตัดสินใจครั้งสุดท้าย

หลังจากกำลังพลดูสภาพแวดล้อมโดยรอบแล้ว ก็ทยอยกันเที่ยวลาดตระเวนทั้งแผ่นดินแผ่นนี้ ผลปรากฏว่าไม่เจอที่ไหนสภาพแวดล้อมดีกว่านี้แล้วจริงๆ ส่วนที่อื่นจะมีจุดที่ดีกว่านี้หรือไม่ก็ไม่ต้องสนใจ ต่อให้มีก็ไร้ประโยชน์ เพราะปราสาทดำเนินจันทร์จำกัดขอบเขตเอาไว้แล้ว ไม่ให้เจ้าครอบครองที่อื่น

ตอนที่กลับมาที่นี่อีกครั้ง เหมียวอี้ที่เหาะลงเหยียบบนยอดเขาพยักหน้าบอกว่า “มีแค่ที่นี่แล้ว เรียกรวมช่างให้เริ่มก่อสร้างเลยแล้วกัน”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง

แดนฝึกตนมีช่างที่ทำงานก่อสร้างโดยเฉพาะ ตราบใดที่จ่ายไหว อยากจะสร้างอย่างไรก็ไม่มีปัญหา

หลังจากนั้นหลายเดือน ตำหนักใหญ่โตหลังหนึ่งที่งดงามอลังการก็ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา บนประตูมีตัวอักษรตัวใหญ่ : จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล

รอบด้านเป็นแนวภูเขาที่สูงต่ำสลับกัน เสียงตัดหินก่อสร้างยังดังอยู่ สวนหลายแห่งสร้างกระจายตามสภาพพื้นที่ ยังคงอยู่ระหว่างการก่อสร้าง แบ่งเป็นที่พักให้ทัพใหญ่

“เป็นยังไงบ้าง? พอใจมั้ย?”

ตอนค่ำของวันหนึ่ง อวิ๋นจือชิวที่ขึ้นมาบนแท่นสังเกตการณ์กับเหมียวอี้ชี้ไปยังตึกศาลาในตำหนักพร้อมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มสนิทสนม

เหมียวอี้พยักหน้ายิ้ม เรื่องนี้เขาไม่มีอะไรต้องกังวลเลย อวิ๋นจือชิวจัดการทุกอย่างแล้ว ผู้หญิงเหมือนจะสนใจการตกแต่งบ้านของตัวเองเป็นพิเศษ นางตั้งใจไปซื้อของมากมายจากตลาดสวรรค์เพื่อมาประดับตกแต่งจวน

ส่วนเหมียวอี้ก็ลองสานสัมพันธ์กับปราสาทดำเนินจันทร์หลายครั้ง แต่ใครจะคิดว่าท่าทีของอีกฝ่ายที่มีต่อเจ้าจะเป็นแบบ ‘จนกระทั่งแก่ตายก็ไม่คบค้า’

หลังจากจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลสร้างเสร็จสมบูรณ์ เหมียวอี้ก็เริ่มเพ่งสมาธิหลักไปกับการฝึกวิชา นอกจากงานงานประจำบางอย่างที่ต้องจัดการ เขาก็แทบจะไม่โผล่หน้าออกมาเลย

ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอะไร สถานการณ์โดยรวมเอื้อประโยชน์ต่อเขา การปรับปรุงภายในของสี่ทัพใช่ว่าจะเสร็จภายในเวลาสั้นๆ เรื่องที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ล้ำลึกยาวนานแบบนี้ได้ทำให้ภายในเกิด กระแสตีกลับบ้างแล้ว เรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนทั้งครอบครัว จะไม่ให้ดิ้นรนหาทางรอดก็คงแปลก นอกจากนี้ ยังมีคนลงมือก่อกวนสี่อ๋องสวรรค์เป็นระยะ ทางสี่ทัพไม่มีเวลามายุ่งกับเหมียวอี้เลย

พื้นที่ของแดนรัตติกาลไม่มีปัญหาอะไร ส่วนช่องทางรายได้จากน้ำพุวังเวงที่ทัพใหญ่หนึ่งแสนบีบไว้ ทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นับว่าได้กินกันจนอิ่ม ส่วนทางตำหนักนารีสวรรค์ก็ได้ผลประโยชน์ก้อนใหญ่เช่นกัน จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลไม่อาจฮุบภาษีไว้คนเดียวได้ ย่อมเก็บไว้ที่ตัวเองเพียงส่วนเดียว ยังมีอีกส่วนที่ต้องส่งขึ้นไปข้างบน

ส่วนสถานการณ์ของเหมียวอี้ตอนนี้ แค่บรรลุเป้าหมายปัจจุบันก็ถือว่าอิ่มตัวแล้ว ถ้าโลภอยากได้ตำแหน่งสูงกว่านี้ก็ออกจะเพ้อฝันไปหน่อย เพราะพลังของเขาต่ำเกินไป ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เป็นฝ่ายก่อเรื่องก่อน ไม่มีภัยคุกคามจากภายนอกและมีกำลังทรัพย์เพียงพอ เขาทำได้เพียงมุ่งมั่นฝึกวิชา

เหมียวอี้เลิกใช้ยาแก่นเซียนฝึกวิชาแล้ว กลับมาใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาอีกครั้ง นอกจากจะประหยัดทรัพยากรฝึกตน ประสิทธิภาพก็สูงกว่าอีกด้วย เดิมทีค่างจ้างที่เบื้องบนจ่ายให้ก็เป็นลูกแก้วพลังปรารถนาอยู่แล้ว ลูกแก้วพลังปรารถนาของทัพใหญ่หนึ่งแสนถูกเหมียวอี้เก็บเข้ากระเป๋าตัวเองหมด จากนั้นซื้อพวกยาแก่นเซียนมาแจกแทน พวกลูกน้องยินดี เหมียวอี้เองก็แอบได้สิทธิประโยชน์เหมือนกัน

อวิ๋นจือชิว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ได้อาศัยผลประโยชน์ไปด้วย เพราะตอนเหมียวอี้ใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาฝึกวิชา ปฏิกิริยาลูกโซ่ก็ไม่ใช่เล็กๆ ลูกแก้วพลังปรารถนาที่เหมียวอี้ใช้ฝึกคนเดียวแทบจะเติมเต็มอีกสองคนได้พร้อมกัน ทั้งสี่คนไม่สามารถฝึกวิชาอยู่ในห้องสมาธิพร้อมกันได้ ต้องมีสักคนที่คอยส่งข่าวรับข่าวอยู่ข้างนอก ส่วนใหญ่จะเป็นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ผลัดกันเฝ้าด้านนอกและใช้วิธีฝึกตนตามปกติคนละหนึ่งเดือน ส่วนอีกคนก็ฝึกพร้อมกับอวิ๋นจือชิวและเหมียวอี้ในห้องสมาธิ

ตอนที่กำลังสร้างจวนหัวหน้าภาค อวิ๋นจือชิวก็ได้เตรียมพร้อมสำหรับด้านนี้แล้ว มีพื้นที่ว่างเพียงพอให้ฝึกวิชา

และประโยชน์ที่ทั้งสามฝึกวิชากับเหมียวอี้ก็ไม่ใช่แค่ประหยัดทรัพยากรฝึกตนเท่านั้น ประโยชน์ที่มากที่สุดก็คือไม่ต้องกลั่นกรองอะไร เป็นพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่ปล่อยออกมาให้ดูดซับไม่หยุด แค่คิดก็รู้ถึงความก้าวหน้าในการฝึกแล้ว ถึงขั้นประหยัดแรงกว่าตัวเหมียวอี้เองอีก เพราะเหมียวอี้ยังต้องกลั่นกรองลูกแก้วพลังปรารถนาเพื่อเรียกพลังจิตวิญญาณ ทั้งยังต้องควบคุมขอบเขตพลังจิตวิญญาณด้วย แต่ผู้หญิงทั้งสามเรียกได้ว่าไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น แค่นั่งรวบรวมสมาธิทั้งหมดดูดซับพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่ปล่อยออกมาก็เท่านั้นเอง เรียกได้ว่าฝึกได้ก้าวหน้ารวดเร็วมาก เร็วกว่าตอนที่เหมียวอี้อยู่ในระดับนี้เสียอีก

ที่จริงเหมียวอี้สามารถฝึกวิชาพร้อมกับกับคนเยอะกว่านี้ได้ ทำให้ประหยัดทรัพยากรฝึกตนมากขึ้นด้วย เพียงแต่บางเรื่องต้องออมมือไว้บ้าง เรื่องบางเรื่องถูกลิขิตไว้ว่าไม่ให้คนรู้เยอะเกินไป

หลังจากนั้นหนึ่งร้อยปี เหยียนซิวก็กลับมาที่นี่อย่างเป็นทางการ เหมียวอี้โผล่หน้าออกมาพบเขาสักหน่อย

บนแท่นสังเกตการณ์สูง ขณะกวาดตามองไปรอบๆ เหมียวอี้ก็ถามด้วยรอยยิ้ม “ธงเรียกวิญญาณหลอมสร้างเป็นยังไงบ้างแล้ว?”

เหยียนซิวตอบว่า “นับว่าหลอมสร้างขั้นต้นสำเร็จแล้วขอรับ แต่ยังห่างไกลความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ อาศัยวรยุทธ์ของข้าน้อยตอนนี้ ก็ยังใช้วิธีการหลอมสร้างบางอย่างไม่ได้ ต้องรอให้วรยุทธ์สูงในระดับหนึ่งก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

เหมียวอี้พยักหน้า “อืม งั้นก็อาศัยโอกาสตอนที่สภาพแวดล้อมภายนอกเอื้อต่อพวกเรา สงบจิตสงบใจฝึกวิชาเถอะ”

“ขอรับ!” เหยียนซิวเอ่ยรับ

“เยี่ยนเป่ยหงบอกมั้ยว่าไปที่ไหนแล้ว?” เหมียวอี้ถาม

เหยียนซิวส่ายหน้า “เขาไม่ได้บอก หลังจากแน่ใจว่าข้าน้อยต้องการจะกลับ เขาก็ไปแล้ว ข้าน้อยชวนเขาให้กลับมาพบนายท่าน แต่เขาก็ปฏิเสธ เขาบอกว่านายท่านรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเขาจะมาหานายท่านเมื่อไร”

เหมียวอี้เข้าใจความหมายที่เขาบอก ตอนที่เยี่ยนเป่ยหงบรรลุถึงระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ เกรงว่าคงจะกลับมาให้เขาช่วยเหลือ

เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ ถามใจตัวเองดูแล้ว คำว่าสหายในความหมายที่แท้จริง เกรงว่าคงจะมีแค่เยี่ยนเป่ยหงคนเดียวแล้ว เพราะสหายก่อนหน้านี้กลายเป็นลูกน้องหมดแล้ว ถ้าจะบอกว่าเป็นสหายกันอีก แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกปลอมเลย เมื่อมีความสัมพันธ์แบบเจ้านายลูกน้องแล้ว ก็ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้อีก เรื่องที่เขาทำตอนนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของคนมากเกินไป เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของคนมากเกินไป ไม่มีทางฝากฝังอะไรง่ายๆ เพียงเพราะสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อใจของสหาย แต่เยี่ยนเป่ยหงก็ปฏิเสธที่จะเดินเส้นทางเดียวกับเขา การที่ทั้งสองฝ่ายรักษาระยะห่างของสหายแบบนี้ กลับทำให้รักษาความสัมพันธ์ไว้ได้เสมอมา

ตอนนี้เขานับว่าเริ่มจะเข้าใจสิ่งที่เหล่าไป๋พูดไว้ตอนเขากำลังจะกลายเป็นนักพรตแล้ว เส้นทางนี้ เมทื่อเดินไปจนถึงตอนสุดท้ายอาจจะเหลือเพียงความโดดเดี่ยว

เหล่าไป๋ถามยืนยันกับเขาหลายครั้ง ถามเขาว่ายินดีจะเดินบนเส้นทางนี้จริงหรือไม่ อีกฝ่ายไม่ได้บังคับเขา

นอกจากเยี่ยนเป่ยหง ยังมีไป๋เฟิ่งหวงอีกคน ไม่รู้ว่าปีศาจนั่นเร่ร่อนไปไหนแล้ว หลังจากทำงานเสร็จก็หนีไปเลย บอกเขาว่าถ้ามีเรื่องอะไรค่อยติดต่อนางไป แล้วร่างทิพย์ของไป๋เฟิ่งหวงก็อ่อนไหว เขาไม่สะดวกจะเก็บนางไว้ข้างกายเป็นเวลานาน ไม่อย่างนั้นจะถูกนางฉวยโอกาสเอาเปรียบ

ไม่ง่ายเลยกว่าเหมียวอี้จะออกมาสักครั้ง เขาไปที่เรือนพักของเฟยหง มีสาวน้อยแสนสวยสองคนเดินออกมาคำนับพร้อมกัน พวกนางคือสาวใช้คนใหม่ของเฟยหง

หยางเจาชิงเป็นคนไปเลือกหามาเองจากโลกมนุษย์ เป็นเด็กกำพร้าที่มีคุณสมบัติฝึกตนค่อนข้างดี เริ่มสั่งสอนอมรมและให้ฝึกตนตั้งแต่ยังเด็กๆ แบบนี้จะได้รับประกันความจงรักภักดีได้ ป้องกันไม่ให้มีใครแทรกสายลับเข้ามา ไม่ใช่แค่เฟยหง หลินผิงผิงกับเสวี่ยหลิงหลงก็ได้มาคนละคู่ด้วย แม้แต่เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์เองก็มีสาวใช้คนละคู่

อย่างไรเสียเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็เดินมาถึงระดับนี้แล้ว แทบจะไม่ต่างอะไรกับอนุภรรยาของเหมียวอี้ ถึงขั้นเหนือกว่านั้นด้วยซ้ำ ไม่จำเป็นต้องไปทำงานเบ็ดเตล็ดทั่วไปอีก ทั้งสองเพียงรับใช้เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวก็พอ งานอื่นไม่จำเป็นต้องให้ทั้งสองลงมือเอง ส่งให้สาวใช้ทั้งสี่ทำแทนแล้ว

ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ออกจากการเก็บตัวฝึกวิชาสักครั้ง พอออกมาแล้วก็พลอดรักกับเฟยหงอย่างเลี่ยงไม่ได้ สตรีงามดุจหยก ท่านขุนนางเหมียวเรียกได้ว่าตักตวงเด็ดดอกไม้เต็มที่

หลังจากเหยียนซิวกลับมาแล้ว ก็นับมีประโยชน์อย่างหนึ่งเหมือนกัน นั่นก็คือเชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์สามารถปลีกตัวได้แล้ว สามารถตั้งใจฝึกตนร่วมกับเหมียวอี้ได้เลย ส่งต่องานรับข่าวและส่งข่าวให้เหยียนซิวรับผิดชอบแทน มีเหยียนซิวคอยฝึกตนและเฝ้าข้างนอกให้ เรื่องแบบนี้ไม่สะดวกจะส่งต่อให้หยางเจาชิงทำ เพราะเหยียนซิวตัวคนเดียวไร้ครอบครัว สามารถเฝ้าอยู่ที่นี่ระยะยาวได้ แต่หยางเจาชิงมีครอบครัวแล้ว และจวนหัวหน้าภาคก็จำเป็นต้องไม่ผู้การใหญ่ไว้สักคน สมองของหยางเจาชิงเหมาะจะทำเรื่องนี้ ส่วนเหยียนซิวก็เหมาะจะคุ้มกัน

คลื่นลมสงบ ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปเจ็ดร้อยปี วันนี้เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ท่ามกลางพลังจิตวิญญาณเข้มข้นนับนิ้วคำนวณ หยุดกลั่นกรองลูกแก้วพลังปรารถนาแล้ว

พลังจิตวิญญาณในห้องถูกทั้งสี่ดูดซับจนสะอาดเกลี้ยงเร็วมาก วรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นสองตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้เลือนหายไปช้าๆ

วรยุทธ์ของเหมียวอี้บรรลุถึงระดับบงกชรุ้งขั้นสองตั้งแต่สองร้อยปีก่อนแล้ว ความเร็วในการกลั่นกรองลูกแก้วพลังปรารถนาของแต่ละวัน ถ้าใช้ยาแก่นเซียนมาคำนวณก็เท่ากับวันละสามพันห้าร้อยเม็ดแล้ว และถ้าอยากบรรลุถึงระดับบงกชรุ้งขั้นสาม คาดว่าต้องใช้ยาแก่นเซียนอีกประมาณหนึ่งพันเจ็ดร้อยล้านเม็ด และต้องใช้เวลาอีกหนึ่งพันสามร้อยกว่าปี

ตอนนี้ฝึกมาได้สองร้อยกว่าปีแล้ว คาดว่าเหลืออีกหนึ่งพันหนึ่งร้อยกว่าปีก็จะบรรลุระดับบงกชรุ้งขั้นสาม

เมื่อเห็นพลังจิตวิญญาณหายไปแล้ว อวิ๋นจือชิว เชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์ก็ทยอยกันลืมตา วรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่งตรงหว่างคิ้วอวิ๋นจือชิวค่อยๆ หายไป สิบกว่าปีก่อนนางเพิ่งบรรลุระดับบงกชรุ้ง วรยุทธ์ของเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็สูงขึ้นเร็วมากเช่นกัน ถึงระดับบงกชทองขั้นเก้าแล้ว

เหมียวอี้กวาดตามอง แอบทึ่งในความไม่ธรรมดาของหกเคล็ดวิชาพิเศษ ไม่น่าเชื่อว่ามีแนวโน้มจะตามเขาทันแล้ว

ที่จริงถึงแม้เคล็ดวิชาอัคนีดาราจะมีจุดที่อัศจรรย์ แต่ความก้าวหน้าของเคล็ดวิชาอื่นก็มีความเร็วไม่ธรรมดาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาไหนก็ไม่ทำให้คนฝึกย่ำอยู่กับที่อยู่แล้ว นับประสาอะไรกับหกเคล็ดวิชาพิเศษ

อวิ๋นจือชิวมองพลังจิตวิญญาณในห้องที่หายไป แล้วถามว่า “เป็นอะไรไป?”

“ความก้าวหน้าของพวกเจ้าน่าตกใจมาหก” เหมียวอี้ส่ายหน้าอุทาน

ทั้งสามสบตากัน อวิ๋นจือชิวตอบปนเสียงหัวเราะ “พวกเราได้อาศัยบารมีเจ้าไงล่ะ ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น แค่ดูดซับพลังให้เต็มที่ก็พอ ลงทุนน้อยผลตอบแทนมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าอย่างนี้เหรอ ถ้าไม่ได้ฝึกวิชาอยู่ข้างกายเจ้า ข้าก็ยังไม่รู้เลยว่าวันไหนจะบรรลุระดับบงกชรุ้ง ขนาดฝึกแบบจริงจังก็ยังช้ากว่าเจ้ายังเยอะ”

ทั้งสี่คนนั่งล้อมวงกัน เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน อวิ๋นจือชิวยืนตามแล้วถามว่า “จะออกจากเก็บตัวฝึกตนแล้วเหรอ?”

“มีเรื่องนิดหน่อย อาจจะต้องออกข้างนอกหลายปี” เหมียวอี้ตอบ

ออกไปหลายปีเหรอ? อวิ๋นจือชิวแปลกใจ “ไปไหน? ไปทำอะไร?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ไปหาอวี้หลัวช่า มีเรื่องนิดหน่อย”

“เรื่องผ่านไปแล้วไม่ใช่เหรอ? เจ้าไปหานางทำไม?” อวิ๋นจือชิวตกใจ

เหมียวอี้อธิบาย “ข้ากับนางมีนัดกัน ตอนนี้ยังอธิบายได้ไม่ชัดเจน รอให้เจอกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เรื่องระหว่างเขากับอวี้หลัวช่า เขาไม่ได้บอกใครรวมทั้งอวิ๋นจือชิวด้วย สาเหตุที่ปิดบังการเดินทางครั้งนี้ก็เพราะกลัวอวิ๋นจือชิวกังวล ครั้งนี้เขาถูกลิขิตให้ต้องเสี่ยงอันตราย แน่นอนว่าเขามีความมั่นใจเช่นกัน แค่ต้องดูว่าเขาจะรับมือไหวหรือไม่

“หลายปี? ต้องไปหลายปีด้วยเหรอ?” อวิ๋นจือชิวสงสัยนิดหน่อย ขมวดคิ้วถาม “เหลืออีกไม่กี่ปีก็จะถึงโอกาสที่เจ้ารองจะหนีแล้ว เจ้าเตรียมจะทำยังไง?”

“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะพยายามรีบกลับมาคิดหาทางก่อนหน้านั้น” เหมียวอี้ยิ้มปลอบใจ ที่จริงเขาเตรียมจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ในการเดินทางครั้งนี้ จะถือโอกาสกำจัดปัญหาที่จะตามมาทีหลังอย่างอวี้หลัวช่าด้วย

………………

สำหรับเหมียวอี้ ถึงแม้เขาจะเคยเป็นแม่ทัพภาคอุทยานหลวงมาก่อน แต่ไม่เคยสัมผัสกับสถานที่อย่างตำหนักสวรรค์หรือวังหลังมาก่อนเลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรก

เดินมาตลอดทางจนถึงตำหนักกลาง จากนั้นเดินขึ้นบันไดตามนางในไป จากนั้นเอ๋อเหมยที่รอตรงประตูก็พาเหมียวอี้เข้าไปในตำหนัก

ประมุขชิงที่อยู่ในตำหนักกำลังอุ้มโอ๋ทารกตัวอ้วนขาวคนหนึ่ง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หยอกล้อทารกอยู่ข้างๆ ทั้งยังมีนางในอีกหลายคน เหมียวอี้ที่เข้ามาข้างในพูดไม่ออกนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะมีโอกาสเห็นราชันสวรรค์และราชินีสวรรค์ภายใต้สถานการณ์แบบนี้

“ข้าน้อยคารวะฝ่าบาท คารวะเหนียงเหนียง คารวะโอรสสวรรค์” เหมียวอี้ทำความเคารพ

“ไม่ต้องมากพิธี!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ผายมือเล็กน้อย

ประมุขชิงมองเหมียวอี้ แล้วก็เหล่ตามองเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ก่อนจะใช้สองมือยื่นทารกให้เอ๋อเหมย “พาโอรสสวรรค์ไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย พวกเจ้าออกไปข้างนอกก่อนเถอะ”

“เพคะ!” เอ๋อเหมยอุ้มทารกเดินออกไปพร้อมพวกนางใน เพียงแต่เอ๋อเหมยเหมือนจะกวาดตามองเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับเหมียวอี้อย่างไม่วางใจ แต่ในเมื่อประมุขชิงออกคำสั่งแล้ว นางก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง

เมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว ประมุขชิงก็หันตัวนั่งลงบนตำแหน่งหลัก แล้วโบกมือบอกว่า “พวกเจ้าคุยงานของพวกเจ้าไปเถอะ ข้าจะฟังอยู่ข้างๆ” พูดจบก็ยกถ้วยน้ำชาที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ย่อตัวเอ่ยรับ แล้วหันหน้าไปหาหนิวโหย่วเต๋อ ในดวงตานางฉายแววอมยิ้มอย่างปิดบังได้ยาก ถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อ สถานการณ์ทางจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเป็นยังไงบ้างแล้ว”

“สถานการณ์ยังดีขอรับ กำลังพลหนึ่งแสนปฏิบัติตามคำสั่งเหนียงเหนียง…” เหมียวอี้รายงานสถานการณ์คร่าวๆ

ไม่รู้ว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าใจที่รายงานไปหรือเปล่า อย่างไรเสียก็ทำท่าตั้งใจฟังมาก ประมุขชิงไม่ได้เหลือบตามองแม้แต่น้อย ทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง

เหมียวอี้อธิบายไปได้พอสมควรแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ถามอยู่สักพัก ที่จริงนางไม่เข้าใจเรื่องปกครองกองทัพเลย ได้แต่ถามคำถามตื้นๆ เท่านั้น

บางทีอาจจะตระหนักบางอย่างได้ หลังจากไม่รู้ว่าจะถามอะไรอีก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็หันตัวไปมองประมุขชิง “ฝ่าบาทยังมีอะไรต้องกำชับอีกมั้ยเพคะ?”

ประมุขชิงวางถ้วยน้ำชาลง ยืนขึ้นเอามือไขว้หลัง แล้วเดินไปตรงประตูอย่างไม่รีบร้อน “เรื่องของลูกน้องเจ้า เจ้าก็จัดการเองสิ พวกเจ้าคุยกันต่อเถอะ ข้าจะไปดูลูกสักหน่อย”

เหมียวอี้มองซ้ายมองขวาโดยจิตใต้สำนึก ในใจแอบปาดเหงื่อแล้ว หลังจากประมุขชิงออกไป ในตำหนักนี้ก็เหลือแค่เขากับราชินีสวรรค์แล้ว การอยู่กับราชินีสวรรค์สองต่อสองในห้องมันผิดกฎนะ!

“…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ตะลึงเช่นกัน แต่นางรีบมองไปรอบๆ จากนั้นก้าวมาข้างหน้า หยิบระฆังดาราสองอันมาลงตราอิทธิฤทธิ์ แล้วส่งให้ตรงหน้าเหมียวอี้อีก พร้อมพูดเร่งด้วย “เร็วๆ เข้า!”

เหมียวอี้ที่กำลังหลบเลี่ยงตะลึงงัน แต่ไม่นานก็รู้ตัว รีบลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองบนระฆังดาราสองอันนี้

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รีบเก็บไว้อันหนึ่ง แล้วยัดอีกอันหนึ่งใส่มือเหมียวอี้ มีท่าทางกังวลอย่างเห็นได้ชัด “อย่าทำให้ข้าผิดหวัง เจ้ากลับไปก่อนเถอะ” พูดจบตัวเองก็รีบเดินออกไปก่อน พอออกจากประตูก็ตะโกนว่า “ฝ่าบาท รอหม่อมฉันด้วยเพคะ”

จู่ๆ ราชินีสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยก็ทำตัวเหมือนโจร เหมียวอี้รู้สึกเหนือความคาดหมายมาก ทำเอาเหมียวอี้กังวลไปด้วย เมื่อครู่นี้มือของทั้งสองเกือบสัมผัสโดนกันแล้ว ถ้ามีใครมาเห็นเข้าว่าทั้งสองทำลับๆ ล่อๆ กันแบบนี้ ดีไม่ดีอาจจะหัวหลุดจากได้

เขาเหลือบมองในห้องนี้ครู่เดียว ไม่มีอารมณ์มาชื่นชมการตกแต่งที่หรูหราของที่นี่ ไม่กล้าอยู่ต่อนาน รีบหันตัวออกมาเช่นกัน บังเอิญเจอเอ๋อเหมยที่กำลังรีบเดินกลับมาพอดี

เอ๋อเหมยมองเขาศีรษะจดเท้าด้วยสายตาระแวดระวัง จากนั้นโบกมือเรียกเทพธิดานางในคนหนึ่งออกมา ให้เขาพาเหมียวอี้ออกจากตำหนัก

จนกระทั่งเดินออกจากพระตำหนักอุทยานแล้วไม่เห็นความเคลื่อนไหวอื่น เหมียวอี้ถึงได้โล่งอก เขาตกใจจนเหงื่อแทบแตกแล้ว ความรู้สึกแบบนี้น่ากลัวว่าตอนต่อสู้เอาชีวิตรอดอีก นั่นเป็นราชินีสวรรค์เชียวนะ! ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ตัวเขาอยู่ที่นี่ก็หนีไม่พ้นแน่

อยู่ใต้หนังตาประมุขชิง ไม่น่าเชื่อว่าราชินีสวรรค์จะกล้าทำอย่างนี้ ทำเอาเหมียวอี้ตกใจแล้วจริงๆ แต่สิ่งนี้ก็ทำให้เขาเข้าใจความลำบากของราชินีสวรรค์แล้วเช่นกัน เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งที่หยางชิ่งบอกไว้ตอนติดต่อกัน

เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์จะเที่ยวชมอุทยานหลวงและร่วมฉลองในตอนหลังแล้ว เขาไปรับเฟยหงที่สวนกลางเขียวขจี อำลาแม่เฒ่าลวี่ จากนั้นก็ไปเจอกับพวกชิงเยว่

ตอนที่เจอชิงเยว่ ก็พบว่าชิงเยว่กำลังนั่งอยู่ในศาลากับสตรีวัยกลางคนที่ปลอมตัวเป็นชาย จะเรียกว่าปลอมตัวก็ไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายแค่สวมหน้ากากผู้ชายเท่านั้น ถึงแม้จะแต่งตัวเป็นชาย แต่หน้าตาของผู้หญิงคนนี้ยังทำให้คนรู้สึกทึ่งได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น

เมื่อเห็นเหมียวอี้เดินก้าวยาวเข้ามา ชิงเยว่ก็ลุกขึ้น กุมหมัดคารวะด้วยความเคารพอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “นายท่าน!” เหมือนตั้งใจทำให้คนข้างๆ เห็น

สตรีวัยกลางคนที่แต่งตัวเป็นชายก็ลุกขึ้นเช่นกัน จ้องประเมินเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า

เหมียวอี้เองก็มองระเมินนางครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ท่านนี้คือ?”

สตรีวัยกลางคนเป็นฝ่ายตอบด้วยรอยยิ้ม “ซูอวิ้น พ่อบ้านจวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว”

“อ้อ!” เหมียวอี้ยิ้มพลางกุมหมัดคารวะ “ได้ยินนามอันยิ่งใหญ่มานานแล้ว ข้าไม่ได้รบกวนทั้งสองคุยกันใช่มั้ย?”

ซูอวิ้นยิ้มพลางส่ายหน้า ส่วนชิงเยว่ถามว่า “นายท่านมีธุระอะไรเหรอ?”

“มาเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองแบบนี้ สหายน้อยศัตรูเยอะ มาแสดงน้ำใจก็พอ กลับกันเถอะ” เหมียวอี้บอกนาง

ซูอวิ้นยิ้มและบอกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอตัวก่อน อ๋องสวรรค์ฮ่าวชื่นชมหัวหน้าภาคหนิวมาก ถ้าหัวหน้าภาคมีเวลาว่าง ก็ไปนั่งที่จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวได้”

“ได้เลย!” เหมียวอี้พยักหน้า

“ขอตัวก่อน” ซูอวิ้นพยักหน้า แล้วก็มองชิงเยว่ด้วยแววตาซับซ้อนหลากอารมณ์ “ลองไปพิจารณาดูอีกทีก็ได้”

“ไม่จำเป็นต้องพิจารณาแล้ว” ชิงเยว่ตอบเสียงเรียบ

ซูอวิ้นไม่ได้พูดอะไรอีก หันตัวเดินจากไปเลย

หลังจากคนเดินหายไปแล้ว เหมียวอี้ถึงได้ถามว่า “มีเรื่องอะไรกัน?”

“ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีกล่ะ เกลี้ยกล่อมให้ข้ากลับไปไง มาหาข้าด้วยตัวเองเพื่อแสดงความจริงใจแล้ว” ชิงเยว่ตอบ

เหมียวอี้จึงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ผู้หญิงคนนี้จงรักภักดีต่ออ๋องสวรรค์ฮ่าวจริงๆ ขนาดโดนฆ่าล้างตระกูลแล้วยังปล่อยวางได้”

“ก็อย่างที่เคยบอก มีแค่นางคนเดียวที่ปล่อยวางได้ก็ไม่มีประโยชน์” ชิงเยว่กล่าว

ตระกูลเซี่ยโหว ในเรือนพักเดี่ยว หลังจากงานเลี้ยงฉลอง เซี่ยโห้วท่าก็ไม่ได้ไปเข้าร่วมการเที่ยวชมอุทยาน กลับมาพักผ่อนที่เรือนพัก บางทีอาจเป็นเพราะอายุมากเกินไป มักจะชอบนอนงีบพักผ่อนบนเก้าอี้ยาว

เว่ยซูที่เดินช้าๆ เข้ามาใกล้กลับแยกออกว่าเวลาไหนหลับจริง เวลาไหนแค่งีบพักผ่อน เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงเบา “นายท่าน ในวังส่งข่าวมาแล้วขอรับ ประมุขชิงกับเหนียงเหนียงเรียกพบหนิวโหย่วเต๋อ”

เซี่ยโห้วท่าที่กำลังหลับตาพึมพำถาม “มีความผิดปกติอะไรหรือเปล่า?”

“มีขอรับ เหนียงเหนียงกับหนิวโหย่วเต๋อเจอกันในสถานการณ์ที่ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย เอ๋อเหมยกังวลว่าทั้งสองจะฉวยโอกาสสร้างช่องทางการติดต่อกันใหม่อีกครั้ง…” เว่ยซูรายงานสถานการณ์โดยละเอียด จากนั้นถามว่า “ต้องคิดหาทางตรวจสอบมั้ยขอรับ?”

เซี่ยโห้วท่าเงียบไปครู่เดียว แล้วสุดท้ายก็กล่าวช้าๆ ว่า “ช่างเถอะ ประมุขชิงจงใจสร้างโอกาสให้นางหนูเฉิงอวี่ ไม่ว่าจะสร้างช่องทางติดต่อใหม่หรือไม่ก็ช่าง ต่อให้ทำแบบนั้นจริง พวกเราจะเข้าไปแทรกแซงอีกก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ถ้าประมุขชิงตั้งใจสอดมือเข้ามายุ่ง ก็สามารถสร้างโอกาสให้เฉิงอวี่ได้สารพัดรูปแบบ พวกเราป้องกันไม่ไหวอยู่ดี ให้คนหนึ่งวุ่นวายกับเรื่องนอกวัง ให้คนหนึ่งวุ่นวายกับเรื่องในวังก็แล้วกัน เฉิงอวี่สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก ข้าก็อยากจะเห็นว่าตัวละครที่อยู่เบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อคิดจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่ ให้พวกเขาเคลื่อนไหวสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่วางใจทางฝั่งเจ้าหก”

เว่ยซูเข้าใจแล้ว จากนั้นพยักหน้าแล้วถอยออกไป

ก่อนออกจากอุทยานหลวง เหมียวอี้ติดต่อหาเซิงมู่เสวี่ย ต้องการจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ จะไปทำความรู้จักบ้านเขาสักหน่อย

เซิงมู่เสวี่ยที่กำลังอยู่ในสวนหรรษากลับถูกเขาทำให้ลำบากแล้ว โอรสสวรรค์ถือกำเนิด เฉลิมฉลองสามวัน งานฉลองนี้ยังไม่จบ คนของตระกูลโค่วก็ยังไม่ไป เขาก็ไม่สะดวกจะออกจากงานเลี้ยงก่อนล่วงหน้า เขาไม่ได้มีฐานะพิเศษเหมือนเหมียวอี้ที่จะออกไปตอนไหนก็ได้

สุดท้ายทั้งสองจึงทำได้เพียงนัดกันครั้งต่อไป

เหมียวอี้นำกำลังพลออกจากอุทยานหลวงและรีบกลับมาที่แดนรัตติกาล

เมื่อเห็นเหมียวอี้กลับมาล่วงหน้า อวิ๋นจือชิวก็แปลกใจนิดหน่อย ถามเขาว่าเป็นอะไรไป เขาจึงเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ

หลังจากอวิ๋นจือชิวออกไปแล้ว เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในห้องคนเดียวถึงได้ใช้ระฆังดาราติดต่อเรียกหยางเจาชิงเข้ามา

“นายท่าน!” หยางเจาชิงเข้ามาในห้องแล้วทำความเคารพ

“ของล่ะ?” เหมียวอี้ถาม

หยางเจาชิงนำแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมา แล้ววางบนโต๊ะตรงหน้าเหมียวอี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร อย่างไรเสียเหมียวอี้ก็ส่งข่าวให้เขาในระหว่างที่อยู่อุทยานหลวง สั่งให้เขาไปพบคนคนหนึ่งเพื่อรับของสิ่งนี้มา

เหมียวอี้หยิบแหวนเก็บสมบัติขึ้นมาพร้อมถามว่า “คนที่มาไม่ได้บอกอะไรเหอ?”

“ไม่ได้บอกอะไรขอรับ ให้ของข้าน้อยเสร็จแล้วก็ไปเลย” หยางเจาชิงตอบ

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ บอกใบ้ให้ถอยออกไป หลังจากในห้องไม่มีคนอื่นแล้ว ถึงได้เรียกของในแหวนเก็บสมบัติออกมา เขาใช้ปลายนิ้วฟั่นดวงจิตน้ำแข็งเม็ดหนึ่ง ในดวงจิตน้ำแข็งมีจุดสีแดงตรงกลาง นี่คือของที่พุทธะหน้าหยกอวี้หลัวช่าสั่งให้คนส่งมาให้เขา ไม่ใช่ของอื่นใด มันคือสิ่งที่เรียกว่ายาระงับหลังจากอวี้หลัวช่าปลูกโลหิตมารสวรรค์ลงในกายเขาเมื่อสิบปีก่อน ในดวงจิตน้ำแข็งมีเลือดสกัดของอวี้หลัวช่าหนึ่งหยด นางบอกไว้แล้วว่าจะนำมาส่งให้ทุกๆ สิบปี รักษาสัญญาจริงๆ จริงๆ

เขาพลิกดูดวงจิตน้ำแข็งในมือ เลือดสกัดหยดนี้เขาไม่ต้องใช้มันแล้ว แต่อวี้หลัวช่ายังเป็นภัยคุกคามใหญ่สุดสำหรับเขา ตอนนี้สถานการณ์ของแดนรัตติกาลสงบลงแล้ว ภัยคุกคามที่ใหญ่สุดในตอนนี้ก็เหลือแค่อวี้หลัวช่า

วางเรื่องของอวี้หลัวช่าไว้ก่อนชั่วคราว ถ้าจะคุกคามเขาก็เป็นเรื่องอีกหลายร้อยปีข้างหน้า เรื่องสำคัญตรงหน้าก็คือการสร้างจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ปราสาทดำเนินจันทร์กำหนดอาณาเขตให้เขาแล้ว

ในอาณาเขตปราสาทดำเนินจันทร์มีดาวเคราะห์สิบดวง แบ่งเป็น เจี่ย อี่ ปิ่ง ติง อู้ จี่ เกิง ซิน เหริน กุ่ย หกดวงแรกในจำนวนนั้นเหมาะแก่การอยู่อาศัย ที่สภาพแวดล้อมดีที่สุดก็คือดาวจันทร์เจี่ย แล้วก็ลดหลั่นลงมาตามลำดับ ตำหนักหลักของปราสาทดำเนินจันทร์ก็ย่อมตั้งอยู่ในดาวจันทร์เจี่ยที่มีสภาพแวดล้อมดีที่สุดอยู่แล้ว อาณาเขตที่รับปากว่าจะแบ่งให้จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลก็คือดาวจันทร์อี่ จะเห็นได้ว่าปราสาทดำเนินจันทร์ยังนับว่ามีมนุษยธรรม

ถึงแม้หยางเจาชิงจะเลือกสถานที่สำหรับสร้างจวนดีแล้ว แต่เหมียวอี้ก็ยังต้องไปดูเองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เขานำกำลังพลส่วนใหญ่ย้ายไปที่นั่นก่อนเสียเลย เพราะอยู่ในสถานที่ไร้เดือนไร้ตะวันอย่างตลาดผีมานานจนเบื่อแล้ว เหลือคนไว้เฝ้าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแค่ร้อยคนเท่านั้น ทุกปีจะให้คนผลัดเวรกันไปเฝ้า จุดประสงค์หลักก็คือสืบข่าว ขอแค่เวลาเกิดเรื่องอะไรใหญ่ๆ ที่ตลาดผีแล้วตามข่าวทันก็พอ ส่วนความปลอดภัยของตลาดผีก็ไม่ใช่สิ่งที่จวนหัวหน้าภาคจะควบคุมได้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นเขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน

คนกลุ่มหนึ่งเหาะมาจากจุดลึกของดาราจักร พอพุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศแล้ว หยางเจาชิงที่นำทางมาก็ชี้แผ่นดินใหญ่ผืนหนึ่งที่อยู่บนมหาสมุทรสีฟ้าครามเบื้องล่าง แผ่นดินที่รอบด้านมีทะเลล้อมก็คืออาณาเขตที่ปราสาทดำเนินจันทร์แบ่งให้สร้างจวนหัวหน้าภาค ปลายสุดของบนล่างและซ้ายขวามีระยะห่างเกือบพันลี้ นับว่าแบ่งพื้นที่ให้กว้างพอสมควร น่านน้ำในรัศมีร้อยลี้รอบแผ่นดินใหญ่ก็แบ่งให้จวนหัวหน้าภาคเช่นกัน แต่ก็มีแค่เท่านี้ คนของจวนหัวหน้าภาคห้ามเพ่นพ่านไปทั่วดาวเคราะห์ดวงนี้ เวลาเข้าออกก็ทำได้แค่พุ่งขึ้นพุ่งลงในแนวตั้งเท่านั้น ถ้าทำผิดกฎเมื่อไร ปราสาทดำเนินจันทร์ก็จะขับไล่พวกเขาออกนอกอาณาเขตทันที อาณาเขตนี้แบ่งให้จวนหัวหน้าภาคยืมใช้เท่านั้น ไม่ได้เปลี่ยนเจ้าของ!

………………

ไม่ว่าจะอย่างไร โค่วหลิงซวีก็ยังได้ชื่อว่าเป็น ‘บิดาบุญธรรม’ ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม เมื่อได้ทราบข่าวว่าคนตระกูลโค่วมาแล้ว เหมียวอี้ก็มาเยี่ยมคารวะที่เรือนพักของตระกูลโค่ว

ตระกูลโค่วมองเขาศีรษะจดเท้า ขนาดรอยยิ้มยังค่อนข้างฝืนใจ ให้ความรู้สึกว่าถ้าไม่ทักทายก็เสียมารยาท ถ้าทักทายก็กังวลว่าจะมีอะไรไม่เหมาะสมหรือเปล่า ต่อให้เป็นโค่วเหวินหลานที่ในปีนั้นค่อนข้างสนิทกัน ตอนนี้เมื่อพบกันอีกครั้งก็ยังดูห่างเหินมาก

คนอื่นจะมองอย่างไรเหมียวอี้ก็ไม่สนใจ ในทางกลับกัน เมื่อเจอคนรู้จักเมื่อไรเขาก็จะเป็นฝ่ายเข้าไปทักทายก่อน

เบื้องล่างไม่มีความมั่นใจ หลังจากได้เห็นคนระดับโค่วเจิงแล้ว ถึงได้เห็นว่ามีท่าทีค่อนข้างดี เนื่องจากคนระดับนี้ล้วนไม่มีความมั่นใจทั้งนั้น

ตอนที่เจอสามพี่น้องตระกูลโค่ว เหมียวอี้ก็เป็นฝ่ายกุมหมัดคารวะ “พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม” จากนั้นก็กุมหมัดคารวะต่อคนอื่นๆ ของตระกูลโค่ว สายตาบังเอิญไปสบกับสายตาคับแค้นของสุยฉูฉู่ แล้วก็กวาดมองท้องใหญ่ของนาง

โค่วเหมี่ยนพยักหน้ายิ้ม “มาแล้วเหรอ”

โค่วฉินลับทำสีหน้าประชดประชัน “กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา” ตอนพูดมองไปอีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนไม่รู้ว่ากำลังด่าใคร แต่ที่จริงไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้นว่าพูดถึงใคร

เมื่อเขาพูดคำนี้ออกมา ลูกหลานตระกูลโค่วที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ่งรักษาสมดุลไม่สะดวกแล้ว

“เจ้ารอง!” โค่วเจิงตะคอก จากนั้นโบกมือให้ลูกน้องที่พาเหมียวอี้มาถอยออกไป แล้วเป็นฝ่ายเชิญเหมียวอี้ไปคุยส่วนตัว

เหมียวอี้ที่เดินตามมาก็เพียงชำเลืองโค่วฉินด้วยสีหน้าเรียบเฉยๆ เขาไม่ได้โต้ตอบอะไร มองสีหน้าไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร ตอนที่เดินเฉียดไหล่ไปก็ยังได้ยินโค่วเหมี่ยนทำเสียงฮึดฮัดตามหลังอีก

“พี่รองเจ้าก็นิสัยอย่างนั้น อย่าเก็บมาใส่ใจเลย ทางเจ้ายังสบายดีใช่มั้ย” หลังจากทั้งสองเดินออกมาด้านข้าง โค่วเจิงก็เป็นฝ่ายแสดงความห่วงใยก่อน

เหมียวอี้รู้ว่าเป็นแค่การแสดงออกผิวเผิน จึงตอบกลับอย่างสุภาพเช่นกัน “ยังดีขอรับ”

“ได้ยินว่ายังหาที่สร้างจวนหัวหน้าภาคไม่ได้เหรอ?” โค่วเจิง

เหมียวอี้ตอบว่า “ก่อนจะมาก็เพิ่งรู้ว่าปราสาทดำเนินจันทร์อนุญาตแล้ว พอมาถึงก็จะถือโอกาสรายงานที่ตำหนักนารีสวรรค์สักหน่อย เหลือแค่รอแค่ให้ตำหนักสวรรค์อนุญาตแล้ว”

“อ้อ!” โค่วเจิงค่อนข้างตกตะลึง “ปราสาทดำเนินจันทร์อนุญาตแล้วเหรอ?”

“ใช่ขอรับ” เหมียวอี้พยักหน้า

“งั้นก็ดีแล้ว” โค่วเจิงพยักหน้าเล็กน้อย แต่ในใจกลับพึมพำว่า ไม่น่าเชื่อว่าช่องทางข่าวสารต่างๆ ของตระกูลโค่วจะไม่รู้ข่าวนี้เลยสักนิด

ทั้งสองคุยกันได้สักพักหนึ่ง พอพูดถึงเรื่องงานเลี้ยง โค่วเจิงก็ตั้งใจถามอย่างเป็นห่วง “เจ้ามาที่งานเลี้ยงพระตำหนักอุทยานแบบนี้ค่อนข้างอึดอัด ทางตำหนักนารีสวรรค์เตรียมที่นั่งไว้ให้หรือเปล่า? ถ้าไม่ได้เตรียมไว้ ก็มานั่งกับคนในครอบครัวก็ได้ ครั้งนี้อย่าก่อเรื่องอีกนะ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีคนให้โอกาสเจ้าเล่นแง่เหมือนครั้งก่อนแล้ว”

“ขอรับ!” เหมียวอี้เอ่ยรับอย่างสุภาพ

จากนั้นโค่วเจิงก็เรียกโค่วเหมี่ยนเข้ามา ให้โค่วเหมี่ยนคอยดูแลเหมียวอี้ตอนอยู่ในงานเลี้ยง โค่วเหมี่ยนเอ่ยรับด้วยรอยยิ้ม ส่วนสาเหตุว่าทำไมไม่ให้เจ้ารองโค่วฉินดูแล ทุกคนก็ต่างรู้อยู่แก่ใจ ตั้งแต่การทดสอบครั้งนั้นเป็นต้นมา เป็นเพราะเหมียวอี้โค่วเหวินหวงถึงหมดคุณสมบัติในการเข้าออกหอสามรากฐาน โค่วเหมี่ยนไม่พอใจเหมียวอี้เรื่องนี้มาตลอด

ตามเสียงระฆังของพระตำหนักอุทยานที่ดังขึ้น คนของตระกูลโค่วก็รวมตัวและออกเดินทางพร้อมกัน

พอมาถึงประตูพระตำหนักอุทยาน ก็มีสมาชิกในครอบครัวของขุนนางใหญ่แต่ละบ้านมาถึงแล้ว ทยอยกันมอบของขวัญให้ตรงประตู

เหมียวอี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เพียงแต่เริ่มตั้งตอนแต่มอบของขวัญแล้วก้าวเข้าพระตำหนักอุทยาน เหมียวอี้ก็เริ่มเป็นที่จับจ้องของสายตาผู้คนมากมายแล้ว

เขาเดินเข้าวังตามหลังตระกูลโค่ว ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม โค่วเจิงออกจากตระกูลโค่วไปแล้ว เข้าไปในตำหนักใหญ่ที่จัดที่ไว้ให้ขุนนางใหญ่ของราชสำนักเท่านั้น

ก่อนจะเข้างานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ แต่ละบ้านก็ไปมาหาสู่เพื่อทักทายกัน เหมียวอี้ยืนอยู่ด้านล่างเพียงลำพัง ไม่ได้สนใจอะไร และไม่มีใครมาหาเรื่องเขาด้วย อิงอู๋เชวียซึ่งมีบทเรียนมาแล้วจากงานวันเกิดในปีนั้น ครั้งนี้จึงไม่พูดกับเขาสักคำ ถึงขนาดว่าพอเห็นเขาเข้ามาแล้วเป็นฝ่ายหลบเอง ไม่ให้โอกาสเขาหาเรื่อง ตอนนี้สถานการณ์ภายในสี่ทัพยังไม่มั่นคง ไม่มีใครอยากสร้างปัญหามาแทรกในเวลานี้

ตอนที่เหมียวอี้เหลียวซ้ายแลขวา ก็บังเอิญไปเห็นมังกรสีทองตัวใหญ่ตัวหนึ่งนอนอยู่บนตำหนักใหญ่ เขาไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า มักรู้สึกว่ามังกรตัวนั้นมันกำลังมองเขาอยู่

ไม่นานก็มีเทพธิดาคนหนึ่งมาหาเขา เป็นคนที่ตำหนักนารีสวรรค์ส่งมา ถามเขาว่ามีที่นั่งหรือยัง ถ้ายังไม่มีที่นั่ง ตำหนักนารีสวรรค์ก็จะจัดให้เขาไปนั่งกับตระกูลเซี่ยโหว

เห็นได้ชัดว่าตำหนักนารีสวรรค์เดาออกว่าเขาปรากฏตัวที่นี่แล้วจะอึดอัด แต่สิ่งที่ทำให้เขาผิดคาดก็คือ ในเวลานี้อีกฝ่ายยังนึกถึงเขาอีก ทำให้เขารูสึกว่าราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มองเห็นความสำคัญของเขา ที่จริงตอนที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเริ่มวางขอบข่ายงาน แต่ละเรื่องที่ตัวเองรายงานขึ้นมาขอ ส่วนใหญ่ตำหนักนารีสวรรค์ก็อนุญาตหมด เขารู้สึกได้แล้วว่าราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่สนับสนุนเขาเยอะมาก ตอนที่โอรสสวรรค์ถือกำเนิด ปราสาทดำเนินจันทร์ก็เป็นฝ่ายมาหาถึงที่เพื่อบอกว่าอนุญาตให้เขาสร้างจวนในอาณาเขตปราสาทดำเนินจันทร์ ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองได้อาศัยบารมีของโอรสสวรรค์

เค้าลางต่างๆ ได้พิสูจน์แล้วว่าหยางชิ่งพูดไว้ไม่ผิด ถึงแม้สถานการณ์ของราชินีสวรรค์จะอึดอัด ไม่มีอำนาจทางทหารอะไรนอกวัง แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีฐานะของราชินีสวรรค์อยู่ การได้รับความช่วยเหลือจากราชินีสวรรค์คือสิ่งสำคัญมาก โยนลูกท้อไป ก็ได้ลูกสาลี่กลับมา เหมียวอี้รู้ว่าตัวเองต้องการแรงสนับสนุนจากราชินีสวรรค์มาก ไม่อย่างนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้สนิทกัน ไม่มีเหตุผลที่ราชินีสวรรค์จะให้อย่างเดียวโดยไม่ขออะไรตอบแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถือกำเนิดของโอรสสวรรค์ได้ทำให้ตำแหน่งราชินีสวรรค์ของนางมั่นคงแล้ว

หลังจากเหมียวอี้บอกว่าตัวเองนั่งกับตระกูลโค่ว เทพธิดาถึงได้พยักหน้าแล้วออกไป ก่อนจะไปก็ยังถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “หลังจบงานเลี้ยง ท่านหัวหน้าภาคอย่าเพิ่งรีบกลับ รอเหนียงเหนียงเรียกพบก่อนค่ะ”

“ขอรับ!” เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงตอบ

ฉากนี้ดึงดูดสายตาคนไม่น้อย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าคุยอะไรกันก็ตาม

เสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้ง แขกทยอยมาร่วมงานเลี้บง ขุนนางพิธีการกำลังประกาศ รายการแสดงต่างๆ ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง

ในงานเลี้ยงหลังจากนั้น คนในครอบครัวขุนนางใหญ่ก็เดินไปมาเพื่อดื่มฉลองกัน เหมียวอี้แทบจะนั่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับไปไหน ส่วนใหญ่ไม่มีใครคุยกับเขาเลย บางครั้งโค่วเหมี่ยนก็จะชนจอกสุรากับเขาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์อึดอัด แล้วก็มีเซิงมู่เสวี่ย สามีของโค่วอวี้ที่วันๆ ไม่มีงานสำคัญอะไรทำ อีกฝ่ายก็มาชนจอกสุรากับเขาเป็นระยะเช่นกัน เป็นคนที่มีรอยยิ้มจริงใจที่สุด

สำหรับเซิงมู่เสวี่ย เหมียวอี้ก็เคยสนิทสนมมาแล้วเช่นกัน รู้ว่าคนคนนี้เป็นมิตรกับคนอื่นมาคลอด ตอนอยู่ข้างนอกไม่ล่วงเกินใคร ไม่วางมาดลูกเขยตระกูลโค่วใส่ใคร ตอนอยู่ในตระกูลโค่วก็ไม่ยืนอยู่ฝ่ายไหนเช่นกัน ผูกมิตรอย่างเดียว ไม่ผูกความแค้น เมื่อเจอปัญหาก็จะยอมถอยให้ เป็นคนดีคนหนึ่ง การที่เขามาใกล้ชิดกับเหมียวอี้ก็เป็นเรื่องปกติมาก ไม่มีใครว่าอะไรเขาได้

หลังจากงานเลี้ยงจบ ทุกคนก็ทยอยกันลุกออกจากงาน กำลังจะไปเที่ยวชมสวน เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่มีท่าที่ว่าจะออกไป เซิงมู่เสวี่ยก็มาทักว่า “เจ้าสี่ ไปด้วยกันสิ”

ที่เรียกเจ้าสี่ก็เพราะเดิมทีตระกูลโค่วมีลูกสาวสามคน ลูกสาวบุญธรรมอย่างอวิ๋นจือชิวย่อมเป็นลำดับสี่ นี่คือคำเรียกขานในหมู่ลูกเขยด้วยกัน

เหมียวอี้บุ้ยปากไปทางในสวน แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ยังมีคำสั่งติดตัว”

เซิงมู่เสวี่ยก็มองไปทางในสวนเช่นกัน ในดวงตาฉายแววล้ำลึก แล้วก็หันกลับมายิ้มให้เหมียวอี้อีก “งั้นก็ได้ ก่อนกลับแดนรัตติกาลอย่าลืมไปนั่งเล่นบ้านข้าสักหน่อยนะ เจ้ายังไม่เคยไปบ้านข้าเลย ไปรู้จักว่าอยู่ตรงไหนสักหน่อยก็ยังดี”

“ได้” เหมียวอี้พยักหน้ายิ้ม

“งั้นนัดกันตามนี้ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่บ้าน” เซิงมู่เสวี่ยกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง

“…” เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออก ที่จริงเขาแค่พูดตามมารยาท ใครจะคิดว่าเซิงมู่เสวี่ยกลับคิดเป็นจริงเป็นจัง ก่อนหน้านี้ใช่ว่าเซิงมู่เสวี่ยจะไม่เคยเชิญชวน แต่แค่พูดตามมารยาทแล้วปล่อยผ่านไป ตอนนี้โดนอุดปากแล้ว ไม่สะดวกจะเปลี่ยนคำพูด ทำได้เพียงพยักหน้า “ได้! ไปแน่นอน”

“รู้ใช่มั้ยว่าบ้านข้าอยู่ไหน? ตอนหลังอย่าอ้างว่าหาทางไปไม่เจอล่ะ” เซิงมู่เสวี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ติดต่อท่านไปก็พอแล้ว ท่านคงไม่จงใจบอกทางผิดใช่มั้ยล่ะ” เหมียวอี้พูดหยอก เขารู้สึกดีกับเจ้าหมอนี่มาตลอด เพราะไม่มีความทะเยอะทะยานอะไร ทั้งยังจริงใจกับผู้อื่น กอปรกับไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออยู่ในโอกาสละสถานที่แบบนี้ก็ยังไว้หน้าตนเต็มที่ ก็ยิ่งทำให้เหมียวอี้รู้สึกดีกับเขามากยิ่งขึ้น

“เหอะๆ ไปล่ะ” เซิงมู่เสวี่ยตบบ่าเหมียวอี้ แล้วหันตัวเดินจากไป

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะส่งเขา

ตระกูลโค่วออกจากลุ่มคนไปแล้ว โค่วฉินหันกลับไปมองแวบหนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงบอกโค่วเหมี่ยน “เจ้าหกเป็นคนดี เป็นคนเลอะเลือน”

โค่วเหมี่ยนถอนหายใจ “ในเมื่อรู้แล้วยังมีอะไรต้องพูดอีก มู่เสวี่ยไม่ได้มาแก่งแย่งผลประโยชน์ เขาก็เป็นคนอย่างนั้น ให้อำนาจก็ไม่เอา ต้องการแค่ให้ตัวเองอิสระ ทุกคนต่างก็รู้ ไม่มีใครเก็บเรื่องที่เขาไปมาหาสู่กับหนิวโหย่วเต๋อมาใส่ใจ ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลโค่วหรอก พี่รอง อย่าคิดมากเลย”

ทางนี้เพิ่งแยกย้ายได้ไม่นาน ก็มีนางในมาเชิญเหมียวอี้ไปแล้ว พาเหมียวอี้เข้าไปรอในสวนแห่งหนึ่ง

ตอนที่รออยู่ในสวน หงส์รุ้งตัวหนึ่งลอยมาเกาะบนช่องกำแพงที่อยู่ไม่ไกล ขนปีกสวยแพรวพราว หัวที่อยู่บนคอยาวหันมาสังเกตเหมียวอี้เป็นระยะ

เหมียวอี้ก็มองประเมินเป็นระยะเช่นกัน มีเรื่องหงส์หายนะครั้งก่อนเป็นบทเรียนแล้ว เขาไม่กล้าขึ้นไปยุ่งกับมันอีกแล้ว

รออยู่ตรงนี้เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ถึงได้มีนางในมาเชิญให้เขาตามนางไป

ครั้งนี้ได้เข้ามาในสวนด้านในแล้วจริงๆ เปลี่ยนมาอยู่ในทิวทัศน์ดอกไม้แปลกตานานาพันธุ์ ระหว่างตึกศาลาตรงหน้ามียอดหญิงงามกำลังพูดคุยหัวเราะกัน ทั้งหมดล้วนเป็นสนมในวังหลัง มีสนมกลุ่มหนึ่งกำลังยืนล้อมกันเหมือนดาวล้อมเดือน ตรงกลางก็คือจ้านหรูอี้ที่เหมือนนกกระเรียนในฝูงไก่

เหมียวอี้มองประเมินครู่เดียว จากนั้นก็หลุบสายตาลง มีสนมมากมายอยู่ที่นี่ ไม่สะดวกจะมองซี้ซั้วไปทั่ว เขาไม่เห็นจ้านหรูอี้ ในใจกลับพึมพำว่า มีผู้หญิงมากมายขนาดนี้ ประมุขชิงจะรับมือไหวเหรอ?

จู่ๆ ที่นี่ก็มีชายแปลกหน้าปรากฏตัว บรรดาสนมที่ไม่ค่อยมีโอกาสเจอผู้ชายข้างนอกกลับพากันสังเกตเขา จ้านหรูอี้ก็เห็นเขาแล้วเช่นกัน ย้ายสายตาตามเขาไปด้วย

“ใช่หนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้?”

“จะเพราะอะไรเสียอีกล่ะ ท่านนั้นคงจะเรียกพบน่ะสิ ใจ้กล้ามากจริงๆ กล้าผู้ชายข้างนอกเข้าวังหลัง”

“อย่าพูดซี้ซั้ว ระวังมีคนได้ยิน ตอนนี้นางมีโอรสสวรรค์เป็นเกราะคุ้มตัวแล้วนะ”

“โอรสสวรรค์เกิดมา มารดาก็จะเรียกผู้ชายข้างนอกเข้าวังหลังซี้ซั้วไม่ได้หรอกมั้ง แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน ก็แค่อาศัยอิทธิพลตระกูลเซี่ยโหวไม่ใช่เหรอ”

“อาจจะไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิดก็ได้ ฝ่าบาทคงอยู่กับท่านนั้น ไม่อย่างต่อให้จะกล้าหาญแค่ไหน แต่ท่านนั้นคงไม่กล้าให้ผู้ชายข้างนอกเข้ามาตามอำเภอใจหรอก”

พวกสนมกระซิบกระซาบอยู่ข้างกายจ้านหรูอี้ ประเด็นสนทนามีแต่ความอิจฉาตาร้อนต่อราชินีสวรรค์

แต่คนจำนวนมากกว่านั้นกำลังพูดคุยอีกประเด็นหนึ่ง สนมส่วนใหญ่เคยเห็นเหมียวอี้ที่อุทยานหลวงมาก่อน ถึงอย่างไรก็เคยเป็นแม่ทัพภาคอุทยานหลวง ทั้งยังเคยยืนเฝ้ายามที่นาหลวงตั้งหลายปี

“อายุยังน้อยแต่ได้ตั้งตำแหน่งหัวหน้าภาคแล้ว กลายเป็นเจ้าอาณาเขต เกรงว่าลูกหลานของขุนนางใหญ่ๆ คงไม่เคยได้ยินมาก่อนสินะ โชคดีจริงๆ”

“โชคดีเหรอ? นำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปตีทัพใหญ่หนึ่งล้าน ชื่อเสียงเขย่าใต้หล้า ทั้งยังพลิกสถานการณ์ในราชสำนัก อาศัยแค่โชคจะทำได้ที่ไหนกัน อาศัยความสามารถทั้งนั้น”

“ไต่เต้าเร็วจริงๆ ไม่รู้ว่าจะมีวันได้เข้าประชุมในราชสำนักหรือเปล่า”

“เกรงว่าจะลำบาก แดนรัตติกาลมีข้อจำกัดเยอะมาก ฝ่าบาทคงไม่ปล่อยอำนาจให้ตำหนักนารีสวรรค์มากเกินไปหรอก”

…………………

เว่ยซูตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อเลือกคุณชายหก สาเหตุก็เพราะพวกเขาสองคนถูกลดตำแหน่งมานานมากพอแล้ว ถ้าให้ไปทำเรื่องผิดกฎหมาย คนข้างนอกที่รู้จักพวกเขาก็มีไม่เยอะ ประการต่อมา หนิวโหย่วเต๋อไม่สะดวกจะส่งยอดฝีมือบงกชกลายออกไปข้างนอกเยอะเกิน ส่งชิงเยว่กับหลงซิ่นไปทำเรื่องนี้ไม่ได้อยู่แล้ว อีกทั้งคุณชายหกและอีกคนวรยุทธ์ค่อนข้างสูงในบรรดานักพรตระดับบงกชกลายด้วยกัน อีกสาเหตุก็คือ…”

ตั้งใจฟัง เซี่ยโห้วท่าที่กำลังครุ่นคิดอย่างละเอียดเหล่ตามอง “ยังมีอะไร? มีอะไรไม่สะดวกพูด?”

เว่ยซูค่อนข้างอึดอัด “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าคุณชายหกกับอีกคนหน้าตาไม่ดี ไม่สะดุดตาคน ไม่เป็นจุดสนใจได้ง่ายๆ ขอรับ”

“…” เซี่ยโห้วท่าพูดไม่ออก ยกมือลูบใบหน้าตัวเองโดยจิตใต้สำนึก ในจุดนี้แม้แต่ตัวเองก็ยังต้องยอมรับ ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีใครหน้าตาดีสักคนเลยจริงๆ เพียงแต่การส่งไปทำงานเทาๆ เพราะหน้าตาไม่ดี เหตุผลนี้มันออกจะ…ใบหน้าเขากระตุกอย่างรุนแรงครู่หนึ่ง

แต่ไม่ว่าจะน่าฟังหรือไม่ อย่างน้อยก็มีเหตุผล เพราะถ้าหน้าตาดีจะดึงดูดสายตาคนได้ง่าย

โดยเฉพาะเหตุผลข้อแรก เมื่อถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผาและเทพแห่งผืนดินนานก็ย่อมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมมานาน คนข้างนอกที่รู้จักก็ย่อมมีไม่เยอะเช่นกัน เหมาะจะส่งไปทำงานสีเทาจริงๆ

มีเหตุผลสองข้อนี้ก็เพียงพอแล้ว เซี่ยโห้วท่าเองก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็ยังคาใจกับเหตุผลนี้ ที่แท้การหน้าตาไม่ดีก็เป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่งเหมือนกัน

ทั้งตระกูลเซี่ยโห้วทำให้คนรู้สึกทอดถอนใจ ทั้งลูกทั้งหลานหาใครหน้าตาดีไม่ได้สักคน ขนาดคนที่ส่งให้ราชันสวรรค์ คนที่สนับสนุนให้เป็นราชินีสวรรค์ก็ยังน่าหัวเราะเยาะ

ที่พูดไม่ออกยิ่งกว่านั้นก็คือ คุณชายหกตระกูลเซี่ยโห้วที่ควบคุมอำนาจกลุ่มก๊วนอยู่อย่างหลบซ่อนมาหลายปี พอโผล่มาก็ทำเสียแผนเพราะหน้าตาไม่ดี

คุณชายหกรับตำแหน่งเทพแห่งผืนดินมานานเกินไปจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงเหตุผลอื่น การอยู่ในตำแหน่งเทพแห่งผืนดินไปเรื่อยๆ สักวันความก้าวหน้าของวรยุทธ์ก็ต้องทำให้คนอื่นสงสัย ดังนั้นจึงหาโอกาสล้างตัวตนมาโดยตลอด ตอนแรกการรับสมัครคนของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีไม่ได้อยู่ในแผนการล้างตัวตนของเขา เพราะวรยุทธ์ของคุณชายหกสูงไปหน่อย จนกระทั่งชิงเยว่กับหลงซิ่นปรากฏตัว ถึงได้ทำลายความหวาดระแวงของเขาไป ถึงได้เด็ดขาดสั่งให้คุณชายหกฉวยโอกาสนี้ล้างตัวตน ไม่ใช่แค่สามารถแทรกสายลับเข้าไปข้างกายหนิวโหย่วเต๋อได้ ทั้งยังสืบได้ด้วยว่าเรื่องรับสมัครคนเป็นอย่างไรกันแน่ ผลก็คือพบว่ามีลับลมคมในจริงๆ มีอำนาจกลุ่มหนึ่งกำลังแอบช่วยตรวจสอบกลุ่มผู้สมัครให้หนิวโหย่วเต๋อ

ใครจะคิดว่าตอนที่คุณชายหกเพิ่งจะเข้าไป ยังไม่ทันได้ยืนให้มั่นคง ก็ถูกส่งตัวไปทำงานสีเทาด้วยเหตุผลที่ว่าหน้าตาไม่ดีแล้ว หนึ่งในผู้ควบคุมอำนาจใต้ดินของตระกูลเซี่ยโห้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกส่งไปทำเรื่องนี้…

เซี่ยโห้วท่าที่เงียบไปนานถอนหายใจ “บอกเจ้าหกว่าให้ระวังตัวหน่อย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่ในเมื่อถูกเลือกแล้ว ก็ต้องกอดความระแวงสงสัยเอาไว้ตลอด

“ขอรับ!” เว่ยซูเอ่ยรับ

ดาวเทียนหยวน ตลาดสวรรค์ ประตูเมืองตะวันออกปิดแล้ว

ในเมืองนี้ มีคนไม่น้อยกำลังมองประตูเขตเมืองตะวันออกที่ถูกปิดและพากันวิพากษ์วิจารณ์ พากันสงสัยว่าปิดประตูเมืองทำไม ต่างก็สอบถามกันและกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ด้านนอกเมือง ทหารสวรรค์ถืออาวุธตั้งยืนเรียงราย ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ฝูชิงเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา

“ผู้บัญชาการใหญ่ มาแล้ว” จู่ๆ ก็มีคนชี้บนท้องฟ้าพร้อมตะโกนบอก

ฝูชิงเงยหน้ามอง เห็นคนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว คนหนึ่งพันคนเหยียบลงพื้น ทั้งหมดใส่ชุดลำลอง ส่วนใหญ่ใส่หน้ากากปลอมตัว มีเพียงสองคนหน้าที่ไม่ได้ปลอมตัว นั่นก็คือสวีถังหรานกับเสวี่ยหลิงหลง

ฝูชิงรีบก้าวมาข้างหน้า แล้วกุมหมัดคารวะ “คารวะรองหัวหน้าภาคสวี”

“ไอ๊หยา!” สวีถังหรานที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มรีบก้าวมาข้างหน้า ใช้สองมือประคอง “พี่ฝู ระหว่างเจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอก”

ฝูชิงกุมหมัดคารวะเสวี่ยหลิงหลง “คารวะฮูหยิน”

เสวี่ยหลิงหลงพยักหน้ายิ้ม

“เชิญ!” ฝูชิงยื่นมือเชิญ แล้วนำทางด้วยตัวเอง

พอเข้ามาในเมืองแล้วเห็นทหารสวรรค์ตรงประตูฝั่งซ้ายและขวา สวีถังหรานก็ถอนหายใจ “พี่ฝูต้อนรับใหญ่โตขนาดนี้ เกรงใจเกินไปแล้ว”

ฝูชิงกับสวีถังหรานเดินพูดคุยหัวเราะกันอยู่ข้างหน้าขณะเข้าเมือง เสวี่ยหลิงหลงติดตามอยู่ข้างกายสวีถังหราน ข้างหลังมีคนติดตามหนึ่งพัน

พอคนกลุ่มนี้เข้าเมือง ก็มีผู้จัดการร้านตาแหลมจำสวีถังหรานได้ทันที ควรจะบอกว่ามีคนไม่น้อยจำสวีถังหรานได้ ลูกค้าในตลาดสวรรค์แวะเวียนไปมาไม่ขาดสาย แต่ผู้ประกอบการกลับเปลี่ยนบ่อยไม่ได้ และสวีถังหรานก็อยู่ที่เขตเมืองตะวันออกมาหลายปี ย่อมต้องรู้จักคนมากมายอยู่แล้ว

สวีถังหรานที่เดินเข้าเมืองกวาดสายตามองซ้ายมองขวา เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยบ้างแล้ว รู้ว่าคงมีคนไม่นอยที่จำตัวเองได้

“ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทเตรียมสุราไว้เลี้ยงรับรองรองหัวหน้าภาคใหญ่” ฝูชิงยื่นมือเชิญอีกครัง บอกเป็นนัยว่าสามารถเหาะไปได้โดยตรงเลย

“พี่ฝูสุภาพเกินไปแล้ว เรียกข้าว่าน้องชายก็พอ” สวีถังหรานกล่าวตามมารยาท แล้วมองไปข้างหน้าอย่างทอดถอนใจ “ข้าผูกพันธ์กับตลาดสวรรค์ ไม่ได้มาหลายปีแล้ว ไม่สู้เดินเล่นสักหน่อยดีกว่า ดูว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว?”

ฝูชิงยิ้มตอบ “ก็พอเข้าใจได้ ถึงยังไงรองหัวหน้าภาคสวีก็เดินออกไปจากที่นี่”

“ฮูหยินคิดว่ายังไงบ้าง” สวีถังหรานถามเสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ข้างกันอีก

“ก็ได้ค่ะ!” เสวี่ยหลิงหลงพยักหน้ายิ้ม

หยวนกงและโม่ซิ่นสงที่ตามมาข้างหลังสบตากันแวบหนึ่ง ต่างรู้สึกพูดไม่ออกมาก นายท่านหัวหน้าภาคใช้ให้พวกเรามาทำงานเทาๆ แต่เจ้าหมอนี่กลับพาพวกเราเดินเล่นที่ตลาดสวรรค์อย่างเปิดเผย เหมือนกลัวว่าคนจะจำตัวเองไม่ได้อย่างนั้นแหละ เป็นบ้าหรือเปล่า โชคดีที่พวกเราใส่หน้ากากปลอมตัวแล้ว

“ผู้จัดการร้าน นั่นคือใครน่ะ ไม่น่าเชื่อว่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์จะไปรับด้วยตัวเอง”

ขณะมองคนกลุ่มนี้เดินผ่านประตู คนงานของร้านค้าร้านหนึ่งถามผู้จัดการร้านที่อยู่ข้างกันด้วยสีหน้าประหลาดใจ

ผู้จัดการร้านส่ายหน้าด้วยความสะท้อนใจ “สวีถังหราน เคยเป็นทหารเขตเมืองตะวันออกที่นี่ ในปีนั้นข้ายังเคยคบค้ากับเขาอยู่เลย”

“เขาก็คือรองหัวหน้าภาคสวีถังหรานของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลที่เพิ่งสร้างใหม่ช่วงนี้ใช่มั้ย?” คนงานตกใจ

ผู้จัดการร้านพยักหน้า “พอพูดถึงเรื่องนี้ ในปีนั้นตอนที่ผู้บัญชาการใหญ่ฝูรับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ต่อ สวีถังหรานคนนี้ก็ยังเป็นผู้บัญชาการอยู่เลย ตอนนี้ผ่านไปแค่ไม่กี่ปี ผู้บัญชาการใหญ่ฝูยังเป็นผู้บัญชาการใหญ่ฝู แต่ผู้บัญชาการสวีกลับไม่ใช่ผู้บัญชาการสวีคนนั้นแล้ว ได้เป็นรองหัวหน้าภาคแล้ว คนเราเทียบกันไม่ได้จริงๆ!”

หน้าต่างบนตึกของร้านค้าอีกร้านเปิดออก มีศีรษะคนสองคนยื่นออกมามอง หนึ่งในนั้นถือระฆังดาราในมือ “เป็นสวีถังหรานจริงๆ ด้วย!”

“เป็นเขาจริงด้วย ในปีนั้นชอบมากินดื่มกับพวกเราโดยไม่จ่ายเงิน ไม่ผิดคนแน่” อีกคนบอก

“ได้ยินว่าเขาเป็นรองหัวหน้าภาคของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้ว” คนแรกกล่าว

คนหลังบอกอีกว่า “ตั้งแต่ตำหนักสวรรค์ก่อตั้งมา คนที่เดินออกจากตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนแล้วไต่เต้าขึ้นตำแหน่งนั้นได้มีน้อยจนนับนิ้วได้เลย”

“เจ้าขี้ประจบนี่ไม่ใช่คนดีอะไร แต่ก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เขาเกาะขาหนิวโหย่วเต๋อแน่น ไต่เต้าเร็วอย่างกับอะไร” คนแรกกล่าว

“ไม่ต้อวสนใจหรอกว่าเขาเป็นพวกขี้ประจบหรือเปล่า ถึงยังไงเขาก็ตามรับใช้ถูกคนแล้ว คนที่เป็นทหารเลวที่ตลาดสวรรค์เหมือนเขาในปีนั้น ตอนนี้ก็ยังเป็นทหารเลวอยู่เลย ยกตัวอย่างเช่นเจ้าซุนเหลียวนั่น ในปีนั้นดื่มสุรากับสวีถังหรานยังเคยคว่ำโต๊ะ ตอนหลังถ้าไปพึ่งพาลูกน้องคนสนิทของฝูชิงไม่ทัน แม้แต่ตำแหน่งทหารเลวก็คงรักษาไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เจ้าดูสวีถังหรานสิ เกือบได้กลายเป็นเจ้าอาณาเขตแล้ว นี่ก็นับเป็นความสามารถเหมือนกัน” คนหลังบอก

………………………………………..

ในตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่เดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในสวนดอกไม้กำลังลูบท้องตัวเองด้วยสีหน้ารักใคร่เอ็นดู จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลต้องการธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งหมื่นคัน ฝ่าบาทก็อนุญาตแล้ว ส่งคนไปเบิกออกมาแล้ว เป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาทตามใจนางทุกอย่างขนาดนี้ นางรู้ว่าตัวเองได้อาศัยบารมีลูกในท้องแน่นอน เจ้าตัวเล็กในท้องคือที่พึ่งของนางใน

“เหนียงเหนียง หนิวโหย่วเต๋อหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลส่งข่าวมาแสดงความขอบคุณในความเมตตาของเหนียงเหนียงเพคะ” เอ๋อเหมยที่เดินอยู่ข้างนางถือระฆังดาราพร้อมกล่าวรายงาน

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พยักหน้าขานรับยิ้มบางๆ ตัวเองมีแรงสนับสนุนใหญ่ขนาดนี้ หนิวโหย่วเต๋อรู้จักสำนึกบุญคุณก็ดีแล้ว เรื่องปราสาทดำเนินจันทร์ใช่ว่านางไม่อยากช่วย แต่นางไม่มีหนทางแล้วจริงๆ

ใครจะคิดว่ายังไม่ทันดีใจ เอ๋อเหมยก็บอกอีกว่า “หนิวโหย่วเต๋อรายงานขึ้นมาอีก ว่าคนในจวนหัวหน้าภาคไม่อาจอยู่รับค่าจ้างที่แดนรัตติกาลโดยไม่ทำงาน กอปรกับกำลังพลค่อนข้างน้อย จะต้องฝึกฝนทัพใหญ่และเพิ่มศักยภาพทัพใหญ่ เตรียมจะส่งทหารไปรักษาการณ์ที่น้ำพุวังเวงเพคะ”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พยักหน้า เผยรอยยิ้มพึงพอใจ “สมกับเป็นคนที่เชี่ยวชาญการศึก ขนาดยังไม่ทันสร้างจวนหัวหน้าภาค ก็เอ่ยถึงเรื่องฝึกฝนทัพใหญ่กับเพิ่มศักยภาพทัพใหญ่แล้ว ดูกำลังพลท้องถิ่นของคนอื่นสิ รู้จักแต่ตักตวงผลประโยชน์ในพื้นที่ ไม่แปลกใจที่หนิวโหย่วเต๋อประกาศว่าสามารถโจมตีคนบางพวกให้กลายเป็นสวะไร้ประโยชน์ได้ หนิวโหย่วเต๋อไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”

ไม่ใช่แค่ไม่ทำให้นางผิดหวัง ทั้งยังทำให้นางดีใจมากด้วย นางก็แค่อยากควบคุมกำลังพลที่แข็งแกร่งสักกลุ่มเพื่อเรียกใช้งานได้ทุกเมื่อไม่ใช่หรือ

เมื่อได้ยินแบบนี้ เอ๋อเหมยก็อึกอักเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง แต่ได้ยินเพียงเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวอย่างสบายใจว่า “บอกเขาไป นี่คือเรื่องที่อยู่ในขอบเขตหน้าที่ของเขา ส่วนรายละเอียดว่าจะจัดวางกำลังพลยังไง ก็ให้เขาตัดสินใจเองตามเห็นสมควร ไม่ต้องรายงานข้าอีกแล้ว ข้าเชื่อว่าเขาจะทำได้ดี”

เอ๋อเหมยจำเป็นต้องเตือนนาง “ไม่ใช่แค่ส่งทหารไปรักษาการณ์ที่น้ำพุวังเวงเพคะ หนิวโหย่วเต๋ออยากจะเฝ้าเก็บภาษีทางเข้าทั้งน้ำพุวังเวง”

“เก็บภาษี?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หันกลับมาอย่างงุนงง “เฝ้าเก็บภาษีที่ทางเข้าน้ำพุวังเวง? เก็บภาษีอะไร?”

เอ๋อเหมยตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าการฝึกฝนทัพใหญ่กับเพิ่มศักยภาพทัพใหญ่จะเอาแต่พูดอย่างเดียวไม่ได้ ต้องปฏิบัติจริงด้วย ยิ่งจำเป็นต้องมีทรัพยาการจำนวนมากสนับสนุน ดังนั้นเขาอยากจะส่งทหารไปเฝ้าทางเข้าน้ำพุวังเวง ไม่ว่าใครที่ไปล่าสัตว์ที่น้ำพุวังเวงก็ต้องจ่ายภาษีก่อน ไม่อย่างนั้นก็ห้ามเข้าเพคะ”

“…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่สูดหายใจลึกด้วยความตกตะลึง ใต้หล้ามีนักพรตนับไม่ถ้วน แต่น้ำพุวังเวงกลับมีเพียงแห่งเดียว ในแต่ละปีมีคนเข้าไปล่าสัตว์ที่น้ำพุวังเวงไม่รู้ตั้งเท่าไร เป็นธุรกิจชั้นเลิศที่ทำให้ร่ำรวยจริงๆ นางขมวดคิ้ว “เขาไม่รู้เชียวเหรอว่าตำหนักสวรรค์เป็นผู้อนุญาตให้ล่าสัตว์ที่น้ำพุวังเวงได้อย่างอิสระ? มันใช่เรื่องเหรอที่เขาจะมาควบคุมทางเข้าออกแล้วเก็บภาษี?”

เอ๋อเหมยตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าเขาไม่ขัดขวางอิสระในการล่าสัตว์ แต่ไม่ว่าคนที่เข้าออกจะมีฐานะอะไร ขอเพียงจ่ายภาษีก็จะเข้าไปได้ ส่วนตอนออกมาอีกฝ่ายจะล่าได้อะไรมาบ้าง เขาก็จะไม่สนใจถามถึงแล้ว อีกทั้งหลังจากจ่ายภาษีแล้วจะได้รับการคุ้มครองจากจวนหัวหน้าภาคด้วย”

“คุ้มครอง?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขมวดคิ้ว “คุ้มครองอะไรกัน? สถานที่ที่คนเข้าออกมากมายขนาดนั้น เขาจะคุ้มครองหวเหรอ? ในน้ำพุวังเวงอันตรายขนาดไหน เขาอยู่ที่ตลาดผีมานานขนาดนี้จะไม่รู้เชียวหรือ? อย่าบอกนะว่าเขาอยากจะให้กำลังพลตัวเองไปตายข้างใน?”

เอ๋อเหมยตอบว่า “กำลังพลแค่เฝ้าเก็บภาษีตรงทางเข้า ไม่เข้าไปคุ้มครองในน้ำพุวังเวงเพคะ แค่คุ้มครองอยู่ข้างนอก เขาบอกว่าพอออกจากน้ำพุวังเวงแล้วเกิดเรื่องปลาใหญ่กินปลาเล็กบ่อยเกินไป ถ้าทุกคนจ่ายภาษีสนับสนุนนิดหน่อย เขาก็จะส่งกำลังพลไปควบคุมด้านนอกน้ำพุวังเวง อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าด้านนอกน้ำพุวังเวงจะไม่เกิดเหตุการณ์ปลาใหญ่กินปลาเล็ก”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวเสียงต่ำ “คนที่สามารถไปล่าสัตว์ถึงน้ำพุวังเวงได้ล้วนเป็นพวกยอมแลกด้วยชีวิต ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือในมือไม่มีทรัพย์สินอะไร ไม่อย่างนั้นใครจะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตเข้าไปล่าสัตว์ล่ะ คนอื่นเขาขายชีวิตแลกเงินเล็กน้อย แต่เขากลับจะเก็บภาษี คนในใต้หล้าจะยอมเหรอ?”

เอ๋อเหมยบอกอีกว่า “ในด้านนี้เขาก็บอกมาแล้วเช่นกัน เขาบอกว่าเพราะในน้ำพุวังเวงมีอันตรายที่คาดเดาไม่ได้เยอะ ถึงได้มีคนเจตนาไม่บริสุทธิ์มากมายเฝ้ารออยู่นอกน้ำพุวังเวง รอให้คนในน้ำพุวังเวงออกมาแล้วค่อยปล้น ในแต่ละปีมีคนที่ไม่ตายในน้ำพุวังเวงแต่กลับมาตายข้างนอกเยอะมาก ที่จริงสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไปล่าสัตว์ สิ่งที่น่ากลัวว่านั้นไม่ใช่ในน้ำพุวังเวง แต่เป็นพวกปลาใหญ่กินปลาเล็กข้างนอกต่างหาก แต่ขอเพียงแค่ทุกคนจ่ายภาษีนิดหน่อย เขาก็จะส่งทัพใหญ่ไปล้อมปราบนอกน้ำพุวังเวงทันที แบบนี้คนที่เข้าไปล่าสัตว์ก็จะได้สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยตรงทางเข้าออก อีกทั้งคนในจวนหัวหน้าภาคก็จะมีกำลังทรัพย์มารักษาศักยภาพของตัวเองเอาไว้ด้วย เขาบอกว่าเป็นเรื่องดีที่ต่างฝ่ายต่างได้ คงไม่มีคนต่อต้านมากเท่าไร อย่างน้อยพวกเราก็สามารถมองข้ามคนส่วนน้อยที่คัดค้านไปได้เลย นี่เป็นเรื่องดีสำหรับคนส่วนใหญ่ เหตุใดจึงไม่ยินดีทำ นอกจากนี้

หนิวโหย่วเต๋อก็บอกอีกว่า กำลังพลใต้สังกัดจวนหัวหน้าภาคมีแต่คนพลังสูงๆ แต่ยศต่ำจนน่าประหลาด ถ้าอาศัยค่าจ้างเล็กน้อยพวกนั้นฝึกตน ก็น้อยจนไม่พอยัดซอกฟันด้วยซ้ำ ตอนทุกคนยังไม่เข้ามาอยู่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ต่างคนต่างอยู่ในที่ที่ไม่มีใครควบคุม จึงสามารถออกไปแอบหารายได้เสริมเลี้ยงชีพได้ แต่ตอนนี้มาอยู่ภายใต้ความดูแลเดียวกันแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกคนแยกย้ายกันไปเพ่นพ่านทำงานเสริมส่วนตัว แต่ก็ไม่สะดวกจะขอให้ตำหนักสวรรค์ออกเงินจ่ายค่าจ้างอีก ยศที่มีก็เห็นๆ กันอยู่ ไม่มีทางเปิดกระเด็นขอเรื่องนี้ได้เลย เพื่อไม่เป็นการเพิ่มปัญหายุ่งยากให้เบื้องบน จึงทำได้เพียงวางกลยุทธ์ชั้นต่ำนี้”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขมวดคิ้วมุ่น มีหรือที่นางจะไม่รู้ว่ากำลังพลจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลยศต่ำ ส่วนใหญ่มีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งขึ้นไป แต่กลับได้ค่าจ้างของเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดิน ถ้าวรยุทธ์ระดับบงกชขาว บางกชเขียวหรือบงกชแดงก็ยังพอถูไถไปได้ แต่ถ้าอยากเติมเต็มความต้องการในชีวิตประจำวันของกลุ่มกำลังพลระดับบงกชรุ้ง ก็ถือว่าไม่พอยัดซอกฟันจริงๆ เมื่อเวลานานไปก็อาจจะเกิดปัญหาจริงๆ

“ส่งกำลังพลไปควบคุมและเก็บภาษีตรงทางเข้าน้ำพุวังเวง จะไม่ทำให้คนในใต้หล้าพากันร้องทุกข์เหรอ?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถามความเห็นเอ๋อเหมย เพราะนางไม่รู้เรื่องทางน้ำพุวังเวงเลย ก่อนแต่งงานเข้าวังสวรรค์ก็เคยไปเที่ยวเล่นมาก่อน แต่นางก็รู้ว่าการไปโดยมีกลุ่มยอดฝีมือคุ้มครองนั้นต่างกับพวกที่ไปล่าสัตว์ นางเองก็กังวลชื่อเสียงของราชินีสวรรค์เช่นกัน

เอ๋อเหมยบอกอีกว่า “ที่หัวหน้าภาคหนิวบอกก็เป็นเรื่องจริงเพคะ ด้านนอกน้ำพุวังเวงเกิดเหตุการณ์ปลาใหญ่กินปลาเล็กไม่น้อยเลย ถ้าเขาสามารถรักษาความปลอดภัยข้างนอกได้ การเก็บภาษีก็ไม่ถือว่าทำเกินไป เกรงว่าคงจะมีคนหวังให้เรื่องนี้สำเร็จจริงๆ”

“ทางบ้านมีความเห็นยังไงบ้าง?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถาม

“ทางบ้านไม่แสดงความเห็นใดๆ เพคะ” เอ๋อเหมยตอบ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าใจแล้ว เรื่องนี้ไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้ว จึงไม่ได้สนใจอะไร ปล่อยให้นางตัดสินใจเอง แต่นางก็ยังมีอีกฝั่งหนึ่งต้องกังวล นั่นก็คือฝั่งประมุขชิง ถ้าระหว่างสองฝั่งนี้มีฝั่งใดฝั่งหนึ่งไม่พอใจ นางก็จะใช้ชีวิตลำบากแล้ว

พอนึกว่าจะต้องไปหาประมุขชิงอีก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ปวดหัวนิดหน่อย เพราะไปหาหลายครั้งติดต่อกันแล้ว นางจึงตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าไปบอกหนิวโหย่วเต๋อว่าให้รายงานทุกเรื่องมาพร้อมกันเลย รายงานมาทีละเรื่องแบบนี้ ไม่รู้จักจบจักสิ้นบ้างรึไง?”

เอ๋อเหมยใช้ระฆังดาราจัดการตามที่สั่งทันที หลังจากติดต่อจนได้รับการยืนยันจากเหมียวอี้แล้ว ก็รายงานอีกครั้งว่า “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าตอนนี้เรื่องที่อยู่ตรงหน้าก็มีแค่เรื่องนี้กับเรื่องเลือกสถานที่สร้างจวนหัวหน้าภาค ถ้าแก้ปัญหาสองเรื่องนี้เสร็จแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่มีเรื่องสำคัญอื่นใดเพคะ”

เรื่องสร้างจวนหัวหน้าภาค เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่สามารถจัดการได้แล้ว เรื่องที่เกี่ยวข้องกับปราสาทดำเนินจันทร์ ประมุขชิงไม่ยอมรับปากง่ายๆ แต่เรื่องเก็บภาษีประมุขชิงกลับอนุญาตแล้ว แน่นอนว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่สิ้นเปลืองคำพูดขอร้องไปไม่น้อย นางเองก็เข้าใจถึงความลำบากของกำลังพลที่วรยุทธ์สูงแต่ค่าจ้างต่ำ กังวลว่าถ้าปล่อยให้นานไป สถานการณ์แบบนี้จะทำให้เกิดความวุ่นวาย ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้กำลังพลสักกลุ่มมาไว้ในมือ ไม่ว่าจะถูกตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมหรือไม่ แต่นางก็ไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ

เพราะเรื่องนี้ นางจึงแข็งใจออกหน้าช่วยเหลือแล้วจริงๆ

ประมุขชิงตอบตกลงก็ส่วนตอบตกลง เพียงแต่เขาออกเสียงเรื่องนี้อย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ ในเมื่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ดึงดันจะทำอย่างนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องจัดการเองโดยใช้นามของตำหนักนารีสวรรค์ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็ต้องรับผิดชอบเอง ขณะเดียวกันก็ยังพูดเหน็บแนมด้วยว่า “เจ้าลูกลิงใต้สังกัดเจ้านี่ใช้ได้จริงๆ เพิ่งจะรับตำแหน่งแท้ๆ เพิ่งจะขึ้นตำแหน่งก็จะหาทางรวยแล้ว เขาให้ผลประโยชน์เจ้าเท่าไรเจ้าถึงออกแรงช่วยเขาขนาดนี้?”

จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม เว่ยซูเข้ามาแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นเซี่ยโห้วท่าเอามือไขว้หลังเดินเอ้อระเหยอยู่ในสวน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงรีบเดินเข้ามารายงานข่าว

“พันธมิตรทะเลดาว? หนิวโหย่วเต๋อเกี่ยวข้องกับพันธมิตรทะเลดาวแล้วเหรอ?” เซี่ยโห้วท่าหยุดเดินด้วยความงง “เขาคิดจะทำอะไร?”

เว่ยซูตอบว่า “คุณชายหกได้รับรายงานจากหัวหน้าพันธมิตรทะเลดาวฉู่อันเทียน บอกว่าสวีถังหรานลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อไปหาเขา อยากจะรวมกลุ่มทำงานกับฉู่อันเทียน คุณชายหกอยากจะถามความเห็นของนายท่านขอรับ ว่าควรจะตอบตกลงหรือไม่?”

“ร่วมงานกันยังไง?” เซี่ยโห้วท่าถาม

เว่ยซูตอบว่า “พันธมิตรทะเลดาวสนับสนุนเรื่องกำลังคน ส่วนสวีถังหรานจะใช้สถานะขุนนางคุ้มกันให้ คาดว่าคงจะสมคบกันทำเรื่องที่บอกใครไม่ได้”

เซี่ยโห้วท่าหัวเราะหึหึ “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้โลภไม่เบา ฝั่งนี้จะดักเก็บภาษีตรงทางเข้าน้ำพุวังเวง ทางนั้นยังจะทำงานผิดกฎหมายอีก”

เว่ยซูตอบว่า “ก็พอจะเข้าใจได้ขอรับ ในมือมีนักพรตระดับบงกชรุ้งขึ้นไปหนึ่งแสน แถมยศต่ำอีก ถ้าคิดจะอาศัยค่าจ้างคงที่พวกนั้นเลี้ยงชีพก็น่าขำแล้ว ต้องเที่ยวหากอบโกยไปทั่วเพื่อเลี้ยงดูแน่นอนขอรับ”

เซี่ยโห้วท่าเอามือไขว้หลังเดินไปข้างหน้าต่อ หลังจากครุ่นคิดได้สักพัก ก็พยักหน้าบอกว่า “แจ้งไปทางคุณชายหก ว่าให้พันธมิตรทะเลดาวตอบตกลง ดูว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่”

“ขอรับ!” เว่ยซูเอ่ยรับ

ส่วนเหมียวอี้หลังจากได้รับอนุญาตจากเบื้องบนแล้ว ก็เรียกรวมสมาชิกที่เกี่ยวข้องมาแจกงานเรื่องเก็บภาษีทันที ส่วนเรื่องสร้างจวนก็วางไว้ก่อนชั่วคราว รีบจัดการงานในมือให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปหาเรื่องปราสาทดำเนินจันทร์ ในเมื่อปราสาทดำเนินจันทร์ไม่ให้ความร่วมมือ เขาก็ขี้คร้านจะเกรงใจแล้ว ไม่สนหรอกว่าเบื้องหลังเจ้าจะซับซ้อนหรือไม่ ในเมื่อหาสถานที่เหมาะสมในแดนรัตติกาลไม่ได้ ถ้าไม่ให้ไปหาเจ้าแล้วจะให้ไปหาใคร?

หลังจากประกาศเรื่องเก็บภาษีตรงทางเข้าน้ำพุวังเวง คนทั้งจวนหัวหน้าภาคก็ฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า มีช่องทางหารายได้แล้ว

หลังจากเรียดกลุ่มลูกน้องมาปรึกษาจนร่างแผนแล้ว ก็ส่งคนไปติดประกาศทั้งตลาดผีทันที ประกาศว่าตั้งแต่นี้ไปน้ำพุวังเวงจะถูกควบคุมโดยจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลอย่างเป็นทางการ ทุกคนที่เข้าไปล่าสัตว์ต้องจ่ายค่าซื้อทาง ถ้าไม่จ่ายเงินก็ไม่ให้ผ่าน ออกกฎห้ามปล้นชิงนอกน้ำพุวังเวง ถ้าจับได้จะประหารไม่ละเว้น!

ทันที่ประกาศข่าวนี้ออกไป ก็เกิดเสียงฮือฮาใหญ่โตที่ตลาดผี ไม่นานก็คึกโครมทั้งใต้หล้า หนิวโหย่วเต๋อโด่งดังอีกแล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่ชื่อเสียงที่ดีสักเท่าไร ส่วนใหญ่เป็นคำด่า

เหมียวอี้ไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก จะให้เฝ้าอยู่ในทำเลทองมองดูคนอื่นมาร่ำรวยในอาณาเขตตัวเอง แต่กำลังพลของตัวเองกลับกินแกลบเหรอ แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน?

ถ้าไม่ติดว่าไม่อยากมีเรื่องกับตึกศาลาสัตยพรต เขาก็สามารถนำกำลังพลไปควบคุมประตูดวงดาวบริเวณทางเข้าแดนรัตติกาลได้เลย แม้แต่คนที่เข้ามาตลาดผีก็ยังต้องเก็บภาษีด้วยซำ

………………………………………

เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมอ่อนข้อแล้ว เหมียวอี้ก็เปลี่ยนท่าทีเร็วมากเช่นกัน ยกมือห้ามชิงเยว่ที่แสร้งใช้ระฆังดาราติดต่อไปที่อื่น “ในเมื่อประมุขปราสาทยอมพบแล้ว ก็อย่าให้เกิดความเข้าใจผิดอะไรเลย รอให้ติดต่อกันเสร็จแล้วค่อยว่ากัน”

ชิงเยว่และคนอื่นๆ ทำสายตาสงสัย เจ้าคงไม่เข้าไปคนเดียวจริงๆ หรอกใช่มั้ย?

เหมียวอี้ส่งสายตาสื่อว่าจะตัวเองจะไม่เป็นอะไร แล้วลอยออกจากกลุ่มคน เหาะตามผู้หญิงคนนั้นไป

พวกชิงเยว่เองก็ไม่ได้ห้าม รู้สึกว่าปราสาทดำเนินจันทร์คงจะไม่กล้าถึงขนาดทำซี้ซั้วกับหัวหน้าภาคหนิว ไม่อย่างนั้นปราสาทดำเนินจันทร์จะรับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหว แค่กังวลว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรก็เท่านั้นเอง ถึงอย่างไรความปลอดภัยของเหมียวอี้ก็ส่งผลกระทบต่อทุกคนมาก

เมื่ออยู่บนฟ้าแล้วมองไปข้างล่าง ตำหนักกลางทะเลสาบบนยอดเขาดูไม่ใหญ่ เมื่อเหยียบลงพื้นแล้วถึงรู้สึกได้ถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของตำหนักผลึกม่วงหลังนั้น ตั้งตระหง่านเกิดเงาสะท้อนกลับหัวอยู่ในน้ำ ราวกับกระเพื่อมอยู่กลางคลื่นเล็กๆ สวยงามและให้ความรู้สึกสดชื่น

เหมียวอี้ตามผู้หญิงคนนั้นไปเหยียบลงบนหัวสะพานริมทะเลสาบ เป็นสะพานผลึกม่วงแนวตรงที่ไม่กว้างแต่กลับประณีตมาก สะพานทอดยาวไปถึงประตูหลักนอกตำหนักซึ่งอยู่ห่างไปร้อยจั้ง

เมื่อเดินไปบนสะพานผลึกม่วงที่วิจิตรประณีต ก็จะเห็นเงาเมฆขาวสะท้อนอยู่บนคลื่นสีมรกตฝั่งซ้ายและขวา มีเสน่ห์ไปอีกแบบ เพียงแต่การให้เหมียวอี้เดินทางยาวขนาดนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตาสักเท่าไร แต่ดูจากปฏิกิริยาของเหมียวอี้ก็เหมือนจะไม่ถือสาเช่นกัน

เดินมาถึงตีนบันไดนอกตำหนัก ผู้หญิงคนนั้นก็ส่งตัวเหมียวอี้ให้ผู้หญิงอีกคนที่ยืนรออยู่บนบันได แล้วตัวเองก็หันตัวเดินจากไปแล้ว

“หัวหน้าภาคหนิว เชิญ!” ผู้หญิงที่อยู่บนบันไดยื่นมือเชิญจากข้างบน

เหมียวอี้เดินขึ้นบันไดไป หลังจากก้าวเข้าในตำหนักหลักที่สวยสว่างพร่างพราว ผู้หญิงคนนั้นก็บอกอีกว่า “รอสักครู่ จะไปรายงานก่อน” พูดจบก็เดินไปที่ตำหนักหลังคนเดียว

ขณะยืนอยู่ในตำหนักกว้างโล่งคนเดียว เหมียวอี้ก็มองสำรวจสภาพแวดล้อมรอยๆ บนผนังสลักลวดลายพระจันทร์และดวงดาวแบบต่างๆ เอาไว้ ความโปร่งแสงของเพดานโค้งผลึกม่วงทำให้ในตำหนักดูเหมือนเปล่งแสงสีม่วงอ่อนๆ ให้ความรู้สึกเหมือนภาพฝันมายา ทั้งในและนอกตำหนักมองไม่เห็นใคร ทำให้ที่นี่ดูเงียบวิเวกอยู่บ้าง

รอได้สักประเดี๋ยว ผู้หญิงที่เข้าไปแจ้งก็เดินกลับมาจากตำหนักหลัง ไปยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างในตำหนัก รอจนกระทั่งบนหลังคาโค้งเกิดเสียงบางอย่าง ดึงดูดให้เหมียวอี้เงยหน้ามอง เห็นเพียงผ้ามุ้งบางสีม่วงห้อยลงมาราวกับม่าน ตกลงพื้นพอดี

หมายความว่ายังไง? เหมียวอี้กำลังแปลกใจ จู่ๆ แววตาก็เป็นประกาย เห็นเพียงตำหนักหลังมีเงาร่างที่อ่อนหวานแช่มช้อยของผู้หญิงคนหนึ่งออกมา ต่อให้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ก็มองทะลุม่านมุ้งนั่นไม่ได้ ดังนั้นจึงมองออกคร่าวๆ ว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงผ้ามุ้งบางสีเงิน เกล้ามวยผมสูง ส่วนหน้าตาเป็นอย่างไรนั้นเห็นไม่ชัดเจน เขาเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะใช้ตาทิพย์มอง

เห็นได้ชัดว่าว่าผู้หญิงที่อยู่หลังม่านมุ้งมองเห็นเหมียวอี้อย่างชัดเจน

ขณะเหมียวอี้กำลังสอดส่องสายตามองเงาร่างที่อยู่หลังม่าน อีกฝ่ายก็เปล่งเสียงดังฟังชัดแล้ว “ไม่ทราบว่าหัวหน้าภาคหนิวต้องการพบข้าด้วยเรื่องอะไร?”

เสียงพูดกลับฟังดูไพเราะ ทำให้ยิ่งอยากเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงหลังม่านบาง เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะถามกลับ “ท่านก็คือประมุขปราสาทดำเนินจันทร์เหรอ?”

อีกฝ่ายตอบว่า “หรือเจ้าคิดว่ายังมีใครกล้าปลอมตัวเป็นประมุขที่ปราสาทดำเนินจันทร์? เจ้าคิดว่าข้าจำเป็นต้องทำอย่างนั้นเหรอ?”

เหมียวอี้ลองคิดดูแล้วก็เห็นด้วย จึงถามต่อว่า “หรือประมุขปราสาทเตรียมจะคุยกับผู้น้อยอย่างนี้?”

อีกฝ่ายไม่สนใจจะตอบคำถาม “หัวหน้าภาคหนิวไม่จำเป็นต้องหาเรื่องทะเลาะกับข้า ว่ามาเถอะ มาหาข้ามีเรื่องอะไร?”

มารดาเจ้าเถอะ แบบนี้มีอย่างที่ไหน? เหมียวอี้ด่าในใจ ความรู้สึกเวลามองเห็นอีกฝ่ายไม่ชัดเจน แต่อีกฝ่ายมองเห็นตัวเองชัดเจน ทำให้เขารูสึกอึดอัดมาก เขาเองก็ฟังออกว่าน้ำเสียงอีกฝ่ายสื่อความรำคาญใจและไม่อยากเจอ จึงกลับมาพูดถึงประเด็นหลัก “คืออย่างนี้นะ กำลังจะสร้างจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลใหม่ ในพื้นที่แดนรัตติกาลหาจุดที่เหมาะสำหรับทัพใหญ่ไม่เจอ ดูทั้งแดนรัตติกาลแล้วก็พบว่ามีแค่ในอาณาเขตปราสาทดำเนินจันทร์เท่านั้น ข้าก็เลยอยากจะปรึกษากับประมุขปราสาท ว่าจะสามารถเลือกที่ตั้งจวนหัวหน้าภาคในเขตปราสาทดำเนินจันทร์ได้หรือไม่?”

“มีบัญชาสวรรค์ของฝ่าบาทเหรอ?” ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์ถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “เรื่องเล็กแค่นี้จะรบกวนฝ่าบาททำไม ท่านกับข้าเป็นเพื่อนบ้านกัน ต่อไปต้องอยู่ด้วยกันนาน นั่งลงเจรจากันดีๆ ก็ได้”

“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาเจรจากับข้า ส่งแขก!” ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์กล่าว

“ประมุขปราสาททำอย่างนี้ไม่ไร้น้ำใจไปหน่อยเหรอ?” เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำ

“รอให้เจ้าขอคำสั่งจากฝ่าบาทมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์กล่าว

“ถ้าจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลอยู่ในอาณาเขตปราสาทดำเนินจันทร์ ก็สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้โจรชั่วมารบกวนได้ ทำไมประมุขปราสาทไม่ยินดีที่จะทำ กำลังพลจวนหัวหน้าภาคจะได้ไม่ต้องมาที่นี่บ่อยๆ” คำพูดของเหมียวอี้แฝงการขู่คุกคาม กำลังสื่อว่าถ้าเจ้าไม่ให้ข้านำกำลังพลมาตั้งมั่นที่นี่ ต่อให้ไม่มีเรื่องอะไรข้าก็จะมาตรวจค้น

“ถ้าไม่มีบัญชาสวรรค์ แล้วยังกล้าบุกรุกโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร มาหนึ่งคนก็ฆ่าทิ้งหนึ่งคน!” ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์พูดทิ้งท้ายแล้วหันตัวเดินไป ไม่แยแสคำขู่ของเหมียวอี้เลย

“เจ้ากล้าเหรอ!” เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำ

“ส่งแขก!” ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับเขา เงาร่างที่อยู่หลังม่านบางหันตัวแล้วเดินหายเข้าไปในตำหนักหลังอย่างไม่ช้าไม่เร็ว

ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ในตำหนักเดินเข้ามา แล้วยื่นมือเชิญ “หัวหน้าภาคหนิวเชิญกลับ”

เหมียวอี้พูดไม่ออกนิดหน่อย แบบนี้ไม่ค่อยเหมือนผลลัพธ์ที่เขาคิดเอาไว้ ตามที่เขาคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้ ถ้าเขาออกหน้าดำเนินการเอง ไม่ว่าจะเป็นปราสาทไหนในสิบปราสาทดำเนินก็ล้วนตอบตกลงหมด แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่เหลือทางไว้ให้เจรจากันเลยสักนิด หรือว่าตัวเองคาดการณ์ผิดพลาด ปราสาทดำเนินจันทร์ไม่ใช่คนคนท่านผู้นั้นเหรอ?

หลังจากเชิญให้ออกจากตำหนักใหญ่แล้ว เหมียวอี้ที่กำลังครุ่นคิดก็ถือระฆังดาราในกระบอกแขนเสื้อติดต่อไปหาจงหลีค่วยที่ปราสาทดำเนินนภา ให้จงหลีค่วยไปหาประมุขปราสาทดำเนินนภา เตรียมจะให้เวินหวนเจินคุยกับทางนี้ให้สักหน่อย

ทว่าผลที่ได้ก็คือปราสาทดำเนินนภาไม่ยอมช่วยเรื่องนี้ บอกว่าช่วยไม่ไหว เหมียวอี้จะพูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

จึงเก็บระฆังดาราในมือ เดิมข้ามทะเลสาบไปตามสะพาน หันกลับไปมองตำหนักหลักที่สวยแพรวพราวของปราสาทดำเนินจันทร์ แล้วก็มองผู้หญิงที่เดินมาส่งแขกข้างๆ อีก แทนที่จะบอกว่ามาส่งแขก บอกว่ามาจับตาดูเสียยังดีกว่า เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัดแล้วพุ่งขึ้นฟ้าไป

พวกชิงเยว่ที่รออยู่บนฟ้าเห็นเขากลับมาแล้ว ทุกคนส่งสายตาสอบถาม เหมือนกำลังถามว่าการเจรจาเป็นอย่างไร

“กลับ!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเย็น แล้วนำคนเหาะออกไป

พวกชิงเยว่สบตากัน ดูจากสีหน้าเหมียวอี้ก็เดาออกว่าการเจรจาล้มเหลวแล้ว จากนั้นก็เหาะตามหลังไป

หลังจากมาถึงดาราจักร ชิงเยว่ก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจอประมุขลี่หัวของปราสาทดำเนินจันทร์แล้วเหรอ?”

เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัดแล้วแล้วบอกว่า “ใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ที่จวนหัวหน้าภาคกำลังจะสร้างใหม่ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาสร้างปัญหา คิดว่าข้าจะไม่กล้าหาเรื่องนางเหรอ?”

ชิงเยว่เข้าใจแล้ว ก็แค่ได้เจอตัว แต่เจรจาไม่สำเร็จ นางแอบรู้สึกขำอย่างอดไม่ได้ นางรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้มีโอกาสสำเร็จต่ำมาก ตอนแรกที่ยุยงให้เหมียวอี้มาสร้างจวนที่นี่ ก็เพราะอยากทดสอบความสามารถเหมียวอี้ หรือพูดได้อีกอย่างว่า นางจงใจจะให้เหมียวอี้ปล่อยไก่ เจ้าหมอนี่จะไม่ได้เอาแต่วางมาดเหมือนมั่นใจใส่นางกับหลงซิ่น แต่นางก็ยังปลอบใจว่า “เจรจาไม่สำเร็จก็สมเหตุสมผลแล้ว ที่บอกว่าจะหาเรื่องน่ะช่างเถอะ ไปมีเรื่องกับประมุขปราสาทลี่หัวแห่งปราสาทดำเนินจันทร์ไม่ไหวหรอก ขนาดฝ่าบาทยังต้องไว้หน้านางหลายส่วน”

“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้หันมาถาม

ชิงเยว่ตอบว่า “เดิมทีลี่หัวคือผู้หญิงของพี่น้องร่วมสาบานของฝ่าบาท ขนาดฝ่าบาทยังเรียกนางว่าน้องสะใภ้ ถ้าพวกเราไปหาเรื่องนางก็เกรงว่าจะไม่เหมาะสม”

“ผู้หญิงของพี่น้องร่วมสาบานของฝ่าบาท? พี่น้องร่วมสาบานคนไหนของฝ่าบาท?” เหมียวอี้งง

ชิงเยว่ถ่ายทอดเสียงเบาลงหลายส่วน “ยังจะเป็นพี่น้องร่วมสาบานคนไหนได้อีกล่ะ ฝ่าบาทมีพี่น้องร่วมสาบานแค่สองคน คนหนึ่งคือประมุขพุทธะ อีกคนคือประมุขไป๋ ท่านนั้นที่ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจก็คืออดีตผู้ชายของลี่หัว”

เหมียวอี้ตกใจ “ประมุขปราสาทดำเนินจันทร์คือผู้หญิงของประมุขไป๋เหรอ? ไม่ใช่ประมุขปีศาจหรอกเหรอ?”

………………………………

ทว่าทางสี่ทัพต่างก็จัดระเบียบตัวเองอย่างอึกทึกคึกโครม สายตาของคนส่วนใหญ่ไปรวมอยู่ที่นั่น เหมียวอี้ก็เลยยิ่งฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นไม่สนใจรีบจัดการสิ่งที่อยู่ในขอบข่ายงานให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นก็จะถึงคราวที่ฝั่งเขาจะดึงดูดความสนใจคนอื่นแล้ว เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็ล้วนดึงดูดความสนใจคนทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่นเลื่อนยศหมู่ให้ทัพใหญ่หนึ่งแสน คนอื่นก็แค่ไม่มีเวลามาสนใจทางนี้ก็เท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นถ้ารอให้คนว่างเมื่อไร ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมาหาเรื่องเขา

“เฉิงอวี่ ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า แต่ในปีแรกนั้นข้าประกาศแล้วว่าจะแบ่งที่นั่นให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของปราสาทดำเนินจันทร์ เจ้าคงจะไม่ให้ข้ากลับคำหรอกใช่มั้ย?”

ในตำหนักนารีสวรรค์ ประมุขชิงเข้ามาเยี่ยมเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ นางจึงเอ่ยเรื่องสร้างจวนใหม่ที่เหมียวอี้รายงานขึ้นมาอีกครั้ง แต่ประมุขชิงส่ายหน้า ยื่นมือลูบท้องกลมของนางพลางถอนหายใจ ยามที่สัมผัสได้ว่ามีอีกชีวิตน้อยๆ อยู่ในท้องกลมที่มีหนังท้องกั้น ก็ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ไปอีกแบบ เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่รู้ว่านี่คือความรู้สึกที่เรียกว่าเชื่อมโยงทางสายเลือดหรือเปล่า เอาเป็นว่าแม่แต่เสียงพูดก็ยังอ่อนโยนขึ้นแล้ว

“ดาวเคราะห์สิบดวงในอาณาเขตปราสาทดำเนินจันทร์ ในจำนวนนั้นมีหกดวงที่เหมาะกับการอยู่อาศัย จะแบ่งสักดวงให้เป็นที่ตั้งจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลไม่ได้เชียวหรือเพคะ? ยิ่งไปกว่านั้น ผืนดินในใต้หล้า มิมีที่ใดที่ไม่ใช่ของราชัน ขอเพียงฝ่าบาทลองเปรยๆ สักหน่อย ปราสาทดำเนินจันทร์ก็ไม่กล้าคัดค้านแน่เพคะ”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แข็งใจขอร้องอีกครั้ง เพื่อจัดการเรื่องของเหมียวอี้ นางนับว่าทุ่มเทสุดความสามารถแล้ว แต่นางก็รู้สถานการณ์ของแดนรัตติกาลเช่นกัน ทัพใหญ่หนึ่งแสนไม่มีแม้แต่ที่พักที่เหมาะสมเลยสักแห่ง ถ้าแม้แต่การเริ่มก่อสร้างจวนหัวหน้าภาคนางยังสนับสนุนไม่ได้ แล้วจะให้หนิวโหย่วเต๋อมองนางอย่างไร? จะรับมาเป็นลูกน้องคนสนิทได้อย่างไร? แม้ตระกูลเซี่ยโห้วจะเป็นก้างขวางคออยู่ตรงกลาง แต่นางไม่ยอมทิ้งไปอย่างนี้แน่นอน ในดวงตานางแทบจะฉายแววอ้อนวอน

ที่จริงนางก็ดูสีหน้าประมุขชิงก่อนถึงพูด ครั้งนี้เห็นประมุขชิงดูคุยง่ายนางถึงได้กล้ามาเกาะแกะอีก ถ้าเห็นประมุขชิงดูคุยยาก นางก็ไม่กล้าเอ่ยถึงแน่นอน

“นี่ไม่ใช่ปัญหาว่าปราสาทดำเนินจันทร์จะกล้าหรือไม่กล้าคัดค้าน แต่เป็นปัญหาว่าคนในใต้หล้าจะมองข้ายังไง…” พอพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ประมุขชิงก็ทำสายตาจริงจัง รู้สึกได้ว่าเจ้าตัวเล็กในท้องกลมกำลังเตะฝ่ามือของเขา จึงเอียงหน้ามองแววตาวิงวอนของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ หลังจากครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก็บอกว่า “คืออย่างนี้นะ เรื่องที่ประกาศต่อใต้หล้าไปแล้ว หากปราสาทดำเนินจันทร์ยังไม่ได้ทำผิดกฎ ข้าก็กลับคำไม่ได้เด็ดขาด เจ้าให้หนิวโหย่วเต๋อไปจัดการกับปราสาทดำเนินจันทร์เองแล้วกัน ขอเพียงปราสาทดำเนินจันทร์อนุญาตให้คนของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลเข้าไปตั้งมั่น ข้าก็ไม่ว่าอะไร”

“เอ่อ…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มเจื่อน “หากไม่มีเดชานุภาพสวรรค์คอยกดดัน หนิวโหย่วเต๋อจะโน้มน้ามปราสาทดำเนินจันทร์ได้ยังไงเพคะ”

ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “เจ้าก็ประเมินลูกลิงนั่นต่ำไปแล้ว เจ้าลืมเรื่องในงานเลี้ยงวันเกิดท่านปู่สวรรค์ไปแล้วเหรอ ถ้าเจ้าไม่ให้เขาลอง แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเขาทำไม่ได้? ลองทดสอบดูสักครั้งก็ได้ เจ้าให้โอกาสเขาแล้ว ถ้าเขาทำไม่สำเร็จแล้วจะโทษใครได้ล่ะ แค่นี้เจ้าก็ปฏิเสธได้แล้ว”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ลองคิดดูแล้วก็เห็นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นนางก็มองออก ว่าประมุขชิงหลีกทางให้มากที่สุดแล้ว ถ้ากดดันกว่านี้เกรงว่าจะยั่วโมโหประมุขชิง

หลังจากเหมียวอี้ได้รับข่าวจากตำหนักนารีสวรรค์ ก็รายงานอีกเรื่องหนึ่งขึ้นไปทันที นั่นก็คือยื่นขอธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งหมื่นคันให้จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล

เป็นเรื่องที่สามารถรายงานขึ้นไปพร้อมกันได้แท้ๆ แต่เขากลับรายงานตำหนักนารีสวรรค์ทีละเรื่อง เขาใช้ลำดับขั้นตอนตามที่หยางชิ่งแนะนำ ถ้ารายงานขึ้นไปพร้อมกันทุกเรื่อง อีกฝ่ายก็จะเลือกว่าจะตอบตกลงเรื่องไหนหรือปฏิเสธเรื่องไหน อีกทั้งจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลก็เพิ่งก่อสร้าง เบื้องบนต้องให้การสนับสนุนบ้างไม่มากก็น้อย คงไม่ดีหากจะปฏิเสธเรื่องที่เบื้องล่างรายงานขึ้นมาแบบต่อเนื่อง แบบนี้จะเพิ่มอัตราความสำเร็จของการรายงานได้ สาเหตุที่รายงานเรื่องสร้างจวนในอาณาเขตปราสาทดำเนินจันทร์ก่อนก็เพราะมีเจตนานี้

หลังจากรายงานยื่นขอธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งหมื่นคันแล้ว ก็ปล่อยให้ตำหนักนารีสวรรค์ปวดหัวไปว่าจะตัดสินใจอย่างไร ส่วนเหมียวอี้ก็นำกำลังพลกลุ่มหนึ่งออกเดินทางโดยไม่ลังเล เร่งเดินทางไปยังปราสาทดำเนินจันทร์

ปราสาทดำเนินจันทร์ สถานที่เดียวของแดนรัตติกาลที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด ดาวเคราะห์ที่งดงามสิบดวงกำลังโคจรอย่างเงียบๆ

กำลังพลนับพันเหาะมาจากจุดลึกของดาราจักร ชิงเยว่ที่เหาะอยู่ใกล้เหมียวอี้ชี้ไปยังดาวเคราะห์งดงามสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาดวงหนึ่ง บอกให้รู้ว่าตำหนักหลักของปราสาทดำเนินจันทร์อยู่บนดาวเคราะห์ดวงนั้น เพราะนางเคยมาที่นี่

กำลังพลหนึ่งพันพุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศทันที เมฆหมอกแฉลบผ่านใบหูเร็วมาก ภาพตรงหน้าพลันสว่างสดใส เบื้องล่างมีภูเขาและแม่น้ำ คนที่อยู่ตลาดผีมานานไม่ค่อยคุ้นชินกับแสงสว่างของที่นี่

ขณะที่ตัวคนยังอยู่กลางอากาศ เบื้องล่างก็มีเงาคนหลายคนพุ่งขึ้นมาจากระหว่างภูเขาและแม่น้ำ มาขวางทางกำลังพลกลุ่มนี้เอาไว้

คนที่มาขวางทางพวกเขาเป็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง แต่ละคนงดงามดุจหยก สวมชุดสีขาวราวหิมะ กระโปรงพลิ้วไหวตามสายลม มีลักษณะสดใสสบายตาไปอีกแบบ แต่ละนางราวกับมีสง่าราศีของนางฟ้า เพียงแต่ผู้หญิงกลุ่มนี้ดูอ่อนเยาว์มาก เหมียวอี้เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว ว่าปราสาทดำเนินจันทร์ฝึกเคล็ดวิชาโดยใช้แสงจันทร์ช่วยคงใบหน้าให้อ่อนเยาว์ ต่อให้เป็นตอนแก่ตายตามอายุไข ใบหน้าก็ยังสวยอ่อนเยาว์เหมือนเดิม

แต่เหมียวอี้ค่อนข้างคุ้นตากับอาวุธที่คนพวกนี้ใช้ คล้ายกับอาวุธที่เยว่เหยาใช้ในปีแรกๆ

แต่ละคนสะบัดแขนโยนพระจันทร์เสี้ยวออกมา พระจันทร์เสี้ยวระบำวนอยู่ท้องฟ้า ลอมพวกเขาเอาไว้แล้ว

“ใครกันที่บุกเขามาในปราสาทดำเนินจันทร์?” ผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าชี้พวกเหมียวอี้พลางตะโกนถาม

ที่จริงการแต่งกายของพวกเหมียวอี้ก็ทำให้คนพวกนี้รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน ถึงแม้จะเหมือนคนของตำหนักสวรรค์ แต่ดูจากสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้ว ก็เหมือนจะไม่ถูก นอกจากเหมียวอี้ที่สวมเครื่องแบบเกราะม่วงสามแถบ ที่เหลือก็ไม่มีใครที่วรยุทธ์ต่ำกว่าบงกชรุ้งเลย แต่ส่วนใหญ่กลับสวมเกราะเงิน พลังและยศดูไม่ถูกต้อง

ถึงแม้สิบปราสาทดำเนินจะอยู่ในสถานการณ์พิเศษ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกเลย ยิ่งไปกว่านั้น ปราสาทดำเนินจันทร์ก็อยู่ที่แดนรัตติกาลอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ความเคลื่อนไหวของแดนรัตติกาลเลยสักนิด โดยเฉพาะสัญลักษณ์พลังอิทธิฤทธิ์ที่ก่อตัวเป็นรูปจริงตรงหว่างคิ้วชิงเยว่ ทำให้กลุ่มศิษย์ปราสาทดำเนินจันทร์เดาออกเร็วมากว่าคนพวกนี้เป็นใคร

เป็นอย่างที่คาดไว้ เหมียวอี้ตอบเสียงดังว่า “รบกวนไปแจ้งประมุขปราสาทดำเนินจันทร์ หนิวโหย่วเต๋อหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลมาเยี่ยมคารวะเพื่อบ้าน!” พูดจบก็โยนแผ่นหยกขุนนางออกไป

ผู้หญิงที่ตะโกนถามรับแผ่นหยกมาอ่าน ถ้าเปลี่ยนเป็นกำลังพลตำหนักสวรรค์ทั่วไปมาที่นี่ ตามหลักแล้วก็ไม่ต้องสนใจเลยจริงๆ สามารถไล่ไปได้เลย แต่ตอนนี้ท่านนี้คือหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลคนใหม่ อีกฝ่ายเป็นคนดูแลทั้งแดนรัตติกาล ถ้าพูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ ปราสาทดำเนินจันทร์อยู่นอาณาเขตของอีกฝ่าย

หลังจากลังเลนิดหน่อย ผู้หญิงคนนั้นก็กุมหมัดคารวะบอกว่า “รอสักครู่” จากนั้นหยิบระฆังดาราติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง แต่ก็ยังไม่ได้สั่งถอนอาวุธพระจันทร์เสี้ยวรอบๆ ออกไป

ชิงเยว่และกำลังพลที่ติดตามกำลังระแวดระวังพระจันทร์เสี้ยวที่อาจจะรุกโจมตีได้ทุกเมื่อ

เหมียวอี้กลับสุขุมเยือกเย็น สายตาจ้องทะเลสาบแห่งหนึ่งบนยอดเขาของภูเขาที่อยู่ระหว่างธรรมชาติงดงามเบื้องล่าง เป็นทะเลสาบที่น้ำใสราวกับอัญมณีสีฟ้า ตรงกลางทะเลสาบสีฟ้าสงบเหมือนจะมีปราสาทที่สร้างจากผลึกม่วงหลังหนึ่งตั้งอยู่ เมฆขาวที่ลอยผ่านฟ้าเป็นครั้งคราวเกิดเป็นเงาในทะเลสาบ ทำให้คนเห็นแล้วสบายตาสบายใจ สวยงามล้ำเลิศ

และบนภูเขารอบๆ ก็มีสิ่งปลูกสร้างจากผลึกม่วงอยู่ไม่น้อย สะท้อนแสงระยิบระยับอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์สดใส

เหมียวอี้มาครั้งแรกจึงยังไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ แต่เดาว่าตำหนักที่โหญ่โตอลังการที่สุดกลางทะเลสาบบนยอดเขาคงจะเป็นตำหลักหลักของปราสาทดำเนินจันทร์ เขาเอียงหน้ามองชิงเยว่ นางพยักหน้าบอกใบ้ว่าเหมียวอี้เดาถูก

ใช้เวลาไม่นาน ผู้หญิงที่อยู่ตรงข้ามก็กำระฆังดาราพร้อมตอบว่า “หัวหน้าภาคหนิวเชิญกลับเถอะประมุขปราสาทไม่พบแขก”

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “ทุกคนเป็นเพื่อนบ้านกัน ต่อไปต้องอยู่ร่วมกันในระยะยาว เหตุใดจึงไม่มาพบสักครั้ง?”

ผู้หญิงคนนั้นส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน หัวหน้าภาคหนิวเชิญกลับ”

“แล้วถ้าหัวหน้าภาคคนนี้จะพบให้ได้ล่ะ?” เหมียวอี้ถามเสียงเข้มเล็กน้อย

ผู้หญิงคนนั้นตอบเสียงเรียบ “ฝ่าบาทประกาศชัดเจนแล้วว่าแบ่งที่นี่ให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของปราสาทดำเนินจันทร์ ไม่ว่าใครก็มารบกวนไม่ได้ง่ายๆ และไม่ถูกควบคุมจากจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลด้วย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นเกรงว่าหัวหน้าภาคหนิวจะรับผิดชอบไม่ไหว หัวหน้าภาคหนิวได้นั่งตำแหน่งนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หวังว่าจะถนอมรักษาตัวให้มากๆ หน่อย”

“จะถนอมรักษาหรือไม่ก็เป็นเรื่องของหัวหน้าภาค ไม่ต้องให้เจ้ามาเป็นห่วง รบกวนไปแจ้งประมุขปราสาทของพวกเจ้าหน่อย บอกว่าหนิวมีเรื่องสำคัญจะเจรจา!” น้ำเสียงเหมียวอี้เปลี่ยนเป็นไม่ค่อยเป็นมิตรแล้ว พาลูกน้องมาเยี่ยมคารวะแต่กลับถูกปิดประตูใส่ ปราสาทดำเนินจันทร์วางมาดเกินไปหน่อยแล้วมั้ง

ผู้หญิงคนนั้นยื่นมือส่งแขก “หัวหน้าภาคหนิวเชิญกลับไป”

เหมียวอี้จึงกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย รบกวนไปแจ้งประมุขปราสาทของพวกเจ้า!” เขายกมือขึ้นเล็กน้อย กำลังพลข้างหลังทยอยกันหยิบอาวุธขึ้นมาทันที ส่วนใหญ่เปลี่ยนเป็นสวมเกราะรบกับหมดแล้ว สวมเกราะรบที่ประกอบขึ้นเอง

บนใบหน้าผู้หญิงคนนั้นฉายแววโกรธเคือง แต่ก็ยังเม้มริมฝีปากแน่น พยายามข่มไฟโกรธเอาไว้ นางเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต๋อคนนี้มาเหมือนกัน เป็นคนที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น ขนาดขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็ยังกล้าสู้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ถึงแม้ปราสาทดำเนินจันทร์จะไม่เป็นอะไร แต่ถึงอย่างไรก็เกิดความยุ่งยาก ถึงทำได้เพียงเขย่าระฆังดาราติดต่ออีกครั้ง

ผ่านไปครู่เดียว นางก็กำระฆังดาราตอบอีกว่า “ประมุขปราสาทบอกแล้ว ไม่พบ! ถ้าหัวหน้าภาคหนิวดึงดันจะพบให้ได้ ก็ไปขอบัญชาสวรรค์มาก่อน ถ้าไม่มีบัญชาสวรรค์ ก็ขออภัยที่ให้พบไม่ได้!”

“ตอนนี้ข้ากำลังสงสัยว่าเจ้าถ่ายทอดคำสั่งปลอมของประมุขปราสาท ข้าไม่เชื่อหรอกว่าประมุขปราสาทของพวกเจ้าจะเป็นคนไร้เหตุผลขนาดนี้ นอกเสียจากข้าจะเห็นกับตาว่าประมุขปราสาทเจ้าพูดเอว” เหมียวอี้กล่าวเสียงเย็น

นี่ไม่ใช่การพูดซี้ซั้วตามอำเภอใจหรอกเหรอ ผู้หญิงคนนั้นพยายามควบคุมอารมณ์ “หัวหน้าภาคหนิวต้องรอให้ตำหนักสวรรค์ถ่ายทอดคำสั่งลงมาให้ถอนกำลังก่อนเหรอ?” เห็นได้ชัดว่าทางนี้สามารถติดต่อกับตำหนักสวรรค์ได้โดยตรง

เหมียวอี้แสยะยิ้ม “พวกเราไล่ตามผู้ร้ายหลบหนีมาตลอดทาง ตอนนี้หัวหน้าภาคผู้นี้กำลังสงสัยว่าปราสาทดำเนินจันทร์ของพวกเจ้าจงใจให้ที่ซ่อนผู้ร้ายหลบหนีของตำหนักสวรรค์!”

ชิงเยว่ยิ้มมุมปาก พบว่านายท่านผู้นี้ค่อนข้างน่าสนใจ เป็นคนใจกล้าคับฟ้าจริงด้วย ขนาดข้อหาใหญ่ๆ ก็พูดออกมาส่งเดชได้

กำลังพลจวนหัวหน้าภาคที่อยู่ข้างหลังแอบรู้สึกบันเทิงเช่นกัน

ผู้หญิงคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “หัวหน้าภาคหนิวโปรดสำรวม อย่าใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น” กลุ่มศิษย์ปราสาทดำเนินจันทร์ที่ล้อมอยู่ก็มีสีหน้าโกรธเคืองเช่นกัน

เหมียวอี้เอียงหน้าบอกชิงเยว่ “แจ้งไปให้ทัพใหญ่ที่จวนหัวหน้าภาคตามมาเดี๋ยวนี้ ค้นที่นี่ให้ละเอียดทุกซอกทุกมุม ข้าอยากจะเห็นว่าใครจะกล้าปกป้องผู้ร้ายหลบหนี!”

“รับทราบ!” ชิงเยว่แสร้งทำตามคำสั่ง ใช้ระฆังดาราติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง

“เจ้า…” ผู้หญิงคนนั้นชี้หน้าเหมียวอี้ กัดฟันกรอดจนฟันแทบแตก แต่สุดท้ายก็ยังเขย่าระฆังดารารายงานขึ้นไป

ผ่านไปครู่เดียว ผู้หญิงคนนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “ประมุขปราสาทบอกว่า ถ้าหัวหน้าภาคหนิวต้องการจะพบก็ใช่ว่าจะพบไม่ได้ แต่เจ้าไปพบได้คนเดียว คนอื่นห้ามทำอะไรโดยพลการ!”

…………………………

เม่ยเหนียงมองก่วงลิ่งกงแล้วอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ลูกสาวมักจะเอ่ยถึงหนิวโหย่วเต๋อโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อแม่ กอปรกับตำแหน่งที่ก่วงลิ่งกงอยู่รู้เรื่องราวเบื้องลึกมากมาย ลูกสาวมักอดไม่ได้ที่จะสืบเรื่องหนิวโหย่วเต๋อ นางไม่เชื่อว่าก่วงลิ่งกงจะมองไม่ออกว่าลูกสาวรู้สึกกับหนิวโหย่วเต๋ออย่างไร แต่ยังกล้าให้ลูกสาวไปเล่นกับหนิวโหย่วเต๋ออีกเหรอ? แล้วดันบอกว่าจำกัดความสัมพันธ์ให้เป็นสหายธรรมดาต่อกันเท่านั้น นางเข้าใจเรื่องระหว่างชายหญิงดีเกินไป ด้วยความงามของลูกสาว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจะทำอย่างไร?

ก่วงลิ่งกงที่เพิ่งลุกขึ้นยืนแอบชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง แล้วเดินก้าวยาวออกไปโดยมองข้ามท่าทางอึกอักของนาง

นางเข้าใจสายตาแบบนั้นของก่วงลิ่งกงดีเกินไป เป็นสายตาที่บอกว่าไม่อยากพูดอะไรมากแล้ว เจ้าถามไปก็ไร้ประโยชน์ ดีไม่ดีอาจจะยั่วให้ก่วงลิ่งกงไม่สบอารมณ์ ถึงแม้ตอนนี้ความสัมพันธ์สามีภรรยาจะปรองดองกันแล้ว แต่ในใจลึกๆ นางก็ยังกลัวก่วงลิ่งกง รู้ว่าต่อไปไม่สะดวกจะถามเรื่องนี้อีกแล้ว

อีกทั้งนางก็เข้าใจดีมาก ว่าคนแบบก่วงลิ่งกงไม่พูดซี้ซั้วง่ายๆ การที่จู่ๆ พูดแบบนี้ออกมาแสดงว่ามีจุดประสงค์แน่นอน แต่นางก็ยิ่งกังวลว่าก่วงลิ่งกงจะมองลูกสาวเป็นหมากตัวหนึ่ง นางรู้ว่าคนที่เดินขึ้นมาถึงระดับอย่างก่วงลิ่งกง เวลาไม่มีงานอาจจะให้ความสำคัญกับความรู้สึกคนในครอบครัว แต่ถ้ามีความจำเป็นเมื่อไร ทุกอย่างล้วนมองภาพรวมเป็นเป้าหมาย ไม่ว่าลูกหลานในบ้านคนไหนก็สามารถสละได้

สองแม่ลูกไปส่งก่วงลิ่งกงตรงประตู

หลังจากมองคล้อยหลังก่วงลิ่งกงหายไปแล้ว เม่ยเหนียงก็เอียงหน้ามองลูกสาว พบว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์กำลังทำสีหน้าเหม่อลอยฝันหวาน นางเคยผ่านช่วงเวลาวัยสาวมาแล้ว ในใจแอบร้องว่าท่าไม่ดี รีบถามหยั่งเชิงว่า “เม่ยเอ๋อร์ เจ้าคงไม่ได้อยากไปเที่ยวตลาดผีจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”

“ได้ยินว่านั่นเป็นสถานที่ไร้เดือนไร้ตะวัน ข้าไม่อยากไปสักหน่อย” ก่วงเม่ยเอ๋อร์เบะปากพูดดูถูก หาเหตุผลมาอ้างส่งเดช แต่พอกลับเข้าห้องนอนตัวเองก็ปิดประตูทันที จากนั้นหันหลังพิงประตูกัดริมฝีปาก อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพที่สองมือของเขาลูบเลื้อยอย่างกำเริบเสิบสานบนร่างกายตัวเอง

พอคิดไปคิดมา จู่ๆ ก็นางใช้สองมือปิดหน้า พบว่าหน้าร้อนผ่าวแล้ว

หลังจากยืนพิงประตูเงียบๆ อยู่นาน ในมือก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาพลิกดู เหมือนลังเลนานมาก แต่สุดท้ายก็ยังร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่า

ตอนนี้เหมียวอี้งานยุ่งมาก หลังจากจัดการเรื่องเลื่อนยศเสร็จแล้ว ตอนนี้ก็กำลังครุ่นคิดว่าจะรายงายเรื่องตำแหน่งหน้าที่ของกำลังพลหนึ่งแสนขึ้นไป ตอนนี้กำลังปิดประตูนั่งอยู่ในห้องคนเดียว ถือแผ่นหยกครุ่นคิดว่าจะใช้คำพูดแบบไหนรายงานขึ้นไป อย่างไรเสียก็ยังมีตระกูลเซี่ยโห้วคั่นอยู่ระหว่างนั้น

ใครจะคิดว่าจู่ๆ จะได้รับข้อความที่เหนือความคาดหมายมาก เป็นคนที่แทบจะไม่เคยติดต่อมาเลย ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นก่วงเม่ยเอ๋อร์นั่นเอง

พอนึกถึงสาวงามสุดเย้ายวนที่เหมือนดอกบัวตูมที่รอเบ่งบาน โดยเฉพาะอย่างคิดความอบอุ่นเล็กน้อยที่เคยสัมผัส เหมียวอี้คิดถึงแล้วก็เกิดความรู้สึกนิดหน่อย เพียงแต่กลุ้มใจเช่นกัน นางจะติดต่อตนมาทำไม? ขณะที่กำลังครุ่นคิด เขาก็หยิบระฆังดาราออกมาตอบ : ก่วงเม่ยเอ๋อร์เหรอ?

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ : นายท่านหนิว ได้ยินว่าได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้ว แสดงความยินดีตอนนี้คงยังไม่สายใช่มั้ย?

เหมียวอี้ตอบกลับอย่างสุภาพ : รับความเมตตานี้ไม่ไหว ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับ?

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ : ข้าจะกล้ากำชับท่านได้ยังไง ข้าเป็นผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง เทียบกับเจ้าอาณาเขตอย่างท่านไม่ติด

เหมียวอี้ : ขุนนางเล็กๆ อย่างข้า ใต้สังกัดอ๋องสวรรค์ก่วงมีหมากเหมือนขนวัว จะเข้าตาเจ้าได้ยังไง

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ : พูดเรื่องนี้ไม่สนุกเลย ข้าถามท่านหน่อย ตอนแรกที่ท่านเคยบอกไว้ ท่านจะทำตามที่บอกหรือเปล่า?

เหมียวอี้งงทันที ข้าเคยพูดอะไรไว้เหรอ? ถามอย่างสงสัยว่า : พูดอะไรเหรอ?

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ : ตอนแรกท่านบอกว่าเราเป็นเพื่อนกัน คงไม่ลืมเร็วขนาดนี้หรอกใช่มั้ย?

ยังนึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง เหมียวอี้รีบถาม : ไม่ลืมๆ กลัวก็แต่คุณหนูก่วงจะรังเกียจที่ข้าต่ำต้อย

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ : เชอะ! พูดจากใจหรือเปล่า?

เหมียวอี้ไม่ถึงขั้นรับมือกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ไม่เป็น พูดตบตาไปโดยไม่ใส่ใจว่า : จริงจนไม่รู้จะจริงยังไงแล้ว การได้เป็นสหายกับคุณหนูก่วงก็นับเป็นวาสนาของหนิว

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ : แต่ทำไมตอนอยู่งานเลี้ยงวันเกิดท่านปู่สวรรค์ข้าได้ยินเจ้าด่าพวกเราว่าเป็นพวกสวะไร้ประโยชน์ล่ะ ข้ายังนึกว่าเจ้าอาณาเขตจะไม่ชายตามองคนที่อาศัยบารมีพ่อแม่เสียอีก

เหมียวอี้ตอบทันทีว่า : คนอื่นๆ ข้าหมายถึงคนอื่น คุณหนูก่วงเป็นข้อยกเว้น

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ : อย่าเอาแต่พูดน่าน่าฟัง ให้ข้าไปเที่ยวเล่นที่ตลาดผีดีมั้ย ถึงตอนนั้นเจ้าอย่าไล่ข้าเชียวนะ!

ตลาดผีไม่ใช่บ้านของข้าเสียหน่อย เหมียวอี้พึมพำในใจ แต่ปากก็ยังตอบตามมารยาท : ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ : นี่ท่านพูดเองนะ ข้าไม่ได้บังคับท่านนะ เอาตามนี้แล้วกัน

หลังจากติดต่อกันเสร็จ แน่ใจแล้วว่าจะนางจะมาจริงๆ เหมียวอี้ก็กลุ้มใจนิดหน่อย เพราะไม่คิดว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์จะมาเที่ยวเล่นเฉยๆ แน่ คนที่อยู่ในระดับอย่างเหมียวอี้มีความคิดซับซ้อนขึ้นทุกวัน ที่บอกว่าเป็นสหายกับก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็เป็นคำพูดตามมารยาทเท่านั้น เขาเข้าใจดีว่าตัวเองไม่มีทางเป็นสหายกับคนฐานะอย่างก่วงเม่ยเอ๋อร์ได้ อย่าว่าแต่ก่วงเม่ยเอ๋อร์เลย ต่อให้เป็นสหายที่เคยอยู่ข้างกายเขา แต่ทุกวันนี้ความสัมพันธ์ก็เริ่มจืดจางแล้ว คำว่า ‘สหาย’ ยิ่งห่างไกลจากเขาเข้าไปทุกวัน ดังนั้นที่ก่วงเม่ยเอ๋อร์บอกว่าจะมาหาเขาตลาดผีในฐานะสหาย ต่อให้ตีให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ ความคิดแรกก็คือสงสัยว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะคนที่มีภูมิหลังอย่างก่วงเม่ยเอ๋อร์ ในใจเขาเริ่มป้องกันแล้ว

พอคิดไปคิดมาก็คิดถึงคำพูดของหลงซิ่นในตอนแรก ทำให้เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน จำที่หลงซิ่นเคยพูดถึงเรื่องที่อ๋องสวรรค์ก่วงฝากบอกได้แล้ว อ๋องสวรรค์ก่วงบอกว่าขอเพียงหลงซิ่นยินดีกลับไปก็จะได้รับสวัสดิการดีๆ ทั้งยังบอกอีกว่าจะส่งก่วงเม่ยเอ๋อร์มาคุยให้

พอนึกถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็แสยะหัวเราะ นอกเสียจากหลงซิ่นจะไม่อยากอยู่เอง ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่มีทางปล่อยหลงซิ่นไปง่ายๆ อ๋องสวรรค์ก่วงแล้วยังไงล่ะ มายุ่งกับเขาไม่ได้หรอก ต่อให้อยากจะลอบสังหารเขาก็ไม่ง่ายขนาดนั้น ตอนนี้รอบกายมีทหารล้อมมากมาย ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับพลังอิทธิ์อนันตภาพก็อย่าคิดเลยว่าจะทำให้เขาบาดเจ็บได้ง่ายๆ นอกเสียจากจะส่งกำลังพลกลุ่มใหญ่มารุกโจมตีเท่านั้น

หลังจากคิดเองเออเองเสร็จแล้ว เขาก็ไปคุยเรื่องนี้กับอวิ๋นจือชิวทันที อวิ๋นจือชิวเก่งเรื่องเข้าสังคม ถ้าก่วงเม่ยเอ๋อร์มาคุยด้วยจริงๆ ก็จะให้อวิ๋นจือชิวไปรับมือ อวิ๋นจือชิวย่อมไม่อ้างเหตุปฏิเสธอยู่แล้ว เรื่องของเหมียวอี้ก็เหมือนเรื่องของนาง เพียงแต่นางก็พูดหยอกเขาด้วยความเคยชิน “ตอนแรกอ๋องสวรรค์ก่วงอยากจะยกลูกสาวให้แต่งงานกับเจ้านะ หนิวเอ้อร์ เจ้าว่าอ๋องสวรรค์ก่วงคงไม่ใช่ว่ายังไม่ล้มเลิกความคิดนี้หรอกใช่มั้ย?”

เหมียวอี้พูดเย้ยตัวเอง “เจ้าก็ช่วยฝันหวานแทนข้า ตระกูลโค่วถูกประมุขชิงเล่นงานแทบตาย เจ้าคิดว่าด้วยสถานการณ์ของข้าตอนนี้จะเป็นไปได้เหรอ?”

อวิ๋นจือชิวเองก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่นางก็ยังชอบพูดหยอกล้อเหมียวอี้ ชอบเห็นเขายอมแพ้ต่อหน้านาง บำเพ็ญเพียรมาเป็นเวลานาน ไม่ง่ายเลยกว่าทั้งสองจะกลายเป็นคู่สามีภรรยาที่รักกัน ถ้ามัวแต่ใช้เวลาที่ยาวนานไปกันเรื่องอื่นหมดจะมีความหมายอะไร นางหวังจะให้วาสนาของสามีภรรยามีรสชาติสักหน่อย จึงพูดล้อต่อไป “ข้าเคยเห็นก่วงเม่ยเอ๋อร์นั่นแล้ว เป็นความสวยที่ก่อหายนะจริงๆ ขนาดข้าเป็นผู้หญิงเห็นแล้วยังใจสั่น เจ้าไม่หวั่นไหวสักนิดเลยเหรอ” นางเอานิ้วจิ้มที่ท้องน้อยเขา แล้วไล่ลงไปตรงหว่างข้าอย่างช้าๆ

ผู้หญิงคนนี้เอาอีกแล้ว! เหมียวอี้ปัดมือนางออก กลอกตามองนางแล้วเดินเลี้ยวหนีไปเลย

อวิ๋นจือชิวหันกลับมาหัวเราะจนไหลสั่นๆ นิสัยดื้อรั้นแก้ไม่หายตั้งแต่เล็กยันโต

เรื่องในด้านนี้ของผู้หญิงคนนี้ เหมียวอี้มีแต่ต้องยอมแพ้เมื่ออยู่ต่อหน้านาง แม้แต่คำแก้ตัวก็พูดไม่ออก ถ้ากล้าเถียงเมื่อไร นางก็จะยกเรื่องของผู้ที่ที่ถูกควบคุมอยู่ในตำหนักดาวกลางมาพูด รับรองว่าประโยคเดียวก็ทำให้เหมียวอี้รู้สึกผิดได้ ภายในสามวันเขาไม่กล้ามองนางตรงๆ แน่นอน เพราะในปีนั้นที่แต่งงานกันเขาให้สัญญาไว้ว่าจะไม่ทำให้นางผิดหวัง

เหมียวอี้กลับมาถามถึงท่าทีของหลงซิ่น หลังจากแน่ใจแล้วว่าหลงซิ่นไม่ยอมไป เขาก็เปิดเผยเรื่องที่ก่วงเม่ยเอ๋อร์จะมาให้รับรู้ เพื่อป้องกันไม่ให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์เตรียมแผนสำรองอะไรมา เขาให้หลงซิ่นเตรียมตัวหลบเลี่ยง บอกแค่ว่ามีธุระต้องไปจัดการข้างนอก

เรื่องก่วงเม่ยเอ๋อร์ไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้ จึงถูกโยนทิ้งไว้ก่อน

เหมียวอี้เตรียมตัวได้สักพักหนึ่ง จากนั้นรายงานเรื่องการรับตำแหน่งของกำลังพลรวมทั้งเรื่องสร้างจวนหัวหน้าภาคใหม่ในอาณาเขตปราสาทดำเนินจันทร์ขึ้นไปพร้อมกัน ก่อนหน้านี้เคยหยั่งเชิงมาแล้วสองครั้ง ครั้งนี้เรียกได้ว่าโยนน้ำหนักมากกว่าเดิม

เรื่องการรับตำแหน่งในจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลที่เหมียวอี้ร่างไว้ ตำหนักนารีสวรรค์ไม่คัดค้าน ทุกอย่างผ่านการอนุมัติ เพียงแต่พบอุปสรรคเรื่องเลือกสถานที่ในเขตปราสาทดำเนินจันทร์ เพราะทางตำหนักนารีสวรรค์บอกไว้ชัดเจนว่า ควรรักษาระยะห่างกับสิบปราสาทดำเนิน ให้พวกเขาไปเลือกที่ใหม่ เท่ากับปฏิเสธแล้ว

แต่จะไปเลือกที่ไหนได้อีก? ถ้าแดนรัตติกาลมีแหล่งที่เหมาะสมกับการอยู่อาศัยมากพอ ก็คงถูกคนอื่นครอบครองไปนานแล้ว มีหรือที่จะวนมาให้เหมียวอี้ได้เป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ต่อให้ตึกศาลาสัตยพรตจะอนุญาตให้กำลังพลหนึ่งแสนประจำอยู่ที่เขาภูตพเนจรได้ แต่ไม่สามารถอยู่ได้ในระยะยาว เพราะเขาภูตพเนจรมีอากาศเบาบาง ไม่เหมาะจะให้กำลังพลจำนวนมากอยู่อาศัยเลย แค่เทียบกับดาวเคราะห์ดวงอื่นที่ไร้อากาศในแดนรัตติกาลแล้วดีกว่าก็เท่านั้นเอง ถ้าต้องเก็บสะสมอากาศมาจากข้างนอก ก็ไม่สะดวกจะทำในระยะยาว อย่างน้อยเขาก็ต้องหาสถานที่ที่ไม่อากาศเพียงพอ ซึ่งมีเพียงในอาณาเขตของปราสาทดำเนินจันทร์

ตราบใดที่ตำหนักนารีสวรรค์ไม่ยื่นคำขาด เหมียวอี้ก็จะรายงานขึ้นไปขอร้องซ้ำๆ อธิบายความจริงให้ฟัง บอกเล่าถึงความยากลำบาก

แน่นอน เขาจะปล่อยให้เรื่องนี้มาถ่วงเรื่องอื่นให้ล่าช้าไม่ได้ คำสั่งแต่งตั้งกำลังพลในจวนหัวหน้าภาคจากตำหนักนารีสวรรค์มาถึงแล้ว เขาเรียกรวมกำลังพลเพื่อประกาศคำสั่งแต่งตั้งทันที

ในตำหนักประชุม สมาชิกคนสำคัญมากันครบ ก็เหมือนที่เหมียวอี้บอกไว้ตอนแรก ชิงเยว่และนักพรตระดับพลังอิทธิ์อนันตภาพสามสิบคนรับตำแหน่งเป็นผู้บังคับการกองร้อย บางคนยังมีคุณสมบัติไม่ถึงที่จะเป็นผู้บังคับการกองร้อยก็เป็นแต่ในนามไปก่อนชั่วคราว ส่วนคนอื่นๆ ที่รับมาก็ให้เป็นผู้บังคับการกองห้าไปก่อน

เนื่องจากสถานการณ์พิเศษ นอกจากผู้ใต้บังคับบัญชาร้อยคนของผู้บังคับการกองร้อย ที่เหลือก็ยังไม่มีกำลังพลใต้สังกัดโดยละเอียด ส่วนกำลังพลที่เหลือในจวนหัวหน้าภาค เนื้อหาคร่าวๆ ก็คือให้พวกพลทหารกับนายทหารชั้นสูงไปอยู่ในสังกัดจวนแม่ทัพภาค เมื่อถึงเวลาจะรับตำแหน่งถึงจะส่งนายทหารชั้นสูงไปเลือกพลทหารเอง พลทหารกับนายทหารชั้นสูงล้วนถูกสับเปลี่ยนด้วยกันโดย และยามปกติพลทหารพวกนั้นก็ถูกนายทหารชั้นสูงผลัดกันดูแล

ทัพใหญ่หนึ่งแสนที่รับมาใหม่ถูกจัดไว้อย่างนี้ชั่วคราว

คนเก่าของจวนแม่ทัพภาคได้คึกคักมีหน้าตามีตา สวีถังหรานสมปรารถนา ได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าภาคอย่างเป็นทางการ และเป็นรองหัวหน้าภาคเพียงหนึ่งเดียวของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลด้วย เขากุมหมัดรับบัญชาต่อหน้าฝูงชน ตื่นเต้นจนมือไม้สั่น ฝันกลายเป็นจริงแล้ว!

หยางเจาชิงเลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาค เหยียนซิวที่ ‘ออกไปทำงานข้างนอก’ ก็รีบกลับมาแล้วเช่นกัน ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาคแล้ว

มู่หรงซิงหัวที่มาทีหลังก็ได้เปรียบมากเหมือนกัน นอกจากการเลื่อนยศหมู่จะทำให้นางได้ยศเกราะม่วงสองแถบ ตอนนี้ก็ยิ่งกระโดดจากรองผู้บัญชาการใหญ่ไปเป็นแม่ทัพภาคเลย เท่ากับเลื่อนตำแหน่งรวดเดียวสามขั้น โหดกว่าสวีถังหรานที่ได้ข้ามแค่สองขั้น แม้นางจะมาทีหลัง แต่ยศของนางก็สูงมากพอ สำหรับเหมียวอี้ในตอนนี้ ไม่ว่าใครจะมาก่อนมาหลัง ถ้าฉวยโอกาสนี้เลื่อนยศให้ได้ก็จะไม่ยกเว้นสักคน ถ้าไม่เอ่ยขอตอนนี้ ในภายหลังถ้าไร้ผลงานก็ไม่มีใครจ่ายเงิน ก็จะไม่ได้มีข้ออ้างดีๆ อย่างตอนนี้แล้ว

…………………………

คำพูดนี้ช่างเกาถูกที่คันของสวีถังหรานจริงๆ เขายิ้มเผยฟัน กระซิบข้างหูนางว่า “รองหัวหน้าภาค…” เล่าเรื่องที่เหมียวอี้ให้สัญญาให้นางฟังคร่าวๆ

“หา!” เสวี่ยหลิงหลงดีใจจนลุกขึ้นนั่ง ก้อนกลมสองลูกตรงหน้าอกสั่นไหวเย้ายวนใจ เหมือนดีใจจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ “จริงเหรอ? เลื่อนจากรองแม่ทัพภาคเป็นรองหัวหน้าภาคเลยเหรอ?ตำหนักนารีสวรรค์จะอนุญาตรึเปล่า?” นางย่อมเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างรองแม่ทัพภาคกับรองหัวหน้าภาค โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสถานที่นี้ รองแม่ทัพภาคตลาดผีกับรองหัวหน้าภาคทั้งอาณาเขตดาวต่างกันมากเกินไป ดูเผินๆ ห่างกันแค่หนึ่งสองขั้น แต่ความจริงแล้วต่างกันราวฟ้ากับดิน ตำแหน่งรองหัวหน้าภาคเกือบจะได้เป็นเจ้าอาณาเขตแล้ว

สวีถังหรานหัวเราะหึหึ แล้วอธิบายว่า “คนอื่นพูดอาจจะไม่น่าเชื่อถือ แต่ถ้าเป็นนายท่านก็ไม่ต้องพูดถึงเลย เมื่อได้เอ่ยปากสัญญาแล้ว คาดว่าคงอีกไม่ไกลแล้วล่ะ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ปฏิบัติต่อข้าอย่างไร้ความยุติธรรมอยู่ดี จะต้องมีอะไรชดเชยแน่ เรื่องนี้คงหนีไม่พ้นแล้ว เฮ้อ นายท่านดูแลสวีไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่เสียแรงที่สวีปรนนิบัติรับใช้ด้วยความจงรักภักดีมาหลายปี ก่อนที่เรื่องนี้จะถูกกำหนดแน่นอนก็อย่าออกไปพูดซี้ซั้วเชียวนะ แล้วอีกอย่าง เจ้าขยันวิ่งไปหาหนิวฮูหยินไวๆ หน่อยนะ นายท่านเชื่อฟังคำพูดหนิวฮูหยินที่สุดแล้ว อย่าให้เกิดอะไรผิดพลาดตอนสุดท้าย เจ้าเข้าใจที่ข้าบอกใช่มั้ย?”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ดวงตาทั้งคู่ของเสวี่ยหลิงหลงก็เป็นประกายจนแทบจะมีดาวลอยออกมา ฮูหยินรองแม่ทัพภาคจะเทียบกับฮูหยินรองหัวหน้าภาคได้อย่างไร? เกือบจะได้เป็นฮูหยินของเจ้าอาณาเขตแล้วนะ เรียกได้ว่าพยักหน้ารับคซ้ำๆ “เจ้าวางใจเถอะ ข้าเข้าใจ รู้ว่าต้องทำยังไง”

สวีถังหรานยื่นมือไปลูบหน้าอกนาง แล้วตอบอย่างลำพองใจ “ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร โดนคนนอกเอาตำแหน่งแม่ทัพภาคมาตบตาเข้าหน่อยก็หัวปั่นแล้ว ตอนนี้เห็นหรือยังล่ะ? ตำแหน่งแม่ทัพภาคสำคัญอะไรล่ะ ใช้เวลาแค่ไม่กี่ปี พ่อคนนี้ก็กำลังจะได้เป็นรองหัวหน้าภาคแล้ว”

“เชอะ!” เสวี่ยหลิงหลงค่อนขอด แต่พอนึกว่าตัวเองกำลังจะได้กลายเป็นฮูหยินรองหัวหน้าภาค ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นมื่นราวกับหัวใจมีดอกไม้บาน นางค่อยๆ กัดริมฝีปากอย่างเย้ายวน แล้วสุดท้ายก็ทำเสียงครางออดอ้อน ล้มนอนลงไปตามมือของเขา กอดสวีถังหรานเอาไว้แล้วเป็นฝ่ายหาความสำหรับเอง ครั้งนี้ทั้งสองคนเรียกได้ว่านัวเนียแนบแน่นไม่ยอมแยกจากกันจริงๆ

ว่ากันว่าอยู่ใกล้สีหมึกแดงย่อมติดสีแดง อยู่ใกล้หมึกดำย่อมติดสีดำ ผู้หญิงคนนี้อยู่กับสวีถังหรานมานานแล้ว ความคิดและการแยกแยะดีชั่วเริ่มถูกสวีถังหรานทำให้กลมกลืนแล้ว

วันต่อมา สวีถังหรานที่สดชื่นกระปรี้กระเปร่ากับหยางเจาชิงก็ออกไปทำความรู้จักกำลังพลในจวนและกำลังพลที่ประจำการตรงเขาภูตพเนจรชั่วคราว

เหมียวอี้ไม่สามารถติดต่อราชินีสวรรค์ได้โดยตรง ทำได้เพียงติดต่อเอ๋อเหมยซึ่งเป็นหัวหน้านางในของตำหนักนารีสวรรค์ ก่อนจะติดต่อไป เขาเลื่อยศให้ชิงเยว่กับหลงซิ่นคนละหนึ่งขั้น ชิงเยว่กลายเป็นยศเกราะดำสองแถบ หลงซิ่นกลายเป็นยศเกราะเงินสี่แถบ

อยู่ดีๆ ก็เลื่อนยศให้สองคนนี้ แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังประหลาดใจ ส่วนเหมียวอี้ก็บอกเหตุผลที่ทำให้ทั้งสองพูดไม่ออก

สาเหตุที่เลื่อนยศก็คือ ภายใต้สถานการณ์ที่กำลังพลของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแทบจะไม่มีเลย ทั้งสองคนก็มาเฝ้าประตูใหญ่ให้จวนแม่ทัพภาคตลาดผีให้โดยไม่ถือศักดิ์ศรีของนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ ดูแลความปลอดภัยให้จวนแม่ทัพภาคตลาดผีในเวลาสำคัญ เป็นตัวอย่างที่ดีให้คนรุ่นหลัง ควรได้รับการสรรเสริญเป็นพิเศษ

เหตุผลนี้ทำให้ทั้งสองรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ฟังดูมีเหตุผลอีก ทำให้คนอื่นเถียงไม่ออกเหมือนกัน การที่สามารถหาเหตุผลแบบนี้มาเลื่อนยศให้ทั้งสองได้ ทั้งสองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้หรือจะปลงดี เพราะผ่านไปหลายปีแล้ว

แน่นอนว่าการเลื่อนยศให้คนระดับนี้ เหมียวอี้สามารถตัดสินใจเองได้เลย ตราบใดที่อ้างเหตุผลที่ทำให้คนเถียงไม่ออกได้ก็ไม่มีปัญหา ไม่จำเป็นต้องรายงานเบื้องบน แต่เหมียวอี้ก็ยังติดต่อกับเอ๋อเหมยแล้ว ตั้งใจรายงานให้รู้สักหน่อย โยนเรื่องนี้มาลองเชิงก่อน

หลังจากเอ๋อเหมยได้รับข่าว ก็บอกให้เขารอก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงกระบวนการที่อยู่ระหว่างนั้น แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็ยังต้องไปถึงมือราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าใจแล้วเช่นกัน เรื่องที่ผ่านมาอยู่ตรงหน้าตนได้ ก็แสดงว่าตระกูลเซี่ยโห้วไม่ห้ามแล้ว ปล่อยให้นางตัดสินใจได้ คำตอบที่ให้กับเหมียวอี้ก็คืออนุญาต ไม่มีความเห็นอย่างอื่น

วันเว้นวัน เหมียวอี้รายงานขึ้นไปอีกครั้ง เนื่องจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผีขยายเป็นจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้ว เขาขอร้องให้เลื่อนยศให้ทุกคนในจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลคนละหนึ่งขั้น อธิบายความจำเป็นนี้อย่างจริงจัง และบอกด้วยว่าเรื่องแบบนี้ก็เคยมีตัวอย่างให้เห็นแล้วที่ตำหนักสวรรค์ ขอร้องให้ตำหนักนารีสวรรค์อนุญาตอีกครั้ง

ครั้งนี้ไม่ใช่การเลื่อนยศให้แค่คนสองคน แต่เป็นการเลื่อนยศให้ทั้งหนึ่งแสนคนในจวนหัวหน้าภาค นี่ไม่ใช่เรื่องในขอบเขตอำนาจของเหมียวอี้แล้ว จำเป็นต้องมีคำสั่งจากเบื้องบน การเลื่อนยศให้คนจำนวนมากแบบนี้ไม่ใช่การแค่เลื่อนยศธรรมดาแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับปัญหาแบ่งสรรค่าจ้างของเบื้องบนด้วย

เอ๋อเหมยรายงานตระกูลเซี่ยโห้วทันทีที่ได้รับข่าว ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีความเห็นแย้งใดๆ ต่อเรื่องนี้ กลุ่มคนยศต่ำต่อให้เลื่อนขึ้นอีกขั้นแต่ยศก็ยังต่ำอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลเซี่ยโห้วควักเงินจ่ายค่าจ้างเองด้วย

พอเรื่องแบบนี้มาอยู่ตรงหน้า เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่กล้าตัดสินใจอยู่ดี เพราะค่าจ้างต้องให้ตำหนักสวรรค์เป็นผู้แบ่งสรร ทั้งยังเกี่ยวข้องกับคนตั้งมากมาย แต่นางก็ถือว่าสนับสนุนเหมียวอี้เต็มที่เช่นกัน นางเดินท้องโย้ไปหาประมุขชิงด้วยตัวเองเพื่อเรื่องนี้

เช่นเดียวกัน เมื่อเรื่องนี้มาอยู่ในสายตาประมุขชิง ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยประดุจเมล็ดงาเท่านั้น เพราะเดิมทีก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้ว เขาให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จัดการเองตามเห็นสมควร ดำเนินการตามกฎระเบียบปกติก็พอแล้ว

ประมุขชิงไม่คัดค้าน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ย่อมสนับสนุน เดินเนินการตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว ให้เหวินเจ๋อสหายเก่าของเหมียวอี้นำคำสั่งไปประกาศที่ตลาดผีด้วยตัวเอง

หลังจากถ่ายทอดคำสั่งแล้ว กำลังพลหนึ่งแสนในจวนหัวหน้าภาคก็ได้เลื่อนยศหมู่ เหมียวอี้กลายเป็นเกราะม่วงสามแถบ

สวีถังหรานที่ได้เลื่อนยศเป็นเกราะม่วงสี่แถบรู้สึกสมใจปรารถนาแล้ว เงื่อนไขทุกอย่างเรียบร้อย ยศสูงมากพอแล้ว กำจัดอุปสรรคในการขึ้นตำแหน่งรองหัวหน้าภาคให้ตนหมดแล้ว ไม่รู้ว่าตนจะได้นั่งตำแหน่งรองหัวหน้าภาคอย่างจริงจังเมื่อไร

ชิงเยว่เลื่อนจากเกราะดำสองแถบเป็นเกราะดำสามแถบ หลงซิ่นก็เลื่อนจากเกราะเงินสี่แถบเป็นห้าแถบ เท่ากับใช้เวลาแค่ไม่กี่วันก็ได้เลื่อนยศสองขั้นต่อเนื่องกัน การเลื่อนยศที่รวดเร็วแบบนี้ทำให้ทั้งสองไม่ค่อยคุ้นชิ้นเท่าไร

ทัพใหญ่ได้เลื่อนยศหมู่ ทำให้ทั้งจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลสุขสันต์หรรษา เรียกได้ว่าขวัญกำลังใจทหารมาเต็ม การที่สามารถจัดการเรื่องแบบนี้ได้ ก็ทำให้ทุกคนเห็นถึงความสามารถของเหมียวอี้แล้ว ทำให้มีความมั่นใจต่ออนาคตตัวเองมากขึ้นด้วย ต้องทราบไว้ว่าทุกคนไม่ได้เลื่อนยศมาหลายปีแล้ว

ทางฝั่งนี้กำลังดีใจอกดีใจ แต่ทัพเหนือใต้ออกตกของตำหนักสวรรค์กลับเหมือนเมฆลมที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง แทบจะสร้างกำลังพลลาดตระเวนมาจัดระเบียบสี่ทัพอย่างเข้มงวด ได้รับรายงานความผิดจากทั้งข้างล่างข้างบน การจัดระเบียบช่วงแรกจะให้ทัพใหญ่เกรียงไกรแต่ละกลุ่มไปตามจุดยุทธศาสตร์ก่อน จะได้ป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายและสามารถปราบปรามด้วยความรวดเร็วได้ วิธีการที่แข็งกร้าวแบบนี้ทำให้หัวคนร่วงลงพื้นไปไม่รู้ตั้งเท่าไร ไม่รู้ว่ากี่ครอบครัวต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ทำเอาคนของสี่ทัพหวาดกลัวและร่ำร้องโวยวายไปทั่ว แต่ครั้งนี้สี่อ๋องสวรรค์เหมือนจะตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ถึงแม้บางปัญหาจะไม่สามารถแก้ไขได้โดยสิ้นเชิง แต่อย่างน้อยก็ต้องทำอย่างนี้ ทำให้เบื้องล่างเกรวกลัวเสียบ้าง วันหลังจะได้รู้ว่าอะไรคือขีดจำกัดความอดทน

ไม่รู้ว่าการจัดระเบียบนี้ดำเนินการต่อเนื่องนานเท่าไร และทัพเหนือของอ๋องสวรรค์โค่วก็ยิ่งนำร่องถ่ายทอดคำสั่งจัดตั้งทัพใหม่ โดยมีท่านโหวโค่วเจิงรัยหน้าที่สร้างทัพใหม่ชุดนี้เอง หลังจากสร้างทัพใหม่สำเร็จแล้ว โค่วเจิงก็เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง คัดเลือกผู้ที่วรยุทธ์ไม่ธรรมดาจากระดับต่ำสุด เป้าหมายแทบจะมีแค่พวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดิน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทหารเกรียงไกรทุกคนที่ไปพึ่งพาฝั่งตลาดผี ที่จริงส่วนใหญ่ยังอยู่ที่นี่ การที่ทัพเหนือมีการเคลื่อนไหวอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าตื่นตัวเพราะการรับสมัครคนของหนิวโหย่วเต๋อ

ผู้ที่ได้ผลประโยชน์โดยตรงจากการสร้างทัพใหม่ก็คือโค่วเจิง เท่ากับในมือมีกำลังพลเกรียงไกรกลุ่มหนึ่งที่เป็นของตัวเองแล้ว

เมื่อทัพเหนือเกิดการเคลื่อนไหวอย่างนี้ อีกสามอ๋องก็ตามกระแสทันที ทัพใต้ ทัพตะวันตกและทัพตะวันออกสร้างทัพใหม่เช่นกัน

สรุปก็คือสี่ทัพเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ไม่หยุด ภายในสี่ทัพเกิดคลื่นโหมซัดสาดระลอกแล้วระลอกเล่า มีแค่สี่อ๋องสวรรค์ที่กล้าทำอย่างนี้

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง หลังจากสั่งให้คนส่งผู้หญิงและเด็กที่ร้องไห้ฟูมฟายกลับไปแล้ว หวังเฟยเม่ยเหนียงก็ปวดหัวเช่นกัน

สี่ทัพเคลื่อนไหวใหญ่โตเกินไป นางเองก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย เบื้องล่างมีสตรีสูงศักดิ์มาขอร้องนางไม่ขาดสาย บ้างก็ว่าน้องชายของนางกำลังจะถูกประหารล้างตระกูล บ้างก็ว่าพี่ชายคนนั้นกำลังจะถูกประหาร น้องเขยกำลังจะเป็นอย่างนั้น พี่เขยกำลังจะเป็นอย่างนี้ มาหานางด้วยข้อหาต่างๆ กันไป ล้วนเป็นเพราะสามีตัวเองไม่สนใจหรือไม่ก็ไม่กล้ายุ่งแล้ว แต่ละคนมาขอให้นางไปช่วยขอร้องท่านอ๋องให้

“คิคิ ท่านแม่! ไล่ไปอีกกลุ่มแล้วใช่มั้ยคะ?” เม่ยเหนียงกำลังนวดหน้าผากปวดหัว ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่อยู่นอกประตูก็ยื่นศีรษาเข้ามาพูดหยอกล้อ

“นางหนูตัวแสบ แม้แต่เจ้าก็เห็นแม่น่าขำใช่มั้ย?” เม่ยเหนียงตบโต๊ะถลึงตา

ก่วงเม่ยเอ๋อร์แลยลิ้นสีแดงสด แล้วยื่นขึ้นถามว่า “ท่านแม่ ท่านพ่อกลับมาแล้วค่ะ”

เพิ่งจะพูดจบ ด้านนอกก็มีเสียงพูดปนหัวเราะของก่วงลิ่งกงดังขึ้น “ใครกันช่างใจกล้าถึงขนาดมายั่วโมโหหวังเฟย?” ตัวคนเลี้ยวเข้ามาในประตูตามเสียง

เม่ยเหนียงรีบลุกขึ้นคำนับต้อนรัย พร้อมถลึงตาใส่ลูกสาวหนึ่งที

ก่วงลิ่งกงนั่งลงแล้วถามพร้อมรอยยิ้ม “เป็นอะไรไป มีคนมาขอร้องอีกแล้วเหรอ?”

เม่ยเหนียงนั่งลงข้างๆ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น ถ้าไม่พบดูจะไม่เหมาะสม แล้วข้าก็ให้สัญญาอะไรไม่ได้อีก ได้แต่ใช้คำพูดดีๆ โน้มน้าว”

ก่วงลิ่งกงทำเสียงฮึดฮัด “ไปสนใจพวกนางทำไม ให้พวกลูกน้องหาข้ออ้างไล่ไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”

“ทำแบบนี้เหมาะสมหรือคะ? ถึงยังไงก็เป็นฮูหยินของขุนนางใหญ่ๆ ของท่านอ๋อง” เม่ยเหนียงลังเล

ก่วงลิ่งกงเหล่ตามองนาง รู้ว่านางมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือไม่อยากขัดใจคนมากเกินไป กลัวผลที่ตามมาทีหลัง แต่ในสายตาก่วงลิ่งกง นี่เป็นการคิดมากไปเองทั้งนั้น ถ้าในอนาคตจวนท่านอ๋องถึงขั้นเป็นที่พึงให้เจ้าไม่ได้ เจ้ายังหวังอีกเหรอว่าฮูหยินพวกนั้นจะออกหน้าขัดใจคนอื่นเพื่อเจ้า? เป็นความคิดเพ้อฝันจริงๆ

เพียงแต่เขาเก็บความคิดนี้ไว้ในใจเท่านั้น ไม่ได้พูดออกมาให้ใจนางวุ่นวาย เมื่อเห็นลูกสาวนำน้ำชามาวาง เขาจึงยิ้มและเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ช่วงนี้เม่ยเอ๋อร์กำลังทำอะไร?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์รีบเดินมาข้างหลังเขา แล้วใช้กำปั้นขาวอมชมพูสองข้างนวดทุบไหล่ให้ พลางกล่าวด้วยควาวทอดถอนใจ “ช่วงนี้ท่านพ่องานยุ่งมาก ทางท่านแม่ก็มีเสียงร้องไห้ฟูมฟายทั้งวัน น่ารำคาญจะตายอยู่แล้วค่ะ พอมีคนมาสักคนข้าก็ทำได้แค่หลบ ไม่อย่างนั้นพวกพี่ๆ ที่เคยมาหาข้าเมื่อก่อนก็จะมาหาข้า ให้ข้ามาขอร้องท่านพ่อเพื่อพวกลุงๆ อะไรนั่น ข้าไม่กล้าออกไปเที่ยวเล่นแล้ว”

“อ้อ! สงสัยช่วงนี้จะทำให้เม่ยเอ๋อร์ของเราเซ็งจะแย่แล้วจริงๆ” ก่วงลิ่งกงหัวเราะลั่น

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่นวดทุบไหล่ให้เขาพลันถามว่า “ท่านพ่อ ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นได้เป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้วจริงเหรอคะ?”

ตอนไม่พูดเรื่องนี้ก็ยังดีหน่อย แต่พอพูดถึงเม่ยเหนียงก็วุ่นวายใจอีกแล้ว บอกไม่ถูกว่าในใจมีรสชาติเป็นอย่างไร

“อ้อ เป็นอย่างนั้นจริงๆ เม่ยเอ๋อร์ เหมือนเจ้าจะสนใจเขามากเลยนะ” ก่วงลิ่งกงหันกลับมามองเขาแวบหนึ่ง

ก่วงเม่ยเอ๋อร์เขินอายเล็กน้อย “เป็นเพื่อนกันธรรมดาค่ะ”

ก่วงลิ่งกงหัวเราะ “นั่นก็ดีเลยน่ะสิ เจ้าหลบอยู่ในนี้ทั้งวัน หาที่เที่ยวเล่นไม่ได้ไม่ใช่เหรอ? เจ้าไม่เคยไปตลาดผีใช่มั้ย ในเมื่อเจ้ากับหนิวโหย่วเต๋อเป็นสหายกัน เจ้าก็ไปเที่ยวเล่นที่ตลาดผีได้น่ะสิ ใครจะยังไปหาเจ้าที่นั่นได้อีก?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ตาลุกวาวทันที สองมือหยุดไหล่แล้ว ถามหยั่งเชิงว่า “ท่านพ่อ ไปได้จริงเหรอคะ?”

เม่ยเหนียงลังเลนิดหน่อย “ท่านอ๋อง จะเหมาะสมเหรอ?”

ก่วงลิ่งกงตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน “มีอะไรไม่เหมาะสมล่ะ เรื่องงานก็ส่วนเรื่องงาน สหายก็ส่วนสหาย ตราบใดที่นางไม่นำเรื่องงานมาปะปน ข้าจะห้ามไม่ให้นางพบสหายเชียวหรือ? ใครจะนำเรื่องนี้มาว่าอะไรอ๋องผู้นี้ได้? แต่จะว่าไปแล้ว ให้นางคลุกคลีกับชายหนุ่มที่มีความสามารถก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ดีกว่าอยู่กับพวกลูกผู้ลากมากดีที่วันๆ เอาแต่ทำตัวเจ้าชู้ไปเรื่อย ให้นางได้ดูเสียบ้างว่าคนแบบไหนที่รักความก้าวหน้าและมีประโยชน์กับนาง ต่อไปจะได้ไม่หาลูกเขยเศษสวะมาให้ข้าเพราะไม่รู้ความ”

“ท่านพ่อ!” เม่ยเอ๋อร์ที่เขินอายกำหมัดทุบเขาเบาๆ บุ้ยปากพูดว่า “ข้าไม่ได้จะแต่งงานสักหน่อย จะอยู่กับท่านพ่อท่านแม่ตลอดไป”

เม่ยเหนียงกลอกตามองนาง “นี่ไม่ใช่คำพูดเหลวไหลเหรอ”

ก่วงลิ่งกงหัวเราะเบาๆ “เม่ยเอ๋อร์ อย่าหาว่าพ่อไม่เตือนเจ้านะ ไปเล่นกับหนิวโหย่วเต๋อก็ส่วนเล่นกับหนิวโหย่วเต๋อ ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าเป็นสหายธรรมดาเท่านั้น ถ้าเจ้ารักษากฎข้อนี้ได้ ข้าก็จะให้พ่อบ้านโกวเตรียมการให้ได้ทุกเมื่อ ต่อไปถ้าอยากจะไปตลาดผีเมื่อไรก็ไปได้ แต่ห้ามให้เกิดเรื่องที่เกินเลยกว่าความสัมพันธ์ของสหายธรรมดา ไม่อย่างนั้นอย่าโทษว่าพ่อกักบริเวณ” พูดจบก็ลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ ข้ายังมีงานต้องทำอีก แวะมาหาเฉยๆ พวกเจ้าสองแม่ลูกคุยกันต่อเถอะ”

…………………………

รองหัวหน้าภาค? สวีถังหรานตกใจจนอ้าปากเบิดตาโพลง ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป ถามติดอ่างว่า “รอง…รองหัวหน้าภาค?”

หยางเจาชิงกับเชียนเอ๋อร์ก็ตะลึงเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่านายท่านจะให้เจ้าขี้ประจบนี่เป็นรองหัวหน้าภาค?

อวิ๋นจือชิวรู้สึกผิดคาดนิดหน่อย แต่ดูจากปฏิกิริยาของสวีถังหรานนางก็อดหัวเราะไม่ได้

เหมียวอี้เหล่ตาถาม “ทำไม? ให้เจ้าเป็นผู้ช่วยแล้วเจ้ารู้สึกไม่ยุติธรรมเหรอ? แต่ก็ใช่อ่ะนะ เจ้ายศสูงกว่าข้า ให้เจ้าเป็นผู้ช่วยข้ามาตลอดก็ถือไม่ค่อยยุติธรรมกับเจ้า”

“หา…” สวีถังหรานได้สติกลับมาทันที สายหน้าราวกับเป็นกอลงป๋องแป๋ง รีบโบกมือซ้ำๆ “ไม่ๆๆ ได้เป็นผู้ช่วยของนายท่านนับว่าข้าน้อยโชคดีไปสามชาติ” ราวกับใช้คำพูดก็ไม่พอให้บรรยายความตื้นตันใจของตัวเอง หรือไม่ก็ตกใจกับคำพูดเหน็บแนมของเหมียวอี้ เขาย่อตัวแล้วคุกเข่าข้างเดียว ก่อนจะกล่าววาจารุนแรง “บุญคุณที่นายท่านมีต่อข้าน้อย ต่อให้ข้าน้อยเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ก็ตอบแทนได้ไม่หมด ข้าน้อยขอสาบาน ว่าต่อไปนี้ถ้าข้าน้อยไม่จงรักภักดีต่อนายท่าน ก็ขอให้ข้าน้อยไม่ตายดี…”

เรียกได้ว่าพยายามกล่าวคำสาบานออกมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับควบคุมปากตัวเองไม่ไหว

เจ้าหมอนี่มันจริงๆ เลย! หลายคนที่อยู่ในห้องพูดไม่ออกอย่างถึงที่สุด

เหมียวอี้ฟังจนปวดประสาท ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ประจบสอพลอเกินไปแล้ว จึงรีบยกมือหยุด “พอแล้ว! ยังไม่จบอีกใช่มั้ย? ถ้ายังไม่ลุกขึ้นข้าจะให้เจ้าคุกเข่าอยู่อย่างนี้ตลอด

“…” สวีถังหรานหยุดปาก จากนั้นก็ลุกขึ้นด้วยสีหน้าขวยเขิน กลัวว่าเหมียวอี้จะไม่วางใจ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดเสริมอีก “ข้าน้อยพูดจริงทุกประโยค ล้วนเป็นคำพูดที่มาจากใจ ถ้าโกหกแม้แต่ประโยคเดียวก็ขอให้สวรรค์ลงโทษ”

คำพูดจริงใจที่ใครๆ ก็พูดได้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน เขาพูดมาตั้งหลายปีขนาดนี้ เหมียวอี้ก็ได้แค่ฟัง ขี้คร้านจะรับมุกต่อ ได้แต่กำชับว่า “เรื่องของหยวนกง เจ้าแสร้งทำเป็นไม่รู้แล้วกัน ไม่ต้องเผยพิรุธอะไร รอข้าคิดอีกสักหน่อย”

“ขอรับ!” สวีถังหรานพยักหน้าซ้ำๆ “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”

“เจ้ารู้เรื่องพันธมิตรทะเลดาวดีที่สุด เรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะเจ้าก็รับผิดชอบต่อไป ถ้ามีเรื่องอะไรก็ติดต่อกับฮูหยินทันที” เหมียวอี้ชี้อวิ๋นจือชิว “อย่าเอาแต่สร้างความตกอกตกใจโดยไม่บอกกล่าว ถ้าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาข้าก็รับไม่ไหว เข้าใจมั้ย?”

“ขอรับๆๆ ครั้งนี้ข้าน้อยรีบร้อยไปหน่อย บวกกับตอนแรกไม่มีความมั่นใจ ก็เลยถือวิสาสะตัดสินใจ แต่ในภายหลังไม่ทำอย่างนี้แล้วแน่นอน ต่อไปไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็จะแจ้งฮูหยินก่อน” สวีถังหรานรับประกันโดยไม่ลังเล แล้วก็กุมหมัดคารวะต่ออวิ๋นจือชิวอีก “ต่อไปนี้มีฮูหยินคอยควบคุมเร่งรัดข้าน้อยแล้ว ข้าน้อยจะไม่ทำผิดอีกแล้ว ฮูหยินได้โปรดชี้แนะมากๆ ขอรับ”

อวิ๋นจือชิวยิ้มบางๆ โดยไม่ได้พูดอะไร

“เอาล่ะ อย่าให้เสียเวลาพวกเจ้าสองสามีภรรยาจู๋จี๋กัน กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าค่อยให้เจาชิงพาเจ้าไปทำความคุ้นเคยกับคนใหม่ในจวน” เหมียวอี้โบกมือให้เขาถอยออกไป

“ข้าน้อยขอตัวก่อนขอรับ” สวีถังหรานกุมหมัดคารวะ แล้วก็กุมหมัดคารวะคนอื่นอีก แล้วเดินถอยหลังไปตลอดทางจนถึงประตูก่อนจะหันตัวเดินออกไป สุภาพนอบน้อมมาก

“เจ้าหมอนี่แก้นิสัยไม่หายแล้ว” เหมียวอี้ถอนหายใจ แล้วนั่งลงลงส่ายหน้า

เชียนเอ๋อร์ก้าวขึ้นมารินน้ำชาให้ อวิ๋นจือชิวเดินมาใช้มือเรียวสวยนวดไหล่ให้เขา ออกแรงกำลังดี พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขาก็มีนิสัยเคยตัวของเขาเอง ถ้าเจ้าไปฝืนให้เขาแก้ไขจริงๆ เกรงว่าเจาคงจะกลัวจนอยู่ไม่สงบ”

เหมียวอี้ดื่มด่ำกับความรู้สึกผ่อนคลายตรงบ่า “ข้านึกไม่ถึงจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะกล้าลงมือกับพันธมิตรทะเลดาว”

อวิ๋นจือชิวบอกว่า “เจ้าคงจะกดดันเขาจนหมดทางเลือกแล้วล่ะสิ แล้วเจ้าก็ไม่ให้คนกับเงินเขาด้วย สถานการณ์ที่ตลาดผีก็เห็นๆ กันอยู่ เจ้าให้เขาไปรับคนด้วยมือเปล่าแบบนี้ เขาจะทำได้ยังไงล่ะ? ขนาดข้ายังกระดากใจที่จะถามเลย พวกวิธีการต่ำช้าคงเลี่ยงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางกลับมารายงานผลการปฏิบัติงานหรอก ไม่ว่าจะทำงานยังไง แต่ก็สืบได้เรื่องหยวนกงแล้ว ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ถือเป็นผลงานใหญ่ ไม่อย่างนั้นก็ไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลย”

“อืม!” เหมียวอี้หลับตาลงช้าๆ เบื้องล่างรับตัวละครที่ร้อนลวกมืออย่างนี้ไว้ ทำให้เขาปวดหัวพอสมควร กลายเป็นปัญหาแล้วว่าควรจะอยู่ด้วยกันอย่างไร

รู้ว่าตอนนี้เขากำลังปวดหัว นิ้วเรียวสวยของอวิ๋นจือชิวจึงนวดหน้าผากให้เขา นวดอย่างเบามือ รู้ใจเขามาก

ส่วนสวีถังหรานที่ออกไปจากที่นี่ก็เรียกได้ว่าโล่งอกทันที ในที่สุดเส้นประสาทที่ตึงเครียดมายาวนานก็ได้ผ่อนคลายแล้ว ย่างก้าวแผ่วเบาราวกับจะบินได้ ให้ความรู้สึกเหมือนจะล่องลอยกลายเป็นเซียน

รองหัวหน้าภาค? ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงตำแหน่งนี้ รับยอดฝีมือเข้ามามากมายขนาดนี้ ก่อนหน้านี้นึกว่าตัวเองจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องซะแล้ว เขายังกังวลอยู่เลยว่าตำแหน่งรองแม่ทัพภาคของตัวเองจะโดนคนอื่นเบียด ก็เลยรีบร้อนกลับมา กอดตำแหน่งตัวเองไว้ให้แน่นคือเรื่องสำคัญที่สุด แค่ก้าวหน้าอีกขั้นแล้วได้เป็นแม่ทัพภาค ก็ทำให้เขาแอบดีใจได้แล้ว แต่ใครจะคิดล่ะ นายท่านสัญญาแล้วว่าจะให้ตำแหน่งรองหัวหน้าภาคกับเขา

รองหัวหน้าภาคเชียวนะ! แค่หัวหน้าภาคก็ถือเป็นเจ้าอาณาเขตแล้ว นี่เรากลายเป็นผู้ช่วยเจ้าอาณาเขตแล้วนะ เช่นนั้นอำนาจของตนก็จะไม่ได้อยู่แค่ดาวเคราะห์ดวงเดียวแล้ว แต่เป็นดาราจักรผืนหนึ่ง ตอนแรกที่อยู่ตลาดสวรรค์ แม้แต่ตำแหน่งแม่ทัพภาคก็ยังไม่กล้าเป็นด้วยซ้ำ ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าวันหนึ่งจะได้กลายเป็นรองหัวหน้าภาค ถ้าได้นั่งตำแหน่งนี้จริง มารดาเจ้าเถอะ ข้าจะต้องพาเสวี่ยหลิงหลงกลับไปเดินเล่นที่ดาวเทียนหยวนสักหน่อย ให้พวกที่มันดูถูกข้าในปีนั้นได้เบิ่งตาสุนัขดูให้เต็มตา

แค่นึกถึงภาพคนที่ดูถูกตนในปีนั้นมาทำความเคารพนอบน้อมต่อตน สวีถังหรานก็ดีใจแทบแย่แล้ว

“พี่สวี” เสียงของหยางเจาชิงดังมาจากข้างหลัง

สวีถังหรานตื่นขึ้นจากภาพฝันอันงดงามทันที พอหันตัวมามอง ก็รีบกุมหมัดคารวะอย่างสุภาพ “พี่หยาง มีอะไรจะกำชับ?” ตอนนี้เขาสุภาพกับทุกคน ก่อนที่จะได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าภาคอย่างเป็นทางการ เขาไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย ถ้าไปขัดใจใครเข้าจนอีกฝ่ายพูดถึงเขาในทางที่ไม่ดีให้นายท่านฟัง แบบนั้นไก่ก็บินหนี ไข่ก็แตก จบเห่แน่ โดยเฉพาะคนที่อยู่ตรงหน้าซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทข้างกายนายท่าน เขาก็ยิ่งไม่กล้าเหมือนเฉยใส่

หยางเจาชิงกล่าวปนหัวเราะ “เจ้าพูดเหน็บแนมข้าเกินไปหรือเปล่า? เจ้ากำลังจะกลายเป็นรองหัวหน้าภาคแล้ว กำลังจะกลายเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าแล้ว ข้าจะกล้ากำชับเจ้าได้ยังไงล่ะ กำลังพลเบื้องล่างไม่คุ้นเคยกับเจ้า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหายุ่งยาก ข้าจะช่วยให้เจ้าผ่านทางได้สะดวก”

“เฮ้อ! ดูพี่หยางพูดเข้าสิ เจ้ากับข้าเป็นอะไรกัน ไม่ต้องพูดแล้วว่าเป็นผู้บังคับบัญชาหรือไม่ใช่ผู้บังคับบัญชา วันหลังไม่ว่าเจ้ากับข้าจะอยู่ในตำแหน่งอะไร ก็เรียกกันว่าพี่น้องเหมือนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่แน่นอน ดีไม่ดีตำหนักนารีสวรรค์อาจจะส่งคนมารับตำแหน่งรองหัวหน้าภาคก็ได้” สวีถังหรานพูดจาถ่อมตัว เขาเองก็ยังกังวลด้านนี้อยู่บ้าง

หยางเจาชิงเอามือพาดบ่าเขา ทั้งสองเดินกอดคอกันไปข้างหน้า ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เป็นไปไม่ได้ที่ตำหนักนารีสวรรค์จะส่งคนมารับตำแหน่งรองหัวหน้าภาค ต่อให้ตำหนักนารีสวรรค์อนุญาต แต่เกรงว่านายท่านก็ไม่อนุญาตอยู่ดี ผลงานที่นายท่านสร้างขึ้นมาเอง จะยอมให้คนนอกมาชุบมือเปิบง่ายๆ ได้ยังไง ที่สำคัญคือเบื้องล่างก็ไม่ยอมเหมือนกัน ถ้ามีคนมาจริงๆ แค่เอาชีวิตรอดกลับไปให้ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว” เขาบุ้ยปากไปทางทหารยามคนหนึ่งที่เฝ่าอยู่ตรงทางเลี้ยว

สวีถังหรานมองตาม พอนึกถึงประวัติความเป็นมาของคนพวกนี้ เขาก็เข้าใจทันที แต่ปากก็ยังกล่าวถ่อมตัวว่า “พี่หยาง นี้จะล้อเล่นกับข้าเอาสนุกใช่ไหม คุณสมบัติของข้าก็เห็นๆ กันอยู่ ตำหนักนารีสวรรค์อาจจะไม่อนุญาตให้ข้านั่งตำแหน่งนั้นจริงๆ ก็ได้”

หยางเจาชิงจึงบอกว่า “ติดตามอยู่กับนายท่านมานานขนาดนี้ เจ้ายังไม่รู้จักนายท่านอีกเหรอ? เขาไม่รับปากเรื่องที่ทำไม่ได้หรอก ถ้าเขาให้สัญญาแล้ว ก็แสดงว่ามีความมั่นใจแน่นอน ต้องพยายามช่วงชิงมาให้ได้แน่ สถานการณ์ที่ว่าโหดของตลาดผียังถูกนายท่านพลิกแพลงไปมาได้เลย เรื่องเล็กแค่นี้เจ้าคิดว่านายท่านทำไม่ได้เหรอ? พูดในกรณีที่แย่ที่สุด อย่างน้อยตำแหน่งแม่ทัพภาคก็ขาดพี่สวีไปไม่ได้”

ในเมื่อเหมียวอี้เอ่ยปากแล้ว เขาเองก็คิดว่าสวีถังหรานได้นั่งตำแหน่งรองหัวหน้าภาคแน่นอน ไม่ได้ประจบเพราะสวีถังหรานกำลังจะกลายเป็นผู้บังคับบัญชาเขา เขาไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น ความลับที่เขารู้มีมากจนสวีถังหรานเทียบไม่ติด เขารู้ว่าตัวเองต่างหากที่เป็นลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้อย่างแท้จริง เขารู้อย่างลึกซึ้งว่าตัวเองเป็นตัวละครแบบไหนข้างกายเหมียวอี้ เป็นตัวละครที่ต้องถ่ายทอดคำสั่งเบื้องบนต่อเบื้องล่าง ต้องประสานงานกับทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง ถ้าความสัมพันธ์ของเขากับเบื้องล่างไม่ดี ก็จะไม่เป็นผลดีต่อการทำงานในอนาคตของเขา ดังนั้นถึงถือโอกาสแสดงน้ำใจไม่ตรีสักหน่อย ไม่ส่งผลเสียอะไร

และนี่ก็เป็นสาเหตุที่เหมียวอี้จัดให้เขาอยู่ในตำแหน่งนี้ เมื่อเทียบกับเหยียนซิวแล้ว เหยียนซิวจงรักภักดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในด้านสมองสู้หยางเจาชิงไม่ได้จริงๆ

คำพูดของเขาโดนใจสวีถังหรานแล้วจริงๆ สำหรับสวีถังหราน ความกังวลบางอย่างในใจหายไปโดยพลัน คำพูดที่ฟังผ่านหูเข้าสู่หัวใจนั้นหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้ง กำลังคิดว่าใช่แล้วล่ะ ในเมื่อนายท่านเอ่ยปากแล้ว คาดว่าคงมีความมั่นใจแล้ว ตำแหน่งรองหัวหน้าภาคก็มีความเป็นไปได้เก้าในสิบแล้ว

หยางเจาชิงแนะนำสวีถังหรานให้ทหารยามแต่ละด่านรู้จักตลอดทาง ทั้งสองคุยไปยิ้มไปจนกระทั่งมาถึงนอกห้องของสวีถังหราน

เสวี่ยหลิงหลงกำลังรออยู่ข้างนอกด้วยความกระวนกระวาย นางพอจะรู้ว่าสามีตัวเองเจอนายท่านแล้วต้องการจะช่วงชิงอะไรมา ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้สมในนึกหรือไม่ จนกระทั่งเห็นสวีถังหรานกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นางก็รู้ทันทีว่าเรื่องนี้สำเร็จแล้ว รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

“นายท่านหยาง” เสวี่ยหลิงหลงทำความเคารพ

หยางเจาชิงพยักหน้าเบาๆ “พี่สวี ข้าไม่รบกวนคู่รักแล้ว”

สวีถังหรานรีบจับแขนเขาเอาไว้ ทำท่าทางแกล้งโมโห “เจ้ากับข้าเรียกกันว่าพี่น้อง ควรจะดื่มกันสักสองสามจอกสิ ผ่านประตูบ้านแล้วจะไม่เข้าได้ยังไง? หลิงหลง รีบไปเตรียมสุราอาหาร”

“ค่ะ!” เสวี่ยหลิงหลงเอ่ยรับด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นสวีถังหรานดีใจขนาดนี้ นางก็ดีใจเหมือนกัน

หยางเจาชิงรีบโบกมือห้าม “นายท่านกำชับงานแล้ว ไม่สะดวกจะชักช้า ครั้งหน้าแล้วกัน” เขาจะไม่รู้จักกาลเทศะขนาดนั้นได้อย่างไร สามีภรรยาไม่ได้เจอกันมาหลายปี ไม่ใช่เวลาที่เขาจะเข้ามาประสมโรง ย่อมต้องปฏิเสธอยู่แล้ว

เมื่ออ้างชื่อเหมียวอี้แล้ว สวีถังหรานก็ทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลย “ในเมื่อนายท่านมีคำสั่ง ก็ไม่สะดวกจะชักช้าแล้ว วันหลังแล้วกัน วันหลังจะเลี้ยงพี่หยาง”

“พี่สวีลำบากวิ่งเต้นทำงาน พักสักสองสามวันเถอะ เดี๋ยวค่อยพาพี่สวีไปทำความรู้จักกับพี่น้องที่มาใหม่ตามที่นายท่านกำชับ” หยางเจาชิงกล่าว

“พรุ่งนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า?” สวีถังหรานแย่งนัดเวลา ในเวลานี้ขอเพียงเป็นเรื่องที่เหมียวอี้กำชับ เขาก็จะใส่ใจเป็นพิเศษ

“ได้ งั้นก็พรุ่งนี้แล้วกัน” หยางเจาชิงพยักหน้าเอ่ยรับ

ทั้งสองนัดกันเรียบร้อย หยางเจาชิงกล่าวขอตัวลา สวีถังหรานเองก็ถอนหายใจเอกหนึ่งแล้วเข้ามาในบ้านกับเสวี่ยหลิงหลง

พอปิดประตูแล้ว สวีถังหรานก็เกิดอารมณ์ปะทุทันที จู่ๆ ก็อุ้มเสวี่ยหลิงหลงเข้าไปในห้องนอน

“อ๊า…” เสวี่ยหลิงหลงที่ไม่ทันระวังร้องตกใจ กล่าวปนโมโหปนขำ “ร้อนใจอะไรกัน? เจ้าอย่าบอกเชียวนะว่าหลายปีมานี้ไม่ได้ไปหาผู้หญิงข้างนอกเลย ต่อให้ตีให้ตายข้าก็ไม่เชื่อหรอก รีบปล่อยข้าลง ไปอาบน้ำก่อน”

“อาบน้ำอะไรกัน อารมณ์กำลังมา จะทำลายบรรยากาศได้ยังไง…” เมื่อจับตัวสาวงามได้แล้ว สวีถังหรานก็เรียกได้ว่าปล่อยตัวปล่อยใจเต็มที

เมื่อเห็นเขามีอารมณ์สำราญขนาดนี้ เสวี่ยหลิงหลงก็ปรนนิบัติสุดความสามารถเช่นกัน

หลังจากเมฆสลายฝนสงบ สวีถังหรานก็นอนเปลือยร่างด้วยสีหน้าอิ่มเอม เสวี่ยหลิงหลงที่ผมเผ้ายุ่งสยายนอนซบอยู่ข้างๆ อย่างเกียจคร้าน นางถามว่า “นายท่านดูอารมณ์ดีแบบนี้ ไปคุยอะไรกับท่านหัวหน้าภาคมาล่ะ?”

…………………………

จะไม่ให้คนเหล่านี้ตกใจก็คงยาก เพราะในบรรดากำลังพลเกรียงไกรหนึ่งแสนที่รับเข้ามาใหม่ มีอยู่คนหนึ่งชื่อว่าหยวนกง เหมือนจะมาจากดาวมหาสมุทรด้วย ทั้งยังวรยุทธ์ไม่ต่ำ นั่นก็คือบงกชกลายขั้นแปด นี่คือความบังเอิญเหรอ? ถ้าเป็นคนเดียวกันจริงๆ นั่นจะหมายความว่าอะไรล่ะ?

อวิ๋นจือชิวพลิกมือหยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งขึ้นมาตรวจอ่าน ส่วนเหมียวอี้ก็ถามอีก “แล้วเทพแห่งผืนดินนั่นวรยุทธ์เท่าไร?”

สวีถังหรานพึมพำในใจว่านี่มันเรื่องอะไรกัน ส่วนปากก็ตอบว่า “ฉู่อันเทียนไม่รู้รายละเอียด เพราะยามปกติเทพแห่งผืนดินนั่นก็ไม่ค่อยเผยวรยุทธ์ บวกกับไม่อยากแหวกหญ้าให้งู้ตื่น ฉู่อันเทียนเลยไม่กล้าติดต่อกับเบื้องบนของเทพแห่งผืนดิน แต่ฉู่อันเทียนแน่ใจได้ว่าวรยุทธ์อีกฝ่ายถึงระดับบงกชกลายแล้วแน่นอน”

“วรยุทธ์สูงขนาดนี้ทำไมเป็นเทพแห่งผืนดิน เจ้าคงได้ฟังสาเหตุมาบ้างใช่มั้ย?” เหมียวอี้ถาม

สวีถังหรานพยักหน้า “ฉู่อันเทียนคนนี้สืบได้บ้างนิดหน่อย เทพแห่งผืนดินที่ชื่อหยวนกงคนนี้ ตอนที่ตำหนักสวรรค์เพิ่งก่อตั้งขึ้นก็ถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งผืนดินทันที สาเหตุก็เพราะฆ่าน้องชายภรรยาของผู้บังคับบัญชา หลังจากถูกลดขั้นเป็นเทพแห่งผืนดิน ก็ไม่เคยถูกเลื่อนตำแหน่งขึ้นอีกเลย”

เหมียวอี้มองอวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกัน อวิ๋นจือชิวที่กำลังถือแผ่นหยกพยักหน้าที่ตึงเครียดเล็กน้อย ประวัติเทพแห่งผืนดินที่สวีถังหรานเล่าสอดคล้องกับหยวนกงที่เพิ่งเข้ามา เป็นเทพแห่งผืนดินที่ถูกลดตำแหน่งตอนตำหนักสวรรค์เพิ่งก่อตั้งเพราะฆ่าน้องชายภรรยาของผู้บังคับบัญชา สถานที่ ตัวละคร พื้นเพสอดคล้องกันทั้งหมด น่าจะไม่ผิดพลาด

ทันใดนั้นในห้องก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงบลง หยางเจาชิงกับเชียนเอ๋อร์สีหน้าแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด บรรยากาศนี้ทำให้สวีถังหรานอึดอัดไปทั้งตัว ถามอย่างค่อนข้างหวาดระแวงว่า “นายท่าน อย่าบอกนะว่าหยวนกงมีปัญหาอะไร?”

เหมียวอี้หลุบตาก้มหน้า “ทางนี้เพิ่งรับทหารเกรียงไกรหนึ่งแสน ในจำนวนนั้นมียอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันภาพสามสิบคน เจ้าอย่าบอกเชียวนะว่าจนป่านนี้แล้วเสวี่ยหลิงหลงยังไม่ได้บอกเจ้า”

สวีถังหรานพยักหน้าอย่างงุนงง “เสวี่ยหลิงหลงบอกข้าน้อยแล้ว แล้วเกี่ยวกับ…” จู่ๆ เหมือนตระหนักอะไรได้ เบิกตาโพลงแล้ว “หรือนายท่านกำลังจะบอกว่า รับหยวนกงคนนี้เข้ามาในจวนแม่ทัพภาคแล้ว?”

“เจ้าตอบถูกแล้ว ตอนนี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหัวหน้าภาคผู้นี้!” เหมียวอี้พยักหน้าตอบเสียงต่ำ

“…” สวีถังหรานอ้าปากกว้าง ทำสายตาตกใจเกินเหตุ ตะลึงค้างแล้วจริงๆ ล้อเล่นอะไรกัน ตัวละครที่เหมือนกับเฉาหม่าน ตัวละครที่แอบควบคุมกลุ่มก๊วนในใต้หล้าไว้ไม่รู้ตั้งเท่าไร ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นลูกน้องของนายท่านแล้ว? เขากลืนน้ำลายอย่างคอแห้ง แล้วถามอย่างกังวลนิดหน่อยว่า “เอ่อ…จะเป็นไปได้ยังไง ตัวละครแบบนี้ ฐานะแบบนี้ จะมาขอพึ่งพาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีได้ยังไง?”

เหมียวอี้แสยะหัวเราะ “นึกไม่ถึงละสิ?”

สวีถังหรานส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋ง

“ข้าเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเอ่ยถึง ใครจะไปคาดคิดล่ะ?” เหมียวอี้หรี่ตากล่าวเสียงต่ำ อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเช่นกัน “ตระกูลเซี่ยโห้วเอ๋ย ตัวละครที่กุมอำนาจมหาศาลขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเทพแห่งผืนดินที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง ซ่อนไว้ลึกขนาดนี้ สงบเสงี่ยมเจียมตัวขนาดนี้ ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงทั้งนั้น! ไม่แปลกใจที่นอกจากเฉาหม่านแล้ว ในใต้หล้าก็ไม่มีใครคลำเจอก้นบึ้งของตระกูลเซี่ยโห้ว แค่ดูจากหยวนกงนี่ก็รู้แล้ว!”

“เฮ้อ!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ก็เพราะซ่อนไว้ลึกขนาดนี้ไง เลยไม่ถูกคนอื่นค้นพบได้ง่ายๆ นายท่านลองคิดดูสิ คนที่มีฐานะแบบนี้ ไปหลบอยู่ที่ไหนก็ต้องกังวลว่าจะเผยพิรุธทั้งนั้น ถ้าใช้ฐานะนักพรตอิสระก็จะเกิดเรื่องได้ง่ายอีก เพราะนักพรตอิสระไม่ได้คุยกันด้วยกฎระเบียบเหมือนคนในขอบข่ายงานตำหนักสวรรค์ เรื่องปลาใหญ่กินปลาเล็กพบเห็นบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ เกิดวามขัดแย้งกันได้ง่าย ถ้าพลังโดดเด่นเกินไปในหมู่นักพรตอิสระ ก็จะดึงดูดสายตาคนอื่นได้ง่าย จะหลบอยู่ในสังคมมนุษย์ก็ไม่เหมาะสม พออายุขัยมากหน่อยก็ต้องเปลี่ยนตัวตน พอสลับตัวตนบ่อยๆ ก็ถูกสังเกตเห็นได้ง่ายอีก แต่ถ้าอยู่ในตำแหน่งสูงของตำหนักสวรรค์ ก็จะกลายเป็นคนที่ถูกจับตาดูได้ง่าย จะได้เข้าไปพัวพันกับการแย่งชิงผลประโยชน์ทั้งข้างล่างข้างบน ไม่สะดวกต่อการควบคุมอำนาจใต้ดิน จะให้เขาเป็นคนไร้ความทะเยอะทะยานอยู่บนตำแหน่งสูงของตำหนักสวรรค์ตลอดไปเชียวหรือ?

แล้วความผิดปกติเรื่องความก้าวหน้าในการฝึกตนกับทรัพยากรฝึกตนจะอธิบายยังไงล่ะ? แต่ถ้าไม่มีหนังเสืออย่างตำหนักสวรรค์คอยคุ้มครองก็จะเจอปัญหาได้ง่ายเช่นกัน อย่างน้อยถ้ามีหนังสือระดับตำหนักสวรรค์คลุมอยู่ ก็ไม่มีคนนอกกล้ามาทำซี้ซั้วกับเขาแล้ว หาข้ออ้างให้โดนลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งผืนดิน หลบอยู่ในมุมโดยไม่ดึงดูดสายตาคนอื่น แบบนั้นก็ดีสุดๆ แล้ว ปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าหลบได้ก็พยายามหลบ อย่างน้อยในระยะยาวก็ทำให้เขาบริหารอำนาจใต้ดินได้อย่างสงบใจ บอกได้เลยว่าวิธีการนี้ของตระกูลเซี่ยโห้วเหนือชั้นมากทีเดียว”

เหมียวอี้พยักหน้าด้วยความจนใจ “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ แล้วคนฐานะอย่างเขาถ่อมาพึ่งพาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีหมายความว่าอะไรล่ะ? อย่าบอกนะว่ามาเป็นสายลับที่นี่? ฐานะแบบนี้มาเป็นสายลับ ถือว่าลดตัวเกินไปหรือเปล่า?”

“ไม่สนว่าเขาจะลดตัวหรือเปล่า แต่เขาต้องมีองค์ประกอบในการเป็นสายลับแน่นอน” อวิ๋นจือชิวกล่าว

“ถ้าเจ้าคาดเดาถูก หนึ่งแสนปีก่อนเขายอมทุ่มให้ตัวเองถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งผืนดิน ตอนนี้ออกมาเพื่อต้องการความก้าวหน้าอีก ไม่ฟังดูขัดแย้งในตัวเองไปหน่อยเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “ตามความเห็นข้า มันไม่ขัดแย้งในตัวเองเลยสักนิด นายท่านลองคิดดูสิว่าตอนที่เขาถูกลดตำแหน่งเขามีภูมิหลังเป็นยังไง? ตอนที่เขาถูกลดตำแหน่ง ก็เป็นหลังจากที่สถานการณ์โดยรวมในใต้หล้าปั่นป่วนได้ไม่นาน เพื่อที่จะช่วยประมุขชิงกับประมุขพุทธะสร้างความสมดุลของใต้หล้า อำนาจใต้ดินของตระกูลเซี่ยโห้วเสียทรัพยากรไปมหาศาล บางอย่างที่ไม่ควรเปิดเผยก็เปิดเผยแล้ว ต้องสร้างเครือข่ายอำนาจใต้ดิน ต้องควบคุมอำนาจใต้ดินใหม่ ตอนนั้นที่หยวนกงถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งผืนดินเพื่อไปบริหารเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสเหมาะ อีกทั้งยังผ่านไปหลายปีขนาดนี้ คาดว่าคงบริหารได้สมบูรณ์แบบพอสมควร บางเรื่องใช้ประโยชน์จากระฆังดาราควบคุมก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องโผล่หน้าไปทุกที่อีก และถ้าอยู่ในตำแหน่งเทพแห่งผืนดินนานเกินไปก็อาจะไม่ใช่เรื่องดี นายท่านที่อยู่ทางนี้กำลังรับสมัครคนพอดี ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอาศัยโอกาสนี้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

นายท่านไม่รู้สึกเหรอว่านี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้ชำระล้างมลทินให้ตัวเอง? ถ้ามาผ่านงานที่นี่สักรอบ อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็มีประวัติถูกลดตำแหน่ง ลดตำแหน่งเป็นเวลาหนึ่งแสนปีเต็มๆ เชียวนะ ใครจะไปคิดว่าจะเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว? ใครจะคิดว่าหนึ่งในตัวละครที่กุมอำนาจใต้ดินของตระกูลเซี่ยโห้วจะมานั่งตำแหน่งสูงอยู่ในจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล? ในภายหลังไม่ว่าใครที่อยากจะสืบกำพืดของเขา ไม่ว่าจะสืบยังไงก็หาพิรุธไม่เจอ การเปลี่ยนแปลงตัวตนนี้สมบูรณ์แบบจริงๆ ถ้าไม่ถูกสวีถังหรานบังเอิญเจอ ท่านนี้ก็ซ่อนตัวได้อย่างไร้เบาะแสเลยจริงๆ เรียกได้ว่าไม่มีใครสงสัยเขาแน่ แล้วฝั่งนี้ก็อยู่ในขอบเขตอำนาจของตึกศาลาสัตยพรตด้วย เป็นหลักประกันความปลอดภัยของเขาเช่นกัน อีกทั้งจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลก็อยู่สังกัดตำหนักนารีสวรรค์ แค่สร้างโอกาสนิดหน่อยก็ย้ายเขาไปรับตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์ได้แล้ว พอมาถึงฝั่งนี้ก็มีพื้นที่ว่างไว้เป็นทางหนีทีไล่ให้หยวนกงอยู่แล้ว มิหนำซ้ำตัวอยู่ในจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลยังฉวยโอกาสสืบความจริง…” น้ำเสียงประโยคสุดท้ายฟังดูไม่ค่อยปกติ แอบชี้แนะอะไรบางอย่าง

เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ รู้ว่านางหมายถึงอะไร ตระกูลเซี่ยโห้วอยากรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหกลัทธิ จึงอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม “ช่างเป็นตระกูลเซี่ยโห้วที่รอบคอบคิดการณ์ไกล” ในใจเขาค่อนข้างเดือดดาล เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะกำจัดหนึ่งในตัวละครยักษ์ที่กุมอำนาจใต้ดินของตระกูลเซี่ยโห้วทิ้ง ดูซิว่าตระกูลเซี่ยโห้วยังจะโอ้อวดได้ถึงไหน

เขาหันกลับไปมองสวีถังหรานที่ตะลึงเหม่อแบบที่ดึงสติกลับมาได้ยาก “ฉู่อันเทียนนั่นถูกตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมได้ยังไง?” เขาค่อนข้างสนใจว่าตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมคนได้อย่างไร

สวีถังหรานดึงสติกลับมา แล้วตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ไม่ได้ใช้วิธีการพิเศษอะไรหรอก ตระกูลเซี่ยโห้วกุมจุดอ่อนอย่างหนึ่งของฉู่อันเทียนไว้ ในปีแรกๆ ฉู่อันเทียนเคยทำความผิดเรื่องใหญ่ถึงชีวิตมาก่อน เขาขืนใจสนมของฝ่าบาท หลังจากนั้นก็ฆ่าปิดปากสนมคนนั้น”

คนในห้องอึ้งทันที เหมียวอี้แปลกใจ “สนมของฝ่าบาทเหรอ? ฉู่อันเทียนไปใกล้คิดกับสนมของฝ่าบาทได้ยังไง? สถานการณ์เป็นยังไง?”

สวีถังหรานถอนหายใจ “ที่จริงตอนแรกเขาก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นสนมของฝ่าบาท รู้แค่ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยสุดๆ คนหนึ่ง หลังจากชิงตัวมาเล่นแล้ว เดิมทีคิดจะรับเป็นอนุภรรยา เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นสวยเลิศเลอมาก เขาชอบนางสุดๆ แต่ใครจะคิดว่าตอนหลังที่ตำหนักสวรรค์จะเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขึ้น มีการค้นหาผู้หญิงคนนี้ไปทั่ว เขาถึงได้รู้ว่าเป็นสนมของราชันสวรรค์ที่กลับมาเยี่ยมครอบครัว ออกไปเที่ยวข้างนอกก็เลยถูกเขาชิงตัวไป เขาก็เลยกลัวแทบแย่ ฆ่าผู้หญิงคนนี้ทิ้งเสียเลย เมื่อเวลานานไปตำหนักสวรรค์หาสนมคนนั้นไม่เจอ เรื่องก็เลยผ่านไป เดิมทีฉู่อันเทียนนึกว่าเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว แต่ใครจะคิดว่าเรื่องที่แม้แต่เทพกับผีก็ไม่รู้ ทว่าตัวละครกับนั่นกลับรู้แล้วแล้ว ตอนหลังก็เลยอยู่ในการควบคุมตลอด ตอนหลังเขารู้สึกว่าเรื่องนั้นมีเงื่อนงำนิดหน่อย สนมของราชันสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐาน ต่อให้จะไม่เป็นที่โปรดปรานแค่ไหน แต่อย่างน้อยข้างกายก็ต้องมีองครักษ์สิ ทำไมถึงปล่อยให้เขาลงมือสำเร็จได้ง่ายๆ ขนาดนี้ เขาสงสัยนิดหน่อยว่าตัวเองติดกับดักตระกูลเซี่ยโห้วเข้าแล้วหรือเปล่า แต่เขาเองก็ไม่มีหลักฐานอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน”

พอพูดอย่างนี้ พวกเขากลับรู้สึกว่าความสงสัยของฉู่อันเทียนก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล มีความเป็นไปได้สูงว่าจะติดกับดักตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ทุกคนพูดไม่ออกกับตระกูลเซี่ยโห้ว ช่างใจกล้าจริงๆ ขนาดสนมของราชันสวรรค์ก็ยังกล้าเอามาเป็นหมากในแผนการได้ตามอำเภอใจ

สุดท้ายเหมียวอี้ที่ครุ่นคิดพักหนึ่งก็ตัดสินใจแล้ว ถ่ายทอดเสียงบอกอวิ๋นจือชิวว่า “เรื่องพันธมิตรทะเลดาว เจ้าติดต่อกับหยางชิ่งหน่อยว่าจะจัดการยังไง ตอนนี้ข้าไม่มีสมาธิมาสนใจ”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า

เหมียวอี้บอกสวีถังหรานอีกว่า “ลำบากเจ้าแล้ว แยกกับเสวี่ยหลิงหลงหลายปี รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันทีหลัง”

อย่าพูดอย่างนี้สิ! ธุระหลักยังไม่ได้คุยเลยนะ ข้าลำบากลำบากออกเงินออกแรงไปมากขนาดนี้เพื่ออะไรล่ะ! สวีถังหรานร่ำร้องในใจ แต่ภายนอกกลับกล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ลำบากขอรับ การทำงานเพื่อนายท่านเป็นเรื่องที่อยู่หน้าที่ของข้าน้อย ใช่แล้ว นายท่าน กำลังพลหนึ่งแสนที่รับเข้ามาใหม่ก็ต้องมีการเตรียมตำแหน่งสิ ไม่ทราบว่าทางตำหนักนารีสวรรค์มีข้อจำกัดอะไรต่อตำแหน่งว่าในจวนหัวหน้าภาคหรือเปล่าขอรับ? ข้าน้อยรู้ว่าตัวเองว่าวรยุทธ์ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไร ดังนั้นไม่ว่านายท่านจะจัดตำแหน่งอะไรให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็จะไม่บ่นสักคำแน่นอน” พูดจาน่าฟัง แต่ตัวเขาเองไม่อาจปิดบังสีหน้าแววตาที่เฝ้าคอยได้เลย

อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองเขาแล้วหัวเราะ

เหมียวอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย เขารู้สันดานเจ้าเวรนี่ดีเกินไป ตอนแรกที่อยู่ตลาดสวรรค์ เรื่องที่ทำเพื่อให้ตัวเองได้ไต่เต้า เขาจะไม่เอ่ยถึงเพราะเป็นอดีตไปแล้ว เขานับว่าดูออก ว่าถ้าวันนี้ไม่ยกหินออกจากใจเจ้าเวรนี่ คาดว่าคงไม่มีอารมณ์ไปจู๋จี๋กับเสวี่ยหลิงหลงแล้ว

เพียงแต่เดิมทีเจ้าหมอนี่ก็เป็นผู้ช่วยของตนอยู่แล้ว นอกจากจะประจบสอพลอให้สบายใจ แต่ก็มีวิธีการทำงานที่พอใช้ได้จริงๆ ถึงแม้จะทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าขอเพียงแค่ยื่นงานให้ทำ เจ้าหมอนี่ก็จะทำสำเร็จทุกครั้ง อย่างไรเสียก็เอ่ยถามแล้ว เรื่องตำแหน่งในจวนหัวหน้าภาคก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังเขา จึงบอกเรื่องที่ใครให้ตำแหน่งมาเยอะมากรวมทั้งสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจให้ฟัง

หลังจากได้รู้ว่ายศของทหารเกรียงไกรหนึ่งแสนยังต่างกับตนเกินไป สวีถังหรานที่รีบกลับมาสุดชีวิตก็โล่งอกแล้ว

“ข้ากำลังคิดเรื่องจะเลื่อนยศหมู่หนึ่งขั้นยังไง…” เหมียวอี้อธิบายสิ่งที่หลงซิ่นบอกให้ฟัง แล้วสุดท้ายก็พยักหน้าให้สวีถังหราน “ยศของเจ้าสามารถนั่งตำแหน่งแม่ทัพภาคได้ไม่มีปัญหา ถ้าเลื่อนยศอีกขั้น เจ้าก็จะเป็นยศเกราะม่วงสี่แถบแล้ว ยศสูงพอสำหรับเป็นรองหัวหน้าภาคแล้ว ถ้าจัดการเรื่องเลื่อนยศหมู่สำเร็จ ยศของพวกเจาชิงก็ยังไม่สูงพอ ทั้งจวนหัวหน้าภาคมีแค่เจ้าที่ยศถึง เดี๋ยวข้าจะรายงานขึ้นไปที่ตำหนักนารีสวรรค์ พยายามช่วงชิงตำแหน่งรองหัวหน้าภาคมาให้เจ้าแล้วกัน”

………………………

ก่อนหน้านี้หาไม่ได้เลยสักคน หลังจากเงียบหายไป จู่ๆ ก็มาบอกว่ารับได้สามแสน ถ้าไม่นึกว่าตัวเองฟังผิดก็แปลกแล้ว

เมื่อเห็นทุกคนทำท่าเหมือนไม่เชื่อ สวีถังหรานก็รีบบอกว่า “ข้าน้อยไม่กล้าอ้อมค้อมต่อหน้านายท่าน…” ขณะที่พูดก็มองซ้ายมองขวา อึกอักเหมือนอยากจะพูดแต่ก็เงียบไป เหมือนมีบางอย่างที่ไม่รู้ว่าสมควรพูดหรือเปล่า

“ตรงนี้ไม่มีคนนอก” เหมียวอี้ถาม

“ขอรับ!” สวีถังหรานเอ่ยรับ แล้วเล่าว่า “สามแสนคนนี้ไม่ได้ทยอยรับมาทีละคน แต่เป็นกลุ่มของนักพรตอิสระที่ตั้งขึ้นเอง ตอนแรกที่ข้าน้อยได้รับภารกิจจากนายท่าน ก็คิดว่านายท่านคงรีบร้อยใช้คน ถ้าค่อยๆ รับมาทีละคน ประสิทธิภาพการทำงานก็ช้าเกินไป ข้าน้อยก็เลยเล็งกลุ่มนักพรตอิสระที่ชื่อว่า ‘พันธมิตรทะเลดาว’ ช่วงไม่กี่ปีมานี้ครุ่นคิดหาวิธีการมาตลอดว่าจะสยบพวกเขายังไง สุดท้ายข้าน้อยก็คิดวิธีการหนึ่งขึ้นได้ ถ้าจะจับโจรก็ต้องจับหัวหน้าโจร หลังจากสิ้นเปลืองพลังความคิดไปไม่น้อย สุดท้ายก็ทำให้ฉู่อันเทียนหัวหน้าพันธมิตรทะเลดาวยอมจำนนแล้ว ทำให้ฉู่อันเทียนยอมส่งรายชื่อสมาชิกพันธมิตรทะเลดาวให้แต่โดยดี”

หัวหน้ากลุ่มที่คุมคนหลายแสนถูกเจ้าควบคุมง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ? เหมียวอี้พึมพำในใจ ถามว่า “ฉู่อันเทียนคนนี้วรยุทธ์เท่าไร?”

สวีถังหรานไอแห้งก่อนจะตอบว่า “ระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่งขอรับ”

พอได้ยินแบบนี้ อวิ๋นจือชิวและคนอื่นๆ ก็ทำสายตาฉงนสนเท่ห์ เหมียวอี้เลิกคิ้ว “ผู้นำกลุ่มที่ควบคุมคนหลายแสนได้ ทั้งยังมีวรยุทธ์ระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่ง จะถูกเจ้าควบคุมได้ง่ายๆ อย่างนี้เชียวหรือ?”

“เอ่อคือ…” พอพูดถึงตรงนี้ สวีถังหรานก็ก็เหมือนจะขวยเขินนิดหน่อย เห็นได้ชัดว่ากินปูนร้อนท้อง “ถ้าควบคุมตรงๆ ก็จัดการยากอยู่แล้ว แต่การศึกมิหน่ายเล่ห์ ฉู่อันเทียนคนนี้ค่อนข้างลำบาก ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่กล้ามีลูกมีเมียแบบเปิดเผย กลับต้องแอบหลบๆ ซ่อนๆ เลี้ยงเมียและลูกชายซ่อนไว้ในที่แห่งหนึ่งเงียบๆ แต่ด้วยสถานการณ์ที่สุดแสนจะบังเอิญ ข้าน้อยดันสืบรู้เสียได้ หลังจากวิเคราะห์ทีละขั้นตอน ข้าน้อยถึงได้พบว่าทำไมฉู่อันเทียนคนนี้ถึงต้องแอบเลี้ยงภรรยาและลูกชาย เดิมทีพันธมิตรทะเลดาวเป็นอำนาจที่ตระกูลเซี่ยโห้วแอบควบคุมไว้

ฉู่อันเทียนก็ถูกตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมอยู่เหมือนกัน ภรรยาและลูกชายที่เขาแอบเลี้ยงไว้ลับหลังตระกูลเซี่ยโห้วก็คือทางหนีทีไล่ที่เขาเก็บไว้ให้ตัวเอง ตระกูลเซี่ยโห้วไม่รู้เรื่องนี้ หลังจากข้าน้อยคิดหาทางควบคุมภรรยาและลูกชายของฉู่อันเทียนไว้แล้ว จึงนักฉู่อันเทียนให้มาเจรจาด้วยตัวเอง แล้วบีบเขาด้วยเรื่องที่แอบทำลับหลังตระกูลเซี่ยโห้ว ในที่สุดก็บีบให้เขายอมศิโรราบได้แล้ว ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เขาไม่ได้กลัวข้าน้อย แต่กลัวตระกูลเซี่ยโห้ว ก่อนที่จะได้บัญชีรายชื่อมา ข้าน้อยก็นึกว่าพันธมิตรทะเลดาวมีสมาชิกแค่พันสองพันคนตามที่ร่ำลือกัน แต่หลังจากได้เห็นบัญชีรายชื่อ ข้าน้อยถึงได้ตกตะลึงมาก ถึงได้รู้ว่าจำนวนคนของพันธมิตรทะเลดาวที่กระจายอยู่ทั่วทุกที่มีประมาณสามแสนกว่าคน ถึงขั้นว่าท่ามกลางกำลังพลตำหนักสวรรค์ก็ยังมีสมาชิกของพวกเขาเลย”

คนในห้องมองเขาอย่างพูดไม่ออก สงสัยจะไม่ใช่การรับคนอย่างสง่าผ่าเผย ใช้วิธีการต่ำช้าอีกแล้ว ควบคุมผู้นำกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ไว้ คนในห้องนี้เดาว่าขั้นตอนคงไม่สบายๆ เหมือนที่เขาเล่า ในระหว่างนั้นอาจจะใช้วิธีการที่ทำให้คนยกนิ้วสาปแช่งไปหลายอย่างแล้วก็ได้

แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้วยังทำให้พวกเขาตกใจมาก เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นกำลังที่ตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมโดยตรง?”

สวีถังหรานตอบว่า “ฉู่อันเทียนสรุปไว้แบบนี้ แต่ไม่ใช่บุคคลที่มาควบคุมฉากหน้า ตามที่ฉู่อันเทียนบอก คนส่วนใหญ่ของพันธมิตรทะเลดาวไม่รู้ว่าตัวเองเป็นกำลังของตระกูลเซี่ยโห้ว ส่วนฉู่อันเทียนก็ฟังคำสั่งจากใครบางคนที่แม้กระทั่งเขาเองก็ไม่รู้ตัวตนชัดเจน ตอนแรกเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกตระกูลเซี่ยโห้วควบคุม จนกระทั่งมีครั้งหนึ่งเขาไปตลาดสวรรค์แล้วบังเอิญเฉียดกับคนลึกลับผู้นั้น เขาปะปนกับกลุ่มคนเพื่อสะกดรอยตามไปตลอดทาง ถึงพบว่าคนคนนั้นเข้าไปในร้านค้าของตระกูลเซี่ยโห้ว ทั้งยังอยู่ที่นั่นหลายวันกว่าจะออกมา เป็นไปไม่เลยที่จะเข้าไปซื้อของในร้าน ไม่มีเหตุผลที่เข้าไปหลายวันแล้วเพิ่งออกมา และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาถึงเริ่มสงสัยว่าคนที่ควบคุมเขาเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว”

จู่ๆ อวิ๋นจือชิวที่ขมวดคิ้วเล็กน้อยก็ถามว่า “เขากับบุคคลลึกลับนั่นเฉียดกันที่ตลาดสวรรค์ เขาสังเกตเห็นคนลึกลับ แล้วคนลึกลับจะไม่สังเกตเห็นเขาเชียวหรือ?”

สวีถังหรานกุมหมัดคารวะ “ฮูหยินอาจจะไม่รู้บางอย่าง ตอนนั้นทั้งสองต่างก็เปลี่ยนใบหน้าแล้ว ตามหลักแล้วบนถนนมีคนมากขนาดนั้น เวลาเดินเฉียดกันแล้วไม่ได้ตั้งใจตรวจสอบก็จะแยกอีกฝ่ายไม่ออกเลย แต่ฉู่อันเทียนคนนี้มีความสามารถพิเศษที่คนอื่นไม่รู้ นั่นก็คือสามารถดมกลิ่นแล้วแยกคนได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางสังเกตพบแบบนี้เลย”

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเล็กน้อย บอกใบ้ให้เขาพูดต่อไป

สวีถังหรานพูดต่อไป “ฉู่อันเทียนเองก็อยากรู้ว่าตัวเองถูกตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมหรือเปล่า บังเอิญครั้งนั้นพาคนจำนวนหนึ่งไปปฏิบัติการลับด้วยพอดี คนพวกนั้นบอกว่าที่จริงคนของพันธมิตรทะเลดาวไม่ได้อยู่ในรายชื่อของพันธมิตรทะเลดาว แต่เป็นคนในเครือข่ายที่เขาแอบรวบรวมไว้ อาศัยพลังของเขา ถ้าจะให้คนพวกนี้ยอมจำนนมาทำงานให้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก คนของพันธมิตรทะเลดาวไม่รู้ถึงการมีตัวตนของคนพวกนี้เลย ที่จริงสาเหตุที่ข้าน้อยพุ่งเป้าไปที่ฉู่อันเทียน ก็เพราะมีหนึ่งในคนพวกนี้บังเอิญเผยพิรุธ หลังจากฉู่อันเทียนพบบุคคลลึกลับ ข้างกายก็มีคนพวกนี้อยู่ด้วยพอดี…”

“พิรุธอะไร?” อวิ๋นจือชิวแทรกถามด้วยแววตาวูบไหว พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว นางก็อ่อนไหวเป็นพิเศษ

สวีถังหรานแอบด่าว่าตัวเองปากพล่อย พูดอะไรก็ไม่พูด มาพูดเรื่องนี้ทำไม แต่ในเมื่อถูกถามแล้ว ถ้าไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลก็คงไม่เหมาะ ทำได้เพียงเล่าออกมาอย่างเก้อเขิน ลูกน้องคนนั้นของฉู่อันเทียนเข้ามาในบ่อนพนันที่เขาเปิดไว้ในตลาดมืด แล้วตอนโดนหวงเสี้ยวเทียนวางแผนขู่เอาเงิน ก็ถูกล้วงความลับเรื่องฉู่อันเทียนด้วยเหมือนกัน แต่หวงเสี้ยวเทียนไปมีเรื่องกับฉู่อันเทียนไม่ไหว เพราะฉู่อันเทียนวรยุทธ์สูงเกินไป ต่อให้สวีถังหรานพาพวกทหารสวรรค์มาด้วยก็จัดการไม่ไหวอยู่ดี หวงเสี้ยวเทียนกลัวว่าฉู่อันเทียนจะรู้ว่าตัวเองรู้ความลับ ก็เลยฆ่าปิดปากลูกน้องคนนั้นไปเสียเลย แต่หวงเสี้ยวเทียนก็นึกไม่ถึงว่าตอนหลังสวีถังหรานจะมารับสมัครคนให้โถงชุมนุมอัจฉริยะ แล้วบังเอิญสวีถังหรานก็ชอบความลับที่เขากุมไว้พอดี สวีถังหรานก็เลยถือโอกาสค้นหาเบาะแสจากตัวคนที่โดนฆ่าปิดปาก พบว่าเป็นลูกน้องคนสนิทที่คอยดูแลภรรยาและลูกให้ฉู่อันเทียน สวีถังหรานง้างปากจนรู้ความลับมากมาย ถึงได้ควบคุมภรรยาและลูกของฉู่อันเทียนไว้ได้

แน่นอนว่าเขาไม่เอ่ยถึงวิธีการต่ำช้าในระหว่างนั้น

อวิ๋นจือชิวฟังจบแล้วพยักหน้า “พูดต่อเลย”

สวีถังหรานไอแห้ง ก่อนจะเล่าว่า “หลังจากฉู่อันเทียนพบตัวละครลับคนนั้น บังเอิญว่าข้างกายมีลูกน้องอยู่ด้วยพอดี และเป็นเพราะตัวละครลับอยู่ในร้านค้าของตระกูลเซี่ยโห้วหลายวัน ทำให้เขามีเวลามากพอที่จะวางกำลัง เขาก็เลยให้คนไปเฝ้าที่นอกประตูดวงดาวหลายแห่งในอาณาเขตดาวนั้น แต่ดาราจักรกว้างใหญ่ แล้วเขาก็ไม่กล้าให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนกำลังสืบเรื่องอีกฝ่ายด้วย สุดท้ายก็เลยปล่อยให้เบาะแสขาดหายไป แต่เขาเชื่อว่าตัวละครลับคงจะไม่ได้ไปสถานที่เดิมเพียงครั้งเดียว ก็เลยใช้วิธีการที่โง่เขลา นั่นก็คือส่งคนไปเฝ้าตรงทิศทางที่ตัวละครลับหายไปอีกครั้ง เฝ้าจับตาดูอยู่แค่ทิศทางเดียว แล้วช่วงเวลาที่ตัวละครลับอาจจะติดต่อมาหาเขา

เขาก็เฝ้าอยู่ที่ร้านค้านั้น ขอเพียงตัวละครลับปรากฏตัวที่ร้านค้า ไม่ว่าจะไปที่ไหน เขาก็จะไม่ปล่อยให้หายไปจากที่ทิศทางที่เฝ้าไว้ ผลก็เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ ตอนหลังตัวละครลับปรากฏตัวอีก พอพบแล้วก็ตามเข้าไปในจุดที่วางกำลังพลซุ่มไว้ทันที ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความระมัดระวังที่สุด เขาใช้เวลาหนึ่งหมื่นปีเต็มๆ กว่าจะพบว่าผู้ที่ตัวละครลับไปหาก็คือเทพแห่งผืนดินคนหนึ่งที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง ทั้งยังพบว่าตัวละครลับมีท่าทีเคารพยำเกรงเทพแห่งผืนดินนั่นมากด้วย

ฉู่อันเทียนตระหนักได้แล้วว่าเทพแห่งผืนดินคนนี้ไม่ธรรมดา แต่ในระหว่างที่เฝ้าสังเกตการณ์หลายพันปีหลังจากนั้น ก็ไม่เจอความผิดปกติอะไรจากเทพแห่งผืนดินนี่เลย นอกจากวรยุทธ์สูง อย่างอื่นก็ไม่ต่างจากเทพแห่งผืนดินทั่วไป แค่บางครั้งจะมีกลุ่มคนที่หลากหลายมาเยี่ยมคารวะเท่านั้นเอง เขาลองไปสืบเรื่องคนอื่นๆ ที่ติดต่อกับเทพแห่งผืนดิน แต่ก็เหมือนกับตัวละครลับคนนั้น ยากที่จะสืบเจออะไร เขาเองก็ไม่มีกำลังมากถึงขนาดตรวจสอบทุกคนที่ไปเยี่ยมคารวะได้ แต่ตอนที่เขาวางมือเรื่องนี้ได้ไม่นาน ในระหว่างที่คลุกคลีกับพันธมิตรกลุ่มอื่น เขากลับบังเอิญพบว่าในกลุ่มอื่นก็มีตัวละครลับอีกคนที่เคยไปคารวะเทพแห่งผืนดินมา แล้วตอนหลังเขาก็ไปตีสนิทด้วย ถึงแม้อีกฝ่ายจะปลอมแปลงใบหน้าแล้ว แต่กลิ่นอายบนตัวก็ปิดบังเขาไม่ได้ เขาถึงได้รู้สึกกว่ากลุ่มคนที่ตัวละครลับพวกนั้นควบคุมไม่ได้มีแค่พันธมิตรทะเลดาว ยิ่งมีกำลังมากขนาดนี้ก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าเป็นตระกูลเซี่ยโห้ว และสิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ ตอนหลังที่เขาอยู่ในบ้านผู้อาวุโสคนหนึ่งของพันธมิตรทะเลดาว เขาก็ได้เจอตัวละครลับอีกคน

ถึงแม้อีกฝ่ายจะเปลี่ยนใบหน้าแล้ว แต่เขาก็เพิ่งเข้าใจว่าคนที่ตัวละครลับกลุ่มนี้ควบคุมไม่ได้มีแค่หัวหน้าพันธมิตรทะเลดาวอย่างเขา ยังมีผู้อาวุโสหรือคนอื่นที่ถูกบงการอย่างลับๆ อีก เมื่อตัวละครลับไม่พอใจเขาเมื่อไร เบื้องล่างก็จะมีคนมาแทนที่เขาได้ทุกเมื่อ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาแอบมีลูกมีเมียเอาไว้เป็นทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง และตามที่เขาคาดเดาได้จากเบาะแสหลายอย่างในหลายปีมานี้ เขาสงสัยว่าเทพแห่งผืนดินที่ตัวละครลับพวกนั้นเคารพก็น่าจะเป็นตัวละครที่คล้ายกับเฉาหม่านแห่งตึกศาลาสัตยพรต เพียงแต่เฉาหม่านควบคุมตลาดผี ส่วนเทพแห่งผืนดินนั่นควบคุมกลุ่มพันธมิตรใหญ่ๆ”

เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมองหน้ากันเลิกลั่ก นึกไม่ถึงว่าการให้สวีถังหรานออกไปรับคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะจะทำให้ขุดข้อมูลชุดใหญ่ขนาดนี้

แต่เหมียวอี้ก็ปวดประสาทนิดหน่อย ยัไม่ต้องสนใจว่าข้อมูลจะใหญ่ขนาดไหน เขาขมวดคิ้วถามว่า “สวีถังหราน เจ้ากำลังล้อเล่นกับข้าหรือเปล่า? กลุ่มพันธมิตรทะเลดาวที่ถูกตระกูลเซี่ยโห้วควบคุม ตอนนี้เจ้าจะทำให้กลายเป็นคนของโถงชุมนุมอัจฉริยะเหรอ เจ้าจะให้ข้าใช้งานยังไง?”

มีหรือที่สวีถังหรานจะยอมให้ผลงานตัวเองหายไปอย่างไร้ร่องรอย รีบกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นายท่าน ในเมื่อพวกเรารู้แล้วว่าเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ก็ไม่มีอะไรน่ากังวลหรอก ในทางกลับกัน พวกเขาเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องให้พวกเราจ่ายเงิน ทั้งยังเอามาช่วยพวกเราหาเงินได้ด้วย ตราบใดที่จุดอ่อนของพวกเราไม่ตกอยู่ในมือพวกเขา คนมากขนาดนี้ ถ้าไม่ใช้งานก็จะเสียของนะ! นอกจากนี้ นายท่าน ตระกูลเซี่ยโห้วนอกจากเฉาหม่านที่เปิดเผยตัวตน อำนาจฝ่ายอื่นก็ไม่รู้อะไรเลย ตอนนี้พวกเรากลับรู้เรื่องเทพแห่งผืนดินคนนั้นแล้ว ตอนหลังต่อให้เอาเรื่องนี้มาเป็นผลประโยชน์แลกเปลี่ยนกับอำนาจฝ่ายอื่น ก็ถือเป็นธุรกิจที่ทำเงินดีรายการหนึ่งเลย การที่เรารู้ฐานะของเทพแห่งผืนดินนั่น ที่จริงก็มีประโยชนืไม่น้อยเลยนะ” เขากำลังเตือนเหมียวอี้ทางอ้อมว่าผลงานของเขาไม่เล็กนะ

เหมียวอี้คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ แต่พูดถึงขั้นนี้แล้ว ฐานะของเทพแห่งผืนดินนั่นสำคัญขนาดนั้น ไม่อาจไม่ถามให้ชัดเจน “สืบตัวตนฉากหน้าของเทพแห่งผืนดินนั่นชัดเจนหรือยัง?”

สวีถังหรานพยักหน้าซ้ำๆ “แน่นอนอยู่แล้ว ฉู่อันเทียนจับตาดูเขามาหลายปี คงไม่ถึงขั้นไม่รู้เรื่องนี้ เทพแห่งผืนดินอยู่ที่ดาวมหาสมุทร ชื่อว่าหยวนกง วรยุทธ์ไม่ธรรมดา…”

ใครจะคิดว่ายังไม่ทันพูดจบ หลายคนในห้องก็เบิกตากว้างแล้ว เหมียวอี้ก็ยิ่งถามตัดบทว่า “ชื่ออะไรนะ? เจ้าบอกว่าเทพแห่งผืนดินนั่นชื่ออะไรนะ?”

สวีถังหรานไม่ค่อยเข้าใจ ตอบอย่างงุนงงว่า “หยวนกง ชื่อหยวนกง หรือว่านายท่านรู้จัก?”

เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวหันหน้ามาสบตากันอย่างพูดไม่ออก

…………………………

ใช่แล้ว! เป็นใครกันแน่? หลังจากติดต่อกับหยางชิ่งเสร็จ เหมียวอี้ก็ครุ่นคิดถึงคำถามนี้เช่นกัน คิดไปคิดมาก็หาสาเหตุไม่เจอ ก็เลยเลิกคิดแล้ว เพราะในมือยังมีงานมากมายที่ต้องจัดการ ตอนนี้ยังไม่มีเวลาใช้สมาธิกับเรื่องนี้

เขาต้องพยายามกับเรื่องเลื่อนยศหมู่ที่หลงซิ่นบอก เรื่องเลือกที่สร้างจวนหัวหน้าภาคก็ต้องแก้ปัญหา ต้องแก้ปัญหาเรื่องที่พักของกำลังพลหนึ่งแสนและการกระจายกำลังทหารด้วย ในเมื่อกลายเป็นแม่ทัพภาคแดนรัตติกาลแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหดหัวอยู่ที่เขาภูตพเนจรอีกต่อไป

นอกจวนแม่ทัพภาคมีคนคนหนึ่งที่รีบร้อนเดินทางมาถึง พอมาถึงประตูก็ดึงหน้ากากออก ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นสวีถังหรานนั่นเอง

ทหารยามที่มาใหม่ไม่รู้จักเขา จึงขวางเขาไว้ สวีถังหรานที่ยื่นแผ่นหยกสถานะขุนนางให้ดูโมโหมาก กล่าวเน้นย้ำกับทหารยามด้วยท่าทางจริงจัง “ข้าคือรองแม่ทัพภาคสวีถังหราน!”

ชื่อนี้ทหารยามเคยได้ยินมาก่อน รู้ว่าเป็นลูกน้องคนสนิทของวหน้าภาค แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ไม่รู้จักเขา ถึงแม้จะนำแผ่นหยกขุนนางที่พิสูจน์ตัวตนของสวีถังหรานออกมา แต่ก็ยังไม่ปล่อยเขาเข้าไปง่ายๆ ต้องตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้ง

ไม่ใช่ว่าทหารยามไม่เห็นสวีถังหรานอยู่ในสายตา แต่แน่นอน ที่จริงแล้วก็ไม่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตานิดหน่อย

สำหรับทั้งจวนแม่ทัพภาคตลาดผี พวกที่มาใหม่กลุ่มนี้ไม่เห็นใครอยู่ในสายตานอกจากหนิวโหย่วเต๋อ ความหยิ่งยโสเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากฐานะตำแหน่ง แต่มาจากพลังและวรยุทธ์ของตัวเอง อีกทั้งสำหรับกำลังพลหนึ่งแสนในตอนนี้ ก็รับรู้ร่วมกันแล้วว่าความปลอดภัยของเหมียวอี้เป็นหลักประกันที่สำคัญอันดับหนึ่ง การทรยศสี่ทัพมาพึ่งพาฝั่งนี้ต้องใช้ความกล้าการและการตัดสินใจมากขนาดไหน ถ้าเหมียวอี้เป็นอะไรไป ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเบื้องบนจะส่งคนมาจัดระเบียบกำลังพลกลุ่มนี้ต่อ ใครจะไปรู้ว่าคนจากอำนาจฝ่ายไหนจะมา เกรงว่าปมที่กลัวว่าจะถูกล้างแค้นเพราะทรยศสี่ทัพคงกดดันให้พวกเขาหนักใจมาตลอด เป็นเพราะอำนาจอิทธิพลของสี่ทัพยิ่งใหญ่เกินไป ถ้าไม่ระวังก็สามารถทำให้พวกเขาต้องชดใช้สิ่งที่ทำอย่างสาหัสได้เลย ดังนั้นสำหรับพวกเขาแล้ว จะเกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ไม่ได้ อย่างน้อยตอนนี้ก็เกิดเรื่องกับเหมียวอี้ไม่ได้เด็ดขาด ทุกคนยังไม่ทันได้ยืนอย่างมั่นคงเลย จึงปล่อยให้คนนอกเข้ามาปะปนใกล้ชิดหรือเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของเหมียวอี้ง่ายๆ ไม่ได้

โชคดีที่เสวี่ยหลิงหลงรู้ล่วงหน้าว่าสามีจะกลับมา นางกำลังเดินไปเดินมารอเขาอยู่ในลานบ้านแล้ว พอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวข้างนอกก็รีบยกกระโปรงวิ่งออกไปที่ประตู เห็นสถานการณ์คลี่คลายเร็วมาก ไม่ใช่ว่าทหารยามไม่เชื่อถือเสวี่ยหลิงหลง รอจนกระทั่งติดต่อยางเจาชิงจนได้คำตอบแล้ว ถึงได้ปล่อยสวีถังหรานเข้าไป

หลังจากสวีถังหรานที่มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเข้ามาข้างในแล้ว ในใจก็เป็นกังวลมา เพิ่งจะออกไปได้สามปี แต่รองแม่ทัพภาคตลาดผีอย่างเขาก็เข้าไม่ได้แม้แต่ประตูจวนแม่ทัพภาคแล้ว และดูจากปฏิกิริยาของทหารยามก็เหมือนจะไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเท่าไร ในที่สุดเรื่องที่เขากังวลก็เกิดขึ้นแล้ว

เมื่อเห็นเขามีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย เสวี่ยหลิงหลงที่เดินเป็นเพื่อนเขาก็บอกว่า “นายท่าน ดูสีหน้าเหน็ดเหนื่อย ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ”

“ไม่ต้องแล้ว ข้าจะไปพบแม่ทัพภาค…เอ่อ ไปพบหัวหน้าภาคก่อน ถ้าอาบน้ำสะอาดแล้วสภาพจะเหมือนคนเคยทำงานเสียที่ไหนล่ะ” สวีถังหรานพูดทิ้งท้ายแล้วรีบเดินออกไป ความคิดไม่ได้อยู่ที่ตัวเสวี่ยหลิงหลงเลย

ก็ช่วยไม่ได้ ในใจเขากระวนกระวาย เสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ทางนี้ก็เป็นเหมือนดวงตาของเขา เรื่องที่เกิดขึ้นทางนี้มีเสวี่ยหลิงหลงคอยรายงานเขาทุกเมื่อ พอรู้ว่ายอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สองคนมาขอพึ่งพานายท่านจนข่าวนี้สะเทือนใต้หล้า เขาก็เริ่มร้อนใจแล้ว ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สองคนเชียวนะ แบบนี้เขาที่เป็นรองเพียงหนึ่งแต่อยู่เหนือทุกคนในจวนแม่ทัพภาคจะไม่อยู่ในอันตรายหรอกหรือ? เขาอยากจะกลับมากอดต้นขาเหมียวอี้มาก แต่ยังจัดการงานในมือไม่เสร็จจึงกลับมาไม่ได้ ถ้ากลับมามือเปล่าโดยที่ทำงานไม่เสร็จสักอย่าง แล้วเขาจะรายงานผลการปฏิบัติงานได้อย่างไร? เขากลัวว่าภาพพจน์ตัวเองในสายตานายท่านจะแย่กว่าเดิม! ตอนหลังพอรู้ว่าทางนี้รับกำลังพลหนึ่งแสนใกล้ครบแล้ว เขาก็ยิ่งร้อนใจกว่าเดิม เพราะหลังจากเลื่อนจากจวนแม่ทัพภาคเป็นจวนหัวหน้าภาคแล้ว ตัวเองจะอยู่ในตำแหน่งอะไรล่ะ? นายท่านจะเตรียมตำแหน่งอะไรให้ตน? ตนใช้เวลาหลายปีกว่าจะไต่เต้ามาถึงทุกวันนี้ไม่ง่ายเลย ตามกอดขานายท่านเพื่อก้าวไปข้างหน้าตลอด จู่ๆ ก็กำลังจะข้อต่อหลุดแล้ว ข้างกายนายท่านมียอดฝีมือคนอื่นให้ใช้งานแล้ว ถ้าล้าหลังเพียงก้าวเดียว ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นจุดหักเหในชะตาชีวิตของเขาก็ได้ เป็นจุดหักเหที่ทำให้ต้องหยุดเดินหรือไม่ก็เดินลงเหว!

ดังนั้นเขาจึงยอมแลกทุกอย่างแล้ว เรียกได้ว่าทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการ ใช้ทรัพยากรที่ตักตวงได้มาหลายปี เงินที่ใช้จ่ายออกไปมากมายราวกับน้ำไหล ทรัพย์สินที่ตักตวงได้ในหลายปีมานี้ถูกควักหมดกระเป๋าแล้ว ตราบใดที่สามารถบรรลุเป้าหมายได้เขาก็ไม่แยแสเรื่องเงินทอง ความสำเร็จไม่ทรยศคนตั้งใจ ในที่สุดก็จัดการเรื่องรับคนเขาโถงชุมนุมอัจฉริยะสำเร็จแล้ว ในที่สุดก็ได้สร้างผลงานนิดหน่อย ถึงได้ปลีกตัวออกมาได้ชั่วคราว รีบเดินทางกลับมาที่นี่

แต่ใครจะคิดว่าระหว่างทางจะได้ข่าวจากเสวี่ยหลิงหลง บอกว่ากองทัพองครักษ์ถอนกำลังออกไปแล้ว แดนรัตติกาลถูกแบ่งมาให้ตำหนักนารีสวรรค์แล้ว กลายเป็นอาณาเขตที่ขึ้นตรงต่อตำหนักนารีสวรรค์ ท่านแม่ทัพภาคกระโดดข้ามขั้น เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาค กลายเป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลอย่างชอบธรรม ทั้งจวนแม่ทัพภาคตลาดผีเรียกได้ว่าพากันเฉลิมฉลอง

สวีถังหรานที่อยู่ระหว่างทางเกิดความรู้สึกหลายๆ อย่างปะปนกัน เขาสะท้อนใจไม่หยุด ตอนแรกมีคนตั้งมากมายเท่าไรที่มองข้ามนายท่าน เรียกได้ว่าทั้งใต้หล้าล้วนมองข้ามนายท่าน รู้สึกว่านายท่านหมดอนาคตและจะต้องตายในมือขุนนางแก่พวกนั้น แต่นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่ปีเอง ไม่ใช่แค่หาทางออกได้ แต่ยังพลิกสถาการณ์ให้ตัวเองกลายเป็นเจ้าอาณาเขตได้อีก ความสามารถและฝีมือแบบนี้ใครจะเทียบได้ นายท่านเล่นละครสร้างการเดิมพันไปถึงราชสำนักแล้ว เป็นการใช้อุบายพลิกแพลงสถานการณ์ในเหมือนคว่ำเมฆเสกฝนจริงๆ อย่างน้อยตัวเขาเองก็ไม่มีความสามารถนี้ เจ๋งสุดๆ ไปเลย!

เมื่อผ่านเรื่องราวในครั้งนี้ เขานับว่ายอมนับถือเหมียวอี้แล้ว ชื่นชมจากใจ นับถือจนยอมกราบหน้าแนบพื้น ขนาดเรื่องแบบนี้ก็ยังทำสำเร็จ ยังจะมีเรื่องอะไรอีกที่นายท่านทำไม่ได้?

ด้วยสาเหตุนี้เอง เขากลับยิ่งกังวลกับตัวเองมากขึ้น ในมือนายท่านขาดคน จึงให้ตนไปรับสมัครคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะ รับไปรับมาก็ยังหาไม่ได้เลยสักคน ผลปรากฏว่าใช้เวลาตั้งนานกว่าจะได้ผลงานอันน้อยนิด แต่ก่อนหน้านี้เหมือนนายท่านจะรอไม่ไหวแล้ว จึงเดินเท้าเปล่าลงสนามด้วยตัวเอง ใช้เวลาสั้นนิดเดียว ไม่ใช่แค่รับทหารเกรียงไกรได้หนึ่งแสน ทั้งยังเลื่อนตำแหน่งได้อย่างราบรื่น แบบนี้ตนจะทนความรู้สึกได้อย่างไร

โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนนี้ไม่มีแม้แต่แต่นักพรตที่วรยุทธ์ต่ำกว่าบงกชรุ้งขั้นสามเลยสักคน สวีถังหรานหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด รอบนี้นายท่านมีลูกมือที่มีความสามารถไว้ใช้งานเยอะเกินไปจริงๆ เมื่อเทียบกันแล้วเขาก็เป็นแค่เศษสวะ ตำแหน่งดีๆ จะวนมาถึงเขาเหรอ?

เขารู้แจ่มแจ้งว่าจุดแข็งของตัวเองอยู่ตรงไหน อยู่ที่ยศสูงนั่นเอง เป็นคนที่ยศสูงสุดของฝั่งนี้ แล้วก็ติดตามรับใช้นายท่านมาหลายปี ต่อให้ไม่มีผลงานแต่ก็ลำบากทำงาน บางทีนายท่านอาจจะเห็นแก่ไมตรีเก่าจึงไม่ปฏิบัติต่อตนอย่างขาดความยุติธรรม แต่เขาก็ออกห่างไปหลายปี ไม่ได้อยู่ข้างกายนายท่านมานานแล้ว เรื่องบางเรื่องใครก็พูดได้ไม่ชัดเจน สถานการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นได้เสมอ ถ้ารอจนแต่ละตำแหน่งถูกกำหนดแล้ว เช่นนั้นตนก็จะหมดหวังแล้วจริงๆ จึงมีแต่ต้องทำให้นายท่านนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้จัดเตรียมตำแหน่งที่เหมาะสมให้สวีถังหรานก่อนที่ตำแหน่งต่างๆ จะถูกกำหนดตายตัวเท่านั้น

หลังจากได้ข่าวจากเสวี่ยหลิงหลงแล้ว สวีถังหรานก็เร่งเดินทางกลับมาอย่างสุดชีวิต ร้อนใจดั่งถูกไฟเผา กลัวว่าจะพลาดช่วงเวลาสำคัญครั้งสุดท้ายไป กังวลว่าความผิดพลาดก้าวเดียวจะกลายเป็นเรื่องน่าแค้นไปทั้งชีวิต

ถามหน่อยว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขายังจะฟังเสวี่ยหลิงหลงแล้วกลับอาบน้ำอีกหรือ เขาก็ต้องไปพบท่านหัวหน้าภาคก่อนอยู่แล้ว

แต่จนใจที่พอเดินมาถึงประตูแล้วถูกทหารยามขวางไว้อีก โชคดีที่หยางเจาชิงโผล่หน้ามาพอดี

สวีถังหรานรีบโบกมือตะโกน “พี่หยาง นางท่านอยู่ที่ไหน?”

หยางเจาชิงเองก็ได้ยินสวีถังหรานกลับมาแล้วถึงได้ออกมา เขาโบกมือบอกใบ้ให้ทหารยามปล่อยผ่าน

“นายท่านกับฮูหยินกำลังปรึกษางานกันอยู่ ถ้าเจ้าไม่มีธุระสำคัญอะไร…กลับไปอาบน้ำก่อนแล้ค่อยมาก็ได้มั้ง” หยางเจาชิงมองเขาศีรษะจดเท้า

ในเวลานี้ยังจะปรึกษาอะไรกับฮูหยินอีก? คงไม่ได้ปรึกษาเรื่องจะเลือกใครรับตำแหน่งหรอกใช่มั้ย? ตอนนี้สวีถังหรานนึกเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่ตัวเองกังวลที่สุดได้ง่ายมาก ในใจกำลังร้อนรน จะรอไหวได้อย่างไร รีบกุมหมัดคารวะ “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องรายงานต่อหน้านายท่าน ตอนนี้ทหารยามในจวนเหมือนจะเข้มงวดขึ้นเยอะ ไม่รู้จักข้ากันหมดแล้ว ต้องผ่านเข้ามาทีละด่าน พี่หยางได้โปรดนำทางหน่อย”

เรื่องสำคัญ? หยางเจาชิงทำหน้าจริงจัง ไม่สะดวกจะชักช้าจนเสียงาน จึงพยักหน้าแล้วนำทางเขาจนผ่านด่านไปตลอดทาง

เมื่อได้ยินว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับหัวหน้าภาค เสวี่ยหลิงหลงก็หยุดเดินตามอย่างรู้สำนึก ตัวเองไม่สะดวกจะเข้าไปยุ่งกับงาน แต่ตอนที่มองเงาหลังสามีเดินออกไป นางก็ทอดถอนใจเช่นกัน ถึงอย่างไรก็เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี ย่อมรู้ว่าตอนนี้สามีกำลังกังวลเรื่องอะไรมากที่สุด

“นายท่าน นายท่านสวีกลับมาแล้ว รออยู่ข้างนอกค่ะ”

เชียนเอ๋อร์ที่อยู่นอกประตูเดินเข้ามารายงาน อวิ๋นจือชิวที่ยืนข้างโต๊ะยาวเอียงหน้ามองเหมียวอี้ที่หลังอยู่หลังโต๊ะ

“อ้อ!” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้า “ให้เขาเข้ามาเถอะ”

หลังจากเชียนเอ๋อร์ออกไปแจ้งแล้ว หยางเจาชิงก็เข้ามาพร้อมสวีถังหราน พอเห็นเหมียวอี้ที่นั่งแต่งตัวเรียบร้อยอยู่หลังโต๊ะยาว สวีถังหรานก็ตาแดงก่ำทันที ในดวงตามีน้ำตาเอ่อคลอ ก้าวมาตรงหน้าโต๊ะสองสามก้าว แล้วจู่ๆ ก้มตัวลงย่อเข่าข้างเดียว กล่าวเสียงสะอื้นว่า “นายท่าน ในที่สุดข้าน้อยก็รอดชีวิตกลับมาแล้ว ในที่สุดก็ได้กลับมาเจอนายท่านแล้ว”

ความเหนื่อยล้าบนใบหน้านั้น ดวงตาสองข้างที่แดงก่ำน้ำตาเอ่อนั้น ทั้งยังคารวะยกใหญ่ แถมพูดด้วยน้ำเสียงอย่างนั้นอีก จะไม่ให้คนสะเทือนใจก็คงยาก

อวิ๋นจือชิวที่ยืนดูอยู่ข้างๆ งุนงงกับปฏิกิริยาที่เกินจริงนี้ หยางเจาชิงกับเชียนเอ๋อร์มองหน้ากันเลิกลั่ก

เหมียวอี้เองก็ลุกขึ้นยืนโดนจิตใตสำนัก ขณะมองเจ้าหมอนี่คุกเข่า เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะสะเทือนใจนิดหน่อย แต่พอลองคิดดูอีกที ทำไมฉากนี้มันคุ้นตานักล่ะ? เขาเบะปากโดยไม่รู้ตัว “ทำมไต้องทำความเคารพขนาดนี้ มีอะไรก็ลุกขึ้นพูดเถอะ”

สวีถังหรานค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองเหมียวอี้ด้วยน้ำตาคลอเบ้า พร้อมกล่าวเสียงสะอื้น “ข้าน้อยก็แค่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ไหวตอนที่เห็นนายท่าน หลังจากออกไปสองปีก็ผ่านทั้งศึกเล็กศึกใหญ่หลายสิบครั้ง หลายครั้งที่คิดว่าคงไม่รอดกลับมาอีกแล้ว แต่โชคดีที่ไม่ตาย ในที่สุดก็ได้มาเจอนายท่านอีก เลยควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่จริงๆ ขอรับ”

เพิ่งออกไปสองสามปีก็ผ่านทั้งศึกเล็กศึกใหญ่หลายสิบครั้งเหรอ จริงหรือล้อเล่น? รับสมัครคนได้หวาดเสียวขนาดนี้ ไม่เหมือนลักษณะของเจ้าเลยนะสวี! เหมียวอี้มองประเมินเขาศีรษะจดเท้า

สวีถังหรานยกแขนเสื้อปาดน้ำตา แล้วกุมหมัดคารวะ “แต่ในที่สุดก็ไม่ทำให้นายท่านผิดหวัง เรื่องรับคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะ ในที่สุดข้าน้อยก็ทำสำเร็จแล้ว ถึงได้กล้ามีหน้ากลับมาเจอนายท่าน”

เหมียวอี้ร้องอ้อ แล้วถามว่า “รับได้กี่คนล่ะ?”

สวีถังหรานตอบว่า “เป็นกลุ่มคนประมาณสามแสนขอรับ นี่คือรายชื่อสมาชิด” ขณะที่พูดก็ใช้สองมือยื่นกองแผ่นหยกให้

“สามแสน?” เหมียวอี้ตกใจ อวิ๋นจือชิวและคนอื่นๆ ก็ตะลึงเช่นกัน นึกว่าตัวเองฟังผิดไป

…………………………

หยางชิ่ง : มือลับของตระกูลเซี่ยโห้วที่ซ่อนอยู่ในที่ลับ พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน แต่ถ้าวางไว้ในที่แจ้ง ก็ถึงคราวที่พวกเขาจะต้องเจอกับ ‘ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากระวัง’ แล้ว ไม่มีใครที่จะทำทุกอย่างโดยไร้ช่องโหว่ ใช่ว่าจะหาช่องให้โจมตีไม่ได้ เมื่อเห็นรูก็สอดเข็ม นั่นแหละคือโอกาสลงมือ

เหมียวอี้กำลังเดาว่าเจ้าหมอนี่กำลังจะผุดหลุมพรางชั่วอะไรมาล่อคนอีก ถามอย่างสนใจมากว่า : หรือว่าท่านบุรุษมีแผนการเหนือชั้นอะไรอีกแล้ว?

หยางชิ่ง : ชื่อเสียงบุ่มบ่ามของนายท่านแพร่ออกไปข้างนอก ตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมตำหนักนารีสวรรค์แต่กลับไม่กล้าทำซี้ซั้วเพราะกลัวประมุขชิง ยังมีโอกาสให้ใช้ประโยชน์จากในนี้ได้นิดหน่อย ยกตัวอย่างเช่นยามมีเป้าหมายอะไรต้องทำให้สำเร็จ ก็ไปขอให้ตระกูลเซี่ยโห้วช่วย ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วไม่ตอบตกลง นายท่านก็ทำท่าว่าจะนำกำลังพลจวนหัวหน้าภาคทำซี้ซั้ว ปล่อยข่าวนิดหน่อยเพื่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้ว่านายท่านต้องการจะแอบอ้างคำสั่งตำหนักนารีสวรรค์ จะดึงหนังเสือมาทำธงตบตาขู่คนอื่น เกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วคงจะกังวลยิ่งกว่านาย เนื่องจากชื่อเสียงของนายท่านโด่งดังไปข้างนอก ตระกูลเซี่ยโห้วไม่กล้ารับประกันว่านายท่านจะไม่กล้าทำอย่างนี้ ตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องกังวลแน่นอน ว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ แล้วประมุขชิงจะสงสัยหรือเปล่าว่าพวกเขากำลังบีบตำหนักสวรรค์ให้ก่อเรื่อง?

เหมียวอี้แสดงว่าความสงสัย : แบบนี้ไม่เกินจริงไปหน่อยเหรอ? ตระกูลเซี่ยโห้วสามมารถให้ตำหนักนารีสวรรค์ถ่ายทอดคำสั่งมาทางนี้ได้ทุกเมื่อ สามารถห้ามข้าได้ทันเวลา!

หยางชิ่ง : นายท่านก็แสร้งมุทะลุต่อไป ทำท่าว่าจะก่อเรื่องต่อโดยไม่สนใจคำสั่ง แล้วคอยดูว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะกังวลหรือเปล่า มีความเป็นไปได้สูงว่าฝั่งนั้นจะขอประนีประนอมกับนายท่าน ส่วนคำสั่งพวกนั้น เป็นการออกคำสั่งระยะไกล ไม่มีทางที่ตำหนักนารีสวรรค์จะส่งคนมาถ่ายทอดคำสั่งได้ทันเวลา ถ้าถ่ายทอดคำสั่งผ่านระฆังดาราก็ไม่ใช่ราชินีสวรรค์สั่งด้วยตัวเอง แล้วตำหนักนารีสวรรค์ก็ไม่ได้ย้ายกำลังพลมาขู่บังคับนายท่านด้วย ย้ายกำลังพลจากสี่ทัพมาไม่ได้เช่นกัน หรือไม่ก็ลองให้ตำหนักนารีสวรรค์ย้ายกองกำลังลับจากตึกศาลาสัตยพรตมาขู่กำลังพลของจวนหัวหน้าภาคดูสิ? ดังนั้น นายท่านแค่ยืนกรานว่าไม่ได้รับคำสั่ง เรื่องนี้ก็ยากที่จะสืบให้ชัดเจนได้ จะทำให้ประมุขชิงสงสัยว่าตระกูลเซี่ยโห้วกล้าปลอมแปลงคำสั่งจากฝั่งวังสวรรค์ เกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะกังวลยิ่งกว่า ถ้าประมุขชิงเกิดความระแวงขึ้นมา ต่อให้ตระกูลเซี่ยโห้วจะอธิบายยังไงก็ไร้ประโยชน์ ถ้าให้ราชินีสวรรค์ช่วยเป็นพยานให้ตระกูลเซี่ยโห้ว ประมุขชิงจะเชื่อได้เหรอ? ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีทางอธิบายสิ่งนี้ได้ชัดเจน

ทว่าต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า พวกเราพอจะรู้สถานการณ์ของราชินีสวรรค์อยู่บ้าง นายท่านก่อเรื่องอย่างนี้บ่อยๆ อาจจะถูกใจราชินีสวรรค์ก็ได้ อย่าไปมองว่าในมือราชินีสวรรค์ไม่มีอำนาจทางทหาร เพราะตำแหน่งฐานะก็เห็นๆ กันอยู่ การมีอยู่ของราชินีสวรรค์ล้วนมีความหมายกับทุกด้าน ในเมื่อผูกเชือกสายนี้แล้วก็ต้องรักษาไว้ให้ดี ในอนาคตจะต้องแสดงบทบาทได้มากแน่นอน

เหมียวอี้ยิ้มมุมปาก ทำไมรู้สึกว่าวิธีการแบบนี้ถูกใจตนมาก ถ้าได้เจอกับเรื่องอย่างนี้จริงๆ ลองคิดดูสิ ต่อให้หยางชิ่งไม่เตือน ตนก็จะทำอย่างนี้อยู่ดีละมั้ง? เขาหัวเราะร่าอย่างอดไม่ได้ ตอบกลับว่า : ท่านบุรุษหมายความว่า คนเท้าเปล่าไม่กลัวการสวมรองเท้าใช่มั้ย? ไม่กลัวเหรอว่าพวกเขาจะเอาเรื่องหกลัทธิมาขู่พวกเรา?

หยางชิ่ง : เรื่องพรรค์นี้ย่อมทำจนเกินเลยไม่ได้ ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ทำ ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ทำสักครั้งก็ได้ ถ้าทำแบบนี้บ่อยๆ ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ได้โง่ ย่อมมองออกว่ามีเงื่อนงำ ตราบใดที่ไม่ทำเกินไป ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่เอาแผนสำรองอย่างหกลัทธิมาเปิดโปง เพราะมันไม่คุ้มค่า

เหมียวอี้ : กลัวก็แต่ตระกูลเซี่ยโห้วจะเล่นตุกติก ให้ตำหนักนารีสวรรค์บีบให้ข้าย้ายไป!

หยางชิ่ง : นายท่านคิดมากไปแล้ว ตอนนี้นอกจากประมุขชิงที่มีพลังในการคานอำนาจที่แข็งแกร่ง นายท่านเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว กลายเป็นเจ้าอาณาเขตแล้ว ในมือกุมทัพใหญ่ที่มีศักยภาพเพียงพอ กอปรกับอยู่ในสถานการณ์ที่พึ่งพาตัวเองได้ เท่านี้ก็เป็นโล้เป็นพายแล้ว สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพลิกแพลงดีกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก ไม่ใช่ว่าใครจะแตะต้องก็แตะต้องได้ เรียกได้ว่าแตะต้องจุดเล็กๆ แล้วกระทบต่อวงกว้าง เกี่ยวโยงกับหลายด้าน ตราบใดที่นายท่านเองไม่บุ่มบ่ามเกินแผนจนถึงขั้นกอบกู้สถานการณ์ได้ยาก ถ้ามีคนดึงดันจะแตะต้องนายท่าน หยางชิ่งก็ยินดีจะประลองฝีมือกับพวกนั้นเพื่อรับใช้นายท่านเลย ส่วนฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน

พวกเขารู้ตัวว่าการบีบจุดอ่อนเรื่องหกลัทธิของนายท่านสามารถทำให้นายท่านถึงแก่ความตายได้ทุกเมื่อ เช่นนั้นสำหรับตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว การให้นายท่านดูแลทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะควบคุมได้ง่ายกว่า หรือให้อำนาจฝ่ายอื่นดูแลทัพใหญ่แดนรัตติกาลจะควบคุมได้ง่ายกว่าล่ะ? ไม่ต้องสงสัยเลย พวกเขาหวังจะให้นายท่านดูแลกำลังพลกลุ่มนี้ไปตลอดอยู่แล้ว ลองมองจากอีกมุมก็เท่ากับว่าพวกเขาได้ควบคุมกำลังพลกลุ่มนี้แล้ว ถ้าใต้หล้ามีการเปลี่ยนแปลงเมื่อไร พวกเขาก็จะสามารถใช้งานกำลังพลกลุ่มนี้ได้ ข้าน้อยสืบถามบทเรียนที่หกลัทธิถูกกำจัดในปีนั้นมาแล้ว พบว่าตระกูลเซี่ยโห้วชำนาญเรื่องใช้วิธีการที่น่ากลัวที่สุด คนที่หกลัทธิคิดว่าไม่น่าจะทรยศที่สุด แต่สุดท้ายก็โจมตีหกลัทธิแบบถึงตายในช่วงเวลาสำคัญ

จนกระทั่งทำให้หกลัทธิแพ้อย่างต่อเนื่องบนจุดเชื่อมต่อสำคัญ ตระกูลเซี่ยโห้วกุมจุดอ่อนของคนอื่นไว้เยอะเกินไป แค่คิดก็หนาวแล้ว ถ้ามีคนจะมาแตะต้องนายท่าน เกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วก็จะแอบช่วยนายท่านเงียบๆ ดังนั้นขอเพียงเจ้าใจจุดนี้ ตราบใดที่นายท่านไม่เล่นเกินขอบเขต ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่มีทางปล่อยให้นายท่านออกห่างจากกำลังพลกลุ่มนี้ไปง่ายๆ และไม่มีทางกลั่นแกล้งนายท่านโดยไร้สาเหตุด้วย เกรงว่าคงหวังให้กำลังพลในมือนายท่านแข็งแกร่งกว่านี้ นายท่านจับพลัดจับผลูบุกเข้ามาลงหลักปักฐานที่ตลาดผี ตอนแรกดูน่าหวาดเสียว พอมาดูตอนนี้กลับเป็นสถานที่ซึ่งทำให้นายท่านสั่งสมกำลังได้อย่างมั่นคงปลอดภัยที่สุด แม้จะอันตรายเหมือนกำลังเต้นรำกับหมาป่าชั่ว แต่ในใต้หล้าก็หาสถานที่ที่ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

เหมียวอี้ตั้งใจฟังอย่างละเอียด พอฟังถึงตอนท้ายก็ถอนหายใจช้าๆ : พอได้ฟังท่านบุรุษอธิบาย ก็กระจ่างราวกับแหวกหญ้ารกออกจากทาง!

หยางชิ่ง : นายท่านให้เกียรติเกินไปแล้ว ทางตำหนักนารีสวรรค์ยังมีบางเรื่องที่น่าสงสัย ในเมื่อนายท่านเริ่มติดต่อกับทางนั้นแล้ว ก็ยังต้องมีแผนการในใจ

เหมียวอี้ : ยินดีล้างหูรอฟัง

หยางชิ่ง : การที่ประมุขชิงตอบตกลงแบ่งแดนรัตติกาลให้นั้นมีเงื่อนงำ ประมุขชิงไม่ถึงขั้นไม่รู้แม้กระทั่งสถานการณ์ของราชินีสวรรค์ การแบ่งแดนรัตติกาลเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วไม่ยินยอม ถ้าไม่มีประมุขชิงอนุญาต วังหลังก็ไม่มีทางส่งเรื่องนี้ไปราชสำนัก ได้เลย เห็นได้ชัดว่าราชินีสวรรค์คุยกับประมุขชิงล่วงหน้าแล้ว แต่ประมุขชิงรู้สถานการณ์ของราชินีสวรรค์แต่ยังทำอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าต้องการให้ราชินีสวรรค์ยั่วโมโหตระกูลเซี่ยโห้วหรอกเหรอ? มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขชิงกำลังจงใจทำให้รอยร้าวระหว่างราชินีสวรรค์และตระกูลเซี่ยโห้วลึกกว่าเดิม

เหมียวอี้ : มีเหตุผล

หยางชิ่ง : ยังมีอีกอย่าง มีกี่คนที่รู้เรื่องที่ราชินีสวรรค์สร้างระฆังดาราเอาไว้แอบติดต่อกับนายท่าน?

เหมียวอี้ : ก่อนที่ข้าจะบอกเจ้า ทางฝั่งนี้ก็มีแค่ฮูหยินที่รู้ ส่วนฝั่งราชินีสวรรค์จะมีคนรู้กี่คนข้าก็ไม่รู้แล้ว

หยางชิ่ง : นายท่านกับฮูหยินย่อมไม่เปิดเผยเรื่องนี้ง่ายๆ อยู่แล้ว ตามหลักแล้วฝั่งราชินีสวรรค์ก็ไม่กระจายข่าวนี้เช่นกัน สายลัยที่ตำหนักสวรรค์คนนั้นรู้อยู่แจ่มแจ้งว่างรอบกายราชินีสวรรค์มีแต่คนของตระกูลเซี่ยโห้ว การที่นายท่านติดต่อกับนางก็ยากจะหลุดพ้นสายตาตระกูลเซี่ยโห้ว แต่กลับดันทุรังจะให้นายท่านติดต่อกับราชินีสวรรค์โดยตรงให้ได้ ราวกับแน่ใจแล้วว่านายท่านจะต้องทำได้ ข้าสงสัยนิดหน่อยว่าเขารู้หรือเปล่านายท่านกับราชินีสวรรค์มีระฆังดาราที่ใช้แอบติดต่อกัน แต่ทำไมเขารู้เรื่องที่เป็นความลับขนาดนี้ได้ล่ะ?

พอพูดถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็แปลกใจมากเช่นกัน : หรือว่าเดิมทีเขากับราชินีสวรรค์ก็ใกล้ชิดกันอยู่แล้ว ราชินีสวรรค์บอกเขาเองหรือเปล่า? แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าเป็นอย่างนี้จริง ในเมื่อเขารู้เรื่องรายชื่อในมือข้าแล้ว ก็สามารถบอกราชินีสวรรค์โดยตรงได้เลยน่ะ…ฐานะของสายลับคนนี้ลึกลับมาก!

หยางชิ่ง : ที่จริง ถ้าสามารถวางแผนโดยจับทางความคิดของประมุขชิง ตระกูลเซี่ยโห้วและราชินีสวรรค์ได้โดยตรง อย่างน้อยก็เป็นผู้ที่เข้าใจหลายฝ่ายและรู้สถานการณ์ภายในวังสวรรค์ คนคนนี้ไม่ธรรมดานะ ฐานะที่ตำหนักสวรรค์คงไม่ใช่ต่ำๆ แน่! ดูจากที่เขาช่วยวางแผนให้หกลัทธิโจมตีทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์ที่แดนอเวจีก็รู้แล้ว เป็นใครกันแน่?

…………………………

โดยเฉพาะมู่หรงซิงหัว ขณะมองเหมียวอี้พูดคุยกับตงฟางเลี่ยอย่างไม่เย่อหยิ่งหรือไม่ถ่อมตน นางก็ยิ่งแอบสะท้อนใจ ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นเจ้าอาณาเขตแล้ว ในปีนั้นนางอาศัยอำนาจเฉาว่านเสียงไต่เต้าจากหัวหน้าภาคไปเป็นรองหัวหน้าภาค แต่ท่านนี้กลับเริ่มจากทหารเลวตลาดสวรรค์จนกลายเป็นหัวหน้าภาค เกรงว่าในปีนั้นไม่ว่าใครก็คงนึกไม่ถึง!

และความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เหมียวอี้ควบคุมสถานการณ์ในงานเลี้ยงวันเกิดท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วจนกระทั่งตอนนี้ มู่หรงซิงหัวก็เห็นอยู่ในสายตา ความสามารถในการใช้กลอุบายเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์เหมือนคว่ำเมฆเสกฝนนี้ ถามหน่อยว่าคนระดับเดียวกับหนิวโหย่วเต๋อในใต้หล้านี้มีใครทำได้บ้าง? นางยอมรับว่าตัวเองไม่มีความสามารถนี้ ได้แต่ทอดถอนใจที่ตัวเองสู้ไม่ไหว

ตอนที่นางยังไม่ได้มาพึ่งพาเหมียวอี้ ก็ยังนึกว่าตัวเองมาช่วยเหลือเขาตอนลำบากเหมือนส่งถ่านให้กลางหิมะ ยังนึกว่าอีกฝ่ายกำลังตกต่ำจนยากจะกลับมาผงาดได้อีก แต่ใครจะคิดว่ายามอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากขนาดนั้น พออีกฝ่ายพลิกตัวก็หลุดพ้นความลำบากแล้วทันที ทั้งยังได้ก้าวสูงขึ้นอีกระดับด้วย อีกฝ่ายรู้แจ้งในใจตั้งแต่แรกแล้ว นางรู้สึกขำเมื่อนึกถึงความคิดตัวเองตอนมาสมัครทีแรก อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องมีนางเลย นางคิดเองเออเองว่ามาส่งถ่านให้ท่ามกลางหิมะ

ผู้ชายที่ยอดเยี่ยมก็ยังยอดเยี่ยมอยู่เสมอ…นี่คือประโยคที่มู่หรงซิงหัวพึมพำในใจ

ตงฟางเลี่ยเองก็ไม่ได้มีเจตนาจะอยู่ต่อเลยจริงๆ พอบอกจะไปก็ไปเลย เรียมรวมกำลังพลกองทัพองครักษ์แล้วออกเดินทางทันที

ที่จริงคนระดับเขาก็ไม่จำเป็นต้องเห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตาเลย ทั้งสองอยู่คนละระดับกัน การที่คุยกับเหมียวอี้อย่างสุภาพเยือกเย็นได้นานขนาดนี้ ก็เพราะการแสดงความสามารถของเหมียวอี้ทำให้เขาไม่ถือตัว

คนออกไปผ่านทางใต้ดินในจวนแม่ทัพภาค เหมียวอี้นำกำลังพลส่วนหนึ่งมาส่งบนพื้นดินด้วยตัวเอง

หลังจากมองคล้อยหลังคนกลุ่มนี้หายลับไปแล้ว เหมียวอี้ก็นำคนกลุ่มนี้กลับมาประชุมในตำหนักใหญ่ หลังจากเขานั่งลงบนตำแหน่งหลักแล้ว กลุ่มคนก็กุมหมัดคารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน “คารวะท่านหัวหน้าภาค!”

เป็นมนุษย์มีจิตใจใฝ่ทางโลก ต่อให้เป็นคนในแดนฝึกตนก็ยากที่จะเลี่ยงค่านิยม ความเคารพนับถือในตอนนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับอำนาจที่อยู่ในมือเหมียวอี้ ซึ้งสามารถกำหนดตำแหน่งในอนาคตให้คนพวกนี้ได้ สำหรับคนในแดนฝึกตน ต่อให้ตำแหน่งจะสูงต่ำต่างกันแค่ติดเดียว ทว่าความแตกต่างทางด้านเวลาสำหรับอนาคตไม่ใช่แค่ปีสองปี แต่เป็นพันปีหมื่นปี ถึงขนาดไกลกว่านั้นด้วยซ้ำ

“ไม่ต้องมากพิธี!” เหมียวอี้ผายมือเล็กน้อย แล้วขมวดคิ้วบอกว่า “ทุกคนล้วนเป็นคนของจวนแม่ทัพภาค…พูดได้เต็มปากแล้ว ทุกคนล้วนเป็นผู้ยอดเยี่ยมของจวนหัวหน้าภาค ทุกคนก็รู้เช่นกันว่าว่าที่จวนหัวหน้าภาคมีหลายตำแหน่งกำลังว่างอยู่ แต่ปัญหาใหญ่สุดในตอนนี้ก็คือ หลังจากทุกคนถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผาเทพกับแห่งผืนดินแล้วยศก็ต่ำเกินไป ไม่เหมือนพวกที่โดนลดตำแหน่งแล้วไม่กระทบกับยศ ส่วนใหญ่มีคนคอยคุยให้เบื้องหลัง คนพวกนั้นไม่มีทางมาขอพึ่งพาข้าเช่นกัน คนที่ค่อนข้างโชคร้ายอย่างพวกเจ้าถึงตัดสินใจมาพึ่งพาข้า”

คำพูดนี้ทำให้ทุกคนอมยิ้ม ที่เขาพูดไม่ถูกหรอกหรือ ถ้าก่อนหน้านี้รู้สึกว่ายังมีหวังสักหน่อย ยังมีเบื้องบนช่วยพูดให้สักหน่อย ใครจะมาขอพึ่งพาที่ตลาดผีล่ะ?

เหมียวอี้พูดต่อไปว่า “ทุกคนต่างก็ได้เห็นคำสั่งของราชินีสวรรค์แล้ว ตอนนี้จวนหัวหน้าภาคไม่เหมือนจวนแม่ทัพภาคตลาดผีในเมื่อก่อน จวนแม่ทัพภาคตลาดผีเมื่อก่อนตั้งอยู่ที่ตลาดผี ตอนนี้ถูกแยกเข้าสังกัดตำหนักนารีสวรรค์อย่างเป็นทางการ ราชินีสวรรค์ถ่ายทอดคำสั่งให้ข้าวางขอบข่ายงานให้เรียบร้อย หาตำแหน่งให้ครบ แต่กำลังพลของพวกเราน้อย เทียบกับจวนหัวหน้าภาคที่อื่นไม่ติด แต่ตอนนี้ในสังกัดมีรองหัวหน้าภาคสองตำแหน่ง แม่ทัพภาคสิบตำแหน่ง รองแม่ทัพภาคยี่สิบตำแหน่ง ผู้บัญชาการใหญ่หนึ่งร้อยตำแหน่ง รองผู้บัญชาการใหญ่สองร้อยตำแหน่ง ผู้บัญชาการหนึ่งพันตำแหน่ง รองผู้บัญชาการสองพันตำแหน่งครบหมด ถ้านับผู้ช่วยผู้บัญชาการลงไปอีกก็หนึ่งหมื่น ผู้บังคับการกองร้อยหนึ่งแสน ผู้บังคับการกองห้าหนึ่งล้าน เอาล่ะ กำลังพลหนึ่งแสนของพวกเราไม่มีใครได้เป็นทหารธรรมดาเลย ทุกคนล้วนได้เป็นขุนนาง เรื่องแบบนี้ข้าก็เพิ่งรู้เหมือนกัน เป็นสิ่งที่ตอนแรกข้าก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน”

“ฮ่าๆ…” คนกลุ่มนี้อดหัวเราะไม่ได้ คิดไปคิดมาก็พบว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ กำลังพลหนึ่งแสนไม่มีใครเป็นพลทหารสักคน ทุกคนล้วนได้ตำแหน่งขุนนาง ทุกคนได้ประสบกับเรื่องอัศจรรย์อย่างนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน

ชิงเยว่ยิ้มและบอกว่า “นายท่าน อาศัยความสามารถของหัวหน้าภาคของพวกเรา พูดแล้วต้องรับผิดชอบไหว ทุกคนว่ามั้ยล่ะ?”

“ใช่แล้ว!” กลุ่มคนส่งเสียงตอบพร้อมกัน

เมื่อเห็นว่าตรงนี้บรรยากาศค่อนข้างดี เหมียวอี้ก็พูดต่อว่า “ทุกคนอย่าดีใจเร็วเกินไปนัก ก็อย่างที่บอก ยศของพวกเจ้าต่ำเกินไป คนที่ยศสูงหน่อยก็แค่ทหารสวรรค์เกราะดำเท่านั้น ต่อให้ข้าดันทุรังช่วยพวกเจ้าก็ดันได้แค่ตำแหน่งผู้บังคับการกองร้อยกับผู้ช่วยผู้บัญชาการ อย่างน้อยตำแหน่งนั้นก็ต้องมียศเกราะทอง พวกเจ้าคิดว่ามีคุณสมบัติพอหรือเปล่า? ข้าเองก็ไม่มีสมองมากพอที่จะฝืนดันพวกเจ้าขึ้นตำแหน่ง เพราะนี่ไม่ใช่แค่คนสองคน เป็นการเลื่อนยศหมู่ให้หนึ่งแสนคน ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นใครก็ดันไม่ไหวทั้งนั้น พวกเจ้าลองพูดมาซิ จะทำยังไงดี?”

พวกเขาพูดไม่ออกทันที มีคนไม่น้อยรู้สึกคับแค้นอีกครั้งที่ตอนแรกถูกลดตำแหน่ง เห็นได้ชัดว่าทำให้พวกเขาไต่เต้าขึ้นมาอีกได้ยาก แต่จะว่าไป ที่จริงคนที่กลั่นแกล้งพวกเขาในปีนั้นก็ไม่อยากให้พวกเขาได้เงยหน้าอ้าปากง่ายๆ อยู่แล้ว แต่นี่ไม่ได้อยู่ในที่เดิม ถ้าอยู่ที่เดิมแล้วผลงานเข้าตาคนใหญ่คนโตเบื้องบนเมื่อไร ก็ยังมีโอกาสกลับคำพิพากษา เมื่อกลับคำพิพากษาแล้วก็ยังมีโอกาสคืนยศคืนตำแหน่ง แต่ทุกคนมาพึ่งพาที่ตลาดผีแล้ว ที่นี่ไม่มีอำนาจกลับคำพิพากษาในพวกเขา อยู่ที่เดิมมีโอกาสกลับกลับคำพิพากษาให้พวกเขามากกว่า

จู่ๆ เสียงของหลงซิ่นก็ทำลายความเงียบ “แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีตัวอย่างให้เห็น การขยายจวนแม่ทัพภาคเพื่อเลื่อนขั้นให้ครอบคลุมทั้งจวนหัวหน้าภาคแบบนี้ เป็นเรื่องที่มีมานมนานแล้ว สามารถทำให้กำลังพลเดิมทั้งหมดเลื่อนหนึ่งขั้น ก็ต้องดูว่านายท่านจะพยายามสำเร็จหรือเปล่า”

“อ้อ!” เหมียวอี้ตาเป็นประกาย ชี้เขาพร้อมบอกว่า “เรื่องนี้เจ้าลองคิดให้ดี ดูรายละเอียดมาว่าเป็นตัวอย่างที่ไหน ขอเพียงหาตัวอย่างมาได้ ข้าจะพยายามช่วงชิงจากเบื้องบนมาให้ทุกคน”

ชิงเยว่แสยะยิ้ม “ยศชั้นเดียวจะไปมีประโยชน์อะไร อาศัยแค่ยศของทุกคนตอนนี้ เลื่อนขึ้นขั้นเดียวก็ไม่แตกต่างกันเท่าไรหรอก เปลี่ยนอะไรไม่ได้”

เหมียวอี้โบกมือ “พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก มีใครบ้างที่ไม่ไต่เต้าขึ้นมาทีละขั้น ดีกว่าไม่ได้เลื่อนเลย ถ้ามีหนึ่งขั้นเป็นพื้นฐานแล้ว ครั้งหน้าถึงจะเลื่อนสูงขึ้นได้อีก ถ้าไม่พยายามไขว่คว้าตอนนี้ ครั้งหน้าก็ไม่มีโอกาสแล้ว”

ชิงเยว่พยักหน้าแล้วถอนหายใจเบาๆ ตอนนี้ไปเทียบกับศึกใหญ่ปีนั้นไม่ได้แล้ว เมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายเยอะ โอกาสสร้างผลงานก็มากขึ้นด้วย ตอนนี้ใต้หล้าเงียบสงบ ถ้าอยากจะเลื่อนทีละขั้นจนถึงยศเดิมของนางในปีนั้น ก็ยากยิ่งกว่าก้าวขึ้นฟ้าจริงๆ

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ทุกคนก็เลิกคิดมากได้แล้ว ราชินีสวรรค์ดูแลขนาดนี้ จู่ๆ ก็ให้ตำแหน่งว่างเยอะขนาดนี้ เป็นเรื่องที่น่าดีใจเกินคาดเหมือนกัน ถ้าไม่มีการดูแลนี้ ทุกคนก็ยังต้องเลื่อนขึ้นมาทีละขั้นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ในเมื่อตำแหน่งอยู่ในมือพวกเราแล้ว สังกัดสายตรงของตำหนักนารีสวรรค์ก็มีแค่กำลังพลกลุ่มของพวกเรา ไม่มีคนนอกมาแย่งพวกเราแล้ว ตำแหน่งพวกนี้หนีเราไม่พ้นหรอก สักวันหนึ่งก็ต้องเป็นของทุกคน คิดมากไปก็มีแต่เรื่องเพ้อเจ้อทั้งนั้น เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะช่วยไขว่คว้ามาให้ทุกคนอย่างสุดความสามารถ จะดีจะร้ายสามสิบคนที่อยู่ตรงนี้ก็เป็นยอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ เริ่มจากตำแหน่งผู้บังคับการกองร้อยก่อนแล้วกัน ส่วนคนอื่นๆ ที่ระดับต่ำกว่านั้น ทั้งหมดไปเป็นผู้บังคับการกองห้าก่อน แน่นอนว่านี่เป็นแค่ความประสงค์ส่วนตัวของข้า ส่วนตำหนักนารีสวรรค์จะอนุญาติหรือไม่ก็ไม่แน่ ถ้าไม่อนุญาต ทุกคนก็เริ่มจากจุดเริ่มต้นแล้วกัน คิดว่ายังไงกันบ้าง?”

ทุกคนสงบจิตสงบใจ แล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “น้อมรับคำสั่ง!”

ทุกคนคุยง่ายมาก ที่สำคัญคือคุยยากไม่ได้ เพราะยศและตำแหน่งของทุกคนล้วนอยู่ที่นี่ เมื่อเทียบกับเหมียวอี้แล้วห่างกันเกินไป มารดาเจ้าเถอะ ขนาดจะวางแผนแย่งชิงตำแหน่งยังไม่มีคุณสมบัติเลย และข้างบนก็ไม่มีคนที่คอยควบคุมเขาลงมาทีละชั้นอีก ทั้งตำหนักนารีสวรรค์หาใครที่มีอำนาจบัญชาการไม่เจอสักคน จะให้พวกนางในหรือพวกสนมมาบังคับบัญชาก็คงไม่ได้ แน่นอนว่าตอนนี้ราชินีสวรรค์มีอำนาจนี้ แต่ราชินีสวรรค์ก็มาทำเรื่องนี้ถึงที่นี่ไม่ได้ อย่างมากก็แค่ถ่ายทอดคำสั่งอยู่ไกลๆ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะมาเกลื้อกกลั้วกับพวกผู้ชายด้วยตัวเอง ต่อให้ราชินีสวรรค์ยอมทำแต่เกรงว่าราชันสวรรค์คงไม่ยอมให้ทำ ดังนั้นก็ยังต้องพึ่งพาเหมียวอี้อยู่ดี และถ้าจะย้ายคนมาจากตลาดสวรรค์ ก็ยังไม่ต้องพูดถึงว่าราชินีสวรรค์เองจะวางใจหรือเปล่า อย่างน้อยก็ต้องถามเหมียวอี้ก่อนว่าอนุญาตหรือไม่ เหมียวอี้ไม่อนุญาตหรอก ถ้าไม่กดเบื้องล่างเอาไว้ ถ้าปล่อยให้มีคนถ่อมาแย่งตำแหน่งที่สัญญาว่าจะให้คนพวกนี้แล้ว เกรงว่าคงจะไม่มีใครควบคุมได้ ตอนหลังจะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย

นอกเสียจากราชินีสวรรค์จะมีความสามารถขยายขนาดให้ทางนี้ได้ สามารถย้ายคนกลุ่มใหญ่ที่สามารถควบคุมกำลังพลทางนี้ได้ ไม่อย่างนั้นถ้ามากันแค่ไม่กี่คนแล้วอยากจะควบคุมทหารของเหมียวอี้ เห็นเหมียวอี้ที่ผู้ซึ่งสร้างกำลังพลขึ้นมาด้วยมือตัวเองเป็นโคลนที่บีบง่าย เห็นว่าเหมียวอี้ไม่กล้ายุยงให้พวกลูกน้องเล่นงานให้ตายงั้นเหรอ? ถ้าเล่นงานตายแล้วฝั่งนี้จะอ้างอย่างไรก็ได้ เมื่อคนพวกนี้มารวมตัวกันก็ต้องเกาะกลุ่มเป็นพวกเดียวกันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ทุกคนล้วนมีจิตใจระแวงระวังฝ่ายอื่น กังวลว่าอำนาจบางฝ่ายจะเข้ามาล้างแค้นพวกเขา ถ้าเหมียวอี้จะวางแผนทำร้ายจริงๆ ก็อย่าว่าแต่คนแค่ไม่กี่คนเลย ต่อให้มาเป็นร้อยเป็นพันก็ตายอยู่ดี ยิ่งคนมาเยอะก็ยิ่งมีตำแหน่งให้ครอบครองเยอะ เบื้องล่างยิ่งให้การตอบรับเยอะ ทุกคนที่มาพึ่งพาตลาดผีล้วนมีอุดมการณ์ ไม่ได้มาเพื่อเป็นพลทหาร

เมื่อมีเหตุผลเหล่านี้ประกอบกัน การที่เหมียวอี้อยู่แดนรัตติกาลก็ได้เปรียบกว่าโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เท่ากับเหมียวอี้เป็นเพียงคนเดียวที่มีอำนาจตัดสินใจที่จวนหัวหน้าภาคแห่งนี้ ไม่ต่างอะไรกับพระราชา เหมือนเป็นกระดาษขาวแผ่นหนึ่งจริงๆ ตราบใดที่ไม่ออกนอกกรอบ เหมียวอี้อยากจะวาดอะไรก็วาดได้ตามใจชอบ

หลังจากกลุ่มคนแยกย้ายกันไป อวิ๋นจือชิวก็นำเฟยหงและเชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์ออกมา พวกนางแสดงความยินดีด้วยกัน “ยินดีกับนายท่านที่ได้เลื่อนตำแหน่ง”

อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างเบิกบานใจ นางรู้ว่าผู้ชายคนนี้นั่งตำแหน่งนี้แล้วต้องเสี่ยงอันตรายมากขนาดไหน ใบหน้าเฟยหงก็ยิ่งเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะกลายเป็นเจ้าอาณาเขตเร็วขนาดนี้ ยิ่งเหมียวอี้มีอำนาจมาก ก็ยิ่งมีหวังจะช่วยชีวิตมารดาของนางมากขึ้น เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ละคนอื่นๆ ก็ย่อมดีใจอยู่แล้ว

“ฮ่าๆ!” เหมียวอี้หัวเราะพลางโบกมือ วางแผนมานานขนาดนี้ แต่พอได้ขึ้นตำแหน่งจริงๆ กลับไม่ได้ตื่นเต้นดีใจอะไรมาก เพราะว่าเตรียมใจไว้นานแล้ว

หลังจากคุยกันได้สักประเดี๋ยว ก็กลับมาที่ห้องตัวเองพร้อมอวิ๋นจือชิว จากนั้นเหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราติดต่อกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ผลก็คือพบว่าติดต่อไม่ได้แล้ว หมายความว่าอะไร?

เหมียวอี้เลอะเลือนนิดหน่อย เพราะคนที่เป็นฝ่ายสร้างช่องทางการติดต่อนี้ก็คือราชินีสวรรค์ แล้วทำไมถึงติดต่อไม่ได้ล่ะ?

เขาเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ราชินีสวรรค์อาจจะไม่สะดวกคุยหรือเปล่า จึงตัดสินใจว่าจะรออีกสักหน่อยแล้วค่อยว่ากัน

หยางชิ่งได้รับข่าวว่าเรื่องหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลสำเร็จแล้ว ขณะที่กำลังดีใจก็ถือโอกาสชี้แนะเล็กน้อย บอกให้เขาระวังตัวเวลามีเรื่องลับต้องติดต่อกับราชินีสวรรค์ อย่าให้คนอื่นที่ตำหนักนารีสวรรค์รู้เรื่อง

ก่อนหน้านี้ยังแปลกใจฝั่งราชินีสวรรค์อยู่เลย ตอนนี้หยางชิ่งก็มาเอ่ยถึงอีก หรือว่าจะมีเบาะแสอะไร? เหมียวอี้รีบถาม : หมายความว่ายังไง?

…………………………

ผ่านไปไม่ นานเว่ยซูก็ปรากฏตัวในสวนต้องห้ามอีกครั้ง เดินมาข้างกายสองพ่อลูกที่กำลังเล่นหมากล้อมกัน รายงานว่า “นายท่าน ตรวจสอบเจอแล้วขอรับ ช่วงที่หนิวโหย่วเต๋อพักฟื้นในสวนกลางเขียวขจี ราชินีสวรรค์แอบส่งเทพธิดาคนหนึ่งไปติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ สร้างระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อโดยตรง”

“หึ!” เซี่ยโห้วลิ่งถือตัวหมากพลางทำเสียงฮึดฮัด ก่อนจะวางหมากลง

เซี่ยโห้วท่าไม่แม้แต่จะเงยหน้า ท่ามกลางเสียงลงหมากดังก๊อกแก๊ก เขากล่าวอย่างไม่หยี่ระว่า “บีบให้นางส่งระฆังดาราออกมา บอกนางว่า ต่อไปนี้อย่าติดต่อกับหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลโดยตรงอีก ราชินีสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานแอบไปพัวพันกับตัวละครต่ำต้อยระดับนั้นมันไม่เข้าท่า เรื่องแบบนี้ให้คนระดับล่างจัดการก็พอ คนของตำหนักนารีสวรรค์หละหลวมเกินไปแล้ว ควรจะดึงสติให้พวกนางสักหน่อย”

“ขอรับ!” เว่ยซูเอ่ยรับ รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร

ตำหนักนารีสวรรค์ วันนี้เอ๋อเหมยยังรายงานทั้งเรื่องใหญ่เรื่องเล็กเกี่ยวกับวังหลังต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตามธรรมเนียม เมื่อพูดถึงเรื่องนี้นางก็ตั้งใจเอ่ยว่า “นางในเสี่ยวฮวนแอบติดต่อกับคนนอก ปลิดชีพตัวเองหนีความผิดไปแล้วเพคะ”

“เสี่ยวฮวน…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หน้าตึงโดยฉันพลัน นางย่อมรู้ว่าเสี่ยวฮวนคือใคร นั่นคือสาวใช้คนสนิทที่นางแอบฝึกเลี้ยงไว้ ทว่าภายนอกกลับคงสีหน้าท่าทางใจเย็นเอาไว้ “นางในเล็กๆ คนหนึ่งเอาความกล้าจากไหนมาติดต่อคนนอก?”

เอ๋อเหมยตอบว่า “ไม่ใช่แค่มีความกล้าเพคะ แต่มีความกล้าไม่ใช่น้อยๆ นางวิ่งไปรายงานความผิดต่อหน้าบ่าว ยอกว่าเหนียงเหนียงสั่งให้นางแอบติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อ บอกว่าเป็นเรื่องช่วงที่หนิวโหย่วเต๋อพักฟื้นในสวนกลางเขียวขจี บอกว่าช่วยเหนียงเหนียงกับหนิวโหย่วเต๋อแลกระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกันโดยตรง”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หัวใจเต้นรัวทันที ตะคอกด้วยใบหน้าตึงดุว่า “นางตัวดีสมควรตายแล้ว พูดจาเหลวไหล!”

เอ๋อเหมยจึงบอกว่า “บ่าวก็ตำหนินางอย่างนี้เช่นกัน แต่ที่สำคัญคือทางพ่อบ้านเว่ยเชื่อนางแล้ว พ่อบ้านเว่ยฝากบ่าวมาบอกเหนียงเหนียงเพคะ”

“อ้อ ไม่ทราบว่าพ่อบ้านเว่ยมีความคิดที่เหนือชั้นอะไร?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฝืนยิ้ม

เอ๋อเหมยตอบอย่างใจเย็น “พ่อบ้านเว่ยให้เหนียงเหนียงส่งมอบระฆังดาราที่เหนียงเหนียงใช้ติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อให้เพคะ บอกว่าคนฐานะระดับเหนียงเหนียงไปมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับหัวหน้าภาคต่ำต้อยเดี๋ยวจะเสื่อมเกียรติ ต่อไปนี้ให้ติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อผ่านบ่าวเท่านั้นเพคะ”

“ระฆังดาราอะไร? เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น จะให้ข้ามอบให้ได้ยังไง?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กระแทกเสียง

เอ๋อเหมยจึงบอกว่า “บ่าวเองก็บอกไปอย่างนี้เพคะ แต่ท่าทีของพ่อบ้านเว่ยดูแข็งกร้าวมาก ถึงขั้นไม่พูดด้วยเหตุผลเลย ให้บ่าวมาบอกเหนียงเหนียงว่า ให้ส่งมาเดี๋ยวนี้เลย ไม่อย่างนั้นทางตลาดผีจะมีคนควบคุมหนิวโหย่วเต๋อไว้ทันที ถ้าค้นตัวหนิวโหย่วเต๋อแล้วเจอระฆังดาราที่มีตราอิทธิฤทธิ์ของเหนียงเหนียงเมื่อไร เช่นนั้นก็รับประกันได้ยากแล้วว่าจะเกิดเหตุอะไรกับเลือดเนื้อในครรภ์ของเหนียงเหนียง แล้วเขาก็รับประกันด้วยว่าจะทำให้เหนียงเหนียงถูกถอดจากตำแหน่งราชินีภายในสามวัน ภายในสามวันนี้จะทำให้เหนียงเหนียงตกลงจากความสูงส่ง ทำให้กลายเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย จะไม่ได้รับการปกป้องจากตระกูลเซี่ยโห้ว พ่อบ้านเว่ยรับประกันว่าในวังจะมีผู้หญิงกลุ่มใหญ่ทำให้เหนียงเหนียงรู้ซึ้งถึงคำว่า ‘อยู่มิสู้ตาย’ ! พ่อบ้านเว่ยจะทำให้เหนียงเหนียงเชื่อว่าเขามีความสามารถที่จะทำได้!”

คำพูดเหล่านี้ทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว นางย่อมรู้ว่าทรัพยกรและอำนาจที่เว่ยซูสามารถใช้ได้นั้นน่ากลัวขนาดไหน นางไม่สงสัยเลยว่าเว่ยซูจะทำได้อย่างที่พูด ถ้าไม่มีเด็กในครรภ์ ถ้าไม่มีการปกป้องจากตระกูลเซี่ยโห้ว เมื่อกลายเป็นราชินีที่ถูกถอดแล้ว ก็ยังไม่รู้เลยว่าพวกนางตัวดีในวังหลังจะทรมานนางอย่างไร พอนึกถึงใบหน้างามแต่ละหน้าที่ซ่อนความโหดเหี้ยมแบบกินคนไม่เหลือกระดูก นางก็เริ่มขนลุกขนชันแล้ว ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว กลัวว่าวิธีการโหดร้ายที่ตัวเองเคยใช้กับสนมคนอื่นจะย้อนมาเกิดขึ้นกับตัวเอง

“เว่ยซูก็เป็นแค่สุนัขรับใช้ของตระกูลเซี่ยโห้ว มีหรือที่จะกล้ารังแกเจ้านาย!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ระงับความโกรธไม่ไหว

เอ๋อเหมยเห็นด้วยทันที “เหนียงเหนียงกล่าวถูกแล้ว บ่าวเองก็รู้สึกว่าพ่อบ้านเว่ยพูดแรงไป หรือไม่อย่างนั้น เหนียงเหนียงติดต่อไปฟ้องนายท่านเองเลยดีมั้ยเพคะ?”

“…” ประโยคนี้ทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พูดไม่ออก ต่อให้ฉลาดน้อยแค่ไหนแต่ก็รู้ว่าทำไมเว่ยซูถึงกล้าพูดอย่างนี้ออกมาได้ ถ้าไม่มีนายท่านชี้แนะ เว่ยซูจะกล้าพูดกับนางอย่างนี้หรือ? การที่นายท่านไม่ติดต่อมาหานางโดยตรง ก็นับว่าเหลือทางกลับตัวไว้ให้นางแล้ว แต่ถ้านางติดต่อไปหานายท่านเองเพื่อทำลายทางกลับตัวนี้ แล้วนางจะได้คำตอบอะไรดีๆ จากนายท่านงั้นเหรอ? จะลงโทษเว่ยซูหรือเปล่า? ยังไม่รู้เลยว่าจะลงโทษใครกันแน่

หรือจะฟ้องประมุขชิง? นางไม่กล้าหรอก! ตระกูลเซี่ยโห้วจับทางจุดนี้ได้แล้ว ที่จริงตระกูลเซี่ยโห้วไม่กล้าไปแตะต้องเลือดเนื้อในครรภ์ของนางเลย ประมุขชิงที่สามารถทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วอดกลั้นเก็บเรื่องราวไว้ในใจได้เป็นคนอ่อนแอเสียที่ไหนล่ะ? ลองตระกูลเซี่ยโห้วกล้าแตะต้องเลือดเนื้อเชื้อไขของประมุขชิงดูสิ!

ทว่าสมองคนเราเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับอายุ คนที่อายุเท่ากันบ้างก็ใช้ชีวิตอย่างเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ บ้างก็ใช้ชีวิตอย่างต่ำต้อยเหลือทน ไม่เกี่ยวว่าอยู่มานานหลายปีแล้วจะมีสมองที่ยอดเยี่ยม บางสิ่งคือส่วนผสมระหว่างพรสวรรค์และการฝึกฝนในภายหลัง นางไม่มีสมองและมุมมองต่อสถานการณ์ภากรวม จึงไม่กล้าบอกประมุขชิง ถ้ายั่วให้ประมุขชิงตำหนิตระกูลเซี่ยโห้วเมื่อไร นางก็จินตนาการไม่ออกเลยว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะทำอะไรนาง แค่คิดถึงผลที่ตามมานางก็กลัวแล้ว นางมากก็แค่เล่นอุบายตื้นๆ ลับหลังได้นิดหน่อย ถ้าจะพูดในเชิงลึกก็คือ เป็นเพราะในมือนางไม่มีกำลังที่จะต่อต้านหรือคานอำนาจใดๆ นางเข้าใจเช่นกันว่าประมุขชิงไม่ได้โปรดปรานนาง

แกร๊ง! สุดท้ายเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็โยนระฆังดาราอันหนึ่งลงบนพื้น นางหน้าขาวซีก หลับตาลงสองข้าง ความอัปยศนี้ฝังลึกเจ้ากระดูกนาง

เอ๋อเหมยเก็บระฆังดาราขึ้นมา แล้วนำแผ่นหยกขึ้นมาอีก บนแผ่นหยกมีตราอิทธิฤทธิ์ของหนิวโหย่วเต๋อ หลังจากเปรียบเทียบตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราจนแน่ใจแล้วว่าเป็นอันที่ใช้ติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อ นางก็เก็บไว้แล้วกล่าวคำนับ “บ่าวขอตัวเพคะ!”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ตอบกลับอะไร รอจนกระทั่งนางออกไปแล้ว รอจนตรงนี้ไม่มีคนอื่น เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถึงได้ลืมตา นางกำหมัดแน่น โกรธจนตัวสั่นหน้าเขียว นางคว้าถ้วยน้ำชาขึ้นมาเตรียมจะเขวี้ยง แต่สุดท้ายก็วางลงเบาๆ ไม่กล้าปล่อยออกจากมือ

ข้างกายมีแต่คนของตระกูลเซี่ยโห้ว ถ้าเขวี้ยงถ้วยน้ำชาจนเกิดเสียงดังให้คนเห็น เกรงว่าพวกนั้นคงจะรายงานกลับไปทางตระกูลเซี่ยโห้วทันที จะทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้ทันทีว่านางเคียดแค้นตระกูลเซี่ยโห้ว นางไม่กล้าให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้ว่านางแค้นตระกูลเซี่ยโห้วขนาดไหน ความเคียดแค้นอันไร้ที่สิ้นสุดนี้ฝังซ่อนอยู่ส่วนลึกในใจนาง บางทีถ้าไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันอาจจะไม่แค้นขนาดนี้ก็ได้ แต่เนื่องจากคนในครอบครัวเดียวกันปฏิบัติต่อนางอย่างนี้ ถึงได้ทำให้ความแค้นของนางเข้มข้น

ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้กำลังพลมาสักกลุ่ม แต่ก็ถูกตระกูลเซี่ยโห้วตัดขาดอำนาจการควบคุมไปง่ายๆ อย่างนั้นแล้ว ทุกเรื่องต้องให้คนข้างกายทำแทน นี่ก็คือการตัดขาดอำนาจการควบคุมไม่ใช่หรือ

ก็อย่างที่เซี่ยโห้วท่าบอก ตระกูลเซี่ยโห้วไม่สนใจว่านางจะแค้นหรือไม่แค้นตระกูลเซี่ยโห้ว ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วมีศักยภาพเหนือกว่า เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ยังต้องซื่อสัตย์ว่านอนสอนง่าย

ยังไม่จบเมท่านี้ ในตำหนักนารีสวรรค์เริ่มเดินการปรับปรุงจัดระเบียบใหม่แล้ว

“สนมรักกลับไปก่อนเถิด”

ประมุขชิงที่เดินออกจากประตูหลังจากมาหาความสำราญที่ตำหนักพระสนมโบกมือให้สนมที่ออกมาส่ง

หน้าตาของสนมคนนี้งดงามจนพระจันทร์และมวลหมู่บุปผายังต้องอาย ใบหน้าสดใสชื่นมื่น แก้มแดงเรื่อยังไม่จาง นางกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนขณะออกมาส่ง “หม่อมฉันน้อมส่งฝ่าบาทเพคะ”

ประมุขชิงตอบ “อื้ม” แล้วเดินก้าวยาวออกไป ซ่างกวนชิงที่เฝ้าตระประตูเดินตามหลัง เมื่อเดินออกมาสักระยะแล้ว ซ่างกวนชิงถึงได้เอ่ยเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท ทางตำหนักนารีสวรรค์มีความเคลื่อนไหวนิดหน่อย เหมือนจะมีนางในที่ไม่รู้ความถูกลงโทษตายไปหลายคนขอรับ”

“อ้อ?” ประมุขชิงทำท่าครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็แสยะหัวเราะ “ดูท่าแล้วตระกูลเซี่ยโห้วคงไหวตัวเร็วมาก เรื่องในครอบครัวพวกเขา เจ้าก็อย่ายื่นมือไปสอดเลย ให้เฉิงอวี่จัดการเอาเอง ให้นางได้เห็นว่าครอบครัวตัวเองทำกับนางยังไงก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่เลอะเลือนเรื่องจุดยืนของตัวเอง ในโลกนี้มีใครไม่รู้บ้างว่าแต่งกับไก่ต้องตามไก่ แต่งกับสุนัขต้องตามสุนัข แต่นางล่ะ? นางต้องเข้าใจว่าลูกในท้องนางต่างหากที่จะเป็นที่พึ่งของนางไปทั้งชีวิต ไม่ใช่ตระกูลเซี่ยโห้วอะไรนั่น นางควรจะเสียเปรียบเพื่อให้ตัวฉลาดขึ้นสักหน่อย ไม่อย่างนั้นหากลูกชายเกิดแล้วเติบโตอยู่ข้างกายนาง ข้าก็ไม่วางใจจริงๆ หึ!”

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงยิ้มบางๆ

ส่วนสนมคนนั้นก็ยืนอยู่ตรงประตูอยู่นานโดยไม่ยอมหันกลับไป มองส่งประมุขชิงเดินจากไปจนไกล เหมือนอยากจะให้ทุกคนรู้ใจจะขาดว่าประมุขชิงเพิ่งออกมาจากตำหนักของนาง

สถานการณ์ที่วุ่นวายไร้ความแน่นอนในวังหลังก็เป็นอย่างนี้ โลกภายนอกวังก็มีการเปลี่ยนแปลงอีกอย่าง ผู้ที่ตำหนักนารีสวรรค์ส่งไปถ่ายทอดคำสั่งที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็คือตงฟางเลี่ย

ตำแหน่งต่างๆ ของกำลังพลหนึ่งแสนยังไม่ได้ถูกกำหนดแน่นอน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทั้งยังเป็นความประสงค์ของเบื้องบน จะต้องหาใครบางคนมาเป็นพยานอยู่แล้ว นอกจากพวกหยางเจาชิงและคนข้างกาย เหมียวอี้เรียกนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพสามสิบคนมาเติมจำนวนตรงนั้น อวิ๋นจือชิวหลบอยู่หลังตำหนัก นางไม่ได้มีฐานะขุนนาง ไม่สะดวกจะออกหน้ารับคำสั่ง

ถึงแม้ทุกคนจะเดาเนื้อหาคร่าวๆ ของคำสั่งนี้ได้ล่วงหน้า แต่เมื่อตงฟางเลี่ยประกาศคำสั่งต่อหน้าทุกคนอย่างเป็นทางการ ในดวงตาทุกคนก็ฉายแววตื่นเต้นฮึกเหิม หัวหน้าภาคเชียวนะ! แม่ทัพภาคเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาคแล้ว แสดงว่าต้องมีตำแหน่งมากมายขนาดไหนที่รอคนไปเติม คาดว่าแต่ละคนที่อยู่ตรงนี้คงได้ชุ่มฉ่ำน้ำฝนไปด้วย เพิ่งมาได้ไม่นานก็จะได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว คิดไปคิดมาก็พบว่าการมาขอพึ่งพาที่นี่ช่างคุ้มค่า ดีกว่าเป็นพวกเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดินไปตลอดชีวิต

มีอยู่ข้อหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ นั่นก็คือเหมียวอี้คงไม่ให้คนนอกมารับตำแหน่งในจวนหัวหน้าภาคหรอก ถ้าทำอย่างนั้นก็ถือว่าล่วงเกินลูกน้องหมดแล้ว ทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมกับตำแหน่งพวกนี้แน่นอน ทว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้ทุกคนอดสงสัยไม่ได้ นั่นก็คือทุกคนยศต่ำขนาดนี้ บางตำแหน่งถ้าให้พวกเขาไปนั่งโดยตรงก็เหมือนจะไม่ค่อยสอดคล้องกับกฎระเบียบ ท่านหัวหน้าภาคก็เหมือนจะช่วยเลื่อนขั้นให้ทุกคนต่อเนื่องกันโดยไร้เหตุผลไม่ได้

หลังจากฟังคำสั่งจบแล้ว เหมียวอี้ก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าและใช้สองมือรับคำสั่ง “ข้าน้อยน้อมรับบัญชา!”

ตงฟางเลี่ยที่ส่งต่อคำสั่งเรียบร้อยแล้วมองทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ในใจรู้สึกปลงไม่หยุด จากนั้นก็ยิ้มให้เหมียวอี้ “หัวหน้าภาคหนิว ยินดีด้วย!”

“ลำบากนายท่านตงฟางแล้ว” เหมียวอี้กล่าวตามมารยาท จากนั้นก็ถ่ายทอดคำสั่งต่อลงไป ส่งให้ทุกคนตรงนั้นได้ตรวจอ่าน ที่จริงแล้วเป็นการพิสูจน์ว่าตงฟางเลี่ยปลอมแปลงคำสั่งหรือไม่ ฐานะหัวหน้าภาคของเขาได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการโดยตำหนักนารีสวรรค์

“ภารกิจรักษาความปลอดภัยของกองทัพองครักษ์เสร็จสิ้นแล้ว กำลังจะถอนกำลังเดี๋ยวนี้ เรื่องราวที่เหลือล้วนอยู่ในภาระหน้าที่ของหัวหน้าภาคหนิว กองทัพองครักษ์ไม่รบกวนแล้ว” ตงฟางเลี่ยกล่าว

“หลังจากนายท่านตงฟางมาที่นี่ หนิวก็ยุ่งอยู่กับการรับสมัครคนตลอด ยังไม่ได้แสดงไมตรีของเจ้าบ้านเต็มที่เลย นายท่านตงฟางอยู่ต่อสักสองสามวันเถอะ ให้หนิวได้แสดงน้ำใจ”

“หัวหน้าภาคหนิวเกรงใจแล้ว ข้ายังต้องกลับไปรายงานผลการปฏิบัติงานอีก ยิ่งไปกว่านั้นจวนหัวหน้าภาคก็เพิ่งอยู่ในจุดเริ่มต้น เรื่องในขอบข่ายงานยังมีอีกเยอะ หัวหน้าภาคหนิวอาจต้องจัดการอีกหลายเรื่อง ข้าไม่รบกวนแล้ว ในภายหลังก็ว่ากัน”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เคารพมิสู้ทำตามคำสั่ง”

ทั้งสองกล่าวอำลาตามมารยาท จากนั้นก็ทำหนังสือปิดงาน เมื่อพิสูจน์ว่าอีกคนถ่ายทอดคำสั่งลงมาถึงแล้ว และอีกคนก็รับคำสั่งแล้ว

ลูกน้องแต่ละคนที่ได้อ่านคำสั่งสะท้อนใจไม่หยุด เรื่องที่แม่ทัพภาคหนิวเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาคหนิวนับว่าจบลงด้วยความสำเร็จ เจ้าหนุ่มนี่เริ่มต้นจากการเป็นทหารเลวที่ตลาดสวรรค์ นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่ปีก็ไต่เต้าถึงตำแหน่งหัวหน้าภาคแล้ว เป็นความเร็วของเทพอย่างแท้จริง พวกลูกหลานขุนนางส่วนใหญ่ยังไม่เร็วเท่านี้เลย คนส่วนใหญ่ก็ยิ่งไม่มีโอกาสนี้เลยทั้งชีวิต ไม่รู้ว่าจะมีวันที่เขาได้ยืนประชุมในราชสำนักหรือไม่

…………………………

การประชุมของตำหนักสวรรค์เดือนนี้ แต่ละฝ่ายล้วนจับตาดู ครบกำหนดเวลาเดิมพันที่ตั้งขึ้นในงานเลี้ยงท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้ว ต้องรู้ผลแพ้ชนะชัดเจน ก่อนการประชุมราชสำนักเริ่ม ประมุขชิงได้สั่งให้คนประกาศรายชื่อทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีให้กลุ่มขุนนางในที่ประชุมรู้แล้ว ทำเอาทั้งราชสำนักตกตะลึงพรึงเพริด ไม่น่าเชื่อว่ากำลังพลหนึ่งแสนจะไม่มีใครระดับต่ำกว่าบงกชรุ้งขั้นหนึ่งเลยสักคน ในจำนวนนั้นมีนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพตั้งสามสิบกว่าคน

รอจนขุนนางในราชสำนักสงบสติอารมณ์แล้ว ประมุขชิงถึงได้เสด็จเข้ามาอย่างเอื่อยเฉื่อย เขาเองก็ไม่ได้เอ่ยเรื่องเดิมพันในราชสำนัก ที่นี่ไม่ใช่งานเลี้ยงวันเกิดของเซี่ยโห้วท่า แต่กลับตำหนิติเตียนโหวสี่ตำแหน่งของสี่ทัพ ไม่รู้ว่าฟื้นฝอยหาตะเข็บมาจากไหน แล้วก็ถอดโหวสี่ตำแหน่งนี้เสียเลย เลือกคนจากกองทัพองครักษ์ไปรับตำแหน่งแทน ขุนนางเต็มราชสำนักเงียบงัน ไม่มีใครคัดค้าน เป็นเรื่องที่รู้ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนเข้าประชุมแล้ว ประมุขชิงจะต้องถอนคนลงจากตำแหน่งแน่นอน แค่คอยดูว่าใครจะซวยก็เท่านั้นเอง

สำหรับกลุ่มขุนนาง สิ่งที่พวกเขาสนใจในวันนี้ไม่ใช่เรื่องนี้แล้ว ตั้งแต่โจวจ้าวถูกอ๋องสวรรค์ก่วงกวาดล้าง ตั้งแต่ได้เห็นรายชื่อสมาชิกจวนแม่ทัพภาคตลาดผี บางคนถึงขั้นตระหนักได้ตั้งแต่ก่อนเห็นรายชื่อแล้วว่าสี่ทัพกำลังเผชิญกับคลื่นคลั่งโหมซัดสาด ผู้ที่ทำให้ทุกคนเครียดไม่ใช่ประมุขชิง แต่เป็นสี่อ๋องสวรรค์ต่างหาก ทุกคนตระหนักได้ถึงผลที่ตามมาหลังจากรายชื่อที่ปรากฏแล้ว โอกาสที่จะปะทุมาถึงแล้ว

ดังนั้นการประชุมราชสำนักวันนี้จึงค่อนข้างสงบ ทุกคนต่างก็มีเรื่องหนักใจของตัวเอง ประมุขชิงแทบจะพูดอยู่คนเดียว

ประมุขชิงถ่ายทอดคำสั่งแต่งตั้งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลอย่างเป็นทางการ หนิวโหย่วเต๋อตลาดผีแม่ทัพภาคเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้ว ข้อนี้ไม่มีใครคัดค้าน

จนกระทั่งเอ่ยหัวข้อสุดท้ายขึ้นมา ถึงได้ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวนิดหน่อย ประมุขชิงถ่ายทอดคำสั่งให้แดนรัตติกาลอยู่ใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์ ครั้งนี้เซี่ยโห้วท่าไม่ได้เข้าร่วมประชุม เซี่ยโห้วลิ่งลูกชายของเขาออกมาคัดค้าน กำลังพลเครือข่ายตระกูลเซี่ยโห้วก็ออกมาคัดค้านเช่นกัน โพ่จวินผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายออกมาคัดค้าน การที่ผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์ออกมาคัดค้านประมุขชิงอย่างเปิดเผยเป็นเรื่องที่พบได้ไม่บ่อยเลย ทำเอาประมุขชิงสีหน้าแย่มาก อู๋ฉวี่ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ขวาเงียบไว้ตลอด ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนไม่ได้แสดงท่าที

ใครจะคิดว่าขุนนางใหญ่เครือข่ายสี่ทัพกลับส่งเสียงเห็นด้วยเป็นแถบๆ ต่อให้มีโพ่จวินกระโดดออกมาช่วย แต่ก็กลบเสียงที่ไม่ดังของเครือข่ายตระกูลเซี่ยโห้วมิดแล้ว ทำให้บัญชาสวรรค์ข้อนี้ของประมุขชิงผ่านไปอย่างราบรื่น และเริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แดนรัตติกาลก็มีเจ้าของอย่างเป็นทางการ ตำหนักนารีสวรรค์!

หลังจากการประชุมจบลง เซี่ยโห้วลิ่งก็ออกไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง ขุนนางใหญ่ของสี่ทัพยังไม่ทันออกจากวังสวรรค์หมดก็ทยอยกันถูกสี่อ๋องสวรรค์เรียกรวมแล้ว สั่งให้พวกเขาแยกย้ายกันไปที่ประชุมที่ศูนย์ของสี่ทัพของตัวเอง ศูนย์กลางของสี่ทัพก็ย่อมหมายถึงสี่อ๋องสวรรค์อยู่แล้ว

เมื่อมีคำสั่งประมุขชิง ทุกอย่างก็คุยกันง่าย ใช้เวลาไม่นาน ตำหนักสวรรค์ก็ส่งสมาชิกกองทัพองครักษ์ไปถ่ายทอดคำสั่งที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี เมื่อคำสั่งนี้ออกมา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ตื่นเต้นจนเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักนารีสวรรค์ไม่หยุด ขณะเดียวกันก็ประหม่าแทบแย่ ไม่รู้ว่าทางตระกูลเซี่ยโห้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

พอเดินมาถึงประตู นางก็มองสิ่งปลูกสร้างอันงดงามหรูหราของวังสวรรค์ด้านนอก แล้วก้มหน้าลูบท้องตัวเอง ตอนนี้นี่คือที่พึ่งที่ดีที่สุดของนางแล้ว

จวนท่านปู่สวรรค์ เซี่ยโห้วลิ่งที่กลับมาจากประชุมราชสำนักมีสีหน้าสงบนิ่ง คนของจวนท่านปู่สวรรค์มองไม่ออกว่าเขามีความผิดปกติใดๆ แต่พอเข้ามาในอุทยานหลวง ในที่สุดใบหน้าของเขาก็บึ้งตึงแล้ว ระเบิดอารมณ์ที่แท้จริงออกมาแล้ว

ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า เซี่ยโห้วท่านเอนกายงีบอยู่บนเก้าอี้นอน เว่ยซูยืนเงียบสงบอยู่ข้างกัน

ฃหลังจากเซี่ยโห้วลิ่งเดินหน้าดำคร่ำเครียดเข้ามาทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวเสียงเข้มว่า “ท่านพ่อ เกิดเรื่องที่ราชสำนักแล้ว ประมุขชิงยื่นมือมาฝั่งพวกเราแล้วขอรับ”

เว่ยซูเอ่ยว่า “คุณชายรองขอรับ นายท่านเพิ่งทราบเรื่อง พอหลังจากราชินีสวรรค์ได้รับคำสั่ง ก็ส่งข่าวมาอธิบายแล้ว นางบอกว่านางไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย”

เซี่ยโห้วลิ่งแสยะยิ้ม “ประมุขชิงคิดจะทำอะไร?”

ในขณะนี้เอง เซี่ยโห้วท่าที่กำลังนอนเอนกายก็พลันลืมตาแล้วเอ่ยถาม “ตอนหนิวโหย่วเต๋อโดนทำโทษที่พระตำหนักอุทยาน คนของตำหนักนารีสวรรค์ไปช่วยได้ทันเวลา ตอนหนิวโหย่วเต๋อพักฟื้นอยู่ที่สวนกลางเขียวขจี ตำหนักนารีสวรรค์ก็ส่งคนไปเยี่ยมอีก เฉิงอวี่นางหนูนั่นเหมือนจะสนใจหนิวโหย่วเต๋อมาก เว่ยซู ไปถามสถานการณ์ตอนตำหนักนารีสวรรค์ได้รับคำสั่งมาหน่อย”

เซี่ยโห้วลิ่งพลันหรี่ตา ในร่องตาฉายแววดุร้ายรางๆ

เว่ยซูทำสีหน้าตกใจทันที เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อตำหนักนารีสวรรค์

หลังจากนั้นไม่นาน เว่ยซูก็เก็บระฆังดารา แล้วโค้งตัวเล็กน้อยไปทางเก้าอี้นอน “นายท่าน ตอนที่คำสั่งของประมุขชิงไปถึงตำหนักนารีสวรรค์ ราชินีสวรรค์ก็ไม่ได้ปฏิเสธใดๆ แต่รับคำสั่งทันทีเลยขอรับ”

เซี่ยโห้วท่าที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้นอนยังคงไม่สะทกสะท้าน กล่าวช้าๆ โดยไม่ลืมตาว่า “ถ้านางหนูเฉิงอวี่นั่นไม่เต็มใจ ต่อให้ประมุขชิงถ่ายทอดคำสั่งนี้ก็ไม่มีความหมายอะไร เปลี่ยนแปลงความจริงอะไรไม่ได้แล้ว สงสัยประมุขชิงกับนางหนูเฉิงอวี่คุยปรึกษาเรื่องนี้กันก่อนหน้านั้นแล้ว นางรู้เรื่องล่วงหน้า แต่กลับไม่บอกทางนี้ สงสัยนางหนูนั่นจะคับแค้นตระกูลเซี่ยโห้วอยู่บ้าง!”

“นางคิดจะทำอะไร?” เซี่ยโห้วลิ่งถามด้วยเสียงขุ่นเคือง แล้วเดินไปเดินมาราวกับสิงโตที่โดนยั่วโมโห เขาชี้ไปด้านนอกพลางตำหนิว่า “นางนึกว่านางได้นั่งตำแหน่งนั้นแล้วจะเป็นมารดาแห่งใต้หล้าจริงๆ แล้วเหรอ? ไม่คิดบ้างล่ะว่าใครสนับสนุนให้นางขึ้นตำแหน่งนั้น? แต่ไหนแต่ไรมา ล้วนเป็นตึกศาลาสัตยพรตที่มีอำนาจตัดสินใจที่ตลาดผี นางไม่คิดดูบ้างว่าประมุขชิงแบ่งอาณาเขตส่วนนั้นให้นางเพราะมีจุดประสงค์อะไร เสือสองตัวอยู่ภูเขาเดียวกันไม่ได้ ชัดเจนว่ากำลังเสี้ยมให้นางกับตระกูลเซี่ยโห้วแตกคอกัน ถ้าไม่มีการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้ว นางจะมีที่ยืนในวังสวรรค์เหรอ? นึกไม่ถึงว่าจะโง่เง่าถึงขั้นนี้ ถูกคนหลอกใช้ประโยชน์แล้ว! การที่ขุนนางใหญ่ในราชสำนักคอยยุยงปลุกปลั่นเติมเชื้อไฟหมายความว่าอะไรล่ะ หมายความว่าทุกคนเข้าใจเจตนาของประมุขชิงแล้วไง มีเพียงนางที่โง่เกินเยียวยา!”

เซี่ยโห้วท่าที่ยังไม่ลืมตากล่าวเสียงเรียบ “ตอนนี้นางมีต้นทุนสำหรับยืนในวังสวรรค์แล้วจริงๆ ท้องโย้ของนางก็คือต้นทุนใหญ่สุดที่ทำให้นางได้รับการสนับสนุนจากประมุขชิง คนเราถ้าไม่มีความมั่นใจก็ไม่กล้าหรอก เมื่อมีความมั่นใจก็ย่อมลงมือทำ”

“ข้าประเมินนางต่ำไปจริง นึกไม่ถึงว่าจกล้าแว้งกัด ตระกูลเซี่ยโห้วทำให้ท้องนางใหญ่ได้ ก็ทำให้ท้องนางแบนกลับเข้าไปได้เหมือนกัน!” เซี่ยโห้วลิ่งยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเดือดดาล

เว่ยซูฟังแล้วแอบตกใจ อย่าบอกนะว่าจะลงมือกับท้องราชินีสวรรค์ที่วังสวรรค์? เกรงว่าถ้าทำให้วุ่นวายอย่างนั้นจริง ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีหัวคนร่วงลงพื้นเยอะขนาดไหน

“เจ้ารอง เจ้ากำลังพูดจาเหลวไหล ถึงอย่างไรในท้องของนางหนูนั่นก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของประมุขชิง เป็นญาติที่ใกล้ชิดที่สุดเพียงคนเดียวของประมุขชิง ไม่ว่าใครที่แตะต้องท้องของนางหนูนั่น ก็เท่ากับล้ำเส้นประมุขชิงแล้ว ผลที่ตามมาก็คือราคามหาศาลที่ตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องจ่าย เจ้าเองก็พูดถูก ประมุขชิงทำอย่างนี้ก็เพราะจงใจเสี้ยมความสัมพันธ์ระหว่างนางหนูกับตระกูลเซี่ยโห้ว ถ้าสืบจนถึงแก่นแท้แล้ว ก็คือไม่อยากให้สายเลือดในท้องนางหนูได้รับอิทธิพลจากตระกูลเซี่ยโห้วมากเกินไป” เซี่ยโห้วท่ากล่าว

เซี่ยโห้วลิ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “วิธีการนี้ของประมุขชิงโหดเกินไปแล้ว ในเมื่อเฉิงอวี่มีความตั้งใจ ลองให้นางเคยลิ้มรสชาติของผลประโยชน์ดูแล้ว ถ้าในระหว่างนั้นตระกูลเซี่ยโห้วฝืนตัดผลประโยชน์ในมือนาง ในใจนางคงจะแค้นตระกูลเซี่ยโห้วเข้ากระดูก แต่ถ้าปล่อยให้นางทำตามอำเภอใจอย่างนี้ ในอนาคตก็อาจจะจัดการยาก พวกเราหลบหลุมพรางนี้ของประมุขชิงไม่พ้น ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นยังไง ก็ต้องกดดันให้ระหว่างพวกเรากับเฉิงอวี่เกิดรอยร้าว!”

“เจ้าจะร้อนใจทำไม? เกิดเรื่องขึ้นก็แก้ปัญหาสิ กังวลมากไปก็ไม่มีประโยชน์” เซี่ยโห้วท่าลืมตาจ้องเซี่ยโห้วลิ่ง กดดันให้ความโหดเหี้ยมบนใบหน้าเซี่ยโห้วลิ่งลดลง เซี่ยโห้วท่ายืนขึ้น เว่ยซูก้าวขึ้นไปประคอง หลังจากลุกขึ้นแล้วก็เดินเนิบนาย “เจ้านึกว่าถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้วเฉิงอวี่จะไม่เกลียดตระกูลเซี่ยโห้วเหรอ? ถ้าไม่ได้นั่งตำแหน่งนั้นก็ว่าไปอย่าง พอนั่งตำแหน่งนั้นแล้วกลับถูกคนครอบงำมาหลายปี ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้าก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน มีอะไรน่าแปลกใจล่ะ เป็นเรื่องที่อยู่ในการคาดเดาอยู่แล้ว แค่จะปะทุขึ้นมาเมื่อไรก็เท่านั้นเอง ในปีที่ส่งนางเข้าวังข้าก็เตรียมใจไว้แล้ว”

เซี่ยโห้วลิ่งอึ้งไปชั่วขณะ วางใจแล้วไม่น้อย เดินตามหลังเขาพร้อมถามว่า “พูดแบบนี้ แสดงว่าท่านพ่อเตรียมรับมือไว้ตั้งแต่แรกแล้วหรือขอรับ?”

“หึหึ” เซี่ยโห้วลิ่งส่ายหน้าถอนหายใจ “ต้องรับมือด้วยเหรอ? เฉิงอวี่จะดีใจก็ช่าง จะไม่ดีใจก็ช่าง จะเกลียดตระกูลเซี่ยโห้วก็ได้ หรือจะไม่เกลียดตระกูลเซี่ยโห้วก็ได้ จุดสำคัญอยู่ที่ว่าตระกูลเซี่ยโห้วเองมีศักยภาพเพียงพอหรือเปล่า มีแต่ต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่งกว่าเท่านั้น ต่อให้นางจะเกลียดตระกูลเซี่ยโห้วแล้วยังไงล่ะ จะเปลี่ยนอะไรได้งั้นหรือ? ขนาดประมุขชิงยังเปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้ มีหรือที่นางจะเปลี่ยนแปลงได้? ตราบใดที่พวกเราแข็งแกร่งกว่า ไม่ว่าจะเป็นปัจจุบันหรืออนาคต นางก็ล้วนต้องพึ่งพาตระกูลเซี่ยโห้ว นางยังเป็นลูกสาวของตระกูลเซี่ยโห้วอยู่วันยังค่ำ ยังเกรงกลัวตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนเดิม หลังจากเด็กในท้องนางเกิดมาแล้ว ก็ต้องขอการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้ว นี่ต่างหากที่เป็นแก่นแท้ความจริง ความเกลียดชังอย่างอื่นล้วนเป็นสิ่งที่ปรากฏภายนอกเท่านั้น คนที่เกลียดตระกูลเซี่ยโห้วมีน้อยเสียที่ไหน? คนที่ร้อนใจอยากจะกำจัดตระกูลเซี่ยโห้วมีน้อยหรือไง? ไปแยแสอะไรกับนางคนเดียว เจ้าน่ะ พอมีเรื่องมากขึ้นหน่อย ตัวเองก็ร้อนใจถึงขนาดนี้แล้วเหรอ?”

เซี่ยโห้วลิ่งรีบตอบว่า “ลูกชายเพียงแค้นใจคนที่กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ไม่กลัวคลื่นลมข้างนอก กลัวก็แต่ความวุ่นวายในรังตัวเอง ถึงได้ร้อนใจไปชั่วขณะ”

“กลัวก็แต่ความวุ่นวายในรังตัวเอง พูดได้ดีเชียว!” เซี่ยโห้วท่าหันกลับมา มองเซี่ยโห้วลิ่งด้วยแววตาล้ำลึก จากนั้นเดินไปข้างหน้าต่อ พลางกล่าวช้าๆ “พวกเจ้าไม่แปลกใจเหรอ? เฉิงอวี่รู้อยู่แจ่มแจ้งว่ารอบกายเต็มไปด้วยคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ต่อให้ได้กำลังพลกลุ่มนั้นมา แต่ก็ถูกตระกูลเซี่ยโห้วควบคุมทางอ้อมอยู่ดี ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีทางปล่อยให้นางถือวิสาสะทำซี้ซั้วง่ายๆ แน่ เช่นนั้นนางทำอย่างนี้ยังจะมีความหมายอีกหรือ? สิ่งเดียวที่อธิบายได้ก็คือ นางสามารถกระโดดข้ามตระกูลเซี่ยโห้วไปติดต่อกับกำลังพลกลุ่มนั้นได้โดยตรง หรือไม่นางก็สามารถติดต่อกับผู้ควบคุมกำลังพลกลุ่มนั้นได้โดยตรง นั่นก็คือหนิวโหย่วเต๋อ เฉิงอวี่ นางหนูนั่นไปติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อโดยตรงตั้งแต่เมื่อไรกัน? ทำไมคนข้างกายนางถึงไม่รู้เรื่องนี้สักนิด?

ไม่ง่ายเลยกว่าจะบีบกำลังพลกลุ่มนั้นไว้ในมือได้ ข้าว่านางเองก็ไม่อยากถูกบงการจากคนอื่น ไม่อยากให้ทุกเรื่องต้องผ่านมือฝั่งประมุขชิงเหมือนกัน ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ก็ตัดความเป็นได้ที่นางจะยอมขัดใจตระกูลเซี่ยโห้วเพื่อควบคุมกำลังพลกลุ่มนี้ออก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าปัญหานี้จะเกิดที่ข้างกายนาง เป็นไปไม่ได้ที่นางจะถ่อไปเจอกับหนิวโหย่วเต๋อเพียงลำพัง และการที่เฉิงอวี่จะมีความทะเยอะทะยานนี้ได้ ก็ต้องเป็นตอนที่การเดิมพันเริ่มขึ้นแล้วสิ ถ้ามองไม่เห็นทิวทัศน์ข้างหน้า นางคงไม่ทำอย่างนี้ ย่อขอบเขตให้เล็กลง ให้เหลือแค่คนที่เคยเจอกับหนิวโหย่วเต๋อในช่วงนั้น เว่ยซู คนของตำหนักนารีสวรรค์ ตรวจสอบ!”

“ขอรับ!” เว่ยซูกุมหมัดเอ่ยรับ แล้วหันตัวเดินจากไป รีบไปจัดการเรื่องนี้

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ในตำหนักนารีสวรรค์ก็มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย ในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง เอ๋อเหมยกำลังใช้สายตาเย็นเยียบมองเทพธิดาคนหนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องล่าง ใบหน้าเทพธิดาคนนั้นเต็มไปด้วยความหวาดวิตก กล่าวเสียงสั่นว่า “กูกู ไม่ทราบว่าเรียกบ่าวมาพบเพราะเรื่องอะไรคะ?”

“ระหว่างที่หนิวโหย่วเต๋อพักฟื้นที่สวนกลางเขียวขจี ได้ยินว่าตำหนักนารีสวรรค์มีคนแอบไปพบหนิวโหย่วเต๋อเงียบๆ ที่สวนกลางเขียวขจี เจ้ารู้มั้ยว่าเป็นใคร?” เอ๋อเหมยถามเสียงเย็น

เมื่อได้ยินคำถามนี้ เทพธิดาก็ตกใจจนคุกเข่าเสียงดังตุ้บ ใบหน้าซีดเผือด กลัวจนตัวสั่น

…………………………

เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ขอเพียงฝั่งอ๋องสวรรค์ฮ่าวให้ราคาเหมาะสม ถ้าข้าได้กำไรข้าก็ไม่ห้ามไม่ให้เจ้าไปหรอก”

ทำอย่างกับพวกเราเป็นของซื้อของขายอย่างนั้นแหละ ชิงเยว่อดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่เขา “นายท่านไม่จำเป็นต้องทดสอบข้าหรอก หลักการก็เหมือนกับหลงซิ่น ตั้งแต่วินาทีที่ทรยศทัพใต้มาขอพึ่งพาจวนแม่ทัพภาค ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกลับทัพใต้อีก ซูอวิ้นรับประกันไม่ได้ว่าคนอื่นจะไม่เล่นงานข้าถึงตาย ก็อย่างที่หลงซิ่นบอก ถ้าทรยศแล้วกลับไปยังอยู่ดีมีสุข พวกเขาก็ไม่ปล่อยให้พวกเราเงยหน้าอ้าปากง่ายๆ หรอก”

“จะทรยศหรือไม่ก็อธิบายได้ง่ายมาก พวกเขาก็อ้างได้ว่าพวกเจ้าได้รับคำสั่งทำให้มาทำงาน” เหมียวอี้กล่าว

ชิงเยว่หันตัวมา แล้วเตือนอย่างจริงจัง “นายท่านพลิกเมฆคว่ำฝนที่งานเลี้ยงจนเกิดการเดิมพัน เป็นคนฉลาด อย่าบอกนะว่ามองจุดประสงค์ของพวกเขาไม่ออก? ถ้าดึงตัวพวกเรากลับไปได้ก็ถือว่าได้กู้หน้ากลับคืน แต่ถ้าดึงกลับไม่ได้ การกระทำนี้ก็สามารถทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรากับนายท่านห่างเหินกัน พวกเขากำลังยิงธนูดอกเดียวได้สองนัก เจตนาทำให้พวกเราเข้ากันไม่ได้ หวังว่าจะยืมมือนายท่านมาข่มเหงพวกเราไง ทำให้พวกเราประสบความสำเร็จอยู่ที่นี่ไม่ได้ หลังจากขัดแย้งกันรุนแรงแล้ว ก็ทำให้พวกเราก่อเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อนายท่านได้อีก ข้าพูดเท่านี้นแหละ หวังว่านายท่านจะฟังเข้าใจ ถ้านายท่านคาใจ บอกมาตรงๆ เลยก็ได้ พวกเราไปซะก็สิ้นเรื่อง”

เหมียวอี้กล่าวปนหัวเราะ “แค่ล้อเล่นกับพวกเจ้าเอง ทำไมต้องคิดเป็นจริงเป็นจัง ข้าจะมองเจตนาของพวกเขาไม่ออกได้ยังไง เห็นได้ชัดว่าถ้าข้าไม่ตอบตกลง พวกเจ้าก็ไปไม่ได้ พวกเขาไม่มาหาข้า แต่กลับไปหาพวกเจา ชัดเจนว่าเจตนาไม่ซื่อ”

หลงซิ่นเหล่ตาถาม “จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกเหมือนกัน คนฝั่งอ๋องสวรรค์ก่วงบอกมา บอกว่าลูกสาวอ๋องสวรรค์ก่วงที่ชื่อก่วงเม่ยเอ๋อร์เป็นสหายนายท่าน ขอเพียงข้าตอบตกลง ทางนั้นก็จะให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์มาคุยกับนายท่านด้วยตัวเอง ไม่ทราบว่ามีเรื่องแบบนี้จริงมั้ย?”

“ก่วงเม่ยเอ๋อร์…” เหมียวอี้อึ้งทันที ชั่วพริบตาเดียวก็นึกถึงผู้หญิงที่ทำให้คนใจเต้นแรง ช่างเป็นหญิงงามช่างยั่วเหมือนกับชื่อของนาง ท่วงท่าชดช้อยเป็นธรรมชาติอย่างที่พบเห็นได้ยาก นึกถึงภาพที่ตัวเองลูบคลำบนเรือนร่างเย้ายวนของผู้หญิงช่างยั่วคนนั้น รสสัมผัสมือควรค่าแก่การหวนนึกถึง บนมือราวกับยังติดกลิ่นหอม…

ไม่นานก็ใกล้จะครบเวลาจำกัดหนึ่งปี ตงฟางเลี่ยมีมาตรวจสอบเป็นระยะในระหว่างนั้นโล่งอกแล้ว ความเร็วที่เพิ่มขึ้นของกำลังพลประจำการที่นี่ก็พิสูจน์แล้วว่าการเกิมพันไม่มีปัญหาเลย เพื่อที่จะป้องกันเหตุไม่คาดคิด เขาย้ายทัพใหญ่อีกกลุ่มมารักษาความปลอดภัยที่นี่

และในระหว่างนั้น ต่อให้ขอบเขตการรับสมัครจะกำหนดไว้แล้ว แต่การสัมภาษณ์เข้าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีกลับยังไม่หยุด ประการแรกก็เพื่อปิดบังการตรวจสอบอย่างลับๆ ประการต่อมาก็เพราะอยากได้รายชื่อมากๆ หน่อย ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะได้ใช้ประโยชน์ นี่คือความคิดของหยางชิ่ง เหมือนหยางชิ่งจะมีแผนการอีกอย่าง เพียงแต่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ยังไม่ได้บอกเหตุผลโดยละเอียดกับเหมียวอี้

จนกระทั่งเวลาการเดิมพันใกล้จะสิ้นสุด กำลังพลหนึ่งแสนครบแล้ว จวนแม่ทัพภาคตลาดผีถึงได้ประกาศหยุดสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ สุดท้ายก็ทำให้กระแสผู้คนที่เบียดแน่นที่ตลาดผีเริ่มกลับสู่สภาพปกติ ส่วนจะมีคนเท่าไรที่ผิดหวังกลับไป เหมียวอี้ก็ไม่มีกำลังจะช่วยแล้วเช่นกัน

ส่วนโครงสร้างสมาชิก เหมียวอี้เก็บเป็นความลับตลอด นี่ก็เป็นความคิดของหยางชิ่งเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ข่าวหลุดเร็วเกินไปจนเกิดอุปสรรคอะไรอีก

ทว่าวันนี้ จู่ๆ เหมียวอี้ก็ได้รับข่าวจากหยางชิ่ง บอกให้เขาแอบรายงานรายชื่อสมาชิกให้ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รู้ก่อน

เหมียวอี้แปลกใจ ถามกลับว่า : เจ้าบอกให้เก็บเป็นความลับไม่ใช่เหรอ?

หยางชิ่ง : นี่เป็นประสงค์ของสายลับหกลัทธิที่อยู่ตำหนักสวรรค์ ต้องเก็บเป็นคามลับจริงๆ แต่ต้องแอบให้ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รู้ด้วย ต้องเก็บเป็นความลับ อย่าให้คนอื่นของตำหนักนารีสวรรค์รู้ ให้ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รู้คนเดียวเท่านั้น!

สำหรับเหมียวอี้ นี่ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร ครั้งก่อนตอนอยู่สวนกลางเขียวขจี เขาก็แอบได้รับระฆังดาราสำหรับติดต่อราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แล้ว เขาไม่รู้ว่าเหตุใดราชินีสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยถึงต้องแอบติดต่อกับเขาโดยตรง อีกทั้งเทพธิดาที่แอบมาติดต่อให้ก็กำชับเขาว่าห้ามบอกใคร เรื่องนี้นอกจากเขากับอวิ๋นจือชิวก็ไม่มีคนอื่นรู้แล้วจริงๆ

ตอนนี้เหมียวอี้ระแวงสงสัยไม่หยุด : สายลับนั่นมีจุดประสงค์อะไร?

หยางชิ่ง : ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไร แต่ในเมื่อสายลับนั่นเตรียมการอย่างนี้แล้ว ก็น่าจะมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย คาดว่านายท่านน่าจะมีข้อมูลอยู่ในใจแล้ว

ความหมายแฝงในคำพูดทำให้เหมียวอี้ตกอยู่ในความเงียบ

“ได้ทหารเกรียงไกรหนึ่งแสนครบแล้ว นี่คือรายชื่ออย่างเป็นทางการ หวังว่าตอนนายท่านตงฟางกลับวังสวรรค์ จะช่วยรายงานต่อตำหนักสวรรค์แทนข้าด้วย”

ในจวนแม่ทัพภาค หลังจากเตรียมเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแลว เหมียวอี้ก็ไปหาตงฟางเลี่ยด้วยตัวเอง นำแผ่นหยกรายชื่อส่งให้ตงฟางเลี่ย มีสองฉบับเพื่อป้องกันความผิดพลาด

“อืม ข้าย่อมส่งไปให้อยู่แล้ว” ตงฟางเลี่ยรับมาไว้ในมือ หลังจากอ่านดูครู่หนึ่งเพื่อยืนยันว่าคือรายชื่อแล้วก็เก็บไว้ จากนั้นทำหนังสือส่งต่องานสองฉบับ ทั้งสองนับว่าปิดงานของกันและกันแล้ว

หลังจากเหมียวอี้ออกไป เขาก็นำแผ่นหยกรายชื่อขึ้นมาอ่านอีก ตอนอ่านไม่ละเอียดก็ยังไม่รู้ แต่พอได้อ่านแล้วก็ตกใจทันที ชื่อของชิงเยว่กับหลงซิ่นที่อยู่อันดับต้นก็ไม่ต้องแปลกใจ ที่สำคัญคือยี่สิบแปดคนข้างหลังนี่สิ มีนักพรตบงกชกลายยี่สิบแปดคนเลยเหรอ?

ยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป เมื่ออ่านชื่อและวรยุทธ์ซ้ำไปซ้ำมา ก็พบว่ายังมีอีกหลายรายชื่อที่เขารู้จัก น่าจะไม่ผิดพลาด นอกจากชิงเยว่กับหลงซิ่น ไม่น่าเชื่อว่ายังมีนักพรตบงกชกลายอีกยี่สิบแปดคน เรียกได้ว่าเหมือนเจอผีที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี เพรามียอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพสามสิบคน

ความรู้สึกตกตะลึงที่เกิดจากสามสิบรายชื่อนี้ยังไม่ทันหายไป พอไล่อ่านลงมาเรื่อยๆ สีหน้าเขาก็ดูร้อนใจเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ยิ่งมองตาก็ยิ่งเบิกกว้าง หลังจากอ่านจบแล้วตาก็ค้างอยู่นานกว่าจะหาย พูดไม่ออกอยู่นานมาก

กำลังพลหนึ่งแสน เขาหานักพรตระดับบงกชทองไม่เจอสักคน ทั้งหมดมีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งขึ้นไป แม้แต่บงกชรุ้งขั้นสองก็ยังไม่เห็นสักคน วรยุทธ์ต่ำสุดก็คือบงกชรุ้งขั้นสาม โฉมหน้าของกำลังพลกลุ่มนี้เรียกได้ว่าทำให้เขาตกตะลึงไม่เบา กำลังพลของจวนแม่ทัพภาคอย่างนี้ ตั้งแต่ก่อตั้งตำหนักสวรรค์ขึ้นมาก็เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก

เขาแน่ใจได้ว่าฝ่าบาทชนะแล้ว ถ้าใครกล้าบอกว่ากำลังพลหนึ่งแสนนี้ไม่ใช่ทหารเกรียงไกรของสี่ทัพ ก็แสดงว่าสมองมีปัญหาแล้ว แต่เขากำลังคิดว่า หากโฉมหน้ากองทัพของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีประกาศอย่างเป็นทางการ เกรงว่าคงจะสะเทือนใต้หล้าอีกครั้ง!

สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ เดิมทียอดฝีมือบงกชกลายที่มาสมัครมีเกือบสี่สิบคน แค่เหมียวอี้แอบตรวจสอบมาแล้ว จึงมีบางคนที่เขาไม่อยากรับ ทำไมถึงไม่อยากรับน่ะเหรอ? ก็เพราะคนพวกนั้นมีสถานการณ์ไม่เหมือนชิงเยว่กับหลงซิ่น แต่กระทำความผิดชั่วช้าร้ายแรงจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นคดีชิงตัวข่มขืน เป็นผู้ประพฤติไม่ถูกต้องจึงถูกสี่ทัพลงโทษตามกฎทหารอย่างจริงจัง คนพวกนี้ถูกเหมียวอี้ตัดออกไว้ข้างนอกทั้งหมด ไม่ต้องการเลยสักคน ส่วนจะมีการถูกกลั่นแกล้งอย่างอื่นหรือไม่นั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่เหมียวอี้ต้องพิจารณา เขาเองก็ไม่มีเวลาและกำลังคนมากพอที่จะไปตรวจสอบอย่างละเอียด ยอมขาดแคลนดีกว่ามีของด้อยคุณภาพ

ในบรรดานักพรตบงกชรุ้งที่เขาตรวจสอบ ก็มีไม่น้อยเช่นกันที่อยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ ซึ่งเขาตัดออกไปแล้วนับหมื่นคน ต่อให้เป็นนักพรตระดับบงกชรุ้งที่ขั้นค่อนข้างสูงก็ตาม เขาตัดออกพร้อมกันเลย

ยังไม่ได้ออกเดินทางทันที เรื่องแรกที่ตงฟางเลี่ยทำก็คือรายงานชื่อพวกนี้ไปที่วังสวรรค์ ทางวังสวรรค์ตอบกลับเร็วมาก ให้เขานำรายชื่อฉบับจริงกลับมาให้เร็วที่สุด

กองทัพองครักษ์ยังไม่ถอนกำลังออกไปทั้งหมด ตงฟางเลี่ยยังเหลือยอดฝีมือจำนวนมากไว้คุ้มกัน ถ้าผลการเดิมพันยังไม่ออกอย่างเป็นทางการ กองทัพองครักษ์ก็จะยังไม่ออกไปอย่างเป็นทางการเช่นกัน เขารีบออกไปจากที่นี่โดยมีผู้ติดตามส่วนน้อยเท่านั้น

เขามาถึงวังสวรรค์อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้ไปตำหนักสวรรค์ นำรายชื่อไปให้ซ่างกวนชิงก่อน

ในตำหนักดาราจักร หลังจากประมุขชิงที่นั่งหลังโต๊ะยาวรับรายชื่อมาอ่านแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม “ขนาดปลาเค็มยังกลับมามีชีวิตได้ เจ้าลูกลิงนั่นกำลังจะเป็นโล้เป็นพายแล้ว ไม่รู้ว่าถ้าตาแก่สี่คนนั่นเห็นรายชื่อแล้วจะรู้สึกยังไง?” แผ่นหยกถูกโยนไปที่ซ่างกวนชิง “ส่งไปที่ตำหนักสวรรค์เถอะ”

“จะให้เขาเป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลจริงหรือขอรับ?” ซ่างกวนชิงรับแผ่นหยกมาอ่านพร้อมเอ่ยถาม

ประมุขชิงเหล่ตามองอย่างเย็นเยียบ “เจ้าลูกลิงนั่นมีค่าพอที่จะให้ข้ากลับคำพูดตัวเองเหรอ? ความทะเยอทะยานของคนล้วนเพิ่มขึ้นตามศักยภาพ ได้ทหารเกรียงไกรไว้ในมือแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะทนอยู่ในสถานที่นั้นโดยไม่ขยายออกข้างนอกได้ ต่อให้เขาอดทนได้ แต่คนใต้บังคับบัญชาเขาจะทนได้เหรอ? เมื่อเวลานานไปจะต้องเกิดเรื่องแน่นอน ถึงยังไงเจ้าเด็กนั่นก็อยู่ไม่สุขอยู่แล้ว ข้าอยากจะเห็นว่าเขาจะแปรพักตร์ใส่ใครก่อน รอดูละครสนุกๆ ไปเถอะ”

“ต้องแบ่งกำลังพลกลุ่มนั้นออกจากตำหนักสวรรค์หรือไม่ขอรับ?” ซ่างกวนชิงถามอีก

ประมุขชิงหลับตาช้าๆ “ไม่กี่วันมานี้เฉิงอวี่แอ่นท้องมาขอร้องให้ข้าย้ายอำนาจปกครองของแดนรัตติกาลไว้ใต้รายชื่อตำหนักนารีสวรรค์อย่างเป็นทางการ แต่ไม่ใช่นำมารวมตอนนี้ ดูท่านางคงจะรู้ถึงน้ำหนักรายชื่อพวกนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว หึหึ นางคงปิดบังเรื่องนี้กับทางตระกูลเซี่ยโห้ว ทางตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้นางกระโดดออกมาเกี่ยวข้องกับเรื่องประเภทนี้หรอก ผู้หญิงนะผู้หญิง มีหัวใจที่กระเหี้ยนกระหือรือ เห็นแก่ไมตรีที่นางอุ้มท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ข้าจะมอบกำลังพลกลุ่มหนึ่งเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของนางก็แล้วกัน วันหลังข้าค่อยถ่ายทอดคำสั่งให้เป็นทางการ! ไปเถอะ ไปบอกความประสงค์ของข้าให้นางรู้ อย่าให้คนอื่นรู้ ให้นางรู้คนเดียวก็พอ”

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับแล้วจากไป เมื่อออกจากตำหนักดาราจักรแล้วก็ให้ตงฟางเลี่ยที่รอฟังคำสั่งถอยไปได้ ตัวเองจะนำรายชื่อไปส่งให้ตำหนักนารีสวรรค์ด้วยตัวเอง

ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้รับรายงานลับจากเหมียวอี้ล่วงหน้าแล้ว รู้ถึงโฉมหน้าอันเข้มแข็งของทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนนี้แล้ว หลังจากยืนยันรายชื่อทางการแล้วว่าไม่ผิดพลาด กอปรกับซ่างกวนชิงถ่ายทอดเสียงบอก ว่าในการประชุมราชสำนักครั้งหน้า ฝ่าบาทจะประกาศดึงเขตแดนรัตติกาลไปให้ตำหนักนารีสวรรค์อย่างเป็นทางหาร นางดีใจราวกับดอกไม้เบ่งบานจริงๆ

ไม่ว่าจะเป็นตลาดสวรรค์หรือไม่ใช่ตลาดสวรรค์ อำนาจท้องถิ่นแต่ละฝ่ายล้วนเข้ามาเกี่ยวข้อง นางไม่มีอำนาจที่จะเข้าประชุมในราชสำนักเลย แล้วตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ช่วยพูดให้นางด้วย จนสุดท้ายตลาดสวรรค์ก็อยู่ใต้สังกัดของนางเพียงในนามเท่านั้นเอง ทำเอานางดีใจไปเสียเปล่าๆ ถ้านางกล้าแทรกแซงตลาดสวรรค์ เบื้องล่างก็มีวิธีการทำให้ทุกความประสงค์ของนางกลายเป็นการตัดสินใจที่โง่เขลาอยู่แล้ว จะทำให้นางหาทางลงไม่ได้ทั้งนั้น นี่ก็คือจุดจบของการที่ไม่มีคนเป็นของตัวเอง อย่างไรเสียคนที่ปฏิบัติก็เป็นกำลังพลระดับล่างทั้งนั้น

และในตอนนี้ นางกำลังจะมีกำลังพลเป็นของตัวเองอย่างแท้จริง แม้จะเป็นทัพหนึ่งแสนของจวนแม่ทัพภาค แต่กำลังพลกลุ่มนี้ก็มีจุดเริ่มต้นที่สูงมาก! ถ้าถึงเวลาที่เหมาะสมเมื่อไร ก็จะยอดเยี่ยมมาก! และคนที่บัญชาการกำลังพลกลุ่มนี้ก็ยังเป็นคนที่แม้แต่อ๋องสวรรค์ยังแย่งตัวกัน ไม่ต้องสงสัยในฝีมือบัญชาการทัพทำศึกของหนิวโหย่วเต๋อเลย ตอนอยู่ในงานเลี้ยงเผชิญกับขุนนางมากมายขนาดนั้นยังพลิกเมฆคว่ำฝนได้ เรื่องสมองก็ไม่ต้องสงสัยเช่นกัน

กำลังพลที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่ง ประกอบกับแม่ทัพที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง…แค่ลองคิดดู เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ตื่นเต้นแทบแย่แล้ว

การมีกำลังพลของตัวเองหมายความว่าอะไรล่ะ? หมายความว่านอกวังมีคนฟังคำสั่งนาง มีคนไปทำงานให้นางได้ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างก็จะถูกควบคุมโดยตระกูลเซี่ยโห้วกับวังสวรรค์ทั้งหมด ราชินีสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยอย่างนาง แม้แต่จะทำเรื่องอะไรนิดหน่อยข้างนอกก็ยังต้องรอให้คนอนุญาต ถ้าเป็นอย่างนี้นานไป รสชาติการเป็นหุ่นเชิดนี้คือสิ่งที่คนนอกจินตนาการได้ยาก แต่นางก็ไม่มีทางเลือกแล้ว

ถ้าถามว่านางแค้นใครในโลกนี้มากที่สุด ตระกูลเซี่ยโห้วไง!

…………………………

เว่ยซูฟังจนอกสั่นขวัญแขวน ประมุขชิงที่เซี่ยโห้วท่าเอ่ยถึงทำให้เขาตกใจ ทำลายจินตนาการของเขาแล้ว “ในเมื่อนายท่านมองทะลุแล้ว เหตุได้ไม่บอกเรื่องนี้กับสี่อ๋องสวรรค์?”

“ทำไมต้องบอกสี่อ๋องสวรรค์ล่ะ? บอกพวกเขาแล้วเกิดผลดีอะไรกับตระกูลเซี่ยโห้วเหรอ?” เซี่ยโห้วท่าถามเหมือนแปลกใจ

“เมื่อสี่อ๋องสวรรค์พังทลายเมื่อไร จะไม่ต้องกังวลหรอกหรือว่าเงื้อมมือมารของประมุขชิงจะยื่นไปที่ตระกูลเซี่ยโห้วอีก?” เว่ยซูถาม

เซี่ยโห้วท่าหัวเราะเบาๆ “เขาเคยหยุดความคิดนี้เสียเมื่อไรล่ะ? เขาทำอย่างนี้มาตลอดไม่ใช่เหรอ? แต่เขาทำได้หรือยังล่ะ? ข้าบอกแล้ว ว่ากำลังภายนอกของพวกเรายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประมุขชิง ดังนั้นสิ่งที่ประมุขชิงกลัวที่สุดก็คือสิ่งที่พวกเราซ่อนไว้ ซึ่งเขาไม่มีทางควบคุมได้ สิ่งที่กลัวไม่ได้มีแค่สองสามเรื่อง สิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในกระดานหมาก มันอยู่นอกสายตาและขอบเขตการควบคุมจากเขา ตระกูลเซี่ยโห้วของข้าก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาอยากจะให้ใต้หล้าหมุนเวียนเป็นวัฎจักรอยู่ในมือเขาอย่างนี้ตลอด แต่ถ้าไม่มีตระกูลเซี่ยโห้วของข้าให้ความร่วมมือก็เลิกคิดไปได้เลย มีแต่ต้องให้ตระกูลเซี่ยโห้วดูอยู่ข้างๆ เขาถึงจะเล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่อย่างนั้นก็สามารถดึงเขาไปเป็นตัวหมากให้เล่นได้ทุกเมื่อ สถานการณ์ในใต้หล้าทุกวันนี้ ถ้าไม่มีตระกูลเซี่ยโห้วจงใจผลักดัน ประมุขชิงจะเล่นจนสถานการณ์กลายเป็นอย่างนี้ได้เหรอ? ข้าสามารถพลิกกระดานหมากของเขาได้ทุกเมื่อ ทำให้เขาเล่นต่อไม่ได้ เขามองคนในใต้หล้าเป็นตัวหมาก แล้วเขาเองเป็นตัวหมากของใครล่ะ? เจ้าอย่าลืมนะว่าใครเป็นคนสนับสนุนให้ประมุขชิงขึ้นสู่ตำแหน่ง!”

ชั่วพริบตานั้นเว่ยซูก็เข้าใจกระจ่างแล้ว การที่ประมุขชิงอยากทำให้ใต้กล้าเกิดวัฏจักรหมุนเวียนก็เป็นสิ่งที่ตระกูลเซี่ยโห้วอยากเห็นเช่นกัน เขาพยักหน้าช้าๆ “ประมุขชิงก็เป็นตัวหมากในมือตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกัน ก็เหมือนอย่างที่นายท่านเคยบอก ผลักให้ประมุขชิงโดดเด่นอยู่ข้างหน้า เมื่อใต้หล้ามีการเปลี่ยนแปลงเมื่อไร ประมุขชิงก็จะเป็นหนังหน้าไฟตลอดไป ตอนนี้ประมุขชิงกำลังเล่นละคร ตระกูลเซี่ยโห้วของเราก็กำลังเล่นเป็นเพื่อเขา ดังนั้นไม่จำเป็นต้องบอกสี่อ๋องสวรรค์”

เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจ “คนเราเกิดมาในโลกนี้ มีใครบ้างที่ไม่เสแสร้ง? ชีวิตคนเราก็เหมือนละคร ทั้งหมดล้วนอาศัยทักษะการแสดง ข้าแค่กลัวว่าจะมีใครไม่เข้าใจหลักการนี้ ต้องการจะกระโดดออกไปอยู่ในที่แจ้งให้ได้ แสดงจุดอ่อนของตัวเองให้คนอื่นโจมตี เมื่ออยู่ในที่แจ้งไม่ช้าก็เร็วจะโดนคนอื่นหลอกใช้ประโยชน์ ต่อให้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่ก็กันทวนในที่แจ้งกับธนูในที่ลับจากทั้งใต้หล้าไม่ไหวหรอก คนที่ลงหมากทำไมต้องกลายเป็นหมากให้คนอื่นใช้ประโยชน์ด้วย ถ้าเจ้ามีโอกาสก็ไม่คุยกับเขาสักหน่อยแล้วกัน”

เว่ยซูเงียบไปพักหนึ่ง รู้ว่าเขากำลังหมายถึงใคร จึงเอ่ยรับเสียงเบา “ขอรับ!”

ลำธารนับพันหมื่นสายที่เกิดจากหิมะละลายกำลังไหลเอื่อยอยู่กลางภูเขาเขียวขจี บนภูเขาเขียวมีหิมะขาวปกคลุมยอด

โต๊ะหินตัวหนึ่งบนยอดเขา ชายชุดเหลืองคนหนึ่งกับชายชุดดำคนหนึ่งกำลังแข่งหมากล้อมกัน จู่ๆ ก็มีเงาคนคนหนึ่งเหาะลงจากฟ้า มาเหยียบลงพื้นอยู่ตรงจุดไกลๆ ทั้งสองหันหน้ามองพร้อมกัน

ผู้ที่มาสวมหน้ากาปลอม กำลังจ้องประเมินพวกเขาสองคนเงียบๆ แล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ “เฉินเชียนชิว เซียวหลิงโป?”

ทั้งสองลุกขึ้นช้าๆ ด้วยแววตาระแวดระวัง ชายชุดเหลืองถามว่า “เป็นพวกเราเอง เจ้าเป็นใคร มาที่นี่ทำไม?”

“อยู่ด้วยกันก็ยิ่งดี หลังจากได้รับคำสั่งแล้วไปรายงานตัวทันที หากเกินกำหนดเวลาจะไม่รอ” ผู้ที่มาหยิบแผ่นหยกสองแผ่นแบ่งโยนให้ทั้งสอง

ทั้งสองเพิ่งจะรับแผ่นหยกมาไว้ในมือ ผู้ที่มาก็ถลันตัวพุ่งขึ้นฟ้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้ว หายไปในท้องฟ้า ดูจากความเร็วนี้ก็เห็นได้ชัดว่าวรยุทธ์ไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็วรยุทธ์เหนือกว่าพวกเขาสองคน

ชายชุดเหลืองก็คือเฉินเชียนชิว เป็นเทพคงคาที่ตีนเขาแห่งนี้ ส่วนชายชุดดำก็คือเซียวหลิงโป เป็นเทพแห่งภูผาของขุนเขาแหง่นี้ ทั้งสองมองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็มองแผ่นหยกรูปแบบเฉพาะของตำหนักสวรรค์ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอ่าน พบว่าไม่ใช่สิ่งของอื่นใด เป็นแผ่นหยกแต่งตั้งตำแหน่งของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีนั่นเอง บนนั้นเขียนรายชื่อของพวกเขาเอาไว้ สิ่งเดียวที่ขาดไปก็คือตราอิทธิฤทธิ์ของทั้งสอง ขอเพียงทั้งสองลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองตรงช่องว่างที่กำหนดไว้ ก็จะกลายเป็นคนของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีอย่างเป็นทางการแล้ว

ทั้งสองเงยหน้ามองกัน ต่างก็ตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูก เป็นเพราะชิงเยว่กับหลงซิ่นที่เฝ้าประตูจวนแม่ทัพภาคตลาดผีทำให้พวกเขาตกใจ ขนาดนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ยังได้เฝ้าประตูใหญ่ แล้วพวกเราจะนับเป็นตัวอะไรล่ะ? ทำให้พวกเขากดดันพอสมควร ไม่ค่อยหวังว่าจะผ่านการคัดเลือกแล้ว ใครจะคิดว่าจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายอย่างนี้

หลังจากสบตากันด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองก็พยักหน้าให้กัน แล้วลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงบนแผ่นหยกแต่งตั้งตำแหน่งพร้อมกัน

“พี่เซียว จะออกเดินทางเมื่อไร?” เฉินเชียนชิวถามด้วยรอยยิ้ม

เซียวหลิงโปตอบปนเสียงหัวเราะ “อีกฝ่ายบอกแล้วว่าถ้าเกินกำหนดเวลาจะไม่รอ ก็ต้องออกเดินทางเดี๋ยวนี้อยู่แล้วสิ?”

เฉินเชียนชิวมองไปรอบๆ แล้วถามอย่างลังเล “ต้องส่งต่องานก่อนแล้วค่อยไปหรือเปล่า?”

เซียวหลิงโปจับข้อมือเขา “หลังจากส่งต่องานแล้วค่อยไปเหรอ? เจ้าไม่กลัวจะโดนกลั่นแกล้งหรือไง? ถ้าชักช้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ไปรายงานตัวที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีก่อนแล้วค่อยใช้ระฆังดาราส่งข่าวมาบอกก็ได้”

“แบบนี้จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาอะไรเหรอ?” เฉินเชียนชิวยังลังเล

“หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนกลัวปัญหารึไงล่ะ? มิหนำซ้ำฝ่าบาทก็มีคำสั่งแล้ว ว่าสี่ทัพห้ามขัดขวางกำลังพลที่จะไปขอพึ่งพา…ทำไมจู่ๆ เจ้ากลายเป็นคนพูดมากเหมือนผู้หญิงไปแล้วล่ะ ที่นี่มีอะไรน่าอาลัยอาวรณ์ คอยดูดีกว่าว่าพวกเราจะติดตามหนิวโหย่วเต๋อแล้วสร้างผลงานยังไงบ้าง ไป!” เซียวหลิงโปดึงแขนเขาเหาะขึ้นฟ้าไปแล้ว

ทั้งสองก้มมองภูเขาและแหล่งน้ำข้างล่างจากบนฟ้า อดไม่ได้ที่จะวนหลายรอบ ถูกขังอยู่ที่นี่มาหลายปี ในที่สุดตอนนี้ก็จะได้หลุดพ้นแล้ว สุดท้ายทั้งสองก็เหลือไว้เพียงเสียงโห่ร้องที่ดังสะเทือนเมฆ จากนั้นก็พุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศออกไปอย่างรวดเร็ว เด็ดขาดไม่ลังเล ไม่หันกลับมาอีก…

นอกจวนแม่ทัพภาคตลาดผี คนที่ต่อแถวสมัครยังไม่หายไปทั้งหมด ทำให้สภาพตลาดผีที่เบียดเสียดยังไม่หายไป

แต่สองคนที่เฝ้าประตูจวนแม่ทัพภาคตลาดผีกลับเปลี่ยนไปแล้ว มีผู้ที่ผ่านการคัดเลือกทยอยกันได้รับแจ้งและกลับมาอยู่ใต้สังกัดจวนแม่ทัพภาคตลาดผีอย่างเป็นการทาง กลายเป็นสมาชิกของจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ไม่ต้องให้ชิงเยว่กับหลงซิ่นเฝ้าประตูอีกแล้ว

เมื่อสมาชิกทยอยกันมาถึง จวนแม่ทัพภาคจุกำลังพลหนึ่งแสนไม่ไหว เหมียวอี้จึงออกจากตลาดผีแล้ว มาตรวจสอบสภาพพื้นที่ใกล้ๆ ตลาดผี เลือกที่พักที่สามารถจุกำลังพลได้ สุดท้ายก็เลือกภูเขาใหญ่ที่ดูอันตรายลูกหนึ่ง แล้วส่งคนไปไล่ภูตผีกับผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องที่อยู่รอบๆ ออกไป

ผู้ที่ติดตามเดินทางคือกำลังพลกลุ่มหนึ่งของกองทัพองครักษ์ ก่อนที่การเดิมพันจะจบลง ความปลอดภัยของเหมียวอี้ยังเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งในขอบเขตหน้าที่ของตงฟางเลี่ย

ชิงเยว่กับหลงซิ่นถูกเหมียวอี้เรียกให้ติดตามมาด้วย ทั้งสามเดินทอดน่องอยู่บนยอดเขา หันมองเขาภูตพเนจรที่จมอยู่ในแสงขมุกขมัว

เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลัง กล่าวในขณะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว “ตลาดผีจุกำลังพลหนึ่งแสนไม่ไหว ถ้าให้คนมากขนาดนี้อยู่ที่เขาภูตพเนจรตลอด ตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่ยอมเช่นกัน ไม่ช้าก็เร็วที่ต้องเลือกที่สร้างจวนใหม่ ตามความเห็นของพวกเจ้าทั้งสอง เลือกสร้างที่ไหนถึงจะเหมาะสม?”

ชิงเยว่ หลงซิ่นยืนอยู่ทางซ้ายและขวาข้างกายเขา หลังจากครุ่นคิดสักครู่ ชิงเยว่ก็ตอบว่า “สถานที่ต้องเลือกที่แดนรัตติกาลเท่านั้น ถ้าออกนอกพื้นที่มา สี่ทัพก็ไม่อนุญาตเช่นกัน แต่แดนรัตติกาลก็ไม่ใช่ที่พักที่ดีอะไรเลยจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงถูกสี่ทัพแบ่งกันไปนานแล้ว สถานที่ที่ปัจจัยแวดล้อมดีหน่อยก็มีอยู่แห่งหนึ่ง แค่ไม่รู้ว่าตำหนักสวรรค์จะอนุญาตหรือเปล่า”

“เจ้าคงไม่ได้หมายถึงปราสาทดำเนินจันทร์หรอกใช่มั้ย?” หลงซิ่นถาม

ชิงเยว่เอียงหน้ามองเขา “หรือนอกจากปราสาทดำเนินจันทร์แล้ว ยังมีที่ไหนที่เหมาะสมอีก?”

“เจ้าถูกปิดกั้นข่าวสารมานานเกิน คงจะไม่รู้ชัดน่ะสิ ว่าทางฝ่าบาทจงใจจะห่างเหินสิบปราสาทดำเนิน สัญญาแล้วว่าจะให้ดาวดำเนินจันทร์กับปราสาทดำเนินจันทร์เป็นพื้นที่ส่วนตัว ตำหนักสวรรค์จะไม่แทรกแซง ต่อให้ตำหนักสวรรค์ตอบตกลง แต่เกรงว่าปราสาทดำเนินจันทร์จะไม่ตอบตกลงให้กำลังพลของตำหนักสวรรค์เข้ามาประจำหรอกมั้ง” หลงซิ่นลังเล

ชิงเยว่กล่าวว่า “ปราสาทดำเนินจันทร์มีดวงจันทร์เก้าดวง ในอาณาเขตนั้นเท่ากับมีดาวเคราะห์สิบดวง ไม่ว่าจะอยู่บนดาวเคราะห์ดวงไหนก็ล้วนมองเห็นจันทร์เก้าดวง ในจำนวนนั้นมีดาวเคราะห์หกดวงที่สภาพแวดล้อมงดงามเหมาะแก่การลงหลักปักฐาน ขอเพียงตำหนักสวรรค์เอ่ยปาก ให้พวกเขาแบ่งดาวเคราะห์สักดวงให้พวกเราสร้างจวน คาดว่าปราสาทดำเนินจันทร์คงไม่กล้าไม่ตอบตกลง ต้องดูว่าท่านแม่ทัพภาคจะเอ่ยปากขอกับตำหนักสวรรค์ได้หรือเปล่า”

หลงซิ่นสังเกตได้ถึงความเจ้าเล่ห์ที่ฉายแวบเข้ามาในดวงตานาง จึงเอียงหน้ามองเหมียวอี้

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว ครั้งนี้ถ้าสามารถกลายเป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลสำเร็จจริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องเฝ้าอยู่ที่แดนรัตติกาลนานขนาดไหน อยู่ในที่ไร้แสงเดือนแสงตะวันตลอดก็น่าเบื่อจริงๆ จึงกล่าวด้วยความลังเล “เดี๋ยวข้าจะกลับไปลองดูแล้วกัน ถ้าไม่ได้จริงๆ แล้วค่อยว่ากัน” เขาโบกมือลง นับว่าปิดประเด็นสนทนานี้แล้ว

เมื่อมองไปรอบๆ เห็นกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่ตามอยู่ไม่ไกลกำลังจ้องทางนี้ ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ จู่ๆ เหมียวอี้ก็ยิ้มจืดๆ อีก “ได้ยินว่าช่วงนี้สหายเก่าของพวกเจ้ามารำลึกความหลังถึงประตูบ้าน ไม่รู้ว่าคุยกันสนุกหรือเปล่า?”

เมื่อได้ยินคำถามนี้ ทั้งสองก็เงียบไป

เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา “ทำไมเหรอ? หรือว่ามีอะไรที่ไม่สะดวกจะพูด?”

หลงซิ่นส่ายหน้าถอนหายใจ “ไม่นับว่าเป็นสหายเก่าหรอก ที่จริงแล้วคนรู้จักเก่ามาหา ช่วยอ๋องสวรรค์ก่วงส่งข่าวให้ข้า”

เหมียวอี้ร้องอ๋อ แล้วถามอีกว่า “หรือว่าก่วงลิ่งกงยังกล้าขู่เจ้าอีก? ถ้าเป็นแบบนี้ก็บอกมาได้เลย ข้าจะรายงานทันทีว่าตำหนักสวรรค์ขัดขวางการรับสมัครคน”

หลงซิ่นถอนหายใจ “นายท่านคิดมากไปแล้ว ไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้ คนที่มาบอกเพียงว่า โจวจ้าวปิดบังหลอกลวงก่วงลิ่งกงมาตลอด ตอนนี้ก่วงลิ่งกงล้างความอัปยศให้ข้าแล้ว ลงโทษประหารโจวจ้าวแล้ว…ก่วงลิ่งกงบอกข้าอีกว่า ยินดีต้อนรับกลับทัพตะวันตกได้ทุกเมื่อ บอกว่าจะใช้งานข้าในตำแหน่งสำคัญแน่นอน ขอเพียงข้าตอบตกลง เขาก็จะกลับคำพิพากษาให้ข้าทันที ไม่ต้องมาเริ่มต้นใหม่ที่นี่”

เหมียวอี้ทำท่าเหมือนดีใจแทนเขา “นั่นก็เป็นเรื่องที่งดงามจริงๆ วัดที่เป็นจวนแม่ทัพภาคของข้าเล็กเกินไปแล้ว อ๋องสวรรค์ก่วงชอบแบบนี้ ถ้ายอมให้เจ้ารับตำแหน่งสำคัญ ไม่ว่าจะเลือกตำแหน่งไหนก็สูงกว่าแม่ทัพภาคอย่างข้าอยู่แล้ว”

หลงซิ่นกล่าวปนเสียงหัวเราะ “ก่วงลิ่งกงกำจัดจอมพลไปคนหนึ่งเพื่อข้าแล้ว ถ้าข้าเชื่อ ก็คงไม่ต่างอะไรจากคนโง่ จุดประสงค์ที่ดึงข้ากลับไปไม่ใช่เพื่อปลอบใจข้าหรอก แต่ทำเพื่อชื่อเสียงของตัวเองเท่านั้น ในเมื่อข้าทรยศเขาแล้ว ถ้ากลับไปก็อยู่สบายได้เพียงระยะหนึ่ง ไม่ได้อยู่สบายไปทั้งชาติหรอก ไม่ช้าก็เร็วที่จะต้องตาย ก่วงลิ่งกงไม่มีทางปล่อยให้ข้าเงยหน้าที่ทัพตะวันตกได้หรอก แล้วอีกอย่าง ตอนนี้ข้าก็เป็นคนของจวนแม่ทัพภาคตลาดผี นายท่านจะปล่อยให้ข้านึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไปเหรอ?”

“ถ้าให้ผลประโยชน์มากพอ ข้าก็พิจารณาจะยกเจ้าให้เขาได้นะ” เหมียวอี้กล่าว

หลงซิ่นกลอกตาแล้วถอนหายใจเบาๆ ทันที “ข้านึกไม่ถึงว่าก่วงลิ่งกงจะเด็ดขาดขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะกวาดล้างโจวจ้าวอย่างนี้แล้ว เพียงแต่ข้านับถือฮูหยินหลันหลิงท่านนั้นมาตลอดจริง ถึงข้าจะแค้นตระกูลโจวแต่กลับไม่เคยแค้นนาง นางมีจุดจบแบบนั้นช่างทำให้ข้า…เฮ้อ! แต่ก็นับว่าตายอย่างมีคุณค่าเหมือนกัน อย่างน้อยก็ไม่เคยได้รับความอัปยศ”

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ เขาเองก็ได้ยินเรื่องที่หลันหลิงปลิดชีพตัวเองแล้วเช่นกัน จากนั้นหันกลับมามองชิงเยว่ “แล้วเจ้าล่ะมีสหายคนไหนมา?”

ชิงเยว่แสยะยิ้ม “คล้ายๆ กับเขานั่นแหละ ซูอวิ้นฝากมาบอก ว่าขอเพียงข้ายอมกลับไป ก็จะปล่อยผ่านเรื่องในอดีตได้ ขอเพียงข้าตอบตกลง นางก็จะสาบานต่อหน้าฝูงชน”

…………………………

และตอนที่จวนตระกูลโจวโดนล้างเลือด พวกเทพประจำดาว ท่านโหวใต้สังกัดโจวจ้าวก็แทบจะถูกทหารก่อกบฏทั้งหมด แม่ทัพคนสำคัญของสายมะแมถูกฆ่าล้างตระกูลแทบหมดสิ้น คลื่นลมระลอกนี้ก็พัดผ่านไปเร็วเช่นกัน เกิดขึ้นเพียงภายในวันเดียว ทั้งสายมะแมเปลี่ยนเจ้าบ้านใหม่ เป็นปฏิบัติการที่รวดเร็วมาก กันทันหันราวกับฟ้าผ่า ทำให้คนไหวตัวไม่ทัน

ไม่นานทัพตะวันตกก็ประกาศอย่างชัดเจนว่า โจวจ้าวนำทัพใหญ่ล้อมโจมตีจวนอ๋องสวรรค์ก่วง วางแผนก่อการกบฏ ตอนนี้ถูกจัดการแล้ว กำลังพลของเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและถูกประหารไปพร้อมกัน!

ใครก็รู้ว่านี่คือข้ออ้าง นำทัพใหญ่ล้อมโจมตีจวนท่านอ๋องงั้นเหรอ? แบบนั้นแปลว่าโจวจ้าวรนหาที่ตายแล้ว เห็นได้ชัดว่าจงใจจะกำจัดกำลังพลสายโจวจ้าว ขณะเดียวกันก็มีข่าวลือแพร่ออกไปด้วยว่า สาเหตุที่อ๋องสวรรค์ก่วงกำจัดโจวจ้าวทิ้ง ก็เพราะเรื่องที่หลงซิ่นไปขอพึ่งพาจวนแม่ทัพภาคตลาดผีทำให้อ๋องสวรรค์ก่วงเดือดดาล อ๋องสวรรค์ก่วงนึกไม่ถึงว่าตระกูลโจวจะกล้าทำเรื่องแย่งผู้หญิงของลูกน้องได้ ถึงได้กำจัดโจวจ้าวเพื่อปรับปรุงจิตใจทหารให้เที่ยงธรรม

ขณะเดียวกันทัพตะวันตกก็ประกาศอย่างชัดเจนด้วยว่า กูอวี้เฉิงเทพประจำดาวฟ้ามะแมจะรับตำแหน่งจอมพลสายมะแมแทนชั่วคราว

คนที่รู้อยู่แก่ใจล้วนเข้าใจแจ่มแจ้ง ว่ามีอ๋องสวรรค์ก่วงคุ้มกะลาหัวอยู่ ไม่ช้าก็เร็วที่กูอวี้เฉิงจะได้นั่งตำแหน่งจอมพลสายมะแม ถ้าเปลี่ยนให้คนอื่นไปแทนก็เท่ารนหาที่ตาย

สรุปก็คือเมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น ข่าวก็กระพือไปทั้งใต้หล้าอย่างรวดเร็ว ทั้งทัพตะวันตกสั่นสะเทือน ทั้งใต้หล้าสะท้านฮือฮา สะเทือนถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมในการคุมทัพใหญ่ของอ๋องสวรรค์ก่วง ไม่น่าเชื่อว่าจอมพลผู้สง่าผ่าเผยคนหนึ่ง บทจะถูกกำจัดก็ถูกกำจัดไปอย่างนี้แล้ว ต้องทราบไว้ว่าสมาชิกที่เกี่ยวข้องกับจอมพลหนึ่งสายมีขอบเขตกว้างไม่ธรรมดา ถ้าไม่ระวังก็จะทำให้ทัพตะวันตกวุ่นวายได้ แต่อ๋องสวรรค์ก่วงก็จะทำอย่างนี้ ทั้งยังทำให้คลื่นลมทั้งหมดสงบลงเร็วมากด้วย

เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น ประมุขชิงที่หลบอยู่ในจวนท่านโหวจ้านผิงก็อยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว รีบกลับไปที่วังสวรรค์ ขณะเดียวกันก็สั่งให้คนไปตรวจสอบเรื่องนี้

ทว่าสมาชิกของหน่วยตรวจการขวายังไม่ทันได้เห็นหน้าของโจวจ้าว โจวจ้าวก็ ‘ปลิดชีพตัวเองเพรากลัวความผิด’ อยู่ในคุกเสียแล้ว เอาศีรษะโขกกำแพงฆ่าตัวตาย

คนส่วนใหญ่ล้วนเดาออกว่าก่วงลิ่งกงออกคำสั่งให้ฆ่าโจวจ้าว แต่ความจริงต่างออกไปนิดหน่อย โกวเยว่เพียงพูดกับโจวจ้าวที่อยู่ในคุกประโยคเดียวเท่านั้น หลังจากบอกเรื่องที่หลันหลิงฮูหยินของเขาใช้ดาบปลิดชีพตัวเองแล้ว ก็ถามเขาว่า เจ้าจะเขียนรายงานความผิดตัวเองหรือจะให้พวกเรากดดันให้เจ้าเขียน?

“ฮูหยิน…” โจวจ้าวเงยหน้าร่ำร้องอย่างทุกข์ระทม แล้วหันตัวไปเอาหัวพุ่งชนกำแพง ชนจนกะโหลกแตกตายคาที่

มาถึงขั้นนี้แล้ว มีหรือที่เขาจะเขียนรายงานความผิดให้สมปรารถนาก่วงลิ่งกงอีก ขนาดเมียของเขายังไม่ยอมรับความอัปยศ แล้วเหตุใดเขาต้องรับความอัปยศนี้ด้วย รู้ตัวว่าต้องตายแน่นอนอยู่แล้ว ไม่สู้ตายอย่างมีศักดิ์ศรีสักหน่อยดีกว่า เดินตามรอยฮูหยินของเขาไป

โกวเยว่ที่ยืนเฝ้าอยู่นอกกรงไม่ได้ห้าม กวาดแขนเสื้อเบาๆ แล้วหันตัวเดินจากไป รอให้คนของหน่วยตรวจการขวามาตรวจสอบ เรียกได้ว่าฆ่าคนแบบล่องหน

จอมพลสายมะแมที่เรืองอำนาจเพียงชั่วครู่กลายเป็นอดีตที่ลอยไปกับสายลมโดยสิ้นเชิง ความเฟื่องฟูทุกอย่างของครอบครัวสลายหายไปราวกับเมฆควัน

จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า เซี่ยโห้วท่าเอนกายงีบอยู่บนเก้าอี้นอน มีใบไม้ร่วงตกพื้นเป็นระยะ

เว่ยซูเดินมาข้างๆ เห็นเขาเหมือนหลับลึก จึงไม่อยากรบกวน หันตัวเตรียมจะเดินออกไป แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเซี่ยโห้วท่าถามเบาๆ ว่า “มีเรื่องอะไร?”

เว่ยซูหันตัวมาอีกครั้ง มอบแผ่นหยกให้พร้อมบอกว่า “รายชื่อผู้ที่มาแทนที่ตำแหน่งในสายมะแมออกมาแล้วขอรับ”

หลังจากยื่นมือรับแผ่นหยกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอ่านรายชื่อรอบหนึ่ง เซี่ยโห้วท่าถึงได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้างบนต้านเดชานุภาพสวรรค์ ข้างล่างกดขี่กลุ่มแม่ทัพ ฆ่าโดยไม่ลังเล! คนแก่ที่บุกยึดใต้หล้าในปีนั้นผ่านอุปสรรคคลื่นลมมายาวนาน คนรุ่นหลังเทียบไม่ติดเลยจริงๆ” ความรู้สึกปลงเล็กน้อยที่แสดงออกในน้ำเสียง ไม่รู้ว่าสื่อความถึงอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า เขาพูดต่อว่า “การกระทำของก่วงลิ่งกง ไม่มีทางที่อีกสามอ๋องจะไม่เห็น ดูท่าสี่ท่านนั้นจะต้องเริ่มปรับปรุงสี่ทัพแล้ว ตอนนี้ขาดแค่โอกาสเท่านั้น”

“โอกาสอะไรขอรับ?” เว่ยซูถาม

“ถ้าจะก่อเรื่องก็ต้องหาข้ออ้างที่สามารถพูดได้อย่างชอบธรรมสิ ไม่อย่างนั้นจะคุมคนได้ยังไง? ขาดแค่รายชื่อเท่านั้น ขาดรายชื่อทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ถ้ารายชื่อออกมาเมื่อไร ก็จะถึงเวลาที่สี่อ๋องจะตบโต๊ะใส่เบื้องล่างแล้ว สรุปก็คือหนิวโหย่วเต๋อเดิมพันชนะแล้ว สำหรับสี่ท่านนั้น ตำแหน่งโหวสี่ตำแหน่งไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือฉวยโอกาสนี้ทำรากฐานของตัวเองให้มั่นคง ไม่อย่างนั้นในภายหลังก็หาข้ออ้างไม่ได้แล้ว เพียงแต่ฮ่าวเต๋อฟางอาจจะต้องปวดหัวแล้ว เฮ่อๆ!” เซี่ยโห้วท่าอธิบาย

เว่ยซูเข้าใจเร็วมากว่าเขาหมายถึงอะไร กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ก็ใช่ขอรับ ถึงยังไงเรื่องของหลงซิ่นก็เกิดขึ้นเพราะโจวจ้าว ตอนนี้โจวจ้าวถูกก่วงลิ่งกงกำจัดเร็วมาก แต่เรื่องฝั่งฮ่าวเต๋อฟางกลับเกี่ยวข้องกับตัวเขาเอง ถ้านำเรื่องรับสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีมาอ้าง เกรงว่าแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่มีความมั่นใจเลย ส่วนชิงเยว่ก็สะดุดตาขนาดนั้น เขาเองก็เป็นหนังหน้าไฟ ทำให้เขาลำบากใจจริงๆ”

เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะ “นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเรากังวลแล้ว พวกเราดูเอาสนุกต่อไปก็พอ”

“ประมุขชิงจะยอมให้พวกเขาปรับปรุงสี่ทัพให้แข็งแรงเป็นผึกแผ่นหรือขอรับ?” เว่ยซูถาม

เซี่ยโห้วท่าหัวเราะเบาๆ “อย่างมากก็หาเรื่องนิดหน่อย ไม่ทำลายรากฐานของสี่อ๋องหรอก ท่านนั้นที่วังสวรรค์เป็นพวกชอบดูเอาสนุก”

“เขาไม่กลัวว่าถ้าสี่อ๋องควบคุมกำลังพลเบื้องล่างได้ดีเกินไปแล้วจะเป็นภัยคุกคามต่อเขาหรือขอรับ?” เว่ยซูสงสัย

เซี่ยโห้วท่าค่อยๆ หลับตาพร้อมยิ้มบางๆ “เขามีวิธีการรักษาสมดุลอยู่แล้ว กำลังที่เห็นกันภายนอกไม่มีใครสู้เขาได้ เขาก็แค่เลอะเลือนเพราะคิดว่าตัวเองเข้าใจดีก็เท่านั้นแหละ ไม่อย่างนั้นตอนแรกตระกูลเซี่ยโห้วจะสนับสนุนให้เขาขึ้นตำแหน่งได้ยังไงล่ะ? ไม่ใช่ว่าชอบในความสามารถของเราหรอก คนที่คิดว่าจะตบตาเขาได้ คนนั้นต่างหากที่โง่เอง สถานการณ์โดยรวมของใต้หล้าทุกวันนี้ ล้วนเป็นเขาที่สร้างขึ้นมาด้วยมือตัวเอง การที่สี่อ๋องรักษาความสัมพันธ์กึ่งแข่งขันกึ่งร่วมมือระหว่างกันมาตลอดก็เพื่อจะปกป้องตัวเอง หารู้ไม่ว่าสิ่งที่มีประโยชน์ต่อพวกเขาที่สุดอยู่ในกระดานหมากของประมุขชิงหมดแล้ว เฮ้อ! เหมือนช้างล่องหน ท่านนั้นปกครองใต้หล้าโดยมองใต้หล้าเป็นกระดานหมากล้อม!”

เว่ยซูมองเขาด้วยแววตาสับสนเล็กน้อย พบว่านายท่านเริ่มคุยกับตนในขอบเขตประเด็นสนทนาที่ลึกขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จึงเริ่มสงสัยว่านายท่านกำลังเริ่มวางแผนเตรียมการเพื่อสั่งเสียแล้วหรือเปล่า เขาจึงถามว่า “เพราะอะไรขอรับ?”

เซี่ยโห้วท่ากล่าวอย่างเชื่องช้า “ตราบใดที่สี่อ๋องส่งมอบผลประโยชน์ในใต้หล้าให้ประมุขชิงไว้ได้ตลอด ประมุขชิงก็จะไม่ทำลายพวกเขาให้สิ้นหรอก เจ้าไม่เห็นเหรอว่ากองทัพองครักษ์ในมือประมุขชิงยิ่งนับวันก็ยิ่งมีกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ?”

“เวลานานไป วรยุทธ์ก้าวหน้า กำลังของกองทัพองครักษ์ก็ย่อมแข็งแกร่งขึ้น” เว่ยซูกล่าว

“แล้วทำไมกำลังของสี่ทัพถึงไม่เติบโตล่ะ?” เซี่ยโห้วท่าถาม

เว่ยซูเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ปัดแข้งปัดขากันไม่หยุดขอรับ คนระดับล่างอยากจะขึ้นข้างบน คนระดับบนไม่ยอมลงข้างล่าง ก็ย่อมเกิดความขัดแย้งอยู่แล้ว เพื่อที่สี่อ๋องสวรรค์จะปกป้องผลประโยชน์ตัวเองเอาไว้ กลัวว่าคนระดับล่างจะเป็นภัยคุกคามต่อตัวเอง และจำเป็นต้องมีการให้คนใหม่มาแทนคนเก่า ยกตัวอย่างเช่นครั้งนี้ที่โจวจ้าวลงจากตำแหน่ง กูอวี้เฉิงขึ้นแทน”

เซี่ยโห้วท่าตอบว่าใช่ แล้วอธิบายต่อ “นี่ก็คือประเด็นสำคัญของปัญหา และเป็นจุดที่ร้ายกาจที่สุดที่ประมุขชิงใช้ควบคุมสถานการณ์โดยรวม ประมุขชิงไม่จำเป็นต้องแยแสปัญหาจุกจิกอย่างอื่นเลย แค่ต้องกุมกองทัพองครักษ์กลุ่มนี้เอาไว้ให้แน่นก็พอ เขาไม่ครอบครองอาณาเขตในใต้หล้า เขายกให้สี่ทัพทั้งหมด ทั้งได้โยนปัญหาจุกจิกเรื่องการปกครองให้สี่อ๋องสวรรค์ ทั้งได้เอาผลประโยชน์มาหลอกล่อให้ภายในสี่ทัพขัดแข้งขัดขากันเองได้ ส่วนกองทัพองครักษ์ไม่ได้ครอบครองอาณาเขต จึงตัดผลประโยชน์บางด้านออกไปได้ ทีนี้พอพวกเขาพึ่งพาทรัพยากรจากมือประมุขชิงอย่างเดียว ก็ย่อมถูกประมุขชิงควบคุมได้สะดวก แล้วสี่อ๋องสวรรค์ก็ต้องรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง จึงก็ไม่ใช่แค่ต้องลำบากลำบนช่วยประมุขชิงปกครองใต้หล้า ทั้งยังส่งผลประโยชน์ในใต้หล้าให้ประมุขชิงเรื่อยๆ ด้วย ประมุขชิงนำผลประโยชน์ที่มีใช้ไม่หมดไม่สิ้นพวกนี้ไปเลี้ยงกองทัพองครักษ์ได้อย่างสบายใจ แล้วก็ใช้กองทัพองครักษ์มาข่มสี่อ๋องสวรรค์อีกที เรื่องน่ายินดีแบบนี้ทำไมจะไม่ทำล่ะ?”

เว่ยซูตกใจ “ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป สักวันกองทัพองครักษ์ก็ต้องเติบโตขึ้น ถึงตอนนั้นเขาจะคุมหรือขอรับ?”

เซี่ยโห้วท่าหัวเราะเบาๆ “นั่นก็ไม่ธรรมดาไง เมื่อกำลังของกองทัพองครักษ์ไปถึงขั้นนั้นจริงๆ ก็จะถึงเวลาที่ประมุขชิงจะชำระบัญชีทั้งหมดกับสี่อ๋องสวรรค์แล้ว มีกำลังอยู่ในมือแล้วมั่นใจ สามารถสร้างความขัดแย้งให้ถึงจุดแตกหักได้ทุกเมื่อ หาข้ออ้างกำจัดอำนาจของสี่อ๋องสวรรค์ แล้วค่อยเอาผลประโยชน์ของใต้หล้ามาหลอกล่อ จากนั้นกระจายกองทัพองครักษ์ที่ใหญ่คนใครก็ล้มไม่ได้ สร้างรูปแบบสี่อ๋องสวรรค์ขึ้นมาใหม่ ให้พวกเขากึ่งแข่งขันกึ่งร่วมมือกันต่อไป เหลือกองทัพองครักษ์ส่วนหนึ่งเอาไว้สร้างกองทัพองครักษ์ใหม่ต่อไป คนที่วนเวียนอยู่ในวัฎจักรนี้มีแต่คนในใต้หล้า ส่วนประมุขชิงก็นั่งอยู่เบื้องสูงตลอดไป เจ้าว่าใครกันแน่ที่ฉลาด ใครกันแน่ที่โง่?”

เว่ยซูฟังแล้วสูดหายใจเฮือก รีบถามว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมเขายังชอบหาโอกาสยัดคนเข้าสี่ทัพอีก ทำไมยังต้องใช้เดิมพันนี้มาชิงตำแหน่งโหวสี่ตำแหน่งนั่นอีก แบบนี้ไม่ใช่การจงใจแย่งชิงอำนาจของสี่อ๋องสวรรค์หรอกเหรอ?”

“ใช่แล้ว! ไม่ผิดหรอก ก็เพราะต้องการแย่งชิงอำนาจสี่อ๋องสวรรค์”

“เช่นนั้นก็เหมือนจะขัดแย้งกับสิ่งที่นายท่านพูดก่อนหน้านี้นะขอรับ?”

เซี่ยโห้วท่าลืมตาแล้วหัวเราะเบาๆ “ดังนั้น คนที่อยากจะเล่นอุบายที่ใช้สมองกับประมุขชิงก็ยังอ่อนหัดไปหน่อย อีกฝ่ายมองเห็นใต้หล้าเป็นกระดานหมากล้อม ทุกคนล้วนเป็นหมากในกระดานของเขา ไม่มีทางมองลงมาจากมุมสูงเหมือนเขาได้ คนที่เป็นเหมือนตัวหมากตื่นเต้นยินดีที่จะสู้กับเขา นึกว่าตัวเองเก่งกาจ หารู้ไม่ว่าประมุขชิงกำลังเล่นเป็นเพื่อนเพื่อหาความบันเทิงเฉยๆ ไม่ว่าคนระดับล่างจะเดินทางไหนก็ล้วนเป็นตัวหมากในกระดาน ไม่ว่าเขาจะเดินยังไง เขาก็ยังเป็นคนที่ลงหมาก ถามหน่อยว่าใครจะชนะเขาได้ เป็นไปได้เหรอที่จะชนะ? เขาสามารถโบกมือล้างกระดานหมากใหม่ได้ทุกเมื่อ”

เว่ยซูคิดตามที่เขาบอก แล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยยังไม่ค่อยเข้าใจว่านายท่านหมายถึงอะไร”

เซี่ยโห้วท่าชี้เขาพลางพยักหน้าถอนหายใจ ก่อนจะบอกว่า “ทำไมไม่เข้าใจซะแล้วล่ะ? เขาต้องการแย่งชิงอำนาจของสี่อ๋องสวรรค์ ดังนั้นไม่ว่าจะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่อง เขาก็จะยัดคนเข้าสี่ทัพ แต่เจ้าลองคิดดูสิ บรรดาคนที่ถูกดึงจากกองทัพองครักษ์ไปแทรกในสี่ทัพ จะมีสักกี่คนที่มีจุดจบที่ดี หยกงามต่อให้จะเจิดจรัสขนาดไหน แต่เมื่อตกลงบ่อโคลนก็จมมิด สี่ทัพถูกควบคุมอยู่ในมือสี่อ๋องสวรรค์ ไม่ได้ถูกควบคุมอยู่ในมือประมุขชิง สู้กันไปสู้กันมาก็ไม่ชนะสี่อ๋องสวรรค์หรอก ที่เขาทำอย่างนี้มีประโยชน์อยู่ไม่กี่ข้อ ข้อแรกแรกคือสร้างความไม่ลงรอยระหว่างสองฝ่าย ทำให้กองทัพองครักษ์เข้าใจว่าสี่ทัพไม่ยอมรับพวกเขา ผลประโยชน์บางอย่างมองเห็นได้แต่กินไม่ได้ ทำให้กองทัพองครักษ์มีความเกลียดชังร่วมกัน ทำได้เพียงเกาะกลุ่มกันพึ่งพิงฝั่งประมุขชิง เอาไว้ให้ประมุขชิงใช้งาน

ประการต่อมา จะได้ปั่นหัวคนในใต้หล้าได้สะดวก ทำให้สี่อ๋องสวรรค์คิดว่าประมุขชิงมีฝีมือแค่เท่านี้ ให้นึกว่าทุกอย่างล้วนอยู่ในขอบเขตการควบคุมของสี่อ๋องสวรรค์ สามารถปลอบโยนสี่อ๋องสวรรค์ได้ และประโยชน์ข้อสุดท้าย คนที่ถูกดึงจากกองทัพองครักษ์ไปแทรกสี่ทัพล้วนไม่ใช่พวกฝีมือธรรมดา มีคนอย่างนี้อยู่ที่สี่ทัพถึงจะสามารถสู้กับสี่อ๋องสวรรค์ได้อย่างออกรสออกชาติ จะได้ไม่ดูปลอม ถึงแม้สุดท้ายคนส่วนใหญ่จะมีจุดจบไม่ดีเท่าไรนัก แต่การที่กองทัพองครักษ์มีคนอย่างนี้น้อยลงกลับส่งผลดีต่อประมุขชิงในการควบคุมกองทัพองครักษ์ เดิมทีเขาก็ยืมมือสี่อ๋องสวรรค์กำจัดยอดฝีมือพวกนั้นทีละนิดอยู่แล้ว กองทัพองครักษ์เป็นเพียงดาบในมือเขาเท่านั้น เขาไม่ต้องการให้ดาบนี้มีความคิดของตัวเอง แค่ต้องปฏิบัติตามความตั้งใจของเขาก็พอ”

………………………

ในจวนท่านอ๋อง ตอนแรกสมาชิกในครอบครัวยังไม่รู้ว่าด้านนอกเกิดเรื่องอะไรกันแน่ รอจนฝุ่นควันสลายไป เห็นโจวจ้าวถูกคุมตัวไป ถึงได้รู้ว่าการเข่นฆ่านอกจวนท่านอ๋องก็เพื่อจับกุมจอมพลสายมะแมโจวจ้าว มีคนไม่นน้อยพากันตะลึงค้างแล้ว

ทุกคนไม่ได้เจอจอมพลสายมะแมโจวจ้าวเป็นครั้งแรก ยามปกติเป็นบุคคลที่สง่าน่าเกรงขามสียขนาดนั้น ต่อให้เข้าออกจวนท่านอ๋องบ่อยๆ แต่ก็เห็นเขาเคารพนอบน้อมต่อหน้าท่านอ๋องและหวังเฟย ถ้าเป็นคนอื่นเกรงว่าเขาอาจจะไม่ชายตาแลด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ถูกจับตัวไปอย่างนี้แล้ว สะบักสะบอมจนตรอกอย่างกับอะไร

สำหรับคนที่ยามปกติรู้เพียงว่าตำแหน่งท่านอ๋องสูงส่งและมีอำนาจมากแต่กลับไม่รู้ว่าสูงส่งอำนาจมากอย่างไร วันนี้นับว่าได้บทเรียนยาวแล้ว ว่าเคราะห์ร้ายของจอมพลผู้สง่าผ่าเผยคนหนึ่งขึ้นอยู่กับความคิดชั่วแวบเดียวของท่านอ๋องหรือไม่ แค่คิดยังขวัญหนีดีฝ่อ และยิ่งรู้สึกกลัวเกรงอ๋องท่านนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ

ก่วงจวินอันยืนมองอยู่บนดาดฟ้าตึก เห็นกับตาว่าโจวจ้าวถูกลากไปอย่างนั้น เขานิ่งเงียบ อดไม่ได้ที่จะคิดว่า ถ้าตัวเองสืบทอดตำแหน่งอ๋องแล้วจะกล้าฆ่าจอมพลทิ้งอย่างนี้หรือเปล่า? คิดไปคิดมาก็ได้บทสรุปว่า ตัวเองคงไม่กล้าทำอย่างนี้หรอก เพราะตัวเองควบคุมลูกน้องของโจวจ้าวไม่ไหว ถ้าผิดพลาดขึ้นมา เมื่อทัพตะวันตกวุ่นวายก็จะทำให้เขารักษาตำแหน่งตัวเองไว้ไม่ได้ เพราะตัวเองไม่ได้มีอิทธิพลและความน่ากลัวต่อทัพตะวันตกเหมือนท่านพ่อ ยกตัวอย่างเช่นถ้ามีจอมพลอีกสองคนฉวยโอกาสกดดันให้ตนถอยจากตำแหน่ง แล้วตนควรจะทำอย่างไรดีล่ะ? อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่าสถานการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้น มีใครบ้างที่ไม่อยากนั่งตำแหน่งท่านอ๋อง? แต่จอมพลสองท่านนั้นไม่กล้ากดดันให้ท่านพ่อถอยจากตำแหน่งแน่นอน

พอคิดไปคิดมา เขาก็หาเหตุผลมาปลอบใจตัวเอง เพราะตัวเองยังด้อยคุณสมบัติและประสบการณ์ ยังไม่มีเครือข่ายและบารมีที่หยั่งรากลึกในทัพตะวันตก เรื่องนี้ทำไม่ได้ในตอนนี้ ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตทำไม่ได้

“ปรับปรุงภูเขาแม่น้ำใหม่อีกครั้ง ต้องฟื้นฟูให้ดีกว่าของเดิม” โกวเยว่ที่เดินเข้าในจวนกำชับกับสมาชิกสังกัดพ่อบ้านของจวนท่านอ๋อง สายตาบังเอิญเห็นก่วงจวินอันยืนอยู่บนหลังคาไม่ไกล เขาไม่ได้พูดอะไร เดินก้าวยาวเข้าไปในจวนต่อ

“พวกเจ้าชอบดูความคึกครื้นกันนักใช่มั้ย?” เสียงของก่วงลิ่งกงดังก้องอยู่บนฟ้าเหนือจวนท่านอ๋อง

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น บรรดาคนที่ยืนอยู่บนหลังคาก็ทยอยกันกระโดดลงมาอย่างหวาดกลัว รีบหดหัวกลับเข้าไปอย่างซื่อสัตย์

ก่วงลิ่งกงที่อยู่บนตึกศาลาวางจอกสุราลง ลุกขึ้นยืนเอามือไขว้หลัง เดินเนิบนาบไปพิงระเบียงทอดสายตามองด้านนอก เสียงฉินดังสูงดังแผ่วอยู่ในศาลา

ขณะที่ฝั่งนี้กำลังลงมือกับโจวจ้าว ที่นอกจวนตระกูลโจว กูอวี้เฉิง เทพประจำดาวฟ้ามะแมนำผู้ติดตามหลายสิบคนมาถึงแล้ว มีธุระต้องการจะพบคุณชายโจวอ้าวหลิน ทหารยามเข้ามารายงาน ช่วงนี้โจวอ้าวหลินรู้สึกกดดันเหมือนถูกไฟไหม้หัวเพราะเรื่องของหลงซิ่น มีหรือที่จะกล้าปฏิบัติต่อลูกน้องไม่ดี เขาออกมาต้อนรับด้วยตัวเองพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม

กูอวี้เฉิงให้ทหารยามรออยู่ข้างนอก ตัวเองเดินเข้ามาในจวนจอมพลคนเดียว

“ท่านพ่อไปที่จวนท่านอ๋องแล้ว ไม่ทราบว่าเทพประจำดาวมาเพราะมีอะไรจะชี้แนะ?” หลังจากเข้ามาในโถงหลักของเรือนตัวเองและเชิญให้ดื่มน้ำชาแล้ว โจวอ้าวหลินก็ถามอย่างเป็นมิตร

ใครจะคิดว่ากูอวี้เฉิงจะยื่นมือผลักถ้วยน้ำชาไปด้านข้าง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วตะคอกเสียงต่ำ “โจวอ้าวหลิน เจ้ายอมรับผิดหรือเปล่า?”

เสียงดังก้องครอบคลุมทั้งจวนจอมพล ทำให้คนในจวนจอมพลตกใจอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ทำให้โจวอ้าวหลินงุนงง

ผู้ติดตามกูอวี้เฉิงที่อยู่นอกจวนพลันปล่อยกำลังพลกลุ่มใหญ่ออกมา แล้วบุกสังหารเข้าไปในจวนจอมพลโดยตรง มีส่วนหนึ่งบุกสังหารเข้าไป มีอีกส่วนหนึ่งถูกค่ายกลใหญ่ที่เพิ่งเปิดใช้ชั่วคราวกันไว้ด้านนอก ทัพใหญ่ที่เร่งตามมาสนับสนุนเฝ้ารักษารอบจวนจอมพลอย่างเข้มงวดทันที ใครจะคิดว่าระหว่างทางจะเกิดความขัดแย้งภายใน มีคนตะโกนเสียงดังว่า “โจวจ้าวถูกอ๋องสวรรค์ก่วงประหารแล้ว กำลังพลที่ยอมให้จับแต่โดยดีจะพ้นข้อหา!”

“เหลวไหล!” เสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราดของใครบางคนดังก้อง ไม่นานทัพใหญ่ที่เฝ้ารักษาการณ์ก็เข่นฆ่ากันเอง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่พุ่งไปสนับสนุนที่จวนจอมพล กำลังพลที่ถูกกันอยู่นอกค่ายกลใหญ่ประจัญบานกันแล้ว

ในโถงหลักของเรือนโจวอ้าวหลิน จู่ๆ ก็มีกำลังพลกลุ่มใหญ่พุ่งออกมาอย่างไม่ขาดสาย บนศีรษะของแต่ละคนโพกผ้าขาวราวกับเป็นหน่วยกล้าตาย พุ่งปะทะกับทหารองครักษ์กลุ่มใหญ่ของจวนจอมพล

กูอวี้เฉิงที่สวมเกราะรบถือกระบี่วิเศษไว้ในมือแล้ว มือข้างหนึ่งลากโจวอ้าวหลินที่กระอักเลือดออกมา ทั้งตัวมีลักษณะโหดเหี้ยมดุร้าย เรียกได้ว่าใช้ฐานะเทพประจำดาวลงสนามด้วยตัวเอง โดยมีแม่ทัพใหญ่เกราะแดงสี่คนล้อมพิทักษ์อยู่รอบกาย

ในจวนจอมพลวุ่นวายอุตลุดแล้ว มีเสียงเข่นฆ่า เสียงร่ำไห้ เสียงกรีดร้องดังขึ้นทุกที่ ทิวทัศน์อันงดงามในจวนจอมพลพังยับเยิบอยู่ภายใต้ศึกใหญ่ในชั่วพริบเดียว

“ท่านแม่!” สาวน้อยคนหนึ่งตกใจจนร่ำไห้เสียงสั่นอยู่ท่ามกลางการคุ้มกันของกลุ่มทหารองครักษ์

คนหลายสิบคนพุ่งเข้ามา โจมตีทหารองครักษ์จนกระจัดกระจายไป หอกยาวด้ามหนึ่งแทงหลังทะลุหน้าอกของสาวน้อยอย่างไม่ปรานี เลือดสดพุ่งระเบิดออกมา เสียงร้องไห้ของสาวน้อยหยุดชะงัก ถลึงดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา ทั้งตัวถูกเหวี่งออกไปเพียงชั่วพริบตาเดียว

คนเป็นทั่วทุกซอกมุมล้มลงพื้นกลายเป็นคนตาย บ้างก็ถูกสังหารจนร่างแยก

สตรีวัยกลางคนที่ดูสง่างามทว่าจนตรอกกำลังสู้ไปถอยไปอยู่ท่ามกลางการล้อมพิทักษ์ของกลุ่มทหารองครักษ์ นางถือดาบใหญ่พร้อมตะโกนเสียงดัง “กันไว้! กันไว้! กำลังหนุนกำลังจะมาถึงแล้ว หลังจากจบเรื่องจอมพลจะตบรางวัลอย่างงาม! ข้าให้สัญญาตรงนี้เลย ผู้กล้าจะต้องได้รับรางวัลอย่างงาม!” สตรีวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือหลันหลิง ฮูหยินของโจวจ้าวนั่นเอง

ตรงนี้เพิ่งพูดจบ ด้านหลังก็มีกำลังพลกลุ่มใหญ่สังหารเข้ามาอีก หลันหลิงหันกลับไปมอง พอเห็นกูอวี้เฉิงถือกระบี่คุมตัวลูกชายนางเอาไว้ นางก็เบิกตากว้างแทบถลน โบกดาบชี้พร้อมตวาดว่า “กูอวี้เฉิง ปกติจอมพลดูแลเจ้าไม่ขาดตกบกพร่อง เจ้าบังอาจก่อกบฏเหรอ!”

“จะเรียกว่ากบฏได้ยังไง เทพประจำดาวผู้นี้ได้รับคำสั่งให้มาปราบโจรกบฏ ผู้ที่ก่อกบฏก็คือพวกเจ้าต่างหาก!” กูอวี้เฉิงโบกกระบี่ในมือ ตัดศีรษะโจวอ้าวหลินเสียตรงนั้นเลย ไม่สนใจเลือดสดที่พ่นใส่ร่างตัวเอง ถือโอกาสโยนศีรษะขึ้นบนฟ้า พร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดัง “โจวจ้าวถูกอ๋องสวรรค์ก่วงประหารแล้ว กำลังพลที่ยอมให้จับแต่โดยดีจะพ้นข้อหา!”

“ได้รับบัญชาจากอ๋องสวรรค์ก่วงให้ปราบกบฏ โจวจ้าวถูกอ๋องสวรรค์ก่วงประหารแล้ว กำลังพลที่ยอมให้จับแต่โดยดีจะพ้นข้อหา!”

“ได้รับบัญชาจากอ๋องสวรรค์ก่วงให้ปราบกบฏ โจวจ้าวถูกอ๋องสวรรค์ก่วงประหารแล้ว กำลังพลที่ยอมให้จับแต่โดยดีจะพ้นข้อหา!”

ทั้งด้านในและด่านนอกค่ายกลใหญ่มีเสียงตะโกนนี้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ทำเอากำลังพลจวนจอมพลตระหนกขวัญเสีย ทุกคนต่างรู้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะประสงค์ของอ๋องสวรรค์ก่วง มีหรือที่กูอวี้เฉิงจะกล้าทำอย่างนี้ ต่อให้ทำลายจวนตระกูลโจวได้แต่ก็เท่ากับรนหาที่ตายอยู่ดี

ส่วนบนท้องฟ้า มีกำลังพลมืดฟ้ามัวดินพุ่งเข้ามาอีก แต่ละคนโพกผ่าขาวที่ศีรษะ พร้อมตะโกนเสียงดังสะเทือนเมฆว่า “ปราบกบฏ”

เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ กำลังพลของจวนจอมพลที่อยู่นอกค่ายกลใหญ่จำนวนไม่น้อยก็ทยอยกันโยนอาวุธในมือแล้วตะโกนเสียงดังว่า “ยอมแพ้” ภายใต้ผลกระทบที่เชื่อมโยงกัน ทัพใหญ่ที่เฝ้ารักษาการณ์พ่ายแพ้ยับเยิน

มีเพียงกำลังในจวนจอมพลที่สู้ตายอย่างไม่ยอมแพ้ ทั้งหมดเป็นทหารคนสนิท ทุกคนต่างรู้ดี ต่อให้จบเรื่องแล้วปล่อยไป แต่ก็ไม่มีใครปล่อยพวกเขาไว้ให้เกิดปัญหาตามมาทีหลัง ต่อให้ยอมแพ้ก็ไม่มีทางรอดอยู่ดี

บึ้ม! ค่ายกลใหญ่ที่คุ้มกันถูกตีแตก กำลังพลกลุ่มใหญ่บุกสังหารเข้ามา ชั่วพริบตาเดียวกำลังพลในจวนจอมพลก็ถูกตีแตกกระเจิงพ่ายแพ้ยับเยิน

“ฆ่า!” หลันหลิงโบกดาบลงสนามรบด้วยตัวเอง สังหารทิ้งไปแล้วหลายสิบคน ทว่ายามเผชิญหน้ากับทัพใหญ่ที่เหมือนกระแสน้ำ หัวเดียวกระเทียมลีบแพ้ล่าถอยตลอดทาง

“ฮูหยิน กอบกู้สถานการณ์ไม่ได้แล้ว ตราบใดที่ภูเขาเขียวขจี ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีไม้ฟืน!” ท่ามกลางทหารคนสนิทที่คุ้มกันอยู่ทางซ้ายและขวา หนึ่งในนั้นตะโกนขอร้องให้หลันหลิงรีบหนีไป

“ตามข้าสังหารออกไป!” หลันหลิงโบกดาบพุ่งนำขึ้นฟ้า กำลังพลนับร้อยตามคุ้มกัน

ทว่าภายใต้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งระลอกที่ยิงพร้อมกัน ทำให้คนกลุ่มนี้ถูกกดลงมาแล้ว ทัพใหญ่พุ่งเข้ามาล้อมโจมตี กำลังพลกลุ่มนี้ราวกับตกอยู่ในกองโคลน ยากที่จะหนีเอาตัวรอดได้อีก

สังหารจนถึงตอนสุดท้าย ศึกโดยรอบสงบลงแล้ว มีเพียงทหารไม่กี่คนที่ปกป้องอยู่ข้างกายหลันหลิง พวกเขาทำตัวเหมือนสัตว์ที่ดิ้นรนอยู่ในกับดัก ทัพใหญ่ที่ล้อมอยู่ส่วนมากหยุดมือแล้ว ได้แต่มองอยู่อย่างนั้น

ทัพใหญ่ที่ล้อมไว้หลีกทางให้ช่อทางหนึ่ง กูอวี้เฉิงถือกระบี่เดินเข้ามา ตะคอกว่า “หยุดมือ!”

กำลังพลที่ล้อมโจมตีหยุดถอยหลัง ทหารองครักษ์ไม่กี่คนที่ทั้งตัวเปื้อนเลือดล้อมพิทักษ์หลันหลิงที่จนตรอกเอาไว้ตรงกลาง

“โจรกบฏ!” หลันหลิงตะโกนเสียงแข็งขณะชี้ดาบใส่กูอวี้เฉิง

“โจวฮูหยิน ทำไมต้องต่อต้านโดยไร้จุดหมาย ยอมให้จับแต่โดยดีเถอะ บางทีท่านอ๋องอาจจะลดหย่อนโทษให้” กูอวี้เฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“เหลวไหล! ข้าเป็นจอมพลฮูหยินผู้สง่าน่าเกรงขาม ไม่มีเหตุผลให้ลดตัวไปขอร้องโจรกบฏ!” พอพูดจบ หลันหลิงที่หันมองรอบข้างก็พลันวางดาบบนคอคาวดุจหยกของตัวเอง เลือดสดพุ่งออกมา เด็ดขาดที่สุด

“ฮูหยิน!” พวกทหารองครักษ์ร้องไห้อย่างเศร้าโศก รีบเข้ามาแย่งประคองหลันหลิงที่ล้มลง

พอหลันหลิงตาย กำลังพลกลุ่มหนึ่งก็พุ่งมาข้างหน้าอีกครั้ง ประหารพวกทหารองครักษ์ที่เหลือ

หลังจากรอบข้างเงียบสงบลงโดยสิ้นเชิง กูอวี้เฉิงก็เดินถือดาบไปข้างศพหลันหลิงด้วยสีหน้าตึงเครียด จากนั้นถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยความปลง “ช่างเป็นสตรีหาญจริงๆ เหตุใดจึงให้กำเนิดลูกชายชั่วที่นำภัยมาสู่ตัวอย่างนั้นได้ ทหาร ฝังศพครั้งใหญ่!”

…………………………

พลังอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายจู่โจมฉับพลัน โจวจ้าวตกใจมาก รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ป้องกัน ทว่าเมื่อคนที่ไม่ได้เตรียมพร้อมมาเจอกับคนที่จงใจทำ มีหรือที่จะป้องกันไหว

เปรี้ยง! ราวกับเสียงฟ้าร้อง พลังอิทธิฤทธิ์ที่โจวจ้าวเพิ่งจะรวบรวมได้ถูกตีพัง เลือดกระอักออกปากราวกับลูกธนู ทั้งตัวราวกับมีดาวหมุนรอบ

บึ้ม! ภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปหลายพันจั้งพลังทลายเนื่องจากเงาคนคนหนึ่งพุ่งชน

โกวเยว่ขยับแขนสองข้างคว้าอากาศ กำแพงลมล่องหนที่เป็นคลื่นกันด้านนอกจวนท่านอ๋องเอาไว้ ธนูเลือดที่พุ่งมาตรงหน้าเขากลายเป็นเถ้าปลิวหายไป คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่เกิดจากการโจมตีเมื่อครู่ถูกเขาควบคุมเอาไว้แล้ว จากนั้นสะบัดแขนเสื้อไปบนฟ้า พลังอิทธิฤทธิ์ที่พุ่งโจมตีกลุ่มนั้นถูกโน้มนำขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะสลายไปทีละนิดท่ามกลางความลี้ลับ ทำแบบนี้เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อจวนท่านอ๋อง

ชั่วพริบตาที่เงาคนลอยไปชนกับภูเขาลูกใหญ่ เงาคนสี่สายจากสี่ทิศก็ก็พุ่งขึ้นมาท่ามกลางฝุ่นควันระเบิด ฝุ่นควันระเบิดอีกครั้ง เสียงต่อสู้อันดุเดือดดังขึ้นชั่วแวบเดียว

นอกจวนท่านอ๋อง กำลังพลที่ติดตามคุ้มกันโจวจ้าวเห็นสถานการณ์แล้วพากันตะลึงค้าง พวกเขานึกไม่ถึงว่าจู่ๆ พ่อบ้านโกวเยว่ของจวนท่านอ๋องจะลอบโจมตีท่านจอมพล

ท่ามกลางฝุ่นควันที่ตลบอบอวลไกลๆ เงาคนหลายคนพุ่งขึ้นฟ้า แม่ทัพใหญ่เกราะแดงหกแถบถึงเป็นยศสูงสุกจำนวนสี่คนคุมตัวโจวจ้าวออกมา เจ้าตัวเลือดออกปากออกจมูก ตาเหลือกเป็นระยะ ผมเผ้ายุ่งเหยิง แขนหายไปข้างหนึ่งแล้ว โจวจ้าวที่สภาพสะบักสะบอมถูกเชือกมัดเซียนมัดไว้อย่างแน่นหนา

ตี๋เหยียน พ่อบ้านที่ติดตามโจวจ้าวมาตระหนักอะไรบางอย่างได้ทันที พลันตะโกนบอกกำลังพลที่ติดตาม “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับจอมพล พวกเราก็ไม่ได้ตายดี ปกป้องจอมพลก็เท่ากับปกป้องพวกเราเอง โจมตี!”

กำลังพลนับร้อยพุ่งขึ้นฟ้าไปยังกลุ่มคนที่กำลังควบคุมตัวโจวจ้าวทันที เร่งให้ความช่วยเหลือ

เปรี้ยง! บนฟ้าเกิดเสียงดังราวกับฟ้าผ่า ลำแสงสีเลือดสายหนึ่งโดดเด่นสะดุดตา ในระยะที่ใกล้ขนาดนี้ ลำแสงนี้ราวกับเป็นเสาแสงต้นหนึ่ง ชั่วพริบตาเดียวก็เสียบโดนตี๋เหยียนที่กำลังนำกลุ่มคนพุ่งสังหารเข้ามา ตี๋เหยียนกรีดร้องคาที่ สิ้นชีพภายใต้การโจมตีเพียงครั้งเดียวของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด!

กลุ่มเมฆหมอกบนฟ้าสลายไปเพราะแรงสะเทือน เผยร่างชายคนหนึ่งที่กำลังถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด

พอสี่คนที่กำลังคุมตัวโจวจ้าวโบกมือ บนพื้นก็มีคนเรียงแถวหน้ากระดานขวางตรงหน้า แต่ละคนง้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ระหว่างแนวภูเขาโดยรอบก็กลุ่มมีทหารสวรรค์ที่ถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์พุ่งขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นกัน ชั่วพริบตาเดียวลำแสงหลายสายก็ถูกยิงออกมาพร้อมกัน

พอคนนับร้อยที่พุ่งขึ้นไปโบกมือ ชั่วพริบตาเดียวทัพใหญ่หนึ่งแสนก็ปรากฏตัว โล่ป้องกันอย่างหนาแน่น ลูกธนูดาวตกยิงโจมตีกลับผ่านซอกโล่กำบัง

ท่ามกลางเสียงดังตูมตาม จู่ๆ รอบข้างก็มีเสียงตะโกนว่าฆ่าดังสนั่น กำลังพลสี่กลุ่มพุ่งออกมาสั่งหารจากสี่ทิศทาง ลูกธนูดาวตกยิงสังหารตามมาติดๆ

ลำแสงสีต่างๆ จากอาวุธเคลือบเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาวับวาบสั่นไหว คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์แข็งแกร่งราวกับจะเผาทำลายทำลายฟ้าดิน ฟ้าดินเปลี่ยนสีเพราะสิ่งนี้ ภูเขาและแม่น้ำลำคลองพังทลายเป็นวงกว้าง

โกวเยว่ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่จวนท่านอ๋อง พอโบกธงคำสั่งในมือ ลำแสงอ่อนจางสายหนึ่งก็ครอบทั้งยอดเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของจวนท่านอ๋องเอาไว้ คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่พุ่งโจมตีเข้ามาราวกับแผ่นดินแยกทะเลคลั่งถูกพลังป้องกันอันเข้มแข็งของลำแสงนั้นกันไว้ทันที บนลำแสงครอบกระเพื่อมเป็นชั้นราวกับคลื่น โกวเยว่เอามือไขว้หลังยืนดูทั้งสองฝ่ายรบกันอย่างไม่สะทกสะท้าน

ทุกสิ่งรอบด้านราวกับถูกทำลายพังภายในชั่วพริบตาเดียว มีเพียงยอดเขาใต้เท้าของโกวเยว่ที่มั่นคงไม่เคลื่อนไหว

คนชุดดำสวมหน้ากากสิบกว่าคนพลันออกจากจวนท่านอ๋อง มายืนเรียงแถวหน้ากระดานข้างหลังโกวเยว่

เสียงความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นคนหูหนวกก็ได้ยิน ทุกคนในจวนท่านอ๋องตกใจจนโผล่ออกมา แต่ในกลับจวนท่านอ๋องมีทหารสวมเกราะกลุ่มใหญ่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ กำลังจ้องทุกความเคลื่อนไหวในจวนท่านอ๋องด้วยท่าทางดุร้าย ป้องกันไม่ให้ในจวนท่านอ๋องเกิดความผิดปกติใดๆ ทำให้คนไม่น้อยตกใจจนไม่กล้าสูดหายใจแรง

บรรดาสมาชิกครอบครัวในจวนท่านอ๋องต่างพากันยืนบนหลังคาดด้วยสีหน้าอกสั่นขวัญแขวน ก่วงเม่ยเอ๋อร์กอดแขนมารดา ตกใจจนหน้าซีดนิดหน่อย ฉากที่ฟ้าดินเหมือนจะถล่มน่าตกใจเกินไป ก่วงเม่ยเอ๋อร์ยังไม่เคยเห็นฉากอันน่าตกใจขนาดนี้มาก่อน ถึงแม้จะมีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่งทนทาน แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าขาสั่นแล้ว ทำให้รู้สึกว่าจวนท่านอ๋องกำลังจะถูกดินพลิกถล่มได้ตลอดเวลา

สำหรับสมาชิกครอบครัวจวนท่านอ๋องส่วนใหญ่ ยังไม่เคยเห็นนอกจวนท่านอ๋องเกิดเรื่องน่ากลัวขนาดนี้มาก่อนเลย

เม่ยเหนียงก็ตกใจจนหน้ามืดเช่นกัน นางมองไปรอบๆ พบว่าทหารสวมเกราะที่โผล่ออกมากะทันหันส่วนใหญ่ไม่คุ้นหน้าเลย เหมือนตัวเองไม่เคยเจอด้วยซ้ำ จึงถามอย่างหวาดกลัวว่า “ท่านอ๋อง ท่านอ๋องล่ะ?”

ในขณะนี้เอง แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งแฉลบเข้ามาเหยียบบนหลังคา แล้วกุมหมัดคารวะ “หวังเฟย ท่านอ๋องเชิญหวังเฟยกับคุณหนูไปสักรอบ”

สองแม่ลูกย่อมเดินตามไปอย่างไม่รีบร้อนและไม่ชักช้า สำหรับพวกนางในตอนนี้ มีแค่ต้องอยู่ข้างกายท่านอ๋องเท่านั้นถึงจะรู้สึกปลอดภัย

บนตึกศาลาที่ทิวทัศน์งดงามที่สุดในสวน บนโต๊ะยาวมีสุราอาหารครบครัน ก่วงลิ่งกงนั่งจิบสุราเงียบๆ มองฟ้าพลิกแผ่นดินแยกด้านนอกด้วยสายตาสงบเยือกเย็น

เม่ยเหนียงที่เดินขึ้นตึกศาลาไม่สนใจพิธีรีตองแล้ว นางวิ่งมาตรงหน้าก่วงลิ่งกง แล้วถามเสียงตระหนก “ท่านอ๋อง นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

ก่วงลิ่งกงเอียงหน้ายิ้มบางๆ “เม่ยเหนียง เหมือนข้าจะไม่ได้ฟังเจ้าดีดฉินนานแล้วนะ”

“…” เม่ยเหนียงที่ตกใจจนหน้าซีดได้ยินแล้วพูดไม่ออก ภายใต้สายตาอันทรงพลังของเขา สุดท้ายนางก็เดินไปที่โต๊ะเล็กด้านข้างด้วยย่างก้าวที่ปั่นป่วนเล็กน้อย ยกกระโปรงนั่งลง หยิบกู่ฉินขึ้นมาวาง แล้วใช้นิ้วเรียวสวยบรรเลงฉินแข่งกับเสียงด้านนอก เพียงแต่เสียงฉินปั่นป่วนอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับอารมณ์ของเม่ยเหนียงในตอนนี้

ก่วงลิ่งกงกวักมือเรียกก่วงเม่ยเอ๋อร์อีก นางรีบไปยืนข้างๆ แล้วรินสุราให้เขา

ด้านนอกฟ้าพลิกแผ่นดินแยก ทว่าก่วงลิ่งกงกลับนั่งยกจอกสุราจิบอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่บนตึกศาลาราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ดูอยู่ข้างๆ อย่างเหยียดหยาม

ความไม่สะทกสะท้านของเขาปลอบใจสองแม่ลูกได้เยอะมาก เริ่มทำให้สองแม่ลูกสงบลงแล้ว

กำลังพลที่ติดตามโจวจ้าวมีกำลังรบที่แข็งแกร่งมาก ภายใต้การล้อมโจมตีจากกำลังพลจวนท่านอ๋อง ใช้เวลาสังหารเกือบหนึ่งชั่วยาม ความเคลื่อนไหวที่เหมือนฟ้าพลิกแผ่นดินแยกถึงได้ค่อยๆ สงบลง ตามที่เสียงระเบิดครั้งสุดท้ายหายไป ฟ้าดินก็เหมือนจะสงบลงแล้ว เพียงแต่ด้านนอกมีฝุ่นดินตลบอบอวล มองเห็นอะไรไม่ชัดเลย

ใช้เวลาไม่นาน เสียงลมคลั่งที่เกิดจากพลังอิทธิฤทธิ์ก็ดังขึ้นอีก ปัดเป่าฝุ่นควันด้านนอกจนหายไปหมด มองเห็นรอบด้านของจวนท่านอ๋องที่งดงามดุจแดนเซียนอีกครั้ง ภูเขาและแหล่งน้ำบ้างก็กลายเป็นพื้นราบ บ้างก็เกิดเหวลึกหมื่นจั้งจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งแผ่นดินใหญ่เกิดหลุ่มบ่อนับพัน มีเพียงยอดเขาที่ตั้งจวนท่านอ๋องเท่านั้นที่ยังงดงามโดดเด่น

กำลังพลกลุ่มใหญ่รอบด้านถืออาวุธค้นหาบางอย่างทั่วบริเวณ เมื่อพบคนที่ยังไม่ตายก็เก็บไปทันที ไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไร

ลำแสงครอบที่เหมือนชามคว่ำพลันหายไป แม่ทัพใหญ่เกราะแดงสี่คนคุมตัวโจวจ้าวเหาะเข้ามา แล้วกดให้คุกเข่าลงบนพื้นตรงหน้าโกวเยว่

โจวจ้าวที่เลือดสดไหลออกจมูกเงยหน้ามองเขา แล้วคำรามเสียงแตก “โกวเยว่บังอาจนัก กล้าลงมือกับจอมพล! ข้าต้องการพบท่านอ๋อง ข้าจะพบท่านอ๋อง! ท่านอ๋อง ข้าน้อยถูกใส่ร้าย! ข้าน้อยถูกใส่ร้ายนะ!”

“ไม่ต้องตะโกนอีกแล้ว ตะโกนจนคอแตกก็ไร้ประโยชน์ ท่านอ๋องจะไม่พบเจ้าอีก” โกวเยว่มองต่ำพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา

ใบหน้าโจวจ้าวฉายแววเศร้าโศกทันที เข้าใจโดยไม่ต้องคิดเลย ว่านี่คือประสงค์ของก่วงลิ่งกง ไม่อย่างนั้นสี่ทัพจะมีใครกล้าแตะต้องเขา เขาพลันกล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย “ถ้าข้าตาย ลูกน้องจะจะต้องปกป้องตัวเอง จะต้องต่อต้านจนตัวตาย ถึงตอนนั้นทัพตะวันตกก็จะวุ่นวายแล้ว ก่วงลิ่งกงก็อย่าได้คิดจะนั่งตำแหน่งอ๋องอย่างมั่นคงเลย!”

โกวเยว่แสยะยิ้ม “เจ้าประเมินตัวเองสูงไปแล้ว ถ้าท่านอ๋องไม่มีแม้แต่กำลังจะควบคุม แล้วจะยังบัญชาการทัพตะวันตกได้ยังไง? ท่านอ๋องดึงเจ้าขึ้นมาได้ ก็เตะเจ้าออกไปได้เหมือนกัน ไม่ได้ขาดแคลนอะไรทั้งนั้น ไม่ขาดคนมารับตำแหน่งขุนนาง เจ้ายังกลัวว่าจะไม่มีคนมาดันตำแหน่งเจ้าอีกเหรอ? มีท่านอ๋องคอยหนุนหลังคุมสถานการณ์โดยรวมเพื่อกำจัดความกังวล ในบรรดากำลังพลสายมะแมของเจ้ามีคนอยากแทนที่เจ้าอยู่แล้ว ถ้าข้าเดาไม่ผิด ตอนที่เจ้ากำลังถูกจับอยู่นี้ สายมะแมคงเริ่มใช้กำลังทหารควบคุมทั่วทุกพื้นที่แล้ว เกรงว่าจุดจบของบรรดาลูกน้องคนสนิทของเจ้าคงไม่ได้ดีกว่าเจ้าสักเท่าไรหรอก”

โจวจ้าวสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจว่าเรื่องในวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกะทันหัน แต่มีการวางแผนตั้งนานแล้ว เขาพลันดิ้นรนพร้อมคำรามเสียงแตก “เพราะอะไร? ทำไม? หรือว่าเพื่อหลงซิ่นคนเดียว? ยอมกำจัดจอมพลผู้นี้ทิ้งเพื่อหลงซิ่นคนเดียวเหรอ? อย่าบอกนะว่าก่วงลิ่งกงยอมเชื่อคำพูดหลงซิ่นมากกว่าคำพูดข้า? ข้ายอมก้มหัวให้มาหลายปีขนาดนี้ ต่อให้ไร้ผลงานแต่ก็ลำบากทุ่มเท มีสิทธิ์อะไรล่ะ? มีสิทธิ์อะไรมาทำกับข้าอย่างนี้? สัจธรรมอยู่ที่ไหน ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน?”

โกวเยว่พ่นเสียงทางจมูก “หลงซิ่นเหรอ? จนป่านนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้ายังคิดว่าเป็นเพราะหลงซิ่น? หลงซิ่นไม่สำคัญอะไรในสายตาท่านอ๋องเลย ขาดหลงซิ่นไปสักคนแล้วจะทำไม?”

โจวจ้าวคำราม “งั้นเป็นเพราะอะไรกันแน่? ข้ายอมรับว่าเชื่อฟังก่วงลิ่งกงทุกอย่าง ไม่เคยคิดต่อต้านใดๆ!”

“เพราะอะไรน่ะเหรอ?” โกวเยว่พลันชี้ไปที่ขอบฟ้า “เจ้าตาบอดหรือไง? ไม่เห็นจวนแม่ทัพภาคตลาดผีรับสมัครคนเหรอ? เจ้ามองเห็นแค่หลงซิ่นคนเดียวไปพึ่งพา เจ้าไม่เห็นเหรอว่าคนในทัพตะวันตกที่ไปขอพึ่งพามีมากเหมือนปลาในแม่น้ำ? หลังจากท่านอ๋องทราบเรื่องก็ไม่เป็นอันกินอันนอน ในทัพตะวันตกมีปัญหา แต่นึกไม่ถึงว่าปัญหาจะรุนแรงขนาดนี้ เจ้าเป็นจอมพลสายมะแม แต่มองไม่เห็นความรุนแรงของปัญหาเชียวเหรอ? ถ้าปล่อยให้เวลานานไป ทัพตะวันตกก็จะเปราะบาง ทำลายรากฐานของตัวเอง! สถานการณ์ที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีทำให้ท่านอ๋องเข้าใจถ่องแท้แล้ว ว่าทัพตะวันตกไปถึงขั้นที่ต้องปรับปรุงใหม่ การเยียวยาแขนที่ขาดแม้จะเจ็บ แต่จะไม่ทำก็ไม่ได้ ถ้าท่านอ๋องไม่ทำ เก็บไว้ให้คนรุ่นหลังจัดการก็จะยิ่งยากลำบาก เกรงว่าคนรุ่นหลังคงจะไม่มีอิทธิพลต่อทัพตะวันตกเหมือนท่านอ๋องแล้ว! ถ้าอยากจะเคาะภูเขาให้เสือสะเทือน ก็ย่อมต้องเลือกลูกน้องที่มีน้ำหนักมากพอ ที่แตะต้องเจ้าก็เพราะต้องการให้ทุกคนของทัพตะวันตกเห็นการตัดสินใจของท่านอ๋อง ใครจะทำลวกๆ ก็ลองดู เจ้าโจวจ้าวก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว!” ร่ายยาวไม่หยุดก็นับว่าทำให้โจวจ้าวได้ตายอย่างไม่คาใจ ถึงอย่างไรก็เป็นจอมพล จงรักภักดีต่อก่วงลิ่งกงมาหลายปี

“อา!” โจวจ้าวพลันเงยหน้าร่ำร้องระบายความเศร้า นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะตายเพราะเหตุผลนี้ เหตุใดตัวเองต้องมารับความอยุติธรรมนี้ เขาคำรามอย่างโกรธแค้น “ทำไมต้องเป็นข้า? ทำไมต้องเป็นข้า? จอมพลผู้นี้ไม่ยอม! จอมพลผู้นี้ไม่ยอม!”

“หลงซิ่นไปขอพึ่งพาจวนแม่ทัพภาคตลาดผี เลยทำให้เจ้าตกเป็นประเด็นสนทนาอีก กาจัดการลงโทษเจ้าก็จะเป็นการตักเตือนและปลอบใจทัพตะวันตกได้มากว่า ดังนั้นหลงซิ่นนับว่าเป็นบทนำ บอกได้เพียงว่าถึงคราวซวยของเจ้าพอดี!” โกวเยว่แสยะยิ้ม แล้วโบกแขนเสื้อพร้อมสั่งว่า “เอาตัวลงไป รอคำสั่ง ประหารต่อหน้าฝูงชน!”

โจวจ้าวที่ถูกลากออกไปพลันตะโกนเสียงดัง “ข้ายอมรับผิด ปล่อยครอบครัวข้าไป ปล่อยครอบครัวข้าไป!”

โกวเยว่หลุบตาลง “สายไปแล้ว! ตอนที่ลงมือกับเจ้า…ก็ลงมือกับทางนั้นด้วยเหมือนกัน!”

“อา…ฆ่าข้าแล้วมีประโยชน์อะไร? ต่อให้ปรับปรุงได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็ปรับปรุงไปทั้งชาติไม่ได้ ผลประโยชน์หมุนเวียนเป็นวัฎจักร…” โจวจ้าวส่ายหน้าร่ำร้อง ถูกลากออกไปอย่างนั้น เขาจินตนาการได้ถึงภาพที่ทัพใหญ่ล้อมโจมตีจวนตระกูลโจว จะต้องฆ่าทิ้งหมดแล้วแน่นอน ไม่เหลือแม้แต่ไก่หรือสุนัข คนตระกูลโจวที่มีหน้ามีตาและโอ้อวดความรวยจะต้องสิ้นหวังกันขนาดไหน

เขาเองก็เข้าใจดี ว่าตัวเองจะต้องตายแน่นอน ถ้าบัญชาการสวรรค์อนุญาตให้ลงโทษ เขาก็จะต้องถูกประหารประจาน แต่ถ้าบัญชาสวรรค์ไม่อนุญาตให้ฆ่าเขา ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะต้อง ‘ปลิดชีพตัวเองหนีการตัดสินคดี’ สรุปก็คือตอนนี้ไม่มีใครช่วยเขาได้ ต่อให้เป็นประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็ช่วยเขาไม่ได้อยู่ดี

…………………………

ล้อเล่นจนเก้อเขินเสียเอง ประมุขชิงทำหน้าขรึม ชั่วพริบตาเดียวก็เหมือนจะลืมเรื่องเมื่อครู่นี้แล้ว พูดคุยเรื่องชิงเยว่กับหลงซิ่นที่ซ่างกวนชิงเอ่ยถึงต่อไป

ชิงเยว่ก็ยังดีหน่อย พอพูดถึงหลงซิ่น ประมุขชิงก็รู้สึกขำในใจ ครั้งก่อนตอนเรียกซือหม่าเวิ่นเทียนมาถามเรื่องนี้ เขาถึงได้รู้ว่า ผู้หญิงที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างโจวจ้าวกับหลงซิ่นแข็งทื่อก็คือคนของหน่วยตรวจการซ้าย เจตนาเดิมของซือหม่าเวิ่นเทียนก็คือส่งผู้หญิงคนนี้เข้าจวนตระกูลโจว ใครจะคิดว่าผิดพลาดถูกหลงซิ่นรับไปเป็นอนุภรรยาเสียได้ เพราะเหตุนี้ถึงได้เกิดเรื่องในตอนหลังตามมา ใครจะคิดว่าจะส่งผลกระทบมาจนถึงทุกวันนี้

พอพูดถึงผู้หญิงคนนั้น ซือหม่าเวิ่นเทียนก็เสียดายสุดๆ ทั้งหน้าตาและความสามารถโดดเด่นเกินใคร เป็นคนที่หน่วยตรวจการซ้ายทุ่มทุนฝึกเลี้ยงเยอะมาก เดิมทีหวังจะใช้งานใหญ่ ใครจะคิดว่าจะตายอย่างคลุมเครือแบบนั้นแล้ว

จ้านหรูอี้ที่อยู่ข้างกายฟังทั้งสองคุยกันอย่างเงียบๆ คำพูดของประมุขชิงกลับเปิดประตูความทรงจำของนางแล้ว นางนึกถึงฉากที่ตัวเองถูกหนิวโหย่วเต๋อจับมัดบนเสาธงในปีนั้น เรื่องราวในอดีตปรากฏขึ้นฉากแล้วฉากเล่าราวกับม้วนภาพวาด ตอนหลังนางสร้างความอัปยศอดสูให้ตัวเองหลายครั้ง จนกระทั่งตอนสุดท้ายได้ฟังคำสั่งอยู่ใต้บังคับบัญชาหนิวโหย่วเต๋อ ภาพตอนที่วิงวอนขอร้องเพราะอับจนหนทางอยู่ที่อุทยานหลวงก็ยิ่งฝังลึกในใจ แล้วดูสภาพตัวเองในตอนนี้สิ สูงส่งมีหน้ามีตาที่สุด ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงในใต้หล้ามากมายเท่าไรอิจฉา แต่หนิวโหย่วเต๋อกลับดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่ในสถานที่เล็กๆ อย่างตลาดผี

สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต๋อสามารถเดินทีก้าวมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็ไปขอพึ่งพารับใช้ ถึงแม้ตอนนี้นางจะมียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ค่อยปกป้องอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ในใจสายตานาง นี่กลับเป็นสิ่งที่ตัวเองนำร่างกายไปแลกมา

โต้เถียงกับกลุ่มขุนนางในงานเลี้ยงอย่างฮึกเหิม ผลักดันให้เกิดเดิมพัน ตั้งป้ายรับสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี จนตอนนี้มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ไปขอพึ่งพารับใช้ ต่อให้ตัดปัจจัยแวดล้อมอย่างเหมียวอี้ ทว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นต่อเนื่องก็ยังทำให้ใจนางทะยานใฝ่ฝันเช่นกัน นางหวังว่าตัวเองจะได้สวมเกราะรบอย่างนั้นอีก หวังให้ตัวเองสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรอย่างนั้นเหมือนกัน และในความเป็นจริง ยามที่นางหลับฝันก็ยังเป็นภาพตัวเองสวมเกราะรบเหมือนในปีนั้น นั่นคือชีวิตที่นางชอบ ไม่ใช่การแสดงบทสาวงามเดินออกจากห้องอาบน้ำให้ผู้ชายเห็นอยู่ที่นี่

ดวงตางามทอดมองไปไกล จ้านหรูอี้สีหน้าหมดอาลัยตายอยาก…

ตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่นอนตะแคงอยู่บนเตียงนุ่มพลันลุกขึ้นนั่ง จากนั้นยืนยืดท้องกลมขึ้นมา

เอ๋อเหมยที่กำลังรายงานข่าวตกใจทันที ถ้าทำให้เด็กในครรภ์บาดเจ็บขึ้นมาจะไม่แย่หรอกเหรอ? นางรีบก้าวขึ้นไปใช่สองมือประคอง “เหนียงเหนียงระวังเพคะ!”

“ไม่เป็นไร!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ปัดมือนางออก แล้วถามด้วยแววตาเป็นประกาย “เจ้าบอกว่าอะไรนะ ขนาดยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ยังไปขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อเลยเหรอ?”

เอ๋อเหมยตอบว่า “ใช่เพคะ คนหนึ่งชื่อชิงเยว่ อีกคนชื่อหลงซิ่น คนหนึ่งเดิมทีเป็นทูตลาดตระเวนฝั่งใต้ ส่วนอีกคนเคยเป็นท่านโหวค่ะ…” นางเล่าประวัติและสาเหตุที่ทั้งสองถูกลดตำแหน่งให้ฟังอย่างละเอียด

“ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ ด้วย เขาไม่ทำให้ข้าผิดหวัง…”

หลังจากฟังจบ บนใบหน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ใช้สองมือประคองท้องใหญ่เดินไปเดินมาอย่างรวดเร็ว ปากก็พึมพำไม่หยุด

จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม เซี่ยโห้วท่ายืนหลับตาครุ่นคิดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ในหอสามรากฐาน โค่วหลิงซวีนั่งหลับตาพิงเก้าอี้ตัวใหญ่อย่างเงียบงันอยู่ด้านหลังโต๊ะยาว สามพี่น้องตระกูลโค่วที่ยืนอยู่ข้างล่างมีสีหน้าแตกต่างกันไป ข่าวจากตลาดผีทำให้เขาตกตะลึงเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะมียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ไปขอเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาหนิวโหย่วเต๋อ เรื่องนี้เหลือเชื่อเกินไป มีสิทธิ์อะไรล่ะ

“ไปสืบดูหน่อย ดูว่าทัพเหนือมีนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ที่ถูกลดตำแหน่งหรือเปล่า ตกอยู่ในสภาพและสถานการณ์แบบไหน” โค่วหลิงซวีเอ่ยเสียงเรียบขณะหลับตาพิงเก้าอี้

“ท่านพ่อ ทัพเหนือน่าจะไม่มีขอรับ การลดตำแหน่งนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ไม่มีทางที่พวกเราจะไม่รู้” โค่วเจิงกล่าว

ปั้ง! จู่ๆ โค่วหลิงซวีก็ตบโต๊ะยืนขึ้น ทั้งโต๊ะยาวแตะพังตกลงพื้น สามพี่น้องตกใจทันที ทุกคนทำสีหน้าหวาดกลัว แม้แต่ถังเฮ่อเหนียนก็ถูกเหตุการณ์กะทันหันนี้ทำให้ตกใจแล้วเช่นกัน

“น้ำเข้าสมองเจ้าแล้วรึไง? ระดับสำแดงฤทธิ์ไม่มี แล้วระดับบงกชกลายไม่มีเหรอ? ตรวจสอบ! ไปตรวจสอบให้ข้าเดี๋ยวนี้!” โค่วหลิงซวีส่งเสียงคำรามอย่างระงับความโกรธไม่ไหว ลักษณะท่าทางยามปะทุอารมณ์กะทันหันน่ากลัวมาก

“ขอรับ!” โค่วเจิงกุมหมัดเอ่ยรับอย่างอกสั่นขวัญแขวน รีบหันตัวเดินออกไป โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนถอยออกไปเงียบๆ เช่นกัน

เมื่อออกจากหอสามรากฐานแล้ว เห็นภาพที่พี่ใหญ่เดินหน้าม่อยคอตกออกไป โค่วฉินก็ ถ่ายทอดเสียงบอกโค่วเหมี่ยนเหมือนยินดีในความโชคร้ายของคนอื่นว่า “เจ้าดูสิ ยามปกติเดินวางมาดผู้สืบทอดตระกูลต่อหน้าพวกเรา ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้จะพูดอะไรโง่ๆ ออกมา น่าขำจริงๆ”

น่าขำตรงไหน? โค่วเหมี่ยนพูดไม่ออก พี่ใหญ่พูดความจริงแท้ๆ เพียงแต่ท่านพ่ออารมณ์ไม่ดีก็เท่านั้นเอง

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ในศาลาที่ยื่นลงน้ำ ฮ่าวเต๋อฟางกำหมัดสองข้างแน่น ดวงตาฉายแววสังหาร บนใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย

ซูอวิ้นยืนก้มหน้าอยู่ข้างๆ

ตุ้บ! ฮ่าวเต๋อฟางพลันปล่อยหมัด บนเสาระเบียงต้นหนึ่งตรงหน้าเกิดรอยลึก ก่อนจะตวาดด้วยเสียงเดือดดาล “นางตัวดีชิงเยว่ ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นอย่างนี้ ข้าควรจะประหารนางเสียตั้งแต่ตอนนั้น!”

ไม่ให้เขาเดือดดาลไม่ได้หรอก เรื่องนั้นผ่านไปนานมากแล้ว คนในใต้หล้าแทบจะลืมเลือน เขาเองก็รู้ว่าเขาผิดที่ลดตำแหน่งชิงเยว่ในตอนนั้น เพราะชิงเยว่สร้างผลงานใหญ่ แต่การกระทำของชิงเยว่ในตอนแรกทำให้เขาเดือดดาลจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าอยากจะฆ่าซูอวิ้นไปพร้อมกันด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะซูอวิ้นบังเอิญอยู่ข้างกายเขาพอดี เขาก็ไม่อยากจินตนาการผลที่ตามมาเลย ถือวิสาสะตัดสินใจเองโดยไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยสักนิด และสาเหตุที่เขาลดตำแหน่งชิงเยว่ก็ไม่ใช่เพราะซูอวิ้นอย่างเดียว เป็นเพราะเพิ่งบุกยึดใต้หล้าได้ ลูกน้องของเขาที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วกำลังลำพองใจ แต่ละคนคิดว่าตัวเองเป็นขุนนางทีมีความดีความชอบ จึงประพฤติตัวอย่างกำเริบเสิบสาน เขาคิดว่าคนพวกนี้ไม่เห็นผู้ที่มีฐานะสูงกว่าอยู่ในสายตา จุดนี้ทำให้เขาทนไม่ได้ยิ่งกว่าโดนแย่งอาณาเขตเสียอีก ถึงขนาดไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปจะไม่มีคนอยากมาแทนที่เขาหรอกหรือ? นี่คือสิ่งที่เขาทนไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่แค่ลดตำแหน่งชิงเยว่เท่านั้น หลังจากนั้นยังทำทุกวิถีทางเพื่อกวาดล้างกลุ่มแม่ทัพใหญ่ที่สร้างผลงานอย่างยากลำบากด้วย

เรื่องบางเรื่องถ้ามองในมุมของคนระดับบนก็เป็นแบบหนึ่ง เมื่อมองในมุมของคนระดับล่างก็เป็นอีกแบบหนึ่ง คนส่วนใหญ่คิดเพียงว่าเขาไม่สนใจผลงานของผู้ใต้บังคับบัญชาเพราะผู้หญิงคนเดียว สรุปก็คือไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องในปีนั้นก็ได้ผ่านไปแล้ว แต่จู่ๆ วันนี้ชิงเยว่พลันกระโดดขึ้นมา ทั้งยังไปเข้าร่วมจวนแม่ทัพภาคตลาดผีอีก เจ้าเข้าร่วมจวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็ว่าหนักแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นคนเฝ้าประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีอีก ทำอย่างกับกลัวคนในใต้หล้าจะไม่รู้ว่าเจ้าไปเข้าร่วมจวนแม่ทัพภาคตลาดผี

การกระทำของชิงเยว่ก็ไม่ต่างอะไรกับการดันเรื่องในอดีตที่อ๋องสวรรค์ฮ่าวเคยลดตำแหน่งทหารที่มีผลงานเพื่อผู้หญิงคนเดียวขึ้นมาให้เป็นขี้ปากชาวบ้านอีกครั้ง ชิงเยว่ยอมไปเป็นคนเฝ้าประตูจวนแม่ทัพภาคตลาดผีดีกว่ายอมมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา แบบนี้แสดงว่าเขาฮ่าวเต๋อฟางจะต้องไร้คุณธรรมขนาดไหนกัน ทำให้เขากลายเป็นที่หัวเราะเยาะของคนในใต้หล้าจริงๆ!

คนที่บ้าหน้าตาศักดิ์ศรีมีแค่ประมุขชิงเสียที่ไหนกัน ยามปกติที่เขาหัวเราะยาะประมุขชิงก็เป็นเพราะเรื่องยังไม่เกิดขึ้นกับเขาเท่านั้นเอง เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเขาจริงๆ เขาเองก็เสียหน้าเหมือนกัน

“ทั้งหมดเป็นเพราะข้าน้อย ทำให้ท่านอ๋องลำบากไปด้วย!” ซูอวิ้นกล่าว

ฮ่าวเต๋อฟางหันขวับ แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “เจ้านี่นะ ตอนแรกไม่ควรจะห้ามข้าไม่ให้สังหารนาง!”

ซูอวิ้นกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าใจอยู่หลายส่วน “ตอนนั้นใช่ว่าข้าน้อยจะไม่อยากล้างแค้นให้ตระกูล แต่เป็นเพราะนางฆ่าคนในตระกูลข้าน้อย ท่านอ๋องจึงฆ่านางไม่ได้ เรื่องระหว่างข้าน้อยกับนายท่าน คนเขารู้กันทั้งใต้หล้าแล้ว ถ้าท่านอ๋องฆ่านางเพราะข้าน้อย แล้วจะให้คนในใต้หล้ามองท่านอ๋องยังไง จะไม่ทำให้พวกลูกน้องท้อใจผิดหวังหรอกหรือ? แบบนั้นท่านอ๋องจะยังคุมคนได้ยังไง? พวกทหารที่เห็นใจเพื่อนร่วมอาชีพก็จะเอาใจออกห่างจากท่านอ๋อง แล้วท่านอ๋องจะคุมอาณาเขตได้ยังไงคะ?”

“ชิงเยว่นางตัวดี…” ฮ่าวเต๋อฟางกล่าวอย่างแค้นใจ

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ในห้องหนังสือของก่วงลิ่งกง ก่วงลิ่งกงกำลังนั่งหน้าเครียกอยู่หลังโต๊ะหนังสือ โจวจ้าวจอมพลสายมะแมก้มหน้ายืนอยู่หน้าโต๊ะ โกวเยว่ยืนมองทุกอย่างอยู่ที่มุมห้อง

“ในปีนั้นเพื่อที่จะให้เจ้าขึ้นสู่ตำแหน่ง ข้ายอมถอนรากถอนโคนคนในตำแหน่งเดิมให้เจ้า แล้วเจ้าตอบแทนข้าอย่างนี้น่ะเหรอ?” ก่วงลิ่งกงพลันยืนขึ้น แล้วคว้ากองกระดาษบนโต๊ะทุ่มใส่หน้าโจวจ้าว แผ่นกระดาษปลิวว่อนตกลงพื้น

โจวจ้าวหน้าขาวหน้าดำเป็นพักๆ กุมหมัดคารวะ “ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ!”

“ระงับโทสะเหรอ?” ก่วงลิ่งกงชี้หน้าเขาโดยมีโต๊ะกั้น “ตระกูลโจวของเจ้าทำเรื่องให้ตัวเองเสียหน้าก็พอแล้ว แล้วเจ้าจะให้ทุกคนของทัพตะวันตกมองข้ายังไง? เลื่อนตำแหน่งให้แม้กระทั่งคนที่แย่งผู้หญิงของลูกน้องตัวเอง ขวัญกำลังใจทหารจะไปอยู่ที่ไหน เป็นข้าเหรอที่มองคนไม่เป็น?”

โจวจ้าวกุมหมัดคารวะค้างไว้ “ท่านอ๋อง ไม่มีเรื่องแบบนั้นแน่นอนขอรับ หลงซิ่นใส่ร้ายล้วนๆ!”

ที่จริงลูกชายเขาทำเรื่องนั้น แต่เขายอมรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าให้ทุกคนรู้ว่าเรื่องนี้เป็นความจริง การที่ผู้บัญชาการทัพส่งเสริมให้ลูกชายแย่งเมียลูกน้องก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น คำวิพากวิจารณ์ของฝูงชนก็ทำให้เขาลงจากตำแหน่งเทพประจำดาวในปีนั้นได้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงยอมแอบซ้อมลูกชายจนสาหัสปางตาย แต่ภายนอกก็ยังแสร้งทำเป็นรักลูกชายคนนั้นมาก บีบให้เขาเกลียดหลงซิ่นแทบตายแต่ก็ไม่กล้าฆ่าหลงซิ่น

“ใส่ร้ายเหรอ?” ก่วงลิ่งกงชี้หน้าเขาไม่เลิกเช่นกัน ตลาดเสียงดุว่า “ในปีนั้นเจ้าบอกว่าจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอ? เจ้าจัดการแบบนี้เองเหรอ? แล้วทำไมหลงซิ่นถึงถ่อไปพึ่งพาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีล่ะ? ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ถ่อไปเฝ้าประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาค แบบนี้แสดงว่าต้องเคยทนรับความอยุติธรรมขนาดไหนกัน? ตอนนี้กางเกงเจ้าเปื้อนสีเหลืองแล้ว ต่อให้เจ้าไม่ได้ขี้ คนก็คิดว่าเจ้าขี้!”

โจวจ้าวพลันคุกเข่าข้างเดียว แล้วกุมหมัดวิงวอน “ท่านอ๋อง ข้าน้อยถูกใส่ร้าย ลูกชายข้าน้อยไม่ทำเรื่องแบบนี้เด็ดขาด!”

ตุ้บ! ก่วงลิ่งกงทุบหมัดบนโต๊ะ แล้วหลับตากล่าวเสียงต่ำ “เจ้าอธิบายกับข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ กลับไปคิดเองเถอะว่าควรจะถอนรากถอนโคนผลกระทบของเรื่องนี้ยังไง ไสหัวไป!”

โจวจ้าวลุกขึ้นยืนอย่างตระหนก แล้วก้มหน้าวิงวอนอยู่ด้านข้าง “ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ ข้าน้อยขอตัว!”

หลังจากคนออกไปแล้ว โกวเยว่ก็มองก่วงลิ่งกงเงียบๆ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ก่วงลิ่งกงก็โบกมือเบาๆ โกวเยว่หันตัวเดินออกไปทันที

โจวจ้าวที่แค้นเคืองหลงซิ่นเพิ่งจะออกจากประตูใหญ่จวนท่านอ๋อง แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงโกวเยว่เรียกอยู่ข้างหลัง “จอมพลโจวช้าก่อน!”

โจวจ้าวหยุดเดินแล้วหันตัวมา กุมหมัดคารวะอย่างยำเกรงทันที “พ่อบ้านโกว ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับขอรับ?”

โกวเยว่ดึงแขนเขาเดินออกไปไกลจากประตูจวนพอสมควร แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ท่านอ๋องให้บ่าวมากำชับจอมพลนิดหน่อย”

โจวจ้าวยื่นหูเข้าไปทันที ทำท่าเงี่ยหูฟัง แต่ใครจะคิดว่าโกวเยว่จะเหล่ตามองอย่างเย็นเยียบ ฉวยโอกาสที่เขาไม่ระวังตัว ชกที่หน้าอกของเขาหนึ่งทีด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ

…………………………

ในจุดนี้อวิ๋นจือชิวยอมรับ เหมียวอี้เริ่มจากเป็นทหารเล็กๆ ระดับต่ำสุด เริ่มจากเป็นประมุขถ้ำที่มีลูกน้องสิบคน จนกระทั่งมาถึงตำแหน่งอย่างทุกวันนี้ เรียกได้ว่าก้าวขึ้นบันไดมาทีละก้าว บัญชาการทัพมาหลายปี เป็นฝ่ายนำทัพออกรบก่อนครั้งแล้วครั้งเล่า ประสบการณ์บัญชาการทัพเหนือกว่านางจริงๆ ถึงแม้นางจะเคยเป็นท่านทูตมาก่อน แต่นั่นก็เป็นตำแหน่งที่ตกลงมาจากฟ้า ไม่มีประสบการณ์ปกครองทัพของจริงอะไรเลย นางใช้งานคนอื่นมากกว่า

ฟังที่เหมียวอี้พูดก็รู้สึกว่ามีเหตุผลเหมือนกัน อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ “เพียงแต่ทำอย่างนี้ ในสายตาของพวกเขาสองคนจะคิดว่าเจ้าเหยียดหยามพวกเขาหรือเปล่า?”

เหมียวอี้มีวิธีคิดอีกอย่าง “ทั้งคู่เคยกลายเป็นเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินมาแล้ว ยังจะมาห่วงหน้าตาศักดิ์ศรีอีกเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นก็เกินเยียวยาแล้วล่ะ ถ้าแม้แต่ด่านนี้พวกเขายังผ่านไปไม่ได้ แม้แต่ศักดิ์ศรีเล็กน้อยแค่นี้ยังวางไม่ลง อย่าบอกนะว่าต่อไปเวลาข้าจะทำอะไรก็ต้องดูสีหน้าพวกเขาก่อน? แบบนั้นข้ายังจะสั่งงานพวกเขาได้อีกเหรอ? มาถึงครั้งแรกก็ใช้งานง่าย ทำให้พวกเขาคุ้นชินก่อน ขนาดเรื่องพวกนี้พวกเขาก็เคยทำมาแล้ว พอในภายหลังออกคำสั่งกับพวกเขาอีก ก็ต้องดีกว่าเฝ้าประตูอยู่แล้วสิ พวกเขาจะได้ไม่รู้สึกเหลือทน ย่อมเชื่อฟังคำสั่งได้ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ใช้พวกเขาเฝ้าประตูใหญ่แค่ตอนนี้ พอมีคนอื่นมาแล้วค่อยเปลี่ยนก็ได้ เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะให้พวกเขาเฝ้าประตูใหญ่ตลอดไป ขนาดพวกเขาสองคนยังเคยเฝ้าประตูมาแล้ว ในภายหลังถ้าให้นักพรตบงกชรุ้งพวกนั้นมาเฝ้าประตูอีก คนพวกนั้นก็จะสบายใจได้ จะไม่เกิดความคับแค้นในใจ”

อวิ๋นจือชิวฟังเข้าใจแล้ว นี่เป็นหัวใจเปี่ยมอุดมการณ์ของวีรบุรุษ ไม่คิดจะรับนักพรตที่ระดับต่ำกว่าบงกชรุ้งแล้ว แต่นางก็ต้องยอมรับว่าเหมียวอี้มีประสบการณ์กครองทัพมากกว่านาง นางเทียบเขาไม่ติด ในเมื่อทั้งก่อนหน้าและภายหลังล้วนมีแผนอยู่ในใจแล้ว นางเองก็ไม่พัวพันกับเรื่องนี้อีก แต่อดไม่ดที่จะกลอกตาอย่างสวยหยาดเยิ้ม พูดหยอกว่า “หนิวเอ้อร์ ข้าได้ยินว่าตอนเจ้าเป็นประมุขถ้ำคล้อยบูรพา พอได้รับตำแหน่งก็เคยสั่งให้คนเฝ้าประตูใหญ่มาก่อนเหมือนกัน สงสัยเจ้าจะชอบเล่นวิธีนี้มากเลยนะ”

“เอ๋…” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงปีนั้น

คนที่ต่อแถวเข้าจวนแม่ทัพภาคอยู่นอกประตูยังไม่ลดลง หยางเจาชิงที่อยู่ในลานบ้านนำชิงเยว่กับหลงซิ่นเดินออกจากประตูใหญ่ ชิงเยว่เปลี่ยนใส่เครื่องแบบเกราะดำหนึ่งแถบของตัวเองแล้ว หลงซิ่นเปลี่ยนใส่เกราะเงินสามแถบ ทั้งสองหน้าเง้าหน้างอ ถึงแม้จะตอบตกลงแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ทำให้ดีใจไม่ออก

หลังจากหยางเจาชิงกับหัวหน้าเฝ้าประตูกองทัพองครักษ์ประสานงานกันแล้ว ก็นำทั้งสองมาถึงประตู แล้วยื่นมือเชิญให้รับตำแหน่ง

ชิงเยว่ หลงซิ่นไม่พูดอะไรสักคำ ต่างคนต่างถือทวนวงเดือน แยกกันยืนฝั่งซ้ายและขวาของประตู

กองทัพองครักษ์ที่เฝ้าประตูเหมือนกันมองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกงงนิดหน่อย แต่ละคนพึมพำในใจว่า จริงหรือล้อเล่น อย่ามาขู่ให้ข้าตกใจนะ นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์มาเฝ้าประตูเหรอ? ถ้าเป็นประตูใหญ่ของวังสวรรค์ก็ยังฟังขึ้น แต่นี่เป็นจวนแม่ทัพภาคเล็กๆ เองนะ!

คนที่ต่อแถวเข้ามาในจวนแม่ทัพภาคแล้วเห็นตรงประตูมีสองคนที่สวมเกราะดำและเกราะเงินสะดุดตา อดไม่ได้ที่จะมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตอนยังไม่มองก็เฉยๆ พอได้มองก็ตกใจทันที เด็กดีเอ๋ย นี่จริงหรือล้อเล่น ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สองคนมาเฝ้าประตูอยู่ตรงนี้เหรอ?

ทุกคนที่เข้ามาข้างในผ่านประตูใหญ่ล้วนมองประเมินทั้งสองด้วยสีหน้าตะลึงงัน

ชิงเยว่กับหลงซิ่นเรียกได้ว่าอับอาย อยากจะด่ามากว่ามองบ้าอะไรกัน? แต่ในเมื่อรับปากหนิวโหย่วเต๋อไปแล้ว ทั้งยังเอ่ยรับคำสั่งมาแล้ว ถ้ามาถึงแล้วปัดความรับผิดชอบเลยก็จะฟังดูเหลวไหลเหมือนกัน แล้วแบบนั้นจะให้หนิวโหย่วเต๋อเชื่อได้อย่างไรว่าในภายหลังจะสามารถออกคำสั่งกับทั้งสองได้

ทั้งสองคนพอจะมองออกอยู่บ้าง ว่านี่คือหนึ่งในสิ่งที่เหมียวอี้ใช้ทดสอบพวกเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะให้พวกเขาเฝ้าประตูตลอดไป เมื่อคิดได้แล้วก็ทำได้เพียงอดทนไว้ ปล่อยให้บรรดาสายตาประหลาดใจมองเชยชมต่อไป นี่คือประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตจริงๆ!

แน่นอน สำหรับพวกที่มาสมัคร พวกเขานับว่ามองออกแล้ว ว่านักพรตเกราะดำกับเกราะเงินคงจะเป็นคนที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว มารดาเจ้าเถอะ ขนาดยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ยังได้เฝ้าประตูที่นี่เลย แล้วพวกเราจะผ่านการทดสอบเหรอ?

“อะไรนะ? ชิงเยว่กับหลงซิ่นเฝ้าประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาคเหรอ?” ตงฟางเลี่ยกำลังนั่งสมาธิอยู่บนเตียง พอได้ยินรายงานก็ตกใจจนลุกพรวดลงจากเตียงทันที

ลูกน้องที่มารายงานพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน “ข้าน้อยไปดูมาแล้วขอรับ เป็นสองคนนั้นจริงๆ”

ตงฟางเลี่ยไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบเร่งเดินออกจากห้องไปแล้ว ตรงไปยังเรือนใหญ่ที่มีคนพลุกพล่าน เร่งฝีเท้าเดินไปดูตรงประตูใหญ่ ปัดโถ่เอ๊ย เป็นสองคนนั้นจริงด้วย

ถึงแม้จะเห็นกับตาตัวเอง แต่ตงฟางเลี่ยก็ยังทำใจเชื่อได้ยาก เขาย่อมรู้ดีว่าสองคนนี้เป็นใคร คนหนึ่งฆ่าล้างตระกูลผู้หญิงที่อ๋องสวรรค์ฮ่าวรัก อีกคนไม่ยอมก้มหน้า โต้แย้งและขอคำชี้อธิบายจากผู้บังคับบัญชา นึกไม่ถึงว่าสองคนที่เจ้าอารมณ์อย่างนี้จะยอมมาเฝ้าประตูใหญ่แต่โดยดี ช่างเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาตร์แล้วจริงๆ แม้แต่เรื่องนี้ยังอดกลั้นได้ แสดงว่าเมื่อก่อนต้องได้รับความลำบากขนาดไหนกัน

ตงฟางเลี่ยรู้สึกว่าเหมียวอี้ทำเกินไปหน่อย จึงก้าวขึ้นมาพูดกับทั้งสองว่า “ทั้งสอง นี่เป็นคำสั่งของแม่ทัพภาคหนิวเหรอ?”

ทั้งสองชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ชิงเยว่ตอบว่า “หรือเจ้าคิดว่าพวกเรากินอิ่มแล้วแล้วหาอะไรทำแก้เซ็งล่ะ?”

ตงฟางเลี่ยจคงบอกว่า “พวกเจ้ารอประเดี๋ยวนะ ข้าจะไปคุยกับแม่ทัพภาคหนิวให้เดี๋ยวนี้” ในสายตาเขา หนิวโหย่วเต๋อกำลังเหยียดหยามนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์แท้ๆ เลย ต่อให้นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์จะใช้ชีวิตตกต่ำขนาดไหน แต่ก็ไม่ถึงขนาดนี้หรอกมั้ง เขารู้สึกเหมือนเป็นจิ้งจอกที่ร้องไห้เพราะกระต่ายตาย[1] ในใจรู้สึกแค้นเคืองหนิวโหย่วเต๋อนิดหน่อย

“เกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ! ไปไกลได้เท่าไรก็ยิ่งดี” ชิงเยว่ตวาดกลับอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด แต่เฝ้าประตูก็นับว่าเหลวไหลแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะกล้าพูดอย่างนี้กับรองผู้ตรวจการใหญ่กองทัพองครักษ์

“แมวร้องไห้แสร้งเห็นใจหนู!” หลงซิ่นกล่าวอย่างหงุดหงิดมาก

“…” ตงฟางเลี่ยพูดไม่ออก แม่งเอ๊ย พ่ออุตส่าห์หวังดีแต่กลายเป็นยุ่งไม่เข้าเรื่อง ได้สิ ในเมื่อพวกเขาชอบนัก งั้นก็ยืนต่อไปก็แล้วกัน ไม่รู้จักน้ำใจคน ถึงอย่างไรคนที่เสียหน้าก็ไม่ใช่ข้า เขากุมหมัดคารวะแรงๆ ก่อนจะสะบัดชายเสื้อเดินออกไป

“อะไรนะ? ชิงเยว่ หลงซิ่น? ชิงเยว่ที่ฆ่าล้างตระกูลซูอวิ้น หลงซิ่นที่ต่อต้านโจวจ้าวหัวชนฝาน่ะเหรอ?”

ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านที่นั่งสมาธิอยู่ในห้องก็ลุกพรวดจากเตียงเช่นกัน อุทานถามชีเจวี๋ยที่เข้ามารายงาน

ชีเจวี๋ยพยักหน้า “ตอนบ่าวได้ยินรายงานก็ไม่ค่อยเชื่อ จึงไปตรวจสอบด้วยตัวเอง พบว่าไม่ผิด เป็นพวกเขาสองคนจริงๆ ขอรับ น่าจะผ่านการคัดเลือกเข้าจวนแม่ทัพภาคแล้ว ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะยืนเฝ้าประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาค”

“เจ้าแน่ใจนะว่าพวกเขาเฝ้าประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี? ไม่ใช่ว่าบังเอิญเดินผ่านพอดีใช่มั้ย?” เฉาหม่านถามด้วยสีหน้าตกตะลึง

ชีเจวี๋ยถอนหายใจ “เถ้าแก่ ไม่ใช่แค่ผ่านทาง พวกเขาถือทวนวงเดือนยืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาอย่างเรียบร้อย ต้องเฝ้าประตูใหญ่แน่นอนขอรับ”

เฉาหม่านเดินไปผลักบานหน้าต่างเพื่อมองไปทางจวนแม่ทัพภาค ก่อนจะหัวเราะหึหึ “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าถือว่าเจ้าโหด เจ้าช่างกล้าจริงๆ!” ไม่ได้การแล้ว เขารีบหันตัวเดินออกไป ต้องการจะไปดูสถานที่จริง ที่สำคัญคืออดใจไม่ไหวที่จะไปดู ไม่แน่ว่าในนั้นอาจจะมีอะไรในกอไผ่ก็ได้?

จวนท่านโหวจ้านผิง ในสวนป่าที่สร้างขึ้นใหม่ มีทิวทัศน์ดอกไม้แปลกตาที่เก็บมาจากที่ต่างๆ ในใต้หล้า การสร้างสวนป่านี้ไม่จำเป็นต้องให้จวนท่านโหวออกเงินเลยสักส่วน ทั้งหมดนี้ซ่างกวนชิงวังสวรรค์ผู้การใหญ่แสบส่งคนมาจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว

ในตอนนี้ประมุขชิงกับจ้านหรูอี้กำลังเดินเอ้อระเหยลอยชายด้วยกันอยู่ในสวนป่าที่งดงามดุนแดนสวรรค์ ประมุขชิงสีหน้าผ่อนคลายสบายใจอย่างที่พบเห็นได้ยาก ส่วนจ้านหรูอี้สีหน้าเรียบเฉยจืดชืด แค่คอยอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้นเอง

มีเทพธิดาเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาคำนับ แล้วรายงานว่า “ฝ่าบาท ผู้การใหญ่ขอเข้าเฝ้าเพคะ”

ประมุขชิงหน้าขรึมลง ด่าว่า “ตาแก่น่าตาย!” เขาหมั่นไส้นิดหน่อย ไม่รู้เชียวเหรอว่าตนกำลังผ่อนคลายอยู่ที่นี่ รู้อยู่แจ่มแจ้งแต่ยังมาทำลายบรรยากาศ เพียงแต่เขาก็รู้ ว่าถ้าไม่มีเรื่องพิเศษอะไร ซ่างกวนชิงคงไม่มารบกวนแน่นอน “ให้เขาไสหัวเข้ามา”

“เพคะ!” เทพธิดาย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไป เมื่อเห็นเขาหัวร้อง นางก็ตกใจนิดหน่อย

“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอตัวเพคะ” จ้านหรูอี้ย่อตัวคำนับแล้วถอยออกไป นางเองก็รู้ว่ายามอยู่ในสถานการณ์ปกติ ซ่างกวนชิงจะไม่มารบกวน ตอนนี้แสดงว่ามีเรื่องอะไรแน่นอน นางเข้าใจธรรมเนียม หลบเลี่ยงไปอย่างมีเหตุผล และเดิมทีนางก็ไม่มีอารมณ์อยู่กับเขาอยู่แล้ว ได้อาศัยโอกาสแยกไปพอดี

“เฮ้อ!” ใครจะคิดว่าประมุขชิงจะดึงแขนนางเอาไว้ ไม่ให้นางไป ยิ้มอ่อนพร้อมบอกว่า “สนมรัก ไม่ต้องหลบเลี่ยง” ในใจเขารู้แจ่มแจ้ง ว่าซ่างกวนชิงก็ไม่ใช่คนโง่ ถ้ามีเรื่องที่เป็นความลับจริงๆ ก็คงไม่บอกต่อหน้าฝูงชน ย่อมถ่ายทอดเสียงบอก

จ้านหรูอี้ชำเลืองมองแขนตัวเองที่ถูกเขาจับ รักษาความเงียบเอาไว้ แล้วอยู่ข้างกายเขาต่อ

เทพธิดานำทางซ่างกวนชิงมาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นทั้งสองอยู่ด้วยกัน แล้วเห็นสายตาที่ประมุขชิงมองตน เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อนในใจ แข็งใจก้าวขึ้นมาคำนับ “ฝ่าบาท สนมสวรรค์”

“มีเรื่องอะไร?” น้ำเสียงประมุขชิงฟังดูไม่ค่อยเป็นมิตร

ซ่างกวนชิงมองจ้านหรูอี้แวบหนึ่ง กำลังชั่งน้ำหนักว่าจะพูดต่อหน้านางได้ไหม จากนั้นถึงได้ยิ้มพร้อมบอกว่า “ฝ่าบาท ทางจวนแม่ทัพภาคตลาดผีเกิดเรื่องฮือฮานิดหน่อย…” เขาเล่าเรื่องที่ชิงเยว่กับหลงซิ่นเฝ้าประตูใหญ่ให้ฟัง

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้ จ้านหรูอี้อดไม่ได้ที่จะทำสีหน้ามีสมาธิตั้งใจฟัง

“…” ประมุขชิงอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างตกใจว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าชิงเยว่กับหลงซิ่นเฝ้าประตูให้จวนแม่ทัพภาคตลาดผี?”

ซ่างกวนชิงยิ้มเจื่อน “แน่ใจแล้วขอรับ ข้าน้อยยืนยันจากหลายช่องทาง ชิงเยว่กับหลงซิ่นกำลังเฝ้าประตูจริงๆ ส่วนตงฟางเลี่ยก็ยืนยันแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อสั่งให้พวกเขาสองคนไปเฝ้าประตู ตงฟางเลี่ยถามเหตุผล หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าตอนนี้จวนแม่ทัพภาคตลาดผียังไม่มีใครที่ใช้งานได้ มีเพียงเขาสองคนที่ยศต่ำสุด หาคนอื่นไปเฝ้าประตูใหญ่ไม่ได้แล้วนอกจากพวกเขาสองคนขอรับ”

“ยศต่ำสุด?” ประมุขชิงสีหน้าบิดเบี้ยว พบว่าเหตุผลนี้ทำให้คนเถียงไม่ออกจริงๆ อดไม่ได้ที่จะหลุดขำ “เหอะๆ! เจ้าลูกลิงใจกล้าไม่เบา ให้อดีตท่านโหวกับอดีตทูตลาดตระเวนฝั่งใต้ ไปเฝ้าประตูจวนแม่ทัพภาคเล็กๆ” เขาเอียงหน้ามองจ้านหรูอี้ “สนมรัก อดีตผู้บังคับบัญชาของเจ้าบ้าระห่ำมากทีเดียว ดูท่าแล้ว การที่สนมรักถูกเขาจับแขวนบนเสาธงในปีนั้น ก็ไม่นับว่าอยุติธรรมเกินไปหรอก!”

เมื่อเห็นประมุขชิงพูดหยอกล้ออย่างอารมณ์ดี ซ่างกวนชิงก็หัวเราะตามไปด้วย แต่ชำเลืองจ้านหรูอี้ที่สีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกตลก เขาก็รีบหุบยิ้มทันที อย่ายั่วให้ผู้หญิงคนนี้อารมณ์ไม่ดีจนตัวเองหาทางลงไม่ได้ ถึงอย่างไรนี่ก็เคยเป็นเรื่องน่าอับอายของท่านนี้ ประมุขชิงสามารถยกขึ้นมาล้อเล่นได้ แต่เขากลับล้อเล่นไม่ได้

ว่ากันตามจริง ซ่างกวนชิงดูแลงานในวังสวรรค์ ภายนอกแสดงออกว่าเกรงใจราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แต่ที่จริงเขาไม่กลัวเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เลย ถ้าจะบอกว่าทั้งวังหลังมีผู้หญิงคนไหนที่ทำให้เขากลัว ก็มีแค่ท่านที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พูดถึงเขาไม่ดีแค่ประโยคเดียว ประมุขชิงอาจไม่มองว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ถ้าท่านนี้พูดถึงเขาไม่ดีเพียงประโยคเดียว เขาจะต้องรับผลที่ตามมาไม่ไหวแน่นอน ประมุขชิงจะต้องเตะเขาแน่ๆ สำหรับประมุขชิง ผู้หญิงคนอื่นเหมือนของเล่นให้ระบายอารมณ์เท่านั้น ที่มากกว่านั้นคือจำเป็นต้องมีไว้เพื่อควบคุมใต้หล้า ถึงแม้ประมุขชิงจะมีความต้องการทางด้านนี้ต่อสนมสวรรค์บ้าง แต่ซ่างกวนชิงก็มองออก ว่าประมุขชิงชอบผู้หญิงคนนี้จากใจจริงๆ อาศัยแค่จุดนี้ก็ทำให้ซ่างกวนชิงรู้ชัดแล้ว ว่าตัวเองมีเรื่องกับผู้หญิงคนนี้ไม่ไหว

เมื่อเห็นประมุขชิงหัวเราะอย่างสำราญใจ จ้านหรูอี้ก็แค่มองเขาครู่เดียวด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ทว่าเมื่อประมุขชิงถูกสายตาเย็นชานี้มองเพียงแวบเดียว ก็หยุดหัวเราะในทันที หัวเราะไม่ออกแล้ว เอามือลูบจมูกจากเก้อเขินเล็กน้อย

ฉากนี้ทำให้ซ่างกวนชิงรีบย้ายสายตาหนี รีบก้มหน้าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ในใจแอบรู้สึกปลงไม่หยุด พบว่าสรรพสิ่งในโลกนี้บางสิ่งควบคุมบางสิ่งได้เสมอ คนที่สามารถใช้สายตาควบคุมฝ่าบาทให้เชื่อฟังได้ ในใต้หล้าก็คงจะมีแต่ผู้หญิงคนนี้แล้ว ถามหน่อยว่าเขาจะกล้ายั่วโมโหนางได้อย่างไร

…………………………

[1] กระต่ายตายจิ้งจอกร้องไห้ 兔死狐悲 อุปมาว่าในหมู่สัตว์เดรัจฉานย่อมเห็นใจซึ่งกันและกัน

เมื่อผ่านไปสามวัน ตงฟางเลี่ยที่ตัวยังอยู่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็ยังไม่ตอบอะไรกลับมา ทางวังสวรรค์ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเช่นกัน เหมียวอี้ที่มีรายชื่อว่างอยู่หนึ่งแสนเรียกชิงเยว่และหลงซิ่นมาพบอย่างเป็นทางการ แต่ครั้งนี้ไม่ได้พบกันที่ห้องรับแขก แต่เป็นห้องทำงานของเหมียวอี้

พอเข้ามาข้างในแล้วเห็นเหมียวอี้นั่งแต่งกายเรียบร้อยอยู่หลังโต๊ะยาว ทั้งสองพอจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว พอนึกว่าตัวเองกำลังจะหลุดพ้นจากเงามือของคนบางกลุ่มอย่างเป็นอย่างการ กำลังจะหลุดพ้นจากจุดที่ถูกขังอย่างเป็นทางการ ทั้งสองก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรนัก แต่กลับรู้สึกซับซ้อนในอารมณ์ถึงขีดสุด

ทั้งสองกุมหมัดคารวะอย่างเกรงใจ โดยที่ชิงเยว่เอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าพวกเราสองคนได้อยู่หรือได้ไป?”

เหมียวอี้บอกว่า “ข้ายังคงถามเหมือนเดิม ทำไมพวกเจ้าต้องการมาพึ่งพาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี?”

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง รู้ว่านี่แทบจะเป็นการสัมภาษณ์ด่านสุดท้ายแล้ว แต่จะให้ทั้งสองพูดเรื่องนี้ได้อย่างไรล่ะ? สุดท้ายหลงซิ่นก็ยังกล่าวช้าๆ ว่า “อยากจะมีโอกาสหวนกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง!”

“หวนกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ “เจ้าคิดว่าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีจะให้โอกาสนี้กับเจ้าได้เหรอ?”

“ไม่แน่ใจ” หลงซิ่นตอบ

เหมียวอี้มองชิงเยว่ “แล้วเจ้าล่ะ?”

“ข้าก็คล้ายๆ กับเขา” ชิงเยว่ตอบ

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ตอนแรกพวกเจ้าก็นับว่าตำแหน่งสูงอำนาจเยอะ ข้าอยากจะรู้ว่าทำไมตอนแรกพวกเจ้าถึงโดนลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดิน เจ้าพูดก่อน!” เขาชี้ชิงเยว่

“พวกเราสองคนมาขอพึ่งพา อย่าบอกนะว่านายท่านไม่เคยสืบประวัติของพวกเราเลย?” ชิงเยว่ถาม

“ได้ฟังมาบ้างนิดหน่อย แต่ไม่รู้สาเหตุสำคัญชัดเจน” เหมียวอี้กล่าว

ชิงเยว่ยิ้มเย้ยตัวเอง แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรอีก เล่าต้นสายปลายเหตุให้ฟังอย่างละเอียดเสียตรงนั้นเลย

ที่จริงสาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย ในปีแรกๆ ตำหนักสวรรค์ยังไม่ได้มีสถานการณ์เหมือนอย่างทุกวันนี้ เพิ่งจะกวาดล้างหกลัทธิได้ไม่นาน สถานการณ์วุ่นวายกว่าตอนนี้มาก ไม่ได้สงบเหมือนตอนนี้เลย กำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์ก็ถูกดึงตัวมาจากทัวสารทิศเช่นกัน ใครที่มีกำลังพลใต้สังกัดมากหน่อย ใครที่มีกำลังแข็งแกร่งมากหน่อยก็ย่อมอยากจะครอบครองผลประโยชน์ให้มากขึ้น แต่เพิ่งบุกยึดใต้หล้าได้ไม่นาน ถ้าวุ่นวายอย่างนั้นต่อไปก็จะเกิดปัญหาได้ง่าย ปรับปรุงกำลังพลใต้สังกัดอย่างเข้มงวดคือเรื่องที่กดดันอยู่ตรงหน้า ทัพใหญ่แต่ละสายจึงก่อตั้งกำลังพลลาดตระเวนขึ้น ทำหน้าที่ลาดตระเวนและปรับปรุงจัดระเบียบ ชิงเยว่ก็คือทูตลาดตระเวนฝั่งใต้ของฮ่าวเต๋อฟางที่คอยรับผิดชอบงานด้านนี้ ตอนนั้นสังหารคนไปแล้วไม่น้อย ซูอวิ้นที่เป็นพ่อบ้านคนปัจจุบันของฮ่าวเต๋อฟางก็ไม่ใช่ผู้หญิงจากตระกูลธรรมดาเช่นกัน อำนาจของตระกูลนางเทียบเท่ากับตำแหน่งโหวคนหนึ่งของตำหนักสวรรค์

ตอนที่ช่วงชิงใต้หล้า เพื่อที่จะช่วยเหลือฮ่าวเต๋อฟาง ซูอวิ้นจึงโน้มน้าวให้ตระกูลซูช่วยเหลือ ส่วนตระกูลซูก็ได้สร้างผลงานอย่างยากลำบากแล้วจริงๆ แต่หลังจากบุกยึดใต้หล้าได้แล้ว ตระกูลซูก็อาศัยความรักที่ฮ่าวเต๋อฟางมีต่อซูอวิ้น ต้องการจะเร่งขยายอำนาจแข่งกับเวลา เพราะใครก็รู้ทั้งนั้นว่าการฉวยโอกาสตอนที่สถานการณ์ยังไม่สงบขยายอำนาจได้ก่อนก็จะได้เปรียบ เมื่อสถานการณ์สงบเมื่อไร ถ้าอยากจะทำให้วุ่นวายอีกก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว ชิงเยว่เตือนตระกูลซูหลายครั้งแล้ว แต่ตระกูลซูไม่แยแสคำเตือนของชิงเยว่เลย และการที่ตระกูลซูไม่ยอมหยุด ก็จะทำให้อำนาจฝ่ายอื่นอ้างได้เช่นกัน ว่าทำไมตระกูลซูทำอย่างนี้ได้แต่พวกเราทำไม่ได้? ด้วยความโมโห ชิงเยว่จึงวางกับดัก นำทัพใหญ่ล้างเลือดจวนตระกูลซู สังหารหมดทั้งตระกูลซู ฆ่าหมดไม่เหลือแม้แต่ไก่กับสุนัข ทว่าด้วยสาเหตุนี้เอง ชิงเยว่ทำให้ฮ่าวเต๋อฟางเดือดดาลแล้ว ข้อหาก็คือตอนวางแผนนางแอบอ้างชื่อฮ่าวเต๋อฟาง และถ่ายทอดคำสั่งปลอมเช่นกัน จึงถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผาเสียเลย

เหมียวอี้ฟังแล้วแอบทอดถอนใจ ถามว่า “ข้าได้ยินว่าในปีนั้นซูอวิ้นยังไม่ได้เป็นพ่อบ้านของตระกูลฮ่าว ที่ซูอวิ้นผ่านเคราะห์ครั้งนั้นมาได้ เป็นเพราะเจ้าจงใจปล่อยไปเหรอ?”

ชิงเยว่ตอบว่า “ข้าไม่เคยปล่อยนางไป ตอนนั้นถึงแม้ซูอวิ้นจะไม่ใช่พ่อบ้านของจวนตระกูลฮ่าว แต่ก็ถูกฮ่าวเต๋อฟางเก็บไว้ข้างกายแล้ว และเบื้องหลังก็มีตระกูลซูยุยงส่งเสริม ตระกูลซูจงใจจับคู่ให้ซูอวิ้นกับฮ่าวเต๋อฟาง ถ้าซูอวิ้นได้หลายเป็นหวังเฟยเมื่อไร ผลประโยชน์ที่ตระกูลซูจะได้ก็เด่นชัดมาก ดังนั้นทุกคนของตระกูลซูจึงหวังให้เรื่องดำเนินต่อไป ถึงทำให้ซูอวิ้นพ้นเคราะห์ครั้งนั้นไปได้ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถ้าตอนนั้นตระกูลซูไม่ถูกกำจัด ตำแหน่งในปัจจุบันก็ไม่ธรรมดาแน่นอน และซูอวิ้นก็ยากที่จะต้านการผลักดันของตระกูลซู เกรงว่าความสัมพันธ์ของซูอวิ้นกับฮ่าวเต๋อฟางคงไม่เป็นเหมือนอย่างทุกวันนี้ คงกลายเป็นหวังเฟยไปนานแล้ว ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เรียกว่าพ่อบ้านบ้าบออะไรนี่หรอก”

เหมียวอี้เลิกคิ้ว สาเหตุที่ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่าวเต๋อฟางกับซูอวิ้นนั่นกลายเป็นเหมือนทุกวันนี้ สงสัยจะเป็นผลงานของท่านนี้ทั้งหมด ถ้ารับคนแบบนี้ไว้ จะไม่เท่ากับตัวเองรับคนที่ถูกคนอื่นแค้นเอาไว้หรอกหรือ? แต่เขาก็ยังถามอย่างแปลกใจอีกว่า “อาศัยอิทธิพลของซูอวิ้น ทำไมยังไม่ฆ่าล้างแค้นเจ้าอีกล่ะ ทำไมปล่อยเจ้ารอดมาจนถึงทุกวันนี้?”

ชิงเยว่แสยะยิ้ม “คงไม่ใช่เพราะนางไม่อยากฆ่าข้าหรอก แต่ถ้าฆ่าข้าแล้วคงจะไปชี้แจงกับพวกลูกน้องไม่ได้ หลังจากตระกูลซูถูกกวาดล้าง ก็ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อกำลังพลแต่ละสายของฮ่าวเต๋อฟาง และทำให้ตอนหลังฮ่าวเต๋อฟางลดการปรับปรุงกำลังพลแต่ละสายไปเยอะมาก ตอนนั้นข้านึกว่าตัวเองได้สร้างผลงานใหญ่แล้ว ก็เลยไม่ถือสาที่ฮ่าวเต๋อฟางลดตำแหน่งข้าเป็นเทพแห่งภูผา นึกว่าในสักวันหนึ่งฮ่าวเต๋อฟางจะต้องใช้งานข้าอีกครั้ง ข้าก็เลยรอมาตลอดไง รอจนกระทั่งใต้หล้าลืมการมีตัวตนของข้าไปแล้ว ไม่เห็นฮ่าวเต๋อฟางจะมีความเคลื่อนไหวอะไรเลย รอจนข้าท้อแท้สิ้นหวัง ข้าถึงได้รู้ว่าความคิดของข้าในปีนั้นมันไร้เดียงสาขนาดไหน ข้าเองก็เข้าใจเช่นกัน ว่าสำหรับฮ่าวเต๋อฟาง ต่อให้ข้าจะสร้างผลงานใหญ่แค่ไหน แต่ก็ไม่สำคัญเท่าซูอวิ้นอยู่ดี แล้วข้าก็ไม่มีทางไป ตราบใดที่ฮ่าวเต๋อฟางยังอยู่ ทัพใต้ก็ไม่มีทางปล่อยข้าออกไป ถ้าถือวิสาสะหนีไปเอง ข้าก็รับผลที่ตามมาไม่ไหว ข้ารอมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนมีโอกาสหลุดพ้น…นี่ก็คือเหตุผลที่ข้ามาขอพึ่งพาจวนแม่ทัพภาคตลาดผี แม่ทัพภาคหนิวยังสงสัยอะไรอีกหรือเปล่า?”

เหมียวอี้ไม่ได้ตอบนาง แต่มองไปที่หลงซิ่นแทน “เจ้าล่ะ?”

หลงซิ่นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเย้ยตัวเองเช่นกัน “สาเหตุของนางเกิดจากผู้หญิง สาเหตุของข้าก็เกิดจากผู้หญิงเหมือนกัน…” เขาเล่าสถานการณ์ของตัวเองให้ฟังอย่างละเอียด

ในปีนั้นเขาเป็นท่านโหวที่ได้เข้าประชุมในราชสำนัก มีอยู่วันหนึ่งลูกน้องแจ้งมาว่าในอาณาเขตมียอดหญิงงามแบบที่หาพบได้ยากในโลกนี้ ต้องการจะนำตัวมาเป็นของขวัญให้เขา แต่ใครคิดว่าโจวอ้าวหลินลูกชายของโจวจ้าวรู้ข่าวมาจากไหนก็ไม่รู้ โจวอ้าวหลินจึงให้คนมาบอกเขาว่า หวังว่าเขาจะตัดรักนี้ได้ ตอนแรกเขาก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร แต่จนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นมาอยู่ตรงหน้า ถึงได้พบว่าเป็นยอดหญิงงามที่หาพบได้ยากจริงๆ เขาโปรดปรานมาก จึงไม่สนใจโจวอ้าวหลิน รับนางมาเป็นอนุภรรยาเสียเลย ทว่าทิวทัศน์อันงดงามอยู่ได้ไม่นาน มีอยู่วันหนึ่งอนุภรรยาคนนั้นของเขาออกไปท่องเที่ยว แล้วจู่ๆ ก็ถูกชิงตัวไป ผู้คุ้มกันคนหนึ่งที่รอดพ้นเคราะห์ครั้งนั้นมาได้บอกว่าจำได้ว่าหนึ่งในคนที่ชิงตัวนางไปเป็นลูกน้องคนสนิทโจวอ้าวหลิน หลงซิ่นเดือดดาลมาก เรื่องบางเรื่องสามารถทนได้ แต่ผู้หญิงของตัวเองโดนแย่งไปจะทนได้อย่างไร เขาถึงไปเรียกร้องความยุติธรรมที่จวนตระกูลโจว ตอนนั้นโจวจ้าวยังไม่ได้เป็นจอมพลสายมะแม เป็นเพียงเทพประจำดาวเท่านั้น และเป็นผู้บังคับบัญชาของหลงซิ่นด้วย

แต่ใครจะคิดว่าโจวอ้าวหลินจะปฏิเสธลูกเดียว ไม่ยอมรับว่าทำเรื่องนี้ ตอนนั้นโจวจ้าวสีหน้าแย่มาก สิ่งที่ทำให้หลงซิ่นยิ่งคับแค้นก็คือ หลังจากครั้งนั้นอนุภรรยาของเขาก็ตัดขาดการติดต่อไปเลย เป็นตายอย่างไรไม่รู้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกปิดปากไปแล้ว หลังจากจบเรื่องนั้นก็มีเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ แอบโน้มน้าวเขาไม่ให้ก่อเรื่องอีกแล้ว บอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่โจวจ้าวจะยอมรับเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับยอมรับเรื่องที่ตัวเองให้ท้ายลูกชายแย่งตัวผู้หญิงของลูกน้องน่ะสิ? ถึงตอนนั้นโจวจ้าวจะเผชิญหน้ากับกลุ่มลูกน้องได้อย่างไร? แต่เขาเป็นชายชาตรี มีหรือจะทนความอัปยศได้ ถ้าทนไหวจริงๆ ในถายหลังจะไม่ถูกคนลอบกัดตลอดไปหรอกเหรอ? ผลก็เลยเป็นอย่างที่เห็น ปัญหาต่างๆ รุมเร้าเข้ามา กดขี่ข่มเหงเขาไม่หยุดหย่อน กดดันให้เขายอมรับผิด เพียงแต่เขาไม่ได้ถูกลดให้อยู่ตำแหน่งต่ำสุดเหมือนชิงเยว่ ตอนแรกถูกลดจากตำแหน่งโหวเป็นหัวหน้าภาค แล้วลดเป็นแม่ทัพภาคต่อ แล้วค่อยเป็นผู้บัญชาการใหญ่ จนกระทั่งสามปีก่อนก็ถูกลดเป็นเทพแห่งผืนดิน

หลังจากฟังจบ ในใจเหมียวอี้ก็แอบพึมพำว่า ถ้ารับเจ้าหมอนี่ไว้ก็เท่ากับล่วงเกินจอมพล ผีหลอกแล้ว

แต่จะว่าไปแล้ว เขาเองก็เข้าใจชัดเจนเช่นกัน ว่าถ้าสองคนนี้ไม่ประสบกับเรื่องแบบนี้ ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่มีทางยอมมาขอพึ่งพาเป็นลูกน้องเขาอยู่ดี

หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็บอกว่า “สามวันก่อนข้าบอกไว้แล้ว ว่าหลังจากรับพวกเจ้า พวกเจ้าจะต้องเริ่มจากยศปัจจุบันของตัวเอง”

“พวกเราไม่ได้ความจำแย่ขนาดนั้น ย่อมจำได้อยู่แล้ว” ชิงเยว่กล่าว

เหมียวอี้หยิบแผ่นหยกแต่งตั้งตำแหน่งขึ้นมาบนโต๊ะ แล้วกล่าวอย่างใจเย็น “ถ้ารับพวกเจ้าสองคน ที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีตอนนี้ยศพวกเจ้าต่ำสุด จะให้คนที่ยศสูงกว่าพวกเจ้าไปเฝ้าประตูไม่ได้หรอก จะให้พวกเจ้าสองคนไปเฝ้าประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาค พวกเจ้าเต็มใจหรือเปล่า?”

“…” ชิงเยว่กับหลงซิ่นพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง สีหน้าบิดเบี้ยวแล้ว เฝ้าประตูใหญ่งั้นเหรอ? ให้พวกเราสองคนไปเฝ้าประตูใหญ่ เจ้าช่างพูดออกมาได้นะ

เหมียวอี้ลูบแผ่นหยกแต่งตั้งตำแหน่ง ค่อยๆ เหลือบตาขึ้นมองทั้งสองโดยไม่ได้พูดอะไร ได้แต่มองอยู่อย่างนั้น รอคอยคำตอบ

สุดท้ายชิงเยว่ก็กล่าวอย่างคับแค้น “นับว่าเจ้าโหด! ตราบใดที่เจ้าไม่กลัวว่าจะรับคนโหด ข้าก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร”

เหมียวอี้นำแผ่นหยกมาร่ายอิทธิฤทธิ์เขียนทันที เขียนเสร็จลงตราอิทธิฤทธิ์ตัวเองแล้วโยนให้ชิงเยว่เสียเลย “ตั้งแต่นี้ไป เจ้าคือคนของจวนแม่ทัพภาคตลาดของข้าแล้ว”

ไม่มีท่าทีลังเลใดๆ รวดเร็วฉับไวมาก

ชิงเยว่รับแผ่นหยกมาตรวจอ่านในมือ หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นของจริง บนใบหน้าก็เริ่มแสดงอารมณ์ดีใจและโศกเศร้าปนกัน คนนอกไม่มีทางรู้ได้ว่านางรู้สึกอย่างไร

หลงซิ่นมองของในมือชิงเยว่ แล้วสุดท้ายก็กัดฟันตอบว่า “ดี!”

เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขียนแผ่นหยกอีกแผ่นแล้ว จากนั้นโยนให้เขา ใช้สองมือจับโต๊ะขณะที่มองทั้งสอง มองเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร รอคอยอีกแล้ว

ทั้งสองที่อารมณ์สงบลงเล็กน้อยยังคงรู้สึกเหมือนฝันไป ถูกขังมาหลายปีขนาดนี้ ได้หลุดพ้นแล้วจริงๆ เหรอ? ถึงแม้พวกเขาจะมาอย่างเฝ้าคอย แต่ก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะกล้ารับพวกเขาไว้ ยิ่งนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะตัดสินใจเร็วขนาดนี้

เมื่อรออยู่นานแล้วไม่ได้ยินเสียงอะไร เหมียวอี้ก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบช้าๆ ไม่ได้สั่งอะไรทั้งสอง และไม่ได้เร่งให้ทั้งสองออกไปด้วย

ค่อยเป็นค่อยไป ทั้งสองเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว หลังจากสบตากันแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ก้มหน้ากุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยคารวะท่านแม่ทัพภาค!”

ในที่สุดเหมียวอี้ก็วางถ้วยน้ำชาในมือ “พาพวกเขาไปประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาค”

“…” หยางเจาชิงที่ยืนอยู่ด้านข้างตลอดงงนิดหน่อย มองเหมียวอี้ด้วยความเหลือเชื่อ จะให้ทั้งสองไปเฝ้าประตูใหญ่จริงเหรอ? ล้อเล่นแรงเกินไปหรืเปล่า? ในดวงตาเขาฉายแววสอบถามเพื่อความแน่ใจ

“ทำไม? เจ้าอยากไปช่วยพวกเขาเฝ้าประตูเหรอ?” เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา

“…” หยางเจาชิงพูดไม่ออก ได้แต่กุมหมัดรับบัญชา แล้วยื่นมือเชิญทั้งสองให้ตามพวกเขาออกไป

หลังจากในห้องเหลือเหมียวอี้อยู่คนเดียว เหมียวอี้ถึงได้ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง แล้วหลับตาลงช้าๆ

ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็มาเพราะได้ยินข่าว นางสาวเท้าเดินบุกเข้ามา แล้วอุทานถามว่า “ได้ยินเจาชิงบอก เจ้าให้ชิงเยว่กับหลงซิ่นไปเฝ้าประตูจวนแม่ทัพภาคเหรอ?”

“เจาชิงนี่ควบคุมปากตัวเองไม่ค่อยได้เลยนะ” เหมียวอี้ลืมตาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ก็พวกเขายศต่ำสุดในบรรดาคนที่นี่ ถ้าไม่ให้พวกเขาเฝ้าแล้วจะให้ใครเฝ้า?”

อวิ๋นจือชิวกลอกตา “อย่ามาพูดเลย มีคนของกองทัพองครักษ์เฝ้าอยู่ ยังต้องให้พวกเขาไปเฝ้าด้วยเหรอ?”

“คนของกองทัพองครักษ์ก็คือคนของกองทัพองครักษ์ คนในจวนแม่ทัพภาคก็คือคนของจวนแม่ทัพภาค ถ้าจวนแม่ทัพภาคที่สง่าผ่าเผยไม่มีใครเลยสักคน มันใช่เรื่องซะที่ไหน?” เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะยาวออกมา จับมือเรียวสวยของอวิ๋นจือชิวมาตบเบาๆ “ขนาดนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์มาอยู่ที่นี่แล้วยังต้องเฝ้าประตูแต่โดยดี ต้องทำให้คนที่มาทีหลังได้เห็นสิ ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเขาจะมาวางมาด หลังจากนี้จะต้องลดปัญหายุ่งยากได้แน่นอน สองเทพเฝ้าประตูที่ดีขนาดนี้ ถ้าไม่ใช้งานก็น่าเสียดายจริงๆ ฮูหยินเอ๋ย เรื่องดูแลบ้านข้าสู้เจ้าไม่ได้ แต่เรื่องคุมกองทัพข้าเข้าใจดีกว่าเจ้า ข้ารู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่”

…………………………

เหมียวอี้โบกมือเล็กน้อย “เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ”

“ขอรับ!” บัณฑิตเอ่ยรับแล้วถอยไป ถือโอกาสปิดประตูด้วย ฝั่งเขางานยุ่งมากจริงๆ

ในห้องเหลือเหมียวอี้อยู่คนเดียว ชิงเยว่กับหลงซิ่นสบตากันแวบหนึ่ง พบว่าเจ้าหนุ่มนี่ใจกล้าไม่เบา ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน จะไม่กลัวเชียวหรือว่าพวกเขาจะถูกอำนาจฝ่ายต่างๆ ส่งมาใส่ร้ายหรอกเหรอ?

“เจ้าคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?” ชิงเยว่มองประเมินเขาศีรษะจดเท้า

“เป็นข้าเอง!” เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น “ทั้งสองมาพบข้าด้วยความจริงใจหรือเปล่า?”

ทั้งเข้าใจความหมายที่เขาสื่อ ย่อมไม่มีปัญหาอะไรเช่นกัน ใช้สองมือดึงหน้าปากบนใบหน้าลงมา เผยโฉมหน้าที่แท้จริงแล้ว

สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วของทั้งสองอย่างเป็นธรรมชาติ “ข้าจะตัดสินได้ยังไงว่าฐานะของพวกเจ้าเป็นเรื่องจริง?”

หลงซิ่นบอกว่า “ถ้ามีความจำเป็น พวกเราก็สามารถปรากฏร่างเดิมได้ คาดว่านักพรตปีศาจในใต้หล้าที่วรยุทธ์พอๆ กับพวกเรา คงหาคนอื่นที่มีปัจจัยสอดคล้องกันได้ยากแล้ว”

ในขณะนี้เอง ด้านนอกมีเสียงห้ามของหยางเจาชิง “นายท่านกำลังรับแขก นายท่านตงฟางโปรดรอ…”

“หลีกไป!” เสียงของตงฟางเลี่ยดังขึ้น

เหมียวอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้ว่าคนที่ควรจะมาได้มาถึงแล้ว

ชิงเยว่กับหลงซิ่นเพิ่งจะหันกลับไปมอง ตงฟางเลี่ยก็นำคนผลักประตูเข้ามาแล้ว พอกวาดสายตามองในห้อง เขาก็ทำสีหน้าตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เบิกตากว้าง สายตาย้ายไปมาระหว่างหน้าของชิงเยว่กับหลงซิ่นไม่หยุด ขณะเดียวกันก็เริ่มทำสายตาเหลือเชื่อทีละนิด

ชิงเยว่กับหลงซิ่นค่อยๆ หันตัวไปมองเขา

“นายท่าน ข้า…” หยางเจาชิงทำท่ากังวลมาก เขาจะขัดขวางตงฟางเลี่ยไม่ให้บุกเข้ามาได้อย่างไร มิหนำซ้ำอวิ๋นจือชิวก็สั่งไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าไม่ต้องดันทุรังขัดขวาง แค่แสดงละครพอดเป็นพิธีก็พอ

เหมียวอี้โบกมือ “ไม่มีงานของเจ้าแล้ว ออกไปก่อนเถอะ” หยางเจาชิงถอยออกไปเงียบๆ

“ตงฟางเลี่ย!” หลงซิ่นกล่าวช้าๆ

ตงฟางเลี่ยเหมือนจะครุ่นคิดก่อนสักประเดี๋ยว เสร็จแล้วถึงได้เอ่ยชื่อทั้งสองออกมา “ชิงเยว่ หลงซิ่น?”

“ตงฟางเลี่ย ไม่ได้เจอกันเสียนาน” ชิงเยว่กล่าว

ความรู้สึกตกตะลึงในใจตงฟางเลี่ยนั้นยากจะบรรยายออกมาได้ ย่อมเดาออกถึงจุดประสงค์ที่ทั้งสองมาที่นี่ นึกไม่ถึงว่าสองคนที่ชื่อหายไปจากสังคมหลายปีจะมาขอพึ่งพาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปจะไม่สะเทือนใต้หล้าหรอกหรือ? ถึงแม้จะเดาออกถึงจุดประสงค์ในการมาของทั้งสอง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามยืนยันให้แน่ใจ “พวกเจ้า…อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าก็มาสมัครเหมือนกัน?”

ชิงเยว่แสยะยิ้ม “ทำไมล่ะ? ไม่พอใจเหรอ? พวกเราสองคนก็เป็นเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินในสงกัดของสี่ทัพเหมือนกัน จะมาสมัครไม่ได้เชียวเหรอ? เหมือนตำหนักสวรรค์จะไม่จำกัดวรยุทธ์ของผู้สมัครหรอกมั้ง?” น้ำเสียงฟังดูไม่เกรงใจเลย พวกเทพแห่งภูผาต่ำต้อยที่กล้าพูดอย่างนี้กับรองผู้ตรวจการใหญ่กองทัพองครักษ์ เกรงว่าทั้งใต้หล้าคงจะมีไม่เยอะ

ดูจากสถานการณ์ ก็สามารถแน่ใจได้เลย เหมียวอี้พึมพำในใจว่า เป็นปีศาจเฒ่าสองตนนั้นจริงๆ

“นายท่านตงฟาง ไม่ทราบว่าบุกเข้ามาทำไม?” เหมียวอี้เอ่ยถามเช่นกัน

ตงฟางเลี่ยอ้างไปเรื่อยว่า “ข้าได้รับคำสั่งให้รักษาระเบียบขั้นตอนในการรับสมัครครั้งนี้ พอได้ยินว่ามีคนที่มีตัวตนไม่ชัดเจนมาที่นี่ ข้าก็อดไม่ได้ที่จะกังวลความปลอดภัยของแม่ทัพภาค จึงมาดูว่าเป็นใครกันแน่ ข้าพิจารณาเพื่อแม่ทัพภาคเช่นกัน หวังว่าจะไม่คิดมาก”

ไม่รอให้เหมียวอี้พูดต่อ หลงซิ่นก็พูดแขวะแล้วว่า “ไม่น่าเชื่อว่าตำหนักสวรรค์ส่งเจ้ามาคุ้มครองที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีด้วยตัวเอง ดูท่าแล้ว การที่พวกเรามาขอพึ่งพาก็ไม่ถือว่าอยุติธรรมนัก”

ตงฟางเลี่ยยิ้มเจื่อนเล็กน้อย ถ้าคนทั่วไปกล้าพูดเหน็บแนมเขาอย่างนี้ เขาก็ไม่มีอะไรให้เกรงใจเลยจริงๆ เพียงแต่เขาไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกับสองคนนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นคนรู้จักเก่าแก่ อีกฝ่ายเก็บกดมาหลายปี จะพูดจาเหน็บแนมบ้างก็พอเข้าใจได้ จะว่าไปที่สิ่งที่ทั้งสองประสบก็ทำให้คนรู้สึกทอดถอนใจเช่นกัน ทว่าเปลี่ยนให้ทั้งสองอยู่ในตำแหน่งเดิมในอดีตแล้วพูดอย่างนี้ เขาจะต้องเอาคืนแบบตาต่อตาฟันต่อฟันแน่นอน ทว่าตอนนี้ทั้งสองไม่ได้วางมาดสูงส่งอะไร ตราบใดที่ทั้งสองไม่ได้ทำเกินไป เขาก็ไม่จำเป็นต้องถือสาเลยจริงๆ ตัวเองกำลังปฏิบัติหน้านี้ ไม่อยากสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น จึงเป็นฝ่ายกุมหมัดคารวะเชิญก่อน “ไม่ได้เจอทั้งสองท่านมาหลายปี ต่อไปถ้าทั้งสองมีเวลาว่างและไม่รังเกียจ ก็ควรจะไปดื่มสุราแสดงน้ำใจไมตรีกันสักหน่อย”

ชิงเยว่กล่าวเสียงเรียบ “ก็ดี! เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่ได้นานแค่ไหน เกรงว่าจะมีคนกลัวเกิดเรื่อง อยากจะไล่พวกเราไปเร็วๆ แล้ว!” นางหันกลับมามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง เหมือนจะหมายถึงเขา และเหมือนจะยั่วยุเขาด้วย

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่รบกวนพวกเจ้าคุยธุระกันแล้ว” ตงฟางเลี่ยกุมหมัดกล่าวอำลา แล้วหันตัวนำคนเดินออกไป

หลังจากมองส่งเขาจากไป จนกระทั่งประตูปิดแล้ว ทั้งสองก็หันตัวกลับมาอีกครั้ง หลงซิ่นถามว่า “แม่ทัพภาคหนิว มีตงฟางเลี่ยเป็นพยานแล้ว คงไม่ต้องตรวจสอบตัวตนของพวกเราแล้วละมั้ง?”

“อาศัยวรยุทธ์ของทั้งสอง ทำไมถึงมาขอพึ่งพาหนิวผู้นี้?” เหมียวอี้ถามอย่างไม่ลนลาน

“ถ้าไม่กล้ารับไว้ ก็บอกมาตรงๆ” ชิงเยว่กล่าว

เหมียวอี้จคงบอกว่า “เกรงว่าวัดจะเล็กเกินไปจนทำให้ท่านมหาเทพทั้งสองลำบากน่ะสิ”

“อย่าพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์เลย พูดมาคำเดียว กล้ารับหรือไม่กล้ารับ?” ชิงเยว่ถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “เจ้าไม่ต้องท้าข้าหรอก ไม่เกี่ยวว่ากล้าหรือไม่กล้า ข้าขอถามแค่คำเดียว ถ้าพวกเจ้ามาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาข้า ใครจะเป็นผู้นำ ใครจะเป็นผู้ตาม?”

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วหลงซิ่นก็ตอบว่า “เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเจ้าก็ย่อมให้เจ้าเป็นนายท่านสิ พวกเราสองคนเป็นผู้ตาม”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ถ้างั้นพวกเจ้าก็เปลี่ยนท่าทีเวลาพูดกับข้าก่อนเลย”

“…” ทั้งสองพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ก่อนที่ชิงเยว่จะบอกว่า “เรื่องในภายหลังเดี๋ยวค่อยว่ากัน อย่างน้อยตอนนี้พวกเราสองคนก็ยังไม่ใช่ลูกน้องเจ้า”

“งั้นเหรอ?” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ

“แน่นอน” ทั้งสองตอบเป็นเสียงเดียวกัน

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ “หวังว่าพวกเจ้าจะจดจำสิ่งที่ตัวเองพูดในวันนี้เอาไว้ ไม่อย่างนั้นข้ารับพวกเจ้าได้ ข้าก็เตะพวกเจ้าออกไปได้เหมือกนั้น ถึงตอนนั้นไม่ต้องให้ข้าจัดการพวกเจ้าสองคนหรอก ย่อมมีคนลงมือแทนอยู่แล้ว”

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง พบว่าท่านนี้พูดจาวางโตจริงๆ เพียงแต่เรื่องความกล้าก็ไม่ต้องพูดถึงเช่นกัน กล้าพูดกับพวกเขาสองคนอย่างนี้ ไม่กลัวว่าจะยั่วโมโหพวกเขาเลย

“เจ้าหมายความว่า เจ้าตอบตกลงรับพวกเราสองคนแล้วเหรอ?” หลงซิ่นถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “พวกเจ้าสองคนวรยุทธ์สูงเกินไป ข้าตอบตกลงไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าต้องรายงานเบื้องบน ถ้าเบื้องบนไม่ขัดขวาง ก็ลงทะเบียนเข้าในรายชื่อจวนแม่ทัพภาคตลาดผีทันที” ที่จริงไม่ต้องรายงานขึ้นไปเบื้องบนก็ได้ ตราบใดที่อยู่ในกฎระเบียบ เขาก็ล้วนมีอำนาจตัดสินใจ ในการเดิมพันไม่มีการจำกัดสิ่งนี้ แต่ก็อย่างที่หยางชิ่งบอก ต้องดูท่าทีของวังสวรรค์ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที

“เจ้าหมายความว่า ยังต้องให้พวกเรากลับไปรอฟังข่าวอีกเหรอ?” ชิงเยว่ถาม

“ทั้งสองให้เกียรติมาเยือน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มิอาจไม่ไว้หน้า พักอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคสักหน่อยเถอะ สามวันเท่านั้น อีกสามวันหลังจากนี้จะให้คำตอบพวกเจ้า” เหมียวอี้กล่าว

ทั้งสองสบตากันแล้วพยักหน้า ตอบตกลงแล้ว “ได้ รอแค่สามวัน”

“พวกเจ้าเองก็อย่ารีบดีใจเร็วเกินไปนัก ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไปซะก่อน ตอนนี้ยศพวกเจ้าต่ำไป ข้าเองก็ไม่มีความสามารถจะไปเลื่อนยศให้พวกเจ้าโดยไร้เหตุผล ถ้ามาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าแล้วก็ต้องเริ่มจากยศปัจจุบันของเจ้า ถ้าตกลงก็อยู่ต่อ ถ้าไม่ตกลงก็ขออภัยที่ต้องส่งตรงนี้!” เหมียวอี้ทำมือเชิญให้เดินออกไป

นี่ไม่ใช่การแสดงบารมี อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้เป็นประมุขชิงกับสี่อ๋องสวรรค์ก็ไม่อาจเลื่อนยศให้ใครโดยไร้เหตุผลเช่นกัน ไม่อย่างนั้นก็จะคุมคนไม่ได้ ถ้าทุกคนทำซี้ซั้วโดยไม่สนกฎระเบียบ เช่นนั้นใต้หล้าก็จะวุ่นวายใหญ่โตแล้ว ก็เหมือนกับที่ตระกูลโค่วช่วยคืนยศตำแหน่งเดิมให้เหมียวอี้ ยังต้องคิดหาทางให้เหมียวอี้สร้างผลงานไม่หยุดหย่อนเลย แต่ก็ว่าไปแล้ว อาศัยศักยภาพของทั้งสอง ภารกิจยางอย่างที่ยากในสายตาคนอื่น แต่ทั้งสองกลับสร้างผลงานได้อย่างง่ายดาย ขอเพียงมีโอกาส คนที่มีศักยภาพก็ไม่ต้องกลัวสิ่งนี้อยู่แล้ว

“แน่นอนอยู่แล้ว” หลงซิ่นพยักหน้า

“กฎเล็กน้อยแค่นี้ข้ายังพอเข้าใจ” ชิงเยว่พยักหน้าเช่นกัน

“ทหาร!” เหมียวอี้ตะโกน หยางเจาชิงผลักประตูเข้ามารับคำสั่ง เหมียวอี้เอียงหน้าบอกว่า “พาพวกเขาลง จัดที่พักในจวนให้พวกเขาชั่วคราว”

“รับทราบ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วยื่นมือเชิญ

ชิงเยว่กับหลงซิ่นมองเหมียวอี้ด้วยแววตาสับสน ทั้งสองไม่รู้สึกถึงปฏิกิริยาอะไรจากตัวเหมียวอี้เหมือนที่เคยจินตนาการไว้เลย กลับรู้สึกว่าเหมียวอี้สุขุมเยือกเย็นต่อพวกเขา ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเป็นเพราะตัวเองใช้ชีวิตต่ำต้อยมานานเกินไปจนขาดความน่าเกรงขามอย่างที่ควรจะมีแล้วหรือเปล่า?

ก่อนจะแยกกัน ทั้งสองก็นับว่าทำตัวสุภาพมากขึ้น กุมหมัดคารวะแล้วถึงได้ตามหยางเจาชิงออกไป

หลังจากรู้ว่าทั้งสองพักอยู่ที่จวนแม่ทัพภาค อวิ๋นจือชิวก็มาหาทันที พอเห็นหน้าก็ถามเลยว่า “เจ้าตัดสินใจรับพวกเขาจริงเหรอ?”

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังพลางถอนหายใจ จากนั้นเดินไปเดินมาพร้อมบอกแผนในใจ “น้องชิว ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร มันก็เสี่ยงจริงๆ แต่ขอเพียงรับทั้งสองมานั่งรักษาการณ์ที่นี่ได้ ข้าก็สามารถรับนักพรตบงกชกลายทั้งหมดโดยไม่มีปัญหาอะไร ไม่ต้องกลัวว่าคนเยอะแล้วจะคุมไม่ไหว มีสองคนนี้คอยขู่ให้ข้าก็พอแล้ว!”

อวิ๋นจือชิวจึงกล่าวอย่างกังวล “เจ้าใจร้อนอยากประสบความสำเร็จมากไปหรือเปล่า? ถ้าในอนาคตสองคนนั้นไม่ยอมรับการควบคุมจากเจ้า เกรงว่าวิธีคิดของเจ้าจะได้ผลตรงกันข้าม”

เหมียวอี้หยุดเดินแล้วแสยะยิ้ม “งั้นก็ลองให้พวกเขาทำอย่างนั้นดูสิ ข้าจะได้เชือดไก่ให้ลิงดู ข้าจะหาคนที่เอาชีวิตพวกเขาไม่ได้เชียวเหรอ อย่ากดดันให้ข้าเอาหัวของพวกเขามาสร้างบารมีเลย!”

อวิ๋นจือชิวแอบทอดถอนใจขณะมองเขาเงียบๆ เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ นางรู้สึกได้ว่าตอนนี้สภาพจิตใจของเหมียวอี้เปลี่ยนไปแล้ว นางเองก็ไม่รู้ว่าการที่เหมียวอี้มีความมั่นใจที่จะพลิกมือคว่ำเมฆหงายมือเสกฝน[1]เป็นเรื่องดีหรือเรื่องแย่ ประเด็นไม่สอดคล้องกับศักยภาพของตัวเอง ทำให้นางอดกังวลไม่ได้ แต่นางก็หาเหตุผลมาห้ามเขาไม่ได้อีก เพราะสถานการณ์กลายเป็นอย่างนี้เร็วมาก ทำให้นางไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องแย่

จวนท่านโหวจ้านผิง ในสวนป่าที่สร้างขึ้นไป ซ่างกวนชิงยืนเงียบๆ อยู่ตรงประตูในสวน กำลังรอประมุขชิง ส่วนสาเหตุว่าทำไมประมุขชิงมาที่นี่? ก็เพราะอ้างว่าจะออกจากวังมาลาดตระเวนใต้หล้าเงียบๆ ทว่าพอออกจากวังก็แอบมาเยี่ยมสนมสวรรค์ทันที พักอยู่ที่นี่ตั้งหลายวัน

แน่นอน เมื่อประมุขชิงขอให้เก็บเป็นความลับ จวนท่านโหวจ้านผิงก็ย่อมรักษาความลับให้ประมุขชิงอย่างเข้มงวด

“ผู้การใหญ่ เชิญค่ะ!” หลังจากเข้าไปรายงานแล้ว เทพธิดาก็ออกมาเชิญอีกครั้ง ซ่างกวนชิงถึงได้เดินตามหลังเข้าไปข้างใน

ในศาลาหลังหนึ่งที่ยื่นลงพื้น ประมุขชิงกำลังนั่งดื่มสุราเงียบๆ คนเดียว ซ่างกวนชิงที่มาถึงมองจอกสุราที่จัดวางเป็นคู่แล้วแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว รู้ว่าตัวเองมาทำลายบรรยากาศของประมุขชิง คนที่สามารถนั่งดื่มสุราตรงนี้กับฝ่าบาทได้จะยังมีใครได้อีก ท่านั้นไม่ค่อยชอบนั่งสุราเป็นเพื่อใคร เกรงว่าการมาของตนจะทำให้ทั้งคู่แยกกันแล้ว

เป็นอย่างที่คาดไว้ ไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยปาก ประมุขชิงก็กล่าวเสียงเย็นแล้วว่า “ไม่รู้เหรอว่าข้าติดธุระ?”

ซ่างกวนชิงตอบอย่างระมัดระวังว่า “ฝ่าบาท ทางตลาดผีส่งข่าวมา การรับสมัครคนของหนิวโหย่วเต๋อมีเรื่องผิดพลาดนิดหน่อย”

ประมุขชิงหรี่ตาทันที “มีคนจงใจก่อกวนเหรอ?”

“ชิงเยว่กับหลงซิ่นไปสมัครแล้วขอรับ ตงฟางเลี่ยเห็นกับตา” ซ่างกวนชิงกล่าว

“ชิงเยว่ หลงซิ่น?” ประมุขชิงงงไปชั่วขณะ นึกย้อนไปครู่เดียวก็เหมือนจะนึกออกแล้วว่าเป็นใคร บนใบหน้าฉายแววตกตะลึง “ชิงเยว่กับหลงซิ่นที่ถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดินเหรอ? พวกเขาก็ไปสมัครเหมือนกันเหรอ?”

ดูจากปฏิกิริยาของเขาแล้ว ซ่างกวนชิงก็โล่งอก รู้ว่าเบี่ยงเบนความโกรธของเขาได้แล้ว จกานั้นโค้งตัวเล็กน้อยพร้อมตอบว่า “ขอรับ! ตงฟางเลี่ยไปตรวจสอบยืนยันด้วยตัวเอง เป็นสองคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย”

ประมุขชิงครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะหึหึ เบะปากกล่าวอย่างร่าเริง “ถ้าข้าจำไม่ผิด ชิงเยว่นั่นถูกลดตำแหน่งเพราะไปล่วงเกินพ่อบ้านของฮ่าวเต๋อฟางใช่มั้ย?”

“ฝ่าบาทความจำดีมาก เป็นเรื่องเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน ข่าน้อยนึกอยู่นานกว่าจะนึกออก!” ซ่างกวนชิงตอบ

“น่าสนใจอยู่นะ หึหึ เกรงว่าฮ่าวเต๋อฟางคงยังไม่รู้เรื่องล่ะสิ?” ประมุขชิงวางจอกสุราแล้วยืนขึ้น เดินไปเดินมาพลางครุ่นคิดด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ จากนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย “สองคนนี้ไปขอพึ่งพาที่นั่น ในนั้นคงไม่มีอะไรในกอไผ่หรอกใช่มั้ย? ไป เรียกซือหม่าเวิ่นเทียนมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”

…………………………

[1] พลิกมือคว่ำเมฆหงายมือเสกฝน 翻手为云覆手为雨 หมายถึงการใช้กลอุบายพลิกเรื่องราวต่างๆ

ข่าวลือระหว่างอ๋องสวรรค์ฮ่าวเต๋อฟางกับพ่อบ้านซูอวิ้นไม่ใช่ความลับอะไร เหมียวอี้เองก็เคยได้ยินมาบ้าง มีบางคนกล่าวถึงอย่างชื่นชม บางกล่าวถึงเหมือนเป็นเรื่องตลก สรุปก็คือทุกข่าวลือล้วนบอกว่าซูอวิ้นเป็นผู้หญิงที่อ๋องสวรรค์ฮ่าวรัก และไม่เคยได้ยินคนในจวนตระกูลฮ่าวออกแก้ข่าวลือเช่นกัน เห็นได้ชัดว่ามีโอกาสเป็นเรื่องจริงสูงมาก ส่วนชิงเยว่ก็ฆ่าล้างตระกูลซูอวิ้น ไม่แปลกใจที่เป็นอย่างนี้

ไม่แปลกใจที่ถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผา ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เหมียวอี้มองแผ่นหยกในมือ ชิงเยว่ไม่ได้บรรยายความแค้นระหว่างตัวเองกับฮ่าวเต๋อฟาง บอกเพียงว่าเคยเป็นทูตลาดตระเวนฝั่งใต้ จากนั้นถูกลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผาเพราะไม่ล่วงเกินคนอื่นเอาไว้ เพียงแต่พอคิดไปคิดมาก็พอเข้าใจได้ อีกฝ่ายยังไม่รู้ว่าตัวเองจะผ่านการคัดเลือกหรือไม่ จำเป็นต้องเขียนรายละเอียดเรื่องแบบนั้นลงบนแผ่นหยกที่ต้องผ่านมือคนไม่รู้ตั้งกี่มือด้วยเหรอ? เช่นเดียวกัน สิ่งที่หลงซิ่นเขียนเองก็เอ่ยถึงอย่างรวบรัดเท่านั้น ไม่ได้เขียนละเอียดขนาดนั้น

เหมียวอี้ถามอีก : แล้วเรื่องหลงซิ่นนี่ยังไง?

จินม่านตกตะลึงอีกครั้ง แต่ไม่แสดงอารมณ์ออกมา เพียงถามว่า : หลงซิ่น? ท่านโหวหลงซิ่นที่ถูกลดตำแหน่งน่ะเหรอ? เขาก็มาสมัครเหมือนกันเหรอคะ?

เหมียวอี้ : ไม่ผิดหรอก เป็นเขานั่นแหละ

จินม่าน : ก่อนข้าถูกขัง หลงซิ่นก็เป็นท่านโหว และหลังจากข้าหลุดขังแล้วสืบสถานการณ์ข้างนอก ถึงได้รู้ว่าหลงซิ่นถูกลดตำแหน่ง ได้ยินแค่ว่าเขามีเรื่องกับโจวจ้าวที่เป็นจอมพลคนปัจจุบัน พอพูดถึงพวกข้อหา ข้าเดาว่าคงมีปัญหาทั้งหมด ไม่รู้รายละเอียดว่าเพราะอะไรถึงถูกลดตำแหน่ง ข้าเองก็ไม่สะดวกจะพูดมั่วจนงานของราชาปราชญ์เสียหาย

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จ จินม่านก็รีบไปคุยกับหยางชิ่งเรื่องนี้ ส่วนเหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง จะรับหรือจะไม่รับดี?

อวิ๋นจือชิวรออยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “เรื่องของสองคนนี้เป็นยังไงกันแน่?”

“มารดาเจ้าเถอะ แต่ละคนตำแหน่งใหญ่กินกันไม่ลง…” เหมียวอี้บอกเล่าข้อมูลที่ได้มาให้ฟังคร่าวๆ

อย่าว่าแต่หลงซิ่นเลย ชิงเยว่คนนี้ทำให้อวิ๋นจือชิวพูดไม่ออกจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงภูมิหลัง ไม่ถูกซูอวิ้นเล่นงานจนตายก็นับว่าดวงแข็งแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปจะเป็นอย่างไรล่ะ นี่คือความแค้นที่ถูกฆ่าล้างตระกูลเชียวนะ มีใครบ้างที่จะไม่ล้างแค้น การที่ซูอวิ้นปล่อยให้ชิงเยว่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขหลายปีก็นับว่าเมตตามากแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเบื้องหลังมีฮ่าวเต๋อฟางคอยห้ามหรือเปล่า

“แล้วจะรับหรือไม่รับดีล่ะ? สองคนนั้นยังรอคำตอบอยู่นะ” อวิ๋นจือชิวชี้ระฆังดาราในมือตัวเอง ช่างไม้ยังรอคำตอบจากนางอยู่

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “ทำไมสองคนนี้ถึงบังเอิญโผล่มาพร้อมกัน ในนั้นจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า หรือว่ามีคนตั้งใจส่งมาก่อกวน? แล้วคนที่เคยอยู่ตำแหน่งสูงแบบนั้นจะฟังคำสั่งข้าเหรอ? ถ้ารับสองคนนี้ไว้จะมีผลอะไรตามมา?”

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วเงียบๆ นี่คือเรื่องที่ทำให้คนปวดหัวจริงๆ นางชำเลืองมองบัณฑิตที่ยืนอยู่ข้างกาย แล้วถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “หยางชิ่งเป็นคนออกความคิด ถามหยางชิ่งดีมั้ยว่ามีความคิดเห็นยังไง?”

ครั้งนี้เหมียวอี้เด็ดขาดมาก หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่งทันที

แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง หยางชิ่งกับจินม่านเดินออกจากจวนประมุขปราชญ์พร้อมกัน ทั้งสองเดินทอดน่องเลียบชายทะเลขึ้นไปบนหน้าผาด้วยกัน ลมทะเลเย็นสดชื่น ทว่าหยางชิ่งกลับขมวดคิ้วด้วยความกลุ้มใจ

เมื่อได้รับข่าวจากเหมียวอี้ หยางชิ่งก็คิดไม่ออกแล้วเช่นกัน เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าการรับสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีจะทำให้มีละครอย่างนี้มาขอพึ่งพา ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเจตนาของอีกฝ่ายจริงหรือปลอม ถ้ารับคนอย่างนี้เข้ามา เหมียวอี้จะควบคุมไหวเหรอ? คนอย่างนี้จะยอมรับการควบคุมจากเหมียวอี้เหรอ? ดีไม่ดีจะเป็นการดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!

หลังจากทั้งสองปรึกษากันสักพัก หยางชิ่งก็ยังให้คำแนะนำที่ปลอดภัยเชื่อถือได้ : เพื่อความปลอดภัย นายท่านปฏิเสธอย่างอ้อมๆ เพื่อความเหมาะสม ก้าวนี้ของนายท่านใหญ่เกินไป เหมาะจะใจร้อนต้องการความสำเร็จ รอให้พลังของนายท่านเพิ่มขึ้นก่อน แล้วค่อยก้าวไปอีกขั้นก็ยังไม่สาย

ปฏิเสธเหรอ? เหมียวอี้รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ถ้าในมือมียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สองคนคอยรักษาการณ์ ข้อดีก็เด่นชัดมาก จึงกล่าวอย่างเสียดายว่า : น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าสองคนที่มาพึ่งพาจริงใจหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นการมีผู้ช่วยอย่างนี้ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ กลัวก็แต่ว่าจะมีคนส่งมาก่อกวน

หยางชิ่ง : นายท่านอยากจะทดสอบเหรอว่าสองคนนี้มาสมัครด้วยความจริงใจหรือเปล่า ดูไม่ยากหรอกว่ามีคนส่งมาก่อกวนหรือไม่ แต่ประเด็นสำคัญก็คือ พวกเราไม่รู้รายละเอียดมากพอว่าสองคนนี้อุปนิสัยเป็นยังไง ถ้ามีคิดไม่ซื่อขึ้นมา ก็เกรงว่านายท่านจะควบคุมลำบาก ถ้าไม่มีแม้แต่ความมั่นใจในจุดนี้ ก็ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงอันตราย ข้าน้อยแนะนำให้นายท่านปฏิเสธ คุมสถานการณ์ปัจจุบันให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เหมียวอี้กลับตาเป็นประกาย ถามว่า : มีวิธีการยืนยันเหรอว่าสองคนนี้มาสมัครอย่างจริงใจหรือเปล่า?

พอหยางชิ่งได้ฟังคำถามนี้ ก็รู้สึกทันทีว่าเกิดปัญหาแล้ว รีบถามว่า : หรือว่านายท่านอยากจะรับสองคนนี้ไว้จริงๆ?

เหมียวอี้ไม่ได้ตอบคำถามนี้ ถามเพียงว่า : สองคนนี้อยู่นอกสายตาฝูงชนมานานเกินไป เกรงว่าคนที่อยู่แวดล้อมคงยากที่จะรู้ถึงความคิดของสองคนนี้ ข้ากำลังกังวลเรื่องการสืบที่ลำบาก ไม่ทราบว่าท่านบุรุษมีแผนดีอะไรมาตัดสินว่าความจริงใจของสองคนนี้จริงหรือปลอม?

หยางชิ่งยกมือตบหน้าบาก นึกเสียใจกับสิ่งที่พูดไปก่อนหน้านี้ หลุดปากพูดยั่วความอยากเหมียวอี้แล้วเข้าแล้ว เจ้าหนุ่มที่ใจกล้าคับฟ้ามีอะไรที่ไม่กล้าทำบ้างล่ะ

เมื่อจินม่านที่อยู่ข้างกันเห็นดังนั้น ก็ถามอย่างแปลกใจ “ทำไมผู้ช่วยใหญ่ดูหงุดหงิดขนาดนี้?”

หยางชิ่งโบกมือ ไม่สะดวกจะอธิบาย ได้แต่เตือนเหมียวอี้อีกครั้ง : นายท่านโปรดไตร่ตรอง ต่อให้ยืนยันได้ว่าสองคนที่มามีความจริงใจ แต่ก็ไม่สะดวกจะรับไว้อยู่ดี ถามหน่อยว่าคนที่แม้แต่ฮ่าวเต๋อฟางกับโจวจ้าวยังควบคุมได้ยาก ด้วยยศักยภาพของนายท่านจะคุมสองคนนี้ได้ยังไง?

เหมียวอี้ : ข้าก็ต้องไตร่ตรองอยู่แล้ว แค่อยากจะฟังความเห็นอันสูงส่งของท่านบุรุษเฉยๆ หวังว่าท่านบุรุษจะไม่ออมฝีมือเอาไว้

หยางชิ่งเงยหน้าถอนหายใจยาว เขาเองก็รู้จักนิสัยเหมียวอี้เช่นกัน รู้ว่าปฏิเสธไม่ไหวแล้ว นึกเสียใจทีหลังว่าไม่ควรหลุดปาก สุดท้ายก็ทำได้เพียงเขย่าระฆังดาราตอบไปว่า : ถ้าต้องการจะรู้ว่าสองคนที่มาบริสุทธิ์ใจมั้ยก็ไม่ยาก ไม่ต้องให้นายท่านคิดหาวิธีสืบเอาเองด้วย นายท่านสามารถใช้ประโยชน์จากตงฟางเลี่ยได้นิดหน่อย

ตงฟางเลี่ย? เหมียวอี้อึ้งทันที : จะใช้ประโยชน์ยังไง ท่านบุรุษได้โปรดอธิบายให้ชัดเจน

หยางชิ่ง : ถ้าเป็นอย่างที่คาดไว้ ตงฟางเลี่ยน่าจะรู้จักสองคนนี้ ให้ตงฟางเลี่ยไปพบสองคนนี้เพื่อตัดสินก่อนว่าตัวตนของทั้งสองเป็นข้อมูลจริงหรือไม่ จะได้ตัดความยุ่งยากในการส่งคนไปสืบ ระการต่อมา ประการต่อมา เมื่อตงฟางเลี่ยเจอสองคนนี้แล้ว ก็จะรายงานสถานการณ์ขึ้นไปแน่นอน นายท่านอาจจะไม่มีวิธีการสืบรายละเอียดของสองคนนี้ แต่วังสวรรค์จะไม่มีวิธีการเชียวหรือ? วังสวรรค์ไม่หวังให้นายท่านแพ้เดิมพันแน่ สองคนนี้บริสุทธิ์ใจหรือไม่ วังสวรรค์ย่อมตัดสินใจ ถ้าวังสวรรค์ไม่ห้าม นั่นก็แปลว่าสองคนนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ถ้าวังสวรรค์รู้สึกว่าสองคนนี้มีปัญหา รู้สึกว่าสองคนนี้มาก่อกวน ตงฟางเลี่ยก็ย่อมโน้มน้ามให้นายท่านปฏิเสธที่จะรับไว้ ดังนั้นถ้าอยากรู้เจตนาของสองคนนี้ ก็มีแต่ต้องให้ตงฟางเลี่ยไปพบเท่านั้น!

เหมียวอี้ตาเป็นประกายอีกครั้ง กล่าวชมว่า : ท่านบุรุษช่างมีความคิดเหนือชั้น ข้าได้รับการชี้แนะแล้ว!

ความคิดเหนือชั้นเหรอ? หยางชิ่งแอบยิ้มเจื่อน หวังเพียงว่าวังสวรรค์จะรู้สึกสะเทือนอารมณ์แล้วปฏิเสธเสียเลย แต่พอคิดดูอีกที ก็รู้สึกกลัวอีกว่าวังสวรรค์จะมีอารมณ์อยากดูละครสนุกๆ มากเกินไป ถ้าไม่มีปัญหาก็เกรงว่าจะไม่ห้าม อย่างไรเสียเหมียวอี้ก็ยังไม่อยู่ในขั้นนี้จะเป็นภัยคุกคามต่อตำหนักสวรรค์ได้

หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง สายตาของพวกอวิ๋นจือชิวก็ย้ายตามเขาเช่นกัน

โดยเฉพาะอวิ๋นจือชิว นางดูออกจากสีหน้าท่าทางของเหมียวอี้แล้ว ด้วยปฏิกิริยาแบบนี้ของเหมียวอี้ เกรงว่าจะตัดสินใจแลว ไม่รู้ว่าหยางชิ่งกับเขาคุยอะไรกัน

เป็นอย่างที่คาดไว้ จู่ๆ เหมียวอี้ก็หยุดเดิน หันตัวไปมองบัณฑิต แล้วกล่าวอย่างไม่ลังเล : “ไป เจ้าพาสองคนนั้นมาพบข้าด้วยตัวเองเลย”

“ขอรับ!” บัณฑิตกุมหมัดเอ่ยรับ แล้วรีบเดินออกไป

“เจ้าจะรับสองคนนี้ไว้จริงๆ เหรอ? จะเหมาะสมหรือเปล่า?” อวิ๋นจือชิวตกใจ

“ฮูหยินไปเตรียมการอีกอย่าง…” เหมียวอี้บอกแผนที่คิดเรียบร้อยแล้วให้นางฟัง

อวิ๋นจือชิวครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ สื่อว่าเข้าใจแล้ว แต่กลับถามอย่างกังวลอีกว่า “ถ้าสองคนนี้เห็นนายท่านแล้วมีเจตนาไม่ซื่อขึ้นมา จะทำยังไงล่ะ?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้าพวกเขาคิดทำร้ายข้าตอนนี้ ในวันข้างหน้าใต้หล้าจะยังมีที่ให้พวกเขายืนอีกเหรอ? ถ้าให้คนระดับนี้มาเป็นหน่วยกล้าตาย ก็อาจจะไม่คุ้มค่า ต่อให้คนที่อยู่เบื้องหลังจะเต็มใจ แต่เกรงว่าเจ้าตัวคงไม่เต็มใจ ฮูหยินวางใจได้เลย ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก รีบไปจัดการตามที่ข้าบอก”

อวิ๋นจือชิวคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ จึงพยักหน้าเบาๆ แล้วเร่งฝีเท้าเดินออกไป

ในห้องสัมภาษณ์ห้องที่สาม หลงซิ่นกับชิงเยว่ใส่หน้ากากปลอมอีกครั้ง ที่นี่มีผู้คนไปมาพลุกพล่านเกินไป ถ้าให้คนจำนวนมากเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ทั้งคู่ยืนอยู่ข้างกายช่างไม้ มองช่างไม้ที่กำลังนำทางคนออกไปไม่หยุด

คนที่ผ่านมาทางนี้อย่างไม่ขาดสายก็ไม่รู้เช่นกันว่าหลงซิ่นกับชิงเยว่เป็นใคร ยังนึกว่าเป็นคนทำหน้าที่สัมภาษณ์ในการรับสมัครครั้งนี้ด้วยซ้ำ

ในเมื่อมาแล้ว ทั้งสองก็ไม่รีบเช่นกัน รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อต้องพิจารณาแน่นอน เฝ้ารออย่างช้าๆ

ผ่านไปไม่นาน บัณฑิตก็เข้ามาจากอีกทิศทางหนึ่ง มาหยุดยืนมองสองคนที่อยู่ข้างกายช่างไม้ แล้วก็มองช่างไม้ด้วยแววตาสอบถามอีก ช่างไม้พยักหน้าบอกใบ้ว่าเป็นสองคนนี้แหละ

บัณฑิตกุมหมัดคารวะต่อทั้งสอง “ท่านแม่ทัพภาคเรียนเชิญ ทั้งสองเชิญตามข้ามา!”

หลงซิ่นกับชิงเยว่สบตากันแวบหนึ่ง สายแสดงความตกตะลึง ต่างก็นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะตัดสินใจมาพบพวกเขาเร็วขนาดนี้ ถ้าพวกเขาลองมาในมุมของหนิวโหย่วเต๋อ ก็จะรู้เช่นกันว่าเมื่ออยูในสถานการณ์นี้จะตัดสินใจลำบาก ใครจะอยากหาเรื่องใส่ตัวล่ะ? แต่ในเมื่อตัดสินใจจะมาพบพวกเขาแล้ว ก็แปลว่าเรื่องนี้มีความหวัง ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องมาพบก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาเจอหน้าให้ยุ่งยาก

“มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวอยู่หลายส่วนจริงๆ สมคำร่ำลือ!” ชิงเยว่แอบถ่ายทอดเสียงบอกหลงซิ่น ในน้ำเสียงให้ความรู้สึกเหมือนกำลังบอกว่า ดูด้วยว่าเหมียวอี้เป็นละครแบบไหน

ทั้งสองเดินตามหลังบัณฑิตไป ส่วนช่างไม้ก็ถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก

“รองผู้ตรวจการใหญ่”

ผู้ติดตามคนสนิทของตงฟางเลี่ยเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาในห้อง มากุมหมัดคารวะต่อตงฟางเลี่ยที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง

“มีเรื่องอะไร?” ตงฟางเลี่ยเอ่ยถามเสียงเรียบขณะมองไปนอกหน้าต่าง

ลูกน้องคนสนิทรายงานว่า “ในการรับสมัครเมื่อครู่นี้มีสองคนที่ได้รับการปฏิบัติเป็นกรณีพิเศษ พวกเขาไม่ได้จากไปทันที แต่มีคนพาไปพบหนิวโหย่วเต๋อด้วยตัวเอง และพวกพี่น้องของเราก็มีคนบังเอิญได้ยินอวิ๋นจือชิวคุยกับหญิงรับใช้พอดี บอกว่าสองคนนี้ไม่ธรรมดา ถ้ารับไว้ได้ จะต้องสะท้านใต้หล้าแน่นอนขอรับ!”

“สะท้านใต้หล้า?” ตงฟางเลี่ยหันขวับไปมองเขา เขาพยักหน้าสื่อว่าถูกต้องแล้ว

ตงฟางเลี่ยเริ่มขมวดคิ้วมุ่น เดินสาวเท้ามาในห้อง เขามารักษาการณ์ที่นี่ ถ้าเกิดเรื่องสะท้านใต้หล้าขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ ทำเอาเบื้องบนทำอะไรไม่ถูก แล้วจะชี้แจงกับเบื้องบนอย่างไร? สุดท้ายจึงหยุดเดินแล้วกล่าวเสียงต่ำ “ไป! ไปดูกันหน่อยว่าเป็นใคร”

ทั้งสองเดินตามกันออกไปอย่างรวดเร็ว ต่อให้เหมียวอี้จะห้าม แต่ตงฟางเลี่ยก็จะต้องไปเห็นให้ได้

ในห้องรับแขกของจวนแม่ทัพภาค เหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง หลังจากบัณฑิตนำสองคนนี้เข้ามาในห้องแล้ว หลงซิ่นกับชิงเยว่มองเงาหลังที่ตรงแน่วของเหมียวอี้ แล้วทั้งสองก็สบตากันอีกครั้ง

“นายท่าน แขกมาแล้วขอรับ” บัณฑิตกุมหมัดคารวะ

เหมียวอี้หันตัวมาเผชิญหน้าอย่างช้าๆ แล้วมองประเมินทั้งสองคน

หลงซิ่นกับชิงเยว่ก็มองประเมินเขาเช่นกัน ทั้งสองแอบเอ่ยชมว่า ช่างเป็นคนหนุ่มที่องอาจผึ่งผาย มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวจริงๆ ด้วย ขนาดเจอคนอย่างพวกเขายังสุขุมใจเย็นได้ขนาดนี้ ไม่เห็นแสดงอาการลนลานเลยสักนิด

………………………

ทว่าในเมื่อมาแล้ว นอกเสียจากจะเลี้ยวแล้วจากไปตอนนี้ ไม่อย่างนั้นสักวันก็จะต้องโดนเปิดโปงตัวตนอยู่ดี ดังนั้นหลังจากลังเลครู่หนึ่ง หลงซิ่นก็ยังเขียนประวัติตัวเองเงียบๆ อย่างรวบรัดขณะปะปนอยู่ในกลุ่มคน

วิธีการดำเนินการที่อยู่ภายใต้การจับตาดูของกองทัพองครักษ์แบบนี้ ว่ากันตามจริง หลงซิ่นไม่ค่อยชอบสักเท่าไร ถึงแม้จะเขาจะตกจากตำแหน่งสูงมานานมากแล้ว ต่อให้เขาเป็นเทพแห่งผืนดิน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนเป็นนักโทษอย่างนี้ เพียงแต่เขาก็พอเข้าใจได้ ว่าถ้าไม่เสริมการควบคุม ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีคนมาก่อกวน ยกตัวอย่างเช่นอำนาจบางกลุ่มที่หวังให้การรับสมัครล้มเหลว ดังนั้นผู้สมัครทุกคนรวมทั้งเขาล้วนต้องให้ความร่วมมือ

ในที่สุดก็ถึงตาเขาแล้ว พอระฆังตรงทางเข้าส่งเสียงดัง สมาชิกที่ยืนตรงประตูก็กวักมือเรียกเขา

หลงซิ่นก้าวขึ้นมาข้างหน้า อีกฝ่ายเก็บป้ายลำดับในมือเขาแล้ว นำมาตรวจสอบเทียบกับหมายเลขแผ่นหยกในมือเขา หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่ผิดพลาด ก็โบกมือเชิญให้เขาเข้าไป อีกฝ่ายใบหน้าเจือรอยยิ้ม ท่าทีเป็นมิตรกว่าสมาชิกกองทัพองครักษ์พวกนั้นตั้งเยอะ

พอเข้ามาในห้องเล็กห้องแรก หลังจากเห็นประกาศข้างในแล้ว หลงซิ่นก็ลงตราอิทธิฤทธิ์บนแผ่นหยกแล้ววางบนโต๊ะ แล้วยกมือขึ้นถอดหน้ากากเงียบๆ หลังจากเห็นสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วหลงซิ่น คนที่นั่งหลังโต๊ะยาวก็อึ้งเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าตกใจแล้ว เขาอ่านเนื้อหาในแผ่นหยกอีกครั้ง แล้วก็ค่อยๆ เงยหน้ามองอย่างพูดไม่ออก

หลงซิ่นแสยะยิ้มในใจ รู้อยู่แล้วว่าจะเป็นอย่างนี้

เพียงแต่อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรมาก โบกมือเชิญให้เขาไปยังด่านต่อไป

สมาชิกที่ทำหน้าที่ตรวจสอบด่านถัดไปได้เห็นแผ่นหยกที่ส่งมาล่วงหน้าแล้ว ตกใจกับเนื้อหาที่อยู่ข้างในเช่นกัน รอจนหลงซิ่นเข้ามาแล้วก็เทียบเนื้อหาในแผ่นหยกอีกครั้ง จากนั้นก็ขอให้หลงซิ่นลงตราอิทธิฤทธิ์ในแผ่นหยก แล้วเชิญให้เขาไปด้านถัดไป

รอจนกระทั่งหลงซิ่นออกไปแล้ว เขาก็รีบหยิบพูดกันเต้มชาดแดงวาดสัญลักษณ์สีแดงบนแผ่นหยก เสร็จแล้วถึงได้ส่งให้ไหลเข้าไปในทางเล็กๆ จากนั้นดึงเชือกที่อยู่ข้างๆ อีกฝังหนึ่งมีระฆัง บอกใบ้ด่านถัดไปว่าสามารถปล่อยคนเข้าไปได้

สาเหตุที่บนแผ่นหยกวาดสัญลักษณ์สีแดงไว้เป็นพิเศษ ก็เพราะบัณฑิตสั่งไว้ สาเหตุเดิมย่อมเป็นเพราะก่อนหน้านี้มีนักพรตระดับบงกชกลายโผล่มา คนพวกนี้ต้องถูกจำแนกออกมาจากแผ่นหยกกองใหญ่ ไม่อาจดำเนินการอย่างเชื่องช้าตามกระบวนการ เมื่อปรากฏแผ่นหยกที่ลงตราสัญลักษณ์ประเภทนี้ ก็จะแยกส่งไปให้ถึงมือบัณฑิตก่อนทันที

หลงซิ่นที่มาถึงด่านนี้แล้วรู้สึกเหนือความคาดหมายมาก ถ้าจะพูดให้ถูก เมื่อเขาเห็นประกาศประกาศแล้วรู้สึกโมโหนิดหน่อย

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? แค่นี้ก็เสร็จแล้วเหรอ? ตั้งแต่ต้นจนจบข้าไม่ได้พูดอะไรสักระโยค เดินอยู่ในทางใต้ดินรอบหนึ่งด้วยความรวดเร็ว นี่จะให้ข้ากลับไปรอฟังประกาศเหรอ?

แน่นอน เขาเองก็เข้าใจได้เช่นกัน ถึงอย่างไรก็มีคนตั้งมากมาย จวนแม่ทัพภาคตลาดผีถึงต้องออกแบบขั้นตอนที่รวดเร็วอย่างนี้ขึ้นมา แต่แบบนี้มันก็เร็วเกินไปแล้วมั้ง นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่งผู้สง่าภูมิฐานอย่างข้ามาขอพึ่งพา ทั้งยังเคยเป็นท่านโหวที่เข้าประชุมในราชสำนัก ข้าไม่ขอให้เจ้าหนิวโหย่วเต๋อเดินเท้าเปล่าหรอก แต่การให้เกียรติขั้นพื้นฐานก็ต้องมีบ้างสิ จะไล่พ่อกลับไปอย่างนี้น่ะเหรอ? ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องบอกกันสักคำไม่ใช่เหรอ? เจ้ามีหน้ามาสั่งให้คนระดับข้าถ่อไปถ่อมาอย่างนั้นเหรอ?

หลงซิ่นมองประกาศด้วยสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย

ช่างไม้ที่เฝ้าอยู่ด่านนี้ยังไม่เห็นสัญลักษณ์พิเศษบนแผ่นหยก แต่กลับเห็นสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วของผู้ที่เดินเข้ามาแล้ว

โอ้โห แม่เจ้าโว้ย นี่มันเรื่องอะไรกัน? ช่างไม้จ้องสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่าย นี่เรื่องจริงหรือล้อเล่น? สัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ก่อเป็นรูปจริงแล้วใช่ไหม? ระดับสำแดงฤทธิ์สินะ? ระดับสำแดงฤทธิ์มาสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีเหรอ? ล้อเล่นอะไรกัน คงไม่ได้วาดเอาเองใช่มั้ย?

แต่ดูแล้วก็ไม่เหมือนวาดออกมา เหมือนจะเป็นของจริง ทำเอาช่างไม้ตกใจจนใบหน้ายิ้มแข็งทื่อนิดหน่อย

ถึงแม้อวิ๋นจือชิวจะกำชับไว้แล้ว แต่การมีกองทัพองครักษ์จับตาดูอย่างเข้มงวดอย่างนี้จะทำให้ผู้สมัครรู้สึกไม่พอใจได้ง่าย ไม่ว่าผู้ที่มาสมัครจะผ่านการคัดเลือกหรือไม่ แต่พวกเราจะต้องมีท่าทีที่ดีเข้าไป อย่างน้อยก็ต้องยิ้มแย้มให้ทุกคน จะให้คนสมัครรู้สึกว่าพวกเราวางมาดไม่ได้ ถ้าพวกเรามีท่าทีไม่เป็นมิตร ก็อาจทำให้นายท่านไม่ได้ใจคน โดยเฉพาะคนสัมภาษณ์อย่างพวกเจ้า คนที่มาสมัครแทบจะผ่านมือพวกเจ้าทุกคน ท่าทีของพวกเจ้าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ดังนั้นต้องทุกคนต้องมีรอยยิ้มประดับใบหน้า

ด้วยเหตุนี้ ช่างไม้จึงยิ้มให้คนไปไม่รู้ตั้งกี่คนแล้ว ยิ้มจนหน้าค้างนิดหน่อย แต่รอบนี้ยิ้มแข็งจากภายในสู่ภายนอกแล้วจริงๆ

ทว่าเขาก็ยังทำตามขั้นตอน ยื่นมือบอกใบ้หลงซิ่นว่าสามารถไปได้แล้ว

ผู้สมัครที่เดินออกมาจากทางอื่นเห็นหลงซิ่นแล้วก็ตกใจเช่นกัน จริงหรือล้อเล่น ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็มาขอพึ่งพาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีเหมือนกันเหรอ? ชั่วพริบตานี้ ผู้สมัครอดคิดไม่ได้ว่าโอกาสสำเร็จช่างริบหรี่เหลือเกิน ขนาดยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ยังมาเลย แล้วตัวเองจะนับเป็นตัวอะไรล่ะ!

หลงซิ่นหน้าบึ้ง จ้องช่างไม้อย่างเย็นเยียบ ยืนอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน ทำเอาช่างไม้รู้สึกประหม่านิดหน่อย

ผู้สมัครคนอื่นไม่ได้กล้าหาญเท่าหลงซิ่น แต่ละคนออกจากที่นี่ไปตามประกาศ สาเหตุสำคัญเป็นเพราะไม่อยากให้คนที่ตามมาตอนหลังเห็นโฉมหน้าของตัวเองชัดเจน นี่ก็คือจุดที่ยอดเยี่ยมของการออกแบบด่านนี้ ทำให้คนมาพัวพันกับผู้เข้าสมัครน้อยลง ส่งเสริมให้พวกเขาสำนึกได้เองว่าต้องจากไป

แต่หลงซิ่นไม่สนใจแล้ว ในสายตาหลงซิ่น นอกเสียจากว่าตัวเองจะดวงซวยบังเอิญเจอสายลับที่อำนาจฝ่ายอื่นส่งมา ไม่อย่างนั้นคนที่ออกจากที่นี่ก็ไม่มีทางบอกว่าตัวเองเห็นอะไรที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี ถ้าพูดอย่างนี้ออกมาจริงๆ จะไม่เท่ากับเป็นการพิสูจน์ว่าตัวเองก็เคยมาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีเหมือนกันหรอกเหรอ แบบนั้นไม่เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวหรือไง?

“หลงซิ่น?” ตรงทางด้านข้างมีสตรีวัยกลางคนสุดสง่างามที่แต่งตัวเหมือนชายเดินออกมาคนหนึ่ง ดวงตากลมโต เปิดเผยใบหน้า สัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วเป็นรูปงูเขียวตัวหนึ่ง

หลงซิ่นเอียงหน้ามอง เขาเองก็อึ้งไปเช่นกัน ถามอย่างประหลาดใจว่า “ชิงเยว่?”

“ข้ายังนึกว่ามองผิดไป เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย เจ้ามาได้ยังไง?” สตรีวัยกลางคนที่แต่งตัวเป็นชายทั้งประหลาดใจทั้งตื่นเต้น “เจ้าก็มาสมัครเหมือนกันเหรอ?”

หลงซิ่นพยักหน้า แล้วบอกใบ้ให้นางดูประกาศ

ช่างไม้ปาดเหงื่อ นี่มันสถานการณ์อะไรกัน มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์โผล่มารวดเดียวสองคน ทั้งยังมาพร้อมกันด้วย ไม่ใช่ว่ามีคนจงใจมาก่อกวนหรอกนะ ไม่อย่างนั้นจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้เชียวหรือ?

สตรีวัยกลางคนที่ชื่อชิงเยว่ขมวดคิ้ว ถามหลงซิ่นว่า “มองอะไรของเจ้า?”

หลงซิ่นกวาดสายตาเย็นเยียบมองช่างไม้ “ข้าต้องการพบหนิวโหย่วเต๋อ”

ชิงเยว่พยักหน้าเบาๆ เห็นได้ชัดว่าชื่นชมท่าทีแบบนั้น

ช่างไม้ฝ่ามือเปียกไปด้วยเหงื่อ ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่สอดคล้องกับกฏระเบียบ ครั้งนี้ผู้สมัครทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน”

หลงซิ่นพูดเหน็บแนม “ไม่ได้ให้เจ้าตัดสินใจ แค่ให้เจ้าไปบอกเท่านั้น ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่อยากมาพบ พวกเราก็ไม่ฝืนใจ จะไม่ทำให้ลำบากใจด้วย จะออกไปทันที”

กฎระเบียบก็ย่อมต้องเป็นกฎระเบียบ แต่คนที่อยู่ในระดับอย่างพวกเขา ล้วนสามารถทำกฎให้ยืดหยุ่นได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังพูดได้ถูกจุดมากด้วย แสดงออกชัดเจนว่าตัวเองไม่ได้มาก่อเรื่อง แค่เสนอขอเรียกร้องเล็กน้อยเท่านั้น จะตอบตกลงหรือไม่ก็ตามใจ

แล้วช่างไม้จะทำอย่างไรได้ ยิ้มเจื่อนพร้อมหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิวแล้ว

ตอนนี้อวิ๋นจือชิวกำลังอยู่ข้างกายเหมียวอี้พอดี บัณฑิตก็อยู่ด้วย ตอนได้รับแผ่นสองสองแผ่นที่มีตราสัญลักษณ์พิเศษ บัณฑิตก็ตกใจเช่นกัน กอปรกับก่อนหน้านี้เพิ่งถูกอวิ๋นจือชิวสั่งสอนไป จึงพลิกแพลงเป็นแล้ว รีบนำแผ่นหยกสองแผ่นไปให้สองสามีภรรยาด้วยตัวเอง

ภายในห้อง หลังจากสองสามีภรรยาสลับกันอ่านแผ่นหยกแล้ว ทั้งคู่ก็พูดไม่ออก ตะลึงค้างนิดหน่อย มีนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์สองคนมาสมัคร คนหนึ่งระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่ง เคยเป็นท่านโหวของตำหนักสวรรค์มาก่อน อีกคนเป็นนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นห้าที่เคยรับตำแหน่งทูตลาดตระเวนฝั่งใต้

ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สองคนมาสมัคร แค่ระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่งคนเดียวก็น่าตกใจแล้ว ยังมีระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นห้าโผล่มาอีก แบบนี้ไม่น่าตกใจเหรอ? มิหนำซ้ำ ตำแหน่งโหวก็ยังพูดง่ายหน่อย แต่ ‘ทูตลาดตระเวนฝั่งใต้’ นี่คืออะไร? ไม่ได้เคยได้ยินตำแหน่งนี้มาก่อน

หลังจากมองหน้ากันเลิกลั่กพักหนึ่ง เหมียวอี้ก็ถามอย่างระแวง “ชิงเยว่ หลงซิ่น? สองคนนี้เป็นใครกัน เจ้าเคยได้ยินชื่อหรือเปล่า?”

อวิ๋นจือชิวยักไหล่สองข้าง “เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใครล่ะ? บนนี้เขียนไว้ คนหนึ่งเป็นปีศาจงูเขียวที่ถูกลดตำแหน่งเมื่อแสนปีก่อน อีกคนเป็นปีศาจกิ้งก่าที่ถูกลดตำแหน่งเมื่อสามหมื่นปีก่อน ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว อยู่ดีๆ ใครจะไปพูดถึงพวกเขาล่ะ ข้าไม่เคยได้ยินหรอก”

เหมียวอี้ทำสีหน้าไม่ถูก รู้สึกปวดประสาทนิดหน่อย มีคนแบบนี้มาขอพึ่งพาไม่ฟังดูน่าขำไปหน่อยเหรอ? เล่นใหญ่เกินไปหรือเปล่า?

เขามองไปที่บัณฑิต ผลปรากฏว่าบัณฑิตโบกมือซ้ำๆ “ข้าก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินชื่อ”

ในขณะนี้เอง อวิ๋นจือชิวรับข้อความจากช่างไม้ผ่านระฆังดารา จากนั้นก็กล่าวอย่างตะลึง “ช่างไม้ส่งข่าวมาแล้ว บอกว่าสองคนนั้นต้องการพบเจ้า”

“สองคนไหน?” เหมียวอี้ถามด้วยความงง

อวิ๋นจือชิวถลึงตาตอบ “ยังจะสองคนไหนได้อีก? ชิงเยว่กับหลงซิ่นไง สองคนนั้นยังอยู่ห้องที่สาม ไม่ยอมไปไหน บอกว่าต้องการพบเจ้า บอกว่าให้ช่างไม้มาแจ้งให้รู้เฉยๆ ถ้าเจ้าไม่ไปพบ พวกเขาก็ไม่ฝืนใจ ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจด้วย พวกเขาจะไปทันที!”

“เดี๋ยวก่อน” เหมียวอี้ขมวดคิ้ว รู้สึกวุ่นวายใจเล็กน้อย ทำไมรับสมัครคนจนเจอสัตว์ประหลาดอย่างนี้ได้ อยู่ว่างๆ จะมาประสมโรงทำไม กำลังยั่วโมโหพ่อใช่มั้ย ข้าเป็นแม่ทัพภาคตลาดผี วรยุทธ์บงกชรุ้ง มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สองคนต้องการจะมาเป็นลูกน้องข้า แบบนี้ใครจะคุมใครกันแน่?

เขาสงสัยนิดหน่อยว่ามีคนจงใจจะก่อกวนหรือเปล่า จึงรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจินม่านทางแดนอเวจี

หลังจากสัญญาณเชื่อมถึงกันแล้ว ก็ถามเลยว่า : เจ้าเคยได้ยินมาก่อนหรือเปล่าว่าในหมู่โจรกบฎมีคนชื่อชิงเยว่?

จินม่านตอบ : ชิงเยว่? ปีศาจงูเขียวชิงเยว่ที่วรยุทธ์สำแดงฤทธิ์ขั้นสี่ใช่มั้ย?

เหมียวอี้ : อย่างอื่นพูดถูกหมด มีแต่วรยุทธ์ที่ไม่สอดคล้อง ตอนนี้วรยุทธ์ของนางเหมือนจะถึงระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นห้าแล้ว

จินม่าน : ผ่านไปนานขนาดนี้ วรยุทธ์บรรลุถึงระดับสำแดงฤทธิ์ขั้นห้าก็ไม่แปลก นอกจากชิงเยว่นั่นแล้ว ข้าก็นึกถึงไม่ออกจริงๆ ว่ามีชิงเยว่ไหนที่วรยุทธ์ประมาณนี้อีก เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่สถานการณ์ของโจรกบฎยังไม่เป็นเหมือนอย่างทุกวันนี้ ชิงเยว่นั่นก็โดนลดตำแหน่งไปเป็นเทพแห่งภูผาตั้งแต่ข้ายังไม่เข้าโลงศพ ชื่อของนางน่าจะเลือนหายไปจากสังคมนานแล้ว นายท่านถามถึงนางทำไม?

หลังจากนั้น เนื่องจากสถานะเทพแห่งภูผาของชิงเยว่ กอปรกับเรื่องที่เหมียวอี้ทำตอนนี้ นางก็เหมือนจะนึกอะไรได้แล้ว ถามอย่างตกใจมากว่า : อย่าบอกนะว่าชิงเยว่มาสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี?

เจ้าลองดูสิ คนเก่าคนแก่ก็ยังเป็นคนเก่าคนแก่ มีแค่คนเหล่านี้เท่านั้นที่รู้เรื่องราวเก่าๆ ชัดเจน! เหมียวอี้แอบทอดถอนใจ แล้วตอบว่า : ไม่ผิดหรอก! นางมาสมัครจริงๆ เพียงแต่ข้าไม่ค่อยรู้จักตัวตนของนางชัดเจน เลยตั้งใจจะมาถามเจ้า แล้วก็ ‘ทูตลาดตระเวนฝั่งใต้’ นั่นคือตำแหน่งผีอะไร?

พอได้ยินว่าชิงเยว่มาขอพึ่งพา ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงว่าจินม่านตกใจขนาดไหน นางตอบว่า : ตอนนี้ไม่มีตำแหน่งนี้แล้ว นั่นเป็นตำแหน่งตรวจตราของทัพใต้ตอนที่ระบบของโจรกบฎยังไม่กลายเป็นอย่างทุกวันนี้ เดิมทีชิงเยว่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงของฮ่าวเต๋อฟาง นับว่าเป็นลูกน้องคนสนิทของฮ่าวเต๋อฟางก็ว่าได้ นางรับหน้าที่คุมงานตรวจตราที่เกี่ยวข้อง คอยตรวจตาสถานการณ์ทางทหารภายในอาณาเขตให้ฮ่าวเต๋อฟางโดยเฉพาะ โด่งดังเรื่องบังคับใช่กฎอย่างเข้มงวด ผลปรากฏว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง เหมือนได้ยินว่านางสืบเจอเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับซูอวิ้นที่เป็นพ่อบ้านของฮ่าวเต๋อฟาง แต่ฆ่าล้างตระกูลของซูอวิ้นโดยไม่ได้รายงานขึ้นมาก่อน ทำให้ฮ่าวเต๋อฟางเดือดดาลมาก เพราะเหตุนี้จึงถูกลดตำแหน่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นห่วงความคิดเห็นของกลุ่มลูกน้อง กลัวว่าฆ่าชิงเยว่แล้วจะทำให้ใจทหารสั่นคลอน เกรงว่าชิงเยว่คงถูกฮ่าวเต๋อฟางประหารไปแล้ว

…………………

ในมือคนคนนั้นถือแผ่นหยกไว้แล้ว ขณะที่ตรวจอ่านเนื้อหในแผ่นหยก ก็สำรวจเปรียบเทียบผู้สมัครไปด้วย จากนั้นก็ให้ผู้สมัครลงตราอิทธิฤทธิ์บนแผ่นหยกอีกครั้ง แล้วโยนแผ่นหยกเข้าไปในทางเล็กๆ ข้างหลัง ไม่รู้ว่าแผ่นหยกไหลไปไหนอีกแล้ว

คนที่นั่งด้านหลังโต๊ะยาวยื่นมือบอกใบ้ให้ผู้สมัครเข้าไปยังด่านต่อไปอีก

ผู้สมัครทำได้เพียงปฏิบัติตาม เดินเข้าไปเปิดม่านอีกครั้งเพื่อเข้าไปยังทางใต้ดินอีกช่วงหนึ่ง มาถึงห้องเล็กห้องที่สาม แต่ในห้องนี้มีทางเข้าออกเจ็ดทาง ข้างในมีคนยืนเอามือไขว้หลังอยู่หนึ่งคน ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นช่างไม้นั้นเอง

ช่างไม้พยักหน้าเบาๆ ให้ผู้สมัคร แล้วยื่นมือบอกใบ้ว่าข้างๆ มีประกาศตั้งอยู่ ประกาศบอกว่าการสัมภาษณ์ของผู้สมัครสิ้นสุดแล้ว เพื่อปกป้องตัวตนของผู้สมัคร ไม่ให้เกิดปัญหายุ่งยากต่อผู้สมัคร เชิญสวมใส่หน้ากากปลอมตัวอีกครั้งได้ตรงนี้ สามารถออกไปได้ตามทางที่ระบุไว้ เดินตามทางใต้ดินที่กำหนดเพื่อออกจากตลาดผีและกลับไปยังสถานที่ของตัวเอง รอให้ทางนี้คัดเลือกเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกก็จะได้รับแจ้งก่อนที่การรับสมัครจะสิ้นสุดลง แต่ถ้าไม่ได้รับแจ้งก็ขออภัยด้วย

ผู้สมัครพูดไม่ออก ตั้งแต่เข้ามาในจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ก็ไม่ได้พูดอะไรสักประโยค เท่ากับเดินผ่านทางใต้ดินรอบหนึ่ง สัมภาษณ์เสร็จเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?

ขณะที่ผู้สมัครสวมหน้ากากปลอมตัวเงียบๆ ที่ทางเข้าออกทางอื่นก็มีคนเข้าออกจำนวนมาก หลังจากอ่านสิ่งที่อยู่บนประกาศแล้ว คนพวกนั้นก็งงเช่นกัน

หลังจากปลอมตัวเสร็จ ผู้สมัครก็ออกไปตามทางที่กำหนด เป็นทางใต้ดินอีกช่วงหนึ่ง พอเดินออกจากทางใต้ดิน ก็พบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ส่วนในของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแล้ว จากนั้นเดินขึ้นไปบนตึกตลอดทางโดยมีกำลังพลของกองทัพองครักษ์คอยชี้บอกอยู่ตลอดสองข้างทาง ไม่สะดวกจะบุกไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้า ทำได้เพียงเดินตามทางที่ระบุไว้

ผู้สมัครเดินตามทางขึ้นไปบนตึก หลังจากออกจากประตูใหญ่ ก็พบว่ามาถึงด้านนอกของตลาดผีแล้ว เดินออกจากทางใต้ดินแล้ว พอหันกลับมาอีกครั้ง ก็เห็นว่าข้างหลังมีคนเดินออกมาไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าตัวเองไม่ใช่ข้อยกเว้น เพื่อนร่วมงานก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ผู้สมัครถอนหายใจเบาๆ นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาสมัครมากขนาดนี้ ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองจะผ่านหรือไม่ เพียงแต่มาตรการนี้ในแม่ทัพภาคตลาดผีกลับทำลายความระแวงของเขาแล้วไม่น้อย ไม่ต้องกังวลว่าหากตัวเองไม่ผ่านการสมัครแล้วจะโดนเปิดโปงตัวตนจนคนของเขตเดิมจับได้ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีแสงสว่างขมุกขมัวแล้วพุ่งจากไปเลย

มีคนเข้าจวนแม่ทัพภาคผ่านทางใต้ดินของตลาดผีไม่ขาดสาย แล้วก็มีคนออกจากทางบนพื้นดินของจวนแม่ทัพภาคไม่น้อยเช่นกัน จากไปคนแล้วคนเล่าอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้ผู้สมัครจะออกไปอย่างรวดเร็ว จำนวนที่จากไปก็ไม่น้อยด้วย แต่ก็ลดจำนวนคนที่ตลาดผีไม่ได้เลย

ในจวนแม่ทัพภาค หยางเจาชิงรับผิดชอบคุ้มกันส่งแผ่นหยกสัมภาษณ์หลายกองด้วยตัวเอง นำมาส่งในห้องห้องหนึ่งเพื่อแจกจ่ายให้แต่ละคนที่นั่งอยู่ในนี้

บัณฑิตรวบรวมคนแถวหนึ่งไปนั่งอยู่ตรงนั้น ทุกคนกำลังรีบตรวจอ่านแผ่นหยกสัมภาษณ์คนละแผ่น ขณะเดียวกันก็หยิบแผ่นหยกอีกแผ่นขึ้นมาด้วย แล้วรีบร่ายอิทธิฤทธิ์บันทึกชื่อและวรยุทธ์ของผู้สมัครอย่างรวดเร็ว แบ่งหมวดหมู่แผ่นหยกที่อ่านแล้วไว้บนโต๊ะของแต่ละคน วรยุทธ์เท่ากันกองไว้ด้วยกัน พอกองซ้อนกันจนล้นแล้ว บัณฑิตที่เดินไปเดินมาก็จะแบ่งหมวดหมู่ใส่ไว้ในกำไลเก็บสมบัติแต่ละวงอีก

หลังจากสมาชิกที่ตรวจอ่านเขียนบันทึกแผ่นหยกเสร็จแล้ว ก็จะส่งไปถึงมือบัณฑิตทันที บัณฑิตจะนำมาตรวจอ่านอยู่ข้างๆ และจัดทำสถิติ

หยางเจาชิงไม่กล้ารบกวนคนในห้อง เพราะรู้ว่ามีคนน้อย ทุกคนมีงานต้องทำเยอะมาก แล้วบางอย่างก็ไม่สะดวกจะส่งต่อให้คนอื่นทำด้วย ดังนั้นเขาจึงพยายามเข้าออกด้วยเสียงเบาที่สุด จะได้ไม่ทำให้ทุกคนเสียสมาธิ

หยางเจาชิงเพิ่งจะออกจากห้องไปได้ไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็นำเชียนเอ๋อร์เข้ามาแล้ว พวกนางเดินย่องเข้ามา ไม่ได้รบกวนทุกคน

บัณฑิตเงยหน้ามองแวบหนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืนทันที ขณะกำลังจะทำความเคารพ อวิ๋นจือชิวที่กวาดตามองรอบห้องก็โบกมือบอกเป็นนัยว่าไม่ต้องมากพิธี

บัณฑิตยังคงถ่ายทอดเสียงถามว่า “เถ้าแก่เนี้ย มีธุระอะไรเหรอ?” ถึงแม้ภายนอกกลุ่มคนงานของโรงเตี๊ยมเมฆาวายุจะเรียกอวิ๋นจือชิวว่าฮูหยิน แต่คำเรียกที่เรียกมานานแล้ว พอเปลี่ยนคำเรียกก็รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย เมื่ออยู่ส่วนตัวก็ยังเรียกเถ้าแก่เนี้ยเหมือนเดิม ส่วนอวิ๋นจือชิวก็เห็นว่าเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนคนพวกนี้โดยสิ้นเชิง บางครั้งก็ยังหลุดเรียก ‘เถ้าแก่เนี้ย’ ออกมา สุดท้ายจึงไม่ฝืนแล้ว เพราะฟังไปฟังมาก็รู้สึกว่าใช้คำ ‘เถ้าแก่เนี้ย’ กับคนงานเก่าพวกนี้แล้วดูสนิทกันมากกว่า แต่ก็ยังย้ำไว้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นต้องเปลี่ยนคำเรียก

อวิ๋นจือชิวมองคนงานที่กำลังยุ่งอีกครั้ง แล้วกวักมือให้เขา บอกใบ้ว่าให้ออกมาคุยกัน จากนั้นหันตัวเดินออกไป

บัณฑิตรีบตามออกไป แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “เถ้าแก่เนี้ย เป็นอะไรไปขอรับ?”

อวิ๋นจือชิวหยุดยืนตรงทางใต้ดินข้างนอก แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ต้องเริ่มลงมือสืบตัวตนของผู้สมัครแล้ว ถ้ามัวชักช้าอีก เวลาเดิมพันจำกัดเพียงหนึ่งปี กลัวว่าจะไม่ทัน เจ้าจำแนกวรยุทธ์ของแต่ละคนไว้หรือยัง?”

บัณฑิตเข้าใจแล้ว ตอนแรกที่พบว่าผู้สมัครมีมากขึ้นเรื่อยๆ ก็กำหนดภาพรวมเบื้องต้นได้แล้ว ว่าสาเหตุที่ภายในหนึ่งเดือนแรกงานยุ่งขนาดนี้ ก็เพราะต้องจัดการข้อมูลขั้นต้นก่อน ต้องเริ่มตรวจสอบว่าเป็นคนจากหน่วยงานไหน แล้วคนที่มาสมัครก็มีเยอะเกินไป ถ้าจะให้ตรวจสอบทีละคนก็ฟังดูไม่ค่อยสอดคล้องกับความจริง ไม่ใช่งานที่กำลังคนจำนวนน้อยเท่านี้ทำได้ ทำได้เพียงเริ่มตรวจสอบจากคนที่วรยุทธ์สูงสุดลงไป

และภายในหนึ่งเดือนนี้ เหมียวอี้ก็เตรียมคนงานที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบเอาไว้แล้วเช่นกัน ถ้าสามารถใช้เส้นสายได้ก็ต้องใช้

“เถ้าแก่เนี้ย วรยุทธ์ที่ต่ำกว่าบงกชรุ้งเกรงว่าจะไม่ต้องพิจารณาแล้ว” บัณฑิตนำแผ่นหยกขึ้นมาอ่านข้อมูลสรุปพร้อมเอ่ยบอก

“หรือว่าแค่นักพรตระดับบงกชรุ้งก็ครบหนึ่งแสนแล้ว?” อวิ๋นจือชิวถาอมย่างตกใจ

บัณฑิตพยักหน้า “นักพรตระดับบงกชรุ้งในข้อมูลสรุปตอนนี้มีเกือบแสนสองหมื่นคนแล้ว”

อวิ๋นจือชิวสูดหายใจอย่างตกตะลึง “นักพรตบงกชรุ้งโผล่มจากไหนมากมายขนาดนั้น? ในบรรดาเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดินจะมีนักพรตบงกชรุ้งมากขนาดนั้นเชียวเหรอ?”

บัณฑิตตอบว่า “ตอนแรกข้าก็ตกใจเมือนกัน แต่พอมาคิดดูตอนหลัง ดาราจักรกว้างใหญ่ขนาดนั้น ใต้หญ้าขนาดนั้น เดิมทีนักพรตระดับล่างสุดก็มีจำนวนเยอะที่สุดอยู่แล้ว พวกเราไม่ได้เลือกจากสถานที่เดียว แต่เลือกจากทั้งใต้หล้า ได้เปรียบกว่าสี่อ๋องสวรรค์ ถึงขั้นได้เปรียบว่าทั้งตำหนักสวรรค์ด้วยซ้ำ ต่อให้กองทัพองครักษ์รับสมัครคน แต่ก็เกรงว่าจะไม่สะดวกเหมือนพวกเราในครั้งนี้ ถ้าสี่ทัพฝืนไม่ให้กองทัพองครักษ์ กองทัพองครักษ์ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี แต่พวกเราได้รับอนุญาตจากอำนาจทุกฝ่ายของตำหนักสวรรค์แล้ว วีรบุรุษในใต้หล้าถึงได้มาเบียดรวมตัวกันที่นี่ ถ้าท่ามกลางนักพรตที่โดนบีบคั้นทั้งใต้หล้ามีไม่ถึงแสนกว่า แบบนั้นสิแปลก เถ้าแก่เนี้ย นายท่านรับสมัครคนได้โหดมากจริงๆ!”

อวิ๋นจือชิวพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง นางไม่ได้บอกว่านี่คือความคิดของหยางชิ่ง ได้แต่ขมวดคิ้วถามว่า “นี่แค่หนึ่งเดือน มีนักพรตบงกชรุ้งมาแสนสองหมื่นแล้วเหรอ แล้วถ้าหนึ่งปีจะไม่แย่หรอกเหรอ?”

บัณฑิตตอบว่า “เถ้าแก่เนี้ยคิดมากไปแล้ว ข้าเห็นการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลในหนึ่งเดือนนี้ชัดเจน เวลาที่นักพรตบงกชรุ้งมาเยอะที่สุดก็คือช่วงกลางของหนึ่งเดือนนี้ ตอนนี้ข้อมูลที่ปรากฏกำลังดิ่งลดลงแล้ว ข้าลองวิเคราะห์ดู เวลาหนึ่งเดือนนี้เพียงพอให้นักพรตบงกชรุ้งเดินทางข้ามดาราจักร คนที่ควรจะมาก็มากันหมดแล้ว ส่วนคนที่ไม่มาก็เห็นได้ชัดว่ายังมีความเคลือบแคลงต่อตลาดผี คาดว่าตอนหลังคงมีไม่มาไม่เยอะแล้ว เวลาหลังจากนี้ยังอีกนาน ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นน่าจะไม่มากเท่าไรแล้วขอรับ”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “มีเหตุผล”

บัณฑิตถามอีก “ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้มาเยอะกว่านี้ พวกเราก็จะเลือกจ้างคนที่มาก่อน เลือกจากคนที่วรยุทธ์สูงไล่ลงไปก็พอ”

“ตอนหลังยังไม่ต้องไปยุ่งหรอก เดี๋ยวเจ้านำของนักพรตบงกชรุ้งแสนสองหมื่นคนนี้มาก่อน ข้าจะเร่งทำสำเนาเก็บไว้” อวิ๋นจือชิวกำชับ แล้วกล่าวเสริมอีก “เออใช่ ครั้งก่อนเจ้าบอกว่ามีนักพรตระดับบงกชกลายมาสองคน สอบถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์หรือยัง มีจุดไหนน่าสงสัยมั้ย?”

บัณฑิตกระพริบตาปริบๆ “ตอนนี้มีผู้สมัครระดับบงกชกลายทั้งหมดยี่สิบสามคนขอรับ”

“…” อวิ๋นจือชิวเบิกตากว้างครู่หนึ่ง แล้วเผยอปากอันเย้ายวนเล็กน้อย ดูน่ารักมาก แล้วสุดท้ายก็ถลังตาถาม “ทำไมเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้?”

บัณฑิตไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เถ้าแก่เนี้ย ท่านบอกเองว่าให้ข้ารวบรวมสมาธิ จะให้ข้า…”

อวิ๋นจือชิวพูดตัดบท “หุบปาก! เจ้ายังมีเหตุผลมาเถียงอีกเหรอ คิดบัญชีจนเลอะเลือนแล้วสินะ? ใช้ชีวิตมาตั้งหลายปี เอาประสบการณ์เข้าท้องหมาไปหมดแล้วเหรอ ไม่รู้จักพลิกแพลงเลยนะ!”

“ได้ ข้าเลอะเลือนเองก็ได้?”

“เข้าไม่ยอมเหรอ?”

“ข้าจะไม่ยอมได้ยังไง ข้ายอมอย่างหมอบราบคาบแก้วเลย” บัณฑิตกุมหมัดค้อมกายขอร้อง เขารู้จักท่านนี้ดีเกินไป ถ้ากล้าเถียงกับนาง ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงมาก

เชียนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ แอบหัวเราะ ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ตั้งแต่ข้างบนยันข้างล่างรวมทั้งนายท่าน ไม่มีใครที่ไม่กลัวฮูหยิน นางคือแบบฉบับของเสือตัวเมียเลยล่ะ!

ก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าฮูหยินทำกับนายท่านเกินไป ตอนหลังเมื่อมาสืบแล้วถึงได้รู้ ว่าในปีนั้นตอนที่ฮูหยินยังเป็นแม่นางน้อยอยู่ที่นภาจอมมาร ก็ได้ฉายาว่าเป็นนางมารผู้เลื่องชื่อ มักจะทำให้นภาจอมมารไก่บินเตลิดหมาวิ่งพล่าน ตอนนี้แต่งงานแล้วก็นับว่าดีขึ้นเยอะ

“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวถลึงตามองเขา “ยังมัวยืนทำอะไรอยู่ตรงนี้? รอตบรางวัลเหรอ?”

บัณฑิตรีบเลี้ยวหนี เพราะความหมายคลุมเครือของคำว่ารางวัลทำให้เขาไม่กล้ารับ มันอาจจะหมายถึงให้พวกพ่อครัวร่วมมือกันรุมซ้อมเขาก็ได้

ตลาดผีใต้ดิน ในที่สุดหลงซิ่นที่เบียดอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนก็เดินมาถึงแถวหน้าแล้ว สุดท้ายก็ได้ป้ายลำดับและเริ่มต่อแถวโดยมีกองทัพองครักษ์คอยจับตาดู

เขาตกใจมาก เคยสงสัยว่าคนที่มาสมัครอาจจะไม่น้อย แต่ว่ามารดาเจ้าเถอะ นึกไม่ถึงว่าจะเยอะขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่ารออยู่ที่นี่สามวันเต็มๆ กว่าจะได้ป้ายลำดับ เมื่อมองกลุ่มคนที่ดำพืดอยู่ข้างหลังตัวเองอีกครั้ง เขาก็ทอดถอนใจไม่หยุด ขณะเดียวกันก็รู้สึกสับสนมาก

ทำไมถึงสับสนน่ะเหรอ? ก็เพราะในมุมมองของคนที่เคยอยู่ตำแหน่งสูงมาก่อนอย่างเขา มองจากส่วนเล็กๆ ก็จะเห็นภาพรวม มองออกถึงสถานการณ์ปัจจุบันในสี่ทัพของอ๋องสวรรค์แล้ว

เขากล้ารับประกันได้เลย ว่าถ้าหลายหมื่นปีก่อนหนิวโหย่วเต๋อรับสมัครคนอย่างนี้ ก็คงไม่มีคนมาขอพึ่งพาเยอะขนาดนี้แน่ แต่ตอนนี้…ตำหนักสวรรค์เพิ่งก่อตั้งได้กี่ปีเองล่ะ? กลายเป็นอย่างนี้แล้วเหรอ?

ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วเช่นกันว่าทำไมแผนการนี้ของหนิวโหย่วเต๋อจึงดำเนินไปอย่างราบรื่นขนาดนี้ เรื่องบางเรื่องคนที่อยู่ระดับสูงไม่อาจมองเห็น บางครั้งก็ตระหนักไม่ได้ถึงความร้ายแรงของปัญหา ถ้าใส่ใจปัญหาในด้านนี้มาตั้งแต่แรก ถ้าคิดจะระงับเรื่องด้านนี้เอาไว้ตั้งแต่แรก ถ้ามีคนเปิดเผยสักหน่อยก็จะทำให้ตื่นตัว แล้วแผนการนี้ของหนิวโหย่วเต๋อก็จะไม่สำเร็จเลย เขาสงสัยว่าจนกระทั่งตอนนี้ บุคคลระดับสูงของสี่ทัพอาจยังไม่รู้ชัดด้วยซ้ำว่าจะมีคนแบบไหนมาขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อบ้าง!

หลงซิ่นถือป้ายลำดับเดินมาข้างหน้าตลอดทาง จากนั้นรับแผ่นหยกแล้วเดินเข้าไปในจวนแม่ทัพภาคอีก เมื่อเห็นประกาศว่าให้เขียนประวัติส่วนตัวต่างๆ เขาก็ลังเลนิดหน่อย ไม่รู้ว่าถ้าเขียนประวัติของตัวเองแล้วจะทำให้คนอ่านตกใจหรือเปล่า ตอนนี้เขาค่อนข้างกังวลกับสิ่งที่สหายเก่าคนนั้นบอก หนิวโหย่วเต๋อจะกล้ารับเขาหรือเปล่า?

………………………

ดวงอาทิตย์สองดวงบนฟ้าสว่างจ้าตา ทรายเหลืองเบื้องล่างท่วมท้น เนินทรายไรที่สิ้นสุด

กิ้งก่าประหลาดสีน้ำตาลตัวหนึ่งที่ยาวสองจั้งกว่ากำลังคลานขึ้นเนินทรายกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตอย่างเอื่อยเฉื่อย บนหลังกิ้งก่ามีชายหนุ่มวัยกลางคนสวมเสื้อแขนสั้นคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิ กางร่มบังแดดหนึ่งคัน ตัวโอนเอนอย่างช้าๆ โยกไหวไปตามจังหวะการคลานของกิ้งก่า เหมือนกำลังนั่งสมาธิฝึกตนอยู่ แต่ก็เหมือนกำลังนอนงีบอยู่ สัญลักษณ์วรยุทธ์ตรงหว่างคิ้วเป็นรูปกิ้งก่าสีแดงตัวหนึ่ง

เพียงแต่ทรายที่อยู่รอบข้างกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างประหลาด บางครั้งเม็ดทรายแต่ละเม็ดก็ก็รวมกันเป็นกองสูงไม่หยุด บางครั้งก็ก่อรูปกลายเป็นต้นไม้ใบหญ้า สรุปก็คือหลังจากกิ้งก่าคลานผ่านไปแล้ว ปรากฏการณ์ประหลาดของเม็ดทรายก็พังทลายกลับสู่สภาพเดิม

แสงแดดบนท้องฟ้าแก่กล้า เงาคนคนหนึ่งถลันตัวผ่านเข้ามา แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งเหาะลงจากฟ้า ยืนอยู่บนเนินทรายเบื้องหน้า แล้วตะโกนเรียกเสียงดัง “หลงซิ่น!”

กิ้งก่ายักษ์คลานขึ้นไปบนเนินทรายนั้นช้าๆ แล้วก็หยุดอยู่กับที่

ร่มกันแดดยกขึ้นช้าๆ ชายหนุ่มเสื้อแขนสั้นที่ชื่อหลงซิ่นมองอีกฝ่ายแวบเดียว จากนั้นลุกขึ้นยืนจากตัวกิ้งก่าเดินลงมา ร่มบังแดดดในมือถูกถือในแนวเฉียง แล้วก็พังทลายกลายเป็นเม็ดทรายตกลงพื้น กิ้งก่าตัวนั้นก็พังทลายกลายเป็นเม็ดทรายเช่นกัน ที่แท้ร่วมบังแดดกับกิ้งก่าก็ล้วนก่อตัวขึ้นมาจากทราย

หลงซิ่นเดินเนิบนาบไปหาแม่ทัพใหญ่เกราะแดง ผิวเนินทรายพลิกขึ้นมา กลายเป็นต้นกล้าสีน้ำตาลต้นหนึ่ง มันเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่มีพุ่มบังแดด เห็นได้ชัดว่าข้างบนยังมีไอชื้น เหมือนเป็นทรายที่ทะลักขึ้นมาจากพื้นที่ลึกที่สุด นำพาความเย็นสบายมาสู่เขตร้อนระอุแห่งนี้

ใต้ร่มไม้ โต๊ะหนึ่งตัวกับเก้าอี้สองตัวทะลักขึ้นมาจากทราย หลงซิ่นนั่งลง โบกมือวางสุราสองจอก แล้วถือกาสุราใบหนึ่งรินสุราให้

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงมองต้นไม้ใหญ่แล้วก็มองโต๊ะเก้าอี้ที่สมจริง ก่อนจะเดาะลิ้นอุทาน “พี่หลง ทรายของเจ้าเหมือนจะเล่นได้เป็นเรื่องเป็นราวเชียวนะ!”

หลงซิ่นรินสุราเสร็จแล้วยื่นมือเชิญให้นั่ง แล้วตัวเองก็คว้าจอกสุราไว้ในมือ กล่าวอย่างใจเย็นว่า “ไม่ปิดบังเจ้า หลายหมื่นปีมานี้ไม่ได้อยู่อย่างสูญเปล่า ข้าสร้างเคล็ดวิชาหนึ่งได้เอง ค่อนข้างน่าสนใจ”

“อ้อ!” แม่ทัพใหญ่เกราะแดงนั่งลง เหมือนจะไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “สงสัยพี่หลงจะมีพรสวรรค์พิเศษนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างเคล็ดวิชาฝึกตนเองได้”

“ถุย!” หลงซิ่นพูดเย้ยตัวเอง “เล่นทรายมาสามหมื่นปีแล้ว ขอเพียงไม่เล่นจนตัวเองกลายเป็นคนโง่ ไท่ว่าใครก็เล่นจนเป็นเรื่องเป็นราวได้”

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงส่ายหน้าถอนหายใจ “คนอื่นเป็นขุนนางตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ดูเจ้าสิ ตำแหน่งต่ำลงเรื่อยๆ”

หลงซิ่นทเสียงฮึดฮัด “โจวจ้าวจะกลั่นแกล้งข้าให้ได้ ข้าจะทำอะไรได้เหรอ?”

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงบอกว่า “โจวจ้าวไม่ใช่เทพประจำดาวเหมือนในปีนั้นแล้ว ตอนนี้ได้เป็นท่านจอมพลแล้ว เจ้าก้มหน้ายอมรับผิดมันยากขนาดนั้นเลยเหรอ? ไม่ใช่ฮูหยินเอกสักหน่อย เป็นอนุภรรยาคนหนึ่งเท่านั้น ทำไมต้องลำบากทำให้ตัวเองกลายเป็นอย่างนี้? ถ้าในปีนั้นเจ้าอดทนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาศัยคุณสมบัติและประสบการณ์ของเจ้า ไม่แน่ตอนนี้อาจได้เป็นเทพประจำดาวแล้วด้วยซ้ำ จะบีบให้เขาเล่นงานเจ้าจนตายเชียวเหรอ?”

หลงซิ่นแสยะยิ้ม “ผู้หญิงที่ข้ารักที่สุดตายอย่างมีเงื่อนงำ มีคนเห็นเองกับตาว่าลูกชายเขาชิงตัวนางไป ข้าแค่ไปขอคำชี้แจ้งจากลูกชายเขา ข้าผิดด้วยเหรอ? จะเล่นงานข้าให้ตายงั้นเหรอ? เขากล้ามั้ยล่ะ? ในปีนั้นข้าติดตามรับใช้เขา สร้างผลงานด้วยความลำบากยากเย็น ถ้าข้าตายอย่างไม่ชัดเจน แล้วคนอื่นจะคิดยังไงล่ะ? เจ้ายังไม่เข้าใจอีกเหรอ? เขาเก็บข้าไว้ไม่ยอมฆ่า ภายนอกเหมือนให้โอกาสข้า แต่ที่จริงทำเพื่อแสดงให้เบื้องล่างเห็นเท่านั้น ทำเพื่อพิสูจน์ว่าเขาไม่ผิด พิสูจน์ว่าเขาเป็นคนที่เห็นแก่ไมตรีเก่า พิสูจน์ว่าเขาให้โอกาสข้ามาตลอด แต่ความจริงล่ะ? ก็แค่จะให้ข้าพูดออกมาเองว่าข้าเข้าใจผิดไป เป็นข้าที่ผิดเอง จะได้ชี้แจงกับเบื้องล่างให้สะดวก ระหว่างข้ากับเขาทะเลาะกันจนถึงขั้นทิ้งปมในใจไว้แล้ว หรือเจ้าคิดว่าจะคลายปมได้ง่ายขนาดนั้นเลย? ข้าไม่ก้มหน้ายอมรับผิดยังรักษาชีวิตได้เลย ถ้ายอมรับผิดเมื่อไร เขาได้คำชี้แจงต่อเบื้องล่างเบื้องบนแล้ว เกรงว่าข้าจะต้องสิ้นชีพในไม่ช้าก็เร็ว!”

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงบอกว่า “แต่เจ้าถ่อไปพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นเรื่องเพ้อฝันเช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อเป็นตัวอะไรกันล่ะ? เป็นแม่ทัพภาคตลาดผีคนหนึ่งเท่านั้นเอง ต่อให้เป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลได้แล้วยังไงล่ะ? เจ้าวรยุทธ์เท่าไร? วรยุทธ์สำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่งเชียวนะ เคยเป็นท่านโหวที่ได้ยืนประชุมในราชสำนักมาก่อน ตอนนี้ไปขอพึ่งพาแม่ทัพภาคตลาดผีคนหนึ่ง แบบนี้ไม่การเป็นคุยโวไร้สาระหรอกเหรอ? เจ้าเสียหน้าไหวเหรอ?”

“เสยหน้า?” หลงซิ่นชี้ไปรอบๆ “ตอนนี้ชีวิตข้าดีมากหรือไง? เป็นเทพแห่งผืนดินเฝ้าอยู่บนทะเลทรายผืนนี้ไม่รู้สึกเสียหน้าเหรอ?”

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงจึงบอกว่า “เวลาผ่านไปนานขนาดนั้นแล้ว ทุกคนลืมเจ้าไปหมดแล้ว ใครยังจะสนใจว่าเจ้าเป็นเทพแห่งผืนดินอยู่อีก ถ้าเจ้าไม่เติบโตขึ้นมาใครจะมานึกถึงเจ้า ถ้าเจ้ากระโดดออกมา ก็จะดึงดูดสายตาของทุกคนอีกครั้ง นั่นต่างหากที่จะเสียหน้าจริงๆ”

หลงซิ่นกล่าวเสียงเรียบว่า “จะเสียหน้าหรือไม่เสียหน้าแล้วเกี่ยวอะไรกัน ผู้หญิงที่ข้ารักที่สุดตายอย่างมีเงื่อนงำ ลูกน้องคนสนิทของข้าในปีนั้นก็ถูกกวาดล้างหมดเกลี้ยง คนตายไปเยอะขนาดนั้น แต่ยังรอคำชี้แจงจากข้าอีก ทำไมข้าต้องทนรับความอัปยศอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ เพราะข้าเฝ้ารอโอกาสมาตลอด รอโอกาสที่จะลืมตาอ้าปากอีกครั้ง!”

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงบอกว่า “หรือเจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะให้โอกาสเจ้าได้? เป็นเจ้าที่ไร้เดียงสา หรือเป็นข้าที่ไร้เดียงส? ตำแหน่งหัวหน้าภาคสูงสุดที่แดนรัตติกาลแล้ว ไม่สามารถขยายอาณาเขตได้อีก สี่ทัพไม่มีทางตัดแบ่งอาณาเขตให้ เบื้องบนไม่มีทางปล่อยให้กำลังพลแดนรัตติกาลเพิ่มขึ้นเช่นกัน ตระกูลเซี่ยโห้วจะเป็นฝ่ายแรกที่ไม่ยอม ต่อให้เจ้านั่งตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้วยังไงล่ะ ในมือมีกำลังพลแค่หนึ่งแสน หนิวโหย่วเต๋อนั่งตำแหน่งนั้นยังพอไหว เพราะศักยภาพเขามีจำกัด ถ้าเจ้าไปนั่งตำแหน่งนั้นก็จะกลายเป็นเป้าให้ผู้คนโจมตี! จะมีบางคนรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม จะยอมแลกทุกอย่างเพื่อกำจัดเจ้าทิ้ง! บางทีพอเจ้าเดินออกจากที่นี่แล้ว ก็อาจจะกลายเป็นตะปูแทงตาคนบางกลุ่มทันทีเลยก็ได้! ขออภัยที่ข้าพูดตรงนะ ต่อให้เจ้าต้องการจะหาโอกาส แต่นี่ก็ไม่ใช่โอกาสของเจ้า! แล้วอีกอย่าง เจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่า ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะกล้ารับเจ้ามั้ย? ถ้ารับเจ้าไว้ก็อาจจะนำปัญหายุ่งยากมาให้เขาก็ได้”

ขณะที่หลงซิ่นถือการินสุรา ก็ยิ้มเรียบๆ พร้อมกล่าวว่า “เจ้ากับข้ามีจุดยืนไม่เหมือนกัน วิธีการมองปัญหาก็ไม่เหมือนกัน เถียงกันต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร เอาเป็นว่าข้าเอาใจช่วยหนิวโหย่วเต๋อ มองเขาเป็นโอกาสอย่างหนึ่ง เจ้าเองก็ไม่ต้องมาโน้มน้าวข้าหรอก เรื่องตั้งป้ายรับสมัครยืนยันได้หรือยัง?”

“เจ้า…” แม่ทัพใหญ่เกราะแดงทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี สุดท้ายก็จนปัญญา โยนแผ่นหยกไว้บนโต๊ะ “อักษรป้ายรับสมัครอยู่ในนี้ไม่ตกหล่น ตรวจสอบมาแล้ว มีเรื่องนี้จริงๆ ไม่ผิดพลาดแน่นอน แต่ข้าแนะนำให้เจ้าไตร่ตรองให้ดี ไม่จำเป็นต้องไปสร้างความอัปยศให้ตัวเอง ถ้าเขาไม่ยอมรับเจ้า หลังจากข่าวที่เจ้าจะไปขอพึ่งพาแพร่ออกไป เกรงว่าท่านนั้นคงยากจะรับเจ้าได้อีก ถ้าไม่ระวังนิดเดียวก็เท่ากับรนหาที่ตายเลย!”

หลงซิ่นมองสำเนาอักษรบนป้ายหินที่เขียนในแผ่นหยก แล้วหลับตาครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนลืมตามองคนตรงหน้า พร้อมกล่าวช้าๆ ว่า “ข้าเดิมพันว่าเขาจะรับข้าไว้แน่นอน!” พูดจบก็ใช้มือสองข้างยกจอกสุราขอบคุณ เงยหน้ากระดกสุราหมดจอก แล้วร่างกายก็พลันหายไปจากที่เดิม เหลือเพียงจอกสุราใบเดียวที่หมุนอยู่บนโต๊ะ

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงเงาคนคนหนึ่งหายไปในท้องฟ้าเพียงชั่วพริบตาเดียว เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าถอนหายใจ

ในขณะนี้เอง ต้นไม้ใหญ่ที่บังแดดก็พลันถล่มลงมา บนตัวแม่ทัพใหญ่เกราะแดงมีเงามายาเกราะลมปราณระเบิดออกมาสายหนึ่ง บดบังทรายจำนวนมหาศาลที่ระเบิดปลิวว่อนเข้ามา เงาคนฝ่าทรายหายไปในขอบฟ้า ทรายที่ปลิวขึ้นมาทยอยตกลงพื้น ทั้งยังมีกาสุราและจอกสุราด้วย

บนทะเลสาบใต้ดินของตลาดผี เรืออันงดงามลำหนึ่งแล่นช้าๆ ในห้องโดยสารเรือ เฉาหม่านนั่งอยู่หลังหน้าต่างที่มีม่านไข่มุกบัง กำลังมองสถานการณ์บนฝั่ง

ทั้งตลาดผีคึกคักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เรียกได้ว่ากระแสผู้คนหลั่งไหล มีมากหน้าหลายตาไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน และดูจากสถานการณ์โดยรวมแล้ว ก็ยังมีคนทยอยกันเบียดเข้ามาที่ตลาดผีไม่ขาดสาย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นปริมาณคนมากขนาดนี้ตั้งแต่ก่อตั้งตลาดผีขึ้นมา เฉาหม่านทำสีหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง

ในจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ตงฟางเลี่ยยืนอยู่ริมหน้าต่างบนตึก มองกลุ่มคนที่ยืนเรียงแถวยาวยืดเหมือนมังกรนอกหน้าต่าง กระแสคนที่ดำเป็นพืดอยู่ข้างหลังก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ท่ามกลางคนกลุ่มนี้ คนที่ได้ป้ายลำดับถึงจะมีสิทธิ์เข้าไป และเพื่อรักษาขั้นตอนเช่นกัน คนที่รักษาขั้นตอนย่อมเป็นคนของกองทัพองครักษ์ คนที่แจกป้ายลำดับก็เป็นคนของกองทัพองครักษ์เช่นกัน

ตงฟางเลี่ยยืนมองอยู่ริมหน้าต่างนานมาก ไม่เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเลย และไม่มีทางได้เห็นด้วย เพราะแต่ละคนที่มาล้วนใส่หน้ากาก เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวไว้เผื่อสมัครไม่ผ่าน

“ป้ายลำดับแจกไปเท่าไรแล้ว?” ตงฟางเลี่ยเอียงหน้าถาม

“ใช้เวลาเดือนกว่าๆ แจกป้ายลำดับไปแล้วสามแสนกว่าแผ่น เฉลี่ยววันละเกือบหมื่นคนขอรับ” ผู้ติดตามข้างๆ ตอบ

เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนที่อยู่ข้างนอกไม่มีท่าทีว่าจะลดลง ตงฟางเลี่ยก็หรี่ตาเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมากมายขนาดนี้มาขอพึ่งพาที่แม่ทัพภาคตลาดผี ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึง เขากำลังคิดว่าใต้หล้าเป็นอะไรไปแล้วกันแน่? ใจคนเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร? สี่อ๋องสวรรค์ควบคุมทัพใหญ่อย่างเข้มงวดไม่ใช่เหรอ?

“รู้มั้ยว่ารับคนไว้เท่าไรแล้ว?” ตงฟางเลี่ยถามอีก

ผู้ติดตามที่อยู่ข้างๆ ตอบว่า “ยังไม่ได้ตัดสินขอรับ แต่ตามรายงาน คนที่เข้ามาสมัครไม่มีใครอยู่สักคน เหมือนยังหาคนที่ตรงใจไม่ได้ แต่ก็แน่ใจได้ ว่าภายในหนึ่งปีนี้จะรับให้ครบแสนคนได้ไม่มีปัญหา ฝั่งหนิวโหย่วเต๋อน่าจะได้เปรียบในการเดิมพันครั้งนี้”

นอกประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาค คนที่ถือป้ายลำดับทยอยกันเข้าประตูมา พอเข้ามาแล้วก็มีคนแจกแผ่นหยกที่ทำขึ้นเป็นพิเศษให้พวกเขาอีก เป็นเลขที่สอดคล้องกับป้ายลำดับในมือพวกเขาพอดี คนที่เข้ามาแล้วจะเห็นประกาศที่สะดุดตา ประกาศว่าให้คนที่เข้ามาแล้วเขียนชื่อ ประวัติ ตำแหน่งขุนนาง ยศ รวมทั้งเหตุผลว่าทำไมจึงรับตำแหน่งเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินมาโดยตลอด

คนที่เข้าประตูใหญ่มาในลานด้านในแล้วก็ต้องต่อแถวเช่นกัน คนที่เข้ามาทีหลังจึงมีเวลาเพียงพอในการเขียนข้อมูลพวกนี้

กองทัพองครักษ์หกกลุ่มข้างในลานบ้านแบ่งจำนวนคนที่เข้ามาแล้วออกเป็นหกทิศทาง กระจายคนหกกลุ่มนี้ไปที่ทางใต้ดินที่ขุดไว้ชั่วคราว เพราะในทางใต้ดินเก็บเสียงได้ดีมาก ตรงทางเข้าทางใต้ดินมีคนของโรงเตี๊ยมเมฆาวายุเฝ้าไว้ ทุกครั้งที่ระฆังตรงทางเข้าทางใต้ดินส่งเสียงดัง คนที่เฝ้าตรงทางเข้าก็จะเรียกคนเข้าไปหนึ่งคน เก็บป้ายลำดับมาเทียบกับตัวเลขบนแผ่นหยกในมืออีกฝ่าย หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ผิดพลาด ถึงได้ปล่อยคนเข้าไป

หลังจากเข้ามาในทางใต้ดินแล้วก็จะเจอห้องเล็กห้องหนึ่ง ในห้องเล็กมีโต๊ะยาวหนึ่งตัว หลังโต๊ะยาวมีคนคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างหลัง ข้างๆ มีป้ายประกาศที่สะดุดตาตั้งอยู่ บอกว่าให้ถอดหน้ากากเผยโฉมหน้าที่แท้จริง และลงตราอิทธิฤทธิ์ลงในแผ่นหยกที่เพิ่งเขียนประวัติ ก่อนจะส่งให้คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาว

หลังจากคนที่เข้ามานั่งลงแล้ว คนที่นั่งตรวจสอบอยู่หลังโต๊ะยาวก็ถือแผ่นหยกขึ้นมาเทียบหน้าตา ขณะเดียวกันก็รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ลงบนแผ่นหยก วาดภาพเหมือนของผู้ที่มา ใส่เอกลักษณ์บนใบหน้าอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมอธิบายเป็นตัวอักษร และผู้ที่เข้ามาก็ไม่รู้ว่ามีคนกำลังทำแบบนี้อยู่

หลังจากตรวจสอบขั้นต้นแล้วว่าไม่มีปัญหา คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวก็รีบยัดแผ่นหยกเข้าไปในช่องทางเล็กๆ ที่อยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าปล่อยแผ่นหยกให้ไกลไปทางไหน ขณะเดียวกันก็ชี้ไปที่ประตูเล็กๆ เยื้องด้านหลัง บอกใบ้ให้เข้าไปยังด่านต่อไป

ผู้ที่มาทำตาที่บอก เดินไปเปิดม่าน แล้วเข้าไปในทางใต้ดินอีกส่วน มาถึงห้องเล็กๆ ห้องที่สอง มีคนนั่งอยู่หลังโต๊ะยาวเช่นเดียวกัน

…………………………

“อย่าบอกนะว่าจะขัดบัญชาสวรรค์เพื่อพุ่งเป้าไปหาหนิวโหย่วเต๋อ?” เม่ยเหนียงถาม

ก่วงลิ่งกงส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ “เช่นนั้นหวังเฟยบอกหน่อยว่าข้าเคยทำเรื่องที่ขัดบัญชาสวรรค์หรือเปล่า? เรื่องบางเรื่องสามารถทำได้ แต่จะทำอย่างเปิดเผยไม่ได้ การที่พวกเขาไปพึ่งพาตลาดผีก็เท่ากับทรยศสี่ทัพ ไม่กล้ากลับมาที่ค่ายของสี่ทัพอีก เพราะกลัวว่าจะโดนชำระบัญชี ไม่กล้าไปที่ตลาดสวรรค์เช่นกัน เพราะถึงแม้ในนามตลาดสวรรค์จะอยู่ในสังกัดตำหนักนารีสวรรค์ แต่ที่จริงกลับถูดอิทธิพลของสี่ทัพอย่างล้ำลึก ดังนั้นถ้าพูดจากบางระดับ เมื่อไรที่คนพวกนี้ไปรวมตัวกัน ก็จะกลายเป็นกลุ่มผลประโยชน์เล็กๆ ที่มีหนิวโหย่วเต๋อเป็นหัวหน้า แน่นอน ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง นั่นก็คือถูกกองทัพองครักษ์จัดระเบียบ แต่ประมุขชิงเป็นคนที่รักศักดิ์ศรีหน้าตา หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งจะมอบตำแหน่งโหวให้เขาสี่ตำแหน่ง ถ้าเขารื้อเวทีทันทีจะไม่ถูกใต้หล้าหัวเราะเยาะหรอกหรือ? ดังนั้นภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เขาก็ไม่มีทางไปแตะต้องกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อเลย และต่อให้กำลังพลกลุ่มนี้จะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่อย่างมากก็เก่งในขอบเขตคนระดับเดียวกัน ยังไม่อยู่ในสายตาประมุขชิงหรอก และเมื่อเวลานานไป หนิวโหย่วเต๋อบัญชาการกองทัพหลายปี จะไม่มีพลังควบคุมสักนิดเลยเหรอ? แน่นอน ถ้าประมุขชิงต้องการจะปรับปรุงกำลังพลกลุ่มนี้ พวกเขาก็ต้านไม่ไหวเช่นกัน ถึงยังไงพลังก็อ่อนแอไปหน่อย ถ้ากล้าขัดคำสั่ง ประมุขชิงก็สามารถกำจัดกำลังพลกลุ่มนี้ทิ้งได้ทุกเมื่อ”

เม่ยเหนียงฟังจนงงงวยสับสน เหมือนจะฟังเข้าใจนิดหน่อย แต่ก็เหมือนจะฟังไม่เข้าใจเลยสักนิด

ทว่าจู่ๆ ก่วงลิ่งกงก็เปลี่ยนแระเด็นสนทนา “หวังเฟยรู้สึกว่าเม่ยเอ๋อร์กับหนิวโหย่วเต๋อเหมาะสมกันมากเหรอ?”

เม่ยเหนียงอึ้งทันที รีบบอกว่า “จะเป็นไปได้ยังไงคะ? เม่ยเอ๋อร์เป็นอนุภรรยาไม่ได้หรอก มิหนำซ้ำหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่มีทางหย่ากับอวิ๋นจือชิวมาแต่งงานกับเม่ยเอ๋อร์ด้วย”

ก่วงลิ่งกงหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ล้อเล่นกับเจ้าเฉยๆ ข้ายังมีธุระอีก ถ้าเจ้าไม่มีเรื่องอื่นก็ถอยออกไปก่อนเถอะ”

เม่ยเหนียงกลอกตามองบน แล้วย่อเข่าคำนับ “ข้าขอตัวค่ะ”

โกวเยว่กุมหมัดคารวะน้อมส่ง

เม่ยเหนียงที่เดินออกมานอกประตูแล้วกลับรู้สึกเศร้าใจนิดหน่อย ในหัวใจยังมีประโยค ‘กองทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ ดังก้อง พบว่าหนิวโหย่วเต๋อที่นางเอาใจช่วยมาตลอดไม่ทำให้นางผิดหวังจริงๆ ด้วย ยิ่งเป็นแบบนี้ ในใจนางก็ยิ่งรู้สึกหดหู่

หลังจากรอจนเงาคนหายไปแล้ว ก่วงลิ่งกงที่อยู่ในตำหนักก็ถามเสียงเรียบว่า “เจ้าคิดว่าระหว่างเม่ยเอ๋อร์กับหนิวโหย่วเต๋อยังมีความเป็นไปได้อยู่มั้ย?”

“เอ่อคือ…” โกวเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วตอบเบาๆ “อาศัยความงามของคุณหนู คาดว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนเห็นแล้วไม่หวั่นไหว”

ก่วงลิ่งกงหันตัวมาถาม “เจ้าหมายความว่ายังมีความเป็นไปได้เหรอ?”

“หรือว่า…” โกวเยว่ส่ายหน้า แต่ดูจากสีหน้าแล้ว เหมือนอึกอักแต่พูดไม่ออก

“มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ทำไมต้องอึกอัก?” ก่วงลิ่งกงถาม

“ท่านอ๋องยังคิดจะดึงตัวหนิวโหย่วเต๋ออยู่อีกเหรอขอรับ?” โกวเยว่ถามกลับ

“คนเก่งขนาดนี้ ถ้าไม่ไปดึงตัวมา เช่นนั้นก็แปลว่าอ๋องผู้นี้ไร้ความสามารถแล้ว ถ้าบอกว่าจะดึงตัวตอนนี้อาจจะฟังดูเพ้อฝันเช่นกัน บทเรียนจากตระกูลโค่วก็มีให้เห็นแล้ว” ก่วงลิ่งกงหรี่ตากล่าวเสียงต่ำ สีหน้าเปลี่ยนแปลงยากคาดเดา

โกวเยว่รู้จักเขาดีเกินไป เมื่อนำคำพูดก่อนหน้านี้ของเขามาเชื่อมโยงกับสีหน้าและปฏิกิริยาในตอนนี้ ก็พอจะเดาความคิดของเขาออกแล้ว เพียงแต่เรื่องบางเรื่อง คนเป็นพ่อไม่สะดวกจะพูดออกมาก็เท่านั้นเอง เขาจึงบอกว่า “บ่าวมีกลยุทธ์ชั้นต่ำอย่างหนึ่ง ซื้อตัวไม่สู้ซื้อใจ ถ้าใจเขาอยู่ฝั่งท่านอ๋อง เมื่อโอกาสมาถึง การที่หนิวโหย่วเต๋อจะทำงานรับใช้ท่านอ๋องก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ส่วนการฝืนเอาตัวมาแต่ใจไม่ได้อยู่ฝั่งนี้ นั่นก็เป็นเรื่องจอมปลอมเช่นกัน”

ก่วงลิ่งกงขานรับแล้วบอกว่า “เป็นกลยุทธ์ชั้นต่ำยังไง ลองดูให้ฟังหน่อย”

เสียงของโกวเยว่ต่ำเบาลงหลายส่วน “ก็อย่างที่บอก อาศัยความงามของคุณหนู คาดว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนไม่หวั่นไหว ถ้าฝืนยัดให้หนิวโหย่วเต๋อคงไม่ใช่เรื่องดี โบราณกล่าวว่าแตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน แถมจุดประสงค์ที่ต้องการจะใช้ประโยชน์ก็ชัดเจนไปหน่อย หนิวโหย่วเต๋อเองก็ไม่ใช่คนโง่ แบบนี้มีแต่จะถูกอีกฝ่ายป้องกันด้วยซ้ำ ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันไม่ได้ก็เป็นสหายกันไปก่อน เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ ไป อาศัยความงามของคุณหนู เมื่ออยู่กับหนิวโหย่วเต๋อนานไปก็จะเกิดความรักต่อกันได้ง่าย ถ้าระหว่างทั้งสองคนเกิดอะไรขึ้นแม้แต่นิดเดียว ท่านอ๋องก็แกล้งเลอะเลือนทำเป็นไม่รู้ก็ได้ คุณหนูเป็นบุตรีแท้ๆ ของท่านอ๋อง อาศัยจุดนี้ ถ้าเขามีความรู้สึกส่วนตัวกับคุณหนู ไม่ว่าจะในด้านความรู้สึกหรือเหตุผล ใจเขาก็จะเอนเอียงมาทางฝั่งท่านอ๋อง เรื่องบางเรื่องถ้าแกล้งเลอะเลือนไว้บ้างก็อาจจะซื้อใจคนได้ง่ายกว่าการใช้เงินทองและยศสูงมาล่อ จะเกาถูกใจคนได้ง่าย จะผูกมัดคนไว้ได้ง่ายยิ่งกว่า ถ้าโอกาสเหมาะสมเมื่อไร ทุกอย่างก็จะเหมาะเจาะเหมือนน้ำมาคลองเกิด”

“เพียงแต่ทำแบบนี้จะไม่ยุติธรรมกับเม่ยเอ๋อร์ไปหรือเปล่า?” ก่วงลิ่งกงลังเล

พูดมาถึงขั้นนี้แล้วแต่ยังชักช้าลังเล โกวเยว่ก็นับว่าเข้าใจแล้ว ว่าเขาต้องรับบทคนชั่วเอง จึงพูดโน้มน้าวว่า “การรวบรัดในเวลาสั้นๆ อาจจะไม่ดีกว่าการตัดบัวให้เหลือใย บางทีคุณหนูอาจจะได้รับความไม่ยุติธรรมบ้าง แต่สิ่งที่คุณหนูทำก็เป็นการเสียสละเพื่อทั้งตระกูลโค่ว ถ้าตระกูลโค่วดี คุณหนูถึงจะได้อยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงทำให้หนิวโหย่วเต๋อผูกหัวใจไว้ที่ตัวคุณหนู ในอนาคตก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสทำให้คุณหนูสมปรารถนา และถ้ามองจากบางมุม การให้คุณหนูกับเขามีความสัมพันธ์ลับๆ กัน ทนรับความไม่ยุติธรรมนิดหน่อยเพื่อเอาใจหนิวโหย่วเต๋อกับอวิ๋นจือชิว บางทีอาจจะคว้าใจหนิวโหย่วเต๋อได้มากกว่าขอรับ”

ก่วงลิ่งกงทำท่าลังเล เหมือนลำบากใจที่จะตัดสินใจมาก แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้าช้าๆ “อย่าให้ฮูหยินรู้เรื่องนี้นะ”

“ขอรับ!” โกวเยว่กุมหมัดเอ่ยรับ รู้ว่าเขาอนุญาตแล้ว

จวนเทพประจำดาวฟ้าเถาะ ในหอสง่างามน้อย ผังก้วนกํบพ่อบ้านเฉินหวยจิ่วกำลังสบตากันอยู่พักหนึ่ แล้วสุดท้ายก็ถอนหายใจ “ช่างเป็นแม่ทัพชั้นดีจริงๆ ถ้าเขาทำงานให้ข้าได้ก็คงดี”

เฉินหวยจิ่วบอกว่า “เขาดึงดูดสายตาคนมากเกินไป เกรงว่าเบื้องบนคงจะจับตาดูแล้ว นายท่านดึงตัวเขาไว้ไม่เหมาะสม นายท่านแอบสานสัมพันธ์อันดีกับเขาแล้วไม่ใช่เหรอ? แถมจุดอ่อนเขายังอยู่ในมือนายท่านด้วย ตราบใดที่รักษาความสัมพันธ์อันดีไว้ เรื่องในอนาคตไม่ว่าใครก็พูดได้ไม่ชัดเจน เขาอาจจะทำงานรับใช้นายท่านก็ได้ และงานของเขาก็อาจจะไม่ใช่การบุกรบราฆ่าฟัน ถ้ามีเรื่องอะไรแล้วให้เขาช่วยออกความคิดให้นายท่านก็ดีเหมือนกัน”

ผังก้วนครุ่นคิดพลางพยักหน้าเบาๆ

“แค่หวีผมยังหวีไม่เรียบร้อยเลย ไสหัวไปให้หมด”

หวงฝู่ตวนหรงที่นั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอารมณ์เสียมาก ทำให้สาวใช้สองคนตกใจแทบแย่ พวกนางรียถอยออกไปแล้ว

อู่หนิงที่เดินเข้าประตูมาหันกลับไปมองสาวใช้สองคนที่ตกใจอย่างงุนงง แล้วก็เดินไปหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอีก ยืนอยู่ข้างหลังหวงฝู่ตวนหรงแล้วเพ่งมองผมของนางข้างซ้ายและข้างขวา

“มองอะไรของเจ้า? ไม่เคยเห็นหรือไง?” หวงฝู่ตวนหรงจ้องกระจกพร้อมถามเขาอย่างหงุดหงิด

อู่หนิงไม่ใส่ใจ กลับถามอย่างร่าเริงว่า “ผมเจ้าหวีได้ดีมากแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ผู้ชายอย่างพวกเจ้าจะเข้าใจอะไร?” หวงฝู่ตวนหรงถาม

อู่หนิงส่ายหน้าหัวเรา ช่วยนางแก้มัดมวยผม แล้วหยิบหวีออกมาจัดแต่งทรงให้นางใหม่ “สองวันนี้อารมณ์เจ้าไม่ค่อยปกตินะ มีเรื่องอะไรก็เล่าให้ข้าฟังเพื่อคลายความกลัดกลุ้มได้”

หวงฝู่ตวนหรงถลึงตา “คลายความกลัดกลุ้ม? แค่เห็นเจ้าก็รำคาญแล้ว เที่ยวเล่นสบายใจทั้งวัน”

อู่หนิงไม่หยุดมือ จัดแต่งทรงผมได้ชำนาญเป็นพิเศษ กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “พอแล้ว! โหรวโหรวกำลังจะกลับมาแล้ว เจ้าเป็นแม่คน เตรียมจะให้ลูกสาวกลับมาเห็นสีหน้าของเจ้าแบบนี้เหรอ? ห่างกันไกลจะพบหน้ากันสักครั้งไม่ง่ายเลย เห็นหน้าลูกสาวแล้วระงับความโกรธหน่อย”

“พวกเจ้าสองพ่อลูกไม่มีใครทำให้ข้าเบาใจสักคน เห็นแล้วโมโห” หวงฝู่ตวนหรงตวาดใส่อย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย

อู่หนิงหัวเราะต่อไป ได้แต่ส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ด่าตามอำเภอใจ ไม่เถียงแล้ว อย่างไรเสียพูดอะไรไปก็ผิด

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หวงฝู่ตวนหรงก็เป็นฝ่ายถามก่อน “ช่วงนี้การรับสมัครคนที่จวนแม่ทัพภาคตลาดฮือฮาไม่เบาเลยนะ! เจ้าคิดว่ายังไง?”

อู่หนิงหยุดมือเล็กน้อย จากนั้นก็จัดแต่งทรงผมต่อไป เพียงแต่กล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ไม่ธรรมดาเลย มีคนอยากจะกดเขาไว้ที่ตลาดผี เกรงว่าจะกดไม่ไหวแล้ว เป็นตัวละครที่หาพบได้ยาก”

หวงฝู่ตวนหรงจ้องกระจกพลางถามซักไซ้ “พอเป็นแบบนี้ เขามีโอกาสกลายเป็นเจ้าอาณาเขตจริงเหรอ?”

อู่หนิงถอนหายใจ “ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลคงหนีเขาไม่พ้นแล้ว ตั้งตารอไปเถอะ”

หวงฝู่ตวนหรงแสยะยิ้ม “ขุนนางทั้งราชสำนักเป็นอะไรกันไปหมด ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนคนไร้ยางอายใช้วิธีการสกปรกเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์แล้ว”

อู่หนิงยิ้มพร้อมกล่าวว่า “เจ้าน่ะ! เจ้าก็แค่เห็นว่าเขากับโหรวโหรวเคยขัดแย้งกันไม่ใช่เหรอ นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมานานมากแล้ว ทำไมต้องเก็บมาใส่ใจอยู่อีก? แล้วอีกอย่างนะ เจ้าตัวไม่ได้ใช้วิธีการสกปรกเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์เลย แต่เป็นคนมีความสามารถที่แท้จริงต่างหาก จะไม่วางแผนเพื่ออนาคตได้ยังไงกัน? คนที่บัญชาการกองทัพ ศึกไม่หน่ายเล่ห์ ไงล่ะ! แล้วอีกอย่างนะ แผนการที่ใช้วิธีการสกปรกเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์แบบนี้เจ้าคิดออกมั้ยล่ะ? เรียกได้ว่าแผนซ้อนแผน มีแผนสำรองตลอด ไม่ธรรมดาจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อมีความสามารถขนาดนี้ ดีไม่ดีความสำเร็จอาจจะไม่ได้อยู่แค่นี้ก็ได้!”

หวงฝู่ตวนหรงฟังจนจิตใจสับสนวุ่นวาย ตีมือเขาออก แล้วกล่าวอย่างทนรำคาญไม่ไหว “ไปให้พ้น ไปให้พ้น ดูมือเท้าโง่ๆ ของเจ้าจัดทรงผมให้ข้าสิ”

“…” อู่หนิงพูดไม่ออก ปักหวีไว้บนผมงามของนางด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ แล้วสะบัดชายเสื้อเดินวางมาดออกไป แต่พอเดินไปถึงประตูก็ยื่นหัวกลับมาอีก “ฮูหยิน ข้าจะทำของอร่อยไว้รอต้อนรับลูกสาว เจ้ารีบจัดทรงผมแล้วมาช่วยข้าทำหน่อย”

“ไสหัวไป!” หวงฝู่ตวนหรงคว้าตลับแป้งโยนใส่ อู่หนิงหดหัวหลบ เหลือเพียงเสียงตลับแป้งกระแทกประตูตกพื้น

บนยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมขาวโพลน ตรงตีนถูเขาหิมะเขียวชอุ่ม น้ำแข็งละลายเป็นลำธารไม่หยุด ตรงริมฝั่งแห่งหนึ่งที่มีน้ำไหลผ่านอย่างสงบ บนโขดหินมีชายชุดเหลืองคนหนึ่งกำลังเอามือลูบเคราพลางตกปลา สายตาจ้องทุ่นลอยบนผิวน้ำ เหมือนเหม่อลอยเล็กน้อย ทุ่นลอยกะรเพื่อมไม่หยุด มีปลากัดเบ็ดแล้วแต่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร

ชายชุดดำคนหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า สายตากวาดมองตามริมฝั่ง ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหก สายตาหยุดอยู่ที่ชายชุดเหลืองเบื้องล่าง ก่อนจะถลันตัวไปเหยียบลงด้านข้าง

พอชายชุดเหลืองเห็นเขา ก็ยืนขึ้นทันที ถามว่า “กลับมาเร็วขนาดนี้เชียว? ไปสืบความจริงมาแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่ว่าข้าเร็วหรอก ข้าเพิ่งจะเอาของดีชุดหนึ่งไปขายที่ตลาดผี ข้าบังเอิญไปที่นั่นพอดี” ชายชุดดำโยนแผ่นหยกเข้ามา แล้วกล่าวเสียงเรียบ “อักษรบนป้ายหินจวนแม่ทัพภาคตลาดผีอยู่นี่แล้ว ไม่ตกสักตัวอักษร!”

ชายชุดเหลืองรับมาอ่าน หลังจากอ่านแล้วก็เงยหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย ถามอย่างชัดเจนว่า “เป็นยังไง? ไปหรือไม่ไป”

ชายชุดดำยังคงมีสีหน้าสุขุมใจเย็น “ข้าคิดดีแล้ว ถ้าไปพึ่งพาจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ก็จะหมายความว่าทรยศฝั่งนี้ จะกลายเป็นผูกความแค้นกับฝั่งนี้”

“หนิวโหย่วเต๋อกับฝั่งนี้ผูกความแค้นกันน้อยหรือไง? อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะเจรจาสงบศึกกับฝั่งนี้แล้วขายพวกเรา” ชายชุดเหลืองกล่าว

ชายชุดดำบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อรับหนึ่งแสนคน เจ้ากับข้าอาจจะไม่ได้ดีที่สุด บวกกับตำแหน่งของเจ้ากับข้าก็ต่ำ ไปแล้วอาจจะไม่ได้ตำแหน่งดีๆ แล้วเขาอาจจะไม่รับพวกเราก็ได้”

“มีความสามารถขนาดนั้น ข้าว่าความสำเร็จของเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้แน่ ถ้าไปพึ่งพาตอนนี้ ไม่ว่าตำแหน่งในปัจจุบันจะเป็นยังไง แต่อย่างน้อยในอนาคตก็ยังมีโอกาส หรือเจ้าอยากจะเป็นเทพแห่งภูผาอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิต?” ชายชุดเหลืองชี้ไปยังยอดเขาที่มีหิมะขาวโพลนด้วยสีหน้าโกรธเคือง แต่ไม่นานก็กลับมาพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “อย่างไรเสีย ต่อให้เขาจะไม่อยากรับพวกเราไว้ พวกเราก็กลับมาเงียบๆ ก็ได้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะเปิดโปงตัวตนเพื่อขายพวกเรา ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว!” เขาโยนคันเบ็ดในมือลงน้ำ แสดงออกว่าตัดสินใจแล้ว

ชายชุดดำจ้องเขาพักหนึ่ง “ไป!” จู่ๆ ก็พูดทิ้งท้ายแล้วแฉลบขึ้นฟ้าไป ชายชุดเหลืองถลันตัวตาม ทั้งสองหายไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่

…………………………

จวนอ๋องสวรรค์กวง ในตำหนักหลักด้านใน ก่วงลิ่งกง โกวเยว่กำลังคุยงานกัน เรื่องที่คุยก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใด เป็นเรื่องตั้งป้ายรับสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีนั่นเอง เมหือนกับบ้านอื่นๆ ก่วงจวินอันก็อยู่ตรงนี้ด้วยเช่นกัน หลังจากคุยกันสักพักก็เหลือเพียงเสียงทอดถอนใจที่ไร้ประโยชน์เอาไว้

“ท่านอ๋อง หวังเฟยขอพบขอรับ” จู่ๆ ก็มีคนมารายงานจากนอกตำหนัก

“อืม” เสียงนี้ก่วงลิ่งกงนับว่าอนุญาตแล้ว หันกลับมามองก่วงจวินอันว่า “เจ้าออกไปก่อน”

ก่วงจวินอันกุมหมัดคารวะแล้วถอยออกไป พอเดินมาถึงประตูก็เจอกับเม่ยเหนียงที่แต่งกายงดงามหรูหราอีก จึงทำความเคารพอีกครั้ง “คำนับหมู่เฟย!”

คำทักทายนี้แม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกเลี่ยน ผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าเขาไม่รู้ตั้งเท่าไร แต่เขายังต้องเรียกว่าหมู่เฟย มารดาที่ให้กำเนิดเขากลับไม่ได้ถูกเรียกว่า ‘หมู่เฟย’ ความรู้สึกนี้เหมือนมีหนามแหลมติดอยู่ที่คอ แต่ภายนอกกลับยังต้องแสดงออกว่าเคารพ

เม่ยเหนียงพยักหน้ายิ้มบางๆ หลังจากนางเข้ามา ก่วงจวินอันก็ออกไปแล้ว

พอเข้ามาในตำหนัก เม่ยเหนียงก็คำนับ “ท่านอ๋อง” ส่วนโกวเยว่ก็คำนับนาง

ก่วงลิ่งกงชี้เม่ยเหนียง แล้วกล่าวกับโกวเยว่ด้วยรอยยิ้มเจื่อน “จะว่าไปแล้ว ยังคงเป็นหวังเฟยที่ตามีแวว เหนือกว่าเจ้ากับข้าเสียอีก”

โกวเยว่งงไปชั่วขณะ เขาไม่รู้ว่าระหว่างเม่ยเหนียงกับก่วงลิ่งกงเคยคุยอะไรกันไว้กันแน่

เม่ยเหนียงก็งงเช่นกัน ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร นางยังไม่รู้เรื่องตั้งป้ายรับสมัครคนที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ “ท่านอ๋องกำลังหัวเราะเยาะข้าหรือคะ?”

เมื่อเห็นทั้งสองมีท่าทีฉงน ก่วงลิ่งกงก็เอียงหน้าบอกโกวเยว่ “เรื่องที่ตลาดผี เจ้าบอกให้วังเฟยฟังสักหน่อยเถอะ”

“ขอรับ!” หลังจากโกวเยว่เข้าใจแล้ว ก็เล่ารายละเอียดเรื่องตั้งป้ายรับสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีให้ฟังทันที

หลังจากฟังจบ เม่ยเหนียงก็ยังงุนงงเหมือนหมอกลงสมอง หลังจากครุ่นคิดนิดหน่อย ก็ถามอย่างสงสัยว่า “รับแค่พวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินเหรอคะ? เดิมพันไว้ว่าจะรับสมัครทหารเกรียงไกรของสี่ทัพไม่ใช่เหรอ?”

“ข้าเพิ่งจะชมไปเอง ตอนนี้เลอะเลือนอีกแล้วเหรอ?” ก่วงลิ่งกงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ในบรรดาเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินไม่ขาดพวกที่วรยุทธ์พอไหวหรอก”

“อ้อ!” เม่ยเหนียงเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน “ข้าเข้าใจแล้ว หมายถึงพวกนักพรตที่โดนอำนาจบีบคั้นจนทำตามอุดมการณ์ไม่ได้”

ในจุดนี้ พอชี้แนะนิดหน่อย นางกลับหัวไวยิ่งกว่าพวกฮ่าวเจ๋อเสียอีก สิ่งนี้ทำให้ก่วงลิ่งกงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าทอดถอนใจ เขาบอกโกวเยว่ว่า “ถ้าเจ้ามีเวลาว่าง ก็เร่งรัดให้ลูกหลานตระกูลก่วงลดตัวลงไปคลุกคลีกับคนระดับล่างมากๆ หน่อย”

โกวเยว่เข้าใจความลำบากของเขา ไม่ใช่ว่าพวกฮ่าวเจ๋อฉลาดน้อยกว่าเม่ยเหนียง พวกเขาฉลาดกว่าเม่ยเหนียง ทว่าประสบการณ์ความรู้บางอย่างกลับสู้ผู้หญิงอย่างเม่ยเหนียงไม่ได้ เขาพยักหน้าตอบ “ขอรับ!”

เม่ยเหนียงไม่รู้ว่าคำพูดนี้ของก่วงลิ่งกงสื่อถึงด้านไหนอีก เพียงแต่นางไม่สะดวกจะถามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลูกหลานตระกูลโค่วมากเกินไป นี่ก็คือจุดที่ลำบากสำหรับ ‘หมู่เฟย’ อย่างนาง แล้วนางก็สนใจเรื่องหนิวโหย่วเต๋อมากกว่า จึงถามหยั่งเชิง “อย่าบอกนะว่าท่านอ๋องจะนั่งดูตัวเองแพ้เดิมพันเฉยๆ ไม่คิดหาทางห้ามหรือคะ?”

“ข้าก็อยากจะห้ามเหมือนกัน แต่กลับไม่มีทางห้ามได้…” เหมือนกับที่ฮ่าวเต๋อฟางบอกฮ่าวเจ๋อ ก่วงลิ่งกงพูดถึงอุปสรรคให้ฟัง

ถึงแม้เม่ยเหนียงจะชื่นชมหนิวโหย่วเต๋อมาก แต่ตอนนี้ก็ยังครุ่นคิดโดยยืนอยู่ฝั่งก่วงลิ่งกง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมท่านอ๋องไม่ใช้งานคนเก่งที่อยู่ท่ามกลางเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินในตำแหน่งสำคัญให้มากขึ้นหน่อยล่ะ คิดเสียว่าหยุดยั้งไม่ให้พวกเขาไปพึ่งพาที่ตลาดผี”

ก่วงลิ่งกงถอนหายใจเบาๆ “ยากแล้ว! ยังไม่ต้องพูดถึงว่าทำแบบนี้จะโดนข้อหา ‘ขัดขวางการรับสมัคร’ แล้วจุดอ่อนตกอยู่ในมือประมุขชิง ถ้าทำอย่างนี้จริง ก็จะกระทบกับโครงสร้างปัจจุบันของสี่ทัพแน่นอน”

เม่ยเหนียงแปลกใจ “จะเป็นไปได้ยังไงคะ ตัวละครระดับล่างที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักจะสร้างผลกระทบกับโครงสร้างสี่ทัพได้ยังไง?”

ก่วงลิ่งกงส่ายหน้า “สิ่งที่เรียกว่าพรรคพวกคืออะไรล่ะ? ก็หมายถึงคนทั้งระดับล่างระดับบนล้วนเป็นพวกเดียวกันไง ยกตัวอย่างเช่นผู้บัญชาการข้างล่าง ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ควบคุมพวกเขาโดยตรง แต่พวกเขาล้วนถูกควบคุมโดยผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าอีกที สี่ทัพมีผู้ใต้บังคับบัญชามากขนาดนั้น จะให้ข้าไปควบคุมเองทีละคนก็ไม่ไหวหรอก ดังนั้นจึงต้องให้ผู้ใต้บังคับบัญชาควบคุมต่อเนื่องลงไปทีละขั้น แล้วแต่ละขั้นก็ล้วนมีผลประโยชน์ที่ตัวเองต้องการ ผลประโยชน์ที่คนระดับล่างร้องขอ ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา ก็จะต้องปกป้องผลประโยชน์ไว้ในระดับหนึ่ง

ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของจอมพลใต้สังกัด ข้าเองก็ต้องพยายามกับเรื่องนั้นเพื่อพวกเขาเหมือนกัน ถ้าข้าปกป้องผลประโยชน์ของจอมพลใต้สังกัดไม่ได้ เมื่อเวลานานไป เจ้าคิดว่าจอมพลพวกนั้นยังจะฟังคำสั่งข้าอยู่หรือเปล่าล่ะ? ระดับที่ต่ำลงกว่านั้นก็ใช้หลักการเดียวกัน คนพวกนั้นที่โดนอำนาจบีบบังคับก็อยู่ในกลุ่มผลประโยชน์เหมือนกัน นี่ก็คือสิ่งที่พรรคพวกทนไม่ได้ ถ้าข้าบุ่มบ่ามเริ่มใช้งาน นั่นก็จะไม่ใช่การใช้งานคนจำนวนน้อยๆ แล้ว จะต้องหาตำแหน่งจำนวนมากมารองรับคนพวกนั้นด้วย หมายความว่าเบื้องล่างจะต้องมีคนจำนวนมากต้องหลีกทางให้พวกเขา คนเบื้องล่างจะยอมตกลงเหรอ? ถ้าคนจำนวนน้อยก็ยังจัดการง่ายหน่อย คนเบื้องล่างไม่กล้าไม่ไว้หน้าข้าหรอก แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับสมาชิกในวงกว้างเกินไป เบื้องล่างไม่มีทางให้ความร่วมมือ หรือจะให้พวกเขานิ่งดูดายปล่อยให้พวกที่โดนอำนาจบีบบังคับขึ้นสู่ตำแหน่งแล้วมาล้างแค้นพวกเขาทีหลังเหรอ? แถมข้ายังต้องยืนยันอีกว่ามีพวกไหนบ้างที่อาจจะไปพึ่งพาตลาดผี ต้องให้เบื้องล่างต่างคนต่างตรวจสอบในพื้นที่ตัวเองด้วย อ๋องผู้นี้จะตรวจสอบเองทีละคนไหวเหรอ? เรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ตัวเอง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและครอบครัวตัวเอง คนเบื้องล่างจะให้ความร่วมมือไหม? พวกเขามีแต่จะหลอกลวงเบื้องบน ระรานเบื้องล่าง ไม่มีทางส่งรายชื่อของจริงขึ้นมา ถึงขั้นอยากจะเตะคนพวกนั้นไปพึ่งพาที่ตลาดผีไวๆ ด้วยซ้ำ

สำหรับเบื้องล่าง พวกเขารู้สึกว่าไม่ว่าคนพวกนั้นจะไปพึ่งพาตลาดผีหรือไม่ ก็ไม่มีผลกระทบต่อพวกเขาเลยสักนิด ในสายตาพวกเขา การเดิมพันของเบื้องบนเกี่ยวอะไรกับพวกเขาล่ะ? และผู้บังคับบัญชาก็ทำได้เพียงปิดตาข้างเดียวกับเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าทำให้ทหารเสียกำลังใจ ก็จะสั่นคลอนการควบคุมเบื้องล่าง หวังเฟยที่รัก เจ้าคิดว่าข้าตำแหน่งสูงอำนาจเยอะพลังอิทธิฤทธิ์สูงแล้วจะทำอะไรตามใจได้เหรอ? การปกครองใต้หล้าไม่ได้ง่ายเหมือนที่เจ้าคิดหรอก เมื่อทุกคนเคยลิ้มรสหวานแล้วก็ย่อมมีผลประโยชน์ของตัวเอง จะยอมคายสิ่งที่ได้เข้าปากมาอย่างง่ายๆ ได้ยังไง อีกทั้งยังไม่ใช่ตอนที่ใต้หล้ายังไม่ถูกำหนดที่ทุกคนล้วนไม่มีอะไร นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า บุกยึดใต้หล้านั้นง่าย แต่ปกครองใต้หล้านั้นยาก!”

เม่ยเหนียงเงียบไป วันนี้นับว่าได้รับการสั่งสอนแล้ว นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถามอีกว่า “เช่นนั้นจะสัญญากับคนพวกนั้นก่อนได้หรือเปล่า คุมไม่ให้พวกเขาไปตลาดผี รอให้การเดิมพันจบแล้วค่อยจัดการอีกที?”

ก่วงลิ่งกงชี้นาง “ความคิดของผู้หญิง เจ้าคิดว่าคนพวกนั้นโง่กันหมดเลยเหรอ? ขนาดการทดสอบที่แดนอเวจียังกำจัดพวกเขาได้ไม่หมดเลย เป็นคนที่พอจะมีสมองทั้งนั้น ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาจะเชื่อคำสัญญาของอ๋องผู้นี้หรือเปล่า ถูกกดขี่มานานหลายปีขนาดนี้ พวกเขาจะไม่รู้ชัดได้ยังไงว่าอำนาจที่กดอยู่เหนือหัวพวกเขาน่าเอียนขนาดไหน? พวกนั้นล้วนเป็นคนที่เกาะกลุ่มกัน ต่อให้จบเรื่องแล้วเลื่อนตำแหน่งให้ได้ ทั้งข้างล่างข้างบนสมคบกัน พวกเขาก็ต้องพิจารณาเหมือนกันว่าจะนั่งในตำแหน่งได้อย่างมั่นคงหรือเปล่า อย่าว่าแต่สี่ทัพเลย ต่อให้เป็นกองทัพองครักษ์ เจ้าค่อนข้างสนใจหนิวโหย่วเต๋อ ไม่เคยได้ยินเชียวเหรอว่าตอนแรกที่หนิวโหย่วเต๋อไปรับตำแหน่งที่กองทัพองครักษ์แล้วเข้าประตูไม่ได้ด้วยซ้ำ? จ้านหรูอี้ไปกองทัพองครักษ์แล้วโดนเล่นงานยับเยินขนาดไหน? ไม่ใช่ทุกคนที่จะโดนกลั่นแกล้งแล้วไม่ล้มเหมือนหนิวโหย่วเต๋อหมด อย่างน้อยหนิวโหย่วเต๋อไปกองทัพองครักษ์ก็ยังพาลูกน้องคนสนิทไปช่วยเหลือได้ แต่คนพวกนั้นไปรับตำแหน่งลำพัง แม้แต่คนช่วยป้องกันคนชั่วก็ไม่มี เบื้องบนแกล้งปิดตาข้างเดียว คนระดับเดี๋ยวกันแอบเล่นไม่ซื่อ คนระดับล่างร่วมมือกันทำชั่ว ทั้งข้างบนข้างล่างไม่มีใครสนับสนุนสักคน คนพวกนั้นถูกเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาแล้วยังไง? เมื่อไปถึงขั้นที่เอากลับคืนไม่ได้ สักวันก็ต้องถูกเล่นงานตาย ถูกข่มมาหลายปี ถ้าแม้แต่หลักการนี้ยังไม่รู้ นั่นต่างหากที่แปลก”

เมื่อได้ยินอะไรพวกนี้ เม่ยเหนียงก็เรียกได้ว่าทอดถอนใจไม่หยุด จึงลองออกความคิดอีก “ในเมื่อเรื่องราวไปถึงขั้นที่เอาคืนไม่ได้แล้ว ท่านอ๋องไม่คิดบ้างเหรอว่าจะแอบส่งคนของตัวเองไปที่นั่น จะได้ฉวยโอกาสเข้าจวนแม่ทัพภาคตลาดผี?”

ก่วงลิ่งกงเอามือไขว้หลังพลางถอนหายใจยาว “นี่ก็คือจุดที่ยอดเยี่ยมของแผนการของหนิวโหย่วเต๋อ ทำให้คนจนปัญหาแบบหน้าตาเฉย แทงโดนจุดอ่อนของสี่ทัพพอดี ทำไมเขาถึงไม่รับคนที่เรียกว่าทหารเกรียงไกรของสี่ทัพน่ะเหรอ? อักษรบนป้ายหินเขียนสรรพคุณของตัวเองเป็นชุดว่าไต่เต้าขึ้นมาจากระดับต่ำ เข้าใจความลำบากของคนระดับต่ำอะไรนั่นล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล ถ้าจะพูดให้ถูก เขาไม่เชื่อมั่นใจตัวทหารเก่งๆ ที่มาพึ่งพาเลย เขาถึงจำกัดแค่พวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินไง อีกทั้งคนพวกนั้นก็ถูกข่มมาหลายปี หมดความหวังใดๆ ต่อเบื้องบนแล้ว เรียกได้ว่าสี่ทัพช่วยคัดออกให้หนิวโหย่วเต๋ออย่างสะอาดเรียบร้อย ล้วนเป็นกำลังพลสำเร็จรูปทั้งนั้น เอาไปก็ใช้งานได้เลย เฮ้อ! หนิวโหย่วเต๋อได้ชุบมือเปิบแล้ว ได้ชุบมือเปิบครั้งใหญ่ เวรตะไลเอ๊ย!” ยังพูดไม่ทันจบก็โพลงคำหยาบออกมาแล้ว นี่ต้องรู้สึกไม่ยอมขนาดไหนกัน

เม่ยเหนียงขมวดคิ้ว “พอมาดูแบบนี้ ต่อให้ท่านอ๋องถ่ายทอดคำสั่งบังคับให้คนพวกนั้นย้ายออกจากตำแหน่งพวกนั้นชั่วคราวก็ไม่ได้เหมือนกัน แบบนั้นเกี่ยวข้องกับวงกว้าง เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่เกินไป อยากจะปิดบังประมุขชิงก็ทำไม่ได้ ข้อหาขัดขวางการรับสมัครจะกลายเป็นจุดอ่อนแน่นอน ท่านอ๋อง แล้วจะปฏิเสธได้มั้ยว่าคนที่เขารับไปไม่ใช่ทหารเกรียงไกรของสี่ทัพ ถึงยังไงก็เป็นพวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดิน มีอะไรให้ว่าเหมือนกันนะ”

ก่วงลิ่งกงหัวเราะแห้ง “คำพูดนี้จี้จุดแล้ว เป็นเรื่องที่ทำให้คนวุ่นวายใจอีก ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ว่าคนที่จะไปพึ่งพามีวรยุทธ์เป็นยังไง ในเมื่อต้องการจะเลือกรับเข้า ศักยภาพของกำลังพลหนึ่งแสนนั่นคงไม่แย่แน่นอน เกรงว่าเจ้าเด็กนั่นคงจะสร้างกองทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่มีศักยภาพแข็งแกร่งที่สุดท่ามกลางคนระดับเดียวกัน ถึงตอนนั้นจะให้คนทนความรู้สึกได้ยังไง?”

“กองทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้า?” เม่ยเหนียงตกใจ เรียกได้ว่าสูดหายใจลึกด้วยตระหนก สายตาวูบไหวไม่หยุดนิ่ง

ก่วงลิ่งกงพูดต่อว่า “เจ้าเป็นคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยง เจ้าเวรหนิวโหย่วเต๋อนั่นกล้าโอ้อวดต่อหน้าขุนนางเต็มราชสำนักว่าตัวเองสามารถสู้ตัวต่อตัวหรือนำทัพทำสงครามก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้น คนที่เขารับไว้จะไม่นับเป็นทหารเกรียงไกรของสี่ทัพเหรอ ตอนยังไม่มีกำลังพล เจ้าเด็กนั่นยังกล้ากำเริบเสิบสานขนาดนั้น เมื่อในมือมีทัพใหญ่ที่เป็นทหารกล้าแล้ว เจ้าคิดว่าเขาจะเกรงใจเหรอ? ถ้าใครกล้าปฏิเสธ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะพิสูจน์ด้วยวิธีแข็งกร้าว ผลงานที่เขาเคยบัญชาการรบก็เห็นๆ กันอยู่ เรื่องความสามารถไม่มีอะไรต้องสงสัย ใครจะกล้าไปเสี่ยงอันตรายง่ายๆ ล่ะ ถ้ารับคำท้าขึ้นมาแล้วโดนเขาโจมตีจนกลายเป็นสวะไร้ประโยชน์ จะเก็บเศษหน้าไหวเหรอ? ใครจะพูดได้ว่าคนที่เขารับจะไม่ใช่ทหารเกรียงไกร? ความจริงได้พิสูจน์ทุกอย่างแล้ว! มีเรื่องอะไรบ้างที่เจ้าบ้านั่นทำไม่ได้ พวกเราจำเป็นต้องสร้างความอัปยศให้ตัวเองเหรอ?” พูดจบก็เอามือไขว้หลังเดิน “ถ้าเขาสร้างทัพใหญ่ที่ห้าวหาญขนาดนั้นได้จริงๆ ในมือมีกำลังทหารมากขนาดนั้น กลายเป็นเจ้าอาณาเขต คุมแดนรัตติกาลเพียงผู้เดียว เบื้องบนไม่มีใครคุมลงมาทีละขั้นด้วย อำนาจการตัดสินใจเยอะเกินไป ถ้าไม่เกิดเหตุไม่คาดคิด เกรงว่าเขาจะต้องค่อยๆ ก้าวหน้าเป็นรูปเป็นร่างแล้ว!”

เม่ยเหนียงรีบถาม “ถ้าสามารถสร้างทัพใหญ่ที่มีศักยภาพอย่างนั้นได้จริง วังสวรรค์คงไม่รู้สึกดีอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อนัก ประมุขชิงจะให้เขาคุมกำลังพลกลุ่มนั้นเหรอ? จะย้ายเขาไปแล้วให้คนอื่นมารับช่วงแทนหรือเปล่า?”

ก่วงลิ่งกงเดินไปเดินมาพร้อมบอกว่า “เจ้าคิดจริงเหรอว่าทุกคนที่ไปแล้วตั้งป้ายแบบนั้นจะทำให้รับสมัครคนได้? ถ้ามีคนไปพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ นั่นก็ล้วนเป็นความสำเร็จที่หนิวโหย่วเต๋อสร้างขึ้นโดยอาศัยปัจจัยต่างๆ ที่สะสมมาตลอดทาง กอปรกับงานเลี้ยงครั้งนั้นอาศัยกำลังของคนคนเดียวสร้างการเดิมพันจนชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า แล้วเจ้าหนุ่มนั่นก็ปราชาสัมพันธ์ตั้งป้ายว่าไม่รับทหารเกรียงไกรของสี่ทัพ สร้างผลกระทบที่เลวร้ายที่สุด กำลังอาศัยประเด็นนี้แสดงความสามารถและซื้อใจคนจริงๆ ดังนั้นคนที่ไปขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อก็ไปเพราะตัวบุคคล ไม่ได้ไปเพราะสวัสดิการของตลาดผี สวัสดิการของตลาดผีดึงดูดคนได้ด้วยเหรอ? ใครกล้ารับประกันว่าไปแล้วจะนั่งตำแหน่งของหนิวโหย่วเต๋อได้?”

อิ๋งอู๋หม่านยังไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน อิ๋งจิ่วกวงก็สั่งจั่วเอ๋อร์ด้วยเสียงต่ำแล้ว “ให้เจ้าเด็กเนรคุณนั่นมาพบข้า!”

เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ อิ๋งอู๋หม่านก็เข้าใจว่าหมายถึงเจ้ารองอิ๋งอู๋เชวีย ช่วงนี้มีเพียงเจ้ารองที่ถูกท่านพ่อเรียกว่าเด็กเนรคุณ พอได้ฟังคำพูดนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อแทนอิ๋งอู๋เชวีย ครั้งก่อนตอนเพิ่งกลับมาจากวังสวรรค์ พอท่านพ่อเห็นเจ้ารองก็บอกว่า เอายาให้เขากิน จากนั้นสั่งให้คนไปเอาแส้สยบมังกรมา ผลปรากฏว่าเจ้ารองบาดแผลเก่าจากแส้ยังไม่ทันหาย ท่านพ่อก็ลงมือโบกแส้ใส่เจ้ารองอีกจนสาหัสปางตาย ตอนนี้ได้ยินคำพูดที่แฝงด้วยความเดือดดาล เหมือนเจ้ารองจะทำอะไรผิดอีกแล้ว

ว่ากันตามจริง การที่เจ้ารองโชคร้ายซ้ำซ้อนกลับทำให้เขาแอบดีใจนิดหน่อย สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะยิ่งในสายตาท่านพ่อตราตรึงลึกเท่าไรว่าเจ้ารองไร้ความสามารถ ก็ยิ่งไม่มีทางคุกคามตำแหน่งของเขาได้

และในขณะนี้เอง จั่วเอ๋อร์ก็รีบโน้มน้าวว่า “ท่านอ๋อง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณชายรอง แค่คุณชายรองบังเอิญโดนเท่านั้นเอง ดูจากป้ายหินรับสมัครนี้แล้ว เหมือนไม่ใช่การกระทำที่เพิ่งฉุกคิดได้เลยจริงๆ สิ่งนี้ยิ่งพิสูจน์ว่าเรื่องที่งานเลี้ยงวันเกิดคือความตั้งใจของหนิวโหย่วเต๋อ ต่อให้คุณชายรองไม่ไปติดกับดัก หนิวโหย่วเต๋อก็ต้องพาลหาเรื่องโดยไร้เหตุผลอยู่ดี ที่จริงการที่เขากับคุณชายรองขัดแย้งกัน เดิมทีก็เป็นการพาลหาเรื่องโดยไร้สาเหตุอยู่แล้ว เพราะจงใจจะอาศัยโอกาสแสดงความสามารถ…”

โชคดีที่นางกล่าวโน้มน้าว อิ๋งจิ่วกวงแสยะยิ้มสองสามที แล้วก็ไม่พัวพันเรียกอิ๋งอู๋เชวียมาพบอีก นับว่าปล่อยอิ๋งอู๋เชวียไปสักครั้ง จากนั้นก็ยื่นมือกำหมากบนกระดานมาไว้ในมือ แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “เสียตำแหน่งโหวไปตำแหน่งเดียวแล้วยังไงล่ะ ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากจะเอาตำแหน่งโหวสองตำแหน่งไปแลกกับความจงรักภักดีของเจ้าเด็กนี่ด้วยซ้ำ! ตาถั่วแล้ว นึกถึงไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี้นอกจากจะห้าวหาญแล้ว ยังวางแผนได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้ด้วย เป็นแม่ทัพที่มีความสามารถจริงๆ ถ้าได้มาทำงานรับใช้ ในอนาคตก็เพียงพอที่จะแบกรับความเสี่ยงให้ตระกูลอิ๋งของข้าไม่น้อย ทั้งยังช่วยเจ้าได้อีกแรงด้วย หลังจากข้าตายก็หมดกังวลไปแล้วเกินครึ่ง!” เขายกมือชี้อิ๋งอู๋หม่านอีก “น่าเสียดาย น่าทอดถอนใจ เดิมทีเป็นคนที่อยู่ในมือข้า ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยให้เขาลอดซอกนิ้วไปได้ ข้าเพียงแค้นที่ตัวเองไร้ความสามารถในการมองคน!”

อิ๋งอู๋หม่านเหมือนหมอกลงสมองอย่างแท้จริง อยากจะถามแต่ก็ไม่กล้าถาม อย่างไรเสียท่านพ่อก็เพิ่งโมโหไ กลัวว่าจะหาเรื่องซวยให้ตัวเอง ได้แต่มองตาปริบๆ

ดวงดาวพร่างพรายเต็มท้องฟ้า จันทร์กระจ่างส่องสว่าง จวนท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้ว ใต้ต้นไม้โบราณที่สูงระฟ้า บนกิ่งไม้แขวนโคมไฟเอาไว้ ข้างล่างเป็นกระดานหมากล้อม เซี่ยโห้วท่ากับเซี่ยโห้วลิ่งกำลังเล่นหมากล้อมด้วยกัน

เว่ยซูรีบก้าวเข้ามา แล้วยืนพูดอยู่ข้างๆ เขา “นายท่าน คุณชายรอง หนิวโหย่วเต๋อตั้งป้ายหินรับสมัครนอกประตูจวนแม่ทัพภาคตลาดผีขอรับ”

สายตาเซี่ยโห้วลิ่งจ้องกระดานหมากพร้อมอมยิ้ม “เจ้าหนุ่มนั่นน่าสนใจมาก ตอนอยู่งานเลี้ยงวันเกิดมั่นใจเต็มเปี่ยมอย่างนั้น คาดว่าป้ายหินรับสมัครคงจะมีลูกเล่นอะไรใหม่ๆ สินะ?”

“ป้ายหินรับสมัครกำหนดขอบเขตเอาไว้ ว่าจะไม่รับทหารเกรียงไกรของสี่ทัพ รับแค่พวกเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดิน…” เว่ยซูกล่าวถึงอักษรบนป้ายหินอย่างช้าๆ

“อ้อ!” เซี่ยโห้วลิ่งเงยหน้าอย่างแปลกใจ ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แต่กลับได้ยินเสียงบางอย่าง พอหันกลับมามอง ก็เห็นตัวหมากที่คีบอยู่ตรงซอกนิ้วเซี่ยโห้วท่าตกลงกระเด็นบนกระดานหมาก ขณะที่ทำสีหน้าตกใจ รอยยิ้มเจื่อนก็ค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าเช่นกัน

แค่มองปราดเดียว เซี่ยโห้วลิ่งก็รู้แล้วว่าบิดาฟังจนเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงเงยหน้ามองเว่ยซูด้วยแววตาสอบถามทันที “หรือว่ามีความหมายลึกล้ำอีกอย่าง?”

“…” เว่ยซูอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เดิมทีอยากจะบอกประมาณว่า ‘คุณชายสามชี้แนะมา’ แต่พอนึกได้ว่าอยู่ต่อหน้าคุณชายรอง เรื่องที่คุณชายรองยังไม่เข้าใจ ถ้าตัวเองพูดต่อหน้านายท่านว่าคุณชายสามเข้าใจกระจ่างแล้ว ก็จะทำให้คุณชายรองไม่พอใจ ดังนั้นจึงต้องกลืนคำพูดลงไป แล้วชี้แนะว่า “คุณชายรอง อย่าดูถูกพวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินเชียวขอรับ ในจำนวนนั้นมีพวกที่วรยุทธ์ไม่อ่อนแอแต่ถูกข่มไว้เพราะไร้เส้นสายภูมิหลัง คาดว่าคงมีจำนวนไม่น้อย อย่าว่าแต่หนึ่งแสนเลย คาดว่าต่อให้หนึ่งล้านก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเช่นกัน”

เซี่ยโห้วลิ่งแปลกใจ “แล้วยังไงล่ะ? เกรงว่าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีอาจจะไม่ได้ดีไปกว่าตำแหน่งเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดินสักเท่าไรหรอก อย่างน้อยพวกเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดินก็มีอาณาเขตของตัวเอง ยังสามารถใช้ชีวิตอิสระเสรีได้บ้าง ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อสามารถเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล แต่เขาล่วงเกินคนไว้มาเท่าไรล่ะ? แล้วจะชดใช้ที่ทรยศสี่ทัพยังไง เกรงว่าจะไม่คุ้ม”

เว่ยซูมองเซี่ยโห้วท่าแวบหนึ่ง เขาไม่พูดอะไรแล้ว

“เจ้ารอง เจ้าอยู่กับความร่ำรวยมานานแล้ว ลองเจียดเวลาไปท่องโลกบ้าง ตีสนิทกับคนระดับล่างมากๆ หน่อย สิ่งนี้จะเป็นผลดีกับเจ้า” เซี่ยโห้วท่ากล่าวเสียงเรียบ

พอฟังออกว่าท่านพ่อกำลังตำหนิที่ตนมีความสามารถไม่พอ เซี่ยโห้วลิ่งก็ทำสีหน้าจริงจังทันที รีบลุกขึ้นยืน จัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย แล้วโค้งตัวค้างไว้ “ขอรับ! ลูกจดจำคำของท่านพ่อไว้แล้ว เพียงแต่ได้โปรดอย่าเคลือบแคลงในในตัวลูก”

เซี่ยโห้วท่ากดมือลง หลังจากบอกใบ้ให้เขานั่งลงแล้ว เขายื่นมือไปดึงหมากบนกระดานขึ้นมา เก็บหมากที่วางผิดกลับมา เสร็จแล้วถึงได้กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “แผนนี้เด็ดมาก เป็นแผนชั่วที่โจ่งแจ้งสง่าผ่าเผย แต่กลับโจมตีใจคนที่สุด เรียกได้ว่าคาดเดาใจคนได้หมดแล้ว แทงไปที่จุดด้อยของตำหนักสวรรค์โดยตรง ข้าทำใจเชื่อได้ยากจริงๆ ว่าคนหยาบอย่างหนิวโหย่วเต๋อจะคิดแผนนี้ให้ เจ้ารองเอ๊ย เจ้าถามว่าทำไมจึงมีคนไปขอพึ่งพาน่ะเหรอ แค่ข้าเล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง หลังจากฟังจบเจ้าก็ก็พอจะรู้บ้างแล้ว”

เซี่ยโห้วลิ่งพยักหน้า “ลูกจะล้างหูรอฟัง”

สายตาเซี่ยโห้วท่ากำลังกวาดมองบนกระดานหมากราวกับครุ่นคิดว่าจะลงหมากอย่างไร “ข้าถามเจ้าหน่อย ทำไมการทดสอบที่แดนอเวจีถึงมีนักพรตระดับล่างเป็นฝ่ายไปเสี่ยงอันตรายเองเสียส่วนใหญ่ แต่พวกลูกหลานชนชั้นสูงกลับถูกกดดันจนหมดทางเลือกถึงได้ไป?”

เซี่ยโห้วลิ่งบอกว่า “ลูกชายเข้าใจความหมายของท่านพ่อ เสี่ยงอันตรายเพื่อความร่ำรวยไงล่ะ ลูกหลานชนชั้นสูงไม่ขาดเงินทอง ย่อมไม่เอาตัวเองไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงง่ายๆ เป็นหลักการเดียวกัน ตอนนี้การทดสอบแดนอเวจีแทบจะรกร้าง ไม่มีใครไปเสี่ยงไปเข้าร่วมแล้ว ถ้าในบรรดาเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินพวกนั้นมีผู้ที่มีอุดมการณ์ แล้วทำไมไม่ไปสมัครเข้าร่วมล่ะ?”

เซี่ยโห้วท่าบอกว่า “ผู้มีอุดมการณ์ไม่ได้หมายความว่าจะโง่กันหมด เรื่องที่มองไม่เห็นความหวัง เหตุใดต้องพากันไปเข้าร่วมเพื่อเอาชีวิตไปทิ้งล่ะ? ลูกหลานผู้มีอำนาจบางส่วนที่เขเร่วม ส่วนใหญ่มีผู้ติดตามจำนวนมาก คนที่ทดสอบได้อันดับต้นๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกหลานผู้มีอำนาจ เจ้าลืมไปแล้วเหรอว่าขนาดเซี่ยโหวหลงเฉิงยังได้อันดับต้นๆ เลย ในบรรดาคนที่อยู่อันดับเดียวกันล้วนเป็นลูกหลานผู้มีอำนาจที่ได้ตำแหน่งอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้มีตั้งกี่คนที่รอดชีวิตจากการทดสอบกลับมาแล้วยังต้องรอตำแหน่งล่ะ? อัตราส่วนคนที่รอดชีวิตกลับมาคิดเป็นเท่าไร? และถึงแม้ในนามตลาดสวรรค์จะถูกตัดจากท้องถิ่นไปให้ตำหนักนารีสวรรค์ดูแลแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตอำนาจของกำลังพลท้องถิ่น จะหลีกเลี่ยงอิทธิพลนี้ได้เหรอ? อำนาจท้องถิ่นกระตือรือร้นที่จะใช้อีกวิธีการหนึ่งเพื่อควบคุมตลาดสวรรค์อีกครั้ง เจ้าไม่เห็นเหรอ? จะมีสักกี่คนในตลาดสวรรค์ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับขุนนางเต็มราชสำนักเหมือนหนิวโหย่วเต๋อได้? ไม่ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมีหกลัทธิหนุนหลังหรือไม่ เจ้าคิดว่าตอนแรกหนิวโหย่วเต๋อเต็มใจไปเข้าร่วมการทดสอบที่แดนอเวจีงั้นเหีอ? ผู้มีอุดมการณ์ที่พอจะมีสมองสักหน่อยล้วนไม่หลับหูหลับตาทุ่มเทชีวิตทำงานหรอก และนี่ก็คือจุดที่ร้ายกาจ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อสามารถรับคนพวกนี้มาไว้ในมือได้จริง ก็จะมีรากฐานที่ทำให้ยืนได้อย่างมั่นคงในใต้หล้า มีโอกาสที่จะเข้าไปข้างหน้าต่อแล้ว ใต้บังคับบัญชาเขาจะมีแต่คนเก่งที่ใช้ประโยชน์ได้!”

เซี่ยโห้วลิ่งตกอยู่ในความเงียบ

แก๊ก! เซี่ยโห้วท่าทำหมากตัวหนึ่งตกพื้นเสียงดังมาก เตือนสติเซี่ยโห้วลิ่งแล้ว

เซี่ยโห้วลิ่งกำลังจะยื่นมือไปหยิบตัวหมาก แต่เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะว่า “คืนนี้เปรี้ยวปากนิดหน่อย เจ้ารอง ไม่ได้ชิมฝีมือเจ้ามานานแล้วนะ”

“ฮ่าๆ!” เซี่ยโห้วลิ่งยิ้มอย่างสดใส แล้ลุกขึ้นยืน “ท่านพ่อรอสักครู่ ลูกจะไปทำกลับแกล้มสุราสักสองสามอย่าง” เขายื่นมือบอกใบ้ให้เว่ยซูช่วยเขาเล่นหมากล้อมต่อ จากนั้นหันตัวเดินก้าวยาวออกไป

เว่ยซูทำได้เพียงนั่งลงเก็บตัวหมากมาไว้ในมือ แล้วจ้องกระดานหาที่ลงหมาก

ใครจะคิดว่าจู่ๆ เซี่ยโห้วท่าที่นั่งตรงข้ามจะกล่าวเสียงเรียบว่า “ดูจากปฏิกิริยาของเจ้าแล้ว เจ้าสามคงจะมองทะลุแผนเด็ดของหนิวโหย่วเต๋อแล้วใช่มั้ย?”

เว่ยซูเงยหน้ามองอย่างตกใจ สบประสานสายตาอันชาญฉลาดของเซี่ยโห้วท่าที่มองกดดันเข้ามาพอดี ทำให้ใบหน้าเต็มไปด้วยความขื่นขม ตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าที่นายท่านบอกว่าเปรี้ยวปากเป็นเพียงข้ออ้าง ที่จริงต้องการจะถามเขาหลังจากกันคุณชายรองไปแล้ว เขาไม่กล้าปิดบัง พยักหน้าเบาๆ พร้อมกล่าวเสียงอ่อน “คุณชายสามเป็นคนส่งข่าวมาขอรับ คุณชายสามชี้แนะว่า หนิวโหย่วเต๋อยืนอยู่ในจุดที่ไม่แพ้แล้ว”

ชั่วพริบตานั้น เซี่ยโห้วท่าก็หลับตาลงช้าๆ ความเจ็บปวดพรั่งพรูบนใบหน้า “ถ้าไม่รู้จักความลำบากในโลกนี้ แล้วจะเข้าใจทั้งปรุโปร่งทั้งข้างล่างข้างบนได้อย่างไร จะควบคุมตระกูลที่ใหญ่ขนาดนี้คล่องมือได้อย่างไร? เวลาที่มั่นใจในตัวเองก็หมายความว่ากำลังหลับหูหลับตาอวดดีเช่นกัน! สิ่งที่เจ้าสามฝึกฝนมา เจ้ารองยังมีบางจุดที่สูไม่ได้ แล้วเจ้าเองก็เหมือนจะกลัวเจ้ารองมาก”

เว่ยซูตกใจจนมือสั่น

เซี่ยโห้วท่าหรี่ตามองปฏิกิริยาของเขา แล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้ากว่าปกติ “เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก ทำงานจองตัวเองให้ดี เจ้าติดตามข้ามานานขนาดนี้ สิ่งที่อยู่ในสมองก็คือสมบัติล้ำค่า ไม่ว่าใครจะได้ขึ้นสู่ตำแหน่งก็ไม่กำจัดเจ้าทิ้งหรอก ล้วนใช้งานเจ้าได้ หวังว่าเจ้ารองจะฟังเข้าใจ ตั้งใจฝึกฝนให้ดีก็แล้วกัน”

ลมราตรีพัดวูบเข้ามา ภายใต้โคมไฟที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง เว่ยซูก้มหน้าเงียบๆ

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ในห้องหนังสือของฮ่าวเต๋อฟาง ซูอวิ้นรายงานเรื่องตั้งป้ายรับสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีให้ฟัง หลังจากรู้ถึงความเกี่ยวโยงที่ร้ายกาจแล้ว ฮ่าวเจ๋อที่อยู่ข้างๆ ก็กล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านพ่อ ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว สงสัยจะต้องกำจัดหนิวโหย่วเต๋อให้เร็วๆ หน่อย”

ไม่ว่าจะเป็นตระกูลอิ๋งหรือตระกูลฮ่าว หลังจากผลักดันตัวแทนตระกูลให้เข้าประชุมราชสำนักอย่างเปิดเผย บรรดาอ๋องสวรรค์ก็พูดคุยใกล้ชิดกับลูกชายตัวเองถี่มาก ถ้าจะพูดให้ชัดหน่อยก็คือกำลังชี้แนะฝึกฝน

ฮ่าวเต๋อฟางที่นั่งพิงเก้าอี้หลังโต๊ะยาวทำเสียงฮึดฮัด “จะกำจัดยังไงล่ะ? ถ้าปกป้องแค่นี้ยังทำไม่ได้ เช่นนั้นประมุขชิงก็นั่งในตำแหน่งไม่ได้แล้ว ไม่มีโอกาสลงมือแล้ว”

ฮ่าวเจ๋อครุ่นคิดเล็กน้อย “ไม่รู้ว่าจะมีทางห้ามเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินพวกนั้นหรือเปล่า?”

ฮ่าวเต๋อฟางถอนหายใจเบาๆ “จะห้ามได้ยังไง? เจ้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าใครบ้างจะไปขอพึ่งพา? จะห้ามเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินได้ทุกคนเลยเหรอ? ใต้หล้าใหญ่ขนาดนั้น ดาราจักรกว้างใหญ่ คนพวกนั้นอยู่ระดับต่ำสุดทั่วพื้นที่ ต้องส่งคนไปมากเท่าไรถึงจะห้ามได้ล่ะ? นอกเสียจากจะให้ผู้บังคับบัญชาของคนพวกนั้นเตือนแล้วจะทำยังไงได้อีก แถมพวกเขาก็ถูกผู้บังคับบัญชาของพวกเขาข่มไว้ข้างล่าง พวกเขาไม่เคยได้รับบทเรียนจากคำเตือนของผู้บังคับบัญชาเชียวเหรอ? ขู่คนพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์เลย ถ้าพอจะอ่านสถานการณ์ออกสักหน่อย ก็คงไม่ใช้ชีวิตอนาถขนาดนั้นหรอก ตอนนี้มีทางไปแล้ว มีทางจะหลุดพ้นจากการควบคุมของสี่ทัพแล้ว ทั้งยังมีบัญชาจากราชันสวรรค์ ไม่มีอะไรให้ห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว ตบก้นหนีไปได้เลย พวกเขามองผู้บังคับบัญชาตัวเองเป็นศัตรูมานานแล้ว จะมองเห็นคำเตือนอยู่ในสายตาอีกเหรอ? ต่อให้ห้ามได้ แต่การห้ามคนมากมายขนาดนั้นต้องเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดไหน ประมุขชิงเป็นคนหูหวกตาบอกหรือไง? ถ้าห้ามได้แล้วก็เท่ากับพวกเราส่งจุดอ่อนไปให้อีกฝ่าย พวกเราก็แพ้การเดิมพันนี้อยู่ดี สงสัยการอยู่ในความร่ำรวยมานานจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร เจ้าน่ะ เจียดเวลาไปคลุกคลีกับคนระดับล่างเยอะๆ หน่อยนะ”

ฮ่าวเจ๋อกัดฟันพูด “ท่านพ่อ อย่าบอกนะว่าจะเอาแต่ดูอยู่อย่างนี้ จะไม่มีวิธีการอื่นแล้วเชียวหรือขอรับ?”

ฮ่าวเต๋อฟางพิงหลังเงยหน้า แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “พอใช้แผนนี้ ผลแพ้ชนะก็ถูกตัดสินไว้แล้ว แพ้แล้ว เป็นแผนชั่วที่ใช้ได้อย่างสง่าผ่าเผย! ตาแก่โค่วพลาดแม่ทัพชั้นดีอย่างนี้ไป…ซูอวิ้น ต้องคิดหาทางเอามาเป็นพวกสิถึงจะเป็นกลยุทธ์ชั้นยอด! ทำให้เขาสวามิภักดิ์ก่อน เมื่อโอกาสมาถึงก็ใช่ว่าจะทำงานให้ข้าไม่ได้!”

…………………………

คนที่สามารถเป็นรองผู้ตรวจการใหญ่กองทัพองครักษ์ได้ ตงฟางเลี่ยก็ไม่ใช่คนที่ขาดประสบการณ์ความรู้ ส่วนเหตุใดจึงทำท่าทางเหลือเชื่อกับป้ายอักษรหินขนาดนี้ เป็นเพราะต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่ากลุ่มเป้าหมายที่หนิวโหย่วเต๋อต้องการจะรับสมัครคือคนพวกนี้

บนป้ายอักษรหินเขียนคำว่า ‘รับสมัคร’ ตัวใหญ่ ส่วนข้างล่างเขียนว่า : หนิวผู้นี้เดิมทีเป็นนักพรตอิสระ ยืนอยู่บนโลกนี้อย่างยากลำบาก ตอนหลังโชคดีได้ทำการค้าที่ตลาดสวรรค์ พอเริ่มประกอบกิจการรุ่งเรืองก็เจอคลื่นลม จึงไปขอพึ่งพาเป็นทหารเลวของตำหนักสวรรค์ จากนั้นสร้างผลงานจนเลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการตลาดสวรรค์ สะสมผลงานจนเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ แต่ก็เจออุปสรรคอีก ถูกย้ายไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่หน่วยองครักษ์ซ้าย จากนั้นสะสมผลงานจนได้เป็นแม่ทัพภาคหน่วยองครักษ์ซ้าย พอทำผิดก็ย้ายมาเป็นแม่ทัพภาคที่ตลาดผี เลื่อนตำแหน่งลดตำแหน่งหลายครั้ง ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ มาจนถึงทุกวันนี้ ขรุขระตลอดทาง ในระหว่างนั้นยากลำบากขนาดไหน คนนอกก็จินตนาการได้ ตอนนี้ได้รับอำนาจจากบัญชาสวรรค์ สามารถรับกำลังพลหนึ่งแสนจากสี่ทัพมาอยู่ใต้บังคับบัญชาได้ ทว่าหนิวเข้าใจถึงความลำบากของทหารระดับต่ำอย่างลึกซึ้ง จึงตั้งใจวางป้ายไว้ตรงนี้ กำลังพลที่ต้องการรับเข้ามาจำกัดเพียงทหารระดับเทพแห่งภูผา เทพเจ้าเฝ้าประตู ผีหลักเมือง เทพแห่งผืนดินในสังกัดของสี่ทัพเท่านั้น ตำแหน่งสูงเกินนี้อย่ามารบกวน หนิวมิบังอาจคบผู้ที่มีฐานะสูงกว่า! ทุกประโยคคือความจริง มีอุดมการณ์ชัดเจน หากไม่รังเกียจที่ตลาดผีมีความรู้ตื้นเขิน หวังว่าผู้มีอุดมการณ์จากสี่ทัพจะมาสมัคร จำกัดเวลาภายในหนึ่งปีนี้ เลือกจ้างผู้ที่มีความสามารถ หนิวโหย่วเต๋อ แม่ทัพภาคตลาดผีรอด้วยความเคารพ!

สิ่งที่บรรยายไว้ตอนแรกคือประสบการณ์คร่าวๆ ของหนิวโหย่วเต๋อ คนที่พอจะเข้าใจต่างรู้ว่าในระหว่างนั้นหนิวโหย่วเต๋อผ่านอุปสรรคมาไม่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้ตงฟางเลี่ยตกใจก็คือ นึกไม่ถึงว่าเป้าหมายในการรับสมัครของหนิวโหย่วเต๋อจะจำกัดอยู่ที่พวกเทพแห่งภูผา เทพเจ้าเฝ้าประตู เทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมือง ตั้งใจตัดคนที่ตำแหน่งสูงกว่านั้นออก ทหารยศต่ำพวกนี้จะนับเป็นทหารเกรียงไกรของสี่ทัพได้อย่างไรกัน?

เจ้าหนุ่มนี่บ้าไปแล้วสินะ? นี่เจ้าตั้งใจจะทำให้แพ้เดิมหรือเปล่า? ตงฟางเลี่ยสีหน้าเคร่งขรึม เขาย่อมรู้วว่าการเดิมพันนี้มีความหมายอย่างไรต่อฝ่าบาท ไม่อย่างนั้นกองทัพองครักษ์จะส่งคนมาด้วยตัวเองทำไม เขาเดินไปตรวจที่อีกหน้าหนึ่งของอักษรบนป้ายหิน พบว่าเนื้อหาของสองฝั่งเหมือนกัน จึงอดไม่ได้ที่จะมองหยางเจาชิงด้วยสายตาเย็นเยียบ

“นายท่านตงฟางปล่อยคนมาอ่านป้ายหินรับสมัคร เหลือคนเฝ้าไว้แค่สี่คนเท่านั้น!” หยางเจาชิงบอกเขา แล้วก็กุมหมัดคารวะหันตัวเดินจากไป

ตงฟางเลี่ยขมวดคิ้ว ทันใดก็ได้ยินเสียงฮือฮามาจากที่ไกลๆ จึงเอียงหน้ามองไป เห็นเพียงผู้ไม่เกี่ยวข้องที่อยู่ไกลๆ เริ่มวิพากษ์วิจารณ์แล้ว อักษรบนป้ายหินสะดุดตาคั้งอยู่ตรงนี้ จะให้เล็ดรอดดวงตาอิทธิฤทธิ์ของนักพรตก็คงยาก

“รับสมัครแต่นักพรตระดับเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดิน เอ่อนี่…”

“หนิวโหย่วเต๋อนี่กำลังล้อเล่นใช่มั้ย? นี่ไม่ใช่วิ่งชนคำว่า ‘แพ้’ หรอกเหรอ?”

“นั่นก็ไม่แน่ เจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อเหมือนคนโง่เหรอ? อย่างมากก็บุ่มบ่ามไปหน่อย เขาทำอย่างนี้แปลว่าต้องมีเหตุผลแน่นอน ไม่จำเป็นต้องรนหาที่ตาย?”

ผู้ติดตามของกองทัพองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ เริ่มเดินวนอักษรบนป้ายหินพร้อมวิพากวิจารณ์แล้ว ตงฟางเลี่ยได้ยินแล้วตะลึง จึงจ้องอักษรบนป้ายหินอีกรอบ เขาเริ่มทำสีหน้าเข้าใจบ้างแล้ว เหมือนนึกอะไรบางอย่างได้แล้วนิดหน่อย แต่พอลองคิดดูอีกก็ไม่เข้าใจ เขารีบหยิบระฆังดาราออกมา รายงานสถานการณ์ที่นี่ขึ้นไปเบื้องบน

หนึ่งในภารกิจที่เขามาที่นี่ก็คือดูว่าหนิวโหย่วเต๋อมีวิธีรับสมัครอย่างไร จะได้รายงานได้ทุกเมื่อ เรื่องนี้ย่อมต้องรายงานทันที

ถึงแม้อักษรบนป้ายหินจะมีกองทัพองครักษ์กันไว้ แต่กลับไม่มีทางห้ามพวกคนที่ไม่เกี่ยวข้องที่กำลังรวมตัวกันมากขึ้นอย่าต่อเนื่องตรงที่ไกลๆ ได้ เดาได้ไม่ยากเลยว่าเนื้อหาบนอักษรบนป้ายหินสร้างความฮือฮาขนาดไหน ข่าวแพร่กระจายเหมือนกระแสน้ำ ไม่นานทั้งตลาดผีก็เกิดเสียงตอบรับใหญ่โตเหมือนหม้อเดือด

“นายท่าน เรียบร้อยแล้วขอรับ” หยางเจาชิงกลับมารายงาน

เหมียวอี้ที่ยืนสังเกตความเคลื่อนไหวข้างนอกอยู่ริมหน้าต่างบอกว่า “เห็นแล้ว” เขาหันกลับมาบอกอวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกันอีก “ฮูหยินรายละเอียดเรื่องสรรหาคนต้องส่งต่อให้เจ้าแล้ว” ตอนนี้ในมือเขาไม่ค่อยมีคนที่ใช้งานได้สักเท่าไร สรุปก็คือจะให้เขาถามตอบทุกคนที่เข้ามาสมัครด้วยตัวเองไม่ได้ เขาไม่วางใจกำลังพลกองทัพองครักษ์ของตงฟางเลี่ย กังวลว่าคนของวังสวรรค์จะอาศัยโอกาสนี้ปะปนเข้ามา แต่ในมืออวิ๋นจือชิวยังมีลูกน้องคนสนิทอยู่อีกกลุ่ม

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ข้าจะส่งต่อให้พวกช่างหินไปจัดการ”

สายตาเหมียวอี้ดูค่อนข้างล้ำลึก

ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านกำลังคุยธุระกับแขก หลังจากชีเจวี๋ยเข้ามารอได้สักครู่ รอจนแขกกล่าวอำลาแล้ว ชีเจวี๋ยถึงได้รายงานว่า “เถ้าแก่ หนิวโหย่วเต๋อกลับมาแล้ว ตงฟางเลี่ยจากหน่วยองครักษ์ขวาคุ้มกันส่งมาที่นี่ด้วยตัวเอง คนของตระกูลโค่วถูกไล่ไปแล้ว”

เฉาหม่านจิบน้ำชาอย่างเอื่อยเฉื่อย แล้วกล่าวพร้อมแสยะยิ้ม “เป็นเรื่องที่คาดไว้อยู่แล้ว”

ในขณะนี้เอง ชีเจวี๋ยที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็ชะงักไป แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมาฟังครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทำสีหน้าตะลึงค้าง เห็นได้ชัดว่าเสียอาการแล้ว

เฉาหม่านเหลือบมองแวบหนึ่ง “เป็นอะไรไป?”

ชีเจวี๋ยดึงสติกลับมา จัดระเบียบความคิดแล้วรายงานว่า “หนิวโหย่วเต๋อตั้งป้ายหินรับสมัครที่ประตูจวนแม่ทัพภาคขอรับ”

“อ้อ! เร็วขนาดนี้เลย เกรงว่านั่งยังไม่ทันก้นร้อนเลยกระมัง…” เฉาหม่านแปลกใจนิดหน่อย จากนั้นก็ชะงักอีก เหมือนตระหนักอะไรบางอย่างได้จากปฏิกิริยาที่ผิดปกติของชีเจวี๋ย จึงถามว่า “หรือว่าป้ายหินรับสมัครมีอะไรคลาดเคลื่อน?”

“ป้ายหินรับสมัครจำกัดระดับผู้รับสมัคร ว่าไม่เอาทหารเกรียงไกรของสี่ทัพ รับแค่กำลังพลระดับเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดินเท่านั้น” ชีเจวี๋ยตอบ

“อะไรนะ?” เฉาหม่านทั้งตกใจทั้งประหลาดใจ “จะเป็นไปได้ยังไง ข่าวผิดหรือเปล่า?”

ชีเจวี๋ยตอบว่า “น่าจะไปผิดพลาดขอรับ บ่าวถามกลับไปแล้ว สายลับที่อยู่ตรงนั้นส่งข่าวมา คัดลอกอักษรบนป้ายหินมาทุกตัวอักษร แถมพอมีอักษรบนป้ายหินนี้ออกมา ด้านนอกก็เหมือนเคลื่อนไหวใหญ่โตมาก เหมือนนึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะรับคนประเภทนี้”

เฉาหม่านอ้าปากค้างไปครู่หนึ่ง วางถ้วยน้ำชาลงช้าๆ แล้วยืนขึ้น เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา “เจ้าหนุ่มนี่เล่นลูกไม้อะไร ถ้ารับสมัครทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนไม่ได้ ต่อให้ได้กำลังพลหนึ่งแสนมาแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ตงฟางเลี่ยนำคนมาด้วยตัวเองแล้ว ถ้าเขากล้าทำให้การเดิมพันนี้แพ้ เกรงว่าตงฟางเลี่ยคงจะเป็นคนแรกที่จะไม่ปล่อยเขาไป ส่วนทางประมุขชิง…” เสียงเขาเงียบไปกะทันหัน รีบเดินไปเปิดหน้าต่างออก มองไปทางจวนแม่ทัพภาค แล้วจู่ๆ ก็ตบช่องหน้าต่าง กล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “เรื่องราวเปิดโปงแล้ว ข้ายังจะเลอะเลือนอีก เหมือนเห็นผีเลย เรื่องที่ชัดเจนขนาดนี้ทำไมข้านึกไม่ถึงตั้งแต่แรก!”

“เหตุใดเถ้าแก่คิดอย่างนั้น?” ชีเจวี๋ยก้าวเข้ามาถามอย่างประหลาดใจ

“เฮ่อๆ…” เฉาหม่านส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “แพ้แล้ว! เลือกอีกเส้นทางหนึ่ง ช่างเป็นวิธีที่อัศจรรย์ ทำไมเจ้าหนุ่มนั่นจึงคิดถึงสิ่งนี้ได้ ทำให้คนเหลือเชื่อจริงๆ พอใช้แผนนี้ เกรงว่าทุกคนที่เบิ่งตามองคงจะถูกเจ้าหนุ่มนั่นโจมตีอย่างสง่าผ่าเผยจนทำอะไรไม่ถูก ขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์แพ้แล้ว ความพ่ายแพ้ถูกกำหนดไว้แล้ว เอาคืนไม่ได้แล้ว!”

ชีเจวี๋ยยังคงทำสีหน้าสงสัย “เถ้าแก่ บ่าชราโง่เง่า ไม่ทราบ…”

เฉาหม่านโบกมือ ไม่ได้พูดอะไรอีก รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทางตระกูลเซี่ยโห้ว

“อะไรนะ? กำหนดขอบเขต รับแค่พวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดิน แบบนี้นับว่าเป็นกำลังพลที่เกรียงไกรอะไรกัน? เจ้าลูกลิงนั่นคิดว่าข้าไม่กล้าตัดหัวเขาหรือไง?”

วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร อู๋ฉวี่รีบร้อนเข้ามาหา รายงานความคืบหน้าการรับสมัครคนที่ตลาดผี ทำให้ประมุขชิงฟังจนเบิกตาโพลง ลุกขึ้นคำราม ความโมโหปะทุราวกับฟ้าผ่า เขารู้สึกเหมือนตัวเองโดนปั่นหัว

“ฝ่าบาทระงับโทสะ เรื่องนี้อาจจะมีเงื่อนงำบางอย่าง ถามตงฟางเลี่ยไปก็ไม่มีประโยชน์ สั่งให้หนิวโหย่วเต๋อบอกเหตุผลมาโดยตรงเลยดีกว่าขอรับ” อู๋ฉวี่กกล่าว

“ฝ่าบาท!” ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างกันพลันกลอกตาล่อกแล่ก แล้วจู่ๆ ก็หันตัวมาคารวะประมุขชิง “ยินดีกับฝ่าบาท หนิวโหย่วเต๋อใช้แผนเด็ดแล้ว การเดิมพันนี้ฝ่าบาทชนะแน่นอน!”

ประมุขชิงกับอู๋ฉวี่งงทั้งคู่ ต่างก็รู้ว่าเขาไม่ยิงธนูโดยไร้เป้าแน่นอน ตรงนี้ไม่มีคนนอก ไม่จำเป็นเป็นต้องกังวลว่าถามลูกน้องแล้วจะเสียหน้า ประมุขชิงหายโกรธลงเล็กน้อย ขมวดคิ้วถามว่า “แผนเด็ดตรงไหน?”

ซ่างกวนชิงอมยิ้มพลางชี้แนะ “สี่ทัพดูเหมือนถูกสี่อ๋องสวรรค์ควบคุมไว้เข็มงวด ทว่าพวกที่หลอกลวงเบื้องบน ระรานเบื้องล่างมีเยอะมาก ต่างคนต่างทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ในบรรดาเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดิน คนที่วรยุทธ์อ่อนแอ คนที่หดหู่ท้อแท้เพราะโดนข่มไม่ให้แสดงความสามารถมีเยอะมาก ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แน่นอนขอรับ!”

“อืม…” ประมุขชิงเอามือขยี้เคราเงียบๆ นานมาก แต่กลับเริ่มตาลุกวาวทีละนิด แล้วจู่ๆ ก็ลูบไม้ลูบมือหัวเราะลั่น “แผนเด็ด เป็นแผนเด็ดจริงๆ!”

อู๋ฉวี่เข้าใจกระจ่างในฉับพลันเช่นกัน

ประมุขชิงพลันโบกมือชี้เขา “ข้ามีโอกาสชนะอยู่ในมือ จะให้คนชั่วไร้ยางอายมาก่อกวนไม่ได้เด็ดขาด ถ่ายทอดคำสั่งต่อตงฟางเลี่ย จะต้องรักษาความปลอดภัยของหนิวโหย่วเต๋อให้ดี อย่าให้มีความผิดพลาดอะไร!”

“รับทราบ!” อู๋ฉวี่กุมหมัดเอ่ยรับบัญชา

“ข้าอยากจะเห็นว่าตาแก่สี่คนนั่นจะหน้าดำคร่ำเครียดขนาดไหน! ฮ่าๆๆ…” ประมุขชิงเงยหน้าหัวเราะลั่น ท่าทางสะใจมาก

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว

โค่วเจิงเดินตรงเข้ามาในเขตต้องห้าม กวาดสายตามองไปรอบๆ สายตาไปหยุดอยู่บนตัวโค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนที่เดินอยู่ในป่าไผ่ด้านข้าง ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินเข้าไป

ถังเฮ่อเหนียนย่อตัวคำนับเล็กน้อย “คุณชายใหญ่มาแล้ว”

โค่วเจิงกุมหมัดคารวะ แล้วหันตัวไปบอกโค่วหลิงซวี “ท่านพ่อ ตำหนักนารีสวรรค์ออกคำสั่งให้คนที่อยู่ฝั่งตลาดผีถอยออกมาแล้วขอรับ”

“ข้ารู้แล้ว” โค่วหลิงซวีพยักหน้า บอกใบ้ว่ากำลังคุยเรื่องนี้กันอยู่

โค่วเจิงบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อตั้งป้ายหินรับสมัครนอกประตูจวนแม่ทัพภาค ทำให้เกิดเสียงฮือฮาไม่น้อย”

“อ้อ เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ?” โค่วหลิงซวีรู้สึกผิดคาด ถามว่า “บอกอะไรไว้บ้าง?”

“ค่อนข้างแปลกขอรับ บนป้ายหินกำหนดขอบเขตไว้ บอกว่าไม่เอาทหารเกรียงไกรของสี่ทัพ ต้องการแค่พวกเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดิน…” โค่วเจิงรายงานเนื้อหาบนป้ายหินให้ฟังคร่าวๆ ขณะเดียวกันก็ยื่นแผ่นหยกที่คัดลอกทุกตัวอักษรให้

“…” โค่วหลิงซวีไม่ได้รับแผ่นหยก แต่ขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าเจือความสงสัย

ถังเฮ่อเหนียนยื่นมือรับแผ่นหยกมาแทน ขณะกำลังอ่านแผ่นหยกพลางครุ่นคิด จู่ๆ ก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว หลุดอุทานว่า “แย่แล้ว! ท่านอ๋อง…”

โค่วหลิงซวียกมือห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ สี่หน้าดูค่อนข้างแย่ ท่ามกลางสายตาสอบถามของโค่วเจิง จู่ๆ เขาก็ยกมือขึ้นมากุมอก พลางร้องว่า “ข้าเจ็บปวดทรมานยิ่งนัก!”

ถังเฮ่อเหนียนถือแผ่นหยกพร้อมกุมหมัด “ท่านอ๋องทำให้ให้สบาย ก็แค่ตำแหน่งโหว ไม่จำเป็นต้องจริงจังเกินไป!”

โค่วหลิงซวีส่ายหน้าอย่างยากลำบาก ถอนหายใจด้วยความเสียดาย “ข้าไม่ได้เจ็บปวดเพราะเสียดายตำแหน่งโหวตำแหน่งเดียว แค่เสียดายที่ตัวเองมีตาหามีแววไม่ เสียทหารชั้นดีไปแล้วหนึ่งคน!”

โค่วเจิงไม่ค่อยเข้าใจ จึงมองถังเฮ่อเหนียน “ท่านอาถัง?”

“หนิวโหย่วเต๋อใช้แผนเด็ดแล้ว!” ถังเฮ่อเหนียนส่ายหน้าอย่างเสียดาย แล้วอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในเขตต้องห้าม มีเสีนงก๊อกแก๊กดังชัดเจน ในระหว่างนั้นมีเสียงกระเด็นกระดอนปะปน

อิ๋งอู๋หม่านที่นั่งเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนบิดารู้สึกดีใจมาก หลังจากเขาเริ่มเข้าประชุมราชสำนักแทนตระกูลอิ๋ง ท่าทีของบิดาที่มีต่อเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีแล้ว ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ที่เชิญเขาให้มาเล่นหมากล้อมด้วยกัน ทว่าพอจั่วเอ๋อร์รายงานเรื่องหนิวโหย่วเต๋อวางป้ายรับสมัครทางตลาดผีแล้ว หลังจากท่านบิดาขมวดคิ้วครุ่นคิดพักหนึ่ง จู่ๆ ก็ระเบิดอารมณ์โกรธ คว้าชามหมากทุ่มกระจายเต็มพื้น หมากในชามกระเด็นบนพื้นมั่วไปหมด เขาตกใจจนรีบลุก ทั้งหวาดกลัวทั้งหวั่นเกรง

…………………………

ในตึกศาลา กาน้ำชาใสใบหนึ่งส่งกลิ่นหอม จินม่านเหมือนจะเคยชินกับการต้มน้ำชาที่นี่แล้ว นางยกถ้วยสุราจิบช้าๆ คอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของหยางชิ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบๆ

ในมือหยางชิ่งถือแผ่นหยกอันหนึ่ง กำลังตรวจอ่านอะไรบางอย่างด้วยสมาธิทั้งหมดที่มี หลังจากอ่านจบแล้ว เขาก็วางแผ่นหยกลงบนโต๊ะ แล้วหลับตาอมยิ้มอย่างชื่นมื่น ให้ความรู้สึกเหมือนผ่อนคลายยามได้ดื่มสุราชั้นดี

จินม่านวางถ้วยน้ำชาลง “ข่าวงานเลี้ยงวันเกิดพระตำหนักอุทยานที่หกลัทธิรวบรวมมาได้อยู่ที่นี่หมดแล้ว แต่จะจริงหรือเท็จก็ไม่รู้ ตามหลักแล้วบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ไม่น่าจะแพร่ข่าวได้เร็วขนาดนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเองอะไรกันแน่”

หยางชิ่งลืมตามองนางพลางยิ้มบางๆ “น่าจะเป็นประมุขชิงที่ปล่อยข่าว”

“หืม!” จินม่านงงเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน แล้วถามต่อว่า “ราชาปราชญ์คิดจะทำอะไรกันแน่?”

“รอดูเงียบๆ ก็พอ” หยางชิ่งกล่าว

“ดึงตัวทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนมาจากทัพเหนือใต้ออกตก ราชาปราชญ์จะเดิมพันชนะได้เหรอ? ถ้าแพ้ขึ้นมาเกรงว่าจะอันตรายถึงชีวิต พวกเราต้องเตรียมตัวรับมือหรือเปล่า” จินม่านลังเล

“ฮ่าๆ…” หยางชิ่งหัวเราะเบาๆ แล้วเงยหน้าดื่มน้ำชาหนึ่งอึกหมดถ้วย แล้วตบถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ จากนั้นเดินไปทอดสายตามองทะเลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตที่ริมหน้าต่าง สีหน้าดูสุขสันต์หรรษา

จินม่านลุกขึ้นเดินเข้าไปหา มองเขาพร้อมถามว่า “หรือข้าพูดอะไรผิดไปเหรอ? ยังไม่ต้องพูดถึงกลุ่มขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์จะแอบขัดขวางหรือเปล่า ลำพังแค่สถานที่อย่างจวนแม่ทัพภาคตลาดผี กำลังพลเกรียงไกรของสี่ทัพจะถ่อไปทำลายอนาคตตัวเองทำไม?”

ในสายตาของหยางชิ่งที่ทอดมองไปไกลแฝงด้วยสง่าราศีและความล้ำลึก ยิ้มอย่างดีอกดีใจ “แพ้ไม่ได้หรอก! ขอเพียงราชาปราชญ์ผ่านด่านที่งานเลี้ยงวันเกิดได้ ก็เท่ากับเอาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ไม่แพ้แล้ว ต่อให้ขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์จะขัดขวางอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ขัดขวางไม่ไหวเช่นกัน นอกเสียจากพวกเขาจะฆ่าราชาปราชญ์ทิ้งเสียเล ทว่าในเมื่อประมุขชิงลงมือแล้ว มีหรือที่จะทนดูราชาปราชญ์ประสบอันตราย? ไม่มีความกังวลตามมาแล้ว ทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนเป็นของที่อยู่ในกระเป๋าราชาปราชญ์แล้ว!”

“อ้อ!” จินม่านทั้งประหลาดใจทั้งไม่เข้าใจ “หมายความว่ายังไง?”

“ไม่ต้องใจร้อน อีกไม่นานก็จะรู้เอง ประมุขปราชญ์จินตั้งตารอดูก็พอ!” หยางชิ่งส่ายหน้ายิ้มเบาๆ สายตาที่มองไปยังที่ไกลๆ มีสง่าราศีเป็นพิเศษ

ถึงแม้เขาจะช่วยร่างทิศทางใหญ่ของเรื่องครั้งนี้ให้เหมียวอี้ตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าการลงมือทำโดยละเอียดทั้งหมดก็ยังต้องพึ่งพาเหมียวอี้ เขาไม่มีทางคาดเดาได้ว่าในงานเลี้ยงวันเกิดจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรบ้าง ดังนั้นตั้งแต่เหมียวอี้เริ่มไปที่อุทยานหลวง หัวใจเขาก็กังวลอยู่กับที่นั่นแล้ว เรียกได้ว่าอกสั่นขวัญแขวน รู้อย่างลึกซึ้งว่าถ้าพลาดนิดเดียว เหมียวอี้ก็จะตกอยู่ในภัยอันตรายที่เอาคืนไม่ได้ ได้แต่ฝากความหวังไว้กับความสามารถในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของเหมียวอี้ เมื่อไปอยู่ตรงสถานที่นั้นแล้ว หกลัทธิก็ไม่มีทางช่วยอะไรเหมียวอี้ได้อีก

ทว่าตอนนี้เมื่อดูจากข่าวที่ได้มา ก็พบว่าเหมียวอี้แสดงความสามารถในงานเลี้ยงได้อย่างกล้าหาญ ละเอียดรอบคอบ สุขุมเยือกเย็น ความกล้าหาญยามเสี่ยงอันตรายลำพังกับทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่โดดเด่นทำให้หยางชิ่งสะท้อนใจที่สู้ไม่ไหว สำเร็จแล้ว! เขารู้ว่าแผนการนี้สำเร็จแล้ว!

สำหรับการเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาสามารถคาดเดาทุกอย่างได้แล้ว สายตาที่ทอดมองไปไกลอมยิ้มชัดเจน พลางพึมพำกับตัวเองว่า “การใหญ่ควรค่าแก่การเฝ้าคอย!”

“อะไรนะ?” จินม่านได้ยินไม่ค่อยชัด จึงเอ่ยถามเขา

หยางชิ่งดึงสติกลับมา เอียงหน้ามองนาง แล้วถามกลั้วหัวเราะเปลี่ยนประเด็นสนทนา “คนนั้นที่เป็นสายลับอยู่ที่ตำหนักสวรรค์เป็นใครกันแน่?”

จินม่านอึ้งไปชั่วขณะ เข้าใจแล้วว่าเขากำลังถามถึงอะไร นางส่ายหน้าตอบว่า “ไม่รู้สิ ตามหลักแล้ว จะมีแต่เขาที่ติดต่อมาหาพวกเราก่อน พวกเราไม่เคยเป็นฝ่ายติดต่อไปหาเขาเลย ไม่เคยรู้ว่าเป็นใคร”

หยางชิ่งจ้องนางครู่หนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถามคำถามนี้ เขามาอยู่ที่นี่นานแล้ว รู้เรื่องบางเรื่องแล้วเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นพวกจินม่านถูกคนผนึกไว้ในสถานที่แห่งหนึ่งแสนกว่าปี จนกระทั่งเหมียวอี้มาที่แดนอเวจีถึงได้หลุดพ้น ถึงแม้จินม่านจะไม่ยอมบอก แต่เขาก็พอจะเดาออกแล้วว่าเป็นฝีมือใคร หลังจากเขารู้ถึงศักยภาพของหกลัทธิที่เหลือรอดอยู่ที่นี่ ได้รู้ว่าอาศัยกำลังพลเท่านี้แต่สามารถโจมตีกำลังพลตำหนักสวรรค์ที่ล้อมปราบจนถอยกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ไปหาคนที่เข้าร่วมศึกใหญ่ในปีนั้นแล้วทำความเข้าใจสถานการณ์รบในปีนั้น ก็รู้แล้วว่าหกลัทธิมีสายลับทางตำหนักสวรรค์คอยเปิดเผยแนวทางแก้ไขสถานการณ์ทางทหารให้ จึงสืบจากปากจินม่านเพื่อยืนยันว่ามีคนคนนั้นอยู่จริงหรือไม่

“ทำไม? เจ้าคิดว่าข้าโกหกหรอก?” จินม่านขมวดคิ้วมุ่น

หยางชิ่งส่ายหน้า แล้วมองไปนอกหน้าต่างอีก เขาหันหน้ารับลมทะเล กล่าวช้าๆ เหมือนพึมพำกับตัวเอง “ข้าเพียงสะท้อนใจกับสายตาในการเลือกคนของใครบางคน ใช้เวลาไปแสนปีถึงจะเฟ้นหาคนแบบนี้มาได้สักคน เรียกได้ว่าสิ้นเปลืองกำลังความคิดจริงๆ! แล้วตอนนี้ข้าก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว คนที่เขาต้องการเลือกไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์พิเศษอะไร ไม่จำเป็นต้องฉลาดเกินไปด้วย บางทีสิ่งที่ต้องการอาจจะเป็นทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เหนือกว่าคนอื่น ทักษะการลงมือปฏิบัติที่เหนือกว่าคนอื่น ทักษะการปรับตัวดำรงชีวิตที่เหนือชั้น จะได้สะดวกต่อการบรรลุเป้าหมายของเขา เกรงว่านี่ต่างหากคือเหตุผลที่เขาเลือกคนคนนี้แทนที่จะเลือกคนอื่น…”

สวนกลางเขียวขจี เหมียวอี้เหมือนจะนึกไม่ถึงว่าเรื่องการเดิมพันที่งานเลี้ยงจะแพร่ข่าวเร็วขนาดนี้ ตามหลักแล้วถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ โดยทั่วไปข่าวก็จะไม่แพร่ออกไปง่ายๆ ถ้าจะมีการกระจายข่าวก็เกิดขึ้นในวงแคบเท่านั้น แต่ครั้งนี้ข่าวกับแพร่ไปทั่วทั้งใต้หล้าอย่างรวดเร็ว ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจจริงๆ

เขาเองก็มีคนส่งข้อความมาถามด้วยความห่วงใยไม่ขาดสาย ถึงได้รู้ว่าข่าวนี้แพร่ออกไปในวงกว้างแล้ว หวงฝู่จวินโหรวรวมทั้งบรรดาอนุภรรยาต่างก็ส่งข่าวมาถาม รวมทั้งพวกอวิ๋นอ้าวเทียนที่แดนอเวจีด้วย แล้วก็มีพวกฝูชิงอีก แต่กลับไม่มีการถามไถ่จากทางอวิ๋นจือชิวและหยางชิ่ง ทางนั้นเหมือนจะเงียบมาตลอด

จนกระทั่งหวงฝู่จวินโหรวส่งข่าวมาบอกอีกครั้ง ว่าสืบรู้แล้วว่าทางสมาคมวีรชนได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้กระจายข่าว เหมียวอี้จึงได้เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ที่เรียกว่า ‘เบื้องบน’ ก็ย่อมหมายถึงวังสวรรค์ เขาถึงได้กำหนดเป้าหมายได้ว่าน่าจะเป็นประมุขชิง คาดว่าคงจะช่วยตนประชาสัมพันธ์ กลัวว่าตนจะแพ้เดิมพันไงล่ะ!

พักฟื้นเงียบๆ ที่อุทยานหลวงครึ่งเดือน เมื่อบาดแผลดีขึ้นพอสมควรแล้ว เหมียวอี้ถึงได้ตัดสินใจกลับ

ทางนี้เพิ่งจะเหาะออกจากดาวเคราะห์ของอุทยานหลวง ก็ถูกตงฟางเลี่ยขวางเอาไว้แล้ว ตงฟางเลี่ย เป็นรองผู้ตรวจการใหญ่ของหน่วยองครักษ์ขวา เขาได้รับคำสั่งให้คุ้มกันส่งเหมียวอี้กลับจวนแม่ทัพภาคตลาดผี สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้ตกใจในความเมตตานิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าวังสวรรค์จะส่งคนระดับรองผู้ตรวจการใหญ่มาคุ้มกันส่งด้วยตัวเอง แต่พอนึกถึงประมุขชิงที่อยู่เบื้องหลัง เขาก็ปล่อยวางทันที

เขาไม่เห็นคนอื่น ทั้งการเดินทางมีเพียงตงฟางเลี่ยคนเดียวที่คุ้มกันส่ง

ระหว่างทาง ตงฟางเลี่ยสอบถามเหมียวอี้หลายครั้งว่าทำไมต้องสร้างทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนที่ตลาดผี เหมียวอี้ปฏิเสธอ้อมๆ ไม่ยอมคายคำตอบ ถึงแม้ตัวเองจะเดาออกว่าประมุขชิงสั่งให้ตงฟางเลี่ยมาถาม แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสำเร็จและล้มเหลว เขาเองก็ไม่รู้กำพืดตงฟางเลี่ยแน่ชัด ไม่กล้าเปิดเผยอะไรให้ฟังง่ายๆ บอกเพียงว่าไปถึงตลาดผีก็ย่อมรู้แล้ว

ตอนใกล้ถึงตลาดผี เหมียวอี้ถึงได้รู้ว่าตงฟางเลี่ยไม่ได้มาคุ้มกันส่งคนเดียวเลย พอโบกมือก็เรียกทัพใหญ่ออกมาหนึ่งกองทัพ แล้ววางกำลังไว้ตามทางตลอดทาง เมื่อถามดูถึงได้รู้ว่าเตรียมป้องกันคนเล่นไม่ซื่อที่คอยดักกำลังพลที่จะมาขอพึ่งพาที่ตลาดผี แล้วก็มีอีกพันคนติดตามตงฟางเลี่ยกับเหมียวอี้เข้าตลาดผีด้วยกัน ตงฟางเลี่ยบอกว่ากำลังพลกลุ่มนี้ต้องพักอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีระยะยาวเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้เหมียวอี้ จนกว่าเดิมพันจบลงถึงจะถอนกำลังออกไป

ส่วนหลังจากการเดิมพันจบลง เหมียวอี้ก็เข้าใจได้เช่นกัน ว่าถึงตอนนั้นประมุขชิงก็ไม่สนใจความเป็นความตายของเขาแล้ว

พอถึงจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ตงฟางเลี่ยก็เรียกรวมกำลังพลของตระกูลโค่วที่อยู่ทีนี่ แล้วหยิบคำสั่งของตำหนักนารีสวรรค์ขึ้นมา ประกาศคำสั่งตรงนั้นเลยว่า ให้กำลังพลตระกูลโค่วที่อยู่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีถอนกำลังออกไปเดี๋ยวนี้ ห้ามล้าช้าเสียเวลา แบบนี้เท่ากับไม่ต้องให้ตระกูลโค่วถอนกำลังคนกลับไปเองแล้ว ตำหนักนารีสวรรค์เตะคนของตระกูลโค่วออกไปล่วงหน้า สาเหตุก็ไม่ซับซ้อน เหมียวอี้เดาออกแล้วเช่นกัน ว่าเบื้องบนไม่วางใจกำลังพลของตระกูลโค่ว นับว่าปกป้องความปลอดภัยของเหมียวอี้ด้วย

ตระกูลโค่วถอนกำลังพลตามคำสั่งทันที คนที่ตงฟางเลี่ยพามารับงานป้องกันจวนแม่ทัพภาคตลาดผีต่อ โดยมีตงฟางเลี่ยคุมการวางกำลังด้วยตัวเอง

จวนแม่ทัพภาคใหม่เดิมทีอยู่ในจุดที่ค่อนข้างเงียบสงบลับตาคน ตอนนี้เนื่องจากเหมียวอี้กลับมาแล้ว รอบข้างจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นคึกคัก ตอนนี้ผู้คนรู้เรื่องการเดิมพันที่งานเลี้ยงวันเกิดหมดแล้ว คนจากฝ่ายต่างๆ มารวมตัวกันสืบที่นี่ อยากจะเห็นว่าจะรับสมัครทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนได้อย่างไร

ตงฟางเลี่ยที่มองความเคลื่อนไหวนอกประตูหันตัวกลับเข้ามาในกำแพงอีกครั้ง แล้วถ่ายทอดคำสั่งอย่างเย็นเยียบ “กำลังพลหกร้อนผลัดเวรกันรอรับคำสั่งอยู่ในจวนแม่ทัพภาค เตรียมรับมือความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สั่งให้กำลังพลสี่ร้อยเฝ้านอกจวนจวนแม่ทัพภาค ผู้ที่ถือวิสาสะเข้ามาใกล้ ฆ่าไม่ละเว้น! ถ้ามีความเสียหายอะไร ก็หิ้วหัวมาพบข้า!”

“รับทราบ!” ลูกน้องของเขาเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป

ในจวน หลังจากห่างกันไปสักพักแล้วกลับมาพบกันใหม่ เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวจับมือสบตากันพักหนึ่ง เข้าใจกันทุกอย่างโดยไม่ต้องพูดอะไร

“เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ กลัวว่าค่ำคืนยาวนานแล้วความฝันจะแปรเปลี่ยน!” เหมียวอี้สั่งอย่างใจเย็น อวิ๋นจือชิวพยักหน้าขานรับ “เตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแลว”

หลังจากปล่อยมือนางแล้ว เหมียวอี้ก็เดินก้าวยาวออกไป อวิ๋นจือชิวและพวกหยางเจาชิงรีบเดินตามอยู่ข้างหลังเขา เดินมาถึงพระอุโบสถชั้นบน เป็นจุดที่เคยเจอกับอวี้หลัวช่าและเม่ยจีครั้งแรก

แผ่นหินที่เตรียมไว้เรียบร้อยตั้งอยู่กลางพระอุโบสถ แผ่นป้ายหินที่ราบเรียบขาดเพียงอักษรบนป้ายหิน

เหมียวอี้เดินวนแผ่นหินรอบหนึ่ง จากนั้นยืนนิ่ง หลับตาลงช้าๆ หลับตายืนเงียบอยู่ตรงหน้าแผ่นป้ายครู่หนึ่ง

พอลืมตาอีกครั้ง เขาก็โบกทวนเกล็ดย้อนมาไว้ในมือ เขาออกทวนปล่อยเสียงเย็นพร้อมเสียงมังกรคำราม หัวทวนแหลมคมทิ้งร่องรอยอักษรไว้บนผิวป้ายหินอย่างรวดเร็ว ฝุ่นผงที่ถูกกรีดออกมาถูกพลังอิทธิฤทธิ์ที่ปล่อยจากตัวทวนกวาดออกไป เผยตัวอักษรแต่ละตัวที่ไม่นับว่าสวยงามนักทว่าสลักไว้อย่างแข็งแรงมีพลัง ดูมีพลังอำนาจไปอีกแบบ ตัวอักษรปรากฏคนตามการเคลื่อนไหวของหัวทวน

พอเขียนเสร็จหน้าหนึ่งแล้ว ก็สะบัดทวนเร่งเขียนที่หน้าถัดไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นตัวอักษรที่เขียนเสร็จบนหน้านั้นแล้ว หยางเจาชิงถึงได้รู้ว่าเหมียวอี้ต้องการรับสมัครคนแบบไหน เรีบกได้ว่าตกตะลึงอ้าปากค้าง

พอเขียนสองหน้าเสร็จแล้ว ตึ้ง! เหมียวอี้กระทุ้งทวนบนพื้น แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ยกออกไป ตั้งนอกประตูจวนแม่ทัพภาค รับสมัครคนเดี๋ยวนี้!”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงกุมหมัดเอ่ยรับ แล้วเก็บแผ่นหินที่สูงเกือบหนึ่งจั้งออกไป

บังเอิญเจอกับตงฟางเลี่ยในลานบ้าน หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะ “นายท่านตงฟาง โปรดมอบลูกมือให้ข้าสี่คน”

ตงฟางเลี่ยมองเขาศีรษะจดเท้า แล้วถามเสียงเรียบ “เอาไปทำอะไร?”

หยางเจาชิงตอบว่า “ท่านแม่ทัพภาคเพิ่งเขียนป้ายอักษรรับสมัครคนเสร็จ ต้องการจะตั้งป้ายไปนอกจวนแม่ทัพภาค กลัวว่าจะมีคนถือวิสาสะมาทำลายป้ายอักษรหิน หวังว่าจะมีคนเฝ้าให้ทั้งวันทั้งคืนขอรับ”

เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ? ตงฟางเลี่ยตกใจ พอยกมือดีดนิ้ว ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังก็ตะโกนทันที “ทหาร!”

ผ่านไปไม่นาน ทหารยามที่เฝ้าประตูจวนแม่ทัพภาคตลาดผีฝั่งซ้ายและขวาก็หลีกทาง ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งคุ้มกันหยางเจาชิงเดินออกจากประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาคแล้ว ตงฟางเลี่ยก็อยู่ในนั้นเช่นกัน

พอเดินออกจากประตูใหญ่ได้ประมาณห้าสิบจั้ง หยางเจาชิงก็มองดูตำแหน่งรอบๆ แล้วโบกมือเรียกแผ่นหินออกมา เสียงแผ่นหินตกลงพื้นดังโครม ป้ายอักษรหินสูงเกือบหนึ่งจั้งปักลงนอกประตูจวนแม่ทัพภาคตลาดผีอย่างเป็นทางการ

ตงฟางเลี่ยที่เดินตามมาดีใจที่ได้เห็นก่อน กวาดสายตามองตัวอักษรหยาบๆ ธรรมดาบนป้ายอักษรหินที่เขียนว่า ‘รับสมัคร’ แล้วรีบมองลงมาข้างล่าง ทำให้เขาถลึงตาโตสองข้าง ทำท่าเหมือนทำใจเชื่อได้ยาก

…………………………

ในขณะเดียวกันนี้เอง ในสวนต้องห้ามของจวนท่านปู่สวรรค์ เว่ยซูกำลังเดินเล่นอยู่ข้างกายเซี่ยโห้วท่า กำลังพูดคุยเรื่องนี้เช่นกัน

ประมุขชิงจัดงานเลี้ยงที่พระตำหนักอุทยานให้เป็นเพียงเกียรติยศและชื่อเสียงเท่านั้น อย่างไรเสียก็ใช่ว่าทุกคนจะเข้าพระตำหนักอุทยานได้ สถานที่ที่มีแขกเยอะอย่างแท้จริงยังเป็นฝั่งตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลที่ใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้เป็นเพียงญาติสนิทมิตรสหายในที่แจ้ง แต่แค่คิดก็รู้แล้วว่ามีจำนวนเยอะขนาดไหน ในฐานะที่เซี่ยโห้วท่าเป็นเจ้าของวันเกิด เรียกได้ว่าต้องตั้งใจรับแขกอยู่หลายวันจริงๆ ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มว่าง เรื่องบางอย่างในตอนท้ายไม่จำเป็นต้องให้เขาออกหน้าจัดการอีก

“นายท่านกำลังสงสัยใช่มั้ยว่าเบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อยังมีมือมืดลึกลับอีก? จะใช่คนนั้นหรือเปล่า?” เว่ยซูที่ติดตามอยู่ข้างกายเอ่ยถาม

เซี่ยโห้วท่ากล่าวช้าๆ ในขณะที่หรี่ตาครุ่นคิด “ลักษณะการทำงานของคนคนหนึ่งมีเค้าส่อให้เห็นเสมอ เป็นไปไม่ได้ที่จู่ๆ จะพลิกโฉมแตกต่างกันมากอย่างขนาดนี้ มือมืดข้างนั้นถนัดอาศัยมุมมองและขอบเขตสายตาที่สูงกว่านั้นเพื่อเดินตามแนวโน้มสถานการณ์ที่เอื้อประโยชน์ เหมือนจะไม่พัวพันกับรายละเอียดปลีกย่อย นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนวิสัยทัศน์แคบจะทำได้ ข้าก็เลยสงสัยว่าจะใช่บุคคลระดับสูงคนใดคนหนึ่งของตำหนักสวรรค์หรือเปล่า อีกทั้งเรื่องในครั้งนี้ก็ทั้งดุเดือดทั้งเสี่ยงอันตราย นี่เป็นวิธีการที่แข็งกร้าวห้าวหาญสง่าผ่าเผยจริงๆ ลักษณะไม่เหมือนมือมืดล่องหนที่ซ่อนอยู่เลย ด้วยเหตุนี้ ข้าก็เลยตัดสินได้ว่าไม่ใช่คนคนเดียวกัน แบบนี้กลับเหมือนลักษณะที่คุ้นเคยของหนิวโหย่วเต๋อด้วยซ้ำ ยังมีอีกจุดหนึ่ง เรื่องราวกะทันหันต่างๆ ในพระตำหนักอุทยานก็เห็นได้ชัดเจน การกระทำที่เสี่ยงอันตรายอย่างนี้ยากที่จะวางแผนล่วงหน้าได้ อย่างมากก็ทำได้แค่วางแผนคร่าวๆ มีเพียงหนิวโหย่วเต๋อเองที่ต้องกำหนดตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปถึงจะรับมือได้

ถ้าเปลี่ยนให้คนที่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากับสภาพจิตใจแย่กว่านี้สักหน่อย เมื่อพูดจาลังเลในสถานที่แบบนั้นแม้แต่น้อย ก็จะถูกพวกขุนนางใหญ่โจมตีอย่างดุเดือด พวกเขาจะกดดันดันเจ้าทีละก้าวจนกว่าเจ้าจะเอาชนะเจ้าได้ เมื่อรวมปัจจัยแต่ละอย่างแล้ว ก็เหมือนพฤติกรรมเดิมของหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ เพียงแต่ความเหนือชั้นของวิธีการนี้ทำให้ข้าทำใจเชื่อได้ยากว่ามาจากมือหนิวโหย่วเต๋อ เรื่องนี้ดูเหมือนบ้าระห่ำแต่กลับต้องผ่านการวางแผนมาอย่างรอบคอบ คนที่สามารถกระโดดออกมาด่าอิ๋งจิ่วกวงว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศที่อุทยานหลวงได้ ข้าว่าเขาเหมือนคนที่มีปฏิภาณและความมุทะลุผสมกันมากกว่า ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่วางแผนมางานเลี้ยงวันเกิดข้าตั้งแต่สองปีก่อน หรือว่าหกลัทธิจะมีตัวละครใหม่ที่ข้าไม่รู้จักผุดขึ้นมาจริงๆ?”

เว่ยซูพยักหน้า “ถ้าเป็นการกระทำของหนิวโหย่วเต๋อเองจริงๆ เช่นนั้นหนิวโหย่วเต๋อก็จะทำให้คนมองด้วยสายตาใหม่จริงๆ แล้ว”

เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะ “ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของหนิวโหย่วเต๋อ หรือจะมีคนวางแผนอยู่เบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อ ก็ล้วนเป็นฝ่ายเดียวกับหนิวโหย่วเต๋อทั้งนั้น การที่สามารถยกผลงานให้หนิวโหย่วเต๋อก็แสดงว่าไม่ธรรมดา ตอนนี้ข้าอยากรู้มากว่าเขาจะดึงตัวทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนยังไง สี่ตำแหน่งโหวอย่างมากก็เท่ากับสองตำแหน่งเทพประจำดาว ขนาดประมุขชิงยังอยากได้ แล้วมีหรือที่สี่ตระกูลนั้นจะนิ่งดูดายเล่นตามกติกา? จะต้องเล่นไม่ซื่อเบื้องหลังแน่นอน”

เว่ยซูครุ่นคิด “ตอนนี้ทำให้คนรู้กันหมดแล้ว ถ้าการเดิมพันไม่ทำให้ประมุขชิงได้เปรียบ ด้วยนิสัยรักศักดิ์ศรีอย่างประมุขชิง เกรงว่าชีวิตของหนิวโหย่วเต๋อคงจะไม่มีค่าไปกว่าหน้าตาศักดิ์ศรีของประมุขชิง หนิวโหย่วเต๋อคงต้องกังวลเรื่องชีวิตตัวเองแล้ว”

เซี่ยโห้วท่าพยักหน้าเบาๆ

“หรูอี้ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”

บนตึกศาลาในจวนท่านโหวของจ้านผิงที่อุทยานหลวง จ้านหรูอี้ที่แต่งกายหรูหรางดงามมองไปทางสวนกลางเขียวขจีด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น อิ๋งลั่วหวนที่เดินขึ้นมาข้างบนเตือนลูกสาวเบาๆ ประมุขชิงไม่ได้สั่งให้จ้านหรูอี้อยู่ต่อ แต่ทางตำหนักนารีสวรรค์ส่งข่าวมาเตือนแล้ว บอกว่างานเลี้ยงจบเลี้ยง นี่คือการเร่งให้จากไป

ดาวเทียนหยวน ตำหนักคุ้มเมือง ฝูชิงที่ยืนพิงระเบียงอยู่บนตึกสูงเงียบงันอยู่นานมาก ยืนอยู่ตรงนั้นหนึ่งวันเต็มๆ

ในคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่อยู่ในป่าโบราณหุบเขาลึก สวีถังหรานกำลังเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ข้างใน สีหน้าคร่ำเครียดหม่นหมอง เกิดข้อเปรียบเทียบชัดเจนกับแปลงดอกไม้ที่งดงามดุจลายผ้าแพรรอบกาย

สตรีที่งามเย้ายวนสองคนเดินออกมาจากประตูพระจันทร์ เมื่อเห็นสวีถังหรานเดินไปเดินมา ทั้งสองก็รีบเข้ามาปลอบใจ หนึ่งในนั้นกอดแขนแล้วลูบไล้หน้าอก อีกคนกล่าวด้วยเสียงออดอ้อน “นายท่านอารมณ์ไม่ดีเหรอคะ? เดี๋ยวข้าจะช่วยผ่อนคลาย…”

“ไปตายทางนั้นไป!” สวีถังหรานตะคอก แล้วตบซ้ายตบขวา มีเสียงกรีดร้องดังสองครั้ง ร่างสองร่างกระเด็นออกไปทางซ้ายและขวา หนึ่งคนกระแทกกำแพงจนศีรษะแยก อีกคนชนอ่างดอกไม้จนร่างเละ ผู้หญิงที่เป็นมนุษย์ธรมดาสองคนจะทนไม้ทนมือเขาได้อย่างไร

เงาคนคนหนึ่งถลันเข้ามาจากด้านนอก หวงเสี้ยวเทียนวิ่งเข้ามาเพราะตกใจเสียงกรีดร้อง เมื่อเห็นสาวงามที่เมื่อครู่นี้เพิ่งหัวเราะคิกคักตัวติดกับสวีถังหรานตายอนาถ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกงง นี่คือคนที่เขาตั้งใจเลือกมาปรนนิบัติสวีถังหราน นึกไม่ถึงว่าจะเล่นเสียของอย่างนี้

ขณะมองสวีถังหรานเดินไปเดินมาอย่างร้อนรน หวงเสี้ยวเทียนก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “นายท่าน นี่คือ?”

สวีถังหรานทีเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาหยุดฝีเท้า แล้วถามว่า “เรื่องพระตำหนักอุทยานของตำหนักสวรรค์ยังมีข่าวอะไรตามมาอีกมั้ย?” เขาอยู่ที่นี่ได้ยินข่าวเหมียวอี้ที่พระตำหนักอุทยานแล้ว

นี่เป็นนางโลมคนที่เท่าไรแล้ว หวงเสี้ยวเทียนยิ้มเจื่อน “ตอนนี้ก็เป็นอย่างนี้ ข่าวที่ได้จากข้างนอกก็มีแค่เท่านี้ ยังไม่มีข่าวใหม่อะไร”

ดังนั้นสวีถังหรานจึงเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายอีก เขากับหยางเจาชิงมีควมคิดแตกต่างกัน เพราะเขาถูกกดดันจนร้อนรน เขานึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะไปก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นที่วังสวรรค์ นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะออกรบเท้าเปล่าเพื่อการรับสมัครคน เขาคิดว่าเหมียวอี้ขาดความเชื่อมั่นให้ตัวเขาสวีถังหราน เรียกได้ว่าหมดหวังกับสวีถังหรานจริงๆ!

ในอากาศเริ่มมีกลิ่นคาวเลือดโชยออกมา “กรรร…” จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเสือคำรามมาจากที่ไกลๆ สวีถังหรานหยุดเดินอีกครั้ง เอียงหน้ามองไปทางจุดที่มีเสียงเสือดังมา แล้วชี้ไปทางนั้น “ไป จับเสือดุตัวนั้นมาให้ข้า แล้วส่งไปที่คุกใต้ดิน เอาแบบตัวเป็นๆ ถ้าทำตายแล้ว ข้าจะปลิดชีวิตเจ้า” พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป

“…” หวงเสี้ยวเทียนอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าเจ้าคนประสาทนี่เป็นบ้าอะไรอีก แต่ก็ไม่มีทางเลือด ทำได้เพียงไปจัดการตามที่สั่ง

คฤหาสน์สร้างอิงภูเขา ข้างในมีทางใต้ดินผ่านไหล่เขาด้านหลังคฤหาสน์ บนผนังฝังไข่มุกราตรีที่เปล่งแสงอ่อนละมุนหลายเม็ด ตรงจุดที่ลึกที่สุดของไหล่เขาคือคุกใต้ดินที่สร้างขึ้นมาส่วนตัว ในคุกที่แยกสองฝั่งมีคนหลายสิบคน มีทั้งชายหญิงทั้งเด็กทั้งคนชรา ขังไว้ห้องละสามถึงห้าคน หรือไม่ก็ห้องละห้าหกคน และบนแท่นทรมานนอกคุกก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งถูกมัดทั้งแขนทั้งขา ปล่อยผมก้มหน้า ถูกทรมานจนสภาพสะบักสะบอมเลือดไหล จะเห็นได้ว่าถูกทรมานมานานแล้ว

สวีถังหรานเดินก้าวยาวเข้ามา ในคุกสองฝั่งมีเสียงสะอื้นเบาๆ ดังเป็นระยะ สวีถังหรานไม่แยแส เดินมาหน้าแท่นทรมาน กระชากผมชายหนุ่มคนนั้นขึ้นมา “เจ้าเซ่สวี ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ลูกชายผู้นำของพวกเจ้าซ่อนตัวอยู่ที่ไหน?”

ชายหนุ่มอ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือด หอบหายใจพร้อมตอบว่า “ข้าบอกไปหลายรอบแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาผู้นำของข้าไม่เคยชอบผู้หญิง จนถึงวันนี้ก็ยังไม่แต่งงาน จะไปมีลูกชายจากไหน”

สวีถังหรานคว้าผมเขาแล้วผลักอยู่พักหนึ่ง “พูดเหลวไหลกับพ่อให้มันน้อยๆ หน่อย เรื่องที่ไม่มีเงา ข้าจะตามเจ้าเจอได้ยังไง? ตามที่ข้ารู้มา เมียที่ฉู่อันเทียนแอบแต่งงานด้วยกับลูกชาย เจ้าเป็นคนจัดหาที่ซ่อนให้เอง บอกมา ซ่อนอยู่ที่ไหน?”

“ไม่ต้องสิ้นเปลืองความคิด จะฆ่าจะแล่ก็เชิญท่านตามสะดวก” ชายหนุ่มตอบ

สวีถังหรานโบกมือชี้เด็กสตรีและคนชราในคุกสองฝั่ง “เพื่อผู้นำตูดหมาของเจ้าคนเดียว ควรค่าให้ลากทั้งครอบครัวมาซวยด้วยเหรอ?”

ชายหนุ่มเหล่ตามอง แล้วหัวเราะแห้งๆ “อย่ามาใช้ลูกไม้นี้กับข้า ถ้าข้าบอกไป เกรงว่าพวกเขาคงจะตายเร็วกว่าเดิม”

“หึ!” สวีถังหรานปล่อยเขา หัวเราะประชดด้วยความโมโห ปรบมือสองสามทีแล้วยกนิ้วหัวแม่มือพร้อมเอ่ยชม “ข้าชื่นชมคนที่จงรักภักดีต่อเจ้านายที่สุดแล้ว เจ้ากล้าหาญ! แล้วข้าก็ชอบเล่นกับคนอย่างเจ้าที่สุดด้วย ชอบชั่งกระดูกเจ้าว่าจะแข็งสักแค่ไหน!” พูดจบก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา ดูจากสีหน้าแล้วเห็นได้ชัดว่าโมโหแทบทนไม่ไหว

ผ่านไปไม่นาน หวงเสี้ยวเทียนก็มาแล้ว พอเข้ามาใกล้ตรงหน้าแล้วโบกมือ ก็โยนเสือโคร่งตัวใหญ่ตัวหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสัตว์ เป็นตัวเป็นๆ อย่างที่สวีถังหรานบอกจริงๆ ด้วย พอโยนออกมานิสัยสัตว์ร้ายก็ปะทุทันที มันกระโจนไปหาสวีถังหรานโดยตรง

สวีถังหรานใช้มือคว้าเอาไว้ บีบคอมันเอาไว้ราวกับเป็นแมวตัวหนึ่ง แล้วก็ลากไปกับพื้น กรงเล็บทั้งสี่ของเสือดุต้านพื้นจนเกิดรอยวาดออกมา

พอเดินไปถึงประตูคุกห้องหนึ่ง สวีถังหรานก็โบกมือ “เปิดประตู!”

หวงเสี้ยวเทียนเปิดประตูคุกด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว ผู้หญิงหลายคนในคุกตกใจจนร้องไห้กอดกันกลม ชายหนุ่มที่โดนมัดอยู่บนแท่นทรมานดิ้นรนดึงโซ่ พลางคำรามถามอย่างเดือดดาล “เจ้าจะทำอะไร?”

ทำอะไรงั้นเหรอ? สวีถังหรานโยนเสือดุลายพร้อยตัวนั้นเข้าไปในคุกเสียเลย แล้วก็ปิดประตูคุกไว้

“กรรร…” ในคุกมีเสียงเสือดุร้ายคำราม มันเริ่มหมอบหัวไปทางผู้หญิงพวกนั้น จากนั้นก็กระโจนเข้าใส่กลุ่มคนพร้อมกลิ่นคาวเลือดทันที กลิ่นคาวเลือดของฉากนั้นโหดร้ายจนทำให้คนทนมองตรงๆ ไม่ไหว เสียงร้องโอดครวญขอชีวิตอย่างเศร้ารันทดของผู้หญิงพวกนั้นดังก้องอยู่ในคุกใต้ดิน

“หยุดนะ! หยุดนะ…” ชายหนุ่มบนแท่นทรมานร้องตะโกนจนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด

ใช้เวลาไม่นาน พวกผู้หญิงที่อยู่ในคุกก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว เหลือแต่เลือดนองเต็มพื้น สวีถังหรานผลักประตูคุกออก กางนิ้วทั้งห้าดูดเสือร้ายที่กำลังกัดเคี้ยวออกมา ดึงไปที่ประตูคุกห้องถัดไป แล้วตะโกนว่า “เปิดประตู!”

ถึงแม้หวงเสี้ยวเทียนจะเป็นปีศาจสิงโตตัวหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็กลายร่างเป็นคนมาหลายปีแล้ว คุ้นเคยกับวิธีคิดของคนแล้ว แต่เมื่อเห็นฉากสอบสวนคนเป็นๆ แบบนี้ก็ตัวสั่นอยู่บ้าง เขามองสวีถังหรานเหมือนมองสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ราวกับว่าสวีถังหรานเป็นปีศาจแล้วเขาเป็นมนุษย์อย่างนั้นแหละ แต่เขาก็ยังเปิดประตูให้ตามคำสั่ง

“ท่านพ่อ! ช่วยข้าด้วย…” เด็กน้อยที่ถูกชายชราอุ้มเห็นเสือร้ายเข้ามาใกล้ประตู จึงกรีดร้องอย่างสะเทือนขวัญ

สวีถังหรานเพิ่งจะปล่อยเสือเขาคุก ชายที่ถูกมัดอยู่บนแท่นทรมานก็ร้องอย่างเศร้าโศก “หยุด! ข้าบอกก็ได้! ไอ้เดรัจฉาน หยุดนะ ข้าบอกแล้ว…”

ตอนที่เสือร้ายกำลังจะแผลงฤทธิ์ สวีถังหรานก็กางนิ้วดูดมันออกมาอีก ในคุกสองฝั่งมีเสียงร้องตกใจดังเป็นแถบ บางคนในคุกตกใจจนปัสสาวะราด บางคนตกใจจนไม่กล้ามองตรงๆ บางคนถึงขนาดเป็นลมไปเลยก็มี

พอโยนเสือโคร่งลายพร้อยให้หวงเสี้ยวเทียน สวีถังหรานก็เดินก้าวยาวไปหน้าแท่นทรมาน จากนั้นลูบผมชายหนุ่มอย่างอ่อนโยนมาก กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “พูดมาตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว จะลำบากไปทำไมล่ะ ทุกคนออกมาทำงานก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จริงข้าก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอก ข้าเองก็นับถือในความจงรักภักดีของเจ้ามาก ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา เจ้าจะเลือกทั้งความกตัญญูทั้งความจงรักภักดีไม่ได้หรอก ต้องให้เจ้าเลือกสักอย่างอยู่แล้ว ล้วนเป็นเจ้าที่บีบข้าทั้งนั้น”

ชายหนุ่มร้องไห้น้ำตานองหน้า “ข้าบอกแล้วเจ้าจะปล่อยพวกเขาไปหรือไง?”

สวีถังหรานตอบอย่างไร้ยางอายมาก “ถ้าเจ้าพูดตั้งแต่แรก ข้าจะปล่อยพวกเขาไปแน่นอน ทั้งยังจะปล่อยเจ้าไปพร้อมกันด้วย ตอนหลังเจ้ากับข้าจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมากแน่ๆ แต่ตอนนี้มือข้าเปื้อนเลือดแล้ว ถ้าปล่อยพวกเขาไป ในอนาคตพวกเขาก็จะมาล้างแค้นข้าน่ะสิ ถ้าจะพูดให้ถูก พวกเขาถูกทำร้ายเพราะเจ้านั่นแหละ เจ้ารู้สึกผิดบ้างมั้ยล่ะ? เจ้าให้พวกเขามีจุดจบที่สบายเถอะ แน่นอน ข้าเองก็ไม่ใช่คนไร้ความเมตตาปรานี อย่างน้อยก็จะทำให้พวกเขาไปสบาย ให้พวกเขาหลับยาวโดยไม่เจ็บปวดอะไรอีก เจ้าคิดว่าดีมั้ย?” เขาหยิบขวดหยกใบเล็กออกมาแกว่งไปแกว่งมาตรงหน้าชายหนุ่ม ให้เลือกเอาเอง สรุปก็คือไม่ให้ทางรอดชีวิตแล้ว

ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างคับแค้น “เจ้าเป็นใครกันแน่?”

สวีถังหรานตอบว่า “อย่านอกเรื่องไปไกล เจ้าปั่นหัวข้ามานานเกินไปแล้ว เจ้าทำให้ข้าหมดความอดทนแล้ว” พูดจบก็หันหน้าไป ทำท่าจะจับเสืออีก

“ข้าบอกแล้ว…” ชายหนุ่มร่ำไห้แล้วก้มหน้า เขาแทบสติแตกแล้ว

…………………………

แม่เฒ่าลวี่เงียบไปอีกพักหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ถอนหายใจ “พอพูดแบบนี้ ข้าก็ว่าข้าถูกเจ้าเด็กนั้นหลอกใช้แล้วจริงๆ หึหึ จากที่ข้าดูนะ นางหนูเฟยหงนั่นช่างชะตาลำเค็ญนัก อยู่ทางนั้นถูกหนิวโหย่วเต๋อปิดบังหลอกใช้ อยู่ถวายชีวิตรับใช้เจ้าทางนี้ก็ยังต้องทนรับความหวาดระแวงจากเจ้าอีก หากเจ้าไม่เชื่อ จะฆ่าทิ้งเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว ทำไมต้องมาอ้อมค้อมไม่รู้จับจักสิ้น เจ้าเหนื่อยบ้างหรือเปล่า”

ซือหม่าเวิ่นเทียนส่ายหน้าหัวเราะเยาะ “พูดแบบนี้ แสดงว่าพี่หญิงลวี่ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติอะไรใช่มั้ย?”

แม่เฒ่าลวี่โบกมือ “ไม่เห็นความผิดปกติอะไรหรอก ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้ว่าทางพระตำหนักอุทยานเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ตอนนี้พอได้ยินเจ้าบอก ข้าถึงแน่ใจว่านางหนูนั่นถูกหนิวโหย่วเต๋อหลอกใช้แล้ว ท่านทูตซ้าย ผู้ชายอย่างพวกเจ้ารู้สึกว่าผู้หญิงน่ารังแกหมดเลยใช่มั้ย?”

“เหอะๆ! เหอะๆ…” คำถามนี้เหมือนจะทำให้ซือหม่าเวิ่นเทียนเก้อเขินนิดหน่อย เขาเอามือลูบจมูก “พี่หญิงลวี่พูดเกินไปแล้ว”

แม่เฒ่าลวี่มองประเมินเขาศีรษะจดเท้า “นางหนูเฟยหงนั่นเป็นเด็กดีแท้ๆ แต่เจ้าจับนางยัดไปเป็นอนุภรรยาหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อหลอกใช้นางเหมือนเป็นของเล่น เกรงว่าเจ้าคงทำเรื่องพรรค์ไว้ไม่น้อยเลยล่ะสิ? ท่านทูตซ้าย เรื่องขาดคุณธรรมน่ะอย่าทำเยอะนัก ระวังกรรมจะตามสนอง”

ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มแห้ง “ใต้หล้าของฝ่าบาทใหญ่ขนาดนี้ เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องมีคนไปทำให้”

แม่เฒ่าลวี่ทำเสียงฮึดฮัด “เจ้าไม่ต้องอ้างเขามาข่มข้า ข้าแค่เฝ้าสวนของข้าไป ต่อไปนี้อย่าเอาเรื่องวุ่นวายอย่างนี้มาทำให้ข้าสะอิดสะเอียดเยอะนักล่ะ ถ้าทูตซ้ายไม่มีอะไรจะกำชับแล้ว ข้าขอตัวก่อนได้หรือเปล่า?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มเจื่อน กุมหมัดคารวะส่ง จนกระทั่งแม่เฒ่าลวี่เหาะขึ้นฟ้าหายไปแล้ว เขาถึงได้ส่ายหน้าด้วยความปลง “พี่หญิงเฒ่าเอ๊ย ทำไมท่านต้องลำบากล่ะ…”

สวนกลางเขียวขจี เฟยหงที่ไม่ได้ออกไปนานกลับเข้ามาในโพรงไม้แล้ว เหมียวอี้ที่นอนหมอบอยู่บนเตียงเตี้ยเอียงหน้ามองแวบหนึ่ง เห็นเฟยหงตาสองข้างแดงก่ำ จึงอดไม่ได้ที่จะตกใจ ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เป็นอะไรไป? หน่วยตรวจการซ้ายไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่มั้ย?”

เฟยหงได้รับข่าวจากผู้บังคับบัญชาให้ไปพบ เรื่องนี้เขาก็รู้ เขาเองก็กังวลว่าเฟยหงอาจจะมีอันตรายอะไร แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ เขาเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ทำให้เพียงให้เฟยหงไปเสี่ยงอันตรายคนเดียว ในระหว่างนี้เขากังวลอยู่ตลอด

เฟยหงส่ายหน้า นั่งยองๆ ข้างเขา จับฝ่ามือเขามาแนบใบหน้าตัวเองเพื่อหาที่ปลอบใจ พร้อมถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ข้าไปพบซือหม่าเวิ่นเทียนมาแล้ว”

“หา!” เหมียวอี้ตกใจทันที เขาเองก็เคยเจอซือหม่าเวิ่นเทียนที่อุทยานหลวงมาแล้ว แต่ไม่เคยคุยกันเลย ในภาพจำของเขา อีกฝ่ายเป็นคนลึกล้ำพูดน้อยคนหนึ่ง แต่กลับเคยได้ยินข่าวลือเรื่องความน่ากลัวของคนคนนี้มาไม่น้อย ในข่าวลือบอกว่าเขาเป็นตัวละครที่เหมือนงูพิษและหมาป่าชั่วร้าย ทำให้คนที่เห็นรู้สึกสยองไม่กล้าเข้าใกล้โดยจิตใต้สำนึก

เฟยหงกล่าวด้วยแววตาเศร้าโศกไร้ที่สิ้นสุด แทบจะร้องสะอื้นแล้ว “ข้ายังได้เจอท่านแม่ของข้าด้วย”

“…” เหมียวอี้ตะลึงงัน “มีเรื่องอะไรกันแน่?”

เฟยหงเล่าเรื่องที่ตัวเองได้พบกับซือหม่าเวิ่นเทียนและมารดาให้ฟังทันที แต่จนใจที่หน่วยตรวจการซ้ายไม่ให้นางกับมารดาอยู่ด้วยกันนานเกินไป จึงพามารดานางกลับไปแล้ว

เหมียวอี้ได้ยินแล้วก็วางใจ ขณะเดียวกันก็พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เขาย่อมเคยได้ยินเฟยหงบอกมาก่อน ว่านางถูกหน่วยตรวจการซ้ายจับแยกกับมารดาตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อจะใช้สิ่งนี้เป็นจุดอ่อนในการบีบให้ทำงานให้ เขาลูบใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกของเฟยหง “ขอเพียงแน่ใจว่แม่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ดีแล้ว ถ้ามีโอกาสข้าจะต้องคิดหาทางช่วยแม่เจ้าออกมาแน่นอน ตอนนี้นางเป็นยังไงบ้าง?”

เฟยหงน้ำตาไหลอย่างเจ็บปวด “ท่านชราลงไม่น้อย น่าจะได้รับความทุกข์ทรมานมามาก ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวจะส่งผลกับความปลอดภัยของข้า เกรงว่าท่านแม่คงจบชีวิตตามท่านพ่อไปแล้ว”

เหมียวอี้พอจะจินตนาการออกถึงสภาพจิตใจของสองแม่ลูก เดิมทีเป็นสตรีที่สูงส่ง ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ร่ำรวยมีหน้ามีตาไร้ที่เปรียบ แต่กลับตกต่ำกลายเป็นนักโทษมาหลายปี เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แค่คิดก็รู้ถึงสถานการณ์ของนางแล้ว “เฟยหง อย่าเศร้าไปเลย เจ้าไม่ได้ถือโอกาสถามแม่เจ้าสักหน่อยเหรอว่าถูกขังไว้ที่ไหน?”

เมื่อเห็นว่าตอนนี้เขายังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด เฟยหงก็ซาบซึ้งใจมาก แสดงว่าผู้ชายคนนี้คิดจะช่วยชีวิตพวกนางสองแม่ลูกจริงๆ นางพยักหน้าบอกว่า “ข้าถามแล้วค่ะ ท่านแม่บอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าถูกขังไว้ที่ไหน รู้เพียงว่าทำงานอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งมาเป็นเวลานาน เหมือนจะเป็นสถานที่หลอมของวิเศษ ตามที่ท่านแม่คาดเดา ท่านสงสัยว่าตัวเองอาจถูกขังอยู่ในสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ค่ะ”

สถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เหรอ? เหมียวอี้ตกใจอีกครั้ง “ทำไมแม่เจ้าถึงคิดว่าตัวเองโดนขังอยู่ที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์?”

เฟยหงตอบว่า “ข้าก็ถามอย่างนี้เหมือนกัน ท่านแม่ไม่มีหลักฐานอะไร แต่ท่านแม่รู้ว่าในมือประมุขชิงมีช่องทางลับที่ใช้หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ สถานที่หลอมของวิเศษเก็บเป็นความลับมาตลอด แล้วนางก็บอกว่าสถานที่กักขังนางเป็นสถานที่หลอมของวิเศษขนาดใหญ่มากพอดี คนที่ใช้แรงงานอยู่ที่นั่นส่วนใหญ่เป็นคนในครอบครัวขุนนางที่ถูกยึดทรัพย์ ในจำนวนนั้นมีคนที่ท่านแม่รู้จักด้วย เดิมทีนึกว่าคนตายไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะไปโผล่อยู่ที่นั่น นางเองก็นับเป็นผู้หญิงที่มีประสบการณ์ความรู้ แต่นางงงที่แยกไม่ออกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ นางจึงสงสัยว่าตัวเองถูกขังอยู่ในสถานที่ลับหลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์”

“แบบนี้…” เหมียวอี้ครุ่นคิดเงียบๆ รู้สึกว่าสิ่งที่มารดาเฟยหงคาดเดาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ในใจรู้สึกปลงอนิจจัง ดูท่าแล้วการที่นางเป็นฮูหยินของเทพประจำดาวจะไม่สูญเปล่า เป็นคนที่มีประสบการณ์ความรู้จริงๆ เขาพูดปลอบใจ “เบาะแสที่แม่เจ้าบอกสำคัญมาก อย่างน้อยก็ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนที่หาเบาะแสไม่เจอเลย เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะหาคนไปสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ ยังมีเบาะแสอื่นเกี่ยวกับที่อยู่ของแม่เจ้าหรือเปล่า?” บอกเพียงทิศทางเท่านั้น เบาะแสยังน้อยไปหน่อย

เฟยหงส่ายหน้า “หน่วยตรวจการซ้ายให้เวลาน้อยเกินไป ไม่ยอมให้พวกเราสองแม่ลูกคุยกันเยอะเท่าไร ก็พาแม่ข้าไปแล้ว จากนั้นข้าก็กลับมาพบซือหม่าเวิ่นเทียนอีก ซือหม่าเวิ่นเทียนบอกให้ข้าทำงานให้ดี บอกว่าจะให้ท่านแม่ทำงานน้อยๆ จะหางานสบายให้ท่านแม่ทำ รอให้ข้าทำงานสะสมครอบแล้ว ก็จะให้ข้ากับแม่อยู่ด้วยกัน”

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี รู้สึกหนักหน่วงในอารมณ์ ยังไม่ต้องพูดถึงสาเหตุอื่น ถ้ามารดาของเฟยหงใช้แรงงานอยู่ในสถานที่หลอมสร้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จริง เกรงว่าหน่วยตรวจการซ้ายก็ยิ่งปล่อยมารดานางไปไม่ได้ จะต้องใประโยชน์จากสองแม่ลูกจนแห้งเหี่ยวแน่นอน แต่จนใจที่เขาไม่สะดวกจะพูดให้สะเทือนใจเฟยหง

สรุปก็คือไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ครั้งนี้ก็อาจจะจับพลัดจับผลูช่วยเหลือเฟยหงได้ ให้สองแม่ลูกที่ไม่พบกันหลายปีมาเจอหน้ากัน อย่างน้อยก็ทำให้รู้เบาะแสเกี่ยวกับที่อยู่มารดาของเฟยหงบ้างแล้วนิดหน่อย ถึงแม้อาจจะไม่ถูกต้องแม่นยำก็ตาม

มีอยู่อีกจุดที่เหมียวอี้ค่อนข้างนับถือเฟยหง นั่นก็คือใช้เวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ แต่ก็ยังรู้จักสืบที่อยู่ของมารดาแข่งกับเวลา ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปที่สนใจแต่อารมณ์อาลัยที่แยกจากกันไปนาน สมกับเป็นสายลับที่ผ่านการฝึกจากหน่วยตรวจการซ้าย

ตอนนี้เขาแปลกใจนิดหน่อยว่าอวิ๋นจือชิวสยบเฟยหงได้อย่างไร

วันต่อมา เอ๋อเหมย หญิงรับใช้ข้างกายราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็มาแล้ว มาที่สวนกลางเขียวขจีเพื่อเยี่ยมเหมียวอี้ด้วยตัวเอง หลังจากกล่าวให้กำลังใจแล้ว ก็บอกว่าราชินีสวรรค์ชื่นชมเขามาก ให้เขาตั้งใจทำงานให้ดี และประทานยาวิเศษกับทรัพย์สินให้เป็นกอง

ส่วนอาการบาดเจ็บของเหมียวอี้ก็ทำให้ไม่สะดวกจะออกจากสวนกลางเขียวขจีภายในสองสามวัน ทำได้เพียงอยู่ที่นี่สักระยะ หลังจากอาการบรรเทาแล้วก็ติดต่อไปบอกอวิ๋นจือชิวว่าตัวเองยังสบายดี ไม่ได้บอกว่าตัวเองโดนทำโทษรุนแรง บอกเพียงว่าจะพักอยู่ที่นั่นสักระยะแล้วค่อยกลับ ขณะเดียวกันก็ติดต่อไปบอกหยางชิ่งว่าจัดการเรื่องนี้สำเร็จแล้ว

ทว่าสิ่งที่ทำให้เหมียวอี้นึกไม่ถึงก็คือ เรื่องเดิมพันที่พระตำหนักอุทยานแพร่ออกไปทั่วใต้หล้าในเวลาเพียงไม่กี่วัน ถึงแม้จะไม่กล้าแพร่ข่าวอย่างโจ่งแจ้งเพราะเกี่ยวกับตำหนักสวรรค์ แต่กลับแพร่ข่าวอย่างลับๆ ได้เร็วเร็วมาก ท่านขุนนางหนิวชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าอีกแล้ว

ตลาดผี อวิ๋นจือชิวที่อุดอู้อยู่ในห้องนั่งหวีผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองใบหน้าตัวเองในกระจกที่มีคราบน้ำตาไหลอาบแก้มเงียบๆ สีหน้าโศกสลด ตอนนี้นางเพิ่งจะรู้ว่าทำไมเหมียวอี้ถึงยังไม่รีบกลับมา ที่แท้เป็นเพราะถูกแส้เฆี่ยนทำโทษที่พระตำหนักอุทยาน เขาปิดบังไว้เพราะไม่อยากให้นางกังวลใจ

ตอนนี้นางเพิ่งจะรู้ว่าเหมียวอี้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงเพียงลำพัง เผชิญหน้ากับการรุมกลั่นแกล้ง ตัวอยู่ในบ่อมังกรถ้ำเสือ แต่กลับอาศัยร่างกายอันอ่อนแอต่ำต้อยเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่มีกลุ่มผู้แข็งแกร่งล้อมรอบ อาศัยความสุขุมสงบนิ่งไปเผชิญหน้าบนราชสำนักอย่างฮึกเหิมเร่าร้อน มองความตายเหมือนการกลับสู้มาตุภูมิ สุดท้ายก็พาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ถอยกลับไม่ได้ ฝ่าฟันเพื่อวันพรุ่งนี้ที่สว่างสดใส

สมกับเป็นชายชาตรีแท้ๆ ชาตินี้ได้แต่งงานกับผู้ชายแบบนี้ ทั้งชีวิตก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ในดวงตาอวิ๋นจือชิวฉายแววภาคภูมิใจ แต่พอนึกถึงสองบ่าเล็กๆ ของเหมียวอี้ที่แบกรับสถานการณ์เสี่ยงตายทุกอย่างไว้เพียงลำพัง นางก็รู้สึกใจสลายแล้ว!

หลินผิงผิงมองหยางเจาชิงที่ยืนเงียบอยู่ริมหน้าต่าง เขายืนอยู่อย่างนี้มานานแล้ว สีหน้าตึงเครียดตลอดเวลา ตั้งแต่ได้ยินข่าวท่านแม่ทัพภาคที่พระตำหนักอุทยาน เขาก็ยืนอย่างนี้มาตลอดยังไม่พูดอะไรสักคำ

เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีการที่ดี หลินผิงผิงเดินมาจับแขนเขาเบาๆ แล้วกล่าวปลอบใจเสียงเบา “ไม่ต้องห่วงหรอก ขนาดด่านอันตรายอย่างนั้นยังผ่านมาได้ ท่านแม่ทัพภาคไม่เป็นอะไรหรอก”

หยางเจาชิงทำสีหน้ามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว หันมามองนาง แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “นายท่านเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง ชาตินี้ได้ติดตามรับใช้นายท่านนับเป็นโชคดีของหยาง!”

หลินผิงผิงพยักหน้าเบาๆ แล้วซบไหล่เขาพลางถอนหายใจ นางเองก็จินตนาการไม่ออก สถานที่อย่างราชสำนัก คาดว่าคนมากมายที่เข้าไปคงตกใจจนขาอ่อนปวกเปียก แต่ท่านนั้นกล้าโต้เถียงอย่างเหิมเกริมต่อหน้าขุนนางเต็มราชสำนัก เป็นลักษณะที่ทำให้คนทึ่งจริงๆ

คนที่ยืนริมหน้าต่างในจวนแม่ทัพภาคยังมีมู่หรงซิงหัวอีกคน นางจ้องนอกหน้าต่างนานมาก ถอนหายใจเบาๆ เช่นกัน ลักษณะท่าทางแฝงอารมณ์ที่ซับซ้อนไร้ที่เปรียบ ตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าเมาหัวราน้ำกับท้อแท้ในชีวิตเป็นเพียงการอดทนเท่านั้น เพียงเพื่อจะสร้างเสียงฮือฮาในวันนี้

ในตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านที่นั่งหลังโต๊ะยาวถือแผ่นหยกอ่านซ้ำไปซ้ำมา ถ้าเทียบกับข่าวลือด้านนอก เขามีปัจจัยที่ทำให้รู้สถานการณ์ในพระตำหนักอุทยานละเอียดยิ่งกว่า ในมือกำลังถือบันทึกเหตุการณ์ของเหมียวอี้ที่พระตำหนักอุทยานโดยละเอียด ทุกคำพูดและการกระทำไม่ตกหล่นสักอย่าง

สุดท้ายก็กดแผ่นหยกบนโต๊ะยาว ถอนหายใจใส่ชีเจวี๋ยที่ยืนรออยู่ข้างๆ “บ่มแสงไว้ในความมืด แค่ไม่เปล่งเสียงร้องเท่านั้นเอง พอเปล่งเสียงก็ทำให้คนแตกตื่น เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่สัตว์เล็กในบ่อน้ำ หากสามารถผ่านเคราะห์หนักได้ครั้งแล้วครั้งเล่า จะต้องทะยานขึ้นสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแน่นอน!” พูดจบก็หลับตา แล้วส่ายหน้าช้าๆ พลางยิ้มเจื่อน

“บางทีเขาอาจจะมีหกลัทธิวางแผนอยู่เบื้องหลัง!” ชีเจวี๋ยกล่าว

เฉาหม่านหลับตาพลางทำเสียงฮึดฮัด “หกลัทธิมีคนวางแผนเก่ง แต่คนที่สามารถวางแผนลับอย่างนี้ได้ เหมือนข้าจะไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่างน้อยในบรรดาข้อมูลสมาชิกที่พวกเรามีก็ยังไม่มีใครที่เชี่ยวชาญวิธีพลิกเมฆคว่ำฝนโดยการใช้ไม้อ่อนไม้แข็งควบกันอย่างนี้ นอกเสียจากหกลัทธิจะมีตัวละครที่ผงาดขึ้นใหม่แต่พวกเรายังไม่รู้จัก”

…………………………

เรียกได้ว่านางรู้สึกกลัวซือหม่าเวิ่นเทียนจนฝังลึกถึงกระดูก ปมความหวาดกลัวที่ยากจะลบเลือนนั้นมาจากในปีนั้นที่พวกนางสองแม่ลูกฟื้นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองถูกขังอยู่ในกรง และในช่องว่างใต้ดินอันมืดมิด ภายใต้แสงสลัวจากโคมไฟ ซือหม่าเวิ่นเทียนยืนจ้องพวกนางสองแม่ลูกอย่างเย็นเยียบอยู่บนแท่นบันไดสูง สีหน้าภายใต้แสงไฟที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างนั้นเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ราวกับมองดูมดตัวเล็กๆ สองตัว

เมื่อเห็นซือหม่าเวิ่นเทียน สองแม่ลูกก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว พวกนางหวาดกลัวถึงขั้นตัวสั่น โผเข้าเกาะกรงขังพร้อมตะโกนอย่างเดือดดาลสุดชีวิตว่าขอพบฝ่าบาท จากนั้นก็ร้องไห้คร่ำครวญวิงวอนให้ปล่อยพวกนางสองแม่ลูกไป แต่ก็ไร้ประโยชน์ ตะโกนจนคอแตกก็ไม่ประโยชน์ ซือหม่าเวิ่นเทียนได้แต่ยืนมองลงมาที่สองแม่ลูกอย่างเย็นชา ไม่สะทกสะท้าน แล้วสุดท้ายก็หันตัวลอยจากไป สิ่งนั้นได้ตัดสินชะตากรรมของพวกนางสองคนแล้วเช่นนั้น ฉากนั้นกลายเป็นฝันร้ายที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกนางจริงๆ

ร่างของเฟยหงยืนทื่ออยู่กับที่ ไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปหรือจากไปเงียบๆ

“มาแล้วเหรอ” เสียงของซือหม่าเวิ่นเทียนทำลายความเงียบในหุบเขา สายตาย้ายออกจากม้วนหนังสือ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบ “เป็นข้าเองที่สั่งให้ผู้บังคับบัญชาของเจ้าเรียกเจ้ามา”

เฟยหงรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้าทันที คุกเข่าอย่างค่อนข้างประหม่า ใช้มือข้างเดียวยันพื้น ใช้ธรรมเนียมการคารวะผู้บังคับบัญชาของหน่วยตรวจการซ้ายก้มหน้าทำความเคารพเขา “คารวะท่านทูตซ้าย!”

ตอนนี้ซือหม่าเวิ่นเทียนถึงได้ย้ายสายตาออกจากตัวนาง เก็บหนังสือในมือ ยืนขึ้นแล้วเดินเหยียบหินกลมเข้ามาตรงหน้าเฟยหงที่กำลังก้มหน้า ก้มมองต่ำลงมาที่นางพร้อมกล่าวว่า “ไม่ต้องมากพิธี ยืนขึ้นเถอะ”

เฟยหงยืนขึ้นช้าๆ ด้วยความกังวลใจสุดขีด ไม่กล้าเงยหน้ามองเขาตรงๆ

ซือหม่าเวิ่นเทียนยื่นมือจับคางของนาง เชิดใบหน้ารูปไข่ของนางขึ้นมาอย่างช้าๆ เขารู้สึกได้ว่านางตัวสั่นเล็กน้อยอย่างควบคุมได้ยากเพราะความหวาดกลัว ในดวงตาเขาจึงฉายรอยยิ้มอ่อนโยนใจเย็น “ไม่ต้องประหม่า ตอนเด็กข้าก็เคยอุ้มเจ้ามาก่อน เจ้าอาจจะจำไม่ได้แล้ว”

ถึงแม้บนใบหน้าจะเจือด้วยรอยยิ้ม พูดเรื่องอ่อนโยนในอดีต แต่สำหรับเฟยหงแล้ว นางกลับรู้สึกเหมือนมองเห็นมารร้ายตนหนึ่ง ราวกับได้เห็นสิ่งชั่วร้ายอัปมงคลอันไร้ที่สิ้นสุดซ่อนอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย

เมื่อปล่อยคางนางแล้ว ซือหม่าเวิ่นเทียนก็เอามือไขว้หลังเดินวนรอบตัวนาง มองประเมินเรือนร่างอรชรอ่อนช้อยของนาง แล้วก็เดินวนกลับมาตรงหน้า จ้องใบหน้าสวยสะคราญของนางพร้อมเดาะลิ้นชม “ข้ามองออกตั้งแต่เจ้าเด็กๆ แล้วว่าจะเติบโตมาเป็นหญิงงามคนหนึ่ง คิดว่าเจ้าเป็นคนที่ทำงานใหญ่ได้ ข้าถึงช่วยชีวิตเจ้าไว้ตอนที่เจ้ากำลังจะหัวหลุดลงพื้น ตอนนี้ยิ่งโตยิ่งงดงามจริงๆ ใบหน้านี้ เรือนร่างนี้ ไม่มีตรงไหนที่ไม่งดงาม ยกประโยชน์ให้เจ้าหนิวโหย่วเต๋อนั่นแล้วจริงๆ เดิมทีเจ้าควรจะได้แสดงบทบาทกับคนที่มีฐานะสูงกว่านี้ ตอนนี้กลับทำให้เจ้าได้รับความไม่ยุติธรรมแล้ว”

เฟยหงก้มหน้าเล็กน้อย ตั้งใจฟังเงียบๆ

“ข่าวที่เจ้ารายงานขึ้นมาก่อนหน้านี้ผิดพลาด ที่บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อหดหู่ท้อแท้ชีวิตแล้วมาตบเจ้าระบายอารมณ์อะไรนั่นน่าจะเป็นเรื่องหลอกลวง เขามาที่อุทยานหลวงน่าจะวางแผนมาเรียบร้อยแล้ว พุ่งเป้ามาที่งานเลี้ยงวันเกิดท่านปู่สวรรค์ เจ้าบอกมาซิ เรื่องเป็นยังไงกันแน่?” น้ำเสียงของซือหม่าเวิ่นเทียนยังคงสงบนิ่ง ลักษณะมืดครึ้มน่าสะพรึงที่แผ่ออกจากการกระทำและคำพูดของเขาเป็นสิ่งหาไม่เจอยามอยู่ข้างกายประมุขชิงและเกาก้วน

เฟยหงย่อมรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของเขาอยู่แล้ว นางเองก็รู้ว่าในสายตาของขุนนางตำหนักสวรรค์จำนวนไม่น้อย คนคนนี้ก็คือร่างจำแลงที่น่ากลัว น่ากลัวกว่าทูตตรวจการขวาเกาก้วนเสียอีก อย่างน้อยเกาก้วนก็น่ากลัวในที่แจ้ง เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายอย่างเปิดเผย แต่ท่านนี้กลับสามารถแต่งเรื่องใส่ร้ายยัดข้อหาอย่างเงียบๆ ทำให้คนบ้านแตกสาแหรกขาดได้อย่างง่ายดาย เหมือนงูพิษน่ากลัวที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มือตลอดเวลา ไม่รู้ว่าจะกัดเจ้าตอนไหน ทำให้คนป้องกันไม่ชนะ

เฟยหงกล่าวอย่างกังวล “ข้าน้อยก็ไม่รู้เช่นกันว่าเรื่องเป็นยังไง หลังจากมาถึงอุทยานหลวงแล้ว ข้าน้อยก็สังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลบางอย่างเหมือนกัน”

“ในเมื่อสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลแล้ว ทำไมถึงไม่รีบรายงานตั้งแต่แรก?” ในดวงตาซือหม่าเวิ่นเทียนฉายแววเย็นเยียบ

เฟยหงตอบว่า “ไม่ใช่อย่างที่ท่านทูตซ้ายคิด ข้าน้อยไม่รู้ชัดจริงๆ ว่าเขามาที่อุทยานหลวงเพราะต้องการอะไร ก่อนหน้านี้เขาเมาหัวราน้ำและตบตีข้าน้อยมาตลอด ประกาศว่าจะหย่ากับข้าน้อย แต่พอมาถึงอุทยานหลวงเพื่อเจอแม่เฒ่าลวี่ หลังจากถูกแม่เฒ่าลวี่ตีสั่งสอนไปยกหนึ่ง จู่ๆ เข้ากลับเปลี่ยนท่าที บอกว่าต้องการคืนดีกับข้าน้อย ข้าน้อยเองก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง กำลังจับตาดูเขา แต่นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะบุกเข้าไปก่อเรื่องที่พระตำหนักอุทยานกะทันหัน ท่านทูตซ้ายได้โปรดตรวจสอบให้ชัดเจน!” พูดจบก็รีบคุกเข่าก้มหน้า

ซือหม่าเวิ่นเทียนก้มหน้ามองนาง “เขารู้ถึงตัวตนของเจ้าแล้วหรือเปล่า?”

เฟยหงเงยหน้า “ทางฝั่งข้าน้อยไม่มีความเป็นไปได้นี้ นอกเสียจาก…นอกเสียจาก…”

“นอกเสียจากอะไร?” ซือหม่าเวิ่นเทียนตะคอกเบาๆ

เฟยหงรีบก้มหน้า “นอกเสียจากทางหน่วยตรวจการซ้ายจะมีคนเปิดเผยตัวตนของข้าน้อยค่ะ”

“เจ้าคิดมากไปแล้ว คนของหน่วยตรวจการซ้ายที่รู้จักตัวตนเจ้ามีน้อยจนนับนิ้วได้” ซือหม่าเวิ่นเทียนเถียงกลับ ที่จริงเขาเองก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะรู้ถึงตัวตนของเฟยหง ต่อให้ก่อนหน้านี้จะไม่กล้าแตะต้องเฟยหงเพราะกลัวหน่วยตรวจการซ้าย แต่ตอนหลังก็สามารถยืมมือตระกูลโค่วเพื่อกำจัดเฟยหงได้เลย แถมตอนที่หนิวโหย่วเต๋อไปขอพึ่งพาตระกูลโค่ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดาออกว่าตอนหลังจะได้ไปอยู่ตลาดผี ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดาถึงสถานการณ์ตอนหลังแล้วเปลี่ยนมาหลอกใช้เฟยหงแทน คิดไปคิดมา สุดท้ายก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ก่อนหน้านี้คาดเดาได้ว่าฝ่าบาทจะจัดการเลี้ยงวันเกิดให้เซี่ยโห้วท่า ในจุดนี้เดาได้ไม่ยาก ดังนั้นจึงเริ่มรังแกเฟยหง เป็นเพราะอาศัยความสัมพันธ์ของเฟยหงกับแม่เฒ่าลวี่ล้วนๆ เขาถึงเข้ามาในอุทยานหลวงได้สะดวก ไม่ใช่เพราะรู้กำพืดของเฟยหง ไม่อย่างนั้นก็สามารถอาศัยโอกาสนี้หย่ากับเฟยหงได้เลย ไม่จำเป็นต้องเก็บสายลับไว้ข้างกายให้ตัวเองกินนอนไม่สงบอีก

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เขาก็ยังจ้องเฟยหงอย่างเย็นเยียบ “แต่ทำไมข้าได้รับข่าวมา ว่าเจ้าถูกหนิวโหย่วเต๋อซื้อแล้ว?”

เฟยหงหัวใจกระตุกวูบ แต่ภายนอกกลับพูดเหมือนตกใจมาก “ท่านทูตซ้าย ข่าวผิดพลาดแน่นอนค่ะ หนิวโหย่วเต๋อเองยังอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม ข้าน้อยจะถูกเขาซื้อได้ยังไงคะ? ท่านทูตซ้ายโปรดตรวจสอบให้ชัดเจน!” นางรู้ว่าถ้าข่าวที่ตัวเองไปเข้ากับฝ่ายเหมียวอี้ถูกเปิดโปงเมื่อไร ก็จะไม่ใช่แค่นางเท่านั้นที่จะตายอย่างอนาถ

ซือหม่าเวิ่นเทียนสังเกตปฏิกิริยาของนาง แล้วเดินช้าๆ ออกจากข้างกายนางไป “เดินตรงไปเรื่อยๆ แม่เจ้ารออยู่ทางนั้น อย่าเสียเวลานานนัก จะได้ไม่ถูกหนิวโหย่วเต๋อสงสัย”

เฟยหงตกใจจนเหงื่อท่วมตัว จู่ๆ ได้ยินว่ามารดายังอยู่ นางก็ได้เดินออกมาจากความหวาดกลัวอีกครั้ง รู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูก

“ขอบคุณท่านทูตซ้าย ขอบคุณท่านทูตซ้าย!” เฟยหงแทบจะร้องไห้ออกมา หันตัวยกกระโปรงวิ่งออกไปแล้ว นางไม่เจอมารดาตัวเองมาหลายปี อาศัยการส่งจดหมายเพื่อยืนยันว่าต่างฝ่ายต่างยังมีชีวิตอยู่มาตลอด

พอมาถึงปลายสุดของหุบเขา ด้านล่างของน้ำตกแห่งหนึ่งที่น้ำไหลดิ่งลงจากที่สูง สตรีวัยกลางคนชุดสีเทาที่ไม่ได้ใช้เครื่องประทินโฉมยืนอยู่ตรงนั้นลำพังอย่างกระวนกระวาย ดูจากใบหน้าก็รู้ว่าในอดีตเคยเป็นหญิงงามที่หาพบได้ยาก เพียงแต่บนใบหน้าเต็มไปด้วยความกร้านโลก จอนผมสองข้างมีสีขาว ไม่เห็นความมีสง่าราศีเหมือนในปีนั้นแล้ว มีเพียงความกังวลในดวงตา นางเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกพาตัวมาที่นี่กะทันหันหมายความว่าอะไร

จู่ๆ ตรงทางเข้าหุบเขาก็มีสตรีผู้งดงามเลิศล้ำปรากฎตัว ยืนมองนางอย่างตะลึงงันอยู่ไกลๆ หน้าตาของทั้งสองคล้ายกันหลายส่วน ผู้ที่มาย่อมเป็นเฟยหง

สตรีวัยกลางคนสงสัยอยู่บ้าง ทว่าเมื่อเห็นเฟยหงยืนมองตนอย่างตะลึงแล้วเริ่มน้ำตาไหล สองมือของนางก็เริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ พอจะตระหนักอะไรบางอย่างได้แล้ว

“ท่านแม่!” จู่ๆ เฟยหงก็ร้องเรียกด้วยเสียงเศร้ารันทดเพราะความคนึงหาไร้ที่สิ้นสุด แล้ววิ่งเข้าคุกเข่าตรงหน้านาง กอดขานางเอาไว้ ชั่วพริบตาเดียวก็ร้องไห้โหเหมือนจะขาดใจ

สตรีวัยกลางคนน้ำตาไหลพรากทันที สองมือที่สั้นเทิ้มสัมผัสศีรษะเฟยหง พร้อมถามเสียงสั่น “อ้าวเสวี่ย…อ้าวเสวี่ย…เป็นเจ้าจริงเหรอ?”

ในปีนั้นสองม่ลูกตกอับ หลังจากตกอยู่ในมือหน่วยตรวจการซ้ายแล้วถูกจับแยก ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย เด็กผู้หยิงในปีนั้นกลายเป็นสาวอย่างนี้แล้ว ต่อให้เป็นมารดาแต่มองปราดเดียวก็จำไม่ได้อยู่ดี…

ส่วนซือหม่าเวิ่นเทียนที่รออยู่ในหุบเขาก็ต้อนรับแขกอีกคน แม่เฒ่าลวี่

สีหน้าท่าทางซือหม่าเวิ่นเทียนตอนเห็นแม่เฒ่าลวี่กับตอนเห็นเฟยหงต่างกันโดยสิ้นเชิง เขากุมหมัดคารวะ “พี่หญิงลวี่ ไม่ได้ตั้งใจมารบกวน หวังว่าจะไม่ถือสา”

แม่เฒ่าลวี่เดินเลี้ยวเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ท่านทูตซ้ายเรียกพบ ยายแก่คนนี้จะกล้าไม่มาได้เหรอ”

ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มแห้งทันที แล้วโค้งตัวกุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ตอนอยู่ต่อหน้าคนแล้วข้าวางมาดใส่ ท่านอย่าถือสาเลย ทำแบบนั้นก็เพื่อปกป้องท่าน ตรงนี้ไม่มีคนนอก พี่หญิงลวี่จะเหน็บแนมข้าทำไม”

แม่เฒ่าลวี่ไม่ได้ปฏิเสธหรือรับปาก “บอกมาเถอะ มาหาข้ามีเรื่องอะไร คงไม่ใช่เพราะเรื่องหนิวโหย่วเต๋อหรอกใช่มั้ย?”

“พี่หญิงลวี่ช่างเหมือนกระจกที่ใสสะอาด ข้ามาเพราะเรื่องเขาจริงๆ” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว

“เจ้าเด็กนั่นก่อเรื่องอะไรที่พระตำหนักอุทยานกันแน่ นึกไม่ถึงว่าจะรบกวนให้ข้ามาด้วยตัวเอง?” แม่เฒ่าลวี่ถาม

“ฮึ! เจ้าเด็กนี่ใจกล้าไม่เบา ทะเลาะกับอิ๋งอู๋เชวียลูกชายอิ๋งจิ่วกวงในงาน…” ซือหม่าเวิ่นเทียนเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักตอนนั้นให้ฟังคร่าวๆ

แม่เฒ่าลวี่ฟังจบแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “เรื่องนี้เกี่ยวกับข้าด้วยเหรอ?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนขมวดคิ้วเดินไปเดินมา “จากเบาะแสต่างๆ ที่แสดงออกมา เหมือนเจ้าเด็กนั่นจงใจก่อเรื่อง ทุกอย่างที่ทำเหมือนจะพุ่งเป้าไปที่ตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตั้งแต่เขาเริ่มทารุณเฟยหง ก็มีความเป็นไปได้สูงว่านั่นจะอยู่ในแผนการของเขา”

แม่เฒ่าลวี่จึงบอกว่า “ในเมื่อสงสัยว่าเขามีปัญหา เจ้าส่งคนไปจับเขาออกจากสวนกลางเขียวขจีเลยก็สิ้นเรื่อง กังวลว่ายายแก่คนนี้จะห้ามหรือไง?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนกระตุกมุมปากเล็กน้อย แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “เจ้าเด็กนั่นไม่ธรรมดาเลย วางแผนนี้ได้อย่างสง่าผ่าเผย ทำให้คนอยากจะหลบก็หลบไม่พ้น ใส่ฝ่าบาทเอาไว้ในแผนการเขาด้วย ฝ่าบาทรู้อยู่แจ่มแจ้งว่าเขากำลังเล่นลูกไม้ แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ กลับต้องช่วยทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริงด้วยซ้ำ เจ้าจะให้ข้าจับเขายังไง?”

“งั้นเจ้ามาหาข้าแล้วจะมีประโยชน์อะไร?” แม่เฒ่าลวี่ถาม

“เรื่องบางเรื่องนั้นแกล้งโง่ได้ แต่เรื่องบางเรื่องต้องมีข้อมูลในใจ ข้าคุมหน่วยตรวจการซ้าย ยากจะเลี่ยงความรับผิดชอบ เรื่องสถานการณ์โดยรวมย่อมมีฝ่าบาทควบคุมอยู่ แต่เรื่องจุกจิกปลีกย่อยข้าก็ต้องจัดการให้ดี หนิวโหย่วเต๋อเริ่มลงมือวางแผนนี้จากตัวเฟยหง หนิวโหย่วเต๋อปิดบังเฟยหง หรือว่าเฟยหงรู้เรื่องล่วงหน้าแล้วกันแน่ เรื่องนี้ข้าไม่มีมีทางยืนยันได้ พี่หญิงลวี่กับเฟยหงอยู่ด้วยกันมาหลายปี อาศัยดวงตาเฉียบแหลมของพี่หญิงลวี่ ไม่ทราบว่ามองเห็นอะไรบางหรือเปล่า?” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว

…………………………

ขณะมองคล้อยหลังเกาก้วนเดินจากไป ซ่างกวนชิงก็เงียบแล้ว กำลังครุ่นคิดว่าการที่ประมุขชิงเรียกคนมากำชับต่อเนื่องกันคงเป็นเพราะกังวลว่าหนิวโหย่วเต๋อจะไม่ชนะ อย่างไรเสียเบื้องล่างอ๋องสวรรค์คนหนึ่งก็มีโหวแค่สิบกว่าตำแหน่ง ตำแหน่งท่านโหวสี่ตำแหน่งไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

เป็นอย่างที่คาดไว้ ประมุขชิงเอยถามอย่างไม่รีบร้อน “ซ่างกวน เจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะทำสำเร็จหรือเปล่า?”

ซ่างกวนชิงไม่สะดวกจะตอบคำถามนี้ ที่จริงทุกคนต่างก็รู้ชัดอยู่ในใจ ว่าไม่มีใครขัดขวางการรับสมัครโถงชุมนุมอัจฉริยะของหนิวโหย่วเต๋อ เพราะไม่มีใครเต็มใจไปสมัครเลย ขนาดนักพรตอิสระยังไม่กล้าไปด้วยซ้ำ สี่ทัพเกรียงไกรไม่มีใครอยากไปสถานที่เส็งเคร็งอย่างนั้น มิหนำซ้ำสี่ตระกูลก็จำกัดเงื่อนไขไว้แล้วด้วย

แต่เขาก็ไม่สะดวกจะพูดสิ่งที่ทำให้ประมุขชิงไม่สบายใจ ได้แต่ยิ้มอย่างอึดอัด “ในเมื่อเขากล้าเอาชีวิตตัวเองมาเดิมพันแล้ว คาดว่าคงมีความมั่นใจอยู่บ้าง”

ว่ากันตามจริง ประมุขชิงอยากจะเรียกเหมียวอี้มาถามต่อหน้ามาก แต่พอคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่จำเป็น ถ้ามีวิธีการดีก็ย่อมทำสำเร็จ แต่ถ้าวิธีการไม่ดี ต่อให้เข้าไปแทรกแซงก็ไม่มีความหมายอะไรนัก ราชันสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผย ถ้าทำตัวจริงจังเกินไปก็จะทำให้คนหัวเราะเยาะ อีกทั้งสี่อ๋องสวรรค์ก็จำกัดเงื่อนไขไว้ ถ้าให้คนเที่ยวบอกไปทั่ว จะไม่ให้เกิดข่าวลือก็คงยาก สี่อ๋องสวรรค์ไม่ใช่คนหูหนวก

หลังจากเอามือไขว้หลังยืนเงียบๆ สักพัก ประมุขชิงก็กล่าวช้าๆ “ช่วยเขาสร้างกระแสสักหน่อยก็แล้วกัน ให้ทางสมาคมวีรชนเคลื่อนไหว ปล่อยข่าวเรื่องเดิมพันให้เร็วที่สุด”

“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงโค้งตัวเอ่ยรับ

ประมุขชิงประชุมอยู่ตรงนี้เงียบๆ คนของสี่ทัพก็ประชุมกันเงียบๆ เช่นกัน

ยอดเขาแห่งหนึ่งที่สามารถมองทิวทัศน์เทือกเขาสูงหลายแห่งไกลๆ ได้ เก้าจอมพลมาถึงก่อนแล้วรอได้ครู่หนึ่ง ไม่นานอิ๋งอู๋หม่าน ฮ่าวเจ๋อ ก่วงจวินอัน โค่วเจิงก็ทยอยกันมาถึง

โค่วเจิงมาถึงเป็นคนสุดท้าย พอเหยียบลงพื้น อิ๋งอู๋หม่านก็แสยะยิ้ม “ตระกูลโค่วของพวกเจ้าช่างหาลูกเขยได้ดีจริงๆ !”

โค่วเจิงเหน็บแนมกลับทันที “ถ้าไม่ใช่เพราะน้องชายแสนฉลาดของเจ้าไปหาเรื่องก่อน จะมีเรื่องแบบนี้เหรอ?”

“เฮ้อ!” เฉิงไท่เจ๋อจอมพลสายฉลูยืนขึ้นกดมือทั้งสองฝ่ายทันที “ทั้งสองท่าน ตอนนี้อย่าทะเลาะกันเรื่องนี้เลย ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อนั่นกล้าพูดอย่างนี้แล้ว คาดว่าคงจะมีความมั่นใจอยู่หลายส่วน ทางท่านอ๋องทั้งหลายมีความเห็นอะไรบ้าง?”

ก่วงจวินอันตอบว่า “ความเห็นของท่านพ่อเรียบง่ายมาก ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ฝ่าบาทสอดมือเข้ามาแทรกแล้ว จะให้พูดอะไรอีกก็ไม่มีประโยชน์ ควรจะคิดหาทางหลีกเลี่ยงความเสียหาย”

หวงฮ่าว จอมพลสายมะเมียสังกัดตระกูลโค่วถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเตรียมจะหลบเลี่ยงยังไง?”

ก่วงจวินอันตอบว่า “ท่านพ่อบอกว่า ถ้าดูจากภาพรวม ฝั่งพวกเรายังได้เปรียบ ตอนแรกยังไม่มีใครเต็มใจไปตลาดผีแน่นอน ถ้ามีคนไปก็แสดงว่าในนั้นมีการเล่นตุกติกแน่ ดังนั้นพวกเราไม่จำเป็นต้องขู่ให้ตัวเองตกใจ ส่วนทางฝ่าบาทอาจจะไม่นิ่งดูดายปล่อยให้ตัวเองแพ้ ดังนั้นฝ่ายพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ถ้าภายนอกขัดขวางไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าจะแอบขัดขวางไม่ได้ กำลังพลล้วนอยู่ในมือของทุกคน คาดว่าทุกคนคงมีวิธีการเยอะ ทำเรื่องที่มองเห็นได้แต่กลับหาจุดอ่อนไม่ได้ คาดว่าคงไม่ยากสำหรับทุกคน”

ทุกคนพยักหน้า เฉิงไท่เจ๋อมองไปที่คนของตระกูลโค่ว ตระกูลอิ๋ง ตระกูลฮ่าวอีก “คาดว่าท่านอ๋องทั้งสามคงไม่นั่งอยู่เฉยๆ หรอกใช่มั้ย ไม่ทราบว่ามีความเห็นอันสูงส่งอะไร?”

โค่วเจิงบอกว่า “ท่านพ่อของข้าก็คิดอย่างนี้เช่นกัน ท่านพ่อเดาออกแล้วว่าฝ่าบาทจะช่วยเสริมอานุภาพให้หนิวโหย่วเต๋อ ถ้าข่าวเรื่องเดิมพันแพร่ออกไปทั้งใต้หล้า ก็แสดงว่าฝ่าบาทวางแผนอยู่เบื้องหลังแน่นอน คนทั่วไปไม่อาจกระจายข่าวได้เร็วขนาดนั้น เรื่องแบบนี้พวกเราเองก็ไม่มีจุดอ่อนอะไรไปกล่าวหาว่าฝ่าบาทช่วยหนิวโหย่วเต๋อ ถึงตอนนั้นพวกเราอาจจะทำเรื่องที่เฉียดฉิวแต่ก็หาจุดอ่อนไม่เจอเหมือนกันก็ได้ กำลังพลอยู่ในมือทุกคน คาดว่าคงไม่มีใครล่วงเกินพวกเราเพื่อจะไปแหล่งที่ไร้อนาคต ทุกคนล้วนต้องชั่งน้ำหนักผลที่ตามมา”

เถิงเฟย จอมพลสายชวดพึมพำอยู่ข้างๆ “คนของพวกเราควบคุมได้ง่าย กลัวก็แต่พวกกำลังพลที่ฝ่าบาทจับยัดเข้ามา อาจจะไม่เชื่อฟังพวกเรา”

โค่วเจิงแสยะยิ้ม “เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล ท่านพ่อบอกไว้แล้ว ถ้าคนของฝ่าบาทกล้าสั่งให้คนไปเข้าพวกกับหนิวโหย่วเต๋อ นั่นก็รับมือได้ง่ายมาก ขอเพียงคนทางนั้นกล้าไป พวกเราก็ไม่ได้มีไว้เฉยๆ อยู่แล้ว ใช่ว่าฝั่งนั้นจะไม่มีคนของพวกเรา ถึงตอนนั้นปลุกระดมคนให้ไปพึ่งพาทางนั้นมากๆ หน่อย เมื่อกำลังพลกลุ่มใหญ่ไปขอพึ่งพาที่ตลาดผี เฮ่อๆ! คิดว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไงล่ะ?”

เฉิงไท่เจ๋อยกนิ้วหัวแม่มือ “อ๋องสวรรค์โค่วความคิดเหนือชั้น พอเป็นแบบนี้ก็จะไม่ใช่ปัญหาเรื่องสัญญาเดิมพันแล้ว แต่เป็นเพราะคนบางคนที่ปกครองทัพมีปัญหาและทำหน้าที่ได้ไม่ดี ถึงตอนนั้นไม่ต้องให้ฝ่าบาทปล่อยตำแหน่งออกมา พวกเราก็สามารถแก้ไขปัญหาได้อยู่ดี”

“อืม!” ทุกคนพยักหน้าเงียบๆ อีกครั้ง หลังจากมองหน้ากันแล้วพบว่ามีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ต่างคนต่างมีแผนสำรองไว้อุดช่องโหว่ ก็นับว่าวางใจแล้วไม่น้อย

มีเพียงเถิงเฟยที่ส่ายหน้า “อย่าไปมองนะว่าหนิวโหย่วเต๋อมีพลังไม่เท่าไร แต่ลักษณะการทำศึกของเขาควรค่าแก่การชื่นชมจริงๆ เกรงว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้น ต่อไปทุกคนก็คิดมากๆ หน่อย ดูว่ามีช่องโหว่ตรงไหนหรือเปล่า”

“จอมพลเถิงเหมือนจะเอาใจช่วยหนิวโหย่วเต๋อนั่นมากเลยนะ?” อิ๋งอู๋หม่านถามพร้อมรอยยิ้ม

เถิงเฟยเดิมทีอยู่ในเครือข่ายตระกูลอิ๋ง ย่อมต้องเคารพนอบน้อมต่ออิ๋งจิ่วกวงสักหน่อย แต่อิ๋งอู๋หม่านอ่อนหัดไปหน่อยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ไม่มีบารมีอะไรมาข่มเขาได้ เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องลดศักดิ์ศรีมากเกินไป จึงยิ้มเรียบๆ พลางโบกมือ “ไม่เกี่ยวกับรู้สึกดีหรือไม่รู้สึกดีหรอก แต่ในปีนั้นตอนที่ข้าเฝ้าแดนอเวจี ข้าเห็นกับตาว่าหนิวโหย่วเต๋อพุ่งสังหารอยู่ท่ามกลางกำลังพลหนึ่งล้าน หัวใจเขาก็ไม่ธรรมดา เห้นได้ชัดว่ากล้าหาญไม่กลัวตาย พุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดหวั่นสิ่งใด ดูถูกไม่ได้จริงๆ ดูจากตอนที่เขาอยู่ในตำหนักใหญ่แล้วไม่ลนลานสักนิดก็รู้แล้ว ข้ายอมรังแกคนชราผมขาวดีกว่ารังแก่เด็กหนุ่มยากจน ทุกคนระวังตัวเอาไว้น่ะถูกแล้ว อย่าให้เรือคว่ำในคลองแคบก็แล้วกัน”

คำพูดนี้ทำให้ทุกคนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ในดวงตาอิ๋งอู๋หม่านฉายแววไม่สบอารมณ์ ถึงแม้เขาจะไม่แสดงออกชัดเจนเหมือนอิ๋งอู๋เชวีย แต่ความเจ็บปวดที่สูญเสียลูกชายก็ยังอยู่ในใจ ไม่อยากฟังคนอื่นพูดถึงเหมียวอี้ในแง่ดี

เถิงเฟยสังเกตได้ถึงความไม่สบอารมณ์ที่แวบผ่านเข้ามาในดวงตาเขา ในใจยิ้มเย้ย เจ้าเด็กที่ขนยังขึ้นไม่ครบ ถ้าเก่งนักก็ชักสีหน้าให้ตาแก่คนนี้ดูสิ ถ้าขาดข้าสนับสนุนไปสักคน เจ้าก็ไม่ได้นั่งตำแหน่งหัวหน้าตระกูลอิ๋งหรอก เจ้ายังไม่พอใจอีกเหรอ ข้ายังสังเกตเจ้าอยู่นะว่าเหมาะสมจะเป็นผู้นำหรือเปล่า

สำหรับคำพูดของเถิงเฟย ในใจโค่วเจิงรู้สึกปลงที่สุด เพราะเขารู้ชัดที่สุดว่าเหมียวอี้ทำอะไรในตำหนักใหญ่ เพราะนั่นคือการดันทุรังยัดข้อหาตระกูลอิ๋งต่อหน้าขุนนางทั้งราชสำนัก แต่จนใจที่ตอนนั้นตระกูลโค่วก็ไม่สะดวกจะออกมาเป็นพยาน ตอนแรกไม่เป็นพยาน ตอนหลังก็ยิ่งเป็นพยานให้ไม่ได้แล้ว เท่ากับว่าเหมียวอี้หลอกใช้ตระกูลโค่วไปแล้วยกหนึ่ง จากนั้นก็ยังช่วยประมุขชิงแย่งประโยชน์จากตระกูลโค่วด้วย ตอนนั้นทำให้เขาโมโหแทบแย่

หลังจากส่งข่าวไปให้บิดารู้ บิดาก็ชมทันทีว่าช่างเป็นลูกเขยที่ดี บอกว่าในปีนั้นมองคนไม่ผิด มีความสามารถทำให้ตระกูลโค่วทุ่มหินใส่เท้าตัวเองได้ ก็ไม่นับว่าเสียหน้าเช่นกัน

โค่วเจิงแนะนำให้โค่วหลิงซวีโยนคำสั่งตำหนักนารีสวรรค์ที่ได้จากตระกูลเซี่ยโห้วออกไปก่อน แล้วสั่งถอนกำลังคนตระกูลโค่วที่อยู่ตลาดผีกลับมาให้หมด

ทว่าโค่วหลิงซวีไม่เห็นด้วย กลับตอบเขาอย่างหยาบคายว่า : ขนาดโสเภณียังอยากสร้างซุ้มประตูปกปิดความอับอายให้ตัวเองเลย ตระกูลโค่วจะสู้โสเภณีไม่ได้เชียวหรือ? ระดับตระกูลโค่วจะไม่ทำเรื่องจอมปลอมได้อย่างไร? ยิ่งยืนอยู่ในตำแหน่งสูง ก็ยิ่งต้องการดูดีในสายตาคนอื่น เพราะยิ่งเจ้าอยู่ในที่สูง คนที่มีเจ้าในสายตาก็ยิ่งเยอะ จะให้แก้ผ้าให้คนอื่นดูหรือไง? เก็บคนเอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งให้ผ้าชิ้นสุดท้ายที่ปิดบังจุดน่าอับอายฉีกออก จะได้ดูด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่

ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ตามที่ได้รู้จักมากขึ้น โค่วเจิงก็เห็นความสามารถของหนิวโหย่วเต๋อมากขึ้นเช่นกัน ยิ่งนับถือสายตาของท่านพ่อ ถูกใจหนิวโหย่วเต๋อตั้งแต่ในปีนั้นแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะประมุขชิงเข้ามาแทรกแซง นี่จะเป็นเรื่องดีขนาดไหน รอให้ตัวเองอายุมากขึ้นในระดับหนึ่งแล้ว เบื้องล่างมีคนอย่างนี้สนับสนุนจะดีขนาดไหน

ในขณะเดียวกัน ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เชิญท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วท่ามาพบเพื่อคุยเป็นการส่วนตัว

พอเห็นเซี่ยโห้วท่า เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็รีบก้าวขึ้นมาย่อเข่าคำนับ “หลานสาวขออวยพรให้ท่านปู่อายุยืน”

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้อง ลุกขึ้นเถอะ รีบลุกขึ้น เจ้ากำลังตั้งครรภ์” เซี่ยโห้วท่ายื่นมือประคองนางให้ลุกขึ้น แล้วก็มองท้องกลมกลึงของนางพลางพยักหน้าอย่างร่าเริง “เหนียงเหนียงเรียกบ่าวชรามาพบ ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับ?”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยื่นมือเชิญ แล้วก็เดินเนิบนาบอยู่ข้างกายเขา ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “ท่านปู่ ท่านคิดว่าเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อรับสมัครคนมีความมั่นใจขนาดไหน?”

เซี่ยโห้วท่ายื่นมือไปประคองแขนนางเป็นระยะ แล้วถามอย่างร่าเริง “เหตุใดเหนียงเหนียงเริ่มสนใจเรื่องนี้แล้วล่ะ?”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มแห้ง “ถึงยังไงเขาก็เป็นแม่ทัพภาคตลาดผี เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์”

“อ้อ!” เซี่ยโห้วท่าพยักหน้าอย่างแฝงความหมายล้ำลึก ชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง เป็นครั้งแรกที่เห็นนางให้ความสำคัญกับตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผี เขาส่ายหน้าเบาๆ “พูดยาก เรื่องนี้ข้าน้อยก็พูดได้ไม่แม่นยำ”

“ก็หมายความว่า อาจจะไม่สำเร็จใช่มั้ยคะ?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถามอย่างกังวลเล็กน้อย

“ดูท่าเหนียงเหนียงจะหวังให้เขาทำสำเร็จ” เซี่ยโห้วท่ากล่าว

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตอบว่า “ถึงยังไงเขาก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงของหลานค่ะ อำนาจของเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่องๆ ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรสำหรับหลานใช่มั้ยล่ะ? ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วสามารถช่วยเขาได้ ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร ดังนั้น…”

“โถ่เหนียงเหนียง!” เซี่ยโห้วท่าพูดตัดบท แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “เรื่องที่เจ้าควรทำก็คือปรนนิบัติฝ่าบาทให้ดี อย่าให้เรื่องแย่งชิงผลประโยชน์มาเปื้อนมือจะดีกว่า เกรงว่าฝ่าบาทคงไม่หวังจะเห็นวังหลังมีการช่วงชิงอำนาจเกินไป”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอามือลูบท้อง “หลานไม่ได้อยากได้อำนาจอะไรหรอกค่ะ ถ้าหาลูกน้องคนสนิทให้ลูกในท้องได้ก็ดีเหมือนกัน”

เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะ “เหนียงเหนียงคิดมากไปแล้ว เหนียงเหนียงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ อนาคตของโอรสสวรรค์ ฝ่าบาทย่อมเตรียมไว้อย่างดีแล้ว ข้าน้อยยังยืนยันคำเดิม ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ล้ม ไม่ว่าใครก็สั่นคลอนตำแหน่งของท่านไม่ได้…นางหนูเอ๋ย อย่าใกล้เกลือกินด่าง เข้าใจมั้ย?”

สวนกลางเขียวขจี มีชีวิตชีวาทั้งยังเงียบสงบ เฟยหงเหาะออกมาเพียงลำพัง สุดท้ายก็มาถึงในหุบเขาแห่งหนึ่งที่ลับตาคน

เสียงน้ำในลำธารไหลจ๊อกๆ ขณะที่เดินเลียบฝั่งลำธารขึ้นไป เฟยหงสังเกตรอบๆ อย่างระมัดระวัง สุดท้ายก็เห็นเงาคนคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโขดหินก้อนหนึ่งภายใต้แสงแดด ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือทูตตรวจการซ้ายซือหม่าเวิ่นเทียนนั่นเอง ทำให้นางตกใจจนต้องหยุดฝีเท้า

นางได้รับแจ้งจากผู้บังคับบัญชาให้มาที่นี่ ผลปรากฏว่าไม่เห็นผู้บังคับบัญชา แต่กลับเห็นหัวหน้าใหญ่ของหน่วยตรวจการซ้าย นางเคยเห็นซือหม่าเวิ่นเทียนไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่กลับไม่เคยคุยกับซือหม่าเวิ่นเทียนมาก่อน นางมีปมในใจกับหน่วยตรวจการซ้าย โดยเฉพาะการมาเจอกับตัวละครอย่างซือหม่าเวิ่นเทียนตามลำพัง นางก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวน นางไม่ได้มีสภาพจิตใจที่จะกล้าโต้แย้งกับกลุ่มขุนนางใหญ่เต็มราชสำนักเหมือนเหมียวอี้

…………………………

สิบแส้? เหมียวอี้พูดไม่ออก นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่ตัวเองโดนแส้สยบมังกร? เขาย่อมเข้าใจอยู่แล้วว่าตำหนักสวรรค์ไม่มีทางใช้แส้ธรรมดามาเฆี่ยนให้คันแน่ รสชาติที่เหมือนวิญญาณหลุดร่างร่างแบบนั้นทำให้เขากลัวจนตัวสั่นเช่นเดียวกัน!

ใช้เครื่องมือลงโทษโดยไม่แม้แต่จะตรวจสอบก่อน สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของเขานิดหน่อย

อิ๋งอู๋เชวียที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นงงเป็นไก่ตาแตก เขาไม่เคยลิ้มรสแส้สยบมังกรแต่ก็เคยเห็นมาก่อน นั่นเป็นวิธีการลงโทษที่เขาชอบทำมาใช้สั่งสอนลูกน้อง ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งมันจะมาเยือนบนร่างกายตัวเอง เขาไม่อยากจะลิ้มรสชาติมันเลยจริงๆ จึงหันซ้ายหันขวามองขุนนางใหญ่ในเครือข่ายตระกูลอิ๋ง แล้วหันไปมองพี่น้องตัวเองอีก หวังว่าจะมีคนช่วยวิงวอนขอความเมตตาให้

ทว่าผลลัพธ์ก็ทำให้เขากลัวมาก ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักล้วนอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรสักคน แม้แต่พี่ใหญ่ของเขาก็ทำหน้าขรึมไม่พูดอะไร

ราชสำนักก็เป็นอย่างนี้ ขนาดประมุขชิงยังต้องควบคุมตัวเอง เป็นสถานที่ที่พูดกันด้วยเหตุผล พูดกันตามกฎระเบียบ ไม่ใช่สถานที่ประลองว่าหมัดใครใหญ่กว่า ไม่อย่างนั้นใครวรยุทธ์สูงคนนั้นก็มีอำนาจตัดสินใจ ไม่จำเป็นต้องสร้างระบบราชสำนักขึ้นมาปกครองใต้หล้าหรอก ประมุขชิงเองก็จำกัดตัวเองไว้ในขอบเขตนี้ พูดจาอย่างมีเหตุผลเช่นกัน บรรดาขุนนางใหญ่ก็ย่อมว่าอะไรไม่ได้แล้ว

ที่จริงในใจกลุ่มขุนนางเข้าใจชัดเจนมาก ว่าภายนอกประมุขชิงลงโทษหนิวโหย่วเต๋อ แต่ความจริงแล้วกำลังยื่นมือปกป้องหนิวโหย่วเต๋ออยู่ การยื่นมือครั้งนี้ถือว่าเล่นในงดงามมาก ทำให้ไม่มีใครว่าอะไรได้

ทำไมกลายเป็นอย่างนี้ไปได้? ในขณะที่หวาดกลัว อิ๋งอู๋เชวียถูกทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งเข้ามาดึงขึ้นจากพื้น ถูกลากออกไปข้างนอกพร้อมเหมียวอี้แล้ว

ปฏิกิริยาของบรรดาขุนนางใหญ่ในตำหนักเงียบสงบมาก กลับเป็นพวกผู้หญิงที่มีการตอบสนองแตกต่างกันไป บ้างก็ตกตะลึง บ้างก็ตกใจ บางคนยินดีในความโชคร้ายของคนอื่น คนที่เสียดายก็มี

ลูกหลานแต่ละตระกูลที่อยู่ในงานเลี้ยงนอกตำหนักลุกขึ้นยืนทันที ได้แต่มองดูอิ๋งอู๋เชวียกับเหมียวอี้ถูกลากไป ต่างก็มองออกว่าสองคนนี้กำลังถูกลากไปทำโทษ จะประหารหรืออะไรก็ไม่มีใครรู้ คนในตำหนักกล้าร่ายอิทธิฤทธิ์สอดแนมออกมาข้างนอก แต่พวกเขาไม่กล้าร่ายอิทธิฤทธิ์สอดแนมเข้าไปในตำหนัก

เพียงแต่พอได้เห็นว่าตระกูลอิ๋งที่มีอำนาจมากขนาดนั้นแต่ยังปกป้องอิ๋งอู๋เชวียไม่ได้ ก็นับว่าสะเทือนใจกลุ่มลูกหลานขุนนางมาก

ประมุขชิงที่อยู่ในตำหนักเอียงหน้ามองซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างกัน แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เรื่องยังไม่เรียบร้อย อย่าทำให้คนตายไปก่อน”

ซ่างกวนชิงก้มหน้าเล็กน้อยบอกใบ้ว่าเข้าใจแล้ว ย่อมรู้ว่าหมายถึงใคร เพราะของอย่างแส้สยบมังกร เวลาได้ลงมือขึ้นมาก็เกิดเหตุไม่คาดคิดได้เยอะมาก บางครั้งเฆี่ยนร้อยครั้งก็อาจจะไม่ถึงตาย แต่บางครั้งเฆี่ยนครั้งเดียวก็อาจทำให้ตายได้ เขาแอบใช้ระฆังดาราที่อยู่ในแขนเสื้อถ่ายทอดคำสั่งลงไป

ตอนนี้ประมุขชิงถึงได้ยิ้มพลางยกจอกสุราขึ้นจากโต๊ะ แล้วกล่าวกับเซี่ยโห้วท่าด้วยรอยยิ้ม “คิดเสียว่าเพิ่มความสนุกสนานให้งานเลี้ยง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ท่านปู่สวรรค์ข้าเก็บไปใส่ใจ”

เซี่ยโห้วท่ารีบยกจอกสุราขึ้นเอ่ยรับ แล้วประมุขชิงก็ยกจอกสุราหันไปทางกลุ่มขุนนางอีก “ชนจอกอวยพรท่านปู่สวรรค์ร่วมกัน”

ทุกคนย่อมทยอยกันยืนขึ้น จากนั้นพอซ่างกวนชิงโบกมือ บรรดาเทพธิดาที่เรือนร่างอรชรอ่อนช้อยก็หลั่งไหลออกมาจากตำหนักข้างซ้ายและขวา เสียงดนตรีระบำดังขึ้นอีกครั้ง

ราชินีสวรรค์ที่กำลังยกจอกสุราจิบเอียงหน้าส่งสายตาให้เอ๋อเหมยที่อยู่ข้างกัน เอ๋อเหมยติดตามรับใช้นางมาหลายปี ย่อมเข้าใจความหมายที่นางจะสื่อ จึงก้มหน้าเล็กน้อยบอกใบ้ว่าเข้าใจแล้ว

ตรงจุดทำโทษที่อยู่อีกแห่งหนึ่ง ท่ามกลางเสียงแส้ฟาดเปรี๊ยะๆ อิ๋งอู๋เชวียส่งเสียงร้องครวญครางราวกับผีสาง วันนี้เขาเพิ่งจะรู้รสชาติที่กระชากวิญญาณของแส้สยบมังกร เขาไม่อยากจะกรีดร้องอย่างอนาถขนาดนี้ แต่กลับควบคุมความรู้สึกไม่ไหว สั่นสะท้านไปทั้งวิญญาณจริงๆ

ถึงแม้เหมียวอี้จะไม่ได้กรีดร้องอย่างอนาถขนาดนั้น แต่ในลำคอกก็ครางเสียงต่ำ “ฮือฮือ” อย่างควบคุมไม่อยู่เช่นกัน แขนขาทั้งสี่ที่ถูกโซ่เหล็กล่ามก็สั่นเทิ้มเช่นกัน เหงื่อเม็ดใหญ่บนใบหน้าก็เพียงพอจะอธิบายปัญหาได้แล้ว

หลังของทั้งสองเละเทะจนเห็นกระดูก เลือดสดไหลเต็มพื้น

มังกรทองที่พันอยู่บนเสาไกลๆ ทั้งยังมีหงส์สีรุ้งอีกตัวที่เหาะบนเสาหิน พวกมันกำลังมองมาทางลานทำโทษอย่างไม่ละสายตา

หลังจากทำโทษเสร็จแล้วแกะโซ่ออก ทั้งสองก็นอนหมอบชักกระตุกอยู่ทางกองเลือด ทหารสวรรค์ที่ทำโทษเสร็จแล้วเก็บแส้ จากนั้นก็มีท่าทีนิ่งดูดาย ทำท่าเหมือนสนใจแต่การฆ่า ไม่สนใจการฝัง

คนของตระกูลอิ๋งรีบพุ่งเข้ามาแล้ว หามอิ๋งอู๋เชวียที่สลบเป็นตายออกไป ขณะเดียวกันก็มองเหมียวอี้ที่หมอบอยู่บนพื้นอย่างโกรธแค้น ถ้าไม่ใช่เพราะมีทหารสวรรค์อยู่ คาดว่าคงจะเข้าไปแตะสักสองที

เหมียวอี้ยังไม่ทันสลบ แค่นอนหมทอยกระตุกอยู่ตรงนั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองโดนฟาดจนมีแรงต้านแล้วหรือเปล่า เอาเป็นว่าครั้งนี้รู้สึกเหมือนการโดนแส้ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น แต่ก็เพียงพอจะทำให้เขานอนนิ่งลุกไม่ไหว

ครั้งนี้ตระกูลโค่วไม่มีใครเข้าไปช่วยเขา

รอจนกระทั่งคนของตระกูลอิ๋งออกไปหมดแล้ว แน่ใจแล้วว่าเหมียวอี้ไม่ถูกคุกคามอีก ทหารสวรรค์ที่ทำหน้าที่ลงโทษถึงได้มองเหมียวอี้พลางส่ายหน้าถอนหายใจ จากนั้นทยอยกันเดินออกไป ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็เคยเป็นคนของกองทัพองครักษ์ นับว่าเคยเป็นตัวละครที่สำคัญที่สุดของกองทัพองครักษ์เช่นกัน ทุกคนต่างรู้ว่าเขาได้รับความชื่นชมจากนายท่านโพ่จวินผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้าย อีกทั้งในบรรดาพวกเขาก็มีคนเคยดื่มสุรากับเหมียวอี้มาแล้วด้วย ย่อมเป็นตอนที่เหมียวอี้เฝ้ายามอยู่ที่อุทยานหลวง

ในขณะนี้เอง ด้านหลังประตูพระจันทร์ที่อยู่ไม่ไกลถึงมีเทพธิดากลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา พุ่งมาข้างกายเหมียวอี้แล้วรีบประคองขึ้นมา มีบางคนยัดสมุนไพรเซียนซิงหัวเข้าปากเหมียวอี้ แล้วมีอีกหลายคนเป่าละอองดาวหลายกลุ่มใส่บาดแผลอันน่าหวาดกลัวบนหลังเหมียวอี้

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เหมียวอี้ที่เหงื่อออกเต็มศีรษะมองซ้ายมองขวาอย่างยากลำบาก หรือว่าจะเป็นคนของแม่เฒ่าลวี่ที่สวนกลางเขียวขจี? เทพธิดาจากสวนกลางเขียวขจีสามารถเข้าพระตำหนักอุทยานได้เหรอ? และดูจากเครื่องแบบของเทพธิดากลุ่มนี้ ก็เหมือนจะเป็นของวังสวรรค์นะ นี่มันเรื่องอะไร?

รอจนอาการบาดเจ็บของเหมียวอี้บรรเทาคงที่แล้ว กลุ่มเทพธิดาก็หามเหมียวอี้ขึ้นมาอีก หามออกไปนอกพระตำหนักอุทยาน

ไม่ได้ลากไปที่อื่น นำเหมียวอี้ไปส่งที่สวนกลางเขียวขจีโดยตรง

เมื่อเห็นเหมียวอี้อยู่ในสภาพนี้ แม่เฒ่าลวี่กับเฟยหงที่กำลังรอฟังข่าวจากเหมียวอี้อยู่ก็ตกใจมาก

หลังจากนำทางให้พวกเทพธิดาส่งเหมียวอี้เข้าโพรงไม้แล้ว แม่เฒ่าลวี่ก็ออกมาพร้อมกับพวกนาง แล้วถามว่า “นางหนู เขาเป็นอะไรไปแล้ว?”

นางจำได้ว่าผู้หญิงพวกนี้คือเทพธิดาของตำหนักนารีสวรรค์ แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นนางที่ควบคุมส่งพืชพรรณไปให้ตำหนักนารีสวรรค์ แต่สิ่งที่นางแปลกใจก็คือ เหตุใดคนของตำหนักนารีสวรรค์ถึงมาส่งเหมียวอี้ที่นี่ด้วยตัวเองได้?

เทพธิดาเหล่านั้นยิ้มบางๆ พวกนางรู้ว่าแม่เฒ่าลวี่เข้าออกตำหนักนารีสวรรค์บ่อย ถึงขนาดพูดคุยสัพเหระกับราชินีสวรรค์บ่อยด้วย จึงไม่กล้าวางมาดต่อหน้าแม่เฒ่าลวี่ แต่วันนี้ปิดปากสนิทมาก ทำความเคารพแล้วกล่าวขอตัวลาเลย “แม่เฒ่า พวกเรายังมีธุระ ขอตัวก่อนค่ะ”

ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดหันตัวแล้วจากไป

แม่เฒ่าลวี่ที่มองส่งด้วยความสงสัยกลับเข้ามาในโพรงไม้แล้วอึ้งอีกรอบ ไม่ใช่เพราะสภาพบาดแผลที่อนาถของเหมียวอี้ แต่เพราะเห็นเฟยหงร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจขณะใช้สมุนไพรเซียนซิงหัวรักษาบาดแผลให้เหมียวอี้

แม่เฒ่าลวี่ตั้งใจจ้องสีหน้าเฟยหงที่ร้องไห้อย่างปวดใจ แล้วก็จ้องเหมียวอี้ที่กำลังครางเบาๆ อีก นางค่อยๆ หลับตาแล้วเงียบงันอยู่นานมาก สุดท้ายก็เดินอ้อมเสาไปตรงหน้าเตียง มองเหมียวอี้ที่เหงื่อออกเต็มศีรษะพลางแสยะยิ้ม “ไปก่อเรื่องอะไรมาอีกแล้วล่ะ? รู้อยู่ชัดๆ ว่าไม่มีใครชอบขี้หน้าเจ้า ยังจะเป็นฝ่ายไปเข้าไปหาเรื่องเจ็บตัวอีก ที่เจ้าเก็บชีวิตกลับมาได้ ก็นับว่าดวงแข็งแล้ว ในสายตาเจ้า แม่บุญธรรมอย่างข้าคงไม่สำคัญอะไร เจ้าน่ะ ดูแลตัวเองให้ดีเถอะ ข้าไปยุ่งกับเจ้าไม่ไหวแล้ว” พูดจบก็เหลือบมองเฟยหงแวบหนึ่ง แล้วหันตัวเดินจากไป ไม่พูดอะไรกับนางสักคำ

เหมียวอี้ยิ้มอย่างขื่นขม พอหันไปเห็นเฟยหงร้องไห้ ก็รีบถ่ายทอดเสียงเกลี้ยกล่อม “บาดเจ็บกว่านี้ข้าก็เคยมาแล้ว กายเนื้อบาดเจ็บไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เช็ดน้ำตาสักหน่อย อย่าให้คนอื่นมองพิรุธอะไรออก”

เฟยหงกัดริมฝากพลางพยักหน้าเช็ดน้ำตา

งานวันเกิดที่อุทยานหลวงจัดต่อเนื่องอีกหนึ่งวัน รายการแสดงบันเทิงต่างๆ ที่สวนหรรษาก็ย่อมขาดไม่ได้

ระหว่างทางไปสวนหรรษามีเวลาว่างเล็กน้อย ประมุขชิงเรียกซือหม่าเวิ่นเทียนมาคุยเป็นการส่วนตัว “เรื่องวันนี้ เจ้าคิดว่ายังไง?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนเห็นว่านอกจากซ่างกวนชิงที่ติดตามอยู่ข้างกาย ก็เหลือแค่เขาคนเดียว เขารับผิดชอบด้านไหนล่ะ? ที่เรียกเขามาก็ย่อมต้องเกี่ยวกับเรื่องที่เขารับผิดชอบอยู่แล้ว พอจะเข้าใจความหมายในคำพูดของประมุขชิงแล้ว “หรือฝ่าบาทรู้สึกว่าเรื่องในวันนี้มีเงื่อนงำ?”

ประมุขชิงลูบเครา “เจ้าลูกลิงนั่นใจกล้าไม่เบา เรียกได้ว่าใช้แผนการชุดแล้วชุดเล่า ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ข้าก็รู้สึกว่าเจ้าลูกลิงนั่นเตรียมตัวมา? หดหู่ท้อแท้ชีวิต เลยตบตีอนุภรรยาระบายอารมณ์เหรอ? เจ้าดูท่าทางที่มีชีวิตชีวาของเขาสิ เหมือนคนที่หดหู่ท้อแท้ชีวิตเหรอ?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนกลุ้มใจนิดหน่อย “ข่าวที่สายลับส่งมาเป็นอย่างนี้จริงๆ หรือว่าจงใจเล่นละคร?”

ประมุขชิงเหล่ตาถาม “ไม่ใช่ว่าสายลับของเจ้าโดนเขาซื้อไปแล้วร่วมกันเล่นละครตบตาหรอกนะ?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบปฏิเสธ “น่าจะไม่ถูกซื้อขอรับ” จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “ฝ่าบาท จุดอ่อนของสายลับคนนั้นอยู่ในมือข้าน้อบ ฐานะของสายลับคนนั้นคือ…”

ซ่างกวนชิงไม่รู้ว่าเขากำลังพูดความลับอะไร จากนั้นก็พบว่าประมุขชิงเหลือบมองซือหม่าเวิ่นเทียนด้วยสีหน้าครุ่นคิดแล้วไม่ได้ถามอะไรอีก เปลี่ยนเป็นกล่าวช้าๆ ว่า “ถ้าเจ้าลูกลิงนั่นวางแผนมานานแล้วจริงๆ แสดงว่าเจ้าลูกลิงนั่นก็ไม่ธรรมดา!”

ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้าเห็นด้วย เพียงแต่ในใจอดไม่ได้ที่จะพึมพำว่า ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายวางแผนมานานแล้วยังไงล่ะ คนเบื้องล่างมีใครบ้างที่ไม่คิดทำทุกวิถีทางเพื่อไต่เต้าขึ้นมาข้างบน ชัดเจนแล้วว่านี่คือแผนลับ ตำแหน่งโหวสี่ตำแหน่ง ขนาดท่านยังอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเลย

ทว่ากลับได้ยินประมุขชิงถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เจ้าลูกลิงนั่นใจกล้าไม่เบา คิดวางแผนลามปามมาถึงหัวข้าแล้ว ถ้ามีความสามารถ ข้าไม่เสียดายที่จะให้ผลประโยชน์หรอก แต่ถ้ากล้าคิดไม่ซื่อ…ใช้ความพยายามกับสายลับคนนั้นหน่อย ในอนาคตอาจจะได้ใช้งานสำคัญก็ได้” พูดจบก็โบกมือให้ออกไป

ซือหม่าเวิ่นเทียนงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจทันที เมื่อสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง เกรงว่าในอนาคตสายลับคนนั้นคงจะกลายเป็นมือสังหาร จึงกุมหมัดคารวะทันที “รับทราบ! ข้าน้อยขอตัว”

รอจนเขาออกไปแล้ว ประมุขชิงก็เอียงหน้าบอกอีก “เรีบกอู๋ฉวี่กับเกาก้วนมา”

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ แล้วใช้ระฆังดาราติดต่อ

“ฝ่าบาท!” ไม่นานอู๋ฉวี่กับเกาก้วนก็เข้ามาทำความเคารพพร้อมกัน

“ไม่ต้องมากพิธี!” ประมุขชิงโบกมือให้ทั้งสอง แล้วบอกอู๋ฉวี่ว่า “เจาจัดกำลังพลกลุ่มหนึ่งคุ้มกันส่งหนิวโหย่วเต๋อกลับไป แล้วคุ้มกันที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีชั่วคราว ป้องกันไม่ให้มีคนเล่นตุกติกกับหนิวโหย่วเต๋อก่อนผลการเดิมพันจะออก…” จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “ถ้าการเดิมพันดำเนินไปอย่างเสียเปรียบ จะมีคนไปรื้อเวที ให้คนของเจ้าให้ความร่วมมือด้วย เข้าใจความหมายของข้าใช่มั้ย?”

อู๋ฉวี่เงียบไปครู่หนึ่ง เขาเข้าใจแล้ว ถ้าการเดิมพันทำให้ฝั่งนี้ได้เปรียบก็ให้ปกป้งหนิวโหย่วเต๋อ แต่ถ้าการเดิมพันทำให้ฝั่งนี้เสียเปรียบ ที่บอกว่าจะมีคนรื้อเวที ก็หมายความว่าจะมีคนกำจัดหนิวโหย่วเต๋อทิ้งเพื่อพังการเดิมพันนี้ ส่วนคนที่เขาส่งไปคุ้มกันก็ห้ามแทรกแซง เขาพยักหน้ากุมหมัดคารวะ “น้อมรับบัญชา!”

ประมุขชิงหันกลับมาสั่งเกาก้วนอีก “หน่วยตรวจการขวาเบิกตากว้างๆ หน่อย ถ้ามั่นใจว่ามีคนเล่นตุกติกแทรกแซงอยู่เบื้องหลังการรับคนที่ตลาดผี คงไม่ต้องให้ข้าสอนว่าเจ้าต้องทำยังไง?”

“ข้าน้อยน้อมรับบัญชา!” เกาก้วนกุมหมัดคารวะ

…………………………

เซี่ยโห้วท่าหันกลับไปมองลูกชายของตัวเองแวบหนึ่ง เห็นเพียงเซี่ยโห้วลิ่งกำลังจ้องเหมียวอี้ไม่ละสายตา

โพ่จวินขมวดคิ้ว ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนแทบจะหรี่ตาจ้องเหมียวอี้พร้อมกัน

เทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนมองเหมียวอี้ด้วยแววตาตกตะลึงอย่างชัดเจน จอมพลสายวอกลั่วหม่างก็ยิ่งตกใจไม่ใช่น้อย

ขนาดเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยังพูดไม่ออก เป็นครั้งแรกที่เห็นคนบ้าระห่ำขนาดนี้ที่ตำหนักสวรรค์ กล้าขอตำแหน่งขุนนางต่อหน้าฝ่าบาท

เม่ยเหนียงและลูกสาวก็ยิ่งตกใจจนหุบปากไม่ลว ไม่น่าเชื่อว่าจะอยากกระโดดจากตำแหน่งแม่ทัพภาคไปนั่งตำแหน่งใหญ่อย่างหัวหน้าภาคเลย

ประมุขชิงมองต่ำลงมา จ้องเหมียวอี้อย่างเย็นเยียบ “เป็นคนตัวเล็กๆ แต่ความกระหายของเจ้าไม่เล็กเลย!”

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะพูดสิ่งที่ทำให้คนตกตะลึงต่ออีก “สิ่งเดิมพันนี้เป็นแค่หนึ่งในนั้น ที่จริงไม่นับว่าเป็นสิ่งเดิมพันอะไรหรอก เพียงแต่ข้าน้อยรวบรวมความกล้าขอความเมตตาจากฝ่าบาท! ในเมื่อท่านโหวทั้งสี่จำกัดเงื่อนไขข้าน้อยสามข้อ เช่นนั้นข้าน้อยก็ย่อมต้องขอสิ่งเดิมพันจากท่านโหวทั้งสี่สักส่วนหนึ่ง หากข้าน้อยสามารถดึงกำลังพลเก่งๆ จากสี่ทัพมาสร้างทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนได้ หวังว่าท่านโหวทั้งสี่จะปรึกษากับบรรดาขุนนางใหญ่สักหน่อย สี่ทัพต้องให้ตำแหน่งท่านโหวคนละตำแหน่งแก่ฝ่าบาท!”

เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ ก็ราวกับเกิดคลื่นยักษ์ซัดกระเพื่อมขึ้นในตำหนัก ไม่น่าเชื่อว่าแม่ทัพภาคต่ำต้อยคนเดียวจะอยากตัดสินใจเรื่องตำแหน่งท่านโหวสี่ตำแหน่ง บ้าบิ่นเกินไปแล้ว!

ประมุขชิงพลันหรี่ตา ในดวงตาฉายประกาย ถ้าสามารถหาทางตัดอำนาจของสี่อ๋องสวรรค์ได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาเฝ้าหวังอยู่แล้ว ตำแหน่งโหวสี่ตำแหน่ง ในสายตาเขาสำคัญกว่าตำแหน่งหัวหน้าภาคของเหมียวอี้ตั้งเยอะ เมื่อเทียบกับตำแหน่งท่านโหวแล้ว ตำแหน่งหัวหน้าภาคไม่นับว่าสำคัญเลย!

ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนมองเหมียวอี้ด้วยแววตาตกตะลึงอย่างแท้จริง โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ก็เช่นกัน แต่ละคนทำสีหน้าชื่นชม ราวกับกำลังชมว่าเจ้าเด็กนี่ก็ไม่เลว!

ในสายตาของประมุขชิง สิ่งเดิมพันที่เหมียวอี้เสนอมาต่างหากถึงจะเหมือนคนกำลังทำงานอย่างแท้จริง

เซี่ยโห้วท่าวางจอกสุราลง หลับตาลงอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไร

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มองปฏิกิริยาประมุขชิงที่อยู่ข้างกันแวบหนึ่ง รู้ว่าคำพูดของเหมียวอี้ทำให้ประมุขชิงสำราญใจแล้ว นางมองเหมียวอี้อีกครั้งด้วยแววตาชื่นชม รู้สึกทันทีว่ายิ่งมองก็ยิ่งถูกชะตา ตอนนี้นางหวังให้เหมียวอี้เดิมพันชนะ เช่นนั้นในภายหัลงตลาดผีเล็กๆ ใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์ก็จะหลายเป็นน่านฟ้าทั้งแดนรัตติกาลแล้ว

ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรที่ตกตะลึงจนพูดไม่ออก เม่ยเหนียงและลูกสาวก็ไม่รู้ว่าตกตะลึงหรือกังวล แต่รู้ว่าคำพูดของเหมียวอี้ล่วงละเมิดผลประโยชน์ของอ๋องสวรรค์ก่วงแล้ว

บนใบหน้าโค่วเจิงก็ฉายแววเดือดดาลเช่นกัน อิ๋งอู๋หม่านพลันยืนขึ้น แล้วตะคอกอย่างเดือดดาล “บังอาจ! แม่ทัพภาคต่ำต้อยอย่างเจ้าช่างกล้าพูดเหลวไหลกับเจ้าของตำแหน่งโหว!”

“บอกว่าเป็นเพียงสิ่งเดิมพันเองไม่ใช่เหรอ ไม่ได้ร้ายแรงขนาดที่เจ้าพูดหรอก จะให้คำพูดประโยคเดียวของเขาตัดสินเจ้าของตำแหน่งโหวได้อย่างไร ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยเขาไป!” ประมุขชิงเอ่ยปากพูดแล้ว โบกมือให้อิ๋งอู๋หม่านพลางหัวเราะเบาๆ บอกเป็นนัยว่าอย่าโมโหมากไปนัก รอยยิ้มค่อนข้างเป็นมิตรสนิทสนม

อิ๋งอู๋หม่านจะหลีกทางให้ประเด็นนี้ง่ายๆ ได้อย่างไร เขาถามกดดันเหมียวอี้ “ได้ยินแต่เจ้าร้องขอ ไม่รู้ว่าถ้าเจ้าแพ้แล้วจะเอาอะไรมาเป็นสิ่งเดิมพันที่เท่าเทียมกัน?”

เหมียวอี้เงียบแล้ว คนในตำหนักก็มองเขาอย่างเงียบงันเช่นกัน ประมุขชิงมองเหมียวอี้ด้วยแววตาเฝ้าคอย หวังว่าเจ้าเด็กนี่จะทำเรื่องดีๆ เพียงครึ่งเดียว

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าสุขุมใจเย็น แล้วกล่าวเสียงดังฟังชัด “ข้ายินดีถวายหัวให้!”

อิ๋งอู๋หม่านแสยะยิ้ม “ถ้าเจ้าแพ้แล้วก็แปลว่าเจ้าใส่ร้ายขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนัก ต่อให้เจ้าไม่ต้องมอบศีรษะให้ แต่ก็มีโทษตายอยู่ดี นี่นับเป็นสิ่งเดิมพันอะไรกัน?”

เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวอี้เองก็ระมัดระวังตัวสุดๆ ชั่งน้ำหนักเลือกใช้คำพูดในใจ กลัวว่าจะล้มเหลวเอาตอนสุดท้าย

ใครจะคิดว่าความเงียบของเขาจะทำให้ประมุขชิงเปล่งเสียงพูดแล้ว ยังไม่ทันรอให้เหมียวอี้ใช้แผนสำรอง ประมุขชิงก็หัวเราะลั่นแล้ว “วันนี้เป็นงานวันเกิดของท่านปู่สวรรค์ การเดิมพันนี้ช่างน่าสนุกมาก เพื่อเพิ่มความบันเทิงให้ท่านปู่สวรรค์ ข้าจะเพิ่มรางวัลก็แล้วกัน ไม่ทราบว่าท่านปู่สวรรค์มีความคิดเห็นอย่างไร?” เขาเอ่ยถามขณะมองเซี่ยโห้วท่า

กลุ่มขุนนางใหญ่รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องแล้ว รู้ว่าตำแหน่งท่านโหวทั้งสี่ดึงดูดความสนใจประมุขชิงแล้ว ตอนนี้ประมุขชิงต้องการลงมือแล้ว กลุ่มขุนนางเรียกสติให้กระปรี้กระเปร่าเพื่อเตรียมรับมือทันที ถ้าเจอช่องโหว่จากคำพูดของประมุขชิงเมื่อไรก็จะเถียงกลับทันที ส่วนหนิวโหย่วเต๋อนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาพวกเขาเลย คนที่พวกเขากังวลจริงๆ ก็คือประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูง

ในเวลานี้เซี่ยโห้วท่าย่อมไม่บุ่มบ่ามเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาย่อมไม่ตอบตกลงหรือไม่ตอบตกลงให้ขัดใจใคร ผลักเรื่องนี้กลับไปทันที ตอบอย่างร่าเริง “ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฝ่าบาท!”

“ดี! เช่นนั้นก็ทำตามประสงค์ของท่านปู่สวรรค์ เพิ่มการเฉลิมฉลองสักหน่อยแล้วกัน” ประโยคนี้ประมุขชิงบอกกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ นางย่อมพยักหน้ายิ้มอย่างให้ความร่วมมือ แสดงออกว่าเห็นด้วย

ประมุขชิงยืนขึ้น เอามือไขว้หลังมองลงมาที่กลุ่มขุนนาง กวาดมองด้วยสายตาคมกริบ กล่าวในขณะที่ยิ้มแย้มว่า “เช่นนั้นข้าก็จะเพิ่มความบันเทิงสักหน่อย เพิ่มความบันเทิงอะไรดีล่ะ? ชีวิตของหนิวโหย่วเต๋อจะเทียบกับตำแหน่งท่านโหวทั้งสี่ได้อย่างไร ชีวิตของเขามีน้ำหนักเบาไปหน่อย เดิมพันกับเขาอาจจะเสียเปรียบ เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะช่วยนำตำแหน่งโหวสี่ตำแหน่งมาช่วยเขาแบ่งน้ำหนักก็แล้วกัน ถ้าเขาชนะแล้ว ข้าอาจจะให้ท่านโหวสี่ตำแหน่งจากสี่ทัพปลิดชีพตัวเองเหมือนกัน สี่คนจากตระกูลต่างๆ แบบนี้ยังยุติธรรมมั้ย?”

ยุติธรรมบ้าบออะไรล่ะ! ขุนนางใหญ่ของสี่ทัพเข้าใจทันทีว่าประมุขชิงใช้แผนชั่วเพื่อเอาเปรียบ หลังจากเรื่องที่น้ำพุวังเวง สี่ทัพเหนือใต้ออกตกก็อาศัยโอกาสย้ายทัพใหญ่ ฉวยโอกาสถอดอำนาจคนของประมุขชิงแล้ว ลองคิดดูว่าถ้าเกิดศึกใหญ่ขึ้นมา แต่เส้นทางหลักของประตูดวงดาวสำคัญกลับถูกคนของประมุขชิงควบคุมไว้ คนของประมุขชิงก็สังหารเข้ามาได้ง่ายๆ แต่ฝั่งนี้กลับไม่อาจสังหารออกไปได้อย่างราบรื่น ถ้าพลาดโอกาสสำคัญตอนทำศึก ก็จะเป็นภัยคุกคามที่อันตายถึงชีวิต ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ถ้าสี่อ๋องสวรรค์ไม่ถอดคนที่เฝ้าตำแหน่งสำคัญออกก่อนก็แปลกแล้ว ตอนนี้ประมุขชิงนำตำแหน่งที่แทบจะมีแต่ในนามมาเป็นสิ่งเดิมพัน แบบนี้ไม่เรียกว่าเอาเปรียบแล้วจะเรียกว่าอะไร?

ที่สำคัญคือประมุขชิงมีอำนาจตัดสินใจเบ็ดเสร็จที่คนอื่นไม่มี ไม่ว่าเขาจะแพ้สี่ตำแหน่งนั้นหรือชนะสี่ตำแหน่งนั้น แต่ก็ล้วนมีความชอบธรรมที่จะเลือกมาลงมือได้ตามอำเภอใจ

เหมียวอี้รู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าตัวเองยังไม่ทันเพิ่มของเดิมพัน แต่ประมุขชิงก็โผล่ควักกระเป๋าช่วยเขาเพิ่มของเดิมพันแล้ว แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ลดความยุ่งยากให้เขาได้

ก่วงจวินอันกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท สิ่งเดิมพันนี้มากเกินไป ข้าน้อยทั้งสี่มีเพียงตำแหน่งโหวต่ำต้อย จะถือวิสาสะตัดสินใจได้อย่างไรว่าจะเก็บหรือจะปล่อยตำแหน่งโหวสี่ตำแหน่ง”

อิ๋งอู๋หม่าน ฮ่าวเจ๋อ โค่วเจิง ทั้งสามสบตากัน ก่อนจะกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “เป็นเช่นนี้จริงๆ ฝ่าบาทได้โปรดเก็บของเดิมพันกลับไป”

ทว่าคนในตำหนักมีใครไม่รู้บ้างว่าตอนนี้สี่คนนี้เป็นตัวแทนของสี่ทัพในราชสำนัก เพียงแต่เมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้ พวกเขาจึงอ้างว่าตัวเองตำแหน่งไม่สูงพอมาเป็นโล่กำบังทันที

ประมุขชิงชำเลืองขุนนางใหญ่คนอื่นๆ “พวกเจ้าไม่มีอำนาจตัดสินใจ แต่ผู้บังคับบัญชาของพวกเจ้าย่อมตัดสินใจได้” ในเมื่อเหมียวอี้ให้โอกาสเขาลงมือแล้ว ถ้าเขาไม่ได้ความสามารถที่แท้จริง มีหรือที่จะยอมหยุด

หวงฮ่าวจอมพลสายมะเมียยืนขึ้นแล้ว กุมหมัดคารวะต่อเบื้องบน “ฝ่าบาท ตำแหน่งขุนนางราชสำนัก ตำแหน่งโหวอันทรงเกียรติ จะนำมาเดิมพันเหมือนเป็นของเล่นได้อย่างไร ถ้าข่าวแพร่ออกไป ตำหนักสวรรค์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? จะให้ค่านิยมแบบนี้ลุกลามไม่ได้ ฝ่าบาทได้โปรดคืนคำสั่ง!”

ไม่ผิดหรอก ประมุขชิงรักหน้าตาศักดิ์ศรี แต่ก็ต้องการเห็นการเปรียบเทียบว่าเป็นอย่างไรเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น การที่เขาได้เปรียบก็ถือว่าได้หน้า เมื่อได้ยินแบบนี้ ประมุขชิงก็สีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย “ตอนนี้รู้จักเห็นแก่หน้าตาตำหนักสวรรค์แล้วเหรอ? หรือว่าเมื่อครู่นี้เจ้ากำลังหลับอยู่? เมื่อครู่ตอนพวกเขาสี่คนออกมาเจรจาต่อรองเงื่อนไขกับหนิวโหย่วเต๋อ เจ้าไปไหนแล้วล่ะ? ตอนนี้รู้จักคิดแล้วเหรอว่าจะปล่อยให้คค่านิยมแบบนี้ลุกลามไม่ได้? หวงฮ่าว ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้ามีเจตนาอะไรกันแน่? หรือว่าเจ้าคือคนที่ขัดขวางการรับคนเข้าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีอยู่เบื้องหลัง?” เสียงนี้ดังก้องทั้งตำหนัก

คำพูดนี้ทำให้ฮูหยินที่นั่งอยู่ข้างกายหวงฮ่าวหวาดระแวงกลัว ทำให้กลุ่มขุนนางใหญ่พูดไม่ออกเช่นกัน ก่อนหน้านี้ใครจะไปรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเปลี่ยนแปลงเรื่องราวให้กลายเป็นอย่างนี้

“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ ข้าน้อยไม่ได้ทำเรื่องขัดขวางการรับคนเข้าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีจริงๆ” หวงฮ่าวกล่าว

“แล้วพวกเจ้าล่ะ?” ประมุขชิงโบกมือชี้รอบในตำหนัก “ทำไมไม่พูดอะไรกันแล้วล่ะ? วางแผนจะขัดขวางการรับคนเข้าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีให้ได้เลยใช่มั้ย?”

เมื่อเห็นประมุขชิงกดดันให้กลุ่มขุนนางใหญ่แสดงท่าที สี่คนที่สี่อ๋องสวรรค์ส่งมาก็ย่อมไม่อาจนิ่งเฉยดูเรื่องนี้ถูกกำหนดตายตัว ฮ่าวเจ๋อกุมหมัดคารวะกล่าวเสียงดัง “ฝ่าบาท การเดิมพันนี้เป็นเรื่องระหว่างพวกเราสี่คนกับหนิวโหย่วเต๋อ ไม่เกี่ยวกับขุนนางคนอื่นขอรับ”

ประมุขชิงแสยะหัวเราะ แล้วพยักหน้าบอกว่า “พูดได้ดี! ในเมื่อเป็นสิ่งเดิมพันระหว่างพวกเจ้าสี่คนกับหนิวโหย่วเต๋อ แล้วพวกเจ้าสี่คนก็นั่งอยู่บนตำแหน่งโหวพอดี ยินดีเดิมพันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ถ้าพวกเจ้าสี่คนแพ้แล้ว ข้าจะริบตำแหน่งโหวของพวกเจ้า!” เขาชี้ทั้งสี่คน แล้วก็ชี้ทุกคนอีก “ทุกคนคิดว่าอย่างไร?”

เมื่อประมุขชิงกล่าวเช่นนี้ ฮ่าวเจ๋อก็แอบร้องว่าแย่แล้วทันที

กลุ่มขุนนางแอบทอดถอนใจอย่างพูดไม่ออก เมื่อเทียบกับอ๋องสวรรค์แล้ว ตัวแทนพวกนี้ยังอ่อนหัดเกินไปจริงๆ ตอนนี้มาพูดก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าจะริบตำแหน่งโหวสี่ตำแหน่งนี้จริง เช่นนั้นจะไม่ฟังดูเหลวไหลหรอกเหรอ ไม่ว่าสุดท้ายจะแพ้หรือจะชนะ ขุนนางใหญ่ที่อยู่ตรงนี้ก็ไม่อาจปล่อยให้สี่ตำแหน่งนี้อยู่ในอันตราย เมื่อถูกประมุขชิงลงมือกดดันถึงขั้นนี้แล้ว ทุกคนนับว่ามองออก วันนี้ถ้าไม่อาจวางเดิมพันให้เป็นรูปเป็นร่างได้ ประมุขชิงก็จะไม่ยอมเลิกราแน่นอน

เถิงเฟยจอมพลสายชวดยืนขึ้นแล้ว เขาหัวเราะเบาๆ ช่วยคลายบรรยากาศตึงเครียดในตำหนักใหญ่ก่อน เสร็จแล้วถึงได้กุมหมัดคารวะต่อประมุขชิง “ฝ่าบาท การเดิมพันที่ราชสำนัก จะให้ความนิยมนี้ลุกลามไม่ได้ เพียงแต่มีประโยคหนึ่งที่ฝ่าบาทกล่าวได้ดี วันนี้เป็นงานวันเกิดท่านปู่สวรรค์ เดิมพันเล็กน้อยเพิ่มความบันเทิงให้งานวันเกิด ครั้งนี้ยกเว้นให้ แต่ไม่มีครั้งหน้าอีก! ดังนั้นข้าน้อยยินดีตอบรับฝ่าบาทที่จะร่วมสนุก ควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ให้แทรกแซงการรับคนที่ตลาดผี”

เขากำลังให้บันไดลงแก่หวงฮ่าว และกำลังทำให้อิ๋งอู๋หม่านหลบอันตรายด้วย

“ข้าน้อยสนับสนุนให้เพิ่มความบันเทิง!” จอมพลสายฉลูเฉิงไท่เจ๋อยืนขึ้นเช่นกัน

“ข้าน้อยสนับสนุนให้เพิ่มความบันเทิง!”

“ข้าน้อยสนับสนุนให้เพิ่มความบันเทิง!”

กลุ่มขุนนางใหญ่ทยอยกันยืนขึ้นแสดงท่าทีว่าสนับสนุน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเพื่อปกป้องสี่คนนี้

หลังจากกลุ่มขุนนางแสดงท่าทีแล้ว ประมุขชิงก็พยักหน้าอย่างพอใจ “ดี! หลังจากนี้หนึ่งปี ข้าจะดูผลลัพธ์ไปพร้อมกับทุกคน แล้วค่อยตัดสินอย่างยุติธรรมอีกที!”

ใครจะคิดว่าหวงฮ่าวกลับกุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ฝ่าบาท การเรื่องที่พระตำหนักอุทยาน จะให้ความนิยมนี้ลุกลามไม่ได้ อิ๋งอู๋เชวียกับหนิวโหย่วเต๋อต่างคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง ข้าน้อยแนะนำให้เลือกคนไปตรวจสอบเรื่องนี้ เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบ!”

เมื่อกล่าวเช่นนี้ ก็มีคนไม่น้อยเกิดความคิดในใจอีก เข้าใจเจตนาของหวงฮ่าวแล้ว ทำแบบนี้เพื่อจะอาศัยการตรวจสอบขยายเวลาการเดินพัน ไม่แน่ว่าในระหว่างที่ตรวจสอบอาจจะใช้อุบายอะไรเล่นงานให้หนิวโหย่วเต๋อตายไปก็ได้ การเดิมพันก็ย่อมพังไปด้วย

ขณะที่กลุ่มขุนนางใหญ่กำลังจะกล่าวสนับสนุน ใครจะคิดว่าประมุขชิงจะแย่งลงมือแล้ว “ก่อเรื่องเอะอะโวยวายที่พระตำหนักอุทยาน ไม่ว่าใครจะมีเหตุผลอะไร แต่ถ้าอดทนไว้หน่อยก็ทำให้เรื่องสงบได้แล้ว แต่กลับมีคนมองข้ามหัวเดชานุภาพสวรรค์! ข้าไม่สนว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ทำโทษก่อนแล้วค่อยว่ากัน! วันนี้เห็นแก่หน้าท่านปู่สวรรค์ ข้าไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ โทษตายหลีกได้ โทษเป็นมิอาจเว้น ทหาร ลากสองคนนี้ไปให้รางวัลคนละสิบแส้!”

…………………………

เขารู้กำพืดของเหมียวอี้ดีกว่าใคร รู้สึกว่านอกจากคนพวกนี้แล้ว ก็ไม่มีใครไปที่ตลาดผีแน่ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือคิดเหมือนกับขุนนางใหญ่คนอื่นๆ

ทว่าไม่นานเขาก็ปฏิเสธความคิดนี้ของตัวเองแล้ว ถ้ากำลังพลหนึ่งแสนของหกลัทธิกระจายซ่อนตัวอยู่ในสี่ทัพ ประโยชน์ที่จะเอาไว้ใช้งานในวันข้างหน้าก็เยอะมาก ถ้าตัดแบ่งออกมากลับจะไม่เป็นผลดีด้วยซ้ำ น่าจะไม่ถูก หรือว่ากำลังพลหกลัทธิที่ซ่อนตัวอยู่ในสี่ทัพจะเยอะจนน่าตกใจ หายไปสักหนึ่งแสนก็ไม่เป็นอะไร?

เมื่อมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา แม้แต่เขาเองก็ยังตกใจ หกลัทธิแอบมีความเคลื่อนไหวในขอบเขตที่ใหญ่ขนาดนั้นแต่ตนกลับไม่รู้ สิ่งนี้อาจจะเป็นอันตรายต่อตระกูลเซี่ยโห้ว!

เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างหลังทำสายตาฉงน แววตาที่วูบไหวไม่สงบนิ่งกวาดมองกลุ่มขุนนาง กำลังครุ่นคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อพูดถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าคนของสี่ทัพขัดขวาง เกรงว่ากลับจะทำให้ข้อสงสัยที่ขัดขวางการรับสมัครคนของหนิวโหย่วเต๋อก่อนหน้านี้เป็นความจริง มาถึงขั้นนี้แล้ว เกรงว่าจะไม่ตอบตกลงก็คงไม่ได้

หารู้ไม่ว่านี่ก็คือกลยุทธ์เด็ดที่ได้มาจากหัวขาวที่ใช้ความคิดอย่างหนักของหยางชิ่ง ถ้าไม่มีความมั่นใจนี้ มีหรือที่จะกล้าให้เหมียวอี้มาเสี่ยงอันตรายที่นี่?

ซือหม่าเวิ่นเทียนมองเกาก้วนที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง พบว่าเกาก้วนยังคงดื่มสุราอย่างเอื่อยเฉื่อยเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง

โพ่จวินกับอู๋ฉวี่สบตากันโดยจิตใต้สำนึก

แม้แต่ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงก็ระแวงสงสัยไม่หยุด ที่เจ้าลูกลิงพูดนี่จริงหรือเท็จกันแน่?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่นั่งอยู่ข้างกันใช้สมองตามไม่ค่อยทัน นางชำเลืองเอ๋อเหมยที่อยู่ข้างกาย แต่ก็ไม่ได้คำตอบ จึงมองไปที่สองพ่อลูกเซี่ยโห้วอีก แต่กลับไม่มีการบอกใบ้ใดๆ ตอบกลับมา

ฉีหลิงหวนก็ตระหนักได้เช่นกันว่าถ้าไม่ตอบตกลงก็เท่ากับพิสูจน์ว่าข้อสงสัยเป็นความจริง เพียงแต่เขาจะมีอำนาจตัดสินใจเสียที่ไหนกัน เบื้องบนที่ตำแหน่งสูงกว่ามีตั้งเยอะ บนราชสำนักเขาเป็นเพียงขุนนางต่ำต้อยคนหนึ่งที่คอยเป็นแนวหน้าโจมตีก็เท่านั้นเอง เขาจึงมองปฏิกิริยาของคนอื่นๆ ทางซ้ายและขวา

ทว่าคนอื่นก็ไม่สะดวกจะตัดสินใจตามใจชอบได้เช่นกัน เรื่องนี้ต้องการความเห็นที่เป็นเอกฉันท์ ยังต้องถามความเห็นของสี่อ๋องสวรรค์อีก มีคนไม่น้อยแอบปรึกษากันแล้ว

มีคนเริ่มแอบด่าแล้ว เป็นงานวันเกิดที่ดีงานหนึ่งแท้ๆ แต่เลอะเลือนจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน? พิสูจน์เหรอ? พิสูจน์อะไรล่ะ? พิสูจน์บ้าบออะไรล่ะ! ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักจำเป็นต้องมาพัวพันกับแม่ทัพภาคตลาดผีต่ำต้อยคนเดียวด้วยเหรอ?

แต่ความจริงก็ได้ถูกคนของตระกูลอิ๋งผลักดันมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ฟังดูเหลวไหลนิดหน่อย แต่จะไม่หาข้อยุติก็ไม่ได้

ทุกคนต่างก็รู้ ว่ามาถึงขั้นนนี้แล้ว ขอเพียงประมุขชิงออกคำสั่ง ละครวุ่นวายที่เหลวไหลในเข้าท่าในงานนี้ก็จะจบลงได้ ทุกคนจะไม่คัดค้านอะไร แต่ดูจากท่าทางประมุขชิงที่กำลังครุ่นคิด ก็ไม่รู้อีกว่าเจ้าตัวกำลังจะเล่นลูกไม้อะไร พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักไม่สะดวกจะตัดสินใจปล่อยผ่านได้ตามอำเภอใจแล้วกินดื่มต่อไป ฝั่งนี้เพิ่งจะกลั่นแกล้งหนิวโหย่วเต๋อ ต้องการบีบให้หนิวโหย่วเต๋อชี้แจง ตอนนี้พวกเขาไม่มีอำนาจตัดสินใจว่าบทจะไม่เล่นก็ไม่เล่นเหมือนเห็นราชสำนักเป็นสนามเด็กเล่น ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจว่าจะ ‘ไม่เล่นแล้ว’ ก็คือประมุขชิง

เหมียวอี้กลับไม่ได้ตั้งใจจะรอให้ประมุขชิงคิดทำความเข้าใจอย่างช้าๆ เขาหันตัวกลับมาหาอิ๋งอู๋เชวียที่กำลังคุกเข่า แล้วกุมหมัดคารวะต่อเบื้องบน “ฝ่าบาท นายท่านทั้งหลายต้องการจะให้ข้าน้อยพิสูจน์ให้ได้ เพื่อที่จะหลุดจากการโดนใส่ร้าย ข้าน้อยจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ชั้นต่ำนี้ ฝ่าบาทได้โปรดอนุญาต!”

“หึหึ!” ประมุขชิงหัวเราะกลบเกลื่อน ประมุขแห่งใต้หล้า พูดบางอย่างออกไปแล้วก็ต้องรับผิดชอบ ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่ได้คิดให้รอบคอบชัดเจน เขาไม่อยากให้คำพูดสะเพร่าของตัวเองกลายเป็นที่หัวเราะเยาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่คุ้มที่จะให้เรื่องเล็กน้อยแบบนี้มาส่งผลกระทบต่อหน้าตาศักดิ์ศรีของเขา เขาทำท่าเหมือนจัดการอย่างเป็นกลาง แล้วผลักเรื่องที่ไปที่กลุ่มขุนนางอย่างเป็นธรรมชาติมาก “หนิวโหย่วเต๋อต้องการให้ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักเลิกขัดขวางการรับคนของเขา แบบนี้เหมือนแม่ทัพภาคตลาดผีกำลังเดิมพันกับขุนนางใหญ่ในราชสำนักเลยนะ!”

เขาเอียงหน้ามองเซี่ยโห้วท่า “ท่านปู่สวรรค์ งานวันเกิดของท่านเกิดสนามพนันแล้ว เพิ่มความบันเทิงให้งานวันเกิดท่านไม่น้อยเลยนะ!”

ตอนนี้เขาเองก็ตั้งใจจะเจือจางฉาก ‘ไม่เข้าท่า’ ที่เกิดขึ้นในงานวันเกิดกึ่งราชสำนักนี้เช่นกัน จึงกำหนดให้เป็นสนามพนันเพื่อความบันเทิงเสียเลย ในภายหลังถ้ามีข่าวแพร่ออกไปจะได้ไม่มีอะไรเสียหาย จะได้ไม่ทำให้คนหัวเราะเยาะ ถ้าถามว่าในใต้หล้ามีใครที่ห่วงศักดิ์ศรีหน้าตาที่สุด คำตอบก็คือประมุขชิงแล้ว

เซี่ยโห้วท่าย่อมสนับสนุนอยู่แล้ว เขาเอามือลูบเคราพลางหัวเราะเสียงดัง “ฝ่าบาทกล่าวถูกต้องที่สุด ข้าน้อยรู้สึกว่าน่าสนใจเช่นกัน”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เอามือป้องปากหัวเราะอย่างดัดจริตเช่นกัน ทำท่าเหมือนสนใจมาก

สรุปก็คือพอทั้งสองเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยแบบนี้ ก็ทำให้บรรยากาศภายในตำหนักผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย

ผ่านไปสักครู่ ประมุขชิงก็กวาดสายตามองกลุ่มคนเบื้องล่างอีกครั้ง “จัดตั้งสนามเดิมพันแล้วฝ่ายพวกเจ้ามีความคิดเห็นยังไง? จะเดิมพันหรือไม่เดิมพัน?”

ไม่ว่าบทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร จะเกิดเรื่องน่าหัวเราะเยาะหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว เขาผลักเรื่องนี้ออกจากตัวเองได้อย่างสะอาดเรียบร้อย แค่คอยตัดสินตอนสุดท้ายเท่านั้น

ตำหนักเงียบไปครู่เดียว สุดท้ายอิ๋งอู๋หม่านที่นั่งอยู่ตำแหน่งท้ายสุดก็ติดต่อกับอ๋องสวรรค์อิ๋งแล้วยืนขึ้น เขากุมหมัดคารวะประมุขชิงก่อน จากนั้นก็บอกเหมียวอี้ “ถ้าเจ้าจะพิสูจน์ ก็จะให้เจ้าวางเงื่อนเขาคนเดียวตามใจตัวเองไม่ได้ ข้าเองก็มีเงื่อนไขเหมือนกัน เจ้าเต็มใจจะยอมรับหรือเปล่า?”

เหมียวอี้หันตัวมากุมหมัดคารวะ “ยินดีรับฟังความเห็นอันสูงส่งของท่านโหว!”

“อยากจะดึงตัวคนจากทัพตะวันออก ก็ต้องให้กำลังพลของทัพตะวันออกเต็มใจ ห้ามใช้วิธีการบังคับใดๆ” อิ๋งอู๋หม่านกล่าว

เหมียวอี้ตอบว่า “กำลังพลหนึ่งแสน ต่อให้ข้าน้อยอยากจะบีบบังคับทีละคน แต่ก็ทำไม่ไหวภายในหนึ่งปี ข้าน้อยยอมรับ”

อิ๋งอู๋หม่านบอกอีกว่า “ประการต่อมา ห้ามใช้เงินทองหลอกล่อ ถ้าเจ้าทุ่มทรัพยากรมหาศาลเพื่อหลอกล่อคนไป เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่ามีคนขัดขวางก็จะกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะ”

เหมียวอี้ตอบว่า “ทัพเกรียงไกรหนึ่งแสน ต่อให้เอาตัวข้าน้อยไปขาย แต่ข้าน้อยก็หาต้นทุนพวกนั้นมาล่อซื้อไม่ได้ ข้าน้อยจะปฏิบัติตามคำสั่ง”

อิ๋งอู๋หม่านพูดต่อไป “สุดท้าย ห้ามรับความช่วยเหลือใดๆ จากบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ ถ้ามีคนแอบส่งกำลังกลสักกลุ่มไปให้ที่ตลาดผี แบบนั้นจะนับว่าเจ้าดึงตัวสำเร็จไม่ได้ ถ้าเจ้าตอบตกลงเงื่อนไขสามข้อนี้ ข้าเองก็ตกลงเดิมพันกับเจ้าสักตั้งเป็นการส่วนตัว”

ที่เขาบอกว่าตกลงเป็นการส่วนตัว ขอเพียงไม่โง่ก็จะรู้ว่าในเมื่อเขายืนขึ้นพูดแบบนี้แล้ว ก็แปลว่าได้รับอนุญาตจากอิ๋งจิ่วกวง สามารถแสดงท่าทีแทนทั้งทัพตะวันออกได้ ต่อไปขุนนางคนอื่นของทัพตะวันออกก็ยืมแสดงท่าทีตกลงเช่นกัน

ส่วนที่เขาบอกว่าห้ามรับความช่วยเหลือใดๆ จากบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ ป้องกันใครก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง คนอื่นจะเน้นความสำคัญหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่เน้นความสำคัญแน่นอน…ประมุขชิงสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย

ในเมื่อบังคับไม่ได้ เอาเงินล่อไม่ได้ ทั้งยังห้ามรับการช่วยเหลือจากบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์อีก ทุกคนล้วนเข้าใจแล้ว ว่านี่เป็นการสกัดความเป็นไปได่ไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อเล่นตุกติก แต่หนิวโหย่วเต๋อก็ดันตอบตกลงแล้วด้วย ทำให้ทุกคนคิดไม่ตกจริงๆ ไม่เอาเปรียบเลยแม้แต่น้อย ทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนจะอาศัยอะไรไปตลาดผีล่ะ? ไม่มีเหตุผลอะไรเลย!

“ถ้ามีคนช่วยเหลือ เกรงว่าข้าน้อยคงไม่ตกต่ำอย่างทุกวันนี้หรอก ย่อมตอบตกลงอยู่แล้ว!” เหมียวอี้กล่าว

อิ๋งอู๋หม่านไม่พูดอะไรแล้ว ทำความเคารพเบื้องบนอีกครั้ง จากนั้นก็นั่งลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ยากจะบรรยายความเดือดดาลในใจ เมื่อครู่นี้เขาถูกอิ๋งจิ่วกวงด่าสาดเสียเทเสีย ที่จริงตระกูลอิ๋งไม่อยากจะเดิมพันบ้าบออะไรกับเหมียวอี้อีกเลย เพราะเหมียวอี้ไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงพอ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะผลงานของเจ้าโง่อิ๋งอู๋เชวียแท้ๆ บีบให้ตระกูลอิ๋งต้องลดศักดิ์ศรีลงมาทำเรื่องไร้สาระอย่างนี้ ทำให้ตระกูลอิ๋งเสียหน้าหมดแล้วจริงๆ

ตรงนี้เพิ่งจะนั่งลง ก่วงจวินอันก็ก้าวออกมาจากแถวหลังแล้วทำความเคารพประมุขชิง จากนั้นก็บอกเหมียวอี้ว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้ากับท่านโหวอิ๋งมีความเห็นเหมือนกัน เงื่อนไขที่เจ้ารับปากกับท่านโหวอิ๋ง ถ้าสามารถรับปากกับข้าได้ ข้าก็จะเดิมพันกับเจ้าเช่นกัน”

ฮ่าวเจ๋อก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน โค่วเจิงลุกขึ้นยืนเป็นคนสุดท้าย ทั้งสองแสดงท่าทีเหมือนกัน

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะทั้งสาม “ข้าน้อยตกลง!”

ตอนที่ก่วงจวินอัน ฮ่าวเจ๋อและโค่วเจิงเพิ่งนั่งลง จู่ๆ เซี่ยโห้วท่าเจ้าของวันเกิดก็กล่าวปนเสียงหัวเราะ “มีสนามเดิมพันเพิ่มความบันเทิงให้งานวันเกิดข้า ข้าย่อมดีใจมากอยู่แล้ว แต่ถ้าหนิวโหย่วเต๋อเดิมพันชนะ ข้าน้อยก็กำลังนึกถึงปัญหาอีกอย่าง ธรรมเนียมของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีกำหนดให้มีกำลังพลประจำอยู่ที่ตลาดผีเพียงหนึ่งพันคนเท่านั้น ถ้าจะเบียดเข้ามาในตลาดผีรวดเดียวหนึ่งแสน ตลาดผีก็ไม่ได้ใหญ่พอที่จะรับคนไหว รับไม่ไหวเหมือนกันนะ!”

เมื่อทุกคนได้ฟังดังนั้น ก็เข้าใจทันที ทุกคนมัวไปสนใจเรื่องหนิวโหย่วเต๋อ แต่กลับมองข้ามปัญหาไปข้อหนึ่ง มองข้ามผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้วไปแล้ว ถ้ามีทัพใหญ่หนึ่งแสนเข้ามาประจำการในตลาดผีภายในครั้งเดียว ก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าตึกศาลาสัตยพรตจะสูญเสียการควบคุมต่อตลาดผี ในจุดนี้เกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะยอมรับได้ยาก ส่วนที่บอกว่าจุรับไม่ไหวนั้นล้วนเป็นข้ออ้าง ตลาดผีใหญ่โตขนาดนั้น เบียดกันเข้ามาสักหนึ่งแสนคนก็ไม่มีปัญหา ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้อยู่บนพื้นดินก็ได้

ทุกคนมองข้ามไป แต่มีคนที่ไม่ได้มองข้าม มีหรือที่ผู้วางแผนนี้จะไม่คำนึงถึงปัญหาจัดที่อยู่ให้กำลังพลหนึ่งแสน หยางชิ่งมีแผนรับมือกับเรื่องนี้นานแล้ว บอกไว้ว่า : เพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น

“ฝ่าบาท ข้าน้อยมีวิธีการแก้ไขปัญหานี้” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะทันที

ประมุขชิงขานรับ “อื้ม” นับว่าอนุญาตให้เหมียวอี้พูดแล้ว แต่ถ้ามองจากบางมุม เขาค่อนข้างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก ก็แค่แม่ทัพภาคต่ำต้อยคนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะถ่อมาพูจาฉะฉานตามอำเภอใจถึงที่นี่ เห็นที่นี่เป็นอะไรไปแล้ว?

“ในเมื่อมีสนามเดิมพันแล้ว จะไม่มีสิ่งเดิมพันได้อย่างไร?” เหมียวอี้ถาม

อิ๋งอู๋หม่าน ก่วงจวินอัน ฮ่าวเจ๋อ โค่วเจิง ทั้งสี่สบตากันแวบหนึ่ง มีหรือที่ทั้งสี่จะไม่นึกถึงเรื่องสิ่งเดิมพัน? แต่พวกเขาไม่อยากเดิมพันกับเหมียวอี้เลย ถึงได้จงใจมองข้ามไม่เอ่ยถึงสิ่งเดิมพัน ถ้าเหมียวอี้ชนะแล้ว พวกเขาก็จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าเหมียวอี้แพ้ก็ย่อมต้องเอาชีวิตเหมียวอี้ การพูดเรื่องสิ่งเดิมพันเป็นสิ่งที่สี่ตระกูลไม่มั่นใจ การที่เหมียวอี้กล้ารับปากก็สื่อความหมายว่ามีปัญหาบางอย่างแล้ว

“เจ้าอยากจะได้สิ่งเดิมพัน?” ประมุขชิงถามเสียงเรียบ

เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้าข้าน้อยดึงคนมาสร้างทัพใหญ่หนึ่งแสนได้ ตามหลักการแล้วตลาดผีให้ประจำการได้เพียงหนึ่งพันคน คนที่เหลือสามารถส่งไปประจำตามจุดต่างๆ ทั้งแดนรัตติกาลได้ ทว่าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีไม่ได้มีขอบเขตให้ควบคุมเท่าไรนัก ดังนั้นข้าน้อยขอรวบรวมความกล้าขอร้องฝ่าบาท ถ้าข้าน้อยเดิมพันชนะ ฝ่าบาทได้โปรดเลื่อนตำแหน่งข้าน้อยเป็นกรณีพิเศษ เลื่อนจากแม่ทัพภาคตลาดผีให้เป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล คุมทั้งอาณาเขตแดนรัตติกาล ข้าน้อยยินดีดูแลอาณาเขตให้ฝ่าบาทด้วยความจงรักภักดี!”

เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ ในตำหนักที่เงียบสงบมาตลอดก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นฉับพลัน ทุกที่พากันกระซิบกระซาบ พบว่าเจ้าหนุ่มนี้ช่างใจกล้าคับฟ้าจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าขอตำแหน่งขุนนางต่อหน้าฝ่าบาทและกลุ่มขุนนางอย่างเปิดเผย! นึกไม่ถึงว่าอยากจะกระโดดข้ามจากตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผีเล็กๆ ไปเป็นหัวหน้าภาคที่คุมอาณาเขตเลย! อยากจะคุมทั้งเขตแดนรัตติกาล! ถ้าเจ้าเวรนี่มันทำสำเร็จจริง ถึงแม้จะบอกว่าตลาดผีมีตึกศาลาสัตยพรตควบคุม แต่เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าเวรนี่ก็จะมีอำนาจตัดสินใจทั้งแดนรัตติกาลแล้ว ต่อไปถ้าใครอยากจะไปล่าสัตว์ที่แดนรัตติกาลอีก ก็ต้องถามหนิวโหย่วเต๋อจะอนุญาตหรือไม่

สิ่งนี้มีความหมายต่อหนิวโหย่วเต๋อไม่ธรรมดา คนที่มีข้อมูลอยู่ในใจย่อมรู้ดี คนบางกลุ่มต้องการจะกดหนิวโหย่วเต๋อให้อยู่ที่ตลาดผีจนตาย แต่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้ว เช่นนั้นหนิวโหย่วเต๋อก็จะได้กระโดดออกจากร่องแคบแล้ว

เกาก้วนยกจอกสุราจ่อปากดื่มอย่างเนิบนาบ ในที่สุดสายตาก็จ้องบนตัวเหมียวอี้อย่างจริงจัง ในดวงตาฉายแววอัศจรรย์ใจแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว!

วันนั้น หยางชิ่งถามเหมียวอี้ว่า : ไม่ทราบว่าอุดมการณ์ของนายท่านเป็นอย่างไร?

เหมียวอี้ตอบว่า : ถ้ามีอุดมการณ์ต่อใต้หล้าแล้วยังไง?

ดังนั้นหยางชิ่งจึงฮึกเหิมจนกล่าวอย่างอาจหาญ : ก็ต้องดูว่านายท่านมีความกล้าที่จะไขว่คว้ามาหรือเปล่า!

ดังนั้นหยางชิ่งจึงวางแผนเด็ดให้ ไม่ใช่แค่ต้องการช่วยเหมียวอี้หากำลังพลที่แข็งแกร่งหนึ่งแสนเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ต้องการจะช่วยเหมียวอี้ทะลวงฝ่าออกจากช่องแคบตลาดผีด้วย

ดังนั้นเมื่ออวิ๋นจือชิวรู้ข่าวแล้วจึงอุทานอย่างตกตะลึง : นายท่านได้หยางชิ่งคนเดียวก็เท่ากับได้กองทัพเกรียงไกรนับล้าน!

…………………………

เขาพูดแบบนี้ไม่กลัวจะล่วงเกินคนอื่นเหรอ? ที่สำคัญคือเขาล่วงเกินคนกลุ่มหนึ่งไว้นานแล้วต่างหาก ต่อให้เขาอยากจะประจบด้วยความเกรงใจ แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทางเกรงใจตามเขาอยู่ดี ไม่สู้ใช้วิธีแข็งกร้าวผ่านด่านนี้ไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าแม้แต่ชีวิตยังเอาไม่รอด แล้วจะยังพูดถึงในภายหลังอะไรได้อีก? ดังนั้นเขาจึงล่วงเกินได้อย่างสมเหตุสมผลแล้ว!

นี่ก็คือลักษณะการทำงานของเหมียวอี้ ถ้าเขาเป็นคนนิสัยห่วงหน้าพะวงหลังเกินไป ก่อนหน้านี้คงไม่ล่วงเกินคนมากมายขนาดนี้หรอก แน่นอน ทุกวันนี้เขาก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้เช่นกัน!

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็เรียกได้ว่าทำให้ทุกคนตกตะลึงจริงๆ

ประมุขชิงเอียงหน้า สายตาที่อยู่บนตัวเหมียวอี้ย้ายไปบนตัวซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างกัน แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เจ้าลูกลิงนี่ช่างไม่เกรงใจจริงๆ ไม่แปลกใจที่ก่อเรื่องไม่พัก เป็นคนเลอะเลือนคนหนึ่ง!”

ซ่างกวนชิงยิ้มแห้ง กวาดสายตามองปฏิกิริยาของคนในงาน

ทั้งงานเงียบงันเพราะความตกตะลึง คำพูดแบบเดียวกันนี้ เมื่อเข้าไปในหูของคนที่ต่างกัน ก็ย่อมให้รสชาติที่ต่างกัน

โพ่จวินฟังจนใช้สองมือวางยันขอบโต๊ะยาว คำพูดแข็งกร้าวเช่นนี้ถูกใจเขามาก ความจริงก็คือความจริง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกับพวกจิตใจซับซ้อนเหล่านี้

อู๋ฉวี่มองปฏิกิริยาของโพ่จวินแล้วแอบถอนหายใจ ไม่แปลกใจที่เจ้าเด็กนี่ได้รับความชื่นชมจากโพ่จวิน ความหยิ่งในศักดิ์ศรีเหมาะสมกับกองทัพองครักษ์จริงๆ มิน่าล่ะนำธงพยัคฆ์ครึ่งกองทัพไปตีทัพที่แข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติงได้

กลุ่มขุนนางในงานสีหน้าไม่ดีเท่าไร แต่อารมณ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก คนกลุ่มนี้นับว่าดูออกแล้ว ไม่แปลกใจที่ตอนเจ้าปัญญาอ่อนนี่กล้าลงมือกับขุนนางเต็มราชสำนักตอนอยู่ตลาดสวรรค์ ช่างเป็นความร้ายกาจที่ปัญญาอ่อน ไม่ว่าอะไรก็กล้าพูดออกมาหมด

กำเริบเสิบสาน! อวดดี! นี่ก็คือการประเมินในใจของกลุ่มขุนนาง สายตาที่มองเหมียวอี้ส่วนใหญ่เหยียดหยามและไม่เป็นมิตร นับว่าขี้คร้านจะถือสาเหมียวอี้ ปล่อยให้ฉีหลิงหวนเถียงกับเขาไปก็พอ สู้กับทหารต่ำต้อยคนเดียว ถ้าจะให้ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักลงมือพร้อมกัน จะไม่กลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะหรอกหรือ ที่สำคัญคือคำพูดลำพองใจในตัวเองของเหมียวอี้ทำให้ทุกคนหาเหตุผลมาเถียงกลับไม่ได้จริงๆ

แม้แต่ฉีหลิงหวนที่กำลังตำหนิติเตียนก็ถูกทำให้พูดไม่ออกนิดหน่อย ได้แต่ยืนอึ้งถลึงตาอยู่ที่เดิม ไม่เคยเห็นใครเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย

ฉีหลิงอยากจะล่อให้เหมียวอี้ติดกับดัก แต่ใครจะคาดคิด เหมียวไม่ต้องรอให้เขาขุดกับดักลึกเลย เป็นฝ่ายกระโดดพุ่งเข้ามาใส่กับดักเองแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าจุดไฟช่วยเขาขยายขอบเขตการโจมตี เพราะเขาช่วยตัวเองให้เป็นแบบนั้นแล้ว ข้าจะล่วงเกินเสียตรงนี้เลย เจ้าจะทำอะไรข้าได้ล่ะ?

ฉีหลิงหวนคิดไปคิดมาแต่ก็หาประเด็นมาตำหนิเหมียวอี้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเลือกลูกหลานจากตระกูลไหนที่มีเงื่อนไขระดับเดียวกันมาสู้แบบตัวต่อตัวหรือนำทัพสู้ศึก ก็เกรงว่าจะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ ถึงแม้เจ้าเด็กนี่จะนิสัยไม่ดีเท่าไร ถึงขั้นน่าแค้นด้วยซ้ำ แต่กลับเป็นทหารกล้าผู้โด่งดัง ผลงานรบโดดเด่นสะดุดตา นึกถึงคนที่แม้แต่สี่อ๋องสวรรค์ยังเคยแย่ง แค่คิดดูก็รู้แล้ว

อิ๋งอู๋เชวียที่กำลังคุกเข่าอยากจะตะโกนเรียกลูกหลานตระกูลอิ๋งที่มีที่มีศักยภาพระดับเดียวกันมาตบหน้าหนิวโหย่วเต๋อสักที แต่ลูกชายเขาก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ไม่พอให้หนิวโหย่วเต๋อชายตาแลเลย ถ้าพูดถึงการนำทหารทำศึก บรรดาลูกหลานรุ่นนี้จะมีสักกี่คนที่เคยนำทหารทำศึกเลือด? ต่อให้เคยก็มียอดฝีมือคุ้มกัน คนที่มีเงื่อนไขระดับเดียวกันจะสู้กับหนิวโหย่วเต๋อที่นำทัพห้าหมื่นไปสู้กับทัพหนึ่งล้านได้อย่างไร? ข้าอ้าปากหลายครั้ง แต่ก็ต้องกลืนคำพูดกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า

นี่ก็คือประโยชน์ของการมีผลงานดี ในด้านนี้ ผลงานที่เหมียวอี้แสดงออกมาทำให้คนพูดไม่ออกจริงๆ

ลักษณะที่กล้าหาญชาญชัยทำให้เม่ยเหนียงและลูกสาวชำเลืองมองไม่หยุด เพียงแต่เม่ยเหนียงแอบมองปฏิกิริยาของกลุ่มขุนนางในราชสำนัก ในใจพึมพำว่า การที่หนิวโหย่วเต๋อพูดแบบนี้เหมาะสมแล้วเหรอ? อวดดีบ้าระห่ำเกินไปหรือเปล่า?

ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เลิกคิ้ว มองเหยียดคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างล่าง พบว่าหนิวโหย่วเต๋อสมกับเป็นคนของตำหนักนารีสวรรค์ คำพูดที่กล่าวออกมาทำให้สะใจ นางแอบชมว่าพูดได้ดีมาก! พูดได้เผด็จการมาก! ไม่น่าเชื่อว่าจะข่มให้ขุนนางใหญ่แต่ละคนพูดไม่ออก เป็นหน้าเป็นตาให้ตำหนักนารีสวรรค์เกินไปแล้ว!

เดิมทีนางก็ไม่ถูกชะตากับพวกขุนนางใหญ่ในราชสำนักอยู่แล้ว ไม่มีใครดีสักคน รวมทั้งตระกูลเซี่ยโห้วด้วย

เมื่อใช้ประเด็นนี้หาเรื่องไม่สำเร็จ ฉีหลิงหวนก็หน้าบึ้งทันที ขณะกำลังจะเปลี่ยนประเด็นตำหนิ ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะชิงพูดกลั่นแกล้งก่อน “ทุกคนคงจะไม่ฟังแต่คำพูดที่ข้าน้อยด่าอิ๋งอู๋เชวีย แต่กลับไม่ฟังคำพูดที่อิ๋งอู๋เชวียด่าข้าน้อยหรอกใช่มั้ย?”

ฉีหลิงหวนกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ได้ยินแล้ว เขาบอกว่าเจ้าต่างหากที่เป็นเศษสวะ อยู่ที่ตลาดผีรับสมัครคนมาทำงานไม่ได้ รู้จักแต่ระบายอารมณ์ใส่ผู้หญิงของตัวเอง แต่ถ้าพูดตามหลักการของเจ้า ก็เหมือนจะไม่นับว่าด่านะ เขาอธิบายความจริงเหมือนกัน”

“ความจริงเหรอ? ช่างน่าขำ ข้าน้อยจะรับสมัครคนไม่ได้เชียวเหรอ?” เหมียวอี้แสยะยิ้ม ยักไหล่สองข้างให้กลุ่มคน จากนั้นสะบัดแขนเสื้อ “ถ้าข้าน้อยอยากจะรับคนจริงๆ แค่โบกมือก็ได้ทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งแสนแล้ว!”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ก็มีคนไม่ร้อยแอบพ่นเสียงทางจมูก ไม่มีใครเชื่อเขาเลย

เดิมทีฉีหลิงหวนก็อยากจะเพิ่มข้อหาให้เหมียวอี้หลายๆ ชั้นจนไม่รอดจากความตาย แต่เขาเพิ่งได้บทเรียนจากฝีปากอันร้ายกาจของเหมียวอี้ กลัวว่าถ้าเถียงกับเหมียวอี้ต่อไปจะเปลี่ยนรสชาติอีก เขาจึงไม่พัวพันกับเหมียวอี้อีกแล้ว โจมตีจุดสำคัญเสียเลย “เจ้าจะรับสมัครคนได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องของเจ้า แต่ทำไมต้องวิพากษ์วิจารณ์เกินจริง พูดต่อหน้าทุกคนว่าสาเหตุที่รับสมัครคนไม่ได้ ก็เพราะมีขุนนางใหญ่เต็มราชสำนักคอยเป็นก้างขวางคอ? การใส่ร้ายขุนนางใหญ่เป็นโทษร้ายแรง ใส่ร้ายขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็เท่ากับใส่ร้ายตำหนักสวรรค์ ผิดซ้ำผิดซ้อน เจ้ารู้ถึงความผิดหรือเปล่า?”

อิ๋งอู๋เชวียเงยหน้าจ้องเหมียวอี้ ในใจยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง พูดในใจว่า คอยดูซิว่าครั้งนี้เจ้าจะทำอย่างไร?

ตอนนี้เม่ยเหนียงและลูกสาวเริ่มกังวลอย่างจริงจังแล้ว คนมากมายล้วนได้ยินคำพูดของเหมียวอี้ ถ้าโดนข้อหานี้จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เริ่มปวดใจ ถ้าโดนข้อหานี้ต่อให้อยากจะช่วยแต่ก็ช่วยไม่ได้แล้ว ทุกคนได้ยินหมดแล้ว

ประมุขชิงมองเหมียวอี้อย่างเย็นชา ไม่รู้ว่าเหมียวอี้พูดแบบนี้ออกมาเพราะมีหลักฐานอะไรหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ก็ถึงคราวที่เขาจะลงมือแล้ว แต่เขานั่งมองปฏิกิริยาของกลุ่มขุนนางมาตลอด ถ้ามีคนที่ใจไม่บริสุทธิ์จริงๆ ตามหลักแล้วควรจะมีคนห้ามไม่ให้ฉีหลิงหวนดันประเด็นนี้ขึ้นมาสิถึงจะถูก ทำไมถึงไม่เห็นปฏิกิริยานี้ล่ะ?

เขายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สงสัย ระหว่างกลุ่มขุนนางด้วยกันย่อมมีธรรมเนียมและกฎในการอยู่ร่วมกันอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดความวุ่นวายระหว่างกัน พวกเขาตกลงกันแล้วว่าจะปล่อยหนิวโหย่วเต๋อไป ตามหลักแล้วไม่น่าจะแอบลอบกัดอีก แล้วอีกอย่าง คนที่มายืนอยู่ในราชสำนักได้จำเป็นต้องไปหยุดยั้งไม่ให้เหมียวอี้หาคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะเล็กๆ ด้วยเหรอ? ต่อให้ไม่ห้ามแต่คนก็น่าจะรู้ ว่าไม่มีใครอยากไปอยู่ในสถานที่อันไร้ความชัดเจนอย่างนั้นหรอก

เหมียวอี้นับว่าได้รับรู้ถึงความร้ายการของขุนนางในราชสำนักแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกระโดดข้ามแผนของเขาไปได้ แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว สำหรับเหมียวอี้จะกระโดดข้ามไปได้หรือไม่ก็ไม่มีความหมายสักเท่าไร ถ้าเขาไม่มีแม้แต่ความสามารถในการรับมือเหตุการณ์เฉพาะหน้า มีหรือที่จะกล้าเข้ามาเสี่ยงอันตรายในถ้ำเสือคนเดียว? จึงเลิกคิ้วถามทันที “ทุกประโยคเป็นความจริง จะมีความผิดได้อย่างไร?”

ฉีหลิงหวนแอบตกใจ อย่าบอกนะว่ามีคนแอบขัดขวางการรับสมัครจริงๆ แล้วโดนเจ้าเด็กนี่จับหลักฐานได้ เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่มีคนแอบเตือนล่ะ จนกระทั่งตอนนี้ระฆังดารายังไม่สั่นเลย นี่มันเรื่องอะไรกัน?

ขุนนางใหญ่คนอื่นก็แอบกวาดสายตามองปฏิกิริยาของขุนนางคนอื่นเช่นกัน กำลังครุ่นคิดว่าเหมียวอี้ได้หลักฐานอะไรมาจริงหรือไม่

เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉีหลิงหวนเอวก็ทำให้ตัวเองหมดทางถอยแล้วเช่นกัน ทำได้เพียงถามกดดันตรงนั้นว่า “ในเมื่อบอกว่าทุกประโยคคือความจริง ไหนล่ะหลักฐาน?”

“ถ้าเจ้าดึงดันจะให้ข้าหาหลักฐานมาตอนนี้เลย ข้าก็หามาไม่ได้หรอก” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ

หามาไม่ได้เหรอ? มีขุนนางใหญ่จำนวนไม่น้อยมองหน้ากันเลิกลั่ก ปฏิกิริยานั้นราวกับว่าอุ้มสาวงามกลับมาถอดกระโปรงแล้วแต่กลับพบความจริงว่านางเป็นผู้ชาย พบว่าหนิวโหย่วเต๋อช่างรนหาที่ตายจริงๆ อาศัยแค่ข้อหาที่อาจจะไม่มีจริงก็คิดจะใส่ร้ายกลุ่มขุนนางใหญ่แล้วเหรอ? คงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ

อิ๋งอู๋เชวียแทบจะหัวเราะออกมาแล้ว

ฉีหลิงหวนแอบจะหัวเราะเช่นกัน แต่กลับเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มแทน “หมายความว่าตอนนี้เจ้าไม่มีหลักฐานอะไรเลย แต่กลับบอกว่าขุนนางใหญ่เต็มราชสำนักขัดขวางไม่ให้เจ้ารับสมัครคนงั้นเหรอ?”

“ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนขัดขวาง แล้วทำไมข้าน้อยจึงรับสมัครคนไม่ได้สักคน หรือว่าคนในใต้หล้านี้ตายกันไปหมดแล้ว?” เหมียวอี้ถาม

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา คนที่เป็นห่วงเขาก็ได้เป็นห่วงเขาจริงๆ แล้ว จอมพลสายวอกลั่วหม่างขมวดคิ้วมุ่น ก่อนหน้านี้เขาเห็นเหมียวอี้ฝีปากคมกริบ ยังแอบชมว่าทำได้ดีอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวเหมียวอี้จะทำให้ตัวเองมาถึงทางตันเสียแล้ว ตอนนี้ต่อให้เขาอยากจะช่วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มลงมือจากตรงไหน

ฉีหลิงหวน “หนิวโหย่วเต๋อ ไม่มีหลักฐานแต่เจ้ายังกล้าวิจารณ์เกินจริง เจ้าเห็นราชสำนักเป็นสนามเด็กเล่นเหรอ?”

“นายท่านอยากจะให้ข้าน้อยหาหลักฐานจริงเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลับ

การพลิกโอกาสที่แสดงออกมาจากคำพูดนี้ได้ดึงดูดสายตาทุกคนอีกครั้ง

ฉีหลิงหวนอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มเย้ยทันที “ไม่ใช่ว่าข้าอยากหรอก แต่เจ้าต้องหามาให้ได้ ข้าเองก็ทำไปเพราะหวังดีกับเจ้า ไม่อย่างนั้นเจ้าจะรับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหว”

“หลักฐานโดยละเอียดนั้น ข้าน้อยหามาไม่ได้จริงๆ แต่ข้าน้อยกลับพิสูจน์ได้ว่าข้าน้อยไม่ได้พูดโกหก” เหมียวอี้ถาม

พูดถึงขั้นนี้แล้ว ฉีหลิงหวนก็รู้สึกได้รางๆ ถึงความไม่ชอบมาพากล ตัวเองจำเป็นต้องให้เขาพิสูจน์ตอนนี้เหรอ? แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ตัวเองกดดันมาถึงขั้นนี้แล้ว จะไม่ถามได้เหรอ? เกรงว่าใครก็ไม่อาจห้ามไม่ให้เขาถามได้แล้ว รวมถึงตัวเขาด้วย จึงแข็งใจถามว่า “จะพิสูจน์ยังไง?”

เหมียวอี้ก้าวมาข้างหน้าสองก้าว ยืนตรงข้ามเขา แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ในเมื่อโถงชุมนุมอัจฉริยะพิสูจน์ไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้คนที่มีฐานะขุนนางในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีมาพิสูจน์สิ ขอเพียงขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักไม่ขัดขวาง ถ้าภายในหนึ่งปีนี้ข้าน้อยดึงตัวกำลังพลจากทัพเหนือใต้ออกตกของสี่อ๋องสวรรค์มาได้หนึ่งแสน จะถือว่าพิสูจน์ได้มั้ย?”

“ฮ่าๆ!” ฉีหลิงหวนเงยหน้าหัวเราะลั่น ชี้เหมียวอี้พร้อมตะคอกว่า “ทั้งปากมีแต่คำพูดเหลวไหล ภายในหนึ่งปีนี้โถงชุมนุมอัจฉริยะของเจ้าจะรับคนได้หรือไม่ ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วเหรอว่ามีคนขัดขวางเจ้า เกี่ยวอะไรกัน? วิธีการพิสูจน์ของเจ้าอาจจะดันทุรังเกินไปหรือเปล่า?”

เหมียวอี้ก้าวเข้ามาข้างหน้าสองก้าว แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ในเมื่อโถงชุมนุมอัจฉริยะไม่สามารถพิสูจน์ได้ เช่นนั้นก็เอาฐานะทางการของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีมาพิสูจน์ ตราบใดที่ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักไม่ขัดขวาง ถ้าข้าน้อยรับคนจากสี่ทัพเหนือใต้ออกตกของสี่อ๋องสวรรค์ได้หนึ่งแสนภายในหนึ่งปี จะพิสูจน์ได้มั้ยล่ะ?”

ในตำหนักเงียบกริบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพื้น ขุนนางทุกคนที่กำลังนั่งในนั้นล้วนกำลังใคร่ครวญวางแผน ตอนแรกบอกว่าแม้แต่นักพรตอิสระคนเดียวเหมียวอี้ก็หาไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าต่อไปหนิวโหย่วเต๋อสามารถดึงตัวคนของสี่อ๋องสวรรค์มาสร้างทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนได้ ภายใต้การเปรียบเทียบที่แตกต่างกันมากขนาดนี้ ถ้าหากเป็นจริงขึ้นมา ที่ก่อนหน้านี้บอกว่ามีคนขัดขวางการรับสมัครคนของหนิวโหย่วเต๋อ ก็ใช่ว่าจะฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

แต่ไม่ว่ากลุ่มขุนนางจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ ใครๆ ก็รู้ว่าไปที่ตลาดผีแล้วไม่มีอนาคต ยศและค่าจ้างก็ไม่สูงกว่าที่อื่น ทั้งยังถูกตึกศาลาสัตยพรตควบคุมเข้มงวด ตักตวงทรัพยากรไม่ได้สักเท่าไร ยามปกติแค่จะเกลี้ยกล่อมให้ใครไปก็ยังไม่สำเร็จเลย นอกเสียจากจะบีบบังคับให้ไป หรือไม่ก็มีประมุขชิงแอบเล่นตุกติกช่วยเหลืออย่างหนิวโหย่วเต๋อ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีใครอยากไปสถานที่นั้นหรอก ยังจะสร้างทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนอะไรกัน? ทหารเก่งๆ ก็ยิ่งไม่ทิ้งอนาคตเพื่อไปอยู่สถานที่เส็งเคร็งอย่างนั้นอยู่แล้ว ต้องทราบไว้ว่าตำแหน่งสูงสุดของตลาดผีก็มีแค่แม่ทัพภาคตำแหน่งเดียว แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร?

ในร่องตาที่กำลังหรี่มองของเซี่ยโห้วท่าฉายแวววูบไหวไม่หยุดนิ่ง หรือว่าหกลัทธิซ่อนทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนเอาไว้ในสี่ทัพของอ๋องสวรรค์?

…………………………

ประมุขชิงสีหน้าเคร่งขรึมลงครึ่งหนึ่ง จ้องเหมียวอี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร เป็นเพราะดึงจ้านหรูอี้สนมโปรดของเขาเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว เช่นเดียวกัน สายตาเย็นเยียบนั้นชำเลืองที่อิ๋งอู๋เชวีย ไม่รู้ว่าอิ๋งอู๋เชวียเคยพูดอย่างนี้จริงหรือเปล่า

จิตใต้สำนึกอิ๋งอู๋เชวียอยากจะคำรามใส่เหมียวอี้ แต่กลับถูกสายตาเย็นเยียบของประมุขชิงจ้องมองจนขนลุกไปทั้งตัว โดยเฉพาะสายตาจองราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ชั่วพริบตานี้เขานึกเสียใจทีหลังแทบแย่ เสียใจที่ไม่เชื่อฟังคนในครอบครัว จะไปยั่วโมโหหมาบ้าอย่างหนิวโหย่วเต๋อทำไมกัน? พออ้าปากเผยฟันคมก็กัดมั่วไปหมด!

ถึงแม้เขาจะอายุมากกว่าเหมียวอี้ วรยุทธ์สูงกว่าเหมียวอี้ด้วย เห็นโลกมาเยอะกว่าเหมียวอี้ แต่ถ้าพูดถึงฉากเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เขากลับไม่เคยสัมผัสเลยสักครั้ง เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกจำกัดเงื่อนไขบางอย่างเอาไว้ พูดถึงสติปัญญากับการรับมือปัญหาอย่างใจเย็นมีสติ เขาไม่อาจเทียบกับเหมียวอี้ที่ผงาดขึ้นจากการสู้ตายครั้งแล้วครั้งเล่าได้เลย นับว่าฝีมือคนละชั้น

ส่วนเหมียวอี้ เขาไม่สนใจหรอกว่าประมุขชิงจะคิดอย่างไร แต่จะพูดว่าไม่สนก็ไม่ได้ เพราะเดิมทีนิสัยของเหมียวอี้ก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เรื่องบางเรื่องที่จุกจิกไม่สำคัญ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องรับมืออย่างเร่งด่วน เขาก็ไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นหรอก พูดเรื่องนี้ให้จบก่อนแล้วค่อยว่ากัน ทำเรื่องตรงหน้าให้ดีก่อนแล้วค่อยคำนึงถึงเรื่องระยะยาวอีกที ถ้าเขาไม่พูดแล้วประมุขชิงจะปกป้องเขาเชียวเหรอ?

เข้าใจเย็นเป็นพิเศษ และเข้าใจชัดเจนมากด้วย ว่าตั้งแต่ที่ตัวเองก้าวเท้าเข้ามาในตำหนัก เขาก็ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว มีแต่ต้องชนะเท่านั้น เขาแพ้ไม่ได้

นี่ก็คือสิ่งที่หยางชิ่งบอกว่า ต้องดูว่านายท่านมีความกล้าที่จะไขว่คว้ามาหรือเปล่า!

หยางชิ่งเป็นคนที่ไม่ค่อยทำอะไรเสี่ยงอันตราย แต่กลับคิดแผนสุดอันตรายออกมาได้ ทว่าแผนนี้ก็ตรงรสนิยมของเหมียวอี้สุดๆ !

บนราชสำนักมีแต่คนประเภทไหนกันล่ะ? ผู้ที่มีคุณสมบัติยืนประชุมในราชสำนักได้ก็ไม่ได้โง่เท่าไรหรอก ถึงแม้เหมียวอี้จะบอกว่าไม่กล้าพูด บอกว่าจำได้ไม่ชัดเจน คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรกับการชี้ว่าอิ๋งอู๋เชวียกำลังบอกว่าสนมสวรรค์ต่างหากที่เป็นคนที่ประมุขชิงรักที่สุด ไม่เห็นราชินีสวรรค์อยู่ในสายตา บางทีอาจจะแฝงความหมายว่าสักวันหนึ่งสนมสวรรค์จะต้องมาแทนที่ตำแหน่งฮูหยินเอก สรุปก็คือน่าจะไม่พ้นเกี่ยวข้องกับความหมายพวกนี้

ตอนนี้ทุกคนยังไม่รู้ว่าอิ๋งอู๋เชวียเคยพูดอย่างนี้จริงๆ หรือว่าเหมียวอี้กำลังปั้นน้ำเป็นตัว แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ นั่นก็คือเจ้าเด็กเปรตนี้ฝากร้ายกาจจริงๆ หากมีวันใดที่ได้เข้ามาในราชสำนัก เกรงว่าคงจะไม่เสียเปรียบเท่าไรนัก

โค่วเจิงมองเหมียวอี้ เรียกได้ว่าตับไตสั่นไปหมดแล้วจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่พบว่าน้องเขยจอมเอาเปรียบของตัวเองฝีปากร้ายกาจขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะปั้นเรื่องโยงกับคำว่า ‘คารวะโอรสสวรรค์’ ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดได้ชั่วขณะนั้น หรือว่าวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จ้องอิ๋งอู๋เชวียด้วยสายตา ‘ตั้งใจชื่นชม’ ความเย็นเยียบลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ในดวงตาทำให้คนที่ถูกจ้องตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว ตอนนี้นางไม่พิจารณาเลยว่าสิ่งที่เหมียวอี้พูดเป็นความจริงหรือไม่ ในสายตานาง เดิมทีตระกูลอิ๋งก็มีเจตนาจะแทนที่นางอยู่แล้ว มีความเป็นไปได้สูงมากว่าอิ๋งอู๋เชวียจะพูดอย่างนี้ออกมาจริงๆ มิหนำซ้ำนางก็ดูออกแล้วว่าก่อนหน้านี้ฉีหลิงหวนร่วมมือกับอิ๋งอู๋เชวียแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ดังนั้นยามนางอยู่ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้เกิดอุปาทานต่างๆ จึงตัดสินแล้วว่าอิ๋งอู๋เชวียเคยพูดอย่างนี้จริง

อิ๋งอู๋เชวียสมควรตาย! ตระกูลอิ๋งควรถูกสังหารทั้งตระกูล! ในใจเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เกิดความคิดชั่วร้ายน่ากลัวแวบเข้ามาราวกับฟ้าผ่า

ดวงตางามหันกลับไปมองเหมียวอี้อีกครั้ง พอนึกถึงคำว่า ‘คารวะโอรสสวรรค์’ นึกถึง ‘ยามราชันถูกดูหมิ่น ขุนนางยอมตายถวายความจงรักภักดี’ ในใจก็รู้สึกผ่อนคลายไร้ที่เปรียบ รู้สึกว่าเหมียวอี้เป็นอย่างที่พูดจริงๆ เป็นคนประเภทมีความจงรักภักดี มีเรื่องโง่เง่าอะไรบ้างที่ไม่เคยทำ? ก่อเรื่องที่พระตำหนักอุทยานบางก็ไม่แปลก ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ดูอย่างตอนแรกที่เหมียวอี้ด่าอิ๋งจิ่วกวงว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศต่อหน้าคนของตระกูลอิ๋งก็รู้แล้ว

นางกลับไม่คิดดูบ้างว่าตัวเองมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อได้ยินว่า ‘ขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ’ ตอนนี้กลับรู้สึกว่าเหมียวอี้ไม่ถูกกับตระกูลอิ๋งมาตลอด ถึงได้ทำให้นางมีท่าทีที่ควรจะมีต่อตำหนักนารีสวรรค์ ต้องสู้กับตระกูลอิ๋งให้ตายกันไปข้างสิถึงจะถูก!

โพ่จวินมองเหมียวอี้ด้วยแววตาสื่ออารมณ์ซับซ้อน คำพูดอันฮึกเหิมเร้าใจของเหมียวอี้เมื่อครู่นี้ถูกใจเขามาก โดยเฉพาะคำว่า ‘ยามราชันถูกดูหมิ่น ขุนนางยอมตายถวายความจงรักภักดี’ ถ้าได้เจ้าเด็กนี่มาอยู่ในกองทัพองครักษ์จะดีขนาดไหน น่าเสียดายที่ราชันที่อีกฝ่ายจะปกป้องหมายถึง ‘เซี่ยโห้วเฉิงอวี่’ สิ่งนี้ทำให้เขาสะอิดสะเอียนมาก

“ใจกล้าบ้าบิ่น นึกไม่ถึงว่าจะพูดจากำกวมที่นี่ ถูกผิดปนกันวุ่นไปหมด ต้องการจะเสี้ยมให้แตกแยกกัน มีเจตนาไม่ซื่อ!” ฉีหลิงหวนพลันตะคอก มองทะลุเจตนาของเหมียวอี้ทันที ผู้ที่ยืนอยู่ที่นี่ได้เป็นคนเลอะเลือนเสียที่ไหนกัน

“ฝ่าบาท หม่อมฉันถามจบแล้วเพคะ” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พลันเอ่ยแทรก โค้งตัวเล็กน้อยพลางพยักหน้าแสดงความจริงใจต่อประมุขชิง ส่วนประมุขชิงก็พยักหน้าให้นาง

เหมียวอี้หันกลับไปมองอีก “นายท่านกำลังว่าข้าน้อยเหรอ?”

“นอกจากเจ้าแล้วยังจะมีใครอีก? ปากพูดแต่เรื่องเหลวไหล เจ้ามีพยานหรือเปล่า?” ฉีหลิงหวนตะคอกอย่างโมโห

“นายท่านลองถามอิ๋งอู๋เชวียดูก็ได้ว่าเคยพูดอย่างนี้หรือเปล่า” เหมียวอี้ถามกลับ

ไม่รอให้ฉีหลิงหวนถาม อิ๋งอู๋เชวียก็ตอบกลับอย่างโมโหแล้วว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าพูดซี้ซั้วไม่คำนึงถึงความจริง ข้าเคยพูดอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไรกัน?”

“แปลว่าเจ้าไม่ยอมรับอีกแล้วเหรอ?” เหมียวอี้จ้องเขา

ที่บอกว่า ‘อีกแล้ว’ คืออะไร? อิ๋งอู๋เชวียเถียงอย่างโมโห “เจ้าปั้นน้ำเป็นตัวชัดๆ จะให้ข้ายอมรับได้ยังไง?” เขาหันตัวไปกุมหมัดคารวะต่อเบื้องบนอีก “ฝ่าบาท เหนียงเหนียง ข้าน้อยถูกใส่ร้าย!”

“ในเมื่อเจ้าตะโกนว่าถูกใส่ร้าย ทำไมไม่หาพยานมาพิสูจน์ล่ะว่าเจ้าไม่เคยพูด? เจ้ามีพยานหรือเปล่า?” เหมียวอี้ถาม

ฉีหลิงหวนเพิ่งจะอ้าปาก แต่อิ๋งอู๋เชวียก็ตะโกนแล้วว่า “มี!”

เหมียวอี้ยิ้มเย้ยในใจ

หลังจากในตำหนักเงียบสงบลง ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงก็กล่าวเสียงเรียบว่า “หาตัวพยานมา”

“ตรงนั้นมีลูกหลานตระกูลอิ๋งกับลูกหลานตระกูลโค่วเป็นพยานให้ได้” อิ๋งอู๋เชวียรายงาน

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ฉีหลิงหวนก็ขมวดคิ้วเบาๆ จนใจที่ครั้งนี้ห้ามไม่ทันแล้ว จะให้อิ๋งอู๋เชวียกลับคำพูดได้อย่างไร

มีขุนนางไม่น้อยแอบส่ายหน้า กำลังพลเครือข่ายตระกูลอิ๋งก็ยิ่งพูดไม่ออก อิ๋งอู๋หม่านที่นั่งหน้านิ่งอยู่ตรงที่นั่งมองน้องชายคนรองด้วยแววตาเย็นเยียบ อยากจะพุ่งเข้าไปเอากระบองหมาป่าตีหัวสักที พูดให้น้อยๆ หน่อยจะตายเหรอ? ตระกูลอิ๋งมีเครือข่ายคนเยอะขนาดนั้น กลัวว่าจะขาดคนช่วยพูดให้เจ้าเหรอ?

โค่วเจิงกลับแอบโล่งอก ไม่อย่างนั้นลูกเขยตระกูลโค่วถูกรุมรังแกต่อหน้าฝูงชน แต่ตระกูลโค่วกลับไม่มีใครออกมาเป็นพยานให้เลย ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไปก็จะฟังดูเหลวไหล ไม่ว่าจะอย่างไร อย่างน้อยหนิวโหย่วเต๋อก็ยังได้ชื่อว่าเป็นลูกเขยของตระกูลโค่ว

เขารีบใช้ระฆังดาราในมือติดต่อกับโค่วฉินที่อยู่ด่านนอก สั่งไว้ว่าให้พูดอย่างไร

“ประกาศ!” ประมุขชิงสั่ง

ผ่านไปไม่นาน ด้านนอกก็มีทหารของกองทัพองครักษ์นำตัวลูกหลานตระกูลอิ๋งละตระกูลโค่วที่อยู่ในงานเข้ามาแล้ว

ผลลัพธ์ของการสืบพยานก็ไม่ซับซ้อน คนของตระกูลอิ๋งย่อมปฏิเสธว่าอิ๋งอู๋เชวียเคยพูดอะไร ส่วนคนของตระกูลโค่วก็บอกว่าอิ๋งอู๋เชวียเคยเข้ามาดื่มสุราฉลองแล้วพูดว่า ‘มีคนนั่งผิดที่หรือเปล่า’ ส่วนเรื่องถ่ายทอดเสียงอะไร ก็บอกเพียงว่าสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของอิ๋งอู๋เชวีย ส่วนพูดอะไรนั้นไม่ชัดเจน

ชัดเจนว่าต่างคนต่างพูดเข้าข้างฝ่ายตัวเอง อากงพูดอย่างหนึ่ง อาม่าพูดอย่างหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าใครพูดผิดหรือพูดถูก?

ส่วนตระกูลโค่วก็เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้หลบเลี่ยงไม่ยอมออกมา แต่กลับถูกตระกูลอิ๋งดึงออกมาเป็นพยานแล้ว ตอนนี้แม้แต่กำลังพลเครือข่ายอื่นก็ไม่สะดวกจะขัดใจตระกูลโค่วแล้ว ไม่ใช่ว่าคนอื่นกลัวตระกูลโค่วจะไม่รักษาสัญญา แต่เป็นเพราะตระกูลอิ๋งไม่ได้เรื่องเอง ขุนนางกลุ่มนี้คุ้นเคยกับการทำงานอยู่ในราชสำนัก ยิ่งเข้าใจความรู้สึกของประมุขชิง ปัญหานี้จะจริงหรือเท็จก็ไม่มีทางสืบสาวต่อไปได้แล้ว ถ้าพิสูจน์ได้จริงๆ ว่าอิ๋งอู๋เชวียเคยพูดอย่างนั้น แล้วจะให้ราชินีสวรรค์ทนความรู้สึกได้อย่างไร จะให้สนมสวรรค์ทนความรู้สึกได้อย่างไร หรือจะให้ฆ่าอิ๋งอู๋เชวียทิ้งที่นี่จริงๆ ล่ะ? แบบนั้นไม่เท่ากับพิสูจน์ว่าตระกูลอิ๋งมีเจตนาชั่วร้ายจริงๆ หรอกเหรอ? ต่อให้รู้ชัดว่าตระกูลอิ๋งมีความคิดอย่างนี้ แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจพูดเปิดโปงได้

ที่จริงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือให้หนิวโหย่วเต๋อตาย แบบนั้นไม่ว่าใครก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร

เอาเป็นว่าขุนนางใหญ่กลุ่มนี้แอบทอดถอนใจ ด่านอันตรายด่านแรกที่ยัดข้อหาหนิวโหย่วเต๋อ เป็นเพราะความไร้สมองของอิ๋งอู๋เชวียถึงทำให้หนิวโหย่วเต๋อรอดไปได้อย่างราบรื่น

ฉีหลิงหวนก็ยิ่งแอบยิ้มอย่างขมขื่น ไม่ใช่ว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งมีลูกน้องไร้ความสามารถ แต่ว่า…เอาเป็นว่าจะมาโทษลูกน้องไม่ได้หรอก!

ผลลัพธ์เป็นอย่างที่กลุ่มขุนนางใหญ่คาดไว้ ประมุขชิงกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ว่าจะเคยพูดหรือไม่ หลังงานวันเกิดยอมมีการตรวจสอบอย่างละเอียด”

ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น ว่าตระกูลโค่วกับตระกูลอิ๋งจะต้องรับผิดชอบสิ่งพูดออกมาต่อหน้าธารกำนัล หลังจากนี้จะต้องแบกไว้จนถึงที่สุดแน่นอน ถ้าเปิดเผยคำพูดนี้ ตอนหลังยังจะต้องสืบอะไรอีก!

ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่ใช่คนโง่บริสุทธิ์ขนาดนั้น อยู่ที่วังสวรรค์มาหลายปีไม่ถือว่าสูญเปล่า ย่อมรู้ว่าเหมียวอี้รอดพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้แล้ว นางมองเหมียวอี้ด้วยแววตาแอบชื่นชม รู้สึกว่าไม่ทำให้ตำหนักนารีสวรรค์ของนางเสียหน้า!

ก่อนหน้านี้นางยังไม่ค่อยคิดว่าคนของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีคือคนของตำหนักนารีสวรรค์ วันนี้เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกมีพวก

ส่วนสตรีสูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ในงาน มีจำนวนไม่น้อยที่แอบรู้สึกเสียดาย เนื่องจากเหมียวอี้แทบจะล่วงเกินทุกตระกูลหมดแล้ว

เม่ยเหนียงและลูกสาวแอบโล่งใจแทนเหมียวอี้ รู้สึกได้อย่างแท้จริงว่าช่องปากคือเงาดาบประกายกระบี่ที่น่าหวาดเสียวที่สุด เป็นครั้งแรกที่สองแม่ลูกค้นพบว่า ปากคนเราคืออาวุธที่ร้ายกาจได้ขนาดนี้ ฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด!

แต่กลุ่มขุนนางใหญ่ล้วนเข้าใจ ว่าตระกูลอิ๋งไม่มีทางปล่อยเหมียวอี้ไปง่ายๆ แน่ แพ้ไปหนึ่งกระดานแล้วจะต้องเอาคืน ไม่อย่างนั้นจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

ไม่ผิดคาดอีกแล้ว หลังจากกลุ่มพยานออกจากตำหนัก ฉีหลิงหวนที่ยืนอยู่ตลอดก็กุมหมัดคารวะประมุขชิง “ฝ่าบาททรงเหมือนกระจกที่ใสสะอาด!” จากนั้นก็หันไปหาเหมียวอี้อีก “ในเมื่อเรื่องเมื่อครู่นี้ไม่อาจจะตัดสินให้ชัดเจนได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าก่อเรื่องข้างนอก คาดว่าคงไม่ได้ด่าแค่ข้าหรอก ขุนนางใหญ่ที่นั่งอยู่ในนี้ล้วนได้ยินหมดแล้วว่าเจ้าพูดว่า ‘ไม่เคยสร้างผลงานอะไร เศษสวะที่อาศัยแต่ร่มเงาของรุ่นพ่อรุ่นแม่ คู่ควรจะมาด่าข้าด้วยเหรอ’ เจ้ายอมรับหรือเปล่าว่าเจ้าพูด?”

ทำไมถึงเรียกว่าข้าก่อเรื่องอยู่ข้างนอกล่ะ? เป็นอิ๋งอู๋เชวียก่อเรื่องแท้ๆ ต่อให้ข้าก่อเรื่องแต่ก็ก่อเรื่องด้วยกันกับอิ๋งอู๋เชวีย…เหมียวอี้พึมพำในใจ ก็แค่ฉวยโอกาสเหน็บแนมข้าว่าตอนนี้จะไม่สืบสาวสิ่งที่ข้ากล่าวหาอีกแล้ว

“แน่นอน! ข้าน้อยไม่เหมือนคนพวกนี้…” เหมียวอี้เหล่ตามองอิ๋งอู๋เชวียแวบหนึ่ง “ข้าน้อยพูดก็คือข้าน้อยพูด ไม่เหมือนคนพวกนี้ที่ไม่กล้ายอมรับ!”

มารดาเจ้าเถอะ คำพูดนั้นล้วนผ่านไปแล้ว เจ้ายังไม่จบอีกเหรอ! อิ๋งอู๋เชวียเงยหน้ามองเขา ในดวงตาเต็มไปด้วยไฟโกรธ เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะกระโดดขึ้นมาสู้ตายกับเขาสักยก

“ไม่ทราบว่าเจ้ากำลังด่าใคร?” ตอนที่ถามประโยคนี้ ฉีหลิงหวนมองดูปฏิกิริยาของขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนัก

“ข้าน้อยไม่คิดว่าข้าน้อยกำลังด่าใคร ก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง” เหมียวอี้กล่าว

ฉีหลิงหวนกดดันทันที “ไม่ทราบว่าเจ้าสร้างผลงานใหญ่อะไร ถึงกล้ามาดูหมิ่นผู้อื่นว่าเศษสวะ แล้วที่บอกว่าอาศัยร่มเงาพ่อแม่ เจ้าหมายถึงใคร?” เขากำลังจงใจช่วยให้เหมียวอี้ยั่วโมโหฝูงชน ช่วยขยายขอบเขตการถูกโจมตีให้เหมียวอี้

เม่ยเหนียงและลูกสาวแอบเป็นห่วง

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับดันทุรังยอมรับแล้ว ยืนกล่าวเสียงต่ำเสียงสูงเป็นท่วงทำนองอยู่อย่างนั้น “ข้าน้อยไร้ความสามารถ แต่ตอนจับผู้ร้ายหลบหนีของตำหนักสวรรค์ก็เคยได้รับรางวัลอันดับหนึ่งจากฝ่าบาท นี่คือผลงานใหญ่ในสายตาข้าน้อย เพียงพอที่จะให้ภาคภูมิใจแล้ว! ขอบังอาจถามนายท่าน ในใต้หล้าจะมีสักกี่คนที่ได้รับเกียรติเช่นนี้? ส่วนเศษสวะที่อาศัยแต่ร่มเงาของรุ่นพ่อรุ่นแม่อะไรนั่น ในเมื่อทุกคนอยากจะใส่ความ อยากจะคิดโยงยังไงก็ทำไปเถอะ คำพูดไร้น้ำหนักของข้าน้อยไม่ถนัดจะอภิปรายแก้ตัวในราชสำนัก ถ้าใครรู้สึกว่าข้าน้อยพูดผิดไป ก็เลือกลูกหลานที่วรยุทธ์พอๆ กับข้าน้อยออกมาสิ คนมีเงื่อนไขระดับเดียวกันที่อยากจะสู้ตัวต่อตัวกับข้าน้อยก็ได้ หรือจะให้กำลังพลที่มีพลังใกล้เคียงกับข้าน้อยมาสู้กันสักยกก็ได้ ไม่ว่าจะสู้ตัวต่อตัว หรือว่านำกำลังพลลงสนามรบทำศึก ข้าน้อยก็มั่นใจว่าสามารถโจมตีเศษสวะพวกนี้ได้ ข้าน้อยแค่พูดเรื่องจริง ไม่จำเป็นต้องด่าหรอก!”

…………………………

โถ่! กลุ่มขุนนางที่นั่งอยู่ในงานมองด้วยสายตาที่ต่างออกไปทันที พบว่าท่านนี้เล่นอุบายโยนความผิดกลับได้ไหลลื่น เท่ากับโยนข้อหา ‘ปั่นสถานการณ์ให้วุ่นวาย’ กลับมาแล้ว

ราชสำนักไม่เหมือนกับที่อื่น เพราะที่นี่คือสถานที่ซึ้งฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด หนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่ตลาดผี ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงไม่สะดวกลงมือ แต่ในเมื่อมาที่นี่แล้ว คนกลุ่มหนึ่งไม่คิดที่จะให้เขารอดชีวิตกลับไป

สองฝ่ายสูสีกัน! การตัดสินนี้ของประมุขชิงได้เหยียบประเด็นนี้เอาไว้ชั่วคราว หากถกเถียงกันเพื่อเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ให้กลุ่มผู้หญิงสูงศักดิ์ในตำหนักเห็น ก็นับว่าน่าหัวเราะเยาะจริงๆ “เมื่อครู่นี้พวกเจ้าเถียงกันด้านนอกเพราะอะไร?”

เหมียวอี้ชี้อิ๋งอู๋เชวียทันที “ฝ่าบาท ไม่ใช่ว่าข้าน้อยอยากจะเถียงกันหรอก แต่อิ๋งอู๋เชวียเป็นฝ่ายเข้ามาดูหมิ่นข้าน้อยก่อน ข้าน้อยจึงโมโหจนควบคุมตัวเองไม่ได้ไปชั่วขณะ”

ไม่รอให้อิ๋งอู๋เชวียแก้ตัว ก็มีขุนนางใหญ่ในเครือข่ายตระกูลอิ๋งส่งสายตาให้เขาแล้ว บอกใบ้ให้เขายังไม่ต้องพูดอะไร จากนั้นก็มีขุนนางใหญ่เครือข่ายตระกูลอิ๋งยืนขึ้นบอกว่า “ไม่ทราบว่าอิ๋งอู๋เชวียดูหมิ่นอะไรเจ้า?”

ดูเหมือนเป็นคำถามปกติ แต่ในหัวเหมียวอี้ตระหนักได้แล้วว่าอีกฝ่ายเริ่มจับผิด เพราะเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะช่วยตน จึงหันขวับมองไปทางนั้น แล้วขยายการโจมตีเสียเลย “เมื่อครู่นี้ยังมีคนสอนมารยาทข้าน้อยอยู่เลย ไม่ทราบว่าข้าน้อยควรจะตอบฝ่าบาทก่อนหรือตอบเจ้าก่อน?”

กลุ่มขุนนางที่กำลังนั่งอยู่ในงานกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง แม้แต่เม่ยเหนียงก็จ้องเหมียวอี้ด้วยแววตาเป็นประกาย ขนาดนางยังฟังออกเลยว่าคำพูดของเหมียวอี้ซ่อนเงาดาบเอาไว้

เซี่ยโห้วท่ายังคงเอียงหน้าหรี่ตาจิบสุราอย่างเอื่อยเฉื่อย กำลังมองอย่างสนใจ

อีกฝ่ายตอบอย่างใจเย็นว่า “มารยาทก็คือธรรมเนียมที่ควรปฏิบัติตาม ราชสำนักก็ย่อมมีธรรมเนียมของราชสำนัก ตอนประชุมสามารถคุยเรื่องงาน ไม่ว่าใครก็ที่มีข้อสงสัยใดก็สามารถเอ่ยถามได้ แบบนี้ถึงจะรักษาความเที่ยงธรรมของเดชานุภาพสวรรค์ไว้ได้!”

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะประมุขชิงทันที “ข้าน้อยไม่เข้าใจธรรมเนียมในราชสำนัก ขอบังอาจถามฝ่าบาท ข้าน้อยก็สามารถพูดเรื่องงานที่นี่ใสได้เหมือนกันใช่หรือไม่ มีอะไรก็พูดตรงๆ ที่นี่ได้เลยใช่หรือไม่ขอรับ?”

ประมุขชิงเตรียมจะดูละครเด็ดอยู่แล้ว จึงขานรับ “ตราบใดที่ไม่ใช่คำพูดเหลวไหล ถ้ามีเหตุผลก็พูดมาได้เลย”

สำหรับเขา ตอนนี้ความเป็นความตายของเหมียวอี้ไม่สำคัญแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสี่อ๋องสวรรค์ลงมือไปแล้วครั้งหนึ่ง แล้วเขาลงมืออีกจะดูไม่ดี เกรงว่าเขาคงจะเล่นงานเหมียวอี้ให้ตายไปแล้ว คนที่ทรยศเขามีราคาต้องจ่าย!

“ขอรับ!” เหมียวอี้เอ่ยรับ เขากลัวเพียงว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสพูด เมื่อได้คำสัญญานี้มาแล้ว เขาก็รู้สึกโล่งอกมาก หันตัวไปเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามแล้วบอกว่า “อิ๋งอู๋เชวียถ่อมาดื่มสุราดูหมิ่นข้า บอกว่าข้านั่งผิดที่แล้ว”

“บอกว่าเจ้านั่งผิดที่ก็เท่ากับดูหมิ่นเจ้าแล้วเหรอ?” ขุนนางใหญ่ที่เถียงกลับเหมียวอี้ชื่อว่าฉีหลิงหวน เป็นทูตตรวจตรายศแม่ทัพใหญ่เกราะแดงสองแถบคนหนึ่งของตำหนักสวรรค์ จัดเป็นตำแหน่งที่ไม่เจาะจง ไม่เหมือนตำแหน่งเจาะจงอย่างพวกเทพประจำดาว ท่านโหวที่มีกำลังทหารในครอบครอง เขาเป็นคนของทัพตะวันตก ย่อมเป็นกำลังพลในเครือข่ายตระกูลอิ๋งอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นฝ่ายกระโดดออกมาโจมตีก่อนหรอก “ต่อให้เจ้าคิดว่าทำแบบนั้นเป็นการดูหมิ่นเจ้า แต่เจ้ามีพยานพิสูจน์หรือเปล่าว่าอิ๋งอู๋เชวียพูดแบบนี้เพื่อดูหมิ่นเจ้า?”

เหมียวอี้หันมองรอบตำหนักทันที เงียบสงบเป็นแถบ ไม่มีใครออกหน้าช่วยเขาพูดสักคน เขากวาดสายตามองทุกคน แล้วสุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวโค่วเจิงที่กำลังก้มหน้าก้มตา จากนั้นรีบหันกลับมาอีก เขาเองก็ไม่คิดว่าจะขอให้ตระกูลโค่วออกหน้ามาเป็นพยานให้เช่นกัน เขาชี้อิ๋งอู๋เชวีย “ทำไมต้องมีพยานด้วยล่ะ เจ้าแค่ถามอิ๋งอู๋เชวียว่าได้พูดหรือเปล่าก็พอ”

ฉีหลิงหวนถามอิ๋งอู๋เชวียจริงๆ ด้วย “อิ๋งอู๋เชวีย เจ้าเคยพูดอย่างนี้หรือเปล่า?”

อิ๋งอู๋เชวียอึ้งทันที เพราะเขาพูดอย่างนั้นต่อหน้าคนตระกูลโค่วจริงๆ แต่ถามแบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ? ทว่าเขาก็เข้าใจสายตาที่อีกฝ่ายส่งมาเตือน หนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลโค่วเกี่ยวดองกันในนาม ถ้าให้คนตระกูลโค่วเป็นพยาน ฝั่งตัวเองก็สามารถเถียงกลับได้ว่าฝ่ายนั้นช่วยเหลือญาติ อีกทั้งตัวเองยังส่งเสียงแบบปกติมาก คนอื่นก็ไม่ได้ยินเช่นกัน ต่อให้ได้ยินแล้วคนของเครือข่ายอื่นก็ไม่กระโดดออกมาเป็นพยานช่วยหนิวโหย่วเต๋ออยู่ดี จึงตอบกลับเสียงดังทันที “ใส่ความ! หนิวโหย่วเต๋อกำลังใส่ความข้าน้อย ข้าน้อยไม่ได้พูดอย่างนั้น”

ที่จริงเขาก็อยากจะยืนขึ้นมาก ทว่าเหมียวอี้อาศัยโอกาสที่ฝ่าบาทให้ชี้พยานยืนขึ้นมา และเขาก็ทำได้เพียงอดทนไว้ก่อน

“หนิวโหย่วเต๋อ อิ๋งอู๋เชวียบอกว่าเขาไม่เคยพูด เจ้ามีพยานคนอื่นอีกมั้ย?” ฉีหลิงหวนถาม

เหมียวอี้มองเขาอย่างล้ำลึกแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้ามองอิ๋งอู๋เชวียที่พูดโกหกอย่างสง่าผ่าเผยอีก ในใจเริ่มด่าว่า มารดาเจ้าเถอะ เป็นเพราะรังแกขุนนางทั้งราชสำนักแล้ว ก็เลยไม่มีใครช่วยเป็นพยานให้ข้า อยากจะยัดข้อหาก่อเรื่องมาให้ข้าชัดๆ!

คนที่นั่งอยู่ในงานจำนวนไม่น้อยมองเหมียวอี้ด้วยสายตาเวทนา ถ้ากำลังพลเครือค่ายตระกูลโค่วไม่ยื่นมือช่วย เกรงว่าเจ้าเด็กนี่คงจะตกอยู่ในอันตรายแล้ว ต่อให้กำลังพลเครือค่ายตระกูลโค่วจะยื่นมือช่วย แต่เกรงว่าจะไม่ได้ผลมากนัก จะกลายเป็นกำลังพลหลายฝ่ายในราชสำนักร่วมมือกันโจมตีกำลังพลสายตระกูลโค่วทันที ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อมาให้เชือดถึงที่แล้ว ก็ย่อมต้องเล่นงานให้ตายที่ราชสำนักให้หมดเรื่องหมดราวไป ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ใช้ความพยายามแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น

แม้แต่เม่ยเหนียงและลูกสาวก็ยังฟังออก ว่าจะใช้ข้อหาที่เหมียวอี้เป็นฝ่ายก่อเรื่องก่อนเล่นงานให้ตาย ต้องการจะจัดการเหมียวอี้ให้ถึงตาย!

ตอนนี้สตรีสูงศักดิ์ในงานเพิ่งจะเข้าใจ ว่าที่แท้แล้วราชสำนักก็อันตรายอย่างนี้นี่เอง แค่พูดไม่ถูกประโยคเดียวก็ตกอยู่ในความเสี่ยงได้ วันนี้นับว่าได้บทเรียนแล้ว

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะไม่ตอบคำถามฉีหลิงหวน แต่จู่ๆ ก็กุมหมัดคารวะประมุขชิง “ฝ่าบาท อิ๋งอู๋เชวียไม่เพียงแค่บอกว่าข้าน้อยนั่งผิดที่ ถ้าด่าข้าน้อยคนเดียวก็ยังพอทนไหว แต่ยังแอบถ่ายทอดเสียงด่าข้าน้อยด้วย บอกว่าในใต้หล้าไม่มีใครกล้าล่วงเกินตระกูลอิ๋งของเขาได้ง่ายๆ บอกว่าถ้าออกจากอุทยานหลวงแล้วก็จะตามไปสังหารข้าน้อยเข้าสักวัน อีกทั้งในคำพูดยังสื่อความหมายดูหมิ่นราชินีสวรรค์ ข้าน้อยอยู่ในสังกัดตำหนักนารีสวรรค์ มีหรือที่จะทำหูทวนลมได้ ข้าน้อยถึงได้เดือดดาลมาก ไม่อย่างนั้นต่อให้ข้าน้อยจะใจกล้าขนาดไหน แต่ก็ไม่กล้าเสียงดังโวยวายที่พระตำหนักอุทยานหรอกขอรับ!”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ขุนนางทั้งราชสำนักก็ตกใจ ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าอิ๋งอู๋เชวียไปดื่มสุรากับตระกูลโค่วแล้วตอนแรกไม่ได้บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่งผิดที่ แต่อาศัยประสบการณ์ที่ราชสำนัก ทุกคนก็ล้วนดูออกว่าฉีหลิงหวนกับอิ๋งอู๋เชวียสมคบกัน กำลังตั้งใจจะปฏิเสธข้อหาที่โดนยัดกลับ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าควรจะเชื่อคำพูดเหมียวอี้หรือไม่ อีกทั้งคนส่วนใหญ่ถึงขั้นเชื่อนิดๆ แล้วด้วยว่าอิ๋งอู๋เชวียอาจจะพูดแบบนี้ออกมาจริงๆ

เพียงแต่ทุกคนก็เข้าใจเช่นกัน ขนาดพูดอย่างเปิดเผยยังหาพยานไม่ได้ เช่นนั้นเมื่อแอบถ่ายทอดเสียงก็ยิ่งหาพยานไม่ได้เข้าไปอีก เพียงแต่คำพูดดูหมิ่นราชินีสวรรค์ ต่อให้ไม่มีพยานก็ร้ายแรงอยู่ดี!

“เจ้าโกหก เจ้าพูดเหลวไหล!” อิ๋งอู๋เชวียที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นร้อนใจทันที ชี้หน้าตะตอกด่าเหมียวอี้ แล้วกุมหมัดคารวะต่อเบื้องบนอีก “ฝ่าบาท ข้าน้อยข้าน้อยไม่เคยพูดจริงๆ ขอรับ หนิวโหย่วเต๋อกำลังใส่ร้ายข้าน้อย ฝ่าบาทได้โปรดพิจารณาตัดสินให้กระจ่าง!”

โค่วเจิงที่นั่งอยู่แถวหลังแอบหยิบระฆังดาราออกมาถามคนข้างนอกแล้ว ถามว่าตอนนั้นอิ๋งอู๋เชวียได้แอบถ่ายทอดเสียงกับเหมียวอี้หรือไม่ ผลก็คือได้คำตอบว่าไม่เคย จากนั้นก็ยืนยันซ้ำอีก โค่วฉินบอกว่าไม่มีเช่นกัน โค่วฉินบอกว่าตัวเองอยู่ข้างกายอิ๋งอู๋เชวีย มีวรยุทธ์พอๆ กับอิ๋งอู๋เชวีย ต่อให้มีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์แม้เพียงนิดเดียว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สังเกตพบ โค่วฉินจึงถามกลับว่าโค่วเจิงเป็นอะไรไป?

พอกดระฆังดาราลงเก็บไว้ โค่วเจิงก็มองเหมียวอี้อย่างพูดไม่ออกทันที ต่อให้ตระกูลโค่วจะตัดขาดเหมียวอี้อย่างไร แต่ในนามก็ยังเกี่ยวข้องกันอยู่ ไม่ออกไปช่วยเป็นพยานให้เหมียวอี้ก็นับว่าแย่แล้ว จะให้กระโดดออกไปเป็นพยานให้ฝ่ายตรงข้ามเหมียวอี้อีกได้อย่างไร?

“ฝ่าบาท…” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้ทุกคนในตำหนักมองขึ้นไปทันที

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ใช้มือข้างหนึ่งประคองท้องป่องกลมทำสีหน้าฝืนใจยิ้ม ไม่น่าเชื่อว่าจะส่งเสียงแล้ว พอนางอ้าปาก เสียงโวยวายของอิ๋งอู๋เชวียก็หยุดชั่วคราว ฉีหลิงหวนที่กำลังจะเถียงก็ทำได้เพียงอดทนไว้ก่อนเช่นกัน

เหมียวอี้เงยหน้าขึ้น มองไปทางราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่เปล่งเสียงพูด ใบหน้าเขาเรียบเฉยไร้อารมณ์ มองข้ามสายตาของอิ๋งอู๋เชวียที่เหมือนจะกลืนกินเขา ในใจสงบนิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่คือสิ่งที่ฝึกได้จากการผ่านความเป็นความตายมาหลายครั้ง รู้อย่างลึกซึ้งว่ายิ่งถึงยามหน้าสิ่วหน้าขวานก็ยิ่งต้องรับมืออย่างใจเย็น

ใช่ว่าเขาจะไม่เคยมาอุทยานหลวง เขาเฝ้าอุทยานหลวงมาหลายปีขนาดนั้น ใช่ว่าจะไม่เคยเจอเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ทั้งยังเคยถูกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำโทษด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะมีกองทัพองครักษ์เฝ้าอยู่ เกรงว่าแส้สยบมังกรคงจะทำให้เขารักษาชีวิตตัวเองได้ยาก ดังนั้นจึงรู้อย่างลึกซึ้งว่าจิตใจของผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างไร

ประมุขชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ค่อยชอบให้วังหลังสอดมือเข้ามาแทรกเรื่องในราชสำนัก จึงถามเสียเรียบว่า “ราชินีสวรรค์มีเรื่องอะไร?”

ขนาดเซี่ยโห้วท่าที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ยังขมวดคิ้วมองเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เบาๆ เช่นกัน เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างหลังสีหน้าบึงตึงนิดหน่อย ก้มหน้าปิดบังแววตาที่ไม่สบอารมณ์

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มแห้ง “ฝ่าบาท ตามหลักแล้วในงานแบบนี้หม่อมฉันไม่ควรพูดอะไรมาก แต่คิดไปคิดมา นี่เป็นงานวันเกิดของท่านปู่หม่อมฉัน แถมหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นคนในสังกัดตำหนักนารีสวรรค์ สิ่งที่หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งพูดก็เหมือนจะเกี่ยวข้องกับหม่อมฉันด้วย ถ้าหม่อมฉันไม่สนใจใยดีอีก ก็เหมือนจะฟังดูเหลวไหลนะเพคะ ดังนั้นหม่อมฉันจึงอยากจะถามหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย ไม่ทรายว่าฝ่าบาทอนุญาตหรือไม่เพคะ?”

คำพูดนี้ของนางก็มีเหตุผลเหมือนกัน เพราะนี่คือราชสำนัก เดิมที่ก็เป็นสถานที่ที่ ‘พูดกันด้วยเหตุผล’ อยู่แล้ว ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ “ตราบใดที่ไม่ขัดต่อความยุติธรรม ราชินีสวรรค์ถามเถอะ”

“เพคะ!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอ่ยรับ แล้วหันกลับมามองเหมียวอี้ที่อยู่เบื้องล่าง ถามอย่างน่าเกรงขามว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าบอกว่าอิ๋งอู๋เชวียแอบถ่ายทอดเสียงเกี่ยวกับข้า จริงหรือเปล่า?”

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะตอบ “ตอบเหนียงเหนียง ย่อมเป็นเรื่องจริงอยู่แช้วขอรับ เพียงแต่อิ๋งอู๋เชวียไม่ยอมรับ ข้าน้อยเองก็จนใจ”

“เจ้าพูดเหลวไหล!” อิ๋งอู๋เชวียคำรามอย่างเกรี้ยวกราด เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะเข้าไปกัดเหมียวอี้ให้ตาย

“อิ๋งอู๋เชวีย ให้ข้าถามให้จบก่อนได้หรือไม่?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มเรียบๆ ในขณะที่พูดข่มไว้ เพียงแต่ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบในน้ำเสียง

“…”อิ๋งอู๋เชวียหุบปากด้วยสีหน้าข่มกลั้นความโกรธ ตัวเองจะตะโกนปฏิเสธราชินีสวรรค์ได้เชียวเหรอ? ถ้ากล้าทำอย่างนี้จริงๆ ก็ต้องถูกขุนนางพิธีการลากออไปเฆี่ยนจนตายแน่

พอเขาหุบปากแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถึงได้ถามต่อ “หนิวโหย่วเต๋อ เขาว่าอะไรข้าบ้าง?”

“เอ่อ…” ตอนนี้เหมียวอี้กลับอึกอักเหมือนเริ่มลังเลแล้ว

อิ๋งอู๋เชวียเห็นสถานการณ์แบบนี้แล้วงงทันที ความโมโหหายไปหลายส่วน ในใจเริ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ กล้าพูดซี้ซั้ว ข้าดูซิว่าเจ้าจะปั้นเรื่องต่อไปอย่างไร อย่าปั้นเรื่องจนตัวเองหาทางลงไม่ได้ล่ะ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่น้ำเสียงเคร่งขรึมลงเล็กน้อย “ทำไม? ปากเจ้าพูดว่าอิ๋งอู๋เชวียเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ พอข้าถามทำไมเจ้ากลับพูดไม่ออกแล้ว หรือว่าใจเจ้าไม่บริสุทธิ์?”

เหมียวอี้เงยหน้า ทำสีหน้าเคารพอย่างสูง ท่าทางฮึกเหิมเร้าใจ กุมหมัดคารวะกล่าวเสียงดังว่า “เหนียงเหนียง ไม่ใช่ว่าข้าน้อยพูดไม่ออก แต่คำพูดของอิ๋งอู๋เชวียไม่ใช่แค่เกี่ยวข้องกับเหนียงเหนียงเท่านั้น ทั้งยังเกี่ยวข้องกับสนมสวรรค์ด้วย ข้าน้อยไม่กล้าพูด เป็นเพราะข้าน้อยความจำไม่ดีด้วย จำได้ไม่ชัดเจนแล้ว เอาเป็นว่าข้าน้อยถูกคำพูดบางอย่างของอิ๋งอู๋เชวียทำให้โมโหแล้วจริงๆ ข้าน้อยเป็นคนไม่มีความสามารถอะไร ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์เท่าไรด้วย แต่มีความจงรักภักดีอยู่เต็มอก รู้ว่าอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมก่อนหน้านี้ข้าน้อยตะโกนว่า ‘คารวะโอรสสวรรค์’ ก็เพราะอยากให้อิ๋งอู๋เชวียรู้ว่าใครคือเจ้านาย ใครเป็นรอง บางทีในสายตาคนอื่นอาจมองว่าข้าประจบสอพลอ แต่สำหรับข้าน้อย อย่างไรเสียข้าน้อยก็เป็นขุนนางใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์ ยามราชันถูกดูหมิ่น ขุนนางยอมตายถวายความจงรักภักดี ควรพิทักษ์จนตัวตาย! แล้วที่นี่ก็เป็นพระตำหนักอุทยานด้วย ถ้าเปลี่ยนเป็นตลาดผี ถ้าอิ๋งอู๋เชวียกล้าพูดแบบนี้ออกมา ข้าน้อยก็ไม่สนหรอกว่าจะมีภูมิหลังอะไร ข้าน้อยจะสังหารแน่นอน เรื่องโง่แบบนี้ข้าน้อยไม่ได้ทำเป็นครั้งแรก ข้าน้อยถึงได้ล่วงเกินคนไว้เยอะเกินไป เหนียงเหนียงได้โปรดอภัยด้วย!” เสียงสะเทือนราชสำนัก ท่าทางฮึกเหิมเร่าร้อน!

…………………………

ใบหน้าอิงอู๋เฟยสื่ออารมณ์กังวล ตอนนี้ไปหาท่านพ่อหรือไม่หาท่านพ่อแล้วต่างอะไรกัน? โชคดีที่ท่านพ่อไม่ได้อยู่ในราชสำนัก ไม่อย่างนั้นท่านพ่อก็ต้องเสแสร้งดัดจริตเป็นฝ่ายขอให้ลงโทษเจ้าหนักๆ อีก ถึงตอนนั้นต่อให้เจ้าไม่ตายแต่ก็ต้องโดนถลกหนัง เจ้าเองก็เหมือนกัน อยู่ดีๆ ไปยั่วโมโหหมาบ้าอย่างหนิวโหย่วเต๋อทำไม ท่านพ่อสั่งไว้แล้วว่าให้อดทนไว้ชั่วคราว แต่ดันก่อเรื่องแบบนี้ที่พระตำหนักอุทยานเสียแล้ว พี่รองเอ๊ย ข้าว่าตอนให้วันนี้เจ้าจะรอดหายนะจากพระตำหนักอุทยาน แต่จะผ่านด่านยากยามเผชิญหน้ากับท่านพ่อได้อย่างไร

เขากับโค่วฉินสบตากันแวบหนึ่ง ทั้งคู่ต่างส่ายหน้าอย่างจนใจ ก่อนจะหยิบระฆังดาราออกมาต่างคนต่างติดต่อบิดาตัวเอง รายงานสถานการณ์ตรงนี้ให้ฟัง

“ทุกคนสนุกกันต่อ สนุกกันต่อได้เลย” คนของตระกูลเซี่ยโห้วดันรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าเพื่อรับแขกอีกครั้ง

ช่วยไม่ได้ ถึงแม้จะมีแขกบางส่วนนั่งลงอย่างบันเทิงในความทุกข์ของคนอื่น แต่กลับมีบางส่วนทอดถอนใจ บรรยากาศคึกคักสู้ก่อนหน้านี้ไม่ได้แล้ว การเดินข้ามโต๊ะไปชนจอกสุรากันก็หยุดแล้วเช่นกัน ตอนนี้พากันสนใจว่าในตำหนักจะมีความเคลื่อนไหวอะไร

“หนิวโหย่วเต๋อนั่นเป็นพวกที่กลัวว่าจะไม่เกิดเรื่อง คุณชายรองไม่ควรให้เขาเข้ามา” มีคนของตระกูลเซี่ยโห้วแอบถ่ายทอดเสียงคุยกับคนตระกูลเซี่ยโห้วด้วยกัน

“เฮ้อ! เข้าก็เข้ามาแล้ว ก่อเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ ด้วย ข้าว่าท่านนี้คงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ รนหาที่ตายไปทั่วทุกแห่งในใต้หล้า มารนหาที่ตายถึงที่นี่แล้ว” คนที่ได้ยินส่ายหน้าตอบ

กำลังพลสายตระกูลโค่วกับตระกูลอิ๋งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ค่อนข้างเงียบ ส่วนฝั่งตระกูลฮ่าวกับตระกูลก่วงมีบางคนไม่กลัวเรื่องราวใหญ่โต ไม่น่าเชื่อว่าจะแอบเดิมพันกันแล้ว บ้างก็เดิมพันว่าจะตายทั้งสองคน บ้างก็เดิมพันว่าทั้งสองคนจะโดนเฆี่ยน บ้างก็เดิมพันว่าทั้งสองคนจะไม่เป็นอะไร เดิมพันกันไปต่างๆ นาๆ ยักคิ้วหลิ่วตาแอบถ่ายทอดเสียงเดิมพันกันแล้ว

ในตำหนัก พวกแม่ทัพใหญ่เกราะแดงหิ้วตัวเหมียวอี้กับอิ๋งอู๋เชวียเข้ามา พอทุกคนเหล่ตามอง หึหึ เป็นสองคนนี้จริงๆ ด้วย

ทั้งสองถูกหิ้วเข้ามากลางตำหนัก “คุกเข่า” พอมีเสียงตะคอก ทั้งสองก็ถูกเตะหลังเข่าให้คกเข่าลงพร้อมกัน เรียกได้ว่าโดนบังคับกดให้คุกเข่าลง

ในสถานการณ์ปกติตำหนักสวรรค์จะไม่มีการคุกเข่าคำนับ มีเพียงผู้ที่ทำผิดหรือยอมรับว่าตัวเองต่ำต้อยเท่านั้นถึงจะคุกเข่าสองข้าง

ขณะที่มองสองคนนี้ ประมุขชิงก็ใช้สายตาประเมินอย่างช้าๆ ราชินีสวรรค์สีหน้าไม่ค่อยดี เซี่ยโห้วท่าชำเลืองอย่างเฉยเมย เซี่ยโห้วลิ่งที่คุกเข่าอยู่ข้างหลังมองอย่างเย็นชา ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนปวดประสาท เกาก้วนยกจอกสุราดื่มอย่างเอื่อยเฉื่อย แทบจะไม่มองตรงๆ เลย ส่วนโพ่จวินก็ขมวดคิ้วมองเหมียวอี้อย่างจริงจรัง

ส่วนขุนนางใหญ่คนอื่นๆ กำลังพลสายตระกูลอิ๋งจ้องอิ๋งอู๋เชวียด้วยสีหน้าที่เหมือนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี อิงอู๋หม่านแอบกัดฟันกรอดขณะจ้องพี่น้องตัวเองด้วยสีหน้าดุร้าย ด้วยวัยวุฒิที่ตื้นเขินของตน เดิมทีการได้มานั่งรักษาการณ์แทนท่านพ่อก็เหมือนเดินเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางอยู่แล้ว แต่เจ้าเวรนี่ยังเพิ่มปัญหาให้ข้าอีก!

เม่ยเหนียงมองเหมียวอี้ที่นั่งคุกเข่าอย่างสะท้อนใจ เหตุใดต้นกล้าที่นางเอาใจช่วยถึงท้อแท้ชีวิตและยอมให้ความคิดลบทำร้ายตัวเองไปได้นะ ด้วยพฤติกรรมที่เขากล้าพูดสิ่งนั้นนอกตำหนัก ก็ดูไม่เหมือนนะ! หรือว่ากำลังระบายความคับแค้นใจ?

ส่วนก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่ยืนข้างมารดาก็มองเหมียวอี้ด้วยสายตากังวล เป็นครั้งแรกที่นางมางานแบบนี้กับมารดา ใครใช้ให้ตระกูลก่วงมีหวังเฟยอยู่คนเดียวท่ามกลางสี่อ๋องสวรรค์ล่ะ เมื่อสามีติดธุระมาไม่ได้ ภรรยาที่ว่างอยู่บ้านจะบอกว่าติดธุระมาไม่ได้ก็จะฟังดูเหลวไหลแล้ว ดังนั้นนางจึงประหม่าเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอเรื่องแบบนี้อีก นางกังวลแทนเหมียวอี้มาก

โค่วเจิงที่ถือระฆังดาราอยู่ในแขนเสื้อถามสถานการณ์ด้านนอกชัดเจนแล้ว เขาขมวดคิ้วมุ่นขณะมองเหมียวอี้ เจ้านี่มันเล่นลูกไม้อะไร นึกเสียใจทีหลังนิดหน่อยที่ให้เหมียวอี้มานั่งร่วมโต๊ะกับตระกูลโค่ว ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ตัวเองยังต้องพิจารณาอีกว่าจะต้องยื่นมือไปเช็ดก้นให้เพื่อรักษาหน้าหรือเปล่า

จาหรูเยี่ยนที่นั่งอยู่ด้วยแอบยินดีใจความโชคร้ายของเหมียวอี้ หารู้ไม่ว่าเทพประจำดาวฟ้าเถาะที่นั่งหน้านิ่งอยู่ข้างกันกำลังด่าแม่ในใจ เคยบอกให้เหมียวอี้เพลาๆ บ้าง แต่ก็ก่อเรื่องนี้อีกแล้ว เจ้าอย่ากลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะก่อนจะได้สมบัติจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ล่ะ ถึงตอนนั้นจะให้ข้าไปทวงถามความยุติธรรมจากไหน ไอ้เวรเอ๊ย!

พออู๋ฉวี่โบกมือ แม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่คุมตัวสองคนนี้เข้ามาก็หันตัวเดินออกไปแล้ว

อย่างไรเสียอิ๋งอู๋เชวียก็เคยเห็นฉากนี้มาก่อน พยายามทำตัวสงบ ถึงแม้จะคุกเข่าอยู่อย่างนั้น แต่กลับกุมหมัดคารวะ “คารวะฝ่าบาท คารวะราชินีสวรรค์”

เหมียวอี้ที่อยู่ข้างกันกลับคุกเข่าอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แค่ขยับลูกตาเท่านั้น

มีคนสายตระกูลอิ๋งตะคอกทันที “กำเริบเสิบสาน บังอาจก่อเรื่องต่อหน้าฝ่าบาทและเหนียงเหนียง ควรลงโทษให้หนัก!”

“ควรใช้แส้ลงโทษตามกฏ ขุนนางพิธีการอยู่ไหน!” มีคนพูดตามทันที

เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ได้เข้ามาอยู่ในราชสำนักแบบนี้ พอมาถึงก็ได้รับรู้ถึงการสมคบกันในราชสำนักแล้ว ในใจด่าโค่วเหมี่ยนอย่างบ้าคลั่ง ด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่น!

ครั้งนี้เหมียวอี้กลอกลูกตามองสองฝั่ง ในใจก็ด่าอีกว่า ด่าบอดกันหมดหรือไง? มองไม่ออกหรือพ่อโดนควบคุมอยู่?

แน่นอนว่าไม่ได้ตาบอดกันหมด มีคนจำนวนมากมองออกอย่างรวดเร็ว อู๋ฉวี่ขยุ้มนิ้วทั้งห้า ปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งเข้าไปครอบเหมียวอี้เอาไว้ พอกำหมัดแล้ว เหมียวอี้ก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างผ่อนคลาย ผนึกบนตัวถูกคลายแล้ว

ในตอนนี้เหมียวอี้กุมหมัดคารวะต่อเบื้องบน “หนิวโหย่วเต๋อแม่ทัพภาคตลาดผีใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์ คารวะฝ่าบาท คารวะราชินีสวรรค์ คารวะโอรสสวรรค์!”

ประโยคนี้น่าสงสัยว่าจะเป็นการประจบสอพลอ แต่ตอนนี้เขามาเสี่ยงอันตรายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครช่วยเขาได้ ต้องสร้างเงื่อนไขทุกอย่างที่สามารถปกป้องตัวเอง หยางชิ่งไม่ได้วางแผนให้เขาเอาชีวิตมาทิ้ง ทุกอย่างต้องอาศัยตัวเอง

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่เดิมทีสีหน้ายังเต็มไปด้วยความโกรธเคืองอึ้งทันที จากนั้นก็แทบจะหัวเราะออกมา นางกัดริมฝีปากเอาไว้ เอามือลูบท้องใหญ่กลมของตัวเอง พลางคิดในใจว่า ช่างเถอะ ราชินีสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานอย่างนางจะไปถือสาแม่ทัพภาคต่ำต้อยให้ได้อะไรขึ้นมา จะว่าไปก็เป็นคนใต้สังกัดตำหนักนารีสวรรค์โดยตรง ถ้าเกิดอะไรขึ้นตัวเองก็เสียหน้า

ทุกคนในโถงพูดไม่ออก ซ่างกวนชิงทำสีหน้าอัศจรรย์ใจ ซือหม่าเวิ่นเทียนทำสีหน้าไม่ถูก เซี่ยโห้วท่าที่มีท่าทางใจเย็นสุขุมเขย่าจอกสุราเบาๆ เซี่ยโห้วลิ่งที่นั่งคุกเข่าข้างหลังมองประเมินเหมียวอี้อย่างจริงจังอีกครั้ง เกาก้วนเหลือบมองปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ จากนั้นกรอกสุราลงปากสองคำ อู๋ฉวี่เอียงหน้ามองโพ่จวินที่กำลังปวดประสาทเล็กน้อย ราวกับกำลังถามโพ่จวินว่า นี่น่ะหรือขุนนางซื่อสัตย์ที่เจ้าบอก? ข้าว่าเป็นขุนนางจอมใส่ร้ายที่ชอบเลียแข้งเลียขามากกว่ามั้ง!

เม่ยเหนียงเม้มปากยิ้ม ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้มหน้าอมลมในกระพุ้งแก้ม

โค่วเจิงยกมือลูบหน้าผากตัวเอง จาหรูเยี่ยนแอบด่าว่าหน้าไม่อาย เทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนหลับตาแล้ว ทนมองตรงๆ ไม่ได้อีก

อิ๋งอู๋เชวียหันไปมองเหมียวอี้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ รู้สึกเหม่อนิดหน่อย ให้ความรู้สึกเหมือนตกตะลึงด้วย เคยเห็นคนไร้ยางอายมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายขนาดนี้เลย ทำเอาเขาไม่รู้ว่าต้องคารวะโอรสสวรรค์ด้วยหรือเปล่า

“เฮ่อๆ!” ประมุขชิงถูกทำให้ขำเช่นกัน พูดในใจว่าเจ้าลูกลิงก็ยังเป็นเจ้าลูกลิงอยู่วันยังค่ำ เขาชี้ไปเบื้องล่าง “ปากมันลิ้นลื่น” ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะตามเช่นกัน

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเป็นฝ่ายกล่าวเสียงดังอย่างใจกล้าว่า “ข้าน้อยรวบรวมความกล้าเปิดเผยต่อฝ่าบาท ว่าในราชสำนักมีคนทำผิด ข้าน้อยสามารถชี้ตัวต่อหน้าธารกำนัลได้หรือไม่ขอรับ?”

เขาเองก็ไม่ได้เจอประมุขชิงเป็นครั้งแรก เคยเจอที่อุทยานหลวงทั้งแบบมองตรงและไม่มองตรงหลายรอบ ตอนนี้ไม่ได้หวั่นเกรงเดชานุภาพสวรรค์เหมือนตอนแรกแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้สภาพจิตใจของเขาไม่เหมือนเดิมแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือก เขาก็ไม่อยากมาคุกเข่าต่อหน้าประมุขชิงอย่างนี้เลย

“อ้อ?” ประมุขชิงรู้สึกสนใจทันที นี่ต้องการจะช่วยข้าก่อเรื่องอะไรเป็นการส่วนตัวใช่มั้ย? จึงแสดงความใจกว้างทันที “รู้ผิดแล้วแก้ไข นับว่าเยี่ยมนัก แต่ถ้าเจ้าพูดซี้ซั้ว ข้าไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอกนะ!”

“ขอรับ!” เหมียวอี้มองอิ๋งอู๋เชวียที่อยู่ข้างกาย คิดในใจว่า เจ้าคุกเข่าต่อไปเถอะ ข้าไม่เล่นเป็นเพื่อนเจ้าแล้ว

เซี่ยโห้วท่าจ้องเหมียวอี้อย่างสนใจ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเหมียวอี้พูดต่อหน้าขุนนางใหญ่จำนวนมากมายขนาดนี้ ดูไม่ตระหนกกลัว อดไม่ได้ที่จะหรี่ตามอง!

กลุ่มขุนนางกำลังคิดว่าท่านนี้กำลังจะหาเรื่องใคร แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะยืนขึ้นกะทันหัน หันตัวไปมองสองข้าง แล้วกุมหมัดคารวะ “ขออนุญาติถามสักหน่อย เมื่อครู่นี้มีขุนนางใหญ่สองท่านคนไหนตะโกนว่าข้าน้อยไร้มารยาทต้องโดนทำโทษ?” ตอนนั้นเขาถูกควบคุมจึงหันไปมองไม่ได้

กลุ่มขุนนางมองไปทางขุนนางสองคนในเครือข่ายของตระกูลอิ๋ง สองคนนั้นถูกมองจนรู้สึกอึดอัด แล้วทยอยกันยืนอย่างช้าๆ

สองคนนี้ยังไม่ทันพูดอะไร เหมียวอี้ก็แย่งพูดก่อนแล้ว “คาดว่าคงจะเป็นสองคนนี้! ฝ่าบาทมีเมตตาอนุญาตให้ข้าน้อยชี้ตัว เช่นนั้นข้าน้อยขอให้นายท่านทั้งสองแสดงให้ดูหน่อยว่าคนที่ถูกควบคุมอยู่จะทำความเคารพได้อย่างไร หากทั้งสองสามารถทำความเคารพได้ตามปกติ ข้าน้อยก็จะยอมรับผิด! ถ้าหากทำไม่ได้ ทั้งสองได้โปรดเก็บคำพูดเมื่อครู่นี้กลับไปด้วย โปรดให้อภัยข้าน้อย!”

ในตำหนักเงียบเป็นแถบๆ ยังนึกว่าจะชี้ความผิดอะไรเสียอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเรื่องนี้?

ขุนนางใหญ่ขุนนางใหญ่ที่ยืนขึ้นพูดไม่ออก มองเหมียวอี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ ในใจแสยะยิ้ม เด็กน้อยโง่เขลา ใช้ลูกไม้ตื้นๆ แค่นี้แล้วคิดจะกดดันให้พวกเราสองคนยอมรับผิดในราชสำนักเหรอ?

เทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนแอบส่ายหน้า เจ้าเด็กนี่ช่างอ่อนหัด เรื่องเล็กแค่นี้ไม่ใช่แค่ทำให้อีกฝ่ายยอมรับผิดไม่ได้ แต่กลับจะทำให้กำลังพลสายตระกูลโค่วเดือดดาลด้วยซ้ำ อีกประเดี๋ยวเจ้าได้โดนกำลังพลสายตระกูลโค่วกลั่นแกล้งแน่ เรื่องเล็กแค่นี้ต่อให้อีกฝ่ายรับผิดแล้วยังไงต่อล่ะ? เจ้าแค่อยากจะสะใจงั้นเหรอ แค่ความสบายใจเล็กนิดหน่อยเนี่ยนะ? ช่างไม่มีประสบการณ์ในราชสำนัก!

หารู้ไม่ว่าสำหรับเหมียวอี้แล้ว ในเมื่อเจอทิศทางที่จะลงมือแล้ว ก็ต้องยั่วโมโหกำลังพลสายตระกูลโค่วให้กลั่นแกล้งเขาสิ ไม่อย่างนั้นเขาก็จะไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถ เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว เดินเข้ามาในตำหนักนี้แล้ว เขาไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว ต้องทำตัวให้ฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่าเพื่อรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน คว้าโอกาสทุกอย่างเอาไว้!

ลั่วหม่างจอมพลสายวอกที่นั่งอยู่กับที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนกับผังก้วน เขามีลางสังหรณ์แล้วว่าอีกประเดี๋ยวกำลังพลสายตระกูลอิ๋งจะต้องกลั่นแกล้งเหมียวอี้แน่ ขนาดเขายังไม่รู้เลยว่าจะด่าเหมียวอี้อย่างไรดี ทุกคนปรึกษากันแล้วว่าจะปล่อยเจ้าไป ถ้าเจ้าอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีดีๆ ก็ไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้หรอก ราชสำนักคือสถานที่ที่ฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด ถ้าเล่นงานเจ้าตายแล้ว เจ้าก็ไม่มีที่ให้เรียกร้องหาเหตุผลหรอก

เขากำลังครุ่นคิดแล้วว่าอีกประเดี๋ยวจะช่วยเหมียวอี้แก้ไขสถานการณ์อย่างไร เพราะเหมียวอี้เคยช่วยดึงลูกชายเขาออกมาจากกับดัก ช่วยชีวิตลูกชายเขาไว้ครั้งหนึ่ง ยังไม่ได้ตอบแทนน้ำใจนี้อย่างเป็นทางการเลย!

เป็นอย่างที่คาดไว้ สองท่านยืนอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่กำลังพลสายตระกูลอิ๋งยืนขึ้นทันที แล้วกุมหมัดคารวะต่อประมุขชิง “ฝ่าบาท คนที่มีตาล้วนดูออกว่าตอนแรกสองท่านนี้ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อถูกควบคุมไว้ ถึงได้พูดอย่างนั้นไป ที่พวกเขาสองคนพูดอย่างนั้น ก็เพื่อปกป้องเดชานุภาพของฝ่าบาทและเหนียงเหนียง จะเห็นได้ว่ามีใจจงรักภักดี ส่วนหนิวโหย่วเต๋อปั่นสถานการณ์ให้วุ่นวายล้วนๆ เห็นงานเลี้ยงนี้เป็นสนามเด็กเล่น มีเจตนาชั่วร้าย!”

เหมียวอี้แอบตกใจ พบว่าตาแก่กลุ่มนี้ชั่วร้ายมากทีเดียว ใช้วิธีการโยนความผิดกลับคืนได้ลื่นไหลมาก

ประมุขชิงสีหน้าขรึมลงเล็กน้อย ยังนึกว่าเจ้าลูกลิงนี่จะชี้ความผิดอะไรเสียอีก สงสัยทำวุ่นวายใหญ่โตก็เพื่ออุบายเด็กๆ แบบนี้ ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ “หนิวโหย่วเต๋อ นี่ก็คือความผิดที่เจ้ากล่าวหาเหรอ?”

เหมียวอี้หันตัวมา แล้วกล่าวจากใจจริงว่า “ถ้าแบบนี้ไม่นับว่าเป็นความผิด…ถ้าข้าน้อยไม่พูดอะไรเลย พวกเขาตะโกนว่าจะลงโทษข้าน้อย ข้าน้อยแก้ตัวก็เพราะอยากให้พวกเขาอภัย แต่พวกเขาดันบอกอีกว่าข้าน้อยตั้งใจปั่นสถานการณ์ให้วุ่นวาย มีเจตนาชั่วร้าย สรุปก็คือไม่ว่าจะพูดอย่างไรพวกเขาก็มีเหตุผลเสมอ ถึงอย่างไรคำพูดของคนต่ำต้อยอย่างข้าน้อยก็ไม่มีน้ำหนัก ข้าน้อยไม่ได้เรียนมาให้สามารถคารวะได้หลังจากถูกควบคุมร่างกาย พอเข้ามาในนี้จึงสมควรตาย ในเมื่ออธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ ข้าน้อยก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วขอรับ!”

…………………………

ในสวนดอกไม้แห่งหนึ่งฝั่งตะวันออกของสวนกลางเขียวขจี เฟยหงกำลังเดินลาดตระเวนอยู่กับแม่เฒ่าลวี่ เทพธิดากลุ่มหนึ่งกำลังนำดอกไม้ใบหญ้าแปลกตานานาชนิดที่ขุดขึ้นมาย้ายไปปลูกในกระถางดอกไม้ด้วยความระมัดระวัง นี่เป็นการบำรุงรักษาเพื่อส่งไปวางประดับในวังสวรรค์ กิ่งใบที่ไม่งดงามก็ต้องทำการตัดแต่ง

“เสี่ยวหนาน ในเซียนชิดจันทร์กระถางนี้ไม่ต้องใส่ปัญจธาตุเยอะเกินไป ดินก็อย่าใส่เยอะ ไม่อย่างนั้นจะทำให้กลิ่นดอกไม้เข้มข้นเกินไป จะทำให้ชนชั้นสูงในวังไม่โปรดปราน” แม่เฒ่าลวี่พลันหยุดฝีเท้า แล้วถอนหายใจใส่เทพธิดาคนหนึ่งที่กำลังนั่งยองๆ กลบดินอยู่ในแปลงดอกไม้ แล้วก็กวักมือไปตรงที่ไกลๆ อีก เรียกเทพธิดาอีกคนมากำชับ “นางเพิ่งมาไม่นาน ยังไม่ค่อยเข้าใจงาน เจ้าสอนนางสักหน่อย”

“ค่ะ” เทพธิดาที่เดินเข้ามาเอ่ยรับ ส่วนเทพธิดาที่ชื่อเสี่ยวหนานก็แอบแลบลิ้นเงียบๆ

แม่เฒ่าลวี่ไม่ได้เห็นฉากทะเล้นฉากนี้ เฟยหงที่อยู่ข้างกันกลับสังเกตเห็น อดไม่ได้ที่จะลอบหัวเราะ แล้วเดินตามแม่เฒ่าลวี่ไปข้างหน้าต่อ

ทว่าเดินไปได้ไม่ไกลเท่าไร จู่ๆ แม่เฒ่าลวี่ก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปที่ไหน เอาเป็นว่าสีหน้าเปลี่ยนเร็วมาก หันขวับไปมองทางเฟยหง ดวงตาฉายแววเย็นเยียบ “พวกเจ้าเห็นคำพูดข้าเป็นเหมือนลมผ่านหูใช่มั้ย?”

“ท่านแม่บุญธรรม เป็นอะไรไปคะ?” เฟยหงทำท่าประหลาดใจ

แม่เฒ่าลวี่กัดฟัน “เจ้ากำลังแกล้งโง่กับข้าเหรอ? หนิวโหย่วเต๋อถ่อไปเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วที่พระตำหนักอุทยานโดยพลการ!”

“หา!” เฟยหงทำสีหน้าตกใจมาก “เอ่อ…จะเป็นไปได้ยังไง เขาจะเข้าไปได้ยังไงคะ?”

พอพูดถึงตรงนี้แม่เฒ่าลวี่ก็กลุ้มใจเช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อรู้รายละเอียดได้อย่างไรว่างานเลี้ยงเริ่มตอนไหน? ขนาดนางยังไม่รู้เลย ถ้าไปเร็วกว่านี้ ทหารยามที่อยู่แถวนั้นคงจะไม่ปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อเข้าไปเดินเล่นสถานที่นั้นง่ายๆ หรอกมั้ง? นางเองก็คิดว่าเฟยหงไม่พูดโกหก เพราะนางรู้ว่าเฟยหงเป็นสายลับของหน่วยตรวจการซ้าย เอาเป็นว่านางไม่รู้แน่ชัดว่าเรื่องราวในนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ จึงขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าไม่รู้จริงเหรอ?”

เฟยหงเอาแต่ส่ายหน้า “ท่านแม่บุญธรรม ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะไปพระตำหนักอุทยาน…ข้าจะไปหาเขา” นางหันตัวเตรียมจะออกไป แต่กลับถูกแม่เฒ่าลวี่ดึงแขนไว้ เฟยหงหันกลับมามอง “ท่านแม่บุญธรรม…”

“ที่เขาไปพระตำหนักอุทยานจะต้องมีเหตุผลแน่นอน ทางหน่วยตรวจการซ้ายรู้แล้ว เจ้าไม่ต้องเข้าไปยุ่งแล้ว มิหนำซ้ำเขาก็เข้าไปแล้วด้วย พระตำหนักอุทยานมีทหารยามเฝ้าเข้มงวด อาศัยฐานะของเจ้า คงบุกเข้าไปง่ายๆ อย่างเขาไม่ได้หรอก เขาคำนวณเวลาไว้เรียบร้อยแล้ว” ขณะที่พูด แม่เฒ่าลวี่ก็ปล่อยแขนนางแล้ว จากนั้นส่ายหน้าแล้วหันตัวเดินออกไป พร้อมกับพึมพำตลอดทาง “เฮ้อ! ช่างกล้าหาญจริงๆ รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าเขาไม่ต้อนรับก็ยังจะถ่อไป ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาไม่กลัวหัวหลุดหรือไง? คิดจะทำอะไรกันแน่! จากที่ข้าเห็น นายท่านบ้านเจ้าไม่เหมือนคนที่จะสร้างความอัปยศให้ตัวเองนะ พอมาดูแบบนี้แล้ว เหมือนเขาจะเตรียมตัวมาก่อน ไม่แน่เจ้าอาจจะโดนเขาหลอกใช้แล้วก็ได้ เฮ้อ เป็นคนมีฝีมือมากความสามารถ ก็เลยไม่ยอมอยู่ในกรอบอย่างสงบ จะมาตบตายายแก่อย่างข้าทำไม ยายแก่อย่างข้าไม่มีความกล้า ไม่มีสมองเหมือนพวกตัวละครที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินพวกนั้นหรอก หวังเพียงความสงบสุขเท่านั้น นางหนูเอ๊ย ในปีนั้นยายเคยเห็นคนมีฝีมือหัวขาดเลือดกระฉูดมาเยอะเกินไป เพื่อชื่อเสียง เพื่อผลประโยชน์ เพื่อประสบความสำเร็จ เรียกได้ว่าย่อมสละทุกอย่าง เรียกได้ว่าเป็นฉากนองเลือดที่น่าอนาถ มีคนโดนฆ่าจนหัวหัวลอยกลิ้งเต็มท้องฟ้า ศพลอยเอื่อยเฉื่อย…”

นางเดินพึมพำไม่หยุดตลอดทาง เฟยหงฟังอยู่ข้างหลังเงียบๆ ไม่รู้เป็นสถานการณ์น่าอนาถในปีไหน

พระตำหนักอุทยาน

เมื่อเห็นแขกทยอยกันนั่งลง เซี่ยโห้วหู่เฉิงที่พาเหมียวอี้มากลับไม่รู้ว่าควรจะจับไปแทรกตรงไหนดี เรียกได้ว่าปวดประสาทมาก

เหมียวอี้เองก็ตระหนักได้ถึงความอึดอัดของเจ้าภาพ กวาดสายตามองไปรอบๆ

ตระกูลโค่วนั่งแถวแรกใต้บันไดหน้าตำหนัก โค่วฉินสังเกตได้ว่าเหมียวอี้ค่อนข้างอึดอัดเก้อเขิน จึงบอกโค่วเหมี่ยนทันทีว่า “เจ้าสาม เจ้าไปเรียกหนิวโหย่วเต๋อมานั่งด้วยแล้วกัน”

โค่วเหมี่ยนอดไม่ได้ที่จะงง ท่านพ่อบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าห้ามคบหากับหนิวโหย่วเต๋อ?

ไม่ใช่แค่เขา คนอื่นในตระกูลโค่วที่ได้ยินอย่างนั้นก็มองไปที่โค่วฉินอย่างแปลกใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้ยังเห็นโค่วฉินพูดจาไร้มารยาทต่อหนิวโหย่วเต๋ออยู่เลย

โค่วฉินสีหน้าขรึมลงทันที “ให้เจ้าไปเจ้าก็ไปสิ อย่าให้เกิดเสียงหัวเราะ” เขาเองก็ไม่อยากเหมือนกัน แต่จนใจที่พี่ใหญ่โค่วเจิงสั่งเขาไว้แล้วตั้งแต่ก่อนเข้าตำหนัก

เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ทุกคนก็เข้าใจทันที ถึงอย่างไรก็ยังมีความสัมพันธ์กับหนิวโหย่วเต๋อในนาม ในโอกาสและสถานที่อย่างนี้ถ้าปล่อยใหนิวโหย่วเต๋อไม่มีแม้แต่ที่นั่ง หนิวโหย่วเต๋อปล่อยไก่นั้นเป็นเรื่องเล็ก แต่การที่ตระกูลโค่วใจแคบต่างหากที่น่าหัวเราะเยาะ

โค่วเหมี่ยนพยักหน้า แล้วลุกขึ้นตามไปทันที

เดิมเหมียวอี้เล็งที่นั่งไว้แล้ว เตรียมจะเข้าไปแทรกโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจหรือไม่ ไม่กลัวว่าคนอื่นจะไม่ต้อนรับ กลัวก็แต่คนอื่นจะต้อนรับ แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ โค่วเหมี่ยนจะทำอย่างนี้ ทำเอาเขาไม่สะดวกจะปฏิเสธ ทำได้เพียงรับน้ำใจแล้วตามโค่วเหมี่ยนไปนั่งประจำที่

เซี่ยโห้วหู่เฉิงกำลังครุ่นคิดว่าจะช่วยคนของตระกูลเซี่ยโห้วที่กำลังง่วนอยู่กับการหาโต๊ะให้เหมียวอี้นั่ง เนื่องจากตระกูลเซี่ยโห้วก็มีมาดของตระกูลเซี่ยโห้วเช่นกัน นอกเสียจากว่าจะไม่ให้แขกเข้าประตูมา ในเมื่อแขกเข้าประตูมาแล้ว ไม่ว่าจะตำแหน่งสูงต่ำก็ต้องรับรองแขกให้ดี ไม่มีหลักการไหนที่จะปล่อยให้แขกเก้อเขินหาทางลงไม่ได้ นี่ก็คือความสามารถและบุคลิกที่ตระกูลใหญ่ควรจะมี! ผลปรากฏว่าช่วยลดความยุ่งยากให้คนของตระกูลโค่วแล้ว มีคนของตระกูลโค่วคอยดูให้ ถ้าเห็นแก่หน้าตระกูลโค่ว คาดว่าหนิวโหย่วเต๋อก็คงไม่ก่อเรื่องอะไร เซี่ยโห้วหู่เฉิงโล่งอกแล้ว

แปลกมาก เซี่ยโห้วหู่เฉิงเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลอะไร ไม่น่าเชื่อว่าตอนแรกจะกังวลว่าหนิวโหย่วเต๋ออาจจะก่อเรื่องในงานเลี้ยง

เหมียวอี้ที่นั่งลงกับตระกูลโค่วดึงดูดสายตาของคนไม่น้อย ส่วนคนของตระกูลโค่วก็มีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป เหมียวอี้ดูสุขุมเยือกเย็น ในใจมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องต้องจัดการ ไม่ขวยเขินเพราะสีหน้าของคนพวกนี้ มีโลกอีกใบอยู่ในใจตัวเอง ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม

ฤกษ์มงคลมาถึงแล้ว เสียงกลองสะท้านฟ้าดังขึ้น หงส์มังกรร้องพร้อมกัน

ซ่างกวนชิง ผู้การใหญ่วังสวรรค์ที่อยู่ในตำหนักอ่านหนังสือสวรรค์อวยพรวันเกิดที่ราชันสวรรค์ประทานให้ด้วยเสียงดังฟังชัด เป็นคำสรรเสริญทั้งบท กล่าวบทกลอนยอเกียรติ

มีระกาสประทานของขวัญแยกอีก สมบัติล้ำค่าต่างๆ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

เซี่ยโห้วท่ากล่าวขอบพระคุณสวรรค์เสียงดัง คำกล่าวซาบซึ้งในบุญคุณก็ทำให้คนฟังรู้สึกตื้นตันใจอย่างลึกซึ้งเช่นกัน

แขกที่อยู่ทั้งในและนอกตำหนักยืนขึ้นส่งเสียงอวยพรพร้อมกัน อวยพรให้ท่านปู่สวรรค์

ภายใต้การชี้แนะจากประมุขชิง ซ่างกวนชิงประกาศเสียงดังว่างานเลี้ยงวันเกิดเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เสียงดนตรีดังขึ้น การร้องระบำทำเพลงในตำหนักก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

นอกตำหนัก เทพธิดาเดินเรียงแถวนำสุราอาหารมาวาง คนตระกูลเซี่ยโห้วเดินขวักไขว่รับแขกตามโต๊ะในงาน

ผ่านไปไม่นานทั้งข้างนอกข้างในก็มีเสียงชนจอกสุราดังเป็นแถบ ฝั่งตระกูลโค่วที่ได้รับการชี้แนะจากโค่วฉิน อย่างน้อยภายนอกก็ขายผ้าเอาหน้ารอดคุยกับเหมียวอี้อยู่บ้าง ส่วนเหมียวอี้ก็ยิ้มเรียบๆ เป็นฝ่ายดื่มสุราคำนับก่อน

หลังจากชนจอกสุราดื่มกับคนในครอบครัวตัวเองแล้ว ก็ต้องเดินไปดื่มทักทายกับบ้านอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ สำหรับเรื่องนี้ เหมียวอี้ไม่เข้าไปประสมโรง กำลังครุ่นคิดว่าจะลงมือจัดการงานของตัวเองอย่างไร เป็นเพราะมีหลายเรื่องที่ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้รายละเอียดชัดเจน หยางชิ่งจึงไม่สามารถวางแผนอย่างละเอียดได้ ทำได้เพียงบอกทิศทางใหญ่ๆ ให้เหมียวอี้ไปตัดสินใจเองตามสถานการณ์

หลังจากคนของตระกูลโค่วทยอยกันกลับมาแล้ว คนฝั่งตระกูลอิ๋งก็ตามมาแล้วเช่นกัน ผู้ที่นำมาก็คืออิ๋งอู๋เชวีย

“พี่โค่ว…” อิ๋งอู๋เชวียที่เดินเข้ามาชูจอกสุราชนกับโค่วฉินเหล่ตามองเหมียวอี้ “มีคนนั่งผิดที่แล้วรึเปล่า ทำไมข้ารู้สึกว่าตระกูลโค่วของพวกเจ้าพูดจาไม่เป็นคำพูดล่ะ?” เพราะเขาเห็นเหมียวอี้แล้วข่มไฟโกรธไม่ไหวจริงๆ อิ๋งฮุยลูกชายเขาตายอย่างอนาถใต้คมทวนของเหมียวอี้ที่อุทยานหลวง จะไม่แค้นได้อย่างไร แต่จนใจที่คนในครอบครัวสั่งไว้ว่าไม่ให้ไปหาเรื่องเจ้าเวรนี่ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงข่มความโกรธเอาไว้ แล้วพูดเหน็บแนมโดยไม่เอ่ยชื่อ

ถึงแม้เขาจะไม่เอ่ยชื่อแซ่ แต่ในใจเหมียวอี้กลับแอบบันเทิง ขนาดตัวเขาเองยังสงสัยเลยว่าตัวเองเกิดมาเพื่อขัดแย้งกับตระกูลอิ๋งโดยธรรมชาติหรือเปล่า ทำไมถึงเป็นตระกูลอิ๋งอยู่เรื่อย จะมีตระกูลซู[1]มาบ้างไม่ได้เหรอ? ทำไมถึงเป็นตระกูลอิ๋งอีกแล้วที่มาชนคมดาบของตน?

มีแผ่นกระดานโลงศพหนาขนาดนี้รองอยู่ยังจะมีอะไรน่ากลัวอีก ตราบใดที่ท่านนี้หัวไม่หลุด ก็ไม่กลัวหรอกว่าตัวเองจะหัวหลุด

“พี่อิ๋ง…” โค่วฉินส่ายหน้าอย่างจนใจ ยังไม่ทันได้พูดอะไรมาก ก็ตกใจกับเสียงสะเทือนเสียงหนึ่งแล้ว

ปั้ง! เหมียวอี้ตบฝ่ามือลงบนผิวโต๊ะ คำพูดคลุมเครือของอิ๋งอู๋เชวียเพิ่งจบไป โค่วฉินเพิ่งจะพูดต่อ เขาก็ตบเก้าอี้อย่างไม่ลังเลแล้ว พลังอิทธิฤทธิ์ที่ปล่อยจากฝ่ามือทำให้เกิดแรงสะเทือน เรียกได้ว่าตบโจนมีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่ได้ยิน

กระทันหันจนน่าตกใจ! เมื่อครู่นี้ยังมาอย่างอบอุ่นเป็นมิตรอยู่เลย เกิดการเปลี่ยนแปลงกระทันหันจนน่าตกใจ!

เสียงผลักจอกสุรารับแขกเงียบลงอย่างฉับพลัน ทุกคนพากันมองมาทางนี้ด้วยความตกใจ แม้แต่พวกเทพธิดาที่เดินไปเดินมาก็หยุดอยู่กับที่แล้ว คนตระกูลเซี่ยโห้วที่คอยรับแขกก็อ้าปากค้างด้วยความงง เซี่ยโห้วหู่เฉิงขมับเต้นตุ้บๆ ในใจร่ำร้องอย่างบ้าคลั่ง อย่าบอกนะว่าสิ่งที่กลัวกำลังจะมาถึง?

เสียงฝ่ามือนี้ทำให้โค่วฉินตกใจจนต้องกลืนคำพูดกลับลงไป เขามองเหมียวอี้ราวกับมองตัวประหลาด ถึงขั้นว่าในดวงตาเริ่มฉายแววหวาดกลัวว่าไฟจะลนมาถึงตัว ทุกคนของตระกูลโค่วและคนของตระกูลอิ๋งที่ตามเข้ามาก็งงเป็นไก่ตาแตกเช่นกัน ความเงียบสงัดโดยรอบทำให้คนรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก มีเพียงเสียงดนตรีระบำในตำหนักดังออกมา แต่กลับทำให้คนยิ่งรู้สึกกดดัน

…………………………………………………..

[1] ตระกูลซูพ้องเสียงกับคำว่าฝ่ายแพ้ ตระกูลอิ๋งพ้องเสียงกับคำว่าฝ่ายชนะ

ในเมื่อความขัดแย้งระหว่างคู่รักถูกแก้ไขแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไล่กลับทั้งๆ ที่เพิ่งมาถึง อยู่พักต่อสักหน่อยก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล สถานที่พักก็เป็นบ้านต้นไม้ที่เฟยหงเคยพักอยู่สวนกลางเขียวขจีในตอนแรก เพียงแต่แม่เฒ่าลวี่กำชับไว้ก่อนแล้ว ว่างานเลี้ยงวันเกิดของท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วกำลังจะมาถึง ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ล้วนมาเยือนอุทยานหลวงด้วยตัวเอง จึงบอกให้คู่รักคู่นี้อยู่ที่สวนกลางเขียวขจี อย่าเพ่นพ่านไปไหน จะได้ไม่เกิดปัญหาอะไรโดยไม่จำเป็น

รับปากก็ส่วนปาก ส่วนเหมียวอี้จะรักษาสัญญาหรือไม่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

วันต่อมา กำลังพลกองทัพองครักษ์กลุ่มหนึ่งเข้ามาตรวจสอบในสวนกลางเขียวขจี ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์กำลังจะเสด็จมาที่อุทยานหลวงด้วยตัวเอง การตรวจสอบประเภทนี้ถือเป็นธรรมเนียม ตรวจดูว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่

ผู้ที่นำกลุ่มมาเป็นชายหนุ่มร่างผอม ชื่อว่าถงเยว่ เป็นผู้บัญชาการคนหนึ่งใต้สังกัดแม่ทัพภาคอุทยานหลวง เหมียวอี้อาจจะจำเขาไม่ได้สักเท่าไร แต่เขาย่อมจดจำเหมียวอี้ได้อยู่แล้ว เพราะเขาคือหนึ่งในผู้รอดชีวิตของธงพยัคฆ์จากศึกน่านฟ้าระกาติง

หลังจากกองมังกรดำถูกสลายไปแล้ว ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ของธงพยัคฆ์ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงกันหมด ยกตัวอย่างเช่นถงเยว่ เดิมทีเป็นเพียงผู้ช่วยผู้บัญชาการคนหนึ่งเท่านั้น ทุกวันนี้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการแล้ว ใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีก็เลื่อนตำแหน่งต่อเนื่องกันสองขั้น

เหมียวอี้กับเฟยหงถูกค้นตัว จะบอกว่ามีปัญหาอะไรก็ไม่ได้เหมือนกัน แต่อย่างน้อยการที่ทั้งสองรากฏตัวที่สวนกลางเขียวขจีก็นับว่าแปลกแล้ว

แสงแดดส่องทะลุป่าไม้ที่หนาทึบ ทิ้งเงาที่ลายพร้อยและเงียบสงัดไว้ในป่า ถงเยว่ที่เดินตามหลังทั้งสองคนเดินออกมาจากเงาลายพร้อยที่ให้ความรู้สึกลี้ลับ มายืนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้อย่างเงียบๆ

ทั้งสองสบตากันเล็กน้อย เหมียวอี้รู้สึกเพียงว่าคนคนนี้คุ้นหน้า รู้ว่าเคยเจอมาก่อน แต่ในปีนั้นมีลูกน้องเยอะมาก เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจดจำทุกคน แต่เขาก็รู้ว่าชายร่างผอมตรงหน้าก็คือถงเยว่

ลูกน้องกลุ่มหนึ่งของถงเยว่กำลังมองเขา ต่างก็รู้ว่าเขาคือกำลังพลเก่าของหนิวโหย่วเต๋อ เป็นผู้รอดชีวิตจากธงพยัคฆ์ที่นำโดยหนิวโหย่วเต๋อ และเป็นเพราะศึกนั้นเช่นกันที่ทำให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งไวขนาดนี้ เมื่อได้เจอผู้บังคับบัญชาเก่าอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าผู้บัญชาการท่านนี้จะรู้สึกอย่างไร

ส่วนคนกลุ่มนี้ที่ได้เจอเหมียวอี้ ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างไร ท่านนี้คือแม่ทัพภาคกองมังกรดำคนก่อน สร้างศิลาจารึกอันสูงใหญ่ที่กองทัพองครักษ์ยากจะทำให้เหนือกว่าได้ แต่ตอนนี้กลับมีข่าวลือว่ากลายเป็นคนหดหู่หมดอาลัยตายอยากแล้ว ดูถูกตัวเองและยอมล้าหลัง ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ

“ถงเยว่!” ทันใดนั้นเหมียวอี้ก็ถามพร้อมยิ้มเรียบๆ

ทุกคนแอบประหลาดใจ ในปีนั้นคนของกองมังกรดำมเยอะมาก ส่วนถงเยว่ก็เป็นเพียงผู้ช่วยผู้บัญชาการคนหนึ่งเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้ยังจำชื่อถงเยว่ได้ สิ่งนี้ไม่ง่ายเลย

เมื่อเจอเหมียวอี้อีกครั้ง ถงเยว่ก็เรียกได้ว่าแอบสะเทือนอารมณ์ ในหัวฉายภาพศึกน่านฟ้าระกาติงฉากแล้วฉากเล่า ฝังลึกตราตรึงอยู่ในใจ ถึงแม้จะรู้สึกฮึกเหิมเร้าใจ แต่กลับพยายามควบคุมสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนแปลง กุมหมัดคารวะ “นายท่าน!”

แม่เฒ่าลวี่ที่อยู่ข้างๆ ชำเลืองมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง พอจะมองออกแล้วว่าเป็นลูกน้องเก่าของเหมียวอี้ในกองทัพองครักษ์

“ไม่ต้องมากพิธี” เหมียวอี้ผายมือ

“พวกเขาสองคนมาที่นี่ผ่านรายงานบันทึกไว้แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร” แม่เฒ่าลวี่เอ่ย

ถงเยว่มองแม่เฒ่าลวี่แวบหนึ่ง แล้วก็มองเหมียวอี้อีก “ถงเยว่อยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ ต้องแยกงานออกจากเรื่องส่วนตัว นายท่านได้โปรดให้อภัย ให้ถงเยว่ตรวจสอบสักหน่อยขอรับ”

“ได้อยู่แล้ว” เหมียวอี้พยักหน้า

ถงเยว่หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง หลังจากรอสักครู่จนแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด เขาก็พยักหน้าให้ลูกน้อง กำลังพลที่ล้อมเหมียวอี้กับเฟยหงถึงได้ถอนตัวออกไป

จากนั้นถงเยว่ก็ให้พวกลูกน้องแยกย้ายกันไปตรวจค้นต่อ ส่วนเขาก็ติดตามทักทายอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ฉวยโอกาสตอนที่คนไม่ทันสังเกตแลกระฆังดาราติดต่อกับเหมียวอี้

หลังจากรอจนพวกลูกน้องทยอยกลับมาแล้ว ถงเยว่ก็กล่าวอำลา แล้วนำกำลังพลออกไป

เหมียวอี้หรี่ตามองส่ง เขาต้องการรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวคร่าวๆ ในอุทยานหลวง แต่ทางอุทยานหลวงไม่มีใครช่วยเขา ตอนหลังสืบพบว่าถงเยว่ที่เป็นลูกน้องเก่าในกองมังกรดำกำลังเข้าเวรที่อุทยานหลวงพอดี อวิ๋นจือชิวจึงให้คนติดต่อกับถงเยว่ ให้เขาให้ความร่วมมือกับเหมียวอี้

สำหรับลูกน้องเก่าพวกนี้ เมื่อเทียบกันแล้วเหมียวอี้ค่อนข้างวางใจ อวิ๋นจือชิววางแผนจัดการมาตลอด ยังไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ อย่างน้อยก็ดึงทั้งหมดลงน้ำด้วยกันแล้ว ทุกคนขึ้นเรือโจรของเหมียวอี้แล้ว ถ้าให้กองทัพองครักษ์รู้ว่าคนพวกนี้แอบรับทรัพยากรจากคนอื่นเป็นเวลานาน นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว

เหมียวอี้เคยคิดว่าในอนาคตอาจจะใช้งานคนพวกนี้ได้ แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะได้ใช้งานเร็วขนาดนี้

สองวันหลังจากนั้น ในวันที่จัดงานเลี้ยง ขุนนางที่สามารถเข้าประชุมในราชสำนักได้ทยอยกันมาถึงเรือนพักในอุทยานหลวง

พอทางนั้นมีความเคลื่อนไหว เหมียวอี้ก็ให้เฟยหงไปเกาะแกะแม่เฒ่าลวี่ทันที จะพูดว่าเกาะแกะไม่ได้หรอก แค่ไปคุยเล่นกับแม่เฒ่าลวี่ ตัดแต่งต้นไม้ใบหญ้าเท่านั้นเอง ส่วนเขาก็กำเดินเล่นที่สวนกลางเขียวขจี แต่สุดท้ายกลับจากไปเงียบๆ

รอจนกระทั่งเกี้ยวมังกรกับเกี้ยวหงส์เหาะลงจากฟ้า ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์มาถึงพระตำหนักอุทยาน พระตำหนักอุทยานก็เปิดอย่างเป็นทางการแล้ว กองทัพองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ตรงประตูยืนแยกเป็นสองฝั่ง เซี่ยโห้วลิ่งนำคนของตระกูลเซี่ยโห้วรับแขกอยู่ตรงประตู

ในเรือนพักโดยรอบมีเงาคนกลุ่มใหญ่ทยอยเหาะออกมาทันที กลุ่มขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์นำครอบครัวมาถึงแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งต้อนรับแขกด้วยรอยยิ้ม ส่วนแขกที่มาก็ทยอยกันมอบของขวัญและเข้าไปด้านใน

พอพระตำหนักอุทยานเริ่มรับแขก เหมียวอี้ที่คำนวณเวลาไว้แม่นยำแล้วก็เหาะเข้ามาจากฟ้าที่อยู่ไกลๆ มาเหยียบลงข้างหลังกลุ่มคนนอกพระตำหนัก แล้วเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

“หนิวโหย่วเต๋อ…” หลังจากทุกคนเห็นเหมียวอี้แล้ว ก็ส่งเสียงอุทานอย่างประหลาดใจ

มีบางคนมองเขา มีบางคนมองตามสายตาเขา เห็นเหมียวอี้ที่มีสีหน้าเรียบเฉยกำลังเดินตามหลังกลุ่มคนอย่างช้าๆ

ผ่านไปไม่นาน นอกประตูใหญ่ของพระตำหนักอุทยานก็เงียบกริบไร้เสียง คนที่กำลังเข้าประตูหยุดเคลื่อนไหวแล้ว ทุกคนพากันมองมาทางเหมียวอี้

กลุ่มคนของตระกูลอิ๋ง ฮ่าว ก่วง โค่วที่เข้าไปก่อนแล้ว พอได้ยินข่าวก็รู้สึกงงงัน ทุกคนหันตัวลอยขึ้นฟ้า แล้วมองไปนอกประตูตำหนัก เห็นหนิวโหย่วเต๋ออยู่ข้างหลังจริงๆ ด้วย

เม่ยเหนียงกับก่วงเม่ยเอ๋อร์สบตากันเลิกลั่ก ในดวงตาก่วงเม่ยเอ๋อร์ฉายแววตื่นเต้นดีใจ ขระเดียวกันก็ฉายแววกังวลอีก

อิงอู๋หม่าน ฮ่าวเจ๋อ ก่วงจวินอัน โค่วเจิง สี่คนที่ได้ขึ้นเป็นท่านโหว ถึงแม้ตอนประชุมราชสำนักจะไม่มีสิทธิ์ยืนแถวหน้า ทำได้เพียงยืนแถวหลัง แต่ทั้งสี่ก็เป็นตัวแทนของสี่อ๋องสวรรค์ ทุกการกระทำคำพูดสามารถเป็นตัวแทนท่าทีของสี่อ๋องสวรรค์ในราชสำนักได้

ถึงแม้สี่อ๋องสวรรค์จะไม่ได้มาเข้าร่วมอวยพรวันเกิด แต่การที่ขุนนางใหญ่ในราชสำนักให้ทั้งสี่นำครอบครัวเข้าไปก่อน ก็พอจะมองอะไรบางอย่างออกแล้วนิดหน่อย

อิงอู๋หม่าน ฮ่าวเจ๋อกับก่วงจวินอันสบตากันอย่างแปลกใจ แต่โค่วเจิงกลับสีดำมืดลงเล็กน้อย ก่อนหน้านี้แปลกใจว่าเหมียวอี้มาโผล่ที่อุทยานหลวงได้อย่างไร ทำไมนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเข้ามาประสมโรงในงานวันเกิดด้วย

เซี่ยโห้วลิ่งจ้องประเมินเหมียวอี้ครู่หนึ่ง แล้วก็ลอยเหยียบลงพื้นอีกครั้ง ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ยังคงรอยยิ้มสดใสมีมารยาทเอาไว้ แล้วกุมหมัดคารวะต่อทุกคนที่กำลังถ่ายทอดเสียงคุยกันอยู่ “เชิญ! เชิญข้างใน!”

จนกระทั่งตอนนี้ ทุกคนที่ยืนออกันตรงหน้าประตูเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองขวางประตูอยู่ จึงทยอยกันมอบของขวัญให้แล้วเดินเข้าไป เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามอง หลังจากเข้ามาแล้วส่วนใหญ่ก็หยุดอยู่กับที่ ไม่ได้เข้าไปต่อ ต่างก็กำลังมองจากข้างใจ

รอจนกระทั่งเหมียวอี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งก็มองสำรวจศีรษะจดเท้าพร้อมถามด้วยรอยยิ้ม “แม่ทัพภาคหนิวให้เกียรติมาเยือน ไม่ทราบว่ามีอะรจะชี้แนพ?”

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “หนิวบังเอิญอยู่ที่อุทยานหลวงพอดี บังเอิญตรงกับงานวันเกิดท่านปู่สวรรค์ หนิวกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นสหายรู้ใจ สนิทกันเหมือนพี่น้อง ตอนนี้เป็นงานวันเกิดของผู้ใหญ่บ้านพี่น้อง ในเมื่อผู้น้อยมาถึงแล้ว มีหรือที่จะไม่มาอวยพรวันเกิด แต่ดูท่าแล้ว หนิวเหมือนจะไม่ได้รับการต้อนรับนะ หนิวเองก็รู้จักข้อบกพร่องของตนเอง มอบน้ำใจเล็กน้อยเป็นการอวยพร หวังว่าจะไม่รังเกียจ มอบให้แล้วก็จะไป ไม่กล้ารบกวน” พูดจบก็พลิกมือมอบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้

“ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก แขกที่นำของขวัญเข้ามาประตูมาด้วย มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ยินดีต้อนรับ” เซี่ยโห้วลิ่งรับของขวัญอย่างร่าเริง แล้วยื่นมือเชิญเข้าข้างใน กล่าวเสียงดังว่า “แม่ทัพภาคหนิว เชิญด้านใน”

เหมียวอี้เหลือบตามองสายตาแต่ละคู่ข้างในที่กำลังจ้องขับไล่เขา เหมือนจะลังเลนิดหน่อยว่าจะเข้าไปดีหรือไม่

“เชิญ!” เซี่ยโห้วลิ่งกล่าวอย่างใจกว้างตรงไปตรงมาอีกครั้ง

เหมียวอี้สูดหายใจลึก แล้วกุมหมัดคารวะ ทำท่าเหมือนแข็งใจดินเข้าไป

ที่จริงเขาเองก็รู้ ขอเพียงคำนวณเวลาปรากฏตัวตอนนี้ ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่น่าจะปฏิเสธแขกที่มาร่วมอวยพรงานมงคลท่ามกลางสายตาฝูงชน เพราะเส้นสนกลในของตระกูลเซี่ยโห้วก็เห็นๆ กันอยู่ ไม่กลัวว่าเหมียวอี้จะทำอะไร เมื่อมีความมั่นใจก็มีน้ำใจ!

ถ้าถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าข้างในจริงๆ เช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงเดินหมากอันตรายตัวอื่น

เซี่ยโห้วลิ่งหันกลับมามอง เห็นทุกคนมีท่าทีกระซิบกระซาบต่อเหมียวอี้ที่เดินช้าๆ เข้ามา ความรู้สึกขับไล่แบบนั้นชัดเจนเกินไปแล้ว ราวกับกันเหมียวอี้ไว้อีกโลกหนึ่ง เหมียวอี้ถูกลิขิตให้เป็นคนโดดเดี่ยวเมื่อปรากฏตัวที่นี่

เขายิ้มเรียบๆ แล้วหันกลับมารับแขกต่อไป

เซี่ยโห้วหู่เฉิงที่คอยวิ่งเต้นเดินเข้ามาแล้ว เข้ามากุมหมัดคารวะเหมียวอี้ “พี่หนิว เชิญทางนี้”

เป็นท่าทีที่ทุกคนมีต่อเหมียวอี้ชัดเจนเกินไป เขากังวลว่าเหมียวอี้จะรับไม่ไหวแล้วก่อเรื่อง วันนี้เป็นงานวันเกิดบรรพชน กอปรกับเหมียวอี้เอ่ยถึงเซี่ยโห้วหลงเฉิงผู้เป็นพี่ชายทำให้เขาค่อนข้างซาบซึ้ง เขาถึงได้วิ่งมานำทางให้ กลัวว่าเหมียวอี้จะเข้ากับกลุ่มคนไม่ได้ หมายจะพาไปพักผ่อนตรงจุดที่ลับตาคน

“รอประเดี๋ยว!” เหมียวอี้บอกใบ้ แล้วเอียงหน้ามองไปทางโค่วเจิงที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคน รวมทั้งคนในครอบครัวตระกูลโค่วด้วย

ถึงแม้โค่วหลิงซวีจะไม่ได้มา แต่ญาติสายตรงของตระกูลโค่วที่ไม่ติดธุระก็มากันหมด โค่วเจิงมาทั้งครอบครัว โค่วฉินมาทั้งครอบครัว โค่วเหมี่ยนมาทั้งครอบครัว แล้วก็มีโค่วอิง โค่วเชี่ยน โค่วอวี้พวกนางพาลูกสาวลูกชายมาแล้วเช่นกัน

สำหรับเหมียวอี้ ถ้าไม่ได้เห็นก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเห็นแล้วไม่เข้าไปทักทายสักหน่อยก็จะฟังดูเหลวไหล ถึงอย่างไรก็ยังมีคำว่า ‘ในนาม’ อยู่

แต่หลังจากเห็นเหมียวอี้เดินมาทางนี้ แต่ละคนของตระกูลโค่วก็แสดงสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย รวมทั้งโค่วเหวินหลานที่ค่อนข้างสนิทกับเหมียวอี้ด้วย เขาหลบสายตานิดหน่อย แต่ก็ช่วยไม่ได้ คนในบ้านบอกไว้แล้ว ว่าในภายหลังห้ามคบหากับหนิวโหย่วเต๋ออีก

กลุ่มพี่น้องที่ยามปกติเคยอบอุ่นเป็นมิตรกับเหมียวอี้และอวิ๋นจือชิว ชั่วพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นเหินห่างไร้ที่เปรียบ

“พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม…” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะทักทายพร้อมกัน

“อื้ม มาแล้วเหรอ” โค่วเจิงพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย นับว่าภายนอกยังมองหน้ากันได้

ทว่าโค่วฉินกลับกล่าวด้วยสีหน้าเครียดขรึม “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าถ่อมาที่นี่ทำไม?”

โค่วเจิงรีบดึงแขนเขาเอาไว้ บอกใบ้ว่าอย่าพูดมาก ขนาดเจ้าภาพยังให้เข้ามาโดยไม่ถือสา ในเวลานี้ถ้าทะเลาะกันขึ้นมาอาจจะทำให้คนหัวเราะเยาะตระกูลโค่วได้

โค่วฉินที่เหมือนได้รับการเตือนตระหนักได้แล้ว ถึงได้ทำเสียงฮึดฮัดแล้วไม่พูดอะไรอีก

เหมียวอี้กวาดสายตามองทุกคนของตระกูลโค่ว พบว่าทั้งรุ่นเล็กรุ่นเล็กต่างก็หลบสายตาเขา เป็นสุยฉูฉู่ที่มองเขาด้วยแววตาที่เหมือนแฝงความคับแค้น ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้เขาเข้าใจแล้ว ตระกูลโค่วคิดหาทางพิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ได้ไปน้ำพุวังเวง แต่โค่วเจิงรู้ว่าเรื่องล่าสัตว์น้ำพุวังเวงเกิดขึ้นเพราะเขา ดูจากท่าทางสุยฉูฉู่ก็เหมือนจะรู้แล้ว ด้วยความเจ็บปวดที่สูญเสียลูกชาย คากว่าคงแค้นเหมียวอี้แล้ว

ในหัวเหมียวอี้เกิดความคิดบางอย่างแวบเข้ามา ถ้าในเวลานี้มอบศีรษะของโค่วเหวินไป๋ให้ ก็ไม่รู้ว่าสุยฉูฉู่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร

เหมียวอี้ที่โดนเมินใส่กุมหมัดคารวะต่อทุกคนของตระกูลโค่วอีกครั้ง ถือว่าตัวเองทำเต็มที่แล้ว จึงหันตัวเดินจากไป

เมื่อได้เห็นกับตาว่าเขาถูกปฏิบัติใส่อย่างเย็นชา เซี่ยโห้วหู่เฉิงที่ยื่นมือเชิญก็แอบทอดถอนใจ

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายเม่ยเหนียงอดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงพึมพำกับมารดา “คนตระกูลโค่วทำเกินไปแล้ว!”

เม่ยเหนียงกลอกตามองนาง “เจ้าจะเข้าใจอะไร?”

ในสวนดอกไม้ด้านหลังพระตำหนักอุทยาน ประมุขชิงกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ท้องใหญ่กำลังอยู่ทางซ้ายและขวาของเซี่ยโห้วท่า ทั้งสามเดินเล่นช้าๆ ด้วยกัน วันนี้ประมุขชิงและราชินีสวรรค์ไว้หน้าเซี่ยโห้วท่าเต็มที่ เซี่ยโห้วท่าใส่ชุดฉลองงานมงคลเช่นกัน สวมชุดผ้าแพรสีแดง

“ระวังหน่อยๆ” ทุกครั้งที่เจอทางเลี้ยว เซี่ยโห้วท่าก็จะโวยวายเป็นกระต่ายตื่นตูม แล้วยื่นมือประคองแขนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ทะนุถนอมสุดๆ

ถึงแม้ปากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่จะบอกว่าตัวเองไม่ได้อ้อนแอ้นขนาดนั้น แต่สีหน้ากลับสุขกายสบายใจมาก ท่านนี้คือหัวหน้าตระกูลของตระกูลเซี่ยโห้ว!

ทั้งสามกำลังคุยกันอยู่ตรงนี้ ซ่างกวนชิงที่เดินตามอยู่ข้างหลังไม่ใกล้ไม่ไหลเก็บระฆังดารา รีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า เจียดเวลาถ่ายทอดเสียงรายงานประมุขชิง

หลังจากฟังจบประมุขชิงก็หัวเราะเบาๆ สายตาย้ายไปอยู่บนตัวเซี่ยโห้วท่า “ท่านปู่สวรรค์ ท่านเดาสิว่าใครมาร่วมอวยพรวันเกิดให้ท่าน?”

เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้าอย่างเลอะเลือนด้วยความชรา “เรื่องนี้ข้าเดาไม่ถูกจริงๆ หรือว่าสี่อ๋องสวรรค์มาแล้ว?”

ประมุขชิงตอบว่า “เต่าหัวหดสี่ตัวนั่นจะกล้ามาเสียที่ไหน หนิวโหย่วเต๋อแม่ทัพภาคตลาดผีมาแล้ว นี่เป็นแขกที่มาไม่บ่อยนะ” ในใจเขาสงสัยนิดหน่อย หรือว่าหนิวโหย่วเต๋อเดินไปเจอทางตัน เลยอยากประจบและขอพึ่งพาตระกูลเซี่ยโห้ว?

“อ้อ!” เซี่ยโห้วท่ากระจ่างในฉับพลัน แล้วพยักหน้าอย่างเชื่องช้าเนื่องจากความชรา “คนหนุ่มสาวมีความตั้งใจแล้ว มีความใส่ใจแล้ว”

“เขาจะถ่อมาทำไม?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับขมวดคิ้ว นางรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อมาที่อุทยานหลวงแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมาประสมโรงที่งานเลี้ยง ทหารยามของพระตำหนักอุทยานมัวไปทำอะไรกิน ทำไมปล่อยให้ใครเข้ามาก็ได้?

เซี่ยโห้วท่ากล่าวช้าๆ ว่า “ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก” ในน้ำเสียงเหมือนจะปลอบใจเซี่ยโห้วเฉิงอวี่

ทั้งสามเดินเล่นในสวนดอกไม้ด้านหลังจนกระทั่งซ่างกวนชิงมาเตือนว่าถึงเวลามงคลแล้ว ถึงได้เดินไปทางตำหนักหลักของพระตำหนักอุทยาน

งานเลี้ยงวันเกิดครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่ผ่านมา ราชินีสวรรค์กับประมุขชิงนั่งเคียงกันอยู่เบื้องสูง ไม่ได้ไปรับแขกที่วังหลัง วันนี้ไม่แบ่งแยกนอกใน นอกจากสนมสวรรค์จ้านหรูอี้ที่กลับมาร่วมอวยรวันเกิดและกลุ่มสนมของวังหลังที่ไม่สะดวกจะพบกับคนนอกจึงต้องอยู่ในวังหลังของพระตำหนักอุทยาน คนที่เหลือก็รวมกลุ่มนั่งตามครอบครัว

ตรงตำแหน่งแรกด้านล่างมองไม่เห็นเงาสี่อ๋องสวรรค์แล้ว เม่ยเหนียงนำลูกสาวก่วงเม่ยเอ๋อร์ครองตำแหน่งแรก ส่วนพวกจอมพล เทพประจำดาวและท่านโหว ขอเพียงยังมีฮูหยินอยู่ ครั้งนี้ล้วนเข้ามานั่งด้านข้างในตำหนักได้ ยกตัวอย่างเช่นจาหรูเยี่ยนที่นั่งอยู่ข้างกายเทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วน

ส่วนในครั้งนี้โต๊ะของเซี่ยโห้วท่าก็ถูกจัดวางไว้บนบันไดเป็นกรณีพิเศษ หันข้างให้ประมุขชิงและขุนนางใหญ่ในตำหนัก

นอกตำหนัก เรื่องจัดตำแหน่งให้เหมียวอี้นั่งกลับทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วปวดหัว คาดว่าคงไม่มีบ้านไหนรับไว้ จะให้เขานั่งอยู่คนเดียวก็ไม่คือ ไม่ใช้หลักการรับแขกของตระกูลเซี่ยโห้วผู้สง่าภูมิฐาน

…………………………

หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว สวีถังหรานก็บอกลาเสวี่ยหลิงหลงฮูหยินของตัวเอง แล้วออกจากจวนแม่ทัพภาคอย่างเป็นทางการ ออกจากตลาดผีไปแล้ว เหยียบบนเส้นทางที่จะทำให้เขารับสมัครคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะ

ส่วนเรื่องฝั่งมู่หรงซิงหัวก็จัดการได้อย่างราบรื่น เป็นอย่างที่นางบอก ทั้งคนระดับล่างระดับบนของฝั่งนั้นล้วนไม่อยากเก็บนางไว้ เฉาว่านเสียงที่ถูกขนาบอยู่ระหว่างฮูหยินเก่าและฮูหยินใหม่ก็อึดอัดเช่นกัน พอฮูหยินของเฉาว่านเสียงได้ยินว่ามู่หรงซิงหัวต้องการไปสถานที่ไร้เดือนไร้ตะวันอย่างตลาดผี ก็อยากจะถีบหัวส่งนางออกมาเร็ว ออกหน้าใช้เส้นสายจัดการให้ด้วยตัวเอง ไม่นานก็เตะมู่หรงซิงหัวออกมาได้แล้ว

แนวโน้มสถานการณ์ทางฝั่งเหมียวอี้ไม่ชอบมาพากล มิหนำซ้ำเดิมทีตลาดผีก็ไม่ใช่สถานที่ดีเด่นอะไรอยู่แล้ว มู่หรงซิงหัวมาที่ตลาดผีเพียงลำพัง แม้แต่ลูกน้องสักคนก็ไม่มีติดตามมาด้วย

ในเมื่อมู่หรงซิงหัวจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทางฝั่งเหมียวอี้ก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก ยังรักษาสัญญาว่าจะรับนางไว้ รักษาตำแหน่งเดิมของมู่หรงซิงหัวไว้ก่อน นั่นก็คือรองผู้บัญชาการใหญ่! เรื่องราวต่อจากนั้นเดี๋ยวค่อยว่ากัน เพราะทางฝั่งนี้ไม่มีทางเลื่อนตำแหน่งให้มู่หรงซิงหัวโดยไร้เหตุผลได้

ก่อนมาที่นี่ มู่หรงซิงหัวก็ขอคำชี้แนะจากสวีถังหรานด้วยความเจียมเนื้อเจียมตัวแล้ว อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้ติดตามเหมียวอี้มาหลายปี จึงไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน สวีถังหรานแอบชี้แนะเล็กน้อย ว่าขอเพียงเอาชนะใจฮูหยินอวิ๋นจือชิวได้ ทางฝั่งนายท่านก็ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่อะไร

สำหรับจุดนี้ มู่หรงซิงหัวก็คิดว่าแน่นอนอยู่แล้ว ในศึกน่านฟ้าระกาติง นายท่านก็ทำเพื่อฮูหยินคนนี้ไม่ใช่เหรอ?

กอปรกับรู้ว่าข้างกายอวิ๋นจือชิวยังขาดคนที่มีฐานะขุนนางเอาไว้ติดต่อกับคนระดับล่างและระดับบน ไม่ว่าจะเป็นปัจจุบันหรืออนาคต คนที่พอจะมีสมองสักหน่อยต่างก็รู้ว่าตำแหน่งนี้ค่อนข้างสำคัญ และนางก็ได้เปรียบเป็นพิเศษในฐานะที่เป็นผู้หญิง อย่างไรเสียการให้ผู้ชายมาคลุกคลีกับอวิ๋นจือชิวบ่อยๆ ก็ไม่เหมาะสม เพราะชายหญิงมีความแตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อนางมาถึงจวนแม่ทัพภาคแล้ว จึงหาตำแหน่งที่เหมาะกับตัวเองได้ทันที เป็นฝ่ายขอรับบทบาทนี้เองโดยไม่เกรงใจเลย ไม่สนใจการเลื่อนขึ้นหรือลดลงของตำแหน่งอื่น

ในจุดนี้อวิ๋นจือชิวค่อนข้างพอใจ และทำให้เหมียวอี้แอบชื่นชมเช่นกัน ข้างกายอวิ๋นจือชิวยังขาดคนแบบนี้ เพียงแต่จะได้รับความไว้วางใจจากอวิ๋นจือชิวหรือไม่ ก็ต้องดูที่การปฏิบัติตัวของมู่หรงซิงหัวเองแล้ว

เพียงแต่หลังจากมู่หรงซิงหัวกลับมารับตำแหน่งที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีอย่างเป็นทางการ กลับพบว่าเหมียวอี้แตกต่างกับเมื่อก่อนนิดหน่อย มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว เริ่มเปลี่ยนเป็นพวกดื่มเหล้าเมาหัวราน้ำ เริ่มมีอารมณ์ร้อนขึ้นเรื่อยๆ เอะอะก็ด่าและทำร้ายร่างกายรุ่นน้อง บางครั้งก็จะพาคนของจวนแม่ทัพภาคไปทำตัวสำมะเลเทเมาที่ตลาดผีอย่างเปิดเผย

ทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ? มู่หรงซิงหัวเริ่มกังวลนิดหน่อย เพราะแตกต่างกับหนิวโหย่วเต๋อคนที่นางเคยรู้จัก

ในวันนี้ ตอนที่อวิ๋นจือชิวนำผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเดินผ่านประตูสวนดอกไม้เล็กในแม่ทัพภาค ก็ได้กลิ่นสุราเข้มข้นโชยมา ทำให้นางขมวดคิ้วโดยจิตใต้สำนึก แล้วหันตัวนำกลุ่มคนเลี้ยวเข้ามาในสวน

ในสวนดอกไม้มีพืชพรรณเปล่งแสงนานาชนิด ศาลาหลังหนึ่งที่อยู่ในนั้นมีคนนั่งดื่มสุราอยู่คนเดียว คนที่กำลังกรอกสุราใส่ปากไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหมียวอี้นั่นเอง ดื่มจนเมามาย ไม่ได้ร่ายอิทธิฤทธิ์คลายฤทธิ์สุราเลยสักนิด

มู่หรงซิงหัวติดตามมาด้วย นางมองปฏิกิริยาของคนกลุ่มนี้ อวิ๋นจือชิวสีหน้าเคร่งขรึม ส่วนคนที่เหลือเงียบงันไม่พูดอะไร แต่ทุกคนล้วนมีสีหน้ากังวล

อวิ๋นจือชิวเอียงหน้าบอกใบ้เล็กน้อย เฟยหงเดินเข้าไปแล้ว ยื่นมือแย่งจอกสุรามาจากมือเหมียวอี้อย่างอ่อนโยน พร้อมพูดโน้มน้าว “นายท่าน เลิกดื่มได้แล้วค่ะ”

“เพี้ยะ!” ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะยื่นมือตบหน้าทันที เสียงดังฟังชัด เฟยหงล้มลงพื้นแล้วเอามือปิดหน้า เหมียวอี้ชี้นางพร้อมด่าอย่างโมโห “คนเต้นกินรำกินอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับข้า ไสหัวไป!”

ฝ่ามือและเสียงด่านี้ทำให้ทุกคนอกสั่นขวัญแขวน นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเหมียวอี้ลงมือกับผู้หญิงของตัวเอง

ทหารยามหลายคนในสวนดอกไม้ที่ตระกูลโค่วส่งมาก็ยิ่งมองหน้ากันเลิกลั่ก

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วมุ่น โบกมือส่งสัญญาณให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เข้าไปประคองเฟยหงกลับมาก่อน แล้วก็ให้คนอื่นถอยออกไป ส่วนนางก็เดินเนิบนาบเข้าใปนั่งในศาลา ทุกคนก็ไม่รู้เช่นกันว่านางจะโน้มน้าวอย่างไร

ผ่านไปไม่นาน ข่าวที่เกี่ยวกับเหมียวอี้สำมะเลเทเมาจนกระทั่งลงมือกับอนุภรรยาของตัวเองก็แพร่ออกไปด้านนอกอย่างเงียบ ที่จริงก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือออกไปแล้วว่าทุกวันนี้เหมียวอี้ทำตัวสำมะเลเทเมาเพราะหมดอาลัยตายอยากกับอนาคตอันมืดมัว

ในจวนอ๋องสวรรค์โค่วที่สร้างใหม่ คนของตระกูลโค่วได้ข่าวนี้ก่อน อย่างไรเสียในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็ยังมีคนของตระกูลโค่วอยู่

โค่วหลิงซวีได้ข่าวแล้วเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ “ยังหนุ่มอยู่เลย ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าอนาคตยังอีกยาวไกล!”

สิ่งที่เขาเสียดายไม่ใช่เหมียวอี้ ทั้งใต้หล้านี้ต่างก็รู้ว่าตระกูลโค่วทิ้งเหมียวอี้แล้ว ถึงแม้จะมีประมุขชิงเป็นข้ออ้างให้เขามีบันไดลง แต่สุดท้ายการกลับคำก็ทำให้เขาค่อนข้างเสียหน้าอยู่ดี

“แปลว่าเขาเป็นคนเข้าใจอะไรชัดเจน อย่างไรเสียครั้งนี้ก็ไม่เหมือนกับครั้งที่ผ่านมา ตอนนี้ทุกคนล้วนไม่สนใจเขา ไม่มีใครให้โอกาสเขาอีกแล้ว เกรงว่าคงเดาออกแล้วว่าตัวเองจะถูกกดไว้ที่ตลาดผีไปทั้งชีวิต แล้วตลาดผีก็มีตึกศาลาสัตยพรตข่มไม่ให้เขากำเริบเสิบสานได้ง่ายๆ อีก มีเพียงความสามารถแต่กลับไม่มีทางออก สภาพจิตใจเกิดความเปลี่ยนแปลงบ้างก็พอจะเข้าใจได้” ถังเฮ่อเหนียนพึมพำเสียงต่ำ

โค่วเจิงพยักหน้าเบาๆ “ถ้ารู้แต่แรกจะทำอย่างนี้ทำไม!”

ในจวนตระกูลก่วงที่สร้างใหม่ เม่ยเหนียงที่ได้ยินข่าวถอนหายใจด้วยความปลง “เสียแรงที่ข้าเอาใจช่วยเขาขนาดนี้ แต่กลับทนความพ่ายแพ้ไม่ได้ ทำไมกลายเป็นอย่างนี้ไปแล้วนะ จิตใจอันทรนงองอาจของลูกผู้ชายในเมื่อก่อนหายไปไหนแล้ว ข้ายังทำใจเชื่อไม่ค่อยลงเลย”

ก่วงลิ่งกงเอามือไขว้หลังเดินเนิบนาบอยู่ข้างกาย พอได้ยินดังนั้นก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “แปลว่าเขาก็ไม่ได้เลอะเลือน รู้ว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมาแล้ว เจ้าเองก็อย่าคิดมากเลย ถ้าเขาได้อยู่อย่างสงบจนแก่ตายที่ตลาดผีก็นับว่าเป็นวาสนาของเขาแล้ว มีคนมากมายขนาดไหนที่อยากจะใช้ชีวิตสงบราบรื่นแต่ก็ทำไม่ได้ ถ้าไม่ทำสภาพจิตใจให้ถูกต้อง เช่นนั้นเขาก็เป็นคนที่ทรมานตัวเองแล้ว ไปโทษคนอื่นไม่ได้”

ตระกูลจ้าน บ้านของสนมสวรรค์จ้านหรูอี้ ในลานบ้านของสนมสวรรค์ที่สร้างใหม่เป็นพิเศษจนมีทั้งความหรูหราทั้งความสงบร่มเย็น จ้านหรูอี้ยืนพิงระเบียงพลางมองปลาที่เลี้ยงในบ่อน้ำอย่างเหม่อลอย

“เกรงว่าตอนหนิวโหย่วเต๋อนั่นพึ่งพาอ๋องสวรรค์โค่ว คงจะนึกไม่ถึงว่าจะมีวันนี้”

“ถ้าจะให้ข้าพูดนะ สมน้ำหน้าเขาแล้วล่ะ ตัวเองไร้ประโยชน์แต่กลับระบายอารมณ์กับอนุภรรยา แบบนี้นับว่าเก่งอะไรกัน?”

หยินซวงกับไป๋เสวี่ยนินทาอยู่ข้างหูไม่หยุด พวกนางรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนเฟยหงเป็นอย่างมาก ที่ทำแบบนี้ก็ย่อมมีสาเหตุ เพราะมองจากบางมุม ที่จริงจ้านหรูอี้เจ้านายของนางก็เป็นอนุภรรยาเหมือนกัน

ส่วนจ้านหรูอี้มีแววตาหดหู่ ยืนนิ่งไม่ขยับไปไหนนานมาก จ้องเงาสะท้อนตัวเองในน้ำ เงียบงันไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

วังสวรรค์ หลังจากประมุขชิงได้ยินข่าวก็ให้ทางหน่วยตรวจการซ้ายยืนยันเรื่องนี้ ว่าหนิวโหย่วเต๋อได้ลงมือกับอนุภรรยาของตัวเองจริงหรือไม่ หลังจากรู้ข่าวแล้วว่าเป็นความจริง ก็วิจารณ์ว่า “รู้หน้าไม่รู้ใจ เดิมทียังนึกว่าสนุกกับการก่อเรื่องวุ่นวาย ที่แท้ก็เป็นเพราะแพ้ไม่เป็นนี่เอง จิตใจแบบนี้ ดูท่าแล้วจะใช้งานในตำแหน่งสำคัญไม่ได้จริงๆ โพ่จวินยังบอกว่าพลาดเจ้าเด็กนี่ไปแล้วน่าเสียดาย ควรจะพูดเรื่องนี้ให้เขาฟังสักหน่อน ถามว่าตอนนี้ยังรู้สึกเสียดายรึเปล่า”

ซือหม่าเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างกันหัวเราะแห้งๆ ในใจต้องรู้สึกเสียดายขนาดไหนกัน ที่เสียดายไม่ใช่เหมียวอี้ แต่เป็นการวางหมากที่ดีอย่างเฟยหงเอาไว้ผิดที่ เหมือนปลูกผักกาดดีๆ ไว้เพื่อให้หมูดุนกิน เสียดายของแล้ว แสดงบทบาทได้ไม่สมสมราคา

ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านได้ยินข่าวแล้วใช้พลังความคิดนานมาก สั่งให้ชีเจวี๋ยสืบข่าวเป็นระยะ

หลังจากส่งข่าวมาหลายครั้ง ชีเจวี๋ยเห็นเฉาหม่านเหมือนจะสนใจเรื่องนี้มาก สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะบอกว่า “การสืบข่าวด้านนอกสุดท้ายก็เป็นข่าวลือ ถ้าเถ้าแก่อยากรู้สถานการณ์จริงภายในจวนแม่ทัพภาค บ่าวก็สามารถเข้าไปดูสภาพของหนิวโหย่วเต๋อในจวนแม่ทัพภาคด้วยตัวเองได้ขอรับ”

“เหอะๆ! ถ้าอีกฝ่ายตั้งใจจะปิดบังอะไรบางอย่าง ต่อให้เจ้าถ่อเข้าไปแต่ก็มองความจริงออกได้ยากไม่ใช่เหรอ? ถ้าไร้ลมก็ไม่มีคลื่นหรอก!” เฉาหม่านโบกมือ เดินช้าๆ ไปตรงริมหน้าต่าง แล้วก้มหน้าพึมพำ “ซึมเศร้าหดหู่อะไรกัน ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาอะไรกัน คนที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกเกรงว่าคงคิดว่าเจ้าบ้านี่กลุ้มใจอนาคตจริงๆ ช่างน่าขำนัก! ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อก่อนเจ้าบ้านี่เป็นคนยังไง ที่สำคัญที่สุดคือเบื้องหลังเจ้าบ้านี่มีหกลัทธิอยู่ชัดๆ จะกังวลอนาคตตัวเองที่ตำหนักสวรรค์ขนาดนั้นเชียวเหรอ? ที่เขาทำแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่ นี่ต่างหากที่ทำให้รู้สึกไม่เข้าใจ”

เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปสองปีแล้ว ในช่วงระยะเวลานี้ ด้านลบของเหมียวอี้แทบจะปรากฏต่อสายตาคนนอก

เดิมทีเสวี่ยหลิงหลงกังวลกับเรื่องนี้มาก มังกรไร้หัวไม่ได้ หนิวโหย่วเต๋อเป็นผู้นำของคนกลุ่มหนึ่ง ถ้าผู้นำคนนี้เกิดปัญหาอะไรขึ้น ก็อย่าว่าแต่คนอื่นเลย สวีถังหรานสามีของนางก็จะต้องได้รับผลกระทบไปด้วย ด้วยเหตุนี้นางจึงรายงานสถานการณ์ของเหมียวอี้ให้สวีถังหรานฟังไม่หยุด มักแสดงความกังวลให้สวีถังหรานรู้ สวีถังหรานก็ไม่รู้ชัดเหมือนกันว่าเหมียวอี้ทำอย่างนี้หมายความว่าอะไร สรุปก็คือเขาบอกเสวี่ยหลิงหลงซ้ำๆ ว่า ตัวเองติดตามนายท่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เข้าใจอุปนิสัยของนายท่านดีเกินไป ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนหดหู่ท้อแท้ในชีวิตเลย ท่านนั้นไม่ใช่คนถือศีลกินเจอะไร เกรงว่าในนั้นคงจะมีอุบาย ตอนที่พวกเรามองไม่เข้าใจ ก็ทำได้เพียงทำงานตัวเองให้ดี ไม่ต้องเข้าไปยุ่งอะไรซี้ซั้ว

………………………………………………

ออกจากโถงใหญ่มาได้ไม่นาน มู่หรงซิงหัวก็เจอคนสนิทเก่าในลานบ้าน สวีถังหราน!

“มู่หรง?” สวีถังหรานอึ้งไปชั่วขณะ “เป็นเจ้าจริงเหรอ? เจ้ามาได้ยังไง?”

เขาไม่รู้ว่ามู่หรงซิงหัวมาแล้ว เขามีธุระมารายงานเหมียวอี้ นับว่าบังเอิญเจอกันแท้ๆ

เป็นเพราะอยู่ในตลาดผีอย่างสงบไม่ได้แล้ว ถ้าทำทุกอย่างได้ดั่งใจก็ไม่มีใครอยากยุ่งยาก แต่เหมียวอี้โยนเรื่องรับสมัครคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะให้เขาแล้ว กดดันให้เขาต้องครุ่นคิดให้ดี ตอนนี้ฝั่งเหมียวอี้เจออุปสรรคแล้ว เขาเองก็รู้ว่าตอนนี้เรื่องกำลังพลสำคัญมาก เหมียวอี้ส่งมอบภารกิจสำคัญขนาดนี้ให้เขา ถ้าทำพังขึ้นมาเขาก็รู้ว่าจะมีผลกระทบเยอะมาก ยิ่งไปกว่านั้นงานที่เหมียวอี้เคยส่งให้เขาทำ จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่เคยทำพังมาก่อนเลย เรื่องร้านค้าที่ตลาดผีก็โทษเขาไม่ได้

ส่วนข่าวลือต่างๆ ข้างนอก ถึงแม้จะสอดคล้องกับความจริง แต่เขาก็ไม่ได้คิดแบบนี้ ตอนแรกกังวลว่าเหมียวอี้จะก้าวผ่านด่านขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ไม่ได้ แต่พอมาดูตอนนี้แล้ว ถึงแม้สถานการณ์จะไม่ค่อยดี แต่ขนาดด่านยากอย่างขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ยังผ่านไปได้เลย เขามีส่วนร่วมอยู่ในนั้นด้วย จึงรู้ว่าเหมียวอี้ใช้อุบายบางอย่างอยู่เบื้องหลังถึงได้ผ่านด่านอันตรายนี้ไปได้ ขนาดด่านยากอย่างนั้นยังผ่านไปได้ แล้วนับประสาอะไรกับด่านยากตรงหน้าล่ะ?

ดังนั้นเขาจึงมั่นใจในตัวเหมียวอี้มาก ถ้าตัวเองจัดการเรื่องที่มีความสำคัญในครั้งนี้ได้ดี ก็จะได้สร้างผลงานใหญ่อีกชิ้น ส่วนเหมียวอี้ที่ได้อำนาจอิทธิพล เขาเองก็จะเหมือนเรือที่ขึ้นสูงตามน้ำไปด้วย ดังนั้นเขาจึงอยากจัดการงานในครั้งนี้ให้ดี แต่ถ้าจะให้เขานั่งรอคนอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีใครเข้ามาสมัครอยู่ดี ภายใต้ความจนใจ เขาจึงติดต่อหวงเสี้ยวเทียนที่อยู่ทางตลาดมืดแล้ว รองแม่ทัพภาคตลาดผีท่านนี้เตรียมจะออกโรงรับสมัครคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะด้วยตัวเอง เวลาสิบปีจะว่าช้าก็ช้า จะว่าเร็วก็เป็นเรื่องเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ไม่รีบไม่ได้หรอก

สำหรับท่านนี้ มู่หรงซิงหัวก็ไม่รู้ว่าควรจะนับถือหรือจะอิจฉาดี ตอนแรกม่คนมากมายที่ไม่อยากติดตามนายท่านไป แม้แต่พวกฝูชิงก็ยังไม่ไปเลย มีเพียงเขาคนนี้ที่ตามติดนายท่านมาตลอด กอดขานายท่านแน่นไม่ยอมปล่อย กลายเป็นสุนัขวิ่งเต้นที่โด่งดังที่สุดข้างกายนายท่าน ผลก็คือตอนอยู่ตลาดสวรรค์เลื่อนจากผู้บัญชาการเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ เลื่อนจากผู้บัญชาการใหญ่เป็นรองแม่ทัพภาค ได้ยินว่ายศถึงเกราะม่วงสามแถบแล้ว ยศสูงกว่านายท่านเสียอีก ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็เลื่อนยศได้เร็วจนเหลือเชื่อ ส่วนนางในตอนนี้ก็เป็นเพียงรองผู้บัญชาการใหญ่คนหนึ่งเท่านั้น เมื่อได้พบกันอีก ระดับของทั้งสองก็แตกต่างกันขนาดนี้แล้ว ช่างทำให้คนรู้สึกสะท้อนใจจริงๆ

“นายท่านสวี ได้ยินว่า ได้ยินว่าเลื่อนขั้นเป็นรองแม่ทัพภาคแล้ว ขอแสดงความยินดีกับอนาคตไว้ตรงนี้”มู่หรงซิงหัวทำความเคารพ

คำพูดนี้เกาถูกจุดที่สวีถังหรานคันพอดี ฟังแล้วสบายใจ นี่ก็คือเรื่องที่เขาภาคภูมิใจที่สุดในหลายปีมานี้ ในปีนั้นคนพวกนี้อยู่ที่ตลาดสวรรค์ต่อ ส่วนใหญ่ยังย่ำอยู่ที่เดิม ถึงอย่างไรก็ผ่านไปหลายปีแล้ว อยู่ที่ตำหนักสวรรค์หลายพันปีหมื่นปีกว่าจะได้เลื่อนขั้นสักครั้งเป็นเรื่องปกติมาก ที่มากกว่านั้นคือทั้งชีวิตอาจจะไม่มีโอกาสเลื่อนขั้นเลย อย่างไรเสียยิ่งตำแหน่งสูงก็ก็ยิ่งมีน้อยลงเรื่อยๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกคนเลื่อนขั้นทั้งหมดได้ แต่สวีถังหรานล่ะ ผ่านไปไม่เท่าไรเอง เลื่อนขั้นไปแล้วตั้งกี่ครั้ง?

สำคัญที่สุดก็คือ เขาได้มหาเคล็ดวิชารวมศูนย์แล้ว!

แน่นอน ปากเขายังคงพูดถ่อมตัว กอปรกับรู้ว่าอีกฝ่ายมาเพราะเหมียวอี้ จึงกล่าวอย่างสุภาพว่า “มู่หรง เจ้าเป็นสหายเก่าของข้า พูดอะไรพวกนี้เหมือนเป็นคนนอกแล้ว ตำแหน่งรองแม่ทัพภาคแค่ฟังดูดีเฉยๆ หรอก เบื้องล่างมีลูกน้องไม่เท่าไรเอง เทียบเจ้าไม่ติดเลย เออใช่ แล้วนี่เจ้ามาได้ยังไง?”

ต่อให้มู่หรงซิงหัวจะรีบกลับสักแค่ไหน แต่ในเมื่อเจอกันแล้วก็จะต้องรำลึกวันเก่าๆ กับเขาสักหน่อย ทั้งสองจึงยังไม่รีบร้อนไปไหน เลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดคุยกันสักหน่อย

ส่วนอวิ๋นจือชิวพอรอแขกออกไปแล้ว ก็ติดต่อกับฝั่งลัทธิมารลับหลังเหมียวอี้ทันที ให้คนไปตรวจสอบทันทีว่ามู่หรงซิงหัวพูดจริงหรือไม่ ที่สำคัญคือเวลาที่นางเลิกกับเฉาว่านเสียง ถ้าเลิกกันนานแล้วก็ยังดีหน่อย แต่ถ้าเพิ่งเลิกได้ไม่นาน เช่นนั้นนางก็ต้องเคลือบแคลงในอยู่บ้าง สงสัยว่ามีคนอยากจะแทรกสายลับเข้ามาหรือเปล่า เพราะเหตุผลนี้นางจึงต้องตรวจสอบ

สวีถังหรานต้องการออกโรงรัยสมัครคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะด้วยตัวเอง เหมียวอี้ปลื้มอกปลื้มใจมาก ยอมยอมทุ่มเทความพยายามเพื่อทำงานก็ดี เหมียวอี้อนุญาตแล้ว แต่ต้องจัดการค่าใช้จ่ายทุกอย่างด้วยตัวเอง

สวีถังหรานจนใจมาก ให้ตนควักกระเป๋าตัวเองเพื่อทำงานอีกแล้ว โชคดีที่หลายปีมานี้กอบโกยได้ไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงจ่ายไม่ไหวแน่นอน…

ส่วนแผนเด็ดของหยางชิ่ง ต่อให้เด็ดแค่ไหนก็ต้องให้คนไปปฏิบัติการ หลังจากเหมียวอี้ครุ่นคิดได้สองสามวัน สุดท้ายก็ตัดสินใจได้แล้ว ติดต่อผังก้วนเทพประจำดาวฟ้าเถาะแล้ว

พอเอ่ยปากก็ย่อมต้องทักทายก่อน : เทพประจำดาว เรื่องลูกชายเจ้าน่ะ ได้โปรดระงับความเศร้าใจเถิด

ผังก้วนไม่พูดคุยกับเขาเรื่องนี้ : ไม่มีทางที่เจ้าจะติดต่อข้ามาโดยไม่มีธุระอะไร ว่ามาเถอะ พูดมาเถอะ มีเรื่องอะไร? แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนเลยนะ เรื่องรับคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะของเจ้า ข้าช่วยเจ้าไม่ได้หรอก ไม่มีทางออกหน้าช่วยเจ้าได้ด้วย

เหมียวอี้ : เรื่องนี้ข้าพอจะเข้าใจได้ ข้าแค่อยากจะถามสักหน่อย ว่าเมื่อไรข้าจะเข้าไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้อีก?

เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากเหรอ? ผังก้วนตำหนิตอบว่า : ตอนนี้เจ้าสะดุดตาเกินไป ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา ข้าว่าเจ้าหยุดพักสักหน่อยได้มั้ย? ทำไมเอาแต่ก่อเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่า? มีคนจับตาดูเจ้าเยอะขนาดนั้น ตอนนี้ต่อให้เจ้าอยากจะเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์แต่ก็ไม่มีทางแล้ว

เหมียวอี้แอบด่าในใจ แบบนี้ก็ถูกแล้วไง ก็ต้องดึงเจ้าลงมาด้วย ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับข้าแล้ว เจ้าสามารถเอาสมบัติจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้อย่างราบรื่น เกรงว่าเจ้าจะเป็นคนแรกที่ปิดปากข้าล่ะสิ? แน่นอนว่าเขาพูดอะไรแบบนี้ออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงตอบอย่างจนใจ : ข้าก็ไม่อยากเหมือนกัน แต่ชอบมีคนบีบให้ข้าตายนี่สิ! เทพประจำดาว ข้ามีเรื่องบางอย่างจะสืบจากเจ้า

เรื่องแดนมรณะดึกดำบรรพ์เป็นข้ออ้างทั้งนั้น ประโยคสุดท้ายต่างหากที่เป็นประเด็นหลัก

ผังก้วน : มีเรื่องอะไร?

เหมียวอี้ : นอกจากการประชุมราชสำนักที่ตำหนักสวรรค์ ช่วงนี้ยังมีงานอะไรที่ขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์จะมารวมตัวกันมั้ย? ยกตัวอย่างเช่นจัดที่อุทยานหลวง

ผังก้วน : เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม? คงไม่ก่อเรื่องอะไรอีกใช่มั้ย?

เหมียวอี้ : ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าทุกคนปล่อยข้าไปได้ ข้ายังจะไม่ดีใจอีกเหรอ นอกเสียจากจะเบื่อหน่ายการมีชีวิตอยู่แล้วข้าถึงจะหาเรื่องใส่ตัว

ผังก้วนเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า : ตอนนี้น่าจะไม่มีงานอย่างนั้น ที่ยืนยันได้ก็คืองานเลี้ยงอุทยานหนึ่งพันปีครั้งหน้าแล้ว แต่หลังจากนี้อีกสองปียังมีโอกาสอีกครั้ง แต่ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

งานเลี้ยงอุทยานที่จัดหนึ่งพันปีต่อครั้งนานเกินไปแล้ว ตระกูลโค่วไม่มีทางรอนานขนาดนั้นถึงถอนกำลังออกไป อีกสองปีหลังจากนี้ยังพอพิจารณาได้ จึงถามซักไซ้ว่า : อีกสองปีหลังจากนี้ยังมีโอกาสอะไร?

ผังก้วน : ถ้าจำไม่ผิด อีกสองปีหลังจากนี้น่าจะเป็นวันเกิดครบห้าแสนปีของเซี่ยโห้วท่า พอฉลองวันเกิดเซี่ยโห้วท่าผ่านไปแล้ว ถ้ายังไม่มีทางบรรลุถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ คาดว่าคงไม่มีโอกาสจัดงานวันเกิดอีกหนึ่งแสนปีข้างหน้าแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าฝ่าบาทจะจัดงานเลี้ยงให้เซี่ยโห้วท่าที่อุทยานหลวง ถึงตอนนั้นขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์น่าจะมากันหมด แต่สี่อ๋องสวรรค์จะปรากฏตัวหรือไม่ก็ไม่ใจแล้ว

งานวันเกิดเซี่ยโห้วท่า? เหมียวอี้ทำสีหน้าครุ่นคิด

หลังจากนั้นหลายวัน เหมียวอี้ที่ยืนยันจากข่าวแล้วเห็นด้วยกับการคาดเดาของผังก้วน จึงปรึกษารายละเอียดกับหยางชิ่งอีกพักหนึ่ง

ถึงแม้แผนการจะเด็ด แต่การปฏิบัติคือกุญแจสำคัญ ถ้าลงมือไม่ได้ต่อให้แผนเด็ดขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปหยางชิ่งก็ไม่กล้านำแผนนี้มาใช้เลยจริงๆ แต่ถ้าเปลี่ยนให้เหมียวอี้ลงมือแผนนี้แล้ว เขาก็ยังมีความมั่นใจมากว่าจะสำเร็จ ประการแรกเป็นเพราะเหมียวอี้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเก่งมาก ประการต่อไปมาเป็นเพราะเหมียวอี้กล้าหาญเกินใคร และกุญสำคัญข้อสุดท้ายก็คือ ความแค้นระหว่างเหมียวอี้กับขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จของเรื่องนี้

หลังจากทั้งสองกำหนดรายละเอียดทีละขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็ออกจากตลาดผี โดยพาเฟยหงไปด้วยกัน พาฟยหงวนเที่ยวชมธรรมชาติบนดาวเคราะห์ที่งดงามดวงหนึ่ง

เฟยหงอารมณ์ดีมีความสุข เรียกได้ว่าคนงดงามกว่าบุปผา ขั้นตอนชีวิตอันสุขสำราญระหว่างนางกับเหมียวอี้ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง

เมื่อเที่ยวเล่นได้ไม่กี่วัน ทั้งสองก็มาถึงทะเลทรายแห่งหนึ่งที่ไร้มนุษย์ดำรงชีวิต ยืนดูพระอาทิตย์ตกดินกับนางบนเนินทราย

บนเนินทรายกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตที่สูงต่ำไม่เสมอกันย้อมด้วยสีทองระยิบระยับ ทั้งสองชื่นชมบรรยากาศเงียบๆ ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ทำให้เฟยหงมีสีหน้าเคลิบเคลิ้ม

ขณะลำแสงระยิบระยับค่อยๆ หายไปจากทะเลทรายอันกว้างใหญ่ เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ “เฟยหง!”

“คะ!” เฟยหงหายเหม่อลอยแล้วหันกลับมามองเขา

“มีเรื่องบางอย่างอาจต้องให้เจ้าช่วย” เหมียวอี้กล่าว

“เหตุใดนายท่านพูดเช่นนี้ มีเรื่องอะไรก็กำชับข้าได้เลยค่ะ” เฟยหงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ข้ากลัวเจ้าจะเข้าใจผิดว่าข้ากำลังหลอกใช้เจ้า ข้าเลยไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากยังไง” เหมียวอี้บอก

“นายท่านคิดมากไปแล้ว ด้วยสถานการณ์ของเฟยหงในตอนนี้ การมีค่าให้นายท่านหลอกใช้ได้ การช่วยเหลือนายท่านได้ต่างหากคือสิ่งที่เฟยหงดีใจที่สุด ไม่อย่างนั้นเฟยหงก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนขยะที่ไร้ประโยชน์” เฟยหงกล่าว

เหมียวอี้โบกมือไปข้างหลัง วางเก้าอี้ยาวตัวหนึ่งบนเนินทราย แล้วจูงมือเรียวสวยของเฟยหงมานั่งลงด้วยกัน ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำอย่างช้าๆ ว่า “ช่วงนี้ได้ข่าวมาข่าวหนึ่ง ว่าอีกสองปีหลังจากนี้จะเป็นงานวันเกิดห้าแสนปีของเซี่ยโห้วท่า มีความเป็นไปได้สูงว่าฝ่าบาทอาจจะจัดงานให้เซี่ยโห้วท่าที่อุทยานหลวง ถึงตอนนั้นข้าอยากจะไปที่อุทยานหลวง”

“นายท่านอยากจะไปอวยพรงานวันเกิดให้ท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วเหรอคะ?” เฟยหงแปลกใจ

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ใช่ ข้าเองก็หวังว่าถึงตอนนั้นจะได้โผล่หน้าไปอวยพรวันเกิด แต่ตอนนี้ข้าไม่ใช่แม่ทัพภาคอุทยานหลวงแล้ว แต่เป็นแม่ทัพภาคตลาดผี ไม่มีสิทธิ์เข้าอุทยานหลวงเลยตระกูลโค่วเองก็คงไม่มีทางพาข้าไปอีก พอคิดไปคิดมา มีแค่แม่เฒ่าลวี่เท่านั้นที่ทำให้ข้าเข้าไปได้อย่างราบรื่น เจ้าก็เลยต้องใช้ความพยายามกับแม่เฒ่าลวี่นิดหน่อย”

ยังนึกว่าเป็นเรื่องยากอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง เฟยหงกล่าวอย่างลังเล “ข้ากับแม่เฒ่าลวี่มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว ถ้านายท่านอยากเข้าไปที่อุทยานหลวงเฉยๆ แม่เฒ่าลวี่ก็ยังมีคนไว้หน้าอยู่บ้างนิดหน่อย ไม่ต้องรอให้ถึงวันงานเลี้ยงท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วก็ได้”

เหมียวอี้ส่ายหน้าอีกครั้ง “เจ้าไม่เข้าใจความคิดของข้า ข้าเพียงอยากเข้าอุทยานหลวงในงานวันเกิดเซี่ยโห้วท่าเท่านั้น”

“เกรงว่าตอนนั้นอุทยานหลวงจะป้องกันเข้มงวดมาก เข้าไปไม่ได้ง่ายๆ แล้ว” เฟยหงลังเลนิดหน่อย

“จึงต้องขอความร่วมมือกับเจ้าได้” เหมียวอี้

“นายท่านจะให้ข้าทำอะไรคะ?” เฟยหงถาม

“ข้าจำที่เจ้าเคยบอกได้ ว่าทุกๆ ปีเจ้ากับแม่เฒ่าลวี่จะติดต่อกันหนึ่งครั้ง เพื่อไม่ให้คนสงสัย ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกสองปี เจ้าต้องปรับเวลาติดต่อสักหน่อย ติดต่อไปก่อนงานวันเกิดเซี่ยโห้วท่าสักระยะ เหลือเวลาว่างให้พวกเราไปอุทยานหลวง” เหมียวอี้กล่าว

“ทำอย่างนี้ได้เหรอคะ?” เฟยหงสงสัย

เหมียวอี้บอกว่า “กุญแจสำคัญก็คือเจ้าอยู่ในฐานะสายลับของหน่วยตรวจการซ้าย ตอนนี้ยังมีคนมากมายจับตาดูข้าอยู่ รวมทั้งหน่วยตรวจการซ้ายด้วย ดังนั้นหน่วยตรวจการซ้ายไม่ปล่อยให้เจ้าหมดบทบาทข้างกายข้าง่ายๆ ถ้าระหว่างข้ากับเจ้าเกิดรอยร้าวอะไร คนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดกับเจ้าก็คือแม่เฒ่าลวี่ ถึงตอนนั้นเมื่อเจ้ากับข้าไปเยี่ยมแม่เฒ่าลวี่อีกครั้ง มีการแทรกแซงจากหน่วยตรวจการซ้ายสักหน่อย การเข้าไปพักอุทยานหลวงก็ไม่น่าจะมีปัญหา!”

เฟยหงงงนิดหน่อย แต่เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ลองถามดูว่า “นายท่านต้องการให้ข้าได้รับความไม่ยุติธรรมนิดหน่อยเหรอคะ?”

เหมียวอี้มองนางพร้อมพยักหน้าเบาๆ “ลำบากเจ้าแล้ว”

เฟยหงพยักหน้าเบาๆ “ไม่เป็นไรค่ะ แค่แสดงละครเท่านั้นเอง กลัวก็แค่จะแสดงละครไม่ดีเท่านั้น นายท่านโปรดชี้แนะด้วยว่าจะควรจะทำยังไงไม่ให้ผิดพลาด”

เหมียวอี้บอกรายละเอียดทันทีว่าต้องทำอย่างไรบ้าง หลังจากเฟยหงฟังเข้าใจแล้วก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เอนกายซบอกเหมียวอี้อย่างช้าๆ นางเข้าใจแล้วจริงๆ ว่าเหมียวอี้ทำอย่างนี้ก็เพื่อปกป้องนาง เพื่อไม่ให้หน่วยตรวจการซ้ายรู้ว่านางถูกเปิดโปงแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องวางแผนรอบคอบขนาดนี้ สามารถทำให้บรรลุเป้าหมายของเหมียวอี้ได้เลย ส่วนเฟยหงจะถูกเปิดโปงหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกันแล้ว

…………………………

สำหรับคำพูดนี้ เหมียวอี้เพียงฟังเงียบๆ โดยไม่ได้ปฏิเสธและไม่ได้เห็นด้วย

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา สีหน้าชื่นชมของอวิ๋นจือชิวก็ค่อยๆ เลือนหายไป นางเลิกคิ้วข้างเดียวพร้อมถามว่า “ตอนนี้เหมือนข้าจะเข้าใจแล้วนิดหน่อย”

“หืม?” เหมียวอี้ดึงสติกลับมา แล้วมองนาง “เข้าใจอะไร?”

อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างไม่เกรงใจสักนิดเลยว่า “เรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะน่ะ ที่เจ้าไม่ได้ปรึกษาหยางชิ่งก็ไม่ใช่เพราะเจ้าไม่อยากปรึกษาเขาหรอก ที่จริงในใจเจ้ารู้ดีว่าเขาคือคนที่เหมาะสมจะปรึกษาด้วยที่สุด และไม่ใช่เหตุผลนั้นที่เจ้าบอกด้วย แต่เจ้าจงใจจะหลีกเลี่ยงเขาต่างหาก หรือไม่เจ้าก็อิจฉาที่เขาฉลาดกว่า เจ้าอยากพิสูจน์ว่าเรื่องบางเรื่องต่อให้ไม่มีหยางชิ่งเจ้าก็ทำได้ดีเหมือนกัน”

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะลั่น “ฮูหยินตรรกะพังแล้ว ข้าจำเป็นต้องไปแข่งกับเขาด้วยเหรอ?”

“เจ้าก็กำลังแข่งกับเขาอยู่ไง” อวิ๋นจือชิวพูดเย้ย

เหมียวอี้สีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มเจื่อน “หรือว่าในสายตาฮูหยิน ข้าเป็นคนใจแคบขนาดนั้นเชียวเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวแววตาวูบไหวเล็กน้อย สีหน้าจริงจังพลันเปลี่ยนเป็นสีหน้าทะเล้น กระพริบตาถามว่า “ทำไม ล้อเล่นด้วยไม่ได้แล้วเหรอ?”

เหมียวอี้กลอกตามองบน แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก

อวิ๋นจือชิวก็ตั้งใจเปลี่ยนประเด็นสนทนาเช่นกัน วกกลับมาพูดประเด็นก่อนหน้านี้ “แผนนี้ของหยางชิ่งจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก แล้วเจ้าเตรียมจะลงมือยังไง?”

“ให้ข้าไตร่ตรองดูสักหน่อย” เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ

ในขณะนี้เอง เสวี่ยเอ๋อร์มาปรากฏตัวอยู่นอกห้องสมาธิแล้วรายงานว่า “นายท่าน มีแขกมาค่ะ”

สองสามีภรรยาเดินออกจากห้องสมาธิ เหมียวอี้ถามว่า “ใคร?”

“มู่หรงซิงหัวตอบ” เสวี่ยเอ๋อร์ตอบ

“หืม…” เหมียวอี้ตะลึงงัน แปลกใจว่ามู่หรงซิงหัวถ่อมาสถานที่เส็งเคร็งแบบนี้ทำไม เขาไม่คิดว่ามู่หรงซิงหัวจะมาหาเขา ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องในปีนั้นที่นางไม่ยอมมากับเขา พอได้เจอกันอีกก็อึดอัดอยู่บ้าง แล้วเขาเองก็ล่วงเกินตระกูลอิ๋งรุนแรงขนาดนั้น ถึงแม้วันนี้จะวางความแค้นต่อกันชั่วคราว ทว่าอย่างไรเสียมู่หรงซิงหัวกับเฉาว่านเสียงก็ยังทำงานอยู่ใต้สังกัดตระกูลอิ๋ง การที่นางมาหาเขาที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นด้านเหตุผลหรือด้านความรู้สึกก็ล้วนไม่เหมาะสม

ขณะกำลังครุ่นคิด ใครจะคิดว่าพอหันมาก็พบว่าอวิ๋นจือชิวมองประเมินเขาด้วยสีหน้าระแวงสงสัย ทำอย่างกับเขากับมู่หรงซิงหัวเคยทำเรื่องน่าอายด้วยกันมาก่อน จึงกล่าวอย่างเกินความจำเป็นว่า “ความสัมพันธ์ของข้ากับนางธรรมดามาก”

อวิ๋นจือชิวสีหน้าเปลี่ยนเร็วมาก กล่าวด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มว่า “ข้าไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย เจ้าจะอธิบายอะไรขนาดนั้น? ยังอยากจะอธิบายอะไรก็พูดต่อเลย ข้ากำลังฟังอยู่”

เสวี่ยเอ๋อร์ยืนเม้มปากอยู่ข้างๆ เหมือนกำลังกลั้นขำ

รับไม่ไหวกับผู้หญิงคนนี้แล้ว เหมียวอี้ไอแห้งหนึ่งที แล้วเอามือไขว้หลังเดินออกไป “ข้าจะไปรับแขก”

อวิ๋นจือชิวกล่าวเสียงเรียบ “ข้าอาจจะไม่เคยเห็นนาง ไปดูด้วยกันเถอะ ไม่ถือสาใช่มั้ย?” ไม่ว่าเหมียวอี้จะตอบตกลงหรือไม่ นางก็จะตามไปอยู่ดี

ในโถงรับแขกยังคงมีร่องรอยของชาวพุทธ มู่หรงซิงหัวสวมชุดกระโปรงสีดำ รูปร่างลักษณะเหมือนวันเก่าๆ ใบหน้าไม่เปลี่ยนไป นางไม่ได้แตะต้องน้ำชาที่เชียนเอ๋อร์นำมาวางรับแขก แต่มองสำรวจไปรอบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาจวนแม่ทัพภาคตลาดผี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นจวนแม่ทัพภาคใหม่อันเลื่องชื่อแห่งนี้ ทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง

ตอนที่ยังไม่มา หลังจากได้ยินประวัติของจวนแม่ทัพภาคใหม่แห่งนี้ มู่หรงซิงหัวก็แอบทอดถอนใจด้วยความทึ่ง พบว่านายท่านหนิวยังมีลักษณะการทำงานแบบเดิม ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็สร้างความเคลื่อนไหวที่นั่น แต่ไหนแต่ไรมาวัดพระกษิติครรภ์กับจวนแม่ทัพภาคก็เหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง แต่หลังจากท่านนี้มา ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะสลับที่กันแล้ว ทั้งยังวางกับดักอีกฝ่ายอย่างโจ่งแจ้งกล้าหาญด้วย

จนกระทั่งสองสามีภรรยาปรากฏตัวจากโถงด้านหลัง มู่หรงซิงหัวรีบเข้ามาทำความเคารพ “นายท่าน ฮูหยิน”

“เป็นคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น แถมตอนนี้เจ้าก็ไม่ใช้ลูกน้องข้าแล้วด้วย ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น คิดเสียว่าสหายเก่ามาเจอหน้ากัน นั่งลงเถอะ!” หลังจากเหมียวอี้ยื่นมือเชิญให้นั่ง ตัวเองก็นั่งลงที่หัวโต๊ะข้างอวิ๋นจือชิวที่พยักหน้ายิ้มทักทาย

ถึงอย่างไรก็ไม่ได้พบกันนานมากแล้ว หลังจากนั่งลง มู่หรงซิงหัวก็ค่อนข้างสงบเสงี่ยม แต่ปากก็ยังกล่าวพูดรักษาบรรยากาศ “ในปีนั้นที่จากกับนายท่านที่ตลาดสวรรค์ นึกไม่ถึงว่าเพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่ปี นายท่านก็ได้ขึ้นตำแหน่งแม่ทัพภาคแล้ว เลื่อนตำแหน่งได้เร็วมาก”

“เหอะๆ ไม่ต้องพูดตามมารยาทแล้ว เจ้ามาที่นี่ได้ แสดงว่าคงได้ยินสถานการณ์ของข้ามาบ้างแล้ว ชีวิตแขวนอยู่บนความเป็นความตายแท้ๆ ตำแหน่งแม่ทัพภาคอะไรนั่นก็มีประดับไว้เฉยๆ เท่านั้น” เหมียวอี้พูดเย้ยตัวเอง แล้วถามอย่างสนใจว่า “พูดเรื่องของเจ้าดีกว่า ตอนนี้เจ้าเป็นยังไงบ้าง ทำไมถึงมีเวลาว่างมาที่นี่ได้?”

พอพูดถึงสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ มู่หรงซิงหัวก็ฝืนยิ้มนิดหน่อย “สถานการณ์ของข้าตอนนี้ทำให้ข้าหัวเราะเยาะ เฉาว่านเสียงหย่ากับข้าแล้ว”

“…” เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวอึ้งไปชั่วขณะ ทั้งสองมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วอวิ๋นจือชิวก็ถามหยั่งเชิงว่า “มีเรื่องอะไรกันแน่?”

มู่หรงซิงหัวยิ้มเรียบๆ “ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก หลังจากข้าออกจากตลาดสวรรค์แล้ว ก็ไปเป็นผู้บัญชาการท่ามกลางกำลังพลใต้สังกัดเฉาว่านเสียง มีศักดิ์ศรีของเฉาว่านเสียงอยู่ ก็นับว่าใช้ชีวิตได้ดั่งใจ ตอนหลังตำหนักสวรรค์เกิดเหตุเปลี่ยนแปลง ท่านโหวเทียนหยวนถูกถอดจากตำแหน่ง เฉาว่านเสียงที่เป็นลูกน้องคนสนิทของท่านโหวเทียนหยวนก็เลยลำบากไปด้วย เดิมทีจะต้องถูกกวาดล้างไปพร้อมกัน แต่โชคดีที่เทียนหยวนมีคนสนิทอยู่ในจวนอ๋องสวรรค์อิ๋งอยู่บ้าง เทียนหยวนดันทุรังรั้งลูกน้องคนสนิทไว้ได้จำนวนหนึ่ง เฉาว่านเสียงก็เป็นหนึ่งในนั้น ถูกย้ายไปรับตำแหน่งอีกแห่งของทัพเหนือ ข้าก็เลยถูกพาไปด้วย ถึงแม้เฉาว่านเสียงจะรอดจากการถูกกวาดล้าง แต่ก็ถูกลดตำแหน่ง เปลี่ยนจากหัวหน้าภาคกลายเป็นรองหัวหน้าภาค แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีในความโชคร้ายเหมือนกัน ตอนหลังเฉาว่านเสียงรู้จักกับญาติห่างๆ คนหนึ่งของท่านโหวผู้บังคับบัญชา อืม นางเป็นผู้หญิง แล้วทั้งสองคนก็เข้ากันได้ดี”

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว พอฟังถึงตอนหลัง ก็พอจะเดาสถานการณ์ได้คร่าวๆ แล้ว

“เป็นเพราะญาติห่างๆ คนหนึ่งของท่านโหว ก็เลยหย่ากับเจ้าเหรอ?” อวิ๋นจือชิวถามด้วยสีหน้าโมโห

มู่หรงซิงหัวยิ้มอย่างขื่นขม “เขาก็มีการเตรียมตัวของเขาเหมือนกัน ไปโทษเขาไม่ได้หรอก ถึงยังไงเขาก็ไม่ใช่ลูกน้องของเทียนหยวนแล้ว รอบข้างมีแต่คนแปลกหน้า ไม่มีคนของตัวเอง อีกทั้งพอเขาไปถึงก็เบียดตำแหน่งคนอื่น ใช้ชีวิตไม่ได้ดั่งใจเท่าไร การแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นสามารถสร้างเส้นสายกับท่านโหวได้ อาจจะมีส่วนช่วยเรื่องอนาคตของเขา พอได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับญาติท่านโหว อย่างน้อยคนอื่นจะได้ไม่กล้ากลั่นแกล้งเขาเกินไป ตอนแรกข้าก็เบียดตำแหน่งฮูหยินคนเดิมของเฉาว่านเสียงเหมือนกันไม่ใช่เหรอ จะมีสิทธิ์ไปว่าอะไรคนอื่นล่ะ นี่อาจจะเป็นเวรกรรมที่ตามสนองข้าก็ได้ มิหนำซ้ำก็นับว่าเขาพยายามช่วยข้าเป็นครั้งสุดท้าย ช่วยดึงข้าให้ขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ก่อนแล้วค่อยหย่ากับข้า ก่อนหน้านี้พวกเราก็คุยกันเรียบร้อยดี ข้าไม่มีอะไรจะพร่ำบ่นด้วย เขาเองก็บอกเช่นกัน ว่าถ้าวันไหนเขาลืมตาอ้าปากอีกครั้ง เขาก็จะไม่ปล่อยข้าไว้โดยไม่สนใจ เขาจะหาทางดูแลข้า เพียงแต่ว่า…ในเมื่อจบกันแล้ว ข้าคิดว่าต่อไปนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีอะไรเกี่ยวพันกันอีก แบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งกับข้าและกับเขา คนใหม่ที่เขาแต่งงานด้วยก็ไม่ใช่คนใจดีมีเมตตาอะไร ยังไงก็มีท่านโหวหนุนหลัง จะมีนิสัยเอาแต่ใจหน่อยก็พอเข้าใจได้”

“เฉาว่านเสียงนั่นใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็น อาศัยรูปร่างเตี้ยล่ำอย่างเขาเนี่ยนะ ญาติของท่านโหวคนนั้นจะต้องตาถั่วขนาดไหนกัน?” อวิ๋นจือชิวถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

มู่หรงซิงหัวยิ้มเบาๆ “ที่ฮูหยินพูดก็มีเหตุผล แต่ช่วยไม่ได้ที่ฮูหยินคนใหม่ก็หน้าตาไม่น่ามองเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงคราวให้เฉาว่านเสียงได้ประจบหรอก”

ถึงแม้จะพูดอย่างนี้ แต่ก็มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ถึงความเจ็บความช้ำในใจตัวเอง ไม่ว่าก่อนหน้านี้นางจะเคยผ่านเรื่องน่าอับอายอะไรมาจากการทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิต แต่ถึงอย่างไรเฉาว่านเสียงก็เป็นผู้ชายคนแรกของนางอย่างแท้จริง ถูกเฉาว่านเสียงครอบครองตอนที่ยังมีร่างกายบริสุทธิ์ ทั้งยังอยู่กับเฉาว่านเสียงทั้งแบบลับและแบบเปิดเผยมาหลายปี ตอนแรกที่นางไม่ได้ติดตามเหมียวอี้มา ก็เพราะอยากจะใช้ชีวิตสงบสุขกับเฉาว่านเสียง ไม่สนใจความอัปลักษณ์ของเฉาว่านเสียง แค่อยากจะใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับความเป็นจริง แต่ตอนนี้กลับถูกเฉาว่านเสียงทิ้งแล้ว มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้ถึงรสชาตินี้

อวิ๋นจือชิวโมโหเพราะยืนอยู่ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน แต่ผ่านไปครู่เดียวก็สงบลงเร็วมาก รู้ว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีอะไรน่าพูดถึง เป็นเรื่องปกติมาก ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ในโลกนี้ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่ทิ้งทุกอย่างเพื่ออนาคตของตัวเอง มีแค่เฉาว่านเสียงเสียที่ไหนกัน ยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่ถึงคราวให้นางไปยุ่งเรื่องในครอบครัวคนอื่น นางทำได้เพียงทอดถอนใจด้วยความปลง

ใครจะคิดว่าต่อจากนั้นมู่หรงซิงหัวจะยืนขึ้น แอบทอดถอนใจแล้วกุมหมัดคารวะต่อเหมียวอี้ “มู่หรงเหมือนตัวคนเดียวไม่มีพันธะ ได้ยินว่านายท่านขาดคน ไม่รู้ว่านายท่านเต็มใจจะรับหรือเปล่า? มู่หรงยินดีจะทำงานรับใช้นายท่านอีกครั้ง!”

ที่จริงหลังจากเลิกกับเฉาว่านเสียงแล้ว นางก็อยากจะมุ่งตรงมาขอพึ่งพาเหมียวอี้เสียเลย ท่ามกลางคนที่นางรู้จัก คนที่นางนับถือและเชื่อใจที่สุดก็คือเหมียวอี้ ทว่าด้วยปัจจัยทางด้านความรู้สึกบางอย่าง นางไม่อยากให้เหมียวอี้ดูถูกนางอีกแล้ว กอปรกับในปีนั้นไม่ได้ติดตามทำงานกับเหมียวอี้ ถ้ามาขอพึ่งพาเหมียวอี้ตอนที่ชีวิตโดดเด่นรุ่งโรจน์ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม แบบนั้นไม่นับว่าเป็นการเพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น[1]ด้วยซ้ำ นางทำได้เพียงล้มเลิกความคิดนั้นไป แต่ใครจะคิดว่าหลังจากนั้นไม่กี่ปี สถานการณ์ของเหมียวอี้ของพลิกผันดิ่งลงอีก นางได้ยินข่าวในช่วงนี้มาเหมือนกัน ถึงได้มาขอพึ่งพาอย่างไม่ลังเล

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เหมียวอี้และฮูหยินก็อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ทำสีหน้าซาบซึ้งใจเบาๆ ทั้งสองเชื่อว่ามู่หรงซิงหัวได้ยินข่าวเหมียวอี้ช่วงนี้มาแล้วเช่นกัน ภายใต้สถานการณ์ที่โถงชุมนุมอัจฉริยะหาคนมาสมัครไม่ได้ แต่ยังมีคนเต็มใจจะเอาอนาคตมาฝากไว้ มายังสถานที่ไร้เดือนไร้ตะวันแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นรสชาติของการส่งถ่านท่ามกลางหิมะ

“เจ้าเต็มใจมา ข้าก็ต้องอ้าแขนต้อนรับอยู่แล้ว เพียงแต่ทางนั้นจะยอมปล่อยคนเหรอ?” เหมียวอี้ลังเล

มู่หรงซิงหัวตอบว่า “ข้าอยู่กับเฉาว่านเสียงก็อึดอัดเหมือนกัน ฮูหยินของเฉาว่านเสียงก็ไม่ใช่คนถือศีลกินเจ แล้วคนที่อยู่ข้างบนและข้างล่างข้าก็อึดอัดเพราะข้าเป็นอดีตฮูหยินของเฉาว่านเสียงด้วย จะล่วงเกินก็ไม่ดี จะไม่ล่วงเกินก็ไม่ดี แล้วพอข้าออกมาก็ยังมีตำแหน่งว่างอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย ทุกคนคงอยากให้ข้าเดินออกมาจะแย่อยู่แล้ว คงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก ขอเพียงนายท่านยินดีจะรับไว้ มู่หรงก็จะกลับไปจัดการเรื่องนี้ทันที”

เหมียวอี้เอียงหน้ามองอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง เขาเองก็อยากรับไว้ แต่ก็กังวลว่าอวิ๋นจือชิวจะเข้าใจผิด

อวิ๋นจือชิวเหมือนจะเดาความคิดเขาออก จึงหรี่ตายิ้ม “ดูท่าแล้วข้าจะต้องยินดีที่นายท่านกำลังจะได้ลูกน้องคนสนิทเพิ่มอีกคน”

ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้ถอนหายใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอเพียงทางนั้นยินดีปล่อยคน ทางข้าก็ย่อมไม่มีปัญหา แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าความสัมพันธ์ของข้ากับตระกูลอิ๋งไม่ค่อยดีเท่าไร ข้าไม่สะดวกออกหน้าให้เจ้า ไม่อย่างนั้นอาจจะได้ผลตรงกันข้าม”

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” มู่หรงซิงหัวตื่นเต้นดีใจทันที

หลังจากคุยกันแล้ว มู่หรงซิงหัวก็รีบกลับไปที่จวน นางไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วันเดียว ส่วนที่อวิ๋นจือชิวบอกว่า ในเมื่อมาแล้วก็เดินเที่ยวที่ตลาดผีให้ทั่วเพื่อดูประเพณีของตลาดผีสักหน่อย นางก็ตอบว่า ในภายหลังพอมารับตำแหน่งที่ตลาดผีแล้วยังกลัวจะไม่มีเวลาเยี่ยมชมอีกเหรอ? นางรีบบอกลาแล้วจากไปทันที

…………………………

[1] เพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น 锦上添花 หมายถึงการประดับตกแต่งสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก ทำในสิ่งที่เกินความจำเป็น

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วมุ่น แล้วพยักหน้าบอกว่า “รู้แล้ว เรื่องนี้ข้าจะบอกต่อนายท่านให้ เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะแล้วออกไป

ส่วนอวิ๋นจือชิวก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เหมียวอี้ฝึกตนทันที คนอื่นถ้าไม่มีธุระสำคัญก็ไม่สะดวกจะไปรบกวนง่ายๆ แต่นางย่อมมีเรื่องอื่นจะคุย

ในห้องสมาธิ เหมียวอี้หยุดฝึกวิชา แล้วถามอวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวตอบว่า “หนิวเอ้อร์ ไม่ช้าก็เร็วที่กำลังพลของตระกูลโค่วจะถอนกลับไป เป็นไปไม่ได้ที่จะยื้อเอาไว้ตลอด แต่คนของโถงชุมนุมอัจฉริยะไม่ได้เพิ่มขึ้นได้ในรวดเดียวเช่นกัน ต้องคัดเลือกให้ดีสักหน่อย เรื่องนี้ต้องใช้เวลา เจ้าคิดยังไงกับคนของจวนแม่ทัพภาคกันแน่ หรือจะรับกำลังพลที่ตำหนักสวรรค์แบ่งสรรมาให้ก็พอ?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้สถานการณ์ของพวกเรา ซ่อนความลับเอาไว้เยอะขนาดนี้ แถมข้ายังเคยล่วงเกินคนไว้ตั้งมากมาย พอได้คนมาแล้วจะรู้ได้ยังไงว่ามีสายลับปนอยู่เท่าไร พวกเราจะกล้าใช้งานคนที่ตำหนักสวรรค์ส่งมาเหรอ? มิหนำซ้ำเจ้ารู้สวัสดิการของตลาดผี จะมีใครมาทำงานให้เจ้าอย่างจริงใจบ้างล่ะ ที่ข้าสร้างโถงชุมนุมอัจฉริยะขึ้นมา ก็เพราะพยายามจะหลีกเลี่ยงจุดนี้ไง”

อวิ๋นจือชิวไตร่ตรองเล็งเล็กน้อย แล้วถามว่า “เรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะ นายท่านได้ถามหยางชิ่งสักหน่อยมั้ยว่ามีวิธีการดีๆ อะไร?”

เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ “โถงชุมนุมอัจฉริยะติดประกาศ ความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ หกลัทธิมีหูมีตาที่ตลาดผี หยางชิ่งก็ต้องรู้อยู่แล้ว มีวิธีการอะไรก็ย่อมบอกอยู่แล้ว”

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าเบาๆ “หนิวเอ้อร์ จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก ตอนแรกหยางชิ่งถูกนายท่านข่มไว้เพราะอะไร ในใจเขาจะไม่รู้ชัดเชียวหรือ? เขาเป็นคนฉลาดขนาดนั้น ในใจเขารู้ดีมากอยู่แล้ว เป็นเพราะเขาแสดงความสามารถเด่นชัดเกินไปไง! นายท่านมอบหน้าที่สำคัญให้ดูแลหกลัทธิในแดนอเวจี แน่นอนว่าเป็นความเชื่อใจ แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์คับขันไร้ทางเลือก เขาก็ไม่สะดวกจะแทรกแซงไปซะทุกเรื่องหรอก เพราะกลัวว่าจะทำผิดข้อห้าม แน่นอน นายท่านดูแลเขาดีขนาดนี้ ถ้าเจียมเนื้อเจียมตัวขอคำชี้แนะ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเขาปกปิดความสามารถตัวเองอีกก็แสดงว่าไม่จริงใจต่อนายท่านแล้ว ถึงยังไงตรงกลางก็ยังมีเวยเวยอยู่อีกชั้นหนึ่ง อย่างนี้ตอนนี้เขาก็ยังหวังดีต่อนายท่าน เจ้าว่ามั้ยล่ะ?”

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “เจ้าหมายความว่า ตอนนี้จะให้ข้าถามเขาเหรอว่ามีวิธีการอะไร?”

อวิ๋นจือชิวคว้ามือเขา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “จะมีวิธีการหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง ต้องฟังความเห็นคนให้แพร่หลาย ถ้าเจอความเห็นที่ตรงใจก็รับไว้ ถ้าไม่ตรงใจก็ไม่ต้องสน ไม่ได้ทำให้เจ้าเสียหายอะไรนี่”

“ก็ได้ ก็ได้ อย่าทำท่าทางจริงจังอย่างนั้น ข้าเชื่อฟังฮูหยินก็ได้” เหมียวอี้ส่ายหน้าอย่างจนใจ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่งตรงนั้นเลย

ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหยางชิ่งตอนนี้นับว่าไม่เลว เหมียวอี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง หลังจากติดต่อได้แล้ว ก็บอกไปตรงๆ เลยว่า : คาดว่าเจ้าคงได้ยินเรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะมาแล้ว

หยางชิ่งในตอนนี้กำลังดื่มสุราเป็นเพื่อนจินม่าน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือจินม่านเข้าครัวทำกลับแกล้มด้วยตัวเอง แล้วได้กาสุราสองสามไหจากมือนักพรตของพิภพเล็ก ทั้งสองนั่งอยู่ในศาลาเล็กงดงามมีเอกลักษณ์ที่สร้างขึ้นใหม่บนเกาะ ทิวทัศน์งดงามแปลกใหม่ ฟังเสียงคลื่นมองฟ้าครามน้ำทะเลมรกต อาบลมทะเลเบาๆ นั่งดื่มสุราพูดคุยกันตรงนี้ สบายอกสบายใจอย่างแท้จริง

ขณะที่กินดื่มได้ครึ่งทาง หยางชิ่งก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา เพราะเหมียวอี้ส่งข่าวมาทางระฆังดาราแล้ว

หลังจากเขากับหยางเจาชิงคุยกันได้สักพัก ก็รู้ว่าเหมียวอี้เก็บตัวฝึกวิชาแล้ว เขารู้ว่าหยางเจาชิงบอกต่อสิ่งที่เขาพูดให้อวิ๋นจือชิวรู้ เป็นเพราะความจงรักภักดีที่หยางเจาชิงและเหยียนซิวมีต่อสามีภรรยาคู่นี้อยู่ในระดับที่ไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเขาจึงรอข่าวมาตลอด รอมาหลายวันในที่สุดก็ได้ข่าวแล้ว

“ราชาปราชญ์ส่งข่าวมา” หยางชิ่งวางจอกสุราแล้วหยิบระฆังดารา จากนั้นลุกยืนพิงระเบียงแล้วหันหลังให้นาง

ช่างส่งข่าวมาได้ถูกเวลาจริงๆ เร็วกว่านี้ก็ไม่ส่ง ช้ากว่านี้ก็ไม่ส่ง! จินม่านมองดูสุราอาหารที่ตัวเองทุ่มเทกำลังความคิดทำขึ้นมา รู้สึกเหมือนถูกทำให้เสียบรรยากาศ นางโยนตะเกียบลงบนโต๊ะ แล้วตัวเองก็ยกจอกสุราดื่มย้อมใจ ใบหน้างามดูไม่สบอารมณ์สักเท่าไร

เมื่อฟังคำถามเหมียวอี้แล้ว หยางชิ่งก็ตอบว่า : ได้ยินแล้วขอรับ

เหมียวอี้ : เจ้ารู้สึกว่าข้าสร้างโถงชุมนุมอัจฉริยะขึ้นมาเป็นยังไงบ้าง?

หยางชิ่ง : วิธีการไม่เลว เพียงแต่ถ้าอยากจะเห็นผลลัพธ์ เกรงว่าภายในเวลาสั้นๆ อาจจะไม่บรรลุเป้าหมาย อีกทั้งถ้ากำลังพลของตระกูลโค่วอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคไปนานๆ เกรงว่าตระกูลโค่วเองก็จะชี้แจงต่อตระกูลอื่นลำบากเช่นกัน สาเหตุที่ตอนนี้กำลังพลยังไม่ออกไป ก็เพราะตระกูลโค่วยังคำนึงถึงหน้าตาศักดิ์ศรี แต่ถึงยังไงก็อยู่ที่นี่ในระยะยาวไม่ได้ ถ้าถอนกำลังพลออกไป เกรงว่านายท่านจะต้องเจออุปสรรคมากมายแน่นอน

เหมียวอี้ : ใช่แล้ว! หลุดพ้นจากการจับตาดูของตระกูลโค่วเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว แต่เรื่องกำลังคนในขั้นต่อไปทำให้ข้าปวดหัว หลายปีที่ทำงานในระบบตำหนักสวรรค์มา การที่ในมือไม่มีคนของตัวเองถือเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่มาก เกรงว่าภายในเวลาสั้นๆ นี้จะออกจากตลาดผีได้ยาก ข้าก็เลยอยากฉวยโอกาสแก้ไขปัญหานี้

หยางชิ่ง : หรือพูดได้อีกอย่างว่า นายท่านอยากจะมีกำลังพลของตัวเองที่ใช้งานได้อย่างเปิดเผยในขอบเขตตำหนักสวรรค์ จะได้สะดวกให้ทำงานให้ในภายหลัง

เหมียวอี้ : ใช่แล้ว ตอนนี้ยังแสดงตัวกำลังพลของหกลัทธิไม่ได้ ที่ข้าคิดหาวิธีการในด้านนี้ ก็แค่เพราะช่วงนี้ไม่มีคนให้ใช้งาน ทั้งยังจนปัญญา ไม่รู้ว่าเจ้ามีวิธีการดีๆ อะไรหรือเปล่า?

หยางชิ่ง : ก็อพอจะมีวิธีการอยู่บ้าง เพียงแต่ไม่รู้ว่าอุดมการณ์ของนายท่านเป็นอย่างไร? ถ้ามีอุดมการณ์ต่อใต้หล้า การแก้ปัญหาก็ไม่ถือว่ายาก

ครั้งนี้ถึงคราวที่เหมียวอี้จะฮึกเหิมบ้างแล้ว : ถ้ามีอุดมการณ์ต่อใต้หล้าแล้วยังไง?

เมื่อเห็นเขาเผยอุดมการณ์ที่ชัดเจนขนาดนี้ หยางชิ่งก็สั่นสะท้านทั้งตัวและหัวใจ รู้สึกฮึกเหิมเช่นเดียวกัน เจ้าเด็กที่ยอมแพ้ที่ถ้ำล่องนิภาคนนั้น อย่าบอกนะว่าในวันนี้จะเดินไปไกลถึงขั้นสู้ตัดสินแพ้ชนะกับวีรบุรุษในใต้หล้าแล้วจริงๆ? อุดมการณ์นี้ทำให้คนร้องเพลงก็ได้ ร้องไห้ก็ได้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าลิขิตในชาตินี้ไม่สูญเปล่า กอปรกับกำลังของฝ่ายตัวเองก็ใช่ว่าจะไม่มีดีเลยสักนิด รู้สึกทันทีว่าอนาคตและทิศทางกระจ่างชัดเจนไร้ที่เปรียบ รู้สึกตื่นเต้นฮึกเหิมไม่หยุด ควรค่าแก่การดื่มฉลองสามร้อยจอก

จู่ๆ เขาก็เดินก้าวยาวกลับมา คว้ากาสุรากรอกปากอย่างถึงอกถึงใจ ดื่มจนสุราหยกกระเด็นออกจากมุมปาก ไม่รักษาภาพลักษณ์เลยสักนิด

เมื่อดื่มสุราชั้นดีจนหมดกา เขาก็โยนกาสุราลงทะเล แล้วยกมือเช็ดเคราที่เปียกน้ำ ดวงตาเปล่งประกายสดใส รีบเขย่าระฆังดาราในมือ : ถ้านายท่านมีอุดมการณ์ต่อใต้หล้า แล้วเหตุใดจึงประเมินวีรบุรุษในใต้หล้าต่ำ?

จินม่านนั่งยกจอกสุราอยู่ตรงข้าม จู่ๆ ก็ได้เห็นอีกด้านที่กระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาของหยางชิ่ง กอปรกับลักษณะที่องอาจผึ่งผายอย่างนั้น ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะมองจนตกตะลึง

เหมียวอี้ : พูดแบบนี้ได้ยังไง ข้าเคยประเมินวีรบุรุษในใต้หล้าต่ำตั้งแต่เมื่อไรกัน?

หยางชิ่ง : ในเมื่อนายท่านไม่ได้ประเมินต่ำ ใต้หล้าใหญ่ขนาดนี้ มีวีรบุรุษนับไม่ถ้วน ขอเพียงนายท่านมีปณิธานที่จะรับสมัคร แค่ชั่วโบกมือก็รับวีรบุรุษได้เป็นแสนแล้ว ยังกังวลว่าจะไม่มีคนให้ใช้งานอีกเหรอ?

เหมียวอี้มองไม่เห็นท่าทางกระโดดโลดเต้นของหยางชิ่งในตอนนี้ แต่กลับรู้สึกได้ว่าหยางชิ่งดูองอาจผึ่งผายอย่างที่พบเห็นได้ยาก จึงถามว่า : วีรบุรุษนับแสนอยู่ที่ใด? ท่านบุรุษโปรดชี้แนะข้า!

หยางชิ่ง : ถึงแม้จะพิจารณาเรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะได้ แต่ก็เห็นผลช้าเกินไป อีกทั้งยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องชอบธรรม กองทัพของราชันผู้สง่าผ่าเผยจะเป็นพวกหัวมังกุท้ายมังกรได้ยังไง ถ้าดึงเข้ามาก็มีแต่จะเพิ่มเสียงหัวเราะเยาะ ดังนั้นจึงใช้เป็นกำลังพลสำรองได้ แต่ใช้เป็นกำลังพลหลักไม่ได้ หลักการนี้ก็เหมือนสมาคมวีรชนในมือตำหนักสวรรค์ ดังนั้นไม่รู้รับกำลังพลชุดหนึ่งจากตำหนักสวรรค์ดีกว่า ถ้าทำแบบนี้ยังสามารถประหยัดค่าจ้างพื้นฐานได้บางส่วน ไม่อย่างนั้นทรัพยากรที่สิ้นเปลืองกับทัพใหญ่หนึ่งแสนก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ

เหมียวอี้ : ที่พูดก็มีเหตุผล เพียงแต่จะมีสักกี่คนที่เต็มใจมาอยู่ที่ตลาดผี อยู่ที่นี่ไร้อิทธิพลไร้อำนาจ ไม่มีทรัพยากรให้ตักตวง ไม่มีอนาคต เกรงว่ามาแล้วคงจะไม่ต่างอะไรกับพวกคนเก่าคนแก่ของจวนแม่ทัพภาคก่อนหน้านี้ ทำงานเช้าชามเย็นชาม เรียกใช้ไม่สะดวก

หยางชิ่ง : ไม่แน่หรอก พวกที่มีอุดมการณ์ก็ยังมีอยู่

เหมียวอี้ : ต่อให้ตำหนักสวรรค์ยินดีจะแบ่งสรรกำลังพลให้ข้า แต่เกรงว่าคงจะไม่แบ่งคนที่ใช้งานได้เรื่องสักเท่าไร

หยางชิ่ง : ไม่แน่หรอก ก็ต้องดูว่านายท่านจะหามาได้ยังไง

เหมียวอี้ : ต่อให้ได้คนมากแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าในนั้นจะมีทรายปนอยู่เยอะขนาดไหน ไม่รู้ว่ามีสายลับปนอยู่เท่าไร ถึงตอนนั้นคงถูกคนอื่นจับตาดูทุกอากัปกิริยา ตอนนี้ยังมีแค่ตระกูลโค่วจับตาดู ครั้งหน้ายังไม่รู้ว่าจะมีสายลับจากอีกกี่ตระกูล

หยางชิ่ง : ไม่แน่หรอก ยังไม่ต้องพูดถึงการตัดขาดสายลับไปเลย แต่ส่วนใหญ่สามารถหลีกเลี่ยงได้

พูดคำว่า ‘ไม่แน่หรอก’ ติดกันสามครั้ง ทำให้เหมียวอี้ประหลาดใจมาก เขารู้ว่าหยางชิ่งไม่ใช่คนคุยโวโอ้อวดอย่างนั้น ในเมื่อพูดแล้วก็แสดงว่าต้องยิงธนูโดยมีเป้าแน่นอน จึงรีบถามว่า : เป็นไปได้เหรอ?

หยางชิ่ง : ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? ในอาณาเขตตำหนักสวรรค์ ไม่รู้ว่ามีนักพรตตั้งเท่าไรที่วรยุทธ์ไม่อ่อนแอแต่กลับกลุ้มใจที่ไร้โอกาสแสดงความสามารถ เป็นนักพรตระดับบงกชทองกับบงกชรุ้งแท้ๆ แต่กลับถูกจัดให้เป็นเทพแห่งภูผา เทพคงคา เทพเจ้าเฝ้าประตูไม่รู้ตั้งเท่าไร นายท่านไม่เคยได้ยินมาก่อนเชียวเหรอ? คนพวกนี้เข้ามาอยู่ระบบตำหนักสวรรค์แล้วไม่มีเส้นสายภูมิหลัง ทั้งยังอยู่ไม่เป็น ดังนั้นจึงไม่มีวันได้ประสบความสำเร็จ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าสามารถใช้งานคนพวกนี้ได้ ในจำนวนนั้นไม่ขาดคนที่มีอุดมการณ์อยู่แล้ว ถามหน่อยว่าคนพวกนี้จะกลายเป็นสายลับของคนอื่นได้ยังไง ตำหนักสวรรค์มีคนช่วยนายท่านซาวล้างจนสะอาดเพื่อรอให้นายท่านไปฉกฉวยตั้งนานแล้ว นายท่านจะพลาดความปรารถนาดีที่ตำหนักสวรรค์รอคอยมานานแล้วได้ยังไง? ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนก็ไร้อำนาจอิทธิพล ไร้ทรัพยากรให้ตักตวงอยู่แล้ว อนาคตก็ไม่มี ต่างอะไรกับมาตลาดผีล่ะ หลังจากรวมตัวกันติดตามนายท่านแล้ว อย่างน้อยก็ยังพอมองเห็นความหวังบ้าง บางครั้งชื่อเสียงก็เป็นสิ่งที่จุกจิกน่ารำคาญ แต่บางครั้งก็เป็นแรงช่วยสนับสนุนได้ ต้องดูว่านายท่านจะใช้งานยังไง ขอเพียงเป็นคนที่มีอุดมการณ์ พวกเขาจะเมินเฉยชื่อเสียงบารมีบนสนามรบของนายท่านได้เหรอ? แค่รอให้นายท่านยืนประกาศจากที่สูง ก็ย่อมมุ่งหน้ามาขอพึ่งพาทำงานรับใช้อยู่แล้ว!

ชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ก็เลือดร้อนพุ่งพล่าน เขาที่เดิมทีนั่งสมาธิพลันกระโดดพรวดลงจากเตียง แล้วเดินไปเดินมาในห้องอย่างร้อนใจ ใช่แล้ว ทำไมตนนึกไม่ถึงว่ายังมีคนพวกนี้อยู่?

อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกันงงทันที ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นบ้าอะไรอีกแล้ว แต่พอเห็นเขามีท่าทางร้อนรนตื่นเต้น ก็เดาออกแล้วว่าหยางชิ่งอาจจะมีความคิดดีๆ อะไรสักอย่าง นางอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ายิ้มเบาๆ

หลังจากตื่นเต้นดีใจเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็สงบสติอารมณ์อีก ถามว่า : มีคนเป็นแสนเลยเหรอ?

หยางชิ่ง : อย่าว่าแต่หนึ่งแสนเลย คนตำแหน่งต่ำที่ไม่ประสบความสำเร็จมีเยอะมาก หนึ่งล้านก็ยิ่งสบายมาก แน่นอน ถ้านายท่านตั้งเงื่อนไขสูงเกินไปก็ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นทำให้ไม่เจอคนที่เหมาะสม แล้วนายท่านก็จะใช้งานทุกคนไม่ได้ด้วย ต้องเลือกคนให้ดี แต่คนประเภทนี้ก็เลือกง่าย ยกตัวอย่างเช่นเทพแห่งภูผาคนไหนที่อยู่ในตำแหน่งนานๆ แค่ไปสืบมาก็ยืนยันได้แล้ว สิ่งนี้ปลอมแปลงไม่ได้ง่ายๆ หกลัทธิยังมีความสามารถด้านนี้อยู่บ้าง ดังนั้นหนึ่งล้านไม่เอาหรอก ต้องการแค่คนที่เหมาะสมที่สุด หนึ่งแสนกำลังดี!

เหมียวอี้ : จำนวนจำกัดของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีมีเพียงหนึ่งพันคน ตำหนักสวรรค์จะให้ข้าหนึ่งแสนคนได้ยังไง?

หยางชิ่ง : ขอเพียงนายท่านต้องการจริงๆ ข้าน้อยวางแผนนิดหน่อยก็ช่วยให้นายท่านได้มาง่ายๆ แล้ว ก็ต้องดูว่านายท่านมีความกล้าที่จะไขว่คว้ามาหรือเปล่า!

เหมียวอี้ : ทำไมจะไม่กล้าล่ะ ข้าจะล้างหูรอฟังแผนเด็ดของท่านบุรุษ!

หยางชิ่ง : ง่ายมากเลย ไม่ต้องให้นายท่านไปเสี่ยงชีวิต นายท่านแค่ต้องทำอย่างนี้…

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็ถือระฆังดาราเงียบอยู่นานมาก สุดท้ายก็เงยหน้าถอนหายใจยาวด้วยความอัดอั้น แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อนอยู่อย่างนั้นไม่หยุด

อวิ๋นจือชิวเห็นเขาดีใจแล้วก็ถอนหายใจยาวอย่างหดหู่อีก จึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามาถาม “เป็นอะไรไป?”

“หยางชิ่งมอบแผนเด็ดให้ข้าแผนหนึ่ง…” เหมียวอี้เล่าสิ่งที่หยางชิ่งบอกให้นางฟังค่ร่าวๆ

หลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็เงียบไปนานมาก สุดท้ายก็กล่าวอย่างตกใจว่า “นายท่านได้หยางชิ่งคนเดียวก็เท่ากับได้กองทัพเกรียงไกรนับล้าน!”

…………………………

เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ จากนั้นก็รีบลุกขึ้นต้อนรับ เดินออกไปนอกประตูแล้วถามอย่างร่าเริง “ฮูหยินจะมาทำไมไม่บอกกันก่อน?”

หลังจากอวิ๋นจือชิวนำกลุ่มสตรีย่อเข่าคำนับ ถึงได้ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ข้าบอกเจาชิงไว้แล้ว ได้ยินว่าเจ้ากำลังเก็บตัวฝึกวิชา แล้วข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าจะมาถึงเมื่อไร เลยไม่ได้ให้เขารบกวนเจ้า ดูท่าวันนี้นายท่านจะอารมณ์ร้อนไม่เบา เจาชิงไม่ทันได้รายงานน่ะสิ!”

“ฮูหยินลำบากมาตลอดทาง พักผ่อนสักหน่อยก็ได้นะ” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ

“ไม่รีบ!” อวิ๋นจือชิวหันกลับมามบอกผู้คุ้มกันสองคนที่ติดตามมาด้วย “ขอบคุณทั้งสองท่านที่มาส่งตอลดทาง พักผ่อนที่ตลาดผีสักสองสามวันก็ได้ ให้ข้าแสดงไมตรีเจ้าบ้านให้เต็มที่” สองคนนี้คือยอดฝีมือที่จวนตระกูลโค่วส่งมาคุ้มกัน ถึงแม้เหมียวอี้จะแสดงท่าทีชัดเจนแล้ว แต่ถึงอย่างไรอวิ๋นจือชิวก็ได้ชื่อว่าเป็นบุตรสาวบุญธรรมของโค่วหลิงซวี ย่อมปล่อยให้เกิดเรื่องกับอวิ๋นจือชิวระหว่างทางไม่ได้อยู่แล้ว การส่งคนมาคุ้มกันก็นับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

“ขอบคุณเจตนาดีของคุณหนูเจ็ด พวกเราสองคนต้องรีบกลับไปรายงานผลงการปฏิบัติงาน ไม่กล้ารบกวน ขอกล่าวอำลาตรงนี้” ทั้งสองกุมหมัดคารวะ

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ฝืนใจกันแล้ว หากทั้งสองว่าง วันหลังข้าจะขอบคุณอีกที เจาชิง ไปส่งแทนข้าหน่อย ตอนกลับมาถือโอกาสพาคนข้างนอกเข้ามาด้วย”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงก้าวขึ้นมายื่นมือเชิญทันที “เชิญขอรับ!” จากนั้นพาทั้งสองออกไป

“ข้างนอกยังมีคนอีกเหรอ เป็นใครกัน? ทำไมไม่พาเข้ามาโดยตรงเลย?” เหมียวอี้กลับถามอย่างแปลกใจ

“ผู้คุ้มกันไม่รู้จักพวกเขา พิสูจน์ตัวตนไม่ได้ ข้าก็เลยให้พวกเขารออยู่ข้างนอกชั่วคราว พอได้รับอนุญาตจากนายท่านแล้วค่อยเข้ามาก็ยังไม่สาย” คำพูดถัดจากนั้นก็เหมือนจะพูดให้ทุกคนคนที่อยู่ตรงนั้นฟัง อวิ๋นจือชิววางมือสองข้างตรงหน้าท้อง ดวงตางามกวาดมองทุกคน แล้วกล่าวเสียงต่ำด้วยท่าทางภูมิฐาน “กฎก็คือกฎ จะทำลายกฎไม่ได้ ในเมื่อกำหนดไว้แล้วว่าผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้าจวนแม่ทัพภาคโดยพลการ เช่นนั้นก็เฝ้าประตูไว้ให้ดี อย่านำคนเข้ามาซี้ซั้ว”

ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหัวใจกระตุกวูบ ต่างก็ฟังออกแล้วว่าในคำพูดของฮูหยินซ่อนเข็มเอาไว้ กำลังเตือนทุกคนว่าให้เคารพกฎ

ทุกคนไม่ได้พบกันนานแล้ว เดิมทีการได้มาพบกันอีกครั้งก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี ผลปรากฏว่าพอมาถึงก็อาศัยฐานะตัวเองโอ้อวดบารมี ฮูหยินคนนี้ของตนช่างทำให้คนพูดไม่ออกจริงๆ เหมียวอี้เอามือลูบจมูก

ผ่านไปไม่นาน หยางเจาชิงก็นำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาพร้อมใบหน้าเจือรอยยิ้ม มีสิบกว่าคน ล้วนเป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน บัณฑิต พ่อครัว ช่างหิน ช่างไม้ ผีจวินจื่อและคนอื่นๆ ล้วนมาด้วย

“ได้ยินว่า ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ ของนายท่านกำลังรับคน ระหว่างทางข้าก็เลยแวะเลี้ยวเปลี่ยนทางสักหน่อย ถือโอกาสพาลูกน้องคนสนิทมาด้วย” อวิ๋นจือชิวหันกลับมาบอกสวีถังหราน “รองหัวหน้าภาคสวี เมื่อครู่นี้ตอนอยู่ตรงประตูข้าได้ยินนายท่านบอกว่าให้เจ้ารับผิดชอบเรื่องรับคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะ เจ้าช่วยตั้งใจดูให้หน่อย ดูว่าคนที่ข้าพามาเหมาะสมจะเข้าร่วม ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ หรือเปล่า?”

“เอ่อ…” สวีถังหรานอึ้งไปชั่วขณะ ยังไม่รีบตอบอะไร ชำเลืองปฏิกิริยาของเหมียวอี้ก่อน เสร็จแล้วถึงได้รีบตอบว่า “เหมาะสมๆ เหมาะสมแน่นอนขอรับ ลูกน้องคนสนิทของฮูหยินย่อมเหมาะสมที่สุดอยู่แล้ว โถงชุมนุมอัจฉริยะต้องเหมือนเสือติดปีกแน่นอน!”

เหมียวอี้ตะลึงงันพูดไม่ออก บัณฑิต พ่อครัว ช่างหิน ช่างไม้และคนอื่นๆ พากันมองมาที่เขา บางก็ยิ้มบางๆ บ้างก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ บ้างก็หัวเราะร่า

ขณะมองใบหน้าคุ้นตาทั้งหลายที่อยู่ตรงหน้า เขาก็รู้สึกราวกับได้ย้อนวันวานที่ทะเลทรายม่านเมฆา เหมือนได้กลับไปอยู่ในโรงเตี๊ยมเมฆาวายุอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ ที่แท้ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว แต่รอยยิ้มของคนพวกนี้ยังไม่เปลี่ยน ยังเป็นเหมือนเคย

ตอนที่โถงชุมนุมอัจฉริยะกำลังก้าวเดินอย่างยากลำบาก ตอนที่ไม่มีใครเข้ามาสมัคร แต่จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็นำคนพวกนี้มา อาจไม่นับว่ามีกำลังเยอะเท่าไร แต่การสนับสนุนนี้กลับทำให้เหมียวอี้รู้สึกอบอุ่นในใจ

เขาผ่านตำแหน่งมามากมาย เคยเป็นผู้นำของลูกน้องมากมาย แต่หลายคนที่เคยติดตามเขาก็หายไปแล้ว ส่วนคนตรงหน้าพวกนี้กลับทำให้เหมียวอี้จำต้องยอมรับ ว่าในด้านการคุมคนอวิ๋นจือชิวเก่งกว่าเขามาก ต้องทราบไว้ว่าคนพวกนี้เดิมทีไม่ใช่พวกเดียวกัน มีลัทธิมารกับลัทธิอู๋เลี่ยง ได้อวิ๋นจือชิวเก็บพวกเขาไว้ที่ทะเลทรายท่านเมฆา คนมากหน้าหลายตาปะปนกัน แต่หลังจากติดตามอวิ๋นจือชิวแล้ว ไม่ว่าอวิ๋นจือชิวจะผ่านเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงอะไร คนพวกนี้ก็ล้วนติดตามอวิ๋นจือชิวมาตลอดด้วยความจงรักภักดี ต่อให้บุกน้ำลุยไฟก็ตาม

เขาเห็นกับตาตัวเองที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ว่าอวิ๋นจือชิวทั้งด่าทั้งตีคนพวกนี้ แต่คนพวกนี้เวลาโดนตีก็ไม่มีใครบ่นด่าสักคน ยังทำหน้าทะเล้นยินยอมต่อไป เหมียวอี้ยอมรับว่าอย่างน้อยตัวเองก็ไม่มีความสามารถนี้ สวีถังหรานเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

“เจาชิง หาที่พักให้พวกเขาก่อนก็แล้วกัน” อวิ๋นจือชิวเอ่ยสั่ง

หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วเขากับหลินผิงผิงก็เรียกคนกลุ่มนี้ออกไป

หลังจากต่างคนต่างอาบน้ำแต่งตัวเก็บของเข้าที่พักแล้วเฟยหง เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ออกมาจากห้องส่วนตัวของท่านแม่ทัพภาค ไม่นานคนที่เดินผ่านข้างนอกก็ได้ยินเสียงหยอกล้อของคู่รักดังแว่วมาจากข้างใน…

“เฮ้อ! ผ่อนคลายจัง ไม่เจอกันนาน ฝีมือฮูหยินพัฒนาขึ้นนะเนี่ย!”

“เชอะ! น่าไม่อาย บอกมาซะดีๆ ตอนที่ข้าไม่อยู่ ได้ออกไปแหวกหญ้ารดน้ำดอกไม้บ้างรึเปล่า”

“ข้าเป็นคนประเภทนั้นเหรอ?”

“โถ่! งั้นคนที่อยู่ตำหนักดาวกลางนั่นน่ะ เจ้าช่วยอธิบายหน่อยสิว่ามันคืออะไร”

“…”

แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง ในตึกศาลา หยางชิ่งที่เพิ่งจะได้ผ่อนคลายเอนกายอยู่บนเก้าอี้นอน ในมือถือระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง

จากเบาะแสของแต่ละฝ่าย คำพูดของตระกูลโค่วเหมือนจะได้ผลจริงๆ คลื่นลมเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงเหมือนจะผ่านไปแล้ว วิเคราะห์ตามข่าวที่ได้รับมา การที่คลื่นลมของเรื่องนี้ผ่านไป ก็ยังมีอีกหลายจุดที่ทำให้หยางชิ่งคิดไม่ตก ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากจบเรื่องแล้วก็ไม่มีใครมาหาเหมียวอี้อีก สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ เหมือนจะมีมือที่มองไม่เห็นมากลบช่องโหว่ทุกอย่างจนหมด ในระหว่างนั้นเกิดเรื่องอะไรที่ตนไม่รู้หรือเปล่า เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มตัดสินจากตรงไหน

ในที่สุดสถานการณ์ก็สงบลงแล้ว หยางชิ่งโล่งใจชั่วคราว ในที่สุดก็ได้เดินออกจากสวนตะวันตกแล้ว

ถึงแม้คลื่นลมเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงจะผ่านไปแล้ว แต่เหมียวอี้ก็ดันทำเรื่อง ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ ขึ้นมาอีก เขาติดตามเรื่องนี้ผ่านคนของหกลัทธิที่ตลาดผีมาตลอด การตัดสินใจนี้เหมียวอี้ไม่ได้บอกเขาล่วงหน้า เขาเองก็ไม่สะดวกจะบอกว่าเหมียวอี้ทำผิดไปแล้วหรือเปล่า เหมียวอี้อาจจะมีแผนสำรองอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงจับตาดูเงียบๆ

วิธีการอยู่ร่วมกับเหมียวอี้ในปัจจุบัน ทำให้เขาเองก็เปลี่ยนแปลงตัวเองไปเยอะเช่นกัน เวลาไหนที่ข่มใจได้ก็พยายามข่มใจ เขาพบว่ามีเรื่องมากมายที่เมื่ออยู่บนตัวเหมียวอี้แล้วจะใช้หลักการเหตุผลตามปกติมาตัดสินไม่ได้ ก็เหมือนเรื่องล่าสัตว์ที่น้ำพุวังเวงครั้งนี้ หลายเรื่องที่เขาคาดเดาว่าจะเกิดขึ้นก็ไม่เกิดขึ้นเลยสักเรื่อง เขาพบว่าเหมียวอี้ดวงดีจนน่าประหลาด ขนาดทำแบบนี้ก็ยังผ่านด่านได้งั้นเหรอ?

หลังจากรอไปครึ่งปีกว่า ก็ยังไม่เห็น ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ มีความคืบหน้าอะไร เขาถึงได้แน่ใจว่าเหมียวอี้อาจจะไม่มีแผนสำรองอะไร คาดว่าคงเป็นเรื่องที่คิดขึ้นมาได้ชั่วขณะนั้น

แต่เขาก็ไม่รีบ กำลังรออยู่ และกำลังครุ่นคิดแผนรับมือเช่นกัน

จนกระทั่งตอนนี้ พอได้ยินว่าอวิ๋นจือชิวกลับจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแล้ว ก็รู้ว่าผู้หญิงที่สามารถคุมเหมียวอี้ให้สงบกลับมาแล้ว เขาถึงได้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางเจาชิงและถามเรื่อง ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’

หลังจากติดต่อได้ก็ถามว่า : เรื่องรับสมัครคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะเป็นยังไงบ้างแล้ว?

หยางเจาชิงตอบอย่างจนใจ : ตอนนี้ยังไม่มีใครสักคน เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้โดนนายท่านตำหนิไปยกหนึ่ง ตอนนี้นายท่านโยนเรื่องนี้ให้สวีถังหรานมีอำนาจจัดการทั้งหมด ให้เวลาสวีถังหรานสิบปี ถ้าไม่เห็นประสิทธิภาพงานก็จะเอาเรื่องเขา

หยางชิ่ง : นายท่านยังตามีแวว เรื่องนี้ควรจะให้สวีถังหรานจัดการ เจ้าหมอนั่นทำมาหากินที่พิภพใหญ่มานานนับว่าไม่เสียแรงเปล่า งูมีเส้นทางของงู หนูมีเส้นทางของหนู วิธีการที่ผิดศีลธรรมมีมากมาย ขอเพียงนายท่านยอมกดดันเขา เขาย่อมมีวิธีการอยู่แล้ว ให้เขาหาคนคงจะไม่มีปัญหา ปัญหาเดียวก็เกรงว่าคนที่เขาเรียกมาจะมีทั้งดีเลวปะปนกัน

หยางเจาชิงได้ยินแล้วขำ รู้สึกว่าเรื่องราวเหมือนจะเป็นอย่างนี้ จึงถามอย่างกังวลตามไปด้วยเช่นกัน : แล้วจะทำยังไงดีล่ะ? ถ้าได้สายลับแต่ละตระกูลมาก็จะยุ่งแล้ว

หยางชิ่ง : ได้ยินว่าลูกน้องเก่าที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุของฮูหยินก็มากันหมดแล้วเหรอ?

หยางเจาชิง : ใช่แล้ว

หยางชิ่ง : เป็นอย่างที่คาดไว้ ตอนนี้ฮูหยินพาคนพวกนี้มา คงจะยัดเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะหมดแล้วล่ะสิ?

หยางเจาชิงยอมเจ้าหมอนี่แล้ว ชอบทำตัวราวกับเป็นเทพเจ้า มีหลายเรื่องที่เดาถูกแล้วถูกอีก แซ่เดียวกันแท้ๆ แต่ทำไมแตกต่างกันมากขนาดนี้นะ เขาตอบว่า : ใช่แล้ว พอฮูหยินมาถึงก็ยัดคนพวกนี้เข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะหมด

หยางชิ่ง : งั้นก็ไม่ต้องห่วงแล้ว ตอนนี้ในมือฮูหยินยังไม่มีงานอื่นให้ทำพอดี ด้วยฐานะลูกสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์โค่ว จะไปทำการค้าขายก็ไม่สะดวก ไม่เมื่อจับลูกน้องคนสนิทยัดเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะหมดแล้ว ฮูหยินก็ไม่มีทางนิ่งดูดาย คงเป็นฝ่ายเสนอตัวแบ่งเบาภาระนายท่านเรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะ ส่วนสายลับที่อาจจะหลุดเข้ามาก็เลี่ยงไม่ได้ แต่มีฮูหยินจับตาดูเองน่าจะไม่เกิดปัญหาใหญ่อะไร ฮูหยินมีวิธีการใช้คนอยู่แล้ว อาจจะจัดการเรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะได้เหมาะสมกว่านายท่านเสียอีก

ทั้งสองคุยกันอีกนิดหน่อยแล้วก็หยุดการติดต่อแล้ว

เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้วว่าหยางชิ่งเดาไม่ผิด ไม่กี่วันหลังจากนั้น หยางเจาชิงก็พบว่าอวิ๋นจือชิวให้ความสนใจกับโถงชุมนุมอัจฉริยะแล้ว เรียกสวีถังหรานไปถามเป็นระยะ ถามเขาว่ามีแผนอะไรกับโถงชุมนุมอัจฉริยะบ้าง มักจะถามจนสวีถังหรานเหงื่อกาฬซึมหน้าผาก รู้สึกกดดันมาก

ที่จริงสำหรับสวีถังหรานแล้ว การเผชิญหน้ากับอวิ๋นจือชิวทำให้เขากดดันกว่าเผชิญหน้ากับเหมียวอี้อีก ประการแรกเป็นเพราะอวิ๋นจือชิวมีอิทธิพลต่อเหมียวอี้มาก ส่วนใหญ่มีอำนาจตัดสินใจแทนเหมียวอี้ ตัดสินอนาคตของเขาได้เหมือนกัน ประการต่อมาคือเขาเข้าใจนิสัยเหมียวอี้แล้วจึงรับมือได้อย่างชำนาญ แต่ฮูหยินแม่ทัพภาคท่านนี้มักจะกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มกับคำพูดประจบสอพลอของเขา ทำเอาสวีถังหรานกินปูนร้อนท้องมาก เขาถึงได้ยุให้เสวี่ยหลิงหลงเมียของเขาไปสานสัมพันธ์กับอวิ๋นจือชิวบ่อยๆ

ครั้งนี้เห็นกับตาอีกแล้วว่าสวีถังหรานเดินปาดเหงื่อออกไปจากโถงใหญ่ หยางเจาชิงแอบขำอย่างอดไม่ได้

อวิ๋นจือชิวที่ออกจากโถงใหญ่กลอกตามอง สายตาไปหยุดอยู่ที่หยางเจาชิง แล้วพูดหยอกว่า “เอ หลินผิงผิงกลับมาครั้งนี้คงทำให้เจาชิงของพวกเราดีใจล่ะสิ อยู่ดีๆ ก็แอบยืนหัวเราะอยู่คนเดียว”

พอพูดอย่างนี้ เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ซ้ายขวาก็เม้มปากหัวเราะ ล้วนเป็นคนที่มีประสบการณ์ทั้งนั้น ฟังเข้าใจความหมายแล้ว

หยางเจาชิงทำสีหน้าอึดอัดเห้อเขินทันที แล้วทำความเคารพ “ฮูหยิน!”

อวิ๋นจือชิวกล่าวด้วยใบหน้าอมยิ้ม “นายท่านกำลังเก็บตัวฝึกวิชา ถ้าเจ้าสะดวก มีเรื่องอะไรก็เล่าให้ข้าฟังได้”

หยางเจาชิงลองนึกดู แล้วสุดท้ายก็รายงานสิ่งที่หยางชิ่งบอก เขาไม่ได้คิดจะปิดบัง ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วนอะไร เดิมทีเตรียมจะรอให้เหมียวอี้โผล่มาก่อนแล้วค่อยบอก ตอนนี้ในเมื่ออวิ๋นจือชิวถามแล้ว เขาก็ตอบไปโดไยม่คิดอะไรมากเช่นกัน

อวิ๋นจือชิวเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ เหมือนจะปลงนิดหน่อย จากนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้อีก ดวบตางามวูบไหว ถามซักไซ้ว่า “เรื่องโถงชุมนุมอัจฉริยะ นายท่านไม่ได้ปรึกษากับหยางชิ่งเหรอ?”

หยางเจาชิงงงนิดหน่อย แล้วตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ แต่ฟังจากที่หยางชิ่งบอกก็เหมือนจะไม่ได้ปรึกษานะ”

…………………………

ประมุขชิงรู้สึกงง ถามว่า “หมายความว่าอะไร?”

ซ่างกวนชิงตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เหมือนจะบอกว่าไม่เล่นแล้ว ฝ่าบาทจะจัดการหนิวโหย่วเต๋ออย่างไรก็ตามใจ ตระกูลโค่วเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”

ประมุขชิงขมวดคิ้วครุ่นคิด เงียบไปนานโดยไม่พูดอะไร…

สุดท้ายตำหนักนารีสวรรค์ก็ไม่ได้ถือสาคนความรู้พื้นๆ อย่างเหมียวอี้ ตอบตกลงให้เหมียวอี้รับกำลังพลที่ไม่ใช่คนของทางการมาทำงานให้ สาเหตุย่อมเป็นเพราะตระกูลเซี่ยโห้ว ส่วนเหมียวอี้เองก็เข้าใจดีว่าทำไมตระกูลเซี่ยโห้วถึงช่วยเขา ต่อให้ยืนฝั่งตำหนักสวรรค์ แต่เรื่องราวก็ราบรื่นเหนือความคาดหมาย ประมุขชิงไม่มีความเห็นอะไรกับเรื่องนี้ ขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็รักษาความเงียบไว้เช่นกัน ไม่มีใครกล่าวโทษเรื่องนี้ แม้แต่เสียงคัดค้านเล็กน้อยก็ไม่มี ปล่อยเหมียวอี้ให้ผ่านตลอดทาง ไม่มีการขัดขวางใดๆ

ป้ายประกาศเชิญชวนผู้เก่งกล้าอัจฉริยะ ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ แผ่นหนึ่งติดอยู่นอกจวนแม่ทัพภาคแห่งใหม่ คนที่แวะเวียนมาดูประกาศมีไม่น้อย ผู้ที่ตอบสนองกับสิ่งนี้มีไม่กี่คน บางคนที่เข้ามาสอบถามก็แค่สงสัยเฉยๆ ว่ามีเรื่องอะไรกันแน่ ไม่มีใครอยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับน้ำขุ่นอย่างแม่ทัพภาคหนิว

หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ในที่สุดโค่วหลิงซวีที่อยู่ในจวนท่านอ๋องชั่วคราวก็ตอบว่า “โถงชุมนุมอัจฉริยะนั่นรับสมัครคนได้เท่าไรแล้ว?”

“ตอนนี้ยังไม่มีสักคนเลยขอรับ” โค่วเจิงตอบ

โค่วหลิงซวีอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า “อายุป่านนี้แล้ว ทำแต่เรื่องเหลวไหล”

จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม เซี่ยโห้วท่าที่ประคองไม้เท้าเดินช้าๆ ก็ถามอย่างสนใจเช่นกัน “โถงชุมนุมอัจฉริยะที่ตลาดผีนั่นรับสมัครคนได้กี่คนแล้ว?”

เว่ยซูตอบพร้อมรอยยิ้ม “ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนถามเลย เพียงแต่คนที่ยินดีจะเข้าร่วมอย่างเป็นทางการไม่มีสักคน”

เซี่ยโห้วท่าหัวเราะหึหึ แล้วถามอย่างแปลกใจ “โอกาสก็ให้เขาแล้ว แต่กลับไม่เห็นเขาดึงคนออกมา เจ้าเด็กนี่คิดจะทำอะไร?”

“เกรงว่าคงต้องสังเกตการณ์ไปก่อน” เว่ยซูกล่าว

จวนอ๋องสวรรค์ชั่วคราวของตระกูลอิ๋ง ยามว่างอิ๋งจิ่วกวงก็ถามถึงเช่นกัน “โถงชุมนุมอัจฉริยะนั่นเป็นยังไงบ้าง?”

จั่วเอ๋อร์ตอบกลั้วหัวเราะ “จากการสนับสนุนจากตระกูลโค่ว ไร้เงิน ไร้อิทธิพลไร้อำนาจ ยังจะทำอะไรได้อีก ตอนนี้ยังไม่มีคนเข้าร่วมสักคน”

“เหลวไหลลวงโลก!” อิ๋งจิ่วกวงแสยะยิ้ม

จวนอ๋องสวรรค์ชั่วคราวของตระกูลฮ่าว สถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ฮ่าวเต๋อฟางกับซูอวิ้นกำลังเดินเล่นด้วยกัน คุยไปคุยมาฮ่าวเต๋อฟางก็เกิดความหวั่นไหว จู่ๆ ก็ยื่นมือไปคว้ามือที่เรียวสวยของซูอวิ้น นางรีบหดมือกลับแล้วถอยออกไป กุมหมัดคารวะพร้อมส่ายหน้าอย่างขื่นขม “ท่านอ๋อง!”

ใบหน้าของฮ่าวเต๋อฟางก็เต็มไปด้วยความขมขื่นเช่นกัน ชั่วขณะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี สุดท้ายก็ยังหาประเด็นสนทนามากลบเกลื่อน “โถงชุมนุมอัจฉริยะของตลาดผีรับคนได้กี่คนแล้ว?”

ซูอวิ้นยืนรักษาระยะห่างกับเขาเล็กน้อย ถึงได้ตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่มีใครเข้าร่วม”

จวนอ๋องสวรรค์ชั่วคราวของตระกูลก่วง คนที่สนใจเหมียวอี้มาตลอดยังมีอีก ยกตัวอย่างเช่นเม่ยเหนียง

ขณะที่เดินชมจันทร์ชมดอกไม้กับก่วงลิ่งกง โกวเยว่ก็เข้ามารายงานเรื่องบางอย่าง แต่ตอนที่จะออกไปถูกเม่ยเหนียงเรียกไว้ “พ่อบ้านโกว โถงชุมนุมอัจฉริยะที่ตลาดผีรับสมัครคนเป็นยังไงบ้างแล้ว?”

โกวเยว่มองก่วงลิ่งกงแวบหนึ่ง เมื่อเห็นเจ้าตัวไม่คัดค้านอะไร ก็ตอบกลับไปว่า “ตอนนี้ยังไม่มีใครเข้าร่วมขอรับ”

“ไม่มีสักคนเลยเหรอ?” เม่ยเหนียงซักไซ้

“เหมือนจะไม่มีเลยสักคนเดียว แต่ต่อให้มีก็แค่ไม่มีคน” โกวเยว่ไม่แน่ใจ

“ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้” เม่ยเหนียงส่ายหน้าทอดถอนใจ เหมือนรู้สึกเสียดายแทนเหมียวอี้ นางย่อมรู้จากปากของก่วงลิ่งกงแล้วว่าอีกไม่นานคนของตระกูลโค่วจะถอนตัวออกจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ส่วนเหมียวอี้จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังรับคนไม่ได้สักคน

รอจนกระทั่งโกวเยว่ออกไปแล้ว ก่วงลิ่งกงก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “หวังเฟยเหมือนจะใส่ใจหนิวโหย่วเต๋อนั่นมากเลยนะ ทำไมล่ะ? ยังไม่เลิกคิดถึงเรื่องที่เจ้าทำให้เขากลายเป็นลูกเขยเจ้าไม่สำเร็จอีกเหรอ?”

เม่ยเหนียงอยากจะปฏิเสธ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด นางรู้สึกว่าหลายปีมานี้ท่านอ๋องปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ ตัวเองจึงไม่จำเป็นต้องปิดบัง พยักหน้าเบาๆ ตอบว่า “ทั้งใช่และไม่ใช่ค่ะ”

“หมายความว่ายังไง? อ๋องผู้นี้อยากจะฟังสักหน่อย” ก่วงลิ่งกงถามอย่างสนใจ

เม่ยเหนียงจัดระเบียบความคิด แล้วกล่าวช้าๆ ในขณะที่ไตร่ตรอง “รู้สึกว่าน่าเสียดายจริงๆ ข้ารู้สึกว่าเขาเหมาะสมกับเม่ยเอ๋อร์มาก ที่สำคัญคือข้าดูออกว่าเม่ยเอ๋อร์หวั่นไหวกับเขาแล้วเหมือนกัน ทั้งยังไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว เพราะข้ารู้สึกว่ากิเลนทองไม่ใช่สัตว์ในบ่อน้ำ หนิวโหย่วเต๋อนั่นเดินผ่านลมฝนมาตลอดทางจนถึงทุกวันนี้ นับว่าไม่ธรรมดา อนาคตจะมาหยุดชะงักที่ตลาดผีได้ยังไง ข้าเฝ้าคอยให้เขาประสบความสำเร็จจริงๆ ค่ะ”

“ดึงดูดความสนใจจากคนมากมายขนาดนั้น…” ก่วงลิ่งกงส่ายหน้า “ถ้าไม่มีอำนาจฝ่ายไหนหวังให้เขาผงาดขึ้นมา ข้าก็บอกได้เลยว่าเขาจะไม่มีวันผงาดขึ้นมาได้อีก จะถูกกดไว้ที่นั่นทั้งชีวิต ด้วยศักยภาพของเขาในตอนนี้ ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจต้านทานได้”

เม่ยเหนียงขมวดคิ้วครุ่นคิด “แต่ทำไมข้าชอบรู้สึกว่ามันจะไม่จบอย่างนี้ล่ะ? เวลาตอนนี้ยังสั้นนัก ตอนหลังยังมีเวลาอีกนาน ไม่แน่ว่าอาจจะมีวันไหนที่เขาได้แสดงฝีมือเต็มที่ก็ได้”

ก่วงลิ่งกงหัวเราะเสียงดัง “สงสัยหวังเฟยจะชอบเขาแบบไม่ธรรมดา!”

เม่ยเหนียงกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ “ในเมื่อท่านอ๋องพูดอย่างนี้แล้ว เช่นนั้นข้าก็จะรวบรวมความกล้าถามสักหน่อย ถ้าตัดอำนาจอิทธิพลที่หนุนหลังทิ้งไป ถ้าพูดถึงความสามารถเฉพาะตัวเท่านั้น ท่ามกลางคนมีฝีมือรุ่นใหม่ระดับเขา ถามหน่อยว่ามีคนไหนที่เก่งกว่าเขาบ้าง? ข้ารู้สึกว่าในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน เขาถือเป็นอันดับหนึ่ง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดผิดตรงไหนหรือเปล่า?” นางยกนิ้วหัวแม่มือพลางกล่าวชื่นชม

ก่วงลิ่งกงครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วพยักหน้าตอบว่า “ถ้าเจ้าดึงดันจะพูดอย่างนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญหรือการสร้างผลกระทบ เขาก็ล้วนเป็นที่หนึ่ง แต่แล้วยังไงล่ะ?”

เม่ยเหนียงคิดไปคิดมา จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนเช่นกัน “ก็ไม่ยังไงหรอกค่ะ บางทีข้าอาจจะแค่อยากพิสูจน์สายตาตัวเองก็ ถึงยังไงข้าก็เคยเฝ้ารอเขาซะขนาดนั้น หวังว่าข้าจะมองคนไม่ผิดก็แล้วกัน”

ก่วงลิ่งกงส่ายหน้าหัวเราะ “เจ้านี่นะ! คิดมากไปแล้ว”

วังสวรรค์ ประมุขชิงที่ตื่นขึ้นจากการฝึกวิชาสะบัดแขนเสื้อลุกขึ้น พอเปิดประตูตำหนัก ก็เจอหมอกหนาทึบลอยสูงบ้างต่ำบ้าง เดินออกจากตำหนักชีพนิรันดร์เพียงลำพังแล้ว

ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีงาน ปกติจะเว้นช่วงออกมาจัดการธุระเล็กน้อยในระหว่างที่ฝึกตนอยู่ พอออกจากลานตำหนัก ซ่างกวนชิงก็เข้ามาต้อนรับ

“ช่วงนี้ไม่มีเรื่องอะไรใช่มั้ย?” ประมุขชิงเอ่ยถามอย่างสบายๆ ในขณะที่เดินเล่น

ซ่างกวนชิงยิ้มตาหยีพร้อมตอบว่า “ไม่มีเรื่องใหญ่โตอะไร ทุกอย่างล้วนสงบราบรื่น แต่ละฝ่ายก็สงบสุขมากเช่นกันขอรับ” ที่จริงทุกครั้งหลังการประชุมใหญ่ อำนาจแต่ละฝ่ายล้วนจำศีลสักระยะ แทบจะกลายเป็นกฎเกณฑ์ไปแล้ว ในเวลานี้จะไม่มีใครก่อเรื่อง

จู่ๆ ประมุขชิงก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าแปลงดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ดุจหยกงามแห่งหนึ่ง เข้าไปใกล้แล้วดอมดมเบาๆ บางทีสิ่งของอาจจะทำให้คิดถึงใครบางคน เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “สถานการณ์ทางด้านสนมสวรรค์เป็นอย่างไรบ้าง?”

ซ่างกวนชิงตอบว่า “ยังเงียบสงบมาตลอดขอรับ ถึงแม้จะอยู่ในบ้านบิดามารดาของตัวเอง แต่ก็แทบจะไม่ออกจากเรือนเลย มีคนนอกไปมาหาสู่ด้วยน้อยมาก”

“นี่ก็คือนิสัยที่ไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร ทำไมต้องทำให้ตัวเองลำบาก” ประมุขชิงส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ จากนั้นเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้อีก ถามว่า “ทางด้านตลาดผี โถงชุมนุมอัจฉริยะของหนิวโหย่วเต๋อนั่นเป็นยังไงบ้างแล้ว รับสมัครคนได้หรือยัง?”

“ไม่มีคนขอรับ” ซ่างกวนชิงอดหัวเราะไม่ได้

“ไม่มีคนมาสมัครสักคนเลยเหรอ?” ประมุขชิงแปลกใจ

“น่าจะเป็นอย่างนี้ขอรับ มีคนมามุงดูกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แต่ก็ไม่มีใครสมัคร” ซ่างกวนชิงตอบ

ประมุขชิงหัวเราะหึหึ “ยังนึกว่าเขาจะเล่นลูกไม้ใหม่ๆ ให้ข้าแปลกใจสักหน่อย แต่ก็เท่านี้เอง คนพิลึกก็ทำเรื่องพิลึกอย่างนี้!” จากนั้นก็โบกมือ “ไม่สนใจเขาแล้ว ไปดูที่ตำหนักนารีสวรรค์สักหน่อยเถอะ”

ช่วงนี้ความเคลื่อนไหวที่ตลาดผีสร้างความแปลกใจให้ใต้หล้าไม่หยุดหย่อน ทำให้ชื่อของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีโด่งดังอย่างต่อเนื่อง นักพรตในใต้หล้าพากันวิพากษ์วิจารณ์

ตอนแรกก็เรื่องที่จวนแม่ทัพภาคกับวัดพระกษิติครรภ์สลับที่กัน เรื่องนี้แปลกใหม่พอสมควร ควรค่าแก่การให้ทุกคนพูดถึง ตอนหลังก็มีข่าวออกมาว่า สงสัยฝั่งวัดพระกษิติครรภ์จะถูกหนิวโหย่วเต๋อวางกับดักแล้ว ทำให้ถูกคนหัวเราะเยาะอีก นึกไม่ถึงว่ายังมีเรื่องอย่างนี้อยู่ด้วย ต่อมาก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้นอีก ไม่น่าเชื่อว่าตลาดผีจะมีป้ายประกาศ ‘โถงชุมนุมอัจฉริยะ’ รับสมัครผู้มีฝีมือโดดเด่นในใต้หล้า ทำให้ใต้หล้าพากันพูดถึงอีก คนส่วนใหญ่ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึก ต่างก็แปลกใจว่าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีเป็นอะไรไปแน่ เรื่องแปลกเกิดขึ้นทุกปี แต่ปีนี้ค่อนข้างเยอะ มีบางคนอุทานอย่างสะเทือนใจ ทำไมรู้สึกเหมือนจวนแม่ทัพภาคตลาดผีเป้นกระดาษขาวแผ่นหนึ่งเลยล่ะ ปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อวาดสิ่งต่างๆ ได้ตามใจชอบ ทำไมไม่มีใครสนใจสักหน่อยเลย ทำไมปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อสร้างความปั่นป่วนล่ะ?

และสำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกพวกนี้ ก็มองเห็นเป็นเรื่องตลกเท่านั้น โดยเฉพาะพวกที่ไม่พอใจเหมียวอี้ พวกลูกหลานผู้มีอำนาจนั่งรวมอยู่โต๊ะเดียวกัน ขณะกำลังดื่มสุรากัน มีคนชี้ห้นาดูถูกมาตั้งแต่ไกลๆ คอยดูว่าตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อจะรอดไปได้อย่างไร!

ตามเวลาที่ค่อยๆ ผ่านไป ข่าวหนิวโหย่วเต๋อโดนเนรเทศเริ่มแพร่ออกไปแล้ว หนิวโหย่วเต๋อไม่มีอนาคตแล้ว ข่าวที่บอกว่าเขาจะแก่ตายอยู่ในตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผีแพร่ออกไปทั่วไป

“เฮ้อ!” ฝูชิงที่อยู่ในตำหนักคุ้มเมืองเงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจ “ทุกเรื่องควรมีขอบเขตนะเจ้าห้า!”

คนมากมายที่รู้จักเหมียวอี้ต่างก็คิดไม่ถึง หนิวโหย่วเต๋อคนก่อนหน้านี้ที่ทำตัวโดดเด่นและมีตระกูลโค่วหนุนหลัง ทำไมถึงเดินลงทางชันอย่างนั้นแล้วล่ะ

“ครึ่งค่อนปีแล้ว ทำไมไม่ใครมาสมัครสักคน?”

จวนแม่ทัพภาคใหม่ เหมียวอี้ที่เก็บตัวฝึกวิชาได้ระยะหนึ่งออกจากการฝึกวิชาแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้น? เขาเรียกหยางเจาชิงกับสวีถังหรานมาถามถึงสถานการณ์ทันที ไม่พอใจกับความก้าวหน้าในการทำงานเป็นอย่างมาก

“ทุกคนเหมือนจะไม่ค่อยยอมรับกับวิธีการกึ่งทางการกึ่งไม่ทางการ…” หยางเจาชิงบอกเหตุผลอย่างตะกุกตะกัก

สวีถังหรานยิ้มแห้งอยู่ข้างๆ ที่จริงเขารู้สึกตั้งนานแล้วว่าวิธีการนี้ไม่ได้เรื่อง ฐานะตัวตนแบบนี้ไม่ชัดเจน กอปรกับมองไม่ออกว่าผลประโยชน์อยู่ตรงไหน มีแต่คนที่สมองมีปัญหาเท่านั้นแหละที่จะแกว่งเท้าหาเสี้ยนเข้ามาร่วมด้วย นายท่านเหมือนจะระเมินเสน่ห์ของตัวเองสูงไปหน่อย

“เจ้ายิ้มอะไร?” พอเหมียวอี้เห็นใบหน้ายิ้มของสวีถังหราน ความโมโหที่สะสมไว้ก็ปะทุทันที ชีเขาพร้อมบอกว่า “เจ้า เจ้าก็แล้วกัน ต่อไปนี้ให้เจ้ารับผิดชอบเรื่องรับสมัครคน”

“หา! ข้าน้อยมีความสามารถจำกัด…”

สวีถังหรานรีบปฏิเสธ นี่คือภารกิจที่ไม่มีความเป็นไปได้ว่าจะสำเร็จเลย ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะพูดตัดบทเสียเลยว่า “ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีการอะไร ก็ต้องรีบดึงตัวกลุ่มคนที่สามารถทำงานได้ กำลังพลที่สามารถอาศัยกำลังทรัพย์ตัวเองมาให้โถงชุมนุมอัจฉริยะโดยเร็วที่สุด ให้เวลาเจ้าสิบปี ถ้างานไม่ได้ประสิทธิภาพข้าจะมาเอาเรื่องเจ้า!”

“นายท่าน…” สวีถังหรานแทบจะร้องไห้ นายท่านให้ตนทำเรื่องแสวงหากำไรโดยไม่ลงทุนอีกแล้ว คุยโม้เรื่องครั้งก่อนไปแล้ว ข้าใช้ทุนเก่าไปไม่น้อยเลย จะให้หาคนมาทำงานให้โดยไม่จ่ายเงินเนี่ยนะ ทำไมเจ้าถึงคิดวิธีการพวกนี้ได้เรื่อยๆ นะ!

บังเอิญพอดี ด้านนอกมีเสียงสาวงามดังขึ้น “นี่! ทำไมพอมาถึงก็เจอคนระบายอารมณ์ใส่คนอื่นเลยล่ะ ใครกันที่อารมณ์ร้อนขนาดนั้น ให้ข้าดูหน่อยซิ!”

พวกเขามองไปด้านนอก เห็นอวิ๋นจือชิวที่สวยสง่าภูมิฐานแลดูมีชีวิตชีวาเดินเนิบนาบเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง เดินผ่านมาได้ตลอดทาง ไม่มีใครเข้ามาขวาง เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ เฟยหง เสวี่ยหลิงหลงและหลินผิงผิงติดตาม ข้างหลังยังมีผู้คุ้มกันติดตามอีกสองคน

…………………………

เรื่องจริงก็ได้พิสูจน์แล้ว ว่าเมื่อมีเฉาหม่านคอยช่วยเหลือ เรื่องการสลับอาณาเขตก็ไม่ใช่ปัญหาเลย หลังจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผีรายงานสิ่งที่ต้องการต่อตำหนักนารีสวรรค์ คำตอบที่ได้รับก็ไม่ใช่การปฏิเสธ บอกว่าเพียงต้องพิจารณาสักหน่อย

สำหรับบางคน เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับคนระดับราชินีสวรรค์ นี่ก็เป็นแค่เรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนที่พัก ตราบใดที่ฝั่งแดนพุทธไม่มีความเห็นแย้งก็จะไม่มีปัญหา ที่จริงขอเพียงนางเอ่ยปาก ฝั่งแดนพุทธก็ไม่น่าจะหักหน้านาง ก็แค่เรื่องเปลี่ยนที่พักเอง หน้าตาศักดิ์ศรีของราชินีสวรรค์มีค่ากว่าสิ่งนี้ไกลมาก

หลังจากนั้นไม่กี่วัน เหมียวอี้ก็ได้รับข่าวที่ส่งมาจากพระอาจารย์จี้คงวัดพระกษิติครรภ์ บอกว่าสามารถสลับที่อยู่กันได้ ถามเขาว่าสะดวกจะสลับกันเมื่อไร

ยังต้องใช้เวลาอะไรอีก? สลับทันที! สถานที่อันตรายเช่นนี้เขาไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วันเดียว

หลังจากเหลือคนไว้ส่วนหนึ่งเพื่อส่งต่องาน เหมียวอี้ก็เด็ดป้ายจวนแม่ทัพภาคแล้วนำกำลังพลไปที่วัดพระกษิติครรภ์โดยตรง

พระอาจารย์จี้คงที่พบกับเขามีสีหน้าจนใจ แบบนี้มันเรียกว่าเรื่องอะไรกัน แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะเบื้องบนออกคำสั่งมาแล้ว เก็บของย้ายที่ก็แล้วกัน

“พระอาจารย์ ท่านลืมหยิบของไปด้วย”

จี้คงกำลังนำคนออกจากประตูใหญ่เตรียมจะออกไป แต่ถูกเหมียวอี้ตะโกนเรียกไว้

พระอาจารย์จี้คงหันกลับมามองอย่างงุนงง เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ตรงประตูหรี่ตายิ้มพร้อมชี้ป้ายชื่อบนวงกบประตู

พระอาจารย์จี้คงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที จากนั้นโบกแขนเสื้อ ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูดป้ายชื่อเข้ามาเก็บไว้ จากนั้นประนมมือขอบคุณเหมียวอี้

“แขวนป้ายชื่อ” เหมียวอี้เอียงหน้าบอกสวีถังหราน สวีถังหรานปฏิบัติตามอย่างร่าเริงทันที ส่วนเหมียวอี้กุมหมัดคารวะจี้คง “ขออภัยที่ส่งได้เพียงตรงนี้!”

ขณะมองดูจี้คงเดินจากไป บนใบหน้าเหมียวอี้ก็เริ่มทำสีหน้าประหลาด ไม่รู้ว่าหลังจากจี้คงเห็นสภาพที่พักโกโรโกโสแล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

“นายท่าน แขวนเสร็จแล้ว ท่านดูหน่อยว่าเป็นยังไง?” สวีถังหรานขอรายละเอียดอยู่ข้างๆ

เหมียวอี้หันตัวมาเงยหน้ามอง พบว่าตั้งตรงเรียบร้อยมาก เขาจึงพยักหน้า แล้วชี้บนผนังด้านนอก “ติดประกาศว่าย้ายวัดพระกษิติครรภ์ไปแล้ว จะได้ไม่มีศิษย์สำนักพุทธแล้วเข้าประตูผิด”

“ขอรับ! จะไปจัดการเดี๋ยวนี้” สวีถังหรานเอ่ยรับทันที

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินเข้าไปข้างใน “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้ค้นหาในที่พักให้ละเอียดทุกซอกทุกมุม อย่าให้เหลือลับลมคมในอะไรเอาไว้”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงนำคนไปปฏิบัติตามคำสั่งทันที

ส่วนเหมียวอี้ก็เดินขึ้นไปชั้นบนอย่างเนิบช้า มาถึงพระอุโบสถแห่งนั้น เม่ยจีกับอวี้หลัวช่าล้วนเจอเขาที่นี่ คิดไปคิดมาก็รู้สึกทอดถอนใจ เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ยังเป็นแขกอยู่เลย แต่ด้วยความพยายามของตน ชั่วพริบตาเดียวตนก็กลายเป็นเจ้าของที่นี่แล้ว

ส่วนพระพุทธรูปที่หลงเหลืออยู่ที่นี่ เหมียวอี้ก็ไม่ได้คิดจะรื้อทิ้ง ทุกที่ในนี้ล้วนมีร่องรอยของสำนักพุทธ ถ้าจะจัดการก็ยุ่งยากเช่นกัน

เพียงแต่ถ้าพูดโดยภาพรวมแล้ว ปัจจัยของที่นี่ก็เหนือกว่าที่อาณาเขตเดิมเยอะมาก ถึงแม้ที่อาณาเขตเดิมจะไม่นับว่าแย่ก็ตาม

ส่วนพระอาจารย์จี้คงที่เข้าพักในจวนแม่ทัพภากลับงงเป็นไก่ตาแตก ตะลึงงันกับสิ่งที่เห็น กวาดสายตามองครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเนิบช้าเหม่อลอย นึกว่าตัวเองตาฝาดไป หรือว่านี่จะเป็นภาพลวงตาที่เกิดจากวิชาอะไรบางอย่าง?

มองดูจากภายนอกก็ยังพอไหว แต่พอเข้ามาข้างในทำไมกลายเป็นอย่างนี้ล่ะ ก่อนหน้านี้ก็เคยมา แต่ก็ไม่ใช่แบบนี้นี่นา ผนังนั่น เสานั่น ขื่อนั่น ทำไมดูเหมือนเสี่ยงจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ คนที่มาที่นี่เป็นครั้งแรกเดินแล้วไม่กล้าส่งเสียงดังเลย น่าตกใจมาก ทำไมกลายเป็นอย่างนี้ไปได้?

ศิษย์สำนักพุทธคนอื่นที่เตรียมตัวเข้าพักเรียบร้อยแล้ว แต่ละคนทำสีหน้าตกใจ ไม่ค่อยกล้าเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้เห็น

ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่มีโอกาสมาที่จวนแม่ทัพภาคบ่อยๆ คนที่ได้เห็นสถานการณ์ในจวนแม่ทัพภาคมีไม่เยอะ ในดวงตาพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ที่แท้คนในจวนแม่ทัพภาคก็พักอยู่ในสถานที่อันตรายอย่างนี้นี่เอง ไม่แปลกใจที่อยากจะแลกสถานที่กับพวกเรา

พระอาจารย์จี้คงเอามือลูบเสาที่บอบบางเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่วิชาพรางตา ใบหน้าก็เดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด ค่อยๆ เผยสีหน้าโกรธเคืองออกมา ชั่วขณะนั้นอยากจะไปขอคำชี้แจงจากเหมียวอี้ ทว่าสุดท้ายก็ยังข่มอารมณ์ไว้ พยายามทำใจให้สงบ เกลี้ยกล่อมตัวเองว่าอย่าวู่วาม

ประการแรก หนิวโหย่วเต๋อเป็นนักรบที่โด่งดัง เป็นแม่ทัพผู้เหี้ยมหาญที่มีผลงานการรบดีมาก เชี่ยวชาญการรบที่สุด ลูกน้องของเขาก็ล้วนเป็นกำลังพลชั้นดีของตระกูลโค่ว ถ้าต่อสู้กันขึ้นมา ฝ่ายนี้ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนิวโหย่วเต๋อเลยจริงๆ ประการต่อมา หนิวโหย่วเต๋อขึ้นชื่อว่าเป็นพวกไม่ใช้สมอง มีเรื่องอะไรบ้างที่ทำไม่ได้? ต่อให้ตนไม่อยากจะสู้ ต่อให้แค่จะไปคุยกันด้วยเหตุผล แต่เจ้าหนุ่มนั่นก็อาจไม่แน่ นอกจากนี้ก็ยังสงสัยด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังจงใจล้างแค้นตน เดิมทีก็จงใจหาเรื่องอยู่แล้ว หลังจากหลอกเขาสองครั้งติดต่อกัน เขาก็ประกาศแล้วว่าจะรื้อวัดพระกษิติครรภ์ของตน ใครจะคิดว่าท่าไม้ตายสำรองจะอยู่ที่นี่ ไม่น่าเชื่อว่าจะรื้อที่นี่ ความคิดแบบนี้ชั่วร้ายเกินไปแล้ว!

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตัวเองเป็นฝ่ายไปหาก่อน ถ้าทำให้แดนพุทธกับตำหนักสวรรค์เกิดข้อพิพาทขึ้นมา ตนก็รับผิดชอบไม่ไหวเลยจริงๆ

แต่ความโกรธนี้…พอหันตัวมองดูสภาพโดยรอยแล้วข่มอารมณ์ไม่ไหวจริงๆ แบบนี้จะอยู่กันอย่างไรล่ะ! ถ้าอยู่ไปสองวันแล้วถล่มลงมาจะทำอย่างไร?

ดังนั้นเขาจึงหยิบระฆังดาราออกมา จะต้องร้องเรียนเรื่องนี้ให้ได้!

หลังจากแดนพุทธได้ข่าวจากจี้คง ทีแรกก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะสารเลวแค่ไหนแต่ก็ไม่ถึงขั้นทำเรื่องแบบนี้หรอกมั้ง? ทว่าหลังจากตรวจสอบยืนยันซ้ำ ก็พบว่าข่าวไม่ผิด หนิวโหย่วเต๋อทำอย่างนี้แล้วจริงๆ

แน่นอน พวกเขาไม่อาจแตกคอกับตำหนักสวรรค์เพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ แต่ก็จะทำเหมือนฝั่งนี้เป็นคนโง่ไม่ได้ ยังต้องเตือนฝั่งราชินีสวรรค์สักหน่อย ว่าถ้าครั้งหน้าเกิดเรื่องแบบนี้อีกจะไม่ยอมแล้ว!

หลังจากตำหนักนารีสวรรค์ได้ข่าวจากแดนสุขาวดี ทีแรกก็ไม่กล้าเชื่อเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ถามเหมียวอี้ ไปถามทางตึกศาลาสัตยพรตแทนว่าคิดอย่างไร รู้เรื่องล่วงหน้าแล้วเตรียมแผนอื่นไว้แล้วหรือเปล่า? เหตุใดจึงไม่บอกล่วงหน้า วุ่นวายจนทางนี้ไม่รู้จะตอบแดนพุทธอย่างไร

ส่วนราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็คิดว่าเฉาหม่านคงมีแผนอะไรอีกอย่างหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่ช่วยบอกกับทางนั้นให้หนิวโหย่วเต๋อหรอก ที่จริงมีหลายเรื่องมากที่ตระกูลเซี่ยโห้วแอบทำโดยไม่บอกนาง นางก็รู้เช่นกัน แต่ก็จนใจที่ทำอะไรไม่ได้ จึงทำได้เพียงแสดงออกต่อเฉาหม่านอย่างอ้อมๆ ว่าไม่พอใจ

หลังจากได้รับข่าว เฉาหม่านก็ยังไม่กล้าเชื่อเช่นเดียวกัน เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง? แต่เขาก็ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกจริงๆ ที่สำคัญคือหลังจากกำลังพลในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีย้ายออกไปแล้ว ก็เปลี่ยนกำลังพลใหม่เป็นคนของตระกูลโค่วทั้งหมด คนนอกจึงไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไร

ดังนั้นเรื่องเล็กน้อยนี้จึงสะเทือนไปถึงเถ้าแก่เฉาหม่านแห่งตึกศาลาสัตยพรตให้ต้องออกโรงเอง เฉาหม่านนำคนไปที่ ‘วัดพระกษิติครรภ์ใหม่’ ด้วยตัวเอง โดยใช้ข้ออ้างที่ฟังดูดีว่ามาเยี่ยมเยียน ที่จริงจะมาตรวจสอบว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่

พระอาจารย์จี้คงย่อมรู้ถึงสถานะของเฉาหม่านที่ตลาดผี นับเป็นผู้ที่มีอำนาจในตลาดผีอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงออกมาต้อนรับด้วยตนเอง

“เถ้าแก่เฉามาเยือนด้วยตนเอง นับเป็นเกียรติของวัดเล็กๆ แห่งนี้” จี้คงประนมมืออย่างสุภาพ แล้วหันตัวเชิญ

ภายนอกดูไม่เลว ไม่เหมือนมีปัญหาอะไร!

เฉาหม่านที่ยืนอยู่ตรงประตูเหลียวซ้ายแลขวา พยักหน้าเล็กน้อย แล้วเอามือไขว้หลังเดินเข้าไปข้างใน

หลังจากมาถึงข้างในแล้ว เห็นสภาพเรือนพักที่โอนเอนใกล้จะล้ม เฉาหม่านและผู้ติดตามก็เดินเบาๆ โดยจิตใต้สำนึก พวกเขาสบตากันอย่างพูดไม่ออก เงยหน้ามองบนเพดาน ไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามันจะถล่มลงมาเมื่อไร นี่มันใช่ที่อยู่อาศัยของคนเหรอ?

เมื่อได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว เฉาหม่านก็นับว่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อทำเกินไป ขนาดเรื่องไร้คุณธรรมที่เกิดผลเสียต่อตัวเองแบบนี้ก็ยังกล้าทำ ขนาดไม่ได้ประโยชน์อะไรก็ยังล่วงเกินคนเขาไปทั่ว ช่างเป็นคนบ้าจริงๆ! เขาจึงกล่าวว่า “ไต้ซือเตรียมจะแลกกลับหรือเปล่า?” เขาเฝ้ารอที่จะเห็นเหมียวอี้โดนกรรมตามสนองมาก

เฉาเฟิ่งฉือที่ตามมาด้วยเรียกได้ว่าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์ สมกับเป็นสหายเพียงคนเดียวของพี่ใหญ่ตอนยังมีชีวิตอยู่ ทำไมมีสันดานเดียวกันซะได้

จี้คงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทางสำนักส่งข่าวมา ว่าให้เห็นแก่หน้าราชินีสวรรค์แล้วปล่อยผ่าน ให้พวกอาตมาซ่อมบำรุงสักหน่อย แต่แน่นอน หากเถ้าแก่เฉายินดีจะให้วัดพระกษิติครรภ์ขุดสร้างวัดใหม่ที่ริมตลาดผี อาตมาก็ย่อมซาบซึ้งใจไม่รู้สิ้น”

“เหอะๆ!” เฉาหม่านเอามือลูบจมูก แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าทิ้งบริเวณใจกลางตลาดผีไปก็น่าเสียดาย ต่อเติมที่นี่ให้มั่นคงแข็งแรงดีกว่า” นี่ไม่ใช่คำโกหก ที่นี่กำลังจะถล่มแล้วจริงๆ ต้องสิ้นเปลืองอีกแล้ว ที่พักที่จุคนจำนวนมากขนาดนี้ ต้องกินพื้นที่มากขนาดไหนกัน!

เขาเองก็แค่มาดูนิดหน่อย ดูว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ไม่ได้เตรียมจะอยู่ที่นี่นาน

หลังจากออกจากวัดพระกษิติครรภ์แล้ว เฉาหม่านก็นำคนตรงไปยังจวนแม่ทัพภาคแห่งใหม่ ต้องการจะไปคิดบัญชีกับเหมียวอี้ เพราะบังอาจมาหลอกใช้เขา ทำให้เขาชี้แจงกับราชินีสวรรค์ไม่ได้ แต่พอไปได้ครึ่งทาง ก็เลี้ยวกลับมาที่ตึกศาลาสัตยพรตอีก ถ้าไปหาถึงที่จริงๆ แล้วจะทำอะไรเหมียวอี้ได้ล่ะ สั่งสอนสักยกเหรอ? ถ้ากลับไปตอนนี้ก็ยังต้องแกล้งโง่อีก ถ้าไปหาถึงที่ก็ต้องให้เหมียวอี้ให้คำชี้แจ้งจริงๆ!

“สลับจวนแม่ทัพภาคแล้ว?”

ในจวนอ๋องสวรรค์โค่วชั่วคราว โค่วหลิงซวีที่ได้รับข่าวรู้สึกงงนิดหน่อน

เรื่องนี้ปิดบังเขาไม่ได้ เพราะตระกูลโค่วยังไม่ได้ถอนกำลังกลับมาจากตลาดผี

“ข้าก็แปลกใจเหมือนกัน ข้าเห็นกับตาว่าสภาพจวนแม่ทัพภาคเสียหายจนกลายเป็นแบบไหน วัดพระกษิติครรภ์ตอบตกลงให้สลับกันได้ยังไง?” โค่วเจิงถาม

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทางนี้ก็ได้รับรข่าวจากฝั่งแดนพุทธแล้ว ทางนั้นบอกว่าจะช่วยปิดบังเรื่องที่ หนิวโหย่วเต๋อวางกับดักวัดพระกษิติครรภ์

ตระกูลโค่วได้ยินข่าวแล้วพูดไม่ออก ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าเหมียวอี้ใช้วิธีการอะไรเจรจากับแดนพุทธให้ตอบตกลงได้ สงสัยจะเป็นการหลอกลวงขูดรีด!

โค่วหลิงซวีได้ยินข่าวแล้วเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ “เจ้าหนุ่มนี่ช่างอยู่ไม่สุขจริงๆ! หวังว่าเขาจะรับสิ่งที่ตัวเองทำได้ก็แล้วกัน!”

ขนาดฝั่งนี้ยังรู้ข่าวแล้ว ทางวังสวรรค์ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ประมุขชิงที่ได้ทราบข่าวตั้งใจไปที่ตำหนักนารีสวรรค์ ไปเยี่ยมราชินีสวรรค์ที่กำลังตั้งครรภ์ แน่นอนว่าต้องถือโอกาสถามเรื่องจวนแม่ทัพภาคตลาดผีด้วย

หลังจากออกจากตำหนักนารีสวรรค์ ประมุขชิงก็ชำเลืองซ่างกวนชิงที่เดินตามเข้ามา อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า แล้วกล่าวอย่างรู้สึกขำ “พอพูดถึงเรื่องนี้ เฉิงอวี่ก็เหมือนจะโมโหนิดหน่อย! สลับอาณาเขตกัน สมแล้วที่เจ้าลูกลิงนั่นคิดได้ ใจกล้าไม่เบา ตัวอยู่ที่ตลาดผีแต่กล้าล่วงเกินตระกูลเซี่ยโห้ว แต่ก็น่าสนุกทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่าพอรื้อจนจวนแม่ทัพภาคโอนเอนแล้ว ชั่วพริบตาเดียวก็หาคนมาสลับที่กันได้เรียบร้อย ทั้งยังมีคนโง่มารับช่วงต่อจริงๆ การแลกเปลี่ยนนี้ทำแล้วไม่ขาดทุน” พูดจบก็หัวเราะเบาๆ อีกอย่างอดไม่ได้ แปลกจัง พอรู้ว่าแม้แต่เหมียวอี้ก็ยังหลอกต้มตระกูลเซี่ยโห้วได้ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะรู้สึกสะใจ

ซ่างกวนชิงยิ้มบางๆ แต่ก็ทำท่าอึกอัก เหมือนมีอะไรบางอย่างจะพูด

ประมุขชิงเหล่ตามองแวบหนึ่ง เดาว่าคงมีคำพูดบางอย่างที่ทำให้ตนไม่ปลื้ม จึงไม่สะดวกจะพูดออกมา จึงทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “มีอะไรก็พูดมาได้เลย”

ซ่างกวนชิงก้มหน้าตอบ “ได้รับข่าวมา ว่าทางสี่อ๋องสวรรค์ถ่ายทอดคำสั่งลงไปแล้ว สั่งแต่ละหน่วยของตัวเองว่าไม่ว่าในอดีตจะเคยมีความแค้นอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อ ต่อไปนี้ก็ห้ามไปหาเรื่องหนิวโหย่วเต๋ออีก”

…………………………

“แลกอาณาเขตเหรอ?” เฉาหม่านที่ยกถ้วยน้ำชางงไปชั่วขณะ “แลกที่อยู่กับวัดพระกษิติครรภ์?” ต่อให้เขาจะฉลาด แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้กำลังจะเล่นลูกไม้ไหน

“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า “เถ้าแก่บอกราชินีสวรรค์ให้สักหน่อย ให้ราชินีสวรรค์คุยกับกับแดนพุทธให้สักหน่อย”

เฉาหม่านเหลือยตาลง “เรื่องแบบนี้พ่อค้าคนหนึ่งอย่างข้าจะไปบอกราชินีสวรรค์ได้ยังไง ท่านไปบอกตระกูลโค่วเอาเองเถอะ”

เหมียวอี้หัวเราะแห้งพลางส่ายหน้า ตระกูลโค่วไม่มีทางทำเรื่องไร้สาระอย่างนี้แน่นอน มิหนำซ้ำตระกูลโค่วก็รู้แล้วว่าตนขุดจวนแม่ทัพภาค จะช่วยเขาวางกับดักวัดพระกษิติครรภ์ได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องที่บ้านคนมีเงินจะทำ “เถ้าแก่ อยู่ต่อหน้าคนเปิดเผยเหตุใดต้องพูดคลุมเครือ ท่านจะติดต่อราชินีสวรรค์ไม่ได้ได้ยังไง? ถ้าพูดเปิดเผยจะไม่สนุกแล้วนะ”

หึ! เฉาหม่านเหลือบมองเขาศีรษะจดเท้า พบว่าช่วงนี้เจ้าหนุ่มนี่มีท่าทีไม่ชอบมาพากลนิดหน่อย ก่อนหน้านี้เวลาเห็นตนยังระมัดระวังตัวมาก อย่างน้อยก็มองออกว่ารู้สึกหวาดกลัว ตอนนี้กลับไม่สนใจอะไรแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีแม่ทัพภาคตลาดผีคนไหนกล้าพูดกับตนอย่างนี้ สงสัยมีความมั่นใจที่จะเผยไพ่แล้วจริงๆ

แต่จะว่าไปแล้ว คำพูดแบบนี้ไม่ต้องเสแสร้งก็นับว่าสบายใจ

เขาเองก็ไม่ได้จะแตกคอกันเพราะเรื่องนี้ เหตุผลน่ะเหรอ เหมียวอี้รู้ว่าเขารู้ แต่เขากลับไม่รู้ว่าเหมียวอี้รู้ว่าเขารู้แล้ว

เฉาหม่านแสยะยิ้ม “ได้ๆ ทำไมต้องเปลี่ยนสถานที่? จวนแม่ทัพภาคตลาดผีสร้างมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่าจะเปลี่ยนที่กับวัดพระกษิติครรภ์ ถ้าไม่บอกเหตุผลมา คาดว่าคงไม่มีใครอยากเกี่ยวข้องเรื่องนี้ บันทึกของนายท่านที่ตลาดสวรรค์ก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมสักเท่าไร ทางที่ดีอย่าก่อเรื่องตลาดผีเลย” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ อย่ามาก่อเรื่องในอาณาเขตของข้า

เหมียวอี้ตอบว่า “จะพูดอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้ามีศัตรูเยอะเกินไป ที่จวนแม่ทัพภาคคึกคักเกินไป อยู่แล้วไม่สงบใจ วัดพระกษิติครรภ์ค่อนข้างลับตาคน”

เฉาหม่านตอบว่า “อีกฝ่ายเป็นคนแดนพุทธ ไม่สอดมือเข้ามายุ่งเรื่องฝั่งตำหนักสวรรค์ แค่อยากจะหลบอยู่อย่างสงบ ท่านเอาอีกฝ่ายมาเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวาย ท่านคิดว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลงเหรอ? มิหนำซ้ำถ้ารบกวนราชินีสวรรค์เพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ท่านคิดว่าเหมาะสมเหรอ?” เขาแสยะยิ้มทีหนึ่ง ทำท่าราวกับบอกว่าให้เหมียวอี้ล้มเลิกความคิดนี้เสีย

“ที่จริงขอเพียงเถ้าแก่คุยให้ทั้งสองฝ่าย ทั้งสองฝ่ายจะต้องไว้หน้าเถ้าแก่แน่นอน” เหมียวอี้กล่าวอย่างเชื่องช้าใจเย็น

“ตึกศาลาสัตยพรตไม่ยุ่งกับเรื่องแบบนี้” เฉาหม่านปฏิเสธลูกเดียว

“ที่สำคัญคือถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากราชินีสวรรค์…ต่อให้แดนพุทธตอบตกลงก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี!” เหมียวอี้ไม่ยอมแพ้

“อ้อ!” เฉาหม่านฟังอะไรบางอย่างออกจากน้ำเสียงของเขา จึงจิบชาช้าๆ สองสามคำ ก่อนจะให้คำตอบที่แฝงความหมายลึกซึ้ง “เดิมทีเจ้าถูกดูแลโดยตำหนักนารีสวรรค์อยู่แล้ว รายงานไปที่ตำหนักนารีสวรรค์โดยตรงก็พอแล้ว มาหาข้าถือเป็นการกระทำที่มากเกินความจำเป็น” เขาอยากจะเห็นว่าเหมียวอี้จัดการคนฝั่งแดนพุทธอย่างไร

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจแล้วเช่นกัน อีกฝ่ายไม่สะดวกจะคุยให้อย่างโจ่งแจ้ง ยังต้องให้เขารายงานเองอย่างเปิดเผย เพียงแต่ลับหลังจะช่วยเขาคุยกับราชินีสวรรค์ได้ จึงกุมหมัดคารวะขอบคุณทันที “เถ้าแก่ชี้แนะได้ถูกต้อง วันหลังค่อยมารบกวนใหม่” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินจากไป

ทว่าเฉาหม่านกลับพูดรั้งเขาไว้ “อย่ารีบเลย ยังมีอีกเรื่องที่อยากอธิบายกับนายท่าน”

เหมียวอี้อึ้งทันที แล้วก็นั่งลงอีก “มีเรื่องอะไร?”

เฉาหม่านวางถ้วยน้ำชาลง “ช่วงนี้ตลาดผีเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย มีคนทำงานไม่สอดคล้องกับจริยธรรม ทำลายธรรมเนียมของตลาดผี บางทีใช้อุบายชั่วกับโรงน้ำชาของคนอื่น ทำให้คนอื่นประกอบธุรกิจไม่ได้ บางทีก็ไปคุกคามที่สำนักของคนอื่น บ้างครั้งไปจับตัวคนในครอบครัวคนอื่นมาเป็นตัวประกัน ใช้วิธีการต่างๆ นาๆ เพื่อ ‘ซื้อ’ ร้านค้า ไม่ต่างอะไรกับนักต้มตุ๋นที่หลอกไปทั่วโดยไม่ลงทุน เมื่อตรวจสอบดูแล้วก็พบว่าเกี่ยวข้องกับสวีถังหรานลูกน้องของท่าน ตอนนี้ทุกคนมาร้องขอความยุติธรรมที่ตึกศาลาสัตยพรต ข้าต้องได้หัวคนไปชี้แจงกับพวกเขา นายท่านคิดว่าข้าจะทำยังไงดี? ถ้านายท่านไม่สะดวกจะลงมือเอง ก็มีคนจะทำแทนให้”

“ทำไมเจ้าเวรนี่ไม่รู้จักเคารพธรรมเนียมบ้างเลย?” เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าโมโห แต่จากนั้นก็ถอนหายใจทันที “เรื่องนี้น่ะ ที่จริงก็โทษสวีถังหรานไม่ได้หรอก เป็นข้าเองที่ให้เขาไปซื้อร้านค้าที่ตลาดผีหลายร้าน เขาอาจจะขัดสนเงินทองกระมัง เลยทำงานรีบเร่งไปหน่อย กลับไปข้าจะตักเตือนเขา ครั้งนี้ยกเว้นให้ ครั้งต่อไปไม่ปล่อยแน่?”

“ครั้งนี้ยกเว้นให้ ครั้งต่อไปไม่ปล่อยแน่? หรือท่านแม่ทัพภาคยังอยากจะให้มีครั้งหน้าอีก? แก้ไขครั้งนี้ก่อนแล้วกัน” เฉาหม่านกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “คายสิ่งที่ฮุบไปออกมาเดี๋ยวนี้ เรียกทหารสวรรค์ที่ไปข่มขู่คนอื่นกลับมาทันที ที่จับคนในครอบครัวพวกเขาไว้ก็ปล่อยเดี๋ยวนี้ ขอเพียงเขาชี้แจง ก็จะปล่อยเขาไปสักครั้งเพื่อเห็นแก่หน้านายท่าน ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าตึกศาลาสัตยพรตไม่เกรงใจ” ถ้าไม่ใช่เพราะมีเหตุผลพิเศษ ฝั่งนี้คงจะให้บทเรียนกับจวนแม่ทัพภาคแล้ว มีหรือที่จะนั่งคุยกันดีๆ อย่างนี้

เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ “อยู่ที่ตลาดผี เรื่องข่มเหงแย่งชิงนั้นเกิดขึ้นทุกวัน ทำไมพอข้าทำบ้างก็ไม่ได้แล้วล่ะ?”

“ธรรมเนียมก็คือธรรมเนียม คนของจวนแม่ทัพภาคไปแทรกแซงเรื่องการค้าขายที่ตลาดผีไม่ได้” เฉาหม่านกล่าว

เหมียวอี้หัวเราะไม่ออกแล้ว กล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ธรรมเนียมไม่มียกเว้นไมตรี ต้องให้ทางรอดสักทางสิ” ในคำพูดเผยความหมายแฝงว่า ถ้าไม่เหลือทางรอดให้ข้า ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าก็ทำได้ทั้งนั้น

“ท่านกำลังขู่ข้าเหรอ?” เฉาหม่านถาม

“จะกล้าได้ยังไง! ถ้าไม่มีทรัพยากรฝึกตนแล้วข้าจะฝึกตนได้ยังไงล่ะ ต้องให้ทางรอดกันบ้างสิ?” เหมียวอี้ถาม

“ตระกูลโค่วให้ทรัพยากรฝึกตนท่านน้อยไปเหรอ?” เฉาหม่านถาม

“ก่อนหน้านี้ก็ไม่น้อยหรอก” พอพูดถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าหมดอารมณ์นิดหน่อย แล้วยกถ้วยน้ำชาอุ่นๆ ขึ้นมาจิบหนึ่งคำ “เพิ่งจะได้รับข่าวจากตระกูลโค่วมา หลังจากนี้ตระกูลโค่วจะไม่ให้ทรัพยากรฝึกตนข้าอีกแล้ว รอให้ข้าเจอกำลังพลที่ยินดีจะมาอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคแล้ว กำลังพลของตระกูลโค่วก็จะออกจากที่นี่ทันที”

“เอ่อ…” เฉาหม่านงุนงงเล็กน้อย แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “มันเรื่องอะไรกัน?”

“ไม่พูดดีกว่า” เหมียวอี้ส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างเบื่อหน่าย

นี่ไม่ใช่คำโกหก เพราะสถานการณ์เป็นอย่างนี้จริงๆ แต่ตระกูลโค่วอธิบายเหตุผลได้ค่อนข้างดี นั่นก็คือเพื่อที่จะรับประกันความปลอดภัยของเขาได้ ก็ต้องประนีประนอมกับขุนนางใหญ่คนอื่นของตำหนักสวรรค์ด้วย จำเป็นต้องทำอย่างนี้เพื่อให้เกิดผลดีกับเขา แต่การถอนกำลังพลของตระกูลโค่วกลับไม่ได้เรียบง่ายแค่การเปลี่ยนกำลังพล เพราะกำลังพลของตระกูลโค่วที่อยู่ที่นี่ย่อมมีตระกูลโค่วช่วยเลี้ยงไว้ แต่ถ้าเปลี่ยนกำลังพลใหม่ จะมีใครอยากมาอยู่ในสถานที่เส็งเคร็งอย่างตลาดผีล่ะ ต่อให้ฝืนย้ายมา แต่ถ้าเจ้าไม่ให้ประโยชน์อะไรกับอีกฝ่ายเลย ไม่มีเงินทั้งยังไม่ได้เลื่อนขั้น ชัดเจนว่าไร้อนาคต แล้วผีที่ไหนจะอยากมาทำงานรับใช้เจ้าล่ะ จะให้ตึกศาลาสัตยพรตช่วยให้เจ้าเลื่อนขั้นเร็วๆ เหรอ ไม่มีทางเกิดเรื่องอย่างนั้นอีกแน่นอน

ถ้าให้เขาแค่คนเดียว ทรัพยากรฝึกตนที่หกลัทธิมอบให้ก็เลี้ยงทั้งครอบครัวของเขาได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ถ้าจะเอาทรัพยากรของหกลัทธิมาเลี้ยงคนกลุ่มใหญ่ ก็อาจจะฟังดูเหลวไหลไปหน่อย ถ้าอยากจะได้ลูกน้องคนสนิทสักกลุ่ม การลงทุนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เดิมทีนึกว่าจะไม่ต้องกังวลเรื่องใช้ทรัพยากรแล้ว ผลปรากฏว่าอ้อมไปอ้อมมาก็ยังหลบไม่พ้น อยากจะทำงานใหญ่ก็ไม่พ้นต้องใช้กำลังทรัพย์สนับสนุน ถ้าไม่มีกำลังทรัพย์แม้แต่งานเล็กก็จัดการได้ยาก ที่เขาให้สวีถังหรานหาร้านค้ายี่สิบร้านก็เพราะมีแผนอีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้แผนเกิดการเปลี่ยนแปลง จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไรแล้ว ใครจะคิดว่าตระกูลโค่วจะถอนกำลังออก ทำให้เขาต้องพิจารณาปัญหาเรื่องกำลังทรัพย์

แน่นอน เรื่องนี้ก็มีประโยชน์เช่นกัน ตระกูลโค่วคืนอิสระให้อวิ๋นจือชิวแล้ว ถ้ารบกวนเรื่องอะไรเล็กน้อยก็พอช่วยได้ แต่ถ้าเรื่องใหญ่ก็อย่าหวังเลย นอกจากนี้หลังจากตระกูลโค่วถอนกำลังออกไป อย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกตระกูลโค่วจับตาดูอย่างเข้มงวดแล้ว

และตระกูลโค่วก็พูดจาถึงขั้นนี้ เหมียวอี้รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน นี่คือรูปแบบใหม่ที่ใช้ตัดสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลโค่ว เพียงแต่เรื่องบางเรื่องถ้าพูดเปิดเผยทุกคนจะมองหน้ากันไม่ผิด เหลือทางหนีทีไล่ไว้สักนิด ต่อไปเวลาเจอกันจะได้ไม่ลำบากใจ

เฉาหม่านทำสีหน้าครุ่นคิด ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าในนั้นเกิดเรื่องอะไรกันแน่ แต่คาดว่าหนิวโหย่วเต๋อคงไม่ถึงขั้นพูดซี้ซั้วกับปัญหานี้ จึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ลูกน้องเก่าของท่านที่ตลาดสวรรค์ล่ะ ให้ช่วยหาร้านที่ตลาดสวรรค์ให้หลายๆ ร้านก็คงไม่ยากมั้ง?”

“ร้านค้าที่ตลาดสวรรค์จะค้าขายได้กำไรเยอะเหมือนการค้าหลบๆ ซ่อนๆ ที่ตลาดผีได้ยังไงล่ะ?” เหมียวอี้ส่ายหน้า แต่นี่เป็นเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น อีกสาเหตุเป็นเพราะเขาไม่อยากทำให้พวกฝูชิงลำบากไปด้วย อย่างไรเสียเรื่องบางเรื่องตระกูลโค่วก็แค่พูดไว้เท่านั้น ในภายหลังจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครพูดได้ชัดเจน ถ้าพวกฝูชิงใกล้ชิดเขาเกินไปอาจจะไม่ใช่เรื่องดี นอกจากนี้ เมื่อดูจากสถานการณ์ต่างๆ ถ้าตัวเองอยากจะหลุดพ้นจากตลาดผีก็เกรงว่าคงยากนิดหน่อย การไปขอให้พวกฝูชิงช่วยเหลือไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนา

แล้วอีกอย่าง เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่คลุมเครือ การทำร้านค้าที่ตลาดสวรรค์มีความเสี่ยงนิดหน่อย เขาเคยเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์มาก่อน ทางการบทจะยึดร้านเจ้าก็ยึดเลย ถึงตอนนั้นความเสียหายก็จะไม่ใช่น้อยๆ เขาเคยมีเรื่องกับคนมากมายขนาดนั้น ใครจะพูดได้ชัดเจนล่ะ ไม่เหมือนตอนอยู่ที่ตลาดผี ตึกศาลาสัตยพรตสามารถรับประกันให้เขาได้ในระดับหนึ่ง มือของตำหนักสวรรค์แทรกแซงเข้ามาไม่ได้ นี่ก็คือรากฐานที่ตึกศาลาสัตยพรตสามารถรวบรวมตลาดซื้อขายที่ตลาดผีได้

“ถ้าไม่อย่างนั้น ข้าลดขนาดลงก็ได้ สักสิบร้านเป็นยังไง?” เหมียวอี้ต่อรอง

เฉาหม่านปฏิเสธลูกเดียว “ข้าจะบอกอีกครั้ง ธรรมเนียมก็คือธรรมเนียม คนของจวนแม่ทัพภาคไม่อาจยื่นมือเข้าไปแทรกแซงการค้าในตลาดผีได้ อย่าว่าแต่สิบร้านเลย ต่อให้เป็นร้านเดียวก็ไม่ได้ ไม่มีทางเหลือให้ต่อรอง! ถ้าเริ่มผ่อนผันให้ท่าน ต่อไปถ้าที่นี่เปลี่ยนแม่ทัพภาค พวกเขาก็จะยกท่านมาเป็นข้ออ้าง แล้วข้าจะสกัดขวางมือของตำหนักสวรรค์ที่ยื่นมาที่นี่ได้ยังไงล่ะ?”

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว อีกฝ่ายอธิบายเหตุผลชัดเจนขนาดนี้ สงสัยช่องทางนี้จะไม่สะดวกแล้วจริงๆ หลังจากในหัวรีบคิดหาวิธี สุดท้ายก็เอ่ยปากขอร้องอีกฝ่าย “เถ้าแก่ ช่วยอะไรข้าอีกสักนิดได้มั้ย?”

“อะไร?” เฉาหม่านถามเสียงเย็น

เหมียวอี้นั่งโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย “ช่วยคุยกับราชินีสวรรค์ให้สักหน่อยว่าจะช่วยได้หรือไม่ ข้าไม่ต้องการกำลังพลที่ตลาดผีแล้ว ไม่ต้องส่งคนมาที่นี่แล้ว ข้าจะเป็นแม่ทัพภาคโดดเดี่ยว ให้อำนาจข้าตัดสินใจด้วยตัวเองก็พอ”

แม่ทัพภาคโดดเดี่ยว? นี่จะมาไม้ไหนอีก? เฉาหม่านงงไปชั่วขณะ ก่อนจะถามว่า “อำนาจในการตัดสินใจด้วยตัวเองคืออะไร?”

เหมียวอี้ตอบว่า “อนุญาตให้ข้ารับนักพรตอิสระมาทำงานให้จวนแม่ทัพภาคในนามของจวนแม่ทัพภาค แบบนี้สามารถช่วยตำหนักสวรรค์ประหยัดค่าจ้างได้เยอะเลย ใช่มั้ยล่ะ?”

ในหัวของเจ้าหนุ่มนี่มันคิดบ้าอะไรของมัน? เฉาหม่านครุ่นคิด แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ พบว่าตัวเองค่อนข้างโง่ ไม่น่าเชื่อว่าจะตามความคิดของเจ้าหนุ่มนี่ไม่ทัน จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ “หรือว่ารับนักพรตอิสระมาทำงานให้จวนแม่ทัพภาคแล้วจะไม่ต้องจ่ายเงินเลี้ยง? ถ้าไม่มีทรัพยากรฝึกตนแล้วใครจะมาทำงานให้? ตำหนักสวรรค์ดึงกำลังพลให้ท่าน อย่างน้อยท่านก็ไม่ต้องควักเงินกระเป๋าตัวเองมาจ่ายค่าจ้างพื้นฐานไม่ใช่เหรอ?”

เหมียวอี้ตอบว่า “กำลังพลที่ดึงมาจากตำหนักสวรรค์ทำงานได้แค่ในตลาดผี ถ้าส่งออกไปทำอะไรก็จะเกินขอบเขตได้ง่าย แต่กำลังพลที่ข้าหามาเองสามารถส่งออกไปทำงานข้างนอกหรือไม่ก็ทำธุรกิจสร้างกำรให้ข้าได้ ทำอะไรแค่นี้ไม่ได้เหรอ?”

“…” เฉาหม่านพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง แต่ในหัวเกิดแสงสว่างฉับพลัน หรือว่าเจ้าหนุ่มนี่จะฉวยโอกาสดึงอำนาจที่อยู่เบื้องหลังออกมา?

เขายกถ้วยน้ำชาขึ้นช้าๆ พร้อมกล่าวอย่างเนิบนาบ “เดิมทีท่านก็อยู่ในสังกัดตำหนักนารีสวรรค์โดยตรง รายงานไปที่ตำหนักนารีสวรรค์โดยตรงก็สิ้นเรื่องแล้ว มาหาข้าถือว่าเกินความจำเป็นไปหน่อย”

คำตอบเหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เหมียวอี้เข้าใจแล้ว จึงยืนขึ้นกุมหมัดคารวะ พร้อมกล่าวปนเสียงหัวเราะ “เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน รอให้เรื่องเปลี่ยนอาณาเขตกับวัดพระกษิติครรภ์เรียบร้อยแล้ว ข้าก็จะจัดการเรื่องนี้ทันที ส่วนเจ้าสวีถังหรานนั่นก็เหลวไหลเกินไปแล้ว เดี๋ยวกลับไปข้าจะสั่งให้เขากลับเนื้อกลับตัวเลย!”

…………………………

ซ่างกวนชิงกำลังจ้องซือหม่าเวิ่นเทียนที่ก้มหน้าก้มตาพลางครุ่นคิด เรื่องบางเรื่องฝ่าบาทตัวอยู่ในสถานการณ์จึงมองไม่กระจ่าง แต่เขาเฝ้าดูวังสวรรค์มานานขนาดนี้ ทำให้รู้แจ้งเห็นจริงว่าสถานการณ์ระหว่างขุนนางทั้งข้างล่างข้างบนเป็นอย่างไร ที่จริงผู้ที่รายงานข่าวได้ถูกรสนิยมฝ่าบาทก็คือเกาก้วนของหน่วยตรวจการขวา แบบนี้ไม่สอดคล้องกับลักษณะการทำงานของซือหม่าเวิ่นเทียนของหน่วยตรวจการซ้าย ปกติแล้วข่าวประเภทนี้ล้วนถูกซือหม่าเวิ่นเทียนกดเอาไว้หมด ทำไมครั้งนี้ถึงรายงานขึ้นมาแล้วล่ะ?

ไม่นานเขาก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้ กวาดสายตามองเศษฝุ่นบนพื้นที่เกิดขึ้นหลังจากประมุขชิงบีบแผ่นหยก นึกถึงรายงานสองฉบับที่ส่งขึ้นมาพร้อมกัน ในดวงตาฉายแววแดกดันเล็กน้อย นี่เป็นการยื่นลูกท้อยื่นลูกสาลี่ชัดๆ[1]!

ในขณะนี้เอง คำพูดของโพ่จวินก็กระแทกออกมา ราวกับเสียงฟ้าผ่าทะลุหู ทำให้เขางงเป็นไก่ตาแตก มองโพ่จวินอย่างตะลึงงัน พร้อมด่าในใจว่า ตาแก่นี่จะปล่อยให้ฝ่าบาทดีใจสักหน่อยไม่ได้เหรอ? เจ้าไม่ต้องอยู่ข้างกายฝ่าบาทนานๆ นี่ แต่พวกเราต้องอยู่ข้างกายฝ่าบาทตลอด ถ้าฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา เจ้ารู้มั้ยว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร? ตาแก่เวรตะไลที่สมควรโดนฟันพันดาบ!

ซือหม่าเวิ่นเทียนมุมปากกระตุกเล็กน้อย เอียงหน้ามองโพ่จวินเช่นกัน เจ้าเฮงซวยนี่อุดปากตัวเองไม่อยู่อีกแล้ว!

โพ่จวินโยนแผ่นหยกให้อู๋ฉวี่ที่อยู่ข้างกันอย่างดูถูกเหยียดหยาม ทำเหมือนเป็นของสกปรกอะไรสักอย่าง

อู๋ฉวี่รับของมาอย่างปวดประสาท ขณะที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอ่านเนื้อหาในแผ่นหยก ก็เหล่ตามองโพ่จวินไปด้วย ในใจแอบทอดถอนใจ ทำไมตาแก่เจ้าอารมณ์นี่ต้องหาเรื่องลำบากใส่ตัว!

เมื่อมองปฏิกิริยาของประมุขชิงอีกครั้ง ก็เป็นอย่างที่คาดไว้ สีหน้าประมุขชิงดำมืดลงแล้ว ระเบิดอารมณ์อย่างฉับพลัน ชี้หน้าโพ่จวินพร้อมแหกปากด่า “ตาแก่น่าตาย คนที่สละชีวิตทำงานให้ข้าเป็นขุนนางโฉดกันหมด ในใต้หล้ามีเจ้าคนเดียวที่เป็นขุนนางจงรักภักดีหรือไง?”

เพิ่งจะได้เห็นพฤติกรรมเกาก้วนที่จวนตระกูลโค่ว เรียกได้ว่าฉีกหน้าโค่วหลิงซวีได้ถึงอกถึงใจ แสดงอำนาจบารมีของประมุขชิงเต็มที่ ทำให้อารมณ์อัดอั้นตันใจเนื่องจากแผนที่เปลี่ยนแปลงของเขาดีขึ้นไม่น้อย ใครจะคิดว่ายังไม่ทันได้ดีใจ ก็ถูกน้ำเย็นสาดใส่หน้าเสียแล้ว รสชาตินั้นช่าง…

โพ่จวินยืดคอเถียงกลับทันที “ตอนนี้สถานการณ์อ่อนไหว ควรจะคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมของฝ่าบาท แต่เกาก้วนกลับยอมทำเรื่องที่กระตุ้นความขัดแย้งเพื่อสายลับคนเดียว บางทีอาจจะแค่เพื่อเอาใจฝ่าบาท แต่กลับมีโอกาสทำให้ใต้หล้ามีเลือดนองกลายเป็นแม่น้ำได้ ทำให้ใต้หล้าที่ฝ่าบาทลำบากไขว่คว้ามาเกิดความวุ่นวายใหญ่โต แบบนี้ไม่เรียกว่าขุนนางหน้าซื่อใจคดหรอกหรือ? แค่เอาใจฝ่าบาทเป็นก็ถือเป็นขุนนางจงรักภักดีกันหมดแล้วหรือไง!”

พอประมุขชิงเจอกับคำพูดของเจ้าหมอนี่ก็ข่มไฟโกรธไม่ไหวทันที ตะคอกอย่างเดือดดาลว่า “เสี่ยงชีวิตไปทำเรื่องนี้ ในสายตาเจ้าเป็นแค่การเล่นละครเอาใจข้างั้นเหรอ? อีกฝ่ายเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายเพื่อคนในหน่วยงานตัวเอง แต่ปากเจ้ากลับพูดซะแย่ขนาดนี้! ข้าถามเจ้าหน่อย ในปีนั้นตอนเจ้าปกป้องหนิวโหย่วเต๋อก็กำลังเล่นละครเหมือนกันใช่มั้ย?”

โพ่จวินตอบว่า “สองเรื่องนี้ไม่อาจนำมาเทียบกันได้เลย ฝ่าบาทแต่งงานรับจ้านหรูอี้เป็นสนมสวรรค์ ที่บอกว่าคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมอะไรนั่นล้วนเป็นคำพูดเหลวไหล สุดท้ายก็กลายเป็นความปรารถนาส่วนตัวอยู่ดี หนิวโหย่วเต๋อด่าได้ถูกต้อง ข้างกายฝ่าบาทขาดคนที่กล้าพูดความจริง ถ้าเขาตายไปจะไม่น่าเสียดายหรอกหรือ! พอพูดถึงเรื่องนี้ ข้าน้อยก็จำเป็นต้องพูด ฝ่าบาท ท่านน่ะอยู่ในวังมานาน ถ้าข้างกายไร้คนจริงใจก็จะถูกตบตาได้ง่าย ทุกคนล้วนเอาใจฝ่าบาท ไม่มีใครกล้าพูดความจริงสักคน ถ้าเป็นอย่างนี้นานไปจะไม่แย่หรอกหรือ? ฝ่าบาทตำแหน่งสูงสุดในใต้หล้า มีคนประจบสอพลอเยอะเกินไป ทำให้เลอะเลือนได้ง่าย! ในวังหลังต้องมีผู้หญิงที่ช่วยเบิกเนตรฝ่าบาทจริงๆ สักคน เป็นคนที่สามารถโน้มน้าวฝ่าบาทได้ ไม่ทำให้ฝ่าบาทคิดเองเออเอง ผู้หญิงที่ยึดมั่นใจปณิธานตัวเอง เป็นผู้หญิงที่สามารถดึงสติฝ่าบาทได้ทุกเมื่อ เป็นผู้หญิงที่พูดจาไม่น่าฟังแต่หวังดีต่อฝ่าบาทเสมอ ไม่ใช่ผู้หญิงที่อาศัยแต่น้ำเสียงกับสีหน้าทำให้ฝ่าบาทสำราญ…”

เมื่อได้ยินคำว่าคิดเองเออเอง ยึดมั่นใจปณิธานตัวเอง ประมุขชิงก็เบิกตาโพลง แบบนี้เท่ากับด่าเขาต่อหน้าธารกำนัล เขามองซ้ายมองขวา รอบข้างกลับว่างเปล่า หาของอะไรมาทุ่มใส่คนไม่ได้ สุดท้ายจึงชี้หน้าโพ่จวินตัดบทให้เลิกพูดพล่อย แล้วคำถามเสียงดังอย่างเกรี้ยวกราด “ไสหัวไป!”

โพ่จวินยังไม่ยอมหุบปาก อู๋ฉวี่ที่อยู่ข้างกันจึงลงมือห้ามโพ่จวิน กอดโพ่จวินที่ยืนตรงให้เดินไป เพราะวันนี้ด่าเกินไปแล้วจริงๆ ถ้าปล่อยให้อยู่ต่อไปประมุขชิงอาจจะชักดาบออกมาฟันได้

“ตาแก่ปัญญาทึบ! ตาแก่น่าตาย…” ประมุขชิงชี้เขาที่ถูกรวบตัวไปพร้อมด่าไม่หยุด โมโหจนหน้าแดงแล้ว

ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างกวนชิงปาดเหงื่อ นี่ก็คือโพ่จวิน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาด่าฝ่าบาทอย่างนี้ เกรงว่าคงโดนฟันหัวหลุดแล้ว เดชานุภาพสวรรค์จะถูกจาบจ้วงได้ง่ายๆ ได้อย่างไร โพ่จวินสามารถรอดไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่าก็นับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ประมุขชิงที่โมโหกระฟัดกระเฟียดถึงได้สงบลง แล้วแสยะยิ้มบอกว่า “ซ่างกวน ทำป้ายคำสั่ง ‘บัญชาใต้หล้า’ ขึ้นมา ข้าจะแจกให้เกาก้วนต่อหน้าทุกคนตอนประชุมราชสำนัก!”

ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างกวนชิงสบตากันแวบหนึ่ง นับว่าเข้าใจแล้ว ว่าฝ่าบาททำแบบนี้เพราะ ‘โค่วหลิงซวีบอกว่าคำสั่งนี้เป็นคำพูดปากเปล่าของทูตขวาเกา’

ซ่างกวนยังดีหน่อย คิดเพียงว่าวิธีการของเกาก้วนได้ใจราชันสวรรค์ไปอย่างลึกซึ้ง ได้อำนาจเพิ่มขึ้นอีกขั้น เกรงว่าในการสืบคดีต่อจากนี้จะไร้ความเกรงกลัวยิ่งกว่าเดิมแล้ว

ซือหม่าเวิ่นเทียนกลับแอบร้องในใจอย่างขื่นขม การที่ตัวเองยื่นหมู่ยื่นแมว ทำไมกลายเป็นทุ่มหินใส่เท้าตัวเองไปเสียแล้วล่ะ ตอนนี้สมมติถ้าเกาก้วนจะบุกหน่วยตรวจการซ้ายของตน ตนยังจะหาข้ออ้างอะไรมาขัดขวางได้อีก หลังจากนี้ถ้าเกาก้วนถือป้ายคำสั่งฝืนบุกเข้ามา ตัวเองยังจะมีความสามารถหรือความกล้าใดขัดขวางอีก? อีกทั้งยังเหมือนกดหน่วยตรวจการซ้ายไม่ให้โดดเด่นด้วย

สำหรับประมุขชิง กลับคำนึงถึงอีกอย่าง ในเมื่อเป็นดาบดี ก็ต้องลับให้คมแล้วใช้งาน โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์อย่างนี้!

ภูเขาเขียวน้ำใส ทิวทัศน์ธรรมชาติงดงาม คฤหาสน์กำแพงแดงกระเบื้องน้ำเงินหลังหนึ่ง

สายฝนพรำกระทบใบกล้วยนอกหน้าต่างไม่ขาดสาย เผยโม่เอนกายอยู่บนเก้าอี้นอน บนตัวห่มผ้าห่มผืนบาง กำลังมองทิวทัศน์ด้านนอก ฟังเสียงเม็ดฝนหยดบนชายคา ได้อารมณ์ไปอีกแบบ

บนบันไดไม้มีเสียงฝีเท้าเดินขึ้นมา เขาไม่ได้สนใจ นึกว่าเป็นลูกน้องที่คอยปรนนิบัติ หลังจากถูกช่วยชีวิตกลับมาจากตระกูลโค่ว เขาก็ถูกหน่วยตรวจการขวาส่งตัวมาพักรักษาตัวอย่างสงบที่คฤหาสน์ในโลกมนุษย์ ที่นี่มีแต่มนุษย์ธรรมดา ไม่มีใครรู้ถึงตัวตนของเขา ถึงแม้สภาพแวดล้อมจะไม่ได้งดงามเหมือนแดนสวรรค์ แต่ดีที่สงบเงียบไร้การยินดียินร้ายในลาภยศ ทำให้คนอารมณ์สงบได้ง่าย เหมาะสมกับการพักผ่อนรักษาบาดแผลเป็นพิเศษ

เงาคนที่ปรากฏตรงหน้าบังสายตาของเขาที่กำลังมองไปนอกหน้าต่าง ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นชายเคราหยิกคนหนึ่ง มนุษย์ธรรมดาอาจมองไม่ออก แต่นักพรตแค่มองใบหน้าที่ไร้ชีวิตชีวาและเลือดเนื้อปราดเดียวก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายสวมหน้ากากปลอม

“หา! ท่านบุรุษ ท่านมาได้ยังไง…” เผยโม่ตกใจ แล้วพยายามลุกขึ้นทันที

ชายเคราหยิกยกฝ่ามือกด พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งกดเขาให้นอนกลับลงไป แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าบาดเจ็บสาหัส ไม่ต้องมากพิธี นอนลงเถอะ เรื่องในครั้งนี้อันตรายมาก ให้เจ้าเสี่ยงชีวิตไปทำ จนเจ้าบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ลำบากเจ้าแล้ว”

เผยโม่รีบบอกว่า “บาดเจ็บเล็กน้อยไม่เป็นอุปสรรคมากมาย บำรุงไม่นานเดี๋ยวก็ฟื้นฟูแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้โชคดีพ้นเคราะห์มาได้ ก็เพราะทูตตรวจการขวาเกาก้วนปรากฏตัวทันเวลา ถ้าไม่ใช่เพราะเขามาทวงคนที่จวนตระกูลโค่วด้วยตัวเอง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจวนตระกูลโค่วจะไว้หน้าหน่วยตรวจการขวาปล่อยผู้น้อยหรือไม่ เกรงว่าผู้น้อยคงไม่มีโอกาสมาเจอท่านบุรุษอีกแล้ว ในจุดนี้ ผู้น้อยจำเป็นต้องยอมรับ ว่าเกาก้วนปฏิบัติต่อพี่น้องหน่วยตรวจการขวาดีจริงๆ ทุกคนยอมศิโรราบเขาแล้ว เรื่องที่ท่านบุรุษฝากฝัง ข้าว่าใกล้จะสำเร็จแล้ว พอข้าพูดสิ่งที่ท่านบุรุษชี้แนะได้ไม่นาน ถังเฮ่อเหนียนก็ปรากฏตัวแล้ว ข้าเห็นปฏิกิริยาของเขา เหมือนจะได้ยินแล้ว คาดว่า…”

ชายเคราหยิกโบกมือตัดบท “ไม่ต้องพูดรายละเอียดแล้ว ข้ารู้เรื่องนี้หมดแล้ว ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก”

รู้แล้วเหรอ? เผยโม่แอบตกใจ ท่านนี้เป็นใครกันแน่?

เขาข่มกลั้นความสงสัยไว้ในใจ “ท่านบุรุษมีอะไรจะกำชับ แค่ใช้ระฆังดาราติดต่อมาโดยตรงก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเอง ถ้าถูกคนจับได้เกรงว่าจะส่งผลต่อความปลอดภัยของท่านบุรุษ”

ชายเคราหยิกถอนหายใจ “ที่ข้าเผยตัวมาครั้งนี้ก็เพราะตั้งใจมาเยี่ยมเจ้า เรื่องที่ข้าสั่งให้เจ้าทำครั้งนี้ ในใจข้ารู้สึกผิดจริงๆ เรื่องราวเร่งด่วนถึงได้เกิดกลยุทธ์ชั้นต่ำขึ้นเพราะไม่มีทางเลือก” ขณะที่พูดก็วางกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งบนหน้าอกเผยโม่ “ทรัพยากรฝึกตนเล็กน้อยเพื่อแทนคำขอโทษ”

เผยโม่รีบปฏิเสธ “ไม่ต้องขอรับๆ ครั้งก่อนที่ท่านบุรุษให้ก็เพียงพอให้เผยโม่ใช้ได้นานแล้ว ไม่ต้องสิ้นเปลืองอีกแล้ว”

ชายเคราหยิกดันกลับไป “ข้างในมีของวิเศษชิ้นหนึ่ง ยามหน้าสิ่วหน้าขวานสามารถช่วยปกป้องชีวิตเจ้าได้ เก็บไว้เถอะ ไม่ต้องปฏิเสธอีก ข้ายังมีธุระ ไม่สะดวกจะอยู่นาน บอกลากันตรงนี้ เจ้ารักษาตัวอย่างสงบใจเถอะ”

เผยโม่กำลังจะลุกขึ้นนั่งเพื่อน้อมส่ง แต่ชายเคราหยิกยื่นมือกดบ่าให้เขานอนลง แล้วเงาร่างก็ถลันหายไปท่ามกลางม่านฝนนอกหน้าต่างราวกับสายลม

เผยโม่ถือกำไลเก็บสมบัติอึ้งอยู่นานมาก…

“ในที่สุดก็ถอนทัพแล้วเหรอ?”

ตลาดสวรรค์ ผู้จัดการร้านคนหนึ่งคว้าแขนคนงานที่วิ่งเข้ามารายงานสถานการณ์

พนักหน้าพยักหน้าซ้ำๆ “ใช่แล้วขอรับ ทัพที่ตั้งอยู่ตรงประตูดวงดาวถอนออกไปแล้ว บอกว่าฝึกกำลังพลเสร็จแล้ว ต้องกลับแล้ว”

“งั้นก็ดี งั้นก็ดี ถ้าฝึกกำลังพลจริงๆ ก็ดี ทำเอาข้านึกว่าจะมีการก่อกบฏ ถ้าเกิดภาวะสงครามขึ้นมา อย่าว่าแต่การค้าขายเลย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็มีโอกาสเกินได้ทั้งนั้น ในปีนั้นที่บุกยึดใต้หล้าก็ไม่รู้ว่ามีคนเข้าไปเกี่ยวข้องตั้งเท่าไร ได้ยินว่ามีคนตายนับไม่ถ้วน” ผู้จัดการร้านเอามือตบอกถอนหายใจแรง

“ถอนทัพแล้ว ถอนทัพแล้ว การฝึกจบลงแล้ว”

ในอดีตรุ่งเรืองไร้ที่เปรียบ ตอนนี้กลายเป็นถนนที่ซบเซาแล้ว แต่ก็มีคนวิ่งมาร้องตะโกนด้วยความดีใจอีก

ไม่นานเสียงหัวเราะพูดคุยบนถนนก็ดังเป็นแถบ ส่วนใหญ่เป็นคนของร้านค้าต่างๆ เพราะบนถนนไม่มีแขก

พลทหารที่เฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองโล่งอกมาก เอนกายลงกับพื้นทั้งๆ ที่สวมเกราะรบ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าตกใจแทบตายแล้ว”

ทหารสวรรค์ที่เข้ามาล้อมรอบกายพากันนั่งลงแล้วหัวเราะลั่น ตอนนี้ตลาดสวรรค์ถูกควบคุมโดยตำหนักสวรรค์ ถ้าเกิดกบฏจริง ทหารตัวเล็กตัวน้อยในตลาดสวรรค์อย่างพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะมีจุดจบเป็นอย่างไร สรุปก็คือไม่ว่าตลาดสวรรค์จะถูกควบคุมโดยตำหนักสวรรค์หรืออำนาจท้องถิ่น ถ้าเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นพวกเขาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ล้วนเป็นเป้าหมายให้ฝ่ายตรงข้ามปล้นฆ่า

ตลาดผี หลังจากได้ยินข่าวเกาก้วนจากอวิ๋นจือชิวส่ง เหมียวอี้ก็ถอนหายใจอย่างตกตะลึง เจ้าเวรเกาก้วนนี่ช่างเป็นสุนัขรับใช้ของประมุขชิงจริงๆ เจ๋งเกินไปแล้ว ทำเรื่องแบบนี้ได้เป็นปกติเกินไป ไม่ต้องแปลกใจเท่าไรเลย สาเหตุที่เขาทึ่งจริงๆ ก็คือนึกไม่ถึงว่าเกาก้วนจะกล้าฉีกหน้าโค่วหลิงซวีอย่างนี้ ขนาดอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นยังไม่กลัวตายอีก

เขาไม่เก็บเรื่องแบบนี้มาใส่ใจ เขามีอีกเรื่องต้องทำ เขามาที่ตึกศาลาสัตยพรต เป็นฝ่ายมาขอดื่มน้ำชากับเฉาหม่าน

…………………………

[1] ยื่นลูกท้อยื่นลูกสาลี่ 投桃报李 หมายถึงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน

ลูกหลานตระกูลโค่วที่ดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆ กำลังมองเงาร่างสวมผ้าคลุมบ่าสีดำเดินก้าวยาวผ่านลานกว้างไป เรียกได้ว่าเกิดความรู้สึกใหม่ พบว่าไปมีเรื่องกับผู้พิพากษาหน้านิ่งท่านนี้ไม่ไหวจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะสังหารเข้ามาถึงประตูบ้านของตระกูลโค่วแล้ว แม้แต่นายท่านก็ยังต้องยอมถอยให้สามฉื่อ

แน่นอน ทุกคนก็เข้าใจได้เช่นกัน ว่าหากจะลงมือสู้กันในรังของตระกูลโค่ว นายท่านก็ไม่เหตุผลให้กลัวเกาก้วน เห็นได้ชัดว่ามีเหตุผลอย่างอื่นอีก

อวิ๋นจือชิวที่อยู่ท่ามกลางสมาชิกครอบครัวผู้หญิงก็มองตามเงาร่างเกาก้วนเช่นกัน วันนี้นับว่าได้รับรู้ถึงความอันธพาลของผู้พิพากษาหน้านิ่งท่านนี้แล้ว!

ไม่ว่าจะอย่างไร สภาพตึงเครียดที่เพิ่งตั้งลูกธนูไว้บนสายเมื่อครู่นี้ก็หายไปแล้ว ทุกคนแอบโล่งอก

โค่วเชี่ยนที่รู้สึกบีบหัวใจอยู่ตั้งนานรียเดินมาหาชูเจี้ยนสามีของตัวเอง

ชูเจี้ยนที่อยู่ในชุดเกราะเห็นสายตาลูกน้อง จึงหันกลับไปมอง อ่านสายตาของโค่วเชี่ยนออกว่าซ่อนความจนใจเอาไว้ แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่น…

วังสรรค์ อุทยานสายัณห์ บนตึกศาลา ประมุขชิงยืนอยู่บนที่สูง กำลังพิงรั้วทอดสายตามองไปไกล แววตาดูเปล่าเปลี่ยวเงียบเหงา

ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างกายเขารู้ว่าช่วงนี้เขาอารมณ์ไม่ดี เดิมทีบางสิ่งนั้นยังสามารถปิดบังได้แต่ภายนอก ตอนนี้แม้แต่ชุดชั้นในปิดบังความอับอายจุดสุดท้ายก็ฉีกขาดแล้ว ที่จริงสี่อ๋องสวรรค์กำลังใช้กำลังทางทหารสร้างความมั่นคงให้ตัวเองมาตลอด ทว่าในที่สุดครั้งนี้ก็เปิดเผยสู่ภายนอกแล้ว ทำให้ฝ่าบาทสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร

ที่จริงตามหลักแล้วก็จะโทษสี่อ๋องสวรรค์ไม่ได้ ในปีนั้นตอนที่ล้มหกปราชญ์ กำลังพลของฝ่าบาทก็มีไม่เยอะ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือยังมีอำนาจไม่มาก และไม่มีทางขยายอำนาจมากเกินไปยามอยู่ใต้หนังตาหกปราชญ์ได้ ดังนั้นตอนก่อปฏิวัติจึงต้องพันธมิตรเร่งด่วน ในปีนั้นพวกฝ่าบาทสัญญากับสี่อ๋องสวรรค์ว่าจะเสพสุขใต้หล้าร่วมกัน รับปากแล้วว่าจะแบ่งอาณาเขตให้พวกเขาปกครอง สร้างตำหนักสวรรค์ขึ้นมาโดยใช้รูปแบบอ๋องครองแคว้น ส่งเสริมให้พวกเขาดึงกำลังพลไปทั่วทุกที่ ทว่าหลังจากเสร็จเรื่องแล้วพวกฝ่าบาทกลับพูดอย่างทำอย่าง

ตอนแรกก็อ้างว่าใต้หล้ายังไม่สงบ จึงรวมศูนย์บัญชาการเพื่อกวาดล้างโจรกบฏ จนกระทั่งดึงประมุขพุทธะเข้ามากำหนดแนวโน้มสถานการณ์และรวบรวมอำนาจได้มหาศาล กำลังพลกองทัพองครักษ์ในมือใช้การได้ ประมุขไป๋เดินทางไปทั่วแล้วดึงกำลังพลของประมุขปีศาจเข้ามาอีก ก็ทำให้เขาแปรพักตร์เบี้ยวสัญญาทันที แบ่งอาณาเขตให้ปกครองอะไรกัน เป็นเรื่องล้อเล่นสินะ?

ภายใต้การใช้อำนาจกดข่ม จึงเกิดเป็นแบบจำลองอย่างทุกวันนี้ หลังจากทำให้ผลประโยชน์ของสี่อ๋องสวรรค์มีเสถียรภาพแล้ว ก็ร่วมมือกับสี่อ๋องสวรรค์ข่มตระกูลเซี่ยโห้วที่เคยสนับสนุนตนอีก กดดันให้ตระกูลเซี่ยโห้วส่งมอบสมาคมวีรชนให้ ตัดขาดอำนาจทางทหารทั้งหมดในฉากหน้าของตระกูลเซี่ยโห้ว กวาดล้างอำนาจในที่แจ้งของตระกูลเซี่ยโห้วจนหมดเกลี้ยง

จากนั้นก็อ้างอีกว่าประมุขไป๋และประมุขปีศาจไม่มีขอบเขตอำนาจอะไร บอกว่าทั้งสองมีเจตนาจะแบ่งขอบเขตอำนาจกันใหม่ ความคิดคร่าวๆ ก็คือต้องการจะตัดแบ่งขอบเขตอำนาจของสี่อ๋องสวรรค์ให้ออกมาเป็นหนึ่งขอบเขตอำนาจ สี่อ๋องสวรรค์ย่อมไม่หวังให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นอยู่แล้ว และฝ่าบาทก็รับปากตระกูลเซี่ยโห้วอีกว่าจะแต่งตั้งเซี่ยโห้วเฉิงอวี้เป็นราชินีสวรรค์ อำนาจหลายฝ่ายจึงแอบร่วมมือกัน จู่ๆ ก็มีการกลั่นแกล้ง สุดท้ายก็ทำให้อำนาจของประมุขไป๋กับประมุขปีศาจสลายไปหมดแล้ว

ทว่าการปรับอำนาจในใต้หล้าของฝ่าบาทกลับยังไม่หยุด หลังจากกลั่นแกล้งครั้งแล้วครั้งเล่า สี่อ๋องสวรรค์ก็เรียนรู้ที่จะว่านอนสอนง่ายแล้วเช่นกัน เริ่มเกาะกลุ่มปรองดองกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง รู้ว่าไม่ว่าตระกูลไหนล้มลง ก็จะถึงคราวที่อีกตระกูลจะซวยตามกันไป สุดท้ายจึงเกิดเป็นรูปแบบของใต้หล้าอย่างที่เห็น

และครั้งนี้ที่จริงก็ไม่นับว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ตอนนี้รูปแบบของใต้หล้าชัดเจนขึ้นก็เท่านั้นเอง

การมาของซือหม่าเวิ่นเทียนทำลายความเงียบสงบบนตึกศาลาสูง ซ่างกวนชิงเอียงหน้ามองซือหม่าเวิ่นเทียนที่เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา พบว่าซือหม่าเวิ่นเทียนดูมีชีวิตชีวาพอสมควร

ซือหม่าเวิ่นเทียนดูมีชีวิตชีวาจริงๆ ต้องยอมรับสิ่งที่ซ่างกวนชิงบอก ว่าเกาก้วนมีกึ๋นจริงๆ หน่วยตรวจการซ้ายยังไม่ทันสืบเจอว่าเกิดปัญหาตรงไหนกันแน่ แต่เกาก้วนสืบเจอเรื่องที่เกิดขึ้นที่น้ำพุวังเวงแล้ว ขณะเดียวกันก็เจอผลลัพธ์คร่าวๆ แล้ว

ครั้งนี้ติดหนี้น้ำใจเกาก้วนใหญ่หลวง เกาก้วนทำตามสัญญาโดยมอบผลลัพธ์ที่สืบได้ให้เขา บอกว่าผลลัพธ์ที่สืบได้อาจหยาบไปบ้าง ให้เขาไปหารายละเอียดอีกที จะได้ไม่ผิดพลาด เขาย่อมให้สายลับของแต่ละบ้านตรวจสอบความจริงทันที พบว่ากำลังพลออกล่าที่น้ำพุวังเวงของแต่ละบ้านหายไปแล้ว ไม่ได้ปรากฏตัวอีก และเขาก็จับพยานที่น้ำพุวังเวงชั้นห้ามาพิสูจน์ข่าวของเกาก้วนได้แล้ว

“ฝ่าบาท สืบทราบสาเหตุของเรื่องนี้ได้แล้วขอรับ” หลังจากซือหม่าเวิ่นเทียนทำความเคารพ ก็ใช้สองมือมอบแผ่นหยกสองแผ่นให้ “เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะออกล่าที่น้ำพุวังเวง กำลังพลออกล่าถูกกำลังพลตำหนักสวรรค์กลุ่มใหญ่โจมตี ถ้าข่าวไม่ผิดพลาด ลูกหลานของขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ไล่ตั้งแต่อ๋องสวรรค์มาจนถึงเทพประจำดาวแทบจะตายที่น้ำพุวังเวงกันหมด กำลังพลหลายหมื่นที่ออกล่าที่น้ำพุวังเวงก็ตายหมดเช่นกัน และตามที่พยานเห็น กำลังพลที่โจมตีสวมชุดเกราะของตำหนักสวรรค์ ในมือถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เหมือนจะเป็นกองทัพองครักษ์ คนที่หน่วยตรวจการซ้ายส่งไปตรวจสอบที่เกิดเหตุก็พบร่องรอยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากเช่นกัน หลังจากจบเรื่องสี่อ๋องสวรรค์คงจะเข้าใจผิดว่าฝ่าบาทบงการ ถึงได้เคลื่อนไหวระดมพลครั้งใหญ่”

“กองทัพองครักษ์?” ประมุขชิงที่รับแผ่นหยกมาไว้ในมือโมโหแล้ว ถามเสียงดังว่า “เป็นกองทัพองครักษ์ทำเหรอ?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “กำลังพลที่โจมตีน่าสงสัย ถึงแม้จะเลียนแบบกองทัพองครักษ์ แต่กลับปิดบังใบหน้า ข้าน้อยตรวจสอบกับกองทัพองครักษ์แล้ว ช่วงนี้กองทัพองครักษ์ไม่ได้มีกำลังพลกลุ่มไหนไปที่น้ำพุวังเวงเลย และในบรรดากำลังพลออกล่าทั้งหมด ก็มีเพียงกำลังพลของตระกูลเซี่ยโห้วที่ไม่เป็นอะไร เมื่อนำเบาะแสต่างๆ มารวมกันเพื่อตัดสิน เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่พ้นเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว”

ประมุขชิงรีบตรวจอ่านแผ่นหยกในมือ พร้อมถามว่า “ตระกูลเซี่ยโห้วจะเอาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาจากไหนมากมายขนาดนั้น?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “ฝ่าบาทลืมเครื่องแบบชุดนั้นที่ทะเลดาวสับสนแล้วหรือ? จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีเบาะแส ในใต้หล้านี้ ผู้ที่สามารถเอาอาวุธชุดนั้นไปได้อย่างเงียบเชียบ เกรงว่าจะมีอยู่ไม่มาก ตระกูลเซี่ยโห้วมีความสามารถนี้แน่นอน เมื่อนำเบาะแสแต่ละอย่างมารวมกัน เกรงว่าอาวุธชุดนั้นจะตกอยู่ในมือตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว!”

หลังจากประมุขชิงอ่านรายงานอย่างละเอียดแล้ว สีหน้าก็ดำมืดลง เรียกได้ว่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “ขุนนางชั่วมักใหญ่ใฝ่สูง! ข้าดูแลตระกูลเซี่ยโห้วไม่ขาดตกบกพร่อง บังอาจมารังแกข้าอย่างนี้!” เสียงดังแกร๊ก แผ่นหยกในมือแตกเป็นผุยผง

ซือหม่าเวิ่นเทียนเงียบแล้ว ถึงอย่างไรครั้งนี้เขาก็รอดตัวไปอย่างราบรื่น

ซ่างกวนชิงแอบตกตะลึง พบว่าตระกูลเซี่ยโห้วโหดมากทีเดียว ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทยังเรียกเซี่ยโห้วท่าเข้าวังอยู่เลย ตระกูลเซี่ยโห้วแสดงท่าทีชัดเจนว่าจะยืนข้างฝ่าบาท แต่เบื้องหลังกลับไปรวมหัวกับสี่อ๋องสวรรค์ข่มฝ่าบาท หลังจากฉีกผ้าที่ปิดบังความน่าอายของตำหนักสวรรค์ออกแล้ว ยังจะทวงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านจากตำหนักสวรรค์อีก ช่างดีนัก พอกลับมาสืบหาความจริง ก็พบว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะอุบายเจ้าเล่ห์ของตระกูลเซี่ยโห้ว สงสัยตระกูลเซี่ยโห้วจะได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านนั่นไปไว้ในมือตั้งนานแล้ว

แต่จะว่าไปแล้ว ตอนแรกฝ่าบาทก็พูดจาไม่เป็นคำพูดต่อตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกันไม่ใช่เหรอ เกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นขุนนางชั่วมักใหญ่ใฝ่สูงก็ได้

เรื่องนี้เจ้ายังมีวิธีไหนไปหาหลักฐานจากตระกูลเซี่ยโห้วอีกเหรอ คำตอบที่ได้มีเพียง เปล่า! ใส่ร้าย! ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ยอมรับแน่นอน

หลักการก็เหมือนที่สี่อ๋องสวรรค์สงสัยว่าตัวเองถูกกองทัพองครักษ์โจมตีแล้วหาหลักฐานจากฝ่าบาทไม่ได้ ไม่ว่าฝ่าบาทจะทำหรือไม่ก็พิสูจน์ไม่ได้ ต่อให้เป็นฝ่าบาททำ แล้วจะยอมรับเหรอ? ผลที่ตามมาจากการยอมรับนั้นต้องจ่ายสูงมากเพื่อจะชดเชย นั่นไม่ใช่เรื่องที่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านคันจะแก้ไขได้แล้ว

ตอนนี้ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเรื่องราวได้เกิดขึ้นแล้ว ต่อให้สี่อ๋องสวรรค์รู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วทำ แต่ก็ไม่มีทางยอมคายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านที่ตัวเองได้ไปแล้วออกมาหรอก และไม่มีทางที่จะเข้าประชุมราชสำนักให้ตัวเองเข้ามาอยู่ในพื้นที่เสี่ยงอีก จะต้องอาศัยโอกาสนี้แน่นอน พวกเขาจะต้องอาศัยโอกาสที่ฝ่าบาทตอบตกลงทำเรื่องราวบางอย่างให้เป็นจริง ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าจะไม่มีข้ออ้างดีๆ อย่างนี้อีก ที่สำคัญคือต่อให้สี่อ๋องสวรรค์รู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วทำ แต่ก็ทำอะไรตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้อยู่ดี โดยเฉพาะยามที่ต้องการความช่วยเหลือจากตระกูลเซี่ยโห้วตอนนี้

ในขณะนี้เอง โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ที่สวมเกราะรบก็มาพร้อมกัน หลังจากทำความเคารพแล้ว ทั้งคู่ก็สังเกตได้ว่าประมุขชิงเพิ่งบีบแผ่นหยกทิ้ง ทั้งคู่อดไม่ได้ที่จะสบตากัน ไม่รู้ว่าประมุขชิงได้รับรายงานแบบไหนมา แต่แน่ใจได้ว่าไม่ใช่ข่าวดีอะไรแน่นอน

“ฝ่าบาท!” สุดท้ายโพ่จวินก็กุมหมัดคารวะพร้อมรายงาน “เหนือใต้ออกตก สี่ทัพเริ่มถอนกำลังตามบัญชาของฝ่าบาทแล้ว กองทัพองครักษ์กำลังจับตาดูทิศทางการเคลื่อนไหวของสี่ทัพอย่างเข้มงวด”

เรียกได้ว่าเป็นข่าวดี สีหน้าพยับเมฆของประมุขชิงผ่อนคลายลงแล้ว หลังจากเดินออกจากอารมณ์ที่ย่ำแย่แล้ว เขาก็กลับมาสุขุมเยือกเย็น จากนั้นหันตัวไปด้านนอกแล้วถอนหายใจเบาๆ “บุกยึดใต้หล้านั้นง่าย แต่ปกครองใต้หล้านั้นยาก คำกล่าวของคนโบราณไม่ได้หลอกข้า!” ในเสียงถอนหายใจนั้นไม่รู้ว่าแสดงอาการจนใจออกมามากแค่ไหน

เขาไม่มีโอกาสกำจัดสี่อ๋องสวรรค์งั้นเหรอ? ไม่ใช่เลย ก่อนหน้านี้มีโอกาสเยอะมาก แต่เขาไม่อาจทำแบบนี้ได้ง่ายๆ ไม่อย่างนั้นเขาก็สามารถพูดอวดดีได้เลยว่า ต่อให้สี่อ๋องสวรรค์ร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประมุขชิง เขาคนเดียวสามารถฆ่าตาแก่สี่คนนั่นทิ้งได้ ทว่าหากยังเกลี้ยกล่อมซื้อใจกำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์ไม่ได้ ถ้าเขาทำแบบนี้แล้ว ลูกน้องเก่าของสี่อ๋องสวรรค์ก็จะพิจารณาก่อนเลยว่าจะถูกสะสางบัญชีเก่าหรือไม่

สำหรับเรื่องนี้ ไม่ว่าเจ้าจะปลอบใจอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ถามหน่อยว่ามีราชันที่ไหนบ้างอยากจะเห็นกำลังพลเครือข่ายอื่นกุมทัพที่แข็งแกร่งต่อไป แบบนั้นถือเป็นเรื่องล้อเล่นแล้ว หลังจากจบเรื่องก็จะต้องกวาดล้างหรือไม่ก็เปิดกรงเปลี่ยนนกถึงจะสงบใจได้ คนของสิบปราสาทดำเนินถูกทิ้งก็ไม่ใช่เพราะสาเหตุด้านนี้หรอกหรือ พอสี่อ๋องสวรรค์ตายไป ภายใต้สถานการณ์ที่กำลังพลเบื้องล่างกังวลเรื่องอนาคต ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มอำนาจอีกกลุ่มแล้วตั้งตัวเป็นอิสระจากตำหนักสวรรค์ หรือไม่ก็ไปหาตระกูลเซี่ยโห้วกับแดนสุขาวดี แบบนั้นประมุขชิงก็จะกลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบทันที แต่ถ้ายังเก็บสี่อ๋องสวรรค์ไว้ อย่างน้อยก็ยังคงสถานภาพปัจจุบันไว้ได้ ยังรักษาโครงสร้างผลประโยชน์ที่ใต้หล้าส่งให้ประมุขชิงได้ต่อไป นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการหรอกเหรอ? แต่นี่ก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เขายอมอดทนให้มีสี่อ๋องสวรรค์อยู่

หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง ก็นึกได้ว่าในมือยังมีแผ่นหยกอีกแผ่น เขาหยิบขึ้นมาอ่าน แล้วมุมปากก็เริ่มโค้งยิ้มทีละนิด จากนั้นโยนให้ซ่างกวนชิง “พวกเจ้าตั้งใจดูให้ดีนะ นี่ต่างหากขุนนางที่ภักดีเหมือนต้นขาต้นแขนของข้า!”

ซ่างกวนชิงมองซือหม่าเวิ่นเทียนแวบหนึ่ง รู้ว่านี่คือรายงานที่อีกฝ่ายเพิ่งมอบให้ฝ่าบาท ยังนึกว่าซือหม่าเวิ่นเทียนทำเรื่องดีอะไรเอาใจฝ่าบาทเสียอีก ผลก็คือพบว่าไม่เกี่ยวกับซือหม่าเวิ่นเทียน แต่เป็นรายงานลับเกี่ยวกับเรื่องที่เกาก้วนไปก่อเรื่องที่จวนอ๋องสวรรค์ ซึ่งหน่วยตรวจการซ้ายแอบส่งมา

ตั้งแต่บุกเข้าไปในเขตค่ายทัพเหนือ บุกเข้าไปฆ่าทหารยามที่เฝ้าจวนอ๋องสวรรค์โค่ว แล้วสุดท้ายก็ใช้ดาบชี้หน้าโค่วหลิงซวี แล้วก็ง้างปากเสือแย่งตัวสายลับหน่วยตรวจการขวากลับมาจากโค่วหลิงซวีทั้งเป็นๆ ทำให้โค่วหลิงซวีเสียหน้าแรงมาก ขนาดซ่างกวนชิงอ่านแล้วยังแอบตกใจ ตอนนี้สถานการณ์ละเอียดอ่อน เจ้าเกาหมวกสูงนี่ช่างใจกล้ามากทีเดียว!

แผ่นหยกส่งต่อกลับมาถึงมือโพ่จวิน หลังจากโพ่จวินอ่านแล้ว ก็กล่าวเหยียดหยามถึงที่สุด “ภายนอกดูจงรักภักดี แต่ภายในปลิ้นปล้อนที่สุด ขุนนางโฉด!” เท่ากับโต้เถียงประโยคที่ประมุขชิงบอกว่า ‘ขุนนางที่ภักดีเหมือนต้นขาต้นแขน’

…………………………

เกาก้วนเองก็ยกมือเล็กน้อย กำลังพลข้างหลังที่ถือดาบและทวนวางห้อยลงแล้วเช่นกัน

หลังจากทั้งสามเดินลงบันไดได้ไม่กี่ก้าว เกาก้วนก็นำคนเดินมาถึงตรงหน้าแล้ว ทั้งสองหยุดอยู่ห่างกันประมาณหนึ่งจั้ง

ทั้งสองคนกำลังยืนคุมเชิงกัน คนหนึ่งสวมหมวกทรงสูงและผ้าคลุมบ่า อีกคนสวมชุดอ๋องสวรรค์หลอมดาวเก้าชั้นฟ้า คนหนึ่งยืนโดดเด่นลำพัง อีกคนมีลักษณะน่าเกรงขาม

ทั้งสองสบตากันเงียบๆ ครู่หนึ่ง สุดท้ายโค่วหลิงซวีก็กล่าวอย่างไม่หวาดหวั่น “จู่ๆ ทูตขวาเกาก็ให้เกียรติมาเยือนถึงที่ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร?”

เขานับถือในความกล้าหาญของเกาก้วนจริงๆ ในเวลาแบบนี้ยังกล้าถ่อมาถึงจุดที่มีกำลังทหารล้อมไว้มากมายอย่างที่นี่ ทั้งยังกล้าลงมือฆ่าคน ราวกับเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ

“ท่านอ๋องรู้อยู่แก่ใจแล้วเหตุใดจึงถาม ทัพเหนือจับคนของหน่วยตรวจการขวาเอาไว้ หน่วยตรวจการขวาแสดงเจตนาชัดเจนว่าให้ปล่อยคน แต่ทัพเหนือไม่สนใจเลย ก็ช่วยไม่ได้ ทูตขวาผู้นี้ทำได้เพียงมาด้วยตัวเอง หวังว่าท่านอ๋องจะใจกว้างไม่ถือสา ปล่อยคนของข้าไปซะ!” เกาก้วนกล่าว

โค่วหลิงซวีถามว่า “นี่ก็คือเหตุผลให้เจ้าฆ่าคนของตระกูลโค่วงั้นเหรอ? หรือคนหน่วยตรวจการขวาของเจ้าเท่านั้นที่เป็นคน แต่คนตระกูลโค่วของข้าไม่ใช่คน?”

เกาก้วนตอบว่า “คนที่ภักดีทำงานรับใช้ฝ่าบาทควรจะมีชีวิตอยู่ดีๆ มีเพียงคนเห็นแก้ประโยชน์ส่วนตน จาบจ้วงเดชานุภาพสวรรค์ สมควรตาย!”

“ข้ารับใช้ที่เฝ้าประตูบ้านขอให้ทูตขวาเกาหยุดก่อนเพื่อรอรายงาน ทำไมจึงกลายเป็นจาบจ้วงเดชานุภาพสวรรค์ไปเสียแล้ว มีคนเฝ้าประตูบ้านไหนบ้างที่ปล่อยให้คนบุกรุกได้ตามอำเภอใจ?” โค่วหลิงซวีถามกลับ

เกาก้วนตอบว่า “ตอนข้าอยู่บนฟ้าข้างนอกก็เผยป้ายคำสั่งของฝ่าบาทแล้ว จวนอ๋องสวรรค์โค่วจะไม่รู้เชียวหรือ? ยังมาขวางข้าเหมือนเดิม ถ้าไม่ใช้การจาบจ้วงเดชานุภาพสวรรค์แล้วเรียกว่าอะไร? ฝ่าบาทเคยมีคำสั่ง ข้าเป็นคือถือป้ายคำสั่ง หากมีคดีต้องสืบเมื่อใด นอกจากวังสรรค์แล้ว ไม่ว่าที่ไหนก็ไปได้ทั้งนั้น หรือท่านอ๋องรู้สึกว่าจวนอ๋องสวรรค์โค่วค่อนข้างพิเศษ จึงสามารถอยู่เหนือบัญชาสวรรค์ได้?”

โค่วหลิงซวีจึงกล่าวกลั้วหัวเราะ “คำสั่งนี้เป็นคำพูดปากเปล่าของทูตขวาเกาเอง ใครจะไปรู้ว่าจริงหรือปลอม? ถึงยังไงข้าก็ไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์แล้วได้ยินคำสั่งนี้ของฝ่าบาท”

“ในเมื่อท่านอ๋องแกล้งเลอะเลือน เช่นนั้นก็คุยง่ายแล้ว ตอนนี้ลองติดต่อฝ่าบาทด้วยตัวเองเพื่อพิสูจน์ก็ได้” เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบ

โค่วหลิงซวีไม่สนใจประเด็นนั้น “คนหน่วยตรวจการขวาของเจ้าถ่อมาทำลับๆ ล่อๆ ที่ทัพเหนือ จะจับตัวไม่ได้เชียวเหรอ?”

เกาก้วนตอบว่า “ท่านอ๋องระดมทัพใหญ่ เจตนาไม่แน่ชัด หน่วยตรวจการขวาตัดสินลงโทษคนในใต้หล้า มีหน้าที่ตรวจสอบหาหลักฐาน ท่านอ๋องกลับคุมตัวคนของหน่วยตรวจการขวาไว้ หรือว่ามีเรื่องอะไรที่เป็นความลับจนหน่วยตรวจการขวารู้ไม่ได้?”

“ข้าไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่เป็นความลับ” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม

“ข้าสงสัยว่าท่านอ๋องคิดจะก่อกบฏ!” เกาก้วนพูดกระแทกเสียงแข็งอย่างไม่เกรงใจ

ประโยคนี้ทำให้ถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงสีหน้าเย็นเยียบทันที โค่วหลิงซวีเลิกคิ้ว ดวงตาพยัคฆ์คมกริบเป็นประกาย “ทูตขวาเกา เจ้าจะมาพูดซี้ซั้วอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าข้าจะก่อกบฏ เจ้ายังจะรอดมายืนพูดอยู่ตรงนี้ได้อีกเหรอ?”

เกาก้วนกล่าวว่า “ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบ หน่วยตรวจการขวาถึงได้ส่งคนมาตรวจสอบหาหลักฐานอย่างลับๆ ถ้าท่านอ๋องไม่ใช่วัวสันหลังหวะ ทำไมต้องกักตัวสายลับของหน่วยตรวจการขวาไม่ยอมปล่อยด้วยล่ะ? ปล่อยคนมา หลังจากข้านำตัวกลับไปตรวจสอบความจริงแล้ว ก็ย่อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของท่านอ๋องได้ ท่านอ๋อง ท่านคิดว่ายังไง?”

“สมกับเป็นทูตขวาเกาที่ใช้วิธีทรมานสอบสวนนักโทษมายาวนาน ช่างฝีปากไหลลื่นจริงๆ” โค่วหลิงซวีกล่าว

“ฝีปากไหลลื่นจะเป็นคำชมหรือคำด่าก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยข้าก็ไม่เคยพูดจาเหลวไหล! ท่านอ๋อง ปล่อยคนเถอะ” เกาก้วนกล่าว

โค่วหลิงซวีเอียงหน้าเล็กน้อยมองถังเฮ่อเหนียน “ถามดูหน่อยว่าคนยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”

คำพูดนี้มีความล้ำลึก ถังเฮ่อเหนียนตาเป็นประกาย รู้ว่าท่านอ๋องต้องการจะส่งคนตายให้เกาก้วน

ทว่าเกาก้วนเป็นใครล่ะ ก็เป็นอย่างที่โค่วหลิงซวีบอก เกาก้วนใช้วิธีการทรมานเพื่อสอบสวนนักโ?มานาน ตอบสนองต่อสิ่งที่เป็นเบาะแสเร็วมา ไม่รอให้ถังเฮ่อเหนียนตอบ ก็ชิงพูดสอดขึ้นมาแล้ว “ทางที่ดีส่งคนเป็นกลับมาให้ข้า ไม่อย่างนั้นเกรงว่าวันนี้จวนอ๋องสวรรค์โค่วอาจจะวุ่นวาย”

ถ้ารอให้ถังเฮ่อเหนียนตอบ คำตอบก็จะเป็นตายแล้วแน่นอน ต่อให้ยังไม่ตายแต่ก็ไม่สะดวกจะแก้ไขคำพูด มีแต่ต้องส่งมอบคนตายให้เท่านั้น

โค่วหลิงซวีจึงกล่าวว่า “คำพูดของทูตขวาเกาช่างไร้เหตุผลเสียจริง จับคนมาได้แล้วก็ย่อมต้องสอบสวน ถ้าสอบสวนแล้วไม่ระวังมือทำคนตาย ข้าก็มีไม่วิชาฟื้นชีพคนตายหรอก บุกเข้ามาในเขตสำคัญของทัพเหนือ ไม่ระวังตัวจนตายไปก็เป็นเรื่องปกติ ทูตขวาเกาบังคับใจคนอื่นไปก็ไม่มีความหมาย ถ้ามีความเห็นแย้งอะไรก็ไปแจ้งเอาผิดข้าต่อฝ่าบาทได้เลย”

“หรือว่าท่านอ๋องอยากจะก่อกบฏ?” เกาก้วนถามโดยตรง

การกล่าวเช่นนี้ต่อหน้าฝูงชนนั้นอ่อนไหวเกินไป คนที่ได้ยินพากันอกสั่นขวัญแขวน

“ทูตขวาเกา ข้อหาบางอย่างจะมากล่าวหากันซี้ซั้วไม่ได้หรอก” โค่วหลิงซวีกล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบ

“ข้าเพียงถามเท่านั้นเอง ท่านอ๋องจะส่งคนเป็นให้ข้ากลับไปหรือไม่?” เกาก้วนถาม

“แล้วถ้าข้าไม่ให้ล่ะ?” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม

เกาก้วนใช้แขนสองข้างเลิกผ้าคลุมบ่าข้างหลัง สองมือสะบัดขึ้นฟ้า คว้าดาบยาวสองข้างไว้ในมือแล้ว ปลายดาบชี้ขึ้นฟ้า แล้วไข้วกันตรงหน้าอก

ดาบยาวสองด้ามนี้ต่างจากดาบยาวที่เห็นกันทั่วไป ดาบยาวเกินครึ่งจั้ง ตัวดาบยาวแคบ เป็นกระบี่ยาวสองด้าม แต่ก็จัดอยู่ในประเภทดาบ ตัวดาบมีลักษณะโบราณเรียบง่าย แต่กลับเป็นสีแดง โปร่งแสง บนตัวดาบด้ามหนึ่งเต็มไปด้วยลวดลายสลักคลื่นคลั่งโหมซัดสาด ส่วนบนดาบอีกด้ามสลักลายพายุฝนฟ้าคะนอง

ตัวดาบเผยสีแดงสดภายใต้แสงอาทิตย์ สะท้อนแสงเล็กน้อย ราวกับเปล่งแสงรัศมีสีแดงได้

“ชวิ้งๆ…” คมดาบคู่ที่ประสานกันตรงหน้าอกเสียดสีกัน ส่งเสียงต่ำทว่าดังก้องชัดเจน เป็นเสียงที่เสนาะหู

เกาก้วนใช้แขนสองข้างกางดาบคู่ ดาบด้ามหนึ่งส่งเสียง “ติง” คมดาบแตะพื้นเบาๆ ดาบอีกด้ามชี้ไปด้านหน้านอย่างช้าๆ คมดาบชี้ไปตรงหว่างคิ้วของโค่วหลิงซวีแล้ว ผ้าคลุมบ่าข้างหลังสะบัดเองโดยไร้ลม ลอยกระเพื่อมขึ้นมาเบาๆ

กำลังพลหน่วยตรวจการขวาจำนวนหนึ่งร้อยข้างหลังเขาชูอาวุธขึ้นทันที ภายนอกทำสีหน้าเย็นเยียบ แต่ที่จริงทุกคนแอบตกใจ นี่ท่านทูตขวากำลังจะลงมือกับโค่วหลิงซวีเหรอ?

เกาก้วนที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเผยอาวุธง่ายๆ ก็เผยอาวุธแล้ว! สมาชิกตระกูลโค่วที่มองอยู่ไกลๆ แต่ละคนสีหน้าเปลี่ยน จะเดินไปถึงขั้นนั้นจริงๆ แล้วเหรอ?

พอชูเจี้ยนโบกมือ กำลังพลกลุ่มก่อนหน้านี้ก็พุ่งเข้ามาทันที มาล้อมคนกลุ่มนี้เอาไว้แล้ว ส่วนบนบันไดด้านบนก็มีกำลังพลสวมเกราะกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาอีก แต่ละคนดึงสายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เล็งไปทางพวกเกาก้วนเบื้องล่าง

ขณะจ้องคมดาบเกาก้วนที่ชี้เข้ามา โค่วหลิงซวีก็หรี่ตาเล็กน้อย ดาบของเกาก้วน!

ถังเฮ่อเหนียนที่ยืนอยู่ข้างหลังโค่วหลิงซวีกำหมัดแน่นโดนจิตใต้สำนึก จ้องคมดาบของเกาก้วนไม่ละสายตา

กระบี่ของซือหม่าเวิ่นเทียน ดาบของเกาก้วน บางทีคนรุ่นหลังอาจไม่รู้ว่าสิ่งนี้หมายความว่าอะไร แต่สำหรับคนที่เคยเห็นแย่งชิงความเป็นจ้าวแห่งใต้หล้าในปีนั้นมากับตาตัวเอง กลับรู้ว่าสองคนนี้ที่ติดตามประมุขชิงน่ากลัวขนาดไหน พวกเขาถูกขนานนามว่า ‘คู่ดาบกระบี่ไร้เทียมทาน’ วิญญาณที่ตายด้วยดาบกระบี่คู่นี้มีไม่รู้ตั้งเท่าไร สร้างผลงานใหญ่กรีธาทัพออกปราบใต้หล้าเพื่อประมุขชิง

หลังจากตำหนักสวรรค์ก่อตั้งขึ้นมา เนื่องจากหน้าที่รับผิดชอบ ดาบของเกาก้วนเผยออกมาน้อยมาก ยกตัวอย่างเช่นลูกหลานตระกูลโค่วที่อยู่ในเหตุการณ์ พวกเขาเพิ่งเคยเห็นดาบของเกาก้วนเป็นครั้งแรก เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอาวุธของเกาก้วน

ตรงจุดที่คมดาบชี้ไป เกาก้วนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้หัวใจ “ก่อนที่หน่วยตรวจการขวาจะส่งสายลับคนนี้มา พวกเราเคยได้รับรายงานแล้ว บอกว่าท่านอ๋องมีเจตนาวางแผนก่อกบฏอย่างลับๆ และก่อนที่สายลับจะตกอยู่ในมือท่านอ๋อง ก็เคยส่งข่าวกลับมาที่หน่วยตรวจการขวาแล้วเช่นกัน บอกว่าค้นพบบางอย่างที่สำคัญ ให้ข้านำคนเป็นๆ กลับไป จะได้ถามได้สะดวกว่าจะค้นพบข้อมูลสำคัญอะไร ถึงตอนนั้นย่อมพิสูจน์ได้ว่าท่านอ๋องบริสุทธิ์หรือไม่ หากท่านอ๋องดึงดันจะส่งคนตายให้หน่วยตรวจการขวา เช่นนั้นข้าก็มีเหตุผลให้สงสัยว่าท่านอ๋องฆ่าคนปิดปาก! รู้จักท่านอ๋องมาหลายปี ท่านอ๋องย่อมรู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเกาก้วนทำงานตามหน้าที่ เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้ทางเลือก ทำได้เพียงเชิญให้ท่านอ๋องตามข้าไปช่วยให้ปากคำที่หน่วยตรวจการขวาสักเที่ยว! ดาบข้าไม่เจอเลือดมานานแล้ว หวังว่าท่านอ๋องจะไม่กดดัน!”

แม้แต่ดาบที่ไม่เคยเจอคนมานานก็เผยออกมาแล้ว ท่าทีของเขาชัดเจนมาก ไม่มีทางเหลือให้ถอยกลับ

โค่วหลิงซวีจ้องเขานานมาก ทั้งสองสบตากัน ไม่มีใครหลีกทางให้ใคร

ในขณะนี้ ทุกคนที่อยู่รอบข้างเริ่มตึงเครียดแล้ว ต่อให้เป็นคนโง่ก็มองออกว่าเกาก้วนต้องการคนเท่านั้น อย่างอื่นเป็นเพียงข้ออ้าง แต่ทูตตรวจการขวาก็โหดอย่างนี้ สามารถนำข้ออ้างมาทำให้เป็นเรื่องจริงได้ สำหรับคนส่วนใหญ่ เดิมทีผู้พิพากษาหน้านิ่งคนนี้ก็ไม่ใช่คนมีเหตุผลอะไรอยู่แล้ว เป็นหมาบ้าที่ประมุขชิงเลี้ยงไว้กัดคน!

เมื่อเจอกับคนที่สามารถดึงหนังสือมาทำธงได้ทุกเมื่ออย่างเกาก้วน ไม่ว่าใครคุยกับเขาด้วยเหตุผลก็ล้วนเสียเปรียบทั้งนั้น! สุดท้ายโค่วหลิงซวีจึงยอมถอยแล้ว กล่าวช้าๆ ว่า “ช่างยัดข้อหาเก่งจริงๆ! ดาบคู่ของทูตขวาเกาช่างสมคำร่ำลือ…เฒ่าถัง ส่งคนให้เขา!”

เกาก้วนเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำพูดเหน็บแนม ปักคมดาบกับพื้นทันที แล้วยืนรอ

ผ่านไปไม่นาน ทหารสวมเกราะสองคนก็ลากคนคนหนึ่งออกมาจากนอกจวนอ๋องสวรรค์โค่ว คนคนนี้เสื้อผ้าขาดรุ่ย ถูกทรมานจนเลือดท่วมตัว ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือเผยโม่ คนที่ลงมือฆ่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงด้วยตัวเอง ตอนนี้สองเท้าเผยกระดูกขาวจนยืนเองไม่ได้ แต่ยังมีชีวิตอยู่

เผยโม่ที่สภาพสะบักสะบอมเงยหน้ามองเกาก้วน โดยเฉพาะเมื่อเห็นดาบคู่ในมือเกาก้วน ก็พอจะเดาได้แล้วว่าเผยดาบเพื่อเขา ดาบของทูตขวาเกาคือตำนานของหน่วยตรวจการขวา เผยโม่แสดงสีหน้าซาบซึ้งใจ

เกาก้วนหันกลับมาแวบหนึ่ง แล้วเอียงหน้าเล็กน้อย มีคนสองคนเข้าไปหาเผยโม่ทันที

ซวบ! ดาบสองดาบพลิกขึ้นมา เก็บดาบแล้ว เกาก้วนกุมหมัดคารวะโค่วหลิงซวี “รบกวนมากไปหน่อย หวังว่าท่านอ๋องจะใจกว้างไม่ถือสา! ข้ามีธุระต้องจัดการ ขอกล่าวอำลาตรงนี้!”

“ขออภัยที่ไม่ได้ไปส่ง!” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม “หวังว่าทูตขวาเกาจะให้คำตอบข้าได้ว่าค้นพบข้อมูลสำคัญอะไร”

“แน่นอน” เกาก้วนเอ่ยรับ จากนั้นสะบัดชายผ้าคลุม หันตัวนำกลุ่มคนเดินก้าวยาวจากไป

โค่วหลิงซวีเอามือไขว้หลังมองเงาหลังเกาก้วนจากไป มองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน เขาย่อมรู้ว่าเกาก้วนไม่มีทางสืบเจอว่าเขาก่อกบฏ เพียงแต่เรื่องในวันนี้ทำให้เขาเสียหน้านิดหน่อย เพราะข้ารับใช้รวมทั้งลูกหลานของตระกูลโค่วล้วนกำลังดูอยู่ ต่างก็เห็นแล้วว่าเขาถูกเกาก้วนกดดันให้ก้มหัว

แต่เขากลัวเกาก้วนจริงๆ น่ะเหรอ? ถ้าจะลงมือขึ้นมา เขารับรองได้ว่าเกาก้วนรวมทั้งลูกน้องของเกาก้วนจะไม่ได้รอดกลับไปสักคน แต่สุดท้ายเขาก็ยังอดทนไว้

ถ้าเป็นยามปกติ เขาก็จะไม่ไว้หน้าเกาก้วนเลยจริงๆ วางอำนาจบาตรใหญ่ขนาดนี้ มาฆ่าคนของตนถึงในจวนอ๋องสวรรค์แล้ว! แต่สถานการณ์ในตอนนี้อ่อนไหวมาก ถ้าเขากำจัดเกาก้วนจริงๆ ต่อให้เขาไม่อยากโดนข้อหาก่อกบฏแต่ก็จะต้องแบกข้อหาก่อกบฏ ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้เรื่องราวสงบลงได้ ถ้าจะให้เกิดคลื่นลมอีกนั้นไม่คุ้ม!

คิดไปคิดมาแม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกทอดถอนใจ สี่อ๋องสวรรค์ร่วมมือกับตระกูลเซี่ยโห้วเล่นตุกติก กดดันจนประมุขชิงต้องยอมถอย เพื่อที่จะทำให้สถานการณ์โดยรวมของใต้หล้าสงบ ประมุขชิงจะไม่ถอยก็ไม่ได้ แต่ยามโค่วหลิงซวีเจอกับหมาบ้าอย่างเกาก้วน ก็ถูกเกาก้วนกดดันให้ต้องถอยอีกเช่นกัน เขาเองก็ต้องยอมถอยเพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของตระกูลโค่วเหมือนกันมิใช่หรือ

เขาไม่อยากไปถือสาเรื่องที่มีเข้ามาเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน หันตัวเอามือไขว้หลังเดินจากไปแล้ว

………………………

อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวสามารถโยงให้ทุกคนสิ้นเปลืองกำลังความคิดเยอะเกินไปจริงๆ ยิ่งคิดไม่ถึงว่าจะก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้ ถ้าแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่โค่วหลิงซวีก็โล่งอกเช่นกัน ต่อให้เป็นโค่วเจิงก็ตาม ถ้าลองคิดย้อนไปแล้วก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน

ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างนี้ โค่วเจิงเข้าใจแล้ว ทุกคนกำลังจนใจ เขากล่าวอย่างกลุ้มใจว่า “ถ้ารู้ตั้งแต่แรก…” คำพูดช่วงท้ายไม่ได้เอ่ยออกมา เขาจะบอกว่าตอนแรกไม่น่าแย่งไปประสมโรงเลย ตอนนี้แม้แต่ลูกชายตัวเองก็ติดกับดักไปด้วยแล้ว

ถังเฮ่อเหนียนยิ้มอย่างขื่นขม มีลูกชายเพียงคนเดียว ตอนนี้หายไปแล้ว ไม่ว่าใครก็รู้สึกทุกข์ใจทั้งนั้น เรื่องนี้ปลอบใจไม่ได้ง่ายๆ เลย

สุดท้ายโค่วหลิงซวีที่เงียบมาตลอดก็เอ่ยว่า “เหวินไป๋เสียสละชีวิตเพื่อตระกูลโค่ว ให้ฉูฉู่คลอดใหม่อีกสักคนเถอะ ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าสองคนคลอดใหม่อีกสองคนเป็นกรณีพิเศษ”

โค่วเจิงก้มหน้าอย่างหดหู่ “ข้าไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้กับฉูฉู่ยังไง”

ในตำหนักเงียบงัน จินตนาการออกเลยว่าหลังจากสุยฉูฉู่รู้ข่าวแล้วจะเศร้าใจขนาดไหน แม้แต่โค่วหลิงซวีเองยังปวดใจ ถึงอย่างไรนางก็เป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลโค่ว

“เฒ่าถัง!” โค่วหลิงซวีสูดหายใจลึก “เจ้าหาโอกาสเหมาะๆ คุยกับพ่อแม่ของฉูฉู่สักหน่อย บอกพวกเขาว่าข้าบอกว่า ในอนาคตฉูฉู่จะได้เป็นนายหญิงของตระกูลโค่ว การเสียสละบางอย่างนั้นเราจำเป็นต้องเผชิญหน้า ต้องรู้จักปล่อยวาง ให้พวกเขาเกลี้ยกล่อมลูกสาวตัวเองให้ดี” คำพูดบางอย่างฝั่งนี้ไม่สะดวกจะพูด ให้ครอบครัวของสุยฉูฉู่โน้มน้าวเองจะดีกว่า

เมื่อกล่าวคำนี้ แม้แต่โค่วเจิงเองก็ยังประทับใจ ถ้าสุยฉูฉู่จะได้เป็นนายหญิงของตระกูลโค่ว เช่นนั้นในอนาคตก็หมายความว่าเขาจะได้เป็นหัวหน้าตระกูลของตระกูลโค่ว ท่านพ่อเท่ากับสัญญาต่อหน้าเขาแล้ว ขอเพียงไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ท่านพ่อก็จะไม่กลืนคำพูดตัวเอง

ถังเฮ่อเหนียนย่อมรู้ว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร เขาชำเลืองมองปฏิกิริยาของโค่วเจิงแวบหนึ่ง แล้วโค้งตัวเล็กน้อย “ขอรับ!”

ในขณะนี้เอง จู่ๆ ด้านนอกก็มีเงาคนคนหนึ่งแฉลบเข้ามา แล้วรายงานเสียงดัง “ท่านอ๋อง ทูตตรวจการขวาเกาก้วนไม่สนใจกำลังพลที่คอยกันอยู่ข้างนอก ถือคำสั่งมังกรนำคนบุกเข้ามาแล้ว”

“คงจะมาเพราะสายลับคนนั้นของหน่วยตรวจการขวา” ถังเฮ่อเหนียนกล่าวเสริมทันที

“อ้อ!” โค่วหลิงซวีเอียงหน้ามองไปนอกตำหนัก แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “เกาก้วนมาด้วยตัวเองแล้ว สงสัยจะไม่ได้มาดี ไปเถอะ ข้าจะไปพบเขาด้วยตัวเองสักหน่อย”

ผู้พิพากษาหน้านิ่งมาหาถึงที่ เขาไม่ออกหน้าไปพบด้วยตัวเองไม่ได้หรอก คนอื่นๆ ของตระกูลโค่วยืดอกไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าอินทรีและสุนัขของราชันสวรรค์

คนที่อยู่นอกตำหนักรีบหลีกทางไปอยู่ด้านข้าง โค่วหลิงซวีที่ก้าวออกจากตำหนักใหญ่มีอำนาจบารมีในตัวเอง เยื้องย่างดุจพยัคฆ์มังกร โค่วเจิงกับถังเฮ่อเหนียนเดินตามอยู่ทางซ้ายและขวา

เงาคนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า เหยียบลงนอกประตูใหญ่ของจวนอ๋องสวรรค์โค่วที่ใหญ่โตโอ่อ่า

ผู้ที่นำหน้ามาก็คือเกาก้วน สวมหมวกทรงสูงสีดำ ผ้าคลุมบ่าสีดำที่แนบติดหลังปลิวตามลมอย่างช้าๆ ใบหน้าแข็งทื่อดุจแม่พิมพ์ทั้งยังไร้อารมณ์เงยขึ้นช้าๆ เหลือบมองป้ายที่แขวนอยู่บนวงกบของประตูหลัก จากนั้นโบกมือสะบัดผ้าคลุมที่เกะกะมือ แล้วเดินก้าวยาวขึ้นบันไดไป

กำลังพลสองกลุ่มตามอยู่ข้างหลัง มีหนึ่งรอยคนเต็มๆ พวกเขาสวมหมวกสีดำปักลายเมฆทอง ชุดคลุมสีดำขอบทอง ตรงเอวคาดเข็มขัดหยก

คนกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากใต้วงกบประตูที่สูงใหญ่ มาขวางอยู่หน้าประตู มีสองคนเดินนำออกมาเคียงกัน ทั้งคู่ยกมือสองข้าง ตะคอกกล่าวพร้อมกัน “ผู้ที่มาหยุดก่อน!”

เกาก้วนที่เดินขึ้นบันไดมาไม่หลีกทาง ยังเดินไปข้างหน้าต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ผู้ติดตามข้างหลังเกาก้วนกวาดสายตาเย็นเยียบมองประตู ไม่เห็นนายท่านของตระกูลโค่วออกมาตรงรับ เขาไม่เชื่อหรอกว่าทูตขวาเกานำคนบุกเข้ามาแล้วคนตระกูลโค่วจะไม่รู้สถานการณ์ อาศัยฐานะของทูตขวาเกา ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะมีบุคคลระดับสูงของตระกูลโค่วสักคนออกมาต้อนรับ ตอนนี้กลับไม่เห็นเลยสักคน เห็นได้ชัดว่าจงใจจะไม่ไว้หน้าทูตขวาเกา

เมื่อเห็นเกาก้วนเดินเข้ามาตรงๆ โดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด สองคนตรงประตูก็ตะคอกอีกครั้ง “ผู้ที่มาโปรดหยุเ จะไปรายงานก่อน…”

เกาก้วนเดินก้าวยาวไม่หยุด ไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง แต่กลับยื่นมือไปคว้ากระบี่จากเอวลูกน้องข้างหลัง “ชวิ้ง…” กระบี่วิเศษออกจากฝัก งอศอกกวาดกระบี่ในแนวขวาง แสงสะท้อนคมกระบี่วับวาบ มีเลือดกระเด็นสองวง

สองคนที่เข้ามาขวางยังพูดไม่ทันขาดคำ เสียงชักกระบี่ยาวออกจากฝักก็ดังก้อง ศีรษะสองใบกระเด็นขึ้นมาแล้ว

“ชวิ้ง…” เกาก้วนงอแขนเก็บกระบี่กลับมา แสงกระบี่แวบไปด้านหลัง กระบี่ยาวเสียบกลับเข้าฝักกระบี่ตรงเอวของลูกน้องข้างหลังแล้ว

สองคนที่ศีรษะกับลำตัวอยู่คนละที่ยังไม่ทันล้มลง เลือดร้อนจากคอพุ่งขึ้นฟ้า กระบี่นี้รวดเร็วเกินไปจริงๆ เร็วจนทั้งสองทำอะไรไม่ถูก ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าเกาก้วนจะกล้าลงมือฆ่าคนในจวนอ๋องสวรรค์โค่วโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ผู้ติดตามข้างหลังเกาก้วนรีบแย่งก้าวมาข้างหน้า ควงมือขวางเลือดสดที่กระเด็นออกมา จะได้ไม่เลอะบนตัวเกาก้วน ขณะเดียวกันก็ผลักศพสองร่างที่ยังไม่ทันล้มลงจนกระเด็นออกไปทางซ้ายและขวา จะได้ไม่ขวางทาง

กระบี่ยาวออกจากฝักและกลับเข้าฝัก ราวกับเมฆเหินน้ำไหล รวดเร็วราบรื่นจนทำให้คนต้องยกนิ้ว จะเห็นได้ว่ายามทูตขวาเกาจะลงมือกับคนของตระกูลโค่วขึ้นมา ก็ไม่เคยลังเลเลยสักนิด ไม่เห็นจวนอ๋องสวรรค์โค่วอยู่ในสายตาเลย คนอื่นๆ ที่เฝ้าประตูอกสั่นขวัญแขวน ถ้าไม่ได้รับคำสั่ง ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าลงมือกับทูตขวาเกาท่านนี้ เช่นเดียวกัน เมื่อไม่ได้รับคำสั่งก็ไม่มีใครกล้าหลีกทาง คนกลุ่มหนึ่งยังขวางอยู่ตรงหน้าเกาก้วนเหมือนเดิม แต่กลับรีบถอยหลังถามจังหวะที่เกาก้วนก้าวเข้ามา ทั้งหมดเผยอาวุธแล้วเช่นกัน

มีบางคนรีบหันตัวกลับเข้าไปรายงานในจวน ผ่านไปไม่นาน ทหารสวมเกราะทุกที่ในจวนอ๋องสวรรค์โค่วก็เหาะมารวมตัวกัน ความเคลื่อนไหวนี้สะเทือนทั้งจวนอ๋องสวรรค์โค่วทันที ทุกคนแทบจะวิ่งออกมาดูความเคลื่อนไหว อยากจะทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ตรงหน้าประตูพระจันทร์ มีสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงของตระกูลโค่วมารวมตัวกันเร็วมาก ทั้งหมดกำลังจ้องเกาก้วนที่นำกลุ่มบุกผ่านลานกว้างของตำหนักหน้า ส่วนกำลังพลจวนอ๋องสวรรค์โค่วที่ขวางหน้าเกาก้วนกลับถูกกดดันจนถอยหลังมาตลอดทาง เรียกได้ว่าทำให้พวกผู้หญิงอกสั่นขวัญแขวน

ทุกคนของจวนอ๋องสวรรค์โค่วพลันย้ายมาทางนี้ ตอนได้ยินข่าวว่ากำลังพลในใต้หล้าเคลื่อนไหว ก็ได้ยินข่าวลือแว่วมาแล้ว เหมือนจะบอกว่าท่านอ๋องกำลังจะก่อกบฏ!

และในตอนนี้เห็นเกาก้วนนำคนจำนวนมากมาด้วยตัวเอง ทั้งยังเกิดฉากแบบนี้ขึ้น ถึงขนาดใช้อาวุธกับเกาก้วนแล้ว ก็ยิ่งทำให้ผู้หญิงกลุ่มนี้ตกใจ บางคนอดไม่ได้ที่จะสงสัย เพราะเกาก้วนเป็นขุนนางคนสนิทของราชันสวรรค์ อย่าบอกนะว่าเกาก้วนได้รับคำสั่งให้มาจัดการท่านอ๋อง?

พวกผู้หญิงที่ยามปกติใช้ชีวิตหรูหราไร้กังวล จู่ๆ ก็ได้เห็นฉากของจริงแบบนี้ บางคนตกใจแทบแย่แล้ว ตอนนี้เพิ่งจะตระหนักได้ ว่าถ้าท่านอ๋องถูกเกาก้วนจัดการขึ้นมา แล้วในอนาคตทุกคนจะทำอย่างไรล่ะ? ถ้าไม่มีท่านอ๋องคอยบัญชาการกำลังพลทัพเหนือเป็นที่พึ่ง แล้วใครจะเห็นพวกนางอยู่ในสายตา จุดจบของผู้หญิงในตระกูลที่ก่อกบฏก็ยิ่งน่าเวทนา ต่อให้ไม่ตายแต่ก็ไม่ได้มีจุดจบดีไปกว่าผู้หญิงในหอนางโลมสักเท่าไร ไม่ว่าใครก็อยากจะลิ้มรสชาติหงส์ตกอับทั้งนั้น

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผู้หญิงบางคนในจำนวนนี้ยังบ่นอย่างคับแค้นที่ท่านอ๋องนำลูกหลานผู้หญิงในจวนอ๋องสวรรค์โค่วไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ตอนนี้ถึงได้พบว่า ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการทำให้ตระกูลโค่วไม่ล้ม

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” อนุภรรยาบางคนที่ขี้ขลาดอดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงถามคนข้างๆ

อวิ๋นจือชิวที่ออกมาถึงทีหลังก็ปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางผู้หญิงพวกนี้เช่นกัน นางเดินมาข้างกายสุยฉูฉู่ หร่วนจิ้งและซูฮวนเหนียง แล้วถามอย่างตกใจ “พี่สะใภ้ทั้งสาม เกิดอะไรขึ้นคะ?”

“ไม่รู้สิ” ผู้หญิงทั้งสามที่มีสีหน้ากังวลล้วนส่ายหน้า

ชูเจี้ยน สามีของโค่วเชี่ยน เป็นหัวหน้ากลุ่มอารักขาของจวนอ๋องสวรรค์โค่วเช่นกัน ในเวลานี้สวมเกราะรบสีแดงทั้งตัว ในมือถือทวนยาวเฉียงลากพื้น เดินก้าวยาวเข้าไปรับเกาก้วนด้วยสีหน้าดุร้าย ข้างหลังเขามีทหารสวมเกราะติดตามหลายร้อย ในมือถืออาวุธตามไปข้างหน้า

ชั่วขณะนั้นเสียงเกราะรบเคลื่อนไหวก็ดังไปทั้งลานกว้าง บรรยากาศอึดอัดจนแม้แต่อากาศก็ไม่กล้าเคลื่อนไหว

ฉากนี้ทำให้ผู้หญิงไม่น้อยตกใจจนหน้าซีด พวกนางตกใจจนหยุดหายใจ โดยเฉพาะโค่วเชี่ยนที่อยู่ในตระกูลโค่วเป็นเวลานานโดยไม่แยกบ้าน เมื่อเห็นสามีตนเองนำกลุ่มคนบุกอยู่ข้างหน้า นางก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากแน่น นางรู้ดีว่าเกาก้วนเป็นคนอย่างไร ขุนนางคนสนิทของราชันสวรรค์ที่คุมหน่วยตรวจการขวาได้ ศักยภาพต้องไม่ด้อยแน่นอน เมื่อสู้กับคนแบบนี้สามีตนอาจจะไม่ชนะ แต่นางกลับไม่อาจห้ามสามีไม่ให้เสี่ยงอันตรายได้ เพราะนางเข้าใจแจ่มแจ้ง ว่าบทบาทของชูเจี้ยนก็มีตายเพื่อปกป้องตระกูลโค่ว ตั้งแต่วันที่แต่งงานกับนาง สามีของนางก็หนีไม่พ้นภารกิจนี้แล้ว นี่ก็คือสาเหตุที่บิดาให้ชูเจี้ยนเป็นหัวหน้ากลุ่มอารักขา

อีกด้านหนึ่ง โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนถามจนรู้ชัดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งสองเหาะจากฟ้าลงมาเหยียบระหว่างกำลังพลสองกลุ่มที่เข้าใกล้กัน บนใบหน้าทั้งคู่ฉายแววเดือดดาล

ยามเผชิญหน้ากับเกาก้วนที่ประชิดเข้ามา โค่วฉินโบกมือชี้พร้อมตะคอกถาม “เกาก้วน ใครมอบอำนาจให้เจ้ามาฆ่าคนของตระกูลโค่ว!”

เกาก้วนยังคงไม่หยุด มองข้ามการปรากฏตัวของทั้งสองไปเลย จ้องเพียงกำลังพลกลุ่มใหญ่ข้างหลังทั้งสองที่ประชิดเข้ามา พลางโบกมือเผยคำสั่งมังกร เสียงอันเยียบเย็นดังก้องอย่างช้าๆ “ใครขวางฆ่า ตาย!”

เกิดเสียงดังอย่างกะทันหัน ผู้ติดตามข้างหลังร้อยคนเผยอาวุธทันที ยืนจัดกระบวนทัพข้างหลังเขาอย่างรวดเร็ว ตามหลังเกาก้วนบุกไปข้างหน้าต่อ

“หยุดเดี๋ยวนี้! ถอยออกไปให้หมด!” ขณะที่ศึกใหญ่กำลังจะปะทุ เสียงอันน่าเกรงขามของโค่วหลิงซวีก็ดังก้องอยู่บนฟ้าเหนือจวนอ๋องสวรรค์โค่ว

ชูเจี้ยนถือทวนในแนวขวางทันที ชั่วพริบตาเดียวกำลังพลข้างหลังก็หยุดนิ่ง เรียกได้ว่ายามเคลื่อนไหวราวกับกระต่ายวิ่งหนี ยามนิ่งก็สงบเสงี่ยมราวกับหญิงสาวบริสุทธิ์

พอชูเจี้ยนโบกมือ กำลังพลข้างหลังก็แยกออกเป็นสองฝั่งทันที เรียงสองแถวอย่างเป็นระเบียบ

คนแถวแรกที่ขวางตรงหน้าเกาก้วนรีบหลีกทางไปด้านข้าง เผยให้เห็นโค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนที่อยู่ข้างหลัง ทั้งสองยังคงยืนอย่างเย็นชาอยู่ตรงนั้น โค่วเหมี่ยนยกฝ่ามือบอกให้ให้ผู้ที่มาหยุดอยู่ตรงนั้น

เกาก้วนพลิกมือเผยป้ายคำสั่ง แต่กลับไม่หยุดเดิน พอโบกแขนหนึ่งที ก็ปัดแขนของโค่วเหมี่ยนที่ยื่นเข้ามาออกไปด้านข้าง จากนั้นใช้ฝ่ามืออีกข้างผลักหน้าโค่วฉินออกไป ผลักจนโค่วฉินเซถอยหลังไม่หยุด ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้สองพี่น้องหลีกทางได้แล้ว จากนั้นนำกำลังพลข้างหลังบุกไปข้างหน้าต่อ

ท่ามกลางสายตาฝูงชน สองพี่น้องที่เป็นลูกชายอ๋องสวรรค์ เดิมทีไม่อยากทำให้ตระกูลโค่วดูอ่อนแอ แต่ใครจะคิดว่าถูกเกาก้วนทำเสียหน้าต่อหน้าธารกำนัลแล้ว เกาก้วนโยนทั้งสองแล้วเดินผ่านไปโดยไม่ชายตาแลด้วยซ้ำ

กำลังพลหน่วยตรวจการขวาเดินไปข้างหน้าตามทางที่กำลังพลตระกูลโค่วหลีกให้ เกาก้วนอยู่ข้างหน้า หมวกดำทรงสูงที่เป็นเอกลักษณ์และผ้าคลุมบ่าสีดำที่ปลิวลมตามย่างก้าวโดดเด่นอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน

กำลังพลตระกูลโค่วที่เรียงแถวอยู่สองฝั่งตามจับตาดู

บนแท่นบันไดหน้าตำหนัก มีคนสามคนเดินลงมาอย่างไม่รีบร้อน โค่วหลิงซวีอยู่ตรงหน้าสุด ขณะที่เดินก็ใช้สายตาซักถามอันเย็นเยียบก้มมองเกาก้วนที่นำคนเดินเข้ามา

สำหรับโค่วหลิงซวี การเผชิญหน้ากับเกาก้วนในรังตัวเอง เขายังจำเป็นต้องใช้คนมากมายปกป้องด้วยเหรอ? สถานการณ์ตึงเครียกเกินไป ถ้าให้คนอื่นเห็นจะนึกว่าตนกลัวเกาก้วน ดังนั้นโค่วหลิงซวียกมือดีดนิ้ว นักรบสวมเกราะหลายร้อยหยุดฝีเท้าทันที มีเพียงชูเจี้ยนที่ถือทวนเดินอยู่ข้างๆ เพียงลำพัง เดินต่อไปข้างหน้าตามกำลังพลของหน่วยตรวจการขวา

…………………………

“หรือไม่อย่างนั้น!” ถังเฮ่อเหนียนครุ่นคิดพลางชี้แนะ “แม้อวี้หลัวช่าจะไม่คายความจริง แต่พวกเราก็พิสูจน์จากอีกด้านหนึ่งได้ ถ้าไม่ใช่ประมุขชิงกับแดนพุทธะร่วมมือกันก่อเรื่องนี้ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าพวกเราเป็นฝ่ายติดต่อไปก่อนว่าต้องการสงบเรื่องนี้ อวี้หลัวช่าก็ย่อมไม่พูดอะไรให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตอีก แบบนี้เรียกว่ากินปูนร้อนท้อง นางเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว ถ้าเรื่องราวลุกลามใหญ่โตก็จะเกิดปัญหากับนางเช่นกัน แอบใช้ยอดฝีมือจำนวนมากที่ฝั่งนี้เพราะคิดจะทำอะไรล่ะ? ประมุขพุทธะไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ ถ้าประมุขชิงกับทางนั้นร่วมมือกัน ใต้สังกัดนางสูญเสียยอดฝีมือไปมากขนาดนั้น อีทั้งยังไม่มีอะไรให้ห่วงหน้าพะวงหลัง นางจะต้องทวงความยุติธรรมแน่นอน อย่างน้อยก็”

“อืม!” โค่วหลิงซวีคิดตามคำพูดเขาพลางพยักหน้าเห็นด้วย “หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถ้าอวี้หลัวช่าโวยวาย ก็แสดงว่าไม่มีเรื่องสมบัติลับ แต่ถ้าไม่โวยวายก็แสดงว่าในใจมีความผิด เรื่องสมบัติลับอาจจะเป็นเรื่องจริง”

“สามารถพิสูจน์จากมุมนี้ว่าหนิวโหย่วเต๋อหลอกพวกเราหรือไม่” ถังเฮ่อเหนียนพูดเสริม

โค่วหลิงซวีพยักหน้าช้าๆ

โค่วเจิงที่อยู่ข้างๆ กลับแอบร้อนใจ ตรงหน้ามีเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมถึงเริ่มถกกันเรื่องสมบัติลับแล้วล่ะ ต่อไปค่อยคุยกันไม่ได้เหรอ?

แน่นอน เขาเองก็ยอมรับว่าผู้อาวุโสสองท่านนี้พูดถูก ถ้าเป็นสมบัติลับที่มีแม้แต่พระปีศาจหนานโปยังอยากได้ ก็จะต้องเป็นของดีอะไรแน่นอน แต่ตอนนี้ลูกชายเขาเป็นตายอย่างไรก็ไม่รู้ชัด เขาคาดหวังให้เรื่องตรงหน้ากระจ่างไวๆ มากกว่า

อดทนได้พักใหญ่ แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ท่านพ่อ ท่านให้ข้าบอกหนิวโหย่วเต๋อว่าจะช่วยเขาไกล่เกลี่ยความแค้นระหว่างเขากับพวกขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ ข้าไม่ค่อยเข้าใจ ถ้าแก้ไขได้ง่ายขนาดนั้น เหตุใดต้องรอจนถึงตอนนี้?”

โค่วหลิงซวีเข้าใจความรู้สึกของเขา อย่างไรเสียก็ยังไม่รู้ว่าโค่วเหวินไป๋เป็นหรือตาย เขาไม่สะดวกจะพูดอะไรที่สื่อว่าไม่สนใจความเป็นความตายของหลานชาย จึงส่งสายตาให้ถังเฮ่อเหนียน บอกใบให้อธิบายแทน

ถังเฮ่อเหนียนถอนหายใจแล้วบอกว่า “คุณชายใหญ่ คนที่พวกเราส่งไปตรวจสอบที่น้ำพุวังเวงพบพยานคนหนึ่งในที่เกิดเหตุที่น้ำพุวังเวง รู้มาจากปากเขาว่า ในที่เกิดเหตุมีกำลังพลตำหนักสวรรค์จำนวนมากปรากฏตัว”

โค่วเจิงอึ้งเล็กน้อย แล้วถามอย่างตกใจ “กำลังพลตำหนักสวรรค์ปราบปรามคนของตระกูลพวกเราเหรอ?”

ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้า “เกรงว่าจะเป็นอย่างนี้ ดูจากสถานการณ์ที่ตรวจสอบได้ตอนเกิดเหตุ ในที่เกิดเหตุมีร่องรอยผ่านการโจมตีจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมาก เยอะจนน่าตกใจ มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือกำลังพลฝ่ายพวกเราใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตีหลายครั้งตอนสู้กัน แต่จากข่าวที่ส่งกลับมาตอนสู้กัน ก็ไม่ได้ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ซ้ำหลายครั้ง เช่นนั้นก็เหลือความเป็นไปได้อีกอย่าง นั่นก็คือกำลังพลกลุ่มใหญ่ของตำหนักสวรรค์ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากโจมตี กำจัดกำลังพลของพวกเราในรวดเดียว กำลังพลของสี่อ๋องถึงได้ขาดการติดต่อไปพร้อมกัน”

โค่วเจิงเริ่มเบิกตากว้าง “กองทัพองครักษ์”

“เกรงว่าจะมีความเป็นไปได้” ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้า “ตอนที่ได้ข่าวจากคุณชายใหญ่ ท่านอ๋องกับอีกสามอ๋องก็กำลังประชุมกันอยู่ พร้อมทั้งเรียกรวมจอมพลกับเทพประจำดาวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาด้วย ให้พยานที่ได้ตัวมาให้การต่อหน้าทุกคน”

โค่วเจิงตกใจอีกครั้ง “เช่นนั้นจอมพลกับเทพประจำดาวใต้สังกัดจะไม่รู้กันหมดเหรอว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

ถังเฮ่อเหนียนถอนหายใจ “สี่อ๋องสวรรค์ร่วมกันยอมรับผิดขออภัยต่อจอมพลและเทพประจำดาวทุกคน แต่พอรู้ความจริงก็จัดการได้แล้ว อย่างน้อยก็เข้าใจแล้ว ว่าความผิดไม่ได้อยู่ที่สี่อ๋องสวรรค์ แต่ประมุขชิงจงใจจะใช้วิธีการโหดร้าย อย่างไรเสียผู้ที่ลงมือล้อมโจมตีตอนสุดท้ายก็คือกองทัพองครักษ์ ถ้าไม่มีคำสั่งจากประมุขชิง กองทัพองครักษ์จะกล้าทำอย่างนี้ได้ยังไง!”

โค่วเจิงกล่าวอย่างเดือดดาล “ทำไมประมุขชิงต้องทำอย่างนี้?” กองทัพองครักษ์ลงมือแล้ว เขาเดาว่าลูกชายตัวเองอาจจะไมรอดแล้ว กองทัพองครักษ์ไม่กลัวภูมิหลังตระกูลโค่วของเขา ความโกรธนี้ไม่รู้จะเอาไประบายที่ไหน

ถังเฮ่อเหนียนตอบว่า “ไม่อาจแน่ใจจุดประสงค์ที่ประมุขชิงทำอย่างนี้ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่แน่ใจได้ นั่นก็คือเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะหนิวโหย่วเต๋อ ในเมื่อประมุขชิงใช้หนิวโหย่วเต๋อเป็นเป็นตัวนำเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ประการต่อมาก็กำลังช่วยหนิวโหย่วเต๋อเช่นกัน เพียงเพราะไม่อยากให้ตระกูลอิ๋งวางกับดักสำเร็จ ทั้งยังเก็บหนิวโหย่วเต๋อเอาไว้ควบคุมท่านอ๋องต่อได้ด้วย ขอเพียงหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ สามารถกดให้อยู่ที่ตลาดผีต่อไปได้ ตระกูลอื่นๆ ก็จะต้องทรมานต่อไป มีประมุขชิงวางแผนอยู่เบื้องหลัง เกรงว่าสี่อ๋องล้วนไม่ได้อยู่อย่างสงบ”

“แล้วตอนนี้จะทำยังไง ปล่อยไปอย่างนี้น่ะเหรอ?” โค่วเจิงยกมือถาม

ถังเฮ่อเหนียนกล่าวช้าๆ “ประมุขชิงถ่ายทอดคำสั่งให้สี่อ๋องสวรรค์โดยตรงแล้ว บอกว่าสี่อ๋องสวรรค์ทำให้ใต้หล้าวุ่นวายมาก สั่งให้สี่อ๋องสวรรค์หยุดฝึกกำลังพลเดี๋ยวนี้ ผู้ที่ฝ่าฝืนถือว่าเป็นปฏิปักษ์ จะสั่งให้กองทัพองครักษ์ล้างเลือดปราบปราม ประหารเก้าชั่วโคตร! เป็นไปได้สูงว่าประมุขชิงจะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ไม่มีความพะว้าพะวงจากศึกใหญ่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะใช้วิธีที่แข็งกร้าวอย่างนี้เหรอ!”

โค่วเจิงอยากจะเคลื่อนทัพใหญ่ยกธงก่อกบฏเสียเลย ในเมื่อประมุขชิงไม่อยากให้ทุกคนอยู่กันดีๆ เช่นนั้นก็อย่าได้คิดจะครองใต้หล้าเลย แต่เขาก็รู้ว่าแบบนี้เป็นเรื่องเพ้อฝัน ถ้าไม่เดินไปจนถึงขั้นสุดท้าย ก็ไม่มีใครอยากดึงตระกูลที่ยิ่งใหญ่และเกียรติยศความร่ำรวยที่ใช้ไม่หมดไปสู้กันจนตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย

แต่ความโกรธแค้นในใจเขายากจะหายไป ยังอดไม่ได้ที่จะกุมหมัดคารวะโค่วหลิงซวีเพื่อถามสิ่งที่ตัวเองเดาคำตอบได้แล้ว “ไม่ทราบว่าท่านพ่อมีความคิดเห็นอย่างไร?”

โค่วหลิงซวีก้มหน้าก้มตา

ถังเฮ่อเหนียนรีบตอบแทน “ประมุขชิงถ่ายทอดคำสั่งอย่างเปิดเผย ตระกูลเซี่ยโห้วก็แอบบอกบางอย่างที่แสดงท่าทีของประมุขชิงอีก ถ้าสี่ทัพถอนกำลังตอนนี้ ประมุขชิงก็จะปล่อยผ่านเรื่องที่แล้วมา จะทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แม้จอมพลและเทพประจำดาวสายต่างๆ เบื้องล่างจะแสดงท่าทีว่าฟังคำสั่งเพียงสี่อ๋องสวรรค์เท่านั้น แต่สี่อ๋องสวรรค์ล้วนดูออก ว่าทุกคนไม่ได้ยินดีจะสละชีวิตทำศึก อย่างไรเสียกองทัพองครักษ์ก็มีอาวุธที่และกำลังรบที่ได้เปรียบ สี่อ๋องร่วมมือกันถึงแม้จะมีกำลังเยอะกว่า แต่ต่อให้ชนะก็เป็นการชนะที่ย่อยยับ ไม่มีความก้าวหน้าอะไรอีก ผลสุดท้ายก็คือทั้งฝ่ายเราและประมุขชิงจะสู้กันจนเจ็บตัวทั้งสองฝ่าย มีแต่จะให้คนอื่นมาชุบมือเปิบตักตวง ผลประโยชน์ ทางฝั่งประมุขพุทธะไม่มีทางนิ่งดูดาย แต่ประมุขชิงก็แอบยื่นบันไดให้ทุกคนลงแล้ว ให้กำลังพลเบื้องล่างยอมรับความเสียหายจากการออกล่าที่น้ำพุวังเวง หลังจากชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย สี่อ๋องสวรรค์ทำได้เพียงตอบกลับว่ายินดีน้อมรับบัญชาประมุขชิง!”

โค่วเจิงส่ายหน้าช้าๆ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มฝืนทน กล่าวว่า “ครั้งนี้ประมุขชิงลงมือกับลูกหลานของตระกูลต่างๆ แล้ว แสดงเขี้ยวเล็บออกมาบ้างแล้ว คำพูดของเขายังเชื่อได้อีกเหรอ?”

ถังเฮ่อเหนียนบอกว่า “ดังนั้นย่อมต้องแอบมีเงื่อนไขในการถอนกำลัง ตั้งแต่วันนี้ไป เกรงว่าท่านอ๋องคงจะไม่ไปเข้าร่วมประชุมราชสำนักที่วังสรรค์อีกแล้ว ต้องให้คุณชายใหญ่เข้าประชุมแทน”

“หา!” โค่วเจิงหลุดออกมาจากความโกรธทันที ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป ถามอย่างทำใจเชื่อได้ยากว่า “ให้ข้าเข้าประชุมราชสำนัก? แล้วท่านพ่อล่ะ?”

ถังเฮ่อเหนียนอธิบายว่า “นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลเซี่ยโห้วแอบบอกเป็นการส่วนตัว ส่วนจอมพลและเทพประจำดาวใต้สังกัดก็กลัวแล้วเช่นกัน กังวลว่าจะเกิดสภาพมังกรไร้หัว ทยอยกันขอให้สี่อ๋องสวรรค์รักษากำลังทหารไว้ให้มั่นคง เพราะฉีกหน้ากันไปแล้วรอบหนึ่ง จึงอย่าไปเสี่ยงอันตรายที่วังสรรค์เลย เจตนาของฝูงชนยากจะฝ่าฝืน ดังนั้นตั้งแต่นี้ไป สี่อ๋องสวรรค์จะหาทำเลอื่นสร้างจวนอ๋องสวรรค์ใหม่ในอาณาเขตของสี่ทัพ ออกจากวังสรรค์เพื่อป้องกันเหตุล่วงหน้า ขณะเดียวกันก็เลือกทายาทสักคนให้เป็นตัวแทนเข้าประชุมราชสำนัก ตระกูลโค่วก็ย่อมเป็นคุณชายใหญ่อยู่แล้ว”

“ประมุขชิงจะตอบตกลงเหรอ?” โค่วเจิงปละหลาดใจ

ถังเฮ่อเหนียนตอบว่า “ตอบตกลงแล้ว ในเมื่อตระกูลเซี่ยโห้วแอบบอกมาอย่างนี้ เกรงว่าคงจะมีตระกูลเซี่ยโห้วแอบกดดันวังสรรค์อยู่ เรื่องราววุ่นวายถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วยืนฝั่งสี่อ๋องสวรรค์ ประมุขชิงอาศัยแค่กองทัพองครักษ์ในมือก็นับว่ามีโอกาสชนะมากนัก ดังนั้นเขาจึงต้องตอบตกลง และเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ข้างบนข้างล่างยากจะกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้วที่สุด ไม่อย่างนั้นตระกูลเซี่ยโห้วจะออกแรงช่วยขนาดนี้ทำไม จิ้งจอกเฒ่าเซี่ยโห้วท่านั่นนั่งอยู่ในที่มืดไม่พูดอะไร ครั้งนี้นับเป็นโอกาสให้ตักตวง แน่นอน สี่อ๋องสวรรค์ก็ไม่พลาดโอกาสลงมือเช่นกัน ต่างคนต่างทวงขอธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สองล้านคันจากวังสรรค์”

“ประมุขชิงตอบตกลงแล้วเหรอ?” โค่วเจิงถาม

ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้า “ตอบตกลงว่าจะจัดสรรให้แล้ว การอยากปกครองใต้หล้าก็คือจุดอ่อนใหญ่ที่สุดของประมุขชิง ทว่าในเมื่ออยากจะครองใต้หล้า จะไม่เด็ดขนสักเส้นเลยได้อย่างไรล่ะ? มิหนำซ้ำก็ต้องชดเชยให้พวกจอมพลกับเทพประจำดาวที่สูญเสียที่น้ำพุวังเวง ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นย่อมเป็นของดีที่สุดในการปลอบประโลมใจคน”

โค่วเจิงถอนหาใจเบาๆ “ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก ประมุขชิงทำไมต้องทำให้วุ่นวายอย่างนี้”

ถังเฮ่อเหนียนบอกว่า “พวกท่านอ๋องเดาว่า ประมุขชิงลงมือแบบนี้เพราะอยากจะทดสอบท่าทีของพวกท่านอ๋อง นี่ก็คือลักษณะการทำงานของเขา ถ้าพวกท่านอ๋องยอมถอย เขาก็จะยอมถอยเช่นกัน พวกท่านอ๋องจึงแข็งใจปล่อยวาง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สูญเสียอะไร เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้สี่อ๋องสวรรค์จะมีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้”

โค่วเจิงพยักหน้าเงียบๆ จากนั้นก็สงสัยอีก “แล้วนี่เกี่ยวอะไรกับการแกไขความแค้นระหว่างหนิวโหย่วเต๋อกับทุกคน?”

ถังเฮ่อเหนียนเอามือขยี้เครา “จะว่าไปแล้วก็ได้วิธีการนี้ก็มาเพราะความบังเอิญ มีการเคลื่อนย้ายกำลังพลในใต้หล้า ทางวังสรรค์คงอยากสอดแนมกองทัพ ฝั่งพวกเราจับตัวสายลับของหน่วยตรวจการขวาได้คนหนึ่ง สายลับคนนั้นจะเป็นจะตายก็ไม่ยอมสารภาพอะไร ในเวลาแบบนี้บ่าวก็ไม่กล้าประมาท เตรียมจะไปดูด้วยตัวเองว่าอะไรเป็นอะไรแล้วค่อยตัดสินชี้ขาด แต่พอไปถึงประตูคุกกลับได้ยินสายลับนั่นพูดจาถากถางโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงแม้จะเป็นคำพูดถากถางหยอกล้อท่านอ๋อง แต่กลับต้องยอมรับว่าคำพูดไม่กี่ประโยคนั่นแทงใจดำ”

พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็กุมหมัดขออภัยโค่วหลิงซวี แล้วพูดต่อไปว่า “หลังจากบ่าวกลับมาบอกท่านอ๋อง ท่านอ๋องก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง จึงถือโอกาสคุยกับอีกสี่อ๋องพอดี เป้าหมายที่ประมุขชิงกดหนิวโหย่วเต๋อไว้ที่ตลาดผี ทุกคนต่างรู้กันหมดแล้ว ตอนหลังก็ยิ่งเกิดเป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายอย่างที่เห็น จากเรื่องนี้จะเห็นได้ชัดเจนว่าประมุขชิงช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อ ต่อให้ลงมือยังไงแต่ก็ยากที่จะทำอะไรหนิวโหย่วเต๋อได้ ยังจะคิดไม่ได้เชียวเหรอ ยังจะปล่อยให้ประมุขชิงปั่นเล่นอยู่เบื้องหลังอีกเหรอ? ที่จริงพวกเราตกอยู่ในวงจรอุบาทว์แล้วยากจะถอนตัว ดังนั้นตั้งแต่นี้ไปทุกคนก็ไม่ต้องสนใจหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ให้เขารับผลกรรมเอาเอง และอย่าไปหาเรื่องเขาด้วย ให้เขาอยู่ที่ตลาดผีตลอดไปเลยก็แล้วกัน ให้ประมุขชิงเล่นไปคนเดียว ทุกคนไม่ต้องสนใจเขา เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะย้ายหนิวโหย่วเต๋อกลับมากองทัพองครักษ์อีก ถ้าเขายินดีจะย้ายกลับไป อยากจะขึ้นหรืออยากจะลงก็ตามใจเขา หนิวโหย่วเต๋อเคยทรยศประมุขชิงมาก่อน ผ่านเรื่องนั้นจนมีช่องโหว่มาแล้ว อีกทั้งประมุขชิงยังขี้ระแวง เป็นไปไม่ได้ที่คิดจะเลี้ยงหนิวโหย่วเต๋อไว้เป็นลูกน้องคนสนิทอีก

ทุกคนไม่ต้องกังวลแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเติบโตไปมากกว่านี้ จะย้ายหนิวโหย่วเต๋อกลับมาตักตวงผลประโยชน์ที่ตลาดสวรรค์อีกน่ะเหรอ? แบบนั้นจะไม่ทำให้หนิวโหย่วเต๋อได้ประโยชน์หรือไง? ไม่สู้โยนหนิวโหย่วเต๋อไว้ที่ตลาดผีต่อไปดีกว่า ดังนั้นขอเพียงทุกคนวางมือ ชาตินี้หนิวโหย่วเต๋อคงจะต้องเป็นแม่ทัพภาคที่ตลาดผีไปทั้งชีวิตแล้ว พอเป็นแบบนี้ก็จะได้ชื่อว่าสมปรารถนาท่านอ๋องเช่นกัน ทุกคนล้วนได้หลุดพ้นแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าลงมืออีกก็จะเป็นการสู้กับประมุขชิง มีตระกูลอิ๋งเป็นบทเรียนให้เห็นแล้วนี่ ถ้าไม่กลัวเกิดปัญหาก็ลองอีกได้ เหตุผลก็อธิบายไว้ชัดเจนแล้ว เมื่อลองชั่งน้ำหนักดูทุกคนก็ย่อมตอบตกลง แน่นอน นี่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าท่านอ๋องรับประกันกับอีกสามอ๋องว่าจะไม่เลี้ยงหนิวโหย่วเต๋ออีก ถ้าหากทรยศ อีกสามอ๋องก็จะร่วมมือกันบีบให้ตระกูลโค่วต้องจ่าย! เฮ้อ ในที่สุดก็แก้ไขเรื่องหนิวโหย่วเต๋อได้แล้ว!”

…………………………

โลหิตมารสวรรค์? ของผีบ้าอะไร? เหมียวอี้เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ทั้งตกใจทั้งโมโห โมโหที่สู้ไม่ชนะอีกฝ่าย เขาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบในสมองตัวเองอีกครั้ง สัมผัสได้ถึงวัตถุรูปตาข่ายที่ครอบหัวสมองตัวเองอยู่ รวมเป็นหนึ่งเดียวกับหัวสมองแล้ว แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามีตรงไหนทุกข์ทรมานเป็นพิเศษ และไม่ส่งผลกระทบต่อความคิดด้วย

อวี้หลัวช่ามองออกว่าเขากำลังตรวจอาการภายในของตัวเอง “ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าคิดกำจัดออกเลย นี่คือวิชาลับ ไม่ใช่ยาไม่ใช่พิษ ในใต้หล้านี้ไม่มียาถอน เจ้าไปหาโค่วหลิงซวีก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้ขอให้ประมุขชิงลงมือแต่ก็กำจัดออกไม่ได้ง่ายๆ อย่านึกนะว่าเจ้าฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟของอสุราอัคนีแล้วจะทำอะไรได้ เมื่อปลูกโลหิตมารสวรรค์ลงในสมองเจ้าแล้วก็จะแนบติดกับจิตใจเจ้า ดันทุรังร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดก็มีแต่จะทำให้เจ้ากลายเป็นคนโง่ เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะบริสุทธิ์จนไร้จิตมาร เช่นนั้นโลหิตมารสวรรค์ที่ปลูกลงในกายเจ้าก็จะเป็นเพียงความว่างเปล่า มันจะไม่มีวันกำเริบ แต่ถ้าจะบอกว่าเจ้าบริสุทธิ์ เกรงว่าแม้แต่ตัวเจ้าเองก็ยังไม่เชื่อเลย สิ่งที่เรียกว่าจิตมารก็คือเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา โลหิตมารสวรรค์ถูกเจ็ดอารมณ์หกปรารถนากัดกร่อนจนถึงในระดับหนึ่งแล้วถึงจะปะทุ ถ้าปะทุแล้วก็จะไม่มียาอะไรช่วยได้ ส่วนผลที่ตามมาน่ะเหรอ เจ้าไม่ถึงกับตายหรอก เพียงแต่จะกลายเป็นคนปัญญาอ่อนก็เท่านั้นเอง ทั้งยังเป็นคนปัญญาอ่อนที่เป็นบ้าบ่อยๆ ด้วย ไม่ต่างอะไรกับตายไปแล้ว ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผ่านไปสิบปีกว่าโลหิตมารสวรรค์จะปะทุสักครั้ง มีเพียงโลหิตสกัดของข้าเท่านั้นถึงจะควบคุมมันได้ แต่บางครั้งก็มีปะทุล่วงหน้าเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นตอนโดนอาวุธที่ทำจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาโจมตี หรือไม่ก็ตอนใช้พลังปรารถนาฝึกตนแล้วไม่ระวังจนสะสมเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในกายมากเกินไป”

“เจ้าหมายความว่าอะไร?” เหมียวอี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถาม

อวี้หลัวช่าตอบว่า “ไม่ได้หมายความว่าอะไรหรอก เจ้าต้องรอข้าเก้าร้อยปี คนอย่างข้าน่ะคุยง่ายมาก ต่อให้คนจัญไรอย่างเจ้าจะกลับกลอก ข้าก็ยินดีจะเชื่อเจ้าสักครั้ง ข้าจะรอเจ้าเก้าร้อยปี แต่ถ้าหลังจากเก้าร้อยปีนี้เจ้าไม่ทำตามสัญญา หึหึ” นางหัวเราะเย้ยผลที่ตามมา

เหมียวอี้เรียกได้ว่าแค้นใจ แบบนี้เรียกว่าคุยง่ายมากเสียที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าลงสิ่งแปลกปลอมลงในร่างกายตน เมื่อมีต้นทุนในการควบคุมตนแล้ว ต่อให้เป็นเก้าร้อยปีหลังจากนี้ ยังจะหวังให้เจ้ากำจัดให้ข้าอีกเหรอ? เขาถามอย่างเคียดแค้น “เจ้าไม่กลัวเหรอว่าระหว่างนั้นข้าจะเป็นอะไรไปก่อน? สมมติโดนอาวุธจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาโจมตีเหมือนที่เจ้าบอกล่ะ”

อวี้หลัวช่าพลิกมือแล้วคว้าบางอย่างเอาไว้ ดวงจิตน้ำแข็งดวงหนึ่งถูกคีบอยู่ระหว่างนิ้ว นางใช้สองนิ้วบีบจนมีเสียงแตก บนดวงจิตน้ำแข็งระเบิดเป็นรูโหว่ อ้าปากแลบลิ้นสีแดงสด แล้วมีไข่มุกโลหิตถูกบีบออกมาอีกเม็ด เพียงแต่ครั้งนี้ไข่มุกโลหิตไม่ได้เปล่งแสงสีแดงอีกแล้ว

ไข่มุกโลหิตลอยเข้าไปในรูโหว่ของของดวงจิตน้ำแข็งโดยตรง ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกความเย็นของดวงจิตน้ำแข็งผนึกไว้ในนั้นแล้ว อวี้หลัวช่าใช้นิ้วดีดดวงจิตน้ำแข็งใส่เหมียวอี้

เหมียวอี้คว้ามาตรวจดูในมือเงียบๆ อวี้หลัวช่าบอกว่า “นี่ก็คือโลหิตสกัดของข้าหยดหนึ่ง ถ้าโลหิตมารสวรรค์กำเริบขึ้นมา ก็จะช่วยให้เจ้าควบคุมยามฉุกเฉินได้ แต่อย่าใช้งานซี้ซั้วเชียวนะ ถ้าในมือไม่มีของเอาไว้รับมือฉุกเฉิน อีกทั้งเจ้ากับข้ายังอยู่ห่างไกลกัน ถ้ามันกำเริบอีก ก็ไม่มีใครช่วยเจ้าได้แล้ว”

“เจ้าเองก็รู้ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นอีก ให้เพิ่มอีกสักหยดเถอะ ถึงยังไงเจ้าก็ไม่ขาดแคลน” เหมียวอี้เก็บดวงจิตน้ำแข็งในมือแล้วทวงขออีกครั้ง

“หึหึ!” อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม แต่ก็ไม่แยแส “ทุกๆ สิบปี ข้าจะให้คนส่งโลหิตสกัดหนึ่งหยดไปให้เจ้าควบคุมการกำเริบของโลหิตมารสวรรค์ รอจนกระทั่งเจ้าทำตามสัญญาแล้ว ข้าถึงจะขจัดให้เจ้าจนหมด!”

เรื่องมาจนป่านนี้แล้ว เหมียวอี้ก็รู้เช่นกัน ว่าพูดอะไรไปอีกก็ไม่มีประโยชน์ จึงกล่าวอย่างหงุดหงิดนิดหน่อย “ช่วยอะไรข้าสักอย่าง”

“ว่ามา” อวี้หลัวช่าเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน

เหมียวอี้บอกว่า “สลับที่พักในจวนแม่ทัพภาคกับวัดพระกษิติครรภ์ให้สักหน่อย ที่นั่นตัวอยู่ท่ามกลางคนพลุกพล่าน คนที่อยากสู้กับข้ามีเยอะเกินไป จะถูกคนเข้าถึงตัวได้ง่าย ข้าอยู่ที่นั่นไม่ปลอดภัย ถ้าเจ้าอยากให้ข้ามีชีวิตยืนยาวอีกสักหน่อยเพื่อช่วยเจ้าหาสมบัติลับ ก็ช่วยคิดหาทางสลับให้ข้าด้วย”

เรื่องนี้…อวี้หลัวช่าครุ่นคิดเล็กน้อย “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากจะสลับก็สลับได้ แต่ถ้าฝั่งตำหนักสวรรค์มีคนเอ่ยปากกับแดนพุทธ ทางข้าก็จะช่วยคุยให้เจ้าได้ แล้วอีกอย่าง พวกเสวี่ยอวี้และศิษย์ของข้าที่น้ำพุวังเวงเป็นอะไรกันแน่ ต่อให้ถูกหลายตระกูลร่วมมือกันโจมตี แต่ก็ไม่ถึงขั้นตัดขาดการติดต่อไปกะทันหันหรอกใช่มั้ย?”

สำหรับนางแล้ว นางยังหวังให้เสวี่ยอวี้มีชีวิตอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่ธรรมดา เสวี่ยอวี้เป็นลูกสมุนที่นางไว้ใจที่สุด การที่เสวี่ยอวี้หายไปทำให้นางปวดใจมาก ถ้าไม่ใช่เพราะสมบัติลับ นางคงฉีกร่างเหมียวอี้ให้แหลกเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว

เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไม่ได้เข้าไปในน้ำพุวังเวงเลย อยู่ด้านนอกน้ำพุวังเวงตลอด ไม่ค่อยรู้ชัดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ไม่ใช่แค่คนของเจ้าที่ขาดการติดต่อไปกะทันหัน กำลังพลออกล่าของสี่อ๋องสวรรค์ก็ขาดการติดต่อไปเหมือนกัน ตอนนี้พวกเขากำลังสืบเรื่องนี้อยู่”

“อ้อ!” อวี้หลัวช่าทำสีหน้าระแวง ยังนึกว่าคนของตัวเองถูกสี่อ๋องสวรรค์กำจัดไปเสียแล้ว นางส่งคนไปสำรวจที่น้ำพุวังเวงแล้ว นึกไม่ถึงว่าแม้แต่คนของสี่อ๋องสวรรค์ก็ถูกกำจัดหมดเช่นกัน ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้นางนึกถึงข่าวกระหึ่มใต้หล้าที่สี่อ๋องสวรรค์กับประมุขชิงกำลังระดมทัพใหญ่คุมเชิงกัน อดไม่ได้ที่ทำสีหน้าครุ่นคิด พลางพึมพำว่า “หรือว่าประมุขชิงเป็นคนทำ?”

คนเราเมื่ออยู่สูงถึงระดับหนึ่งแล้ว ระดับของเป้าหมายก็ค่อนข้างคล้ายกัน

เหมียวอี้ย่อมไม่บอกความจริงว่าใครทำ หลังจากออกจากวัดพระกษิติครรภ์แล้ว ก็กลับมาที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีพร้อมไฟโกรธสุมทรวง ตัวเองอยากจะเล่นลูกไม้ แต่ผลก็คือเท้าตัวเองไปสะดุดเตะแผ่นเหล็กเสียเอง ดีใจได้ก็แปลกแล้ว

เมื่อเห็นเหมียวอี้กลับมาอย่างปลอดภัย หยางเจาชิงก็โล่งอก ส่วนเหมียวอี้กลับพูดกระแทกกระทั้น “ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามมารบกวน”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่งอย่างงุนงง มองออกแล้วว่าเหมียวอี้อารมณ์ไม่ดี

เดินไปเดินมาอยู่ในห้องไม่กี่รอบ หลังจากอารมณ์เริ่มสงบลงทีละนิด เหมียวอี้ก็นั่งขัดสมาธิลงบนเตียง แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูอาการในหัวสมองอีกครั้ง วัตถุคล้ายตาข่ายที่แทรกเข้ามาในสมองทำให้คนหวาดกลัว ถ้าทำอะไรหุนหันพลันแล่นก็ส่งผลกระทบต่อสติปัญญาได้จริงๆ ถ้าทำให้สมองบาดเจ็บแล้ว ก็จะกลายเป็นคนปัญหาอ่อน

แต่มีหรือที่เหมียวอี้จะทำใจยอมให้คนอื่นบงการได้อย่างนี้ ประสิทธิภาพอันน่าทึ่งของเคล็ดวิชาอัคนีดาราในร่างกายมี จะไม่ลองสักหน่อยได้อย่างไรล่ะ?

เขารวบรวมสมาธิ เพลิงจิตเริ่มลอยขึ้นในร่างกายอย่างรวดเร็วตามใจนึก พอถึงมาถึงส่วนหัวก็เริ่มใช้วิชาระมัดระวัง เมื่อหามุมของวัตถุที่กระจายตัวเหมือนตาข่ายเจอแล้ว เพลิงจิตก็ทดลองสัมผัสเล็กน้อย หนวดสัมผัสรูปตาข่ายกลายเป็นควันในชั่วพริบตาเดียว เผาทำลายไปมุมหนึ่งแล้ว

เพลิงจิตหดกลับมาอีกครั้ง เหมียวอี้ตรวจสภาพร่างกายอย่างละเอียด หลังจากแน่ใจแล้วว่าสติปัญญาไม่ได้รับผลกระทบ ถึงได้ควบคุมเพลิงจิตให้ขจัดสิ่งแปลกปลอมตามลำดับ เริ่มจากมุมที่ถูกเผานั่นก่อน จากนั้นก็เผาขึ้นไปตลอดทาง ขณะเดียวกันก็กำจัดออกทางลมหายใจ อ้ากพ่นควันออกมาอย่างช้าๆ

กำจัดออกไปทีละนิด กำจัดทีละพื้นที่ พูดเหมือนเร็ว แต่ที่จริงแล้วขั้นตอนช้ามาก หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นอะไร เหมียวอี้ก็พลันโคจรเคล็ดวิชาอัคนีดาราอย่างเต็มที่ เพลิงจิตกรอกขึ้นที่สมองโดยตรง ชั่วพริบตาเดียวก็กวาดสิ่งแปลกปลอมในสมองจนหมดเกลี้ยงในรวดเดียว

“ฮู่ว!” หลังจากเหมียวอี้พ่นควันออกมายาวๆ ก็หยุดใช้วิชาแล้วลืมตาขึ้น ในดวงตาฉายแววเหลือเชื่อ รู้สึกไม่ค่อยกล้าเชื่อว่าของที่อวี้หลัวช่ามั่นอกมั่นใจขนาดนี้จะถูกตนกำจัดทิ้งอย่างง่ายดาย อวี้หลัวช่าบอกว่าเคล็ดวิชาธาตุไฟของตนใช้ไม่ได้ผลไม่ใช่เหรอ?

แต่หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูซ้ำอีก ก็พบว่ากำจัดโลหิตมารสวรรค์ได้แล้วจริงๆ

พลิกมือหยิบดวงจิตน้ำแข็งผนึกโลหิตสกัดที่อวี้หลัวช่าให้ออกมา ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีอาการกำเริบภายหลังอย่างที่อีกฝ่ายบอกหรือเปล่า

พอเก็บดวงจิตน้ำแข็ง ก็พลิกฝ่ามือแล้วมีไข่มุกพลังปรารถนาลอยวนรอบกาย เขากลั่นกรองตอนนี้เสียเลย ไม่กันเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่อยู่ข้างในด้วย ใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาฝึกตนเสียเลย

หลังจากนั้นหนึ่งวัน เหมียวอี้ก็หย่อนเท้าสองข้างลงจากเตียง จากนั้นหยิบดวงจิตน้ำแข็งดวงนั้นมาโยนเล่นในมืออีก มุมปากแสยะยิ้มเล็กน้อย “โลหิตมารสวรรค์อะไรกัน มันก็แค่นี้เอง เคล็ดวิชาอสุราอัคนีรับมือไม่ไหว แต่ไม่ได้แปลว่าพ่อรับมือไม่ไหวนะ ยังคิดจะหาสมบัติอีกเหรอ? ต่อไปข้าจะพาเจ้าไปเล่นตรง ‘ที่ซ่อนสมบัติ’ ให้สนุกเลย บัญชีนี้เรามาคิดกันช้าๆ!” ในดวงตาฉายแววเย็นเยียบดุร้าย

เขารู้อย่างลึกซึ่งว่าแก้ไขเรื่องโลหิตมารสวรรค์แล้วก็ยังไม่จบ เพื่อสมบัติลับนั่น ตัวเองกับว่าถูกอวี้หลัวช่าพัวพันแล้ว ถ้าไม่กำจัดผู้หญิงคนนั้นทิ้ง อีกฝ่ายก็ไม่ปล่อยตนไปเหมือนกัน ถูกลิขิตไว้แล้วว่าถ้าไม่ตายก็ไม่เลิก…

ในคฤหาสน์หลังใหญ่โอ่อ่าป่าในโบราณกลางภูเขาลึกแห่งหนึ่ง ในเรือนด้านใน โค่วเจิงที่กลับมาแล้วรีบเดินเข้าไปในลานบ้านด้านหลัง โค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนก็อยู่ด้วย กำลังรอเขาอยู่

คนของจวนอ๋องสวรรค์โค่วออกจากดาวหยกงามไปแล้ว ส่วนใหญ่ย้ายมาที่นี่ เหลือเพียงคนส่วนน้อยเอาไว้เฝ้าบ้านเท่านั้น อวิ๋นจือชิวก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ตอนที่เคลื่อนกำลังพลทัพเหนือก็แอบย้ายออกมาเงียบๆ แล้ว เป็นเพราะไม่มีทางเลือก ดาวหยกงามอยู่ใกล้วังสวรรค์เกินไป ถ้าเปิดศึกกันเมื่อไรจะต้องประสบหายนะแน่ ไม่ใช่แค่ตระกูลโค่วเท่านั้น แต่สี่อ๋องสวรรค์ล้วนย้ายบ้านหมดแล้ว

หลังจากทำความเคารพแล้ว โค่วเจิงก็รายงานสถานการณ์ที่รู้มาจากเหมียวอี้โดยละเอียดอีกครั้ง ถึงแม้ก่อนหน้านี้ตอนอยู่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีจะใช้ระฆังดาราบอกแล้ว แต่คำพูดบางอย่างไม่อาจะใช้ระฆังดาราพูดอย่างละเอียดได้ ไม่สู้รายงานต่อหน้า

หลังจากถามตอบละเอียดแล้ว โค่วหลิงซวีเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา พลางพึมพำซ้ำๆ ว่า “สมบัติลับที่สำนักหนานอู๋ทิ้งไว้ สมบัติลับที่สำนักหนานอู๋ทิ้งไว้…” จู่ๆ ก็หยุดเดินแล้วหันกลับมาถาม “ผู้เฒ่าถัง เจ้ารู้สึกว่าคำพูดนี้มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน?”

ผู้เฒ่าถังเอามือขยี้เครา “ไม่เคยได้ยินมาก่อน เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือประมุขชิงกับแดนพุทธร่วมมือกันวางแผน ความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือหนิวโหย่วเต๋อพูดจริง ไม่อย่างนั้นก็ไม่สำคัญพอให้สำนักหลัวช่าเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้เลย อย่างน้อยก็มีจุดหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ นั่นก็คืออวี้หลัวช่าอาจจะมาจากสำนักหนานอู๋จริงๆ จะรู้ความลับบางอย่างของสำนักหนานอู๋ก็ไม่แปลก ยังมีอีกจุดหนึ่ง ถ้าหนิวโหย่วเต๋อพูดอย่างนี้ ก่อนหน้านี้บ่าวก็คิดมานานแล้ว คิดเชื่อมโยงกับเรื่องเรื่องหนึ่ง”

“อ้อ!” โค่วหลิงซวีรู้ว่าเขาต้องไม่ยิงธนูโดยไร้เป้าแน่นอน ถึงถามอย่างจริงจังว่า “มีเรื่องอะไร?”

ผู้เฒ่าถังกล่าวอย่างลังเล “ดาวพิษ ก็คือดาวหนานอู๋เหมือนกัน พระปีศาจหนานโปทำจนดาวพิษกลายเป็นอย่างนั้น ก่อนหน้านี้นึกว่าเพื่อระบายความโกรธ ตอนนี้พอเชื่อมโยงกับสิ่งที่หนิวโหย่วเต๋อบอก ทำไมบ่าวรู้สึกว่าการที่พระปีศาจหนานโปโจมตีดาวหนานอู๋จนเป็นรูพรุนอย่างนั้นก็เพื่อจะหาอะไรบางอย่าง?”

“หาของเหรอ?” โค่วหลิงซวีหรี่ตาทันที จากนั้นก็พยักหน้าช้าๆ “พอเจ้าพูดอย่างนี้ ข้าก็ว่าเหมือนกำลังหาของจริงๆ พระปีศาจหนานโปมองว่าตัวเองสูงส่งมาก ทำลายสำนักหนานอู๋ไปแล้ว ทั้งยังทำลายพื้นที่เพื่อระบายความโกรธอีก พอมานึกดูตอนนี้ก็รู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผล ด้วยพลังของเขาถ้าคิดจะระบายความโกรธจริงๆ ก็สามารถระเบิดทั้งดาวหนานอู๋ได้เลย ไม่จำเป็นต้องโจมตีซ้ำไปซ้ำมาอย่างนั้น เรื่องนี้มีเงื่อนงำจริงๆ”

ผู้เฒ่าถังถามว่า “ที่ดาวหนานอู๋จะหาของอะไรได้? ก็แค่สมบัติของสำนักหนานอู๋ที่เหลือไว้ที่มีมูลค่ามากหน่อย ถ้าสิ่งที่คาดเดาสอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นจะมีของอะไรได้? ของที่ทำให้พระปีศาจหนานโปอยากได้ขนาดนี้ ทั้งยังทำให้อวี้หลัวช่ายอมเสี่ยงทำเรื่องที่ทั้งใต้หล้าคิดว่าผิด เกรงว่าของสิ่งนี้จะไม่ธรรมดา!”

ดวงตาโค่วหลิงซวีเผยแววคมกริบ พยักหน้าบอกว่า “น่าเสียดายที่เวลาผ่านไปนานเกินไป ตอนนั้นข้าเพิ่งก้าวเข้าสู่แดนฝึกตน ยังเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ยังรู้อะไรไม่เยอะ ไม่มีทางยืนยันอะไรได้ อวี้หลัวช่าจะต้องไม่ยอมคายความจริงให้พวกเรารู้แน่นอน”

…………………………

ไม่ว่าจะเป็นของจริงหรือของปลอม ก็จะต้องดูสักหน่อยแน่นอน นางกรอกพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปตรวจดู สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือแผนที่ดาว มีจุดแสงจุดหนึ่งกะพริบอยู่ท่ามกลางทะเลดาวอันกว้างใหญ่ไพศาล พอเข้าไปดูใกล้ๆ ด้านบนของดาวเคราะห์ดวงหนึ่งก็มีเครื่องหมายวัดแห่งหนึ่ง ในวัดมีภาพเงาคนที่คลุมเครือ

เหมียวอี้กำลังคิดว่าในสมบัติลับคงไม่ได้มีของอะไรที่ทำให้แทนที่ประมุขพุทธะได้จริงๆ หรอกมั้ง จึงถามหยั่งเชิง “อวี้หลัวช่า ในแผนที่นี้มีวัดแห่งหนึ่ง เงาคนเลือนรางในวัดหมายความว่าอะไร? อย่าบอกนะว่าพอเข้าวัดนี้แล้วจะกลายเป็นพุทธะ?”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็ทำให้อวี้หลัวช่าหัวใจเต้นรัว นางก็กำลังแปลกใจเช่นกันว่าเงาคนเลือนรางในวัดหมายความว่าอะไร คำพูดของเหมียวอี้ทำให้นางเห็นแสงสว่างทันที นางเก็บพลังอิทธิฤทธิ์กลับมาจากลูกกลมโลหะ “ข้าก็คือพุทธะอยู่แล้ว ยังต้องกลายเป็นพุทธะอีกเหรอ?”

ยิ่งปกปิดก็ยิ่งเห็นได้ชัด เหมียวอี้พึมพำในใจ ถ้าอีกฝ่ายไม่ตั้งใจอธิบายอย่างนี้ เขาก็จะครุ่นคิดไม่หยุด ทว่าตอนนี้ทำให้เขาแน่ใจการคาดเดาของตัวเองแล้ว แต่เขาก็สงสัยมากกว่าว่าผู้ซ่อนสมบัติมีเจตนาอะไร ถ้าที่ซ่อนสมบัติมีของดีจริงๆ แล้วทำไมต้องมอบให้คนอื่น?

เขาไม่มีเวลามาคิดมาก อวี้หลัวช่าเหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ “เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”

“อวี้หลัวช่า…”

“อวี้หลัวช่าใช่ชื่อที่เจ้าจะเรียกได้เหรอ?”

“ข้าเห็นเจ้าสาวเจ้าสวยขนาดนี้ ชื่อเรียกโบราณสูงวัยน่ะข้าเรียกไม่ไหวหรอก” พอพูดจบ ขนาดเหมียวอี้เองก็ยังรู้สึกสะอิดสะเอียนนิดหน่อย จู่ๆ ก็นึกถึงสวีถังหราน พบว่าที่จริงแล้วตัวเองกับสวีถังหรานก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร มองเห็นแต่สวีถังหรานประจบสอพลอ ตัวเองก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ

“เชอะ!” อวี้หลัวช่าทำเสียงฮึดฮัด ไม่รู้ว่าได้ยินคำประจบสอพลอแล้วสบายใจ หรือรู้สึกว่าตอนนี้ไม่จำเป็นต้องถือสาเหมียวอี้เรื่องนี้ นางใช้ฝ่ามือรองลูกกลมโลหะ “ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าแผนที่ซ่อนสมบัติเป็นของจริงหรือเปล่า?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ข้ายังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามันเป็นของจริงหรือเปล่า ที่สำคัญคือต่อให้ข้ามอบแผนที่ซ่อนสมบัติให้เจ้าร้อยฉบับ เจ้าก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าเป็นของจริงหรือเปล่า ลองตรวจสอบผลลัพธ์ว่าจริงหรือปลอม ดูว่าจะหาจุดซ่อนสมบัติเจอรู้เปล่า แค่นั้นก็รู้แล้ว”

ยังไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือปลอม อวี้หลัวช่าเก็บลูกกลมโลหะไว้เสียเลย แล้วทวงของอีก “สูตร มอบสูตรหาสมบัติมาให้ข้า”

“ตอนนี้ต่อให้มอบสูตรให้เจ้า เจ้าก็หาสมบัติลับไม่เจออยู่ดี ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องรอให้เจ้ามาหาข้าหรอก ข้าคงไปขุดสมบัติลับออกมาตั้งนานแล้ว” เหมียวอี้กล่าว

“เพราะอะไร?” อวี้หลัวช่าถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “จากสูตรสมบัติลับ อาณาเขตดาวที่ตั้งของจุดซ่อนสมบัติอยู่ท่ามกลางวงโคจร ทุกๆ หนึ่งพันปีถึงจะกลับเข้าที่หนึ่งครั้ง หรือพูดได้อีกอย่างว่าแผนที่ซ่อนสมบัตินี้จะแสดงประโยชน์เฉพาะในช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเทียบสถานที่เป้าหมายเจอได้เลย จากที่คำนวณ ยังเหลือเวลาอีกเก้าร้อยปีกว่าจะถึงเวลาค้นหาสมบัติครั้งต่อไป”

“พูดมากเป็นชุด อยากจะถ่วงเวลาสินะ?” อวี้หลัวช่าถามเสียงเย็น

เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไม่จำเป็นต้องถ่วงเวลา จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ตอนนี้ข้าก็ไม่มีทางมอบให้เจ้าหรอก ถ้าให้เจ้าตอนนี้ ข้าจะรอดชีวิตได้เหรอ? เจ้าไม่ต้องมองข้าอย่างนี้ ถ้าข้าปกป้องไม่ได้แม้แต่ชีวิตตัวเอง ต่อให้เจ้าจะทรมานข้ายังไงก็ไม่มีประโยชน์ ถึงแม้หนิวจะกลัวตาย แต่ก็ต้องดูสถานการณ์เหมือนกัน เวลาจะต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดก็ไม่เคยเลอะเลือน ก็เหมือนที่เจ้าบอก ขนาดพิธีรับสนมของราชันสวรรค์ข้ายังกล้าก่อเรื่องเลย เรื่องตัดหัวประหารข้าก็ไม่ได้ทำแค่ครั้งสองครั้ง เจ้าขู่ข้าไม่ได้ผลหรอก ถ้าอยากได้สมบัติลับ ก็รออีกเก้าร้อยปีหลังจากนี้สิ พวกเราไปด้วยกันสักรอบ ทุกอย่างย่อมกระจ่างว่าจริงหรือปลอม ข้าถ้าหลอกเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยสังหารข้าก็ยังไม่สาย แค่หนึ่งร้อยปีเอง แค่ดีดนิ้วก็ผ่านไปแล้ว ไม่ถึงขั้นรอไม่ไหวหรอกมั้ง?”

อวี้หลัวช่าบอกว่า “เรื่องน้ำพุวังเวงใหญ่ขนาดนั้น ข้ากลัวว่าจะรอได้ไม่ถึงเก้าร้อยปีแล้ว” ในดวงตาฉายแววดุร้าย

“นี่เป็นเรื่องของเจ้า ระดับของพวกเจ้าสูงเกินไป ข้าเอื้อมมือไปสอดไม่ไหว ช่วยเจ้าไม่ได้หรอก แต่ข้ามีเรื่องเรื่องหนึ่งที่ต้องให้เจ้าช่วย” เหมียวอี้กล่าว

“ลองว่ามา” อวี้หลัวช่ากล่าว

เหมียวอี้บอกว่า “ข้าไม่อยากให้คนรู้ว่าเรื่องที่น้ำพุวังเวงเกี่ยวข้องกับข้า แต่ตระกูลโค่วรู้แล้วว่าข้ากับสำนักหลัวช่าติดต่อกัน ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ โค่วเจิงก็เพิ่งออกจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผี เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง ข้าเลยจำเป็นต้องพูดเรื่องสมบัติลับสำนักหนานอู๋ แต่เจ้าวางใจได้ ข้ายังไม่ได้บอกใครเรื่องที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้…” หลังจากพูดข้ามบทสนทนาทั้งหมดระหว่างตัวเองกับโค่วเจิง เหมียวอี้ก็บอกว่า “นี่ก็เป็นเหตุผลที่ข้ามาที่นี่ แม้จะรู้แจ่มแจ้งว่าคนของสำนักหลัวช่าจะมาหาข้า แต่ข้าก็ยังมาคนเดียว เพราะอยากจะรบกวนให้สำนักหลัวช่าให้ความร่วมมือสักหน่อย อย่าให้คนร่าเรื่องที่น้ำพุวังเวงเกิดขึ้นเพราะข้า ไม่อย่างนั้นตำหนักสวรรค์ไม่มีทางปล่อยข้าไปแน่”

อวี้หลัวช่าแววตาวูบไหว “ในเมื่อหวาดกลัวขนาดนี้ เหตุใดจึงต้องพัวพันอยู่ที่นี่ แค่หายตัวไปก็สิ้นเรื่องแล้ว เก้าร้อยปีข้าสามารถรอได้ เจ้าแค่ไปกับข้าก็พอ”

เหมียวอี้ตอบว่า “ฮูหยินของข้าอยู่ในมือตระกูลโค่ว ถูกกักบริเวณอยู่ในจวนอ๋องสวรรค์ ถ้าเจ้ามีความสามารถ ก็ช่วยฮูหยินของข้าออกมาจากมือตระกูลโค่วเพื่อรับประกันความปลอดภัยของนางสิ แล้วข้าจะไปกับเจ้าทันที ถ้าเจ้าทำไม่ได้ ก็อย่าพูดอย่างอื่นที่ไร้ประโยชน์ ข้าไม่มีทางตามเจ้าไปหรอก”

อวี้หลัวช่าแสยะยิ้ม “ก็แค่ผู้หญิงคนเดียวเองไม่ใช่เหรอ ไปกับข้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากได้ผู้หญิงแบบไหน ข้าก็หาให้เจ้าได้ทั้งนั้น รับรองว่าแต่ละคนสวยกว่าฮูหยินของเจ้าแน่ มีให้เจ้าเล่นทุกวันไม่ซ้ำแบบ รสชาติศิษย์สำนักหลัวช่าของข้า รับรองว่าเจ้าจะติดใจไม่รู้ลืม”

“ศิษย์สำนักหลัวช่าแล้วยังไงล่ะ ต่อให้เจ้าสำนักมาปรนนิบัติด้วยตัวเอง ก็เทียบฮูหยินของข้าไม่ติดหรอก” เหมียวอี้กล่าว

คำพูดดูหมิ่นแบบนี้ไม่ได้ทำให้อวี้หลัวช่าขุ่นเคืองใจ เรื่องระหว่างชายหญิงไม่ได้สำคัญสำหรับนาง ถ้าทำให้นางโมโหได้ก็แปลกแล้ว นางได้ยินแล้วเงียบนิดหน่อย นางย่อมเคยได้ยินเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงมาก่อน เพื่อผู้หญิงคนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าเวรนี่จะกล้าทำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้าน ช่างไม่กลัวตายจริงๆ ความรักความห่วงใยแบบนี้สำหรับผู้หญิง ตอนที่นางได้ยินครั้งแรกก็ซาบซึ้งอยู่บ้างเหมือนกัน

แต่ถ้าจะให้นางพาตัวออกมาตอนนี้ เจ้าคิดว่าจวนอ๋องสวรรค์โค่วที่น่าเกรงขามนั่นตั้งไว้ประดับเฉยๆ เหรอ? ถ้ารอตอนหลังแล้วค่อยๆ วางแผน ตรงหน้านางมีด่านที่ต้องข้ามผ่านไปให้ได้

“แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่าที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?” อวี้หลัวช่ากล่าวเสียงเรียบ ทว่าในดวงตามีสง่าราศีเป็นพิเศษ

“เจ้าจะให้ข้าพิสูจน์ยังไงล่ะ? เจ้าไม่เชื่อ…” เสียงพูดของเหมียวอี้ช้าลง มองนางอย่างตะลึงงัน ลมหายใจเริ่มปั่นป่วน

บนใบหน้างามเย็นชาดุจหยกสลักของอวี้หลัวช่าเริ่มเผยรอยยิ้ม เป็นยิ้มเดียวสะท้านใจอย่างแท้จริง นางแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากเบาๆ นิ้วเรียวลูบไล้บนใบหน้าตัวเองอย่างช้าๆ ลงมาแหวกคอเสื้อออกบางส่วน เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าขาวเนียนหมดจด บางครั้งริมฝีปากก็พึมพำบางสิ่งที่กระตุ้นให้คนใจสั่น

นางหยุดเพียงเท่านี้ ไม่ได้ทำอะไรเกินกว่านี้อีก แต่กลับทำให้เหมียวอี้รู้สึกแตกต่างออกไป ไม่น่าเชื่อว่าจะยั่วราคะและความเย้ายวนยิ่งกว่าเม่ยจีและบรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าเสียอีก เหมือนกับอยู่ริมน้ำตกในป่าแล้วเห็นสาวน้อยที่งามเลิศในปฐพีคนหนึ่งกำลังถอดเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ ความบริสุทธิ์ของฉากนั้นทำให้คนหวั่นไหวเช่นนี้ ราวกับชั่วพริบตาเดียวก็เข้ามาประทับในใจคนได้แล้ว และยิ่งกระตุ้นให้คนรู้สึกปรารถนาอยากครอบครองทำให้อดใจไม่ไหวอยากจะดึงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนโดยจิตใตสำนึก ในดวงตามีเพียงอวี้หลัวช่า และในขณะที่เขารู้สึกร้อนบริเวณท้องน้อยและกลืนน้ำลายอย่างกระหาย ความรู้สึกเย็นซาบซ่านก็แผ่จากแผ่นหลังเข้ามาในสมอง ตอนที่กล้วยไม้สำรวมใจที่กินไว้ล่วงหน้าเพิ่งออกฤทธิ์ เคล็ดวิชาอัคนีดาราในร่างกายกลับสัมผัสได้ก่อนแล้วหนึ่งก้าว เคล็ดวิชาโคจรด้วยตัวเอง สงบจิตสำรวมใจ ช่วยให้เขากลับมามีสติก่อนแล้ว

ชั่วพริบตานี้ เหมียวอี้ที่ได้สติกลับมาแอบตกใจ ตระหนักได้ทันทีว่าตัวเองตกหลุมพรางแล้ว พบว่าป้องกันไม่ชนะจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ต้องแต่งตัวเปิดเผยหรือเต้นระบำมารสวรรค์ยั่ว แค่ใช้สายตากับลีลานิดหน่อยก็ยั่วให้คนเหม่อลอยได้แล้ว พลังระดับนี้ตกใจจริงๆ เกรงว่าคงน่ากลัวว่าท่วงท่าระยำเย้ายวนใจเสียอีก ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้หญิงคนนี้จึงไม่แต่งตัวเปิดเผยเหมือนลูกศิษย์ในสำนัก

เพียงแต่เหมียวอี้ได้สติกลับมาเพียงชั่วครู่เท่านั้น จากนั้นก็เข้าไปใกล้อวี้หลัวช่าอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้ากระหายอยากครอบครอง

อวี้หลัวช่าทำท่ายั่วยวนเล็กน้อย หลังจากเหลือบไปเห็นในดวงตาเหมียวอี้ฉายแววตื่นตัว แววตาออดอ้อนของนางก็ค่อยๆ เย็นเยียบลง รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มหายไปทีละนิด หยุดทำท่ายั่วยวนแล้วเช่นกัน

ทั้งสองอยู่ไม่ห่างกันมาก ในที่สุดเหมียวอี้ก็เข้ามาใกล้แล้ว กางแขนสองข้างโน้มกอดอวี้หลัวช่า สูดดมคอที่ขาวหมดจดของนางราวกับหมูดุนอาหาร มือสองข้างก็ยิ่งลูบไล้ทั้งข้างล่างข้างบน หน้าอกและก้นย่อมไม่ปล่อยผ่าน เขาไม่เกรงใจ ออกแรงบีบนวดเต็มที่ เพราะไม่ต้องเสียเงินแลกมา สุดท้ายก็แหวกคอเสื้อของอวี้หลัวช่าลงมาเสียเลย

ใครจะคิดว่าตอนที่เพิ่งแหวกคอเสื้ออวี้หลัวช่าลงมาถึงหน้าอก ไหล่งามและหน้าอกขาวเพิ่งโผล่ออกมาได้ครึ่งเดียว ก็ถูกพลังบางอย่างสะเทือนออกมาแล้ว จากนั้นก็ตามติดด้วยเงาฝ่ามือ

เพี้ยะ! เสียงตบบ้องหูดังสนั่นหวั่นไหว ตามด้วยแสยะยิ้มของอวี้หลัวช่า “เล่นละครได้เนียนเชียวนะ!”

เหมียวอี้ที่โดนตบจนหน้าแดงเอามือปิดหน้า จู่ๆ ได้ยินนางพูดแบบนี้ เขารู้สึกอึ้งนิดหน่อย ตัวเองแสดงละครไม่เนียน โดนจับได้แล้ว เอามือลูบใบหน้าที่ร้อนผ่าวแล้วหัวเราะแห้งๆ “เหอะๆ! ระบำมารสวรรค์ร้ายกาจจริงๆ ข้าเกือบจะเอาไม่อยู่แล้ว โชคดีที่กินกล้วยไม้สำรวมใจล่วงหน้า เจ้ามองออกได้ยังไง?”

อวี้หลัวช่าดึงคอเสื้อขึ้นมา จัดเสื้อผ้าใหม่ให้เรียบร้อย “ยังต้องมองออกอีกเหรอ? แค่อยากจะทดสอบว่าเจ้าซื่อสัตย์หรือเปล่า ขนาดระบำมารสวรรค์ยังควบคุมเจ้าไม่ได้เลย แล้วยังจะควบคุมอะไรเจ้าได้? ตอนนี้พิสูจน์แล้วว่าเจ้าไม่น่าเชื่อถือจริงๆ ด้วย!”

มือยังติดกลิ่นหอม มือที่เหมียวอี้เคยลูบไล้มาก่อนค่อนข้างน่าอาย ขนาดตัวเองคิดแล้วยังอาย ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ลวนลามพุทธะหน้าหยกแล้ว

แต่ไม่นานก็รู้สึกว่าตัวเองคิดมากไป สำหรับอีกฝ่าย บางทีอาจไม่นับเป็นเรื่องสำคัญอะไรเลย นึกถึงบทสนทนาระหว่างตานฉิงกับเสวี่ยอวี้ที่น้ำพุวังเวงชั้นห้า แขกที่เข้ามาใช้บริการอวี้หลัวช่าเหมือนมีเยอะจนนับไม่ถ้วน “เหอะๆ ถ้าปกป้องชีวิตตัวเองได้ก็ย่อมต้องระมัดระวังหน่อย”

“หึหึ!” อวี้หลัวช่าจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วแสยะยิ้ม แล้วจู่ๆ ก็จีบนิ้วรูปดอกกล้วยไม้ตรงหน้าอก พลังอิทธิฤทธิ์ซัดกระเพื่อมพักหนึ่ง

เหมียวอี้ทำสีหน้าระแวดระวังทันที ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการจะทำอะไร

จู่ๆ นิ้วที่จีบเป็นรูปดอกกล้วยไม้ก็กลายเป็นเงานิ้วแบบต่างๆ จีบนิ้วเป็นมุทราหลากหลายแบบจนคนตาลาย แล้วอวี้หลัวช่าก็อ้าปาก แลบลิ้นอ่อนสีแดงสดออกมา เงานิ้วหยุดชะงัก ปลายเล็บของนิ้วชี้วาดผ่านปลายลิ้นสีแดง วาดจนบาดลิ้น มีหยดเลือดสีแดงสดซึมออกมาเล็กน้อย

นิ้วชี้ตั้งตรงหน้าอก บนปลายนิ้วมีไข่มุกเลือดเปล่งแสงสีแดงอ่อนๆ ลิ้นที่ถูกเล็บบาดถูกเก็บกลับเข้าไปในปาก อวี้หลัวช่าจ้องเหมียวอี้อย่างเย็นเยียบ

เหมียวอี้ถอยหลัง แล้วกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าอย่านึกนะว่าได้แผนที่ไปแล้วจะสามารถหาสมบัติลับเจอ”

พรึ่บ! เงาร่างของอวี้หลัวช่าแฉลบเข้ามาแล้วทะยานขึ้นฟ้า โบยบินราวกับดอกบัวขาว ฝ่ามือข้างหนึ่งกดลงมาจากฟ้า พลังอิทธิฤทธิ์ที่เรียบง่ายกดจนเหมียวอี้ราวกับแบกภูเขาใหญ่ไว้ กระดิกกระเดี้ยไม่ได้เลย

อวี้หลัวช่าที่เหาะถอยหลังลงจากฟ้ามีหยดเลือดอยู่บนปลายนิ้ว โจมตีโดนยอดศีรษะของเหมียวอี้อย่างรวดเร็ว แสงสีขาวสายหนึ่งกะพริบอยู่ระหว่างปลายนิ้วกับยอดศีรษะเหมียวอี้

เหมียวอี้ที่เจ็บลึกถึงกระดูกตัวสั่นทันที

หลังจากไข่มุกเลือดเข้าไปในกะโหลกเหมียวอี้แล้ว ลำแสงก็จางหายไป อวี้หลัวช่าถอนมือกลับมา แล้วหมุนตัวเหาะไปเหยียบลงพื้น

เหมียวอี้ทุเลาจากความเจ็บปวดมหาศาล ยกมือขึ้นลูบศีรษะ มือเต็มไปด้วยเลือด พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจภายใน ก็พบว่าเส้นเลือดฝอยในสมองเปล่งแสงสีแดงอ่อนๆ แต่แสงสีแดงก็หายไปเร็วมาก เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองอย่างโกรธแค้น “เจ้าทำอะไรกับข้า?”

อวี้หลัวช่าเอียงหน้ามองอย่างเย็นเยียบ “เจ้าจะให้ข้ารอเก้าร้อยปีไม่ใช่เหรอ? โลหิตมารสวรรค์หยดเดียวของข้า ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้มันไปหรอกนะ”

…………………………

แต่ไม่นานก็พบว่าอีกฝ่ายเหมือนไม่ได้ต้องการค้นหาอะไรจากร่างกายตัวเอง นางไม่ได้ตั้งใจพลิกดูทรัพย์สินบนร่างกายตนสักเท่าไรเลย เพียงรีบร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดดูในที่เก็บของบางชิ้นของเขารอบเดียวเท่านั้น

หลังจากตรวจสอบเล็กน้อย สาวน้อยก็ถือโอกาสผลักหนึ่งที ผลักจนเหมียวอี้โซเซไปข้างหลังหลายก้าวกว่าจะหยุด

รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายใช้พลังอิทธิฤทธิ์เรียบง่ายหยอกล้อตนราวกับเป็นเด็ก เหมียวอี้จึงจ้องตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่าย แต่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้เผยสัญลักษณ์พลังอิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วเลย เห็นได้ชัดว่าปิดบังไว้แล้ว เขาจึงถามอย่างระแวงว่า “เจ้าเป็นใคร?”

สาวน้อยพ่นเสียงทางจมูก ทว่าตอนที่กวาดตามองเหมียวอี้ ในดวงตานางฉายแววประหลาดใจนิดหน่อย “ไม่ได้พาผู้ช่วยมาสักคนเลยจริงๆ ด้วย พอจะมีความกล้าหาญอยู่บ้าง มิน่าล่ะถึงกล้าก่อเรื่องในพิธีรับสนมของประมุขชิง”

“เจ้าเป็นใคร?” คำถามนี้เหมียวอี้ถามเป็นครั้งที่สามแล้ว

“ถ้าบริสุทธิ์ใจ ก็ไม่ต้องกลัวคนมาหาเรื่อง เจ้าอย่าบอกข้าเชียวนะว่าเจ้าไม่รู้ว่าข้ามาคิดบัญชีกับเจ้า?” สาวน้อยถาม

“เจ้าพูดไม่ผิด ถ้าบริสุทธิ์ใจ ก็ไม่ต้องกลัวคนมาหาเรื่อง ดังนั้นข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร?” เหมียวอี้ถาม

สาวน้อยเงียบไปครู่หนึ่ง จ้องเหมียวอี้แล้วถามช้าๆ “สาวกในใต้หล้าเรียกข้าว่าพุทธะหน้าหยก เจ้าว่าข้าเป็นใครล่ะ?”

ไม่ผิดหรอก ผู้ที่มาก็คือพุทธะหน้าหยก เจ้าสำนักของสำนักหลัวช่าคนปัจจุบัน ก่อนมาได้เตรียมโต้เถียงกับตำหนักสวรรค์ไว้แล้ว แต่ก่อนหน้านั้นนางตัดสินใจจะง้างปากเหมียวอี้เพื่อถามหาสิ่งที่นางต้องการก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงขึ้นในตอนหลัง ไม่ว่าใครก็พูดได้ไม่ชัดเจน ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ไม่มีวันปล่อยของสิ่งนั้นไปแน่ แต่สิ่งที่นางนึกไม่ถึงก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าฝั่งสี่อ๋องสวรรค์จะชักช้าไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย แต่กลับได้ข่าวมาว่า ประมุขชิงกับสี่อ๋องสวรรค์ล้วนกำลังพัวพันอยู่กับการระดมทัพใหญ่ วางท่าเหมือนจะเปิดศึกกัน ทำเอานางประหลาดใจหาคำตอบไม่ได้

เหมียวอี้ตกใจมาก “เจ้าก็คืออวี้หลัวช่าเหรอ?” ในดวงตาเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ รีบมองประเมินอีกฝ่ายศีรษะจดเท้า ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่ถูก นางไม่ใช่พวกนักพรตปีศาจเสียหน่อย ด้วยวรยุทธ์ของพุทธะหน้าหยกซึ่งมีอยู่น้อยมากในใต้หล้า ต่อให้วรยุทธ์ของนางจะก้าวหน้าเร็วกว่านี้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาความเป็นสาวน้อยวัยเยาว์ไว้ได้ วรยุทธ์สูงขึ้นก็มีแต่จะยืดอายุความชราเท่านั้น ไม่มีทางที่จะควบคุมการเติบโตพื้นฐานของคนได้

ทว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่ทำให้เข้าตระหนักได้เร็วมาก วรยุทธ์ของอีกฝ่ายที่ลงมือกับตนเมื่อครู่นี้สูงจนน่ากลัว ไม่ใช่พลังที่สาวน้อยคนหนึ่งจะมีได้เลย อย่าบอกนะว่าพุทธะหน้าหยกมาด้วยตัวเองจริงๆ? ถ้าคนคนนี้เป็นพุทธะหน้าหยกจริง ก็หมายความว่าพุทธะหน้าหยกมาหาถึงที่ด้วยตัวเองแล้ว เช่นนั้นเมื่อครู่นี้ทำไมจี้คงถึงบอกใบ้ให้สตรีวัยกลางคนงามเย้ายวนผู้นั้นมาหาตน ตัวเองมาที่นี่ก็จะได้เจอกันแล้ว จี้คงไม่มีเหตุผลที่จะหลอกตน

ชั่วพริบตาเดียวเขาก็เข้าใจอีกแล้ว ว่าจี้คงไม่รู้เลยว่าพุทธะหน้าหยกมาที่นี่ พุทธะหน้าหยกมีฐานะไม่ธรรมดา ถ้าถูกเปิดโปงว่ามาที่นี่ก็จะไม่ใช่เรื่องเล็ก นางจงใจปิดบังจี้คง สตรีวัยกลางคนสวยหยาดเยิ้มคนก่อนหน้านี้มาเพื่อบังหน้าเท่านั้นเอง

“เจ้าจะเอาอะไรมาพิสูจน์ว่าเจ้าคือพุทธะหน้าหยก?” เหมียวอี้ไม่กล้าเชื่อ

“ข้าจำเป็นต้องพิสูจน์ให้เจ้ารู้ด้วยเหรอ?” อวี้หลัวช่าพูดเหยียด แล้วจู่ๆ สายตาก็เปลี่ยนเป็นมีพลังอำนาจน่าเกรงขาม “บอกมา! ของที่สำนักหนานอู๋อยู่ที่ไหน?”

“ของสำนักหนานอู๋อะไร?” เหมียวอี้แกล้งโง่

พรึ่บ! ชั่วพริบตาเดียวอวี้หลัวช่าก็มาอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้แล้ว เหมียวอี้ตกใจจนถอยหลัง อีกฝ่ายจีบนิ้วเป็นเงามายาเหมือนดอกกล้วยไม้ พอชี้มาที่หัวใจเขา พลังกลุ่มหนึ่งก็ทะลุผ่านหน้าอกของเขา ราวกับมีคมมีดเด้งมาที่หัวใจ “เจ้าจงใจปล่อยข่าวสำนักหนานอู๋เพื่อล่อให้สำนักหลัวช่าไปติดกับดัก ยังหล้ามาแกล้งโง่อีกเหรอ?”

เหมียวอี้ไม่กล้าขยับตัว เหงื่อกาฬเริ่มไหลแล้ว ทุกครั้งที่ใจเต้นราวกับเต้นไปชนคมมีด ถ้าขยับซี้ซั้วก็จะอันตรายถึงชีวิต น่าตกใจทีเดียว ทว่ายังคงปากแข็ง “ในเมื่อข้ากล้ามาแล้ว ก็ย่อมรู้ถึงผลที่จะตามมา เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว ต่อให้เจ้าเป็นพุทธะหน้าหยกแล้วยังไงล่ะ ถ้าข้ากลับไปไม่ได้ สำนักหลัวช่าของเจ้าก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะรอด”

“อ้อ! งั้นเหรอ? ตราบใดที่สามารถได้ของสิ่งนั้นมา ข้าจะไม่เป็นพุทธะหน้าหยกแล้วยังไงล่ะ?” พออวี้หลัวช่าบิดนิ้วที่จ่ออยู่บนหน้าอก ชั่วพริบตาเดียวในอกเหมียวอี้ก็ราวกับถูกพลังมีดกระจายครอบคลุมทั่วหัวใจ แล้วก็หดลงกะทันหัน เหมือนมีมือข้างหนึ่งกุมหัวใจเหมียวอี้ไว้แล้วออกแรงบีบ ทำให้เหมียวอี้เจ็บปวดจนเหงื่อกาฬไหลทันที

สิ่งที่เรียกว่าเจ็บปวดเหมือนดโดนบีบหัวใจ วันนี้นับว่าเหมียวอี้ได้รับบทเรียนแล้ว

“หยุดนะ!” เหมียวอี้กัดฟันร้องขอให้นางหยุด “เจ้าปล่อยข้าก่อน มีอะไรคุยกันดีๆ ไม่ได้เหรอ?” ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนที่ยอมแพ้ง่าย แต่การถูกทรมานกายเนื้อแบบนี้ไม่คุ้มค่า มิหนำซ้ำยังไม่ใช่กายเนื้อ แต่เป็นหัวใจ!

“ตอนนี้เจ้ายอมพูดดีๆ แล้วเหรอ?” ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ดุจหยกสลักของอวี้หลัวช่าฉายแววถากถาง

“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า

พออวี้หลัวช่างอนิ้ว พลังนั้นก็ถูกเก็บไว้ แล้วก็ถือโอกาสใช้ฝ่ามือผลักเหมียวอี้จนโซเซอีก “ของอยู่ที่ไหน?”

แรงกดดันมหาศาลในใจหายไปแล้ว หลังจากเหมียวอี้ที่โซเซถอยหลังติดกันหลายครั้งหยุดยืนอย่างมั่นคงได้ ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ที่จริงข้าไม่รู้ว่าของของสำนักหนานอู๋ที่เจ้าบอกคืออะไร”

อวี้หลัวช่าเดินเข้ามาประชิดทันที “ช่างน่าขัน ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าของของสำนักหนานอู๋คืออะไร แล้วจะกล้าวางกับดักได้ยังไง? ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าของนั้นสำคัญยังไง เจ้าอาศัยอะไรมาตัดสินว่าข้าจะติดกับดักใหญ่ขนาดนั้นได้? คิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบเหรอ? ดูท่าแล้วถ้าไม่ทำให้เข้าทรมานสักหน่อย เจ้าคงจะไม่ซื่อสัตย์สินะ”

พอเห็นนางกำลังจะเล่นบทโหด เหมียวอี้ก็ยกมือห้าม ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็แค่สมบัติลับที่สำนักหนานอู๋ทิ้งไว้เอง”

สาวน้อยอวี้หลัวช่าเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม “ไม่ผิด! สงสัยข้าจะตัดสินไม่ผิด เจ้ารู้จริงๆ ด้วย” นางแอบดีใจอย่างบ้าคลั่ง สงสัยสมบัติลับในตำนานจะมีอยู่จริง ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะพูดคำว่า ‘สมบัติลับ’ ออกมา

เหมียวอี้ส่ายหน้า เอามือนวดตรงหัวใจที่โดนนิ้วทิ่มเมื่อครู่นี้ แล้วเดินก้าวยาวไปข้างหน้า เดินอ้อมผ่านตัวอวี้หลัวช่าไป เดินตรงไปหาแท่นบันไดใต้พระพุทธรูปสูงใหญ่ตรงหน้า

อวี้หลัวช่าหันกลับมามอง ไม่รู้ว่าเขากำลังเล่นลูกไม้อะไร

ต่อหน้านาง เหมียวอี้ไม่ถึงขั้นเล่นลูกไม้อะไรหรอก แต่กลับอาศัยโอกาสนี้รีบครุ่นคิดหาวิธีการรับมือ

เขาพบว่าครั้งนี้หยางชิ่งวางแผนพลาดอีกครั้งแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายถึงขนาดยอมเลิกเป็นพุทธะหน้าหยกเพื่อที่ซ่อนสมบัตินั่น สถานการณ์โดยรวมระหว่างแดนพุทธกับตำหนักสวรรค์อะไรนั่นก็ใช้ไม่ได้ผลกับอีกฝ่ายเลย แต่พอคิดไปคิดมา ก็จะโทษหยางชิ่งไม่ได้เช่นกัน เพราะการวิเคราะห์ของหยางชิ่งนั้นไม่ได้ผิด ที่สำคัญคือมีเรื่องบางอย่างที่หยางชิ่งไม่รู้เลย ยกตัวอย่างเช่นคลังสมบัติที่สำนักหนานอู๋ทิ้งไว้ หยางชิ่งขาดข้อมูลไงล่ะ พอเกิดเรื่องขึ้นแล้วก็มีแต่ต้องโทษที่ตัวเองปิดบังหยางชิ่ง

พอพูดถึงสมบัติลับ เหมียวอี้ก็ค้นพบเช่นกันว่าเหมือนตัวเองจะคาดการณ์อะไรผิดไป มูลค่าของสมบัติลับนั่นสูงจนน่าตกใจ ควรค่าที่จะให้พุทธะหน้าหยกยอมแลกจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ว คนที่อยู่ในระดับพุทธะหน้าหยก เหมือนว่าเงินทองจะไม่สำคัญเท่าไรแล้ว ตราบใดที่ครองตำแหน่งพุทธะนั่น อีกฝ่ายก็น่าจะไม่ขาดทรัพยากรฝึกตน ตอนนี้อีกฝ่ายบอกแล้วว่าถึงขั้นยอมเลิกเป็นพุทธะหน้าหยกเพื่อแลกกับสมบัติลับนั่น จะมีสิ่งใดที่สำคัญกว่าตำแหน่งพุทธะหน้าหยกล่ะ? ถ้ามองสูงขึ้นไปกว่านั้นก็มีแต่ตำแหน่งประมุขพุทธะแล้ว หรือว่าสมบัติลับนั่นยังซ่อนอะไรที่สามารถทำให้แทนที่ประมุขพุทธะได้อีก?

เหมียวอี้คิดไปคิดมาแล้วรู้สึกตกใจ พอนึกถึงคำพูดที่ผู้ซ่อนสมบัติทิ้งไว้ในคลังสมบัติ ก็พบว่าลึกลับซับซ้อนจริงๆ

เหมียวอี้เดินมาตรงหน้าแท่นบันไดแล้วเงยหน้ามองรูปปั้นประมุขพุทธะ จากนั้นหันตัวช้าๆ หย่อนก้นนั่งบนแท่นบันได แล้วตบแท่นบันไดที่อยู่ข้างๆ พร้อมบอกว่า “มีเรื่องอะไรค่อยๆ นั่งลงคุยกันก็ได้”

อวี้หลัวช่าไม่สนใจจะไปนั่งเสมอกับเขา นางเดินไปตรงหน้าเขา แล้วมองต่ำพร้อมบอกว่า “บอกมาแต่โดยดีเถอะ”

เหมียวอี้เงยหน้ามองนาง แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ในสมบัติลับนั่นซ่อนของอะไรไว้กันแน่?”

อวี้หลัวช่ารู้สึกเหมือนโดนปั่นหัว ชั่วพริบตาเดียวเผยสีหน้าเดือดดาล

เหมียวอี้รีบอธิบาย “ข้ารู้ว่ามีสมบัติลับอยู่จริง แต่ไม่รู้ว่าในสมบัติลับมีอะไรกันแน่”

อวี้หลัวช่าสีหน้าอ่อนลง “เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ เจ้าแค่บอกมาก็พอว่าจุดซ่อนสมบัติอยู่ตรงไหน”

มารดาเจ้าเถอะ ดูจากท่าทางของเจ้าแล้ว ถ้าข้าบอกเจ้าไป ข้าจะยังมีชีวิตรอดอยู่เหรอ? เหมียวอี้พึมพำในใจ แต่ภายนอกกลับยิ้มเจื่อน “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าที่ซ่อนสมบัติอยู่ไหน…” เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะเกิดโทสะอีก ก็รีบพูดเสริมว่า “แต่ข้าพบแผนที่ซ่อนสมบัติฉบับหนึ่งจากซากสำนักหนานอู๋ เพียงแต่จนกระทั่งตอนนี้ ข้ายังไม่มีโอกาสไปที่จุดซ่อนสมบัติก็เท่านั้นเอง”

“เจ้าพบแผนที่ซ่อนสมบัติจากซากสำนักหนานอู๋เหรอ?” อวี้หลัวช่าหรี่ดวงตางาม ถามเหมือนเคลือบแคลงว่า “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าซากสำนักหนานอู๋มีแผนที่ซ่อนสมบัติ?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ข้าค้นพบจากของที่อสุราอัคนีอาจารย์ข้าทิ้งไว้ให้ ที่จริงแผนที่ซ่อนสมบัติของสำนักหนานอู๋มีสองส่วน ส่วนหนึ่งคือสูตรหาสมบัติ อีกสูตรหนึ่งคือแผนที่ซ่อนสมบัติ สองส่วนนี้ขาดไม่ได้ ถ้ามีแค่สูตรแผนที่ซ่อนสมบัติอย่างเดียวก็ไม่มีประโยชน์ ถ้ามีแค่แผนที่ซ่อนสมบัติอย่างเดียวโดยไม่มีสูตรก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน จะต้องมีสองอย่างนี้ถึงจะหาจุดซ่อนสมบัติพบ ในขอที่อสุราอัคนีทิ้งไว้ให้มีสูตรนี้ ทำเครื่องหมายไว้ว่าในซากสำนักหนานอู๋มีที่ซ่อนสมบัติ ครั้งก่อนที่งานวันเกิดพระโพธิสัตว์หลันเย่ ข้ามีโอกาสไปที่ดาวพิษ ข้าก็เลยถือโอกาสนำแผนที่ซ่อนสมบัติออกมา เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นี้”

ฟังดูแล้วรู้สึกไม่ธรรมดา แบบนี้สิถึงจะสอดคล้องกับตำแหน่งของสมบัตินั้น ไม่อย่างนั้นทำไมแม้แต่พระปีศาจหนานโปก็ยังหาไม่เจอ? อีกทั้งตอนที่อสุราอัคนีวางอำนาจบาตรใหญ่ในใต้หล้า ก็มีโอกาสที่จะได้สิ่งนี้ไปจริงๆ! อวี้หลัวช่าฟังจนแววตาวูบไหวร้อนรน นางยื่นมือออกมา “ส่งแผนที่ซ่อนสมบัติมาให้ข้า?”

เหมียวอี้ก็ให้ความร่วมมือมากจริงๆ เพียงแต่ภายนอกทำท่าลังเลนิดหน่อย แล้วก็โยนลูกกลมโลหะสีแดงให้นาง

บนตัวเขาไม่มีแผนที่ซ่อนสมบัติ

แต่เขาพกแผนที่ไปสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปติดตัวไว้ตลอดเวลา

ที่สำคัญคือของสิ่งนี้ ต่อให้คนอื่นเห็นแต่ก็อ่านไม่เข้าใจ ดังนั้นพกติดตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไร เพราะแผนที่ดาวบนนั้นไม่ใช่แผนที่ดาวแบบปกติ ครั้งแรกที่พวกอวิ๋นจือชิวได้แผนที่ประตูดวงดาวทางเข้าแดนอเวจีไป ก็มองไม่เข้าใจมาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะพวกอวิ๋นอ้าวเทียนปล้นอยู่ข้างนอกจนเผยประตูดวงดาวอีกแห่งมากำหนดจุดไว้ชัดเจน จนได้วิธีการทำความเข้าใจแผนที่ดาว ก็เกรงว่าเขาคงจะไม่มีวันรู้วิธีคลายปริศนาแผนที่เลยตลอดไป

เขาเองก็รู้สึกยอมแพ้ผู้ซ่อนสมบัติคนนั้นแล้วจริงๆ แผนที่ที่ทิ้งไว้ไม่มีฉบับไหนเลยที่ใช้วิธีการหาแบบปกติ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ขอเพียงไม่ใช่คนที่ผู้ซ่อนสมบัติเลือก ต่อให้ได้แผนที่มาก็เปล่าประโยชน์ เขาไม่เชื่อหรอกว่าอวี้หลัวช่าจะอ่านแผนที่ดาวที่ไร้ระเบียบฉบับนั้นออก และต่อให้มอบแผนที่ดาวฉบับนี้ให้อวี้หลัวช่าก็ไม่เป็นอะไร เพราะอวิ๋นจือชิวฮูหยินของเขาทำสำเนาไว้หลายฉบับแล้ว

เมื่อของมาถึงมือแล้ว อวี้หลัวช่าก็มองเหมียวอี้อย่างสงสัยแวบหนึ่ง เคลือบแคลงในว่าเจ้าหมอนี่ให้ความร่วมมือเกินไปหรือเปล่า แต่ดูจากร่องรอยภายนอกของสิ่งของที่อยู่ในมือ ก็ดูผ่านวันเวลามาเนิ่นนานแล้วจริงๆ สิ่งนี้ยากที่จะปลอมแปลงได้ โดยเฉพาะคนที่มีชีวิตอยู่มานานอย่างนาง เห็นของเก่าแก่มาเยอะเกินไป แค่มองของในมือปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นของเก่า

…………………………

จะไม่ให้กดดันทางจิตใจก็คงยาก อย่างไรเสียโค่วเหวินไป๋ก็เป็นลูกชายของเขา อีกทั้งเขายังมีลูดชายเพียงคนเดียว เมื่อเทียบกันแล้ว ลูกชายของเขาคนนี้นับว่ามีความสามารถโดดเด่นในตระกูลโค่ เมื่อกล่าวคำพูดที่สื่อความหมายว่าจะทิ้งลูกชายออกมา เขาเองก็รู้สึกเศร้าโศกเช่นกันกัน

ถ้าจะถามว่าแค้นหรือไม่แค้นเหมียวอี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเหมียวอี้ จะมีเหตุผลให้ไม่แค้นได้อย่างไร ต่อให้ตระกูลโค่วหาเรื่องใส่ตัวเอง แต่ในด้านความรู้สึกก็ต้องหาตัวการสักคน แต่คนที่เดินมาอยู่ในระดับอย่างเขา ล้วนต้องใช้สติปัญญาข่มอารมณ์เอาไว้ จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงได้ง่ายขึ้น

เหมียวอี้เองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พอใช้ระฆังดาราติดต่อกับใครบางคนแล้ว ก็ทำให้โค่วเจิงพูดจาแบบนี้ออกมา

โค่วเจิงเหมือนจะไม่อยากอยู่ที่นี่นานแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากสั่งไว้ชัดเจนแล้วก็หันตัวจากไป

ทว่าชั่วพริบตาที่ออกมาจากห้อง ก็เห็นบนเสาขื่อของห้องระเบียงโดนขุดจนน่าหวาดเสียว ที่จริงเขากได้รับข่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่าที่นี่มีสภาพอย่างนี้ ตระกูลโค่วก็กำลังกลุ้มใจเรื่องนี้เช่นกัน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ต้องการจะทำอะไร ตอนนี้จึงอดไม่ได้ที่จะสืบถาม “โหย่วเต๋อ เจ้าทำให้จวนแม่ทัพภาคกลายสภาพเป็นอย่างนี้หมายความว่าอะไร?”

เหมียวอี้มองไปรอบๆ แล้วปวดประสาท แผนการเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง สงสัยจะใช้งานสิ่งที่เตรียมไว้ไม่ได้แล้ว เขายิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “เอาไว้หลีกภัย”

“หลีกภัยเหรอ?” โค่วเจิงมองไปรอบๆ อีกครั้งอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “ทำจนกลายเป็นอย่างนี้แล้ว ยังจะหลีกภัยได้อีกเหรอ? ไม่อยากให้ความลับรั่วไหลเหรอ?”

“มีอะไรที่รั่วไหลไม่ได้ล่ะ” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวเย้ยตัวเองนิดหน่อย “มีคนต้องการจะเล่นงานข้าให้ถึงตายไม่ใช่เหรอ ข้ากังวลว่าจะมีคนใช้วิธีการที่แข็งกร้าวกับข้า อยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัย เตรียมจะถล่มจวนแม่ทัพภาค จากนั้นก็ไปอยู่ที่วัดพระกษิติครรภ์ชั่วคราว คาดว่าพวกตำหนักสวรรค์คงไม่ถึงขั้นบุกมาฆ่าข้าในวัดพระกษิติครรภ์หรอก”

นี่มันหลักการอะไรกัน? โค่วเจิงถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมวัดพระกษิติครรภ์ต้องให้เจ้าพักอยู่ชั่วคราวด้วยล่ะ?”

“แค่กๆ พระอรหันต์ตัวลี่จะมาล้างแค้นข้าไง ถ้าไม่ระวังถล่มจวนแม่ทัพภาคข้าพังล่ะ” เหมียวอี้ไอนิดหน่อยๆ แล้วเตือนให้รู้เล็กน้อย ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ใช่คนโง่ ก็คงเข้าใจว่าหมายความว่าอะไร

ตอนแรกโค่วเจิงงงนิดหน่อย จากนั้นก็เริ่มทำสีหน้าแปลกๆ เขาเข้าใจแล้ว ว่าพระอรหันต์ตัวลี่ย่อมไม่ถ่อมาโจมตีจวนแม่ทัพภาคหรอก ทำแบบนี้เพราะต้องการจะยัดหลักฐานปลอมให้พระอรหันต์ตัวลี่ คนฝั่งแดนพุทธะก่อความวุ่นวาย แล้วแดนพุทธะก็จับตัวคนไม่ได้ แดนพุทธะเล่นงานจนหนิวโหย่วเต๋อไม่มีที่อยู่ในตลาดผี การจะไปพักที่วัดพระกษิติครรภ์ชั่วคราวก็นับว่าสมเหตุสมผล ไม่ใช่เรื่องดีจริงๆ ที่ฝั่งแดนพุทธะจะไล่หนิวโหย่วเต๋อออกจากวัดพระกษิติครรภ์

ก่อนหน้านี้คนของตระกูลโค่วครุ่นคิดไม่หยุดว่าหนิวโหย่วเต๋อขุดจวนแม่ทัพภาคหมายความว่าอะไร ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ สงสัยจะเป็นเพราะเหตุผลพิลึกนี้

โค่วเจิงมองเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า นับว่ายอมแพ้เขาแล้ว เพื่อที่จะปกป้องชีวิตตัวเอง ก็ทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการเลยจริงๆ เริ่มตั้งแต่ที่ตลาดสวรรค์แล้ว ก่อเรื่องตั้งมากมายแต่รอดชีวิตมาถึงวันนี้ได้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

หารู้ไม่ว่านี่ไม่ใช่ความคิดของเหมียวอี้ แต่เป็นความคิดของหยางชิ่งต่างหาก ตอนแรกที่หยางชิ่งเดาออกว่าตระกูลโค่วกำลังจะทิ้งเหมียวอี้ ก็เริ่มกังวลความปลอดภัยของเหมียวอี้แล้ว หยางชิ่งจึงเตือนเขาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าตลาดผียังมีวัดพระกษิติครรภ์ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ อย่าให้วัดพระกษิติครรภ์พ้นความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ จึงวางแผนนิดหน่อย ให้เหมียวอี้ไปหลีกภัยที่วัดพระกษิติครรภ์

ส่วนเหมียวอี้พอได้รับคำเตือนจากหยางชิ่ง เวลาว่างๆ ก็ไปที่วัดพระกษิติครรภ์ทันที ไปถามทุกสามวันสองวันว่าจับพระอรหันต์ตัวลี่ได้หรือยัง เตรียมจะเข้าไปพักในวัดพระกษิติครรภ์แล้ว ส่วนตอนหลังที่มีสำนักหลัวช่าเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความตั้งใจของเหมียวอี้เช่นกัน เป็นอย่างที่หยางชิ่งบอก ฝ่ายที่ไม่น่ากลัวที่สุดก็คือสำนักหลัวช่า

ตอนนี้หลังจากอธิบายให้โค่วเจิงฟัง กลับทำให้เหมียวอี้ปวดประสาท ถ้าตระกูลโค่วสามารถเปลี่ยนความคิดของพวกขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์ได้จริงๆ เช่นนั้นการที่เขาขุดจวนแม่ทัพภาคจนกลายเป็นแบบนี้ก็เท่ากับทุ่มหินใส่เท้าตัวเอง อยู่ดีๆ ใครจะอยากไปอาศัยอยู่ใต้ชายตาคนอื่นให้วัดพระกษิติครรภ์จับตาดูล่ะ

สรุปก็คือโค่วเจิงแอบทอดถอนใจ มิน่าล่ะท่านพ่อถึงโปรดปรานและให้ความสำคัญกับเจ้าเวรนี่มาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะหมดทางเลือกก็คงทำใจทอดทิ้งไม่ลง นึกไม่ถึงว่าจะคิดหาวิธีการประหลาดในการปกป้องตัวเองอย่างเช่นรื้อจวนแม่ทัพภาคแล้วไปอยู่วัดพระกษิติครรภ์ได้ ลูกหลานตระกูลโค่วเน้นทฤษฎีแต่ไม่ปฏิบัติจริง มีบางจุดที่สู้เขาไม่ได้

“เจ้าจัดการให้ดีแล้วกัน” โค่วเจิงถอนหายใจ แล้วหันตัวเดินออกไป

ทางนี้เหมียวอี้เพิ่งจะส่งโค่วเจิงไป แล้วเรียกหยางเจาชิงเข้ามาปรึกษางาน เมื่อครู่นี้เพิ่งคุยกับโค่วเจิงเรื่องวัดพระกษิติครรภ์อยู่เลย ตอนนี้วัดพระกษิติครรภ์ส่งข่าวมาแล้ว

พระอาจารย์จี้คงจากวัดพระกษิติครรภ์ส่งข่าวนี้มา บอกว่าได้เบาะแสเรื่องพระอรหันต์ตัวลี่แล้ว จึงเชิญเหมียวอี้ให้ไปที่วัดสักหน่อย หรือจะให้เขามาหาก็ได้

เมื่อเห็นเหมียวอี้ถือระฆังดาราขมวดคิ้ว หยางเจาชิงจึงถามหยั่งเชิง “นายท่านเป็นอะไรไปขอรับ?”

เหมียวอี้แสยะยิ้ม ได้เบาะแสเรื่องพระอรหันต์ตัวลี่งั้นเหรอ? เขาเดาว่าไม่มีเบาะแสเรื่องพระอรหันต์ตัวลี่หรอก แต่คนของสำนักหลัวช่าจะคิดบัญชีกับเขามากกว่า ถ้าเขาไม่ไป จี้คงก็ต้องมา แต่ใครจะไปรู้ว่าจี้คงจะแอบพกใครมาด้วย

เหมียวอี้ใช้ระฆังดาราตอบกลับ : พระอาจารย์รอสักครู่ กำลังจะถึงแล้ว

พอเก็บระฆังดารา เขาก็กำชับหยางเจาชิงอีก “ข้าไปวัดพระกษิติครรภ์ครั้งนี้ ถ้าไม่ได้กลับมาภายในครึ่งวัน เจ้าก็ติดต่อฮูหยินทันที ให้ฮูหยินติดต่อตระกูลโค่ว พร้อมทั้งบอกตึกศาลาสัตยพรตด้วย แล้วกระพือข่าวที่ตลาดผีด้วย บอกว่าคนของสำนักหลัวช่าจับตัวข้าไป”

หยางเจาชิงตกใจมาก “นายท่านจะกระโจนเข้าไปเสี่ยงอันตรายง่ายๆ ไม่ได้ขอรับ พวกเราเพิ่งจะฆ่าคนของสำนักหลัวช่าไป ยังไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะทำเรื่องอะไรไม่ดีกับนายท่าน”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “อาศัยพลังของอีกฝ่าย ถ้าคิดจะมาหาข้า ข้าก็หลบไม่พ้นหรอก เจ้าไม่ต้องห่วง ไม่ตายหรอก”

“หากนายท่านดึงดันจะไป ก็พาคนไปด้วยสักหน่อยก็ได้” หยางเจาชิงกล่าว

“ถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาไม่ซื่อจริงๆ เกรงว่าต่อให้เอาคนทั้งจวนแม่ทัพภาคไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าไปคนเดียวก็พอ” เหมียวอี้บอก

ห้ามไม่ไหวแล้ว หลังจากตามไปส่งเขาตรงปากทางลับ หยางเจาชิงก็ว้าวุ่นใจมาก เขาพบว่าช่วงนี้นายท่านเปลี่ยนไปนิดหน่อย เวลาจะทำอะไรไม่ควบคุมตัวเองเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ดูอาจหาญขึ้นมาก ลักษณะตอนอยู่ที่พิภพเล็กปีแรกๆ กลับมาแล้ว แต่ก็ไม่หัดดูเสียบ้างว่ากำลังสู้อยู่กับใคร

หลังจากลังเลอยู่หลายครั้ง เขาก็ใช้ระฆังดาราติดต่อไปหาหยางชิ่ง หวังว่าหยางชิ่งจะเกลี้ยกล่อมเหมียวอี้ได้

ทว่าหบังจากหยางชิ่งถามอะไรเล็กน้อย ก็ตอบว่า : วางใจเถอะ อาศัยความสามารถของนายท่าน รับมือไหวอยู่แล้ว ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก ทำตามที่นายท่านั่งก็พอ

หยางเจาชิงได้ยินแล้วอึ้งมาก แม้แต่คนที่ระมัดระวังตัวมาตลอดอย่างหยางชิ่งยังบอกว่าไม่เป็นอะไร เขาจึงวางใจแล้วไม่น้อย

มาถึงวัดพระกษิติครรภ์ผ่านเส้นทางน้ำ ตอนที่เหมียวอี้มาโผล่ตรงประตู พระอาจารย์จี้คงก็โผล่หน้าออกมาจากด้านหลังประตูแล้วเช่นกัน ทั้งสองพบหน้ากันแล้วดีใจเหมือนได้พบสหาย พอเห็นเหมียวอี้ต่างจากปกติ ไม่น่าเชื่อว่าจะไร้ผู้ติดตาม พระอาจารย์จี้คงก็แอบแปลกใจนิดหน่อย

ทั้งสองเดินเข้ามาข้างใน แล้วเหมียวอี้ก็ถามตรงๆ เลยว่า “ได้เบาะแสเรื่องพระอรหันต์ตัวลี่แล้วจริงเหรอ?”

พระอาจารย์จี้คงนำเขาขึ้นไปชั้นบนอีก แล้วยื่นมือเชิญ “มีคนสามารถให้คำตอบนายท่านได้”

“เล่นลูกไม้นี้กับข้าอีกแล้ว” เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัด แล้วหันตัวไปทันที แต่ข้างหลังกลับมีคนชุดดำโผล่มาสองคน ปิดบังใบหน้าและศีรษะ มาข้างตรงหน้าเขาเอาไว้

“สงสัยข้าจะไม่ขึ้นไปคงไม่ได้แล้ว” เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนใบหน้าที่แสดงอาการลำบากใจของพระอาจารย์จี้คง “พระอาจารย์ ท่านทำกับข้าอย่างนี้บ่อยๆ ไม่รู้สึกผิดต่อข้าบ้างเหรอ? ข้าคบกับท่านด้วยความจริงใจ แต่ท่านกลับทำแต่เรื่องไร้ยางอายเหมือนสุนัขกับแมลงวัน ท่านทำแบบนี้จะไม่มีเพื่อนคบนะ”

“อามิตาพุทธ” พระอาจารย์จี้คงสีหน้าขมขื่น “เหตุใดนายท่านต้องทำให้ข้าลำบากใจ คนข้างบนบอกว่าในเมื่อนายท่านตอบตกลงแล้ว ก็แสดงว่ารู้ว่าพระอรหันต์ตัวลี่เป็นเพียงข้ออ้าง จะรู้ว่ามีอักคนอยากพบท่าน”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ถ้าจะให้ข้าขึ้นไปก็ได้ ถ้าท่านไม่อยากทำลายมิตรภาพ ก็รับปากข้าเงื่อนไหขหนึ่งสิ ไม่อย่างนั้นสักวันหนึ่งข้าจะมารื้อวัดพระกษิติครรภ์ของท่าน อย่าคิดว่าข้าล้อเล่นเชียวนะ ข้าพูดจริงทำจริง”

พระอาจารย์จี้คงอึ้งทันที แล้วถามหยั่งเชิงว่า “อาตมามีความสามารถจำกัด ไม่ทราบว่ามีเงื่อนไขอะไร?”

เหมียวอี้เหลียวซ้ายแลขวา “ข้าอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคจนเบื่อแล้ว รู้สึกว่าสภาพแวดล้อมที่นี่ไม่เลวเลย ไม่ทราบว่าวัดพระกษิติครรภ์กับจวนแม่ทัพภาคแลกอาณาเขตกันดีมั้ย? จวนแม่ทัพภาคย้ายมาที่วัดพระกษิติครรภ์ แล้วพวกท่านก็ย้ายไปจวนแม่ทัพภาค ถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็ใหญ่พอๆ กัน เป็นยังไง?”

“หา!” จี้คงตกตะลึงอ้าปากค้าง ยังนึกว่าเงื่อนไขอะไรเสียอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเรื่องนี้? จากนั้นก็ตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ไม่ใช่ว่าอาตมาไม่ยอมตอบตกลง เพียงแต่เรื่องบางเรื่องอาตมาไม่มีอำนาจตัดสินใจ!”

เหมียวอี้จึงบุ้ยปากไปด้านบน “แล้วคนข้างบนตัดสินใจได้หรือเปล่า?”

จี้คงประนมมือ “อามิตาพุทธ อาตมาไม่ทราบ นายท่านลองไปถามเอาเองก็ได้”

“วันนี้ข้านับว่าเข้าใจแล้ว ว่าคนหัวโล้นอย่างเจ้าไม่ใช่คนดีอะไร” เหมียวอี้ชี้ศีรษะล้านของเขา แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินขึ้นบันไดไปเอง

จี้คงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน แล้วเดินตามหลังไป คนชุดดำสองคนนั้นหายไปอีกแล้ว

ยังเป็นประตูพระอุโบสถบานเดิม เหมียวอี้เหลือบมองจี้คงด้วยสายตาเย็นเยียบแวบหนึ่ง จี้คงแสร้งทำเป็นไม่เห็น ผลักประตูบานใหญ่ออกแล้ว

ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ตอนนี้แสงไฟข้างในสว่างทั่วถึง สตรีวัยกลางคนหน้าตางามหยดย้อยแต่งตัวโป๊เปลือยยืนอยู่ตรงกลาง มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นคนของสำนักหลัวช่า กำลังสบตากับเหมียวอี้ที่อยู่ข้างนอกอย่างเย็นชา

เหมียวอี้เอียงหน้ามองจี้คงด้วยแววตาซักถาม จี้คงที่ทำหน้าที่เรียบร้อยแล้วก้มหน้าเล็กน้อยขณะจากไป บอกไว้ว่ามีคนกำลังอยากพบเจ้า

เหมือนกับครั้งก่อน พอเหมียวอี้เดินเข้ามาในตำหนัก ประตูสองบานใหญ่ข้างหลังก็ปิดทันที

พอยืนไปถึงผู้หญิงคนนั้นก็หยุดอยู่ตรงหน้านาง เหมียวอี้มองศีรษะจดเท้าพร้อมถามว่า “ไม่ทราบว่าเป็นท่านเทพจากไหน เรียกหนิวมาด้วยธุระอะไร?”

ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่พูดอะไร หันตัวลอยจากไป ไปแล้ว

เหมียวอี้มองไปรอบๆ ในตำหนักว่างเปล่า มีเพียงเขาคนเดียว ขระกำลังแปลกใจว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่าข้างหลังมีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์เบาบาง พอหันขวับกลับไปก็ตกใจทันที สาวน้อยที่สวมชุดกระโปรงสีขาวดุจหิมะคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา หน้าตาสวยบริสุทธิ์ไร้ที่เปรียบ แต่เมื่อนางปรากฎอยู่ในสายตา ก็ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเอ็นดู เพียงแต่แววตาที่ล้ำลึกคู่นั้นกำลังจ้องเขาอย่างเงียบงัน ไม่รู้ว่าโผล่จากไหนมาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเขา

เมื่อเห็นการแต่งตัวของอีกฝ่าย ก็ดูไม่เหมือนคนของสำนักหลัวช่า เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”

“เจ้าเองเหรอหนิวโหย่วเต๋อ?” สาวน้อยถามด้วยน้ำเสียงเย็นสบาย

เหมียวอี้ยิ้ม “ของแท้แน่นอน แม่นาง…”

สาวน้อยไม่รอให้เขาพูดจบ พูดตัดบทอีกแล้วว่า “ได้ยินว่าเจ้ามาคนเดียว แม้แต่ผู้ติดตามก็ไม่พามาสักคน”

เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ “เจ้ากับข้าไม่รู้จักกัน เป็นห่วงข้ามากเกินไปหรือเปล่า?”

“งั้นเหรอ?” สาวน้อยแสยะยิ้ม เงาฝ่ามือแวบผ่าน กดบ่าเหมียวอี้เอาไว้ แล้วไม่พูดพร่ำทำเพลง ค้นตัวเหมียวอี้เสียเลย

เหมียวอี้ตกใจ เพราะอีกฝ่ายลงมือเร็วมาก เร็วจนเขายังไม่ทันตอบสนองอะไรด้วยซ้ำ ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกอีกฝ่ายควบคุมจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้แล้ว ได้แต่มองดูอีกฝ่ายค้นร่างกายตัวเอง โชคดีที่เขาเดาได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงนำของที่ไม่ควรพกไว้บนตัววางไว้ที่อื่นก่อนล่วงหน้าแล้ว

…………………………

“ติดต่อใคร?” พอโค่วเจิงโบกมือ พลังอิทธิฤทธิ์ก็ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้ามา นั่งตรงข้ามเหมียวอี้พอดี แล้วถามหยั่งเชิงว่า “สำนักหลัวช่า?”

“พี่ใหญ่รู้ได้ยังไง?” เหมียวอี้เงยหน้าถามอย่างประหลาดใจ

จะไม่รู้ได้เหรอ? ต่อสู้กันจนเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ใช้ร่างทิพย์แล้ว! โค่วเจิงแอบกัดฟัน “เจ้าไม่ต้องยุ่งหรอกว่าข้ารู้ได้ยังไง ถ้าเจ้าอยากให้ข้าหาเหวินไป๋เจอ ก็เล่าทุกอย่างมาใหเละเอียด จะได้ไม่เสียความรู้สึกคนบ้านเดียวกัน”

เหมียวอี้ก้มหน้าอีกครั้ง “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเหวินไป๋ ข้ากลัวว่าตัวเองยากที่จะพ้นผิดได้”

โค่วเจิงจึงกล่าวเสียงต่ำ “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเอาเรื่องกัน แต่ต้องหาทางทำให้ตระกูลโค่วของข้าพ้นความรับผิดชอบ เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ อาศัยบ่าเจ้าคนเดียวแบกความรับผิดชอบนี้ไม่ไหวหรอก บอกมา! เจ้าเรียกสำนักหลัวช่าให้มาสู้กับตระกูลอิ๋งได้ยังไง?”

เหมียวอี้ลังเลครู่หนึ่ง โค่วเจิงจึงตะคอก “ถึงตอนนี้แล้วยังคิดจะปิดบังอยู่อีกเหรอ? เจ้าปิดบังได้เหรอ? หรือจะให้คนอื่นมาง้างปากเจ้าให้ได้ จึ้งจะยอม? คนอื่นไม่ได้เกรงใจเหมือนข้าหรอกนะ! ถ้าตระกูลโค่วไม่รู้สถานการณ์ แล้วช่วยเจ้าต้านทานได้ยังไง?”

เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ “แปลกประหลาดจริงๆ ทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้? พี่ใหญ่ ที่จริงข้าก็ไม่ได้ต้องการสู้กับตระกูลอิ๋งหรอก ตัวข้าเองมีความสามารถเท่าไร ข้ายังไม่รู้ชัดอีกเหรอ จะไปรับมือกับตระกูลอิ๋งได้ยังไง ข้าแค่อยากเอาชีวิตอิ๋งหยางคนเดียวเท่านั้น เรื่องนี้ข้าบอกท่านพ่อบุญธรรมไปแล้ว นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โตขนาดนี้”

“สำนักหลัวช่า!” โค่วเจิงตบตรงที่วางมือบนเก้าอี้ “พูดจุดสำคัญ เจ้าควบคุมให้สำนักหลัวช่าช่วยเจ้าทำเรื่องนี้ได้ยังไง?”

“พูดถึงเรื่องเรียกใช้สำนักหลัวช่า ข้าเองก็ประหลาดใจนิดหน่อย พี่ใหญ่ยังจำเรื่องที่ข้าเจอกับเม่ยจีที่แดนสุขาวดีได้ใช่มั้ย?” เหมียวอี้ถาม

โค่วเจิงพยักหน้า รู้ว่ากำลังเข้าประเด็นแล้ว เขาเริ่มรวบรวมสมาธิ “จำได้อยู่แล้ว ทำไมพูดโยงไปถึงนางอีก?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ผีที่ไหนจะไปอยากเกี่ยวข้องกับนางล่ะ เป็นนางที่ไม่ยอมปล่อยข้าเอง หลังจากเกิดเรื่องที่แดนสุขาวดี ข้ากลับมาตลาดผีแล้ว ก็ไปสืบสถานการณ์ที่วัดพระกษิติครรภ์บ่อยๆ อยากจะถามว่าเรื่องที่แดนพุทธะจับกุมพระอรหันต์ตัวลี่ไปถึงไหนแล้ว ถึงยังไงการที่พระอรหันต์ตัวลี่มีจุดจบอย่างนั้นก็ทำให้ข้ากังวลว่าอีกฝ่ายจะมาล้างแค้นข้า แต่ใครจะคิดล่ะ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระอาจารย์จี้คงทำตัวลับๆ ล่อๆ นำข้าขึ้นไปในอุโบสถชั้นบนของวัดพระกษิติครรภ์ หลังจากข้าขึ้นไปแล้วพบความไม่ชอบมาพากล ข้าก็หนีไม่ทันซะแล้ว มารดามันเถอะ เม่ยจีนั่นนำคนกลุ่มหนึ่งรอข้าอยู่ในอุโบสถนั่นแล้ว”

โค่วเจิงตาเป็นประกาย “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ เช่นนั้นเม่ยจีก็อาจจะใจกล้าเกินไปหรือเปล่า ถึงยังไงเจ้าก็เป็นลูกเขยตระกูลโค่ว นางจะกล้าทำซี้ซั้วกับเจ้าเหรอ?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “แน่นอนว่ามีเรื่องแบบนี้ ถ้าพี่ใหญ่ไม่เชื่อ ก็ไปยืนยันกับจี้คงที่วัดพระกษิติครรภ์ได้ เป็นเจ้าโล้นนั่นที่หลอกข้า”

“แล้วตอนหลังทำไมเจ้าไม่บอกคนในบ้านให้ช่วยออกหน้าให้?” โค่วเจิงถาม

เหมียวอี้ถอนหายใจอีก “ก็ย่อมมีเหตุผลอยู่แล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าเม่ยจีนั่นเป็นอะไรไป จะยืนยันให้ได้ว่าข้าเคยเข้าไปในดาวพิษ บอกว่าซากสำนักหนานอู๋เคยถูกแตะต้อง ทั้งยังแน่ใจด้วยว่าข้าเป็นคนทำ ข้าอธิบายยังไงก็ไม่มีประโยชน์ ที่จริงตอนนั้นนางก็ไม่ได้ทำอะไรข้า แค่ซักไซ้ข้าว่าเกี่ยวข้องอะไรกับสำนักหนานอู๋ อีกฝ่ายถามข้าสั้นๆ เท่านั้นเอง ข้าจะไปฟ้องที่บ้านให้ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา? ข้ากลัวว่าไปหาที่บ้านแล้วจะไม่มีประโยชน์ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังต้องรบกวนที่บ้าน ข้าต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ”

“สำนักหนานอู๋?” ตอนนี้ถึงคราวที่โค่วเจิงจะแปลกใจแล้ว เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างฉงน “สำนักหนานอู๋ที่ดาวพิษ ที่ถูกฆ่าล้างสำนักไปนานแล้วน่ะเหรอ?”

“เกี่ยวข้องกับดาวพิษ น่าจะใช่ละมั้ง หรือว่าจะมีสำนักหนานอู๋หลายแห่งเชียวเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลับ

“เรื่องที่มีเงื่อนงำแบบนี้ เจ้าน่าจะรายงานที่บ้านเร็วๆ หน่อย” โค่วเจิงระแวงสงสัย

เหมียวอี้จึงบอกว่า “รายงานหรือไม่รายงานนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ยังมีเรื่องที่มีเงื่อนงำกว่านี้อีก ตอนนั้นที่ข้ากำลังเดินออกประตูพระอุโบสถ จู่ๆ เม่ยจีก็พูดบางอย่าง นางบอกว่าข้าจะฮุบสมบัติของสำนักหนานอู๋ไว้คนเดียว บอกว่าข้าได้ไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ บอกข้าว่าอย่าเพ้อฝัน พูดจนข้าประหลาดใจมาก”

“สมบัติของสำนักหนานอู๋เหรอ?” โค่วเจิงงุนงง แล้วถามด้วยสีหน้าระแวงอีกครั้ง “สำนักหนานอู๋ซ่อนสมบัติอะไรไว้?”

“พี่ใหญ่ ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าสำนักหนานอู๋นั่นซ่อนสมบัติอะไรไว้!” เหมียวอี้ยักไหล่สองข้างพร้อมยิ้มเจื่อน แล้วพูดต่อว่า “แน่นอน สิ่งนี้ไม่สำคัญสำหรับข้า ที่สำคัญคือเม่ยจีนั่นบอกสิ่งที่สอดคล้องความจริงกับข้า บอกว่าขอเพียงข้าบอกจุดซ่อนสมบัติของสำนักหนานอู๋ เงื่อนไขอะไรก็คุยง่ายทั้งนั้น ให้ข้าไปคิดให้ดีๆ จากนั้นข้าเลยครุ่นคิดเรื่องสมบัติที่ซ่อนในสำนักหนานอู๋ ใครจะคิดว่าตอนหลังพี่ใหญ่จะส่งข่าวให้ข้าอีก บอกว่าอิ๋งหยางจะไปออกล่าที่น้ำพุวังเวง พอดีเลย ข้าเข้าใจว่าอิ๋งหยางไปออกล่าที่น้ำพุวังเวง ข้างกายจะต้องมีคนไม่น้อยแน่ ดีไม่ดีอาจจะมียอดฝีมือมาคุ้มกันก็ได้ แล้วเม่ยจีก็เสนอเงื่อนไขมาพอดีไม่ใช่เหรอ? ข้าก็เลยนำเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไข ขอเพียงนางเอาชีวิตอิ๋งหยางให้ข้าได้ ข้าก็จะบอกจุดซ่อนสมบัติของสำนักหนานอู๋กับนาง สองฝ่ายเข้ากันได้ดี จึงเจรจากันได้ง่าย”

“…” โค่วเจิงอ้าปากข้าง มิน่าล่ะทั้งตระกูลโค่วจึงคิดไม่ตกว่าเจ้าหมอนี่เรียกใช้สำนักหลัวช่าได้อย่างไร สงสัยเบื้องหลังจะซ่อนเรื่องนี้เอาไว้ เจ้าเวรนี่ช่างเรียกสำนักหลัวช่ามาสู้กับกำลังพลของตระกูลอิ๋งได้จริงๆ เขาทั้งตกใจทั้งโมโห “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่บอกที่บ้านสักคำ เจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่า ถ้าไปมีความเกี่ยวข้องกับแดนพุทธะแบบนี้ ก็เท่ากับจุดอ่อนของเจ้าตกอยู่ในมืออีกฝ่ายไปแล้ว! ถ้าตอนหลังเจ้ามอบจุดซ่อนสมบัติให้อีกฝ่ายไม่ได้ แล้วจะทำยังไง?”

เหมียวอี้ยักไหล่ แล้วกล่าวอย่างไม่แยแส “พี่ใหญ่คิดมากไปแล้ว ข้าจะกลัวอะไรล่ะ? ข้าต้องกลัวด้วยเหรอ? ถ้าจุดอ่อนข้าตกอยู่ในมือพวกเขา จุดอ่อนพวกเขาก็ตกอยู่ในมือข้าเหมือนกัน การลงมือกับตระกูลอิ๋งไม่ใช่เรื่องเล็ก เอาเรื่องนี้มาขู่ข้าไม่มีประโยชน์เลย ถ้าข้าไม่บอกจุดซ่อนสมบัติแล้วยังไงล่ะ? ข้าก็แค่บอกว่าข้าให้ไม่ได้แล้ว สำนักหลัวช่าจะทำอะไรข้าได้? มีตระกูลโค่วหนุนหลัง สำนักหลัวช่าก็ไม่กล้าทำอะไรข้าโจ่งแจ้งหรอก จะแอบลงมือกับข้าเหรอ? ข้าเหมือนคนเหาเยอะที่ไม่กลัวคัน คนที่แอบลงมือกับข้ามีตั้งเยอะ แค่มีสำนักหลัวช่าเพิ่มขึ้นมาข้าจะแยแสเหรอ?”

โค่วเจิงทำสีหน้าไม่ถูก เจ้าหนุ่มนี่ใช้วิธีการไร้สัจจะแล้ว แต่จะว่าไปก็เป็นอย่างนี้จริงๆ

วางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว แล้วถามต่อว่า “สำนักหลัวช่าไปช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้ที่น้ำพุวังเวงกี่คน?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไม่รู้ ข้าจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่เกี่ยวกันหรอก ข้าแค่จะเอาชีวิตอิ๋งหยาง เรื่องอื่นข้าไม่สนใจ พวกเราแค่นัดเวลาส่งงานกันไว้ นัดบนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งนอกน้ำพุวังเวง”

“เจ้าไม่เห็นฉากตอนที่พวกเขาต่อสู้กันเหรอ? ไม่เห็นเหรอว่าพวกเขามีกันกี่คน?” โค่วเจิงถาม

“ข้าไม่ได้เข้าไปในน้ำพุวังเวงเลย จะไปเห็นได้ยังไง? ข้าแค่รออยู่ข้างนอก แล้วตอนหลัง ก็มีคนส่งอิ๋งหยางมาให้ข้า ข้าก็เลยกลับมาแล้ว” เหมียวอี้ตอบ

โค่วเจิงหรี่ตาจ้องเขา “ในเมื่อนัดจบงานกันแล้ว เจ้าไม่บอกจุดซ่อนสมบัติให้พวกเขารู้ แล้วพวกเขาจะส่งอิ๋งหยางให้เจ้าเหรอ?”

เหมียวอี้เอามือลูบคางพร้อมกล่าวอย่างสงสัย “นี่ก็คือจุดที่ข้าแปลกใจเหมือนกัน บอกตามตรงนะ ข้าเตรียมแผนที่ซ่อนสมบัติปลอมเอาไว้รับมือกับพวกเขาฉบับหนึ่ง ใครจะคิดว่าจะมีคนปิดบังใบหน้าโผล่มา ข้าก็ไม่รู้ชัดว่าเป็นใคร เขาส่งอิ๋งหยางให้ข้าแล้วก็ไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ทวงจุดซ่อนสมบัติจากข้าเลย ตอนนั้นข้าก็แปลกใจแล้ว แต่พอมานึกดูอีกที เรื่องนี้ก็โทษข้าไม่ได้นะ ข้าเอาตัวอิ๋งหยางแล้วก็กลับมาเลย ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่รู้ว่าที่น้ำพุวังเวงเกิดเรื่องอะไรขึ้น จนกระทั่งพี่ใหญ่ส่งข่าวมาถามบอกข้าเรื่องเข่นฆ่าอะไรนั่น ทั้งยังถามข้าอีกว่าพวกเหวินไป๋อยู่ที่ไหน ข้าถึงตระหนักได้แล้วว่าปัญหาเกิดขึ้นตรงไหน แถมตลาดผีเกิดความผิดปกติอีก ทางตึกศาลาสัตยพรตก็เรียกข้าไปบอกสถานการณ์บางอย่าง ข้าถึงได้เข้าใจว่าอาจจะก่อเรื่องใหญ่แล้ว จนกระทั่งพี่ใหญ่มาโผล่อยู่ที่นี่ ข้าก็ยังเลอะเลือนอยู่เลย ทางสำนักหลัวช่าก็ไม่ได้มาหาข้าอีกเช่นกัน”

ในห้องตกอยู่ในความเงียบ โค่วเจิงแววตาวูบไหวไม่หยุด เหมียวอี้กำลังแอบสังเกตปฏิกิริยาของเขา

สุดท้ายโค่วเจิงก็ทำลายความเงียบ “ตามที่ตระกูลอิ๋งบอก พวกเขายังติดต่ออิ๋งหยางได้ เจ้ายังไม่ได้ฆ่าเขาเหรอ?”

“เปล่าหรอก ข้าเก็บไว้ยังใช้ประโยชน์ได้ จะให้เขาไปสบายได้ยังไงล่ะ” เหมียวอี้ตอบ

“ข้าดูหน่อย” โค่วเจิงกล่าว

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนแล้วตอบว่า “พี่ใหญ่คงไม่คิดจะส่งเขากลับไปให้ตระกูลอิ๋งหรอกใช่มั้ย? ข้าไม่ตกลง!”

โค่วเจิงคิดจะทำอย่างนี้เสียที่ไหนกัน แค่อยากพิสูจน์คำพูดเหมียวอี้นิดหน่อยเท่านั้นเอง เขาลุกขึ้นยืนเช่นกัน “ท่านพ่อบอกไว้แล้ว ถ้าเจ้าเอาชีวิตเขาได้ก็ถือเป็นความสามารถของเจ้า ข้าแค่อยากจะถามอะไรจากเขาก็เท่านั้นเอง”

“เกรงว่าจะถามไม่ได้ความอะไรหรอก” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ

เหมียวอี้โยนคนคนหนึ่งไว้บนพื้น คนคนนั้นนอนลืมตาน้ำลายไหลอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเลื่อนลอย ต่อให้ซ้อมจนเจ็บก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร เป็นอิ๋งหยางนั่นเอง

โค่วเจิงนั่งยองๆ ลงข้างกัน หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอาการ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเงยหน้าถามว่า “เจ้าใช้วิชาอะไรดึงจิตวิญญาณของเขาไป?”

เหมียวอี้ยักไหล่ “ตอนที่อีกฝ่ายส่งตัวมาให้ข้าก็มีสภาพเป็นอย่างนี้แล้ว ข้ายังคิดจะถามอะไรบางอย่างจากเขาอยู่เลย แต่ก็ถามไม่ได้แล้ว”

โค่วเจิงกวาดสายตามองเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งบนตัวอิ๋งหยาง พอดึงคอเสื้อของเขาออก ก็เห็นบนตัวเขามีรอยเหมือนถูกตัวอะไรกัดเยอะมาก จึงพึมพำว่า “ค้างคาวกลืนวิญญาณ!” จากนั้นก็ลุกขึ้นช้าๆ มองอิ๋งหยางพลางส่ายหน้า ไม่น่าเชื่อว่าหลานชายของอ๋องสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยจะมีจุดจบเช่นนี้ ตอนนี้ต่อให้เขาตั้งใจจะส่งอิ๋งหยางกลับไปให้ตระกูลอิ๋งก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะกลายเป็นคนตายไปแล้ส จิตวิญญาณแตกซ่าน แม้แต่โอกาสจะกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ไม่มีแล้ว

เหมียวอี้แอบตกตะลึงในสายตาของโค่วเจิง นึกไม่ถึงว่าจะมองออกว่าเป็นฝีมือค้างคาวกลืนวิญญาณ ไม่ผิดหรอก เขานำอิ๋งหยางมาทดสอบความสามารถของค้างคาวกลืนวิญญาณเองกับมือ

ในขณะนี้เอง จู่ๆ โค่วเจิงก็หยิบระฆังดาราออกมา แล้วหันตัวไปด้านข้าง เหมียวอี้เหลือบมองเขาสองที ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อกับใคร

สรุปก็คือโค่วเจิงติดต่อกับทางนั้นพักใหญ่ หลังจากระฆังดารามาแล้ว จู่ๆ ก็หันตัวมาจ้องเขา “เรื่องสมบัติที่ซ่อนในสำนักหนานอู๋ เจ้าห้ามไปบอกใครอีก ถ้าคนของสำนักหลัวช่ามาหาเจ้าอีก เจ้าก็ผลักเรื่องทุกอย่างไปให้ตระกูลโค่ว ให้สำนักหลัวช่าไปหาตระกูลโค่วเอง จำไว้นะ เรื่องที่น้ำพุวังเวง เจ้าต้องทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น ใครถามเจ้าก็บอกว่าไม่รู้ ต่อไปตระกูลจะช่วยเตรียมคำปฏิเสธให้เจ้า จะหาพยานที่อยู่ให้เจ้า เจ้าไม่เคยเข้าร่วมเรื่องนี้มาก่อน” พูดจบก็โบกมือกวาด พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งพัดม้วนเข้ามา จนกระทั่งร่างของอิ๋งหยางบนพื้นถูกบดกลายเป็นเลือดเหลว

เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดว่าคำพูดของเขาหมายความว่าอะไร นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะลงมือแบบนี้ เพราะถ้าเก็บอิ๋งหยางไว้ เขายังใช้ประโยชน์ได้อีก

ไฟโกรธกำลังลุกพรึ่บในใจเหมียวอี้ ทว่าโค่วเจิงก็พูดอีกอย่างหนึ่งแล้ว “ความแค้นระหว่างเจ้ากับขุนนางใหญ่พวกนั้นจองตำหนักสวรรค์จบลงแล้วตั้งแต่นี้ มันผ่านไปแล้ว…” เหมียวอี้เพิ่งจะอ้าปาก แต่เขายกมือตัดบท “อย่าถามว่าเพราะอะไร เอาเป็นว่าตระกูลโค่วจะช่วยเจ้าแก้ไขความแค้นทุกอย่างที่ผูกเอาไว้กับพวกเขา ต่อไปพวกเขาจะไม่เป็นฝ่ายมาหาเรื่องเจ้าอีก ในจุดนี้ข้ารับประกันกับเจ้าได้ ส่วนเจ้าก็อย่าเป็นฝ่ายไปหาเรื่องใครก่อนอีก เข้าใจมั้ย?”

หมายความว่าอะไร? เหมียวอี้งงเป็นไก่ตาแตก หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “เหวินไป๋เป็นหรือตายก็ยังไม่รู้เลย ข้าจะลองดูว่าสามารถ…”

“ไม่ต้องแล้ว!” โค่วเจิงยกมือห้ามอีกครั้ง บนใบหน้าฉายแววเศร้าสลด เจือด้วยความอับจนหนทางหลานส่วน “คิดเสียว่าเขาตายไปแล้วก็แล้วกัน เจ้าไม่ต้องเข้าไปยุ่งซี้ซั้วอีก เข้าใจแล้วใช่มั้ย?” ประโยคสุดท้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักหน่วงมาก

…………………………

พวกเขาหยุดยืนในตำหนัก แล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกันโดยมีโพ่จวินและอู๋ฉวี่เป็นผู้นำ “คารวะฝ่าบาท!”

“อืม!” ประมุขชิงขานรับเสียงต่ำ แล้วกวาดสายตาเย็นเยียบมองทุกคนข้างล่าง “มั่นคงปลอดภัยมาหลายปีขนาดนี้ มีคนเหมือนระงับอารมณ์ไม่ไหว พวกเจ้าเองก็ไม่เคยผ่านศึกใหญ่มานานแล้ว ข้าอยากจะถามพวกเจ้าสักคำ หากใต้หล้ามีการเปลี่ยนแปลง กองทัพองครักษ์ของข้ายังทำศึกได้หรือไม่?” เสียงที่ทุ้มต่ำเยือกเย็นดังก้องอยู่ในตำหนัก

ตุ้บ! นักรบสวมเกราะยี่สิบคนในตำหนักคุกเข่าข้างเดียวพร้อมกัน รวมทั้งโพ่จวินและอู๋ฉวี่ พวกเขากล่าวเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง “คมดาบของฝ่าบาทชี้ไปทางใด กองทัพองครักษ์มุ่งหน้ามิหวั่นเกรง!”

“ดี!” ประมุขชิงแสยะยิ้ม แล้วลุกขึ้นยืน “ตอนนี้สถานการณ์ของกำลังพลแต่ละหน่วยเป็นอย่างไร?”

โพ่จวินตอบว่า “กำลังพลหกหน่วยมาถึงแล้ว วางกำลังพลตามอาณาเขตดาวรอบๆ แล้ว กำลังพลหน่วยอื่นๆ กำลังเร่งถอนกำลัง กำลังพลที่กำลังค้นหาทางน่านฟ้าเถาะติงก็ถอนกลับมาแล้วเช่นกัน คาดว่าภายในสามวันทัพใหญ่ทั้งหมดจะเข้าประจำที่ เพื่อรับมือเหตุไม่คาดคิดต่างๆ!”

“ซ่างกวน!” ประมุขชิงเอ่ยเรียก

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงรีบหันมาโค้งตัวรับคำสั่ง

ประมุขชิงกล่าวเสียงเย็น “สั่งให้คนแต่ละตำหนักอยู่ในเขตกำแพงตำแหนักตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นใคร ห้ามถือวิสาสะออกมาเดินข้างนอก ส่งกำลังพลกองทัพองครักษ์เพิ่มหนึ่งกองเข้าไปคุมเข้มในวัง สั่งให้หน่วยองครักษ์เงาคอยดักซุ่ม ถ้ามีคนก่อกบฎ ไม่ว่าจะเป็นใคร ฆ่าไม่ละเว้น!”

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับคำสั่ง

“ให้สมาคมวีรชนเริ่มเคลื่อนไหว” ประมุขชิงกล่าว

“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงโค้งตัวเอ่ยรับคำสั่งอีกครั้ง

“แล้วก็เจ้าด้วย!” ประมุขชิงโบกมือชี้ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ยืนอยู่เบื้องล่าง “เจ้ามัวไปทำอะไรกิน! เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว นึกไม่ถึงว่าหน่วยตรวจการซ้ายจะไม่ได้ยินข่าวล่วงหน้าเลยสักนิด คมดาบของอีกฝ่ายจะมาถึงคอข้าอยู่แล้ว หรือจะรอให้มีคนบุกเข้าวังสวรรค์มาตัดหัวข้าก่อน แล้วหน่วยตรวจการขวาค่อยเผากระดาษรายงานให้วิญญาณข้ารับรู้?”

“เป็นข้าน้อยที่ไร้ความสามารถ” ซือหม่าเวิ่นเทียนถูกตำหนิจนเหงื่อกาฬแตก เขาคุกเข่าเสียงดังตุ้บ “ข้าน้อยจะรีบตรวจสอบความจริงให้เร็วที่สุด”

เรื่องราวในครั้งนี้เรียกได้ว่าเขาดวงซวยที่สุด เพราะเขาคือผู้รับผิดชอบหลักด้านข่าวสาร ดังนั้นความรับผิดชอบของเขาจึงเยอะที่สุด

ประมุขชิงชี้ไปที่เขาอีกครั้ง “ให้เวลาเจ้าภายในสิบวัน ถ้าภายในสิบวันนี้ให้คำตอบข้าไม่ได้ ข้าก็จตัดหัวเจ้าซะ เปลี่ยนหัวไปรับช่วงดูแลหน่วยตรวจการซ้าย!”

“ขอรับ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนหมอบพื้นรับคำสั่ง ไม่ว่าจะทำได้หรือทำไม่ได้ เขาก็ต้องรับปากไว้ก่อน

ประมุขชิงชี้ไปที่เกาก้วนอีก “เริ่มเคลื่อนไหวจารชนลับของหน่วยตรวจการขวาด้วย”

“รับทราบ!” เกาก้วนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง

พอประมุขชิงโบกแขนเสื้อ ผู้ที่คุกเข่าก็ลุกขึ้นยืน ทุกคนเดินออกไป ต่างคนต่างกลับไปประจำที่ตำแหน่งตัวเอง

ออกจากตำหนักดาราจักรมาได้ไม่นาน ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ดูเหมือนหวั่นเกรงตอนอยู่ในตำหนักก็กลับมาทำวีหน้าปกติแล้ว คนข้างนอกมองไม่ออกเลยว่าก่อนหน้านี้เขาตัวสั่นหวาดกลัวขนาดไหน เขาตามเกาก้วนไป ขณะที่เดินเคียงกันอยู่นั้น ก็ถ่ายทอดเสียงคุยด้วยเงียบๆ “เกาก้วน ถ้าหน่วยตรวจการขวามีอะไรเกิดขึ้น ได้โปรดบอกข้าล่วงหน้านะ”

เกาก้วนขมวดคิ้วมองเขาแวบหนึ่ง เข้าใจความกดดันของเขาเช่นกัน ถ้าหน่วยตรวจการขวาสืบเจอเบาะแสอะไรบางอย่าง แต่หน่วยตรวจการซ้ายที่รับผิดชอบด้านข่าวกรองโดยเฉพาะกลับตกข่าว เช่นนั้นจะยังมีทูตตรวจการซ้ายอย่างเขาไว้ทำอะไรล่ะ? เกรงว่าคงนั่งตำแหน่งทูตตรวจการซ้ายไม่ได้แล้ว คนที่นั่งตำแหน่งนี้รู้ความลับเยอะเกินไป ถ้าถูกถอดจากตำแหน่งเมื่อไร เกรงว่าคงเป็นเวลาที่ศีรษะจะร่วงลงพื้น

ท่ามกลางสายตาที่เฝ้าคอยของเขา เกาก้วนพยักหน้าเงียบๆ บอกใบ้ว่ารู้แล้ว

ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบมองไปรอบๆ จากนั้นสองมือก็แนบหน้าอก กุมหมัดคารวะเกาก้วนเงียบๆ “ไม่ว่าตอนสุดจะเป็นยังไง พี่เกาตอบตกลงได้ ข้าจะจดจำน้ำใจวันนี้ไว้”

เกาก้วนสีหน้าเย็นชา มองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน เพียงทิ้งเขาไว้แล้วเร่งฝีเท้าเดินจากไป

ซือหม่าเวิ่นเทียนเองก็คุ้นชินกับใบหน้านิ่งของเขาแล้วเช่นกัน ไม่เป็นสาเหตุให้ไม่พอใจ แต่กลับโล่งอก ขอเพียงหน่วยตรวจการขวาไม่ชิงตัดหน้า เขาก็ลดความเสี่ยงได้ส่วนหนึ่งแล้ว

เขาหันกลับมาอีกรอบ แต่ยังไม่รีบออกจากวัง เพราะยังมีอีกคนที่ต้องจัดการ

หลังจากน้อมส่งประมุขชิงออกจากตำหนักนารีสวรรค์แล้ว ซ่างกวนชิงก็รีบหันมา เขายังต้องปฏิบัติตามบัญชาของประมุขชิง เตรียมใช้กฎอัยการศึกกับวังสวรรค์

ทว่าระหว่างทางกลับเจอซือหม่าเวิ่นเทียนที่รออยู่ เมื่อทั้งสองเจอกัน ซือหม่าเวิ่นเทียนก็พูดเหมือนเดิม “ถ้าทางสมาคมวีรชนพบอะไร หวังว่าผู้การใหญ่จะบอกข้าก่อน ผู้การใหญ่คงเข้าใจความลำบากของข้า”

“เฮ้อ!” ซ่างกวนชิงถอนหายใจ เพราะเข้าใจความลำบากของเขาจริงๆ มิหนำซ้ำจะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้อีก เพราะครั้งก่อนติดหนี้น้ำใจอีกฝ่ายแล้ว แสดงละครหลอกลวงประมุขชิงด้วยกันไปแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับอีกฝ่ายแล้วอีกฝ่ายกัดซี้ซั้ว ตัวเองก็จะซวยไปด้วยเช่นกัน จึงพยักหน้าเบาๆ “ขอเพียงเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อฝ่าบาท ถ้าได้ข่าวมาไม่ว่าใครจะเป็นคนสืบก็เหมือนกัน เจ้าวางใจเถอะ ฝั่งข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากหรอก แต่ฝั่งเกาก้วนนี่สิ เจ้าต้องหาวิธียืดหยุ่นสักหน่อย ถึงแม้เจ้าหมอนั่นจะหน้านิ่ง แต่ฝีมือการทำงานของเขากลับว่าไม่ได้เลย ถ้าทำให้เขาหลีกทางให้ได้ก่อน ก็ไม่ต้องให้ข้าพูดถึงผลที่ตามมาแล้ว”

“ขอบคุณมากๆ ฝั่งเกาก้วนข้าย่อมมีวิธีการอยู่แล้ว” ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบกุมหมัดขอบคุณ แต่กลับไม่ได้บอกว่าเกาก้วนรับปากแล้ว

เมื่อจัดการทั้งสองฝ่ายได้ ซือหม่าเวิ่นเทียนถึงได้ออกจากวังสวรรค์ไปอย่างวางใจ

ผ่านไปไม่นาน กองทัพองครักษ์กลุ่มใหญ่ก็บุกเข้ามาในวังสวรรค์ ไม่ว่าผู้หญิงในวังสวรรค์จะมีฐานะอะไร ก็ถูกเร่งให้กลับเข้าไปในเรือนของตัวเองทั้งหมด

“วันนี้ร่างกายของเฉิงอวี่เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เป็นห่วง ร่างกายหม่อมฉันไม่มีปัญหาเพคะ เพียงรู้สึกตึงท้องนิดหน่อย”

“เหอะๆ! เพราะท้องใหญ่แล้วไง ทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อยเพราะข้าแล้ว”

ในตำหนักนารีสวรรค์ ประมุขชิงดูผ่อนคลายมาก ท่าทีไม่เลวเลย คงรอยยิ้มที่สนิทสนมเอาไว้ตลอด แสดงความห่วงใยต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เต็มที่

หลังจากคุยกระหนุงกระหนิงกันสักพัก ประมุขชิงก็เอ่ยถามเหมือนไม่ตั้งใจ “ท่านปู่สวรรค์ไม่ได้เข้าวังมาเยี่ยมราชินีสวรรค์นานแล้วใช่มั้ย? เอาอย่างนี้แล้วกัน ราชินีสวรรค์ให้คนส่งข่าวสักหน่อย เชิญท่านปู่สวรรค์เข้าวังสักหน่อย ครอบครัวเราจะได้รวมตัวกัน”

“เอ่อ…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่งงไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ประมุขชิงถึงมีอารมณ์สนใจทำแบบนี้ แต่ในเมื่อประมุขชิงเอ่ยปากแล้ว นางก็ยากที่จะปฏิเสธได้ ย่อมตะโกนเรียกเอ๋อเหมยให้เข้ามา แล้วกำชับให้ทำตาม เชิญให้ท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้วเข้าวังมาสักรอบ

นางมีบางอย่างที่ไม่รู้ การที่จู่ๆ สี่อ๋องสวรรค์เคลื่อนไหวแบบนี้ ทำให้ประมุขชิงมิอาจไม่ระวังตัวได้ ประมุขชิงไม่ได้กลัวสี่อ๋องสวรรค์หรอก ที่เขากังวลจริงๆ คือฝั่งตระกูลเซี่ยโห้ว ถ้ากองทัพองครักษ์สู้กับสี่อ๋องสวรรค์ขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็จะเสียหายอย่างหนักอยู่ดี ทำศึกใหญ่จะไม่ให้บาดเจ็บล้มตายเลยคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าก่อนทำศึกหรือหลังทำศึก ก็ล้วนต้องปลอบโยนตระกูลเซี่ยโห้วให้ดีก่อน พยายามอย่าให้ตระกูลเซี่ยโห้วเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้

ถ้าก่อนทำศึกตระกูลเซี่ยโห้วปลุกปั่นอำนาจแต่ละฝ่ายให้มาช่วยสี่อ๋องสวรรค์ เช่นนั้นเขาก็จะลำบากแล้ว เกรงว่าแม้แต่แดนพุทธะก็จะถูกลากเข้ามาเกี่ยวด้วย ดีไม่ดีอาจจะกลายเป็นเขาที่นำกองทัพองครักษ์ต้านทานใต้กล้าฝ่ายเดียว หลังจากเสร็จศึกแล้วต่อให้เขาจะชนะ แต่เมื่อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เสียหายอย่างหนักแล้วยังถูกตระกูลเซี่ยโห้วโจมตีอีก เช่นนั้นเขาก็ยากที่จะรับผลที่ตามมาไหว ถึงตอนนั้นต่อให้เขาจะรอดชีวิตได้ แต่กำลังพลในมือก็ถูกำจัดหมดแล้ว เบื้องล่างไม่มีคน ต่อให้เขาคนเดียวจะต่อสู้เก่ง แต่แล้วจะทำอะไรได้ล่ะ? ตัวคนเดียวจะปกครองใต้หล้าได้เหรอ เกรงว่าเรื่องแรกที่ประมุขพุทธะจะทำก็คือสั่งให้กำลังพลกำจัดเขา เพราะเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะร่วมงานกับประมุขพุทธะแล้ว ประมุขพุทธะยังจำเป็นต้องเสพสุขใต้หล้าด้วยกันกับเขาอีกหรือ? แบบนั้นแปลว่าสมองมีปัญหาแล้ว

ถ้าเดินไปถึงขั้นนั้นจริงๆ เขายังคิดจะลืมตาอ้าปากอีกครั้ง ให้ใต้หล้าส่งมอบผลประโยชน์ให้เขาอีกเหรอ นั่นช่างเป็นเรื่องเพ้อฝัน

ดังนั้นเขาจำเป็นต้องยืนยันท่าทีของตระกูลเซี่ยโห้ว หรือไม่ก็ทดสอบสักหน่อยว่าตระกูลเซี่ยโห้วเข้าร่วมกับสี่อ๋องสวรรค์หรือไม่ ถ้าเซี่ยโห้วท่าไม่ยอมเข้าวัง เช่นนั้นก็เกิดปัญหาแล้ว นี่คือสิ่งที่เขากังวลที่สุด ไม่อย่างนั้นจู่ๆ จะมาเอาใจเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำไม

พอเซี่ยโห้วท่ามาแล้ว ไม่ว่าเซี่ยโห้วท่าจะมองออกหรือไม่ว่าเขากำลังเสแสร้ง แต่เขาก็ต้องแสดงความรักใคร่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต่อหน้าเซี่ยโห้วท่าอยู่ดี

ถ้าไม่ใช่เพราะหมดหนทางจริงๆ เขาคงถอดเซี่ยโห้วเฉิงอวี่แล้วแต่งตั้งจ้านหรูอี้ที่ตัวเองชอบเป็นราชินีไปนานแล้ว ทว่าถ้าอยากนั่งครองใต้หล้าอย่างมั่นคง ก็ไม่ใช่สิ่งที่กำลังของคนคนเดียวจะตัดสินใจได้ ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ มีพระปีศาจหนานโปคนเดียวก็พอแล้ว คนรุ่นหลังยังจะเกี่ยวข้องอีกเหรอ

“พี่ใหญ่มาแล้ว!”

ในแม่ทัพภาคตลาดผี โค่วเจิงนำคนมาด้วยตัวเองสิบกว่าคน ตั้งแต่ออกเดินทางจนมาถึงที่นี่ ใช้เวลารวดเร็วมาก มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์คุ้มกันส่ง จะไม่ให้มาเร็วก็คงยาก

เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้โผล่หน้ามาอย่างเปิดเผย ปิดบังใบหน้าแล้ว หลังจากเข้าจวนแม่ทัพภาคก็ถอดหน้ากากออก เหมียวอี้ออกมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

พอเจอหน้ากัน โค่วเจิงก็จ้องหน้าเหมียวอี้เงียบๆ

“พี่ใหญ่ เป็นอะไรไป?” เหมียวอี้มองตัวเอง แต่โค่วเจิงไม่ได้พูดอะไร เดินเฉียดร่างกายเขาไป

พักดื่มชาอะไรก็ไม่ต้องทำแล้ว โค่วเจิงเดินตรงไปที่ห้องขอเหมียวอี้ด้วยความชำนาญ

หลังจากในห้องเหลือสองคน โค่วเจิงก็ไม่เปลืองคำพูด ถามตรงๆ เลยว่า “โหย่วเต๋อ คาดว่าเจ้าคงรู้ว่าข้ามาทำไม”

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “เพราะเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงไม่ใช่เหรอ? พี่ใหญ่ ท่านก็เห็นสถานการณ์ที่ตลาดผีแล้ว ข้ารู้สึกรางๆ ว่าเหมือนข้าจะก่อเรื่องใหญ่แล้ว ก็อย่างที่ข้าบอก เรื่องนี้ข้าจะรับผิดชอบเองคนเดียว ไม่ทำให้ตระกูลโค่วลำบากหรอก ส่วนอวิ๋นจือชิว หวังว่าตระกูลโค่วจะดูแลแทนในฐานะลูกสาว บุญคุณอันใหญ่หลวงนี้หนิวจะตอบแทนชาติหน้า!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ โค่วเจิงก็อยากพ่นไฟใส่ ลูกชายข้าเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ แต่เจ้าดันฝากฝังเรื่องหลังความตายแล้ว ถ้าเจ้าอยากจะตายก็บอกเรื่องราวให้ชัดเจนก่อนสิ เขาถามด้วยสีหน้าเครียดขรึม “อะไรที่เรียกว่าเจ้าก่อเรื่องใหญ่แล้ว มีเรื่องอะไรกันแน่?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “พี่ใหญ่ ข้าบอกไปแล้วไง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแดนพุทธะ ดังนั้นตระกูลโค่วแสร้งทำเป็นไม่รู้ก็พอ อีกประเดี๋ยวข้าจะส่งพี่ใหย่ออกไปทางลับ ทางที่ดีอย่าให้คนรู้ว่าพี่ใหญ่มาที่นี่”

โค่วเจิงเกกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะแทงเขาสักสองสามที แสยะยิ้มบอกว่า “ทำเป็นไม่รู้งั้นเหรอ? เหวินไป๋ไปเข้าร่วมออกล่า ตอนนี้เป็นตายยังไม่รู้ เจ้าจะให้ข้าแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้ยังไง?”

“เหวินไป๋เป็นตายยังไงก็ยังไม่รู้เหรอ?” เหมียวอี้ทำหน้างง แล้วกล่าวเหมือนแปลกใจ “ไม่น่าจะใช่นะ ข้าพุ่งเป้าไปที่ตระกูลอิ๋ง เหวินไป๋เข้าไปเกี่ยวข้องได้ยังไง ว่ากันว่าตระกูลพวกนั้นมีความสัมพันธ์แบบแข่งขันกัน คงไม่ร่วมมือกันออกล่าหรอกมั้ง?”

จะให้โค่วเจิงอธิบายอย่างไรล่ะ? เรื่องนี้เดิมทีตระกูลโค่วก็เสียเปรียบด้านเหตุผลอยู่แล้ว

“ครั้งนี้ท่านพ่อสั่งให้ข้ามา ท่านพ่อบอกไว้ก่อนแล้ว ว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้า แต่เจ้าก็เป็นลูกเขยของตระกูลโค่ว จะให้ตระกูลโค่วนิ่งดูดายไม่ได้ ที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวกับตระกูลโค่ว เป็นคำพูดเหลวไหลทั้งเพ! มีใครไม่รู้บ้างว่าเจ้าเป็นลูกเขยของตระกูลโค่ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ตระกูลโค่วจะพ้นความเกี่ยวข้องเหรอ? ดังนั้นท่านพ่อจึงพูดไว้ชัดเจนแล้ว ถ้าพูดดีๆ แล้วไม่ได้ผล ก็ทำได้เพียงใช้วิธีบีบถามบีบถาม เจ้าไตร่ตรองเอาเอง อย่าบีบให้ข้าทำอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นข้าก็กลับไปอธิบายกับท่านพ่อไม่ได้!” โค่วเจิงกล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย

เหมียวอี้ก้าวถอยหลังอย่างห่อเหี่ยว ถอยไปหย่อนก้นนั่งลงบนโต๊ะ แล้วก้มหน้าตอบอย่างหดหู่ “ก่อนที่พี่ใหญ่จะมา คนของตึกศาลาสัตยพรตก็ให้ข้าไปหา ถามข้าเรื่องออกล่าเหมือนกัน ข้าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น แต่เฉาหม่านกลับเปิดเผยต่อข้านิดหน่อย ข้าเลยพอจะรู้แล้วว่าเรื่องที่น้ำพุวังเวงลุกลามใหญ่โต ข้าเองก็เคยติดต่อแดนพุทธะเช่นกัน อยากถามว่าเหวินไป๋ตกอยู่ในมือพวกเขาหรือแปล่า บางทีอาจจะขอตัวเหวินไป๋กลับมาได้ แต่ที่แปลกก็คือติดต่อทางนั้นไม่ได้เหมือนกัน”

…………………………

เขากำลังถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ

ผังก้วน : ลูกชายคนรองของข้านำกำลังพลไป หลังจากตามกำลังพลของตระกูลฮ่าวไปน้ำพุวังเวง จนกระทั่งตอนนี้ทุกคนก็ขาดการติดต่อไปแล้ว เบื้องบนไม่ได้ให้คำอธิบายอะไรด้วย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงได้ถามเจ้า ฟังจากน้ำเสียงเจ้าแล้ว เหมือนเจ้าจะรู้อะไรมาบ้างใช่มั้ย?

เหมียวอี้ : ข้ารู้อะไรมาบ้างจริงๆ แต่เหมือนจะเหนือความคาดหมายของข้า ตอนนี้ข้าก็เลอะเลือนเช่นกัน ไม่มีทางบอกสิ่งที่ถูกต้องกับเทพประจำดาวได้

ผังก้วน : เจ้ายังมีอะไรที่ไม่สะดวกจะพูดอีกเหรอ?

เหมียวอี้ : ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้กับเทพประจำดาวยังไง เทพประจำดาวลองไปสืบจากขุนนางใหญ่คนอื่นๆ ของตำหนักสวรรค์ดูก็ได้

ผังก้วน : ไม่ต้องให้เจ้าบอกหรอก ข้าไปหามาแล้ว ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่มาถามเจ้าหรอก…

หลังจากสื่อสารกันได้สักพัก เหมียวอี้ก็ตกตะลึง มองไปรอบห้องด้วยความงุนงง เขาไม่ค่อยกล้าเชื่อเท่าไร ในที่เกิดเหตุต่อสู้กันนานขนาดนั้น ต่อสู้กันดุเดือดขนาดนั้น กำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์ไม่รู้เลยเหรอว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เด็กดีเอ๋ย สงสัยเล่นกันตั้งนานขนาดนั้น แต่สี่อ๋องสวรรค์ปิดข่าวไม่ให้กำลังพลเบื้องล่างสินะ คนเบื้องล่างไม่รู้เรื่องนี้!

ลองคิดไปคิดมาก็กระจ่างในฉับพลัน เหมือนจะเข้าใจอะไรแล้วนิดหน่อย

“หึหึ…” เหมียวอี้อดขำไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าจะปิดบังเรื่องนี้กับลูกน้องทุกคนแล้ว แต่ทุกคนล้วนไม่ธรรมดา เพราะเกี่ยวโยงถึงกำลังพลและลูกหลานของเทพประจำดาว เทพประจำดาวจำนวนมาก เขาเริ่มระบายความโกรธกับสี่อ๋องสวรรค์แล้ว ควรจะอธิบายกับเบื้องล่างอย่างไรดีล่ะ! ต่อให้สืบชัดเจนแล้ว แต่ก็คงไม่สะดวกจะพูดออกมาอยู่ดี!

ผังก้วนยังซักไซ้ : เจ้ารู้มากแค่ไหน?

เหมียวอี้ : เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้า ไม่รู้จะอธิบายกับเจ้ายังไงดี

ผังก้วน : เกี่ยวกับเจ้าเหรอ? เจ้ารู้มากแค่ไหนกันแน่?

เหมียวอี้ : เทพประจำดาว ก็อย่างที่ข้าบอก เรื่องนี้เหนือความคาดหมายข้าไกลมาก ตอนนี้ข้าก็กำลังเลอะเลือนเหมือนกัน ให้ข้าสืบให้ชัดเจนก่อนว่าเรื่องอะไรกันแน่ ถ้าข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะให้คำอธิบายกับเจ้า

พูดมาขั้นนี้แล้ว ผังก้วนก็ไม่กระจ่างเช่นกันว่าเรื่องอะไรกันแน่ ไม่อย่างนั้นจะต้องกดดันถามแน่นอน ตอนนี้ทำได้เพียงพุดด้วยดีๆ มีคำอธิบายก็ยังดีกว่าไม่มีคำอธิบาย กล่าวคำไหนคำนั้นว่า : ได้! ข้าจะรอฟังข่าวจากเจ้า

ในที่สุดก็รับมือกับผังก้วนได้แล้ว เหมียวอี้ที่รู้สึกผ่อนคลายเก็บระฆังดารา แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะหึหึ เลิกคิ้วเหล่ตาด้วยสีหน้าชั่วร้าย ปากพึมพำว่า : “เหนือความคาดหมาย เรื่องนี้ยิ่งนับวันยิ่งน่าสนใจ…”

หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง เขาก็ออกจากห้องของตัวเอง เรียกสวีถังหรานออกจากประตูด้วยกัน ก่อนก้าวออกจากประตูยังถ่ายทอดเสียงชมสวีถังหรานด้วยว่า “ทำงานได้ไม่เลว!”

สวีถังหรานหรี่ตายิ้มทันที แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม “ทั้งหมดล้วนเป็นแผนอันชาญฉลาดของนายท่าน หากนายท่านไม่ได้คาดเดาไว้ล่วงหน้า ข้าน้อยคงตกหลุมพรางผู้หญิงคนนั้นไปนานแล้ว จะได้สร้างผลงานเสียที่ไหนกัน”

“ข้าบอกเจ้าได้เลย ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสำนักหลัวช่าเข้ามาแทรกแซงในอาณาเขตตำหนักสวรรค์ เจ้าเองก็คงรู้ว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ยอมกลืนเรื่องนี้ให้ย่อยลงท้อง ดีกว่าหลุดปากพูดแม้แต่คำเดียว ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยชีวิตเจ้าไม่ได้หรอกนะ” เหมียวอี้กล่าว

“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว” สวีถังหรานเอ่ยรับซ้ำๆ

ทว่าตอนออกประตูมากลับเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด มีแม่ทัพเกราะม่วงสี่คนตามมาแล้ว ตามหลังทั้งสองอย่างเงียบๆ

“ไม่ต้องตามแล้ว” เหมียวอี้โบกมือ คนของตึกศาลาสัตยพรตรออยู่ข้างนอก มีคนของตึกศาลาสัตยพรตปกป้อง ก็น่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรที่ตลาดผี

ทว่าคำพูดของเขาในวันนี้เหมือนจะไม่ได้ผลเหมือนวันก่อนๆ แล้ว สี่คนนั้นยังตามอยู่เงียบๆ ทำให้เหมียวอี้ต้องหยุดเดินแล้วหันมามองช้าๆ มองสี่คนนี้เงียบๆ

สวีถังหรานเหล่ตามอง แล้วชี้หน้าตะคอกทั้งสี่ทันที “พวกเจ้าทำอะไรกัน? ไม่ได้ยินที่นายท่านบอกเหรอ?”

แม่ทัพหนึ่งในนั้นกุมหมัดคารวะ “เบื้องบนบอกว่าช่วงนี้เหตุการณ์ไม่ค่อยสงบ ให้พวกเราติดตามนายท่าน คอยปกป้องนายท่านทุกเมื่อ”

แม้แต่สวีถังหรานเองก็รู้ว่า ‘เบื้องบน’ ที่พวกเขาบอกไม่ได้หมายถึงตำหนักนารีสวรรค์แน่นอน แต่หมายถึงตระกูลโค่ว พอได้ยินว่าเป็นประสงค์ของตระกูลโค่ว เขาก็หุบปากทันที ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร

เหมียวอี้ฟังแล้วเข้าใจเช่นกัน เกรงว่าปกป้องตนคงเป็นเรื่องโกหก จับตาดูตนอย่างเป็นทางการต่างหากที่เป็นความจริง

ไม่น่าเชื่อว่าลูกน้องตัวเองจะจับตาดูตัวเองอย่างใจกล้าเปิดเผย เหมียวอี้เริ่มฉายแววดุร้าย จ้องทั้งสี่อย่างเย็นเยียบ

ส่วนทั้งสี่ก็ก้มหน้าเล็กน้อย รู้ว่าทำอย่างนี้ไม่เหมาะสม แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะตระกูลโค่วออกคำสั่งแล้ว

“ไปกันเถอะ!” สุดท้ายเหมียวอี้ก็ไม่ได้ทำให้สี่คนนี้ลำบากใจ หันตัวเดินต่อไป

เขารู้ว่าทำให้สี่คนนี้ลำบากใจก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตัวเองไม่กล้าต่อต้านตระกูลโค่วอย่างโจ่งแจ้งเช่นกัน นับประสากับพวกเขา ถ้าจะพูดชัดก็คือรากฐานของเขาที่พิภพใหญ่ยังตื้นเขินเกินไป ไม่มีกำลังพลของตัวเองให้ใช้งาน เลยต้องอาศัยกำลังคนของตระกูลโค่ว กำลังพลของหกลัทธิแดนอเวจีก็นำออกมาใช้งานอย่างเปิดเผยไม่ได้

ความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ตราบใดที่ถูกควบคุมอยู่ภายใต้ตำหนักสวรรค์ของพิภพใหญ่ ไม่ว่าจะย้ายไปทางไหนก็ไม่มีทางรอดจากการควบคุมของอำนาจแต่ละใหญ่ฝ่ายได้เลย ตัวเองผงาดขึ้นเร็วเกินไป ทั้งยังย้ายไปทั่ว ไม่มีเวลาฝึกเลี้ยงกำลังพลของตัวเองเลย มีแค่ลูกน้องคนสนิทข้างกายไม่กี่คนเท่านั้น

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว?”

ขณะเดินอยู่บนถนนในตลาดผี จู่ๆ เหมียวอี้ก็พบว่าตลาดผีวันนี้เหมือนแปลกไป ถนนของตลาดผีที่เคยมีกลุ่มคนสัญจรไปมาอย่างเงียบเงียบมาตลอด นึกไม่ถึงว่าตอนนี้จะดูค่อนข้างจ้อกแจ้กจอแจ มีคนไม่น้อยเหมือนกำลังเร่งเดินหนีไป เขาสงสัยนิดหน่อยว่าเกี่ยวข้องกับน้ำพุวังเวงหรือเปล่า จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ข้าน้อยมิทราบ” สวีถังหรานมองไปรอบด้านอย่างงุนงง ต่อให้เป็นคนของตึกศาลาสัตยพรตที่ตั้งใจมาต้อนรับก็มองไปรอบๆ อย่างแปลกใจเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าไม่รู้เรื่องรู้ราว

เหมียวอี้รีบเดินไปข้างหน้าด้วยความสงสัย กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิด กลัวมีคนโผล่มาสู้กับตน

ราบรื่นปลอดภัยตลอดทาง มาถึงตึกศาลาสัตยพรตแล้ว ชีเจวี๋ยมาต้อนรับด้วยตัวเอง แล้วนำทางขึ้นไปบนตึกอย่างสุภาพ

ข้างหลังมีคนตามมาด้วยห้าคนรวมทั้งสวีถังหราน ต่อให้อยากจะตามอีกแต่ก็ทำไม่ได้แล้ว ถูกคนของตึกศาลาสัตยพรตกันไว้ไม่ให้เข้าไป ปล่อยเหมียวอี้เข้าไปคนเดียวเท่านั้น

ยังคงเป็นห้องส่วนตัวที่ใช้รับแขก เฉาหม่านยังคงจิบน้ำชาอย่างสบายใจ เมื่อเห็นเหมียวอี้เข้ามาข้างใน ก็ยิ้มบางๆ พร้อมยื่นมือเชิญให้นั่ง

ยังคงไม่ยืมมือใครอื่น เฉาหม่านรินน้ำชาให้แขกด้วยตัวเอง

หลังจากยกถ้วยน้ำชาจิบให้ชุ่มปาก เหมียวอี้ก็วางถ้วยน้ำชาลงแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าเถ้าแก่เชิญมาด้วยธุระอะไร?”

เฉาหม่านเป่าน้ำชา เหลือบตาขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “ได้ยินว่าการออกล่าที่น้ำพุวังเวงเกิดเรื่องนิดหน่อย ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพภาคเคยได้ยินมาบ้างหรือเปล่า?”

“เกิดเรื่องขึ้นเหรอ? จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้?” เหมียวอี้ถามเหมือนแปลกใจ

“เหอะๆ!” เฉาหม่านเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ออกล่าที่น้ำพุวังเวง ตระกูลอิ๋งมีจุดประสงค์อีกอย่าง วางกับดักหมายจะเชิญท่านลงโอ่ง[1] ผลปรากฏว่าขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ มีคนเชิญยอดฝีมือของสำนักพุทธมาลอบโจมตี เกิดศึกดุเดือด เรื่องเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของตำหนักสวรรค์และแดนพุทธ กำลังพลออกล่าของสี่อ๋องสวรรค์ก็เหมือนพี่น้องท้องเดียวกัน พากันไปช่วยเหลือ แต่ใครจะคิดว่าตั๊กแตนไล่จับตั๊กแตน นกขมิ้นอยู่ข้างหลัง ตอนหลังมีกำลังพลกลุ่มใหญ่โผล่มาล้อมปราบ ฆ่ากำลังพลออกล่าหมดเกลี้ยง แม่ทัพภาคเป็นขุนนางระดับสูงสุดบริเวณแดนรัตติกาล ไม่ทราบว่านายท่านรู้มั้ยว่ากำลังพลกลุ่มสุดท้ายที่ปรากฏตัวคือใคร?”

นึกว่าตระกูลเซี่ยโห้วรู้ทุกอย่างจริงๆ เสียอีก พอเหมียวอี้ได้ยินว่า ‘เชิญยอดฝีมือของสำนักพุทธมาลอบโจมตี’ ก็รู้แล้วว่าเจ้าหมอนี่กำลังหยั่งเชิงตน ตัวเอง ‘เชิญ’ กำลังพลของสำนักพุทธเสียที่ไหนกันล่ะ เกรงว่าต่อให้อยากเชิญก็คงเชิญไม่ไหว ไม่มีทางที่อีกฝ่ายยอมรับปากช่วยตนลอบโจมตี

เขาเดาะลิ้นเหมือนตกตะลึง “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?”

“นายท่านไม่รู้จริงเหรอ?” เฉาหม่านเหล่ตา

“ไม่รู้จริงๆ” เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง

ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่ยอมรับ เฉาหม่านก็ไม่ได้กดดันเขาเช่นกัน ต่อมาทั้งสองก็พูดคุยสัพเพเหระ จากนั้นเหมียวอี้ก็เอ่ยขอตัวลา เฉาหม่านเองก็ไม่ได้รั้งไว้

เพียงแต่ตอนที่ลุกขึ้นเดินออกไป เหมียวอี้ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ หยุดเดินแล้วขมวดคิ้วถาม “เถ้าแก่ ข้าเห็นตลาดผีเหมือนจะวุ่นวายนิดหน่อยนะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า?”

เฉาหม่านลุกขึ้นยืนเช่นกัน เดินมาทอดสายตามองตรงหน้าต่าง หันหลังให้เขาพลางกล่าวอย่างเนิบนาบผ่อนคลาย “ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีกล่ะ ไม่พ้นเกี่ยวกับเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงอยู่แล้ว คนที่กล้าล้อมโจมตีกำลังพลออกล่าของสี่อ๋องสวรรค์มีไม่เยอะหรอก คนที่กล้าลงมือกับสี่ตระกูลนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ ทำให้คนอดคาดเดาไม่ได้ สี่อ๋องสวรรค์กลัวว่าท่านนั้นของวังสวรรค์จะลงมือกับพวกเขา กำลังเตรียมโจมตีกลับล่วงหน้า พอสี่อ๋องออกคำสั่ง ทัพใหญ่ในใต้หล้าก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน มีแนวโน้มน่าตกใจ ไม่ใช่แค่ตลาดผี เกรงว่าเกิดปฏิกิริยาทางตลาดสวรรค์เยอะมากเหมือนกัน…”

เขาไม่ได้ปิดบังเหมียวอี้ กลับเปิดเผยทุกอย่าง ทำให้เหมียวอี้ได้รู้ท่าทีและทิศทางการเคลื่อนไหวของบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์

ก็เป็นอย่างที่เขาบอก พอสี่อ๋องสวรรค์ออกคำสั่ง ทัพตะวันออก ทัพใต้ ทัพตะวันตก ทัพเหนือก็เริ่มเคลื่อนไหวเร็วมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มีประสิทธิภาพกว่าบัญชาจากวังสวรรค์เสียอีก จะเห็นได้ว่ายามปกติเวลาทำงานไม่ราบรื่นเป็นอย่างไร ชั่วขณะนั้นทำให้ทั้งใต้หล้าเหมือนเกิดกระแสคลื่นซัดสาด คนกลัวแม้กระทั่งเสียงลมเสียงนกร้อง!

ความเคลื่อนไหวนี้เป็นเค้าลางที่ไม่ดีเลย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทุกคนตกอยู่ในอันตราย แต่ลำนักรีบเรียกลูกศิษย์ตัวเองกลับสำนัก ต่อให้เป็นนักพรตอิสระที่ได้ยินข่าวก็รีบกลับรังเช่นกัน หรือไม่ก็ข้าที่ซ่อนตัว

สถานที่ที่เกิดปฏิกิริยาตรงไปตรงมาที่สุดก็คือตลาดสวรรค์ ลูกค้าที่สัญจรไปมาหายไปเร็วมาก ร้านค้ามากมายที่ไม่รู้สถานการณ์ปิดร้านแล้ว ใช้เวลาไม่นานก็ทำให้ตลาดสวรรค์ที่เจริญรุ่งเรืองกลายเป็นตลาดเงียบเหงาซบเซา

สิ่งนี้ล้วนเกิดขึ้นทีหลัง

ส่วนที่วังสวรรค์ตอนนี้ ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงกำลังนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะยาวด้วยสีหน้าดำมืด สองมือวางจับข้างโต๊ะยาวไม่ขยับไปไหน จ้องไปนอกตำหนักด้วยสายตาเย็นเยียบ

ซ่างกวนชิงรอฟังคำสั่งอยู่ข้างกายด้วยสีหน้าตึงเครียด โดยซือหม่าเวิ่นเทียนและเกาก้วนยืนอยู่เบื้องล่าง

สภาพของทั้งสามไม่ค่อยดีสักเท่าไร ซ่างกวนชิงเสื้อผ้ายับไม่เรียบร้อย ซือหม่าเวิ่นเทียนยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่หน้าผากเป็นระยะ ส่วนเกาก้วนยังดีหน่อย แต่ก็เม้มปากแน่นด้วยสีหน้าเครียดขรึม

ในตำหนักเงียบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพื้น บางครั้งก็ได้ยินเสียงประมุขชิงสูดหายใจลึก สายตาของประมุขชิงเหมือนต้องการจะกินคนได้

สี่อ๋องสวรรค์เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ จะไม่ให้วังสวรรค์รู้ก็คงยาก กำลังพลกลุ่มใหญ่ขนาดนี้เคลื่อนไหวเองโดยไม่ผ่านคำสั่งวังสวรรค์ ทั้งยังเฝ้าหรือรักษาการณ์จุดยุทธศาสตร์เตรียมโจมตีไม่หยุด ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้ทั้งวังสวรรค์ตึงเครียดแล้ว

นี่คิดจะทำอะไรกัน? คิดจะก่อกบฏเหรอ?

ฝั่งวังสวรรค์ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น สี่อ๋องสวรรค์ล้วนตอบเหมือนกัน กำลังฝึกกำลังพล!

ฝึกกำลังพลบ้าบออะไรล่ะ ประมุขชิงเชื่อได้ก็แปลกแล้ว ดูแล้วเหมือนทหารก่อกบฏมากกว่า!

ผ่านไปไม่นาน ความเงียบในตำหนักดาราจักรก็ถูกทำลาย ด้านนอกมีเสียงเกราะรบเคลื่อนไหว

ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายโพ่จวิน ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ขวาอู๋ฉวี่มาพร้อมก้น ก้าวเข้ามาในตำหนักด้วยกัน

ทั้งสองมีสีหน้าจริงจัง เปลี่ยนใส่เกราะรบสีสว่างสดใสอย่างที่พบเห็นได้ยาก ผ้าคลุมบ่าปลิวตามแรงลม

ข้างหลังทั้งสองมีคนเดินตามเข้ามาสองแถว ผู้ตรวจการใหญ่สิบแปดคนจากยี่สิบคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวา นอกจากอีกสองคนที่ติดเฝ้าเวรยามอยู่ ที่เหลือก็มากันหมดแล้ว ก้าวตามหลังผู้บัญชาการองครักษ์ทั้งสองเข้ามาเยี่ยงมังกรราชสีห์ แต่ละคนมีท่าทางดุร้ายน่ากลัว!

…………………………

[1] เชิญท่านลงโอ่ง 请君入瓮 หมายถึงติดกับดักตัวเอง

“ประมุขปราชญ์จิน ข้าต้องเข้าไปอยู่ในสวนตะวันตกสักระยะ ถ้าหกลัทธิมีเรื่องอะไรก็ให้มาหาข้าที่สวนตะวันตกได้”

หลังจากติดต่อกับเหมียวอี้เสร็จอีกครั้ง หยางชิ่งที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างในตึกศาลาก็บอกที่ไปของตัวเองให้จินม่านรู้ล่วงหน้า

สวนตะวันตกก็คือส่วนแห่งหนึ่งที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกที่ตั้งใจทำให้ว่างโดยเฉพาะ เนื่องจากเรื่องของเหมียวอี้ในครั้งนี้ จึงสร้างศูนย์ข่าวของหกลัทธิขึ้นชั่วคราว ขอเพียงคนของหกลัทธิด้านนอกได้ข่าวข่าวของภายนอกรวมทั้งตลาดผี ก็ล้วนส่งข่าวต่อมาที่นี่

จินม่านได้ฟังแล้วเข้าใจทันที ทำแบบนี้เพื่อจะจัดการข่าวสารจากช่องทางต่างๆ นางมองหยางชิ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าทว่าดวงตาเป็นประกาย พร้อมขมวดคิ้วถาม “ท่านไม่ได้พักผ่อนมานานแค่ไหนแล้ว? เรื่องจัดการข่าวสารส่งต่อให้ลูกน้องฟังก็ได้ ท่านไม่จำเป็นต้องลงมือเอง หากท่านไม่วางใจ ข้าจะช่วยเร่งให้อีก ไม่ทำให้เรื่องนี้ชักช้าแน่นอน”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ชิงจวี๋ที่ขึ้นมาเก็บของบนตึกศาลาก็หยุดงานในมือโดยจิตใต้สำนึก แล้วมองสองคนที่อยู่ทางนี้ด้วยแววตาแปลกๆ โดยเน้นมองจินม่านที่เรือนร่างอ่อนช้อยงดงามสวมชุดกระโปรงยาวสีทอง สังเกตการเปลี่ยนแปลงบนสีหน้านาง

“นักพรตระดับข้าถ้าไม่พักผ่อนแล้วจะตายเชียวเหรอ?” หยางชิ่งกล่าวกลั้วหัวเราะ

“ท่าน…” บนใบหน้าจินม่านฉายแววขุ่นเคือง อยากจะบอกเขามากว่า ถ้าเจ้าอดหลับอดนอนอย่างนี้ต่อไปก็จะกลายเป็นคนชราน่าเกลียดนะ ตอนมาใหม่ๆ ยังเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำอยู่เลย นี่เพิ่งผ่านไปไม่นาน ก็กลายสภาพเป็นชายซึมเซาที่มีผมขาวแซมเสียแล้ว ขนาดคนนอกเห็นแล้วยังทนมองต่อไปไม่ไหว เหมียวอี้ให้อะไรเจ้ากันแน่ เจ้าถึงทุ่มเททำงานให้ขนาดนี้?

ทว่าไม่สะดวกจะกล่าวคำพูดพวกนี้ออกมา ในที่สุดก็กลืนคำพูดลงคอไปแล้ว

“เอาอย่างนี้แล้วกัน” หยางชิ่งโบกมือพลางหัวเราะ บอกใบ้ว่าไม่ต้องโน้มน้าวแล้ว

เขาเองก็ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว แต่ต่อไปเหมียวอี้ที่อยู่ทางตลาดผีจะต้องรับมือกับเหตุการณ์เฉพาะหน้า ถึงตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้างทางนี้ก็ไม่อาจคาดเดาได้ หยางชิ่งไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยจึงช่วยเหลือได้จำกัด จะให้เสียเวลามาปรึกษากับทางนี้ก่อนทุกเรื่องแล้วค่อยตัดสินใจก็ไม่ได้ ต่อไปล้วนต้องให้เหมียวอี้รับมือเอง ส่วนงานที่ทางนี้ทำได้ก็คือรวบรวมข่าวทั้งหมดของหกลัทธิแล้วสรุปส่งไปให้เหมียวอี้ เมื่อมีข้อมูลของสถานการณ์บางอย่าง เหมียวอี้จะได้ตัดสินได้อย่างเหมาะสม

ส่วนทางนี้ก็ไม่อาจนำข่าวสะเปะสะปะทั้งหมดยัดไปให้เหมียวอี้ เพราะเหมียวอี้ไม่ได้มีเวลามากมายไปจำแนกแยกแยะข่าวที่สลับซับซ้อนพวกนั้น แต่ถ้าจะส่งต่อให้คนของหกลัทธิจัดการ หยางชิ่งก็ไม่วางใจอีก จึงทำได้เพียงจัดการข่าวสารบางส่วนด้วยตัวเอง ข่าวที่ไร้ประโยชน์ก็ตัดทิ้ง ส่วนข่าวไหนที่เขาคิดว่ามีประโยชน์ ก็จะจัดระเบียบข้อมูลไปให้เหมียวอี้อีกที จะได้สะดวกให้เหมียวอี้รู้สถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว หวังว่าในบางครั้งจะช่วยเหมียวอี้ได้อีกแรง

ตัวยังเดินมาไม่ถึงสวนตะวันตก ชิงจวี๋ก็ตามมาแล้ว นางพูดอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “เกรงว่าจะต้องยินดีกับนายท่านแล้ว”

“หืม!” หยางชิ่งเดินไปพลางถามไปพลาง “มีอะไรน่ายินดี?”

ชิงจวี๋อมยิ้มในขณะที่มองปฏิกิริยาของเขา “บ่าวเห็นว่าประมุขปราชญ์จินม่านเหมือนจะหวั่นไหวกับนายท่านแล้วค่ะ”

หยางชิ่งอึ้งทันที หยุดเดินแล้วหันมองนางอย่างงุนงง จากนั้นขมวดคิ้วถาม “เจ้าไปเรียนรู้วิธีการพูดยั่วยุมาตั้งแต่เมื่อไร?”

ชิงจวี๋ตอบว่า “นายท่านเป็นผู้ชาย บางทีอาจไม่ได้ใส่ใจ แต่บ่าวเป็นผู้หญิงค่ะ ผู้หญิงย่อมเข้าใจกันดี บ่าวเห็นว่าจินม่านนั่นสนใจนายท่านแล้ว แถมช่วงนี้ข้ายังรู้สึกว่านางทำตัวแปลกๆ ไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่มีธุระก็มักมาคุยกับนายท่านล่วงหน้า”

“เหลวไหล นางจะมาชอบข้าได้ยังไง?” หยางชิ่งพูดเย้ยตัวเอง แล้วถลึงตาเตือนว่า “ต่อไปเจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้วนะ ถ้ามีใครได้ยินจะไม่ดี” จากนั้นก็ส่ายหน้า แล้วชี้ชิงจวี๋อีก เสร็จแล้วถึงได้เดินไปข้างหน้าต่อ เขาพอจะรู้จักจินม่านอยู่บ้าง เป็นผู้หญิงที่หยิ่งยโสรสนิยมสูง วรยุทธ์สูงส่ง มียศถาบรรดาศักดิ์ ผ่านลมฝนคาวเลือดและความเปลี่ยนแปลงมามากมาย หน้าตาก็จัดว่าสวยระดับยอดหญิงงาม ได้ยินว่าผู้ชายที่เคยตามรักตามจีบนางมีจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ผลปรากฏว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ชายตาแลเลยสักคน แล้วจะมาชอบหยางชิ่งได้อย่างไร ในสายตาเขา ไม่ว่าจะอิงตามเหตุผลหรืออารมณ์ นางก็ไม่มีทางชอบหยางชิ่งได้เลย…เขาเป็นคนมีปัญญาวิเคราะห์ปัญหามาตลอด

ขณะมองเงาหลังเขาเดินก้าวยาวจากไป ชิงจวี๋ก็ถอนหายใจอย่างจนปัญหา แอบพึมพำกับตัวเองว่า “หวังว่าข้าจะมองผิดไปก็แล้วกัน”

หลังจากติดต่อกับหยางชิ่งเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เดินไปมองภาพที่สวีถังหรานเคยวาดให้ ในหัวกลับครุ่นคิดถึงบทสนทนาที่เพิ่งคุยกับหยางชิ่ง

หยางชิ่งเป็นฝ่ายขอรับโทษจากเขาเอง บอกว่าเรื่องนี้ล้วนเป็นเพราะเขาคาดการณ์ผิดพลาด ไม่เข้าใจความสัมพันธ์กึ่งแข่งขันกึ่งร่วมมือระหว่างสี่อ๋องสวรรค์ ถึงได้ทำให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตขนาดนี้ ทำให้เหมียวอี้เผชิญกับความเสี่ยงใหญ่หลวง หลังจากกล่าวอภัยซ้ำๆ แล้ว ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์กึ่งแข่งขันกึ่งร่วมมือของสี่อ๋องสวรรค์ก็ทำให้เขาเข้าใจสถานภาพฝั่งตำหนักสวรรค์และแดนพุทธบ้างแล้วเช่นกัน จึงแนะนำอีกนิดหน่อย หวังว่าเหมียวอี้จะสามารถนำสามสิ่งนี้ไปใช้ประโยชน์ได้

ประการแรก กำลังพลหกลัทธิที่อยู่ทางตลาดผีนับว่าทำงานได้ตามมาตรฐาน น่าจะไม่ได้เปิดเผยตัวตน ตราบใดที่เหมียวอี้ไม่ยอมเปิดปาก ไม่ว่าฝั่งไหนอยากจะตรวจสอบก็ไม่มีทางตรวจสอบให้กระจ่างได้ง่ายๆ ความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนั้นทำให้คนเชื่อยากว่าเหมียวอี้สามารถทำได้ มีแต่จะทำให้อำนาจใหญ่แต่ละฝ่ายสงสัยกันเอง และนี่ก็คือโอกาส เป็นโอกาสที่เหมียวอี้จะสามารถหลุดพ้นจากน้ำวนนี้ได้ ถึงแม้เหมียวอี้จะเป็นคนกวนน้ำวนนี้ขึ้นมาเอง แต่เหมียวอี้ก็เล็กน้อยต่ำต้อยเกินไปในสายตาอำนาจใหญ่ฝ่ายต่างๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าสามารถวางตัวเองให้พ้นเรื่องนี้ได้ คอยกวนน้ำให้ขุ่นต่อไป ให้อำนาจแต่ละฝ่ายไปวุ่นวายกันต่อเอาเอง ส่วนเหมียวอี้ก็ต่ำต้อยมากในสายตาพวกเขา เมื่ออยู่ในน้ำวนแบบนี้กลับถูกมองข้ามได้ง่ายด้วยซ้ำ กอปรกับมีตระกูลโค่วหนุนหลัง จึงไม่มีใครกล้าแตะต้องเหมียวอี้อย่างโจ่งแจ้งเช่นกัน

ประการต่อมา มีความเป็นไปได้สูงว่าทางตระกูลเซี่ยโห้วจะรู้แล้วว่าเขามีหกลัทธิอยู่เบื้องหลัง เรื่องที่คนอื่นไม่รู้ชัด ตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะมีภาพคร่าวๆ ในใจแล้ว มั่นใจในตัวเหมียวอี้แล้ว เพียงเห็นได้ชัดว่าตระกูลเซี่ยโห้วเป็นพวกเหยียบเรือหลายแคม แล้วก็มีคุณสมบัติและความสามารถที่จะเหยียบเรือหลายแคมด้วย ดังนั้นหลังจากได้รู้ว่าเหมียวอี้มีกำลังมากเท่าไร พวกเขากลับรู้สึกว่ามีประโยชน์ให้ใช้งานมากเท่านั้น ใช้ประโยชน์หกปราชญ์ให้ล้มพระปีศาจหนานโป ใช้ประโยชน์ชิง พุทธะ ไป๋ให้มาแทนที่เด็กชายหกลัทธิ ตัวอย่างก็มีให้เห็นกันอยู่ ยิ่งเจ้ามีศักยภาพแข็งแกร่ง ก็ยิ่งทำให้พวกเขา ‘ให้ความสำคัญ’ กับเจ้ามากขึ้น มีแต่จะทำให้พวกเขาปกปิดเยอะกว่าเดิม ไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะเปิดโปงเจ้า ถ้าหากจำเป็น ลองใช้ประโยชน์จากตระกูลเซี่ยโห้วสักหน่อยก็ได้

ประการต่อมา สำนักหลัวช่าคงจะรู้แล้วว่าตัวเองติดกับดักนายท่าน จะต้องมาคิดบัญชีกับนายท่านแน่นอน ทว่าในจุดนี้ การคาดเดาก่อนหน้านี้น่าจะไม่ผิดพลาด เบื้องหลังของนายท่านมีตระกูลโค่วอยู่ สำนักหลัวช่าไม่กล้าทำอะไรนายท่านโจ่งแจ้ง อย่างมากก็แค่ขู่นายท่าน สำนักหลัวช่าเองก็ไม่กล้าเปิดเผยความจริงเช่นกัน ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นเรื่องใหญ่ระหว่างตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีแล้ว ถ้าเป็นฝ่ายทำลายกฏเอง สำนักหลัวช่าก็ไม่มีทางหนีทีไล่แล้วเช่นกัน เป็นสำนักหลัวช่าสำคัญกว่าหรือชีวิตนายท่านสำคัญกว่าล่ะ สำนักหลัวช่าย่อมเลือกทางที่ชาญฉลาดอยู่แล้ว ดังนั้นนายท่านไม่จำเป็นต้องกลัวสำนักหลัวช่า จะต้องคุมอยู่แน่นอน

เรื่องราวมากมายที่เคยกังวลก่อนหน้านี้ ภายใต้การชี้แนะของหยางชิ่ง ทำให้เหมียวอี้รู้สึกเบิกบานราวได้แหวกม่านหมอกแห่งความคลุมเครือไปเจอฟ้าใส ความหนักหน่วงใจลดลงไม่น้อย เมื่อความซับซ้อนวุ่นวายต่างๆ กลายเป็นชัดเจนขึ้น ก็ทำให้เขามีความมั่นใจแล้ว

จะว่าไปก็น่าขำเหมือนกัน เหมียวอี้พบว่าหยางชิ่งที่วางแผนได้แม่นยำมาตลอด แต่ในที่สุดก็ถึงเวลาผิดพลาดแล้ว อย่างไรเสียก็ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าไม่ได้ สุดท้ายก็มีช่องโหว่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังแล้วหรือเปล่า ครั้งนี้เพียงให้คำแนะนำไม่กี่ข้อเท่านั้น ไม่ได้บอกขั้นตอนละเอียดเหมือนก่อนหน้านี้

พอพูดถึงตระกูลเซี่ยโห้ว ระหว่างทางที่กลับมา ตึกศาลาสัตยพรตก็ติดต่อเขามาแล้ว เชิญให้เขาไปนั่งที่ตึกศาลาสัตยพรตสักหน่อย ถ้าไม่สะดวก จะให้คนทางตึกศาลาสัตยพรตมาหาที่จวนแม่ทัพภาคก็ได้ เหมียวอี้รู้ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าตึกศาลาสัตยพรตจะกำลังทดสอบว่าเขาอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคหรือไม่

เพิ่งจะจัดระเบียบความคิดได้ เขาก็เดินออกจากภาพวาด เตรียมตัวจะไปตามนัดที่ตึกศาลาสัตยพรต แต่กลับมีสหายเก่าส่งข่าวมา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเทพประจำดาวฟ้าเถาะนั่นเอง

เหมียวอี้ที่เดินไปเดินมาอยู่ในห้องครู่หนึ่งรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย ก่อนหน้านี้เขาเดาออกแล้ว ว่าในบรรดาคนที่ถูกกำจัดที่น้ำพุวังเวงอาจจะมีลูกหลานเทพประจำดาวฟ้าเถาะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นคนไหน ตอนนี้จู่ๆ ก็ส่งข่าวมา เกรงว่าคงจะมาขอคำอธิบายจากตน

หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็หยิบระฆังดาราขึ้นมาตอบ : ไม่ทราบว่าเทพประจำดาวมีอะไรจะกำชับ?

จวนเทพประจำดาวฟ้าเถาะ ในหอสง่างามน้อย ผังก้วนกับพ่อบ้านเฉินหวยจิ่วสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แม้แต่แสงอาทิตย์สดใสด้านนอกยากที่จะกำจัดเมฆครึ้มในใจของทั้งสองได้

ผังก้วนเป็นแม่ทัพใหญ่ทัพใต้ในสังกัดของฮ่าวเต๋อฟาง อ๋องสวรรค์ส่งบัตรเชิญให้ไปออกล่าที่น้ำพุวังเวง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเช่นกัน ก่อนหน้านี้ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องใหญ่อะไร จึงให้ลูกชายคนรองนำกำลังพลไปสมทบจำนวน จนกระทั่งกำลังพลออกล่าของตระกูลฮ่าวและตระกูลก่วงน้ำพุวังเวงไม่มีการเคลื่อนไหว ถึงขนาดว่ากำลังพลตายหมด ฝั่งนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

สาเหตุก็เรียบง่ายมาก เพราะสี่อ๋องสวรรค์ไม่ได้บอกสาเหตุที่แท้จริงของการออกล่าที่น้ำพุวังเวงให้ภายนอกรู้ ต่อให้เป็นกำลังพลที่สี่อ๋องสวรรค์ก็ยังไม่รู้เลย เพื่อที่จะปิดเป็นความลับ อ๋องสวรรค์ฮ่าวและอ๋องสวรรค์ก่วงจึงห้ามไม่ให้สมาชิกที่ออกล่าเปิดเผยทิศทางการเคลื่อนไหวใดๆ ต่อภายนอก ควคุมการใช้ระฆังดาราอย่างเข้มงวด ควบคุมแม้กระทั่งตอนสู้รบ

ที่จริงสี่อ๋องสวรรค์ก็ไม่คิดว่าเรื่องในครั้งนี้จะผิดแผน คิดว่าหลังจากจบเรื่องทุกคนก็ย่อมรู้เอง ถึงตอนนั้นทุกคนย่อมเข้าใจสาเหตุที่ให้เป็นความลับ แต่ใครจะคิดว่าจะผิดแผนแล้ว พ่ายแพ้ยับเยิน ครั้งนี้เรื่องใหญ่แล้วจริงๆ

ถ้าบอกให้พวกลูกน้องรู้สถานการณ์ชัดเจนจนกระทั่งสู้รบพ่ายแพ้ แบบนั้นก็ไม่มีใครว่าอะไรได้ เพราะการแพ้ชนะบนสนามรบเป็นเรื่องปกติมาก แต่เจ้าดันใช้อุบายหลอกให้ลูกหลานและกำลังพลของลูกน้องไปตายหมดแล้ว แบบนี้มันใช่เรื่องเสียที่ไหน? แต่พวกเขาล้วนไม่ใช่คนธรรมดา ล้วนเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก จะอธิบายอย่างไรล่ะ?

ทางนี้ขอคำอธิบายจากเบื้องบน แต่เบื้องบนตอบอย่างคลุมเครือ แต่กลับมีการเคลื่อนไหวกำลังพลขนาดใหญ่ ระหว่างเพื่อนร่วมงานสืบถามกันเอง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ที่สำคัญคือใครจะคิดว่าการออกล่าที่น้ำพุวังเวงจัดขึ้นเพื่อรับมือกับหนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียว ล้อเล่นหรือเปล่า!

ยังเป็นเฉินหวยจิ่วที่เสนอ ว่าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ในตลาดผีซึ่งตั้งอยู่ที่แดนรัตติกาล ทั้งยังเป็นเขยในนามของโค่วอ๋องสวรรค์ ไม่แน่ว่าหนิวโหย่วเต๋ออาจจะมีช่องทางติดต่อกับโค่วเหวินไป๋ก็ได้ ลองถามหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อยว่ารู้อะไรหรือเปล่า

ตอนนี้ผังก้วนถึงได้ติดต่อมาทางระฆังดารา ที่จริงฝั่งนี้ก็ปิดบังมาตลอดจนกระทั่งตอนนี้ แต่กลับทำให้เหมียวอี้ปวดประสาท ถึงอย่างไรทั้งสองฝั่งก็ร่วมมือกัน แต่กลับกำจัดลูกหลานของอีกฝ่ายทิ้งแล้ว จะบอกอย่างไรดีล่ะ? ทำได้เพียงหลอกลวง!

“ติดต่อได้แล้ว” ผังก้วนตอบเฉินหวยจิ่ว แล้วตอบเหมียวอี้ทันที : ไม่นับว่าชี้แนะ แค่อยากจะถามเจ้าสักหน่อย โค่วเหวินไป๋จากตระกูลโค่วไปเข้าร่วมการออกล่าที่น้ำพุวังเวง เจ้ารู้เรื่องนี้หรือเปล่า?

ถามเรื่องนี้จริงๆ ด้วย เหมียวอี้ครุ่นคิดพร้อมตอบอย่างระมัดระวัง : รู้!

ผังก้วน : ที่น้ำพุวังเวงเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย เจ้าเคยติดต่อกับโค่วเหวินไป๋หรือเปล่า รู้หรือเปล่าว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?

แปลกจัง นี่กำลังทดสอบหรือว่าไม่รู้จริงๆ เรื่องเกิดขึ้นนานขนาดนี้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าท่านนี้จะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น? ในขณะที่เหมียวอี้แปลกใจ ในใจก็เกิดความระแวดระวัง ใคร่ครวญพร้อมตอบว่า : เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยจริงๆ บ้านเจ้าก็ส่งคนไปออกล่าด้วยเหรอ?

…………………………

ถึงแม้จะกล่าวอย่างนี้ โค่วหลิงซวีก็พยักหน้าเห็นด้วยแล้ว แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้เหมียวอี้หลอกตบตาจนเลอะเลือน เขาหันกลับมากำชับโค่วเจิง “เจ้าไปที่ตลาดผีด้วยตัวเองสักรอบ ไปถามเขาต่อหน้าให้รู้เรื่อง ต้องทำให้เขาคายความจริงออกมาให้ได้”

“ขอรับ!” โค่วเจิงกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหันตัวเดินออกไป

เมื่อออกจากสวนมาแล้ว เขากลับไม่ได้รีบจากไปทันที แต่มารออยู่ในตึกศาลาที่อยู่ไม่ไกลนอกเรือนอวิ๋นเซวียน

หลังจากรอได้ครู่หนึ่ง สุยฉูฉู่กับอวิ๋นจือชิวพูดคุยยิ้มแย้มพลางเดินออกมาจากเรือนอวิ๋นเซวียน เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นจือชิวเดินออกนอกประตูมาส่งแขก

หลังจากแยกกัน สุยฉูฉู่ก็เดินกลับไป แต่ถูกคนดักไว้กลางทาง เชิญให้เข้าไปในศาลาหลังนั้น

พอสองสามีภรรยาเจอหน้ากัน ยังไม่ทันได้ทักทาย โค่วเจิงก็ถามทันทีว่า “สังเกตเห็นความผิดปกติอะไรจากเจ้าเจ็ดมั้ย?”

สุยฉูฉู่ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับลูกชายตัวเองแล้ว เดิมทีก็มีเรื่องมากมายที่ตระกูลโค่วปิดบังผู้หญิง นางเองก็ได้รับข่าวจากโค่วเจิง ถึงได้มาหยั่งเชิงอวิ๋นจือชิว นางส่ายหน้า แล้วขมวดคิ้วตอบว่า “เป็นเรื่องปกติมาก ไม่ต่างอะไรจากปกติเลย ทั้งยังมอบเครื่องประดับชุดใหม่ให้ข้าด้วย ทำไมเหรอ เจ้าเจ็ดมีปัญหาอะไรเหรอ?”

“ไม่มีอะไร ข้ามีธุระต้องออกไปข้างนอก อยู่เป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว” โค่วเจิงยิ้มกลบเกลื่อน ยังคงปิดบังเรื่องลูกชาย

สุยฉูฉู่ก็กล่าวอำลาเช่นกัน ปกตินางไม่เข้ามาแทรกแซงงานในตระกูลโค่วอยู่แล้ว

รอจนกระทั่งนางเดินออกไปไกล โค่วเจิงก็จ้องเรือนอวิ๋นเซวียนครู่พักหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ตั้งแต่นี้ไป ไม่ว่าใครจะออกจากเรือนอวิ๋นเซวียนก็ต้องรายงานให้พ่อบ้านถังรู้ จับตาดูไว้ให้ดี!”

“ขอรับ!”ลูกน้องข้างหลังเอ่ยรับคำสั่ง

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ฮ่าวเต๋อฟางที่อยู่ระหว่างตึกศาลามีสีหน้าจริงจัง กำลังยืนพิงรั้วอยู่คนเดียว

ซูอวิ้นกำลังสั่งงานด่วนกับกลุ่มลูกน้องอยู่ชั้นล่าง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ขึ้นมา นางเดินมาข้างหลังฮ่าวเต๋อฟางแล้วรายงานว่า “ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกันค่ะ แต่กำลังพลออกล่าที่ได้ข่าวรีบไปตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว”

เพี้ยะ! ฮ่าวเต๋อฟางใช้ฝ่ามือตีระเบียง แล้วกล่าวอย่างแข็งกร้าว “ข้าไม่เชื่อหรอกว่ารอบๆ สถานที่เกิดเหตุจะไม่มีพยานเลยสักคน ส่งคนไปหา”

“ส่งคนไปแล้วค่ะ” ซูอวิ้นตอบ

ฮ่าวเต๋อฟางบอกว่า “สำนักหลัวช่ามีเจตนาอะไรกับตระกูลอิ๋งกันแน่? ตอนนี้ข้าอยากรู้ว่าว่าการลงมือครั้งนี้หนิวโหย่วเต๋อกับสำนักหลัวช่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่? ถ้าเกี่ยวข้อง ทำไมไปรวมกันอยู่ได้? รวมกันเละเทะเป็นก้อนกาก กลายเป็นอย่างนี้โดยไม่รู้สาเหตุ เล่นบ้าอะไรกันอยู่?” ในคำพูดเจือด้วยไฟโกรธหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจเป็นอย่างมากต่อเรื่องในครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคนตรงหน้าเป็นซูอวิ้น คาดว่าเขาคงตำหนิไปแล้วว่าเจ้าทำงานอย่างไร

ซูอวิ้นเข้าใจความรู้สึกเขา แดนพุทธเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว แต่กลับไม่รู้ชัดว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ แปลกประหลาดจริงๆ นางพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ส่งคนไปตรวจสอบแล้วค่ะ จะให้ติดต่อไปถามสำนักหลัวช่าโดยตรงเลยมั้ย?”

ฮ่าวเต๋อฟางเหมือนจะตระหนักได้ว่าตัวเองเสียอาการ จึงหันตัวมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ตอนนี้เรื่องราวเป็นยังไงก็ยังไม่รู้ จะให้ถามอะไรล่ะ? ถามสำนักหลัวช่าเหรอว่าสู้กับตระกูลอิ๋งทำไม? หรือจะบอกอีกฝ่ายว่าพวกเรากับตระกูลอิ๋งร่วมมือกันสู้กับสำนักหลัวช่า? มิหนำซ้ำถ้าจะพาพวกไปเอาเรื่อง ก็ต้องให้สี่ตระกูลทำร่วมกัน ถ้ายังปรึกษากันไม่เรียบร้อย การให้ตระกูลฮ่าวของข้าออกหน้าสำรวจทางฝ่ายเดียวนั้นไม่เหมาะสม!”

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ในป่าภูเขาที่งดงามมีระดับ ก่วงลิ่งกงกันหวังเฟยเม่ยเหนียงไว้ชั่วคราว แล้วคุยกับพวกโกวเยว่ด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

เม่ยเหนียงหลบไปยืนอยู่ไม่ไกล ก่อนหน้านี้นางได้ยินสถานการณ์คร่าวๆ แล้ว ส่วนขั้นต่อไปจะแก้ไขปัญหาและดำเนินการอย่างไร ก่วงลิ่งกงกลับให้นางหลบไปก่อน

แต่สิ่งที่ได้ยินก่อนหน้านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เม่ยเหนียงชื่นมื่นในความทุกข์ของคนอื่นแล้ว นางพอจะฟังเข้าใจความหมายคร่าวๆ ว่ากำลังพลที่ออกล่าสัตว์จบเห่แล้ว ตอนนี้ติดต่อไม่ได้แล้ว แม้แต่ก่วงเซิ่งก็ยังไม่รู้ชัดว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน เป็นไปได้ก้าวในสิบว่าจะมีเคราะห์มากกว่ามีโชค

ผู้ชายกลุ่มนี้กำลังปรึกษาอะไรกันอยู่ นางไม่มีสิทธิ์เข้าไปแทรกแซง นางสะบัดแขนเสื้อเบาๆ เดินลากกระโปรงยาวเนิบนาบ เรือนนางอ่อนช้อยเย้ายวน เดินมาถึงไหล่เขาแล้วชื่นชมทิวทัศน์งดงามที่อยู่ไกลๆ ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย แต่ในใจกลับยิ้มเย้ย นางเหม็นขี้หน้าเจ้าก่วงเซิ่งนั่นมาตั้งนานแล้ว อาศัยว่าตัวเองเป็นลูกชายคนโต จึงไม่เห็นหัวนางกับลูกสาวเลยสักนิด ถึงแม้การกระทำภายนอกจะไม่มีเจตนาร้าย แต่สายตาเหยียดหยามที่มองพวกนางสองแม่ลูกกลับปิดบังไม่ได้เลยสักนิด

ถ้าให้ก่วงเซิ่งรับตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลก่วงจริงๆ ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้เลยว่าในอนาคตพวกนางสองแม่ลูกจะมีสภาพเป็นอย่างไร คิดไปคิดมาก็รู้สึกกระวนกระวายใจ

ตอนนี้ดีแล้ว ดีไม่ดีอาจจะเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำ! เม่ยเหนียงเงยหน้ามองเมฆขาวบนท้องฟ้า มุมปากโค้งยิ้มเล็กน้อย วันนี้อากาศดีจริงๆ!

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในตำหนักหลักของสวนด้านหลัง อิงอู๋หม่านได้แต่มองอิ๋งจิ่วกวงที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา

ตรงตีนบันไดนอกตำหนัก หลังจากจั่วเอ๋อร์คุยกับคนกลุ่มหนึ่งได้สักพัก ก็รีบกลับเข้ามาในตำหนัก รายงานว่า “ท่านอ๋อง ตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่รู้สถานการณ์แน่ชัดเหมือนกัน กำลังพลออกล่าของเขากำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุ คนของพวกเรารีบตามไปแล้วค่ะ”

อิ๋งจิ่วกวงหยุดเดิน แล้วมองมาด้วยสายตาคมกริบ “ตระกูลอื่นก็ติดต่อไม่ได้สักคนเลยเหรอ?”

จั่วเอ๋อร์พยักหน้า “ใช่แล้วค่ะ ตอนนี้ทุกคนของอีกสามตระกูลไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง มีเพียงนายน้อยหยางฝั่งพวกเราที่ติดต่อได้ แต่ยังไม่มีการตอบกลับ”

อิงอู๋หม่านกัลบแอบรู้สึกโชคดี พูดสอดว่า “ท่านพ่อ ถ้าเป็นแบบนี้ ลูกหยางโชคดีพ้นเคราะห์ ยังไม่ตาย ขอเพียงนำตัวลูกหยางกลับมาได้ ก็น่าจะรู้ความจริงในที่เกิดเหตุแล้ว” เขาหวังจะอาศัยอำนาจมหาศาลของตระกูลอิ๋งช่วยชีวิตลูกชายกลับมา

“พ้นเคราะห์บ้าอะไรล่ะ! ยอดฝีมือเยอะขนาดนั้นยังหนีไม่พ้น อย่าลูกชายเจ้าน่ะเหรอจะหนีพ้น?” อิ๋งจิ่วกวงกล่าวอย่างหยาบคาย เห็นได้ชัดว่าระบายไฟโกรธในใจ “เดิมทีข้าก็ยังสงสัยว่าหนิวโหย่วเต๋อดึงคนของสำนักหลัวช่าให้ลงมือได้ยังไง สงสัยว่าเข้าใจผิดไปหรือเปล่า ตอนนี้พอเห็นว่าเหลืออิ๋งหยางคนเดียวที่ไม่เป็นอะไร แสดงว่าเป้าหมายชัดเจนแล้ว ไม่ใช่ว่าพุ่งเป้ามาที่อิ๋งหยางหรอกเหรอ เรื่องนี้ไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อนั่นจริงๆ ถ้าอิ๋งหยางตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อแล้ว เจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะปล่อยเขาไปได้เหรอ?”

บนใบหน้าอิงอู๋หม่านฉายแววดุร้าย กัดฟันบอกว่า “ข้าจะไปเอาตัวลูกกับหนิวโหย่วเต๋อที่ตลาดผีด้วยตัวเอง!”

“ช้าก่อน!” จั่วเอ๋อร์ยื่นมือขวาง บอกใบ้ว่าอย่ามะทะลุ แล้วถามกลับว่า “จะเป็นไปได้ยังไงที่สำนักหลัวช่าจะช่วยหนิวโหย่วเต๋อกำจัดอิ๋งหยาง? แล้วอีกอย่าง ถ้าหนิวโหย่วเต๋อต้องการจะฆ่าอิ๋งหยาง ทำไมถึงเก็บอิ๋งหยางไว้คนเดียวล่ะ? ไร้เหตุผลเกินไปจริงๆ! คุณชายใหญ่ไม่รู้สึกว่ามีเงื่อนงำหรือคะ?”

อิงอู๋หม่านทำสีหน้าไม่เข้าใจทันที เรื่องที่คนมากมายขนาดนั้นยังไม่เข้าใจ แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไร

อิ๋งจิ่วกวงก็ปวดหัวเช่นกัน คิดจนหัวจะแตกแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรกันแน่ เรื่องที่เกิดขึ้นในการออกล่าที่น้ำพุวังเวงแปลกประหลาดจริงๆ วางกับดักไว้แล้วหนิวโหย่วเต๋อติดกับดักหรือไม่ก็ไม่รู้ ถึงอย่างไรก็ทำให้ตระกูลอิ๋งติดกับดักเองแล้ว ตอนนี้พวกจอมพล เทพประจำดาวที่อยู่ใต้สังกัดเขาล้วนรอฟังคำอธิบายจากเขา แต่ตอนนี้เขากำลังเลอะเลือน จะเอาอะไรไปอธิบายล่ะ?

เขาอยากจะส่งคนไปจับตัวหนิวโหย่วเต๋อที่ตลาดผีเสียเลย แต่นึกไม่ถึงว่าสำนักหลัวช่าจะใจกล้าคับฟ้าลงมือกับตระกูลอิ๋งในอาณาเขตตำหนักสวรรค์ เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน ไม่มีเค้าลางเลยแม้แต่น้อย ผิดปกติจริงๆ ไม่มีใครรู้ชัดถึงความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง กอปรกับคนมากมายขนาดนั้นขาดการติดต่อไป ก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องธรรมดา ไม่รู้ว่าได้รับอนุญาตอย่างลับๆ จากท่านนั้นของวังสวรรค์หรือเปล่า ถ้าหากใช่ แล้วท่านนั้นของวังสวรรค์คิดจะทำอะไรล่ะ? เมื่อตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ดวงตาดำมืดตัดสินอะไรไม่ได้ เขาก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามจริงๆ เพราะดีไม่ดีอาจจะกำลังสู้กับท่านนั้นของวังสวรรค์อยู่ก็ได้ ประมาทไม่ได้เด็ดขาด!

ถ้ากำลังสู้อยู่กับท่านนั้นของวังสวรรค์จริงๆ ถ้าแพ้ขึ้นมาก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ต้นไม้ล้มลิงกระเจิงได้[1] เกียรติยศความร่ำรวยทุกอย่างก็จะหายไปหมดสิ้น ถ้าเปรียบเทียบกับสิ่งนี้ ชีวิตของอิ๋งหยางหรือชีวิตของกำลังพลพวกนั้น หรือแม้กระทั่งหนิวโหย่วเต๋อ ก็ล้วนไม่สำคัญเลย

ไม่ใช่แค่เขา ตระกูลอื่นๆ ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ล้วนกำลังกดดันไปที่ตระกูลโค่ว หวังจะอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลโค่วกับหนิวโหย่วเต๋อ ดูว่าจะสืบได้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่

ตระกูลโค่วย่อมส่งโค่วเจิงไปทำความเข้าใจสถานการณ์ด้วยตัวเองแล้ว เรื่องนี้หนิวโหย่วเต๋อไม่มีสิทธิ์อธิบายอย่างไม่ซื่อสัตย์

ถึงแม้จะเป็นเช่นกัน แต่สี่อ๋องก็ไม่กล้าหย่อนยาน รีบสั่งให้กำลังพลแต่ละกลุ่มของตัวเองเตรียมพร้อมเฝ้าระวัง เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ชั่วขณะนั้นทุกที่ของใต้หล้าล้วนเคลื่อนไหวกำลังพล กำลังพลจำนวนมากกำลังรวมตัวกัน หรือไม่ก็ยึดครองจุดยุทธศาสตร์ เตรียมพร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ!

แดนสุขาวดี วัดพุทธะหยก ในตำหนักใหญ่บนยอดเขา ศิษย์สำนักหลัวช่ากลุ่มหนึ่งกำลังถือระฆังดาราติดต่อกับภายนอกอย่างเร่งด่วน

อวี้หลัวช่า พุทธะหน้าหยกที่สวมชุดขาวดุจหิมะและดูบริสุทธิ์เหมือนสาวน้อย นากำลังยืนอยู่ต่อหน้าบรรดาศิษย์ด้วยสีหน้ามืดครึ้ม นิ่งเงียบไม่พูดจา

นางได้รับรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นที่น้ำพุวังเวงชั้นห้าแล้ว รู้แล้วว่าถูกตระกูลอิ๋งโจมตี แล้วตอนหลังก็ถูกกำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์ร่วมมือกันโจมตีด้วย ฝั่งนางกำลังครุ่นคิดที่จะผลักความผิดไปให้ฝั่งตำหนักสวรรค์ แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ พวกเสวี่ยอวี้กลับขาดการติดต่อไป ตัดขาดอย่างกะทันหันมาก เรียกได้ว่าทำให้ฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก

นางเดาว่ากำลังคนของตัวเองตายหมดแล้ว นางเตรียมตัวที่จะตีฝีปากกับฝั่งตำหนักสวรรค์แล้ว

หลังจากบรรดาศิษย์ทยอยกันหยุดใช้ระฆังดาราในมือ อวี้หลัวช่าก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ติดต่อไม่ได้สักคนเลยเหรอ?”

ศิษย์ทุกคนล้วนส่ายหน้า พวกนางต่างรู้สึกประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

หลังจากอวี้หลัวช่าเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ถามว่า “เม่ยจีศิษย์ของเสวี่ยอวี้นำลูกศิษย์ใหม่ระดับบงกชรุ้งติดตามข้างกายคนหนึ่ง นางชื่อว่าชางหง ถามข้างล่างดูหน่อยว่าใครสามารถติดต่อนางได้บ้าง?”

บรรดาศิษย์ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงเอ่ยถามถึงลูกศิษย์บงกชรุ้งคนหนึ่งได้ แต่ก็ยังปฏิบัติตาม ใช้ระฆังดาราถามลูกศิษย์ระดับล่างทันที

มีชื่อมีแซ่แล้ว เวลาจะสืบขึ้นมาก็ไม่ยาก ผ่านไปไม่นาน ลูกศิษย์คนหนึ่งก็ให้คำตอบแล้วว่า “พุทธะหยก ข้างล่างติดต่อกับอาจารย์ของชางหงแล้ว หลังจากอาจารย์นางติดต่อไป ก็พบว่าติดต่อนางไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ขาดการติดต่อเหรอ?” อวี้หลัวช่าถามซักไซ้อย่างตระหนก

ศิษย์คนนั้นไม่รู้ว่าทำไมนางถึงมีปฏิกิริยามากขนาดนี้ พยักหน้าบอกว่า “ใช่ค่ะ ตอบมาแบบนี้”

บหน้างดงามสุภาพที่เดิมทียังไม่สะทกสะท้านของอวี้หลัวช่า ในตอนนี้บิดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าจำไม่ผิด ชางหงแอบไปเกลือกกลั้วกับลูกน้องคนสนิทของหนิวโหย่วเต๋อเพื่อสืบข่าวแล้ว เรื่องที่น้ำพุวังเวงครั้งนี้ ชางหงก็เป็นคนให้ข่าวมา แต่ชางหงไม่ได้ไปน้ำพุวังเวงเลย ทำไมถึงขาดการติดต่อตามไปด้วยล่ะ?

ชั่วพริบตานี้ ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเสวี่ยอวี้ถึงโดนโจมตีกะทันหัน นี่เป็นกับดัก! นางรู้ตัวแล้วว่ามีคนขุดหลุมให้นางกระโดดลงไปในนั้น!

“เจ้านั่งเฝ้าอยู่ที่นี่ก่อน” อวี้หลัวช่าชี้ไปยังลูกศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ “คนที่เหลือตามข้ามา!”

ผ่านไปไม่นาน ในวัดพุทธะหยก คนกลุ่มหนึ่งก็เร่งเหาะขึ้นฟ้าไปแล้ว หายไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่

…………………………

[1] ต้นไม้ล้มลิงกระเจิง 树倒猢狲散 หมายถึง เมื่อฐานะตกต่ำ บรรดาลูกน้องก็จะตีจากและซ้ำเติม

นิทาน? เว่ยซูงงทันที ในดวงตาสื่อแววสงสัย

พอเห็นเขาออกอาการอย่างนั้น เซี่ยโห้วท่าก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “นิทานเรื่องนี้แม้แต่บิดาของเจ้าก็ไม่เคยได้ยิน แต่กลับเปลี่ยนแปลงชะตาของตระกูลเซี่ยโห้วไปแล้ว ลิขิตให้ข้านำพาตระกูลเซี่ยโห้วเดินมาตามทิศทางเหมือนอย่างทุกวันนี้”

ยังมีเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่และสำคัญขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอ? เว่ยซูทำตัวเคารพนอบน้อมทันที โค้งตัวเล็กน้อย แสดงออกว่าจะตั้งใจฟัง

เซี่ยโห้วท่าเดินมาตรงหน้าต้นไม้แล้วลูบไล้กิ่งไม้หยาบ ทำสีหน้านึกย้อนถึงอดีต พร้อมกล่าวช้าๆ “ตอนนั้นที่บิดาผู้ล่วงลับยังอยู่ ข้าต้องใช้เวลาว่างท่องเที่ยงหาประสบการณ์ในใต้หล้า หาประสบการณ์ที่โลกมนุษย์อันแสนอนิจจังโดยใช้ฐานะมนุษย์ธรรมดา บังเอิญเจอหลายแคว้นกำลังทำศึกกัน รู้สึกว่าน่าสนใจ ก็เลยใช้ฐานะที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ไปเป็นนายทหารผู้ช่วยในกองบัญชาการให้แคว้นนั้น ตอนนั้นแคว้นที่ข้าเข้าไปมีสถานการณ์อ่อนแอ ถูกทัพใหญ่ของแคว้นที่แข็งแกร่งบุกประชิดพรมแดน ทุกคนของแคว้นอ่อนแอหวาดหวั่นไม่สงบใจ เนื่องจากไม่มีโอกาสชนะ ยามเจอภัยคุกคามถึงชีวิตและครอบครัว ขุนนางส่วนใหญ่ในราชสำนักล้วนแนะนำให้กษัตริย์ยอมแพ้ ทว่ามีคนหนึ่งที่โน้มน้าวให้กษัตริย์ต่อต้านจนถึงที่สุด เขาบอกว่า หากขุนนางของพวกเรายอมแพ้ก็ยังสามารถกลายเป็นขุนนางของคนอื่นได้ สามารถอาศัยความสามารถเพื่อรับตำแหน่งขุนนางที่อื่น ยังมีโอกาสเลื่อนขั้นกลับมาเป็นขุนนางใหญ่ได้อีกครั้ง แต่ถ้ากษัตริย์ยอมแพ้ ก็จะถูกแต่งตั้งให้เป็นแค่โหว ทั้งยังเป็นแต่ในนาม ได้เกี้ยวหลังเดียว ได้ม้าตัวเดียว องครักษ์มีเพียงไม่กี่คน ทั้งยังไม่ยั่งยืน! ขุนนางล้วนยอมแพ้ได้ เพราะสามารถรักษาเกียรติยศความร่ำรวยไว้ได้ แต่กษัตริย์ที่ละทิ้งบ้านเมืองจะมีจุดจบเป็นอย่างไรล่ะ? เมื่อได้ยินคำถามนี้ กษัตริย์องค์นั้นถึงได้ตั้งปณิธานต่อต้านจนถึงที่สุด!” พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดแล้ว

เว่ยซูที่ตั้งใจฟังเงยหน้าขณะกำลังครุ่นคิด ถามว่า “สุดท้ายจุดจบของแคว้นอ่อนแอเป็นยังไงขอรับ?”

“สำคัญด้วยเหรอ? ที่สำคัญคือคำพูดโน้มน้าวของขุนนางนั่นมีเหตุผล ทำให้ข้าตื่นรู้ในฉับพลันเช่นกัน ผู้ที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุด มักจะเป็นคนแรกที่แบกรับลมฝน ขุนเขาที่สูงใหญ่ หากรากฐานถล่มลงแล้ว ยอดเขาก็จะถล่มตามลงมาด้วย แต่ถ้ายอดเขาถล่มลงมา ฐานอาจจะไม่ได้ล้มด้วยเสมอไป จากนั้นตระกูลเซี่ยโห้วเดินในเส้นทางไหน เจ้าเองก็รู้ พระปีศาจหนานโปล้มแล้ว เด็กชายหกลัทธิขึ้นจุดสูงสุด หลังจากเด็กชายหกลัทธิล้มลง ชิง พุทธะ ไป๋ ก็เป็นประมุข เมื่อไป๋แตกสลาย ชิงกับพุทธะก็ครองใต้หล้าร่วมกัน ประมุขแต่ละยุคผ่านความรุ่งเรืองตกต่ำ ถึงแม้ตระกูลเซี่ยโห้วจะอยู่ใต้คนอื่นมาตลอด แต่มีเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่รุ่งเรืองยาวนาน!” เซี่ยโห้วท่าทำสีหน้าภูมิใจอยู่หลายส่วน แล้วก็ถามเองตอบเองอีก “หากมีวันใดที่ชิงกับพุทธะล้มลงล่ะ? ในมือตระกูลเซี่ยโห้วบีบผลประโยชน์ที่แท้จริงเอาไว้ จำเป็นต้องไปเป็นไม้ขื่อที่ผุก่อนด้วยหรือ ต้องอยู่ในเส้นทางเหมือนที่เคยเป็นมา ถึงจะคงอยู่อย่างยาวนาน!”

เว่ยซูพยักหน้าเบาๆ แล้วก็กล่าวอย่างไม่ค่อยเข้าใจว่า “แล้วเหตุใดเรื่องราชินีสวรรค์มีทายาท นายท่านถึง…” พอพูดไปได้เครึ่งหนึ่งก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงเงียบไว้

เซี่ยโห้วท่ากลับหัวเราะเบาๆ แล้วช่วยพูดแทนเขา “เหตุใดจึงตั้งใจขนาดนี้ใช่มั้ย?”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ถือสา เว่ยซูจึงพยักหน้าอีกครั้ง “อย่างน้อยในสายตาคนนอกที่มองมา ตระกูลเซี่ยโห้วก็อยากจะสนับสนุนหลานนอกในอนาคต เพื่อให้สะดวก…” เขาลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็พูดออกมา “เพื่อให้สะดวกต่อการถือไพ่เหนือใต้หล้า!”

เซี่ยโห้วท่าโบกมือ “ผิดแล้ว! ครั้งก่อนเจ้าถามว่าทำไมเจ้ารองไม่ให้ผู้หญิงฉลาดของตระกูลเซี่ยโห้วเข้าวังไปเป็นราชินี เจ้ารองบอกว่าจะได้ควบคุมได้ง่ายๆ หึหึ!”

“หรือว่าคุณชายรองพูดผิดไปขอรับ?” เว่ยซูแปลกใจ

เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้าเบาๆ “ผิดน่ะไม่ผิดหรอก เพียงแต่เป็นมุมมองด้านเดียวของตัวเอง ที่จริงเรื่องสำคัญกว่านั้นก็คือไม่อยากให้ประมุขชิงได้แต่งงานกับภรรยาที่ฉลาด คนที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุดนั้นถูกบังตาได้ง่ายที่สุด คนในใต้หล้าล้วนกลัวเขา ดังนั้นใต้หล้าล้วนหลอกลวงเขาเช่นกัน หากประมุขชิงได้ภรรยาฉลาด หากข้างกายมีราชินีสวรรค์ที่ฐานะเทียบเท่ากับเขา ทั้งยังแยกแยะถูกผิดได้ชัดเจน พูดอะไรก็ทำให้เขาเชื่อฟังได้ ถึงขนาดน่ากลัวว่ากองทัพองครักษ์ในมือเขาด้วยซ้ำ สำหรับตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว นั่นไม่ใช่เรื่องดีอะไร ดังนั้นตอนแรกที่ตำหนักสวรรค์ก่อตั้งขึ้น ตระกูลเซี่ยโห้วก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเอาตำแหน่งนั้นมาให้ได้ ที่ช่วยให้เฉิงอวี่นั่งตำแหน่งราชินีได้อย่างมั่นคงก็เพราะสาเหตุนี้เช่นกัน ส่วนเรื่องมีทายาท หึหึ ตระกูลเซี่ยโห้วคิดจะอาศัยการควบคุมหลานนอกเพื่อมาควบคุมใต้หล้างั้นเหรอ?

ประมุขชิงไม่ได้โง่ เพียงตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายแล้วถูกเบื้องล่างทำให้เลอะเลือนก็เท่านั้นเอง เจ้าคิดว่าประมุขชิงโง่จริงเหรอ คิดว่าไม่เตรียมพร้อมป้องกันเหรอ? นี่เป็นเพียงอุปสรรคทางสายตาที่ตระกูลเซี่ยโห้วหลอกลวงประมุขชิงกับคนในใต้หล้าก็เท่านั้นเอง เป็นวิธีการรุกสองก้าวถอยหนึ่งก้าว ถึงตอนนั้นตระกูลเซี่ยโห้วยอมถอยและเลิกควบคุมหลานนอก แต่เปลี่ยนไปเลือกผู้หญิงมาเป็นภรรยาในนามให้หลานนอกแทน ไม่ว่าจะเป็นประมุขชิง หลานนอกคนนั้น เฉิงอวี่หรือขุนนางในราชสำนัก เจ้าคิดว่าพวกเขาจะตอบตกลงหรือไม่ล่ะ? ทุกคนล้วนตกลงและเห็นด้วยกับผู้ที่ถูกเลือกมา เช่นนั้นก็จะได้รับตำแหน่งราชินีสวรรค์คนต่อไปอย่างชอบธรรม เหตุผลที่เลือกภรรยาให้หลานนอกคนนั้น ก็เหมือนกับเหตุผลที่ส่งเฉิงอวี่เข้าวัง ถึงแม้ตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่อยากออกหน้า แต่ก็ต้องรักษาตำแหน่งนี้เอาไว้ แล้วจะไม่วางแผนระยะยาวได้อย่างไรล่ะ? ผู้ที่ไม่วางแผนรอบด้าน มิอาจปกครองดินแดน ผู้ที่ไม่ได้ผ่านมาหลายยุค มิอาจวางแผนเรื่องตรงหน้าได้”

เว่ยซูฟังจนทอดถอนใจด้วยความตกตะลึง ในใจกำลังคิดว่า ไม่แปลกใจที่นายท่านสามารถนำตระกูลเซี่ยโห้วเดินมาถึงทุกวันนี้ได้

“ที่พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ก็เพราะหวังว่าตอนที่เจ้าสนับสนุนหัวหน้าตระกูลคนใหม่ในอนาคต…” พอพูดถึงตรงนี้ เซี่ยโห้วท่าก็ชะงักอีก แล้วโบกมืออย่างโศกเศร้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดต่ออีก จากนั้นหันตัวมาหาเขา “นี่ก็คือจุดที่ทำให้ข้ากังวลในความ ‘ความมั่นใจ’ กับ ‘ความเด็ดขาด’ ของเจ้ารอง เขาอาจจะไม่อดทนวางแผนรออะไรนานๆ ได้ หากในอนาคตเขารับช่วงต่อตระกูลเซี่ยโห้ว เข้าใจเส้นสนกลในของตระกูลเซี่ยโห้วอย่างถึงแก่น มีกำลังอยู่ในมือ ข้ากังวลว่าเขาจะยังจะควบคุมตัวเองให้ทำใจยอมตามหลังคนอื่นได้หรือเปล่า”

เว่ยซูเงียบงันไม่พูดอะไร แต่แอบถามในใจว่า กังวลแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ท่านก็ต้องเลือกไม่ใช่เหรอ? ถ้าเปลี่ยนให้คนความสามารถพื้นๆ มาดูแลยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลเซี่ยโห้ว เกรงว่าท่านคงจะกังวลยิ่งกว่า

เซี่ยโห้วท่าจ้องเขาครู่หนึ่ง “ข้าเพิ่งเล่านิทานให้เจ้าฟัง วันหลังเจ้าลองเปลี่ยนวิธีการเล่าให้เจ้ารองฟังสักหน่อย หวังว่าเขาจะเข้าใจมากกว่านี้”

“เหตุใดนายท่านไม่เล่าให้คุณชายรองฟังต่อหน้าขอรับ?” เว่ยซูถามอย่างลังเล

เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้า “ไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย ปีกกล้าขาแข็งแล้ว มาสั่งสอนตอนนี้อีกก็สายไปแล้ว คนเราบางครั้งก็แปลกอย่างนี้ หลักการของครอบครัวอาจจะไม่เชื่อฟัง บางทีอาจฟังคำพูดของคนนอกยิ่งกว่า เจ้าลองดูก็แล้วกัน”

“ขอรับ!” เว่ยซูเอ่ยรับ แล้วอยู่เป็นเพื่อเซี่ยโห้วท่าเงียบๆ อีกสักพัก

ในตอนนี้ จู่ๆ ก็มีระฆังดาราส่งข่าวมา ไม่ได้มาจากตระกูลเดียวเท่านั้น สองบ้านแทบจะส่งข่าวมาพร้อมกัน รอจนรับมือเสร็จไปบ้านหนึ่ง ก็มีส่งข่าวมาอีกสองบ้าน

หลังจากรับมือเสร็จหมดแล้ว เว่ยซูก็กล่าวอย่างเคารพ “ถังเฮ่อเหนียน จั่วเอ๋อร์ ซูอวิ้น โกวเยว่ พวกเขาส่งข้อความมาถามถึงสถานการณ์ของกำลังพลของพวกเราที่ไปน้ำพุวังเวง!”

“เหอะๆ!” เซี่ยโห้วท่ารู้สึกบันเทิง หรี่ตาพูดหยอกล้อว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะรู้สถานการณ์อย่างอื่นล่วงหน้านิดหน่อย…แม้แต่พวกเราเองก็แทบจะถูกปิดบังไปด้วยแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าทางประมุขชิงจะยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้น เรื่องนี้น่าสนใจแล้ว แต่ละคนช่างเลอะเลือน”

เขาหันกลับมากำชับอีกว่า “ต่อให้กวาดล้างแต่ก็ไม่มีทางกวาดล้างได้หมดทั้งน้ำพุวังเวงชั้นห้า น่าจะกวาดล้างแค่เขตการต่อสู้ มีคนปรากฏตัวมากขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ข้างนอกจะไม่มีคนเห็นเลย ส่งคนไปตรวจสอบ ดูว่าจะหาพยานได้หรือไม่ อย่างน้อยก็ทำความเข้าใจกับสภาพของคนกลุ่มสุดท้ายที่ปรากฏตัวได้”

“ขอรับ!” เว่ยซูหยิบระฆังดารออกมาจัดการทันที

จวนอ๋องสรรค์โค่ว ในเขตลับด้านใน โค่วเจิงกับถังเฮ่อเหนียนยังคงถือระฆังดาราติดต่อกับภายนอก ส่วนโค่วหลิงซวีเอามือไขว้หลังมองไปนอกประตู สีหน้าขรึมเครียด

หลังจากถังเฮ่อเหนียนวางระฆังดาราแล้ว ก็ถามเสียงต่ำว่า “ทางตระกูลเซี่ยโห้วก็บอกว่าไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกเช่นกัน แต่ตอนที่คนของพวกเขาพบว่าเกิดเรื่องขึ้น ก็เป็นตอนที่ไปถึงที่เกิดเหตุแล้ว ตอนนี้กำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุ ตระกูลเซี่ยโห้วยังถามพวกเราด้วยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

หลังจากโค่วเจิงวางระฆังดาราในมือ โค่วหลิงซวีก็หันกลับมาถามอีก “ยังติดต่อไม่ได้อีกเหรอ?”

โค่วเจิงเม้มริมฝีปากแน่น แล้วตอบว่า “เหวินไป๋ขาดการติดต่อไปแล้ว เป็นตายไม่รู้ ให้ลูกน้องติดต่อกำลังพลที่ออกล่าซ้ำหลายครั้ง พบว่าโค่วหู่กับคนอื่นๆ ก็เป็นเหมือนกัน ถูกตัดขาดการติดต่อไปแล้ว ทุกคนเป็นตายไม่ทราบแน่ชัด!”

ถังเฮ่อเหนียนหยิบระฆังดาราออกมาถามตอบอีกหลายครั้ง ไม่ง่ายเลยกว่ามือจะว่าง แล้วตอบอย่างกังวลนิดหน่อยว่า “บรรดาจอมพลและเทพประจำดาวก็กำลังไล่ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

โค่วหลิงซวีทำสีหน้าเรียบเฉยอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่ลังเล “ติดต่อหนิวโหย่วเต๋อ ถามให้ชัดเจน!”

ก่อนหน้านี้ไม่ยอมติดต่อเหมียวอี้เลย อยากจะแกล้งโง่ แต่ตอนนี้ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว

เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว โค่วเจิงก็รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ ในใจกระวนกระวายมาก ไม่ให้ร้อนใจไม่ได้หรอก อาจจะเกิดเรื่องกับลูกชายเพียงคนเดียวของเขาแล้วก็ได้

ผลปรากฏว่าตอนที่โค่วเจิงกำลังติดต่อ สีหน้าก็แปลกประหลาดมาก เดี๋ยวโมโห เดี๋ยวงุนงง เด๋วเหม่อลอย แสดงปฏิกิริยาต่างๆ ออกมาทีละอย่าง

โค่วหลิวซวีกับถังเฮ่อเหนียนจ้องปฏิกิริยาของเขาไม่ละสายตา ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาถามได้คำตอบอะไร อย่างไรเสียนี่ก็เป็นสีหน้าที่ซับซ้อนมาก

ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอให้โค่วเจิงติดต่อเสร็จ ท่ามกลางสายตาที่เฝ้าคอยของทั้งสอง โค่วเจิงตอบด้วยสีหน้าทบทวน “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าเขาก็ไม่เข้าใจชัดเจนว่าเรื่องเป็นยังไง”

“อะไรที่เรียกว่าไม่เข้าใจชัดเจน? เป็นเขาที่เลอะเลือนหรือเป็นเจ้าที่เลอะเลือน?” โค่วหลิงซวีโมโหแล้ว

“เขาบอกว่าไม่รู้ว่าที่น้ำพุวังเวงชั้นห้ามีการเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด ข้าถามเขาว่ารู้ที่อยู่ของพวกเหวินไป๋หรือเปล่า เขากลับถามข้าว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” โค่วเจิงตอบ

โค่วหลิงซวีรู้สึกบันเทิงแล้ว โมโหจนหัวเราะประชด “เขาคิดว่าคนของตระกูลโค่วที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีโง่กันหมดหรือไง เขากล้าพูดมั้ยว่าเขาไม่ได้ไปน้ำพุวังเวง?”

โค่วเจิงตอบว่า “เขาบอกว่าเขาไปแล้ว แต่ไม่ได้เข้าน้ำพุวังเวง แค่รออยู่นอกน้ำพุวังเวงเท่านั้น หลังจากจับอิ๋งหยางได้แล้ว ก็กลับทันที ตอนนี้อยู่ระหว่างทางกลับจวนแม่ทัพภาคตลาดผี”

“ช่างน่าขัน! เขาไม่ได้ไปน้ำพุวังเวงชั้นห้า แล้วจับตัวอิ๋งหยางได้ยังไง?” ถังเฮ่อเหนียนถาม

โค่วเจิงตอบว่า “เขาบอกว่าเจ้าไม่ได้จับเอง เขาทำข้อตกลงกับคนไว้นิดหน่อย มีคนช่วยจับให้เขา เขาแค่รออยู่นอกน้ำพุวังเวง หลังจากมีคนส่งอิ๋งหยางมาให้เขาแล้ว เขาก็กลับตลาดผีทันที ส่วนเรื่องที่น้ำพุวังเวงชั้นห้าอะไรนั่น เขาก็ไม่รู้เรื่องเลย กลับถามข้าด้วยซ้ำว่าทำไมข้าถึงถามที่อยู่ของพวกเหวินไป๋”

โค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนสบตากันแวบหนึ่ง ในที่สุดก็ทำสีหน้าเหมือนจับเบาะแสได้แล้ว ถังเฮ่อเหนียนซักไซ้ “เป็นใครกันที่จับอิ๋งหยางมาให้เขา?”

โค่วเจิงตอบว่า “เขาอิดออดไม่ยอมบอก ข้ากดดันถามเขาซ้ำๆ เขาถึงได้ยอมคายออกมาว่าร่วมมือกับคนฝั่งแดนพุทธ เป็นคนฝั่งแดนพุทธที่ช่วยจับให้เขา พอข้าถามว่าเป็นใครของฝั่งแดนพุทธ เขาก็บอกว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรก็จะรับไว้คนเดียว ไม่ทำให้ตระกูลโค่วลำบากไปด้วยแน่นอน จะเป็นจะตายก็ไม่ยอมบอก ไม่น่าเชื่อว่าจะตัดสายข้าไปแล้ว”

หลังจากถามอยู่นานจนได้คำตอบพวกนี้ โค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนก็แทบประสาทเสีย ถึงแม้เกือบจะเดาออกแล้วว่าคนที่เหมียวอี้ร่วมงานด้วยคือสำนักหลัวช่า แต่ถ้าจะบอกว่าสำนักหลัวช่าสามารถโผล่มาตอนสุดท้ายแล้วตัดขาดการติดต่อของสถานที่เกิดเหตุได้ในรวดเดียว รายละเอียดบางอย่างก็ทำให้คนอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าแน่ใจได้

“หึหึ!” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม “เฒ่าถัง เจ้าคิดว่าคำพูดของเจ้าเด็กนั่นเชื่อถือได้กี่ส่วน?”

ถังเฮ่อเหนียนไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “เกรงว่าอาจจะจริง ก่อนหน้านี้พวกเราเดากันว่าเขามีที่พึ่งอะไรถึงกล้าลงมือกับกำลังพลของตระกูลอิ๋ง กังวลว่าเขาจะยืมมือคนอื่นมาช่วยให้บรรลุเป้าหมาย มีความเป็นไปได้สูงว่าหลบอยู่นอกน้ำพุวังเวง อีกทั้งในที่เกิดเหตุก็ต่อสู้กันดุเดือดขนาดนั้น ด้วยวรยุทธ์อย่างเขาไม่น่าจะลงสนามเองได้ ถ้าไม่ได้ดูอยู่ข้างๆ ก็อาจจะไม่ได้เข้าไปในน้ำพุวังเวง เมื่อดูจากเบาะแสต่างๆ เขาเองก็แอบสมคบกับคนของสำนักพุทธจริง ลองคิดในทางกลับกัน ในเมื่อมียอดฝีมือออกหน้าแก้ไขปัญหาให้แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเสี่ยงในน้ำพุวังเวง โดยเฉพาะการโผล่หน้าพร้อมกับคนสำนักพุทธ ก็ยังต้องกังวลผลกระทบอยู่บ้าง ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาไม่ได้เข้าน้ำพุวังเวงขอรับ!”

………………………

“หลังจากศึกใหญ่จบแล้ว กำลังพลของสี่อ๋องถอนกำลังไปแล้วหรือเปล่า?” เซี่ยโห้วท่าถามอย่างคิดไปเองฝ่ายเดียว

อาการแบบนี้เกิดขึ้นเฉพาะตอนที่เขาไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุเท่านั้น

ตอนแรกตระกูลเซี่ยโห้วไม่รู้จริงๆ ว่าการออกล่าที่น้ำพุวังเวงเป็นกับดักที่ตระกูลอิ๋งวางไว้ เนื่องจากการออกล่าที่น้ำพุวังเวงเป็นเรื่องปกติมาก คนที่เข้าร่วมการล่าถ้าไม่รวยก็ฐานะสูงส่ง โดยทั่วไปจะมีกำลังพลติดตามจำนวนมาก ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะใช้กำลังปะทะแบบนี้? ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะเล่นงานอิ๋งหยางให้ตาย กอปรกับฝั่งสี่อ๋องสวรรค์จงใจปิดบังข่าวจากภายนอก คนนอกย่อมนึกไม่ถึงว่าจะมีกับดักอะไร แล้วตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ได้ล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าทุกอย่างด้วย

จนกระทั่งกำลังพลสี่อ๋องสวรรค์เคลื่อนไหวผิดปกติที่น้ำพุวังเวง ท่าทางไม่เหมือนคนไปออกล่าเลย ถึงทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วสงสัย แต่ตอนนั้นตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่นึกเชื่อมไปถึงเหมียวอี้ จนกระทั่งเรื่องเปิดโปงว่าผู้ที่โจมตีคือคนของสำนักหลัวช่า ถึงได้นึกโยงไปเรื่องที่เม่ยจีมาวัดพระกษิติครรภ์ แล้วนึกเชื่อมโยงไปถึงเหมียวอี้อีกที

ถึงแม้ก่อนหน้านี้คนของตึกศาลาสัตยพรตจะสังเกตเห็นแล้วว่าที่วัดพระกษิติครรภ์อาจจะมีคนของสำนักหลัวช่าออกมาแล้ว แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ทิศทางไปของพวกเม่ยจี จึงไม่สะดวกจะสะกดรอยตาม เพราะแบบนั้นจะถูกพบง่ายมาก ไม่เหมือนเหมียวอี้ที่รู้ทิศทางเคลื่อนไหวของสำนักหลัวช่าล่วงหน้า ถึงได้จับตาดูล่วงหน้าจนรู้ทิศทางของพวกนาง

สำนักหลัวช่ารุกโจมตีตระกูลอิ๋ง แล้วตระกูลอิ๋งก็มีแผนสำรองดักซุ่มโจมตี กอปรกับนึกเชื่อมโยงได้ว่าการออกล่าที่น้ำพุวังเวงเกิดขึ้นตอนที่ความร่วมมือระหว่างตระกูลเซี่ยโห้วกับตระกูลโค่วสิ้นสุดลงพอดี ตอนนี้ถึงได้ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ที่แท้ก็วางกับดักหนิวโหย่วเต๋อนี่เอง

เช่นนั้นเรื่องราวก็ลุกลามไปถึงเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อโดนลอบโจมตีที่แดนสุขาวดี อิ๋งหยางก็มีส่วนด้วย เข้าใจแล้วเช่นกันว่าอิ๋งหยางเป็นเหยื่อล่อ เซี่ยโห้วท่าถึงได้เข้าใจว่าสี่อ๋องสวรรค์น่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อต้องการจะลงมือกับอิ๋งหยาง เกรงว่าในนั้นจะมีผลงานของตระกูลโค่วด้วย หลายตระกูลต่างกำลังร่วมมือกันเล่นละครจัดการออกล่าที่น้ำพุวังเวง เป้าหมายก็คือล่อให้หนิวโหย่วเต๋อมาติดเบ็ด

ทว่าสิ่งที่ทำให้เซี่ยโห้วท่าแปลกใจก็คือ หนิวโหย่วเต๋อมีความสามารถอะไรถึงทำให้สำนักหลัวช่ายอมสละยอดฝีมือมากมายขนาดนี้มาลงมือกับตระกูลอิ๋ง?

เซี่ยโห้วท่าระงับกำลังพลออกล่าของตัวเองเอาไว้ ไม่ให้ไปเข้าร่วมเรื่องนี้ เพราะเซี่ยโห้วท่าเข้าใจดีว่าระหว่างสี่อ๋องสวรรค์เป็นความสัมพันธ์แบบทั้งแข่งขันทั้งร่วมมือกัน แดนสุขาวดีกินอิ่มแล้วว่างงานจึงเข้ามาประสมโรง เขารู้ว่าจะต้องทำให้อีกสามตระกูลมาเป็นกำลังหนุนแน่นอน ต่อให้ไม่มาเป็นกำลังหนุน แต่กำลังพลออกล่าของตระกูลอิ๋งโดนตายเกือบหมดแล้วเกี่ยวอะไรกับตระกูลเซี่ยโห้วด้วยล่ะ? แค่มาดูอาสนุกเฉยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร

อีกสามตระกูลโผล่ออกมาเป็นกำลังหนุนให้ตระกูลอิ๋งจริงๆ ด้วย ถึงแม้เซี่ยโห้วท่าจะไม่อยากเห็นหนิวโหย่วเต๋อกลายเห็นง้าวหักจมทรายที่ตัดขาดเบาะแสเร็วขนาดนี้ แต่ก็ยังสั่งให้กำลังพลที่ออกล่าของตัวเองอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ให้แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรต่อไป เขาไม่คิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเป็นอะไรไปได้

สาเหตุก็ไม่ซับซ้อน เพราะเขามีข้อมูลที่คนอื่นไม่มี เบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อซ่อนกำลังอันแข็งแกร่งที่ให้ใครรู้ไม่ได้เอาไว้ ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อกล้าเคลื่อนไหว ก็แสดงว่าไม่น่าจะหักทิ้งได้ง่ายขนาดนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะสอดแนมเจอมือมืดลึกลับที่อยู่เบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อก็ได้ เขาค่อนข้างเฝ้าคอย

ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะเหนือความคาดหมายเกินไป จู่ๆ สถานการณ์ทุกอย่างก็ถูกตัดจบไปอย่างนั้น ไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครแพ้ใครชนะ ทำเอาเซี่ยโห้วท่าที่นั่งตกปลาอยู่บนแท่นท่ามกลางคลื่นลมเพื่อรอดูเอาสนุกงงเป็นไก่ตาแตกไปแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?

เว่ยซูยิ้มเจื่อน “ถ้ากำลังพลของสี่อ๋องออกไปแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้นายน้อยยางออกล่าต่ออยู่ที่นั่นคนเดียว อย่างนอกก็ต้องบอกสักหน่อย ต่อให้สี่อ๋องจะชนะแล้ว แต่การรีบเก็บกวาดสถานที่ขนสะอาดขนาดนั้นหมายความว่ายังไงขอรับ? อย่าบอกนะว่าขนาดสี่อ๋องจับจุดอ่อนของแดนสุขาวดีได้แล้ว ยังจะกลัวว่าเรื่องจะลุกลามใหญ่โตอีก? เกรงว่าพวกเขาคงอยากจะหาโอกาสทวงคำอธิบายจากแดนสุขาวดี”

“หรือว่าฝั่งสำนักหลัวช่าชนะแล้ว จึงเก็บกวาดเพื่อลบร่องรอยที่ตัวเองเข้ามาแทรกแซงฝั่งตำหนักสวรรค์?” เซี่ยโห้วท่าถามอย่างระแวง

เว่ยซูส่ายหน้า “ดูจากสถานการณ์ที่รายงานก่อนหน้านี้ เข่นฆ่ากันถึงขั้นนั้นแล้ว ถ้าสำนักหลัวช่าไม่มีแผนสำรอง ต่อให้ชนะแต่ก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนั้น แล้วอีกอย่าง ถ้ามีความมั่นใจขนาดนี้ ทั้งยังต้องการจะลบร่องรอย เช่นนั้นก่อนหน้านี้ก็คงไม่ถูกบีบจนต้องเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา ต่อให้เกิดเรื่องแบบนั้น แต่สายลับของพวกเราก็น่าจะรายงานทันเวลาสิถึงจะถูก แต่สุดที่แปลกที่สุดอยู่ตรงนี้ มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าสายลับของพวกเขาจะถูกกำจัดไปด้วยแล้ว มีคนไม่อยากให้เรื่องในที่เกิดเหตุเล็ดรอดสู่ภายนอก”

เซี่ยโห้วท่าเอามือขยี้เคราพลางหรี่ตา การวิเคราะห์อย่างใจเย็นของเว่ยซูได้โน้มนำให้อาการเลอะเลือนของเขากลับสู่ลู่ทางที่ถูกต้อง เขากล่าวช้าๆ ว่า “ไม่รู้ว่าตาแก่อีกสี่ตระกูลนั่นจะรู้สถานการณ์อะไรบ้างหรือเปล่า”

“ต้องถามสักหน่อยหรือไม่ขอรับ? อย่างไรเสียฝ่ายพวกเราก็เข้าร่วมการออกล่าด้วย มีเหตุผลที่จะถามได้” เว่ยซูถาม

เซี่ยโห้วท่าโบกมือ “เรื่องนี้แปลกมาก ตอนที่ยังไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน อย่าบุ่มบ่ามเข้าไปเกี่ยวข้องดีกว่า ยิ่งแปลกใจก็ยิ่งต้องข่มใจไว้ ไม่อย่างนั้นอาจจะตกหลุมพรางโดยไม่รู้ตัว ใครจะไปรู้ว่ามีคนกำลังร่วมมือกันขุดกับดักฝังตระกูลเซี่ยโห้วหรือเปล่า? เรื่องใหญ่ขนาดนี้ย่อมมีปฏิกิริยาตามมาอยู่แล้ว ตราบใดที่พวกเราทำตัวเป็นคนนอก ก็จะไม่ถูกดึงลงน้ำไปด้วย จะได้เห็นเร็วหน่อยหรือช้าหน่อยก็ไม่แตกต่างอะไรนัก จะไปเข้าร่วมเมื่อไร อำนาจการตัดสินใจก็ยังอยู่ในมือพวกเราเสมอ”

“ถ้าสี่ตระกูลนั้นก็ไม่รู้สถานการณ์เหมือนพวกเราละขอรับ?” เว่ยซูลองถามความเป็นไปได้อีกอย่าง

“เป็นไปได้เหรอ?” เซี่ยโห้วท่าพึมพำ เอามือไขว้หลังก้มหน้า หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ก็กล่าวอย่างเนิบนาบ “ด้วยสภาพพื้นที่ของน้ำพุวังเวงชั้นห้า…ผู้ที่สามารถทำให้สายลับของพวกเราที่ซ่อนตัวอยู่ไม่เปิดเผยฉากสุดท้ายให้ภายนอกรู้ เป็นคนของพวกเราเองที่เปิดเผยเบาะแสจนถูกใครสักคนลงมือได้อย่างแม่นยำเหรอ? เกรงว่าจะไม่แน่กระมัง! ขอบเขตที่กว้างใหญ่ขนาดนั้น เสียงการต่อสู้ที่ดังขนาดนั้น เกรงว่าต่อให้ไม่อยากดึงดูดสายตาคนอื่นให้มองก็คงยาก ถ้าอยากจะปิดบังฉากสุดท้ายจริงๆ พวกที่โดนอาจจะไม่ได้มีแค่สายลับของพวกเรา มีความเป็นไปได้สูงว่าจะกวาดล้างรอบด้าน และถ้าอยากจะกวาดล้างเป็นบริเวณกว้างขนาดนั้น เกรงว่าคนจำนวนเล็กน้อยคงทำไม่ไหว ต้องใช้กำลังคนเยอะมาก…ถ้าใช้คนเยอะขนาดนั้น การตัดขาดไม่ให้คนในเขตการรบใช้ระฆังติดต่อกับภายนอกก็ไม่ใช่ปัญหาเลย พอเป็นแบบนี้ สี่ตระกูลนั้นก็อาจจะไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกจริงๆ”

“ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ใครมันช่างกล้ารวบรวมกำลังพลกลุ่มใหญ่ขนาดนั้นมาลงมือกับคนของสี่อ๋องโดยตรง?” เว่ยซูถามอย่างตกใจ

เซี่ยโห้วท่าหัวเราะหึหึ “หวังว่าจะไม่ใช่เจ้าเด็กนั่น ไม่อย่างนั้น…นับวันก็ยิ่งน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว คอยดูไปเถอะ พวกเราแค่ไม่ต้องไปยุ่ง ถ้าสี่ตระกูลนั้นไม่รู้เรื่องจริงๆ อีกไม่นานก็จะติดต่อมาหาพวกเราเอง แต่ถ้าไม่ติดต่อก็แสดงว่าพวกเขารู้เรื่องแล้ว ภายในหนึ่งชั่วยามนี้ก็จะรู้คำตอบเอง ไม่ต้องรีบร้อน”

เว่ยซูพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ยังเป็นนายท่านที่ปราดเปรื่อง ไม่ให้นายน้อยยางทำอะไรบุ่มบ่าม ถ้าไม่อย่างนั้นถ้ามีคนกวาดล้างที่เกิดเหตุจริง เกรงว่านายน้อยยางก็ยากจะรอดเช่นกัน

เซี่ยโห้วท่าพลันทำท่าทางเหมือนแก่หง่อม เงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจ “ตระกูลเซี่ยโห้วเดินมาถึงทุกวันนี้ ตราบใดที่ตัวเองไม่สะเพร่าก็จะไม่ล้ม ต้องข่มอารมณ์เอาไว้!” ในน้ำเสียงเหมือนทั้งสะเทือนใจทั้งกังวล แล้วจู่ๆ ก็หันหน้ากลับมาเอ่ยถาม “เจ้ารู้สึกว่าเจ้ารองเป็นอย่างไร?”

“…” เว่ยซูอึ้งทันที นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ นายท่านจะเปลี่ยนประเด็นมาพูดด้านนี้ ผู้ที่ถูกเรียกว่าเจ้ารองก็ย่อมหมายถึงคุณชายรองเซี่ยโห้วลิ่งอยู่แล้ว

และความหมายแฝงของคำถามนี้ก็ทำให้เว่ยซูรู้สึกเสียวสันหลังวาบ พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่านายท่านกำลังถามถึงเรื่องราวหลังจากตัวเองล่วงลับ อย่างไรเสียนายท่านก็อายุมากแล้ว ถึงเวลาที่จะไม่คำนึงถึงเรื่องนี้ไม่ได้ คำถามนี้แฝงการประเมินผลงานว่าใครจะมารับช่วงต่อในการดูแลตระกูลเซี่ยโห้ว แล้วจะให้ข้ารับใช้อย่างเขาตอบว่าอย่างไรดีล่ะ?

เขาจำสิ่งที่บิดากำชับไว้ก่อนตายได้ ว่าอย่าไปยืนอยู่ระหว่างฝ่ายไหนท่ามกลางพวกคุณชายตระกูลเซี่ยโห้ว ยืนติดอยู่ข้างกายนายท่านไว้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว นายท่านมีความคิดละเอียดรอบคอบ สิ่งที่ควรเตรียมการไว้ก็ย่อมเตรียมการไว้แล้ว มีข้อมูลในใจแล้วว่าใครสามารถสืบทอดตระกูลได้ ถ้าเว่ยซูแสดงออกว่ามีรสนิยมตรงกัน นั่นก็แปลว่าควบคุมไม่ได้แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วเดินมาถึงขั้นนี้ ไม่กลัวปัญหาภายนอก กลัวก็แต่ปัญหาภายใน นายท่านไม่มีทางปล่อยให้คนนอกที่สามารถเข้าถึงความลับแกนกลางได้มีความคิดไม่ซื่อสัตย์ ขอเพียงมีเค้ารางแสดงให้เห็น เช่นนั้นก็ถึงเวลาตายของเว่ยซูแล้ว

“เจ้าก็รู้ว่าข้ากำลังถามอะไร เป็นอะไรไปล่ะ? ไม่สะดวกตอบเหรอ?” เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะ “พูดมาเถอะ เรื่องบางเรื่องถ้ายืนอยู่คนละมุมเจ้าอาจจะเห็นปัญหาบางอย่างที่ข้ามองไม่เห็นก็ได้”

ประโยคที่ฟังดูเรียบง่าย แต่ชั่วพริบตาเดียวก็เหมือนกดดันให้เว่ยซูเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบาง แต่จะไม่ตอบก็ไม่ได้ จึงกล่าวอย่างเชื่อฟังว่า “คุณชายรองมีจิตใจที่ล้ำลึก แต่กลับวางตัวตรงไปตรงมา ไม่ว่าจัดการเรื่องใดก็ปราดเปรื่องเด็ดขาด ราวกับเป็นหงส์มังกรท่ามกลางมนุษย์” เขาทำได้เพียงพูดตามมุมมองที่เห็นได้โดยทั่วกัน ไม่เอนเอียงไปทางใด ไม่ปะปนความรู้สึกส่วนตัว

“เหอะๆ วิจารณ์ได้เป็นกลางมาก” เซี่ยโห้วท่ากล่าวชม แล้วส่ายหน้าถอนหายใจอีก “สามารถวิจารณ์ได้อย่างเป็นกลางขนาดนี้ ก็แสดงว่าเจ้ามองเห็นแจ่มแจ้ง ในเมื่อเจ้ามองเห็นแจ่มแจ้งแล้ว ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะมองไม่เห็นด้านที่ ‘มั่นใจในตัวเอง’ และ ‘เด็ดขาด’ บนตัวเจ้ารอง”

ในเมื่อท่านรู้ชัดอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องกดดันให้ข้าพูดล่ะ เว่ยซูยิ้มเจื่อน “นายท่านมาตรฐานสูงเกินไปแล้ว ในบรรดารุ่นที่สองของตระกูลอื่น ถ้าพูดถึงความสามารถก็ไม่มีใครเทียบคุณชายรองได้แล้วขอรับ” ยังคงไม่เทียบเซี่ยโห้วลิ่งกับคนอื่นในตระกูลเซี่ยโห้ว

“ข้าจำเป็นต้องเทียบเขากับตระกูลอื่นด้วยเหรอ?” เซี่ยโห้วท่าพูดเหยียดหยาม หันตัวไปมองต้นไม้ใหญ่ที่สูงระฟ้า แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “สมองและความสามารถของเจ้ารองนั้นไม่ต้องพูดถึงเลยจริงๆ ตามหลักแล้วการมี ‘ความมั่นใจ’ กับ ‘ความเด็ดขาด’ ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร มีคุณสมบัติด้านที่ผู้ชายควรจะมีก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว ถ้าเปลี่ยนให้เจ้ารองไปอยู่ตระกูลอื่น ก็ล้วนเป็นความหวังที่จะสร้างความรุ่งเรืองของตระกูลทั้งนั้น แต่ ‘ความมั่นใจ’ กับ ‘ความเด็ดขาด’ ส่วนนี้ ถ้าอยู่ที่ตระกูลเซี่ยโห้วกลับไม่ใช่เรื่องดี เจ้ารู้มั้ยว่าเพราะอะไร?”

เว่ยซูแกล้งโง่ “ไม่ทราบขอรับ” ที่จริงบิดาเคยบอกเขาไว้นานแล้ว

เพียงท่าทีของเขาที่ดูเหมือนไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกลับทำให้เซี่ยโห้วท่ายิ้มบางๆ เรียกได้ว่าค่อนข้างพอใจ ไม่ว่าจะแกล้งโง่หรือไม่ แต่อย่างน้อยเว่ยซูก็เข้าใจว่าเรื่องอะไรที่ไม่ควรสอดมือเข้ามายุ่ง ทำแบบนี้ถูกต้องแล้ว คำถามนี้เป็นการทดสอบและสั่งสอนเว่ยซู

“ตระกูลเซี่ยโห้วของข้าไม่มีความสามารถที่จะครองใต้หล้างั้นหรือ? ตระกูลเซี่ยโห้วปลุกปั้นประมุขมาหลายยุค ไม่มีความสามารถที่จะครองใต้หล้าเหรอ? ที่จริงพ่อเจ้าเริ่มติดตามรับใช้พ่อข้า แล้วค่อยติดตามข้าอีกที ในใจข้าเข้าใจดี ว่าอาศัยศักยภาพของตระกูลเซี่ยโห้วนั้นทำได้แน่นอน เพียงแค่ไม่อยากทำเท่านั้นเอง เหตุใดจึงไม่อยากครองใต้หล้าน่ะเหรอ? เพราะถ้าไปอยู่ในตำแหน่งนั้นจริงๆ ทุกอย่างก็จะถูกแสดงอยู่ในที่แจ้ง แล้วพวกเบื้องล่างที่กุมอำนาจไว้ในมือจะยอมก้มหน้าไม่เห็นแสงตะวันได้เหรอ? พวกเขาจะรู้สึกว่าลำบากทำงานมาหลายปี ก็ควรถึงเวลาได้รับรางวัลตามผลงานได้แล้ว ถ้าเจ้าทำให้พวกเขาพอใจไม่ได้ ในใจพวกเขาก็จะคับแค้น ไม่ว่าใครก็อยากเดินขึ้นไปแสดงตัวอยู่หน้าเวทีให้มีหน้ามีตากันทั้งนั้น หวังจะบีบบังคับ ถึงตอนนั้นใจคนก็จะวุ่นวายแล้ว ถ้ามีเป้าหมายโจมตีอยู่ในที่แจ้ง ใครจะยอมใครได้ล่ะ? แถมรากฐานที่ตั้งมั่นมายาวนานของตระกูลเซี่ยโห้วก็จะปั่นป่วนด้วย” พอพูดถึงตรงนี้ เซี่ยโห้วท่าก็เงยหน้าถอนหายใจยาวอีก แล้วหันตัวมาบอกเว่ยซูด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟังแล้วกัน”

…………………………

ต้องทราบไว้ว่าครั้งนี้ไม่เพียงแค่กำจัดกำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์และสำนักหลัวช่าเท่านั้น ถึงแม้กำลังพลของสิบสองจอมพลและสามสิบหกเทพประจำดาวจะมีไม่เยอะ เพียงเลือกคนมาประกอบฉากนิดหน่อยเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ล้วนส่งลูกหลานมา ผลปรากฏว่าถูกเหมียวอี้กำจัดทิ้งไปหมดแล้ว

แม้แต่ลูกชายคนรองของเทพประจำดาวฟ้าเถาะ ก็สิ้นชีพอยู่ในจำนวนนั้นด้วยเช่นกัน

ถึงแม้เหมียวอี้จะไม่รู้จักลูกชายคนรองของเทพประจำดาวฟ้าเถาะ แต่ก็สามารถตัดสินได้จากกำลังพลของแต่ละฝ่ายที่มาเข้าร่วม พอจะเดาได้คร่าวๆ แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้นำตัวออกมา กำจัดไปพร้อมกันอย่างเลือดเย็นไร้น้ำใจเสียเลย

แทบจะฆ่าลูกหลานบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์หมดแล้ว ถามหน่อยว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวงกว้างขนาดนี้ ถ้าวุ่นวายขึ้นมาจะไม่เกิดละครฉากเด็ดหรอกเหรอ?

นี่คือเรื่องนอกเหนือแผนการที่คาดคิดไม่ถึง ต่อให้เป็นหยางชิ่งก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าพอสำนักหลัวช่าแตะต้องตระกูลอิ๋ง แล้วจะทำให้สี่อ๋องสวรรค์ร่วมมือกัน

เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โตแล้วจริงๆ ไม่อาจอยู่ที่นี่นานได้ หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้ว คนกลุ่มนี้ก็ออกจากน้ำพุวังเวงอย่างรวดเร็ว

ตลาดผี โรงเตี๊ยม เสียงเคาะประตูดังขึ้น

หรูเสวี่ยที่เปิดประตูออกตกใจนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าสวีถังหรานจะมาอีกแล้ว

สวีถังหรานเบียดเข้ามา พอปิดประตู ก็กอดจูบลูบคลำแล้วดึงกระโปรงนางออก โถมทับลงบนเตียงเสียเลย ทำท่าทางเหมือนลิงร้อนรน

หรูเสวี่ยที่ถูกผลักขึ้นเตียงใช้สองมือผลักเขา ในท่ที่สุดปากก็ว่างให้ถามแล้ว นางถามอย่างประหลาดใจมาก “นายท่าน ทำไมมาอีกแล้วล่ะ?” ปกติมาทุกสามวันห้าวัน แต่ครั้งนี้มาล่วงหน้าแล้ว

“ทำไมล่ะ? ข้ามาไม่ได้รึไง?” สวีถังหรานแกล้งโกรธ

“ไม่ใช่ๆ ข้าแค่แปลกใจนิดหน่อยค่ะ ทำไมวันนี้นายท่านถึงมาล่วงหน้าล่ะ?” หรูเสวี่ยรีบถาม

“หึหึ! ท่านแม่ทัพภาคไม่อยู่ เห็นช่องโหว่ก็เลยแอบอู้งาน…” พูดจบก็ไม่สนสี่สนแปดอะไรแล้ว ไม่ทันไรก็ถอดเสื้อผ้าหรูเสวี่ยออกหมด

หลังจากฟ้าฝนคะนองไปหนึ่งยก สวีถังหรานก็ลุกขึ้นนั่ง หันหลังให้คนที่นอนอยู่บนเตียง สวมใส่เสื้อผ้าอย่างเนิบนาบสบายใจ

หรูเสวี่ยนอนเปลือยอยู่เตียง แต่กลับเอามือกุมหน้าอกเพราะหายใจติดขัด อยากจะลุกก็ลุกไม่ไหว เริ่มมีเลือดซึมออกจากากและจมูก สีหน้าเริ่มเขียวคล้ำ นางเริ่มเคลื่อนไหวน้อยลงเรื่อยๆ แขนที่สั่นเทิ้มไปที่สวีถังหราน “เจ้า…เจ้า…”

“เฮ้อ เจ้ามีวรยุทธ์สูงกว่าข้า เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัย ข้าเลยทำได้เพียงใช้แผนนี้” สวีถังหรานที่หันหลังจัดเสื้อผ้าพูดแล้วถอนหายใจ เขาทำท่าราวกับว่าตัวเองไม่ได้ทำเรื่องไร้ยางอายมาก่อน

หลังจากสวมหน้ากากเรียบร้อยแล้ว ก็หยิบน้ำเต้าหยกเล็กอันหนึ่งออกมา หยดของเหลวใสกลิ่นหอมใส่บนผ้าเช็ดหน้าในมือเล็กน้อย หลังจากชุ่มชื่นแล้วก็เดินไปเช็ดปากอย่างระมัดระวังตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หางตาชำเลืองผู้หญิงของตัวเองผ่านกระจก “ช่างเป็นหญิงงามเย้ายวนราคะจริงๆ! ข้าก็ตัดใจทิ้งไม่ลงเหมือนกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้ นายท่านต้องการให้เจ้าตายในยามสาม ข้าเลยไม่กล้าเก็บเจ้าไว้ถึงยามห้า ข้าต้องเอาหัวเจ้าไปรายงานผลงาน เดิมทีข้ามาเพื่อทำเรื่องนี้ แต่ทำแบบนี้ก็นับว่าตายอย่างคุ้มค่าเช่นกัน ความอ่อนโยนบนเตียงครั้งสุดท้าย สวีก็นับว่ามีคุณธรรมน้ำมิตรไม่เอาเปรียบเจ้า เจ้าว่ามั้ยล่ะ?”

หลังจากเช็ดริมฝีปากเสร็จแล้ว เขาก็หันตัวเดินไปข้างเตียง จ้องร่างเปลือยที่ส่ายหน้าโดยไร้เสียง หยิบมีดสั้นออกมาด้ามหนึ่ง แล้วยกมีดขึ้นแทงหัวใจหรูเสวี่ยอย่างไม่ปรานีเลยสักนิด พอชักมีดออกมาก็มีแสงเย็นวับวาบอีกที ตัดศีรษะหรูเสวี่ยแล้ว

สวีถังหรานเก็บกวาดสถานที่ เก็บม้วนไปทั้งตัวทั้งหัว เสร็จแล้วถึงได้ออกจากโรงเตี๊ยม จัดการงานสำเร็จอย่างคล่องแคล่วแล้ว

ส่วนเหมียวอี้ที่กำลังอยู่ระหว่างทางก็กำลังติดต่อกับหยางชิ่งแล้ว ก่อนหน้านี้ถึงแม้หยางชิ่งจะไม่ได้ติดต่อกับทางนี้ แต่ก็เดาได้แล้วว่าแผนนี้มีช่องโหว่ เดาออกว่าตระกูลโค่วลงมือแล้ว

สาเหตุก็เรียบง่ายมาก เพราะประโยคคลุมเครือที่เหมียวอี้บอกกับอวิ๋นจือชิวนั้น ทำให้อวิ๋นจือชิวเดาออกทันทีว่าแผนอาจจะมีเหตุไม่คาดคิด อดไม่ได้ที่จะถามยืนยันกับหยางชิ่ง ส่วนหยางชิ่งเองหลังจากได้รู้ว่าเหมียวอี้พูดกับอวิ๋นจือชิวอย่างนั้น ก็เดาได้ทันทีว่าตระกูลโค่วลงมือแล้ว หมายความว่าตระกูลโค่วเข้าไปอยู่ในร่างแหนั้นด้วย เป็นไปได้ว่าแผนการของตระกูลโค่วจะยั่วโมโหเหมียวอี้แล้ว และเหมียวอี้ก็เตรียมจะกำจัดกำลังพลของตระกูลโค่วไปด้วยกันเลย ถึงได้พูดอย่างนั้นกับอวิ๋นจือชิว

ตอนต่อสู้เขาไม่ได้รบกวนเหมียวอี้ การสอดมือเข้าไปยุ่งจนผู้บัญชาการรบกังวลก่อนลงสนามเป็นข้อห้ามที่รุนแรงมากของทหาร เขาเองก็เชื่อว่าเหมียวอี้รับมือสถานการณ์เฉพาะหน้าได้เก่ง เขารู้ว่าในจุดนี้เหมียวอี้เก่งกว่าเขา ดังนั้นจนกระทั่งจินม่านได้ข่าวจากอ๋าวเถี่ยว่าภารกิจเสร็จสิ้น เขาถึงได้ติดต่อเหมียวอี้ไปยืนยันสถานการณ์

ในตึกศาลาที่สงบสวยงาม หยางชิ่งที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างไม่มีกะจิตกะใจมาชมทิวทัศน์ทะเล ตอนนี้มีสีหน้าวิตกกังวล หลังจากเก็บระฆังดาราแล้วส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ

“ผู้ช่วยใหญ่ถอนหายใจทำไมเหรอ?” หลังจากจินม่านเดินมาข้างหลังเขา ก็ยืนค่อนข้างใกล้กัน สามารถได้กลิ่นกายหอมของกันและกัน “หรือกังวลว่าจะดึงอีกหลายตระกูลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย?”

“เรื่องราวใหญ่โตแล้ว…เป็นความผิดของข้า!” หยางชิ่งถอนหายใจยาวอย่างรู้สึกผิด

จากเรื่องนี้ เขาก็ได้เห็นความสัมพันธ์ที่สมดุลระหว่างสี่อ๋องสวรรค์ ประมุขชิงและประมุขพุทธะ ชัดเจนแล้ว เขาจำต้องยอมรับว่าสถานภาพของตัวเองมีจำกัด ไม่มีข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์มากพอ ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าบางครั้งวิธีการแก้ปัญหาที่เด็ดขาดฉับไวของเหมียวอี้ก็อาจจะไม่ใช่กลยุทธ์ชั้นต่ำเสมอไป ถ้าไม่ใช่เพราะเขาดึงสำนักหลัวช่าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ก็คงไม่ทำให้อีกสามตระกูลโผล่มา ถ้าเหมียวอี้กำจัดตระกูลอิ๋งเสียเลยอย่างไม่ลังเล ก็คงไม่ทำให้เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ กลับเป็นความห่วงหน้าพะวงหลังของเขาที่ทำให้เรื่องพัง

จินม่านกลับปลงได้ พูดปลอบใจว่า “กำจัดตระกูลเดียวก็ถือว่าทำ กำจัดสี่ตระกูลก็ถือว่าทำเหมือนกัน ในเมื่อวิ่งมาหาคมดาบแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าเกรงใจ ไม่เกี่ยวกับผู้ช่วยใหญ่”

หยางชิ่งส่ายหน้า แล้วหันตัวมาบอกว่า “ข้าเพิ่งติดต่อราชาปราชญ์ เกรงว่าต้องเปลี่ยนแผนตอนหลัง”

“ในเมื่อผู้ช่วยใหญ่พูดแล้ว จินม่านก็จะตั้งใจฟัง” จินม่านตอบพร้อมรอยยิ้ม

หลังจากแยกย้ายกับหกขุนพลใหญ่แล้ว เหมียวอี้ก็ก็ไปพบกับเหยียนซิวได้ที่รับข่าวให้มาเจออย่างเร่งด่วน

เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดกับแผนการ เรื่องบางเรื่องก็จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่เช่นกัน ตอนนี้ยังไม่สะดวกจะส่งทัพใหญ่หนึ่งล้านกลับแดนอเวจี เขาไม่สะดวกจะออกจากตลาดผีนานเกินไป จึงสั่งให้เหยียนซิวนำทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เก็บไว้แล้วรีบไปยังพิภพเล็ก ให้นำคนไปปล่อยพักไว้ที่พิภพเล็กก่อน

นี่ก็เป็นเรื่องที่ทำตามใจไม่ได้เช่นกัน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพกคนพวกนี้ไว้ข้างกาย ซ่อนเอาไว้ในช่องมิตินานก็ไม่ได้ ถ้าถูกตรวจค้นขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ?

ส่วนจะจัดให้อยู่ที่พิภพเล็กอย่างไร ก็ย่อมมีหยางชิ่งช่วยคิดให้แล้ว หยางชิ่งจะติดต่อกับฉินเวยเวยจะบอกนางว่าควรทำอย่างไร ตอนนี้เขาต้องเก็บพลังความคิดทั้งหมดไว้ใช้รับมือกับทางตำหนักสวรรค์

น้ำพุวังเวงชั้นสิบสาม แดนไร้ตะวัน

เป็นแดนที่มีแต่ความมืดล้วนๆ บนท้องฟ้าและใต้ดินไม่มีแสงสว่างเลยแม้แต่น้อย จมอยู่ในความมืดมิดตลอดกาล ยื่นมือแล้วมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าจริงๆ

แต่กลับมีสัตว์ที่คุ้นชินกับความมืดของที่นี่แล้ว คุ้นเคยกับการดำรงชีวิตในที่มืดมิด หน้าตาเหมือนคนมีปีก มีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่มีฟันคมและกรงเล็บแหลม บนตัวมีเกล็ดแข็งแรงทนทาน ด้านหลังมีปีกค้างคาว ไปมาในโลกอันมืดมิดนี้ได้อย่างอิสระ พวกมันถูกเรียกว่าภูตมาร

เวลาส่วนใหญ่ของพวกมัน ถ้าไม่นั่งยองๆ รับลมอยู่บนหน้าผาสูง ก็นั่งยองๆ หลับตาอยู่บนที่ราบกว้างโล่ง เก็บปีกข้างหลังแล้วยืนนิ่งราวกับเป็นรูปปั้น แต่หลังจากกางปีกก็จะไปมาได้อย่างอิสระดุจสายลม ทั้งตัวเป็นสีดำ รวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลกใบนี้ ดังนั้นพวกมันจึงเกลียดชังแสงสว่างมาก ถ้าเห็นแสงสว่างเมื่อไร ก็จะพรั่งพรูเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง รุกโจมตีอย่างบ้าระห่ำทันที

พวกมันดันมีข้อได้เปรียบเหมือนค้างคาว สามารถไปมาอย่างอิสระท่ามกลางความมืด ไม่กลัวชนพวกหน้าผาเลยสักนิด

“ดับไฟ!”

เปลวเพลิงกองหนึ่งดึงดูดให้ภูตมารฝูงใหญ่รุกโจมตี ผู้ที่อาศัยโอกาสมาออกล่าก็คือกำลังพลของตระกูลเซี่ยโห้ว ในจำนวนนั้นเซี่ยโห้วเจิ้งยางที่ได้รับการปกป้องตะโกนเสียงดังที

เปลวเพลิงเดือดถูกดับลงในชั่วพริบตาเดียว รอบข้างยังมีภูตมารพุ่งเข้ามาสู้ตายไม่ขาดสาย คนของตระกูลเซี่ยโห้วทำได้เพียงอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์สำรวจและโจมตีโต้ตอบ

เซี่ยโห้วเจิ้งยางที่กำลังถือระฆังดารามีสีหน้าคร่ำเครียด ตระกูลเซี่ยโห้วย่อมส่งสายลับไปจับตาดูตระกูลที่เหลือ สถานที่ตั้งค่ายอีกสามตระกูลไม่มีการเคลื่อนไหว เขาก็ได้รับข่าวจากสายลับแล้ว ว่ากำลังพลของตระกูลอิ๋งถูกโจมตี ตอนที่ถูกสำนักหลัวช่าโจมตีเขาก็ได้รับข่าวจากสายลับเช่นกัน ตอนที่อีกสามตระกูลเข้าเป็นกำลังหนุน เขาก็ได้รับข่าวแล้ว

ขณะเดียวกันเขาก็ส่งข่าวกลับไปให้ตระกูลเซี่ยโห้ว ทว่าเจตนาของคนในบ้านก็ชัดเจนมาก นั่นก็คือให้เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้จับตาดูเอาไว้ อย่าสอดมือเข้าไปยุ่ง ให้ตั้งใจทำเรื่องของตัวเองต่อไป ล่าสัตว์!

ทว่าจู่ๆ สายลับที่ตระกูลเซี่ยโห้วส่งไปก็ขาดการติดต่อแล้ว เขาจึงรีบติดต่อคนของสี่ตระกูลที่เหลืออีก แต่ทั้งหมดก็ขาดการติดต่อไปแล้วเช่นกัน

หลังจากรายงานสถานการณ์ขึ้นไป ที่บ้านถึงได้มีปฏิกิริยาที่แตกต่างออกไป สั่งให้เขาถอนกำลังออกมา ให้นำคนไปดูยังที่เกิดเหตุทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่

หลังจากภูตมารตัวสุดท้ายที่โผอยู่บนฟ้าถูกฟันร่วงแล้ว รอบข้างก็ตกอยู่ในความมืดมิดและเงียบสงบไร้ที่สิ้นสุดอีกแล้ว เงียบจนทำให้คนรู้สึกใกล้จะเป็นบ้า

หลังจากนับกำลังพลให้มารวมตัวกันแล้ว ก็รีบทะยานฟ้าท่ามกลางความมืด จู่ๆ ก็เห็นแสงไฟหลายสายส่องสว่างท้องฟ้า ทำให้ภูตมารที่อยู่ไกลๆ เห็นแสงไฟแล้วกรูกันพุ่งขึ้นฟ้าราวกับกระแสน้ำ แต่กำลังพลที่อาศัยแสงสว่างมองตาน้ำพุบนท้องฟ้าก็หนีหายไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากข้ามผ่านตาน้ำพุชั้นแล้วชั้นเล่า ในที่สุดก็มาถึงน้ำพุวังเวงชั้นห้า ตัดสินตำแหน่งจากข่าวที่สายลับบอกก่อนหน้านี้ สุดท้ายก็ค้นหาจนพบสถานที่ที่เคยเกิดศึกใหญ่แล้ว ทุกที่มีแต่รอยเลือด แต่กลับไม่เห็นคนที่มีสภาพสมบูรณ์เลย ไม่เห็นศพด้วย มีเพียงรอยอนาถที่ศึกใหญ่ทิ้งไว้บนป่าเหล็ก

บนแท่งเหล็กที่อยู่บริเวณนี้มีรอยจุดและหลุมเว้าเต็มไปหมด เมื่อมายืนตรงหน้าแท่งเหล็กต้นหนึ่งที่ถูกโจมตีจนงอ เซี่ยโห้วเจิ้งยางก็มองไปรอบๆ

“ส่วนใหญ่เป็นรอยหลังถูกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตี หรือไม่ก็เป็นรอยที่เกิดจากการใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดหนึ่งโจมตีซ้ำไปซ้ำมา หรือไม่ก็ถูกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากโจมตีพร้อมกัน” ชายชราคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายเขาชี้ไปรอบๆ พลางอธิบาย แล้วก็ชี้แท่งเหล็กงอตรงหน้าอีก “อานุภาพการโจมตีของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด!”

ผ่านไปไม่นาน ลูกน้องก็มารายงาน “นายน้อยยาง ไม่พบผู้รอดชีวิตสักคน ถึงขั้นหาศพไม่พบด้วยซ้ำ อย่างมากก็เป็นเศษเนื้อบางส่วน สถานที่นี้ถูกเก็บกวาดแล้วแน่นอน กำลังพลของสี่อ๋องหายไปหมดแล้ว”

เซี่ยโห้วเจิ้งยางมองไปรอบๆ อีกครั้งด้วยสีหน้าขรึมเครียด สู้กันอยู่ดีๆ แต่ทำไมหายไปหมดแล้ว ถึงขนาดว่าสายลับของตระกูลเซี่ยโห้วก็หายไปด้วยแล้ว ทั้งยังหายไปโดนสิ้นเชิงด้วย แม้แต่ศพก็หาไม่พบ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

เขารีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับตระกูล

ส่วนชายชราข้างกายเขาก็ออกคำสั่งอีกครั้ง “ปล่อยกำลังคนออกไป ดูว่าสามารถหาพยานพบหรือไม่”

“ขอรับ!” ลูกน้องเอ่ยรับแล้วจากไป จากนั้นกำลังพลของตระกูลเซี่ยโห้วก็แยกย้ายกันไปค้นหาโดยรอบ

จวนท่านปู่สรรค์เซี่ยโห้ว ในจวนต้องห้าม เซี่ยโห้วท่าเอามือไขว้หลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้โบราณ หลังจากได้ยินข่าวก็ตกใจมาก หันขวับมาถามว่า “หายไปมดแล้ว? แม้แต่ศพก็หาไม่เจองั้นเหรอ? มันเรื่องอะไรกัน?”

เว่ยซูเขย่าระฆังดาราในมือ “นายน้อยยางก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเรื่องอะไรกันแน่ ตอนนี้กำลังตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ข้าแจ้งให้คุณชายสามทางตึกศาลาสัตยพรตส่งคนไปสำรวจที่เกิดเหตุแล้ว รออีกประเดี๋ยวอาจจะได้ข่าวอะไรบ้างขอรับ”

…………………………

และการล้อมกวาดล้างในตอนนี้ก็เข้าใกล้ตอนจบแล้ว ในป่าเหล็กเหลือเพียงพื้นที่เล็กๆ ตรงกลางเท่านั้น

“ชายหนุ่มที่ควงค้อนกล้าสู้ตายตัวต่อตัวกับข้ามั้ย!” เสียงตะโกนแหลมเล็กดังขึ้น

ขณะเผชิญหน้ากับกลุ่มธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่กำลังจะยิงโจมตี เสวี่ยอวี้ที่หลบจนถึงตอนสุดท้ายก็เปล่งเสียงแล้ว รู้แล้วเช่นกันว่าหลบต่อไปไม่ไหว

“หยุดมือ!” ตานฉิงที่อยู่บนฟ้าเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วตะโกนหยุดด้านล่าง ก่อนจะถือค้อนใหญ่ถลันตัวลงไป

เสวี่ยอวี้โผล่ออกมาจากดงเสาเหล็กแล้ว เผชิญหน้ากับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โดยรอบด้วยมือเปล่า แสดงออกว่าไม่ขัดขืน ถ้าจะฆ่าก็ฆ่าเลย

พอเดินมาตรงหน้าตานฉิง นางก็เงยหน้ายืดอก จงใจกล่าวยั่วยุ “เป็นผู้ชายก็ไม่ต้องอาศัยคนเยอะกว่า ถ้าเก่งนักก็มาสู้กับข้าตัวต่อตัว ถ้าเจ้าชนะก็ปล่อยข้าไป ถ้าข้าแพ้ก็จะยอมให้เจ้าฆ่าแกงตามอำเภอใจ?” นี่ก็คือข้อได้เปรียบของผู้หญิง และเป็นโอกาสสุดท้ายของนางเช่นกัน ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ต้องลองดูสักหน่อย

ที่สำคัญคือเมื่อครู่นางเพิ่งเห็นการต่อสู้บนท้องฟ้า พบว่าผู้ชายคนนี้สมกับเป็นลูกผู้ชายเกินไปแล้ว นางผ่านผู้ชายมาเยอะเกินไป รู้จักผู้ชายประเภทนี้อย่างลึกซึ้งและจับจุดอ่อนได้ว่าทักจะทนการการท้าทายไม่ไหว ทั้งยังมองออกด้วยว่าผู้ชายคนนี้มีตำแหน่งสูงในทัพใหญ่ เป็นคนที่พูดจำคำไหนคำนั้น

“เหอะๆ! ทำไมจะไม่กล้าล่ะ?” ตานฉิงเงยหน้าหัวเราะลั่น

เหมียวอี้ที่มองดูการต่อสู้สีหน้าดำมืดลงทันที

เสวี่ยอวี้ดีใจมาก รีบถามว่า “เจ้าพูดคำไหนคำนั้นนะ?”

“แน่นอน…” ตานฉิงยังพูดไม่ทันจบ ก็กวาดค้อนเข้าแล้วหนึ่งที เกิดเสียงดังปั้ง ทุบให้เสวี่ยอวี้กระเด็นออกไป

แกร๊ง! เสวี่ยอวี้ที่กระแทกกับเสาเหล็กออกแรงเยอะมากกว่าจะยืนให้มั่นคงได้ ในปากกระอักเลือดไม่หยุด เบิกตากว้างมองตานฉิงอย่างทำใจเชื่อได้ยาก นึกไม่ถึงว่าไอ้สารเลวนี่จะปากพูดดีแต่กลับลอบโจมตี นางพึมพำอย่างยากลำบากพร้อมฟองเลือดในปาก “เจ้าไม่ใช่ลูกผู้ชาย…”

เหมียวอี้ที่กำลังจ้องทางนี้พูดไม่ออกอีกครั้ง หักมุมพอสมควร

“นางหนูเอ๊ย ถ้าจะเล่นลูกไม้นี้กับพ่อ เจ้ายังอ่อนหัดไปหน่อย” ตานฉิงหัวเราะลั่น แล้วถลันตัวมาข้างหน้า ปักค้อนคู่ลงบนพื้น บีบคอเสวี่ยอวี้เอาไว้ แล้วสะบัดใบหน้าเล็กน้อย หนังปลอมบนใบหน้ากระเด็นออกไป เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา อ้าปากเผยฟันขาว หัวเราะหึหึอย่างด้วยน้ำเสียงพึลึก “ในปีนั้นตอนนี้ข้าสนุกกับอาจารย์เจ้า เจ้าก็เหมือนจะคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ นะ เพียงแต่อาจารย์เจ้ามีผู้ชายเยอะเกินไป ไม่รู้ว่าเจ้าจะยังจำข้าได้หรือเปล่า?”

“เจ้า…เจ้า…” เสวี่ยอวี้เบิกตากว้าง ใบดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ตกตะลึงพรึงเพริด ตกตะลึงไร้ที่เปรียบ “ตาน…ตานฉิง…”

“เจ้าสงสัยหรือเปล่าว่าข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ง่ายมากเลย ข้าจะตอบเจ้า! ฮ่าๆๆ…” หลังจากตานฉิงเงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นก็ประกบริมฝีปากเสวี่ยอวี้ ดูดดื่มอย่างป่าเถื่อน แล้วจู่ๆ ก็เห็นไอมารจากปากกรอกเข้าปากเสวี่ยอวี้อีก ไอมารสีดำที่อบอวลออกมาจากร่างกายกรอกเข้าทวารทั้งเจ็ดของเสวี่ยอวี้ ร่างเสวี่ยอวี้ชักกระตุก ในขณะที่บาดเจ็บสาหัส นางอยากจะผลักเขาอย่างไรก็ผลักไม่พ้น

หลังจากดูดเป็นเวลานาน ปากสองปากก็แยกออกจากกัน ตานฉิงสูดหายใจลึก ไอหมอกสีดำแดงที่ปนกลิ่นคาวเลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของเสวี่ยอวี้ จากนั้นถูกตานฉิงดูดลงท้อง ทำให้บาดแผลตรงท้องของตานฉิงสมานตัวอย่างรวดเร็วอย่างที่ตาเปล่าสังเกตเห็นได้

เสวี่ยอวี้ที่ตัวสั่นอย่างรุนแรงกลับเหี่ยวแห้งลงเร็วมากจนสังเกตเห็นได้ ใบหน้าและดวงตาเป็นหลุมลึก เมื่อครู่ยังเป็นผู้หญิงที่สวยหยดย้อยอยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวกลับกลายเป็นศพแห้งกรังร่างหนึ่ง สุดท้ายก็แน่นิ่งไม่ขยับตัวแล้ว

คนที่ได้เห็นฉากนี้ขนลุกขนชัน!

ตานฉิงแลบลิ้นเลียปากราวกับกินดื่มอิ่มแล้ว จากนั้นปล่อยร่างแห้งทิ้ง หัวเราะหึหึ มองมือถือค้อนใหญ่หมุนตัว

ศพแห้งของเสวี่ยอวี้ที่พิงบนเสาเอียงล้มอย่างช้าๆ ใครจะคิดว่าตานฉิงจะไม่ชายตามองเลยสักนิด ควงมือทุบค้อนใหญ่ไปข้างหลัง แกร๊ง! เป็นเกราะรบบนร่างเสวี่ยอวี้ที่โดนทุบ แต่กลับทำให้ศพแห้งในเกราะสะเทือนจนกลายเป็นผงปลิวออกมา เกราะรบอ่อนยวบตกลงกองบนพื้น คนเป็นคนหนึ่งเมื่อครู่นี้กลายเป็นควันสลายหายไปหมดสิ้นแล้ว

“วิปริต!” ไป๋เฟิ่งหวงกลอกตามองบน อดไม่ได้ที่จะพึมพำด่า

ศึกใหญ่จบแล้ว!

สำหรับกำลังพลของหกลัทธิ ศึกนี้ไม่ได้น่าหวาดเสียวเท่าไรนัก ไม่ได้ตระหนกตกใจอะไร ถึงขั้นไม่ได้บาดเจ็บอะไรด้วย

แน่นอน บาดแผลเล็กน้อยของตานฉิงก็ถูกเยียวยารักษาเองโดยการกระทำที่วิปริตของเขาแล้ว จะโทษคนอื่นไม่ได้ ยังมีตอนที่โดนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ครั้งสุดท้ายของเยี่ยนฉงโจมตี มีคนตายไปหลายสิบคน แต่สำหรับทัพใหญ่ทัพใหญ่หนึ่งล้าน ความเสียหายเล็กน้อยแค่นี้แทบจะสามารถมองข้ามไปได้เลย

ที่จริงนี่ก็คือผลลัพธ์ที่เหมียวอี้ต้องการ ต้องรีบแก้ไขปัญหา ถ้าลงมือแล้ว ก็ไม่อาจอยู่ที่นี่นานได้ นี่ก็คือความมั่นใจตั้งแต่ก่อนจะลงใอ

ที่จริงทัพใหญ่ทัพนี้ ไม่ว่าจะสู้กับกำลังพลกลุ่มไหนของตำหนักสวรรค์และแดนพุทธะก็ล้วนมีศักยภาพที่จะตัดสินแพ้ชนะได้ รับมือกับคนพวกนี้ง่ายราวกับหั่นผัก จะบอกว่าใช้มีดฆ่าวัวมาฆ่าไก่ก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป

ศึกใหญ่ถูกแก้ไขปัญหาไปอย่างนี้แล้ว อาศัยประโยชน์จากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เรียกได้ว่าควบคุมสถาการณ์ได้ทุกด้านจริงๆ โจมตีขณะยับยั้ง โจมตีจนอีกหลายฝ่ายไม่มีกำลังโต้ตอบ

แทบจะไม่ต้องเก็บกวาดอะไรบนสนามรบ เพราะกวาดล้างมาแล้วตลอดทาง แม้แต่ศพก็ไม่ให้เหลือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงของอย่างอื่นเลย

แต่พอตรวจค้นแล้วก็ยังพบอะไรนิดหน่อย ยังมีคนที่ยังไม่ตาย อิ๋งหยาง ฮ่าวอวิ๋นเทียน ก่วงเซิ่ง โค่วเหวินไป๋ พอถึงด่านสุดท้ายพวกเขาล้วนถูกปกป้องโดยลูกน้องคนสนิทของบรรดาอ๋องสวรรค์ คนพวกนั้นทำตัวสมกับเป็นลูกน้องคนสนิทของสี่อ๋องสวรรค์จริงๆ

เหมียวอี้ต้องการอิ๋งหยาง คนของหกลัทธิไม่รู้ว่าอิ๋งหยางเป็นใคร หลังจากสี่คนนี้ถูกหาพบจึงถูกควบคุมตัวเข้ามา

“ข้าเคยบอกแล้ว ถ้าไม่หมดหนทางจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยฝีมือของตัวเอง ใครใช้ให้เจ้าโอ้อวด? ต่อสู้เก่งนักใช่มั้ย? เก่งนักทำไมเสียใต้หล้าไปล่ะ? แล้วอีกอย่าง เมื่อครู่นี้เจ้าเพิ่งเผยโฉมหน้าที่แท้จริงไป ถ้าคนอื่นเห็นขึ้นมาจะทำยังไง?” เหมียวอี้เผชิญหน้ากับตานฉิง เอ่ยถามเสียงเย็น “คำสั่งข้าใช้ไม่ได้ผลแล้วใช่มั้ย?”

กุยอู๋ เหลิ่งจัวฉุน จ่างหง เมิ่งหรู อ๋าวเถี่ย ห้าคนนี้ดูเอาสนุกด้วยสีหน้าล้อเลียน

“สนใจแต่ความสะใจชั่วครู่ ขัดคำสั่งทหาร คนประเภทนี้จะทิ้งปัญหาให้ตามมาไม่รู้จักจบจักสิ้น ไปสู้ประหารไปเสียเลย” จ่างหงกล่าวอะไรแปลกๆ

“ใช่แล้วๆ”

“ประหารก็ดี”

“อื้ม ตบรางวัลและลงโทษให้ชัดเจนสิ”

“อามิตตาพุทธ เพื่อให้ถูกต้องตามกฎทหาร!”

อีกสี่คนได้ทีขี่แพะไล่ เหมือนกลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวาย

ตานฉิงถลึงตามองพวกเขา แล้วสุดท้ายก็กุมหมัดขออภัยเหมียวอี้ “มีคนเป็นฝ่ายท้าทายก่อน ข้าน้อยหัวร้อนไปชั่วขระ รอบข้างถูกเก็บกวาดหมดแล้ว ไม่มีใครเห็นข้าด้วย…เอาเป็นว่าข้าน้อยผิดไปแล้ว ราชาปราชญ์ได้โปรดระงับโทสะ ต่อไปไม่บังอาจผิดกฎแน่นอน!” ที่เขาเผยโฉมหน้าแท้จริงให้เสวี่ยอวี้เห็น ก็เป็นการระบายอารมณ์อย่างหนึ่งเหมือนกัน เป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งหลังจากเก็บกดมานาน อยากจะให้คนรู้ว่าเขากลับมาแล้ว แดนอเวจีขังให้เขาตายไม่ได้หรอก

ราชาปราชญ์? เยี่ยนเป่ยหงกับไป๋เฟิ่งหวงที่ยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก ราชาปราชญ์อะไรกัน? นี่มันเรื่องอะไร?

เหมียวอี้อยากจะประหารตานฉิงทิ้งจริงๆ แต่ก็รู้ว่าการประหารขุนพลใหญ่ในตอนนี้ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง จึงกัดฟันบอกว่า “จะปล่อยเจ้าไปครึ่งหนึ่ง ถ้ามีครั้งหน้านี้ ข้าไม่ให้อภัยแน่นอน!”

“ขอรับ! ขอบพระคุณราชาปราชญ์!” ตานฉิงค้อมกายขอบคุณซ้ำๆ อย่างว่านอนสอนง่าย

เหมียวอี้รู้ว่าเจ้าหมอนี่กำลังเสแสร้ง เมื่อครู่นี้ตอนหลอกเสวี่ยอวี้เขาก็เห็นชัดเจนแล้ว

“หึหึ…” ขุนพลใหญ่ที่เหลือแสยะหัวเราะ

“ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดล่ะ?” จู่ๆ เหมียวอี้ก็ยื่นมือไปหาพวกเขา

พวกเขาหัวเราะหัวเราะไม่ออกทันที ไม่ค่อยอยากจะเอาออกมาให้สักเท่าไร เดิมทีเตรียมจะกลับไปแล้วปรึกษากันอีกทีว่าจะแบ่งกันอย่างไร

ตานฉิงพึมพำ “ที่จริงก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้แล้ว พลังงานที่ใช้ได้ก็ถูกสองพี่น้องแซ่เยี่ยนใช้ไปหมดแล้ว ถ้าจะใช้อีกยังต้องเติมพลังงานใหม่ นั่นยังต้องใช้เงินอีกไม่ใช่น้อยๆ ถึงจะเติมพลังงานได้”

เหมียวอี้ไม่ได้กังวลเรื่องนี้เลย ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ใช้ไม่ได้อยู่แล้ว รอให้ในภายหลังเขานำไข่มุกวิญญาณจำนวนมากออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ยังกลัวจะเติมพลังงานไม่ไหวอีกเหรอ ถึงตอนนั้นเมื่อบวกอานุภาพของไข่มุกวิญญาณไปด้วย มันถึงจะดุร้ายอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้นในมือเขาก็ยังมียาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดอยู่เม็ดหนึ่ง ถึงแม้ไม่อาจเติมพลังงานจนเต็มได้ แต่อานุภาพยามยิงลูกธนูไม่กี่ดอกก็ยังมีอยู่

“ราชาปราชญ์ ท่านบอกว่าของที่ได้จากการรบครั้งนี้จะให้หกลัทธิแบ่งกันไม่ใช่เหรอ?” เมิ่งหรูก็สงสัยเช่นกัน

“นอกจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์” เหมียวอี้ไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย

พวกเขาไม่มีทางเลือก สุดท้ายก็นำของออกมาแต่โดยดี บางคนนำลูกธนูออกมา บางคนนำคันธนูออกมา

เหลิ่งจัวฉุนที่ยื่นคันธนูถอนหายใจแล้วบอกว่า “ที่จริงศึกนี้ถ้าได้จับเป็นจะดีขนาดไหน สามารถหลอมยาเจี๋ยตันขั้นเจ็ดได้ไม่น้อยเลย น่าเสียดายแล้ว”

“ถ้าข่าวหลุดออกไป ถ้าปกป้องชีวิตตัวเองไม่ได้ แล้วจะเอาของมากกว่านี้ไปใช้ทำประโยชน์บ้าอะไรได้? ตราบใดที่ยังรักษาพลังไว้ได้ ในภายหลังยังจะไม่มีโอกาสรวยเชียวเหรอ?” เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัด เขาย่อมรู้ว่าจับเป็นดีกว่า แต่การจับเป็นเปลืองแรงเกินไป แบบนั้นต้องสู้ไปจนถึงเมื่อไรกัน

ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาในเมื่อก่อน เป็นพวกที่มีวรยุทธ์บงกชขาวขั้นสามแต่กล้าไปแสวงหาความร่ำรวยที่ทะเลดาวนักษัตร แต่เขาในตอนนี้มีความคิดที่ต่างออกไปแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือสถานภาพไม่เหมือนกันแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาก็ไม่ขาดแคลนเงินทอง ตราบใดที่ไม่ฟุ่มเฟือย ช่องทางรายได้ของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกก็เลี้ยงเขาได้อย่างไม่มีปัญหา

ในตอนนี้ อิ๋งหยาง ฮ่าวอวิ๋นเทียน ก่วงเซิ่ง โค่วเหวินไป๋ที่โดนค้นตัวจนเกลี้ยงถูกคุมตัวเข้ามาแล้ว ถูกกดให้นั่งคุกเข่าโดยมีดาบจ่อคอ

“พวกตานฉิงยืนแยกกัน หลีกทางให้เหมียวอี้”

อิ๋งหยางถามอย่างตกใจ “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่? พวกเจ้ารู้มั้ยว่าพวกเราเป็นใคร? ฝ่าบาททำกับพวกเราแบบนี้ได้ยังไง!”

เหมียวอี้ยืนอยู่ตรงหน้าคนพวกนี้ ไม่สนใจอิ๋งหยาง สายตาจ้องไปที่โค่วเหวินไป๋

โค่วเหวินไป๋ก็เป็นเหมือนชื่อ ใบหน้าซีดขาว ไม่เคยนึกมาก่อนว่าตัวเองจะตกต่ำถึงขั้นนี้

หลังจากสบตากับเหมียวอี้พักหนึ่ง ถึงแม้เหมียวอี้จะสวมหนังปลอมบนใบหน้า แต่เมื่อมองไปเรื่อยๆ โค่วเหวินไป๋ก็รู้สึกได้รางๆ ว่าคุ้นเคยกับดวงตาของเหมียวอี้มาก พอมองรูปร่างของเหมียวอี้อีกครั้ง แล้วนึกเชื่อมโยงกับใครบางคนที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางครั้งนี้ จู่ๆ เขาก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้ ดวงตาสองข้างพลันเบิกกว้าง ดิ้นรนร่างกายพร้อมอุทานว่า “เป็นเจ้าเหรอ หนิว…”

ผลปรากฏว่าถูกคนข้างหลังกดไว้ ภายใต้การควบคุมของพลังอิทธิฤทธิ์ เขาเปล่งเสียงไม่ออกสักคำแล้ว แต่สายตาที่มองเหมียวอี้กับเต็มไปด้วยไฟโกรธ ขณะเดียวกันก็มีความเคลือบแคลงสงสัยมากมาย สรุปก็คือสีหน้าเหมือนคนใกล้จะเป็นบ้าประสาทเสีย

เหลิ่งจัวฉุนชี้อิ๋งหยาง “คนนี้เก็บไว้ ที่เหลือประหารให้หมด” ตอนที่จับตาดูอยู่ก่อนหน้านี้ เขาก็เคยเห็นอิ๋งหยางมาแล้ว รู้เช่นกันว่าเหมียวอี้ต้องการตัวคนนี้

ขณะอีกสามคนกำลังจะลากอีกสามคนไปประหาร ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับยกมือห้าม “ช่างเถอะ! เก็บไว้ก่อน บางทีตอนหลังอาจจะใช้ประโยชน์ได้” ยังไม่ต้องพูดถึงประโยชน์อย่างอื่น อย่างไรเสียอวิ๋นจือชิวก็ยังอยู่ที่จวนตระกูลโค่ว ถ้าตระกูลโค่วสังเกตได้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วเอาอวิ๋นจือชิวมาบีบ อย่างน้อยในมือเขาก็ยังมีไพ่อยู่ใบหนึ่ง

เป็นเพราะมีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นเหนือแผนการ เขานึกไม่ถึงว่าการใช้สำนักหลัวช่าล่อไพ่ลับของตระกูลอิ๋งจะทำให้อีกสามบ้านมาช่วยตระกูลอิ๋งด้วย จึงฆ่ากำลังพลของตระกูลโค่วไปแล้วโดยไรทางเลือก ทว่าการปะทะกับตระกูลโค่วอาจจะคุกคามความปลอดภัยของอวิ๋นจือชิว

ทั้งสี่คนถูกเก็บเอาไว้อย่างนี้แล้ว ทัพใหญ่หกลัทธิก็เริ่มรวมตัวกลับที่เดิมเช่นกัน

สำหรับกำลังพลทัพใหญ่หกลัทธิที่ได้ออกมา ภารกิจครั้งนี้นับว่าเสร็จสิ้นแล้ว แต่สำหรับเหมียวอี้ที่ยังถือระฆังดาราติดต่อกับฝั่งตลาดผีตลอด เขารู้อย่างลึกซึ้งว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้น การใช้กำลังพลของหกลัทธิจำนวนมากมาทำเรื่องในครั้งนี้ ที่จริงก็ไม่ได้อันตรายเท่าไรนัก เพราะอันตรายกับละครเด็ดที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้น

…………………………

ที่จริงตอนที่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์นับไม่ถ้วนง้างสายเล็งมาทางนี้ กำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์ก็ยังไม่เชื่อว่ากำลังพลตำหนักสวรรค์พวกนี้จะโจมตีพวกเขาจริงๆ

แต่ตอนที่ลำแสงนับไม่ถ้วนยิงออกมา กำลังพลของอ๋องสวรรค์ถึงได้กลัวแล้วจริงๆ ลนลานทำอะไรไม่ถูก

สวยงาม เป็นความงามที่ลำแสงนับไม่ถ้วนผสมผสานกัน งดงามจนทำให้วิญญาณสั่นสะท้าน แต่กำลังพลพวกนี้กลับไม่มีอารมณ์มาชื่นชม

หยิบโล่ขึ้นมาขวาง รีบเหาะลงพื้นอย่างรวดเร็ว อาศัยฉากกำบังธรรมชาติช่วยบังให้ แต่นี่ไม่ใช่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนน้อยๆ เหมือนก่อนหน้านี้ แต่เป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์นับล้านที่ยิงพร้อมกัน แถวหน้าก็ยิ่งมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหก ถ้าไม่หลบแล้วจะทนรับไหวหรือ?

ร่างทิพย์ของนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์รีบรวมเป็นหนึ่ง ไม่อย่างนั้นพลังของร่างทิพย์จะกินแรงมากเวลาต้านทาน ประเด็นสำคัญคือโค่วหู่ยังไม่ลืมที่จะดึงโค่วเหวินไป๋ให้ทันท่วงที เสี่ยงอันตรายท่ามกลางธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ จับเขายัดไว้ในกระเป๋าสัตว์ของตัวเอง

คำสั่งของท่านอ๋องก็ส่วนคำสั่งของท่านอ๋อง การที่สามารถถูกท่านอ๋องมองเป็นลูกน้องคนสนิทได้ เรื่องบางเรื่องถ้าไม่ทำให้ดีก็ไม่เรียกว่าเป็นลูกน้องคนสนิท

ปั้งๆๆ…

เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นที่ดังอยู่ในป่าเหล็กด้านล่างทำให้คนหูแทบแตก คลื่นระเบิดที่รุนแรงเหนือกว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดนั่นตั้งเยอะ ทั้งยังเป็นคลื่นระเบิดที่ม้วนกระจายอย่างไร้ระเบียบด้วย

กระแสอากาศที่รุนแรงกลุ่มนี้สร้างปัญหาที่ใหญ่มากให้นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ ราวกับอยู่ในศึกที่วุ่นวายของทัพใหญ่ พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมม้วนนี้ไม่ปกติ แม้แต่เกราะลมปราณของนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ก็ยังทำให้เจ้ารู้สึกปั่นป่วนได้เช่นกัน ยามอยู่ในการเข่นฆ่าของทัพใหญ่ ความโอ่อ่าทรงพลังของนักพรตระดับสูงก็ใช้งานไม่ได้เลย

หลักการนี้ก็เทียบได้กับคนตัวสูงคนหนึ่งที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำตื้นได้อย่างอิสระ แต่เมื่อไปอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ เมื่ออยู่ท่ามกลางคลื่นที่โหมซัดสาด ต่อให้พลังของเจ้าจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็ทำได้เพียงไหลไปตามกระแสน้ำ

ตอนที่ฝาธนูยิงมาถึงตัว กำลังพลส่วนใหญ่ของสี่อ๋องลงไปหลบในป่าเหล็กไม่ทันเวลา จึงถูกยิงกลางอากาศจนร่างพรุนเป็นรูตะแกรง “อา…” เสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วนถูกเสียงเสียงดังตูมตามที่ดังก้องกลบไป

ต่อให้โชคดีอยู่ใกล้แล้วหลบเข้าป่าเหล็กด้านล่างได้ทัน แต่จนใจที่วรยุทธ์ต่ำต้อยเกินไป จึงถูกแรงระเบิดมหาศาลและเสียงดังสะเทือนจนเลือดไหลออกปากและจมูก ถูกกระแสอากาศที่ปั่นป่วนพัดม้วนออกมา ไปรวมกับศพที่ปลิวว่อนอยู่รอบๆ แล้วชนกระแทกไปทั่ว

ปรากฏการณ์ประหลาดอย่างนี้มีให้เห็นที่ชั้นห้าของน้ำพุวังเวงเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้หลบเข้าป่าเหล็กได้แต่ก็ยากที่จะรอดพ้นหายนะ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์นับล้านยิงพร้อมกัน หลังจากโดนเล็งแม่นแล้ว ป่าเหล็กจะช่วยให้เจ้าหลบพ้นได้สักกี่ดอกเชียว? นี่เป็นการยิงโจมตีจากสี่ด้านแปดทิศโดยไร้จุดบอด ขนาดจะหลบยังไม่มีทางให้หลบเลย

แค่ยิงโจมตีไประลอกเดียวเท่านั้น นักพรตที่ระดับต่ำกว่าบงกชกลายตายเกลี้ยงในชั่วพริบตาเดียว

นักพรตบงกชกลายบางส่วนก็รอดยากเช่นกัน อย่าว่าแต่นักพรตบงกชกลาย ขนาดนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ก็ยังมีจุดจบที่น่าอนาถเลย

ท่ามกลางเสียงดังตูมตาม อูกานยกโล่ดันทุรังต้านการโจมตีจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหกนับร้อยดอก โล่สะเทือนกลายเป็นผุยผง ต่อให้พยายามดิ้นรนป้องกันจุดสำคัญ แต่ตอนที่บนร่างกายถูกลูกธนูนับพันยิงโดน เกราะรบก็ยังระเบิดกลายเป็นผุยผงคาที่ ร่างสะเทือนจนกระอักเลือด ในขณะที่บาดเจ็บสาหัสอยู่นั้น เขาพยายามคว้าแท่งเหล็กเอาไว้ไม่ให้ถูกกระแสอากาศพัดม้วนไป แต่ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรมาก ก็ถูกลูกธนูดาวตกอีกนับไม่ถ้วนยิงซ้ำอีกไม่ขาดสาย ลูกธนูแทงทะลุเข้าร่างกายแล้ว

อูกานถลึงตาโต นิ้วทั้งห้าคลายออก สุดท้ายก็ปล่อยมืออย่างสิ้นหวัง ร่างกายถูกกระแสอากาศที่รุนแรงพดม้วนออกไปแล้ว

เสวี่ยอวี้ที่อยู่ไม่ไกลเห็นการตายของอูกานเองกับตา นางสีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะประสบกับเรื่องแบบนี้ที่น้ำพุวังเวง นอกจากจะได้สู้กับตระกูลอิ๋งโดยไม่ทราบสาเหตุแล้ว จากนั้นก็ได้สู้กับกำลังพลของสี่อ๋องอีก ตอนนี้ยังถูกทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์ล้อมหมายเล่นงานให้ถึงตาย ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์จะฆ่าแม้กระทั่งกำลังพลของสี่อ๋องสวรรค์ หรือว่าจะเป็นกองทัพองครักษ์จริงๆ? นางทั้งกลัวทั้งตกใจ ถึงขั้นรู้สึกโง่งง ท่ามกลางเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น นางไม่รู้ว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่

แต่นางก็โชคดีกว่าอูกานเยอะ เข่นฆ่ามาสักพักแล้ว ค่อนข้างคุ้นเคยกับสภาพพื้นที่ เมื่อสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล นางก็ถลันลงไปหลบในช่องว่างระหว่างเสาเหล็กหลายต้นที่ไขว้กันได้ทันเวลา เสาเหล็กที่ทนทานช่วยลดการโจมตีให้นางได้หลายส่วนมาก

คนที่หลบได้ทันเวลาไม่ได้มีแค่นางคนเดียว

ทว่าทัพใหญ่ล้อมโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้โอกาสนางได้พักหายใจเลย

“ฆ่า!” มีเสียงตะโกนดังขึ้น

ทัพใหญ่หนึ่งล้านรอบๆ รวมตัวเข้ามาเร็วมาก เบียดอัดพื้นที่ซ่อนตัวของพวกเขาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ใช้กำลังปะทะกับพวกเขาโดยตรง ง้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ประชิดเข้ามา

คนเป็นที่อยู่ท่ามกลางกระแสอากาศที่เริ่มอ่อนลง ยังไม่ทันได้ยืนให้มั่นคง ก็ถูกแสงดาบที่ไขว้กันเข้ามาอย่างรวดเร็วเหมือนตาข่ายฟันศีรษะแล้ว แม้แต่ศพก็ไม่ปล่อยไปเช่นกัน ถูกดาบฟันซ้ำร่างแล้วร่างเล่า ศีรษะถูกฟันกระเด็นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ศพบนพื้นก็ไม่ละเว้น เมื่อแสงเย็นแวบผ่าน ศีรษะกับร่างกายที่อยู่คนละที่กันถึงได้นับว่าถึงจุดจบ เรียกได้ว่าเก็บกวาดจนหมดเกลี้ยง!

เสวี่ยอวี้รีบเรียกบงกชขาวพันใบออกมา หมายจะเล่นวิธีการเดิม

ดาบของแม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งชี้ไป ลูกธนูดาวตกนับพันยิงออกมาทันที บึ้ม! บงกชขาวพันใบเพิ่งจะขยายใหญ่ขึ้น แต่ก็ถูกยิงจนระเบิดเป็นฝุ่นผงทันที

อานุภาพของลูกธนูดาวตกที่โจมตีรวมกันไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น คนพวกนี้ถูกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ข่มเหงอยู่ในแดนอเวจีมาหลายปี จึงรู้ถึงอานุภาพของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ดีเกินไป เข้าใจธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อย่างลึกซึ้งเป็นพิเศษ

ยอดฝีมือของสี่อ๋องที่หลบอยู่ มีใครบ้างที่ไม่พกของวิเศษหลายชิ้น ทั้งที่รู้อยู่แจ่มชัดว่าของวิเศษพวกนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์ยามต่อสู้ในทัพใหญ่ แต่กลับโยนออกมาใช้ไม่ขาดสาย และถูกลูกธนูดาวตกยิงจนระเบิดอย่างต่อเนื่อง

ต่อให้ไม่มีลูกธนูดาวตก แต่เผชิญหน้ากับกำลังพลมากขนาดนี้ มียอดฝีมือเยอะขนาดนี้ แล้วจะต้านทานได้สักแค่ไหนเชียว? ไม่มีประโยชน์เลย

เฟี้ยวๆๆ! ทันใดนั้นลูกธนูดาวตกที่หนาแน่นเหมือนพายุฝนก็ยิงไปหาจวงจื้อเกาที่อยู่ใต้ดงเสาเหล็ก ข้างในเกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น โลหะระเบิดเป็นผุยผง

ตามติดด้วยคนหลายสิบคนที่พุ่งเข้าไป ทวนยาวแทงเข้าไปในซอกร่องของเสาเหล็กอย่างไม่ปรานี เกิดเสียงดังฉึกๆ ราวกับแทงหนังฟอกพักหนึ่ง

สุดท้าย แม่ทัพเกราะม่วงคนหนึ่งก็ปาดทวนสอยร่างของจวงจื้อเกาที่ยังดิ้นทุรนทุรายขึ้นมา เลือดสดไกลหยดเต็มตัว แม่ทัพเกราะม่วงอีกคนกระโจนพรวดเข้ามา แสงสะท้อนคมดายสายหนึ่งแวบผ่าน ฟันศีรษะของจวงจื้อเกาขาดแล้ว

เบื้องบนมีความคำสั่ง : มีแต่ตายไม่มีรอด ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ เห็นแล้วฆ่าให้หมด!

ตามการล้อมกวาดล้างที่รวดเร็วของทัพใหญ่ ยอดฝีมือแต่ละคนที่ซ่อนตัวอยู่ถูดตัดศีรษะเร็วมาก

บึ้ม! กระแสอากาศที่รุนแรงสายหนึ่งระเบิดออก ลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดในป่าเหล็กโผล่มาอีกครั้ง ยิงอย่างบ้าคลั่งไปทางทัพใหญ่ที่ประชิดเข้ามา

เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ราวกับฝ่าน้ำตัดคลื่น ลูกธนูดาวตกโจมตีจนกำลังพลม้วนกลิ้งเป็นกอง

สองพี่น้องแซ่เยี่ยนฉวยโอกาสทะยานฟ้าสังหารออกมา เยี่ยนสุยถือโล่คู่บังข้างกาย บึ้ม! เยี่ยนฉงง้างสายธนูยิงธนูดอกที่สองขึ้นฟ้าอีกครั้ง สองพี่น้องเรียกได้ว่ากำลังดิ้นรนจากความตาย

ตานฉิงที่กลายเป็นลำแสงแวววาวสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า

ชั่วพริบตาเดียวก็มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เป็นกองเล็งไปยังสองพี่น้องแซ่เยี่ยน ใครจะคิดว่าตานฉิงจะตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หยุดมือ!” หยุดยั้งสายธนูที่ง้างออก

เหมียวอี้ที่อยู่นอกสถานการณ์สู้รบตกใจทันที เจ้าเวรนี่คิดจะทำอะไร อย่าบอกนะว่าไม่รู้ถึงความร้ายกาจของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด!

ขณะที่เห็นตานฉิงตะโกนเสียงดัง ค้อนเหล็กใหญ่สองด้ามก็อยู่ในมือ เขาไม่หลบหลีกไปไหนทั้งนั้น หลบไม่ไหวแล้วจริงๆ ลูกธนูดาวตกสามารถเลี้ยวไล่สังหารได้ แต่เขาควงแขนขว้างค้อนเหล็กใหญ่ด้ามหนึ่งออกไป ทุบถล่มไปยังลำแสงที่ยิงเข้ามา

แกร๊ง! ลูกธนูดาวตกปรากฏร่าง ปักอยู่บนค้อนเหล็กใหญ่อย่างแรง ทำให้ค้อนเหล็กใหญ่กระเด็นออกไปแล้ว บนค้อนเหล็กใหญ่ปรากฏช่องโหว่ ลูกธนูดาวตกไม่เปลี่ยนทิศทาง แต่ความเร็วลดลง ยังคงเฉียงไปตรงหน้าตานฉิงเหมือนเดิม

ปั้ง! พอค้อนเหล็กใหญ่ในมืออีกข้างของตานฉิงโบกเข้ามา ก็ทำให้ลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดที่ยิงเข้ามาตรงหน้ากระเด็นออกไปแล้ว ส่วนตัวเขาก็หมุนต้านแรงอยู่ภายใต้แรงระเบิด คนยังไม่ทันหยุดนิ่ง ก็ทำราวกับว่าตัวเองไม่เป็นอะไร ควงค้อนสังหารไปยังสองพี่น้องแซ่เยี่ยนที่พุ่งเข้ามาแล้ว ราวกับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดเลย

เหมียวอี้กระตุกมุมปาก พลังโจมตีอันร้ายกาจขนาดนี้ของลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ด ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกตานฉิงแก้ไขได้อย่างง่ายดายขนาดนี้?

เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตานฉิงเผชิญหน้ากับลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ด

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งที่อยู่ข้างล่างคว้าค้อนเหล็กใหญ่ที่ตกลงมา แล้วสะบัดขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง

ท่ามกลางสายตาจำนวนมาก สองพี่น้องแซ่เยี่ยนที่อยู่บนฟ้า คนหนึ่งถือทวนยาว คนหนึ่งถือดาบยาว คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลัง ร่วมมือกันสังหารออกมา ชั่วพริบตาเดียวก็ปะทะกับตานฉิงแล้ว

เยี่ยนฉงสังหารอยู่ข้างหน้าควงดาบฟันอย่างบ้าคลั่ง คมดาบเปลี่ยนแปลงหลายกระบวนท่า

ทันใดนั้นร่างกายของตานฉิงก็เปลี่ยนแปลงกลับกลอก ทั้งตัวหมุนวนอย่างรวดเร็ว ควงค้อนทุบอย่างบ้าระห่ำ ค้อนพายุหมุนไม่สนใจว่าคมดาบขอเจ้าจะเปลี่ยนแปลงกี่ท่า ถ้าเจ้าฟันข้าหนึ่งดาบ ขณะเดียวกันข้าก็จะทุบเจ้าหนึ่งค้อน กดดันจนเยี่ยนฉงจำเป็นต้องใช้ดาบรับมือกับค้อนใหญ่

แกร๊ง! ดาบใหญ่โดนชนจนเอียง แต่ตานฉิงกลับหมุนไม่หยุด ค้อนใหญ่ควงหนึ่งรอบ พอรอบที่สองค้อนก็มาถึงตรงหน้าเยี่ยนฉงในชั่วพริบตาเดียว

เยี่ยนฉงถลึงตาด้วยความตกใจ นึกไม่ถึงว่าจะเจอกับวิธีการต่อสู้ที่ร้ายกาจถึงตายแบบนี้ แต่ค้อนกับวิธีการต่อสู้แบบนี้เหมือนเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน อยากจะหลบก็หลบไม่ทันแล้ว

แกร๊ง! เยี่ยนฉงที่ถูกค้อนทุบกระเด็นเลือดสาด เพียงชั่วพบหน้ากันก็ถูกตานฉิงทุบกระเด็นแล้ว ในขณะที่สาหัสเลอะเลือนก็ถูกคนข้างล่างพุ่งเข้ามารัวดาบฟันจนสิ้นชีพ

เยี่ยนสุยที่ตามเข้ามาเข้ามาดูแลเยี่ยนฉงไม่ทัน แทงทวนเข้าไปหนึ่งครั้งอย่างแรง

ตานฉิงไม่หลบไปไหน ยังคงใช้วิธีการต่อสู้ที่ไม่กลัวตายแบบนั้น ควงค้อนพายุหมุนอย่างรวดเร็ว

เมื่อมีบทเรียนจากเยี่ยนฉงแล้ว เยี่ยนสุยกลับไม่ตกหลุมพรางนี้ แต่ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงยอมแลกทุกอย่างแล้ว ไม่เชื่อหรอกว่าคนที่ชนะแน่นอนอย่างเจ้าจะเดิมพันชีวิตกับข้า

ใครจะคิดว่าตานฉิงก็ไม่หลบหลีกจริงๆ ปล่อยให้เกราะรบตรงส่วนท้องถูกโจมตีอย่างแรง “ฉึก” ขณะที่มีเลือดไหลออกมา เขาก็อาศัยโอกาสตอนที่ทวนยาวแทงตัวเองคว้าด้ามทวนเอาไว้ ค้อนใหญ่หลุดจากมือ ถล่มไปที่ร่างกายท่อนบนของเยี่ยนสุยราวกับอัสนีบาตฟาดใส่

ค้อนมีขนาดใหญ่เกินไป ทั้งยังอยู่ในระยะที่ใกล้ขนาดนี้ เยี่ยนสุยไม่มีทางหลบได้ รีบปล่อยมือจากทวน ใช้ฝ่ามือสองข้างดันออกมา ถล่มค้อนใหญ่ที่ทุบเข้ามา

บึ้ม! ค้อนถูกเขาผลักจนกระเด็นเบี่ยงไป แต่แขนสองข้างกลับสะเทือนจนกระดูดหัก กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง

ใครจะคิดว่าเงาค้อนใหญ่เพิ่งจะกระเด็นออกไป แต่ก็มีค้อนใหญ่อีกด้ามทุบเข้ามาอีกแล้ว

ตานฉิงใช้มือคว้าค้อนใหญ่ที่ลูกน้องโยนกลับมาให้ แล้วหมุนตัวใช้แขนข้างเดียวควงค้อนทุบจากบนลงล่าง

แกร๊ง! ค้อนทุบโดนเกราะหัวของเยี่ยนสุยพอดี เกราะหัวโดนทุบแบน ศีรษะที่อยู่ใต้เกราะหัวถูกทุบจนเลือดสดระเบิดออกมา เศษเลือดเศษเนื้อร่วงบนพื้น

เหมียวอี้ที่ดูอยู่ข้างนอกพูดไม่ออกแล้วจริงๆ นี่มันคนอะไรกัน ช่างไม่กลัวตายจริงๆ ชั่วพริบตาเดียวก็กำจัดนอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ไปแล้วสองคน ดูง่ายอย่างกับอะไรดี

“ช่างสมกับเป็นลูกผู้ชาย!” เยี่ยนเป่ยหงพึมพำ มองจนตาลุกวาว เลือดร้อนในกายเดือดพล่านๆ เคยเห็นคนโหดมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครโหดขนาดนี้เลย!

ตอนนี้ตานฉิงที่หมุนตัวอยู่กลางอากาศถึงได้คว้าทวนยาวที่หัวทวนแทงทะลุเกราะรบเข้าท้องไปแล้วครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ดึงทิ้งจนะเลือดสาด แล้วคว้าค้อนด้ามดึงที่ข้างล่างโยนกลับมาอีกครั้งอย่างสบายมือ แกร๊ง! แขนสองข้างควงค้อนตีกันหนึ่งที เสียงดังสะเทือนฟ้า แล้วเงยหน้าหัวเราะลั่น ไม่สนใจใยดีอาการบาดเจ็บของตัวเองเลยสักนิด

“เยี่ยม!” ทัพใหญ่ข้างล่างพลันส่งเสียงให้กำลังใจราวกับเสียงระลอกคลื่น

…………………………

มังกรเจอน้ำตื้น ทรงพลังไม่ดับสูญ!

ไป๋เฟิ่งหวงกับเยี่ยนเป่ยหงหันกลับไปมองอ๋าวเถี่ยพร้อมกัน ทั้งสองอึ้งนิดหน่อย ถูกคำพูดของอ๋าวเถี่ยทำให้ตกใจแล้ว

ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สิบแปดคน? ระดับบงกชกลายสามร้อยคน? ทัพใหญ่หนึ่งล้าน? อยู่ไหนล่ะ? ขู่กันเฉยละมั้ง? ทั้งสองมองเขาอย่างตะลึงงัน

หลังจากค่อยๆ ขบคิดตาม ขมับของเยี่ยนเป่ยหงก็เต้นตุ้บๆ ทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งของหกลัทธิ? หกลัทธิ? หกลัทธิสมัยก่อนน่ะเหรอ?

อ๋าวเถี่ย เหมือนเขาจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนนะ เป็นผู้เหลือรอดของประมุขยุคก่อนใช่มั้ย?

ไป๋เฟิ่งหวงค่อยๆ เผยแววตาตกตะลึง ตอนแรกยังไม่รู้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นใคร เหมียวอี้ไม่ได้บอก ตอนนี้ไม่รู้ว่าเหมียวอี้อยู่ในอารมณ์ไหน หลุดปากพูดคำว่า ‘อ๋าวเถี่ย’ ออกมา และคำตอบของอ๋าวเถี่ยก็ยิ่งทำให้อกสั่นขวัญแขวน พิสูจน์ชื่อของ ‘อ๋าวเถี่ย’ แล้ว

ผู้ที่เรียกขุนนางตำหนักสวรรค์ของสี่อ๋องสวรรค์ว่าโจรกบฏ ก็ไม่ต้องคิดมากแล้วว่า ‘อ๋าวเถี่ย’ เป็นใคร

ขณะที่กำลังใช้ความคิด ไป๋เฟิ่งหวงก็หลุดถามว่า “เจ้าคืออ๋าวเถี่ย ขุนพลใหญ่ของประมุขปราชญ์ลัทธิอู๋เลี่ยงเหรอ?”

“ใช่แล้วยังไง เจ้าไม่พอใจเหรอ?” อ๋าวเถี่ยมองเหยียด

ไป๋เฟิ่งหวงมองเขาศีรษะจดเท้า แล้วถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ายังไม่ตายนี่! ไม่ถูกสิ เจ้าโดนขังไว้ในแดนอเวจีไม่ใช่เหรอ? ทำไมหนีออกมาได้ล่ะ?”

อ๋าวเถี่ยขี้คร้านจะสนใจนาง ไป๋เฟิ่งหวงไม่สบอารมณ์ทันที เดาะลิ้นแล้วบอกว่า “เจ้าอารมณ์ เจ้าคิดว่าตัวเองเจ๋งมากนักเหรอ? ปีนั้นที่โดนประมุขไป๋ตีจนหนีเยี่ยวราด ไม่เห็นลำพองใจขนาดนี้เลย?”

“เจ้าว่าอะไรนะ?” อ๋าวเถี่ยถามเสียงต่ำ

ไป๋เฟิ่งหวงกอดอกกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง “อย่านึกว่าเจ้าใส่หน้ากากแสร้งทำตัวเป็นหลานชายแล้วจะขู่กันได้นะ ถ้าข้าเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา อีกประเดี๋ยวเจ้าคงตกใจ”

“อ๋อเหรอ!” อ๋าวเถี่ยแสยะยิ้ม “งั้นข้าก็จะตั้งตารอ!”

“พอแล้ว!” เหมียวอี้พูดตัดบท พบว่าตัวเองลืมตัวเสียอาการไปชั่วขณะ เปิดเผยตัวตนของอ๋าวเถี่ยแล้ว หลังจากไกล่เกลี่ยแล้วก็ถามอ๋าวเถี่ยต่อ “อย่าประเมินศัตรูต่ำไป ทิ้งระยะห่างหลายปีแล้ว พวกเจ้าถูกขัง ขาดแคลนทรัพยากรฝึกตน แต่พวกเขามีทรัพยากรเต็มเปี่ยม เจ้าแน่ใจเหรอว่าจะเอาชนะได้? ในเมื่อลงมือแล้ว ก็ต้องจัดการให้เรียบร้อย ข้าไม่อยากให้มีคนหนีไปได้!”

อ๋าวเถี่ยเหล่ตามองไป๋เฟิ่งหวงแวบหนึ่ง ผลปรากฏว่าไป๋เฟิ่งหวงเชิดคาง ให้ความรู้สึกเหมือนตาต่อตาฟันต่อฟัน

นี่ไม่ใช่เวลามาต่อสู้กันเองภายใน อ๋าวเถี่ยข่มไฟโกรธเอาไว้ ขี้คร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับนาง หันกลับมาตอบเหมียวอี้ว่า “วรยุทธ์ระดับพวกเรา ตามปกติแล้วต่อให้มีทรัพยากรเพียงพอก็ก้าวหน้าได้ยากอยู่ดี ถึงจะทิ้งระยะห่างหลายปี แต่ความแตกต่างก็ไม่ได้ทิ้งห่างกันเท่าไร พวกเขาไม่ได้เหนือกว่าได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ท่านวางใจเถอะ ขอเพียงพวกเราลงมือ รับรองว่าพวกเขาไม่รอดสักคนแน่!”

“ดี!” เหมียวอี้กล่าวอย่างเด็ดขาด จ้องมองสนามรบที่กำลังเข่นฆ่ากันด้วยแววตาเยียบเย็น “เริ่มเก็บกวาด จัดการสายตาที่อยู่รอบๆ ให้สะอาดเกลี้ยงก่อน แล้วค่อยกำจัดทิ้งให้ข้าให้หมด ลงมือเถอะ!”

“ขอรับ!” อ๋าวเถี่ยกุมหมัดคารวะ ในดวงตาฉายแววตื่นเต้นเหมือนกระหายเลือด รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อคนที่เหลือ แล้วมุดออกไปอย่างรวดเร็ว

ไป๋เฟิ่งหวงกับเยี่ยนเป่ยหงมองหน้ากันเลิกลั่ก ภาพที่อ๋าวเถี่ยเพิ่งกุมหมัดคารวะเมื่อครู่นี้ทำให้ทั้งสองตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหมอนี่จะออกคำสั่งกับอ๋าวเถี่ยได้

“เป็นไปไม่ได้! ในปีนั้นประมุขปราชญ์หกลัทธิถูกเขาบีบให้ตาย เจ้าพวกนี้ก็ถูกเขาขังไว้ในแดนอเวจีเหมือนกัน ควรจะเป็นศัตรูกันสิ ทำไมมาเชื่อฟังคำสั่งเจ้าได้ล่ะ? หรือว่าเจ้าพาพวกเขาออกมา พวกเขาถึงได้ซาบซึ้งน้ำใจเจ้า ไม่ถูกสิ เจ้าพวกนี้แต่ละคนใช้ไม้อ่อนด้วยไม่ได้ ไม่ใช้ร่างกายตอบแทนหรอก บอกมาสิ นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ไป๋เฟิ่งหวงบ่นไม่หยุด ในแววตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เหมียวอี้ยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน ไม่ได้สนใจนางเลย ดวงตาจ้องเพียงกำลังพลตระกูลโค่วที่กำลังเข่นฆ่าอยู่ในสนามรบ ความเย็นเยือกล้ำลึกในดวงตายากจะหายไป หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิวที่ตัวอยู่กับตระกูลโค่ว

เขาบอกอวิ๋นจือชิวเพียงประโยคเดียวว่า : ถ้าตระกูลโค่วรังแกเจ้า เจ้าก็เผยภูมิหลังลัทธิมารของเจ้ามาคุมให้พวกเขาสงบได้เลย!

จากนั้นไม่ว่าอวิ๋นจือชิวจะถามอย่างกระวนกระวายอย่างไร เขาก็ไม่ตอบอีก ลักษณะท่าทางดุดันเย็นชา

หลังจากติดต่อกับขุนพลใหญ่หกลัทธิแล้ว ก็แยกย้ายกันไปหกทิศทาง ทิ้งระยะห่างอีกครั้ง

หลังจากออกจากสนามรบไปไกลแล้ว ตรงหกสถานที่ของหกทิศทาง มีทหารสวมเกราะรบปรากฏตัว กระจายตัวจากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นพันจากพันเป็นหมื่น ชั่วพริบตาเดียวก็มีกำลังพลกลุ่มใหญ่ที่สวมเครื่องแบบตำหนักสวรรค์ปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางป่าเหล็ก บนใบหน้าภายใต้เกราะหัวล้วนคลุมผ้าดำ เปิดเผยเพียงดวงตา

ตามคำสั่งที่ถ่ายทอดลงไป กำลังพลที่อยู่ในหกจุดรีบเรียงแถวหน้ากระดาน กระจายไปฝั่งซ้ายและขวาราวกับกางแขนสองข้าง ต่อหัวต่อหางกันไปเรื่อยๆ เป็นวงกว้างขนาดใหญ่ ก่อตัวเป็นรูปวงกลมขนาดใหญ่มาก

หลังจากวางกำลังเป็นรูปวงกลมสำเร็จแล้ว ก็ดันเข้าไปยังจุดศูนย์กลางอย่างรวดเร็ว ใช้วิธีเหาะขนาบกับพื้นเข้าไปท่ามกลางป่าเหล็ก ขณะเดียวกันก็สลับตำแหน่งซ้ายขวาไม่หยุด กำลังพลหนึ่งล้านทั้งหมดปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาครอบคลุมบริเวณกว้าง สลับตำแหน่งกันค้นหา ไม่ปล่อยผ่านไปแม้แต่ซอกมุมเดียว

มีค้างคาวขาวรัตติกาลถูกทำให้ตกใจบินออกมา ขุนพลใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งถลันตัวขึ้นมา แสงสะท้อนคมดาบวาดผ่านหนึ่งครั้ง ค้างคาวขาวรัตติกาลทั้งหมดตัวขาดครึ่งท่อนตกลงพื้น

ไม่มีใครไปจับค้างคาวขาวรัตติกาลพวกนั้น ไม่สนด้วยว่าพวกมันจะมีราคาหรือไม่ คำสั่งทหารหนักแน่นดุจขุนเขา อย่าให้เหลือรอดชีวิต ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเห็นก็ฆ่าฟันให้หมด!

บางคนที่ดักซุ่มอยู่ในป่าถูกกำลังพลรุกคืบเข้ามาทำให้ตกใจจนเผยตัวออกมา พุ่งขึ้นฟ้าหมายจะหนีเข้าไปที่ตาน้ำพุ

พรึ่บๆๆ แม่ทัพเกราะม่วงสามคนตามเข้ามา ล้อมเขาเอาไว้ตรงกลาง

คนคนนั้นตกใจจนหยุดอยู่กลางอากาศทันที ไม่กล้าหนีอีกแล้ว หันหน้ามองซ้ายมองขวา แต่กลับพบว่าสายตาของแม่ทัพตำหนักสวรรค์สามคนนี้ดูเฉยเมยเย็นชา

“แม่ทัพทั้งสาม…” คนคนนั้นยังไม่ทันพูดจบ ข้างหลังก็มีแสงเย็นแวบผ่านแล้ว ถูกฟันบ่าในแนวเฉียงจนร่างขาดคาที่ ฝนเลือดสาดกระจาย แม้แต่กรีดร้องก็ยังไม่ทันได้กรีดร้อง ถูกเก็บศพเอาไว้ทันที ตอนนี้ยังไม่มีเวลาว่างรูดทรัพย์

แววตาชินชาเงียบเหงาแต่ละคู่ที่อยู่ในแดนอเวจีมาหลายปี ราวกับไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ร่างกายสวมเครื่องแบบตำหนักสวรรค์ ถืออาวุธเหาะประชิดเข้าป่าเหล็กที่มืดสลัวไร้ขอบเขต ใช้คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์แทรกซึมเสาะหาตลอดทาง

ไม่มีใครพูดอะไร นักรบสวมเกราะหนึ่งล้านไม่ส่งเสียงสักคำ คนมากมายขนาดนี้ปฏิบัติการพร้อมกัน แต่กลับเงียบจนน่าตกใจ ประชิดเข้าไปอย่างเงียบเชียบ

แกร๊งๆๆ! แม่ทัพเกราะม่วงคนหนึ่งเหยียบลงพื้น ใช้ทวนยาวในมือเคาะรังที่เกิดจากแท่งเหล็กไขว้สลับกัน

ภายใต้หน่อเหล็กแหลมหลายต้นที่ไขว้สลับกัน มีคนคนหนึ่งโผล่ออกมา แล้วกล่าวอย่างเคารพนบนอบว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าเป็นศิษย์สำนักหยกงาม มาออกล่าที่นี่ ไม่เคยทำเรื่องอะไรผิดกฎเลย ไม่ทราบว่าแม่ทัพเรียกมาเพราะมีอะไรจะกำชับ?”

แม่ทัพเกราะม่วงชี้ไปด้านหลังเขา เขาหันตัวไปมอง แต่จู่ๆ กลับมีบางอย่างยื่นออกมาตรงหน้าอก เขาถลึงตาก้มมอง มองหัวทวนแหลมคมที่ทะลุออกมาจากหน้าอกตัวเองจนเลือดสาด

กระทั่งหลังจากทัพใหญ่หนึ่งล้านที่กระจายตัวเป็นรูปวงกลมกลับรวมตัวกันแล้ว พวกเขาก็นำข่าวมารวมกัน ตลอดทางล้อมปราบได้นับร้อยคน

ตามที่สมาชิกมารวมตัวกัน กำลังพลที่ประชิดอยู่ท่ามกลางป่าเหล็กค่อยๆ เปลี่ยนจากรูปแบบที่กระจัดกระจายกลายเป็นรวมกลุ่มกันประชิดเข้ามา

จนป่านนี้แล้ว ต่อให้เป็นกำลังพลของสำนักหลัวช่าและสี่อ๋องสวรรค์ที่กำลังตั้งใจทำศึกเดือดกัน แต่จะไม่ให้สังเกตเห็นก็คงยาก

เงาคนของหกลัทธิปรากฎตัวอยู่บนฟ้าหกทิศทาง กำลังจ้องมองลงมาที่สนามรบตรงท้องฟ้าที่อยู่ต่ำกว่า บ้างก็มองด้วยสายตาเย็นเยียบ บ้างก็มองด้วยสายตาถากถาง บางก็อมยิ้ม บางก็กระหายเลือด ตาน้ำพุที่อยู่เหนือศีรษะราวกับดอกไม้ที่ไม่มีวันโรยรา

กำลังพลหลายหมื่นที่ทำศึกเลือด ตอนนี้กลับเหลือเพียงหมื่นกว่าคนเท่านั้น ส่วนใหญ่ที่ล้มตายไปย่อมเป็นคนของสี่อ๋องสวรรค์ แต่ภายใต้ภัยคุกคามของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ของสำนักหลัวช่าเสียหายเพราะการรบเยอะที่สุด มีร่างทิพย์ของนักพรตสำแดงฤทธิ์ตายไปยี่สิบกว่าคนแล้ว สามร่างในจำนวนนั้นก็คือเสวี่ยอวี้ สำนักหลัวช่าตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบแล้ว

พอเห็นว่าทั้งหมดสวมเครื่องแบบตำหนักสวรรค์ สองฝ่ายที่สู้กันก็อึ้งไปชั่วขณะ ทางสี่อ๋องสวรรค์ยังไม่ได้รับข่าวจากกองกำลังหนุน ส่วนสำนักหลัวช่าก็ยิ่งว้าวุ่นใจ นึกเพียงว่ากองกำลังหนุนของสี่อ๋องสวรรค์มาแล้ว

มาถึงขั้นนี้แล้ว เสวี่ยอวี้รู้แล้วว่าหมดโอกาสชนะ ท่ามกลางกำลังพลตำหนักสวรรค์ที่ล้อมเข้ามาสี่ด้าน แค่แม่ทัพใหญ่เกราะแดงก็มีหนึ่งกลุ่มแล้ว

“หยุด! หยุด…” เสวี่ยอวี้ตะโกนบอกกำลังพลฝั่งสี่อ๋องสวรรค์ซ้ำๆ แต่อีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลย ทำเอานางก็หยุดไม่ไหวเช่นกัน

ร่างทิพย์ของเยี่ยนฉงที่ทะยานขึ้นยืนบนฟ้าสูงสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลแล้ว บนใบหน้าของกำลังพลตำหนักสวรรค์กลุ่มนี้โพกผ้าดำกันหมด หมายความว่าอย่างไร?

“พวกเจ้าเป็นกำลังพลฝ่ายไหน?” เยี่ยนฉงชี้พร้อมตะโกนถาม

“หึหึ…” อ๋าวเถี่ยเริ่มแสยะหัวเราะ เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ

“เหอะๆ…”

“ฮ่าๆ…”

ไม่ใช่แค่อ๋าวเถี่ย แต่ราวกับถูกกระตุ้นจากเสียงหัวเราะของอ๋าวเถี่ย ขุนพลใหญ่อีกห้าคนหัวเราะตามเช่นกัน เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนกางแขนเงยหน้าหัวเราะลั่น หัวเราะอย่างเหิมเกริม หัวเราะได้สะใจมาก แทบจะเป็นการหัวเราะอย่างบ้าคลั่งที่เกิดจากการระบายอารมณ์

บนฟ้าที่กำลังต่อสู้กันเสียงดังโครมคราม เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะบ้าระห่ำของหกขุนพลใหญ่ หัวเราะจนทำให้คนที่กำลังเข่นฆ่ากันขนลุก

ทัพใหญ่ที่อยู่รอบด้านเริ่มทะยานขึ้นฟ้า ครอบคลุมเอาไว้สี่ด้านแปดทิศ จำนวนคนแน่นขนัด คนที่กำลังต่อสู้เห็นแล้วหวาดระแวงไม่หยุด เพราะนับดูคร่าวๆ ก็ใกล้จะครบล้านคนแล้ว

เหมียวอี้เองก็นำไป๋เฟิ่งหวงกับเยี่ยนเป่ยหงไปปรากฏตัวเช่นกัน อยู่ด้านหลังของทัพใหญ่ ลอยสังเกตการณ์อยู่บนท้องฟ้า

ดูจากสายตาของไป๋เฟิ่งหวงกับเยี่ยนเป่ยหงที่กวาดมองทัพใหญ่ไม่หยุด ก็รู้เลยว่ายังไม่หายตกตะลึง ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะได้ยินแล้วว่ามีทัพใหญ่หนึ่งล้าน แต่ตอนที่เหมียวอี้ปล่อยทัพใหญ่หนึ่งล้านออกมาจริงๆ พวกเขาก็ยังตกใจอยู่ดี

“ข้าคือเยี่ยนฉง ทหารองครักษ์ของอ๋องสวรรค์อิ๋งแห่งทัพตะวันออก พวกเจ้าเป็นกำลังพลฝ่ายไหนกันแน่?” เยี่ยนฉงตะโกนเสียงดังอีกครั้ง

เสียงหัวเราะของทั้งหกคนทยอยหายไป แล้วก้มหน้าจ้องเบื้องล่าง

ส่วนทัพใหญ่หนึ่งล้านที่อยู่โดยรอบก็ทยอยกันเก็บอาวุธเช่นกัน ท่ามกลางเสียงเกราะรบที่ดังกระทบกัน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายคันถูกช้อนขึ้นมา ลูกธนูตั้งบนสายธนู ลำแสงเบ่งบาน ง้างสายเล็งไปยังทุกคนที่กำลังสู้รบกันในสนามพร้อมกัน คนที่อยู่ข้างล่างตระหนกจนใจสั่น ทั้งสองฝ่ายที่สู้รบกันถลันตัวถอยโดยจิตใต้สำนึก แยกกันแล้ว ไม่สู้กันอีกแล้ว

ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่มากขนาดนี้รวมอยู่ด้วยกัน นี่ไม่ใช่ศึกที่ทัพใหญ่ทั่วไปจะทำได้เลย เยี่ยนฉงหลุดอุทานว่า “กองทัพองครักษ์! พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”

โค่วเหวินไป๋มองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง สีหน้าขาวซีด ก่อนที่จะเข่นฆ่ายังรู้สึกกลัว พอฆ่าจนตาแดงก็ไม่กลัวแล้ว ตอนนี้การเข่นฆ่าหยุดลงแล้วแท้ๆ แต่เหตุใดความรู้สึกหวาดกลัวที่เข้มข้นกลับเกิดขึ้นในใจอย่างหาเหตุผลไม่ได้

ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นกองทัพองครักษ์มาก่อน ตอนเข้าออกอุทยานหลวงเขาเห็นบ่อย แต่สายตาของคนพวกนี้แตกต่างกับสายตาของกำลังพลกองทัพองครักษ์อย่างเห็นได้ชัด ตอนที่กวาดมองไปรอบๆ ก็พบว่าในดวงตาแต่ละคู่ดูเฉยราไร้แววผิดปกติ

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ โค่วเหวินไป๋ก็ราวกับประสาทหลอน ตะโกนเสียงแตกอย่างเสียสติว่า “หนี! รีบหนี! ไม่ใช่กองทัพองครักษ์! พวกเขาไม่ใช่กองทัพองครักษ์!”

เสียงตะโกนที่ทำลายความเงียบของเขาราวกับจุดประกายอะไรบางอย่าง

“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!”

หกคนบนท้องฟ้าที่ยืนอยู่ข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้าง พวกเขาแทบจะออกคำสั่งที่โหดเหี้ยมไร้ความปรานีพร้อมกัน

ปั้งๆๆ…

สายธนูของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่หนาแน่นดุจพายุฝนทั้งยังเยอะจนมืดฟ้ามัวดินส่งเสียงระบิดจนทำให้คนฟังหูชา

…………………………

บึ้ม! กระแสลมที่สั่นสะท้านวิญญาณกระเพื่อมขึ้นลงอีกครั้ง

ลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดยิงออกมาอีกครั้ง!

ครั้งนี้เป็นการยิงเหยี่ยวบนฟ้า ไม่มีสิ่งกีดขวางเหมือนบนพื้นดินแล้ว

ลำแสงสายหนึ่งทะลุฟ้าเข้ามา ร่างทิพย์ร่างหนึ่งของเม่ยจีตกใจมาก ลนลานคว้าแม่ทัพเกราะม่วงคนหนึ่งมาขวางหน้าไว้ ขณะเดียวกันก็ใช้อีกมือช้อนโล่มาปกป้องร่างกาย

แกร๊ง! แกร๊ง!

เสียงดังครั้งแรก แม่ทัพเกราะม่วงที่ถลึงตากว้างถูกยิงทะลุไปพร้อมกับเกราะรบในชั่วพริบตาเดียว

เสียงดังครั้งที่สอง ลูกธนูดาวตกชนกับโล่ เกิดแรงระเบิดรุนแรงระหว่างแม่ทัพเกราะม่วงและเม่ยจี นักพรตรอบข้างที่วรยุทธ์อ่อนแอกระเด็นทันที “อั้ก” ร่างทิพย์ของเม่ยจีกระอักเลือดสดคำหนึ่ง โล่ที่อยู่ในมือกระเด็นออกไปในขณะที่ร่างถูกชนอย่างรุนแรง ทั้งตัวกลิ้งออกไปแล้ว

แม่ทัพเกราะม่วงที่อยู่ในศึกเลือดฉวยโอกาสแทงทวนเข้าไป แต่กลับถูกร่างทิพย์ของเม่ยจีดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อคว้าด้ามทวนที่แทงเข้ามา ทว่าไม่รอให้นางโจมตีกลับ นักพรตบงกชทองสิบกว่าคนแทงทวนเข้ามาพร้อมกัน เสียงฉึกๆ ดังต่อเนื่องหลายครั้ง บนร่างทิพย์ของเม่ยจีมีเลือดสาดกระจาย บนร่างทิพย์ไม่ได้สวมเกราะรบ

“อ๊า!” ร่างทิพย์ของเม่ยจีร้องอย่างเศร้ารันทด ตรงมุมปากมีเลือดไหล แขนสองข้างสั่นสะเทือน พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งทะลักออกมา ทำให้ทุกคนที่สังหารเข้ามาสะเทือนจนกระเด็นออกไปแล้ว

ดาบใหญ่ด้ามหนึ่งกวาดผ่านเหนือศีรษะของกลุ่มคน นักพรตบงกชทองคนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดฟันดาบอย่างแรงหนึ่งที ฉึด! ร่างทิพย์ของเม่ยจีถูกตัดหัวขาดกระเด็น

ร่างทิพย์ที่เหลือของเม่ยจีพากันหันมองมาทางนี้ ทุกร่างทำสีหน้าทั้งโกรธทั้งตกใจ ร่างทิพย์ของนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ผู้สง่าน่าเกรงขามตายด้วยน้ำมือของกลุ่มนักพรตบงกชทอง จะให้ทนความรู้สึกได้อย่างไร นี่ก็หมายความว่าหลังจากนางรวมร่างแท้อีกครั้ง พลังก็จะหายไปหนึ่งส่วนสิบ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อด้านอื่นๆ ด้วย!

มีหรือที่เสวี่ยอวี้จะยอมให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดนั่นทำสำเร็จได้อีกง่ายๆ บนร่างกายพลันเกิดเงาร่างสองร่าง นางแยกร่างเป็นสองร่างแล้ว กระโจนเข้าไปหาร่างของสองพี่น้องแซ่เยี่ยนที่กำลังถือคันธนู แล้วสู้กันอย่างดุเดือด

เมื่อสูญเสียอานุภาพของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว กำลังพลของตระกูลอิ๋งก็แทบจะเข่นฆ่ากันซึ่งๆ หน้า แต่ก็ไม่มีใครถอย ยังคงพุ่งเข้าไปสังหารอย่างไม่กลัวตายเหมือนเดิม

เหมียวอี้ที่เฝ้าดูการรบก็ต้องยอมรับเช่นกัน ว่าคนพวกนี้คงจะเป็นกำลังพลระดับหัวกะทิของตระกูลอิ๋ง ต่อให้ตัดยอดฝีมือที่อยู่ในนั้นออกไป ถ้าตอนทำศึกน่านฟ้าระกาติงเขาเจอกับคนกลุ่มนี้ กำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์จะต้องรบแพ้แน่นอน

“พวกเราควรลงสนามรบแล้วหรือยัง” จู่ๆ อ๋าวเถี่ยที่อยู่ข้างกันก็หันมาถาม ในดวงตาฉายแววเฝ้าคอย ใครความรู้สึกเหมือนอยากจะลองดู

“ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์เยอะขนาดนี้ พวกเจ้ามีความมั่นใจเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

“ตอนที่ข้ามีชื่อเสียง พวกเขานับเป็นตัวอะไรล่ะ ข้ากลัวก็แต่ว่าถ้าข้าเผยโฉมหน้าที่แท้จริง แล้วจะทำให้พวกเขาตกใจหนีไปน่ะสิ” อ๋าวเถี่ยพูดดูถูก

คำพูดนี้ฟังดูอาจหาญ เต็มไปด้วยความมั่นใจ! เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ พลางพยักหน้า ในเมื่อมีความมั่นใจขนาดนี้ เช่นนั้นก็เตรียมตัวเริ่มเถอะ

ขณะที่เขากำลังจะออกคำสั่งให้เริ่ม จู่ๆ อ๋าวเถี่ยก็หันหน้ามา มองลอดผ่านซอกร่องด้านหลัง

ชายชราสองคนแฉลบผ่านฟ้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นอูกานกับจวงจื้อเกานั่นเอง พอมาถึงน้ำพุวังเวงชั้นห้า ทั้งสองก็ปลีกตัวออกจากกำลังพลกลุ่มใหญ่แล้ว กำลังตามมาช่วยอย่างรวดเร็ว

“พี่เยี่ยนไม่ต้องกลัว จวงมาแล้ว!”

“พี่เยี่ยน อูกานอยู่นี่แล้ว!”

เมื่อเห็นว่าทางนี้กำลังถูกสังหารจนไม่เหลือแรงโต้ตอบ กำลังพลหลายหมื่นบาดเจ็บล้มตายเกินครึ่ง สาเหตุที่สู้ตายไม่ถอยก็เพราะรู้ว่ามีกำลังสนับสนุนกำลังตามมา ตอนนี้พอได้ยินเสียงนี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นพื้นดินแห้งแล้งเจอฤดูฝนจริงๆ สองพี่น้องแซ่เยี่ยนกระปรี้กระเปร่าทันที ตื่นเต้นดีใจไม่หยุด

“มาได้เวลาพอดีเลย!” เยี่ยนสุยตะโกนเสียงดัง

“รีบมาช่วยพวกเราอีกแรง!” เยี่ยนฉงกล่าว

จวงจื้อเกากับอูกานพุ่งมาหน้ากระบวนทัพ พอเห็นว่าคนที่สู้กับสองพี่น้องแซ่เยี่ยนคือเสวี่ยอวี้ พวกเขาก็ตกใจมาก นี่มันสถานการณ์อะไรกัน

หลังจากได้รับคำสั่งให้มาช่วยเหลือ ทางนี้ก็ออกคำสั่งให้สายลับถอนกำลังกลับไปรวมกับทัพใหญ่ทันที เพื่อที่จะนำทางทัพใหญ่ เพื่อบอกทิศทางกับทัพใหญ่ ดังนั้นจึงยังไม่รู้ว่าคนที่ตระกูลอิ๋งประมือด้วยคือคนของสำนักหลัวช่า

“เสวี่ยอวี้ พวกเจ้ากำลังทำอะไร?” อูกานเดือดดาล

เมื่อเห็นชายชราสองคนนี้ปรากฏตัว เสวี่ยอวี้ก็ตกใจมากเช่นกัน ตะโกนตอบอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ตระกูลอิ๋งลงมือสังหารคนสำนักหลัวช่า พวกเราถูกบีบให้โต้ตอบ เจ้ากำลังถามว่าข้าทำอะไรงั้นเหรอ หรือพวกเจ้าคิดจะสอดมือเข้ามายุ่ง?”

อีกด้านหนึ่ง โค่วหู่ก็ปลีกตัวจากทัพใหญ่มาถึงล่วงหน้าแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นฉากนี้ก็ตกใจมาก ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าคนที่ตระกูลอิ๋งประมือด้วยคือสำนักหลัวช่า นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?

“เหลวไหล! อย่าไปฟังคำพูดซี้ซั้วของนาง พวกนางล้อมซุ่มไว้ล่วงหน้าแล้ว เป็นฝ่ายลอบโจมตีก่อน!” เยี่ยนสุยเดือดดาล

“พวกเจ้าสามคนยังรอะไรอยู่ หรือจะรอให้คนของพวกเราตายหมดหรือไง?” เยี่ยนฉงกล่าว

สามคนนี้ไม่สะดวกจะตัดสินใจเองจริงๆ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวมของตำหนักสวรรค์และแดนสุขาวดี จึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ระฆังดาราที่อยู่ในแขนเสื้อกำลังติดต่อกับภายนอก

พวกเหมียวอี้ที่แอบสังเกตการณ์หันกลับไปมองอีกครั้ง กำลังพลสองกลุ่มเหาะผ่านท้องฟ้าไปยังสนามรบอย่างรวดเร็ว เป็นตระกูลฮ่าวกับตระกูลก่วง รวมทั้งกำลังพลที่อยู่ในสายของพวกเขาด้วย นี่ยังไม่เท่าไร จนกระทั่งตอนเห็นโค่วเหวินไป๋นำทัพใหญ่หนึ่งหมื่นมาถึง สายตาของเหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบดุร้าย

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง โค่วหลิงซวี โค่วเจิงและถังเฮ่อเหนียนยังไม่ออกจากตำหนัก กำลังรอข่าวจากทางน้ำพุวังเวงตลอด

โค่วหู่ส่งข่าวให้โค่วหลิงซวีโดยตรง เล่าสถานการณ์ในที่เกิดเหตุให้ฟัง ถามว่าควรจะทำอย่างไรดี

“เป็นสำนักหลัวช่า!” โค่วหลิงซวีที่นั่งอย่างสงบตกใจลุกขึ้นยืน

“อะไรนะ” โค่วเจิงกับถังเฮ่อเหนียนไม่เข้าใจ เห็นโค่วหลิงซวีเสียอาการอย่างนี้ไม่บ่อยนัก

โค่วหลิงซวีกล่าวช้าๆ ว่า “คนที่ลอบโจมตีตระกูลอิ๋งไม่ใช่ประมุขชิง แต่เป็นคนของสำนักหลัวช่าแดนสุขาวดี เสวี่ยอวี้ศิษย์ของอวี้หลัวช่านำกำลังมาด้วยตัวเอง!”

“หา!” โค่วเจิงอุทาน สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ราวกับกำลังบอกว่า จะเป็นไปได้อย่างไร

ถังเฮ่อเหนียนก็ทำสีหน้างุนงงเช่นกัน กลอกตาไปมาทันที แล้วถามอย่างไม่แน่ใจว่า “วัดพระกษิติครรภ์! หรือว่าการที่หนิวโหย่วเต๋อส่งคนไปจับตาดูวัดพระกษิติครรภ์จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?”

เสียงเตือนนี้ทำให้โค่วหลิงซวีเข้าใจในฉับพลัน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเหมียวอี้ดึงสำนักหลัวช่าเข้ามายุ่งด้วยได้อย่างไร แต่ก่อนหน้านี้ที่เหมียวอี้จับตาดูความเคลื่อนไหวของวัดพระกษิติครรภ์จะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่นอน หลังจากมีข้อมูลในใจแล้วก็รีบตอบกลับโค่วหู่ ฆ่าไม่ละเว้น!

สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย นั่นก็คือจะยอมให้คนของแดนสุขาวดีมาอาละวาดที่ตำหนักสวรรค์ง่ายๆ ได้อย่างไร มิหนำซ้ำยังมาแตะต้องสี่อ๋องสวรรค์อีก บัญชีแค้นที่ครั้งก่อนประมุขพุทธะบังคับกักตัวสี่อ๋องสวรรค์ไว้ยังไม่ได้ชำระเลย คอยหาโอกาสเหมาะระบายความโกรธแค้นนี้มาตลอด ตอนนี้สี่ตระกูลรวมตัวกันแล้วด้วย ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นก็คือไม่รู้ว่าเหมียวอี้อยู่ในจำนวนนั้นด้วยหรือไม่ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าทำสำเร็จโดยกำจัดตัวถ่วงไปด้วยได้ก็ยิ่งดี ทั้งยังผลักความรับผิดชอบไปให้สำนักหลัวช่าได้ด้วย

รอบนอกสนามรบ โค่วหู่ที่ได้รับคำสั่งยืนยันเก็บระฆังดารา แล้วโบกมือชี้พร้อมส่งเสียงคำรามดุจสิงโต “ฆ่า!”

ชั่วพริบตาเดียวก็กลายร่างจากหนึ่งเป็นสิบ ร่างทิพย์เก่าร่างนำโผเข้าไปก่อน ส่วนอีกหนึ่งร่างที่เหลือยืนอยู่ที่เดิมแล้วหันกลับมามองโค่วเหวินไป๋

“ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เสริมอานุภาพ ตามข้าไปสังหาร!” โค่วเหวินไป๋โบกทวนในมือ แล้วตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “ฆ่า!” เสียสละเป็นคนแรกของทัพใหญ่ที่พุ่งออกไป

“ฆ่า!” ขนาดลูกหลานชนชั้นสูงอย่างเขายังยอมสละชีวิตสู้ตายแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรน่าบ่น “ฆ่า!”

กลุ่มคนติดตามเขาโจมตีเข้าไปราวกับกระแสน้ำ ตะโกนเสียงดังสะเทือนฟ้า นักรบสวมเกราะหลายร้อยคนถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เสริมอานุภาพอยู่วงนอก สายธนูถูกง้างออก เตรียมหาโอกาสยิงได้ตลอดเวลา

โค่วเหวินไป๋พุ่งเข้ามา ร่างทิพย์ของโค่วหู่ปกป้องอยู่ข้างกายเขาทันที ร่วมสังหารเข้าไปในสนามรบที่ทำศึกเลือดเคียงข้างเขา

โค่วเหวินไป๋ที่ยอมสู้ตายเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาซาบซึ้งเป็นพิเศษ เขาย่อมรู้ว่าร่างทิพย์นี้ของโค่วหู่ตั้งใจมาปกป้องเขาโดยเฉพาะ แบบนี้ทั้งสามารถทำตามคำสั่งของอ๋องสวรรค์ให้สำเร็จ ทั้งยังพยายามรักษาความปลอดภัยให้เขาได้ด้วย

ถึงแม้โค่วหลิงซวีจะออกคำสั่งอย่างนั้น แต่โค่วหู่ก็ไม่ใช่คนโง่ ครั้งนี้ถ้าโค่วเหวินไป๋ตายอยู่ที่นี่ เขาก็จะแก้ตัวกับอ๋องสวรรค์ลำบาก คุณชายใหญ่อาจจะไม่ว่าอะไร แต่ปมในใจที่ไม่ปกป้องลูกชายเขาให้ดีจะยังคงอยู่ คาดว่าสุยฉูฉู่คงจะแค้นเขาไปทั้งชีวิต ถ้าในอนาคตคุณชายใหญ่ได้ขึ้นตำแหน่งอ๋อง สุยฉูฉู่ก็จะเป็นหวังเฟยแล้ว มีเรื่องราวมากมายที่อธิบายได้ไม่ชัดเจนแล้ว

“ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เสริมอานุภาพ ที่เหลือตามข้าไปสังหาร!” อูกานที่อยู่อีกด้านหนึ่งพลันตะโกนเสียงดัง แล้วแยกร่างเป็นสิบร่าง นำกระโจนเข้าสู้สนามรบ

“ใครขี้ขลาดก่อนลงสนามรบ ประหาร! ตามข้าไปสังหาร!” จวงจื้อเกาตะโกนอย่างขึงขัง แล้วแยกร่างสิบร่างนำทัพใหญ่สังหารเข้าไป

ตระกูลฮ่าวกับตระกูลก่วงแทบจะเลือกตัดสินใจเหมือนตระกูลโค่ว ถึงแม้โค่วหลิงซวีจะไม่ได้บอกพวกเขา แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องปรึกษากัน บางทีพวกเขาอาจจะไม่ทำเพื่อกำจัดตัวภาระให้ตระกูลโค่ว แต่เป้าหมายอีกอย่างกลับชัดเจน

เมื่อเห็นยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์สามคนของตระกูลโค่ว ตระกูลฮ่าว ตระกูลก่วงร่วมรบ สองพี่น้องแซ่เยี่ยนก็ฮึกเหิมทันที

มีทัพใหญ่อีกหลายหมื่นเข้าร่วมรบ กำลังพลของตระกูลอิ๋งที่ดันทุรังอย่างขมขื่นมองเห็นความหวังแล้ว จึงฮึกเหิมมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

เมื่อมียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์มาคุมสถานการณ์ ร่างทิพย์ของเยี่ยนฉงก็ออกจากสนามรบไปก่อน แล้วตะโกนเสียงดังว่า “มือยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ถอนกำลัง ไปเสริมอานุภาพร่วมกับสามฝ่าย!”

นักพรตไม่กี่พันคนที่ยังเหลือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์รีบถอนตัวออกจากใจกลางสนามรบ ภายใต้การบัญชาการจากร่างทิพย์ของเยี่ยนฉง มือยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของตระกูลโค่ว ตระกูลฮ่าว ตระกูลก่วงร่วมวางกำลังด้วยกัน พอเห็นศิษย์สำนักหลัวช่าเผยช่องโหว่เมื่อไร ก็ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บัญชาการได้ทันที ยิงลูกธนูดาวตกหนึ่งพันพร้อมกัน

เมื่อคุมสถานการณ์ได้แล้ว มีการบัญชาการที่คล่องแคล่วราบรื่นแล้ว อานุภาพแห่งการโจมตีหมู่ก็แสดงออกมาทันที นำภัยคุกคามใหญ่หลวงมาสู่ศิษย์สำนักหลัวช่า

เสวี่ยอวี้อยากจะใช้บงกชขาวพันใบปั่นป่วนการโจมตีหมู่ของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อีก แต่กลับดึงออกมาใช้ไม่ได้ ถูกร่างทิพย์ของสองพี่น้องแซ่เยี่ยนควบคุมไว้แล้ว

“พวกเจ้าคิดจะก่อกบฏเหรอ?” เสวี่ยอวี้ตะคอกถามด้วยความตกใจปนโมโห

บึ้ม! กระแสอากาศไร้รูปร่างกระเพื่อมขึ้นลง ลำแสงสายหนึ่งยิงออกมา ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์คนหนึ่งของสำนักหลัวช่าใช้โล่ยันแล้วพุ่งไปทางกระบวนทัพธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อย่างบ้าคลั่ง หวังจะป่วนกระบวนทัพที่โจมตีให้วุ่นวาย ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดของเยี่ยนฉงออกโรงทันที โจมตีอีกฝ่ายจนกระอักเลือดกลางท้องฟ้า บาดเจ็บสาหัส จากนั้นก็มีลำแสงนับพันสายยิงเข้ามา ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกยิงจนพรุนไปทั้งร่าง

ขอเพียงยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ของสำนักหลัวช่าพุ่งออกจากกระบวนทัพการต่อสู้ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดของเยี่ยนฉงก็จะรังแกอย่างไร้ความปรานีทันที

สถานการณ์ของสำนักหลัวช่าที่เดิมทีได้เปรียบ ตอนนี้ดิ่งลงเร็วมาก

เหมียวอี้ที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องโค่วเหวินไป๋ที่กำลังดิ้นรนเข่นฆ่าอยู่ในกระบวนทัพ มุมปากค่อยๆ เผยรอยยิ้มดุร้าย แล้วถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “อ๋าวเถี่ย พวกเขามียอดฝีมือสำแดงฤทธิ์มาเยอะขนาดนี้ พวกเจ้ารับมือไหวเหรอ?”

อ๋าวเถี่ยแสยะยิ้ม “แค่โจรกบฏกลุ่มนี้น่ะเหรอ? พวกเรามีนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์มาสิบแปดคน บงกชกลายสามร้อย ทัพใหญ่หนึ่งล้าน! ทัพใหญ่แข็งแกร่งที่ถูกเลือกมาจากหกลัทธิ ถ้าแม้แต่ฝูงอีกาพวกนี้ยังสู้ไม่ไหว ก็ไม่ต้องไปทำอะไรกินแล้ว!”

…………………………

“เป็นกับดักจริงๆ ด้วย ทั้งยังเป็นกับดักที่ใหญ่มาก!”

เหมียวอี้ที่ถลึงตามองพูดไม่ออกจริงๆ สงสัยก่อนหน้านี้จะประเมินอีกฝ่ายต่ำไป ตอนนี้เพิ่งจะพบว่าตระกูลอิ๋งบ้าไปแล้วจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าใช้การต่อสู้ขนาดใหญ่ขนาดนี้มารับมือกับตน อาจจะประเมินเขาหนิวโหย่วเต๋อสูงเกินไปหรือเปล่า

“ศิษย์สำนักหลัวช่าที่สังหาราบรื่นราวกับลมพัดอึ้งทันที ทัพใหญ่ดำเป็นพืดเหาะลงมาจากฟ้าแบบนั้น ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่เปล่งแสงแบบนั้น ทำให้ใจคนตึงเครียดตามไปด้วย”

พวกนางหันมองไปรอบๆ พบว่าถูกล้อมไว้หมดแล้ว!

“เยี่ยนฉงอยู่กลางอากาศ สีหน้าเย็นเยียบดุร้าย คว้าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คันหนึ่งมาไว้ในมือ ตั้งลูกธนูไว้บนสาย แล้วยิงออกไปอย่างฉับพลัน เริ่มตั้งแต่หัวลูกธนูแหลมคม แสงสีเขียวที่ควบแน่นสายหนึ่งหมุนวนตามแท่งของลูกธนู แล้วลุกโชนทั้งตัวธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ และแสงสีเขียวที่อยู่บนก้านของลูกธนูก็ค่อยๆ ปรากฏเงามังกรเจียวหลงตัวหนึ่ง เป็นเงาแสงที่น่าสะพรึงกลัวก่อตัวเป็นความโอ่อ่าทรงพลังกลุ่มหนึ่ง!”

เสวี่ยอวี้ที่ง้างสายธนูเล็งหัวลูกธนูแหลมคมไปทางเยี่ยนสุย เล็งไปยังผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนที่ลอบจู่โจม

เม่ยจีกวาดสายตามอง ทำให้เบิกตากว้างทันที ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด!

ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด! เหมียวอี้ที่มองอยู่ไกลๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน เหมือนว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ระดับนี้ ทั้งทัพตะวันออกของตระกูลอิ๋งจะมีอยู่ไม่กี่คัน ต่อให้เป็นกองทัพองครักษ์ก็มีน้อยเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมาปรากฏอยู่ตรงนี้หนึ่งคัน ช่างทำให้คนตกใจจริงๆ!

เขาพอจะตระหนักได้ว่าคนคนนี้มีฐานะไม่ต่ำในตระกูลอิ๋ง ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์นี้น่าจะไม่ได้ตั้งใจนำมารับมือกับเขาโดยเฉพาะ ดีไม่ดีคนคนนี้อาจจะมีติดตัวไว้แต่เดิมแล้วก็ได้ เขาเคยได้ยินมาบ้างว่าในบรรดาองครักษ์ของจวนสี่อ๋องสวรรค์จะมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด หลักๆ มีไว้เพื่อรักษาความปลอดภัยให้สมาชิกครอบครัวในจวนท่านอ๋อง

พอได้ลงมือก็ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดเลย จะเห็นได้ว่าผู้ที่มาก็ตระหนักได้ถึงอันตรายเช่นกัน คนของอีกฝ่ายมีไม่เยอะ แต่มียอดฝีมือเยอะเกินไป เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มาอยากจะรัวดาบฟันเชือกเพื่อรีบแก้ไขปัญหายุ่งยาก อยากลดความกดดันให้น้อยลงก่อน

หลังจากขุนพลใหญ่หกลัทธิได้เห็นธนูคันนี้ แต่ละคนก็ตาลุกวาว ทำสีหน้าเหมือนอยากได้

“ท่านอาจารย์ ระวัง!” เม่ยจีกลับอุทานตกใจ

ปั้ง! เยี่ยนฉงคลายนิ้วทั้งห้า คันธนูและลูกธนูในมือส่งเสียงอันประดุจอัสนีบาตเก้าชั้นฟ้าทันที ปลายลูกธนูที่มีลูกกลมสีดำหมุนวนพลันยิงออกไป ลูกกลมสีดำมีกระแสไฟฟ้าล้อมรอบจางๆ พอลูกธนูดาวตกหลุดออกจากสายธนู เงามายาของลำแสงที่เคลื่อนที่รวดเร็วนั้นก็หายไปโดยที่คนมองไม่ทัน แทบจะลากยาวเป็นเส้นตรงแทงไปที่เสวี่ยอวี้

ส่วนสายธนูที่สั่นไหวเสียงดังหึ่งๆ ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้อากาศที่อยู่โดยรอบกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะตามไปด้วย

คนที่มีพลังอิทธิฤทธิ์ต่ำรอบตัวเยี่ยนฉงก็ถูกแรงดึงดูดจนโซเซเช่นกัน ยากที่จะยืนให้มั่นคงได้

ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ระดับนี้ พลังอิทธิฤทธิ์ที่คนทั่วไปกรอกใส่เข้าไปไม่อาจทำให้ง้างสายธนูได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถถึงว่าจะยิงได้สักดอก ถ้าวรยุทธ์ไม่ถึงระดับบงกชกลายก็ไม่มีทางควบคุมได้เลย!

พอลูกธนูดอกนี้ยิงออกไป ก็เท่ากับเป่าแตรสัญญาณรุกโจมตีแล้ว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งหมื่นคันยิงพร้อมกัน ในจำนวนนั้นมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหกยี่สิบคัน ลำแสงหนึ่งหมื่นสายพลันยิงออกไปพร้อมกัน ชั่วขณะนั้นเสียงระเบิดของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ดังเป็นแถบๆ

“ลงไป!” เม่ยจีออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงร้อนใจ ทุกคนของสำนักหลัวช่ารีบพุ่งไปที่พื้นดินด้วยความเร็วสูงสุดทันที

เสวี่ยอวี้ที่โผเข้าไปหาเยี่ยนสุยพลันถลันตัวในแนวขวาง หมุดเข้าไปในดงหน่อเหล็กแล้ว นางยื่นมือไปคว้าหน่อเหล็กแหลมเพื่อหยุดชั่วคราว แล้วหันกลับมาด้วยสายตาเยียบเย็น

ลำแสงที่มีลูกกลมสีดำหมุนวนไล่ตามไปอย่างเร่งด่วน หลังจากเลี้ยวผ่านมุมแล้ว ก็ถล่มชนเสวี่ยอวี้

เยี่ยนฉงที่ถือธนูอยู่บนท้องฟ้าหนังตากระตุกทันที ตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว โผเข้าไปหาเสวี่ยอวี้ที่อยู่เบื้องล่างอย่างบ้าคลั่ง

เยี่ยนสุยที่เดิมทียืนนิ่งอยู่บนพื้นไม่ขยับไปไหนก็มุมปากกระตุกเช่นกัน เหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ คว้าทวนยาวไว้ในมือ แล้วโผเข้าไปหาเสวี่ยอวี้อย่างฉับพลัน สองพี่น้องคนหนึ่งมาจากบนฟ้า คนหนึ่งงมาจากพื้น ร่วมกันโจมตี!

ขุนพลใหญ่หกลัทธิที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ พบว่าเยี่ยนฉงไม่ปกติ ไม่รู้ว่าเสวี่ยอวี้ทำอะไรไปถึงทำให้เยี่ยนฉงมีปฏิกิริยามากขนาดนี้ แต่จนใจที่บนพื้นมีสิ่งกีดขวางเยอะเกินไป เห็นการเคลื่อนไหวของเสวี่ยอวี้ไม่ชัดเลย

กลับเป็นเหมียวอี้ที่ได้เปรียบ รีบใช้ตาทิพย์สังเกตการณ์แล้ว

สองพี่น้องแซ่เยี่ยนตัดสินไม่ผิด จู่ๆ เสวี่ยอวี้ที่ห้อยอยู่บนหน่อเหล็กแหลมก็หมุนรอบหนึ่งราวกับกังหันลม สะบัดร่างตัวเองไปอยู่หลังดงหน่อเหล็กขนาดใหญ่

ปั้ง! ฟ้าดินดังสะเทือน เหล็กโลหะบนพื้นส่งเสียงดังกังวานไม่หยุด บนพื้นมีคลื่นกระแสอากาศลอยขึ้นมาชั้นหนึ่ง จากนั้นก็ถูกแรงระเบิดกลุ่มหนึ่งที่แผ่มาจากศูนย์กลางตีกระจาย

แม้แต่พวกเหมียวอี้ที่อยู่ไกลๆ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองดงหน่อเหล็กด้านซ้ายและขวา ด้านบนส่งเสียงโลหะดังไม่หยุด สั่นสะเทือน!

อานุภาพมหาศาลขนาดนี้ ทำให้ตระหนักได้ทันทีว่าลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดนั่นยิงโดนของที่อยู่บนพื้น

ตาทิพย์จ้องเข้าไปอย่างรวดเร็ว เหมียวอี้ที่เห็นสถานการณ์ชัดเจนเรียกได้ว่าตกตะลึงไม่หยุด พบว่าสมกับเป็นยอดฝีมือที่สำนักหลัวช่าส่งมา

เสวี่ยอวี้รับมืออย่างสุขุมและถลันตัวกลางอากาศ หลบการยิงโจมตีที่รุนแรงของลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดไปได้

ลูกธนูดาวตกชนบนเสาเหล็กที่เหมือหน่อไม้ เสาเหล็กนี้ทนทานเหมือนวิปริตจริงๆ ขนาดถูกอานุภาพการโจมตีแข็งแกร่งขนาดนี้ ก็แค่ถูกชนจนงอเท่านั้น

หลังจากลูกธนูดาวตกชนแล้วกำลังจะกลับมา เสวี่ยอวี้ที่สะบัดตัวออกมากลับทำการแสดงได้สมบูรณ์แบบที่สุด ชั่วพริบตาที่ลูกธนูดาวตกดีดกลับมา นางก็กำลังหมุนอยู่บนหน่อเหล็กแหลมพอดี จึงยื่นมือคว้าอย่างง่ายดายราวกับเก็บของเข้ากระเป๋า ไม่น่าเชื่อว่าจะกำลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดเอาไว้ในมือแน่น

เมื่อขาดอานุภาพการยิงจากคันธนูและลูกธนูแล้ว ลูกธนูดาวตกขั้นเจ็ดแล้วอย่างไรล่ะ ยังจะรอดพ้นเงื้อมมือมารของเสวี่ยอวี้ได้เสียที่ไหน ไม่เพียงแค่ทำร้ายให้เสวี่ยอวี้บาดเจ็บไม่ได้ แต่ถูกเสวี่ยอวี้เก็บเอาไว้ในชั่วพริบตาเดียว

ดูเหมือนจะช้า แต่ที่จริงรับมืออย่างต่อเนื่องได้เร็วสุดๆ ทำให้เหมียวอี้มองจนทึ่ง จะไม่ให้เขาตกตะลึงได้อย่างไร

เพียงแต่ฝ่ามือแต่มือของเสวี่ยอวี้ที่จับหน่อเหล็กแหลมหมุนก็สะเทือนจนมีเลือดออกเช่นกัน เป็นเพราะอานุภาพการโจมตีหนึ่งครั้งรุนแรงเกินไป สมกับที่นางมีวรยุทธ์ระดับสำแดงฤทธิ์ ถ้าเปลี่ยนให้เหมียวอี้ยืนใกล้ขนาดนั้น ดีไม่ดีอาจจะถูกอานุภาพการโจมตีฉีกร่างแหลกไปแล้วก็ได้

ส่วนเหมียวอี้ก็เดาไม่ผิดเช่นกัน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดนี้เป็นของวิเศษที่ตระกูลอิ๋งใช้เฝ้าบ้านจริงๆ เป็นอาวุธที่อิ๋งจิ่วกวงดึงมาจากทัพตะวันออก มีอานุภาพเยอะมาก ธนูทุกคันล้วนถูกตำหนักสวรรค์บันทึกไว้อย่างเข้มงวด ไม่ให้สูญหายไปง่ายๆ ถ้าตกอยู่ในมือของคนผู้ที่มีเจตนาไม่ดีแล้วนำมาลอบสังหารก็จะยุ่งยากแล้ว ผู้ที่ใช้อาวุธระดับนี้ลอบสังหารได้ ก็แสดงว่าใช้รับมือกับบุคคลสำคัญแน่นอน ต่อให้นำมาใช้ทำเรื่องเลวร้าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่นอน ตอนนี้พอลงมือก็ถูกอีกฝ่ายเก็บลูกธนูดาวตกไปแล้ว นี่เป็นอาวุธที่อ๋องสวรรค์มอบให้ ถ้าทำหายไปนอกจากจะแก้ตัวไม่สะดวกแล้ว ราคาก็ไม่ใช่ธรรมดาด้วย สองพี่น้องจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร

หลังจากยิงธนูออกไปดอกหนึ่งแล้ว เยี่ยนฉงก็ตระหนักได้แล้วเช่นกันว่าใช้ผิดที่ ที่แห่งนี้มีฉากกำบังกำบังได้ดีที่สุดโดยธรรมชาติ ยากที่จะแสดงอานุภาพสูงสุดของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ได้ ถ้ายิงอีกจนเหลือแต่คันธนู เช่นนั้นก็จะบันเทิงใหญ่แล้ว

ในตอนนี้สองพี่น้องแซ่เยี่ยนต่างคนต่างถือทวนพุ่งสังหารเข้ามาที่เสวี่ยอวี้ ร่วมมือกันโจมตี

ท่ามกลางลำแสงนับหมื่นสายที่ไหลพุ่งลงมา ศิษย์สำนักหลัวช่าที่หลบไม่ทันถูกยิงจนร้องโอดครวญ

แค่การโจมตีระลอกนี้ ก็ทำให้ศิษย์ที่เสวี่ยอวี้และเม่ยจีพามาเหลือเพียงระดับบงกชกลายยี่สิบคนแล้ว ยังมีศิษย์ระดับสำแดงฤทธิ์อีกเจ็ดคนที่เหมือนทั้งสอง ส่วนที่เหลือตกลงมาตายหมดแล้ว

ยี่สิบคนนี้รีบเหาะลงพื้น อาศัยดงหน่อเหล็กบนพื้นเพื่อหลบการโจมตีจากลูกธนูดาวตก ขณะเดียวกันก็ถือโล่ต้านทาน เสียงลูกธนูดาวตกโจมตีโดนพื้นดังก้องสะเทือนฟ้าไม่หยุด

ยามเผชิญการมือโจมตีจากสองพี่น้องแซ่เยี่ยน เสวี่ยอวี้ก็สะบัดมือเหมือนโยนเหล้า ดาบทวนกระบี่ง้าว อาวุธสี่ชนิดร่อนวนเวียนรอบกาย ทั้งตัวนางราวกับดอกไม้เบ่งบานสี่กลีบ พลันกลายเป็นหนึ่งคนสี่ร่าง สี่ร่างรวมเป็นหนึ่งเดียว ราวกับเป็นพระพรหมสี่หน้า แต่ด้วยเหตุนี้เอง นางก็เผยโฉมหน้าแท้จริงที่งามหยดย้อยออกมาแล้วเช่นกัน เป็นใบหน้ารูปไข่ทั้งสี่ที่เหมือนกัน

มาถึงขั้นนี้แล้ว คนฝ่ายตัวเองเสียหายไปเยอะมาก กำลังพลของอีกฝ่ายมีเยอะเกินไป ต่อให้สามารถโจมตีฝ่ายตรงข้ามแพ้ได้ แต่ก็ห้ามกำลังพลนับหมื่นให้หลบหนีไม่ได้อยู่ดี ประมือกันนานขนาดนี้ ขอเพียงคนที่หลบหนีไปได้เล่าสถานการณ์การต่อสู้ให้เบื้องบนรู้ ฝั่งนี้ก็ปิดบังตัวตนไม่ไหวอยู่ดี ไม่สู้เตีรยมการอย่างอื่นดีกว่า

“เสวี่ยอวี้ เป็นเจ้าเหรอ ทำไมกล้าทำอย่างนี้!” เยี่ยนสุยคำรามอย่างโมโห พร้อมพุ่งทวนแทงเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้านี้เขารู้สึกคุ้นตากับการต่อสู้ สงสัยนิดหน่อยว่าเป็นคนของสำนักหลัวช่า แต่ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะสำนักหลัวช่าจะเอาความกล้าจากไหนมาลงมือกับตระกูลอิ๋ง ตอนนี้กลับพบว่าเป็นคนของสำนักหลัวช่าจริงๆ ทั้งยังเป็นศิษย์สายตรงของพุทธหน้าหยกที่นำกำลังมารุกโจมตีเองด้วย แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน

ดาบทวนกระบี่ง้าวโบกไปรอบๆ ทำศึกกับสองพี่น้องอย่างไม่สับสนวุ่นวายเลยสักนิด กอปรกับในมือมีอาวุธมาก กลับเข้ามาประชิดจนสองพี่น้องลนลานทำอะไรไม่ถูก นางยังมีจิตว่างมาควบคุมของวิเศษด้วย โยน ‘บงกชขาวพันใบ’ ออกมาดอกหนึ่ง

บงกชขาวพันใบเปล่งแสงยิงขึ้นไปบนฟ้า แล้วหมุนวนอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว สะบัดใบออกมาจำนวนมาก

“ยิง!” ขุนพลที่อยู่บนฟ้าบัญชาการให้ยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ร้อยคันมาที่ของวิเศษชิ้นนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าตระหนักได้ว่าของวิเศษชิ้นนี้จะสร้างปัญหา

ทว่าในขณะที่ลำแสงยิงรวมเข้ามา บงกชขาวพันใบก็พลันแยกย้าย กลายเป็นแสงเย็นนับพันอยู่กลางอากาศ แสงเย็นที่บินวนฟันสังหารไปยังกำลังพลหลายหมื่นที่ล้อมปราบ ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตีอย่างสับสนวุ่นวาย เสวี่ยอวี้เรียกได้ว่าจิตใจไม่วอกแวกจริงๆ

“ยังกล้ามาว่าข้าอีกเหรอ ข้าอยากจะถามเหมือนกันว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ พวกเราแค่ผ่านทางมา เหตุใดพวกเจ้าถึงลงมือกะทันหัน!” เสวี่ยอวี้ตะโกนถามอย่างโมโห เรียกได้ว่ายัดข้อหากลับใส่ฝ่ายตรงข้าม ในเมื่อปิดปากไม่ได้ ก็มีแต่ต้องทำอย่างนี้แล้ว ผลักความรับผิดชอบก็แล้วกัน!

“เหลวไหล! เป็นพวกเจ้าลงมือก่อนแท้ๆ ยังกล้าโยนความผิดอีก!” เยี่ยนสุยตอบอย่างดือดดาล

“เจ้าเอาตาที่ไหนมองว่าพวกเราลงมือก่อน?”

“ข้าเห็นเองเต็มสองตา”

“คำพูดเหลวไหลเต็มปาก เอาดาบไปกินซะ!”

การโจมตีหมู่ของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์วุ่นวายทันที เม่ยจีดีดตัวขึ้นฟ้าก่อน ไม่น่าเชื่อว่าจะแยกร่างจากหนึ่งกลายเป็นสิบ กลายเป็นเม่ยจีสิบคนทะยานสังหารไปยังทัพใหญ่หลายหมื่น

ลูกศิษย์ระดับสำแดงฤทธิ์อีกห้าคนของเสวี่ยอวี้ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน กลายเป็นห้าสิบคนทะยานขึ้นไปสังหาร

เหมียวอี้ที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ เห็นแล้วอิจฉา นี่ก็คือพลังอภินิการของนักพรตที่วรยุทธ์ถึงระดับสำแดงฤทธิ์แล้ว เพราะนี่ไม่ใช่ภาพมายา แต่เป็นการแยกร่างของจริง เป็นร่างที่มีวรยุทธ์และพลังของจริง เมื่อวรยุทธ์สูงถึงระดับหนึ่งแล้ว สามวิญญาณเจ็ดดวงจิตก็อยู่ในระดับที่สามารถปรากฏร่างแท้ นี่ก็เป็นที่มาของชื่อ ‘สำแดงฤทธิ์’

หลังจากแยกร่างแล้ว ถึงแม้พลังของแต่ละร่างจะเทียบกับรวมร่างเดียวไม่ได้ แต่พลังนี้นักพรตระดับบงกชกลายทั่วไปก็เทียบไม่ติด ยิ่งวรยุทธ์ของระดับสำแดงฤทธิ์ยิ่งสูง พลังของร่างทิพย์ก็ยิ่งแข็งแกร่งเช่นกัน

นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์หกคนล้วนแยกร่างโจมตี ลูกศิษย์ระดับบงกชกลายที่เหลืออีกยี่สิบคนก็พุ่งขึ้นสังหารบนฟ้าเช่นกัน

แสงเย็นที่หมนุวนเต็มฟ้ารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ก่อตัวกลายเป็น ‘บงกชขาวพันใบ’ เก็บเข้าในมือเสวี่ยอวี้อีกครั้ง ไม่เก็บไม่ได้หรอก เพราะศิษย์ในสำนักตะลุมบอนกับทัพใหญ่แล้ว อีกฝ่ายใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ผลแล้ว ตัวเองก็ใช้ของวิเศษไม่ได้ผลเช่นกัน ไม่อย่างนั้นอาจทำให้คนฝ่ายตัวเองบาดเจ็บได้ การตะลุมบอนในทัพใหญ่เดิมทีก็ไม่ใช้ของวิเศษอยู่แล้ว

“ฆ่า!” แม่ทัพคนหนึ่งของตระกูลอิ๋งโบกทวนคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ออกคำสั่งรุกโจมตีทั่วทุกด้าน

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

เสียงตะโกนฆ่าดังมืดฟ้ามัวดิน กำลังพลหลายหมื่นรวมกันพุ่งสังหารเข้ามา แต่การสู้กับร่างทิพย์หลายสิบร่างของนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ แค่คิดก็รู้ถึงจุดจบแล้ว โยนเชือกมัดเซียนจำนวนเชือกมัดเซียนออกไปจำนวนมากก็ไม่มีประโยชน์

มีเสียงคนร้องโอดครวญตกลงจากฟ้าไม่ขาดสาย ฝนเลือดสาดกระจาย มีคนดวงซวยไม่น้อยที่ตอนตกลงจากฟ้ายังไม่ทันตาย แต่กลับตายเพราะโดนหน่อเหล็กแหลมด้านล่างเสียบทะลุ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งน่าเวทนา

สองพี่น้องแซ่เยี่ยนเห็นสถานการณ์แบบนี้แล้วตาแทบถลน จู่ๆ ก็แยกร่างพร้อมกัน แยกร่างกลายเป็นยี่สิบร่าง ห้าสิบร่างพุ่งขึ้นฟ้า กู้สถานการณ์ให้ทัพใหญ่ สี่ร่างล้อมโจมตีเสวี่ยอวี้ อีกร่างถลันไปด้านข้าง แล้วคว้าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ดออกมาอีกครั้ง

…………………………

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว สถานที่สำคัญของเรือนด้านหลัง โค่วหลิงซวี ถังเฮ่อเหนียน โค่วเจิง นี่คือสามคนที่มีอำนาจสูงสุดของตระกูลโค่ว มารวมตัวกันอยู่ในตำหนักตลอดโดยไม่ออกไปไหน เหตุการณ์ผิดปกติในการออกล่าที่น้ำพุวังเวงทำให้ทั้งสามทิ้งงานอื่นไว้ก่อนชั่วคราว ยกระดับการเฝ้าจับตาดูสถานการณ์ทางน้ำพุวังเวง

ถังเฮ่อเหนียนแทบจะอยู่ไม่ห่างจากระฆังดารา รักษาการติดต่อกับน้ำพุวังเวงไว้ตลอดเวลา

แต่ผ่านไปไม่นาน สายตาของถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงก็ไปหยุดอยู่บนตัวโค่วหลิงซวีพร้อมกัน เห็นโค่วหลิงซวีหยิบระฆังดาราออกมาเช่นกัน ทั้งสองย่อมเข้าใจ ว่าคนที่สามารถติดต่อกับโค่วหลิงซวีโดยตรงได้ ล้วนมีฐานะที่ไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้จะติดต่อใครได้

หลังจากโค่วหลิงซวีเก็บระฆังดาราเงียบๆ สีหน้าก็เยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน เพียงก้มหน้าเท่านั้น ทำให้คนรู้สึกเงียบขรึมอึดอัดเป็นพิเศษ

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว ทุกครั้งที่อยู่ในเวลานี้โค่วเจิงจะไม่กล้าพูดออกมาง่ายๆ รู้ว่าบิดากำลังอารมณ์ไม่ดีถึงได้เป็นอย่างนี้ กลัวว่าถ้าพูดผิดไปแล้วจะยั่วโมโหท่านพ่อ ถึงแม้โค่วหลิงซวีจะไม่ค่อยทำให้เขาโมโหง่ายๆ แต่ถ้าโมโหขึ้นมาเมื่อไร ก็จะน่ากลัวมากเช่นกัน ดังนั้นแม้จะมีคำถาม แต่ก็ยังพยายามอดกลั้นไม่เอ่ยปากถาม

ทว่าในเวลานี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะสมจะเอ่ยปากที่สุด โค่วเจิงเหลือบมองถังเฮ่อเหนียนเบาๆ

ถังเฮ่อเหนียนเองก็สังเกตเห็นปฏิกิริยาของโค่วหลิงซวีแล้วเช่นนั้น ตอนนี้กำลังจัดระเบียบความคิด หลังจากแน่ใจแล้วว่าตัวเองเหมาะสมจะเอ่ยถาม ถึงได้ถามหยั่งเชิงว่า “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องอะไรขึ้นขอรับ?”

โค่วหลิงซวีกล่าวช้าๆ “จู่ๆ มียอดฝีมือมากมายขนาดนั้น อิ๋งจิ่วกวงสงสัยว่าประมุขชิงจะแอบลงมือแล้ว!”

ถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงทำสีหน้าตกตะลึงพร้อมกัน มีความเป็นไปได้จริงๆ ในใต้หล้านี้ ผู้ที่สามารถโยนยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ออกมาใช้ได้งานเยอะขนาดนี้มีไม่มาก คนทั่วไปไม่มีความกล้าที่จะลงมือกับตระกูลอิ๋งเช่นกัน ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ก็มีความเป็นไปได้เพียงสองอย่าง หนึ่งก็คือหนิวโหย่วเต๋อแอบไปพึ่งพาประมุขชิงแล้ว ได้รับการสนับสนุนจากประมุขชิงแล้ว สองก็คือหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้พึ่งพาประมุขชิง แต่เป็นประมุขชิงที่เป็นฝ่ายยื่นมือช่วยหนิวโหย่วเต๋อเอง จุดประสงค์ในตอนนี้ก็คือไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อตาย ต้องการทำให้ตระกูลโค่วทุกข์ทนต่อไป ที่แท้สถานการณ์ก็เป็นอย่างนี้

สองสถานการณ์นี้ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ไหน ก็ล้วนไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตระกูลโค่ว

ที่แท้ก็เป็นสถานการณ์นี้นี่เอง โค่วเจิงเอ่ยถาม “น้องเจ็ดยังอยู่ในบ้าน หนิวโหย่วเต๋อยอมตายเพื่อน้องเจ็ดได้ คงไม่ถึงขั้นทำให้น้องเจ็ดลำบากใจหรอกกระมัง?”

ถังเฮ่อเหนียนลังเล “ประเด็นสำคัญก็คือประมุขชิงรู้ได้อย่างไรว่าหนิวโหย่วเต๋อจะลงมือกับอิ๋งหยางที่น้ำพุวังเวง? เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อสาบานว่าจะเอาอิ๋งหยางเรียกได้ว่าเป็นความลับ ท่านอ๋องเอ่ยปากถามเองก็สิ้นเรื่องแล้ว ตระกูลที่เหลือคงไม่พูดซี้ซั้วเช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อก็ยิ่งไม่มีทางป่าวประกาศเอง ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่รู้เงื่อนไขเบื้องต้นนี้ ต่อให้เป็นการออกล่าที่น้ำพุวังเวงตามปกติ ก็มียอดฝีมือเข้าร่วมด้วยอยู่ดี ใครจะจินตนาการได้ล่ะว่าหนิวโหย่วเต๋อจะกล้าโจมตี แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตระกูลอิ๋งจะวางกับดักในออกล่าที่น้ำพุวังเวง?”

โค่วหลิงซวีไม่สะทกสะท้านกับคำพูดนี้ กล่าวอย่างสุขุมต่อไปว่า “อิ๋งจิ่วกวงขอให้กำลังพลของตระกูลโค่วที่น้ำพุวังเวงไปร่วมกันโจมตีผู้ลอบจู่โจม!”

ถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงพูดไม่ออก ต่างก็เข้าใจแล้วว่าหมายความว่าอะไร ถ้าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ในกำลังพลที่ลอบจู่โจม ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ตระกูลโค่วร่วมมือกับคนนอกเพื่อฆ่าคนบ้านตัวเอง

“ไม่ทราบว่าตระกูลอิ๋งยินดีจ่ายเป็นอะไร?” ถังเฮ่อเหนียนขมวดคิ้วถาม

“แค่ตำแหน่งหัวหน้าภาคตำแหน่งเดียว ต่อให้มีเพิ่มก็ไร้ประโยชน์” โค่วหลิงซวีตอบ

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ท่านอ๋องกับพ่อบ้านกำลังปรึกษากัน คนที่อยู่รอบบริเวณศาลานี้ถอยออกไปหมดแล้วอย่างรู้กาลเทศะ

“ตระกูลอิ๋งยินดีจ่ายเป็นอะไรคะ?” ซูอวิ้นถามคำถามเดียวกับถังเฮ่อเหนียน

คำตอบของฮ่าวเต๋อฟางก็คล้ายกับโค่วหลิงซวี “ให้พอเป็นพิธีเท่านั้น หัวหน้าภาคตำแหน่งเดียว ฝั่งพวกเรายังคุยง่ายหน่อย แต่ทางตระกูลโค่วคงจะสับสนที่สุด”

“แต่ก็ยังตอบตกลง” ซูอวิ้นพยักหน้าเบาๆ

ฮ่าวเต๋อฟางเอามือไขว้หลังทอดสายตามองไปไกล “ถ้าได้มือดีของตระกูลที่เหลือ ก็น่าจะควบคุมสถานการณ์ได้!”

จวนแม่ทัพภาคตลาดผี ในตำหนักประชุม หยางเจาชิงเรียกรวมทหารทุกคนมาประชุมในนามของเหมียวอี้ หลังจากถ่ายทอดคำสั่งแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติการ

ทุกคนต่างก็ลังเลนิดหน่อย แต่ก็ยังปฏิบัติตามคำสั่ง ไม่นานในจวนแม่ทัพภาคก็เกิดเสียงอาวุธดังโช้งเช้งอยู่พักหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งพยายามควบคุมเสียงไม่ให้ภายนอกได้ยิน ทุกคนกำลังควงดาบและกระบี่ฟันขุดผนัง

มี ‘เส้นด้ายแขวนชีวิต’ ถูกขุดออกมาจากระหว่างคานกับเสา ถึงแม้ผลึกแร่ผสมจะทนการเคาะตีได้ แต่ก็ทนไม่ได้หากโดนตีซ้ำๆ เมื่อถูกโจมตีอย่างรุนแรงแล้ว ถึงขั้นไม่ต้องตีแรงซ้ำ คานหลักต้นนี้ก็จะถล่มลงมาแน่นอน

ไม่ใช่แค่คานกับเสาต้นนี้ แต่ยังมีผนังอีกสี่ด้าน เรียกได้ว่ากำลังสร้างห้องอันตรายที่สามารถถล่มได้ทุกเมื่อ

สวีถังหรานที่ติดตามหยางเจาชิงไปตรวจดูทั้งข้างล่างข้างบนหวาดระแวงนิด แอบถ่ายทอดเสียงถามว่า “แบบนี้หมายความว่าอะไร? ข้าว่านะเหล่าหยาง จวนแม่ทัพภาคตลาดผีมีมาตั้งแต่ก่อตั้งตำหนักสวรรค์แล้ว พวกเราล้างผลาญแบบนี้จะเหมาะสมเหรอ? ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ถ้าวันไหนอนๆ อยู่แล้วไม่ทันระวัง มันถล่มลงมาทับพวกเราตายจะทำยังไง แบบนั้นไม่คุ้มเกินไปแล้ว”

“เป็นประสงค์ของนายท่าน พวกเราทำตามก็พอแล้ว” หยางเจาชิงตอบอบย่างขอไปที หยุดเดินแล้วหันมาบอกว่า “ทางเจ้าก็เตรียมตัวได้แล้ว พอนายท่านส่งข่าวมา ก็ให้ลงมือทันที! เหล่าสวี เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าให้เกิดช่องโหว่อะไร ไม่อย่างนั้นนายท่านไม่อภัยเจ้าแน่”

“เจ้าวางใจการทำงานของข้าได้!” สวีถังหรานตบอกรับประกัน จากนั้นก็เดินก้าวยาวจากไป…

น้ำพุวังเวงชั้นสิบเอ็ด แดนอัสนีบาต

ด้านนอกกระโจมค่าย แสงสายฟ้าวับวาบไม่หยุด โค่วเหวินไป๋กับโค่วหู่ที่อยู่ในกระโจมค่ายได้รับข่าวจากระฆังดาราแทบจะพร้อมกัน

โค่วหู่ติดต่อเสร็จก่อน เขาเก็บระฆังดาราเงียบๆ มองโค่วเหวินไป๋ที่ยังติดต่อ สีหน้าค่อนข้างคร่ำเครียด เฝ้ารอโดยไม่พูดอะไร

หลังจากโค่วเหวินไป๋ติดต่อเสร็จแล้ว ก็บีบระฆังดาราไว้ในมือเงียบๆ สีหน้าดูค่อนข้างหดหู่

ตอนนี้โค่วหู่ถึงได้บอกว่า “เป็นการตัดสินจากฝั่งท่านอ๋อง ทางตระกูลอิ๋งก็บอกเหมือนกันว่าประมุขชิงอาจจะลงมือแล้ว”

“เมื่อครู่ท่านพ่อบอกแล้ว” โค่วเหวินไป๋กล่าวอย่างสงบนิ่ง

โค่วหู่สูดหายใจลึก แล้วจู่ๆ ก็กล่าวอย่างเคารพ “กำลังพลที่ออกล่าของตระกูลอิ๋งถูกจู่โจม ท่านอ๋องส่งข่าวให้ข้าน้อยด้วยตนเอง โจรชั่วอาละวาด บังอาจโจมตีกำลังพลของตำหนักสวรรค์ ไม่อาจปล่อยไปง่ายๆ สั่งให้ข้าน้อยเป็นแม่ทัพสูงสุด ให้นำกำลังพลที่ออกล่าไปสนับสนุนเดี๋ยวนี้ ไปโจมตีร่วมกับตระกูลอิ๋ง ต้องกำจัดโจรชั่วให้หมด!”

โค่วเหวินไป๋พยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ท่านพ่อบอกข้าแล้ว…” จากนั้นก็กุมหมัดคารวะโค่วหู่ “ข้าน้อยยินดีเชื่อฟังคำสั่งทหารของขุนพลใหญ่!”

โค่วหู่ใช้สองมือประคองเขา แล้วอึกอึกเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็กล่าวอออกมาอย่างยากลำบากว่า “ท่านอ๋องมีคำสั่ง ว่าศึกนี้ใครจะถอยก็ได้ แต่มีเพียงนายน้อยโค่วเหวินไป๋ที่ถอยไม่ได้ นายน้อยจะต้องออกศึกสังหารศัตรูด้วยตนเอง หากกล้าถอยเพราะขี้ขลาด โทษนี้ไม่อาจอภัย สั่งให้ข้าน้อยประหารที่กองหน้าทันที!”

โค่วเหวินไป๋ขยับลูกกระเดือด ตอบด้วยสีหน้าขื่นขม “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ท่านพ่อบอกแล้ว” สองมือกำหมัดแน่น

เขาเพิ่งมีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้ง ถ้าศึกนี้ขาดเขาไปสักคนจะตัดสินแพ้ชนะได้เหรอ? แน่นอนว่าไม่ได้ จะมีหรือไม่มีเขานั้นไม่สำคัญเลย เป็นเพราะรู้ว่าต้องลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วทำใจรับได้ยากในด้านความรู้สึกเหรอ? แน่นอนว่าไม่ใช่

สาเหตุที่แท้จริงก็เป็นเพราะรู้ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขชิงใช้กำลังกับสี่อ๋องสวรรค์โดยตรง สาเหตุที่แท้จริงเป็นเพราะรู้ว่าเขาคือหลานชายคนโตของตระกูลโค่ว

ในศึกเดือดที่มีคนนับไม่ถ้วนสนามนี้ กลับมียอดฝีมือบงกชกลายกับยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์โผล่มามากมาย การที่กดดันให้นักพรตบงกชรุ้งดันทุรังลงสนามรบ นี่เป็นการบีบให้เขาไปตายแท้ๆ แต่ก็ไม่มีทางเลือก นี่ก็คือท่าทีของตระกูลโค่ว นี่คือท่าทีที่ตระกูลโค่วแสดงให้ประมุขชิงเห็น และเนท่าทีที่สี่อ๋องสวรรค์แสดงให้ประมุขชิงเห็นเช่นกัน ดังนั้นต่อให้โค่วเหวินไป๋รู้ว่าจะต้องตาย แต่ก็ต้องแข็งใจลงสนามรบ!

ถ้าตอนนี้เขากล้าถอย ในภายหลังก็จะอยู่มิสู้ตายในตระกูลโค่ว ถึงขั้นไม่ต้องรอให้ถึงในภายหลัง ก็จะมีคนเด็ดหัวเขาร่วงที่น้ำพุวังเวงแล้ว

เดิมทีเป็นเพียงการเล่นงิ้วออกล่าฉากหนึ่งเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ โค่วหู่มองคนตรงหน้าพลางแอบถอนหายใจ แล้วตบบ่าเขาพร้อมยิ้มให้กำลังใจ “นายน้อยวางใจเถอะ ผู้ที่ลงมือไม่ได้มีแค่บ้านพวกเรา กำลังพลฝ่ายศัตรูมีไม่เยอะ พวกเรามีโอกาสชนะมากกว่า ข้าจะเตรียมให้ลูกน้องปกป้องนายน้อยให้ดี ไม่เป็นอะไรหรอก แต่นายน้อยก็ต้องทราบเอาไว้อย่างหนึ่งด้วย ว่าขอเพียงทนผ่านศึกนี้ไปได้ ท่านอ๋องก็จะไม่ปฏิบัติต่อนายน้อยอย่างอยุติธรรมแน่อน ถึงตอนนั้นฐานะของท่านที่ตระกูลโค่วก็แทบจะได้ ‘ป้ายคำสั่งพ้นตาย’ ครั้งหนึ่งเลย อนาคตยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด ในภายหลังต่อให้มีคนเล่นตุกติดอะไรกับท่าน คลื่นลมก็ทำให้ท่านสั่นคลอนไม่ได้เลย”

โค่วเหวินไป๋ย่อมเข้าใจไว้สิ่งที่เรียกว่าผลประโยชน์ก็คือสิ่งตอบแทน มีเพียงต้องจ่ายออกเท่านั้น ถึงจะได้ผลตอบแทนกลับมา แต่ประเด็นสำคัญก็คือ คนเราจะต้องมีชีวิตไว้เสพสุขด้วย เขากุมหมัดขอบคุณโดยไร้เสียง

ผ่านไปไม่นาน ตามที่โค่วหู่ถ่ายทอดคำสั่ง ตระกูลโค่วก็เก็บค่ายอย่างรวดเร็ว

ร่ายอิทธิฤทธิ์แยกเมฆดำบที่มีแสงสายฟ้าวับวาบ กำลังพลกลุ่มหนึ่งหาะฝ่าท้องฟ้าเข้าไปในตาน้ำพุ

ไม่ใช่แค่กำลังพลของตระกูลโค่วเท่านั้น ที่แดนมายาของน้ำพุวังเวงชั้นสิบ ฮ่าวอวิ๋นเทียนที่อยู่ในค่ายมีสีหน้าหดหู่ ก่วงเซิ่งหน้าม่อยคอตก ทั้งสองยืนอยู่เคียงข้างกัน ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าการออกล่าที่น้ำพุวังเวงจะกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ ไม่น่าเชื่อว่าต้องเอาชีวิตไปล้อเล่นในสนามรบที่มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ฆ่ากันขวักไขว่!

ฝั่งตรงข้ามนายน้อยสองท่านนี้ อูกานกับจวงจื้อเกาสอบตากันแล้วแอบถอนหายใจ รู้สึกเห็นอกเห็นใจเช่นกัน

ผ่านไปไม่นาน กำลังพลสองกลุ่มก็รวมกันเป็นทางเดียว เก็บค่ายและพุ่งขึ้นฟ้าไปแล้ว

เพียงเพราะสงสัยว่าประมุขชิงอาจจะใช้กำลังกับพวกเขา แค่เพราะสงสัยเท่านั้น ไม่ได้มีหลักฐานอ้างอิง สี่อ๋องสวรรค์กก็ร่วมมือกันทันที ยอมแลกทุกอย่างเพื่อสังหารกำลังพลที่ลอบโจมตีตระกูลอิ๋ง!

เกรงว่าหวังเฟยท่านนั้นของตระกูลก่วงก็คงนึกไม่ถึงเช่นกัน ว่าคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของนางจะทำให้เกิดผลที่ตามมาอย่างนี้

น้ำพุวังเวงชั้นห้า ศึกใหญ่เข้าสู่จุดเดือดอย่างรวดเร็ว

พวกเหมียวอี้ที่ซ่อนตัวดูการต่อสู้อย่างสบายใจเรียกได้ว่าสะใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นคนก่อกวนให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ขึ้น แบบนั้นรู้สึกสะใจยิ่งกว่า ความรู้สึกยามได้นั่งตกปลาอยู่บนแท่นอย่างสงบท่ามกลางอัสนีบาตฟาดเปรี้ยงๆ ท่ามกลางทะเลที่มีคลื่นโหมซัดสาด จะไม่ใช่คำว่าสะใจมาบรรยายได้อย่างไร

หกขุนพลใหญ่ก็ยิ่งแอบบันเทิงไม่หยุด เพราะเหม็นขี้หน้าพวกตำหนักสวรรค์มานานแล้ว หาโอกาสลงมือมาตลอด ครั้งนี้ค่อนข้างน่าสนุก

“จุจุ…” ไป๋เฟิ่งหวงที่ยืนกอดอกเดาะลิ้นทุกครั้งเมื่อได้เห็นฉากต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม คาดว่าคงจะเป็นคนที่ชอบแส่เรื่องชาวบ้านเหมือนกัน ดูจนยักคิ้วหลิ่วตาแสดงอารมณ์ร่วม

เยี่ยนเป่ยหงเองก็เคยเห็นฉากต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือมากมายขนาดนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน มองดูตาไม่กะพริบ

แทบจะเป็นเวลาเดียวกับตอนที่เสวี่ยอวี้โผเข้าหาเยี่ยนสุย หกขุนพลใหญ่รวมทั้งพวกเหมียวอี้ย้ายสายตาขึ้นด้านบน มองดูบนฟ้าที่สูงกว่านั้น

เงาคนที่สวมเกราะรบกระเพื่อมอยู่บนฟ้า กำลังห้าหมื่นปรากฏตัวกลางอากาศ จัดกระบวนทัพล้อมปราบอย่างรวดเร็ว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เกือบหมื่นเปล่งแสงพร้อมกัน ลูกธนูตั้งอยู่บนสายแล้ว

ในที่สุดทางหนีทีไล่ที่สองพี่น้องแซ่เยี่ยนเตรียมไว้ก็เผยออกมาแล้ว กำลังพลห้าหมื่นและธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งหมื่นที่ซ่อนไว้เปิดตัวอย่างดุร้าย กลิ่นอายสังหารระอุ รอให้เหยื่อมาติดกับดักอยู่นานแล้ว

…………………………

หลักการก็เรียบง่ายมาก เพราะเคยเห็นนางลงมือแล้ว เห็นนางสังหารเข้ามาแต่ไม่ลนลานเลยสักนิด ถึงขั้นไม่มีท่าทีว่าจะหลบเลยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายย่อมไม่หวาดกลัวนางอยู่แล้ว

ยังมีอีกจุดหนึ่ง อีกฝ่ายสามารถเก็บอิ๋งหยางเข้ากระเป๋าสัตว์และปกป้องอยู่ข้างกายอิ๋งหยางได้ เมื่อเชื่อมต่อกับจุดนี้ ก็แสดงว่าคนคนนี้มีฐานะในจวนอ๋องสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา มีความเป็นไปได้สูงว่าจะรู้จักพวกนางสองคน พวกนางคือศิษย์ของพุทธะหน้าหยกของแดนสุขาวดี คนที่อยู่ในระดับอย่างพวกนาง มีครอบครัวของสี่อ๋องสวรรค์คนไหนบ้างที่นางไม่เคยติดตามอาจารย์ไปในฐานะแขก ฝั่งจวนอ๋องสวรรค์เองก็ย่อมส่งคนที่มีฐานะเทียบเท่ามารับรองแขกเช่นกัน ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ในจวนอ๋องสวรรค์ นางน่าจะเคยเจอมาหมดแล้ว อย่างน้อยภายนอกนางก็น่าจะรู้จักหมด

ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะรู้จักหรือไม่ หรือจะมีความสัมพันธ์เป็นอย่างไร แต่มาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่มีทางเลือดอื่น ถ้าไม่เป็นเจ้าที่ตายก็เป็นข้าที่รอด

เสวี่ยอวี้ปลุกพลังให้ฮึกเหิมภายในชั่วพริบตาเดียว…

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว โค่วหลิงซวีกำลังนั่งอยู่ในห้อง พอได้รับรายงานก็ลุกขึ้นยืนทันที แล้วเอ่ยถามคำถามเดียวกัน “เขาหายอดฝีมือมาจากไหนมากมายขนาดนี้?”

ถังเฮ่อเหนียนที่มารายงานขมวดคิ้ว แล้วส่ายหน้าตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ ไม่ทราบด้วยว่าตระกูลอิ๋งเตรียมตัวไว้เพียงพอหรือไม่ ไม่อย่างนั้นก็อาจจะตายด้วยน้ำมือเขาจริงๆ”

“จะให้ข้าติดต่อกับเขาโดยตรงเลยดีมั้ย?” โค่วเจิงที่อยู่ข้างๆ ประหลาดใจไม่หยุด

ถังเฮ่อเหนียนหันมาตอบ “คุณชายใหญ่ ต่างก็กำลังสู้ตายกันอยู่ เขาจะมีเวลามาตอบหรือเปล่าก็ไม่รู้ ประการต่อมา ถ้าถามตอนนี้ แล้วคนของตระกูลโค่วจะต้องไปสนับสนุนด้วยหรือเปล่า? ถ้าไม่ไปช่วย แล้วครั้งนี้เขากลับมาได้ พวกเราจะอธิบายยังไงล่ะ? ทำเป็นไม่รู้จะดีกว่า!”

โค่วเจิงเงียบไป เมฆหมอกแห่งความสงสัยปกคลุมอยู่เต็มห้อง เขาลองถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อบอกว่าเข้าควบคุมตลาดสวรรค์มาหลายปี สามารถหาคนได้จำนวนหนึ่ง สงสัยจะเป็นอย่างนี้จริงๆ ประเมินเขาต่ำไปแล้ว”

ถังเฮ่อเหนียนส่ายหน้าถอนหายใจ “ตลาดสวรรค์มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ แต่ก็ไม่ใช่บ้านของเขา ทรัพยากรที่เขาสามารถให้ได้จะจ้างยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์มามากขนาดนั้นได้ยังไง? ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์จะไม่ทำให้คนแย่งกันหัวแตกหรอกเหรอ?”

“ไม่ต้องเดาแล้ว เฒ่าถัง ให้พวกลูกน้องจับตาดูเอาไว้ ถ้ามีความเคลื่อนไหวใหม่ให้รายงานทันที” โค่วหลิงซวีกล่าว

“ขอรับ!” ถังเฮ่อเหนียนเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อตรงนั้นเลย

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ตรงระเบียงของตึกศาลาหลังหนึ่ง ฮ่าวเต๋อฟางยืนเอามือไขว้หลังพลางหรี่ตา “เป็นเจ้าหนุ่มนั่นลงมือจริงเหรอ? หายอดฝีมือมาจากไหนมากขนาดนั้น?”

ซูอวิ้นที่เป็นชายแต่งหญิงขมวดคิ้วอยู่ข้างๆ “ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์เคยใช้วิธีแข็งกร้าวหลายครั้ง ตอนไปกองทัพองครักษ์ก็ใช้อำนาจยึดควบคุมเช่นกัน ศึกที่น่านฟ้าระกาติงก็ยิ่งใช้กำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ดันทุรังสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้าน นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้ก็ใช้กำลังปะทะตรงๆ เหมือนกัน ลักษณะการทำงานของหนิวโหย่วเต๋อนี่แข็งกร้าวจริงๆ เชี่ยวชาญการใช้กำลังรบ เป็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญบนสนามรบจริงๆ!”

“ใครเบื้องล่างจับตาดูเอาไว้” ฮ่าวเต๋อฟางกล่าว

“ค่ะ!” ซูอวิ้นเอ่ยรับ

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิ่งกงกับหวังเฟยเม่ยเหนียงกำลังเดินเล่นอยู่ในป่าภูเขา พ่อบ้านโกวเยว่ปรากฏตัวแล้วถ่ายทอดเสียงรายงาน ก่วงลิ่งกงหยุดเดินแล้วถ่ายทอดเสียงสื่อสารอย่างตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นถึงได้โบกมือให้โกวเยว่ถอยไป

เม่ยเหนียงสังเกตเห็นว่าก่วงลิ่งกงที่เมื่อครู่นี้เพิ่งพูดคุยกับนางอย่างสนุกสนานเงียบขรึมลงเยอะ จึงถามหยั่งเชิงว่า “ท่านอ๋องมีเรื่องในใจเหรอคะ?”

ก่วงลิ่งกงหันตัวมาจ้องนางครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็กล่าวช้าๆ “หนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลอิ๋งสะสมความแค้นไว้ลึกมาก ยากที่จะจบลงด้วยดี เรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงเดิมทีเป็นตระกูลอิ๋งที่วางกับดัก ตอนนี้สู้กับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว…” เขาเล่าเรื่องที่น้ำพุวังเวงให้ฟังคร่าวๆ

เขารู้ว่าเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับหนิวโหย่วเต๋อล้มเหลวครั้งก่อนยั่วยุอารมณ์ของผู้หญิงคนนี้มาก ทำให้ผู้หญิงคนนี้มีความหวัง แต่ก็ดับความหวังของนางจนหมดสิ้น จะไม่ถือว่าโหดร้ายได้อย่างไร และครั้งนั้นก็ทำให้เขาเริ่มตระหนักอะไรได้บ้างแล้ว พิจารณาถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถ้าตัวเองไม่อยู่แล้ว ใครจะคอยปกป้องผู้หญิงคนนี้? ลูกชายหลายคนของตนภายนอกดูเคารพผู้หญิงคนนี้ แต่ลับหลังมีใครบ้างที่ไม่อยากช่วยยกฐานะให้มารดาตัวเองเป็นฮูหยิน ถ้าลูกชายคนไหนของตนรับตำแหน่งต่อ ลูกน้องเก่าของตนก็ย่อมต้องติดตามรับใช้อ๋องคนใหม่ เกรงว่าคงไม่ต้องรอให้อ๋องคนใหม่แสดงท่าทีอะไร ก็มีคนคิดอยากจะช่วยอยู่แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเกรงว่าจุดจบของผู้หญิงคนนี้คงจะไม่ดีสักเท่าไร

แน่นอน เขาหวังว่าอ๋องคนใหม่จะสามารถอยู่ในตำแหน่งตัวเองได้อย่างมั่นคง รักษาเกียรติยศความรุ่งโรจน์ให้ตระกูลก่วงต่อไป แต่พอนึกว่าจะมีคนมาทำร้ายผู้หญิงของตัวเอง เขาก็ไม่อาจอดกลั้นได้เช่นกัน ถ้าผู้หญิงคนนี้ถูกกดดันจนหมดทางเลือก นางจะทำอะไรก็จินตนาการได้ไม่นาน เมื่อเดินไปถึงขั้นที่ก้าวเท้าลำบาก สิ่งที่สามารถนำมาปกป้องตัวเองได้ก็คือใช้ประโยชน์จากความสวยของตัวเอง

ทั้งยังมีลูกสาวสุดที่รักที่ยังไม่ได้แต่งงานอีก ถ้าอ๋องคนใหม่ปฏิบัติต่อมารดาของนางไม่ดี แล้วยังจะหวังให้อ๋องคนใหม่หนุนหลังลูกสาวตนในฐานะครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวได้อีกเหรอ? หากขาดการสนับสนุนจากจวนท่านอ๋อง เกรงว่ายิ่งหน้าตาสวยก็จะยิ่งมีจุดจบที่อนาถ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะตายโดยไม่ทราบสาเหตุ การต่อสู้ชิงไหวชิงพริบของเหล่าอนุภรรยาชนชั้นสูงก็น่ากลัวขนาดนี้ ไม่ได้ดีไปกว่าวังหลังสักเท่าไร

พอนึกว่าลูกสาวสุดที่รักของตัวเองอาจจะเดินไปถึงจุดนั้น เขาก็ค่อนข้างปวดใจ และคนที่คำนึงถึงลูกสาวตนอย่างแท้จริงก็คงจะมีเพียงมารดาของนางแล้ว คือผู้หญิงคนที่อยู่ตรงหน้านี้เอง

และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก่วงลิ่งกงก็เริ่มคำนึงถึงอนาคตของสองแม่ลูกนอกเหนือผลประโยชน์ของตระกูลก่วงอย่างแท้จริง รู้สึกว่าต้องสนับสนุนอำนาจที่ผู้หญิงคนนี้สามารถกุมไว้ในมือได้ ไม่ถึงขั้นในอนาคตกลายเป็นเนื้อปลาบนเขียง เขากำลังพิจารณาอย่างจริงจังเช่นกัน ว่าต้องหาลูกเขยที่ในอนาคตสามารถหนุนหลังลูกสาวได้อย่างแท้จริง เป็นที่พึ่งพาให้สองแม่ลูก ไม่หวังให้มีหน้าตามีตาไร้ที่สิ้นสุด อย่างน้อยขอให้ใช้ชีวิตอย่างไม่ลำบากก็พอ แต่ลูกเขยดีๆ ที่สามารถเติมเต็มเงื่อนไขนี้หาง่ายเสียที่ไหนกัน!

ด้วยเหตุนี้เอง ตอนนี้เขาจึงเลิกจำกัดควบคุมเม่ยเหนียงแล้ว ตั้งใจให้นางสะสมกำลังของตัวเอง แต่เหมือนจะไม่ได้ผลสักเท่าไร เป็นเพราะในโลกนี้มีคนฉลาดเยอะเกินไป เรียกได้ว่ามีคนที่ชอบประจบเอาใจผู้มีอำนาจเยอะเกินไป ทุกคนต่างก็รู้ว่านายท่านที่แท้จริงในอนาคตของตระกูลก่วงคือใคร ไม่มีใครอยากมีเรื่องกับบรรดาลูกชายของเขา และก็คงไม่ดีที่เข้าจะทำกับลูกชายเกินไป ไม่อย่างนั้นเรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางตรงกันข้าม หากอำนาจของตระกูลก่วงตกอยู่ในมือของผู้หญิงคนนี้จริงๆ ตัวอย่างก็มีให้เห็นมากมายแล้วว่าจิตใจสตรีนั้นอำมหิตที่สุด เวลาผู้หญิงจะโหดขึ้นมาผู้ชายก็เทียบไม่ติด ในอนาคตผู้หญิงคนนี้อาจจะลงดาบกับลูกหลานเขาก็ได้ นั่นก็คือสิ่งที่เขาไม่อยากเห็นเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้เขาคิดวนเวียน เรื่องในบ้านมักจะจัดการยากเสมอ ในนั้นปะปนด้วย ‘ความผูกพัน’ ที่ตัดขาดได้ยาก เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาเรื่องการตัดสินใจฆ่าอย่างไม่ลังเลมาใช้กับคนในครอบครัวบ่อยๆ

ดังนั้นตอนที่เขามีเวลาว่าง จึงเกิดภาพที่เดินเล่นกับหวังเฟยเม่ยเหนียงอย่างนี้ เพราะตั้งใจจะให้พวกลูกน้องได้เห็น หวังว่าจะช่วยเพิ่มอำนาจให้หวังเฟยเม่ยเหนียงได้

เนื่องจากมีการคำนึงถึงสิ่งนี้ เขาจึงให้นางรู้เรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นถ้าดวงตาสองข้างมืดบอด นางก็จะไม่กล้าทำอะไรเลย ไม่อย่างนั้นถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่บอกเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงให้นางรู้

เม่ยเหนียงได้ยินข่าวแล้วตกใจ “ท่านอ๋องหมายความว่า ตระกูลโค่วก็รู้เหมือนกัน และให้ความร่วมมือกับตระกูลอิ๋งกำจัดหนิวโหย่วเต๋อด้วยงั้นเหรอ?”

ก่วงลิ่งกงยิ้มเรียบๆ “ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว ไม่มีอะไรน่าตื่นตกใจ หรือจะให้ดึงทั้งตระกูลโค่วลงบ่อโคลนเพื่อหนิวโหย่วเต๋อคนเดียว?”

เม่ยเหนียงแสยะยิ้ม “อย่างไรเสียก็เป็นลูกเขยของตระกูลโค่ว ตระกูลโค่วนี่ช่างทำได้ลงคอ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วจะแย่งทำไม!”

ก่วงลิ่งกงส่ายหน้า “เม่ยเหนียง เจ้าจำไว้นะ เรื่องบางเรื่องก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะมองจากมุมไหน ถ้ามองจากด้านความรู้สึก เรื่องนี้ทำใจรับได้ยากจริงๆ แต่ถ้ามองจากสถานการณ์โดยรวม การควงดาบตัดแขนตัวเองก็เป็นความกล้าหาญและความฉลาดอย่างหนึ่งเช่นกัน ถ้าไม่ตัดสิ่งที่ควรตัดก็อาจก่อหายนะได้ มีเรื่องราวมากมายที่ไม่อาจใช้อารมณ์ บางทีการพูดอย่างนี้อาจจะทำให้เจ้าไม่สบายใจ เป็นเพราะเจ้ายังไม่เดินไปอยู่จุดนั้น แต่ยามถึงเวลาที่เจ้าต้องแก้ปัญหาให้ครอบคลุมทั่วทุกด้าน เจ้าคิดว่าความเป็นความตายของคนนอกคนเดียว หรือความเป็นความตายของคนจำนวนมากสำคัญกว่ากันล่ะ? ยามเจ้าต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกอย่างนี้ เจ้าก็ต้องจำเอาไว้ ว่าเรื่องบางประเภทไม่มีแบ่งแยกดีชั่ว และไม่เกี่ยวกับความรู้สึกด้วย บางสิ่งที่สละได้ก็ต้องสละ ไม่อย่างนั้นถ้าใช้อารมณ์ชั่ววูบทำงาน เจ้ามานึกเสียใจทีหลังก็จะไม่ทันแล้ว นั่นจะนำความเจ็บปวดมาสู่คนมากมาย จะนำความเสียหายทางด้านความรู้สึกให้คนมากกว่านั้น เข้าใจมั้ย?”

เม่ยเหนียงพยักหน้าเบาๆ เพียงแต่พอนึกว่าหนิวโหย่วเต๋อเพิ่งอยู่ระดับนี้แล้วรวบรวมกำลังได้เยอะขนาดนั้น ถ้าได้มาเป็นลูกเขยของตัวเองจะดีขนาดไหนกัน ในอนาคตจะมีใครมาแตะต้องพวกนางสองแม่ลูกได้ง่ายๆ อีก?

พอคิดแบบนี้ นางก็รู้สึกปวดใจนิดหน่อย แต่ก็รู้ว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างเสียดาย “น่าเสียดายจริงๆ”

ก่วงลิ่งรู้ถึงความคิดนาง จึงเตือนว่า “ไม่มีอะไรน่าเสียดาย ถ้าหนิวโหย่วเต๋อแต่งงานก็เม่ยเอ๋อร์ก็เหมือนกัน ต่อให้เม่ยเอ๋อร์เป็นลูกสาวแท้ๆ ของข้า เป็นลูกรักหัวแก้วหัวแหวนแล้วยังไงล่ะ? เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ข้าก็จะตัดสินใจเลือกเหมือนโค่วหลิงซวีอยู่ดี เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้ว ว่าฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยให้มีคนขุดฐานกำแพงของเขาโดยไม่ทำอะไร จะต้องให้อำนาจกดดันแน่นอน เขาทั้งไม่ฆ่าหนิวโหย่วเต๋อ แล้วก็ไม่ปล่อยหนิวโหย่วเต๋อไปด้วย เอาแต่กดอยู่อย่างนั้น แค่ต้องการจะทำให้ตระกูลโค่วทนทุกข์ ต้องการทำให้ตระกูลโค่วยกหินทุ่มเท้าตัวเอง ทำให้ตระกูลโค่วโวยวายอะไรไม่ได้ ใช้วิธีนี้เพื่อเตือนคนอื่น ว่าต่อไปถ้าใครกล้าทำอย่างนี้อีก ก็จะมีจุดจบอย่างนี้! ฝ่าบาทกุมอำนาจมหาศาลของใต้หล้าเอาไว้ ถ้าเมื่อไรที่ฝ่าบาทตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ก็มีทรัพยากรในมือให้ใช้เยอะเกินไป ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของฝ่าบาทได้ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรน่าเสียดาย เจ้าควรจะรู้สึกโชคดีที่หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้แต่งงานกับเม่ยเอ๋อร์สิถึงจะถูก”

“เฮ้อ! เมฆลมในใต้หล้าเปลี่ยนแปลงยากคาดเดา พอไม่ระวังก็จะถูกพายุฝนฟ้าคะนองได้ หนิวโหย่วเต๋อที่เดินวนอยู่ระหว่างแผนของพวกท่านก็คงเหนื่อยมากทีเดียว” เม่ยเหนียงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ท่านอ๋อง ขนาดข้ายังอดไม่ได้ที่จะช่วยถามแทนหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย ว่าตอนนี้เขาถอนตัวทันมั้ย?”

“ถอนตัวเหรอ?” ก่วงลิ่งกงเงยหน้าหัวเราะลั่น ราวกับได้ฟังเรื่องราวที่น่าขันมาก “เขาจะถอนตัวไปไหนได้ล่ะ? ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น ใครใช้ให้เขาทำตัวเด่น? ถ้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะต้านทาน ทนการโจมตีของลมฝนหมอกหิมะแล้วเติบโตต่อไปได้ ก็ต้องโดนฟ้าผ่าจนลำต้นหัก เจ้าเคยเห็นต้นไม้สูงใหญ่ที่ไหนหดเล็กลงได้มั้ยล่ะ? เขาผูกบุญคุณความแค้นไว้มากขนาดนั้น เดินเข้ามาอยู่บนเส้นทางลมคาวฝนเลือดแล้ว ถ้าไม่เดินหน้าจนประสบความสำเร็จ ก็ต้องเดินถอยหลัง ถ้าอยากถอยก็มีคนยินดีจะปล่อยเขาไปเช่นกัน นอกจากเดินไปข้างหน้าต่อ ก็ไม่มีทางให้ถอยกลับ ทุกอย่างล้วนเป็นเขาที่หาเรื่องใส่ตัว ไปโทษคนอื่นไม่ได้!”

ขณะที่เม่ยเหนียงทอดถอนใจ จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ ถามว่า “ยอดฝีมือพวกนั้น จะเป็นตระกูลโค่วที่แอบสนับสนุนเขาหรือเปล่าคะ?”

ก่วงลิ่งกงเหล่ตามอง แล้วบอกว่า “ตระกูลโค่วอยากหลุดพ้นจากตัวภาระจะแย่ มีหรือที่จะทำเรื่องดีๆ อย่างนี้ ถ้าเผยพิรุธขึ้นมาก็ต้องมีเรื่องกับตระกูลอิ๋งอีก”

“ตระกูลโค่วอยากจะหลุดพ้นปัญหา ท่านอ๋องบอกว่าฝ่าบาทต้องการทำให้ตระกูลโค่วทนทุกข์ หรือว่าฝ่าบาทจะแอบช่วยอย่างลับๆ?”

เม่ยเหนียงเดาตามใจโดยไม่ได้อิงหลักฐานอะไรเลย เป็นคำพูดที่เรียบง่ายเหมือนหนึ่งบวกหนึ่งได้สอง ทว่ากลับทำให้ก่วงลิ่งกงตะลึงงัน เริ่มหรี่ตาด้วยแววตาวูบไหว หันหน้าช้าๆ กลับไปมองหวังเฟยเม่ยเหนียง ผลปรากฏว่าทำให้นางตกใจมาก “ท่านอ๋อง ข้าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ?”

ก่วงลิ่งกงไม่ได้ตอบ แต่กลับพึมพำกับตัวเอง “หรือว่าประมุขชิงรู้แล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อต้องการจะเล่นงานเจ้าเด็กตระกูลอิ๋งให้ถึงตาย?”

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในตำหนักหลักของลานบ้านด้านใน อิ๋งจิ่วกวงเดินไปเดินมาด้วยสีหน้าขรึมเครียด “แน่ใจจะว่าเป็นหนิวโหย่วเต๋อ? เขาหายอดฝีมือมากมายขนาดนั้นมาจากไหน? คนของพวกเราจะควบคุมไหวเหรอ?”

จั่วเอ๋อร์สีหน้าแย่มาก รับมือกับหนิวโหย่วเต๋อแค่คนเดียว นางก็นับว่าเตรียมพร้อมไว้เกินกำลังแล้ว ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะเล่นใหญ่กว่า ไม่น่าเชื่อว่าจะหายอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์มาเยอะขนาดนั้น? แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าพลาดขึ้นมาจริงๆ นั่นก็จะช่วยให้นางพ้นความรับผิดชอบได้ เพราะไม่ใช่ว่านางทำได้ไม่ดี แต่เป็นอีกฝ่ายที่กำลังทำให้วุ่นวายเอง

“สองพี่น้องแซ่เยี่ยนยังเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้ อาจจะไม่แพ้ค่ะ” นางกล่าวอย่างยากลำบาก

ในขณะนี้เอง จู่ๆ อิ๋งจิ่วกวงก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นข่าวจากใคร เอาเป็นว่าสุดท้ายเขาก็พลันกำระฆังดาราเอาไว้ในมือ แล้วกล่าวเน้นออกมาในขณะที่สีหน้าดำมืดขึงขัง “ประมุขชิง! หรือว่าจะเป็นเจ้าจริงๆ? นี่อยากจะให้ข้าขาดลูกสิ้นหลานงั้นเหรอ? รังแกกันเกินไปแล้ว…”

…………………………

เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน ปฏิกิริยาแรกของเยี่ยนสุยก็คือกป้องอยู่ข้างกายอิ๋งหยาง และไม่ได้ผลักร่ายอิทธิฤทธิ์ออกไปเช่นกัน เพื่อป้องกันเผื่อผู้ลอบโจมตีมีแผนสำรอง การคุ้มกันอยู่ข้างกายอิ๋งหยางถึงจะปลอดภัยที่สุด สามารถรับมือได้ทุกเมื่อ

ไม่ใช่ว่าอิ๋งหยางหน้าใหญ่อะไรนักหรอก ไม่สนด้วยว่าจะจะดูถูกอิ๋งหยางหรือไม่ ในเมื่อทางจวนท่านอ๋องให้ตนมาคุ้มครองอิ๋งหยางแล้ว ก็จะยอมให้มีความผิดพลาดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีหนทางแก้ตัว

กระโจมค่ายจะทนรับอานุภาพการโจมตีแบบนี้ได้อย่างไร ถูกทำพังทันที

เงาแสงสามสายที่ทำลายกระโจมค่ายแฉลบผ่านไปแล้ว หนึ่งในนั้นแทบจะกวาดผ่านตำแหน่งที่อิ๋งหยางยืน ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยนสุยไหวตัวเร็ว อิ๋งหยางคงได้บันเทิงแน่

“เป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!” อิ๋งหยางที่ถูกกดจนล้มลงพื้นอุทานตกใจ

ยังต้องให้เจ้าบอกอีกเหรอ ข้าย่อมรู้ว่าเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์! เยี่ยนสุยที่กำลังปกป้องเขาตำหนิในใจ ไม่รู้ว่าคนประสาทที่ไหนใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงมาที่ค่าย หรือคิดอยากจะเสี่ยงดวงยิงคนตาย? หรือว่ารวยจนใช้ของสิ้นเปลือง!

เพียงแต่ชั่วพริบตาเดียวก็มีความคิดบางอย่างผุดเข้ามาในหัว ไม่มีใครกินอิ่มแล้วว่างงานจนมาลงมือกับคนของตระกูลอิ๋งหรอก ในที่สุดหนิวโหย่วเต๋อนั่นก็อดทนไม่ไหวจนต้องลงมือแล้ว ทำแบบนี้เท่ากับอยากกดดันให้คนในกระโจมค่ายออกมา!

คนที่ข้ารอก็คือเจ้า!

หลังจากแน่ใจแล้วว่าอิ๋งหยางไม่เป็นอะไร เขาก็ดึงอิ๋งหยางขึ้นมา แล้วโบกแขนเสื้อปัดกวาดฝุ่นควัน

“ท่านบุรุษ มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ลอบโจมตี ข้าเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของท่านก่อนดีมั้ย” อิ๋งหยางกล่าวอย่างหวาดระแวงนิดหน่อย

“ถ้าท่านมัวหลบ ไม่ให้โอกาสอีกฝ่าย แล้วจะล่อเหยื่อให้ติดเบ็ดได้ยังไง?” เยี่ยนสุยต่ำหนิ ขณะเดียวกันก็กวาดสายตาเย็นเยียบมองไปรอบๆ

คนเพียงสิบคนที่เหลืออยู่ในค่ายรีบเข้ามา ล้อมพิทักษ์อิ๋งหยางเอาไว้ตรงกลาง

อีกด้านหนึ่ง เสวี่ยอวี้กับเม่ยจีถูกลอบจู่โจมจนตกใจกระโดดออกมา เม่ยจีและบรรดาศิษย์เห็นอาจารย์ถูกจู่โจม มีหรือที่จะนิ่งดูดาย ทยอยกันกระโดดออกมาจากทั่วทุกทิศ

พวกเยี่ยนสุยกวาดสายตามองไปรอบๆ พบว่ามีเรื่องน่าสนใจนิดหน่อย รอบข้างมีคนชุดดำไม่เผยหน้าหลายสิบคนกำลังล้อมเข้ามาทางนี้

แต่ก็ไม่เห็นว่าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ตรงไหน และแยกไม่ออกด้วยว่าในจำนวนคนชุดดำพวกนี้มีหนิวโหย่วเต๋อหรือไม่ ยิ่งไม่รู้ว่าอยู่หรือไม่อยู่ แต่ดูจากท่าทีที่ล้อมเข้ามาทางนี้ ก็มองออกได้ว่าเป็นพวกเดียวกันแน่นอน กล้าลงมือกับตระกูลอิ๋งอย่างเปิดเผย ใจกล้าไม่เบา!

ไม่ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะอยู่หรือไม่ แต่ฝั่งนี้ก็มิอาจไม่สนใจ ถ้าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ท่ามกลางคนพกวนี้ขึ้นมาล่ะ มีความเป็นไปได้สูงมาก อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็ลงมือแล้ว ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่สนใจจนปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อลอดตาข่ายไป เช่นนั้นก็ส้นเปลืองความคิดไปเปล่าๆ แล้ว

สรุปก็คือแทบจะแน่ใจได้เลย ว่าคนที่ลอบโจมตีกลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อแน่นอน เพราะคนอื่นไม่มีเหตุผลที่จะทำอย่างนี้!

เยี่ยนสุยที่ถือระฆังดาราอยู่ในแขนเสื้อรีบร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่า

ความคิดแรกของพวกเสวี่ยอวี้ที่อยู่บนฟ้าก็คือ ถูกคนของตระกูลอิ๋งลอบโจมตีแล้ว มิหนำซ้ำยังใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในเวลานี้ด้วย แต่พอหันกลับไปอีกแล้วเห็นค่ายหลักถูกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ถล่มเหมือนกัน ก็สงสัยนิดหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น

ทว่าเรื่องแรกที่เสวี่ยอวี้ต้องรับประกันให้ได้ก็คือห้ามเปิดเผยตัวตน ไม่อย่างนั้นถ้าทำลายสถานการณ์ระหว่างแดนพุทธะกับตำหนักสวรรค์ ต่อให้เป็นพุทธะหน้าหยกก็รับไม่ไหว เมื่อเห็นคนของตัวเองโผล่มาแล้ว หากปะทะกันขึ้นมาก็จะเกิดปัญหายุ่งยากมาก จึงรีบถ่ายทอดเสียงบอกเม่ยจี “ถอนกำลัง!”

ถ้าบรรลุเป้าหมายแล้วปิดปากคนของตระกูลอิ๋ง แบบนั้นก็คุ้มค่า แต่ถ้าไม่ได้อะไรแล้วก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็จะไม่คุ้ม ย่อมต้องถอนกำลังก่อนอยู่แล้ว หลังจากนั้นค่อยวางแผนอีกที

เม่ยจีรีบส่งสัญญาณมือไล่คน กลุ่มคนที่อยู่รอบข้างพุ่งขึ้นฟ้าทันที หมายจะหนีออกจากตาน้ำพุ

“อืม!” เยี่ยนสุยบอกใบ้ สิบคนที่ล้อมป้องกันอยู่ทางนี้เหาะออกมาไล่สังหารทันที กำลังที่ปกป้องอิ๋งหยางอ่อนแอลงอีกครั้ง เหลือเพียงเยี่ยนสุยคนเดียว

นอกจากสิบคนที่ไล่สังหาร พวกเม่ยจีที่เพิ่งขึ้นบนฟ้าสูง ใครจะคิดว่าจู่ๆ บนฟ้าจะมีกำลังพลอีกนับพันปรากฏตัวอีก ไม่รู้ว่าโผล่มาจากน้ำพุวังเวงชั้นสี่หรือชั้นหก หลายสิบคนในนั้นง้างสายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์กลางอากาศ ลูกธนูสามดอกวางบนสายพร้อมกัน ยิงใส่พวกเม่ยจีที่พุ่งเข้ามา ส่วนคนที่เหลือโจมตีจากข้างบนลงมาข้างล่าง

บึ้มๆๆ! ลำแสงหลายสิบสายสังหารจนพวกเม่ยจีลนลานทำอะไรไม่ถูก ภายใต้ระยะที่ใกล้แบบนี้ มีคนถูกยิงตายคาที่ บางคนก็สะเทือนล้มกลางอากาศแล้วถูกคนที่กรูเข้ามาใช้อาวุธฟันสังหาร ส่วนคนที่สะเทือนตกลงพื้นก็ดิ้นรนสู้ตายอยู่ภายใต้วงล้อมโจมตี

กำลังพลของตระกูลอิ๋งที่โผล่มาปุบปับลงมืออย่างเหี้ยมโหดไร้ความปรานี ประกอบกับการรุกโจมตีอย่างเชี่ยวชาญ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นกำลังพลที่เก่งกาจของทัพตะวันออก

ทว่าคนที่เม่ยจีพามาด้วยก็ไม่ได้อ่อนด้อย มีนักพรตบงกชกลายหลายคน คนเหล่านี้ไหวตัวเร็วมาก หลังจากคว้าโล่มาป้องกันธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว ก็รีบโจมตีกลับอย่างรวดเร็ว สามารถสู้แบบหนึ่งต่อสิบได้เลย สังหารจนทัพของตระกูลอิ๋งปั่นป่วน

ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์อย่างเสวี่ยอวี้กับเม่ยจีก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แค่กระดิกนิ้วก็เอาชีวิตคนได้แล้ว ใช้เวลาเพียงไม่เท่าไรก็ถูกทั้งสองสังหารไปแล้วเกือบร้อยคน

แต่ทั้งสองไม่มีทางแยกตัวออกไปได้แล้ว ไม่ใช่ว่าหนีไม่ได้ แต่ลูกศิษย์กับศพของลูกศิษย์ที่ทิ้งไว้ที่นี่จะทำอย่างไรล่ะ ถึงตอนนั้นก็จะปิดบังตัวตนของสำนักหลัวช่าไม่ได้ เสวี่ยอวี้ทั้งตกใจทั้งโมโห นึกไม่ถึงว่าคนของตระกูลอิ๋งจะบ้าระห่ำถึงเพียงนี้ เวลาลงมือก็จะเอาให้ถึงตายเลย

พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดอยู่ระหว่างฟ้าดินราวกับพายุที่หนาวเหน็บ เสียงดังสะเทือนฟ้าดิน ตอนนี้อยู่ทั้น้ำพุวังเวงชั้นห้าแล้ว ไม่อย่างแผ่นดินใหญ่คงพลังทลายแน่

อิ๋งหยางเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน เยี่ยนสุยหรี่ตาจ้องเสวี่ยอวี้กับเม่ยจี นึกไม่ถึงว่าจะมียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ถึงสองคน ยิ่งนึกไม่ถึงด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อจะหายอดฝีมือมาได้เยอะขนาดนั้น ไม่แปลกใจที่กล้าโจมตี

เสวี่ยอวี้ที่กำลังสู้ศึกเดือดพลันหันขวับ สบตากับเยี่ยนสุยที่อยู่ข้างหลังแล้ว ในเมื่อเรื่องราวบานปลายจนเป็นอย่างนี้ ถ้าอยากจะปิดบังตัวตนก็ต้องเก็บลูกศิษย์และศพลูกศิษย์ไปด้วยให้หมด แต่ตระกูลอิ๋งบ้าระห่ำขนาดนี้มีหรือที่จะปล่อยไปง่ายๆ เหลือแต่ต้องฆ่าปิดปากแล้ว!

เสวี่ยอวี้ใช้ฝ่ามือตบคนที่หลบอยู่ข้างหน้าจนกระอักเลือดตกลงพื้น พอโบกแขนเสื้อ คนชุดดำนับร้อยก็ปรากฏตัวกลางอากาศ ในที่สุดก็ปล่อยกำลังพลของสำนักหลัวช่าออกมาแล้ว

“อย่าให้เหลือรอด ฆ่า!” เสวี่ยอวี้ตะโกนเสียงแหบพร่า

คนชุดดำนับร้อยโจมตีเข้ามาในสนามรบทันที พวกนี้มีศักยภาพแข็งแกร่ง พลิกสถานการณ์ให้ฝ่ายสำนักหลัวช่าได้เปรียบอย่างรวดเร็ว แทบจะสังหารกำลังพลของตระกูลอิ๋งหมด

ไม่ให้ได้เปรียบก็คงไม่ได้ เพราะท่ามกลางคนชุดดำพวกนี้ มีศิษย์สายตรงจำนวนห้าคนซึ่งมีวรยุทธ์ระดับสำแดงฤทธิ์เหมือนกับเม่ยจีทั้งหมด ทั้งยังมีวรยุทธ์กะดับบงกชกลายอีกยี่สิบคน ส่วนที่เหลือก็ล้วนมีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้ง กระบวนทัพที่แข็งแกร่งขนาดนี้ กำลังพลของตระกูลอิ๋งจะต้านทานไหวได้อย่างไร

เสวี่ยอวี้นำกระบวนทัพที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาด้วย ก็เพราะเตรียมตัวมาแล้วว่าหากทำไม่สำเร็จจะต้องปิดปากให้สิ้นซาก แล้วก็ได้นำออกมาใช้งานจริงๆ อย่างที่คาดไว้

เข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด ให้ความรู้สึกเหมือนฟ้าดินจะพลิก ฉากนี้ทำให้อิ๋งหยางที่เคยเห็นการสู้รบแบบนี้เป็นครั้งแรกตกตะลึงพรึงเพริด

เยี่ยนสุยหนังตากระตุกเช่นกัน อย่าว่าแต่เขาเลย เกรงว่าแม้แต่อิ๋งจิ่วกวงก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต๋อจะหายอดฝีมือมาได้เยอะขนาดนี้ และคิดไม่ออกด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อหายอดฝีมือมากมายขนาดนี้มาจากไหน ความคิดแรกของเขาก็คือสงสัยตระกูลโค่ว!

แต่ใครจะคิดล่ะว่าหนิวโหย่วเต๋อจะหายอดฝีมือมาเยอะขนาดนี้ ยังจะออมมือได้อย่างไร ถ้าออมมือก็เกรงว่าคงจะไม่เหลือแม้แต่ชีวิตแล้ว

เยี่ยนสุยรีบเขย่าระฆังดาราในมืออีกครั้ง

ขุนพลใหญ่หกลัทธิที่หลบสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ กำลังจ้องการรบอันดุเดือดบนฟ้า แสดงฝีมือได้ยอดเยี่ยมพอสมควร ถ้าเข่นฆ่ากันบนพื้นอาจจะเห็นไม่สะดวก แต่พอสู้กันบนฟ้าก็สะดวกต่อการรับชมมาก พวกเขานึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้วางแผนลึกลับซับซ้อนจนล่อยอดฝีมือมากมายขนาดนี้มาเปิดฉากต่อสู้กับตระกูลอิ๋งได้ ต่อสู้กันดุเดือดพอสมควร

ตานฉิงเอามือลูบคางพึมพำ “คนพวกนี้เป็นใครกัน? วิธีการต่อสู้ดูคุ้นๆ อยู่นะ…”

ไป๋เฟิ่งหวงกับเยี่ยนเป่ยหงมองหน้ากันเลิกลั่ก หันไปมองเหมียวอี้พร้อมกันอีกแล้ว

เหมียวอี้ไม่ได้บอกพวกเขาว่าจะล่อคนออกมาเยอะขนาดนี้ แต่เหมียวอี้เองก็ทำสีหน้าแปลกๆ เช่นกัน เพราะนึกไม่ถึงว่าสำนักหลัวช่าจะมียอดฝีมือมาเยอะขนาดนี้ ความลับของสำนักหนานอู๋มีค่ามากขนาดไหนกัน? สำนักหลัวช่ายอมแลกทุกอย่างแล้ว!

ถึงแม้หยางชิ่งจะวิเคราะห์ว่าสำนักหลัวช่าจะพยายามปิดบังตัวตนอย่างถึงที่สุด แต่ดูจากจังหวะของอีกฝ่าย เหมือนต้องการจะปิดปากกำลังพลของตระกูลอิ๋งให้หมดชัดๆ!

จากสถานการณ์ที่ดำเนินต่อไปอย่างนี้ ถ้าตระกูลอิ๋งไม่มีทางหนีทีไล่ เหมียวอี้ก็ค่อนข้างลังเลว่าการกำจัดอิ๋งหยางยังต้องให้ฝ่ายตัวเองลงมือหรือเปล่า อย่าให้วุ่นวายจนทัพใหญ่หนึ่งล้านของแดนอเวจีไม่มีโอกาสลงสนามรบ แบบนั้นจะมาเสียเที่ยวแล้ว

น้ำพุวังเวงชั้นสิบ แดนมายา

ในค่ายหลักสองแถว ฮ่าวอวิ๋นเทียนกับก่วงเซิ่งกำลังดื่มสุราอยู่ในนั้น ในห้องข้างๆ มีชายชราสองคนกำลังดื่มสุราด้วยกัน คนหนึ่งมาจากตระกูลฮ่าวชื่อว่าจวงจื้อเกา คนหนึ่งมาจากตระกูลก่วงชื่อว่าอูกาน เป็นข้ารับใช้ของตระกูลฮ่าวและตระกูลก่วง

ชายชราสองคนที่วางจอกสุราแทบจะหยิบระฆังดาราออกมาพร้อมกัน ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วต่างคนก็ต่างจัดการกับข่าวของตัวเอง

การได้ข่าวพร้อมกันในเวลานี้จะเป็นข่าวอะไรไปได้ ย่อมเป็นเพราะสายลับค้นพบแล้วว่าเกิดการเข่นฆ่าฝั่งตระกูลอิ๋ง จึงรีบรายงานมาให้ทั้งสองคนรู้

หลังจากทยอยกันจบการติดต่อแล้ว อูกานก็กล่าวเสียงต่ำ “ตระกูลอิ๋งรอจนได้เจอแล้วจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อนี่บ้าระห่ำพอสมควร ช่างใจกล้าคับฟ้าจริงๆ!”

จวงจื้อเกากล่าวด้วยสีหน้านับถือ “เป็นหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? หายอดฝีมือมากจากไหนเยอะขนาดนั้น? เกรงว่าคงจะเหนือความคาดหมายของตระกูลอิ๋งไปมาก อย่าขโมยไก่ไม่ได้แล้วเสียข้าวสารอีกกำมือ[1]เชียว วางกับดักล่อโจร นอกจากโจรจะไม่ติดกับดักแล้ว ยังถูกขโมยหม้อไปอีกด้วย!”

“ข้าเองก็แปลกใจว่าหายอดฝีมือมากมายขนาดนั้นมาจากไหน หรือว่าตระกูลโค่วแอบลงมือแล้ว?” อูกานถาม

“จะเป็นไปได้ยังไง? ตระกูลโค่วยอมจ่ายมากขนาดนี้เพื่อรับมือกับรุ่นหลานของตระกูลอิ๋งแค่คนเดียวเนี่ยนะ เป็นไปได้ยังไง?” จวงจื้อเกาถาม

จากนั้นทั้งสองก็รีบรายงานข่าวให้เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังเวที

น้ำพุวังเวงชั้นสิบเอ็ด แดนอัสนีบาต โค่วหู่แทบจะได้รับรายงานจากสายลับทันที “ซี้ด!” เขาสูดหายใจลึก เรียกได้ว่าตกใจมาก

โค่วเหวินไป๋เห็นเขาแปลกใจขนาดนี้ จึงรีบถามว่า “ท่านอาหู่ ทำไมตกใจขนาดนี้ล่ะ?”

“ค่ายตระกูลอิ๋งถูกจู่โจม เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อคงจะลงมือไปแล้ว แต่จะประเมินพลังของผู้โจมตีต่ำไม่ได้เชียว แค่ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็ปาไปหลายคนแล้ว…” โค่วหู่เล่าสิ่งที่รับรายงานคร่าวๆ ด้วยสีหน้าเครียดขรึม

โค่วเหวินไป๋ได้ยินแล้วตกใจเช่นกัน “หนิวโหย่วเต๋อหายอดฝีมือมาจากไหนมากขนาดนั้น?” กำลังที่ท่านเขยจอมเอาเปรียบนั่นเปิดเผยออกมาทำให้เขาตกใจไม่เบา

ส่วนเสวี่ยอวี้ที่ตัดสินใจแล้วว่าจะฆ่าปิดปาก หลังจากปล่อยกลุ่มลูกศิษย์ออกมาแล้ว มือนางก็ว่างแล้วเช่นกัน นางหมุนตัวกลางอากาศท่ามกลางกระแสลมที่พัดม้วน จ้องมองอิ๋งหยางกับเยี่ยนสุยอย่างเย็นเยียบ แล้วถลันตัวไปอย่างฉับพลัน จะจับโจรต้องจับหัวหน้าโจรก่อน ต้องการจะเอาบุคคลสำคัญมาบีบ จะได้รีบหนีออกไปได้อย่างราบรื่น

เยี่ยนสุยเก็บอิ๋งหยางที่ตกใจจนหน้าถอดสีเข้ากระเป๋าสัตว์ มาถึงขั้นนี้แล้วถ้ายังใช้อิ๋งหยางเป็นเหยื่อล่ออีก ก็เท่ากับเอาชีวิตอิ๋งหยางมาล้อเล่นแล้ว เขาเก็บอิ๋งหยางไว้แล้วยืนรออย่างสงบ สายตาเย็นเยียบล้ำลึก นิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน!

เสวี่ยอวี้ที่โผเข้ามาพอเห็นเยี่ยนสุยมีท่าทีอย่างนี้ ก็รู้ทันทีว่าตัวเองเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่ง

…………………………

[1] ขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ 偷鸡不成蚀把米 หมายถึงฉวยโอกาสไม่สำเร็จแล้วยังขาดทุน

น้ำพุวังเวงชั้นสิบเอ็ด แดนอัสนีบาต

บนท้องฟ้ามีเมฆครึ้มดำมืดตลอดเวลา ใต้ความมืดสลัวมีแสงสว่างกะพริบไม่หยุด แสงสายฟ้าไม่มีวันหยุดพักเลย วับวาบอยู่ท่ามกลางเมฆดำที่ม้วนกลิ้งอยู่เสมอ มีสายฟ้าฟาดโจมตีบนภูเขาแม่น้ำที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตสายแล้วสายเล่า บ้างก็เหมือนปืนใหญ่ที่ยิงต่อเนื่อง บ้างก็เหมือนมัดรวมกันลงมา ราวกับมังกรเจียวหลงทอดกายพาดผ่าน สั่นสะเทือนฟ้าดิน ทำให้เทพผีตระหนกตกใจ

อานุภาพอันน่าหวาดกลัวของแดนอัสนีบาต แต่เมื่อเทียบกันแล้วกลับปลอดภัยที่สุด สัตว์ที่อยู่ในแดนปรภพ เมื่ออยู่ที่นี่ก็ไม่กล้าไปไหนเพ่นพ่านแล้ว ราวกับโดนฟันขาดครึ่งท่อนที่น้ำพุวังเวงชั้นสิบแปด ไม่ได้บอกว่าทั้งหมดถูกสกัดขวางไว้ อย่างน้อยก็ไม่ให้สัตว์น่ากลัวตรงจุดลึกของน้ำพุวังเวงพรั่งพรูออกมาข้างนอก มีบทบาทในการรักษาสมดุลของน้ำพุวังเวง

ระหว่างภูเขาสองลูก โซ่เหล็กถักทอหนาแน่นราวกับใยแมงมุม ด้านล่างเป็นกระโจมค่ายของตระกูลโค่ว สายฟ้าผ่าใส่บนโซ่เหล็กด้านบน แสงสายฟ้าถูกล่อไปแล้ว ไม่ส่งผลกระทบต่อค่ายด้านล่างแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าคนด้านล่างเตรียมตัวมา

ม่านค่ายดึงออกสองฝั่ง โค่วเหวินไป๋ยืนเอามือไขว้หลัง มองด้านนอกแสงสายฟ้าที่กระพริบไม่หยุด ขณะฟังเสียงฟ้าร้องครืนคราน ลำแสงก็กระพริบส่องบนใบหน้าเขา ทำให้ใบหน้าเขาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง

มีเรื่องบางเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ ยกตัวอย่างเช่นเหตุใดต้องหลบอยู่ที่นี่ไม่ออกไปไหนเสียที เขาไม่ได้มาออกล่าที่น้ำพุวังเวงเป็นครั้งแรก จึงรู้ว่าครั้งนี้ผิดปกติมาก

เขาเอียงหน้าช้าๆ มองโค่วหู่ที่อยู่ข้างกัน เป็นข้ารับใช้ของตระกูลโค่ว เดิมทีแซ่อะไรเขาก็ไม่รู้ รู้เพียงว่าท่านปู่ประทานแซ่โค่วให้ ตอนนี้เจ้าตัวกำลังถือระฆังดาราติดต่อไปที่ไหนก็ไม่รู้

รอจนกระทั่งโค่วหู่ติดต่อเสร็จแล้ว โค่วเหวินไป๋ก็เดินเข้าไปหา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ท่านอาหู่ บอกเหตุผลข้าไม่ได้จริงๆ เหรอ?”

โค่วหู่เอามือขยี้เคราอย่างลังเล การปิดบังแบบนี้ก็ต้องดูด้วยว่าเป็นใคร ถ้าลูกหลานคนอื่นของตระกูลโค่วถามเขา ถ้าไม่บอกก็คือไม่บอก แต่เห็นได้ชัดว่าโค่วเจิงยืนได้อย่างมั่นคงที่ตระกูลโค่วแล้ว อ๋องสวรรค์โค่วตั้งใจให้โค่วเจิงกุมอำนาจไม่น้อยแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดคาด ตำแหน่งผู้สืบทอดหัวหน้าตระกูลก็เป็นใครไปไม่ได้แล้วนอกจากโค่วเจิง

“นายน้อย ที่ไม่บอกท่านก็เพราะไม่อยากให้ท่านวุ่นวายใจ ถ้าท่านอยากจะรู้ให้ได้ ก็สามารถติดต่อไปถามคุณชายใหญ่ได้โดยตรง” โค่วหู่ยอมให้ถามแล้ว

ในเมื่อถามแล้ว โค่วเจิงก็ไม่ได้ปิดบังเขา เพียงห้ามไม่ให้เขาปล่อยข่าวให้ภายนอกรับรู้ ไม่ให้บอกใคร รวมทั้งมารดาตัวเองด้วย

หลังจากได้รู้ความจริง ถึงแม้จะคุ้นชินกับเรื่องสกปรกโสมมบางอย่างของตระกูลตั้งนานแล้ว แต่โค่วเหวินไป๋ก็ยังตกใจอยู่บ้าง ถึงแม้จะได้ข่าวและสังเกตได้นานแล้วว่าตระกูลจะทิ้งหนิวโหย่วเต๋อ แต่ก็ยังนึกไม่ถึงว่าตระกูลจะแอบเข้าร่วมกับเรื่องเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อให้ถึงตายด้วย ถึงอย่างไรก็ยังได้ชื่อว่าเป็นลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วนะ

หลังจากเก็บระฆังดาราเงียบๆ โค่วเหวินไป๋ก็ถอนหายใจ “ไม่น่ามาเลย!”

เมื่อได้ยินแบบนี้ โค่วหู่ก็เข้าใจว่าเขารู้ความจริงแล้ว “ทีแรกก็จะไม่มา แต่เป็นเพราะบังเอิญเกิดความเข้าใจผิด กลัวว่ากลับคำไปมาแล้วจะสะเทือนไปถึงท่านนั้นที่วังสวรรค์ ถึงได้แข็งใจมานี่ไง”

โค่วเหวินไป๋เหลือบตามองตรง “ที่แท้ตระกูลพวกนั้นก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อจะฆ่าอิ๋งหยาง ถ้าเกิดเรื่องกับหนิวโหย่วเต๋อขึ้นมา ตระกูลพวกนั้นจะไม่รู้หรอกเหรอว่าตัวเองกำลังแอบให้ความร่วมมือกับตระกูลโค่ว ปล่อยให้จุดอ่อนนี้ไปตกอยู่ในมืออีกฝ่ายจะเหมาะสมเหรอ?”

โค่วหู่จึงบอกว่า “นายน้อยคิดมากไปแล้ว เรื่องพรรค์นี้มีตระกูลไหนบ้างที่ไม่เคยทำ ไม่ว่าก้นใครก็ไม่สะอาดทั้งนั้น นับเป็นจุดอ่อนไม่ได้หรอก ตอนนี้สถานการณ์ของหนิวโหย่วเต๋อก็เห็นๆ กันอยู่ ท่านนั้นของวังสวรรค์ก็จงใจทำให้ตระกูลโค่วกลืนไม่ลง ตระกูลโค่วเองก็รับตัวถ่วงนี้ไว้ไม่ได้ ตระกูลอื่นก็ไม่ยอมให้ศิษย์อสุราอัคนีตกอยู่ในมือคนอื่นเช่นกัน ในเมื่อสี่ตระกูลไม่ได้ ก็ไม่ยอมให้วังสวรรค์ทำสำเร็จเช่นกัน ถึงได้เกิดการร่วมมือกันเล่นละครแบบนี้ จะได้ปิดบังวังสวรรค์กับตระกูลเซี่ยโห้วได้สะดวก”

“ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?” โค่วเหวินไป๋ถาม

โค่วหู่ตอบว่า “ตามที่สายลับรายงานมา ตระกูลอิ๋งตั้งค่ายอยู่ที่น้ำพุวังเวงชั้นห้าแล้ว ส่วนตระกูลฮ่าวกับตระกูลก่วงตั้งค่ายที่น้ำพุวังเวงชั้นสิบ ตระกูลอื่นต่างก็รู้ว่ามาแสดงละคร ไม่ได้จริงจังกับการออกล่าครั้งนี้ มีเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่เลอะเลือนเหมือนถูกปิดบังอยู่ในกลอง เข้าไปออกล่าลึกในน้ำพุวังเวง”

“ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อรึงจะจบ?” โค่วเหวินไป๋ ถาม

“รอไปเถอะ หลายตระกูลให้ความร่วมมือกับตระกูลอิ๋งล้างความอัปยศ หลังจากจบเรื่องทางตระกูลอิ๋งจะส่งสัญญาณบอก” โค่วหู่ตอบ

โค่วเหวินไป๋หันตัวไปมองแสงสายฟ้าที่วับวาบอยู่ด้านนอก “แล้วอาหญิงเล็กจะทำยังไงล่ะ? ถ้าหนิวโหย่วเต๋อเกิดเรื่องที่น้ำพุวังเวง แต่พวกเราดันกลับไปอย่างปลอดภัย จะอธิบายยังไงล่ะ? คงไม่ถึงขั้นกำจัดอาหญิงเล็กไปด้วยกันหรอกใช่มั้ย แบบนั้นชัดเจนเกินไปแล้ว จะให้ทุกคนของทัพเหนือมองเรายังไงล่ะ?”

“พวกเราไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมาลงมือกับอิ๋งหยางที่น้ำพุวังเวง หลายบ้านไม่ได้อยู่ด้วยกัน จะเหนือบ่ากว่าแรงก็เป็นเรื่องปกติมาก”

“เหตุผลนี้ใช้ตบตาเพียงชั่วครู่ คนที่อยู่นอกสถานการณ์อาจจะเห็นแล้วไม่เข้าใจ แต่หลังจากจบเรื่อง วังสวรรค์กับตระกูลเซี่ยโห้วย่อมเข้าใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะท่านนั้นของวังสวรรค์ ต่อให้ไม่มีหลักฐานอะไร แต่เกรงว่าจะไม่ถือสาที่จะเปิดโปงให้อาหญิงเล็กรู้”

“ถ้าคุณหนูเจ็ดฉลาด ก็น่าจะรู้ว่าต่อให้โวยวายยังไงก็แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว คนฉลาดถึงจะมีอายุยืนยาว ผู้หญิงที่แต่งงานเป็นครั้งที่สองไม่จำเป็นต้องยึดติดกับตัวเอง…”

น้ำพุวังเวงชั้นห้าคือที่พักของค้างคาวขาวรัตติกาล ป่าแท่งเหล็กถ้ำรังที่เหมาะสมแก่การอยู่อาศัยของพวกมันที่สุด และเป็นกำแพงป้องกันให้พวกมันโดยธรรมชาติเช่นกัน

มีค้างคาวขาวรัตติกาลบินฉวัดเฉวียนอยู่ในท้องฟ้ามืดสลัวเป็นระยะ ราวกับเป็นภูตผีสีขาวกำลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า และมีเสียงดังสะเทือนจากการเข่นฆ่าระหว่างพวกมันและผู้ล่าเช่นกัน เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ก็แยกไม่ออกว่าใครกันแน่คือผู้ล่า เพราะค้างคาวขาวรัตติกาลชอบล่าสัตว์ชนิดอื่นเป็นอาหารที่สุด ขณะเดียวกันก็มองคนภายนอกเป็นเหยื่อ ถ้าถูกพวกมันพบเมื่อไร ก็จะเป็นฝ่ายรุกโจมตีทันที

เหมียวอี้ก็นับว่าโชคดีเพราะดวงตาเช่นกัน ขณะที่ตาทิพกวาดมองไปรอบๆ ก็เห็นกับตาว่าฝูงค้างคาวขาวรัตติกาลนับไม่ถ้วนกำลังล้อมโจมตีนักพรตบงกชกลายคนหนึ่ง ทะเลเพลิงสีเขียวเข้มที่พ่นออกมาทะลุเกราะลมแล้ว ถึงแม้นักพรตบงกชกลายนั่นจะถล่มฆ่าค้างคาวขาวรัตติกาลไปฝูงใหญ่จนฝืนฝ่าทะเลเพลิงออกมาแล้ว แต่ไฟผีที่ราวกับกัดกร่อนกระดูกก็ทำให้เขาแสบตาเป็นพิเศษ ไม่น่าเชื่อว่าฝูงค้างคาวขาวรัตติกาลจะเผานักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพคนหนึ่งให้ตายทั้งเป็นแล้ว เห็นแล้วรู้สึกตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว

มาออกล่าที่นี่ก็ได้ แต่อย่านึกว่าวรยุทธ์สูงแล้วจะสามารถทำตามอำเภอใจที่น้ำพุวังเวงได้

แต่ค้างคาวขาวรัตติกาลตายแล้วหมดมูลค่า ถ้าจะจับก็ต้องจับเป็น แต่ก็ไม่ได้จับกันง่ายๆ ขนาดนั้น ถ้าสัตว์ชนิดนี้ตกอยู่ในสภาพอับจนเมื่อไร ก็จะเผาตัวเองทันที แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ คนมักตายเพราะเงินทอง นกมักตายเพราะอาหาร ยังมีคนมาเสี่ยงโชคไม่หยุด ผลลัพธ์ก็มักจะเป็นแบบนี้ ไม่ใช่เจ้าตายก็เป็นข้าที่รอด

ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว ในรังแท่งเหล็กที่เกิดจากธรรมชาติ เหมียวอี้กำลังนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ตาทิพย์ถี่ที่สุด

“ราชาปราชญ์ ปีศาจเฒ่าจ่างหงส่งข่าวมาแล้ว ว่าคนที่ทำลับๆ ล่อๆ พวกนั้นมีความเคลื่อนไหวแล้ว” อ๋าวเถี่ยถ่ายทอดเสียงเตือน

เหมียวอี้ได้ยินแล้วลุกขึ้น รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจ่างหง ไม่นานก็ใช้ตาทิพย์อีกครั้ง มองไปยังทิศทางที่จ่างหงบอก

ในสายตาทิพย์มองเห็นเม่ยจีเดินออกจากที่เดิมอย่างลับๆ ล่อๆ หลังจากเดินออกไปไกลแล้วถึงได้เหาะขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว ไปเจอกับชายคนหนึ่งที่รออยู่ตรงจุดไกลๆ นางมีท่าทีเคารพนอบน้อม

เห็นได้ชัดว่าชายคนนั้นกำลังปลอมตัว เหมียวอี้ใช้ตาทิพย์สำรวจโฉมหน้าที่แท้จริง ทำให้พบทันทีว่าเป็นสตรีวัยกลางคนที่งามหยดย้อยคนหนึ่ง ถึงแม้จะไม่รู้จัก แต่สัญลักษณ์พลังอิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วก็หลอกเขาไม่ได้ มีนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์โผล่มาอีกคนแล้ว

หลังจากคุยกับเม่ยจีไปสองสามประโยค ก็รีบตามเม่ยจีกลับมาอีก เขาไปที่รังก่อนหน้านี้แล้วสังเกตการณ์ภายนอกอีกครั้ง

สงสัยหยางชิ่งจะเดาไม่ผิดจริงๆ มีคนของสำนักหลัวช่ามาจริงๆ ด้วย! เหมียวอี้พึมพำในใจ

ไม่รู้ว่ามากันกี่คน แต่ในเมื่อมาแล้ว ต่อให้ยังมีคนอื่นอีก ถึงแม้จะไม่ได้อยู่บนตัวแต่ก็อยู่ข้างนอก ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจะต้องมาสนับสนุนทันแน่นอน

หลังจากเหมียวอี้มีข้อมูลในใจแล้ว ก็เอ่ยเสียงเรียบว่า “แขกมาถึงแล้ว! ข้าสืบกำพืดตระกูลอิ๋งได้ชัดเจนพอดี ให้แขกไปทดสอบให้ก็ดีเหมือนกัน อ๋าวเถี่ย แจ้งลงไปว่าอย่าบุ่มบ่าม ทุกปฏิบัติการต้องรอฟังคำสั่งข้า…” เริ่มวางแผนในสถานที่จริงแล้ว

“รับทราบ!” อ๋าวเถี่ยได้ฟังแล้วเอ่ยรับ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที

ส่วนคนที่เม่ยจีรับมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเสวี่ยอวี้ อาจารย์ของนางนั่นเอง

หลังจากหลบอยู่ใน ‘กรง’ แล้วสังเกตการณ์สักพัก เสวี่ยอวี้ก็ขมวดคิ้วบอกว่า “เป็นธงของตระกูลอิ๋งจริงๆ! ข้าได้รับข่าวระหว่างทางที่มา ว่าลูกหลานของขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์มาออกล่าที่น้ำพุวังเวง แล้วหนิวโหย่วเต๋อมารวมอยู่กับตระกูลอิ๋งได้ยังไง?” ในใจนางมีความสงสัยอีกอย่างที่ไม่ได้พูดออกมา อย่าบอกนะว่าคนของตระกูลอิ๋งก็เกี่ยวข้องกับเรื่องสำนักหนานอู๋เหมือนกัน?

เม่ยจีตอบว่า “ไม่ทราบค่ะ หนิวโหย่วเต๋อน่าจะหลบอยู่ในในกระโจมค่ายของตระกูลอิ๋ง ในปีนั้นตอนที่ติดตามท่านอาจารย์ไปเป็นแขกที่จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ข้าเคยเห็นลูกชายของอิ๋งอู๋หม่านมาก่อน ก่อนหน้านี้ข้าเห็นกับตาว่าหนิวโหย่วเต๋อกับลูกชายของอิ๋งอู๋หม่านอยู่ด้วยกัน ท่านอาจารย์รีบดูสิ อิ๋งหยางออกมาแล้ว”

อิ๋งหยางยังคงออกมาเดินล่อเหยื่ออยู่ในกระโจมค่ายเป็นระยะ

เสวี่ยอวี้ที่จ้องจากซอกแท่งเหล็กพยักหน้าเบาๆ “เป็นหลานชายของอิ๋งจิ่วกวงจริงด้วย หรือว่าการออกล่าจะเป็นเรื่องหลอกลวง มีเจตนาอื่นต่างหากที่เป็นของจริง?” นางรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวี้หลัวช่า ถ้าพบของที่สำนักหนานอู๋ซ่อนไว้จริงๆ อย่าบอกนะว่าต้องปิดปากคนของตระกูลอิ๋งไปด้วย? เรื่องนี้นางตัดสินใจเองไม่ได้

ทว่าคำตอบของอวี้หลัวช่าก็เรียบง่ายมาก แม้แต่ลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วก็ยังฆ่าได้ มีหรือที่จะแยแสหลานชายของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ทำเหมือนเดิม!

ส่วนในตอนนี้ กุยอู๋ขุนพลใหญ่ลัทธิพุทธก็เข้ามาใกล้ทางนี้อย่างเงียบๆ แล้ว ที่บอกว่าเข้าใกล้ แต่ความจริงห่างกันไกลมาก หลังจากปรับระยะห่างจนไม่มีอุปสรรคขวางเป้าหมายแล้ว ก็หยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อันหนึ่งออกมาอย่างเงียบๆ ลูกธนูสามดอกตั้งอยู่บนสายแล้ว ลูกธนูเปล่งแสงสีรุ้ง เป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหก

อีกด้านหนึ่ง เมิ่งหรูขุนพลใหญ่ลัทธิเซียนก็ปรับทิศทางเช่นกัน ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องไปยังค่ายที่มองเห็นได้จากที่ไกลๆ แล้วหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมา ลูกธนูสามดอกตั้งบนสายพร้อมกัน เปล่งแสงสีรุ้ง เป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหก

เกิดเสียงระเบิดดังปั้งๆ กุยอู๋ปล่อยลูกธนู ลำแสงสามสายบินไปแล้ว ยิงไปยังจุดที่เม่ยจีและอาจารย์ซ่อนตัว

เม่ยจีและอาจารย์ที่ซ่อนอยู่ใน ‘กรง’ หันขวับ รอจนกระทั่งหันมามองสำรวจตรงซอกด้านหลัง ลำแสงสามสายก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว

ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์! ศิษย์และอาจารย์เบิกตากว้าง ตกใจมาก!

ปั้งๆๆ! มีเสียงดังสะเทือนสามครั้ง ฟ้าดินสั่นสะเทือน

ตอนนี้กุยอู๋ไม่ได้ฆ่าคน เพราะคนหลบอยู่ในรัง เป็นเรื่องยากที่จะเล็งให้แม่น เพียงยิงไปที่ ‘รัง’ นั้นเฉยๆ ส่วนโลหะเสาหน่อไม้นั่นก็ทนทานไร้ที่เปรียบ ไม่น่าเชื่อว่าลูกธนูดาวตกขั้นหกจะสร้างรอยไว้บนนั้นเพียงไม่กี่รอยเท่านั้น แล้วก็พลิกตัวกลับมาทันที

ถึงแม้จะยิ่งโจมตีแค่ ‘รัง’ นั้น ทว่าอาจารย์และศิษย์คู่นี้จะซ่อนตัวต่อไปได้อย่างไร แบบนี้ไม่เท่ากับถูกจับได้แล้วหรอกเหรอ สามคนที่หลบอยู่รีบหนีออกมาจากโพรงนั้น เหาะขึ้นฟ้าแล้วมองมาทางนี้

กุยอู๋ไม่สนใจ เก็บลูกธนูดาวตกแล้วไม่ได้เล็งออกไปอีก รีบมุดเข้าไปหลบในหลุมด้านข้างทันที

ส่วนเมิ่งหรูก็รอสัญญาณจากฝั่งนี้เพื่อลงมือ เขาปล่อยสายธนูที่ง้างไว้ ยิงลำแสงสามสายเข้าไปในค่ายหลักอย่างเกรี้ยวกราดแล้ว

อิ๋งหยางออกมาเดินเล่นรอบหนึ่งแล้วเพิ่งจะกลับเข้าไปนั่งในกระโจมค่าย เสียงสั่นสะเทือนด้านนอกทำให้เขาตกใจจนลุกขึ้นยืน เยี่ยนสุยก็หันกลับมาขมวดคิ้วเช่นกัน

อิ๋งหยางกำลังจะออกไปดูความเคลื่อนไหว จู่ๆ เยี่ยนสุยก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก ถลันตัวเข้ามาดึงแขนอิ๋งหยางให้หมอบลง เกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นหลายครั้ง ค่ายหลักที่อยู่เหนือศีรษะทั้งสองถูกระเบิดออกแล้ว กระจายเป็นชิ้นส่วนพัดม้วนวุ่นวายตามพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาด

…………………………

เหมียวอี้เงียบไปนานมาก แล้วสุดท้ายก็ส่ายหน้าบอกว่า “พี่ใหญ่เยี่ยนอาจจะเข้าใจผิดนิดหน่อย ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดนะ เรื่องบางเรื่องข้าก็ไม่สะดวกจะอธิบายเช่นกัน หวังเพียงพี่ใหญ่เยี่ยนจะเข้าใจ…นอกจากเดินต่อไปข้างหน้า ข้าก็ไม่มีทางเลือกแล้ว!”

นี่ไม่ใช่คำโกหก ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้ยังหวังให้พิภพเล็กเป็นทางหนีทีไล่สุดท้ายได้ เช่นนั้นในตอนนี้แม้แต่โชคดีอย่างสุดท้ายก็ไม่มีแล้วเช่นกัน ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจบ้างแล้ว ว่าพิภพเล็กไม่ได้อยู่ในมือเขา แต่เจ้าของที่แท้จริงยังมีคนอื่นอีก ถ้าคิดจะหลบที่แดนอเวจีก็เป็นเรื่องเพ้อฝันเช่นกัน เพราะแดนอเวจีก็อยู่ในการควบคุมของคนคนนั้นด้วย

ทว่าเหมียวอี้ก็พอจะเดาได้เช่นกันว่าคนคนนั้นคิดจะทำอะไร สาเหตุที่คนคนนั้นเงียบงันไม่ยอมออกมาจนกระทั่งทุกวันนี้ก็เดาได้ไม่ยาก ดังนั้นเขาก็พอจะรู้เช่นกันว่าตัวเองต้องทำอะไร

เยี่ยนเป่ยหงเอียงหน้าจ้องเขาครู่หนึ่ง “ข้าไม่อยากแทรกแซงอะไรเจ้า ก็แค่อยากเตือนเจ้าสักหน่อย ว่าทุกอย่างที่เจ้าทำตอนนี้ไม่สอดคล้องกับศักยภาพของเจ้า เจ้ามีภาระครอบครัว ไม่เหมือนข้าที่ไปไหนมาไหนคนเดียว เจ้าน่าจะเข้าใจว่าสิ่งที่ข้าเตือนหมายความว่าอะไร”

“ข้าเข้าใจ” เหมียวอี้พยักหน้า

ในเมื่อเข้าใจแล้ว เยี่ยนเป่ยหงก็ไม่พูดอะไรมาก เปลี่ยนประเด็นสนทนา “เจ้าเตรียมจะลงมือเมื่อไร?”

“รออีกสักหน่อย บางทีอาจจะมีแขกมาอีก” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ แล้วเงยหน้ามองไปยังจุดลึกบนท้องฟ้า

นี่ไม่ใช่ความคิดของเขา เป็นความคิดของหยางชิ่ง ตอนที่หยางชิ่งวางแผนดึงสำนักหลัวช่าเข้ามาเกี่ยวด้วย ก็ได้เตือนไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าถ้าสามารถทำให้สำนักหลัวช่าแหกกฎสอดมือมายุ่งเรื่องฝั่งตำหนักสวรรค์ได้ ก็เกรงว่าแผนการของสำนักหลัวช่าคงจะไม่ใช่เล็กๆ เกรงว่าให้เม่ยจีออกโรงคนเดียวคงไม่อาจวางใจได้ ฝั่งสำนักหลัวช่าอาจจะยังมีคนมาอีกก็ได้

แผนการของหยางชิ่งก็คือ หลังจากวางแผนเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่ต้องรีบลงมือ รอไปสักสองวันก่อน ถ้าผ่านไปสองวันแล้วสำนักหลัวช่ายังไม่มีคนมา ก็คาดว่าคงจะไม่มีกำลังหนุนแล้ว เพราะใช้เวลาสองวันก็เพียงพอที่จะให้ยอดฝีมือของสำนักหลัวช่าเดินทางจากแดนสุขาวดีมาที่นี่ กอปรกับไม่รู้ว่ายอดฝีมือของสำนักหลัวช่าบังเอิญอยู่ที่ตำหนักสวรรค์หรือไม่ ไม่รู้ด้วยว่าอยู่ใกล้หรือไกลจากที่นี่ ถ้าฝั่งนี้ลงมือขึ้นมา แล้วจู่ๆ ยอดฝีมือของสำนักหลัวช่ามาทัน ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพกคนมาด้วยเท่าไร ก็จะไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือไม่ วิธีการที่ปลอดภัยที่สุดก็คือปล่อยไปก่อน

และการรอสองวันก็สามารถทำให้ตระกูลอิ๋งกับสำนักหลัวช่าอดทนรอได้ด้วย ถ้าพวกเราอดทนไม่ไหวแล้ว สะเก็ดไฟจุดเดียวก็อาจจะปะทุติดไฟได้

ในขณะนี้เอง มีคนคนหนึ่งเหาะมาจากดาราจักร มาเหยียบลงข้างกายของทั้งสองคน เป็นชายรูปร่างกำยำสูงใหญ่ พอเห็นเหมียวอี้ก็ชักสีหน้าใส่ ยืนกอดอกทำเสียงฮึดฮัดมองมาทางนี้

ด้วยนิสัยอย่างนี้ บูดเน่าสุดๆ แล้ว เหมียวอี้รู้ได้โดยไม่ต้องเดาว่าเป็นไป๋เฟิ่งหวง

“แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ?” เหมียวอี้ถาม

ไป๋เฟิ่งหวงสะบัดมือโยนจิ้งจอกพันหน้าเฝิ่นเอ๋อร์ออกมา เฝิ่นเอ๋อร์ก็ซวยเช่นกัน เพิ่งจะโผล่หน้าออกมา ยังไม่ทันได้บ่นอะไร ก็ถูกเหมียวอี้เก็บเข้าไปอีกแล้ว

ทั้งสามไม่ได้รออยู่ตรงนี้นาน เหาะไปในดาราจักรด้วยกัน เข้าไปในน้ำพุวังเวงอีกครั้ง มุ่งตรงสู้น้ำพุวังเวงชั้นห้า ไปพบกับขุนพลใหญ่ลัทธิอู๋เลี่ยงอ๋าวเถี่ย แล้วหลบรออยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งอย่างเงียบๆ

บนท้องฟ้าเหนือป่าหมุดเหล็ก บรรยากาศมืดครึ้ม ตาน้ำพุที่หมุนตามเข็มและหมุนทวนเข็มราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานไม่หยุด แสงสลัวนั่นไม่รู้ว่ามาจากทางไหน ทั้งแผ่นฟ้าเงียบสงัดแปลกประหลาด

ระหว่างหน่อเหล็กสีดำขลับหลายแท่งที่ไขว้กัน เม่ยจีกับลูกศิษย์ฮวาจั๋วซ่อนตัวอยู่ในช่องว่างที่ไม่ใหญ่นัก เม่ยจีกำลังนั่งสมาธิฝึกตน ส่วนฮวาจั๋วก็กำลังจ้องค่ายที่อยู่ไกลๆ โดยไม่ละสายตา

ไม่ใช่แค่ฮวาจั๋วเท่านั้น ศิษย์ร่วมสำนักนับสิบคนที่เม่ยจีพามาด้วยแยกย้ายกันไปอยู่รอบๆ ค่ายในระยะไกลแล้ว ระหว่างพวกนางใช้ระฆังดาราติดต่อกันได้ทุกเมื่อ

ตรงจุดที่ไกลกว่านั้น เหมียวอี้ที่กำลังซ่อนตัวใช้ตาทิพย์กวาดมองรอบค่ายเป็นระยะ ตรวจสอบตำแหน่งซ่อนตัวของเม่ยจีรวมทั้งศิษย์ในสำนักอย่างชัดเจน การป้องกันในค่ายเปราะบางสุดๆ กำลังพลกลุ่มใหญ่แยกย้ายกันไปไกล ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว เหมือนจะไปออกล่าแล้วจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่ามีกับดัก นี่ก็คือโอกาสดีในการลงมือจริงๆ

ภายในค่าย อิ๋งหยางที่เดินออกมานอกกระโจมค่ายเอามือไขว้หลังเงยหน้ามองฟ้านานมาก จากนั้นก็เดินวนอยู่ในค่ายอีก เสร็จแล้วถึงได้กลับเข้ากระโจมค่ายอีกครั้ง

“ท่านบุรุษ หนิวโหย่วเต๋อจะมามั้ย?” อิ๋งหยางที่นั่งอยู่ในกระโจมค่ายมองเยี่ยนสุยที่นั่งขัดสมาธิตรงมุมพลางเอ่ยถาม

เยี่ยนสุยหลับตาตอบ “ไม่ทราบ แต่สายลับด้านนอกพบแล้วว่ามีบุคคลนิรนามจำนวนหนึ่งกำลังจับตาดูทางนี้อยู่”

“ท่านบุรุษคิดว่าเป็นหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า?” อิ๋งหยางกระปรี้กระเปร่าทันที

“ไม่ทราบ” เยี่ยนสุยตอบ

“ถ้าเป็นหนิวโหย่วเต๋อ ในค่ายมีคนอยู่เพียงน้อยนิด ทำไมพวกเขายังไม่ลงมืออีก?” อิ๋งหยางถาม

“ไม่ทราบ” เยี่ยนสุยตอบ

อิ๋งหยางพูดไม่ออก ในใจโมโหนิดหน่อน นี่มันท่าทีแบบไหนกัน ก็เป็นแค่ลูกน้องของตระกูลอิ๋งไม่ใช่เหรอ ไม่น่าเชื่อว่าจะไร้มารยาทกับน้อยเช่นนี้

แต่จะว่าไปแล้ว ต่อให้เขาโมโห แต่ก็ต้องเก็บกลั้นไว้ในใจ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นลูกน้อง แต่เมื่ออยู่ในระดับนั้นแล้ว ก็ฟังเพียงคำสั่งของคนสองคนในจวนท่านอ๋องเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขาสักเท่าไรแค่ต้องคุยเรื่องงานเท่านั้น ถ้ามีความสัมพันธ์ซับซ้อนวุ่นวายเกินไป กลับจะทำให้ท่านอ๋องไม่ชอบด้วยซ้ำ ถึงขั้นว่าถ้าพูดในบางระดับ เขาก็แค่มีฐานะสูงส่งเท่านั้นเอง ถ้าพูดให้สอดคล้องกับความเป็นจริงสักหน่อย ยามเผชิญหน้ากับพื้นฐานข้อเท็จจริง เจ้านายอย่างเขายังต้องพึ่งพาอีกฝ่าย แม้แต่บิดาของเขาเองก็ยังต้องอาศัยการสนับสนุนของคนพวกนี้เลย ถ้าในจวนท่านอ๋องไม่มีบ่าวไพร่ประเภทนี้สนับสนุนถึงแม้จะเป็นบิดาของเขา แต่ก็ยากที่จะมีจุดยืนอยู่ในจวนท่านอ๋องอยู่ดี

ในตอนที่ยังไม่ได้นั่งตำแหน่งอ๋อง บิดาของเขาและพวกพี่น้อง แต่ละคนล้วนเป็นผู้ที่มีมารยาทต่อปราชญ์และเคารพบัณฑิต นอบน้อมต่อเบื้องบน ไม่เย่อหยิ่งต่อเบื้องล่าง ถ้าอิ๋งหยางกล้าเสียมารยาทกับท่านที่อยู่ตรงหน้านี้ กลับไปบิดาของเขาต้องหักขาแน่นอน

บึ้ม! ทันใดนั้นนอกกระโจมค่ายก็มีเสียงดังสะเทือน

อิ๋งหยางพลันลุกขึ้นยืน เยี่ยนสุยที่นั่งอยู่ตรงมุมก็ลืมตาเช่นกัน แล้วเอียงหน้าบอกใบ้อิ๋งหยางเล็กน้อยอิ๋งหยางรีบเดินออกไปตรวจดูความเคลื่อนไหวทันที แต่เยี่ยนสุยกลับหลบอยู่ในกระโจมค่าย ไม่โผล่หน้าออกไป

ตรงที่ไกลๆ ปรากฏแสงสีเขียว ค้างคาวขาวรัตติกาลตัวใหญ่หลายตัวพ่นเพลิงเดือดสีเขียวเข้ม ไล่สังหารนักพรตหลายคนที่กำลังเร่งหลบหนี

อิ๋งหยางใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ทอดสายตามองไกลๆ ครู่หนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะกลับเข้าในกระโจมค่ายอีก

น้ำพุวังเวงชั้นสิบ แดนมายา แสงเหนือบนท้องฟ้าสวยงามแพรวพราว เลื่อนลอยพลิ้วไหว งดงามจนทำให้ใจเจ็บ

ทิวทัศน์อันงดงามบนพื้นดินก็ไม่น้อยหน้า บนทุ่งหญ้าที่หนาวเหน็บ ประเดี๋ยวก็เป็นป่าไม้เขียวชอุ่ม ประเดี๋ยวก็เป็นทุ้งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา บางครั้งก็เป็นดอกไม้สีแดงบ้างม่วงบ้างเบ่งบานเต็มพื้น และในทิวทัศน์งดงามชวนเคลิบเคลิ้มนี้บางครั้งก็ปะปนไปด้วยปรากฎการณ์ของโลกมนุษย์ ถนนที่มีคนสัญจรไปมาพลุกพล่าน เดินเบียดกันแออัด ถึงขั้นมีเสียงเรียกลูกค้าดังแว่วมาข้างหูด้วย

มีงดงามก็มีอัปลักษณ์ ทิวทัศน์ยอดเยี่ยมที่เมื่อครู่เพิ่งทำให้ผ่อนคลายสบายใจแท้ๆ จู่ๆ ฉากทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ศพเกลื่อนพื้น เลือดนองกลายเป็นแม่น้ำ กระดูกกองสุมราวกับภูเขา

จู่ๆ กองทัพทัพพันนับหมื่นที่ดุร้ายปรากฏตัวอยู่ที่เส้นขอบฟ้า วิ่งห้อโจมตีเข้ามาตลอดทาง เห็นอยู่กับตาว่าพุ่งเข้ามาตรงหน้าแล้ว จู่ๆ สัตว์ประหลาดดุร้ายหลายตัวก็พุ่งเข้าไปป่วนทัพใหญ่ เหยียบย่ำทัพใหญ่อย่างทารุณตลอดทาง แล้วก็พุ่งมาทางนี้

กำลังพลที่เฝ้ารอบค่ายสีหน้าตึงเครียด ถึงแม้จะรู้ว่าฉากตรงหน้าเป็นภาพมายา แต่ประเด็นคือบางครั้งในภาพมายาก็มีของจริงปนด้วย จะมีปีศาจของน้ำพุวังเวงฉวยโอกาสจู่โจมจริงๆ ก่อนหน้านี้มี ‘ปีศาจหนูทมิฬ’ ฉวยโอกาสก่อกวนหลายรอบแล้ว กลายเป็นภาพลวงตาต่างๆ แล้วเข้ามาประชิดโดยอาศัยสภาพแวดล้อมพรางตัว

กำลังพลที่เฝ้ารอบค่ายพลัดกันออกรบ ปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ทดสอบภาพมายาที่เข้ามาใกล้ว่าเป็นของจริงหรือไม่

ถึงแม้จะรู้ว่าตรงหน้ามีของปลอมมากมาย แต่เมื่อตัวอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของฉากเหตุการณ์ที่สมจริงราวกับมีชีวิตนานไป ก็ทำให้คนรู้สึกวิตกจริตได้

ระหว่างค่ายที่โอบล้อมพิทักษ์ไม่ได้มีแค่กระโจมค่ายหลังเดียว แต่มีเป็นสิบกว่าหลังรวมกันอยู่

ในกระโจมค่ายสองหลังอยู่ด้านนอก แต่ละหลังมีคนสองกลุ่มรวมตัวอยู่ กลุ่มแรกเป็นลูกหลานอ๋องสวรรค์ ลูกหลานเทพประจำดาวของสายตระกูลก่วง ส่วนอีกกลุ่มเป็นสายของตระกูลฮ่าว

“มาออกล่าไม่ใช่เหรอ? มารวมตัวอยู่ที่นี่หมายความว่ายังไง?”

“เฮอะ เจ้าจะสนใจมากขนาดนั้นทำไม เบื้องบนว่ายังไง พวกราก็ทำอย่างนั้นก็พอ กินดื่มรออยู่ในนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ดี”

“ใช่แล้ว ดื่มสุราของเจ้าไปเถอะ มีโอกาสกินดื่มอยู่ในแดนมายาถือเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งนะ โอกาสนี้ใช่ว่าทุกคนจะมีได้”

“ข้าก็แค่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่น่าเชื่อว่าจะไปรวมอยู่รังเดียวกับตระกูลฮ่าว ตระกูลฮ่าวก็ไม่ออกล่าเหมือนกัน อย่าบอกนะว่าประเคนอันดับหนึ่งในอีกสามตระกูล? หรือพวกเจ้าไม่รู้สึกว่ามีเงื่อนงำ?”

ตระกูลก่วงกับตระกูลฮ่าวไม่ใช่แค่ไม่ไปออกล่า แต่ยังรวมตัวตั้งค่ายอยู่ด้วยกันอีก ถึงขั้นถูกออกคำสั่งไม่ให้ใช้ระฆังดาราติดต่อกับภายนอกโดยพลการด้วย ทำให้มีกำลังพลเบื้องล่างไม่น้อยคิดไม่ตก

และในกระโจมค่ายหลักหลังหนึ่ง ก่วงเซิ่งกับฮ่าวอวิ๋นเทียนที่เป็นตัวแทนของสองตระกูลก็นั่งตรงข้ามกันอยู่หน้าโต๊ะยาวตัวหนึ่งเช่นกัน กินดื่มด้วยกันหลายจอกเช่นกัน

“ไม่รู้ว่ายังต้องรออีกนานแค่ไหน ทางครอบครัวคิดจะทำอะไรกันแน่?” ฮ่าวอวิ๋นเทียนกรอกสุราแล้วพึมพำ

“ใครจะไปรู้ล่ะ เชื่อฟังตามแผนที่เตรียมไว้ก็พอ” ก่วงเซิ่งกล่าวขณะมองไปยังยอดฝีมือที่ทำหน้าที่คุ้มกันตัวเองอยู่นอกค่าย

ทั้งสองทำตามใจตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ก็เหมือนกับอิ๋งหยาง พวกเขาล้วนต้องเชื่อฟังลูกน้องคนสนิทที่ท่านปู่ส่งมา สิ่งที่นายน้อยรู้อาจจะไม่เยอะเท่าลูกน้องคนสนิทของท่านปู่ ถึงแม้พวกเขาจะรู้สึกไม่ยอม แต่ในสายตาของท่านปู่ พวกเขายังอ่อนด้อยไปหน่อย นายท่านรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้เชี่ยวชาญเหมือนลูกน้องคนสนิทของตัวเอง เรื่องบางเรื่องยอมบอกลูกน้อง ยอมให้ลูกน้องตัดสินใจ ดีกว่าบอกลูกหลานตัวเอง ต่อให้เจ้าจะไม่พอใจแต่ก็เถียงอะไรไม่ได้

แต่อิ๋งหยางในฐานะที่เป็นตัวหลักของเรื่องนี้ก็ยังดีกว่าหน่อย อย่างน้อยก็ยังรู้ว่าเป็นเรื่องอะไร ส่วนพวกเขากลับถูกบังไว้ในกลองทั้งหมด ถูกจำกัดอิสรภาพอย่างเลอะเลือนไม่รู้ตัว

ฮ่าวอวิ๋นเทียนถอนหายใจ “คนในใต้หล้าเห็นแต่ด้านที่มีหน้ามีตาของพวกเรา แต่กลับไม่เห็นด้านที่พวกเราได้รับความอยุติธรรม ถ้าไม่เชื่อฟังตามแผนแล้วจะทำอะไรได้อีกล่ะ? เชื่อฟังตามแผนก็ไม่เป็นไรหรอก แต่การอยู่ที่นี่ตลอดมันใช่เรื่องเหรอ ถ้าน้ำ ‘เทพมรณะ’ ในจุดลึกของพุวังเวงวิ่งออกมาถึงพวกเราล่ะ แบบนั้นก็บันเทิงใหญ่แล้ว”

ก่วงเซิ่งตบจอกสุราลงบนโต๊ะ แล้วถลึงตาบอกว่า “เจ้านี่ปากไม่เป็นมงคล พูดอะไรน่าฟังหน่อยไม่ได้รึไง? น้ำพุวังเวงชั้นสิบแปดใหญ่ขนาดนั้น พวกเรารออยู่ตรงมุมนี้จะไปเจอได้ยังไงล่ะ”

“ถุยถุยถุย ข้าพูดเหลวไหลเอง” ฮ่าวอวิ๋นเทียนถ่มน้ำลาย แล้วจู่ๆ ก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างลับๆ ล่อๆ แล้วพูดหยอกว่า “ข้าว่านะก่วงเซิ่ง ก่วงเม่ยเอ๋อร์ท่านอาน้อยคนนั้นของเจ้าน่ะ รูปร่างหน้าตาทำให้คนน้ำลายไหลจริงๆ ต่อให้เป็นในฝันก็อยากดมดอมกลิ่นหอม ช่วยเป็นสะพานติดต่อให้ข้าสักหน่อยสิ”

“อยากจะตักตวงผลประโยชน์จากข้าเหรอ?” ก่วงเซิ่งเหล่ตามอง ถ้าให้เจ้าหมอนี่แต่งงานกับอาหญิงเล็กของตนจริงๆ ในภายหลังตนจะไม่ต้องเรียกเขาว่าอาเขยหรอกเหรอ?

ฮ่าวอวิ๋นเทียนหัวเราะเบาๆ “ก็เป็นแค่ในนามเฉยๆ เจ้ายังจะสนใจเรื่องนี้อีกเหรอ? ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเราน่ะ สมบัติไม่รั่วไหลหรอก ให้นอนกับใครก็เหมือนกันนั่นแหละ?”

ก่วงเซิ่งทำเสียงฮึดฮัด “ต่อให้อาหญิงของข้าจะชอบเจ้า แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะกินไหว คนในบ้านเจ้าจะยอมเหรอ? มีหัวใจโจรแต่ไม่มีความกล้าของโจร รู้จักแต่ใช้ปากพูดเอาแต่ได้ นิสัย! ถ้าเจ้าเก่งนักก็ใช้กำลังบังคับให้ข้าดูสิ ข้ารับรองว่าจะไม่ขัดขวาง เจ้ากล้ามั้ยล่ะ?”

ฟังจากคำพูดแล้ว เหมือนจะไม่เคารพอะไรท่านอาหญิงของตัวเองเลย เขาไม่ถือสาที่จะเตะก่วงเม่ยเอ๋อร์ให้พ้นออกจากตระกูลก่วงไวๆ ถึงขั้นอยากจะไล่หวังเฟยเม่ยเหนียงออกไปด้วยกัน นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเม่ยเหนียงถึงอยากจะหาแรงสนับสนุนภายนอก

“เรือนร่างแบบนั้น หน้าตาแบบนั้น หาพบได้น้อยมากในโลก ดอกไม้ที่สวยละเอียดอ่อนขนาดนี้ ไม่รูเหมือนกันว่าใครจะได้เด็ดไป น่าเสียดายแล้ว เฮ้อ!” ฮ่าวอวิ๋นเทียนถอนหายใจอย่างเสียดาย แล้วยกจอกสุรากรอกใส่ปากด้วยสีหน้าขัดเคือง

…………………………

เสาแสงแวววับปรับระยะเล็กน้อย ตาทิพย์มองทะลุเข้าไป เห็นเรือนร่างของผู้ที่อยู่ใต้ชุดคลุมมีหมวกอย่างชัดเจนทันที เป็นเรือนร่างยั่วราคะที่หาพบได้ยาก พอเห็นใบหน้าที่อยู่หลังหน้ากากปลอม มุมปากของเหมียวอี้ก็โค้งยิ้ม

ทางตลาดผีเองก็ไม่กล้ายืนยันว่าผู้ที่ออกมาจากวัดพระกษิติครรภ์คือใคร และไม่กล้าเข้าใกล้ไปแหวกหญ้าให้งูตื่น ความเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นทำให้หยางชิ่งเป็นกังวล แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว การจะยืนยันตัวตนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร

ไม่ผิดคาด ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเม่ยจีนั่นเอง นางกำลังเหาะมาทางนี้

ถึงแม้จะระห่างจะไกลกัน แต่สำหรับคนที่มีวรยุทธ์ระดับเม่ยจี ก็ไม่ต้องใช้เวลานานเท่าไรนัก

เสาแสงแวววับเก็บกลับมา ตาทิพย์ปิดลง เหมียวอี้หันตัวมาบอกปีศาจสาวสองตน “ถึงเวลาใช้งานพวกเจ้าแล้ว รออีกระเดี๋ยว…” เขากำชับอย่างละเอียด สั่งการตามแผนอย่างละเอียดแล้ว

หลังจากฟังจบ ไป๋เฟิ่งหวงก็เบะปาก “เจ้าบอกมาให้ชัดเจนก่อน ให้หลอกล่อนิดหน่อยน่ะทำได้ แต่ถ้าให้รบราฆ่าฟันกับตระกูลอิ๋งข้าไม่เอาด้วยนะ ไม่อย่างนั้นถ้าข้าเผยจุดอ่อนให้ตระกูลอิ๋งรู้ ก็ไม่เป็นผลดีกับเจ้าเหมือนกัน”

“อ๋องสวรรค์อิ๋ง…” เมื่อฟังสถานการณ์จบ จิ้งจอกพันหน้าพอจะเข้าใจแล้วว่าต้องการพุ่งเป้าไปที่ใคร นางอกสั่นขวัญแขวนนิดหน่อย เพราะติดตามปี้เยว่ฮูหยินมาหลายปี แทนหยวนและฮูหยินอยู่ภายใต้อำนาจบารมีโดยมิชอบของอ๋องสวรรค์อิ๋งมาตลอด ดังนั้นจึงส่งอิทธิพลต่อนางพอสมควร นั่นคือการมีอยู่ที่น่าหวาดกลัวขนาดไหนกัน? อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างขี้ขลาด “หนิวโหย่วเต๋อ ข้ากลัวทำได้ไม่ดี…”

“เจ้าคงไม่ได้คิดจะหนีอีกใช่มั้ย?” เหมียวอี้พูดตัดบท แล้วหันไปบอกไป๋เฟิ่งหวง “เจ้าพานางไปปฏิบัติภารกิจด้วยกัน ถ้านางกล้ามีเจตนาแอบแฝงแม้แต่นิดเดียว ก็ฆ่าได้เลย!” ไม่มีทางเหลือให้ปฏิเสธเลยสักนิด มาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคนมากมาย เกี่ยวข้องกับความสำเร็จและความล้มเหลว มีหรือที่จะให้จิ้งจอกพันหน้าตนเดียวทำเสียเรื่อง ถ้ากล้าทำลายงานของเขาจริงๆ รับรองว่าฆ่าไม่กระพริบตาแน่ สภาพจิตใจของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูง ยามเผชิญกับการตัดสินใจก็มักจะโหดเหี้ยมแข็งกร้าวแบบนี้

ไม่ใช่ว่าผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงจะเป็นคนเลวเสียทั้งหมด ยามไม่มีเรื่องขัดแย้งทางผลประโยชน์ ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นมิตรเข้าถึงง่าย แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มากเกินไป ยามเผชิญกับทางเลือกเกี่ยวกับผลประโยชน์ ก็มักจะเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยวไร้ไมตรีเสมอ ตระกูลโค่วก็ปฏิบัติต่อเหมียวอี้อย่างนี้เช่นกัน

“หึหึ!” ไป๋เฟิ่งหวงรู้สึกขำ แล้วมองประเมินจิ้งจอกพันหน้าศีรษะจดเท้า “ปีศาจน้อย เจ้าอยู่ดีๆ แล้วไปตกอยู่ในน้ำมือเขาทำไม? เจ้าเองก็ได้ยินสิ่งที่เขาบอกแล้ว ต่อไปถ้ากล้าทำให้ข้าลำบากไปด้วย ก็อย่าหาว่าข้าโหดก็แล้วกัน!”

จิ้งจอกพันหน้ากัดฟันก้มหน้า หน้าตาเหมือน ‘เหมียวอี้’ แท้ๆ แต่ดูตลกนิดหน่อย

ส่วนเหมียวอี้ตัวจริงก็กลับมาใช้ตาทิพย์อีกครั้ง จับตาดูความเคลื่อนไหวของเม่ยจีต่อไป แต่ก็ไม่ได้เฝ้าดูอยู่ตลอด เพราะอยู่ห่างกันเกินไป ทนสิ้นเปลืองพลังอิทธิฤทธิ์ไม่ไหว มีหยุดพักบ้างเป็นระยะ

จนกระทั่งคาดคะเนได้แล้วว่าอีกไม่นานเม่ยจีจะต้องเข้ามาใกล้ เหมียวอี้ถึงได้หันมาบอกสองคนที่อยู่ข้างกาย “เริ่มได้เลย”

“ผีในคราบเทพ!” ไป๋เฟิ่งหวงทำเสียงฮึดฮัด แต่ก็ยังหยิบหน้ากากปลอมมาสวมไว้พร้อมกับจิ้งจอกพันหน้า

หลังจากเตรียมทุกอย่างเหมาะสมแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงไม่สนว่าจิ้งจอกพันหน้าจะยินยอมหรือไม่ ดึงแขนนางเหาะไปด้วยกันแล้ว

หลังจากเหาะขึ้นมาบนดาราจักรได้สักครู่ อีกจุดหนึ่งก็มีผู้ที่ปิดบังใบหน้าสวมชุดดำทั้งตัวเหาะมาอีก ถือดาบพุ่งเข้ามาหาทั้งสองคน แล้วยกดาบฟัน

สองสาวยกอาวุธรับศึกพร้อมกัน ต่อสู้กันเสียงดังโครมคราม เสียงดังสะเทือนก้องดาราจักร

ตรงจุดไกลๆ เม่ยจีเร่งความเร็วตามมาตลอดทาง หลังจากได้ยินเสียงต่อสู้ดังแว่วมา ดวงตาอิทธิฤทธิ์ก็จ้องมายังเป้าหมายที่กำลังต่อสู้กัน นางไม่ได้ลดความเร็วลง และไม่ได้คิดจะสอดมือเข้าไปยุ่งด้วย เตรียมจะหลีกผ่านไปด้านข้าง

แต่ใครจะคิดว่าคนชุดดำจะลงมือโจมตีรุนแรงเกินไป สองสาวถูกแรงสะเทือนจนกระอักเลือด หนังปลอมบนใบหน้าหลุดปลิวแล้ว เผยให้เห็น ‘โฉมหน้าที่แท้จริง’

ส่วนคนชุดดำที่ถูกสองสาวร่วมมือกันโจมตีกลับก็สะเทือนจนร้องครางเสียงต่ำเช่นกัน ทั้งร่างกระเด็นถอยหลังไปแล้ว

เสียงการต่อสู้ที่ดังก้องทำให้เม่ยจีเอียงหน้ามองมา นางตกตะลึงเช่นกัน สายตาไปหยุดอยู่บนใบหน้า ‘อิ๋งหยาง’ กับ ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ความเร็วลดลงในชั่วพริบตาเดียว

คนชุดดำเหมือนเห็นท่าไม่ดี หันเลี้ยวหนีไปทันที ไปยังจุดลึกของดาราจักรอันกว้างใหญ่

หนิวโหย่วเต๋อ’ ถือทวนทำท่าจะไล่ตาม ทว่า ‘อิ๋งหยาง’ ดึงแขนเขาเอาไว้ จากนั้นกระอักเลือดแล้วส่ายหน้า ดึง ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ไปยังน้ำพุวังเวงอย่างรวดเร็ว ประเดี๋ยวเดียวก็พุ่งเข้าไปตรงตาน้ำพุแล้ว

เม่ยจีที่เหาะช้าๆ พลันเร่งความเร็วทั้งหมดที่มีไล่ตามเข้าไปในน้ำพุวังเวงชั้นที่หนึ่ง ขณะที่รีบกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็เห็นเงาร่างสองร่างถลันเข้าไปในตาน้ำพุอีกครั้ง นางจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปหา ไล่ตามเข้าไปแล้ว

ต่อมานางก็รักษาความเร็วไว้ตลอด พยายามไม่ให้เป้าหมายที่ถูกสะกดรอยตามสังเกตเห็น สะกดรอยโดยใช้วิธีจับจังหวะจุดสำคัญของทั้งสองคน อาศัยวรยุทธ์ของนาง หากต้องการจะทำให้ได้อย่างนี้ก็เหมือนจะไม่ยากสักเท่าไร

ไล่ตามมาตลอดทางจนถึงน้ำพุวังเวงชั้นห้า ตอนที่เพิ่งจะโผล่หน้าออกมา ก็ถลันตัวไปหลบหลังเสาหน่อไม้ต้นหนึ่งราวกับเงามายา เนื่องจากครั้งนี้พบว่าทั้งสองไม่ได้เข้าไปในตาน้ำพุอีกแล้ว แต่เหาะไปข้างหน้า

เม่ยจีไม่กล้าไล่ตามกลางอากาศ แบบนั้นต่อให้นางจะวรยุทธ์สูงแค่ไหน แต่ก็จะถูกพบได้ง่าย แต่นางอาศัยสภาพทางภูมิศาสตร์ จึงถลันตัวอย่างรวดเร็วราวกับเงาผี อาศัยเสาหน่อไม้พรางตัวไล่ตามอยู่บนพื้นตลอดทาง ต่อให้นางจะเหาะบนฟ้าไม่ได้ แต่สองสาวที่เหาะอยู่ในระดับต่ำก็ยากที่จะอาศัยความเร็วสลัดนางทิ้งได้

ตรงจุดไกลๆ ตานฉิงโผล่ตัวออกจากด้านหลังหน่อเหล็กต้นหนึ่งอย่างเงียบเชียบ เงาร่างของเม่ยจีที่แฉลบผ่านหลบไม่พ้นสายตาของเขา

จะไม่ให้สังเกตเห็นก็คงยาก เดิมทีหกขุนพลใหญ่ก็เฝ้าสังเกตการณ์อยู่หกทิศทางอยู่แล้ว ขอเพียงล่อเป้าหมายเข้ามาที่ตำแหน่งนี้ ต้องมีสักคนที่สังเกตเห็นนางอยู่แล้ว

ตานฉิงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ แล้วบอกว่า : เหยื่อติดเบ็ดแล้ว!

เม่ยจีตามอยู่ข้างหลังพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เห็นสองคนที่เหาะอยู่ตรงน้าในระดับต่ำเหยียบลงพื้น เหยียบลงกลางดงหน่อเหล็ก

เม่ยจีจำเป็นต้องหยุดแล้วโผ่ลหน้าครึ่งหนึ่งออกมาสังเกตการณ์ นางไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไป กลัวว่าจะถูกจับได้

หลังจากเหยียบลงพื้นแล้วก็รีบเข้าไปหลบในโพรงธรรมชาติซึ่งเกิดจากหน่อเหล็กหลายต้นไขว้ตัดสลับกัน ไป๋เฟิ่งหวงกับจิ้งจอกพันหน้าก็มองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วไป๋เฟิ่งหวงก็ชี้นิ้วขึ้นฟ้า ทำปากเหมือนด่าสาปแช่ง

เฝิ่นเอ๋อร์จิ้งจอกพันหน้าเม้มปากหัวเราะ นางเข้าใจแล้ว กำลังสาปแช่งให้หนิวโหย่วเต๋อไม่ตายดี!

ไป๋เฟิ่งหวงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ ถามเหมียวอี้ว่าเป้าหมายตามมาด้วยหรือเปล่า เพราะพวกนางสองคนไม่เห็นเลยว่าเป้าหมายตามพวกนางมาหรือไม่ ที่จริงพลังของเม่ยจีเหนือกว่าพวกนางไกลมาก ถ้าอยู่บนฟ้าก็ยังสังเกตเห็นง่าย แต่ถ้ากำลังพรางตัวอยู่ ก็สังเกตเห็นเม่ยจีไม่ได้ง่ายๆ

เหมียวอี้ระฆังดาราตอบกลับ : พวกเจ้าถอนตัวออกมาได้แล้ว

ไป๋เฟิ่งหวงเก็บระฆังดารา แล้วชี้กระเป๋าสัตว์ของตัวเอง เฝิ่นเอ๋อร์พยักหน้าอย่างจนใจ ผลปรากฏว่ายังไม่ทันได้รู้ตัวก็ถูกไป๋เฟิ่งหวงจับยัดเข้ากระเป๋าสัตว์แล้ว

จากนั้นร่างกายของไป๋เฟิ่งหวงก็เลื้อยขยุกขยิกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็กลายร่างเป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำ แล้วมุดออกมาจากโพรงนั้น เหาะออกมาอย่าสง่าผ่าเผย เหาะไปอีกทิศทางหนึ่ง

เม่ยจีที่หลบสังเกตการณ์หลือบมองแวบหนึ่ง สามารถแน่ใจได้ว่าไม่ใช่คนที่เพิ่งสะกดรอยตามเมื่อครู่นี้ หลังจากรอต่อไปอีกครู่หนึ่ง ก็ยังไม่เห็นข้างหน้ามีความเคลื่อนไหวอะไร นางจึงถลันตัวไปข้างหน้าอีก หลังจากนางไปถึงจุดที่สองสาวแหยียบลงก่อนหน้านี้ นางก็กวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วไม่เจอทั้งสองคน แต่กลับเห็นค่ายแห่งหนึ่งที่อยู่ระหว่างหุบเขาไกลๆ

สองคนนั้นไปไหนแล้ว? ไม่เห็นสองคนนั้นออกไปเสียหน่อย! สายตาของเม่ยจีกวาดมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัยอีกครั้ง สุดท้ายก็เหยียบลงในค่ายแห่งนั้น แล้วเผยสีหน้าครุ่นคิด

นางจึงซ่อนตัวอยู่ข้างๆ อีกครั้ง แล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์สำรวจดู พบว่าในค่ายมีคนลาดตระเวน จึงไม่สะดวกจะเข้าใกล้

รออยู่ไม่นาน ก็เห็นผ่าม่านของค่ายหลักเปิดออก อิ๋งหยางเดินวางมาดใหญ่โตออกมา แล้วคุยกับหนึ่งในคนที่ลาดตระเวนอยู่ข้างนอก

ที่จริงอิ๋งหยางจะโผล่หน้าออกมาเป็นระยะ เพราะเป็นการวางกับดัก จะล่อเหยื่อก็ย่อมต้องโผล่หน้าให้เหยื่อรู้ว่าคนอยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นจะล่อให้เหยื่อติดเบ็ดได้อย่างไร

ที่จริงต่อให้เขาไม่โผล่หน้าออกมา เหมียวอี้ก็จะคิดหาทางทำให้เขาโผล่หน้าออกมาอยู่ดี จะต้องทำให้เขาถูกเม่ยจีพบให้ได้

ส่วนเม่ยจีที่แอบสังเกตุการณ์อยู่ พอเห็นอิ๋งหยางก็สงบใจทันที เป็นอย่างที่คาดไว้ สองคนนั้นอยู่ในค่ายจริงๆ ด้วย

นางซ่อนตัวอย่างระมัดระวังอีกครั้ง แล้วโบกมือเรียกลูกศิษย์หลายสิบคนออกมา จากนั้นแอบถ่ายทอดเสียงกำชับ ให้พวกนางแยกย้ายกันสำรวจอย่างเงียบๆ หลบอยู่บนพื้นอย่างไรเสียก็มีข้อจำกัดด้านสายตา กลัวว่าจะคลาดสายตา

ด้านนอกน้ำพุวังเวง เงาร่างที่ปิดบังใบหน้าถลันตัวมาเหยียบลงข้างกายเหมียวอี้บนยอดเขา จากนั้นดึงหนังปลอมบนใบหน้าลงมา เป็นเยี่ยนเป่ยหงนั่นเอง

“พี่ใหญ่เยี่ยน รบกวนท่านแล้ว เล่นละครได้ไม่เลวเลย” เหมียวอี้ยิ้มบางๆ

เยี่ยนเป่ยหงส่ายหน้า แล้วมองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง สายตาค่อนข้างสับสนซับซ้อน สุดท้ายก็เอียงหน้าช้าๆ มองไปทางท้องฟ้า แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก

เหมียวอี้ถูกสายตาแบบนั้นของเขามองจนอึดอัดนิดหน่อย จึงถามอย่างแปลกใจ “พี่ใหญ่เยี่ยน มีเรื่องอะไรในใจเหรอ?”

“เฮ้อ!” เยี่ยนเป่ยหงถอนหายใจ “น้องชาย เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว”

“ฮะ…” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ มองตัวเองอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แล้วเอามือลูบใบหน้าตัวเองอีก จู่ๆ ก็ใจสั่นเล็กน้อย ตระหนักอะไรบางอย่างได้แล้ว แต่กลับกล่าวกลั้วหัวเราะอย่างปากไม่ตรงกับใจ “หรือว่าอายุข้าดูแก่แล้ว? ตามหลักแล้ว ด้วยความก้าวหน้าทางวรยุทธ์อย่างข้า มันก็ไม่น่าจะชัดเจนขนาดนั้นสิ?”

เยี่ยนเป่ยหงเหล่ตามองมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ “ยิ่งนับวันเจ้าจะยิ่งเล่นใหญ่ขึ้นทุกวัน ข้ามองเห็นคำว่า ‘ทะเยอะทะยาน’ จากสายตาเจ้า”

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “พี่ใหญ่เยี่ยนล้อเล่นแล้ว ใช่ว่าท่านจะไม่รู้ถึงสถานการณ์ของข้า สาเหตุที่วางแผนนี้ น้องชายเองก็ถูกกดดันจนหมดทางเลือกเช่นกัน ถ้าข้าไม่ฆ่าพวกเขา พวกเขาก็จะฆ่าข้า ข้าทำได้เพียงโต้ตอบ! อย่าบอกนะว่าพี่ใหญ่เยี่ยนไม่เคยเป็นอย่างนี้? คาดว่าตอนที่พี่ใหญ่เยี่ยนถูกบีบเข้าสู่ทางตัน ยอมเสี่ยงชีวิตสู้ตายสักครั้ง แต่ก็ไม่ยอมทนรับความอัปยศไม่ใช่เหรอ ที่จริงพวกเราสองพี่น้องก็เหมือนกัน ทำตามใจตัวเองไม่ได้เหมือนกัน!”

“ไม่เหมือนกัน!” เยี่ยนเป่ยหงเถียงกลับอย่างไม่ปรานีแม้แต่น้อย “ที่ข้าไม่ยอมถูกควบคุม ก็เพราะมีปณิธานยิ่งใหญ่ แต่เจ้าไม่ยอมถูกควบคุม กลับไม่ใช่เพราะมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ หัวใจวีรบุรุษกับหัวใจทะเยอทะทะยานนั้นมีความแตกต่างกัน!”

“มีปณิธานอันยิ่งใหญ่เหรอ?” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ พลางยักไหล่สองข้าง ทำท่าเหมือนอีฝ่ายพูดเหลวไหลไร้หลักฐาน “จะเป็นไปได้ยังไง? อาศัยศักยภาพของข้าจะไปเอาปณิธานอันยิ่งใหญ่มาจากไหนเล่า?”

เยี่ยนเป่ยหงจึงบอกว่า “เจ้ารู้อยู่ชัดๆ ว่าตระกูลอิ๋งวางกับดักแล้ว แต่ยังกล้ามาใช้กำลังปะทะตรงๆ ต่อให้ทำสำเร็จแล้วยังไงล่ะ แล้วในภายหลังล่ะ? ไม่กลัวผลที่ตามมาในภายหลังเลยสักนิด มีความมั่นใจเสียขนาดนี้ เจ้ามีศักยภาพน้อยงั้นเหรอ? ขนาดไป๋เฟิ่งหวงที่ทั้งใต้หล้าจ้องอยากได้ยังเชื่อฟังคำสั่งเจ้าเลย นี่เจ้าต้องไม่ธรรมดาขนาดไหนกัน เกรงว่าของชุดนั้นในมือนางคงจะตกอยู่ในมือเจ้าแล้วล่ะสิ? น้องชาย อาศัยศักยภาพของเจ้าในตอนนี้ ข้าก็ไม่รู้เจ้าเอาความมั่นใจมาจากไหนนะ บางทีตอนนี้เจ้าอาจจะยังควบคุมความปรารถนาของตัวเองได้ แต่ตอนที่ในมือเจ้ากุมอำนาจไว้มากพอ เจ้ายังจะทำใจอยู่ใต้คนอื่นไหวเหรอ? มิหนำซ้ำเดิมทีเจ้าก็ไม่ใช่คนที่ยอมแพ้ง่ายๆ อยู่แล้ว! ข้าเหล่าเยี่ยนเป็นคนหยาบ อาจจะไม่ฉลาด แต่หัวใจกลับไม่เลอะเลือน จึงไม่เคยเป็นสหายกับใครง่ายๆ เพราะข้าสัมผัสได้ว่าใครดีใครเลว ถ้าคบได้แสดงว่าตรงใจ ในปีนั้นสภาพจิตใจเจ้าเป็นยังไง แล้วตอนนี้สภาพจิตใจเจ้าเป็นยังไง? เจ้าเปลี่ยนไปหรือเปล่า…ในจุดนี้ใจเจ้ารู้ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องให้ข้าอธิบายอะไร”

…………………………

“พูดมากอะไรขนาดนั้น มีใครเขาปฏิบัติต่อเจ้านายแบบที่เจ้าทำบ้าง?” เหมียวอี้

“เชอะ!” ไป๋เฟิ่งหวงยิ้มเย้ย แล้วพูดเหน็บแนม “ไม่หัดประเมินตัวเองเสียบ้าง แค่ให้ท้ายเจ้านิดหน่อย เจ้าก็อวดดีซะแล้ว จะอวดดีให้ใครดูกัน? ถ้าเจ้าเก่งนักก็ประกาศบอกทั้งใต้หล้าเลยสิ บอกว่าข้าไป๋เฟิ่งหวงเป็นทาสเจ้า ขอเพียงเจ้ากล้าบอก ข้าก็จะยอมแพ้เหมือนกัน…มัวแต่แอบลักลอบไม่กล้าบอกใคร แล้วจะมาแสร้งทำตัวเป็นนายท่านอะไรกัน!” แววตานางเหยียดหยามไร้ที่เปรียบจริงๆ บวกกับสีหน้าท่าทางหยิ่งยโสของนาง เสียบขนนกไปก้านเดียวก็แต่งตัวเป็นหงส์ได้แล้ว

เหมียวอี้เริ่มจะชินกับลักษณะของนางแล้ว ปีศาจตนนี้เป็นประเภทใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล เขาขี้คร้านจะเถียงกันต่อไป จึงคุยธุระหลักเสียเลย “มองเห็นคนชัดเจนแล้วหรือยัง? เรื่องเล็กแค่นี้เจ้าคงไม่ถึงขั้นจัดการไม่ได้หรอกมั้ง?”

“เชอะ!” ทำเสียงเหยียดหยามอีกแล้ว ร่างของไป๋เฟิ่งหวงขยุกขยิก เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกาย รูปร่างใหญ่โตขึ้นนิดหน่อย หลังจากใบหน้าและร่างกายเปลี่ยนแปลงคงที่แล้ว ก็กลายเป็นอิ๋งหยาง นางกอดอกอีกครั้งด้วยวิธีการของชายชาตรี แล้วเชิดจมูกขึ้นฟ้า “เป็นยังไงบ้าง?”

เหมียวอี้เดินอ้อมนางรอบหนึ่ง แล้วมองประเมินศีรษะจดเท้า พบว่าแปลงกายได้เหมือนมากจริงๆ คาดว่าคนที่ไม่คุ้นเคยกับอิ๋งหยางคงมองไม่ออก

ไม่ได้วิจารณ์ว่าดีหรือแย่ เหมียวอี้โบกมืออีกครั้ง โยนสตรีที่งามหยดย้อยออกมาอีกคน ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือเฝิ่นเอ๋อร์ จิ้งจอกพันหน้านั่นเอง

“…” ไป๋เฟิ่งหวงมองต่ำด้วยสายตาหยิ่งยโส นางจ้องประเมินเฝิ่นเอ๋อร์ แล้วก็ชำเลืองเหมียวอี้อีก ไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังเล่นลูกไม้อะไร

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” จิ้งจอกพันหน้าที่ได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง พอเจอเหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าระทมทุกข์ กระทืบเท้าอย่างกระฟัดกระเฟียด

ตอนนี้นางนับว่าเข้าใจแล้ว พอหลุดจากปี้เยว่ฮูหยินมาได้ ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ดี ตกอยู่ในมือเหมียวอี้ก็ซวยเหมือนเดิม นอกจากจะเสี่ยงอันตรายแล้ว ยังต้องมาเกลือกกลั้วกับพวกโจรกบฏอีก โถ่สวรรค์ ถ้าถูกตำหนักสวรรค์จับได้ขึ้นมา จะไม่ตายอนาถหรอกหรือ

แล้วที่นี่ที่ไหนอีก! นางกวาดมองไปทั่วทุกที่ นี่จะให้ข้าทำอะไรอีก? ‘เหยียนซิว’ ที่อยู่ข้างๆ กันนางรู้จัก แน่นอนว่านางรู้จักเหยียนซิวตัวจริง

นางมั่นใจว่าการที่เหมียวอี้พานางออกจากแดนอเวจีไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่นอน เรื่องดีๆ ไม่มาถึงนางหรอก คาดว่าถ้าไม่มีเรื่องอะไร อีกฝ่ายก็คงไม่คิดถึงนางเลย

เหมียวอี้หรี่ตามองนาง “มีเรื่องจะใช้งานเจ้านิดหน่อย หวังว่าเจ้าจะตั้งใจทำให้ดี ถ้าทำดีข้าไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร้ความยุติธรรมแน่”

จิ้งจอกพันหน้าถูกการกระทำของเขาเล่นงานจนกลัวแล้ว นางส่ายหน้าซ้ำๆ “ไม่ทำ ความสามารถข้ามีจำกัด เจ้าไปหาคนอื่นเถอะ”

เหมียวอี้เก็บรอยยิ้มทันที “จะไม่ทำจริงเหรอ?”

“…” เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา จิ้งจอกพันหน้าก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ก็ยังออกแรงส่ายหน้า

ชวิ้ง! เหมียวอี้โบกกระบี่วิเศษมาไว้ในมือ ลงมือรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

ตอนนี้วรยุทธ์ของเขาเหนือกว่าจิ้งจอกพันหน้าแล้ว บวกกับลงมือฉับไว ทำให้จิ้งจอกพันหน้าหลบไม่ทัน

คมกระบี่เพิ่งจะจ่อคอจิ้งจอกพันหน้า ก็ได้ยินเสียงจิ้งจอกพันหน้ากล่าวอย่างตกใจแล้วว่า “ทำ!”

คมกระบี่ที่คมจนสะท้อนแสงหยุดชะงักบนคอขาวเนียนของนาง ไม่ได้แทงต่อไปอีก แต่กลับทำให้นางตกใจจนเข่าอ่อน แล้วถามเสริมอย่างตะกุกตะกักอีกว่า “ข้าทำ…เจ้าจะให้ข้าทำอะไร?”

ไป๋เฟิ่งหวงที่อยู่ข้างทำสีหน้าเหยียดหยาม “รู้จักแต่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า”

เสียงผู้หญิงเหรอ? จิ้งจอกพันหน้ามองนางอย่างประหลาดใจสงสัย

เหมียวอี้ปักกระบี่ลงพื้น แล้วเหล่ตามองไป๋เฟิ่งหวง “ถ้าเจ้ากล้าทำให้เรื่องในครั้งนี้พัง ข้าก็จะฆ่าเจ้าไปพร้อมกันเลย!”

“โถ่!” ไป๋เฟิ่งหวงมองเหยียดพร้อมถามหยอก “น้ำหน้าอย่างเจ้าน่ะเหรอ? เจ้าไหวรึเปล่าเถอะ?”

“เจ้าก็ลองดูได้เลย ดูว่าเจ้าจะรอดชีวิตออกไปจากที่นี่ได้หรือเปล่า!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเย็น

ไป๋เฟิ่งหวงอ้าปากหวังจะพูดถากถาง ทว่าสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาของอีกฝ่าย จึงขาดความมั่นใจไปบ้าง นางไม่ได้กลัวเหมียวอี้ แต่กลัวอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเหมียวอี้ พอนึกถึงเหตุการณ์ที่ไม่ว่านางจะหนีไปที่ไหนอีกฝ่ายก็หานางพบ นางก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบแล้ว นางชำเลืองมองกระเป๋าสัตว์ตรงเอวเหมียวอี้เงียบๆ เห็นเขาพูดอย่างมั่นใจขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่าพกที่พึ่งอะไรติดตัวมาด้วย นางกลืนคำพูดตัวเองทันที ได้แต่สบถว่า “เชอะ!” แล้วหันมองไปรอบๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกินขึ้น

สาเหตุที่เหมียวอี้ใช้วิธีแข็งกร้าวขนาดนี้ ก็เพราะไม่มีเวลามาเถียงด้วยแล้ว จะต้องบีบบังคับให้เรื่องราวดำเนินไปตามแผนการของตัวเอง เขามองจิ้งจอกพันหน้าอีกครั้ง แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ข้า! แปลงกายเป็นข้า คงไม่ยากสำหรับเจ้าหรอก!”

“…” ไป๋เฟิ่งหวงตกใจ ทว่าเรื่อจริงก็แสดงให้เห็นตรงหน้าแล้ว เห็นเพียงจิ้งจอกพันหน้าพยักหน้า หลังจากร่างกายเลื้อยขยุกขยิกจนคงที่ นางก็กลายเป็น ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ คนที่สองยืนเผชิญหน้ากับหนิวโหย่วเต๋อตัวจริง เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานแล้วมองประเมินจิ้งจอกพันหน้าอย่างประหลาดใจ…

แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง บนตึกศาลาด้านหลังตำหนักหลัก จินม่านกับหยางชิ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกัน

หลังจากใช้ระฆังดาราติดต่อเสร็จแล้ว หยางชิ่งก็กุมระฆังดาราไว้เงียบๆ ตรงหว่างคิ้วเผยอารมณ์กังวล

ทางจวนแม่ทัพภาคตลาดผีส่งคนไปจับตาดูที่วัดพระกษิติครรภ์แล้วเช่นกัน และเพื่อปฏิบัติการที่น้ำพุวังเวง ถึงขั้นวางกำลังคนไว้ตามจุดสำคัญตามทางไปน้ำพุวังเวงด้วย ทำให้พบแล้วว่ามีคนออกจากวัดพระกษิติครรภ์ไปทางน้ำพุวังเวง

ถึงแม้จะมีคนออกไปแค่คนเดียว แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าบนตัวจะไม่พกใครไปด้วย ถึงแม้ผู้ที่ออกไปจะปลอมตัวแล้ว แต่ความต่างระหว่างคนศีรษะล้านกับคนมีผมก็ยังทำให้แยกแยะได้ชัดเจน ร่างกายเจ้าตัวอยู่ในชุดคลุมมีหมวก ครอบศีรษะเอาไว้แล้ว

บางทีกำลังคนที่วางไว้อาจจะไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร แต่หลังจากข่าวถูกส่งมาที่นี่ผ่านหยางเจาชิงแล้ว หยางชิ่งก็ตัดสินใจได้ทันที ว่าคนของสำนักหลัวช่าออกเดินทางแล้ว

สถานการณ์ดำเนินไปตามแผนที่วางไว้คร่าวๆ หมายความว่าศึกใหญ่กำลังจะเปิดฉากที่น้ำพุวังเวงแล้ว ที่สำคัญก็คือคู่ต่อสู้ไม่ใช่คนธรรมดา!

พอนึกถึงตรงนี้ หยางชิ่งก็รู้สึกไม่สงบใจเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้โน้มน้าวเหมียวอี้เพียงครั้งเดียว แต่ไม่มีประโยชน์ เพราะเหมียวอี้ดึงดันจะทำอย่างนี้ให้ได้

ในเมื่อวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว เหตุใดยังต้องกังวลอีกล่ะ? เป็นเพราะหยางชิ่งทำนายอนาคตไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าจะตัดสินเรื่องอะไรก็ล้วนอาศัยเบาะแส ไม่ได้นั่งเทียนหาบทสรุปเอาเอง ต่อให้เขาจะฉลาดแค่ไหน แต่ก็คาดการณ์ไม่ได้ว่าตรงน้ำพุวังเวงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ มิหนำซ้ำเขายังไม่เคยไปน้ำพุวังเวงด้วย มีเรื่องราวมากมายที่ตัดสินไม่ได้ง่ายๆ เลย

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาเองก็ทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับทักษะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของเหมียวอี้ แผนการคร่าวๆ ก็ร่างไว้แล้ว แค่ต้องดูว่าเหมียวอี้จะร้องเพลงอย่างไรหลังจากขึ้นเวที ความกังวลอื่นใดล้วนไม่มีประโยชน์ สถานการณ์ในที่เกิดเหตุมีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า หวังเพียงเหมียวอี้จะควบคุมได้ ให้สมกับชื่อเสียงบารมีที่นำกองทัพครึ่งธงพยัคฆ์ไปตีทัพใหญ่หนึ่งล้าน!

จินม่านที่นั่งตรงข้ามเห็นเขามีท่าทางกลัดกลุ้มใจ จึงจ้องเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วรินน้ำชายื่นให้เขา พร้อมเอ่ยถามเสียงเบา “ผู้ช่วยใหญ่กำลังกังวลเรื่องราชาปราชญ์เหรอ?”

“เอ่อ!” หยางชิ่งยื่นมือไปรับน้ำชาอย่างใจลอย

จินม่านมองปฏิกิริยาเขา แล้วเหล่ตามองมือของเขาที่ยื่นเข้ามา ดวงตางามพลันวูบไหว มือที่ยื่นถ้วยน้ำชาเบี่ยงตำแหน่งเล็กน้อย

ดังนั้นวินาทีถัดมา มือของหยางชิ่งจึงจับผิดตำแหน่งพอดี จับมือนางไว้แล้ว

จินม่านไม่สะทกสะท้าน ไม่หดมือกลับและไม่หลบเลี่ยง กำลังมองปฏิกิริยาของหยางชิ่งด้วยแววตาเรียบเฉย

“…” หยางชิ่งที่ได้สติกลับมารีบหดมือกลับ แล้วกล่าวขออภัย “ล่วงเกินแล้ว หยางชิ่งเหม่อลอย หวังว่าประมุขปราชญ์จะไม่ถือสา”

เมื่อเห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาผิดปกติทางด้านนั้น มุมปากของจินม่านก็แข็งทื่ออย่างมีความหมายล้ำลึก จากนั้นก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “การกระทำที่ไม่ตั้งใจ ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง” จากนั้นก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ทางราชาปราชญ์น่ะ ผู้ช่วยใหญ่อาจจะคิดมากไปแล้ว นำกำลังคนออกไปด้วยเยอะขนาดนั้น ทั้งยังมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ถ้ายังรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ได้อีก เช่นนั้นหกลัทธิก็แย่เกินไปแล้ว”

หยางชิ่งพยักหน้าเบาๆ แต่สีหน้ากังวลนั้นยากจะหายไป ต่อให้ผ่านด่านน้ำพุวังเวงได้ แต่ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ในภายหลังจะทำอย่างไรต่อล่ะ?

สายลมเย็นสบายโชยเข้ามา ชำระล้างอากาศในห้อง

ด้านนอกหน้าต่าง ทะเลและท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล คลื่นน้ำสีเขียวมรกตไร้ขอบเขต…

ดาวหยกงาม จวนอ๋องสวรรค์ โค่วหลิงซวีนำลูกน้องเหาะมาเหยียบลานบ้านด้านหลัง เขาเพิ่งจะกลับมาจากวังสวรรค์

ลูกน้องที่คอยคุ้มกันแยกย้ายกันไป โค่วหลิงซวีเดินก้าวยาว ถังเฮ่อเหนียนและโค่วเจิงที่อยู่ข้างในรีบเดินออกมารับ ขณะที่เดินไปข้างหน้าด้วยกัน โค่วเจิงก็รายงานสถานการณ์ทางด้านตลาดผี

หลังจากได้ฟังรายงาน โค่วหลิงซวีที่กำลังเดินก็ขมวดคิ้วถาม “คนที่จับตาดูวัดพระกษิติครรภ์พบว่าคนของวัดพระกษิติครรภ์ออกไปทางน้ำพุวังเวงเหรอ?”

คนของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีล้วนเป็นคนของตระกูลโค่ว ฝั่งนี้ย่อมรู้เรื่องที่จับตาดูวัดพระกษิติครรภ์

“ขอรับ” โค่วเจิงพยักหน้า “หากยืนยันแล้ว จะรายงานกลับมาทันที”

“หรือว่าคนของวัดพระกษิติครรภ์ก็เข้าร่วมเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน?” โค่วหลิงซวีหยุดฝีเท้า บนใบหน้าฉายแววครุ่นคิดสงสัย “จับตาดูวัดพระกษิติครรภ์มานานขนาดนี้แล้ว หนิวโหย่วเต๋อคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่?”

“ท่านพ่อ หรือว่าจะถามหนิวโหย่วเต๋อไปตรงๆ เลยดีมั้ย?” โค่วเจิงถาม

โค่วหลิงซวียกมือห้าม แล้วหันกลับมาถามกลับ “มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าคิดว่าถ้าถามอีกจะเหมาะสมเหรอ? บอกเหวินไป๋ ว่าให้พยายามเลี่ยงตระกูลอิ๋ง พวกเราทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรต่อไปแล้วกัน หากหนิวโหย่วเต๋อพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ พวกเราก็อธิบายว่าไม่รู้เรื่อง ก็เขาบอกว่าอยากตัดสินใจเองไม่ใช่เหรอ?” พูดจบก็ถอนหายใจเบาๆ การทิ้งหนิวโหย่วเต๋อ เขาเองก็จนปัญญาแล้วเช่นกัน เขาส่ายหน้าบอกว่า “น่าเสียดายแล้ง! ให้เมียเจ้าไปเยี่ยมเจ้าเจ็ดบ่อยๆ ก็แล้วกัน!”

“ขอรับ!” โค่วเจิงเอ่ยรับ

แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน เหมียวอี้ที่อยู่นอกน้ำพุวังเวงกำลังกุมระฆังดารา แล้วหันตัวมองไปยังตลาดผีที่อยู่ไกลๆ

เขาได้ข่าวจากหยางเจาชิงก่อนหยางชิ่งก้าวหนึ่ง รู้ว่าทางวัดพระกษิติครรภ์มีการเคลื่อนไหวแล้ว ที่จริงเขาก็รอความเคลื่อนไหวของฝั่งนั้นมาตลอด

ทุกครั้งที่สวีถังหรานปล่อยข่าวให้รั่วเสวี่ยรู้ ล้วนเป็นการทำตามขั้นตอนของแผนที่ฝั่งนี้วางไว้ เรียกได้ว่าให้ความร่วมมือกับฝั่งนี้ รอจนฝั่งวัดพระกษิติครรภ์มีปฏิกิริยา ทางนี้ก็เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว

พอเก็บระฆังดาราในมือ เหมียวอี้ก็หรี่ตาเล็กน้อย รอยนูนตรงหว่างคิ้วพลันเปิดออก ดวงตาที่งามเหมือนกระจกหลิวหลีพลันยิงเสาออกมา ตาทิพย์เปิดใช้งานแล้ว

พอจิ้งจอกพันหน้าเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ก็ตกใจจนตาค้างพูดไม่ออก สงสัยนิดหน่อยว่าเหมียวอี้เป็นคนหรือปีศาจกันแน่

ไป๋เฟิ่งหวงเพียงกอดอกจ้องมอง ไม่ได้แสดงอาการตกใจอะไร นางไม่ได้เห็นเป็นครั้งแรก ตอนอยู่ที่ทะเลดาวสับสนก็รู้แล้วว่าเหมียวอี้มีตาทิพย์

ตาทิพย์มองไปยังจุดไกลๆ มองสำรวจไปยังเส้นทางที่มาจากตลาดผี แยกแยะคนมาตลอดทาง แล้วสุดท้ายก็จับจ้องผู้ที่ปลอมใบหน้าแล้วสวมชุดคลุมมีหมวกตามที่ได้รับข่าวมา

…………………………

โลหะที่หนาลึกแบบนั้นทำให้คนรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก หมอกที่เย็นยะเยือกล่อลอยอยู่ระหว่างฟันสุนัขที่ไขว้สลับกัน รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีแรงดึงแปลกๆ กลุ่มหนึ่งอยู่ในท้องฟ้า ไม่ใช่แรงลม มองไปรอบๆ แล้วแต่ยังสัมผัสไม่ได้ว่าพลังกลุ่มนั้นมาจาไหน ราวกับเป็นพลังลี้ลับ

ตรงจุดที่ไม่ไกลมีแสงสีแดงเลื้อยขยุกขยิก เมื่อเบิกดวงตาอิทธิฤทธิ์มองในขณะที่อยู่บนฟ้า ก็เห็นหินหนืดกำลังถูกพ่นออกมาอย่างเบาบาง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ นั่นไม่ใช่หินหนืดจริงๆ แต่เป็นเหล็กหลอมเหลว ขณะหินหนืดที่ถูกพ่นออกมายังไหลอยู่ ก็เหมือนจะถูกพลังประหลาดกลุ่มหนึ่งดึงไว้ หลังจากหินหนืดไหลนองเหมือนฝน ก็เติบโตสูงขึ้นราวกับเป็นหน่อไม้ ตามอุณหภูมิที่ลดต่ำลง ‘หน่อไม้’ สีแดงฉานก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำมืด ทำแรงดังนั้นดึงอย่างไรก็ไม่ขยับแล้ว

ใต้หล้าเต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ วันนี้เหมียวอี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ได้เห็นกับตาว่าหนามแหลมทั้งเล็กทั้งใหญ๋ที่มีอยู่ทั่วทุกที่นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ที่แท้ก็เป็นเพราะพลังลึกลับกลุ่มนั้นที่ตัวเองสัมผัสได้ ที่แปลกก็คือ สามารถสัมผัสพลังนั้นได้ แต่กลับเหมือนไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อคน

หลังจากพวกเขาเหยียบลงพื้น เหมียวอี้ก็ยื่นมือไปลูบหนามแหลมรูปหน่อไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ข้างกาย “ได้ยินว่าสิ่งนี้ทนทานกว่าอาวุธผลึกแดง เป็นของที่ทนทานที่สุดในโลก และแหลมคมที่สุดในโลกด้วย”

เหลิ่งจัวฉุนที่อยู่ข้างกายเอ่ยตอบ “เป็นเช่นนี้จริงๆ ต่อให้เป็นเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูง แต่ยามเผชิญหน้ากับหนามแหลมนี้ ก็ต้านทานไม่ไหวแม้เพียงครั้งเดียว แต่ที่แปลกก็คือ ในโลหะนี้เหมือนจะแฝงพลังลึกลับทนทานไร้ที่เปรียบทั้งยังทำลายไม่พังเอาไว้ ทำให้คนได้แต่มอง ใฝ่ฝันได้แต่มิอาจไขว่คว้า ไม่มีใครเคยหักของสิ่งนี้ไปใช้งานได้เลย เคยมีคนเปลืองเวลาหลายหมื่นปีเพื่อค่อยๆ เลื่อยมันไปต้นหนึ่ง แต่พอนำออกจากน้ำพุวังเวงไปแล้ว ผลปรากฏว่ามันก็กลายเป็นไอสีดำแผ่ซ่านอย่างลึกลับทันที แล้วเหล็กทนทานก็กลายเป็นเหล็กธรรมดาเช่นกัน ใช้เวลาหลายหมื่นปีแต่กลายเป็นเหล็กไร้ประโยชน์ ได้ยินว่าคนคนนั้นอยากจะอาศัยสิ่งนี้ทำให้ตัวเองร่ำรวย แต่สุดท้ายก็โมโหจนกระอักเลือด”

“น่าเสียดายจัง” เหมียวอี้กล่าวด้วยความเสียดาย เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน ได้แต่ลูบไล้มันอย่างโปรดปรานจนวางมือไม่ลง ของที่ทนทานแหลมคมขนาดนี้แต่กลับใช้ประโยชน์ไม่ได้ รู้สึกเสียดายจริงๆ

แต่ตอนนี้เขาไม่อาจเอาความรู้สึกนึกคิดมาจมกับด้านนี้ ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วถามเชียนหลัว “สถานที่ตั้งค่ายของตระกูลอิ๋งอยู่ตรงไหน?”

เชียนหลัวมองไปรอบๆ แล้วกล่าวอย่างลำบากใจ “สภาพทางภูมิศาตร์ของสถานที่อัปมงคลนี้ ไม่ว่าที่ไหนก็มีความต่างในความเหมือน ตอนนี้ข้ายังตัดสินตำแหน่งไม่ได้จริงๆ เกรงว่าต้องใช้เวลาอีกนิดหน่อย”

“ทำให้คนที่จับตาดูฝั่งนั้นทำเครื่องหมายให้แยกแยะง่ายๆ…” หลังจากเหมียวอี้กำชับแล้ว ก็เอียงหน้าบอกใบ้อีกหกคนให้ระวังภัย

ทั้งหกคนถลันตัวไปอยู่ตรงหกทิศทางทันที ป้องกันไม่ให้มีคนเข้าใกล้ตรงนี้

เชียนหลัวไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้กำลังจะทำอะไร แต่กลับอดตกตะลึงไม่ได้ ตอนนี้จ้องมองตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ไม่ละสายตาแล้ว

รอยนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้แยกออก เผยดวงตางามคล้ายกระจกหลิวหลีสีทอง เสาแสงแวววาวสายหนึ่งพลันยิงออกมา ตาทิพย์เริ่มกวาดสายตากลับไปกลับมารอบด้าน

ตาทิพย์ที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้างเป็นความลับสำหรับเขา ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้จะแสดงต่อหน้าเชียนหลัวอย่างไม่หวาดกลัวเลยสักนิด

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เสาแสงแวววับของตาทิพย์ก็หยุดนิ่งอยู่ตรงจุดจุดหนึ่ง ท่ามกลางสายตาทิพย์ของเหมียวอี้ บนยอดเขาที่สูงสุดของบริเวณแห่งหนึ่ง มีคนคลุมผ้าขาวยืนอยู่บนยอดเขา เป็นคนของปราสาทดำเนินนภา อีกฝ่ายหายอดเขาสูงสุดแถวนี้ตามที่นัดกันไว้ ที่คลุมผ้าขาวก็เพื่อให้สะดุดตา ตาทิพย์ของเหมียวอี้จะได้จับจ้องเขาได้สะดวก และเขาก็ทำตามวิธีที่นัดกันไว้ในระฆังดาราเช่นกัน หันหน้าเข้าหาตำแหน่งเป้าหมาย

เหมียวอี้ตาทิพย์กลอกลูกตา มองสำรวจไปทางที่คนคนนั้นหันหน้าเข้าหา ทำให้พบค่ายที่สร้างขึ้นชั่วคราวตรงระหว่างหุบเขาตามที่เชียนหลัวบอก สายตาสำรวจลึกเข้าไป ค้นหาภายในค่าย ควานหาตามกลุ่มคน ทำให้พบอิ๋งหยางในค่ายหลัก ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังคุยอะไรกับคนอีกสองคน

เพื่อป้องกันความผิดพลาด ตาทิพย์จงใจสำรวจดูอิ๋งหยางอีกสักหน่อย หลังจากแน่ใจแล้วว่าปลอมแปลงตัวตนกันไม่ได้ง่ายๆ เขาก็สำรวจเจออีกว่าอีกสองคนกำลังปลอมตัว ตาทิพย์สามารถมองทะลุหน้ากากได้อย่างง่ายดาย มองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้ที่อยู่ข้างหลังหน้ากากแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเป็นชายชราสองคนที่หน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง เหมือนเป็นฝาแฝดกัน

เสาแสงที่ใสเหมือนกระจกเก็บกลับมา ตาทิพย์ตรงหว่างคิ้วปิดลงอย่างช้าๆ เหมียวอี้หรี่ตาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

เชียนหลัวจ้องเขาอย่างตะลึงงันครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ดวงตาที่สามตรงหว่างคิ้วท่านคือ?”

“เป็นตาทิพย์ที่ข้าหลอมสร้างขึ้นมา” เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ

“…” เชียนหลัวอ้าปากค้าง ของสิ่งนี้หลอมสร้างได้ด้วยเหรอ?

หกขุนพลใหญ่เห็นเขาเก็บตาทิพย์อยู่ไกลๆ ก็ทยอยกันหันตัวกลับมา

พอพวกเขามารวมตัวกัน เหมียวอี้ก็ถามว่า “ข้าเห็นชายชราสองคนที่หน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง เป็นคนของตระกูลอิ๋งเหรอ?”

หกขุนพลใหญ่สบตากัน แล้วพยักหน้าให้กันขณะครุ่นคิด เหมือนนึกอะไรบางอย่างได้

ยังเป็นเชียนหลัวที่กล่าวอย่างลังเลว่า “อิ๋งจิ่วกวงมีลูกน้องคู่หนึ่งที่เป็นฝาแฝดกัน ชื่อเยี่ยนสุยกับเยี่ยนฉง ติดตามอิ๋งจิ่วกวงออกรบไปทั่วทุกหนแห่งมานานมากแล้ว วรยุทธ์ถึงระดับสำแดงฤทธิ์แล้ว ถ้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นสองคนนี้”

เหมียวอี้ดูปฏิกิริยาของหกขุนพลใหญ่ ไม่ได้พูดอะไรก็แสดงว่าเห็นด้วยกับคำพูดเชียนหลัว ในใจรู้สึกตกใจอยู่บ้าง โชคดีที่ตาทิพย์ของตัวเองมองทะลุได้ ไม่อย่างนั้นก็คงยังไม่รู้ความจริง หากเดินผิดทางขึ้นมา เกรงว่าจะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย เขาพบว่าตระกูลอิ๋งยอมลงทุนมากเพื่อสู้กับเขา ครั้งก่อนมีนักพรตบงกชรุ้งไม่กี่คน แต่ครั้งนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้นักพรตสำแดงฤทธิ์สองคนเลย ถ้าทำให้เหมียวอี้ตายไม่ได้ก็จะไม่หยุดสินะ!

วางประเด็นนี้ไว้ก่อน เหมียวอี้แจกจ่ายกำไลเก็บสมบัติหกวงให้ทั้งหกคน แล้วเริ่มถ่ายทอดเสียงวางแผน

หลังจากวางแผนเสร็จแล้ว ก็โบกมือชี้ไปตรงตำแหน่งตั้งค่ายของตระกูลอิ๋ง หกขุนพลใหญ่สบตากันแล้วพยักหน้า จากนั้นก็ถลันตัวออกไปพร้อมกัน

เหมียวอี้หันกลับไปมองเชียนหลัวอีกครั้ง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “รบกวนปราสาทดำเนินนภาแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหากับปราสาทดำเนินนภาในภายหลัง พวกท่านถอนกำลังไปก่อนได้”

“เท่านี้ก็เสร็จแล้วเหรอ? ท่านต้องการจะทำอะไรกันแน่? อยากจะลงมือกับคนของตระกูลอิ๋งเหรอ? ทางนั้นถึงขั้นให้สองพี่น้องแซ่เยี่ยนออกโรงแล้ว จะให้ทางพวกเราช่วยเหลือหรือเปล่า?” เชียนหลัวลังเล

เหมียวอี้ตอบพร้อมยิ้มเรียบๆ “ท่านวางใจเถอะ ข้าย่อมมีความมั่นใจ ไม่เป็นอะไรหรอก พวกท่านถอนกำลังกลับไปก่อนเถอะ ปราสาทดำเนินนภาจะได้ไม่ถูกเปิดโปง แบบนั้นกลับจะเสียแผนด้วยซ้ำ”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…” เชียนหลัวถอนหายใจ พยักหน้าแล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อคนร่วมสำนักให้ถอนกำลัง สุดท้ายก็กุมหมัดคารวะบอกลา

“ออกไปด้วยกัน” เหมียวอี้กล่าว

“เอ…” เชียนหลัวงุนงงไปชั่วขณะ มองไปรอบๆ ก่อนจะถามอย่างฉงนใจ “ไม่ใช่ว่าท่านจะอยู่ที่นี่…” ขณะที่พูดไปรอบๆ จะสื่อว่า เจ้าจะก่อเรื่องที่นี่ไม่ใช่เหรอ?

“ไม่รีบ คาดว่าคงมีสหายเก่ามาเยี่ยมข้า คงจะใกล้มาถึงแล้ว ข้าจะออกไปต้อนรับสักหน่อย” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ

ในเมื่อเขาบอกอย่างนี้ เชียนหลัวจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงพุ่งขึ้นฟ้าไปพร้อมกับเขา ทะลวงเข้าไปในตาน้ำพุที่หมุนทวนเข็มนาฬิกา

ชั่วพริบตาเดียวก็เข้ามาในแดนน้ำพุเหลืองที่อยู่ชั้นสี่ของน้ำพุวังเวง จากนั้นไปยังตาน้ำพุที่หมุนทวนเข็มนาฬิกาต่อโดยไม่หยุดพัก เข้ามาในดินแดนหนาวมืดครึ้มชั้นที่สาม แล้วบุกเข้าในตาน้ำพุทวนเข็มนาฬิกาอีก จนเข้าไปถึงแดนปรภพชั้นหนึ่งของน้ำพุวังเวง

หลังจากมาถึงที่นี่ เหมียวอี้กับเชียนหลัวก็แยกกันไปคนละทาง เชียนหลัวต้องรอคนร่วมสำนักที่นี่

ส่วนเหมียวอี้เข้าไปในตาน้ำพุที่หมุนทวนเข็มนาฬิกาต่อ ออกจากน้ำพุวังเวงไป เจอกับทะเลดาวอันกว้างใหญ่ไพศาลอีกครั้ง แล้วรีบเหาะไปตรงจุดที่นัดเจอกับหกขุนพลใหญ่ก่อนหน้านี้

ดินแดนอันเงียบสงัดดุร้าย ชั้นห้าของน้ำพุวังเวง บริเวณรอบค่ายตระกูลอิ๋งถูกกำลังพลของตระกูลอิ๋งกวาดล้างสร้างอาณาเขตปลอดภัยเป็นวงกว้างแล้ว ไม่ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้

ในค่ายหลัก อิ๋งหยางกำลังปรึกษากับสองพี่น้องแซ่เยี่ยน

หลังจากได้ฟังสถานการณ์ที่กำลังพลเตรียมไว้ อิ๋งหยางก็ถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมารึเปล่า ถ้าตระกูลโค่วไม่สอดมือเข้ามายุ่ง เขาจะหาพวกเราเจอเหรอ?”

“จะมาหรือไม่นั้นไม่รู้ แต่ก่อนหน้านี้สายลับที่อยู่รอบๆ สังเกตเห็นว่ามีคนมาทำลับๆ ล่อๆ” เยี่ยนสุยตอบ

“ยืนยันได้มั้ยว่าเป็นคนของหนิวโหย่วเต๋อ?” อิ๋งหยางถาม

“ยืนยันไม่ได้ขอรับ เพิ่งได้ข่าวมา คนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ พวกนั้นหายไปแล้ว” เยี่ยนสุยตอบ

“ยืนยันไม่ได้เหรอ?” อิ๋งหยางถูไม้ถูกมือ “พวกเราต้องสร้างความเคลื่อนไหวอะไรสักหน่อยหรือเปล่า จะได้ทำให้หนิวโหย่วเต๋อรู้ว่าข้าอยู่ตรงนี้?”

เยี่ยนฉงโบกมือ “พวกเรามาอย่างสง่าผ่าเผย หากหนิวโหย่วเต๋อตั้งใจจะลงมือกับนายน้อยจริงๆ ก็จะต้องรู้ว่าพวกเรามาแล้วแน่นอน นายน้อยเองก็อย่าประเมินหนิวโหย่วเต๋อต่ำเกินไป เขาอยู่ที่ตลาดสวรรค์มาหลายปี ครองตำแหน่งที่ทรัพยกรอุดมสมบูรณ์ ไม่ถึงขั้นหาคนทำงานให้ไม่ได้เลย หากจะจับตาดูพวกเราก็คงจับตาดูไปแล้ว หากนายน้อยจงใจสร้างความเคลื่อนไหวอีก ก็อาจจะทำให้อีกฝ่ายสงสัยได้ เขากลับจะเคลือบแคลงด้วยซ้ำว่าพวกเราวางกับดัก แต่พวกลูกน้องสามารถแยกย้ายกันไปออกล่าได้แล้ว ตรงนี้เหลือคนไว้น้อยๆ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ามีโอกาสดี ถึงจะล่องูออกจากถ้ำได้ เพราะว่านี่คือการออกล่า ต้องทำตัวให้เหมือนออกล่า หากกำลังพลชักช้าอยู่ที่นี่จะน่าสงสัยขอรับ”

“เหลือไว้แค่ไม่กี่คนเหรอ?” อิ๋งหยางหัวใจกระตุกวูบทันที “ถ้าหนิวโหย่วเต๋อมีพวกเยอะกว่าล่ะ จะไม่ค่อยเหมาะสมหรือเปล่า?”

สองพี่น้องแซ่เยี่ยนสบตากันแวบหนึ่งแล้วแอบทอดถอนใจ ถึงแม้จะเป็นบุคคลที่มีฝีมือของตระกูลอิ๋ง แต่เมื่อเทียบลูกหลานพวกนี้กับคนที่เดินออกมาจาลมคาวฝนเลือดแล้ว ก็นับว่าแตกต่างกันไม่ใช่น้อยๆ ถ้าให้สู้กันจริงๆ ก็ไม่สามารถเทียบกันได้เลย ขี้ขลาดตาขาวอย่างนี้น่ะเหรอ?

“นายน้อยวางใจได้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้น พวกเราสองพี่น้องจะปกป้องอยู่ข้างกายนายน้อยทันที” เยี่ยนฉงปลอบใจ

ถึงแม้อิ๋งหยางจะมีฐานะสูงส่ง แต่กับเรื่องบางเรื่องเขาก็ยังไม่มีอำนาจตัดสินใจ ทำได้เพียงปฏบัติตามแผน เชื่อฟังตามที่พวกเขาเตรียมการไว้

กำลังพลในค่ายได้รับคำสั่งแล้ว จึงรีบแยกย้ายกันไปออกล่า เป็นการออกล่าอย่างแท้จริง ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากจะล่าอะไร…

ตอนเหมียวอี้มาถึงจุดนัดพบหกขุนพลใหญ่นอกน้ำพุวังเวงก่อนหน้านี้ ไป๋เฟิ่งหวงที่แต่งตัวเป็นเหยียนซิวก็มาถึงล่วงหน้าแล้ว บนใบหน้าสวมใสหนังปลอม

เมื่อเห็นเหมียวอี้ ไป๋เฟิ่งหวงก็ดึงหนังปลอมบนใบหน้าออก แล้วถามอย่างสงสัย “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์นะ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? เจ้าคงไม่คิดจะลงมือกับตระกูลอิ๋งหรอกใช่มั้ย? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ เจ้าไม่มีเรื่องกับตระกูลอิ๋งไม่ไหวหรอก ข้าก็ไม่ไหวเหมือนกัน ถ้าเจ้าอยากเล่นก็ไปเล่นเองเถอะ ข้าไม่อยากเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง” นางเอามือกอดอกแล้วหันหลังให้ ทำเสียงฮึดฮัดก้าวร้าวมาก

“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ให้เจ้าไปรบราฆ่าฟันกับตระกูลอิ๋งหรอก แค่จะให้เจ้าช่วยนิดหน่อยเอง” เหมียวอี้บอกนาง

ราวกับจับจุดอ่อนที่ใหญ่มากได้แล้ว ไป๋เฟิ่งหวงหันตัวมาทันที แล้วชี้หน้าเขาพร้อมบอกว่า “นี่ เจ้าพูดเองนะ ข้าเกลียดคนที่กลับคำพูดที่สุด ลูกผู้ชายพูดแล้วห้ามคืนคำ เจ้าบอกเองนะว่าข้าไม่ต้องไปรบราฆ่าฟันกับตระกูลอิ๋ง เดี๋ยวต่อไปถ้าเจ้ากลับคำ ก็อย่ามาโทษว่าหูข้าไม่ดีไม่ได้ยินคำสั่งเจ้าก็แล้วกัน”

…………………………

เจ้าหมอนี่คิดจะทำอะไร? หกขุนพลใหญ่พึมพำในใจขณะชำเลืองมองการกระทำของเขา

ปั้ง! ทันใดนั้นก็เรียกใช้งานกระจกทองแดงราวกับเป็นค้อน ทุบค้างคาวสีเขียวกระเด็นออกไปนับไม่ถ้วน

เหมียวอี้เรียกได้ว่าใช้แรงทั้งหมดที่มี ทุบจนค้างคาวกลืนวิญญาณตกลงพื้นร้อง “จี๊ดๆ” และไม่นานก็แผ่แขนขาทั้งสี่รวมทั้งปีกราวกับตายไปแล้ว แต่บนตัวกลับมีหมอกควันลอยขึ้นมา ศพที่อยู่บนพื้นกลายเป็นควัน แล้วควันที่ลอยขึ้นมาก็ก่อตัวกลายเป็นค้างคาวสีเขียวตัวแล้วตัวเล่าอีกครั้ง บินมาเข้าร่วมพุ่งปะทะกับทัพใหญ่ค้างคาวอีก

ฉากนี้ทำให้เหมียวอี้เห็นแล้วเดาะลิ้นอย่างอัศจรรย์ใจ เป็นของเล่นที่ฆ่าไม่ตายจริงๆ นึกไม่ถึงว่าใช้วิธีการแบบนี้เพื่อฟื้นชีพ เขาจึงไม่พูดพร่ำทำเพลง แผ่นกระจกที่อยู่ในมือเปล่งแสงออกมาแล้ว

หกขุนพลใหญ่ไม่เข้าใจว่าเจ้าหมอนี่กำลังเล่นอะไร แต่ละคนหันกลับมามองเงียบๆ และไม่นานก็พบต้นสายไปเหตุแล้ว

แต่เห็นค้างคาวที่พุ่งใส่ผิวกระจกโบราณไม่ได้มีทีท่าว่าจะหยุดชน กางปีกบินเข้ามาตัวแล้วตัวเล่า บินพุ่งเข้ามาในกระจกฝูงแล้วฝูงเล่า ตอนที่ผิวกระจกกระเพื่อมเหมือนคลื่นน้ำไม่หยุด พวกเขาถึงได้เข้าใจ ว่าสงสัยเจ้าหมอนี่จะเก็บรวบรวมค้างคาวกลืนวิญญาณเอาไว้

“ราชาปราชญ์ สัตว์ประเภทนี้ต่อให้นำออกไปก็ไม่มีวิธีควบคุมอยู่ดี มันจึงไม่มีราคา” เหลิ่งจัวฉุนกล่าวเตือน

“ถือโอกาสเอากลับไปสักหน่อย เอาไว้ในนี้ก็เสียของเปล่า” เหมียวอี้ตอบประโยคเดียว ให้ความรู้สึกเหมือนโจรที่ไม่ชอบกลับบ้านมือเปล่า

คนที่เหลือพูดไม่ออก คิดในใจว่า เจ้าบอกว่าจะมาทำงานหลักไม่ใช่เหรอ ช่างทำตัวว่างเหมือนเบื่อหน่ายไร้งานทำจริงๆ

ถึงแม้อานุภาพการโจมตีของฝูงค้างคาวจะไม่นับว่ารุนแรงมาก แต่ก็ไม่ได้ไร้สติปัญญาเช่นกัน พบความไม่ชอบมาพากลแล้ว เหตุใดเพื่อนค้างค้าวหลายล้านจึงน้อยลงเรื่อยๆ ล่ะ?

“จี๊ดๆ…” เสียงแหลมเล็กเริ่มดังวุ่นวาย ภาพตรงหน้าทุกคนว่างเปล่าทันที เห็นเพียงฝูงค้างคาวพลันหยุดโจมตีพวกเขา พวกมันรวมกลุ่มกันบินจากไปไกลแล้ว

เมื่อเห็นเหมียวอี้แบกกระจกพลางจ้องฝูงค้างคาวที่บินหนีไปด้วยท่าทางยังไม่หนำใจ จ่างหงขุนพลใหญ่ลัทธิปีศาจก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “จับได้เท่าไรแล้ว?”

เหมียวอี้ตรวจดูสภาพในกระจกครู่หนึ่ง เห็นฝูงค้างคาวดำเป็นพืดบินวุ่นวายอยู่ข้างในไม่หยุด พบว่าพวกมันยังไม่ตาย จึงตอบคร่าวๆ ว่า “น่าจะไม่ถึงสองล้านตัวมั้ง”

หมายความกว่าล้านกว่าตัวเหรอ? พวกเขามองหน้ากันไปมองหน้ากันมา แล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก

สรุปก็คือทุกคนต้องรออยู่ที่นี่ต่อไป พวกเขาไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังรออะไรกันแน่ เอาเป็นว่าเห็นเหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาเป็นระยะ ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน

ถ้ายืนอยู่ตรงนี้ตลอดจะดูสะดุดตาเกินไป พวกเขาจึงหาที่พรางตัวตรงตีนเขา

หลังจากรอได้สักพัก ก็มีเงาคนคนหนึ่งเหาะแฉลบเข้ามา แล้วเหยียบลงพื้นด้านนอก

ผู้ที่มาคือผู้อาวุโสเชียนหลัวแห่งปราสาทดำเนินนภาที่ปลอมตัวแล้ว หลังจากได้เจอเหมียวอี้อีกครั้งและเห็นเหมียวอี้แบบต่อหน้า สายตาเขาก็สื่ออารมณ์สับสนซับซ้อนเล็กน้อย

สาเหตุที่เขามาอยู่ตรงนี้ได้ ก็ย่อมเป็นเพราะเหมียวอี้แจ้งไปทางปราสาทดำเนินนภา ทว่าการกระทำในครั้งนี้ของเหมียวอี้ค่อนข้างแตกต่างจากครั้งก่อน รอบนี้เหมียวอี้ไม่ได้เสนอเงื่อนไขแลกเปลี่ยนอะไร แทบจะออกคำสั่งโดยตรงเลย ทำให้ฝั่งปราสาทดำเนินนภาค่อนข้างงุนงง แต่ก็ยังมาตามคำพูดของเหมียวอี้เหมือนกัน

สำหรับเหมียวอี้แล้ว เมื่อได้เจอคนของปราสาทดำเนินนภาอีกครั้ง ในใจกลับแอบยิ้มเบาๆ เขาแอบมีความมั่นใจต่อเรื่องบางเรื่องแล้ว

เชียนหลัวมองหกคนข้างหลังเหมียวอี้ ดูจากแววตาหกคนข้างหลังแล้ว ก็สังเกตได้ว่าหกคนนี้คงจะไม่ธรรมดา

หกขุนพลใหญ่ก็กำลังมองประเมินเชียนหลัวเช่นกัน กำลังเดาว่าเขาเป็นใคร

“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?” เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงถาม

“คนของตระกูลอิ๋งหยุดอยู่ที่น้ำพุวังเวงชั้นห้า ส่วนตระกูลอื่นเข้าไปลึกกว่านั้น” เชียนหลัวตอบ

สาเหตุที่คนของปราสาทดำเนินนภามาในครั้งนี้ ก็เพื่อเป็นสายลับให้เหมียวอี้ เป็นเพราะในมือเหมียวอี้ไม่ค่อยมีคนของตำหนักสวรรค์ให้ใช้งานมากนัก อาศัยแค่ไป๋เฟิ่งหวงกับเยี่ยนเป่ยหงก็ไม่มีทางจับตาดูสถานที่ใหญ่โตอย่างน้ำพุวังเวงไหวเลย

“เห็นพวกเขาแอบจัดหากำลังพลคนอื่นๆ มาด้วยหรือเปล่า?” เหมียวอี้ถาม

“เรื่องนี้ตัดสินลำบาก น้ำพุวังเวงยังมีสมาชิกออกล่าคนอื่นอีก ไม่ง่ายที่จะแยกแยะว่าเป็นกำลังพลลับที่พวกเขาเตรียมไว้หรือเป็นนักพรตอิสระกับคนจากสำนักต่างๆ จะจับมาสอบสวนทีละคนก็ไม่ได้” เชียนหลัวตอบ

เหมียวอี้ลังเล เขาค่อนข้างมั่นใจกับกำลังที่ตัวเองเตรียมไว้ในครั้งนี้ แต่รู้อย่างแจ่มแจ้งว่าตระกูลอิ๋งอาจจะวางกับดักเอาไว้ ตระกูลอิ๋งมีกำลังพลเท่าที่เห็นภายนอกเองเหรอ? แต่ก็ทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามง่ายๆ คิดไปคิดมาก็ยังตัดสินใจทำตามแผนของหยางชิ่ง ให้คนของสำนักหลัวช่าบุกนำไปก่อน ดูว่าจะสามารถล่อคนที่ตระกูลอิ๋งเตรียมสำรองไว้ออกมาได้หรือเปล่า

“ไป! ไปดูกันสักหน่อย” เหมียวอี้เรียก แล้วนำคนที่เหลือเหาะพุ่งขึ้นฟ้าไปด้วยกัน ทะลุเข้าไปยังตาน้ำพุที่กำลังหมุนวนแห่งหนึ่ง

ชั่วพริบตาเดียวภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป พวกเขาที่ถูกพ่นออกมากลางอากาศแทบจะปรากฏตัวอยู่กลางหินหนืดที่ไหลกลิ้งร้อนระอุ พวกเขาราวกับโผล่มาอยู่ในโลกภูเขาไฟที่กำลังปะทุ เห็นบนยอดเขาสีดำมืดโดยรอบมีหินหนืดพุ่งออกมาไม่หยุด เป็นโลกที่ผสมระหว่างความร้อนระอุแล้วความมืดเย็น เป็นน้ำพุวังเวงชั้นที่สอง

ถึงแม้พวกเขาจะรีบหยุดอยู่กลางอากาศ แต่ในหินหนืดด้านล่างกลับมีวานรเพลิงที่สูงหลายจั้งพุ่งขี้นมา เพลิงเดือดที่ถูกปกคลุมด้วยควันดำร้อนแผดเผาแยกเขี้ยวโบกกรงเล็บพุ่งขึ้นฟ้า พยายามจะเข้ามากัดขยุ้มพวกเขาอย่างดุร้าย ตรงจุดไกลๆ ก็ยิ่งมีวานรเพลิงทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ปีนขึ้นมาจากหินหนืด บางตัวก็นั่งมองเฉยๆ บางตัวก็ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นฝั่งนี้

พวกเขาไม่สนใจวานรเพลิงที่พุ่งเข้ามา ร่างกายทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง ทะลุเข้าไปยังตาน้ำพุที่หมุนวนอีกแห่งหนึ่ง

น้ำพุวังเวงชั้นสาม สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือดินแดนหิมะ หนาวเหน็บเยือกเย็น หิมะโปรยปรายอยู่ท่ามกลางฟ้าครึ้ม

พวกเขายังไม่ทันได้ชื่นชมทัศนียภาพตรงหน้า จู่ๆ ด้านหลังก็มีแสงไฟวับวาบ พอหันกลับไปมอง ก็เห็นวานรเพลิงที่เพิ่งลอบโจมตีพวกเขาพุ่งตามเข้ามาในน้ำพุวังเวงชั้นสามด้วย กรงเล็บแหลมฟันคมพุ่งเข้ามากัดขยุ้มพวกเขาอย่างไม่ลังเล

“ฮึ!” ตานฉิงแสยะยิ้ม พอถลันตัวก็กลายเป็นเงามาฉายแฉลบหายไปทันที ทะลวงเข้าไปในปากใหญ่ของวานรเพลิงเสียเลย

วานรเพลิงที่พุ่งเข้ามาหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ฉึก! จู่ๆ ท้องก็ขยายออก ประกายไฟเบ่งบาน ร่างกายขนาดใหญ่ระเบิดกระจายกลางอากาศแล้วตกลงพื้น ตอนนี้ร่างกายของตานฉิงปรากฎอยู่ท่ามกลางแสงไฟ

เห็นได้ชัดว่าตานฉิงจงใจจะควบคุมการระเบิด จึงทำให้เสียงไม่ดังเกินไป

เชียนหลัวหรี่ตาเล็กน้อย เหลือบมองตานฉิงด้วยแววตาล้ำลึก

“วานรเพลิงตัวนี้น่าจะเป็นเพลิงภูตสินะ?” เหมียวอี้เอ่ยถามขณะจ้องแสงไฟเล็กๆ ที่กระเพื่อมวูบไหวท่ามกลางลมหิมะด้านล่าง

“ใช่แล้ว!” เหลิ่งจัวฉุนพยักหน้า

สิ่งที่เรียกว่าเพลิงภูตที่จริงก็เป็นวิญญาณอัคคีชนิดหนึ่ง แต่วิญญาณอัคคีชนิดนี้อยู่ระหว่างหยินหยาง ไม่ใช่ทั้งไฟหยินและไม่ใช่ทั้งไฟหยาง แต่ก็ไม่กลัวไฟหยินกับไฟหยางเช่นกัน ถ้าถูกมันโจมตีให้บาดเจ็บ เวลาจะเยียวยารักษาก็ยุ่งยากมาก เทียบเท่ากับโดนพิษร้าย แทบจะรักษาได้ยาก แต่ที่โชคดีก็คือ เพลิงภูตที่น่ากลัวจริงๆ ถูกทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์กำจัดไปหมดแล้ว กอปรกับตำหนักสวรรค์ตั้งใจส่งเสริมให้นักพรตมาออกล่าที่นี่ ถ้าอยากจะหลายเป็นเพลิงภูตที่ร้ายอาจอีกก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว

ไม่รู้ว่าความเคลื่อนไหวทางนี้ส่งผลกระทบอะไรหรือเปล่า ตรงที่ไกลๆ มีเสียงสะเทือน ‘บึ้ม’ ดังมา พวกเขาใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองดู เห็นเพียงสัตว์ประหลาดเกราะน้ำแข็งตัวหนึ่งกำลังเจาะหิมะพุ่งขึ้นไปบนฟ้า แล้วเงยหน้าส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด

เหมียวอี้เลิกคิ้ว เพราะเขาเคยเห็นเจ้าตัวนี้มาก่อน เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็น!

ตรงด้านล่าง นักพรตหลายคนกระโดขึ้นมาจากหิมะ ไม่รู้ว่าใช่คนที่มาล่าเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นหรือเปล่า พวกเขาตระหนักได้ถึงอันตรายแล้ว กำลังลนลานหลบหนี

ปั้งๆๆ ในน้ำแข็งมีเงาสีขาวระเบิดออกมาไม่หยุด ทั้งตัวขาวซีดราวกับศพที่ปีนออกมาจากโลง ปล่อยผมยาวสยายจนแยกชายหญิงไม่ออก แบบนั้นดูน่าสะพรึงมาก ดูน่ากลัวกว่าเหยียนซิว ราวกับภูตผีลอยละล่องอยู่ท่ามกลางลมหิมะ ขวางทางพวกนักพรตที่กำลังหลบหนี

ตัวประหลาดยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ใช้เวลาไม่นานก็ล้อมนักพรตพวกนั้นไว้หมดแล้ว

“ปีศาจหิมะหยินจีเหรอ?” เหมียวอี้ถามอีก

เหลิ่งจัวฉุนพยักหน้าอีกครั้ง พร้อมถามว่า “ท่านอยากจะยื่นมือช่วยเหรอ?”

เหมียวอี้จะมีกะจิตกะใจสอดมือไปยุ่งได้อย่างไร คนที่มาแสวงหาความร่ำรวยที่นี่ ถ้าไม่กลับไปมือเปล่าก็รวยเละ หรือไม่ก็สิ้นชีพอยู่ที่น้ำพุวังเวง ก่อนมาได้เตรียมตัวจะสู้ตายไว้แล้ว กอปรกับมีตำหนักสวรรค์คอยส่งเสริม คนที่เพ้อฝันว่าจะมาร่ำรวยอยู่ที่นี่มีไม่รู้ตั้งเท่าไร เขาจะช่วยให้หมดไหวเหรอ?

แต่จะว่าไปแล้ว เขาก็ยังนับถือเจ้าพวกนี้จริงๆ ขนาดเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นยังกล้าล่า ถึงแม้เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นจะมีราคาสูง แต่การใช้เสียงโจมตีก็ร้ายกาจเกินไป ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะต้านทานไหวเลย ในเมื่อเจ้าพวกนี้กล้ามา ก็คงจะมีที่พึ่งแล้วแน่นอน

ส่วนเหมียวอี้ก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มเลือดร้อนเหมือนในปีนั้นแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนเขาอาจจะมีน้ำใจไปช่วยคนให้พ้นความลำบาก แต่สำหรับตัวเขาในตอนนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว เกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ? เขาพุ่งขึ้นฟ้านำไปก่อน พร้อมพูดทิ้งท้ายว่า “ไปกันเถอะ!”

พวกเขาพุ่งขึ้นท้องฟ้าอีกครั้ง แล้วทะลุไปในตาน้ำพุที่หมุนวนอีกแห่ง

พอเข้ามาในน้ำพุวังเวงชั้นสี่ วินาทีที่ภาพตรงหน้าสว่างวาบ ทุกคนรวมทั้งเหมียวอี้ก็รีบหยุดอย่างกะทันหัน

ภูเขาไฟ ทะเลสาบ ทะเลสาบสีทอง ดินแดนที่มีระลอกน้ำสีทอง บางครั้งภูเขาไฟก็ปะทุ แต่สิ่งที่พ่นออกมาล้วนเป็นน้ำแกงสีทอง ทั่วทั้งดินแดนนี้ราวกับหม้อที่ต้มน้ำมันเดือดปุดๆ มีฟองเดือดไม่หยุด บนน้ำแกงสีทองมีกระดูกลอยผลุบๆ โผล่ๆ

ถึงแม้เหมียวอี้จะมาเป็นครั้งแรก แต่กลับรู้ว่าไม่ควรไปแตะต้องน้ำแกงสีทองด้านล่างพวกนี้ น้ำแกงสีทองมีชื่อว่าน้ำพุเหลือง ถ้าถูกลวกขึ้นมาก็ไม่มียาตัวใดรักษาได้ ต่อให้ถูกลวกนิดเดียว แต่ก็จะลุกลามจนเลือดเนื้อของเจ้าหลุดร่วงทั้งร่างกายได้อยู่ดี จะต้องเฉือนทิ้งให้ทันเวลา ถึงจะรักษาชีวิตไว้ได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้เจ้าจะวรยุทธ์สูงกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ กระดูกที่ลอยอยู่ด้านล่างก็คือจุดจบของเหยื่อ กระดูกถูกเคี่ยวจนกลายเป็นสีทองแล้ว

ที่แปลกกว่านั้นก็คือ คนที่ถูกหลอมอยู่ในน้ำพุเหลืองนี่ ไม่น่าเชื่อว่าจะรักษาพลังและวรยุทธ์ก่อนตายเอาไว้ในกระดูกขาวได้ จากนั้นก็นิทราอยู่ที่นี่ตลอดกล วิญญาณถูกกักขังอยู่ในกระดูก อยู่ในน้ำพุเหลืองตลอดกาล มีคนไม่น้อยบอกว่าน้ำพุวังเวงชั้นสี่น่ากลัวที่สุด มีคนอยากจะนำ ‘น้ำพุเหลือง’ นี่ออกไปใช้ประโยชน์เช่นกัน แต่ที่แปลกก็คือ สิ่งที่ร้ายกาจน่ากลัวในน้ำพุวังเวงไม่สามารถออกจากน้ำพุวังเวงได้เลย พอออกจากที่นี่ไป ถ้าไม่ตายก็กลายเป็นหมดฤทธิ์ บอกได้เพียงว่าในจักรวาลอันกว้างใหญ่มีสิ่งแปลกประหลาดมากมาย

ในขณะนี้เอง จู่ๆ กระดูกในน้ำพุเหลืองก็เปลี่ยนจังหวะกระเพื่อมตามธรรมชาติ เริ่มพยายามก่อตัวอยู่บนผิวทะเลสาบด้วยความเร็ว กระดูกหลายร่างเริ่มก่อตัว ตรงจุดที่ไม่ไกลถึงขั้นมีโครงกระดูกประหลาดขนาดใหญ่ตัวหนึ่งพยายามก่อตัวขึ้นมา กำลังลุกขึ้นยืนช้าๆ อยู่ในน้ำพุเหลือง

“รีบหนี!” ครั้งนี้อ๋าวเถี่ยขุนพลใหญ่ลัทธิอู๋เลี่ยงรีบตะโกนบอก น้ำเสียงฟังดูคร่ำเครียดผิดปกติ

ต่อให้หลายคนตรงนี้จะมีวรยุทธ์สูง แต่ก็ไม่กล้าอวดเก่งที่นี่ ไม่มีใครกล้าชักช้า ทุกคนพุ่งขึ้นฟ้าทะลวงเข้าไปในตาน้ำพุที่หมุนวนอีกแห่งด้วยความเร็ว

ฉากตรงหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง มาถึงชั้นที่ห้าของน้ำพุวังเวงแล้ว

พวกเขาทอดสายตามองไป พบดินแดนที่เป็นป่าที่มืดครึ้ม ทุกที่มียอดเขาสูงที่ตัดสลับกันเหมือนฟันสุนัข แท่งหนามทั้งเล็กทั้งใหญ่งอกเหมือนหน่อไม้คม หนามสูงเหมือนขุนเขา หนามเล็กเหมือนปลายของรวงข้าวสาลี โลหะกะพริบแสงสลัว เป็นดินแดนโลหะแห่งหนึ่ง

…………………………

“อย่าบอกนะว่าเม่ยจียืนยันเรื่องทางฝั่งหนิวโหย่วเต๋อได้แล้ว?” เสวี่ยอวี้รีบถาม

เม่ยจีก็คือศิษย์ของนาง และนางกับอวี้หลัวช่าเดิมทีก็มีความสัมพันธ์นายบ่าว ตอนหลังเพิ่มสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์อีก

“ก็ใช่ว่าจะยืนยันไม่ได้ แต่หลังจากเม่ยจีสืบได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อวางแผนลับกับคนอื่นแล้วเอ่ยถึงสำนักหนานอู๋ ก็จะไปตามหาของบางอย่างที่น้ำพุวังเวงอีก” อวี้หลัวช่ากล่าวอย่างลังเล

“หรือว่าของของสำนักหนานอู๋ซ่อนอยู่ที่น้ำพุวังเวง? เรื่องนี้เป็นไปได้เหรอ?” เสวี่ยอวี้ประหลาดใจ

“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ น้ำพุวังเวงอันตรายมาก เหมาะจะซ่อนของเอาไว้พอดี และเป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะพบเบาะแสบางอย่างจากซากสำนักหนานอู๋ ตามที่เม่ยจีบอก นางกลัวว่าหนิวโหย่วเต๋อจะไม่ยอมเคลื่อนไหว ก็เลยพูดเรื่อง ‘สำนักหนานอู๋’ มาหยั่งเชิงกระตุ้น หนิวโหย่วเต๋อถึงได้เคลื่อนไหว ดังนั้นไม่ว่าจะยังไง ก็ต้องหาทางค้นหาหลักฐานดูสักหน่อย ข้าไม่สะดวกจะออกจากที่นี่นางเกินไป เรื่องนี้เจ้าต้องไปด้วยตัวเองสักรอบ” อวี้หลัวช่ากล่าว

“ศิษย์เข้าใจแล้ว จะออกเดินทางเดี๋ยวนี้” เสวี่ยอวี้พยักหน้า

อวี้หลัวช่าบอกอีกว่า “ยังมีอีก เม่ยจีสืบได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อต้องการหากำลังคน บอกว่าค่อนข้างอันราย เจ้าอย่าได้ประมาท พาคนไปเยอะๆ หน่อย พยายามอย่าให้ฝ่ายเราเผยพิรุธอะไร คนที่พาไปด้วยต้องเชื่อถือได้ ห้ามมีข่าวหลุด แล้วพยายามปิดบังตัวตนของพวกเราด้วย เรื่องนี้เจ้าน่าจะเข้าใจ”

ตอนที่เสวี่ยอวี้พยักหน้า ก็ถามอีกว่า “ถ้าหนิวโหย่วเต๋อหาที่นั่นเจอแล้วจริงๆ พวกเราจะจัดการตัวเองยังไงคะ? ด้วยภูมิหลังของเขา…”

“มีโค่วหลิงซวีหนุนหลังแล้วยังไงล่ะ?” อวี้หลัวช่ากล่าวอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด “ถ้าหาพบแล้ว ตอนที่ข่าวยังไม่หลุดไป ก็กำจัดเขาซะ!”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เสวี่ยอวี้ก็มีความมั่นใจแล้ว รู้แล้วว่าควรทำอย่างไร

วัดพระกษิติครรภ์ เม่ยจีได้รับข่าวจากฝั่งแดนสุขาวดีอย่างรวดเร็ว หลังจากเรียกรวมลูกศิษย์ให้รีบปลอมตัวแล้ว ก็ออกจากวัดพระกษิติครรภ์ไปอย่างเงียบๆ ออกจากตลาดผีไปแล้ว รีบมุ่งหน้าสู่น้ำพุวังเวง ได้รับคำสั่งให้สำรวจเส้นทางล่วงหน้า…

แดนรัตติกาล อยู่ในขอบเขตแดนปรภพ เขาภูตพเนจรก็อยู่ที่แดนรัตติกาลเช่นกัน แต่กลับไม่ได้อยู่ในรัศมีใจกลาง บริเวณใจกลางที่แท้จริงจะอยู่กลางดาราจักรที่ราวกับมีเมฆหมอกหมุนวนหลายกลุ่ม ทั้งแปลกประหลาดล้ำลึกทั้งเงียบสงบ ในระหว่างเมฆหมอกทุกกลุ่มล้วนมีรูปทรงกรวยอันหนึ่ง รูรูปทรงกรวยเหมือนกับตาน้ำพุ ที่นี่จึงถูกเรียกว่าน้ำพุวังเวง

ตาน้ำพุทั้งเล็กทั้งใหญ่กลางดาราจักรอันกว้างใหญ่ราวกับเป็นดวงตาผีหลายดวง ตอนที่ยังอยู่ไกลๆ จากจุดนี้จะรู้สึกเหมือนถูกดวงตาที่ล้ำลึกน่าสะพรึงจับจ้อง ถึงแม้ตาน้ำพุจำนวนนับไม่ถ้วนจะมีทั้งเล็กทั้งใหญ่ แต่ตาน้ำพุทั้งหมดล้วนมีทางผ่านไปยังสถานที่แห่งเดียว น้ำพุวังเวง!

ที่จริงตาน้ำพุนี้ก็คล้ายกับประตูดวงดาว พอคนเข้าใกล้ก็จะถูกแรงดึงดูดมหาศาลดูดเข้าไป แต่ก็ไม่เหมือนประตูดวงดาวอยู่ดี ก็อย่างที่บอก ว่าตาน้ำพุทั้งหมดล้วนเป็นทางผ่านไปยังสถานที่แห่งเดียว นั่นก็คือน้ำพุวังเวง!

กำลังพลหลายหมื่นในดาราจักรเหาะมาถึงอย่างรวดเร็ว พวกเขามาหยุดอยู่ตรงจุดที่ไม่ไกลจากเมฆหมอกหมุนวน สามารถหลบแรงดึงดูดของตาน้ำพุได้พอดี

ผู้นำที่อยู่แถวหน้ากำลังพลก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นลูกหลานของตระกูลเซี่ยโห้ว อิ๋ง ฮ่าว ก่วง โค่วนั่นเอง คนของตระกูลเซี่ยโห้วก็คือเซี่ยโห้วเจิ้งยาง คนของตระกูลอิ๋งก็คืออิ๋งหยาง คนของตระกูลฮ่าวชื่อฮ่าวอวิ๋นเทียน คนของตระกูลก่วงชื่อว่าก่วงเซิ่ง คนของตระกูลโค่วก็คือโค่วเหวินไป๋

คนของสี่อ๋องสวรรค์ล้วนเป็นลูกคนโตของลูกชายคนโต มีเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่ส่งลูกชายคนโตของเซี่ยโห้วลิ่งซึ่งเป็นลูกชายคนรองมา แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็แตกต่างจากตระกูลอื่น ไม่มีใครรู้ชัดว่าเซี่ยโห้วท่ามีลูกหลานกี่คนกันแน่ คาดว่าลูกหลานส่วนใหญ่คงหลบอยู่ในที่ลับกันหมด ในจุดนี้มีคนไม่น้อยที่รู้อยู่แก่ใจ

นอกจากคนของห้าตระกูลนี้ ยังมีลูกหลานของพวกจอมพลและเทพประจำดาวมาเข้าร่วมด้วย

“การออกล่าครั้งนี้จะเดิมพันอะไร?” อิ๋งหยางมองซ้ายมองขวา แล้วถามถึงการเดิมพันก่อน

“กติกาเดิมแล้วกัน เดิมพันว่าใครจะกลับไปมือเปล่า” เซี่ยโห้วเจิ้งยางตอบเสียงเรียบ

“ดี!” คนอื่นๆ ตอบรับ

ที่เรียกว่ากติกาเดิมก็คือดูว่าใครล่าได้เยอะที่สุด แล้วคนอื่นๆ ก็ต้องมอบของทุกอย่างที่ล่าได้ให้คนนั้น แล้วกลับบ้านมือเปล่า คนที่อยู่ในระดับอย่างพวกเขา จะบอกว่าทรัพยากรฝึกตนไม่สำคัญก็ไม่ได้ เพื่อที่จะกดดันพวกเขา ตระกูลไม่อาจให้ทุกอย่างแก่พวกเขาตามอำเภอใจได้ แต่ในโอกาสและสถานที่แบบนี้ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือหน้าตาศักดิ์ศรี ถ้าสามารถทำให้คนอื่นกลับบ้านมือเปล่าได้ ก็เท่ากับเป็นชัยชนะสูงสุดของการออกล่าครั้งนี้

หลังจากกำหนดกติกาแล้ว ทุกคนก็ยังไม่รีบบุกเข้าไป ถ้าคนทั่วไปมาที่นี่ก็ถือว่าอันตราย แต่พวกเขามีฐานะไม่ธรรมดา ย่อมไม่เกิดความเสี่ยงได้ง่ายๆ เพราะส่งคนมาสำรวจเส้นทางล่วงหน้าแล้ว

ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนทยอยโผล่ออกมากลางอากาศ สายลับของตระกูลเซี่ยโห้วมารายงานก่อน บอกว่าทุกอย่างปกติดี

“ไป!” เซี่ยโห้วเจิ้งยางโบกมือ นำกำลังคนในเครือข่ายของตระกูลเซี่ยโห้วออกเดินทางก่อน บุกเข้าไปที่ตาน้ำพุแห่งหนึ่ง ชั่วพริบตาเดียวก็หายเข้าไปในนั้น

ที่จริงคนของตระกูลเซี่ยโห้วมาน้อยที่สุด ก็ช่วยไม่ได้ ภายนอกตระกูลเซี่ยโห้วไม่สามารถใช้คนมาช่วยเพิ่มบารมีของตัวเองเยอะเกินไป

สายลับของตระกูลอื่นๆ ทยอยกลับมารายงาน และบุกเข้าน้ำพุวังเวงเช่นกัน

ไม่รู้เหมือนกันว่าจงใจหรือเปล่า สายลับของตระกูลอิ๋งปรากฏตัวเป็นคนสุดท้าย หลังจากรายงานว่าทุกอย่างปกติแล้ว อิ๋งหยางก็ยังถามอย่างละเอียดอีก “ในน้ำพุวังเวงไม่มีคนอื่นแล้วเหรอ?”

สายลับตอบว่า “คนกลุ่มหนึ่งกำลังออกล่า น่าจะเป็นพวกนักพรตอิสระกับคนจากบางสำนัก พวกเขาเข้าไปถึงชั้นห้าของน้ำพุวังเวงแล้วก็หยุดตามปกติ มีคนส่วนน้อยที่จะกล้าเข้าไปลึกกว่านี้”

อิ๋งหยางพยักหน้าเบาๆ นี่ก็เป็นเรื่องปกติ นักพรตอิสระบางส่วนและคนจากบางสำนักมักจะมาเสี่ยงอันตรายที่นี่เพื่อหารายได้เพิ่มเติม มีจุดระสงค์เพื่อเก็บรวบรวมพวกสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ สมุนไพรเซียนที่หายาก บางคนก็ต้องการล่าพวกสัตว์เทพ สัตว์ปีศาจเพื่อไปแลกเป็นทรัพยากรฝึกตน น้ำพุวังเวงมีสิบแปดชั้น คนพวกนี้ไม่กล้าเข้าไปลึกเกินไป สัตว์ปีศาจที่ประสบอันตรายจะสูญเสียการควบคุม ยิ่งเข้าไปลึก สัตว์ปีศาจที่เจอก็จะยิ่งน่ากลัว โดยเฉพาะตัวที่อยู่ลึกในน้ำพุวังเวงที่ถูกขนานนามไว้อย่างน่ากลัวว่า ‘เทพมรณะ’

พอนึกถึงสัตว์ปีศาจน่ากลัวที่ชื่อ ‘เทพมรณะ’ อิ๋งหยางก็เสียวสันหลังวาบ ถามว่า “สัตว์ประหลาดในส่วนลึกของน้ำพุวังเวงคงไม่อาละวาดวิ่งออกมาซี้วั้วหรอกใช่มั้ย?”

“ตอนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรขอรับ” สายลับตอบ

อิ๋งหยางเอียงหน้าไปด้านหลัง ถ่ายทอดเสียงบอกหนึ่งในสองนักพรตที่ตามติดอยู่ข้างหลังตน “ตั้งค่ายอยู่ที่ชั้นห้าของน้ำพุวังเวงก็แล้วกัน ถ้าเข้าไปลึกเกินไป ด้วยความสามารถของเป้าหมายอาจจะไม่กล้าเข้าไป”

หลังจากเงียบไปสักพัก อิ๋งหยางก็โบกมือ “ออกเดินทาง!”

สองคนข้างหลังถลันตัวไปเบิกทางข้างหน้าทันที คนกลุ่มนี้พุ่งเข้ามาจนถึงตาน้ำพุ

บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ไกลๆ เหมียวอี้ทีอยู่บนยอดเขาใช้ตาทิพย์ตรงหว่างคิ้ว เสาแสงสีรุ้งสายหนึ่งที่ปรับสั้นบ้างยาวบ้างกำลังจ้องไปที่กลุ่มของอิ๋งหยาง มองเห็นทุกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

เดิมทีตลาดผีก็อยู่ที่แดนรัตติกาลอยู่แล้ว มาที่นี่ย่อมไม่สะดวก เรียกได้ว่าต้องมารอล่วงหน้า

รอจนกระทั่งพวกอิ๋งหยางเข้าไปในตาน้ำพุแล้ว ลำแสงของตาทิพย์ถึงได้ถูกเก็บกลับมา รอยแยกตรงหว่างคิ้วปิดสนิทกลายเป็นรอยนูนสีแดง

ก็ช่วยไม่ได้ ถึงแม้ตาทิพย์จะอัศจรรย์แค่ไหน แต่ก็ยังมีข้อจำกัด ไม่สามารถมองทะลุพวกประตูดวงดาวได้

ทว่าเหมียวอี้ก็เริ่มขมวดคิ้วแล้วเช่นกัน เขามองเห็นสถานการณ์ข้างกายอิ๋งหยางอย่างชัดเจน มีแค่หนึ่งพันคนเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นนักพรตบงกชรุ้งด้วย มีเพียงนักพรตบงกชกลายไม่กี่คน ถ้าเทียบกระบวนทัพนี้กับตอนที่ลงมือกับเขาที่แดนสุขาวดี ก็เรียกได้ว่าต่างกันไม่ใช่น้อย แต่สำหรับเขาแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่แกร่งพอให้ชายตามองเลย ทำให้เขาอยากจะเรียกคนไม่กี่คนข้างหลังให้ลงมือเสียเลย

แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล สิ่งที่เห็นชัดเจนแบบนี้จะเรียกว่ากับดักได้หรือเปล่า? เขาถึงได้อดทนไว้

ข้างหลังเขามีคนยืนอยู่หกคน ขุนพลใหญ่ลัทธิผีเหลิ่งจัวฉุน ขุนพลใหญ่ลัทธิพุทธกุยอู๋ ขุนพลใหญ่ลัทธิมารตานฉิง ขุนพลใหญ่ลัทธิปีศาจจ่างหง ขุนพลใหญ่ลัทธิเซียนเมิ่งหรู ขุนพลใหญ่ลัทธิอู๋เลี่ยงอ๋าวเถี่ย หลังจากทั้งหกได้รับแจ้ง ก็รีบมาเจอกับเหมียวอี้ทางนี้ทันที ในตอนนี้ปลอมตัวปกปิดใบหน้า

หลังจากมองเหมียวอี้เก็บตาทิพย์อย่างช้าๆ ทั้งหกก็มองหน้ากันเลิกลั่ก แววตานั้นบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร

ขุนพลใหญ่ลัทธิปีศาจจ่างหงแอบถ่ายทอดเสียงพึมพำกับคนที่เหลือ “ทำไมมันคล้ายกลับตาทิพย์เสิ้นหมี ขุนพลใหญ่ของประมุขปีศาจล่ะ?”

“ค่อนข้างคล้าย…” บางคนก็พึมพำอย่างนี้ น้ำเสียงฟังดูประหลาดใจสงสัย

เหมียวอี้ที่สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์หันกลับมามองแวบหนึ่ง พวกเขาที่กำลังแอบคุยกันจึงหยุดทันที ส่วนเหมียวอี้ก็เขย่าระฆังดาราในมือไม่หยุด

หลังจากรอได้พักใหญ่ รอจนกระทั่งระฆังดาราฝั่งนั้นตอบกลับมาแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดารา แล้วพูดทิ้งท้ายว่า “เป้าหมายมาถึงแล้ว ไปกันเถอะ”

เขานำเหาะขึ้นฟ้าไปก่อน แล้วอีกหกคนก็ตามหลังไปทันที

คนกลุ่มนี้ไม่ได้เข้าไปในตาน้ำพุเดียวกับพวกอิ๋งหยาง แต่ไปเข้าตาน้ำพุอีกแห่งหนึ่ง

พอทะลุผ่านตาน้ำพุมาแล้ว ชั่วพริบตาเดียวก็ล่วงล้ำมาอยู่ในโลกที่มีแสงสลัว เป็นโลกที่มีฟ้าสลัวราวกับตอนเช้ามืด ตามองด้วยตาเปล่าก็มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ภาพที่ตาเห็นเหมือนเข้าไปอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์

เมื่อพวกเขาเหยียบลงพื้นแล้ว ก็รีบหันมองไปรอบๆ สุดท้ายก็มองไปบนท้องฟ้า บนท้องฟ้าที่มีแสงสลัวมีตาน้ำพุกำลังหมุนวนนับไม่ถ้วน บ้างก็หมุนตามเข็มนาฬิกา บ้างก็หมุนทวนเข็มนาฬิกา ราวกับมีดอกไม้นับไม่ถ้วนกำลังเบ่งบานอยู่บนฟ้าไม่หยุดนิ่ง เป็นภาพที่แปลกพิลึก

ถึงแม้เหมียวอี้จะมาเป็นครั้งแรก แต่ก็รู้เช่นกัน ว่าตาน้ำพุที่หมุนตามเข็มนาฬิกาก็คือทางเข้าน้ำพุวังเวงชั้นที่หนึ่ง ส่วนตาน้ำพุที่หมุนทวนเข็มนาฬิกาก็คือทางออก

“จี๊ดๆ…” จู่ๆ ก็มีเสียงประหลาดดังมาจากด้านข้างที่อยู่ไม่ไกล

พวกเขาหันกลับไปมอง เห็นเพียงหมอกสีเขียวสายหนึ่งเจาะออกมากลางอากาศ ทะลวงออกมาไม่หยุด แล้วสุดท้ายก็ออกมาจนหมด กลายเป็นมังกรยาวตัวหนึ่ง บินคดเคี้ยวยาวเหยียดอยู่กลางท้องฟ้า เปลี่ยนแปลงเป็นภาพต่างๆ

พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง ถึงได้พบว่าไอหมอกสีเขียวนั่นเกิดจากการรวมตัวของค้างคาวสีเขียว แต่ละตัวมีหมอกสีเทาวนเวียนรอบกายจางๆ

ค้างคาวสีเขียวกลุ่มนั้นเหมือนจะสังเกตเห็นพวกเขาแล้ว พวกมันกำลังรีบบินมาทางนี้

ไม่มีใครหวาดกลัว ถึงขั้นไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยด้วยซ้ำ อาศัยพลังของพวกเขา ถ้าแม้แต่สัตว์ประหลาดต่ำต้อยพวกนี้ยังรับมือไม่ไหว เช่นนั้นก็น่าหัวเราะเยาะเกินไปแล้ว

แต่เหมียวอี้ก็ยังถามว่า “นี่มันตัวอะไร?”

ขุนพลใหญ่ลัทธิผีเหลิ่งจัวฉุนตอบว่า “ค้างคาวกลืนวิญญาณ พวกมันดูดกินจิตวิญญาณสิ่งมีชีวิตเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ ถึงแม้พลังโจมตีจะไม่รุนแรงมาก แต่ก็อย่าดูถูกเชียว ถ้าถูกมันกัดขึ้นมา จิตวิญญาณก็จะได้รับความเสียหาย แถมพวกมันยังฆ่าไม่ตายด้วย ชอบรวมกลุ่มรุกโจมตี บินเร็วสุดๆ นักพรตที่ระดับต่ำกว่าบงกชรุ้งยากจะต้านทานยามพวกมันโจมตีต่อเนื่องไม่หยุด ถ้าถูกมันพัวพันแล้วสลัดไม่พ้นก็จะยุ่งยากมาก พวกมันน่าจะออกมาจากน้ำพุวังเวงชั้นที่สอง”

“ยังมีสิ่งที่ฆ่าไม่ตายด้วยเหรอ?” เหมียวอี้แปลกใจ

“มีเพียงไฟหยางเท่านั้นที่ฆ่าพวกมันได้ ไม่อย่างนั้นถ้าอยู่ที่น้ำพุวังเวงก็ไม่มีทางฆ่าพวกมันได้เลย” เหลิ่งจัวฉุนตอบ

เหมียวอี้ตาลุกวาวทันที “ถ้าเป็นแบบนี้ จับกลับไปใช้ประโยชน์สักหน่อยไม่ได้เหรอ”

เหลิ่งจัวฉุนส่ายหน้า “จับออกไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกมันมีชีวิตอยู่ได้แค่ในนี้ จุดที่มีพลังหยางรุนแรงพวกมันอาศัยอยู่ไม่ได้เลย แถมพอเจอแสงอาทิตย์ก็จะสลายกลายเป็นเถ้าถ่านทันที แล้วก็ไม่มีวิธีควบคุมได้ด้วย”

ในขณะที่พูด ค้างคาวสีเขียวกลุ่มนี้ก็โผบินเข้ามาด้วยความเร็วแล้ว เกราะลมบนตัวพวกเขาพรั่งพรูออกมา ตุ้บๆๆๆ…รู้สึกได้ว่ามีการชนปะทะอันถี่กระชั้นไม่ขาดสาย

ไม่เขาไม่แยแสค้างคาวพวกนี้ ตานฉิงหันกลับมาถามว่า “ราชาปราชญ์ ต่อไปจะทำยังไงขอรับ?”

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะหยิบกระจกโบราณบานหนึ่งออกมา ร่ายอิทธิฤทธิ์ขยายบานกระจกให้ใหญ่ขึ้น แล้วยกมันขึ้นมาแล้ว

…………………………

นี่ก็คือสาเหตุที่หยางชิ่งไม่เห็นด้วยกับการที่เหมียวอี้จะใช้กำลังปะทะ เป็นเพราะตระกูลอิ๋งมีอำนาจยิ่งใหญ่เกินไป สามารถรวบรวมกำลังที่คนทั่วไปยากจะจินตนาการถึงได้ทุกเมื่อ ถ้าเข้าไปปะทะก็เหมือนเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง แต่เหมียวอี้ดันตัดสินใจแน่วแน่ ต้องการจะใช้กำลังมหาศาลเข้าไปปะทะให้ได้

ต่อให้หยางชิ่งจะฉลาด แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหมียวอี้คิดได้อย่างไร แต่ผลลัพธ์ในบางครั้งก็มักพิสูจน์ว่าวิธีการของเหมียวอี้ก็มีเหตุผลในตัวมันเอง ถึงขั้นได้ผลกว่าการวางแผนไปวางแผนมาด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำได้เพียงแนะนำ แต่กลับบอกไม่ได้ว่าเหมียวอี้ทำผิดไปแล้ว วิธีกาคิดของทั้งสองมักจะยืนอยู่คนละมุมเสมอ

“ไม่รู้ว่าควรออกเดินทางเมื่อไรจึงจะเหมาะสม?” อิ๋งหยางที่มีความมั่นใจแล้วเอ่ยถามเวลาออกเดินทาง เฝ้าคอยมากที่จะทำให้ผู้สร้างความอัปยศต่อตระกูลอิ๋งมีจุดจบอยู่ในมือตัวเอง

จั่วเอ๋อร์ยิ้มตอบ “อีกไม่กี่วันนี้แล้ว ขอเพียงนายน้อยกับตระกูลเซี่ยโห้วติดต่อกันเรียบร้อย ก็สามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ”

“ได้! เชื่อฟังท่านย่าจั่ว ออกเดินทางภายในอีกไม่กี่วันนี้” อิ๋งหยางพยักหน้าเอ่ยรับ

“มิบังอาจเรียกว่าคำสั่ง นายน้อยให้เกียรติบ่าวเกินไปแล้ว ล้วนเป็นหน้าที่ของบ่าวทั้งนั้น” จั่วเอ๋อร์กล่าวปนเสียงหัวเราะ

อิ๋งหยางยิ้มอย่างเกรงใจ จากนั้นก็เผยสีหน้ากังวลอีก “กลัวก็แต่หนิวโหย่วเต๋อจะไม่มีความกล้านั้น!”

ในน้ำเสียงแสดงความรู้สึกว่างเปล่าเหมือนหาคู่ต่อสู้ไม่เจอ ทำให้อิ๋งอู๋หม่านได้ยินแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้ม

“ตระกูลโค่วมีเค้าลางว่าจะสะบัดตัวภาระทิ้งชัดเจนมาก ขอเพียงตระกูลโค่วไม่เปิดเผยแผนนี้ต่อหนิวโหย่วเต๋อ ช่วยปล่อยข่าวให้รู้สักหน่อย อาศัยความเคยชินของหนิวโหย่วเต๋อ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะมา แล้วก็มีความเป็นไปได้สูงว่าตาแก่โค่วจะทำอย่างนี้ สรุปก็คือไม่ว่าเขาจะมาหรือไม่มา นายน้อยก็ต้องทำให้เต็มที่ ถ้าหากมาแล้ว ก็เป็นเวลาที่นายน้อยจะได้แสดงฝีมือแล้ว” จั่วเอ๋อร์กล่าว

หลังจากกำชับเตรียมการกันอยู่พักหนึ่ง นายบ่าวก็แยกย้ายชั่วคราว

ทว่ายังผ่านไปไม่ถึงครึ่งวัน อิ๋งอู๋หม่านก็นำอิ๋งหยางมาหาจั่วเอ๋อร์อีก เพราะมีข่าวใหม่มารายงาน

เมื่อได้ยินข่าว จั่วเอ๋อร์ก็ทำสีหน้างงงัน “อะไรนะ? ตระกูลโค่ว ตระกูลฮ่าว ตระกูลก่วงเป็นฝ่ายขอเข้ารวมออกล่าที่น้ำพุวังเวงเองเหรอ? หมายความว่ายังไง?”

อิ๋งหยางส่ายหน้า “ไม่รู้ไม่ความว่าอะไร พวกเขาทยอยกันติดต่อข้ามาเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงสักหน่อย พวกเขาอยากจะไปก็ไปสิ ข้าห้ามไม่ได้อยู่แล้ว อย่างมากก็ไม่ต้องรวมกลุ่มกันก็เท่านั้นเอง”

บนใบหน้าจั่วเอ๋อร์ด้วยไปด้วยความระแวง หลังจากครุ่นคิดอยู่นานมาก ก็บอกว่า “ดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน…เอาเป็นว่าไม่ว่าพวกเขาจะไปหรือไม่ไป พอไปถึงน้ำพุวังเวงแล้ว ก็ต้องสลัดพวกเขาทิ้งอยู่ดี”

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ในศาลาเย็นที่มีไม้ไผ่สีเขียวหยกล้อมรอบ อนุภรรยาแสนสวยสองคนยืนอยู่ด้านหลังทางซ้ายและขวาของโค่วหลิงซวี ขณะกำลังยิ้มประจบเอาใจ พวกนางก็แบ่งกันนวดไหล่ให้โค่วหลิงซวีคนละฝั่ง ไม่รู้เอาใจให้โค่วหลิงซวีเบิกบานใจจริงๆ หรือเปล่า แต่เห็นบนใบหน้าโค่วหลิงซวีเจือรอยยิ้มเรียบๆ ที่ไม่รู้ว่าลึกตื้นแค่ไหน

ถังเฮ่อเหนียนปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลจากป่าไผ่ เขาไม่ได้เข้ามาใกล้ เพียงถ่ายทอดเสียงคุยอยู่ห่างๆ

โค่วหลิงซวีได้ฟังแล้วอึ้งทันที ถ่ายทอดเสียงถามกลับ “สองบ้านนั้นไม่ไปไม่ใช่เหรอ? ทำไมไปอีกแล้ว?”

“ไม่ทราบขอรับ อาจจะมีความคิดเหมือนฝ่ายพวกเรา ไปเจอกันแล้ว” ถังเฮ่อเหนียนตอบ

โค่วหลิงซวีพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ทางนี้เพิ่งเริ่มให้ลูกหลานในตระกูลปฏิเสธคำเชิญไปออกล่าที่น้ำพุวังเวง ตอนหลังพบว่าตระกูลที่เหลือก็ปฏิเสธแล้วเช่นกัน เหลือเพียงตระกูลอิ๋งกับตระกูลเซี่ยโห้วที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก ดังนั้นฝั่งนี้จึงให้ลูกหลานในตระกูลตอบตกลงอีกรอบ ใครจะคิดว่าอีกสองบ้านก็ตอบตกลงอีกเช่นกัน นี่มันเรื่องอะไรกัน

หารู้ไม่ว่าในตอนนี้ก่วงลิ่งกงกับฮ่าวเต๋อฟางก็กลุ้มใจเช่นกัน สาเหตุที่ก่อนหน้านี้ไม่ไป ก็ย่อมเป็นเพราะเดาออกว่าตระกูลอิ๋งคิดจะทำอะไร ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ตอนหลังพบว่าอีกสองตระกูลที่เหลือก็ไม่ไปด้วยเช่นกัน จึงรู้สึกว่าไม่น่าดูเท่าไร ตอนหลังถ้ามีคนตำหนิพวกอ๋องสวรรค์ว่าร่วมมือกันกำจัดหนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียว แบบนั้นจะน่าฟังเหรอ? พวกเขาถึงได้ให้ลูกหลานไปเข้าร่วม อย่างมากเมื่อไปถึงน้ำพุวังเวงแล้วค่อยหลบเลี่ยงตระกูลอิ๋งก็ได้

ใครจะคิดว่าสามบ้านนี้จะจิตใจตรงกันแบบไม่ธรรมดา พอไม่ไปก็ไม่ไปด้วยกันหมด พอจะไปก็ไปกันหมด ร่วมรุกร่วมถอยจริงๆ

การกระทำของทั้งสามคนทำใจอิ๋งจิ่วกวงกลุ้มใจ ในสถานที่สงบของจวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ท่านอ๋องเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา บางครั้งก็มือเอาขยี้เคราเงียบๆ บางครั้งก็ขมวดคิ้วไม่คลาย เดาไม่ออกว่าอีกสามบ้านกำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่ สุดท้ายก็หันกลับมาถามว่า “จั่วเอ๋อร์ อีกสามบ้านคงไม่วางกับดักอะไรให้ข้าไปติดใช่มั้ย?”

จั่วเอ๋อร์ทำสีหน้าลำบากใจเช่นกัน “บ่าวคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นกับดักอะไร นายน้อยนำกลุ่มไปออกล่า อีกสามบ้านจำเป็นต้องร่วมมือกันสู้กับนายน้อยด้วยเหรอ? แบบนั้นอาจจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่…”

ท้ายที่สุดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็ยังไม่ส่งผลกระทบอะไร การกลับคำไปมาของตระกูลเหล่านี้ไม่ได้เปิดเผยต่อภายนอก ด้วยเหตุนี้เอง สุดท้ายตอนที่กำลังพลของตระกูลเหล่านี้ออกเดินทาง จึงไม่ได้บอกให้คนนอกรู้ถึงการกลับคำไปมาระหว่างนั้น

โรงเตี๊ยมในตลาดผี ในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง เห็นชายหญิงร่วมรักกันอีกแล้ว

หลังจากเมฆสลายฝนสงบ สวีถังหรานก็กำลังลูบไล้สาวงามข้างกายอย่างถึงอกถึงใจ

หรูเสวี่ยที่ใบหน้าแดงก่ำเข้ามาเกาะแกะพัวพัน กอดเขาพลางพูดออดอ้อน “นายท่าน ข้าอยู่คนเดียวเหงาจนนอนไม่หลับเลยค่ะ วันนี้ไม่ต้องกลับได้มั้ยคะ อยู่ค้างเป็นเพื่อนข้าเถอะนะ?”

สวีถังหรานหรี่ตายิ้ม แล้วผ่อนคลายอีกครั้ง ลูบไล้เรือนร่างที่เกลี้ยงเกลาของนาง พร้อมกล่าวปนหัวเราะ “ถ้าเปลี่ยนเป็นยามปกติอาจจะได้ แต่ครั้งนี้ไม่ได้จริงๆ ขนาดข้ายังแอบเจียดเวลามาเจอเจ้าเลย”

หรูเสวี่ยเงยหน้าถามเหมือนตกใจ “ทำไมคะ? นายท่านเป็นรองแม่ทัพภาคผู้สง่าผ่าเผย เข้าออกจวนแม่ทัพภาคยังต้องแอบอีกเหรอ?”

“เฮ้อ!” สวีถังหรานถอนหายใจ “ท่านแม่ทัพภาคมีธุระแอบออกไปข้างนอกแล้ว สั่งให้ข้าเฝ้าจวนไว้ ก็เพราะคิดถึงเจ้าเลยแอบหนีออกมานี่ไงล่ะ”

ในดวงตางามของหรูเสวี่ยฉายแววตื่นตัวทันที แต่ปากกลับพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “เป็นแม่ทัพภาคตลาดผี ยังต้องแอบออกไปด้วยหรือคะ? มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

“เอ่อ…” สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ อีก “สิ่งที่ไม่ควรถามก็อย่าถามเลย” เขาใช้มือช้อนคางนางขึ้นมา ต้องการจะจูบอีก

ทว่าครั้งนี้หรูเสวี่ยกลับไม่ให้ความร่วมมือ เอียงหน้าหนี “เห็นได้ชัดว่านายท่านไม่เชื่อใจข้า!”

พอพูดจบ ต่อให้สวีถังหรานเอาคำพูดหวานๆ มาปะเหลาะอย่างไรก็ไม่ได้ผล นางหันหลังให้โดยไม่สนใจ เหมือนจะโกรธแล้ว

สวีถังหรานเหมือนจะโอ๋ผู้หญิงคนนี้มากเกินไป สุดท้ายก็บอกว่า “ได้ๆๆ” เขากอดนางแล้วกระซิบข้างหู “ข้าบอกเจ้าก็ได้ แต่เจ้าอย่าเอาไปพูดซี้ซั้วที่ไหนเด็ดขาด”

หรูเสวี่ยหันกลับมาช้อนสายตามองเขาแวบหนึ่ง ร่างงามพลิกกลับมา ตอนนี้หันหน้ามากอดเขาแล้ว “ข้าอยู่ตัวคนเดียว ไม่กล้าเดินออกจากประตูตลาดผีนี่ด้วยซ้ำ จะไปบอกใครได้คะ ข้าแค่รู้สึกแปลกใจเฉยๆ ว่าแม่ทัพภาคตลาดผีผู้สง่าผ่าเผยต้องการจะทำอะไร ถึงต้องแอบออกไปเงียบๆ”

สวีถังหรานเดาะปากเบาๆ แล้วตอบเหมือนไม่แน่ใจ “ที่จริงข้าก็ไม่แน่ใจรายละเอียดนะว่าท่านแม่ทัพภาคต้องการทำอะไร”

พอได้ยินแบบนี้ หรูเสวี่ยก็บิดตัวหนีทันที ทำท่าจะลุกขึ้นเดินหนีไป กล่าวด้วยสีหน้าเง้างอด “นายท่านยังไม่เชื่อใจข้า”

สวีถังหรานบังคับกดนางให้นอนลง “ไม่ได้หลอกเจ้านะ ข้าพูดความจริง”

หรูเสวี่ยบิดตัวอย่างไม่เต็มใจ “ข้าไม่เชื่อหรอก ท่านเป็นรองแม่ทัพภาค จะไม่รู้ได้ยังไงคะ”

สวีถังหรานกอดนางแน่นไม่ยอมปล่อย “จริงๆ นะ ข้าไม่รู้รายละเอียดชัดเจน เจ้าอย่ามองว่าข้าเป็นรองแม่ทัพภาคสิ ที่จริงแล้วหยางเจาชิงต่างหากที่เป็นลูกน้องคนสนิทของท่านแม่ทัพภาคอย่างแท้จริง เรื่องบางเรื่องท่านแม่ทัพภาคก็ไม่บอกข้าเลย แต่ข้าบังเอิญไปได้ยินท่านแม่ทัพภาคกับหยางเจาชิงคุยกันนิดหน่อย พอจะรู้คร่าวๆ ว่าท่านแม่ทัพภาคไปที่ไหน”

ร่างกายที่ออดอ้อนของหรูเสวี่ยหยุดชะงัก แล้วทำเสียงฮึดฮัด “ผู้ชายอย่างพวกท่านไม่มีใครดีสักคน แม่ทัพภาคผู้สง่าผ่าเผย แต่ดันไม่อยู่ตลาดผี จะต้องออกไปทำตัวเสเพลอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่ๆ?”

สวีถังหรานจึงบอกว่า “ทำตัวเสเพลอะไรกัน เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว เหมือนข้าจะได้ยินเขาบอกว่าเกี่ยวกับสำนักหนานอู๋อะไรสักอย่างนี่แหละ เหมือนต้องการจะไปหาอะไรสักอย่างที่น้ำพุวังเวง บอกว่าอันตรายนิดหน่อย ต้องหาคนไปเยอะๆ ส่วนรายละเอียดข้าไม่ได้ฟังมาจริงๆ ไม่เข้าใจด้วยว่าหมายความว่าอะไร ข้าไม่กล้าแอบฟังเยอะ”

เล่นละครตบตาไปสักพัก ในที่สุดก็ปะเหลาะสาวงามในอ้อมกอดให้สงบได้แล้ว เขาจับนางมากระทำชำเราอีกพักหนึ่ง สุดท้ายถึงได้เก็บของออกไปอย่างรวดเร็ว

พอออกมาจากห้อง สวีถังหรานก็หันกลับไปมองแวบหนึ่งด้วยสายตาเย็นเยียบ แล้วจากไปอย่างไม่รีบร้อน

หรูเสวี่ยที่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยยืนเงี่ยหูฟังตรงประตู หลังจากแน่ใจสวีถังหรานออกไปแล้ว นางก็รีบหยิบระฆังดาราออกมา

วัดพระกษิติครรภ์ ในอุโบสถที่มืดสลัว ใต้เสาแสงต้นหนึ่งหน้าพระพุทธรูป หลังจากเม่ยจีที่กำลังนั่งขัดสมาธิเก็บระฆังดาราในมือแล้ว ก็รีบหยิบระฆังดาราอีกอันติดต่อกับภายนอก

แดนสุขาวดี วัดพุทธะหยก ยอดเขาที่มีเมฆหมอกลอยวนเวียน ภายใต้แสงแดดที่ร้อนแรงยังมีรุ้งยาวทอดข้ามหลายสาย ราวกับแดนสรวงสวรรค์

บางครั้งก็จะได้ยินเสียงดังอย่างต่อเนื่อง ระหว่างหุบเขาโดยรอบจะเห็นวิหคบินร่อนเป็นระยะ มีนกตัวสองตัวบินไปกินน้ำข้างสระมรกตที่มีน้ำตกลงมา

อารามหลักที่อยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของวัดพุทธะหยก ทั้งตัววัดเป็นสีขาวบริสุทธิ์ดุจหยก ทั้งพื้นทั้งหลังคาราวกับสลักออกมาจากหินหยกทั้งหมด ไม่แปดเปื้อนฝุ่นดิน ทั้งตัวอารามหลักสร้างขึ้นพลังปรารถนา งดงามอลังการที่สุด

ภายในอุโบสถหลัก นอกจากรูปปั้นประมุขพุทธะขนาดใหญ่ที่อยู่บนผนังตรงหน้า โดยรอบก็มีแต่ภาพวาดสตรีชาวพุทธที่บนตัวสวมสร้อยอิ่งลั่ว อยู่ในท่วงท่าระบำที่อรชรอ่อนช้อยแบบต่างๆ

บนฐานดอกบัว สตรีชุดขาวที่ในมือถือระฆังดาราลุกขึ้นยืน นางลอยไปเหยียบลงในพระอุโบสถ หน้าตางดงามไร้ที่เปรียบ อาภรณ์ขาวดุจหิมะ ราวกับเป็นบงกชขาวดอกหนึ่งที่โผล่พ้นโคลนตมโดยไม่แปดเปื้อน นางก้าวเบาๆ ราวกับเหยียบบนคลื่นน้ำ ความงดงามที่บริสุทธิ์เรียบง่ายนั้นทำให้คนรู้สึกสงบใจ

ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องแอบตกตะลึงทั้งนั้น เป็นสาวน้อยสวยบริสุทธิ์ไร้ที่เปรียบคนหนึ่ง ทว่าสาวน้อยแสนสวยคนนี้กลับเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญเพียงไม่กี่คนของแดนพุทธที่ทำให้เหล่าเวไนยสัตว์กราบไหว้อย่างตัวสั่น นางคือพุทธะหน้าหยกอวี้หลัวช่านั่นเอง

เหตุใดทั้งสำนักหลัวช่าจึงมองไม่เห็นสตรีวัยชรา หลักการดูดพลังชีวิตผู้อื่นโดยการฝึกฌานเสพสังวาสนั้นไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อคนนอก สรุปก็คือช่วยรักษาความเยาว์วัยได้ และอวี้หลัวช่าก็ฝึกจนถึงขั้นหวนคืนความสาวแล้ว

ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่สวยสดใสของอวี้หลัวช่า มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถสังเกตเห็นได้ว่าแตกต่างกับความเยาว์วัยภายนอก นั่นก็คือดวงตางามทั้งคู่ของนาง เพราะในบางครั้งจะฉายแววน่าเกรงขาม เผยให้เห็นความล้ำลึกซึ่งไม่สอดคล้องกับอายุ

“สำนักหนานอู๋…น้ำพุวังเวง…” อวี้หลัวช่าพึมพำในขณะที่ก้าวเท้าเดินเบาๆ ราวกับเหยียบคลื่นน้ำอันนิ่งสงบ สุดท้ายก็หยุดเดิน สิ่งของในอุโบสถขยับเองโดยไร้ลม ระฆังเล็กหลายอันใต้ชายคาด้านนอกที่สร้างจากพลังปรารถนาสั่นและส่งเสียง “กุ๊งกิ้งๆ” ดังชัดเจน

ไม่นานก็มีเงาคนคนหนึ่งเหาะลงมาเหยียบนอกอุโบสถ สตรีวัยกลางคนหน้าตาสวยคนหนึ่งที่แต่งกายเปิดเผยตามแบบฉบับศิษย์สำนักหลัวช่าเดินบิดเอวเข้ามาช้าๆ เมื่ออยู่ห่างจากอวี้หลัวช่าไม่กี่ก้าวก็หยุดฝีเท้า แล้วจีบนิ้วตรงหน้าอกพร้อมโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อนทำความเคารพ “พุทธะหน้าหยก”

อวี้หลัวช่ายังคงนิ่งเฉย แววตาลำล้ำ น้ำเสียงชัดใส “เสวี่ยอวี้ เม่ยจีอาจจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง สืบได้ข่าวอะไรจริงหรือ”

สตรีวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าเสวี่ยอวี้พลันเงยหน้า แล้วถามอย่างทำใจเชื่อได้ยากว่า “หรือว่าจะมีอยู่จริงๆ?”

อวี้หลัวช่ากล่าวอย่างลังเล “ไม่รู้สิ ตอนมารดายังมีชีวิตอยู่ ก็เคยบอกไว้ว่ามีพระชั้นสูงร่วมสำนักผู้หนึ่งที่ทนระบำมารสวรรค์ของนางไม่ไหว จึงหลุดปากพูดในขณะที่เคลิบเคลิ้ม หลังจากนั้นเมื่อได้สติแล้วก็พูดมั่วไปหมด จะจริงหรือไม่มารดาก็ยืนยันไม่ได้ ทว่าพฤติกรรมของพระปีศาจหนานโปในตอนหลังก็เหมือนกำลังค้นหาบางอย่างจริงๆ ต่อมาข้าก็เคยทดลองหาเช่นกัน แต่ก็ไม่พบเบาะแสใดๆ”

…………………………

สาเหตุที่เสียเวลาอยู่อย่างนี้ตลอดทาง ก็เพราะจะถือโอกาสจัดการธุระและให้เวลาคนในแดนอเวจีเตรียมตัว พอเขาไปถึงแดนอเวจี ทุกอย่างก็ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยพอดี

หลังจากพูดคุยกับจินม่านและพวกบุคคลระดับสูงของหกลัทธิ พวกเขาก็เหาะออกจากดาวอู๋เลี่ยงพร้อมกัน ไปยังดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ

พวกเขาเหยียบลงบนหน้าผาแห่งหนึ่งแล้วมองลงไป ตรงตีนเขามีทัพใหญ่หนึ่งล้านมารวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว ดูมีพลังอำนาจมาก

เหมียวอี้เอียงหน้ามองหยางชิ่งแวบหนึ่ง หยางชิ่งพยักหน้าเบาๆ บอกเป็นนัยให้เขาวางใจ เรื่องนี้ไม่มีปัญหา

เหมียวอี้หยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งยื่นให้หยางชิ่ง

หยางชิ่งจัดเตรียมของในกำไลเก็บสมบัติทันที แล้วเรียกให้คนของหกลัทธิมารับไปแจกจ่าย

ผ่าไปไม่นานก็เห็นทัพใหญ่หนึ่งล้านข้างล่างรีบร้อนเคลื่อนไหว ทั้งหมดเปลี่ยนใส่เครื่องแบบแล้ว

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม การเคลื่อนไหวก็หยุดแล้ว เกราะแดง เกราะม่วง เกราะทอง ทัพใหญ่หนึ่งล้านสวมเครื่องแบบทางการของตำหนักสวรรค์ทั้งหมด สะท้อนแสงระยิบระยับอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ บรรยากาศโหดเหี้ยมน่าเกรงขาม

สิ่งที่ทำให้คนบนหน้าผาหนังตากระตุกก็คือ ทุกคนในทัพใหญ่หนึ่งล้านล้วนถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ทำให้พวกเขาตาลุกวาว

“มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้อยู่ในมือ ต่อไปเมื่ออยู่ในแดนอเวจี กำลังพลฝ่ายโจรกบฎก็เลิกคิดว่าจะข่มเหงพวกเราได้ง่ายๆ เลย!” ลวี่เกอเอียงหน้าถ่ายทอดเสียงบอกจินม่าน

คำพูดนี้กล่าวไว้ไม่ผิด ถ้าพูดถึงกำลังพล พวกเขาเทียบตำหนักสวรรค์ไม่ติดจริงๆ แต่ถ้าเทียบศักยภาพของกำลังพล ฝั่งแดนอเวจีก็ไม่ได้มีศักยภาพด้อยกว่าตำหนักสวรรค์เลย ถึงขั้นเหนือกว่าด้วยซ้ำ กำลังพลในนี้ล้วนเป็นหัวกะทิของหกลัทธิที่เผชิญความเปลี่ยนแปลงและรอดชีวิตผ่านมาเป็นร้อยศึก แต่จนใจที่ในมือตำหนักสวรรค์มีอาวุธที่ได้เปรียบสำหรับโจมตีหมู่ พอประมือกันก็ถูกตำหนักสวรรค์กดดันโจมตีได้ง่ายมาก ถ้าไม่ใช่เพราะอาศัยความได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์ เกรงว่าคงถูกตำหนักสวรรค์ปราบสิ้นหมดแล้ว

ส่วนในตอนนี้มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้อยู่ในมือแล้ว ถ้าได้เผชิญกับทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์อีกครั้ง ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็เลิกฝันเลยว่าจะได้เปรียบอีก สองฝ่ายสามารถอาศัยกำลังที่แท้จริงปะทะกันตรงๆ ได้เลย

จินม่านชำเลืองมองแวบหนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ถ้าสามารถไม่เปิดฉากต่อสู้ ก็ต้องพยายามหลบเลี่ยงไว้ดีกว่า ผู้ช่วยใหญ่พูดไว้ไม่ผิด ถ้าให้โจรกบฏรู้ว่าในมือพวกเรามีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เยอะขนาดนี้ ก็เท่ากับพวกเขารู้แล้วว่าพวกเรามีช่องทางเข้าออกอีกทาง พวกเขาไม่มีทางนั่งดูพวกเราเฉยๆ แน่นอน แบบนั้นจะกดดันผู้มีอำนาจแต่ละฝ่ายของฝั่งโจรกบฏที่มีความแค้นร่วมกัน จะบีบให้ฝ่ายโจรกบฏรวบรวมกำลังทั้งหมดมาปราบพวกเรา ดังนั้น ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาโจมตีกลับ ยังต้องอดทนไว้”

ลวี่เกอกล่าวอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ว่า “ไม่รู้ว่าต้องทนไปถึงเมื่อไร ต่อให้พวกเราออกไปได้แล้ว แต่อาศัยกำลังอันน้อยนิดของพวกเราจะไปทำอะไรได้ โจรกบฏมีอำนาจตั้งนานแล้ว กลายเป็นยักษ์ใหญ่แล้ว พวกเราต้านทานไม่ไหว!” เรื่องบางเรื่องตัวเองรู้ดีอยู่แก่ใจ เพียงแต่ไม่กล้าบอกให้คนนอกรู้ก็เท่านั้นเอง

จินม่านจึงบอกว่า “ข้ามั่นใจว่าต้องมีวันนั้นแน่นอน เจ้าเองก็รู้ว่าคนคนนั้นรักผู้หญิงคนนั้นมากขนาดไหน มีหรือที่เขาจะปล่อยประมุขชิงกับประมุขพุทธะไป สักวันหนึ่งจะต้องไปคิดบัญชีนั้นกับพวกเขาแน่นอน”

ลวี่เกอถอนหายใจเบาๆ “ความสามารถของคนคนนั้นข้าไม่สงสัยหรอก แต่ถึงเขาจะมีฝีมือน่าทึ่ง ทว่าไม่มีอนาคตแล้ว ตอนนี้ประมุขชิงกับประมุขพุทธคุมใต้หล้า เกรงว่าจะพูดง่ายแต่ทำยาก!”

“ถ้าง่ายก็คงลงมือไปนานแล้วล่ะ ยังต้องรออีกเหรอ? ฐานลับของพวกเจ้าถูกโจมตีพร้อมกัน นั่นยังพิสูจน์ไม่ได้อีกเหรอว่าเขามีแผนสำรองที่ค่อนข้างมีพลัง? เจ้าลองดูตรงหน้านี้สิ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มากมายขนาดนี้ จะได้มาไว้ในมือง่ายๆ เหรอ? ทางเข้าออกใหม่ของแดนอเวจี…ดูจากเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนพวกเราหนีมาจนกระทั่งตอนนี้ ทุกสิ่งก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเรื่องราวกำลังก้าวหน้าตามดับ ทุกสิ่งได้พิสูจน์แล้วว่า ม่านเวทีฉากใหญ่ที่คนคนนั้นจะกลับมาอีกครั้งกำลังเปิดออกอย่างช้าๆ…ลวี่เกอ เจ้าคอยดูไปเถอะ ทุกสิ่งที่คนคนนั้นสูญเสียไปจะต้องกลับคืนมาแน่นอน ศึกใหญ่กวาดล้างใต้หล้าที่จะตัดสินว่าใครจะลอยใครจะจมจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน หลีกเลี่ยงไม่ได้หรอก บุญคุณความแค้นระหว่างเขากับประมุขชิงและประมุขพุทธะจะต้องจบลงโดยสิ้นเชิง สุดท้ายพวกเราจะหลุดออกจากแดนอเวจีไปเห็นแสงสว่างอีกครั้ง!” จินม่านกล่าว

ลวี่เกอยิ้มเบาๆ “เจ้ายังเชื่อใจเขาเต็มร้อยเหมือนเดิม…จินม่าน ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เจ้ายังชอบเขาอยู่อีกเหรอ?”

“มาพูดเรื่องนี้ยังจะมีความหมายอะไร? เขายินดีทรยศผู้หญิงทั้งใต้หล้า เพื่อรักเพียงผู้หญิงคนเดียว เขาสามารถทิ้งทั้งใต้หล้าได้เพื่อผู้หญิงคนนั้น ถามหน่อยว่านอกจากผู้หญิงคนนั้นแล้ว ใครจะยังจะอยู่ในสายตาเขาได้อีก?” จินม่านกล่าวเสียงเบาจนแทบจะกระซิบ แววตาที่ค่อนข้างเลื่อนลอยค่อยๆ กลับมาแจ่มชัด ชำเลืองมองหยางชิ่งที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ลวี่เกอ เจ้าก็รู้นี่ ตั้งแต่ตอนที่เขากดดันให้ประมุขปราชญ์ตาย เรื่องระหว่างข้ากับเขาก็เป็นไปไม่ได้แล้ว”

ลวี่เกอถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก ผู้ชายแบบนั้นมีผู้หญิงที่ไหนไม่ชอบบ้าง เพียงแต่ผู้หญิงบางคนก็กล้าหาญแสดงออกเพื่อแย่งชิง แต่ผู้หญิงบางคนรู้สึกต่ำต้อยจึงเก็บความรู้สึกนั้นฝังไว้ในใจตลอดกาล

จณะที่ผู้หญิงสองคนนี้แอบถ่ายทอดเสียงคุยกัน บางทีอาจะเป็นเพราะชายหญิงมีความแตกต่าง ตอนที่พวกเย่สิงคงได้เห็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านและเครื่องแบบตำหนักสวรรค์หนึ่งล้านเองกับตา พวกเขากลับมีความรู้สึกแตกต่างไป แต่ละคนเลือดเดือดพุ่งพล่าน อารมณ์ค่อนข้างฮึกเหิม

เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว กลุ่มคนที่อยู่บนหน้าผาก็มองไปทางเหมียวอี้ สายตาเหมียวอี้ย้ายกลับมา แล้วสุดท้ายก็กล่าวเสียงเรียบ “เตรียมตัวเดินทาง”

“รับทราบ!” ประมุขปราชญ์หกลัทธิทะยานขึ้นฟ้าจากข้างหลังเหมียวอี้ แล้วทยอยกันออกคำสั่ง ทัพใหญ่หนึ่งล้านตรงตีนเขากลายเป็นเหมือนกระแสน้ำหกสายไหลพร้อมกันทันที เหาะพุ่งขึ้นฟ้าราวกับมังกรบิน ทยอยเข้าไปในกำไลเก็บสมบัติในมือประมุขปราชญ์หกลัทธิ

ชั่วพริบตาเดียวนักรบหนึ่งล้านที่น่าเกรงขามก็หายไปแล้ว หกประมุขปราชญ์กลับมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วมอบกำไลเก็บสมบัติหกวงให้

เหมียวอี้โบกมือกวาดเก็บไว้ทั้งหมด จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง สะบัดแขนเสื้อพุ่งขึ้นฟ้าไป กลุ่มคนที่อยู่บนหน้าผากุมหมัดน้อมส่ง

แตกต่างจากอวิ๋นอ้าวเทียนและมู่ฝานจวิน วันนี้จีฮวน ฉางเหลยและซือถูเซี่ยวเหมือนจะเคารพเหมียวอี้เป็นพิเศษ เพราะทั้งสามล้วนได้เคล็ดวิชาฝึกตนภาคดินมาจากมือลูกสาวและลูกศิษย์ ทั้งสามรู้สึกผิดคาดนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าไม่ต้องเล่นตุกติกอะไรก็ได้รับเคล็ดวิชาภาคดินเช่นกัน รู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว สุดท้ายก็ได้แสดงบทบาทใหญ่มาก ทำให้พวกเขาเฝ้าคอยเคล็ดวิชาภาคฟ้าเป็นพิเศษ กำชับลูกสาวและลูกศิษย์อีกครั้งว่าให้เชื่อฟังสามี ให้พวกนางทำหน้าที่อนุภรรยาให้เต็มที่ ให้ปรนนิบัติเหมียวอี้ดีๆ

ยกตัวอย่างเช่นอวี้หนูเจียว นางบ่นกับซือถูเซี่ยวนิดหน่อย บอกว่าหลายปีมานี้เหมียวอี้เข้าใกล้นางน้อยมาก แม้แต่เจอหน้าก็เจอกันได้ยาก

ผลปรากฏว่าทำให้ซือถูเซี่ยวโมโหมาก ตำหนินางว่าไม่รู้ความ บอกประมาณว่าชายชาตรีมีหน้าที่อันยิ่งใหญ่ต้องรับผิดชอบ มีหรือที่จะพัวพันกับความรักหญิงชายทั้งวันทั้งคืน การที่อีกฝ่ายสามารถมอบเคล็ดวิชาภาคดินให้เจ้าได้ ก็แสดงว่าในใจเขามีเจ้า ถึงอย่างไรเขาก็ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ในฐานะที่เจ้าเป็นอนุภรรยา ก็สมควรจะให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวม อย่าทำนิสัยกระเง้ากระงอดเด็ดขาด

หยางชิ่งที่มองตามแอบทอดถอนใจ เขาได้รับมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคฟ้ามาแล้ว ตอนนี้น้ำใจอันใหญ่หลวงจากเหมียวอี้กลับสร้างแรงกดดันใหญ่หลวงให้เขา ทำให้ตอนพบหน้ากันเขาไม่สะดวกจะคัดคาดอะไรอีก ทำได้เพียงเคารพนอบน้อม พยายามทุ่มเทกายใจทำตามคำสั่งก็แล้วกัน!

“ผู้ช่วยใหญ่กลับมั้ย?” จินม่านเดินมาข้างกายเขาแล้วเอ่ยถาม

หยางชิ่งพยักหน้าเบาๆ

“ไปด้วยกัน!” จินม่านยื่นมือเชิญ

จากนั้นทั้งสองก็กุมหมัดคารวะทุกคน แล้วเหาะขึ้นฟ้าไปด้วยกัน

ขณะที่มองตามทั้งสองคนจากไป เย่สิงคงก็เอามือไขว้หลังแล้วกล่าวปนขำ “ช่วงนี้จินม่านสนิทกับเจ้าหยางชิ่งมากเลยนะ ได้ยินว่าชอบชมดอกไม้ชมพระจันทร์กับหยางชิ่งบ่อยๆ พวกเจ้าว่านางชอบหยางชิ่งแล้วรึเปล่า?”

คนอื่นๆ มองเหยียดเขาแวบหนึ่ง จ่างซุนจูที่สวมชุดขาวราวหิมะหัวเราะเบาๆ “จินม่านรสนิยมสูงจะตาย เอาความสง่างามเลิศล้ำของท่านนั้นมาเป็นมาตรฐาน ผู้ชายทั่วไปจะอยู่ในสายตานางเหรอ หยางชิ่งเหมือนจะแตกต่างกับคนคนนั้นเกินไป อยู่กันคนละระดับเลย”

หลีเซิงหัวเราะเสียงประหลาด แล้วบอกว่า “จ่างซุนจู เจ้าพูดถึงตัวเองเถอะน่า ลดนิสัยหลงตัวเองลงสักหน่อย ถ้าอยากจะนอนกับจินม่านคงไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก!”

จ่างซุนจูชี้ไปที่หลีเซิง “พูดจาภาษาคนไม่เป็นเหรอ สกปรกโสมม!”

“ฮ่าๆๆ!” พวกผู้ชายหัวเราะเสียงดัง

มู่ฝานจวินเหมือนจะไม่ชอบฟังคำพูดใส่ร้ายผู้หญิง นางปลีกตัวออกจากกลุ่มคน เหาะขึ้นฟ้าไปแล้ว…

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในโถงหลักของเรือนอิ๋งอู๋หม่าน พวกบ่าวไพร่ถอยออกไป ผู้การใหญ่จั่วเอ๋อร์มาแล้ว

ในโถงมีเพียงอิ๋งอู๋หม่าน อิ๋งหยางผู้เป็นลูกชาย แล้วก็จั่วเอ๋อร์

หลังจากทั้งสามทำความเคารพกัน อิ๋งอู๋หม่านก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านอาจั่ว เรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงเตรยมการไว้แล้วใช่มั้ย?”

“คุณชายใหญ่ช่างปราดเปรื่อง!” จั่วเอ๋อร์พยักหน้ายิ้ม แล้วมองอิ๋งหยาง “ไม่ทราบว่านายน้อยเชิญสหายไปมากเท่าไรแล้ว?”

อิ๋งหยางขมวดคิ้ว “ท่านย่าจั่ว เรื่องครั้งนี้มันแปลกๆ ก่อนหน้านี้มีคนของตระกูลโค่ว ตระกูลฮ่าว ตระกูลก่วงร่วมทางไปด้วยตลอด แต่ครั้งนี้ดันบอกว่าติดธุระกันหมดเลย มีแค่คนของตระกูลเซี่ยโห้วที่ตอบตกลงว่าจะไปด้วยกัน”

จั่วเอ๋อร์กับอิ๋งอู๋หม่านสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขาเหมือนจะไม่แปลกใจเลยสักนิด จั่วเอ๋อร์ถามว่า “นายน้อย ฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วมีคนร่วมเดินทางกี่คน?”

“เหมือนฝั่งพวกเรา พาไปด้วยหนึ่งพันคน” หลังจากอิ๋งหยางตอบแล้ว ก็พูดประเด็นก่อนหน้านี้อีก “ท่านย่าจั่ว ตระกูลโค่ว ตระกูลฮ่าวกับตระกูลก่วงไม่ไป พวกท่านไม่รู้สึกแปลกๆ เหรอ?”

สำหรับคำถามนี้ อิ๋งอู๋หม่านกับจั่วเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง เรื่องบางเรื่องคนนอกไม่รู้ชัด แต่ทั้งสองกัลรู้แจ่มแจ้ง เพราะโค่วหลิงซวีบอกตระกูลอื่นเอง ว่าหนิวโหย่วเต๋อสาบานว่าจะเอาชีวิตอิ๋งหยาง ครั้งนี้มีการออกล่าที่น้ำพุวังเวง อีกสามบ้านจึงเดาออกถึงจุดประสงค์ของตระกูลอิ๋งแล้ว สาเหตุที่ตระกูลเซี่ยโห้วตอบรับคำเชิญตามปกติ ก็เป็นเพราะไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกเท่านั้นเอง

จั่วเอ๋อร์หลบเลี่ยงที่จะตอบความจริง “ไม่ไปก็คือไม่ไป ไม่จำเป็นต้องสนใจ อย่างไรเสียเมื่อไปถึงแล้วท่านก็ต้องสลัดพวกเขาทิ้งไป ไม่อย่างนั้นการที่คนรวมตัวกันเยอะก็จะทำให้ดูน่าสงสัย จะทำให้ปลาติดเบ็ดได้ยาก”

หลังจากอิ๋งหยางพยักหน้ายอมรับ ก็ลองถามอีกว่า “ไม่รู้ว่าหนึ่งพันคนที่พาไปด้วยครั้งนี้มีพลังเป็นยังไง?” ถ้าจะให้ใช้กำลังปะทะเหมียวอี้จริงๆ เขาก็ขี้ขลาดอยู่บ้าง เพราะเขามีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งเท่านั้น ชื่อเสียงบนสนามรบของเหมียวอี้ก็รู้ๆ กันอยู่

อิ๋งอู๋หม่านขมวดคิ้ว รู้สึกไม่ค่อยพอใจกับความขี้ขลาดที่แสดงให้เห็นในคำพูดของลูกชาย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าจั่วเอ๋อร์ เพราะนี่คือคนที่ท่านพ่อเชื่อใจที่สุด บางครั้งถ้านางพูดอะไรส่งเดชต่อหน้าท่านพ่อแค่นิดเดียว ก็สามารถตัดสินชะตากรรมลูกหลานของตระกูลอิ๋งได้เลย

จั่วเอ๋อร์ยิ้มพร้อมตอบว่า “นายท่านไม่ต้องกังวล ทางเราส่งให้กำลังพลหนึ่งหมื่นไปสำรวจที่น้ำพุวังเวงล่วงหน้าแล้ว ป้องกันไม่ให้มีการดักซุ่มโจมตี และป้องกันไม่ให้มีคนแอบช่วยเจ้าโจรชั้นต่ำนั่นด้วย หนึ่งพันคนนี้มีไว้บังหน้าเท่านั้น เพราะยังซ่อนกำลังพลเอาไว้อีกสี่หมื่น โดยส่วนใหญ่เป็นนักพรตวรยุทธ์บงกชรุ้งขึ้นไป นอกจากนี้ยังมียอดฝีมือระดับบงกชกลายอีกห้าสิบคน มียอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์คอยปกป้องอยู่ข้างกายนายน้อยอีกสองคน ทัพตะวันออกยังรวบรวมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งหมื่นคันด้วย ขอเพียงเจ้าโจรชั้นต่ำนั้นโผล่มา ก็อย่าได้คิดจะหนีไปไหนเลย!”

กำลังพลห้าหมื่น นักพรตระดับบงกชกลายห้าสิบคน ระดับสำแดงฤทธิ์สองคน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งหมื่นคันเหรอ? อิ๋งอู๋หม่านได้ยินแล้วแอบตกใจ เพื่อที่จะรับมือกับหนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้กำลังมากขนาดนี้ สงสัยครั้งนี้จั่วเอ๋อร์จะควักเนื้อตัวเอง แต่คิดไปคิดมาก็พอเข้าใจได้ ผู้การใหญ่วางแผนจัดการหนิวโหย่วเต๋อล้มเหลวมาครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้ถ้าพลาดอีก เกรงว่าคงไม่มีทางแก้ตัวกับท่านพ่อปู่ได้ จะไม่ให้ป้องกันข้อผิดพลาดไม่ได้หรอก

อิ๋งหยางได้ยินแล้วยิ้มอย่างเบิกบาน วางใจเต็มที่แล้ว

…………………………

“ต้องให้ข้ารอพวกเจ้าเสร็จธุระกันก่อนรึเปล่า?”

ด้านนอกมีเสียงโกรธเกรี้ยวจนยั้งอารมณ์ไม่อยู่ของหวงฝู่ตวนหรงดังมา ในฐานะคนเป็นมารดา การที่สามารถที่สามารถทำเรื่องพิลึกถึงขั้นนี้ได้ คงที่อับอายจนทนไม่ไหวจริงๆ ก็คือนางต่างหาก

สองคนที่อยู่ในห้องโดยสารเรือลนลานอีกพักหนึ่ง รีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย

หลังจากออกมาแล้ว พอขึ้นมาบนตึกเรือแล้วเจอกันอีกครั้ง พวกเขาก็อึดอัดเก้อเขินมาก เหมียวอี้เดินอยู่ข้างหน้า หวงฝู่จวินโหรวหลบอยู่ข้างหลังอย่างอ่อนปวกเปียก

หวงฝู่ตวนหรงถลึงตาจ้องอย่างโมโหครู่หนึ่ง จากนั้นหันตัวไปเตะเปิดประตู แล้วเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าไป ต่อให้จะโมโหอย่างไร แต่ข้างนอกก็ไม่ใช่สถานที่คุยกัน

เหมียวอี้หันกลับไปส่งสายตาให้หวงฝู่จวินโหรวอีกครั้ง ราวกับกำลังถามว่า ไหนเจ้าบอกว่าแม่เจ้าจะมาพรุ่งนี้ไง?

หวงฝู่จวินโหรวตอบกลับด้วยสายตาที่สื่อว่า ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ

จะหลบก็หลบไม่พ้น สุดท้ายทั้งสองก็ทำได้เพียงแข็งใจเดินตามเข้าไป

เมื่อเห็นสุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นี้อีกครั้ง ปั้ง! หวงฝู่ตวนหรงที่นั่งลงข้างโต๊ะน้ำชาใช้ฝ่ามือตบโต๊ะ ชี้เสื้อผ้าของทั้งสองที่ยังสวมใส่ไม่เรียบร้อย พร้อมกล่าวอย่างโมโหว่า “พวกเจ้า…” พูดอะไรต่อไม่ไหวแล้ว ไม่รู้ว่าจะด่าอย่างไรดี จะบอกว่าพวกเขาทำผิดเหรอ? แต่นางอนุญาตไปแล้วนะ ในเมื่ออนุญาตไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างสุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่สุดท้ายก็ยังหาข้ออ้างได้ นางชี้หวงฝู่จวินโหรวพร้อมบอกว่า “เจ้าบอกไม่ใช่เหรอว่าเขาอยากจะเจอข้าเฉยๆ? เจ้าถ่อมาได้ยังไง? เจ้าบอกว่าเจอกันพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมเขามาวันนี้แล้วล่ะ?”

หวงฝู่จวินโหรวชี้เหมียวอี้อย่างอ่อนปวกเปียก “เขาบอกว่าเขาคิดถึงข้า ให้ข้ามาล่วงหน้าหนึ่งวัน”

อะไรนะ? เหมียวอี้ตะลึงค้าง มองนางอย่างงุนงงเล็กน้อย อย่าเล่นอย่างนี้สิ!

แต่แล้วอย่างไรล่ะ? เรื่องแบบนี้ชายหญิงสมัครใจยินยอม ไม่มีเหตุผลที่จะให้ผู้หญิงแบกรับไว้คนเดียว ชายชาตรีอย่างเขาทำได้เพียงยอมรับแล้ว ได้แต่ก้มหน้าเล็กน้อย

ดูผู้หญิงให้ดูมารดา เมื่อเห็นปฏิกิริยาของทั้งสอง ในหัวหวงฝู่ตวนหรงก็ใช้ความคิดเล็กน้อย พอจะเดาได้คร่าวๆ แล้วว่าเรื่องเป็นอย่างไร

เดาได้ก็ส่วนเดาได้ แต่ถ้าพูดคุยเรื่องนี้ต่อไปก็ไม่มีความหมาย หวงฝู่ตวนหรงชี้ทั้งสองพร้อมพยักหน้าพูดอย่างปวดใจ “ต่อให้พวกเจ้าจะหน้าด้านหน้าทนขนาดไหน แต่ก็ต้องพิจารณาถึงความปลอดภัยของตัวเองสักหน่อยสิ ถ้าให้คนนอกรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเจ้าสองคนเมื่อไร ต้องให้ข้าพูดซ้ำมั้ยว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง? ไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญ…”

ทั้งสองถูกด่ายับเยิน ถูกด่าจนเถียงไม่ออก ทำได้เพียงก้มหน้าฟัง

หลังจากระบายอารมณ์โกรธพอแล้ว สุดท้ายหวงฝู่ตวนหรงก็วกกลับมาพูดธุระหลัก ชำเลืองมองเหมียวอี้พร้อมแสยะยิ้ม “ข้าว่าไม่ต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้แล้วมั้ง? ผัดวันประกันพรุ่งไปก็เท่านั้น ว่ามาเถอะ นัดข้ามามีธุระอะไร?”

เหมียวอี้จัดการความรู้สึกตัวเองเล็กน้อย นำระฆังดาราสองอันที่ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองออกมา แล้ววางไว้บนโต๊ะน้าข้างหวงฝู่ตวนหรง

“หมายความว่ายังไง?” หวงฝู่ตวนหรงเหล่ตาถาม

“หวังว่าต่อไปนี้ผู้อาวุโสจะติดต่อกับข้ามากๆ หน่อย ผู้น้อยจะได้ไม่เดินผิดทาง” เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ไม่ใช่แค่หวงฝู่ตวนหรงที่หนังตากระตุก แม้แต่หวงฝู่จวินโหรวเองก็แอบตกใจ เข้าใจได้ไม่ยากว่าคำพูดเหมียวอี้หมายความว่าอย่างไร

ที่เหมียวอี้มาครั้งนี้ ก็เพราะอยากสร้างช่องทางการติดต่อลับๆ กับหวงฝู่ตวนหรง เนื่องจากหวงฝู่จวินโหรวรู้เรื่องสมาคมวีรชนอย่างจำกัด แต่หวงฝู่ตวนหรงนั้นต่างกัน ต่อให้นางจะไม่ใช่คนที่อยู่แกนกลาง แต่นางก็ใกล้ชิดกับคนที่อยู่แกนกลางของสมาคมวีรชน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เส้นสายที่ควรจะใช้ก็ยังต้องใช้ เขาต้องอาศัยหวงฝู่ตวนหรงเพื่อรู้ข้อมูลบางอย่างที่ไม่เป็นผลดีต่อเขา จะได้รับมือได้ทันเวลา

แต่สำหรับหวงฝู่ตวนหรงแล้ว การเปิดเผยความลับต่อคนนอกก็ไม่ต่างอะไรกับการทรยศตระกูลหวงฝู่

หวงฝู่ตวนหรงเริ่มใบหน้าตึงแข็งเล็กหน่อย นางตะคอกหวงฝู่จวินโหรว “เป็นผู้หญิงแต่งตัวไม่เรียบร้อย มีอย่างที่ไหน ยังไม่รีบไปจัดเสื้อผ้าอีก”

หวงฝู่จวินโหรวเข้าใจว่ามารดาต้องการให้ตัวเองหลบเลี่ยงไป นางจึงกัดฟันหันตัวเดินออกไปอย่างช้าๆ ก่อนจะออกไปก็ยังส่งสายตาเตือนเหมียวอี้ด้วย บอกใบ้ว่าอย่าทรยศนาง อย่าบอกว่านางเป็นคนเล่นตุกติกกับการนัดครั้งนี้…ต้องการให้ท่านขุนนางเหมียวแบกรับเรื่องไร้ยางอายนี้ไว้คนเดียว

พอร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดสำรวจภายนอก แน่ใจแล้วว่าลูกสาวไปแล้ว หวงฝู่ตวนหรงก็ลุกขึ้นยืน จ้องตาเหมียวอี้พร้อมถ่ายทอดเสียงบอกอย่างเย็นเยียบ “เจ้ากับโหรวโหรวเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ามีเจตนาแอบแฝงใช่มั้ย จุดประสงค์ของเจ้าก็คือสิ่งที่เจ้าพูดออกมาวันนี้ เจ้าหลอกใช้โหรวโหรวมาตลอด ใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ผู้จัดการใหญ่คิดมากไปแล้ว ในปีนั้นตอนที่ข้ากับจวินโหรวคบกัน ข้าคิดถึงเรื่องพวกนี้เสียทีไหนกันล่ะ แต่วันนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว ผู้จัดการใหญ่ก็รู้ว่าสถานการณ์ของข้าตอนนี้เป็นยังไง ข้าต้องการแรงสนับสนุนจากผู้จัดการใหญ่!”

หวงฝู่ตวนหรงจึงบอกว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะกำลังหลอกใช้โหรวโหรวหรือไม่ เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น ข้าไม่มีทางทรยศตระกูลเพื่อลูกสาวตัวเองหรอก…” เมื่อเห็นเหมียวอี้คิดจะโน้มน้าวอีก นางก็ยกมือตัดบท “ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เจ้าเองก็ไม่ต้องเอาเรื่องโหรวโหรวมาขู่ข้า เจ้าขู่ข้าไม่ได้หรอก ถ้าเรื่องนี้เปิดเผยออกไป ก็ไม่เป็นผลดีกับเจ้าเหมือนกัน ดังนั้นข้าไม่ตอบตกลงเรื่องนี้!”

เหมียวอี้เงียบแล้ว สงสัยตัวเองจะมองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อย ทำให้เขาคิดทบทวนตัวเองเช่นกัน ว่าเขามั่นใจในตัวเองเกินไปหรือเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าจะพูดอะไรแบบนี้กับหวงฝู่ตวนหรงตรงๆ ได้ ตัวเองมีสิทธิ์อะไรไปขอให้อีกฝ่ายทำอย่างนี้? ตระกูลหวงฝู่ต่างหากที่เป็นรากฐานให้พวกนางสองแม่ลูกตั้งตัว ไม่ใช่เขาเหมียวอี้ สำหรับพวกนางสองแม่ลูก เขาเอายังเอาตัวไม่รอดเลย แล้วจะให้อะไรพวกนางได้?

“ข้าวู่วามไปหน่อย” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วยื่นมือหวังจะเก็บระฆังดาราสองอันกลับมา

แต่หวงฝู่ตวนหรงยกมือห้าม แล้วชี้นิ้วลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองบนระฆังดาราสองอันนั้น เก็บไว้ที่ตัวเองหนึ่งอัน “ยังต้องติดต่อกันอยู่ ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรก็ติดต่อข้าโดยตรง อะไรที่ช่วยได้ข้าก็จะช่วย ส่วนโหรวโหรวน่ะ พยายามพบกันน้อยๆ หน่อย…สิ่งที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว ข้าส่งตรงนี้!” พูดแบบนี้เท่ากับไล่แล้ว

เหมียวอี้อยากจะขอให้นางช่วยสืบเรื่องที่อยู่ของน้องสาวเจียงอีอีสักหน่อย แต่ตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้ว เขาเก็บระฆังดาราอีกอันเอาไว้ สวมใส่หนังปลอมบนใบหน้า กุมหมัดคารวะหวงฝู่ตวนหรงแล้วหันตัวเดินออกไป พอออกจากประตูแล้วก็เหาะขึ้นฟ้าไปทันที

คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ตอนเหาะออกไปสะเทือนจนหวงฝู่จวินโหรววิ่งออกมา พอเห็นเหมียวอี้ไปโดยไม่ลานางสักคำ นางก็โมโหจนกระทืบเท้า แอบด่าว่าผู้ชายไม่จริงใจ

พอหันกลับมาก็เห็นมารดากำลังจ้องลงมาจากตึกเรือด้วยสายตาเย็นเยียบ นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคับแค้นใจ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอเหมียวอี้สักครั้ง ยังไม่ทันได้อยู่ด้วยกันให้หนำใจ ก็ถูกมารดาทำลายแผนการเสียแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน…

พอแยกจากหวงฝู่จวินโหรว เหมียวอี้ก็ไม่ได้กังวลว่าจะไม่มีผู้หญิงอยู่ด้วย

ในป่าภูเขาเขีนสชอุ่ม สองพี่น้องหลางหวนเดินอยู่ทางข้างซ้ายและขวา เดินทอดน่องพูดคุยยิ้มแย้มกับเขาอยู่ในป่าภูเขา สาวงามมาเป็นคู่ ดอกไม้หอมไม่โรยรา ชีวิตนี้จะหาได้สักกี่คน

บนทุ่งหญ้าที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ฝ่าอินที่ลดความโง่เขลาและมีความรู้สึกขึ้นมาหลายส่วนกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหญ้าเขียวมรกตสูงเท่าเข่า ชุดกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์พลิ้วไหวตามสายลม มีเสน่ห์น่าประทับใจไปอีกแบบ ในดวงตาสงบอ่อนโยนที่กำลังทอดมองเส้นขอบฟ้าเผยให้เห็นการหลอมรวมระหว่างปัญญาและความผุดผ่องไร้ราคี

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินช้าๆ เข้ามาใกล้ จ้องใบหน้าด้านข้างอันงดงามของนางพักหนึ่ง พบว่าผู้หญิงคนนี้มีความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ในขณะที่อยู่ด้วยกัน เขารู้สึกว่านางไม่ใช่ผู้หญิงซื่อบื้อที่ทำให้เขาอยากหนีเหมือนในปีนั้นแล้ว อย่างไรเสียก็เข้าสู้ทางโลกมาหลายปี เข้าใจอารมณ์ฟุ้งซ่านของมนุษย์ปุถุชนหมดแล้ว

สายตาไปหยุดอยู่บนหน้าผากขาวบริสุทธิ์เกลี้ยงเกลาที่กำลังรับลมของนาง แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “กำลังคิดอะไรอยู่?”

ฝ่าอินเอียงหน้าสบตาเขา ในดวงตาฉายแววแห่งปัญญาบริสุทธิ์ นางมองไปตรงจุดไกลๆ อีกครั้ง แล้วตอบด้วยรอยยิ้มสุขุมเยือกเย็น “กำลังคิดว่าในอนาคตจะไปทางไหนดี”

เหมียวอี้จึงกล่าวกลั้วหัวเราะ “เข้าสู่ทางโลกมาหลายปีแล้ว ไม่เคยได้ยินเหรอว่าแต่งกับสนัขก็ตามสุนัข แต่งกับไก่ก็ตามไก่ ข้าอยู่ตรงนี้ ยังต้องคิดอีกเหรอว่าจะไปทางไหน?”

ฝ่าอินโค้งมุมากยิ้มบางๆ ยิ้มพลางส่ายหน้าเบาๆ ท่าทางเหมือนไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

เหมียวอี้ยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งมาตรงหน้านาง บอกใบ้ให้รับไป

“อะไรเหรอ?” ฝ่าอินรับไว้แล้วเอ่ยถาม

“ของขวัญ หฤทัยสูตรสุขาวดีภาคดิน ชอบหรือเปล่า?”

“ขอบคุณ”

จันทร์กระจ่างฟ้าดาราเลือนราง บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ชายหญิงนั่งด้วยกันอยู่ริมหน้าผา

อวี้หนูเจียวหนุนศีรษะบนบ่าเหมียวอี้ ร่างกายแอบอิงอยู่บนตัวเหมียวอี้ครึ่งหนึ่งขณะที่มองดวงดาว เมื่อเห็นแผ่นหยกยื่นมาตรงหน้า จึงเอ่ยถามเหมือนกับฝ่าอินก่อนหน้านี้ “อะไรเหรอ?”

“ของขวัญที่มอบให้เจ้า เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางภาคดิน” เหมียวอี้ตอบอย่างสงบใจเย็น

ในกระท่อมตรงตีนเขา จีเหม่ยลี่นั่งยองๆ อยู่หน้าโต๊ะยาว สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ยกแขนเสื้อและวางมือต้มน้ำชาอย่างไม่ทุกข์ร้อน สงบนิ่งมาก

เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามนำแผ่นหยกออกมา แล้วผลักไปตรงหน้านาง “มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจภาคดิน”

สายตานางหยุดชะงักแผ่นหยก ในขณะที่รินน้ำชาใส่ถ้วย ก็ลองถามว่า “ข้ามอบให้ท่านพ่อได้หรือเปล่า?”

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “เดิมทีก็เป็นของขวัญที่มอบให้เจ้าอยู่แล้ว มันกลายเป็นของเจ้าแล้ว เจ้าอยากจะมอบให้ใครก็ได้” ตอบเสร็จก็จิบน้ำชา

หกเคล็ดวิชาพิเศษภาคดินนี้ เดิมทีเขาเตรียมจะส่งไปให้พวกจีฮวนที่แดนอเวจี ทว่าอวิ๋นจือชิวกลับยื่นมือเข้ามาแทรก นางไม่ได้ห้ามไม่ให้ส่งให้พวกจีฮวน แต่ให้เขานำของพวกนี้มอบเป็นของขวัญให้พวกจีเหม่ยลี่แทน ให้พวกอนุภรรยาตัดสินใจเอง ถึงแม้สุดท้ายจะตกอยู่ในมือพวกจีฮวนเหมือนเดิม แต่สำหรับบรรดาอนุภรรยาแล้ว ความหมายก็จะแตกต่างกันมาก

เหตุผลของอวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย การนำหกเคล็ดวิชาพิเศษมาเป็นของขวัญ เดิมทีก็เป็นของขวัญล้ำค่าอยู่แล้วไม่ง่ายเลยกว่าเจ้าจะได้เจอพวกนาง ควรจะให้ของขวัญล้ำค่าสักหน่อย ถ้าพวกนางเป็นคนมอบของขวัญนี้ให้ตระกูลและอาจารย์ ความหมายก็จะไม่ธรรมดาแล้ว อย่างน้อยก็ทำให้พวกนางรู้ว่าการแต่งงานกับเหมียวอี้ไม่ได้สูญเปล่า ประการต่อมา ยังช่วยยกระดับฐานะของพวกนางในตระกูลและสำนักได้ด้วย ถ้าตาแก่พวกนั้นเฝ้ารอเคล็ดวิชาภาคฟ้า ก็จะต้องให้การสนับสนุนพวกนางมากกว่าเดิมแน่นอน และจะทำให้พวกนางเข้าใจด้วย ว่าการที่เจ้าไม่ได้มาพบพวกนางบ่อยๆ นั้นมีเหตุผล ถ้ามัวมาออเซาะตัวติดกันทั้งวัน แล้วจะไปหาหกเคล็ดวิชาพิเศษล่ะ

หลักการบางอย่างไม่จำเป้นต้องอธิบายเยอะ เหมียวอี้ก็ไม่ใช่คนโง่ ชี้แนะนิดหน่อยก็พอ เพียงแต่เขาไม่ได้เป็นผู้หญิงเหมือนอวิ๋นจือชิว จึงไม่ได้คิดละเอียดถี่ถ้วนขนาดนั้น เดิมทีเขาเตรียมจะส่งให้ทั้งสองฝ่าย ไม่มีทางปฏิบัติต่ออนุภรรยาให้เสียเปรียบ แต่พอคิดไปคิดมา ก็เพราะว่าสิ่งวิ๋นจือชิวพูดมีเหตุผลจริงๆ ถึงได้เชื่อฟังคำแนะนำ แค่ส่งให้พวกจีเหม่ยลี่ก็พอแล้ว ให้พวกนางไปส่งต่อให้จะเหมาะสมที่สุด

ถึงแม้จะรู้ว่านี่คือของขวัญล้ำค่ามาก แต่จีเหม่ยลี่ก็ไม่มีแม้แต่ ‘ขอบคุณ’ สักคำ เพียงเก็บแผ่นหยกไว้เงียบๆ

เมื่อดื่มน้ำชาหมด จีเหม่ยลี่ก็ช่วยรินน้ำชาให้อีก แต่เหมียวอี้โบกมือ แล้วลุกขึ้นบอกว่า “ข้ายังมีธุระ ต้องไปก่อน”

พอเดินไปถึงประตูแล้วหันกลับมา ก็เห็นจีเหม่ยลี่ยังนั่งอยู่ที่เดิม จึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยรอยยิ้มขื่นขม “ไม่ไปส่งข้าสักหน่อยเหรอ?”

ตอนนี้จีเหม่ยลี่ถึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมาส่ง

ตอนที่ทั้งสองเดินลงบันไดกระท่อม จู่ๆ จีเหม่ยลี่ก็บอกว่า “ได้ยินว่าสถานการณ์ของเจ้าไม่สู้ดีนัก ระวังตัวหน่อย”

เหมียวอี้สบตานางครู่หนึ่ง ก่อนจะขานรับ “อืม” แล้วบอกว่า “ไปแล้วนะ!” เสร็จแล้วก็สะบัดแขนเสื้อสองข้าง พุ่งขึ้นฟ้าไปแล้ว

บนท้องฟ้า เขาก้มหน้ามองคนที่กำลังเงยหน้ามองเขา ในใจแอบทอดถอนใจ นอกจากสองพี่น้องหลางหวน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้หญิงพวกนี้ก็ไม่รู้ว่ายิ่งเหินห่างมากขึ้นเรื่อยๆ หรือเปล่า สรุปก็คือยิ่งนับว่าพวกนางก็ยิ่งเงียบงันต่อเขามากขึ้น แทบจะหาเรื่องคุยกันไม่ได้เลย พวกนางทุกคนดูเงียบมาก ไม่ค่อยเอ่ยปากคุยอะไร

เหาะเดินทางอยู่ในดาราจักรตลอดทาง พวกอนุภรรยาที่ได้รับข่าวล้วนมารอตรงจุดนัดหมายล่วงหน้า เหมียวอี้อยู่กับพวกนางคนละสองวัน

สุดท้ายก็ไปเจอกับหลันโฮ่วและจางเทียนเซี่ยว การแต่งตัวที่ภูมิฐานเกินจริงของทั้งสองได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้ดูแลร้านค้าของลัทธิอู๋เลี่ยงที่ตลาดสวรรค์

นัดคุยกับทั้งสองได้สองชั่วยาม หลังจากบอกลาแล้ว เหมียวอี้ก็มุ่งตรงสู่แดนอเวจี

…………………………

ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านคัน…หยางชิ่งจิตใจปั่นป่วนทันที จบการติดต่อกับเหมียวอี้ในขณะที่กำลังเลอะเลือน

รอจนกระทั่งค่อยๆ ดึงสติกลับมาแล้ว เขาก็ส่ายหน้ายิ้มขมขื่นอยู่ในตึกศาลาไม่หยุด นึกถึงภาพตอนตัวเองเพิ่งได้ข่าวเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงแล้วลำบากลำบนเกลี้ยกล่อมเหมียวอี้ พอจะจำได้รางๆ ถึงสิ่งที่เหมียวอี้เคยบอกไว้ “ครั้งนี้ข้าต้องการใช้กำลังปะทะเพื่อทำลายพวกเขา เจ้าวางใจเถอะ ข้าอาจจะไม่ต้องลงมือเองก็ได้!”

ในตอนนั้นเขายังนึกว่าใช้กำลังปะทะหมายถึงการปล้นฆ่า หรือไม่ก็หายอดฝีมือมาเข่นฆ่ากัน แล้วก็สู้กันสุดชีวิต

วางแผนกันนานขนาดนี้ ที่แท้สิ่งที่เรียกว่าใช้กำลังปะทะก็หมายความอย่างนี้นี่เอง ไม่น่าเชื่อว่าจะรวบรวมทัพใหญ่จากแดนอเวจีไปล้อมปราบ ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะวางกับดักมั้ย ใช้ทัพใหญ่บดอัดเข้าไปเสียเลยก็สิ้นเรื่อง

ความเผด็จการดื้อรั้นนี้ทำให้เขาด่าไม่ถูกเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าใช้วิธีการแบบนี้สู้กับตระกูลอิ๋ง ล้อเล่นอะไรกัน!

เขาไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า เขารู้สึกรางๆ ว่าหลังจากกลับมาจากแดนสุขาวดี เหมียวอี้ก็เหมือนมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เหมือนจะมีความมั่นใจอะไรสักอย่างแล้ว ขนาดรู้อยู่แจ่มแจ้งว่าเผชิญสภาพแวดล้อมเลวร้ายขนาดนั้น แต่ก็ดันใช้วิธีการที่เรียบง่าย มุทะลุและตรงไปตรงมา เขาไม่รู้ว่าเหมียวอี้ประสบพบเจออะไรที่แดนสุขาวดี แต่เดาออกแล้วว่าต้องเจอกับเรื่องบางอย่างที่ทำให้จิตใจของเหมียวอี้เปลี่ยนไปแน่นอน

การกระทำของสำนักหลัวช่าทำให้เขาคิดไม่ตกมาตลอด เขาอดไม่ได้ที่จะนึกเชื่อมโยงกับสำนักหลัวช่า สภาพจิตใจที่เปลี่ยนแปลงของเหมียวอี้เกี่ยวข้องกับสำนักหลัวช่าหรือเปล่า?

ครุ่นคิดอยู่ตั้งนานแต่ก็คิดไม่ตก ถ้าเป็นเรื่องที่เหมียวอี้กำหนดทิศทางใหญ่ๆ ไว้แล้ว เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงได้เลย มีแต่ต้องปฏิบัติตาม ติดต่อคนของหกลัทธิมาประชุมกัน

ใช้เวลาไม่นาน คนตำแหน่งสำคัญของหกลัทธิก็มากันครบแล้ว รวมทั้งจินม่านและหกปราชญ์ด้วย

ประมุขขุนพลลัทธิมารเย่ซิงคง ประมุขขุนพลลัทธิเซียนจ่างซุนจู ประมุขขุนพลลัทธิปีศาจลวี่เกอ ประมุขขุนพลลัทธิพุทธซิงหลัว ประมุขขุนพลลัทธิผีหลีเซิง ประมุขขุนพลลัทธิอู๋เลี่ยงจินม่านกลายเป็นประมุขปราชญ์ไปแล้ว ส่วนประมุขขุนพลเดิมทีก็เป็นผู้ที่ถูกผลักดันให้มาควบคุมทุกคนอยู่แล้ว ตอนนี้จินม่านกลายเป็นประมุขปราชญ์ กลายเป็นผู้ที่ควบคุมลัทธิอู๋เลี่ยงอย่างเป็นทางการ ลัทธิอู๋เลี่ยงก็ไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งประมุขขุนพลอีกแล้ว

หยางชิ่งอธิบายถึงความคิดของเหมียวอี้อย่างตรงไปตรงมา อธิบายสถานการณ์ชัดเจน เพียงแต่ไม่ได้บอกว่าจะไปน้ำพุวังเวง และไม่ได้บอกว่าจะสู้กับใคร บอกเพียงว่าต้องออกจากแดนอเวจีไปทำศึก

เมื่อได้ยินว่าจะต้องออกไปข้างนอก บุคคลระดับสูงของหกลัทธิก็ฮือฮาทันที บางคนก็ตื่นเต้นจนตาลุกวาว บางคนก็ฮึกเหิมจนหน้าแดง อย่างไรเสียก็ถูกขังในแดนอเวจีมาหลายปีแล้ว หลายครั้งที่ฝันอยากจะออกไปข้างนอก นึกไม่ถึงว่าโอกาสจะมาอย่างกระทันหัน

หยางชิ่งชำเลืองมองปฏิกิริยาของทุกคน แล้วเอ่ยสิ่งที่ทำให้พวกเขาเหมือนถูกน้ำเย็นสาดดับฝัน “ยังต้องมีคนคุมอยู่ที่แดนอเวจีด้วย เรื่องเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องรบกวนแรงของพวกท่าน หลังจากออกไปแล้ว กำลังพลของหกลัทธิจะถูกส่งต่อให้ขุนพลใหญ่หกลัทธิที่ออกไปล่วงหน้าชั่วคราว หลังจากจบเรื่อง กำลังพลก็จะกลับมาทันที”

เหมียวอี้สามารถโยนงานได้ สามารถไม่รับผิดชอบอะไรเหมือนฆ่าเสร็จแต่ไม่ฝังได้ แต่เขามิอาจไม่วางแผน ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้จะเก็บหยางชิ่งไว้ทำประโยชน์อะไร?

ประมุขขุนพลเย่ซิงคงแห่งลัทธิมารเลิกคิ้ว ทำเสียงฮึดฮัดแล้วถามว่า “หรือว่าไม่เชื่อมั่นในตัวพวกเรา?”

กลุ่มคนนั่งอยู่สองฝั่ง หยางชิ่งยืนอยู่กลางตำหนักใหญ่ หันตัวช้าๆ มองไปนอกประตู แล้วกล่าวด้วยสายตาสงบนิ่ง “ถ้าอยากให้คนอื่นเชื่อมั่น อันดับแรกตัวเองก็ต้องแสดงท่าทีให้คนอื่นเชื่อมั่น! คำพูดไร้สาระ พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าเลือกพูดแต่สิ่งสำคัญ ราชาปราชญ์บอกแล้ว ว่าหลังจากจบเรื่อง หกลัทธิจะได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ฝ่ายละห้าแสนคัน” พูดจบก็กวาดสายตามองกลุ่มคนที่กำลังตกตะลึง “ราชาปราชญ์ใจกว้างพอมั้ยล่ะ?”

คนทีเหลือมองหน้ากันเลิกลั่ก ฝ่ายละห้าแสนคัน หกลัทธิก็เป็นสามล้านคัน กำลังพลเดิมของหกลัทธิในแดนอเวจีมีทั้งหมดแปดล้านกว่า หลังจากจบเรื่องแล้ว ก็เท่ากับว่าคนเกือบครึ่งจะมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว แบบนี้ก็แทบจะใกล้เคียงกับอาวุธของกองทัพองครักษ์ฝ่ายโจรกบฏแล้ว

ตอนแรกตื่นเต้นดีใจ จากนั้นก็เหมือนถูกสาดน้ำเย็นดับฝัน แล้วตอนนี้ก็ถูกผลประโยชน์ก้อนใหญ่หล่นทับอีก ทุกคนกลับสู่ความสงบเยือกเย็นเย็นเร็วมาก ไม่เพ้อฝันเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีก ทุกคนตกอยู่ในความเงียบแล้ว

หยางชิ่งไม่ได้พูดะอะไรมากอีก เพียงสังเกตปฏิกิริยาของทุกคนเงียบๆ ผลลัพธ์ก็สามารถคาดเดาได้ เรียบง่ายมาก ทำอย่างไรมีประโยชน์ต่อพวกเขา ทำอย่างไรไม่มีประโยชน์ต่อพวกเขา คนพวกนี้ไม่ถึงขั้นตัดสินพิจารณาเองไม่ได้

“พาคนออกไปนั้นง่าย แต่จะพาคนกลับมายังไง พวกเราคงต้องปรึกษากันให้ดีสักหน่อย” จ่างซุนจูกล่าวอย่างลังเล

หลีเซิงพยักหน้าเงียบๆ “จะให้คนที่ออกไปข้างนอกพกแผนที่ดาวไม่ได้ ส่วนมาตรการกำกับดูแล ก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนไปขอพึ่งพิงฝ่ายโจรกบฏ อยู่ที่แดนอเวจีมาหลายปี พวกเราเราชำนาญเรื่องนี้นานแล้ว…”

ประเด็นสนทนาเปลี่ยนทันที คนกลุ่มนี้เริ่มถกเถียงเถียงกันเสียงดังวุ่นวาย

หยางชิ่งไม่พูดสอดแทรก แต่แอบถอนหายใจยาว ทัพใหญ่หนึ่งล้านของหกลัทธิหมายความว่าอะไรล่ะ? ล้วนเป็นคนที่สู้สุดชีวิตจนรอดพ้นเคราะห์ใหญ่ในปีนั้นมา ทั้งยังรอดชีวิตจากการกวาดล้างของตำหนักสวรรค์มาหลายครั้ง กอปรกับมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้วด้วย ถ้าพวกเขาบ้าระห่ำขึ้นมา ก็จะเกิดฉากคลุ้งคาวเลือดแน่นอน

หยางชิ่งรู้สึกว่านำคนออกไปแค่แสนเดียวก็พอแล้ว เพราะต่อให้ตระกูลอิ๋งจะวางกับดักอย่างไร แต่ก็ไม่มีทางวางกับดักใหญ่โตเพื่อเหมียวอี้ที่ต่ำต้อยคนเดียว อย่างมากก็แค่ใช้ยอดฝีมือเยอะหน่อยเพื่อป้องกันความผิดพลาด แต่เหมียวอี้ต้องการระดมทัพใหญ่หนึ่งล้าน สงสัยคิดจะสังหารคนที่วางกับดักให้สิ้นซากจริงๆ เจ้าเวรนั่นบ้าไปแล้ว!

“นายท่าน…”

ในโรงเตี๊ยม หรูเสวี่ยที่เปิดประตูออกมาต้อนรับเพิ่งจะกล่าวทักทาย สวีถังหรานที่เพิ่งเข้ามาก็อุดปากนางทันที โถมทับลงบนเตียงแล้วถอดเสื้อผ้าทำงานเสียเลย

นายท่านสวีคนนี้รู้เรื่องราวเบื้องลึกแล้ว รู้ว่าในไม่ช้าก็เร็วทั้งสองจะต้องฉีกหน้ากัน จึงเกิดความคิดแบบคนต่ำทราม อยากจะฉวยโอกาสนี้หาความสำราญให้ได้ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

หลังจากเมฆสลายฝนสงบ จนกระทั่งทำอะไรไม่ไหวแล้ว สวีถังหรานถึงได้หยุด พยายามทำตัวกระปรี้กระเปร่า ทำท่าราวกับว่าเห็นหรูเสวี่ยเป็นดั่งยอดดวงใจ

หรูเสวี่ยแอบอิงพลางบ่นว่า “นายท่านทิ้งข้าไว้หลายวันแล้วนะ”

“ก็ข้ามีงานต้องทำไงล่ะ จะวิ่งมาที่นี่ทุกวันได้ยังไง” สวีถังหรานกล่าวกลั้วหัวเราะ

“ข้ากับนายท่านล้วนอยู่ที่ตลาดผี ใช้เวลาเดินทางไม่เท่าไหร่เอง งานยุ่งอะไรนักหนาคะ?” หรูเสวี่ยถาม

สวีถังหรานตบแผ่นหลังนางเบาๆ แล้วถลึงตาบอกว่า “อย่าถามสิ่งที่ไม่ควรถามสิ”

หรูเสวี่ยกล่าวอย่างน้อยใจทันที “ข้าผิดเองค่ะ ข้าก็เป็นแค่ผู้หญิงจากหอนางโลมคนหนึ่ง ไม่ควรพูดมาก”

มารดาเจ้าเถอะ! ถ้าไม่ได้เสแสร้งแล้วจะตายหรือไง? สวีถังหรานด่าแม่ในใจ แต่ปากกลับพูดจาหวานหู ปะเหลาะนางว่า “ไม่ปากมากหรอก ไม่ปากมาก ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก ท่านแม่ทัพภาคกำลังเก็บตัวฝึกวิชา ข้ากับหยางเจาชิงย่อมต้องรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยแม่ทัพภาคอยู่แล้ว จะออกมาข้างนอกบ่อยๆ ได้ยังไง…”

หรูเสวี่ยหาที่ซุกหน้าอยู่ตรงหน้าอกเขาตั้งใจฟัง…

ยอดเขาโอนเอน บนปากปล่องภูเขาไฟหลายลูกมีควันดำพุ่งขึ้นฟ้าเรากับเสา

ระหว่างหุบเขาที่แคบและมืดครึ้มลูกหนึ่ง เยี่ยนเป่ยหงกับเหยียนซิวกำลังยืนอยู่ด้วยกัน กำลังเบิกตากว้างจ้องมอง ‘เหยียนซิว’ ที่ยืนอยู่ตรงข้าม

เยี่ยนเป่ยหงมองดูเหยียนซิวที่อยู่ข้างกาย แล้วก็มองคนที่อยู่ตรงกันข้ามอีก รู้สึกงงงวย นึกไม่ถึงว่าคนที่เหมียวอี้สั่งให้มาเจอจะมีสภาพเป็นแบบนี้ นอกจากลักษณะท่าทางที่ต่างกัน หน้าตาก็เหมือนกันมากจริงๆ มองไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายกำลังปลอมตัว นี่เรื่องจริงหรือล้อเล่น?

“เจ้ามีพี่น้องฝาแฝดด้วยเหรอ?” เยี่ยนเป่ยหงอดไม่ได้ที่จะเอียงหน้าถาม

เหยียนซิวเหลืแบมองเขาแวบหนึ่ง แววตาเหมือนเลื่อนลอยไร้ความรู้สึก

เยี่ยนเป่ยหงย่อมเอามือตบหน้าผากเพราเข้าใจอย่างฉับพลัน เขานึกออกแลว ก่อนหน้านี้เหยียนซิวไม่ได้หน้าตาอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ที่พี่น้องฝาแฝดจะเติบโตพร้อมกันอย่างนี้ เขาจึงตะโกนถาม ‘เหยียนซิว’ “เจ้าเป็นใคร?”

เหยียนซิวตัวปลอมแสยะยิ้มเหยีดหยาม “ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เจ้านี่เอง”

“เจ้ารู้จักข้าเหรอ?” เยี่ยนเป่ยหงแปลกใจ

“พอแผลหายแล้วลืมความเจ็บปวดเหรอ ตอนแรกนับว่าเจ้าดวงแข็งนะ!” เสียงของเหยียนซิวพลันเปลี่ยนเป็นเสียงผู้หญิง ขณะเดียวกันร่างกายก็เลื้อยขยุกขยิก ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นร่างเดิมของไป๋เฟิ่งหวงแล้ว

เยี่ยนเป่ยหงเบิกตากว้างพลางตะคอกอย่างโมโห “เป็นเจ้าเองเหรอ!” ตอนแรกเขาถูกไป๋เฟิ่งหวงทำร้ายจนสาหัสมาก มีหรือที่จะลืมได้

“ทำไมล่ะ? ยังคิดจะลงมือกับข้าอีกเหรอ?” ไป๋เฟิ่งหวงดูถูก

ชวิ้ง! เยี่ยนเป่ยหงพลันพลิกมือถือดาบ แม้จะรู้ถึงวรยุทธ์ของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน แต่นึกไม่ถึงว่ายังคิดจะพุ่งเข้าไปสู้กัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกล้าหาญ หรือมีความมั่นใจว่าจะสู้ไหว

โชคดีที่เหยียนซิวคว้าข้อมือเขาไว้ได้ทันเวลา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “อย่าทำงานนายท่านเสีย”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เยี่ยนเป่ยหงถึงได้เก็บดาบด้วยสีหน้าตึงแข็ง

ดาบโลหิต! ดาบนี้ก็คือดาบเดิบตอนใช้ที่พิภพเล็ก เหมียวอี้ช่วยขอจากอวิ๋นอ้าวเทียนมาให้เขา

ไป๋เฟิ่งหวงที่ตั้งตารอดูแสยะหัวเราะ แล้วกอดอกถามว่า “ใครล่ะ? คนไหนที่ไปกับข้า?”

เหยียนซิวเอียงหน้าบอกใบ้เยี่ยนเป่ยหง “เรื่องนี้เร่งด่วน”

ไป๋เฟิ่งหวงมองเยี่ยนเป่ยหงศีรษะจดเท้า นางเข้าใจแล้ว ว่าคนที่จะร่วมเดินทางกับนางครั้งนี้ก็คือเขา ร่างกายเลื้อยขยุกขยิก แปลงร่างเป็นเหยียนซิวอีกครั้ง หลังจากปลอมตัวอย่างง่ายๆ ก็สะบัดแขนเสื้อเหาะพุ่งขึ้นฟ้าไป

เยี่ยนเป่ยหงกระทืบเท้า แล้วพุ่งขึ้นฟ้าตามไป

ทั้งสองได้รับคำสั่งจากเหมียวอี้ ให้ไปสำรวจที่น้ำพุวังเวงล่วงหน้า

เหยียนซิวถลันตัวไปบนยอดเขา แล้วเงยหน้ามองตาม…

ส่วนตัวเหมียวอี้ก็ออกไปจากตลาดผีอย่างลับๆ แล้ว ไปยังแดนอเวจี

แต่กลับไม่ได้ไปถึงแดนอเวจีโดยตรง เพราะระหว่างทางแวะพักที่ดาวเคราะห์งดงามดวงหนึ่ง

ข้างเกาะหินแห่งหนึ่งที่โผล่อยู่อย่างโดดเดี่ยวเหนือผิวทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเรือสินค้าลำหนึ่งกำลังจอดเทียบฝั่ง

เหมียวอี้เหาะลงมาจากฟ้า เหยียบลงบนเรือลำนั้น ขณะกำลังจะร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจ จู่ๆ ประตูเรือก็เปิดออก เงาร่างงดงามที่สวมชุดกระโปรงสีม่วงปรากฏออกมา ใบหน้าที่คุ้นเคยนั่นก็คือหวงฝู่จวินโหรวนั่นเอง

“ทำไมเป็นเจ้าล่ะ?” เหมียวอี้งุนงง

เขาปลอมตัวอยู่ เดิมทีสายตาของหวงฝู่จวินโหรวยังฉายแววระแวงนิดหน่อย แต่พอได้ยินเสียงแล้วแน่ใจว่าเป็นเหมียวอี้ นางก็เบี่ยงตัวเปิดประตูเรือออก แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมจะเป็นข้าไม่ได้ล่ะ? จะยืนโง่อยู่ทำไม ไม่เคยเห็นเหรอ? ยังไม่รีบเข้ามาอีก”

เหมียวอี้ขมวดคิ้วเดินเข้าไป แล้วถามต่อว่า “เจ้ามาได้ยังไง? แม้เจ้าล่ะ?”

เดิมทีเขาติดต่อหวงฝู่จวินโหรวให้ช่วยติดต่อมารดาให้ นัดกันแล้วว่าจะพบกันที่นี่ มีเรื่องจะปรึกษา ไม่เกี่ยวอะไรกับหวงฝู่จวินโหรว นางเป็นเพียงสะพานเชื่อมให้ติดต่อกันเท่านั้น

หวงฝู่จวินโหรวที่ปิดประตูเม้มปากยิ้ม “แม่ข้าไม่ได้มา”

เหมียวอี้พลันหันตัวมา แล้วถามเสียงเข้ม “ล้อเล่นอะไรกัน? เจ้าบอกว่าช่วยนัดให้ข้าแล้วไม่ใช่เหรอ?”

หวงฝู่จวินโหรวเดินเข้าไปประชิดทีละก้าว พร้อมกล่าวด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “นัดไว้แล้ว แต่ข้าบอกแม่ข้าว่าให้เจอกันพรุ่งนี้ ข้าช่วยเลื่อนเวลาให้เจ้าหนึ่งวัน”

เหมียวอี้อึ้งมาก แล้วตำหนิอย่างโมโห “ทำเป็นเล่นไป ข้ามีธุระสำคัญ”

“ไม่มีเวลาอยู่กับข้าสักวันเชียวเหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวแกล้งโกรธ

เมื่อเห็นนางเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็ยิ้มเจื่อน “ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น…”

ยังไม่ทันพูดจบ หวงฝู่จวินโหรวก็กางแขนโผเข้ามาแล้ว ยังเร่าร้อนดั่งไฟเหมือนเดิม ตอนหลังท่านขุนนางเหมียวพูดอะไรไม่ออกแล้ว…

ในห้องโดยสารเรือกำลังฟาดฟันกันอย่างดุเดือด จู่ๆ เงาคนคนหนึ่งก็เหาะลงมาจากฟ้า สตรีวัยกลางคนหน้านิ่งเหยียบลงบนเรือ นางหันขวับมองไปทางตึกเรือที่มีความเคลื่อนไหวรุนแรง แล้วถลันตัวเข้าไป

คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ค่อนข้างชัดเจน สองคนที่อยู่ในห้องโดยสารเรือตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

ปั้ง! ประตูเรือสะเทือนเปิดออก สองคนที่อยู่บนเตียงรีบดึงผ้าห่มมาบังร่างกายตัวเอง เหมียวอี้ถามอย่างโมโหว่า “ใครกัน?”

หวงฝู่จวินโหรวที่ผมยุ่งสยายเห็นรูปร่างของสตรีวัยกลางคนปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นใคร เป็นหวงฝู่ตวนหรงมารดาของนางนั่นเอง สองแม่ลูกคุ้นเคยกันดีเกินไป แม่นางแค่ปลอมแปลงใบหน้าเท่านั้นเอง นางรีบดึงแขนเหมียวอี้ที่อยู่ใต้ผ้าห่ม แล้วกล่าวเสียงต่ำอย่างอับอาย “แม่ข้าเอง”

หวงฝู่ตวนหรงก็ตกใจเช่นกัน นางแค่ทำไปเพื่อความปลอดภัย จะมาสำรวจสภาพแวดล้อมล่วงหน้าหนึ่งวัน นึกไม่ถึงว่า…จะจับสุขับตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นี้ได้คาหนังคาเขาอีกแล้ว นางฉีกหนังปลอมบนใบหน้าออก แล้วชี้ทั้งสองคน นางพูดไม่ออกแล้วจริงๆ ทนดูต่อไปไม่ได้ด้วย รีบหันหน้าแล้วหนีออกมา

เหมียวอี้ก็ครองสติไม่อยู่แล้วเช่นกัน อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน โดนจับได้อีกแล้ว จะให้เขาทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร!

…………………………

“ฝึกฌานเสพสังวาส…” สวีถังหรานอึ้งนิดหน่อย แล้วจู่ๆ ก็ถามอย่างตกใจ “อย่าบอกนะว่านางคือคนของสำนักหลัวช่าแดนพุทธ?”

เหมียวอี้หันตัวมา มองเขาศีรษะจดเท้า พบว่าเจ้าหมอนี่…อย่าไปมองแค่ว่าการปฏิบัติตัวแย่ เพราะมีเรื่องที่รู้เยอะมาก คุยเรื่องฟ้าก็รู้ คุยเรื่องดินก็รู้ ไม่ว่าจะคุยเรื่องในด้านไหนก็ตามเจ้าทันทุกเรื่อง

สวีถังหรานถามเสริมอย่างกระจ่างอีกว่า “อย่าบอกนะว่าระบำนั้นคือระบำมารสวรรค์?”

เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่า ‘เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ’

สวีถังหรานเข้าใจแล้ว กล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เอ่อ…สำนักหลัวช่านี่ช่างเป็นของแปลกของแดนพุทธจริงๆ”

“กลุ่มคนที่บอกว่ารูปคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าก็คือรูป ตายแล้วก็ยังบอกว่าเป็นได้ เป็นอยู่ก็บอกว่าตายได้ สรุปก็คือไม่ว่าจะพูดอะไรก็กลายเป็นว่าพวกเขามีเหตุผลเสมอ แดนพุทธมีของแปลกอะไรอย่างนั้นที่ไหนกัน ก็แค่ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกันไม่ใช่เหรอ?” เหมียวอี้แสยะยิ้มเหยียดหยาม

สำหรับในจุดนี้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้ง สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร เป็นเพราะในบ้านเขาก็มีเจ้าศีลแปดอยู่คนหนึ่งเหมือนกัน เจ้ารองอาศัยว่าตัวเองเป็นคนออกบวช ไม่ว่าตัวเองทำอะไรก็จะอ้างเหตุผลได้เสมอ เมื่อไม่มีเหตุผลให้อ้างแล้วจริงๆ เมื่อพิสูจน์ได้แล้วว่าเรื่องบางเรื่องคนออกบวชไม่สมควรทำ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องกามารมณ์ ศีลแปดก็จะบอกว่า ‘สรรพสิ่งล้วนเท่าเทียม’ บอกให้เจ้าไม่ต้องมองเขาเป็นนักบวชก็สิ้นเรื่องแล้ว การเป็นศิษย์สำนักพุทธนี่ช่างน่าอิจฉาจริงๆ

เมื่อสวีถังหรานได้ยินแบบนี้ ก็ทำท่าตกตะลึงพรึงเพริด แล้วประจบสอพลอว่า “นายท่านมีความคิดอ่านสูงส่ง พูดประโยคเดียวตรงจุด เป็นข้าน้อยเองที่หลงผิดคิดเป็นจริงเป็นจัง”

หยางเจาชิงเอียงหน้ามองด้านข้างอย่างพูดไม่ออก

เหมียวอี้คุ้นชินกับการประจบสอพลอของเจ้าเวรนี่แล้ว

“นายท่าน ขั้นต่อไปควรจะทำยังไง?” สวีถังหรานถามอีก

เหมียวอี้โบกมือ บอกใบ้ให้เขาออกไปก่อน “ข้าค่อยคิดอีกที”

รอจนกระทั่งสวีถังหรานถอยออกไปอย่างมีมารยาท เหมียวอี้ก็เอียงหน้ามองหยางเจาชิง “บอกผลลัพธ์ให้หยางชิ่งรู้เถอะ ดูว่าเขาจะพูดยังไง”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่ง รายงานผลลัพธ์ให้รู้ และคิดจะถามเขาว่าแผนขั้นต่อไปคืออะไร

แต่ใครจะคิดว่าหยางชิ่งกลับไม่พูดอะไรมากอีก หยุดติดต่อกับหยางเจาชิง แล้วติดต่อหาเหมียวอี้โดยตรง เป็นฝ่ายบอกเรื่องให้ครั้งนี้เอง

บางทีอาจจะเป็นเพราะทั้งสองฝ่ายรู้แล้วว่าต่างฝ่ายต่างรู้ สาเหตุที่ก่อนหน้านี้เหมียวอี้อดใจไม่ถาม เพราะนอกจากจะไม่อยากทำให้หยางเจาชิงอึดอัด อีกสาเหตุก็เพราะตอนนี้มอบอำนาจให้หยางชิ่งเยอะมาก เขาต้องการแสดงให้หยางชิ่งเห็นว่าเชื่อใจ

ส่วนหยางชิ่งก็เข้าใจบทบาทของหยางเจาชิงยามอยู่ข้างกายเหมียวอี้ดีมาก รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่หยางเจาชิงจะทำเรื่องนี้ลับหลังเหมียวอี้ จะต้องบอกเหมียวอี้แน่นอน สาเหตุที่เขาทำมากพิธีรีตองขนาดนี้ ก็เป็นเพราะอยากจะแสดงท่าทีให้ชัดเจน ว่าไม่สนับสนุนให้ทำอย่างนี้

ผลก็คือหยางชิ่งรู้สึกผิดคาดนิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะอดใจไม่ถามเขาได้ ยังให้หยางเจาชิงปฏิบัติตามเดิม ทำให้หยางชิ่งต้องแอบสะท้อนใจ แม้เหมียวอี้จะมีจุดบกพร่องมากมาย แต่สุดท้ายก็ยังก้าวหน้าอย่างช้าๆ เรื่องบางเรื่องยิ่งนับวันก็ยิ่งข่มอารมณ์เก่ง เริ่มมีลักษณะของแม่ทัพใหญ่ ไม่รู้ว่าจะมีวันที่ใจกว้างดุจจักรวาลหรือเปล่า!

ในเมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เหมียวอี้ก็ย่อมถามถึงสิ่งที่ตัวเองสงสัย : เจ้ารู้ได้ยังไงว่าให้สวีถังหรานไปหอนางโลมแล้วจะตกคนของสำนักหลัวช่าได้? แค่เพราะเจ้าได้ยินจากปากจินม่านว่าข้าเคยถามเรื่องระบำมารสวรรค์น่ะเหรอ?

หยางชิ่ง : ข้าน้อยรู้มาจากหยางเจาชิงว่าคนของสำนักหลัวช่ากำลังแอบจับตาดูนายท่าน

เหมียวอี้ : แค่สองอย่างนี้ เจ้าก็เดาออกแล้วเหรอว่าสวีถังหรานสามารถตกคนของสำนักหลัวช่าได้?

หยางชิ่ง : จะเรียกอย่างนั้นก็ไม่ได้ ตอนแรกข้าน้อยก็แค่สงสัยนิดหน่อย ไม่อาจยืนยัน ถึงต้องทดสอบก่อน เป็นฝ่ายเตรียมปัจจัยที่เกี่ยวข้องไว้ให้เรียบร้อย ช่วยสร้างโอกาสให้สำนักหลัวช่าวางกับดัก ทำให้สำนักหลัวช่าคิดว่าฝ่ายพวกเขากำลังวางกับดัก ไม่ใช่ฝ่ายพวกเรากำลังวางกับดัก เพียงทำให้พวกเขาคิดไปเองว่าฝ่ายพวกเราติดกับดักแล้ว แบบนี้ถึงจะไม่ทำให้อีกฝ่ายสงสัยง่ายๆ ไม่อย่างนั้นทำแบบนี้ไปก็ไม่มีความหมายอะไร

เหมียวอี้ : เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลย ทำไมเจ้ารู้ว่าให้สวีถังหรานไปหอนางโลมแล้วจะสร้างกับดักนี้สำเร็จ?

หยางชิ่ง : ข้าน้อยก็แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมสำนักหลัวช่าต้องแอบจับตาดูนายท่าน ไม่ว่าจะมีเจตนาร้ายต่อนายท่าน หรือว่าอยากจะปกป้องนายท่าน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำอย่างนี้ แดนพุทธไม่มีทางเข้ามายุ่งเรื่องตำหนักสวรรค์ง่ายๆ มิหนำซ้ำอำนาจที่หนุนหลังนายท่านก็เห็นๆ กันอยู่ ทำอย่างนี้ไม่ฉลาดเลย และเมื่อนายท่านรู้ว่าถูกสำนักหลัวช่าจับตาดู ก็สั่งให้หยางเจาชิงเสริมการป้องกันที่จวนแม่ทัพภาคทันที คาดว่าสำนักหลัวช่าทำอย่างนี้คงไม่ได้มีเจตนาดีต่อนายท่าน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะจับตาดูนายท่านเพราะอะไร แต่ก็คงไม่ถึงขั้นลงมือกับนายท่านที่ตลาดผี เพราะที่นี่มีคนเยอะเกินไป ทั้งยังเป็นถิ่นของตึกศาลาสัตยพรต ถ้าก่อเรื่องขึ้นที่นี่ สำนักหลัวช่ารับผิดชอบไม่ไหวแน่ สำนักหลัวช่าเองก็คงไม่อยากให้จุดอ่อนใหญ่ตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตเช่นกัน หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ ตอนนี้สำนักหลัวช่าก็แค่อยากจับตาดูนายท่าน ในเมื่ออยากจับตาดู การที่พวกเขาอยากรู้ความเคลื่อนไหวของนายท่านก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ถ้าไม่ใช่เพราะมีความคิดนี้ ก็คงจะไม่ทำอย่างนี้ ไม่ว่าจะพูดยังไงก็นับว่าแดนพุทธยื่นมือเข้ามาสอดเรื่องฝั่งตำหนักสวรรค์ ถือว่าผิดข้อห้าม

เหมียวอี้ : เจ้าหมายความว่า จากสิ่งนี้สามารถตัดสินได้ว่า พวกเขาอยากจะเข้าใกล้คนที่อยู่ข้างกายข้า อยากจะรูความเคลื่อนไหวของข้าผ่านคนข้างกายข้าเหรอ?

หยางชิ่ง : ไม่ว่าพวกเขาจะมีความคิดนี้หรือไม่ แต่เมื่อสร้างปัจจัยทางด้านนี้ให้พวกเขาแล้ว หากพวกเขามีความคิดนี้ ก็อาจจะกลายเป็นสาเหตุที่พวกเขาทำอย่างนี้ก็ได้ ข้าน้อยไม่ทราบว่าทำไมสำนักหลัวช่าจึงต้องการจับตาดูนายท่าน ไม่สามารถคาดการณ์คำตอบที่แม่นยำได้ ทำได้เพียงทดสอบดู คนในจวนแม่ทัพภาคส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่อ๋องสวรรค์โค่วส่งมา รวมตัวกันแน่นหนาเหมือนแผ่นกระดานเหล็ก ในช่วงแรกสำนักหลัวช่าเข้ามาหาข้อมูลข้างกายนายท่านลำบาก พวกเขาจับตาดูนายท่านอยู่ข้างนอก หาช่องทางเข้าใกล้ไม่ได้ แต่พวกเขาจะต้องสังเกตเห็นเรื่องที่สวีถังหรานไปหอนางโลมทุกสามวันแน่นอน บังเอิญว่าในมือพวกเขามีระบำมารสวรรค์ที่ใช้ยั่วยวนใจคน นี่คือแรงจูงใจใหญ่ที่สุดที่ทำให้พวกเขาวางกับดัก

เหมียวอี้ : เจ้ารับประกันได้เหรอว่าจะไม่ถูกพวกเขาจับได้?

หยางชิ่ง : สวีถังหรานชื่อเสียงไม่ดี ไปหอนางโลมก็เป็นเรื่องปกติมาก ขนาดฮูหยินของตัวเองยังออกมาจากหอนางโลมเลย การที่เขามีรสนิยมแบบนี้เป็นสิ่งที่ฟังขึ้น ที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาไม่มีเหตุผลให้สงสัย สวีถังหรานแสร้งถูกพวกเขาควบคุมแล้วมีความหมายกับพวกเราเหรอ? ในสายตาพวกเขา พวกเราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้เลย ต่อให้สวีถังหรานปล่อยข่าวปลอมเกี่ยวกับนายท่านให้พวกเขารู้ แล้วจะทำอะไรพวกเขาได้ล่ะ?

เหมียวอี้ : นี่ก็คือสิ่งที่ข้าสงสัยเหมือนกัน ให้สวีถังหรานทำอย่างนี้มีความหมายเหรอ?

หยางชิ่ง : ถ้ายืนอยู่ในมุมพวกเขานั้นไม่มีความหมาย แต่ถ้ายืนอยู่ในมุมพวกเราก็ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้านายท่านดึงดันจะลงมือกับอิ๋งหยางตอนออกล่าที่น้ำพุวังเวงให้ได้ นั่นก็จะมีความหมายแล้ว

เหมียวอี้แปลกใจ : ไหนลองอธิบายให้ละเอียด!

หยางชิ่ง : ถ้านายท่านให้สวีถังหรานโยนเหยื่อล่อที่สามารถทำให้สำนักหลัวช่าสนใจได้ ล่อสำนักหลัวช่าไปที่น้ำพุวังเวง บังเอิญไปเจอกับดักของตระกูลอิ๋งที่น้ำพุวังเวงพอดี ผลก็คือถ้าสำนักหลัวช่าไม่ทันระวังตัวติดกับดักตระกูลอิ๋งแล้ว สำนักหลัวช่าจะต้องต่อต้านสุดชีวิตแน่นอน คงจะลดแรงกดดันให้นายท่านไม่ใช่น้อยๆ!

เมื่อได้ฟังเขาพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็หนังตากระตุกทันที เรียกได้ว่าหนาวสันหลังวาบๆ รู้สึกหนาวจนขนลุก ร้ายกาจ! ร้ายกาจมากจริงๆ! เขาพบว่าหยางชิ่งร้ายกาจเกินไปแล้ว สงสัยที่อ้อมค้อมอยู่นานก็เพื่อจะบอกท่าไม้ตายนี้ เท่ากับวางกับดักตายให้สำนักหลัวช่าชัดๆ ทั้งยังวางกับดักตายให้ตระกูลอิ๋งด้วยเหรอ?

หยางชิ่งอธิบายต่อว่า : สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เป็นผลดีต่อนายท่าน กำลังที่มีอยู่ในมือนายท่านไม่อาจนำมาใช้อย่างเปิดเผยได้เลย ถ้าจะให้สู้กับพวกพี่ใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็เสียเปรียบเกินไป! ก็เป็นอย่างที่หยางชิ่งบอกไว้ตอนแรก ตอนนี้ฝ่ายที่จะให้นายท่านอาศัยแรงได้ก็มีแต่แดนสุขาวดีเท่านั้นที่เหมาะสมที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกำลังหรือฐานะก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้กำลังของสำนักหลัวช่าจะสู้กำลังทัพตะวันออกของตระกูลอิ๋งไม่ได้ แต่ศักยภาพและฐานะก็มีคุณสมบัติที่จะท้าทายตระกูลอิ๋งได้เลย ตระกูลอิ๋งวางกับดักที่น้ำพุวังเวง สำนักหลัวช่าโหม่งหัวเข้าไปติดกับดักเอง ถึงตอนนั้นใครจะตายด้วยน้ำมือใครก็ยังไม่แน่ พวกเขาต่างหากคือคู่ต่อสู้ที่สูสี ไม่ใช่นายท่านแน่นอน ด้วยศักยภาพของสำนักหลัวช่า สามารถเปิดโปงกับดักสำรองทั้งหมดของตระกูลอิ๋งออกมาได้อยู่แล้ว และนายท่านก็แค่เฝ้ามองสองฝ่ายสู้กันก็พอ รอให้มีความมั่นใจแล้วค่อยลงมือก็ยังไม่สาย แต่ถ้าไม่มีความมั่นใจในความสำเร็จเลยสักนิด นายท่านก็ควรต้องถอย รอโอกาสเหมาะอีกครั้งก็ยังสาย!

เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออก ถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า : ทำแบบนี้จะเหมาะสมเหรอ? ถ้าคนของพุทธะหน้าหยกกับคนของอ๋องสวรรค์อิ๋งสู้กันขึ้นมา ถ้าคนระดับอ๋องสวรรค์ของแดนสุขาวดีกับตำหนักสวรรค์สู้กันขึ้นมา เหตุการณ์จะไม่ใหญ่ไปหน่อยเหรอ? ต่อไปถ้าสำนักหลัวช่าบอกว่าข้าเป็นคนวางกับดัก ข้าจะไม่ต้องรับผิดชอบถึงผลที่ตามมาหรอกเหรอ?

หยางชิ่ง : นายท่านไม่ได้สั่งให้พวกเขาไปเสียหน่อย อาศัยแค่ข้อแก้ตัวนี้ก็เพียงพอแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้น สำนักหลัวช่าจะพูดได้เหรอว่าติดกับดักนายท่าน? พวกเขาเสียหน้าแบบนั้นไม่ไหวหรอก ประการต่อมา สำนักหลัวช่าก็ไม่มีทางบอกเช่นกันว่าตัวเองแอบเข้ามาแทรกแซงฝั่งตำหนักสวรรค์จนติดกับดักนายท่าน ถ้าข้าน้อยเดาไม่ผิด เมื่อถึงตอนนั้น สำนักหลัวช่าจะต้องบอกว่าถูกจู่โจมตอนที่ผ่านทางมา ไม่สาวมาถึงตัวนายท่านแน่

เหมียวอี้ : แบบนั้นข้าจะไม่ล่วงเกินสำนักหลัวช่าแย่เหรอ?

หยางชิ่ง : ไม่น่าเชื่อว่านายท่านจะกลัวการล่วงเกินคนอื่น ข้าน้อยรู้สึกผิดคาดจริงๆ ขอยกคำพูดนายท่านมากล่าวก็แล้วกัน ต่อให้นายท่านไม่ไปหาเรื่องอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็ไม่ปล่อยนายท่านไปอยู่ดี ความจริงก็แสดงให้เห็นตรงหน้าแล้ว ต่อให้นายท่านไม่ล่วงเกินพวกเขา แต่พวกเขาก็จับตาดูนายท่านเหมือนเดิม ถึงแม้ข้าน้อยจะไม่ทราบว่าพวกเขาจับตาดูนายท่านทำไม แต่คาดว่าคงไม่ได้มีเจตนาดีอะไรแน่นอน เมื่ออยู่ฝั่งตำหนักสวรรค์ ต่อให้สำนักหลัวช่าจะไม่พอใจนายท่าน แต่ก็ไม่กล้าทำซี้ซั้วโจ่งแจ้ง ปลอดภัยกว่าเผชิญหน้ากับพวกลูกพี่ใหญ่ของตำหนักสวรรค์ตั้งเยอะ ถ้านายท่านกังวลด้านนี้จริงๆ ข้าน้อยก็ขอร้องอย่างจริงใจ ว่านายท่านอย่าเหยียบเข้าไปในกับดักน้ำพุวังเวงเลย!

มีประโยชน์เหรอ? ถ้าโน้มน้าวให้เหมียวอี้หยุดได้ ก็คงไม่ต้องวางแผนนี้หรอก

เหมียวอี้มอบหมายเรื่องวางแผนรับมือสำนักหลัวช่าให้หยางชิ่งอย่างใจกว้างมาก โดยให้หยางเจาชิงติดต่อบงการสวีถังหรานว่าต้องทำอย่างไร สิ่งนี้พิสูจน์ได้แล้วว่าต้องดำเนินการตามเรื่องน้ำพุวังเวงแน่นอน

หยางชิ่งที่ตัวอยู่ในแดนอเวจีรู้สึกจนปัญญามาก กำระฆังดาราไว้ในมือพลางเงยหน้ามองฟ้าถอนหายใจ

ทว่ายังไม่จบเท่านี้ เหมียวอี้วางงานอีกอย่างให้เขาด้วย : ข้าจะแจ้งให้หกลัทธิรู้ทันที เลือกทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านเอาไว้รอฟังคำสั่ง ข้าจะไปรับมาจากแดนอเวจีให้เร็วที่สุด

มารับเหรอ? หยางชิ่งตกใจทันที : นายท่าน! อย่าบอกนะว่าท่านมั่นใจเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงก็เพราะทัพใหญ่หนึ่งล้านจากแดนอเวจี?

เหมียวอี้ : ถ้าใช่แล้วจะทำไม? ถ้าไม่ใช่เพื่อรอดูว่าเจ้าวางแผนอะไรอยู่ฝั่งนี้ ข้าคงอยู่ระหว่างทางไปแดนอเวจีแล้ว

หยางชิ่งร้อนใจแล้ว : ไม่ได้เด็ดขาด มีคนมากมายขนาดนี้ออกจากแดนอเวจี เกรงว่าจะทำให้หกลัทธิเกิดความคิดอย่างอื่นได้ อีกทั้งออกไปแล้วก็ยังควบคุมลำบากด้วย

นายท่านโปรดอย่าใจร้อน เรื่องทางสำนักหลัวช่าข้าน้อยจะไตร่ตรองหาวิธีการอีกครั้ง…

เหมียวอี้ตัดบทเสียเลยว่า : เรื่องทางสำนักหลัวช่า เจ้าควรจะทำยังไงก็ทำต่อไป ส่วนกำลังพลของแดนอเวจี ข้าก็จะเอาออกมาเหมือนกัน!

หยางชิ่ง : นายท่าน…

เหมียวอี้พูดตัดบทอีกครั้ง : หยางชิ่ง ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ให้ชัดเจนเลยนะ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านคันที่ได้จากทะเลดาวสับสนอยู่ในมือข้าหมดแล้ว! เรื่องควบคุมคนที่ออกมาน่ะ เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ให้หกลัทธิไปกังวลเอาเอง ข้าให้สัญญาพวกเขาได้ ว่าหลงัจากจบเรื่องแล้ว จะแบ่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ให้พวกเขาฝ่ายละห้าแสนคัน จะคุ้มหรือไม่คุ้มก็ให้พวกเขาไปคำนวณเอาเอง ข้าไม่สนว่าเขาออกล่าที่น้ำพุวังเวงจะมีกับดักอะไรหรือเปล่า ข้าไม่สนว่าเขาจะมีคนมากเท่าไร ไม่สนด้วยว่าจะมียอดฝีมือกี่คน สรุปคือเลิกฝันซะว่าจะมีคนรอดกลับไปได้แม้แต่คนเดียว!

…………………………

“ได้ค่ะๆๆ…”

แม่เล้ากล่าวขออภัยตลอดทาง พูดจาน่าฟังประมาณว่าไม่คิดเงิน ปะเหลาะสวีถังหรานเข้าไปในห้องเดี่ยว แล้วกวักมือเรียกสาวใช้สองคนให้นำน้ำชามาวาง

สวีถังหรานก็ไม่ใช่คนซื่อสัตย์อะไร คนที่เรียกมารับแขกยังไม่มา มือสองข้างก็ลูบคลำล้วงบนตัวสาวใช้ทั้งสอง พวกนางฝืนยิ้มสู้ บิดตัวหลบเลี่ยง แต่ก็ไม่กล้าขัดใจแขกมากเกินไป

หลังจากทำให้สวีถังหรานสงบแล้ว แม่เล้าถอยออกจากห้อง รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปในชั่วพริบตาเดียว เปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งเครียด รีบสาวเท้าเดินไปตรงจุดลับตาคนของหอสามจันทรา นางหยุดอยู่หน้าประตูห้องห้องหนึ่งที่ปิดสนิท แล้วใช้ข้อนิ้วเคาะประตู เคาะยาวสามครั้งเคาะสั้นสองครั้ง

รออยู่สักประเดี๋ยว ประตูห้องก็เปิดออก ผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมมีหมวกสีชมพูเดินออกมา มองเห็นรูปร่างไม่ชัดเจน เพราะถูกชุดคลุมมีหมวกปิดไว้หมดแล้ว มองเห็นหน้าตาไม่ชัดเจนเช่นกัน บนใบหน้าสวมหน้ากากงิ้วสาวงามเอียงอาย เห็นเพียงดวงตางามเป็นประกายหลังหน้ากากงิ้ว

แม่เล้าพยักหน้า จากนั้นยื่นมือเชิญแล้วตัวเองก็เดินนำ นางหันกลับไปมองผู้หญิงลึกลับที่เดินตามหลังเป็นระยะ ในดวงตาฉายแววหวาดระแวงในบางครั้ง

เจียวอวี้ออกไปทำการแสดงจริงๆ หรือ? คำตอบก็คือไม่จริง!

ในเมื่อไม่ได้ออกไปแสดง แล้วทำไมถึงไม่มารับแขก? นี่ไม่ใช่ความเต็มใจของแม่เล้า แต่เป็นประสงค์ของเถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลัง

สามารถเปิดหอนางโลมสองชั้นที่ตลาดผีได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่กำลังของแม่เล้าคนหนึ่งจะรับไหว เบื้องหลังมีคนที่คุ้มครองอยู่ นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเถ้าแก่ให้นางทำอย่างนี้หมายความว่าอะไร เพียงได้รับการแจ้งจากเถ้าแก่อย่างกะทันหัน ว่าให้เจียวอวี้พักผ่อนชั่วคราว แล้วส่งผู้หญิงลึกลับคนนี้มาแทน ผู้หญิงคนนี้ไม่รับแขกคนอื่น รับเพียงแขกประจำของเจียวอวี้ในช่วงนี้ ถ้าแขกประจำคนนั้นมาเมื่อไหร่ ก็ให้นางไปรับทันที วันนี้ถึงคราวที่นางได้ขึ้นเวทีแล้ว

แม่เล้ากังวลนิดหน่อยว่าการทำแบบนี้มีเจตนาอะไรอยู่เบื้องหลัง จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ทว่านางไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องพวกนี้ได้

นางไม่รู้เช่นกันพวกผู้หญิงลึกลับคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ จะปฏิบัติให้แขกพอใจได้หรือเปล่า แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถตัดสินใจได้เช่นกัน ทำได้เพียงปฏิบัติตามถึงที่เตรียมไว้

สาวใช้สองคนที่รินน้ำชาอยู่ในห้องถูกสวีถังหรานลูบคลำเสื้อผ้ายับยุ่ง สภาพสะบักสะบอม การมาถึงของแม่เล้าได้ช่วยแก้วิกฤตให้พวกนางแล้ว

แปะๆ! แม่เล้าปรบมือสองครั้ง สาวใช้รีบวิ่งหนีออกไปราวกับกระโดดทันที หนึ่งในนั้นยกกระโปรงไปด้วยในขณะที่วิ่ง

สวีถังหรานที่ชักมือออกจากใต้กระโปรงสาวใช้ที่วิ่งหนีไปเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วยกมือที่เคยใช้ลูบคลำมาจ่อดมตรงจมูกเบาๆ เขากำลังจ้องผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังแม่เล้า ทั้งตัวอยู่ในชุดคลุม เธอยังสวมหน้ากากด้วย นางกำลังก้มหน้า มองไม่ชัดเลยว่าหน้าตาเป็นอย่างไร

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” สวีถังหรานบุ้ยปากถาม

แม่เล้าหันข้างหลีกทางให้ แล้วกล่าวแนะนำด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน คนนี้คือหรูเสวี่ย เป็นแม่นางที่เข้ามาใหม่ของหอสามจันทรา จนกระทั่งวันนี้ยังไม่เคยรับแขกเลย วันนี้หัวน้ำแกงเป็นของในท่านแล้ว รับรองว่าท่านจะพึงพอใจค่ะ”

“อย่ามาโกหกเลย พูดจนน้ำไหลไฟดับก็ไม่มีประโยชน์ จะพอใจไม่พอใจ ต้องเล่นก่อนถึงจะรู้” สวีถังหรานกล่าวยังไม่เกรงใจ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินอ้อมโต๊ะออกมายืนข้างกายผู้หญิงที่สวมชุดคลุม ยื่นมือช้อนคางของนางขึ้นมา แล้วดึงหน้ากากนางออกเสียเลย

ใบหน้างดงามปานบุปผาปรากฏให้เห็นทันที หนังตาเหลือบลงเล็กน้อยด้วยความเขินอาย ราวกับไม่กล้ามองสวีถังหรานตรงๆ ทว่าท่วงท่ายั่วยวนที่อยู่ภายใต้ความเขินอายนั้นก็ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกหวั่นไหวร้อนรน

มองปราดเดียวก็เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรปิดบัง จะว่าไปนี่ก็คือลักษณะพิเศษของตลาดผี คนที่สัญจรไปมาทั้งตลาดผีล้วนเป็นคนที่ทำเรื่องลับลวงพราง แต่กลับเป็นบรรดาสาวสวยของนางโลมที่เปิดเผยตรงไปตรงมาได้ แต่จะว่าไปแล้ว แขกที่ไม่ได้เห็นว่าสวยหรืออัปลักษณ์ก็ไม่พอใจเช่นกัน

งดงามมาก สวีถังหรานตะลึงงันเล็กน้อย เขาหันกลับไปมองแม่เล้า เราก็หันกลับมาจ้องผู้หญิงคนนั้นอีก เรายกมือช้าๆ ดึงหมวกชุดคลุมบนศีรษะนางลงมา

แม่เล้าที่ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้หญิงคนนี้แล้วแอบโล่งใจ พอเห็นสวีถังหรานไม่บ่นอะไรแล้ว นางก็แอบปิดปากหัวเราะ รู้ว่าไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว ทำให้ท่านนี้สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น ก็หมายความว่าตรงกับรสนิยม เราจะเป็นฝ่ายถอยออกไปอย่างเงียบๆ จะได้ไม่รบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของแขก นางถือโอกาสปิดประตูให้แล้ว

สวีถังหรานก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนเช่นกัน “สาวงาม เจ้าร้องเพลงได้หรือเปล่า?”

หรูเสวี่ยส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ได้ค่ะ”

สวีถังหรานยื่นมาเข้ามาถามใกล้ๆ “แล้วเจ้าทำอะไรเป็นบ้างล่ะ?”

หรูเสวี่ยก้มหน้า “ข้ามีพื้นเพเป็นนางระบำค่ะ เชี่ยวชาญวิชาระบำ”

วิชาระบำ? สวีถังหรานมองข้าม ‘สิ่งที่ไม่คาดคิด’ ของวันนี้ไปทันที สิ่งที่หยางเจาชิงกำชับไว้แวบเข้ามาในหัว หนังตาพลันกระตุก จากนั้นก็รีบปิดบังไว้ กลับมาแสดงสีหน้าแบบเดิม ยื่นมือไปลูบบนใบหน้าหรูเสวี่ย แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “งั้นก็เต้นให้ดูสักหน่อยเถอะ” หลังจากกลับมานั่งที่แล้ว เขาก็รีบตายิ้มรอชื่นชม

หรูเสวี่ยแก้มัดเส้นผ้าที่ผูกอยู่บนคอ ใช้สองมือถอดชุดคลุมบนตัวออก ชุดคลุมหล่นกองกับพื้น เผยให้เห็นเรือนร่างเย้ายวนดึงดูดใจที่สวมเครื่องแต่งกายโป๊เปลือย เรือนร่างยั่วราคะที่หาพบได้ยากประกอบกับการแต่งตัวแบบนี้ ทำให้คนที่เห็นเลือดลมสูบฉีดจริงๆ

สวีถังหรานมองจนตาค้างนิดหน่อย ในที่สุดก็เข้าใจแล้วผู้หญิงคนนี้ต้องสวมชุดคลุมปิดบังไว้ ก็เป็นเพราะการแต่งตัวและเรือนร่างอันเย้ายวนที่อยู่ข้างใน ถ้าแขกที่เข้ามาได้เห็นจะต้องแย่งกันแน่นอน

ในขณะที่แววตาหื่นกระหายของสวีถังหรานกำลังมองสำรวจศีรษะจดเท้า หรูเสวี่ยก็ก้าวถอยหลังช้าๆ บิดเอวบางเดินถอยหลังช้าๆ ราวกับงูเลื้อยในน้ำ แววตาเปลี่ยนเป็นยั่วยวนมากขึ้นเรื่อยๆ ลิ้นสีแดงสดเลียริมฝีปากแล้วส่งจูบเบาๆ

สวีถังหรานที่เริ่มคอแห้งยกถ้วยน้ำชากรอกปาก ตามที่หน้าอกและบั้นท้ายของหรูเสวี่ยกระเพื่อมออกมา ในห้องก็ราวกับเต็มไปด้วยบรรยากาศอัศจรรย์บางอย่างที่ทำให้คนหยุดหายใจ สวีถังหรานเริ่มหายใจถี่กระชั้น จ้องมองบนตัวหรูเสวี่ยอย่างละสายตาได้ยาก

ท่วงท่าระบำอันอรชรอ่อนช้อยนี้ บางครั้งก็เร่าร้อนดั่งไฟ บางครั้งก็อ่อนโยนราวกับสาวบริสุทธิ์ที่เอียงอายยามเดินออกจากห้องอาบน้ำ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่ราวกับพูดได้ เมื่อผสมกับท่าระบำแล้วก็อัศจรรย์ไร้ที่เปรียบจริงๆ ทุกสายตาทุกของท่าทางล้วนสื่อความหมายที่ทำให้คนตราตรึงใจไม่รู้ลืม

“ลาลา…ฮืม…”

ตามที่ริมฝีปากแดงเล็กของหรูเสวี่ยค่อยๆ เปล่งเสียงเล็กเสียงน้อยร้องเพลง ก็ทำให้ทุกอย่างตรงหน้าสวีถังหรานถูกผลักขึ้นสู่จุดสูงสุด ในหัวมีเสียงดังหึ่งๆ เส้นเลือกขยายตัวอย่างควบคุมไม่ได้ เกิดความรู้สึกอยากจะพุ่งเข้าไปครอบครอง

ในขณะนี้เอง ความรู้สึกเย็นสบายก็แผ่ออกจากไขสันหลัง กรอกไปที่หัวสมอง ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้สวีถังหรานกลับมามีสติอีกครั้ง

สวีถังหรานที่แอบใจสั่นเข้าใจทันที ว่าสิ่งที่หยางเจาชิงบอกปรากฏตัวออกมาแล้ว ไม่ได้ล้อตนเล่นจริงๆ ด้วย ก่อนหน้านี้มาหลายครั้งแต่ยังไม่เจอเบาะแสใดๆ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะบ่นหยางเจาชิง

ทักษะการแสดงของเจ้าเวรนี่ก็ไม่ใช่เล่นๆ ชั่วพริบตานี้ไม่ลังเลอะไรแล้ว แสดงปฏิกิริยาเหมือนตอนที่เกือบจะหลงใหลก่อนหน้านี้ เขานั่งไม่ติดที่ พุ่งเข้าไปหาทันที ดึงหรูเสวี่ยที่กำลังร้องเพลงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แล้วอุ้มไปบนเตียง เสื้อผ้าปลิวว่อน อารมณ์ของสัตว์ป่าปะทุอย่างแท้จริง…

หลังจากไฟรักอันเร่าร้อนที่ลุกโชนได้สักพักดับลง สวีถังหรานที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างผ่อนคลายก็ได้ค้นพบความรู้สึกที่เหมือนวิญญาญหลุดลอยขึ้นสวรรค์อย่างแท้จริง เขารู้สึกได้ว่าบนตัวของหรูเสวี่ยมีบางอย่างที่ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ความรู้สึกนั้นบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ บอกได้เพียงว่า ‘ถึงอกถึงใจ’ ทั้งชีวิตนี้เขาเคยลิ้มลองผู้หญิงมานับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยลิ้มลองรสชาติที่ทำให้ถึงอกถึงใจขนาดนี้มาก่อนเลย ทำไมบนโลกนี้ถึงมีคนที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ได้ หลายวันมานี้นับว่ามาไม่เสียเที่ยวแล้ว

ขณะที่กำลังขบคิดถึงรสชาติ เขาก็ยังกอดลูบไล้เรือนร่างขาวหมดจดของหรูเสวี่ย ไม่รู้ตัวเลยว่าหน้ากากปลอมของตัวเองหลุดทิ้งไปตั้งแต่เมื่อไร

“ฮือๆๆ…”

สวีถังหรานที่ยังคงขบคิดถึงรสชาติงงงวยทันที พบว่าจู่ๆ ผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดดันร้องไห้แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “หรูเสวี่ย เป็นอะไรไป?”

หรูเสวี่ยเผยใบหน้าที่เหมือนดอกสาลี่เปียกฝน ตอบอย่างน่าสงสารว่า “ถึงแม้หรูเสวี่ยจะไม่ได้มีร่างกายบริสุทธิ์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้ร่างกายรับแขก พอนึกถึงว่าต่อไปต้องเปลี่ยนผู้ชายคนใหม่ ในใจข้าก็…ไม่คุ้นเลยค่ะ!”

พอนึกถึงสิ่งที่หยางเจาชิงสั่งไว้ สวีถังหรานก็รู้ทันทีว่าจะได้แสดงบทที่ถึงเนื้อถึงตัวแล้ว จึงกล่าวอย่างสงสารว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง ถ้ามีข้าอยู่ ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมแน่ เดี๋ยวข้าจะไปคุยกับแม่เล้าเอง”

“จริงเหรอคะ?” หรูเสวี่ยกอดเขา ทำสีหน้าน่าสงสารและเฝ้าคอย

สวีถังหรานรับประกันทันที “ก็ต้องจริงอยู่แล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือผู้หญิงของข้า จะให้เจ้าอยู่ในสถานบันเทิงแบบนี้อีกได้ยังไง?”

“ข้าข้อทราบตัวเองที่แท้จริงของนายท่านได้มั้ยคะ?” หรูเสวี่ยถามอย่างซาบซึ้งใจ

“เอ่อคือ…” สวีถังหรานลังเลนิดหน่อย ลูบคลำใบหน้าที่หนังปลอมหายไป แล้วสุดท้ายก็แข็งใจบอกว่า “ไม่ปิดบังเจ้า ข้าคือรองแม่ทัพภาคสวีถังหรานของจวนแม่ทัพภาคตลาดผี!”

“หา! ท่านคือลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อ ลูกเขยผู้โด่งดังของอ๋องสวรรค์โค่วเหรอคะ…”

เรื่องราวต่อจากนั้นก็สมเหตุสมผลแล้ว สวีถังหรานที่แต่งตัวเรียบร้อยเดินออกจากห้อง แล้วไปคุยกับแม่เล้าเพื่อขอไถ่ตัวหรูเสวี่ย

หลังจากมองส่งสวีถังหรานเดินออกไปแล้ว รอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มบนใบหน้าหรูเสวี่ยก็หายไป แทนที่ด้วยรอยยิ้มถากถางเหน็บแนม

ถ้าเหมียวอี้ได้เห็นใบหน้านี้ก็จะต้องรู้จักแน่นอน ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นชางหงที่เคยมีเรื่องกันที่ดาวพิษในปีนั้นนั่นเอง

ขั้นตอนการไถ่ตัวมีอุปสรรคนิดหน่อย ทำให้สวีถังหรานปวดใจเช่นกัน แต่เพื่อแสดงออกว่าตัวเองถูกทำให้หลงใหล เพื่อทำภารกิจที่นายท่านหมอบหมายให้สำเร็จ เขาจึงลงทุนควักเนื้อตัวเอง ถึงได้ไถ่ตัวหรูเสวี่ยออกมาจากหอสามจันทราได้

ตอนที่เดินออกมาย่อมไม่ได้มาคนเดียวแล้ว ยังมีหรูเสวี่ยที่สวมชุดคลุมด้วยอีกคน

สวีถังหรานย่อมไม่พานางกลับจวนแม่ทัพภาคอยู่แล้ว มิหนำซ้ำหรูเสวี่ยยังแสดงออกอย่างใส่ใจด้วยว่าไม่อยากทำลายครอบครัวของสวีถังหราน รอโอกาสเหมาะแล้วค่อยให้สวีถังหรานบอกเสวี่ยหลิงหลงอีกที

สุดท้ายสวีถังหรานก็จัดให้นางพักประจำที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

พอกลับถึงจวนแม่ทัพภาคแล้วแห็นหยางเจาชิง สวีถังหรานก็บอกเพียงว่า “มาแล้ว ปลาติดเบ็ดแล้ว!”

“สถานการณ์เป็นยังไง?” หยางเจาชิงตาลุกวาว รีบถามถึงที่มาที่ไป

ทั้งจากเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ แล้ว ทั้งสองก็เดินไปหาเหมียวอี้ด้วยกัน ครั้งนี้สวีถังหรานเล่าอย่างละเอียด

หลังจากฟังจบ เหมียวอี้ก็เอามือไขว้หลังเดินออกไปดูนอกหน้าต่าง เขาหรี่ตาสองข้าง ในใจเรียกได้ว่าตกตะลึงไม่หยุด ไม่น่าเชื่อว่าจะล่อระบำมารสวรรค์ได้แล้ววจริงๆ เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าหยางชิ่งคิดได้อย่างไร อิงจากอะไรถึงตัดสินว่าสวีถังหรานไปที่หอนางโลมแล้วจะล่อระบำมารสวรรค์ออกมาได้ หยางชิ่งทำแบบนี้มีเจตนาอะไรกันแน่? เมื่อทดสอบจนได้ผลลัพธ์แล้ว ก็น่าจะคลายปริศนาได้แล้วสินะ?

“เหอะๆ ไม่ต้องพูดถึงเลย ผู้หญิงคนนั้นสุดยอดจริงๆ ฝีมือในด้านนั้นทำให้ข้าถึงอกถึงใจมาก…” สวีถังหรานที่บรรยายรสชาติอันยอดเยี่ยมถอนหายใจด้วยความสะท้อนใจ “เป็นใครกันแน่นะ มีปัจจัยพร้อมจนยอมขาดทุนสละร่างกายกับสวีอย่างนี้!”

“สละร่างกายเหรอ?” เหมียวอี้หันกลับมายิ้มเย้ย “เจ้าคิดว่าตัวเองได้เปรียบแล้วจริงเหรอ? ฝ่ายนั้นฝึกตนโดยการฝึกฌานเสพสังวาสอยู่แล้ว เรื่องสมสู่ระหว่างชายหญิงไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่เลย ทำให้เจ้ารู้สึกถึงอกถึงใจได้ก็ไม่แปลก”

…………………………

เหมือนคำพูดนี้จะแทงใจดำ ‘เหยียนซิว’ แล้ว ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้ใบหน้าแสยะยิ้มของ ‘เหยียนซิว’ แข็งค้างเหมือนหิน มองเหมียวอี้อย่างพูดไม่ออก สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหวาดระแวง สุดท้ายก็พยายามฝืนทำใจเย็น “เจ้านายเหรอ? พูดโอ้อวดไร้ยางอาย!”

‘เหยียนซิว’ คนนี้ย่อมไม่ใช่ใครอื่น เป็นคนที่ซ่อนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายล้านคันและเครื่องแบบตำหนักสวรรค์เอาไว้จำนวนมาก นอกจากไป๋เฟิ่งหวงก็ไม่มีใครแล้ว การตัดสินของหยางเจาชิงย่อมไม่ผิดพลาด ไป๋เฟิ่งหวงสามารถรแปลงกายได้หลากหลาย สาเหตุที่แปลงร่างเป็นเหยียนซิวเข้ามาในตลาดผีจวนแม่ทัพภาค ก็เพราะไม่อยากให้คนสงสัย ถึงอย่างไรในจวนแม่ทัพภาคก็มีหูมีตาของตระกูลโค่วอยู่เต็มไปหมด ที่เปลี่ยนเป็นเหยียนซิวก็เพื่อให้เหมียวอี้กับไป๋เฟิ่งหวงได้ติดต่อกันเป็นการส่วนตัว

เหมียวอี้กล่าวอย่างใจเย็น “เรื่องยอมรับเป็นเจ้านายนั้นเป็นเรื่องใหญ่ คาดว่าความจำของเจ้าคงไม่แย่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง ข้าไม่ได้บังคับนะ เจ้าเองที่เป็นฝ่ายยอมรับข้าเป็นเจ้านาย?”

ทั้งร่างของไป๋เฟิ่งหวงเปลี่ยนไป ชั่วพริบตาเดียวก็เผยโฉมหน้าเดิมแล้ว กระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ยาวลากพื้น ผมสีขาวเงิน คิ้วโก่งสีขาว ผิวขาวบริสุทธิ์ ราวกับทั้งตัวถูกสลักด้วยหยก งดงามปานเทพธิดาแต่กลับเย่อหยิ่งเหมือนไก่ตัวผู้

“ยอมรับเป็นเจ้านายเหรอ?” นางไม่ปฏิเสธเรื่องที่ตัวเองยอมรับเขาเป็นเจ้านาย แต่กลับพูดเหยียดว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าคู่ควรเหรอ?”

นางผลักคำถามกลับไปให้เหมียวอี้ ยังคงหวังว่าเหมียวอี้จะไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก จะได้ช่วงชิงอำนาจในการเป็นอิสระให้ตัวเองต่อไป

ทว่าในครั้งนี้เหมือนเหมียวอี้จะเตรียมตัวมาแล้ว บอกตรงๆเลยว่า “คู่ควรหรือไม่คู่ควรก็ต้องถามตัวเจ้าเอง คนที่สามารถอาศัยตาทิพย์เข้าไปในทะเลดาวสับสน ทั้งยังช่วยคลายผนึกที่หัวใจให้เจ้าได้ เจ้าว่าข้ามีคุณสมบัติเพียงพอพี่จะเป็นเจ้านายของเจ้าหรือเปล่าล่ะ?”

ไป๋เฟิ่งหวงราวกับถูกมีดแทงในหัวใจ มุมปากกระตุกเล็กน้อย แล้วยิ้มทื่อๆ ในขณะที่แกล้งโง่ “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร คลายผนึกหัวใจของข้า นั่นคือสิ่งที่เจ้ากับข้าทำเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกัน ไม่ใช่ข้า…”

นางยังคิดจะช่วงชิงอิสระที่เกิดขึ้นอย่างยากลำบาก ทว่าเหมียวอี้พูดตัดบทอย่างแข็งกร้าวมาก “เจ้าแน่ใจเหรอว่าอยากจะต่อต้านประมุขไป๋?”

ยิ้มไม่ออกแล้ว ไป๋เฟิ่งหวงเบิกตากว้าง จ้องเหมียวอี้ไม่รับสายตา “ปั้ง” จู่ๆ นางก็ตบโต๊ะ แล้วคำรามเหมือนใกล้จะเป็นบ้า “เจ้าปั่นหัวข้าเล่นใช่ไหม? ในเมื่อรู้แล้ว ยังจะถามทำบ้าอะไรอีก! ยอมรับเป็นเจ้านายแล้วยังไงล่ะ? เจ้าเศษสวะนั่นตายไปหลายปีแล้ว ต่อให้ข้ายอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย แล้วเจ้าจะทำยังไงกับข้าอีก?”

แค่ปฏิกิริยานี้ก็เพียงพอแล้ว เหมียวอี้แอบโล่งอก สงสัยจะเดาไม่ผิด ในที่สุดก็คลายปริศนาได้แล้วว่าทำไมตอนแรกปีศาจสาวตนนี้ถึงเป็นฝ่ายมาหาเขาและยอมรับเขาเป็นเจ้านายก่อน

ถ้าไม่ใช่เพราะเดินทางไปที่ซากสำนักหนานอู๋ แล้วอวิ๋นจือชิวเทียบแผนที่ที่ได้มาจากจุดซ่อนสมบัติจนระบุสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปในขั้นต้นได้ ทำให้เขาแน่ใจว่าคนซ่อนสมบัติคือประมุขไป๋ และอิงจากสิ่งนี้เป็นพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงไปถึงตาทิพย์รวมทั้งภาพเหตุการณ์ตอนบังเอิญเจอปีศาจสาวในทะเลดาวสับสน พอนำมาประกอบกับเรื่องที่ปีศาจสาวยอมรับเขาเป็นเจ้านาย จะไม่ให้สงสัยประมุขไป๋ก็คงยาก เขาถึงได้ทดสอบแบบนี้ เดาไม่ผิดจริงๆ ด้วย!

เมื่อมีความมั่นใจนี้แล้ว เหมียวอี้ก็ยื่นมือไปทางประตูใหญ่ “ถ้าเจ้าอยากกลืนคำพูดตัวเอง ข้าก็ไม่ฝืนใจ เชิญตามสะดวก เพียงแต่ว่า…เจ้าต้องรับผลที่ตามมาเองนะ!”

“ฮึ!” ไป๋เฟิ่งหวงทำเสียงฮึดฮัดอย่างเหยียดหยามเป็นพิเศษ แล้วหันตัวเดินออกไป ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยจริงๆ

เหมียวอี้วางสองมือบนโต๊ะ สีหน้าท่าทางไม่สะทกสะท้าน ไม่ยื้อนางด้วยเช่นกัน

ไป๋เฟิ่งหวงเดินยืดอกเชิดหน้าด้วยความเด็ดเดี่ยวมาจนถึงประตู นางวางสองมือบนประตู ขณะกำลังจะผลักออกไป ร่างกายก็หยุดชะงัก นางหันกลับมามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ผลก็คือพบว่าเหมียวอี้หลับตาแล้ว ไม่มีท่าทีว่าจะรั้งนางไว้สักนิดเลยจริงๆ

ใครจะคิดว่านางที่เมื่อครู่นี้ยังเด็ดเดี่ยวกล้าหาญมาก ตอนนี้จะหันตัวกลับมาอีกแล้ว เกิดดเสียงดังปั้ง นางตบฝ่ามือลงบนโต๊ะอีกครั้ง ทำให้ของที่อยู่บนโต๊ะกระเด็นไปทั่ว แล้วถลึงตาจ้องเหมียวอี้เงียบๆ อย่างดุร้าย

เหมียวอี้ลืมตาช้าๆ แล้วมองนาง ในใจรู้สึกขำ ที่เขากล้าปล่อยนางไปย่อมมีเหตุผลอยู่แล้ว เขาจำได้ว่าตอนที่ยังอยู่ธงพยัคฆ์ดำ ครั้งแรกที่ปีศาจสาวมาค่ายของธงพยัคฆ์ดำ นางเอาเยี่ยนเป่ยหงมาบีบให้เขาคลายผนึกตรงหัวใจให้ จากนั้นนางก็ไปทันที แต่เรื่องแปลกที่เกิดขึ้นในตอนหลังก็คือ จู่ๆ ปีศาจสาวตนนี้ก็กลับมาอีก พอเห็นเขาแล้วก็คุกเข่าคารวะ แล้วบอกว่ายอมรับเขาเป็นเจ้านายเลย ทำให้เขาประหลาดใจไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่ ตอนนั้นยังไม่ค่อยกล้ายอมรับด้วย

ตอนนี้พอรู้แล้วว่าเป็นเพราะประมุขไป๋ ก็เดาสาเหตุของเรื่องประหลาดในตอนนั้นได้ไม่ยากแล้ว ผู้หญิงคนนี้เย่อหยิ่งเหมือนไก่ตัวผู้ จะเต็มใจคุกเข่ายอมรับเขาเป็นเจ้านายได้อย่างไร จะต้องถูกแรงกดดันบางอย่างที่ไม่อาจต้านทานบีบบังคับแน่นอน

ไม่มีความมั่นใจนี้แล้ว เหมียวอี้เพียงแต่กลัวนางหนีอีกหรือ? เจ้าดูสิ ปีศาจสาวที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญหายไปในชั่วพริบตาเดียว กลับมาอย่างว่านอนสอนง่ายแล้วไม่ใช่เหรอ?

“ไม่ไปแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ

ไป๋เฟิ่งหวงแอบกัดฟันกรอด โบกมือโยนกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วหันตัวไปนั่งไขว่ห้างที่เก้าอี้ข้างๆ แล้วกล่าวอย่างหงุดหงิดไม่ยอมแพ้ “ถึงยังไงเจ้าก็เคยคลายผนึกหัวใจให้ข้า ข้าไม่ใช่คนหลงลืมบุญคุณ ของที่เจ้าต้องการอยู่ในนี้หมดแล้ว นับดูเอาเอง”

เหตุผลนี้ช่างทำให้คนพูดไม่ออกจริงๆ! เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นับว่าเข้าใจถึงคำกล่าวที่ว่า ‘ต่อให้เป็นเป็ดตายก็ยังปากแข็ง’ แล้ว เขานำของที่อยู่ข้างในกำไลเก็บสมบัติมาตรวจนับ

ผ่านไปได้สักพัก นับจำนวนแล้วว่าไม่ผิดพลาด เหมียวอี้ก็เก็บกำไลเก็บสมบัติ เอนหลังพิงเก้าอี้ แล้ววกกลับมาประเด็นหลัก “ไป๋เฟิ่งหวง ข้าเป็นนาย เจ้าเป็นบ่าว เจ้าไม่ปฏิเสธใช่ไหม?”

“ข้ายังไม่เคยเห็นใครหน้าด้านหน้าทนอย่างเจ้ามาก่อนเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะเอาความซาบซึ้งใจชั่วครู่ในปีนั้นมาบีบข้าไม่ปล่อย เรายังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า?” ไป๋เฟิ่งหวงกล่าว

“อย่าเปลืองคำพูดมาก เขาแค่ถามว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ?” เหมียวอี้

“เชอะ!” ไป๋เฟิ่งหวงแสยะยิ้ม “เจ้าก็แค่ได้มาเจอคนที่พูดแล้วไม่คืนคำอย่างข้าเฉยๆ หรอก ข้าทำเรื่องประเภทกลืนคำพูดตัวเองไม่ลง ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงตบเจ้าตายด้วยฝ่ามือเดียวไปแล้ว เจ้าค่อยๆ ภาคภูมิใจไปเถอะ”

ยังปากแข็งอีกเหรอ? เหมียวอี้รู้สึกขำ แต่ก็ช่างเถอะ ปากแข็งก็ส่วนปากแข็ง เพราะความจริงนางยอมแพ้แล้ว ไม่ว่าปากกับใจจะตรงกันหรือไม่ ขอเพียงยอมรับก็พอแล้ว แม้จะโดนบังคับจนหมดหนทางก็ตาม แต่ก็ยังมีปริศนาอีกอย่างที่เขาอยากจะทำความเข้าใจ “ตอนแรกที่เจ้าเข้ามาในค่ายของกองทัพข้า ข้าคลายผนึกหัวใจให้เจ้าแล้ว เจ้าออกไปได้แล้วแท้ๆ ตอนหลังจะกลับมายอมรับข้าเป็นเจ้านายอีกทำไม? ในนั้นจะต้องมีเหตุผลอะไรแน่นอน ใครบังคับให้เจ้ากลับมา?”

“อย่ามาแกล้งโง่หน่อยเลย ถ้าไม่ใช่เพราะ…” ไป๋เฟิ่งหวงที่กำลังแสยะยิ้มหยุดชะงัก แล้วค่อยๆ หรี่ตาจ้องเหมียวอี้ แววตาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง นางเข้าใจแล้ว ว่ายังมีบางเรื่องที่เจ้าหมอนี่ยังไม่รู้! เมื่อมีความคิดแบบนี้ นางจะยังตอบอย่างซื่อสัตย์ได้อย่างไร ความคิดที่จะรักษาอิสระเอาไว้จะหายไปง่ายๆ ไม่ได้ นางจึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ก็บอกเอาไว้ชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ ที่ยอมรับเจ้าเป็นเจ้านายก็เพราะในปีนั้นข้าซาบซึ้งใจ!”

ตอนนี้นางสบายใจแล้ว ยอมรับไปเสียเลยว่าตัวเองรับเขาเป็นเจ้านาย อย่างไรเสียก็หลบไม่พ้น เพราะนางรู้ถึงความร้ายกาจของท่านนั้น คนระดับนั้นถึงแม้จะตายแล้วแต่ก็ยังไม่หมดฤทธิ์ ต่อให้เป็นอานุภาพที่หลงเหลืออยู่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางจะต้านทานไหวอยู่ดี นางเคยได้รับบทเรียนมาแล้ว ในเมื่อหลบหนีมูลเหตุไม่พ้น เช่นนั้นก็พยายามหลบเลี่ยงการถูกจูงจมูกเดิน

มารดาเจ้าเถอะ! เหมียวอี้หมั่นไส้จนคันฟัน ต่อให้เป็นคนโง่ก็ฟังออกว่าไป๋เฟิ่งหวงกำลัง ‘เบี่ยงประเด็น’

เขาข่มความโกรธเอาไว้ แล้วเปลี่ยนประเด็นถาม “ในเมื่อปีนั้นประมุขไป๋ตั้งใจเลือกเจ้ามาแล้ว ก็คงไม่ได้วางแผนให้เจ้ามารินน้ำชาให้ข้าอย่างเดียวหรอกมั้ง? คาดว่าคงจะสั่งอะไรอย่างอื่นมาอีก บอกมาเถอะ เขายังสั่งเจ้าให้ทำอะไรอีก?”

“ไม่มีละมั้ง?” จู่ๆ ไป๋เฟิ่งหวงก็ทำท่าทางเหมือนไร้เดียงสามาก ดวงตางามกระพริบปริบๆ “ข้าก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าเขาเตรียมอะไรเอาไว้ เจ้าเตือนข้าสักหน่อยได้มั้ยล่ะ?”

มารดาเจ้าเถอะ! ถ้าพ่อรู้แล้วจะยังถามเจ้าอีกเหรอ? เหมียวอี้ถามเสียงต่ำว่า “หรือว่าเจ้าอยากจะเป็นสาวใช้ของข้าจริงๆ ต้องคอยรินน้ำชาให้ข้าไปตลอดชีวิตเหรอ?”

ไป๋เฟิ่งหวงทรงตัวไม่อยู่ทันที ใช้ท้องแขนยันไว้บนที่วางมือ ใช้มืออีกข้างเท้าคาง แล้วหรี่ตายิ้ม “ในเมื่อยอมรับเป็นเจ้านายแล้ว งานจิปาถะข้าก็ยอมรับเช่นกัน ถ้าเจ้ายินดีให้ข้ารินน้ำชาอยู่ข้างกายเจ้าตลอดไป ไม่กลัวคนอื่นเห็น ข้าก็ไม่ว่าอะไร แต่เจ้าต้องรู้เอาไว้นะ ว่าถ้าประมุขชิงรู้ว่าเจ้ากับข้าสมคบคิดกัน จะไม่ให้เขาคิดมากก็คงยาก เจ้าต้องไตร่ตรองดูให้ดีนะ ข้าไม่ได้คัดค้านอะไร”

เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน จ้องนางอย่างเย็นเยียบ ในใจด่าแม่แล้ว ก็เหมือนที่นางเพิ่งบอกเมื่อครู่นี้ เขาแน่ใจว่าประมุขไป๋ต้องสั่งอะไรปีศาจสาวตนนี้ไว้แน่นอน ดูจากเรื่องซ่อนสมบัติก็รู้แล้วว่าประมุขไป๋เป็นคนละเอียดรอบคอบ วางหมากไว้ต่อเนื่องเป็นทอดๆ ไม่มีทางที่จะเกิดช่องโหว่ใหญ่ขนาดนั้นได้ การจับคนที่มีฐานะอ่อนไหวทั้งยังเชื่อถือไม่ได้มาไว้ในแผนการเพื่อสร้างความยุ่งยากให้ผู้หาสมบัติแบบนี้ แสดงว่าต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่นอน!

ทว่าด้วยนิสัยจอมแก่นของปีศาจสาวตนนี้ เขาก็นับว่าดูออกแล้วว่าทำเรื่องนี้ให้เป็นจริงไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์ที่เจ้าไม่มีความมั่นใจอะไร ก็อย่าหวังเลยว่าเจ้าจะถามอะไรจากนางได้! ที่สำคัญก็คือ วรยุทธ์ของปีศาจสาวตนนี้ก็ไม่ใช่ต่ำๆ เจ้ายังไม่เหมาะจะใช้วิธีการแข็งกร้าวกับนาง

เมื่อเห็นเขายอมแพ้ ไป๋เฟิ่งหวงก็รู้สึกเบิกบานใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “นายท่าน ต่อไปท่านจะจัดให้ข้าไปอยู่ตรงไหนดีคะ?”

“รินน้ำชา!” เหมียวอี้ชี้ไปที่ถ้วยน้ำชา คิดว่าพ่อไม่กล้าจิกหัวใช้เจ้าเหมือนสาวใช้รึไง…

หอสามจันทรา!

สวีถังหรานที่ปลอมตัวแล้วเงยหน้ามองป้ายหอนางโลมตรงหน้าอีกครั้ง ตามที่หยางเจาชิงสั่งมา ให้ทิ้งกฎเกณฑ์ไว้สักหน่อย ให้มาทุกๆ สามวัน นี่ก็เป็นครั้งที่สี่แล้ว แต่ก็ไม่พบความผิดปกติอย่างที่หยางเจาชิงบอก

“นายท่าน มาแล้วเหรอคะ”

กลิ่นเครื่องประทินโฉมโชยใส่หน้า ผู้หญิงหลายคนที่แต่งตัวสวยกรูกันเข้ามาดึงตัว

สวีถังหรานก็ไม่เกรงใจเช่นกัน ในเมื่อได้รับคำสั่งให้มาหาความสำราญ ก็ย่อมไม่ทำให้ตัวเองเสียเปรียบ ใช้มือซ้ายมือขวาบีบก้นพวกนาง เดินกอดพวกนางเข้าไปข้างใน

เมื่อเห็นว่าเป็นแขกประจำ แม่เล้าวัยกลางคนที่แต่งหน้าจัดจ้านก็รีบเดินเข้ามาพูดคุยหยอกล้อสวีถังหราน “ในหอมีสาวสวยมาใหม่หลายคน อยากจะเปลี่ยนรสชาติดูมั้ยคะ?”

“ไม่ต้องแล้ว เอาเจียวอวี้แล้วกัน” สวีถังหรานโบกมือ แล้วเดินตรงขึ้นไปชั้นบน เหมือนรีบร้อนนิดหน่อย

นี่ไม่ใช่การเสแสร้ง เขาใจร้อนจริงๆ ผู้หญิงที่ชื่อเจียวอวี้นั่นมีรสชาติที่ต่างออกไป เขายังเล่นไม่เบื่อ และอีกฝ่ายก็มีวิธีการยั่วยวนแขกให้กระเหี้ยนกระหือรือ นางสัญญากับสวีถังหรานไว้แล้ว ว่าถ้าครั้งหน้าสวีถังหรานมาอุดหนุนนางอีก นางก็จะให้สวีถังหรานได้เห็นอะไรแปลกใหม่ สวีถังหรานจดจำเอาไว้ตลอด ตอนนี้ย่อมยังไม่อยากเปลี่ยนคน

แม่เล้ารีบตามไปด้านหลัง แล้วกล่าวขออภัยซ้ำๆ “นายท่าน ขออภัยจริงๆ ค่ะ มาผิดจังหวะแล้ว มันนี้เจียวอวี้ออกไปแสดงข้างนอก แต่สาวสาวหลายคนที่มาใหม่ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเจียวอวี้เลยนะคะ รับรองว่านายท่านพอใจแน่”

มารดาเจ้าเถอะ ขนาดข้าจ่ายเงินแล้ว เจ้ายังกล้าผิดสัญญาอีก เชื่อมั้ยว่าข้าสั่งปิดหอสามจันทราได้? สวีถังหรานเดือดดาลในใจ หยุดเดินแล้วจ้องแม่เล้าด้วยสายตาเย็นเยียบ

แม่เล้าทำสีหน้าราวกับโดนตะคริวกิน จากนั้นก็รีบกล่าวขออภัยซ้ำๆ พูดแต่สิ่งดีๆ ออกมาเป็นชุด

“ฮึ! ถ้าไม่มีเจียวอวี้มาปรนนิบัติ เจ้าก็ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน!” สวีถังหรานทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ แล้วหันหน้าเดินขึ้นตึกต่อไป

ถ้าไม่ใช่เพราะมาพร้อมภารกิจ วันนี้เขาคงไม่ได้คุยง่ายแบบนี้แน่นอน อย่าไปมองว่าตอนอยู่ต่อหน้าเหมียวอี้เขาเคารพนอบน้อมว่านอนสอนง่าย เพราะที่จริงแล้วตอนอยู่ข้างนอกเขาโหดเหี้ยมเลวทรามมาก เขาทำเรื่องดำมืดทุกอย่างมาหมดแล้ว ไม่ใช่คนถือศีลกินเจเลย ถึงแม้จะอยู่ที่ตลาดผี แต่ถ้าเขาอยากจะทำลายหอสามจันทรานี่จริงๆ ก็มีวิธีการอยู่แล้ว!

…………………………

“ไปหอนางโลมเหรอ? เล่นลูกไม้อะไรอยู่?” เหมียวอี้ลงจากเตียงและลุกขึ้นยืน ไม่เข้าใจว่าหยางชิ่งกำลังเล่นอะไรกันแน่ ขมวดคิ้วมุ่นเดินไปเดินมา

หยางเจาชิงตอบ “เขายังกำชับรายละเอียดบางอย่างเอาไว้ด้วย เดี๋ยวข้าน้อยจะต้องไปรับของบางอย่างสักหน่อย บอกว่าเป็นยาที่จะให้สวีถังหรานกินก่อนไปหอนางโลม ดูว่าจะมีใครสามารถใช้วิชาระบำมอมเมาใจคนมายั่วยวนสวีถังหรานได้หรือไม่”

วิชาระบำขี้เมาใจคนเหรอ? เหมียวอี้ตกตะลึง อย่าบอกนะว่าเป็นระบำมารสวรรค์? หยางชิ่งรู้เรื่องระบำมารสวรรค์ได้อย่างไร? ตนไม่เคยบอกเขานี่นา!

ไม่นานก็เข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ตัวเองเคยถามจินม่านเกี่ยวกับระบำมารสวรรค์

แต่หยางชิ่งสนใจระบำมารสวรรค์เพราะมีเจตนาอะไร? เกี่ยวอะไรกับการให้สวีถังหรานไปหอนางโลม? ไปหอนางโลมแล้วจะเจอระบำมารสวรรค์เหรอ? นี่หยางชิ่งกำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่? เหมียวอี้ไม่ค่อยเข้าใจ เป็นเพราะความคิดของหยางชิ่งล้ำลึกจนเขาตามทันได้ยาก เขาจึงหยิบระฆังดาราเตรียมจะติดต่อไปถามหยางชิ่งตรงๆ ขี้คร้านจะเดาไปเดามา

“นายท่าน ในเมื่อหยางชิ่งบอกข้าน้อยมาแล้ว ก็คงจะไม่ได้คิดปิดบังนายท่าน เพียงแต่ที่ไม่บอกนายท่านตอนนี้ ก็เพราะเขาอาจจะยังไม่แน่ใจ จะทดสอบก่อน เมื่อได้ข้อสรุปแล้วก็คงจะบอกนายท่านเอง…” หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ กล่าวอย่างลำบากใจ เดาออกแล้วว่าเหมียวอี้ต้องการจะติดต่อหยางชิ่ง

เหมียวอี้มองดูปฏิกิริยาของเขา ลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็อดทนไว้ เก็บระฆังดาราอย่างช้าๆ เพราะหยางชิ่งสั่งให้หยางเจาชิงเก็บเป็นความลับชั่วคราว ถ้าผ่านไปประเดี๋ยวเดียวแล้วขายหยางเจาชิง ก็จะทำให้หยางเจาชิงลำบากใจ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่หยางเจาชิงพูดก็มีเหตุผล หยางชิ่งไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังเขาเช่นกัน

หลังจากเงียบไปสักพัก เหมียวอี้ก็โบกมือบอกว่า “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว เจ้าไปจัดการตามที่เขาบอกก่อนเถอะ”

“ขอรับ!” ไม่ได้รับอนุญาตแล้ว หยางเจาชิงก็เอ่ยรับ ตอนนี้โล่งใจแล้วเช่นกัน นี่ก็คือจุดประสงค์พี่เขาบอกเหมียวอี้ ไม่อย่างนั้นการทำอะไรลับหลังเหมียวอี้แบบนี้ ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาก็จะอธิบายได้ไม่ชัดเจน

หลังจากออกไปแล้ว หยางเจาชิงก็ไปคุยเรื่องนี้กับสวีถังหรานทันที เขาย่อมไม่บอกว่านี่คือความคิดของหยางชิ่ง เพราะสำหรับสวีถังหราน หยางชิ่งประสบเหตุเสียชีวิตไปแล้ว ไม่มีตัวตนอยู่แล้ว

“หา!” หลังจากได้ฟังเรื่องที่ตัวเองต้องทำ สวีถังหรานที่เดิมทีนั่งอย่างสง่าก็ผุดลุกขึ้น ถลึงตาโตถามว่า “ไปหาความสำราญที่หอนางโลมเหรอ? ข้าว่านะหยางเจาชิง จะล้อข้าเล่นหรือเปล่า? นี่มันใช่เรื่องงานที่ไหนกัน!”

หยางเจาชิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามรีบยกการินน้ำชาให้เขา “เจ้าจะร้อนใจอะไร? ข้าจะเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเจ้าเล่นได้ยังไง? ที่ให้เจ้าไปหาความสำราญในหอนางโลมก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดประสงค์ จุดประสงค์ก็คือต้องทำงาน นายท่านทำแบบนี้จะต้องมีจุดประสงค์แน่นอน” เขาไม่ได้บอกตรงๆ ว่าเป็นความคิดของเหมียวอี้ แต่ก็ยังอ้างชื่อเหมียวอี้อย่างอ้อมๆ เขารู้ว่าสวีถังหรานตกหลุมพรางเรื่องนี้ง่ายที่สุด

“เป็นความคิดของนายท่านหรอ?” สวีถังหรานสงบลงในชั่วพริบตาเดียว นั่งลงช้าๆ แล้วยืดคอถาม

“ก็ต้องสงสัยอีกเหรอ? ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ไปถามนายท่านได้เลย” หยางเจาชิงตอบอย่างคลุมเครือ

การรับมือกับสวีถังหราน ขอเพียงอ้างชื่อเหมียวอี้ ทุกอย่างก็จะคุยง่ายแล้ว

หลังจากจัดการสวีถังหรานเรียบร้อย หยางเจาชิงก็รีบติดต่อไปถามหยางชิ่ง ว่าขั้นต่อไปจะให้ทำอย่างไร เมื่อได้รับคำสั่งจากหยางชิ่งแล้ว ก็ไปยังทะเลสาบใต้ดินของตลาดผีผ่านทางลับทันที ดำลงไปในทะเลสาบเพื่อค้นหาแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งตรงจุดที่ระบุไว้ จากนั้นก็รีบกลับไปหาสวีถังหรานอีก

ขั้นตอนนี้เหมือนค่อนข้างซ้ำซากและเกินความจำเป็น แต่หยางชิ่งก็เป็นคนอย่างนี้ ทำงานอย่างระมัดระวังจนติดเป็นนิสัยแล้ว

“ข้าจะบอกจำไว้เลยนะ ห้ามให้เสวี่ยหลิงหลงรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด”

เมื่อเตรียมการทุกอย่างเหมาะสมแล้ว สวีถังหรานที่ปลอมตัวและเตรียมจะออกประตูก็ดึงหยางเจาชิงมาสั่งไว้

หยางเจาชิงรู้สึกแปลกใจ “เจ้าจะมาเสแสร้งทำตัวบริสุทธิ์ต่อหน้าข้าทำไม เจ้ากล้าพูดไหมว่าหลังจากแต่งงานกับเสวี่ยหลิงหลงแล้วไม่เคยไปหอนางโลมอีกเลย? ผู้หญิงที่ชอบถือพัดคนนั้นชื่อว่าอะไรนะ…”

“หุบปาก…” สวีถังหรานพูดตัดบท แล้วเหลียวซ้ายแลขวา ไม่เห็นว่าไม่มีใครได้ยิน ถึงได้ถลึงตาบอกว่า “นั่นเหมือนกันหรอ? เข้าไปส่วนตัวยังปิดบังเองได้ แต่ถ้าไปทำงานสุดท้ายเรื่องนี้ก็อาจจะเปิดโปงก็ได้ อยู่ดีๆ ข้าจะทำให้บ้านตัวเองไม่สงบทำไม? ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นมา เจ้าต้องช่วยเป็นพยานให้ข้า ช่วยยืนยันว่าข้าไปทำงาน”

“เอาล่ะ พอแล้ว รู้แล่้ว ข้าจะช่วยเป็นพยานให้เจ้า”

“ถึงแม้ผู้หญิงในสถานบันเทิงของตลาดผีจะมีเพียงพอ แต่ราคาก็สูงจนเหลวไหล ค่าใช้จ่ายนี้ใครเป็นคนออก?”

“เจ้าไปหาความสำราญ เดี๋ยวต้องให้ค่าช่วยควักเงินให้ด้วยหรอ?”

“เรียกว่าไปหาความสำราญได้ยังไงกัน ข้าไปทำงานนะ!”

“เจ้าอย่ามาพูดเลย เจ้าขาดเงินด้วยหรอ? ในบรรดาลูกน้องทุกคนของนายท่าน มีแค่เจ้าที่กอบโกยเงินโหดที่สุด! อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ เอาแค่ร้านค้าในตลาดสวรรค์ อย่างน้อยเจ้าก็มีสิบกว่าร้านแล้วไม่ใช่เหรอ? หลังจากลูกน้องเก่าของนายท่านที่ตลาดสวรรค์ในปีนั้นแยกย้ายกันไปตามตลาดสวรรค์ดาวต่างๆ เจ้าก็เหมือนจะไม่พลาดสักคน ไปติดต่อสร้างเส้นสายเอาไว้หมด ไหนเจ้าลองบอกมาซิว่าใช้เส้นสายนี้สร้างร้านค้าไว้กี่ร้านแล้ว? ทั้งเรื่องขาดคุณธรรมยิบย่อยที่บอกใครไม่ได้อีก เจ้าลองบอกมาซิว่าหลายปีมานี้เจ้ากอบโกยเงินได้เท่าไหร่แล้ว?”

“เหลวไหล! ข้าจะเอาเงินจากไหนมาซื้อร้านค้าเยอะขนาดนั้น? จะสาดโคลนกันก็ต้องมีเหตุผลบ้างสิ ไม่ใช่อ้าปากก็พูดเลย มีสมองหน่อยได้ไหม?”

“อย่ามาเสแสร้งกต่อหน้าข้าเลย! เจ้าแอบหาเส้นสายเพื่อเอาสิทธิ์ซื้อขายของร้านค้ามา แล้วก็ให้หวงเสี้ยวเทียนช่วยรวบรวมเงินให้เจ้า แล้วเงินนั่นรวบรวมมายังไงล่ะ? หลอกคนกลุ่มหนึ่งให้รวมเงินกันซื้อร้านค้า เพราะอีกฝ่ายจ่ายเงินแล้ว เจ้าก็ใส่ร้ายแล้วเรียกกำลังพลของทางการมาจับกุมคนพวกนี้ จากนั้นก็ฮุบร้านค้าพวกนั้นไว้คนเดียว จะคิดว่าข้าไม่รู้เหรอ?”

“หยางเจาชิง มารดาเจ้าเถอะ นี่เจ้ากำลังใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าพูดซี้ซั้ว!”

“หลักฐานหรอ? ขอเพียงเป็นร้านค้าที่มีเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับเจ้า กลุ่มคนที่เจ้าเรียกว่าผู้ร่วมหุ้นล้วนถูกจับข้อหาครอบครองสิ่งผิดกฎหมายไปหมดแล้ว มีเรื่องบังเอิญแบบนั้นเสียที่ไหนกัน? หรือไม่พวกเราไปหานายท่านไหมล่ะ ให้นายท่านสั่งลูกน้องเก่าพวกนั้นให้ตรวจสอบสักหน่อย? ข้าว่าน่ะสวีถังหราน เจ้านี่ดำมืดใช้ได้เลย โหดพอตัว คนอื่นเขารวบรวมเงินช่วยซื้อร้านค้าให้เจ้า เจ้าไม่ขอบคุณพวกเขาก็ว่าแย่แล้ว ทั้งยังจะเอาชีวิตพวกเขาอีก จำไม่ได้จ่ายเหรียญทผลึกเลยสักก้อน จะได้ธุรกิจมากมายขนาดนั้นมาด้วยมือเปล่า ข้าว่าทั้งจวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็มีเจ้านี่แหละที่รวยสุด!”

“พอๆๆ นี่เจ้ากำลังใส่ร้ายข้า เขาอยากจะถือสาเจ้าหรอกนะ” สวีถังหรานกินปูนร้อนท้อง น้ำเสียงอ่อนลงอย่างชัดเจน

“พูดมากอะไรอยู่ได้ รีบไป!” หยางเจาชิงผลักเขาอย่างทนรำคาญไม่ไหว

พอออกจากจวนแม่ทัพภาคแล้ว สวีถังหรานก็รู้สึกไม่ค่อยสงบใจ กลุ้มใจนิดหน่อย หยางเจาชิงมันรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกัน?

แต่พอคิดไปคิดมาก็เดาได้ไม่ยาก เส้นสายที่ตัวเองผูกไว้ล้วนเป็นลูกน้องเก่าของนายท่าน หลังจากนำรายงานสถานการณ์ของที่ต่างๆ รวมกันแล้ว ก็เดาได้ง่ายมากว่าในนั้นมีเงื่อนงำ แต่ก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าหยางเจาชิงจะพูดแรงขนาดนั้น ถ้าไม่ได้จ่ายเหรียญผลึกสักก้อนแล้วจะจัดการได้อย่างไร เขาเองก็จ่ายเงินใต้โต๊ะไปไม่น้อยเหมือนกัน

แต่สิ่งนี้ไม่ได้สำคัญเลย เพราะสิ่งที่สวีถังหรานกังวลก็คือ ขนาดหยางเจาชิงยังรู้หมดแล้ว คาดว่านายท่านก็ต้องรู้ตั้งแต่แรกแล้วแน่นอน เพียงแต่ที่ผ่านมายังไม่เคยเปิดโปงก็เท่านั้นเอง

เขาพอจะเข้าใจแล้ว ว่าทำไมเหมียวอี้จึงต้องให้เขาไปหาร้านค้าที่ตลาดผี

“เฮ้อ!” สวีถังหรานแอบถอนหายใจ จากนั้นก็มองซ้ายมองขวา เขาคุ้นเคยกับหอนางโลมแต่ละแห่งในตลาดผีดีมาก ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เขาคือแขกประจำของหอนางโลม แม่นางของหอไหนดี แม่นางของหอไหนเด็ดอย่างไร เขาก็รู้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน

อันที่จริงแล้ว เวลาเขาไปหอนางโลมก็ไม่ต้องจ่ายเงินเลย เมื่อก่อนเขายังไม่รู้ แต่หลังจากแต่งงานกับเสวี่ยหลิงหลงจนมีข่าวลือในทางที่ดีเกี่ยวกับเขาแล้ว เขาถึงได้รู้ว่าตัวเองชื่อเสียงโด่งดังมากที่หอนางโลม หอนางโลมในใต้หล้าลั่นวาจาแทบทุกแห่ง ว่าสวีถังหรานคือแขกผู้มีเกียรติหมายเลขหนึ่ง ขอเพียงเขายอมมาใช้บริการ ก็ไม่ต้องเก็บค่าใช้จ่ายเลย

สิ่งนี้ทำให้สวีถังหรานหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก มารดาเจ้าเถอะ ใครมันจะไปหอนางโลมแล้วประกาศฐานะของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยสถานการณ์ของตลาดผี เขาก็ยิ่งไม่สะดวกจะเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ขนาดมีโอกาสเอาเปรียบแล้วยังทำไม่ได้เลย ทำให้เขาว้าวุ่นใจจริงๆ

“หอสามจันทรา” เมื่อเห็นชื่อก็รู้ถึงความหมาย ฤดูกาลบุปผาแรกแย้ม ทิวทัศน์ข้างในหอจะต้องยั่วยวนใจคนแน่นอน

สวีถังหรานเดินมาถึงใต้ป้ายชื่อของหอนางโลมที่เขาชอบที่สุดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพียงแต่เมื่อก่อนดำน้ำมาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ทว่าครั้งนี้เดินดุ่มๆ ออกมาจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผีโดยตรง

ข้างในมีเสียงขลุ่ยไพเราะปนเสียงร้องเพลงดังมา ทำให้เขาทนเกรงใจไม่ไหว แม่นางหลายคนที่เต้นระบำเรียกแขกเป็นฝ่ายมากอดเขาเข้าไปข้างในแล้ว…

หยางเจาชิงที่เพิ่งเดินออกมาจากทางน้ำรู้สึกแปลกนิดหน่อย เขาหันกลับไปมองชายที่ขึ้นจากผิวน้ำและตามตัวเองมา นี่คือคนที่เหมียวอี้สั่งให้เขาออกจากทางลับมารับตัว เขารู้สึกว่าคุ้นตามาก พอถอดหนังหน้าปลอมออก ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็คล้ายกับเหยียนซิว

แต่ถ้าเป็นเหยียนซิวจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาออกมารับ เพราะเหยียนซิวรู้ว่าจะเข้าออกทางลับดีอย่างไร แต่ถ้าจะบอกว่าไม่ใช่เหยียนซิว แต่ทางลับนี้ก็เปิดเผยให้คนนอกรู้ไม่ได้

ตอนเดินออกจากทางลับจนใกล้จะเข้าจวนแม่ทัพภาค จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงดัง “แคว่ก”

หยางเจาชิงหันกลับไปมองอีกครั้ง ทำให้ตะลึงงันทันที เห็นอีกฝ่ายดึงหนังปลอมบนใบหน้าออกแล้ว เผยใบหน้าชราออกมา ถ้าไม่ใช่เหยียนซิวแล้วจะเป็นใครไปได้?

แต่ไม่นานก็พบความไม่ชอบมาพากล ใบหน้าน้ำนั้นปลอมแปลงกันได้ แต่ลักษณะเย็นเยียบพิศวงของเหยียนซิวกลับเลียนแบบกันไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น อย่างน้อยคนคนนี้ก็ไม่มีสิ่งนี้บนตัว

ตอนออกจากทางลับมาแล้ว ในใจเขาก็เต็มไปด้วยความสงสัย เขาพา ‘เหยียนซิว’ เดินเข้าจวนแม่ทัพภาคอย่างโจ่งแจ้ง เดินตรงเข้าไปที่ห้องเหมียวอี้แล้ว

เคาะประตูห้องแล้วเข้าไป พอเจอเหมียวอี้ หยางเจาชิงก็ทำความเคารพ “นายท่าน พาตัวมาแล้วขอรับ…” เขาอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง อยากถามว่า ‘เหยียนซิว’ คนนี้เป็นอะไรไป

เหมียวอี้จ้องประเมิน ‘เหยียนซิว’ ศีรษะจดเท้า แล้วยกมือบอกใบ้ให้หยางเจาชิงออกไป

ตอนที่ออกไป หยางเจาชิงพบว่า ‘เหยียนซิว’ มองสำรวจไปทั่วห้องอย่างสบายใจ สิ่งนี้ทำให้เขายิ่งแน่ใจว่าคนคนนี้ไม่ใช่เหยียนซิว เพราะเหยียนซิวไม่มีทางทำอย่างนี้

พอปิดประตูแล้ว ในห้องก็ไม่มีคนนอก

เหมียวอี้เดินมานั่งด้านหลังโต๊ะยาว วางสองมือลงบนโต๊ะ ใช้นิ้วทั้งห้าเคาะที่ผิวโต๊ะเบาๆ พร้อมจ้องทุกความเคลื่อนไหวของ ‘เหยียนซิว’

‘เหยียนซิว’ เดินเพ่นพ่านทั่วห้องยังไม่เกรงกลัวอะไร เดี๋ยวลูบคลำสิ่งนั้น เดี๋ยวพลิกดูสิ่งนี้ แล้วสุดท้ายก็ยืนหันข้างหน้าโต๊ะยาว เอียงหน้ามองเหมียวอี้ พร้อมถามหาด้วยเสียงแหบพร่า “มีเรื่องอะไรทำไมคุยในระฆังดาราไม่ได้ จะต้องเรียกข้ามาให้ได้เชียวเหรอ? มีอะไรก็รีบพูดมา ข้ากำลังยุ่ง”

เหมียวอี้หยุดเคาะโต๊ะ แล้วถ่ายทอดเสียงกล่าวช้าๆ ว่า “ส่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แปดล้านคันกับเครื่องแบบตำหนักสวรรค์มาให้ข้า ข้าต้องใช้!”

เหยียนซิวหัวเราะหึหึ แล้วบอกว่า “เจ้าจะให้ข้านำออกมาเหรอ ข้าเอาออกมาได้เหรอ? ของพวกนี้ใช้เงินประเมินไม่ได้ แน่นอน ถ้าเจ้าจ่ายไหว ข้าก็ไม่ถือสาที่จะขายให้เจ้า”

“เงินน่ะ! ข้าให้เจ้าไม่ได้หรอก แต่ของน่ะ เจ้าต้องให้ข้า!” เหมียวอี้กล่าว

เหยียนซิวราวกับได้ฟังเรื่องตลกมาก แสยะยิ้มแล้วถามว่า “มีสิทธิ์อะไร?”

“ก็ไม่มีอะไรหรอก สิทธิ์ที่ข้าเป็นเจ้านายของเจ้าไง!” เหมียวอี้กล่าวอย่างใจเย็น

…………………………

เมื่อชี้แนะเล็กน้อย เปิดเผยให้รู้เล็กน้อย เว่ยซูก็เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ไม่น่าเชื่อว่าหลักการจะเรียบง่ายขนาดนี้ ส่งคนที่ไม่ค่อยฉลาดเข้าวัง ก็เพื่อให้สะดวกต่อการควบคุมนี่เอง

แต่พอลองคิดดูให้ละเอียด ก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป หลังจากที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ให้กำเนิดลูกชายแล้ว นางจะยืนอยู่ฝั่งลูกชายหรือฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วล่ะ? ในนั้นมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เด่นชัดเกินไป สงสัยฝ่ายนี้จะเตรียมวางแผนระยะยาวไว้ตั้งแต่ก่อนจะส่งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าวังแล้ว

เพียงแต่คำว่า ‘ซื่อบื้อ’ นั้นทำให้เว่ยซูรู้สึกอับอายจนปาดเหงื่อจริงๆ การที่เซี่ยโห้วหลิงกล่าวเช่นนี้ออกมาได้ ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยพอใจเซี่ยโห้วเฉิงอวี่สักเท่าไร ถ้าให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มาได้ยินคำพูดแบบนี้ ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่านางจะประสาทเสียขนาดไหน

เว่ยซูเหลือบมองปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วท่าเงียบๆ พบว่ายังคงหรี่ตาดื่มด่ำกับอาหารที่เคี้ยวอยู่ในปากเหมือนเดิม

“ทำไมล่ะ รสชาติปลาที่ข้าปรุงไม่อร่อยเหรอ?” เซี่ยโห้วหลิงชี้ตะเกียบในมือไปที่อาหารเลิศรสหลากสีสันบนถาดอาหาร เปลี่ยนประเด็นสนทนาแล้ว

เว่ยซูยิ้มเจื่อน “ฝีมือของคุณชายรองดีว่าข้าเป็นร้อยเท่า” ขณะที่พูดก็ถือตะเกียบไปคีบอาหาร

“คำกล่าวนี้คือความจริง!” เซี่ยโห้วหลิงหัวเราะลั่น

เว่ยซูหัวเราะตาม แต่ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า ลักษณะที่เป็นมิตรเข้าถึงง่ายของคุณชายรองท่านนี้ทำให้เขารู้สึกหวาดระแวงแปลกๆ เขาก็อธิบายไม่ถูกเช่นกันว่าเพราะอะไร นายท่านเซี่ยโห้วท่าทำให้เขารู้สึกถึงความลึกล้ำ จะเรียกว่าล้ำลึกคาดเดายากก็ได้ ทว่าคุณชายรองท่านนี้กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนว่า ‘ถ้าเจ้าหันหลังเมื่อไร อีกฝ่ายจะจ้องอยู่ข้างหลังเจ้าอย่างเย็นเยียบ ทำให้เจ้าขนลุกโดยไม่รู้ตัว’

แน่นอน นี่เป็นเป็นความรู้สึกที่ไร้หลักฐานอ้างอิงของเขาเท่านั้น…

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในตำหนักใหญ่ที่ประตูหน้าต่างแทบจะถูกปิดหมด แสงสว่างไม่ค่อยเพียงพอ ทำให้ดูเงียบขรึมเล็กน้อย อิ๋งจิ่วกวงกำลังนั่งอยู่ข้างในด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่สายตาวูบไหวมืดครึ้ม

จั่วเอ๋อร์ยืนก้มหน้าเล็กน้อยอยู่เบื้องล่าง นางเพิ่งจะรายงานสถานการณ์ในวังให้ท่านอ๋องฟัง ดูจากความนิ่งเงียบของท่านอ๋อง นางก็รู้สึกได้ว่าท่านอ๋องกำลังซ่อนความเดือดดาลไว้ในใจ

จุดประสงค์ที่ตระกูลอิ๋งส่งจ้านหรูอี้เข้าวังคืออะไร? ก็เพราะหวังให้จ้านหรูอี้แสดงบทบาทต่อหน้าประมุขชิงยามถึงเวลาสำคัญไม่ใช่เหรอ แต่ตอนนี้กลับถูกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไล่ออกจากวัง จะกลับไปได้เมื่อไรก็ยังไม่รู้เลย ถ้าออกห่างจากประมุขชิงนานเกินไป ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าจะรักษาความสัมพันธ์ได้นานเท่าไร

จู่ๆ อิ๋งจิ่วกวงที่อยู่ในความเงียบก็เอ่ยขึ้นว่า “แน่ใจนะว่าเป็นประสงค์ของประมุขชิง ที่บอกว่าถ้าไม่มีคำสั่งก็ห้ามกลับวัง?”

จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “ทุกคนต่างรู้ว่าประมุขชิงโปรดปรานสนมสวรรค์ น่าจะไม่เปลี่ยนเป็นไร้ไมตรีขนาดนี้โดยไร้เค้าลาง มีความเป็นไปได้สูงว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถือโอกาสเล่นงาน”

“แล้วทำไมสนมสวรรค์ไม่กลับมาเยี่ยมข้าที่จวนท่านอ๋องก่อน?” อิ๋งจิ่วกวงถามอย่างสงบนิ่ง

“ได้ยินว่าราชินีสวรรค์สั่งให้นางกลับบ้านเดิมทันที สนมสวรรค์ไม่อยากให้ราชินีสวรรค์จับจุดอ่อนอะไรนางได้ จึงกลับจวนท่านโหวไปก่อนแล้ว” จั่วเอ๋อร์ตอบ

“แล้วที่นี่ไม่ใช่บ้านเดิมของนางรึไง?” อิ๋งจิ่วกวงทำเสียงฮึดฮัด แต่ก็ไม่มีอารมณ์จะต่อความยาวสาวความยืดเรื่องนี้อีก เปลี่ยนประเด็นสนทนาแล้ว “ไม่รู้ว่าเจ้าเวรน่ารำคาญใจที่ตลาดผีนั่นจะกล้าลงมือกับอิ๋งหยางจริงหรือเปล่า ถึงยังไงตาแก่โค่วก็ไม่สนใจจะปกป้องเขาแล้ว ให้โอกาสเขาได้จบเรื่องนี้เร็วๆ เถอะ จำไว้ว่าอย่าให้ตาแก่โค่วจับจุดอ่อนอะไรได้เด็ดขาด”

จั่วเอ๋อร์เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้น นางพยักหน้าเอ่ยรับ “รับทราบ!”

วันต่อมา อิ๋งหยางเดินออกจากห้องสมาธิ แล้วมุ่งตรงไปยังห้องของบิดา

ห้องหนังมือค่อนข้างใหญ่ บนชั้นหนังสือหลายแถวเต็มไปด้วยคัมภีร์โบราณ อิ๋งหยางเข้ามาแล้วมองซ้ายมองขวา เมื่อมองไม่เห็นใคร ก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนถาม “ท่านพ่อ”

“ตรงนี้” ตรงจุดลึกของห้องหนังสือมีเสียงของอิ๋งอู๋หม่านตอบกลับมา

อิ๋งหยางเดินอ้อมชั้นหนังสือไปหลายแถว พอเจออิ๋งอู๋หม่านที่หลบอ่านหนังสืออยู่ข้างหลัง ก็กุมหมัดคารวะแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าท่านพ่อมีเรื่องอะไรจะกำชับ?”

อิ๋งอู๋หม่านเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง พร้อมถือโอกาสวางหนังสือกลับไปบนชั้นวาง แล้วเอามือไขว้หลังเดินออกมาพลางบอกว่า “เหมือนเจ้าจะไม่ได้ไปออกล่าที่น้ำพุวังเวงนานแล้วสินะ? ออกไปเที่ยวสักหน่อยก็ได้”

ที่เรียกว่า ‘ออกล่าที่น้ำพุวังเวง’ ก็เหมือนกับชื่อ คือการไปออกล่าที่น้ำพุวังเวง เหมือนเขาภูตพเนจรที่ตั้งชองตลาดผี น้ำพุวังเวงอยู่ที่แดนรัตติกาลเช่นเดียวกัน เพียงแต่น้ำพุวังเวงอยู่ลึกตรงบริเวณใจกลางแดนรัตติกาล ที่นั่นมีของแปลกอยู่จำนวนหนึ่ง คนทั่วไปไม่กล้าไปที่นั่นเพราะมีอันตราย แต่ลูกหลานผู้มีอำนาจอย่างอิ๋งหยางต้องการความตื่นเต้นเร้าใจ บางครั้งก็จะไปล่าของแปลกพวกนั้น

“…” อิ๋งหยางงงนิดหน่อย “ท่านพ่อสั่งให้ข้าพยายามเก็บตัวฝึกตนอยู่ในบ้านไม่ใช่เหรอ?”

“มีหย่อนบ้างตึงบ้างจะเป็นผลดีต่อการฝึกตนมากกว่า เวลาที่ควรจะผ่อนคลาย ข้าก็ไม่ห้ามเจ้าเช่นกัน ไปเถอะ” อิ๋งอู๋หม่านกล่าวเสียงเรียบโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา

“ท่านพ่อบอกว่าหนิวโหย่วเต๋ออยากจะฆ่าข้าไม่ใช่เหรอ?” อิ๋งหยางลังเลนิดหน่อย

“งั้นก็ปล่อยให้เขาฆ่าไปสิ” อิ๋งอู๋หม่านกล่าว

“หา…” อิ๋งหยางนึกว่าตัวเองฟังผิดไป เขาหยุดเดินแล้วเบิกตากว้าง

อิ๋งอู๋หม่านที่เดินไปถึงมุมชั้นหนังสือหันตัวมา แล้วเอียงหน้าบอกว่า “ถ้าไม่ให้โอกาสเขาฆ่า แล้วจะจบเรื่องนี้ได้ยังไง? ข้ากลัวก็แต่ว่าเขาจะไม่มีความกล้านั้น!”

อิ๋งหยางที่กำลังงุนงงเผยสีหน้ากระจ่างในฉับพลัน เข้าใจแล้ว…

ดาวหยกงาม ในจวนอ๋องสวรรค์ บนสะพานโค้ง โค่วหลิงซวีกำลังกำอาหารปลาโยนลงน้ำ ทำให้สิ่งที่อยู่ใต้น้ำแย่งกันกินจนผิวน้ำมีละอองน้ำกระเด็น

โค่วเจิงกับถังเฮ่อเหนียนยืนอยู่ทางซ้ายและขวา หลังจากโค่วเจิงรายงานเรื่องที่อิ๋งหยางจะไปออกล่าที่น้ำพุวังเวงแล้ว ก็ถามว่า “ท่านพ่อ ต้องบอกหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า?”

โค่วหลิงซวีกำลังมีความสุขอยู่กับตัวเอง โปรยอาหารปลาในมือโดยไม่พูดอะไรตอบ กลับเป็นถังเฮ่อเหนียนที่เอามือขยี้หนวดพร้อมถามอย่างลังเล “คุณชายใหญ่ ยืนยันได้หรือว่าอิ๋งหยางออกล่าที่น้ำพุวังเวง?”

“น่าจะไม่ผิดพลาด ตามที่ได้รับข่าวมา เขากำลังชวนสหายไปด้วยกัน” โค่วเจิงพยักหน้า

ถังเฮ่อเหนียนมองไปที่โค่วหลิงซวี “นายท่านบอกอิ๋งจิ่วกวงไว้อย่างชัดเจนแล้ว ว่าข้อตกลงระหว่างตึกศาลาสัตยพรตกับพวกเราเพิ่งจะสิ้นสุด ทางนั้นก็มีข่าวเรื่องออกล่าที่น้ำพุวังเวงออกมา นี่คือการวางกับดักรอเหยื่อ!”

โค่วหลิงซวีโยนอาหารในมือ จะใช้สองมือประคองระเบียง ก้มหน้ามองเงาที่เคลื่อนไหวในน้ำ พร้อมกล่าวอย่างใจเย็น “คำนวณผิดพลาดชั่วคราว ยากที่จะกอบกู้คืนมา ประมุขชิงไม่มีทางปล่อยให้เขาออกจากตลาดผี ตัดขาดให้เร็วๆหน่อยก็แล้วกัน ตอนหลังจะได้ไม่ถูกคนนำมากล่าวหา เจ้าใหญ่ รายงานความเคลื่อนไหวของอิ๋งหยางให้ทางตลาดผีรู้เถอะ”

โค่วเจิงกับถังเฮ่อเหนียนหนังตากระตุกพร้อมกัน สบตากันอย่างเงียบๆ ต่างก็รู้ว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร

“รับทราบ!” โค่วเจิงกุมหมัดเอ่ยรับ น้ำเสียงค่อนข้างกดดัน

แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง บนตึกศาลาเล็กในลานบ้าน สามารถมองเห็นทิวทัศน์ทะเลกว้าง

ตึกศาลาเล็กนี้จินม่านสั่งให้คนปรับปรุงซ่อมแซมใหม่ นางเห็นว่าหยางชิ่งชอบมองทะเลตอนที่ครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ ถึงได้สั่งให้คนสร้างตึกศาลาที่สามารถบังลมบังฝนบังแดดเอาไว้ให้หยางชิ่งใช้งาน

สิ่งนี้ตรงใจหยางชิ่งเช่นกัน หยางชิ่งมักจะอยู่ในนี้บ่อยๆ ส่วนจินม่านก็มักจะมาคุยงานกับหยางชิ่งที่นี่ ยกตัวอย่างเช่นวันนี้

หลังจากได้รู้ความเคลื่อนไหวของอิ๋งหยาง หยางชิ่งก็ขมวดคิ้วถามว่า “ออกล่าที่น้ำพุวังเวง?”

เขารู้ว่าเหมียวอี้อยากจะลงมือกับคนพวกนี้ที่ฐานในตลาดผี จุดแรกที่จะลงดาบก็คือบนตัวอิ๋งหยาง ดังนั้นเขาจึงจับตาดูความเคลื่อนไหวของอิ๋งหยางเช่นเดียวกัน ถึงแม้หกลัทธิที่อยู่ในอาณาเขตตำหนักสวรรค์จะไม่เป็นโล้เป็นพายไปแล้ว แต่ถ้าจะบอกว่าไม่มีสายลับเลยสักนิดนั้นเป็นไปไม่ได้ เรื่องที่ปิดบังไว้อาจจะสืบไม่เจอ แต่เรื่องที่อิ๋งหยางจะไปออกล่าที่น้ำพุวังเวงครั้งนี้เหมือนจะไม่ใช่ความลับอะไร กำลังเชิญชวนสหาย ถ้าฝั่งหกลัทธิตั้งใจจะสืบ ก็เป็นเรื่องยากที่จะไม่รู้

“ใช่แล้ว!” จินม่านที่นั่งอยู่ตรงข้ามพยักหน้าตอบ

หยางชิ่งลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ แล้วเดินไปทอดสายตามองทะเลกว้างตรงริมหน้าต่าง

จินม่านที่นั่งเงียบอยู่ที่เดิมมองตาม มองดูเงาหลังของเขา เห็นเขาหยิบระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน

หยางชิ่งกำลังติดต่อกลับเหมียวอี้ หลังจากสัญญาณติดแล้ว ก็ถามไปตรงๆ เลยว่า : นายท่านรู้เรื่องที่อิ๋งหยางจะไปออกล่าที่น้ำพุวังเวงหรือเปล่า?

เหมียวอี้ : เจ้านี้ข่าวไวมากเลยนะ ข้าเองก็เพิ่งรู้ได้ไม่นาน ตระกูลโค่วเพิ่งจะบอกข้า นี่คือโอกาสดีที่จะกำจัดอิ๋งหยาง

หยางชิ่งตกใจมาก รีบถามผ่านระฆังดารา : นายท่านไม่รู้สึกว่าการออกล่าที่น้ำพุวังเวงครั้งนี้มาได้เวลาเกินไปเหรอ? ข้อตกลงระหว่างตระกูลโค่วกับตึกศาลาสัตยพรตเพิ่งจะจบลง ก็ไม่รู้เรื่องออกล่าโผล่มาทันที ถ้าจะบอกว่าตระกูลโค่วไม่สงสัยเลยว่านี่คือกับดัก ข้าไม่เชื่อหรอก! รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นกับดัก แต่ก็ยังบอกนายท่าน ตระกูลโค่วเปิดเผยเจตนาที่จะทิ้งในท่านชัดเจนแล้ว ท่านยังจะกระโจนเข้าหาอันตรายอีกหรอ?

เหมียวอี้ช้อนสายตาขึ้นมองแสงโคมไฟของตลาดผีนอกหน้าต่าง สายตาเงียบขรึม เขาเริ่มคุ้นชินกับการถูกทรยศแล้ว ไม่โมโหง่ายๆ อีก หลังจากได้รู้เรื่องแล้วก็มีแต่ยิ่งสงบใจกว่าเดิม ตอบกลับว่า : ข้าเดาเจตนาของตระกูลโค่วออกแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก คำมั่นใจว่าจะซ้อนแผนกำจัดอิ๋งหยางได้

หยางชิ่งร้อนใจแล้ว : ผู้มีเงินทองยอมไม่เฉียดเข้าใกล้ชายคาบ้าน! นายท่านเดินมาถึงทุกวันนี้แล้ว ถ้าพุ่งออกหน้าไปเสี่ยงต่อสู้เข่นฆ่าอีกนั้นไม่เหมาะสมเลย ในเมื่ออำนาจของตระกูลอิ๋งตั้งใจจะวางกับดัก ก็จะต้องไม่ปรานีแน่นอน นายท่านได้โปรดใคร่ครวญ อย่ารีบร้อนลงมือตอนนี้!

เหมียวอี้ : ครั้งนี้ข้าต้องการใช้กำลังปะทะเพื่อทำลายพวกเขา เจ้าวางใจเถอะ อาจจะไม่ต้องลงมือเองก็ได้!

สรุปก็คือพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ เหมียวอี้ดูเหมือนมีความมั่นใจมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาความมั่นใจมากขนาดนี้มาจากไหน หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว หยางชิ่งก็หลับตาเอามือนวดหน้าผาก แล้วหันตัวช้าๆ เอาหลังพิงขอบหน้าต่าง สีหน้ากลัดกลุ้มกังวลใจ ถึงขั้นดูขื่นขมทรมานอยู่หลายส่วน

“ผู้ช่วยใหญ่ เจ้าเป็นอะไรไป?” จินม่านตกใจ รีบเข้ามาประคองแขนเขา

หยางชิ่งพยายามออกแรงส่ายหน้า หลังจากลืมตาแล้วก็ผลักแขนจินม่านออก “ข้าไม่เป็นอะไร!”

นี่ยังบอกว่าไม่เป็นอะไรอีกหรอ? จินม่านเบิกตากว้างมองใบหน้าซีดขาวของเขา สงสัยนิดหน่อยว่าเขาป่วยแล้วหรือเปล่า แต่ปกติแล้วนักพรตป่วยได้ด้วยหรอ?

หยางชิ่งที่ใช้มือประคองหน้าต่างยืนหลับตาใช้สมาธิครุ่นคิดอีกพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ลืมตาแล้วหันกลับมาถาม “ข้าจำได้ว่าครั้งก่อน เหมือนเจ้าจะบอกว่ามีของอะไรสักอย่างที่สามารถป้องกันการยั่วยวนจากระบำมารสวรรค์ได้?”

จินม่านไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเอ่ยเรื่องนี้ นางพยักหน้าตอบว่า “กล้วยไม้สำรวมใจ ถ้ากินไว้ล่วงหน้าจะสามารถต้านทานการยั่วยวนของระบำมารสวรรค์ได้ ต้องกินก่อนเท่านั้น ถ้ากินทีหลังไม่มีประโยชน์”

“หาที่ตลาดผีได้หรือเปล่า?” หยางชิ่งซักไซ้

จินม่านลองนึกดู แล้วตอบอย่างลังเลว่า “น่าจะหาได้นะ ถึงแม้จะพบเห็นสิ่งนี้ได้น้อย แต่ก็ไม่ใช่ของที่หายากอะไรมาก”

หยางชิ่งบอกทันทีว่า “ดี! บอกให้คนของหกลัทธิที่ตลาดผีรีบหาทางนำของสิ่งนี้มาให้เร็วที่สุด ข้ารีบใช้!”

หลังจากนั้นไม่กี่วัน หยางเจาชิงที่อยู่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็เดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูห้องเหมียวอี้ เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างลังเล แต่สุดท้ายก็แข็งใจเคาะประตู

เหมียวอี้กำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องลืมตาขึ้น พอเห็นหยางเจาชิงเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก็ถามว่า “มีเรื่องอะไร?”

หยางเจาชิงตอบอย่างลังเลว่า “เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ หยางชิ่งเพิ่งจะติดต่อกับข้าน้อย บอกว่าจวนแม่ทัพภาคป้องกันเข้มงวดเกินไป ต้องการให้ค่าเปิดช่องโหว่สักหน่อย ให้ค่ะข้าส่งสวีถังหรานไปหาความสำราญที่หอนางโลมทุกๆ สามวัน”

เหมียวอี้งงทันที แล้วถามด้วยความสงสัย “ให้สวีถังหรานไปหาความสำราญที่หอนางโลมเหรอ?”

หยางเจาชิงพยักหน้า “ขอรับ ไปหอนางโลม หยางชิ่งเน้นย้ำมาด้วย ว่าเวลากระชั้นชิดเกินไป ถ้าไปที่อื่นอาจจะได้ผลช้า จะต้องให้สวีถังหรานไปที่หอนางโลมให้ได้ ข้าถามเขาว่าหมายความว่าอะไร เขาบอกว่าตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ มีแต่ต้องให้สวีถังหรานไปหยั่งเชิงเท่านั้น ให้ข้าอย่าเพิ่งบอกนายท่าน รอให้ได้ข้อสรุปก่อนแล้วค่อยบอก”

…………………………

“เอ่อ…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำท่าเหมือนค่อนข้างลำบากใจ นางกำลังสังเกตสีหน้าของประมุขชิง

“เอาล่ะ เอาตามนี้แล้วกัน” ประมุขชิงยืนยัน

“หม่อมฉันน้อมรับคำสั่ง!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอ่ยรับอย่าง ‘ฝืนใจ’ แต่ที่จริงในใจปลาบปลื้มแทบแย่ ในที่สุดก็ไล่นางตัวดีนั่นออกจากวังได้แล้ว ตั้งแต่ในท้องนางมีมนุษย์ตัวน้อย ทั้งวังสวรรค์ก็เรียกได้ว่าไม่มีใครกล้ามาลูบคมดาบนางเลย แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังยอมถอยให้นางสามส่วน นี่ต่างหากความรู้สึกของการเป็นมารดาแห่งใต้หล้าอย่างแท้จริง

ภายนอกดูไม่ออกว่าในใจประมุขชิงมีความคิดเป็นอย่างไร แต่ครั้งนี้อยู่ที่ตำหนักนารีสวรรค์ได้ไม่นาน มาพักอยู่ที่นี่ประเดี๋ยวเดียวก็บอกว่ามีธุระออกไปแล้ว

หลังจากน้อมส่งประมุขชิงออกไป เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็คาดเดาได้ว่าการที่นางทำอย่างนี้ทำให้ประมุขชิงไม่ค่อยพอใจ แต่นางไม่กลัวประมุขชิงจะมาคิดบัญชีย้อนหลังเลยจริงๆ หลังจากเด็กน้อยออกมาจากท้องแล้ว นางก็ยังกำจัดเสนียดจัญไรได้เหมือนเดิม!

“ได้ยินคำพูดของฝ่าบาทแล้วใช่มั้ย?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เก็บสายตากลับมาจากข้างนอก แล้วเอียงหน้ามองเอ๋อเหมยที่อยู่ข้างกาย “เจ้าไปถ่ายทอดคำสั่งที่ตำหนักบูรพาด้วยตัวเอง เดี๋ยวนี้!”

“แล้วควรจะบอกจุดประสงค์ว่าอย่างไรเพคะ?” เอ๋อเหมยลังเลนิดหน่อย

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แสยะยิ้ม “เจ้าก็บอกนางตัวดีนั่นไปตรงๆ เลย ว่าฝ่าบาทต้องการให้ข้าตั้งครรภ์อย่างสงบสุข ให้นางกลับไปรออยู่ที่บ้านเดิมของตัวเอง ไสหัวไปเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีคำสั่งก็ห้ามกลับมาที่วังสวรรค์!”

“เพคะ!” เอ๋อเหมยเอ่ยรับคำสั่ง จากนั้นก็เรียกนางในสองคนให้ออกไปด้วยกัน

หลังจากมาถึงตำหนักบูรพา เอ๋อเหมยก็ย่อมไม่ถ่ายทอดคำสั่งต่ออย่างหยาบคายขนาดนั้น แต่ก็ไม่ต่างจากความหมายและคำพูดเดิมสักเท่าไร เพื่อให้ราชินีสวรรค์ตั่งครรภ์อย่างสงบสุข สั่งให้สนมสวรรค์จ้านหรูอี้กลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านตัวเองเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีคำสั่งก็ห้ามกลับมาที่วังสวรรค์

“หม่อมฉันน้อมรับคำสั่ง” จ้านหรูอี้ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ คำนับอย่างเนิบนาบ เอ่ยรับอย่างใจเย็น

แต่สำหรับคนของตำหนักบูรพา สิ่งนี้กลับสะเทือนใจเป็นอย่างมาก!

โดยเฉพาะหยินซวงกับไป๋เสวี่ยที่เป็นสาวใช้ประจำตัว สิ่งนี้ทำให้พวกนางเดือดดาลมากจริงๆ มีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้กลับบ้านเดิมตัวเองเพื่อให้ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์อย่างสงบสุข นี่ไม่ใช่การสร้างความอัปยศหรอกหรือ? มิหนำซ้ำ ทั้งสองก็ไม่เชื่อเลยว่าราชันสวรรค์จะออกคำสั่งนี้กับสนมสวรรค์ได้!

“เหนียงเหนียง บ่าวไม่เชื่อว่าฝ่าบาทจะออกคำสั่งอย่างนี้ บ่าวจะไปขอหลักฐานจากฝ่าบาท!” หยินซวงยืนตัวตรงแล้วกล่าวด้วยสีหน้าคับแค้น

แต่ใครจะคิดว่าพอเอ๋อเหมยเอียงหน้ามองมา ก็มีนางในสองคนมาขวางทางหยินซวงทันที ขวางไม่ให้นางไป

“ข้าต้องไปพบฝ่าบาท พวกเจ้าจะขวางข้าทำไม? หรือว่าไม่บริสุทธิ์ใจ?” หยินซวงถามอย่างโมโห

ทว่าเพิ่งจะพูดจบ ก็มีเงาฝ่ามือตบเข้ามาอย่างแรง เสียงดังเพี้ยะ ตบเข้าที่ใบหน้าของหยินซวงอย่างแรง หยินซวงล้มลงพื้น ตรงมุมปากมีเลือดไหล

คนลงมือคือเอ๋อเหมย แต่เห็นเอ๋อเหมยจ้องต่ำลงมองหยินซวงที่เอามือปิดหน้าอยู่บนพื้น พลางกล่าวเสียงเย็น “นางบ่าวชั้นต่ำไร้ธรรมเนียม เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท? เจ้าคิดจะฝ่าฝืนคำสั่ง หรือกำลังสงสัยว่าราชินีสวรรค์กำลังปลอมแปลงคำสั่งต่อหน้าธารกำนัล?” พูดจบก็หันกลับมาตะคอกสั่ง “นางบ่าวชั้นต่ำนี่ฝ่าฝืนคำสั่ง ทหารลากออกไปลงโทษข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง!”

ด้านนอกมีทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาตามคำสั่งทันที

จ้านหรูอี้ถลันตัวมาขวางตรงหน้าหยินซวง บังทหารสวรรค์กลุ่มนั้นไว้

กลุ่มทหารสวรรค์มองหน้ากันเลิกลั่ก พวกเขาค่อนข้างกำลากลำบากใจ คำสั่งนี้ไม่อาจฝ่าฝืนได้ แต่คนที่เป็นสมาชิกกองทัพองครักษ์ในวัง มีใครไม่รู้บ้างว่าสนมสวรรค์คือสนมโปรดของราชันสวรรค์ หากหยาบคายกับสนมสวรรค์แล้ว ตอนหลังถ้าฝ่าบาทโมโหขึ้นมา เกรงว่าพวกเขาคงจะรักษาศีรษะตัวเองเอาไว้ลำบาก

“หรือสนมสวรรค์ก็คิดจะฝ่าฝืนคำสั่งเหมือนกัน?” เอ๋อเหมยทำสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

“เจ้าคิดมากไปแล้ว” จ้านหรูอี้กล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น แล้วหันมาสั่งว่า “ดำเนินการตามคำสั่ง เก็บของเดี๋ยวนี้…ไปกันเถอะ!”

ทุกคนของตำหนักบูรพาโมโหมาก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ปฏิบัติตามคำสั่ง พวกไป๋เสวี่ยที่อยู่ข้างหลังรีบเข้ามาประคองหยินซวง

“นางบ่าวชั้นต่ำฝ่าฝืนคำสั่ง ยังคิดจะหนีอีกเหรอ?” เอ๋อเหมยกลับไม่ยอมปล่อยไป

จ้านหรูอี้ที่กำลังจะหันตัวไปหันขวับกลับมา แล้วกล่าวด้วยสายตาเย็นเยียบ “เอ๋อเหมย ข้าทำตามคำสั่งแล้ว ข้าแนะนำว่าเจ้าก็อย่ารังแกกันเกินไปนัก!”

“คำพูดนี้ของสนมสวรรค์ บ่าวฟังไม่เข้าใจเพคะ การที่บ่าวรักษาคำสั่งสวรรค์ก็มีความผิดด้วยหรือเพคะ?” เอ๋อเหมยตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม

“เจ้าอยากให้ข้าลากเจ้าไปเข้าเฝ้าราชันสวรรค์จริงเหรอ อยากจะลองใช่มั้ยว่าข้าจะทำให้หัวเจ้าหลุดจากบ่าได้หรือเปล่า” สายตาของจ้านหรูอี้พลันเปลี่ยนเป็นมีพลังอำนาจแล้วจ้องตรงไปที่เอ๋อเหมย จากนั้นก็กวาดมองทหารสวรรค์ทุกคนอีก พร้อมตวาดเสียงดังว่า “ข้าก็อยากเห็นว่าใครจะกล้ากำเริบเสิบสานที่ตำหนักบูรพา ไสหัวออกไปให้หมด!”

“…” เอ๋อเหมยเผยสีหน้าเดือดดาล แต่สุดท้ายก็ยังกัดริมฝีปากเอาไว้ อยู่ที่วังสวรรค์มานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นจ้านหรูอี้ระบายความโกรธ ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง นางรู้เช่นกันว่าถ้าเรื่องนี้วุ่นวายไปถึงราชันสวรรค์จริงๆ นางก็ประจบขอความเมตตาต่อหน้าจ้านหรูอี้ไม่ได้ ทำได้เพียงย่อตัวคำนับเล็กน้อยแล้วถอยออกไป

พวกทหารมองหน้ากันเลิกลั่ก จากนั้นก็กุมหมัดคารวะจ้านหรูอี้พร้อมกัน แล้วก็รีบถอยออกไป อยู่ดีๆ ใครจะกล้าแย่งคนจากมือสนมสวรรค์ที่ตำหนักบูรพาล่ะ

เรื่องเก็บข้าวของนั้นง่ายมาก ใช่เวลาไม่นาน นางในกลุ่มหนึ่งก็ตามหลังจ้านหรูอี้ออกจากประตูใหญ่ของตำหนักบูรพาไป

ระหว่างทางที่ออกจากวัง ก็บังเอิญเจอเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่มาส่งเดินทางด้วยตัวเอง ปากก็บอกว่ามาส่ง แต่ดูจากการกระทำแล้ว บอกว่าออกมาหยามศักดิ์ศรีกันน่าจะเหมาะกว่า

จ้านหรูอี้นำกลุ่มนางในมาย่อเข่าทำความเคารพ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ท้องยื่นชำเลืองมองต่ำอย่างเหยียดหยาม พร้อมขานรับเสียงเรียบ “อืม” ราวกับแม่ทัพที่รบชนะเผชิญหน้ากับแม่ทัพที่รบแพ้บนสนามรบ กล่าวอย่างเย็นชาว่า “สนมสวรรค์รออยู่ที่บ้านเดิมให้สบายก็แล้วกัน ไปเถอะ!” แต่ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น ราวกับกำลังเหน็บแนมจ้านหรูอี้ว่า วังสวรรค์ไม่ใช่ที่อยู่ของเจ้า ไสหัวไปซะ!

บนตำหนักหลังหนึ่งที่อยู่ไกลๆ ประมุขชิงเอามือไขว้หลังยืนอยู่ริมหน้าต่างที่สลักลายดอกไม้ มองภาพเหตุการณ์ยามสนมกับราชินีเผชิญหน้ากันผ่านลายฉลุดอกไม้

ซ่างกวนชิงยืนมองอยู่ข้างกาย มองภาพเหตุการณ์ภายนอก แล้วก็มองดูปฏิกิริยาของประมุขชิงอีก

มองส่งขบวนของจ้านหรูอี้ออกจากวังอย่างเงียบๆ ตลอดทางมีสนมจำนวนไม่น้อยกำลังหดศีรษะหลบพลางชี้ไม้ชี้มืออยู่สองข้างทาง ประมุขชิงหลับตาลงช้าๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าติดค้างนางแล้ว!”

“เฮ้อ!” ซ่างกวนชิงถอนหายใจเบาๆ ย่อมรู้ว่าประมุขชิงหมายถึงใคร “ฝ่าบาทชั่งน้ำหนักเรื่องนี้ได้อย่างเฉียบแหลม ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ พักอยู่ที่พระตำหนักอุทยานก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ ไม่อย่างนั้นฝั่งราชินีสวรรค์ก็จะมาหาเรื่องนางบ่อยๆ ข้าน้อยแจ้งทางฝั่งกองทัพองครักษ์แล้วว่าให้คุ้มกันส่งอย่างเข้มงวดตลอดทาง ไม่เกิดปัญหาแน่ขอรับ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ทางบ้านของสนมสวรรค์ก็เพิ่มให้อีกหนึ่งเท่า มีแต่จะสะดวกสะบายความอยู่ที่นี่ ไม่ด้อยไปกว่าตอนอยู่ที่นี่ขอรับ”

จวนท่านปู่สวรรค์ สวนต้องห้าม

ต้นไม้ใหญ่ที่พุ่มสูงระฟ้าราวกับฉัตรหลวง ใต้ต้นไม้มีโต๊ะตัวเล็กที่ประณีตงดงาม สุราอาหารจัดวางอยู่บนโต๊ะ เซี่ยโห้วท่ากำลังถือตะเกียบรับประทานอย่างออกรสออกชาติ

เว่ยซูเข้ามาข้างใน พอเห็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำคนหนึ่งผูกผ้ากันเปื้อนยกถาดอาหารร้อนระอุเดินมาจากอีกด้าน เขาก็อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปต้อนรับ ตะโกนทักทายว่า “คุณชายรองมาแล้ว”

คนคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือเซี่ยโห้วหลิง ลูกชายคนรองของเซี่ยโห้วท่า ถ้าตัดเว่ยซูออก เขาก็เป็นลูกหลานคนเดียวของทั้งตระกูลเซี่ยโห้วที่สามารถเข้ามาในสวนต้องห้ามได้โดยตรง ทั้งยังเป็นคนตระกูลเซี่ยโห้วที่มียศขุนนางในตำหนักสวรรค์สูงสุด ถึงแม้จะได้นั่งตำแหน่งแต่ในนามเหมือนเซี่ยโห้วท่า แต่ก็อยู่ในระดับอจมพลแล้ว เพียงแต่ไม่มีกำลังทหารก็เท่านั้นเอง

เมื่อเห็นเว่ยซู เซี่ยโห้วหลิงก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ “เว่ยซูมาแล้วเหรอ เร็วเข้า มากินด้วยกัน”

“คุณชายรองเข้าครัวด้วยตัวเองอีกแล้ว!” เว่ยซูกล่าวอย่างร่าเริง แล้วรีบยื่นมือไปช่วยเขาถืออาหาร

เซี่ยโห้วหลิงยกมือห้าม บอกใบ้ว่าไม่ต้องช่วย แล้วยกอาหารไปวางตรงหน้าเซี่ยโห้วท่าใต้ต้นไม้ใหญ่ด้วยตัวเอง จากนั้นถอดผ้ากันเปื้อนยื่นให้เว่ยซู ขณะที่นั่งลงก็ยื่นมือบอกใบ้ “เว่ยซู นั่งลงสิ มากินด้วยกัน ข้าเพิ่งตกปลาได้จากข้างนอก เอามานึ่งกับสุราแล้วอร่อยสุดๆ”

เว่ยซูเก็บผ้ากันเปื้อนแล้ว พอเห็นอาหารบนโต๊ะก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มโดยไม่พูดอะไร เป็นพวกกุ้งหอยปูปลาธรรมดาๆ ตามแม่น้ำลำคลองในโลกมนุษย์เท่านั้นเอง

เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเชิญแล้ว เว่ยซูก็ไม่อิดออดเช่นกัน นั่งลงอีกด้านหนึ่งแล้วรินสุราให้สองพ่อลูก

เซี่ยโห้วท่ายื่นตะเกียบคีบเนื้อปลาสีขาวละเอียดอ่อนเข้าปาก แล้วเคี้ยวลิ้มรสชาติอย่างช้าๆ

เซี่ยโห้วหลิงที่ดื่มสุราล้างปากไปอึกหนึ่งมองดูปฏิริยาของอีกฝ่ายที่กำลังชิมอาหาร แล้วยกตะเกียบถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านพ่อ รสชาติเป็นยังไงบ้าง?”

เขามีสีหน้าอ่อนโยนร่าเริง หน้าตาก็ไม่ได้ดีเท่าไร แต่ในแววตาที่เป็นประกายกลับเผยให้เห็นความล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ข้างใน ประกอบกับมีร่างกายกำยำล่ำสัน ทำให้เขามีลักษณะน่ากลัวเหมือนจะกินคนได้ เพียงแต่ส่วนใหญ่ถูกลักษณะภายนอกที่อ่อนโยนร่าเริงของเขากลบบังเอาไว้เท่านั้นอง

เซี่ยโห้วท่าหลับตาเคี้ยวครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าขบคิดถึงรสชาติ “ใช้ได้ สดอร่อย เจ้ารอง ฝีมือเจ้าดีขึ้นแล้วนะ!”

“ฮ่าๆๆ!” เซี่ยโห้วหลิงหัวเราะเสียงดังอย่างร่าเริง เมื่ออยู่ต่อหน้าบิดา เขาแสดงให้เห็นว่าสามารถทำเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่ายได้ ไม่ควบคุมตัวเองมากเกินไป ใช้ตะเกียบชี้แนะนำว่า “ขนาดท่านพ่อยังชมแล้ว เว่ยซู พลาดไม่ได้นะ”

เว่ยซูส่ายหน้ายิ้ม แล้วยื่นตะเกียบไปคีบกินเช่นกัน

เซี่ยโห้วท่าชำเลืองมองลูกชายที่อยู่ตรงหน้าแวบหนึ่ง “หลักการเล็กๆ ธรรมดาสามัญในครอบครัวแบบนี้ เจ้าก็ยังอุตส่าห์ไปทำอย่างไม่เสียดายกำลังวังชา”

เซี่ยโห้วหลิงไม่ถือสาความหมายตำหนิที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนี้ ยิ้มตอบอย่างเป็นธรรมชาติ “จะหลักการเล็กหรือหลักการใหญ่ก็เป็นหลักการเหมือนกัน ไม่มีแบ่งแยกเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก การปกครองดินแดนใหญ่ก็เหมือนการทอดปลาตัวน้อยๆ[1]!”

เซี่ยโห้วท่าทำสายตาคาดเดา จากนั้นก็ยิ้มเบาๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก

หลังจากเซี่ยโห้วหลิงสังเกตปฏิกิริยาของเว่ยซูแล้ว ก็ถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “เว่ยซู มีเรื่องอะไรเหรอ?”

“ราชินีสวรรค์ก่อเรื่องในวังนิดหน่อย ไล่สนมสวรรค์ออกจากวังสวรรค์ไปแล้ว…” เว่ยซูวางตะเกียบ แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวังสวรรค์ให้ทั้งสองฟัง

หลังจากฟังจบ เซี่ยโห้วท่าก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร คีบเนื้อปลาเข้าปากอย่างช้าๆ หรี่ตาขบคิดถึงรสชาติ กินอย่างเอร็ดอร่อย

“มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ?” เซี่ยโห้วหลิงก็ทำเหมือนไม่สนใจเช่นกัน หลังจากถามแล้วก็กินอาหารของตัวเองต่อไป

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของสองพ่อลูก เว่ยซูก็งงทันที แล้วถามอย่างหยั่งเชิงว่า “ครั้งนี้ราชินีสวรรค์ทำเกินไปหน่อยหรือเปล่า เกรงว่าจะทำให้ประมุขชิงไม่พอใจ”

“เจ้ายังจะหวังให้เขาพอใจอยู่อีกเหรอ? อำนาจบารมีของราชินีสวรรค์คือสิ่งที่ต้องมี นายหญิงของวังหลังไงล่ะ ไม่ต้องห่วง ฟ้าไม่ถล่มหรอก ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่ล้ม ราชินีสวรรค์ก็ไม่มีทางเป็นอะไร” เซี่ยโห้วหลิงพูดไปเรื่อยเปื่อย ยกตะเกียบชี้เขา “รสชาติปลาแม่น้ำของข้าเป็นยังไงบ้าง?”

“ดีมากขอรับ อร่อยมาก” เว่ยซูพยักหน้าซ้ำๆ

เซี่ยโห้วหลิงรู้สึกบันเทิงแล้ว “หึ! ข้าว่านะเว่ยซู ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังตอบข้าแบบขอไปทีล่ะ? เป็นอะไรไป? มีเรื่องอะไรในใจ? บอกให้ข้าฟังได้นะ”

เว่ยซูลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ขมวดคิ้วบอกว่า “ที่จริงก็มีเรื่องที่บ่าวคิดไม่ตกจริงๆ ราชินีสวรรค์อาจจะไม่ใช่คนที่เหมาะสมจะเข้าวังมากที่สุด ตระกูลเซี่ยโห้วก็ใช่ว่าจะไม่มีลูกสาวที่ฉลาดปราดเปรียว ตอนแรกทำไมถึงเลือกให้ราชินีสวรรค์เข้าล่ะขอรับ?” เขาจะสื่อว่า เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่ใช่คนฉลาดอะไร ทำเรื่องโง่เง่าตั้งมากมายตอนอยู่ในวัง อาจจะไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้ว

เซี่ยโห้วท่ากินอาหารต่อไป หลังจากลูกชายคนนี้มาถึง เขาก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรเท่าไรเลย

เซี่ยโห้วหลิงเหล่ตามองเว่ยซูแวบหนึ่ง ตอนที่ยกจอกสุราจ่อปาก ก็กล่าวอย่างไม่ตรงประเด็นหลักว่า “ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออก หลักการนี้มีมาแต่โบราณ! คนฉลาดที่มีฐานะตำแหน่งสูงส่ง เวลาจะควบคุมขึ้นมาก็ไม่ใช่ง่ายๆ สาเหตุที่ตระกูลเซี่ยโห้วส่งนางเข้าวังไปเป็นราชินี ช่วยคิดหาหนทางให้นางมีทายาท ก็ไม่ใช่ว่าให้โอกาสนางได้พึ่งพาตัวเองหรอกนะ! แต่เลือกคนซื่อบื้อหน่อยประมุขชิงจะได้วางใจไง จะได้ยอมรับง่ายขึ้นด้วย เรื่องนี้ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว มีอะไรไม่ดีตรงไหนล่ะ?”

…………………………

[1] การปกครองดินแดนใหญ่ก็เหมือนการทอดปลาตัวน้อยๆ 若烹小鲜 หมายความว่าการปกครองดินแดนใหญ่ต้องระมัดระวัง รอบคอบเเละอดทน เหมือนกับการทอดปลาที่ต้องคอยปรับไฟอยู่ตลอดเวลา

“นายท่านหนิวถ่อมตัวเกินไปแล้ว ใต้หล้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ เรื่องที่ตึกศาลาสัตยพรตไม่รู้มีเยอะเกินไป ยกตัวอย่างเช่น ไม่รู้ว่านายท่านกับเม่ยจีคุยอะไรกัน”

เหมียวอี้สบสายตาที่สื่อความหมายล้ำลึกของอีกฝ่าย จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างจนใจทันที “ยังจะคุยอะไรได้อีกล่ะ ก็เรื่องไม่สบอารมณ์ที่เคยเกิดขึ้นที่แดนสุขาวดี นางตามมาคิดบัญชีข้า จะมาปกป้องอะไรที่ไหนกัน”

“เฮ่อๆ!” เฉาหม่านราวกับได้ฟังเรื่องราวน่าขัน พูดหยอกว่า “อย่าว่าแต่เม่ยจีเลย ต่อให้พุทธะหน้าหยกมาด้วยตัวเอง แต่ก็คงไม่กล้าหาเรื่องนายท่านในเขตตำหนักสวรรค์อย่างเปิดเผยอยู่ดี?”

“อ๋อ!” เหมียวอี้แปลกใจ “อย่าบอกนะว่าเถ้าแก่คิดว่าพวกนางมาปกป้องข้าจริงๆ?”

เฉาหม่านอมยิ้ม “เช่นนั้นก็เกรงว่าต้องถามนายท่านเองแล้ว อย่างไรเสียก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกท่านคุยอะไรกัน” พูดจบก็จิบน้ำชาอย่างเนิบช้า

ตอนออกจากตึกศาลาสัตยพรต เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารเรือก็ยังครุ่นคิดว่าคำพูดคลุมเครือของเฉาหม่านหมายความว่าอะไร เขาไม่รู้ว่าเฉาหม่านรู้อะไรมาบ้างแล้วหรือเปล่า เพียงแต่คำพูดของอีกฝ่ายก็ได้เตือนเขาแล้วเช่นกัน อย่างน้อยก็ทำให้เขารู้แล้วว่าเม่ยจีกำลังจับตาดูเขาอยู่

ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่รู้ชัดว่าเม่ยจีมีเจตนาอะไรกันแน่ แต่จะไม่ป้องกันก็ไม่ได้ พอกลับมาถึงจวนแม่ทัพภาคก็เสริมการป้องกันทันที

แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง หยางชิ่งยืนอยู่ริมหน้าผาเพียงลำพัง ผ้าคลุมปลิวพลิ้วไหวตามสายลม ระฆังดาราในถูกเก็บไปแล้ว ตอนนี้กำลังแหงนหน้ามองดวงตามเกลื่อนท้องฟ้าพลางขมวดคิ้วมุ่นเงียบๆ

หยางเจาชิงรายงานความเคลื่อนไหวทางจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแล้ว และพอถามาสาเหตุเหมียวอี้ไป เหมียวอี้ก็บอกเพียงว่าตึกศาลาสัตยพรตเตือนมาว่ารู้แล้วว่าสำนักหลัวช่ากำลังจับตาดูเหมียวอี้อยู่ ส่วนสาเหตุว่าจับตาดูทำไม เหมียวอี้ไม่ยอมบอกความจริง ไม่มีทางที่เหมียวอี้จะบอกเขาเรื่องซากสำนักหนานอู๋

และหยางชิ่งก็รู้เช่นกันว่าเหมียวอี้จะต้องมีเรื่องบางอย่างปิดบังเขาอยู่แน่นอน ถึงแม้จะจนปัญญาแต่เขาเองก็เข้าใจ ไม่ว่าใครก็ไม่อยากบอกความลับกับภายนอกทั้งนั้น

ยิ่งไปกว่านั้น เหมียวอี้ก็เปลี่ยนแปลงท่าทีต่อหยางชิ่งไปเยอะแล้ว แสดงความเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก เขาไม่อาจเรียกร้องให้คนที่ดิ้นรนอยู่บนคาบเส้นความตายมาเนิ่นนานอย่างเหมียวอี้ไม่ป้องกันอะไรเขาเลย ดังนั้นเขาจึงกำลังครุ่นคิดว่าจะต้องปรับทัศนคติตัวเอง จะเรียกร้องให้เหมียวอี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ เพราะแบบนั้นไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง นั่นจะทำให้ความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายลึกลงกว่าเดิมได้ง่าย เขาจะต้องอาศัยท่าทีที่สอดคล้องกับความจริงมาพิจารณาและเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์ระหว่างกัน หาวิธีการจัดการเรื่องนี้อย่างสมดุล

เพียงแต่เมื่อเป็นอย่างนี้ เขาก็จะต้องใช้พลังความคิดและสมาธิเยอะมากแน่นอน

จินม่านสวมชุดกระโปรงยาวสีทองบนเรือนร่างที่อ่อนช้อยงดงาม ใบหน้างดงามภูมิฐานทั้งยังดูสูงส่ง นางเดินมายืนอยู่ข้างกายหยางชิ่งเงียบๆ ตอนนี้กำลังเอียงหน้ามองประเมินหยางชิ่ง

จากคิ้วที่ขมวดมุ่นของหยางชิ่งก็มองออกแล้วว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างจนใจลอย ถึงขั้นไม่ได้สังเกตเห็นว่านางมาถึงแล้ว

ดวงตางามหยุดนิ่งอยู่บนขมับที่มีผมขาวแซมของหยางชิ่ง

แม้หยางชิ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่ความเปลี่ยนแปลงบนร่างกายหยางชิ่งก็เห็นชัดเจนเกินไป ริ้วรอยแห่งวัยที่เกิดขึ้นเนื่องจากใช้สมองทำงานหนักแบบนั้นทำให้นางอดสะเทือนใจไม่ได้ นี่คือนักพรตเหรอ? นางแอบสังเกตโดยไม่รู้ตัว เมื่อสังเกตมาเนิ่นนานก็นึกไม่ถึงว่าจะค้นพบอะไรอย่าง นางพบว่ายามผู้ชายคนนี้ใช้ความคิด บนตัวเขาก็เกิดเสน่ห์เฉพาะตัวบางอย่างที่นางอธิบายไม่ถูก เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวไร้การเสแสร้งที่แฝงเร้นอยู่ในความล้ำลึกและเอาจริงเอาจังของเขา

บางครั้งก็จะเห็นเขาเงยหน้ามองใบไม้เงียบๆ อยู่ใต้ต้นไม้นานมาก บางครั้งก็จะเห็นเขายืนอยู่หน้ากระถางดอกไม้แล้วยื่นมือไปสัมผัสกลีบดอกไม้ค้างไว้ บางครั้งก็จะเห็นเขาเอามือไขว้หลังมองฟ้าโดยไม่พูดอะไร…ที่นี่เหมือนจะทิ้งเงาร่างอันเงียบงันของเขาเอาไว้ทุกจุด ทุกที่ล้วนทิ้งร่องรอยความคิดของเขาเอาไว้ ความเอาจริงเอาจังที่สลักลึกอยู่ในใจ ทำให้ทุกคนที่นี่แทบจะไม่กล้ามารบกวนเขายามอยู่ในสภาวะนี้

บางครั้งที่มองเขาจากที่ไกลๆ จินม่านก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดชายคนนี้จึงจมอยู่ในความล้ำลึกไร้ขอบเขตอยู่เสมอ ความล้ำลึกแบบนั้นถึงขั้นทำให้สายตาของคนที่กำลังมองเขาล้ำลึกตามไปด้วย ถูกเขาดึงดูดจนละสายตาไม่ได้โดยไม่รู้ตัว

จินม่านไม่รู้ว่าเขากำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรอยู่ แต่กลับรู้ว่าผู้ชายคนนี้ได้เปลี่ยนท่าทีที่หกลัทธิมีต่อเขาไปแล้วอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตอนแรกทุกคนถูกบังคับให้ยอมรับ ‘ผู้ช่วยใหญ่’ อย่างเขา ที่จริงตอนแรกไม่ได้เห็นผู้ช่วยใหญ่คนนี้สำคัญอะไรเลย แต่ตอนนี้หกลัทธิเหมือนจะยอมรับผู้ช่วยใหญ่คนนี้อย่างแท้จริงแล้ว เมื่อไม่มีเขาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หกลัทธิก็จะวุ่นวายทันที อย่างน้อยการใช้กำลังควบคุมจนนองเลือดก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้

หลังจากมีคนมามากมายขนาดนั้น คนเก่าคนแก่ส่วนใหญ่ของหกลัทธิก็แต่งงานมีภรรยาแล้ว มีครอบครัวกันหมดแล้ว ฝ่ายหญิงมักไม่ได้มีแค่คนเดียว มีเป็นศิษย์ในสำนัก มีผู้อาวุโส บางทีอาจจะใช้กำลังควบคุมได้ แต่ผลที่ตามมาหลังจากควบคุมล่ะ?

สรุปก็คือผู้ชายคนนี้สามารถลงหลักปักฐานที่แดนอเวจีได้ภายในเวลาอันสั้น ตอนนี้ที่หกลัทธิยังไม่มีใครต่อต้านผู้ชายคนนี้อีก

“ผู้ช่วยใหญ่กำลังคิดอะไรจนใจลอยขนาดนี้?” จินม่านเอ่ยถามหลังจากจ้องเขาเงียบๆ มาครู่หนึ่งแล้ว

“เอ่อ…” หยางชิ่งดึงสติกลับมา หันไปสบดวงตางามที่กำลังมองตนอยู่ แล้วชั่วพริบตาเดียวก็มองค้างไว้อย่างนั้น เหมือนมีเจตนาจะค้นหาความคิดภายในของอีกฝ่าย

จินม่านยิ้มบางๆ รอยยิ้มอ่อนโยนที่พบเห็นได้ยากแผ่กระจายอยู่บนใบหน้านาง ทำให้หยางชิ่งตะลึงเล็กน้อย

จากนั้นทั้งสองก็ต่างคนต่างหันมองไปข้างหน้า หยางชิ่งส่ายหน้าตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ตอนนี้สถานการณ์ของราชาปราชญ์น่ากังวล ถ้าเกิดเรื่องกับราชาปราชญ์เมื่อไร เจ้าก็รู้ถึงผลที่ตามมา”

จินม่านพยักหน้า “ข้าได้ยินข่าวมาแล้วเช่นกัน ราชาปราชญ์เหมือนจะสร้างความเคลื่อนไหวไม่ใช่เล็กๆ ที่ตลาดผี ลากผู้ร้ายหลบหนีเดินในตลาดผีติดต่อกันหลายครั้ง ไม่รู้ว่าตึกศาลาสัตยพรตจะคิดยังไง ก่อนหน้านี้ราชาปราชญ์ส่งข่าวมาถามข้าเรื่องระบำมารสวรรค์ ข้ายังอยากจะถามเขาว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่ แต่คิดไปคิดมาก็ไม่ถามดีกว่า รู้ว่าถ้าราชาปราชญ์ไม่อยากบอก ถามไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาทำแบบนี้แปลว่ามีจุดประสงค์แน่นอน”

“ระบำมารสวรรค์?” หยางชิ่งงุนงง หันกลับมาถามว่า “ระบำมารสวรรค์อะไร?” เหมียวอี้ไม่ได้บอกสิ่งนี้กับเขา

“เป็นวิธีการชั้นต่ำบางอย่างเท่านั้นเอง เป็นระบำที่ใช้ยั่วผู้ชาย…” จินม่านเล่า

“ยินดีกับนายท่าน ยินดีด้วยนายท่าน”

จวนแม่ทัพภาคตลาดผี หลังจากส่งคนมอบรางวัลจากตำหนักนารีสวรรค์กลับไปแล้ว พอหันตัวมา สวีถังหรานก็เป็นคนแรกที่ชิงกล่าวแสดงความยินดีกับเหมียวอี้ แล้วทุกคนก็กล่าวแสดงความยินดีตาม

เหมียวอี้ได้สร้างผลงานใหม่อีกครั้ง เกราะรบสีม่วงบนตัวเปลี่ยนเป็นยศสองแถบ ตอนนี้เขามองสวีถังหรานด้วยสายตาหยอกล้อ พบว่าเจ้าเวรนี่ช่างหน้าด้านจริงๆ ครั้งก่อนตำหนิไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ก็ยังไม่แก้ไขเหมือนเดิม ราวกับว่าถ้าไม่ได้พูดประจบแล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้

เมื่อนำทุกคนกลับมาในห้องโถงใหญ่ เหมียวอี้ก็ยืนอยู่เบื้องบนแล้วหันตัวมา จากนั้นกวาดสายตาอันล้ำลึกมองทุกคนที่อยู่เบื้องล่างเหมียวอี้ “ตั้งแต่นี้ไป ตรึงกำลังพลตลาดผี เสริมการป้องกันทั้งในและนอกจวนแม่ทัพภาค!”

เมื่อเอ่ยคำสั่งนี้ออกมา ก็หมายความว่าตึกศาลาสัตยพรตตอบแทนน้ำใจตระกูลโค่วหมดแล้ว จะไม่คุ้มครองเขาอย่างเปิดเผยอีก

ฝ่ายเขารู้ถึงท่าทีลับๆ ของตึกศาลาสัตยพรต แต่เกรงว่าบางคนคงยังไม่รู้ ว่าอันตรายกำลังจะมาเยือนแล้ว!

ตำหนักนารีสวรรค์ ประมุขชิงเดินเข้ามาด้วยความเร็วปกติ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่รู้ข่าวนำกลุ่มคนออกมาต้อนรับแล้ว นางย่อเข่าคำนับพร้อมรอยยิ้ม “หม่อมฉันคำนับฝ่าบาทเพคะ”

“ไม่ต้องมากพิธี” ประมุขชิงรีบก้าวมาข้างหน้า ประคองแขนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขึ้นมาด้วยตัวเอง เขามองท้องของนางที่ยื่นออกมาครึ่งหนึ่ง แล้วจูงมือนางเดินเข้าไปด้วยกัน “กำลังตั้งครรภ์ ต่อไปไม่ต้องมากพิธีรีตองแบบนี้แล้ว”

“ทำแบบนั้นได้อย่างไรเพคะ จะให้เสียธรรมเนียมไม่ได้!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตอบกลับอย่างมีไหวพริบ

ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ พอเห็นนางในหน้าใหม่หลายคนในตำหนัก จึงถามว่า “คนใหม่ๆ ที่ตระกูลเซี่ยโห้วส่งมา เจ้าใช้งานคล่องแล้วสินะ?”

นางในพวกนี้ไม่ใช่คนของในวังเลย ล้วนเป็นคนที่ตระกูลเซี่ยโห้วคัดเลือกและส่งมา บอกว่าส่งมาให้ปรนนิบัติราชินีสวรรค์ ต่อให้ใช้เพื่อปกป้องก็ต้องมีมากๆ หน่อย ภายใต้สถานการณ์ปกติ จะไม่อนุญาตให้คนนอกวังเข้ามาในวัง แต่ครั้งนี้ประมุขชิงยกให้เป็นกรณีพิเศษ เพราะเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าที่วังหลังมีเรื่องสกปรกโสมมบางอย่าง กอปรบกับในวังหลังเกี่ยวโยงไปถึงการแข่งขันของอำนาจฝ่ายต่างๆ เรื่องบางเรื่องป้องกันไม่ชนะเลยจริงๆ

เขาจะโปรดปรานเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หรือไม่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ในเมื่อให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มีทายาทให้แล้ว อย่างไรเสียในท้องเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา เป็นการสืบทอดชีวิตครั้งแรกของประมุขชิง ในใจเขามีความรู้สึกพิเศษอยู่บ้าง มีหรือที่จะปล่อยให้คนเจตนาไม่ดียื่นมือพิษเข้ามาที่เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง

เขารู้อย่างแจ่มแจ้ง ถ้าถามว่าตอนนี้มีอำนาจฝ่ายไหนในใต้หล้าที่ปกป้องเซี่ยโห้วเฉิงอวี่และลูกในท้องอย่างสุดจิตสุดใจ พร้อมทั้งมีความสามารถที่จะทำอย่างนี้ คำตอบก็มีเพียงตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว เขาก็เลยอนุญาตให้ตระกูลเซี่ยโห้วเลือกคนที่ไว้ใจได้มาคอยดูแลเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ตำหนักนารีสวรรค์เป็นพิเศษ

“ทางบ้านหม่อมฉันใช้ความคิดเยอะมาก ตั้งใจดูแลหม่อมฉันดีมาก” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตอบพร้อมรอยยิ้ม

“อื้ม! เช่นนั้นก็ดี” ประมุขชิงพยักหน้า มองซ้ายมองขวาแล้วโบกมือบอกว่า “ตบรางวัลให้ทุกคน!”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” นางในทางด้านขวาย่อเข่าคำนับเป็นอแถบๆ

พอเข้ามาในตำหนักแล้ว ประมุขชิงก็นั่งลงแล้วจูงมือเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มาตรงหน้าตัวเอง จากนั้นใช้สองมือประคองเอวนาง แนบหูไว้บนท้องที่ยื่นออกมาครึ่งหนึ่งของนาง

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ปิดปากหัวเราะ หลังจากนางตั้งครรภ์ นี่คือเรื่องที่ประมุขชิงต้องทำทุกครั้งที่มา

ถ้าเป็นไปได้ นางก็หวังว่าท้องของนางจะใหญ่อย่างนี้ตลอดไป ตั้งแต่นางตั้งท้อง ท่าทีของประมุขชิงที่มีต่อนางก็ดีมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นอกจากจะอ่อนโยนเอาใจใส่แล้ว ก็มาหานางทุกสามวันห้าวัน บางทีอาจจะเห็นแก่ที่นางตั้งท้องก็ได้ แต่ความรู้สึกแบบนี้ดีมากจริงๆ

เพียงแต่เรื่องเดียวที่ไม่ดีก็คือ ประมุขชิงไม่แตะต้องนางเรื่องบนเตียงอีก ต่อให้นางจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ประมุขชิงก็จะอ้างว่าต้องระวังตัว แทบจะไปพักอยู่ที่ตำหนักบูรพาอยู่แล้ว

พอนึกถึงตรงนี้นางก็แค้นจนกัดฟันกรอด รอจนกระทั่งประมุขชิงย้ายหูออกจากท้องนางด้วยใบหน้าชื่นบานแล้ว นางก็คลำท้องพร้อมบ่นอย่างน้อยใจ “ฝ่าบาท หม่อมฉันตั้งท้องแล้ว สนมสวรรค์จะไม่พอใจหรือเปล่าเพคะ?”

“เอ๋…” ประมุขชิงงงงวย “ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ?”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตอบว่า “ทุกครั้งที่เห็นสนมสวรรค์ สนมสวรรค์ก็มักจะทำสีหน้าเย็นชา ทำอย่างกับลูกในท้องข้าติดหนี้นางอย่างนั้นแหละเพคะ”

ประมุขชิงกระตุกมุมปาก ก็รู้ว่านางหาเรื่องแล้ว เขายิ้มแห้ง “นิสัยของสนมสวรรค์ก็เป็นอย่างนั้นมาตลอด ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้”

“ใช่ว่าฝ่าบาทจะไม่รู้เรื่องในวังหลัง ไม่ให้หม่อมฉันคิดมากไม่ได้หรอกเพคะ พอเห็นสนมสวรรค์ทีไร หม่อมฉันก็รู้สึกตึงท้องทุกที บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะหม่อมฉันจิตใจคับแคบเกินไป ฝ่าบาทเพคะ หรือไม่อย่างนั้นก็ให้หม่อมฉันกลับไปคลอดลูกที่บ้านตัวเองเถอะ” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าว

ประมุขชิงขมวดคิ้ว มองดูท้องที่ยื่นอยู่ตรงหน้า แล้วสุดท้ายก็กล่าวอย่างลังเลว่า “ให้สนมสวรรค์กลับไปรออยู่ที่บ้านตัวเองก็แล้วกัน เดียวข้าจะออกคำสั่งไป!”

…………………………

ในตอนแรก เหมียวอี้ก็แค่อยากจะทำความเข้าใจเรื่องระบำมารสวรรค์ว่าเป็นอย่างไรกันแน่ ใครจะคิดว่าจะได้รู้เรื่องสำนักหนานอู๋จากปากจินม่านอีก

ก่อนหน้านี้เม่ยจีเอ่ยถึง ‘สำนักหนานอู๋’ เขาก็ยังนึกว่าตัวเองทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้ตอนปัดกวาดซากสำนักหนานอู๋ ตอนนี้พบว่าสำนักหลัวช่าอาจจะเกี่ยวข้องกับสำนักหนานอู๋ ก็ทำให้เขาต้องสงสัยว่าคำพูดนั้นของเม่ยจีมีความหมายล้ำลึกอีกอย่าง

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตรงหน้าเหมียวอี้ก็มีเรื่องที่ต้องรับมือ ยังไม่อยากไปเกี่ยวข้องอะไรกับเม่ยจี ในสถานการณ์ปกติแดนสุขาวดีกับตำหนักสวรรค์จะไม่เกี่ยวข้องกัน คาดว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วเช่นกัน เขาไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้ตัวเองมากกว่านี้

แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สนใจใยดีทางนั้นเลย เขาสั่งให้หยางเจาชิงแอบเตรียมคนให้ไปจับตาดูทางวัดพระกษิติครรภ์ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีความผิดปกติก็ให้รายงานทันที

ทางนี้เพิ่งจะกำชับลงไปได้ไม่นาน หยางชิ่งก็เป็นฝ่ายติดต่อมาซักถามเขาก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมถึงสั่งจับตาดูทางวัดพระกษิติครรภ์

แค่ได้ยินเหมียวอี้ก็รู้แล้วว่าหยางเจาชิงบอกหยางชิ่ง เขารู้สึกโมโหนิดหน่อย ทว่าไม่นานก็เปลี่ยนความคิด เพราะนี่คือสิ่งที่เขาตอบตกลงไว้แล้วในตอนแรก รับปากหยางชิ่งไว้แล้วว่าสามารถจับตาดูความเคลื่อนไหวทางนี้ได้ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นหยางเจาชิงก็คงไม่ทำอย่างนี้หรอก คิดไปคิดมาก็เล่าเรื่องที่เม่ยจีมาวัดพระกษิติครรภ์ให้หยางชิ่งรู้ แต่เรื่องบางเรื่องก็ยังต้องปิดบังไว้ ย่อมไม่บอกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซากสำนักหนานอู๋ ความลับที่เกี่ยวกับจุดซ่อนสมบัติ บอกเพียงว่าเม่ยจีอาจจะอยากมาล้างความอัปยศ

ข้ออ้างนี้หยางชิ่งจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าหลังจากหยางชิ่งรู้สาเหตุที่จับตาดูแลววัดพระกษิติครรภ์แล้วก็ไม่ถามอะไรมากอีก

ตลาดผี มีเรือแล่นสัญจรไปมา ใต้ผิวทะเลสาบที่คลื่นสะท้อนแสงระยิบระยับซ่อนความลับเอาไว้มากแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้

บนถนน ชายเคราหยิกคนหนึ่งเลี้ยวเข้ามาในซอย พอมาถึงทางน้ำที่อยู่ปลายทางก็สังเกตการณ์โดยรอบครู่หนึ่ง พอเห็นว่าไม่มีใครสนใจ ก็รีบถลันตัวเข้ามาในทางน้ำ แล้วผ่านมากลางทะเลสาบเพื่อดำน้ำต่อไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อมาถึงกลางทาง จู่ๆ ตรงก้นทะเลสาบขมุกขมัวก็มีเงาคนคนหนึ่งพุ่งเข้ามา ชายเคราหยิกยังไม่ทันได้รู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ก็ถูกก่อกวนจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว

รอจนกระทั่งเขาโผล่ศีรษะขึ้นสู่ผิวน้ำ ก็ได้กลายเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่ผมเปียกยาวสยายคลุมบ่าแล้ว ข้างกายมีหน้ากากของชายเคราหยิกลอยขึ้นมา

ผู้หญิงสวยมองไปรอบๆ ไม่รู้แล้วว่าคนที่ลอบจู่โจมตนไปไหนแล้ว นางพลันก้มหน้ามองหน้าอกตัวเอง เสื้อผ้าถูกดึงออกจนเผยหน้าอกขาวอวบอิ่มออกมาครึ่งหนึ่งแล้ว พอดึงเสื้อขึ้นมาปิดหน้าอก สายตาก็ไปหยุดอยู่บนข้อมืออย่างงุนงง นางรีบยกข้อมือขึ้นมาดู พบว่ากำไลเก็บสมบัติได้หายไปแล้ว

ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนปล้น! ผู้หญิงสวยทุบหมัดบนผิวน้ำอย่างโมโห

ทว่าเรื่องแบบนี้พบเจอได้บ่อยมากที่ตลาดผี ปลาใหญ่กินปลาเล็กคือเรื่องปกติมาก ตอนนี้ไม่รู้แม้กระทั่งว่าคนที่ปล้นนางหายไปไหนแล้ว จะไม่ให้อับจนปัญหาได้อย่างไร? แต่การที่อีกฝ่ายปล้นโดนไม่ฆ่าก็นับว่าเป็นโชคดีของนางแล้ว เพราะศพที่ลอยเกลื่อนบนผิวทะเลสายที่ตลาดผีเป็นเรื่องปกติมาก

หลังจากหงุดหงิดในความอับจนปัญญา นางก็คว้าหน้ากากชายเคราหยิกที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ แล้วดำน้ำจากไปอย่างรวดเร็ว

บนชั้นกลางของตึกศาลาสัตยพรต ชีเจวี๋ยเดินสาวเท้ามาเคาะประตูห้องเฉาหม่าน

“เถ้าแก่!” เขาเข้าประตูมาทำความเคารพ

เฉาหม่านกำลังนั่งพลิกอ่านแผ่นหยกอยู่หลังโต๊ะยาวตอบ “อืม”

ชีเจวี๋ยเดินเข้ามาใกล้หน้าโต๊ะยาว แล้วรายงานว่า “สืบรู้ประวัติคนที่จับตาดูจวนแม่ทัพภาคตลาดผีช่วงนี้แล้ว เกรงว่าเถ้าแก่คงคิดไม่ถึงเช่นกันว่าเป็นใคร”

“อ้อ!” เฉาหม่านเงยหน้า แล้วถามอย่างสนใจ “อย่าบอกนะว่าเป็นคนของบรรดาตระกูลที่อาจจะลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อ?”

“ไม่ใช่ขอรับ เป็นคนของแดนสุขาวดี” ชีเจวี๋ยส่ายหน้า

“แดนสุขาวดี?” เฉาหม่านตกตะลึงนิดหน่อย วางแผ่นหยกในมือลงแล้วถามว่า “ทำไมถึงเป็นคนของแดนสุขาวดีได้? คนของแดนสุขาวดีจะจับตาดูหนิวโหย่วเต๋อทำไม?”

ชีเจวี๋ยตอบว่า “สาเหตุที่จับตาดูนั้นไม่ทราบแน่ชัด หลังจากพบว่ามี ‘คนกลุ่มหนึ่ง’ จับจ้องจวนแม่ทัพภาค ฝั่งพวกเราก็เฝ้าจับตาดูทันที ตอนหลังถึงได้พบว่าอีกฝ่ายมีการไปมาหาสู่กับทางวัดพระกษิติครรภ์ แค่เกี่ยวข้องกับแดนสุขาวดีก็เหลือเชื่อมากแล้ว ใครจะไปคาดคิดว่า หลังจากหาทางยืนยันแล้วถึงได้พบว่าเป็นคนของสำนักหลัวช่า และตามที่สายลับวัดพระกษิติครรภ์รายงานมา อุโบสถที่ใช้รับแขกผู้มีเกียรติของวัดพระกษิติครรภ์ก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้แล้ว หนิวโหย่วเต๋อเคยเข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่า คงจะมีบุคคลฐานะสูงส่งอะไรสักอย่างมาที่วัดพระกษิติครรภ์ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นตัวละครสำคัญของสำนักหลัวช่า”

“สำนักหลัวช่าจับตาดูหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?” เฉาหม่านแปลกใจ แล้วลุกขึ้นยืน เดินอ้อมออกมาจากโต๊ะยาว แล้วเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาพลางครุ่นคิด “หนิวโหย่วเต๋อมีเรื่องกับคนของสำนักหลัวช่าที่แดนสุขาวดี ไม่รู้ว่าท่านไหนของสำนักหลัวช่ามาที่นี่? คนที่เคยเจอกับหนิวโหย่วเต๋อทางนั้นคือเม่ยจีใช่มั้ย หรือว่าเม่ยจีจะมาแล้ว?”

“เข้าใกล้ไม่ได้ จึงไม่อาจยืนยัน หนิวโหย่วเต๋อน่าจะเคยพบแล้ว บางทีอาจจะถามหนิวโหย่วเต๋อได้ หรือไม่ก็สืบจากฝั่งแดนสุขาวดีสักหน่อย” ชีเจวี๋ยตอบ

“ยังไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขามีอะไรในกอไผ่ ถ้าบุ่มบ่ามถามหนิวโหย่วเต๋อจะไม่เหมาะสม ข้าขอให้ทางแดนสุขาวดีช่วยตรวจสอบก็แล้วกัน” เฉาหม่านพูดจบก็หยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปหาใคร

ชีเจวี๋ยจ้องระฆังดาราในมือเขาแวบหนึ่งแล้วเก็บสายตากลับมา คนที่รับผิดชอบข่าวอยู่ทางแดนสุขาวดีนั้นไม่รู้ว่ามีอยู่กี่กลุ่ม ก็เหมือนกับคนที่รับผิดชอบอยู่ทางตำหนักสวรรค์ที่ไม่ได้มีแค่กลุ่มของเฉาหม่านกลุ่มเดียว ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีทางรวมอำนาจไว้ในมือของคนคนเดียว การทำแบบนั้นเป็นอันตรายต่อตระกูลมากเกินไป และสำหรับตระกูลเซี่ยโห้ว เฉาหม่านก็นับว่ามีอำนาจค่อนข้างมาก รับผิดชอบอำนาจใต้ดินทั้งหมดของตระกูลเซี่ยโห้ว นับว่าเปิดเผยตัวตนได้ครึ่งหนึ่ง

ส่วนฐานะของผู้รับผิดชอบคนอื่นๆ นั้นไม่อาจเปิดเผยได้ คาดว่านอกจากบุคคลที่สำคัญของที่สุดของตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ก็ไม่น่าจะมีใครรู้ฐานะของคนพวกนั้น

และคนพวกนั้นก็ไม่ยอมรับการควบคุมจากเฉาหม่านเช่นกัน ดังนั้นชีเจวี๋ยจึงไม่รู้ชัดว่าเฉาหม่านกำลังติดต่อกับใครทางแดนสุขาวดี

สรุปก็คือ หลังจากติดต่อแล้ว เฉาหม่านก็กลับมานั่งอ่านแผ่นหยกหลังโต๊ะยาวอีกครั้ง โดยที่ชีเจวี๋ยอยู่ข้างกายอย่างเงียบๆ

รออยู่ไม่นานเท่าไรนัก เฉาหม่านก็หยิบระฆังดาราออกมารับข่าว หลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว เขาก็พยักหน้าเบาๆ บอกว่า “ทางนั้นก็ยืนยันไม่ได้ว่าเม่ยจีออกมาหรือยัง บอกว่ากำลังเก็บตัวฝึกวิชา แต่คนที่มักติดตามเม่ยจีออกมาก็กำลังเก็บตัวฝึกวิชาเช่นกัน แบบนี้ไม่ค่อยปกติแล้ว สงสัยคนที่ซ่อนตัวอยู่ดพระกษิติครรภ์คงจะเป็นเม่ยจี หึหึ ผู้หญิงคนนี้จับตาดูหนิวโหย่วเต๋อซะแล้ว หมายความว่ายังไง?”

“ให้ทางแดนสุขาวดีตรวจสอบได้หรือไม่ว่าทำไมถึงจับตาดูหนิวโหย่วเต๋อ?” ชีเจวี๋ยถาม

เฉาหม่านตอบว่า “ข้าเคยเอ่ยขอแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้ใช่ว่าใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวแล้วจะสืบได้ ทางนั้นบอกมาว่า เม่ยจีเคยไปพบพุทธะหน้าหยก หลังจากกลับมาก็เริ่มเก็บตัวฝึกตน”

“หรือว่าได้รับความอับอายอะไรที่ดาวพิษ แล้วอยากจะมาคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต๋อ?” ชีเจวี๋ยถาม

เฉาหม่านโบกมือ “แบบนั้นนับว่าเป็นความอับอายอะไรล่ะ ถูกอำนาจของตระกูลโค่วข่มเหงไม่นับว่าเสียเปรียบหรอก มีผู้ชายแบบไหนบ้างที่เม่ยจีไม่เคยนอนด้วย หนังหน้าด้านมาตั้งนานแล้ว เรื่องแค่นี้ไม่ถึงขั้นใจกว้างไม่ได้หรอก แต่ประเด็นสำคัญคือนาง ‘เก็บตัวฝึกวิชา’ หลังจากไปพบพุทธะหน้าหยก ไม่น่าเชื่อว่าจะเกี่ยวข้องกับคนระดับพุทธะหน้าหยกด้วย…ไม่รู้ว่านายท่านจะมีความเห็นอย่างไร” เขาพลิกมือหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาติดต่อเซี่ยโห้วท่า

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เฉาหม่านก็เก็บระฆังดาราด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เถ้าแก่ เป็นอะไรไป?” ชีเจวี๋ยถามหยั่งเชิง

เฉาหม่านกล่าวเสียงต่ำ “นายท่านเตือนอะไรบางอย่างมา สาเหตุที่พระปีศาจหนานโปฆ่าล้างสำนักหนานอู๋ในปีนั้น การล้างแค้นเป็นเพียงเหตุผลหนึ่ง แต่สาเหตุที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เหมือนสำนักหนานอู๋จะมีบางสิ่งที่สามารถสยบพระปีศาจหนานโปได้ มีข่าวแว่วมาว่าสำนักหนานอู๋เหมือนจะมีห้องซ่อนสมบัติอะไรสักอย่าง เพียงแต่พระปีศาจหนานโปหาเท่าไรก็หาไม่เจอ ตระกูลเซี่ยโห้วเครียดกับเรื่องนี้มาก ทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่าพุทธะหน้าหยกอาจเป็นผู้รอดชีวิตจากสำนักหนานอู๋ ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อมีเรื่องกับสำนักหลัวช่าที่แดนสุขาวดี ก็เกี่ยวข้องกับการขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัวอะไรสักอย่าง ตอนนี้ก็เม่ยจีก็อาจจะได้รับคำสั่งจากพุทธะหน้าหยกให้มาจับตาดูหนิวโหย่วเต๋อก็ได้ เมื่อนำเรื่องพวกนี้มาเชื่อมโยงกัน นายท่านสงสัยว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับสมบัติในสำนักหนานอู๋ตามข่าวลือในปีนั้น ให้พวกเราเฝ้าสังเกตการณ์เอาไว้”

ชีเจวี๋ยจัดระเบียบความคิดครู่หรึ่ง แล้วถามอย่างฉงนใจ “ถ้าสำนักหนานอู๋มีของที่ใช้ควบคุมพระปีศาจหนานโปได้จริงๆ ก็น่าจะนำมาสู้กับพระปีศาจหนานโปตั้งแต่แรกแล้วสิขอรับ จะถึงขั้นถูกล้างสำนักเหรอ? เรื่องนี้มีจุดไหนที่ลือกันผิดพลาดหรือเปล่าขอรับ?”

เฉาหม่านพยักหน้า “เหมือนที่เจ้าบอก นายท่านก็รู้สึกว่ามีจุดที่ไม่สอดคล้องเช่นกัน เพียงแต่เรื่องที่สำนักหลัวช่ากำลังจับตาดูหนิวโหย่วเต๋อตอนนี้ค่อนข้างแปลก ทำให้นายท่านต้องนึกเชื่อมโยงไปสักหน่อย ก็เป็นเพราะไม่มีทางยืนยันได้นี่แหละ นายท่านจึงทำได้เพียงให้พวกเราเฝ้าสังเกตการณ์ไว้”

“บ่าวจะไปดำเนินการเดี๋ยวนี้ขอรับ” ชีเจวี๋ยพยักหน้า

เฉาหม่านเอามือลูบคางหัวเราะ “น่าสนใจ! แม้แต่แดนพุทธก็เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว หนิวโหย่วเต๋อนี่ยิ่งนับวันก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้น…”

“อ้าว! คุณชายชี ไม่ได้เจอท่านมานานแล้วนะ”

เมื่อเรือในอุโมงค์น้ำเทียบฝั่ง เหมียวอี้เดินออกจากห้องโดยสารเรือแล้วเห็นชีเจวี๋ยมาต้อนรับด้วยตนเอง ก็กุมหมัดคารวะอย่างร่าเริงทันที

“บ่าวยุ่งอยู่กับงาน นายท่านหนิวให้เกียรติกันเกินไปแล้ว” ชีเจวี๋ยกุมหมัดคารวะตอบ แล้วหลีกทางยื่นมือเชิญ เขาชำเลืองมองสวีถังหรานที่ตามหลังมาแวบหนึ่ง ก่อนหน้านี้มีแต่เหยียนซิวที่ติดตามอยู่ข้างกายเหมียวอี้ แต่ตอนนี้เปลี่ยนคนแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะมองสองครั้ง

สวีถังหรานได้ติดตามเหมียวอี้มาที่นี่เป็นครั้งแรก เขาเหลียวซ้ายแลขวาตลอดทาง ประกอบกับหน้าตาโดยธรรมชาติ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโจรอยู่หลายส่วน แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดีอะไร

ตามธรรมเนียมเดิม บางสถานที่ไม่ใช่ว่าเขาจะเข้าไปได้ ทำได้เพียงรอคอย ยืนอยู่นอกทางเดินและมองส่งเหมียวอี้เดินจากไป

ในโถงรับแขก หลังจากเจ้าบ้านกับแขกนั่งลงและทักทายกันตามมารยาทแล้ว เฉาหม่านที่ยกถ้วยจิบน้ำชาเนิบๆ ก็เอียงหน้าบอกใบ้

ชีเจวี๋ยก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ผลักแผ่นหยกแผ่นหนึ่งมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือสถานที่และเวลาปรากฏตัวของผู้ต้องหากลุ่มสุดท้ายขอรับ”

เหมียวอี้หยิบขึ้นมาอ่าน แล้วพูดเย้ยตัวเอง “ดูเหมือนวันดีๆ ของข้ากำลังจะจบสิ้นแล้ว”

“เหตุใดต้องกลัว นายท่านออกจะหน้าใหญ่” เฉาหม่านเป่าไอร้อนของน้ำชา แล้วกล่าวอย่างผ่อนคลายสบายใจ “ยกตัวอย่างเช่นสำนักหลัวช่าส่งคนจำนวนหนึ่งมาเฝ้าอยู่นอกจวนแม่ทัพภาค ก็ไม่ใช่ว่ากำลังปกป้องนายท่านหรอกเหรอ?”

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย สำนักหลัวช่าจับตาดูตนแล้ว แต่ตนกลับไม่รู้ตัวสักหน่อยเลยเหรอ? คิดจะทำอะไรกันแน่? อย่าบอกนะว่ากล้าทำซี้ซั้วที่ฝั่งตำหนักสวรรค์?

พอชำเลืองมองปฏิกิริยาของเหมียวอี้แวบหนึ่ง เฉาหม่านก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า “อย่าบอกนะว่านายท่านไม่รู้? นายท่านไปเจอกับเม่ยจีที่วัดพระกษิติครรภ์มาแล้วไม่ใช่เหรอ?”

เหมียวอี้เหลือบตามอง นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรู้แม้กระทั่งเรื่องนี้ เขาเคยเห็นท่าทีของจี้คงที่รักษาความลับอย่างเข้มงวดมาแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาบังพร้อมยิ้มเจื่อน “โลกนี้มีเรื่องอะไรบ้างที่ตึกศาลาสัตยพรตไม่รู้?”

เมื่อได้พิสูจน์การคาดเดาแล้ว เฉาหม่านก็ยิ้มบางๆ พบว่าเป็นเม่ยจีจริงๆ ด้วย

…………………………

ในสายตาเหมียวอี้ ในตอนนี้นางไม่ต่างอะไรกับโครงกระดูกที่งดงาม จะยังมาสนใจความสวยของนางได้อย่างไร เขากังวลมากกว่าผู้หญิงคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่?

สุดท้ายทั้งสองก็ยืนอยู่ตรงข้ามกัน สบตากันครู่หนึ่ง แล้วเม่ยจีก็ยื่นมือไปคว้าข้อมือข้างหนึ่งของเหมียวอี้อย่างช้าๆ

เหมียวอี้ตะลึงงัน หดมือกลับมาโดยจิตใต้สำนึก ทว่าอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย เขาจึงออกแรงดึง แต่กลับดึงไม่ออก จึงถามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป “พระโพธิสัตว์มีเจตนาอะไร?”

เม่ยจีหยิบระฆังดาราอันนั้นขึ้นมาจากมือเหมียวอี้ หิ้วมาไว้ตรงหน้าทั้งสอง บุ้ยปากไปทางระฆังดาราของเหมียวอี้ พร้อมถามด้วยรอยยิ้มเย้ายวน “ทำไมล่ะ? กลัวอาตมาเหรอ?”

“ไม่ใช่ว่ากลัว แต่ชายหญิงมีความแตกต่างกัน” เหมียวอี้ตอบ

เม่ยจีจึงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “รูปคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าก็คือรูป ยิ่งไปกว่านั้น สำนักหลัวช่าก็ฝึกบำเพ็ญโดยการเสพสังวาส ไม่ได้มีข้อห้ามเรื่องระหว่างชายหญิง ขอเพียงพอใจ ยิ่งทำมากก็ยิ่งดี หากนายท่านหนิวสามารถทำให้ศิษย์ของอาตมามีความสำราญได้ เจ้าก็เลือกศิษย์ของอาตมาไปทำเรื่องสำราญด้วยกันได้ตามใจชอบเลย รวมทั้งอาตมาด้วย” นางเผยอปากพ่นลมหายใจหอมใส่หน้าเหมียวอี้ พอพูดจบก็คลายนิ้วทั้งห้า ปล่อยข้อมือเหมียวอี้ออก แล้วถือโอกาสใช้นิ้วปลุกปลั่น ลูบไล้บนใบหน้าเหมียวอี้

เหมียวอี้ยังมีสีหน้าเรียบเฉย ในขณะนี้เวลานี้ ต่อให้ผู้หญิงคนนี้จะยั่วยวนขนาดไหน แต่เขาก็ไม่สนใจอยู่ดี เขาเอนศีรษะไปข้างหลัง ก้าวถอยไปข้างหลังเพื่อหลบคู่ต่อสู้ แล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่ตึงนิ่ง “ไม่ทราบว่าพระโพธิสัตว์เรียกข้ามาด้วยธุระอะไร ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว หนิวยังมีงานต้องทำอีก”

“กลัวอะไรกันล่ะ กังวลว่าอาตมาจะกินเจ้าจริงๆ น่ะเหรอ?” เม่ยจีทำสีหน้าหยอกเย้า

“พระโพธิสัตว์พูดติดตลกแล้ว หนิวไม่คุ้นชินกับกรล้อเล่นอย่างนี้ ขอตัวลา!” พอกุมหมัดคารวะแล้ว เหมียวอี้ก็หันตัวเดินออกมาอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง

เม่ยจีมองแผ่นหลังของเขาพลางหัวเราะ “เจ้ามาสืบไม่ใช่เหรอว่าพระอรหันต์ตัวลี่ถูกจับหรือยัง?”

เหมียวอี้หยุดฝีเท้า แล้วพึมพำในใจว่า อย่าบอกนะว่าพระอรหันต์ตัวลี่นั่นถูกจับแล้วจริงๆ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ยุ่งยากนิดหน่อย เขาหันตัวมาช้าๆ แล้วถามว่า “พระโพธิสัตว์หมายความว่า ได้ข่าวของพระอรหันต์ตัวลี่แล้วเหรอ?”

เม่ยจีก้าวเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ “ตอนนี้ยังไม่ถูกจับ ทางจี้คงทนตอบคำถามนายท่านซ้ำไปซ้ำมาไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าถูกจับเมื่อไร อาตมาจะติดต่อนายท่านหนิวมาทันที”

“ขอบคุณพระโพธิสัตว์ที่เตือน” เหมียวอี้ประนมมือทำความเคารพ ไม่อยากพัวพันกับผู้หญิงที่มีใจคิดไม่ซื่อคนนี้ เรื่องที่ควรต้องไปหาจี้คงก็ยังต้องไปหาจี้คง จึงหันตัวเดินออกไปอีกครั้ง ท่าทีดูไม่ค่อยเกรงใจสักเท่าไร และแน่ใจด้วยว่าอีกฝ่ายไม่กล้าทำอะไรตน

เม่ยจีหรี่ดวงตางาม ถ้าจะบอกว่าไม่โมโหเลยสักนิดก็แปลว่าโกหกแล้ว แต่ฐานะลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่…นางจึงหัวเราะคิกคักต่อไป “นายท่านหนิวรีบไปรีบมาขนาดนี้ ถ้าเรื่องแพร่ออกไป คนจะไม่คิดว่าอาตมาต้อนรับแขกไม่ดีหรอกเหรอ ไม่ทราบว่านายท่านเคยได้ยินระบำมารสวรรค์หรือเปล่า? ระบำมารสวรรค์ของสำนักหลัวช่าคือสิ่งที่บุรุษโปรดปรานที่สุด โดยทั่วไปไม่แสดงให้คนทางโลกดูหรอกนะ นายท่านหนิวไม่อยากชมสักหน่อยเหรอ?”

ระบำมารสวรรค์? เหมียวอี้ที่เตรียมจะยื่นมือไปผลักประตูต้องหยุดชะงักอีกครั้ง อวิ๋นจือชิวก็เต้นระบำมารสวรรค์ได้เหมือนกัน แต่จนใจที่ไม่เคยเต้นให้เขาดูมาก่อนเลย เพียงแต่ไม่รู้ว่าระบำมารสวรรค์นี้จะเป็นระบำมารสวรรค์เดียวกันหรือเปล่า?

เขาหันกลับมาดูการแต่งตัวที่วาบหวิวของเม่ยจีอีกครั้ง จึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงการแต่งตัวของอวิ๋นจือชิวในปีนั้น ถึงแม้นางจะไม่ได้แต่งตัววาบหวิวขนาดนี้ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้คนในสังคมแตกตื่นได้

รอยยิ้มบนใบหน้าเม่ยจีเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ นึกว่าทำให้เหมียวอี้หวั่นไหวได้แล้ว

ทว่าเหมียวอี้มีความคิดอีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้จะอยากเห็นมากว่าระบำมารสวรรค์หน้าตาเป็นอย่างไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้มีเจตนาอื่นแอบแฝง เขาไม่อยากตกอยู่ในจังหวะการควบคุมของผู้หญิงคนนี้ จึงใช้สองมือดึงประตูใหญ่ออก

เม่ยจีสีหน้าอึมครึมลง จู่ๆ น้ำเสียงก็ทุ้มต่ำลง “เหมือนนายท่านหนิวจะสนใจสำนักหนานอู๋มากเชียวนะ!”

เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบทันที แต่กลับทำเหมือนไม่สะทกสะท้าน แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ ได้แต่หันหลังให้อีกฝ่าย เดินก้าวยาวออกไปแล้ว

เม่ยจีที่ยืนอยู่กับที่หรี่ตามองโดยไม่พูดอะไร ในร่องตาเป็นประกายวูบไหว

ชางหงที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงตีนบันไดลุกขึ้น เดินมาข้างหลังนางแล้วถามว่า “พระโพธิสัตว์ เหตุใดท่านจึงเปิดเผยไปตรงๆ จะไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือคะ?”

เม่ยจีกล่าวว่า “เขามีอ๋องสวรรค์โค่วหนุนหลัง บวกกับตอนนี้เขาถูกอำนาจหลายฝ่ายจับจ้อง แม้แต่พุทธะหน้าหยกยังไม่สะดวกจะใช้วิธีการแข็งกร้าวกับเขาเลย แล้วพวกเราก็ยังคลำหาเบาะแสของเขาไม่เจอเลย ถ้าไม่แหวกหญ้าให้เขาเคลื่อนไหวสักหน่อย พวกเราจะตัดสินจุดประสงค์ที่แท้จริงในการไปดาวพิษของเขาได้ยังไง พุทธะหน้าหยกให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้ข้ามาที่ตลาดผีด้วยตัวเอง มีหรือที่ข้าจะรออยู่ที่นี่เฉยๆ ได้”

“พระโพธิสัตว์ แล้วขั้นต่อไปจะทำยังไงคะ?” ชางหงถาม

เม่ยจีหรี่ตา “ต้องรู้ทุกการเคลื่อนไหวของเขา ถ้าอยากจะรู้ถึงความเคลื่อนไหวของเขา ก็ต้องเข้าใกล้เขา…”

พอออกจากวัดพระกษิติครรภ์แล้ว เหมียวอี้ก็ดำน้ำกลับมาที่จวนแม่ทัพภาค เรื่องแรกที่ทำก็คือติดต่อกับอวิ๋นจือชิว ถามว่าเรื่องระบำมารสวรรค์เป็นอย่างไรกันแน่

อวิ๋นจือชิวแปลกใจ : เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม?

เหมียวอี้เล่าเรื่องตอนเจอเม่ยจีที่วัดพระกษิติครรภ์ให้ฟังคร่าวๆ ทันที แต่อวิ๋นจือชิวก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าระบำมารสวรรค์ที่ตัวเองฝึกเกี่ยวข้องกับระบำมารสวรรค์ของสำนักหลัวช่าหรือเปล่า นางได้รับถ่ายทอดมาจากอนุภรรยาคนหนึ่งของอวิ๋นอ้าวเทียน นางเคยถามที่มาของระบำมารสวรรค์กับท่านย่าบุญธรรมแล้ว ท่านย่าบุญธรรมรู้เพียงว่าได้รับถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ไม่เคยบอกว่าเกี่ยวข้องกับพิภพใหญ่

เหมียวอี้ : ถ้าอย่างนั้น ระบำมารสวรรค์ที่เจ้าฝึกเป็นยังไงกันแน่?

อวิ๋นจือชิว : จะเป็นยังไงได้ล่ะ ก็เป็นแค่ระบำที่เอาไว้ยั่วยวนผู้ชายก็เท่านั้นเอง ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือทักษะการยั่วยวนประเภทหนึ่ง ตามที่ท่านย่าบุญธรรมข้าบอกมา เมื่อได้ปลุกปั่นผู้ชายแล้ว ผู้ชายก็จะอดใจไม่ไหวกับผู้ที่เต้นระบำ ถึงข้าจะไม่รู้ว่าระบำมารสวรรค์ของเม่ยจีนั่นเป็นยังไง แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่บอกหรอกว่าเป็นสิ่งที่ผู้ชายโปรดปรานที่สุด เจ้าระวังตัวไว้หน่อยนะ อย่าไปติดกับดักโดยไม่รู้ตัว!

เหมียวอี้แปลกใจแล้ว : ตามที่ท่านย่าบุญธรรมเจ้าบอกเหรอ? อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยเห็นให้ผู้ชายคนอื่นดู…ข้าหมายถึงว่า ตอนที่เจ้าฝึกก็ต้องมีคู่ฝึกสิ ไม่อย่างนั้นจะรู้ผลลัพธ์ได้ยังไง?

อวิ๋นจือชิวอับอายจนหงุดหงิด : ไปตายซะ!

แต่จากนั้นก็สงบสติอารมณ์ แล้วตอบว่า : ตอนฝึกระบำมารสวรรค์ก็ต้องหาผู้ชายมาพิสูจน์อยู่แล้ว ตอนนั้นล้วนเป็นท่านย่าบุญธรรมที่หาคนพิสูจน์มาให้ เมื่อเห็นว่าได้ผล หลังจากฝ่ายที่ถูกยั่วยวนหลงใหลจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ พวกเขาก็จะถูกท่านย่าบุญธรรมฆ่าทิ้ง ไม่ใช่แค่คนที่ถูกยั่วยวนนะ แต่ผู้ชายคนไหนที่เคยเห็นข้าเต้นระบำนี้ ก็จะถูกท่านย่าบุญธรรมฆ่าทิ้งหมด ดังนั้นข้าจึงเคยเห็นผลลัพธ์แค่เวลาสั้นๆ ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นแล้ว คนที่ถูกข้ายั่วยวนจะอดใจไม่ไหวกับข้าจริงๆ หรือเปล่า แต่ในเมื่อท่านย่าบุญธรรมบอกอย่างนั้น ในฐานะที่ท่านเคยผ่านประสบการณ์มาก่อน ก็น่าจะไม่ผิดแน่

เหมียวอี้สงสัยว่าระบำมารสวรรค์ที่อวิ๋นจือชิวฝึกจะเกี่ยวข้องกับพิภพใหญ่ ขนาดหกเคล็ดวิชาพิเศษยังไปถึงพิภพเล็กได้เลย อาจจะเป็นประเภทเดียวกันจริงๆ เขาจึงทำความเข้าใจมากขึ้นเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด จึงถามอีกว่า : หลังจากถูกระบำมารสวรรค์ยั่วยวนแล้ว จะมีวิธีแก้หรือเปล่า?

อวิ๋นจือชิว : เรื่องนี้แก้ไม่ยากหรอก มีหลายวิธีที่จะแก้เสน่ห์นี้ได้ คนที่ใช้ทักษะนี้สามารถระบำย้อนเพื่อแก้ไข ผู้ที่ถูกยั่วยวนให้ตกใจเกินไปก็สามารถแก้ไขได้เช่นกัน หรือไม่ก็จับคนยั่วกับคนถูกยั่วให้แยกจากกันเป็นเวลานาน เมื่อเวลานานไปก็ย่อมแก้ได้เอง…หนิวเอ้อร์ ในเมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าสงสัยมาตลอด เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดกับเจ้าหรือเปล่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเฟิงเสวียน

จู่ๆ ก็ดึงมาถึงประเด็นนี้ เหมียวอี้เดาออกทันทีว่านางต้องการจะพูดอะไร เขาถามด้วยสีหน้าที่แย่นิดหน่อย : เจ้าคงไม่ได้จะบอกใช่มั้ย ว่าเจ้าเคยเต้นระบำมารสวรรค์ให้เขาดู?

อวิ๋นจือชิว : ใช่! ข้ารับรองกับเจ้าได้เลย ว่าข้าไม่เคยเต้นระบำมารสวรรค์ให้เขาดูจริงๆ แต่ตอนหลังข้าก็สงสัยนิดหน่อย เพราะข้ากับเฟิงเสวียนเจอกันครั้งแรกที่ทะเลทรายท่านเมฆา ตอนนั้นข้าเต้นระบำภายใต้แสงจันทร์อยู่ลำพังกลางทะเลทราย หลังจากเต้นเสร็จแล้ว ระหว่างทางกลับก็บังเอิญเจอเฟิงเสวียน…และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เฟิงเสวียนก็ตามจีบข้าอย่างบ้าคลั่งมาตลอด ตอนหลังที่เฟิงเสวียนถูกขังที่นภาแดนมาร ตอนข้าผิดหวังกับปฏิกิริยาของเขาอย่างต่อเนื่อง ข้าก็เริ่มสงสัยอะไรบางอย่างเหมือนกัน ที่จริงแล้วเขาเป็นคนขี้ขลาดกลัวตายมาก ทำไมถึงกล้ามาตามจีบข้าทั้งๆ ที่รู้ว่าภูมิหลังข้าเป็นยังไงล่ะ? ข้าก็เลยนึกขึ้นได้ถึงวันแรกที่เจอกัน ข้าสงสัยมาตลอดว่าก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นข้าเต้นที่กลางทะเลทรายแล้วถูกระบำมารสวรรค์ยั่วยวนหรือเปล่า?

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า : เจ้ามาพูดตอนนี้มีความหมายอะไรล่ะ?

อวิ๋นจือชิว : นี่เป็นความสงสัยของข้าเท่านั้นเอง พอพูดถึงเรื่องนี้ข้าก็ไม่อยากปิดบังอะไรเจ้า แล้วข้าก็อยากจะถือโอกาสถามเจ้าเรื่องหนึ่งเหมือนกัน…หนิวเอ้อร์ ข้าต้องการได้ยินความคิดที่แท้จริงในใจเจ้า เจ้าถือสาเรื่องในอดีตช่วงนั้นระหว่างข้ากับเฟิงเสวียนหรือเปล่า? พูดความจริงมานะ อย่าหลอกข้า! เรื่องอื่นเจ้าหลอกข้าได้ แต่เรื่องนี้เจ้าหลอกข้าไม่ได้จริงๆ!

เหมียวอี้เงียบไปนานถึงได้ตอบกลับ : ก็มีทั้งถือสาและไม่ถือสา ที่ไม่ถือสาก็เพราะเจ้ายังไม่ได้เสียความบริสุทธิ์ให้เขา ส่วนเรื่องที่ข้าถือ! ไม่ใช่เพราะเรื่องในอดีตช่วงนั้นระหว่างเจ้ากับเฟิงเสวียนหรอก แต่เป็นเพราะตัวเจ้าในอดีตกับตัวเจ้าหลังจากมาอยู่ที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุไม่เหมือนกันแน่นอน ตัวเจ้าในอดีตไม่มีทางมานั่งดื่มสุราดูพระอาทิตย์ตกดินคนเดียวบนหลังคาแน่นอน ตอนที่เจ้ายังสดใสอ่อนเยาว์ที่สุดเจ้าไม่ได้อยู่กับข้า ต่อให้ข้าจะอยู่กับเจ้าไปทั้งชีวิตได้ แต่ทั้งชีวิตนี้ข้าก็ไม่มีวันได้โอกาสอยู่กับน้องชิวผู้อ่อนเยาว์สดใสคนนั้นเลย นี่คือเรื่องที่น่าเสียดายในชีวิตเหมียวอี้ และเฟิงเสวียนก็โชคดีมาเจอก่อน! แต่ข้าก็ไม่โทษเจ้าหรอก ตอนนั้นข้าอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้เลย ไม่ว่าใครก็ไม่อาจขอให้เจ้ารอคอยคนที่อีกหลายหมื่นปีหลังจะเกิดขึ้นมาบนโลกนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้!

อวิ๋นจือชิวที่กำลังอยู่ในห้องกำระฆังดาราแน่นไว้ตรงอก นางกัดริมฝีปากแน่นจนห้อเลือด น้ำตาสองสายไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆ สุดท้ายก็เขย่าระฆังดาราตอบ : หนิวเอ้อร์ ขอบใจนะที่เจ้าพูดความจริงจากใจ บางทีเฟิงเสวียนอาจจะเคยเห็นข้าเต้นระบำมารสวรรค์ แต่ข้ายังไม่อยากเต้นให้เจ้าดู ไม่ใช่ว่าข้าเห็ต้นให้เจ้าดูไม่ได้ แต่ข้าไม่อยากเต้นให้เจ้าดู เจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดมั้ย?

เหมียวอี้ตอบว่า : ก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจ นึกว่าเจ้าหลอกให้ข้าอยากเฉยๆ ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าระบำมารสวรรค์คือวิชายั่วยวนใจคน…ข้าเข้าใจแล้ว! น้องชิว ก็อย่างที่ข้าเคยบอก ทั้งชีวิตนี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนแทนที่ตำแหน่งของเจ้าในใจข้าได้

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จ อวิ๋นจือชิวก็น้ำตาไหลพรากล้มลงเตียง นางเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วก็ค่อยๆ เอาหน้าซุกผ้าห่มกรีดร้องคร่ำครวญ ร้องไห้เหมือนจะขาดใจ…

ส่วนเหมียวอี้ที่อยู่ในตลาดผีก็มองไปนอกหน้าต่างแล้วถอนหายใจ ก่อนจะหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจินม่านที่อยู่แดนอเวจี

จินม่านได้ยินแล้วถามอย่างแปลกใจ : ระบำมารสวรรค์? ระบำมารสวรรค์ของอวี้หลัวช่าเหรอ?

เหมียวอี้ : ใช่แล้ว!

จินม่าน : ระบำมารสวรรค์เป็นวิชายั่วยวน ส่วนรายละเอียดข้าก็ไม่รู้หรอก เพราะข้ายังไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่ว่ากันว่าแรกเริ่มระบำมารสวรรค์มาจากสำนักหนานอู๋ สำนักหนานอู๋ใช้วิชานี้กับศิษย์สำนักพุทธที่ต้องผ่านด่านจิตมารตอนฝึกบำเพ็ญ ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดว่าจริงหรือเท็จ

สำนักหนานอู๋? เหมียวอี้รีบถาม : อย่าบอกนะว่าพุทธะหน้าหยกนั่นออกมาจากสำนักหนานอู๋?

จินม่าน : ไม่แน่ใจ ตามหลักแล้วศิษย์สำนักหนานอู๋ในปีนั้นน่าจะถูกพระปีศาจหนานโปฆ่าตายหมดแล้ว แต่ในปีนั้นสำนักหนานอู๋มีศิษย์เยอะมาก เป็นไปได้ว่าจะมีปลาลอดแห ถ้าคำนวณตามเวลา เรื่องที่อวี้หลัวช่ามาจากสำนักหนานอู๋ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ คงจะเกี่ยวข้องกับสำนักหนานอู๋ก่อนที่สำนักจะถูกกวาดล้างก็ได้

…………………………

ความหมายลึกล้ำในคำพูดนี้ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก ประมุขชิงที่กำลังใช้มือขยี้หนวดเริ่มทำสีหน้าแปลกๆ

หลังจากจุดประกายความคิดแล้ว เกาก้วนก็ยืนอย่างเย็นชาอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรอีก

ซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนต่างก็ทำสีหน้าครุ่นคิดเช่นกัน

หลังจากนั้น ซือหม่าเวิ่นเทียนที่เงียบไปครู่หนึ่งก็พยักหน้าบอกว่า “ไม่เลว! การที่ฝ่าบาทโยนหนิวโหย่วเต๋อไว้ที่ตลาดผีเป็นแผนการที่ดี ตาแก่โค่วสิ้นเปลืองกำลังความคิดไปมากขนาดนั้น แต่กลับดีใจโดยเสียแรงเปล่า จะกินก็กินไม่ลง จะคายทิ้งตรงๆ ก็ไม่ได้ กลายเป็นเรื่องน่าขันไปแล้ว ตอนนี้ตาแก่โค่วมีความคิดที่จะทิ้งหนิวโหย่วเต๋อ มีหรือที่จะให้เขาสมหวังง่ายๆ ถ้าตาแก่โค่วทอดทิ้ง ฝ่าบาทก็ช่วยประคองขึ้นมาสักครั้ง ถ้าตาแก่โค่วดึงไว้ ฝ่าบาทก็ค่อยกดอีกที ก็แค่ทำให้ตาแก่โค่วขึ้นไม่ได้ลงไม่ได้”

เมื่อเห็นประมุขชิงเริ่มทำสีหน้าอัศจรรย์ใจ ซ่างกวนชิงก็ยิ้มเบาๆ แล้วพูดเสริมตามว่า “ทางที่ดีต้องทำให้คลุมเครือสักหน่อย”

“เฮ่อๆ! พวกเจ้านี่นะ นี่กำลังกลัวว่าตลาดผีจะไม่วุ่นวายใช่มั้ย กำลังสอนให้ข้ากระพือลมจุดไฟชัดๆ!” ประมุขชิงหัวเราะนานมาก จากนั้นก็โบกมืออย่างอารมณ์ดีทันที “เอาล่ะ เรื่องเล็กน้อยไม่ควรค่าให้พวกเราพิจารณาไม่รู้จักหยุดหย่อน คุยธุระสำคัญเถอะ ช่วงนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

เกาก้วนกับซือหม่าเวิ่นเทียนทยอยกันรายงานทันที

สำหรับพวกเขา เมื่อเทียบกับทั้งใต้หล้าแล้ว เรื่องเล็กน้อยของเหมียวอี้คนเดียวไม่นับว่าสำคัญอะไรเลย ในใต้หล้ามีนักพรตมากมายนับไม่ถ้วน มีเรื่องใหญ่ๆ ตั้งมากมาย ไม่คุ้มค่าที่พวกเขาจะพูดถึงเหมียวอี้คนเดียวไม่จบไม่สิ้น เพียงจัดให้อยู่ในรายชื่อที่ต้องจับตาดูก็เท่านั้นเอง อย่างน้อยตอนนี้เหมียวอี้ก็ไม่ได้สำคัญถึงขั้นนั้น

“ยินดีกับนายท่าน ยินดีด้วย”

ในจวนแม่ทัพภาคตลาดผี เมื่อผู้แจกรางวัลจากตำหนักนารีสวรรค์ไปแล้ว สวีถังหรานก็กล่าวแสดงความยินดีกับเหมียวอี้ที่เลี่ยนใส่เครื่องแบบเกราะม่วงหนึ่งแถบ พวกหยางเจาชิงก็กล่าวแสดงความยินดีเช่นกัน

เหมียวอี้ชำเลืองเกราะม่วงสามแถบบนตัวสวีถังหราน แล้วพูดหยอกล้อ “ควรจะยินดีกับนายท่านสวีสิถึงจะถูก”

“…” สวีถังหรานทำสีหน้าอับอายทันที มองบนร่างกายตัวเอง พบว่าตัวเองยศสูงกว่าผู้บังคับบัญชาเสียอีก จึงรีบกุมหมัดคารวะ “ล้วนได้อาศัยบารมีของนายท่าน”

ไม่ใช่แค่เขา หยางเจาชิงกับเหยียนซิวก็ได้เป็นแม่ทัพเกราะม่วงเช่นกัน ในบรรดาคนที่ตระกูลโค่วส่งมาก็มีจำนวนหนึ่งที่ได้เป็นแม่ทัพเกราะม่วง ส่วนคนที่เหลือก็มียศเกราะม่วงอยู่แล้ว และได้เลื่อนยศอีกหนึ่งขั้นเช่นกัน คนระดับล่างของจวนแม่ทัพภาคก็ยิ่งได้เลื่อนยศเป็นวงกว้าง จะไม่ให้เลื่อนยศคงไม่ได้หรอก เพราะทั้งข้างล่างทั้งข้างบนสร้างผลงานถี่เกินไป นักโทษร้ายแรงที่ตำหนักสวรรค์จับตัวไม่ได้มาหลายปีก็ถูกพวกเขาจับได้หมด จะอาศัยแต่เงินทองมาเป็นรางวัลอย่างเดียวก็ไม่ได้ เมื่อสะสมผลงานได้มากก็ต้องได้เลื่อนยศอยู่แล้ว จะกดอย่างไรก็กดไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นในภายหลังใครจะยังทุ่มเทกำลังทำงานให้อีกล่ะ

ดังนั้นหลังจากสวีถังหรานกล่าวด้วยสีหน้าเก้อเขินแล้ว กลุ่มคนตรงนั้นก็หัวเราะร่าทันที เรียกได้ว่าสมัครสมานหรรษา คนเราพบเจอเรื่องราวดีๆ ก็ย่อมอารมณ์ดี

เหมียวอี้ก็มีรอยยิ้มเต็มใบหน้าเช่นกัน แต่ในใจกลับรู้สึกหนักอึ้ง เพราะว่าเขาเข้าใจแจ่มชัด ว่าถ้าเลื่อนยศอีกขั้นหนึ่ง หลังจากได้ยศเกราะม่วงสองแถบแล้ว การคุ้มครองจากตึกศาลาสัตยพรตก็จะต้องจบลง เกรงว่าคนจำนวนหนึ่งคงจะอดทนไม่ไหวแล้ว

หลังจากรอให้คนกลุ่มนี้แยกย้ายกันไป เหมียวอี้ก็กล่าวว่า “สวีถังหรานอยู่ต่ออีกสักหน่อย”

หลังจากในโถงเหลือเพียงหยางเจาชิงกับสวีถังหราน เหมียวอี้ก็เอียงหน้าบอกใบ้หยางเจาชิง “เจ้าไปจัดการสักหน่อย”

หยางเจาชิงกุมหมัดเอ่ยรับ แล้วหันตัวเดินออกไป สวีถังหรานงงงันเล็กน้อย จึงถามขอคำชี้แนะ “นายท่านมีอะไรจะกำชับขอรับ?”

“เตรียมตัวสักหน่อย ไปวัดพระกษิติครรภ์สักรอบ” เหมียวอี้กล่าว

“อ้อ…ขอรับ!” สวีถังหรานรีบเอ่ยรับ แต่ในใจกลับพึมพำว่า นายท่านเป็นอะไรไป ทำไมถึงไปกระโจนหาวัดพระกษิติครรภ์ได้ นี่ไปมาหลายครั้งแล้วนะ

ใช้เวลาไม่นาน ก็เตรียมการเรื่องทุกอย่างในจวนแม่ทัพภาคไว้อย่างเหมาะสมแล้ว หลังจากทั้งสามคนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เหมียวอี้ก็นำหยางเจาชิงและสวีถังหรานเข้าไปในทางลับด้วยกัน

ในทางลับถูกน้ำท่วมปิดบังไว้ ทั้งสามจึงดำน้ำออกไปโดยตรง ไม่นานก็มุดออกมาจากปากทางลับในทะเลสาบใต้ดินของ แล้วดำน้ำต่อไปด้วยความรวดเร็ว

ตอนที่ออกมาอีกครั้ง พอเข้าใกล้บริเวณวัดพระกษิติครรภ์แล้ว หยางเจาชิงก็โผล่จากน้ำขึ้นมาสำรวจบริเวณใกล้เคียงนิดหน่อย หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนจับตาดู ถึงได้เรียกเหมียวอี้กับสวีถังหรานออกมา

เหมียวอี้ในตอนนี้กลายเป็นแขกประจำของวัดพระกษิติครรภ์ไปแล้ว ไม่ได้ถูกกันไว้หน้าประตูเหมือนตอนที่มาครั้งแรก พอตรวจสอบตัวตนเพื่อป้องกันคนปลอมแปลงแล้ว ก็ปล่อยเข้าไปดื่มน้ำชาในวัดก่อน แล้วค่อยไปรายงานอีกที

พอเข้ามาในโถงรับแขกแล้ว ก็ย่อมมีพระลูกวัดนำน้ำชามาวางให้ เหมียวอี้กำลังนั่งรอ สวีถังหรานยืนอยู่ข้างกาย ส่วนหยางเจาชิงก็ยืนอยู่นอกประตู

พอหยางเจาชิงที่รออยู่ข้างนอกพยักหน้าส่งสัญญาณเข้ามาในห้อง เหมียวอี้ก็อยู่ข้างในก็รู้ทันทีว่าพระอาจารย์จี้คงมาแล้ว

พอพระอาจารย์จี้คงเข้ามาในโถงรับแขกแล้วเห็นเหมียวอี้ ก็รู้สึกค่อนข้างปวดหัว เขาไม่ได้ไปหาเรื่องใครเสียหน่อย ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงถูกท่านนี้มาเกาะแกะพัวพันเสียแล้ว

“พระอาจารย์ ข้ามารบกวนอีกแล้ว ขออภัยเป็นอย่างสูงจริงๆ” เหมียวอี้ยืนประนมมือ

พระอาจารย์จี้คงประนมมือตอบ หลังจากยื่นมือเชิญให้เหมียวอี้นั่งลงแล้ว ก็นั่งลงร่วมโต๊ะน้ำชาเดียวกับเขา แล้วถามอย่างค่อนข้างจนใจว่า “ไม่ทราบว่าแม่ทัพภาคหนิวมีอะไรจะกำชับอาตมาหรือ?”

เหมียวอี้ก็ถอนหายใจอย่างอับจนปัญญาเช่นกัน “ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก ก็ว่าจะมาถามสักหน่อยไม่ทราบว่าฝั่งแดนสุขาวดีจับกุมพระอรหันต์ตัวลี่ที่ยุงยงศิษย์ให้มาลอบสังหารหนิวได้หรือยัง?”

ไม่รู้ว่าเขาถามเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ขนาดสวีถังหรานที่มาด้วยหลายครั้งก็ยังรู้สึกแปลกๆ เลย คิดในใจว่า เจ้าเอาแต่มากดดันจี้คงแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร

จี้คงยอมแพ้เขาแล้วจริงๆ เป็นอย่างที่คาดไว้ มาเพราะเรื่องนี้อีกแล้ว ถ่อมาถามเขาเรื่องนี้ทุกสามวันห้าวัน หูเขาใกล้จะด้านแล้ว พระอาจารย์เล็กๆ อย่างเขาจะไปรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรล่ะ เกี่ยวอะไรกับข้า? เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใคร? ทำได้เพียงรายงานขึ้นไปเบื้องบน ส่วนผลจะเป็นอย่างไร ก็ทำได้เพียงรอข่าวจากเบื้องบนเช่นกัน

ส่วนเบื้องบนก็ไม่ได้อยากจะแยแสหนิวโหย่วเต๋อเลย แต่เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อถูกลอบสังหารดันทำให้แดนสุขาวดีแก้ตัวลำบาก กอปรกับมีอ๋องสวรรค์โค่วหนุนหลังอยู่ คงไม่ดีหากจะไม่ต้อนรับขับสู้เลยสักนิด ไม่อย่างนั้นถ้าเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาทั่วไป เกรงว่าแม้แต่ประตูวัดพระกษิติครรภ์ก็เข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ถึงได้ผลักมาให้จี้คง ให้เขามารับมือด้วยอย่างขอไปที แล้วเขาจะทำอย่างไรได้ล่ะ? ทำได้เพียงอดทนมาต้อนรับขับสู้กับเหมียวอี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ครั้งนี้ไม่ต้องปวดหัวเท่าไรแล้ว เพราะเบื้องบนส่งคนมารับมือให้แล้ว

“แม่ทัพภาคหนิวใช้ระฆังดาราติดต่อไปถามเองเลยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ด้วยตัวเองเพราะเรื่องนี้ทุกรอบ”

“โถ่ นั่นอาจจะเสียมารยาทเกินไป แต่ในเมื่อมาแล้ว พระอาจารย์ก็ได้โปรดบอกหน่อย ว่ามีเบาะแสเรื่องมือสังหารหรือยัง?”

จี้คงยิ้มอย่างขื่นขม แล้วยื่นมือเชิญอย่างเกรงใจ “แม่ทัพภาคหนิว เชิญมากับข้า”

เหมียวอี้งงทันที จึงลุกขึ้นยืนแล้วถามอย่างแปลกใจ “ไปไหนเหรอ?”

“คนที่จะมาตอบคำถามเรื่องที่แม่ทัพภาคซักไซ้ได้” จี้คงตอบ

“ใครเหรอ?” เหมียวอี้งุนงง

“แม่ทัพภาคหนิวเห็นแล้วก็จะทราบเอง” จี้คงยิ้มบางๆ

ยังมาใช้มุกรักษาความลับอีกเหรอ? เหมียวอี้มองเขาศีรษะจดเท้าด้วยแววตาฉงน ไม่สะดวกจะปฏิเสธ จึงทำได้เพียงยื่นมือเชิญ แล้วเดินตามเขาออกมาจากห้องรับแขก

พวกเขามาถึงลานบ้านด้านหลังจองวัดพระกษิติครรภ์ จี้คงยกมือห้ามหยางเจาชิงกับสวีถังหรานให้หยุดก่อน เหมียวอี้จึงพยักหน้าบอกใบ้เล็กน้อง ทั้งสองทำได้เพียงรออยู่ที่ลานบ้านด้านหลัง

เหมียวอี้ไม่กลัวว่าวัดพระกษิติครรภ์จะทำอะไรเขาตอนอยู่ที่นี่ได้ จึงเดินตามจี้คงขึ้นตึกไปอีกครั้ง

บันไดขึ้นชั้นบนเลี้ยวแล้วเลี้ยวอีก พอขึ้นไปบนชั้นสิบซึ่งใกล้จะถึงผิวดิน จี้คงถึงได้นำทางเข้าไปในทางเดินที่ลึกและมีแสงจากโคมไฟสลัว พระพุทธรูปแบบต่างๆ บนผนังทั้งสองข้างทำให้ดูลี้ลับยากจะคาดเดาขึ้นไม่น้อย

หน้าห้องห้องหนึ่งซึ่งมีประตูใหญ่สีทองแดงสะท้อนแสงวิบวับ จี้คงหยุดฝีเท้า แล้วยื่นมือบอกใบ้ให้เข้าไป ทั้งยังสื่อความหมายว่าให้เหมียวอี้ผลักประตูเข้าไปเองด้วย

ดวงตาเหมียวอี้ฉายแววระแวงสงสัย เขามองจี้คงที่มีใบหน้าเจือรอยยิ้ม แล้วมองประตูใหญ่ที่ปิดสนิท ไม่รู้ว่าพระรูปนี้จะมาไม้ไหน เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง แล้วยื่นมือกดบนบานประตู ออกแรงผลักอย่างช้าๆ

ท่ามกลางเสียงประตูที่หนักทึบ ซอกระหว่างประตูเปิดออกอย่างช้าๆ ภาพที่อยู่ด้านหลังขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเหมียวอี้ที่เฝ้าระแวดระวังเห็นภาพข้างในชัดเจนแล้ว ก็รู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย

ในห้องที่เดิมทีเงียบเหงาและอยู่ท่ามกลางความมืด ไม่รู้ว่ามีลำแสงสายหนึ่งที่เหมือนเสาแสงยิงสะท้อนออกมาจากไหน แสงนั้นสาดส่องบนพระพุทธรูป ทำให้พระพุทธรูปหลุดออกจากความมืดมิด ให้ความรู้สึกเงียบขรึมอย่างบอกไม่ถูก และตรงใต้พระพุทธรูปองค์สูงใหญ่ ร่างอันงดงามชดช้อยของสตรีคนหนึ่งกำลังนอนเอนกาย เสื้อผ้าบางเบาเปิดเผย อยู่ภายใต้แสงสว่างจ้าแต่กลับมองเห็นใบหน้าไม่ชัด ทว่านั่นก็ยิ่งทำให้เย้ายวนดึงดูดใจมากขึ้น เห็นแล้วเลือดลมสูบฉีด

เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองในชั่วพริบตาเดียว ผู้หญิงที่นอนเอนกายใช้มือยันศีรษะกำลังยิ้มบางๆ ให้เขา ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือพระโพธิสัตว์เม่ยจีที่เขาเคยเจอที่แดนสุขาวดีนั่นเอง

เหมียวอี้นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอผู้หญิงคนนี้ที่นี่ เขารีบมองไปทางจี้คง แต่จี้คงกลับประนมมือโค้งตัว แล้วหันตัวเดินจากไปแล้ว

พอหันกลับไปมองด้านหลังอีกครั้ง พระโพธิสัตว์เม่ยจีก็กางแขนที่ขาวงามดุจหยก กวักมือเบาๆ พร้อมถามด้วยรอยยิ้ม “นายท่านหนิวไม่กล้าเข้ามาเหรอ กลัวอาตมาจะกินเจ้าหรือไง?”

อาตมาเหรอ? ข้าว่าเจ้าคล้ายกับปีศาจมากกว่า! เหมียวอี้ตำหนิในใจ แต่บนใบหน้ากลับฝืนยิ้ม เขาผลักประตูเข้ามา ภายนอกดูผ่อนคลายแต่ภายในตึงเครียด ระแวดระวังตัวอยู่ตลอด

แต่จะไม่เข้าไปก็ไม่ได้ อาศัยพลังของอีกฝ่าย ถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาอะไรไม่ดีจริงๆ ตัวเขาเองก็หนีไม่พ้นอยู่ดี เพียงแต่ในกระบอกแขนเสื้อกลับคลำระฆังดาราติดต่อกับภายนอกเล็กน้อย บอกให้รู้ว่าตัวเองมาเจอกับใคร

ทว่าเมื่อเข้ามาในห้องโถงที่กว้างใหญ่ ก็ได้ยินเสียงหมุนดัง ‘แกร๊ก’ รอบด้านมีเสาแสงหลายต้นปรากฏวาดผ่านความมืดทันที เห็นเพียงผู้หญิงที่แต่งกายไม่มิดชิดยืนรียงแถวสองฝั่งในท่วงท่าที่ยั่วยวน แต่ละคนหมุนกระจกบานใหญ่พร้อมกัน ทำให้มีเสาแสงหลายสายส่องสะท้อนอยู่ในโถงใหญ่ทันที ชั่วพริบตาเดียวไฟในโถงใหญ่ก็สว่างไสว รายละเอียดเล็กน้อยปรากฏออกมาหมด กวาดล้างความมืดครึ้มพิศวงก่อนหน้านี้ออกไป เพียงแต่ลำแสงที่อยู่ในห้องทำให้รู้สึกเหมือนเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ความจริง

ด้านหลังมีเสียง “วึงๆ” ดังขึ้นอีก เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง เห็นเพียงผู้หญิงสองคนกำลังดันปิดประตูบานใหญ่หนาหนัก

พอประตูปิดแล้ว ผู้หญิงที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวาก็หันตัวมาพร้อมกัน แล้วเดินเรียงแถวหายเข้าไปในประตูด้านข้างสองฝั่งที่อยู่หลังห้องโถง มีเพียงหนึ่งคนที่โดดเด่นออกมา เดินไปคุกเข่าอยู่ตรงตีนบันไดตรงพระพุทธรูปในโถงหลัก ท่าทางเหมือนปรนนิบัติรับใช้พระโพธิสัตว์เม่ยจี อีกฝ่ายเอียงหน้าเล็กน้อยมองเหมียวอี้ที่กำลังเดินเข้ามา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นคนที่เหมียวอี้เคยเจอมาแล้ว ชางหงที่เคยมีเรื่องกับเขาที่ดาวพิษนั่นเอง

เหมียวอี้พึมพำในใจอีกครั้ง นี่มันเรื่องบ้าบออะไร คงไม่ถึงขั้นใช้วิธีการนี้มาคิดบัญชีกับตนหรอกใช่มั้ย

“หนิวโหย่วเต๋อนมัสการพระโพธิสัตว์เม่ยจี” เหมียวอี้ที่เดินไปตรงหน้าบันไดกุมหมัดคารวะ จงใจเผยระฆังดาราในมือให้อีกฝ่ายเห็น เป็นการบอกใบ้ไม่ให้อีกฝ่ายทำซี้ซั้ว ข้ารายงานสถานการณ์ในนี้ให้คนนอกรู้แล้ว ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าก็อย่าได้คิดว่าจะหนีพ้นเลย

“หึหึ…” เม่ยจีหัวเราะเสียงใส แล้วบิดเอวเบาๆ ลุกขึ้นนั่งอย่างเกียจคร้าน เท้าเปลือยสองข้างไหลลงตามบันไดขั้นหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นบิดเอวอันน่าหลงใหลเดินเนิบนาบลงบันไดมา ดวงตางามเป็นประกายทว่าล้ำลึก ยังคงดึงดูดใจเหมือนเดิม นางจ้องเหมียวอี้พร้อมเดินเข้ามาทีละก้าว

…………………………

พอพูดถึงตอนท้าย เขาก็โบกแผ่นหยกในมือด้วยแววตาตื่นเต้นดีใจอีก

ฟังจากความหมายและปฏิกิริยาของเขา เสวี่ยหลิงหลงจึงถามหยั่งเชิงว่า “หรือว่ามหาเคล็ดวิชารวมศูนย์เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาของประมุขดาวหนึ่งในสิบแปดคนที่ทำเคล็ดวิชาหายไป?”

สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “หนึ่งในสามสิบสองประมุขดาว ชื่อว่าประมุขดาวหุ้นตุ้น เคล็ดวิชาฝึกตนของเขาก็คือมหาเคล็ดวิชารวมศูนย์ ดีไม่ดีอาจจะเป็นวิชาที่มาอยู่ในมือพวกเราแล้วก็ได้”

เสวี่ยหลิงหลงขมวดคิ้ว “ท่านสามี ในเมื่อมันเป็นเคล็ดวิชาที่หายไปนานแล้ว เจ้าเองก็ไม่เคยเห็น แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่ามหาเคล็ดวิชารวมศูนย์เป็นของประมุขดาวหุ้นตุ้นท่านนั้น?”

“บทนำ! บทนำของเคล็ดวิชาไง ข้าจะอ่านให้เจ้าฟังสักหน่อยแล้วกัน” สวีถังหรานยกแผ่นหยกในมือขึ้นมา ร่ายอิทธิฤทธิ์อ่านทีละคำ “ผู้รวมศูนย์ ยามปราณหยวนยังไม่ถูกแบ่ง หุ้นตุ้น[1]เป็นหนึ่งเดียว เป็นจุดเริ่มต้นของปราณหยวน! ปราณหยวนกำเนิดจากหุ้นตุ้น อยู่ในแสงสว่าง อยู่นอกความมืด ระหว่างความมืดและความสว่างเกิดเป็นช่องว่าง ในช่องว่างเกิดเขตแดนว่างเปล่า เขตแดนว่างเปล่าแบ่งออกเป็นปราณสามชนิด ได้แก่ปราณเสวียน ปราณหยวน ปราณสื่อ ปราณสามชนิดรวมกันเป็นหุ้นตุ้น เมื่อเกิดแดนอนัตตาจึงเกิดช่องว่าง เมื่อเกิดช่องว่างจึงเกิดความว่างเปล่า เพราะว่างเปล่าจึงมีอยู่ เพราะมีอยู่จึงว่างเปล่า เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงที่ว่างเปล่า เกิดเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติแห่งธรรมะ เรียกว่ามหาเคล็ดวิชารวมศูนย์…ฮูหยิน เจ้าฟังเข้าใจหรือเปล่า?”

“ในนั้นเหมือนจะเอ่ยถึง ‘หุ้นตุ้น’ สามองครั้ง อิงจากสิ่งนี้ก็เลยเกี่ยวข้องกับประมุขดาวหุ้นตุ้นนั่นเหรอ?” เสวี่ยหลิงหลงเอ่ยถามเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง

สวีถังหรานจึงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ฮูหยินฉลาดล้ำเลิศ วัตถุประสงค์ของบทนำกล่าวไว้หนึ่งร้อยตัวอักษรพอดีไม่ขาดไม่เกิน แต่ในหนึ่งร้อยคำนี้กลับเอ่ยถึง ‘หุ้นตุ้น’ ถึงสามครั้ง ดูจากแก่นแท้ของวัตถุประสงค์นิดหน่อยก็รู้แล้วว่าเป็น ‘หุ้นตุ้น’ นั่น กุญแจสำคัญอย่างนี้จะไม่สอดคล้องกับฉายานามของประมุขดาวหุ้นตุ้นได้ยังไง? บังเอิญได้ยินว่าประมุขดาวหุ้นตุ้นในตำนานฝึกมหาเคล็ดวิชารวมศูนย์นี้พอดี ทุกอย่างล้วนเชื่อโยงได้ ถ้าจะไม่ให้แน่ใจว่ามหาเคล็ดวิชารวมศูนย์คือเคล็ดวิชาฝึกตนของประมุขดาวหุ้นตุ้นก็ยากแล้ว! แล้วอีกอย่างนะ อสุราอัคนีที่เป็นอาจารย์ต่างยุคของนายท่านเป็นตัวละครแบบไหนกันล่ะ? ถึงแม้จะเป็นตัวละครที่ผงาดขึ้นมาหลังจากหนึ่งเทพ สามเซียน หกสำนัก สามสิบสองประมุขดาวถูกกำจัดไปแล้ว แต่จ้าวของหกลัทธิในตอนนั้นก็ทำอะไรเขาไม่ได้เลยสักนิด เคล็ดวิชาที่ควรค่าให้อสุราอัคนีเก็บซ่อนไว้จะธรรมดาเหรอ?”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายเช่นนี้ เสวี่ยหลิงหลงก็เชื่อแล้วเช่นกัน ถึงไม่ถึงว่าสองสามีภารรยาจะได้รับเคล็ดวิชาอย่างนี้ “ท่านสามี ไม่รู้ว่าหลังจากฝึกสำเร็จแล้วจะมีพลังเป็นยังไง?”

“อันนี้…” สวีถังหรานลังเล อ่านแผ่นหยกที่อยู่ในมืออย่างช้าๆ “ตามที่ระบุไว้บนบทนำ ‘ปราณเสวียน ปราณหยวน ปราณสื่อ ปราณสามชนิดรวมกันเป็นหุ้นตุ้น’ คงจะหมายถึงขั้นตอนการฝึก หมายความว่าหลังจากฝึกจนะเกิดปราณเสวียน ปราณหยวนและปราณสื่อแล้ว ก็จะหลอมรวมกลายเป็นหุ้นตุ้น หลังจากหุ้นตุ้นรวมเป็นหนึ่ง ก็จะฝึกมหาเคล็ดวิชารวมศูนย์สำเร็จแล้ว ส่วนที่ถามว่าหลังจากฝึกแล้วมีพลังเป็นยังไง ข้าก็ไม่รู้จริงๆ บนนี้ไม่ได้บอกไว้ ข้าเองก็ไม่รู้จักประมุขดาวหุ้นตุ้นนั่นด้วย แค่บังเอิญได้ยินมาก็เท่านั้นเอง แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญหรอก เอาเป็นว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเราจะได้เคล็ดวิชาที่เทียบเท่ากับสิบปราสาทดำเนินลี่อ๋องสวรรค์ รู้ไว้แค่ว่าหลังจากฝึกสำเร็จแล้ว พลังจะต้องไม่แย่แน่นอน”

ไม่นานเสวี่ยหลิงหลงที่พยักหน้าอย่างตื่นเต้นดีใจก็เริ่มกังวลอีก “นายท่านหนิวไม่รู้ที่มาที่ไปของเคล็ดวิชานี้จริงเหรอ? ถ้าเขากำลังทดสอบพวกเราอยู่จะทำยังไง?”

สวีถังหรานส่ายหน้าอย่างรู้สึกขำ “ช่างมีความคิดอ่านแบบผู้หญิงจริงๆ เอาแต่หลับหูหลับตากังวลสิ่งที่ไร้ประโยชน์! ฮูหยินเอ๊ย เจ้าคิดมากไปแล้ว ตำหนักสวรรค์ก่อตั้งมากี่ปีแล้ว? ก่อนหน้านั้นยังมีจ้าวหกลัทธิปกครองใต้หล้าอยู่ตั้งกี่ปี ต้องย้อนต่อไปอีกถึงจะเป็นช่วงเวลาที่มีเคล็ดวิชานี้ เรื่องที่ผ่านไปนานขนาดนั้น คนที่ยังไม่ถึงระดับสำแดงฤทธิ์ส่วนใหญ่ก็ตายไปหมดแล้ว คนที่รู้มีไม่เยอะหรอก นายท่านจะมาทดสอบพวกเราทำไม? เขาไม่รู้เลยว่าพวกเราอาจจะรู้ที่มาของเคล็ดวิชานี้ จำเป็นต้องทดสอบด้วยเหรอ? ต่อให้จะทดสอบอีกแต่ก็คงไม่ทดสอบเรื่องนี้หรอก”

เสวี่ยหลิงหลงตบหน้าอกเขาเบาๆ แล้วจู่ๆ ก็กางแขนคล้องคอเขา พร้อมกล่าวอย่างซาบซึ้ง “ท่านสามี งั้นพวกเราก็เก็บได้โชคใหญ่แล้วจริงๆ” ขณะเดียวกันก็รู้สึกกังวล เป็นความกังวลเล็กๆ ที่เก็บได้ของดีมาจากคนอื่น

เมื่อก่อนนางไม่ใช่คนประเภทนี้เลย แต่เมื่ออยู่กับสวีถังหรานนานๆ ไป สามีเป็นผู้นำภรรยาเป็นผู้ตาม กอปรกับหลายๆ ด้านนางก็สู้สวีถังหรานไม่ได้จริงๆ ในสถานการณ์ที่พิสูจน์ได้หลายเรื่องแล้วว่าสวีถังหรานทำถูก แนวคิดของนางจึงเปลี่ยนตามทีละนิด เรียกได้ว่าอยู่ใกล้สีหมึกแดงย่อมติดสีแดง อยู่ใกล้หมึกดำย่อมติดสีดำจริงๆ ถูกสวีถังหรานชักนำไปในทางที่แย่แล้ว เมื่อเข้าประตูบ้านเดียวกัน สุดท้ายก็กลายเป็นคนบ้านเดียวกัน

สวีถังหรานที่กำลังกอดนางก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเต็มสิบเช่นกัน เรื่องหาร้านค้ายี่สิบร้านก่อนหน้านี้ เขายังกังวลอยู่เลยว่าเหมียวอี้จงใจหาเรื่องเขาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ไม่คิดอย่างนั้นแล้ว กำลังคิดว่าจะใช้วิธีการอะไรถึงจะทำภารกิจที่นายท่านมอบหมายให้สำเร็จได้

จะเป็นภารกิจหรือไม่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง หลังจากจวนแม่ทัพภาคเตรียมให้คนของจวนอ๋องสวรรค์ไปส่งเฟยหง หลินผิงผิงและเสวี่ยหลิงหลงแล้ว เหมียวอี้ก็มีงานดีๆ ให้สวีถังหรานไปจัดการอีก เป็นงานที่เขาชอบ เพียงพอที่จะทำให้เขาสุขสำราญ

บนถนนของตลาดผีอันเจริญรุ่งเรืองและมีผู้คนเดินขวักไขว่อยู่ในความมืด จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายขึ้น ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาจากทั่วทิศ มาล้อมโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเอาไว้

ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนยืนหลีกทางให้ กำลังมองดูทหารสวรรค์ที่โหดเหี้ยมดุร้ายพวกนี้ ผู้จัดการร้านที่เบียดอยู่ตรงประตูร้านฝั่งตรงข้ามเก็บสองมือไว้ในกระบอกแขนเสื้อ ทำเสียงฮึดฮัดแล้วถ่ายทอดเสียงบอกคนงานที่อยู่ข้างกัน “เป็นเรื่องยากที่จะเห็นเหตุการณ์แบบนี้ที่ตลาดผี แม่ทัพภาคท่านนั้นยังกลับมาจากแดนสุขาวดีไม่ถึงสามเดือนเลยใช่มั้ย?”

“เกือบจะสามเดือนแลวขอรับ” คนงานตอบ

“คงจะมาจับคนอีกแล้ว ยังไม่ถึงสามเดือนเลย นี่เป็นรอบที่สี่แล้วกระมัง?” ผู้จัดการร้านถาม

คนงานตอบว่า “ใช่แล้วขอรับ ผู้จัดการร้านช่างความจำดี นี่เป็นรอบที่สี่แล้ว”

ผู้จัดการร้านเดาะลิ้น “แม่ทัพภาคท่านนี้ช่างไม่รู้จักหยุดหย่อน ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์ก็ทำเอาทั้งไก่ทั้งสุนัขที่ตลาดสวรรค์อยู่ไม่สุข ทำให้คนตระหนกตกใจ ตอนนี้เริ่มมาก่อเรื่องที่ตลาดผีซะแล้ว”

“ผู้จัดการร้าน แล้วตึกศาลาสัตยพรตนี่จะเอายังไงกันแน่ แต่ไหนแต่ไรมาก็ข่มจวนแม่ทัพภาคตลอด ทำไมปล่อยให้จวนแม่ทัพภาคทำเรื่องอย่างนี้ได้?” คนงานแปลกใจ

ผู้จัดการร้านเหล่ตามองมา “ศักยภาพของตึกศาลาสัตยพรตกับอำนาจเบื้องหลังของหนิวโหย่วเต๋อก็เห็นๆ กันอยู่ ยังต้องพูดอีกเหรอ น้ำที่นี่ลึกมาก ตัวละครเล็กๆ อย่างพวกเราไม่รู้สถานการณ์ของเบื้องบนหรอก จะไปมองเข้าใจได้ยังไง สรุปก็คือเทพเซียนข้างบนทะเลาะกัน แต่ตัวละครเล็กๆ ข้างล่างรับเคราะห์…อ้าว ออกมาแล้ว” เขาเชิดคางไปทางโรงเตี๊ยมที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

ตรงประตูโรงเตี๊ยม สวีถังหรานที่สวมชุดเกราะสีม่วงทั้งตัวเอามือไขว้หลังเดินวางมาดออกมาแล้ว ไม่ได้ปลอมตัวใดๆ แสดงตัวให้ผู้คนในตลาดผีเห็นอย่างเปิดเผย

กำลังพลกลุ่มที่อยู่ข้างหลังลากตัวผู้ต้องหาสามคนที่โดนซ้อมจนสาหัสปางตายออกมาแล้ว

พอผู้ต้องหาสามคนเผยโฉมหน้า กลุ่มคนที่มามุงดูด้านนอกก็กล่าวอย่างตื่นเต้นประหลาดใจทันที “รีบมาดูสิ ด้านหลังคือกานกงเจิ้ง นักโทษหลบหนีที่ฆ่าผีหลักเมืองไปเป็นร้อยใช่มั้ย?”

“หึ! หลบหนีมาได้ตั้งหลายปี ครั้งนี้ตกอยู่ในมือตำหนักสวรรค์ต้องตายแน่นอน ผีหลักเมืองถึงแม้จะตำแหน่งต่ำต้อย แต่ถึงยังไงก็ฆ่าขุนนางตำหนักสวรรค์ไปเยอะขนาดนั้น ดีไม่ดีอาจจะโดนแล่เนื้อเถือหนังต่อหน้าฝูงชนก็ได้”

“ได้ยินว่าฮูหยินของกานกงเจิ้งก็ถูกผีหลักเมือง…เฮ้อ!”

“กานกงเจิ้งไม่ได้มีพลังอ่อนแอนะ จะโดนจับกุมง่ายขนาดนี้เลยเหรอ? ทั้งยังจับรวดเดียวสามคน หลังจากจวนแม่ทัพภาคเป็นกำลังพลชุดใหม่ ก็เปลี่ยนไปเยอะมากจริงๆ!”

“เจ้าจะเข้าใจอะไรล่ะ การเปลี่ยนคนรอบนี้ไม่ธรรมดานะ ได้ยินว่าอ๋องสวรรค์โค่วส่งแรงสนับสนุนมาให้ลูกเขยด้วยตัวเอง จะเลือกคนแย่ๆ มาได้เหรอ?”

คนที่ไม่รู้สถานการณ์ของเบื้องบนมีจำนวนเยอะมาก ส่วนคนรู้สถานการณ์เบื้องลึกที่ยืนดูอยู่เงียบๆ พอได้ยินบทสนทนาของพวกนี้ก็แอบส่ายหน้า เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ต้องหาพวกนี้ตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตตั้งนานแล้ว แต่ส่งให้หนิวโหย่วเต๋อสร้างผลงานไปเปล่าๆ ถ้าไม่มีตึกศาลาสัตยพรตคอยช่วย อย่าว่าแต่คนที่อ๋องสวรรค์โค่วส่งมาเลย ต่อให้เป็นอ๋องสวรรค์โค่วมาด้วยตัวเองแต่ก็อาจจะจับไม่ได้อยู่ดี

เหมียวอี้สั่งว่าหลังจากจับผู้ร้ายได้แล้วให้พาเดินในตลาด กับเรื่องโอ้อวดบารมีแบบนี้ สวีถังหรานย่อมไม่ขัดข้องอะไรอยู่แล้ว ต้องทำให้พวกเพื่อนร่วมงานในตลาดสวรรค์ที่เคยดูถูกเขาได้เห็นสักหน่อย ดูไว้ซะว่าทุกวันนี้สวีเที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่ตลาดผีอย่างไร! ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็คิดว่ายิ่งก่อเรื่องให้สะดุดตามากเท่าไรก็ยิ่งดี เหมือนกับหลักการที่เขาบอกเสวี่ยหลิงหลงไว้

ผู้ร้ายหลบหนีติดกับดัก หลายคนที่อยู่ข้างหน้าเบิกทางให้ ผู้ร้ายหลบหนีที่อยู่ข้างหลังถูกลากให้เดิน สวีถังหรานที่เป็นผู้คุมสถานการณ์เอามือไขว้หลังยืดอกเชิดหน้าเดินอยู่ท่ามกลางสายตาฝูงชน ในขณะที่รู้สึกภาคภูมิใจ ดวงตาเรียวเล็กก็มองไปรอบๆ อย่างดุร้ายราวกับเหยี่ยว เผยให้เห็นความโฉดชั่วทมิฬ

สิ่งที่อยู่ภายนอกมีไว้แสดงให้คนดู แต่ในใจกลับรู้จักตัวเองดี เพราะมีผู้ร้ายหลบหนีมาติดกับดักอีกแล้ว จะไม่ให้เขาดีใจไม่ได้หรอก ครั้งนี้จับกุมได้เป็นครั้งที่สี่แล้ว ครั้งแรกได้รางวัล ครั้งที่สองก็ยังได้รางวัล ครั้งที่สามได้เลื่อนยศหนึ่งขั้น ครั้งที่สี่ยังไม่รู้เลยว่าจะได้อะไร เคยเห็นคนสร้างผลงานมาก่อน แต่ก็เคยเห็นการสร้างผลงานแบบนี้เลย

ประเด็นสำคัญคือเป็นการสร้างผลงานที่ผ่อนคลายมาก ท่านแม่ทัพภาคระบุสถานที่ให้ ส่วนเขาก็รีบพาคนบุกเข้าไป ผู้ร้ายหลบหนีที่อยู่ในจุดหมายถูกควบคุมตัวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ต้องเปลืองแรงเลยสักนิด แค่หิ้วตัวมาเลยก็สิ้นเรื่อง ไม่มีอันตรายใดๆ เลย เรียกได้ว่านอนสร้างผลงาน ขนาดสวีถังหรานยังรู้สึกเลยว่าเรื่องนี้เกินจริงไปหน่อย

ส่วนเหมียวอี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ยศกระโดดขึ้นไปทีละขั้นทีละขั้น และเหมียวอี้ก็ไม่สนด้วยว่าเบื้องหลังจะตกลงแลกเปลี่ยนอะไรกัน โอกาสแบบนี้หาได้ยาก ขอเพียงจับตัวผู้ร้ายหลบหนีให้ได้ แล้วก็นำลูกน้องรายงานผลงานขึ้นไปด้วยกัน เขาต้องฉวยโอกาสดึงหญ้าตีกระตาย เลื่อนยศลูกน้องคนสนิทขึ้นมาด้วยกัน ทุกครั้งที่มีผลงานก็จะพ่วงเหยียนซิว หยางเจาชิงและพวกสวีถังหรานไปด้วย

แม้แต่คนที่ตระกูลโค่วส่งมาที่ตลาดผีก็ได้อาศัยบารมีไปด้วย เหมียวอี้สลับหมุนเวียนรายงานผลงานของทุกคนขึ้นไป ด้งนั้นช่วงนี้แต่ละคนในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีจึงฮึกเหิมเต็มเปี่ยม ทุกคนพบหน้ากันด้วยความร่าเริง คนเราพบเจอเรื่องน่ายินดีก็ย่อมอารมณ์ดี ตอนหลังพบว่ายังสร้างผลงานได้ด้วย ช่างเหมือนการละเล่นของเด็กเสียจริง พวกเขาย่อมเข้าใจเช่นกันว่าได้อาศัยบารมีใคร ดังนั้นเมื่อเห็นเหมียวอี้ก็ล้วนแสดงความเคารพนอบน้อม

ส่วนลับลมคมในที่อยู่ในนั้น ก็ไม่ต้องพูดถึงว่าทุกคนคือคนที่ตระกูลโค่วคัดเลือกมา เมื่อเรื่องราวเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตัวเอง ก็ย่อมไม่มีใครพูดซี้ซั้วจนทำลายเรื่องราวดีๆ ของตัวเอง ท่านแม่ทัพภาคสั่งให้พูดอย่างไร ทุกคนแค่พูดไปตามนั้นก็พอ

จวนแม่ทัพภาคตลาดผีอยู่ในสังกัดของตำหนักนารีสวรรค์โดยตรง คนนอกยื่นมือเข้ามาแทรกไม่ได้ ด้านหนึ่งมีตระกูลเซี่ยโห้วแอบส่งผลงานให้ อีกด้านหนึ่งมีราชินีสวรรค์ที่รู้อยู่แก่ใจคอยแกล้งปิดตาข้างเดียวให้ กอปรกับราชินีสวรรค์เพิ่งตั้งครรภ์โอรสสวรรค์พอดี ไม่ว่าจะเป็นพลังอำนาจหรือสถานการณ์ก็ล้วนอยู่ในช่วงที่คึกคักมีชีวิตชีวา เมื่อท้องยื่นอยู่ตรงหน้าราชันสวรรค์ แม้แต่ราชันสวรรค์ที่ได้ลิ้มรสการมีโอรสเป็นครั้งแรกก็ยังต้องลูบเคราแกล้งโง่ ดังนั้นกลุ่มขุนนางระดับสูงของตำหนักสวรรค์จึงทำได้เพียงดูความเคลื่อนไหวของตลาดผีเฉยๆ มองดูพวกกลุ่มทหารตัวเล็กตัวน้อยเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งกันอย่างสำราญบานใจ มองดูเหมือนเป็นเรื่องตลก!

คนที่ตามองเห็นชัดล้วนรู้ดี ว่านี่คือการตอบแทนที่ตระกูลเซี่ยโห้วมอบให้ตระกูลโค่วเป็นครั้งสุดท้าย ต้องการจะช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อกลับสู่ตำแหน่งเดิม เมื่อสำเร็จตามเป้าหมายเมื่อไร ระยะเวลาการคุ้มครองที่หนิวโหย่วเต๋อได้รับจากตึกศาลาสัตยพรตก็จะสิ้นสุดลง ดังนั้นทุกคนจึงอดทนรอ ต่อไปได้ถึงคราวที่หนิวโหย่วเต๋อต้องร้องไห้แน่!

“เจ้าหมอนั่นพาผู้ต้องหาเดินเที่ยวอีกแล้วเหรอ?”

เฉาหม่านยืนอยู่ริมหน้าต่าง เอ่ยถามเสียงเรียบในขณะที่ทอดสายตามองผิวทะเลสาบระยิบระยับใต้โคมไฟ

ชีเจวี๋ยที่ยืนรายงานสถานการณ์อยู่ข้างกันพยักหน้าตอบ “ใช่แล้วขอรับ สวีถังหรานลูกน้องเขานำผู้ต้องหาเดินร่อนที่ตลาดผีอีกแล้ว”

เฉาหม่านสีหน้าอึมครึมเล็กน้อย การที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีทำอย่างนี้ ล้วนส่งผลกระทบต่อตลาดผีไม่มากก็น้อย คนที่ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกคงจะเคลือบแคลงใจกับการควบคุมตลาดผีของตึกศาลาสัตยพรต จะเพิ่มอิทธิพลให้จวนแม่ทัพภาคที่ตลาดผีอย่างที่ตาเปล่ามองไม่เห็น การกระทำนี้ทำให้ไฟโกรธสุมอยู่ในใจเขารางๆ เขาอยากจะสั่งสอนเหมียวอี้มาก แต่สุดท้ายก็ยังอดทนไว้ ได้แต่แสยะยิ้มบอกว่า “เจ้าหนุ่มนี่ช่างไม่รู้จักประมาณตน! สงสัยจะวางอำนาจบาตรใหญ่ที่ตลาดสวรรค์จนชินแล้ว ทำนิสัยเดิมอีกแล้ว!”

“จะให้บ่างสั่งสอนเขาสักหน่อยหรือไม่ขอรับ?” ชีเจวี๋ยถาม

“เฮอะ!” เฉาหม่านทำเสียงฮึดฮัด “ไม่ต้องแล้ว กระต่ายหางยาวไม่ได้หรอก ปล่อยให้เขาลำพองใจไปอีกสักพัก มิหนำซ้ำเขาก็ลำพองใจไปแล้ว ถ้าไปดักเขากลางทางจะทำให้คนที่รู้สถานการณ์หัวเราะเยาะเอาได้ อำนาจในการควบคุมเล็กน้อยแค่นี้ ตึกศาลาสัตยพรตจะไม่มีเลยเชียวเหรอ?”

“ขอรับ!” ชีเจวี๋ยเอ่ยรับ

จวนอ๋องสวรรค์ ณ ดาวหยกงาม

ในตำหนักใหญ่ มีเพียงโค่วหลิงซวี ถังเฮ่อเหนียนและโค่วเจิง

“หนิวโหย่วเต๋อนำผู้ต้องหาเดินอวดในตลาดผีอีกแล้วเหรอ?” โค่วหลิงซวีที่ฟังรายงานจบแล้วเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

ถังเฮ่อเหนียนตอบอย่างจนใจเล็กน้อย “ใช่แล้วขอรับ เหมือนกับครั้งก่อนๆ ท่านเขยทำอย่างนี้เกินไปหน่อยหรือเปล่า หรือว่าจะทำเหมือนตอนที่เคยอยู่ตลาดสวรรค์? บ่างกังวลว่าเขาอาจจะทำให้ตึกศาลาสัตยพรตไม่พอใจ จะต้องเตือนท่านเขยให้สำรวมสักหน่อยมั้ยขอรับ?”

“ข้าจะติดต่อไปคุยกับหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อยแล้วกัน” โค่วเจิงกล่าว

โค่วหลิงซวียกมือขึ้น “ช่างเถอะ! ในเมื่อรับปากแล้วว่าจะปล่อยอำนาจให้เขา ก็ให้เขาทำต่อไปแล้วกัน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็ถือว่าเขาทำตัวเอง แล้วอีกอย่าง ตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่ได้มีความเห็นแย้งอะไร แล้วพวกเราจะมีอะไรน่าร้อนใจล่ะ แต่เจ้าเด็กนั่นก็ไม่ค่อยรู้จักประมาณตนจริงๆ!”

วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร

หลังจากฟังซือหม่าเวิ่นเทียนรายงานจบ “หึหึ!” ประมุขชิงก็เลิกคิ้วนิดหน่อย เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักใหญ่ “ตึกศาลาสัตยพรตไม่ได้ห้ามเหรอ?”

“ตอนนี้ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรขอรับ” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ

ประมุขชิงกล่าวกลั้วหัวเราะ “เจ้าลูกลิงนั่นไม่ค่อยรู้จักประมาณตนเลยนะ ตึกศาลาสัตยพรตกำลังทุ่มหินใส่เท้าตัวเองหรือเปล่า?”

ซ่างกวนชิงที่ยืนอยู่ข้างกายส่ายหน้า “ตึกศาลาสัตยพรตรู้ถึงสถานการณ์ของเขาชัดเจน รู้ว่าเขากำลังดิ้นรนเอาตัวรอด จึงขี้คร้านจะสนใจก็เท่านั้นเอง”

ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “แม่ทัพภาคตลาดผีใต้สังกัดข้าทำให้ตึกศาลาสัตยพรตว่าอะไรไม่ได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่เกิดขึ้นไม่บ่อยเหมือนกัน”

เกาก้วนที่เป็นผู้ริมเริ่มกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าน้อยบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าต่อให้จับหนิวโหย่วเต๋อไปโยนไว้ที่ตลาดผี เขาก็ไม่ทางอยู่สงบๆ หรอก จากที่ข้าน้อยรู้จักเขา ข้าน้อยเดาว่าเขากำลังทดสอบท่าทีของตึกศาลาสัตยพรต ตอนนี้ตึกศาลาสัตยพรตไม่ว่าอะไร ก็เท่ากับช่วยเติมไฟให้เขากำเริบเสิบสาน มีความเป็นไปได้สูงว่าต่อไปเจ้าหนุ่มนั่นจะก่อเรื่องใหญ่กว่านี้ ดูจากนิสัยของเขาตอนอยู่ตลาดสวรรค์ เขาไม่เหมือนคนที่จะยอมปล่อยให้ตัวเองไร้สิทธิ์ไร้เสียงในอาณาเขตตัวเองง่ายๆ หรอกขอรับ”

ประมุขชิงรู้สึกสนใจทันที หันกลับมาถามว่า “หรือเจ้าคิดว่าเขากล้าฉีกหน้าตึกศาลาสัตยพรต?”

เกาก้วนถามเสียงเรียบ “ตึกศาลาสัตยพรตก็เป็นแค่ตระกูลเซี่ยโห้วก็เท่านั้นเอง ตอนที่อยู่ตลาดสวรรค์ เขายังกล้าลงดาบกับคนของผู้มีอำนาจทั้งราชสำนักเลย เจ้าหนุ่มนั่นมีแต่จะต้องลูบตามแนวขนเท่านั้น ถ้าไปลูบย้อนแนวขนเขาเมื่อไร เขาก็ไม่ห่วงแม้กระทั่งชีวิต ยังมีอะไรที่เขาทำไม่ได้อีก หากฝ่าบาทอยากดูอะไรสนุกๆ ก็ลองแอบให้ความช่วยเหลือสักนิดก็ได้ ข้าน้อยเชื่อว่าตลาดผีจะเกิดเรื่องน่าสนุกมากแน่ๆ ขอรับ!”

…………………………

[1] หุ้นตุ้น 混沌 คือสภาวะที่สิ่งต่างๆ ยังปะปนกันอย่างไร้ระเบียบก่อนที่โลกจะถือกำเนิดขึ้น เป็นความเชื่อตามตำนานการสร้างโลกของชาวจีน

ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ เขาจำเป็นต้องให้เยี่ยนเป่ยหงช่วยเหลืออย่างลับๆ พอเยี่ยนเป่ยหงได้ข่าวจากเขาแล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบมาทันที

และทางนี้ก็ยังใช้งานเยี่ยนเป่ยหงไม่ได้ชั่วคราว กอปรกับคนของตระกูลโค่วเพ่นพ่านอยู่ทั่วจวนแม่ทัพภาค จึงไม่สะดวกให้เยี่ยนเป่ยหงเข้าพัก ประจวบเหมาะกับเหยียนซิวหลอมไปของวิเศษและต้องการคนคุ้มกันพอดี แล้วยอดเขาโอนเอนก็อยู่ที่เขาภูตพเนจร ระยะทางไปกลับตลาดผีไม่ถือว่าไกลเกินไป ถ้ามีธุระอะไรก็สามารถเรียกมาได้ทันเวลา ถึงได้ส่งเยี่ยนเป่ยหงให้ไปคุ้มกันเหยียนซิวแล้ว

หยางเจาชิงแปลกใจนิดหน่อย ตามหลักแล้วเรื่องที่เหยียนซิวทำมักจะไม่ให้คนทั่วไปรับรู้ นอกจากลูกน้องบางคนของฮูหยิน ก็ไม่เหมาะจะให้คนอื่นมาคลุกคลีอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าเหมียวอี้คนใครไปคุ้มครองเหยียนซิว? เพียงแต่เขาเป็นคนที่ไม่เคยเอ่ยถามเรื่องที่เหมียวอี้ไม่อยากบอก สิ่งที่ควรถามก็ถาม สิ่งที่ไม่ควรถามก็ไม่เคยถามมากเลย

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับแล้วถอยออกไป แต่ใครจะคิดว่าตอนที่เพิ่งเดินไปถึงประตู ก็เห็นสวีถังหรานเขามาคารวะนายท่านแล้ว

“นายท่านอยู่หรือเปล่า?” สวีถังหรานถามอย่างร่าเริง ท่าทีอ่อนโยนเป็นมิตร สำหรับที่คนอยู่ข้างกายเหมียวอี้ แต่ไหนแต่ไรมาท่าทีของเขาก็ไม่เคยเลวร้ายอยู่แล้ว บนร่างกายอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว

“อยู่ข้างใน” หยางเจาชิงมองประเมินเขาศีรษะจดเท้าวแวบหนึ่ง ทั้งยังหลบไปพิงด้านข้างโดยจิตใต้สำนึก หลีกทางให้เขาเข้าไป แต่ว่าตัวเองกลับยังไม่ออกไป

สวีถังหรานที่ได้รับอนุญาตแล้วเข้ามาทำความเคารพข้างใน เหมียวอี้ที่เดินออกจากห้องมานั่งลงอดไม่ได้ที่จะมองสำรวจเขาศีรษะจดเท้า ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ “มีธุระอะไรเหรอ?”

สวีถังหรานยิ้มอย่างมีอัธยาศัยดี “ข้าน้อยเพิ่งได้รับสุราชั้นดีมาหลายกา เลยเตรียมสุราอาหารไว้ที่บ้านแล้วนิดหน่อย อยากจะมาเชิญนายท่านไปรับประทาน”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา หยางเจาชิงที่ยืนตะแคงข้างอยู่ตรงประตูเอามือลูบจมูกโดยจิตใต้สำนึก

เหมียวอี้สีหน้าทื่อแข็งนิดหน่อย ก่อนหน้านี้ยังกังวลอยู่เลยว่าจะกินอาหารที่เจ้าหมอนี่ทำได้อย่างไร ใครจะคิดว่าสิ่งที่กลัวจะมาเยือนแล้ว เจ้าหมอนี่เพิ่งมุดออกมาจากสถานที่แบบนั้น พอกลับมาถึงก็แสดงฝีมือเลย นี่จงใจทำให้ข้าสะอิดสะเอียนหรือเปล่า

อย่างน้อยก็ในช่วงเวลานี้ เหมียวอี้ไม่มีทางไปแตะต้องอาหารเลิศรสที่สวีถังหรานทำแน่นอน จึงปฏิเสธไปตรงๆ เลย “ช่างเถอะ ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย เอาไว้คราวหลัง”

สวีถังหรานอึ้งนิดหน่อย จากนั้นก็พยักหน้าซ้ำๆ “อ้อ ได้ๆ เอาไว้คราวหลัง นายท่านดูว่าว่างเมื่อไร ข้าน้อยจะเฝ้าคอยด้วยความเคารพทุกเมื่อ” เขาไม่ได้ถามอะไรเช่นกัน รีบตบปากรับคำ แต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะขอตัวอำลา

เหมียวอี้เหลือบมองแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “ยังมีธุระอะไรอีก?”

สวีถังหรานยิ้มอย่างถ่อมตน สองมือแกว่งไปแกว่งมา เหมือนกำลังลังเลนิดหน่อย ทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่

“มีคำพูก็รีบเอ่ย มีผายลมก็รีบปล่อย” เหมียวอี้ขมวดคิ้ว

สวีถังหรานก็รอคำนี้จากเขาอยู่พอดี จึงทำตามคำสั่งทันที “นายท่าน คืออย่างนี้นะ หลิงหลงฮูหยินของข้าเริ่มคิดถึงฮูหยินแล้ว ไม่ได้เจอฮูหยินมานาน อยากจะไปเยี่ยมสักหน่อย เพียงแต่ประตูจวนอ๋องสวรรค์ช่างสูงนัก ไม่ทราบว่าจะสะดวกหรือเปล่า?”

เดิมทีอยากจะเชิญเหมียวอี้ไปรับประทานอาหารก่อน แล้วระหว่างที่กินดื่มกันก็จะให้เสวี่ยหลิงหลงเอ่ยปากเอง แต่ตอนนี้เหมียวอี้ไม่ไปแล้ว เขาจึงทำได้เพียงเอ่ยออกมาเอง

เหมียวอี้ก็ไม่ได้คิดมากเช่นกัน แค่นึกว่าเจ้าหมอนี่มีเจตนาดีอยากประจบเฉยๆ เพราะคุ้นชินกับมุกนี้ของสวีถังหรานแล้ว และที่จริงเขาเองก็เตรียมจะส่งเฟยหงออกไปหลบอันตรายชั่วคราวเช่นกัน หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็พยักหน้าบอกว่า “อาจจะต้องเข้าไปในจวนอ๋องสวรรค์ก็ได้ ดาวหยกงามใหญ่ขนาดนั้น คงไม่ถึงขั้นไม่มีที่ให้แขกพัก ไปก็ไปเถอะ หรูฮูหยินก็ต้องการจะไปเยี่ยมฮูหยินเหมือนกัน เจาชิง!”

หยางเจาชิงที่อยู่ตรงประตูรีบสาวเท้าเดินเข้ามา แล้วกุมหมัดคารวะ “ขอรับ!”

เหมียวอี้สั่งว่า “ไปเรียกหลินผิงผิงมาด้วย อยู่ในที่ไร้แสงตะวันแบบตลาดผีก็น่าเบื่อเหมือนกัน ถือโอกาสตอนที่ฮูหยินยังอยู่จวนอ๋องสวรรค์ โอกาสแบบนี้หายาก ไปเปิดหูเปิดตาที่ดาวหยกงามสักหน่อย ระหว่างทางจะได้มีเพื่อนหลายๆ คน เดี๋ยวข้าจะให้คนของจวนอ๋องสวรรค์คุ้มกันส่งพวกนางสามคนก็แล้วกัน”

“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับคำสั่ง

เฟยหงกับหลินผิงผิงก็ไปเหมือนกันเหรอ? สวีถังหรานกำลังแอบครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเหมียวอี้บอกอีกว่า “สวีถังหราน มีเรื่องให้เจ้าเตรียมจัดการนิดหน่อย”

สวีถังหรานเก็บสีหน้าอารมณ์ทันที แล้วกุมหมัดคารวะมองเขา ทำท่าเหมือนตั้งใจรอฟัง

เหมียวอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินไปทางหน้าต่าง ขณะที่เดินก็พูดไปด้วยว่า “จะดีจะเลวยังไง พวกเราก็แขวนป้ายจวนแม่ทัพภาคตลาดผีไว้ ไม่มีเหตุผลที่ต้องมานั่งดูภูตผีมารปีศาจพวกนั้นร่ำรวยเฉยๆ เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าคิดหาทางแอบหาร้านค้าที่ตลาดผีไว้สักจำนวนหนึ่ง พวกเราก็จะทำธุรกิจสักหน่อยเหมือนกัน ทำสักยี่สิบร้านก่อนเป็นไง?”

“หา! ยี่สิบร้านเหรอ?” สวีถังหรานอุทานตกใจ จากนั้นก็เอามือสะกิดคางทันที พร้อมกล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มใจ “นายท่าน เดิมทีตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่อยากให้จวนแม่ทัพภาคยื่นมือเข้าไปในตลาดผีอยู่แล้ว จะทำอย่างลับๆ ยังไง แต่ก็พ้นสายตาตึกศาลาสัตยพรตได้ยากอยู่ดี ถ้าตึกศาลาสัตยพรตไม่ยินยอม พวกเราก็ทำธุรกิจนี้ไม่ได้เลย ถ้าทำแค่ร้านสองร้าน ตึกศาลาสัตยพรตก็อาจจะปิดตาข้างเดียวได้ แต่ถ้าทำรวดเดียวยี่สิบร้าน เรื่องนี้ก็ค่อนข้างจัดการยากนะขอรับ”

ขนาดหยางเจาชิงยังมองเหมียวอี้ด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อเลย รู้สึกเหมือนเขากำลังบังคับให้ทำงานยากเช่นกัน

เหมียวอี้จ้องโคมไฟระยิบระยับทั้งใกล้และไกลนอกหน้าต่าง “เจ้าไปทำก่อนได้เลย ถ้าเจอฝั่งตึกศาลาสัตยพรตมาหาเรื่อง ก็มาบอกข้าได้ ข้าจะไปคุยกับตึกศาลาสัตยพรตด้วยตัวเอง”

เมื่อพูดมาแบบนี้ก็จัดการง่ายแล้ว อย่างน้อยถ้าทำไม่สำเร็จ ตัวเองก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร สวีถังหรานมีความมั่นใจทันที ตบหน้าอกพร้อมบอกว่า “นายท่านวางใจได้ เรื่องนี้ข้าน้อยจะจัดการเอง ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้…เพียงแต่ร้านค้าที่ตลาดผีแพงกว่าร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ ยี่สิบร้านนี้…”

เหมียวอี้พูดตัดบททันที “ข้าไม่มีเงินให้เจ้าหรอก ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีการอะไร เอาเป็นว่าข้ามอบหมายเรื่องนี้ให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน”

ล้อเล่นอะไรกัน? สวีถังหรานยิ้มขื่นขมในใจ นี่ไม่ใช่ว่าให้ข้าออกทุนเองหรอกเหรอ?

“ทำไม? ถ้าเจ้ารู้สึกว่าทำงานนี้ไม่ได้ ข้าก็เปลี่ยนให้คนอื่นไปทำแทนได้นะ” เหมียวอี้หันกลับมามอง

สวีถังหรานรีบโบกมือซ้ำๆ “ไม่ๆๆ นายท่านเข้าใจข้าน้อยผิดแล้ว ในเมื่อนายท่านสั่งแล้ว ข้าน้อยก็ย่อมบุกน้ำลุยไฟโดยไม่ปฏิเสธ ข้าน้อยแค่กำลังคิดว่าจะทำยังไงดี” พอพูดจบก็นึกเสียใจทีหลังทันที แต่คำพูดที่เอ่ยออกไปแล้ว จะเอาคืนกลับมาได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าให้โอกาสเขาอีกรอย เขาก็ยังจะตอบตกลงเหมือนเดิม

หยางเจาชิงเห็นท่าทางของเขา ดูเหมือนกำลังคิดหาทางอยู่จริงๆ กำลังขมวดคิ้วครุ่นคิด แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนสีหน้ากลัดกลุ้มระทมทุกข์มากกว่า

หลังจากออกมาจากห้องเหมียวอี้แล้ว “เฮ้อ!” สวีถังหรานก็ถอนหายใจเบาๆ รู้สึกห่อเล็กน้อย เขาถึงขั้นสงสัยว่าเหมียวอี้รู้เรื่องที่เขาทำแล้วหรือเปล่า ก็เลยกำลังจงใจกลั่นแกล้งเขา

“จัดการยากเหรอ?” หยางเจาชิงที่เดินอยู่ข้างกันเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม

“เจ้ารู้สึกว่าเรื่องนี้…จัดการง่ายเหรอ?” สวีถังหรานตอบอย่างอ่อนแรง

หยางเจาชิงยิ้มตอบ “นายท่านใช้ให้ทำหน้ที่สำคัญ ก็เพราะเห็นความสำคัญของเจ้าไง”

“เหอะๆ!” สวีถังหรานหัวเราะแห้ง ที่จริงอยากจะถ่มน้ำลายใส่เขามากกว่า

“เจ้าอย่าไม่เชื่อเลย กลับมาดึกๆ หน่อย ข้ามีของจะส่งให้เจ้า เป็นของขวัญจากนายท่าน ของขวัญล้ำค่า! รับรองว่าเจ้าได้ใช้ประโยชน์ไปทั้งชีวิตแน่!” หยางเจาชิงกล่าว

นายท่านมอบของขวัญล้ำค่าให้เหรอ? สวีถังหรานตาเป็นประกาย “ของอะไร?”

“รอข้าเตรียมอีกประเดี๋ยว รออีกหน่อยเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” หยางเจาชิงยิ้มอย่างแฝงความหมายล้ำลึก พูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วเดินก้าวยาวจากไป ทิ้งสวีถังหรานที่พูดยื้อหลายรอบต้องเอามือลูบหน้าผาก

หลังจากกลับเข้ามาในเรือนแล้ว สวีถังหรานก็ยังคงครุ่นคิดไม่เลิก

เสวี่ยหลิงหลงที่เดินออกมาเตรียมต้อนรับแขกไม่เห็นเงาเหมียวอี้ จึงซักไซ้ “นายท่านล่ะ?”

“ติดธุระมาไม่ได้” สวีถังหรานที่นั่งบนเก้าอี้ตอบอย่างขอไปที

เสียแรงที่เตรียมไว้! เสวี่ยหลิงหลงถอนหายใจ แล้วมองไปนอกประตูที่ว่างเปล่า ทำได้เพียงช่างมัน พอหันกลับมาก็พบว่าสวีถังหรานมีสีหน้าแปลกไป อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไป? โดนนายท่านตำหนิมาเหรอ?”

สวีถังหรานส่ายหน้าเบาๆ แล้วพึมพำตอบว่า “นายท่านตอบตกลงแล้ว แต่ให้ฮูหยินเฟยหงกับหลินผิงผิงไปกับเจ้าด้วย”

“ก็สมปรารถนาเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอ? เจ้ายังหน้านิ่วคิ้วขมวดทำไมอีก?” เสวี่ยหลิงหลงแปลกใจแล้ว

สวีถังหรานอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน คำพูดบางคำผู้ชายไม่มีทางบอกผู้หญิง การที่ส่งเฟยหงกับหลินผิงผิงไปด้วยกันแบบนี้ เขาสงสัยว่าตัวเองจะเดาถูกแล้ว นายท่านอาจจะต้องการก่อเรื่องที่ตลาดผีแล้วจริงๆ ก็ได้ ถ้าพูดสิ่งนี้ออกมาเกรงว่าจะทำให้เสวี่ยหลิงหลงกังวลยิ่งกว่าเดิม จึงกลืนคำพูดนี้กลับไป

ตอนดึกๆ หน่อย หยางเจาชิงก็มาตามนัด แอบมาเจอกับสวีถังหรานในห้องสมาธิอย่างลับๆ พักหนึ่ง

เสวี่ยหลิงหลงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทั้งสองคุยอะไรกัน สรุปก็คือตอนที่ทั้งสองออกมา สีหน้าหดหู่ของสวีถังหรานก็เหมือนถูกกวาดหายไปหมดแล้ว เปลี่ยนเป็นกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เดินหัวเราะร่าส่งหยางเจาชิงออกนอกประตูไปด้วยตัวเอง

ตอนที่กลับมา เสวี่ยหลิงหลงตามซักไซ้อยู่ข้างกายสวีถังหราน “เจ้านี่ประเดี๋ยวก็ทำหน้าทนทุกข์ ประเดี๋ยวก็ร่าเริงแจ่มใส เป็นอะไรไปแล้ว?”

สวีถังหรานพลิกมือหยิบแผ่นหยกมาโบกอยู่ในมือ แล้วเดาะลิ้นบอกว่า “ไม่เสียแรงที่สวีติดตามรับใช้ นี่คือของขวัญล้ำค่าจากนายท่าน มหาเคล็ดวิชารวมศูนย์!”

“เป็นเคล็ดวิชาฝึกตนเหรอ?”

“แน่นอน!”

“มหาเคล็ดวิชารวมศูนย์นี่ร้ายกาจนักเหรอ?”

สวีถังหรานรีบหันกลับไปมองนอกประตู แล้วโบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ปิดประตูเสียเลย เสร็จแล้วถึงได้แอบยิ้มพร้อมถ่ายทอดเสียง “ตอนแรกข้าก็นึกว่าแค่ได้ยินชื่อเคล็ดวิชาที่เหมือนกันเฉยๆ แต่หลังจากดูสิ่งที่อยู่ข้างใน มันอาจจะเป็นมหาเคล็ดวิชารวมศูนย์ที่ข้าเคยบังเอิญได้ยินชื่อมาก่อนก็ได้ แต่หยางเจาชิงบอกว่า เคล็ดวิชานี้คือสิ่งที่อสุราอัคนี ปรมาจารย์ต่างยุคของนายท่านทิ้งไว้ พอได้ฟังแบบนั้น ก็รู้เลยว่านายท่านกับหยางเจาชิงไม่ได้รู้ที่มาที่ไปของเคล็ดวิชานี้เลย ครั้งนี้พวกเราเก็บได้โชคใหญ่แล้วจริงๆ ข้าจะทำสำเนาให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ เดี๋ยวเจ้านำกลับไปฝึกที่จวนอ๋องสวรรค์ ขอเพียงได้ฝึกมหาเคล็ดวิชานี้ อนาคตของพวกเราสองคนก็จะน่าเฝ้าคอยแล้ว!”

ฟังจากที่เขาพูดเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เสวี่ยหลิงหลงก็อดไม่ได้ที่จะตาลุกวาว ถามอย่างตื่นเต้นประหลาดใจว่า “ข้าเองก็ไม่เคยได้ยิน ไม่รู้ว่ามหาเคล็ดวิชารวมศูนย์นี่มีที่มายังไงกันแน่?”

สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญได้ยินคนพูดถึงครั้งหนึ่ง ข้าก็คงไม่รู้ที่มาที่ไปของเคล็ดวิชานี้หรอก เมื่อนานมาแล้ว ใต้หล้าแห่งนี้ยังไม่มีระแบบปกครอบแบบตำหนักสวรรค์ ทุกอย่างล้วนอาศัยพลังความสามารถ ถ้าจัดอันดับพลังความสามารถ ก็จะเรียกว่าหนึ่งเทพ สามเซียน หกสำนัก สามสิบสองประมุขดาว นี่ก็คือผู้ที่มีพลังความสามารถแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า หนึ่งเทพก็เหมายถึงราชาปีศาจหนานโปที่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในปีนั้น แต่เดิมที่การจัดอันดับนี้ไม่มีหนึ่งเทพหรอก หลังจากราชาปีศาจหนานโปผงาดขึ้นมาแล้วถึงได้เพิ่มเข้าไป สามเซียนก็คืออาจารย์ของราชันสวรรค์ อาจารย์ของประมุขพุทธะและอาจารย์ของประมุขไป๋ หกสำนักก็หมายถึงหกสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนั้น ว่ากันว่าราชาปีศาจหนานโปเคยแอบขโมยวิชาจากหกสำนักนี้เหมือนกัน หลังจากฝึกสำเร็จแล้ว ราชาปีศาจหนานโปก็ทำลายหกสำนักนั้น ส่วนสามสิบสองประมุขดาว ฟังจากชื่อแล้วเจ้าก็น่าจะเข้าใจ ส่วนสามสิบสองประมุขดาวจะร้ายกาจขนาดไหน เจ้าเคยได้ยินชื่อสิบปราสาทดำเนินใช่มั้ย ก็แบ่งรับถ่ายทอดมาจากในนั้นนั่นแหละ ว่ากันว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของสี่อ๋องสวรรค์ก็ได้รับถ่ายทอดมาจากในนั้นเหมือนกัน ถ้าตำนานนี้เป็นเรื่องจริง ก็หมายความว่าในบรรดาเคล็ดวิชาฝึกตนของสามสิบสองประมุขดาว มีเพียงสิบสี่เคล็ดวิชาที่ได้รับถ่ายทอดสืบต่อมา ยังมีอีกสิบแปดเคล็ดวิชาที่หายไป”

………………………

“นั่นก็ยังมีอันตรายอยู่ไม่ใช่เหรอ?” เสวี่ยหลิงหลงยากที่จะคลายความกังวล

“ข้าว่านะฮูหยิน หรือเจ้าคิดว่าข้าเพิ่งจะเผชิญอันตรายหลังจากมาอยู่กับนายท่าน? ตอนที่ข้ายังไม่ได้อยู่กับนายท่าน เจ้าคิดว่าคนที่ไม่มีเส้นสายภูมิหลังอย่างข้าไต่เต้าขึ้นตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการโดยไม่เสี่ยงอันตรายเหรอ? ตอนที่นายท่านยังเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการ ข้ากับเขาเคยมาปฏิบัติภารกิจด้วยกันที่เขาภูตพเนจร เพื่อให้ได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง ข้ายังเคยเสี่ยงอันตรายลงมือสังหารนายท่านเลย ดังนั้น ยามปกติพวกเราไม่ใช่คนขี้ขลาดหวาดกลัว แต่บางครั้งก็ต้องดูว่าเสี่ยงอันตรายแล้วคุ้มไหม ตราบใดที่คุ้มค่า อันตรายที่ควรเสี่ยงก็ยังต้องเสี่ยง ถ้าราบรื่นเกินไปก็ขึ้นสู่ตำแหน่งไม่ได้หรอก ในใต้หล้ามีเรื่องดีๆ ที่ได้มาโดยไม่ต้องจ่ายเสียที่ไหนกัน ต่อให้เจ้าอยู่ที่ตำแหน่งนี้เหมือนเดิมโดยไม่ทำอะไร ข้างล่างก็จะมีคนไม่พอใจที่เจ้าขวางทางเขา แล้วก็ดันจนเจ้าล้มอยู่ดี บางทีอาจจะมีคนถูกใจความสวยของเจ้า พอจัดการข้าแล้วจะได้ครอบครองเจ้าง่ายขึ้นก็ได้ จะให้ทุกอย่างราบรื่นได้ยังไง”

เมื่อเห็นเขาดึงนางมาเกี่ยวด้วย ทั้งยังพูดให้รับไม่ไหวขนาดนั้น “เชอะ!” เสวี่ยหลิงหลงก็อดไม่ได้ที่จะบ่น “ก็ข้าเป็นห่วงเจ้าไม่ใช่รึไง”

“เหอะๆ เป็นห่วงไปก็ไม่มีประโยชน์!” สวีถังหรานพิงผนังอ่างอาบน้ำ เงยหน้ามองเพดาน แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ตอนที่ยังไม่ได้ติดตามรับใช้นายท่าน ข้าก็เลื่อนตำแหน่งลำบากมาก ทำตัวเป็นคนต่ำทรามไปก็เสียแรงเปล่า แต่หลังจากอยู่กับนายท่านแล้ว ก็เลื่อนตำแหน่งได้ไวเหมือนทะยานขึ้นฟ้า! เจ้าไม่ได้ทำงานอยู่ในตำหนักสวรรค์ เจ้าไม่เข้าใจหรอก พอเคยได้ลิ้มรสชาติหวานอร่อยมาแล้ว ถ้าจะให้ข้าหดหัวโดนคนมองเหยียดอีก ข้าก็ทนรับรสชาตินั้นไม่ไหวหรอก ข้าหันกลับไม่ได้แล้ว สิ่งที่ข้าต้องทำตอนนี้ก็คือ พาเจ้าไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อน เดี๋ยวก็มีสถานการณ์นั้นเดี๋ยวก็มีสถานการณ์นี้ ความสามารถของสวีมีจำกัด ถึงจะมองไม่เข้าใจ แต่ก็มีอยู่จุดหนึ่งที่สวีรู้ดี ว่าด้วยนิสัยอย่างนายท่านน่ะ ในไม่ช้าก็เร็วที่นี่จะต้องกลายเป็นจุดเกิดความขัดแย้ง เจ้าหลบไปก่อนเถอะ”

นี่ก็นับว่าเป็นสิ่งที่เขาเก็บเกี่ยวได้จากการที่ประจบสอพลออยู่ข้างกายเหมียวอี้มาหลายปี เขาถนัดศึกษาสังเกตความรู้สึกนึกคิดของเหมียวอี้ เกรงว่าคงจะรู้นิสัยเหมียวอี้ลึกกว่าอวิ๋นจือชิวด้วยซ้ำ

“ขนาดเจ้ายังไม่กลัวเลย แล้วข้าจะกลัวอะไรล่ะ ข้าไม่ไป” เสวี่ยหลิงหลงกัดริมฝีปาก

สวีถังหรานเอียงหน้ามองมา “ไม่ใช่เรื่องนั้น ถ้าอยู่ที่นี่คนเดียว ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ยังคิดหาทางหลบได้ เจ้าอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรข้าไม่ได้ กลับจะกลายเป็นภาระของข้าด้วยซ้ำ จะเป็นตัวถ่วงข้า ถ้าเจ้าหวังดีกับข้าจริงๆ เจ้าก็ต้องไปก่อน รอให้คลื่นลมนี้ผ่านไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

เสวี่ยหลิงหลงเงียบงัน แต่ก็ซบไหล่เขาอย่างเงียบๆ อีก “เจ้าคิดจะให้ข้าไปไหน?”

สวีถังหรานหลับตา พร้อมกล่าวเบาๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไปดูแลหนิวฮูหยินที่จวนอ๋องสวรรค์ก็แล้วกัน อยู่ที่จวนอ๋องสวรรค์จะต้องปลอดภัยแน่นอน ถ้าเกิดเรื่องอะไรกับข้าจริงๆ ฮูหยินก็ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์นะ ในเมื่อขึ้นโต๊ะเดิมพันแล้ว จะแพ้หรือชนะก็ต้องยอมรับชะตากรรม ถึงตอนนั้นถ้าเจ้าจะหาคนมาแต่งงานด้วยก็แต่งงานไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องครองตัวเป็นหม้ายเพื่อข้า อาศัยความงามของเจ้า คนที่ไปมาหาสู่กับจวนอ๋องสวรรค์มีแต่ผู้สูงศักดิ์ทั้งนั้น ทั้งยังมีหนิวฮูหยินคอยช่วยเหลือ ไม่ต้องกลัวว่าจะหาใครแต่งงานด้วยไม่ได้ จะได้หมดความกังวลกับชีวิตในอนาคต ชาตินี้สวีก็ไม่ถือว่าทำผิดต่อเจ้าเช่นกัน”

“เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน!” เสวี่ยหลิงหลงโมโหจนกำหมัดชกเขาหลายที ผลปรากฏว่าโดนเขาจับมือเอาไว้ ดึงขึ้นเหนือผิวน้ำ จับกดให้พลิกตัวอยู่ข้างอ่างอาบน้ำแล้วทำโทษเสียเลย…

หยางเจาชิงที่รีบร้อนเดินเข้ามาในห้องหยุดฝีเท้ากะทันหัน ครั้งนี้จงใจเอียงศีรษะบอกใบ้หลินผิงผิงที่อยู่กับเฟยหง บอกใบ้ให้หลินผิงผิงถอยไป

หลินผิงผิงที่นั่งยองๆ อยู่ข้างเตียงนั่งรู้ว่าผู้ชายของตัวเองมีเรื่องบางอย่างจะคุยกับนายท่านแน่นอน เป็นเรื่องที่ไม่สะดวกจะให้นางเห็น จึงรีบยกกระโปรงขึ้นแล้วขอตัว

“พี่ผิงผิง ข้าไปด้วยค่ะ ไปนั่งตรงนั้นกัน” เฟยหงที่อยู่ตรงข้ามพลิกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ดับไฟที่เตาต้มน้ำชาทันที ยกกระโปรงลุกขึ้นแล้วเช่นกัน เดินคล้องแขนหลินผิงผิงออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว หยางเจาชิงก็เข้ามาในห้อง ยืนกุมหมัดอยู่ข้างหลังเหมียวอี้พร้อมบอกว่า “นายท่าน”

เหมียวอี้ยังคงหลับตาอยู่ตรงหน้าภาพนั้น แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าจัดการคนแล้ว ผู้หญิงคนนั้นอาจจะสังเกตอะไรบางอย่างได้ จัดการไปพร้อมกันเลยแล้วกัน ทำให้สะอาดเรียบร้อยหน่อย”

“เกรงว่าคงจะแตะต้องผู้หญิงคนนั้นไม่ได้แล้ว สวีถังหรานกลับมาที่จวนแม่ทัพภาคแล้วขอรับ” หยางเจาชิงกล่าว

“อ้อ!” เหมียวอี้พลันลืมตาแล้วหันตัวมา ในดวงตาฉายแววประหลาดใจ “หรือว่าสวีถังหรานปฏิเสธไปแล้ว?” ในดวงตาถึงขั้นฉายแววดีใจเล็กน้อยด้วย

ใช่แล้วล่ะ ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการที่เขาใช้ทดสอบสวีถังหราน ที่จริงเขาเองก็ไม่อยากทำอย่างนี้ ก่อนหน้านี้ไม่ได้อยากทำอย่างนี้เลย ถึงอย่างไรสวีถังหรานก็ติดตามรับใช้เขามาหลายปี ไม่ว่าเวลาไหนก็ยืนข้างเขาตลอด ต่อให้ไม่มีผลงานแต่ก็ลำบากทำงาน

แต่หยางชิ่งไม่ได้คิดอย่างนี้ หยางชิ่งคิดว่าในเวลานี้จำเป็นต้องกำจัดปัญหาทุกอย่างที่อยู่ข้างกายทิ้งไป เพราะคู่ต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ธรรมดา จะประมาทไม่ได้ ศึกภายในต้องสงบก่อนจึงค่อยสู้ศึกภายนอก ไม่อย่างนั้นถ้าพลาดก้าวเดียวก็อาจจะแพ้ทั้งกระดาน คู่ต่อสู้ไม่มีทางให้โอกาสเขาเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น แต่ไหนแต่ไรมา คนที่ตายด้วยคมดาบของคนที่อยู่ข้างกายก็มีให้เห็นอยู่ทุกที่ และสวีถังหรานเองก็เป็นคนต่ำทรามที่ใครๆ ก็รู้กัน เป็นคนที่เอาผลประโยชน์มาควบคุมได้ง่ายที่สุด ถูกคนอื่นจ้องหลอกใช้ได้ง่าย ดังนั้นหยางชิ่งจึงต้องการให้เหมียวอี้สร้างสถานการณ์ทดสอบ ถ้าไม่ได้เรื่องก็กำจัดทิ้งเสียเลย!

เหมียวอี้ตัดสินใจเรื่องนี้อย่างลำบากใจมาก แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าที่หยางชิ่งพูดมีเหตุผล ถ้าสวีถังหรานทรยศตนได้ง่ายขนาดนั้นจริงๆ ไม่สู้ถือโอกาสตัดจบไว้แต่เนิ่นๆ จะดีกว่า ถึงได้มีการเตรียมการอย่างนี้ขึ้น

หยางเจาชิงตอบว่า “นายท่านได้โปรดดูนี่!” เขาโยนศพร่างหนึ่งขึ้นมาบนพื้น มีเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ใบหน้าเขียวคล้ำ ดวงตาเบิกโพลง ตรงหน้าอกยังมีแผลจากการใช้ดาบซ้ำอีกด้วย ตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรแล้ว

“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้ตะลึงงัน

หยางเจาชิงตอบว่า “นี่คือคนที่ข้าน้อยเตรียมให้ไปเจอกับสวีถังหราน ผลปรากฏว่าถูกสวีถังหรานวางยาพิษสังหารแล้ว”

“ตอบตกลงจะเจอกันแล้วไม่ใช่เหรอ? ต่อให้เจรจากันไม่ลงตัว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องสังหารเขานี่?” เหมียวอี้งงนิดหน่อย

หยางเจาชิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ก็เพราะแบบนี้ ถึงได้ถูกเขาลงมือสังหารได้ง่ายๆ ใครจะไปคิดว่าพอเจอกันเจ้านั่นก็วางยาพิษเลย ฝั่งพวกเราป้องกันแล้วก็ไม่มีประโยชน์ คาดว่าเขาก็คงคิดถึงจุดนี้เช่นกัน คิดว่าคนที่มาเจอเขาคงคาดไม่ถึงว่าเขาจะเล่นลูกไม้นี้ เลยใม่ได้ตรวจสอบสุราอาหารอย่างระมัดระวัง เห็นได้ชัดว่าเขาวางแผนมาดีแล้ว กังวลว่าคนที่มาพบจะพาผู้ช่วยมาด้วย หลังจากลงมือแล้วก็เลยหนีออกจากเรือไปเลย…” หลังจากเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง ก็ถอนหายใจแล้วบอกอีกว่า “โชคดีคำนึงถึงความมั่นใจเชื่อถือได้ไว้ก่อน เลยจ่ายเงินจ้างคนมา ถ้าใช้คนของตัวเอง ความผิดพลาดนี้ก็จะใหญ่หลวงแล้ว”

“หนีจากรูส้วมไปแล้ว…” เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน เพราะฉากนั้นงดงามเกินไป ไม่จินตนาการต่อแล้ว ต่อไปถ้าเจ้าหมอนั่นมาอยู่ข้างกาย ตนควรจะหลบให้ไกลหน่อยหรือเปล่า ในภายหลังยังจะมีความอยากให้อาหารที่เจ้าหมอนี่ทำอีกไหม?

เขาย้ายสายตากลับมาจากตัวศพ แล้วเอามือลูบคางพร้อมบอกว่า “ตอนที่เขาวางยาพิษ ก่อนที่คนโดนยาพิษจะล้มตาย ไม่ได้มีปฏิกิริยาสักนิดเลยเหรอ? พวกเจ้าไม่ได้สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวสักนิดเลยเหรอ?”

หยางเจาชิงตอบอย่างปวดประสาท “นายท่าน ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวสักนิดเลยขอรับ อย่าว่าแต่พวกเราเลย ขนาดคนบนเรือยังไม่สังเกตเห็นอะไรสักนิดเลย เดาว่าเจ้าบ้านั่นคงไปเอาพิษประหลาดมาจากที่ไหนสักแห่ง โจมตีครั้งเดียวถึงตาย ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าไปตามนัดคนเดียว”

เหมียวอี้ก็ปวดประสาทเช่ยกัน นี่คือวิธีการทำงานของสวีถังหรานโดยแท้ เขาอดไม่ได้ที่จะด่าว่า “เจ้าชาติสุนัขนี่ ทำตัวให้สมเป็นลูกผู้ชายสักครั้งไม่ได้รึไง เอาแต่ใช้วิธีการน่าต่ำช้าอับอายทำงาน เฮ้อ! ถ้ามองงานทุกอย่างให้เขาทำ พอสร้างผลงานได้แล้วก็ไม่มีทางยกย่องออกหน้าออกหน้าได้เลย ถ้าทำงานสำเร็จแล้ว เวลาเจ้าอยากจะให้รางวัลเขา ก็ยังต้องช่วยหาข้ออ้างมาตบตาคนอื่นให้เขาอีก เหนื่อยมั้ยล่ะ? แล้วเจ้าก็ดันว่าอะไรเขาไม่ได้ด้วย นี่มันตัวอะไรกัน!”

ปากก็ด่าไปอย่างนั้น แต่ในใจกลับโล่งสบายแล้ว เหมือนยกก้อนหินออกจากอก ส่วนเหตุผลว่าทำไมสวีถังหรานจึงทำอย่างนี้ ทุกอย่างล้วนแผนที่ฝั่งนี้วางไว้ มีข้อมูลทุกอย่างอยู่ในใจแล้ว เดาสาเหตุได้ไม่ยาก ดังนั้นเหมียวอี้จึงอดไม่ได้ที่จะด่าว่า “เป็นคนต่ำทรามแบบเต็มสิบจริงๆ เอาหัวใจคนทรามมาวัดหัวใจสัตบุรุษ รายงานมาตรงๆ เลยจะเป็นไรไป อย่าบอกนะว่าในสายตาเขา ความใจกว้างของหนิวไม่มีประโยชน์สักนิดเลย? ยอมเสี่ยงอันตราย เพื่อให้ได้ทำเรื่องขโมยไก่คลำสุนัข สันดานสุนัขชอบกลับไปกินขี้!”

เขาพูดไม่ผิดเลยจริงๆ หารู้ไม่ว่าในสายตาสวีถังหราน เขานั้นไม่ใช่สัตบุรุษอะไรเลย เป็นคนที่เจ้าเล่ห์โหดร้ายยิ่งกว่าสวีถังหรานเสียอีก ในปีนั้นที่ตามจับเฮยหวังแล้วต่อสู้กัน เขาก็วางกับดักสวีถังหรานไว้อนาถมาก ถ้าไม่ใช่เพราะสวีถังหรานไหวพริบดี ก็คงจะไม่เหลือแม้กระทั่งชีวิตแล้ว ตอนหลังวุ่นวายจนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเจอเขาทีไรก็จะฆ่าเขาทุกครั้ง เรียกได้ว่าอนาถมาก!

หยางเจาชิงหัวเราะแห้ง อยู่กับสวีถังหรานมาหลายปีขนาดนี้ ก็ย่อมรู้อยู่แล้วว่าสวีถังหรานเป็นคนอย่างไร นั่นคือคนต่ำทรามขนานแท้ ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา เขาก็ไม่กล้าใช้งานคนประเภทนี้เลยจริงๆ ก็ไม่แปลกที่นายท่านต้องการจะทดสอบ หลังจากหัวเราะเสร็จแล้วก็ถามว่า “นายท่าน งั้นเรื่องนี้…”

“ช่างเถอะ!” เหมียวอี้บุ้ยปากไปทางศพ “จัดการให้สะอาดเรียบร้อย แค่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่าให้เขารู้ล่ะ ทุกคนจะได้ไม่อึดอัดใส่กัน”

“ขอรับ!”

หลังจากรอให้หยางเจาชิงจัดการศพที่อยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว จู่ๆ เหมียวอี้ก็กล่าวอย่างลังเลว่า “พลังของสวีถังหรานอ่อนแอไปหน่อย เดี๋ยวเจ้านำมหาเคล็ดวิชารวมศูนย์ที่เจ้าเคยฝึกไปให้เขาแล้วกัน”

มหาเคล็ดวิชารวมศูนย์ เดิมทีเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนของหุ้นหยวนเจินเหรินซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งของเฟิงเป่ยเฉิน ตอนหลังตกอยู่ในมืออวิ๋นอ้าวเทียน แล้วอวิ๋นจือก็ส่งต่อให้เหมียวอี้ เพื่อให้ยกระดับความสามารถของลูกน้อง เหยียนซิวกับหยางเจาชิงต่างก็ฝึกวิชานี้ ถึงแม้จะเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนของพิภพเล็ก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของพิภพเล็กจะแย่กว่า ลำพังแค่เคล็ดวิชาฝึกตนจากสำนักที่หลากหลายพวกนั้น ที่จริงแล้วอาจจะไม่ได้ด้อยกว่าของพิภพใหญ่ก็ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนของแม่ทัพอันดับหนึ่งของเฟิงเป่ยเฉิน ไม่รู้เหมือนกันว่าพิภพเล็กนำเคล็ดวิชาฝึกตนมากมายขนาดนั้นมาจากไหน ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือมีทรัพยากรฝึกตนไม่พอก็เท่านั้นเอง

สรุปก็คือมหาเคล็ดวิชารวมศูนย์จะต้องดีกว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของสวีถังหรานในตอนนี้แน่นอน ไม่รู้ว่าดีกว่าตั้งกี่เท่า

หยางเจาชิงอึ้งไปชั่วขณะ ในใจแอบทึ่ง เจ้าคนต่ำช้าสวีถังหรานนั่นกอดขานายท่านสำเร็จแล้วจริงๆ!

แต่เขาก็ไม่ได้แย่เช่นกัน เขาได้เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคฟ้าไปแล้ว จึงพยักหน้าบอกว่า “ขอรับ! เดี๋ยวข้าจะมอบให้เขา จะบอกให้ชัดเจนว่านายท่านตบรางวัลให้”

เหมียวอี้ขานรับ แล้วโบกมือให้เขาถอยออกไป

ทว่าหยางเจาชิงลองถามอีกว่า “นายท่าน จะต้องส่งคนไปทางยอดเขาโอนเอนสักหน่อยหรือเปล่า ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าให้เขาไปคนเดียว ข้าน้อยไม่ค่อยวางใจ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นเราก็จะไม่รู้เลย”

คนที่ไปยอดเขาโอนเอนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือเหยียนซิวนั่นเอง และสาเหตุที่เหยียนซิวไปที่ยอดเขาโอนเอน ก็เป็นสาเหตุเดียวกับที่เฮยหวังยึดครองยอดเขาโอนเอนในปีนั้น เพราะนั่นคือทำเลดีในการหลอมสร้าง ‘ธงเรียกวิญญาณ’ ตอนนี้ในมือเหยียนซิวมีเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางครบแล้ว มีวิธีการหลอมสร้างของวิเศษที่บันทึกอยู่บนนั้นแล้ว และทางหกลัทธิก็ช่วยรวบรวมวัสดุในการหลอมสร้างเอาไว้แล้วด้วย เหยียนซิวต้องการจะไปหลอมของวิเศษ เหมียวอี้ก็ช่วยสนับสนุนเต็มที่ เพราะเขาเองก็เคยสัมผัสกับอานุภาพของ ‘ธงเรียกวิญญาณ’ นั่นมาก่อนเช่นกัน เป็นเพราะมันแปลกประหลาดจริงๆ อีกทั้งธงเรียกวิญญาณในมือเฮยหวังก็ยังหลอมสร้างไม่สำเร็จ หลังจากหลอมสร้างธงเรียกวิญญาณสำเร็จแล้วจะมีอานุภาพมากขนาดไหน เหมียวอี้เฝ้าคอยจะเห็นสิ่งนี้มาก

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าส่งคนที่พึ่งพาได้ให้ไปคุ้มครองเขาแล้ว” พอเหมียวอี้โบกมือ เขาก็เรียกเยี่ยนเป่ยหงเข้ามาแล้ว

…………………………

ขณะที่เห็นระฆังดารากลิ้งมาตรงหน้าตัวเอง เสวี่ยหลิงหลงก็หยิบขึ้นมาดู เป็นของที่ตัวเองใช้ติดต่อกับคนคนนั้นจริงๆ ด้วย มีตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองอยู่ในนี้

พอมองดูผู้ชายของตัวเองอีกครั้ง เสวี่ยหลิงหลงก็ค่อนข้างพูดไม่ออก ไม่แค่ฆ่าปิดปากเท่านั้น ทั้งยังเอาหลักฐานกลับมาด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วขนาดนี้

ที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องนี้สามีตัวเองไม่ได้รบกวนใครเลย แค่ออกไปลุยเดี่ยวด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่าคนที่ต้องเผชิญหน้าด้วยเป็นคนใหญ่คนโตที่มีอำนาจหนุนหลังอย่างไร ถ้าเป็นคนทั่วไปจะมีใครกล้าทำซี้ซั้วแบบนี้แบบนี้บ้าง แต่สามีตัวเองนั้นรีบไปรีบกลับ วรยุทธ์ต่ำต้อยเท่านี้แต่ออกไปเผชิญหน้ากับคนที่มีเบื้องหลังอย่างนั้น ไม่เพียงแค่กลับมาโดยไม่มีอะไรเสียหายเลยสักนิด ทั้งยังแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วราบรื่น ฆ่าปิดปากแล้วยังแย่งชิงของกลับมาได้ แบบนี้เรียกว่าเร็วดั่งเทพ

เสวี่ยหลิงหลงไม่รู้ว่าสวีถังหรานทำได้อย่างไร เรื่องนี้ค่อนข้างเหนือจินตนาการของนาง

แต่ตอนนี้นางไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนี้ นางกำลังกังวลเรื่องอื่น “เจ้าทำแบบนี้ คนที่อยู่เบื้องหลังจะไม่โกรธเอาเหรอ?”

“เฮ้อ!” สวีถังหรานพิงขอบอ่างอาบน้ำแล้วถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง “ช่วงนี้เจ้าก็พยายามอย่าออกไปข้างนอก ตราบใดที่พวกเขามาระบายความโกรธกับเจ้าไม่ได้ แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังจะทำอะไรข้าได้ล่ะ?”

เสวี่ยหลิงหลงคล้องแขนเขา แล้วกล่าวอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด “เจ้ามีความมั่นใจจริงๆ เหรอ นี่เจ้ากำลังพูดให้ข้าสบายใจอยู่หรือเปล่า? ข้าสร้างปัญหาใหญ่ให้เจ้าแล้วใช่มั้ย?”

สวีถังหรานยกมือขึ้นตบไหล่งามที่เปลือยเปล่าของนางเบาๆ “เรื่องนี้ข้าไม่อยากด่าเจ้าหรอก ข้าไม่โทษเจ้าด้วย ถึงแม้เรื่องนี้เจ้าจะทำผิดไปแล้ว…ที่จริงก็พูดว่าเจ้าทำผิดไม่ได้หรอก เจ้าอยากจะช่วยหาทางหนีทีไล่ให้ข้า ในด้านความรู้สึกนั้นให้อภัยได้ จะมีความผิดได้ยังไงล่ะ? ถ้าจะผิดก็ผิดที่ข้า สวีคนนี้เป็นคนต่ำทราม คนที่นิสัยใจคอบริสุทธิ์ดุจหยกงามอย่างฮูหยินมาอยู่ข้างกายข้านานแล้ว ก็เลยหูตาแปดเปื้อน คนอยู่ใกล้หมึกย่อมเลอะสีดำอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยามประสบเรื่องบางอย่างแล้วคิดผิดไปบ้าง ก็สามารถให้อภัยได้ ยังจำได้ว่าในปีนั้นที่ข้าแต่งงานกับเจ้า เจ้าไม่ได้สมัครใจยินยอมเลย เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะเจ้าไม่ชายตาแลข้าไงล่ะ! นึกถึงในปีนั้นที่เจ้าไม่เต็มใจ แต่ตอนนี้เจ้าคิดไตร่ตรองเพื่อข้าทุกอย่าง เป็นเพราะว่าในใจของเข้ามีข้าจริงๆ แล้ว นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดีนะ!”

เพราะคำพูดนี้ เสวี่ยหลิงหลงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพที่ตัวเองโดนเจ้าเวรนี่ขืนใจในปีนั้น คืนนั้นเรียกได้ว่าเจ็บปวดรวดร้าวใจจริงๆ ไม่อยากจะนึกย้อนกลับไปเลย “เชอะ!” นางสบถปนความรู้สึกเขินอาย แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ร่างงามอ้อนแอ้นแนบชิดเข้าไปหา ซบไหล่ผู้ชายหน้าตาธรรมดาอย่างอ่อนโยน แล้วพูดดูถูกนิดหน่อยว่า “แต่งงานกับข้าเหรอ? ปีนั้นข้าเป็นเพียงนางระบำที่หอนางโลม เจ้ากล้าพูดมั้ยว่าในปีนั้นไม่ได้คิดจะเก็บข้าไว้เป็นของเล่นข้างกายเฉยๆ? ถ้าไม่ใช่เพราะนายท่านกดดัน เจ้าจะแต่งงานรับข้าเป็นฮูหยินเอกเหรอ?”

“เอ่อคือ…อย่าไปเอ่ยถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วสิ” สวีถังหรานเหยียบไว้อย่างค่อนข้างอับอาย เป็นเพราะถูกพูดแทงใจดำแล้วจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะถูกกดดัน เขาก็จะเก็บไว้เล่นอย่างเดียวเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งงานรับเสวี่ยหลิงหลงเป็นฮูหยินเอก

คำพูดที่จงใจหลบเลี่ยงนี้ทำให้เสวี่ยหลิงหลงหมั่นไส้จนจนกัดฟันกรอด บิดเอวสวีถังหรานอย่างแรงหนึ่งที เขาเจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน ขณะที่ข่มความเจ็บเอาไว้ก็บอกว่า “ฮูหยินต้องคิดดูสักหน่อยนะ ว่าทำไมไม่ลงมือกับเหยียนซิวและหยางเจาชิง ทุกคนเป็นลูกน้องที่ติดตามนายท่านทั้งนั้น ทำไมถึงจ้องแต่ข้าคนเดียวล่ะ? แมลงวันไม่จ้องเลียไข่ที่ไร้รอยแตกหรอก ก็เพราะพวกนั้นรู้สึกว่าสวีเป็นคนต่ำต้อยที่ลงมือด้วยง่ายไม่ใช่เหรอ?”

ขณะที่ฟังไปเรื่อยๆ มือที่บิดเนื้อเขาก็ค่อยๆ คลายออก เสวี่ยหลิงหลงขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าคงไม่ได้ปฏิเสธไปเพราอยากเอาชนะหรอกใช่มั้ย?”

“ถ้ามัวเอาชนะกับเรื่องนี้ ข้าก็ไม่ต่างอะไรกับคนโง่แล้ว” สวีถังหรานพ่นเสียงทางจมูก “เจ้าว่าเป็นไปได้เหรอ? ข้าก็แค่คิดว่า ติดตามอยู่กับนายท่านแล้วมองเห็นอนาคตกับความหวังก็เท่านั้นเอง ก็เหมือนเวลาทำการค้า ถ้าจะให้ทิ้งอนาคตที่ดีกว่าเพื่อผลประโยชน์เล็กน้อยเท่านั้น ข้าว่าไม่คุ้มหรอก ตอนนี้แค่ตำแหน่งแม่ทัพภาคข้าก็ยังไม่ชายตามองเลย เห็นข้าเป็นขอทานที่ขอข้าวกินรึไง?”

เสวี่ยหลิงหลงผละออกจากตัวเขาทันที แล้วมองสวีถังหรานศีรษะจดเท้า ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป นางถามอย่างทำใจเชื่อได้ยาก “ด้วยสถานการณ์ของนายท่านในตอนนี้ แค่เอาตัวเองให้รอดยังลำบากเลย เจ้ายังรู้สึกว่าอยู่กับเขาแล้วมีความหวังอีกเหรอ?”

สวีถังหรานพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ไม่รู้ ว่าเขาเป็นศิษย์ของอสุราอัคนีเชียวนะ! บวกกับความสามารถของนายท่าน ถ้าไม่ใช่เพราะไปยั่วโมโหราชันสวรรค์จนโดนคุมไว้ มีคนมากมายขนาดไหนอยากดึงไปเป็นพวกล่ะ เจ้าไม่ได้ตระหนักถึงอะไรที่อยู่ในนั้นสักนิดเลยเหรอ?”

เสวี่ยหลิงหลงส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ “ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้…ขออภัยที่ข้าโง่เง่า ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร หรือว่าเจ้ามีมุมมองที่สูงส่งล้ำลึกอะไร?”

สวีถังหรานส่ายหน้าเบาๆ “ถ้าข้ามีมุมมองที่สูงส่งล้ำลึกอะไรนั่น ข้าจะยังอยู่ที่นี่อีกเหรอ? หลักการที่ล้ำลึกน่ะข้าไม่เข้าใจหรอก แต่หลักการที่เรียบง่ายน่ะข้าเข้าใจแจ่มแจ้ง จุจุ นำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปปะทะกับทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้าน คนอื่นบอกว่าเขาบ้า แต่ข้ากลับคิดว่า นี่ต่างหากที่เป็นคนจริง ไม่ว่าในอนาคตจะเป็นยังไง เจ้าคิดว่าคนนิสัยเจ้าอารมณ์อย่างนายท่านจะโดนคนอื่นปฏิบัติด้วยเหมือนหลานชายได้เหรอ? ไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้บังคับบัญชาเขา ก็ควบคุมเขาได้เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ควบคุมไปทั้งชาติไม่ได้หรอก”

“ไม่เข้าใจ หมายความว่ายังไง?” เสวี่ยหลิงหลงยังคงงุนงง

สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ “หลักการก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้บังคับบัญชาเขา ในไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องเกิดความขัดแย้ง สักวันก็จะต้องถูกนายท่านโค่นล้มอยู่ดี นอกเสียจากจะอีกฝ่ายจะไม่ควบคุมนายท่านเลย แต่ที่ตำหนักสวรรค์มีผู้บังคับบัญชาแบบนี้ด้วยเหรอ? ถ้ามีผู้บังคับบัญชาแบบนี้จริงๆ แล้วยังจะมีการแบ่งแยกระหว่างเจ้านายกับลูกน้องไปทำไม? กอปรกับฝีมือของนายท่านก็ไม่ได้อ่อนด้อย แบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ? หมายความว่ามีความมั่นใจที่จะแปรพักตร์กับผู้บังคับบัญชาไง หมายความว่านายท่านไม่มีทางอยู่ใต้คนอื่นได้นาน ชะตากำหนดให้เขาปีนป่ายขึ้นไปเรื่อยๆ นี่ก็คือนิสัยของนายท่าน เบื้องบนโยนนายท่านมาไว้ที่ตลาดผี แล้วยังไงล่ะ? เจ้าคอยดูต่อไปเถอะ อย่ากดดันจนนายท่านจนตรอกเชียว ถ้าจนตรอกขึ้นมา ก็ไม่ต้องรอให้คนอื่นลงมือก่อนหรอก นายท่านนี่แหละที่จะลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ ในไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดเรื่องขึ้นที่ตลาดผีแน่! ที่ตอนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวก็เพราะยังไม่ถึงเวลา ถ้าไม่เชื่อ พวกเราก็ตั้งตารอดูได้เลย!”

“เจ้าหมายความว่า นายท่านจะสามารถผ่านด่านนี้ไปได้เหรอ?” เสวี่ยหลิงหลงถามอย่างระมัดระวัง

สวีถังหรานส่ายหน้า “ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ? เอาเป็นว่าถ้าแพ้ก็แพ้ยับเยิน แต่ถ้าสำเร็จก็จะได้ก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ พอทำสำเร็จขึ้นมา เจ้าว่าข้าจะไม่ได้ดีไปด้วยเหมือนสุนัขระกาเยี่ยมวิมานหรอกเหรอ สักวันหนึ่งตำแหน่งแม่ทัพภาคก็จะต้องเป็นของข้า หนีไม่พ้นหรอก ต่อไปนี้นายท่านก็จะพุ่งไปข้างหน้าตลอดทาง ข้าแค่คอยวิ่งตามหลังเขาก็พอแล้ว เจ้าว่าข้าจะหยุดเดินเพื่อตำแหน่งแม่ทัพภาค หรือว่าจะมุ่งไปข้างหน้าต่อดีล่ะ? ถ้าตอนนี้ข้าทรยศนายท่านเพื่อตำแหน่งแม่ทัพภาค ต่อให้อีกฝ่ายจะให้หลักประกันกับข้าดีแค่ไหน แต่ทั้งชีวิตนี้ข้าก็คงสร้างผลงานลำบากแล้ว คงสิ้นสุดแค่ตำแหน่งแม่ทัพภาคแล้ว แต่ถ้าติดตามนายท่าน ผลลัพธ์ก็จะต่างออกไป มีนายท่านคอยแหวกดงหนามเบิกทางอยู่ข้างหน้า ก็ยังมีอนาคตที่ดีกว่าให้ตั้งตารอคอย โอกาสของข้าในตอนนี้ไม่ใช่ว่าใครก็จะมีได้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบโอกาส มีหรือที่จะปล่อยให้พลาดง่ายๆ!”

“ทำไมเจ้าคิดแต่ด้านดี ถ้าล้มเหลวขึ้นมาล่ะ? ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ทำไมข้ารู้สึกว่ามีโอกาสแพ้มากกว่าล่ะ?” เสวี่ยหลิงหลงถามอย่างหวาดระแวง

“หึหึ!” สวีถังหรานหัวเราะเจ้าเล่ห์ แล้วยื่นมือไปบีบหน้าอกของนางหนึ่งที “นี่ก็คือสิ่งที่ข้าเพิ่งถามเจ้าไง เจ้าไม่ได้ตระหนักถึงอะไรบางอย่างบนตัวนายท่านสักนิดเลยเหรอ?”

เสวี่ยหลิงหลงผลักมือเขาออก แล้วถามว่า “อะไรล่ะ? เจ้าไม่รู้เหรอว่าข้ากำลังกังวลอะไร? ล่อให้อยากรู้อยู่ได้!”

สวีถังหรานเดาะลิ้นอีก “ศึกที่น่านฟ้าระกาติง นายท่านก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนั้น! แต่นายท่านไม่ใช่แค่ไม่เป็นอะไรนะ ทั้งยังมีคนออกหน้ามาช่วยแก้ไขปัญหาให้นายท่านด้วย สี่อ๋องสวรรค์กับฝ่าบาทมาแย่งตัวกันเลยนะ แย่งมาเป็นพวกเลย แต่ละคนต้องการจะส่งลูกสาวตัวเองให้เขา แบบนี้มันมีเหตุผลที่ไหนกัน? ข้านับว่าเข้าใจแล้ว ว่าคนเราน่ะ ไม่ว่าจะฐานะสูงหรือต่ำต้อย แต่ก็จะต้องมีมูลค่าในตัวเองเข้าไว้ จะต้องมีคนมองเห็นมูลค่าในตัวเจ้าแน่นอน! ตอนนี้ข้าไม่กลัวว่านายท่านจะก่อเรื่องใหญ่โตหรอก ข้ากลัวเขาจะไม่ก่อเรื่องใหญ่มากกว่า ยิ่งเขาก่อเรื่องมากเท่าไหร คนที่อยู่ข้างกายเขาก็จะยิ่งโดดเด่นมากเท่านั้น? พอโดดเด่นขึ้นมาก็จะมีมูลค่า ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ใครจะไปรู้จักว่าข้าสวีถังหรานคือใคร ดีไม่ดีตอนนี้ชื่อข้าอาจจะไปถึงหูบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์เยอะแล้วก็ได้!”

เมื่อเห็นเขาลำพองใจอย่างนั้น เสวี่ยหลิงหลงกลับตกใจ “เจ้าบ้าไปแล้วสินะ ยังกลัวว่าเรื่องราวจะไม่ใหญ่โตอีกเหรอ? เจ้าไม่รู้รึไงว่าเรื่องนี้อันตรายขนาดไหน?”

“อันตราย? มารดาเจ้าเถอะ หลังจากติดตามรับใช้นายท่าน มีครั้งไหนบ้างที่ไม่อันตราย? เจ้ายังไม่ชินเหรอ? ครั้งแรกจะรู้สึกแปลกใหม่ ครั้งที่สองจะรู้สึกคุ้นเคย นี่มันเกิดขึ้นตั้งกี่ครั้งแล้ว? ถึงยังไงข้าก็รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่เอะอะก็ตกใจเหมือนเมื่อก่อนหรอก ความกล้าหาญน่ะฝึกกันได้ แล้วอีกอย่าง เจ้าคิดว่าทรยศนายท่านแล้วจะไม่อันตรายเหรอ? นายท่านโหดขนาดไหน ข้าได้ก็เคยได้บทเรียนมาแล้วไม่ใช่แค่ครั้งเดียว อาจจะไม่ได้เอาปลีกตัวไปอย่างปลอดภัยก่อนที่เขาจะตายก็ได้…”

“ข้าว่าเหมือนเจ้าจะค่อนข้างกลัวนายท่านนะ?”

พูดถูกแล้วจริงๆ สวีถังหรานถูกเหมียวอี้วางกับดักจนกลัวแล้วจริง ภายใต้ความน่าเกรงขามที่เพิ่มขึ้นตามเวลา แค่คิดว่าต้องสู้กับเหมียวอี้เขาก็ขนลุกแล้ว แต่ปากเขาไม่มีทางยอมรับหรอก เขากลอกตาแล้วบอกว่า “ฮูหยินเอ๊ย เจ้านี่ช่างไม่เข้าใจอะไรจริงๆ ตอนนี้คนที่นายท่านสู้ด้วยมีแต่บุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ทั้งนั้น โดนคนใหญ่คนโตเพ่งเล็งแล้ว ห่างไปไม่รู้ตั้งกี่ระดับ ไม่เหมือนกับตอนที่ก่อเรื่องในตลาดสวรรค์ปีนั้นแล้ว ถ้านายท่านสู้กับคนที่ระดับพอๆ กัน พอแพ้ขึ้นมา จุดจบของคนอย่างข้าก็จะอนาถมาก อีกฝ่ายไม่มีทางอดกลั้นไม่ลงมือกับลูกน้องคนสนิทของคู่ต่อสู้ได้หรอก แต่สำหรับพวกคนใหญ่คนโตของตำหนักสวรรค์ จุดจบก็จะไม่เหมือนกันแล้ว คนระดับล่างอย่างพวกเราน่ะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสถูกคนใหญ่คนโตเบื้องบนเพ่งเล็งนะ ขอเพียงแสดงผลงานให้ยอดเยี่ยม

พอถูกอีกฝ่ายจดจำได้แล้ว ต่อไปก็อาจจะมีอนาคต เรื่องนี้พูดคำสองคำเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก ข้าจะพูดสิ่งที่เจ้าพอจะเข้าใจไหวก็แล้วกัน ถึงยังไงนายท่านหนิวก็เป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว เจ้ารู้แล้วว่าอ๋องสวรรค์โค่วกำลังจะทิ้งนาย ท่านแต่หลังจากจบเรื่องแล้วอ๋องสวรรค์โค่วจะแสดงออกยังไงล่ะ? ลูกน้องเก่าของนายท่านอย่างพวกเราจะต้องได้รับการวางแผนอนาคตไว้อย่างเหมาะสมเรียบร้อยแน่นอน ทั้งยังวางแผนไว้ดีด้วย ต่อให้ทำเพื่อแสดงให้คนอื่นดูเฉยๆ แต่ตำแหน่งแม่ทัพภาคก็หนีไม่พ้นข้าหรอก แล้วอีกอย่าง ถ้าตอนนี้ทรยศนายท่านแล้วได้ตำแหน่งแม่ทัพภาคไป ต่อไปข้าก็จะไม่มีเบื้องบนให้พึ่งพาแล้ว แต่ถ้ารอให้อ๋องสวรรค์โควเตรียมให้เอง ผลก็จะแตกต่างออกไป ในภายหลังนายท่านจะปฏิบัติต่อลูกน้องเก่าที่จงรักภักดีอย่างพวกเราไม่ดีเหรอ? ถ้ามีนางช่วยพูดกับอ๋องสวรรค์ให้พวกเรา แบบนั้นก็จะมีน้ำหนักมากกว่าที่พวกเรามุมานะทำงานมาหลายปี ในอนาคตอาจจะได้กลายเป็นหัวหน้าภาคที่ไหนสักแห่งก็ได้”

เสวี่ยหลิงหลงทำท่าครุ่นคิดพลางพยักหน้า แต่ก็ยังขมวดคิ้วถาม “แต่ถ้าประมือกับคนระดับนั้น ก็ไม่รู้ระดับลึกตื้นเลยนะ ถ้านายท่านล้มลงแล้ว อีกฝ่ายจะปล่อยเจ้าไปได้เหรอ?”

“เจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่ได้สู้กันซึ่งๆ หน้าเสียหน่อย สู้กันอย่างลับๆ ไม่ว่าเบื้องบนจะมีใครมาสู้กับนายท่าน แต่ก็ทำอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ทั้งนั้น เป้าหมายของพวกเขาคือกำจัดนายท่าน ขอเพียงทำสำเร็จก็จะถอยทันที ใครจะมัวมาเสียเวลาลงมือกับลูกน้องของนายท่านต่อไปล่ะ ส่วนที่เจ้าบอกว่าข้าสังหารคนคนนั้นที่ติดต่อกับเจ้าน่ะ สำหรับเบื้องบนแล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ขอเพียงกำจัดนายท่านได้ เรื่องก็จะผ่านไป ใครจะเสี่ยงโดนเปิดโปงมาหาเรื่องข้าล่ะ ขอเพียงทำงานให้ดีอยู่ข้างกายนายท่าน ไม่ว่านายท่านจะผ่านด่านนี้ไปได้หรือไม่ การซื้อขายนี้พวกเราก็จะมีแต่ได้กำไร ไม่มีขาดทุน สิ่งเดียวที่ข้าต้องทำตอนนี้ก็คือ ตอนที่อันตรายกำลังจะมาถึง จะทำยังไงให้รอดพ้นจากการโจมตีที่อันตรายถึงชีวิตไปได้ ตราบใดที่รักษาชีวิตไว้ได้ อนาคตก็รออยู่!”

…………………………

พูดจบก็ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากบนโต๊ะ ในขณะที่ถือพู่กันจุ่มหมึกเขาก็เอียงศีรษะ เห็นได้ชัดว่ากำลังใจจดใจจ่อ กำลังใช้ความคิดวางเค้าโครงภาพอีกแล้ว

เสวี่ยหลิงหลงจ้องมองเขาครู่หนึ่งด้วยสีหน้าสับสน จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ หันตัวไปหยิบภาพที่วาดเสร็จแล้วโยนทิ้งไว้บนพื้นขึ้นมาทีละภาพ จัดภาพให้ดีแล้ววางบนหัวโต๊ะ พอมองดูอีกครั้ง ก็พบว่าสวีถังหรานยังวาดไม่เสร็จ นางจึงอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ถามหยั่งเชิงว่า “ได้ยินว่าราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์แล้วเหรอ”

สวีถังหรานตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ราชันสวรรค์อภัยโทษทั้งใต้หล้าแล้ว ยังจะปลอมได้อีกเหรอ?” แต่เขาก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว นี่เป็นคำพูดเหลวไหล ตอนนี้ยังมีใครสงสัยเรื่องนี้อีกเหรอ เขาจึงเงยหน้าบอกว่า “ฮูหยิน เหมือนคำพูดเจ้าจะมีนัยยะแอบแฝงนะ! ทำไมล่ะ? อยู่ต่อหน้าข้าจำเป็นต้องปิดบังด้วยเหรอ?”

เสวี่ยหลิงหลงกลอกตามองเขา แล้วเดินไปอีกฝั่งหนึ่ง ยกแขนเสื้อฝนหมึกพร้อมบอกว่า “ข้าได้ยินว่าสถานการณ์ของนายท่านไม่ค่อยดี ราชินีสวรรค์มีทายาทแล้ว นั่นก็หมายความว่าความร่วมมือระหว่างตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วจบลงแล้ว ตึกศาลาสัตยพรตคงไม่คุ้มครองนายท่านหนิวอีก เป็นอย่างนี้ใช่หรือเปล่า?”

สวีถังหรานมองนางเงียบๆ แล้วามว่า “ใช่แล้วจะทำไม ไม่ใช่แล้วจะทำไม?”

“ถ้าอย่างนั้น นายท่านจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมากหรอกเหรอ?” เสวี่ยหลิงหลงถามกลับ

สวีถังหรานยิ้มเล็กน้อย แล้วก้มหน้าลงพู่กัน วาดดอกไม้ใบหญ้าตามอำเภอใจ “เจ้าคงไม่ได้เป็นกังวลกับนายท่านหรอก แต่กลัวว่าพวกเราจะลำบากไปด้วยใช่มั้ยล่ะ?”

“อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่กังวลสักนิดเลย?” เสวี่ยหลิงหลงถาม

มือของสวีถังหรานยังคงไม่หยุดวาดภาพ “เรื่องบางเรื่องกังวลไปแล้วจะมีประโยชน์เหรอ? ฮูหยิน ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะพูดอะไร เจ้าเองก็รู้ถึงท่าทีของข้าตั้งแต่แรกแล้ว คงไม่ต้องให้ข้าพูดมากหรอก เอาเป็นว่าข้าเชื่อว่านายท่านมีวิธีรับมือเพื่อให้ผ่านด่านนี้แน่นอน”

“แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วจริงๆ คนลงมือไม่ใช่คนที่นายท่านจะต้านทานไหวเลย” เสวี่ยหลิงหลงยังกล่าวด้วยสีหน้ากังวล

“ยังมีตระกูลโค่วไม่ใช่เหรอ?” สวีถังหรานถาม

เสวี่ยหลิงหลงตอบว่า “แต่ข้าได้ยินว่านายท่านเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ตระกูลโค่วก็มีท่าทีว่าจะทอดทิ้งแล้วเช่นกัน อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่ไตร่ตรองเรื่องทางหนีทีไล่เอาไว้เลย?”

“ทางหนีทีไล่เหรอ?” ปลายพู่กันของสวีถังหรานหยุดชะงัก แล้วเอียงหน้าช้าๆ มองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ “ตระกูลโค่วส่งคนไปคุ้มกันนายท่านมากมายขนาดนั้น แต่ก็ยังปิดบังผู้หญิงที่มีความคิดอ่านอย่างเจ้าไม่ได้ เจ้าไปได้ยินมาจากไหนว่าตระกูลโค่วกำลังจะทิ้งนายท่าน?”

เสวี่ยหลิงหลงกัดริมฝีปาก แล้วบอกว่า “แต่พวกที่ส่งไปไม่ใช่ยอดฝีมือจริงๆ หรอก อาศัยแค่คนพวกนั้นก็ต้านท่านพวกลูกพี่ใหญ่ของตำหนักสวรรค์ไม่ได้เลย”

สวีถังหรานยังมองด้วยสายตาเย็นเยียบเหมือนกัน “ตอบข้ามา เจ้าไปได้ยินมาจากไหนว่าตระกูลโค่วกำลังจะทอดทิ้งนายท่าน? อย่าบอกเชียวนะว่าเจ้าตัดสินเอาเอง!”

เสวี่ยหลิงหลงก้มหน้าลังเลอยู่นานมาก สวีถังหรานมองนางเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร บรรยากาศในห้องเปลี่ยนเป็นอึดอัดผิดปกติทันที

“ข้างนอกมีคนมาติดต่อข้า บอกว่ายินดีจะให้โอกาสเจ้าเลือกใหม่ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า เจ้าต้องสร้างผลงาน” เสวี่ยหลิงหลงตอบกลับเสียงต่ำ

“ต้องการให้ร่วมมือกับพวกเขาทำลายนายท่านสินะ?” สวีถังหรานหรี่ตาถาม

“เจ้ารู้ได้ยังไง?” เสวี่ยหลิงหลงเงยหน้าอย่างงุนงง

สวีถังหรานปล่อยมือพู่กัน พู่กันที่แหย่อยู่บนกระดาษล้มคว่ำลงมา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ สำหรับคนพวกนั้นแล้ว นอกจากคุณค่าเล็กน้อยแค่นี้ ข้ายังมีคุณค่าอะไรอย่างอื่นให้ใช้ประโยชน์อีกเหรอ?”

เสวี่ยหลิงหลงถอนหายใจเบาๆ “ทำไมเจ้าต้องดูถูกตัวเองด้วย ที่จริงเจ้าก็ยังมีความสามารถอยู่นะ”

“บอกมาเถอะ คนจากไหนมาติดต่อเจ้า?” สวีถังหรานยืนตรงและเอามือไขว้หลัง

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อีกฝ่ายบอกว่าระดับสูงมาก” เสวี่ยหลิงหลงส่ายหน้า

สวีถังหรานจึงเหล่ตาถาม “เจ้าไม่รู้ชัดแม้กระทั่งว่าเขาเป็นใคร แต่ยังกล้าถ่อมาวิ่งเต้นคุยให้อีกเหรอ?”

เสวี่ยหลิงหลงตอบว่า “อีกฝ่ายบอกว่า ขอเพียงเจ้าตอบตกลง ก็จะสามารถเจรจากับเจ้าได้ ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมรู้ถึงฐานะของเขาเอง ขณะเดียวกันก็สามารถรับประกันความกังวลของเจ้าได้ ถึงตอนนั้นเจ้าจะได้ไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง”

“เขามาเจอเจ้าเมื่อไร?”

“เมื่อวาน…”

“อะไรนะ? เรื่องเมื่อวาน แต่เจ้าเพิ่งมาบอกวันนี้เนี่ยนะ?”

“ข้าอยู่เป็นเพื่อนเฟยหงฮูหยิน แล้วเจ้าก็ไปวัดพระกษิติครรภ์เป็นเพื่อนนายท่าน…”

“โง่เง่า!” สวีถังหรานเอ่ยปากด่าอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำ เดินอ้อมโต๊ะยาวออกมาด้วยใบหน้าที่ดำมืด หลังจากเดินไปเดินมาเงียบๆ อยู่นาน สุดท้ายก็หยุดเดินแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเครียดขรึมเยียบเย็น “ข้าจะเลือกสถานที่นัดพบเอง ช่วยนัดเขาให้หน่อย”

แสงจากโคมไฟด้านนอกตลาดผีราวกับเป็นดาวเดียรดาษในม่านราตรี ที่นี่จมอยู่ในความมืดตลอดเวลา ไมได้เห็นแสงอาทิตย์เลย แสงโคมไฟที่ระยิบระยับแวววาวก็เหมือนจะมีอยู่ตลอดเช่นกัน

ดอกไม้สดที่มีแสงสว่างในตัวเองหลายกระถางตั้งอยู่ริมหน้าต่าง ส่งกลิ่นหอมเล็กน้อย หลินผิงผิงกับเฟยหงที่กำลังต้มน้ำชาอยู่ข้างเตากำลังหัวเราะกระซิบกระซาบกัน ไม่รู้ว่ากำลังแอบคุยอะไรกัน

พอชำเลืองมองเหมียวอี้ที่กำลังยืนเอามือไขว้หลังจ้องมอง ‘ภาพมารปีศาจพาลก่อหายนะ’ อย่างเงียบงันเป็น เฟก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้ เหมียวอี้เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอีกแล้ว นางจึงยกนิ้วชี้มาจ่อตรงหน้าริมฝีปากแดงน่าเอ็นดูทันที เตือนหลินผิงผิงว่าไม่ให้ส่งเสียง

หลินผิงผิงหันกลับไปมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง เหมือนจะรู้ตัวว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองหัวเราะเสียงดังไปหน่อย จึงยกมือปิดปาก

เฟยหงยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยนให้กับปฏิกิริยาของนาง จากนั้นรินน้ำชาที่ต้มจนเดือดด้วยตัวเอง ตอนนี้นางมีสีหน้าสงบสุขพึงพอใจ ตั้งแต่อวิ๋นจือชิวพาเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ไปด้วยกัน นางก็ไม่ได้เรียกหาสาวใช้อีก นางชอบปรนนิบัติรับใช้เหมียวอี้ด้วยตัวเอง ไม่อยากยืมมือของใคร เพราะนางรู้สึกมีความสุขกับสภาพชีวิตในตอนนี้มาก ถนอมรักษาเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับเหมียวอี้ในแต่ละวัน บางทีอาจจะเป็นเพราะกลัวว่าจะสูญเสีย ถึงได้ถนอมและเห็นคุณค่ากว่าเดิม

พอเป็นแบบนี้ หลินผิงผิงก็เลยกลายเป็นเพื่อนของนางแล้ว

ตอนนี้หลินผิงผิงมองไปทางคนที่เดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างแปลกใจนิดหน่อย ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหยางเจาชิงสามีของนางเอง สาเหตุที่นางแปลกใจ ก็เพราะหยางเจาชิงเดินบุกเข้ามาโดยไม่ได้บอกกล่าวอะไรก่อนเลย ตรงนี้ยังมีผู้หญิงอยู่ด้วย นางได้แต่มองดูหยางเจาชิงเดินสาวเท้าไปที่ห้องด้านใน ไม่รู้ว่ากำลังแอบกระซิบอะไรอยู่ข้างกายเหมียวอี้

ผู้หญิงทั้งสองคนสบตากัน ตระหนักได้ว่าระหว่างผู้ชายพวกนี้จะต้องวางแผนลับอะไรกันแน่นอน ทั้งสองหันกลับมาจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างรู้กาลเทศะ ไม่หันไปมองเรื่องที่ไม่ควรสอดแนม

หยางเจาชิงไม่ได้พูดอะไร เพียงถ่ายทอดเสียงอยู่ข้างกายเหมียวอี้ “นายท่าน เขาออกไปพบกันแล้ว”

เหมียวอี้ที่กำลังจ้องภาพมารปีศาจพาลก่อหายนะใบหน้าตึงเครียดลงเล็กน้อย เหมือนกำลังออกแรงกัดฟัน จากนั้นก็หลับตาลงอย่างช้าๆ กล่าวอย่างอ่อนแรงว่า “ฝนจะตก ผู้หญิงตะแต่งงาน แตงที่ฝืนเด็ดออกมาย่อมไม่หวาน เจ้าไปเถอะ!”

หยางเจาชิงก้มหน้าเล็กน้อย แล้วรีบหันตัวเดินออกไป เฟยหงกับหลินผิงผิงชำเลืองมองเงาที่เดินออกจากประตูไป แล้วก็แอบมองเหมียวอี้ที่ยืนหลับตาเงียบๆ อยู่หน้าภาพวาดเป็นเวลานาน เห็นได้ชัดว่าอารมณ์กำลังดิ่งลง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว นางจึงไม่สะดวกจะนำน้ำชาที่ต้มเสร็จแล้วไปส่งให้…

ตลาดผีคึกคักรุ่งเรือง ผู้คนขวักไขว่ไปมาอย่างคับคั่ง ผู้คนที่สัญจรไปมาไม่มีใครเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากแต่ละใบนั้น ไม่รู้ว่าเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงหรือว่าใจคน

หยางเจาชิงที่มีผู้ติดตามข้างหลังสองคนก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน เขากำลังสาวเท้าเดินขึ้นไปบนภัตตาคารแห่งหนึ่ง ตอนที่เดินเข้าไปในห้องส่วนตัว ในห้องก็มีคนรออยู่แล้วสอง พอเห็นหยางเจาชิงเดินเข้ามา พวกเขาก็กุมหมัดคารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน

หยางเจาชิงเดินตรงไปถึงริมหน้าต่างที่ปิดเอาไว้ครึ่งหนึ่ง พยายามเบี่ยงตัวหลบการสอดแนมจากข้างนอก หนึ่งคนที่อยู่ข้างเขาชี้ไปยังเรือดอกไม้ลำหนึ่งที่ค่อยๆ ลอยแล่นออกไปไกลบนแม่น้ำใต้ดิน “เป้าหมายอยู่บนเรือลำนั้นขอรับ ไม่ทราบว่าต้องการจะไปทางไหน ทางนี้เตรียมคนไว้เรียบร้อยแล้ว นายท่าน คนที่เราต้องรับมือด้วยเป็นใครกันแน่?”

“ไม่ต้องถามมาก บอกให้คนที่ข้าเตรียมไว้ไปพบกันได้” หยางเจาชิงกล่าวเสียงเย็น

“ขอรับ!” ข้างกายมีคนหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่งทันที

ผ่านไม่นาน เรือเล็กลำหนึ่งก็ออกเดินทางจากฝั่งที่อยู่ไม่ไกล รีบตามเรือดอกไม้ลำนั้นไป เห็นรางๆ ว่ามีคนคนหนึ่งกระโดดจากเรือเล็กขึ้นไปบนเรือดอกไม้แล้ว

ในห้องส่วนตัว ลูกน้องสี่คนยืนปล่อยมือแนบลำตัวอยู่ตรงสี่มุม หยางเจาชิงที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะยกจอกสุราขึ้นจิบอย่างเนิบนาบ มองไม่ออกว่าใบหน้าใต้หน้ากากอยู่ในอารมณ์ไหน เห็นเพียงสายตาที่เย็นเยียบ

พอดื่มสุราลงท้องไปในหนึ่งกา หยางเจาชิงก็เหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ เอียงหน้าถามว่า “ยังไม่ตอบกลับมาอีกเหรอ?”

คนก่อนหน้านี้หยิบระฆังดาราขึ้นมาอีกครั้งในทันที หลังจากผ่านไปสักพักก็ตอบอย่างงุนงงว่า “ติดต่อไม่ได้แล้ว”

ปั้ง! หยางเจาชิงตบจอกสุราลงบนโต๊ะ “สั่งให้คนไปดูเดี๋ยวนี้”

เรือดอกไม้ลำนั้นยังคงลอยช้าๆ อยู่กลางทะเลสาบ คนขับเรือที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ตกใจ เพราะจู่ๆ ก็เห็นเงาคนคนหนึ่งเหาะเข้ามา แล้วทะลุหน้าต่างเข้าไปบนห้องโดยสารเรือโดยตรง

มีคนที่ดูแลเรือดอกไม้หลายคนถลันตัวขึ้นมาบนห้องโดยสารเรือทันที พวกเขาผลักประตูเข้าไปดูความเคลื่อนไหว ผลปรากฏว่าเห็นคนคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น ส่วนอีกคนยืนอยู่ข้างโต๊ะ

คนที่กำลังยืนโบกมือเผยป้ายคำสั่งของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแสดงให้คนที่บุกเข้ามาดู แต่สายตากลับจ้องคนบนพื้นที่มีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด พลางใช้มืออีกข้างหยิบระฆังดารา

ผ่านไปไม่นาน คนกลุ่มหนึ่งก็เหาะมาถึง พวกเขาเดินก้าวยาวบุกเข้าไป พอหยางเจาชิงที่เดินนำหน้ามาเห็นคนที่นอนเลือดไหลอยู่บนพื้นมีใบหน้าเขียวคล้ำ ก็รู้ทันทีว่าโดนยาพิษ จึงรู้สึกงงทันที รีบหันกลับมาถามว่า “แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ?”

“ไปทำธุระข้างล่าง ไปได้สักพักหนึ่งแล้ว…” เถ้าแก่เนี้ยของเรือดอกไม้ตอบเสียงอ่อน

หยางเจาชิงรีบลงไปชั้นล่าง พอใช้เท้าเตะประตูห้อง ก็พบว่าข้างในว่างเปล่า ยังจะมีเงาคนอยู่เสียที่ไหนกัน แต่ไม้กระดานตรงช่องขับถ่ายสองแผ่นกลับถูกคนเปิดออกแล้ว หยางเจาชิงก้าวเข้าไปดูตรงโพรงใต้ท้องเรือที่มีน้ำไหลผ่าน มันกว้างพอที่คนคนหนึ่งจะลอดลงไปได้พอดี ดูจากผนังทั้งสี่ด้านที่เลอะไปด้วยสิ่งปฏิกูล ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นร่องรอยคนเหยียบไถลลงไป เห็นได้ชัดว่าคนหนี้ออกไปจากตรงนี้แล้ว

ไม่แปลกใจที่หาคนบนเรือไม่เจอแล้ว อีกทั้งคนบนเรือที่สัญจรไปมารอบๆ ที่จับตาดูอยู่ก็ไม่เห็นว่ามีใครกระโดดออกมา และไม่ได้เจาะเรือจนส่งผลกระทบต่อตัวเรือด้วย สงสัยจะดำน้ำหนีไปแล้ว

ฉากที่อยู่ตรงหน้าทำให้หยางเจาชิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เจ้าหมอนั่นมันใช้ได้จริงๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทุกอย่างจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะลอดผ่านจุดที่สกปรกขนาดนี้ไปได้…

ในจวนแม่ทัพภาคตลาดผี หลังจากกลับมาแล้ว เรื่องแรกที่สวีถังหรานทำก็คือแช่อาบอยู่ในน้ำที่มีกลิ่นหอม พับผ้าขนหนูร้อนที่ชุบน้ำเป็นรูสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วมาแปะไว้บนหน้าผาก พิงขอบอ่างพลางเงยหน้าหลับตาพักผ่อน

เสวี่ยหลิงหลงที่ถอดชุดกระโปรงออกแล้วเหลือเพียงชุดชั้นใน ร่างงามแช่อยู่ในน้ำร้อนแล้วเช่นกัน หยิบผ้าขนหนูอีกผืนมาขัดถูร่างกายให้เขา นางมองดูปฏิกิริยาของครู่หนึ่ง แต่มองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ จึงถ่ายทอดเสียงถามว่า “คุยเป็นยังไงบ้าง?”

“ก็ไม่ยังไงหรอก ข้าฆ่าทิ้งไปแล้ว” สวีถังหรานตอบด้วยเสียงที่ไม่สบายใจ

“อ๋า!” เสวี่ยหลิงหลงมือหยุดชะงัก แล้วถามอย่างตกใจว่า “เจ้าฆ่าเขาแล้วเหรอ? ต่อให้อยากจะแสดงความจงรักภักดีต่อนายท่าน แต่ก็สามารถนำเรื่องนี้ไปบอกนายท่านได้เลย ทำไมต้องไปทำเรื่องที่ล่วงเกินคนที่อยู่เบื้องหลังด้วยล่ะ?”

เพี้ยะ! สวีถังหรานนำผ้าขนหนูที่แปะบนหน้าผากตบลงในน้ำ แล้วพลันถลึงตาจ้องนาง “ก็ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เจ้าหาทำรึไงล่ะ เจ้าเจอเรื่องแบบนี้แต่ดันไม่รีบติดต่อข้าทันที กลับรอให้ผ่านข้ามวันแล้วค่อยบอก แล้วข้าจะให้เจ้าไปสารภาพกับนายท่านยังไงล่ะ? กำลังลังเลอยู่ใช่มั้ยว่าจะตอบตกลงหรือไม่ตอบตกลงดี? ถ้าให้นายท่านได้ยินแบบนี้ นายท่านจะคิดยังไง? ในมือเจ้าก็มีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อเขานี่นา เจ้าจะให้ข้าว่าเจ้ายังไงดี? ข้าเลยทำได้แค่กำจัดเขาแล้วเก็บของกลับมา ทำให้เขาตายไปพร้อมกับหลักฐาน หลังจากจบเรื่องจะได้ไม่ถูกข่มขู่!” พูดจบก็มีเสียงดังแกร๊ง พลิกมือโยนระฆังดาราอันหนึ่งไว้ข้างอ่างน้ำ

…………………………

เหมียวอี้ : สรุปก็คือ ยังต้องให้ตระกูลเซี่ยโห้วทำพลาดเอง

หยางชิ่ง : จะว่าอย่างนั้นก็ได้! เป็นเพราะตระกูลเซี่ยโห้วยึดครองใต้หล้ามานานเกินไป มีประมุขรุ่งเรืองและล้มลงหลายยุค แต่มีเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่ไม่ล้มลง สะสมเส้นสนกลในไว้เยอะเกินไป ก้นบึ้งลึกขนาดไหนก็ไม่มีใครสัมผัสไปถึงได้ ถึงขนาดว่าแม้แต่คนภายในตระกูลเซี่ยโห้วเองก็ยังไม่รู้ชัดเลย สิ่งที่ตึกศาลาสัตยพรตกุมไว้ เกรงว่าจะเป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้นกระมัง? ต่อให้กำลังทหารภายนอกจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ก็ทำได้เพียงโจมตีให้ตระกูลเซี่ยโห้วเป็นรูโหว่ แต่ไม่มีทางตัดขาดได้เลย ไม่อย่างนั้นเกรงว่าประมุขชิงคงจะไม่ปล่อยให้ตระกูลเซี่ยโห้วอยู่มาจนถึงวันนี้หรอก ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง ถึงได้มีคำกล่าวที่ว่า ครองตระกูลเซี่ยโห้วได้ ก็ครองใต้หล้าได้!

ยิ่งเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็ยิ่งปวดหัว นึกไม่ถึงว่าจะถูกตระกูลเซี่ยโห้วพัวพันเข้าแล้ว อดไม่ได้ที่จะด่าว่า : ล้วนเป็นเพราะพระปีศาจหนานโปไม่ทำเรื่องดี ตัวเองวิปริตคนเดียวก็ว่าหนักแล้ว ยังจะโอบอุ้มตระกูลปีศาจวิปริตนี่ขึ้นมาอีก ผลเป็นยังไงล่ะ กลับโดนสุนัขที่คุมใต้หล้ากัดเข้าแล้ว แถมยังลำบากคนอื่นอีก เส้นสนกลในของตระกูลเซี่ยโห้วจะลึกขนาดไหนก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าพิจารณาในตอนนี้ ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้ามีวิธีการรับมือรึเปล่า?

หยางชิ่ง : วิธีการรับมือก็คือไม่ต้องไปรับมือ อาศัยศักยภาพของพวกเรา ก็ไม่มีทางไปประลองฝีมือกับตัวละครยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลเซี่ยโห้วได้เลย แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น

เหมียวอี้ทั้งโมโหทั้งอยากขำ : มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรได้อีกเหรอ?

หยางชิ่ง : ก็เพราะมาถึงขั้นนี้แล้วไง ถึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย ทำเรื่องของพวกเราตามจังหวะการก้าวของพวกเราต่อไป! นายท่านทำทุกอย่างให้เป็นปกติ อย่าไปคิดว่าจะทำอะไรก็ได้เพียงเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายรู้แล้วว่าตัวเองเกี่ยวข้องกับหกลัทธิ เมื่อก่อนไม่ไปมาหาสู่กับหกลัทธิที่ตลาดผียังไง ตอนนี้ก็ให้ทำเหมือนเดิม สรุปก็คือ นายท่านจะต้องรักษาสภาพลึกลับน่าค้นหาในระดับนี้ต่อไป ทำให้อีกฝ่ายคลำไม่เจอและมองไม่ทะลุ แบบนั้นนายท่านกลับจะได้รับการปกป้องจากอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ถ้าเปิดโปงตัวเองเมื่อไร นายท่านกลับจะเป็นอันตราย!

พูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว ก็เข้าใจความหมายได้ไม่ยาก เหมียวอี้ตอบว่า : เข้าใจแล้ว ข้ารู้แล้วว่าจะทำยังไง

หยางชิ่ง : ยังมีอีกอย่าง ถ้ามีโอกาสติดต่อกับหกลัทธิที่ฐานอื่นๆ ข้างนอก นายท่านก็ต้องหลบเลี่ยง ไม่อย่างนั้นก็เกรงว่าจะไม่ค่อยน่าไว้ใจ

เหมียวอี้ตกใจทันที : หมายความว่ายังไง? อย่าบอกนะว่าหกลัทธิมีเจตนาอะไรกับข้า?

หยางชิ่ง : ข้าน้อยไม่ได้หมายความอย่างนั้น ข้าแค่สงสัยว่าฐานปฏิบัติการของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกอาจจะถูกตระกูลเซี่ยโห้วจับตาดูตั้งนานแล้วก็ได้ ที่ข้าไม่ให้นายท่านไม่ติดต่อกับฐานพวกนั้น ก็เพื่อจะคงสภาพลึกลับน่าค้นหาของนายท่านต่อไป นายท่านลองคิดดูสิ ตระกูลเซี่ยโห้วก็รู้อยู่แจ้มแจ้งว่าท่านกับหกลัทธิเกี่ยวข้องกัน แต่กลับจับจุดอ่อนที่สอดคล้องความจริงระหว่างนายท่านกับหกลัทธิไม่เจอเลย แล้วตระกูลเซี่ยโห้วจะคิดยังไงได้ล่ะ? ก็มีแต่จะคิดว่าหกลัทธิปกป้องนายท่านอย่างรอบคอบไม่ธรรมดา ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของนายท่าน ขณะเดียวกัน ยิ่งจับจุดอ่อนของตระกูลโค่วได้ยากเท่าไร ตระกูลเซี่ยโห้วก็จะยิ่งอยากยินดีสิ้นเปลืองกำลังความคิดกับนายท่านมากเท่านั้น ตอนนี้นายท่านกลายเป็นคนที่ตระกูลโค่วทิ้งแล้ว ทั้งยังถูกตำหนักสวรรค์กดดัน แถมยังมีกลุ่มผู้มีอำนาจที่จ้องเขมือบนายท่านอีก นายท่านจะได้รับการปกป้องจากตระกูลเซี่ยโห้วได้หรือไม่ นั่นก็คือเรื่องที่สำคัญมาก ตอนนี้ในใต้หล้าเหลือเพียงตระกูลเซี่ยโห้วที่สามารถจะต่อกรกับกลุ่มผู้มีอำนาจเพื่อปกป้องนายท่านได้!

สิ่งที่เขาพูดในตอนหลัง เหมียวอี้ทำความเข้าใจได้ง่ายมาก เพียงแต่คำพูดก่อนหน้านั้นยังทำให้สงสัยไม่หาย จึงถามว่า : ทำไมเจ้าถึงสงสัยว่าฐานปฏิบัติการข้างนอกของหกลัทธิถูกตระกูลเซี่ยโห้วจับตาดูแล้ว?

หยางชิ่งถามกลับ : นายท่านยังจำตอนที่เจียงอีอีมาติดกับดักที่ตลาดผีได้มั้ย?

มีหรือที่เหมียวอี้จะลืมเรื่องนี้ได้ เรื่องของเยว่เหยาทำให้เขาปวดหัวไม่หาย เขาตอบว่า : ก็ต้องจำได้อยู่แล้ว เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ล่ะ?

หยางชิ่ง : ตอนแรกข้าน้อยนึกว่าตึกศาลาสัตยพรตง้างปากเจียงอีอีได้แล้ว แต่การกระทำของเจียงอีอีในตอนหลังที่ยอมปลิดชีพตัวเองเพื่อปกป้องน้องสาว ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเจียงอีอีไม่ได้เปิดปากคายความลับได้ง่ายๆ ขนาดนั้น บวกกับระยะห่างของเวลาตอนที่จับตัวได้กับตอนที่ส่งตัวมาจวนแม่ทัพภาค เจียงอีก็น่าจะยังไม่ได้เปิดปาก แต่ว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย นั่นก็คือหลังจากตึกศาลาสัตยพรตจับตัวเจียงอีอีได้แล้ว ก็รู้ถึงตัวตนของเจียงอีอีทันที หลังจากจบเรื่องนั้นข้าน้อยลองมาไตร่ตรองให้ละเอียด ข้าน้อยว่าตึกศาลาสัตยพรตอาจจะมีวิธีการสืบหากำพืดอะไรบางอย่างที่คนนอกไม่รู้ ซึ่งทำให้พวกเขาสืบเจอว่าเจียงอีอีเกี่ยวข้องกับสมาคมวีรชน

เหมียวอี้ : พวกเขาอาจจะรู้ตั้งนานแล้วรึเปล่าว่าเจียงอีอีกับสมาคมวีรชนเกี่ยวข้องกัน?

หยางชิ่ง : มีความเป็นไปได้ไม่มาก! ถ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ ก็คงไม่ทรมานเจียงอีอีจนสภาพเป็นอย่างนั้น แถมตอนหลังก็ยังคิดหาทางปิดบังอีกว่าตัวเองรู้ความจริงแล้ว ความลับนั้นของประมุขชิงน่ะ ไปล่วงรู้ไม่ได้ง่ายๆ หรอก ประมุขชิงก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน มิหนำซ้ำยังเกี่ยวข้องกับเรื่องราชินีสวรรค์มีทายาทด้วย ดังนั้น ถ้ารู้ความจริงมาตั้งแต่แรกแล้ว พอจับตัวเจียงอีอีได้ก็จะพยายามส่งให้ถึงมือนายท่านให้เร็วที่สุด ไม่ปล่อยให้นำมาปัญหามาให้ตึกศาลาสัตยพรตกับราชินีสวรรค์แน่ พวกเขาจะต้องใช้วิธีการอะไรบางอย่างสืบได้ตอนหลังแน่นอน

เหมียวอี้สงสัย : เกี่ยวข้องกัยฐานปฏิบัติการของหกลัทธิตรงไหน?

หยางชิ่ง : เรื่องนี้ถ้าคิดให้ละเอียดก็ค่อนข้างน่ากลัวนะ! ตัวตนของเจียงอีอีเป็นสิ่งที่อ่อนไหวที่สุดของตำหนักสวรรค์ เวลาส่งไปปฏิบัติภารกิจ ก็จะต้องเตรียมตัวสำหรับกรณีที่ภารกิจล้มเหลวแน่นอน จะต้องเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่เพื่อรักษาความลับหลังจากที่ทำพลาด เบาะแสเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่บนตัวเขา ก็คงจะเป็นระฆังดาราที่ใช้รับคำสั่งจากเบื้องบน เพราะฐานะตัวตนแบบเขาไม่สามารถเปิดเผยได้เลย เป็นไปไม่ได้ที่จะติดต่อกับคนมากมายขนาดนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นการติดต่อแบบฝั่งเดียว ข้าน้อยสงสัยว่าตึกศาลาสัตยพรตอาจจะสืบหาตัวตนผู้บังคับบัญชาของเจียงอีอีเจอผ่านจุดเล็กน้อยจุดนี้ พอสืบไปเจอสมาคมวีรชนแล้ว ก็รู้ทันทีว่าเจียงอีอีเป็นเหมือนเผือกร้อนที่ลวกมือ จึงเตรียมตัวปิดบังทันที ก็เลยโยนมาให้นายท่านต่อ

เหมียวอี้ : ตอนที่ยังไม่แน่ใจประวัติความเป็นมาของเจียงอีอี อาศัยแค่ตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราอันเดียวก็สืบเจอเป้าหมายแล้ว อาจจะเหนือจินตนาการไปหน่อยมั้ง ใต้หล้ากว้างใหญ่ขนาดนั้น นักพรตมีมากมายนับไม่ถ้วน ถ้าอยากจะสืบให้เจอ มันเป็นไปได้เหรอ? มิหนำซ้ำยังใช้เวลาไม่นานด้วย

หยางชิ่ง : จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย! เพราะเจียงอีอีก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่อย่างนั้นคงไม่รอดพ้นจากการจับกุมครั้งแล้วครั้งเล่าหรอก ต่อให้ต้องการจะล้างแค้นที่นายท่านใส่ร้ายเขาเรื่องน่านฟ้าระกาติง แต่จะกล้าถ่อไปลงมือที่ตลาดผีง่ายๆ เหรอ? แบบนั้นอาจจะประมาทเกินไปหน่อย ไม่สอดคล้องกับลักษณะการก่อคดีของเจียงอีอีที่ทำอย่างระมัดระวัง รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าตลาดผีมีตึกศาลาสัตยพรตจับตาดูอยู่ แต่ยังจะกล้าไปวางแผนลงมือที่ตลาดผีอีก แถมตอนหลังยังมีหน่วยกล้าตายหนึ่งคนโผล่มาให้ความร่วมมือกับเจียงอีอี พอนำเรื่องพวกนี้มาเชื่อมโยงกัน ก็เดาได้ไม่ยากว่ามีผู้บงการ และเจียงอีอีก็ลงมือกับขุนนางตำหนักสวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่า คนที่บงการอยู่เบื้องหลังคงจะมีความกล้าไม่น้อย สถานการณ์ของนายท่านตอนนั้นก็เห็นๆ กันอยู่ ใครกันล่ะที่ปรารถนาอยากจะให้นายท่านกับฮูหยินเลิกกัน ขอแค่ตีกรอบในการสืบให้แคบลงสักหน่อย สืบจากข้างบนลงข้างล่าง จำนวนคนที่เหลือให้สืบก็ไม่เยอะ จะกำหนดตัวเป้าหมายได้ง่ายมาก ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าสายข้างบนของเจียงอีอีจะต้องมีฐานะที่สมาคมวีรชนไม่ใช่ต่ำๆ แน่!

เหมียวอี้ : ดังนั้น เจ้าก็เลยสงสัยว่าตระกูลเซี่ยโห้วใช้วิธีการเดียวกันในการสืบหาฐานปฏิบัติการข้างนอกของหกลัทธิ?

หยางชิ่ง : พอนำมาเชื่อมโยงกับเรื่องของเจียงอีอี ข้าน้อยยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจ ข้าน้อยสงสัยว่าตระกูลเซี่ยโห้วได้สร้างระบบเปรียบเทียบตราอิทธิฤทธิ์ขนาดใหญ่เอาไว้ชุดหนึ่งแล้วหรือเปล่า ยอ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ เพราะอิทธิพลของตระกูลเซี่ยโห้วแทรกซึมอยู่ในใต้หล้ามานานเกินไป ผ่านตัวละครมาหลายยุคสมัย ทั้งยังเดินได้ทั้งสายดำและสายขาวมาตลอด ความได้เปรียบเรื่องนี้ ต่อให้ตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีรวมกันก็เทียบไม่ติดเลย พวกเขามีความสามารถที่จะสร้างระบบนี้ขึ้นมา ความสามารถในการสืบความลับอันน่าสะพรึงกลัวของตระกูลเซี่ยโห้วก็คงจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ ถ้าข้าเดาถูก ฐานลับข้างนอกของหกลัทธิหลบไม่พ้นการสืบเสาะของตระกูลเซี่ยโห้วเลย ประการแรก หกลัทธิล้วนมีฐานลับที่ตลาดผี นอกเสียจากฝั่งตลาดผีจะไม่เกี่ยวข้องกับฐานลับที่อื่น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เกี่ยวข้องกัน ดังนั้นผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วจึงมีเวลาเพียงพอที่จะใช้วิธีการต่างๆ เพื่อสืบสาวไปตามเบาะแสอย่างช้าๆ คลำจนเจอฐานปฏิบัติการแต่ละแห่งของหกลัทธิ

เหมียวอี้เกิดความสงสัยทันที : ถ้าอยากจะเทียบตราอิทธิฤทธิ์ อย่างแรกที่ต้องทำเลยก็คือได้ตราอิทธิฤทธิ์ของสมาชิกคนอื่นๆ ในฐานลับใช่มั้ย?

หยางชิ่ง : เรื่องนี้ง่ายมากเลย มีนักพรตคนไหนบางที่หลีกเลี่ยงเรื่องรบราฆ่าฟันได้ ถูกคนแย่งของไปก็เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่เหรอ ถ้าใช้วิธีที่แข็งกร้าวขึ้นมาหน่อย ตึกศาลาสัตยพรตก็สามารถอ้างเหตุผลอะไรสักอย่างมากักตัวคนที่กำลังเข้าออกฐานลับหกลัทธิที่ตลาดผีไว้ชั่วคราวได้ พวกตราอิทธิฤทธิ์จะไม่ตกอยู่ในมือพวกเขาเชียวเหรอ? หรือไม่ก็ยังมีวิธีการอื่นที่พวกเรายังไม่รู้อีก

เหมียวอี้ถามซักไซ้ : เอาตราอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว ต่อให้ยืนยันตัวคนอื่นได้ แต่จะอาศัยตราอิทธิฤทธิ์หาฐานลับให้เจอได้ยังไง?

หยางชิ่ง : ห่านป่าบินผ่านยังเหลือเงา น้ำไหลผ่านยังเหลือรอย ยกตัวอย่างเช่น นายท่านรับประกันได้มั้ยว่าตัวเองจะไม่กลับพิภพเล็ก? เรื่องที่คนอื่นทำไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะทำไม่ได้ อาศัยกำลังทรัพย์และกำลังคนของตระกูลเซี่ยโห้ว ก็สามารถทำอย่างนั้นได้อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานลับหกลัทธิก็มีคนอยู่ตั้งมากมาย ขอแค่เล็งตัวเป้าหมายที่จะเอาตราอิทธิฤทธิ์ได้ พวกเขาก็จะได้ของคนจำนวนหนึ่งมาอย่างง่ายดายแน่นอน ดีไม่ดีตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะสืบจนรู้ชัดแล้วด้วยซ้ำว่าคนของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกมีจำนวนเท่าไร อย่างน้อยถ้าเปลี่ยนให้ข้าน้อยมีปัจจัยเหมือนตระกูลเซี่ยโห้วบ้าง ก็สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้เลย ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย อย่างมากก็ใช้เวลามากหน่อยก็เท่านั้นเอง แล้วอีกอย่าง บางทีอาจจะไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นก็ได้ ตอนที่ประมุขปราชญ์หกลัทธิยังอยู่ คนของฐานลับหกลัทธิในปัจจุบันก็อาจจะไม่ได้หลุดพ้นจากสายตาของตระกูลเซี่ยโห้วหรอก สิ่งที่มีความเป็นไปได้มากกว่านั้นก็คือ ผู้เหลือรอดในฐานปฏิบัติการตอนนี้ ก็อาจจะเป็นผลจากการแอบช่วยเหลืออย่างลับๆ ของตระกูลเซี่ยโห้วก็ได้ ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีทางเสี่ยงวางไข่ไว้ในตะกร้าเดียวกันแน่ มีความเป็นได้สูงว่าจะเตรียมตัวเอาไว้แล้วสำหรับกรณีที่ต้องแตกคอกับประมุขชิงและประมุขพุทธะ ถ้าพูดถึงทรัพยากรที่ตระกูลเซี่ยโห้วมี วิธีการที่จะใช้กุมข้อมูลของฐานลับหกลัทธิก็มีมากมายจริงๆ ไม่ได้ยากสักเท่าไรเลย

เหมียวอี้สูดหายใจเฮือกด้วยความตกตะลึง : ในเมื่อเจ้าเดาได้แบบนี้แล้ว ทำไมไม่ต้องตั้งแต่แรก พวกขุนพลใหญ่หกลัทธิที่ตามข้าออกมาจะไม่เป็นอันตรายเหรอ? ถ้าพวกเขาถูกเปิดโปงขึ้นมา ตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่เดาออกทันทีเหรอ ว่าที่แดนอเวจีมีทางเข้าออกใหม่แล้ว?

หยางชิ่ง : นายท่านวางใจได้ หลังจากข้าคาดการณ์เรื่องนี้ได้แล้ว ข้าก็เตรียมวางกำลังป้องกันทางฝั่งหกลัทธิทันที น่าจะไม่ถูกเปิดโปงได้ง่ายๆ เพียงแต่ข้าไม่ได้บอกเรื่องพวกนี้กับหกลัทธิก็เท่านั้นเอง

เหมียวอี้ : ไม่รู้ว่าหกลัทธิได้ย้ายฐานปฏิบัติการพวกนั้นบ้างรึเปล่า? ถ้าให้ตระกูลเซี่ยโห้วกุมข้อมูลอยู่ตลอด จะไม่กลายเป็นเนื้อบนเตียงหรอกเหรอ?

หยางชิ่ง : ไม่มีความจำเป็นต้องย้ายเลย ก็อย่างที่ข้าน้อยบอก ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีทางเสี่ยงวางไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน ถ้าจะแตะต้องฐานปฏิบัติการของหกลัทธิ ตระกูลเซี่ยโห้วก็คงจะลงมือไปนานแล้ว คงไม่เก็บไว้จนถึงตอนนี้ เรื่องบางเรื่องถ้าให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้สึกว่ายังกุมข้อมูลอยู่ในมือ ก็กลับจะปลอดภัยต่อฐานปฏิบัติการของหกลัทธิมากขึ้นด้วยซ้ำ ถ้าทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้สึกว่าเราไม่ยอมรับการควบคุม นั่นกลับจะยิ่งอันตราย บางทีอาจจะเป็นเรื่องที่รับได้ยากสำหรับหกลัทธิ แต่ก็จำเป็นต้องอาศัยพวกเขามาทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วสงบลง ตราบใดที่นายท่านสามารถรักษาผลประโยชน์ไว้ได้ก็พอ…ความสำเร็จของคนคนหนึ่งล้วนมาจากกองกระดูกแห้งกร้าน นายท่านเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีทางให้หันกลับแล้ว ตอนนี้นายท่านต้องการเวลาในการเติบโต ยื้อเวลาได้เท่าไรก็ยื้อไว้เท่านั้น ขอเพียงรักษาผลประโยชน์ของนายท่านได้ ยามถึงเวลาสำคัญ ชีวิตคนจำนวนหนึ่งที่ควรจะเสียสละก็ยังต้องเสียสละ!

เหมียวอี้เงียบไปแล้ว

แต่หยางชิ่งกลับเตือนอีกว่า : มีอีกเรื่องหนึ่งที่เกรงว่านายท่านจะต้องเตรียมใจเอาไว้ ฮูหยินเป็นคนของหกลัทธิ เกรงว่าตระกูลเซี่ยโห้วคงจะรู้นานแล้วเช่นกัน แต่ก็อย่างที่บอก ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีทางเปิดโปงง่ายๆ ตราบใดที่สถานการณ์นี้ยังไม่ถูกทำลาย ฮูหยินก็จะยังปลอดภัย ดังนั้นนายท่านไม่ต้องคิดมาก

เหมียวอี้ครุ่นคิดเล็กน้อย หยางชิ่งวิเคราะห์ทีละชั้นมาจนถึงขั้นนี้แล้ว อวิ๋นจือชิวถูกเปิดโปงตัวตนได้อย่างไรก็จินตนาการได้ไม่ยาก ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วรู้แม้กระทั่งฐานลับของหกลัทธิ แล้วเรื่องที่อวิ๋นจือชิวเป็นผู้จัดการร้านค้าของลัทธิมารในตลาดสวรรค์ยังจะเป็นความลับสำหรับตระกูลเซี่ยโห้วอีกเหรอ? เกรงว่าจีเหม่ยลี่และอนุภรรยาคนอื่นๆ ก็คงจะถูกตระกูลเซี่ยโห้วล่วงรู้ความลับตั้งนานแล้วเช่นกัน แค่อาจจะยังไม่รู้ว่าเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ก็เท่านั้นเอง

จากการสืบเสาะลงลึกในครั้งนี้ พอลองมองดูตระกูลเซี่ยโห้วอีกครั้ง เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่ารู้สึกอย่างลึกซึ้ง ว่าตระกูลนี้ซ่อนอะไรเอาไว้ลึกเกินไป น่ากลัวเกินไปแล้ว มิน่าล่ะ ถึงแม้ในมือจะไม่มีอำนาจทางทหาร แต่ก็สามารถทำให้สี่อ๋องสวรรค์ทำความเคารพด้วยฐานะที่เท่าเทียมกันได้ ทำให้ประมุขชิงกับประมุขพุทธะเป็นกังวลได้ เป็นอย่างที่หยางชิ่งกล่าวไว้ เป็นตัวละครยักษ์ใหญ่ที่ใช้กำลังทหารตัดไม่ขาด เพราะศักยภาพทั้งหมดของอีกฝ่ายซ่อนเอาไว้ในที่ลับ ไม่ว่าใครก็คลำไม่เจอ!

ในขณะที่กำลังตกใจ คิดไปคิดมาก็รู้สึกขำ คนที่เดินไปถึงระดับนั้นอย่างประมุขชิง อยากจะได้ผู้หญิงสวยอย่างไรก็มีหมด แต่ดันต้องแต่งงานกับผู้หญิงหน้าตาธรรมดาอย่างเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มาเป็นราชินีสวรรค์ ยิ่งบวกกับเรื่องมีทายาทด้วยแล้ว ก็นึกออกเลยว่าในก้นบึ้งหัวใจของประมุขชิงนั้นกลัดกลุ้มขนาดไหน ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ที่ประมุขชิงไม่ยอมมีทายาทเสียที เป็นเพราะสาเหตุด้านนี้ด้วยหรือเปล่า

หลังจากคลายความกลัดกลุ้มในใจตัวเอง แน่ใจแล้วว่าหยางชิ่งยังไม่มีเรื่องอื่นจะบอก สุดท้ายเหมียวอี้ก็ตอบกลับไปว่า : เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากท่าน ข้าก็เหมือนเสือติดปีกจริงๆ!

หยางชิ่งตอบกลับตามารยาท : บุญคุณอันใหญ่หลวงของนายท่าน หยางชิ่งมิบังอาจลืม นี่คือสิ่งที่อยู่ในหน้าที่ของหยางชิ่ง

“เหมือนเสือติดปีกเหรอ? เกรงว่าเรื่องในอนาคต ไม่ว่าใครก็บอกได้ไม่ชัดเจน ถ้าเจ้าเดินไปถึงขั้นนั้นแล้วจริงๆ เกรงว่ายิ่งเป็นคนที่มีความสามารถมาก ก็จะยิ่งทำให้เจ้ารู้สึกถึงภัยคุกคาม บางทีถ้าตอนนี้ยิ่งแสดงความสามมารถเยอะ ในอนาคตก็จะยิ่งมีจุดจบที่อนาถน่ะสิ หวังว่าเมื่อถึงตอนนั้น เจ้าจะยังจดจำไมตรีในวันนี้นะ เมื่อถึงเวลาที่วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน[1] หวังว่าจะปรานีกันบ้าง เหลือทางรอดชีวิตให้หยางคนนี้สักหน่อย…”

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จ หยางชิ่งก็ค่อนข้างเหม่อลอย ในมือถือระฆังดาราพลางพึมพำในใจ ยิ้มจืดๆ อย่างขื่นขม เมื่อประกอบกับจอนผมสีขาวเงินสองข้าง ก็ให้ความรู้สึกเสื่อมโทรมอย่างบอกไม่ถูก

“หัวหน้าผู้ช่วย เป็นอะไรไป?” จินม่านที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ เห็นเขาติดต่อเสร็จแล้ว แต่มีปฏิกิริยาไม่ค่อยปกติ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“อืม…” หยางชิ่งได้สติกลับมา ความคิดกลับไปอยู่ในอีกสภาพหนึ่งอีกครั้ง สายตากลับมาสดใสอีกครั้ง แล้วบอกจินม่านว่า “เดี๋ยวเจ้าไปคุยกับลัทธิที่เหลือสักหน่อย ว่าถ้าไม่ได้รับอนุญาต ก็ห้ามให้กำลังพลเบื้องล่างของหกลัทธิไปติดต่อกับราชาปราชญ์โดยพลการ…”

“เอ! ทำไมเจ้ามีอารมณ์สุนทรีวาดภาพขึ้นมาได้ล่ะ?”

แม่ทัพภาคตลาดผีจวน เสวี่ยหลิงหลงเดินเข้ามามองในห้องสมาธิ พบว่าสวีถังหรานกำลังโบกพู่กันสะบัดหมึกอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่งในห้องสมาธิ อดไม่ได้ที่จะเข้าไปดู พบว่าสวีถังหรานกำลังวาดภาพอยู่ ด้านข้างก็มีที่วาดเสร็จแล้วอีกหลายแผ่น นางหยิบภาพแผ่นหนึ่งขึ้นมาดู รู้สึกว่าวาดได้ค่อนข้างดี นางยังมีสายตาทางด้านศิลปะอยู่บ้าง พอเห็นสวีถังหรานกำลังใจจดใจจ่อวาดภาพ นางก็ไม่ได้ไปรบกวน รอให้เขาวาดเสร็จแล้วถึงได้เอ่ยถาม

สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ ถือพู่กันชี้ภาพทิวทัศน์ธรรมชาติที่ตัวเองเพิ่งวาดเสร็จ แล้วถามว่า “ฮูหยิน ดูสิ ภาพนี้เป็นยังไงบ้าง?”

“เหอะๆ นึกไม่ถึงว่านายท่านยังมีฝีมือการวาดภาพด้วย” เสวี่ยหลิงหลงที่กำลังชื่นชมพยักหน้าเดาะลิ้น แล้วถามเหมือนไม่ได้จริงจัง “เมื่อครู่นี้เพิ่งคุยกับเฟยหงฮูหยิน นางชี้ภาพ’ภาพมารปีศาจพาลก่อหายนะ’ บนผนังแล้วถามข้า ว่าเจ้าไปหามาจากไหน เหมือนนายท่านหนิวจะชอบมาก”

“จะไปหามาจากไหนล่ะ?” สวีถังหรานกลอกตา แล้วโบกพู่กันในมือ “เจ้าคิดว่าข้ายืนอยู่ในนี้เล่นๆ เหรอ? ก็ต้องเป็นภาพที่ข้าวาดเองอยู่แล้ว”

“หา!” เสวี่ยหลิงหลงงงเป็นไก่ตาแตกไปชั่วขณะ แล้วถามอีกว่า “เจ้าวาดจริงเหรอ?”

สวีถังหรานตอบอย่างค่อนข้างจนใจ “อยู่ดีๆ นายท่านก็ให้ข้าตามหาภาพมารปีศาจพาลก่อหายนะ ตอนนั้นข้าปากไว ตบอกรับประกันว่าจะหามาให้ได้ ใครจะคิดล่ะ ตอนหลังข้าไปถามหาจนทั่ว แต่จะไปหาภาพตามหัวข้อนั้นจากไหนได้ล่ะ! นายท่านก็ใจร้อนอยากได้อีก ข้าเลยไม่มีทางเลือกแล้ว โชคดีที่ในปีนั้นข้าเองก็เคยศึกษาวิชานี้มาผ่านๆ ทำได้เพียงแข็งใจวาดออกมาเองเลย วาดไว้หลายแผ่น แล้วเลือกภาพที่น่าพึงพอใจที่สุดไปให้นายท่าน โชคดีที่เข้าตานายท่าน ข้าก็เลยผ่านด่านนี้ไปได้ ตอนหลังข้าก็กลุ้มใจเหมือนกัน นายท่านไปชอบดูภาพวาดได้ยังไงกันนะ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ข้าก็เลยรีบปัดฝุ่นฝึกฝีมืออีก อย่าให้ถึงตอนนั้นแล้วฉุกละหุกหาไม่ทัน พอใกล้ถึงเวลาแล้วไปหาคนอื่นมาวาดให้ก็อาจจะไม่ถูกใจนายท่านก็ได้ พึ่งตัวเองดีกว่า”

…………………………

[1] วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน 飞鸟尽良弓藏 หมายถึงหมดประโยชน์แล้วกำจัดทิ้ง

สืบ? จินม่านขมวดคิ้ว มองเขาด้วยสีหน้าที่เต็มใบไปด้วยความสงสัย เป็นเรื่องทางตลาดผี อย่าบอกนะว่าเกี่ยวข้องกับเหมียวอี้?

ไม่มีคำพูดอะไรอีก หยางชิ่งพยักหน้า แล้วรอคอย เฝ้าดู ดูจากความหมายนั้นก็คือ ให้จัดการเดี๋ยวนี้ ตอนนี้!

จินม่านตระหนักอะไรบางอย่างได้ทันที น่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้แล้ว ไม่อย่างนั้นท่านนี้คงไม่พูดเสียงแข็งขนาดนี้หรอก

ผ่านการทำความรู้จักในช่วงหนึ่ง จินม่านก็รู้สึกได้เช่นกันว่าท่านนี้มีจุดที่ไม่ธรรมดา ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรซี้ซั้ว จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที

หลังจากนั้นพักหนึ่ง จินม่านก็เก็บระฆังดาราแล้วบอกว่า “ตอนนั้นราชาปราชญ์ต้องการจะหนีออกมาอย่างราบรื่น ก็เลยขอความร่วมมือจากคนของลัทธิอู๋เลี่ยงที่อยู่ใน ‘หอภูเขาเขียว’ ตลาดผี…” นางเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ

“ขอถามอีกสักหน่อย ให้ทางนั้นคิดให้ละเอียด ว่าหลังจากนั้นทางหอภูเขาเขียวมีความผิดปกติอะไรหรือเปล่า?” หยางชิ่งถาม

จินม่านตอบว่า “เพิ่งจะถามไป ไม่มีความผิดปกติอะไร แค่คนที่ไปไปช่วยเหลือราชาปราชญ์ ที่ชื่อว่าฉินก้วน หลังจากจบเรื่องนั้นก็ประสบเคราะห์แล้ว”

“ประสบเคราะห์แล้วเหรอ?” หยางชิ่งถามอย่างร้อนใจ “ประสบเคราะห์หลังจากจบเรื่อง หรือว่าหลังจากกลับมาที่หอภูเขาเขียวแล้วประสบเคราะห์?”

“หลังจากเกิดเรื่อง ฉินก้วนก็ไม่ได้กลับเข้ามาที่หอภูเขาเขียว” จินม่านตอบ

“แล้วฉินก้วนนั่นวรยุทธ์เท่าไร?” หยางชิ่งถามอีก

“บงกชทองขั้นเจ็ด” จินม่านตอบ

หยางชิ่งได้ยินแล้วก้มหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ตึกศาลาสัตยพรตน่าจะรู้แล้วว่าราชาปราชญ์กับหกลัทธิมีความเกี่ยวข้องกัน”

จินม่านแปลกใจ “ทำไมคิดอย่างนั้น? ตอนนั้นเตรียมการอย่างระมัดระวังมาก”

หยางชิ่งถามกลับว่า “หอภูเขาเขียวอยู่ใต้หนังตาตึกศาลาสัตยพรตมานานหลายปีขนาดนั้น เจ้ากล้าพูดมั้ยล่ะว่าตึกศาลาสัตยพรตจะไม่รู้กำพืดของหอภูเขาเขียว?”

จินม่านเงียบไปครู่หนึ่ง อ้ำอึ้งเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แล้วสุดท้ายก็กล่าวอย่างลังเล “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ปิดบังหัวหน้าผู้ช่วย ที่จริงตึกศาลาสัตยพรตกับหกลัทธิแอบติดต่อกันอย่างลับๆ มาตลอด อีกฝ่ายต้องรู้ถึงกำพืดของของหอภูเขาเขียวอย่างเลี่ยงไม่ได้ หวังว่าหัวหน้าผู้ช่วยจะไม่กระจายข่าวนี้ให้คนนอกรู้ ไม่อย่างนั้นถ้าให้กำลังพลเบื้องล่างรู้ เจ้าก็คงจะเข้าใจนะ ว่าการที่หกลัทธิถูกขังอยู่ในนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้ว”

หยางชิ่งส่ายหน้า “เรื่องที่ตึกศาลาสัตยพรตกับหกลัทธิแอบติดต่อกัน เรื่องนี้ต่อเจ้าไม่บอกข้าก็รู้แล้วเช่นกัน”

“เจ้ารู้เหรอ? ใครบอกเจ้า?” จินม่านตกใจ

หยางชิ่งยิ้มเจื่อน “ยังต้องให้ใครบอกด้วยเหรอ? หกลัทธิอยู่ที่ตลาดผี แอบหาทรัพยากรอยู่ใต้หนังตาตึกศาลาสัตยพรต ถ้าไม่ได้รับอนุญาตแล้วจะปักหลักอยู่ที่นั่นมาตลอดได้ยังไงล่ะ? ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว อยู่ใกล้กันขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สังเกตเห็นกันเลยสักนิด! ตระกูลเซี่ยโห้วนี่ก็ไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่ว่าใครก็คิดว่าตระกูลนั้นกับหกลัทธิเป็นศัตรูคู่แค้นกัน ไม่มีทางที่จะปล่อยให้หกลัทธิตั้งตัวอยู่ที่ตลาดผี ใครจะคิดล่ะว่าเขาจะส่งเสริมศัตรูให้อยู่ใต้หนังตาตัวเอง เล่ห์เหลี่ยมและความใจกว้างนี้ช่าง…ถ้าไม่ใช่เพราะข้ารู้ว่าหกลัทธิมีฐานลับอยู่ในตลาดผี ก็อาจจะทำใจเชื่อได้ยากจริงๆ! ตอนนี้พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมตระกูลเซี่ยโห้วถึงดันประมุขให้ขึ้นสู่ตำแหน่งได้หลายสมัย แล้วก็ทำลายประมุขได้หลายสมัยเช่นกัน คนนอกไม่มีทางรู้ได้ว่าน้ำของตระกูลเซี่ยโห้วนั้นลึกแค่ไหน!”

จินม่านจ้องเขาอย่างพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เรื่องราวที่ซับซ้อนขนาดนี้ ทำไมพออยู่ในสายตาท่านนี้แล้วดูง่ายดายขนาดนี้ล่ะ มองปราดเดียวก็ทะลุปรุโปร่งแล้ว คนคนนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ!

ตอนนี้นางเหมือนจะเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว ว่าทำไมเหมียวอี้ถึงจับหยางชิ่งมาโยนไว้ในตำแหน่งหัวหน้าผู้ช่วยหกลัทธิ!

“ต่อให้ตึกศาลาสัตยพรตจะรู้กำพืดของหอภูเขาเขียว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าตึกศาลาสัตยพรตจะรู้ว่าหกลัทธิกับราชาปราชญ์มีความเกี่ยวข้องกัน ฉินก้วนนั่นไม่ใช่คนของหกลัทธิ แม้แต่กำพืดของหอภูเขาเขียวก็ยังไม่รู้เลย ตอนที่ให้เขาไปลงมือ ก็บอกเขาแค่ว่าราชาปราชญ์ไปล่วงเกินคนอื่นไว้ตอนที่มาหาความสำราญที่หอภูเขาเขียว ให้เขาไปสั่งสอนราชาปราชญ์นิดหน่อยก็เท่านั้นเอง เขาไม่รู้เลยว่าราชาปราชญ์เป็นใคร ต่อให้พลาดถูกจับตัวไปก็ไม่น่าจะพูดอะไรนะ” จินม่านกล่าวอย่างลังเล

หยางชิ่งถอนหายใจ “ตึกศาลาสัตยพรตรู้ถึงกำพืดของหอภูเขาเขียว ตอนนั้นก็จับตาดูราชาปราชญ์ด้วย ราชาปราชญ์สามารถบุกเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านได้ ในบรรดานักพรตบงกชทองไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขา แล้วพวกเจ้ายังจะส่งนักพรตบงกชทองขั้นเจ็ดไปจัดการราชาปราชญ์เนี่ยนะ?”

“แบบนี้ถึงจะสมเหตุสมผลมากกว่า! เพราะหอภูเขาเขียวไม่รู้ว่าราชาปราชญ์เป็นใคร!” จินม่านยักไหล่สองข้าง

“เรื่องบางเรื่องพวกเราจะคิดไปเองฝ่ายเดียวไม่ได้ ต่อให้อยากจะทำให้สมเหตุสมผลแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ต้องทราบไว้นนั้นตอนนั้นตึกศาลาสัตยพรตจับตาดูราชาปราชญ์แล้ว!” หยางชิ่งส่ายหน้า แล้วก็ก้มหน้าพูดเสริมอีกว่า “อย่างน้อยในสายตาข้า ตอนนั้นข้างกายราชาปราชญ์ก็ไม่ได้มีแค่ราชาปราชญ์คนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าพวกเจ้าจะส่งนักพรตบงกชทองขั้นเจ็ดไปคนเดียว? แค่นี้ก็มีเหตุผลที่เพียงพอที่จะทำได้พวกเขาสงสัยแล้ว…”

จินม่านแกตัวว่า “ก็เพราะไม่รู้เบื้องลึกของราชาปราชญ์ชัดเจน ก็เลยไม่รู้ว่าข้างกายเขามีคนอยู่มากเท่าไร ก็เลย…”

หยางชิ่งยกมือขึ้นขัดจังหวะ “งั้นก็ได้ ลองนำเรื่องนี้กลับมาย้อนคิดอีกที ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้น ตึกศาลาสัตยพรตจับตาดูราชาปราชญ์แล้ว มือสังหารที่ลอบสังหารราชาปราชญ์ทำพลาดแล้วหนีไปได้ แต่จะรอดจากสายตาของตึกศาลาสัตยพรตไปได้เหรอ? ตึกศาลาสัตยพรตย่อมต้องสืบให้ชัดเจนอยู่แล้วว่าเรื่องเป็นยังไง อาศัยอำนาจอิทธิพลของตึกศาลาสัตยพรตที่ตลาดผี ถ้าต้องการจับเป็นนักพรตบงกชทองขั้นเจ็ดสักคนมันยากนักเหรอ? ฉินก้วนไม่ใช่คนของหกลัทธิ เขาจะช่วยหอภูเขาเขียวฆ่าตัวตายปิดบังความลับเหรอ? คำตอบก็คือไม่! ตอนนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าฉินก้วนจะตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตแล้ว ก็อย่างที่เจ้าบอก ถ้าฉินก้วนอ้างเหตุผลนั้นในการลอบสังหารแล้วตบตาได้ เช่นนั้นก็ไม่มีเรื่องใหญ่โตอะไรแล้ว อาศัยความสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างตึกศาลาสัตยพรตกับหอภูเขาเขียว ก็น่าจะปล่อยตัวฉินก้วนไปสิ แต่ทำไมฉินก้วนถึงไม่ได้รอดชีวิตกลับไปที่หอภูเขาเขียวล่ะ? แปลว่าความสัมพันธ์ระหว่างหอภูเขาเขียวกับราชาปราชญ์ทำให้ตึกศาลาสัตยพรตสงสัยแล้ว ตึกศาลาสัตยพรตไม่อยากให้หอภูเขาเขียวรู้ว่าฉินก้วนตกอยู่ในมือพวกเขา ย่อมต้องทำให้ฉินก้วนหายไปอยู่แล้ว เหตุผลก็คือต้องการทำให้ฝั่งหกลัทธิประมาท ที่จริงพวกเขาก็บรรลุเป้าหมายตั้งนานแล้ว ทำให้พวกเจ้าไม่ได้สังเกตเห็นมาจนกระทั่งตอนนี้!”

การวิเคราะห์ที่ละเอียดเหมือนดึงไหมออกจากรังนี้ทำให้จินม่านขนลุกขนชัน นางถามอย่างค่อนข้างตกตะลึงว่า “ทำไมจู่ๆ หัวหน้าผู้ช่วยถึงถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะ?”

“เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยอธิบายทีหลัง!” หยางชิ่งกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่าน “พวกเจ้าไม่รู้เชียวเหรอว่าตลาดผีถูกควบคุมอย่างลับๆโดยตึกศาลาสัตยพรต ทำไมกล้าให้คนของตลาดผีไปติดต่อกับราชาปราชญ์ ไม่กลัวจะโดนเปิดโปงรึไง?”

จินม่านตอบว่า “ตอนนั้นราชาปราชญ์รีบร้อนหนีเอาตัวรอด ขอความช่วยเหลือเร่งด่วน ตอนนั้นไม่มีทางส่งคนอื่นไปช่วยที่ตลาดผีได้เลย น้ำไกลสู้น้ำที่อยู่ใกล้ไม่ได้ เลยทำได้เพียงใช้งานคนของหอภูเขาเขียว”

เรื่องราวเกิดขึ้นไปแล้ว มัวมาคิดวนเวียนอีกก็ไม่มีความหมาย และทางฝั่งเหมียวอี้ก็กำลังรอข่าวจากตน หยางชิ่งจึงยังไม่สนใจนาง หยิบระฆังดาราออกมาอีกครั้ง แล้วติดต่อไปหาเหมียวอี้ สรุปเรื่องที่จินม่านบอกให้เหมียวอี้รู้

พอเหมียวอี้ได้ฟังแล้วก็ตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับหกลัทธิจะถูกตึกศาลาสัตยพรตจับตาดูตั้งนานแล้ว จึงรีบถามว่า : อย่าบอกนะว่าตอนนั้นพวกเขารู้แล้วข้าคือระมุขปราชญ์ของลัทธิอู๋เลี่ยง?

หยางชิ่ง : เรื่องนี้มีความเป็นไปได้น้อย ทางฝั่งแดนอเวจีนอกจากบุคคลระดับสูง คนที่รู้ว่าท่านอยู่ที่โลกภายนอกก็มีไม่เยอะ คนฝั่งแดนอเวจีรู้เพียงว่าท่านชื่อเหมียวอี้ ไม่มีเชื่อมโยงท่านกับหนิวโหย่วเต๋อที่อยู่ข้างนอก อีกทั้งระฆังดาราของฝั่งนี้ก็ถูกควบคุม กำลังพลเบื้องล่างไม่มีทางติดต่อโลกภายนอกได้เลย บุคคลระดับสูงที่รู้สถานการณ์ก็ไม่มีทางทำเรื่องที่ทำลายผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกขังปิดตายมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นเมื่อก่อนก็เป็นไปไม่ได้ ตอนนี้พอมีช่องทางติดต่อกับโลกภายนอกแล้วก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้

เหมียวอี้โล่งอกนิดหน่อย ถามอีกว่า : ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงสืบมาถึงเรื่องนี้ได้ล่ะ?

ทำไมถึงสืบได้น่ะเหรอ? ก็ย่อมเป็นเพราะคำเตือนที่มีนัยยะแอบแฝงของเฉาหม่านได้เตือนสติหยางชิ่งเข้าแล้ว และในตอนนี้หยางชิ่งก็กำลังตื่นตัวกับทุกการเคลื่อนไหวของตลาดผี ถ้ามีจุดไหนที่น่าสงสัยก็จะดึงดูดให้เขาสงสัย วิเคราะห์ ตัดสินและตัดทิ้งทันที ผลปรากฏว่ามาติดอยู่ที่จุดนี้ คิดไม่ตก!

หยางชิ่งคิดไม่ตกจริงๆ ว่าทำไมเฉาหม่านต้องเตือนโดยแฝงนัยยะอย่างนี้ คิดไปคิดมาก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเหมียวอี้มีมูลค่าให้ตึกศาลาสัตยพรตใช้ประโยชน์ แต่จะมีมูลค่าให้ใช้ประโยชน์อย่างไรล่ะ? ด้วยสถานการณ์ของตอนนี้เหมียวอี้ในตอนนี้ กำลังถูกตำหนักสวรรค์ควบคุม ขนาดตระกูลโค่วยังมองเห็นเป็นลูกที่ถูกทิ้ง ตระกูลเซี่ยโห้วไม่จำเป็นต้องรับจานไว้ นอกเสียจากเหมียวอี้จะมีมูลค่าต่อตระกูลเซี่ยโห้วมากจริงๆ!

พอเป็นแบบนี้ เมื่อแน่ใจทิศทางแล้ว หยางชิ่งก็เริ่มครุ่นคิดตัดสินเกี่ยวกับมูลค่าของ ‘เหมียวอี้’ ความลับของหกลัทธิที่อยู่เบื้องหลังเหมียวอี้โผล่ออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เขาต้องหาหลักฐานพิสูจน์ว่าตึกศาลาสัตยพรตรู้ความลับนี้แล้วต้องการจะใช้ประโยชน์เพิ่มหรือเปล่า? ผลปรากฏว่าเป็นอย่างที่เขาคาดไว้ ตึกศาลาสัตยพรตตระหนักได้แล้วจริงๆ ว่าเหมียวอี้กับหกลัทธิมีความเกี่ยวข้องกัน

เมื่ออธิบายสถานการณ์คร่าวๆ เหมียวอี้ก็ไม่ได้ตกใจ แต่กลับพูดไม่ออก มารดาเจ้าเถอะ นี่มันคนอะไรกัน คำพูดประโยคเดียวของเฉาหม่านที่เตือนตนเหมือนมีเจตนาดี แต่เจ้าหมอนี่กลับสืบอะไรออกมาได้มากมายอย่างแม่นยำและรวดเร็ว ระบุมูลเหตุได้โดยตรง นี่ยังจะให้ข้ามีชีวิตอยู่ไปทำไม?

เหมียวอี้ : จุดประสงค์ที่เฉาหม่านเตือนข้าคืออะไร?

หยางชิ่ง : ก็ย่อมต้องอยากจะช่วยนายท่านอยู่แล้ว

เหมียวอี้ : ทำไมต้องอยากช่วยข้า?

หยางชิ่ง : สาเหตุที่คิดออกในตอนนี้มีสองข้อ หนึ่งก็คือ ถ้าจับจุดอ่อนนายท่านกับหกลัทธิได้จริงๆ อีกทั้งนายท่านยังเป็นเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว ภายใต้ความสัมพันธ์แบบเป็นเหตุเป็นผลนี้ ก็จะเท่ากับว่าได้บีบคอตระกูลโค่วไว้อย่างแน่นหนาแล้ว ค่าตัวของนายท่านสูงมาก เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วยอมจ่ายเพื่อช่วยเหลือนายท่านได้ เพราะวิธีการที่นายผงาดขึ้นมาที่ตำหนักสวรรค์นั้นสะดุดตาเกินไป ถึงขั้นเหนือจินตนาการด้วย ก่อเรื่องใหญ่หลายครั้งขนาดนั้นแต่ก็ยังรอดมาได้ ถ้าไม่รู้ว่านายท่านมีหกลัทธิอยู่เบื้องหลังก็ว่าไปอย่าง แต่ในเมื่อรู้แล้ว เกรงว่าถ้าจะไม่ให้สงสัยก็คงยาก! เดิมทีตระกูลเซี่ยโห้วก็ตั้งตัวขึ้นมาได้เพราะอาศัยการไขความลับกับกุมความลับอยู่แล้ว เมื่อมีสาเหตุสองข้อนี้ ตระกูลเซี่ยโห้วก็จะต้องช่วยนายท่านแน่นอน!

เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็รู้สึกบันเทิงแล้ว กล่าวกลั้วหัวเราะว่า : ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ต่อให้ตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วทำข้อตกลงกันเสร็จแล้ว แต่ตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่มีทางเลิกปกป้องข้าตอนอยู่ที่ตลาดผีง่ายๆ ใช่มั้ย?

หยางชิ่ง : ถ้าหากตัดสินไม่ผิดพลาด ก็น่าจะเป็นอย่างนี้ เพียงแต่จะไม่ช่วยนายท่านอย่างโจ่งแจ้งก็เท่านั้นเอง เป็นเพราะความกระหายอยากสืบความลับของตระกูลเซี่ยโห้วได้แทรกซึมเข้าไปในกระดูกของทั้งตระกูลแล้ว นี่ก็คือรากฐานที่ทำให้พวกเขายืนหยัดได้ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้แล้ว นี่ก็คือจุดที่ตระกูลเซี่ยโห้วทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวที่สุด! เมื่ออยู่ในระดับอย่างตระกูลเซี่ยโห้ว ก็จะกลายเป็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่แล้ว อาศัยกำลังกำลังทหารก็ไม่ทีทางตัดขาดได้เลย ถ้าวันไหนตระกูลเซี่ยโห้วล้มลง ก็จะต้องทำให้ทั้งตระกูลเกิดความวุ่นวายแน่นอน

เหมียวอี้ : ตามที่เจ้าบอกแบบนี้ ตราบใดที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่วุ่นวายเสียเอง ก็จะไม่มีวันล่มสลายเหรอ?

หยางชิ่ง : เรื่องนี้ก็ไม่แน่ ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการเลย บางครั้งจุดที่ยื่นออกมามากที่สุดก็เป็นจุดที่ทำให้สะดุดได้ง่ายที่สุดเช่นกัน ตระกูลเซี่ยโห้วชอบสืบความลับและกุมความลับคนอื่น ถ้ามีใครสักคนมีวิธีการ มีความสามารถที่จะวางกับดักเพื่อใช้ประโยชน์จากจุดนี้ ดีไม่ดีอาจจะทำให้ตัวละครใหญ่ยักษ์อย่างตระกูลเซี่ยโห้วสะดุดขาตัวเองจนเดินเซแล้วล้มลงเองก็ได้ เพียงแต่ถ้าอยากจะทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วติดกับดัก ก็เกรงว่าคงจะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถหาเหยื่อล่อนั้นได้ เป็นเรื่องที่ยากมาก แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

…………………………

เรือนแล่นเข้ามาในถ้ำ เข้ามาในชิดฝั่งที่อยู่ข้างใน เหยียนซิวก็หันตัวไปเปิดม่านออก เหมียวอี้เดินก้าวยาวออกมาจากห้องโดยสารเรือ

เฉาเฟิ่งฉือที่ยืนรออยู่บนบันไดริมฝั่งใบหน้าเจือรอยยิ้ม กุมหมัดคารวะมาตั้งแต่ไกลๆ

เหมียวอี้ที่ขึ้นฝั่งมากล่าวกลั้วหัวเราะ “จะกล้ารบกวนให้ผู้จัดการเฉามาต้อนรับด้วยตัวเองได้ยังไง” ดวงตากำลังมองประเมินศีรษะจดเท้า ไม่เหมือนกับตอนที่พบผู้หญิงคนนี้ในเมื่อก่อน ครั้งก่อนตอนอยู่อารามหลันเย่เขาก็ตัดสินได้แล้ว ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเซี่ยโห้วหลงเฉิง คำตอบที่คลุมเครือของนางในตอนนั้นก็เป็นหลักฐานได้เช่นกัน

เฉาเฟิ่งฉือเองก็รู้ว่าเขารู้ถึงตัวตนของนางแล้ว นางยิ้มพร้อมบอกว่า “ถึงยังไงนายท่านหนิวก็เป็นแม่ทัพภาคตลาดผี เจ้าถิ่นมาเยือนแล้ว เฟิ่งฉือจะต้อนรับไม่ดีได้ยังไง” นางยื่นมือเชิญให้เข้าไปด้านใน

“ให้เกียรติกันเกินไปแล้ว!” เหมียวอี้พูดเย้ยตัวเอง ใครเป็นเจ้าถิ่นของตลาดผี ยังจะต้องเถียงกันอีกหรอ? ไม่จำเป็นต้องพัวพันกับประเด็นนี้ เขามองไปรอบๆ แล้วพูดอีกว่า “ทำไมไม่เห็นคุณชายชีเลยล่ะ”

เฉาเฟิ่งฉือที่เดินอยู่ข้างกายส่ายหน้าพูดหยอก “รู้อยู่แล้วว่านายท่านหนิวรู้สึกว่าเฟิ่งฉือมีระดับไม่สูงพอที่จะมาต้อนรับ แต่ก็ช่วยไม่ได้ค่ะ คุณชายชีมีธุระ ทำได้เพียงลำบากนายท่านหนิวหน่อยแล้ว”

“สมกับเป็นพี่น้องกัน คุยกับพี่ชายเจ้าก็รู้สึกสนุกแบบนี้เหมือนกัน” เหมียวอี้พูดเรื่อยเปื่อยไปอย่างนั้น

ทว่าประโยคนี้ก็กระทบจนทำให้เฉาเฟิ่งฉือใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้รีบก้าวเดินตามไป ตอนนี้เงียบแล้ว

เหมียวอี้ที่เหล่สายตาสังเกตแอบยิ้ม สงสัยจะมองไม่ผิด เป็นน้องสาวของเซี่ยโห้วหลงเฉิงจริงๆ ด้วย

พอขึ้นไปบนตึกแล้วเข้าไปข้างในอีกครั้ง เหยียนซิวก็ถูกกักตัวไว้ตรงทางผ่าน การที่ให้เขาเข้ามาถึงในนี้ได้ ก็นับว่าไว้หน้าเหมียวอี้แล้ว เหมียวอี้ก็บอกให้เขารออยู่ตรงนี้เช่นกัน

“เถ้าแก่เฉา!”

ในห้องเดี่ยวสำหรับรับรองแขก เหมียวอี้ที่ถูกพาเข้ามาได้เจอเฉาหม่านแล้ว ทั้งสองไม่ได้เจอกันเป็นครั้งแรก เหมียวอี้กลุมหมักคารวะทักทาย

เฉาหม่านที่นั่งต้มน้ำชาอยู่ข้างเตายิ้มบางๆ เขาไม่ได้ลุกขึ้นมา เพียงยื่นมือเชิญให้นั่งเท่านั้น ดูเหมือนเสียมารยาท แต่บนอาณาเขตนี้อีกฝ่ายมีสิทธิ์ที่จะทำแบบนี้เช่นกัน สามารถเจียดเวลามาพบได้ ก็นับไว้หน้าแม่ทัพภาคตลาดผีแต่ในนามอย่างเหมียวอี้มากแล้ว

เมื่อเชิญให้เหมียวอี้นั่งลงแล้ว เฉาเฟิ่งฉือก็เดินอ้อมไปยืนอยู่ข้างหลังเฉาหม่าน

กลิ่นหอมของน้ำชาโชยมา เฉาหม่านรินน้ำชาให้แขกด้วยตัวเอง สีหน้าผ่อนคลายเป็นกันเอง

หลังจากแขกและเจ้าบ้านดื่มน้ำชากัน และทักทายกันตามมารยาทแล้ว เหมียวอี้ก็เป็นฝ่ายถามก่อนว่า “ไม่ทราบว่าเถ้าแก่เฉาเรียกข้ามาเพราะมีอะไรจะกำชับ?”

“ไม่ถือว่ากำชับหรอก” เฉาหม่านที่ยกถ้วยน้ำชามาจ่อปากส่ายหน้ายิ้ม หลังจากจิบน้ำชาแล้ววางถ้วยลง ก็ตอบว่า “ยินดีกับแม่ทัพภาคด้วยจริงๆ”

เหมียวถามกลั้วหัวเราะ “มีเรื่องดีๆ อะไรหรือ?”

เฉาหม่านก็ไม่อ้อมค้อมกับเขาแล้วเช่นกัน บอกตรงๆ เลยว่า “ช่วงนี้ตึกศาลาสัตยพรตสืบหาที่อยู่ของโจรกบฏกลุ่มหนึ่งได้ หากนายท่านหนิวได้จับกุมโจรกบฏพวกนี้ คาดว่าการได้เลื่อนกลับสู่ตำแหน่งเดิมคงอยู่ไม่ไกลแล้ว ค่าย่อมต้องแสดงความยินดี”

เหมียวอี้ก็ยังนึกว่ามีเรื่องอะไรถึงต้องให้เขามาด้วยตัวเอง ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง ก่อนหน้านี้ตระกูลโค่วก็เคยบอกเรื่องนี้กับเขาแล้ว

แต่เขากลับไม่รู้ว่าเรื่องนี้ทำให้ตึกศาลาสัตยพรตลำบากแล้ว จู่ๆ ประมุขชิงก็ให้อภัยโทษทั้งใต้หล้า ทำให้เรื่องราวหักมุมไปมากมาย ทำเอาตึกศาลาสัตยพรตที่นั่งรอตกปลาอย่างสงบมาตลอดต้องกลุ้มใจ ทำไมพอเรื่องราวไปเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อทีไร ก็จะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายที่ทำให้รับมือไม่ทันทุกทีไป เรื่องของเจียงอีอีก่อนหน้านี้ก็เหนือความคาดหมาย ตอนนี้ก็เกิดเหตุไม่คาดคิดกับกลุ่มผู้ต้องสงสัยอีก

“รบกวนแล้ว” เหมียวอี้พยักหน้า ทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ จึงไม่ต้องพูดอะไรมาก เป็นแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เรื่องบางเรื่องเถ้าแก่เฉาส่งคนมาบอกให้ทราบก็พอแล้ว นี่ต้องรบกวนให้เถ้าแก่เฉามาเจอข้าเอง คาดว่าคงมีอย่างอื่นจะกำชับใช่มั้ย?”

เฉาหม่านยิ้มบางๆ “ตระกูลโค่วเรียกได้ว่าออกแรงสนับสนุนแม่ทัพภาคไม่น้อยเลยนะ ได้ยินว่าสะเทือนไปถึงราชินีสวรรค์จนต้องเปลี่ยนคนในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีชุดใหม่หมด จะว่าไปแล้วตาแก่พวกนั้นก็นับว่าได้อาศัยยบารมีของแม่ทัพภาค มาเฝ้าอยู่ในแหล่งที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันหลายปีโดยไร้คนหนุนหลัง ตอนนี้ในที่สุดก็ได้หลุดพ้นแล้ว ลับหลังอาจจะรู้สึกขอบคุณนายท่านหนิวมากก็ได้”

ในจุดนี้เหมียวอี้ก็ยอมรับเช่นกัน ในมือราชินีสวรรค์ควบคุมไว้เพียงตลาดเท่านั้น หลังจากกำลังพลตลาดผีถูกถอนออกไป ราชินีสวรรค์ก็ไม่มีอำนาจที่จะจับไปแทรกในท้องถิ่น ทำได้เพียงยัดเข้าไปไว้ที่ตลาดสวรรค์ จู่ๆ กลุ่มคนที่ไม่มีอนาคตก็ดวงดี ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกจับย้ายไปยังตลาดสวรรค์ที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ถ้าไม่เรียกว่าอาศัยบารมีจากเขาแล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะ? ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ แค่ความคิดเพียงชั่วขณะของเบื้องบน ก็สามารถตัดสินชะตากรรมของใครหลายๆ คนได้แล้ว

แต่ก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยากพูดเรื่องนี้ เหมียวอี้ยกน้ำชาขึ้นจ่อตรงปากรอให้เขาพูดต่อไป

เป็นอย่างที่คาดไว้ หลังจากเฉาหม่านเพ่งสังเกตปฏิกิริยาของเขาครู่หนึ่ง ก็พูดต่อว่า “โชคและหายนะมักเกิดขึ้นพร้อมกัน เรื่องดีๆ บางเรื่องก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีจริงๆ ความช่วยเหลือบางอย่างก็อาจจะไม่ใช่การช่วยเหลือจริงๆ นายท่านหนิวคิดว่าเฉาคนนี้พูดถูกหรือไม่”

พวกเขาพูดคุยกันถึงตรงนี้ ทั้งสองไม่ได้พูดคุยลงลึกในประเด็นไหน

หลังจากเฉาเฟิ่งฉือเดินออกไปส่งเหมียวอี้ด้วยตัวเอง ก็เห็นเฉาหม่านยืนอยู่ริมหน้าต่าง พอนางเดินเข้าไปใกล้แล้วมองไปด้านนอกแวบหนึ่ง ก็เห็นเรือของเหมียวอี้ลอยจากไปตามกระแสน้ำพอดี จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านปู่สาม ทำไมไม่เตือนเขาเรื่องจวนแม่ทัพภาคขุดทางใต้ดิน?”

ในดวงตาเฉาหม่านฉายแววล้ำลึก “เรื่องทางใต้ดินนั้นเป็นเรื่องเล็ก สามารถทำลายทิ้งได้ทุกเมื่อ แสร้งทำเป็นไม่รู้ก็พอแล้ว ถือเสียว่าให้เขามีทางหนีทีไล่ในการเอาชีวิตรอดเพิ่ม เพราะเบื้องหลังของเจ้าหนุ่มนี่น่าสนใจ ซ่อนอะไรไว้ลึกมาก! ก่อนหน้านี้จับตาดูหกลัทธิมาตั้งนานแต่ก็ไม่พบอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหนุ่มนี่ถูกส่งตัวมาทำงานที่ตลาดผีเพราะเรื่องธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ครั้งก่อนจนเผยเบาะแสบางอย่างให้เห็น ใครจะคิดล่ะว่าเบื้องหลังเจ้าหนุ่มนี่จะเกี่ยวข้องกับหกลัทธิ ก่อเรื่องที่ตำหนักสวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ยังรอดได้ เกรงว่าเบื้องหลังคงจะใช้คำว่าโชคดีมาอธิบายไม่ได้ แต่พวกเราไม่มีความมั่นใจกับสิ่งเหล่านี้เลยสักนิด ตระกูลเซี่ยโห้วก่อตั้งมาหลายปีขนาดนี้ เคยทำงานช้าขนาดนี้เสียที่ไหนกัน? มาคิดดูย้อนหลังก็ยังกลัวเลย!

“ท่านปู่สาม ท่านหมายความว่า?” เฉาเฟิ่งฉือสงสัย

เฉาหม่านหรี่ตาตอบอย่างช้าๆ “จุดข้อต่อสำคัญเพียงจุดเดียวในตอนนี้อยู่บนตัวเขา เบาแสเบาบางมาก พอเกิดเรื่องกับเจ้าหนุ่มนี่เมื่อไร โอกาสที่เราจะสาวไปถึงเบื้องหลังเขาก็จะตัดขาดไปโดยสิ้นเชิง เบื้องหลังของเจ้าหนุ่มนั่นระมัดระวังตัวสูงมาก ดูจากการที่ข้าเฝ้าสังเกตหกลัทธิมาหลายปีแต่ยังไม่พบอะไรก็รู้แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้แหวกหญ้าจนงูตื่น ถึงแม้ความร่วมมือระหว่างเรากับตระกูลโค่วจะจบลงแล้ว แต่ลับหลังก็ยังปล่อยให้เขาเป็นอะไรไปไม่ได้ ตอนที่เฒ่าชียังไม่กลับมาจากลาดตระเวนตลาดมืด เจ้าก็จับตาดูไว้มากๆ หน่อย”

เฉาเฟิ่งฉือเข้าใจบ้างแล้ว พยักหน้าตอบว่า “เฟิ่งฉือเข้าใจแล้ว”

“เฟิ่งฉือ ได้ยินว่าตอนอยู่อารามหลันเย่ เจ้ากับหนิวโหย่วเต๋อใกล้ชิดกันมากนะ!” จู่ๆ เฉาหม่านก็ยกมือจับขอบหน้าต่างพร้อมเอ่ยถาม

เฉาเฟิ่งฉือแอบตกใจ นึกไม่ถึงว่าแค่คุยกันนิดหน่อยที่อารามหลันเย่ก็ทำให้ท่านปู่สามรู้เรื่องแล้ว นางพยายามตอบอย่างไม่หวาดหวั่นว่า “ก็ไม่ถือว่าใกล้ชิดกันหรอกค่ะ เป็นคนฝั่งตลาดผีเหมือนกัน เลยคุยกันมาหน่อยก็เท่านั้นเอง”

“เช่นนั้นก็ดี!” เฉาหม่านหันตัวมา แล้วมองนางพร้อมยิ้มเรียบๆ “ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่นหรอก ได้ยินว่าเขาเป็นสหายคนเดียวตอนที่หลงเฉิงยังมีชีวิตอยู่ ข้ากังวลว่าเจ้าจะคิดมากไป ก็เลยอยากจะเตือนเจ้าสักหน่อย เบื้องหลังเขาล้ำลึกขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเข้าหาหลงเฉิงเพราะมีเจตนาแอบแฝงก็ได้ เกรงว่าอาจจะไม่ใช่สหายที่แท้จริง เจ้าอย่าใช้ความรู้สึกทำงานเด็ดขาด! ถึงแม้เจ้าจะเป็นสตรี แต่ในเมื่อตระกูลเลือกเจ้ามาไว้ทางนี้แล้ว ก็แสดงว่าตระกูลคาดหวังกับเจ้า!”

“ท่านปู่สาม เข้าเข้าใจแล้วค่ะ” เฉาเฟิ่งฉือพยักหน้า

แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง ดวงจันทร์สว่างกลางท้องฟ้า แต่หยางชิ่งกลับข่มตานอนลำบาก จึงเดินมายืนริมหน้าผาเงียบๆ

ใต้หน้าผามีคลื่นซัดกระทบฝั่ง หยางชิ่งที่ยืนอยู่บนหน้าผาเงยหน้ามองแสงจันทร์ ใช้เวลาสั้นๆ ไม่ถึงปี ไม่น่าเชื่อว่าสีหน้าของเขาจะดูแห้งเฉาซีดเซียวลงไปบ้างแล้ว แต่สายตาพี่มองท้องฟ้ายามราตรียังคงเป็นประกาย ลึกล้ำและมีชีวิตชีวา ตอนนี้เขากำลังขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่ากำลังครึ่งคิดอะไรบางอย่าง

ชิงจวี๋เดินรอบหน้ามาทางข้างหลัง นำผ้าคลุมบ่าสีดำผืนหนึ่งมาคลุมบ่าให้เขาเบาๆ เมื่อเห็นหยางชิ่งที่กำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งมีผมขาวแซมตรงจอนผม ชิงจวี๋ก็อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าเม้มปาก สีหน้าของนางดูค่อนข้างปวดร้าวระทม มีเพียงนางที่รู้ชัดเจนที่สุดว่าหลังจากมาที่แดนอเวจีแล้ว หยางชิ่งมีสภาพเป็นอย่างไร มีเพียงนางที่รู้ดีที่สุดว่าในหลายปีมานี้หยางชิ่งสิ้นเปลืองพลังความคิดไปมากขนาดไหนเพื่อรับมือกับคนแก่พวกนี้ เป็นอย่างที่หยางชิ่งบอกกับเหมียวอี้จริงๆ ‘ข้าน้อยจะทุ่มเทสติปัญญาความสามารถตราบจนชีวิตหาไม่!’

ตรงจุดที่ไม่ไกล หลังจากจ้าวเฟยกับอูเมิ่งหลันจ้องมองเงาร่างของหยางชิ่งที่ซูบผอมลงไปเยอะครู่หนึ่ง ทั้งคู่ก็สบตากันแวบหนึ่งอย่างรู้ใจ แล้วก็ใส่หน้าถอนหายใจเบาๆ

ถึงแม้พวกเขาจะไม่ใช่สาวใช้ประจำตัวของหยางชิ่งเหมือนชิงจวี๋ ไม่ได้รู้อะไรเยอะเหมือนชิงจวี๋ แต่บางสิ่งบางอย่างก็เห็นอยู่ในสายตาแล้ว

ทั้งสองที่ติดตามอยู่ข้างกายหยางชิ่งเห็นกับตาว่าหยางชิ่งต่อสู้กับพวกคนแก่ของหกลัทธิอย่างไร ดึงตัวลูกน้องเก่าของห้าปราชญ์ที่พี่ภพเล็กมาเป็นพวก ยุแหย่จนหกลัทธิวุ่นวายเป็นไก่บินสุนัขกระโดด แล้วก็ออกหน้ามาทำให้เรื่องสงบ จากนั้นก็ยุแยงให้วุ่นวายอีก แล้วก็ทำให้สงบต่อไปอีก สร้างความขัดแย้งครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ปลอบใจครั้งแล้วครั้งเล่า

บางทีคนที่ดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆ อาจจะเห็นอะไรชัดเจนกว่า ทั้งสองรู้สึกว่าห้าปราชญ์ถูกหยางชิ่งผลักให้ไปอยู่หน้าเวทีโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว แต่หยางชิ่งกลับเหมือนจะกลายเป็นตัวละครที่คอยสร้างสันติ ค่อยๆ กลายเป็นตัวละครสำคัญที่ขาดไม่ได้เพื่อไม่ให้ทั้งสองฝ่ายกันแตกคอกัน ยังไม่ต้องพูดถึงบารมีความน่าเชื่อถือที่กำลังเพิ่มขึ้นทีละนิด อย่างน้อยก็ไม่มีใครกล้ามองข้ามหัวหัวหน้าผู้ช่วยท่านนี้แล้ว ในฐานะที่พวกเขาคอยวิ่งเต้นทำงานอยู่ข้างกายหยางชิ่ง ทั้งสองได้เห็นวิธีการต่างๆ นานาของหยางชิ่งเองกับตา ทำให้รู้สึกตกตะลึงนิดหน่อย แต่สิ่งที่หยางชิ่งทุ่มเทอยู่เบื้องหลังกลับเป็นการโหมทำงานหนักไม่มีที่สิ้นสุด ตอนนี้ในมือของหยางชิ่งยังไม่ได้ฝึกเลี้ยงใครที่สามารถเอาไว้ช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องนี้ได้

สรุปก็คือหลังจากหยางชิ่งมาที่แดนอเวจี ก็ทำงานไม่ได้หยุดหย่อนเลย หยางชิ่งที่ทั้งสองเห็นก็คือ ถ้าไม่ได้วิ่งวุ่นทำงานอยู่ระหว่างหกลัทธิ ก็จะครุ่นคิดอะไรบางอย่างไม่หยุด แทบจะไม่เคยเห็นเขาหยุดพักมาก่อนเลย สภาพแบบนี้ต่อให้เป็นนักพรตแต่ก็ทนไม่ไหวอยู่ดี อย่างน้อยพวกเขาสองคนก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว แต่ก็โชคดีที่ยังมีซือคงอู๋เว่ยกับเถาชิงหลี ทั้งสองฝั่งผลัดกันมาคอยฟังคำสั่งหยางชิ่งตลอดเวลา

ตอนนี้จ้าวเฟยกับอูเมิ่งหลันก็นับว่าเข้าใจแล้ว ว่าทำไมเหมียวอี้ถึงให้หยางชิ่งรับหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญ อย่างน้อยในตอนนี้สองสามีภรรยาก็ยอมรับหยางชิ่งจากใจ ความสามารถของหยางชิ่งไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสองคนจะเทียบติด ในขณะที่รู้สึกชื่นชม สิ่งที่ได้เห็นก็ทำให้ทั้งสองทอดถอนใจไม่หยุดเช่นกัน ถ่ายชายรูปร่างกำยำคนหนึ่งค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชายผู้เหี่ยวแห้งแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะแก่ชราลงหลายส่วน เห็นได้ชัดว่านี่คือผลจากการใช้สมองหนักแล้วไม่ได้ฟื้นฟูเป็นเวลานาน ไม่อย่างนั้นนักพรตผู้สง่าผ่าเผยคนหนึ่งคงไม่มีสภาพเป็นอย่างนี้หรอก เงาร่างที่เปลี่ยนเป็นซูบอยู่ริมหน้าผาภายใต้แสงจันทร์นั่นก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ยืนยันแล้ว

เพียงแต่วันนี้ไม่รู้ว่าหยางชิ่งเป็นอะไรไป ปกติเวลาครุ่นคิดวิธีแก้ปัญหา หยางชิ่งก็จะเดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้าน ไม่มีทางเผยตัวอยู่ข้างนอกให้คนเห็น

หารู้ไม่ว่า หยางชิ่งเปลี่ยนจากใช้พลังความคิดที่แดนอเวจีไปใช้พลังความคิดที่ตลาดผีชั่วคราวแล้ว เปลี่ยนไปคิดเรื่องของเหมียวอี้แทน เขาเองก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน เขาเป็นห่วงฝั่งเหมียวอี้มากเกินไป ถ้าเกิดเรื่องอะไรกับเหมียวอี้ขึ้นมา พลังความคิดมากมายที่เขาทุ่มเทกับฝั่งนี้ก็จะสูญเปล่า

ลักษณะการทำงานของเหมียวอี้ทำให้เขาแทบจะเป็นบ้าอยู่บ่อยๆ เขาไม่มีทางบงการเหมียวอี้ได้เลยจริงๆ เพราะเหมียวอี้มักจะไม่เล่นตามกติกาปกติ แต่ครั้งนี้หลังจากเหมียวอี้ขอคำชี้แนะจากเขา สิ่งที่เขาต้องการเป็นอันดับหนึ่งก็คือ ต้องรู้ถึงสถานการณ์ที่ตลาดผี ต้องการให้เหมียวอี้รายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางฝั่งตลาดผีให้เขารู้ตลอดเวลา เพราะการแข่งขันกระดานนี้จะแพ้ไม่ได้จริงๆ

เหมียวอี้เองก็ได้รับปากเขาไว้แล้ว

หยางเจาชิงรับหน้าที่นำสถานการณ์ของตลาดผีที่กำลังพลจวนแม่ทัพภาครวบรวมได้ไปรายงานต่อให้หยางชิ่งรู้ เหยียนซิวที่ติดตามเหมียวอี้อยู่เป็นปกติก็รายงานสถานการณ์ที่ไม่ชอบมาพากลบางอย่างให้ทางนี้รู้เช่นกัน โชคดีที่ทั้งสองคนมีช่องทางการติดต่อกับชิงจวี๋ มีชิงจวี๋คอยรับข่าวจากหยางเจาชิงและเหยียนซิวตลอดเวลา

เท่านี้ยังไม่พอ หลังจากแน่ใจแล้วว่าเหมียวอี้ดึงดันจะทำอย่างนั้นให้ได้ เขาก็ไปประชุมกับหกลัทธิทันที บอกให้ทุกช่องทางข่าวสารของหกลัทธิทางตลาดผีรายงานเรื่องทั้งหมดของตลาดผีให้ทางนี้รู้ให้ทันเวลา ครั้งนี้เขาบอกถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเหมียวอี้ให้บุคคลระดับสูงของหกลัทธิรู้โดยไม่อ้อมค้อม บอกไว้อย่างชัดเจน ว่าถ้าเกิดเรื่องกับเหมียวอี้เมื่อไร ความพยายามของทุกคนก็จะสูญเปล่า ในภายหลังเลิกคิดไปได้เลยว่าจะมีทรัพยากรส่งเข้ามา แล้วทุกคนก็รอให้กำลังพลเบื้องล่างใช้ทรัพยากรจนหมดแล้วเกิดเรื่องขึ้นได้เลย

เมื่อถูกหยางชิ่งปั่นแบบนี้ หกลัทธิก็เริ่มเครียดแล้วเช่นกัน

แต่จากนั้นหยางชิ่งก็ปลอบใจอีก ต้องการให้หกลัทธิรักษาความเป็นปกติที่ตลาดผีเอาไว้ อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ที่จริงสาเหตุที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะกลัวว่าพวกคนเก่าคนแก่ของหกลัทธิจะต่อหน้าเสแสร้งทำเป็นเชื่อฟัง พอลับหลังกลับต่อต้าน ทำให้รายงานสถานการณ์ทางตลาดผีขึ้นมาไม่ทันก็เท่านั้นเอง ตอนนี้เขาต้องการจะรู้สถานการณ์ต่างๆ ขององตลาดผีจำนวนมาก

ด้วยเหตุนี้ หยางชิ่งจึงย้ายบุคคลระดับสูงกลุ่มหนึ่งของหกลัทธิมารวมกันที่นี่ เพื่อคอยรับข่าวเกี่ยวกับตลาดผีที่แต่ละช่องทางรายงานมา ก่อตั้งเครือข่ายข่าวสารขนาดใหญ่ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุดเพื่อบริการเหมียวอี้คนเดียว

เพิ่งจะจัดการเรื่องนี้เสร็จ หยางชิ่งก็ได้รับข่าวจากเหมียวอี้อีกแล้ว เหมียวอี้เล่ารายละเอียดตอนที่เจอกับเฉาหม่านให้ฟัง

คำเตือนแบบนี้นัยยะแอบแฝงของเฉาหม่าน ที่จริงแล้วมีความหมายบางอย่างต่อเหมียวอี้ แต่คำเตือนประโยคเดียวนี้ก็ได้ทำให้หยางชิ่งเพิ่มความระมัดระวังตัวแล้ว ทำให้สีหน้าตึงเครียดขึ้นมาในฉับพลัน

หลังจากยืนครุ่นคิดอยู่ริมหน้าผานานมาก หยางชิ่งก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ แล้วจู่ๆ ก็ถาม่วา : นายท่าน ตอนอยู่ที่ตลาดผี ท่านเคยติดต่อกับคนของหกลัทธิหรือเปล่า?

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าเขาถามถึงเรื่องนี้ทำไม ตอบไปว่า : ตลาดผีเป็นถิ่นของตึกศาลาสัตยพรต ข้าจะกล้าเจอกับคนของหกลัทธิที่นี่ได้ยังไง

หยางชิ่งคิดไปคิดมาก็เห็นด้วย แต่เขาระมัดระวังตัวจนติดเป็นนิสัยแล้ว เมื่อเจอกับเรื่องประเภทนี้ก็ยังถามเยอะเพื่อให้ปลอดภัยและเชื่อถือได้ : นายท่านแน่ใจจริงเหรอ ว่าไม่เคยคลุกคลีกับคนของหกลัทธิที่ตลาดผีเลย?

เหมียวอี้ : ไม่เคย…

จากนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้อีก พูดเสริมอีกว่า : ตอนเป็นแม่ทัพภาคตลาดผีข้าไม่เคย แต่ก่อนหน้านั้น ตอนที่ตำหนักสวรรค์วางกับดักที่ตลาดผี ข้าพบปัญหานิดหน่อย ก็เลยยืมคนของลัทธิอู๋เลี่ยงให้มาช่วยทำให้ข้าหนีไป ถ้านับเรื่องนี้ด้วยก็ถือว่าเคยติดต่อกัน

หยางชิ่งถามซักไซ้ทันที : นายท่านเล่ารายละเอียดให้ฟังได้มั้ย?

สำหรับเรื่องนี้ เหมียวอี้ไม่ได้ปิดบังอะไร บอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขารู้แล้ว

“นายท่านรอสักครู่!” หลังจากฟังจบ หยางชิ่งก็บอกเขาอย่างนั้น แล้วก็สะบัดเสื้อคลุมเดินไปยังที่อยู่ของจินม่านโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

จินม่านที่กำลังฝึกวิชาย่อมถูกเขารบกวนแล้ว พอทั้งสองพบกันในห้องรับแขก หยางชิ่งก็กุมหมัดคารวะ “ประมุขปราชญ์”

“หัวหน้าผู้ช่วยมีธุระอะไรดึกป่านนี้?” จินม่านแปลกใจ

“ได้ยินราชาปราชญ์บอกมา ว่าในปีนั้นที่ตำหนักสวรรค์วางกับดักที่ตลาดผี ราชาปราชญ์เคยประสบปัญหานิดหน่อย ลัทธิอู๋เลี่ยงเคยส่งคนไปรับเหรอ…” หยางชิ่งถามรวบรัด รีบถามสิ่งที่อยากรู้ออกมาให้ชัดเจน

พูดสั้นกระชับได้ใจความขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลที่จินม่านจะฟังไม่เข้าใจ นางครุ่นคิดสักประเดี๋ยว ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “มีเรื่องแบบนี้จริงๆ ราชาปราชญ์ติดต่อมาหาข้าด้วยตัวเอง ให้ข้าเตรียมคนทางตลาดผีให้ไปช่วยเหลือนายท่าน มีปัญหาอะไรเหรอ?”

“ข้าอยากรู้รายระเอียดว่าช่วยเหลือยังไง สืบได้หรือเปล่า?” หยางชิ่งถาม

“เรื่องที่ผ่านมือเบื้องล่างโดยละเอียด ข้าก็ไม่รู้ชัดแล้ว เกรงว่าต้องถามสักหน่อย” จินม่านตอบอย่างลังเล

หยางชิ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง สั่งคำเดียวว่า “สืบ!”

…………………………

เป็นเพราะถ้าไม่แยกสองคนนี้ออกจากกัน ทั้งคู่ต่างก็ใช้ดาบใช้ทวนแล้ว อีกประเดี๋ยวถ้าทุกคนกลับไป ทั้งสองจะต้องต่อสู้กันอีกแน่นอน

ตั้งแต่จวนอ๋องสวรรค์ก่อตั้งมาจนถึงทุกวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นสามีภรรยาใช้อาวุธจริงต่อสู้กัน โดยเฉพาะการต่อสู้ในจวนอ๋องสวรรค์โดยตรง ช่างแปลกพึลึกจริงๆ

จุดประสงค์หลังจากจับแยกออกจากกันก็ไม่ซับซ้อนเลย นั่นก็คือพาตัวมาถามว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่

ทางฝั่งเหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรมาก บอกเพียงว่าอวิ๋นจือชิวเป็นผู้หญิงปากร้ายเจ้าอารมณ์ ตอนนี้เขาก็โมโหจนสุดทนจริงๆ

เมื่อเห็นว่าถามแล้วไม่ได้ความอะไร โค่วเจิงก็ไม่ได้สืบให้ลึกกว่านั้นแล้ว เขาเองก็รู้ ว่าถ้าเหมียวอี้มีความคิดจะหย่าร้างเพื่อให้หลุดพ้นจากตระกูลโค่วจริงๆ ต่อให้ถามไปก็ไม่ได้คำตอบ ดังนั้นคุณชายใหญ่จึงไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงให้ฝั่งนี้ลองถามดู

ส่วนสิ่งที่อวิ๋นจือชิวพูดกับสุยฉูฉู่ ก็คือสงสัยว่าเหมียวอี้มีผู้หญิงอยู่ข้างนอก

สำหรับเรื่องนี้ สุยฉูฉู่โน้มน้าวให้นางปิดตาข้างหนึ่งเปิดตาข้างหนึ่ง บอกว่าผู้ชายก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น โดยเฉพาะพวกผู้ชายที่พอจะมีอำนาจอิทธิพล

จากนั้นพวกพี่น้องตระกูลโค่วและบรรดาเขยก็มากันหมด ดึงเหมียวอี้ไปดื่มสุราด้วยกัน หรือจะเรียกได้ว่าเรียกไปพูดปลอบใจให้คลายทุกข์ก็ได้

สรุปก็คือทั้งสองฝั่งล้วนโน้มน้าวให้อยู่ด้วยกัน ไม่แนะนำให้แยกจากกัน

แต่ระหว่างญาติสนิทกับญาติห่าง บางครั้งสิ่งเหล่านี้ก็มีการแบ่งแยก ถ้าเปลี่ยนให้คู่สามีภรรยาคู่อื่นของตระกูลโค่วทำอย่างนี้บ้าง ตระกูลโค่วก็ย่อมมีกฎให้จัดการลงโทษอยู่แล้ว แต่พอเหมียวอี้และฮูหยินทำเรื่องนี้ ก็ไม่มีใครเอาเรื่องอะไร มีเพียงนายท่านโค่วที่ตำหนิไปยกหนึ่ง

ในสวนอวิ๋นเซวียนพังไปเกินครึ่งเพราะการต่อสู้ ถ้าจะสร้างใหม่ก็ต้องใช้เวลา เหมียวอี้และฮูหยินต้องพักอยู่ในสวนของโค่วเจิงชั่วคราวเช่นกัน

เมื่อเปลี่ยนห้องใหม่แล้ว อวิ๋นจือชิวก็เรียกเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มาจัดของใหม่อีก

ในตอนที่เก็บข้าวของ ในที่สุดชียนเอ๋อร์ที่ลังเลอยู่หลายครั้งก็อดไม่ได้ที่จะโน้มน้าวว่า “ฮูหยิน ที่จริงเรื่องบางเรื่องเมื่ออยู่กันส่วนตัวจะทะเลาะกันยังไงก็ได้ แต่ทำให้นายท่านเสียหน้าต่อหน้าคนเยอะๆ แบบนี้ อาจจะไม่เหมาะสมรึเปล่าคะ?”

“เชอะ! สาวใช้อย่างพวกเราจะเข้าใจอะไรล่ะ” อวิ๋นจือชิวนั่งพิงทางฝั่งนี้ ใช้สองมือยกกระโปรงขึ้น พาดขานั่งไขว่ห้าง แล้วกล่าวอย่างภูมิใจว่า “สามีภรรยาที่อยู่เป็นคู่ชีวิตกันน่ะ อย่านึกนะว่าถ้าผู้หญิงเชื่อฟังผู้ชายทุกอย่างแล้วทั้งคู่จะรักกันลึกซึ้งได้ เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ เล่นจนเบื่อแล้วก็จะหน่าย ต่อให้จะอ่อนโยนเอาใจใส่ไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกเจ้าคิดว่าข้าชอบทำตัวเป็นผู้หญิงปากร้ายเจ้าอารมณ์นักเหรอ? จุดประสงค์ของข้าไม่ใช่การเป็นผู้หญิงปากร้ายหรอก ที่จริงข้าแค่จะทำให้เขาเข้าใจขีดจำกัดของข้า วันนี้เขาโหดร้ายมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าลงมือกับข้า นี่ข้ายังเจ็บก้นอยู่เลย ไอ้เวรนั่นมันมือหนักจริงๆ ถ้าข้าไม่โหดบ้าง ปล่อยให้เขานึกว่าตีข้าแล้วจะขู่ข้าได้ พอนึกตอนที่เขาเล่นข้าจนเบื่อแล้ว จะไม่แย่หรอกเหรอ? ก็ต้องทำให้เขาเข้าใจสิ ว่าถ้ายั่วโมโหข้าขึ้นมา ไม่ว่าอะไรข้าก็ทำได้ทั้งนั้น ต้องทำให้เขากังวลบ้างสักหน่อย ให้เข้าใจว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ข้าต้องสยบเขาให้ได้ ครอบครัวถึงจะอยู่กันยืดยาว ไม่อย่างนั้นในภายหลังก็ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าเวรนั่นจะทำเรื่องอะไรอีกบ้าง ต่อให้ข้าจะอ่อนโยนเอาใจใส่ยังไง ต่อให้ข้าจะเลียเล็บเท้าเขาก็ไม่มีประโยชน์ ถึงตอนนั้นต่อให้เจ้าตั้งใจอยากจะกอบกู้สถานการณ์ แต่ก็สายไปแล้ว แต่จะว่าไป นายท่านของพวกเจ้าก็ไม่ได้โง่เหมือนกัน ในใจเขารู้แจ่มแจ้งว่าข้าดีหรือร้ายต่อเขา แบบนี้เรียกว่ารู้จักตึงรู้จักหย่อน ไม่อย่างนั้นจะยอมให้ข้าพาลหาเรื่องได้ยังไงล่ะ หึหึ!”

พอนึกถึงสภาพเหมียวอี้ที่หมดอาลัยตายอยาก สะบักสะบอมต่อหน้าธารกำนัลเพราะถูกนางพาลหาเรื่อง นางก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา ในดวงตาฉายแววอ่อนโยน รู้สึกอบอุ่นในใจ นางรู้ว่าเจ้าหมอนั่นยังคงใส่ใจนางเสมอ ไม่อย่างนั้นอาศัยพลังของเขาในตอนนี้ มีหรือที่จะถูกนางกดดันจนลนลานทำอะไรไม่ถูกได้อย่างนั้น เขาแค่ตัดใจทำร้ายนางไม่ลงก็เท่านั้นเอง

คำพูดเหล่านี้ทำให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันอย่างพูดไม่ออก ทั้งสองแอบทอดถอนใจ การที่นายท่านแต่งงานกับฮูหยินก็นับว่าน่าเวทนาพอแล้ว นึกถึงในปีแรกๆ ที่นายท่านเป็นบุคคลที่หัวแข็งดื้อรั้น เด็ดขาดแน่วแน่ เป็นวีรบุรุษที่ทำศึกอยู่บนสนามรบ แต่ดันมาตกอยู่ในมือของฮูหยินท่านนี้ได้ อาศัยแค่วิธีการของฮูหยิน มีทั้งความแข็งกร้าวและนุ่มนวล เรียกได้ว่าควบคุมจนนายท่านอยู่มัดแล้วจริงๆ

แต่ไม่นานทั้งสองก็ได้ยินเสียงอวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ พอหันกลับมาอีกที ก็เห็นอวิ๋นจือชิวมีสีหน้าเศร้าสลดให้เห็นรางๆ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไปแล้ว

หารู้ไม่ว่าการที่อวิ๋นจือชิวทำอย่างนี้ ก็เพราะมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง นางหวังว่าถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปแล้ว คนที่มีใจคิดไม่ดีจะได้ไตร่ตรองสักหน่อย นางกลัวว่าทางตำหนักสวรรค์จะทนรำคาญไม่ไหวแล้วลงมือสังหารเหมียวอี้ บางทีถ้าฉากที่สามีภรรยาไม่ลงรอยกันถูกลือออกไป ก็อาจจะทำให้เหตุการณ์นั้นเบาลงก็ได้

ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง ก็นับว่าเป็นแผนซ้อนแผนได้เช่นกัน ถ้าฝั่งเหมียวอี้เป็นกังวลจริงๆ แล้วฝั่งนางให้ความร่วมมือเพื่อผ่อนให้เหตุการณ์เบาลง ก็คงไม่ถึงขั้นดูกะทันหันเกินไป ความคิดบางอย่างนางบอกเหมียวอี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้คงไม่ตอบตกลงแน่นอน…

ในที่สุดโค่วเจิงก็โน้มน้าวเหมียวอี้ได้แล้ว พอสองสามีภรรยาพบหน้ากัน ก็ยังดูไม่ลงรอยกันอยู่บ้าง สุยฉูฉู่เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้ พูดเกลี้ยกล่อมจนน้ำลายแห้ง

อ้างชื่อนายท่านมากดดันทั้งสอง ถึงได้ทำให้ทั้งสองรับปากว่าจะไม่ทะเลาะกันอีก โค่วเจิงกับสุยฉูฉู่ถึงได้โล่งอกแล้วเดินออกไป

เพียงแต่บรรยากาศในโถงค่อนข้างแปลกไป ทั้งสองมองไปทางนั้น มองไปทางนี้ที

“ข้าโดนตีก้นจนเจ็บแล้ว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้ามานวดให้ข้าหน่อย!” สุดท้ายก็เป็นอวิ๋นจือชิวที่ลุกขึ้นไปก่อน ถือโอกาสพาสาวใช้ทั้งสองไปด้วยกัน ทิ้งเหมียวอี้เอาไว้ในโถงคนเดียว

เหมียวอี้ไม่ได้คิดว่าอวิ๋นจือชิวจะโมโหเขาจริงๆ เป็นอย่างที่อวิ๋นจือชิวบอกไว้ เขาเข้าใจอวิ๋นจือชิวดี แต่ไหนแต่ไรมา พอทั้งสองทะเลาะกันเสร็จ เรื่องก็จะจบลง ไม่มีใครอาฆาตแค้นใคร เพียงแต่ท่านขุนนางเหมียวรู้สึกว่าเสียหน้ามากเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกฮูหยินถือดาบไล่ฆ่าต่อหน้าธารกำนัล ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วจริงๆ

แต่พอนึกถึงเรื่องที่ตัวเองจะทำที่ตลาดผี เขาก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินไปหานาง

ตอนที่เข้ามาหาในห้องนอน อวิ๋นจือชิวก็กำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียง เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กำลังนวดก้นให้นางจริงๆ เหมียวอี้เห็นแล้วปวดประสาท ผู้หญิงคนนี้…ขนาดนั้นเลยเหรอ?

เมื่อเห็นเขาเข้ามาแล้ว อวิ๋นจือชิวก็กลับตาลง แสร้งทำเป็นไม่เห็น

เหมียวอี้โบกมือ บอกใบ้ให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ออกไป หลังจากทั้งสองออกไปแล้ว เขาก็มานั่งตรงขอบเตียงแล้วนวดก้นให้นางแทน พลางถามว่า “ข้าตีจนเจ้าเจ็บเลยเหรอ?”

“เจ้าคิดว่าไงล่ะ?” อวิ๋นจือชิวตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

เหมียวอี้ไม่ได้ตอบ แต่จู่ๆ บอกว่า “น้องชิว เจ้าอยากจะรู้เรื่องระหว่างข้ากับจ้านหรูอี้ใช่มั้ย ระหว่างข้ากับนางก็มีเรื่องกันิดหน่อยจริงๆ”

อวิ๋นจือชิวก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน นางลืมตาสองข้าง เพี้ยะ! ตบบนมือของเขาที่กำลังกดก้นของนางอยู่ แล้วลุกพรวดขึ้นนั่ง ถลึงตาโตจ้องเขา “ข้าว่านะหนิวเอ้อร์ เจ้านอนกับนางจริงๆ ใช่มั้ย? ความสวยของจ้านหรูอี้ก็ไม่ถึงขั้นทำให้เจ้าควบคุมอารมณ์ไม่ไหวหรอกมั้ง เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ?”

“เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว?” เหมียวอี้ส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ไปได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด เรื่องมันยาวมาก ในปีนั้นตอนที่รับตำแหน่งอยู่ที่ธงพยัคฆ์ดำ ข้าเคยจับจ้านหรูอี้มัดไว้บนเสาธง เจ้าเองก็รู้เรื่องนั้น แล้วตอนหลังอิ๋งลั่วหวนมารดาของจ้านหรูอี้ก็มาหาข้าที่ธงพยัคฆ์ดำ ตอนแรกข้าก็ยังไม่รู้ว่านางมีเจตนาอะไร แต่ตอนหลังท่านโหวจ้านผิงมาบอกข้าด้วยตัวเองที่อุทยานหลวง ข้าถึงได้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ที่จริงจ้านหรูอี้ไม่ได้อยากเข้าวังไปเป็นสนมเลย นางเคยอยากจะหนีออกจากอุทยานหลวง แต่ตอนนั้นมีแค่ข้าเท่านั้นที่พานางหนีออกไปได้…”

เล่าตอนที่เขาได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้กักบริเวณจ้านหรูอี้ เล่าว่าตอนนั้นจ้านหรูอี้ขอร้องเขาอย่างไรบ้าง ถึงขั้นถอดเสื้อผ้าต่อหน้าเขา ยอมทิ้งศักดิ์อันสูงส่งมาขอร้องวิงวอนเขา เล่าว่าเขาปฏิเสธไปอย่างไรบ้าง หลังจากจบเรื่องนั้นแล้ว จ้านผิงก็มาบอกว่าที่จริงแล้วจ้านหรูอี้ชอบเขา และบอกถึงจุดประสงค์ที่อิ๋งลั่วหวนมาหาเขาในตอนนั้นด้วย เล่าว่าจ้านผิงกอดความหวังครั้งสุดท้ายว่าเขาจะพาจ้านหรูอี้หนีไป แต่เขาก็แข็งใจปฏิเสธไป เขาเล่าทุกอย่างออกมาอย่างละเอียด

ที่จริงเขาก็ไม่อยากบอกเรื่องพวกนี้กับอวิ๋นจือชิว นี่คือเรื่องในอดีตที่เขาไม่อยากจะหวนนึกถึงที่สุดแล้ว นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่เขาปิดบังอวิ๋นจือชิว

แต่หลังจากสองสามีภรรยาเริ่มทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองต้องบอกอวิ๋นจือชิว ประการแรกเป็นเพราะกลัวอวิ๋นจือชิวจะเข้าใจผิด ประการต่อมาก็คือ หลังจากจบเรื่องที่ตลาดผีแล้ว เขาก็พูดได้ไม่ชัดเจนว่าตัวเองจะมีจุดจบเป็นอย่างไรกันแน่ เขาหวังจะให้อวิ๋นจือชิวเข้าใจเรื่องบางเรื่องเอาไว้ ไม่ถึงขั้นรับมือผิดพลาดยามอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด นับว่าเป็นการเตรียมตัวสำหรับเรื่องในภายหลังเช่นกัน

หลังจากได้ฟังเรื่องราวแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ตกตะลึงมาก ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนนั้นเหมียวอี้ถึงก่อเรื่องไม่ดูตาม้าตาเรือต่อหน้าธารกำนัลจนถูกทำโทษให้เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ นึกไม่ถึงว่าในนั้นจะยังมีเรื่องที่เหนือจินตนาการอย่างนี้อยู่ด้วย

นางรู้จักเหมียวอี้ดีเกินไป รู้ว่าในกมลสันดาลของเหมียวอี้เป็นผู้ชายที่ยอมได้บางเรื่อง และยอมไม่ได้ในบางเรื่อง ให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตรที่สุด ยามเผชิญกับเรื่องบางเรื่อง ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของผู้ชายคนนี้ ในตอนนั้นต้องอาศัยการตัดสินใจที่แน่วแน่ขนาดไหนกัน ถึงได้ทำเรื่องที่ใจแข็งใจอย่างนั้นได้ แต่ในใจเขาแบกรับความรู้สึกผิดไว้มากขนาดนั้น จะให้เขาทำอย่างไรได้?

ด้วยนิสัยเลือดร้อนก่อเรื่องง่ายของผู้ชายคนนี้ แต่กลับได้แต่มองดู ได้แต่ส่งจ้านหรูอี้เข้าวังด้วยมือตัวเอง สำหรับเขานับว่าเป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไป ต่อให้เขาพูดออกมาตอนนี้ แต่อวิ๋นจือชิวก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเขาในตอนนั้น

ไม่เกี่ยวว่าจะชอบหรือไม่ชอบจ้านหรูอี้ อวิ๋นจือชิวรู้ว่าเรื่องนี้คงจะกลายเป็นบาดแผลไปทั้งชีวิตของเหมียวอี้แล้ว เกรงว่าคงจะไม่อยากคิดถึงและไม่อยากเจอจ้านหรูอี้อีก!

หลังจากพูดจบ เหมียวอี้ก็หลับตาลงอย่างแผ่วเบา บนใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนจาง เพียงแต่ความรู้สึกที่ไม่อยากหวนนึกถึงซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น ก็ทำให้อวิ๋นจือชิวที่รู้จักเขาดีรู้สึกเจ็บปวดใจ

อวิ๋นจือชิวรู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปหน่อยที่อารมณ์ร้ายใส่เขา ไม่ควรกดดันจนเขาพูดเรื่องนี้ออกมา เหมือนเป็นการเอาดาบไปแทงหัวใจของผู้ชายคนนี้แท้ๆ เลย

นางเข้าไปใกล้ นั่งคุกเข่าลงข้างกายเหมียวอี้ แล้วกางแขนโอบศีรษะของเหมียวอี้มาไว้ในอ้อมกอด ก้มก้มหน้าแนบติดกับแก้มของเขา คลอเคลียแนบชิด พร้อมพูดเบาๆ ว่า “บางทีเจ้าอาจจะช่วยนางไว้แล้วก็ได้ บางทีการทำแบบนั้นต่างหากถึงจะทำให้นางเจอที่พักพิงที่ดีที่สุด ใครจะพูดได้ชัดเจนล่ะ?”

“หวังว่านางจะเจอที่พักพิงที่ดีที่สุดก็แล้วกัน!” เหมียวอี้ยิ้มเบาๆ

“เอาล่ะ เรื่องนี้นับว่าผ่านไปแล้ว ครั้งนี้ข้าให้อภัยเจ้า แต่ถ้าครั้งหน้าเจ้ากล้าลงมือกับข้าอีก ข้าก็จะสู้ตายกับเจ้า…”

ไม่ได้อยู่ที่จวนอ๋องสวรรค์โค่วนานเกินไป ไม่กี่วันหลังจากนั้น ถังเฮ่อเหนียนก็บอกว่า เตรียมกำลังพลที่จะย้ายไปตลาดผีเรียบร้อยแล้ว ให้ไปที่ตลาดผีแล้ว เหมียวอี้ถึงได้ขอตัวลา กลับตลาดผีโดยมียอดฝีมือของตระกูลโค่วคอยคุ้มกันส่ง

หลังจากถึงตลาดผีแล้ว เรื่องแรกที่ทำก็ย่อมเป็นการเปลี่ยนกำลังพล

ทางนี้เพิ่งจะแบ่งงานกันเสร็จ คนเก่าคนแก่ของจวนแม่ทัพภาคเพิ่งจะถูกย้ายออกไป ทางฝั่งตึกศาลาสัตยพรตก็ส่งคนมาแล้ว เชิญให้เหมียวอี้ไปหาสักรอบ

เหมียวอี้บอดปัดและให้กลับไปก่อน บอกว่าในมือยังมีงานที่ต้องจัดการ เอาไว้วันหลังจะไปเยี่ยมคารวะ ที่จริงเขากลับวางงานในมือลงหมดแล้ว พร้อมทั้งกำชับลงไปว่าจะไม่พบใครทั้งนั้น เดินไปเดินมาอยู่ในห้องนานมาก แล้วสุดท้ายก็ติดต่อหยางชิ่งที่อยู่แดนอเวจี ขอคำชี้แนะ!

ครั้งนี้เป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจจะทำ มีอันตรายหลายชั้น จะไม่ระวังตัวก็ไม่ได้ คิดไปคิดมาก็ขอฟังคำชี้แนะของหยางชิ่งดีกว่า

หลังจากได้รู้ว่าเขาจะทำอะไร หยางชิ่งก็ตกใจมาก เป็นการเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นจริงๆ จึงถามอย่างร้อนใจว่า : ตระกูลโค่วตอบตกลงให้นายท่านทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง? อย่าบอกนะว่าตระกูลโค่วไม่รู้ว่าอาศัยกำลังของตัวเองนั้นไม่สามารถทำตามใจที่ตลาดผีได้ ไม่มีทางช่วยเหลือนายท่านได้มากขนาดนั้น? ทำสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลงานที่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

เหมียวอี้ : ข้าขอร้องต่อหน้าอ๋องสวรรค์โค่วเอง เหตุผลก็เรียบง่ายมาก นั่นก็คือต่อให้ข้าไม่ทำ แต่คนพวกนั้นก็ไม่ปล่อยข้าไปอยู่ดี ถ้าจะให้นั่งรอความตายเฉยๆ ไม่สู้เป็นฝ่ายรุกก่อนดีกว่า!

หยางชิ่ง : นายท่านบอกรายละเอียดให้ทราบได้หรือไม่?

เหมียวอี้ก็ไม่ได้ปิดบัง เล่ารายละเอียดตอนที่ตัวเองโน้มน้าวอ๋องสวรรค์โค่วให้ฟัง

หลังจากฟังจบ หยางชิ่งก็ถามซักไซ้ : ตระกูลโค่วยอมให้นายท่านเด็ดหัวอิ๋งหยาง ทั้งยังคิดหาทางช่วยนายท่านเปลี่ยนกำลังพลที่ตลาดผีด้วยเหรอ?

เหมียวอี้ : ใช่แล้ว! แรงสนับสนุนไม่ได้ถือว่าน้อยเลย

หยางชิ่งกล่าวอย่างตกใจทันที : นายท่านพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก! สถานการณ์ของนายท่านตอนนี้กลายเป็นเหมือนซี่โครงไก่ไร้ประโยชน์ของตระกูลโค่วไปแล้ว จะกินก็ไร้รสชาติ จะทิ้งก็กลัวทำให้คนผิดหวัง! ถ้านายท่านไม่ทำอย่างนี้ ตระกูลโค่วอาจจะยังคิดหาทางช่วยกป้องนายท่านเต็มที่ อาศัยอิทธิพลของตระกูลโค่ว ยังมีทางเหลือให้ดำเนินการแก้ปัญหาได้ ถ้าถูกกดดันก็ยังเอาผลประโยชน์มาแลกเปลี่ยนกันได้ แต่ตอนนี้พอนายท่านทำอย่างนี้ ตระกูลโค่วกลับเข็นเรือไปตามน้ำ แสดงให้ภายนอกเห็นว่าสนับสนุนนายท่านเต็มกำลัง ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็แสดงว่านายท่านรนหาที่ตายเอง ถึงตอนนั้นนอกจากตระกูลโค่วจะหมดตัวถ่วงแล้ว ก็ยังอธิบายกับคนนอกได้ด้วย แต่นายท่านลับเอาตัวเองไปไว้ในแดนตายเอง นายท่าน ท่านเลอะเลือนแล้วนะ!

จากคำเตือนนี้ สีหน้าของเหมียวอี้ก็ขรึมลงแล้วเช่นกัน พบว่าตระกูลโค่วพึ่งพาไม่ได้จริงๆ ด้วย แต่เขาก็ยังเล่นบทโหด บอกไปว่า : พึ่งพาคนอื่นไม่สู้พึ่งพาตัวเอง!

หยางชิ่งก็ยังทำนิสัยเดิม ยังคงเกลี้ยกล่อมให้เหมียวอี้ไตร่ตรองดีๆ เรื่องงัดข้อกันของเบื้องบน ก็ให้เบื้องบนไปเปลืองพลังความคิดกันเอง ไม่จำเป็นต้องเอาหัวตัวเองเข้าไปชนกำแพง

แต่เหมียวอี้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ตัดสินใจกับทิศทางโดยรวมแล้ว จะต้องทำให้ได้ หยางชิ่งก็เลยจนใจ รู้ว่าเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จแล้ว ทำได้เพียงขอเวลาคิดไตร่ตรอง

เฟยหงเข้ามาในห้องหลายครั้ง พบว่าเหมียวอี้หันหน้าเข้าหาผนังตลอด จ้องผนังนิ่งๆ ไม่ขยับไปไหน

ภาพบนผนังถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว เหมียวอี้เป็นคนให้สวีถังหรานนำมาเปลี่ยนให้ใหม่ เป็นภาพ ‘ภาพมารปีศาจพาลก่อหายนะ’ ภาพก็เป็นเหมือนชื่อ วาดน่ากลัวมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าสวีถังหรานเอามาจากไหน ถึงแม้เฟยหงจะไม่รู้ว่าทำไมเหมียวอี้ต้องแขวนภาพแบบนี้เอาไว้ในห้อง แต่ก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่เหมียวอี้ต้องการแน่นอน พอพูดถึงสิ่งนี้ แม้แต่เฟยหงก็ต้องยอมแพ้สวีถังหราน ขอเพียงเหมียวอี้เอ่ยปาก สวีถังหรานก็มักจะหาหนทางนำของแปลกประหลาดมาเติมเต็มความพึงพอใจให้เหมียวอี้ได้ ช่างเป็นสิ่งที่จินตนาการได้ยากจริงๆ ทำให้คนต้องยอมแพ้

หลายครั้งที่เข้าออกเพื่อจะเติมน้ำชาให้ ก็ไม่เห็นเหมียวอี้ขยับไปไหนเลย เฟยหงทำได้เพียงเบามือเบาเท้า เพราะรู้ว่าเหมียวอี้กำลังใช้ความคิดกับเรื่องบางอย่าง ไม่กล้ารบกวน

หลังจากนั้นเกือบครึ่งวัน ในที่สุดเหมียวอี้ก็รอจนได้คำตอบจากหยางชิ่งแล้ว เหมียวอี้ถามว่า : เจ้าคิดว่ายังไง?

เมื่อเผชิญกับเรื่องของตลาดผี ที่จริงเขาก็ไม่ค่อยมีความคิดเห็นอะไรเช่นกัน ไม่รู้ว่าจะลงมือจากตรงไหนดี ไม่อย่างนั้นก็คงลงมือไปก่อนแล้ว

หยางชิ่งจนปัญหา ตอบไปว่า : หากนายท่านดึงดันจะทำอย่างนี้ให้ได้ ก็ต้องทำบางอย่างให้ได้ก่อน

เหมียวอี้ : ท่านมีแผนการที่ดี ข้ายินดีล้างหูรอฟังท่านชี้แนะ!

แผนการที่ดีแป๊ะเจ้าสิ เจ้าเชื่อฟังข้าก็แปลกแล้ว! หยางชิ่งด่าในใจ แต่ก็ยังต้องพยายามเต็มที่ หวังว่าเหมียวอี้จะฟังเข้าสมองบ้าง : ก็ย่อมต้องหาที่ปักหลักตั้งตัวอยู่แล้ว ต้องรับประกันความปลอดภัยของตัวเองก่อนเป็นอันกับแรก แล้วตอนหลังค่อยวางแผนอย่างอื่น ท่านถึงจะอยู่ในจุดที่ไม่แพ้!

เหมียวอี้ : จะชี้แนะข้ายังไง?

หยางชิ่ง : นายท่านถูกลอบจู่โจมที่แดนสุขาวดี ไปขอคำอธิบายจากสำนักพุทธก็ไม่ถือว่าทำเกินไป วัดพระกษิติครรภ์อยู่ที่ตลาดผี นายท่านจะไม่เอามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไง…

…………………………

“หนิวเอ้อร์ เจ้าก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนั้น ตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่?”

หลังจากจบงานเลี้ยงอุทยานหลวง พอกลับมา ‘อวิ๋นเซวียน’ แล้วไม่มีคนนอก อวิ๋นจือชิวก็ถามซักไซ้เหมียวอี้ทันที

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน แล้วหยิบหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งออกมา แล้วตอบอย่างทอดถอนใจว่า “ข้าก็แค่อยากจะทดสอบดูเฉยๆ นึกไม่ถึงว่าหงส์รุ้งนั่นจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่…” เขาเล่าสถานการณ์ตอนนั้นให้ฟังรอบหนึ่ง

“เจ้านี่ก็จริงๆ เลย ทำไมคิดอะไรก็ทำเลยเหมือนเด็กสามขวบ” อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน แต่ก็กล่าวอย่างลังเลอีกว่า “สามารถทำให้หงส์รุ้งสูญเสียการควบคุมได้ขนาดนี้ สงสัยหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งจะมีความหมายที่ไม่ธรรมดาต่อเผ่าหงส์”

เหมียวอี้มองดูไข่มุกในมือ แล้วพยักหน้าเบาๆ “ข้าก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่เผ่ามังกรและหงส์ถูกคุมขังอยู่ที่ตำหนักสวรรค์มานานเกินไป ไม่ได้ย่อยปราณชั่วร้ายสะสมบุญมานาน เลยสูญเสียความสามารถในการกลายเป็นมนุษย์และพูดภาษามนุษย์ไปนานแล้ว แล้วพวกเราก็ฟังภาษาหงส์กับภาษามังกรไม่เข้าใจด้วย บวกกับหาโอกาสอยู่กันตามลำพังไม่ได้ ไม่มีทางสื่อสารกันได้เลย ไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนด้วยเหมือนกัน มีแต่ต้องรอเวลาให้โอกาสมาถึง แล้วค่อยลองคิดหาทางสื่อสารกับพวกมันสักหน่อย”

อวิ๋นจือชิวก็พยักหน้าเงียบๆ เช่นกัน เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ ดวงตางามวูบไหว พอกลอกลูกตา ในดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ “ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสสื่อสารกับเผ่าหงส์ สนมสวรรค์จ้านหรูอี้ก็มีเกี้ยวหงส์ นางเป็นลูกน้องเก่าเจ้า เจ้าน่าจะมีวิธีการติดต่อกับนางสิ แอบไปเจอกันส่วนตัวตอนไหนก็ได้”

“…” เหมียวอี้อึ้งทันที พอพูดถึงจ้านหรูอี้ เขาก็รู้สึกใจลอยนิดหน่อย นึกอะไรบางอย่างได้ ก่อนหน้านี้เหมือนจะมองเห็นนางอยู่ไกลๆ ที่พระตำหนักอุทยาน…อยากจากเรียกสติกลับมาแล้ว จู่ๆ ก็สังเกตได้ว่าคำพูดของอวิ๋นจือชิวฟังดูแปลกๆ จึงขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าหมายความว่าอะไร? ที่บอกว่าแอบไปเจอกันส่วนตัวคืออะไร? ข้ากับนางมีความสัมพันธ์ไม่ดีต่อกันมาตลอด ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ ไปหานางจะไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ”

“งั้นเหรอ?” อวิ๋นจือชิวจองปฏิเสธกิริยาของเขาพลางอมยิ้ม “ตอนอยู่ที่พระตำหนักอุทยาน นางตั้งใจมาเรียกข้าไปคุยเลยนะ นางบอกเรื่องระหว่างเจ้ากับนาง เจ้าคิดจะปิดบังข้าไปถึงเมื่อไรกัน?”

เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ เหมียวอี้ก็เครียดกังวลทันที แต่ไม่นานก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ มีหรือที่จ้านหรูอี้จะพูดเรื่องแบบนั้นออกมาซี้ซั้ว ผู้หญิงคนนี้ร้ายเกินไปแล้ว หลอกถามความจริงจากข้าอีกแล้ว!เขาแสร้งทำท่าเหมือน ‘คนไม่ทำผิดมโนธรรมย่อมไม่กลัวผีมาเคาะประตู’ ทันที แสยะยิ้มบอกว่า “ทำไมข้ารู้สึกว่าคำพูดเจ้ามีนัยยะแอบแฝงล่ะ ข้ากับนางจะมีอะไรกันได้ น้องชิว เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่?”

อวิ๋นจือชิวจับสังเกตได้ถึงอารมณ์เครียดกังวลที่แวบผ่านใบหน้าเขาไปแล้ว “เจ้ากับนางมีอะไรต่อกัน เจ้าก็ต้องามตัวเองแล้ว” ขณะที่พูดนางก็เอานิ้วจิ้มตรงหัวใจเหมียวอี้

เหมียวอี้คว้ามือนาง “นี่เจ้ากำลังพาลหาเรื่องใช่มั้ย?”

อวิ๋นจือชิวแสยะหัวเราะ “ข้าพาลหาเรื่องเหรอ? เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่นเหรอ? หลังจากเจ้าก่อเรื่องที่พระตำหนักอุทยาน ตอนที่ข้ากำลังดื่มสุราฉลองอยู่ฝั่งนั้น นางก็ตั้งใจรั้งข้าให้อยู่คุยกัน พูดโยงเกี่ยวกับเจ้าตลอด ราวกับว่าไม่พอใจที่ข้าใส่ใจเจ้าไม่มากพออย่างนั้นแหละ ไม่ว่าข้าจะฟังยังไงก็รู้สึกว่าไม่ปกติ พอนึกโยงไปถึงตอนก่อนหน้านี้ ตอนที่เจ้าโดนลดขั้นไปเป็นนายทหารที่อุทยานหลวง เวลาว่างนางก็จะเรียกเจ้าไปปลูกต้นไม้ ตอนนั้นข้านึกว่านางอยากจะทำให้เจ้าอับอายเสียอีก ตอนนี้มาพอคิดดูให้ดี สงสัยข้าจะเป็นคนโง่สินะ! เชอะ หนิวเอ้อร์ เจ้าตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์นะ พวกเจ้าเคยทำเรื่องอะไรที่บอกใครไม่ได้ใช่มั้ย ถ้าพูดออกมาตอนนี้ข้าจะไม่ถือสา ถึงยังไงเรื่องก็ผ่านไปแล้ว ต่อไปถ้าข้าสืบเจอเองทีหลัง ข้าไม่เลิกจองเวรเจ้าแน่!”

ไม่ถือสาเรื่องในอดีตงั้นเหรอ? ถ้าเชื่อเจ้าได้ก็แปลกแล้ว! เหมียวอี้พึมพำในใจ ทั้งโมโหทั้งอยากขำ “เจ้าคิดว่าระหว่างข้ากับนางเคยทำเรื่องอะไรที่บอกคนอื่นไม่ได้งั้นเหรอ?”

“บอกมาใช้ชัดเจนเถอะ พวกเจ้าเคยนอกด้วยกันหรือเปล่า?” อวิ๋นจือชิวถามตรงๆ

“บ้าไปแล้วเหรอ!” เหมียวอี้สะบัดมือนางออก “เจ้าไม่รู้เหรอว่านางอยู่ในฐานะอะไร? ถ้าข้าเคยมีความสัมพันธ์อะไรกับนางจริงๆ นางจะกลายเป็นสนมสวรรค์ได้ยังไงล่ะ ประมุขชิงเป็นคนที่จะโดนสวมเขาได้เหรอ? ถ้างั้นตอนที่วังสวรรค์ตรวจร่างกาย นางก็คงไม่ผ่านแล้ว เจ้าคิดว่าข้าจะรอดชีวิตมาได้จนทุกวันนี้เหรอ?”

ที่จริงตอนแรกที่เหมียวอี้อยู่ที่ผืนนาหลวง จ้านหรูอี้เอาแต่เรียกหาเหมียวอี้ไปอยู่กันตามลำพัง อวิ๋นจือชิวก็สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว ผู้หญิงความรู้สึกไวต่อเรื่องพวกนี้มาก และเป็นเพราะสาเหตุเล็กน้อยอย่างที่เหมียวอี้บอก ถึงได้ทำลายความเคลือบแคลงของนางไป เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะโดนสวมเขา แต่ตอนนี้บทอวิ๋นจือชิวจะอารมณ์ร้ายขึ้นมา นางก็ไม่ปรานีอยู่แล้ว “เรื่องนี้ใครจะพูดชัดเจนได้ พวกเจ้าอยู่ด้วยกันนานขนาดนั้น เจ้าเองก็ไม่ใช่คนที่สามารถรักนวลสงวนตัวได้อยู่แล้ว ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพัง ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าลับหลังพวกเจ้าสองคนทำอะไรกัน แล้วอีกอย่างนะ ต่อให้นางจะร่างกายไม่บริสุทธิ์ แต่ด้วยอำนาจของตระกูลอิ๋งน่ะ เล่นตุกติกนิดหน่อยเพื่อปิดบังก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้! พอพูดถึงสิ่งนี้ ตอนนี้ข้าก็นับว่าเข้าใจแล้ว มิน่าล่ะตระกูลอิ๋งถึงกัดเจ้าไม่ปล่อย สงสัยจะอยากฆ่าปิดปากเจ้าน่ะสิ!”

“ไปตายไกลๆ เลยไป ข้าไม่มีอารมณ์มาวุ่นวายกับคนไร้เหตุผลอย่างเจ้า!” เหมียวอี้แทบจะถ่มน้ำลายใส่หน้านาง หันตัวเดินออกไปแล้ว

“โถ่เอ๊ย! ตอนนี้ไม่มีอารมณ์แล้วเหรอ ในปีนั้นตอนที่ขึ้นเตียงข้า อารมณ์ตอนพูดจาหวานหูแล้วถกกระโปรงข้าหายไปไหนแล้วล่ะ เล่นจนเบื่อแล้วล่ะสิ? ไอ้เวรเอ๊ย หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!” อวิ๋นจือชิวไม่ใช่เล่นๆ เลย พับแขนเสื้อสองข้างขึ้นแล้ว เผยแขนขาวอมชมพูระเรื่อเหมือนรากบัว นางไล่ตามไปกระโดดใส่ ใช้ขาสองข้างเกี่ยวเอวเหมียวอี้เอาไว้ แล้วใช้แขนคล้องคอ พัวพันเหมียวอี้ไม่ปล่อยราวกับเป็นหนวดปลาหมึก จากนั้นกัดหัวไหล่เหมียวอี้อย่างแรง

“ซี้ด…” เหมียวอี้เจ็บจนสูดหายใจลึก แล้วตะคอกอย่างโมโห “นางผู้หญิงปากร้าย ถ้ายังไม่ปล่อยก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจนะ!”

อวิ๋นจือชิวที่กำลังกัดหัวไหล่ว่ายหน้า บอกใบ้ว่าไม่ปล่อย ขณะเดียวกันออกแรงที่ฟันมากขึ้น

เหมียวอี้ไฟโกรธพุ่งพล่านขึ้นสามจั้ง ควงแขนตบไปข้างหลังหนึ่งที ตบก้นอวิ๋นจือชิวเสียงดังเปรี๊ยะ ลงมือค่อนข้างหนัก ทำให้อวิ๋นจือชิวเจ็บจนเลิกคิ้ว แต่นางใส่เต็มแรงแล้ว ยิ่งเจ็บนางก็ยิ่งออกแรงกัดมากขึ้น แทบจะกัดเนื้อบนหัวไหล่ของเหมียวอี้หลุดออกมา

เหมียวอี้ถูกกดดันจนหมดหนทาง จำเป็นต้องร่ายอิทธิฤทธิ์ลงมือ พอควบคุมอวิ๋นจือชิวเอาไว้ได้แล้ว ถึงได้แกะ ‘หนวดปลาหมึก’ ที่พันอยู่บนร่างกายตัวเองออก จากนั้นใช้แขนข้างหนึ่งขนาบเอวนางเอาไว้ หนีบนางไว้ใต้รักแร้แล้วเดินเข้าไปในห้องนอน จากนั้นก็โยนนางลงบนเตียง

พอมองดูเสื้อผ้าบนหัวไหล่ตัวเองที่ถูกกัดจนมีรอยเลือด เหมียวอี้ก็ชี้นางพร้อมด่าอย่างโมโห “นางผู้หญิงากร้าย สักวันข้าจะหย่ากับเจ้า!” จากนั้นสะบัดชายเสื้อแล้วหันตัวเดินออกไป

อวิ๋นจือชิวที่กำลังตัวแข็งทื่อได้แต่กลอกลูกตา ได้แต่มองเหมียวอี้เดินออกไปตาปริบๆ นางแค้นจนกัดฟันกรอด ก้นก็ถูกตีจนเจ็บจริงๆ แล้วเช่นกัน

โชคดีที่ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็กลับมาอย่างเงียบๆ อีก มายืนข้างเตียงแล้วจ้องนางอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจ แล้วลงมือคลายผนึกวรยุทธ์บนตัวอวิ๋นจือชิวออก

อวิ๋นจือชิวพลิกตัวลุกขึ้นมาทันที แล้วแสยะหัวเราะ ปากยิ้มแต่หน้าไม่ยิ้ม รอยยิ้มนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกหนาวในใจ ต้องถอยหลังก้าวหนึ่งโดนจิตใต้สำนึก แล้วโบกมือบอกว่า “น้องชิว เราคุยกันดีๆ ก็ได้นะ”

“คุยกับสารเลวอย่างเจ้านะเหรอ!” อวิ๋นจือชิวโบกมือชักดาบใหญ่ออกมาเสียเลย แล้วหันออกไปอย่างบ้าคลั่ง เรียกได้ว่าห้าวหาญดุร้าย

เหมียวอี้ตกใจทันที หดหัวแล้วถลันตัวหนี ทำให้หลบไปได้หนึ่งดาบ ท่ามกลางแสงสะท้อนคมดาบ เขาพบว่าอวิ๋นจือชิวเอาจริง หลบซ้ายหลบขวาพลางตะโกนว่า “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ!”

“เจ้าบังคับให้ข้าบ้าไง ไอ้สารเลว ตีผู้หญิงแล้วยังมาอ้างเหตุผลอีกเหรอ! ข้ายกน้ำชาให้เจ้า รินน้ำชาให้เจ้า ปรนนิบัติอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้า คุกเข่าใส่รองเท้าใส่ถุงเท้าให้เจ้า ตอนที่นิสัยสัตว์ป่าของเจ้าปะทุขึ้นมา ข้าก็เปลี่ยนลูกเล่นต่างๆ นาๆ เพื่อปรนนิบัติไอ้สิ่งที่อยู่ในเป้ากางเกงของเจ้า ข้าให้เจ้าเล่นจนกว่าจะพอใจทุกครั้ง ทั้งยังต้องช่วยดูแลอนุภรรยาให้เจ้าด้วย ข้าทำผิดต่อเจ้าตรงไหนสักนิดมั้ย แล้วเจ้ามาทำกับข้าอย่างนี้น่ะเหรอ? กล้าตีข้าเหรอ ข้าจะสู้ตายกับเจ้า…ตีเมียตัวเองถือว่าเก่งอะไรล่ะ กล้าตีก็อย่าหนี ผู้ชายอย่างเจ้าน่ะ ถ้าเก่งนักก็มากินดาบของข้าสักครั้งสิ!” อวิ๋นจือชิวถือดาบไล่ฟันอย่างบ้าคลั่ง เรี่ยวแรงไม่ต่างกับตอนที่นางยังเป็นสาวน้อย นึกถึงในปีนั้นที่ได้ชื่อว่าเป็นนางมารร้ายแห่งนภาจอมมาร ทำเอาคนเห็นแล้วกลัว ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว บทจะอารมณ์ร้ายขึ้นมานิสัยก็ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด

ที่จริงนางก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ในปีนั้นเหมียวอี้กับนางก็ยังเกรงใจกันนิดหน่อย ยังไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนยังไม่ได้แต่งงานกับนางแล้ว เอะอะก็จะลงไม้ลงมือ ตอนที่เหมียวอี้ยังเหาะไม่ได้ บางครั้งก็ยังเคยถูกนางเตะลงมาจากบนฟ้าเลย

ที่จริงแล้ว เหมียวอี้ก็รู้ว่านางมีนิสัยเจ้าอารมณ์มาตั้งแต่ก่อนจะแต่งงานกันแล้ว เตรียมใจมาแล้วเช่นกัน เตรียมใจที่จะยอมรับข้อเสียของผู้หญิงคนนี้มาตั้งแต่แรก แต่บทนางจะปะทุอารมณ์ขึ้นมา ก็ยังทำให้เขาทนไม่ค่อยไหว เพราะบรรพบุรุษท่านนี้กล้าพูดออกมาทุกอย่างจริงๆ แม้แต่เรื่องลับก็กล้าตะโกนออกมาโดยตรง จะไม่ให้คนมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร?

เงาดาบนี้ยังไม่นับว่าร้ายแรงเท่าไร อาศัยวรยุทธ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ ถ้าอวิ๋นจือชิวอยากจะทำให้เขาเจ็บตัวก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ประเด็นก็คือนางปากไม่มีหูรูด ตะโกนส่งเสียงโดยไม่สำรวมสักนิด เหมือนกลัวทุกคนจะไม่ได้ยิน สิ่งที่นางตะโกนออกมา เหมียวอี้ฟังแล้วต้องปาดเหงื่ออย่างควบคุมจิตใจไม่อยู่ แทบจะโดนดาบฟันแล้วจริงๆ

แกร๊ง! โครม!

ตรงจุดที่แสงสะท้อนเงาดาบแวบผ่าน พวกโต๊ะพวกเก้าอี้ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ในชั่วพริบตาเดีย ของในจวนท่านอ๋องล้วนเป็นของดีทั้งนั้น

โครมคราม! ผนังด้านหนึ่งถูกฟันจนพลิกแล้ว

เหมียวอี้ถลันตัวหลบ หลบออกมาจากผนังที่พังทลายลง

เขาคิดว่าถ้าเขาวิ่งหนีออกไปข้างนอก คนข้างนอกก็จะเห็นเขา อวิ่นจือชิวก็คงจะเกรงกลัวบ้าง คงจะหยุดและเก็บสำรวมอาการเอาไว้สักหน่อย แต่ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะตวาดเสียงแหลม “ไอ้เวรเอ๊ย อย่าหนีนะ!” นั่งกระโจนตัวออกมาท่ามกลางฝุ่นควันที่ตลบอบอวล ถือดาบไล่ตามออกมาสังหาร ปราณดาบถูกฟันออกมาหนึ่งชุดอย่างเหี้ยมหาญดุร้าย

เหมียวอี้ลนลานหลบหนี เพราะปราณดาบแบบผ่านเข้ามา ภูเขาจำลองก็พังทลายลง กำแพงบ้านแตกปลิว ต้นไม้ใบหญ้าปลิวมั่วไปหมด พื้นดินแยกออกเป็นร่องลึกหนึ่งรอย

นี่มันเอาจริงชัดๆ! เหมียวอี้ตกใจมาก ฟันสังหารเข้ามาจนยุ่งเหยิง ในมือเขาไม่มีอาวุธอะไร ถูกกดดันจนหนีหัวซุกหัวซุน

“นายท่าน ฮูหยิน!” เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์วิ่งออกมาแล้ว ไม่เห็นว่าฉากนี้รุนแรงกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก พวกนางจึงร้องอุทานอย่างตกใจไม่หยุด

พวกสาวใช้ในอวิ๋นเซวียนก็ตะลึงค้างแล้วเช่นกัน

พวกทหารยามกลุ่มหนึ่งที่เฝ้าจวนอ๋องสวรรค์ถลันตัวเข้ามาดู เมื่อเห็นสองผัวเมียทะเลาะกัน แต่ละคนก็พูดไม่ออก ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าควรจะลงมืออย่างไรดี แม้แต่ชูเจี้ยน หัวหน้าทหารยามของจวนท่านอ๋องเห็นแล้วก็งงเป็นไก่ตาแตก นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?

อย่าว่าแต่ทหารยามเลย แม้แต่คนอื่นที่อยู่ในเรือนพักก็ตกใจจนต้องออกมาแล้วเช่นกัน เสียงความเคลื่อนไหวดังขนาดนี้ จะไม่ให้ตกใจก็คงยาก

เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวถือดาบไล่สังหารจนเหมียวอี้หลบซ้ายหลบขวา สุยฉูฉู่กับซูฮวนเหนียงและคนอื่นๆ ก็ตกใจมาก เด็กดีเอ๋ย เจ้าเจ็ดคนนี้ช่างห้าวหาญดุร้าย!

สำหรับพวกนางแล้ว ถ้าล้อเล่นกับผู้ชายของตัวเองนิดหน่อยก็ยังพอได้ แต่ถ้าให้ลงมือกับผู้ชายในบ้านตัวเอง แค่คิดก็ยังไม่กล้าคิดเลย นี่ไม่ต้องพูดถึงการถือดาบไล่ฆ่า แนวคิดผู้ชายเป็นใหญ่คือค่านิยมของสังคมนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ไหนจวนท่านอ๋อง มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่กล้าทำผิดธรรมเนียมอย่างนี้ ต่อให้เป็นเจ้าหกโค่วอวี้ก็ยังไม่กล้าทำอย่างนี้กับชูเจี้ยนซึ่งเป็นเขยที่แต่งเข้าบ้านเลย ถ้าทำอย่างนี้จริงๆ จะต้องถูกท่านพ่อจับหักขาแน่

พวกโค่วเจิงและสามพี่น้องมองหน้ากันเลิกลั่ก เป็นครั้งแรกที่เห็นเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นในจวนอ๋องสวรรค์

ส่วนพวกรุ่นหลานของตระกูลโค่ว ในขณะที่ตกใจก็แอบตื่นเต้นนิดหน่อย ตอนนี้คือฉากที่พบเห็นได้น้อยมาก

ผ่านไปไม่นาน โค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนก็ปรากฏตัวกลางท้องฟ้า ทั้งคู่ถูกทำให้ตกใจแล้วเช่นกัน พอเหลือบไปเห็นเหตุการณ์ข้างล่าง พวกเขาก็สบตากันอย่างพูดไม่ออก

เพียงแต่โค่วหลิงซวีหน้าดำคร่ำเครียดลงอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงเหมียวอี้ตะโกนร้องอยู่ข้างล่างว่า “นางผู้หญิงปากร้าย จะหาเรื่องพอหรือยัง!” ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสสะบัดทวนเกล็ดย้อนมาไว้ในมือ แล้วใช้ทวนแทงต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว โจมตีจนอวิ๋นจือชิวทำอะไรไม่ถูก เพราะนี่คือวิชาทวนอันยอดเยี่ยม ใช้ทวนปาดจนดาบในมืออวิ๋นจือชิวกระเด็นหลุดมือ

“ไอ้เวรนี่!” อวิ๋นจือชิวก็ร้องโวยวายเช่นกัน นางก็ถนัดวิชาทวนที่สุดเช่นกัน จึงโบกมือช้อนทวนด้ามหนึ่งมาไว้ในมือ แล้วโผเข้าไปหาเหมียวอี้ในขณะที่ตัวเองมีรอยโหว่ทั้งตัว โจมตีอย่างเดียวโดยไม่ป้องกัน เป็นการเอาร่างกายที่มีเลือดเนื้อกระโจนเข้าไปบนทวนของเหมียวอี้แท้ๆ เลย ไม่มีการป้องกันอะไรสักนิด

เพราะนางใช้วิธีการโจมตีที่ไร้เหตุผลอย่างนี้ แล้วเหมียวอี้จะเล่นต่ออย่างไรล่ะ? เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเอาหัวทวนที่แหลมคมจิ้มไปบนร่างกายของนาง เป็นเขาเสียเองที่ถูกนางโจมตีจนทำอะไรไม่ถูก

เขาอยากจะแย่งทวนแล้วจับตัวอวิ๋นจือชิวเอาไว้ แต่ก็กังวลอีกว่าจะกดดันให้นางใช้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน แบบนั้นจะเป็นการเผยพิรุธแล้วจริงๆ ขณะที่เขากำลังคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ โค่วหลิงซวีที่อยู่บนฟ้าก็ทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว เอียงหน้าส่งเสียงบอกใบ้ว่า “อืม!”

ถังเฮ่อเหนียนถลันตัวเข้าไป ราวกับเหยี่ยวโฉบกระต่าย ขณะกำลังจะเหยียบลงพื้น แขนสองข้างที่กางออกก็กดลงข้างล่าง พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งทำให้สองคนที่ประมือกันอยู่ข้างล่างเคลื่อนไหวช้าลงราวกับจมลงในบึงน้ำ ชั่วพริบตาเดียวก็ไปเหยียบแทรกลงตรงกลางระหว่างทั้งสองคน ใช้มือซ้ายและมือขวาคว้าทวนในมือของทั้งสอง แล้วสะบัดแขนสองข้างให้กระเด็น

พออาวุธที่อยู่ในมือทั้งสองหลุดมือ ทั้งสองก็สะเทือนจนโซเซถอยหลังพร้อมกัน

ในขณะเดียวกันนี้เอง โค่วหลิงซวีก็เหยียบลงพื้นในชั่วพริบตาเดียว มาเหยียบลงตรงกลางระหว่างทั้งสอง เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวหยุดทะเลาะกันทันที ใช้เพียงสายตาสู้กัน

“พวกเจ้าสองคนคิดจะทำอะไร? อยากจะรื้อทำลายจวนของข้าหรอ?” โค่วหลิงซวีตะคอกเสียงต่ำ

อวิ๋นจือชิวฟ้องทันทีว่า “ท่านพ่อบุญธรรม ท่านต้องทวงความยุติธรรมให้ลูกสาว เขาเพิ่งจะลงมือตีค่าไป!”

เหมียวอี้ชี้รอยเลือดบนหัวไหล่ของตัวเอง ก็ถามอย่างโมโหว่า “ใครกัดข้าก่อนล่ะ?”

อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม “ใครบอกล่ะว่าจะหย่ากับข้า?”

“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างพูดไม่ออก คำพูดของอีกฝ่ายค่อนข้างผิดข้อห้ามของตระกูลโค่ว

เป็นอย่างที่คาดไว้ โค่วหลิงซวีมองมาด้วยแววตาที่แฝงความหมายล้ำลึกทันที จะไม่ให้เข้าใจผิดก็คงยาก ทำให้คนนึกเชื่อมโยงถึงสถานการณ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ได้ง่ายมาก สงสัยว่าเหมียวอี้อยากจะจบความสัมพันธ์กับอวิ๋นจือชิวเพื่อคลายความกดดันที่ตัวเองอยู่ในตลาดผีตอนนี้หรือเปล่า

คนที่รู้สึกแบบนี้ล้วนมองมาที่ตัวเหมียวอี้แล้ว

“ท่านพ่อบุญธรรม อย่าไปฟังนางพูดจาซี้ซั้ว ไม่มีเรื่องแบบนั้นเลย” เหมียวอี้แก้ตัว

ใครจะคิดว่าโค่วหลิงซวีจะกวาดสายตามองรอบๆ แล้วตะคอกเสียงต่ำว่า “ชอบมามุงดูกันนักหรือไง?”

กลุ่มคนที่เข้ามาล้อมดูหดหัวทันที รีบออกไปเงียบๆ แล้ว พอชูเจี้ยนโบกมือ แม้แต่ทหารยามก็ถอยออกไปเช่นกัน โค่วเจิงก็โบกมือบอกสุยฉูฉู่ว่าอย่าเพิ่งไป ให้ไปด้วยกันกับเขา

“เฮอะ!” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม เหลือบมองโค่วเจิงกับฮูหยินแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ถลันตัวเดินไปแล้ว

ถังเฮ่อเหนียนเรียกคนมาเก็บกวาดร่องรอยหลังจากการต่อสู้ทันที โค่วเจิงดึงเหมียวอี้ไป ส่วนสุยฉูฉู่ก็ดึงอวิ๋นจือชิวไป สองสามีภรรยาต่างคนต่างพาตัวไปแล้ว

………………………

ใครจะคิดว่าจะมีเทพธิดาอีกกลุ่มปรากฏตัวขึ้น รีบร้อนเดินขวักไขว่ไปมาอยู่ระหว่างศาลา

เหมียวอี้เก็บของที่อยู่ในมือ เอามือไขว้หลังก้มหน้ามองน้ำที่มีไอหมอกลอยขึ้นมาจางๆ ราวกับเห็นเงาตัวเองแล้วนึกสงสารตัวเองขึ้นมา

เทพธิดาที่เดินผ่านแค่เหลือบมองเขาสองทีเท่านั้น พวกนางไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม วันนี้พระตำหนักอุทยานเปิดรับแขก จุดที่มีทหารยามเฝ้าก็แสดงว่าล่วงล้ำเข้าไปไม่ได้ ส่วนจุดที่ไม่มีทหารเฝ้าก็แสดงว่าปล่อยให้แขกเดินเล่นได้ ยกตัวอย่างเช่นสวนชมทิวทัศน์แห่งนี้ เดิมทีก็มีไว้ให้แขกเดินเล่นพักผ่อนอยู่แล้ว จะกันให้แขกเดินเล่นอยู่บนลานกว้างด้านนอกอย่างเดียวไม่ได้หรอก

หลังจากเทพธิดาไปแล้ว เหมียวอี้ก็ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา แต่กลับมองเงาของตัวเองในน้ำด้วยความตะลึงงัน ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า เขารู้สึกว่าบนภูเขาจำลองที่อยู่ในเงาสะท้อน หงส์เฟิ่งหวงที่เหมือนกำลังนอนหลับพักผ่อนเงยหน้าขึ้นมาแล้ว เหมือนกำลังมองเขาอยู่ เพียงแต่ไอหมอกจางๆ ที่อยู่บนผิวน้ำทำให้เขามองเห็นไม่ชัด

เหมียวอี้เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ มองไปบนภูเขาจำลอง พบว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดกับภาพสะท้อนในน้ำ เพราะหงส์สีรุ้งตัวนั้นตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ ดวงตาหงส์สีทองที่อยู่ใต้ยอดหัวสีแดงสดราวกับดอกพลับพลึงแดงกำลังมองต่ำลงมาหาเขาที่ริมสระน้ำ

ยอดแห่งสัตว์ปีก ราชินีแห่งนก มีความสูงส่งเลอค่าโดยธรรมชาติ สวยแพงจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ หงส์สีรุ้งตัวนี้มองเหมียวอี้ด้วยแววตาฉงนสนเท่ห์ เหมือนเจือด้วยความไม่เข้าใจ จ้องมองเหมียวอี้อยู่อย่างนั้น

เหมียวอี้ตะลึงงัน เมื่อสบตากับอีกฝ่ายได้สักประเดี๋ยว สุดท้ายก็คิ้วกระตุกแล้ว เหมือนตระหนักอะไรบางอย่างได้

มาตามหาอิ๋งหยางแต่หาไม่เจอ นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเจอหงส์เฟิ่งหวงที่นอนอยู่ตัวเดียว อดไม่ได้ที่จะนึกถึงประสบการณ์ที่เคยมีที่รังหงส์ ในใจเขาเกิดความรู้สึกชั่ววูบบางอย่าง อยากจะนำ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ออกมาทดสอบดู เขาไม่กลัวว่าถ้ามีคนมาเห็นแล้วจะเป็นอย่างไร อยากมากก็แค่บอกไปโดยตรงว่า ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ นี้ถูกเก็บมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เขาแค่อยากจะเห็นว่าหงส์เฟิ่งหวงที่ถูกคุมขังอยู่ในตำหนักสวรรค์จะรู้จักของที่มาจากรังหงส์หรือเปล่า

แต่เขากลับไม่อยากเปิดเผยของสิ่งนี้ออกมาอย่างเป็นทางการ เพียงกำไว้ในฝ่ามือเท่านั้น แค่นี้ก็สะเทือนไปถึงหงส์สีรุ้งตัวนี้แล้ว ดูจากที่อีกฝ่ายจ้องมองอย่างสงสัย เหมียวอี้ก็เข้าใจแล้ว ว่าหงส์สีรุ้งตัวนี้อาจจะสัมผัสอะไรบางอย่างได้

พอมองไปรอบๆ อีกครั้ง เหมียวอี้ก็ถึงขั้นยอมร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจดูไปหนึ่งรอบ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใคร ก็สะบัดมือที่กำหมัดวางไว้ข้างหลัง มือที่กำแน่นมีคลื่นสีฟ้าจางๆ ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

หงส์สีรุ้งที่อยู่บนภูเขาจำลองมีปฏิกิริยาอีกครั้ง ตอบสนองเหมือนกำลังรู้สึกสะเทือนขวัญ คอที่พับอยู่เล็กน้อยเริ่มยืดขึ้นมาทีละนิด ดวงตางามดุจกระจกสีทองค่อยๆ เบิกกว้างจ้องมองเหมียวอี้

เหมียวอี้ย้ายมือที่ไว้หลังอยู่ออกมาข้างหน้าอย่างช้าๆ หมัดที่กำแน่นคลายออกทีละนิด ลำแสงสีฟ้าอ่อนโยนค่อยๆ แผ่กระจายออกมาจากซอกนิ้ว หงส์สีรุ้งบนภูเขาจำลองก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ ตามนิ้วที่แผ่ออกของเหมียวอี้เช่นกัน ขนหางยาวสวยลอยเองโดยไร้ลม ดวงตาหงส์จ้องในฝ่ามือเหมียวอี้อย่างไม่ละสายตาไปไหน

ตอนที่เหมียวอี้แบมือข้างนั้นอย่างเต็มที่ กลางฝ่ามือก็ปรากฏไข่มุกสีฟ้าโปร่งแสงเม็ดหนึ่ง มันกำลังเปล่งแสงอันงดงามราวกับภาพมายา ในไข่มุกมีเงาเปลวเพลิงโยกไหว ราวกับหงส์เฟิ่งหวงกำลังเคลื่อนไหวตามเงาเปลวเพลิงในไข่มุก สวยสดงดงามมาก สิ่งนี้คือ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ที่นำมาจากรังหงส์นั่นเอง

ขณะจ้องมองไข่มุกในฝ่ามือของเหมียวอี้ หงส์สีรุ้งที่ลุกขึ้นยืนก็มีหยดน้ำตาใสปรากฎขึ้นในดวงตาอย่างช้าๆ ชั่วพริบตาที่ไหลออกมาจากตาก็กลายเป็นไข่มุกที่ลักษณะเหมือนกับหยกเย็นทันที ตกลงในน้ำจนเกิดระลอกคลื่น แล้วก็จมลงในน้ำแล้ว

“วี้ด…วี้ด…วี้ด…” หงส์สีรุ้งพลันเงยหน้า แล้วส่งเสียงร้องอันยาวแหลมอย่างถี่กระชั้นราวกับเสียงหยกกระทบทอง เสียงดังก้องท้องฟ้า ขนสีรุ้งลอยขึ้นมาตามลม

หงส์เฟิ่งหวงตัวอื่นที่อยู่ในพระตำหนักอุทยาน รวมทั้งบรรดาหงส์เฟิ่งหวงที่กำลังลากพาหนะต่างก็พากันรีบหันมองมาทางนี้

มังกรใหญ่ที่ขดตัวอยู่บนหลังคาตำหนักใหญ่เงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วมองไปนังเขตแดนหงส์ด้วยสายตาเป็นประกาย

กลุ่มคนที่กำลังยกจอกสุราดื่มกันอย่างสนุกสนานบนลานกว้างพลันเงียบเสียง พากันหันไปมองทางเขตแดนหงส์ ทุกคนงุนงงไม่เข้าใจ

บรรดาสนมมากมายที่อยู่ในสวนด้านหลังหยุดหัวเราะพูดคุยแล้วแล้ว ทุกคนมีสีหน้างงงัน ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขมวดคิ้วมุ่น

ในตำหนักใหญ่ ราชันและขุนนางถือจอกสุราค้างไว้ในมือ ทยอยกันมองไปด้านนอกตำหนักเช่นกัน ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องบนถามเสียงเรียบ “มีเรื่องอะไร?”

เมื่อเขาเอ่ยถาม ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายโพ่จวินกับผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ขวาอู๋ฉวี่ก็ลุกขึ้นมาจากที่นั่งในงานเลี้ยง ทั้งสองมีสีหน้าเย็นเยียบ กวาดสายตาเยียบเย็นมองไปนอกตำหนัก แม่ทัพใหญ่เกราะแดงหลายคนที่อยู่ตรงประตูใหญ่ถลันตัวออกไปทันที

ในสวนชมทิวทัศน์ เหมียวอี้ยืนอยู่ริมน้ำทำอะไรไม่ถูกแล้ว การเคลื่อนไหวที่กะทันหันของหงส์สีรุ้งทำให้เขาตกใจ รีบเก็บหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งที่อยู่ในมือแล้ว

เขาเหลียวซ้ายแลขวา อยากจะหลบก็หลบไม่ทันแล้ว ตามหัวมุมและประตูต่างๆ มีเหล่าเทพธิดาโผล่ออกมาด้วยความตกใจ กำลังมองมาทางนี้ด้วยความตะลึงงัน

บนท้องฟ้ามีเงาคนหลายคนถลันวูบเข้ามา แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งสะบัดแส้ยาวโลหะที่เต็มไปด้วยฟันหมาป่า มันคือแส้สยบมังกร!

โครม เงาแส้สาดเข้ามา ราวกับมีสายฟ้าแวบผ่านเข้ามา เสียงดังฟังชัด โดนบนตัวหงส์สีรุ้งที่กำลังเงยหน้าส่งเสียงร้องพอดี ตีจนหงส์สีรุ้งที่ร้องลากเสียงยาวหยุดชะงัก เสียงร้องนั้นเปลี่ยนเป็นเสียงร้องที่เศร้าโศก

แส้สยบมังกรห้าเส้นโผล่ออกมาอย่างกระทันหัน แม่ทัพใหญ่เกราะแดงห้าคนล้อมหงส์สีรุ้งตัวนั้นเอาไว้ เงาแส้ห้าสายโบกอยู่กลางอากาศ เงาแส้กระพริบวิบวับอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะเหมียวอี้

เพี้ยะ! เพี้ยะ! เพี้ยะ…

เสียงแส้ดังไม่หยุด หงส์สีรุ้งที่ร้องสะอื้นเป็นพักๆ ไม่กล้าขัดขืน โดนฟาดจนเลือดและเศษเนื้อปลิวกระจาย เส้นขนสีรุ้งทั้งตัวก็ยิ่งฉีกขาด ขนอันสวยงามที่หลุดร่วงปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า

ผ่านไปไม่นาน หงส์สีรุ้งก็โดนตีจนร้องไม่ออกแล้ว ตกลงบนภูเขาจำลองอย่างแรง เงยหน้าเล็กน้อยอย่างอ่อนแอ มองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่เศร้าโศกสิ้นหวัง หยดน้ำตาในดวงตาร่วงหล่น กลายเป็นเม็ดไข่มุกที่เหมือนกับหยกเย็นไหลจากบนภูเขาจำลองลงมาในน้ำ น้ำตาไหลไม่หยุด

เลือดสีแดงสดไหลลงมาจากภูเขาจำลอง ย้อมจนน้ำในบ่อกลายเป็นสีแดง

ไม่เห็นว่าในที่สุดมันก็ร้องไม่ออกแล้ว เงาแส้ในมือของแม่ทัพใหญ่เกราะแดงห้าคนบนท้องฟ้าถึงได้หยุดเคลื่อนไหว แส้สยบมังกรอันน่าสะพรึงที่เจือปนรอยเลือดห้อยตกลงมา

บนใบหน้าเหมียวอี้ไร้ความหวาดกลัว มองดูหงส์สีรุ้งสภาพจนตรอกตัวนั้นที่กำลังก้มหัวที่มีเลือดไหลอย่างเงียบๆ ในใจรู้สึกแย่ นึกไม่ถึงว่าการกระทำเพียงชั่ววูบของตัวเอง จะทำร้ายให้หงส์สีรุ้งตัวนี้กลายสภาพเป็นอย่างนี้แล้ว

มีคนไม่น้อยที่ตกใจเสียงความเคลื่อนไหวทางนี้แล้วมามุงดู เมื่อเห็นหงส์เฟิ่งหวงตัวหนึ่งเป็นบ้า พวกเขาก็ประหลาดใจ

พวกโค่วเจิงที่โผล่หน้ามาเห็นเหมียวอี้ยืนอยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร

ผ่านไปไม่นาน ซ่างกวนชิงที่ตามหลังแม่ทัพใหญ่เกราะแดงสองคนออกมาก็ปรากฏตัวแล้ว เขากวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวเทพธิดา ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

เทพธิดาที่ถูกจับจ้องรู้สึกเป็นกังวลมาก สำหรับเทพธิดาอย่างพวกนาง ผู้การใหญ่วังสวรรค์ท่านนี้สามารถตัดสินความเป็นความตายของพวกนางได้ด้วยคำพูดประโยคเดียวเท่านั้น ขนาดสนมมากมายในวังหลังเห็นซ่างกวนชิงแล้วก็ยังกลัว แล้วนับประสาอะไรกับพวกนาง เทพธิดาคนนั้นรีบคุกเข่าแล้วส่ายหน้าหน้าตอบด้วยความหวาดกลัว “ตอบผู้การใหญ่ บ่าวไม่ทราบค่ะ”

ซ่างกวนชิงมองข้ามนางทันที เขาชำเลืองหงส์สีรุ้งที่หายใจรวยรินแวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเย็นชาไร้ความปราณี “ลากสัตว์เดรัจฉานขนแบนที่หมดสนุกตัวนั้นไปประหารทิ้งนอกพระตำหนักอุทยาน”

เหมียวอี้ได้ยินแล้วหันขวับกลับมา จ้องไปที่ซ่างกวนชิง

“วันนี้เป็นวันมงคลของฝ่าบาท” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นข้างหลังซ่างกวนชิง ทำให้แม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่กำลังจะก้าวออกไปปฏิบัติหน้าที่หยุดชะงัก

ซ่างกวนชิงหันมามอง เห็นเพียงเกาก้วนที่สวมหมวกทรงสูงสีดำ และสวมผ้าคลุมสีดำปลิวสะบัดปรากฏตัวจากประตูพระจันทร์ด้านหลัง เมื่อท่านนี้โผล่หน้ามา ลูกหลานขุนนางพี่มาดูเอาสนุกก็ถอยหลังหลบโดยจิตใต้สำนึก ซ่างกวนชิงมองดูปฏิกิริยาทั้งสองฝั่ง แล้วก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า เจ้าหมอนี่มีอิทธิพลต่อลูกหลานขุนนางแบบไม่ธรรมดาจริงๆ

เกาก้วนมายืนเคียงข้างซ่างกวนชิง แล้วจ้องหงส์สีรุ้งตัวนั้นบนภูเขาจำลอง

ซ่างกวนชิงกำลังไตร่ตรองคำพูดของเกาก้วน เราก็พยักหน้าเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่ามีเหตุผล วันนี้เป็นวันมงคลของฝ่าบาท ฝ่าบาทอภัยโทษให้ทางใต้หล้า แต่ตัวเองกลับจะสังหารชีวิตในวังสวรรค์ แบบนั้นไม่เหมาะสมจริงๆ จึงยิ้มแล้วบอกว่า “เป็นวาสนาของสัตว์เดรัจฉานตัวนี้นะ รบกวนให้ทูตขวาเกามาพูดขอร้องให้เสียแล้ว” เขาโบกมือยกเลิกคำสั่งก่อนหน้านี้

แต่ใครจะคิดว่าเกาก้วนจะกล่าวเสียงเรียบอีก “ขอร้อง? ความเป็นความตายของมันไม่เกี่ยวกับข้า ข้าเพียงรู้สึกว่าเหตุการณ์ไม่ปกติที่เกิดขึ้นกะทันหันมีเงื่อนงำนิดหน่อย” ขณะที่พูดก็โบกมือหนึ่งที ข้างหลังมีคนของหน่วยตรวจการขวาสามคนออกมาทันที เป็นสามลูกพี่ใหญ่ของหน่วยตรวจการขวา สามหัวหน้าผู้ตรวจการใต้บังคับบัญชาของเกาก้วนนั่นเอง

ทั้งสามคนเรียกได้ว่ามีชื่อเสียงด้านลบ โหดร้ายกระหายเลือด ไม่รู้ว่ามีขุนนางตำหนักสวรรค์มากมายเท่าไรที่ตายอนาถด้วยน้ำมือของพวกเขา ถ้าตกอยู่ในมือของทั้งสามคน ต่อให้ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็กลายเป็นมีความผิดได้ โทษเล็กก็กลายเป็นโทษใหญ่ได้เช่นกัน เป็น ‘เพชฌฆาต’ ผู้เลื่องชื่อของหน่วยตรวจการขวา ถ้าจะให้พูดจากบางมุม ยอมมีเรื่องกับเกาก้วน ดีกว่ายอมมีเรื่องกับสามคนนี้

หนึ่งในนั้นคือคนที่เหมียวอี้รู้จัก เคยติดต่อกันตอนอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี เขามีสีหน้าดุร้ายกระหายเลือด

สามคนนั้นเข้าไปสอบถามถึงสถานการณ์จากกลุ่มคนทันที ลงมือตรวจสอบด้วยตัวเอง อาศัยประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญของพวกเขา เรียกได้ว่าไม่ปล่อยผ่านเบาะแสแม้เพียงเล็กน้อย

ผ่านไปครู่เดียว บรรดานางในก็ชี้ไปที่เหมียวอี้อย่างระมัดระวัง ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร

แต่ฐานะของเหมียวอี้ไม่ธรรมดา เบื้องหลังเกี่ยวข้องกับอ๋องสวรรค์โค่ว สามลูกพี่ใหญ่จึงไม่กล้าตัดสินใจเองโดยพลการ ไปรายงานเกาก้วนแล้ว

เกาก้วนเชิดคางพยักหน้าเล็กน้อย เหมิงเซวี่ยเอ่ยรับคำสั่ง แล้วถลันตัวไปข้างกายเหมียวอี้ ในดวงตาฉายแววดุร้ายแวบหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะแห้งๆ ใส่เหมียวอี้ แล้วยื่นมือเชิญ “แม่ทัพภาคหนิว ทูตขวาเกาเชิญพบ”

เหมียวอี้ตามไปอย่างสงบนิ่งใจเย็น

ลูกหลานตระกูลโค่วที่ได้เห็นฉากนี้รู้สึกหวาดระแวงกลัว ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ทำอะไรอีก

พวกตระกูลอิ๋งที่เหม็นขี้หน้าเหมียวอี้กลับดูมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น เฝ้าคอยให้เหมียวอี้ยั่วโมโหต่อหน้าผู้พิพากษาหน้าตายท่านนี้

ไม่เพียงแค่ตระกูลโค่ว กลุ่มลูกหลานขุนนางที่รีบเข้ามาใกล้ฝั่งนี้ แต่โค่วเจิงกลับหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออ๋องสวรรค์โค่ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาเขาก็ห้ามเกาก้วนไม่ไหว

พอมาถึงตรงหน้าเกาก้วน เหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะ “คารวะผู้การใหญ่ คารวะทูตขวาเกา”

ซ่างกวนชิงพยักหน้ายิ้มบางๆ นับว่าไว้หน้าตระกูลโค่วแล้ว แต่หางตากลับเหล่มองเกาก้วนที่อยู่ข้างกาย

เกาก้วนยังคงมีสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ กล่าวเสียงเรียบว่า “นางในพวกนั้นเป็นพยานว่าก่อนและหลังเกิดเรื่อง เจ้าอยู่ข้างหงส์เฟิ่งหวงตัวนั้นตลอด คาดว่าเจ้าคงรู้ดีที่สุดว่าระหว่างนั้นเกิดความผิดปกติอะไร บอกมาเถอะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

เหมียวอี้หันกลับมามองหงส์สีรุ้งที่กำลังร้องไห้และหายใจรวยรินแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าสุดท้ายหงส์สีรุ้งตัวนี้จะมีจุดจบเป็นอย่างไร สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกผิดในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาหุนหันพลันแล่น ก็คงไม่กลายเป็นอย่างนี้ เขาหันกลับมาอีกครั้ง ตอนนี้มีความคิดบางอย่างแล้ว จึงตอบอย่างใจเย็นว่า “ก็ไม่มีอะไรขอรับ ข้าเห็นว่าขนทั้งตัวมันสวยดี อยากจะถอนกลับไปฝากคนอื่นสักสองก้าน แต่ใครจะคิดว่ามันจะร้องดังขนาดนั้น แค่ถอนไปสองก้านเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใช่อะไรหรอกกระมัง”

เมื่อให้คำตอบแบบนี้ ซ่างกวนชิงก็กระตุกมุมปาก คนตระกูลโค่วที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็ยิ่งปวดประสาท โค่วเจิงก็ยิ่งเจ็บใจในความไม่เอาถ่ายของเขา

ส่วนพวกที่คอยซ้ำเติมก็ตกใจมาก มิน่าล่ะจู่ๆ หงส์เฟิ่งหวงถึงได้ร้องเหมือนผี ที่แท้ก็มีคนจะถอนขนมันนี่เอง!

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเหรอ?” เกาก้วนจ้องตาเขาครู่หนึ่ง “เจ้าหมิ่นเดชานุภาพของตำหนักสวรรค์แล้ว! นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ตอนเจ้าทำลายกลองสะท้านฟ้าในการทดสอบที่แดนอเวจี ก็ให้อภัยเจ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนี้กล้าทำผิดอีกครั้ง ดูท่าจะต้องให้บทเรียนเจ้ายาวๆ สักหน่อยแล้ว! ทหาร ลากลงไป เฆี่ยนห้าแส้สยบมังกร!”

กลุ่มคนที่อยู่ข้างๆ สูดหายใจอย่างตกตะลึง เฆี่ยนห้าแส้สยบมังกร แบบนี้จะไม่ทำให้โครงสร้างร่างกายพังหรอกเหรอ แบบนี้เหมือนเฆี่ยนให้ตายทั้งเป็นชัดๆ!

กลุ่มคนที่รอให้เหมียวอี้ดวงซวยตาลุกวาวทันที เฝ้าคอยมาก!

ซ่างกวนชิงพูดไม่ออก เมื่อครู่นี้เจ้ายังบอกอยู่เลยว่าวันนี้เป็นวันมงคลของฝ่าบาท สงสัยเรื่องนี้จะไม่ได้ตกถึงมือเจ้าเฉยๆ หรอก พอเรื่องนี้ตกอยู่ในมือเจ้าแล้ว เจ้าก็ไม่ได้ยึดหลักการนั้นเลย ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมลูกหลานขุนนางถึงได้กลัวเกาก้วนขนาดนี้

“แค่กๆ นายท่านเกา…” ซ่างกวนชิงกระแอม แอบบอกใบ้ว่าให้ปรานีหน่อย ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะปกป้องเหมียวอี้ แต่เขารู้ดีว่าฝ่าบาทยังไม่ได้กู้หน้ากลับมา ยังเตรียมจะรอดูละครเด็ดที่ฝั่งตลาดผีอีก

ใครจะคิดว่าเกาก้วนจะยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่สะทกสะท้าน ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไร

เหมียวอี้หน้าดำทันที ตะโกนบอกว่า “ทูตขวาเกา ดึงขนสองก้านเท่านั้นเอง จะเล่นงานข้าให้ถึงตายเชียวเหรอ!”

ทว่าเกาก้วนไม่สนใจเลย ไม่แยแสอะไรทั้งนั้น ลูกน้องอีกสองคนของเขาถลันตัวออกมาทันที มาจับแขนซ้ายแขนขวาเหมียวอี้เอาไว้ ต้องการจะคุมตัวไปลงโทษ

“ทูตขวาเกา!” โค่วเจิงถลันตัวออกมากุมหมัดคารวะต่อเกาก้วน ต้องการจะขอร้อง

“ถ้ามีใครเข้ามาแทรกแซงการบังคับใช้กฎหมายอีก โดนทำโทษข้อหาเดียวกัน!” เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบ

“อ้าปากก็บังคับใช้กฎหมาย หุบปากก็บังคับใช้กฎหมาย ทูตขวาเกาช่างมีบารมีมากจริงๆ!”

เสียงพูดจาถากถางที่มีอำนาจบารมีในตัวเองดังมาจากข้างหลัง ทุกคนหันมองตาม กลุ่มคนที่กำลังล้อมอยู่หลีกทางให้อีกครั้ง โค่วหลิงซวี อ๋องสวรรค์โค่วมาด้วยตัวเองแล้ว มายืนอยู่ตรงหน้าเกาก้วนโดยตรง แล้วถามอย่างเยียบเย็น “เกาก้วน เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“หรือท่านอ๋องจะมาขัดขวางการบังคับใช้กฎหมายของเกาคนนี้?” เกาก้วนถามอย่างเย็นชา

โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม แล้วหันหน้าช้าๆ ไปมองซ่างกวนชิง ก่อนจะถามเนิบๆ ว่า “ผู้การใหญ่ ข้าคุยกับเจ้าไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“…” ซ่างกวนชิงงงไปชั่วขณะ ในหัวกำลังคิดว่า ท่านนี้เคยคุยอะไรกับข้าด้วยเหรอ? ก่อนหน้านี้ทั้งสองก็เคยคุยเรื่องอะไรบางอย่างกันไป เพียงแต่หมายถึงเรื่องไหนล่ะ แล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่องวันนี้?

“ข้าบอกว่าต้องการขนหงส์สองก้านมอบให้ลูกสาว เจ้าตอบตกลงแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องให้ลูกเขยข้ามาเด็ด แล้วทำไมกลายเป็นหมื่นเดชานุภาพของตำหนักสวรรค์ได้ล่ะ?” โค่วหลิงซวีเตือน

โคตรพ่อเจ้าสิ! ในใจที่สุดซ่างกวนชิงก็นึกออกแล้ว จึงแอบด่าในใจ

แต่เขาก็เข้าใจเช่นกัน ว่าตัวเองจะไม่เล่นละครฉากนี้ด้วยก็ไม่ได้ ท่านนี้ก็คงเข้าใจเช่นกันว่าฝ่าบาทอยากจะกู้หน้าคืนมา ประการต่อมา ถ้าไปทะเลาะกันต่อหน้าฝ่าบาทจริงๆ การลงโทษลูกเขยอ๋องสวรรค์จนตายเพื่อขนนกแค่สองเส้นก็จะฟังดูเหลวไหลเกินไป ถ้าทะเลาะกันในงานมงคลของฝ่าบาท ก็จะเป็นการป่วนทำลายงานมงคลนี้

ที่สำคัญที่สุดก็คือ พอตาแก่นี่เอ่ยปากพูดออกมา ก็ชัดเจนเลยว่ากำลังกดดันให้ตนรับการโจมตีนี้ไว้ ตนจะไม่รับไว้ก็ไม่ได้ เพราะใครจะไปรู้ว่าโค่วหลิงซวีเคยคุยเรื่องส่งมอบขนนกกับตนหรือเปล่า ถ้าตาแก่โค่วยืนกรานว่าเคยคุย อย่างมากตัวเองก็แค่แก้ตัวว่าไม่เคย ความขัดแย้งก็จะเปลี่ยนจากตัวหนิวโหย่วเต๋อไปอยู่ที่การถกเถียงระหว่างตนกับตาแก่โค่วทันที ในการประชุมราชสำนัก ตาแก่ผีนี่มีพวกเยอะกว่า ถ้าเถียงกันขึ้นมาตนก็จะเสียเปรียบ

เรื่องนี้แค่ตัวเองให้ความร่วมมือก็พอแล้ว ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ อีกฝ่ายก็จะลากให้ผู้การใหญ่อย่างเขาซวยไม่ด้วย ทำให้เขาอึดอัดรำคาญใจ!

ซ่างกวนชิงมองลูกหลานของตระกูลโค่วแวบหนึ่ง เมื่อนึกถึงฉากที่โค่วเจิงเพิ่งขอร้องเกาก้วนแต่ไม่ได้ผล เขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจ พวกรุ่นลูกเทียบกับพวกตาแก่ที่เดินฝ่าออกมาจากลมคาวฝนเลือดไม่ติดเลยสักนิด ขิงแก่มักเผ็ดกว่าเสมอ!

“อ้อ…” ซ่างกวนชิงยกมือตบหน้าผาก แล้วหัวเราะแห้งๆ ให้เกาก้วน “ทูตขวาเกา เจ้าดูความจำของข้าสิ มีเรื่องอย่างนั้นจริงๆ ก่อนหน้านี้อ๋องสวรรค์โค่วบอกแล้วว่าจะเอาขนนกสองก้าน ข้าลืมไปชั่วขณะ”

เกาก้วนเหล่ตามองอย่างเย็นเยียบ

โค่วหลิงซวีขยุ้มมือไปข้างหลัง ดูดขนบนตัวหงส์สีรุ้งบนภูเขาจำลองออกมาสองเส้น พอขนนกตกอยู่ในมือเขาแล้ว เขาก็ลูบไล้ชื่นชม ราวกับทำให้เกาก้วนเห็น ว่าเอาขนนกไปสองก้านแล้วจะเป็นอะไรไป ข้าถอนให้เจ้าดูแล้ว เจ้าจะทำอะไรข้าได้?

จากนั้นก็ตบวางขนสองเส้นให้โค่วเจิง แล้วกวาดตามองโค่วเจิงอย่างเย็นเยียบ ราวกับกำลังตำหนิว่า แค่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ก็จัดการไม่ได้

โค่วเจิงรับขนนกสองก้านมา แล้วก้มหน้าเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร

โค่วหลิงซวีไม่สิ้นเปลืองคำพูดอะไรอีก ไม่สนใจเหมียวอี้ที่ยังคงถูกควบคุมตัว แล้วก็ไม่ชายตามองเกาก้วนเลยสักนิด เดินก้าวยาวไปข้างหน้า เดินเฉียดบ่าเกาก้วนไป โดยมีผู้ติดตามเดินตามหลังไปไม่กี่คน แสดงพลังอำนาจของท่านอ๋องเต็มที่ ทำให้คนที่ดูเหตุการณ์อยู่ตรงนั้นจำนวนไม่น้อยแอบเดาะลิ้น นับว่าเข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘จัดการเรื่องยากให้เหมือนเรื่องง่าย’ แล้ว

สองคนของหน่วยตรวจการขวาที่กำลังคุมตัวเหมียวอี้มองไปที่เกาก้วน รอการชี้แนะในขั้นต่อไป

เกาก้วนยังจะชี้แนะอะไรได้อีก ซ่างกวนชิงยอมรับต่อหน้าฝูงชนแล้ว ในเมื่อผู้การใหญ่วังสวรรค์ยอมรับเรื่องนี้แล้ว ถ้าตัวเองจะสืบหาความรับผิดชอบต่อไป ก็ต้องไปสืบหาที่ซ่างกวนชิงแล้ว ผ้าคลุมบ่าสีดำสะบัดหนึ่งที หันตัวเดินก้าวยาวออกไปแล้ว ไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นเดียวกัน

สองคนของหน่วยตรวจการขวาสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยเหมียวอี้ แล้วเดินตามเกาก้วนออกไป

“พาตัวไปรักษา” ซ่างกวนชิงชี้ไปที่หงส์สีรุ้งบนภูเขาจำลอง แล้วก็ส่ายหน้าให้เหมียวอี้อย่างจนใจ พบว่าท่านนี้ไม่ว่าไปที่ไหนก็อยู่ไม่สุขจริงๆ ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวก็ก่อเรื่องได้อีกแล้ว จากนั้นก็ตะโกนถามกลุ่มคนว่า “มาล้อมกันอยู่ที่นี่ทำไม? มามุงดูเอาสนุกเหรอ?”

คนกลุ่มนี้ไม่กล้าทำกำเริบเสิบสานต่อหน้าเขาเช่นกัน เริ่มแยกย้ายกันไปแล้ว มีคนไม่น้อยรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อจะรอดพ้นจากเงื้อมมือเกาก้วนไปได้

“ไป!” โค่วเจิงดึงเหมียวอี้ให้เดินออกมา เหมียวอี้หันกลับมามองอีกครั้ง มองดูหงส์สีรุ้งตัวนั้นถูกพาออกไป

ในตำหนักใหญ่ ซ่างกวนชิงที่กลับมาแล้วแอบรายงานสถานการณ์ให้ประมุขชิงรู้ ประมุขชิงชำเลืองมองโค่วหลิงซวีที่กำลังพูดคุยกับคนอื่นๆ อย่างสนุกสนาน แล้วก็ชำเลืองมองเกาก้วนที่นั่งลง รู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย เด็ดขนหงส์ไปสองก้าน แค่ลงโทษนิดหน่อยก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่ต้องการจะเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อให้ถึงตาย มิน่าล่ะถึงกดดันจนโค่วหลิงซวีต้องออกหน้าไปรับมือเอง ช่างไม่กลัวการล่วงเกินคนอื่นเลยจริงๆ!

แต่เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว ประมุขชิงก็ไม่ได้ว่าอะไร ถ้าพูดจากมุมมองของเขา เกาก้วนก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เหมาะกับตำแหน่งหน่วยตรวจการขวามาก

กลุ่มขุนนางในตำหนักยังคงกินดื่มกันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่จริงทุกคนล้วนแอบได้รับข่าวมาแล้ว รู้แล้วว่าข้างนอกเกิดเรื่องขึ้น เพียงแต่ทุกคนทำเนียนก็เท่านั้นเอง

กลุ่มผู้หญิงในสวนด้านหลังก็กลับมาหัวเราะพูดคุยกันตามปกติแล้วเช่นกัน ทุกคนแอบได้รับข่าวมาแล้ว เมื่อเห็นราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่นั่งอยู่เบื้องบนยังไม่อารมณ์เสีย ทุกคนก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แค่แอบวิจารณ์กันอย่างลับๆ ก็เท่านั้น

…………………………

เมื่ออยู่ภายในโอกาสและสถานที่แบบนี้ พวกเขาเชื่อว่าคนอื่นไม่กล้าก่อเรื่อง แต่กับเหมียวอี้คนนี้ เขาไม่มีความเชื่อใจเลยจริงๆ เพราะมีตัวอย่างบทเรียนให้เห็นมาก่อนแล้ว ถ้าจะบอกว่าในโลกนี้มีใครกล้าก่อเรื่องในงานมงคลของราชันสวรรค์ ก็เป็นท่านนี้แน่นอน!

อีกสามคนบนโต๊ะสบตากันอย่างพูดไม่ออก ทั้งสามมีฐานะเหมือนเหมียวอี้ ล้วนเป็นเขยของตระกูลโค่ว แต่กลับเป็นเขยแท้ๆ ฮูหยินของพวกเขาล้วนเป็นลูกสาวแท้ๆ ของอ๋องสวรรค์โค่ว ไม่ใช่แค่ลูกสาวบุญธรรมอย่างอวิ๋นจือชิว

รุ่นที่สองของตระกูลโค่ว ถ้านับรวมอวิ๋นจือชิวด้วย ก็เรียงลำดับพี่น้องได้เป็น โค่วฉิน โค่วเหมี่ยน โค่วอิง โค่วเชี่ยน โค่วอวี้ อวิ๋นจือชิว

เฉียนลู่แต่งงานกับโค่วอิง ชูเจี้ยนแต่งงานกับโค่วเชี่ยน เซิงมู่เสวี่ยแต่งงานกับโค่วอวี้

ตอนนี้เฉียนลู่คือหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ ส่วนชูเจี้ยนเดิมทีก็เป็นลูกน้องคนสนิทของโค่วหลิงซวี หลังจากแต่งงานกับโค่วเชี่ยนแล้ว ก็ค่อยๆ กลายเป็นตัวละครที่ทำหน้าที่พิทักษ์ตระกูลโค่วอย่างทุกวันนี้ และเป็นคนเดียวของเขยตระกูลโค่วที่ได้พักอาศัยอยู่ในตระกูลโค่วโดยไม่ได้แยกบ้าน เรียกได้ว่ากุมอำนาจมหาศาลในการเฝ้าประตูและปกป้องคนในบ้านของตระกูลโค่วเอาไว้ ส่วนเซิงมู่เสวี่ยก็เนื่องจากบิดาเป็นลูกน้องคนสนิทของโค่วหลิงซวีมาตั้งแต่ปีแรกๆ แล้วรบตายในศึกใหญ่เพื่อช่วยชีวิตโค่วหลิงซวีเอาไว้ ทว่าเซิงมู่เสวี่ยมีความสามารถค่อนข้างอ่อนด้อย โค่วหลิงซวีอยากจะสนับสนุนอย่างไรก็สนับสนุนลำบาก แต่เห็นแก่บุญคุณของบิดาอีกฝ่าย จึงมอบโค่วอวี้ลูกสาวคนสุดท้องให้แต่งงานกับเขา นับว่าได้ตอบแทนบุญคุณที่บิดาได้ช่วยชีวิตแล้ว ได้รับประกันเกียรติยศความร่ำรวยของเซิงมู่เสวี่ยไปทั้งชีวิต นับว่าเป็นการให้คำอธิบายแก่บิดาของเขารวมทั้งบรรดาลูกน้องที่อุทิศตนรับใช้

ไม่ว่าความสามารถของเซิงมู่เสวี่ยจะเป็นอย่างไร ถึงแม้จะเป็นแค่ตำแหน่งที่ว่างงาน ในมือไม่ได้มีอำนาจมากมาย แต่ก็ยังมียศสูง มียศเดียวกับเฉียนลู่และชูเจี้ยน ตอนนี้อยู่ในระดับแม่ทัพใหญ่เกราะแดงแล้ว ในบรรดาลูกเขยพวกนี้ จะว่าไปแล้วเหมียวอี้ก็ยังมียศต่ำสุด

ทั้งสามทยอยกันลุกขึ้นมา เฉียนลู่กับชูเจี้ยนไปเกลี้ยกล่อมเหมียวอี้ มีเพียงเซิงมู่เสวี่ยที่เดินไปข้างกายโค่วเหวินไป๋ที่กำลังมีสีหน้าย่ำแย่ แต่ตบบ่าเขาพร้อมเตือนสติว่า “เหวินไป๋ อย่าเข้าใจผิดนะ อาเขยของเจ้าไม่ได้มีเจตนาจะกลั่นแกล้งเจ้า เขาพุ่งเป้าไปที่คนนั้น นั่น…” บุ้ยปากไปทางตระกูลอิ๋ง “อิ๋งหยาง!”

เซิงมู่เสวี่ยเป็นคนอ่อนโยนประจำตระกูลโค่ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีความกังวลทุกข์ร้อนใดๆ ทั้งนั้น ทำตัวอิสระเสรีไปวันๆ ไม่ไปล่วงเกินใครทั้งนั้น ไม่แย่งชิงอะไรกับใครด้วย ถึงขั้นควบคุมให้ลูกสาวลูกชายตัวเองใช้ชีวิตอย่างสงบเสงี่ยม สรุปก็คือฝั่งเขาแน่วแน่ที่จะไม่เข้าไปยุ่งกับการแข่งขันอย่างลับๆ ระหว่างลูกหลานตระกูลโค่ว ไม่ยืนอยู่ฝ่ายไหนทั้งนั้น มีท่าทีอย่างนี้มาตลอด ไม่ล่วงเกินฝ่ายไหน รักษามิตรภาพกับทุกฝ่ายเอาไว้ตลอด เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ก็ไม่มีใครมาดึงเขาไปเป็นพวก สำหรับคนอ่อนโยนคนนี้ ในตระกูลโค่วไม่ว่าใครจะมีเรื่องดีๆ อะไรก็จะไม่ลืมเขา อย่างไรเสียโค่วอวี้ฮูหยินของเขาก็ยังเป็นลูกสาวของโค่วหลิงซวี

พอได้ฟังเขาอธิบายอย่างนี้ โค่วเหวินไป๋ก็มองปี่ฝั่งตระกูลอิ๋ง ทำให้เข้าใจทันที เพราะเขาก็ได้ยินเรื่องที่แดนสุขาวดีมาเหมือนดัน ท่าทางจะไม่ได้กลั่นแกล้งตนจริงๆ ด้วย แต่เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ รีบถามเสียงต่ำว่า “อาเขย เขาคงจะไม่ก่อเรื่องในงานนี้หรอกใช่มั้ย?”

เซิงมู่เสวี่ยส่งสายตาที่สื่อความหมายลึกซึ้งให้เขา ราวกับกำลังบอกว่า ‘เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ’ จากนั้นหันตัวเดินไปทางเหมียวอี้ ไปช่วยเกลี้ยกล่อมตามกระแส

โค่วเหวินไป๋อกสั่นขวัญแขวน เขาย่อมเคยได้ยินมาก่อนว่าอาเขยจอมเอาเปรียบคนนี้เป็นคนอย่างไร เป็นคนที่กล้าก่อเรื่องในพิธีรับสนมของราชันสวรรค์ กล้าตบหน้าอิ๋งจิ่วกวงต่อหน้าฝูงชน มีหรือที่จะกลัวลูกหลานของตระกูลอิ๋ง

ภายใต้การเกลี้ยกล่อมซ้ำๆ ของทุกคน เหมียวอี้บอกว่า “พี่ใหญ่ ในเมื่อท่านไม่เชื่อใจข้าขนาดนี้ งั้นก็ไปด้วยกันกับข้าเลยสิ ถ้าข้าก่อเรื่องเมื่อไร พวกท่านจะได้ห้ามทันที”

ทุกคนมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา แล้วโค่วฉินก็ขมวดคิ้วบอกว่า “ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าไม่ก่อเรื่อง ทำไมเจ้าจะต้องไปดื่มสุราคารวะกับเขาให้อึดอัดด้วย?”

“ข้าก็แค่เห็นเขาสนุกสนานเกินไป อยากจะเข้าไปขัดจังหวะเขาก็เท่านั้นเอง” เหมียวอี้กล่าว

เขาพูดความจริงสุดๆ แล้ว อีกฝ่ายแทบจะเล่นงานจนเขาตาย แต่กลับยังดื่มสุราอย่างสนุกสนานอยู่ทางนั้น ถ้ามองไม่เห็นก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเห็นแล้วจะให้แกล้งทำเป็นไม่เห็นก็ยากหน่อย เขาเข้าตระกูลโค่วมาเพื่ออะไรล่ะ? ถ้าเข้าตระกูลโค่วมาแล้วยังต้องทนรับความไม่ยุติธรรมอย่างนี้ เขาก็รู้สึกผิดกับตัวเองเกินไปแล้ว ดังนั้นจึงอยากจะเข้าไปหาสักหน่อย…ทางที่ดีต้องทำให้อีกฝ่ายก่อเรื่องเอง

ทว่านี่คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ พวกโค่วเจิงไม่มีทางปล่อยให้เขาเข้าไปในเวลานี้ ถ้าคนของตระกูลโค่วไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วยก็ว่าไปอย่าง แต่ในเมื่ออยู่ตรงนี้แล้วยังปล่อยให้เหมียวอี้ก่อเรื่อง กลับไปก็จะแก้ตัวกับท่านพ่อไม่ไหว

โค่วเจิงก็ยิ่งแอบถ่ายทอดเสียงบอกอิ๋งอู๋หม่านที่อยู่ฝั่งตระกูลอิ๋ง “ให้ลูกชายเจ้าหลบไปหน่อย เดี๋ยวต่อไปเกิดเรื่องขึ้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนนะ”

สี่อ๋องสวรรค์เท่าเทียมกันมาก แต่ละคนจะมีลูกชายสามลูกสาวสาม ลูกชายสามคนของอิ๋งจิ่วกวงมีอิ๋งอู๋หม่าน อิ๋งอู๋เชวีย อิ๋งอู๋เฟย

อิ๋งอู๋หม่านก็คือลูกชายคนโตของตระกูลอิ๋ง พอได้ยินก็หันกลับมามอง พอเห็นคนของตระกูลโค่วกำลังขวางเหมียวอี้อยู่ทางนั้น ก็เข้าใจทันทีว่าโค่วเจิงหมายถึงอะไร จึงถ่ายทอดเสียงเย้ยว่า “ขู่ข้าเหรอ? นึกว่าตระกูลอิ๋งของข้ากลัวตระกูลโค่วของเจ้ารึไง?”

“ขู่เจ้าเหรอ?” โค่วเจิงพ่นเสียงทางจมูก ขี้คร้านจะพูดกับเขาแล้ว จึงหันตัวมาคว้าข้อมือเหมียวอี้ ไม่สนว่าเหมียวอี้จะมีข้ออ้างเหลวไหลอะไร ลากกลับมาโดยตรง

เมื่อได้เห็นฉากนี้ ในใจอิ๋งอู๋หม่านก็รู้สึกหนักหน่วงเล็กน้อย เขาไม่เห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตาหรอก เพราะประเด็นสำคัญอยู่ที่ท่าทีของตระกูลโค่ว การปฏิเสธตำแหน่งหัวหน้าภาคสองตำแหน่งนั่นต่างหากที่ทำให้ตระกูลอิ๋งกังวลที่สุด ต่อไปก็ยังไม่รู้เลยว่าตระกูลโค่วจะลงมือกับลูกหลานคนไหนของตระกูลอิ๋ง ตระกูลอิ๋งทำได้ ตระกูลโค่วก็ทำได้เหมือนกัน อาจจะพุ่งเป้ามาที่อิ๋งหยางเป็นพิเศษก็ได้

“อิ๋งหยาง เจ้าออกจากงานเลี้ยงไปก่อน กลับจวนไปก่อน” สุดท้ายอิ๋งอู๋หม่านก็ถ่ายทอดเสียงบอกลูกชายที่อยู่อีกโต๊ะหนึ่ง

เมื่อเห็นเหมียวอี้กำลังจ้องอิ๋งหยาง เขาก็ไม่อยากให้อิ๋งหยางกับเหมียวอี้เจอกัน ไม่ใช่เพราะกลัวเหมียวอี้ แต่ถ้าก่อเรื่องในเวลานี้ ต่อให้มีเหตุผลแก้ตัวที่ฟังขึ้น แต่ก็ยังเป็นการไม่ไว้หน้าราชันสวรรค์ ราชินีสวรรค์และตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ดี ตามหลักแล้วคนทั่วไปไม่กล้าก่อเรื่องในโอกาสและสถานที่แบบนี้หรอก แต่หนิวโหย่วเต๋อนั่นเหลวไหลเกินไปจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อครู้นี้มีตระกูลโค่วขวางอยู่ ดีไม่ดีก็อาจจะเกิดเรื่องขึ้นแล้วก็ได้

ที่เขาให้อิ๋งหยางกลับไป ก็เพราะวันนี้ยังต้องใช้เวลาที่อุทยานหลวงอีกนาน เขากังวลว่าเหมียวอี้จะจับตาดูอิ๋งหยางไม่เลิก ถ้าต่อไปเหมียวอี้ได้มาเจอกับอิ๋งหยางอีก ในงานมงคลที่ยิ่งใหญ่จนได้รับอภัยโทษทั้งแผ่นดินก็จะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะอยู่ดีเลย หลบคนบ้าอย่างเหมียวอี้ไว้หน่อยจะดีกว่า

ในบรรดาทหารยามที่เฝ้าอยู่บนบันไดนอกตำหนัก มีคนมองลงมาสังเกตความเคลื่อนไว้ของคนในงานเลี้ยง ความเคลื่อนไหวของคนตระกูลโค่วอยู่ในสายตาของเขา และข้อมูลก็ป้อนกลับไปที่หูของซ่างกวนชิงอย่างรวดเร็ว

ในตำหนัก ระหว่างที่งานเลี้ยงดำเนินไป สี่อ๋องสวรรค์ก็หาข้ออ้างทยอยกันไปในตำหนักด้านข้าง

ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงชำเลืองมองที่นั่งข้างล่างที่ขาดคน ซ่างกวนชิงเข้ามาถ่ายทอดเสียงข้างหูทันที บอกความเคลื่อนไหวข้างนอกให้ประมุขชิงรู้

ประมุขชิงแอบทำเสียงฮึดฮัด “อยากจะก่อเรื่องในงานมงคลของข้าอีกแล้ว เจ้าลูกลิงนั่นเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วรึไง? ทางตระกูลอิ๋งไม่ได้แอบมาเจรจาประนีประนอมกับตระกูลโค่วเชียวเหรอ?”

ซ่างกวนชิงตอบว่า “ไม่รู้ว่ารายละเอียดเป็นยังไง แต่มีเรื่องบางเรื่องที่ค่อนข้างน่าสนใจ ช่วงนี้ตระกูลอิ๋งควบคุมดูลูกหลานแบบเข้มงวดมาก ลูกหลานของตระกูลอิ๋งไม่ค่อยออกนอกบ้านเลย”

“อ้อ!” ประมุขชิงรู้สึกบันเทิงทันที “สงสัยครั้งนี้ตระกูลโค่วจะไม่อยากเมตตาแล้ว ตระกูลอิ๋งเริ่มกลัวแล้วล่ะ”

ซ่างกวนชิงบอกว่า “บ่าวก็สงสัยอย่างนี้เช่นกัน เป็นตระกูลอิ๋งที่หาเรื่องใส่ตัวเอง หนิวโหย่วเต๋อมีเรื่องกับคนไปทั่วขนาดนั้น ถ้าทำเรื่องนี้อย่างสะอาดเรียบร้อย ก็เกรงว่าคงจะตัดสินได้ยากว่าใครเป็นคนลงมือ แต่ตระกูลอิ๋งดันทำงานไม่เรียบร้อย เปิดโปงตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก ครั้งนี้คงจะทำตระกูลโค่วเดือดดาลแล้วจริงๆ”

พอกวาดมองที่นั่งวางของสี่อ๋องสวรรค์แวบหนึ่ง ประมุขชิงก็แสยะยิ้ม “น่าสนใจดีนี่ กลัวก็แต่สุนัขจะกัดกับสุนัขไม่ไหว”

ในตำหนักด้านข้าง สี่อ๋องสวรรค์กำลังล้อมอยู่รอบอ่างน้ำ ฮ่าวเต๋อฟางกับก่วงลิ่งกงอยู่ตรงข้ามกัน อิ๋งจิ่วกวงกับโค่วหลิงซวีอยู่ตรงข้ามกัน

ในบรรดาสี่คนนี้ มีเพียงโค่วหลิงซวีที่วางสองมือลงในอ่างน้ำที่มีกลีบดอกไม้โปรยแล้วล้างมืออย่างสบายๆ อิ๋งจิ่วกวงที่จ้องอยู่ตรงข้ามเขาเหมือนจะแค้นจนกัดฟันกรอด เมื่ออยู่ต่อหน้าคนพวกนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งทำตัวสุขุมนุ่มลึกอะไร

“ตาแก่โค่ว ทะเลาะกันต่อไปก็ไม่เป็นผลดีกับใคร คนที่ได้ประโยชน์มีแต่ท่านที่นั่งอยู่ข้างใน ถึงยังไงหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่เป็นอะไร เห็นอะไรดีๆ ก็รับไว้เถอะ” ฮ่าวเต๋อฟางกล่าวโน้มน้าว

โค่วหลิงซวียิ้มเรียบๆ “ดูพูดเข้าสิ ซูกวงกวงบอกว่าตระกูลอิ๋งไม่ได้ทำไม่ใช่เหรอ ข้ารับไว้แล้ว เหมือนข้าจะไม่ได้ทำอะไรตระกูลอิ๋งนี่นา? พวกเจ้ามาพูดสุ่มสี่สุ่มห้าอะไรกัน”

“พอแล้ว อยู่ต่อหน้าคนชัดเจนไม่พูดอะไรคลุมเครือ เรื่องบางเรื่องทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ แพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว ต้องถูกลงโทษ” ก่วงลิ่งกงกล่าว

เพื่อที่สี่อ๋องสวรรค์จะได้รักษาผลประโยชน์ในระดับนี้ของพวกเขาเอาไว้ เมื่อระหว่างพวกเขาเผชิญกับเรื่องที่ประนีประนอมกันกันลำบาก ก็จะดึงคนที่เหลือมาช่วยประสานงานให้ หาวิธีการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม จะให้สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายจริงๆ ไม่ไหวหรอก นอกเสียจากจะตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบอย่างถึงที่สุด หมดสิทธิ์ในการเจรจาต่อรอง ทำได้เพียงปล่อยให้คนฆ่าแกงเท่านั้นแหละ ดังนั้นระหว่างทั้งสี่จึงมีทั้งการแข่งขันและความร่วมมือกัน

หลังจากตระกูลโค่วปฏิเสธตำแหน่งหัวหน้าภาคสองตำแน่งนั้นไปแล้ว อิ๋งจิ่วกวงก็เกิดปัญหายุ่งยากแล้ว จึงถือโอกาสบอกให้ฮ่าวเต๋อฟางและก่วงลิ่งกงรู้

ที่จริงระหว่างสี่อ๋องสวรรค์นั้นพยายามหลีกเลี่ยงไม่ลงมือกับคนในครอบครัวของกันและกัน นอกเสียจากจะโดนกดดันจนหมดทางเลือก ไม่อย่างนั้นถ้าโต้ตอบกันไปโต้ตอบกันมา ผู้ที่สูญเสียก็จะมีแต่ครอบครัวพวกเขาเอง

โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม “โดนปรับเหรอ? เดี๋ยวต่อไปข้าโดนปรับด้วยก็สิ้นเรื่องแล้ว”

อิ๋งจิ่วกวงข่มไฟโกรธเอาไว้ เรากล่าวเสียงต่ำว่า “อย่าพูดเลวร้ายนักเลย ก็เสนอราคามาเถอะ”

เรื่องนี้ใช่ว่าจะแก้ปัญหาไม่ได้ ทำเอาลูกหลานของตระกูลอิ๋งไม่กล้าออกจากบ้านนั้นเป็นเรื่องเล็ก เฉพาะสิ่งนี้ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะ ว่าจิ่วกวงจ่ายค่าปรับไม่ไหวแล้วจริงๆ ขนาดลูกหลานในบ้านตัวเองปกป้องไว้ไม่ได้ อย่าว่าแต่คนนอกเลย แล้วจะให้ลูกหลานในบ้านมองเขาอย่างไร?

โค่วหลิงซวีเงยหน้า “ข้าไม่ต้องการค่าชดเชยจากเจ้า ก็ยังไม่พอใจอีกเหรอ?”

อิ๋งจิ่วกวงบอกว่า “ตาแก่โค่ว ค่ะแนะนำว่าเจ้าอย่าทำเกินไปนัก หนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่ผู้ชายของลูกสาวแท้ๆ ของเจ้าสักหน่อย อาศัยวรยุทธ์และฐานะของเขา ข้ายอมมอบตำแหน่งหัวหน้าภาคให้สองตำแหน่ง ก็ถือว่าไว้หน้าเจ้าแล้ว แถมเจ้านั่นก็ไม่เป็นอะไรเลยสักนิด รอดชีวิตกลับมาแล้ว เจ้าคิดจะเอายังไงอีก?”

“ซูกวงกวง เราจะหาเรื่องให้ได้เลยใช่ไหม?” โค่วหลิงซวีถาม

อิ๋งจิ่วกวงเดือดดาลแล้ว ชี้โค่วหลิงซวีที่อยู่ตรงข้าม พลางถามสองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวา “พวกเจ้าดูสิ ไม่ใช่ข้าที่ไม่เล่นตามกติกานะ เป็นเขาที่ตอแยไม่เลิก เรื่องนี้เจรจากันไม่ไหวแล้ว ได้ ไม่ยอมหยุดใช่ไหม ได้ ข้าก็อยากจะดูว่าใครจะกลัวใคร อย่างมากก็แค่แหลกลาญไปพร้อมกัน!”

ฮ่าวเต๋อฟางกับก่วงลิ่งกงสบตากันแวบนึง แล้วก็พยักหน้าเบาๆ ฮ่าวเต๋อฟางบอกว่า “เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ทุกคนถอยคนละก้าว ซูกวงกวงให้ตำแหน่งหัวหน้าภาคสามตำแหน่ง แล้วตาแก่โค่วก็หยุดตรงนี้ เรื่องนี้ก็นับว่าผ่านไปแล้ว เป็นยังไง?”

ก่วงลิ่งกงบอกว่า “ข้าคิดว่าได้นะ แล้วพวกเจ้าสองคนคิดว่ายังไง?”

อิ๋งจิ่วกวงแสยะยิ้ม “ครั้งนี้ข้ายอม!” นับว่าตกลงแล้ว

“เขาบอกแล้วไง ข้าไม่ต้องการอะไรชดเชย” ใครจะคิดว่าโค่วหลิงซวีกลับกล่าวยังเย็นชา

ทำให้อีกสามคนสีหน้าเปลี่ยนทันที ฮ่าวเต๋อฟางกล่าวเสียงต่ำว่า “ตาแก่โค่ว ก็หมายความว่า เจ้าดึงดันที่จะเปิดศึกให้ได้เลยใช่ไหม?”

โค่วหลิงซวีส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าข้าต้องการเปิดศึก แต่ตระกูลอิ๋งลงมือสังหารหนิวโหย่วเต๋อครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อให้ข้าจะอยากปลอบใจ แต่ก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรแล้ว เขาเปิดเผยต่อหน้าข้าเลย ว่าเขาไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ต้องการแค่หัวของอิ๋งหยาง!”

“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าไม่มีวิธีการควบคุมเขา” ก่วงลิ่งกงกล่าว

โค่วหลิงซวีก้มหน้าล้างมือต่อไป “ถึงแม้ข้าจะรับปากเขา แต่ก็มีอยู่เรื่องนึงที่ข้าเปิดเผยให้เขารู้ไปแล้ว ตระกูลโค่วไม่มีทางลงมือกับลูกหลานของตระกูลอิ๋ง ถ้าเขาอยากได้หัวของอิ๋งหยาง ก็ให้ไปจัดการเอาเอง ข้าทำถึงขั้นนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้ายังไม่พอใจอีก?”

“พวกเราหายหน้าไปตลอดงาน จะดูเหลวไหลเกินไป” จู่ๆ ฮ่าวเต๋อฟางก็บอกแบบนี้ ก่อนจะเอามือไขว้หลังเดินออกไปแล้ว

“อย่าให้ฝ่าบาทรอนานจะดีกว่า” ก่วงลิ่งกงกล่าวกลัวหัวเราะ แล้วหันตัวเดินออกไปเช่นกัน

โค่วหลิงซวียกมือสองข้างที่เปียกน้ำ สะบัดละอองน้ำใส่หน้าอิ๋งจิ่วกวง “ถ้ามีครั้งหน้า ถ้าไม่เกรงใจแล้วนะ!” พูดจบแล้วก็เดินออกไป

ข้างหน้าอิ๋งจิ่วกวงมีลำแสงปรากฏออกมา สกัดละอองน้ำไว้กลางอากาศ พอลำแสงหายไป เสาน้ำต้นหนึ่งก็ตกลงในอ่างน้ำ แทนที่เขาจะต่อว่าการกระทำที่ไร้มารยาทของโค่วหลิงซวี กลับถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็หันตัวเดินออกไปเช่นกัน…

งานเลี้ยงข้างนอกดำเนินไปได้ครึ่งทาง ตอนที่เหมียวอี้ที่ออกจากวงสุราของรุ่นเล็กแล้วมองไปทางตระกูลอิ๋ง ก็พบว่าอิ๋งหยางไม่อยู่แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าไปไหน เขาจะหาข้ออ้างออกจากโต๊ะไปเช่นกัน

“พี่ใหญ่ เขา…” โค่วฉินบอกใบ้

คนอื่นๆ ก็ปวดประสาทเช่นกัน แต่ใครจะคิดว่าโค่วเจิงกลับส่ายหน้า บอกใบ้ว่าไม่ต้องไปสนใจเหมียวอี้ เพราะเขาสังเกตเห็นตั้งนานแล้วว่าอิ๋งหยางไม่อยู่ ออกจากงานไปก่อนเวลา ถ้าอิ๋งอู๋หม่านไม่ป้องกันไว้ก่อนก็แปลกแล้ว

เขาเดาไว้ไม่ผิด เหมียวอี้เอาแต่คิดถึงอิ๋งหยางไม่เลิกจริงๆ แต่เหมียวอี้ก็ไม่ใช่คนโง่ ถ้าก่อเรื่องในเวลานี้อีก เกรงว่าตัวเองคงจะไม่โชคดีได้ไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์เหมือนครั้งก่อนแล้ว จาบจ้วงเดชานุภาพสวรรค์ต่อเนื่องกันแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ช่วยเขาไม่ได้แล้ว

ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางก่อเรื่อง จะตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไปหาอิ๋งหยาง ให้อิ๋งหยางเป็นฝ่ายก่อเรื่องเอง ดูว่าจะวางกับดักให้อิ๋งหยางตายได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าเขาเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่เป็นเพราะเขารู้อยู่แก่ใจ ว่าถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ไป ถ้าครั้งหน้าอยากจะลงมือกับอิ๋งหยางอีก ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นแล้ว ตระกูลโค่วปฏิเสธตำแหน่งหัวหน้าภาคสองตำแหน่งงั้นไปแล้ว ถือว่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่น ต่อไปนี้การคุ้มครองข้างกายอิ๋งหยางจะต้องแน่นหนา ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะแตะต้องก็แตะต้องได้ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากพลาดโอกาสครั้งนี้

ทว่าเดินหาไปรอบๆ แล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นเงาอิ๋งหยาง ถึงแม้วันนี้พระตำหนักอุทยานจะเปิดสถานที่รับแขกมากมาย แต่บางสถานที่เขาก็เข้าไปไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นตำหนักใหญ่ที่ใช้รับรองแขกของประมุขชิง คาดว่าอิ๋งหยางก็เข้าไปหลบข้างในไม่ได้เช่นกัน ที่สวนด้านหลังราชินีสวรรค์ก็มีไว้รองรับสมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิง ทั้งยังมีสนมของวังหลังอยู่เยอะมาก ไม่มีทางปล่อยให้แขกผู้ชายเข้าไป

หาอิ๋งหยางไม่เจอ แต่กลับเดินเนิบนาบอยู่ในศาลาที่อยู่ระหว่างน้ำพุของสวนชมทิวทัศน์ กลางน้ำมีภูเขาจำลองที่เกิดขึ้นจากหยกขาวธรรมชาติ มีหงส์เฟิ่งหวงขนสีรุ้งตัวหนึ่งที่นอนขดอยู่บนนั้น

เหมียวอี้เดินออกมาจากตึกศาลา เดินช้าๆ อยู่บนแท่นลอยริมสระน้ำ เขาหยุดยืนอยู่บนริมแท่นลอยที่อยู่ห่างจากภูเขาจำลองเพียงสองจั้ง แล้วเงยหน้ามองหงส์รุ้งที่นอนสงบนิ่งอยู่บนภูเขาจำลองลูกนั้น

ทิวทัศน์งดงามดุจภาพวาด บนภูเขาหยกมีหงส์สีรุ้ง คนที่อยู่ใต้ศาลามองกันผ่านน้ำกัน อีกฝ่ายอยู่ที่สูง อีกฝ่ายอยู่ข้างล่าง เป็นฉากที่เหมือนภาพวาด

เหมียวอี้ที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแอบมองประเมินไปรอบๆ รอจนกลุ่มเทพธิดาทยอยกันเดินออกไปจากสวนแล้ว เหมียวอี้ที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวาก็พลันพลิกมือแล้วกำหมัด ในมือเขากุมของบางอย่างเอาไว้ หมัดของเขาที่กำไว้แน่นมีระลอกคลื่นสีฟ้าลอยขึ้นมาจางๆ

…………………………

เหมียวอี้ที่จัดแต่งทรงผมอย่างรวดเร็วรีบเดินออกมา พอก้าวเข้าประตูมาก็กุมหมัดคารวะอย่างร่าเริง “ให้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่รอนานแล้ว”

โค่วเจิงกับสุยฉูฉู่พยักหน้าอย่างสุภาพ

อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นต้อนรับ แล้วถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า “เสร็จเรื่องแล้วเหรอ?”

เหมียวอี้ไม่ได้คิดอะไรมาก นึกว่าอวิ๋นจือชิวช่วยอ้างเหตุผลว่าเขาติดธุระ ถึงได้ออกมาช้า จึงพยักหน้าตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เสร็จเรื่องแล้ว ได้ยินว่าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่มา จะไม่รีบทำให้เสร็จเร็วๆ ได้ยังไง”

โค่วเจิงกับสุยฉูฉู่ตกใจทันที มองเหมียวอี้ด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เคยเห็นคนหน้าด้านมาก่อน แต่ก็ไม่เคยเห็นใครหน้าด้านขนาดนี้เลย ยังมีหน้ามายอมรับต่อหน้าบ่าวรับใช้อีก ทำเหมือนพวกเขาสองสามีภรรยามาขัดจังหวะเรื่องดีๆ ของเจ้าอย่างนั้นแหละ

เสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่อีกด้านเหลือบมองอวิ๋นจือชิวพลางเม้มปากกลั้นขำ ในใจรู้สึกทอดถอนใจไม่หยุด ฮูหยินกำลังวางกับดักนายท่านแบบถึงตายแลว!

และคำตอบที่สร้างสรรค์ของเหมียวอี้ก็แทบจะทำให้อวิ๋นจือชิวหลุดขำออกมาแล้ว เล็บที่อยู่ในแขนเสื้อกำลังจิดเนื้อตัวเองเพื่ออดกลั้นไม่ให้ขำออกมา นางกะว่าเดี๋ยวค่อยบอกความจริงเหมียวอี้ทีหลัง อยากจะเห็นมาว่าเหมียวอี้จะหน้าดำคร่ำเครียดอย่างไร

เหมียวอี้เองก็ค้นพบความผิดปกติแล้วเช่นกัน พบว่าโค่วเจิงกับสุยฉูฉู่มองตนด้วยสายตาแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั่งลงแล้ว ก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่มีธุระอะไรเหรอ?”

โค่วเจิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง ไม่ให้เรื่องมโนสาเร่มารบกวนเรื่องสำคัญ เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า “โหย่วเต๋อ ท่านพ่อตอบรับเงื่อนไขของเจ้าหมดแล้ว ท่านพ่อยอมให้เจ้าเป็นกรณีพิเศษเลย!”

หนึ่งในเรื่องสำคัญที่จะมาคุยก็คือเรื่องนี้ หวังว่าเหมียวอี้จะเข้าใจว่าโค่วหลิงซวีให้ความสำคัญกับเขาขนาดไหน นี่คือวิธีการซื้อใจคนที่ใช้บ่อย

เหมียวอี้รีบส่งสายตาให้โค่วเจิง แล้วก็ถือโอกาสพยักหน้า บอกใบ้ว่าเข้าใจแล้ว

โค่วเจิงที่ได้รับสายตาจากเหมียวอี้ตระหนักได้ทันทีว่าเหมียวอี้อาจจะไม่ได้บอกเรื่องนี้กับอวิ๋นจือชิว สุยฉูฉู่ก็เห็นสายตาของเหมียวอี้เช่นกัน อวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่ต่ำกว่าเหมียวอี้มองไม่เห็นพอดี

ทว่าอวิ๋นจือชิวก็แปลกใจแล้ว “ท่านสามี ท่านเสนอเงื่อนไขอะไรกับท่านพ่อบุญธรรมของข้า?”

เหมียวอี้หันกลับมาตอบนางด้วยท่าทางจริงจัง “โดนลอบสังหารที่แดนสุขาวดี ข้าเลยอยากจะเพิ่มการป้องกันที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีสักหน่อย พวกตาแก่กร้านโลกที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีน่ะ ข้าไม่กล้าหวังอะไรหรอก เลยขอให้ท่านพ่อบุญธรรมช่วยเปลี่ยนคนที่จวนแม่ทัพภาคให้สักหน่อย เปลี่ยนคนที่พึ่งพาไว้ใจได้ เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของท่านพ่อบุญธรรม แต่ท่านก็รับปากแล้ว”

อวิ๋นจือชิวได้ยินแล้วพยักหน้าทันที “เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณท่านพ่อบุญธรรมจริงๆ” นางเองก็รู้จักพวกตาแก่กร้านโลกที่ตลาดผี ถ้าอาศัยให้พวกนั้นรักษาความปลอดภัยให้เหมียวอี้ ก็ไม่น่าไว้ใจสักเท่าไร ขณะเดียวกันนางก็รู้ ว่าต่อให้โค่วหลิงซวีจะออกหน้าจัดการเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ง่ายอยู่ดี แต่ในเมื่อโค่วหลิงซวีรับปากแล้ว ก็ถือว่าช่วยเหลือได้ไม่น้อยแล้วจริงๆ

ดูจากการแอบเปลี่ยนเนื้อหาของเหมียวอี้ โค่วเจิงก็เข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว หลังจากเงียบและครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ถึงได้ถามว่า “โหย่วเต๋อ เจ้าเตรียมจะกลับไปที่ตลาดผีเมื่อไร?”

“อีกสองวันก็จะเดินทางแล้ว” เหมียวอี้กล่าว

โค่วเจิง “เกรงว่าจะต้องเลื่อนไปอีกสักหน่อย ข้าจะบอกข่าวอะไรเจ้าอย่างหนึ่ง ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์แล้ว ข่าวนี้ยืนยันแล้ว ฝ่าบาทปลาบปลื้มมาก เตรียมจะจัดงานเลี้ยงประกาศข่าวดีที่อุทยานหลวงอย่างเป็นทางการ สิ่งที่ท่านพ่อจะบอกก็คือ ถ้าจะให้เจ้าหนีไปทันทีที่ได้ยินข่าวเรื่องราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ ก็กลัวว่าคงจะมีคนคิดมาก จึงให้เจ้าไปเข้าร่วมงานเลี้ยงก่อนแล้วค่อยไป” เขาไม่ได้เอ่ยถึงว่าเหมียวอี้รู้เรื่องที่ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ตั้งนานแล้ว

เหมียวอี้ครุ่นคิดพลางพยักหน้า “ได้!”

โค่วเจิงลุกขึ้นแล้วบอกว่า “งั้นก็ตกลงตามนี้แล้วกัน ถึงตอนนั้นค่อยออกเดินทางพร้อมกัน แล้วให้เจ้าเจ็ดไปกับพี่สะใภ้ใหญ่”

นี่ก็คือจุดประสงค์ที่เขาพาสุยฉูฉู่มาด้วย ไม่ว่าเหมียวอี้จะตายด้วยน้ำมือของตระกูลเหล่านั้นหรือไม่ แต่ในตอนที่เรื่องราวยังไม่ดำเนินไปถึงขั้นนั้น สิ่งที่ควรจะพยายามก็ยังต้องพยายามต่อไป แล้วสุยฉูฉู่ก็เป็นสะใภ้ใหญ่ด้วย กอปรกับฐานะของโค่วเจิงในตระกูลโค่วตอนนี้ ในอนาคตสุยฉูฉู่จะกลายเป็นฮูหยินของหัวหน้าตระกูล มีความเป็นไปได้สูงว่าจะได้กลายเป็นนายหญิงของตระกูลโค่ว อากัปกิริยาบางอย่างก็ต้องรักษาเอาไว้ ดังนั้นสุยฉูฉู่จึงไม่สะดวกจะรีบแสดงบทบาทมากเกินไปเหมือนคนอื่น โค่วเจิงย่อมต้องแอบช่วยฮูหยินของตัวเองเป็นการส่วนตัว ให้ฮูหยินสานสัมพันธ์อันดีกับเจ้าเจ็ดเอาไว้ และถือว่ากำลังช่วยเขาซื้อใจคนด้วยเช่นกัน

หลังจากส่งทั้งสองไปแล้ว ตอนที่เหมียวอี้เพิ่งจะหันตัวมา ก็ถูกอวิ๋นจือชิวเดินตามมาคล้องแขน “หนิวเอ้อร์ ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์แล้ว ความร่วมมือระหว่างตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วก็จบลงแล้วน่ะสิ? ตึกศาลาสัตยพรตจะยังปกป้องเจ้าอยู่มั้ย?”

เหมียวอี้ยิ้มตอบ “เจ้าวางใจได้ ท่านพ่อย่อมพิจารณาถึงเรื่องนี้แล้ว ดูความเคลื่อนไหวก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เขาไม่ยอมบอกเรื่องที่ตัวเองเตรียมจะลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ

หลังจากนั้นหลายวัน วันแรกของงานเลี้ยงอุทยานหลวง ทางวังหลังก็ส่งข่าวมา ว่าสนมอวี้จัดการเรื่องนี้เรีนบร้อยแล้ว ราชินีสวรรค์ตอบตกลงให้เปลี่ยนกำลังคนที่ตลาดผีแล้ว

วันต่อมา ตระกูลโค่วนำโดยอ๋องสวรรค์โค่ว รวมทั้งคนในตระกูลโค่ว คนกลุ่มใหญ่มาถึงเรือนพักของตระกูลโค่วที่อุทยานหลวง

ตอนที่เข้ามาในสวน เขาชำเลืองมององครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกเรือน เพราะไม่รู้ว่าเป็นกองกำลังกลุ่มไหนของกองทัพองครักษ์ ตอนที่เขาเพิ่งจะออกจากอุทยานหลวงได้ไม่นาน กำลังพลกองมังกรดำของมู่อวี่เหลียนก็ถูกย้ายออกจากอุทยานหลวงแล้ว ก่อนที่จะไป มู่อวี่เหลียนก็ตั้งใจติดต่อมาหาเพื่อบอกให้เขารู้

คนกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่ในเรือนพักนานสักเท่าไร พอผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ก็รวมตัวกันไปที่พระตำหนักอุทยานแล้ว

บนลานกว้างนอกตำหนักหลักของพระตำหนักอุทยาน ตำแหน่งยืนชัดเจน ขุนนางยืนอยู่ข้างหน้า ทุกคนในครอบครัวอยู่ข้างหลัง ยืนกันแน่นขนัดเต็มลานกว้างแล้ว

บนบันไดหน้าตำหนัก แม่ทัพใหญ่เกราะแดงประคองกระบี่ยืนเรียงแถวอยู่ทางซ้ายและขวา กำลังมองไปรอบๆ ด้วยสายตาที่ดุร้ายราวกับเหยี่ยวและหมาป่า เป็นกำลังพลของกองทัพองครักษ์นั่นเอง

รอได้สักประเดี๋ยว ประมุขชิงกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เดินออกมาจากตำหนักพร้อมกัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เชิดหน้ายืดอก สีหน้าสง่าภูมิฐาน แต่ความดีใจที่แสดงออกทางสายตากลับยากที่จะปิดบังได้ นางกำลังกวาดมองกลุ่มขุนนางที่ยืนอยู่ตรงตีนบันได

ตุ้งตุ้งตุ้ง! หลังจากเสียงกลองสะท้านฟ้าดังขึ้นสามครั้ง เสียงกลองยังดังก้องอยู่ระหว่างฟ้าดิน ทุกคนบนลานกว้างทำความเคารพพร้อมกัน ส่งเสียงพร้อมกัน “คารวะฝ่าบาท คารวะราชินีสวรรค์!”

ในโอกาสที่เป็นทางการ ยามเผชิญหน้ากับการเข้าเฝ้าของกลุ่มขุนนาง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยกแขนเสื้อสองข้างที่ใหญ่โคร่งขึ้นมา แล้วโอบรวมกันเพื่อแสดงความเคารพกลับ

ประมุขชิงโบกแขนเสื้อ “ไม่ต้องมากพิธี!”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยราชินีสวรรค์!” หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว ทุกคนถึงได้ยืนตรงและมองขึ้นมาข้างบน

บนใบหน้าประมุขชิงมองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน ในงานไม่ได้มีพิธีการจุกจิกหยุมหยิมอะไรเกินไป ได้ยินเพียงเสียงที่ดังก้องของเขา “ข้า วันนี้จะประกาศข่าวมงคลให้ทุกคนรู้อย่างเป็นทางการ ราชินีสวรรค์กำลังตั้งครรภ์โอรสสวรรค์ให้ข้า ข้ามีผู้สืบทอดแล้ว!”

“ยินดีด้วยฝ่าบาท ยินดีด้วยราชินีสวรรค์…” เตรียมคำพูดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ทุกคนกล่าวเสียงดังพร้อมเพรียงกันสามรอบ

บนใบหน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เรียกได้ว่ากระปรี้กระเปร่าขึ้นในชั่วพริบตาเดียว กวาดมองเบื้องล่างด้วยแววตาสดใสเป็นประกาย ใช้คำว่า ‘มารดาได้พึ่งบารมีบุตรชาย’ นั้นเหมาะสมกับนางที่สุดแล้ว

ซ่างกวนชิงเดินลงบันไดไปหนึ่งขั้น แล้วจู่ๆ ก็กล่าวเสียงดังว่า “ฝ่าบาทถ่ายทอดคำสั่ง นิรโทษกรรมทั้งใต้หล้า! นักโทษทุกคนที่ถูกคุมขัง ขอเพียงไม่ใช่นักโทษกบฏ ก็จะได้รับอภัยโทษทั้งหมด! ผู้ร้ายที่กำลังหลบหนี ขอเพียงไม่ใช่นักโทษกบฎ หากยอมมอบตัว จะได้รับอภัยโทษทั้งหมด!”

“เป็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของฝ่าบาท เมตตาท่วมท้นสรรพสิ่ง!” เสียงของคนนับหมื่นดังขึ้นพร้อมกัน

“ฝ่าบาททรงจัดงานเลี้ยงให้ทั่วแดนร่วมฉลอง กคนกลับไปนั่งประจำที่” ซ่างกวนชิงกล่าว

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ทุกคนกล่าวเสียงดังพร้อมกันอีกครั้ง

ประมุขชิงกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หันตัวเดินเข้าไปในตำหนักพร้อมกัน บรรดาขุนนางใหญ่ที่มีสิทธิ์เข้าราชสำนักเดินตามหลังขึ้นบันไดไป เข้าไปร่วมงานเลี้ยงด้านใน

“ท่านปู่สวรรค์ ยินดีด้วย!”

ข้างหลังเซี่ยโห้วท่า เสียงแสดงความยินดีดังขึ้นเป็นแถบ มีทั้งปลอมบ้างจริงใจบ้างปนกันไป เซี่ยโห้วท่ากล่าวขอบคุณไม่หยุด ใบหน้าชรายิ้มแย้มราวดอกไม้บาน

สมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิงยืนแยกทางซ้ายและขวา เดินอ้อมตำหนักใหญ่เข้าไปร่วมงานเลี้ยงด้านในแล้ว

ประมุขชิงเลี้ยงรับรองขุนนางใหญ่อยู่ในตำหนักใหญ่ ส่วนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เลี้ยงรับรองสมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิงอยู่ที่ลานบ้านด้านใน

ที่จริงแล้ว ถ้านำสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงของแต่ละตระกูลมารวมกัน ก็จะมีจำนวนเยอะที่สุด ก็ช่วยไม่ได้ บรรดาขุนนางใหญ่แต่ละคน ถ้าจะบอกว่ามีสามภรรยาสี่อนุก็ถือว่ายังน้อยไป เพราะถ้าเห็นแล้วถูกใจก็จะรับเข้ามาไว้ในบ้าน ถ้ามีอนุภรรยาน้อยก็แปลกแล้ว

พอขุนนางใหญ่ไปแล้ว สมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิงก็ไปแล้ว ตอนนี้ลูกหลานของแต่ละตระกูลที่เหลืออยู่ก็มีไม่เยอะ เหลือไม่กี่พันคนเท่านั้น

ไม่นานก็มีเทพธิดาจำนวนมากมาจัดโต๊ะอาหาร นำอาหารเลิศรสสีสันงดงามมาวางไว้ สุราหยกก็ย่อมขาดไม่ได้เช่นกัน

ลำดับโต๊ะของแต่ละตระกูลอิงตามตำแหน่งขุนนาง เหมียวอี้ได้อาศัยบารมีนั่งแถวหน้าที่อยู่ห่างจากบันไดตำหนักไม่ไกล

ทางฝั่งตระกูลโค่ว โค่วเจิง โค่วเหมี่ยนและกลุ่มคนรุ่นเดียวกันกำลังยกจอกสุราดื่มฉลองด้วยกันอย่างร่าเริง “เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องมากพิธี” ทว่ายากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญได้ เขาก็ทำได้เพียงดื่มหมดจอกก่อนเพื่อแสดงความเคารพ

ขณะที่วางจอกสุราที่รินไว้เต็มลง พวกโค่วฉิน โค่วเหมี่ยนก็สังเกตเห็นว่าเหมียวอี้ใจลอยนิดหน่อย ทุกคนมองตามสายตาเหมียวอี้ เห็นกำลังมองไปทางกลุ่มตระกูลอิ๋งพอดี พบว่าเหมียวอี้จับตาดูอิ๋งหยางแล้ว ความไม่เป็นมิตรในสายตาเหมียวอี้นั้นยากจะปิดบัง พวกเขามองหน้ากันเลิกลั่ก ย่อมได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนสุขาวดีมาแล้ว

“เฮ้อ โหย่วเต๋อ วันนี้เป็นงานมงคลของฝ่าบาท อย่าไปคิดถึงคนเฮงซวยเลย มา พวกเรามาดื่มกันอีกสักจอก” โค่วเหมี่ยนชูจอกสุราขึ้นมาปลอบใจ。

คนที่นั่งโต๊ะเดียวกันพยักหน้า ทุกคนพากันพูดปลอบใจ มีเพียงโค่วเจิงที่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร เพราะเขาคือคนที่รู้ดีกว่าใคร ว่าต่อไปเหมียวอี้จะทำอะไรกับอิ๋งหยาง

เหมียวอี้สีหน้าเรียบเฉย เดินวนไปวนมาอยู่ในโต๊ะกับพวกเขาอย่างขอไปที

และในตอนนี้เอง ลูกชายของโค่วเจิงซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานคนโต หรือโค่วเหวินไป๋นั่นเอง มือข้างหนึ่งถือจอกสุรา มืออีกข้างถือกาสุรา มาดื่มคารวะกับผู้อาวุโสก่อน นับว่าเป็นลำดับอาวุโสเช่นกัน ข้างหลังเขา คาดว่าคงมีรุ่นหลานของตระกูลโค่วคงผลัดกันเข้ามาแล้ว

โค่วเหวินไป๋เริ่มตั้งแต่บิดา ดื่มคารวะไล่ลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนที่คารวะเหมียวอี้ กลับพบว่าเหมียวอี้มองไม่เห็นเขา เจ้าตัวกำลังเอียงหน้าไปอีกด้าน

“อาเขย” โค่วเหวินไป๋ยกจอกสุราพลางตะโกนเรียกด้วยรอยยิ้ม

“โหย่วเต๋อ เหวินไป๋มาดื่มคารวะเจ้า” โค่วฉินก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะกำลังมองอิ๋งหยางหัวเราะร่าเริงอยู่ทางฝั่งตระกูลอิ๋ง เป็นเวลาที่ไฟโกรธสุมทรวง ไม่สนใจใยดีโค่วเหวินไป๋เลย แต่กลับลุกขึ้นยืนแล้วถือกาสุรากับจอกสุราเตรียมจะเดินออกไป

โค่วเหวินไป๋สีหน้าเปลี่ยนไปมาก นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะไม่ไว้หน้าเขามากขนาดนี้ต่อหน้าฝูงชน ยืนถือจอกสุราค้างอยู่อย่างนั้น

แต่พวกโค่วเจิงกลับตกใจ พบว่าเหมียวอี้กำลังถือ ‘อาวุธ’ เดินไปทางตระกูลอิ๋ง แต่ละคนร้องในใจว่าแย่แล้ว เจ้าคนหัวรุนแรงคนนี้มันคิดจะทำอะไร?

โค่วเจิงรีบถ่ายทอดเสียงบอก โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนถลันตัวเข้าไปขวางเหมียวอี้ทันที ไม่รู้ว่ากำลังแอบพึมพำอะไรกันอยู่

“ท่านพ่อ! เขาหมายความว่ายังไง?” โค่วเหวินไป๋ถ่ายทอดเสียงถามโค่วเจิง

โค่วเจิงถลึงตาจ้องเขาอย่างดุดัน “ยังกลัววุ่นวายไม่พอรึไง? ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ถอยไป!” เขาลุกขึ้นเดินไปทางเหมียวอี้เช่นกัน ยื่นมือไปดึงแขนเหมียวอี้ แล้วกล่าวเสียงต่ำ “โหย่วเต๋อ วันนี้เป็นวันมงคลของฝ่าบาท อย่าทำซี้ซั้ว!”

“ข้าก็แค่จะไปดื่มคารวะเอง ไม่เกิดเรื่องหรอก” เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้มเรียบๆ

สามพี่น้องพูดไม่ออก เจ้าก่อเรื่องจนชื่อเสียงโด่งดังแล้ว ด้วยพฤติกรรมของเจ้าในตอนนี้ ยังกล้าบอกอีกเหรอว่าจะไม่เกิดเรื่อง ใครจะไปเชื่อล่ะ?

………………………

“จะถลึงตาโตขนาดนั้นทำไม อยากจะกินคนเหรอ? ต่อให้ข้าจะหน้าตาดี แต่เจ้าก็ไม่ต้องถลึงตาจ้องข้าอย่างนี้หรอกมั้ง? น่าตกใจนะ” อวิ๋นจือชิวพยายามทำให้กลายเป็นเรื่องขบขัน “ข้าพูดแล้วเจ้าจะร้อนใจน่ะสิ แค่ลองก็รู้แล้ว ยังจะมาปากแข็งอีก สงสัยในใจของเจ้า ฮูหยินอย่างข้าคงไม่สำคัญเท่าพี่น้องของเจ้าหรอกมั้ง!”

เหมียวอี้จ้องนางไม่ละสายตา “ข้าไม่ได้ร้อนใจ ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเกี่ยวข้องกับเจ้ารอง?”

“อย่ามองลงต่ำ เจ้าอยู่เหนือหัวข้าไม่ได้นะ ข้าไม่ตกหลุมพรางเจ้าหรอก นั่งลง นั่งลงคุยกัน” อวิ๋นจือชิวชี้ลงข้างล่าง “ข้าบอกว่าข้าแค่สงสัย เจ้าจะร้อนใจทำไม?”

“ข้าไม่ได้ร้อนใจ” พอเหมียวอี้หย่อนก้นนั่งลงแล้ว ก็ยังไม่ยอมทิ้งประเด็นสนทนานี้ “รีบบอกมา เรื่องเป็นยังไงกันแน่ แผนที่ที่มีมานานขนาดนั้น จะไปเกี่ยวข้องกับเจ้ารองได้ยังไง?”

อวิ๋นจือชิวรู้ว่าเขาร้อนใจ ถ้าจะพูดหยอกต่อไปทั้งสองก็จะทะเลาะกัน นางจึงไม่พูดหยอกเขาแล้ว “ข้าเจอจุดเริ่มต้นของแผนที่แล้ว จุดหมายปลายทางยังคงเป็นอาณาเขตดาวนิรนาม ยังคงต้องทำตามขั้นตอนเพื่อหาจุดหมายปลายทางสุดท้าย ถึงจะยืนยันการคาดเดาของข้าได้”

เหมียวอี้ทำสีหน้าราวกับโดนตะคริวกิน “น้องชิว เจ้าล้อข้าเล่นรึเปล่า เจ้าอิงจากอะไรถึงเดาว่าเกี่ยวข้องกับเจ้ารอง?”

“จุดเริ่มต้นอยู่ใกล้กับทางเข้าแดนสุขาวดี อยู่ที่น่านฟ้าเถาะติง!” อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างเฉียบขาด

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ไม่เข้าใจ! เจ้าอิงจากอะไรถึงโยงเจ้ารองไปเกี่ยวข้องน่านฟ้าเถาะติง…” คำพูดเขาหยุดชะงัก แล้วตัวเองก็เริ่มขมวดคิ้วพึมพำเช่นกัน “น่านฟ้าเถาะติง น่านฟ้าเถาะติง!” เขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แล้วถามอย่างสงสัย “เจ้านึกเชื่อมโยงไปถึงข่าวของพระปีศาจหนานโปที่ปล่อยออกมา ปีศาจจิ้งจอกสามหางที่ปรากฏตัวที่น่านฟ้าเถาะติงเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ไม่ใช่แค่นี้นะ ถ้าแค่เพราะน่านฟ้าเถาะติง ข้าคงไม่นึกเชื่อมโยงถึงเรื่องนี้หรอก ตรงด้านบนของดาวเคราะห์ดวงที่ระบุไว้บนจุดหมายปลายทางของแผนที่ ตั้งใจระบุวัดแห่งหนึ่งเอาไว้ ในวัดยังมีเงาคนที่คลุมเครือด้วย…วัดอะไรกันที่ควรค่าแก่การทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ดาวโดยเฉพาะ? ทำเครื่องหมายวัดไว้เฉยๆ ก็ว่าแปลกแล้ว แต่ยังตั้งใจแสดงเงาคนที่คลุมเครือเอาไว้ในวัดเพื่ออะไรอีก? นอกเสียจากว่า เงาคนคนนี้จะสำคัญต่อแผนที่ดาวฉบับนี้มากเท่านั้น!”

“วัด? เงาคน?” เหมียวอี้แววตาเลื่อนลอย นึกถึงคำพูดของปีศาจจิ้งจอกสามหางที่เกาก้วนเล่าให้ฟัง ในวัดแห่งหนึ่งระบุเงาคนที่มองเห็นหน้าตาไม่ชัดเจนเอาไว้ เขาอดไม่ได้ที่จะทำสายตาตกตะลึง สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วหลุดพูดออกมาว่า “พระปีศาจหนานโป!”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้าอีกครั้ง แต่ก็ส่ายหน้าอีก “แต่ข้าแค่นำสิ่งที่เจ้าสงสัยในตอนแรกมาเชื่อมโยงกัน ส่วนรายละเอียดจะถูกหรือไม่ถูก ข้าก็ยืนยันไม่ได้เหมือนกัน”

“สำนักหนานอู๋…ถูกทำลายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโป…ซากสำนักหนานอู๋…กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋…ผู้ซ่อนสมบัติ…จุดซ่อนสมบัติ…พระปีศาจหนานโป!” เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แล้วก้าวไปอยู่ใต้ชายคาของศาลาเย็น เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แล้วถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ หรี่ตาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

อวิ๋นจือชิวเดินไปข้างหลังเขา เอาแขนคล้องเอวเพื่อให้ร่างกายแนบชิดกับเขา พลางกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้ารอง แต่นี่เป็นแค่การคาดเดาของข้า เจ้าอย่าร้อนใจสิ”

“มีความเป็นไปด้สูงมาก!” เหมียวอี้ส่ายหน้าเบาๆ แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจราวกับกลัดกลุ้มไร้ที่สิ้นสุด “ถ้าจุดที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่คือสถานที่ผนึกของพระปีศาจหนานโปจริงๆ ข้าคิดว่าข้าน่าจะยืนยันตัวตนของผู้ซ่อนสมบัติได้แล้ว”

“อ้อ!” อวิ๋นจือชิวปล่อยเขา เดินอ้อมมาด้านข้าง มองใบหน้าด้านข้างที่มีเค้าความแข็งแกร่งชัดเจนของเขาพร้อมถามว่า “หมายความว่ายังไง?”

เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำอย่างไม่แน่ใจ “ดูจากเบาะแสที่ปรากฏบนจุดซ่อนสมบัติ ผู้ซ่อนสมบัติกับสำนักหนานอู๋น่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ห้ามผู้หาสมบัติไม่ให้เอาทรัพย์สินที่สำนักหนานอู๋ทิ้งไว้หรอก หลังจากสำนักหนานอู๋ถูกทำลายไปแล้วหลายปี พระปีศาจหนานโปถึงได้ถูกผนึกไว้ ถ้าแผนที่นี้ชี้ทางไปสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปจริงๆ จะต้องเป็นหลายปีหลังจากนั้นถึงจะปล่อยคนเข้ามาในจุดซ่อนสมบัติได้ พระปีศาจหนานโปถูกศิษย์ทั้งหกของตัวเองผนึกไว้แล้ว ซึ่งพวกเขาก็คือประมุขปราชญ์หกลัทธิ และตอนที่ประมุขปราชญ์หกลัทธิยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้คนนอกรู้ว่าสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปอยู่ตรงไหน ไม่อย่างนั้นด้วยพฤติกรรมหยิ่งยโสจนมองไม่เห็นใครอยู่ในสายตาของพระปีศาจหนานโป ถ้าหลุดออกมาก็จะต้องกวาดล้างสำนักแน่นอน นี่คือเรื่องที่เป็นความลับสุดยอด ประมุขปราชญ์หกลัทธิใกล้ตายแล้วถึงได้คายความลับออกมา ตอนมีชีวิตอยู่ไม่มีทางที่จะบอกใคร ถึงขั้นว่าต่อให้ตายไปก็ไม่กล้าบอกด้วย! ว่ากันว่าพระปีศาจหนานโปมีพลังอิทธิฤทธิ์ล้ำลึก ไปถึงขั้นที่สามารถควบคุมการเวียนว่ายตายเกิดได้แล้ว คนอื่นอาจจะไม่กล้ายืนยัน แต่พวกเรากลับได้เห็นเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางฉบับครบสมบูรณ์แล้ว เห็นชัดเจนว่าระดับสูงสุดของเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางเป็นแบบนี้ และเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางก็ถูกสร้างโดยพระปีศาจหนานโป หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถ้าพระปีศาจหนานโปหลุดออกมาเมื่อไร ต่อให้ประมุขปราชญ์หกลัทธิจะตายไปนานแล้ว แต่พระปีศาจหนานโปก็มีวิธีการจับพวกเขาที่เกิดใหม่ในชาติหน้ามาลงโทษได้อยู่ดี เจ้าว่าประมุขปราชญ์หกลัทธิจะกลัวมั้ยล่ะ?”

อวิ๋นจือชิวก็สูดหายใจอย่างตกตะลึงเช่นกัน แล้วพูดต่ออย่างลังเลว่า “ดังนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่คนนอกจะรู้สถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโ ถ้าให้คนนอกรู้ขึ้นมา ก็จะต้องบอกศัตรูของพระปีศาจหนานโปแน่นอน หรือไม่ก็หาทางตามหาคนที่สามารถทำลายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปได้”

เหมียวอี้เม้มปากแน่น แล้วกล่าวอย่างยากลำบาก “ข้าเชื่อว่าถ้าไม่ถึงคราวตาย ประมุขปราชญ์หกลัทธิก็ไม่มีทางบอกสถานที่ผนึกออกมาง่ายๆ แน่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวว่าเชื่อใจใครหรือไม่เชื่อใจใคร แต่คนสุดท้ายที่กดดันให้ประมุขปราชญ์หกลัทธิตายก็สอดคล้องกับเงื่อนไขสองข้อที่เจ้าบอก อย่างน้อยก็สอดคล้องแล้วหนึ่งเงื่อนไข เพราะอาจารย์ของเขาตายด้วยน้ำมือพระปีศาจหนานโป นับว่าเป็นศัตรูของพระปีศาจหนานโปจริงๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ก่อนที่ประมุขปราชญ์หกลัทธิจะตาย คนสุดท้ายที่ได้เจอก็น่าจะเป็นเขาแล้ว และเป็นไปได้มากที่สุดว่าก่อนตายจากฝังความลับนี้ไว้”

อวิ๋นจือชิวพลันเบิกตากว้าง แล้วเงยหน้ามองเหมียวอี้อย่างตะลึงงัน “ประมุขไป๋!”

“ประมุขไป๋” เหมียวอี้พยักหน้าถอนหายใจเบาๆ แล้วเงยหน้ามองพลางฟ้าพึมพำว่า “เหล่าไป๋ ประมุขไป๋…เหล่าไป๋ ใช่ท่านรึเปล่า? ถ้าเป็นท่านจริงๆ ทำไมต้องทำเรื่องราวให้ซับซ้อนขนาดนี้?”

“เหล่าไป๋?” อวิ๋นจือชิวได้ยินเขาพึมพำ จึงลองถามว่า “เจ้าสงสัยว่าพวกเขาสองคนคือคนคนเดียวกันเหรอ?”

เหมียวอี้ถอนหายใจอีก “ไม่รู้สิ”

“เหล่าไป๋นั่นหน้าตาดีอย่างที่เจ้าบอกจริงเหรอ?” อวิ๋นจือชิวถามอย่างแปลกใจอีก

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “ตั้งแต่ข้าเกิดมาจนกระทั่งตอนนี้ ข้าก็ยังไม่เคยเห็นใครดูดีกว่าเขาเลย บุคลิกสง่างามเฉียบแหลม ท่วงท่าที่สง่าและรักอิสระของเขานั้นไม่มีใครเทียบติด มีสง่าราศีไร้ที่เปรียบ ขนาดข้ายังไม่มีทางบรรยายออกมาได้เลย ต่อให้ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าปลอมตัวเป็นเขา แต่เกรงว่าคงแปลงร่างให้มีสง่าราศีเหมือนเขาไม่ได้อยู่ดี ไม่มีทางลอกเลียนแบบได้ ส่วนหน้าตาก็หล่อผิดธรรมชาติจริงๆ ถ้าจะบอกว่าเขาเป็นที่สุดแห่งยุค ก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไปเลยสักนิด เป็นที่สุดแห่งยุคจริงๆ! ข้ายังจินตนาการไม่ออกเลย ว่าคนที่ดูเหมือนไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใครแบบนั้น ทำไมถึงเป็นประมุขไป๋ที่ทำให้ประมุขชิงกับประมุขพุทธะหวาดกลัวได้ จินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าคนที่มีลักษณะแบบนั้นจะไปแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ได้!”

เขาบรรยายจนอวิ๋นจือชิวรู้สึกอยากรู้ อยากจะเห็นมากว่าผู้ชายคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ นึกไม่ถึงถึงขั้นทำให้เหมียวอี้ชื่นชมหน้าตาได้ มีผู้ชายที่หน้าตาดีขนาดนั้นด้วยเหรอ? แต่ก็ถามอย่างลังเลอีกว่า “ถ้าเหล่าไป๋นั่นคือประมุขไป๋จริงๆ แล้วประมุขไป๋ที่โดนขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจล่ะ? ประมุขชิงกับประมุขพุทธะคงไม่ถึงขั้นไม่รู้หรอกมั้งว่าประมุขไป๋หนีไปแล้ว? มิหนำซ้ำ อาศัยความสามารถอย่างเขา ก็ไม่น่าจะยืมมือเจ้าสิ เขาออกมารับมือกับทุกอย่างด้วยตัวเองไม่ดีกว่าหรอกเหรอ?”

เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าก็เลยคิดไม่ตกไง คิดไม่ตกจริงๆ! แต่อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็แน่ใจได้ว่าผู้ซ่อนสมบัติคือประมุขไป๋!”

“จุดที่น่าสงสัยเยอะเกินไ บางทีอาจจะมีความลับอะไรบางอย่างที่พวกเราไม่รู้ คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว” อวิ๋นจือชิวใช้มือข้างหนึ่งจับบ่าเขา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “หนิวเอ้อร์ ถ้าจุดที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่คือที่อยู่ของเจ้ารองจริงๆ เจ้าเตรียมจะทำยังไง?”

เหมียวอี้ตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า “ข้าก็ย่อมต้องไปหาเขาอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะปล่อยให้เขาโดนขังอยู่ที่นั่นโดยไม่สนใจ”

“นี่ก็คือสิ่งที่ข้าลังเลก่อนหน้านี้” อวิ๋นจือชิวจับไหล่เขาหันมาอย่างโมโหนิดหน่อย นางมองหน้าเขาพร้อมบอกว่า “หนิวเอ้อร์ ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าใช้อารมณ์ทำงาน เจ้าก็น่าจะรู้ถึงสถานการณ์ที่น่านฟ้าเถาะติง ตำหนักสวรรค์ก็กลัวพระปีศาจหนานโปมากเหมือนกัน ตั้งแต่ได้รับข่าวจากปีศาจจิ้งจอกสามหาง ก็ส่งกำลังพลจำนวนมากไปสำรวจบริเวณนั้นแล้ว มันใช่เรื่องเหรอที่เจ้าจะไปโผล่อยู่ที่นั่น?”

“เอ่อ…” เหมียวอี้พูดไม่ออก เขาละเลยเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ จนกระทั่งตอนนี้ตำหนักสวรรค์ก็ยังไม่ยอมเลิกเลย ค้นหาสถานที่นั่นไม่ยอมหยุด ถ้าเขาโผล่หน้าไปคงจะถูกพบได้ง่ายๆ คิดไปคิดมาก็เลยทำได้เพียงพักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว รอให้คิดาวิธีได้ครอบคลุมก่อนแล้วค่อยแก้ปัญหาอีกที ได้แต่บ่นอย่างแค้นใจว่า “เจ้ารองมันรนหาที่ตาย ให้เขาได้รับบทเรียนลำบากยาวๆ หน่อยก็ดีเหมือนกัน!”

อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน แล้วพูดเหยียดว่า “ปากไม่ตรงกับใจ! ถ้ามีวิธีการ เกรงว่าข้าคงจะห้ามเจ้าไม่ไหวหรอก แสร้งทำเป็นจัดการกับญาติพี่น้องที่กระทำผิดกฎอะไรกัน เจ้าน่ะเป็นคนไม่สังวรณ์ในคำพูดและการกระทำของตนเอง!”

เหมียวอี้ปากกระตุก ขณะกำลังจะเถียงกลับ ใครจะคิดว่าตรงประตูลานบ้านด้านในจะมีคนมารายงาน “คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่มาแล้ว”

“เชิญ…” เหมียวอี้เพิ่งจะพูดคำว่า ‘เชิญเข้ามา’ แต่ฝ่ามือหอมข้างหนึ่งก็มาอุดปากเขาไว้แล้ว นอกจากอวิ๋นจือชิวแล้วจะเป็นฝีมือใครไปได้

“เจ้าทำอะไรน่ะ?” เหมียวอี้ดึงมือนางออก แล้วามอย่างหงุดหงิดนิดหน่อย

อวิ๋นจือชิวชี้ไปยังมวยผมเอียงบนศีรษะของเขา “เจ้าจะออกไปเจอคนในสภาพนี้เหรอ? ยังไม่รีบไปจัดทรงแล้วค่อยออกไปอีก” นางหันกลับมาสั่งว่า “เชียนเอ๋อร์ รีบไปช่วยจัดทรงผมให้นายท่านสักหน่อย”

เหมียวอี้ยกมือลูบบนยอดศีรษะโดยจิตใต้สำนึก เขาสีหน้าดำมืดลงแล้ว ชี้อวิ๋นจือชิวซ้ำๆ ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่าเจ้าคอยดูเถอะ จากนั้นสะบัดชายเสื้อรีบวิ่งออกไป กลัวว่าคนนอกเห็นแล้วจะเสียหน้า

อวิ๋นจือชิวแอบหัวเราะ จากนั้นก็จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย กลับมาทำท่าทางจริงจังเหมือนเดิม นางกำลังครุ่นคิด ว่าโค่วเจิงพาฮูหยินมาที่นี่ด้วยธุระอะไร นางตะโกนบอกเสียงดังว่า “เชิญเข้ามา!” แล้วตัวเองก็นำเสวี่ยเอ๋อร์ออกไปต้อนรับ

ผ่านไปครู่เดียว นางก็พาโค่วเจิงและสุยฉูฉู่ฮูหยินของเขาเข้ามาข้างในด้วยตัวเอง

ความงามของสุยฉูฉู่นั่นย่อมไม่ต้องพูดถึง ลูกชายคนโตของอ๋องสวรรค์โค่วมีหรือที่จะเสียเปรียบ จะต้องเป็นยอดหญิงงามที่พาออกหน้าออกตาทางสังคมได้อยู่แล้ว นางหัวเราะพูดคุยกับอวิ๋นจือชิวมาตลอดทาง

ทั้งสามเดินเข้ามาในโถงหลักแล้วนั่งลง โค่วเจิงมองซ้ายมองขวา แล้วถามอย่างแปลกใจนิดหน่อยว่า “เจ้าเจ็ด น้องเขยล่ะ?”

อวิ๋นจือชิวที่กำลังคุยเล่นกับสุยฉูฉู่เก็บรอยยิ้มบนใบหน้าทันที แล้วพ่นเสียงทางจมูก “พี่ใหญ่ ท่านยังไม่รู้อีกเหรอว่าผู้ชายอย่างพวกท่านเป็นยังไง? ท่านกับพี่สะใภ้ใหญ่มาได้จังหวะพออดี เขาพึงดึงหญิงรับใช้เข้าห้องหาไปหาความสำราญ ห้ามก็ห้ามไม่อยู่” นางหันกลับมาโบกมือให้เสวี่ยเอ๋อร์ “ไปดูหน่อยว่าพวกเขาเสร็จหรือยัง ให้นายท่านรีบโผล่หัวออกมา มีแขกมาแล้ว อย่ามัวแต่หาความสำราญไม่รู้จักจบจักสิ้น”

เสวี่ยเอ๋อร์รีบก้มหน้าแล้วเดินออกไป แต่ในใจกลับตกตะลึง พบว่าฮูหยินช่างหาข้ออ้างได้ดีจริงๆ ให้นายท่านเป็นแพะรับบาป ถ้าให้นายท่านรู้แล้ว ก็คงจะโมโหจนกระอักเลือดแน่

สุยฉูฉู่เม้มปากหัวเราะ พบว่าเจ้าเจ็ดช่างมีปากที่ไม่ปรานีใคร ขนาดผู้ชายของตัวเองก็ยังโดนไปด้วยแล้ว ที่จวนตระกูลโค่วแห่งนี้ นอกจากเจ้าเจ็ดแล้วก็ไม่มีใครกล้าพูดอย่างนี้กับผู้ชายของตัวเองเลย แต่ก็ว่าได้ดี ในด้านนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนดีสักคน

โค่วเจิงกระตุกมุมากเล็กน้อย แล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาปิดบังสีหน้าอับอาย ในใจก็กำลังด่าเหมียวอี้เช่นกัน เป็นคนประเภทไหนกัน แค่สุ่มมาที่นี่สักครั้งก็เจอกับเรื่องแบบนี้เข้าแล้ว ซวยจริงๆ!

…………………………

“ขอบคุณท่านพ่อบุญธรรมที่ช่วยให้สมปรารถนา!” เหมียวอี้กุมหมัดขอบคุณ

โค่วหลิงซวีโบกมือให้จากข้างหลัง “คนบ้านเดียวกัน ยังมีอะไรจะขออีกก็พูดออกมาทีเดียวเลย”

เหมียวอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่มีขอรับ รอให้นึกออกแล้วค่อยรบกวนท่านพ่อบุญธรรมอีก”

“หึ! เจ้านี่ช่างไม่เกรงใจเลยจริงๆ” โค่วหลิงซวีพ่นเสียงทางจมูก แล้วโบกมือบอกว่า “เอาล่ะ ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วก็กลับไปอยู่กับเจ้าเจ็ดก่อน เจ้าเองก็อยู่ที่นี่นานเกินไปไม่ได้ ยังต้องกลับไปที่ตลาดผีให้เร็วที่สุด ถือโอกาสนี้ใช้เวลาอยู่กับนางให้มากๆ ส่วนเรื่องเปลี่ยนกำลังพลที่ตลาดผี เดี๋ยวผู้เฒ่าถังจะติดต่อเจ้าไปอีกที”

ผู้เฒ่าถังก็พยักหน้าเช่นกัน “ท่านเขย หากเรื่องทางนี้เรียบร้อยแล้ว บ่าวจะติดต่อท่านไปทันที”

“รบกวนท่านอาถังแล้ว” เหมียวอี้กุมหมัดขอบคุณ แล้วถือโอกาสขอตัว

หลังจากมองส่งเขาจากไปแล้ว ผู้เฒ่าถังก็หันตัวถามว่า “นายท่าน จะให้เขาก่อเรื่องที่ตลาดผีจริงเหรอ?”

โค่วหลิงซวีตอบว่า “ที่เขาพูดก็ไม่ผิด ตราบใดที่เขาไม่ทรยศค่ะ ประมุขชิงก็ไม่มีทางปล่อยเขาออกจากตลาดผี จะคุมตัวเขาไว้ที่ตลาดผีตลอด พวกเราปกป้องเขาได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว ปกป้องทั้งชีวิตไม่ได้ สถานการณ์กลายเป็นอย่างนี้แล้ว การเก็บเขาไว้ในมือก็กลายเป็นซี่โครงไก่อยู่ดี ถ้าเขาเผชิญกับสถานการณ์วิกฤต พวกเราจะทำยังไงล่ะ? จะช่วยหรือจะไม่ช่วย? ตระกูลอื่นล้วนต้องการเล่นงานเขาให้ถึงความตาย ตระกูลโค่วของเราตระกูลเดียวหากรับมือกับตะกูลอื่นต่อไปนานๆ ก็จะได้ไม่คุ้มเสีย แต่ถ้าไม่ช่วยเขา ชื่อเสียงของพวกเราก็จะไม่น่าฟังเช่นกัน ตอนนี้เขาก็เรื่องสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ถ้าเป็นอย่างที่เขาบอกได้จริงๆ ถ้ากลับมาทำงานให้ตระกูลโค่วที่ทัพเหนือได้จริงๆ ก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว แต่ถ้าทำไม่สำเร็จ ตายอยู่ในมือตระกูลอื่น ก็นับว่าเรื่องนี้จบลงแล้วเช่นกัน”

โค่วเจิงกลับถังเฮ่อเหนียนทำสีหน้าครุ่นคิด ยอมเข้าใจว่าคำว่า ‘จบ’ หมายความว่าอะไร หนิวโหย่วเต๋อถูกประมุขชิงกดไว้ที่ตลาดผี เป็นการสร้างสถานะฝ่ายถูกกระทำไม่ตระกูลโค่วมากจริงๆ นี่คือสิ่งที่ตระกูลโค่วไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย สิ้นเปลืองความคิดมากมายเพื่อชิงตัวลูกศิษย์ของอสุราอัคนีเอาไว้ในมือ แต่กลับกลายเป็นตัวภาระแล้ว ในเมื่อหมดประโยชน์แล้ว บางทีการตายด้วยน้ำมือของตระกูลอื่น ก็จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ทั้งสองคนเข้าใจแล้วว่าทำไมโค่วหลิงซวีถึงตอบตกลงเงื่อนไขของหนิวโหย่วเต๋ออย่างใจถึงตรงไปตรงมา ที่พยายามช่วยเขาเต็มที่ ก็เพื่อจะให้โลกภายนอกได้เห็นเท่านั้น โค่วหลิงซวีทุ่มทุนไปเยอะเพื่อดึงตัวมา ถ้าทิ้งไปง่ายๆ จะให้ลูกน้องมองเขาอย่างไร จะไม่ผิดหวังท้อใจกันหรอกเหรอ

“เฮ้อ!” ถังเฮ่อเหนียนถอนหายใจเบาๆ เรื่องบางเรื่องก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาจริงๆ เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ที่จริงจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ ว่าเจ้าเด็กนี่มีจุดที่เหนือกว่าคนอื่นจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าหาญงัดข้อกับตระกูลอื่น ความกล้าของเขาไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจะเทียบติด ระดับผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ คนอื่นยังคิดอยู่เลยว่าจะปีนขึ้นไปยังไง จะกอบโกยทรัพยากรอย่างไง ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหมอนี่จะขยายอำนาจตัวเองไปแล้ว?” เขาหมายถึงเรื่องที่เหมียวอี้อาศัยอำนาจตอนรับตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์มาหาเส้นสายกับคนหลากหลายวงการ

“เจ้าใหญ่ ที่หนิวโหย่วเต๋อพูดเมื่อครู่นี้เจ้าก็ได้ยินแล้ว” โค่วหลิงซวีหันตัวมามองโค่วเจิง เตือนอย่างจริงจังว่า “เขาหัวรุนแรง บ้าพลัง ทุ่มสุดตัว เมื่อไหร่ที่สภาพแวดล้อมไม่เอื้อประโยชน์ต่อตัวเอง เขาก็กล้ายอมแลกทุกอย่างแล้วสู้ตาย คนประเภทนี้บางทีก็โง่ที่สุดเหมือนกัน แต่บางทีก็น่ากลัวที่สุด เพราะคนที่ประสบความสำเร็จก็มักจะเป็นคนประเภทนี้ เมื่อไม่มีโอกาส ก็จะสร้างโอกาสให้ตัวเอง ไม่ใช่พวกลังเลห่วงหน้าพะวงหลังพี่รู้จักแต่รอโอกาส บนโลกนี้มีโอกาสเยอะพอกับจำนวนคนรอเสียที่ไหนกัน ถ้าประสบความสำเร็จก็มีชื่อเสียง ถ้าพ่ายแพ้ชีวิตก็ไร้ค่า นี่ก็คือความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างต้นหญ้าที่ผงาดขึ้นมากับลูกหลานผู้มีอำนาจ! พวกเจ้ามีตระกูลปกป้องมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยได้รับความพ่ายแพ้อะไร สิ่งที่เรียนมาได้ก็เป็นเพราะใช้อำนาจที่คนรุ่นก่อนรักษาไว้ให้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อาศัยอำนาจอ้อมไปอ้อมมา คนที่หมกมุ่นว่าตัวเองฉลาดแล้วภาคภูมิใจในตนเองน่ะเป็นคนโง่ อ้อมค้อมนานๆ เข้าก็จะทำให้ตัวเองเลอะเลือน ถ้าเจอคนที่เจ้าอ้อมค้อมด้วยไม่ไหว ใช้ดาบแทงเข้ามาใส่เจ้าโดยตรง เจ้าก็จะลนลานทำอะไรไม่ถูก บนตัวหนิวโหย่วเต๋อมีสิ่งที่ควรค่าให้เจ้าเรียนรู้”

“ขอรับ! ลูกได้เรียนรู้แล้ว” โค่วเจิงกุมหมัดคารวะพลางโค้งตัวค้างไว้

พอเหมียวอี้ที่มีเรื่องหนักใจเดินมาถึงนอกสวน ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้า เงยหน้ามองตัวอักษร ‘อวิ๋นเซวียน’ บนประตูที่โค่วหลิงซวีเขียนด้วยตัวเอง

พูดถึงขั้นนั้นแล้ว โค่วหลิงซวีก็ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยอวิ๋นจือชิวออกจากจวนอ๋องสวรรค์เลย เขาย่อมเข้าใจว่าอวิ๋นจือชิวอยู่ทำอะไรที่นี่ เขาอยู่ข้างนอกแต่กลับทิ้งให้เมียตัวเองมาเป็นตัวประกันอยู่ที่นี่ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกผิดในใจ

เพียงแต่พอกลับมาย้อนคิดดูตอนนี้ การทิ้งอวิ๋นจือชิวไว้ที่นี่ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ อย่างน้อยก็ปลอดภัยไร้กังวล เรื่องที่เขากำลังจะทำที่ตลาดผี ไม่เหมาะที่จะพาอวิ๋นจือชิวไปเสี่ยงอันตรายด้วย ถ้าทำเรื่องนี้สำเร็จก็จะแลกอิสระมาให้อวิ๋นจือชิวได้ แต่ถ้าเรื่องนี้ล้มเหลว ก็เกรงว่าโฉมงามคงจะกระดูกแตกสลาย หลังจากเขาตายไป อวิ๋นจือชิวก็จะหมดคุณค่าให้ตระกูลโค่วกักตัวไว้ สามารถทำให้อวิ๋นจือชิวได้รับอิสระเช่นกัน และในมืออวิ๋นจือชิวก็มีช่องทางและทรัพยากรที่เขาทิ้งไว้ให้ ชีวิตในอนาคตคงจะไม่มีปัญหา ส่วนจีเหม่ยลี่และอนุภรรยาคนอื่นๆ ก็ล้วนมีอำนาจหนุนหลังหนุนหลัง ต่อให้ตัวเองตายไปก็ไม่ส่งผลกระทบต่อพวกนางมากนัก

ส่วนคนอื่นๆ คนตายก็เหมือนโคมไฟที่ดับแล้ว เขาก็ดูแลไม่ทั่วถึงเช่นกัน

หลังจากจบเรื่องแล้วจะได้ไม่มีความกังวลเกินไป พอนึกถึงตรงนี้ จู่ๆ เหมียวอี้ก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองสามารถเผชิญหน้ากับสารเลวพวกนั้นได้อย่างเต็มที่แล้ว!

เขาเก็บงำความกลุ้มใจของตัวเอง เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปในหออวิ๋นเซวียน

ไม่นานข้างในก็มีเสียงของเสวี่ยเอ๋อร์ดังขึ้น “ฮูหยิน นายท่านกลับมาแล้วค่ะ”

ผ่านไปม่นาน อวิ๋นจือชิวที่มีเสียงเครื่องประดับดังกรุ๊งกริ๊งก็นำเชียนเอ๋อร์เดินออกมาจากลานบ้านด้านหลัง ปิ่นทองบนมวยผมสั่นไหว คนงดงามกว่าดอกไม้ เปล่งประกายสดใส

ก่อนจะเข้ามา อวิ๋นจือชิวก็มองประเมินเขาศีรษะจดเท้า แล้วพูดหยอกว่า “ยิ้มตาหยีแบบนี้ ไปเจอเรื่องอะไรดีๆ มาล่ะ? มีบ้านไหนจะนำสาวงามส่งให้ถึงที่เหรอ?”

เหมียวอี้ยื่นมือไปจับคางที่ขาวเกลี้ยงเกลาของนาง “เมื่อคืนนี้ใครกันนะที่ร้องขอชีวิต พอได้ใส่เสื้อผ้าก็ปากดีเลยนะ?”

เพี้ยะ! อวิ๋นจือชิวปัดมือเขาออก พอนึกถึงเรื่องที่ถูกกระทำจนจะเป็นจะตายเมื่อคืนนี้ นางก็อับอายจนเกินทน แก้มแดงเหมือนพระอาทิตย์ยามเย็นทันที นางยกกระโปรงขึ้นมา แล้วเตะเขาอย่างโมโหเพราะอับอาย “ปากไม่มีหูรูด คนจัญไรไม่รู้จักอาย”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เม้มปากแอบหัวเราะ เหมือนจะมีแค่ตอนที่ทำเรื่องนั้นแล้วเท่านั้น ฮูหยินถึงจะยอมแพ้เมื่ออยู่ต่อหน้านายท่าน

อวิ๋นจือชิวถลึงตาใส่สาวใช้ พวกนางทำหน้านิ่งอย่างซื่อสัตย์ทันที แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

“ผีบ้า!” อวิ๋นจือชิวยื่นมือไปบิดเอวเหมียวอี้อีก เสร็จแล้วถึงได้คล้องแขนเขาเดินเข้าไปในเรือน พร้อมถามว่า “ไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ย?”

“จะเป็นอะไรไปได้ล่ะ ก็แค่ให้ทั้งสองฝ่ายให้คำอธิบาย พระโพธิสัตว์หลันเย่พาคนกลับไปแล้ว” เหมียวอี้ตอบอย่างผ่อนคลาย

ส่วนบทสนทนากับตระกูลโค่ว รวมทั้งเรื่องที่ตัวเองกำลังจะทำ เขาไม่ได้คิดจะบอกนาง นางจะได้ไม่กังวล

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” อวิ๋นจือชิวใช้มือข้างหนึ่งตบหน้าอกที่อิ่มเอิบของตัวเอง หลังจากทั้งสองเข้าไปในศาลาแล้วก็ปล่อยแขนเหมียวอี้ รับถ้วยน้ำชาจากมือเชียนเอ๋อร์ยื่นให้เขา ส่วนตัวเองก็นั่งลงตรงข้าม รอให้เหมียวอี้จิบน้ำชาจนชุ่มคอแล้ว นางถึงได้ถ่ายทอดเสียงในขอบเขตแคบๆ “รีบๆ หน่อย ในที่สุดข้าก็เปรียบเทียบแผนที่สองฉบับนั้นจนเจอเบาะแสก่อนที่เจ้าจะกลับตลาดผีแล้ว ส่วนรายละเอียดอาจจะยังเทียบไม่เจออะไร ต้องรอไปตรวจสอบกับสถานที่จริงถึงจะแน่ใจได้”

“อ้อ!” เหมียวอี้วางถ้วยน้ำชาลง แล้วถามว่า “ผลเป็นยังไง?”

อวิ๋นจือชิวตอบว่า “เจ้าเดาไว้ไม่ผิดหรอก แผนที่หนึ่งในนั้นอาจจะเป็นทางลับที่ใช้เข้าออกแดนสุขาวดีจริงๆ เพราะจุดเริ่มต้นของประตูดวงดาวแห่งหนึ่งก็อยู่ในแดนสุขาวดี น่าจะเป็นทางออกมาจากแดนสุขาวดี ส่วนตำแหน่งโดยละเอียดของประตูดวงดาวก็อยู่ที่อาณาเขตนิรนามฝั่งแดนสุขาวดี ถ้าอยากจะหาให้เจอก็คงต้องทำตามขั้นตอน ส่วนจุดเริ่มต้นของประตูดวงดาวอีกแห่งอยู่ฝั่งตำหนักสวรรค์ ตำแหน่งประตูดวงดาวก็อยู่ที่อาณาเขตนิรนามเช่นกัน ถ้าอิงตามแผนที่แดนอเวจีครั้งก่อน เชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์ของผู้ซ่อนสมบัติ มีทั้งทางเข้าและทางออกคู่กัน ประตูดวงดาวอีกแห่งก็น่าจะเป็นทางเข้าแดนสุขาวดี”

เหมียวอี้พยักหน้า “แล้วแผนที่อีกฉบับล่ะ?”

พอพูดถึงแผนที่อีกฉบับ อวิ๋นจือชิวก็ขมวดคิ้วมุ่น เหมือนอึกอักอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี

เหมียวอี้แปลกใจทันที “อย่าบอกนะว่ามีอะไรไม่สะดวกจะพูดกับข้า? เป็นอะไรไป อย่าบอกนะว่าแอบลักลอบทำอะไรกับใครลับหลังข้า?”

“ไปตายไป!” อวิ๋นจือชิวถลึงดวงตางาม นางปรี๊ดแตกทันที ถลันตัวเข้าไปดึงมวยผมเหมียวอี้ บีบคอเขาเอาไว้ กดหัวเขาลงไปบนโต๊ะโดยตรง เรียกได้ว่าทารุณมาก เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เห็นแล้วปวดประสาท โชคดีที่ทั้งสองคุ้นชินกับสิ่งนี้ตั้งนานแล้ว

หารู้ไม่ว่าสำหรับอวิ๋นจือชิวแล้ว คนอื่นจะล้อเล่นอย่างไรก็ได้ แต่มีเพียงคำว่า ‘แอบลักลอบ’ ที่ไม่ควรเอ่ยกับนาง ภายนอกนางดูเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ลึกๆ แล้วนางเป็นคนหัวโบราณมาก เพราะเคยมีอดีตกับเฟิงเสวียนมาก่อน ในใจจึงอ่อนไหว โดยเฉพาะเมื่อคำนั้นหลุดมาจากปากเหมียวอี้ ก็ยิ่งยั่วยุอารมณ์นางได้เป็นพิเศษ สิ่งนี้กลายเป็นจุดอ่อนในชีวิตของนางที่ไม่มีหนทางเยียวยาแล้ว

“ผู้หญิงปากร้าย เจ้าบ้าไปแล้วสินะ ล้อเล่นไม่ได้รึไง?” เหมียวอี้พยายามลุกขึ้นยืน ใช้มือข้างหนึ่งผลึกนางออก

อวิ๋นจือชิวใช้มือสองข้างเท้าเอว “พูดมาให้ชัดเจนเถอะ ใครกันแน่ที่แอบลักลอบ? เจ้าแอบหาเศษหาเลยกินลับหลังข้า ยังมีหน้ามาว่าข้าอีกเหรอ?”

พอเอ่ยเรื่องหาเศษหาเลยกิน ในหัวเหมียวอี้ก็มีภาพหวงฝู่จวินโหรวลอยขึ้นมา เขาจึงพ่นเสียงทางจมูกแล้วนั่งลงทันที “เป็นบ้าอะไรล่ะ ถามเรื่องแผนที่ ถึงขั้นต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ? รีบบอกมาเถอะ อย่ามัวปิดบัง เป็นยังไงกันแน่?”

อวิ๋นจือชิวก็แค่สะกิดจุดอ่อนเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาเขาก็เท่านั้นเอง พอพิจารณาดูให้ดี นางรู้เช่นกันว่าเหมียวอี้พูดโดยไม่ได้ตั้งใจ นางจึงทำเสียงฮึดฮัดแล้วกลับมานั่งลงตรงข้าม ยกกระโปรงขึ้นนั่งไขว่ห้าง แล้วเหล่ตาบอกว่า “ยอมรับผิดมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันอย่างพูดไม่ออก ทั้งสองแอบถอนหายใจ เป็นเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะว่าสองสามีภรรยาคู่นี้อย่างไรดี เอะอะก็ทะเลาะกันจนแตกคอได้แล้ว แบบนี้มันใชเรื่องเสียที่ไหน

“ก็ได้! ข้าผิดไปแล้วตกลงมั้ย?” เหมียวอี้ยอมรับผิดอย่างปากไม่ตรงกับใจ ในใจกลับเกิดความคิดชั่วร้าย ถึงอย่างไรก็ยังมีเวลา คืนนี้นางตัวแสบได้ทรมานแน่

อวิ๋นจือชิวทำเสียงฮึดฮัด ค่อยๆ สงบสติอารมณ์อย่างช้า ทว่านางเริ่มขมวดคิ้วอีกครั้ง “หนิวเอ้อร์ แผนที่ฉบับนั้นน่ะ ข้าก็แค่เดานะ เจ้าได้ยินแล้วอย่าร้อนใจล่ะ”

“ร้อนใจ?” เหมียวอี้ทั้งโมโหทั้งอยากขำ “ก็แค่แผนที่ตั้งแต่สมัยไหนแล้วก็ไม่รู้ ข้าจะเป็นถึงขนาดนั้นเลยเหรอ? โดนเจ้าโมโหใส่จนชินตั้งนานแล้ว ผู้ชายของเจ้าเป็นคนข่มอารมณ์ไม่ไหวขนาดนั้นเลยเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน แล้วเบะปากบอกว่า “เจ้าพูดเองนะว่าไม่ร้อนใจ ข้าสงสัยว่าจุดหมายสุดท้ายที่ทำสัญลักษณ์ไว้บนแผนที่ จะเป็นสถานที่เดียวกับที่เจ้ารองของเจ้าติดอยู่ตอนนี้”

เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมา เหมียวอี้ก็พลันลุกขึ้นยืน แล้วถลึงตาจ้องนางทันที

…………………………

ถังเฮ่อเหนียนตะลึงงัน นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้กล่าวอะไรเช่นนี้ออกมา ย้ายสายตาจากบนหน้าเหมียวอี้ไปที่หน้าโค่วหลิงซวี อยากจะดูปฏิกิริยาของโค่วหลิงซวี

ด้านนอกตำหนัก โค่วเจิงกลับมาจากการไปส่งขบวนเดินทางของพระโพธิสัตว์หลันเย่ ตอนที่มาถึงประตูก็ได้ยินคำพูดตอนท้ายของเหมียวอี้เช่นกัน เขาเดินเข้ามายื่นอยู่อีกข้างในตำหนักอย่างเงียบๆ กำลังสังเกตปฏิกิริยาของโค่วหลิงซวี

บนใบหน้าโค่วหลิงซวีไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เพียงจ้องมองเหมียวอี้ครู่หนึ่ง แล้วถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เจ้าเตรียมจะลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบยังไง?”

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “เปลี่ยนจากฝ่ายถูกกระทำเป็นฝ่ายกระทำ โดยเฉพาะการรอให้พวกเขามาหาเรื่องข้า ไม่สู้ให้ข้าไปหาเรื่องพวกเขาก่อนดีกว่า ลงมือกับฐานลับของพวกเขาที่ตลาดผี กดดันให้พวกเขาอึดอัดทุกข์ใจ กดดันจนพวกเขาร่วมแรงกัน ถึงจะกดดันให้ฝ่าบาทตอบตกลงที่จะปล่อยข้าออกจากตลาดผี แบบนั้นข้าถึงจะกลับมาทำงานรับใช้ที่ทัพเหนือให้ท่านพ่อบุญธรรมได้!”

โค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนสบตากันอย่างรู้สึกผิดคาดอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะมีอารมณ์รุนแรงขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะอยากงัดข้อกับตระกูลอื่นโดยตรง

โค่วเจิงชำเลืองมองเหมียวอี้พลางแอบเดาะลิ้น คิดในใจว่าช่างกล้า คงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ!

ถังเฮ่อเหนียนขมวดคิ้ว “ท่านเขย เรื่องนี้เวลาพูดน่ะพูดง่าย ขนาดตระกูลเรายังไม่ค่อยรู้เรื่องฐานลับของพวกเขาที่ตลาดผีเลย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะหาฐานลับของพวกเขาที่ตลาดผีเจอหรือไม่ ลำพังแค่ความเสี่ยงที่อยู่ในนั้น ท่านเคยคิดบ้างรึเปล่า ถ้ากดดันจนพวกเขาจนตรอกเป็นสุนัขกระโดดกำแพง แล้วลงมือสังหารท่านโดยตรง เกรงว่าต่อให้เป็นตึกศาลาสัตยพรตก็ปกป้องท่านลำบากมาก”

เหมียวอี้อธิบายอย่างใจเย็น “ท่านอาถัง ถ้าข้าไม่ทำอย่างนี้ แล้วพวกเขาจะปล่อยข้าไปเชียวเหรอ? ถ้าข้าไม่ทำอย่างนี้ ก็แสดงว่าไม่มีอันตรายใช่มั้ย? ฝ่าบาทไม่ความคิดยังไง ท่านพ่อบุญธรรมกับท่านอาถังก็รู้แจ่มชัดกว่าข้า ตราบใดที่ข้าไม่ทรยศท่านพ่อบุญธรรม ก็เป็นไปไม่ได้ที่ฝ่าบาทจะปล่อยข้าออกจากตลาดผี จะกดดันให้ข้าอยู่ในสถานที่อันตรายตลอด และถ้าข้าทรยศท่านพ่อบุญธรรมเมื่อไร ก็จะต้องแบกรับคำครหาว่าคนทรยศอกตัญญู ไร้ศีลธรรมจรรยาไปตลอดชีวิต ท่านอาถังข้าไม่มีทางให้ถอยแล้ว จะเป็นเป้านิ่งรอให้พวกเขาลงมือกับข้าไม่ได้!”

ถังเฮ่อเหนียนมอบโค่วหลิงซวีที่เงียบไปแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจเบาๆ “ท่านเขย ข่าวเข้าใจความกังวลของท่าน แต่ในบ้านมีงานมากมาย ต้องเกี่ยวข้องกับหลายด้านมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะให้บุคลากรสำคัญวนรอบตลาดผีอยู่ตลอด หวังว่าท่านจะเข้าใจ”

เหมียวอี้ตอบว่า “ท่านอาถัง ข้าเองก็ไม่อยากก่อเรื่องหรอก แต่ต่อให้ต้นไม้อยากจะอยู่นิ่งๆ แต่ลมกลับพัดไม่หยุด! เริ่มตั้งแต่ตอนที่ข้าบริหารร้านขายของชำซื่อตรงที่ตลาดสวรรค์ สถานการณ์ของข้าก็ไม่เคยปลอดภัยอย่างแท้จริงเลย ข้าเดินผ่านมาโดยมีอันตรายแฝงอยู่รอบตัวตลอด แต่ข้าไม่กลัวหรอก ข้าชินมาตั้งนานแล้ว ข้าก็เลยกล้าล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์ กล้านำกำลังพลครึ่งหนึ่งของธงพยัคฆ์ไปตีทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติง อนาคตดีๆ ที่ได้มาไม่ใช่เพราะอดทน แต่เป็นเพราะต่อสู้มาทั้งนั้น! ส่วนเรื่องกำลังคน…ท่านอาถัง ข้าคุมตลาดสวรรค์มาหลายปีขนาดนี้ เพื่อที่จะปกป้องตัวเองจากอันตรายรอบตัว เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะไม่เตรียมคนไว้เลย ตอนที่ในมือข้ากุมอำนาจการซื้อขายของร้านค้าจำนวนมากเอาไว้ ข้าก็ต้องคบหาสหายไว้บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ และลูกน้องคนสนิทของข้าก็ถูกผลักดันให้ขึ้นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์หลายแห่งทั้งแบบโจ่งแจ้งและแบบลับ ข้าควบคุมช่องทางทรัพยากรได้จำนวนหนึ่ง ดังนั้นข้าจึงคบหาสหายไว้หลายวงการ ข้ามั่นใจว่าข้าหาคนมาช่วยได้แน่นอน ขนาดในปีนั้นที่ข้าไม่มีที่พึ่งพา ข้ายังไม่กลัวเลย ตอนนี้มีตระกูลสนับสนุนแล้ว ข้าก็ยิ่งไม่กลัว!”

ในดวงตาถังเฮ่อเหนียนฉายแววตกตะลึง ที่แท้เจ้าหนุ่มนี่ก็ขยายอำนาจตัวเองตั้งแต่ตอนเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แล้ว

โค่วเจิงก็ทำสายตาตกตะลึงเช่นกัน

โค่วหลิงซวีหลับตาเล็กน้อย พร้อมถามเสียงเรียบ “บอกรายละเอียดมา เจ้าเตรียมจะลงมือยังไง?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ท่านพ่อบุญธรรม ข้าถูกดดันให้หดหัวอยู่ในจวนแม่ทัพภาคมาตลอด ไม่รู้สถานการณ์เกี่ยวกับฐานลับของแต่ละตระกูลในตลาดผีเลย ถ้าจะให้บอกรายะละเอียดตอนนี้ก็ถือว่าเร็วไปหน่อย เรื่องวางแผนให้รอบคอบและมองการณ์ไกลน่ะข้าทำไม่ไหวหรอก ข้าชินกับการพลิกแพลงตามสถานการณ์มากกว่า ดังนั้นข้าจึงอยากให้ท่านพ่อบุญธรรมให้อำนาจตัดสินใจกับข้าในระดับหนึ่ง”

โค่วหลิงซวีหลุบตาต่ำลง แล้วถามด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา “เจ้ารู้สึกว่าตระกูลโค่วจำกัดอิสระของเจ้าเหรอ?”

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “ท่านพ่อบุญธรรมเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่หวังให้ท่านพ่อบุญธรรมให้โอกาสข้าตัดสินเองตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป”

นี่ก็คือข้อเสียของการเข้ามาอยู่ในตระกูลโค่ว ไม่ว่าเรื่องไหนก็ต้องขอคำชี้แนะจากตระกูลโค่วก่อนตลอด มีเรื่องมากมายที่เขาไม่สามารถทำเองได้เลย เรียกได้ว่าถูกจำกัดอิสระไว้เข้มงวดมาก หลายวันก่อนหลังจากถังเฮ่อเหนียนพูดคุยกับเขาในเชิงลึกไปครั้งหนึ่ง เขาก็ไตร่ตรองมาเยอะมาก นอกจากนอนกับอวิ๋นจือชิวอย่างเอาเป็นเอาตายทุกวันเพราะห่างกันไปนาน เขาก็ไตร่ตรองเรื่องนี้มาตลอด ไม่ต้องพูดถึงการหลุดพ้นจากตระกูลโค่วโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยเขาก็ต้องคิดหาทางช่วงชิงทางหนีทีไล่ในการถอยหลับบ้างสักนิด ไม่อย่างนั้นการทำแบบนี้ต่อไปก็ไม่ใช่วิธีการที่ดี

เรื่องที่ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ เขารู้สึกว่าอาจจะมีโอกาสนี้ แต่ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เขาก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะลองดู

โค่วหลิงซวียังไม่มีปฏิกิริยากับสิ่งนี้ ยังคงกล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า “เจ้าเป็นคนของตระกูลโค่วแล้ว ที่ให้เจ้ารายงานขึ้นมาทุกเรื่องก็เพราะมีหลายเรื่องที่ดึงขนเส้นเดียวสะท้านทั้งร่างกาย[1] และสถานการณ์เบื้องล่างของเจ้าก็ไม่ชัดเจน ทางนี้สามารถช่วยเจ้าพิจารณาถึงสถานการณ์โดยรวมได้มากขึ้น ทำให้เจ้าเสียเปรียบน้อยลง ทั้งเป็นการหวังดีต่อตระกูลโค่ว และหวังดีต่อเจ้า”

เหมียวอี้จึงกล่าวอย่างจริงใจว่า “ข้าทราบว่าท่านพ่อบุญธรรมหวังดีกับข้า หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจเหตุผลเช่นกัน ย่อมรู้จักบันยะบันยัง ไม่ได้บอกว่าตัวเองจะตัดสินใจซี้ซั้ว เพียงหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากท่านพ่อบุญธรรม ให้โอกาสข้าตัดสินใจเองตามสถานการณ์ที่พบเจอ ไม่ได้แปลว่าจะไม่บอกอะไรกับตระกูลเลย แต่เรื่องบางเรื่องนั้นเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า ถ้ามีอำนาจรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการแสดงความสามารถของข้า หวังว่าท่านพ่อบุญธรรมจะช่วยให้สมปรารถนา?”

“เจ้าคิดว่าเจ้างัดข้อกับตระกูลพวกนั้นไหวจริงๆ เหรอ?” โค่วหลิงซวีเอ่ยถามเสียงเรียบ

“ข้าย่อมไม่มศักยภาพนั้น ก็เลยหวังจะได้รับการสนับสนุนจากท่านพ่อบุญธรรม หวังว่าท่านพ่อบุญธรรมจะช่วยข้าแก้ไขปัญหาจุกจิกใจในภายหลังให้” เหมียวอี้ตอบ

โค่วหลิงซวีร้องอ๋อ แล้วเดินผ่านข้างกายเหมียวอี้อย่างช้าๆ หลังจากหยุดยืนนิ่งแล้ว ก็เอามือไขว้หลังมองออกไปนอกประตูตำหนัก แล้วพูดกับเขาในขณะที่หันหลังให้ว่า “ปัญหาจุกจิกใจในภายหลังอะไรบ้าง? ลองพูดมาก่อน”

เหมียวอี้ตามไปข้างหลังเขา “ประการแรกคือการสนับสนุนจากท่านพ่อบุญธรรมในการประชุมราชสำนัก ไม่อย่างนั้นเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์โดยรวม หนิวโหย่วเต๋อก็ต้านรับไม่ไหวเลย”

“นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าช่วยได้ก็ย่อมต้องช่วย” โค่วหลิงซวีกล่าว

เหมียวอี้บอกต่อว่า “พวกทหารยศต่ำในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีไร้ความหวังที่จะได้เลื่อนขั้น กลายเป็นปลิ้นปล้อนแก่ประสบการณ์ไปหมดแล้ว คาดว่าคงถูกอำนาจแต่ละฝ่ายแทรกซึมเข้ามา ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็เก็บเป็นความลับไม่ได้เลย ข้าหวังว่าจะเปลี่ยนคนชุดใหม่ หวังว่าท่านพ่อบุญธรรมจะส่งกำลังคนที่มีฝีมือมาให้ข้าสักชุดหนึ่ง เป็มกลุ่มคนที่เชื่อฟังคำสั่งข้าอย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ในที่สุดโค่วหลิงซวีก็ทำสีหน้ามีเมตตากรุณาแล้ว ยังนึกว่าเหมียวอี้ต้องการจะตัดสินใจเองโดยสิ้นเชิง การให้เขาส่งคนทางนี้ไปให้ ก็แปลว่าเหมียวอี้ยังไม่ได้คิดจะปลีกตัวออกจากการควบคุมของตระกูลโค่ว โค่วหลิงซวีจึงหันกลับไปมองถังเฮ่อเหนียน “ผู้เฒ่าถัง เจ้าไปจัดการเรื่องนี้เถอะ”

โค่วเจิงตกใจทันที แต่ถังเฮ่อเหนียนกลับกล่าวอย่างลังเลนิดหน่อยว่า “นายท่าน เกรงว่าเรื่องนี้คงจะจัดการลำบาก ประการแรกคือตลาดผีไม่ได้อยู่ในเขตปกครองของทัพเหนือ แต่อยู่ในการควบคุมของราชินีสวรรค์ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าการไปตลาดผีนั้นยุ่งยาก ในภายหลังถ้าจะย้ายออกจากตลาดผีก็ยุ่งยากเช่นกัน เกรงว่าจะไม่มีใครอยากไป”

โค่วหลิงซวีบอกว่า “เรื่องทางวังหลังน่ะ ข้าจะให้สนมอวี้ไปคุยกับราชินีสวรรค์ให้ ตอนนี้ราชินีสวรรค์กับลังพบเจอเรื่องมงคล ตระกูลโค่วของข้าออกแรงช่วยเยอะขนาดนี้ เป็นเวลาที่คุยง่ายพอดี ตระกูลเซี่ยโห้วต้องตอบแทนน้ำใจที่ติดหนี้พวกเราเอาไว้ ไม่มีทางมาขัดขวางเรื่องเล็กน้อยในเวลานี้ น่าจะไม่ยากมาก ส่วนเรื่องความกังวลของกำลังพลเบื้องล่าง ถ้าทุ่มเททำงานรับใช้ข้า ข้าจะดูแลพวกเขาไม่ดีเชียวหรือ?”

โค่วเจิงยังคงฟังอย่างเงียบๆ แต่ในใจกลับเข้าใจ ว่าการที่ท่านพ่อพูดแบบนี้ได้ ก็แสดงว่าตอบรับคำขอของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว

“ขอรับ! บ่าวจะกลับไปแจ้งให้สนมอวี้ทราบเดี๋ยวนี้ เร่งให้สนมอวี้รีบจัดการเรื่องนี้อย่างเร็วที่สุด” ถังเฮ่อเหนียนย่อตัว

โค่วหลิงซวีบอกอีกว่า “ยังมีอะไรอีกก็บอกมาพร้อมกันเลย” ประโยคนี้ย่อมใช้ถามเหมียวอี้อยู่แล้ว

เหมียวอี้ก็ไม่เกรงใจเช่นกัน “ท่านพ่อบุญธรรม หลังจากได้คนมาแล้ว มอบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ให้พวกเขาทุกคนด้วยได้หรือเปล่า?”

โค่วหลิงซวีก็ไม่เกรงใจเช่นกัน “เดิมทีจวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็มีไว้แต่ในนามอยู่แล้ว ไม่มีสิทธิ์ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ข้าส่งคนให้เจ้าได้ แต่ย้ายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของทัพเหนือไปไม่ได้ ราชินีสวรรค์ก็ไม่มีอำนาจนี้เช่นกัน เรื่องนี้ไม่มีทางช่วยเจ้าได้”

เดิมทีเหมียวอี้อยากจะถามว่า ถ้าตัวเองจะหาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาเองได้หรือไม่ แต่พอคิดไปคิดมาก็ไม่ได้ถาม จะได้ไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัว ทำได้เพียงเปลี่ยนเป็นขอร้อง “ท่านพ่อบุญธรรม ข้าอยากจะได้หัวของคนคนหนึ่ง!”

“ว่ามา!” โค่วหลิงซวีกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ ดูไม่สะทกสะท้าน

“ข้าอยากจะลงดาบแรกที่หัวของอิ๋งหยางก่อน!” เหมียวอี้กล่าว

เมื่อกล่าวมาแบบนี้ โค่วเจิงกับถังเฮ่อเหนียนก็รีบหันมามองพร้อมกัน โค่วหลิงซวีก็หันตัวมาเช่นกัน แล้วกล่าวด้วยแววตตาที่วูบไหว “หลายชายของอิ๋งจิ่วกวงเหรอ?”

“ใช่แล้ว!” เหมียวอี้กล่าวอย่างใจเย็น “อิ๋งหยางวางแผนสังหารข้าที่แดนสุขาวดี ข้าต้องคิดบัญชีนี้กับเขา”

โค่วเจิงอดไม่ได้ที่จะบอกว่า “น้องเขย อิ๋งหยางจะสั่งคนที่แดนสุขาวดีได้ยังไง ในใจเจ้าน่าจะรู้ชัดนะ เบื้องหลังคือตระกูลอิ๋ง”

“แต่ข้าทำอะไรตระกูลอิ๋งไม่ได้ ทำได้เพียงลงดาบกับอิ๋งหยางก่อน” เหมียวอี้ตอบอย่างซื่อสัตย์มาก

โค่วเจิงกล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เจ้าช่างซื่อสัตย์จริงๆ หลานชายของตระกูลอิ๋งตายเพราะเจ้าทั้งทางตรงทางอ้อมไปสองคนแล้ว ถ้าเจ้าฆ่าอีกคน จะให้ตระกูลอิ๋งทนความรู้สึกนี้ได้ยังไง?”

“แต่ก็ไม่เร็วเท่าการให้กำเนิดของพวกเขาหรอก แต่ได้ยินว่าตายไปสองก็เกิดใหม่อีกสอง” เหมียวอี้ตอบอย่างเย็นชา แล้วกล่าวอย่างแน่วแน่อีก “ตระกูลอิ๋งลงมือกับข้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้ากลับทำอะไรตระกูลอิ๋งไม่ได้ ถ้าอีกฝ่ายยื่นมือมาข้างหนึ่ง ข้าก็ทำได้เพียงตัดทิ้งข้างหนึ่ง! ไม่ใช่แค่คั้รงนี้ ในภายหลังหากตระกูลอิ๋งลงมือกับข้าอีก ข้าก็จะไประบายอารมณ์กับลูกหลานของตระกูลอิ๋ง ข้าก็อยากจะเห็นว่าพวกเขาจะให้กำเนิดเร็วกว่า หรือข้าจะสังหารทิ้งเร็วกว่า ประการต่อมา ข้าต้องกดดันให้ฐานลับของตระกูลอิ๋งทางตลาดผีมีปฏิกิริยาโต้ตอบ จะได้หาเบาะแสเจอแล้วกำจัดทิ้งสะดวก!”

โค่วเจิงอ้าปากค้าง แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “นี่เจ้ากำลังล่วงเกินตระกูลอิ๋งแบบถึงตายแล้ว!”

“พี่ใหญ่ ต่อให้ข้าไม่ลงมือ แล้วพวกเขาจะเลิกรางั้นเหรอ พวกเขาจะปล่อยข้าไปเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลับ

โค่วเจิงพูดไม่ออก เขามองดูปฏิกิริยาของบิดา แม้แต่ถังเฮ่อเหนียนก็อดไม่ได้ที่จะเกาศีรษะ

โค่วหลิงซวีเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ทางนี้ไม่มีทางช่วยเจ้าฆ่าลูกหลานตระกูลอิ๋ง ถ้าเจ้ามีความสามารถเจ้าก็จัดการเอาเอง”

“ท่านพ่อบุญธรรม ข้าต้องการรู้แค่ความเคลื่อนไหวและทิศทางของเขา” เหมียวอี้กล่าว

“ผู้เฒ่าถัง เจ้าจับตาดูการเคลื่อนไหวของเจ้าเด็กตระกูลอิ๋งนั่นหน่อยก็แล้วกัน” โค่วหลิงซวีสั่ง

ผู้เฒ่าถังยิ้มเจื่อน “นายท่าน ทางตระกูลอิ๋งแสดงท่าทีแล้ว ว่ายินดีจะปล่อยตำแหน่งหัวหน้าภาคให้สองตำแหน่งกับเรื่องที่แดนสุขาวดี”

โค่วหลิงซวีตอบว่า “ถ้าจะทำอย่างนั้นก็ช่างเถอะ ถ้ามีวิธีการทำให้ตระกูลโค่วไม่รู้ว่าใครทำ นั่นก็เป็นความสามารถของตระกูลอิ๋ง! เป็นฝั่งตระกูลอิ๋งที่ทำผิดธรรมเนียมก่อน เอาแค่ที่เห็นอย่างชัดเจน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ตระกูลอิ๋งลงมือกับโหย่วเต๋อ? ควรจะทำให้ตระกูลอิ๋งได้สติสักหน่อย คืนตำแหน่งหัวหน้าภาคสองตำแหน่งนั่นไปเถอะ ไปจัดการตามที่โหย่วเต๋อบอก”

“ขอรับ!” ผู้เฒ่าถังยิ้มเจื่อนพลางพยักหน้าเอ่ยรับ เพียงแต่ไม่รู้ว่าตระกูลอิ๋งจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อได้เห็นท่าทีของตระกูลโค่ว ไม่รู้ว่าหลานชายคนนั้นของตระกูลอิ๋งจะกลัวหรือเปล่า

…………………………

[1] ดึงขนเส้นเดียวสะท้านทั้งร่างกาย 牵一发而动全身 หมายถึง การเคลื่อนไหวเล็กน้อยที่ส่งผลกระทบต่อส่วนรวม

“อ้อ ทัพเหนือปล่อยคนเร็วขนาดนั้นเชียวเหรอ?”

วังสวรรค์ ประมุขชิงกำลังเอามือไขว้หลังเดินเนิบนาบอยู่ระหว่างวิมานหยกอันงดงาม หลังจากได้ยินรายงานแล้วจึงเอ่ยถามอย่างสบายๆ

ซ่างกวนชิงที่เดินตามหลังตอบว่า “ใช่ขอรับ สงสัยหนิวโหย่วเต๋อที่อยู่ทางแดนสุขาวดีจะไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่อย่างนั้นอ๋องสวรรค์โค่วคงไม่ถอนกำลังจากวัดพวกนั้นเร็วขนาดนี้”

ประมุขชิงพ่นเสียงทางจมูกสองที “เจ้าลูกลิงนี่อยู่ไม่สุขจริงๆ ไปที่ไหน ที่นั่นก็เกิดเรื่อง แต่เจ้าลูกลิงนี่ก็ใช้ได้จริงๆ ขนาดตระกูลอิ๋งวางแผนลอบทำร้ายเขาที่นั่นแล้ว แต่ก็ยังกำจัดเขาทิ้งไม่ได้ ปล่อยให้เขารอดชีวิตกลับมาได้ ตาแก่อิ๋งคงจะไม่สบอารมณ์เท่าไรแล้วมั้ง”

ซ่างกวนชิงยิ้มสู้ “ผ่านวันพระนี้ไปได้ แต่เกรงว่าจะผ่านวันพระหน้าไปไม่ได้ ไม่ใช่แค่ตระกูลอิ๋งเท่านั้น ตระกูลอื่นๆ ไม่มีทางนั่งดูหนิวโหย่วเต๋อเติบโตขึ้นมาโดยไม่ทำอะไรแน่ ต่อไปเกรงว่าเขาจะต้องรับทั้งทวนในที่แจ้งและเกาทัณฑ์ในที่ลับ”

“เขาหาเรื่องใส่ตัวเอง ข้าจะคอยดูว่าเขาจะทนได้นานแค่ไหน” ประมุขชิงยิ้มเย้ย

หลังจากออกจากแดนสุขาวดีแล้ว เหมียวอี้ก็ยังไม่มีทางกลับไปตลาดผีได้ เขาติดตามโค่วเจิงกลับไปที่จวนของอ๋องสวรรค์โค่วโดยตรง

นี่เป็นครั้งที่สองที่เหมียวอี้มาที่จวนตระกูลโค่ว ตอนที่เพิ่งจะมาถึงประตู ก็เห็นอวิ๋นจือชิวนำเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มารออยู่นอกประตูแล้ว ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างรู้ใจ

ไม่ว่ายามปกติอวิ๋นจือชิวจะเจ้าอารมณ์ขนาดไหน แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เหมียวอี้จำต้องยอมรับ นั่นก็คือเมื่อไรที่ได้เห็นอวิ๋นจือชิว เขาก็จะมีความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน ความรู้สึกนี้เขาหาไม่ได้จากตัวผู้หญิงคนอื่น ตอนที่อยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว เขาสามารถเปิดเผยข้อเสียของตัวเองได้อย่างกำเริบเสิบสาน ด่านางได้เต็มที่ว่าเป็นผู้หญิงปากร้าย แต่กับเมียคนอื่นๆ เขาด่าซี้ซั้วไม่ได้

แน่นอน พออวิ๋นจือชิวอารมณ์ขึ้นเมื่อไร ก็จะจับเขามาซ้อมอย่างดุร้ายเหมือนเดิม เลิกคิดไปได้เลยว่านางจะเป็นสาวน้อยที่ยอมเชื่อฟังทุกอย่าง ไม่มีทางเสียหรอก

อวิ๋นจือชิวได้พูดไว้เองแล้วว่า ‘ก่อนที่เจ้าจะแต่งงานกับข้า ข้าก็เป็นอย่างนี้มาก่อนแล้ว ตอนถลกกระโปรงปีนขึ้นมาบนตัวข้า ทำไมเจ้าไม่พูดอย่างนี้ล่ะ ตอนนี้เพิ่งมานึกเสียใจทีหลัง เพิ่งรู้สึกขัดลูกหูลูกตาเหรอ? สายไปหรือเปล่า!

คนที่รออยู่ตรงประตูยังมีกลุ่มลูกสาวหลานสาวของตระกูลโค่ว ทุกคนวิ่งมาต้อนรับแล้ว เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวเหมือนนกนางแอ่น ไม่ใช่ว่าเหมียวอี้มีเสน่ห์หรอก แต่เป็นเพราะรู้ว่าเหมียวอี้คือคนที่นายท่านตระกูลโค่วตั้งใจจะเลี้ยงดูอบรม ถ้านายวันไหนที่นายท่านไม่อยู่แล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเหมียวอี้จะเกี่ยวข้องกับอนาคตของคนจำนวนมาก ถ้าไม่รีบฉวยโอกาสผูกมิตรตั้งแต่ตอนนี้ แล้วจะรอตอนไหน? เรื่องบางเรื่องถ้าจะให้ผู้ชายประจบสอพลอเกินไปก็จะไม่น่าดู ให้ผู้หญิงออกหน้าจะเหมาะกว่า

โค่วเจิงทักทายทุกคน ก่อนจะนำพระโพธิสัตว์หลันเย่และพรรคพวกไปเยี่ยมคารวะนายท่านแล้ว

เหมียวอี้ก็ทักทายทุกคนเช่นกัน เสร็จแล้วถึงได้มากุมมือทั้งสองข้างของอวิ๋นจือชิวพลางสบตา สุดท้ายก็ยังเป็นอวิ๋นจือชิวที่ผลักเขาออกเบาๆ ด้วยสายตาหยาดเยิ้ม “ไปคารวะท่านพ่อบุญธรรมก่อน มีอะไรค่อยคุยกันทีหลัง”

“อื้ม!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วรีบเดินตามโค่วเจิงไป

“น้องเจ็ด แบบนี้ถือว่าห่างกันไปนานเลยเหมือนคู่แต่งงานใหม่รึเปล่าจ๊ะ?”

“คืนนี้ทุกคนอย่าไปรบกวนน้องเจ็ดอีกนะ ไม่ง่ายเลยกว่าคู่รักจะได้เจอกัน คืนนี้เป็นเวลาจู๋จี๋กัน บรรยากาศก็เป็นใจ พวกเราอย่าไปทำลายบรรยากาศดีๆ เชียวล่ะ”

กลุ่มผู้หญิงเดินคล้องแขนอวิ๋นจือชิวเข้าไปข้างใน พูดหยอกล้อเอาสนุกตลอดทาง อวิ๋นจือชิวก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ตบมุกกลับอย่างไม่เก้อเขิน กลุ่มผู้หญิงหัวเราะคิกคักไม่หยุด ดูร่าเริงเบิกบานใจมาก

ทว่าทุกคนก็รู้ดี ว่าความร่าเริงเบิกบานใจนี้ล้วนตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อย่างอ๋องสวรรค์โค่ว ถ้าอ๋องสวรรค์โค่วล้มลงเมื่อไร เกียรติยศความร่ำรวยของทุกคนก็อาจจะสลายหายไปด้วย บางทีอาจจะไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าล้มแล้วจะโดนเหยียบซ้ำ

เมื่อมีคนนอกมาหา โค่วหลิงซวีก็ไปพบแขกที่ตำหนักหลักของจวนอ๋องสวรรค์ หลังจากแขกและเจ้าบ้านทำทักทายกันแล้ว โค่วเจิงก็รายงานสถานการณ์เท่าที่รู้ให้อ๋องสวรรค์โค่วฟังต่อหน้าพระโพธิสัตว์หลันเย่

ที่จริงตอนนี้เรื่องบางเรื่องก็ได้ผ่านไปแล้ว เพียงแต่เรื่องบางเรื่องนั้นเป็นคำพูดจากปากเหมียวอี้ฝ่ายเดียว ยังต้องทำให้สอดคล้องกับความเป็นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งตำหนักสวรรค์หรือฝั่งแดนสุขาวดีก็ล้วนอยากรู้สถานการณ์ พยานบุคคลอย่างเมี่ยวฉุนกลายเป็นกุญแจสำคัญแล้ว

เรื่องรักษาเมี่ยวฉุน อ๋องสวรรค์โค่วส่งให้โค่วเจิงไปจัดการ ฝั่งพระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ต้องเข้าร่วมจับตาดูเช่นกัน จากนั้นแขกกับเจ้าบ้านก็แยกย้าย เพียงแต่โค่วหลิงซวีกลับบอกให้เหมียวอี้อยู่คุยกันก่อน

“ในเมื่อโดนลอบจู่โจม พอหนีออกจากดาวฮุ่ยหลินได้แล้วทำไมไม่รีบติดต่อขอความช่วยเหลือจากที่บ้าน กลับยื้อเวลาออกไประยะหนึ่ง?”

ในตำหนักเหลือเพียงอ๋องสวรรค์โค่ว ถังเฮ่อเหนียนและเหมียวอี้สามคน คำถามที่อ๋องสวรรค์โค่วโยนออกมาทำให้บรรยากาศในตำหนักกดดันขึ้นนิดหน่อย

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบช้าๆ ว่า “ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้น ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครต้องการจะเล่นงานข้าให้ถึงตาย แล้วทำไมถึงรู้เส้นทางของข้าได้ ข้าเลยไม่กล้าติดต่อใคร ก็เลยหาที่ปลอดภัยซ่อนตัวก่อนแล้วค่อยว่ากัน นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอกับคนของสำนักหลัวช่า”

อ๋องสวรรค์โค่วหรี่ตาจ้องเขาครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็โบกมือให้เขาถอยออกไป “ไม่ง่ายกว่าเจ้ากับเจ้ากับเจ้าเจ็ดจะได้เจอกันสักครั้ง ไปอยู่กับเจ้าเจ็ดเถอะ”

“ขอรับ!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะแล้วถอยออกไป

รอจนกระทั้งเหมียวอี้ออกไกลแล้ว อ๋องสวรรค์โค่วถึงได้แสยะยิ้ม “ฟังความหมายในคำพูดของเขาออกรึเปล่า? เขาป้องกันแม้กระทั่งตระกูลโค่วแล้ว”

“เฮ้อ!” เฒ่าถังถอนหายใจเบาๆ “คุณชายใหญ่ไปรับตัวคุณหนูเจ็ดกลับมาจากตลาดผีด้วยตัวเอง ต่อให้ตอนนั้นเขาจะคิดไม่ทัน แต่หลังจากนั้นจะต้องตระหนักได้แน่นอน เมื่อรู้ว่าทางนี้เห็นคุณหนูเจ็ดเป็นตัวประกัน เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิต เขาก็ย่อมขาดความเชื่อมั่น การที่เขาระวังตัวมากขึ้นก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์”

อ๋องสวรรค์โค่วเอามือไขว้หลัง “เดินบนเส้นทางนี้แล้ว เรื่องบางเรื่องเขาก็ควรเรียนรู้ที่จะปรับตัว เขาควรจะเข้าใจ ว่าในเมื่อบนตัวประทับตราของตระกูลโค่วแล้ว กลายเป็นคนบนเรือของตระกูลโค่ว ก็ต้องร่วมหัวจมท้าย ถ้าเรือลำนี้ชนหินแล้วจมลงเมื่อไร ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดว่าจะอยู่สบายเลย เขาเองก็ปลีกตัวไม่พ้นอยู่ดี ถ้าอยากให้เรือใหญ่ลำนี้ไปได้ไกลกว่าเดิม ก็จะต้องร่วมใจกันทำงาน ไม่ใช่ว่าใครอยากจะขึ้นก็ขึ้น อยากจะลงก็ลง ไม่ใช่แค่เขาหรอก ไม่ว่าคนไหนของตระกูลโค่วก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เดี๋ยวเจ้ากลับไปอธิบายหลักการนี้ให้เขาฟังให้เข้าใจ ไม่ได้มีเจตนาจะสู้กับเขา อย่าให้เรื่องเล็กทำให้อึดอัดใส่กัน ถ้าก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปไม่ได้ เช่นนั้นตระกูลโค่วก็เก็บเขาไว้ไม่ได้แล้ว มีอย่างที่ไหนกัน จะมาอาศัยบารมีแต่ไม่ยอมจ่ายอะไรเลย!”

“ขอรับ!” เฒ่าถังเอ่ยรับ

อวิ๋นเซวียน ชื่อของลานบ้านที่โค่วหลิงซวีลงมือเขียนด้วยตัวเอง

ถึงแม้อวิ๋นจือชิวจะตกอยู่ในสถานะกึ่งกักบริเวณ แต่ตระกูลโค่วก็ดูแลนางดีเหมือนเป็นลูกสาวคนหนึ่ง มอบสวนเดี่ยวให้แห่งหนึ่ง สภาพแวดล้อมสงบเงียบสวยงาม มีตึกศาลา มีสะพานและลำธารเล็กๆ ตอนแรกที่อวิ๋นจือชิวมาที่นี่ นางก็พักอยู่ที่นี่แล้ว ตอนนี้ก็ยังพักอยู่ที่นี่ ต่อให้อวิ๋นจือชิวจะไม่ได้อยู่ที่จวนตระกูลโค่ว สวนแห่งนี้ก็ยังคงถูกเก็บไว้ให้อวิ๋นจือชิว เทียบเท่ากับเป็นบ้านฝ่ายเจ้าสาวของอวิ๋นจือชิว

ในอ่างน้ำหรูหราที่สลักทองเลี่ยมหยก เหมียวอี้ที่เปลือยล่อนจ้อนกำลังแช่อยู่ในน้ำ อวิ๋นจือชิวที่สวมชุดชั้นในเผยส่วนเว้าส่วนโค้งกำลังช่วยอาบน้ำขัดตัวให้เขา อวิ๋นจือชิวที่ยามปกติดุดันปากร้าย แต่ยามนี้บทจะได้ดูแลคนก็ทำได้อย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษ

ทั้งสองถ่ายทอดเสียงคุยกันตลอด เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่แดนสุขาวดี

เมื่อรู้ว่าได้หกเคล็ดวิชาพิเศษภาคฟ้าครบแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ย่อมปลาบปลื้มไม่หยุด นางรับของมาจากมือเหมียวอี้ พอหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้าเจอแล้ว ก็มานั่งพิงอยู่ข้างกายเหมียวอี้ แล้วเริ่มศึกษาอย่างละเอียด

“คัดลอกเคล็ดวิชาภาคฟ้าให้เหยียนซิวกับเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ส่วนแผนที่ดาวอีกสองฉบับก็รีบเปรียบเทียบให้เร็วที่สุด ข้าสงสัยว่าในนั้นจะมีทางเข้าออกลับของแดนสุขาวดี ยังมีอีกฉบับที่ไม่ได้ทำสัญลักษณ์ประตูดวงดาว ข้าไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร” ขณะที่พูด มือข้างหนึ่งของเหมียวอี้ก็ล้วงเข้าไปเล่นในหน้าอกขาวเด้งของอวิ๋นจือชิว

“อย่าทำเป็นเล่น” อวิ๋นจือชิวกำลังมีสมาธิ ใช้ข้อศอกตีเขาสองสามที

เหมียวอี้จนปัญญา คิดในใจว่าตัวเองจะนำของมาให้นางในเวลานี้ทำไมกันนะ?

สุดท้ายอวิ๋นจือชิวที่ถูกถอดเสื้อชั้นในจนร่างกายเปลือยเปล่าก็นอนหมอบอยู่บนแท่นหยก นางใช้ข้อศอกยันร่างกายท่อนบนเอาไว้ แล้วในมือก็ถือแผ่นหยกอ่านจนเคลิบเคลิ้ม ท่านขุนนางเหมียวจึงหยิบผ้าขนหนูมาบริการเหมือนม้าเหมือนวัว ช่วยอาบน้ำถูหลังให้นางแล้ว…

ถึงแม้เมี่ยวฉุนจะถูกเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในแฝงในของวิเศษโจมตี เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่อยู่ในร่างกายไม่ได้เยอะ แต่เวลาจะช่วยรักษาขึ้นมาก็ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยเลย ใช้เวลาไปครึ่งเดือนเต็มๆ กว่าจะกำจัดพิษออกจนหมด

ในวันที่สอบสวนในตำหนักหลัก โค่วหลิงซวีกับพระโพธิสัตว์หลันเย่ก็มาอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ส่วนเหมียวอี้ก็ถูกเรียกว่าคอยฟังและตรวจสอบความเช่นกัน

สุดท้ายเรื่องลอบจู่โจมในดาวฮุ่ยหลินที่เมี่ยวฉุนเล่าก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเหมียวอี้ไม่ได้โกหก ทั้งสองฝ่ายล้วนได้พยานคำพูดแล้ว

พระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่นี่นาน พอจบเรื่องก็กล่าวขอตัวลากับโค่วหลิงซวี โค่วเจิงเป็นตัวแทนไปส่งแขก ส่วนเหมียวอี้ก็ถูกรั้งให้อยู่ต่ออีก

“โหย่วเต๋อ ตอนอยู่ที่ตลาดผีเจ้าอาจจะต้องระวังตัวมากขึ้นแล้ว” จู่ๆ โค่วหลิงซวีก็กล่าวออกมาช้าๆ

เหมียวอี้นั่งฟังมาตลอด ที่จริงเขามองออกแล้วว่าเหมือนโค่วหลิงซวีจะไม่ค่อยสนใจการสอบสวนเมื่อครู่นี้สักเท่าไร เหมือนจะเหม่อลอนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอด เขาจึงกุมหมัดคารวะ “ท่านพ่อบุญธรรมไม่ต้องห่วง ข้าจะระวังตัว”

โค่วหลิงซวีส่ายหน้าเบาๆ รู้ว่าเขายังไม่รู้ถึงสถานการณ์ จึงพยักหน้าบอกใบ้ถังเฮ่อเหนียน

เฒ่าถังเข้าใจ จึงแจ้งข่าวที่สำคัญมากให้ฟัง “ท่านเขย ท่านต้องระวังตัวแล้วจริงๆ ถ้าหากคาดการณ์ไม่ผิด ราชินีสวรรค์อาจจะตั้งครรภ์โอรสสวรรค์แล้ว”

เหมียวอี้เบิกตากว้าง ข่าวนี้ฮือฮาจริงๆ มิน่าล่ะถึงทำให้โค่วหลิงซวีเหม่อลอยได้

เขาย่อมเข้าใจว่าเมื่อราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์โอรสสวรรค์แล้วหมายความว่าอะไร ก็หมายความว่าตระกูลเซี่ยโห้วบรรลุเป้าหมายแล้ว หมายความว่าความร่วมมือระหว่างตระกูลเซี่ยโห้วกับตระกูลโค่วจบลงแล้ว เกรงว่าทางตึกศาลาสัตยพรตคงจะไม่รักษาความปลอดภัยให้เขาอีก จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านอาถัง ยืนยันได้หรือเปล่า?”

เมื่อถามออกมาแบบนี้ เขาก็รู้สึกอีกว่าเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น อาศัยช่องทางข่าวสารของตระกูลโค่ว มีหรือที่จะพูดออกมาโดยยังไม่ได้ยืนยันข่าว

ผู้เฒ่าถังบอกว่า “ถึงแม้ตำหนักสวรรค์จะไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ดูจากความเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติของตำหนักนารีสวรรค์ เกรงว่าคงจะใกล้แล้ว แล้วทางตระกูลเซี่ยโห้วก็ส่งข่าวมาเช่นกัน บอกว่าจะพยายามช่วยให้เจ้าเลื่อนยศกลับไปเป็นแม่ทัพสองแถบให้เร็วที่สุด ในระหว่างนี้จะรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของเจ้า แต่หลังจากนี้ก็รับประกันได้ยากแล้ว”

โค่วหลิงซวีพูดต่อจากเขา “ที่จริงเจ้าก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป ตึกศาลาสัตยพรตไม่มีทางปล่อยให้ตลาดผีเกิดความวุ่นวายใหญ่โต ทางบ้านจะส่งยอดฝีมือไปคุ้มกันเจ้า”

“ท่านพ่อบุญธรรม!” เหมียวอี้พลันเงยหน้า แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ตลาดผีคืออาณาเขตของข้า!”

โค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนอึ้งพร้อมกันทันที อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันเลิกลั่ก ทั้งคู่มองออกแล้วว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่เข้าว่าเหมียวอี้หมายความว่าอะไร

“ท่านเขย ข้าว่าท่านคงจะเข้าใจ ว่าตลาดผีคืออาณาเขตของตึกศาลาสัตยพรต” ถังเฮ่อเหนียนถาม

เหมียวอี้เงยหน้ายืดอก “ท่านพ่อบุญธรรม ข้าคือแม่ทัพภาคตลาดผี ถ้าเอาแต่หดหัวรอให้คนอื่นมาลงมือต่อไปแบบนี้ไม่ใช่วิธีที่ดี ขอเพียงท่านพ่อให้อำนาจตัดสินใจแก่ข้าในระดับหนึ่ง ที่จริงก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน ในเมื่อซ้ายก็หลบไม่ได้ ขวาก็หลบไม่ได้ ไม่สู้ชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ!”

ตั้งแต่เขาเริ่มก้าวเข้าสู่แดนฝึกตน ไม่ว่าจะไปคุมอาณาเขตไหน ก็ไม่เคยเก็บกดเหมือนตอนเป็นแม่ทัพภาคตลาดผีเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนกดดันอยู่ในอาณาเขตของตัวเองจนไม่กล้าโผล่หน้าออกมา เขาอยากจะระบายไฟโกรธนี้มาตั้งนานแล้ว

…………………………

พอโค่วเจิงมาถึงก็เห็นเม่ยจีกับเหมียวอี้กำลังคุมเชิงกันแล้ว ทำให้คนรู้สึกเหมือนการต่อสู้กำลังจะปะทุ ไม่รู้ว่าทำไมทั้งสองถึงทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขนาดนี้

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พอเห็นเหมียวอี้ยังปลอดภัยดี โค่วเจิงก็โล่งใจบ้างแล้วนิดหน่อย พอเอียงหน้าเล็กน้อยบอกว่า “อืม” แม่ทัพเกราะแดงคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายก็โบกมือสั่ง ในทัพใหญ่จำนวนหนึ่งแสน นอกจากแม่ทัพเกราะแดงสิบกว่าคนที่ยังอยู่ข้างกายโค่วเจิง นอกนั้นก็พุ่งออกไปตั้งกระบวนทัพแล้ว ล้อมทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเอาไว้

ถึงแม้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จะมีไม่มาก แต่ก็เปิดเผยออกมาให้เห็นแล้วเช่นกัน แต่ละคนง้างลูกธนูไว้บนสาย เล็งไปยังคนที่ถูกล้อมไว้

สีหน้าของหลันเย่กับเม่ยจีดูไม่ค่อยสู้ดีนัก ทั้งสองกำลังมองไปรอบๆ

เมื่อพวกลูกน้องมาล้อมเพื่อคุมสถานการณ์ไว้แล้ว โค่วเจิงถึงได้นำคนเข้ามาในกระบวนทัพ

“พี่ใหญ่โค่ว” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ

โค่วเจิงมองข้ามหลันเย่กับเม่ยจี แล้วพยักหน้าเบาๆ ให้เหมียวอี้ “ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่แน่ใจขอรับ ต้องถามความเห็นของพระโพธิสัตว์เม่ยจีก่อน”

“อ้อ!” โค่วเจิงเอามือไขว้หลัง แล้วเอียงหน้ามองเหยียดเม่ยจีแวบหนึ่ง “หรือมียังมีคนกล้าทำร้ายกันอย่างโจ่งแจ้งอีก? ข้าก็อยากจะเห็นว่าใครกันที่มีความกล้าอย่างนั้น!”

ในเวลานี้ เขาได้แสดงความมีอำนาจอิทธิพลของตัวเองออกมาหมดแล้ว มองพระโพธิสัตว์เม่ยจีที่มีระดับเทียบเท่าเทพประจำดาวด้วยสายตาเหยียดหยาม

ความจริงก็เป็นอย่างนั้น เขาไม่ได้มาเพื่อวางมาดอย่างเดียว ถ้าจะให้โอ้อวดวางมาดจริงๆ แม้แต่ระดับจอมพลก็ยังต้องเกรงอกเกรงใจเขาเลย แล้วมีหรือที่เขาจะเห็นคนระดับเทพประจำดาวอยู่ในสายตา

ท่าทีของเขากระตุ้นให้เม่ยจีค่อนข้างทุกข์ใจ ถึงอย่างไรฝั่งนี้ก็ยังมีกลุ่มลูกศิษย์ของสำนัก แล้วจะให้นางทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร นางถามเสียงต่ำว่า “โค่วเจิง เจ้าหมายความว่าอะไร?”

เหมือนกับที่เม่ยจีทำกับเหมียวอี้ โค่วเจิงเอามือไขว้หลังเดินเข้ามาประชิดนางทีละก้าว บนใบหน้าแสดงความเหย่อหยิ่งจองหองออกมาหมด จนกระทั่งหน้าอกแทบจะแนบชิดกับหน้าอกที่ยื่นออกมาของนาง เขาถึงได้หยุด จากนั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมบอกว่า “ก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก! แต่ถ้าเจ้าอยากจะมีความหมายอะไร โค่วคนนี้ก็จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าได้ทุกเมื่อ!”

ศิษย์ของเม่ยจีโมโหแล้ว ตอนที่พวกเขาเพิ่งจะเคลื่อนไหว แม่ทัพเกราะแดงแถวหนึ่งก็ถลันตัวมาเตรียมพร้อมป้องกันอยู่ทางซ้ายและขวาของโค่วเจิง เล็งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายคันมาทางนี้อย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้มองเม่ยจีที่เดี๋ยวก็กำหมัดเดี๋ยวก็คลายหมัด ในใจแอบรู้สึกขำ ถ้าพูดถึงพลังความสามารถ โค่วเจิงสู้เม่ยจีไม่ได้แน่นอน แต่ช่วยไม่ได้ที่ยอดฝีมือที่โค่วเจิงพามาด้วยก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน

เม่ยจีโบกมือห้ามคนของสำนักตัวเองไม่ให้วู่ว่าม แล้วหันตัวหลบโค่วเจิง ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม “โค่วเจิง เจ้าอารมณ์ขึ้นเยอะเลยนะ! ถ่อมาพาลเกเรถึงแดนสุขาวดีแล้ว”

โค่วเจิงอสยะยิ้ม “ก็ช่วยไม่ได้ ดาบมาจ่อคอตระกูลโค่วของข้าแล้ว ถ้าไม่เจ้าอารมณ์สักหน่อย เกรงว่าคนของตระกูลโค่วจะตายหมดตั้งแต่เมื่อไรก็ยังไม่รู้เลย”

เม่ยจีหลุดหัวเราะ “ไม่ปะทะฝีปากกับเจ้าแล้ว คุยเรื่องสำคัญเถอะ หนิวโหย่วเต๋อตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าโขมยเก็บเมิ่งถัวหลัว เจ้าก็รู้กฎของแดนสุขาวดี”

“เจ้าเก็บเมิ่งถัวหลัวไปเหรอ?” โค่วเจิงหันมาถามเหมียวอี้

เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมิ่งถัวหลัวหน้าตาเป็นยังไง แล้วอีกอย่างนะ เมิ่งถัวหลัวก็ไม่ได้มีแค่ที่ดาวพิษด้ววย ถ้าข้าอยากได้เมิ่งถัวหลัวจริงๆ ยังจะต้องถ่อมาที่นี่อีกเหรอ? ที่ตลาดผีมีทุกอย่างนั้นแหละ ข้าเป็นแม่ทัพภาคตลาดผีนะ จะหาเมิ่งถัวหลัวไม่ได้เชียวเหรอ? คงไม่มีใครไร้เดียงสาถึงขั้นคิดว่าเมิ่งถัวหลัวถูกควบคุมจนไม่เล็ดรอดออกมาหมุนเวียนที่ตลาดเลยหรอกมั้ง? อย่างมากก็แค่ราคาแพงขึ้นก็เท่านั้นเอง ข้าจำเป็นต้องถ่อมาเสี่ยงอันตรายที่นี่เพื่อเก็บเมิ่งถัวหลัวด้วยเหรอ?”

โค่วเจิงได้ยินแล้วแอบพยักหน้า ที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็สงสัยอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน รู้สึกว่าสำนักหลัวช่าไม่มีทางยิงธนูโดยไร้เป้า แต่พอได้ยินเหมียวอี้พูดอย่างนี้แล้ว ก็พบว่าไม่มีความจำเป็นนั้นจริงๆ จึงหันกลับมาบอกเม่ยจีว่า “เรื่องที่ไม่มีหลักฐาน ทางที่ดีอย่าพูดซี้ซั้ว”

เม่ยจีเงียบไปครู่หนึ่งเดิมทีก็รู้สึกเช่นกันว่าเหมียวอี้โดนไล่สังหารมา เป็นไปไม่ได้ที่จะมีกะจิตกะใจถ่อมาโขมยเก็บเมิ่งถัวหลัวที่ดาวพิษ ตอนนี้พอได้ยินเหมียวอี้อธิบายแล้ว ก็รู้สึกว่าสอดคล้องกับความเป็นจริง แต่ปากนางกลับยอมรับตรงๆ ไม่ได้ จึงบุ้ยปากไปทางเหมียวอี้พร้อมบอกว่า “ถ้าอยากจะพิสูจน์ความบริสุทธ์ของตัวเองก็ง่ายมาก ค้นตัวสักหน่อยเดี๋ยวก็รู้แล้ว”

“ค้นตัว? ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอกนะ แต่ถ้าค้นแล้วไม่เจออะไร ก็ต้องมีคนรับผิดชอบสักหน่อยรึเปล่า คนของตระกูลโค่วน่ะ ไม่ใช่ว่าใครอยากจะมาใส่ความก็ใส่ความได้นะ” โค่วเจิงกล่าว

จะไม่ให้สัญญานี้ก็ไม่ได้ เม่ยจีมองเขาพร้อมยิ้มอย่างเป็นกันแน่…

ผลสุดท้ายก็คือ ฝั่งสำนักหลัวช่าไม่ได้ค้นตัวเหมียวอี้ ส่วนโค่วเจิงก็ยอมรับเช่นกันว่าสำนักหลัวช่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องลอบสังหารเหมียวอี้ นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ถ้าไม่โดนกดดันจนหมดทางเลือด โค่วหลิงซวีกับพุทธะหน้าหยกก็ไม่อยากทำเรื่องราวระหว่างกันให้ใหญ่โต

“นี่คือพยาน ทำไมเจ้าถึงฆ่าเขาทิ้งแล้ว?” เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าศพของอวิ่นหมิง โค่วเจิงก็ถ่ายทอดเสียงตำหนิเหมียวอี้

เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ข้ารับปากต่อหน้าฝูงชนแล้ว ว่าขอเพียงเขาสารภาพความจริงออกมา ข้าก็จะทำให้เขาไปสบาย จะพูดจาไม่เป็นคำพูดได้ยังไง ต่อให้มีพยานแล้วยังไงล่ะ เกรงว่าคงจะไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อผลลัพธ์สุดท้าย”

โค่วเจิงขมวดคิ้ว เขาไม่ได้พูดอะไรอีกแล้วเช่นกัน

เรื่องราวต่อจากนั้นก็เรียบง่ายมาก ส่วนพยานอย่างเมี่ยวฉุน โค่วเจิงก็ไม่ปล่อยไปเช่นกัน ต้องพากลับที่ตำหนักสวรรค์ เพื่อความเที่ยงธรรม ฝั่งแดนสุขาวดีก็ต้องให้คนออกมาเช่นกัน พระโพธิสัตว์หลันเย่ติดตามเดินทางมาด้วยตัวเอง

โค่วเจิงมาอย่างรีบร้อนแล้วก็ไปอย่างรีบร้อน พาเหมียวอี้กลับไปด้วยกันแล้ว ส่วนเรื่องสืบสวนพระอรหันต์ตัวลี่อะไรนั่น แดนพุทธก็ไม่มีทางปล่อยให้ตำหนักสวรรค์ช่วยจัดการแทนเช่นกัน

เรื่องบางเรื่องที่จริงทุกคนก็มีข้อมูลอยู่ในใจแล้ว ต่างก็รู้ว่าตระกูลอิ๋งบงการอยู่เบื้องหลัง แต่ไม่มีใครหาหลักฐานได้ เมื่อไม่มีหลักฐานที่เชื่อมโยงได้ว่ามาแทรกแซงฝั่งแดนสุขาวดี ตระกูลอิ๋งก็ไม่มีทางยอมรับ และตระกูลอิ๋งก็ไม่มีทางทิ้งหลักฐานอะไรไว้เช่นกัน

เพียงแต่สำหรับตระกูลโค่วแล้ว เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องใช้หลักฐาน ขอเพียงยืนยันได้ก็พอแล้ว แค่รอดูว่าตระกูลอิ๋งจะแอบมาแลกเปลี่ยนทำข้อตกลงอะไรกับตระกูลโค่วแล้ว ไม่อย่างนั้นวันพระก็ไม่ได้มีหนเดียว ทีใครทีมัน

นี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับเหมียวอี้ ถ้าไม่ได้เกิดเรื่องนี้ขึ้น เขาก็จะมีโอกาสไปเที่ยวชมที่เขาหลิงซานแล้ว ตอนนี้จึงทำได้เพียงส่งข่าวไปขออภัยฆราวาสผู่หลัน

ขณะมองส่งคนกลุ่มนี้จากไป เม่ยจีก็แสยะยิ้ม สายตาบังเอิญไปตกอยู่บนตัวชางหงที่ยังถูกมัด แล้วโบกมือกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ปล่อยนางเถอะ”

ใครจะคิดว่าพอชางหงถูกแก้มัดแล้ว ก็รีบเดินมาคุกเข่าตรงหน้าเม่ยจีทันที แล้วกล่าวเสียงดังว่า “พระโพธิสัตว์ ศิษย์มั่นใจได้ว่าคนที่ล่วงล้ำเข้าดาวพิษคือหนิวโหย่วเต๋อ”

เม่ยจีขมวดคิ้วมองนาง ไม่รู้ว่าศิษย์คนนี้โง่จริงหรือแกล้งโง่ เขาอุตส่าห์ไม่เอาเรื่องเจ้าแล้ว เจ้าจะยังกัดไม่ปล่อยทำไมอีก? ต่อให้ยืนยันได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อโขมยเก็บเมิ่งถัวหลัวแล้วยังไงล่ะ มีตระกูลโค่วหนุนหลังอยู่ ยังจะลงโทษเขาให้ถึงตายเหมือนคนทั่วไปได้เหรอ อย่างมากก็แค่ลดขั้นเขาสองขั้นเท่านั้น แต่ตอนเลื่อนขั้นเขาก็ยังเร็วกว่าคนทั่วไปอยู่ดี และการไปล่วงเกินตระกูลโค่วก็ไม่ได้ทำให้เราได้ประโยชน์อะไรเลย มีวัดและศิษย์อยู่มากมายอยู่ในอาณาเขตของอีกฝ่าย อีกฝ่ายมีวิธีการยัดข้อหาเจ้าอยู่แล้ว เพื่อให้หนิวโหย่วเต๋อโดนลดขั้นแค่สองขั้น มันคุ้มแล้วเหรอที่เจ้ายอมแลกมากขนาดนั้น?

“เจ้าเห็นกับตาเหรอว่าเขาโขมยเก็บเมิ่งถัวหลัว?” น้ำเสียงของเม่ยจีเคร่งขรึมลง นี่นับว่ากำลังเตือนแล้ว เพราะนางไม่สะดวกจะพูดต่อหน้าฝูงชนว่าอีกฝ่ายมีคนหนุนหลัง พวกเราไม่สะดวกจะไปล่วงเกิน

“เปล่าค่ะ!” ชางหงก้มหน้า

“เอาล่ะ เรื่องนี้ถือว่าผ่านไปแล้ว” เม่ยจีโบกมือแล้วหันตัวเดินไปทางเตียงเตี้ย

ชางหงพลันเงยหน้าขึ้นมา แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนว่า “ต่อให้เขาจะไม่ได้โขมยเก็บเมิ่งถัวหลัว แต่ศิษย์ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในอีกอย่าง ถ้าเขาไม่ได้มาเพื่อโขมยเก็บเมิ่งถัวหลัว เช่นนั้นเขาจะบุกเข้ามาที่ดาวพิษทำไม? พระโพธิสัตว์ ท่านไม่รู้สึกว่ามีลับลมคมในหรือคะ?”

นางรู้สึกเจ็บช้ำเพราะสายตาเหยียดหยามของเหมียวอี้แล้วจริงๆ แต่ความจริงก็เป็นเหมือนกับสายตาเหยียดหยามคู่นั้น เพราะผลสุดท้ายเหมียวอี้ไม่เป็นอะไรเลยสักนิด กลับเป็นนางที่ถูกมัดจนได้รับความอับอายต่อหน้าฝูงชน ตัวเองไม่ผิดแท้ๆ อุตส่าห์มีจิตใจที่ไร้ความเห็นแก่ตัว แต่ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ? แค่เพราะอีกฝ่ายที่อำนาจหนุนหลัง ก็สามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจแล้วเหรอ? นางรู้สึกไม่ยอม นางไม่เชื่อหรอกว่าตัวเองจะโค่นเหมียวอี้ไม่ได้!

ในบางเวลา ตัวละครเล็กๆ ก็สามารถสร้างผกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้ โดยเฉพาะตัวละครเล็กๆ ที่ไม่ยอมประนีประนอม

ชางลั่วกับชางอวี่แอบกระวนกระวายแทนชางหง พบว่าศิษย์พี่หงไม่รู้จักแก้ไขนิสัยดื้อดึงเจ้าอารมณ์ของตัวเองเลย จะทำให้ตัวเองมีแผลไปทั้งตัวให้ได้เลยใช่มั้ย?

เม่ยจีพลันหยุดฝีเท้า รู้สึกใจอ่อนกับคำพูดนี้แล้วจริงๆ หันตัวช้าๆ มองไปยังลูกศิษย์น้อยที่กำลังคุกเข่าไม่ยอมลุก แล้วจ้องมองนางพักใหญ่…

ผ่านไปไม่นาน ชางหงที่สวมชุดใยแมงมุมไหมดำใหม่อีกครั้งก็โชคดีได้ติดตามเม่ยจีไปที่ดาวพิษเพียงลำพัง ส่วนเม่ยจีก็สวมชุดสีดำนั่นเช่นกัน

ทั้งสองหยุดอยู่บนท้องฟ้าเหนือซากของสำนักหนานอู๋ ชางหงชี้ซากข้างล่างที่ถูกปัดกวาดออกมา “พระโพธิสัตว์ ท่านดูสิ ตรงนี้คือซากของสำนักหนานอู๋ ทำไมต้องใช้ความพยายามมากขนาดนั้นเพื่อปัดกวาดซากออกมาด้วยล่ะ? ไม่ว่าจะคิดยังไง ศิษย์ก็รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล”

เม่ยจีก็ใช่ว่าจะไม่เคยมาที่นี่ ย่อมรู้ว่าตอนที่ซากนี้ถูกฝุ่นกลบไว้หน้าตาเป็นอย่างไร มิหนำซ้ำร่องรอยการปัดกวาดใหม่นี้ก็ชัดเจนมาก

นางขมวดคิ้วมุ่น ในดวงตางามเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ คิดไม่ตกเช่นกันว่าการที่เหมียวอี้มาปัดกวาดที่นี่หมายความว่าอะไร จะถ่อมารำลึกอดีตที่สำนักหนานอู๋ทำไม? ไร้สาระเกินไปรึเปล่า! หรือจะเป็นศิษย์ของสำนักหนานอู๋? เป็นไปได้เหรอ?

“เจ้าแน่ใจนะว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนปัดกวาดออกมา?” เม่ยจีสงสัย

“ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะโพกผ้าดำ แต่ศิษย์ก็ยังมั่นใจมากว่าเป็นเขาค่ะ” ถึงแม้ชางหงจะไม่แน่ใจว่านี่เป็นฝีมือเหมียวอี้ก็ตาม เพราะนางไม่เห็นว่าใครปัดกวาดที่นี่ แต่นางก็พูดมั่วไปอย่างนั้นแล้ว

“อ้อ!” เม่ยจีจ้องมองข้างล่างครู่หนึ่ง แต่ก็มองเบาะแสอะไรไม่ออกอยู่ดี ยังคิดไม่ตกว่าทำไมเหมียวอี้ต้องทำอย่างนี้ หลังจากผ่านไปพักใหญ่ จู่ๆ นางก็หัวเราะคิกคัก “สงสัยจะมีเงื่อนงำที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้จริงๆ หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ช่างน่าสนใจ…ชางหง!”

“คะ” ชางหงเอ่ยรับ

“นางหนูอย่างเจ้าก็น่าสนใจเหมือนกัน” เม่ยจีหันมามองประเมินนางศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง “เจ้ามาอยู่กับข้าเถอะ ถ้าเจ้าไม่มีความเห็นแย้ง เดี๋ยวกลับไปข้าจะคุยกับอาจารย์เจ้าเอง”

ชางหงอึ้งชั่วขณะ จากนั้นก็รู้สึกปลาบปลื้มมาก เพราะเม่ยจีคืออาจารย์ย่าของนาง ทรัพยากรในมือย่อมมีมากกว่าอาจารย์ของนางอยู่แล้ว สามารถให้อนาคตกับนางแบบที่ท่านอาจารย์ให้ไม่ได้ นางจึงรีบประนมมือทันที “ศิษย์น้อมรับคำสั่งค่ะ!”

เห็นได้ชัดว่าเม่ยจีก็อยากจะทดสอบให้ชัดเจนเช่นกันว่าเหมียวอี้กำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่ ไม่นานก็สั่งให้กลุ่มคนที่สวมชุดใยแมงมุมไหมดำค้นหาในบริเวณซากสำนักหนานอู๋เป็นวงกว้าง แม้แต่นางก็ค้นหาเบาะแสด้วยตัวเองแล้ว ไม่ปล่อยผ่านแม้แต่มุมเดียว ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบลึกลงไปใต้ดิน

ทว่าผลการสืบหาทำให้คนผิดหวัง คนกลุ่มนี้ไม่ใช่แค่ค้นหาที่ซากสำนักหนานอู๋เท่านั้น แต่ถึงขั้นค้นหาภายในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรของซากอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบว่าจุดไหนมีลับลมคมใน ต่อให้เป็นใต้ดินก็ไม่พบร่องรอยทางลับใดๆ เลย

เม่ยจียิ่งสงสัยมากขึ้น ว่าหนิวโหย่วเต๋อคิดจะทำอะไรกันแน่?

หลังจากทำซ้ำไปซ้ำมาได้สักพัก คนที่ควรจะกลับก็กลับ คนที่ควรจะอยู่ก็อยู่ ภารกิจเก็บรวบรวมเมิ่งถัวหลัวยังคงดำเนินต่อไป

พวกชางลั่วกับชางอวี่ได้อยู่ต่อ แต่กลับแอบมองชางหงที่กำลังส่งต่องานให้พวกนางด้วยความอิจฉา เพราะเมื่อครู่นี้ท่านอาจารย์มีคำสั่งลงมาแล้ว ว่าตั้งแต่นี้ไปจะให้ชางหงติดตามรับใช้พระโพธิสัตว์เม่ยจี ต่อจากนี้จะส่งต่อภารกิจเก็บสมุนไพรให้ชางลั่วรับผิดชอบ

…………………………

ทว่าฝั่งเหมียวอี้ก็ถ่วงเวลาให้ยาวขึ้นแล้วจริงๆ ไม่เพียงแค่ทำให้พระอรหันต์ตัวลี่หนีไปจนไร้เงา ศิษย์ของพระอรหันต์ตัวลี่ก็หนีไปหมดแล้วเช่นกัน ผู้บังคับใช้กฎไปแล้วคว้าน้ำเหลว จับได้เพียงเณรน้อยจำนวนหนึ่งที่ไม่รู้สถานการณ์อะไรเลย

ที่จริงพระอรหันต์ตัวลี่อยากจะหนีไปคนเดียวก็ไม่เป็นไร เพราะเขาก็หนีไปค้นเดียวจริงๆ แต่ระหว่างทางที่หลบหนีเกิดนึกถึงศิษย์เหล่านั้นขึ้นมา ถ้าตัวเองหนีไปคนเดียวก็เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อศิษย์ในสำนัก จึงรอให้ตัวเองไปถึงสถานที่ปลอดภัยก่อน แล้วค่อยติดต่อไปสารภาพบาปกับลูกศิษย์ ให้ทุกคนหนีให้เร็วที่สุด

ทว่าการกระทำของพระอรหันต์ตัวลี่ก็เท่ากับยอมรับแล้วว่าทำเรื่องลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อ ไม่อย่างนั้นจะทำตัวเป็นวัวสันหลังหวะอย่างนี้ทำไม? ไม่ต้องสอบสวนอะไรแล้วจริงๆ ฝั่งเขาหลิงซานเดือดดาลมาก สืบสาวราวเรื่อง ติดตามจับกุม!

เรื่องพวกนี้เอาไว้พูดต่อทีหลัง เพราะตอนนี้เหมียวอี้กำลังถูกศิษย์สำนักหลัวช่าล้อมไว้ แต่เขาก็ไม่ได้กังวล เพียงนั่งสมาธิฝึกตนอยู่บนพื้น โดยมีเหยียนซิวเฝ้าระแวดระวังคุ้มกันอยู่ข้างกาย

“นายท่าน!” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว จู่ๆ เหยียนซิวก็ถ่ายทอดเสียงเตือน

เหมียวอี้ลืมตาขึ้นและลุกขึ้นยืน พระโพธิสัตว์หลันเย่มาด้วยตัวเองแล้ว มีศิษย์หลายคนติดตาม หวยอวี้ที่เป็นหนึ่งในนั้นค่อนข้างเคารพเกรงกลัว

จะไม่ให้หวยอวี้เกรงกลัวก็คงไม่ได้ เบื้องบนสืบเจอตั้งแต่ครั้งแรกว่าพระอรหันต์ตัวลี่ไปที่ดาวหลันเย่ จึงถ่ายทอดคำสั่งมาให้พระโพธิสัตว์หลันเย่ ว่าถ้าหากพระอรหันต์ตัวลี่อยู่ด้วย ก็ให้ควบคุมตัวทันที เท่ากับเปิดโปงเรื่องของพระอรหันต์ตัวลี่ที่ดาวหลันเย่ออกมาในรวดเดียว ตอนนี้หวยอวี้ถึงได้เข้าใจว่าทำไมก่อนหน้านี้พระอรหันต์ตัวลี่ถึงถามเรื่องหนิวโหย่วเต๋อกับนางบ่อยมาก ที่แท้ตัวเองก็กลายเป็นฆาตรกรสมทบโดยไม่รู้ตัวแล้ว เขาหลิงซานเดือดดาลมาก จะไม่ให้นางเกรงกลัวได้อย่างไร?

แต่ฝั่งดาวหลันเย่ไม่รู้แม้กะทั่งว่าพระอรหันต์ตัวลี่ไปเมื่อไร พอไปดูที่เรือนพักแขกของพระอรหันต์ตัวลี่ ถึงได้รู้ว่าพระอรหันต์ตัวลี่ไปแล้ว ไม่ได้บอกใครทั้งนั้น พระโพธิสัตว์หลันเย่จึงตำหนิหวยอวี้อย่างโมโหไปยกหนึ่ง จากนั้นก็นำคนตามมาด้วยตัวเองทันที

ไม่ให้ออกหน้าเองคงไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าฝั่งเขาหลิงซานเดือดดาลแล้ว อ๋องสวรรค์โค่วส่งลูกเขยมาร่วมอวยพรวันเกิดก็นับว่าเห็นแก่หน้าเจ้า ปรากฏว่าฝ่ายเจ้ากลับกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดจะเอาชีวิตลูกเขยเขยเขา ฝั่งเขาหลิงซานยังคุยง่ายหน่อย เพราะมีพุทธะจิ้งฮวาอยู่ ประเด็นสำคัญคือไปมีเรื่องกับอ๋องสวรรค์โค่วท่านนั้นไม่ไหว เพราะระบบไม่เหมือนฝั่งแดนสุขาวดี ท่านนั้นเป็นบุคคลที่มีอำนาจมากจริงๆ กุมอำนาจทางทหารไว้เยอะมากที่ตำหนักสวรรค์ แม้แต่ประมุขชิงและประมุขพุทธะยังไม่กล้าทำอะไรเขาง่ายๆ เลย คนที่มีกำลังทหารของตัวเองอย่างนี้ แค่ออกคำสั่งคำเดียวก็ทำให้พระโพธิสัตว์หลันเย่เสียหายยับเยินได้แล้ว

ดังนั้นตามหลักเหตุผลแล้วจึงต้องออกหน้าด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องให้คำอธิบาย อย่างน้อยก็จะต้องมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ตัวเองสักหน่อย แสดงให้เห็นว่าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้

“นมัสการพระโพธิสัตว์”

ไม่เพียงแค่เหมียวอี้เท่านั้น แม้แต่บรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าก็ทำความเคาพพร้อมกัน

หลังจากหลันเย่ประนมมือ ก็มองตรงไปที่เหมียวอี้พร้อมถามว่า “แม่ทัพภาคหนิว ได้ยินว่าเมี่ยวฉุน ศิษย์ของหวยอวี้อยู่ในมือเจ้า?”

“ใช่แล้ว!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วเอียงหน้าบอกใบ้เหยียนซิว จากนั้นเหยียนซิวก็เรียกเมี่ยวฉุนที่มีสภาพผิดปกติออกมา เหมียวอี้อธิบายว่า “ตอนที่ติดกับดัก ข้าฉุกละหุกอยู่กับการปกป้องตัวเอง เลยดูแลนางไม่ทั่วถึง จึงทำให้ถูกเจ็ดอารมณ์หกปรารถนารุกัดกิน แต่โชคดีที่สุดท้ายก็รักษาชีวิตนางไว้ได้ รอกำจัดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในร่างกายทิ้งไปก็ไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว”

“ขอบคุณมาก!” หลันเย่ก้มหน้า แล้วเอียงหน้าบอกใบ้หวยอวี้อีก ให้นางไปรับตัวคนมา

หวยอวี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้า แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับยื่นมือออกมาขวาง “คนบาดเจ็บเพราะข้า เรื่องรักษาย่อมเป็นสิ่งที่ข้าพึงปฏิบัติ”

เหยียนซิวเก็บเมี่ยวฉุนกลับมาทันที

พระโพธิสัตว์หลันเย่จึงกล่าวว่า “อาตมารับรู้ถึงน้ำใจของแม่ทัพภาคหนิวแล้ว เพียงแต่นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้น สำนักย่อมรักษาเองได้”

เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ แล้วพูดเปิดเผยตรงๆ เสียเลยว่า “หนิวไม่กล้าไม่ไว้หน้าพระโพธิสัตว์หรอก เพียงแต่คนทางบ้านบอกมา ว่าเมี่ยวฉุนเป็นพยานบุคคล ถ้าคนที่บ้านยังมาไม่ถึง หนิวก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจว่าจะส่งคนให้ใคร พระโพธิสัตว์ได้โปรดเข้าใจ”

เขาไม่ได้พูดซี้ซั้วขึ้นมาเอง ก่อนหน้านี้โค่วเจิงก็บอกไว้อย่างนี้ ถ้าในมือไม่มีพยาน เกรงว่าถึงตอนนั้นจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรก็ยังไม่รู้ชัดเลย

พระโพธิสัตว์หลันเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในเมื่อเป็นประสงค์ของตระกูลโค่ว นางก็ไม่สะดวกจะบังคับขอแล้ว ทำได้เพียงโบกมือให้หวยอวี้ถอยไป ยังไม่ต้องทำอะไร รอให้คนของตระกูลโค่วมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ทางนี้รออยู่ไม่นาน บรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าก็ทำสีหน้าซาบซึ้งใจ รีบจัดแถวยืนรอ

พวกเหมียวอี้มองตามพวกนาง เห็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งเหาะมาจากท้องฟ้า เหาะลงมาพร้อมกระโปรงที่ปลิวพลิ้ว ตรงกลางมีเตียงเตี้ยพร้อมมุ้งบางหลังหนึ่ง เห็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนอนเอนกายอยู่ในนั้นรางๆ

เหมือนเคยเห็นฉากนี้มาก่อน ทำให้เหมียวอี้เหม่อลอยเล็กน้อย ในหัวปรากฏภาพที่เจอกับอวิ๋นจือชิวครั้งแรกในปีนั้น หลังจากได้พบกันโดยบังเอิญที่วัดเมี่ยวฝ่าครั้งนั้น ใครจะไปคาดคิดว่าจะได้แต่งงานกัน? ตอนหลังอวิ๋นจือชิวก็เคยบอกเช่นกัน ว่าถ้าไม่ใช่เพราะทั้งสองเคยเจอกันที่วัดเมี่ยวฝ่า พอเจอกันเหมียวอี้ก็หนีไปแล้ว ในภายหลังตอนที่เหมียวอี้ไปโรงเตี๊ยมเมฆาวายุ นางก็คงจะแค่ปฏิบัติกับเหมียวอี้เหมือนคนทั่วไปเท่านั้น ระหว่างทั้งสองก็ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรตามมาทีหลังเลย ยิ่งไม่มีทางที่จะกลายเป็นสามีภรรยากันด้วย

วาสนาเป็นสิ่งที่อธิบายได้ไม่ชัดเจนจริงๆ พอนึกถึงปีนั้นที่เห็นอวิ๋นจือชิวแต่งตัวเย้ายวนเหมือนชาวป่าเดินเนิบนาบออกมาจากเกี้ยว เหมียวอี้ก็รู้สึกอบอุ่นในใจ มุมากอมยิ้มเล็กน้อย จู่ๆ ก็คิดว่าอยากจะกลับไปกอดเอาใจผู้หญิงคนนั้นเร็วๆ หน่อย บางทีอาจจะลองให้อวิ๋นจือชิวแต่งตัวเหมือนในปีนั้นอีกสักครั้ง

พอม่านมุ้งแหวกออก เท้าเปลือยที่ขาวดุจหยกสองข้างก็เหยียบลงพื้น สตรีที่เกล้าม้วยผมสูงเป็นก้อนดุจก้อนเมฆ มีผ้าผืนเล็กสองชิ้นที่ปิดแทบไม่มิดหน้าอกเดินลงมาแล้ว บนตัวมีเสื้อผ้าน้อยชิ้นจนน่าสงสาร ตรงหน้าอกมีสร้อยหยกปปิดบังไว้นิดหน่อยเท่านั้นเอง เป็นเรือนร่างที่หน้าอกอิ่มบั้นท้ายอวบ เอวเล็กบิดสะโพก กระโปรงยาวผ้ามุ้งบางคลุมเอวและสะโพกเอาไว้ แหวกกระโปรงข้างหนึ่งเผยให้เห็นขาที่เรียวยาว ผิวขาวดุจหิมะ ในดวงตางามเผยอารมณ์ที่หลากหลาย สีหน้าท่าทางของนางช่างทำให้สรรพสิ่งหลงใหลในรูปรสกลิ่นเสียงจริงๆ ทำให้คนเลือดลมสูบฉีด

บรรดาศิษย์หญิงที่อยู่ทางซ้ายและขวาของนางก็แต่งตัวเปิดเผยมากเช่นกัน พระสิบกว่ารูปที่หามเกี้ยวก็กำยำล่ำสัน เปลือยร่างกายท่อนบน กล้ามเนื้อแต่ละมัดบนร่างกายดูแข็งแกร่งดุจหินผา

แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคนพวกนี้คือคนของสำนักหลัวช่า เหมียวอี้เริ่มกลุ้มใจ หลังจากมาที่แดนสุขาวดีแล้ว ก็รู้สึกเหมือนโดนโค่นล้มความรู้ที่ตัวเองมีต่อสำนักพุทธนิดหน่อย เหมือนจะมีพระผู้หญิงเยอะกว่าพระผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำไมเขาถึงเจอแต่กระอย่างนี้ล่ะ?

“พระโพธิสัตว์!” ศิษย์สำนักหลัวช่าประนมมือ

พระโพธิสัตว์หลันเย่ยิ้มบางๆ แล้วเข้าไปต้อนรับ ประนมมือกล่าวว่า “พระโพธิสัตว์เม่ยจี”

มีพระโพธิสัตว์โผล่มาอีกแล้วเหรอ? เหมียวอี้พูดไม่ออก

พระโพธิสัตว์เม่ยจีวางมือซ้ายตรงหน้าอก ไม่ได้ไหว้กลับทั้งสิบนิ้ว แต่จีบนิ้วทำความเคารพกลับอย่างสง่างามมาก กล่าวด้วยเสียงที่อ่อนโยนนุ่มนวล “พระโพธิสัตว์หลันเย่” จากนั้นสายตาก็มองตรงไปหาเหมียวอี้ “คาดว่าท่านนี้คงจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อ แม่ทัพภาคตลาดผีสินะ?”

“ใช่แล้ว” พระโพธิสัตว์หลันเย่พยักหน้า

เหมียวอี้ประนมมือ “หนิวโหย่วเต๋อนมัสการพระโพธิสัตว์”

“หึหึ…” เม่ยจีเอามือปิดปากหัวเราะ บิดเอวอ่อนราวกับเป็นงูว่ายน้ำ เท้าเปล่าเดินเหยียบฝุ่นเข้ามา ลมที่เจือกลิ่นหอมพัดเข้ามาวูบหนึ่ง เรือนร่างเย้ายวนถึงขีดสุด นางเดินวนพลางมองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า จากนั้นยื่นศีรษะมาตรงข้างหูเหมียวอี้ พร้อมขยับปากแดงบอกว่า “ไม่ต้องมากพิธี”

ดวงตางามชำเลืองมองศพของอวิ่นหมิงที่นอนอยู่บนพื้น จากนั้นก็หันตัวเผยแผนหลังเปลือยเปล่าให้เหมียวอี้ เดินกลับมาทางฝั่งสำนักหลัวช่า พอกระดกนิ้วเล็กน้อย ก็มีพระศีรษะโล้นเปลือยแขนสองคนก้าวขึ้นมาหิ้วชางหงที่ถูกมัดทันที

“เจ้าคือชางหงสินะ? แม่ทัพภาคหนิวบอกว่าพวกเจ้าวางแผนลอบสังหารเขา เจ้าจะอธิบายยังไง?” น้ำเสียงของเม่ยจีเย็นเยียบลงหลายส่วน

เหมียวอี้ย่อมรู้ว่าตัวเองกำลังใส่ร้าย และอีกฝ่ายก็ย่อมรู้ว่าสำนักหลัวช่าไม่มีทางทำเรื่องนั้น เป็นการเสแสร้งต่อหน้าเขาเท่านั้นเอง

ชางหงจึงอธิบายทันทีว่า “พระโพธิสัตว์ ไม่มีเรื่องแบบนี้แน่นอน พวกศิษย์กำลังเก็บสมุนไพรที่ดาวพิษ แล้วพบว่ามีบุคคลต้องสงสัยขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัว เลยไล่ตามมาตลอดทางจนถึงที่นี่ แล้วก็บังเอิญเจอแม่ทัพภาคหนิวกับลูกน้องของเขา แต่แม่ทัพภาคหนิวปรากฎตัวอยู่ในจุดที่ผู้ต้องสงสัยซ่อนตัว ศิษย์จึงมีเหตุผลที่จะสงสัยว่าแม่ทัพภาคหนิวคือคนที่ขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัว ใครจะคิดว่าแม่ทัพภาคหนิว ย้อนมาใส่ร้าย บอกว่าพวกเราลอบสังหารเขา ศิษย์พูดความจริงทุกประโยค พระโพธิสัตว์ได้โปรดเป็นกระจกที่ใสสะอาด”

เม่ยจีหันหน้ามาเหล่ตามอง “แม่ทัพภาคหนิว เมิ่งถัวหลัวใช้ในทางที่ดีได้ ใช้ในทางที่ร้ายได้ เป็นสมุนไพรต้องห้าม นี่คือสิ่งที่ตำหนักสวรรค์กับแดนพุทธรับรู้ร่วมกัน ชางหงสงสัยว่าเจ้าขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัว เจ้ามีอะไรจะพูดหรือเปล่า?”

“พระโพธิสัตว์กำลังสอบสวนหนิวเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

เม่ยจีตอบว่า “ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ทางที่ดีก็ต้องสืบหาให้ชัดเจน” ความหมายในคำพูดก็คือยอมรับแล้วว่ากำลังสอบสวน

เหมียวอี้ตอบว่า “พวกท่านคนเยอะได้เปรียบกว่า ข้าเห็นแล้วไม่เหมือนกำลังสอบสวน แต่เหมือนอาศัยพวกเยอะมารังแกมากกว่า ชางหงคนนี้เป็นคนของพวกท่าน ใช่ว่านางพูดอะไรแล้วจะถูกต้องทุกอย่าง ถ้าจะสอบสวนก็ย่อมได้ แต่รอให้คนฝั่งตำหนักสวรรค์มาก่อนแล้วค่อยสอบสวนก็ยังไม่สาย แต่ก่อนที่คนของตำหนักสวรรค์จะมา หนิวก็ปฏิเสธที่จะตอบทุกคำถามของพระโพธิสัตว์”

มีอยู่จุดหนึ่งที่เหมียวอี้เองก็ต้องยอมรับ นั่นก็คือการมีตระกูลโค่วหนุนหลังนั้นได้ประโยชน์ไม่น้อยเลย ถ้าไม่มีตระกูลโค่วหนุนหลัง มีหรือที่เขาจะกล้าพูดอย่างนี้กับคนระดับเทพประจำดาว ถ้าไปทำให้อีกฝ่ายโมโหก็สามารถฟาดให้เจ้าตายด้วยฝ่ามือเดียวได้เลย

เม่ยจีหันตัวมาพร้อมยิ้มอย่างเป็นกันเอง แต่ความเย็นเยียบที่แผ่นซ่านออกมาจากดวงตานั้นยากจะปิดบังไหว ลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วแล้วอย่างไรล่ะ ต่อให้นางสั่งสอนสักหน่อยแล้วจะทำไมล่ะ? ถึงอย่างไรที่นี่คือแดนพุทธ แต่ครั้งนี้เรื่องราวแตกต่างออกไป เพราะก่อนที่จะมานางได้รับแจ้งจากเบื้องบน ว่าฝั่งโค่วหลิงซวีลงมือแล้ว วัดใหญ่แต่ละแห่งของพุทธะหน้าหยกที่อยู่ในอาณาเขตทัพเหนือของตำหนักสวรรค์ทยอยกันถูกทหารสวรรค์ปิดล้อมและตรวจสอบแล้ว ศิษย์สำนักพุทธที่โดนจับมีเป็นล้าน ข่าวขอความช่วยเหลือทยอยส่งไปทางพุทธะหน้าหยกไม่หยุด ถ้านางกล้าแตะต้องหนิวโหย่วเต๋อแม้เพียงเล็กน้อย เกรงว่าศีรษะของศิษย์สำนักพุทธจะร่วงลงพื้นเท่าไรก็ยังไม่รู้เลย อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ที่จะรับกรรมก่อนก็คือศิษย์ของนาง

“ว่ากันว่าแม่ทัพภาคหนิวไม่เห็นใครอยู่ในสายตามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว วันนี้ได้เห็นก็นับว่าสมคำร่ำลือจริงๆ” เม่ยจีเดินมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วเอามือจิ้มหน้าอกเหมียวอี้พลางยิ้มอย่างเป็นกันเอง

เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “พระโพธิสัตว์ชมเกินไปแล้ว พระโพธิสัตว์ก็ทำลายภาพลักษณ์ของชาวพุทธที่หนิวเคยเจอเหมือนกัน” เขายกมือมาบังมือของนาง แล้วถอยลบไปด้านข้างอย่างช้าๆ

ในสายตาของคนที่อยู่รอบข้าง การกระทำนี้ค่อนข้างเสียมารยาท โดยเฉพาะผู้ติดตามของเม่ยจี แต่ละคนทำสีหน้าขุ่นเคือง ทยอยกันย้ายฝีเท้าก้าวมาข้างหน้าแล้ว

เม่ยจียกมือขึ้นเล็กน้อยแล้วหยุด ดวงตาทั้งสี่สบประสานกับเหมียวอี้

พระโพธิสัตว์หลันเย่กลับมองฉากนี้อย่างสนใจ

ในขณะนี้เอง เม่ยจีกับหลันเย่ก็แทบจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมกัน แล้วทุกคนก็ทยอยกันมองตาม

คนนับพันปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า ผู้ที่นำหน้านมาก็คือโค่วเจิง เห็นเพียงโค่วเจิงจ้องข้างล่างแล้วโบกมือ คนนับพันข้างหลังกลายเป็นหมื่นคนในชั่วพริบตาเดียว แล้วหมื่นคนก็เพิ่มเป็นแสนคน ทหารสวมเกราะหนึ่งแสน แม่ทัพใหญ่เกราะแดงยืนอยู่ข้างหน้าอย่างดุร้ายน่าเกรงขาม

โค่วเจิงนำทัพใหญ่หนึ่งแสนมาด้วยตัวอง!

…………………………

เหมียวอี้วางระฆังดาราในมือลง ทางโค่วเจิงส่งข่าวมากำชับเขาแล้ว บอกเขาว่าอย่าเพิ่งทำซี้ซั้ว ให้รักษาตัวเองให้ปลอดภัยแล้วรอให้ตนไปถึง

ชำเลืองมองชางหงที่กำลังจ้องตนด้วยสายตาคับแค้นใจแวบหนึ่ง เหมียวอี้ไม่สนใจนางอีก ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ถ้าสู้กกันขึ้นมาจริงๆ เขาก็ไม่เห็นผู้หญิงพวกนี้อยู่ในสายตาเลย ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีประโยชน์ให้ใช้งานอยู่ มีหรือที่จะพัวพันอยู่กับพวกนาง เวลาโมโหขึ้นมาก็อาจจะกำจัดทิ้งหมดเลยก็ได้

หันกลับไปเอียงหน้าบอกใบ้เหยียนซิวเล็กน้อย เหยียนซิวจึงเรียกเมี่ยวฉุนออกมา แล้วคลายผนึกบนตัวเมี่ยวฉุน

พอลบผนึกออก เมี่ยวฉุนก็พลันลืมตาขึ้น แววตาของนางบางครั้งก็ดุร้าย บางครั้งก็อ่อนโยน บนใบหน้าก็ยิ่งสื่ออารมณ์ที่หลากหลายปนกัน ตัวสั่นพลางเอามือกุมศีรษะ ควบคุมอารมณ์ตัวเองลำบาก เห็นได้ชัดว่าควบคุมตัวเองได้ยากแล้ว

เหมียวอี้ส่ายหน้าเบาๆ เหยียนซิวทำได้เพียงลงมือควบคุมเมี่ยวฉุนเอาไว้อีกครั้ง

ไม่ใช่ว่าเหมียวอี้คลายเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาบนตัวเมี่ยวฉุนไม่ได้ และไม่ใช่ว่าลงมือช่วยไม่ได้ แต่ถ้าช่วยแล้วก็อาจจะนำความยุ่งยากมาให้ตัวเอง การใช้เคล็ดวิชาฝึกตนกำจัดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในร่างกายให้อีกฝ่าย นั่นไม่ใช่สิ่งที่เคล็ดวิชาธาตุไฟทั่วไปสามารถทำได้ จะทำให้คนสงสัยได้ง่ายมาก

ทำไมเขากับเหยียนซิวจึงไม่ได้รับผลกระทบจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาน่ะเหรอ สิ่งนี้อธิบายได้ง่ายมาก อย่างมากก็บอกไปว่าเหมียวอี้ใช้เคล็ดวิชาธาตุไฟปกป้องทั้งสองเอาไว้ก่อนแล้ว ตอนนั้นกำลังรีบร้อนฉุกละหุก จึงดูแลไม่ทั่วถึงเมี่ยวฉุน และด้วยสภาพอย่างนั้นของเมี่ยวฉุน คาดว่าก็คงจะไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจนเช่นกัน

ดังนั้นหากต้องการจะช่วยเมี่ยวฉุน ก็ต้องไม่ใช่เขาที่เป็นคนช่วย นี่ก็คือเหตุผลที่เขาเสียเวลาอยู่กับพวกชางหง

พอพวกชางหงเห็นว่ามีนักบวชหญิงคนหนึ่งตกอยู่ในมือทั้งสอง แต่ละคนก็ทำสีหน้าคับแค้นทันที ชางหงตะคอกถามว่า “ทำไมถึงจับตัวคนสำนักพุทธของข้า?”

เหมียวอี้เหล่ตาตอบว่า “ตัวก็ถูกมัดไว้แล้ว ปากยังอยู่ไม่สุขอีก ตรงนี้ใช่ที่พูดของเจ้าเหรอ?”

“เจ้า…” ชางหงโมโหแล้ว รู้สึกอยากจะหนีจากการถูกมัดแล้วไปสู้ตายกับเหมียวอี้

“ศิษย์พี่หง” ชางลั่วดึงนางไว้ บอกใบ้ว่าด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ คงไม่ดีถ้าเท่านจะทำอะไรอีก แล้วตัวเองก็พูดแทน “แม่ทัพภาคหนิว พวกเจ้าทำอะไรกับนาง?”

“ทำไมนางถึงกลายเป็นแบบนี้ พวกเจ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ทำไมต้องมาแกล้งโง่ตรงนี้ด้วย” เหมียวอี้ถามกลับ

ชางลั่วจึงกล่าวอย่างคร่งขรึมจริงจัง “พวกอาตมาจะไปรู้ได้อย่างไร…” แต่ยังไม่ทันพูดจบก็ต้องหยุดชะงักแล้ว

เหยียนซิวเก็บเมี่ยวฉุนเอาไว้ แล้วดึงอวิ่นหมิงที่มีสภาพสะบักสะบอมออกมาอีก ปฏิบัติกับอวิ่นหมิงอย่างไม่เกรงใจ โยนลงมากระแทกพื้นโดยตรง แล้วถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “บนตัวเขาไม่มีสิ่งของอะไรที่สามารถพิสูจน์ตัวตนเขาได้เลย”

เมื่อครู่นี้เพิ่งจะเห็นนักบวชหญิงถูกจับตัว ตอนนี้เห็นนักบวชชายโดนจับอีกแล้ว ทั้งยังมีสภาพอนาถกว่าด้วย ชางหงและบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ทำสีหน้าโกรธเคืองทันที พวกนางพบว่าหนิวโหย่วเต๋ออาศัยที่ตัวเองมีอ๋องสวรรค์โค่วหนุนหลัง จึงไม่มองว่าคนสำนักพุทธเป็นคนแล้ว คนของตำหนักสวรรค์มีสิทธิ์อะไรถึงถ่อมาพาลเกเรที่แดนสุขาวดี!

และสิ่งที่ยิ่งทำให้นักบวชสำนักหลัวช่าอับอายจนโมโหก็คือ เหมียวอี้ใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบหน้าอกอวิ่นหมิงแล้ว เหยียบติดพื้นเอาไว้แนบแน่น

“แม่ทัพภาคหนิว แดนสุขาวดีไม่ใช่สถานที่ที่ตำหนักสวรรค์อย่างพวกเจ้าจะมาพาลเกเรได้ตามอำเภอใจ อย่านึกนะว่าเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วแล้วจะทำตามใจได้!” ครั้งนี้

ชางลั่วก็ข่มไฟโกรธไม่ไหวแล้วเช่นกัน เตือนอย่างเย่อหยิ่งไร้มารยาทมาก

เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจนาง ดึงกระบี่วิเศษมาไว้ในมือ คมกระบี่จ่ออยู่บนใบหน้าอวิ่นหมิง แล้วถามเสียงเรียบว่า “บอกมา! ทำไมเจ้าถึงวางกับดักลอบสังหารข้า?”

เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ใบหน้าโกรธแค้นของบรรดาศิษย์สำนักหลัวช่าก็ชะงักทันที ลอบสังหาร? พระรูปนี้ลอบสังหารหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? ลอบสังหารลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วเนี่ยนะ? จะเป็นไปได้อย่างไร?

อวิ่นหมิงกลับยิ้มอ่อน ราวกับมองความตายเป็นบ้านหลังสุดท้ายของชีวิต “ตกอยู่ในมือเจ้าแล้ว อาตมาไม่หวังว่าจะได้มีชีวิตต่อไปหรอก เหตุใดต้องพูดให้มากความ”

เขารู้แล้วว่าครั้งนี้ตัวเองไม่มีทางรอดเลย ไม่ว่าจะเป็นฝั่งตำหนักสวรรค์หรือฝั่งแดนสุขาวดีก็จะลงโทษเขาเพื่อไม่ให้มีใครเอาเยี่ยงอย่าง ไม่หวังว่าจะโชคดีรอดชีวิตอะไรทั้งนั้น

ปลายกระบี่กรีดบนใบหน้าของอวิ่นหมิงช้าๆ จนมีรอยเลือดซึมออกมาราวกับปักลายดอกไม้ไว้บนผ้า เหมียวอี้กล่าวเย็นชา “มาถึงขั้นนี้แล้ว ปากแข็งต่อไปยังจะมีความหมายอีกเหรอ? ข้าได้ยินไป่ลิ่มที่ดาวฮุ่ยหลินเรียกหนึ่งในพวกเจ้าว่า ‘อวิ่นกวง’ คนใกล้ตายมักจะพูดความจริงจากใจ เดาว่าไป่ลิ่วคงไม่ได้หลอกข้าหรอก มีชื่อนี้อยู่แล้ว เจ้านึกว่าข้าจะสืบไม่เจอเหรอว่าพวกเจ้าเป็นใคร? เจ้าตกอยู่ในมือข้าแล้ว นึกว่าข้าจะสืบประวัติเจ้าไม่เจอเชียวเหรอ?”

อวิ่นหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไปสืบหาเอาเถอะ ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองคำพูด อาตมารู้ตัวไม่มีทางรอดแล้ว ปล่อยให้อาตมาไปสบายเถอะ”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ประเด็นสำคัญก็อยู่ตรงนี้แหละ เจ้าทำให้ข้าไม่สบายใจ ข้าจะทำให้เจ้าทรมานยิ่งกว่าตาย ทำเจ้าอยู่อย่างทรมานจนต้องร้องขอความตาย อยากจะลองมั้ยล่ะ?” คมกระบี่จ่ออยู่ด้านบนของลูกตาเขาแล้ว ท่าทางเหมือนจะจิ้มลงมาได้ทุกเมื่อ

อวิ่นหมิงพลันเงียบลงทันที จากนั้นผ่านไปนานถึงได้ถามอีกว่า “เจ้าพูดคำไหนคำนั้นหรือเปล่า?”

ไม่ว่าใครก็ฟังออกว่าเขากำลังจะยอมเปิดปากแล้ว แต่สาเหตุไม่ใช่เพราะกลัวตายหรือไม่กลัวตาย แต่พอลองเปลี่ยนความคิด ก็รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังอีก ไข่มุกห้ามังกรก็ตกอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว ประวัติของเขาก็สืบได้ไม่ยากเลย สำนักหนีหายนะครั้งนี้ไปไม่พ้น เกรงว่าท่านอาจารย์ที่ติดต่อคนไม่ได้คงจะ…การที่เขาถ่วงเวลาจนถึงตอนนี้แล้วค่อยเปิดปากพูด ก็นับว่าให้เวลากับสำนักเพียงพอแล้ว นับว่าทำดีที่สุดแล้ว ถ้าจะให้ทรมานเพราะสิ่งนี้อีกก็ไม่คุ้มค่า อีกทั้งในใจเขาก็มีความคับแค้นอยู่เช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะถูกตระกูลอิ๋งกดดัน ก็คงไม่เดินมาถึงจุดนี้ เขาหวังว่าตระกูลโค่วจะสามารถทำให้ตระกูลอิ๋งอยู่อย่างอิสระไม่ได้

“ขอเพียงเจ้าพูดความจริงออกมา ข้าก็จะปล่อยให้เจ้าไปสบาย” เหมียวอี้กล่าว

“เจ้าอยากจะรู้อะไรล่ะ?” อวิ่นหมิงถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “พวกเจ้าเป็นใคร ทำไมถึงวางแผนทำร้ายข้า?”

“ศิษย์ของพระอรหันต์ตัวลี่ ได้รับคำสั่งจากท่านอาจารย์ให้มาโปรดเจ้า” อวิ่นหมิงตอบ

เมื่อตอบมาแบบนี้ บรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าก็ตกใจไม่หยุด ถึงไม่ถึงว่าที่แดนสุขาวดีจะมีคนลงมือลอบสังหารลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วแล้วจริงๆ และคนที่แอบดำเนินการเรื่องนี้ก็คือพระอรหันต์ผู้สง่าผ่าเผย

“พระอรหันต์ตัวลี่?” เหมียวอี้ขมวดคิ้วครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ข้ากับอาจารย์เจ้ามีความแค้นต่อกันเหรอ?”

อวิ่นหมิงตอบว่า “เจ้ากับอาจารย์ข้าไม่มีความแค้นต่อกัน แต่เจ้ามีความแค้นกับตระกูลอิ๋ง ในงานวันเกิดของพระโพธิสัตว์หลันเย่ อิ๋งหยางลูกหลานของตระกูลอิ๋งแนะให้ท่านอาจารย์ลงมือกับเจ้า แต่ท่านอาจารย์ปฏิเสธไป ทว่าท่านอาจารย์ถูกตระกูลอิ๋งบีบจุดอ่อนเรื่องที่ดำเนินกิจการอยู่ในตลาดสวรรค์ไว้แล้ว ด้วยความที่ถูกตระกูลอิ๋งบีบบังคับ ท่านอาจารย์ถึงได้เดินมาถึงขั้นนี้ ส่งลูกศิษย์ห้าคนให้ติดตามเจ้ามาตลอดทางเพื่อหาโอกาสลงมือ ส่วนเรื่องในตอนหลังเจ้าก็เห็นแล้ว”

เป็นตระกูลอิ๋งอีกแล้วเหรอ? ไฟโกรธพลันเดือดปุดขึ้นมาในใจเหมียวอี้ จดจำชื่อ ‘อิ๋งหยาง’ เอาไว้แล้ว

ที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็สงสัยนิดหน่อยว่าคงไม่พ้นพวกคนใหญ่คนโตฝั่งตำหนักสวรรค์ ตอนที่เขาอยู่ตำหนักสวรรค์ก็แทบจะไม่ได้คบค้ากับคนสำนักพุทธเลย ไม่มีความแค้นอะไรกับฝั่งแดนสุขาวดีจริงๆ ทั้งยังไม่ได้ขัดผลประโยชน์อะไรกันด้วย คนสำนักพุทธไม่จำเป็นต้องหาเรื่องเขา ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่าหลังจากลงมือกับเขาแล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปง ถ้าไม่ใช่คนที่ใช้อำนาจกดดันคนฝั่งนี้ได้พอสมควร ก็ไม่มีทางบีบให้คนฝั่งพุทธมาเสี่ยงอันตรายแบบนี้ได้

เมื่อได้รับคำตอบนี้ ก็บอกได้เพียงว่าได้พิสูจน์การคาดเดาในใจเขาแล้ว แน่นอน เขาเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือโกหก เป็นไปได้เช่นกันว่าจะเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน

“สำนักฮุ่ยหลินก็ร่วมทำเรื่องนี้ด้วยเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสำนักฮุ่ยหลิน ถ้าจะเกี่ยวก็เกี่ยวกับไป่ลิ่วแค่คนเดียว…” อวิ่นหมิงไม่ปิดบัง เล่าเรื่องนี้อย่างละเอียดราวกับเทถั่วลงในกระบอกไม้ไผ่

ขณะที่บรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าฟังจนทอดถอนใจไม่หยุด จู่ๆ เหมียวอี้ก็ชี้กระบี่ไปที่พวกนางอีก “แล้วพวกเจ้าล่ะ? พวกนางเป็นพวกเดียวกับพวกเจ้าหรือเปล่า?”

สาเหตุที่เขาจงใจสาดโคลน สาเหตุแรกก็เป็นเพราะอยากจะให้สำนักหลัวช่าเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ สาเหตุรองก็เพราะอยากแกล้งให้ผู้หญิงพวกนี้รู้สึกรังเกียจ แล้วก็ยังมีจุดประสงค์อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คืออยากจะทดสอบว่าอวิ่นหมิงกำลังทำหม้อชำรุดให้ตกแตก[1] จงใจกัดซี้ซั้วไปทั่วหรือเปล่า

บรรดาศิษย์สำนักหลัวช่าได้ยินแล้วอึ้งทันที

โชคดีที่หลังจากอวิ่นหมิงเปลืองแรงหันไปมองแวบหนึ่ง ก็ช่วยมอบความบริสุทธิ์ให้พวกนางแล้ว “อาตมาไม่รู้จักพวกนาง ไม่รู้ว่าพวกนางเป็นใคร แต่ศิษย์สำนักพุทธของแดนสุขาวดีที่สามารถแต่งตัวอย่างนี้ได้ เดาคงไม่มีสำนักที่สองแล้ว เหมือนจะเป็นนางมารสวรรค์ศิษย์สำนักหลัวช่า”

พวกสำนักหลัวช่าโล่งใจทันที ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องลอบสังหารลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วจริงๆ ถ้าพยานยืนกรานให้การแบบนั้น ก็จะเกิดปัญหาใหญ่แล้ว ต่อให้จะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ก็จะถูกสอบสวนอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน ต่อให้ไม่ได้แต่ก็หนังหลุด

“ไม่ใช่พวกเดียวกับพวกเจ้าจริงเหรอ? แล้วทำไมพวกนางถึงวางแผนจะทำร้ายข้า?” เหมียวอี้ถามยืนยันอีกครั้ง

ชางลั่วที่อยู่ตรงข้ามกล่าวเสียงดังทันทีว่า “แม่ทัพภาคหนิว พวกเราพูดไว้ชัดเจนแล้วว่าทำไมต้องล้อมเจ้าไว้ พวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนคนนี้”

“จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะตัดสิน ต้องตรวจสอบก่อนถึงจะรู้” เหมียวอี้กล่าว

คำพูดของเขานั้นไม่ผิด กลุ่มศิษย์สำนักหลัวช่าที่มาขวางไว้เถียงไม่ออก

“สิ่งที่ข้ารู้ก็มีเพียงเท่านี้ โยมหนิวรักษาสัญญาได้หรือไม่?” อวิ่นหมิกลับมีเรื่องถาม

“ข้าพูดคำไหนคำนั้น!”

เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ ไม่แม้แต่จะมองเขาด้วยซ้ำ ยกมือขึ้นแล้วแทงกระบี่ยาวลงไป เสียงดังฉึก เสียบเข้าไปตรงหว่างคิ้วอวิ่นหมิง ทะลุหัวกระโหลกแล้ว

กระบี่ยาวตอกลงบนพื้นพร้อมร่างคน

อวิ่นหมิงเบิกตากว้าง เหมือนเขาจะคาดไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเด็ดขาดตรงไปตรงมาขนาดนี้ ร่างกระตุกสองสามครั้งก่อนจะค่อยๆ แน่นิ่งไป เลือดจากศีรษะไหลย้อยลงมา

เหมียวอี้ย้ายเท้าที่เหยียบบนหน้าอกเขาออกไปแล้ว มือที่จับด้ามกระบี่ก็คลายออกแล้วเช่นกัน

ถ้าถามว่าทำไมเขาถึงเด็ดขาดรวดเร็วขนาดนี้ ก็เป็นเพราะอวิ่นหมิงเห็นเองกับตาว่าแล้วว่าเหยียนซิวใช้เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง บางทีอวิ่นหมิงอาจจะไม่รู้จักเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางก็ได้ แต่จะต้องมีคนรู้แน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่ปล่อยให้อวิ่นหมิงตกอยู่ในมือคนอื่นแล้วพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป เหตุผลก็เรียบง่ายแบบนี้

บรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าที่อยู่แดนสุขาวดีก็เคยได้ยินเรื่องความโหดหนิวโหย่วเต๋อมาก่อนเช่นกัน ได้ยินว่าสังหารคนของตระกูลผู้มีอำนาจตายจนเลือดนองเป็นแม่น้ำที่ตลาดสวรรค์ วันนี้นับว่าทำให้พวกนางได้เข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘สมคำร่ำคือ’ แล้ว แค่ดูจากกระบี่ที่สังหารอย่างไม่ทันตั้งตัวก็รู้แล้ว

เมื่อได้เห็นฉากนี้กับตาตัวเอง ตอนนี้บรรดาศิษย์ของสำนักหลัวช่าก็เริ่มสงสัย ว่าอาจจะเป็นการเข้าใจผิดกันจริงๆ หรือเปล่า หนิวโหย่วเต๋อคนนี้กำลังหลบหนีการไล่สังหาร จะมีอารมณ์ถ่อมาขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัวที่ดาวพิษได้อย่างไร ดีไม่ดีผู้ต้องสงสัยตัวจริงอาจจะฉวยโอกาสหนีไปแล้วก็ได้ กลับถูกพวกเขาทำให้บังเอิญมาเจอกับท่านนี้แทน

แต่มีเพียงชางหงที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจ้องเหมียวอี้ ไม่ยอมเปลี่ยนเป้าหมายผู้ต้องสงสัย

เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อโค่วเจิงอีกครั้ง แล้วรายงานสถานการณ์ที่ถามได้จากฝั่งนี้ให้ฟัง

โค่วเจิงยังคงอยู่ระหว่างทาง หลังจากได้รู้สถานการณ์แล้วก็รายงานต่ออ๋องสวรรค์โค่วทันที ส่วนอ๋องสวรรค์โค่วก็ติดต่อไปทางแดนสุขาวดีเช่นกัน ต้องการจะจับพระอรหันต์ตัวลี่

ฝั่งแดนสุขาวดีค่อนข้างตกตะลึงเมื่อได้รู้ข่าว นึกไม่ถึงว่าพระอรหันต์จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ สะเทือนไปถึงประมุขพุทธะ ฝั่งเขาหลิงซานออกคำสั่งให้ไปจับตัวคนมาทันที

…………………………

[1] ทำหม้อชำรุดให้ตกแตก 破罐子 破摔 อุปมาว่าทำให้เรื่องเลวร้ายกว่าเดิม

ก่อนหน้านี้เขาสงสัยนิดหน่อยว่าจุดซ่อนสมบัติและสำนักหนานอู๋มีความเกี่ยวข้องกัน อย่างไรเสียห้องใต้ดินก็มีลักษณะความเป็นพุทธชัดเจนเกินไป กอปรกับเครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ ใครจะคิดว่าจะเกี่ยวโยงกันชัดเจนขนาดนี้ วนอ้อมไปตั้งไกลหนึ่งรอบ ไม่น่าเชื่อว่าจุดซ่อนสมบัติจะโดนฝังลึกอยู่ใต้ซากของสำนักหนานอู๋นี่เอง

ตอนนี้เหมียวอี้แทบจะแน่ใจแล้วห้องใต้ดินนั้นคือมรดกของสำนักหนานอู๋

จากสิ่งนี้ เขาก็สามารถแน่ใจได้เช่นกันว่าผู้ซ่อนสมบัติกับสำนักหนานอู๋ต้องมีอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกัน ไม่อย่างนั้นทำไมไม่ให้นำสมบัติก้อนใหญ่ที่หยิบฉวยง่ายขนาดนี้ไปล่ะ สำนักหนานอู๋ถูกทำลายไปหลายปีขนาดนี้แล้ว จะมีเจ้าของเสียที่ไหนกัน แต่กลับต้องรอให้เจ้าของอนุญาตถึงจะนำของไปได้ จะเห็นได้ว่าผู้ซ่อนสมบัติเคารพสำนักหนานอู๋ขนาดไหน เพียงแต่ความสัมพันธ์ที่อยู่ในนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจยากจริงๆ เกรงว่าคงจะมีเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด

ตอนนี้พ่อมาขบคิดถึงประโยค ‘กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋’ อีกครั้ง ก็มีอีกความหมายหนึ่งที่ลึกซึ้งจริงๆ หวนคิดถึงความหมายอันลึกซึ้งด้วยจิตใตที่หดหู่

“ใครกันน่ะ?”

เสียงตะโกนที่แหลมเล็กดังขึ้น เงาคนสามคนแฉลบผ่านมา เป็นหง ลั่วและอวี่นั่นเอง

ก่อนหน้านี้ทั้งสามไล่ตามเหมียวอี้ไปตลอดทาง แต่กลับหาเงาของเหมียวอี้ไม่เจอ ใครจะคิดว่าพอหาจนทั่วแล้วกลับมาที่นี่อีกถึงได้บังเอิญเจอแล้ว

เหมียวอี้ดึงสติกลับมา พอเห็นการแต่งกายของทั้งสามคน ก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่มาเก็บเมิ่งถัวหลัว เขายังไม่รู้ที่มาที่ไปของคนพวกนี้ชัดเจน กูไม่อยากเกิดความขัดแย้งอะไรกัน บวกกับได้สมบัติมาไว้ในมือแล้ว จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง ถลันตัวพุ่งขึ้นฟ้าไปเลย มุ่งตรงไปยังท้องฟ้าอันกว้างใหญ่

“อยู่นี่นะ!”

ทั้งสามตะโกนซ้ำๆ นอกจากจะไล่ตามไม่หยุดแล้ว ยังรีบหยิบระฆังดารามาติดต่อกับคนอื่นๆ ในสำนักอีก

ผ่านไปไม่นาน ตามจุดต่างๆ ของดาวพิษก็มีคนโผล่มาอีกยี่สิบกว่าคน รีบเร่งตามมา ทยอยกันห่อขึ้นไปบนท้องฟ้า

เหมียวอี้กำลังเดินทางอยู่ในดาราจักรหันกลับมามองเป็นระยะ รู้สึกโมโหนิดหน่อย ตัวเองไม่ได้ไปหาเรื่องคนพวกนี้ อยู่ดีๆ จะมาไล่ตามตนทำไม?

มีอยู่จุดหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ นั่นก็คือคนพวกนี้เหมือนจะมีวรยุทธ์พอๆ กับเขา ความเร็วตอนไล่ตามก็ไม่ได้แย่กว่า เขารู้สึกวู่วามอยากจะลงมือ

แต่คิดไปคิดมาก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาเหาะไปยังจุดที่เหยียนซิวซ่อนตัวอยู่ ขณะเดียวกันก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหยียนซิว

พอบุกเข้ามาในแนวเทือกเขาของดาวเคราะห์ที่เหยียนซิวซ่อนตัว เหมียวอี้ก็รีบถลันตัวเข้าไปซ่อนในนั้น

หง ลั่วและอวี่ไล่ตามไม่หยุด ขณะกำลังจะค้นหาตรงจุดที่เหมียวอี้หายไป จู่ๆ เงาคนคนหนึ่งก็ถลันลงมาจากข้างบน มาขวางทั้งสามเอาไว้กลางอากาศ แล้วตะคอกว่า “พวกเจ้าเป็นใครกัน?” คนถามก็คือเหยียนซิวนั่นเอง

ทั้งสามหยุดอย่างกะทันหัน แล้วมองประเมินเหยียนซิวศีรษะจดเท้า และหน้าตาของเหยียนซิวก็ไม่ได้น่าเอ็นดูอยู่แล้ว เพียงแต่พอเห็นว่าเหยียนซิวแต่งตัวเหมือนปุถุชน ศิษย์พี่หงจึงกล่าวเสียงต่ำว่า “พวกเจ้าสองคนรีบไปตรวจสอบ”

ตอนที่ศิษย์น้องลั่วกำลังจะถลันตัวเข้าไป ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเป็นฝ่ายปรากฏตัวออกมาก่อนแล้ว ตะคอกถามว่า “ผู้ที่มาเป็นใคร?”

แน่นอน ผ้าดำที่ใช้คลุมร่างกายถูกถอดทิ้งแล้ว เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาแล้ว

ดวงตาของเหยียนซิวฉายแววเคารพนับถือ ถอยกลับมาอยู่ข้างกายเหมียวอี้ แล้วบอกว่า “นายท่าน สงสัยจะหลบไม่พ้นแล้ว คนพวกนี้คงจะไม่ยอมเลิกราถ้าไม่ได้ฆ่าพวกเรา”

หง ลั่วและอวี่มองไปยังทิศทางที่เหมียวอี้จากมา พอได้ยินคำเรียกว่า ‘นายท่าน’ พวกนางก็ระแวงสงสัยและทำท่าอยากจะตะโกนถาม แต่ใครจะคิดละว่าเหมียวอี้จะกล่าวอย่างโมโหแล้ว “ได้! นึกว่าหนีไม่พ้นแล้ว ก็สู้ตายให้เหมือนปลาเจาะแหก็แล้วกัน หนิวโหย่วเต๋อ แม่ทัพภาคตลาดผีอยู่นี่แล้ว ใครจะกล้าสู้ตายกับข้าสักตั้งไหม!” พูดจบก็โบกมือช้อนทวนเกล็ดย้อนขึ้นมาชี้ทั้งสามอย่างเกรี้ยวกราด

แม่ทัพภาคตลาดผีหนิวโหย่วเต๋อ? คนคนนี้คือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? หง ลั่วและอวี่อึ้งนิดหน่อย คิดตามไม่ค่อยทันว่านี้มันเรื่องอะไรกันแน่

ศิษย์พี่หงถามอย่างค่อนข้างตะลึงว่า “เจ้าคือหนิวโหย่วเต๋อ แม่ทัพภาคตลาดผีฝั่งตำหนักสวรรค์เหรอ?”

เหมียวอี้ชี้ทวนพลางแสยะยิ้ม “รู้แล้วยังจะแกล้งถามทำไม ไล่สังหารจากดาวฮุ่ยหลินมาจนถึงที่นี่ อยากจะเอาชีวิตหนิวไม่ใช่เหรอ? เข้ามาได้เลย!”

ไล่สังหารจากดาวฮุ่ยหลินมาที่นี่อะไรกัน? ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่ก

ในขณะนี้เอง ข้างหลังก็มีศิษย์ร่วมสำนักทยอยกันมาถึง มาช่วยทั้งสามล้อมเหมียวอี้กับเหยียนซิวเอาไว้ตรงกลาง ในมือของแต่ละคนถือตรีศูล

“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใคร คนที่เพิ่งมาจากดาวพิษเมื่อครู่นี้คือเจ้ารึเปล่า?” ศิษย์พี่หงถามเสียงต่ำ

เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ดาวพิษอะไรกัน อย่ากระบิดกระบวนนักเลย! แต่ละคนซ่อนหัวหดหางไม่กล้าเจอหน้าใครเหรอ? พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?”

ศิษย์พี่หงดึงผ้าคลุมศีรษะสีดำออก ผมงามแผ่สยาย เผยใบหน้าที่สวยเลิศล้ำ “ชางหง ศิษย์ของพุทธะหน้าหยก ได้รับคำสั่งจากท่านพุทธให้มาเก็บสมุนไพรที่ดาวพิษ อาตมาจะถามอีกครั้ง คนที่ออกมาจากดาวพิษเมื่อครู่นี้คือเจ้าใช่มั้ย?”

กลุ่มศิษย์พี่ศิษย์น้องพากันถอดผ้าโพกศีรษะ ถอดผ้าสีดำทิ้ง เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา แต่ละคนเรียกได้ว่าสวยหยาดเยิ้ม โดยเฉพาะลักษณะการแต่งตัว ช่างร้อนแรงยั่วยวนจริงๆ เปิดเผยเรือนร่างพอสวมควร หน้าอกขาวดุจหิมะและต้นขาขาวผ่องแทบจะโผล่ออกมาเกินครึ่ง ถ้ามองนานๆ ก็ทำให้เลือดลมสูบฉีดได้ ขนาดเหมียวอี้เห็นแล้วยังเหม่อ คนกลุ่มนี้แต่งตัววาบหวิวยิ่งกว่าจางเทียนเซี่ยวเสียอีก

เหมียวอี้กับเหยียนซิวอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันอย่างเลิกลั่ก สงสัยนิดหน่อยว่าผู้หญิงพวกนี้เป็นคนสำนักพุทธจริงเหรอ?

“พุทธะหน้าหยก? มิน่าล่ะถึงได้ใจกล้าขนาดนี้!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม แล้วหยิบระฆังดาราออกมา ติดต่อไปหาโค่วเจิงโดยตรง ขอความช่วยเหลือ!

จวนตระกูลโค่ว โค่วเจิงที่กำลังฝึกตนอยู่ในห้องสมาธิได้รับข่าวขอความช่วยเหลือจากเหมียวอี้ เรียกได้ว่าตกใจมาก รีบวิ่งออกมาจากห้องสมาธิทันที บุกตรงไปยังเขตหวงห้ามด้านในของจวนตระกูลโค่ว

โค่วหลิงซวีก็กำลังฝึกตนอยู่เช่นกัน พอถังเฮ่อเหนียนที่ขวางโค่วเจิงไว้ข้างนอกได้ยินเรื่องนี้ ก็ตกตะลึงมากเช่นกัน จึงเข้ามารายงานโดยไม่ลังเล

ผ่านไปไม่นาน โค่วหลิงซวีก็เดินออกมาจากตำหนักใหญ่ ขณะที่เดินลงบันได้ ก็ตะโกนถามโค่วเจิงที่ยืนรออยู่ตรงบันไดว่า “มีเรื่องอะไร?”

โค่วเจิงกุมหมัดคารวะ “ตามที่หนิวโหย่วเต๋อ เขาเที่ยวเล่นที่แดนสุขาวดีไปจนถึงดาวฮุ่ยหลิน ถูกศิษย์คนหนึ่งในดาวฮุ่ยหลินที่ชื่อว่าไป่ลิ่วหลอกล่อให้ไปยังสถานที่ลับตาคน ล่อให้ติดกับดักล้อมสังหาร อันตรายถึงชีวิต หลังจากสู้ตายจนรอดออกมาแล้ว ก็หนีออกจากดาวฮุ่ยหลินทันที ใครจะคิดว่าพอหนีมาถึงบริเวณดาวพิษ ก็ถูกศิษย์ของพุทธะหน้าหยกล้อมไว้อย่างไม่รู้จักแยกแยะถูกผิดอีก ฝ่ายตรงข้ามมีคนเยอะจึงได้เปรียบกว่า สถานการณ์อันตราย จึงขอความช่วยเหลือจากทางบ้านอย่างเร่งด่วน!”

โค่วหลิงซวีหันกลับไปมองถังเฮ่อเหนียนอีกครั้ง “เจ้าคิดว่ายังไง?”

ถังเฮ่อเหนียนขมวดคิ้วกล่าวอย่างลังเล “จากดาวฮุ่ยหลินไปดาวพิษเหมือนจะห่างไกลกันอยู่นะ ตอนที่เขาหนีออกจากดาวฮุ่ยหลิน ทำไมถึงไม่บอกตระกูลสักคำ ดึงดันจะรอถึงตอนนี้ให้ได้?” แล้วก็ถามโค่วเจิงอีก “หนิวโหย่วเต๋อได้เปิดเผยตัวเองหรือเปล่า?”

“เขาบอกว่าเขาเปิดเผยแล้ว แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมหยุด” โค่วเจิงตอบ

“หึหึ! อวี้หลัวช่าคิดจะทำอะไร? คิดว่าตาแก่คนนี้นั่งหัวโด่อยู่เฉยๆ รึไง?” โค่วหลิงซวีเดือดจนหัวเราะประชด หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวี้หลัวช่าเพื่อยืนยันทันที อวี้หลัวช่าก็คือพุทธะหน้าหยกนั่นเอง เขายืนยันด้วยตัวเองว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงหรือไม่

ส่วนอวี้หลัวช่าที่อยู่ฝั่งแดนสุขาวดี พอได้ข่าวจากโค่วหลิงซวีก็ตกใจเหมือนกัน คนของตัวเองจะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน แต่พอได้ยินว่าอยู่บริเวณดาวพิษก็เริ่มไม่ค่อยแน่ใจแล้วเหมือนกัน ถึงตาฝ่ายนางไปเก็บรวบรวมเมิ่งถัวหลัวที่ดาวพิษพอดี นางจึงบอกให้โค่วหลิงซวีใจเย็น นางจะยืนยันกับฝ่ายตัวเองสักหน่อย

ดังนั้นชางหงที่กำลังล้อมเหมียวอี้จึงได้รับข่าวจากท่านอาจารย์เร็วมาก ถามว่านางกำลังเผชิญหน้ากับหนิวโหย่วเต๋อใช่หรือไม่?

ตอบสนองเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? ชางหงกัดริมฝีปากพลางจ้องเหมียวอี้ เมื่อครู่เพิ่งเห็นเหมียวอี้วางระฆังดาราไปได้ไม่นาน ฝั่งก็สะเทือนไปถึงท่านอาจารย์แล้ว ดูท่าแล้วน่าจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อของฝั่งตำหนักสวรรค์จริงๆ คนที่มีเส้นสายหนุนหลังก็ดีอย่างนี้

นางรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรมนิดหน่อย หลังจากยืนยันไปแล้วว่าล้อมหนิวโหย่วเต๋อเอาไว้จริงๆ อาจารย์ก็ตำหนินางไปยกหนึ่ง ทั้งยังบอกนางว่าอย่าทำซี้ซั้วด้วย

“ศิษย์พี่หง…” ชางลั่วกับชางอวี่มาขนาบชางหงไว้ตรงกลางอย่างค่อนข้างลำบากใจ เพราะอาจารย์สั่งให้พวกนางควบคุมชางหงเอาไว้ ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องสังหารลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่ว นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว ถ้ายังตรวจสอบเรื่องนี้ไม่ชัดเจนและยังยืนยันไม่ได้ว่าชางหงมีเอี่ยว ชางหงก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะมีอิสระ

ชางหงกัดฟันก้มหน้าเงียบๆ ปล่อยให้ศิษย์น้องทั้งสองควบคุมตัวเอง ปล่อยให้ตัวเองโดนมัดแล้ว

นางรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมจนอยากร้องไห้ นางมีใจที่เที่ยงธรรมแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นไปล่วงเกินคนมีเส้นสายหนุนหลัง จนตัวเองต้องได้รับความอัปยศต่อหน้าฝูงชน

แน่นอน ฝั่งนี้รายงานไปแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋ออาจจะบุกเข้ามาขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัวที่ดาวพิษ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เหมือนกัน คนที่ล้อมเหมียวอี้เอาไว้ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยเหมียวอี้ไปถ้ายังไม่ได้ตรวจสอบให้ชัดเจน

พอพุทธะหน้าหยกได้รับคำตอบจากคนของตัวเอง ก็รีบให้คำตอบกับโค่วหลิงซวี

โค่วหลิงซวีตอบนางเพียงคำเดียวว่า เจ้าจัดการเองตามเห็นสมควรแล้วกัน!

ตรงตีนบันได พอเห็นโค่วหลิงซวีเก็บระฆังดาราแล้ว ถังเฮ่อเหนียนก็เอ่ยถามว่า “นายท่าน สถานการณ์เป็นยังไงบ้างขอรับ?”

“เฮอะ!” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม “อวี้หลัวช่าบอกว่าคงจะเป็นเข้าใจผิด คนของนางสงสัยว่าหนิวโหย่วเต๋อไปที่ดาวพิษเพื่อขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัว เป็นเรื่องบังเอิญ ช่างหาข้ออ้างได้ดีนี่ เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น ที่ดาวฮุ่ยหลินมีคนวางกับดัก หนิวโหย่วเต๋อแทบจะหนีเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำ ยังจะบังเอิญไปเจอกับคนของนางได้อีกเหรอ? มีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นเสียที่ไหนกัน ไม่รู้ว่าทางตำหนักสวรรค์มีใครสมคบคิดกับทางนั้นเพื่อลงมือ!”

ถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงสบตากันแวบหนึ่ง คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรกับยืนยันว่าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ในอันตรายแล้วจริงๆ

“ดูท่าแล้วน้องเขยก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ทางนั้นวางกับดักได้ ก็แสดงว่าจะต้องเล่นงานให้ถึงตายให้ได้ แต่ใครจะคิดว่าน้องเขยก็ยังหนีรอด ท่านพ่อ ตอนนี้ทำยังไงดี พวกเราไม่มีทางตามไปทางนั้นได้ทันเวลาแน่ จะเกิดเรื่องอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า?” โค่วเจิงถาม

“นึกไม่ถึงว่าแดนสุขาวดีจะเข้ามาพัวพันกับฝั่งนี้ นี่กำลังอยากจะช่วยใครควบคุมข้ารึเปล่า? ถ้าอวี้หลัวช่าเก่งนักก็ลองลงมือดูสิ ข้าจะทำให้นางฟื้นฟูพลังปราณไม่ได้หนึ่งแสนปีเลย!” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม แล้วเหล่ตามองถังเฮ่อเหนียน พร้อมกล่าวเสียงต่ำ “ถ่ายทอดคำสั่งทหารของข้าลงไป ส่งทหารทัพเหนือไปควบคุมวัดทั้งหมดของอวี้หลัวช่าที่อยู่ในอาณาเขตของเราเอาไว้ จับพระทั้งหมดเอาไว้ ใครกล้าขัดขืน ฆ่า!”

“นายท่าน จะอ้างเหตุผลอะไรในการเคลื่อนกำลังพล?” ถังเฮ่อเหนียนถาม

“หาคนที่เคยเกี่ยวข้องกับโจรกบฏมาสักสองสามคน บอกไปว่ามีคนชี้ตัวว่าพวกเขาสมคบคิดกับโจรกบฏ!” โค่วหลิงซวีกล่าวอย่างสบายๆ แต่กลับเป็นการตัดสินชะตาชีวิตของคนนับไม่ถ้วน นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าอำนาจ

ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้า แล้วรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อดำเนินการทันที

โค่วหลิงซวีบอกอีกว่า “เจ้าใหญ่ พาลูกน้องไปแดนสุขาวดีด้วยตัวเองสักเที่ยว ถ้ายืนยันได้แล้วว่ามีใครรังแกคนของตระกูลโค่ว ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอะไรทั้งนั้น”

“ขอรับ!” โค่วเจิงเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป

ตอนนี้พวกเหมียวอี้เหาะลงมาเหยียบบนพื้นแล้ว แต่คนรอบข้างที่มาล้อมไว้ก็ยังไม่ได้แยกย้ายไปไหน

ชางหงที่ถูดมัดไว้อย่างแน่นหนากลับไม่ยอมแพ้ ยังแอบกำชับศิษย์ร่วมสำนักให้ตรวจสอบค้นหาให้ทั่ว

ศิษย์ร่วมสำนักกลับมารายงาน บริเวณใหญ่เคียงไม่พบใครทั้งนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าหนีไปแล้วตอนที่พวกนางมาเสียเวลาอยู่ตรงนี้หรือเปล่า แม้แต่ชางลั่วกับชางอวี่ก็ยังสงสัยว่านี่คือเรื่องบังเอิญที่ทำให้เข้าใจผิดจริงๆ หรือเปล่า

ชางหงกลับจ้องเหมียวอี้พลางกัดฟันไม่เลิก ภายใต้ความอัดอั้น นางมั่นใจว่าคนคนนั้นคือเหมียวอี้

…………………………

เป็นงูขาวตัวหนึ่ง งูขาวตัวใหญ่ที่มีเกล็ดขาวดุจหิมะทั้งตัว นอนคดเคี้ยววนอยู่ในกลีบดอกบัว ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีขา กอปรกับเป็นหัวงู เหมียวอี้ก็แทบจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นมังกรขาวตัวหนึ่งแล้ว

บนหัวงูมีเขาหนึ่งข้างที่ใสแวววาว บนยอดเขามีประกายลำแสงสีรุ้งให้เห็นรางๆ สวยงามมาก

ถึงแม้งูขาวจะตัวใหญ่ แต่เนื่องจากนอนขดอยู่ในกลีบดอกบัวหลายชั้น กอปรกับตำแหน่งที่ลำตัวยาวขดขึ้นไปอยู่ด้านหลัง ถ้าไม่ใช่เพราะเหาะขึ้นมา ถ้าเดินเข้ามาจากปากถ้ำก็ไม่สังเกตเห็นเลยจริงๆ

เป็นเหมือนอย่างเคย เป็นฉากที่เห็นเหมือนกับตอนหาสมบัติครั้งก่อน ถึงแม้งูขาวจะสวยงาม แต่บนตัวกลับมีเข็มเหล็กเสียบอยู่ เกล็ดที่ถูกแทงทะลุมีรอยเลือด ในดอกบัวหลายชั้นมีโซ่มัดร่างงูขาวเอาไว้

เหมียวอี้ที่ลอยอยู่กลางอากาศวนรอบฐานดอกบัวขนาดใหญ่ไปรอบหนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่างูขาวถูกควบคุมไว้ และไม่สามารถโจมตีโต้ตอบได้เหมือนที่เสิ้นหมีที่ปราสาทดำเนินเซียน เขาถึงได้เหาะไปเหยียบลงบนยอดของฐานดอกบัวอย่างวางใจ

ส่วนยอดไม่ใหญ่ เป็นแท่นสำหรับนั่งขัดสมาธิ ตรงกลางเป็นเครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ เหมียวอี้เห็นแล้วหนังตากระตุก เขาไม่ได้แปลกตากับเครื่องหมายนี้แล้ว ที่เขาหาสถานที่ตรงนี้เจอก็เพราะอิงตามพิกัดของเครื่องหมายขนาดใหญ่ที่อยู่ในซากสำนักหนานอู๋

เหมียวอี้รีบมองไปยังพระพุทธรูปทีอยู่โดยรอบ รู้สึกประหลาดใจสงสัยนิดหน่อย อย่าบอกนะว่าที่นี่เกี่ยวข้องกับสำนักหนานอู๋?

หลังจากครุ่นคิดได้สักพัก ก็วางความฉงนใจไว้ชั่วคราว สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่ตรงกลางเครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ แหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งตั้งอยู่ในร่องหลุม

ตรงนี้วางแหวนเก็บสมบัติไว้วงหนึ่ง หมายความว่าอะไร? เขาไม่ได้กังวลว่าจะมีกลไกอะไร เขาค่อยๆ เข้าไปใกล้แล้วนั่งยองๆ ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูให้ละเอียด พบว่าแหวนเก็บสมบัติกับแท่นนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวโยงกัน แต่วางแยกไว้เดี่ยวๆ ตอนนี้เขาถึงได้ยื่นนิ้วออกไปเกี่ยวแหวนเก็บสมบัติที่อยู่ในร่องหลุมขึ้นมาไว้ในมือ การเคลื่อนไหวช้ามาก สัมผัสทั้งหกเฝ้าระวังทุกอย่างรอบตัว

หลังจากได้ของมาไว้ในมือ และแน่ใจแล้วว่ารอบกายไม่มีความผิดปกติอะไร เหมียวอี้ถึงได้ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูของข้างในแหวนเก็บสมบัติ

ข้างในมีกล่องผลึกแดงอยู่ใบหนึ่ง เหมือนกล่องโลหะที่เห็นตอนหาสมบัติก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เหมียวอี้ชะงักทันที อย่าบอกนะว่านี่คือสมบัติที่ถูกซ่อนไว้?

เขามองไปรอบๆ อีกครั้ง สงสัยว่าของไม่ได้ซ่อนอยู่ในมือของภาพสลักสตรีทะยานฟ้าหรอกหรือ? อย่าบอกนะว่าครั้งนี้เป็นข้อยกเว้น?

เพื่อที่จะคลายความสงสัยในใจ เขาจึงรีบนำกล่องโลหะในแหวนเก็บสมบัติออกมา

พอเปิดออกมาดู ก็พบว่าข้างในวางแผ่นหยกเอาไว้เจ็ดแผ่น มีลูกกลมโลหะสีแดงสองอัน

พอหยิบแผ่นหยกขึ้นมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือตัวอักษรที่เขียนว่า : เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน ฟ้า!

พอดูเนื้อหาที่อยู่ข้างล่างอีก ก็พบว่าเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนจริงๆ ด้วย เหมียวอี้ตื่นเต้นดีใจทันที ได้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้ามาไว้ในมือแล้ว ในที่สุดอวิ๋นจือชิวก็สามารถฝึกเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานแบบครบสมบูรณ์ได้แล้ว มีเคล็ดวิชาพิเศษนี้คอยช่วย ถ้าอวิ๋นจือชิวฝึกสำเร็จขึ้นมา ก็จะต้องมีความสามารถในการปกป้องตัวเองเพิ่มขึ้นมหาศาลแน่นอน

แล้วแผ่นหยกอีกหกแผ่นคืออะไรล่ะ? เขาพยายามสงบสติอารมณ์ดีใจ แล้ววางเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานไว้บนฝากล่องที่พลิกออก จากนั้นหยิบแผ่นหยกอีกแผ่นขึ้นมาตรวจดู สิง่ที่ปรากฏสู่สายตาก็คือ : มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ฟ้า!

เหมียวอี้เริ่มทำสีหน้าอัศจรรย์ใจทันที จุดซ่อนสมบัติครั้งก่อนชี้แนะไว้ชัดเจนว่าจุดซ่อนสมบัติจุดถัดไปคือเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้า ทำไมแม้แต่มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคฟ้าก็โผล่ออกมาด้วยล่ะ? แล้วแผ่นหยกคืออะไร…

วางของในมือไว้บนฝากล่องอีกครั้ง แล้วหยิบแผ่นหยกแผ่นถัดไปมาตรวจดูต่อ สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือ : เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ฟ้า!

จากนั้นวางไว้บนฝากล่อง แล้วหยิบแผ่นถัดไปมาตรวจดูอย่างอดใจรอไม่ไหว เคล็ดวิชาวิญญาณหยินชื่อมหยางภาคฟ้า!

หยิบแผ่นถัดไปอีก ได้หฤทัยสูตรสุขาวดีภาคฟ้า และแผ่นต่อไปก็คือมหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจภาคฟ้า!

“ไม่น่าเชื่อว่าภาคฟ้าหกเคล็ดวิชาพิเศษจะอยู่ที่นี่หมด…” เหมียวอี้ทำสีหน้างุนงง หรือพูดได้อีกอย่างว่า การมาครั้งนี้ทำให้เก็บรวบรวมหกเคล็ดวิชาพิเศษได้ครบทั้งหมดในรวดเดียว ผู้ซ่อนสมบัติที่ดูเหมือนชอบหลอกล่อให้อยากรู้เปลี่ยนเป็นใจกว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?

แต่พอลองคิดดูให้ละเอียด เครื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไร้เบาะแสให้ตรวจสอบ ครั้งก่อนตอนหาสมบัติที่แดนอเวจี สถานการณ์ก็เหนือความคาดหมายนิดหน่อย เพราะเคล็ดวิชาวิญญาณหยินชื่อมหยาง มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจ หฤทัยสูตรสุขาวดีภาคดินปรากฏออกมารวมกัน ได้เคล็ดวิชาภาคดินของสามวิชาในรวดเดียว ครั้งนี้ก็ยิ่งก้าวหน้ากว่าเดิม ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เคล็ดวิชาภาคฟ้าของหกวิชาในรวดเดียว

ในเมื่อได้หกเคล็ดวิชาพิเศษครบหมดแล้ว เช่นนั้นแผ่นหยกแผ่นที่เจ็ดคืออะไรล่ะ?

เหมียวอี้จะข่มใจไหวได้อย่างไร คว้ามาตรวจสอบดูในมือทันที สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือตัวอักษรที่ล่องลอยราวกับน้ำไหลเมฆเคลื่อน

“ในเมื่อเข้ามาที่ห้องนี้ได้ ก็จะมอบมหาหกเคล็ดวิชาให้ครบทั้งหมด

เมื่อมาแล้ว ก็จงอยู่อย่างสงบใจ ไม่ต้องคิดอะไรมาก

สมบัติในห้องอยู่ระหว่างการได้และการเสีย ไม่อาจนำออกไปง่ายๆ ศิษย์สำนักพุทธที่สามารถไขเปิดธรรมทวารคือเจ้าของห้องนี้ หากเจ้าของเต็มใจให้ก็นำไปได้ ไม่เช่นนั้นก็วางลงเสีย ทุกอย่างเป็นไปตามวาสนา ไม่อาจฝืนเพื่อให้ได้มา”

ในแผ่นหยกมีตัวอักษรเขียนไว้อย่างนั้น สุดท้ายก็ไม่ได้ลงชื่อไว้ และไม่ลงตราอิทธิฤทธิ์ใดๆ ไว้ด้วย เป็นคำพูดที่ไร้ชื่อไร้แซ่ แต่กลับทำให้เหมียวอี้รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ในที่สุดก็ได้เห็นข้อความจากผู้ซ่อนสมบัติเสียที

คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร แต่สำหรับเหมียวอี้ กลับหมายถึงการยอมรับอย่างหนึ่ง หมายถึงผู้ซ่อนสมบัติยอมรับเขาแล้ว

หลังจากปรับสติอารมณ์ให้คงที่ เหมียวอี้ก็กลุ้มใจกับคำพูดพวกนี้นิดหน่อย เขาไม่สามารถทำความเข้าใจทั้งหมดได้ อย่างอื่นก็อ่านง่ายหน่อย แต่ที่บอกว่ ‘ศิษย์สำนักพุทธที่สามารถไขเปิดธรรมทวารคือเจ้าของห้องนี้’ หมายความว่าอะไรล่ะ? ศิษย์สำนักพุทธอะไร? แล้วธรรมทวารอยู่ที่ไหน?

คิดไม่ออกก็ไม่คิดแล้ว สายตาไปหยุดอยู่บนลูกกลมโลหะสีแดงสองลูก เขาหยิบหนึ่งลูกขึ้นมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู พลังอิทธิฤทธิ์พลันถูกดูดเข้าไป ข้างในปรากฏแผนที่ดาวสองฉบับ ทำเครื่องหมายประตูดวงดาวไว้สองแห่ง แต่กลับไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเป็นการไปมาของจุดไหน

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นลูกกลมโลหะสีแดงแบบนี้ ครั้งก่อนตอนที่หาสมบัติที่แดนอเวจีก็เคยได้แบบนี้มาเหมือนกัน ครั้งนั้นเป็นแผนที่ดาวที่มีประตูดวงดาวสี่แห่ง จากประสบการณ์ ก็ได้พิสูจน์แล้วว่านั่นคือเส้นทางลับที่ใช้เดินทางไปมาที่แดนอเวจี เป็นทางเข้าสองทางและทางออกสองทาง ทางเข้าลับหนึ่งในนั้นถูกพวกอวิ๋นอ้าวเทียนเปิดโปงตอนที่ปล้นแล้วถูกตำหนักสวรรค์ไล่สังหาร ในบรรดาประตูดวงดาวทั้งสามแห่ง ประตูแห่งสุดท้ายยังไม่ถูกสำรวจเส้นทาง ครั้งก่อนตอนนี้เขาออกจากแดนอเวจี เขาก็ใช้เส้นทางนั้น เท่ากับว่าเส้นทางประตูดวงดาวที่มีหนึ่งทางเข้าสองทางออกได้ถูกสำรวจครบหมดแล้ว

เมื่อมีประสบการณ์จากครั้งก่อนแล้ว การมีประตูดวงดาวโผล่มาสองแห่งอย่างกะทันหัน ก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกฮึกเหิมในใจ เมื่อนำสถานการณ์มาเชื่อมโยงกัน เขาก็สงสัยนิดหน่อย ว่าประตูดวงดาวสองแห่งนี้จะเป็นทางลับที่ใช้เข้าออกแดนสุขาวดีหรือไม่?

เมื่อก่อนก็แค่ไม่คิดเท่านั้น แต่พอได้คิดขึ้นมา ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้

เพียงแต่เขาไม่ค่อยเข้าใจ ว่าเส้นทางลับในดาราจักรที่แม้แต่ตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดียังไม่รู้ ทำไมผู้ซ่อนสมบัติถึงรู้ได้ล่ะ ทางเลี่ยงรู้เยอะขนาดนี้ด้วย?

เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคนคนหนึ่ง เทพพยากรณ์! ท่านที่ทำตัวลึกลับเหมือนมังกรที่มีหัวแต่ไร้หาง ก็เหมือนจะรู้เส้นทางลับในดาราจักรไม่น้อยเหมือนกัน ดูจากที่พระท่านนั้นสามารถไปมาระหว่างพิภพเล็กกับพิภพใหญ่ได้อย่างอิสระก็รู้แล้ว

เอาของวางไว้ข้างๆ ก่อน กลับไปค่อยส่งต่อเรื่องนี้ให้อวิ๋นจือชิวตรวจสอบเปรียบเทียบ เขาคว้าลูกกลมโลหะสีแดงอีกลูกขึ้นมา แล้วกรอกพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปตรวจดู

ข้างในมีแผนที่ดาวเพียงหนึ่งฉบับ ไม่มีประตูดวงดาว แต่ด้านบนของดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ในแผนที่ดาวกลับทำสัญลักษณ์วัดแห่งหนึ่งเอาไว้ ในวัดมีภาพเงาคนที่เลือนรางอยู่คนหนึ่งด้วย

เหมียวอี้เอามือลูบคางพรางเครื่องคิดเลข แล้วสิ่งนี้คืออะไรอีกล่ะ?

เขาเริ่มเลอะเลือนแล้ว ในเมื่อตามหาหกเคล็ดวิชาพิเศษครบแล้ว ทำไมถึงมีของที่ให้แก้ไขปริศนาโผล่มาอีก นี่มันสถานการณ์อะไรกัน!

“เฮ้อ!” เหมียวอี้ที่คิดไม่ออกอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เขารู้สึกเหมือนถูกผู้ซ่อนสมบัติจูงจมูกให้เดินมาตลอด แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้บังคับเจ้าแม้แต่น้อย แต่ไหนแต่ไรมาก็ปูทางไว้ให้หมดแล้ว เขาอยากจะเดินก็เดิน ถ้าไม่อยากจะเดินก็ไม่บังคับเช่นกัน ให้อิสระเขาเต็มที่ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความเต็มใจของเขาเอง ให้เขาเหมียวอี้ไปเลือกด้วยตัวเอง ไม่มีการบังคับใดๆ ทั้งนั้น

พอได้ของมาไว้ในมือ ได้หกเคล็ดวิชาพิเศษครบในรวดเดียว ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่เพิ่งจะพรั่งพรูขึ้นมาก็ถูกปริศนาก้อนนี้กลบไว้แล้ว

เหมียวอี้เริ่มเก็บของ อารมณ์ในตอนนี้ทำให้เขามองไปรอบๆ อีกครั้ง เขายืนอยู่ในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นภาพฝาผนังจำนวนนับไม่ถ้วนบนผนังรูปวงแหวนได้อย่างชัดเจน จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ฐานดอกบัวใต้เท้าพร้อมครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ฐานดอกบัวนี้เหมือนจะสร้างไว้เพื่อให้สะดวกต่อการชมรูปภาพบนฝาผนังรอบๆ หมายความว่าอย่างไรกัน?

ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่ต่อนานๆ คงไม่ดีถ้าเขาจะอยู่ที่ดาวหนานอู๋นานเกินไป ตอนที่ออกจากฐานดอกบัว เขาไปจ้องไปที่งูขาวตัวนั้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้แตะต้องมัน เขาถลันตัวไปเหยียบบนบันไดตรงปากทางแล้วหันกลับมามองอย่างอาลัยอาวรณ์ เขาแอบทอดถอนใจ น่าเสียดายทรัพย์สมบัติก้อนใหญ่ขนาดนี้จัง

พอหันตัวไปเตรียมจะออกประตู ข้างหลังก็มีเสียงดังโครมคราม เหมียวอี้หันขวับกลับไปมอง เห็นผนังที่ถูกอุดไว้ร่วงลงมา ชั่วพริบตาเดียวก็ปิดตาย ทางเข้าห้องเอาไว้แล้ว

เหมียวอี้ตกใจทันที เดินไปลูบไล้ตรงหน้าผนังที่อุดอยู่ มันถูกสร้างจากผลึกแดงบริสุทธิ์สูง แน่นหนาทนทานมาก เขาพยายามใช้พลังอิทธิฤทธิ์แล้ว แต่ก็ยากที่จะทำให้ขยับได้ เกรงว่าต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพก็ยังขยับมันไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น

บนผนังเต็มไปด้วยคัมภีร์ต่างๆ เพียงแต่ดูแล้วการจัดเรียงค่อนข้างไร้ระเบียบ

ชั่วพริบตานี้ เหมียวอี้ก็เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน เข้าใจแล้วว่า ‘ศิษย์สำนักพุทธที่สามารถไขเปิดธรรมทวารคือเจ้าของห้องนี้’ หมายถึงอะไร ที่แท้สิ่งที่เรียกว่าธรรมทวารก็หมายถึงประตูบานนี้ และศิษย์สำนักพุทธที่สามารถเปิดประตูบานนี้ได้ ก็ย่อมไม่อาจฝืนเปิด ไม่อย่างนั้นถ้าไม่ใช้ศิษย์สำนักพุทธ เหมียวอี้ก็สามารถนำตั๊กแตนมาเปิดได้เหมือนกัน

ดูท่าแล้วเจตนาของผู้ซ่อนสมบัติก็ชัดเจนมาก ถ้าเหมียวอี้อยากจะได้สมบัติหินใหญ่ก้อนนี้ไป ก็ต้องพาเจ้าของมาที่ห้องนี้ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้องนี้ก่อน

แต่สมบัติชิ้นใหญ่โตขนาดนี้ เพียงพอที่จะเลี้ยงทัพใหญ่ได้หนึ่งกองทัพเลย ต่อให้จะเจอเจ้าของห้องนี้แล้ว แต่ผู้ซ่อนสมบัติมีสิทธิ์อะไรมาด่วนสรุปว่าเจ้าของห้องจะเต็มใจมอบสมบัติชิ้นใหญ่ขนาดนี้ให้? ทั้งยังกดดันให้อีกฝ่ายมอบให้ไม่ได้อีก ผู้ซ่อนสมบัติบอกเองว่าไม่อาจฝืนเพื่อให้ได้มา ไม่ว่าใครก็คงไม่มอบสมบัติชิ้นนี้ให้คนอื่นโดยไม่มีเหตุผลทั้งนั้น

เหมียวอี้ส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อน แล้วหันตัวเดินออกไป เป็นเพราะการวางแผนของผู้ซ่อนสมบัติท่านนี้ทำให้คนรู้สึกลึกลับยากจะคาดเดาจริงๆ สติปัญญาของอีกฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่ตนจะเอื้อมถึงได้ อีกฝ่ายทำแบบนี้ก็แสดงว่ามีเหตุผลแน่นอน

เขาเดินผ่านทางในแนวราบ แล้วก็ตกลงมาในแนวตรง ตกลงบนกระแสน้ำใต้ดินอีกครั้ง “จ๋อม” แต่กลับมีปลาตกใจกระโดดขึ้นมา แล้วก็กระโดดลงน้ำหายไป

ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะมีปลาด้วย? เหมียวอี้ตกใจ แต่ไม่นานก็เข้าใจได้ ใต้ดินที่ลึกขนาดนี้ มีน้ำซึมผ่านหลายขั้น พิษที่อยู่ในนั้นถูกกรองจนน้ำสะอาดแล้ว ต่อให้มีอากาศพิษ แต่ก็ยากที่จะแทรกซึมมาถึงที่นี่ได้ ต่อให้ซึมเข้ามาแต่ก็เบาบางจนไม่เป็นอันตรายแล้ว

เขาลองเก็บเกราะป้องกันออกไป สูดหายใจอากาศใต้ดินเฮือกหนึ่ง วักน้ำขึ้นมาชิม พบว่าหวานอร่อย

เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ เขาไม่เป็นอะไรสักนิดเลย

เขาไม่ได้อยู่ต่ออีก รีบกลับไปตามทางเดิม หลังจากโผล่ออกมาจากทะเลสาบภูเขาไฟ ตัดสินทิศทางคร่าวๆ ที่แม่น้ำใต้ดินยื่นออกไป แล้วรีบเหาะไปทางนั้น

เหาะออกไปประมาณหลายร้อยลี้ แล้วหยุดอยู่บนฟ้าเหนือจุดซ่อนสมบัติใต้ดินที่คาดคะเนไว้ เหมียวอี้ที่มองมาด้านล่างรู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย ข้างล่างก็คือซากสำนักหนานอู๋ที่ถูกรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ทำลาย

…………………………

พอคิดไปคิดมา เหมียวอี้ก็คิดไม่ตกว่าครั้งนี้ผู้ซ่อนสมบัติเล่นบ้าอะไรกันแน่ เป็นเพราะแตกต่างจากครั้งก่อนมากเกินไปจริงๆ แต่การที่ผู้ซ่อนสมบัติทำอย่างนี้ ก็แสดงว่าจะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างแน่นอน มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้ายังปั่นหัวผู้หาสมบัติเล่นอีกก็ไม่มีความหมายอะไร

พอนึกถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็หลุบตาลงเล็กน้อย ตาทิพย์ตรงหว่างคิ้วเปิดออกอีกครั้ง ลำแสงสีแวววับยิงออกมา แล้วมองตรงไปตามแม่น้ำใต้ดิน

ตอนที่ตาทิพย์มองสำรวจรอบแม่น้ำ ก็ขยายการมองเห็นไปตรงจุดไกลๆ อย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายเหมียวอี้เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไกลแค่ไหน ถึงอย่างไรก็ไกลมาก ยิ่งไกลกระแสน้ำก็ยิ่งช้า เริ่มปรากฏสาขาของแม่น้ำจำนวนมาก ทำเอาเหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะตามไปหาที่แม่น้ำสายไหน มองจนตาลายแล้ว เขาแข็งใจเลือกไปตามหาที่แม่น้ำสายหนึ่ง ผลก็คือพบว่าตรงปลายสุดคือพื้นที่อุ้มน้ำใต้ดินที่มีน้ำซึม

เขาลองไปตามหาจากแม่น้ำอีกสายหลายเพิ่ม ตรงปลายสุดมีลักษณะไม่ต่างกันสักเท่าไร เป็นพื้นที่อุ้มน้ำที่มีน้ำซึมลงมาสะสมกัน รวมตัวกันจนกลายเป็นแม่น้ำใต้ดินสายหนึ่ง

ส่วนแม่น้ำสาขาที่ไหลอยู่ด้านบนก็มีเยอะเกินไปจริงๆ ถ้าอยากจะตรวจดูให้ชัดเจนทีละสาย เหมียวอี้ก็คาดว่าตัวเองจะต้องเหนื่อยเหลือทน ต่อให้วรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้งแล้ว แต่ก็ทนไม่ไหวหากต้องใช้งานตาทิพย์ไม่หยุด

สุดท้าย ก็จำเป็นต้องเลือกที่จะล้มเลิกการตรวจดูกระแสน้ำตอนบน เขาเก็บตาทิพย์กลับมา แล้วหันหน้าไปทางกระแสน้ำตอนล่าง ตรวจดูสายน้ำตอนล่าง ถ้าไม่เจอเบาะแสอะไรพี่กระแสน้ำตอนล่าง เขาก็ทำได้เพียงล้มเลิกการหาสมบัติครั้งนี้ชั่วคราว ไม่อย่างนั้นถ้าจะให้ตรวจหาที่กระแสน้ำตอนบนอย่างเดียว ก็จะต้องสิ้นเปลืองเวลามากแน่นอน ทางป่าฮุ่ยหลินเกิดเรื่องอย่างนั้นแล้ว เขาไม่อาจหลบอยู่ที่นี่นานเกินไปได้ แค่ฝั่งพระโพธิสัตว์หลันเย่พบว่าติดต่อเมี่ยวฉุนไม่ได้ก็แย่แล้ว ต่อให้จะเพื่อให้คำอธิบายกับอ๋องสวรรค์โค่ว แต่ก็อาจจะเกิดความเคลื่อนไหวได้ ไม่มีเวลาให้เขามาสิ้นเปลืองช้าๆ อยู่ที่นี่ ทำได้เพียงเฝ้ารอครั้งหน้า หาโอกาสตอนที่มีเวลาว่างเพียงพอ แล้วค่อยมาตรวจดูให้ละเอียดอีกครั้ง

พอตาทิพย์ไล่ตรวจสอบตามกระแสน้ำตอนล่างไปได้ประมาณหลายร้อยลี้ จู่ๆ ตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ก็กระตุก เสาแสงตรงหว่างคิ้วที่เคลื่อนไหวก็หยุดตามทันที

ด้านบนแม่น้ำที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้มีโพรงถ้ำแห่งหนึ่ง ตาทิพย์สอดส่องเข้าไป ไม่นานก็พบห้องลับห้องหนึ่ง ภาพสตรีทะยานฟ้าที่อยู่ในห้องลับปรากฏอยู่บนผนังหิน

“หาเจอแล้ว! แปลกจัง ทำไมถึงซ่อนอยู่ข้างนอกตั้งหลายร้อยลี้ เล่นบ้าอะไร…” เหมียวอี้พึมพำ แล้วปิดตาทิพย์ตรงหว่างคิ้ว ก่อนจะกระโดดลงในไปกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ไปด้วยความรู้สึกสงสัยที่แน่นอยู่เต็มอก เดินทางไปตามแม่น้ำอย่างรวดเร็ว

จะไม่ให้รู้สึกเหนือความคาดหมายก็คงไม่ได้ สถานการณ์ในการหาสมบัติครั้งนี้ยิ่งมีเงื่อนงำมากขึ้นเรื่อยๆ

เดินทางลำพังอยู่ท่ามกลางความมืดพร้อมเสียงน้ำไหล หลังจากถึงจุดที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้แล้ว เหมียวอี้ก็ถลันตัวขึ้นมา แล้วทะลุเข้าไปในโพรงถ้ำหินด้านบน มุ่งตรงขึ้นไปหลายร้อยจั้ง ผ่านขึ้นตลอดทางตามปกติ แล้วเดินไปอีกประมาณร้อยจั้ง ห้องลับก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ภาพสตรีทะยานฟ้าที่คุ้นเคยปรากฏอยู่ตรงหน้าพอดี

เหมียวอี้เดินไปตรงหน้าภาพนั้นแล้วขมวดคิ้ว แล้วก็หันกลับไปมองทางที่เดินมาอีกครั้ง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความฉงนใจ

ครั้งนี้ภาพสตรีทะยานฟ้าไม่ค่อยเหมือนปกติ ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นภาพสลักนูน แต่ครั้งนี้กลับเป็นภาพสลักเฉยๆ ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ปกติ นั่นก็คือก่อนหน้านี้จะมีนักพรตปีศาจถูกมัดอยู่ตรงจุดซ่อนสมบัติตลอด แต่ครั้งนี้กลับไม่มี

พอหันกลับไปอีกครั้ง สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนกล่องที่สตรีทะยานฟ้าถือรองอย่างอ่อนช้อย ในครั้งนี้กล่องก็เป็นภาพสลักเช่นเดียวกัน

แกร๊ก! เหมียวอี้พลันสะบัดแขนยื่นออกไปข้างหนึ่ง พอขยุ้มมือกลางอากาศ กล่องที่สลักขึ้นมาก็แตกพัง เขาคว้าหินก้อนหนึ่งไว้ แต่กลับไม่เห็นกล่องของจริงที่ซ่อนไว้ด้านหลังอย่างที่จินตนาการไว้

พอก้อนหินที่ขยุ้มไว้ตกลงพื้น สายตาของเหมียวอี้ก็จ้องไปบนผนังหินที่โดนขยุ้มแตกอย่างงุนงง จุดที่โดนขยุ้มแตกไม่ใช่ผนังกลวง ด้านหลังยังมีโพรงอีกโพรง มีแสงสว่างที่อ่อนจางแทรกซึมออกมา

เหมียวอี้รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูในโพรง ข้างหลังไม่ใช่แค่โพรงเล็กๆ เท่านั้น แต่เป็นห้องว่างขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง ผนังหินที่สลักภาพสตรีทะยานฟ้าเป็นเพียงกำแพงที่อุดไว้เท่านั้นเอง ไม่ได้หนาสักเท่าไรนัก

เขาตั้งฝ่ามือข้างหนึ่ง ผลักพลังอิทธิฤทธิ์สายหนึ่งออกมา โครมคราม ผนังหินที่อุดไว้พังทลาย ลำแสงที่อ่อนโยนโผเข้าใส่ใบหน้าแล้ว

โบกแขนเสื้อร่ายอิทธิฤทธิ์ปัดฝุ่นที่ตลบอบอวล แล้วเดินช้าๆ ไปตรงปากถ้ำ สภาพภายในห้องใต้ดินขนาดใหญ่ปรากฏสู่สายตาโดยตรง สภาพภายในทำให้เหมียวอี้ทำสีหน้างุนงง เขากวาดสายตามองสิ่งต่างๆ ในห้องว่างใต้ดิน แล้วเดินช้าๆ ลงบันไดตรงปากโพรงพลางหันซ้ายหันขวา

เป็นห้องใต้ดินที่หรูหรามากห้องหนึ่ง เป็นห้องใต้ดินที่สร้างจากโลหะและผลึกแดงทั้งหมด

ตรงมุมซ้ายขวาตรงหน้ามีพระพุทธรูปสององค์ องค์หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนฐานดอกบัวด้วยสีหน้ามีเมตตากรุณา อีกองค์หนึ่งยืนเท้าเปล่าแต่กลับหันหลังให้ พระพุทธรูปสององค์นี้สูงเกือบร้อยจั้ง จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าห้องใต้ดินใหญ่ขนาดไหน และพระพุทธรูปที่ใหญ่โตขนาดนี้ก็ล้วนสร้างจากผลึกแดงทั้งหมด แค่คิดก็รู้แล้วว่าทั้งห้องนี้ใช้โลหะและผลึกแดงไปมากเท่าไหร่

เหมียวอี้ที่เดินลงบันไดมารู้สึกว่าตำแหน่งของพระพุทธรูปสององค์ตรงมุมค่อนข้างแปลก จึงต้องหันกลับมามองอีกรอบ

เป็นอย่างที่คาดไว้ ข้างหลังยังมีพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง เป็นพระพุทธรูปนอนตะแคงข้าง ใช้แขนข้างนึงค้ำยันศีรษะไว้ เหมือนกำลังหลับตานอนหลับลึก แต่ก็เหมือนหลับตางีบเฉยๆ ใบหน้าอมยิ้มเบาๆ ไม่รู้ว่ากำลังยิ้มอะไร เหมือนเป็นรอยยิ้มยามหลับฝันดี ทำให้คนรู้สึกถึงความลึกลับ

และทางเข้าห้องใต้ดินแห่งนี้ก็อยู่ตรงกลางธรรมจักรฐานบัวใต้เตียงพระพุทธรูปที่นอนตะแคง

สายตาของเหมียวอี้ย้ายจากปากถ้ำไปบนบันไดที่ตัวเองเดินลงมา บันไดก็สร้างจากสร้างจากผลึกแดงเช่นเดียวกัน ไม่เหมือนมาสร้างต่อเติมเอาทีหลัง และธรรมจักรที่เชื่อมต่อตรงทางเข้าก็เป็นรูปแบบเดียวกันอย่างแบ่งแยกไม่ได้ ลูกประคำข้อมือตรงวงกบรูปประตูพระจันทร์ก็ไม่มีความเสียหายใดๆ ไม่เหมือนทางเข้าที่ถูกโจมตีให้ทะลุเลย เห็นได้ชัดเจนมากว่าทั้งห้องใต้ดินนี้ถูกสร้างให้เชื่อมต่อกันตั้งแต่แรกแล้ว

สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้ที่เพิ่งเริ่มเดินมองไปรอบๆ เกิดความประหลาดใจสงสัย ก่อนหน้านี้ยังสงสัยนิดหน่อยว่าตัวเองตัดสินผิดพลาดไปหรือเปล่า เขามีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าผู้ซ่อนสมบัติคือใคร แต่ภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏตรงหน้านี้ทำให้เขาต้องสงสัยว่าตัวเองตัดสินพลาดหรือเปล่า

ห้องผลึกแดงที่สร้างขึ้นมาใหญ่ขนาดนี้เกรงว่าคงจะใช้เวลาไม่ใช่น้อยๆ กำลังทรัพย์ที่ทุ่มลงไปก็ยิ่งแสดงให้เห็นอยู่ตรงหน้าแล้ว ประมาณการได้ยาก

ถ้าจะบอกว่าเวลาและกำลังทรัพย์ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้ซ่อนสมบัติ แต่ลักษณะของสำนักพุทธที่มีอยู่เต็มภายในห้องรูปวงแหวนขนาดใหญ่ห้องนี้ หมายความว่าอย่างไรกัน?

นอกจากพระพุทธรูปขนาดใหญ่สามองค์แล้ว บนผนังรอบพระพุทธรูปก็สลักภาพตัวละครและเหตุการณ์มากมายเอาไว้ด้วย มีทั้งนักบวช ปุถุชน หญิงชาย เด็กกับและชรา สภาพวิถีชีวิตผู้คนอยู่ในนั้นหมดแล้ว แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ราวกับเป็นเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในชีวิตคน ส่วนนักบวชที่แทรกซึมอยู่ระหว่างตัวละครและฉากต่างๆ ก็คือหัวใจสำคัญเสมอ

ที่ประหลาดก็คือ บุคคลและภาพเหตุการณ์ต่างๆ เหมือนจะไม่ได้ถูกสลักขึ้นมาด้วยมือของคนคนเดียว ดูจากลักษณะการแกะสลัก ก็เห็นได้ชัดว่าออกมาจากมือของหลายตัวละคร แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่ทุกภาพที่สลักได้มีชีวิตชีวาสมจริง แต่ภาพสลักทุกภาพก็เหมือนจะมีเวทมนต์บางอย่างที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ยาก แต่ละเส้นแต่ละลายเหมือนจะสามารถดึงดูดหัวใจคนได้ทั้งหมด

ภาพสลักภาพหนึ่งที่ดูเรียบง่ายธรรมดา แผ่นทางซ้ายเป็นภาพผู้ชายคนหนึ่งและผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังอุ้มเด็กน้อยคุกเข่าอยู่บนพื้น ส่วนแผ่นตรงกลางเป็นภาพผู้หญิงที่อุ้มเด็กน้อยคนนั้นมาคุกเข่าหน้าวัด ในประตูวัดที่แง้มครึ่งเดียวมีพระชรายืนอยู่หนึ่งองค์ ส่วนภาพทางขวาก็คือภาพวัดที่กลายเป็นทะเลเพลิง

ตอนแรกที่กวาดสายตามองภาพนั้น เหมียวอี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร เขาจึงจ้องมองพลางครุ่นคิดต่อไป ในหัวสมองราวกับปรากฏฉากที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาฉากหนึ่ง นั่นก็คือ : ฮูหยินน้อยในครอบครัวยากจนอุ้มลูกชายออกจากบ้านไป เดินไปไม่ถึงพันลี้ก็พบกับสามีของตัวเอง แต่กลับพบว่าสามีของตัวเองแต่งงานกับลูกสาวเศรษฐีอีกคนไปแล้ว เพื่อที่จะปกป้องเกียรติยศความร่ำรวยของตัวเอง สามีของนางจึงยืนกรานปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับฮูหยินน้อยและเด็กน้อยคนนี้ เด็กน้อยที่ร้องหิวนมทั้งหิวทั้งป่วย ภายใต้ความจนใจ ฮูหยินน้อยจึงไม่เกาะแกะวิงวอนสามีอีก เพราะสามีนางใจแข็งไม่ยอมรับ ตอนหลังก็กดดันจนฮูหยินน้อยต้องหอบลูกไปขอพึ่งพาที่วัดแห่งหนึ่ง โชคดีที่วัดรับสองแม่ลูกไว้ แต่ใครจะคิดว่าสามีของนางดันกลัวว่าเรื่องนี้จะมาทำลายอนาคตของตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าจะลอบวางเพลิง ฝังสองแม่ลูกและพระทั้งวัดให้จมอยู่ในทะเลเพลิงแล้ว

“เหมียวอี้ที่เรียกสติกลับมาตกใจจนเหงื่อท่วมตัว เนื่องจากภาพสามีทรยศที่อยู่ในหัวของเขาเมื่อครู่นี้ก็เหมียวอี้ คือตัวเขาเอง

ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้? เหมียวอี้ตกใจไม่หาย ภาพภาพหนึ่งที่ธรรมดาจนทำให้คนเห็นแล้วไม่เข้าใจ แต่ทำไมเมื่อมองให้ลึกๆ ซ้ำสองครั้ง ถึงทำให้คนนึกเชื่อมโยงไปมากมายขนาดนั้นได้ ทำไมถึงนึกเชื่อมโยงเป็นเรื่องราวออกมาได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ล่ะ?

เขารีบมองไปยังภาพอื่นๆ มองลงไปให้ลึกซึ้ง ทำให้เกิดเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ แล้วตัวเองกลายเป็นหนึ่งในตัวละครของเรื่องนั้นอีกแล้ว

พอเรียกสติกลับมาอีกครั้ง เหมียวอี้ก็ไม่กล้ามองต่อไปแล้ว ภาพมากมายขนาดนี้ ถ้าจะให้แปลเรื่องราวที่อยู่ในนั้นต่อไป ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องดูต่อไปถึงเมื่อไหร่ ส่วนสาเหตุรองก็คือ เขาก็กลัวว่าถ้าดูต่อไปแล้วตัวเองจะเป็นบ้า

สายตาย้ายไปตรงปากถ้ำที่ตัวเองเดินเข้ามา แล้วความคิดก็เชื่อมโยงไปถึงเมื่อก่อน เขาคิดว่าทำไมผู้ซ่อนสมบัติถึงสร้างห้องแบบนี้ออกมาได้? ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าภาพของทั้งห้องนี้ไม่ใช่ฝีมือของคนคนเดียว ประการต่อมาก็คือมีความเป็นไปได้สูงว่าคนที่สร้างห้องนี้จะเกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ และเบาะแสที่ได้จากจุดหาสมบัติครั้งก่อนก็ได้ชี้แนะเอาไว้ชัดเจนแล้ว ว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ตรงนี้น่าจะเป็นเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้า ถ้าผู้ซ่อนสมบัติเป็นคนของสำนักพุทธ ทำไมถึงใช้ความพยายามมากขนาดนี้ในการสร้างห้องใต้ดินที่หรูหราฟุ่มเฟือยเพื่อใช้ซ่อนเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานล่ะ?

ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าห้องนี้จะมีอยู่ก่อนแล้ว และผู้ซ่อนสมบัติก็แค่บังเอิญมาเจอที่นี่ก็เท่านั้นเอง เลยถือโอกาสใช้เป็นที่ซ่อนสมบัติ

เขาหันตัวไปรอบๆ เพื่อมองประเมินห้องที่หรูหรา ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าจะเป็นแบบนี้ ทุกครั้งที่หาสมบัติ ผู้ซ่อนสมบัติจะทิ้งทรัพยากรฝึกตนไว้ให้เขาเสมอ แต่ครั้งนี้ไม่เห็นของอย่างอื่นเลย มีแต่โลหะและผลึกแดงจำนวนนับไม่ถ้วนพวกนี้แล้ว

เมื่อนึกถึงตรงนี้ จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกว่าทุกอย่างล้วนสมเหตุสมผล ในใจเริ่มรู้สึกเร่าร้อนฮึกเหิม พบว่าครั้งนี้จะได้ร่ำรวยสุดขีดแล้วจริงๆ จะปล่อยให้เสียเที่ยวไม่ได้ นี่คือทรัพยากรก้อนใหญ่ขนาดไหนกัน!

ตอนนี้ปัญหาที่ยุ่งยากใจที่สุดก็คือ จะนำของพวกนี้ออกไปข้างนอกได้อย่างไร โลหะและผลึกแดงที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันแบบนี้ เวลาจะตัดแบ่งขึ้นมาก็ยุ่งยากแล้ว เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ไม่มีทางนำออกไปได้

ในเมื่อตอนนี้ยังนำออกไปไม่ได้ ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว นำเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้ามาไว้ในมือก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ว่าแต่ของซ่อนอยู่ที่ไหนกันแน่? ทำไมไม่เห็นภาพสลักสตรีทะยานฟ้าคนนั้นล่ะ?

สายตาเขามองไปกลางโถงใหญ่ ตรงกลางมีฐานดอกบัวสูงเก้าชั้น มีเก้าชั้นเก้าวง สูงประมาณสิบกว่าจั้ง

เหมียวอี้ถลันตัวขึ้นมา ยังไม่ทันขึ้นไปถึงส่วนบนของฐานดอกบัว เขาก็หยุดชะงักอยู่กลางอากาศแล้ว พอมองดูในกลีบดอกบัวที่ซ้อนกันหลายชั้น ก็พบข้างในมีของบางอย่าง

…………………………

ทว่าเมื่อเหาะขึ้นเหาะลง หาไปหามา ก็พบว่าสถานที่แห่งนี้ถูกฝ่ามือนั่นตบไว้อย่างราบเรียบเกินไป กลายเป็นพื้นที่ราบแห่งหนึ่งแล้วจริงๆ ไม่มีวัตถุอ้างอิงใดๆ ที่นูนออกมาเลย ทำให้เหมียวอี้อดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองกับอวิ๋นจือชิวเข้าใจประโยค ‘กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋’ ผิดไปหรือเปล่าตรงไหน

แต่เขาก็คิดไม่ออกถึงคำอธิบายอื่นของประโยคนั้นแล้วจริงๆ และเมื่อดูจากประสบการณ์ในการหาสมบัติที่ผ่านมา ผู้ซ่อนสมบัติก็แค่จัดวางไว้อย่างละเอียดประณีตเท่านั้น เรื่องชี้แนะวัตถุอ้างอิงเป้าหมายกลับไม่ได้ใช้อุบายล้ำลึกอะไรนัก ไม่ได้ทำสิ่งที่คลุมเครือยากลำบากต่อการทำความเข้าใจ

หลังจากตัดสินบางอย่างได้แล้ว ก็จำเป็นต้องอิงตามความเข้าใจก่อนหน้านี้ต่อไป ค้นหาตรงนี้ต่อไป

แต่เมื่อทำซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ก็ยังหาไม่เจอว่า ‘กลาง’ อยู่ตรงไหน ภายใต้ความจนปัญญา เหมียวอี้ก็เลยต้องใช้วิธีการโง่เง่าบางอย่าง นั่นก็คือร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดฝุ่นที่ทับถมมอยู่บนพื้นดิน อยากจะดูว่าใต้กองฝุ่นได้ฝังซ่อนเบาะแสอะไรไว้หรือเปล่า เรียกได้ว่าลำบากไปยกหนึ่ง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายก็ยังทำให้เขาผิดหวังอยู่บ้าง ยังคงหาร่องรอยวัตถุอ้างอิงใดๆ ไม่เจอ

อย่าบอกนะว่าที่จริงแล้วตรงนี้ไม่ใช่ที่อยู่เดิมของสำนักอู๋เหมิน? เหมียวอี้รู้สึกว่าตัวเองอาจจะเปลืองความคิดกับสิ่งที่ไม่สำคัญ เขาถึงได้ตัดสินใจจะค้นหาทั้งดาวหนานอู๋ให้ดีอีกสักรอบ

เมื่อถลันตัวเหาะไปอยู่กลางท้องฟ้า ขณะที่พุ่งตรงไปยังเมฆหมอก จิตใต้สำนึกของเหมียวอี้ก็สั่งให้เขาก้มหน้ามองสถานที่ข้างล่างที่ตัวเองค้นหาซ้ำไปซ้ำมาจนเหนื่อยอีกรอบ

ตอนยังไม่มองก็ยังไม่มีอะไร แต่พอได้มองแล้ว เขาก็เหาะไม่ไปแล้ว ร่างกายพลันชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ถลึงตามองด้านล่างอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ ในซากวัตถุปรากฏเครื่องหมายที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน อยู่บนพื้นที่ว่างนอกตำหนักหลักนี้เอง เป็นเครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ ขนาดใหญ่ที่ปรากฏชัดเจนในสายตา ราวกับเป็นดอกไม้ดอกหนึ่งที่เบ่งบานอยู่บนพื้นดิน มันถูกฝุ่นกลบเอาไว้ตลอด จนกระทั่งกำจัดฝุ่นออกไปแล้วถึงได้ปรากฏออกมา

ตัวอักษระ ‘สวัสดิกะ’ ตัวนี้ก็ใหญ่มากจริงๆ ก่อนหน้านี้เหมียวอี้กำจัดฝุ่นบนพื้นแล้วแต่ก็ยังมองไม่เห็น เมื่อเหาะมาอยู่บนฟ้าแล้วมองจากข้างบนลงมาถึงจะเห็น เครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ นี้ถูกรักษาไว้อย่างสมบูรณ์มาก จะเห็นได้ว่าบนลานกว้างนอกตำหนักหลักเดิมยังคงอยู่ จนกระทั่งหลังจากทั้งลานกว้างถูกฝ่ามือตบให้จมลง ตัวอักษร ‘สวัสดิกะ’ รวมทั้งลานกว้างก็ล้วนถูกรักษาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ถึงแม้ลักษณะทางกายภาพจะถูกทำลายไปแล้ว แต่ก็ถูกอัดแน่นไว้ตรงนั้นเช่นเดียวกัน

ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้คำจำกัดความว่า ‘กลาง’ อยู่ตรงไหน เช่นนั้นหลังจากภาพ ‘สวัสดิกะ’ ปรากฏออกมาแล้ว สายตาของเหมียวอี้ก็ไปหยุดอยู่บนจุดตรงกลางของ ‘สวัสดิกะ’ ทันที จุดที่ตะขอหักสี่อันมาไขว้รวมกันอยู่ตรงกลางจริงๆ กลางจนไม่รู้จะกลางอย่างไรแล้ว ทำให้คนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีวิธีการอื่นอีก

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้” เหมียวอี้หัวเราะหึหึ หลังจากเล็งจุดตรงกลางแม่นยำแล้ว เขาก็ถลันตัวลงไป ไปเหยียบลงตรงกลางเครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ จากนั้นมองไปรอบๆ พบว่าใต้เท้าตัวเองน่าจะเป็นประตูใหญ่ของตำหนักหลักสำนักอู๋เหมิน เกรงว่าจะเป็นจุดที่ถูกรักษาไว้อย่างครบสมบูรณ์ที่สุดของทั้งสำนักอู๋เหมิน เพียงแต่ถูกตีให้จมลงก็เท่านั้นเอง ยืนอยู่ตรงนี้ก็ยังคบคิดถึงความหมายของคำว่ากลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋จริงๆ

เหมียวอี้หลับตาลงช้าๆ ในหัวปรากฏภาพของคนคนหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าในปีนั้นผู้ที่ซ่อนสมบัติเคยยืนเงียบอยู่ตรงจุดนี้หรือเปล่า…

เมื่อลืมตาขึ้น เห็นสีของท้องฟ้า พบว่าฟ้าก็ยังไม่มืด กว่าจะรอให้ฟ้าสางในวันพรุ่งนี้ก็ยังเหลือระยะเวลาอีกช่วงหนึ่ง เขาจึงไปนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม

เช้าตรู่วันต่อมา เมื่อรู้สึกว่าท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างเล็กน้อยแล้ว เหมียวอี้หยุดฝึกวิชาแล้วยืนขึ้นมองสีของท้องฟ้าโดยรอบ เขาเริ่มขมวดคิ้ว กระแสเมฆหลายชั้นบนท้องฟ้าที่เหมือนวันฟ้าครึ้ม จะทำให้มองเห็นเงาแสงมหัศจรรย์ตอนที่ตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกันอย่างราบรื่นได้ด้วยเหรอ?

เขากระโจนตัวขึ้นมา ทยานขึ้นบนท้องฟ้าในแนวตรง เมื่อคำนวณได้ระยะความสูงหกพันจั้งแล้วหยุด ตัวเขาก็อยู่ท่ามกลางกระแสเมฆแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะแอบบ่นว่าโชคไม่ดี เมื่อวานสีของท้องฟ้าฝั่งนี้ยังดูดีอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าแค่ผ่านไปคืนเดียวก็กลายเป็นครึ้มฟ้าครึ้มฝนเสียแล้ว ตอนนี้ต่อให้เขาใช้ตาทิพย์ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าภาพเงาสะท้อนไม่ปรากฏบนพื้นดิน ตาทิพย์ของเขาก็มองไม่ออกอยู่ดี

เมื่อเราไปได้สักระยะ รอจนโอกาสดียามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกันผ่านไปแล้ว ก็ยังไม่เห็นเมฆหมอกสลายไปเลย

เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์หนึ่งวัน เหมียวอี้ทำได้เพียงกลับลงมานั่งสมาธิอยู่บนพื้นอีกครั้ง ก็รอโอกาสต่อไป พอถึงตอนบ่าย เมฆครึ้มบนท้องฟ้าสลายไปแล้ว ดวงอาทิตย์ที่สว่างสดใส เหมียวอี้ที่เงยหน้ามองท้องฟ้ากลอกตามองบน แล้วนั่งขัดสมาธิต่อไป

เช้าตรู่วันถัดมา เหมียวอี้เงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วปวดประสาทนิดหน่อย ถึงแม้บนฟ้าจะไม่มีเมฆครึ้มซ้อนกันหลายชั้นเหมือนเมื่อวาน แต่ก็ยังมีกระแสเมฆลอยล่อง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะส่งผลกระทบต่อปรากฏการณ์ภาพเงาสะท้อนหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ต้องลองดู

เขาทะยานขึ้นบนฟ้าสูงตรงตำแหน่งหกพันจั้งอีกครั้ง แล้วมองดูกระแสเมฆไหลผ่านไป เฝ้าคอยอย่างเงียบๆ

รอจนกระทั่งเวลาที่ตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกัน เหมียวอี้ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าก็หันตัวมาอย่างช้าๆ แล้วมองสำรวจแผ่นดินอันกว้างใหญ่ที่กึ่งมืดกึ่งสว่าง

ตอนที่ลำแสงยามรุ่งอรุณค่อยๆ เคลื่อนสูงขึ้น ร่างของเหมียวอี้ก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ แล้วทอดสายตามองไปยังแผ่นดินใหญ่ที่ปลายนิ้วของ ‘รอยฝ่ามือ’ ชี้ไป ภาพคนที่คุ้นเคยคนหนึ่งปรากฏออกมาอย่างมีชีวิตชีวา ปรากฏอยู่บนพื้นดินที่สูงต่ำไม่เสมอกัน เป็นภาพสตรีทะยานฟ้าที่เขาคุ้นเคยที่สุด

กระแสเมฆล่องลอยไม่ขาดสาย ภาพของสตรีทะยานฟ้าปรากฏให้เห็นวับๆ แวมๆ อยู่ท่ามกลางลายเงาแสง เรากลับมีม่านบางบังไว้ชั้นหนึ่ง เพิ่มความลี้ลับได้หลายส่วน

สายตาของเหมียวอี้รีบทอดมองไปไกล มองไปยังตำแหน่งที่สตรีทะยานฟ้ายกฝ่ามือรอง เห็นรางๆ ว่าตรงนั้นมีเสาควันสีดำสลับเหลืองต้นหนึ่ง ลอยขึ้นมา

ในที่สุดก็หาเจอแล้ว! เหมียวอี้แอบหลับลืมในใจ ก่อนจะพุ่งเข้าไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย มุ่งหน้าไปยังเป้าหมายแล้ว

“ศิษย์พี่หง เหมือนจะมีคนมา”

ระหว่างแนวภูเขายาวติดกัน ขณะที่คนสามคนที่สวมใส่เครื่องแต่งกายประหลาดสีดำ สวมแว่นผลึกโปร่งแสงกำลังค้นหาไปทั่ว จู่ๆ หนึ่งในนั้นก็ต้องไปยังทิศทางที่เหมียวอี้หายไปพลางตะโกนบอก

อีกสองคนหันกลับไปมองพร้อมกัน มองไปยังทิศทางที่คนนั้นมอง แต่กลับไม่เห็นอะไร

ผู้ที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่หงกระพริบตาอยู่หลังกรอบกระจก หันกลับมาถามอีกคนว่า “ศิษย์น้องลั่ว เจ้าเห็นหรือเปล่า?”

ศิษย์น้องลั่วส่ายหน้า แล้วมองไปยังคนที่ตะโกนก่อนหน้านี้ “ศิษย์น้องอวี่ ไหนล่ะ? จะตาลายหรือเปล่า?”

ศิษย์น้องอวี่โบกมือชี้ “เปล่านะ ข้าเห็นชัดเจนเลย เขาคลุมผ้าดำทั้งตัวเหมือนกัน แฉลบผ่านไปทางนั้นแล้ว”

อีกสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ศิษย์พี่หงกล่าวอย่างลังเลว่า “คนของพวกเราน่าจะยังไปไม่ถึงข้างหน้า จะมีคนได้ยังไง หรือว่ามีคนอยากจะขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัว?”

ศิษย์น้องลั่วเดินมาข้างกายนาง “ศิษย์พี่หง หมอกพิษนี้กัดกร่อนรุนแรงมาก ถ้าไม่มีชุดป้องกันใยแมงมุมไหมดำก็อยู่ที่นี่ได้ไม่นานเลย และชุดใยแมงมุมไหมดำก็ถูกควบคุมดูแล มีจำนวนจำกัด ปีนี้ถึงคราวที่สำนักของพวกเรามาเก็บเมิ่งถัวหลัว ตามหลักการแล้วไม่น่าจะมีคนอื่นสิ ทำไมถึงมีคนโผล่มาขโมยเก็บได้?”

ศิษย์พี่หงจึงบอกว่า “ติดต่อคนอื่นเดี๋ยวนี้ ถามว่ามีใครอยู่ข้างหน้าหรือเปล่า” อีกสองคนปฏิบัติตามทันที

หลังจากนั้นครู่เดียว ทั้งสามคนก็เก็บระฆังดาราในมือ ได้รับการยืนยันตำแหน่งของศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นแล้ว ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่ข้างหน้า ศิษย์พี่หงจึงกล่าวเสียงต่ำว่า “ถึงแม้ชุดใยแมงมุมไหมดำจะถูกควบคุม แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่คนอื่นจะใช้วิธีการอื่นได้มา แต่สิ่งนี้ไม่ได้สำคัญเลย กลัวก็แต่จะมีคนขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัวไปก่อกรรมทำชั่ว ไปกันเถอะ ไปดูว่าเป็นใครกันแน่”

จากนั้นทั้งสามคนก็ทะยานขึ้นท้องฟ้า ไล่ตามไปยังทิศทางที่เหมียวอี้หายไป ระวังทางตอนที่ผ่านซากสำนักหนานอู๋ ทั้งสามก็หยุดอยู่บนท้องฟ้า แล้วจ้องไปข้างล่างอย่างระแวงสงสัย จากนั้นก็มองหน้ากันเลิกลั่ก พวกนางไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก สภาพข้างล่างเป็นอย่างไร ต่อให้พวกนางไม่รู้ชัดเจนแต่ก็เคยเห็นมาก่อน เห็นได้ชัดว่ามีคนมาแตะต้องข้างล่าง

ทั้งสามรีบเหาะลงไปตรวจดู พบว่าร่องรอยการเก็บกวาดยังสดใหม่มาก เห็นได้ชัดว่าเพิ่งถูกแตะต้องไปได้ไม่นาน เท่ากับเป็นการพิสูจน์คำพูดของศิษย์น้องอวี่อย่างไม่ต้องสงสัย มีคนอื่นมาที่นี่แล้วจริงๆ

“ไป!” ศิษย์พี่หงโบกมือเรียก ทั้งสามเหาะไปยังทิศทางที่เหมียวอี้หายไปอีกครั้ง

และในตอนนี้เหมียวอี้กลับยืนอยู่บนปากภูเขาไฟแห่งหนึ่ง ถ้าจะพูดให้ถูกกว่านั้นก็คือ เป็นทะเลสาบภูเขาไฟแห่งหนึ่ง ผิวทะเลสาบหินหนืดที่ร้อนระอุมีรัศมีอย่างน้อยหลายสิบลี้ ทะเลสาบภูเขาไฟประเภทนี้มีอยู่ไม่น้อยที่ดาวหนานอู๋ ว่ากันว่าเกิดขึ้นเพราะถูกพระปีศาจหนานโปโจมตีทะลุเปลือกโลก โฉมหน้าที่แท้จริงเป็นอย่างไร เหมียวอี้ก็ไม่ทราบ ค้นพบเพียงว่าหมอกควันที่ลอยขึ้นบนทะเลสาบหินหนืดค่อนข้างแปลกประหลาด ถ้าเป็นควันดำก็ว่าไปอย่าง แต่เป็นสีดำสลับเหลืองแบบนี้หมายความว่าอะไร?

เอาเป็นว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่เหมียวอี้สามารถแน่ใจได้ นั่นก็คือสิ่งนี้มีพิษแน่นอน

มองสำรวจไปรอบด้านรอบหนึ่ง เพราะว่าไม่มีทางเลือก กอปรกับภาพสตรีทะยานฟ้าก็ชี้มาทางนี้เช่นกัน เหมียวอี้จึงกระโจนตัวขึ้นมา แล้วใช้ฝ่ามือเบิกทาง พุ่งตัวเข้าไปในหินหนืดที่ร้อนฉ่า

ตอนที่เขากระโดดลงในทะเลสาบหินหนืดได้ไม่นาน เงาคนสามคนก็กวาดมองมาเบื้องล่างตลอดทาง แล้วออกจากท้องฟ้าเข้าไป

ส่วนเหมียวอี้ที่ดำลงในทะเลสาบหินหนืดได้ไม่นานก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ยันหินหนืดรอบๆ ร่างกายออกไป ทำให้เกิดช่องว่างที่เพียงพอ รอยนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วเปิดออก ดวงตางามสีสันแวบวับเผยออกมา ทั้งยังปล่อยเสาแสงที่มีสีรุ้งลอยวนเวียนด้วย เสาแสงกวาดมองสภาพภายในหินหนืด วัตถุเหลวไม่สามารถขัดขวางการมองทะลุของตาทิพย์ได้

ส่วนทะเลสาบหินหนืดแห่งนี้ก็มีพื้นที่กว้างใหญ่จริงๆ เขาไม่รู้ว่าจุดซ่อนสมบัติอยู่ลึกขนาดไหนกันแน่ ถ้าให้หาทีละจุดก็เปลืองแรงจริงๆ

ผ่านไปไม่นาน ตรงด้านข้างก้นทะเลสาบหินหนืดรูปกรวยที่ลึกลงไปหมื่นจั้ง ตาทิพย์ก็หยุดอยู่ที่โพรงถ้ำโพรงหนึ่งบนผนังหิน เหมียวอี้รีบดำลงไป มุ่งตรงสู่โพรงนั้น

พอมาถึงโพรง เขาก็รีบเข้าไปอย่างรวดเร็ว เข้าไปในช่องทางที่ถูกหินหนืดเทกรอก เขาครึ่งเฉียงไปด้านบน

เดินไปตามช่องทางหินหนืดได้พันจั้ง เขาถึงได้หนีพ้นหินหนืด จากนั้นเหยียบไปบนช่องว่างของทางเดินที่มีหมอกควันลอยวนเวียน หมอกควันยังคงมีที่มาจากหินหนืด แต่เหมียวอี้กลับรู้สึกได้ถึงคลื่นที่ฉุดดึงกระแสอากาศ แต่ดูจากช่องทางนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นร่องรอยที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ อย่าบอกนะว่าผู้ซ่อนสมบัติขุดเส้นทางเชื่อมไปถึงพื้นดินโดยตรง?

เหมียวอี้รีบเดินไปข้างหน้า เส้นทางในตอนนี้ไม่ลาดเอียงขึ้นไปอีกแล้ว แต่เป็นทางตรงไปข้างหน้า เมื่อเดินไปได้สิบลี้กว่า ก็ออกจากโพรงถ้ำมาดู เหมียวอี้รู้สึกงุนงงเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อว่าปลายทางจะเป็นแม่น้ำใต้ดินที่อยู่ลึกลงไป ไม่ใช่ห้องหินเหมือนอย่างที่เคยผ่านมา

ตั้งแต่ค้นหาสมบัติมาจนถึงทุกวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ได้เห็นว่าผู้ซ่อนสมบัติขุดทางใต้ดินระยะไกลขนาดมาก ถ้ายาวเฉยๆ ก็ว่าไปอย่าง แต่แม่น้ำใต้ดินตรงหน้าโผล่มาจากไหนอีกล่ะ เขาลองคาดคะเนดูนิดหน่อยก็ได้คำตอบแล้ว ว่าแม่น้ำใต้ดินสายนี้อยู่ในตำแหน่งที่ลึกลงไปใต้ดินอย่างน้อยเก้าพันจั้ง ต่อให้เป็นคนที่วรยุทธ์สูงกว่านี้ แต่ก็อาจไม่มีทางร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบเจอตำแหน่งที่ลึกขนาดนี้ได้ เป็นเพราะอุปสรรคหนาแน่นเกินไปหน่อย

พอเดินออกมาจากโพรงถ้ำ เขาก็มองซ้ายมองขวา พบว่าแม่น้ำที่ไหลจากปากถ้ำไหลจากด้านซ้ายไปด้านขวา ไม่รู้เหมือนกันว่าไปสิ้นสุดตรงไหน รอบด้านไม่มีเค้าส่อให้เห็นว่าจะมีห้องหินอยู่เลย ตอนที่ผ่านช่องทางนั้นมา อย่าบอกนะว่าตัวเองมองข้ามห้องหินที่ซ่อนตัวอยู่ไปแล้ว? ตามหลักการแล้วไม่น่าจะใช่สิ ระหว่างทางตัวเองมองดูอย่างละเอียดแล้ว แล้วอีกอย่าง ผู้ซ่อนสมบัติก็คงไม่ว่างขนาดนั้นหรอกมั้ง หลังจากขุดจุดซ่อนสมบัติออกมาแล้ว จะยังขุดเล่นต่อไปข้างหน้าอีกเหรอ?

…………………………

นึกไม่ถึงว่าดาวพิษดวงนี้จะเคยมี ‘ความรุ่งโรจน์’ มาก่อน พอมองดูดาวพิษที่มีเมฆครึ้มตรงหน้าอีกครั้ง เหยียนซิวก็รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว แต่ก็หันไปมองเหมียวอี้อีกครั้งด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเข้าใจ เพียงแต่เขาไม่ใช่คนที่ชอบพูดมาก ทำได้เพียงสงสัยอยู่ในใจ ปากไม่ได้ถามอะไรอีก

เมื่อก่อนเขาชอบพูดคุยและดื่มสุรา บนตัวพกน้ำตาสุราติดตัวไว้ตลอดเวลา ดึงเหมียวอี้ไปทำธุระด้วยกันเป็นครึ่งค่อนวัน อาศัยความแก่ตั้งตัวเป็นผู้อาวุโส แต่หลังจากหลัวเจิน ฮูหยินของเขารบตายไป เขาก็เลิกสุราแล้ว พูดน้อยลงเช่นกัน ถึงขนาดว่าผ่านไปหลายปีโดยไม่พูดสักประโยคเลยก็มี

ส่วนเหมียวอี้ที่กำลังมองประเมินดาวพิษ เขารู้ประวัติความเป็นมาของดาวพิษดวงนี้มาจากอวิ๋นจือชิว ส่วนสาเหตุว่าทำไมอวิ๋นจือชิวถึงรู้เรื่องนี้ สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย เป็นเพราะดาวพิษดวงนี้ถูกทำสัญลักษณ์ไว้บนแผนที่ซ่อนสมบัติว่าเป็นจุดซ่อนสมบัติ ก่อนหน้านี้อวิ๋นจือชิวแอบทำความเข้าใจกับสิ่งนี้มาไม่น้อย

“ข้าได้ยินชื่อของที่นี่มานานแล้ว ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไปดูสักหน่อยล่ะ เจ้าไปรอข้าอยู่ทางนั้นเถอะ” เหมียวอี้ชี้ไปยังดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นก็โยนเมี่ยวฉุนให้เหยียนซิว

เหยียนซิวย่อมเข้าใจว่าเมี่ยวฉุนมีประโยชน์อะไร อย่างน้อยก็เป็นพยานให้กับเหตุการณ์น่าหวาดเสียวก่อนหน้านี้ได้ การที่นายท่านส่งเมี่ยวฉุนให้เขา ก็เหมือนจะเตรียมเอาไว้ป้องกันเหตุไม่คาดคิด ยามมีเรื่องอะไรขึ้นมา อย่างน้อยพยานอย่างเมี่ยวฉุนก็สามารถทำให้เหยียนซิวลดความยุ่งยากได้บ้าง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างกังวลว่า “ข้าน้อยจะไปเป็นเพื่อนนายท่าน”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “บนดาวพิษมีหมอกพิษอยู่ทุกที่ ถ้าไม่ได้เตรียมตัวให้รอบคอบก็ไม่สะดวกจะเข้าไป ถ้าเจ้าเข้าไปจะมีอันตราย เจ้าวางใจได้ ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”

“ข้าน้อยสามารถเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ได้ ถ้ามีเรื่องอะไรจะได้ช่วยเหลือสะดวก” เหยียนซิวกล่าว

เหมียวอี้เหล่ตาจ้องมา เหยียนซิวอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบไป ก้มหน้าเล็กน้อยพลางเอ่ยรับ “ขอรับ!”

เหมียวอี้สะบัดแขนเสื้อไปข้างหลัง พุ่งไปทางดาวพิษอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้เข้าไปโดยตรง แต่เหาะวนตรวจตรารอบๆ ดาวพิษ เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง

เหยียนซิวที่มองตามถอนหายใจเบาๆ ถ้าตัวเองเดาไม่ผิด นายท่านน่าจะทำความเข้าใจดาวพิษดวงนี้มานานแล้ว เห็นได้ชัดว่าวางแผนไว้นานแล้วว่าจะมาที่นี่ ดูจากท่าทางที่เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ก็ไม่เหมือนคนมาหาที่ซ่อนตัวหรือว่ามาดูเฉยๆ เลย เขาพบว่ายิ่งนับวันตัวเองจะยิ่งไม่เข้าใจเหมียวอี้แล้ว พบว่าบนตัวเหมียวอี้มีปริศนามากมายที่ตัวเองไม่เข้าใจ ยกตัวอย่างเช่นดวงตาที่สามที่มีแสงวิบวับดวงนั้น แล้วก็ตอนนี้อีก ทำไมต้องมาที่ดาวพิษแห่งนี้ด้วยล่ะ?

เหมียวอี้วนอ้อมดาวพิษไม่กี่รอบ แต่ก็ไม่พบลักษณะภูมิประเทศที่ตัวองกำลังตามหา เป็นเพราะในดาวพิษมีเมฆครึ้มเยอะเกินไป เป็นอุปสรรคต่อสายตา ทำให้เขาเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะเปิดใช้งานตาทิพย์เพื่อค้นหา แต่ดูจากสภาพแวดล้อมของดาวเคราะห์โดยรอบแล้ว ก็อาจจะถูกคนอื่นพบได้ง่ายมาก สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป พุ่งเข้าไปในชั้นบรรยากาศของดาวพิษแล้ว

ลมวัดดังวูบๆ กระแสเมฆสีเทาบ้างสีขาวบ้างกำลังไหลตามสายลมราวกับกระแสน้ำ

เหมียวอี้ที่เหาะลงมาจากฟ้าหยุดชะงัก หยุดยืนนิ่งอยู่บนฟ้าสูง รอบตัวมีเพลิงจิตปกป้องร่างกาย กำลังมองดูโดยรอบ

กระแสเมฆดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เหมียวอี้ที่ได้รับคำเตือนมาจากอวิ๋นจือชิวก็ยังไม่กล้าดูถูกมัน กลับคิดอยากจะทดสอบ จึงยื่นนิ้วมือหนึ่งนิ้วออกไปนอกเพลิงจิต ให้ปลายนิ้วสัมผัสกับเมฆหมอกที่พัดเข้ามา

ตอนแรกก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอผ่านไปครู่เดียวก็รู้สึกชาปลายนิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็รู้สึกคันนิดหน่อย แล้วเล็บก็เปลี่ยนสีดำและบวมอย่างรวดเร็วอย่างที่ตาเปล่าสังเกตได้ พอเหมียวอี้ตรวจสภาพภายในร่างกายอย่างละเอียด ก็พบว่าปลายนิ้วเริ่มมีเค้าส่อให้เห็นว่าเน่าเปื่อย และลุกลามขึ้นมาบนแขน มีพิษจริงๆ ด้วย เขาใช้เคล็ดวิชาอัคนีดาราชำระไปที่ปลายนิ้วอย่างรวดเร็ว กำจัดพิษออกไป

ในขณะนี้เอง จู่ๆ เหมียวอี้ก็ขมวดคิ้ว แล้วหยิบระฆังดาราออกมา เป็นระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับเหยียนซิว : มีเรื่องอะไร?

เหยียนซิว : นายท่าน ข้าน้อยเห็นคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในดาวพิษแล้ว มีประมาณยี่สิบกว่าคน แต่งตัวค่อนข้างแปลก

เหมียวอี้จมอยู่ในความคิด ใครกันที่ถ่อมาถึงดาวพิษได้? ตามข้อมูลที่อวิ๋นจือชิวให้มา ดาวพิษแห่งนี้ไม่เหมาะแก่การดำรงชีวิต คนทั่วไปไม่มีทางมาที่ดาวพิษ คนกลุ่มเดียวที่อาจจะมาปรากฏตัวที่ดาวพิษบ่อยๆ ก็คือคนที่มาเก็บเมิ่งถัวหลัว

เมิ่งถัวหลัวคือหญ้าพิษชนิดหนึ่ง เป็นพิษประหลาด แตกต่างจากพิษทั่วไป คนที่โดนพิษชนิดนี้ตาย สิ่งที่ตายจะไม่ใช่กายหยาบ แต่เป็นจิตวิญญาณ จิตวิญญาณจะแตกซ่าน ตัดขาดภพภูมิหน้าของผู้ตาย และหญ้าพิษชนิดนี้ก็มีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ เมื่อศิษย์สำนักพุทธนำมาหลอมสร้างเป็นอาวุธแล้ว ก็สามารถใช้โปรดวิญญาณคนตายได้ กับวิญญาณบางพวกที่ปราณอาฆาตล้ำลึกจนไม่ยอมไปเวียนว่ายตายเกิดแต่อยากกลายมาเป็นนักพรตผี สิ่งนี้ก็สามารถทำใช้โปรดวิญญาณได้เช่นกัน ทำให้พวกมันละทิ้งบุญคุณความแค้นและเข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิดเร็วๆ ได้

ในอดีตตอนที่ดาวพิษยังเป็นดาวหนานอู๋ ก็ยังไม่เคยเกิดหญ้าพิษชนิดนี้ แต่หลังจากกลายเป็นดาวพิษแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเมิ่งถัวหลัว มีคนบอกว่าเป็นการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจของพระปีศาจหนานโป และมีคนบอกว่านี่คือสาเหตุที่พระปีศาจหนานโปสร้างสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายให้ดาวหนานอู๋ จุดประสงค์ก็เพื่อปลูกหญ้าพิษชนิดนี้ เรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จ คาดว่าคงมีเพียงพระปีศาจหนานโปที่รู้ดีที่สุด

เหมียวอี้คิดว่าคนกลุ่มนั้นไม่น่าจะพุ่งเป้ามาที่เขา ถึงอย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นที่ดาวฮุ่ยหลินก็ยังเป็นความลับอยู่ ก่อนที่จะได้ที่ซ่อนสมบัติมาไว้ในมือ เขาก็ไม่อยากให้มีอะไรมารบกวน ฝั่งมือสังหารไม่น่าจะเปิดเผยให้ใครรู้สิ มีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ที่มาจะมาเก็บเมิ่งถัวหลัว

เมื่อวินิจฉัยได้แบบนี้ ก็ตอบเหยียนซิวกลับไปว่าไม่เป็นอะไร แล้วก็ถามตำแหน่งคร่าวๆ ของผู้ที่มาอีก

หลังจากเก็บระฆังดาราแลว เหมียวอี้ก็หลับตาสองข้าง รอยนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วเปิดออก ตาทิพย์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เสาแสงที่มีรัศมีแวววับลอยวนเวียนยิงออกมา หันหน้าไปทางตำแหน่งของผู้มาเยือนตามที่เหยียนซิวบอก ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ทอดสายตาไปไกล หลังจากวรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้งแล้ว ความสามารถในการควบคุมตาทิพย์ก็ย่อมเหนือกว่าเมื่อก่อนอยู่แล้ว อิสระผ่อนคลายขึ้นเยอะเลย

ผ่านไปไม่นาน สายตาของตาทิพย์ก็เจอกับกลุ่มคนแต่งตัวประหลาดเหมือนที่เหยียนซิวบอกแล้ว มีประมาณยี่สิบคน กำลังสุมหัวประชุมอะไรบางอย่างกันอยู่บนยอดเขา

การแต่งตัวของพวกเขาแปลกประหลาดจริงๆ ตั้งแต่ศีรษะจดเท้าถูกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด เหมือนจะสวมชุดดำตัวโคร่งทั้งตัว แขนเสื้อ ขากางเกงล้วนมัดไว้อย่างมิดชิด ขนาดตรงดวงตาทั้งคู่ยังเป็นกรอบผลึกใสเลย มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าแต่งตัวแบบนี้เพื่อป้องกันพิษ

จากการแต่งตัวของคนพวกนี้ทำให้มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย เหมียวอี้ใช้ประโยชน์ในการมองทะลุของตาทิพย์ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมองทะลุเข้าไปไม่ได้ จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าเครื่องแต่งกายของคนพวกนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันพิษดีมาก ไม่อย่างนั้นถ้ามีซอกแค่นิดเดียวก็สามารถมองทะลุได้แล้ว แต่ดูจากส่วนสูงและดวงตาที่ปรากฏตรงกรอบตาผลึกใส ก็ทำให้มองออกว่าทั้งหมดเป็นผู้หญิง

คนพวกนี้แบ่งกลุ่มกันอย่างรวดเร็ว แยกย้ายกันไปตามแนวภูเขาที่สูงต่ำไม่เสมอกันแล้วค้นหาอะไรบางอย่าง

ด้วยเหตุนี้เหมียวอี้จึงมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองตัดสิน คาดว่าคงเป็นคนที่มาเก็บเมิ่งถัวหลัว

พอเก็บสายตาของตาทิพย์กลับมา แล้วมองไปที่เบื้องล่างของตัวเอง ก็พบว่าพื้นดินรกร้างเปล่าเปลี่ยวยาวต่อเนื่องกัน แทบจะมองไม่เห็นพืชหรือสัตว์อะไรเลย แม่น้ำสายเล็กสายใหญ่ไหลคดเคี้ยวอยู่บนพื้นดินรกร้าง คุณภาพน้ำก็ดูใส ทว่ากระแสน้ำที่อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมอย่างนี้ ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าใช้บริโภคไม่ได้ น้ำมีหน้าที่กลั่น ไม่รู้ว่าดูดซับธาตุพิษอยู่ท่ามกลางอากาศที่เต็มไปด้วยพิษไว้มากเท่าไรแล้ว

แคว่ก! เหมียวอี้ฉีกผ้าผืนใหญ่ออกมาผืนหนึ่ง เอามาห่อหุ้มไว้บนร่างกายตัวเอง กลุ่มคนที่มาเก็บเมิ่งถัวหลัวพวกนั้นได้เตือนเขาอย่างอ้อมๆ แล้ว ว่าถ้าบนตัวไม่มีอะไรป้องกัน เมื่อถูกพบขึ้นมาก็จะสะดุดตามาก ถึงได้ฉีกผ้ามาห่อหุ้มไว้ทั้งร่างกาย บนศีรษะปิดไว้ครึ่งเดียว เผยให้เห็นเพียงส่วนของดวงตา

หลังจากนั้น เขาก็อาศัยกลุ่มเมฆบนท้องฟ้าพรางตัวตลอดทาง พยายามไม่เปิดเผยตัวเอง หลบอยู่ในชั้นเมฆและใช้ตาทิพย์ตรวจดูพื้นดิน ตามหาลักษณะภูมิประเทศที่ตัวเองจดจำและคุ้นเคยอยู่หัวสมอง

ครั้งนี้ระบุเป้าหมายได้เร็วมาก เป็นเพราะเป้าหมายค่อนข้างสะดุดตาจริงๆ

หลังจากนั้นสองชั่วยาม เหมียวอี้ก็หยุดอยู่กลางอากาศ ขณะมองดูบนพื้นดิน ระหว่างแนวภูเขาด้านล่างมีรอยประทับรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ที่จมลึกอยู่บนพื้นรอยหนึ่ง เหมือนจะเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่มากข้างหนึ่งตีตบลงไป ทำให้แนวเทือกเขารอบๆ โค้งขึ้นมา ตรงจุดที่แนวเทือกเขายื่นขยายออกไปขาดท่อนเป็นระยะ

แค่มองเห็นแวบเดียว เหมียวอี้ก็ต้องสูดหายใจอย่างตกตะลึงแล้ว ขนาดอยู่บนฟ้าสูงยังมองเห็นรอยฝ่ามือที่ใหญ่มหึมาขนาดนี้เลย แล้วขอบเขตของรอยฝ่ามือจริงที่ครอบคลุมอยู่บนพื้นจะกว้างขนาดไหนกัน แค่คิดก็รู้แล้ว แค่จินตนาการก็รู้ถึงอานุภาพของฝ่ามือนี้แล้ว ผู้ที่ใช้ฝ่ามือนี้ก็ยิ่งจินตนาการออกเลย การที่สามารถประทับรอยฝ่ามือไว้ในขอบเขตที่กว้างใหญ่และชัดขนาดนี้ได้ อันดับแรกจะต้องลงมือในระดับที่สูงมากพอ อีกทั้งเมื่ออยู่ในระยะที่ห่างไกลขนาดนั้น ก็ยังสามารถปล่อยพลังลงมาได้แข็งแกร่งขนาดนี้ ช่างจินตนาการได้ยากจริงๆ

จากการตัดสินของเหมียวอี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ที่ลงมือจะสามารถทำลายดาวเคราะห์ดวงนี้ได้โดยใช้เพียงฝ่ามือเดียว เพียงแต่ไม่ได้ทำอย่างนั้นก็เท่านั้นเอง

เดาได้ไม่ยากว่าใครเป็นผู้ทิ้งรอยฝ่ามือนี้ไว้ คาดว่านอกจากพระปีศาจหนานโปคนนั้นก็คงจะไม่มีใครแล้ว

ถึงแม้จะผ่านไปหลายปี แต่ดูจากร่องรอยของฝ่ามือที่บดอัดลงไป ก็ยังมองออกว่ามีสิ่งปลูกสร้างจำนวนไม่น้อยที่ที่ถูกทำลายอยู่ภายใต้ฝ่ามือนั้น เหมือนแป้งก้อนหนึ่งที่โดนตบจนกลายเป็นขมเปี๊ยะ จากเค้าโครงพวกนี้ก็ทำให้ดูออกแล้ว

เมื่ออยู่บนฟ้าสูงแล้วตัดสินจากลักษณะภูมิประเทศโดยรอบ ตรงรอยฝ่ามือก็คือตำแหน่งที่แผนที่ซ่อนสมบัติระบุไว้ ส่วนจุดค้นห้าสมบัติโดยละเอียด บนแผนที่ก็บอกเอาไว้เพียงประโยคเดียว

กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋!

เมื่อเชื่อมโยงความเจริญและเสื่อมโทรมในอดีตของดาวหนานอู๋ ประโยคนี้ก็ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก แม้แต่อวิ๋นจือชิวที่ไม่เคยหาสมบัติก็ยังเดาความหมายชี้นำคร่าวๆ ของประโยคนี้ได้ มันคือซากของสำนักหนานอู๋ จุดซ่อนสมบัติก็คือสำนักหนานอู๋ในอดีต

เหมียวอี้ที่คลุมผ้าดำทั้งตัวเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงในแอ่งกระทะที่เกิดจากรอยฝ่ามือตบ เหยียบลงตรงร่องรอยขนาดใหญ่สุดที่มีเค้าโครงสิ่งปลูกสร้างพัง ถือเป็นบริเวณใจกลางของรอยฝ่ามือเช่นกัน

เค้าโครงร่องรอยที่มองเห็นเมื่ออยู่บนฟ้า แต่พอเหยียบลงพื้นที่จริงแล้วกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในป่ารกร้างผืนหนึ่ง มองไม่เห็นเศษซากอะไรทั้งนั้น เกิดข้อจำกัดทางด้านสายตาแล้ว

วูบ! เหมียวอี้พลันหมุนตัว พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งโหมซัดสาดไปโดยรอบ ทำให้ฝุ่นควันที่ปกคลุมผืนดินขยายไปรอบๆ

ตรงใต้เท้าของเหมียวอี้นี่เอง ถึงแม้เสาหินต้นใหญ่จะแตกเป็นผุยผงไปแล้ว แต่เค้าโครงเสาหลังจากถูกกดลงใต้ดินก็ยังมีความสมบูรณ์ ทำให้แยกแยะได้ง่ายมากว่าก่อนที่จะพัง เสาต้นนี้ก็คือเสาหินขนาดใหญ่มากต้นหนึ่ง

ของที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินเหล่านี้ถูกเป่าให้เผยออกมาทีละนิด ทั้งใกล้และไกลไม่ได้มีแค่เสาหินขนาดใหญ่ต้นเดียวเลย มีหลายต้นมาก จะเห็นได้ว่าในปีนั้นอารามแห่งนี้ใหญ่โตขนาดไหน

ทั้งยังมีเครื่องโลหะที่ถูกบดแบนไม่น้อยเลยด้วย สภาพเปลี่ยนไปเพราะโดนสนิมกัดกิน ถึงขั้นมีเค้าโครงหลังคาที่โดนตบประทับไว้บนพื้นเลย

เหมียวอี้เดินเข้าไปสำรวจ สามารถจินตนาการได้ถึงชั่วพริบตาที่ความรุ่งโรจน์อันยาวนานกลายเป็นฝุ่นดิน จากความเศร้ารันทดที่ถูกผนึกไว้ใต้ฝุ่น ก็ทำให้รู้สึกได้รางๆ ถึงความหมายกำกวมของประโยค ‘กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋’ มีทั้งความรู้สึกปลงอนิจจังให้กับความเศร้าเสียใจอันเป็นนิรันดร์ของสำนักหนานอู๋ และมีการชี้บอกอย่างชัดเจนเช่นกัน ว่าเบาะแสการหาสมบัติอยู่กลางร่องรอยนี้

ที่เรียกว่าปลงอนิจจัง เหมียวอี้ก็แค่ทอดถอนใจนิดหน่อยเท่านั้น เขาไม่ได้มีชุดความคิดหรือความผูกพันอะไรกับสำนักหนานอู๋ รู้สึกสนใจพิกัดในการหาสมบัติมากกว่า

“กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋ กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋…” เหมียวอี้มองไปรอบๆ พลางพึมพำ คำว่า ‘กลาง’ นี่หมายถึงตรงไหนกันแน่ ถ้าจะให้มองดูจนทั่ว เขาก็ทำความเข้าใจลำบากมาก จะไม่ให้หาใจกลางก็ไม่ได้ เพราะจากประสบการณ์ในการหาสมบัติก่อนหน้านี้ ถ้าไม่หาจุดนั้นให้เจอก่อน ก็จะมองไม่เห็นภาพสตรีทะยานฟ้าเลย สายตาจะต้องอยู่ในระดับที่พอดิบพอดี นี่ก็คือวิธีการอันเหนือชั้นของผู้ซ่อนสมบัติ ถ้าไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง ต่อให้ได้แผนที่ซ่อนสมบัติไปแต่ก็หาสมบัติไม่เจออยู่ดี

…………………………

แทบจะเป็นช่วงเวลาเดียวกัน เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอกมาว่า “จับเป็น!”

เหยียนซิวงงทันที อาศัยวรยุทธ์ของเขา จะไล่ตามอีกฝ่ายให้ทันก็ยังเป็นไปได้ยากเลย ยังจะให้จับเป็นอีกเหรอ? อย่าบอกนะว่านายท่านนึกว่าอาศัยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นห้าคันเดียวแล้วจะล้มอีกฝ่ายได้?

ทว่าน้ำเสียงของเหมียวอี้ฟังดูมั่นใจมาก สีหน้าท่าทางดูภาคภูมิใจ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือลำพองใจ มองอวิ่นหมิงที่กำลังเร่งหลบหนีอย่างดูแคลน ให้ความรู้สึกเหมือนไม่เห็นอวิ่นหมิงอยู่ในสายตาเลย ใช้มือข้างเดียวถือคันธนู ไม่มีท่าทีว่าจะไล่ตามไปเลย

อวิ่นหมิงที่แย่งของวิเศษห้ามังกรหลบหนีรีบลบตราอิทธิฤทธิ์ของอวิ่นจ้าวในของวิเศษออกไป แล้วประทับตราของตัวเองลงไปแทน ยังไม่ทันได้เรียนรู้วิธีการควบคุม ก็ตกใจเสียงเคลื่อนไหวผิดปกติข้างหลังจนต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง

ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์! แค่มองปราดเดียวเขาก็จำได้แล้ว ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นมาก่อน เพียงแต่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นไอหมอกลอยวนเวียนอยู่บนลูกธนูดาวตก

เขาย่อมรู้ดีว่าอานุภาพของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เป็นอย่างไร ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นห้ากระจอกๆ คันเดียวคิดจะทำอะไรนักพรตบงกชรุ้งอย่างเขาน่ะเหรอ ฟังดูเกินจริงไปหน่อยกระมัง แน่นอน ถ้าโดนลูกธนูยิงโดยไม่ได้ป้องกันอะไรก็จะตายอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คือท่าไม้ตายที่ใหญ่ที่สุดของฝั่งตำหนักสวรรค์ อานุภาพการโจมตีน่าสะพรึงกลัว

ลำแสงยิงเข้ามาเร็วเกินไป ปฏิกิริยาแรกของอวิ่นหมิงก็คือป้องกัน เพราะจะให้หลบก็หลบไม่ทันแล้ว เพราะของเล่นชิ้นนี้สามารถไล่ตามได้ เขาหยิบโล่อันหนึ่งออกมา ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดที่มีต้านไว้ข้างหน้า ชั่วพริบตานั้นลำแสงก็ยิงโดนโล่พอดี

ปั้ง!

ภายใต้แรงพุ่งชน ลำแสงปรากฏรูปร่าง ลูกธนูดาวตกที่มีหมอกทึบสีแดงปรากฏตัว ชนอยู่บนโล่อย่างแรง มีเสียงสะเทือนดังอยู่กลางอากาศหนึ่งครั้ง หมอกสีชมพูที่อยู่บนธนูชนด้วยความเฉื่อย ไอหมอกคลุมทั้งโล่ทั้งคนที่อยู่ข้างหลังโล่เอาไว้มิด

ชั่วพริบตานั้น อวิ่นหมิงก็รู้สึกได้ถึงปราณสังหารที่ทำให้คนขนพองสยองเกล้า ไอหมอกสีแดงนี้แทบจะกลายเป็นปราณสังหารที่เป็นร่างจริงแล้ว ต้องได้รับปราณสังหารรุนแรงขนาดไหนกันถึงจะก่อตัวเป็นรูปร่างได้? บนลูกธนูดาวตกจะมีปราณสังหารที่รุนแรงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?

สิ่งที่ทำให้อวิ่นหมิงอกสั่นขวัญแขวนก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าเกราะลมปราณของเขาจะไม่มีสามารถต้านทานได้ สิ่งนี้คล้ายคลึงกับเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา

ชั่วพริบตาที่หมอกสีชมพูอมแดงพุ่งเข้ามากลบ อวิ่นหมิงก็ดีดตัวออกมาจากไอหมอกสีแดงอีกครั้ง เขาโดนพลังโจมตีอันแข็งแกร่งของลูกธนูดาวตกจนสะเทือนปลิวออกมา กำลังพลิกไปพลิกมาอยู่กลางอากาศ แต่กลับไม่มีทางหยุดร่างให้หยุดนิ่งอย่างมั่นคงได้เลย

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะหยุดยืนให้มั่นคง แต่หลังจากปราณสังหารอันน่าหวาดกลัวรุกเข้ามาในร่างกายแล้ว มันก็อาละวาดอยู่ในร่างกายเขาไม่หยุด ผิวภายนอกของเขาก็ยิ่งมีรอยแยกเป็นแผลนับไม่ถ้วน เลือดสดไหลออกมาราวกับถูกดาบคมจำนวนนับไม่ถ้วนกรีด เจ็บจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว พยายามกำจัดปราณสังหารที่รุกเข้ากัดกินอยู่ภายในร่างกาย

หลังจากมีเสียงดังปั้ง ลูกธนูดาวตกก็พลิกลับมา

เหยียนซิวรีบไล่ตามไปหาอวิ่นหมิงที่กำลังมีสีหน้าเจ็บปวดทุกข์ทรมาน เขาก็แอบตกใจเช่นกัน ไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้ใส่อะไรไว้บนลูกธนูดาวตกตอนที่ยิงออกไป ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้อวิ่นหมิงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้

เมื่อเห็นเหยียนซิวสังหารเข้ามา อวิ่นหมิงก็ปกป้องตัวเองอย่างสุดชีวิต โบกดาบฟันอย่างบ้าคลั่ง แต่จนใจที่ทำตามใจคิดไม่ได้ เพราะร่างกายปั่นป่วนไปหมดแล้ว

เงากรงเล็บขวักไขว้แวบผ่านไป “อา!” อวิ่นหมิงกรีดร้องโหยหวน ข้อมือที่ถือของวิเศษห้ามังกรหักจนเลือดสาด ตกลงมาอยู่ในมือเหยียนซิวแล้ว แขนข้างถือถือดาบก็ยิ่งหลุดออกมาทั้งหัวไหล่ โดนเหยียนซิวขยุ้มลงมาด้วยกัน เหยียนซิวผมขาวปลิวสะบัดในขณะที่ถลันตัวไปข้างหลังอวิ่นหมิง แล้วยื่นมือเสียบเข้าไปในแผ่นหลังของอวิ่นหมิงโดยไม่หันกลับไปมองด้วยซ้ำ เย็นเยียบโหดเหี้ยมมาก กักกระดูกสันหลังที่มีเลือดไหลของอวิ่นหมิงเอาไว้แล้ว ทำให้อวิ่นหมิงขยับตัวไม่ได้ จากนั้นก็หิ้วร่างกลับมาตรงหน้าเหมียวอี้

เหมียวอี้เก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว ตอนนี้กำลังใช้สายตาเย็นเยียบกวาดมองอวิ่นหมิงที่มีสีหน้าทุกข์ทรมานทั้งยังผิวหนังฉีกขาดไม่หยุด จากนั้นยื่นมือสองข้าง วางพาดไว้บนบ่าของเหยียนซิวกับอวิ่นหมิง รีบร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดารากำจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกายทั้งสอง

ผ่านไปพักใหญ่ เหยียนซิวถึงได้ถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย ศีรษะที่แทบจะก้มอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดก็เงยขึ้นมาตามปกติแล้ว พลังปรารถนาสีส้มส่งผลกระทบต่อเขาค่อนข้างเยอะ ทำให้เขาควบคุมตัวเองค่อนข้างลำบาก ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่นี้ตอนที่ได้โอกาสดีก็คงจะฆ่าอวิ่นจ้าวไปโดยตรงแล้ว คงไม่เข้าไปในร่างกายอวิ่นจ้าวเพื่อหาโอกาสล่ออีกสองคนให้เสียเวลาหรอก

เขารู้อย่างลึกซึ้งว่าความผิดพลาดเมื่อครู่นี้แทบจะสร้างปัญหาหายุ่งยากแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะกำจัดอวิ่นจ้าวทิ้งก่อนที่ลูกกลมตีไม่พังของเหมียวอี้จะหมดพลังงานและพังลง ก็เกรงว่าเหมียวอี้คงจะโดนปิดตายอยู่ในนั้นไปแล้ว คงจะหนีออกมาจากลูกกลมตีไม่พังไม่ทันเวลา และไม่มีทางใช้ลูกธนูดอกเดียวควบคุมอวิ่นหมิงได้ด้วย อาศัยความเร็วอย่างเขาไม่มีทางไล่ตามอวิ่นหมิงทัน ถ้าอวิ่นหมิงควบคุมของวิเศษห้ามังกรได้แล้วกลับมาอีกครั้ง ผลที่ตามมาก็จะเลวร้ายจนไม่อยากจิตนาการถึง

“ข้าน้อยแทบจะทำพลาดครั้งใหญ่แล้ว” เหยียนซิวก้มหน้าอย่างอับอาย

เหมียวอี้เองก็ไม่ไม่เลอะเลือน เขาเข้าใจดี จึงส่ายหน้าบอกว่า “โทษเจ้าไม่ได้หรอก ขนาดโดนผลกระทบเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาแล้วยังทำสำเร็จได้ แค่นี้ก็นับว่ายากแล้ว” เขามองไปยังอวิ่นหมิงที่อยู่ในมือเหยียนซิว แล้วถามอย่างเย็นเยียบว่า “ทำไมต้องสังหารข้า?”

ปราณสังหารรุนแรงในร่างกายถูกกำจัดไปแล้ว อวิ่นหมิงเงยหน้าที่เลอะเทอะไปด้วยเลือด ค่อยๆ แล้วเผยรอยยิ้มอันน่าเวทนาออกมา “ได้ยินข่าวลือว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นขุนพลผู้กล้าของตำหนักสวรรค์ ทำขนาดนี้แล้วยังโปรดสัตว์ให้เจ้าไม่ได้ เก่งสมชื่อจริงๆ ไม่ได้มีดีแค่ชื่อเสียง ครั้งนี้อาตมารู้ตัวแล้ว คงยากที่จะรอดชีวิตกลับไป ปล่อยอาตมาไปสบายเถอะ!”

เหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรมากกับเขา ตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่จะมาเปลืองคำพูดกัน เขาไม่มีทางแน่ใจได้ว่าดาวฮุ่ยหลินเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้หรือเปล่า เขาเอียงหน้ามองเหยียนซิว “ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน เก็บของแล้วหนี”

เหยียนซิวเก็บอวิ่นหมิงทันที หลังจากนำของวิเศษห้ามังกรให้เหมียวอี้แล้ว ก็รีบเก็บกวาดที่เกิดเหตุ ของที่ควรจะเก็บไว้ก็ไม่ปล่อยผ่าน

เหมียวอี้ถือลูกกลมโลหะห้ามังกร ลบตราอิทธิฤทธิ์ที่อยู่ข้างในนั้นออก แล้วใส่ของตัวเองลงไปแทน หลังจากศึกษาวิธีการใช้อย่างละเอียดสักพัก ก็เข้าใจวิธีควบคุมของชิ้นนี้แล้ว

เห็นเพียงเขาใช้มือข้างเดียวรองถือลูกกลมห้ามังกรไว้ในฝ่ามือ ลูกกลมพลันระเบิดแสงสว่างออกมา มังกรห้าตัวมีชีวิตชีวาขึ้นมาราวกับเป็นงูน้อย ตัวพวกมันขยายใหญ่ขึ้นทีละนิด แล้วเลื้อยขึ้นฟ้าพร้อมกัน กลายเป็นมังกรห้าตัวที่บินร่อนอยู่รอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นบนตัวมังกรก็มีลำแสงห้าสีให้เห็นอีกครั้ง

หลังจากชื่นชมได้สักประเดี่ยว เหมียวอี้ก็แบมือข้างหนึ่ง มังกรบินห้าตัวที่กำลังบินว่อนก็บินเข้ามาในฝ่ามือเขาอย่างรวดเร็วราวกับสายลม ขณะที่โผเข้ามา ตัวก็หดเล็กลงเร็วมาก กลายเป็นลูกกลมโลหะที่มีรูปสลักมังกรบินอีกครั้ง

“ของวิเศษขั้นหก!” เหมียวอี้ที่กำลังเล่นลูกกลมห้ามังกรพึมพำพลางยิ้มบางๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ของวิเศษขั้นหก วรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้งแล้ว สามารถควบคุมมันได้สะดวกพอดี พอชื่นชมเล็กน้อยก็เก็บเข้ากระเป๋าสัตว์

ผ่านไปไม่นานเหยียนซิวก็กลับมา แล้วทั้งสองก็เหาะฝ่าท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็ว เหาะไปยังดาวฮุ่ยหลิน

หลังจากปลอมแปลงใบหน้าแล้ว ทั้งสองก็เดินทางอย่างรวดเร็วอยู่ในดาราจักร ครั้งนี้ไม่ได้ปล่อยเมี่ยวฉุนออกมานำทาง และไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้ใครฟังด้วย

ดาวหลันเย่ บนเกาะแห่งหนึ่งที่อยู่ใต้อารามหลันเย่ คลื่นทะเลซัดกระทบฝั่ง พระอรหันต์ตัวลี่ที่ยืนอยู่บนโขดหินริมทะเลสีหน้าหม่นหมอง เขาเงยหน้าเล็กน้อย มองท้องฟ้าอย่างพูดไม่ออก

เป็นเวลาสองวันแล้ว สองวันที่ผ่านมายังไม่ได้รับข่าวจากลูกศิษย์ที่ส่งออกไปเลย ภายใต้สถานการณ์ปกติ ลูกศิษย์ที่ถูกส่งออกไปปฏิบัติภารกิจจะส่งข่าวกลับมาอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง เขาลองติดต่อไปแล้ว แต่ระฆังดาราของทั้งหมดติดต่อไม่ได้ ติดต่อศิษย์ทั้งห้าไม่ได้เลยสักคน นี่เป็นเค้าลางแห่งความตาย

แต่เขาก็ยังกอดความหวังเอาไว้นิดหน่อย หวังว่าจะมีความเป็นไปได้อย่างอื่น แต่ผ่านไปสองวันแล้ว เขาถามพระอรหันต์หวยอวี้อ้อมๆ ว่าเมี่ยวฉุนลูกศิษย์ของนางเป็นอย่างไรบ้าง ผลปรากฏว่าพระอรหันต์หวยอวี้ก็กำลังกลุ้มใจเรื่องนี้เหมือนกัน สามารถติดต่อกับเมี่ยวฉุนได้ แต่เมี่ยวฉุนไม่ตอบอะไรกลับมา ไม่รู้ว่าเดินทางไปถึงไหนแล้ว

พอพระอรหันต์ตัวลี่ได้ยินแบบนั้นก็ตกใจแล้ว ตอนที่ศิษย์ทั้งห้าล้อมหนิวโหย่วเต๋อเอาไว้ ก็ได้แจ้งข่าวมาบอกเขาแล้ว บอกว่าล้อมพวกหนิวโหย่วเต๋อไว้ได้แล้ว รายงานเขามาว่าต้องการจะฆ่าปิดปากเมี่ยวฉุน เขาก็อนุญาตไปแล้ว

ตอนนี้เมี่ยวฉุนยังมีชีวิตอยู่ แต่กลับติดต่อศิษย์ทั้งห้าไม่ได้ แสดงว่าทำพลาดแล้ว

เขาคิดไม่ตกนิดหน่อย ไข่มุกห้ามังกรคือของวิเศษอันเลื่องชื่อของเขา เขารู้แจ่มแจ้งว่ามันมีอานุภาพมากขนาดไหน ใช้รับมือกับหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวก็ไม่น่าจะมีปัญหาสิ มิหนำซ้ำยังล้อมขังหนิวโหย่วเต๋อเอาไว้แล้ว ทำพลาดได้อย่างไรกัน?

โครม! คลื่นใหญ่ลูกหนึ่งซัดกระทบเข้ามา ละอองน้ำเย็นโผเข้ามาใส่หน้า ทำให้พระอรหันต์ตัวลี่ได้สติกลับมา ขณะมองดูระฆังดาราที่กำแน่นอยู่ในมือ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อนอย่างจนใจ

เพิ่งจพติดต่อกับตระกูลอิ๋งไป บอกว่าฝั่งตัวเองทำพลาดแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าตัวเองจะถูกเปิดโปง อยากจะขอความช่วยเหลือจากตระกูลอิ๋ง ช่วยหาที่ซ่อนตัวให้เขาสักแห่งที่ตำหนักสวรรค์

แต่ใครจะคิดว่าพอตระกูลอิ๋งได้ยินว่าเรื่องเป็นแบบนี้แล้ว ก็แปรพักตร์ผิดสัญญาทันที บอกว่าตัวเองไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไร จากนั้นก็ตัดขาดการติดต่อกับเขาแล้ว

เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าตระกูลอิ๋งไม่กลัวว่าเขาจะพูดซี้ซั้วเลย ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไรอีกฝ่ายก็จะเบี้ยวสัญญาเจ้า ไม่มีพยานหลักฐาน มีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าตระกูลอิ๋งเป็นคนบงการ? ถ้าหนิวโหย่วเต๋อตาย แล้วตัวลี่เปิดเผยเรื่องนี้ออกมา เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะฝั่งไหนก็ไม่มีทางปล่อยเขาไป ถ้าหากหนิวโหย่วเต๋อยังไม่ตาย ต่อให้ทุกคนเดาออกว่าตระกูลอิ๋งเป็นคนบงการ แต่ถ้าตระกูลอิ๋งปากแข็งไม่ยอมรับ ไม่ว่าใครก็ทำอะไรตระกูลอิ๋งไม่ได้ทั้งนั้น ตอนนี้เก็บตัวลี่ไว้ ถ้าถูกคนจับได้ขึ้นมา นั่นจะหากที่จะโดนบีบจุดอ่อนอย่างแท้จริง

แต่สำหรับตัวลี่นั้นไม่เหมือนกัน หลังจากตระกูลอิ๋งจับตาดูเป็นมา เขาก็ไม่มีทางเลือกเลย ถ้าทำไม่สำเร็จก็จะมีอันตรายใหญ่หลวง ต่อให้เคียดแค้นตระกูลอิ๋งแทบตายก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเจ้าไม่มีคุณสมบัติจะไปงัดข้อกับตัวละครใหญ่อย่างตระกูลอิ๋ง ต่อให้เจ้าสู้ตายก็ไม่ทำให้ขนของตระกูลอิ๋งร่วงสักเส้นด้วยซ้ำ และไม่มีสิทธิ์ไปงัดข้อกับตระกูลโค่วด้วยเช่นกัน ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปง แดนสุขาวดีก็ต้องให้คำอธิบายกับอ๋องสวรรค์โค่ว เขาเหลือแค่ทางตายทางเดียวเท่านั้น

“เฮ้อ!” ตัวลี่ที่ถอนหายใจเฮือกหนึ่งถอนหายใจแล้วเหาะขึ้นฟ้าไป ทะลุฝ่าชั้นบรรยากาศ จากไปโดยไม่ร่ำลา ดำลงไปในจุดลึกของทะเลดาว…

หลังจากนั้นหลายวัน บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีคลื่นเมฆประหลาดก็ปรากฏตรงหน้าเหมียวอี้กับเหยียนซิว สองคนที่ลอยเงียบๆ อยู่บนฟ้าหยุดดู

ดาวเคราะห์ดวงนี้มีขนาดไม่เล็ก ทั้งยังถือว่าค่อนข้างใหญ่ด้วย พอทอดสายตามองไปก็เห็นได้ชัดว่ามีอากาศกป้องอยู่ แต่ข้างในกลับเหมือนครึ้มฟ้าครึ้มฝน

เหยียนซิวที่ดูแผนที่ดาวหันกลับมาบอกเหมียวอี้ว่า “นายท่าน จะซ่อนตัวอยู่ในดาวพิษนี่เหรอ?”

เหมียวอี้จ้องดาวเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้า “ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่แผนที่ดาวยังไม่แพร่หลาย ดาวพิษดวงนี้ก็มีอีกชื่อหนึ่ง ชื่อว่าดาวหนานอู๋ เป็นหนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์ของสำนักพุทธที่วิชาพุทธเจริญรุ่งเรือง เป็นดั่งดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพลังจิตวิญญาณ ชัยภูมิถ้ำสวรรค์ ตอนหลังสำนักหนานอู๋รับลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อว่าหนานโป ในขณะที่ฝึกตนก็พบว่าศิษย์คนนี้ผิดปกติ โจมตีศิษย์คนนี้จนบาดเจ็บสาหัสแล้วยังจับตัวไม่ได้ ปล่อยให้เขาหนีไปแล้ว สำนักหนานอู๋ถึงได้ไล่เขาออกจากสำนัก แล้วประนามศิษย์คนนั้นว่าเป็นพระปีศาจ และประกาศในคนในเส้นทางเดียวกันช่วยจับกุม”

“พระปีศาจ?หนานโป?” เหยียนซิวตะลึงงัน แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “อย่าบอกนะว่าพระปีศาจหนานโป ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในตำนาน?” เขาอยู่ที่พิภพใหญ่มาหลายปีแล้ว พอจะเคยได้ยินชื่อตัวละครนี้มาบ้าง

“ไม่ผิดหรอก เป็นเขานั่นแหละ ที่นี่เคยเป็นสำนักของเขา” เหมียวอี้พยักหน้า จ้องดาวเคราะห์ที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝนอยู่ตรงหน้าพร้อมเล่าว่า “ตอนที่พระปีศาจหนานโปมาเยือนดาวหนานอู๋อีกครั้ง หายนะก็ได้มาเยือนสำนักหนานอู๋แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าในปีนั้นสำนักหนานอู๋ทำอะไรพระปีศาจหนานโปไว้บ้าง พระปีศาจหนานโปไม่ใช่แค่ล้างเลือดทั้งสำนักหนานอู๋ ฆ่าจนไม่เหลือเกล็ดสักแผ่น ทั้งยังทำลายดาวหนานอู๋แห่งนี้ด้วย โจมตีทะลุเปลือกดาว ทำให้ไฟใต้ดินสูงเสียดฟ้า แล้วใส่พิษไว้ในไฟใต้ดิน ทำให้ดาวเคราะห์ที่งดงามกลายเป็นดาวพิษ ทำให้ความงดงามกลายเป็นความอัปลักษณ์ ทำให้สำนักหนานอู๋ไม่มีทางสร้างสำนักใหม่ที่ดาวหนานอู๋ได้อีก หลังจากนั้นหลายปีก็ประกาศให้ทั้งใต้หล้าจับกุมศิษย์สำนักหนานอู๋ที่บังเอิญไม่อยู่ในตอนนั้นแล้วรอดหายนะ จะเห็นได้ว่าพระปีศาจหนานโปแค้นสำนักหนานอู๋เข้ากระดูกดำจริงๆ”

…………………………

เพื่อให้มองเห็นสถานการณ์ข้างนอกให้ชัดเจน ตาทิพย์ตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้พลันเปิดออก ลำแสงที่สวยวิจิตรตระการตาสายหนึ่งพลันยิงออกมา

เงาแสงลอยวนเวียน เหยียนซิวหันกลับมามองอย่างประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเหมียวอี้มีพลังอภินิหารขนาดนี้

ภายใต้การสอดส่องของตาทิพย์ ภาพเหตุการณ์ข้างนอกชัดเจนแจ่มแจ้ง ของวิเศษห้ามังกรเป็นชิ้นเดียวกัน ถักทอกันแน่นหนาเหมือนตาข่ายแล้ว ทั้งสองไม่มีทางออกไปได้เลย พอออกไปก็จะเผชิญกับการล้อมโจมตีจากของวิเศษห้ามังกร มังกรทั้งห้าไม่ใช่สัตว์ที่มีชีวิต ต่อให้ทวนของเหมียวอี้จะเร็วกว่านี้แต่ก็ปาดพวกมันไม่ตาย จะต้องโดนพัวพันจนกระดิกไปไหนไม่ได้แน่ๆ

เมื่อขาดลูกกลมตีไม่พังที่คอยปกป้องร่างกาย พอตาข่ายกลมจากมังกรห้าตัวที่หดได้ยืดได้โจมตีเข้ามา ก็จะทำให้คนโดนฉีกร่างแหลกทันที

ทว่าพลังงานของลูกกลมตีไม่พังก็ถูกโจมตีพังไปแล้ว ไม่มีทางเริ่มเปิดใช้งานตามปกติได้อีก ถ้าไม่ใช่เพราะมีทวนเกล็ดย้อนค้ำไว้ ก็คงจะหดกลับร่างเดิมไปแล้ว

เงาแสงแวววาวถูกเก็บกลับมา เหมียวอี้ที่เก็บตาทิพย์แล้วหันกลับมามองเหยียนซิวแวบหนึ่ง “มังกรห้าตัวเล็บแหลมฟันคม ขูดจนลูกกลมตีไม่พังเป็นรอยหลายรอยแล้ว ลูกกลมตีไม่พังไม่ได้หนาสักเท่าไร ทั้งยังขาดพลังงานสนับสนุน ประคับประคองได้ไม่นานแล้ว ที่ข้ามีลูกกลมตีไม่พังอยู่อีกจำนวนหนึ่ง น่าจะทำให้ของวิเศษของอีกฝ่ายเสียพลังงานต่อไปได้ แต่ตอนนี้พวกเราก็ไม่รู้เลยว่าสถานการณ์เป็นยังไง ถ่วงเวลาต่อไปแบบนี้จะทำให้เกิดความยุ่งยากแบบไหนบ้างก็ไม่รู้ พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่แล้วหาที่ซ่อนตัวให้เร็วที่สุด อาจจะต้องสู้ตายสักตั้ง”

เหยียนซิวที่ร่างกายโคลงเคลงอย่างรุนแรงตามลูกกลมบอกว่า “ข้าน้อยจะสังหารฝ่าออกไป!”

สิ่งที่เหมียวอี้บอกไปก็มีความหมายประมาณนี้ เขารู้ว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติ เหยียนซิวก็จะไม่กลัวเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาโจมตี เพราะเหยียนซิวสามารถใช้ปราชญ์ผีก่อม่านหมอกที่หนาแน่นมาต้านทานไว้ได้ เมื่อครู่นี้ที่ติดกับดักก็เพราะว่าเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน ใช้วิชาป้องกันตัวเองไม่ทันก็เท่านั้นเอง ทว่าพอเหยียนซิวกลายเป็นหมอกมุดออกจากซอกร่องของลูกกลมตีไม่พัง ก็ไม่มีทางร่ายวิชาป้องกันตัวเองได้เลย จะต้องโดนเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาโจมตีอีกครั้งแน่นอน เกรงว่าถ้าออกไปแล้วคงจะเป็นการเอาชีวิตไปทิ้ง

แต่ตอนนี้ก็มีเพียงเหยียนซิวที่สามารถออกไปได้ เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำว่า “สุขสันต์ โกรธ เศร้า หวาดกลัว ปรารถนา แบบไหนที่ส่งผลกระทบต่อเจ้าน้อยที่สุด? อย่างน้อยก็สามารถประคับประคองให้เจ้าแย่งอำนาจในการควบคุมของวิเศษห้ามังกรนี้มา!”

เหยียนซิว “น่าจะเป็นความปรารถนา!”

“ดี!” เหมียวอี้พลันจ้องผนังโลหะที่สั่นไหวอย่างรุนแรง พลางกล่าวด้วยสายตาดุร้าย “ลูกกลมตีไม่พังกำลังจะพังแล้ว ข้าจะสร้างโอกาสให้เจ้าอยู่ในนี้ เจ้าต้องหาช่องโหว่หนีออกไป!”

เหยียนซิวมองตามไป เข้าใจสิ่งที่เหมียวอี้จะสื่อแล้ว เขาออกแรงพยักหน้า พอร่างกายลุกขึ้นมา ก็หลุดออกไปจากมือเหมียวอี้แล้ว ไปห้อยอยู่บนด้ามทวนข้างๆ เหมียวอี้

เหมียวอี้โบกมือจุดหินผลึกไขมันเพลิงก้อนหนึ่ง แล้วโยนเข้าไปในลูกกลมตีไม่พังที่กำลังกลิ้ง เปลวเพลิงที่ดุร้ายระเบิดออกมาทันที เผาลำแสงเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่แทรกซึมเข้ามาในลูกกลมตีไม่พังจนหมดสิ้น เมื่อวรยุทธ์อยู่ระดับเหยียนซิวแล้ว ก็ยังสามารถทนอยู่ในเปลวเพลิงร้อนแรงได้มากนิดหน่อย

เพลิงเดือดแทรกซึมออกมาจากรอยแยกรอบลูกกลมตีไม่พัง สามารถควบคุมลำแสงเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาบนตัวมังกรบินโลหะได้

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็พลันคลายมือออกจากด้ามทวน พอถลันตัวออกมา ทั้งคู่ก็พุ่งออกอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนูยิงออกจากสาย พวกเขาใช้วรยุทธ์ทั้งหมดที่มียันเท้ากระโดดออกมาพร้อมกัน ขณะเดียวกันก็โจมตีไปยังจุดจุดหนึ่งด้วย

บึ้ม! เสียงระเบิดสะเทือนก้องฟ้าดิน

ท่ามกลางเสียงชนโจมตีที่น่าตกใจ มังกรบินห้าตัวที่เลื้อยโจมตีอยู่ข้างนอกอย่างรวดเร็วก็เคลื่อนไหวช้าลงเล็กน้อย

อาศัยโอกาสนี้เอง เหยียนซิวพลันสลายตัวหายไป กลายเป็นไอหมอกที่สีแดงดำสลับกันพุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง

พอเหมียวอี้โบกมือกดไว้ เพลิงเดือดก็เบิกเส้นทางไฟช่วยให้เหยียนซิวเดินผ่านไปทันที เหยียนซิวที่แยกร่างทนเพลิงเดือดเผาไม่ไหว เขาจำเป็นต้องช่วยอีกแรง

ไอหมอกสีแดงดำราวกับกระแสน้ำที่ซึมเข้าไปในพื้น ชั่วพริบตาเดียวก็ไหลหายไปแล้ว

เหมียวอี้ที่ดีดตัวกลับมาใช้สองเท้าเกี่ยวด้ามทวนไว้ สองมือโบกไปโบกมาซ้ำๆ กำลังรวบรวมสมาธิควบคุมเพลิงเดือดให้รับมือกับมังกรบินสี่ตัวที่ครอบด้วยอารมณ์สุขสันต์ โกรธ เศร้า กลัว ควบคุมลำแสงเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาบนตัวพวกมันเอาไว้ จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อเหยียนซิว ปล่อยมังกรบินโลหะที่มีลำแสงสีส้มออกไปตัวเดียวเท่านั้น

ที่โลกภายนอก เพลิงเดือดที่แทรกซึมออกมาจากลูกกลมตีไม่พังอย่างกะทันหันทำให้พวกอวิ่นจ้าวที่จับตาดูอยู่บนฟ้าอึ้งทันที จากนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดดังมาก ทำให้เกิดเสียงก้องทั่วฟ้าดิน

ท่ามกลางเพลิงเดือด มังกรบินโลหะสี่ตัวตกอยู่ในทะเลเพลิงหมดแล้ว มีเพียงมังกรบินโลหะสีส้มตัวเดียวที่เลื้อยออกมาจากทะเลเพลิงได้ ราวกับบนตัวพกยันต์กันไฟเอาไว้ พอมันเลื้อยไปตรงไหน เพลิงเดือดตรงนั้นก็จะหลีกทางให้มัน

ทั้งห้าตกใจทันที อวิ่นกวงอุทานถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน? อย่าบอกนะว่าโดนเจ็ดอารมณ์หกปรารถนากัดกร่อนนานขนาดนี้แล้วยังไม่ได้รับผลกระทบอะไร?”

“ศิษย์น้องทั้งสามตามข้าไปควบคุมด้วยกันเถอะ” อวิ่นหมิงกล่าวอย่างร้อนใจ

นอกจากอวิ่นจ้าวที่ต้องควบคุมของวิเศษอยู่ที่เดิม อีกสี่คนก็คว้าดาบพระออกมา ขณะกำลังจะพุ่งเข้าไป จู่ๆ ก็เห็นไอหมอกสีแดงสลับดำสายหนึ่งเจาะออกมาจากมังกรเลื้อยสีส้มอย่างรวดเร็ว มาลอยอยู่กลางอากาศแล้วก่อตัวเป็นปราณผีที่เยียบเย็น

พอเจอฉากนี้เข้าไป สี่คนที่กำลังตกใจก็หยุดชะงัก ปราณผีถูกเก็บไปแล้ว เหยียนซิวที่ผมยาวสยายปรากฎตัวขึ้น ผมสีขาวปล่อยสยาย ยืนนิ่งปล่อยให้ผมสยายกลางอากาศ ก้มหน้าอย่างเงียบงัน ก่อนจะเงยหน้าเผยใบหน้าชราอันเย็นเยียบพิศวงน่าสะพรึง เพียงแต่ดวงตาทั้งคู่ชุ่มฉ่ำราวกับน้ำ ดูไม่ค่อยปกติ

สิบนิ้วที่อยู่ใต้แขนเสื้อเผยออกมาแล้ว เล็บคมสีเขียวดำที่มันวาวทั้งสิบขยับเบาๆ ราวกับส่าหร่ายที่โยกไหวอยู่ในน้ำ ให้ความรู้สึกอ่อนโยน

“นักพรตผี!” พวกอวิ่นหมิงอุทานอย่างตกใจพร้อมกัน

พวกเขาไม่ค่อยกล้าเชื่อสายตาตัวเอง ก่อนหน้านี้เห็นเหยียนซิวเป็นนักพรตมนุษย์อยู่แท้ๆ แค่หน้าตาน่ากลัวไปหน่อยก็เท่านั้นเอง ทำไมจู่ๆ กลายเป็นนักพรตผีไปแล้วล่ะ?

แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน มีเสียงสะเทือนดังหนึ่งครั้ง ลูกกลมตีไม่พังที่โดนมังกรห้าตัวล้อมโจมตี ในที่สุดก็ระเบิดกลายเป็นฝุ่นผงแล้ว

อวิ่นจ้าวดีใจมาก ขอเพียงแค่สามารถกำจัดหนิวโหย่วเต๋อได้ มีของวิเศษอยู่ในมือแล้ว เหลือนักพรตผีอีกแค่คนเดียวก็ไม่น่ากลัวอะไรเลย

ใครจะไปคิดล่ะ ยังไม่ทันรอให้เขาดีใจจนแสดงออกทางสีหน้า ยังไม่ทันควบคุมให้มังกรห้าตัวหดเล็กลงเพื่อฉีกร่างเหมียวอี้ มังกรห้าตัวที่ล้อมโจมตีก็มีเสียงโครมครามดังขึ้นอีกพักหนึ่ง ฝุ่นควันตลบอบอวลทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน เหมือนจะมีอะไรบางอย่างกันมังกรห้าตัวไม่ให้โจมตีเหมียวอี้ได้

พวกเขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าบนตัวเหมียวอี้ไม่ได้มีลูกกลมตีไม่พังแค่อันสองอัน

เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน พอดึงสติกลับมาแล้ว อวิ่นหมิงโบกดาบพระ แล้วกล่าวอย่างร้อนรน “โปรดสัตว์ให้เขา!”

ไม่ทันรอให้เขาพูดจบ เหยียนซิวที่ดึงสติกลับมาแล้วเช่นกันก็หมุนตัวด้วยความเร็วสูงอยู่ที่เดิม ตรงหน้าพพวกนักบวชตาลาย เห็นเพียงเหยียนซิวหลายสิบคนปรากฏตัวออกมาตรงหน้าพวกเขา ทำให้พวกเขาตกใจจนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ แต่ก็มองไม่ออกว่าเหยียนซิวคนไหนคือตัวจริง คนไหนคือตัวปลอม

ฟิ้วๆๆ! เหยียนซิวกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา รวมกันพุ่งไปยังอวิ่นจ้าวที่กำลังควบคุมของวิเศษ เล็งเป้าหมายแม่นยำมาก

เจตนาของอีกฝ่ายชัดเจนมาก อวิ่นหมิงรีบเปลี่ยนเป็นบอกว่า “ขวางเขาเอาไว้!”

พุ่งมาพร้อมกันเยอะขนาดนี้ ตรงนี้มีแค่สี่คน จะให้ขวางคนไหนดีล่ะ?

เสียงปั้งๆ ดังอย่างต่อเนื่อง ‘เหยียนซิว’ จำนวนนับไม่ถ้วนถูกระเบิดกลายเป็นปราณผี ไม่มีคนไหนเป็นตัวจริงเลย

ชั่วพริบตาเดียวร่างจริงก็ถลันตัวไปตรงหน้าอวิ่นจ้าวที่ควบคุมของวิเศษแล้ว พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องรีบตะโกนอย่างกังวล “ศิษย์พี่ระวัง!”

อวิ่นจ้าวตกใจมาก คว้าดาบพระออกมาฟันอย่างแรงหนึ่งที แต่เหยียนซิวกลับหยุดชะงัก พอโบกแขนเสื้อ เปลวเพลิงสีเขียวขลับก็คลุมไปที่อวิ่นจ้าว ห่อหุ้มอวิ่นจ้าวที่กำลังลนลานเอาไว้คาที่

“ไฟผี!” พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องอุทานอีกครั้ง

“อา!” อวิ่นจ้าวที่ถูกไฟผีพัวพันราวกับถูกกัดกร่อนกระดูกส่งเสียงกรีดร้อง กำลังพลิกตัวไปมาอยู่กลางอากาศ

เหยียนซิวพลันกลายเป็นไอหมอกสีแดงดำสลับกัน แล้วพุ่งออกไปราวกับธนูยิงออกจากสายอีกครั้ง

ปั้ง! ไฟผีกระเพื่อมจนตาพร่า พอสงบลงแล้ว พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องสี่คนที่พุ่งเข้ามากลับพบว่าเหยียนซิวหายไปแล้ว เห็นเพียงอวิ่นจ้าวที่เอามือกุมหน้าอกกรีดร้องอยู่ท่ามกลางเพลิงเดือดสีเขียวขลับ ทั้งสี่มองไปรอบๆ อย่างกังวล นี่มันสถานการณ์อะไรกัน นักพรตผีนั่นไปไหนแล้ว?

ตอนนี้สนใจอะไรมากขนาดนั้นไม่ไหวแล้ว พวกอวิ่นหมิงรีบเข้ามาล้อมอวิ่นจ้าวที่กรีดร้องอยู่กลางไฟผี แต่ละคนคว้าทรายกระดูกขาวออกมากำหนึ่ง แล้วโปรยใส่จากสี่ทิศ คลุมอวิ่นจ้าวเอาไว้

ประสิทธิภาพไม่เลวเลย เห็นได้ชัดว่ามีประสบการณ์ในการรับมือกับไฟผี พอปล่อยทรายกระดูกขาวออกมา ก็ดับไฟผีบนตัวอวิ่นจ้าวได้ทันที ถ้าจะพูดให้ถูกกว่านั้นก็คือดูดไฟผีทิ้งไปหมดแล้ว และทรายกระดูกขาวที่สัมผัสโดนตัวอวิ่นจ้าวก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวขลับทันที ก่อนจะร่วงหล่นสู่ทะเล

อวิ่นจ้าวที่โดนไฟเผาจนเปลี่ยนโฉมหน้าโผล่ออกมามาท่ามกลางควันสีเทา มองดูบรรดาศิษย์น้องอย่างไร้เรี่ยวแรง ร้อง “ฮือๆ” สองครั้ง แล้วก็ตกลงสู่มหาสมุทร

“ศิษย์พี่!” อวิ่นหัวและอวิ่นเติงถลันตัวออกไปทันที ฉุดแขนอวิ่นจ้าวที่กำลังตกลงข้างล่างเอาไว้คนละข้าง

อวิ่นหมิงและอวิ่นกวงกลับกำลังมองไปรอบๆ นักพรตผีที่หายไปกลางอากาศทำให้คนหวาดกลัว ไม่ให้ระวังคงไม่ได้

อวิ่นหมิงยังตั้งใจตะโกนอีกว่า “ระวังช่องว่างเก็บของบนตัวศิษย์พี่จ้าว”

อวิ่นหัวกับอวิ่นเติงร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจหาที่เก็บของบนตัวอวิ่นจ้าวทันที แต่ใครจะคิดว่าสองมือของอวิ่นจ้าวจะพลันพองตัวขยายใหญ่ขึ้น ฝ่ามือที่มีกรงเล็บแหลมคมสองข้างยื่นออกมา น้ำเลือดสดๆ สองสายระเบิดออกมาแล้ว กรงเล็บเสียบเข้าไปในหน้าอกของอวิ่นหัวและอวิ่นเติงอย่างดุร้าย ทะลุไปถึงหัวใจแล้วโผล่ออกจากแผ่นหลัง

ท่ามกลางน้ำเลือดที่ระเบิดออกมาจากแผ่นหลังของทั้งสองคน กรงเล็บแต่ละข้างชักกลับเข้ามา บนกรงเล็บแหลมสองข้างคว้าหัวใจที่ยังเต้นเอาไว้ แล้วบีบจนมีเสียงปั้งๆ ดังสองครั้ง ละอองเลือดสีแดงสดจนแสบตา

อวิ่นหัวและอวิ่นเติงที่เบิกตากว้างมองไปที่อวิ่นจ้าวอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ

“ศิษย์น้อง!” เมื่ออวิ่นหมิงกับอวิ่นกวงที่คอยเฝ้าระวังอยู่รอบๆ เห็นแบบนี้ ก็ร้องอุทานอย่างเศร้าโศกทันที

และในตอนนี้เอง ร่างกายของอวิ่นจ้าวก็รู้สึกตึงๆ ทั้งร่างกายกำลังพองขยายอย่างรวดเร็ว

ปั้ง! ในที่สุดร่างของอวิ่นจ้าวก็ระเบิดออก ระเบิดกลายเป็นเศษเนื้อตกลงทะเล เหยียนซิวที่ก้มหน้าเล็กน้อยลอยเงียบๆ อยู่กลางอากาศ ราวกับโผล่ออกมาจากรังไหม มือซ้ายและมือขวายังคงหิ้วร่างที่มีเลือดไหล

ฉากแบบนี้ทำให้อวิ่นหมิงกับอวิ่นกวงมองจนตาแทบจะถลน ทั้งคู่สูดหายใจอย่างตระหนก รู้สึกขนพองสยองเกล้า

มังกรบินห้าตัวที่ล้อมโจมตีลูกกลมตีไม่พังหยุดชะงักแล้ว ระหว่างฟ้าดินสงบลงอย่างกะทันหัน อวิ่นหมิงกับอวิ่นกวงหันกลับมาพร้อมกันทันที เห็นเพียงมังกรบินห้าตัวหดเล็กลงสู่สภาพเดิม กลายเป็นลูกกลมโลหะแล้วตกลงสู่ผิวทะเล

เห็นได้ชัดเจนมาก พออวิ่นจ้าวตายไป ของวิเศษห้ามังกรก็สูญเสียการควบคุม

“ขวางเขาเอาไว้!” อวิ่นหมิงตะคอก ก่อนจะรีบหันตัวพุ่งเข้าไปหาของวิเศษห้ามังกร ต้องการจะควบคุมของวิเศษอีกครั้ง

เหยียนซิวสะบัดแขนสองข้าง สะบัดศพสองร่างที่อยู่บนแขนทิ้งไป แล้วรีบตามไปแย่งชิงของวิเศษชิ้นนั้น

อวิ่นกวงโผเข้ามา ฟันดาบขัดขวางเขาไว้อย่างบ้าคลั่ง วรยุทธ์สูงกว่าเหยียนซิวสองขั้น เหยียนซิวหลบความเร็วของเขาตอนเข้ามาขัดขวางไม่พ้น

ชั่วพริบตาเดียวเหยียนซิวก็แยกร่างจากหนึ่งกลายเป็นสิบ เหยียนซิวสิบคนพุ่งออกมาพร้อมกัน กดดันให้อวิ่นกวงลานลานจนทำอะไรไม่ถูก

“อา!” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น กรงเล็บภูตนรกปรากฏตัวอีกครั้ง ฉีกร่างอวิ่นกวงรัวๆ จนแหลกเป็นชิ้นๆ

เป็นนักพรตบงกชรุ้งขั้นสามแท้ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะต้านการโจมตีเพียงครั้งเดียวของนักพรตบงกชรุ้งขั้นหนึ่งไม่ไหว แค่นี้ก็เห็นถึงความแข็งแกร่งของเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางแล้ว

อวิ่นหมิงร่ายอิทธิฤทธิ์ดูดของวิเศษห้ามังกรที่ตกลงผิวทะเลมาไว้ในมือ พอหันกลับมามองก็ตกใจมาก เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้ว หนีหัวซุกหัวซุนทันที รอให้ควบคุมของวิเศษห้ามังกรได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

อาศัยความเร็วของเหยียนซิว ก็ไม่มีทางไล่ตามเขาทันได้เลย

ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ มีเสียงระเบิดดังปั้ง เหยียนซิวหันกลับไปมอง เห็นเหมียวอี้ออกมาจากลูกกลมตีไม่พังแล้ว กำลังถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์อยู่กลางอากาศ สายธนูในมือยังคงสั่นไหว ลำแสงสายหนึ่งไล่ตามอวิ่นหมิงที่อยู่ในไอหมอก

…………………………

ก่อนหน้านี้ได้ยินชื่อเสียงโด่งดังมานานมาก เคยได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อกำเริบเสิบสานใช้อำนาจบาตรใหญ่ วันนี้ทั้งสองนับว่าได้รับบทเรียนแล้ว

ที่บอกว่าหัวโล้น ก็ไม่ได้ด่าไป่ลิ่วแค่คนเดียว ทั้งยังดึงเมี่ยวฉุนเข้าไปด่าด้วย นางเป็นผู้หญิงหัวโล้น!

สำหรับสิ่งนี้ เหมียวอี้ไม่รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม ถ้าจะมีปัญหาจริงๆ จะให้พูดจาไพเราะแทนพูดจาหยาบคายเชียวเหรอ? เกรงว่าจะต้องลงมืออย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว

ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ถ้าไป่ลิ่วให้คำอธิบายที่น่าพอใจจริงๆ นั่นก็ย่อมเป็นความเข้าใจผิด การขอโทษและลดศักดิ์ศรีก็จะทำให้กู้สถานการณ์คืนมาได้เช่นกัน

สรุปก็คือตอนนี้เหมียวอี้ต่อไม่ไหวแล้วที่จะถ่วงเวลากับไป่ลิ่วต่อไปอย่างคลุมเครือ จะต้องกดดันให้อีกฝ่ายเผยไพ่ออกมาให้ได้ อยากจะฟังว่าจะมีอะไรดีๆ แก้ตัวมั้ย?

นี่ก็คือจุดที่เหมียวอี้กับหยางชิ่งแตกต่างกันมากที่สุด หยางชิ่งจะพยายามไม่ทำซี้ซั้วก่อนที่จะเข้าใจเรื่องราวชัดเจน รอให้เข้าใจชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่เหมียวอี้มักจะก่อเรื่องก่อนแล้วค่อยคิดหาทางชดเชยให้ทีหลัง นิสัยแบบนี้ถ้าจะพูดให้หยาบหน่อยก็คือไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่ถ้าจะพูดให้ฟังดูดีหน่อยก็คือเด็ดขาดกล้าหาญ เป็นสิ่งที่หยางชิ่งไม่มีเช่นกัน

แน่นอน มีอยู่จุดหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็ยากจะหลบเลี่ยงได้ ถ้าไป่ลิ่วมีพลังในระดับที่เหมียวอี้เอื้อมไม่ถึง เช่นนั้นก็จะทำให้เหมียวอี้อดทนไว้ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการรนหาที่ตายให้ตัวเอง

ไป่ลิ่วสีหน้าแย่มาก จะดีจะร้ายเขาก็เป็นนักพรตบงกชรุ้งขั้นสี่ ส่วนหนิวโหย่วเต๋อเป็นแค่นักพรตบงกชรุ้งขั้นหนึ่ง แค่พูดไม่ถูกใจนิดเดียวก็จะเด็ดหัวเขาแล้ว ทั้งยังด่าว่าเขาหัวโล้นอีก ต่อให้เป็นตุ๊กตาดินเผาก็ยังมีธาตุไฟอยู่สามส่วน คนออกบวชไม่ใช่คนตายเสียหน่อย ในใจมีไฟโกรธพรั่งพรูออกมาเช่นกัน แต่สุดท้ายก็ยังอดทนไว้

เขาไม่ได้กลัวเหมียวอี้ แต่กลัวอำนาจเบื้องหลังเหมียวอี้ ถึงแม้อ๋องสวรรค์โค่วจะไม่ใช่คนของแดนสุขาวดี ไม่ใช่ว่าเขาจะโดนรังแกได้ง่ายๆ เช่นกัน แต่ก็ยังต้องข่มความโกรธเอาไว้ “แม่ทัพภาคหนิว ท่านอย่าโกรธเกินไปนัก”

“กรร” เหมียวอี้พลันเผยทวนเกล็ดย้อนในมือ แล้วชี้ทวนไปที่ไป่ลิ่วพร้อมตะโกนว่า “ระหว่างทางเป็นกับทางตาย เลือกเอาเอง!”

“แม่ทัพภาคหนิว!” เมี่ยวฉุนร้อนใจแล้ว นางต้องการจะห้าม

เหยียนซิวถลันตัวมาขวางตรงหน้าเมี่ยวฉุน ล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “พระอาจารย์ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องของท่าน”

ไป่ลิ่วโมโหแล้ว สีหน้าฉายแววเดือดดาล แต่ถ้าจะลงไม้ลงมือกันจริงๆ เขาก็ยังกลัวนิดหน่อย เพราะชื่อเสียงของคนก็เหมือนเงาของต้นไม้ ชื่อเสียงทหารกล้าที่ได้มาจากการสังหารของเหมียวอี้นั้นยังมีผลกระทบ นักพรตบงกชรุ้งที่ตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้มีไม่น้อยเลย กอปรกับท่าทางข่มขู่ที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจของเหมียวอี้ จะไม่ให้ไป่ลิ่วชั่งน้ำหนักก่อนลงมือก็คงไม่ได้

และเหมียวอี้ในตอนนี้ก็ไม่ฟังคำพูดจอมปลอมพวกนั้นเช่นกัน ถ้าเขาพูดจาเหลวไหลเหมือนที่เอาไว้หลอกเหยียนซิวก่อนหน้านี้อีก เหมียวอี้ก็จะลงมือแล้ว ไป่ลิ่วคิดไปคิดมา การจะช่วยสหายสักคนนั้นไม่จำเป็นต้องดึงตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ถึงได้พูดความจริงออกมา “เรื่องราวไม่ได้ซับซ้อนเหมือนที่แม่ทัพภาคหนิวคิด เพียงแต่มีคนอยากยืมมืออาตมาให้ช่วยนัดแม่ทัพภาคหนิวเพื่อคุยธุระบางอย่าง ไม่ได้มีเจตนาร้ายเลย”

แบบนี้เท่ากับยอมรับแล้วว่าโกหกเรื่องที่จะพามาชมทิวทัศน์อันน่าอัศจรรย์ เมี่ยวฉุนเบิกตากว้างพลางกล่าวอย่างร้อนใจทันที “ไป่ลิ่ว เจ้ากล้าหลอกลวงเหรอ!”

เหยียนซิวยิ่งใบหน้าดำมืดลงเรื่อยๆ สายตาดำมืดจ้องไปที่ไป่ลิ่ว สิบนิ้วที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อมายาวนานยื่นออกมาอย่างช้าๆ ขยับนิ้วทั้งสิบเล็กน้อย บนนิ้วทั้งสิบมีเล็บแหลมคมสีเขียวดำขลับเป็นมันวาว

“คุยธุระเหรอ?” เหมียวอี้พลันหรี่ตา ที่แดนสุขาวดีจะมีใครมาคุยธุระกับตัวเองได้? จึงถามว่า “เป็นใครกัน?”

ขณะที่กำลังจะเอ่ยตอบ ทันใดนั้นไป่ลิ่วก็เงยหน้ามองบนท้องฟ้า แล้วตอบเสียงเรียบว่า “คนน่าจะมาถึงแล้ว ท่านถามเองเถอะ”

ทุกคนเงยหน้ามองขึ้นไป เห็นเพียงบนท้องฟ้ามีนักบวชห้าคนเหาะลงมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เหยียบลงบนเกาะ พวกเขาคือพวกอวิ่นจ้าวนั่นเอง เพียงแต่ตอนนี้ปลอมตัวแล้ว พวกเหมียวอี้กำลังจ้องประเมินทั้งห้าคน ย่อมมองออกว่าพวกเขาปลอมตัวมา

ส่วนพวกอวิ่นจ้าวก็จ้องประเมินพวกเหมียวอี้เช่นกัน ไม่นานสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวเหมียวอี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเห็นภาพวาดของเหมียวอี้มาแล้ว

เมื่อเห็นพวกเขาปลอมตัว ไป่ลิ่วก็อึ้งไปเช่นกัน พวกอวิ่นกวงก้าวขึ้นมาประนมมือข้างหน้า “รบกวนแล้ว”

พอได้ยินเสียงนั้น ไป่ลิ่วถึงได้แน่ใจถึงตัวตนของอวิ่นกวง แล้วส่ายหน้าถอนหายใจ “แม่ทัพภาคหนิวท่านนี้เจ้าอารมณ์มาก ยังนึกว่าอาตมามีเจตนาไม่ดีอะไรด้วย ถ้ามีอะไรพวกท่านก็คุยกันเองก็แล้วกัน” เขาหันกลับมาบอกเหมียวอี้อีกว่า “คนมาถึงแล้ว อาตมาไม่รบกวนแล้ว”

พอเขาพูดจบแล้วหันตัวไป ใครจะคิดว่าอวิ่นจ้าวที่อยู่ข้างกันจะสะบัดแขนเสื้อหนึ่งที ลูกกลมโลหะสีแดงที่สลักภาพมังกรไว้ห้าตัวลอยออกมาทันที มีแสงสว่างพองตัวออกมาอย่างฉับพลัน ลอยไปที่ไป่ลิ่ว ไป่ลิ่วที่สังเกตได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์พลันหันตัวกลับมา เห็นเพียงลูกกลมโลหะที่ขยายใหญ่แบ่งตัวจากหนึ่งกลายเป็นห้า กลายเป็นมังกรบินโลหะที่สมจริงราวกับมีชีวิตห้าตัวบินล้อมเข้ามาโจมตี

ไป่ลิ่วตกใจมาก “อวิ่นกวง พวกเจ้าจะทำอะไร?” ขณะที่ทยานหลบขึ้นฟ้าอย่างร้อนรน ก็เรียกดาบมาไว้ในมือ แล้วฟันต่อต้านอย่างบ้าคลั่ง

เขาไม่รู้เลยว่าอวิ่นกวงและพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องต้องการให้เขารั้งเหมียวอี้เอาไว้ทำไม ตอนที่อวิ่นกวงติดต่อเขามา ก็ไม่มีทางบอกความจริงกับเขาแน่นอน บอกเพียงว่ามีธุระจะคุยกับเหมียวอี้ บอกว่าเขาต้องช่วย และจุดอ่อนของเขาก็ถูกบีบอยู่ในมืออวิ่นกวง เขาย่อมรับปากง่ายอยู่แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเมื่อได้มาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้แล้วจะตกอยู่ในอันตรายถึงขั้นโดนฆ่าปิดปาก

แบบนี้หมายความว่าอะไร? พวกเหมียวอี้ก็ตกใจเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าพอห้าคนนั้นมาถึงก็จะลงมือไป่ลิ่วทันที ลูกกลมมังกรทั้งห้าที่ส่องแสงสว่างวับวาบนั้นคือของวิเศษขั้นหก

แกร๊ง! มีเสียงดังสะเทือน ไป่ลิ่วใช้ดาบฟันมังกรบินที่โผเข้ามาตรงหน้า แต่กลับมีเรื่องที่ทำให้เขาฉุกละหุกรับมือไม่ถูกยิ่งกว่านั้น เพราะบนตัวมังกรบินโลหะทั้งห้าพลันระเบิดแสงห้าสีออกมา ได้แก่น้ำเงิน แดง เขียว ฟ้า ส้ม

คนมีประสบการณ์แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว เห็นได้ชัดว่ามังกรบินโลหะห้าตัวนี้เป็นของวิเศษที่ทำจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ได้แก่สุขสันต์ โกรธ เศร้า หวาดกลัว ปรารถนา จะเห็นได้ว่าตอนที่หลอมสร้างของวิเศษชิ้นนี้ขึ้นมานั้นทุ่มทุนเยอะมาก

พอไป่ลิ่วใช้ดาบฟันมังกรบินโลหะกระเด็นออกไปตัวหนึ่ง มังกรบินโลหะอีกสี่ตัวที่ล้อมเข้ามาก็เปล่งแสงสี่สี สั่นหัวส่ายหางโจมตีเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

“อวิ่นกวง!” ไป่ลิ่วคำรามอย่างโศกเศร้าคับแค้น เมื่อเห็นลำแสงสี่สายล้อมกวาดเข้ามาพร้อมกัน เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองหนีไม่พ้น เรียกได้ว่าคำรามออกมาอย่างสิ้นหวัง

เมื่อโดนลำแสงกวาดมาโดนตัว ร่างของเขาก็สั่นอยู่กลางอากาศ เสียงคำรามเศร้าโศกหยุดชะงัก การตอบสนองช้าลงทั้งตัวแล้ว สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปต่างๆ นาๆ แต่มังกรบินโลหะสี่ตัวกลับไม่ลังเล ใช้กรงเล็บแหลมฉีกขยุ้มอย่างเกี้ยวกราด ชั่วพริบตาเดียวก็ฉีกร่างไป่ลิ่วจนร่างแหลกกระจายเป็นน้ำฝนเลือดกลางอากาศ

พวกเหมียวอี้เห็นแล้วสูดหายใจอย่างตกตะลึง นึกไม่ถึงว่ายามอยู่ในวงล้อมโจมตีจากของวิเศษของไป่ลิ่ว ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มีแม้แต่กำลังจะโต้ตอบ

สิ่งที่ทำให้ทั้งสามตกตะลึงยิ่งกว่านั้นก็คือ หลังจากมังกรบินโลหะทั้งห้าฉีกร่างไป่ลิ่วแล้ว พอแยกย้ายกันทะยานไปบนท้องฟ้าแล้วจู่ๆ บินกลับมาอีก ล้อมโจมตีมาทางฝั่งนี้

พวกเหมียวอี้ตระหนักได้อย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายไม่ได้ต้องการจะเก็บของวิเศษ มังกรบินห้าตัวนั้นล้อมโจมตีมาที่พวกเขาแล้ว ต้องการจะลงมือกับพวกเขาต่อ

ในขณะเดียวกันเหมียวอี้ก็ตระหนักได้แล้ว ว่าการที่อีกฝ่ายฆ่าไป่ลิ่วก็ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใด เป็นเพราะต้องการจะฆ่าปิดปากเท่านั้นเอง เท่ากับเขาตระหนักได้แล้วว่าอีกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่เขา

อีกฝ่ายไม่เปลืองคำพูดเลยสักประโยค ลงมือโดยตรงเลย ทำให้พวกเหมียวอี้ค่อนข้างลนลาน

เหยียนซิวมือแค่มือเปล่า ขยุ้มมือสองข้างกลางอากาศ รีบกันเหมียวอี้ไปไว้ข้างหลัง

เมี่ยวฉุนก็ถือดาบพระขึ้นมาไว้ในมือเช่นกัน แล้วตะโกนอย่างโมโห “บังอาจนัก…”

ยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ภาพตรงหน้าเมี่ยวฉุนก็พร่ามัว ชั่วพริบตาเดียวก็พบว่าตัวเองได้เขามาอยู่ในลูกกลมโลหะสีแดงลูกหนึ่งแล้ว

ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน เหมียวอี้ตอบสนองได้ไม่มากเท่าไรนัก ปล่อย ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ ออกมาครอบทั้งสามไว้เสียเลย แล้วปิดผนึกป้องกันเอาไว้แน่น

บึ้ม! แทบจะในเวลาเดียวกัน มีเสียงระเบิดดังขึ้นหนึ่งครั้ง สามคนที่อยู่ใน ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ หกคะเมนชนกันอยู่ในนั้น

แกรก! เหมียวอี้ถือทวนเกล็ดย้อนไว้ในแนวขวาง ค้ำเอาไว้ใน ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ กลายเป็นเสาค้ำในแนวขวาง ทั้งสามจับด้ามทวนเอาไว้เพื่อตรึงร่างตัวเองให้มั่นคง จะได้ไม่ชนกระแทกอยู่ในลูกกลมนี้อีก

บึ้มๆๆ…

ทั้งสามรู้สึกได้ว่า ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ กำลังถูกมังกรบินโลหะห้าตัวรุกโจมตีอย่างดุดัน

นี่ไม่ใช่สิ่งที่อันตรายที่สุด ตอนที่มังกรบินโลหะห้าตัวรุกโจมตีลูกกลมตีไม่พัง ลำแสงห้าสีก็แทรกซึมเข้ามาในรอยรั่วของลูกกลมตีไม่พังแล้ว ในบรรดาสามคนที่กำลังยืนโคลงเคลง เหยียนซิวกับเมี่ยวฉุนติดกับดักทันที ทั้งสองจับด้ามทวนไม่อยู่แล้ว พลาดตกอยู่ในลูกกลมและโดนชนจนมึนศีรษะ

เหมียวอี้พลิกตัวกลางอากาศ ใช้สองขาไขว้ไว้บนด้ามทวน ส่วนตัวก็กำลังโคลงเคลงไปมา เอามือคว้าเมี่ยวฉุนที่กำลังเลอะเลือนไม่ได้สติยัดเข้ากระเป๋าสัตว์โดยตรง ก่อนจะคว้าเหยียนซิวที่โดนชนกระแทกเข้ามา จากนั้นใช้เปลวเพลิงล่องหนปกป้องเหยียนซิวเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาถูกเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาทำร้ายในระดับที่ลึกกว่านี้ ขณะเดียวกันก็ใช้วิชาอัคนีดารากรอกเข้าไปในร่างกายของเหยียนซิว

เหมียวอี้ที่สะบัดไปสะบัดมาห้อยอยู่บนด้ามทวนหิ้วร่างเหยียนซิวพร้อมรีบช่วยกำจัดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในร่างกายให้เขา

ด้านนอก บนทะเลมรกตมีคลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้า เกาะไม่กี่แห่งถูกคลื่นโจมตีที่รุนแรงของมังกรบินโลหะทำลายไปแล้ว

ร่างของมังกรบินโลหะหดเล็กลงแล้วไม่น้อย แต่หัวกับหางกลับเชื่อมต่อกันล้อมลูกกลมตีไม่พังเอาไว้ เลื้อยอยู่รอบลูกกลมตีไม่พังด้วยความรวดเร็ว ใช้ฟันและกรงเล็บโจมตีอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด ราวกับตาข่ายที่ไขว้ตัดสลับกันไปมาอย่าหนาแน่น ล้อมลูกกลมตีไม่พังเอาไว้โจมตีกลางอากาศอย่างแน่นหนา ราวกับว่าถ้าโจมตีไม่แตกก็จะไม่หยุด

เห็นเพียงลำแสงห้าสีห้าสายบนพื้นผิวลูกกลมตีไม่พังขวักไขว่อย่างไม่ขาดสาย ดูงดงามมาก แต่ความงดงามนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คนตายได้

ลูกกลมตีไม่พังเป็นเพียงของวิเศษขั้นห้า จะไปต้านทานการโจมตีจากของวิเศษขั้นหกไหวได้อย่างไร ผ่านไปครู่เดียว ก็โจมตีจนลูกกลมตีไม่พังอับแสงหมดแล้ว ตอนนี้อาศัยแค่ความทนทานของตัวมันเองที่ทำจากผลึกแดงดันทุรังประคับประคองไว้

อวิ่นจ้าวและพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องกระจายกันไปห้าทิศทางบนท้องฟ้า เฝ้าจ้องลูกกลมตีไม่พังที่กำลังโดนล้อมโจมตีอยู่กลางอากาศ พวกเขานึกไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์ขับขันอย่างนี้ เหมียวอี้จะสามารถหาของเล่นมาปกป้องร่างกายได้ทันท่วงที เดิมทีเป็นปัญหาที่แค่ลงมือครั้งเดียวก็แก้ไขได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเชื่องช้าแบบนี้

อวิ่นจ้าวร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมของวิเศษโจมตีไม่หยุด

อวิ่นกวงถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ศิษย์พี่จ้าว คนข้างในคงจะโดนเจ็ดอารมณ์หกปรารถนากัดกร่อนแล้ว ของวิเศษชิ้นนี้สิ้นเปลืองพลังงานมากเกินไป ไม่สู้ปล่อยตัวเขาออกมาจัดการโดยตรงเลยดีกว่า”

อวิ่นจ้าวยังไม่ทันตอบ อวิ่นหมิงก็ถ่ายทอดเสียงตะคอกแล้วว่า “ไม่ได้! ชื่อเสียงไม่ใช่เรื่องโกหก ทหารกล้าอย่างหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ถูกขนานนามจอมปลอมแน่ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ยอมเสียพลังงานในของวิเศษดีกว่า ต้องทำให้ลูกกลมนี้พังให้ได้ อาศัยอานุภาพจากของวิเศษกำจัดเขาทิ้ง อย่าให้โชคดีรอดชีวิตไป ในเมื่อทำไปแล้ว ก็จะทำพลาดไม่ได้เด็ดขาด!”

พอได้ยินแบบนี้ อวิ่นกวงก็หุบปากแล้ว บนใบหน้าอวิ่นจ้าวฉายแววเด็ดเดี่ยว พอได้ยินคำพูดศิษย์น้อง ก็ควบคุมของวิเศษโจมตีไม่หยุด

ในลูกกลมตีไม่พัง เหมียวอี้หยุดใช้วิชา เหยียนซิวก็ได้สติกลับมาแล้วเช่นกัน เขามองดูบนร่างกายตัวเอง รู้สึกได้ว่ามีของบางอย่างปกป้องอยู่หนึ่งชั้น ช่วยกั้นไม่ให้ตัวเองโดนกัดกร่อนจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา เหยียนซิวทำสายตาซาบซึ้ง แต่กลับไม่ได้เปลืองคำพูดขอบคุณอะไรมากมาย ระหว่างทั้งสองไม่ต้องพูดถึงสิ่งนี้แล้ว

ทั้งสองเพียงสบตากันแวบหนึ่ง ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังจนหูแทบแตก ทั้งสองที่ร่างกายโยกเยกอย่างรุนแรงหันมองไปรอบๆ พร้อมกันอีกครั้ง รีบสังเกตอย่างละเอียด

…………………………

พออวิ่นจ้าวได้ยินดังนั้น ก็กล่าวอย่างเด็ดขาดทันที “เรื่องนี้จะให้คนอื่นมายุ่งไม่ได้เด็ดขาด เรื่องไปหาคนอื่นมาช่วยไม่ต้องพูดถึงแล้ว พวกเราตามหลังแล้วหาโอกาสต่อไป”

“ศิษย์พี่!” อวิ่นหมิงกลับประนมมือบอกให้ช้าก่อน พูดโน้มน้าวว่า “ใช่ว่าศิษย์น้องอวิ่นกวงจะไม่รู้ถึงสถานการณ์นี้ ในเมื่อเขาพูดแบบนี้แล้ว แสดงว่าจะต้องมีสถานการณ์พิเศษอะไรแน่นอน ลองฟังให้จบแล้วค่อยว่ากันก็ได้” ไม่รอให้อวิ่นจ้าวที่เริ่มขมวดคิ้วได้คัดค้าน เขาชิงพูดกับอวิ่นกวงก่อนแล้วว่า “คนสนิทของศิษย์น้องจะช่วยเรื่องแบบนี้ได้ยังไง หนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่คนธรรมดานะ เป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว ไม่ใช่ว่าใครก็จะไปมีเรื่องด้วยไหว”

พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็พบว่ามีเหตุผล อวิ่นจ้าวจำต้องข่มคำพูดที่ขึ้นมาถึงปากเอาไว้ มองไปที่อวิ่นกวงเช่นกัน พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องพากันมองไปที่อวิ่นกวงหมดแล้ว

อวิ่นกวงยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “ที่ข้ากล้าไปหาเขาก็ย่อมมีเหตุผลอยู่แล้ว เขาแต่งงานรับผู้หญิงตั้งหลายคนที่ตำหนักสวรรค์ มีแม้กระทั่งทายาทด้วยแล้ว เขาถูกข้าจับได้โดยบังเอิญ”

พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องได้ยินแล้วมองหน้าเลิกลั่ก นี่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายจริงๆ

อวิ่นหมิงขานรับ แล้วถามอย่างสนใจว่า “ไม่ทราบคนสนิทของเจ้ามีฐานะเป็นยังไง อาศัยอะไรถึงจะรั้งหนิวโหย่วเต๋อไว้ได้?”

อวิ่นกวง “ไป่ลิ่ว ศิษย์คนที่หกของพระอรหันต์ฮุ่ยหลิน น่าจะคิดหาข้ออ้างรั้งหนิวโหย่วเต๋อไว้ที่ดาวฮุ่ยหลินได้”

อวิ่นหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะยิ้มมุมปาก แล้วหันมาบอกอวิ่นจ้าวอีกว่า “ศิษย์พี่ พิจารณาวิธีการของศิษย์น้องอวิ่นกวงดูสักหน่อยก็ได้นะ”

อวิ่นจ้าวขมวดคิ้ว “แต่งงานกับผู้หญิงในทางโลก เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก คนเราไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า ล้วนมีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนากันทั้งนั้น นักพรตแดนสุขาวดีที่ทำเรื่องแบบนี้คงจะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว คิดจะอาศัยเรื่องแบบนี้มาปิดปากเขา ทำได้เหรอ?”

“อามิตตาพุทธ” อวิ่นหมิงประนมมือพลางหลุบตาหลง “เช่นนั้นก็รับประกันความเสี่ยงอีกสักหน่อย หลังจากจบเรื่องนี้แล้วเขาจะไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากอีกเลย”

คนที่เหลือตกใจทันที ทุกคนทำสีหน้าระแววงสงสัยไม่หยุด ย่อมเข้าใจว่าคำพูดของเขาหมายความว่าอะไร แบบนี้ต้องการจะฆ่าปิดปากไง!

อวิ่นจ้าวกล่าวเสียงต่ำว่า “พระอรหันต์ฮุ่ยหลินกับท่านอาจารย์มีไมตรีต่อกันอยู่บ้าง ทำแบบนี้เกินไปหน่อยหรือเปล่า?”

อวิ่นหมิงถามกลับว่า “ท่านอาจารย์กับตระกูลอิ๋งก็มีไมตรีต่อกันเหมือนกัน ครั้งนี้ไม่สู้ทำตามใจตระกูลอิ๋ง ให้ตระกูลอิ๋งปล่อยท่านอาจารย์ไปไม่ดีกว่าเหรอ? ในสายตาของพวกเขา มีเพียงผลประโยชน์เท่านั้นที่ยืนยาว จะมีไมตรีหรือความขัดแย้งอะไรเสียที่ไหน?”

พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องตกอยู่ในความเงียบทันที…

ณ ดาวฮุ่ยหลิน เหมียวอี้ยังคงทำตัวเหมือนขี่ม้าชมดอกไม้ เหาะไปเหาะมา เดี๋ยวก็เดินเล่นอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวก็เดินเล่นอยู่ตรงนั้น นอกจากชมทิวทัศน์ที่งดงามเป็นพิเศษ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะไปนมัสการเจ้าถิ่น ถ้าเจ้าอยากจะเดินเพ่นพ่านไปทั่วอาณาเขตของอีกฝ่าย ก็ต้องบอกอีกฝ่ายสักหน่อย จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดอะไรกัน

มีแผ่นหยกผ่านทางที่พระโพธิสัตว์หลันเย่ให้ไว้ ขอเพียงไม่ใช่คนที่มีความแค้นกับพระโพธิสัตว์หลันเย่ โดยส่วนใหญ่ก็ไม่มีทางที่จะไม่ไว้หน้า กอปรกับภูมิหลังของหนิวโหย่วเต๋อ มาเดินเล่นอยู่ที่นี่ก็ไม่มีใครกลั่นแกล้ง

เป็นเจ้าถิ่นของที่นี่ โดยปกติก็จะได้ครอบครองอาณาเขตที่ดีที่สุด โดยเฉพาะสถานที่ฝึกตนของพระอรหันต์ผู้สง่าผ่าเผย ย่อมต้องไปพบสักหน่อยอย่างเลี่ยงไม่ได้

พระอรหันต์ฮุ่ยหลินไม่อยู่ เพียงแต่ลูกศิษย์สามารถช่วยตัดสินใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้แทนได้ ไป่ลิ่ว ศิษย์คนที่หกของฮุ่ยหลินเป็นฝ่ายเชิญให้เขาอยู่ที่นี่ แล้วมาต้อนรับขับสู้ด้วยตัวเอง พาไปขึ้นเขาทะเลเลหมอก ฟังเสียงระฆังที่ไพเราะ มองดูสหายนักบวชนั่งสมาธิระงับความอยากรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์อยู่ใต้ต้นไม้

เพียงแต่หลังจากผ่านไปครึ่งวัน เหมียวอี้ก็ขอตัวอำลา ใจเขาไม่ได้อยากอยู่ที่นี่เลย “ทิวทัศน์ทะเลหมอกที่นี่ทำให้คนเคลิบเคลิ้มจริงๆ เป็นสถานที่ที่ดี รบกวนไต้ซือให้มาเป็นเพื่อนตลอดทาง ไม่สะดวกจะรบกวนอีกต่อไปแล้ว วันหลังถ้าไต้ซือไปที่ตำหนักสวรรค์ หนิวจะเป็นเจ้าบ้านต้อนรับเอง วันนี้ขอกล่าวอำลาตรงนี้”

ที่บอกว่าทิวทัศน์งดงามน่าหลงใหลนั้นพูดไปตามมารยาท สำหรับเหมียวอี้แล้ว ที่นี่ไม่มีอะไรน่าดูเลย เขาเคยอยู่อุทยานหลวงมาก่อน มีทิวทัศน์งดงามแบบไหนบ้างที่ไม่เคยเห็น

“หา!” ไป่ลิ่วกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “เหตุแม่ทัพภาคหนิวจึงรีบไป หรือว่าอาตมามีจุดไหนที่ดูแลไม่ทั่วถึง?”

เหมียวอี้ยิ้มตอบ “ไม่ใช่หรอก! หนิวเป็นแม่ทัพภาคตลาดผี มีหน้าที่ติดตัว สุดท้ายก็จะต้องกลับไป จะอยู่ที่แดนสุขาวดีนานไม่ได้ เดิมทีครั้งนี้ก็กะว่าจะขี่ม้าชมดอกไม้ไปทั่วอยู่แล้ว เป็นแบบนี้มาตลอดทาง หวังว่าจะได้เห็นหลายๆ ที่เพื่อเปิดหูเปิดตาสักหน่อย ไม่ได้ไม่พอใจอะไรไต้ซือเลย”

ไป่ลิ่วประนมมือ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อาตมาก็ไม่ควรขัดขวาง เพียงแต่อาตมาแนะนำให้แม่ทัพภาคหนิวอยู่ต่อสักวันสองวัน”

เมื่อได้ยินคำพูดที่มีนัยยะแอบแฝงแบบนี้ เหมียวอี้ก็ถามว่า “หมายความว่ายังไงเหรอ?”

ไป่ลิ่วบอกว่า “ดาวฮุ่ยหลินมีเรื่องอัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่ง ที่ทะเลคลื่นเขียวมรกต ภายในสองวันนี้จะมีฉากมหัศจรรย์ที่พบเห็นได้ยากบนทะเล ผู้ที่มาจะพลาดชมไม่ได้ ถ้าแม่ทัพภาคหนิวมาถึงแล้วพลาดชม ก็จะต้องเสียใจทีหลังแน่นอน ไม่แน่ว่าในอนาคตแม่ทัพภาคหนิวอาจจะต้องมาอีกรอบก็ได้”

เมื่อเห็นเขาพูดด้วยท่าทางเหมือนจะต้องดูให้ได้ เหมียวอี้ก็ถามเหมือนอยากรู้อยากเห็น “ไม่ทราบว่าเป็นฉากอัศจรรย์ยังไงเหรอ?”

ไป่ลิ่วยิ้มอย่างมีลับลมคมใน “แม่ทัพภาคหนิวอยู่ดูสักหน่อยก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้นก็ย่อมเข้าใจเอง อาตมารับรองว่าแม่ทัพภาคหนิวจะรู้สึกว่าไม่เสียเที่ยว”

“อ้อ!” เหมียวอี้ถูกเขาล่อจนรู้สึกสนใจแล้วนิดหน่อย เอียงหน้ามองไปที่เมี่ยวฉุน

“ดาวฮุ่ยหลินมีอะไรแปลกๆ อย่างนี้ด้วยเหรอ ทำไมก่อนหน้านี้อาตมาไม่เคยได้ยินมาก่อน?” เมี่ยวฉุนฉงนใจนิดหน่อย

“เมื่อก่อนไม่มี เพิ่งจะค้นพบเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วเอง ไม่รู้ด้วยว่าเมื่อก่อนพลาดไป ตอนหลังเพิ่งปรากฏออกมา เอาเป็นว่าอาตมารู้สึกว่าพระอาจารย์ใหญ่อยู่ดูสักหน่อยก็ได้ ไม่ทำให้พระอาจารย์ใหญ่ผิดหวังแน่นอน” ไป่ลิ่วตอบพร้อมรอยยิ้ม

เมี่ยวฉุนถูกโน้มน้าวจนหวั่นไหว นางมองเหมียวอี้พร้อมถามว่า “แม่ทัพภาคหนิวเสียเวลาสักสองวันไม่ได้เหรอ?”

เหมียวอี้ไตร่ตรองนิดหน่อย แล้วสุดท้ายก็พยักหน้ายิ้ม “ได้! งั้นก็อยู่ดูหน่อยแล้วกัน เพียงแต่ต้องรบกวนความสงบของไต้ซือสักสองวันแล้ว” เขาไม่แยแสเวลาสองวันนี้หรอก เมื่อเจอกับจุดที่ระยะทางยาวไกล เขาก็ต้องเสียเวลาในการเดินทางสองวันอยู่ดี กอปรกับสถานีนี้ใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางของเขาแล้ว ดีไม่ดีอาจจะต้องพักอยู่ตรงจุดหมายปลายทางก็ได้ ไม่สู้ดูที่นี่เป็นตัวอย่างไว้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวพอไปถึงที่หมายแล้วเจอเรื่องผิดปกติจะได้ไม่รู้สึกเหนือความคาดหมาย ในเมื่อตรงนี้มีทิวทัศน์อัศจรรย์ที่หาชมได้ยาก ก็ลองเปิดหูเปิดตาดูสักหน่อยก็ได้

“ไม่นับว่ารบกวนหรอก เอาอย่างนี้นะ พวกเราไม่สู้ออกเดินทางกันตอนนี้เลย ฉากอัศจรรย์นั้นเกิดขึ้นในเวลาที่ไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าเป็นช่วงไหนของสองวันนี้ เพื่อไม่ให้พลาดชม พวกเราไปเฝ้ารออยู่ตรงนั้นกันก่อน” ไป่ลิ่วอธิบายเหตุผลให้ฟัง แล้วถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าพวกท่านคิดว่ายังไง?”

“แขกย่อมต้องตามใจเจ้าบ้านอยู่แล้ว” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวหัวเราะ

“ดี! ให้อาตมาบอกศิษย์พี่ก่อน” ไป่ลิ่วหยิบระฆังดาราก็มาแจ้งข่าว จากนั้นก็ยื่นมือเชิญ นำพวกเขาเหาะขึ้นฟ้าไปด้วยตัวเอง

เหาะอยู่บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่เต็มไปด้วยอากาศ มีแรงต้านเยอะมาก พวกเขาไม่ได้เร่งความเร็ว เทียบกับตอนอยู่ในดาราจักรไม่ได้ นักพรตบงกชรุ้งอย่างพวกเขาใช้เวลาไปสองชั่วยามเต็มๆ กว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง เหมียวอี้เดาว่าตัวเองมาถึงปลายขอบอีกด้านของดาวฮุ่ยหลินแล้ว

ตรงหน้าเป็นทะเลมรกตที่กว้างใหญ่ มีเกาะเล็กโดดเดี่ยวสอสามแห่ง ไป่ลิ่วพาพวกเขาเหาะไปบนเกาะที่ใหญ่ที่สุด แล้วอยู่รอที่นั่น

หลังจากอยู่บนเกาะนั้นได้ครึ่งวัน เหมียวอี้ก็ได้รับข่าวจากคนคนหนึ่ง เป็นฆราวาสผู่หลันที่ส่งข่าวมา บอกว่าทางเขาหลิงซานช่วยให้ความสะดวกกับเขาแล้ว ให้เขาไปเที่ยวชมที่เขาหลิงซานได้ทุกเมื่อ แต่จุดที่เที่ยวชมได้มีจำกัด ห้ามไม่ให้เขาเข้าไปบริเวณวัดต้าเหลยอินที่ประมุขพุทธะใช้ฝึกตน สิ่งที่นางทำได้มีเพียงเท่านี้ ถามเหมียวอี้ว่าคิดอย่างไร

ในจุดนี้เหมียวอี้สามารถเข้าใจได้ วัดต้าเหลยอินก็เทียบเท่ากับวังสวรรค์ของตำหนักสวรรค์ จะปล่อยให้เขาบุกเข้าไปซี้ซั้วได้อย่างไร ภูมิหลังของเขาใช้ขู่คนอื่นได้นิดหน่อย แต่ถ้าคิดจะเอามาขู่ประมุขพุทธะก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าขำจริงๆ เขาย่อมขอบคุณฆราวาสผู่หลัน บอกว่าจะทัศนาจรอีกสักหน่อยแล้วค่อยไปเปิดหูเปิดตาที่เขาหลิงซาน

สรุปก็คือไม่ว่าจะอย่างไร การได้ไปเปิดหูเปิดตาที่เขาหลิงซานก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเหนือความคาดหมายในการมาแดนสุขาวดีครั้งนี้

เช้าวันต่อมา เหมียวอี้กำลังนั่งฝึกตนอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งบนเกาะ เหยียนซิวที่รับหน้าที่เฝ้าระวังอยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามาเงียบๆ แล้วถ่ายทอดเสียงเรียกข้างหู “นายท่าน”

เหมียวอี้ลืมตาเล็กน้อย “มีเรื่องอะไร?”

“ข้าน้อยรู้สึกว่าสถานการณ์ข้างนอกไม่ค่อยชอบมาพากล” เหยียนซิวกล่าว

เหมียวอี้อึ้งทันที ค่อยๆ หยุดฝึกวิชา แล้วถามว่า “ไม่ชอบมาพากลยังไง?”

เหยียนซิวตอบ “ในเมื่อเป็นทิวทัศน์อัศจรรย์ที่หาดูได้ยาก ก็น่าจะมีคนอื่นมาชมด้วยสิถึงจะถูก แต่ทำไมไม่มีคนนอกเลยล่ะ มีแค่พวกเราไม่กี่คนเหรอ?”

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง อย่าบอกนะว่าพวกฮุ่ยหลินมีเจตนาแอบแฝงกับตน พวกฮุ่ยหลินไม่น่าจะมีความกล้าขนาดนั้นนะ แต่เขาที่เคยผ่านประสบการณ์อันตรายมาเยอะก็ยังระวังตัวเพิ่มขึ้น “เจ้าไปถามไป่ลิ่วหน่อยว่ามันยังไงกันแน่”

“ถามแล้วขอรับ แต่เขาบอกว่าพวกเรามาเร็วเกินไป อีกไม่นานก็จะมีคนอื่นมาเหมือนกัน” เหยียนซิวตอบ

เหมียวอี้พยักหน้า “งั้นก็ตามนั้น เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำร้ายพวกเรานี่ ถ้าจะลงมือกับพวกเราจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องถ่วงเวลา น่าจะลงมือตั้งแต่ตอนอยู่ในวัดที่มีคนเยอะๆ แล้ว”

“ไม่กลัวเรื่องที่แน่นอน กลัวก็แต่เรื่องที่ไม่แน่นอน นายท่านระวังตัวไว้จะดีกว่า” เหยียนซิวแนะนำอีกครั้ง

จะไม่ให้เขาเตือนก็ไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่ตามเหมียวอี้ออกมา ทางอวิ๋นจือชิวก็จะกำชับเขาเสมอ ย้ำเขาให้ระวังตัว กลัวว่าเขาจะประมาทเลินเล่อ หลังจากมาถึงแดนสุขาวดีแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ยิ่งติดต่อมาเตือนเขาทุกวัน บอกว่าจะต้องรับรองความปลอดภัยของนายท่าน ถ้านายท่านเป็นอะไรไป นางก็จะไม่ปล่อยเขาไป

หลังจากนั้นครึ่งวัน เหยียนซิวก็เข้ามาในถ้ำภูเขาอีกรอบ จากนั้นเหมียวอี้ก็ตามเขาออกมา มายืนริมทะเลแล้วทอดสายตามองไปยังมหาสมุทรกันกว้างใหญ่

บนผิวทะเลมรกตมีระลอกคลื่น เป็นเหมือนอย่างเคย ไม่มีเค้าลางว่าจะเกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์อะไรเลย ที่สำคัญก็คือ ยังไม่มีคนอื่นปรากฏตัวด้วย ค่อนข้างไม่ชอบมาพากล

“ตัวเขาอยู่ไหน? ยังอยู่มั้ย?” เหมียวอี้ค่อยๆ หันหน้ามาถามย้ำทีละคำ

“กำลังนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำทางด้านนั้น ไปดูมาแล้ว เขายังอยู่ขอรับ” เหยียนซิวตอบ

“ไต้ซือ ปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่ท่านบอกจะต้องรอถึงเมื่อไร?” เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ถามเสียงดังทันที

เพิ่งจะสิ้นเสียงได้ครู่เดียว ไป่ลิ่วก็เดินออกจากถ้ำด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม พอเดินมาถึงก็บอกว่า “สงสัยแม่ทัพภาคหนิวจะรอไม่ไหวแล้ว”

เมี่ยวฉุนที่อยู่ในถ้ำอีกแห่งก็เดินออกมาเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าตกใจเสียงของเหมียวอี้ หลังจากนางเข้าถ้ำไปแล้ว ก็ฝึกตนเงียบๆ เพื่อรอดูปรากฏการณ์มหัศจรรย์มาตลอด อยู่ที่นี่นางไม่คิดว่ามีอะไรน่ากังวล ผ่อนคลายสบายใจมาก

เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา แล้วแสยะยิ้มกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าหนิวรอไม่ไหวแล้ว เพียงแต่หนิวปล่อยให้ทรายเข้าตาไม่ได้ หนิวฆ่าคนไว้เยอะเกินไป มีสันดานชอบฆ่าคน กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ กลัวว่าจะเข้าใจผิดแล้วทำให้แดนสงบของสำนักพุทธมีมลทิน! สิ่งที่ไต้ซือเรียกว่าปรากฏการณ์มหัศจรรย์ จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีใครมาร่วมชื่นชมกับหนิวเลย ท่านให้เกียรติหนิวเกินไปหรือเปล่า? ช่วยให้คำอธิบายที่น่าพอใจกับข้าเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะเด็ดหัวโล้นของท่าน!

คำพูดนี้ไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด พออ้าปากพูดก็ทำท่าจะชักดาบเลย ไม่เกรงใจเลยสักนิด เมี่ยวฉุนกับไป่ลิ่วได้ยินแล้วสีหน้าเปลี่ยน ทั้งเห็นว่าก่อนหน้านี้เหมียวอี้อ่อนโยนและสุภาพมาก ใครจะคิดว่าบทจะแตกคอก็แตกคอเลย พุดจาทิ่มแทงจนยากจะรับไหว

…………………………

คิดเป็นจริงเป็นจังไปแล้ว! เหมียวอี้โบกมือ “ในเมื่อยุ่งยากก็ช่างเถอะ ไม่กล้ารบกวนฆราวาสจริงๆ ให้เมี่ยวฉุนไปเป็นเพื่อนพวกเราสักหน่อยก็ได้…” เป็นเพราะฆราวาสผู่หลันมีฐานะโดดเด่นเกินไปจริงๆ เวลาทั้งสองเดินด้วยกันแล้วดึงดูสายตาคนเกินไป เรื่องที่เขาจะทำนั้นไม่อยากให้สะดุดตาคนมากนัก

ตอนแรกไม่รู้ว่าทำไมผู่หลันจึงจับตาดูตน จึงไม่สะดวกจะปฏิเสธ แต่ตอนนี้ในเมื่อผู่หลันบอกว่าทั้งสองมีไมตรีต่อกัน เขาจึงไม่ถือสาที่จะปฏิเสธ

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อมั่นในตัวผู่หลัน เพียงแต่เขาไม่ใช่หนิวโหย่วเต่อที่ผู่หลันเคยรู้จักในปีนั้นอีกแล้ว หนิวโหย่วเต๋อในตอนนี้ไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนในอดีต เรื่องไหนที่ป้องกันได้ก็จะพยายามป้องกันเต็มที่ เป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อทุกอย่างที่ผู่หลันบอก และไม่เลือดร้อนไปเป็นเพื่อนตายกับเยี่ยนเป่ยหงเหมือนในเมื่อก่อนด้วย

แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องบางเรื่องสุดท้ายก็มีได้มีเสีย เขาไม่เชื่อใจคนอื่นง่ายๆ คนอื่นก็ไม่เชื่อใจเขาง่ายๆ เช่นกัน ไม่มีใครเป็นคนโง่ทั้งนั้น ทุกคนล้วนได้เสียในผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน จะให้มีสหายที่มิตรภาพเหนือชีวิตอย่างเยี่ยนเป่ยหงก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย!

เอาเป็นว่าเมื่อเขาปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงแม้ฆราวาสผู่หลันจะมีเจตนาดี แต่ก็ทำได้เพียงล้มเลิกความคิด หลังจากแลกระฆังดาราสำหรับติดต่อกับเหมียวอี้แล้ว ก็บอกอีกว่า “เรื่องเขาหลิงซาน อาตมาจะพยายามเตรียมการให้เต็มที่ หวังว่าจะไม่ทำให้แม่ทัพภาคหนิวผิดหวัง”

เป้าหมายในการมาที่นี่ของเหมียวอี้ไม่ใช่เขาหลิงซาน แต่ในเมื่อมาถึงแล้ว จะไปเปิดหูเปิดตาที่เขาหลิงซานสักหน่อยก็ไม่เป็นไร เฝ้ารอให้เรื่องดำเนินจนสำเร็จ ย่อมกุมหมัดคารวะกล่าวขอบคุณอยู่แล้ว

หลังจากฆราวาสผู่หลันออกไปได้ไม่นาน เมี่ยวฉุนก็ปรากฏตัวอีกแล้ว ให้นางรับหน้าที่เรื่องการเดินทางต่อ

เมื่อเห็นนางอีกครั้ง เหยียนซิวก็ถามด้วยเสียงเยียบเย็นว่า “พระอาจารย์ใหญ่นี่เชิญตัวมายากจริงๆ นะ”

เมี่ยวฉุนไม่ค่อยคุ้นชินกับใบหน้าของเหยียนซิว เป็นเพราะน่ากลัวจริงๆ พยายามเลี่ยงสายตาไม่ให้มองไปทางเหยียนซิว นางตอบอย่างเก้อเขินเล็กน้อยว่า “ฆราวาสถามถึงสถานการณ์ของท่านแม่ทัพภาค คงไม่ดีหากอาตมาจะไม่ตอบ นึกไม่ถึงว่าฆราวาสก็จะออกไปท่องเที่ยวเหมือนกัน ตั้งใจจะทำหน้าที่แทนอาตมา อาตมาก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่ง”

“นายท่านของข้ารอเจ้าท่านนานมาก ใช้ระฆังดาราติดต่อไปหลายครั้ง จะตอบสักคำยากนักรึไง?” เหยียนซิวหัวเราะหึหึ เพราะก่อนหน้านี้นางไม่ตอบกลับเลย ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดในใจ

“พอแล้ว!” เหมียวอี้หันกลับมาตำหนิเขา บอกใบ้ไม่ให้เขาพูดล่วงเกินคนอื่นโดยไม่มีประโยชน์ ในจุดนี้หยางชิ่งฉลาดกว่าเหยียนซิว

เหยียนซิวโค้งตัวเล็กน้อย หุบปากแล้ว

ในศาลาเล็กริมหน้าผา พระอรหันต์ตัวลี่ไม่ได้รีบออกไป กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่กับพระอรหันต์หวยอวี้ ศิษย์ของพระโพธิสัตว์หลันเย่ หวยอวี้เป็นพระอรหันต์หญิงศีรษะล้าน นับว่ารู้จักและคุ้นเคยกับพระอรหันต์ตัวลี่

“ถ้าข้าจำไม่ผิด นั่นคือลูกศิษย์ของเจ้าใช่มั้ย”

ขณะมองตามเมี่ยวฉุนเหาะไปยังขอบฟ้าพร้อมกับพวกเหมียวอี้ พระอรหันต์ตัวลี่ที่วางถ้วยน้ำชาลงก็เอ่ยถามเสียงเรียบ

พระอรหันต์หวยอวี้พยักหน้า “เมี่ยวฉุนศิษย์คนเล็กของข้าเอง มีปัญหาอะไรเหรอ?”

“ทำไมไปเกลือกกลั้วอยู่กับหนิวโหย่วเต๋อลูกเขยโค่วหลิงซวีนั่นได้?” ตัวลี่ส่ายหน้า

“ผู้ที่ม้าล้วนเป็นแขก ก็ต้องมีคนคอยดูแลต้อนรับสิ” หวยอวี้กล่าว

“นี่กำลังจะส่งแขกกลับกันแล้วใช่มั้ย?” ตัวลี่ถาม

หวยอวี้ตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อนั่นมาที่แดนสุขาวดีเป็นครั้งแรก อยากจะเปิดหูเปิดตาสักหน่อย ศิษย์คนเล็กก็เลยไปเป็นเพื่อนเท่านั้นเอง”

“อ้อ!” ตัวลี่ถามอีกว่า “มีอารมณ์สุนทรีขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวไหนนะ”

หวยอวี้ยกแขนเสื้อรินน้ำชา “ศิษย์น้อยก็ไม่รู้เหมือนกัน เขามาเป็นครั้งแรก ควรจะไปที่ไหนก็คงจะไปที่นั่นกระมัง”

“ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้อยู่ไม่สุข ชอบก่อเรื่อง เจ้าต้องระวังตัวไว้นะ” ตัวลี่กล่าว

หวยอวี้จึงบอกว่า “ถึงยังไงที่นี่ก็ไม่ใช่ตำหนักสวรรค์ คงจะไม่ถึงขั้นนั้น ระหว่างทางถ้าเจอเหตุการณ์อะไร ศิษย์น้อยก็จะรายงานมาทุกเมื่อ”

ตัวลี่พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ยกถ้วยน้ำชาคาระไกลๆ แล้วสองฝ่ายที่นั่งตรงข้ามกันก็ดื่มลิ้มรสอย่างช้าๆ

เพียงแต่วันต่อมาตอนที่ทั้งสองสนทนาธรรมกันอีกครั้ง พอตัวลี่เอ่ยปากก็อดไม่ได้ที่จะถามมากขึ้นหน่อย “หนิวโหย่วเต๋อนั่นไม่ได้ก่อเรื่องใช่มั้ย?”

เดินทางในดาราจักรอันกว้างใหญ่เป็นเวลาเกือบครึ่งเดือน เมี่ยวฉุนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้อยากจะเห็นอะไรกันแน่ สรุปก็คือเหมียวอี้หยิบแผนที่ดาวขึ้นมาชี้นิดหน่อย แล้วทุกคนก็ไปตามนั้น หลังจากไปถึงที่หมายแล้ว ก็เดินดูนิดหน่อยเหมือนเหมือนขี่ม้าชมสวน เสร็จแล้วก็เปลี่ยนสถานที่ทันที เหมือนกำลังเที่ยวเล่นทัศนาจรจริงๆ

แต่ในความเป็นจริง เป้าหมายในการมาที่นี่ของเหมียวอี้ก็ไม่ซับซ้อนเลย เขาพุ่งเป้ามาที่หกเคล็ดวิชาพิเศษภาคฟ้า สาเหตุที่หลับหูหลับตาเดินไปทั่วก็ง่ายมากเช่นกัน เพราะเขาไม่สะดวกจะไปยังเป้าหมายโดยตรง กลัวว่าจะถูกสงสัย วิธีการที่ดีที่สุดก็คือเดินผ่านเป้าหมายนิดหน่อยก็พอ แล้วถือโอกาสเก็บของเอาไว้ วิธีการที่ผีไม่เห็นเทพไม่รู้แบบนี้เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดแล้ว ดังนั้นการทัศนาจรของเขาจึงต้องทำให้เหมือนการทัศนาจร

พอม่านราตรีใกล้จะมาเยือน ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น นักบวชห้าคนก็เหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงบนยอดเขาลูกหนึ่ง ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้ง แต่ละคนปิดบังเอาไว้

อวิ่นจ้าว นักบวชที่เป็นหัวหน้ากลุ่มมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ “ครั้งนี้ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหน ดูรอบๆ สักหน่อย หาสถานที่เหมาะๆ พักก่อนเถอะ”

นักบวชสามคนเหาะแยกกันไปค้นห้าสามทิศทาง คนที่ยังยืนอยู่ข้างหลังเขาโดยไม่ขยับไปไหนก็คือศิษย์น้องอวิ่นหมิง

อวิ่นหมิงก้าวขึ้นมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง มายืนอยู่ข้างกัน แล้วขมวดคิ้วบอกว่า “หนีไปอีกแล้วเหรอ! เขามีเบาะแสไม่แน่นอน ไม่ทราบแน่ชัดว่าจะไปที่ไหนกันแน่ พอพวกเราไปถึง พวกเขาก็ไปแล้ว ไม่รู้แม้กระทั่งว่าพวกเขาพักที่ไหนด้วยซ้ำ รอจนได้ข่าวแล้วพวกเราไปอีกรอบ คนก็ไปแล้ว ศิษย์พี่ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไร?”

อวิ่นจ้าวก็จนใจเช่นกัน ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทัศนาจรทัศนาจร เจ้าหนุ่มนั่นไปทัศนาจรจริงๆ ตอนนี้ทำได้เพียงค่อยเป็นค่อยไป เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่หยุดพักเลย ต้องมีเวลาหยุดพักบ้างสิ”

อวิ่นหมิงกล่าวอย่างปวดประสาทว่า “ศิษย์พี่ ท่านก็พูดอย่างนี้มาตลอดทางแล้ว แต่ใครจะรู้ล่ะว่าเมื่อไรจะได้พัก ถ้าเขาเบื่อแล้วเลี้ยวหนีไป แล้วออกจากแดนสุขาวดีไปเลยจะทำยังไง?”

อวิ่นจ้าวเอียงหน้ามองมา แล้วกล่าวอย่างมีนัยยะแฝง “ถ้าเขาหนีไปจริงๆ ก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้”

“งั้นพวกเราจะรายงานผลภารกิจกับท่านอาจารย์ยังไง?” อวิ่นหมิงอึ้งไป

“ท่านอาจารย์รู้สถานการณ์ ไม่โทษพวกเราหรอก” อวิ่นจ้าวตอบ

อวิ่นหมิงขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่ ข้าเข้าใจความหมายของท่านนะ การลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด ก็เห็นๆ กันอยู่ว่ามีอ๋องสวรรค์โค่วหนุนหลัง ถ้าทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา อ๋องสวรรค์โค่วเดือดดาล ก็ไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลย! แต่ท่านอาจารย์ก็บอกไว้ชัดเจนแล้ว ว่าที่ให้พวกเราลงมือก็เพราะโดนกดดันมาเหมือนกัน เรื่องนี้ท่านอาจารย์ไม่เชื่อใจคนนอก ตระกูลอิ๋งบีบจุดอ่อนของเขาอยู่ ถ้าอาจารย์ไม่รายงานผลการปฏิบัติงาน แล้วทางตระกูลอิ๋งเปิดโปงจุดอ่อนของท่านอาจารย์ขึ้นมา ทางเขาหลิงซานไม่ปล่อยพวกเราไว้แน่”

อวิ่นจ้าวกล่าวว่า “ถ้าทำเรื่องนี้จริงๆ แบบนั้นต่างหากที่จะทำให้จุดอ่อนตกอยู่ในมือตระกูลอิ๋ง ตามที่ข้าคิดนะ ควรจะรีบกำจัดของที่อยู่ที่ตลาดสวรรค์ให้เร็วที่สุด ถ้าไม่มีอะไรเชื่อมโยง ไม่มีหลักฐานแล้ว แค่คำกล่าวหาปากเปล่าของตระกูลอิ๋งก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก”

“โถ่ศิษย์พี่!” อวิ่นหมิงประนมมือไหว้ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านก็พูดเหมือนง่าย ท่านอาจารย์มีลูกศิษย์มากขนาดนั้น ถ้าไม่มีทรัพยากรฝึกตนแล้ว จะยังรักษาไว้ยังไงได้ล่ะ? แล้วอีกอย่างนะ ในเมื่อตระกูลอิ๋งกล้าเอาเรื่องนี้มาขู่ เรื่องร้านค้าที่ตลาดสวรรค์น่ะ คิดว่าอยากจะตัดก็ตัดได้เลยเหรอ? เกรงว่าในมืออีกฝ่ายจะกุมหลักฐานเอาไว้เพียงพอตั้งนานแล้วน่ะสิ แล้วสาเหตุรองลงมา ถ้าช่วยตระกูลอิ๋งทำเรื่องนี้จริงๆ พวกเราก็ถือว่าจะได้หลุดพ้นจริงๆ แล้ว ต่อไปนี้ตระกูลอิ๋งไม่กล้าขู่พวกเราอีกหรอก เพราะถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปง ไม่ว่าจะเป็นทางตระกูลโค่ว ทางตำหนักสวรรค์หรือทางเขาหลิงซาน ตระกูลอิ๋งก็ไม่มีทางแก้ไขได้เลย ในทางกลับกัน ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเรื่องสกปรกโสมมอะไรทำร่วมกับพวกเรา ตระกูลอิ๋งก็สามารถเปิดโปงเรื่องที่ตลาดสวรรค์โดยไม่กังวลอะไรเลย ท่านอาจารย์คิดได้ถึงจุดนี้ถึงได้ตอบตกลงไป เพราะท่านอาจารย์ไม่ได้โง่หรอก มีหรือที่จะยอมให้คนจูงจมูกไปตลอด”

อวิ่นจ้าวขบคิดถึงคำพูดของศิษย์น้องเงียบๆ แล้วสุดท้ายก็พยักหน้าเบาๆ บอกว่า “ที่ศิษย์น้องพูดก็มีเหตุผล สงสัยเรื่องนี้จะต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น ล้มเหลวไม่ได้ แต่ข่าวจากฝั่งอาจารย์ก็ยืนยันอะไรไม่ได้เลย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปก็ยุ่งยากจริงๆ พวกเราสะกดรอยตามแบบนี้ ไม่สะดวกจะทำอย่างเปิดเผย แม้แต่จะเหาะเหยียบพื้นก็ยังต้องหลบคน”

อวิ่นหมิงยิ้มเจื่อน “ท่านอาจารย์บอกว่าไม่มีทางเลือกเหมือนกัน เขาไม่สะดวกจะเปิดเผยกับพระอรหันต์หวยอวี้ตรงๆ ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนสงสัย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา จะไม่ให้สงสัยไปที่ตัวอาจารย์ก็แปลกแล้ว ศิษย์พี่ ท่านไม่ต้องใจร้อนหรอก เป็นข้าเองที่ไม่หนักแน่น เรื่องนี้ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า จะรีบร้อนไม่ได้ แค่ไม่ลงมือเท่านั้นเอง ถ้าลงมือขึ้นมาก็ต้องจัดการให้ได้ภายในครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นถ้าถูกเปิดโปงตัวตนขึ้นมาก็จะยุ่งยากแล้ว คำพูดของศิษย์พี่ก็มีเหตุผล ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะหนีต่อไปไม่หยุด ต้องมีเวลาหยุดพักบ้างอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นก็จะเป็นโอกาสของพวกเรา”

อวิ่นจ้าวพยักหน้า แต่สีหน้าก็ยังมีความกังวลอยู่ “หนิวโหย่วเต๋อเป็นทหารกล้าของตำหนักสวรรค์ คนที่ตายด้วยน้ำมือเขามีตั้งเท่าไรก็ไม่รู้ ตอนอยู่ระดับบงกชทองก็บุกเดี่ยวตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน ตอนทิ้งไว้ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็รอดออกมาได้ ตอนหลังก็บัญชาการกำลังพลธงพยัคฆ์ครึ่งหนึ่งไปโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านจนแตกพ่าย ได้ยินว่าในศึกนั้นไม่มีนักพรตบงกชรุ้งคนไหนกล้าปะทะกับเขาซึ่งๆ หน้าเลย ชื่อเสียงการรบสะท้านใต้หล้า ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้กลายเป็นลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วหรอก หนิวโหย่วเต๋อรบร้อยศึกแต่ยังรอด หลายปีมานี้ไม่เคยแพ้เลยสักศึก เรียกได้ว่าเป็นทหารกล้าที่เหยียบศพคนอื่นเดินออกมา ชื่อเสียงของเขาไม่ใช่สิ่งจอมปลอม ข้ากังวลนิดหน่อยว่าศิษย์พี่ทั้งสี่จะเอาชนะเขาได้หรือเปล่า”

อวิ่นหมิงพูดปลอบใจ “ศิษย์พี่คิดมากไปแล้ว พวกที่โดนตีฝ่าในแดนอเวจีเป็นแค่ลูกกระจ๊อกเท่านั้น ส่วนที่นำกำลังพลธงพยัคฆ์ไปโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้าน ข้ายอมรับว่ามีฝีมืออยู่บ้าง แต่นั่นเป็นเพราะเขาบัญชาการได้เหมาะสม ทั้งยังอาศัยอานุภาพของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ไม่อย่างนั้นก็ลองให้เขาลุยเดี่ยวดูสิ แล้วอีกอย่างนะ ใช่ว่าท่านอาจารย์จะไม่ได้คำนึงถึงจุดนี้ อาศัยของวิเศษที่ให้มา การกำจัดเขาก็ไม่ใช่ปัญหาเลย ครั้งนี้พวกเราห้าคนเหนือกว่าเขาแน่นอน!”

อวิ่นจ้าวพยักหน้า ทอดสายตามองพระอาทิตย์ยามเย็นสีเลือด แล้วบอกว่า “พอหนิวโหย่วเต๋อตาย แล้วโค่วหลิงซวีต้องการคำอธิบาย เกรงว่าที่แดนสุขาวดีคงจะวุ่นวายอยู่สักพัก”

หลังจากนั้นสองวัน ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งห้าที่แอบอยู่ในถ้ำกลางแนวภูเขาก็ทยอยกันลืมตาท่ามกลางความมืดมิด ศิษย์น้องทั้งสี่มองไปยังอวิ่นจ้าวที่ไม่รู้ว่ากำลังใช้ระฆังดาราติดต่อไปที่ไหน

รอไปสักประเดี๋ยว อวิ่นจ้าวที่เก็บระฆังดาราแล้วก็ลุกขึ้นยืน อีกสี่คนที่แน่ใจแล้วลุกขึ้นยืนตาม อวิ่นหมิงถามว่า “ศิษย์พี่ ครั้งนี้จะไปไหนอีก?”

อวิ่นจ้าวเดินไปนอกถ้ำ พร้อมบอกว่า “ดาวฮุ่ยหลิน”

หลังจากพวกเขารีบออกจากถ้ำมาแล้ว อวิ่นหมิงก็หันกลับมาข้างหลัง พบว่าคนหายไปหนึ่งคน จึงตะโกนถามว่า “อวิ่นกวง มัวชักช้าอะไร? ถ้ารีบไปอาจจะเจอพวกเขาเดินอ้อยอิ่งอยู่วันสองวันก็ได้”

คนที่เหลือหันมองตาม เห็นเพียงอวิ่นกวงเดินเนิบนาบออกมา แล้วกล่าวอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “เกรงว่าเขาจะเดินเล่นประเดี๋ยวเดียวแล้วก็ไปอีกน่ะสิ ถ้าตามไปก็อาจจะตามไม่ทันแล้วก็ได้ ข้ามีวิธีรั้งเขาไว้ให้อยู่รอพวกเรา”

“อ้อ!” อวิ่นหมิงหันตัวมา “มีวิธีการอะไรก็รีบบอกมา?”

อวิ่นกวงเดินไปตรงหน้าพวกเขา แล้วกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “ข้ามีคนรู้จักอยู่ที่ฮุ่ยหลิน ถ้าให้เขาช่วย เขาก็น่าจะคิดหาทางรั้งหนิวโหย่วเต๋อไว้รอพวกเรา เพียงแต่เรื่องนี้ไม่สะดวกจะให้คนอื่นรู้…”

…………………………

เหมียวอี้เอียงหน้ามองนาง ผู้หญิงคนนี้กับคำพูดแบบนี้ทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายอีกครั้ง ถ้าจะบอกว่าแค่เปิดเผยความจริง แต่ในเวลานี้ก็อาจจะทำให้ตกเป็นที่ต้องสงสัยได้ว่าใส่ร้ายป้ายสีพระโพธิสัตว์หลันเย่ หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ ไม่มีทางที่จะเอ่ยเรื่องแบบนี้ในเวลานี้กับคนนอก เหมียวอี้ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้สนิทสนมอะไรกับผู้หญิงคนนี้ นี่เป็นการแสดงมิตรภาพหรือมีเจตนาแอบแฝงอะไร?

ไม่รู้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้มีจุดประสงค์อะไร แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงเจตนาดีตอนที่พบผู้หญิงคนนี้ครั้งแรก เขามองออกจากสายตาของอีกฝ่าย แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกพบ ตัวเองไม่ได้มีเสน่ห์มากขนาดนั้น ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง เขาถึงได้พลังความคิดไตร่ตรอง

เขาไม่ได้แสดงความคิดในใจออกมา ภายนอกยังคงทำท่าทางเหมือนเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน “พลังปรารถนา? ที่แท้สิ่งที่ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสีในวันนี้ก็คือพลังปรารถนา! สงสัยพลังปรารถนานี้จะไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่ได้มีประโยชน์แค่การฝึกตน ล้ำลึกจนไม่อาจคาดเดา!”

เฉาเฟิ่งฉือยิ้มพร้อมบอกว่า “พลังปรารถนาก็คือใจคน เรียกว่าใจปรารถนา ไม่ใช่แค่สามารถรวบรวมพลังจิตวิญญาณฟ้าดินได้นะ ทั้งยังก่อเมฆลมระหว่างฟ้าดินได้อีกด้วย มีอยู่ประโยคหนึ่งที่กล่าวเอาไว้ดีมาก เมื่อจิตใจซื่อสัตย์มากพอ แม้แต่ทองและหินก็แยกออกจากกันได้ หากมีใจที่ซื่อสัตย์แน่วแน่มากพอ ไม่ว่าอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ยังมีอีกประโยคหนึ่ง ใจคนยากจะคาดเดา ไม่รู้ว่าอย่างท่านแม่ทัพภาคเรียกว่าใจคนยากจะคาดเดารึเปล่า? วิชาพุทธฝึกจิต สำหรับความลี้ลับมหัศจรรย์ในด้านนี้ พวกเขามีความรู้มากว่านักพรตทั่วไปในแดนฝึกตน”

“เหอะๆ พอได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ก็เข้าใจทะลุปรุโปร่งแล้ว” เหมียวอี้ทำท่าพยักหน้าเหมือนได้รับคำสั่งสอน

“ในเมื่อท่านแม่ทัพภาคต้องการจะอยู่เปิดหูเปิดตาที่นี่ เฟิ่งฉือก็ต้องขอตัวกลับก่อน วันหลังไว้เจอกันอีกที่ตลาดผี” เฉาเฟิ่งฉือย่อตัวเล็กน้อย กล่าวอำลาแล้วหันตัวจากไป

ใครจะคิดว่าจู่ๆ คำว่า ‘เฟิ่งฉือ’ จากปากนางเหมือนจะกระตุ้นอะไรบางอย่างกับเหมียวอี้แล้ว เหมียวอี้พลันตะโกนบอกว่า “ช้าก่อน!”

เฉาเฟิ่งฉือหยุดเดินแล้วหันตัวมา แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพภาคมีอะไรจะกำชับ?”

“เจ้าคือใครของตระกูลเซี่ยโห้ว?” เหมียวอี้หรี่ตาจ้องนางพร้อมเอ่ยถาม

เฉาเฟิ่งฉือยิ้มโดยไม่ตอบอะไร หันตัวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง

“เซี่ยโห้วหลงเฉิง เซี่ยโห้วหู่เฉิง เฉาเฟิ่งฉือ เซี่ยโห้วเฟิ่งฉือ หลงเฉิง หู่เฉิง เฟิ่งฉือ หลงเฉิงเฟิ่งฉือ เซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นอะไรกับเจ้า? เป็นพี่ชายของเจ้าเหรอ?” เหมียวอี้เอ่ยชื่อมาเป็นชุด ถามซักไซ้

“ท่านแม่ทัพภาคคิดมากไปแล้ว” เฉาเฟิ่งฉือที่เดินไปข้างหน้าตอบโดยไม่หันกลับมา ตอบอย่างสบายๆ แล้วก็เหาะออกไปทันที

“หลงเฉิงเฟิ่งฉือ…” เหมียวอี้จ้องร่างนางในขณะที่ปากก็ยังพึมพำชื่อ ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ จากนั้นก็นึกเชื่อมโยงถึงท่าทางเป็นมิตรที่เซี่ยโห้วหู่เฉิงมีต่อเขาอีก ทำให้ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองอาจจะเดาถูก

เพียงแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ เซี่ยโห้วหลงเฉิงนับว่าเป็นพี่ชายของทั้งสองคน แล้วเกี่ยวอะไรกับที่สองคนนี้แสดงท่าทีเป็นมิตรต่อตนล่ะ

เพราะเข้าไม่เข้าใจว่าทำไมถึงแม้เซี่ยโห้วหลงเฉิงจะทำตัวเสเพล แต่ก็มีความหมายที่ต่างออกไปสำหรับเฟิ่งฉือและหู่เฉิง คนเสเพลในสายตาของคนอื่น แต่ในสายตาของสองคนนี้กลับไม่มีใครแทนที่ได้ การจากไปของเซี่ยโห้วหลงเฉิงทำให้ทั้งสองรู้สึกเจ็บปวดทรมานยากจะลบเลือน ส่วนหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นสหายพียงคนเดียวของเซี่ยโห้วหลงเฉิง

“นายท่าน!” เหยียนซิวที่ขึ้นมาจากตีนเขาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ถามว่า “ออกเดินทางได้รึยังขอรับ?”

เหมียวอี้มองไปรอบๆ แล้วถามว่า “ทำไมเมี่ยวฉุนยังไม่มาอีก?”

ถึงแม้ในมือเขาจะมีแผนที่ดาว แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนนอก ลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วไม่สะดวกจะเพ่นพ่านไปทั่วอาณาเขตแดนสุขาวดี ให้คนจากสำนักพุทธเบิกทางให้จะดีกว่า

เหยียนซิวได้ยินแล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเมี่ยวฉุน

เหมียวอี้เห็นเขาเขย่าระฆังดาราในมือนานมาก แล้วขมวดคิ้วถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”

“ไม่ได้ตอบ” เหยียนซิว

“อ้อ!” เหมียวอี้มองไปที่อารามหลันเย่ “ถึงยังไงก็มีแขกเยอะ อาจจะมีธุระอะไรก็ได้ รอสักประเดี๋ยวแล้วค่อยติดต่อไป”

ทั้งสองรออยู่ที่เดิม หลังจากรออยู่เกือบครึ่งชั่วยามเต็มๆ แขกก็ไปกันหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นเมี่ยวฉุนออกมา ระหว่างนั้นเหยียนซิวก็ติดต่อหลายครั้ง เมี่ยวฉุนยังคงไม่ได้ตอบอะไร ก็เลยทำให้สองคนนี้อดกังวลไม่ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า

ทว่าในตอนนี้เอง ในอารามหลันเย่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งออกมา ผู้ที่นำหน้ามาคือฆราวาสผู่หลันที่แต่งกายแบบเทพธิดาชาวพุทธ นางเดินนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาทางนี้ด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม

พอเข้ามาตรงหน้า ทั้งสองฝ่ายก็ทำความเคารพกัน ฆราวาสผู่หลันยิ้มบางๆ “แม่ทัพภาคหนิวกำลังรอเมี่ยวฉุนอยู่เหรอ”

ด้วยฐานะของอีกฝ่าย แต่สามารถรู้จักเมี่ยวฉุนได้ สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้อึ้งนิดหน่อย พยักหน้าบอกว่า “ใช่แล้ว! ฆราวาสกำลังจะกลับแล้วเหรอ?”

ฆราวาสผู่หลันตอบว่า “ได้ยินเมี่ยวฉุนบอก ว่าแม่ทัพภาคหนิวมาที่แดนสุขาวดีเป็นครั้งแรก อยากจะเที่ยวเล่นให้ทั่วแดนสุขาวดี อาตมากำลังจะท่องเที่ยวพอดี เลยช่วยแม่ทัพภาคตัดสินใจให้เมี่ยวฉุนกลับไปก่อน อาตมานำทางแม่ทัพภาคหนิวไปท่องเที่ยวด้วยกันดีมั้ย?”

เหมียวอี้รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในพระอุโบสถอีกฝ่ายใช้คำพูดเหน็บแนมเขา ดังนั้นในใจก็เลยค่อนข้างไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ จึงปฏิเสธอ้อมๆ “ฆราวาสมีฐานะสูงส่ง ถึงยังไงชายหญิงก็มีความแตกต่างกัน มิบังอาจรบกวน”

ฆราวาสผู่หลันจึงยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ฐานะของแม่ทัพภาคหนิวจะแย่กว่าอาตมาเชียวเหรอ? ส่วนเรื่องชายหญิงแตกต่างกัน อย่าบอกนะว่าแม่ทัพภาคหนิวมองไม่ออกว่าเมี่ยวฉุนก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน?”

นี่แทบจะเป็นคำพูดหยอกล้อ ทำให้เหมียวอี้ยิ่งรู้สึกเซ็งกว่าเดิม ชัดเจนขนาดนี้แล้ว ต่อให้เป็นคนโง่ก็มองออกว่าตนกำลังหาข้ออ้างมาปฏิเสธ ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจเลย กลับทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

ไม่ตอบก็เท่ากับตกลงแล้ว อย่างน้อยฆราวาสผู่หลันก็คิดอย่างนี้ จึงหันกลับมาบอกทุกคนข้างหลังว่า “ไม่จำเป็นต้องให้คนติดตามมากมายขนาดนั้น พวกเราไปกันก่อนเถอะ ข้ากับแม่ทัพภาคหนิวเจอกันครั้งแรกก็เหมือนรู้จักกันมานาน ไปเที่ยวด้วยกันเถอะ”

แต่คนข้างหลังนางเหมือนจะกังวลอยู่บ้าง หนึ่งในนั้นประนมมือพร้อมบอกว่า “ฆราวาส พาคนไปด้วยสักสองคนดีกว่า?” ไม่ได้กังวลความปลอดภัยของฆราวาสผู่หลันที่แดนสุขาวดี ที่แดนสุขาวดีไม่มีใครกล้าแตะต้องฆราวาสผู่หลันซี้ซั้ว เพียงแต่สายตาเหลือบมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง เหมือนกำลังบอกว่าไม่ค่อยวางใจเหมียวอี้

ฆราวาสผู่หลันก็ไม่ปิดบังเช่นกัน พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “พวกเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว แม่ทัพภาคหนิวเป็นวีรบุรุษที่โลกรู้จัก ไม่ควรค่าที่จะทำเรื่องต่ำช้า ไปกันเถอะ”

กลุ่มเทพธิดาชาวพุทธไม่กล้าพูดอะไรอีก ทยอยกันประนมมือแล้วถอยออกไป สุดท้ายก็เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว

ขณะที่เหมียวอี้มองเงาคนจากไปบนท้องฟ้า พูดหยอกตัวเองว่า “วีรบุรุษที่โลกรู้จัก? ฆราวาสประเมินหนิวสูงเกินไปมั้ง หนิวคนนี้ไม่ใช่สุภาพบุรุษอะไรหรอกยะ ทางตำหนักสวรรค์ก็รู้กันหมด คนที่ด่าทอข้าก็มีไม่น้อย อย่าบอกนะว่าฆราวาสไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย?”

แต่ใครจะคิดว่าฆราวาสผู่หลันจะกล่าวอย่างแน่วแน่ว่า “คนมีปากก็พูดกันไป ปากหลายปากสามารถละลายทองได้ แต่ก็อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้ อย่างน้อยอาตมาก็มีความมั่นใจในตัวท่านแม่ทัพภาค”

“อ้อ!” เหมียวอี้แปลกใจนิดหน่อย หันกลับมาสบสายตาที่แน่วแน่และใสกระจ่างของนาง ถามอย่างเหนือความคาดหมายมากว่า “ทำไมฆราวาสถึงมั่นใจในตัวหนิวขนาดนี้?”

ฆราวาสผู่หลันเอียงหน้ามองเหยียนซิวแวบหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังบอกใบ้ ทว่าเหมียวอี้กลับทำท่าเหมือนไม่เข้าใจ ไม่ได้บอกให้เหยียนซิวถอยไป

ฆราวาสผู่หลันเงียบไปครู่เดียว คาดว่าคงตัดสินได้ว่าเหยียนซิวเป็นลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้แน่นอน ถึงได้จ้องตาเหมียวอี้พร้อมกล่าวอย่างใจเย็น “อาตมามาจากดาวไร้ลักษณ์ จะว่าไปในปีนั้นก็เคยมีวาสนาได้พบแม่ทัพภาคหนิวครั้งหนึ่ง ท่านแม่ทัพภาคในตอนนั้นรำพึงฟ้าเวทนาคน มีความกล้าหาญอยู่ลึกๆ โดดเด่นเหนือบุคคลอื่น อาตมาในตอนนั้นก็แน่ใจแล้วว่าแม่ทัพภาคหนิวไม่ใช่คนธรรม พอตอนหลังได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของท่านอีก ก็พบว่าไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย พอได้มาเจอในตอนนี้ หน้าตาก็ยังไม่เปลี่ยนไป กลับมีสง่าราศียิ่งกว่าเดิมเสียอีก!” นางทำสีหน้าสะท้อนใจยามนึกหวนไปถึงปีนั้น

รู้จักเหรอ? ใบหน้าตายของเหยียนซิวดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด มองไปทางเหมียวอี้

เหมียวอี้ก็พูดไม่ออกเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขายังเดาไปมั่วๆ ว่าตอนที่อยู่เองอยู่ดาวไร้ลักษณ์ ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้อยู่ด้วยหรือเปล่า นึกไม่ถึงว่าจะรู้จักตนจริงๆ

เขาถอยหลังก้าวหนึ่ง แล้วก็เริ่มขมวดคิ้ว มองประเมินฆราวาสผู่หลันศีรษะจดเท้า จากนั้นก็จ้องใบหน้าที่สง่างามของผู่หลันแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างค่อนข้างเสียมารยาท ใช้ความคิดเต็มที่แล้ว คิดแล้วคิดอีก นึกถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองเคยเจอที่ดาวไร้ลักษณ์ แต่ก็ไม่มีความทรงจำติดอยู่ในหัวเลยจริงๆ นึกไม่ออกว่าเคยเจอผู้หญิงคนนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะลองถามว่า “ฆราวาสกำลังจะบอกว่า พวกเรารู้จักกันเหรอ?”

ฆราวาสผู่หลันอมยิ้มพลางพยักหน้ายืนยัน

เหมียวอี้จึงลูบคางครุ่นคิดอีกรอบ แล้วยิ้มแห้งถามว่า “ข้าเป็นคนใจหยาบ ไม่ทราบว่าฆราวาสจะชี้แนะสักหน่อยได้มั้ยว่าเราเคยพบกันที่ไหน?” เมื่อบังเอิญเจอกันแบบนี้ อีกฝ่ายรู้จักเจ้า แต่เจ้ากลับไม่รู้จักอีกฝ่าย ค่อนข้างเสียมารยาทแล้ว กอปรกับฐานะของอีกฝ่าย ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเก้อเขิน

ฆราวาสผู่หลันไม่ได้ตำหนิว่าเขาได้ดีแล้วขี้ลืม เพียงยิ้มเรียบๆ พลางส่ายหน้า “จำไม่ได้ก็สมเหตุสมผลแล้ว จะเห็นได้ว่าในตอนนั้นแม่ทัพภาคทำดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย เรื่องบางเรื่องถ้าเอ่ยขึ้นอีก ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับแม่ทัพภาคหรือสำหรับอาตมา แม่ทัพภาครู้ไว้เพียงว่า ถ้าไม่มีบุญคุณอันใหญ่หลวงของแม่ทัพภาคในปีนั้น ก็ไม่มีอาตมาในวันนี้ อาตมาไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อแม่ทัพภาคหนิว”

เหมียวอี้ยิ่งทำสีหน้าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่าเดิม เอามือลูบคางพลางยิงฟันเล็กน้อย ทำท่าเหมือนปวดฟัน

ทั้งยังได้รับบุญคุณจากข้าด้วย? ข้าเคยมีบุญคุณต่อใครที่ดาวไร้ลักษณ์เหรอ? หรือจะเป็นคนของสำนักลมปราณ? ถ้าเป็นคนของสำนักลมปราณ ตัวเองก็น่าจะจำได้บ้างสิ ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่คนของสำนักลมปราณจะมาบวชถึงแดนสุขาวดีและมีภูมิหลังแบบนี้ ถ้าไม่มีเขาก็ไม่มีนางในวันนี้เหรอ? ล้อเล่นรึเปล่า ข้าไม่เคยยัดคนเข้ามาในสำนักพุทธนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองช่วยให้ใครมาอยู่ในตำแหน่งนี้ที่สำนักพุทธได้ ตัวเองไม่ได้คบค้ากับคนของสำนักพุทธเลย

เขารู้สึกว่าหญิงชาวพุทธคนนี้พูดซี้ซั้ว แต่ดูจากท่าทางของนาง ก็เหมือนจะไม่ได้โกหก แล้วนางก็ไม่จำเป็นต้องมาหลอกเขาด้วย นี่มันเรื่องอะไรกันแน่! เหมียวอี้แทบจะเป็นบ้า นึกไม่ถึงว่าเคยทำเรื่องที่มีบุญคุณไร้ที่เปรียบต่อให้เอาไว้ เพียงแต่เมื่อก่อนตัวเองยังเป็นหนุ่มเลือดร้อนมาก เรื่องที่ในปัจจุบันไม่มีทางทำได้ แต่ในอดีตอาจจะทำได้ เขาได้แต่ยิ้มเจื่อน “ฆราวาสพูดให้อยากรู้แล้ว ช่วยเตือนความจำสักหน่อยได้มั้ย”

ฆราวาสผู่หลันยิ้มเรียบๆ เอาไว้ตอนบังเอิญค่อยเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกที นางเปลี่ยนประเด็นสนทนาแล้ว “ไม่ทราบว่าแม่ทัพภาคหนิวจะไปเที่ยวที่ไหน อาตมาจะนำทางให้”

เหมียวอี้เอามือลูบหน้าผากอย่างจนใจ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากบอก เขาก็ไม่สะดวกจะกดดัน จึงตอบกลับอย่างเคารพปนหยอกล้อ “อยากไปดูที่เขาหลิงซานสักหน่อย ไม่ทราบว่าฆราวาสจะนำทางไปได้รึเปล่า?” แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับขอไปเดินเล่นที่วังสวรรค์ แน่นอนว่าสถานการณ์ของวังสวรรค์กับเขาหลิงซานนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าจะเปรียบเทียบให้ใกล้เคียงหน่อยก็คือจะไปเดินเล่นที่อุทยานหลวง ถามว่าเตรียมให้หน่อยได้มั้ย อุทยานสวรรค์ใช่ว่าใครอยากไปก็ไปได้เหรอ?

“เขาหลิงซาน!” ฆราวาสผู่หลันอึ้งทันที แล้วกล่าวช้าๆ อย่างลังเลว่า “เกรงว่าจะไม่ค่อยสะดวก แต่ภูมิหลังของแม่ทัพภาคก็เห็นๆ กันอยู่ ใช่ว่าจะไปเขาหลิงซานไม่ได้ แต่อาจจะต้องให้อาตมาประสานงานให้ก่อน ถ้ายังไม่แน่ใจ อาตมาก็ยังไม่กล้าให้สำคำสัญญานี้กับแม่ทัพภาค”

…………………………

นี่ชมหรือประชด? เหมียวอี้รู้สึกเซ็งในใจ ได้แต่หัวเราะเงียบๆ

ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วเหรอ? คนอื่นๆ ได้ยินแล้วกลั้นขำ พบว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้ช่างชื่อเสียงฉาวโฉ่จริงๆ!

เมื่อบอกว่าได้ยินเชื่อเสียงมานานแล้ว ทุกคนก็เชื่ออย่างนั้น แต่ที่บอกว่า ‘มีสง่าราศีไม่ธรรมดา’ เดิมทีทุกคนก็คิดว่าเป็นคำหยอกล้อเหมียวอี้ มีคนไม่น้อยรู้สึกดีกับฆราวาสท่านนี้ทันที เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะมีคนไม่ชอบขี้หน้าเหมียวอี้เยอะเกินไป

ถึงแม้จะเอ่ยถึงเหมียวอี้ก่อน แต่ฆราวาสผู่หลันก็ไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง พูดคุยกับคนอื่นๆ เหมือนกัน

ส่วนเหมียวอี้ก็รักษาความเงียบไว้ตลอด ตอนหลังเขายังอยากจัดการธุระนิดหน่อยที่แดนสุขาวดี ไม่อย่างล่วงเกินคนทางฝั่งนี้

หลังจากพูดคุยกันได้พัก ฆราวาสผู่หลันก็กวาดสายตามองปฏิกิริยาของเหมียวอี้ จากนั้นก็หยุดการพูดคุยตามมารยาทต่อไป “วันนี้เป็นงานวันเกิดของพระโพธิสัตว์หลันเย่ อาตมาไม่สะดวกจะแย่งบทบาทของเจ้าภาพอีก ไม่สู้รองานพิธีของพระโพธิสัตว์เงียบๆ ดีกว่า”

ทุกคนทยอยกันเอ่ยรับ แล้วก็แยกย้ายกันออกไป

ตอนที่เดินลงบันไดพระอุโบสถ อิ๋งหยางก็เหลือบมองเงาหลังของเหมียวอี้แวบหนึ่ง เดินเข้าไปหาพระอรหันต์ตัวลี่ที่กำลังเดินลงบันได แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “พระอรหันต์รู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้เป็นอย่างไร?”

พระอรหันต์ตัวลี่เอียงหน้ามามองอย่างุนงง เคยได้ยินมาบ้างว่าเหมียวอี้เคยมีความขัดแย้งกับตระกูลโค่ว จึงตอบด้วยรอยยิ้มเรียบๆ “อาตมารู้ไม่เยอะ โยมเหมือนจะมีความหมายแฝงในคำพูดนะ?”

อิ๋งหยางบอกว่า “พระอรหันต์รู้อยู่แล้วเหตุใดจึงแกล้งถาม พูดมาให้ชัดเจนเถิด ข้าไม่อยากให้เขารอดชีวิตกลับไป ถ้าเขารอดกลับไป ข้าก็รู้สึกเหมือนมีก้างติดคอ พระอรหันต์มีวิธีการอะไรจะช่วยข้าได้บ้าง?”

ตัวลี่แอบตกใจ “โยมอิ๋งกำลังล้อเล่นรึเปล่า? เขาเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว ใครจะกล้าแตะต้องเขาซี้ซั้ว?”

“ตำหนักสวรรค์ควบคุมอะไรทางแดนสุขาวดีไม่ได้ อ๋องสวรรค์โค่วก็ไม่อยากแตกคอกับแดนสุขาวดีเช่นกัน คาดว่าพระอรหันต์จะต้องมีวิธีการที่เหมาะสมแน่นอน” อิ๋งหยางกล่าว

ตัวลี่ “โยมอิ๋งพูดตลกแล้ว อาตมาไม่เข้าใจว่าโยมอิ๋งหมายความว่าอะไร” นี่เท่ากับปฏิเสธอ้อมๆ แล้ว

อิ๋งหยางกลับไม่ยอมปล่อย “พระอรหันต์เอ่ยเงื่อนไขมาได้เลย ตราบใดที่สมเหตุสมผลก็สามารถเจรจากันได้”

“น้ำใจของโยมอิ๋ง อาตมาซาบซึ้งแล้ว อาตมามีความสามารถจำกัด อามิตตาพุทธ” ตัวลี่กล่าว

อิ๋งหยางแสยะยิ้ม “ข้าได้ยินพ่อบ้านบอกมา ว่าพระอรหันต์ตัวลี่มีความสามารถไม่ธรรมดา มีลูกศิษย์ในมือเยอะมาก ใช้จ่ายทรัพยากรไม่น้อย กิจการบางอย่างที่ตำหนักสวรรค์ก็ดำเนินการได้อย่างเป็นความลับมาก เพื่อช่วยรักษาความลับให้พระอรหันต์ ตระกูลโค่วสิ้นเปลืองพลังความคิดไปไม่น้อย” พูดจบก็สะบัดชายเสื้อก้าวลงบันไดไปหนึ่งขั้น ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้นแล้ว เหมือนกำลังบอกว่าเจ้าจัดการเองตามเห็นสมควรก็แล้วกัน

พระอรหันต์ตัวลี่คิ้วกระตุกเล็กน้อย ขณะมองเขาหลังของอีกฝ่าย เขาก็ตกอยู่ในความคิด…

งานพิธีวันเกิดใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว แขกในอารามหลันเย่ทยอยกันถูกเชิญไปงานพิธีวันเกิดนอกอาราม

รอบข้างดูไม่ต่างอะไรจากปกติ ทะเลมรกตไร้ขอบเขต เกาะกระจัดกระจายกันเหมือนดาวบนท้องฟ้า เหมียวอี้ไม่ค่อยเข้าใจว่านี่คือการเฉลิมฉลองอะไร

ผ่านไปไม่นาน “เป๋ง…เป๋ง…เป๋ง…” เสียงระฆังดังก้องยอดเขาแล้วก็หยุด

“ลี พอ ลี พอตี คิว ฮอ คิว ฮอตี ทอ ลอ นี ตี…”

คนที่เคยได้ยินเสียงพระโพธิสัตว์หลันเย่พูดต่างก็รู้ว่านี่คือเสียงของใคร

เสียงเปล่งสวดพุทธคัมภีร์ที่ไม่ช้าไม่เร็วของพระโพธิสัตว์หลันเย่พลันดังออกมาจากอารามหลันเย่ เสียงไม่ดัง เหมือนเปล่งสวดเบาๆ อยู่ข้างหูเจ้า แต่กลับลอยละล่องอยู่ระหว่างฟ้าดิน ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ อยากจะตามหาว่าเสียงนี้มาจากไหนโดยจิตใต้สำนึก

“ป๊อกๆๆๆ…”

ตามติดด้วยเสียงเคาะบักฮื้อที่ดังถี่และหนาแน่นออกมาจากอารามหลันเย่ เสียงเคาะเริ่มเป็นระเบียบทีละนิด กลายเป็นมีจังหวะทำนอง ตอบสนองกับเสียงสวดพุทธคัมภีร์ของพระโพธิสัตว์หลันเย่

จู่ๆ บนผิวทะเลก็มีเสียงเคาะบักฮื้อดังอยู่พักหนึ่ง ดังรวมเข้ามาจากเกาะที่อยู่สี่ด้านแปดทิศ

“ลี พอ ลี พอตี คิว ฮอ คิว ฮอตี ทอ ลอ นี ตี…”

ทันใดนั้น ท่ามกลางเสียงบักฮื้อก็มีเสียงสวดของพระโพธิสัตว์หลันเย่ดังตามมา เสียงสวดจากบนเกาะสี่ด้านแปดทิศรวมกันเข้ามาแล้ว สุดท้ายก็สอดคล้องกับจังหวะพอดี ราวกับรวมตัวกันกลายเป็นกระแสเสียงที่ดังก้องไม่หยุดพักอยู่ระหว่างฟ้าดิน แต่เสียงของพระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ดังโดดเด่นอยู่ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้คนแยกเสียงได้ชัดเจนมาก

ไม่รู้ว่ามีนักบวชมากเท่าไรที่ร่วมสวดมนต์บทนี้ด้วยกัน แต่ท่ามกลางเสียงสวดที่ต่ำตื้นก็เหมือนจะแฝง ถึงขั้นทำให้คนรู้สึกกระสับกระส่ายรางๆ ด้วย ในใจราวกับมีจิตมารกำลังโดนกระตุ้นให้กะเทาะเปลือกออกมา

แขกที่แต่งกายแบบฆราวาสหันมองไปทั่ว ทั้งหมดพยายามอดทนความรำคาญใจนี้เอาไว้ ส่วนบรรดาพระธุดงค์ก็ประนมมือหลับตาแล้ว ริมฝีปากขยับเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังสวดอะไรอยู่

“เปรี้ยง!”

ทันใดนั้นก็มีฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เสียงสะเทือนดังก้องทั่วฟ้าดิน ทำให้กลุ่มคนตกใจทันที ทำลายอารมณ์กลัดกลุ้มใจของกลุ่มคนในชั่วพริบตาเดียว

ทุกคนเงยหน้ามองท้องฟ้า สายฟ้าบนฟ้าหายไปแล้ว แต่ตรงขอบฟ้าไกลโพ้นทั้งสี่ด้านแปดทิศยังมีเสียงฟ้าร้องดังแว่วมา ทุกคนหันไปมอง เห็นเพียงตรงขอบฟ้าทั้งสี่ด้านมีเส้นสีดำวงหนึ่งกำลังปิดล้อมเข้ามา พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง ถึงได้รู้ว่าเป็นเมฆดำกำลังม้วนกลิ้งเข้ามา

เมฆดำพลิกม้วนเข้ามาพร้อมกับฟ้าแลบฟ้าร้อง เมฆลมกระเพื่อมรุนแรง ไม่นานก็ปกคลุมท้องฟ้าที่สว่างจ้าแล้ว ท้องฟ้าสีครามส่วนเดียวที่ยังเหลืออยู่ก็เริ่มถูกกลบไปทีละนิดเช่นกัน เสาแสงที่ส่องอารามหลันเย่ก็หายไปแล้ว สุดท้ายฟ้าดินก็มืดมิดไปทั้งแถบ ราวกับมีปีศาจมารร้ายกลืนกินฟ้าดินไปหมดแล้ว

“เปรี้ยงๆ” สายฟ้าที่มีเสียงดังขวักไขว่ไปมาไม่หยุดอยู่ท่ามกลางเมฆดำที่พลิกม้วน ฟ้าแลบส่องสว่างใบหน้าของบรรดาแขกในงานพิธีวันเกิด

คนที่ไม่รู้เรื่องรู้อย่างอย่างเหมียวอี้ ในใจรู้สึกตระหนกมาก ไม่รู้ว่าเป็นพลังอภินิหารที่ร้ายกาจขนาดไหนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถควบคุมปรากฏการณ์ฟ้าดินได้

เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์ฟ้าดินนี้ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากฝีมือมนุษย์

ในขณะนี้เอง ก็มีเม็ดฝนตกเปาะแปะลงมาจากท้องฟ้า ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นพายุฝนกระหน่ำ บนตัวแขกมีเกราะลมปราณพรั่งพรูออกมาทันที ป้องกันพายุฝนเอาไว้

ผ่านไปไม่นาน ท่ามกลางพายุฝนที่ชะล้าง บนยอดเขาก็มีกระแสน้ำกลายเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกรากพ่นพุ่งลงมา พายุฝนที่ตกลงจากฟ้าราวกับจะชะล้างทั้งอารามหลันเย่

พายุฝนกระหน่ำต่อเนื่องอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ด้านหลังของกลุ่มคนก็ปรากฏแสงสว่าง ทุกคนหันกลับไปมอง เห็นเพียงพระโพธิสัตว์หลันเย่ผู้มีธรรมลักษณ์น่าเกรงขามกำลังหลับตาสวดมนต์อยู่บนฐานดอกบัวสว่างไสว ฐานดอกบัวกำลังลอยไปทางท้องฟ้าที่มีเมฆดำพลิกม้วนอย่างไม่รีบร้อน

“ของวิเศษขั้นหก” เหมียวอี้พึมพำในใจ สายตากำลังจ้องฐานดอกบัวของพระโพธิสัตว์หลันเย่

บนท้องฟ้าเหนือบัลลังก์แสงสว่าง เมฆดำพลิกม้วนเกิดเป็นช่องโหว่ช่องหนึ่ง ทั้งยังปรากฏท้องฟ้าสีครามวงหนึ่งด้วย พระโพธิสัตว์หลันเย่ที่หลับตาสวดมนต์อยู่บนฐานดอกบัวถูกเสาแสงด้านบนยิงส่องลงมาครอบไว้ แต่รอบข้างกลับเป็นเมฆดำพลิกม้วนที่มีฟ้าร้องฟ้าแลบ พระโพธิสัตว์หลันเย่ราวกับเป็นดาวช่วยชีวิตจาดแดนแสงธรรมที่พุ่งฝ่าความมืด ฉากที่ทั้งอัศจรรย์ทั้งศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ทำให้คนวู่วามอยากจะก้มกราบโดยจิตใต้สำนึก

และเสียงสวดมนต์ของพระโพธิสัตว์หลันเย่ที่กำลังทะยานขึ้นฟ้าก็ยิ่งโอ่อ่ามากขึ้น เหนือกว่าทุกเสียงสวดข้างล่างรวมกัน

ในขณะนี้ พายุฝนเริ่มซาลงทีละนิด ก่อนจะหายไปโดยสิ้นเชิงฟ้าแลบฟ้าร้องบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ เงียบสงบเช่นกัน ฟ้าสีครามเริ่มขยายจากพระโพธิสัตว์หลันเย่ออกไปรอบด้าน เหมือนไม่กล้าดูหมิ่นนาง แล้วก็เหมือนถูดแรงกดดันจากการสยบมารปราบปีศาจของนาง เมฆดำพลิกม้วนไหลออกไป เหมือนมาจากตรงไหนก็กลับไปตรงนั้น

เสาแสงที่ขยายอยู่บนท้องฟ้าครอบคลุมอารามหลันเย่อีกครั้ง ขยายไปทั่วทั้งภูเขา วงแสงกวาดขยายไปทั่วทั้งผิวทะเล

จนกระทั่งเมฆดำพลิกม้วนหายไปจนหมด ท้องฟ้ากลับมาสว่างสดใสอีกครั้ง บนเกาะที่กระจัดกระจายเหมือนหมู่ดาวด้านล่างก็ปรากฏรุ้งกินน้ำหลายสายทันที ปรากฏออกมาด้วยความเร็วอย่างที่คาเปล่าสังเกตเห็นได้ เริ่มจากไกลมาใกล้ สายรุ้งขนาดใหญ่ที่เหมือนสะพานสวรรค์ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า วาดเป็นเส้นโค้งอยู่บนท้องฟ้าเหนืออารามหลันเย่

ส่วนพระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ราวกับนั่งสมาธิอยู่บนสายรุ้ง ธรรมลักษณ์ สง่างาม ศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์จนทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างหาเหตุผลไม่ได้ ทำให้คนรุ้สึกทึ่งจริงๆ

จู่ๆ กลุ่มคนที่กำลังแอบตกตะลึงก็พากันมองไปที่ผิวทะเลเบื้องล่าง เห็นเพียงมีละอองน้ำกระจายอยู่ทั่วผิวทะเล พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป ก็พบว่ามีปลาหลายตัวกระโดดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ กระโดดไม่หยุด ปลาน้อยกระโดดเสียงดังจ๋อม ปลาใหญ่พุ่งขึ้นมาเหนือผิวน้ำไกลมาก ทำให้น้ำกระเด็นลงมาดังตูม

ทั้งผิวทะเลคึกคักราวกับน้ำเดือดปุดๆ ปลาเล็กปลาใหญ่นานาชนิดราวกับกำลังกระโดดอย่างสนุกสนาน เหมือนกำลังเฉลิงฉลองที่พระโพธิสัตว์หลันเย่คืนแสงสว่างให้พวกมัน ขอบคุณพระโพธิสัตว์หลันเย่ที่ขับไล่มารร้ายที่ปกคลุมฟ้าดิน

ประกอบกับฉากอันงดงามของรุ้งกินน้ำหลายสาย ทำให้คนรู้สึกเหมือนฟ้าดินพลิกโฉมหน้าใหม่ หัวใจและจิตวิญญาณของทุกคนราวกับได้ถูกชำระล้าง แต่ละคนได้ลิ้มลองรสชาติความลี้ลับมหัศจรรย์อย่างที่บรรยายออกมาได้ยาก

“อามิตตาพุทธ!” พระโพธิสัตว์หลันเย่ที่นั่งขัดสมาธิหลับตาประนมมืออยู่เหนือสายรุ้งพลันเอ่ยนามพระพุทธาเจ้า เสียงดังก้องทั่วทั้งฟ้าดิน

“เป๋ง…เป๋ง…เป๋ง…” เสียงระฆังดังก้องอยู่ในอารามหลันเย่อีกครั้ง

เสียงเคาะบักฮื้อเงียบลงแล้ว เสียงสวดมนต์เงียบลงแล้ว

รอบข้างพลันเงียบสงบ เสียงลมและเสียงคลื่นบนผิวทะเลดังเข้ามาในหู ชัดเจนจนสามารถได้ยินได้ ทุกคนเกิดความรู้สึกบางอย่าง ราวกับมีดอกไม้หอมซึมซาบเข้ามาในปอด ทำให้คนสดชื่นผ่อนคลายหัวใจ บวกกับฉากอัศจรรย์ของสายรุ้งที่มีอยู่ทั่วทุกที่ตรงหน้า ความรู้สึกนั้นยอดเยี่ยมจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ถูกจริงๆ

“รบกวนทุกท่านเดินทางไกลมางานพิธีวันเกิดแล้ว อาตมาขอกล่าวขอบคุณตรงนี้ อามิตตาพุทธ!” พระโพธิสัตว์หลันเย่ประนมมือขอบคุณอยู่บนท้องฟ้า

ทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือปุถุชน ต่างก็ประนมมือทำความเคารพกลับ มองดูฐานดอกบัวแบกพระโพธิสัตว์หลันเย่เหาะกลับเข้ามาในอาราม

ไม่มีสุราอาการเลิศรสในงานเลี้ยง งานพิธีที่ดำเนินต่อเนื่องมาได้เกือบหนึ่งชั่วยามจบลงตรงนี้ หมายความว่าการเฉลิมฉลองวันเกิดของพระโพธิสัตว์หลันเย่จบลงแล้ว แต่ก็ยังทำให้คนไม่น้อยขบคิดถึงรสชาติมิรู้ลืม งานพิธีแบบนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เห็น เป็นการบุกเบิกสิ่งใหม่จนทำให้หวนนึกถึงไม่รู้ลืมจริงๆ คนที่ไม่เคยเห็นก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตาเยอะมาก

มีคนเริ่มกล่าวขอตัวลา มีบางคนยังคงทอดถอนใจด้วยความทึ่งเหมือนกับเหมียวอี้ จนกระทั่งปลาที่กระโดดเฉลิมฉลองบนผิวทะเลหายไป ก็มีคนไม่น้อยที่ได้สติกลับมาจากแดนมหัศจรรย์ พอมองไปรอบๆ อีกครั้ง ก็พบว่ารุ้งกินน้ำหลายสายยังคงไม่หายไป

“แม่ทัพภาคหนิว กลับด้วยกันมั้ย?” กำลังพลในเครือข่ายตระกูลโค่วเอ่ยถาม

เหมียวอี้หันกลับมาตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าเตรียมจะเที่ยวเล่นที่แดนสุขาวดี พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”

พระอรหันต์ตัวลี่ที่เดินเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พอได้ยินแบบนั้นก็เหลือบมองเหมียวอี้อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วหันตัวช้าๆ เดินออกไป

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ขอตัวก่อน” กลุ่มกำลังพลสายตระกูลโค่วกุมหมัดอำลา

“ส่งตรงนี้!” เหมียวอี้กุมหมัดตอบด้วยรอยยิ้ม

ทางนี้กำลังส่งคนกลุ่มหนึ่งไป เฉาเฟิ่งฉือก็เดินเข้ามาถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่ทัพภาคจะกลับตลาดผีด้วยกันมั้ย?”

“ข้าเตรียมจะอยู่เปิดหูเปิดตาอีกสักหน่อย” เหมียวอี้โบกมือชี้สายรุ้งที่อยู่รอบๆ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่แล้วจริงๆ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวิชาพุทธของพระโพธิสัตว์หลันเย่จะสูงส่งล้ำลึกขนาดนี้ สามารถควบคุมปรากฏการณ์ฟ้าดินได้”

เฉาเฟิ่งฉือยิ้มเรียบๆ หันมองไปโดยรอบก่อนจะเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “เป็นความสามารถอันน้อยนิดเท่านั้นเอง รวบรวมพลังปรารถนาของสรรพสิ่งแล้วเร่งให้เกิดปฏิกิริยาออกมา วิชาพุทธที่ลึกล้ำอย่างแท้จริงสามารถอาศัยกำลังของคนคนเดียวเพื่อพลิกโฉมฟ้าดินได้เลย พระโพธิสัตว์หลันเย่ยังห่างจากระดับนั้นอีกไกล แน่นอนว่าวันนี้พระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ได้แสดงให้เห็นการรวมพลังกันของทุกคนแล้ว ถ้าทุกคนในอารามหลันเย่ไม่สามารถรวมใจเป็นดั่งกำแพง พร้อมใจกันส่งแรงอธิษฐาน ก็สำแดงเรื่องปาฏิหาริย์แบบนี้ออกมาไม่ได้หรอก นี่ก็คือเสน่ห์ของวิชาพุทธ”

…………………………

ฝูงชนแปลกใจว่าพระโพธิสัตว์หลันเย่กำลังจะทำอะไร บรรดาศิษย์ของหลันเย่ที่มองไปรอบๆ ก็มีท่าทางสงสัยประหลาดใจเช่นกัน เหมือนไม่เข้าใจว่าหลันเย่กำลังจะทำอะไรกันแน่ ในขณะนี้เอง จู่ๆ หลันเย่ก็ทะยานขึ้นฟ้าสูงอีกครั้ง แล้วเหาะไปยังบางจุดอย่างไม่ช้าไม่เร็ว

ตอนนี้กลุ่มคนที่ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองเผยสีหน้าเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน เห็นเพียงบนท้องฟ้ามีผู้หญิงสิบกว่าคนปรากฏตัว พวกนางเหาะมาพร้อมกัน ที่คอสวมใส่สร้อยหยก ราวกับเป็นนางฟ้านางสวรรค์ ทุกคนเข้าใจแล้วว่าคงจะมีแขกมา

แต่ว่าแขกจากที่ไหนกันที่ทำให้พระโพธิสัตว์หลันเย่รีบออกมาต้อนรับด้วยตัวเองได้? เมื่อมองให้ละเอียดก็พบว่าเป็นเทพธิดาชาวพุทธระดับบงกชรุ้งกลุ่มหนึ่ง แต่ผู้ที่นำหน้ามากลับเป็นนักพรตบงกชทอง และหลังจากพระโพธิสัตว์หลันเย่เข้าไปต้อนรับแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะทำความเคารพนักพรตบงกชทองท่านนั้น ชัดเจนว่าเป็นท่าทีของผู้น้อยต่อผู้ใหญ่

ลูกศิษย์บางส่วนของหลันเย่รีบทะยานขึ้นฟ้า เข้าไปทำความเคารพแล้ว

มีคนไม่น้อยพากันเดาะลิ้นอย่างแปลกใจ พากันเดาว่านักพรตบงกชทองผู้นั้นเป็นใคร

“ไม่รู้ว่าท่านนั้นเป็นใคร ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้พระโพธิสัตว์เคารพนบนอบขนาดนี้?” มีคนเริ่มถามพระธุดงค์ที่อยู่ข้างกัน

มีพระธุดงค์เริ่มส่ายหน้า และมีพระธุดงค์ประนมมือกล่าวว่า “ที่แท้ฆราวาสผู่หลันก็มาเยือนด้วยตนเอง ดีแล้ว ดีงามแล้ว”

ทุกคนได้ยินแล้วก็ยิ่งแปลกใจ ฆราวาส? หรือพูดได้อีกอย่างว่าเป็นนักพรตชาวพุทธที่ยังไม่ได้รับแต่งตั้ง เป็นคนที่ยังไม่มีตำแหน่งในสำนักพุทธ ทำไมถึงได้รับการต้อนรับอันทรงเกียรติขนาดนี้จากพระโพธิสัตว์หลันเย่?

แม้แต่เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็เอียงหน้ามองไปทางพระธุดงค์ เงี่ยหูตั้งใจฟัง อยากจะสืบว่านางเป็นใครกันแน่

มีคนถามว่า “ฆราวาสผู่หลันคนนี้เป็นใครเหรอ ทำไมถึงได้รับการต้อนรับอันทรงเกียรติจากพระโพธิสัตว์ขนาดนี้?”

พระธุดงค์ตอบว่า “ฆราวาสผู่หลันคือศิษย์ที่พุทธะจิ้งฮวารับไว้เป็นกรณีพิเศษ เป็นศิษย์คนเล็กสุดของพุทธะจิ้งฮวาในตอนนี้”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ที่แท้ถ้านับลำดับอาวุโส ฆราวาสผู่หลันก็ยังมีศักดิ์เป็นอาจารย์อาของพระโพธิสัตว์หลันเย่ ทั้งยังถูกพุทธะจิ้งฮวารับเป็นศิษย์เป็นกรณีพิเศษ จะเห็นได้ว่าได้รับความสำคัญจากพุทธะจิ้งฮวาขนาดไหน ไม่แปลกใจที่พระโพธิสัตว์หลันเย่เคารพขนาดนี้

และดูจากท่าทางของพระโพธิสัตว์หลันเย่ที่รีบออกมาต้อนรับเมื่อใกล้ถึงเวลา ก็มีความเป็นไปได้เก้าในสิบที่ก่อนหน้านี้พระโพธิสัตว์หลันเย่ไม่รู้ว่าฆราวาสผู่หลันจะมา เพิ่งจะได้รับข่าวเมื่อเรื่องจวนตัว ไม่รู้ว่าจะอวยพนวันเกิดให้พระโพธิสัตว์หลันเย่

บนท้องฟ้า กลุ่มคนขบวนหนึ่งเหาะลงมาจากข้างบน ไม่ได้เข้าผ่านประตูใหญ่ แต่เหยียบลงนอกพระอุโบสถโดยตรง แล้วก็เข้ามาในพระอุโบสถโดยมีพระโพธิสัตว์หลันเย่เดินอยู่เคียงข้างด้วยตัวเอง

“ไม่รู้ว่าฆราวาสผู่หลันท่านนี้มีประวัติที่มายังไง ไม่น่าเชื่อว่าพุทธะจิ้งฮวาจะรับไว้เป็นศิษย์คนสุดท้าย?” ด้านนอกมีคนถามขึ้นอีก

“ไม่รู้สิ” พระธุดงค์ผู้นั้นส่ายหน้า

ตรงนั้นเกิดเสียงกระซิบกระซาบสืบถามอยู่ข้างกายพระธุดงค์ทันที คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์กระเพื่อมไปทั่ว เหมียวอี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น กำลังพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาสบเช่นกัน แต่จนใจที่ไม่รู้ว่าทุกคนไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ ไม่มีพระธุดงค์คนไหนในงานที่สามารถพูดสิ่งนี้ออกมาได้เลย

เหมียวอี้ที่สังเกตการณ์รอบตัว เดิมทีก็ไม่ได้สนใจฆราวาสผู่หลันสักเท่าไรอยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับตน ใครจะคิดว่าจะบังเอิญเห็นหวงฝู่เยี่ยนที่นั่งอยู่ท่ามกลางคนตระกูลหวงฝู่มีสีหน้าเรียบเฉย เมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่สืบถามไปทั่วก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับนกกระเรียนในฝูงไก่ เขาอดไม่ได้ที่จะเกิดความคิดบางอย่างในใจ หรือว่าหวงฝู่เยี่ยนจะรู้ประวัติของฆราวาสผู่หลันท่านนี้?

คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเป็นไปได้ เพราะสมาคมวีรชนมีช่องทางข่าวสารดีมาก ไม่แน่ว่าอาจจะรู้อะไรบ้าง

เมื่อนึกถึงตรงนี้ เหมียวอี้เห็นว่ามีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์อยู่ทั่วทั้งงาน สามารถอาศัยคลื่นเหล่านี้กลบเกลื่อนคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองได้ จึงห้อยแขนเสื้อข้างหนึ่งต่ำลง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหวงฝู่จวินโหรว

หวงฝู่จวินโหรวที่ยืนอยู่กับคนในตระกูลงงไปชั่วขณะ ชำเลืองมองไปทางเหมียวอี้แวบหนึ่ง เหมียวอี้เป็นคนส่งข้อความมาหาตนแท้ๆ แต่เหมียวอี้กลับไม่มองมาทางนี้ แต่กลับจงใจมองไปอีกด้านหนึ่ง

พฤติกรรมเหมือนโสเภณีที่อยากได้ป้ายสรรเสริญความดีแบบนี้ ทำให้หวงฝู่จวินโหรวทั้งโมโหทั้งอยากขำ นางห้อยแขนเสื้อข้างหนึ่งแล้วหยิบระฆังดาราออกมาเช่นกัน : มีอะไร?

เหมียวอี้ถามว่า : ดูจากท่าทางที่ทุกคนอยากรู้อยากเห็นมาก ฆราวาสผู่หลันท่านนี้มีประวัติที่มายังไงกันแน่?

หวงฝู่จวินโหรว : ข้าเองก็ได้ยินเป็นครั้งแรกเหมือนกัน จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ?

เหมียวอี้ : ถามท่านตาเจ้าสิ เขาอาจจะรู้อะไรบางอย่างก็ได้

หวงฝู่จวินโหรวอึ้งทันที แล้วก็หันกลับไปมองหวงฝู่เยี่ยน จากสิ่งที่เหมียวอี้บอกเตือน ก็เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่นางก็ไม่สะดวกจะถามท่านตาของตัวเองโดยตรง จึงย้ายไปถามมารดาที่อยู่ข้างหน้า

หวงฝู่ตวนหรงเหล่ตามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง จากนั้นก็หันตัวไปยืนข้างกายหวงฝู่เยี่ยน เหมือนกำลังถ่ายทอดเสียงถามอะไรบางอย่าง

ผ่านไปไม่นาน หวงฝู่จวินโหรวก็ตอบข้อความกลับมาแล้ว : หลายพันปีก่อนจู่ๆ พุทธะจิ้งฮวาก็รับศิษย์คนคนสุดท้ายเป็นพรณีพิเศษ สิ่งนี้ทำให้สมาคมวีรชนสนใจ เบื้องบนก็ออกคำสั่งมาให้สืบเรื่องนี้เช่นกัน จากเบาะแสบ้างอย่างทำให้สืบเจอว่าฆราวาสผู่หลันท่านนี้ไม่ได้มีพื้นเพมาจากแดนสุขาวดี แต่มาจากดาวไร้ลักษณ์ในเขตตำหนักสวรรค์ ตอนนี้พุทธะจิ้งฮวารับเป็นศิษย์นางก็เป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว เหมือนจะมีลูกชายหนึ่งคนด้วย ถูกพุทธะจิ้งฮวาแนะนำให้ไปฝึกตนที่ภูเขาหลิงซาน สำนักพุทธจงใจปิดข่าว สมาคมวีรชนก็เลยรู้ไม่เยอะเช่นกัน สืบได้แค่เท่านี้

ข่าวนี้ฟังดูเหมือนไม่เป็นความลับสักเท่าไร แต่คำว่า ‘ดาวไร้ลักษณ์’ ยังทำให้เหมียวอี้รู้สึกตะลึงในใจ ช่างบังเอิญจริงๆ ตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ พื้นเพของตนก็นับว่ามาจากดาวไร้ลักษณ์เหมือนกัน นึกมถึงว่าจะบังเอิญมาเจอ ‘บ้านเกิด’ แล้ว เพียงแต่เป็นเรื่องเมื่อหลายพันปีก่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นตัวเองยังอยู่ที่ดาวไร้ลักษณ์หรือเปล่า

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าทางหวงฝู่เยี่ยนรู้มากเท่าไร หรือว่ารู้แล้วไม่ยอมบอก หรือไม่ก็สืบแล้วแต่สืบได้ไม่เยอะ ก็เลยทำสีหน้าเรียบเฉยอย่างนั้น สรุปก็คือเหมียวอี้รู้สึกว่าถามแล้วไม่ได้อะไร

ในขณะนี้เอง จู่ๆ เมี่ยวฉุนก็เดินผ่านฝูงชนเข้ามา มากุมหมัดคารวะเชิญอยู่ข้างกายเหมียวอี้ “ฆราวาสผู่หลันทราบว่ามีแขกผู้มีเกียรติมาเยือน บอกว่าจะต้อนรับอย่างเย็นชาไม่ได้ เชิญแม่ทัพภาคหนิวไปพบที่พระอุโบสถสักครั้ง”

เหมียวอี้ยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน คิดในใจว่าตัวเองนับเป็นแขกผู้มีเกียรติเสียที่ไหนกัน แค่ได้ชื่อว่าเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วเท่านั้นแหละ

แน่นอน คงไม่ดีที่จะทำตัวไม่รู้กาลเทศะ ถึงอย่างไรตัวเองก็เป็นตัวแทนตระกูลโค่ว ถ้าไม่รู้จักมีมารยาทธรรมเนียมจนตระกูลโค่วเสียหน้า ก็จะทำให้ตระกูลโค่วไม่พอใจ ย่อมต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว

ตอนที่เดินไปถึงบันไดพระอุโบสถ เหมียวอี้ถึงได้พบว่าแขกผู้มีเกียรติไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว นอกจากพระกลุ่มหนึ่งแล้ว ก็ยังมีแขกผู้มีเกียรติกลุ่มหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนปุถุชนกำลังเดินขึ้นบันได้เช่นกัน สิ่งที่บังเอิญก็คือ เหมียวอี้รู้จักคนพวกนี้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย

สี่อ๋องสวรรค์ จอมพลสิบสองสายล้วนส่งคนมา เหมียวอี้ก็ย่อมเป็นหนึ่งในนั้น ฆราวาสผู่หลันเหมือนจะให้เข้าพบเฉพาะคนที่ระดับจอมพลขึ้นไปส่งมา สิ่งนี้ไม่ได้สำคัญอะไรเลย เพราะสิ่งที่ทำให้เหมียวอี้แอบขำก็คือ ตระกูลเซี่ยโห้วกับตึกศาลาสัตยพรตแยกกันส่งคนมา คนที่ตระกูลเซี่ยโห้วส่งมาก็คือเซี่ยโห้วหู่เฉิงน้องชายของเซี่ยโห้วหลงเฉิง ส่วนคนที่ตึกศาลาสัตยพรตส่งมาก็คือเฉาเฟิ่งฉือ ล้วนเป็นคนคุ้ยเคยกันทั้งนั้น

เหมียวอี้เดาว่าฝั่งอารามหลันเย่คงจะแกล้งโง่ มีใครไม่รู้บ้างว่าตระกูลเซี่ยโห้วกับตึกศาลาสัตยพรตเป็นพวกเดียวกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะยังแสดงละคนส่งคนมาสองกลุ่ม นี่ก็คือความดื้อดึงของคนมีเงิน ไม่ถือสาที่จะส่งมอบของขวัญอีกส่วนหนึ่ง

ส่วนเซี่ยโห้วหู่เฉิงก็เหมือนจะรู้สึกดีกับเหมียวอี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะพยักหน้าให้เหมียวอี้ด้วยรอยยิ้ม ต่อให้ไม่เห็นแก่หน้าคนเป็นก็ต้องเห็นแก่หน้าคนตาย ไม่ว่าแม่ทัพภาคหนิวท่านนี้จะเป็นอย่างไร แต่ก็นับว่าเป็นสหายของพี่ใหญ่ตอนที่มีชีวิตอยู่

ถ้าเขารู้ว่าเบื้องหลังคนที่ฆ่าพี่ชายของเขาคือเหมียวอี้ ก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรบ้าง

ท่าทีที่เฉาเฟิ่งฉือมีต่อเหมียวอี้ก็เหมือนจะไม่เลวเหมือนกัน นางพยักหน้ายิ้มบางๆ ในจุดนี้เหมียวอี้ซาบซึ้งใจนานแล้ว ตอนเจอกันที่ตึกศาลาสัตยพรต เหมียวอี้ก็สังเกตได้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้มีท่าทีต่อเขาค่อนข้างดี

คนที่มาในนามจอมพลสามสายที่อยู่ใต้สังกัดตระกูลโค่ว ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบเหมียวอี้ แต่ก็ล้วนสำนึกได้แล้วไปยืนข้างหลังเหมียวอี้เพื่อแสดงความเคารพ ก็ช่วยไม่ได้ เพราะนี่คือลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว อีกฝ่ายเป็นตัวแทนของตระกูลโค่ว ถ้าไม่ไว้หน้าเขาก็เท่ากับไม่ไว้หน้าตระกูลโค่ว ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว

ส่วนคนกลุ่มอื่น ก็ไม่ได้รู้สึกดีกับเหมียวอี้เท่าไรนัก โดยเฉพาะอิ๋งหยาง เป็นทายาทรุ่นที่สามของตระกูลโค่ว เป็นลูกพี่ลูกน้องของอิ๋งฮุยที่ตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ที่อุทยานหลวง แน่นอน ความสัมพันธ์เลวร้ายระหว่างตระกูลโค่วกับเหมียวอี้ไม่ใช่เพราะเรื่องการตายของอิ๋งฮุยอย่างเดียว คนที่รู้สถานการณ์เบื้องลึกต่างก็รู้ว่าพูดไปก็เรื่องยาว ดังนั้นอิ๋งหยางจึงมองเหมียวอี้ด้วยสายตาเย็นเยียบดุร้ายอย่างไม่ปิดบังเลยสักนิด

เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจเขา รู้ว่าถึงแม้ตัวเองจะก้มหัวให้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ใจกว้างให้อภัยอยู่ดี

คนกลุ่มหนึ่งเจอกันบนบันได โดยมีตัวแทนของสี่อ๋องสวรรค์กับตระกูลเซี่ยโห้วอยู่หน้าสุด ทั้งหมดถูกเชิญเข้าไปในพระอุโบสถ

ในอุโบสถ กลุ่มนักบวชยืนแยกอยู่สองแถวทางซ้ายและขวา พระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ลงจากฐานดอกบัวแล้วเช่นกัน ไม่กล้าโอ้อวดต่อหน้าฆราวาสผู่หลัน นางยืนอยู่ข้างกายฆราวาสผู่หลันแล้ว

ส่วนฆราวาสผู่หลันท่านนี้ก็หน้าตางดงามไม่ธรรมดาจริงๆ ผมยาวประแผ่นหลัง ใบหน้าหยกดูสง่าภูมิฐาน หน้าผากนูนเกลี้ยงเกลา มองไม่เห็นความประมาทเลินเล่อในดวงตา เปล่งประกายดุจดาวในดาราจักร สวมชุดกระโปรงสีขาวของฆราวาส สร้อยหยกห้อยอยู่ตรงหน้าอกที่อิ่มเอิบ ทั้งตัวเผยความสง่างามในความสงบนิ่ง มองปราดเดียวก็รู้สึกว่ามีกลิ่นอายบริสุทธิ์เหนือโลกีย์โผเข้าปะทะหน้า

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า รู้สึกว่าพอตัวเองเข้ามาแล้ว ฆราวาสผู่หลันท่านนี้ก็จับตามองตัวเองทันที เหมือนจะจ้องประเมินตนอยู่ตลอด ทำเอาเขายกมือขึ้นลูบใบหน้าว่ามีอะไรติดหรือเปล่า

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเข้าใจผิดจริงๆ สงสัยว่าฆราวาสผู่หลันท่านนี้รู้จักตนหรือเปล่า อย่าบอกนะว่าเคยเจอกันที่ดาวไร้ลักษณ์มาก่อนจริงๆ? แต่พอเขาลองจัดระเบียบความคิดในหัว ถ้าเคยพบท่านนี้จริงๆ นางก็มีภาพลักษณ์ที่ไม่ธรรมดา เป็นไปไม่ได้ที่ตัวเองจะจำไม่ได้เลยสักนิด จะต้องไม่รู้จักแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็ต้องมีภาพรางๆ บ้าง

หลังจากเดินเข้ามาดู อยากจะยืนยันอะไรบางอย่างจากสายตาของอีกฝ่าย แต่ก็พบว่าสายตาของฆราวาสผู่หลันย้ายออกจากตัวเขาไปแล้ว เริ่มไปมองประเมินคนอื่นแทน ทำให้เหมียวอี้สงสัยอีกครั้งว่าตัวเองอาจจะเข้าใจผิดไป เป็นตัวเองที่คิดมากไปเอง

ไม่ว่าจะอย่างไร ประวัติความเป็นมาของฆราวาสผู่หลันก็เป็นเพียงฆราวาสคนหนึ่ง ดังนั้นทุกคนก็ยังกุมหมัดคารวะหรือไม่ก็ประนมมือให้พระโพธิสัตว์หลันเย่ “พระโพธิสัตว์!”

พระโพธิสัตว์หลันเย่ยิ้มพลางพยักหน้าเล็กน้อย แล้วยกมือแนะนำฆราวาสผู่หลันที่อยู่ข้างกัน “ท่านนี้คือฆราวาสผู่หลันอาจารย์อาของข้า ได้ยินว่ามีแขกผู้มีเกียรติมาที่นี่ จึงตั้งใจมาเจอทุกท่านที่นี่ จะได้ไม่เป็นการเมินเฉยแขก”

เซี่ยโห้วหู่เฉิงไม่เกี่ยงงอนในสิ่งที่ควรกระทำ เป็นคนแรกที่กุมหมัดทำความเคารพ “เซี่ยโห้วหู่เฉิงคำนับฆราวาส”

ตามด้วยตระกูลอิ๋งที่คุมทัพหนึ่งในสี่ให้ตำหนักสวรรค์ อิ๋งหยางกุมหมัดคารวะ “อิ๋งหยางคำนับฆราวาส”

จนกระทั่งถึงคราวของเหมียวอี้ “หนิวโหย่วเต๋อคำนับฆราวาส” พอพูดจบก็รู้สึกได้ว่าฆราวาสผู่หลันกำลังสบตากับตัวเอง แต่สายตาก็ย้ายไปที่ตัวเฉาเฟิ่งฉืออย่างรวดเร็ว

“ตึกศาลาสัตยพรตเฉาเฟิ่งฉือคำนับฆราวาส”

หลังจากเฉาเฟิ่งฉือคำนับแล้ว คนของจอมพลแต่ละสายก็มาคำนับอีก

หลังจากฆราวาสผู่หลันประนมมือเคารพกลับทีละคน สายตาก็ไปหยุดอยู่บนหน้าเหมียวอี้อย่างเป็นทางการ แล้วถามพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เจ้าก็คือหนิวโหย่วเต๋อ ลูกเขยสุดที่รักของอ๋องสวรรค์โค่วใช่มั้ย?”

เหมียวอี้แอบรู้สึกจนใจ ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นใคร พอพูดถึงตนก็จะพ่วงคำว่า ‘ลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่ว’ มาด้วยเสมอ เขากุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ใช่แล้วขอรับ ไม่ทราบว่าฆราวาสมีอะไรจะชี้แนะ?”

ฆราวาสผู่หลันจ้องตาเหมียวอี้พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า “ไม่กล้านับว่าชี้แนะหรอก! อาตมาได้ยินชื่อท่านโด่งดังที่แดนสุขาวดีมานานแล้ว ได้เห็นวันนี้ก็นับว่ามีสง่าราศีไม่ธรรมดาจริงๆ ดีแล้ว ดีงามแล้ว”

…………………………

หวงฝู่จวินโหรวก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเขาอย่างไรดี ที่บอกกับมารดาตัวเองไป ก็เพราะอยากจะให้มารดารู้ว่าตัวเองจะยังไม่กลับไป แต่ใครจะคิดว่าหวงฝู่ตวนหรงจะเดาออกทันทีว่านางอยู่กับใคร จะเป็นจะตายก็จะมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นนางก็ต้องกลับไปเดี๋ยวดี ไม่ให้โอกาสนางได้มาเกลือกกลั้วอยู่กับใคร

รวดเร็วมาก หวงฝู่ตวนหรงกับอู่หนิงมาพร้อมกันแล้ว เหมียวอี้ หวงฝู่จวินโหรวและเหยียนซิวออกไปตอนรับด้านนอก เหมียวอี้เองก็ไม่อยากหลบอยู่ในลานบ้านให้คนเข้าใจผิดว่าเขากับคนของตระกูลหวงฝู่มีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกต่อกัน เพราะสมาคมวีรชนเป็นสิ่งที่อ่อนไหวจริงๆ คาดว่าตระกูลโค่วเองก็ไม่อยากทำให้เรื่องนี้คลุมเครือเช่นกัน

หวงฝู่ตวนหรงรูจักเหมียวอี้ แต่สำหรับอู่หนิงที่ดูอิสระเจ้าสำราญ เหมียวอี้ค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเขาอยู่บ้าง ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีมาก ดูแล้วก็ไม่เหมือนสามัญชนจนตรอก แต่กลับยินดีแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเจ้าตัวคิดได้อย่างไร ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า ไม่รู้ว่าทำไมจึงรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีอารมณ์กลัดกลุ้มเล็กๆ แวบผ่านใบหน้าไปอย่างอธิบายไม่ถูก

หลังจากทั้งสองฝ่ายทักทายปราศัยกันไม่กี่ค่ำ หวงฝู่ตวนหรงก็เย็นชามา กลับเป็นอู่หนิงที่มีท่าทีค่อนข้างอบอุ่นและสบายๆ กับเหมียวอี้ คุยไปยิ้มไป ดูเป็นคนสบายใจไร้กังวลจริงๆ

เมี่ยวฉุนได้รับข่าวแล้ว นางเหาะมาเป็นผู้นำทางให้คนกลุ่มนี้

ความเจริญรุ่งเรืองในโลกมนุษย์ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง เอาเป็นว่าไม่ค่อยแตกต่างกับโลกมนุษย์ในเขตของตำหนักสวรรค์สักเท่าไร เต็มไปด้วยกลิ่นอายของแดนพุทธ ให้ความรู้สึกว่าเป็นเสน่ห์ของต่างแดน

พวกเขาเดินไปตามถนนที่เจริญเฟื่องฟู เมี่ยวฉุนถ่ายทอดเสียงแนะนำตลอดทาง อู่หนิงฟังไปพยักหน้าไป หันซ้ายหันขวาดูสินค้า สีหน้าผ่อนคลายสบายใจ

หวงฝู่ตวนหรงกลับเฝ้าตามติดอยู่ข้างกายลูกสาว ไม่ให้โอกาสลูกสาวได้มีโอกาสแอบคุยกับเหมียวอี้ นี่ก็คือเหตุผลที่นางดึงดันจะมาให้ได้ นางรู้สึกกลัวแล้วจริงๆ กลัวว่าคนหนุ่มสาวจะไม่มีความสามารถในการควบคุมตัวเอง ที่นี่คือที่ไหนล่ะ? ถ้าเรื่องระหว่างลูกสาวกับเหมียวอี้ถูกเปิดโปงขึ้นมา ผลที่ตามมาก็เลวร้ายจนไม่อยากจินตนาการถึงเลย

ภายนอกหวงฝู่จวินโหรวดูสงบใจเย็น แต่ในใจกลับคับแค้น ดูจากสายตาที่เหลือบมองมารดาเป็นระยะก็รู้แล้ว ส่วนสายตาที่มองเหมียวอี้ก็ทำให้เข้าใจโดยไม่ต้องพูดเลย นางโทษเหมียวอี้ว่าไม่ควรเสนอความคิดว่าจะมาเดินเล่นที่นี่ ตอนนนี้โดนคนจับตาดูแบบเข้มงวดแล้ว สนุกตรงไหน?

เหมียวอี้กลับไม่เป็นอะไร ถ้ามีหวงฝู่ตวนหรงคอยดูแลลูกสาวตัวเองได้ก็ดีที่สุดแล้ว

ทว่าการมาของหวงฝู่ตวนหรงก็ไม่ได้สงบอย่างที่เขาคิด ตอนที่เดินมาถึงทะเลสาบแห่งหนึ่งในเมือง จู่ๆ หวงฝู่ตวนหรงก็ถามว่า “แม่ทัพภาคหนิว อยู่ที่ตลาดผีเป็นยังไงบ้าง?”

หลายคนที่ได้ยินคำถามนี้มองมาพร้อมกัน เหมียวอี้ก็งงเช่นกัน จากนั้นก็ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ผู้จัดการใหญ่กำลังพูดหยอกหนิวเหรอ? สถานการณ์ของหนิว คาดว่าคงไม่ต้องพูดอะไรมากหรอก”

หวงฝู่ตวนหรงส่ายหน้าเบาๆ “ถึงยังไงแม่ทัพภาคหนิวก็เป็นแม่ทัพภาคตลาดผี ทางสมาคมวีรชนมีเรื่องนิดหน่อย ไม่ทราบว่าจะให้โอกาสขอคำชี้แนะได้หรือเปล่า?”

เหมียวอี้พึมพำในใจ ผู้หญิงคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่? ภายนอกกลับยิ้มพร้อมถามว่า “มิกล้าปฏิเสธ?”

หวงฝู่ตวนหรงเอียงหน้าบอกลูกสาวทันที “โหรวโหรว ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนพ่อเจ้าสักหน่อย” ไม่สนว่าสองพ่อลูกจะเต็มใจหรือไม่ นางบอกเมี่ยวฉุนอีกว่า “พระอาจารย์ใหญ่ ข้ากับแม่ทัพภาคหนิวขอคุยกันส่วนตัว คงไม่มีปัญหาใช่มั้ย?”

อู่หนิงกวาดตามองฮูหยินของตัวเองอย่างแปลกใจเล็กน้อย ผลปรากฏว่าโดนถลึงตาใส่ ถึงได้หัวเราะร่าพลางจูงมือหวงฝู่จวินโหรวเดินออกไป

เมี่ยวฉุนก็ประนมมือแล้วเดินตามไปเช่นกัน หวงฝู่ตวนหรงเหลือบมองเหยียนซิวอีก เหมียวอี้จึงเข้าใจ เอียงหน้าบอกใบ้ให้เหยียนซิวถอยออกไปเช่นกัน

แต่เหยียนซิวก็ยังไม่ได้ออกไป ยังคงเดินตามหลังอยู่ไกลๆ

เมื่อเดินกับหวงฝู่ตวนหรงริมทะเลสาบได้สักพักแล้วไม่เห็นนางเอ่ยปากพูดอะไร เหมียวอี้ก็จำต้องเป็นฝ่ายถามก่อน “ผู้จัดการใหญ่มีอะไรจะกำชับหรือขอรับ?”

หวงฝู่ตวนหรงแสยะยิ้มทื่อๆ “เล่นมุกตลกเหรอ ข้าจะกล้ากำชับอะไรเจ้าล่ะ ท่านเป็นลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วเชียวนะ”

“…” ประโยคนี้ทำให้เหมียวอี้ไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรดี สิ่งที่แฝงอยู่ในคำพูดของอีกฝ่ายทำให้เขาละอายใจเล็กน้อย

การที่เขาไม่พูดอะไร ก็ไม่ได้แปลว่าหวงฝู่ตวนหรงจะปล่อยไป “เจ้าแซ่หนิว ไหนเจ้าลองบอกมาซิ ว่าเรื่องระหว่างเจ้ากับโหรวโหรวเตรียมจะทำยังไงกันแน่?”

เหมียวอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วโดยนคำถามกลับไป “ท่านคิดว่าควรทำยังไงล่ะ?”

หวงฝู่ตวนหรงหันกลับมาถลึงตาว่า “ตัดขาด! เจ้าน่าจะรู้นะ ว่าถ้าพวกเจ้าทำอย่างนี้ต่อไป ก็ไม่มีใครรับผิดชอบผลที่ตามมาไหวทั้งนั้น ตัดขาดอย่าให้เหลือเยื่อใยเดี๋ยวนี้!”

เหมียวอี้ครุ่นคิดพลางกล่าวช้าๆ ว่า “ผู้จัดการใหญ่ ข้าเข้าใจที่ท่านพูดทุกอย่างนะ แต่ข้าทำเรื่องที่ไร้ไมตรีอย่างนั้นไม่ลงหรอก ข้ารับประกันกับท่านได้อย่างเดียวเท่านั้น ถ้าท่านเกลี้ยกล่อมโหรวโหรวได้ ข้าก็ยินดีทำตามเจตนาของท่าน”

“เจ้า…” หวงฝู่ตวนหรงแค้นจนกัดฟันกรอด ถ้าตัวเองทำได้ก็คงทำไปนานแล้ว ยังจะต้องมาคุยกับเจ้าอีกเหรอ?

นางไม่มีหน้าจะไปพูดเรื่องนี้กับลูกสาวอีกแล้ว จึงหวังว่าจะเริ่มจัดการจากฝั่งเหมียวอี้ ให้เหมียวอี้เป็นคนใจร้ายถีบลูกสาวตัวเองออกมา

เหมียวอี้เห็นสีหน้านางแย่มาก จึงกล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ไม่สู้ให้ทำอย่างนี้ต่อไปดีกว่า พวกเราก็แค่ต้องระวังตัวมากขึ้นหน่อย น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”

หวงฝู่ตวนหรงโมโหจนหัวเราะประชด “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ข้าตั้งใจจะช่วยให้พวกเจ้าแอบคบกันต่อไป แต่เจ้าคิดเหรอว่าถ้าข้าอยากจะปิดบังแล้วจะปิดบังไหว? บิดานางก็ไม่ใช่คนโง่ เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน สักวันก็คงจะเผยพิรุธออกมาให้เห็น ถึงตอนนั้นทั้งตระกูลหวงฝู่จะต้องหัวหลุดสักกี่คนเพื่อชดเชยให้เรื่องนี้?”

“ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง สามีท่านจะทำร้ายคนในครอบครัวเชียวหรือ?” เหมียวอี้แปลกใจ

หวงฝู่ตวนหรงกัดฟันบอกว่า “ในเมื่อพูดถึงส่วนนี้แล้ว ข้าจะเปิดเผยให้ชัดเจนเพื่อให้เจ้าชั่งน้ำหนักเอาเองก็ได้ ประวัติของพ่อโหรวโหรวไม่ธรรมดาหรอก เขาเป็นคนของตำหนักสวรรค์ เป็นคนที่ผู้การใหญ่ซ่างกวนชิงของตำหนักสวรรค์จับแทรกเข้ามาในสมาคมวีรชนเพื่อจับตาดูตระกูลหวง คนประเภทพ่อของโหรวโหรวน่ะ ไม่ได้มีอยู่ในตระกูลหวงฝู่แค่คนสองคนหรอกนะ!”

เหมียวอี้ตกใจไม่เบา แต่ก็ยังถามเหมือนเดิม “เขาจะทำร้ายลูกสาวของตัวเองเชียวเหรอ?”

“แล้วจะให้เขาขอบคุณเจ้ารึไง? เจ้าทำอะไรกับลูกสาวเขาไปบ้างล่ะ? ถ้าเขารู้ขึ้นมา คงจะแค้นจนต้องฉีกเนื้อเจ้าทั้งเป็นแน่!” หวงฝู่ตวนหรงถ่ายทอดเสียงบอกอย่างโมโห

“เสือจะดุร้ายขนาดไหน แต่ก็ไม่กินลูกตัวเองหรอก ในเมื่อเข้ารักลูกสาวตัวเองขนาดนี้ มีหรือที่จะ…” เหมียวอี้กล่าว

หวงฝู่ตวนหรงพูดตัดบททันที “เรื่องบางเรื่องไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เจ้าคิด เจ้าเคยได้ยินชื่อหน่วยองครักษ์เงารึเปล่า?”

“หน่วยองครักษ์เงา?” ชื่อนี้เหมียวอี้เคยได้ยินมาจากเทพประจำดาวผังก้วน ในมือประมุขชิงมีกำลังพลกลุ่มหนึ่งที่เอาไว้ปฏิบัติภารกิจลับโดยเฉพาะ เขาอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึกด้วยความตระหนก “นี่ท่านกำลังบอกว่า พ่อของโหรวโหรวเป็นสมาชิกหน่วยองครักษ์เงาเหรอ?”

“สงสัยเจ้าจะรู้มาบ้างเหมือนกัน” หวงฝู่ตวนหรงเหล่ตามองพลางแสยะยิ้ม นางหยุดเดินแล้วหันตัวไปมองผิวคลื่นทะเลสาบที่สะท้อนแสงระยิบระยับ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “ถึงแม้ข้าจะสงสัย แต่ในใจก็มั่นใจว่ามีความเป็นไปได้เก้าในสิบ มีความเป็นไปได้สูงว่าพ่อของโหรวโหรวเป็นสมาชิกของหน่วยองครักษ์เงา หน่วยองครักษ์เงาถูกควบคุมอยู่ในมือซ่างกวนชิงผู้การใหญ่ตำหนักสวรรค์ สมาคมวีรชนก็ถูกควบคุมอยู่ในมือซ่างกวนชิงเช่นกัน ที่อื่นมีคนที่ซ่างกวนชิงสามารถใช้งานได้ไม่เยอะ คนที่เขาเชื่อใจมากพอที่จะส่งมาจับตาดูคนของสมาคมวีรชน เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคนของหน่วยองครักษ์เงา โหรวโหรวคือลูกสาวสุดที่รักของอู่หนิง แต่ในเมื่อซ่างกวนชิงสามารถควบคุมหน่วยองครักษ์เงาไว้อย่างแน่นหนา ก็แสดงว่าจะต้องมีวิธีการควบคุมหน่วยองครักษ์เงาแน่นอน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ข้าก็ไม่มั่นใจว่าอู่หนิงจะยืนอยู่ฝั่งไหน กลัวว่าถึงตอนนั้นอู่หนิงก็คงจะทำตามใจตัวเองไม่ได้เช่นกัน”

“ในเมื่อท่านรู้เรื่องนี้แล้ว ทำไมถึงยอมเป็นสามีภรรยากับเขาแล้วคลอดโหรวโหรวออกมา?” เหมียวอี้ถาม

หวงฝู่ตวนหรงอธิบายว่า “เจ้าคิดว่าข้ามีสิทธิ์เลือกเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? ข้าเองก็เคยมีคนรักของตัวเองเหมือนกัน แต่ข้าไม่มีทางเลือก และไม่มีทางขัดขืนได้ นอกเสียจากจะไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเท่านั้นแหละ เฮ้อ! ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องพวกนี้ ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง อู่หนิงก็ถือว่าเป็นผู้ชายที่ไม่เลวเลย เป็นคนที่รู้จักเอาใจใส่ ข้าไม่นึกเสียใจทีหลังที่ได้อยู่กับเขา ทว่าเรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่มีทางควบคุมได้ เจ้าเข้าใจรึยัง? …หนิวโหย่วเต๋อ โหรวโหรวก็พอจะมีความสวยอยู่บ้าง แต่เจ้าก็เคยเห็นนางเป็นของเล่นมาแล้ว ข้างกายเจ้าก็ไม่ขาดผู้หญิง ปล่อยโหรวโหรวไปเถอะนะ ทำไมถึงกดดันให้นางเดินไปสู่เส้นทางตายล่ะ? ข้าแค่หวังให้ลูกสาวตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไป เรื่องอื่นข้าไม่สนแล้ว คำขอร้องนี้ไม่ถือว่าเกินไปใช่มั้ย? ข้าไปมีเรื่องกับเจ้าไม่ไหวจริงๆ และไม่อยากมีเรื่องกับเจ้าด้วย ข้าขอร้องให้เจ้าทิ้งลูกสาวข้า ไม่ได้เหรอ?”

พูดจาแบบนี้เรียกว่าอะไรกัน? เหมียวอี้ฟังแล้วไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่เขาก็หัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ออกเช่นกัน รู้ว่าวันนี้ผู้หญิงคนนี้ควักหัวใจออกมาพูดแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่ควรพูดหรือไม่ควรพูดก็พูดออกมาหมด หลังจากเงียบไปสักประเดี๋ยว ก็กล่าวช้าๆ ว่า “ผู้จัดการใหญ่ ข้าเคยทำร้ายโหรวโหรวมาครั้งหนึ่งแล้ว ถ้าทำร้ายหัวใจนางอีกครั้ง ท่านคิดว่าปฏิกิริยาของนางจะไม่ทำให้พ่อนางมองออกเหรอ? ถ้าท่านรับประกันได้ ข้าก็จะรับปากท่าน!”

“…” หวงฝู่ตวนหรงอ้าปากค้างพูดไม่ออกทันที อึกอักอยากจะพูดหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็รับประกันไม่ไหว นางเห็นลูกสาวเติบโตมากับตา นางเข้าใจดีว่าลูกจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ถ้าทำร้ายจิตใจนางอีกครั้ง ดีไม่ดีอาจจะยอมแหลกราญไปพร้อมกับหนิวโหย่วเต๋อก็ได้

เหมียวอี้ครุ่นคิดแล้วบอกอีกว่า “ผู้จัดการใหญ่ มีอยู่จุดหนึ่งที่ข้าหวังให้ท่านเข้าใจ ไม่ใช่ว่าโหรวโหรวแบกรับความเสี่ยงนี้ไว้คนเดียว ถ้าเกิดปัญหาอะไรกับนาง ข้าก็หนีไม่พ้นหรอก ถ้าเกิดเรื่องอะไรข้าจะแบกรับไปพร้อมกับนาง! ข้าให้คำตอบแบบนี้ ท่านพอใจรึยัง?”

หวงฝู่ตวนหรงเงยหน้า นางถามฟ้าอย่างพูดไม่ออก ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ทำไมถึงมาเจอกับไอ้หลานที่เข้าใกล้ไม่ได้แต่ก็สะบัดไม่หลุดคนนี้ เจ้าอยู่กินทรัพยากรดีๆ ที่ตำหนักสวรรค์ก็ดีอยู่แล้ว เรื่องระหว่างเจ้ากับโหรวโหรวก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเหลือให้กอบกู้สถานการณ์ แต่เจ้าดันถ่อไปอยู่ที่กองทัพองครักษ์ทำไม? อยู่ก่อเรื่องที่กองทัพองครักษ์ยังไม่พอ ยังกลายไปเป็นลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วอีก เบื้องหลังของตระกูลหวงฝู่จะกล้าไปยุ่งเกี่ยวกับเบื้องบนได้ยังไง? ทำผิดข้อห้ามเกินไปแล้ว!

“ทุกที่ของที่นี่มีแต่คนของสำนักพุทธ อย่าประเมินความแน่วแน่ในการเป็นพันธมิตรของประมุขพุทธะกับประมุขชิงต่ำเกินไป อย่าหวังว่าแดนสุขาวดีเห็นอะไรแล้วจ่ะช่วยพวกเจ้าปิดบัง พวกเจ้าสองคนอย่าทำซี้ซั้วที่นี่!” หวงฝู่ตวนหรงกล่าวเตือนทิ้งท้าย แล้วหันตัวจากไปทันที

คำพูดนี้หมายความว่ายังไง? เหมียวอี้ยืนงงอยู่กับที่ จากนั้นก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว

ในวันต่อๆ มา หวงฝู่จวินโหรวก็ถูกมารดาจับตาดูอย่างเข้มงวดมาก แทบจะไม่ต่างอะไรกับถูกมัดเอวเอาไว้ ไม่ต้องคิดจะไปไหนทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะถ่อไปนัดเจอกับเหมียวอี้ นางแทบจะแตกคอกับมารดา สุดท้ายหวงฝู่ตวนหรงก็กลัวว่าอู่หนิงจะมองอะไรออก เอาคำพูดของเหมียวอี้มาบอกลูกสาว ทำให้หวงฝู่จวินโหรวยอมแพ้และว่านอนสอนง่ายทันที สำหรับการเชื่อฟังคำสั่งของนาง ทำให้หวงฝู่ตวนหรงอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ลูกสาวโตแล้วไม่เชื่อฟังแม่จริงๆ ด้วย

ในที่สุดพิธีกรรมงานวันเกิดของพระโพธิสัตว์หลันเย่ก็มาถึงแล้ว แขกจากตำหนักสวรรค์และแดนสุขาวดีทยอยกันปรากฏตัว ในอารามหลันเย่มีแขกแน่นขนัด แสดงบรรยากาศที่ครึกครื้นยิ่งใหญ่ของชาพุทธ

เมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มคน ถึงแม้เหมียวอี้จะรักษาระยะห่างกับตระกูลหวงฝู่ แต่ก็ดูไม่เย็นชาเหมือนกัน กำลังคนในสายของตระกูลโค่วปฏิบัติต่อเขาราวกับดาวล้อมเดือน

ในอารามหลันเย่ ขณะที่กลุ่มแขกกำลังพูดคุยกัน จู่ก็มีเสียงอุทานดังขึ้น ทุกคนพากันมองไปทางพระอุโบสถ เหมียวอี้ก็หันมองตามเช่นกัน เห็นเพียงพระโพธิสัตว์หลันเย่รีบเดินออกมาจากพระอุโบสถ จากนั้นเหาะขึ้นบนฟ้าแล้วหันมองไปทั่ว ไม่รู้ว่ากำลังหาอะไรอยู่

…………………………

ดาราจักรฝั่งนี้ดูไม่ต่างอะไรกับดราจักรฝั่งตำหนักสวรรค์

และสถานที่ที่มีคนเข้าออกจำนวนมากขนาดนี้ เมื่อออกมาแล้วสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือถลันหลบไปให้ไกลๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นคนที่ออกตามมาข้างหลังก็อาจจะชนเจ้าได้

พวกเขาถลันหลบไปด้านข้าง เห็นกับตาว่ามีนักบวชทยอยกันออกมาไม่หยุด อย่างมากพวกเขาก็แค่ดึงดุดสายตานักบวชพวกนั้นให้มองมาหลายครั้ง

เหมียวอี้มองไปรอบๆ เรื่องแรกที่ทำก็คือนำแผนที่ดาวออกมาเปรียบเทียบ หลังจากแน่ใจว่ามาถึงแดนสุขาวดีแล้วจริงๆ แน่ใจแล้วว่าแผนที่แดนสุขาวดีมีบันทึกอยู่ในแผนที่ดาวและโล่งใจแล้ว เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของพระโพธิสัตว์ แต่มีจุดประสงค์อีกอย่างหนึ่ง

“แม่ทัพภาคหนิว อาตมายังต้องไปพบท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีอย่างอื่นจะกำชับ อาตมาก็ขอตัวก่อน” พระอาจารย์จี้คงกล่าวขอตัว เขากับเหมียวอี้ไม่ได้ไปทางเดียวกันแล้ว

เดิมทีร่วมทางกันมา ทีแรกเหมียวอี้อยากจะเที่ยวเล่นในแดนสุขาวดีสักหน่อย แต่ใครจะคิดว่าตระกูลโค่วจะแทรกเรื่องงานวันเกิดมาให้เขา ทำให้ฝั่งนี้เตรียมคนมาต้อนรับไว้ต่างหากแล้ว แต่เหมียวอี้ไม่อยากถูกคนสนิทของตระกูลโค่วจับตามอง จึงถามว่า “ไม่ทราบว่าพระอาจารย์จะอยู่ที่แดนสุขาวดีนานเท่าไร?”

“เกรงว่าจะต้องอยู่หลายเดือน” จี้คงตอบ

เหมียวอี้กล่าวทันทีว่า “เช่นนั้นก็ดี ไม่แน่ว่าหลังจากจบงานวันเกิดของพระโพธิสัตว์ ข้าอาจจะไปรบกวนพระอาจารย์ หวังว่าพระอาจารย์จะไม่ปฏิเสธและทิ้งหนิวไว้นอกประตู”

“แม่ทัพภาคหนิวล้อเล่นแล้ว อาตมาจะรออยู่เงียบๆ ก็ได้” จี้คงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ได้! งั้นตกลงตามนี้” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ

จี้คงประนมมือทำความเคารพกลับ แล้วก็ประนมมือกล่าวขอตัวกับเมี่ยวฉุน พอเมี่ยวฉุนประนมมือตอบ จี้คงถึงได้หันตัวหาทิศทางที่แม่นยำแล้วเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากมองคล้อยหลังเขาหายไป เมี่ยวฉุนก็เอียงหน้ามองเหมียวอี้ แล้วเริ่มมองประเมินอย่างละเอียด สำหรับลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วท่านนี้ ตอนอยู่ที่แดนสุขาวดีก็ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว ขุนนางเหมียวทำเรื่องที่คนอื่นไม่กล้าทำมาหมดแล้ว จะไม่ให้ชื่อเสียงโด่งดังก็คงแปลก

หลังจากเหมียวอี้หันกลับมามอง เมี่ยวฉุนถึงได้ยื่นมือเชิญ “แม่ทัพภาคหนิวเชิญตามอาตมามาทางด้านนี้”

“รบกวนแล้ว!” เหมียวอี้ประนมมือตามประเพณี จากนั้นก็ตามนางเหาะไปยังจุดลึกในดาราจักรพร้อมกับเหยียนซิว

ถ้าจะถามว่าอาณาเขตของแดนสุขาวดีหรือตำหนักสวรรค์ใหญ่กว่า สิ่งนี้ไม่มีทางเทียบกันได้ สำหรับทั้งสองแดน ดาราจักรใหญ่ขนาดไหน อาณาเขตของทั้งสองฝ่ายก็ใหญ่เท่านั้น แต่ถ้าจะพูดถึงขอบเขตอำนาจที่ปกครอง ตำหนักสวรรค์ก็ต้องใหญ่กว่าอยู่แล้ว ถึงแม้อาณาเขตของตำหนักสวรรค์จะเต็มไปด้วยศิษย์สำนักพุทธ แต่ศิษย์สำนักพุทธเหล่านี้ก็สนใจแค่ควบคุมดูแลสาวกในโลกมนุษย์ รับเอาพลังปรารถนาของสาวกเท่านั้น ไม่มาเกี่ยวข้องกับการแก่งแย่งผลประโยชน์

แน่นอน ในเมื่อสำนักพุทธยอมถอยให้แล้ว ตำหนักสวรรค์ก็จะต้องถอยเช่นกัน อาณาเขตที่แดนสุขาวดีทำเครื่องหมายเอาไว้ผืนนี้ ตำหนักสวรรค์ก็ไม่มีอำนาจใดๆ ในการควบคุม

ระบบของแดนสุขาวดีก็ไม่ได้เข้มงวดเท่าตำหนักสวรรค์ด้วย พวกวัชระหรือพระโพธิสัตว์อะไรนั่น ถึงแม้ประมุขพุทธะจะแต่งตั้งให้ แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้จำกัดรายชื่อ ขอเพียงวรยุทธ์ถึงระดับที่กำหนดและมีบุญกุศลมากพอ ได้รับพลังปรารถนาในจำนวนที่สอดคล้องกัน ประมุขพุทธะก็อาจจะแต่งตั้งเจ้า

ยกตัวอย่างเช่นอรหันต์ที่มีตำแหน่งเทียบเท่าท่านโหว ตำหนักสวรรค์กำหนดตายตัวไว้เพียงเจ็ดสิบสองโหวเท่านั้น แต่แดนสุขาวดีกลับมีอรหันต์จำนวนแปดร้อย แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ค่อนข้างเหมือนกันแน่นอน นั่นก็คือยิ่งระดับสูงมากเท่าไร คนก็จะยิ่งมีจำนวนน้อย เป็นไปไม่ได้ที่จะมีประมุขพุทธะสองคน

ฉายาที่แดนสุขาวดีตั้งขึ้นก็ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกว่ากำลังพลที่อยู่ในมือจะเยอะเสมอไป นี่ก็คือจุดที่แตกต่างกันระหว่างแดนสุขาวดีกับตำหนักสวรรค์ ไม่มีใครอาศัยตำแหน่งไปยุ่งเรื่องของคนนอก ทั้งข้างบนข้างล่างแทบจะเป็นความสัมพันธ์แบบการสิบทอดวิชา ใครมีศิษย์ที่ต่อเนื่องลงไปเยอะ ก็แสดงว่าคนนั้นจะมีลูกน้องเยอะ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เจ้ามีทรัพยากรฝึกตนมอบให้เพียงพอ

ทรัพยากรฝึกตนหลักที่แดนสุขาวดีใช้ก็คือพลังปรารถนา ไม่ใช่ว่านักพรตชาวพุทธไม่ใช้พวกยาแก่นเซียน แต่เป็นเพราะเงื่อนไขฝั่งนี้มีจำกัด ไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการควบคุมใต้หล้าเหมือนตำหนักสวรรค์ ยอมขาดแคลนกำลังทรัพย์อยู่แล้ว เมื่อไม่มีกำลังทรัพย์ก็ย่อมหายาแก่นเซียนให้เพียงพอได้ยาก เมื่อไม่มียาแก่นเซียนเพียงพอก็ต้องอาศัยพลังปรารถนาเป็นหลัก

แดนสุขาวดีก็มีโลกมนุษย์ธรรมดาเหมือนกัน แต่อยู่ภายใต้การครอบคลุมของรัศมีสำนักพุทธ มนุษย์ธรรมดาส่วนใหญ่นับถือพุทธ นี่คือจุดที่มีความต่างและความเหมือนกับแต่ละแดนของพิภพเล็ก แต่พิภพเล็กควบคุมมนุษย์ธรรมดายิ่งกว่า ส่วนฝั่งนี้ไม่เข้มงวดเท่าไรนัก

และแดนพุทธก็ยกให้ประมุขพุทธะเป็นใหญ่ที่สุด พลังปรารถนาที่โลกมนุษย์อธิษฐานก็ย่อมพุ่งเป้าไปที่ประมุขพุทธะอยู่แล้ว อำนาจในการแบ่งสรรแหล่งพลังปรารถนาก็อยู่ในมือประมุขพุทธะเช่นกัน อำนาจของฝ่ายตำหนักสวรรค์จะค่อยช่วยควบคุมว่าในวัดแต่ละแห่งได้รวบรวมพลังปรารถนาส่งไปให้ประมุขพุทธะหรือไม่ วัดไหนที่ไม่ส่งให้ประมุขพุทธะก็จะถูกกวาดล้าง

ฝั่งนี้มีอรหันต์ที่อยู่ระดับเดียวกับท่านโหวเยอะมาก พระโพธิสัตว์ที่อยู่ระดับเทพประจำดาวก็ย่อมไม่น้อย นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เหมียวอี้ต้องไปอวยพรวันเกิดให้พระโพธิสัตว์หลันเย่ เพราะปรมาจารย์ของนางก็คือพุทธะจิ้งฮวาที่มีระดับเทียบเท่าอ๋องสวรรค์ของตำหนักสวรรค์ ถ้าไม่มีภูมิหลังอย่างนี้ก็คงรบกวนให้ตระกูลโค่วส่งคนมาร่วมอวยพรวันเกิดไม่ได้

แดนสุขาวดีใช้วิธีการตั้งชื่อดวงดาวเหมือนกับในอาณาเขตตำหนักสวรรค์ ที่อยู่ของพระโพธิสัตว์หลันเย่ก็ชื่อว่าดาวหลันเย่ เป็นจุดหมายปลายทางที่เหมียวอี้เดินทางมาในครั้งนี้

พระอาจารย์ใหญ่เมี่ยวฉุนที่นำทางเหมียวอี้มานับว่าเป็นศิษย์หลานของพระโพธิสัตว์หลันเย่ อาจารย์ของนางก็คือศิษย์สายตรงของพระโพธิสัตว์หลันเย่นั่นเอง

สามารถส่งศิษย์หลานมาต้อนรับนำทางได้ ก็ย่อมไม่แฉยชาอยู่แล้ว

ดาวหลันเย่ เกาะบนทะเลมรกตกระจัดกระจายเหมือนดาวบนท้องฟ้า มีวัดตั้งอยู่หลายแห่ง เมฆหมอกบางลอยอยู่ระหว่างเกาะ เสียงระฆังดังรื่นหูชำระล้างใจคน

อยู่ในช่วงเช้าตรู่พอดี แสงแรกอันเจิดจ้าที่สาดส่องขึ้นมาเหนือผิวทะเลส่องสว่างบนยอดเขาที่สูงที่สุดบนเกาะแห่งหนึ่ง วัดที่อยู่บนยอดเขาสะท้อนแสงสีทองระยิบระยับ ถูกล้อมรอบด้วยแสงแห่งความมงคล ราวกับเป็นยอดเขาทอง

มีคนหนุนหลังก็ย่อมมีข้อดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องจุกจิกวุ่นวาย เหมียวอี้ถูกนำเข้าไปในอารามหลันเย่ที่ใหญ่โตโอ่อ่าโดยตรง

นักบวชหญิงในอารามสวมใส่เครื่องแต่งกายสีเดียวกัน บางคนก็โกนผมแล้ว บางคนก็ฝึกตนโดยที่ยังไว้ผมอยู่ ผู้ที่ยังมีผมผูกผมห้อยไปข้างหลัง

เหยียนซิวที่เดินตามมาตลอดทางถูกกันไว้นอกพระอุโบสถ มีเพียงเหมียวอี้ที่ถูกปล่อยให้เข้าไป

พระอุโบสถถูกสร้างขึ้นโดยใช้พลังปรารถนาบริสุทธิ์ อารามที่มีแสงสีทองเรืองอร่ามทำให้ข้างในดูขาวสะอาดเป็นพิเศษ ในอุโบสถมีพระพุทธรูปประมุขพุทธะขนาดสูงใหญ่ กำลังนังขัดสมาธิชิดผนัง ใต้พระพุทธรูปเป็นฐานดอกบัวสีขาวบริสุทธ์ กลีบดอกบัวซ้อนสูงขึ้นไปเป็นชั้นๆ พระโพธิสัตว์หลันเย่นั่งขัดสมาธิอย่างสง่าอยู่บนนั้น ทางซ้ายและขวามีลูกศิษย์ยืนประนมมืออยู่หลายคน

พระโพธิสัตว์หลันเย่ไว้ผมยาวคลุมหลัง สีหน้าสงบนิ่งภูมิฐาน ดวงตาสดใสเป็นประกาย จ้องประเมินเหมียวอี้ที่เดินเข้ามาในพระอุโบสถโดยตรง

ตอนที่เหมียวอี้เดินเข้ามาก็มองประเมินอีกฝ่ายเช่นกัน พอเดินมาถึงใต้ฐานดอกบัวก็ทำความเคารพ “หนิวโหย่วเต๋อได้รับคำสั่งจากอ๋องสวรรค์โค่วให้มาอวยพรงานวันเกิดมให้พระโพธิสัตว์!” แล้วมอบกำไลเก็บสมบัติให้

ด้านข้างมีคนเข้ามารับของขวัญเอาไว้แล้ว

“ขอบคุณให้เจตนาอันงดงามของอ๋องสวรรค์ หวังว่าจะกลับไปทักทายอ๋องสวรรค์โค่วแทนข้าพเจ้าด้วย” พระโพธิสัตว์หลันเย่สงบนิ่ง

ทั้งสองฝ่ายเริ่มถามตอบกัน ทุกอย่างล้วนอยู่ในกฎและธรรมเนียม นับว่าทำพอเป็นพิธี ทั้งคู่ต่างก็ธรรมเนียมปฏิบัติ จากนั้นเหมียวอี้ก็กล่าวขอตัว

พอออกจากพระอุโบสถแล้ว เมี่ยวฉุนที่รออยู่ด้านนอกก็นำเหมียวอี้และเหยียนซิวออกจากอารามหลันเย่ เหาะไปยังเรือนพักแขกที่เตรียมไว้ใกล้ๆ นี้ หลังจากรออยู่ครึ่งเดือนก็ถึงวันเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองวันเกิดของพระโพธิสัตว์หลันเย่อย่างเป็นทางการ

ที่นี่ไม่ได้จัดงานโอ่อ่าเหมือนภายนอก เพียงทำพิธีกรรมในวันเกิดเท่านั้น ให้แขกได้สร้างบรรยากาศที่คึกคักด้วยกัน

ที่ลานบ้านขนาดเล็กหลังหนึ่งที่มีประตูเดียว หลังจากเตรียมที่พักเรียบร้อยแล้ว เมี่ยวฉุนกับเหยียนซิวก็แลกเปลี่ยนระฆังดาราเพื่อให้สะดวกในการติดต่อกัน หากมีเรื่องอะไรก็สามารถติดต่อหานางได้ทุกเมื่อตอนนี้นางมีหน้าที่ดูแลเหมียวอี้โดยเฉพาะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับการปฏิบัติอย่างนี้ การที่สามารถให้ศิษย์หลานของพระโพธิสัตว์หลันเย่มาดูแลด้วยตัวเองได้ อีกทั้งมี่ยวฉุนก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอาจารย์ใหญ่ด้วย ที่เหมียวอี้ได้รับการดูแลแบบนี้ก็เพราะมีอ๋องสวรรค์โค่วหนุ่นหลัง ต่อให้เป็นทางด้านตระกูลหวงฝู่ก็มีแต่พระและแม่ชีระดับล่างดูแลเท่านั้น

แต่ไม่นานคนของตระกูลหวงฝู่ก็มาแล้ว หวงฝู่จวินโหรวมาหาถึงที่ นางสวมกระโปรงยาวสีม่วงที่เผยให้เห็นเค้าโครงเรือนร่างอันงดงาม คนก็หน้าตาสวยจริงๆ ทั้งยังมีสง่าราศีดีด้วย

เหยียนซิวที่เฝ้าอยู่ในลานบ้านหลุบตาลง แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นว่าหวงฝู่จวินโหรวเดินไปที่ห้องนอนของเหมียวอี้ เขาไม่อยากจะเห็นเลยจริงๆ เพียงหวังว่าท่านที่อยู่ในห้องจะมีสำนึกหน่อย มองดูให้ชัดเจนว่าที่นี่คือที่ไหน

ที่จริงตอนที่หวงฝู่จวินโหรวเห็นเหยียนซิวก็รู้สึกอับอายเช่นกัน ถึงอย่างไรเหยียนซิวก็ไม่ได้เป็นพยานเห็นนางกับเหมียวอี้ลักลอบพบกันเป็นครั้งแรก นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ยังมียางอายในใจอยู่บ้าง แอบมาเล่นชู้กับผู้ชายที่มีภรรยาอยู่แล้วมันเป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญนักเหรอ?

แต่หลังจากก้าวเข้าประตูมาเจอเหมียวอี้แล้ว ท่าทางสง่าภูมิฐานของนางยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็เปลี่ยนไปทันที นางกัดริมฝีปากเล็กน้อย ดวงตางามกำลังมองเหมียวอี้อย่างออดอ้อน ใช้สองมือเอื้อมไปใส่กลอนประตูข้างหลังอย่างช้าๆ จากนั้นเดินเนิบนาบเข้ามาหาเหมียวอี้

เหมียวอ้าดเหงื่อทันที เพราะเขาไม่อยากเจอกับหวงฝู่จวินโหรวที่นี่ แต่หวงฝู่จวินโหรวส่งข้อความมาหาเขาไม่หยุด เขาไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงบอกที่อยู่นางไป แต่ดูจากท่าทางของนางแล้ว เหมือนจะไม่ได้อยากเจอหน้าอย่างเดียว

“เจ้าจะปิดประตูทำไม? ถ้าใครมาเห็นเข้า ต่อให้ไม่ได้ทำอะไรกันแต่ก็จะอธิบายได้ไม่ชัดเจนแล้ว” เหมียวอี้กระวนกระวายนิดหน่อย โบกมือเตรียมจะร่ายอิทธิฤทธิ์เปิดประตู

หวงฝู่จวินโหรวกลับมากดมือเขาเอาไว้ ร่างงามเข้ามาแนบชิดในอ้อมอกของเหมียวอี้อย่างช้าๆ ใช้แขนสองข้างคล้องคอเหมียวอี้ ร่างกายแนบชิดกันแล้ว นางตอบด้วยตาที่เป็นประกายหยาดเยิ้ม “ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แล้วเจ้าจะกลัวอะไรล่ะ? แล้วอีกอย่าง…เจ้าไม่อยากทำอะไรสักหน่อยจริงๆ เหรอ?”

“เจ้าอย่าทำซี้ซั้ว!” เหมียวอี้ดึงแขนนางออกอย่างกังวลนิดหน่อย

ผลปรากฏว่าหวงฝู่จวินโหรวคล้องคอเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย พ่นลมหายใจหอมกระซิบถามว่า “คิดถึงข้ารึเปล่า?”

“จวินโหรว อย่าทำอย่างนี้ ข้างนอกมีคน เสียงได้ยินไปถึงขนาดนอกเลยนะ”

“ใช่ว่าลูกน้องเจ้าจะไม่รู้เรื่องระหว่างเราสักหน่อย”

“อย่าทำอย่างนี้สิ ถ้าโดนแม่เจ้าจับได้จะไม่แย่หรอกเหรอ”

“ขนาดข้ายังไม่กลัวเลย เจ้าจะกลัวอะไร? เจ้าคิดว่านางไม่รู้เหรอว่าตอนหลังพวกเรามาอยู่ด้วยกันอีกแล้ว? ที่จริงนางก็เป็นคนผลักข้ามาอยู่ข้างกายเจ้าเอง…” พูดไปพูดมา หวงฝู่จวินโหรวที่เกิดอารมณ์ปรารถนาก็เขย่งเท้า เอาปากแดงเล็กของตัวเองประกบบนริมฝีปากเหมียวอี้แล้ว เป็นฝ่ายจูบเขาก่อน ร้อนแรงดั่งไฟ

เป็นอย่างที่นางบอก ตั้งแต่โดนหวงฝู่ตวนหรงผลักกลับมาอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ผู้หญิงคนนี้ก็หมดความกังวลไปแล้วชั้นหนึ่ง เมื่อมีการบุกทะลวงทางด้านความรู้สึกได้แล้วหนึ่งชั้น หลังจากปลดปล่อยออกมาแล้ว อารมณ์ของนางก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น เดิมทีการแอบลักลอบก็เร้าใจกว่าการทำอย่างสง่าผ่าเผยอยู่แล้ว ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ตอนนี้นางไม่กลัวมารดานางแล้วจริงๆ อย่างน้อยกับเรื่องแบบนี้นางก็ไม่กลัวเลยสักนิด นางสังเกตเห็นว่ามารดานางพยายามหลบเลี่ยงไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้านาง เห็นได้ชัดว่ารู้สึกผิดต่อลูกสาว เป็นเพราะไม่มีหน้าจะมาพูดอะไรกับลูกสาวอีกแล้วจริงๆ

“ไม่ได้!” ถึงแม้จะโดนยั่วจนรู้สึกกระเหี้ยนกระหือรือ แต่เหมียวอี้ก็ยังออกแรงผลักนางออก เขาไม่มีความกล้าที่จะทำซี้ซั้วที่นี่จริงๆ เขาเพิ่งจะมาถึง ยังไม่ทันรู้ถึงสถานการณ์ของที่นี่ชัดเจนเลย จะกล้าทำเรื่องอย่างนั้นกับนางได้อย่างไร แบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าแล้ว

หวงฝู่จวินโหรวโดนผลักจนโซเซไปข้างหลัง หลังจากยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว นางก็ก้มหน้าช้าๆ ความเร่าร้อนในใจโดนน้ำเย็นสาดจนดับแล้ว นางถามเสียงต่ำว่า “เจ้ารังเกียจที่ข้าไร้ยางอายมาเกาะแกะเจ้าใช่มั้ย?”

“ข้า…” เหมียวอี้เปลี่ยนเป็นกล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าหมายถึงเราทำกันที่นี่ไม่ได้ เจ้าไม่ดูเสียบ้างว่าที่นี่ที่ไหน ดาวหลันเย่ก็มีโลกมนุษย์เหมือนกัน ไปเดินเล่นกันที่โลกมนุษย์ดีกว่า ข้าอยากจะเห็นพอดีว่าโลกมนุษย์ของที่นี่เป็นยังไงบ้าง”

ตอนนี้หวงฝู่จวินโหรวถึงได้เปลี่ยนอารมณ์จากโมโหเป็นดีใจ นางเงยหน้ากลอกตามองเขา แล้วพยักหน้าบอกว่า “เดี๋ยวข้าจะบอกแม่ข้าก่อน”

“ได้!” เหมียวอี้รีบโบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ผลักประตูออก รีบเร่งฝีเท้าเดินออกไป ไม่กล้าปิดประตูอยู่ด้วยกันนานให้คนสงสัย

หลังจากออกประตูมาแล้วสบตากับเหยียนซิวที่เฝ้าอยู่ในสวนด้านนอก ในใจเหมียวอี้ก็ค่อนข้างอับอาย เหยียนซิวหันหน้าหนีทำเป็นไปรู้อะไรทั้งนั้น ถึงอย่างไรเขาก็ยุ่งไม่ได้อยู่แล้ว

ไม่นานหวงฝู่จวินโหรวก็ออกมา แล้วบอกด้วยสีหน้ากลุ้มใจว่า “แม่ข้าพาพ่อข้ามาแล้ว”

“หา!” เหมียวอี้เบิกตากว้าง “พวกเขาจะมาทำไม? เจ้าบอกเหรอว่าข้าอยู่ที่นี่?”

…………………………

นี่ก็คือข้อดีของการอยู่ที่ตลาดผี ถ้าตัวอยู่ที่อื่น โดยถ้าอยู่ที่กองทัพองครักษ์ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนก็ไม่มีทางถือวิสาสะออกไปเองได้เลย แน่นอน ถ้าเขาจะแอบไปก็ไม่มีใครทำอะไรได้เช่นกัน แต่ถ้าอยู่ที่ตลาดผี ไม่ได้ถูกควบคุมหลายระดับชั้น ทำให้สะดวกและอิสระกว่าเยอะ เดิมทีจวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็มีไว้เฉยๆ อยู่แล้ว

ในดาราจักรอันกว้างใหญ่ อารามขนาดใหญ่มหึมาหลังหนึ่งกำลังลอยเงียบเชียบอยู่กลางอากาศ เปล่งรัศมีสีทองอ่อนๆ ออกมา

ยิ่งใหญ่อลังการ! ไม่มีทางบรรยายระดับความยิ่งใหญ่อลังการของวัดนี้ได้ กลิ่นอายความโบราณเรียบง่ายโผเข้ามาแต่ไกลๆ

วัดนี้ชื่อว่าอารามแปดทิศ สาเหตุที่เรียกว่าอารามแปดทิศ ก็เป็นเพราะรูปแบบของวัดนี้ ทั้งแปดทิศล้วนมีประตูหลักของวัด ประตูหลักของทั้งแปดทิศหน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง ไม่ว่าอารามแห่งนี้จะหมุนไปอย่างไร แต่ก็จะต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยประตูหลักเสมอ

วัดนี้ใหญ่โตขนาดไหนกัน? พอคนมาถึงหน้าประตูก็ไม่ต่างอะไรจากฝุนผงแล้ว

อารามแปดทิศก็คือทางเข้าแดนสุขาวดี ข้างในซ่อนประตูดวงดาวเอาไว้แห่งหนึ่ง ส่วนจะใช้วิธีการอะไรซ่อนประตูดวงดาวเอาไว้ในนั้น พระอาจารย์จี้คงก็อธิบายได้ไม่ชัดเจนเช่นกัน เอาเป็นว่าแค่นี้ก็สามารถพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของอารามแปดทิศได้แล้ว

อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นทางเข้าเดียวที่โลกภายนอกจะเข้าสู่แดนสุขาวดีได้ พอพวกเหมียวอี้เดินทางเข้ามาใกล้ ก็จะเห็นศิษย์สำนักพุทธจำนวนไม่น้อยที่ไปมาหาสู่กับที่นี่

ถึงแม้ชาวพุทธจะมีชีวิตที่สงบสุข แต่ถ้าพูดถึงสถานการณ์ของทางเข้าออกอารามแปดทิศ ก็ยังมีแบ่งระดับด้วย เหมียวอี้ไม่ได้เข้าประตูที่มีคนเยอะที่สุด แต่ขึ้นไปทางระตูข้างบนที่มีนน้อย

ตามที่พระอาจารย์จี้คงบอก เขาเองก็ได้ขึ้นประตูข้างบนไม่บ่อยเหมือนกัน ก่อนหน้านี้แค่เคยติดตามพระชั้นผู้ใหญ่ของแดนพุทธมาก็เลยผ่านได้ ครั้งนี้นับว่าได้อาศัยบารมีของเหมียวอี้แล้ว สาเหตุก็ย่อมเป็นเพราะเหมียวอี้เป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว

เหมียวอี้บอกตระกูลโค่วแล้วว่าจะมาแดนสุขาวดี เขาไม่ได้อยากบอก แต่ช่วยไม่ได้ที่ครั้งก่อนโค่วเจิงได้เตือนเขาไว้แล้ว บวกกับหลังจากมาถึงแดนสุขาวดีแล้วคงปิดหูปิดตาอ๋องสวรรค์โค่วได้ลำบาก ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถปิดบังตัวตนได้เมื่อเข้าสู่แดนสุขาวดี เป็นไปไม่ได้ที่พระอาจารย์จี้คงจะช่วยเขาปิดบังตัวตนเพื่อพาเข้ามา ทำได้เพียงบอกตระกูลโค่วไว้ล่วงหน้า

ตระกูลโค่วไม่ได้จำกัดอิสระของเขา ในเมื่ออยากไปเปิดหูเปิดตาที่แดนสุขาวดี แล้วทางแดนสุขาวดีมีธุระพอดี ให้เหมียวอี้ไปเป็นตัวแทนสักครั้งก็ถือว่าเหมาะสม

แดนสุขาวดีจัดงานวันเกิดครบรอบสองแสนปีให้ ‘พระโพธิสัตว์’ ท่านหนึ่ง เดิมทีตระกูลโค่วจะต้องส่งคนมา บังเอิญว่าเหมียวอี้ต้องการจะไปพอดี การให้ลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วไปร่วมงานวันเกิดของพระโพธิสัตว์ที่มีระดับเทียบเท่าเทพประจำดาว ก็ไม่ถือว่าเสียมารยาทอะไร จึงถือโอกาสไปเสียเลย ทางตลาดผีมีของหายากมาเรื่อยๆ ย่อมมีคนเตรียมเป็นของขวัญวันเกิดให้เหมียวอี้พกมาด้วยอยู่แล้ว

พอพวกเขาเข้าใกล้อารามแปดทิศ ก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดที่เกิดจากการหมุนวนของอารามแปดทิศ

เมื่อเหยียบลงหน้าประตูวัดที่ใหญ่โตมโหฬาร ก็มีคนรอต้อนรับอยู่ข้างนอกแล้ว เป็นนักบวชหญิงคนหนึ่งที่อยู่ระดับพระอาจารย์ใหญ่ บนใบหน้าไร้เครื่องประทินโฉม หน้าตาธรรมดา สวมจีวรตัวใหญ่หลวม มองไม่ออกว่ามีรูปร่างเป็นอย่างไร

นักบวชหญิงหัวโล้นไม่ได้พูดอะไรกับเขามาก ที่น่าสนใจก็คือหลายคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากข้างหลังนางกำลังมองมาทางนี้

หวงฝู่เยี่ยนจากสมาคมวีรชน ด้านหลังคือหวงฝู่ตวนหรงลูกสาวของเขา อู่หนิงลูกเขยของเขา และหวงฝู่จวินโหรวหลานสาวของเขา

ครอบครัวนี้มาร่วมอวยพรวันเกิดให้พระโพธิสัตว์ท่านนั้น หวงฝู่เยี่ยนกับพระโพธิสัตว์ท่านนั้นค่อนข้างสนิทกัน ย่อมต้องมาอยู่แล้ว

เดิมทีหวงฝู่เยี่ยนก็ไม่ได้คิดจะพามาทั้งครอบครัวเช่นกัน หวงฝู่ตวนหรงเองก็ไม่ได้อยากมาด้วย แต่ใครจะไปคิด ว่าอู่หนิงจะบอกว่าอยากพาลูกสาวมาเปิดหูเปิดตาสักหน่อย นางยังนึกว่าอู่หนิงอยากจะจับตาดูการไปมาหาสู่ระหว่างหวงฝู่เยี่ยนกับพระโพธิสัตว์ท่านนั้นเสียอีก จนกระทั่งมาถึงแล้วได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วก็จะมาด้วย นางก็ปวดหัวทันที

นางไม่รู้ชัดว่าลูกสาวอยากจะมาเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือสามีอยากจะมาจับตาดูตระกูลหวงฝู่ อยู่ที่นี่ไม่สะดวกจะถาม

สิ่งที่ทำให้นางลำบากใจที่สุดก็คือ พอหวงฝู่เยี่ยนบิดาของนางได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังจะมาถึง ก็เหมือนสนใจอยากจะพบหน้าสักครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าจะรอเข้าไปด้วยกัน อู่หนิงสามีของนางก็เห็นด้วยเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าสนใจอยากจะเห็นหนิวโหย่วเต๋อ ทำเอานางพูดไม่ออกเลย แต่นางก็ไม่กล้าเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวกับหนิวโหย่วเต๋ออีก

สิ่งที่ทำให้นางแค้นจนกัดฟันกรอดยิ่งกว่านั้นก็คือท่าทีของหวงฝู่จวินโหรว เจ้าเวรที่มันทำให้คนปวดหัวกลับมายืนอยู่ด้านนั้นราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“โหรวโหรว เจ้ารู้จักหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ไปทักทายสักหน่อยล่ะ?” เมื่อเห็นพวกเหมียวอี้กำลังกล่าวทักทายกับผู้ที่มาต้อนรับ จู่ๆ หวงฝู่เยี่ยนก็เอียงหน้าบอกใบ้ เจตนาชัดเจนมาก ต้องการให้หลานสาวพาทำความรู้จัก

หวงฝู่ตวนหรงถลึงตาใส่ลูกสาว แต่หวงฝู่จวินโหรวกลับแสร้งทำเป็นไม่เห็น ตอบว่า “ค่ะ!” เสียงดังฟังชัดแล้วเดินไปทางเหมียวอี้แล้ว

“นายท่านนหนิว!” หวงฝู่จวินโหรวก้าวขึ้นมาย่อตัวคำนับ

เหยียนซิวที่ยืนอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ปวดประสาทนิดหน่อย มองเหมียวอี้ด้วยสายตาจนใจ ยอมแพ้ท่านนี้แล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้ยังแปลกใจว่าตระกูลโค่วไม่มีคนอื่นแล้วเหรอ ทำไมถึงให้เหมียวอี้มาร่วมงานวันเกิดได้ ที่แท้ก็เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้จะมาด้วยนี่เอง สองคนนี้คงไม่ได้แอบนัดกันมาที่แดนสุขาวดีหรอกใช่มั้ย? สำรวมหน่อยไม่ได้รึไง?

เหมียวอี้ชำเลืองมองหวงฝู่ตวนหรงที่กำลังจ้องมาทางนี้ด้วยสายตาเตือนภัย เขารู้สึกกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย กลุ้มใจนิดหน่อยเช่นกัน บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้เจอกันในงานเลี้ยง จะมารออยู่ที่นี่กันทำไม? เจ้ายังกล้าวิ่งมาทักทายอีกเหรอ?

“ผู้จัดการหวงฝู่” เหมียวอี้พยายามกุมหมัดคารวะเหมือนไม่เป็นอะไร เมื่ออยู่ต่อหน้าฝูงชนเขาไม่สะดวกจะถ่ายทอดเสียงคุยส่วนตัวกับหวงฝู่จวินโหรว

ทั้งจากทั้งสองทำความเคารพกันแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็ย่อมช่วยแนะนำตามประสงค์ของท่านตา ทั้งคู่เดินตามกันเข้าไป

เหมียวอี้ไม่ลืมที่จะหันกลับไปถ่ายทอดเสียงบอกเหยียนซิวว่า “ครั้งนี้บังเอิญเจอกัน”

คำพูดนี้ให้ความรู้สึกว่า ‘ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง[1]’ เหยียนซิวทำสีหน้าเรียบเฉย ไม่รู้เหมือนกันว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ

ถ้าจะบอกว่าบังเอิญก็บังเอิญ ถ้าจะบอกว่าไม่บังเอิญก็ไม่บังเอิญ เป็นเพราะหวงฝู่จวินโหรวเปลี่ยวเหงาจนทนไม่ไหว ถ้าไปแอบนัดเจอกับเหมียวอี้ที่ตลาดผี เหมียวอี้ก็ย่อมปฏิเสธอยู่แล้ว และตัดสินใจจะคัดค้านการแอบนัดเจอกันในอาณาเขตตัวเอง อ้างเรื่องที่จะต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดที่แดนสุขาวดีมาบอกปัดนาง

ได้! หวงฝู่จวินโหรวก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน เจ้าไปงานวันเกิดได้ ข้าก็ไปงานวันเกิดได้เหมือนกัน เหมียวอี้พูดไม่ออกเลย ทำได้เพียงตอบตกลงว่าจะเจอกันในงานเลี้ยง

แต่ว่ากันตามจริง ถึงแม้เหมียวอี้จะกลัวว่าตัวเองกับหวงฝู่จวินโหรวจะก่อเรื่อง แต่ก็เฝ้าคอยจะได้พบเจอกับความเร่าร้อนดั่งไฟของผู้หญิงคนนี้มาก แค่คิดถึงก้นขาวอวบนั่นเขาก็รู้สึกร้อนผ่าวในใจแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับพวกหวงฝู่ตวนหรงแล้วจริงๆ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาเขาก็ไม่สามารถจะจบเรื่องนี้ไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าไปมีเรื่องกับสมาคมวีรชนไม่ไหว เพราะอวิ๋นจือชิวก็ไม่ใช่ไก่อ่อนเหมือนกัน ต่อให้โดนตีตายเขาก็ไม่กล้าให้อวิ๋นจือชิวรู้เรื่องของเขากับหวงฝู่จวินโหรว

ไม่ใช่ว่าเขาสู้ไม่ชนะอวิ๋นจือชิว แต่เป็นเพราะเรื่องบางเรื่องนั้นขาดเหตุผลในการแก้ตัว อวิ๋นจือชิวกำลังเป็นตัวประกันอยู่ทางนั้น แต่เขากลับแอบลักกินขโมยกินลับหลัง แบบนั้นจะยืดอกเถียงได้ก็แปลกแล้ว ถ้าโดนซ้อมขึ้นมาก็ไม่ต้องพูดถึงการโต้ตอบเลย คาดว่าแม้แต่ความมั่นใจในการกล่าวแก้ตัวสักประโยคก็ไม่มีด้วยซ้ำ

ตอนนี้เขากำลังอกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ว่าหวงฝู่จวินโหรวอยากจะเล่นบ้าอะไรอีก เขากังวลสุดๆ ว่าหวงฝู่จวินโหรวจะเปิดโปงเรื่องระหว่างพวกเขา

โชคดีที่ผลไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ เพียงแค่ทำความรู้จักก็เท่านั้นเอง เสียแรงที่ตกใจ

เขาส่งสายตาที่แฝงความหมายล้ำลึกให้เหยียนซิวอีกครั้ง ราวกับกำลังบอกว่า ‘เห็นมั้ยล่ะว่าข้าไม่ได้หลอกเจ้า บังเอิญเจอกันจริงๆ’

จะมองเห็นอารมณ์อะไรจากใบหน้าเหยียนซิวได้ล่ะ ไม่มีปฏิกิริยาอะไร!

จากนั้นคนสองกลุ่มก็แยกกัน มีผู้นำทางมาพาคนของตระกูลหวงฝู่ไปก่อน ปฏิกิริยาของหวงฝู่จวินโหรวทำให้เหมียวอี้วางใจ สงบเสงี่ยมและรักษาระยะห่างกับเหมียวอี้ เล่นละครได้เนียนมาก!

สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้กับหวงฝู่ตวนหรงโล่งใจมาก

พอแยกกันแล้ว เหมียวอี้ยังอยากเดินชมอารามแปดทิศก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ไม่อยากเดินร่วมกับตระกูลหวงฝู่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งเช่นกัน

นักบวชที่คอยนำทางได้พาพวกเขาเข้ามาข้างในอย่างสุภาพ ในมือถือคำสั่งที่ทำให้ผ่านได้ตลอดทาง พาไปเยี่ยมชมด้านในของอารามแปดทิศด้วยตัวเอง มีหลายจุดมากที่แม้แต่พระอาจารย์จี้คงเองก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้เห็น เห็นได้ชัดว่าการมีตระกูลโค่วหนุนหลังได้แสดงบทบาทแล้ว

ในอารามแปดทิศคล้ายกับเขาวงกตขนาดใหญ่ ถ้าไม่มีคนที่คุ้นเคยนำทางก็จะต้องหลงทางแน่นอน เรียกได้ว่าเป็นวัดที่อยู่ในวัด ข้างในมีวัดใหญ่วัดเล็กอยู่จำนวนมาก ไม่รู้ว่ามีพระสงฆ์มากเท่าไรพักอยู่ในนี้ จะเรียกว่าเป็นผู้พิทักษ์ทางเข้าแดนสุขาวดีก็ได้

สิ่งที่ทำให้คนประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ทุกที่ในวัดเหมือนจะเต็มไปด้วยกลไก บางเส้นทางเดินไปถึงปลายทางแล้ว เห็นอยู่ชัดๆ ว่าถูกกำแพงปิดไว้สนิทแล้ว แต่พอนักบวชใช้มือกดลงไปบนตัวอักษรไม่กี่ตัวบนผนัง ก็ทำให้ผนังเปิดโล่งทันที เห็นเส้นทางข้างหน้าอีกแล้ว

ระหว่างทางถึงขั้นเห็นกับตาว่าทั้งตัวอารามกำลังเคลื่อนย้าย หรือไม่ทั้งตัวอารามก็จมลงและหายไป โครงสร้างกลไกที่ใหญ่ขนาดนี้ทำให้คนรู้สึกทึ่งและประหลาดใจจริงๆ

เมื่อเห็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็อยากจะเดินไปดูข้างหน้าต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่กลับถูกนักบวชที่นำทางตะโดนห้ามไว้ทัน “แม่ทัพภาคหนิว ถึงแม้ชาวพุทธจะจิตใจดีมีเมตตา แต่ก็ไม่ขาดวัชรสยบมาร ที่นี่มีกลไกสงบสุข ทุกที่เต็มไปด้วยกลไกที่อันตรายถึงชีวิต ถ้าไม่มีคนนำทางก็อย่าบุกไปไหนซี้ซั้ว!”

เหมียวอี้มองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง

สรุปก็คือเมื่อเดินไปเรื่อยเปื่อยเพียงไม่กี่รอบ ก็พบว่าทั้งอารามแปดทิศก็เหมือนกับของวิเศษขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง ขณะที่เหมียวอี้ตกตะลึง ก็เอ่ยถามขึ้นระหว่างทางว่า “ไต้ซือ เกรงว่าอารามแปดทิศแห่งนี้เหมือนจะไม่ต่างอะไรกับของวิเศษ ของวิเศษใช้โตขนาดนี้ เวลาเคลื่อนไหวคงจะสิ้นเปลืองจนน่าตกใจมากเลยใช่มั้ย?”

เมี่ยวฉุนนักบวชที่นำทางตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องให้อาตมาอธิบายหรอก เดี๋ยวตอนหลังแม่ทัพภาคหนิวก็ย่อมรู้เอง”

“อ้อ!” เหมียวอี้พยักหน้า ทำท่าเหมือนเฝ้ารอดู

เมื่อมาถึงบริเวณศูนย์กลางของอารามแปดทิศ และเป็นจุดที่ครอบคลุมประตูดวงดาวอย่างแท้จริง เหมียวอี้ถึงได้เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน เข้าใจแหล่งทรัพยากรที่ขับเคลื่อนอารามแปดทิศแล้ว

มีฟันเฟืองรูปเกลียวขนาดใหญ่ที่สบกันจำนวนมากกำลังหมุนวนเสียงดังกึกๆ ไม่หยุด เมี่ยวฉุนพาพวกเขาเดินมาบนจานกลมใบหนึ่งที่หมุนวนค่อนข้างช้า เป็นจานที่อยู่ระหว่างฟันเฟืองที่เป็นเพลาหมุนรูปเกลียว ขณะมองดูฟันเฟืองใหญ่ตรงหน้ากำลังบดอัดเข้ามาแล้วสบกันพอดี ก็ทำให้คนเกิดความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนจริงๆ ทำให้มีความคิดอยากจะหาที่หลบ

ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นเมี่ยวฉุนกับจี้คงทำสีหน้าเรียบเฉย เหมียวอี้ก็ต้องสงสัยแน่นอนว่าตัวเองโดนลอบวางแผนร้าย

โชคดีที่ตรงระหว่างฟันเฟืองขนาดใหญ่สองอันที่สบกันยังมีพื้นที่วางเพียงพอ คาดว่าให้ยืนพร้อมกันหนึ่งหมื่นคนก็ยังไม่มีปัญหา

หลังจากตำแหน่งยืนของทุกคนย้ายไปตามจานกลมที่อยู่ใต้เท้าพอสมควร แรงดึงมหาศาลกลุ่มหนึ่งก็พลันแทรกซึมเข้ามา ดึงพวกเขาให้ไถลบนผิวโลหะ เมี่ยวฉุนโบกมือคว้ากระสวยทองออกมาและปล่อยลำแสงครอบทุกคนเอาไว้ ทำให้แรงดึงมหาศาลคลายออกทันที

ฟันเฟืองที่สบกันก็มีรอยแยกรอยหนึ่งทันที ชั่วพริบตานั้นลำแสงที่ครอบพวกเขาเอาไว้ก็ดูดพวกเขาออกไปแล้ว

ตรงหน้าก็คือประตูดวงดาวสีกำที่กำลังหมุนวน เหมียวอี้รีบหันกลับไปมองเพลาหมุนหนาแน่นที่หมุนวนไม่หยุดข้างหลังแวบหนึ่ง เข้าใจแล้วว่าแหล่งพลังที่ขับเคลื่อนอารามแปดทิศก็คือแรงดึงมหาศาลของประตูดวงดาว ไม่รู้จริงๆ ว่าทำออกมาได้อย่างไร

ลำแสงที่ครอบคลุมหายไปแล้ว ตัวของพวกเขามาอยู่ที่ดาราจักรอีกผืนหนึ่งแล้ว

…………………………

[1] ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง 此地无银三百两 หมายถึง อยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้

“ไม่พิจารณาให้จริงจังสักหน่อยเหรอ?” เวินเจ๋อขมวดคิ้ว

เหมียวอี้ตอบว่า “เรื่องบางเรื่องข้าพิจารณาตัดสินใจเองได้เหรอ? ทั้งท่านทั้งข้าก็รู้อยู่แก่ใจ ให้คนที่ตัดสินใจได้ไปตัดสินใจดีกว่า พี่ใหญ่เวินไม่จำเป็นต้องฝืนใจ”

เวินเจ๋อเงียบไป การจะให้อีกฝ่ายตอบตกลงก็ค่อนข้างน่าลำบากใจจริงๆ ถ้าไม่กลับกองทัพองครักษ์ก็จะเผชิญกับอันตราย แต่ถ้ากลับกองทัพองครักษ์แล้วจะให้ตระกูลโค่วทนความรู้สึกได้อย่างไร มีหรือที่ตระกูลโค่วจะปล่อยเขาไป? เขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเล่นของบุคคลระดับบนแล้ว ตัวละครเล็กๆ ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเองเลย และไม่มีทางเหลือให้เลือกอะไรทั้งนั้น ถ้าเบื้องบนได้บทสรุปเมื่อไร นั่นต่างหากคือผลลัพธ์ที่แท้จริง

“เฮ้อ!” เวินเจ๋อถอนหายใจเบาๆ แล้วพยักหน้าเงียบๆ ไม่ฝืนใจอะไรแล้ว อย่างไรเสียเบื้องบนก็ไม่ได้คาดหวังให้เขาบรรลุเป้าหมายในการมาครั้งนี้ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ไม่ต้องคุยเรื่องนี้แล้ว แล้วหยางชิ่งกับไห่ผิงซินนั่น เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่? เบื้องบนให้ข้าถือโอกาสมาสืบเรื่องนี้”

หยางชิ่งกับไห่ผิงซินก็ย่อม ‘ตาย’ ไปแล้ว เหมียวอี้รายงานขึ้นไปข้างบนแล้ว สาเหตุก็คือตอนออกไปข้างนอกโดนจู่โจมกะทันกัน พอให้ตอบตอนนี้ก็ย่อมตอบเหมือนเดิม “พวกเขาสองคนคงจะซวยเพราะข้า ข้าสงสัยอยู่แล้วว่าจะมีคนเริ่มลงมือกับข้า…”

ตึกศาลาสัตยพรต

ชีเจวี๋ยผลักประตูเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างกายเฉาหม่านที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง แล้วรายงานว่า “เถ้าแก่ เวินเจ๋อไปแล้ว หนิวโหย่วเต๋อจะตอบตกลงหรือเปล่าก็ไม่รู้”

เฉาหม่านหลับตาพลางกล่าวช้าๆ ว่า “ทางนายท่านบอกมาแล้ว ถ้าราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ขึ้นมา ก็จะส่งนักโทษหลบหนียี่สิบคนให้หนิวโหย่วเต๋อสร้างผลงาน ช่วยให้เขาได้เลื่อนกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม นับว่าตอบแทนตระกูลโค่วได้แล้ว”

“ขอรับ!” ชีเจวี๋ยเอ่ยรับ แล้วลองถามอีกว่า “ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าหนิวโหย่วเต๋อตอบตกลงหรือเปล่า แต่ก็ช่วยไปแล้ว แบบนี้จะเหมาะสมหรือขอรับ?”

เฉาหม่านขยับริมฝีปากเล็กน้อย “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่านายท่านอิงจากอะไร นายท่านบอกไว้แล้ว ว่าถ้าทางวังสวรรค์ส่งคนมาพบหนิวโหย่วเต๋อเมื่อไร ก็แสดงว่าฝ่าบาทตัดสินใจเรื่องที่จะให้ราชินีสวรรค์มีทายาทแล้ว ทางนี้สามารถเตรียมแสดงน้ำใจตอบแทนตระกูลโค่วได้เลย แสดงว่าตระกูลโค่วช่วยพวกเราจัดการเรื่องนี้ได้ในระดับหนึ่งแล้ว พวกเราก็ต้องจัดการเรื่องของเขาให้ได้ในระดับที่สมควรเช่นกัน จะได้ไม่ติดค้างกัน!”

ชีเจวี๋ยงงนิดหน่อย คิดไม่ออกเหมือนกันว่าอิงจากอะไร คาดว่าเฉาหม่านคงจะถามได้อะไรจากนายท่านมาแล้ว แต่ในเมื่อเฉาหม่านไม่ยอมพูดออกมา เขาก็ไม่สะดวกจะถามเยอะ จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ถ้าราชินีสวรรค์มีทายาทแล้ว ทางฝั่งพวกเราก็ไม่ต้องดูแลหนิวโหย่วเต๋อแล้วใช่มั้ย?”

เฉาหม่านบอกว่า “ถ้าเข้าไปแทรกแซงมากว่านี้ ทางประมุขชิงก็อาจจะไม่พอใจได้ อาจจะส่งผลไปถึงราชินีสวรรค์ ตอนนี้เรื่องราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาทสำคัญที่สุด สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตตระกูล” เขาลืมตาขึ้นช้าๆ “แน่นอน ไม่แทรกแซงแต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่สนใจใยดีเลย นายท่านค่อนข้างสนใจสิ่งที่อยู่เบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อ ดังนั้นถ้ามีข่าวอะไรก็ยังบอกให้เขารู้ได้ แค่รอดูว่าตัวเองจะขอความช่วยเหลือจากตระกูลโค่วได้มากขนาดไหน”

“เข้าใจแล้วขอรับ!” ชีเจวี๋ยพยักหน้า

ตั้งแต่เวินเจ๋อก้าวออกจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ทั้งจวนแม่ทัพภาคก็ยกระดับการป้องกันทันที

เมื่อไม่มีหยางชิ่งแล้ว พอเจอกับเรื่องแบบนี้เหมียวอี้ก็รู้สึกเปลืองแรงอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้สวีถังหรานจะประจบสอพลอเก่ง แต่ถ้าพูดถึงความสามารถก็เทียบหยางชิ่งไม่ติดเลยสักนิด เขาส่งต่อเรื่องเตรียมงานให้หยางเจาชิง และหยางเจาชิงก็มีบางจุดที่เทียบหยางชิ่งไม่ติดจริงๆ

ด้วยความกดดันจากสิ่งนี้ เหมียวอี้จึงจำเป็นต้องมุดหัวอยู่ในจวนแม่ทัพภาคโดยไม่ออกไปไหนชั่วคราว โชคดีที่ไม่ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้น ส่วนอวิ๋นจือก็ชิวส่งข่าวมาจากทางตระกูลโค่วเพื่อคลายความฉงนใจให้เหมียวอี้ บอกว่าคนทั้งข้างล่างข้างบนของตำหนักสวรรค์ล้วนกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ สำหรับพวกลูกพี่ใหญ่ในตำหนักสวรรค์แล้ว หากเปรียบเทียบกับเรื่องราชินีสวรรค์มีทายาท เหมียวอี้ต่ำต้อยคนเดียวไม่นับว่าสำคัญอะไร โอรสสวรรค์เกี่ยวข้องกับอนาคตของทุกตระกูล ขนาดตระกูลอิ๋งที่มีความแค้นฝังลึกกับเหมียวอี้ก็ยังไม่เอากำลังความคิดมาใช้กับเหมียวอี้เลย ตอนนี้ตระกูลอิ๋งกำลังพิจารณาและกลัวว่าถ้าราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ขึ้นมา สนมสวรรค์จ้านหรูอี้จะมีที่ยืนอยู่ในวังสวรรค์ได้อย่างไร ราชินีสวรรค์จะอาศัยว่าตัวเองตั้งรครรภ์โอรสสวรรค์แล้วลงมือสังหารสนมสวรรค์หรือเปล่า ท่าทีของฝ่าบาที่มีต่อสนมสวรรค์จะเปลี่ยนไปอย่างไร

นอกจากนี้อวิ๋นจือชิวก็ยังเปิดเผยอีกนิดหน่อยว่า ในตอนนี้สิ่งที่ตระกูลเซี่ยโห้วทุ่มเทกำลังความคิดมากที่สุดก็คือจะให้ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ลูกชายได้อย่างไร ให้ตั้งครรภ์ลูกชายไม่ใช่ลูกสาว ในเรื่องนี้จะต้องใช้ความพยายามไม่ใช่น้อยๆ มีบางคนหวังให้ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ลูกชาย มีบางคนหวังให้ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ลูกสาว ตอนนี้วังหลังเริ่มมีลมโหมกระแสคลื่นแล้ว อำนาจแต่ละฝ่ายแสดงแสนยานุภาพแล้ว เมื่อใดที่ราชันสวรรค์ไปตำหนักนารีสวรรค์ ก็จะดึงดูดสายตาของทุกคนทันที และตำหนักนารีสวรรค์มีนางในโดนตีตายไปสิบกว่าคน สนมในวังหลังก็ตายไปหนึ่งคนเช่นกัน

ตอนนี้ถึงขั้นมีข่าวลือออกมาแล้ว บอกว่าราชินีสวรรค์ให้กำเนิดลูกชายแล้ว มีคนคิดจ้องจะให้โอรสสวรรค์มาแทนที่ราชันสวรรค์ เป็นคำพูดที่น่าปวดใจ! แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่จำเป็นต้องยอมรับ ถ้าหากวันใดที่ราชันสวรรค์ไม่อยู่แล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องทุ่มสุดแรงเพื่อช่วยโอรสสวรรค์ให้ขึ้นสู้ตำแหน่งราชันแน่นอน ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีวันล้มต่อไป เมื่อเกิดข่าวลือแบบนี้ในเวลานี้ ก็ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วเครียดมาก

ขณะเดียวกันก็มีเสียงเรียกร้องอีกอย่าง บอกว่าสนมสวรรค์ก็สามารถให้เนิดทายาทแก่ฝ่าบาทได้เหมือนกัน ราชินีสวรรค์สามารถให้กำเนิดก่อนได้ สนมสวรรค์ก็ให้กำเนิดตามทีหลังได้ ภายนอกดูเหมือนอยากให้ลูกที่เกิดกับฮูหยินเอกเป็นลูกชายคนโต แต่ความจริงแล้วมีคนอยากฝากความหวังไว้กับความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากราชินีสวรรค์ให้กำเนิดลูกสาว แล้วสนมสวรรค์ให้กำเนิดลูกชาย เช่นนั้นลูกของสนมสวรรค์ก็จะเป็นลูกชายคนโตแล้ว จะได้ชื่อว่าเป็น ‘ลูกชายคนโต’ ไม่ว่าจะใช่ลูกของฮูหยินเอกหรือไม่ แต่ในอนาคตยังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้เสนอ เรื่องลำดับอาวุโสก็เป็นหลักการหนึ่งเช่นกัน มีคนวางแผนอย่างนี้ไม่น้อย

ในขณะที่วังหลังมีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นไม่หยุด ถึงแม้ทั้งตำหนักสวรรค์จะรู้ว่าราชันสวรรค์โปรดปรานสนมสวรรค์ แต่ในเวลานี้ ประมุขชิงกลับประกาศในที่ประชุมราชสำนักแล้ว “ไม่ว่าราชินีสวรรค์จะให้กำเนิดลูกชายหรือลูกสาว ลูกชายคนโตก็จะต้องเกิดกับราชินีสวรรค์เท่านั้น จะใช้ความพยายามจนกว่าราชินีสวรรค์จะให้กำเนิดลูกชายคนโต ไม่มีความเป็นไปได้อย่างอื่นแล้ว ถ้าหากมีสนมในวังหลังแอบตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็จะโดนตีจนตายทั้งหมด ไม่ให้อภัยเด็ดขาด!”

คำพูดนี้เท่ากับเหมารวมสนมสวรรค์ที่ราชันสวรรค์โปรดปรานที่สุดเข้าไปด้วย ทำให้ความหวังที่สนมสวรรค์จ้านหรูอี้จะให้กำเนิดลูกชายคนโตดับสลายลงในรวดเดียว

หลังจากจบเรื่องแล้วมีข่าวออกมา ราชินีสวรรค์ที่ได้ยินข่าวก็ตื้นตันใจจนน้ำตาไหล คุกเข่ากอดขาราชันสวรรค์ร้องไห้ นางซาบซึ้งใจมาก ตั้งแต่นั้นมาก็เหมือนจะใจกว้างกับสนมสวรรค์ของตำหนักบูรพามากขึ้นเยอะเลย

หลังจากราชันสวรรค์ลั่นวาจาแล้ว ความวุ่นวายในวังหลังก็สงบลงไม่น้อยเลย แต่ก็ยังไม่ได้สงบลงโดยสิ้นเชิง ถ้าท้องแรกของราชินีสวรรค์เป็นลูกสาว ก็จะหมายความว่าเวลาจะลากยาวไป เรื่องในอนาคตไม่มีใครบอกอะไรได้ชัดเจน มีความเปลี่ยนแปลงต่างๆ นาๆ ตระกูลเซี่ยโห้วย่อมพยายามเต็มที่เพื่อรับประกันว่าท้องแรกของราชินีสวรรค์จะเป็นลูกชาย

การรับประกันเต็มที่นี้หมายความว่าอะไร แค่คิดก็ทำให้อวิ๋นจือชิวสะเทือนใจจะแย่ เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าถ้าท้องแรกเป็นลูกสาว ก็แสดงไม่มีโอกาสได้มาเยือนโลกนี้แล้ว ถ้าราชินีสวรรค์ดวงดีหน่อยก็อาจจะได้รับความทุกข์ทรมานเล็กน้อย แต่ถ้าดวงไม่ดี เกรงว่าหนังท้องของราชินีสวรรค์จะได้รับความทุกข์ทรมานพอสมควร

อวิ๋นจือชิวบ่นให้เหมียวอี้ฟังอย่างทอดถอนใจ ไม่รู้จริงๆ ว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้นั่งตำแหน่งราชินีสวรรค์นั่นแล้วมีอะไรดี เป็นการโดนทรมานทั้งเป็นจริงๆ!

ราชินีสวรรค์ยังไม่ได้ตั้งครรภ์ วังหลังก็มีลมโหมคลื่นซัดแบบนี้แล้ว ถ้าตั้งครรภ์ขึ้นมา แค่คิดก็รู้แล้วว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร

สรุปก็คือ ตอนนี้อำนาจใหญ่ๆ แต่ละฝ่ายจะไม่สนใจเหมียวอี้ ถ้าจะมีอันตรายก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง อย่างน้อยก็ยังไม่มีใครกล้าทำอะไรซี้ซั้วที่ตลาดผี ถ้ามีความเคลื่อนไหวผิดปกติอะไรก็จะทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วสงสัยหนักมาก ดีไม่ดีอาจจะยั่วให้ตระกูลเซี่ยโห้วโจมตีกลับสุดแรงก็ได้ ในตอนนี้ไม่มีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

และในความจริงก็เป็นอย่างนี้จริงๆ ช่วงนี้ทั้งใต้หล้าสงบจนเหลือเชื่อ แต่จะคึกคักกันที่วังหลัง พวกพี่ใหญ่ที่ตำหนักสวรรค์ก็สงบแล้วเช่นกัน ในใต้หล้าก็สงบแล้ว ทำให้คนครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งถึงความหมายแฝงที่อยู่ในนั้น

เหมียวอี้ได้ยินข่าวแล้วทอดถอนใจไม่หยุด นึกไม่ถึงว่าเรื่องราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาทจะทำให้ตำหนักสวรรค์เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ สายตาของลูกพี่ใหญ่ทุกคนล้วนจับจ้องไปที่หนังท้องของราชินีสวรรค์ ถ้าไม่ใช่เพราะอวิ๋นจือชิวไปช่วยสืบข่าวจากจวนตระกูลโค่ว เกรงว่าเขาคงจะไม่รู้เรื่องบางอย่างเลยจริงๆ

แบบนี้ก็ดี เหมียวอี้จะได้ยังไม่ต้องยุ่งเรื่องพิภพเล็ก ตอนที่กำลังพลชุดแรกยังไม่ได้ลงหลักปักฐานมั่นคงที่แดนอเวจี เหมียวอี้ก็ไม่มีทางส่งกำลังพลชุดหลังออกไปทั้งหมด เขามีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำ ติดต่อกับพระอาจารย์จี้คงของวัดพระกษิติครรภ์แล้ว

“คิคิ!”

ขณะที่จับปอยผมแหย่จมูกเหมียวอี้ พอเห็นเหมียวอี้ย่นจมูกเล็กน้อย เฟยหงก็แอบหัวเราะแล้วเก็บมือ แกล้งนอนหลับอยู่อย่างนั้น

เหมียวอี้ยื่นมือไปดึงเอวเกลี้ยงเกลาที่อ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกเข้ามาไว้ในอ้อมกอด พอลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งสี่ก็สบประสานกัน ในดวงตางามของเฟยหงอมยิ้ม ใบหน้างามเลิศล้ำที่เผยรอยยิ้มที่มาจากใจนั้นน่าหลงใหลมาก เหมียวอี้เห็นแล้วตะลึง

จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ ว่าหลังจากผู้หญิงคนนี้เปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจออกมา นางก็ได้แสดงความงดงามอย่างแท้จริง เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้เห็นรอยยิ้มที่จริงใจของนาง ยิ้มสวยจนดอกไม้ยังอาย

ข้างกายเขามีผู้หญิงเยอะขนาดนั้น แต่คนที่อยู่ข้างกายเขานานที่สุดก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนี้แล้ว ถ้าพูดถึงความสวย ผู้หญิงคนนี้ก็อยู่ในอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

พอใช้มือไถลตามท้องน้อยที่ราบเรียบลงไปแหวกหญ้าสำรวจ “อือ…” ร่างงามที่เปลือยเปล่าของเฟยหงก็บิดไปบิดมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ทำสีหน้าขอร้องให้หยุด ทำให้นางยิ่งดูเย้ายวนใจ เหมียวอี้จับขายาวของนางแยกออก พลิกตัวขึ้นมา ปราบปรามนางอีกครั้ง…

หลังจากทุกอย่างสงบแล้ว เฟยหงที่นอนเปลือยอยู่บนหน้าอกเหมียวอี้ก็กระซิบถามข้างหูว่า “นายท่านจะไปแดนสุขาวดีจริงๆ เหรอคะ?”

เหมียวอี้ใช้มือลูบไล้ไปมาบนแผ่นหลังของนาง “อืม ยังไม่เคยไปเลย อยากจะไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย”

เฟยหงยกเท้าขึ้นแกว่งไปแกว่งมาอยู่กลางอากาศ “จะพาข้าไปด้วยรึเปล่าคะ?”

“ไม่สะดวกจะพาเจ้าไปด้วย” เหมียวอี้ตอบ

“แล้วข้าบอกหน่วยตรวจการซ้ายได้มั้ยว่าท่านไปที่แดนสุขาวดี?” เฟยหงถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “บอกก็ไม่เป็นไร ไปที่นั่นแล้วก็ปิดบังไม่ได้อยู่ดี เออใช่ สาวใช้คนใหม่ที่ฮูหยินเตรียมไว้ให้ เจ้าใช้งานราบรื่นหรือเปล่า?”

“ค่ะ!” เฟยหงตอบด้วยเสียงต่ำเบา พอพูดถึงสาวใช้คนเดิมของตัวเอง นางก็รู้สึกจิตตกอย่างควบคุมไม่ได้ ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด พวกนางก็น่าจะโดนฮูหยินกำจัดทิ้งไปแล้ว

ถึงอย่างไรก็อยู่ด้วยกันมาหลายปี ถึงแม้จะเป็นแค่สาวใช้ แต่ก็ยังมีความผูกพันกันอยู่บ้าง นางพยายามรับประกันแล้วว่าสาวใช้ทั้งสองไม่ได้ติดต่อกับหน่วยตรวจการซ้าย แต่อวิ๋นจือชิวไม่พอใจกับสาวใช้ที่หอนางโลมจัดหามาให้เฟยหง การที่เฟยหงไม่รู้ก็ไม่ได้แปลว่าสาวใช้สองคนนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยตรวจการซ้าย อวิ๋นจือชิวไม่กล้าเสี่ยงอันตรายนี้ ด้วยความที่ไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด จึงไม่รู้ว่าเอาสาวใช้สองคนนั้นไปกำจัดที่ไหนแล้ว

“เหมียวอี้สังเกตได้ถึงความรู้สึกของนาง จึงตบหลังนางเบาๆ “”ไม่มีใครอยากเป็นคนเลวหรอก ฮูหยินก็ลำบากเหมือนกัน นางหวังดีกับเจ้า””

วันต่อมา เหมียวอี้ที่ปลอมตัวแล้วพาเหยียนซิวออกจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผีผ่านทางใต้ดิน ไปเจอกับพระอาจารย์จี้คงที่วัดพระกษิติครรภ์โดยตรง

ตึกศาลาสัตยพรตไม่อนุญาตให้ขุดทางใต้ดินที่ตลาดผี แต่เหมียวอี้ไม่สนสี่สนแปด แค่แม่ทัพภาคตลาดผีจะขุดทางใต้ดินที่ตลาดผีสักทาง เจ้าก็ไม่พอใจแล้วเหรอ? เขาขุดทางไว้ก่อนแล้ว ทั้งยังขุดเชื่อมโยงไปทั่วทิศ รอให้ตึกศาลาสัตยพรตมาหาถึงที่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ทุกๆ หลายปีพระอาจารย์จี้คงจะกลับไปที่แดนสุขาวดีหนึ่งครั้ง หลังจากเหมียวอี้เจอเขาแล้ว ทั้งสองก็ออกไปจากตลาดผีด้วยกัน

………………………………….

เหมียวอี้หันตัวมาบอกว่า “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่ถึงยังไงเจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวบุญธรรมของเขา เขาไม่ถึงขั้นทำอะไรเจ้าหรอก ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฐานะของเจ้าก็ถูกประกาศแล้ว ไปอยู่ที่จวนอ๋องสวรรค์จะปลอดภัยกว่าจริงๆ”

อวิ๋นจือชิวก็รู้เช่นกันว่าตระกูลโค่วทำถึงขั้นนี้แล้ว ถ้านางไม่กลับไปก็จะฟังดูเหลวไหลเกินไป แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะกังวล “แล้วเจ้าจะทำยังไงล่ะ?” นางยกมือจับแขนเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใย

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก โค่วเจิงก็บอกแล้วว่าไม่ต้องกังวลเกินไป มียอดฝีมือของตระกูลโค่วมาคุ้มกัน น่าจะไม่มีปัญหาอะไรมาก ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ยังพายอดฝีมือกลุ่มหนึ่งออกมาจากแดนอเวจีด้วย ข้าเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว”

อวิ๋นจือชิวอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทางตระกูลโค่วลั่นวาจามาแล้ว คงไม่ดีหากจะไม่เชื่อฟัง

จากนั้นนางก็ไปหาเฟยหง อธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง ถามนางว่าต้องการจะตามไปที่จวนอ๋องสวรรค์ด้วยหรือไม่ เฟยหงก็จนใจเช่นกัน ภารกิจที่หน่วยตรวจการซ้ายมอบให้นางก็คือพยายามอยู่ข้างกายเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงฝากฝังเหมียวอี้ไว้ให้เฟยหง ตอนที่ตัวเองไม่อยู่ก็ให้เฟยหงดูแลเหมียวอี้ให้ดี

ทางนี้ให้โค่วเจิงเสียเวลาอยู่ไม่กี่วัน ตอนนี้โค่วเจิงเป็นผู้กำกับดูแลเรื่องต่างๆ ของตระกูลโค่วแล้ว ไม่สะดวกจะเสียเวลามากเกินไป หลังจากเตรียมตัวเล็กน้อย อวิ๋นจือชิวก็ตามเขาจากไป

ก่อนที่จะไป ก่อนที่จะออกจากห้อง โค่วเจิงก็หยุดเดินแล้วหันกลับมาหาเหมียวอี้ที่อยู่ข้างหลัง แนะนำเหมียวอี้ด้วยความจริงใจว่า “น้องเขย คนเราเกิดมาในโลกนี้ จะล่วงเกินคนอื่นบ้างก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เรื่องแบบนี้ก็ระวังไม่ชนะเหมือนกัน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างศัตรูคู่แค้นไว้ทั่วทุกที่ นี่ไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาด เรื่องบางเรื่องก็อย่าไปทำเลย แต่ถ้าจะทำก็ต้องทำให้ฝ่ายตรงข้ามหมดกำลังโต้ตอบไปซะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่สู้อดทนเอาไว้ดีกว่า ทำแบบนี้ไม่เสียหน้าหรอก คนที่ได้หัวเราะตอนสุดท้ายต่างหากที่เป็นผู้ชนะ ไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองเดินลำบากทุกก้าว แล้วอีกอย่าง คนระดับเจ้าน่ะ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปทำเรื่องประเภทรบราฆ่าฟันด้วยตัวเองหรอก เดิมริมแม่น้ำบ่อยก็ต้องรองเท้าเปียกเข้าสักวัน ไม่แน่ว่าวันไหนเจ้าอาจจะทำพลาดก็ได้ เรื่องไหนที่ให้ลูกน้องทำได้ก็พยายามให้ลูกน้องทำ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วเอาแต่พุ่งไปรบเอง แล้วแบบนั้นเจ้ายังจะมีลูกน้องไว้ทำอะไรอีกล่ะ เจ้ารู้มั้ยว่าทำไมทุกคนอย่างไต่เต้าขึ้นระดับบน? คนที่อยู่ระดับแม่ทัพภาคแล้ว เจ้าเคยเห็นใครต้องลงมือเองบ้างมั้ย? ถ้าไม่ถึงคราวที่หมดหนทาง เจ้าก็พยายามอย่าพุ่งไปอยู่หน้าสุด เข้าใจสิ่งที่ข้าพูดมั้ย?”

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดหรือไม่ แต่ก็กุมหมัดคารวะ “ข้าจะจำไว้”

จะฟังเข้าใจหรือไม่ โค่วเจิงก็ไม่รู้ เขาพูดไว้เพียงเท่านี้ แล้วพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหันตัวจากไป

เหมียวอี้ไปส่งถึงทางออกด้านบนของจวนแม่ทัพภาคด้วยตัวเอง และข้างกายโค่วเจิงก็ย่อมมียอดฝีมือติดตามคุมกันไม่น้อย เขามองตามอวิ๋นจือชิวที่พาเชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์หายไป

พอหันกลับมา เห็นเฟยหงอยู่ข้างกาย เหมียวอี้ก็ยิ้มบางๆ แล้วถือโอกาสจูงมือนางเดินกลับไปด้วยกัน

ในขณะที่ตกใจ ในใจเฟยหงก็แอบรู้สึกดีใจ นางอยู่กับเหมียวอี้มาหลายปีขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยเห็นเหมียวอี้ปฏิบัติต่อนางอย่างใกล้ชิดและอ่อนโยนเป็นธรรมชาติขนาดนี้มาก่อนเลย โดยเฉพาะในตอนนี้ข้างกายยังมีคนอื่นอยู่ด้วย มุมปากนางยกยิ้มหวานอย่างควบคุมตัวเองได้ยาก ไม่น่าเชื่อว่าจะรู้สึกสุขใจเหมือนได้เจอครอบครัวที่จากกันมานาน ในตอนนี้นางเพิ่งจะรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่านี่คือผู้ชายของนาง นางเดินลงบันไดไปพร้อมกับเหมียวอี้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู…

“ตอนที่โค่วเจิงมา เขาไม่ได้ปลอมตัว ตอนที่ไปก็ไม่ได้ปลอมตัว ไปมาอย่างสง่าผ่าเผย พาอวิ๋นจือชิวกับหญิงรับใช้สองคนไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดจะทำอะไร”

ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านยืนอยู่ริมหน้าต่างพลางทอดสายตามอง โดยที่ชีเจวี๋ยคอยรายงานสถานการณ์ให้ฟังอยู่ข้างๆ

หลังจากได้ฟังแล้ว เฉาหม่านก็แสยะยิ้ม “ยังจะทำอะไรอีกล่ะ ก็แค่จับตัวประกันเอาไว้ในมือก็เท่านั้นแหละ”

“ตัวประกัน?” ชีเจวี๋ยประหลาดใจ “อวิ๋นจือชิวเป็นลูกสาวบุญธรรมของโค่วหลิงซวี ต่อให้โค่วเจิงใจกล้ากว่านี้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำเรื่องแบบนี้หรอกกระมัง?”

“เจ้าคิดว่าเป็นโค่วเจิงเหรอ?” เฉาหม่านเอียงหน้าเหล่ตามอง “นายท่านส่งข่าวมาแล้ว ว่าประมุขชิงตอบตกลงในราชสำนักแล้ว รับปากว่าจะให้ราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาท”

ในด้านนี้ชีเจวี๋ยก็เคยได้ยินมาแล้วเช่นกัน ขณะที่กำลังอึ้งก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง กล่าวอย่างลังเลว่า “เถ้าแก่ ประมุขชิงยอมรับปากเปล่า แต่ไม่ได้ให้เวลาที่แน่นอน ถ้าภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ไม่ได้ ประมุขชิงก็มีข้ออ้างเหตุผลต่างๆ มาบอกปัดอยู่ดี เมื่อถึงตอนนั้น ในการประชุมราชสำนักทางฝั่งนายท่านก็ยังต้องอาศัยแรงจากตระกูลโค่วอยู่ ตระกูลโค่วคงไม่ถึงขั้นหาตัวประกันตอนนี้หรอกมั้ง? ถ้าประมุขชิงบอกปัดจริงๆ การที่ตระกูลโค่วทำแบบนี้ไม่ถือว่าปล่อยไก่หรอกเหรอ แบบนี้จะให้หนิวโหย่วเต๋อคิดยังไง?”

เฉาหม่านโบกมือ แล้วเอามือไขว้หลังหันตัวเดินมาช้าๆ “ตระกูลโค่วคงไม่โง่ถึงขั้นบอกหนิวโหย่วเต๋อว่าจับฮูหยินไปเป็นตัวประกันหรอก ยังต้องดูอีกว่าประมุขชิงจะเคลื่อนไหวในขั้นต่อไปหรือเปล่า ถ้าประมุขชิงไม่มีการเคลื่อนไหว ทางตระกูลโค่วก็จะปฏิบัติต่ออวิ๋นจือชิวอย่างดี ใครจะไปบอกล่ะว่าเป็นตัวประกัน? ถ้าประมุขชิงเคลื่อนไหวในขั้นต่อไป กดดันหนิวโหย่วเต๋อขึ้นมาจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อก็ย่อมนึกได้ว่าอวิ๋นจือชิวยังอยู่ในมือตระกูลโค่ว จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการทรยศ ตระกูลโค่วก็แค่เตรียมพร้อมป้องกันเท่านั้นเอง หรือพูดได้อีกอย่างว่าจำเป็นต้องทำอย่างนี้ เพราะประมุขชิงได้เปรียบกว่ามาก มีไพ่ในมือเยอะกว่าตระกูลโค่ว ถ้าตระกูลโค่วไม่เตรียมตัวล่วงหน้าไว้บ้างสักหน่อย เดี๋ยวตอนหลังอาจจะกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะก็ได้ และการที่โค่วเจิงเข้าออกจวนแม่ทัพภาคและพาตัวอวิ๋นจือชิวไปอย่างสง่าผ่าเผย ก็ไม่ต่างอะไรกับส่งสัญญาณให้ประมุขชิงรู้ ว่าในมือพวกเขามีตัวประกันอยู่ หวังว่าประมุขชิงจะหยุดความคิดชั่วร้ายเสียที”

ชีเจวี๋ยครุ่นคิดพลางพยักหน้า

วังสวรรค์ อุทยานสายัณห์

ซ่างกวนชิงเดินตามอยู่ข้างหลังประมุขชิง พร้อมรายงานสถานการณ์ที่ได้มาจากตลาดผี

ประมุขชิงเอามือไขว้หลังเดินอยู่บนเส้นทางดอกไม้ พอได้ยินรายงานก็ทำเสียงฮึดฮัด “เตรียมส่งคนไปชักจูงให้ยอมจำนนเถอะ”

“ตอนนี้หรือขอรับ?” ซ่างกวนชิงอึ้งทันที “หนิวโหย่วเต๋อทำได้ทุกอย่างเพื่ออวิ๋นจือชิว ตอนนี้อวิ๋นจือชิวอยู่ในมือตระกูลโค่วแล้ว มีหรือที่หนิวโหย่วเต๋อจะยอมตอบตกลง?”

ประมุขชิงกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “ได้ตัวประกันไปคนเดียวก็จะทำให้ข้าถอยได้แล้วเหรอ? ต่อให้อวิ๋นจือชิวไม่ได้อยู่ในมือตระกูลโค่ว ข้าก็ไม่หวังว่าหนิวโหย่วเต๋อจะทรยศตระกูลโค่วง่ายๆ เหรอ ถึงยังไงก็เพิ่งจะยอมรับพ่อบุญธรรมและรับลูกเขยเข้าตระกูล จะชักจูงสำเร็จหรือไม่ก็ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างหนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลโค่ว ถ้ามีรอยร้าวแล้วก็ไม่กลัวว่าจะงัดออกจากกันไม่ได้หรอก เมื่ออยู่ภายใต้สถาการณ์ที่เหมาะสม ค่อยโยนโอกาสที่ถูกหลักธรรมนองคลองธรรมให้หนิวโหย่วเต๋อ ก็ย่อมเหมือนน้ำมาคลองเกิด[1]แล้ว”

ซ่างกวนชิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อมีคุณธรรมหรือความสามารถอะไร ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ฝ่าบาทลำบากสิ้นเปลืองความคิดได้ นับว่าเป็นวาสนาของเขาแล้ว”

“วาสนา? กล้าทรยศข้าเพื่อผู้หญิงคนเดียวยังเรียกว่ามีวาสนาได้อีกเหรอ?” ประมุขชิงยิ้มประชด พ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ช่างน่าขัน! แค่หนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียวเท่านั้นเอง ข้าใช้งานเขา เขาถึงจะถูกนับว่าเป็นสิ่งของ ถ้าข้าไม่ใช้งานเขา เขาก็ไม่นับเป็นตัวอะไรทั้งนั้น ข้าจะขาดเขาไม่ได้เชียวเหรอ? อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้อสุราอัคนีฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ข้าก็ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเหมือนกัน เฮอะ! แม้แต่คนของข้ายังกล้าแย่งไป ในเมื่อตาแก่โค่วชอบขโมยเด็ดลูกท้อ ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเขาจะกินไหวได้ยังไง!”

ซ่างกวนชิงเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน สงสัยแค่ต้องการจะทำให้โค่วหลิงซวีสะอิดสะเอียนเท่านั้น มิน่าล่ะก่อนหน้านี้ถึงไม่ส่งคนไปหาหนิวโหย่วเต๋อ แต่กลับรอให้ตระกูลโค่วไปก่อน เขากุมกมัดคารวะทันที “ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”

ประมุขชิงโบกมือเบาๆ จากนั้นก็เดินเอามือไหว้หลังหายเข้าไปในทางดอกไม้เพียงลำพัง

หลังจากนั้นหลายวัน เวินเจ๋อก็พาทั้งสองไปที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี

เหมียวอี้ได้ยินข่าวแล้วมาต้อนรับทันที พอเห็นตัวคนก็กุมหมัดคารวะมาแต่ไกลๆ “พี่ใหญ่เวิน ทำไมจะมาแล้วไม่บอกล่วงหน้าล่ะ? ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ ล่วงเกินแล้ว” เขากุมหมัดคารวะให้สองคนที่ตามมาข้างหลังเช่นกัน

เวินเจ๋อที่เดินก้าวยาวเข้ามาพูดหยอกว่า “น้องชายผูกขาดที่นี่ไว้คนเดียว ไม่กล้าให้ไปต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ หรอก!”

เมื่อทั้งสองเดินมาใกล้กัน เหมียวอี้ก็กลอกตามองบน “พี่ใหญ่เวินกำลังสาดโคลนข้าเกินไปหรือเปล่า ถ้าข้ากล้าผูกขาดตลาดผี ตึกศาลาสัตยพรตจะไม่กำจัดข้าทิ้งเหรอ”

“ฮ่าๆ!” เวินเจ๋อหัวเราะลั่น แล้วก็ตบบ่าเขา “เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้มาจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ไป พาข้าเดินดูหน่อย”

“เชิญ!” เหมียวอี้หลีกทางและยื่นมือเชิญ

สวีถังหรานที่กำลังยิ้มสู้มาเดินนำทางอยู่ข้างหน้าอย่างเคารพนอบน้อมทันที พวกเขาเดิมทั่วทั้งจวนแม่ทัพภาคตลาดผีรอบหนึ่ง โดยมีสวีถังหรานแนะนำตลอดทาง

หลังจากเดินเสร็จแล้ว ก็ย่อมเตรียมสุราอาหารเอาไว้ หลังจากดื่มไปหลายจอก เวินเจ๋อก็ให้ผู้ติดตามสองคนถอยออกไปก่อน เหมียวอี้มองออกแล้วว่าเขามีอะไรจะพูด จึงให้คนอื่นๆ ถอยออกไปด้วย จากนั้นก็ถือกาสุรารินให้เวินเจ๋อด้วยตัวเอง “พี่ใหญ่เวินมีธุระอะไรเหรอ?”

หลังจากรินสุราเต็มแล้ว สายตาของเวินเจ๋อก็ไปหยุดอยู่บนหน้าเขา “น้องชายรู้รึเปล่าว่าช่วงนี้ในราชสำนักเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

เหมียวอี้เกิดความคิดบางอย่างในใจ จึงยิ้มพร้อมถามว่า “เรื่องเกี่ยวกับราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาทใช่มั้ย?”

“ข้าว่าแล้วว่าเจ้ารู้” เวินเจ๋อพยักหน้า แล้วก็ถอนหายใจอีก “น้องชาย เจ้ารู้รึเปล่าว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์อันตราย?”

เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ “ก็พอจะสังเกตได้บ้างนิดหน่อย”

เวินเจ๋อถามอีกว่า “น้องชายเตรียมจะเอาตัวเองไปอยู่ที่ไหนล่ะ?”

“อย่าบอกนะว่าพี่ใหญ่เวินคิดว่าตระกูลโค่วอ่อนแอ?” เหมียวอี้ชูจอกสุราคารวะ

เวินเจ๋อยกดื่มหมดหนึ่งจอก แล้วห้ามเหมียวอี้ไม่ให้ถือกาสุรา ตัวเองเป็นคนถือกาสุรารินให้เอง “ไม่กลัวโจรขโมยของ กลัวโจรขโมยความคิด มีแต่เป็นโจรหนึ่งพันวันได้ แต่ป้องกันโจรหนึ่งพันวันไม่ได้ สถานการณ์เป็นยังไงน้องชายคงรู้ชัดอยู่แก่ใจ ไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดมาก เจ้ากับข้าได้รู้จักกันนับเป็นวาสนา พี่ใหญ่ไม่อยากเห็นเจ้าเป็นอะไรไป ก็เลยตั้งใจมาช่วยน้องชายอีกแรง”

“อ้อ!” เหมียวอี้รู้สึกสนใจ “ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่เวินจะช่วยข้ายังไง?”

เวินเจ๋อถอนหายใจ “ที่จริงผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายยังค่อนข้างให้ความสำคัญกับน้องชาย ก็เหลือแค่ดูว่าน้องชายยังมีใจอยู่หรือเปล่า ถ้าน้องชายยินดีจะกลับหน่วยองครักษ์ซ้าย เจ้าก็รู้จักนิสัยนายท่านโพ่จวินนี่ ถ้าโวยวายขึ้นมาก็สามารถทำลายเรื่องดีๆ ของราชินีสวรรค์ได้เลย ตอนนี้เป็นโอกาสดีแล้ว ราชินีสวรรค์ไม่กล้าไม่ไว้หน้าโพ่จวินหรอก ถ้าน้องชายกลับไปที่หน่วยองครักษ์ซ้าย ไม่ว่าใครจะอยากแตะต้องเจ้า แต่ก็ต้องชั่งน้ำหนักดูสักหน่อย”

เหมียวอี้พลันเบิกตากว้าง จ้องอีกฝ่ายอย่างเย็นเยียบ เรื่องนี้โพ่จวินกับราชินีสวรรค์ตัดสินใจได้เหรอ? เขาแทบจะนึกเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่อวิ๋นจือชิวกลับไปหาตระกูลโค่วทันที ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมโค่วเจิงถึงมารับตัวอวิ๋นจือชิวด้วยตัวเอง ไฟโกรธลุกพรึ่บในชั่วพริบตาเดียว ตระกูลโค่วทำแบบนี้หมายความว่าอะไร กำลังกลัวว่าเขาจะทนการหลอกล่อจากตำหนักสวรรค์ไม่ไหว ก็เลยนำอวิ๋นจือชิวไปเป็นตัวประกันเหรอ? อย่าบอกนะว่าเขาไม่เชื่อใจเหมียวอี้สักนิดเลย?

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เหมียวอี้ก็ยังพยายามระงับสติอารมณ์ของตัวเอง กล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่าบาท ใครจะกล้าตัดสินใจล่ะ?”

เวินเจ๋อส่ายหน้า “ใครตัดสินใจก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือใครสามารถทำให้น้องชายกลับมาที่กองทัพองครักษ์ได้ ใครที่สามารถรับประกันความปลอดภัยของน้องชายได้อย่างแท้จริง นั่นต่างหากที่สำคัญที่สุด น้องชาย พลาดโอกาสนี้ไม่ได้นะ พลาดแล้วพลาดเลย!”

เหมียวอี้ถอนหายใจช้าๆ เฮือกหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “พี่ใหญ่เวิน ไม่ใช่ว่าหนิวไม่มีคุณธรรมน้ำมิตรหรอกนะ? ไม่ใช่ว่าหนิวไม่รับไม่ตรี และไม่ใช่ว่าหนิวไม่ไว้หน้าพี่ใหญ่เวิน ถ้าอ๋องสวรรค์โค่วไม่อนุญาตเรื่องนี้ ข้าก็รับปากได้ยาก ความหวังดีของพี่ใหญ่เวิน หนิวโหย่วเต๋อซาบซึ้งแล้ว”

…………………………

[1] น้ำมาคลองเกิด 水到渠成 หมายถึงเมื่อเงื่อนไขทุกอย่างสุกงอมพอดี เรื่องก็จะสำเร็จได้

จะไม่สนใจได้เหรอ? เหมียวอี้ถามใจตัวเองเช่นกัน แน่นอนว่าคำตอบคือไม่มีทาง เพราะมีเหตุผลเยอะเกินไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ก็ยังมีคนใหม่จำนวนมากให้หกลัทธิเลี้ยง นี่ไม่ใช่เล่ห์เพทุบายแล้ว แต่เป็นเล่ห์เพทุบายที่โจ่งแจ้งสง่าผ่าเผย!

เขาแอบทอดถอนใจ การที่นำหยางชิ่งเข้ามาในแดนอเวจี ก็ได้ทำลายความสงบของหกลัทธิที่ถูกขังอยู่ในแดนอเวจีมาหลายปีแล้วจริงๆ ตอนนี้หกลัทธิได้สนุกแน่

“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า ถือว่าตอบตกลงแล้ว

ทั้งสองปรึกษารายละเอียดกันอีกรอบ และไม่นานก็เรียกคนของหกลัทธิมา ในตำหนักประชุมงาน เหมียวอี้ได้อธิบายเจตนาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

บุคคลระดับสูงของหกลัทธิมองหน้ากันเลิกลั่ก เรียกได้ว่าทั้งตกใจทั้งดีใจ ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะตอบตกลงหรือไม่ตอบตกลงดี พวกเขาพากันบอกว่าจะกลับไปขอความเห็นจากนายท่านก่อน ที่จริงแล้วต้องขอเวลาพิจารณาสักหน่อย

เหมียวอี้ไม่อยากให้พวกเขาชักช้า จึงกดดันพวกเขานิดหน่อย “พรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางแล้ว หวังว่าทุกคนจะให้คำตอบกับข้าอย่างเร็วที่สุด”

คำตอบก็เป็นอย่างที่หยางชิ่งคาดไว้ ไม่นานหกลัทธิก็ร่างรายชื่อสมาชิกที่จะออกไปออกมาแล้ว

ลัทธิผีส่งเหลิ่งจัวฉุนหัวหน้ากลุ่ม ลัทธิพุทธส่งกุยอู๋มาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ลัทธิมารส่งตานฉิงมาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ลัทธิมารส่งจ่างหงมาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ลัทธิ้ซียนส่งเมิ่งหรูมาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ลัทธิอู๋เลี่ยงส่งอ๋าวเถี่ยเป็นหัวหน้ากลุ่ม

ถึงแม้จะร่างรายชื่อออกมาแล้ว แต่บางคนก็ไม่ได้รู้สึกสงบใจ มู่ฝานจวินเชิญประมุขขุนพลจ่างซุนจูมาดื่มน้ำชาด้วยกันแล้ว

ทั้งสองคุยเรื่องส่งสมาชิกออกไปรับช่วงต่ออำนาจข้างนอกอย่างเลี่ยงไม่ได้ จ่างซุนจูก่าวอย่างสะเทือนอารมณ์ว่า “โดนขังมาหลายปีขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่จะมีคนของหกลัทธิออกไปจากที่นี่”

มู่ฝานจวินเตือนด้วยรอยยิ้มบางๆ “ที่จริงขอเพียงเต็มใจ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ออกไปทุกคนก็ได้นะ”

“หืม หมายความว่ายังไงขอรับ?” จ่างซุนจูแปลกใจ

มู่ฝานจวินยกถ้วยสุราจ่อตรงปาก แล้วกล่าวอย่างใจเย็น “ทำให้เหมียวอี้ยอมบอกเส้นทางเข้าออกก็พอแล้ว”

จ่างซุนจูส่ายหน้า “ท่านคิดว่าเขาจะส่งมาให้เหรอ?”

“ขอเพียงทุกคนมีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็ต้องมีวิธีการกดดันให้เขาบอกอยู่แล้ว” มู่ฝานจวินกล่าว

“กดดัน?” จ่างซุนจูขมวดคิ้วเล็กน้อย “เรื่องบางเรื่องไม่ได้ง่ายอย่างที่ประมุขปราชญ์คิด ถ้าสามารถกดดันได้จริงๆ เกรงว่าคงจะกดดันไปนานแล้ว แล้วถ้าเรากดดันเขา ก็เกรงว่าคงจะไม่มีใครได้ออกจากแดนอเวจีเลย คนที่หนุนหลังเหมียวอี้ไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น”

“ไม่ธรรมดายังไง?” มู่ฝานจวินวางถ้วยน้ำชาลง แล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย “ใช่ประมุขไป๋รึเปล่า?”

จ่างซุนจูตกใจทันที “ประมุขปราชญ์ทราบด้วยเหรอ?”

มู่ฝานจวินยิ้มมุมปากหยอกล้อ “สงสัยข้าจะเดาไม่ผิด! ข้าก็แค่ไม่เข้าใจ ว่าคนคนหนึ่งที่แม้กระทั้งหน้ายังไม่โผล่มา แต่กลับจับคนกลุ่มใหญ่อย่างพวกเรามาเป็นหมากได้แบบนี้ ประมุขขุนพลจะยอมจริงๆ เหรอ?”

จ่างซุนจูเงียบไป สุดท้ายก็ส่ายหน้าบอกว่า “ถึงแม้ประมุขปราชญ์จะเดาออกแล้ว แต่เกรงว่าคงจะไม่รู้ถึงความน่ากลัวของประมุขไป๋น่ะสิ”

“น่ากลัวขนาดไหน? ข้ายินดีจะฟัง!” มู่ฝานจวินกล่าวอย่างสนใจ

จ่างซุนจูส่ายหน้าอีกครั้ง “เรื่องบางเรื่องไม่สะดวกจะพูด เพราะว่าในปีนั้นได้สาบานไว้แล้ว ถ้าประมุขปราชญ์ยังความจำดีอยู่ ก็น่าจะจำได้ถึงเหตุการณ์ที่ห้าปราชญ์กลั่นแกล้งเหมียวอี้ครั้งก่อน ประมุขปราชญ์รู้หรือเปล่าว่าทำไมพวกเราถึงหยุดยั้งไม่ให้ห้าปราชญ์กลั่นแกล้งต่อไปได้ทันเวลา?”

มู่ฝานจวินตอบว่า “นี่ก็คือสุดที่ข้าสงสัยพอดี น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ประมุขขุนพลไม่ยอมบอกเลย หรือว่าวันนี้จะยอมบอกแล้วล่ะ”

จ่างซุนจูจ้องตานางพร้อมกล่าวช้าๆ ว่า “ตอนที่ห้าปราชญ์เพิ่งจะกลั่นแกล้งเหมียวอี้ คนของประมุขไป๋ก็มาเตือนพวกเราทันที ถามว่าพวกเราอยากรนหาที่ตายเหรอ!”

มู่ฝานจวินเบิกตาโตขึ้นหลายเท่า นางตกใจไม่เบา

จ่างซุนจูพูดต่อไปว่า “ประมุขปราชญ์ลองคิดถึงเรื่องที่ฐานข้างนอกโดนกวาดล้างอีกครั้งสิ ฐานลับสิบแห่งถูกกวาดล้างพร้อมกัน ไม่ให้แม้กระทั่งเวลาบอกข่าว คงไม่ต้องให้ข้าพูดมากว่าหมายความว่ายังไง อย่างน้อยก็มีอยู่จุดหนึ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ นั่นก็คือทั้งข้างในและข้างนอกของหกลัทธิถูกประมุขไป๋ควบคุมไว้เข้มงวดมาก ถ้ากดดันให้เหมียวอี้บอกทางเข้าออกแล้วยังไงล่ะ ทุกคนจะรอดชีวิตออกจากแดนอเวจีได้รึเปล่ายังเป็นปัญหาเลย”

เห็นได้ชัดว่ามู่ฝานจวินยังไม่ยอมแพ้ “พวกเรามีพรมแดนธรรมชาติที่อันตราย แม้แต่โจรกบฏตำหนักสวรรค์ยังทำอะไรพวกเราไม่ได้เลย ยังจะกลัวประมุขไป๋ที่เหลือแต่ชื่อเชียวเหรอ!”

จ่างซุนจูจึงบอกว่า “ไม่ใช่ว่าโจรกบฏตำหนักสวรรค์ทำอะไรพวกเราไม่ได้ ประมุขปราชญ์คิดจริงๆ เหรอว่าหลายปีมานี้ไม่มีใครช่วยเหลือพวกเรา อาศัยแค่พวกเราก็เฝ้าแดนอเวจีได้แล้วงั้นเหรอ? ถ้าไม่มีคนช่วยเหลือ หกลัทธิคงหายไปนานแล้ว! พรมแดนธรรมชาติที่อันตรายนั้นเป็นเรื่องน่าขำ อาศัยที่เหมียวอี้สามารถไปมาแดนอเวจีได้อย่างอิสระ ประมุขปราชญ์ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? มีคนรู้จักแดนอเวจีมากกว่าพวกเรา!”

“เฮอะ…” มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม วางถ้วยน้ำชาลงแล้วกำแบชื่นชมนิ้วทั้งห้าซ้ำไปซ้ำมา พลางพึมพำกับตัวเองว่า “หมาก หมาก หมากที่ออกจากกระดานไม่ได้…”

จ่างซุนจูลุกขึ้นยืน ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ประมุขปราชญ์ เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องคิดมากแล้ว คิดไปในทางที่ดีหน่อยก็ได้ ประมุขไป๋ต้องการจะทำอะไรก็เข้าใจได้ไม่ยากหรอก ในเมื่อมีผลประโยชน์ร่วมกันนั้นไม่ใช่เรื่องดีหรอกเหรอ? ไม่กลัวว่าพลังของประมุขไป๋จะแข็งแกร่งหรอก กลัวก็แต่พลังของเขาจะแข็งแกร่งไม่พอ ยิ่งเขาแข็งแกร่งมากเท่าไร โอกาสที่พวกเราจะทำสำเร็จก็ยิ่งมีมาก ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยแค่พวกเรา ต่อให้ออกไปข้างนอกแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ? อย่างมากก็แค่ก่อกวนโจรกบฏตำหนักสวรรค์ได้นิดหน่อย สร้างผลกระทบอะไรมากไม่ได้ ร่วมงานกับประมุขไป๋ได้ประโยชน์มากกว่าโทษ ทั้งยังปกป้องแดนอเวจีเพื่อให้พวกเรามีโอกาสเติบโตได้ด้วย ดังนั้น…ที่จริงแล้วความคิดบางอย่างก็ไม่จำเป็นเลย เรื่องบางเรื่องทำไปแล้วก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีด้วยซ้ำ ถ้าประมุขปราชญ์ไม่มีอย่างอื่นจะกำชับแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน!” เมื่อเห็นมู่ฝานจวินไม่ตอบอะไร เขาก็กุมหมัดคารวะเดินออกไปแล้ว

“เชอะ…” มู่ฝานจวินแสยะยิ้มอีกครั้ง จากนั้นหลับตาลงช้าๆ แล้วพึมพำกับตัวเอง “เป็นหมาก…”

จ่างซุนจูที่ออกมาจากตำหนักข้างในหันกลับไปมองประตูตำหนัก ขณะที่เดินก้าวยาวออกมาอีกครั้ง ก็พึมพำว่า “ยายแก่นแก้วนั่นเป็นคนที่ประมุขไป๋ส่งมาแท้ๆ ยังคิดจะมาสืบดูปฏิกิริยาของข้าอีกเหรอ?”

วันต่อมา เหมียวอี้ออกจากแดนอเวจีเพียงลำพังแล้ว

ตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ วิ่งเต้นบากบั่นไปทั่วดาราจักรมาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่มั่นใจเต็มเปี่ยมเหมือนครั้งนี้เลย สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะในกระเป๋าสัตว์ของเขามีนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพหกสิบกว่าคน ไม่ว่าเจอใครก็กล้าปะทะทั้งนั้น

ทว่าเพิ่งออกจากแดนอเวจีได้ไม่กี่วัน ระหว่างที่อยู่ในดาราจักรก็ได้รับข้อความจากโค่วเจิง บอกว่าจะไปที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีด้วยตัวเองสักรอบ เพราะมีเรื่องจะปรึกษากับเขา

เหมียวอี้ถามว่ามีเรื่องอะไร โค่วเจิงก็บอกว่ารอให้เจอหน้าก่อนแล้วค่อยบอก ทำให้เหมียวอี้พูดไม่ออก ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรถึงต้องมาหาด้วยตัวเอง

รอจนกระทั่งออกห่างจากแดนอเวจีไกลแล้ว เหมียวอี้ถึงได้หยุดพักบนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง แล้วเรียกหกสิบกว่าคนนั้นออกมา

คนพวกนี้มองไปรอบๆ แทบจะหยิบแผนที่ดาวออกมาเทียบตำแหน่งพร้อมกัน แล้วไม่นานแต่ละคนก็ทำสีหน้าตื่นเต้นฮึกเหิมแล้ว

“ในที่สุดก็ออกมาแล้ว ฮ่าๆๆๆ…” ตานฉิงกางแขนสองข้างพลางหัวเราะไม่หยุด

เหมียวอี้รอไปสักประเดี๋ยว รอให้คนพวกนี้ระบายอารมณ์ตื่นเต้นดีใจออกมาพอสมควรแล้ว ถึงได้ยิ้มพร้อมบอกว่า “ทุกคน ขออภัยที่ส่งได้แค่ตรงนี้ ทุกคนจะต้องแยกกันตรงนี้แล้ว ระมัดระวังตัวไว้ตลอดทางนะ ข้าไปก่อนล่ะ”

พอคนกลุ่มนี้เรียสติกลับมาจากความตื่นเต้นดีใจ ก็กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ราชาปราชญ์รักษาตัวด้วย!”

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ แล้วแฉลบขึ้นไปบนดาราจักร เดินทางไปข้างหน้าต่อ

รอจนกระทั่งเหมียวอี้มาถึงจวนแม่ทัพภาคตลาดผี โค่วเจิงก็มาถึงก่อนเขาหลายวันแล้ว พอมาถึงก็ไม่ได้คุยกับคนอื่นมากนัก เขาเดินเข้าไปกุมหมัดคารวะขอโทษโค่วเจิงในห้องโดยตรง “พี่ใหญ่โค่วโปรดอภัย ข้ากลับมาช้าแล้ว”

โค่วเจิงมองไปทางอวิ๋นจือชิวที่เดินเข้ามาพร้อมกันแวบหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าไปไหนมา แม้แต่น้องเจ็ดก็ไม่รู้ว่าเจ้าไปไหน”

เหมียวอี้ยิ้มแห้ง “ไปเดินเล่นที่ตลาดมืดมาขอรับ”

โค่วเจิงขมวดคิ้วมุ่นยิ่งกว่าเดิม ยื่นมือบอกใบ้ให้สองสามีภรรยานั่งลง หลังจากตัวเองนั่งลงแล้ว ถึงได้บ่นว่า “น้องเขย ข้าไม่ได้จะตำหนิเจ้านะ แต่ต่อไปนี้เจ้าต้องพยายามออกจากจวนแม่ทัพภาคให้น้อยๆ ลงหน่อย นี่ก็คือจุดประสงค์ที่ข้ามาที่นี่”

เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวสบตากันแวบหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร อวิ๋นจือชิวจึงลองถามว่า “พี่ใหญ่ ทำไมเหรอคะ?”

โค่วเจิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “เดิมทีตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน พวกเขารับประกันความปลอดภัยของเจ้าที่ตลาดผี ที่การประชุมราชสำนักพวกเราผลักดันให้ราชินีสวรรค์มีทายาท แต่ใครจะคิดว่าเรื่องราวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย เพราะฝ่าบาทตอบตกลงเร็วกว่าที่คาดไว้ ที่การประชุมในหลายวันมานี้ ฝ่าบาทรับปากแล้วว่าจะพยายามมีทายาทกับราชินีสวรรค์ พอเป็นแบบนี้ ถ้าราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆ ตระกูลโค่วก็จะหมดประโยชน์ให้ใช้งานเรื่องนี้แล้ว น้องเขย เจ้ามีเรื่องกับคนไว้เยอะเกินไปแล้ว ผลที่ตามมาจะเป็นยังไงเจ้าคงรู้ชัด!”

เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ความรู้สึกถึงอันตรายใหญ่หลวงก็ถาโถมเข้ามา ทำให้สองสามีภรรยารู้สึกเครียด ถึงแม้จะไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามแตกต้องเขยของตระกูลโค่ว แต่ถ้ามีคนแอบใช้วิธีการสกปรกล่ะ เหมียวอี้ล่วงเกินคนไว้มากมายขนาดนั้น ถ้าจับจุดอ่อนของเขาได้ขึ้นมา เกรงว่าจะตัดสินได้ยากว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ลงมือ

ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง อวิ๋นจือชิวยอมรับแล้วว่าการรับอ๋องสวรรค์โค่วเป็นพ่อบุญธรรมได้นำอันตรายมาให้เหมียวอี้มากยิ่งขึ้น ถ้าเหมียวอี้ยังไม่ค่อยมีคนหนุนหลังเหมือนก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายก็คงไม่ต้องยกระดับในการลงมือกับเหมียวอี้สูงเท่าไรนัก แต่ตอนนี้ต่างออกไปแล้ว ผลสะท้อนกลับที่เกิดจากการปกป้องของอ๋องสวรรค์โค่วก็มีเยอะพอสมควร เมื่อไปคลุกคลีอยู่กับระดับไหน ก็ย่อมดึงดูดระดับนั้นให้มาสนใจ

บอกได้เพียงว่าต่อให้คาดการณ์มารอบคอบขนาดไหน แต่ก็ยังนึกไม่ถึงว่าประมุขชิงจะจับเหมียวอี้โยนมาที่ตลาดผี ถ้ามาอยู่ที่ทัพเหนือของอ๋องสวรรค์โค่ว ภายใต้กำลังทหารที่คุ้มกันอย่างแน่นหนา ก็ไม่ต้องเกรงกลัวใครทั้งนั้น และครั้งนี้ก็นึกไม่ถึงด้วยว่าประมุขชิงจะตอบตกลงเรื่องทายาทกับราชินีสวรรค์เร็วขนาดนี้ ทำให้การปกป้องจากตึกศาลาสัตยพรตสั่นคลอน

โค่วเจิงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “พวกเจ้าก็ไม่ต้องกังวลมากจนเกินไปนัก ถึงยังไงตลาดผีก็เป็นอาณาเขตของตระกูลเซี่ยโห้ว ตึกศาลาสัตยพรตปกป้องตลาดผีก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ถึงยังไงจวนแม่ทัพภาคก็เฝ้าอาณาเขตให้ตำหนักสวรรค์แต่ในนาม ตึกศาลาสัตยพรตไม่มีทางปล่อยให้คนมาก่อเรื่องได้ตามอำเภอใจ ต่อให้มีคนจงใจจะทำอย่างนั้น แต่ก็ไม่มีทางปล่อยให้จุดอ่อนตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตง่ายๆ แต่ก็พยายามอย่าออกไปข้างนอก ถ้าจำเป็นต้องออกไปข้างนอกจริงๆ ก็ให้ติดต่อกับตระกูลโค่วก่อน เดี๋ยวที่บ้านจะส่งยอดฝีมือมาคุ้มกัน”

เหมียวอี้รู้สึกเซ็ง ไม่ใช่ว่าตัวเองโดนตระกูลโค่วจับตาดูตั้งแต่ตอนออกไปแล้วหรอกเหรอ

อวิ๋นจือชิวแววตาวูบไหว แล้วบอกพร้อมรอยยิ้มว่า “เรื่องแบบนี้พี่ใหญ่แค่ส่งข่าวมาบอกก็พอแล้ว จะกล้าให้พี่ใหญ่ลำบากมาด้วยตัวเองได้ยังไงกัน”

โค่วเจิงมองนางพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นประสงค์ของท่านพ่อ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ท่านพ่อให้ข้ามารับเจ้ากลับไปที่จวนอ๋องสวรรค์ด้วยตัวเองเลย อย่าให้ทั้งสองเสี่ยงอันตรายอยู่ด้วยกัน สามารถหลบหลีกอันตรายได้ส่วนหนึ่งก็ยังดี”

สองสามีภรรยาอึ้งทันที จากนั้นก็สบตากันแวบหนึ่ง เป็นประสงค์ของโค่วหลิงซวี แถมโค่วเจิงยังถ่อมาตั้งไกลด้วยตัวเองอีก ทำให้ทั้งสองปฏิเสธลำบากจริงๆ

“ท่านสามีคิดว่ายังไงคะ?” อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงยิ้มพร้อมถามเหมียวอี้

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ที่พี่ใหญ่พูดก็มีเหตุผล เจ้ากลับไปที่จวนอ๋องสวรรค์ก่อนจะดีกว่า”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเบาๆ “งั้นก็ว่าตามท่านสามีแล้วกัน”

จากนั้นทั้งสองก็ขอตัว บอกว่าต้องขอเวลาเก็บของสักหน่อย โค่วหลิงซวีบอกให้รีบเร่งให้เร็วที่สุด

หลังจากทั้งสองกลับมาที่ห้องตัวเองแล้ว อวิ๋นจือชิวปิดประตูแล้วหันกลับมาถามว่า “โค่วเจิงมารับข้าด้วยตัวเอง ยิ่งใหญ่เกินไปหน่อยรึเปล่า?”

เหมียวอี้หันหน้าเข้าหาภาพที่แขวนอยู่บนผนัง แล้วครุ่นคิดคิดพลางส่ายหน้า “ข้าไม่เข้าใจเลย จะต้องมีสาเหตุอะไรที่พวกเราไม่รู้แน่นอน แค่ตอนนี้โค่วเจิงมาด้วยตัวเอง แล้วก็เอ่ยชื่อโค่วหลิงซวีด้วย อีกฝ่ายสนใจความปลอดภัยของเจ้าขนาดนี้ เจตนาดีแบบนี้จะปฏิเสธยังไงล่ะ?”

…………………………

แค่การแย่งชิงแบ่งสรรผู้หญิงรอบๆ ก็ชัดเจนแล้ว เป็นการแข่งขันที่ดุเดือดมาก

เหมียวอี้พูดไม่ออกนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงสวยสูงส่งสง่างามภูมิฐานอย่างจินม่านจะคอแข็งมาแย่งผู้หญิงเพื่อลูกน้องผู้ชายด้วย ทำอย่างกับเป็นแม่เล้า เสียภาพลักษณ์หมดแล้ว ทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายมากจริงๆ

เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหยางชิ่งที่ยืนสงบนิ่งอยู่ข้างกาย ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งนี้จะอยู่ในการคาดการณ์ของหยางชิ่งตั้งแต่แรกแล้ว ขณะที่กำลังทอดถอนใจ เขาก็เชื่อมั่นในตัวหยางชิ่งมากขึ้นด้วย

อวิ๋นอ้าวเทียนและพวกห้าปราชญ์แอบส่งสายตาให้กัน พวกเขาทั้งห้าดูสงบนิ่งใจเย็น

“พอแล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องเถียงกันแล้ว จะแบ่งยังไงเดี๋ยวหยางชิ่งจะจัดการเอง” เหมียวอี้เอ่ยประโยคเดียวเพื่อทำให้พวกเขาหยุดเถียงกัน

คนของหกลัทธิที่เถียงกันจนหน้าแดงมองไปที่หยางชิ่งด้วยสายตาอ่อนโยนขึ้นเยอะเลย ถึงขั้นมีคนเป็นฝ่ายกุมหมัดคารวะขอคำชี้แนะด้วย “เช่นนั้นก็รบกวนหัวหน้าผู้ช่วยแล้ว”

จินม่านมองไปที่เหมียวอี้ด้วยแววตาเฝ้าคอย รู้สึกว่าเหมียวอี้คงไม่ทำให้ลัทธิอู๋เลี่ยงเสียเปรียบแน่

เหมียวอี้หยิบกำไลเก็บสมบัติหกวงออกมา โยนแบ่งให้ประมุขปราชญ์ทั้งหก “นี่คือทรัพยากรฝึกตนที่คนของพวกเจ้าที่อยู่ข้างนอกให้มา แต่ข้าก็กลุ้มใจนิดหน่อยนะ ว่ากันว่าคนมีอำนาจ ต่อให้ตายแล้วอิทธิพลก็ยังอยู่ ในปีนั้นหกลัทธิเป็นวีรบุรุษของใต้หล้า ต่อให้พังพินาศเป็นเสี่ยงๆแล้ว ช่องทางที่ทิ้งไว้ก็คงไม่ใช่เล่นๆ แน่นอน กักตุนเอาไว้หลายปี แต่ได้ทรัพยากรแค่เท่านี้ พวกเจ้าเชื่อรึเปล่าล่ะ?”

พอพูดถึงเรื่องนี้ ก็อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ขนาดจินม่านก็ยังรู้สึกอับอาย ไม่ใช่เพราะทรัพยากรที่กักตุนไว้ข้างนอกมีอยู่เล็กน้อยเท่านี้หรอก แต่เป็นเพราะไม่อาจยืนยันได้ว่าเหมียวอี้พูดจริงหรือไม่ ในขณะที่ยังไม่แน่ใจในสถานการณ์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะนำทรัพย์สินทุกอย่างส่งให้เหมียวอี้หมด ต่อให้พวกเขาตอบตกลง แต่คนข้างนอกก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี พวกเขาจึงทำได้เพียงปิดตาข้างเดียว ไม่ได้กดดันคนข้างนอกมากเกินไป ได้แต่นำทรัพยากรส่วนน้อยส่งให้เหมียวอี้เพื่อทดสอบดู ต่อให้มีเสียหายบ้างแต่ก็ไม่ถึงขั้นขาดทุนมาก

ถึงแม้จะเป็นเพียงส่วนเล็กน้อย แต่กลับเป็นทรัพย์สินที่ทำให้คนทึ่งได้ ถ้าลบคนหลายสิบล้านที่เพิ่งมาออกไป ก็เพียงพอจะให้คนในแดนอเวจีใช้ไปหนึ่งร้อยปีเลย

ส่วนเหมียวอี้จะเก็บไว้ส่วนนตัวหรือไม่ ก็ไม่ต้องกังวลเลย ข้างนอกกับข้างในมีการติดต่อกันอยู่แล้ว ทุกคนมีข้อมูลอยู่ในใจแล้วว่าให้มาเท่าไร เดี๋ยวกลับไปนับก็รู้แล้วว่าเหมียวอี้แอบฮุบไว้หรือเปล่า

จินม่านกล่าวอย่างเก้อเขินว่า “คนข้างนอกคิดมากไปแล้ว ตอนนี้ได้มาหนึ่งส่วนเท่านั้น”

เหมียวอี้เดาออกแล้วว่าจะเป็นอย่างนี้ จึงบอกตรงๆ ว่า “ข้าทำงานอยู่ข้างนอกก็ใช้ไปไม่น้อยเหมือนกัน ต้องอาศัยกำลังทรัพย์ของหกลัทธิสนับสนุน ขอเรียกร้องไม่เยอะ เดี๋ยวต่อไปจะให้หยางชิ่งร่างกฎระเบียบแบ่งสรรทรัพยากรกับพวกเจ้า คาดว่าพวกเจ้าคงจะไม่ตระหนี่หรอกใช่มั้ย?”

ไม่มีเหตุผลที่เขาจะทำงานให้หกลัทธิอย่างเดียวก็ไม่ยึดอะไรเลย แบกรับเพียงชื่อเสียงอันจอมปลอมของ ‘ราชาปราชญ์’ ตอนนี้ในมือเขาก็ขัดสนเหมือนกัน มีครอบครัวใหญ่ต้องเลี้ยง ตอนนี้เขาก็ต้องแบ่งทรัพยากรของหกลัทธิจากลูกน้องมาใช้ ก่อนหน้านี้ถึงแม้ลัทธิอู๋เลี่ยงจะทำให้เขากังวลอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มีความมั่นใจที่จะควบคุมแล้ว ถ้าไม่คิดจะครอบครองทรัพยากรมากมายขนาดนั้นก็โง่แล้วล่ะ

“รับทราบ!” ไม่รู้เหมือนกันว่าเต็มใจหรือไม่เต็มใจ เอาเป็นว่าทุกคนตอบตกลงแล้ว

คนฝั่งนี้กำลังเจรจจากันอย่างเชื่องช้าอยู่บนหน้าผา ด้านล่างก็มีคนทนไม่ไหวแล้ว มีคนคนหนึ่งตะโกนเสียงดังฟังชัด “ท่านปู่!”

เงาคนคนหนึ่งข้ามออกจากเขตควบคุมแล้วเหาะเข้ามาทางนี้โดยตรง พอมาเหยียบลงบนหน้าผา ทุกคนก็หันกลับมามอง เป็นอวิ๋นรั่วซวงนั่นเอง

ท่ามกลางคนแปลกหน้า อวิ๋นรั่วซวงมีท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู นางไปทำความเคารพตรงหน้าอวิ๋นอ้าวเทียนโดยตรง “หลานสาวคำนับท่านปู่ค่ะ”

“นี่คือหลานสาวของประมุขปราชญ์เหรอ?” เย่สิงคงแปลกใจ

อวิ๋นอ้าวเทียนเผยสีหน้ารักทะนุถนอมอย่างที่พบเห็นได้ยากขณะพยักหน้าเบาๆ

เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ตาเฒ่าเฉียวกับอวิ๋นเสียและพี่น้องตระกูลอวิ๋นก็ทยอยกันเหาะเข้ามาคารวะ

เมื่อเห็นคนตระกูลอวิ๋นเริ่มทำก่อน คนของฝั่งมู่ฝานจวินก็ไม่น้อยหน้า เข้ามาคารวะเช่นกัน โอวหยางกวงกับอันหรูอวี้ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ทั้งคู่ทำสายตาอาลัยอาวรณ์

เมื่อเห็นแต่ละบ้านกำลังเสียระเบียยบ หยางชิ่งก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ทุกคนกลับไปอยู่ที่เดิมของตัวเอง ยังไม่ถึงเวลาแบ่งสมาชิก”

ห้าปราชญ์ให้ความร่วมมือกับสิ่งนี้ ต่างก็ให้ลูกหลานกลับไปประจำที่ก่อน

เรื่องต่อจากนั้นเหมียวอี้ก็ไม่ได้แทรกแซงแล้ว ปล่อยให้หยางชิ่งไปจัดการเอง หยางชิ่งพูดไว้ชัดเจนต่อหน้าทุกคนแล้ว ว่ายังมีคนอีกหลายสิบล้านสงสัยเคลือบแคลงเรื่องการมาที่นี่ ตอนนี้เรื่องแรกที่ต้องทำก็คือให้คนที่มาถึงก่อนตอบจดหมายยืนยัน

หกลัทธิไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้เช่นกัน ให้ความร่วมมือที่จะปิดบังคนพวกนี้ให้เข้าใจผิดว่ามาถึงพิภพใหญ่แล้ว

เมื่อมีความเห็นเป็นเอกภาพแล้ว ก็ไม่มีใครขัดขวาง ประสิทธิภาพในการปฏิบัติตามคำสั่งนั้นรวดเร็วมาก กำลังพลแปดสิบล้านถูกพาไปบนดาราจักร ให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตากับความสวยวิจิตรตระการตาของดาราจักรผืนนี้ ฉากมายาของดาราจักรที่ลี้ลับยากจะคาดเดาไกลๆ นั่นก็ได้ทำให้แปดสิบล้านคนอัศจรรย์ใจจริงๆ แต่ก็ไม่ได้พาพวกเขาไปดูที่อื่นมากกว่านี้แล้ว พาไปชื่นชมแค่ดาวเคราะห์ที่หกประมุขขุนพลเคยถูกผนึกไว้ในตอนแรกเท่านั้น ที่จริงดาวเคราะห์พวกนั้นเหมาะสมกับการดำรงชีวิตมากกว่า ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ที่นั่นเปลี่ยนเป็นเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์แล้ว

สรุปก็คือ สิ่งนี้ทำให้แปดสิบล้านคนนี้แน่ใจว่าตัวเองมาถึงพิภพใหญ่แล้ว ส่วนในภายหลังจะรู้เรื่องอะไรอีกก็เป็นเรื่องในภายหลังแล้ว ตอนนี้หยางชิ่งบอกพวกเขาว่า เหมียวอี้ต้องกลับพิภพเล็ก ต้องนำจดหมายจากพวกเขากลับไปด้วย

บนดาวเคราะห์ที่หกประมุขขุนพลเคยถูกผนึกไว้ ใช้เวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น ก็ได้จดหมายที่จำเป็นต้องนำกลับไปครบแล้ว

เมื่อได้ของพวกนี้มาก็จะจัดการง่ายแล้ว เรื่องแบ่งคนห้าปราชญ์มีแผนอยู่ในใจมาตั้งแต่แรก กฎที่ต้องปฎิบัติตามก็คือให้แต่ละครอบครัวพาคนในครอบครัวของตัวเองไป นักพรตที่เป็นของหกแดนก็แบ่งตามเดิม

มีอยู่จุดหนึ่งที่หยางชิ่งเน้นย้ำกับบุคคบระดับสูงของหกลัทธิ นั่นก็คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิง กำลังพลเบื้องล่างของหกลัทธิทำได้แค่อาศัยความสามารถไปตามจีบเท่านั้น ห้ามฝืนใจเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นทำเสียเรื่อง ต้องทราบไว้ว่านักพรตหญิงมากมายที่มาที่นี่ บ้างก็เป็นศิษย์มีสำนัก บ้างก็เป็นภรรยาของผู้ที่ร่วมเดินทางมาด้วย ถ้ามีเรื่องแย่งชิงผู้หญิงขึ้นมาจริงๆ ก็จะทำให้แปดสิบล้านคนนี้เอาใจออกห่างแน่นอน

“เมื่อถึงคราวจำเป็น หกลัทธิก็ต้องเชือดไก่ให้ลิงดู!” หยางชิ่งกล่าวต่อหน้าหกประมุขขุนพล เด็ดขาดดุดัน!

บุคคลระดับสูงของหกลัทธิก็ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของปัญหานี้เช่นกัน ต้องสร้างกฎระเบียบขึ้นมา ตราบใดที่ทำตามกฎระเบียบ ปัญหาบางอย่างก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว เมื่อมีคนมากมายขนาดนี้เข้ามาเพิ่ม จะต้องเกิดความแตกต่างระหว่างฐานะและชนชั้นแน่นอน กำลังพลเดิมของหกลัทธิจะต้องอยู่ในชนชั้นปกครอง ถ้าได้เปรียบขนาดนี้แล้วยังสยบและทำให้ผู้หญิงของลูกน้องหวั่นไหวไม่ได้ เช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว สิ่งที่ควรจะลงโทษหนักก็ต้องลงโทษหนัก ไม่แน่ว่าอาจจะได้เชือดไก่ให้ลิงดูจริงๆ ก็ได้

ส่วนเรื่องแบ่งสมาชิก หยางชิ่งระงับเอาไว้ก่อน เพราะต้องให้บุคคลระดับสูงของแต่ละลัทธิร่างกฎระเบียบออกมาก่อน ต้องทำให้ความเห็นของกำลังพลเบื้องล่างเป็นเอกฉันท์ชัดเจนขึ้นมาก่อน

สำหรับสิ่งนี้หกลัทธิล้วนเห็นด้วย หลังจากกลับไปแล้วก็เตรียมการเรื่องนี้เร็วมาก

หลายวันหลังจากนั้น หลังจากเตรียมงานในระยะแรกไว้เรียบร้อยแล้ว หยางชิ่งถึงได้เริ่มปล่อยคนอย่างเป็นทางการ นักพรตหกแดนที่พามาจากพิภพเล็กถูกกำลังพลหกลัทธิแบ่งกันพาไปหาที่อยู่ตามคุณสมบัติเดิมของแต่ละคน

หยางชิ่งนับว่าเริ่มต้นจัดการเรื่องนี้ได้ดี ทำให้บุคคลระดับสูงของหกลัทธิมีจุดเริ่มต้นในการปรึกษาหารือกับเขาแล้ว ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรอีกก็ไม่ถึงขั้นพรวดพราดไม่ดูตาม้าตาเรือ

วิธีการเริ่มดำเนินงานอันรวดเร็วของหยางชิ่งนั้นไม่ธรรมดา ทำให้เหมียวอี้เบาใจลงเยอะ เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นที่ดี เหมียวอี้ก็เตรียมจะออกไปจากที่นี่

ก่อนที่จะออกเดินทาง หยางชิ่งก็ไปหาเหมียวอี้เพื่อปรึกษากันอย่างลับๆ อีกครั้ง

จ้าวเฟยกับอูเมิ่งหลัน ซือคงอู๋เว่ยกับเถาชิงหลี เหวินฟางกับหลัวผิง สามีภรรยาสามคู่นี้ถูกเลือกให้กลายเป็นลูกน้องคนสนิทของหยางชิ่ง การที่พวกเขาได้กลายเป็นผู้ติดตามคนสนิทของหยางชิ่งได้ ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ใส่ใจของหยางชิ่งเช่นกัน เขาเองก็รู้ว่าคนพวกนี้สามารถเป็นลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้ได้ เหมียวอี้มอบอำนาจมากมายขนาดนี้ให้เขา เมื่อทำงานในสถานที่แบบนี้ เขาก็ยิ่งต้องอาศัยความเชื่อใจและความร่วมมือจากเหมียวอี้ ไม่อยากให้เหมียวอี้ไม่สบายใจ แบบนี้ตัวเองถึงจะสามารถทำงานได้เต็มที่ ดังนั้นเรื่องบางเรื่องก็จะต้องสำนึกได้ด้วยตัวเอง ต้องทำให้เหมียวอี้วางใจ เรียกได้ว่าเป็นฝ่ายจับคนที่เป็นหูเป็นตาให้เหมียวอี้มายัดไว้ข้างกายด้วยตัวเองเลย

จ้าวเฟยและอูเมิ่งหลันที่มาด้วยกันเฝ้าอยู่ในลานบ้านด้านนอก ป้องกันไม่ให้มีคนเข้าใกล้

ในห้องนั้น หลังจากเหมียวอี้บอกใบ้ให้หยางชิ่งนั่งลงแล้ว ก็ยิ้มพร้อมเอ่ยถามว่า “ทำไมเหรอ ยังมีเรื่องอะไรไม่วางใจอีก?”

“เพิ่งมาครั้งแรก จุดที่ไม่วางใจก็ย่อมมีไม่น้อยอยู่แล้ว” หยางชิ่งกล่าวพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็ทำสีหน้าจริงจังทันที “ข้าน้อยไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้ แต่มีความคิดอีกอย่างหนึ่งจะคุยกับนายท่าน เรื่องนี้ข้าน้อยตัดสินใจเองไม่ได้ เกรงว่าจะต้องให้นายท่านอนุญาตและประสานงานกับประมุขปราชญ์โดยตรง”

“อ้อ!” เหมียวอี้ถาม “เรื่องอะไร?”

หยางชิ่งกล่าวอย่างลังเลว่า “หลายวันมานี้ หลังจากที่ข้าน้อยพอจะเข้าใจสถานการณ์บ้างแล้ว ก็รู้สึกว่าจำเป็นจะต้องปล่อยคนชุดหนึ่งจากแดนอเวจีออกไป”

“ชุดหนึ่ง? เจ้าหมายความว่าจะส่งคนชุดหนึ่งออกไปข้างนอกเหรอ?” เหมียวอี้ที่เพิ่งนั่งลงต้องลุกขึ้นอีกครั้งอย่างตกใจ แล้วถามเสียงต่ำว่า “คงจะไม่เหมาะสมมั้ง? ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิด เจ้ารู้รึเปล่าว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง?”

หยางชิ่งลุกขึ้นยืนตามเขา แล้วเกลี้ยกล่อมว่า “ก่อนที่ข้าน้อยจะมา ข้าน้อยก็ได้เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว หลังจากมาแล้วถึงได้พบว่า เรื่องราวไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ข้าน้อยจินตนาการไว้ ทำให้ข้าน้อยรู้สึกผิดคาดนิดหน่อย ข้าน้อยรู้สึกว่าท่าทีที่หกลัทธิมีต่อนายท่าน เหมือนจะถูกควบคุมด้วยสาเหตุอะไรสักอย่างที่ไม่ชัดเจน ไม่อย่างนั้นด้วยศักยภาพอย่างพวกเขาก็คงไม่อยู่ในโอวาทขนาดนี้หรอก ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ข้าน้อยสังเกตเห็นจะผิดพลาดหรือเปล่า?”

เหมียวอี้เงียบไปครู่เดียว แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ใช่แล้ว มีพลังกลุ่มหนึ่งควบคุมพวกเขาไว้จริงๆ ไม่อย่างนั้นข้ากับพวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ไม่มีทางกลายเป็นประมุขปราชญ์หกลัทธิได้ตั้งแต่ตอนแรกหรอก”

“ไม่รู้ว่าพลังจากฝั่งไหนที่กำลังควบคุมพวกเขาอยู่?” หยางชิ่งถามซักไซ้

เหมียวอี้หันหลังให้แล้วเอามือไขว้หลัง หลังจากเงียบไปนาน สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ข้าไม่รู้ละเอียดหรอกว่าพลังอะไรกำลังควบคุมพวกเขาอยู่ แต่ข้ามั่นใจได้เลย ว่าน่าจะเป็นคนที่ผนึกหกประมุขขุนพลเอาไว้ตอนแรก เพียงแต่หกประมุขขุนพลเหมือนจะหวาดกลัว ไม่ยอมเปิดเผยความจริง”

หยางชิ่งสงสัยว่าเหมียวอี้หรืออะไรมาหรือเปล่า เขาจึงอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นเหมียวอี้เหมือนจะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ สุดท้ายข่มใจเอาไว้และไม่ถามอีก เพียงขมวดคิ้วถามอย่างกว้างๆ “ไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือเป็นมิตร?”

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “คงจะไม่ใช่ศัตรู” เขาหันตัวมาแล้วถามอีกว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับการที่เจ้าจะปล่อยคนออกไปเหรอ?”

หยางชิ่งพยักหน้า “ไม่ใช่ศัตรูก็ดี ในเมื่อตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ได้แย่อย่างที่ข้าน้อยจินตนาการไว้ เช่นนั้นข้าน้อยก็คิดว่าเรื่องบางเรื่องสามารถผลักดันไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งได้ ให้หกลัทธิส่งขุนพลใหญ่หนึ่งคนกับขุนพลสิบคนออกจากแดนอเวจี ให้ไปรับช่วงต่อช่องทางรายได้ของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอก”

เหมียวอี้ตกใจอีกครั้ง “นักพรตระดับสำแดงฤทธิ์หกคนกับนักพรตระดับบงกชกลายหกสิบคน ปล่อยยอดฝีมือออกไปมากขนาดนั้น เจ้าไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นเหรอ?”

หยางชิ่งอธิบายอย่างจริงจังว่า “เรื่องราวไม่ได้แย่อย่างที่นายท่านคิด ในศึกเลือดแย่งชิงใต้หล้าปีนั้น พวกเขาสู้กับบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ในตอนนี้แทบจะเอาเป็นเอาตาย ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะยอมจำนน ต่อให้ยอมจำนนแต่ก็จะได้รับนิรโทษกรรมชั่วคราวเท่านั้น สุดท้ายก็จะถูกบีบคั้นแน่นอน ในจุดนี้ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รู้ พวกเขาระมัดระวังตัวยิ่งกว่านายท่านเสียอีก นอกจากนี้ สมาชิกหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกก็ควบคุมช่องทางรายได้ของหกลัทธิเอาไว้ เมื่อไม่ได้ถูกแดนอเวจีควบคุมนานเกินไป แยกกันหลายปีแล้ว ใจคนนั้นยากจะคาดเดา เต็มไปด้วยสิ่งที่ยากจะควบคุม ไม่พ้นมีคนแอบฮุบผลประโยชน์ พวกเราจะต้องควบคุมช่องทางรายได้ของหกลัทธิไว้ในมือตัวเอง ถ้าไม่ส่งยอดฝีมือที่สามารถคุมสถานการณ์ได้ออกไปก็คงไม่ได้หรอก คนทั่วไปควบคุมกลุ่มคนที่อยู่ข้างนอกไม่ไหวเลย และถ้ามียอดฝีมือกลุ่มนี้อยู่ข้างนอกแล้ว ก็สามารถรับประกันความปลอดภัยให้นายท่านได้ในระดับหนึ่ง สามารถให้ความช่วยเหลือนายท่านได้ในช่วงเวลาสำคัญ ยังมีอีกจุดหนึ่ง ถ้าคนพวกนี้ออกไปแล้ว ก็หมายความว่าจะต้องทิ้งอำนาจทางทหารที่มีอยู่ในมือตอนนี้ด้วย ตามที่มีสมาชิกจำนวนมากเข้ามาใหม่ ทั้งยังมีทรัพยากรฝึกตนส่งเข้ามา บรรยากาศของที่นี่ก็แตกต่างกับความไร้ชีวิตชีวาก่อนหน้านี้จนเทียบกันไม่ได้แล้ว การมีตำแหน่งสำคัญว่างหกตำแหน่งจะทำให้เกิดผลกระทบใหญ่หลวง ทั้งข้างล่างข้างบนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลื่อนขั้นของคนจำนวนหนึ่ง จะทำให้รูปแบบของหกลัทธิเกิดการเปลี่ยนแปลง จะมีทั้งคนดีใจและคนไม่พอใจ แล้วตอนนั้นก็จะเป็นโอกาสดีสำหรับให้พวกเรายื่นมือเข้าไปแทรกแซงทั้งหกลัทธิ เป็นโอกาสที่พลาดไม่ได้!”

เหมียวอี้ครุ่นคิดพลางพยักหน้า “เกรงว่าหกลัทธิก็อาจจะมองเห็นจุดนี้แล้วเหมือนกันน่ะสิ”

หยางชิ่งกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “แต่พวกเขาไม่มีทางปฏิเสธได้! พวกเขาจะไม่สนใจการควบคุมช่องทางรายได้ข้างนอกเชียวเหรอ?”

…………………………

“รับทราบค่ะ!” จินม่านเอ่ยรับ แล้วทำการติดต่อตรงนั้นเลย

“ท่าน…” ไห่ผิงซินกลับโมโหแล้ว ลบตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับภายนอกหมายความว่าอย่างไรล่ะ อย่าบอกนะว่าจะขังนางไว้ที่แดนอเวจีต่อไป?

พอมาอยู่ข้างกายบิดาตัวเอง นางก็ไม่กลัวเหมียวอี้อีกแล้ว ขณะกำลังจะระเบิดอารมณ์ ไห่ยวนเค่อก็ใช้มือข้างหนึ่งกดบ่านางไว้ ควบคุมไม่ให้นางทำซี้ซั้ว เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องราวมากมายที่ลูกสาวตัวเองยังไม่เข้าใจ เหมียวอี้ไม่ได้น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือคนที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ต่างหาก

แต่เขาก็ยังถามแทนว่า “ประมุขปราชญ์ ท่านหมายความว่า จะไม่ให้นางออกไปข้างนอกอีกแล้วเหรอ?”

เหมียวอี้ไม่อยากพัวพันอยู่กับประเด็นสนทนานี้อีก “นางไม่ยอมไปอยู่ข้างกายมารดานาง ข้างกายข้าก็มีสายลับของหน่วยตรวจการซ้าย และข้าก็มีศัตรูที่ตำหนักสวรรค์อีกเป็นโขยง นางอยู่กับข้าอันตรายเกินไป ให้บิดาอย่างเจ้าดูแลเองก็แล้วกัน เดี๋ยวกลับไปแล้วนางหายไป ข้าก็จะอธิบายกับตำหนักสวรรค์ ว่าเกิดเหตุไม่คาดคิดกับนาง และทางตำหนักสวรรค์ก็จะต้องติดต่อมายืนยันแน่นอน เรื่องจัดการปัญหาที่ตามมาทีหลัง ทางเจ้าก็อย่าให้มีช่องโหว่แล้วกัน”

ที่จริงไห่ยวนเค่อก็ไม่อยากให้ลูกสาวโดนขังอยู่ในนี้เหมือนตัวเอง แต่พอนึกถึงสถานการณ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ ก็พบว่าค่อนข้างอันตรายจริงๆ ส่วนเรื่องทรัพยากรฝึกตน ในเมื่อเหมียวอี้สามารถเข้าออกที่นี่ได้อย่างราบรื่นแล้ว ก็แสดงว่าสามารถนำเข้าทรัพยากรได้ อาศัยส่วนแบ่งทรัพยากรจากฐานะของเขาที่ลัทธิอู๋เลี่ยง ก็เป็นหลักประกันให้ลูกสาวคนเดียวได้อย่างไม่มีปัญหา เขาถึงได้รับน้ำใจส่วนนี้ไว้ พยักหน้าบอกว่า “ทำให้ประมุขปราชญ์คิดหนักแล้ว ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”

“ท่านพ่อ!” ไห่ผิงซินยังไม่ยอม ดึงแขนบิดาออดอ้อน ไห่ยวนเค่อจึงทำหน้าเข้ม”อย่าดื้อ!” ให้ไห่ผิงซินเบะปากก้มหน้าแล้ว จากนั้นของที่อยู่บนตัวก็ถูกไห่ยวนเค่อยึดไปชั่วคราว หลังจากจัดการเรียบร้อยหมดแล้วถึงได้คืนให้นาง

จากนั้นเหมียวอี้ก็ปล่อยหยางชิ่งออกมา แนะนำให้ทุกคนรู้จัก ยังไม่ได้บอกเจตนาที่พาหยางชิ่งมาที่นี่ แต่ทุกคนก็นับว่าดูออกแล้ว เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้เป็นลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้

หลังจากหยางชิ่งคารวะทักทายทุกคนแล้ว ก็เริ่มประเมินสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบข้าง

ผ่านไปไม่นาน ห้าปราชญ์และบุคคลระดับสูงของห้าลัทธิทยอยกันมาถึงแล้ว

เมื่อเผชิญหน้ากับทุกคนที่ทยอยกันเข้ามาคารวะ เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าเรียบเฉย ไม่พูดอะไรสักคำด้วย ทำเหมือนคนกลุ่มนี้ไปล่วงเกินอะไรเขาไว้อย่างนั้นแหละ แบบนี้หมายความว่าอะไร

เมื่อเห็นคนมากันครบแล้ว เหมียวอี้ก็หันไปพาหยางชิ่งเดินไปบนบันไดนอกตำหนัก พอหันมองต่ำลงมาที่ทุกคนอีกครั้ง ก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ตอนแรกที่ทุกคนบอกว่าแต่งตั้งให้ข้าเป็นใหญ่ที่สุด ไม่ทราบว่าจะรักษาคำพูดหรือเปล่า?”

ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก เจ้าตัวยืนอยู่บนที่สูงอย่างนั้น ยังต้องให้บอกอีกเหรอว่าหมายความว่าอะไร นี่กำลังต้องการให้ทุกคนแสดงท่าทีเหรอ

คนกลุ่มนี้เริ่มแอบถ่ายทอดเสียงปรึกษากันทันที ถึงแม้จะมีเรื่องบางเรื่องที่ในใจไม่อยากยอมรับ แต่คนชรากลุ่มนี้ก็ยอมรับความจริงมาก เรื่องบางเรื่องนั้นมีความหมายแค่ในนาม ส่วนอำนาจแท้จริงที่กุมอยู่ในมือ ใช่ว่าใครอยากจะแย่งก็แย่งได้ ในเมื่อเหมียวอี้ยังมีผลประโยชน์สำหรับพวกเขาอยู่ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำลายผลประโยชน์ของตัวเอง ที่สำคัญคือเหมียวอี้สามารถเข้าออกที่นี่ได้อย่างอิสระ ทำให้ทุกคนมองเห็นความหวังที่จะออกไปจากที่นี่แล้ว

แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือ จะเรียกเหมียวอี้ว่าอะไรล่ะ หลังจากทุกคนปรึกษากันแล้ว ก็ยืนขึ้นพร้อมกัน แล้วกุมหมัดคารวะเรียกด้วยเสียงดัง “คารวะราชาปราชญ์!”

ไห่ผิงซินที่อยู่ข้างหลังกลุ่มคนค่อนข้างตกตะลึง มีหลายเรื่องที่นางยังไม่เข้าใจชัดเจน นึกไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะทำให้หกลัทธิสวามิภักดิ์ได้ ไม่น่าจะใช่สิ เจ้าหมอนี่วรยุทธ์ก็ไม่เท่าไรเองนะ? อ๋องสวรรค์โค่วที่หนุนหลังก็บงการที่นี่ไม่ได้ด้วย คนที่นี่มีใครเห็นอ๋องสวรรค์โค่วอยู่ในสายตาบ้าง?

เหมียวอี้ก็ไม่เกรงใจเช่นกัน เอ่ยเรียกเสียงเรียบว่า “จินม่าน!”

จินม่านก้าวขึ้นมาข้างหน้า “ข้าน้อยรายงานตัว!”

เหมียวอี้กล่าวช้าๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ตั้งแต่นี้ไป เจ้าคือประมุขปราชญ์ลัทธิอู๋เลี่ยง! ลัทธิอู๋เลี่ยงมีความเห็นแย้งหรือไม่?”

จินม่านตะลึงงัน

พวกซือถูชิงหลันสบตากันแล้วยิ้ม แบบนี้สิถึงตรงตามที่ทุกคนหวัง พวกเขากุมหมัดคารวะทันที “ไม่มีความเห็นแย้ง!” จากนั้นก็กุมหมัดคารวะจินม่านอีกครั้ง “คารวะประมุขปราชญ์”

กะทันหันอย่างนี้ ทำให้จินม่านลนลานนิดหน่อย กุมหมัดคารวะอย่างเก้อเขินเล็กน้อย “ข้าน้อยเอ่ยรับคำสั่ง!”

กลุ่มคนที่อยู่ข้างล่างยังครุ่นคิดถึงเจตนาของเหมียวอี้อยู่เลย เหมียวอี้บอกอีกว่า “หยางชิ่ง!”

เสียงนี้ดึงดูดสายตาของทุกคนให้มองขึ้นไปอีกครั้ง หยางชิ่งลงบันไดไปสองสามก้าว แล้วกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยรายงานตัว!”

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หยางชิ่งจะเป็นหัวหน้าผู้ช่วยผู้ช่วยของหกลัทธิช่วงที่ข้าไม่อยู่แดนอเวจี เจ้าจะเป็นตัวแทนข้าจัดการงานทุกอย่างของหกลัทธิ” เหมียวอี้ประกาศเสียงดัง

เดิมทีต้องการจะแต่งตั้งหยางชิ่งเป็นผู้การใหญ่ของหกลัทธิ เพียงแต่หยางชิ่งปฏิเสธเอง หยางชิ่งคิดว่าเพิ่งมาครั้งแรกล้วได้ชื่อว่าเป็น ‘ผู้การใหญ่’ เลยจะยั่วโมโหคนเกินไป เขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน จะไปควบคุมดูแลใครได้? หัวหน้าผู้ช่วยผู้ช่วย’ ฟังดูเบากว่าเยอะ ให้ทุกคนเข้าใจว่าเขาอยู่ที่นี่เพียงเพราะปฏิบัติตามคำสั่งเหมียวอี้จะดีกว่า ส่วนเรื่องอื่นๆ รอตอนหลังค่อยว่ากันอีกที ไม่สะดวกจะใช้ความรุนแรงมากเกินไป

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่หยางชิ่งก็ยังนึกไม่ถึงว่าพอมาถึงเหมียวอี้ก็จะประกาศคำสั่งแต่งตั้งเลย ทำให้เขาต้องทึ่งกับความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญในบางครั้งของเหมียวอี้ เด็ดขาดจนทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา ก็จะต้องปรึกษากับหกลัทธิก่อนแล้วค่อยออกคำสั่งแน่นอน ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะไม่ปรึกษากับหกลัทธิเลย กดตำแหน่ง ‘หัวหน้าผู้ช่วยผู้ช่วย’ ลงบนหัวหกลัทธิโดยตรง เขากังวลนิดหน่อยว่าหกลัทธิอาจจะไม่ยอมรับ

แต่ในเมื่อเหมียวอี้ทำแบบนี้ไปแล้ว เขาก็จำต้องให้ความร่วมมือ “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”

ในความเป็นจริงก็เป็นอย่างนั้น จู่ๆ ก็มีคนมากมายสุมหัวกันกระซิบกระซาบหรือไม่ก็ขมวดคิ้วให้กับคำสั่ง ‘หัวหน้าผู้ช่วยผู้ช่วย’ นี้ หยางชิ่งที่ยืนแยกอยู่ด้านข้างแอบสังเกตเงียบๆ พบว่าสถานการณ์ไม่ได้แย่ถึงขนาดนี้เขาจินตนาการไว้ เห็นได้ชัดว่าถึงแม้ในใจทุกคนจะมีความเห็นแย้ง แต่ก็ไม่มีใครจะกระโดดออกมาคัดค้าน

เหมียวอี้ก็ไม่ได้คาดหวังว่าทุกคนจะยอมศิโรราบจากใจ ห้าปราชญ์อยู่ที่นี่มานานแต่ก็ยังทำจุดนี้ให้สำเร็จไม่ได้ เขาไม่คิดว่าหยางชิ่งโผล่หน้ามาแล้วจะทำสำเร็จได้เลย แต่เขาก็มีเวลาให้หยางชิ่งใช้กับคนพวกนี้อยู่แล้ว

พอเดินลงบันไดมาแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่ชายตามองเลย เดินก้าวยาวผ่านกลุ่มคนไป ทุกคนจำเป็นต้องหลีกซ้ายหลีกขวาให้เขาเดินผ่านไป

พวกจินม่านแทบจะส่งสายตาให้กันโดยจิตใต้สำนึก พวกเขาแอบรู้สึกสะท้อนใจ พบว่าความแข็งกร้าวของเหมียวอี้ในตอนนี้แตกต่างจากตอนที่เหมียวอี้มาที่นี่เป็นครั้งแรกราวกับเป็นคนละคน

ทุกคนไม่รู้ว่าเหมียวอี้ต้องการจะทำอะไร ได้แต่เดินตามหลังเขาไป เดินเรียงหน้ากระดานอยู่ทางซ้ายและขวาของเขา ยืนอยู่บนยอดเขาสูงที่หันหน้าเข้าหาทะเลอันกว้างใหญ่

เห็นเพียงเหมียวอี้สะบัดแขนเสื้อสองข้าง กำไลเก็บสมบัติบนแขนสองข้างมีพลังอิทธิฤทธิ์ม้วนช้าๆ มีเงาคนถูกพ่นออกมาคนแล้วคนเล่า

ผ่านไปไม่นาน คนหนึ่งหมื่นก็ลอยปรากฏอยู่บนท้องฟ้า แต่ละคนมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตะลึงประหลาดใจ มีคนไม่น้อยพอได้เห็นอวิ๋นอ้าวเทียนและพวกห้าปราชญ์ยืนอยู่บนหน้าผาแล้วก็ทำสีหน้าตื่นเต้นดีใจทันที ต่างก็รู้ว่าตัวเองน่าจะมาถึงพิภพใหญ่แล้ว

หยางชิ่งที่ยืนอยู่ข้างกายเหมียวอี้โบกมือพร้อมกล่าวเสียงดัง “ออกมาให้หมดเถอะ”

คนนับหมื่นทำตามที่วเตรียมตัวไว้ตอนแรก เหาะแยกย้ายกันไปบนเขตต่างๆ เหนือผิวทะเล

อวิ๋นอ้าวเทียนและห้าปราชญ์ที่เตรียมใจไว้แล้วยังดีหน่อย แต่พวกประมุขขุนพลของหกลัทธิกลับหรี่ตาอย่างฉับพลัน บางคนก็หนังตากระตุก บางคนก็เบิกตากว้าง

เห็นเพียงหนึ่งหมื่นคนที่กระจายกันไปอยู่บนผิวทะเลไกลๆ เริ่มจากหนึ่งกลายเป็นสิบ สิบกลายเป็นร้อย ร้อยกลายเป็นพัน ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว ทะเลคลื่นมรกตตรงหน้าก็ถูกปกคลุมไว้หมดแล้ว กลุ่มคนที่หนาแน่นเป็นพืดทำให้คนมองไม่เห็นว่าชายขอบว่าสิ้นสุดตรงไหน

มีคนนับไม่ถ้วนยืนอยู่บนทะเลกว้างคลื่นมรกต แต่ละคนกำลังเหลียวซ้ายแลขวา พวกเขาค่อนข้างเฝ้าคอยและอยากรู้อยากเห็น

หกประมุขขุนพลและคนอื่นๆ พุ่งขึ้นท้องฟ้าโดยจิตใต้สำนัก อยู่บนฟ้าสูงเพื่อมองดูกระแสผู้คน พวกเขาพากันสูดหายใจลึกด้วยความตกใจ ค่อนข้างตกตะลึง ไม่รู้ว่าเหมียวอี้นำคนมาจากไหนมากมายขนาดนี้

หลังจากทยอยกันมาถึงแล้ว จินม่านก็กุมหมัดคารวะถาม “ประมุขปราชญ์นำคนนอกพวกนี้มาทำไม?”

เหมียวอี้อธิบายว่า “ไม่ต้องห่วง คนพวกนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของประมุขชิงกับประมุขพุทธะ พวกเขามาจากอาณาเขตดาวลึกลับ แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตำหนักสวรรค์เลย ตั้งแต่นี้ไปคนพวกนี้จะมาเป็นลูกน้องพวกเจ้า นับว่านำมาเป็นของขวัญให้พวกเจ้าก็แล้วกัน เป็นรากฐานให้พวกเราโจมตีโต้ตอบตำหนักสวรรค์ในอนาคต ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่พวกเรา ถ้าอยากโค่นล้มตำหนักสวรรค์ก็เป็นเรื่องเพ้อฝันจริงๆ”

หกประมุขขุนพลฮึกเหิมทันที มีหรือที่พวกเขาจะไม่รู้ถึงความน่าอายของฝ่ายตัวเอง รู้อยู่แล้วว่าการที่หกลัทธิจะโค่นล้มตำหนักสวรรค์เป็นแค่ฝันกลางวัน ตำหนักสวรรค์ที่พัฒนาเติบโตมาหลายปีไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสู้ได้แล้ว อย่าว่าแต่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะร่วมมือกันเลย ต่อให้กองทัพองครักษ์ลูกน้องประมุขชิง ถ้าปะทะกันซึ่งๆ หน้า เลือกใครสักคนออกมาจากหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาก็สามารถกำจัดพวกเขาได้แล้ว แต่พวกเขาก็จำเป็นต้องหลอกลูกน้อง ถ้าไม่มอบความฝันให้ลูกน้อง ใจคนก็จะกระจัดกระจายไปนานแล้ว ตอนนี้มีกำลังพลกลุ่มใหญ่มาเพิ่มกะทันหัน จะต้องทำให้ลูกน้องฮึกเหิมมีกำลังใจแน่นอน อย่างน้อยก็มีจุดหนึ่งที่ทำให้พวกลูกน้องเห็นได้ นั่นก็คือพวกเขามีหนทางไปมาระหว่างที่นี่กับโลกภายนอกแล้ว

เย่สิงคงประมุขขุนพลลัทธิมารกุมหมัดคารวะอย่างตื่นเต้นดีใจ “ราชาปราชญ์ เกรงว่าที่นี่จะมีกำลังพลหลายสิบล้านใช่มั้ย?”

“นี่เป็นเพียงกำลังพลแปดสิบล้านที่มาถึงก่อนใน่ช่วงแรกเท่านั้น ตอนหลังยังจะส่งตามมาอีกห้าสิบล้าน” เหมียวอี้กล่าว

หมายความว่ามีกำลังพลหนึ่งร้อยสามสิบล้านเหรอ? ทุกคนตื่นเต้นฮึกเหิมอีกครั้ง

จ่างซุนจูประมุขขุนพลลัทธิเซียนส่ายหน้าอย่างตกตะลึง จากนั้นขมวดคิ้วถามอีก “เหมือนวรยุทธ์จะต่ำไปหน่อย ทำไมยังมีระดับบงกชขาวอยู่เยอะขนาดนี้?”

เหมียวอี้ถามกลับอีกว่า “พวกเรายังมีสิทธิ์เลือกเยอะด้วยเหรอ? ข้าเองก็อยากเอานักพรตบงกชทองเข้ามาสักร้อยล้านเหมือนกัน อย่าว่าแต่นักพรตบงกชทองเลย ต่อให้เอานักพรตบงกชขาวเข้ามาร้อยล้านก็ทำให้ข้างนอกแตกตื่นแล้ว แต่คนพวกนี้ไม่เหมือนกัน พวกเขาไม่รู้เรื่องสถานการณ์ภายนอกเลย สะอาดเหมือนกระดาษขาว สามารถโดนฝึกเลี้ยงได้ตามใจ ถ้าจะให้เอาคนกลุ่มใหญ่ในเขตตำหนักสวรรค์มาจริงๆ ทุกคนคุ้นเคยกับสถานการณ์ภายนอกแล้ว ถ้าอยากจะซื้อหัวใจพวกเขาอีกก็ยากแล้ว เกรงว่าคงจะกลายเป็นหนทางในการติดต่อกับทหารยามเฝ้าแดนอเวจีแทน ร้อยล้านกว่าคนพวกเจ้าคุมไหวมั้ยล่ะ?”

“ที่ราชาปราชญ์พูดก็มีเหตุผล อย่าไปถือสาคนความรู้พื้นๆ อย่างเขาเลย” เย่สิงคงพูดดูถูกจ่างซุนจู เขาตื่นเต้นดีใจจนถูไม้ถูมือ “ไม่ทราบว่าจะแบ่งคนพวกนี้ให้หกลัทธิยังไง ทางลัทธิเซียนไม่อยากได้คน แต่ลัทธิมารของข้าไม่รังเกียจหรอก”

จ่างซุนจูถลึงตาทันที “ใครบอกว่าลัทธิเซียนของข้าจะไม่เอา?” ในบรรดานักพรตแปดสิบล้านคนนี้มีผู้หญิงอยู่ไม่น้อย ที่ลัทธิเซียนมีนักพรตหลายคนที่ไม่เคยล้มลองรสชาติผู้หญิงมาก่อนเลย มีหรือที่เขาจะกล้าไม่เอา ไม่อย่างนั้นกลับไปได้โดนลูกน้องบ่นจนฟ้าถล่มแน่

ทุกคนลองคำนวณคร่าวๆ ก็รู้แล้ว ถ้ามีนักพรตหนึ่งร้อยสามสิบล้านจริงๆ นักพรตชายทุกคนที่โดนขังอยู่แดนอเวจีก็จะแก้ปัญหาเรื่องแต่งงานได้แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น คนมากมายขนาดนี้ก็นับเป็นทรัพยากรกลุ่มใหญ่เหมือนกัน ประเด็นสนทนาของทุกคนจึงเปลี่ยนไปเป็นเถียงกันว่าจะแบ่งสรรและแย่งชิงทรัพยากรชุดนี้อย่างไร ประมุขขุนพลหกลัทธิผลัดกันพูดจนเถียงกันแล้ว

“เอาล่ะ ลัทธิมารของข้าหลีกทางให้นิดหน่อยก็ได้ ยอมลดให้สองล้านคน แต่จะต้องเพิ่มผู้หญิงให้พวกเราหนึ่งแสนคน วรยุทธ์จะสูงหรือจะต่ำ จะสวยหรือขี้เหร่ก็ไม่เกี่ยง” เย่สิงคงโบกมืออย่างใจกว้าง ใจกว้างอย่างนั้นจริงๆ เอาคนสองล้านมาแลกกับผู้หญิงหนึ่งแสน

“มีสิทธิ์อะไร ทำไมต้องให้ผู้หญิงกับพวกเจ้าหนึ่งแสน ฝ่ายข้าก็หลีกทางให้ได้เหมือนกัน!” จินม่านถลึงตาเถียงทันที ถึงแม้นางจะเป็นผู้หญิง แต่เรื่องนี้ก็ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่มีผู้หญิงพวกนี้ก็ว่าไปอย่าง แต่พอมีแล้ว หากไม่แก้ไขปัญหาเรื่องจับคู่ให้กำลังพลข้างล่าง สถานการณ์ของกำลังพลข้างล่างก็จะวุ่นวายมาก ไม่ว่าใครก็ควบคุมธรรมชาติของคนไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าละเลยก็จะทำให้เกิดการแย่งชิงกันแน่นอน!

…………………………

กำลังพลที่จะโยกย้ายเริ่มรวมตัวกันแล้ว นี่เป็นขั้นตอนในการเตรียมออกเดินทาง อีกสามวันหลังจากนี้ก็จะถึงวันกำหนดเดินทางแล้ว ภายในสามวันนี้ยังมีคนทยอยมาอีก

ยืนอยู่บนยอดเขา เหมียวอี้และพวกอวิ๋นจือชิวกำลังทอดสายตามองกำลังพลนับสิบล้านตรงตียเขารอบๆ ที่มาถึงก่อน

“อลังการจริงๆ!” อวิ๋นรั่วซวงอุทานอย่างตื่นเต้นดีใจ ตอนอยู่ที่นภาจอมมารนางได้เปิดประสบการณ์ความรู้มากมาย แต่ก็ไม่เคยเห็นภาพกำลังพลรวมตัวกันเยอะขนาดนี้มาก่อน

ผู้หญิงคนนี้ดีใจมาก นางใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง สุดท้ายพี่หญิงใหญ่ก็ตอบตกลงให้นางไปพิภพใหญ่แล้ว

เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวหันกลับไปสองแวบหนึ่ง แล้วก็หันกลับมาสบตากัน อวิ๋นรั่วซวงยังไม่รู้ว่าจะถูกพี่หญิงใหญ่ของนางจับเขาแดนอเวจี

พอดูไปได้สักครู่หนึ่ง เห็นสภาพของแต่ละฝ่ายเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมียวอี้ถึงได้วางใจ นำทุกคนกลับไปแล้ว ส่วนเขาก็ยังไปที่เรือนพักของเยว่เหยาเหมือนเดิม

ภาพเหตุการณ์ก็เหมือนตอนอยู่ในห้องหอ เหมียวอี้ที่กลับเข้ามาในห้องนั่งฝึกตนอยู่บนเตียง พลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นล้อมรอบตัวเขาไว้อย่างช้าๆ

แต่วันนี้เยว่เหยาเหมือนจะมีเรื่องราวในใจ ไม่ได้นั่งฝึกตนพร้อมกับเหมียวอี้เหมือนวันที่ผ่านมา แต่นั่งถอดเครื่องประดับหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วก็เดินกลับมาบนเตียงเงียบๆ พอมาถึงที่ตัวเองแล้วก็มุดเข้าไปอยู่ในผ้าห่ม นอนมองเพดานนิ่งๆ ไม่ขยับไปไหน

ผ่านไปพักใหญ่ เหมียวอี้ก็ก็เหมือนจะสังเกตเห็นแล้ว หลังจากดูดพลังจิตวิญญาณกลับเข้ามาจนหมดสิ้น ก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง “ทำไมวันนี้ไม่ฝึกตนแล้วล่ะ? ดูเหมือนเจ้ามีเรื่องในใจนะ”

“อืม ไม่อยากฝึกตนแล้ว” เยว่เหยาตอบ

“อยู่ดีๆ เป็นอะไรไปอีกแล้ว? ไม่มีใครมาหาเรื่องเจ้าใช่มั้ย” เหมียวอี้ถามพร้อมรอยยิ้ม

เยว่เหยาหันตะแคง้ข้าง เอาแขนข้างหนึ่งค้ำศีรษะตัวเองไว้ในขณะที่มองเหมียวอี้ นางกะพริบตาปริบๆ “พี่ใหญ่ อีกสามวันก็จะต้องไปแล้วเหรอ”

“อื้ม! เจ้าเองก็รู้ถึงสถานการณ์ของข้า ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน ต่อให้ทางตลาดผีจะผ่อนคลายสักแค่ไหน แต่คงไม่ดีที่จะทิ้งตรงนั้นไว้นานๆ”

“ทางสมาคมวีรชนจำหน้าข้าได้แล้ว พอกลับพิภพใหญ่ ข้าก็ไปอยู่กับท่านที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีไม่ได้แล้ว”

“สถานการณ์ปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้ ไม่สะดวกจะให้เจ้าไปอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคด้วยจริงๆ ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าว่างข้าจะไปหาเจ้า”

“พี่ใหญ่ พวกเราแต่งงานกันได้หนึ่งเดือนแล้ว ต่อไปก็จะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ แล้ว”

“เหมือนเจ้ามีอะไรอยากจะพูดนะ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ”

เยว่เหยากัดฟันถามว่า “พี่ใหญ่ น้องสามไม่สวยเหรอ?”

เหมียวอี้แปลกใจ “ใครบอกเจ้า? เจ้าสามของข้าสวยที่สุดในโลกเลยนะ ตามที่ข้ารู้มา ในปีนั้นมีคนตามจีบเจ้าตั้งเยอะ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าสวยมั้ย”

เยว่เหยาลุกขึ้นนั่ง แล้วถามว่า “งั้นท่านรังเกียจเรื่องระหว่างข้ากับเจียงอีอีก่อนหน้านี้ใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “เจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่ใช่สักหน่อย ถ้าไม่อยากฝึกตนก็รีบพักผ่อนเถอะ อย่าคิดอะไรเหลวไหล”

“แต่งงานกันเดือนกว่าแล้ว ท่านกับข้าไม่เคยนอนเคียงหมอนกันด้วยซ้ำ ท่านไม่เคยแตะต้องข้าเลย ข้าคิดมากเกินไปจริงๆ เหรอ? ท่านเคยเห็นคู่แต่งงานคู่ไหนเป็นแบบนี้บ้าง?” เยว่เหยา

เหมียวอี้อึ้งทันที หันกลับมามองอย่างช้าๆ โบกลูกแก้วพลังปรารถนาโปรยออกมาอีกรอบ แล้วหลับตาฝึกตนต่อไป “ไม่ต้องคิดอะไรเหลวไหลแล้ว” ไม่นานเขาก็ถูกพลังจิตวิญญาณที่รวมตัวกันห่อหุ้มไว้แล้ว

เยว่เหยาเอนกายลงอย่างหงุดหงิด ดึงผ้าห่มมาคลุมหน้าตัวเองไว้แล้ว

ในหนึ่งเดือนมานี้ จิตใจหวานชื่นของคู่แต่งงานใหม่ในตอนแรกถูกความจริงโจมตีจนหมดสิ้นแล้ว นางนับว่ามองออกแล้ว ว่าเหมียวอี้ดูแลนางเพราะนางเป็นคำนึงถึงว่า ‘รองเท้ามือสอง’ เท่านั้น ไม่ได้แต่งงานรับนางเข้าบ้านเหมือนผู้หญิงปกติเลย ในหนึ่งเดือนนี้ที่เขามาหานางทุกวันก็เพราะจะคุมสถานการณ์ให้นางเท่านั้น นางซาบซึ้งใจมาก แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ นางอยากจะมีความรักที่ดีงามเหมือนผู้หญิงปกติทั่วไป ใครจะคิดว่ารอมานานแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเขาใกล้จะกลับพิภพใหญ่ ทั้งสองกำลังจะแยกจากกันแล้ว ในภายหลังก็ยิ่งไม่มีโอกาสแล้ว แบบนี้แปลว่าอะไรล่ะ? ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจริงๆ ข้าจะแต่งงานกับท่านทำไม?

“น่าโมโหนัก!” จู่ๆ ก็เปิดผ้าห่มออกมาด่า แล้วรีบเอาผ้าห่มคลุมหน้าไว้เหมือนเดิม

พูดจาชัดเจนขนาดนี้แล้ว ท่าทีก็แสดงออกชัดเจนขนาดนี้ นางไม่เชื่อว่าเหมียวอี้จะไม่เข้าใจเลยสักนิด จะให้สาววัยแรกแย้มอย่างนางพูดตรงๆ ไม่ได้หรอกว่าต้องการทำเรื่องแบบนั้น และนางก็พูดไม่ออกเช่นกัน นางยอมรับว่าตัวเองละทิ้งศักดิ์ศรีเป็นฝ่ายรุกอย่างชัดเจนแล้ว เฝ้ารอให้เหมียวอี้เห็นอกเห็นใจนาง เอาผ้าห่มคลุมหน้านอนรออย่างเงียบๆ

ทว่ารอแล้วรอเล่า สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรจากเหมียวอี้เลย จิตใจเริ่มหดหู่ลงทีละนิด

เช้าวันต่อมา เยว่เหยาที่ลุกออกจากเตียงยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า ยังคงช่วยใส่เสื้อผ้าให้เหมียวอี้อย่างกระตือรือร้น ยังคงสนิทสนมกับเหมียวอี้เหมือนเดิม เอ่ยปากเรียก “พี่ใหญ่” ได้อย่างปกติมาก มองไม่ออกว่ามีลับลมคมในอะไร สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้แอบโล่งใจ

ในหนึ่งคืนที่ผ่านมา ที่จริงเหมียวอี้ทำให้ให้สงบได้ลำบากมาก เขาตำหนิตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ว่าตัวเองทำอะไรผิดไปแล้วหรือเปล่า วิธีการปกป้องของเขาเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า วิธีการดูแลเยว่เหยาแบบนี้ใช่สิ่งที่เยว่เหยาต้องการหรือไม่? ปฏิกิริยาของเยว่เหยาทำให้เขาพบว่าตอนแรกตัวเองคิดเองเออเองเกินไปแล้ว คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำคือการหวังดีกับนางจากใจจริง แต่กลับมองข้ามจุดสำคัญจุดหนึ่งไป เยว่เหยาไม่ใช่น้องสามของเขาเท่านั้น แต่เป็นผู้หญิงของเขาแล้ว บางทีผู้ชายคนอื่นอาจจะไม่ดีกับเจ้าสามเท่าเขา แต่บางทีการปล่อยมือเจ้าสามให้ออกไปเผชิญความเจ็บปวดเล็กน้อยบ้าง นั่นต่างหากถึงจะเป็นชีวิตของเจ้าสามเองอย่างแท้จริง

ในใจเขาเปลี่ยนเป็นหวาดหวั่นกระวนกระวาย!

หลายวันต่อมา เหมียวอี้ก็ยังเข้ามาพักที่นี่เหมือนเดิม และเยว่เหยาก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องในคืนนั้นสักนิดเลย กลับมาฝึกตนเป็นเพื่อนเหมียวอี้เหมือนเดิมแล้ว คำพูดคำจาละท่าทีก็ดูมีความสุข เวลาอยู่กับอวิ๋นจือชิวก็ยิ่งปล่อยวางและเคารพนอบน้อม พยายามทำหน้าที่อนุภรรยาของตัวเองอย่างเต็มที่ ไปถามสารทุกข์สุกดิบทั้งเช้าทั้งเย็น นางถึงขั้นเตรียมใจไว้แล้วด้วย ว่าต่อให้อวิ๋นจือชิวจะตบตีหรือด่านาง นางก็ตัดสินใจว่าจะอดทน หวังเพียงจะไม่ทำให้พี่ใหญ่ลำบากใจ

สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร นางเข้าใจว่าตั้งแต่เด็กจนโตพี่ใหญ่ทุ่มเทเพื่อนางขนาดไหน สิ่งที่ทำตอนนี้ก็ยังทำเพื่อปกป้องนาง ในเมื่อกลายเป็นแบบนี้แล้ว ในเมื่อพี่ใหญ่ไม่เต็มใจจะทำอย่างนั้นกับนางจริงๆ เช่นนั้นนางก็จะไม่ทำให้พี่ใหญ่ยุ่งยากใจ ตัวเองก็ควรจะดูแลพี่ใหญ่ด้วยเช่นกัน นางรู้สึกว่าตัวเองจะเห็นแก่ตัวอีกไม่ได้แล้ว การแต่งงานในนามนั้นดีมาก นางจะได้ดูแลพี่ใหญ่ได้อย่างชอบธรรมโดยไม่ต้องหลบเลี่ยง พยายามทำตามที่พี่ใหญ่ต้องการเต็มที่ หวังว่าจะทำให้พี่ใหญ่มีความสุขได้…

นภาอู๋เลี่ยง บนยอดเขา คนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนอยู่ เหมียวอี้ยืนอยู่บนสุด มองดูกลุ่มคนที่หนาแน่นตรงตีนเขา

หลังจากทยอยประสานงานและยืนกับผู้รับผิดชอบของแต่ละฝ่ายแล้ว หยางชิ่งก็ถลันตัวมาอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ กุมหมัดคารวะ “นายท่าน ทุกอย่างเรียบร้อยดี จะออกเดินทางเลยหรือไม่ขอรับ?”

เหมียวอี้พยักหน้า “ออกเดินทางเถอะ!”

หยางชิ่งหันตัวมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดัง “รวมตัว!”

เงาคนที่ยั้วเยี้ยอยู่ตรงตีนเขาค่อยๆ กระจายไป จับกลุ่มกันแล้วหายไปในท้องฟ้า ใช้เวลาเพียงไม่นาน กำลังพลแปดสิบล้านคนก็เหลือเพียงเกือบหมื่นคนกำลังทะยานขึ้นฟ้า ตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ปรากฏวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ทะยานขึ้นฟ้า สะบัดแขนเสื้อสองข้างรับลม เผยกำไลเก็บมสมบัติหลายวงบนข้อมือ พลังอิทธิฤทธิ์พัดสะบัดอยู่ระหว่างแขนทั้งสองข้าง

กำลังพลนับหมื่นที่อยู่บนท้องฟ้าแบ่งพุ่งเข้ามาทางซ้ายและขวาอย่างรวดเร็ว ตอนที่เข้ามาใกล้เหมียวอี้ พวกเขาก็หายเข้าไปในอากาศทีละคน หายไปตรงหน้าเหมียวอี้ราวกับเป็นฝูงปลา

ผ่านไปไม่นาน บนฟ้าก็เหลือเหมียวอี้อยู่เพียงคนเดียว อวิ๋นจือชิว เสวี่ยเอ๋อร์ หยางชิ่งพุ่งขึ้นฟ้า และหายไปตรงหน้าเหมียวอี้เช่นกัน

เหมียวอี้หันมองโดยรอบปราดหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อสองข้าง ร่างกายพุ่งไปในท้องฟ้าราวกับเงามายา เหยียนซิวตามหลังเขาไปโดยตรง ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปในท้องฟ้าแล้ว

เยว่เหยายังไม่ได้ตามกำลังพลกลุ่มนี้กลับพิภพใหญ่ กำลังยืนมองส่งอยู่กับพวกฉินเวยเวยบนยอดเขา…

ดาราจักรกว้างใหญ่ไพศาล เส้นทางยาวไกล ข้ามผ่านประตูดวงดาวตลอดทาง ในที่สุดก็ถึงอาณาเขตพิภพใหญ่แล้ว

หลังจากปลอมตัวแล้ว เหมียวอี้กับเหยียนซิวก็เหาะไปยังดาวเคราะห์สามเหลี่ยมประหลาดดวงหนึ่ง พอเหยียบลงพื้นแล้ว เหยียนซิวก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ปรบมืออย่างเป็นจังหวะ

ตรงที่ไกลๆ มีเสียงดังสะเทือนหลายครั้ง มีคนหกคนโผล่จากใต้ดินมาปรากฏตรงหน้า เป็นชายชราหกคนที่สีหน้าแข็งทื่อ เห็นได้ชัดว่าผ่านการปลอมตัวมาแล้ว

ทั้งสองฝ่ายไม่คุยอะไรกันทั้งนั้น เหยียนซิวออกหน้าแลกเปลี่ยนตราอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบตัวตนกับหกคนนั้น หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ผิดพลาด ชายชราหกคนนั้นก็ส่งมอบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้เหยียนซิว จากนั้นก็เหาะขึ้นฟ้าไป ส่วนเหมียวอี้กับเหยียนซิวก็ทะยานดำหายเข้าไปในดาราจักรอันกว้างใหญ่เช่นกัน

“นายท่าน มาทำลับๆ ล่อๆ เจอกันที่นี่ทำไมเหรอ?”

บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง หลังจากคุ้มกันส่งไห่ผิงซินให้มาเจอกับเหมียวอี้แล้ว หยางเจาชิงเพิ่งจะทำความเคารพ ไห่ผิงซินก็อดไม่ได้ที่จะมองไปโดยรอบแล้วพึมพำถามอย่างแปลกใจ

เหมียวอี้เหล่ตามองนางแวบหนึ่ง “พาเจ้าไปสถานที่ที่น่าสนุก ตลาดมืด เจ้าจะไปรึเปล่า? ถ้าไม่ไปก็กลับกันเถอะ”

“ตลาดมืด?” ไห่ผิงซินตาเป็นประกาย เพราะนางยังไม่เคยเห็น จึงพยักหน้าซ้ำๆ “ไปๆๆๆ!”

เหมียวอี้ตบที่กระเป๋าสัตว์ ใส่นางเข้าไปข้างใน จากนั้นก็โบกมือปล่อยอวิ๋นจือชิวกับเสวี่ยเอ๋อร์ที่ปลอมตัวแล้วออกมา โดยเหยียนซิวและหยางเจาชิงจะเป็นคนคุ้มกันส่งทั้งสองกลับตลาดผี ส่วนเหมียวอี้ก็เหาะไปข้างหน้าต่อเพียงลำพังอย่างรวดเร็ว ไปยังแดนอเวจี…

ในท้องฟ้าที่สวยงามแปลกพิสดาร เหมียวอี้ข้ามผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวกวนตลอดทาง สุดท้ายก็พุ่งไปข้างหน้าในแนวเส้นตรงอย่างรวดเร็ว

ดาวอู๋เลี่ยงอยู่ข้างหน้าแล้ว ทันใดนั้นก็มีเข้ามาสกัดในแนวขวาง เหมียวอี้ดึงหนังปลอมบนใบหน้าออก หลังจากตรวจสอบตัวตนแล้วก็บุกเข้ามาในดาวอู๋เลี่ยงเลย

ตรงนี้เพิ่งจะฝ่าชั้นบรรยากาศ ด้านล่างจินม่านก็นำซือถูชิงหลัน ไห่ยวนเค่อและกงซุนลี่เต้ามาต้อนรับแล้ว พวกเขาไม่รู้เวลาที่แน่นอนของเหมียวอี้ เพิ่งจะรีบมาตอนได้รับรายงานจากทหารยาม ตอนนี้กำลังพบกันอยู่กลางอากาศ ส่วนสืออวิ๋นเปียนกับอ๋าวเถี่ยแม่ทัพใหญ่อีกสองคนกำลังเข้าเวรยามอยู่ ตอนนี้ยังมาต้อนรับไม่ได้

“คารวะประมุขปราชญ์!” จินม่านและคนอื่นๆ ทำความเคารพในขณะที่อยู่บนท้องฟ้า แต่ละคนทำสีหน้าทั้งตกตะลึงทั้งดีใจ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ฝั่งนี้จะเคยสงสัย แต่หลังจากแน่ใจว่าเหมียวอี้สามารถเข้าออกแดนอเวจีได้อย่างอิสระ ความรู้สึกแบบนั้นก็ไม่มีทางอธิบายได้เลยจริงๆ

“กลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เหมียวอี้พูดทิ้งไว้แล้วพุ่งไปที่จุดดำๆ บนทะเลมรกต โดยมีทั้งสี่ติดตามไป

ตรงหน้าตำหนักอู๋เลี่ยง พอพวกเขาเหยียบลงพื้น เหมียวอี้ก็โบกมือโยนไห่ผิงซินออกมา

ไม่ใช่แค่ไห่ยวนเค่อ แม้แต่พวกจินม่านก็อึ้งเช่นกัน ต่างนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะพาเด็กสาวคนนี้กลับมาแล้ว

“ว้าว! ท่านพ่อ!” พอเห็นไห่ยวนเค่อ ไห่ผิงซินก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจทันที โผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดไห่ยวนเค่อแล้ว

บนใบหน้าเย็นชาของไห่ยวนเค่อเผยความอบอุ่นอย่างที่พบเห็นได้ยาก เขากอดลูกสาวเบาๆ อย่างไม่ค่อยคุ้นชิน พอพบว่าลูกสาวยังสบายดีเหมือนเดิม ก็พยักหน้าเบาๆ ขอบคุณเหมียวอี้ เขายังนึกว่าเหมียวอี้ตั้งใจส่งลูกสาวกลับมาให้พบเขา

แต่ใครจะคิดว่าไห่ผิงซินจะพลันเงยหน้าออกจากอ้อมอกบิดา แล้วมองประเมินไห่ยวนเค่อศีรษะจดเท้าอย่างจริงจัง จากนั้นก็รีบหันไปมองตำหนักอู๋เลี่ยง แล้วก็รีบหันตัวมาโวยวายใส่เหมียวอี้ “ท่านหลอกข้า! ท่านบอกว่าจะพาข้าไปสถานที่น่าสนุกไม่ใช่เหรอ? ท่านบอกว่าจะไปตลาดมืดไม่ใช่เหรอ? ทำไมกลับมาที่นี่แล้วล่ะ?”

“ซินเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท!” ไห่ผิงซินตำหนิ

“พาเจ้ากลับมาหาพ่อเจ้าแล้ว เจ้าไม่ดีใจหรอกเหรอ?” เหมียวอี้เหล่ตาถาม

“ข้า…” ไห่ผิงซินเถียงไม่ออก

“ไห่ยวนเค่อ ข้าดูแลลูกสาวเจ้าไม่ไหวแล้ว นางหนูคนนี้อยู่ไม่สงบเลย กลับไปอย่าลืมลบตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราที่นางใช้ติดต่อกับภายนอกทิ้งด้วยนะ อย่าให้เกิดปัญหาอะไรได้” หลังจากเหมียวอี้พูดทิ้งท้ายไว้แล้ว ก็หันตัวมาหาคนที่เหลือ ประเด็นสนทนาเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน กล่าวเสียงต่ำว่า “บอกให้คนจากลัทธิพวกนั้นมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”

…………………………

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วก้าวขึ้นมาประคองแขนเขาให้ลุกขึ้น “ทุ่มเทสติปัญญาความสามารถตราบจนชีวิตหาไม่นั้นไม่ต้องหรอก ไม่อย่างนั้นข้าจะแก้ตัวกับเวยเวยไม่ได้นะ”

หยางชิ่งสงบสติอารมณ์ได้ยากยิ่ง ดวงตาที่มองอีกฝ่ายฉายแววซับซ้อนสับสน ก่อนหน้านี้มีหลายสิ่งที่ไม่ได้พูด ตอนนี้รู้สึกเหมือนต้นร้ายปลายดีจริงๆ สมองคิดอะไรบางอย่างได้ ลองถามหยั่งเชิงว่า “แล้วเคล็ดวิชานี้ เวยเวย…”

เหมียวอี้พยักหน้า “ยอมไม่ขาดของนางอยู่แล้ว ข้าจะให้นางด้วยตัวเอง ข้าเพิ่งจะแต่งงานรับคนใหม่มา ถ้าไม่ปลอบใจนางให้ดีๆ ข้ากลัวนางจะอารมณ์เสียใส่น่ะสิ!” ขณะที่พูดก็ยิ้มเจื่อน

หยางชิ่งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ถ้านางไร้เหตุผลจริงๆ ข้าน้อยจะต้องตำหนินางสักหน่อยแล้ว คนที่อยู่ระดับนายท่านแล้ว การรับอนุภรรยาไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องได้ใหม่ลืมเก่าแล้ว ทุกสิ่งล้วนทำไปเพื่อผลประโยชน์ของทุกคน”

เหมียวอี้ยิ้มแห้ง ถึงแม้ปากจะไม่สะดวกพูดอะไร แต่ในใจกลับพึมพำว่า ‘หวังว่าเจ้าจะคิดอย่างนี้จริงๆ นะ ผู้หญิงคนนั้นถูกเจ้าปฏิบัติราวกับสมบัติล้ำค่า’

หยางชิ่งอยากจะขอตัวลา แต่เหมียวอี้กลับเชิญให้เขาอยู่ต่ออีก แล้วสั่งให้คนไปเรียกพวกจ้าวเฟยมาหา

จ้าวเฟย อูเมิ่งหลัน ซือคงอู๋เว่ย เถาชิงหลีมาแสดงความยินดี ไม่เคยได้พบกันเป็นการส่วนตัวเลย ต้องเจอกันสักหน่อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าหยางชิ่ง เหมียวอี้อธิบายสถานการณ์ของพิภพใหญ่ที่กำลังจะไปให้ฟัง หลังจากเตรียมคนไปที่พิภพใหญ่แล้ว ก็ให้ทำงานอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของหยางชิ่ง มอบอำนาจให้หยางชิ่งแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ควบคุมงานอะไรเลย

เดิมที่ทั้งสี่ก็ไม่มีความมั่นใจกับเรื่องนี้อยู่แล้ว ตั้งใจจะขอคำชี้แนะ นึกไม่ถึงว่าจะเตรียมการไว้แล้ว ย่อมเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะดูแล จึงปลาบปลื้มมาก มาคารวะหยางชิ่งอย่างจริงจังเพื่อทำความรู้จักนายท่านเอาไว้ หยางชิ่งเองก็ไม่อิดออด สั่งให้ทั้งสี่กลับไปเตรียมเรื่องย้ายคนให้เรียบร้อย ส่วนเรื่องระหว่างบุคคล เมื่อไปถึงพิภพใหญ่แล้วเขาจะเตรียมการให้เอง

ทั้งสี่เอ่ยรับคำสั่ง แล้วเดินออกไปพร้อมหยางชิ่ง

เหมียวอี้ยืนส่งอยู่ตรงประตู แอบรู้สึกทอดถอนใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าการส่งสี่คนนี้ไปพิภพใหญ่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย อนาคตนั้นยากจะคาดเดา ตอนที่ได้ยินว่าสี่คนนี้มาแล้ว เขาก็ไตร่ตรองว่าควรจะให้สี่คนนี้อยู่ที่พิภพเล็กต่อหรือไม่ สุดท้ายก็ยังไม่ได้ให้สิทธิพิเศษ มีคนไม่น้อยรู้ว่าเขามีความสัมพันธ์อันดีกับสี่คนนี้ ถ้าทั้งสี่ไม่ไปก็เกรงว่าจะเกิดผลกระทบใหญ่โต ทำได้เพียงเตรียมการแบบนี้

“พี่ใหญ่ ใกล้เสร็จรึยังคะ?” เยว่เหยาเดินเนิบนาบเข้ามาเรียกอยู่ข้างหลังเขา

ตอนที่เหมียวอี้หันกลับมา สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาก็คือหญิงงามชดช้อยดุจภาพวาด ปิ่นระย้าที่ปักบนมวยผมสั่นไหวเป็นประกาย ช่างยั่วยวนชวนหิวจริงๆ

ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะเคยเห็นเยว่เหยาแต่งกายชุดสตรีที่ออกเรือนแล้ว แต่พอกลับมาเห็นอีกก็ยังเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย ทำไมถึงเดินมาถึงขั้นนี้ได้นะ

เมื่อเห็นอีกฝ่ายจ้องตนไม่ละสายตาแบบนี้ เยว่เหยาก็ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ ใบหน้าแดงเรื่อทันที กล่าวอย่างเขินอายว่า “ทำอย่างกับไม่เคยเห็น”

“เหอะๆ…” เหมียวอี้ส่ายหน้าหัวเราะเจื่อน แล้วถามว่า “เจ้าไม่ได้อยู่กับฮูหยินหรอกเหรอ?”

ใบหน้างามของเยว่เหยายิ่งแสดงอาการเขินอายหนักกว่าเดิม “ฮูหยินมีธุระค่ะ” ที่จริงหลังจากคุยกับพวกอวิ๋นจือชิวไปสักพักแล้ว อวิ๋นจือชิวก็บอกว่านางคือคนใหม่ เป็นช่วงเวลาข้าวใหม่ปลามัน ให้นางมาปรนนิบัตินายท่าน ต่อไปถ้ากลับพิภพใหญ่ก็หาโอกาสดีๆ แบบนี้ได้ยากแล้ว

เหมียวอี้ร้องอ๋อ แล้วถามอีกว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ?”

เยว่เหยาบอกว่า “น้องสาวของฮูหยินงอแงจะไปพิภพใหญ่ ฮูหยินกำลังด่านาง”

เหมียวอี้จินตนาการได้ว่าอวิ๋นรั่วซวงมีนิสัยอย่างไร ในขณะนี้เอง หลันโฮ่วกับจางเทียนเซี่ยวก็มาด้วยกันแล้ว เขาทำได้เพียงบอกเยว่เหยาว่า “เจ้ากลับไปพักก่อนเถอะ ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย”

เยว่เหยาพยักหน้า “งั้นข้ากลับไปรอท่านนะ” เสียงพูดอ่อนโยนขึ้นเยอะเลย ทั้งยังย่อตัวคำนับก่อนถอยออกไปด้วย

เหมียวอี้เห็นแล้วปวดประสาท ใช้เจ้าสามคนที่อยู่ต่อหน้าคนแล้วปากไม่มีหูรูดเสียที่ไหนกัน ปรับตัวกับฐานะได้เร็วมาก กลับเป็นเขาที่ยิ่งนานไปยิ่งปรับตัวได้ยาก

“ท่านปราชญ์!” หลันโฮ่วกับจางเทียนเซี่ยวคำนับพร้อมกัน คนแรกยังคงแต่งตัวดีมีสง่าราศี ส่วนคนหลังก็ยังแต่งกายไม่มิดชิดเหมือนเดิม

เหมียวอี้นำทั้งสองคนเข้าไปคุยกัน คุยเรื่องการเตรียมการพิเศษสำหรับทั้งสองหลังจากไปที่พิภพใหญ่แล้ว ให้ทั้งสองเตรียมตัวไว้ให้เรียบร้อย

หลังจากคุยเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็ชี้ไปบนตัวจางเทียนเซี่ยว “เจ้าแต่งตัวสะดุดตาเกินไปแล้ว พอไปที่พิภพใหญ่ก็ต้องมิดชิดหน่อย ไม่อย่างนั้นจะสร้างปัญหาให้ทุกคนได้ หลังจากไปที่นั่นแล้ว ฮูหยินจะบอกพวกเจ้าเองว่าต้องทำยังไง”

“รับทราบค่ะ!” จางเทียนเซี่ยวที่แต่งตัวแบบนี้จนชินแล้วเอ่ยรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก

หลังจากทยอยพบคนพวกนี้แล้ว ตอนนี้ฟ้าใกล้จะมืด ขณะที่เหมียวอี้กำลังเตรียมตัวจะออกไป จู่ๆ ข้างนอกก็มีคนมารายงาน บอกว่าน้องสาวของเขามาหาแล้ว

น้องสาวเหรอ? เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจทันที นึกออกแล้วว่าเป็นใคร จึงโบกมือให้คนพาเข้ามา

เป็นอย่างที่คาดไว้ ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เหวินฟางที่สวมชุดกระโปรงสีชมพูเดินก้าวยาวเข้ามาแล้ว เป็นน้องสาวจอมเอาเปรียบของเขาเช่นกัน พอเห็นเหวินฟาง เหมียวอี้ก็อดยิ้มไม่ได้ บนใบหน้าของผู้หญิงคนนี้สดใสมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ แต่ความอ่อนเยาว์ของสาววัยแรกแย้มหายไปแล้ว เหมือนจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะเลย สง่างามละเมียดละไมเหมือนผู้หญิงมากขึ้น

“พี่ใหญ่!” เหวินฟางที่มาตีสนิทตะโกนเรียกอย่างสนิทสนมมาตั้งแต่ไกลๆ ทำให้บ่าวไพร่ที่เดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้านหันมอง

เหมียวอี้ไม่ได้รักษามารยาทกับนาง เขาเดินลงบันได แล้วโบกมือบอกใบ้ให้ไปเดินเล่นในสวนด้วยกัน หลังจากได้ยินนางกล่าวแสดงความยินดีแล้ว เหมียวอี้ก็ยิ้มพร้อมถามว่า “ได้ยินว่าเจ้าแต่งงานแล้วเหรอ?”

เรื่องนี้เขาก็เพิ่งได้ยินจากปากอวิ๋นจือชิวในตอนหลังเช่นกัน ตอนนั้นเขาถูกขังอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ อวิ๋นจือชิวให้ฉินเวยเวยไปร่วมแสดงความยินดีด้วยตัวเอง นางไม่ได้แต่งงานกับใครที่ไหน เป็นคนคุ้นเคยของเหมียวอี้เช่นกัน หลัวผิง คนของสมาคมร้านค้าแดนเซียนในปีนั้น เหมียวอี้เคยทำธุรกรรมกับเขาหลายครั้งแล้ว สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้คาดไม่ถึงนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายเหวินฟางจะได้ลงเอยกับหลัวผิง

“น้องสาวแต่งงานแล้วค่ะ พี่ใหญ่ไม่มาส่งข้าแต่งงานเลย มีพี่ใหญ่แบบนี้เสียที่ไหนกัน?” เหวินฟางบ่นเขา

เหมียวอี้ตอบอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ขอโทษนะ ตอนนั้นข้ามีธุระปลีกตัวมาไม่ได้จริงๆ” เขาไม่อยากจะพูดเรื่องที่ตัวเองโดนขังในแดนมรณะดึกดำบรรพ์

แต่ใครจะคิดว่าเหวินฟางจะหลุดขำออกมา “ล้อเล่นน่า ใช่ค่ะ เป็นเรื่องเมื่อสามร้อยปีก่อน”

“หลัวผิงยังดีกับเจ้าอยู่มั้ย?” เหมียวอี้ถามอย่างเป็นห่วง

เหวินฟางตอบว่า “ก็ยังพอไหวมั้ง แต่ก็หลีกเลี่ยงสันดานผู้ชายไม่ได้อยู่แล้ว เขาเริ่มมีความคิดจะรับอนุภรรยาแล้วล่ะ แต่อาศัยรัศมีระดับพี่ใหญ่ ก็ทำให้น้องสาวได้เป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือได้บ้าง ข้ายืนหยัดไม่อนุญาตให้หลัวผิงรับอนุภรรยา เอาเป็นว่าเขาก็ยังดีกับข้าอยู่ ในปีนั้นน้องสาวไม่ได้เลือกคนผิด ส่วนเรื่องที่เขาแอบออกไปลักกินขโมยกินนิดหน่อย ตราบใดที่ยังไม่ล้ำเส้นที่ข้าขีดไว้ ข้าก็จะปิดตาข้างเดียวแล้วกัน เรื่องแบบนี้ต่อให้อยากจะคุม แต่ก็คุมไม่อยู่หรอก เขาไม่ไปหาใครก่อน มีแต่นางจิ้งจอกที่ชอบเป็นฝ่ายมายั่วเขาเอง ข้าว่าผู้ชายทุกคนก็คงอดใจไม่ไหวทั้งนั้น พี่ใหญ่ว่ามั้ยล่ะ?” นางพูดความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง อาศัยเส้นสายระดับเหมียวอี้ ชีวิตคู่ของเหวินฟางก็ย่อมไม่แย่อยู่แล้ว หลัวผิงมีเงื่อนไขปัจจัยอย่างนั้น ย่อมดึงดูดผู้หญิงมากมายอยู่แล้ว

ผู้ชายของเจ้าไปหาเศษหาเลยแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า มาถามข้าทำไมเหรอ? เหมียวอี้พึมพำในใจ เอามือลูบจมูกอย่างกินปูนร้อนท้อง แล้วพยักหน้ายิ้มบ้างๆ “งั้นก็ดี”

จู่ๆ เหวินฟางก็หัวเราะคิกคัก “ตอนนี้เขาก็ยังดีกับข้า แต่อนาคตก็บอกอะไรชัดเจนไม่ได้ เรื่องพิภพใหญ่อือฮาแล้ว ทั้งครอบครัวหวังว่าจะได้พึ่งพาเส้นสายของพี่ใหญ่เพื่อเสาะหาเส้นทางใหม่ ถ้าทำให้พวกเขาผิดหวัง ในภายหลังเกรงว่าน้องสาวจะไม่ได้ใช้ชีวิตดีๆ แล้ว พี่ใหญ่คงไม่ทิ้งน้องสาวเอาไว้โดยไม่ได้สนใจหรอกใช่มั้ย? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ น้องสาวก็จะอาศัยพี่ใหญ่ไปทั้งชีวิตแล้ว ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่ไป”

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ คาดว่าพอมีเส้นสายของเขาอยู่ คนของตระกูลหลัวก็ไม่กล้าทำให้นางลำบากเหมือนกัน คงจะต้องเกรงใจนาง เพียงแต่ปากก็พูดไปอย่างนั้นเท่านั้นเอง “ทางพิภพใหญ่ยังคงเป็นหยางชิ่งที่ดูแลงาน เดี๋ยวต่อไปเจ้าไปหาหยางชิ่งแล้วกัน ดูว่าเขาจะเตรียมการยังไง เจ้าแค่บอกไปว่าเป็นประสงค์ของข้า”

เมื่อเขาพูดแบบนี้ก็จัดการง่ายแล้ว เหวินฟางยิ้มอย่างปลาบปลื้ม “ยังเป็นพี่ใหญ่ที่เอ็นดูน้องสาว!” นางดึงแขนเสื้อเหมียวอี้กระโดดโลดเต้น ร้องอุทานอย่างดีใจ ทำเหมือนทั้งสองเป็นพี่น้องกันแท้ๆ

เหมียวอี้ก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน รู้สึกอบอุ่นในหัวใจเล็กน้อย ตามใจนางแล้ว

สำหรับผู้หญิงคนนี้ จะพูดอย่างไรดีล่ะ เอาเป็นว่าเหมียวอี้ค่อนข้างชื่นชม พยายามยืนด้วยลำแข็งตัวเองมาก เขาเองก็เข้าใจว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการจะอาศัยเส้นสายกับเขา แต่เขาก็รู้ว่านางรู้จักทำอะไรแบบพอดี ดังนั้นจึงไม่ถือสาในการกระทำของนาง และเฝ้ารอจะเห็นนางได้ในสิ่งที่ต้องการเช่นกัน ถึงอย่างไรทั้งสองก็มีความสัมพันธ์ที่เรียกว่า ‘พี่ชาย’ น้องสาวจริงๆ ถึงแม้ตอนแรกเขาจะไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องบอกเลยว่าผู้หญิงคนนี้คว้าโอกาสได้แล้ว ไม่ได้อยากได้ทางลัด แต่เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้พยายามช่วงชิงมาจริงๆ จึงได้รับมาอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ได้ใช้วิธีการนอกลู่นอกทาง ได้มาด้วยวิธีที่ถูกต้อง จุดแข็งนี้ทำให้เหมียวอี้ชื่นชม ผู้หญิงคนหนึ่งทำได้ถึงจุดนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายเลย

“เออใช่ ในเมื่อหลัวผิงแต่งงานกับเจ้าแล้ว แต่ทำไมเขาไม่อยู่กับเจ้าล่ะ?” เหมียวอี้นึกขึ้นได้จึงเอ่ยถาม

พอพูดถึงตรงนี้ เหวินฟางก็ยิ้มเจื่อนส่ายหน้า “ข้าก็ดึงเขามาด้วยกันแล้ว แต่เขารู้สึกว่าเหมือนกำลังเกาะขาคนมีอำนาจมากเกินไป ทนเสียหน้าไม่ไหว บางทีอาจจะเป็นเพราะฐานะของพี่ใหญ่ในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกกดดันมาก ข้ายังไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่สมาคมร้านค้าหลายปีขนาดนั้นแล้วได้ขัดเกลานิสัยยังไงบ้าง ขนาดเสียหน้าเล็กน้อยแค่นี้ยังทำไม่ได้ ช่างเถอะ มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีบ้างนิดหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร อย่างน้อยก็ถือเป็นเส้นตายเส้นหนึ่ง ไม่ให้อนาคตเขาทำอะไรกับข้ามากเกินไป”

“เหอะๆ เจ้าก็มองโลกอย่างเข้าใจ!” เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม พบว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่อยู่กับความเป็นจริง ไม่เหมือนเขาที่พุ่งเข้าใส่อันตรายต่างๆ นาๆ

ทั้งสองเดินเล่นไปพลางคุยไปพลาง บางครั้งเหวินฟางก็แอบมองเขาเงียบๆ ในใจเรียกได้ว่าปลงอนิจจังไม่หยุด ตัวละครเล็กๆ ในปีนั้นไม่น่าเชื่อว่าจะเดินมาถึงขั้นนี้ได้ ว่ากันตามจริง ใช่ว่านางจะไม่เคยหวั่นไหวกับเหมียวอี้เลย เพียงแต่ยิ่งฐานะของทั้งสองต่างกัน แล้วก็เห็นท่าทีของเหมียวอี้ว่าไม่ได้คิดอะไรกับนาง นางก็มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีเหมือนกัน จึงหันกลับไปเผชิญหน้ากับความจริง ยอมรับคนที่ชอบนาง เป็นหลัวผิงที่ทำให้นางมั่นใจได้ ดีกว่าไปรักคนที่เขาไม่รักเราตั้งเยอะ คนบางคนทั้งชีวิตนี้อาจจะทำได้เพียงมองจากที่ไกลๆ

จนกระทั่งฟ้ามืด เหวินฟางถึงได้เป็นฝ่ายขอตัวก่อน ไม่สะดวกจะค้างแรมที่นภาอู๋เลี่ยงเช่นกัน ถึงอย่างไรนางก็แต่งงานแล้ว ต้องระวังผลกระทบด้วย

วันต่อๆ มา ภายใต้การวางแผนของหยางชิ่ง แดนฝึกตนของทั้งพิภพเล็กก็คึกคักไม่ธรรมดา นักพรตจำนวนมากไปรวมตัวกันตามจุดที่กำหนดไว้ของแต่ละแดน มีการสอบถามสถานการณ์ ท่านทูตของแต่ละสายเตรียมติดประกาศแล้ว อธิบายซ้ำไปซ้ำมา เป็นภาพที่เห็นได้ยาก

กำลังพลของทางการ ลูกศิษย์ของสำนักและนักพรตอิสระที่แน่ใจแล้วว่าจะออกเดินทางรีบกลับไปแล้ว กลับไปเตรียมรวบรวมทรัพยากร ต้องการจะนำทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเองไปด้วย

ผ่านไปไม่นาน ตามขั้นตอนในแผนการของหยางชิ่ง นักพรตพรตจากแต่ละที่ของพิภพเล็กก็ถูกกำลังพลของทางการควบคุมตัวมาส่ง แบ่งกลุ่มรวมตัวกันอยู่ตรงตีนเขารอบๆ นภาอู๋เลี่ยง เป็นฉากที่อลังการงานสร้างจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อถึงตอนกลางคืน เปลวไฟส่องสว่างทอดยาวเหยียด เมื่อทอดสายตามองไปก็เห็นเป็นเหมือนดวงดาวเต็มท้องฟ้า

…………………………

ในโถงหลัก เชิญกลุ่มพยานมาอยู่ในโถงแล้ว ขนาดคนที่ไม่มีคุณสมบัติที่จะถูกเชิญมาก็ยังเสนอหน้ามาด้วยเลย ยกตัวอย่างเช่นจิ้งจอกพันหน้าที่ตามอวิ๋นรั่วซวงเข้ามา

หยางชิ่งกับฮูหยินก็ขาดไม่ได้ยู่แล้ว ฉินเวยเวยไม่สะดวกจะหลบเลี่ยง แม้แต่หงเฉินก็จำเป็นต้องโผล่หน้าออกมาเช่นกัน พวกจีเหม่ยลี่ไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นก็ต้องมาร่วมงานนี้ด้วยเหมือนกัน

อวิ๋นจือชิวนั่งอยู่บนตำแหน่งนายหญิง บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย อวิ๋นเสียอาสามของนางและตาเฒ่าเฉียวที่ยืนอยู่อีกด้านกำลังชำเลืองมองนาง ไม่รู้เหมือนกันวาความรู้สึกที่แท้จริงในใจนางเป็นอย่างไร คาดว่าคงไม่มีผู้หญิงคนไหนสามารถยิ้มออกมาจากใจจริงได้

ฮูเหยียนไท่เป่าที่อยู่ในฐานะเจ้าสาวก็แต่งตัวค่อนข้างเข้ากับงานฉลอง บนใบหน้าเจือรอยยิ้มอ่อนๆ ที่ไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม ในใจเขาค่อนข้างเซ็ง ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์น้องอันแต่งงานเร็วไปหน่อย เจ้าเวรเหมียวอี้มันจะเอาศิษย์น้องอันไปแต่งงานด้วยกันเลยรึเปล่า?

แต่ลูกสาวทั้งคู่ของอันหรูอวี้ก็ดันเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ไปแล้ว เขาสงสัยนิดหน่อยว่าผู้หญิงของทั้งแดนโพ้นสวรรค์มีไว้เตรียมให้เหมียวอี้คนเดียวหรือเปล่า โดยเฉพาะลำดับอาวุโสแบบนั้น ทำให้เขาเซ็งอย่างบอกไม่ถูก เขายังไม่รู้เลยว่าหลางหลางกับหวนหวนจะเรียกหงเฉินว่าอย่างไร

เอาเป็นว่าบุคคลระดับสูงของห้าปราชญ์มากันหมดแล้ว คนอื่นๆ ไม่ได้มีความคิดเห็นอะไรมากนัก สาเหตุแรกคือมาแสดงความยินดี สาเหตุรองก็คือนภาอู๋เลี่ยงเรียกรวมพวกเขามาปรึกษาหารือเรื่องสำคัญ

ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็นำเยว่เหยาเข้ามาแล้ว เยว่เหยาที่เปลี่ยนเสื้อผ้าและทรงผมเป็นแบบสตรีที่แต่งงานแล้ว ตอนแรกก็ยังไม่เป็นอะไร แต่พอก้าวเข้ามาในโถงหลัก ก็เห็นคนมากมายมองดูนางพลางยิ้มอย่างเป็นกันเอง ทำให้นางกดดันทันที ใบหน้าแดงเรื่อในชั่วพริบตาเดียว

เหมียวอี้ทิ้งนางไว้ก่อนชั่วคราว แล้วเดินก้าวยาวไปตรงตำแหน่งหลัก เมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชน อวิ๋นจือชิวก็ไว้หน้าเขาเต็มที่ ลุกขึ้นย่อเข่าคำนับต้อนรับ จากนั้นนั่งลงพร้อมกัน

เยว่เหยาที่เขินอายจนเกินทนยืนรับสายตาของทุกคนอยู่กลางโถงเพียงลำพัง เสวี่ยเอ๋อร์ยกถ้วยน้ำชาเข้ามายื่นให้นาง และแนะนำเล็กน้อย

เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าอวิ๋นจือชิว ก็เป็นครั้งแรกที่เยว่เหยารู้สึกว่าตัวเองไม่กล้ามองนายหญิงคนนี้ เพราะเมื่อก่อนล่วงเกินอีกฝ่ายไว้แรงมาก นางก้มหน้าย่อเข่าอย่างเขินอาย ใช้สองมือประคองน้ำชายื่นไปตรงหน้าอวิ๋นจือชิว แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นกังวลนิดหน่อยว่า “ฮูหยินได้โปรดดื่มน้ำชา”

อวิ๋นจือชิวมองนางพร้อมยิ้มอย่างเป็นกันเอง แต่กลับไม่ยื่นมือไปรับน้ำชา เหมียวอี้เหล่ตามองอวิ๋นจือชิวที่ยังนิ่งเฉย เขาหัวใจกระตุกเล็กน้อย ค่อนข้างเครียดแล้ว

การแสดงอำนาจบารมีนี้ ทำให้ทุกสายตาจับจ้องแล้ว ต่างก็แอบแปลกใจเล็กน้อย หรือว่าก่อนที่เหมียวอี้จะรับอนุภรรยา ยังไม่ได้คุยกับฮูหยินของตัวเองให้เรียบร้อย? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ หลังบ้านก็วุ่นวายแล้ว

ฮูเหยียนไท่เป่าเม้มริมฝีปากแน่น

เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามไม่มีปฏิกิริยาอะไรเสียที สองมือที่เยว่เหยาประคองถ้วยน้ำชาก็สั่นเล็กน้อย ประหม่าแล้วจริงๆ ถ้าวันนี้อวิ๋นจือชิวไม่ยอมรับน้ำชาถ้วยนี้ นางก็จะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะแน่นอน ตอนนี้นางนับว่าตระหนักได้อย่างแท้จริงแล้วว่านายหญิงของบ้านนี้คือใคร ต่อไปเมื่อเผชิญหน้ากับอวิ๋นจือชิวนางต้องได้รับแรงกดดันมากแน่ๆ กดดันจนนางใกล้จะสติแตก

แม้แต่หงเฉินที่สงบนิ่งมานานก็ยังขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกกังวลแทนเยว่เหยา เวลาอวิ๋นจือชิวทำตัวเจ้าอารมณ์ขึ้นมานั้นร้ายกาจขนาดไหน นางก็เคยสัมผัสมาแล้ว

โชคดีที่อวิ๋นจือชิวไม่ได้กลั่นแกล้งนางนานเกินไป เพียงยิ้มพร้อมถามว่า “น้องสาว หลังจากเมื่อคืนนี้เป็นต้นมา เจ้าคือคนของตระกูลไหน?”

เยว่เหยาพยายามควบคุมเสียงที่ใกล้จะสั่นของตัวเอง ตอบอย่างซื่อสัตย์ว่า “คนของตระกูลเหมียว”

“หวังว่าเจ้าจะจำคำพูดในวันนี้ของเจ้าเอาไว้” อวิ๋นจือชิวตอบกลับอย่างมีนัยยะลึกซึ้ง เสร็จแล้วถึงได้รับน้ำชามาจากมือนาง เปิดฝาถ้วยน้ำชาจิบช้าๆ จากนั้นก็ยื่นให้เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ “เอาล่ะ น้องสาวไม่ต้องมากพิธี ตั้งแต่นี้ไปเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” นางลุกขึ้นประคองแขนเยว่เหยาที่กำลังย่อเข่าคำนับ

ตอนนี้ทุกคนถึงได้โล่งใจ เหมียวอี้ที่รอจนกังวลก็ได้ยกก้อนหินออกจากอกแล้วเช่นกัน เมื่อครู่นี้ท่านขุนนางเหมียวแทบจะถ่ายทอดเสียงขอร้องอวิ๋นจือชิวแล้ว ตกใจแทบแย่

จากนั้นเหมียวอี้ก็นำเยว่เหยามาคำนับผู้ที่มาร่วมแสดงความยินดี ในงานมีเสียงแสดงความยินดีไม่ขาดสาย แต่เขาเห็นในดวงตาของฉินเวยเวยฉายแววคับแค้นเล็กน้อย

ไม่คับแค้นคงไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เดิมทีนึกว่าช่วงเวลานี้เหมียวอี้จะเป็นของนางคนเดียว ตอนนี้นางไม่สะดวกจะไปแย่งเวลากับคนใหม่แล้ว เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เวลาของเหมียวอี้ในช่วงนี้เป็นของเยว่เหยาคนเดียว

“พี่เขย ยินดีด้วยนะ” อวิ๋นรั่วซวงกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ในดวงตาเต็มไปด้วยการเหยียดหยาม ดูถูกที่เหมียวอี้โลภจนมีเมียเยอะขนาดนี้ โชคดีที่อวิ๋นเสียกลั่วว่านางจะทำซี้ซั้ว จึงดึงนางไปไว้ข้างหลังแล้ว

จิ้งจอกพันหน้าที่ตามอวิ๋นรั่วซวงมาก็เรียกได้ว่ามองเหมียวอี้ด้วยสายตาเหยียดหยาม นางได้ยินอวิ๋นรั่วซวงเล่าแล้ว ว่าท่านที่อยู่ตรงหน้านี้รับอนุภรรยาไว้แล้วหลายคน ภูตผีมารปีศาจอะไรก็มีครบหมด ขนาดคนออกบวชยังเอาเลย ได้ลิ้มลองรสชาติที่หลากหลายมาทั่วแล้ว ตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ นางยังนึกว่าเหมียวอี้รักตัวเองมาก ไม่ค่อยยุ่งกับผู้หญิงสักเท่าไร นึกไม่ถึงว่าเบื้องหลังจะสกปรกโสมมน่าไม่อายขนาดนี้

หลังจากกล่าวทักทายปราศัยกันตามมารยาทแล้ว อวิ๋นจือชิวก็จูงมือเยว่เหยา พร้อมพาหงเฉินและฉินเวยเวยออกไป ระหว่างพวกนางยังมีอะไรต้องคุยกันอีก พอแขกแยกย้ายกลับไปแล้ว เหมียวอี้กับหยางชิ่งก็ยื้อบุคคลระดับสูงของห้าแดนเอาไว้ เพราะมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งต้องปรึกษาหารือ

ไม่ได้จะปรึกษาหารือเรื่องอื่นใดหรอก จะปรึกษาว่าจะนำคนไปที่พิภพใหญ่อย่างไร จำเป็นต้องให้แต่ละแดนมาช่วยจัดกลุ่ม ในใต้หล้ามีนักพรตเยอะขนาดนั้น อาศัยแรงของแดนอู๋เลี่ยงฝ่ายเดียวก็สิ้นเปลืองเวลาเกินไป

ข่าวนี้แพร่ไปทั้งแดนฝึกตนของพิภพเล็กแล้ว แดนฝึกตนฮือฮา จะได้ไปพิภพใหญ่ที่ใฝ่ฝันมาแสนนาน ทั้งยังไม่เกี่ยงว่าวรยุทธ์จะสูงหรือต่ำด้วย ขอแค่เป็นนักพรตก็พอแล้ว จะไม่ให้ทุกคนดีใจได้อย่างไร

แต่ปัญหายุ่งยากในตอนนี้ก็คือ นักพรตสังกัดทางการของทั้งพิภพเล็กบวกกับสำนักต่างๆ รวมทั้งนักพรตอิสระ พอบวกรวมกันแล้วเกรงว่าจะได้นักพรตหนึ่งร้อยสามสิบล้านคน เจตนาของเหมียวอี้ก็คือเหลือนักพรตไว้ที่พิภพเล็กสักร้อยกว่าคนเพื่อเก็บลูกแก้วพลังปรารถนาก็พอแล้ว แบบนี้เท่ากับจะย้ายนักพรตเกือบหนึ่งร้อยสามสิบล้านคนไปที่แดนอเวจี แน่นอน ฝั่งเหมียวอี้ไม่ได้เปิดเผยว่าจะไปแดนอเวจี แค่บอกรวมๆ ว่าจะไปพิภพใหญ่

ส่วนหกปราชญ์หลังจากได้ฟังข่าวอันน่าตกตะลึงและฟังส่วนได้ส่วนเสียแล้ว ก็เห็นด้วยกับวิธีการนี้เช่นกัน เห็นด้วยที่จะรักษาความลับ ถึงแม้ความสามารถของพวกเขาจะถูกยอมรับจากหกลัทธิ แต่ศักยภาพในตัวเองก็ยังมีจุดด้อยที่ใหญ่มาก ถ้านำทรายพวกนี้มาปะปนด้วยก็จะทำให้พวกเขาควบคุมหกลัทธิได้สะดวก แต่นี่ไม่ใช่เม็ดทรายเม็ดข้าวสารแล้ว มีทรายเข้ามาปะปนในหกลัทธิมากขนาดนี้ คาดว่าคงเป็นเศษเล็กเศษน้อยที่มองไม่เห็นด้วยซ้ำ ดีมากเลย ตั้งตาคอยแล้ว

นักพรตหนึ่งร้อยล้านกว่าคน การขนส่งกลายเป็นปัญหาใหญ่แล้ว ประเด็นสำคัญก็คือเหมียวอี้ไม่อยากเปิดเผยเส้นทางไปกลับระหว่างพิภพเล็กกับพิภพใหญ่

ความจุของกระเป๋าสัตว์ก็มีจำกัด สามารถจุได้สองครั้งเท่านั้น ไม่สามารถจุเป็นครั้งที่สามได้ ถ้าเกินกว่านี้ความสามารถในการจุของกระเป๋าสัตว์ก็จะพัง

ที่สำคัญก็คือ การใส่นักพรตที่บนตัวมีกระเป๋าสัตว์เข้าไปในกระเป๋าสัตว์ก็ไม่มีปัญหา บนตัวของนักพรตที่ถูกใส่เข้าไปมีพื้นที่ว่างสักห้องก็ได้ แต่ถ้าใส่เข้าไปซ้อนกันอีก กระเป๋าสัตว์ก็จะไม่สามารถกลืนเข้าช่องว่างที่ซ้อนติดกันสามชั้นได้ ปัญหานี้ที่พิภพเล็กยังแก้ไขไม่ได้ ที่พิภพใหญ่ก็แก้ไขไม่ได้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นถ้ากระเป๋าสัตว์ใบเดียวสามารถใส่คนเข้าไปได้หลายคนโดยไร้ขีดจำกัด นั่นก็หมายความว่า ต่อให้จะใส่กระเป๋าสัตว์ซ้อนกัน แต่ต่อให้กระเป๋าแตกก็ยังใส่คนได้แค่ไม่กี่ร้อยคนอยู่ดี

ต่อให้คนที่รู้เส้นทางอย่างเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิว เสวี่ยเอ๋อร์และเหยียนซิวจะต่างคนต่างพกกระเป๋าสัตว์ไว้เป็นกอง แต่การนำคนไปจำนวนหนึ่งแสนคนในรวดเดียวแล้วจะได้อะไรล่ะ? การจะขนส่งคนหนึ่งร้อยล้านคนจะต้องถ่อไปถ่อมาตั้งกี่รอบ? ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อไปถึงพิภพใหญ่แล้วยังต้องข้ามประตูดวงดาวอีกหลายครั้ง ถ้าใครมาพบว่าเจ้าแบกกระเป๋าสัตว์เป็นกอง ถึงตอนนั้นถ้าไม่อยากโดนสงสัยก็คงยาก

แต่ปัญหานี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้ กำไลเก็บสมบัติสามารถทนรับแรงกดดันของช่องวางได้สามครั้ง นี่คือขีดจำกัดของการบรรจุสัมภาระที่รู้ในปัจจุบัน ยังไม่มีใครสามารถตระหนักรู้เรื่องช่องว่างในขั้นสูงกว่านี้ได้ กอปรกับช่องว่างใหญ่กว่าแหวนเก็บสมบัติกับกระเป๋าสัตว์เยอะมาก การยัดหนึ่งหมื่นคนเข้าไปโดยตรงโดยไม่นับช่องว่างทับซ้อน ก็หมายถึงช่องว่างที่เบียดกันได้หนึ่งหมื่นคน ไม่ใช่ช่องว่างสำหรับให้หนึ่งหมื่นคนอยู่ด้วยกันแบบกระจาย เพราะข้างในเป็นสุญญากาศ ไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย จะทำให้มีคนเก็บกดตาย ถึงแม้นักพรตตจะสามารถทนได้นาน แต่หนทางไปแดนอเวจีก็ไกลและยาวนาน อาศัยวรยุทธ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเดินทางหนึ่งเดือน

แน่นอน ปัญหานี้ก็มีวิธีแก้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่รั้งให้คนพวกนี้มาปรึกษากัน สามารถให้นักพรตแต่ละคนเตรียมอัดอากาศเอาไว้ให้เพียงพอ แล้วก็เก็บนักพรตเข้าไว้ในกำไลเก็บสมบัติอีกที กำไลเก็บสมบัติหนึ่งวงใส่ได้หนึ่งหมื่นคน หนึ่งหมื่นคนนั้นก็ต่างคนต่างจุไว้อีกหนึ่งหมื่นคน ส่วนที่เหลือก็ให้คนที่ยังมีช่องว่างต่างคนต่างอัดอากาศเตรียมไว้ แบบนี้กำไลเก็บสมบัติหนึ่งวงก็จะสามารถพาคนไปได้ในรวดเดียวหนึ่งร้อยล้านคน และไม่ทำให้ทุกคนเบียดกันด้วย ถ้าในมือทุกคนมีกำไลเก็บสมบัติหลายวง ก็จะแก้ไขปัญหานี้ได้แล้ว

ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือ กลัวก็แต่จะมีคนนำสัมภาระส่วนตัวไปด้วย นำกำไลเก็บสมบัติมาหลายๆ ชุดก่อน ปัญหารองลงมาก็คือเรื่องความเชื่อใจ อยู่ดีๆ ก็จะถูกจับเข้าไปในช่องว่างที่ปิดผนึกไว้ แบบนี้จะต่างอะไรกับการถูกจับยัดเข้ากระเป๋าสัตว์ล่ะ? ถ้ามีใครเกิดเจตนาร้ายขึ้นมา ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะตายอย่างไร มิหนำซ้ำใครจะไปรู้ว่าพิภพใหญ่อะไรนั่นจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? คนมากมายขนาดนั้นถ้าอยากจะจับไปก็ไม่สำเร็จหรอก หมูหนึ่งร้อยล้านตัวที่วิ่งพล่านไปทั่วเจ้ายังพอจับไว้ แต่อย่างไรเสียคนพวกนี้ก็เป็นนักพรตนะ

เพียงแต่หยางชิ่งร่างวิธีการแก้ปัญหาไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน นั่นก็คือให้นักพรตแต่ละแดนจับกลุ่มคนที่เชื่อใจกันไปก่อน เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้วมั่นใจว่าไม่เป็นอะไร ก็ค่อยกลับมาบอกข่าวอีกครั้ง

เหมียวอี้เองก็เตรียมตัวไว้แล้วว่าต้องเดินทางสองรอบ

ส่วนนักพรตทางการของหกแดน ก็จำเป็นต้องพาไปสองชุดเช่นกัน พาไปชุดหนึ่งก่อนเพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่วนหนึ่งชุดที่เหลือก็ต้องรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยฝั่งนี้เช่นกัน

ดังนั้นจึงต้องให้แต่ละแดนกลับไปจัดเตรียม และต้องจัดเตรียมแข่งกับเวลาด้วย เหมียวอี้ไม่อาจจะอยู่ที่นี่ตลอดได้

ฝั่งแดนอู๋เลี่ยงก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ทางห้าปราชญ์สั่งมาแล้วว่าขอความร่วมมือ ด้วยเหตุนี้บุคคลระดับสูงของห้าแดนเข้าใจเรื่องที่ต้องทำแล้วจึงไม่มีอะไรชักช้าเสียเวลา รีบกลับไปเตรียมการทันที พวกเขารอคอยที่จะไปพิภพใหญ่มานานแล้ว เพราะพวกเขามั่นใจว่าพิภพใหญ่มีอยู่จริง อาจารย์ของตัวเองปักหลักอยู่ทางนั้นได้แล้ว พอไปถึงก็สามารถขอพึ่งพาได้เลย ไม่เหมือนนักพรตระดับล่างที่ฟังจากปากเปล่าจึงไม่อาจเชื่อง่ายๆ

ตอนแรกหยางชิ่งปล่อยข่าวออกไปก่อน ต้องให้เวลานักพรตในใต้หล้าเตรียมใจเอาไว้

เมื่อแก้ปัญหาสำคัญได้แล้ว หยางชิ่งก็โล่งอก กุมหมัดคารวะต่อเหมียวอี้ “นายท่าน ถ้าไม่มีอย่างอื่นจะกำชับแล้ว ข้าขอไปเตรียมงานเรื่องย้ายคนของแดนอู๋เลี่ยงก่อน”

“ช้าก่อน!” เหมียวอี้เรียกให้เขาหยุด ลุกขึ้นเดินมาตรงหน้าเขา แล้วกล่าวอย่างลังเลว่า “เรื่องพวกนี้ซับซ้อน ข้าเองก็ไม่ได้จัดการอะไรสักเท่าไร ช่วงนี้ลำบากเจ้าแล้ว ว่ากันตามหลักการ ไม่ง่ายเลยกว่าเจ้าจะได้กลับมาสักครั้ง ควรจะไปพบฉินซีบ่อยๆ หน่อย แต่ความเป็นจริงก็เห็นๆ กันอยู่ ก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน”

หยางชิ่งกล่าวตามมารยาทว่า “ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าน้อยสมควรทำ รอให้ข้าน้อยลงหลักปักฐานที่นั่นได้ก่อน ต่อไปจะย้ายฉินซีไปอยู่ทางนั้นก็ได้ มีเวลาให้เจอกันอยู่แล้วขอรับ”

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรตามมารยาทอีก พลิกฝ่ามือนำแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมา “นี่คือเคล็ดวิชาฝึกตน ชื่อว่ามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง เจ้าเอาไปฝึกเถอะ!”

จะให้ม้าวิ่งอย่างเดียวโดยไม่ป้อนหญ้าไม่ได้ กอปรกับการที่เขาแต่งงานรับอนุภรรยาเพิ่มอีกคนส่งผลกระทบต่อลูกสาวหยางชิ่ง มอบภารกิจสำคัญขนาดนี้ให้หยางชิ่งแล้ว คงไม่ดีถ้าจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ ถือว่าเป็นการปลอบใจก็แล้วกัน

“มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง?” หยางชิ่งตกตะลึงมาก อุทานถามว่า “อย่าบอกนะว่าเป็นมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงที่เฟิงเป่ยเฉินฝึก?”

เหมียวอี้พยักหน้า “ที่จริงมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงแบ่งเป็นภาคฟ้า ดิน คน มีทั้งหมดสามภาค เฟิงเป่ยเฉินฝึกแค่ภาคคน ส่วนภาคฟ้ากับภาคดินล้วนอยู่ที่พิภพใหญ่ ตอนนี้ข้าหาเจอแค่ภาคดิน ตอนนี้ส่งทั้งภาคดินและภาคคนให้เจ้าแล้ว หวังว่าจะเสริมจุดด้อยให้เจ้าได้ ให้เจ้าได้แสดงบทบาทต่อหกลัทธิ หยางชิ่ง ข้าฝากความหวังมากมายไว้กับเจ้า อย่าทำให้ข้าผิดหวังเด็ดขาด!”

หยางชิ่งอยู่ที่พิภพใหญ่มานานขนาดนี้ ไม่มีทางที่จะไม่เข้าใจว่ามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงหมายถึงอะไร ให้เขากุมอำนาจมหาศาลขนาดนี้เอาไว้ ทั้งยังมอบเคล็ดวิชาฝึกตนที่เขาไม่กล้าฝันถึงให้ ได้สองอย่างนี้มาแล้วหมายความว่าอย่างไรล่ะ? ก็หมายความว่าตัวเองมีโอกาสก้าวขึ้นไปอยู่ระดับบนสุดของพิภพใหญ่น่ะสิ!

ความเชื่อใจขนาดนี้สร้างแรงกดดันมากจริงๆ ครั้งนี้เขาถูกทำให้ตื้นตันใจแล้วจริงๆ เขาค้อมกายกุมหมัดคารวะอย่างซาบซึ้ง “ข้าน้อยจะทุ่มเทสติปัญญาความสามารถตราบจนชีวิตหาไม่!”

…………………………

เป็นไปไม่ได้ที่จะมาขลุกอยู่กับหงเฉินในนี้โดยไม่ออกไปไหนเลย ตอนที่เหมียวอี้จะออกไปก็ค้นพบว่าตัวเองผ่อนคลายทั้งร่างกายทั้งจิตใจแล้ว บ่นอยู่ที่นี่สักรอบหนึ่ง ความยุ่งยากกลัดกลุ้มต่างๆ ที่สะสมอัดอั้นอยู่ในใจก็หายไปแล้วเช่นกัน ความโกรธที่เกิดจากอวิ๋นจือชิวก่อนหน้านี้ก็หายไปแล้วเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะมองหงเฉินผู้ใสสะอาดน่าประทับใจสองครั้ง

หงเฉินออกมาส่งเขาด้วยตัวเอง พอมาส่งเขาถึงประตูแล้ว ก็ย่อตัวคำนับ “นายท่านกลับดีๆ ค่ะ”

เหมียวอี้หัวเราะเยาะแล้วถามว่า “จะทำตัวเป็นน้ำเต้ากลัดกลุ้มไปทั้งชีวิตจริงๆ เหรอ?”

หงเฉินยิ้มอ่อน “ไม่ต้องกังวลเรื่องกินเรื่องอยู่ ไร้ทุกข์ไร้กังวล ไม่เบื่อค่ะ!”

“ฮูหยินหวังให้เจ้าแบ่งเบางานจากนางมาตลอด ข้ามาขอร้องเจ้าแทนฮูหยิน เจ้าก็ไม่ตอบตกลงงั้นเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

หงเฉินย่อตัวเบาๆ แสดงการขอโทษ “ข้าทำอะไรไม่ไหวจริงๆ ค่ะ”

ประโยคเดียวก็ทำให้เหมียวอี้มุมปากกระตุกแล้ว เคยได้ยินอวิ๋นจือชิวพูดถึงมาก่อน เหมือนไม่ว่าอวิ๋นจือชิวบอกให้นางทำอะไร นางก็จะตอบด้วยประโยคนี้ ในเมื่อนางยืนยันว่าตัวเองทำไม่ไหว แล้วเจ้าจะทำอะไรนางได้? อวิ๋นจือชิวเคยตัดขาดทรัพยากรฝึกตนของนาง เคยตัดข้าวตัดน้ำนางด้วย ถึงขั้นย้ายสาวใช้ทั้งสองของนางออกไปเพื่อกดดัน แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เป็นอะไรเลย เมื่อไม่มีทรัพยากรฝึกตนก็ไม่ใช้ เมื่อไม่มีอาหารก็ไม่กิน ไม่มีคนปรนนิบัติรับใช้ก็ไม่ต้องให้ใครรับใช้ นางไม่ฟ้องอะไรใครด้วย และไม่แย่งชิงสิ่งใด อวิ๋นจือชิวจะทำอะไรก็ตามใจ สุดท้ายก็กดดันจนอวิ๋นจือชิวหมดหนทางแล้ว อีกฝ่ายไม่มีความแค้นต่อเจ้า ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างสุภาพเกรงใจ ไม่แย่งชิงความรัก ทั้งยังไม่ล่วงเกินใคร ถ้าอนุภรรยาคนหนึ่งทำได้ขนาดนี้แล้วยังถูกกดดันให้ตาย ถ้าทำเกินไปอวิ๋นจือชิวก็จะหาทางลงให้ตัวเองไม่ได้ ทำได้เพียงปฏิบัติตามเดิมทุกอย่าง สิ่งที่ควรให้ก็ยังต้องให้ ในเมื่อนางไม่อยากออกมาทำงาน อวิ๋นจือชิวก็ไม่อาจเอากระบองไล่ตีให้ออกมาทำงาน แค่ตีไล่ออกมาก็จะทำให้นางจัดการธุระได้แล้วเหรอ? นับว่าทำให้อวิ๋นจือชิวเข้าใจแล้วว่าอะไรเรียกว่า ‘ไร้ความโลภจึงแข็งแกร่ง!’

เหมียวอี้ยังเกาะแกะไม่เลิก กัดฟันใช้บทโหด “ข้าไม่ใช่ฮูหยินนะ จะต้องให้ข้ากดดันเจ้าใช่มั้ย?”

“ไม่ต้องกดดันค่ะ ถ้านายท่านแต่งตั้งให้ข้าเป็นนายหญิง ข้าก็ย่อมทำสิ่งที่นายหญิงควรทำ!” หงเฉินตอบ

แต่งตั้งเจ้าเป็นฮูหยินเอกเหรอ? เหมียวอี้กลอกตามองบน แค่พูดประโยคเดียวก็โดนผู้หญิงคนนี้เถียงจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว

เหมียวอี้เอามือไขว้หลัง แล้วหันตัวเดินออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง นับว่าเข้าใจแล้ว มิน่าล่ะอวิ๋นจือชิวถึงทำอะไรผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ สิ่งที่ใช้รับมืออวิ๋นจือชิวก่อนหน้านี้ล้วนเป็นไม้อ่อน คาดว่าคงไม่เคยใช้ไม้แข็งแบบนี้กับอวิ๋นจือชิว เขารู้อยู่แก่ใจว่าถ้าให้อวิ๋นจือชิวได้ยินประโยคนี้ ก็จะถูกสงสัยว่ายังมีความทะเยอทะยานนี้ด้วยเหรอ? เกรงว่าอวิ๋นจือชิวคงจะเป็นคนแรกที่สั่งให้นางอยู่อย่างซื่อสัตย์ว่านอนสอนง่าย ต่อไปจะไม่รบกวนผู้หญิงคนนี้อีกเด็ดขาด

“นายท่านกลับดีๆ ค่ะ!” หงเฉินย่อกายส่งอีกครั้ง

และปัญหายุ่งยากก็มาไม่ขาดสาย ตรงนี้เพิ่งได้ความสงบร่มเย็นจากหงเฉิน พอออกมาก็เจอคนที่ทำให้ปวดหัวทันที อวิ๋นรั่วซวงได้ข่าวแล้วถ่อมาจากนภาจอมมาร มาเกาะแกะเขาไม่เลิก โผล่มาทางซ้ายเรียกพี่เขย โผล่มาทางขวาเรียกพี่เขย บ่นว่าอยากไปพิภพใหญ่ เรียกได้ว่าใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง

ข้างหลังอวิ๋นรั่วซวงยังมีหางเล็กๆ ตามมาด้วย จิ้งจอกพันหน้าเฝิ่นเอ๋อร์ กำลังจ้องเหมียวอี้ด้วยสีหน้าคับแค้นไม่เลิก

ตอนเกิดเรื่องที่น่านฟ้าระกาติง เหมียวอี้ก็ให้เหยียนซิวส่งจิ้งจอกพันหน้ามาที่พิภพเล็ก เมื่อเกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะส่งคืนให้ปี้เยว่ฮูหยินอีก ปี้เยว่ฮูหยินด่าเขาว่าพูดจาไม่เป็นคำพูด เหมียวอี้เบี้ยวนางและบอกว่ากลับไปจะชดเชยให้ นางเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน และสิ่งที่ทำให้เหมียวอี้นึกไม่ถึงก็คือ จิ้งจอกพันหน้ากับอวิ๋นรั่วซวงจะไปเล่นด้วยกันแล้ว

และจิ้งจอกพันหน้าก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเหมียวอี้จะคืนอิสระให้นางด้วยวิธีการนี้ เขาริบสิ่งของทุกอย่างที่ใช้ติดต่อกับภายนอกออกไปหมด แล้วทิ้งนางไว้ที่พิภพเล็ก โดยตามใจว่าจะไปไหนก็เรื่องของเจ้า แต่นางจะไปไหนได้ล่ะ? หาทางออกในดาราจักรไปทั่ว แต่ก็หาไม่เจอ แทบจะหลงทางแล้ว ทำได้เพียงอยู่ที่พิภพเล็กแต่โดยดี

แต่จะว่าไปแล้ว แบบนี้ก็ดีกว่าเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่ในอ้อมอกปี้เยว่หรือทำเรื่องแบบนั้นเสียอีก นางกับอวิ๋นรั่วซวงเหมือนฝนตกขี้หมูไหล กลายเป็นเพื่อนสาวของกันและกันแล้ว

เมื่อได้ยินเพื่อนสาวพูดถึงเรื่องน่าสนุกมากมายเกี่ยวกับพิภพใหญ่ นางมารน้อยอย่างอวิ๋นรั่วซวงจะทนไหวได้อย่างไร ขอร้องเหมียวอี้อย่างบ้าคลั่งว่าให้พานางไปที่พิภพใหญ่

เมื่อโดนอวิ๋นรั่วซวงเกาะแกะจนทำอะไรไม่ได้ เหมียวอี้ก็ทพได้เพียงเรียกอวิ๋นจือชิวกลับมาจากสำนักงามวิจิตร ให้นางลากตัวนางหนูคนนี้กลับไป

ในที่สุดวันมงคลก็มาถึงแล้ว แขกผู้มีเกียรติมาจากทั่วสารทิศ นภาอู๋เลี่ยงจัดงานฉลองไม่ธรรมดา

ความมีหน้ามีตาก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง หลังจากงานเลี้ยงเลิกแล้ว การเข้าห้องหอก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนเฝ้าคอย คนที่เฝ้าคอยก็คือเยว่เหยาที่สวมมงกุฎหงส์ นางกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงอย่างตื่นเต้นกังวล

เทียนสีแดงส่องสว่าง เปิดผ้าคลุมหน้า คล้องแขนดื่มสุรามงคล แล้วเยว่เหยาก็เรียกอย่างเขินอายว่า “ท่านสามี” อย่าว่าแต่เหมียวอี้เลย แม้แต่นางเองก็ยังรู้สึกแปลก สุดท้ายเหมียวอี้ก็แนะนำว่า ให้ทั้งสองเรียกกันว่า “พี่ใหญ่ เจ้าสาม” ต่อไป

เวลาผ่านไปจนถึงเที่ยงคืน เยว่เหยาที่ถอดชุดตัวนอกนอนอยู่บนเตียงกลับไม่เจอเรื่องน่าตื่นเต้นที่ตัวเองเฝ้าคอย เหมียวอี้บอกให้นางรีบพักผ่อน ส่วนเขาก็นั่งขัดสมาธิฝึกตนอยู่บนเตียง เรื่องบางเรื่องฝืนกันไม่ได้ เขาไม่มีความรู้สึกด้านชายหญิงกับเยว่เหยาเลยจริงๆ ต่อให้วันนี้เยว่เหยาจะแต่งตัวสวยขนาดไหน แต่ในสายตาเขานางก็ยังเป็นเด็กน้อยน้ำมูกไหลคนนั้นเหมือนเดิม

ได้! สุดท้ายเยว่เหยาก็หัวเราะคิกคักแล้วลุกขึ้นมา นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกายเขา เริ่มฝึกวิชาแล้วเหมือนกัน นางไม่ได้หน้าด้านถึงขั้นเร่งให้เหมียวอี้ทำเรื่องอย่างนั้นกับนาง ถึงแม้นางจะรู้ว่าในคืนเข้าห้องหอจะต้องทำอะไรก็ตาม และนางก็ค่อนข้างเฝ้าคอยด้วย

เพียงแต่ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จิตใจของเยว่เหยาก็เปลี่ยนไปแล้ว นางรู้ว่าตัวเองเปลี่ยนฐานะกลายเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้ นั่นคือความรู้สึกอันแสนงดงามที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ บางทีอาจจะเป็นเพราะนี่คือเรื่องที่ผู้หญิงทุกคนเฝ้าคอย นางรู้ว่าสาเหตุที่เหมียวอี้แต่งงานกับนาง ไม่ได้มีความรู้สึกจอมปลอมใดๆ มาปะปน แต่เพราะอยากดูแลนางไปตลอดชีวิตจากใจจริง ดังนั้นในใจจึงรู้สึกหวานชื่นไปอีกแบบ ถึงไม่ถึงว่าคำพูดแสดงเค้าลางในวัยเด็ก จะทำให้นางเดินมาถึงวันนี้แล้วจริงๆ ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าเป็นความฝันอยู่เลย

ส่วนเจียงอีอีนั่น นางโยนทิ้งไปหมดสิ้นแล้ว ถ้าจะให้นางเปลี่ยนความคิดดูสักหน่อย ก็จะพบว่านั่นเป็นเพียงรักของสาววัยแรกแย้มเพียงชั่วขณะเท่านั้น จะบอกว่าเป็นรักข้างเดียวก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป ที่จริงระหว่างทั้งสองไม่เคยเกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น แม้แต่คำพูดที่อบอุ่นอย่างแท้จริงก็ไม่เคยได้พูดเลยด้วยซ้ำ บางทีในอนาคตก็อาจจะเผลอคิดถึงขึ้นมาบ้าง นางอาจจะยิ้มอย่างเข้าใจหรือไม่ก็ถอนหายใจเบาๆ ให้กับความรักที่โง่เขลานั้น เดิมทีผู้หญิงก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ถ้าไม่เคยได้ร่างกายนาง ก็จะไม่สามารถได้ครองหัวใจของนางจริงๆ บางทีอาจจะโหดร้ายกับเจียงอีอีสักหน่อย แต่ความจริงก็เป็นอย่างนั้น เขากลายเป็นอดีตไปแล้วจริงๆ กลายเป็นคนที่ผ่านมาแล้วผ่านไปในชีวิตเยว่เหยา อย่างมากก็ทิ้งความทรงจำอันงดงามเอาไว้ให้เยว่เหยานิดหน่อย แต่กลัวไม่ได้ควรค่าแก่การอาลัยอาวรณ์อย่างแท้จริง

ในคืนนี้ ทั้งสองนับว่ารับมือกับค่ำคืนเพื่อแสดงให้คนนอกเห็น

เช้าตรู่วันต่อมา ทั้งสองหยุดใช้วิชาและก้าวลงจากเตียง บทบาทของเยว่เหยาเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เป็นฝ่ายปรนนิบัติสวมเสื้อผ้าให้เหมียวอี้ราวกับเป็นภรรยาตัวน้อย เหมียวอี้ก็ทำตัวสบายๆ เช่นกัน เพราะคิดว่าเยว่เหยากลายเป็นอนุภรรยาของเขาแล้ว แต่สภาพจิตใจเขายังไม่เปลี่ยนไป ยังคิดว่าการที่น้องสาวปรนนิบัติสวมเสื้อผ้าให้ตนสักตัวนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

แต่เขาก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับว่า “เจ้าสาม ตอนนี้เจ้ากลายเป็นอนุภรรยาของข้าแล้ว พี่ใหญ่เองก็มีงานไม่น้อย เจ้ายังต้องเคารพกฎในครอบครัวนะ ไม่อย่างนั้นจะเสียระเบียบ สิ่งที่ควรเคารพพี่สะใภ้ก็ยังต้องเคารพพี่สะใภ้ อย่าทำให้ข้าลำบากใจ แน่นอนว่าพี่สะใภ้ก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากเหมือนกัน”

เยว่เหยาที่กำลังนั่งยองๆ ใส่รองเท้าให้เขาหลุดขำออกมา นางหัวเราะจนไหล่สั่น

เหมียวอี้ถลึงตาสองข้าง ใช้มือเคาะหน้าผากนางหนึ่งที “หัวเราะอะไรของเจ้า ข้ากำลังพูดเรื่องสำคัญกับเจ้าอยู่นะ”

เยว่เหยาเอามือนวดหน้าผาก แล้วโบกมือพลางหัวเราไม่หยุด “พี่ใหญ่ ข้าก็ไม่ได้บอกนี่ว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ท่านจะเอ่ยปากหุบปากก็เรียกแต่พี่สะใภ้ จะให้ข้าออกไปเรียกนางว่าพี่สะใภ้ด้วยมั้ย? ถึงแม้ข้าจะกลายเป็นอนุภรรยาของท่านแล้ว อยู่ต่อหน้าคนนอกแล้วเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเรียกว่าพี่สะใภ้ เกรงว่าจะทำให้คนตกใจแล้ว!”

“เอ่อ…” เหมียวอี้ยกมือตบหน้าผาก “เป็นข้าเองที่เลอะเลือน ช่วงแรกยังปรับตัวไม่ทัน เอาเป็นว่าเจ้าจำไว้ก็พอ รออีกประเดี๋ยวต้องคารวะน้ำชา ถ้าเจ้าทำให้นางโมโหจนไม่รับน้ำชาของเจ้า ถึงตอนนั้นทุกคนก็จะหาทางลงไม่ได้แล้ว” นิสัยเจ้าอารมณ์ของอวิ๋นจือชิว เขาเองเข้าใจอย่างลึกซึ้แล้ว ตำแหน่งนายหญิงของบ้านไม่ยอมให้ใครมาท้าทายได้ง่ายๆ นางทำเรื่องแบบนี้ได้จริงๆ

เยว่เหยาช่วยเขาใส่รองเท้า แล้วเบะปากบอกว่า “ก็ต้องโทษท่านนั่นแหละ ถ้าไม่รอจนถึงตอนนี้ ท่านตอบตกลงแต่งงานกับข้าตั้งแต่แรก นางจะได้เข้ามาเกี่ยวข้องเสียที่ไหนกัน ยังไม่รู้เลยว่าใครจะได้คารวะน้ำชาให้ใคร!”

เหมียวอี้บิดหูนางแล้วดึงนางขึ้นมา “เจ้าลองพูดอีกครั้งซิ”

“ปล่อยข้านะ ปล่อยข้า โอ๊ยเจ็บ! ได้ยินแล้ว ได้ยินแล้ว” เยว่เหยาร้องพลางใช้มือตี หลังจากเขาปล่อยมือแล้ว นางก็บ่นว่า “พี่ใหญ่ ท่านเข้าใจให้ชัดเจนหน่อยว่าตอนนี้ข้ากับท่านอยู่ในสถานะอะไร มีใครเขาทำกับอนุภรรยาอย่างนี้บ้าง?”

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ แล้วก็โบกมือบอกว่า “รีบแต่งตัว อย่าปล่อยให้พี่สะ…อย่าปล่อยให้ฮูหยินรอนาน” คำพูดไม่ค่อยเข้ากันไปหน่อย

“ฮ่าๆ…” เยว่เหยาเอามือลูบหูพลางหัวเราะจนตัวโยนอีกครั้ง

เหมียวอี้เอามือเกาศีรษะ อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างงดงาม แต่เมื่อเห็นเจ้าสามมีความสุข เขาก็มีความสุขเช่นกัน ก่อนหน้านี้กลัวว่าเรื่องของเจียงอีอีจะส่งผลกระทบใหญ่หล่วงกับนาง สามารถกลับตัวได้ก็ดีแล้ว เขาหันกลับมาตะโกนเรียกอีกว่า “สาวใช้!”

ผ่านไปครู่เดียว ประตูก็ถูกผลักเปิด เสวี่ยเอ๋อร์เดินนำเข้ามา ข้างหลังยังมีหญิงรับใช้ตามมาอีกสองคน ส่วนสาวใช้ที่แดนโพ้นสวรรค์เตรียมไว้ให้ติดตามแต่งงานนั้นถูกเยว่เหยาปฏิเสธไปแล้ว นางไม่อยากได้สาวใช้ติดตามร่วมห้องอะไรทั้งนั้น ข้างกายพี่ใหญ่ยังมีผู้หญิงไม่เยอะพออีกเหรอ? แม้แต่สาวใช้ที่เคยรับใช้นางในปีนั้นก็ไม่เอา ใช้สาวใช้สองคนของหงเฉินก่อนชั่วคราว

เมื่อเห็นเสวี่ยเอ๋อร์มาแล้ว เหมียวอี้ก็ถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้ามาได้ยังไง”

เสวี่ยเอ๋อร์นำสาวใช้สองคนมาคำนับทั้งสอง จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินให้ข้ามาดูว่ามีอะไรจำเป็นต้องใช้หรือเปล่าค่ะ” จากนั้นก็หันกลับไปโบกมือ ใช้สาวใช้ทั้งสองไปปรนนิบัติรับใช้เยว่เหยาแล้ว ส่วนนางก็ไปชั่วจัดระเบียบข้างเตียง แต่สายตาของนางมองสำรวจบนผ้าปูเตียงอย่างละเอียด

จากนั้นนางก็ขอตัวออกไปก่อน พอออกจากลานบ้านแล้วก็รีบออกไปหาอวิ๋นจือชิว

อวิ๋นจือชิวกำลังรอนางอยู่ พอเห็นหน้าก็ถามเสียงต่ำทันที “เป็นยังไงบ้าง?”

เสวี่ยเอ๋อร์ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มีค่ะ! ตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีเลือดพรหมจรรย์ค่ะ”

“เฮ้อ! สงสัยจะเป็นจริง…” อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ นางไม่อยากให้ในบ้านเกิดเรื่องน่ารังเกียจอะไรทั้งนั้น ตอนอยู่คุกใต้ดินที่จวนแม่ทัพภาคนางก็สังเกตคำพูดของเยว่เหยาซ้ำแล้วซ้ำอีก นางก็เลยยังมีความหวังอยู่บ้าง หวังว่าเยว่เหยาจะพูดไปเพราะอารมณ์โกรธเท่านั้น ใครจะคิดว่านางหนูคนนี้จะถูกเจียงอีอีล่วงล้ำร่างกายแล้วจริงๆ จบกัน ปล่อยให้เหมียวอี้เก็บรองเท้ามือสองกลับมาแล้วจริงๆ

สิ่งนี้ทำให้นางต้องช่างน้ำหนัก ว่าควรจะมีท่าทีต่อเยว่เหยาอย่างไร ไม่อย่างนั้นก็จะทำให้เยว่เหยากับเหมียวอี้คิดว่านางเอาเรื่องเจียงอีอีมายั่วโมโหเยว่เหยา

พอไตร่ตรองได้สักพัก นางก็กำชับว่า “จำไว้นะ ห้ามให้ใครรู้เรื่องของนางกับเจียงอีอีเด็ดขาด ต่อให้เวลาเถียงกันทะเลาะกัน ก็อย่าตีวัวกระทบคราดอะไรทั้งนั้น”

“บ่าวเข้าใจแล้วค่ะ” เสวี่ยเอ๋อร์พยักหน้า

…………………………

เสวี่ยเอ๋อร์ที่ดูละครฉากเด็ดอยู่ข้างๆ หลุบตาลง ทำเป็นไม่ได้ยินและไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น แล้วจู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ไป ให้หยางชิ่งมาพบข้าสักรอบ”

เสวี่ยเอ๋อร์เอ่ยรับคำสั่งแล้วเดินออกไป ผ่านไปครู่เดียวก่อนนำหยางชิ่งเดินเข้ามาแล้ว

ก่อนเข้าประตู หยางชิ่งเหล่ตามองถ้วยน้ำชาที่แตกอยู่ด้านนอก โดยมีพวกบ่าวรับใช้กำลังเก็บกวาด “ฮูหยิน ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร”

อวิ๋นจือชิวนั่งยกน้ำชาจิบอย่างเนิบเนิบอยู่บนตำแหน่งหลัก แล้วพูดเหมือนไม่ทุกข์ร้อนว่า “นายท่านไปหาความสำราญที่ตำหนักดาวกลางมาแล้วรอบหนึ่ง เจ้าคิดว่ายังไง?”

หยางชิ่งพอจะเดาได้แล้วว่าถ้วยน้ำชาที่แตกอยู่ข้างนอกเป็นฝีมือใคร เขาปวดประสาทเล็กน้อย เรื่องนี้จะให้เขาพูดอย่างไรดีล่ะ? จึงตอบอย่างขอไปทีว่า “นายท่านเป็นเห็นแก่ไมตรีเก่าๆ”

อวิ๋นจือชิวเหลือบตาขึ้น “พอนายท่านกลับมา ก็มาขอร้องให้นางตัวดีนั่นแล้ว เจ้าว่าข้าจะทำยังไงดี?”

“คาดว่าฮูหยินคงมีการผ่อนหนักผ่อนเบาอยู่แล้ว” หยางชิ่งตอบ

อวิ๋นจือชิวตบโต๊ะน้ำชา “ความเหงาเล็กน้อยแค่นี้ก็ทนไม่ไหวแล้วเหรอ? ยังกล้ามาเล่นอุบายกระจอกกับข้าอีก ถ้ากำจัดเจตนาแอบแฝงได้เมื่อไร ก็ค่อยเอ่ยเรื่องนี้อีก! หยางชิ่ง วันนี้ข้าจะแสดงท่าทีให้ชัดเจน ต่อไปถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ถ้านายท่านกล้าไปพบผู้หญิงคนอื่น เจ้าก็ให้เวยเวยกำจัดนางทิ้งได้เลย ข้าไม่อยากเห็นนาง เข้าใจมั้ย?”

“เอ่อ…” หยางชิ่งทำสีหน้าลังเล

อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นยืน แล้วแสยะยิ้ม “ทำไมล่ะ? หรือว่าเจ้าอยากให้นางออกมา? จะให้ข้าเก็บนางไว้อยู่เป็นเพื่อนเวยเวยที่นภาอู๋เลี่ยงมั้ยล่ะ? หรือไม่อย่างนั้น รอให้วันไหนนางใจกล้าขึ้นมา แล้วให้เวยเวยไปดูแลนางล่ะ?”

เมื่อนางกล่าวแบบนี้ ก็ทำให้หยางชิ่งเซ็งจนเกินทน แค่ได้ยินเขาก็เข้าใจแล้วว่าหมายความว่าอะไร ถ้าอวิ๋นจือชิวหลีกทางให้จูเก๋อชิงออกมา มีหรือที่เหมียวอี้จะยอมให้นางเก็บจูเก๋อชิงไว้ที่นภาอู๋เลี่ยง ถ้าเวยเวยมีคนแบบนี้อยู่เป็นเพื่อน เวยเวยก็เล่นไม่ชนะเจ้าสำนักท่านนั้นแน่นอน ความสวยที่มีก็สู้อีกฝ่ายไม่ได้ด้วย และเพื่อที่จะหลุดรอดออกจากที่นั่น ถ้าเหมียวอี้ไปหานางอีกรอบ ก็ไม่แน่ว่าจูเก๋อชิงนั่นจะจนตรอกเป็นสุนัขกระโดดกำแพงแล้วให้กำเนิด ‘ทายาท’ หรือเปล่า ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงจะไม่มีใครกล้าลงมือกำจัดทายาทของเหมียวอี้ไปพร้อมกันหรอก ตามหลักการ ‘มารดาได้ดีเพราะบุตรชาย’ เมื่อถึงเวลานั้นครอบครัวก็จะวุ่นวายแล้ว

หยางชิ่งยิ้มเจื่อน “ข้าเข้าใจเจตนาของฮูหยินแล้ว แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆ เกรงว่าจะทำให้นายท่านเดือดดาลมาก”

“เดือดดาลเหรอ? ข้าจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง ถึงตอนนั้นให้เวยเวยบอกว่าเป็นประสงค์ของข้าก็พอ ให้นายท่านมาหาข้าก็สิ้นเรื่องแล้ว” อวิ๋นจือชิวกล่าว

หยางชิ่งพูดไม่ออก ถ้าเวยเวยถือวิสาสะฆ่าอีกฝ่าย จะไม่ซวยไปด้วยหรอกหรือ? แต่สุดท้ายเขาก็ยังถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทางเวยเวยข้าจะบอกให้ได้ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้าต้องเตือนฮูหยินเอาไว้ อีกไม่นานพิภพเล็กก็จะไม่มียอดฝีมืออะไรแล้ว ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยขาดทรัพยากรฝึกตน เกรงว่าพวกทหารยามที่ตำหนักดาวกลางอาจจะควบคุมนางไม่ไหว”

“เจ้าเองก็รู้ดีว่าตอนนี้สถานการณ์ของนายท่านเป็นยังไง สถานการณ์ภายนอกมีอันตรายเกิดขึ้นไม่หยุด ถ้าสถานการณ์ภายในไม่สงบอีก แล้วจะไปสู้กับข้างนอกได้ยังไง? ถ้าจิตใจไม่สงบ ปกป้องได้แล้วยังไงล่ะ? ให้โอกาสนางแล้วแต่นางไม่เอา งั้นก็โทษคนอื่นไม่ได้แล้ว ถ้านางกล้าหนี ก็ให้เวยเวยกำจัดทิ้งได้เลย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง!” อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม แล้วเหล่ตามองหยางชิ่ง พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าปกติ “เวยเวยเป็นคนคุมพิภพเล็ก ถ้าแม้แต่เรื่องเล็กแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ สิ่งที่ควรจะแบกรับก็ยังไม่กล้าแบกรับ งั้นข้าก็คงต้องพิจารณาฐานะในบ้านให้นางใหม่แล้วมั้ง!”

หยางชิ่งหัวใจกระตุกวูบ กุมหมัดคารวะทันที “หยางชิ่งเข้าใจแล้ว”

เหมียวอี้เอาไฟโกรธที่เกิดจากอวิ๋นจือชิวไประบายกับหงเฉินแล้ว กระทำชำเราหงเฉินที่หลบอยู่สงบๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย

หลังจากทำเรื่องพวกนั้นเสร็จ ร่างเปลือยของหงเฉินก็คลานลุกออกจากอ่างอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วหายตัวไปแล้ว รอจนกระทั่งเหมียวอี้ลุกจากเตียงแล้วไปหาหงเฉินอีกครั้ง ก็พบว่าหงเฉินกำลังหลบฝึกตนอยู่ในห้องสมาธิ บนใบหน้ามองไม่เห็นร่องรอยหงเฉินที่สำราญหรรษาอย่างก่อนหน้านี้แล้ว ราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ยังคงไร้ความปรารถนาเหมือนเดิม

“นี่เจ้ากำลังหลบข้าเหรอ?” เหมียวอี้เดินมาหน้าเตียงแล้วถอนหายใจ “หรือว่าเจ้ารำคาญข้า?”

หงเฉินลืมตา ดวงตางามช่างสงบเยือกเย็น นางส่ายหน้าเบาๆ “เปล่า! นายท่านอยากได้อีกเหรอ?” ขณะที่พูดก็ยื่นมือปลดผ้าคาดเดียว เสื้อไหลลงจากหัวไหล่อย่างช้าๆ เผยให้เห็นไหล่ขาวเกลี้ยงเกลาและเสื้อชั้นในที่ห่อหุ้มหน้าอกอิ่มเอิบไว้

“ไม่ใช่ๆ!” เหมียวอี้รีบโบกมือ ช่วยนางใส่เสื้อผ้ากลับไปใหม่อีกรอบ เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่มีอารมณ์เลยสักนิด ทำเรื่องนี้อย่างกับเป็นสิ่งของอะไรไปได้ ราวกับว่าถ้าเจ้าอยากได้ก็เอาไป “ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเราจะได้เจอกัน ไม่ต้องรีบฝึกตนขนาดนั้นหรอก อยู่เป็นเพื่อนข้าหน่อยแล้วกัน”

“ได้ค่ะ!” หงเฉินพยักหน้า แล้วถามอย่างจริงจังว่า “ให้อยู่เป็นเพื่อนด้วยยังไงคะ?”

“…” เหมียวอี้อ้าปากค้าง ก่อนจะนั่งลงข้างๆ แล้วเอนตัวลงอาศัยต้นขาของนางเป็นหมอน ขณะดมกลิ่นกายหอมของสาวงาม เขาก็ถอนหายใจอย่างสงบนิ่ง “อยู่เป็นเพื่อนอย่างนี้แล้วกัน”

เมื่อเขาทำแบบนี้ หงเฉินก็ไม่มีทางฝึกตนได้แล้ว ไม่รู้ว่าจะเอาสองมือวางตรงไหนดี สุดท้ายก็ทำได้เพียงวางมือข้างหนึ่งตรงหน้าอกของเขาอย่างลังเล เขาคว้ามือนางมาเล่น นางไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยตามใจเขาเงียบๆ

เมื่อผ่านไปพักใหญ่ เหมียวอี้ก็ยิ้มพร้อมบอกว่า “ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอกัน เจ้าไม่ได้เตรียมอะไรไว้คุยกับข้าเลยเหรอ?”

หงเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ข้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ท่านพูดเถอะ”

“หลายปีมานี้ตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ ข้าประสบเรื่องราวมาไม่น้อย เจ้าคงเคยได้ยินมาแล้วใช่มั้ย?” เหมียวอี้ถาม

หงเฉินส่ายหน้า “ข้าไม่เคยได้ยินเลยค่ะ”

“…” เหมียวอี้มุมปากกระตุกเล็กน้อย ให้มันได้อย่างนี้สิ ข้าต่อสู้เอาเป็นเอาตายอยู่ข้างนอกเพื่อเลี้ยงพวกเจ้า แต่เจ้ากลับไม่มีท่าทีสนใจเลยสักนิด เขาถามอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เจ้าคงไม่ถึงขั้นไม่รู้แม้กระทั่งว่าข้ากลับมาเมื่อไรหรอกใช่มั้ย?”

“ขอโทษค่ะ ถ้าท่านคิดว่าข้าจำเป็นต้องรู้ เดี๋ยวต่อไปข้าก็จะถาม” หงเฉินตอบอย่างลำบากใจนิดหน่อย

แม่งเอ๊ย! เหมียวอี้ยอมแพ้นางแล้วจริงๆ ถามนางว่า “แล้วตอนที่ข้ามาหาเจ้าก่อนหน้านี้ เจ้าเหมือนไม่รู้สึกผิดคาดสักนิดเลยนะ หรือว่าเจ้ารู้ล่วงหน้าแล้ว?”

“นี่เป็นบ้านของท่าน ท่านอยากจะกลับมาเมื่อไรก็ได้ คงไม่ต้องรู้สึกผิดคาดหรอกมั้งคะ?” หงเฉินยิ้มบางๆ

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรกับนางแล้ว ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงมีนิสัยอย่างนี้ได้ เขาจึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ข้ากลับมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว แต่ไปหาฉินเวยเวยก่อน นอนกับฉินเวยเวยตั้งหลายวัน ตอนหลังก็พาฉินเวยเวยออกไปชมธรรมชาติ นอนกับนางเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ทั้งยังนอนกับหญิงรับใช้ทั้งสองของนางด้วย จากนั้นก็ไปตำหนักดาวกลาง นอนกับจูเก๋อชิงที่โดนฮูหยินกักบริเวณไว้ เสร็จแล้วถึงได้มาหาเจ้า มานอนกับเจ้าแล้ว…” ขณะที่พูดก็ดูปฏิกิริยาของนางไปด้วย

หงเฉินที่ก้มหน้าเล็กน้อยไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยสักนิด ดันถามหยั่งเชิงกลับว่า “ท่านคิดว่าข้าไม่น่าสนใจ เทียบกับพวกนางไม่ได้ ทำให้ท่านหมดอารมณ์เหรอ? ข้าให้สาวใช้สองคนมาปรนนิบัติท่านแทนได้มั้ย?” ขณะที่พูดก็หยิบระฆังดาราออกมา

“…” เหมียวอี้คว้ามือของนางไว้ แล้วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มเจื่อน บอกใบ้ว่าไม่ต้องทำอย่างนั้น เขาแค่อยากยั่วโมโหนางเท่านั้นเอง อยากจะเห็นนางมีปฏิกิริยาที่ต่างออกไป ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้อยู่บนเชือกเส้นเดียวกับเขาเลย “ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้สักหน่อย ข้ากำลังจะรับเยว่เหยาเป็นอนุภรรยาแล้ว อีกไม่กี่วัน เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?”

หงเฉินมีปฏิกิริยากับสิ่งนี้เล็กน้อย ถามอย่างแปลกใจว่า “ท่านปฏิเสธมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้าเจ้าอยากรู้สาเหตุจริงๆ ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ แต่ห้ามให้อาจารย์ของเจ้ารู้เด็ดขาด”

“ค่ะ!” หงเฉินพยักหน้า

“ที่พิภพใหญ่มีบุคคลโด่งดังอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่าโจรราคะเจียงอีอี…” เหมียวอี้เล่าเรื่องราวให้ฟังคร่าวๆ แบบข้ามไปบ้าง

หลังจากได้ฟังแล้ว หงเฉินก็ขมวดคิ้ว ” เยว่เหยามีความสัมพันธ์กับเจียงอีอีแล้วเหรอ?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “นางยอมรับเองแล้ว ทำไมเจ้าทำท่าเหมือนไม่เชื่อล่ะ?”

หงเฉินครุ่นคิดพลางส่ายหน้า “ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่เยว่เหยาที่ข้ารู้จักน่ะ ถ้านางมีความสัมพันธ์กับเจียงอีอีแล้วจริงๆ เกรงว่าคงจะภักดีไม่เปลี่ยนใจต่อเจียงอีอี ไม่ว่าเจียงอีอีจะทำอะไรไว้ นางก็จะพยายามทุกทางเพื่อช่วยชีวิตเจียงอีอี ถ้าไม่ถึงขั้นสุดท้ายก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่ และไม่มีทางตอบตกลงแต่งงานกับนายท่านด้วย…บางทีอาจจะเป็นเพราะอยู่ห่างกันนานแล้ว คนเราคงนิสัยเปลี่ยนไปแล้วมั้ง ข้าไม่ได้คลุกคลีอยู่กับเยว่เหยานานแล้ว เลยไม่ค่อยเข้าใจ”

“ขนาดรู้แล้วว่าตัวเองโดนโจรราคะนั่นหลอก ยังจะภักดีไม่เปลี่ยนใจได้อีกเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

หงเฉินส่ายหน้าเบาๆ ไม่อยากพูดอะไรมากแล้ว เหมือนไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องอะไรอีก

ขณะมองใบหน้างามที่สงบเยือกเย็นของนาง เหมียวอี้ก็ทอดถอนใจ ยกมือขึ้นลูบแก้มนาง พร้อมบอกว่า “ในปีนั้นตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าเจอเจ้าครั้งแรกที่เมืองโบราณฉางเฟิง ข้าตะลึงมาก นึกไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีคนที่สวยขนาดนี้อยู่ แต่ว่าเห็นจากที่ไกลๆ ไม่อาจสบประมาทได้ ตอนเป็นตอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะได้แต่งงานกับเจ้า สุดท้ายก็ได้สมปรารถนา เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากเรื่องหนึ่งในชีวิตจริงๆ!”

“หงเฉินยิ้มโดยไม่ตอบอะไร

“เจ้ารู้รึเปล่า ที่จริงหยางชิ่งก็เคยชอบเจ้ามาก่อน แต่สุดท้ายก็ยังโดนข้าแย่งมา ข้าบังคับให้หยางชิ่งแต่งงานกับเมียของเฟิงเป่ยเฉิน แต่กลับรับเจ้าเป็นอนุภรรยา เจ้าว่าข้าเลวรึเปล่า?”

หงเฉินยังคงยิ้มโดยไม่ตอบอะไร

“สุดท้ายข้าก็ปล่อยตัวปล่อยใจมากเกินไปจริงๆ จะบอกว่าชดเชยให้พวกเจ้าก็เหมือนจะไม่ใช่ อาจจะเก็บกดอยู่ที่พิภพใหญ่มาหลายปีกระมัง ได้รับความกดดันมาตลอดแล้วไม่รู้จะไประบายที่ไหน ตึงเครียดอยู่ที่พิภพใหญ่ตลอด ขนาดเวลานอนยังกังวลว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่องเลย กังวลที่ข้างกายมีสายลับ ข้างกายไม่เคยมีใครทำให้สงบใจได้เลย พอกลับมาที่พิภพเล็กก็ได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง เลยระบายอารมณ์อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ข้าเองก็ยังไม่รู้เลยว่าทนผ่านลมผ่านฝนมาหลายปีขนาดนี้ได้อย่างไร…”

“ก่อนหน้านี้ข้าถูกฮูหยินยั่วโมโหแล้วจริงๆ นางไม่ยอมปล่อยจูเก๋อชิงออกมาเลย ถ้าจะบอกว่ามีความผิด ก็ไม่ได้ผิดที่จูเก๋อชิงคนเดียว ขังจูเก๋อชิงไว้หลายปีขนาดนั้นแล้ว ยังคิดจะทำยังไงอีก…”

“พอพูดถึงจูเก๋อชิง ข้าต้องว่าเจ้าสักหน่อย พวกเจ้าสองคนแข่งกันได้ จูเก๋อชิงคิดจะหนีออกจากตำหนักดาวกลางตลอด แต่ฮูหยินกลับกักบริเวณนางไว้ไม่ยอมปล่อยไป ส่วนเจ้าน่ะ ฮูหยินขอให้เจ้าออกไปเดินเล่นบ้าง ไม่รู้ว่าบ่นอยู่ข้างหูเจ้าตั้งกี่รอบแล้ว นางบอกว่าเจ้าต่างหากที่เป็นคนฉลาดอย่างแท้จริง เป็นผู้หญิงที่มีสติปัญญาดีมาก กลุ่มผู้หญิงในบ้านไม่มีใครเทียบเจ้าติดเลย ถ้าเจ้ายอมออกแรงช่วยเหลือ ก็จะสามารถแบ่งเบาภาระในบ้านได้ไม่น้อย ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่านางมองออกจากตรงไหน แต่ก็ดูเจ้าทำสิ ฟ้าผ่าก็ไม่ยอมขยับไปไหน ในบ้านมีคนเยอะขนาดนั้น แต่ละคนโดนฮูหยินจัดการจนหมอบราบคาบแก้ว มีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น ที่ฮูหยินไม่มีทางทำอะไรได้เลย ขนาดข้ายังเรียกเจ้าว่าท่านย่าแล้ว เหมือนว่าแม้แต่อาจารย์เจ้าก็ขี้คร้านจะโวยวายเจ้าแล้วเช่นกัน ถ้ากักบริเวณเจ้าไว้ที่ตำหนักดาวกลาง ข้าว่าเจ้าคงอยากให้เป็นแบบนั้นแน่ๆ เฮ้อ ถ้าสลับตัวเจ้ากับจูเก๋อชิงได้ก็คงดีนะ…”

“หลายปีมานี้ข้าผ่านเรื่องราวมาไม่น้อยเลย พอก้าวเข้าพิภพใหญ่ ก็ปลุกปั้นสร้างร้านขายของชำซื่อตรงที่ตลาดสวรรค์…”

เหมียวอี้ที่หลบอยู่ในห้องสมาธิพร่ำบ่นไปเรื่อย วันนี้ค่อนข้างพูดมาก บ่นเป็นชุดเหมือนผู้หญิง

ส่วนหงเฉินก็เป็นผู้ฟังที่ดีมากจริงๆ ไม่ว่าพูดอะไรก็ตั้งใจฟัง ไม่พูดสอดแทรก และไม่ถามอะไรมาก ทั้งสวยทั้งไม่ทำให้คนรู้สึกไม่พอใจ ตัวเองเข้ามาอยู่ในสถานการณ์อย่างเลือกไม่ได้แท้ๆ แต่กลับทำตัวเหมือนเป็นคนนอก ทำให้เจ้ารู้สึกได้ว่านางจะไม่เปิดเผยความลับใดๆ ทำให้เจ้าวางใจเล่าให้ฟังได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดความยุ่งยากใจใดๆ…

…………………………

“ค่อนข้างนึกไม่ถึง เหมียวอี้นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าตัวเองมอบหมายภารกิจสำคัญให้หยางชิ่ง และหยางชิ่งก็สามารถวางแผนระยะยาวขนาดนี้ออกมาได้ สิ่งนี้ทำให้เขาตกตะลึงแล้ว ยัดกำลังพลนับร้อยล้านเข้าแดนอเวจี แค่คิดก็ตกใจแล้วไม่ใช่เหรอ?

เขาไม่กลัวหรอกว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไร เพราะว่ายัดคนเข้าแดนอเวจี ไม่ได้ยัดเข้าพิภพใหญ่ โดยส่วนใหญ่คนของพิภพเล็กก็ไม่รู้สถานการณ์ของพิภพใหญ่อยู่แล้ว ไม่กังวลด้วยว่าจะมีข่าวหลุดอะไรพัวพันไปถึงเขา ถ้าแดนอเวจีจะเผยแพร่ชื่อเหมียวอี้ก็ไม่เป็นอะไร เพราะอยู่ที่พิภพใหญ่เขาชื่อหนิวโหย่วเต๋อ ยิ่งไปกว่านั้นพวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ย่อมต้องรักษาความลับเพื่อคุมคนอยู่แล้ว ไม่มีทางหาเรื่องใส่ตัวเอง

เพียงแต่การโยนแผนการใหญ่โตขนาดนี้ออกมา ก็ทำให้เหมียวอี้แทบหายใจไม่ออก

ครุ่นคิดเล็กน้อย ใช้ดุลพินิจซ้ำไปซ้ำมาภายใต้สายตาที่จับจ้องสังเกตของหยางชิ่ง ก็พบว่าไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ที่หยางชิ่งพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน สุดท้ายเหมียวอี้ก็พยักหน้าพร้อมกล่าวด้วยเสียงจริงจังว่า “ดี! จัดการตามที่เจ้าบอก เรื่องนี้ส่งต่อให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน ส่งมอบอำนาจให้เจ้าจัดการทั้งหมด ภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ เจ้าลองร่างวิธีการย้ายคนออกมาสักฉบับ”

หยางชิ่งยังนึกว่าเขาต้องใช้เวลาไตร่ตรองสักสองสามวัน นึกไม่ถึงว่าจะตอบตกลงอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ ความเชื่อใจนี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจ จึงกุมหมัดคารวะกล่าวว่า “ข้าน้อยรับรองว่าจะพยายามทำอย่างเต็มที่ ไม่ทำให้นายท่านผิดหวังแน่นอน!”

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วหันตัวมากล่าวเสียงต่ำอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง การมาครั้งนี้ ข้าเตรียมจะรับเยว่เหยา ลูกศิษย์คนเล็กของมู่ฝานจวินมาเป็นอนุภรรยา เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?” รู้สึกอับอายที่จะเอ่ยปาก เมื่อมาถึงด่านนี้แล้ว จะไม่พูดก็ไม่ได้ ต่อไปก็ต้องรู้กันหมด

หยางชิ่งไม่รู้สึกเหนือความคาดหมายเลยสักนิด ตอบอย่างใจเย็นว่า “ก่อนหน้านี้ฮูหยินบอกข้าไว้แล้ว ข้าน้อยมีข้อมูลในใจแล้ว ข้าน้อยปลอบใจเวยเวยแล้ว”

“เขาเองก็ไม่อยากให้เหมียวอี้รับอนุภรรยาเข้าบ้านมาเป็นโขยงเหมือนกัน เพราะสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อลูกสาวของเขา แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ห้าม เมื่ออยู่ในระดับเหมียวอี้แล้ว จะมีผู้หญิงเยอะก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ตอนแรกที่ลูกสาวดึงดันจะแต่งงานกับเหมียวอี้ให้ได้ เขาก็เตรียมใจกับด้านนี้ไว้นานแล้ว”

เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เหมียวอี้ถึงรับเยว่เหยาที่ไม่ค่อยได้ติดต่อกันมาเป็นอนุภรรยา เป็นเพราะความสวยเหรอ? เขารู้สึกว่าไร้สาระ ระดับเหมียวอี้ไม่ต้องกลัวว่าจะหาผู้หญิงสวยไม่ได้แล้ว คนที่เหมียวอี้ฝืนยัดมาให้เขาก็เป็นยอดหญิงงามเช่นกัน และตอนที่อวิ๋นจือชิวออกหน้ามาหาเขาเพื่อคุยเรื่องนี้ เขาก็ตระหนักได้ว่าเหมียวอี้ไม่ได้ชอบความสวยของเยว่เหยา ติดต่อกันมานานหลายปีขนาดนี้ ทำให้เขารู้จักอวิ๋นจือชิวดี เวลาจะปากจัดอารมณ์ร้ายขึ้นมาก็ไม่เกรงใจ เวลาที่ควรจะอ่อนก็ไม่พาลหาเรื่องเช่นกัน ลงน้ำหนักได้ดีมาก ดูแลทั้งคนในคนนอกของตระกูลเหมียวจนหมอบราบคาบแก้ว อย่างน้อยเวลาจะให้อนุภรรยาในบ้านทำอะไร ก็ไม่มีใครกล้าพูดพร่ำทำเพลง แม้แต่ลูกสาวของหยางชิ่งเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ถ้าอวิ๋นจือชิวสั่งคำเดียวว่าให้ฉินเวยเวยไปวิ่งจนขาหัก เวยเวยก็ไม่กล้าบ่นเหมือนกัน ตามที่เขารู้มา แม้แต่คนที่บุ่มบ่ามง่ายอย่างเหมียวอี้ก็ยังกลัวเมียเลย ควบคุมอนุภรรยาที่มีภูมิหลังเหมือนกันให้สามัคคีปรองดองกันได้ ไม่เคยได้ยินว่ามีความขัดแย้งอะไรระหว่างกันเลย ว่ากันว่าถ้าในบ้านปรองดอง งานทุกอย่างก็สำเร็จราบรื่น ความสามารถที่ดูเหมือนจะธรรมดานี้ ในความเป็นจริงกลับไม่มีผู้หญิงคนไหนชำนาญได้เท่านี้แล้ว เรื่องในบ้านอวิ๋นจือชิวเอาอยู่จริงๆ เป็นผู้หญิงที่ปกป้องบ้านได้ ไม่มีทางปล่อยให้เหมียวอี้ทำซี้ซั้วโดยไม่สนใจ ดังนั้นถ้าอวิ๋นจือชิวไม่อนุญาต ก็เป็นไปไม่ได้ที่เยว่เหยาจะได้แต่งงานเข้าบ้าน ในเมื่ออวิ๋นจือชิวออกหน้าจัดการด้วยตัวเองแล้ว แสดงว่าในนั้นก็จะต้องมีสาเหตุอะไรแน่นอน

อวิ๋นจือชิวไม่ได้บอก เขาก็ไม่สะดวกจะถามมาก ที่อีกฝ่ายมาบอกก็ถือว่าให้เกียรติเขาแล้ว ถ้าไม่บอกเขา เขาก็ไม่สะดวกจะไปห้ามอยู่ดี

“ฮูหยินบอกเจ้าแล้วเหรอ?” เหมียวอี้งงงัน นึกไม่ถึงว่าเบื้องหลังอวิ๋นจือชิวจะช่วยเขาจัดการหยางชิ่งให้ เขายังกังวลอยู่เลยว่าจะยั่วให้หยางชิ่งไม่พอใจแล้วเสียงานใหญ่หรือเปล่า พอเป็นแบบนี้ก็ลดความยุ่งยากไม่ต้องให้ตนเปลืองคำพูดเยอะแล้ว

“ขอรับ!” หยางชิ่งพยักหน้า

พอเห็นทั้งสองออกจากห้องหลัก ก็เห็นฉินเวยเวยรออยู่ข้างนอกแล้ว หยางชิ่งส่งสายตาให้ฉินซี ฉินซีรู้อยู่แก่ใจ ว่าสองคนนี้ห่างกันไปนานก็เหมือนคู่แต่งงานใหม่ อย่าไปรบกวนเรื่องดีๆ ของทั้งคู่เลย หลังจากทำความเคารพเหมียวอี้แล้วก็รีบเดินออกไป

เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว ฉินเวยเวยก็หมดความกังวล โผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเหมียวอี้ด้วยความดีใจ “นายท่าน ฮูหยินให้ข้ามาอยู่เพื่อนนายท่านให้ดีค่ะ”

รู้สึกได้ว่ายอดเขาสองลูกที่เบียดอยู่ตรงหน้าอกเหมือนจะบีบรัดยิ่งกว่าเมื่อก่อน เหมียวอี้รู้สึกเปรี้ยวปาก กอปรกับหญิงงามมีอารมณ์รักเข้มข้นยากจะปฏิเสธ ทำให้เขาโน้มตัวอุ้มฉินเวยเวยขึ้นมาและเดินก้าวยาวไปที่ตำหนักนอนอย่างไม่ลังเล “อ๋า!” ฉินเวยเวยที่อุทานตกใจใช้สองมือคล้องคอเขา เคยผ่านเรื่องนี้มาแล้ว ย่อมรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น อารมณ์รักลึกซึ้งแทบจะเอ่อล้นออกมาจากดวงตาที่เขินอาย นางมองเขาตาปริบๆ ปล่อยให้เขาทำตามใจแล้ว

เสื้อผ้าปลิวว่อน ปิ่นปักผมถูกดึงออก ผมยาวสยายตกลงประหัวไหล่ที่ขาวเกลี้ยงเกลา ตรงหว่างขาที่เป็นจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงทั่วไปล้วนมีกอหญ้า สองแขนกำลังปิดยอดเขาทั้งคู่ ทว่าบั้นท้ายที่แข็งแรงนั้นยากจะปิดบัง ใบหน้าเขินอายช่างมีเสน่ห์เย้ายวน ในขณะที่เหมียวอี้เดินวนมองสำรวจชื่นชมอย่างกำเริบเสิบสาน ฉินเวยเวยก็มีสีหน้าอับอายเกินทน ร่างงามที่อวบอัดยิ่งกว่าปีก่อนสั่นเทิ้มเล็กน้อย โดนมองจนแทบจะยืนไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็บ่นว่า “นายท่าน…”

ตอนที่ในห้องมีเสียงครวญครางที่ยากจะควบคุมไหวดังออกมา หงเหมียนกับลู่หลิวก็สบตากันแล้วกลั้นขำ ยิ่งเสียงดังมากเท่าไร สองสาวก็ยิ่งร้อนผ่าวใบหน้า รู้ว่าไม่ง่ายเลยกว่าเหมียวอี้จะกลับมาสักครั้ง วันหลังอย่างน้อยก็ต้องมาหาพวกนางสองคนบ้าง

ขณะกำลังคิดเพ้อฝัน พอเห็นลูกน้องกำลังเดินไปเดินมา ทั้งสองก็รีบไล่ไป

“วันต่อมา ฮูเหยียนไท่เป่าออกจากแดนโพ้นสวรรค์มาต้อนรับเยว่เหยา หลังจากเหมียวอี้มาถึงพิภพเล็กแล้ว ถึงได้ติดต่อทางมู่ฝานจวินว่าต้องการจะจัดงานแต่งงานกับเยว่เหยาที่พิภพเล็ก ตอนนี้มู่ฝานจวินไม่อยู่ที่พิภพเล็ก ทำได้เพียงให้ลูกศิษย์คนโตสุดเป็นตัวแทนฝ่ายบ้านเจ้าสาวมารับตัวไปทำพิธี

หลังจากเจอกับฮูเหยียนไท่เป่าแล้ว เหมียวอี้ก็ตัวติดกับฉินเวยเวยอีก ไปท่องเที่ยวชมธรรมชาติด้วยกัน เหมือนนกเป็ดน้ำที่อยู่เคียงคู่กันทุกที่ ราวกับต้องการจะชดเชยเวลาให้ ทำให้ฉินเวยเวยที่อยู่อย่างแห้งแล้งมานานได้ชุ่มฉ่ำสุดๆ ใบหน้าสดใสมีราศี เมื่อได้รับอนุญาตจากอวิ๋นจือชิวแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าปล่อยตัวปล่อยใจ ด้วยการช่วยเหลือจากฉินเวยเวย หงเหมียนกับลู่หลิวก็ได้อาศัยบารมีไปด้วย

หลังจากกลับมาที่นภาอู๋เลี่ยงแล้ว ตอนที่ใกล้จะถึงวันแต่งงาน เหมียวอี้ก็แอบพาเหยียนซิวไปที่ตำหนักดาวกลาง

จูเก๋อชิงที่สวมชุดกระโปรงยาวสีขาวถูกกักบริเวณไว้อย่างโดดเดี่ยว ต่อให้ใบหน้าไร้เครื่องประทินโฉม แต่ก็ยากที่จะปิดบังความงามล่มเมืองของนางได้ เหมียวอี้เห็นแล้วแอบเสียดาย

เมื่อได้เจอเหมียวอี้อีกครั้ง จูเก๋อชิงก็ปลาบปลื้มดีใจจนน้ำตาคลอ สุดท้ายก็คุกเข่าร้องไห้อย่างปวดใจตรงหน้าเหมียวอี้ “ประมุขปราชญ์ ข้าสำนึกผิดแล้ว ขอให้ฮูหยินระงับโทสะด้วย! ขอประมุขปราชญ์สงสาร ช่วยพูดขอร้องให้ข้าด้วย…”

ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ทรัพยากรฝึกตนก็ให้นางไม่เคยขาด แต่นางก็ยังคิดหาทางออกไปจากที่นี้ ไปพูดคุยกับทหารยามอยู่เป็นระยะ หลังจากอวิ๋นจือชิวรู้ก็ทำให้อวิ๋นจือชิวโมโหมาก เมื่อออกคำสั่งแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าคุยกับนางอีกเลย แม้แต่หญิงรับใช้ก็ถูกปลดไปแล้ว ทำให้ทั้งตำหนักดาวกลางไม่มีใครคุยกับนางสักคน ไม่รู้ข่าวสารภายนอกเลยสักนิด สำหรับเจ้าสำนักที่มีหน้ามีตาคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่มั่นใจในความสวยของตัวเอง การถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่เป็นรสชาติทรมานที่ยากจะรับไหว แทบจะทำให้คนสติแตกแล้ว

“ลุกขึ้นเถอะ เดี๋ยวข้าจะคุยกับฮูหยินเอง” เหมียวอี้ประคองนางให้ลุกขึ้นมา

“ขอบคุณประมุขปราชญ์!” จูเก๋อชิงกล่าวขอบคุณ แล้วกระโจนเข้าไปร้องไห้ในอ้อมอกเหมียวอี้

สำหรับนางที่เคยควบคุมดูแลสำนักมาก่อน นางมีความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ รู้ว่าข้อได้เปรียบของตัวเองอยู่ตรงไหน และรู้ด้วยว่าต้องฝากความหวังเดียวที่จะรอดออกจากที่นี่เอาไว้ที่ใคร ด้วยความตั้งใจของนาง บวกกับเป็นคนสวยมาก จะไม่ให้เหมียวอี้อยากอยู่ที่นี่นานก็คงยาก ถึงแม้จูเก๋อชิงจะไม่ใช่โสเภณี แต่กลับมีความสามารถในการปรนนิบัติดีมาก ทำให้เหมียวอี้อดใจไม่ไหว

ทว่าสุดท้ายก็ยากที่จะเสพสุขกับหญิงงามได้ หลังจากสุขสำราญกับฝั่งนี้แล้ว หลังจากกลับไปที่นภาอู๋เลี่ยง เหมียวอี้ก้ทำได้เพีบงแข็งใจไปปรึกษากับอวิ๋นจือชิว หวังว่าอวิ๋นจือชิวจะตอบตกลงที่จะคืนอิสระให้จูเก๋อชิง

เมื่อได้ฟังแบบนี้ อวิ๋นจือชิวที่กำลังยิ้มอย่างเป็นกันเองก็สีหน้าจืดจางลงแล้ว “เรื่องนี้ไม่ได้หรอก! ข้าไม่ฆ่านางก็ถือว่าไว้หน้าเจ้าแล้ว อย่ากดดันข้า!”

เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วถามว่า “เจ้าขังนางไว้แบบนี้ตลอดแล้วจะได้อะไรขึ้นมา?”

อวิ๋นจือชิวตอบว่า “หรือว่านายท่านลืมคำสัญญาแล้ว ลืมไปแล้วเหรอว่าข้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องผู้หญิงในบ้าน? จะปล่อยนางเมื่อไร ควรจะปล่อยนางไปหรือไม่ ข้าย่อมมีข้อมูลในใจอยู่แล้ว อีกไม่นานก็จะถึงงานมงคล นายท่านเอาความคิดไปใช้กับเจ้าสาวคนใหม่ดีกว่า เรื่องอื่นไม่ต้องคิดมากแล้ว”

เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “อวิ๋นจือชิว ขนาดเยว่เหยาเจ้ายังตอบตกลงเลย ทำไมเจ้าต้องกลั่นแกล้งนางด้วย?”

อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าหงุดหงิดใส่ “ข้าเป็นผู้หญิง เข้าใจผู้หญิงมากกว่าเจ้า ผู้หญิงแบบไหนที่ปล่อยให้เข้าบ้านได้ ผู้หญิงแบบไหนที่ให้เข้าบ้านไม่ได้ ข้าย่อมป้องกันอยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่อยากให้ต่อไปในบ้านวุ่นวาย ก็อย่าเอ่ยเรื่องนี้อีก”

เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง “นางสำนึกผิดแล้ว ปล่อยนางออกมาแล้วจะทำไมล่ะ เจ้ากลัวนางรึไง? ในปีนั้นข้าทำผิดไปแล้ว เจ้าเองก็ขังนางไว้หลายปีแล้ว ยังไม่หายโมโหเชียวหรือ?”

อวิ๋นจือชิวหันตัวมาเผชิญหน้า จ้องตาเหมียวอี้พร้อมบอกอย่างชัดเจน “ถ้าเจ้าดึงดันจะปล่อยนางออกมา ข้าก็ขัดขวางเจ้าไม่ได้หรอก แต่ถ้าเจ้าผิดคำพูดแบบนี้ ข้าก็ไม่ทางดูแลบ้านนี้ได้อีกแล้ว! ถ้าจะจะปล่อยนางออกมา ก็เอาหนังสือหย่ามาให้ข้า ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องยุ่งเรื่องนี้ ข้าจะขังนางจนกว่าจะรู้สึกอยากปล่อยนางออกมา”

“อวิ๋นจือชิว…”

“ไม่ต้องพูดอะไรมากกว่านี้แล้ว ไม่มีทางเหลือให้เจ้าเจรจาหรอก! ขังนางไว้ที่นั่นต่อไป หรือจะไล่ข้าไป เจ้าก็เลือกเอาเอง ข้าไม่บังคับเจ้า!”

เมื่อเห็นนางแน่วแน่ขนาดนี้ ใบหน้าเหมียวอี้ก็เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ เขาชี้หน้าอวิ๋นจือชิว ส่วนอวิ๋นจือชิวก็เชิดคางใส่ เผชิญหน้าด้วยสายตามีพลัง ไม่ยอมหลีกทางให้เลย!

เหมียวอี้กัดฟันแล้วสะบัดแขนเสื้อ หันตัวเดินออกไปอย่างกระฟัดกระเฟียด

ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะพูดเติมเชื้อไฟอีก “เจ้าฟังข้าให้ดีนะ ต่อไปนี้ถ้าข้าไม่อนุญาต เจ้าก็ห้ามไปหานางอีก ข้าไม่ถือสาที่จะเอาร่างไร้วิญญาณที่ไม่ดับสลายไว้ให้เจ้าดูเป็นที่ระลึกที่ตำหนักดาวกลาง!”

เหมียวอี้ที่เดินมาถึงประตูระงับไฟโกรธไว้ไม่ไหวแล้ว หันกลับมาด่าอย่างโมโหว่า “ไม่มีเหตุผล นางผู้หญิงอารมณ์ร้าย!”

“สารเลว! เจ้าด่าใคร? อย่าหนีนะ!” อวิ๋นจือชิวไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบถ้วยชาใบหนึ่งบนโต๊ะโยนเข้าไป ไม่เกรงใจเลยสักนิด

เหมียวอี้หัวหัวหลบ แล้วเดินก้าวยาวออกไป ข้างน้องมีเสียงดังเพล้ง ถ้วยชาแตกกระจายเต็มพื้น

ที่จริงเขาก็อยากให้อวิ๋นจือชิวซ้อมสักยก มีแต่ต้องยอมให้อวิ๋นจือชิวซ้อมเท่านั้น ตามหลักการแล้ว ก็ยังพอมีหวังจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ แต่ยามอวิ๋นจือชิวแสดงท่าทีชัดเจนว่าจะคุยประเด็นสำคัญเท่านั้น แบบนี้กลับทำให้เขาปวดหัว ยิ่งเป็นแบบนี้เขาก็ยิ่งทำให้อวิ๋นจือชิวตอบตกลงไม่ได้

ด้วยท่าทีแบบนี้ของอวิ๋นจือชิว ถ้าจะให้เขาหย่ากับอวิ๋นจือชิวแล้วปล่อยจูเก๋อชิงออกมาก็เป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องคิดมากเลยว่าอะไรสำคัญกว่า มีอวิ๋นจือชิวคุมอยู่แบบนี้ ทำให้แม้แต่ผู้หญิงที่เขาเคยนอนด้วยก็เอาเข้าบ้านไม่ได้ ทำให้เขาปวดหัวมาก เสียศักดิ์ศรีเกินไปแล้ว

…………………………

กลับมาพักอยู่ที่ตลาดผีได้หนึ่งเดือนเศษๆ ทิ้งเชียนเอ๋อร์กับพวกหยางเจาชิงไว้ให้เฝ้าที่นี่ ส่วนตัวเองพาเหยียนซิว หยางชิ่งกับเยว่เหยากับพิภพเล็ก เดิมทีอวิ๋นจือชิวก็จะอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน แต่การกลับพิภพเล็กครั้งนี้จะต้องจัดการเรื่องงานแต่งงานของเยว่เหยาให้เรียบร้อย เรื่องนี้ขาดอวิ๋นจือชิวไปไม่ได้ ถ้าฮูหยินเอกไม่ยอมรับ ฐานะของเยว่เหยาก็จะน่าอึดอัด

ทีแรกอวิ๋นจือชิวไม่ยอมกลับ เพราะยังเหม็นขี้หน้าเหมียวอี้อยู่ บอกว่าเป็นการแต่งงานรับอนุภรรยาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องจัดให้อึกทึกครึกโครม แค่ทำพอเป็นพิธีก็พอแล้ว แต่เหมียวอี้ไม่อยากปล่อยให้เยว่เหยาได้รับความไม่เป็นธรรม อยู่ทางนี้จะเคลื่อนไหวอะไรมากก็ไม่ได้ ทำได้เพียงหน้าด้านไปเสี่ยงให้อวิ๋นจือชิวซ้อมอีกยกหนึ่งถึงเกลี้ยกล่อมสำเร็จ

ออกจากพิภพเล็กมากี่ปีแล้ว เหมียวอี้ก็จำเวลาโดยละเอียดไม่ได้แล้ว ตอนอยู่ในทะเลดาวอันกว้างใหญ่แล้วได้เห็นดาวเคราะห์ที่สวยงามนั่นอีกครั้ง เหมียวอี้ก็รู้สึกถอนใจเป็นพิเศษ

ตอนที่คนขบวนนี้ฝ่าชั้นบรรยากาศมาถึงนภาอู๋เลี่ยง คนของพิภพเล็กก็ยังไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก ถึงอย่างไรตอนนี้พิภพเล็กกับพิภพใหญ่ก็ยังมีการติดต่อกันอยู่ ตอนออกจากตลาดผีก็ออกมาเงียบๆ ไม่อยากให้มีข่าวหลุดไป ไม่อย่างนั้นระหว่างทางอาจจะเจอคนที่เจตนาไม่ดีก็ได้

หยางชิ่งถึงขั้นแนะนำให้ปิดบังฉินเวยเวยด้วย กลัวว่าฉินเวยเวยจะดีใจจนแสดงออกทางสีหน้าให้คนมองออก เป็นเพราะตอนนี้มีคนอยากจะให้เหมียวอี้ตายเยอะเกินไป

พวกฉินซีที่อยู่นภาอู๋เลี่ยงได้ยินข่าวแล้วรีบมาต้อนรับ ช่างไม่บังเอิญจริงๆ ฉินเวยเวยไม่อยู่นภาอู๋เลี่ยง ออกไปลาดตระเวนแล้ว

ไม่เห็นหน้าประมุขปราชญ์มาหลายปี ทั้งข้างล่างข้างบนของนภาอู๋เลี่ยงทั้งตกใจทั้งดีใจ

ตอนบ่ายของวันนั้น ฉินเวยเวยหยุดลาดตระเวนกลางคัน รีบร้อนกลับมานภาอู๋เลี่ยง

ยังคงสวมชุดกระโปรงสีขาวดุจหิมะ นอกจากทรงผมที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนจากทรงผมสตรีโสดเป็นทรงผมของสตรีที่แต่งงานแล้ว อย่างอื่นก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป สีหน้าท่าทางดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิม เรือนร่างที่เคยลิ้มรสผู้ชายก็ยิ่งอวบอัดขึ้นเช่นกัน ทั้งยังมีลักษณะน่าเกรงขามของผู้ที่อยู่เหนือคนอื่น อย่างไรเสียในหลายปีมานี้นางก็คือผู้มีอำนาจสูงสุดของพิภพเล็ก

เมื่อรู้ว่าฉินเวยเวยกำลังรีบกลับมา เหมียวอี้ก็เดินมาอยู่ข้างกายหยางชิ่งล่วงหน้า ขณะกำลังพูดคุยหารือเรื่องพิภพเล็กกับหยางชิ่ง ฉินเวยเวยก็ยกกระโปรงเดินเข้ามาในโถงโดยไม่สนใจพิธีรีตองแล้ว พอเห็นเหมียวอี้แล้วก็หยุดฝีเท้าทันที ผู้ชายที่นางคนึงหาทั้งวันทั้งคืนก่อนหน้านี้ ในเวลานี้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว หลังจากได้เห็นแล้วกลับมีทั้งอารมณ์เฝ้าคอยและหวาดกลัวปนกัน

ฟันขาวกัดริมฝีปากน่ารักเบาๆ นางเขินอายเล็กน้อย ทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ แต่ในดวงตาก็ยังฉายแววคับแค้นใจนิดหน่อย ถึงอย่างไรก็ไม่ได้แยกกันแค่ปีสองปี แต่ไม่ได้เจอกันมาหลายพันปีแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ชายคนนี้จะมีท่าทีต่อตนอย่างไร กลัวว่าถ้าตัวเองกระตือรือร้นเกินไปก็อาจจะโดนเมินได้

เหมียวอี้ หยางชิ่งและฉินซีที่นั่งอยู่ในโถงเอียงหน้ามองไป เมื่อเห็นลูกสาวยังสบายดี หยางชิ่งก็ยิ้มแย้มอย่างปลาบปลื้ม ส่วนฉินซีก็เม้มปากยิ้มพร้อมดูปฏิกิริยาของเหมียวอี้เงียบๆ เมื่อเห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าเรียบเฉย ในใจนางก็ตกใจทันที

แต่ไม่นานก็วางใจแล้ว เพราะเห็นเหมียวอี้ลุกขึ้นยืน บนใบหน้าค่อยๆ เผยรอยยิ้ม แล้วเอ่ยเรียก “เวยเวย!”

ฉินเวยเวยโยนความกระมิดกระเมี้ยนทิ้งทันที วิ่งเข้ามาโผใส่อ้อมกอดเหมียวอี้ราวกับลูกนกนางแอ่นบินเข้ามา นางกอดเหมียวอี้เอาไว้แน่น ไม่สนใจแล้วว่าบิดามารดาจะอยู่ตรงนั้นด้วยหรือไม่ นางกับเหมียวอี้คลอเคลียจอนผมกัน

หยางชิ่งและฮูหยินยืนขึ้นพร้อมกัน สบตากันแล้วยิ้ม ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ไม่ได้รบกวนพวกเขา

ผ่านไปพักใหญ่แต่เห็นฉินเวยเวยหลับตาโดยไม่มีท่าทีว่าจะคลายกอด “แค่กๆ!”ในที่สุดหยางชิ่งก็ไอแห้งๆ

ตอนนี้ฉินเวยเวยเพิ่งสังเกตเห็นว่าข้างกายยังมีคนอื่นอยู่ด้วย นางหน้าแดงทันที รีบผละออกจากอ้อมกอดเหมียวอี้ แล้วหันตัวมาทำความเคารพด้วยสีหน้าเขินอายสุดทน “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพ่ออยู่ที่พิภพใหญ่สบายดีมั้ยคะ?”

“ฮึ!” หยางชิ่งแสร้งทำเสียงฮึดฮัดเหมือนไม่พอใจ “ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปแล้วจริงๆ ด้วย พอเข้ามาก็ไม่ชายตามองข้าเลย!”

คำพูดนี้ทำให้ฉินเวยเวยไม่สงบใจ นางรีบกล่าวขอโทษ ก่อนหน้านี้นางลืมตัวเกินไปแล้วจริงๆ

“พอแล้ว จงใจขู่ลูกสาวสนุกมากมั้ย?” ฉินซีดึงแขนเสื้อหยางชิ่งพร้อมบ่น

“ฮ่าๆ!” หยางชิ่งหัวเราะลั่นทันที โบกมือบอกใบ้ว่ากำลังล้อเล่น จากนั้นก็รีบเตือนด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไปคำนับฮูหยินก่อนเถอะ”

ฉินเวยเวยตกใจทันที รีบเอ่ยรับแล้วออกไป แต่ก่อนจะไปก็ยังไม่ลืมที่จะหันกลับมาบอกเหมียวอี้ว่า “นายท่านรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา” ให้ความรู้สึกเหมือนเตือนเหมียวอี้ว่าอย่าเพิ่งไปไหน เมื่อเห็นเหมียวอี้พยักหน้า นางถึงได้วางใจและเดินออกไป

หลังจากเหมียวอี้นั่งลงอีกครั้ง ก็เริ่มทำสีหน้าจริงจังแล้ว “หยางชิ่ง ข้ามีเรื่องใหญ่ต้องปรึกษากับเจ้า”

เรื่องใหญ่เหรอ? หยางชิ่งทำสีหน้าตกใจทันที จากนั้นหันกลับมาส่งสายตาให้ฉินซีเล็กน้อย ฉินซีจึงย่อตัวคำนับเหมียวอี้ ถอยหลบออกไปชั่วคราว ตอนนี้หยางชิ่งถึงได้กล่าวอย่างเคารพว่า “ข้าน้อยจะล้างหูรอฟัง”

เหมียวอี้กล่าวอย่างลังเลว่า “ข้าเตรียมจะให้เจ้าไปคุมลัทธิอู๋เลี่ยงที่แดนอเวจี พร้อมทั้งปรับปรุงจัดระเบียบอำนาจของหกลัทธิด้วย!”

“แดนอเวจี?” หยางชิ่งตกใจทันที “จะเริ่มพูดยังไงดี? หรือว่านายท่านจะให้ข้าน้อยไปเข้าร่วมการทดสอบที่แดนอเวจี?”

เหมียวอี้บอกว่า “แดนอเวจีข้าย่อมมีหนทางไปอยู่แล้ว ที่จริงพวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็เข้าไปอยู่ในแดนอเวจีตั้งนานแล้ว…” เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ของแดนอเวจีให้เขาฟังอย่างละเอียด

หยางชิ่งได้ยินแล้วลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว บางครั้งก็ทำสีหน้าตกตะลึง บางครั้งก็ขมวดคิ้วมุ่น ขณะที่ฟังก็เดินไปเดินมาพลางครุ่นคิด

ส่วนทางอวิ๋นจือชิวก็รู้ว่าฉินเวยเวยกับเหมียวอี้ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว นางรู้ว่าการที่คู่รักไม่ได้เจอกันมานานก็เหมือนกับคู่แต่งงานใหม่ และรู้เช่นกันว่าถ้าครั้งนี้ไม่ให้ฉินเวยเวยครอบครองเหมียวอี้ไว้ก็อาจจะฟังดูเหลวไหลไปหน่อย หลังจากยิ้มให้แล้วก็ตั้งใจจะช่วยให้สมปรารถนา ปล่อยฉินเวยเวยที่ใจร้อนจนทนรอไม่ไหวออกไปแล้ว

ใครจะคิดว่าพอกลับมาถึงลานบ้านทางฝั่งนั้นแล้ว ฉินเวยเวยก็ถูกฉินซีกันไว้อีก “พ่อเจ้ากำลังคุยเรื่องสำคัญกับนายท่านอยู่ ตอนนี้อย่าเพิ่งไปรบกวน”

ฉินเวยเวยกระทืบเท้าเบาๆ แล้วบ่นว่า “ท่านพ่อนี่ก็จริงๆ เลย นายท่านเพิ่งจะกลับมานะ เท้ายังไม่ทันเหยียบพื้นก็คุยงานอะไรกันแล้ว”

ฉินซีรู้สึกอยากขำ รู้ว่าจริงๆ แล้วลูกสาวบ่นหยางชิ่งว่ามาทำลายเรื่องดีของนาง ทำได้เพียงปลอบใจ

ในห้องโถง หลังจากถามตอบกันพักหนึ่ง หยางชิ่งก็เรียกได้ว่าทั้งตกใจทั้งดีใจ ดีใจที่เหมียวอี้บอกความลับใหญ่สุดยอดขนาดนี้กับเขา ทั้งยังให้เขากุมอำนาจใหญ่ขนาดนี้ด้วย ตกใจที่ความกังวลของตัวเองเป็นความเข้าใจผิด หลังจากครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา หยางชิ่งก็กุมหมัดคารวะ “ความปรานีที่สูงส่งจากนายท่าน ข้าน้อยไม่กล้าปฏิเสธ ควรจะพยายามสุดความสามารถ เพียงแต่ข้าน้อยกลัวว่าจะทำให้นายท่านผิดหวัง!”

เหมียวอี้บอกว่า “ข้าครุ่นคิดเรื่องนี้มานานมาก รู้สึกว่าให้เจ้าไปเหมาะสมที่สุด ถึงแม้จะให้เจ้ารีบจัดระเบียบอย่างเร็วที่สุด แต่ก็ไม่เร่งเวลาเจ้า ด้วยศักยภาพของพวกเราในตอนนี้ก็สามารถรอได้”

“ข้าน้อยเองมีศักยภาพอ่อนแอเกินไปแล้ว ปีศาจเฒ่าพวกนั้นมีชื่อเสียงมานาน…” หยางชิ่งกล่าว

เหมียวอี้รู้ว่าเขากังวลอะไร จึงยกมือพูดตัดบท “เจ้าไม่ต้องห่วง ยังไม่ถึงขั้นไปแล้วก็เกิดเรื่องเลยหรอก ทางลัทธิอู๋เลี่ยงน่ะ ข้าจะให้พวกประมุขขุนพลจินมานพยายามให้ความร่วมมือกับเจ้า ส่วนเรื่องศักยภาพของตัวเอง เดี๋ยวข้าจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับเจ้า ข้าจะปูพื้นฐานที่ดีให้เจ้าก่อน ส่วนเรื่องต่อๆ ไปก็ต้องดูเจ้าแสดงความสามารถแล้ว”

หยางชิ่งเงียบไป ไม่ได้รีบรับปาก หลังจากก้มหน้าเดินไปเดินมาช้าๆ ได้สักพัก จู่ๆ ก็หันตัวมาบอกว่า “นายท่าน ข้าน้อยยินดีจะไปลองสักครั้ง เพียงแต่ข้าน้อยมีคำขอที่ไร้เหตุผล หวังว่านายท่านจะตอบตกลง”

“อ้อ!” เหมียวอี้เชิดคาง “ไหนลองว่ามา”

หยางชิ่งกุมหมัดแน่น สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วก็กุมหมัดคารวะ “ขอบังอาจถามนายท่าน สะสมกำลังพลไว้ที่พิภพเล็กมากมายขนาดนี้ ทำไมนายท่านถึงไม่ใช้งาน?”

เหมียวอี้รู้ว่าเขาต้องมีความคิดอะไรแน่นอน จึงถามกลับ “จะใช้งานยังไงล่ะ?”

หยางชิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ข้าน้อยคิดว่า ควรจะย้ายจำนวนมากของพิภพเล็กไปที่พิภพใหญ่ย้ายไปที่แดนอเวจี เหลือคนส่วนน้อยเอาไว้ดูแลเรื่องเก็บพลังปรารถนาเท่านั้น ส่งคนไปกวาดล้างแต่ละสำนักให้หมด กวาดล้างมารผีปีศาจให้หมด กำลังพลเดิมของหกปราชญ์ก็แบ่งให้ไปอยู่ใต้บังคับบัญชาของหกลัทธิเลย”

เหมียวอี้สูดหายใจอย่างตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าหยางชิ่งจะอยากเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ “หยางชิ่ง ย้ายกำลังพลกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ไปที่แดนอเวจี เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก แล้วเจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่า ว่าการเลี้ยงคนมากขนาดนั้นต้องใช้ทรัพยากรมากขนาดไหน เกรงว่าแดนอเวจีจะรับไม่ไหว ดีไม่ดีอาจจะวุ่นวายก็ได้”

หยางชิ่งอธิบายว่า “เพราะผู้เหลือรอดของหกลัทธิที่อยู่แดนอเวจีกำลังกัดฟันทนสู้กับความยากลำบากแล้ว ถ้านำกำลังพลหลักร้อยล้านไปเติมให้พวกเขา ก็มีแต่จะทำให้พวกเขาดีใจ จะเพิ่มขวัญกำลังใจทหารให้พวกเขาได้ถึงขีดสุด และในนั้นก็มีนักพรตไม่น้อยที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว เกรงว่าจะเหงาจนทนไม่ไหวตั้งนานแล้ว ถ้ามีผู้หญิงเพิ่มขึ้นมามากขึ้น ก็เรียกได้ว่าเป็นดินหน้าแล้งที่ได้เจอฝน ถ้าผู้นำของผู้เหลือรอดหกลัทธิกล้าปฏิเสธ ก็เกรงว่าจะต้องเกิดความวุ่นวาย ยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่ง ผู้เหลือรอดของหกลัทธิส่วนใหญ่ที่อยู่ในแดนอเวจีล้วนต้องมีครอบครัว ถึงจะสงบใจลงได้ จะได้ปลอบโยนได้สะดวก และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ หกลัทธิควบคุมดูแลกำลังพลที่เหลือมาหลายปี คงจะควบคุมอย่างเข้มงวดสุดๆ พวกเรามีกำลังอ่อนแอแต่กลับอยากจะควบคุมพวกเขา ถือว่าเพ้อฝันเกินไปจริงๆ ต่อให้ภายนอกพวกเขาจะยอมเชื่อฟัง แต่ในใจก็ไม่เชื่อฟังอยู่ดี จะทิ้งอันตรายแฝงเร้นเอาไว้ได้ง่ายมาก

ถ้ายัดกำลังพลหลักร้อยล้านไปให้พวกเขาในรวดเดียว ต่อให้พวกเขาอยากจะแยกตัวอีกแต่ก็ไม่ง่ายแล้ว ส่วนกำลังพลนับร้อยล้านนี้ พอไปในสถานที่แปลกใหม่แล้ว ช่วงแรกก็ยากที่จะสวามิภักดิ์ต่อหกลัทธิได้ อย่างน้อยภายในเวลาสั้นๆ นี้ก็ยังคิดว่าพวกเราพึ่งพาได้มากกว่า เมื่อนำปัจจัยแวดล้อมต่างๆ มารวมกันก็ล้วนเป็นผลดีต่อพวกเราในการควบคุมหกลัทธิ ส่วนทรัพยากรฝึกตนของคนพวกนี้ นายท่านก็เป็นคนควบคุมช่องทางขนส่งทรัพยากรที่เข้าออกแดนอเวจีไว้แล้วไม่ใช่เหรอ? ผู้เหลือรอดของหกลัทธิควบคุมข้างนอกมานานขนาดนี้ จะต้องสะสมทรัพย์สินเอาไว้เยอะมากแน่นอน ควรจะถ่ายเทเข้าไปในแดนอเวจีแล้วเช่นกัน อาจจะเติมเต็มความต้องการให้คนนับร้อยล้านไม่ได้ แต่ก็เยอะกว่าทรัพยากรฝึกตนที่พวกเขาได้ตอนอยู่พิภพเล็กแน่นอน เพียงพอที่จะปลอบใจคนพวกนั้นได้ ถ้าสามารถช่วยเพิ่มวรยุทธ์ให้พวกเขาได้เร็ว ก็นำมาใช้งานได้ทุกเมื่อดีกว่าให้ทั้งหมดเบียดกันอยู่ที่พิภพเล็กแล้วสิ้นเปลืองทรัพยากรที่พิภพเล็กตั้งเยอะ แบบนี้จะช่วยให้นายท่านประหยัดทรัพยากรที่พิภพเล็กได้ไม่น้อยเลย นอกจากนี้ ก็ควรจะสร้างการปะทะของหกลัทธิทั้งในและนอกแดนอเวจีสักหน่อย

ผู้เหลือรอดข้างนอกยึดครองและใช้งานทรัพยากรมหาศาลที่หกลัทธิเหลือไว้ในปีนั้นมานานแล้ว จู่ๆ ข้างในก็ต้องการทรัพยากรจำนวนมาก จะต้องทำให้คนข้างนอกขัดสนแน่นอน ในช่วงแรกคนข้างนอกจะต้องไม่พอใจแน่นอน เนื่องจากพวกเขาถูกเบียดผลประโยชน์ไป ถ้าเป็นอย่างนี้นานไปจะต้องเกิดความขัดแย้งแน่ แบบนี้สามารถสร้างโอกาสให้พวกเราควบคุมกำลังพลหกลัทธิข้างนอกได้ ดังนั้นข้าน้อยจึงคิดว่า ต่อให้ต้องวิ่งไปวิ่งมาหลายรอบ แต่ก็ต้องย้ายคนจำนวนมากของพิภพเล็กไปที่แดนอเวจีให้ได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้ข้าน้อยไปแล้ว ช่วงแรกก็จะหาลูกน้องที่ออกแรงทำงานเต็มที่ได้ลำบาก เป็นเพราะพวกเราอ่อนแอเกินไปจริงๆ ยามเผชิญหน้ากับกำลังที่แข็งแกร่ง อุบายเล็กน้อยบางอย่างก็ไม่มีกำลังจะงัดข้ออะไรได้เลย จะให้พวกเขาฆ่ากันเองจนสิ้นเปลืองกำลังไม่ได้ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องการเช่นกัน นายท่านจะไม่อยากเลี้ยงกำลังพลของตัวเองเอาไว้รอเวลาใช้งานเลยเชียวเหรอ?”

…………………………

หลังจากตัวเองพูดสิ่งที่ฝืนใจแบบนี้ออกมาแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร ใครจะคิดว่าหลังจากหวงฝู่จวินโหรวจ้องเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง เจ้าตัวก็พลันหันตัวเดินจากไป

เหมียวอี้หันไปมองอย่างงุนงง เห็นเพียงหวงฝู่จวินโหรวเดินออกจากตึกศาลาตามทางยาวเข้าไปในห้องห้องหนึ่งแล้ว จกานั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรอีก

หลังจากรอไปสักครู่แล้วไม่เห็นอีกฝ่ายออกมา เขาถึงได้เดินตามไป พอไปถึงห้องห้องนั้นแล้วก็ผลักประตูเข้าไป

พอเปิดประตูออก ภาพในห้องก็ทำให้สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่จุดๆ หนึ่งอย่างย้ายสายตาหนีได้ยากทันที

“อ๊า!” หวงฝู่จวินโหรวที่เหมือนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าร้องอุทาน บนตัวไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้น เปลือยล่อนจ้อนราวกับเป็นแกะน้อย นางรีบหยิบผ้าชิ้นหนึ่งมาปิดหน้าอกไว้ทันที แล้วหันหลังให้พร้อมตะคอกเสียงแหลมว่า “ยังไม่รีบออกไปอีก” ทว่าบั้นท้ายอวบอัดราวกับจานหยกขาวได้เปิดเผยให้ใครบางคนเห็นแล้ว พอมองลงไปข้างล่างอีกก็เป็นเสาหยกงามเรียวยาวสองต้นที่ขนาบแนบชิด ประกอบกับเอวอ่อนโค้งสวยงาม ก็ยิ่งทำให้บั้นท้ายนั่นสวยสะพรึงน่าทึ่งยิ่งกว่าเดิม กลมนูนขาวละเอียดอ่อน

เหมียวอี้กลืนน้ำลายแล้ว เขาถือโอกาสปิดประตู แต่กลับไปยอมออกไป ดันถลันตัวมาอยู่ข้างหลังหวงฝู่จวินโหรว แล้วกางแขนโอบร่างงามมาไว้ในอ้อมกอด

หวงฝู่จวินโหรวดิ้นรนขัดขืน “ทำอะไรของเจ้า? เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว ปล่อยข้า!”

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “นี่เจ้าแกล้งถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจใช่มั้ย? ข้าเดินโทงๆ มาถึงหน้าประตูแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่ได้ยินเลยสักนิด? เจ้ากำลังจงใจยั่วข้าชัดๆ”

เมื่อโดนพูดแทงใจดำ หวงฝู่จวินโหรวก็แอบอับอายมาก เป็นเพราะนางรู้ว่าเหมียวอี้ชอบก้นนาง นางก็เลยจงใจหันหลังให้ แต่ปากก็ยังไม่ยอมรับ ยังคงดิ้นรนต่อไป “ใครจะไปรู้ล่ะว่าเจ้าจะเข้ามา รีบปล่อยข้านะ!”

เหมียวอี้ไม่ปล่อย แต่กลับดึงผ้าที่ปิดหน้าอกนางออก คว้าหน้าอกอวบอิ่มมาเล่นอยู่ในมือ ทำให้หวงฝู่จวินโหรวตัวสั่นในชั่วพริบตาเดียว “มันใช่เรื่องเหรอที่เจ้าจะทำอย่างนี้กับข้า? ปล่อยข้านะ! ระหว่างเราเป็นไปไม่ได้แล้ว!”

สองมือของเหมียวอี้ยังกำเริบเสิบสาน “เจ้าคงไม่ได้เพิ่งรู้วันนี้หรอกว่าระหว่างเราเป็นไปไม่ได้? ตอนแรกใครกันที่บอกว่าจะเป็นคนรักลับๆ ของข้า?”

หวงฝู่จวินโหรวหันกลับมา แล้วถามเสียงสั่น “เจ้ามีภรรยาแล้ว เจ้าแน่ใจเหรอว่าจะทำอย่างนี้? จะไม่เสียใจทีหลังเหรอ?”

เหมียวอี้ถามกลับ “ตอนแรกที่เจ้าบอกว่าข้าเป็นคนรักลับๆ ของเจ้า เจ้าผิดคำพูดเหรอ? ถ้าไม่ผิดคำพูด ข้าก็จะรับผิดชอบให้ถึงที่สุด ถึงยังไงพวกเราก็อยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผยไม่ได้อยู่แล้ว” ถ้าเปลี่ยนเป็นเวลาปกติเขาจะไม่พูดแบบนี้แน่นอน ตอนนี้แค่อยากจะบรรลุเป้าหมายเท่านั้นเอง

ผมงามทิ้งตัวลง หวงฝู่จวินโหรวก้มหน้า ปล่อยมือทั้งสองข้างออก นางหยุดขัดขืนแล้ว การกระทำนี้เท่ากับตอบตกลงแล้ว

เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง โน้มตัวลงรวบขาสองข้างของนางขึ้นมา แล้วหันตัวเดินไปบนเตียง

หลังจากล้มลงนัวเนียอยู่ด้วยกัน หวงฝู่จวินโหรวก็ยังเป็นหวงฝู่จวินโหรว นางเปลี่ยนบทบาทจากฝ่ายรับกลายเป็นฝ่ายรุก ร้อนแรงจนแทบจะทำให้คนละลาย

สองคนที่ชำนาญเรื่องนี้มานานแล้วไม่ได้มีอุปสรรคอะไร…

หลังจากปล่อยตัวปล่อยใจไปหลายครั้ง ถึงได้ทำให้ฝนซาเมฆสลาย ทั้งสองกำลังกอดกัน หวงฝู่จวินโหรวที่ไม่อยากขยับแม้แต่นิ้วซุกศีรษะอยู่ใต้รักแร้เหมียวอี้ กำลังทำตาปรือดื่มด่ำกับรสชาติยามมือใหญ่ไหลแล่นอยู่บนร่างกายตัวเอง

ขณะชื่นชมเรือนร่างอ่อนช้อยที่อยู่ข้างกาย เหมียวอี้ที่อารมณ์สงบแล้วก็เริ่มสงสัยอีกว่าตัวเองบ้าไปแล้วหรือเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าจะทำเรื่องแบบนี้อีก…แต่เขาก็จำเป็นต้องยอมรับ ว่าบนร่างกายของหวงฝู่จวินโหรวมีสิ่งที่ทำให้เขาได้ดื่มด่ำรสชาติที่ต่างออกไป ความเร่าร้อนบนตัวชู้รักคนนี้เป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากตัวผู้หญิงคนอื่น เร่าร้อนเหมือนไฟจริงๆ เร่าร้อนบ้าระห่ำขนาดนั้น ต่างกับภายนอกที่ดูสง่างามภูมิฐานราวกับเป็นคนละคน ถ้าจะพูดถึงรูปร่างหลังจากเปลื้องผ้าแล้ว ว่ากันตามจริง ในบรรดาผู้หญิงที่เขาเคยสัมผัสมาไม่มีใครสู้อวิ๋นจือชิวได้เลยสักคน หน้าตาของอวิ๋นจือชิวก็ไม่นับว่างามเลิศล้ำ แต่เรือนร่างของนางยั่วราคะจริงๆ แต่ภายนอกกับภายในของอวิ๋นจือชิวนั้นไม่สอดคล้องกัน อย่าไปมองว่าท่วงท่าและการกระทำของอวิ๋นจือชิวเย้ายวนใจจนถึงขั้นทำเรื่องเร่าร้อนได้ เพราะเวลาได้ประลองกันจริงๆ กลับเป็นคนหัวโบราณมาก ทนการกระทำชำเราซ้ำหลายครั้งไม่ไหว พ่ายแพ้ยับเยินไม่เป็นท่าได้ง่ายมาก แต่ช่วยไม่ได้ที่คนนอกไม่ได้เห็นภาพตอนอวิ๋นจือชิวถูกกระทำจนหมดท่า นี่ก็คือวิธีการที่เขาใช้จัดการกับอวิ๋นจือชิว

ส่วนพวกอนุภรรยาส่วนใหญ่ก็อยู่ในขนบธรรมเนียม หงเฉินก็ยิ่งปล่อยให้เจ้าบงการ ประมาณว่าเจ้าอยากทำอะไรก็ตามใจ ไม่ได้ตอบสนองอะไรเลย มีเพียงความเร่าร้อนดั่งไฟของหวงฝู่จวินโหรวที่แตกต่างออกไป ทำให้คนสติกระเจิงมาก

หวงฝู่จวินโหรวที่วิญญาณล่องลอยไปบนสวรรค์ค่อยๆ เรียกสติกลับมา นางลืมตาช้าๆ มองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า ในดวงตาฉายแววสับสน

ถึงแม้มารดาจะกดดันให้นางมา แต่ในใจนางก็ไม่อาจหลอกลวงตัวเองได้ ใช่ว่านางจะไม่เคยคิดอยากเจอเขาอีก ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของนางหรอก แต่ตอนแรกนางก็ไม่อยากทำอย่างนี้ ถึงได้ถามเหมียวอี้ว่าเคยชอบนางหรือเปล่า ถ้าเหมียวอี้ตอบว่าไม่เคย เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะยอมให้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นอีก และหลังจากได้คำตอบจากเหมียวอี้แล้ว นางก็อยากจะทดสอบว่าร่างกายของตัวเองยังสามารถดึงดูดเหมียวอี้ได้หรือไม่ นางถึงได้จงใจทำอย่างนั้น สุดท้ายความจริงก็ได้พิสูจน์แล้ว ว่าผู้ชายคนนี้ยังคงควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ยาก ทำให้นางแอบรู้สึกภูมิใจนิดหน่อย

ส่วนเรื่องน่าหงุดหงิดใจที่เกิดขึ้นในอดีต เรื่องที่เหมียวอี้แต่งงาน ทั้งหมดถูกนางโยนทิ้งไปหมดแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือนางไม่อยากคิดไปทางด้านนั้นอีก ในจิตใจส่วนลึกของนางไม่อยากแยกจากผู้ชายคนนี้ และผู้ชายคนนี้ก็ให้คำอธิบายที่สมบูรณ์แบบกับนางด้วย ทั้งสองไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างเปิดเผยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว นางกำหนดให้ตัวเองเป็นคนรักลับๆ ของเขาตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้มีอะไรต่างจากเมื่อก่อนล่ะ?

หลังจากหายเลอะเลือน หวงฝู่จวินโหรวก็ยังไม่ลืมภารกิจในครั้งนี้ นางถามด้วยเสียงงุ้งงิ้งว่า “ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าเหรอ โจรราคะเจียงอีอีถูกเจ้าจับได้แล้ว?”

เหมียวอี้ตอบ “อืม” มือไถลไปเล่นหน้าอกนาง

“ทำไมเจียงอีอีถึงถูกเจ้าจับได้ล่ะ?” หวงฝู่จวินโหรวถาม

เหมียวอี้คิ้วกระตุกเบาๆ เขารู้ว่าเจียงอีอีกับสมาคมวีรชนเกี่ยวข้องกัน จึงเหล่ตาถามว่า “ถามถึงเขาทำไม สมาคมวีรชนคงไม่ได้ส่งเจ้ามาใช้อุบายสามงามหรอกใช่มั้ย?”

ในดวงตาหวงฝู่จวินโหรวฉายแววลนลาน นางพลิกตัวมาหมอบบนตัวเขา “ถ้าใช่แล้วจะทำไม? ครั้งนี้ถ้าไม่เพราะแม่ข้ากดดันให้ข้ามาเจอเจ้า ข้าก็ไม่อยากเจอคนทรยศอย่างเจ้าหรอก รีบบอกมา เรื่องเจียงอีอีเป็นยังไงกันแน่? ถ้ากล้าปิดบังข้าจะกินเจ้า!”

เหมียวอี้บีบก้นนาง พร้อมถามหยอก “แม่เจ้าคงไม่ได้ให้เจ้าเอาตัวมาถวายให้ข้าหรอกใช่มั้ย?”

หวงฝู่กัดหน้าอกเขาทันที เขาจึงขอร้อง “ก็ได้ๆๆ ข้าบอกก็ได้ ที่จริงข้าไม่ได้จับเขาได้หรอก เป็นตึกศาลาสัตยพรตที่ส่งมาให้ข้า…” ต่อให้ตีให้ตายเขาก็ไม่พูดความจริง แล้วก็บอกนางไปเหมือนที่ตัวเองบอกกับตำหนักสวรรค์ รวมทั้งเรื่องที่เจียงอีอีฆ่าตัวตายด้วย

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้!” หวงฝู่จวินโหรวได้ยินแล้วพยักหน้าพลางทำท่าครุ่นคิด นางพอจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว ดีไม่ดีเจียงอีอีอาจจะเป็นคนของสมาคมวีรชนก็ได้ แล้วตอนสุดท้ายที่บอกว่าให้ปล่อยน้องสาวของเขาไป นางเดาว่าสมาคมวีรชนคงจะจับน้องสาวเขาไว้เป็นตัวประกัน เรื่องบางเรื่องนางก็เคยได้ยินจากสมาคมวีรชนมาบ้าง

พอเห็นปฏิกิริยาของนาง เหมียวอี้ก็ถอนหายใจ “ที่แท้ก็หลอกลวงข้ามาเพราะมีจุดประสงค์นี้นี่เอง ทำไมข้ารู้สึกปวดใจอย่างนี้นะ”

“คนบ้า! เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคนที่เสียเปรียบคือข้า!” นางบิดเอวเขา แต่ก็รู้สึกว่าการที่ตัวเองทำอย่างนี้เป็นการทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย หวงฝู่จวินโหรวจึงกัดฟันบอกว่า “อย่างมากเวลาที่เจ้าต้องการ ข้าก็สามารถช่วยเจ้าสืบข่าวจากสมาคมวีรชนมาชดเชยให้ได้ แบบนี้คงได้ใช่มั้ย?”

เหมียวอี้มองบนเพดาน เหมือนไม่รับปากแต่ก็ไม่ปฏิเสธ。

หวงฝู่จวินโหรวกลอกตามองบน ก่อนจะก้มจูบบนหน้าอกของเขา ร่างกายไหลลงไปข้างล่างอย่างช้าๆ จูบไล่ลงไปตลอดทาง ใช้การกระทำจริงอันเร่าร้อยเพื่อมาชดเชยให้เขา…

เมื่อได้รับรายงานจากลูกสาวแล้ว หวงฝู่ตวนหรงก็บอกหวงฝู่เยี่ยนผู้เป็นบิดาทันที แต่ใครจะคิดว่าทางฝั่งบิดาจะมีปฏิกิริยาเย็นชา เหมือนจะไม่ค่อยสนใจสิ่งนี้สักเท่าไรแล้ว พอนางถามรายละเอียด หวงฝู่เยี่ยนก็ไม่ยอมพูดอะไรเยอะ แต่นางก็ดันไม่กล้าบอกเรื่องของลูกสาวให้ตระกูลรู้อีก ทำให้นางไม่สะดวกจะจัดการความสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวและเหมียวอี้ นางเห็นลูกสาวเติบโตมากับตา รู้จักนิสัยใจคอลูกสาวดี ถ้าไม่ไปมั่วอยู่กับหนิวโหย่วเต๋ออีกก็แปลกแล้ว

เมื่อลองสืบถามดู คำตอบของลูกสาวก็ค่อนข้างคลุมเครือ ทำให้หวงฝู่ตวนหรงรู้อยู่แก่ใจทันที ลูกสาวคงจะไปมั่วอยู่กับผู้ชายที่มีสามีแล้วจริงๆ เบื้องหลังของหนิวโหย่วเต๋อก็ดันเกี่ยวข้องกับตระกูลโค่วอีก ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปงออกไปต้องแย่แน่ ทั้งๆ ที่นางรู้อยู่แก่ใจว่าอาจจะเกิดเรื่องแบบนั้น แต่ก็ยังผลักลูกสาวออกไปด้วยมือตัวเอง เรียกได้ว่าปวดหัวมาก ไม่รู้ว่าควรจะจบเรื่องนี้อย่างไร!

คนอื่นจะกังวลอย่างไรเหมียวอี้ก็ไม่รับรู้ เขาอยู่หาความสำราญกับหวงฝู่จวินโหรวที่นี่หลายวันมาก หวงฝู่จวินโหรวก็เหมือนดอกไม้บานสดใสไปหลายวัน ความกลัดกลุ้มใจในหลายปีมานี้หายไปหมดแล้ว ทิ้งรอยยิ้มอันเบิกบานใจเอาไว้ทุกที่ในคฤหาสน์ที่เคยว่างเปล่าหลังนี้

เหยียนซิวที่รับหน้าที่เฝ้ายามอยู่ข้างๆ เห็นแล้วแอบส่ายหน้า กล้ากำเริบเสิบสานขนาดนี้ ถ้าให้ฮูหยินรู้ขึ้นมาจะไม่แย่หรอกเหรอ? นายท่านอาจจะโดนฮูหยินตัดขาทิ้งก็ได้!

เหยียนซิวก็ปวดหัวเช่นกัน ถ้าวันไหนฮูหยินรู้ความจริงขึ้นมา แล้วออกคำสั่งให้เขากำจัดหวงฝู่จวินโหรวทิ้ง เขาจะทำยังไงดีล่ะ?

ในฐานะที่เป็นคนนอกสถานการณ์ เขาสังเกตมานานจนรู้เส้นตายของฮูหยินชัดเจนแล้ว ใช่ว่าฮูหยินจะไม่ให้นายท่านมีอนุภรรยา เดิมทีฮูหยินก็เป็นคนจัดการหาอนุภรรยาพวกนั้นให้อยู่แล้ว แต่ความใจกว้างก็มีระดับเหมือนกัน ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ทำตามอำเภอใจ ขอเพียงเป็นผู้หญิงที่แอบลักลอบมีสัมพันธ์กับนายท่านลับหลังฮูหยิน ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้แต่งงานเข้าตระกูลเหมียว เป็นไปไม่ได้ที่ฮูหยินจะรับหวงฝู่จวินโหรว จูเก๋อชิงก็เป็นตัวอย่างให้ดูแล้ว ต่อให้นายท่านจะพูดจนปากฉีกก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ว่าใครขอร้องวิงวอนก็ไม่ได้ผล!

ดังนั้นเรื่องจัดการหวงฝู่จวินโหรว เขาคาดว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าฮูหยินจะให้เขาเหยียนซิวออกโรง ถึงตอนนั้นเขาจะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังดีล่ะ?

หลังจากหาความสำราญไปได้หลายวัน ในที่สุดก็ต้องแยกกับหวงฝู่จวินโหรวอย่างอาลัยอาวรณ์แล้ว ระหว่างทางที่กลับตลาดผี เหยียนซิวที่ปกติเป็นคนพูดน้อยก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวโน้มน้าว “นายท่าน ต่อไปอย่ามาพบกับผู้หญิงคนนี้บ่อยเลย ถ้าสมาคมวีรชนจับได้ก็จะยุ่งยากนะ แม่นางรู้เรื่องนี้นะ”

เหมียวอี้ไม่คิดอย่างนั้น “จุดนี้ไม่ต้องห่วงเลย หวงฝู่ตวนหรงไม่มีทางเอาชีวิตลูกสาวตัวเองมาล้อเล่น มีแต่จะช่วยปิดบังเท่านั้น แล้วอีกอย่างนะ อาศัยนางหาข่าวของสมาคมวีรชนได้ด้วย”

ท่านนี่ช่างไม่กลัวตายจริงๆ ขนาดจะหาเศษหาเลยยังอ้างเหตุผลได้อีกเหรอ? เหยียนซิวตำหนิไม่หยุด เกลี้ยกล่อมอีกว่า “ถ้าฮูหยินรู้ขึ้นมาจะทำยังไง?”

เหมียวอี้เหล่ตาจ้อง “ข้าว่านะเหยียนซิว เจ้าก็ไม่ใช่คนปากมากนะ เจ้าคงไม่ถ่อไปฟ้องฮูหยินหรอกใช่มั้ย? ข้าจะบอกเจ้าให้เจ้า ถ้าเจ้าให้ฮูหยินรู้จริงๆ เจ้าก็ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน อย่าลืมนะว่าเจ้าก็เป็นคนดูต้นทาง ถ้าฮูหยินรู้คงไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”

“นายท่าน…” เหยียนซิวพูดไม่ออกแล้ว สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “นายท่าน ข้าแค่แนะนำให้ท่านพยายามระวังตัว เดินริมแม่น้ำบ่อยคงต้องเท้าเปียกเข้าสักวัน ไม่กลัวเรื่องที่แน่นอน กลัวก็แต่เรื่องที่ไม่แน่นอน ระวังไว้หน่อยดีกว่า”

เหมียวอี้พยักหน้า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องบอกข้าก็รู้ ต่อไปนี้เจ้าก็อย่าลืมตรวจสอบสภาพรอบๆ ให้ดีล่ะ อย่าให้มีช่องโหว่อะไร”

ยังมีต่อไปนี้อีกเหรอ? เหยียนซิวพูดไม่ออกอีกแล้ว ยอมแพ้เขาแล้ว ในปีแรกที่พบกันยังเป็นเด็กหนุ่มที่ดีมากคนหนึ่ง ทำไมเปลี่ยนเป็นหน้าด้านหน้าทนไร้ยางอายขนาดนี้ได้ล่ะ? ผู้หญิงบ้านเจ้ามีเป็นโขยง เจ้ายังรับมือไม่หมดเลย ยังจะถ่อออกมาหาของป่ากินข้างนอกอีกเหรอ?

สำหรับผู้ชายที่ซื่อสัตย์จนวันตายอย่างเขา ไม่มีทางทำความเข้าใจพฤติกรรมสำส่อนของเหมียวอี้ได้เลย สิ่งนี้ทำให้เขากลุ้มใจนิดหน่อย

…………………………

เจ็บก็ส่วนเจ็บ แต่ท่านขุนนางเหมียวกลับไม่กล้าบ่นอะไร ได้แต่พึมพำว่า “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เจ้าสามจะตอบตกลงมั้ยก็เป็นอีกเรื่อง เจ้าจะอารมณ์ร้ายขนาดนี้ทำไม? โกรธมากจะไม่เป็นผลดีต่อร่างกายนะ…”

“ปั้ง!” อวิ๋นจือชิวพลันตบโต๊ะ พลางตะคอกอย่างโมโห “หุบปาก!”

เหมียวอี้เงียบพริบอย่างกินปูนร้อนท้อง

อวิ๋นจือชิวหลับตาแล้วออกแรงส่ายหน้า พอความโกรธบรรเทาลงแล้ว ก็ชี้หน้าเหมียวอี้พลางแสยะยิ้ม “หนิวเอ้อร์ เจ้าฟังข้าให้ดีนะ! เจ้าสามของเจ้ามีนิสัยเป็นยังไง เจ้าก็รู้ดีที่สุด นางกับข้าเข้ากันไม่ได้มาตลอด เจ้าก็รู้ดี จะให้นางแต่งเข้าบ้านก็ได้ แต่ข้าจะบอกสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อนเลยนะ ตอนที่ยังไม่แต่งเข้าบ้านมาข้ายังอดทนได้ แต่ถ้าเข้าบ้านมาแล้ว อนุภรรยาก็คืออนุภรรยา ถ้ากล้ามาอวดดีต่อหน้าข้าอีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้านาง ข้าปฏิบัติต่ออนุภรรยาคนอื่นยังไง ข้าก็จะปฏิบัติกับนางแบบนั้น ถึงตอนนั้นเจ้าอย่ามาบ่นโทษข้าแล้วกัน!”

“ใช่แล้ว บ้านเมืองมีขื่อมีแป บ้านก็มีกฎระเบียบ ธรรมเนียมของบ้านก็ยังเป็นธรรมเนียมของบ้าน ไม่อย่างนั้นในบ้านก็วุ่นวายไร้ระเบียบน่ะสิ เรื่องในด้านนี้ข้าเชื่อใจเจ้า เจ้าไม่มีทางจงใจกลั่นแกล้งนางแน่นอน…” เหมียวอี้พยักหน้าพูดประจบซ้ำๆ ขณะเดียวกันก็ฉวยโอกาสเหมาะซุ่มโจมตี แล้วสุดท้ายก็ถามหยั่งเชิงด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก “เจ้าตอบตกลงแล้วเหรอ?”

พอได้ยินคำพูดอวดฉลาดหลังจากเป็นฝ่ายได้เปรียบ ไฟพิโรธของอวิ๋นจือชิวก็พุ่งพล่านสามจั้งทันที “ไอ้เวรนี่!” นางถลันตัวพุ่งเข้ามา ดึงเหมียวอี้ให้ล้มลงพื้น แล้วซ้อมอีกยกหนึ่ง

พอตีเขาจนเหนื่อยแล้วลุกขึ้นมาอีกครั้ง นางก็เตะเสริมอีกสองสามที นับว่าระบายอารมณ์โกรธเต็มที่แล้ว นางสะบัดชายเสื้อแล้วกระแทกประตูเดินออกไป

“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วลุกขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มขื่นขม โดนซ้อมหนึ่งยกเพื่อแลกกับการอนุญาต การโดนซ้อมครั้งนี้ก็ไม่นับว่าอยุติธรรม

หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์เติมพลัง สภาพใบหน้าฟกช้ำฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแล้ว เขาก็จัดการกับเสื้อผ้าที่ขาดหลุดรุ่ย เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่อีกครั้ง เสร็จแล้วถึงได้มานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์

ไม่นานเชียนเอ๋อร์ก็ผลักประตูเข้ามา นางทำตัวเหมือนคุ้นเคยชำนาญกับเหตุการณ์นี้แล้ว ไม่ถามไถ่อะไรสักคำ รู้ว่าควรทำอย่างไร หยิบหวีขึ้นมาช่วยหวีผมที่ยุ่งกระเซิงให้เขาทันที

พอเหลือบไปให้เชียนเอ๋อร์ในกระจกที่กำลังทำสีหน้าจริงจังไม่ยิ้มแย้ม เหมียวอี้ก็ไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “ที่จริงแล้ว ถ้าจะลงมือต่อสู้กันจริงๆ นางก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลย ข้าอ่อนข้อให้นางเฉยๆ หรอก” อยากจะกู้หน้าคืนเพื่อปิดบังความอับอาย

เชียนเอ๋อร์พยักหน้าซ้ำๆ “ใช่แล้วค่ะ ตอนนี้นายท่านวรยุทธ์สูงกว่าฮูหยินแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อน…” นางแอบแลบลิ้น รู้ว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว

เป็นอย่างที่คาดไว้ เหมียวอี้อับอายจนพาลโมโห “เจ้าพูดอะไร? เมื่อก่อนข้าเป็นยังไง? เมื่อก่อนข้าไม่กลัวแม้แต่หกปราชญ์ด้วยซ้ำ แล้วข้าจะกลัวนางเหรอ? ผู้ชายดีๆ เขาไม่สู้กับผู้หญิง เจ้าเข้าใจมั้ย?”

เชียนเอ๋อร์รีบส่ายหน้า แล้วเม้มริมฝีปากแน่น ในใจพึมพำว่า ท่านจะมาดุข้าทำไม ถ้าเก่งนักก็ลองไปดุต่อหน้าฮูหยินสิ

เมื่อหวีผมจัดแต่งทรงเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็มาที่ห้องเชียนเอ๋อร์ มาหาเยว่เหยาอีกครั้ง

เยว่เหยาที่ได้คลายปมในใจกับพี่ใหญ่เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย พอเห็นเหมียวอี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อเข้ามาอีกครั้ง นางก็แปลกใจอยู่บ้าง อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองหลายที แล้วถามว่า “พี่ใหญ่ยังมีธุระอะไรอีกเหรอ?”

กลับเป็นเหมียวอี้ที่โดนมองจนรู้สึกกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย กลัวว่านางจะมองออก กลัวว่าเจ้าสามจะรู้ว่าตัวเองกลัวเมีย เขาโยนความคิดนี้ทิ้งไปชั่วคราว แล้วถามอย่างจริงจังว่า “เจ้าสาม พี่ใหญ่จะแต่งงานกับเจ้า เจ้าจะแต่งหรือไม่แต่ง?”

“…” เยว่เหยาเหม่องงเล็กน้อย สงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า จึงถามอีก “พี่ใหญ่ ท่านว่าอะไรนะ พูดอีกรอบได้มั้ย”

เหมียวอี้กล่าวอย่างจริงจังอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าเจ้าอยากจะแต่งงานกับข้า ตอนนี้ข้าคิดได้แล้ว ข้ายินดีแต่งงานกับเจ้า เจ้ายินดีจะแต่งงานกับข้ามั้ย?”

เยว่เหยาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จากนั้นก็ตาแดงก่ำทันที เพราะว่าซาบซึ้งใจแล้ว นางมองออกว่าพี่ใหญ่ไม่ได้คิดกับนางแบบความรักชายหญิง และมองออกด้วยว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงคิดได้แล้ว ไม่ต้องให้เหมียวอี้พูดออกมา นางก็รู้ใจเขาเช่นกัน ในใจเข้าใจกระจ่างแจ่มแจ้ง ว่าพี่ใหญ่กลัวว่านางจะข้ามผ่านปมเรื่องรองเท้ามือสองไม่ได้ ก่อนหน้านี้จะเป็นจะตายอย่างไรก็ยอมแต่งงานกับนาง แต่ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายเสนอมาเก็บ ‘รองเท้าชำรุดมือสอง’ คู่นี้ไปเอง

ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์ในตอนเด็กก็แวบเข้ามาในหัวนาง นางจูงมือพี่ใหญ่พลางกระโดดโลดเต้นบอกว่า : พี่ใหญ่ รอให้ข้าโตแล้ว ข้าจะแต่งงานกับท่าน!

ว่ากันว่าคำพูดของเด็กมักไม่อ้อมค้อม นั่นคือคำสัญญาในตอนที่ยังเป็นเด็กเล็กมาก และเป็นคำปลอบใจที่พี่ใหญ่ไปสู่ขอผู้หญิงไม่สำเร็จ ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

ชั่วพริบตานั้น เยว่เหยาก็หัวเราะแล้ว นางมองเหมียวอี้พลางยิ้มเหมือนคนโง่ ยิ้มอย่างสดใส แล้วก็มีน้ำตาสองสายไหลอาบแก้มอีก พยักหน้าตอบว่า “ขอเพียงพี่ใหญ่กล้าแต่งงานกับน้องสาม น้องสามก็กล้าแต่ง!”

เหมียวอี้รู้สึกผิดคาดนิดหน่อย เดิมทีนึกว่าพอเกิดเรื่องเจียงอีอีแล้ว บวกกับที่เจ้าสามพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าไม่อยากแต่งงานแล้ว ยังนึกว่ามารอบนี้ต้องโน้มน้ามอีกสักหน่อย ใครจะคิดว่าเจ้าสามจะรับปากอย่างตงไปตรงมาขนาดนี้ ราบรื่นจนเขารู้สึกเหลือเชื่อ

เมื่อเห็นนางร้องไห้อีกแล้ว เหมียวอี้ก็ยกมือเช็ดน้ำตาให้นางเบาๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร พี่ใหญ่มีทั้งภรรยาและอนุภรรยาแล้ว ให้เจ้าเป็นอนุภรรยาถือว่าไม่เป็นธรรมกับเจ้า แต่ก็ช่วยไม่ได้ พี่ใหญ่ได้แต่โทษตัวเองว่าตอบตกลงเจ้าช้าไปหน่อย แค้นตัวเองที่ตอนแรกไม่ยอมตอบตกลงเจ้าสาม นิสัยของพี่สะใภ้เจ้าถึงแม้จะปากร้ายไปหน่อย แต่ก็เป็นคนปากร้ายใจดี เมื่อครู่นี้ข้าขอความเห็นจากนางแล้ง นางตอบตกลงแล้วด้วย นางไม่กลั่นแกล้งเจ้าหรอก แน่นอน เรื่องนี้พี่ใหญ่ก็ไม่บังคับนะ เจ้าลองไตร่ตรองสักหน่อยก็ได้ คิดให้ดีแล้วค่อยตอบข้า”

เยว่เหยาหัวเราะทั้งน้ำตา นางรู้ว่าพี่ใหญ่เข้าใจนางผิด นางไม่ได้ร้องให้เพราะตัวเองได้เป็นอนุภรรยา นางกดมือเขาไว้ จับฝ่ามืออันอบอุ่นของเขาแนบบนแก้มตัวเอง แล้วส่ายหน้าพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าอบอุ่นใจว่า “ไม่ต้องไตร่ตรองแล้ว ขอเพียงพี่ใหญ่ไม่รังเกียจน้องสาม น้องสามก็จะแต่งงานกับพี่ใหญ่ ไม่น้อยใจเลยสักนิด กลับดีใจมากด้วยว้ำ จริงๆ นะ น้องสามไม่ได้หลอกท่านนะ”

เหมียวอี้โล่งใจแล้ว ยิ้มบางๆ พร้อมบอกว่า “ดี! งั้นก็ตามนี้แล้วกัน ข้าจะบอกอาจารย์เจ้าก่อน”

พอพูดถึงตรงนี้ เยว่เหยาก็กัววลนิดหน่อย “อาจารย์ข้าจะตอบตกลงเหรอ?”

“ต่อให้นางไม่ตกลงก็ต้องตกลง นางไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ!” เหมียวอี้เผด็จการมาก เหมือนจะหลุดออกจากอารมณ์รักระหว่างคนในครอบครัว ตอนนี้กลายมาเป็นเหมียวอี้ที่เด็ดขาดอีกแล้ว เขาหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อมู่ฝานจวินทันที

มู่ฝานจวินย่อมไม่ปฏิเสธ นางอยากปฏิเสธ แต่กลับไม่มีทางปฏิเสธได้ เพราะความเป็นความตายของทั้งหกลัทธิล้วนบีบอยู่ในมือใครบางคน นางพอจะรู้แล้วว่าทั้งหกลัทธิล้วนเป็นหมากของใครบางคน และเหมียวอี้ก็เป็นตัวแทนของคนคนนั้น หกลัทธิรวมทั้งนางล้วนไม่มีความสามารถจะต่อต้านขัดขืน เพราะถูกบีบเอาไว้อย่างแน่นหนา

หลังจากติดต่อกับเหมียวอี้แล้ว มู่ฝานจวินก็นั่งกลุ้มใจอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ ทำไมเหมียวอี้ถึงคิดจะรับเยว่เหยาเป็นอนุภรรยาล่ะ? นางเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองดี

ถึงแม้เหมียวอี้จะจัดการเรื่องเยว่เหยาเรียบร้อยแล้ว แต่ทางอวิ๋นจือชิวกลับไม่ได้ทำสีหน้าดีๆ ให้เขาดูสักเท่าไร

ที่โชคดีก็คือ อวิ๋นจือชิวไม่เอาเรื่องราวมาปนกัน เรื่องที่ควรจะเตรียมตัวก็ไม่เลอะเลือน ของที่ควรเตรียมไว้กลับพิภพเล็กก็เตรียมไว้อย่างเหมาะสมแล้ว

ก่อนที่เหมียวอี้จะเตรียมตัวกลับพิภพเล็ก จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากระฆังดาราอย่างเหนือความคาดหมาย ทำให้เขาขนลุกนิดหน่อย สาวงามนัดพบ!

แต่สุดท้าย เหมียวอี้ก็ยังแข็งใจพาเหยียนซิวออกจากตลาดผีไปอย่างเงียบๆ

ออกจากดาวเคราะห์ทั่วไปดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้เขาภูตพเนจรมากที่สุด ทะเลมรกตกว้างไกลไร้ขอบเขต หน้าผาโดดเดี่ยวสูงชัน ทะเลกั้นขอบฟ้า

มองออกไปในขณะที่อยู่ท้องฟ้า ในบ้านพักภูเขาโดดเดี่ยวเหมือนจะไม่มีใครอยู่ ได้ยินเพียงเสียงฉินดังแว่วมา สองคนที่อยู่กลางอากาศตามเสียงฉินและถลันตัวไปเหยียบลงในตึกศาลาหลังหนึ่งที่หันหน้าเข้าหาทะเล

ผมที่ไร้เครื่องประดับยาวคลุมบ่าอย่างเป็นธรรมชาติ หวงฝู่จวินโหร่วสวมชุดกระโปรงสีม่วงนั่งบนพื้นหันหน้ารับลมทะเล มือกำลังดีดสายฉิน เสียงฉินดังสะอื้น

กาลเวลาไม่ได้ทำให้ความงามลดลง ตอนไม่ใช้เครื่องประทินโฉมก็ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ไปอีกแบบ

เหมียวอี้นิ่งเงียบ ส่วนเหยียนซิวก็แปลกใจ นี่นายท่านมาพบนางงั้นเหรอ? ตอนแรกที่อยู่บ้านพักกลางป่า ทั้งสองโดนจับแยกกันแล้วไม่ใช่เหรอ?

เหยียนซิวไม่เคยถามเรื่องที่ไม่สมควรถาม ได้แต่ทำเรื่องที่ตัวเองสมควรทำ ถลันตัวออกไปสำรวจโดยรอบว่ามีภัยอันตรายแฝงเร้นหรือไม่

เหมียวอี้เดินช้าๆ ไปตรงหน้า หวงฝู่จวินโหรวที่กำลังดีดฉินกำลังมีสมาธิ จนกระทั่งดีดฉินเสร็จแล้ว เสียงฉินยังคงดังวนเวียน หวงฝู่จวินโหรวถึงได้เงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า มองมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจ นางไม่อยากเจอผู้ชายคนนี้อีกแล้วจริงๆ

ตอนแรกที่โดนมารดาจับแยก นางยังคิดจะหนีไปหาเหมียวอี้อยู่เลย แต่พอได้ข่าวงานแต่งงานของเหมียวอี้ นางก็เหมือนโดนฟ้าผ่ากลางกบาลจริงๆ เจ็บปวดคับแค้นใจจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ไม่อยากเจอคนที่ทำร้ายจิตใจคนนี้อีก ทั้งยังพร่ำบอกตัวเองไม่หยุด ว่าเรื่องของนางกับเหมียวอี้ผ่านไปแล้ว ตั้งแต่นี้ไปเป็นเพียงคนที่ผ่านทางมาเจอกันเท่านั้น แต่ใครจะคิดล่ะ ว่ามารดาที่จับนางแยกออกมาอย่างโหดร้ายจะกดดันให้นางมาพบคนที่ทำร้ายจิตใจคนนี้อีก จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร?

แววตาที่คับแค้นใจอย่างล้ำลึกของนางทำให้เหมียวอี้รู้สึกผิดจนตั่วสั่น ไม่รู้จะโต้ตอบด้วยคำพูดใด

ลากกระโปรงยาวลุกขึ้นมาช้าๆ หวงฝู่จวินโหรวเดินมาตรงหน้าระเบียง หันหน้าเข้าหาทะเลกว้างพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ได้ยินเรื่องงานแต่งงานของเจ้าแล้ว แสดงความยินดีกับเจ้าตอนนี้คงยังไม่สายไปใช่มั้ย?”

เหมียวอี้เดินเนิบนาบมาด้านข้าง ยืนเคียงกันแล้วถอนหายใจลึกเอกหนึ่ง “ข้านึกว่าต่อไปนี้เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ก็เลย…”

หวงฝู่จวินโหรวแสยะยิ้มแล้วพูดตัดบท “นี่ก็คือเหตุผลที่เจ้าแต่งงานเหรอ? เจ้าอย่าบอกข้าเชียวนะ ว่าเป็นเพราะเรื่องระหว่างเจ้ากับข้าเป็นไปไม่ได้แล้ว ถึงได้ไปคบกับอวิ๋นจือชิว เจ้ากล้าพูดมั้ยว่าระหว่างเจ้ากับอวิ๋นจือชิวไม่ได้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวอะไรกัน?”

เหมียวอี้เงียบงัน แล้วสุดท้ายก็กล่าวช้าๆ ว่า “ข้าขอโทษ!”

“ขอโทษเหรอ? นายท่านหนิวให้เกียรติผู้หญิงต่ำต้อยคนนี้เกินไปแล้ว ผู้หญิงต่ำต้อยคนนี้รับไม่ไหวหรอก!”

“จวินโหรว ข้ามีเหตุผลของข้า ข้าไม่อยากอธิบายอะไรด้วย ข้าขอโทษเจ้าก็คือข้าขอโทษเจ้า ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ คนเรามีเรื่องมากมายที่ทำตามใจตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าใครก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เจ้าปฏิเสธไม่ได้เลยสักนิด ต่อให้ข้าไม่ได้อยู่กับอวิ๋นจือชิว ข้าก็อยู่กับเจ้าอย่างเปิดเผยไม่ได้อยู่ดี…” เหมียวอี้เอียงหน้ามองนางแวบหนึ่ง “เจ้าเรียกข้ามาเพื่อจะพูดเรื่องนี้เหรอ?”

หวงฝู่จวินโหรวพลันหันมาจ้องเขาตรงๆ “ข้าแค่อยากจะให้เจ้าพูดความจริงออกมา เจ้าเคยชอบข้าบ้างรึเปล่า? หรือเห็นข้าเป็นของเล่น? อย่ามาโกหกข้า คิดให้ดีแล้วค่อยตอบ ข้าต้องการฟังความจริง!”

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็กล่าวช้าๆ อีกว่า “กับเจ้าน่ะ ตอนแรกเป็นอุบัติเหตุเท่านั้น จะเรียกว่ากะทันหันก็ได้ หรือจะเรียกว่าควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ก็ได้ จากนั้นก็คิดว่าเล่นสนุกกันเพราะสองฝ่ายสมัครใจ เพราะรู้ว่าเรื่องของเจ้ากับข้าเป็นไปไม่ได้ สุดท้าย…” สุดท้ายเป็นอย่างไรต่อ เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะบรรยายอย่างไรดี

“สุดท้ายเป็นยังไง?” หวงฝู่จวินโหรวกลับกดดันถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “สุดท้ายก็ชอบเจ้าแล้วจริงๆ” ขณะที่พูดคำนี้ก็รู้สึกฝืนใจนิดหน่อย เขาคาดว่าตัวเองชอบร่างกายของนางมากกว่า แต่ในตอนนี้พูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจคนไม่ได้ ในใจรู้สึกผิด จู่ๆ เขาก็พบว่าอวิ๋นจือชิวพูดไว้ไม่มีผิด ว่าเรื่องในด้านนี้เขาเลอะเลือนจริงๆ

…………………………

รองเท้ามือสองเหรอ? เยว่เหยางงทันที พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงร้อนใจขนาดนี้ นางไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “พี่ใหญ่ ข้ากับเจียงอีอีไม่เกี่ยวข้องกันจริงๆ นะ เพียงแต่พอได้ผ่านเรื่องนี้แล้ว ก็รู้สึกเหมือนตื่นจากความฝันฉากใหญ่เป็นครั้งแรก คงใจหายใจคว่ำละมั้ง ท่านว่าตอนนี้ข้าจะยังมีความสนใจจะไปหาผู้หญิงอีกเหรอ”

เหมียวอี้กลับพัวพันไม่จบไม่สิ้น “พี่คนโตก็เหมือนกับบิดา เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว ต้องจัดการเรื่องแต่งงานของเจ้าให้เรียบร้อยเร็วๆ หน่อย ข้าก็จะได้หมดเรื่องกังวลใจเหมือนกัน เอาอย่างนี้ เจ้าลองดูสิ ถ้าเจอใครที่ชอบก็บอกข้าเลย ข้าก็จะตั้งใจเหมือนกัน จะต้องช่วยเจ้าเลือกคนดีๆ แน่นอน”

เยว่เหยาแกะมือเขาออก แล้วกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “พี่ใหญ่ ข้าบอกแล้วไงว่าตอนนี้ข้าไม่สนใจ เรื่องแบบนี้บังคับกันได้ด้วยเหรอ?” พอเห็นเหมียวอี้ร้อนใจจริงฟ นางก็รีบก้าวถอยหลังแล้วโบกมือ “พอแล้วๆ ทำเหมือนข้าจะแต่งไม่ออกอย่างนั้นแหละ ข้าเปลี่ยนใจก็ได้ตกลงมั้ย สักวันหนึ่งข้าก็ต้องหาได้อยู่ดี ท่านพอใจรึยัง?”

“สักวันหนึ่งก็ต้องหาได้นี่คือยังไง เจ้าสาม เจ้าอย่ามาตบตาข้า เจ้าบอกข้ามา สักวันหนึ่งนี่คือเมื่อไร?” เหมียวอี้ถาม

เยว่เหยายอมแพ้เขาแล้ว ก้มหน้าบอกว่า “พี่ใหญ่ อย่างน้อยท่านก็ต้องให้ข้าหาคนที่เหมาะสมสิ จะบังคับให้ข้าหาส่งเดชไม่ได้หรอกมั้ง?” พอนางเงยหน้ามา นางก็บอกว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะต้องหาคนที่ดีกับข้าเหมือนพี่ใหญ่ให้ได้เลย”

“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าเจ้าสามกำลังตบตาเขาอยู่

ที่จริงเยว่เหยาก็ตบตาเขาจริงๆ ถูกเรื่องของเจียงอีอีทำให้หมดอารมณ์กับเรื่องในด้านนั้น อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มีความรู้สึกนึกคิดด้านนั้น

เหมียวอี้ไหล่ตกสองข้าง ไม่ได้พูดอะไรอีก หันตัวช้าๆ เดินออกไป สะเทือนใจกับคำพูดในตอนท้ายของเยว่เหยาแล้ว

เมื่อเห็นเขามีสภาพแบบนี้ เยว่เหยาก็ถามอย่างงุนงงว่า “พี่ใหญ่ ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง? ท่านคงไม่รีบผลักข้าออกไปอย่างนี้หรอกใช่มั้ย?”

เหมียวอี้หันหลังพลางโบกมือให้ เดินออกไปอย่างค่อนข้างหดหู่

ในห้อง อวิ๋นจือชิวกำลังพูดคุยหัวเราะอยู่กับเสวี่ยหลิงหลง

เมื่อเห็นเหมียวอี้กลับมาแล้ว ก็พบว่าเหมียวอี้มีสีหน้าท่าทางไม่ค่อยสู้ดีนัก เสวี่ยหลิงหลงขอตัวลาอย่างรู้กาลเทศะทันที

อวิ๋นจือชิวส่งเสวี่ยหลิงหลงออกประตูไปด้วยรอยยิ้มสนิทสนม พอกลับมาเห็นเหมียวอี้ยืนหดหูอยู่หน้าประตู นางก็เข้ามาใกล้แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เป็นอะไรไป?”

เหมียวอี้ใช้สองมือประคองลายหน้าต่างพลางถอนหายใจเบาๆ “ข้าบอกเรื่องเจียงอีอีกับเจ้าสามแล้ว”

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วมุ่น “เป็นอะไรไป นางยังไม่ได้สติกลับมาเหรอ? นางโทษเจ้าเหรอ? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ แบบนั้นก็ดื้อด้านเกินไปแล้ว เจ้าคงไม่ได้ใจอ่อนบอกนางไปใช่มั้ยว่าข้ากดดันให้เจียงอีอีตาย?”

“เจ้าสามบอกว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่แต่งงานแล้ว” เหมียวอี้ส่ายหน้าอย่างเหม่อลอย

“เอ่อ…พูดเพราะอารมณ์ชั่ววูบละมั้ง แต่ว่า…” อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างลังเลเช่นกันว่า “จะพูดยังไงดีล่ะ เจ้าเองก็เคยบอก บางทีอาจจะเป็นเพราะใช้ชีวิตลำบากมาตั้งแต่เด็ก เจ้าสามมีอีกด้านที่ฉลาดเข้าใจโลกมาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะตกหลุมพรางใครได้ง่ายๆ ผู้ชายทั่วไปคงจะทำให้นางเชื่อมั่นไม่ได้ง่ายๆ แต่เจียงอีอีคนนี้ทำให้นางหวั่นไหวแล้ว ถือว่ามีทักษะในการรับมือกับผู้หญิงอยู่บ้าง พอได้เจอประสบการณ์ครั้งนี้ ในภายหลังเจ้าสามก็นับว่ามีประสบการณ์ทางด้านนั้นแล้ว นางจะไม่ระวังตัวสักนิดเลยเหรอ? ถ้าอยากจะให้นางยอมรับผู้ชายคนไหนอีกครั้ง ก็คงจะลำบากหย่อย”

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ แล้วก็มหน้าบอกว่า “นี่ก็เป็นปัญหาหนึ่งเหมือนกัน แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ เจ้าสามกับเจียงอีอีเป็นอย่างนั้นไปแล้ว เจ้าว่าในภายหลังเจ้าสามได้เจอผู้ชายที่เหมาะสมเหรอ ถึงยังไงเจ้าสามก็ร่างกายไม่บริสุทธิ์แล้ว ผู้ชายคนนั้นจะถือสาเรื่องนี้รึเปล่า ต่อไปเจ้าสามจะโดนหงุดหงิดใส่มั้ย นางจะโดนรังแกแต่ต้องอดทนไว้เพราะอับอายจนเอ่ยปากบอกใครไม่ได้หรือเปล่า? ต่อให้เจ้าสามจะพูดออกมา แต่ถ้าเรื่องมันไปถึงขั้นนั้นจริงๆ พวกเราจะไปแทรกแซงเรื่องนี้ยังไงดี? หรือจะไปซ้อมผู้ชายคนนั้นสักยกดีมั้ย? ไปซ้อมสักยกแล้วจะแก้ปัญหาได้รึเปล่า? พวกเราจะฆ่าผู้ชายของเจ้าสามทิ้งไม่ได้หรอกใช่มั้ย?”

อวิ๋นจือชิวอ้าปากค้างนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะช่วยคิดให้เจ้าสามไปไกลขนาดนั้นแล้ว ความรักทะนุถนอมที่มีต่อน้องสาวคนนี้ช่างรอบคอบทั่วถึงจริงๆ นางทั้งโมโหทั้งอยากขำ “ผู้ชายอย่างพวกเจ้าจะถือสาเรื่องพวกนี้รึเปล่า เจ้าเองก็รู้ดีไม่ใช่เหรอ? เจ้าเป็นผู้ชายน่าจะรู้ดีกว่าข้านะ ยังจะมาถามข้าอีกเหรอ?” นางกลอกตามองบน

เหมียวอี้ส่ายหน้าเบาๆ “ในสังคมนี้ไม่ยุติธรรมต่อผู้หญิงจริงๆ”

“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ถ้าไปทำอย่างนั้นกับผู้หญิงคนอื่นเจ้าคิดว่าสมเหตุสมผล แต่พอเรื่องเกิดกับน้องสาวตัวเองก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมแล้ว จิตใจเจ้านี่เป็นยังไงกันนะ?”

“จ้าวเฟย…” จู่ๆ เหมียวอี้ก็กล่าวขึ้นมาอย่างลังเล

“จ้าวเฟยทำไม?” อวิ๋นจือชิวงุนงง

“จ้าวเฟยเหมือนจะไม่ถือสาเรื่องนี้?” เหมียวอี้เอามือลูบคางพลางเดาะลิ้น จากนั้นก็ส่ายหน้าอีก “จ้าวเฟยก็ไม่เลวนะ แต่น่าเสียดายที่แต่งงานกับอูเมิ่งหลันไปแล้ว ข้าไปแยกสองสามีภรรยาไม่ได้ซะด้วยสิ ให้จ้าวเฟยแต่งงานกับเจ้าสามดีมั้ย?”

ในดวงตาอวิ๋นจือชิวฉายแววเจ้าเล่ห์ แล้วพูดหยอกว่า “ยังมีอีกทางหนึ่ง ก็ให้เจ้าสามไปเป็นอนุภรรยาของจ้าวเฟยสิ”

เหมียวอี้หันตัวมาทันที ถลึงตาบอกว่า “พูดอะไรของเจ้าเนี่ย? พี่สะใภ้อย่างนี้มีที่ไหนกัน? ข้าจะให้เจ้าสามไปเป็นอนุภรรยาคนอื่นได้ยังไง? ถ้าจะให้ทำแบบนั้นจริงๆ ด้วยความสวยของเจ้าสามน่ะ มีคนต้องการนางอยู่แล้ว จำเป็นต้องไปหาจ้าวเฟยด้วยเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวรู้อยู่แล้วว่าเขาจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ วางกับดักรอเขาตั้งนานแล้ว นางอมยิ้มบอกว่า “ต้องตบปากตัวเองด้วยมั้ย? ยังมีหน้ามาว่าคนอื่นอีก แล้วจะมีอนุภรรยาตั้งกี่คน แบบนั้นเรียกว่าอะไรล่ะ? ทำไมตัวเองมีอนุภรรยาได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ทีคนอื่นจะรับเจ้าสามของเจ้าไปเป็นอนุภรรยาบ้างก็ไม่ได้แล้วเหรอ?”

“…” เหมียวอี้เถียงไม่ออก สุดท้ายก็หันตัวไปมองนอกหน้าต่าง แล้วโบกมือบอกว่า “เอาเป็นว่าไม่ได้เด็ดขาด ข้าไม่มีทางให้เจ้าสามไปเป็นอนุภรรยาของคนอื่น ให้เจ้าสามต้องโดนคนอื่นชักสีหน้าใส่ไปทั้งชาติ!”

อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้ว “สงสัยเจ้าจะกำลังว่าข้าชักสีหน้าใส่อนุภรรยาของเจ้างั้นสิ? อาศัยเรื่องนี้มาพูดเปิดอกเหรอ!ว่ามาเถอะ เจ้าไม่พอใจอะไรข้าก็พูดออกมาให้หมดเลย”

เหมียวอี้หันหลังให้พลางโบกมือ “อย่ามาพาลหาเรื่อง ยุ่งยากใจ เจ้าช่วยข้าคิดถึงประเด็นหลักก่อน เรื่องเจ้าสามจะทำยังไงดี?”

อวิ๋นจือชิวมองออกเช่นกันว่าเขาอารมณ์ไม่มั่นคง จึงไม่พาลหาเรื่องแล้ว นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “เจ้าหลับหูหลับตากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเจ้าคิดแบบนี้ต่อไป งั้นทั้งชีวิตเจ้าสามก็ไม่ต้องหาใครอีกแล้ว ตามที่ข้าเห็นนะ เรื่องแบบนี้ปล่อยไปตามธรรมชาติดีกว่า ถ้าเจ้าสามเจอคนที่เหมาะสมเดี๋ยวก็สำเร็จเอง ถ้ามีปัญหาอะไรจริงๆ อย่างมากก็เลิกกัน ข้ารู้ว่าเจ้าฟังแล้วโมโห แต่ข้าพูดความจริงทั้งนั้น ไม่ได้เสริมแต่งอะไร เจ้าคิดมากเรื่องนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์เลย”

เหมียวอี้หลับตาแล้วถอนหายใจยาว “ทั้งชีวิตเจ้าสามถูกข้าทำลายไปแล้ว!”

“เฮ้อ!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ นางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะโน้มน้าวเขาอย่างไรดี แต่ค่านิยมในสังคมก็เป็นอย่างนี้จริงๆ คนที่มีปัจจัยแวดล้อมดีๆ ที่ไหนจะมาเอารองเท้ามือสองของคนอื่นไปทำฮูหยินเอก? ต่อให้จะมีผู้ชายคนไหนมีความตั้งใจนั้น สามารถมองข้ามไปได้ แต่ค่านิยมของสังคมก็สร้างแรงกดดันไว้มากจริงๆ ให้ความสำคัญเรื่องลูกภรรยาเอกและลูกอนุภรรยามาก เมื่อมีมลทินแบบนี้ก็ไม่อาจจะให้กำเนิดบุตรภรรยาเอกอย่างชอบธรรมได้ หากวันไหนโดนเปิดโปงขึ้นมา เมื่อโดนแรงกดดันก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะต้องหย่าร้างกัน พี่ใหญ่คนนี้ไม่มีโอกาสได้พิจารณาตามอำเภอใจหรอก

แต่เรื่องกลายมาเป็นอย่างนี้แล้ว จะทำอย่างไรได้อีกล่ะ? อวิ๋นจือชิวเดาว่าเหมียวอี้คงจะนึกเสียใจแทบแย่แล้วที่กดดันให้เจียงอีอีตาย และเรื่องนี้นางก็มีส่วนเกี่ยวข้อง ในห้องนั้นเงียบลงชั่วขณะ

หลังจากเงียบไปนาน ทันใดนั้นเหมียวอี้ก็กล่าวช้าๆ ว่า “น้องชิว เจ้าว่าเจ้าสามจะหาผู้ชายที่ดีกับนางได้เท่าข้าอีกรึเปล่า?”

อวิ๋นจือชิวหลุดขำออกมา “คงจะไม่มีใครดีพอหรอก ต่อให้ไม่เกิดเรื่องนี้ ก็อาจจะหาไม่ได้อยู่ดี” มีอีกประโยคที่นางไม่ได้เอ่ยออกมา นั่นก็คือ เจ้าดีกับน้องสาวคนนี้เกินไปแล้ว ดีจนเลอะเลือนแล้ว

ใครจะไปคิดว่าคำพูดนี้เหมือนจะทำให้เหมียวอี้ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ เขาพลันหันตัวมา สูดหายใจลึกหนึ่งที แล้วกล่าวด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว “น้องชิว ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะแต่งงานกับเจ้าสามเอง!”

“หา…” อวิ๋นจือชิวเหม่อทันที อ้าปากค้างนิดหน่อย อึ้งไปพักใหญ่ จากนั้นกลืนน้ำลายแล้วถามว่า “เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ได้ล้อเล่น ข้าพูดความจริง ตอนแรกเจ้าสามก็มีความตั้งใจนี้เหมือนกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลังจากผ่านเรื่องเจียงอีอีมาแล้ว นางจะยังตอบตกลงอยู่รึเปล่า”

อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าไม่ถูกไปพักใหญ่ จากนั้นก็เอานิ้วจิ้มหน้าอกเหมียวอี้ทันที แล้วแสยะยิ้มไม่หยุด “ข้าว่านะหนิวเอ้อร์ เจตนาของเจ้าก็คือจะให้ข้าสละตำแหน่งฮูหยินเอกให้เจ้าสามใช่มั้ย?”

“ไม่! ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ข้าจะให้เจ้าสามเป็นอนุภรรยา” เหมียวอี้มีสีหน้าจริงจัง

อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าเหมือนไม่เชื่อ “เมื่อครู่นี้ใครพูดล่ะ ว่าจะไม่ให้เจ้าสามเป็นอนุภรรยาเด็ดขาด”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “เหตุผลแรกก็คือข้าไม่รังเกียจที่เจ้าสามเป็นรองเท้ามือสองอะไรนั่นหรอก ถ้าให้เจ้าสามแต่งงานกับคนอื่น ข้ากลัวว่าเจ้าสามจะถูกรังแก แต่ถ้าแต่งงานกับข้า ข้าไม่มีปัญหาด้านนั้นแน่นอน ข้าเชื่อใจเจ้า เจ้าคงจะทำอะไรแต่พอดี ไม่ทำให้ข้าลำบากใจเกินไปแน่นอน หลังจากผ่านเรื่องเจียงอีอีมาแล้ว ข้าก็กังวลจริงๆ ว่านางจะไปเสียเปรียบอยู่ในมือผู้ชายคนอื่น ให้ข้าเก็บไว้ดูในมือตัวเองดีกว่า”

“พูดพร่ำอยู่ตั้งนานสองนาน ที่แท้เจ้าก็หน้ามืดตามัวเพราะตัณหานี่เอง!” อวิ๋นจือชิวบิดเนื้อตรงเอวของเขา พลางเค้นเขี้ยวเค้นฟันด่า “ทำไมเจ้าไม่ไปตายซะล่ะ?”

เหมียวอี้เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน “น้องชิว เจ้าก็รู้นี่ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นแน่นอน”

“ไอ้สารเลวนี่! ทำให้เจียงอีอีตาย แต่กลับทำให้เจ้าสมปรารถนาแล้ว เจ้ามองเห็นเจ้าสามเป็นอะไร วันนี้ข้าจะสู้ตายกับเจ้า!” อวิ๋นจือชิวที่สีหน้าเปลี่ยนไป ชั่วพริบตาเดียวกก็ระเบิดอารมณ์แล้ว นางดึงมวยผมเหมียวอี้จนอีกฝ่ายล้มลงพื้น นอกจากจะใช้ทั้งหมัดใช้ทั้งเท้าเตะไปยกหนึ่งแล้ว นางก็ขึ้นคร่อมแล้วควงหมัดชกไม่ยั้ง

เหมียวอี้เอามือกุมหัวอยู่บนพื้น ฝืนทนรับอยู่อย่างนั้น โดนด่าก็ไม่โต้ตอบ โดนตีก็ไม่โต้ตอบ ปล่อยให้อวิ๋นจือชิวระบายอารมณ์อยู่อย่างนั้น

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวผลักประตูเข้ามา พอได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้ว พวกนางก็แอบเดาะลิ้น ฮูหยินปรี๊ดแตกอีกแล้ว ตบตีจนนายท่านเถียงไม่ออกอีกแล้ว

ทั้งสองรีบปิดประตูแล้วถอยออกไปอีก ทำเหมือนไม่เห็นอะไรทั้งนั้น อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นฉากนี้ ตอนที่ฮูหยินทำตัวพาลในบ้าน มีใครกล้าไปล่วงเกินบ้างล่ะ?

“เฮ่อ…เฮ่อ…” เสียงหอบหายใจดังขึ้น ไม่รู้ว่าตีไปนานเท่าไรแล้ว สรุปก็คืออวิ๋นจือชิวตีเขาจนเหนื่อยหอบ นางลุกขึ้นมาในขณะที่หอบหายใจ จากนั้นก็ยกกระโปรงเตะอีกสองสามทีถึงจะหยุด แล้วเดินไปหยิบน้ำชาที่เย็นแล้วมากรอกดื่มแก้คอแห้ง เสร็จแล้วถึงได้นั่งลงบนเก้าอี้แล้วถอนหายใจฮือกใหญ่

เมื่อเห็นว่านางหยุดเคลื่อนไหวแล้ว เหมียวอี้ที่โดนซ้อมจนเสื้อผ้าขาดและใบหน้าฟกช้ำดำเขียวถึงได้ลุกขึ้นมาช้าๆ พอได้ขยับตัวเล็กน้อย เขาก็สูดหายใจซี้ดพลางแยกเขี้ยวยิงฟัน เจ็บโว้ย!

…………………………

ก่อนที่ชีเจวี๋ยจะมา เหมียวอี้ก็กำลังครุ่นคิดพอดีว่าจะอธิบายเรื่องของเจียงอีอีให้โค่วเจิงฟังอย่างไร

ตระกูลโค่วไม่รู้เรื่องที่เจียงอีอีฆ่าตัวตาย แต่รู้ว่าเจียงอีอีตกอยู่ในมือเหมียวอี้ และกำลังรอฟังข่าวจากเหมียวอี้เท่านั้น ใครจะคิดว่าผ่านไปครึ่งวันจะไม่เห็นฝั่งเหมียวอี้พูดอะไรกลับมา โค่วเจิงจึงทำได้เพียงติดต่อมาถามข่าว หลังจากได้รู้ว่าเจียงอีอีฆ่าตัวตายก็ตกใจเช่นกัน

โค่วเจิงก็ไม่ได้ถามอะไรมากเพราะเรื่องนี้ เพียงเตือนอย่างคลุมเครือมาก ความหมายคร่าวๆ ก็คือ เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จำไว้ว่าในภายหลังไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็ให้รายงานตระกูลโค่วให้ทันเวลา เจ้าทำตามอำเภอใจแบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ? ถ้าเหมิงเซวี่ยลงมือสังหารขึ้นมา ตระกูลโค่วก็จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นอะไร ทำแบบนี้ได้อย่างไร?

แน่นอน เหมิงเซวี่ยเป็นแค่ข้ออ้าง ความหมายที่ชี้แนะก็แทบจะชัดเจนแล้ว ว่าในภายหลังเจ้าต้องรายงานตระกูลโค่วทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นตระกูลโค่วก็จะไม่พอใจ

ปากเหมียวอี้ก็ตอบตกลงแล้ว เพียงแต่รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย เพราะตระกูลโค่วทำให้รู้สึกว่าควบคุมมากเกินไป

กลับเป็นอวิ๋นจือชิวที่คอยแนะนำอยู่ข้างๆ ว่าการที่อีกฝ่ายคิดอยากจะควบคุมก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ให้เขาลองคิดดูอีกด้านหนึ่ง ตอนนี้ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเขาจะต้องเกี่ยวพันไปถึงตระกูลโค่วแน่นอน นางพอจะเข้าใจความรู้สึกของตระกูลโค่วได้

หลังจากชีเจวี๋ยมาแล้ว เขาก็พูดรับมือกับชีเจวี๋ยเหมือนที่พูดกับตระกูลโค่ว

หลังจากได้รับรายงานเรื่องนี้แล้ว เฉาหม่านก็เงียบไปนานมาก แล้วจู่ๆ ก็แสยะหัวเราะ “น้องสาวเหรอ? สงสัยน้องสาวของเจียงอีอีจะถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ที่สมาคมวีรชน มิน่าล่ะ” เขาหันตัวมาแล้วถามอย่างสงสัยอีก “เจียงอีอีคนนี้นับว่าใช้ความตายพิสูจน์ความบริสุทธิ์แล้ว แต่ทำไมต้องฆ่าตัวตายในเวลานั้นด้วยล่ะ? ไปถึงตำหนักสวรรค์แล้วค่อยฆ่าตัวตายจะไม่เหมาะสมกว่าเหรอ?”

ชีเจวี๋ยตอบว่า “อาจจะกลัวว่าไปที่ตำหนักสวรรค์แล้วจะไม่มีโอกาสได้สารภาพอีก ถึงได้อาศัยช่องโหว่ตรงนี้”

“ข้าก็หวังให้เป็นอย่างนี้เหมือนกัน กลัวก็แต่ทางหนิวโหย่วเต๋อจะเล่นตุกติกอะไร เจ้าว่าหนิวโหย่วเต๋อจะง้างปากเอาข้อมูลอะไรจากเจียงอีอีได้รึเปล่า?” เฉาหม่านถาม

“ตามหลักการแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ ตอนที่พวกเราส่งเขาไปที่จวนแม่ทัพภาค ข่าวก็ถูกปล่อยออกไปแล้ว ตำหนักสวรรค์น่าจะกดดันหนิวโหย่วเต๋อทันที ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ฆ่าเจียงอีอี มีหรือที่จะใช้วิธีการแข็งกร้าวกับเจียงอีอีที่อ่อนแอเกินทนแล้ว? เจียงอีอีปากแข็งมาก ถ้าทำให้ตายไป เขาเองก็รายงานกับเบื้องบนไม่ได้อยู่ดี” ชีเจวี๋ยตอบ

“ก็มีเหตุผลอยู่บ้าง ไม่ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะรู้หรือไม่รู้ ปัญหายุ่งยากในตอนนี้ก็คือเจียงอีอีตายแล้ว ทางตำหนักสวรรค์จะต้องระแวงสงสัยพวกเราแน่นอน…อุตส่าห์วางแผนไว้อย่างดี คาดไม่ถึงว่าจะมีช่องโหว่นี้ วุ่นวายใจไปเปล่าๆ เฮงซวย!” เฉาหม่านบ่น

คลื่นลมในครั้งนี้ผ่านไปแล้ว คนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกไม่คายความลับ คนนอกไม่รู้เช่นกันว่าข้างในเกิดเรื่องอะไรกันแน่ คิดเพียงว่าตึกศาลาสัตยพรตจับตัวเจียงอีอีไปให้หนิวโหย่วเต๋อเพื่อให้โอกาสสร้างผลงาน ไม่รู้ในว่าในนั้นมีลับลมคมใน ถึงขั้นมีคนส่วนใหญ่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตึกศาลาสัตยพรตส่งเจียงอีอีไปให้เหมียวอี้ ที่จริงเรื่องราวมากมายในโลกก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เรื่องบางเรื่องผู้ที่ไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องก็ไม่มีวันรู้ความลับเลยตลอดไป

และเหมียวอี้ก็ได้สร้างผลงานเพราะเรื่องนี้แล้วจริงๆ เจียงอีอีถูกจับแล้วตาย ทำให้ขุนนางไม่น้อยในตำหนักสวรรค์รู้สึกสะใจ ในที่สุดภัยร้ายที่ทำให้คนหวาดระแวงกลัวก็หายไปแล้วหนึ่ง ถ้าโจรคนนี้ยังไม่ตายไป ก็ยีงไม่รู้เลยว่าวันไหนจะมาก่อคดีกับตน แต่ทำให้พวกที่เคยรับเคราะห์ได้ระบายความโกรธด้วย

อย่าไปมองว่าเจียงอีอีเป็นแค่โจรราคะคนหนึ่ง เพราะว่ามีผลกระทบเยอะมาก คนในใต้หล้าล้วนสุมหัวนินทาเรื่องที่เจียงอีอีได้รับโทษ โดยเฉพาะเรื่องที่ตกอยู่ในมือเหมียวอี้ ทำให้ชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต๋อโด่งดังอีกครั้ง แต่ก็มีคนปล่อยข่าวซุบซิบเพื่อฉวยโอกาสซ้ำเติม บอกประมาณว่าฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อโดนเจียงอีอีล่วงเกินแล้ว ในเมื่อมีคนตั้งใตจะเล่นแบบนี้ เสียงนกเสียงกาก็ทำให้คนไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ไม่ว่าใครก็อุดปากคนในใต้หล้าไม่ไหว

ในการกระชุมราชสำนักมีคนกระโดดออกมาช่วยขอผลงานให้เหมียวอี้ เนื่องจากมีอิทธิพล จึงไม่มีใครคัดค้าน ทำให้เหมียวอี้เลื่อนยศรวดเดียวสามขั้นได้อย่างราบรื่น จากเกราะดำหนึ่งแถบไปเป็นเกราะดำสามแถบ

หลังจากส่งคนที่ถ่ายทอดคำสั่งกลับไปแล้ว เหมียวอี้ที่กลับมาในโถงหลักก็มองดูเกราะรบของตัวเอง แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ได้ยินว่าครั้งนี้ได้เลื่อนขั้นอย่างราบรื่นมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครเป็นก้างขวางคอเลย”

หยางชิ่งย่อมรู้ว่าก้างขวางคอที่เขาบอกหมายถึงใคร ใครที่ตั้งใจจะให้ลดขั้น เหมียวอี้ก็ย่อมว่าคนนั้นเป็นก้างขวางคอ จึงกล่าวอยู่ข้างๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านนั้นไม่อยากให้เรื่องของเจียงอีอีขยายใหญ่ต่อไปแล้ว ทำได้เพียงเข็นเรือไปตามน้ำ ไม่อย่างนั้นคงจะเลื่อนยศตั้งสามขั้นในรวดเดียวไม่ได้ แน่นอนว่าตระกูลโค่วมีอิทธิพลต่อการประชุมในราชสำนัก ไม่อยากนั้นคงไม่เอ่ยปากขอการเลื่อนขั้นให้นายท่านในที่ประชุมหรอก แต่ก็ผิดใจกับคนเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะมีตระกูลโค่วกดดันไว้ เกรงว่าท่านนั้นคงจะแกล้งโง่ต่อไปได้ มีคนอยู่ในราชสำนักก็จัดการเรื่องราวได้ง่ายแบบนี้”

“วัวสันหลังหวะ!” เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก ถือเกราะรบโบกไปโบกมา เหมือนจะไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก “เกราะดำหนึ่งแถบกับเกราะดำสีแถบ สำหรับข้าไม่ได้มีความหมายต่างกันเท่าไรนัก?”

หยางชิ่งยิ้มพร้อมตอบว่า “ในด้านความหมายนั้นต่างกันนิดหน่อย อย่างน้อยก็ประหยัดเวลาให้นายท่านไต่เต้ากลับไปตำแหน่งเดิม ตระกูลโค่วไม่ได้ทำให้นายท่านออกจากตลาดผีได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ดังนั้นเมื่อไรที่นายท่านมียศเพียงพอแล้ว ตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผีก็รั้งนายท่านไว้ไม่ได้ ถึงตอนนั้นตระกูลโค่วก็จะทำให้นายท่านกลับไปบัญชาการกำลังพลมหาศาลได้อย่างชอบธรรมแล้ว ตระกูลโค่วน่าจะเฝ้ารอสิ่งนี้มาก”

ในตอนนี้หยางชิ่งก็รู้สึกได้เช่นกันว่าท่าทีที่เหมียวอี้มีต่อตนนั้นเปลี่ยนไป ส่วนใหญ่เวลามีเรื่องอะไรก็จะมาปรึกษาตนทุกอย่าง อย่างน้อยก็ปล่อยอำนาจทางตลาดผีให้เขาอย่างเพียงพอ ที่จวนแม่ทัพภาคในเวลานี้ นอกจากเหมียวอี้แล้วก็นับว่าเขามีอำนาจควบคุมมากที่สุด การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขาดีใจมาก อย่างน้อยก็แสดงความเชื่อมั่นได้ในระดับหนึ่ง พอหันกลับมามองแบบนี้ ก็พบว่าคดีที่น่านฟ้าระกาติงไม่ใช่เรื่องแย่อะไร

เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “กลัวก็แต่ข้างในจะเกิดเหตุพลิกผัน คนที่ไม่อยากเห็นฉากนี้เกิดขึ้นมีตั้งเยอะ”

หยางชิ่งบอกว่า “อย่างน้อยมีตระกูลโค่วค่อยแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับตระกูลเซี่ยโห้วอยู่เบื้องหลัง นายท่านก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยที่ตลาดผีมากนัก เรื่องของเจียงอีอีก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว รอให้นายท่านไปบัญชาการทัพใหญ่ที่ทัพเหนือของตระกูลโค่ว มีกำลังพลกลุ่มใหญ่อยู่ข้างกาย ต่อให้คนนอกอยากจะทำอะไรนายท่านอีกก็ยากแล้วแล้ว”

“อืม พวกเราคงทำได้แค่คอยดูไปทีละก้าว เออใช่ เรื่องกลับพิภพเล็ก เจ้ารีบไปเตรียมตัวแข่งกับเวลา”

“ทางข้าน้อยเตรียมตัวเหมาะสมแล้ว สามารถกลับได้ทุกเมื่อ”

เหมียวอี้พยักหน้า นับว่าถูไถผ่านด่านตรงหน้าไปได้แล้ว แต่ก็ยังมีอีกปัญหายุ่งยากที่ทำให้เขาปวดหัว จะทำอย่างไรกับเยว่เหยาดีล่ะ?

คิดไปคิดมา สุดท้ายก็ไม่มีทางปิดบังเยว่เหยาได้ตลอด ท้ายที่สุดก็ยังมาที่ห้องของเชียนเอ๋อร์ ไปหาเยว่เหยาแล้ว

เยว่เหยาที่นั่งเงียบอยู่ในห้องเอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าอีก กำลังเล่นชายกระโปรงเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร

เมื่อได้ยินนางพูดอะไรบ้าๆ แบบนั้น เขาก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนาง จึงไม่ได้คลายผนึกบนตัวนางเลย

เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้เชียนเอ๋อร์ให้ออกไปปิดประตูแล้ว ส่วนตัวเองก็เดินลงมานั่งบนเกาอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง หลังจากทั้งสองเงียบไปสักพัก สุดท้ายเหมียวอี้ก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า “เจียงอีอีตายแล้ว”

มือของเยว่เหยาที่กำลังเล่นกระโปรงสั่นเล็กน้อย ก่อนจะใช้นิ้วแกะชายกระโปรงพร้อมถามเสียงเบา “ท่านฆ่าเขาเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบอย่างฝืนใจว่า “เปล่า! เขาระเบิดชีพจรตัวเองตายแล้ว…” จากนั้นก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟังคร่าวๆ ต่อให้เขาจะปกป้องน้องสาวมากกว่านี้ แต่ก็ไม่มีทางบอกว่าอวิ๋นจือชิวเป็นคนที่กดดันให้เจียงอีอีตาย แบบนั้นจะทำให้เยว่เหยาแค้นอวิ๋นจือชิวไปทั้งชีวิต พี่สะใภ้กับน้องสะใภ้จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ปรองดอง เขาไม่จำเป็นต้องไปเพิ่มความยุ่งยากให้

ในดวงตาเยว่เหยาเริ่มมีน้ำตาคลอทีละนิด ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ชายที่นางเคยรักจริงๆ เป็นรักครั้งแรกแต่กลับจบลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จุดจบที่น่าเศร้ารันทดอย่างนี้ จะเป็นสิ่งที่นางหวังอยากเห็นเชียวหรือ? น้ำตาสองสายหยดลงมาในขณะที่นางก้มหน้า จากนั้นก็รีบเอามือปาดน้ำตาอีก แล้วกล่าวเสียงสั่นว่า “ทำตัวเองแท้ๆ ตายไปก็ดีแล้ว”

เหมียวอี้รู้สึกว่านางพูดอย่างฝืนใจ ในเมื่อเคยเกิดความสัมพันธ์แบบนั้นระหว่างชายหญิงไปแล้ว ทั้งยังเป็นผู้ชายคนแรกที่นางหวั่นไหนด้วยอีก เมื่อได้ยินแบบนี้เขาก็รู้สึกเป็นทุกข์เช่นกัน อย่างไรเสียวาสนาที่เลวร้ายนี้ก็เกิดขึ้นเพราะเขา เป็นเขาเองที่ทำร้ายเจ้าสาม ชั่วขณะนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

กลับเป็นเยว่เหยาที่ลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามา ใช้สองมือยกกระโปรงแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเหมียวอี้ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงสะอื้น “พี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว ไม่ควรพูดแบบนั้นกับท่าน พี่ใหญ่ ท่านด่าข้าตีข้าเถอะ” พอนึกถึงภาพที่ตัวเองทำให้พี่ใหญ่โมโหจนกระอักเลือด นางก็นึกเสียใจทีหลังมาตลอด เพียงแต่ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่จะให้อภัยตนหรือเปล่า ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไร ตอนนี้มีใหญ่ไม่มีท่าทีว่าถือสาแล้ว นางก็ยิ่งนึกเสียใจในพฤติกรรมที่ไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญของตัวเองในตอนนั้น

เมื่อนางมีท่าทีแบบนี้ เหมียวอี้ก็รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจมาก ส่ายหน้าบอกว่า “ช่างเถอะ ในตอนนั้นเจ้าก็กระวนกระวายเลยปากไม่ตรงกับใจ ถ้าเปลี่ยนเป็นข้าเจอสถานการณ์อย่างนั้นบ้าง พี่สะใภ้เจ้าก็อาจจะร้อนใจยิ่งกว่าเจ้าก็ได้ เรื่องราวผ่านไปแล้ว คนบ้านเดียวกันจะมาพะวงเพราะเรื่องเล็กๆ แบบนี้ได้ยังไง ลุกขึ้นเถอะ”

เยว่เหยาส่ายหน้า “น้องสามสำนึกผิดแล้ว ถ้าพี่ใหญ่ไม่ให้อภัยข้า ข้าก็จะคุกเข่าอย่างนี้ต่อไป”

เหมียวอี้ยักไหล่พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็ให้อภัยเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอ? รีบลุกขึ้นเถอะ”

เยว่เหยาเงยหน้า แล้วยิ้มทั้งน้ำตา ในโลกนี้ยังจะมีใครใจกว้างกับนางได้มากขนาดนี้อีกมั้ย? พอนึกถึงตรงนี้ น้ำตาร้อนๆ ก็เอ่อล้นจากดวงตาอีก นางคลานเข่าไปข้างหน้าสองเก้า หมอบบนตักเหมียวอี้แล้วร้องไห้โฮ ได้แต่พูดตำหนิตัวเอง “พี่ใหญ่ น้องสามสำนึกผิดแล้วจริงๆ น้องสามเสียใจจะตายอยู่แล้ว”

เหมียวอี้เองก็น้ำตาคลอเช่นกัน ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่เขาทนดูไม่ได้มากที่สุดก็คือเวลาน้องชายกับน้องสาวร้องไห้ พอได้เห็นก็จะรู้สึกว่าตัวเองดูแลได้ไม่ดี รู้สึกผิดต่อบุญคุณที่พ่อแม่บุญธรรมเลี้ยงดูมา ในปีนั้นพ่อแม่ของเขารวมทั้งพ่อแม่บุญธรรมสองครอบครัวตายไปแล้ว มีแต่คนด่าทอว่าเขาคือมีดวงกำพร้า เป็นอัปมงคลต่อคนในครอบครัว ถึงแม้ในภายนอกเข้าจะไม่ยอมรับ แต่ในใจก็หวาดหวั่นอยู่ดี กังวลว่าตัวเองจะทำร้ายเจ้ารองกับเจ้าสามอีก และความจริงในครั้งนี้ตัวเองก็ได้ทำร้ายเจ้าสามไปแล้ว เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ลูบศีรษะเยว่เหยาเบาๆ พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านไปแล้ว! อย่าเก็บเรื่องเจียงอีอีมาใส่ใจเลย เจ้าสามบ้านข้างดงามขนาดนี้ ทั้งสวยทั้งเก่งขนาดนี้ พี่ใหญ่จะหาทางช่วยเจ้าหาผู้ชายที่ดีที่สุดในโลกมาให้ หาผู้ชายที่ดีกับเจ้าสามมากที่สุด ไม่ทำให้เจ้าสามได้รับความอยุติธรรมแน่ เจ้าไม่ต้องห่วงนะ พี่ใหญ่พูดจริงทำจริง”

เยว่เหยาที่หมอบอยู่บนตักเขาพยายามส่ายหน้า เงยหน้าปาดน้ำตาแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้ชายไม่มีใครดีสักคน ทั้งชีวิตนี้น้องสามจะไม่แต่งงานแล้ว!”

เหมียวอี้ตกตะลึง แรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาอย่างกะทันหันทำให้เขาแทบจะหายใจไม่ออก เป็นแรงกดดันที่ตัวเองทำลายชีวิตเจ้าสาม เขากล่าวด้วยสีหน้าเครียดว่า “อายุยังน้อยมาพูดเหลวไหลอะไรแบบนี้! ผู้ชายไม่มีใครดีสักคนอะไร เจ้าผ่านผู้ชายมากี่คนแล้วล่ะ ทำไมถึงรู้ว่าผู้ชายไม่มีใครดีสักคน คงไม่ถึงขั้นโจมตีผู้ชายทั่วไปเพราะเจียงอีอีคนเดียวหรอกมั้ง? ในใต้หล้ามีผู้ชายเยอะแยะ แค่เจ้าไม่ได้เจอก็เท่านั้นเอง!”

เยว่เหยาส่ายหน้า “ไม่เกี่ยวกับเจียงอีอี อยู่ห่างจากผู้ชายข้าก็มีชีวิตต่อไปได้ ไม่อยากแต่งงานแล้ว ไม่อยากหาแล้วจริงๆ”

เหมียวอี้พลันลุกขึ้นยืน จับแขนนางข้างหนึ่งแล้วดึงขึ้นมา “กังวลว่าคนอื่นจะนินทาว่าเจ้าเป็นรองเท้ามือสองใช่มั้ย? ต่อให้เจ้ามีอะไรกับเจียงอีอีแล้วยังไงล่ะ? ข้ารับรองว่าทุกอย่างจะไม่เป็นปัญหา มีพี่ใหญ่หนุนหลังให้ จะไม่เกิดปัญหาอะไรแน่นอน พี่ใหญ่รับประกันกับเจ้าเลย อย่าบอกนะว่าแม้แต่คำพูดของพี่ใหญ่เจ้าก็ไม่เชื่อ?”

…………………………

วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร

พอเกาก้วนที่มาพร้อมซือหม่าเวิ่นเทียนเอ่ยปากรายงาน ประมุขชิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวก็ลุกขึ้นทันที แล้วจ้องตรงมาด้วยสายตาเกรี้ยวโกรธ “ตายแล้วเหรอ? ทำไมถึงฆ่าตัวตายได้? หน่วยตรวจการขวาของเจ้าทำงานกันยังไง แค่เรื่องเล็กๆ ก็ยังจัดการได้ไม่ดีเลย พวกเจ้ายังจะไปทำอะไรได้อีก?”

“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ ไม่ใช่ว่าเบื้องล่างทำงานได้ไม่ดี แต่เป็นเพราะเรื่องนี้กะทันหันเหินไป แต่เป็นเพราะเกิดเรื่องขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป…” เกาก้วนที่กุมหมัดคารวะรายงานอย่างละเอียด

“น้องสาวเหรอ? ทำไมวุ่นวายเละเทะไปหมด เจียงอีอีพูดจาไร้เหตุผลแล้วฆ่าตัวตาย หมายความว่าอะไร?” ประมุขชิงใช้สองมือยันบนโต๊ะ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห “อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าฟังไม่ออกว่ามีจุดที่น่าสงสัย เห็นได้ชัดว่าเบื้องหลังมีเรื่องปิดบังอยู่ แต่พวกเจ้าดันไม่สืบให้ลึก ปล่อยไปอย่างนั้นน่ะเหรอ?”

เกาก้วนตอบทันทีว่า “ข้าน้อยก็คิดว่ามีเรื่องปิดบังอยู่เช่นกัน ก่อนตายเหมือนเจียงอีอีจะบอกอะไรกับใครเอาไว้ ถ้าข้าน้อยเดาไม่ผิด คาดว่าผู้การซ่างกวนน่าจะรู้ชัด”

ทุกคนมองไปที่ซ่างกวนชิงพร้อมกัน ซ่างกวนชิงขัดเขินและลังเลเล็กน้อย

ประมุขชิงสบตาเขาด้วยสายตาโกรธเคือง “เจ้ารู้อะไรบ้าง ยังไม่รีบบอกมาอีก?”

ใบหน้าชราของซ่างกวนชิงแสดงอาการเก้อเขินในขณะที่ตอบ “เหมือนว่าทางสมาคมวีรชนจะทำไปเพื่อควบคุมเจียงอีอี เหมือนจะจับน้องสาวของเขาไว้เป็นตัวประกัน สงสัยเจียงอีอีจะใช้ความตายพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เพื่อพิสูจน์ว่าถึงแม้ตัวเองจะโดนทรมานมาเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้สารภาพอะไรทั้งนั้น”

เหมือนจะ? ซือหม่าเวิ่นเทียนยกมุมปากเล็กน้อย

ประมุขชิงอึ้งไปชั่วขระ เหลือบมองซ่างกวนชิงศีรษะจดเท้า พอจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว บอกว่า ‘เหมือนจะ’ หมายความว่าอะไรล่ะ ตาแก่นี่รู้ชัดอยู่แก่ใจแน่ๆ ต้องมีเรื่องแบบนั้นแน่นอน เพียงแต่เรื่องลับลวงพรางไร้ยางอายแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเลวทรามต่ำช้าเกินไป ไม่สะดวกจะพูดออกมาก็เท่านั้นเอง

ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สืบถามให้ลึกอีกแล้ว เพราะเขาเข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องคนข้างล่างก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ถ้าจะจัดการเรื่องราวให้เสร็จเรียบร้อย ก็อาจต้องใช้วิธีการที่ไม่ได้ยอดเยี่ยมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไฟโกรธของประมุขชิงดับลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว จึงค่อยๆ นั่งลงอีกครั้ง “ยอมตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์! นั่นก็หมายความว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าเขายังไม่ได้สารภาพอะไรออกไป”

ซ่างกวนชิงไม่กล้ารับประกันสิ่งที่อาจจะทำให้ตกตะลึงได้ในภายหลัง “ยังต้องดูปฏิกิริยาของตึกศาลาสัตยพรตก่อนถึงจะแน่ใจได้ขอรับ”

“ทางหนิวโหย่วเต๋อล่ะ?” ประมุขชิงเหล่ตาถาม “ตอนนี้เขากับโค่วหลิงซวีร่วมหัวจมท้ายกัน เจียงอีอีซุ่มโจมตีอยู่นอกจวนแม่ทัพภาค เจ้ากล้ารับประกันเหรอว่าหนิวโหย่วเต๋อจะไม่ลองง้างปากเจียงอีอี?”

“เอ่อ…” ซ่างกวนชิงลังเล ไม่กล้ารับประกันเรื่องนี้

เกาก้วนเอ่ยขึ้นว่า “ตามที่เจียงอีอีบอกไว้ก่อนตาย หนิวโหย่วเต๋อยังไม่เคยสอบสวนเขา”

ประมุขชิงย้ายสายตา “ถ้าเจียงอีอีปิดบังเรื่องที่สารภาพกับตึกศาลาสัตยพรตไป จะไม่ปิดบังเรื่องที่สารภาพกับจวนแม่ทัพภาคเชียวหรือ? เรื่องนี้ไม่ว่าจะมองยังไงข้าก็รู้สึกว่ามีเงื่อนงำ ถ้าจะฆ่าตัวตายแล้วทำไมต้องฆ่าตัวตายตอนส่งตัว ทำไมจึงกลับมาพูดให้ชัดเจนก่อนไม่ได้ ถ้าอยากจะตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ จะทำหลังจากกลับมาแล้วไม่เหมาะสมกว่าหรือ?”

เกาก้วนตอบว่า “อาจจะเป็นเพราะหลังจากกลับมาแล้วไม่มีโอกาสให้ฆ่าตัวตายพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ถ้าเขาไม่ฉวยโอกาสตอนคลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์เพื่อระเบิดเส้นชีพจรตัวเอง เขาก็ไม่มีโอกาสได้ฆ่าตัวตายเลย”

“งั้นเหรอ?” ประมุขชิงแสยะยิ้ม ไม่ได้เห็นด้วยหรือปฏิเสธ

ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ยืนเงียบมาตลอดถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ฝ่าบาท ตามที่สายลับที่ส่งไปอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อรายงานกลับมา หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้สอบสวนเจียงอีอีจริงๆ ขอรับ ได้แต่ครุ่นคิดว่าตึกศาลาสัตยพรตส่งตัวเจียงอีอีมาให้เขาเพราะมีเจตนาอื่นอะไร ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรเจียงอีอี หนิวโหย่วเต๋อเองก็คิดไม่ถึงว่าเจียงอีอีจะฆ่าตัวตาย”

ประมุขชิงเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าสงสัยบนใบหน้าเขาก็เริ่มหายไปทีละนิด

เกาก้วนกับซ่างกวนชิงสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็สัมผัสได้ว่าซือหม่าเวิ่นเทียนกำลังแอบถ่ายทอดเสียงบอกประมุขชิง ไม่รู้ว่ากำลังแอบสื่อสารอะไรกัน ได้ยินเพียงประมุขชิงแสยะหัวเราะ “คอยดูต่อไปเถอะ ดูว่าตาแก่เซี่ยโห้วนั่นจะกบฏรึเปล่า ถ้ากบฏจริง ตาแก่ที่สมควรตายอย่างเจ้าถึงจะเด็ดหัวกลับไปขอโทษใต้หล้า!” เขาชี้หน้าซ่างกวนชิงและด่ายับเยินอีกรอบ แล้วก็สะบัดชายเสื้อเดินจากไปเลย

ซ่างกวนชิงก้มหน้าก้มตา ในใจเขารู้ดี ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปงขึ้นมาจริงๆ มีใครไม่รู้บ้างล่ะว่าเขาเป็นคนควบคุมสมาคมวีรชน มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะได้ออกมาเป็นแพะรับบาป ถ้าเขาไม่ออกมาเป็นแพะรับบาป แล้วจะให้ประมุขชิงออกหน้ามาแบกรับชื่อเสียงที่ต่ำทรามนี้เหรอ? ประมุขชิงเป็นคนที่รักหน้าตาศักดิ์ศรี อยู่อย่างสูงส่งมานานจนเคยชินแล้ว ศักดิ์สิทธิ์จนไม่อาจจะมาล่วงเกิน มีหรือที่จะรับสิ่งนี้ไหว

รอจนกระทั่งประมุขชิงออกไปแล้ว ซือหม่าเวิ่นเทียนก็เดินมาข้างกายซ่างกวนชิง เหมือนจะเดาความคิดออกแล้ว จึงตบหน้าเขาแล้วบอกว่า “ไม่ต้องห่วงหรอก ฝ่าบาทพูดเพราะอารมณ์โกรธเฉยๆ ใครก็รู้ทั้งนั้น ว่าถ้าเปิดเผยเรื่องนี้แล้วก็ไม่มีผลดีกับเซี่ยโห้วเลยสักนิด อย่างมากตระกูลเซี่ยโห้วก็เอาเรื่องนี้มาบีบ ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วรู้แล้วจริงๆ ก็อาจจะเอามาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ฝ่าบาทก็จะยอมถอยให้เหมือนกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะทำถึงขั้นเอาหัวเจ้าไปขอโทษใต้หล้า!”

“เฮ้อ! ทำพลาดได้ยังไงกันนะ เจียงอีอีคนนี้ไม่เคยพลาดเลย!” ซ่างกวนชิงส่ายหน้าถอนหายใจ

ซือหม่าเวิ่นเทียนประสานสองมือไว้ในแขนเสื้อ “จะพลาดไม่พลาดก็ต้องดูว่าฝ่ายตรงจามคือใคร ถ่อไปลงมือใต้หนังตาตึกศาลาสัตยพรตแล้ว ยังจะจะส่งเจียงอีอีที่พัวพันกับเรื่องสำคัญหลายเรื่องอีกเหรอ ขนาดข้ายังไม่รู้เลยว่าเจ้าคิดได้ยังไง เจ้าช่างทำออกมาได้”

ซ่างกวนชิงมองไปรอบๆ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ตอนนั้นฝ่าบาททนความลำพองใจของตาแก่โค่วไม่ได้ ดันทุรังจะป่วนหนิวโหย่วเต๋อกับอวิ๋นจือชิวนั่นให้ได้ แล้วหนิวโหย่วเต๋อดึงเจียงอีอีมาเกี่ยวข้องกับน่านฟ้าระกาติงพอดี นี่ก็คือเรื่องที่เอาเจียงอีอีมาใช้งานได้ ก็ฝ่าบาทไม่อยากแบกรับคำด่าหรือว่าตกเป็นที่ต้องสงสัยไง ถ้าข้าไม่ส่งเจียงอีอีไปแล้วจะส่งใครไปล่ะ? ข้าบอกไม่ได้นี่ว่าเรื่องนี้มันยาก รอให้เจอวิธีการที่เหมาะสมกว่านี้แล้วค่อยว่ากัน ถ้าข้าบอกแบบนั้นไปจริงๆ เจ้าเชื่อมั้ยว่าฝ่าบาทจะรังเกียจที่ข้าไร้ประโยชน์ แบบนั้นข้าจะโดนด่าเสียหมามั้ยล่ะ? พวกเจ้าคิดว่าฝ่าบาทไม่รู้จักตัวตนของเจียงอีอีจริงๆ สินะ?” พูดแบบนี้นับว่าแอบบอกเล่าความทุกข์ในใจแล้ว

เกาก้วนกับซือหม่าเวิ่นเทียนส่งสายตาให้กัน ไม่ต้องบอกเล่าความทุกข์อะไรทั้งคู่ก็เข้าใจอยู่ดี ถ้าไม่มีประมุขชิงชี้แนะ ซ่างกวนชิงก็ย่อมไม่บุ่มบ่ามไปสู้กับตระกูลโค่วอยู่แล้ว เพียงแต่เรื่องบางเรื่องรู้อยู่ใจก็พอ ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ก็เท่านั้นเอง

ซือหม่าเวิ่นเทียนกุมหมัดไอแห้งๆ แล้วย้ายประเด็นสนทนาออกจากตัวประมุขชิง “เจ้านี่ก็นะ ทำเรื่องแบบนี้ก็บุ่มบ่ามลงมือโดยไม่วางแผนให้รอบคอบก่อน จะโทษใครได้ล่ะ?”

ซ่างกวนชิงยักไหล่ “จะไม่วางแผนให้รอบคอบได้ยังไง? ระวังจนไม่รู้จะระวังยังไงแล้ว ที่สำคัญคือเจียงอีอียังไม่ทันลงมือด้วยซ้ำ ยังไม่ทันเผยพิรุธอะไรก็พลาดแล้ว ข้าได้รับความไม่ยุติธรรมมั้ยล่ะ ขนาดข้ายังสงสัยเลยว่าตึกศาลาสัตยพรตทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้หรือเปล่า”

ซือหม่าเวิ่นเทียนส่ายหน้า “พอแล้ว! ไม่ต้องโทษใครทั้งนั้น ปัญหาก็อยู่ที่ตัวเจ้านั่นแหละ ข่าวที่ข้าได้รับมาบอกว่า นอกจวนแม่ทัพภาคตลาดผีมีคนโดนตึกศาลาสัตยพรตจับตัวไปแล้วไม่น้อย คนที่เดินผ่านแล้วเหลือบมองเข้าไปในจวนแม่ทัพภาคเกินสองทีก็โดนจับแล้ว เจียงอีอีเป็นแค่หนึ่งในนั้น อีกฝ่ายกวาดล้างไม่ต่างกันหรอก ขนาดลูกน้องข้าที่ไปสืบข่าวยังตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตแล้วตั้งสองคน เจียงอีอีกล้าเฝ้าอยู่นอกจวนแม่ทัพภาค ไม่โดนจับก็แปลกแล้ว แบบนี้เรียกว่าไม่ยุติธรรมตรงไหน ไม่โดนจับน่ะสิแปลก”

“ลูกน้องข้าก็มีสามคนตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตเหมือนกัน แต่ตึกศาลาสัตยพรตปล่อยตัวมาแล้ว” เกาก้วนกล่าว

“ตึกศาลาสัตยพรตคุยง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ? ปล่อยตัวแบบตรงไปตรงมาขนาดนั้นเลยเหรอ?” ซือหม่าเวิ่นเทียนแปลกใจ

เกาก้วนตอบว่า “ข้าติดต่อเฉาหม่านโดยตรง บอกว่าสามคนนั้นคือคนของข้า ถ้าไม่ปล่อยคนข้าจะไปเชิญเซี่ยโห้วท่าจากจวนท่านปู่สวรรค์ให้มารับการสอบสวนที่หน่วยตรวจการขวา เฉาหม่านก็เลยปล่อยคนแล้ว”

“…” อีกสองคนเหม่อค้างคาที่ เคยเห็นตรงไปตรงมา แต่ไม่เคยเห็นใครตรงไปตรงมาขนาดนี้ แต่ทั้งสองก็เชื่อว่าเกาก้วนสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้จริงๆ กอปรกับหน่วยตรวจการขวาไม่ได้ทำเรื่องลับลวงพรางเหมือนหน่วยตรวจการซ้ายกับสมาคมวีรชน อีกฝ่ายสามารถทำเรื่องนี้ได้อย่างสง่าผ่าเผย

ซ่างกวนชิงยกนิ้วให้ด้วยสีหน้านับถือ พลางกล่าวชม “เจ้าช่างโหด! ถ้ารู้ตั้งแต่แรกคงให้เจ้าพาเจียงอีอีออกมาจากตึกศาลาสัตยพรตแล้ว จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้มั้ย”

“ใครใช้ให้ตอนแรกเจ้าปิดบังไม่ยอมพูดล่ะ” ซือหม่าเวิ่นเทียนรู้สึกอยากขำ

เกาก้วนเหล่ตาถาม “พวกเจ้าสองคนไม่ได้ป่วยใช่มั้ย? จะให้ข้าบอกเชียวเหรอว่าเจียงอีอีคือคนของหน่วยตรวจการขวา?”

ปาดเหงื่อ! ซ่างกวนชิงค่อนข้างอับอาย

“ก็ใช่ โจรราคะนั่นจะเป็นคนของหน่วยตรวจการขวาหรือคนของสมาคมวีรชนก็ไม่มีอะไรต่างกัน ถ้ามีเบื้องหลังเป็นตำหนักสวรรค์ก็รับไม่ไหวทั้งนั้น” ซือหม่าเวิ่นเทียนส่ายหน้ายิ้มเจื่อน แล้วบอกอีกว่า “ใช่แล้ว เกาก้วน ลูกน้องสองคนนั้นของข้า ช่วยพาออกมาหน่อย”

“ลูกน้องของเจ้าต่างอะไรกับโจรราคะนั่นล่ะ? ใครจะไปรู้ว่าทำเรื่องลับลวงพรางอะไรมาบ้าง อยากได้ตัวเหรอ? ไปหาเฉาหม่านเองสิ” เกาก้วนบ่ายเบี่ยงอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด แล้วก็บอกซ่างกวนชิงอีกว่า “เจียงอีอีตายแล้ว เจ้าเก็บน้องสาวของเขาไว้ในมือก็น่าจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้วมั้ง ข้ากำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง ส่งตัวมาให้ข้าเถอะ”

ซ่างกวนชิงส่ายหน้า “ใครว่าไม่มีประโยชน์ล่ะ เตรียมตราอิทธิฤทธิ์ของเจียงอีอีเอาไว้หลายปีแล้ว ยังควบคุมน้องสาวนางได้เหมือนเดิม เกาก้วน ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้านะ เพียงแต่คนบางคน ต่อให้ไม่มีประโยชน์แล้วแต่ก็ปล่อยไปง่ายๆ ไม่ได้อยู่ดี เกิดเรื่องเจียงอีอีแล้ว ไม่ต้องให้ข้าอธิบายเหตุผลเยอะแยะนะ”

“ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ทำเรื่องไร้คุณธรรมให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ!” เกาก้วนไม่ฝืนร้องขอ พูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วเดินจากไป

“เห้อ!” ซ่างกวนชิงชี้ตามหลังเกาก้วน “พูดเหมือนตัวเองขาวสะอาดบริสุทธิ์อย่างนั้นแหละ คนที่ตายด้วยน้ำมือเขาก็มีไม่น้อยใช่มั้ยล่ะ?”

“เฮ้อ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนกอดอกถอนหายใจ “ก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้กำลังพลของเขาทำงานได้อย่างสง่าผ่าเผยล่ะ พวกเราได้แต่ทำลับๆ ล่อๆ ถ้าให้ข้าคุมหน่วยตรวจการขวา ข้าก็พูดแบบนี้ได้อย่างมั่นใจเหมือนกัน”

ซ่างกวนชิงแสยะหัวเราะ “ฟังดูดียิ่งกว่าร้องเพลงอีกนะ ถ้าให้เจ้าไปนั่งตำแหน่งนั้น เจ้าจะหน้านิ่งไร้ความปรานีได้อย่างเขารึเปล่านะ? ถ้าเจ้ากล้าล่วงเกินทุกคนโดยไม่เกรงกลัวอะไรเหมือนเขา ฝ่าบาทอาจจะพิจารณาเปลี่ยนตำแหน่งให้เจ้าจริงๆ ก็ได้”

“เหอะๆ” ซือหม่าเวิ่นเทียนได้แต่หัวเราะแห้งๆ สะบัดชายเสื้อเอามือไขว้หลังเดินออกไปแล้ว

ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแบบนี้ออกมาเลย เขายอมรับว่าตัวเองไม่อาจทำเรื่องที่ไม่แยแสมนุษยสัมพันธ์ในสังคมเหมือนเกาก้วนได้ จะดีจะร้ายซ่างกวนชิงก็ยังรู้จักแสดงไมตรีต่อคนนอกเพื่อให้ทำงานได้ง่ายขึ้น แต่เกาก้วนกลับไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้ตัวเองเลยสักนิด!

ตึกศาลาสัตยพรต

“อะไรนะ? เจียงอีอีฆ่าตัวตายที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีเหรอ?” เฉาหม่านที่กำลังนั่งสมาธิพลันลืมตากระโดดลงจากเตียง แล้วถามอย่างตกใจ

ชีเจวี๋ยพยักหน้า “ตามที่สายลับทางนั้นบอกว่า ได้ยินว่าฆ่าตัวตายแล้ว”

“อยู่ดีๆ ทำไมฆ่าตัวตายไปแล้วล่ะ?” เฉาหม่านถาม

ชีเจวี๋ยตอบว่า “สายลับที่อยู่ทางนั้นเข้าไม่ถึง เลยไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด เห็นแค่ศพของเจียงอีอีถูกหามออกมาแล้วจริงๆ เหมือนจะระเบิดเส้นชีพจรตัวเองแล้ว”

เฉาหม่านโบกมือทันที “เจ้าไปด้วยตัวเองสักรอบ ถามหนิวโหย่วเต๋อว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่”

“ขอรับ!”

หลังจากชีเจวี๋ยเอ่ยรับคำสั่งแล้ว เฉาหม่านก็เดินไปเดินมาอยู่ในห้องด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง การเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้แผนการของเขาปั่นป่วน จะไม่ให้เขาคิดมากก็ไม่ได้ แต่คิดไม่ตกจริงๆ ว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ ทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ แล้วรอฟังข่าว

เขาสงสัยว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเดาออกถึงจุดประสงค์ที่เจียงอีอีมาที่นี่ ก็เลยสังหารเจียงอีอีด้วยอารมณ์โกรธ ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ เขาไม่เชื่อหรอกว่าหนิวโหย่วเต๋อจะถูกตำหนักสวรรค์กดดัน ถ้าเป็นแบบนี้แล้วยังกล้าลงมือ ก็แสดงว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นเป็นตัวปัญหาจริงๆ ไม่ยึดตามหลักเหตุผลทั่วไปจนทำให้คนปวดหัว

…………………………

“อ้อ!” เหมิงเซวี่ยรีบไปมองทางเหมียวอี้ ไม่มองเจียงอีอีแต่กลับจ้องปฏิกิริยาของเหมียวอี้ พร้อมสั่งอย่างเยียบเย็น “ว่ามา!”

ตอนนี้เหมียวอี้ตื่นเต้นกังวลถึงขีดสุด แต่บนใบหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ไม่รู้ว่าเจียงอีอีต้องการจะพูดอะไร

“หลังจากข้าถูกจับตัวไป ก็ถูกทรมานเต็มที่ แต่ข้าก็ไม่ได้พูดอะไรเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีคนเชื่อรึเปล่า ข้าทำได้เพียงใช้วิธีพิสูจน์ ข้าขอเพียงอย่าทำร้ายน้องสาวข้า อย่าทำร้ายน้องสาวข้า…”

ทุกคนกำลังครุ่นคิดว่าสิ่งที่เจียงอีอีพูดหมายถึงอะไร แล้วจู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดเบาๆ “อา!” เสียงร้องตกใจดังขึ้นหลายครั้ง เหมียวอี้พลันเบิกตากว้าง

เหมิงเซวี่ยหันขวับกลับไปมอง เห็นเพียงหน้าอกของเจียงอีอีระเบิดเลือดออกมากลุ่มหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะระเบิดเส้นชีพจรตัวเอง!

หลายคนเข้าไปอุ้มไว้ เหมิงเซวี่ยตกใจมากจนหน้าถอดสี รีบถลันตัวเข้าไปแล้วเช่นกัน คนกลุ่มนี้เรียกได้ว่าลนลานทำอะไรไม่ถูก รีบหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาช่วยชีวิตอย่างเร่งด่วน

เหมียวอี้รีบก้าวขึ้นไปดู เห็นเพียงตรงหน้าอกเจียงอีอีร่างกระตุกปรากฏโพรงที่มีเลือดไหลไม่หยุด อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้เสียเลือดมากเกินไป หลังจากระเบิดแล้วในร่างกายจึงไม่มีเลือดออกมากนัก

สายตาไร้แววของเจียงอีอีมองดูเหมียวอี้ที่อยู่ด้านหลังกลุ่มคนแวบหนึ่ง มุมปากกระตุกเล็กน้อย เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา แต่สุดท้ายก็ไม่มีแรงที่จะพูดออกมา

หมอกดาวที่ทำให้คนตาลายกรอกเข้าไปในร่างกายเจียงอีอี ทุ่มเททุกสิ่งอย่างไม่เสียดายเพื่อช่วยชีวิต แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ดวงตาของเจียงอีอีค่อยๆ สิ้นแวว แล้วสุดท้ายก็เอียงหัวไปด้านข้าง ไม่เคลื่อนไหวแล้ว กลุ่มคนที่ล้อมดูเริ่มมือแข็งทื่อ มองดูเจียงอีอีที่ไร้การเคลื่อนไหวอย่างตะลึงค้าง ต่างก็รู้ว่าจบเห่แล้ว

หัวใจระเบิดหายไปแล้ว ช่วยชีวิตไม่ได้แล้วแน่นอน ทุกคนแค่พยายามลองสุดความสามารถก็เท่านั้นเอง

เหมียวอี้รู้สึกสับสนมาก เคยคิดถึงสถานการณ์ต่างๆ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเจียงอีอีจะระเบิดเส้นชีพจรตัวเองในเวลานี้ การฆ่าตัวตายต้องใช้ความกล้าขนาดไหน เขาไม่รู้ว่าอวิ๋นจือชิวทำอะไรกับเจียงอีอีกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะกดดันจนเจียงอีอียอมฆ่าตัวตายเอง!

เหมิงเซวี่ยที่ถือสมุนไพรเซียนซิงหัวอยู่ในมือลุกขึ้นยืนช้าๆ เขายังสงบนิ่งใจเย็น แต่อีกฝ่ายหน้าดำเป็นก้นหม้อแล้ว สีหน้าแย่มาก ท่าทางดุร้ายเหมือนอยากจะกินคน

หนึ่งในสามลูกพี่ใหญ่ของหน่วยตรวจการขวา เขาบังเอิญอยู่ใกล้กับที่นี่ที่สุดพอดี ดังนั้นจึงได้รับข่าวจากจากทูตขวา ทูตขวาเน้นย้ำว่าต้องพาคนมาที่หน่วยตรวจการขวาทั้งเป็นๆ อย่าให้มีอะไรผิดพลาดเด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงออกหน้าด้วยตัวเอง แต่ใครจะคิดว่าจะมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ผู้ตรวจการผู้สง่าภูมิฐานมาด้วยตัวเอง แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เรื่องพังอย่างนี้แล้ว คนตายอยู่ใต้หนังตาตัวเอง ไม่ได้ตายอยู่ในมือคนอื่น ทั้งยังตายอยู่ในมือเขาเพราะความประมาทของเขาด้วย จะให้เขากลับไปรายงานผลการปฏิบัติงานกับหน่วยตรวจการขวาอย่างไรล่ะ จะอธิบายกับท่านทูตขวาอย่างไร?

เหมิงเซวี่ยหันขวับไปมองที่เหมียวอี้ ดวงฉายฉายแววดุร้าย คนที่ทำอาชีพอย่างพวกเขาล้วนใจคอโหดเหี้ยม ชั่วพริบตานี้เขาถึงขั้นอยากจะผลักความผิดไปให้เหมียวอี้ ทว่าเบื้องหลังของเหมียวอี้ก็เห็นๆ กันอยู่ อ๋องสวรรค์โค่วก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปอาจจะฆ่าแล้วยัดความผิดให้ได้เลย แต่ทำอย่างนี้กับเหมียวอี้ไม่ได้

คนทั่วไปจะตายก็ตายไป แต่กับเหมียวอี้จะไม่ให้คำอธิบายก็ไม่ได้ ภายใต้ศักยภาพที่แตกต่างกัน ทำไมไม่จับทั้งเป็นแต่กลับปล่อยให้ตายไปพร้อมหลักฐาน? คำพูดประโยคเดียวของอ๋องสวรรค์โค่วจะทำให้เขาหาทางลงไม่เจอแน่นอน อ๋องสวรรค์โค่วก็มีมีคุณสมบัติในการกดดันสมาชิกทุกคนของหน่วยตรวจการขวาที่มีส่วนร่วมในการสืบสวนเช่นกัน ถึงตอนนั้นจุดจบของเขาก็จะอนาถยิ่งกว่า

แววตาดุร้ายของเหมิงเซวี่ยค่อยๆ เจือจางไป

เหมียวอี้ที่ระวังตัวอย่างสูงแอบตกใจ รู้ว่าตัวเองไปเยือนประตูผีมาแล้วรอบหนึ่ง ตระหนักได้เช่นกันว่าภูมิหลังอย่างตระกูลโค่วทำให้อีกฝ่ายเกรงกลัวแค่ไหน ไม่อย่างนั้นด้วยกำลังของอีกฝ่าย การจะฆ่าแม่ทัพภาคสักคนก็ไม่ทำให้เกิดเรื่องใหญ่โตอะไรเลย

“ผู้ตรวจการเหมิง ข้าไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่ายังไง ข้าไม่ได้จับตัวน้องสาวของเขามานะ” เหมียวอี้โบกมือ

เหมิงเซวี่ยเม้มริมฝีปากเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเกาก้วน รายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง แล้วสุดท้ายก็ขอคำชี้แนะ : ต้องสืบสวนคนที่ตลาดผีอย่างเข้มงวดหรือเปล่าขอรับ?

ทางเกาก้วนไม่ได้ว่าอะไรเขา หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ให้คำตอบว่า : ไม่ต้องแล้ว เรื่องนี้คงจะมีความจริงอีกอย่างที่ปกปิดอยู่ เจ้าไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ถอนกำลัง!

พอได้ยินว่าตนไม่ต้องรับผิดชอบ เหมิงเซวี่ยก็โล่งอก รู้สึกโชคดีที่เมื่อครู่นี้ตัวเองไม่ได้บุ่มบ่ามทำอะไรซี้วั้ว ไม่อย่างนั้นก็เป็นการหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ

เกาก้วนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขายังจะพูดอะไรได้อีก จริงเรียกลูกน้องและเตรียมตัวจะไป

“ผู้ตรวจการเหมิง ขั้นตอนที่ยังต้องดำเนินการก็ยังต้องดำเนินการ” เหมียวอี้หันตัวไปตะโกนบอกเหมิงเซวี่ยที่เดินผ่านไป

เหมิงเซวี่ยหยุดฝีเท้า หยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง ทำหนังสือส่งต่องานกับเหมียวอี้ จากนั้นเหมียวอี้ก็ยังบอกอีกว่าจะไปส่ง แต่ผลปรากฏว่าอีกฝ่ายบอกอย่างไม่เกรงใจว่าไม่ต้อง

พวกอวิ๋นจือชิวที่อยู่นอกคุกได้แต่มองเจียงอีอีที่เลือดไหลออกจากอกถูกยกขึ้นมา มองส่งคนกลุ่มนี้จากไปแล้ว

เหมียวอี้เดินออกมาคนสุดท้าย สายตาของทุกคนมองไปบนตัวเขา อวิ๋นจือชิวรู้แล้วแต่ยังแกล้งถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”

เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ ตอบด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนไร้ที่เปรียบว่า “ระเบิดเส้นชีพจรตัวเอง ช่วยไว้ไม่ทัน ตายแล้ว!”

ทุกคนได้ยินแล้วทอดถอนใจ เรื่องฆ่าตัวตายใช่ว่าทุกคนจะกล้าหาญทำได้ อวิ๋นจือชิวบอกเฟยหงที่ก้มหน้าเงียบๆ ว่า “น้องสาว พวกเราไปกันเถอะ”

หลังจากพวกผู้หญิงออกไปแล้ว หยางชิ่งก็เข้าใกล้ข้างกายเหมียวอี้ แล้วถามอย่างสงสัยว่า “ทำไมถึงระเบิดเส้นชีพจรตัวเองฆ่าตัวตายได้?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า ไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น ได้แต่เดินออกไปเงียบๆ รู้สึกหนักหน่วงในอารมณ์เล็กน้อย หลังจากเดินกลับเข้าห้องไปคนเดียว เขาก็นั่งเงียบไม่พูดจา

ผ่านไปไม่นานอวิ๋นจือชิวก็มาแล้ว นั่งลงเบาๆ ข้างกายเขา แล้วบอกว่า “ให้เฟยหงรายงานเรื่องที่ได้ยินและได้เห็นขึ้นไปแล้ว นางเป็นพยานด้วยว่าฝั่งพวกเราไม่ได้ทรมานสืบสวนเจียงอีอี พวกเราบริสุทธิ์เต็มตัวแล้ว นับว่าผ่านด่านนี้ไปแล้ว”

“ทำไมเขาถึงฆ่าตัวตาย? เจ้าทำอะไรกับเขา?” เหมียวอี้ถามอย่างนิ่งสงบ

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่ทำให้เขามั่นใจว่าเขาจะไม่มีทางรอดชีวิตออกจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผีไปได้ ต่อให้ออกไปแล้วก็ไม่มีทางรอด แล้วก็รับปากเรื่องบางอย่างกับเขาอีกนิดหน่อย ทำข้อแลกเปลี่ยนกันเพื่อให้เขามีความหวังเล็กน้อยก็เท่านั้นเอง ดีกว่าตายโดยเปล่าประโยชน์” ขณะที่พูดก็หยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งมาวางไว้บนโต๊ะน้ำชา แล้วผลักไปตรงหน้าเหมียวอี้

เหมียวอี้เหล่ตามองแผ่นหยกบนโต๊ะน้ำชา พอหยิบมาอ่านในมือ ก็พบว่าเป็นจดหมายที่เจียงอีอีใช้ติดต่อกับน้องสาวตัวเอง หลังจากเขาอ่านจบก็เข้าใจแล้วว่าอวิ๋นจือชิวทำอะไรลงไป

หลังจากเข้าใจแล้ว ในใจกลับอึดอัดกลัดกลุ้มเล็กน้อย เจียงอีอีใช้วิธีการนี้จบชีวิตตัวเอง เขายอมรับว่าตัวเองโล่งอก แต่ก็ทำให้เขารู้สึกหนักใจอีกเช่นกัน เขาสามารถเสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อเยว่เหยาได้ แต่เจียงอีอีก็สามารถเสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อน้องสาวตัวเองได้เหมือนกัน ถ้าดูจากมุมนี้ เขาก็ไม่คิดว่าเจียงอีอีเป็นคนเลวร้ายอะไร บางทีเยว่เหยาอาจจะมองคนไม่ผิด บางทีเจียงอีอีอาจจะจริงใจกับเยว่เหยาก็ได้ ตัวเองสนใจพฤติกรรมน่ารังเกียจในอดีตของเจียงอีอีมากเกินไปหรือเปล่า? เพราะอย่างไรเสียเจียงอีอีก็โดนกดดันจนไม่มีทางเลือกเหมือนกัน

เขากำลังถามใจตัวเอง ว่าการที่ตัวเองทำแบบนี้เป็นการไปแยกคู่รักที่มีรักจริงออกจากกันหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างหนึ่ง หนึ่งในนั้นคือเจ้าสาม ตอนนี้ในใจเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

“เจ้าช่างฆ่าคนแบบไม่เห็นเลือดจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกดดันคนคนเป็นๆ ให้ฆ่าตัวตายเองได้!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ วางแผ่นหยกในมือกลับไปบนโต๊ะชา แล้วผลักกลับไป

“เจ้ากำลังโทษข้า? โทษที่ข้าไม่ได้ช่วยให้เจ้าสามกับเขาสมหวังกันใช่มั้ย?” ในดวงตาอวิ๋นจือชิวสื่อความรู้สึกที่หลากหลาย

เหมียวอี้สายหน้า “เปล่าหรอก ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าน่าจะบอกข้าก่อนล่วงหน้า แต่เจ้ากลับปิดบังไม่ยอมบอก”

อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ทำให้เจ้าไม่สบายใจเหรอ? แค่สภาวะจิตใจที่เจ้ามีต่อเจ้าสาม ข้าก็ไม่รู้ว่าหนิวเอ้อร์ที่ตัดสินใจฆ่าคนอย่างไม่ลังเลหายไปไหนแล้ว ถ้าข้าบอกแล้วเจ้าจะตอบตกลงเหรอ? ข้าทำได้เพียงช่วยเจ้าตัดสินใจ อย่าบอกนะว่าผลลัพธ์แบบนี้ยังไม่ดีอีก? ต่อให้ปล่อยให้พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน เจ้าคิดเหรอว่าเจียงอีอีจะตัดใจทิ้งน้องสาวตัวเองเพื่อมาอยู่กับเจ้าสามได้? ขนาดเจียงอีอียังรู้จักหลบเลี่ยงเลย! ให้พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันไม่มีจุดจบที่ดีอะไรหรอก ถ้าพัวพันกันต่อไปก็มีแต่จะทำร้ายกันและกัน ข้าทำแบบนี้ก็เพื่อเจ้าสาม เจ้าจะไม่เข้าใจเชียวเหรอ?”

“ข้าเข้าใจแล้ว” เหมียวอี้ลุกขึ้นช้าๆ เดินไปตรงหน้าภาพวาดที่แขวนบนผนัง เอามือไขว้หลังมองดูพลางถอนหายใจ “ข้าแค่ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเจ้าสามยังไง”

“เจ้าเองก็รู้ดีว่าถ้าปล่อยเจียงอีอีออกไปแล้ส ก็จะมีปัญหาตามมาไม่จบไม่สิ้น ที่จริงแล้วเจ้าก็ไม่อยากให้เขารอดชีวิตออกไปเหมือนกัน แต่เจ้ากังวลความรู้สึกของเจ้าสาม ถึงลำบากใจที่จะลงมือ แต่ตอนนี้เจียงอีอีฆ่าตัวตายเพื่อน้องสาวตัวเองแล้ว เป็นเขาเองที่ตัดสินใจแบบนั้น ยังมีอะไรน่าอธิบายอีก นี่ก็คือผลลัพธ์สุดท้ายแล้วไม่ใช่เหรอ?” อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นเดินไปพูดข้างหลังเขาแล้วเช่นกัน

เหมียวอี้ถามกลับมา “แต่ถึงยังไงพวกเราก็เป็นคนผลักดันเรื่องนี้ สามารถปิดบังคนทั้งโลกได้ แต่จะปิดบังตัวเองได้เหรอ? ถ้าหากวันไหนมีคนกดดันให้ข้าปลิดชีพตัวเองบ้าง เจ้าจะรู้สึกยังไง?”

อวิ๋นจือชิวกออดเขาจากข้างหลัง “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สบายใจที่ข้าทำแบบนี้ บางทีอาจจะรู้สึกว่าผู้หญิงอย่างข้าโหดเหี้ยมเกินไป ทำให้เจ้ารู้สึกตัวสั่นหวาดกลัว แต่เจ้าเคยลองคิดในมุมของข้าบ้างรึเปล่า? เจ้าสามารถเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงเพื่อเจ้าสามได้ แต่เจ้าจะให้ข้าทำยังไง ข้าจะทนดูผู้ชายของตัวเองไปเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงขนาดนั้นได้เหรอ? ไม่ว่าในใจเจ้าจะมีปมหรือไม่ แต่ข้าก็ยังต้องบอกเอาไว้ ว่าถ้าให้โอกาสข้าอีกครั้ง ข้าก็ยังจะทำแบบนี้ ข้าไม่มีทางเลือก!”

เหมียวอี้แกะมือนางออก แล้วหันตัวกลับมา พบว่านางเริ่มตาแดงแล้ว จึงหัวเราะเจื่อนๆ แล้วดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ลูบแผ่นหลังนางเบาๆ พร้อมบอกว่า “น้องชิว เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าไม่ได้ไม่พอใจอะไรเจ้าเลย ข้าแค่รู้สึกว่าอธิบายกับเจ้าสามลำบาก กลัวจะทำร้ายจิตใจเจ้าสาม”

อวิ๋นจือชิวเงยหน้าอยู่ในอ้อมกอดเขา “พูดความจริงมา อย่าตบตาข้า จริงเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบว่า “เจ้าอย่าพูดเลย? ก่อนจะแต่งงานกับเจ้าข้าก็เคยบอกแล้ว ต่อให้ตายด้วยน้ำมือเจ้า ข้าก็ยินยอมพร้อมใจ”

อวิ๋นจือชิวทำเสียงออดอ้อน ก้มหน้าลงในอ้อมกอดเขา ในดวงตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ดื่มด่ำความอบอุ่นในอ้อมอกของเขา ทำสีหน้าราบกับกำลังเสพสุข มีความสุขจนอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ปากก็ยังบ่นว่า “หนิวเอ้อร์ ปัญหาใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับนิสัยของเจ้าน่ะ เวลาเผชิญหน้ากับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ เจ้าก็เลอะเลือน เวลาเจอเรื่องแบบนี้มักจะลังเลไม่เด็ดขาด”

เหมียวอี้ไม่คิดอย่างนั้น “เปล่าสักหน่อย? ในปีนั้นเพื่อที่จะแต่งงานกับเจ้า ข้าลังเลสักนิดมั้ยล่ะ เด็ดขาดจนไม่คิดถึงชีวิตด้วยซ้ำ ก็แค่เพราะจะแต่งงานเอาเจ้ามาไว้ในมือ เจ้าคงไม่ลืมเร็วขนาดนั้นหรอกมั้ง?”

พอนึกถึงภาพในปีนั้น ก็ทำให้อวิ๋นจือชิวซาบซึ้งใจในชั่วพริบตาเดียว น้ำตาร้อนอุ่นเอ่อล้นจากดวงตาอย่างควบคุมไม่ได้ นางอ้าปากกัดหัวไหล่เหมียวอี้อย่างแรง กอดแน่นไม่ยอมปล่อย อยากจะเอาเรือนร่างที่อ่อนช้อยของตัวเองรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายของเขา

“โอ้ย!” เหมียวอี้เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน นิสัยที่พร้อมจะระเบิดอารมณ์ได้ตลอดเวลาของผู้หญิงคนนี้ช่างเหลือทนจริงๆ นางทำให้เขากลัวแล้ว…

…………………………

หลังจากคายต้นสายปลายเหตุออกมาแล้ว เฟยหงก็นั่งลงบนพื้นราวกับเป็นอัมพาต น้ำตาไหลอาบเต็มใบหน้า

เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกันได้ยินแล้วรู้สึกสะเทือนใจ นึกไม่ถึงว่านางระบำจากหองนางโลมคนหนึ่งจะมีพื้นเพชาติกำเนิดอย่างนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นลูกสาวของเทพประจำดาว

อวิ๋นจือชิวก็ตกตะลึงพรึงเพริดเช่นกัน นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่านางจะเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเทพประจำดาวที่โดนประหารล้างตระกูลเพราะพัวพันกับคดีโกงการทดสอบแดนอเวจี ลูกสาวเทพประจำดาวผู้สง่าภูมิฐานตกต่ำจนกลายมาเป็นคนเต้นกินรำเต้นคนหนึ่ง ยังไม่ต้องพูดถึงสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไประหว่างที่เติบโตของเจ้าตัว คนที่ได้มาฟังก็ต้องทอดถอนใจเช่นกัน

ก่อนหน้านี้เจียงอีอีจากสมาคมวีรชนก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ตอนนี้เฟยหงจากหน่วยตรวจการซ้ายก็เป็นอย่างนี้อีก ทั้งสองล้วนพุ่งเป้ามาที่นี่ อวิ๋นจือชิวนับว่ายอมแพ้ตำหนักสวรรค์แล้ว เบื้องหลังทำเรื่องสกปรกไว้มากมาย ใช้วิธีการไร้ยางอายมาควบคุมคน

“น้องสาวคนดีไม่ต้องร้องไห้แล้ว!” อวิ๋นจือชิวประคองเฟยหงขึ้นมา แล้วกอดปลอบเอาไว้ในอ้อมอก “ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เจ้าก็ยิ่งกลับไปที่หน่วยตรวจการซ้ายไม่ได้แล้ว สายลับพลาดเปิดเผยตัวตนแล้ว หน่วยตรวจการซ้ายยังจะใช้งานเจ้าได้อีกเหรอ? ต่อให้ยังใช้งานได้ แต่ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าพวกเขายังจะให้เจ้าทำเรื่องต่ำช้าอะไรที่ฝืนใจตัวเองอีก เจ้าเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง จำเป็นต้องเดินไปถึงขั้นนั้นเหรอ? เจ้าเชื่อจริงเหรอ ที่พวกเขาบอกว่าตราบใดที่พวกเจ้าสองแม่ลูกเชื่อฟังก็จะยังมีโอกาสรอดชีวิต? พื้นเพภูมิหลังของพวกเจ้าสองแม่ลูกถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องทำเรื่องลับลวงพราง พวกเขาแค่จะบีบเค้นมูลค่าของเจ้าไว้ใช้ประโยชน์เท่านั้น รอจนเจ้าหมดประโยชน์แล้ว ก็จะถึงเวลาตายของพวกเจ้าสองแม่ลูก เข้าใจมั้ย?”

“แต่ข้าจะทำยังไงได้ล่ะ? จะให้เอาแต่มองดูแม่ข้าไปตายไม่ได้หรอก ถ้าทำตามที่พวกเขาบอก อย่างน้อยแม่ข้าก็จะไม่เป็นอะไร ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”

“เจ้าโง่เหรอ! เจ้ายังมีนายท่านไม่ใช่รึไง? อยู่ข้างกายนายท่านนอกจากจะปกป้องสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้แล้ว การเฝ้ารออนาคตต่างหากถึงจะเป็นความหวังอย่างแท้จริง ขอเพียงนายท่านได้ผงาดขึ้นมา ถึงจะพิจารณาเพื่อเจ้าได้อย่างแท้จริง รอให้นายท่านมีศักยภาพขึ้นมาแล้ว มีหรือที่จะไม่คิดหาทางช่วยชีวิตพวกเจ้าสองแม่ลูกออกมาจากทะเลทุกข์? น้องสาว ถ้าอยู่กับหน่วยตรวจการซ้าย เมื่อไรที่เจ้าหมดเรื่องให้ใช้ประโยชน์ ก็มีแต่จะตายสถานเดียวเท่านั้น แต่ถ้าเจ้าอยู่ข้างกายนายท่านต่อไป มีพวกเราให้ความร่วมมือกับเจ้า เจ้าก็แสร้งว่ายังไม่โดนเปิดโปงได้ต่อไปเรื่อยๆ แบบนั้นเจ้าจะยังมีคุณค่าให้หน่วยตรวจการซ้ายใช้ประโยชน์ได้ตลอดไป ทั้งปกป้องเจ้าได้ ทั้งปกป้องแม่เจ้าได้ ต่อให้เจ้าไม่คิดเพื่อตัวเอง แต่ก็ต้องคิดเพื่อแม่เจ้ามากๆ หน่อย คิดเพื่ออนาคตของเจ้ากับแม่…”

พูดโน้มน้าวใจไปเป็นชุด เหยียนซิวที่เฝ้าอยู่นอกประตูได้ยินแล้วแอบส่ายหน้า สมกับเป็นเถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ไม่น่าเชื่อว่าพูดแค่ไม่กี่คำก็โน้มน้าวให้สายลับของหน่วยตรวจการซ้ายกลายเป็นแผนซ้อนแผนแล้ว…

อวิ๋นจือชิวที่กลับเข้ามาในห้องตัวเองเหลือบมองเหมียวอี้ที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง จากนั้นเดินมาข้างหลังเขา ใช้สองมือกอดบนบ่าเขาพร้อมบอกว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องกังวลแล้ว ข้าช่วยเจ้าฆ่าเฟยหงให้แล้ว”

เหมียวอี้กระตุกมุมปากเล็กน้อย ในดวงตาฉายแววสับสน ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นอย่างไร แต่ก็อยู่กับเขามาหลายปี เขาพอจะจำได้รางๆ ถึงภาพที่นางเต้นระบำอย่างอ่อนช้อยยามเจอกันครั้งแรก ตอนเจอกันครั้งแรกก็จดจำไว้ในความทรงจำแล้ว เขาหันตัวมาช้าๆ แล้วถามด้วยสีหน้าขื่นขม “เจ้าฆ่านางแล้วเหรอ แล้วจะทำยังไงกับหน่วยตรวจการซ้ายล่ะ?”

อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้วมองดูปฏิกิริยาของเขา ก่อนจะแสยะยิ้มไม่หยุด พลางใช้นิ้วชี้วาดวงตรงหัวใจของเขา “ทำไมล่ะ? ปวดใจเหรอ ตัดสินใจทิ้งไม่ลงเหรอ?”

วันนี้เกิดเรื่องขึ้นเยอะเกินไปแล้ว ทีแรกเหมียวอี้ยังนึกว่าอวิ๋นจือชิวยังมีวิธีการดีๆ อะไรแก้ปัญหาเรื่องเฟยหง นึกไม่ถึงว่าจะลงมือฆ่าทิ้งเสียเลย เขาส่ายหน้าตอบอย่างจนใจว่า “ข้าแค่กำลังคิดว่า ต่อไปจะรับมือกับหน่วยตรวจการซ้ายยังไง”

“พอแล้ว! ข้าล้อเจ้าเล่น หน้าตางดงามขนาดนั้น ทั้งยังร้องรำทำเพลงเก่ง ขนาดผู้หญิงด้วยกันเห็นแล้วยังหวั่นไหว มิหนำซ้ำเจ้ายังเป็นผู้ชาย ถ้าข้าฆ่ายอดดวงใจของเจ้าทิ้งจริงๆ เจ้าก็แค้นข้าไปทั้งชาติน่ะสิ!” อวิ๋นจือชิวพ่นเสียงทางจมูกพลางพูดประชด จากนั้นหันตัวและเดินบดแล้วไปทางข้างเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้าม ใช้สองมือรูดกระโปรงยาวจากบั้นท้ายแล้วนั่งลง ก่อนจะถอนหายใจคร่ำครวญว่า “ก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ข้าไม่สวยเท่านางล่ะ ทำได้แค่ช่วยเช็ดก้นให้คนอื่นเท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นคงโดนเตะทิ้งไปไกลตั้งนานแล้ว”

“…” พอได้ยินตอนแรก เหมียวอี้ก็พูดไม่ออกก่อน พอได้ยินตอนท้ายก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน รีบเดินไปตรงหน้านางแล้วถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้าไม่ได้ฆ่านางจริงเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวนั่งไขว่ห้าง ทำสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “งั้นเจ้าหวังให้ข้าฆ่านาง หรือหวังให้ข้าไม่ฆ่านางล่ะ?”

เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ผู้หญิงคนนี้เหมือนจะหยอกเขาเล่นเพื่อความสนุก จึงยื่นมือไปแหย่เล่นบนใบหน้างามของนางเล็กน้อย “เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว พูดเรื่องสำคัญ”

เพี้ย! อวิ๋นจือชิวปัดมือเขาออก “ใครเล่นกับเจ้า เจ้าไปมีเล็กมีน้อยอยู่ข้างนอก ไม่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของข้าหรอกเหรอ หรือเจ้าคิดว่าข้าเป็นฮูหยินเอกแล้วควรจะใจกว้าง?”

เหมียวอี้คว้าแขนนางดึงขึ้นมา ส่วนตัวเองก็นั่งลง แล้วดึงนางลงมานั่งบนตักตัวเอง จากนั้นเอามือคล้องเอวไม่ให้นางหนี “พูดมาให้ชัดเจน เรื่องเป็นยังไงกันแน่”

“อย่ามาอวดฉลาด!” อวิ๋นจือชิวดิ้นรนจะออกไป ไม่สนแล้วว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ในใจนางรู้สึกไม่สบอารมณ์ ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบดึงผู้หญิงคนอื่นมาให้ผู้ชายของตัวเอง

เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง ใช้มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในเสื้อของนาง ถลกล้วงเข้าไปในชุดชั้นใน ไถลมือจากหน้าท้องขาวนุ่มขึ้นไปข้างบน แล้วคว้าก้อนเนื้ออิ่มเอิบข้างหนึ่งมาจับเล่น เล่นไปได้สองสามทีก็ทำให้ร่างกายที่บิดไปบิดมาของอวิ๋นจือชิวอ่อนระทวยแล้ว นางเอียงหน้าซบบ่าเขา หอบหายใจเบาๆ มองเขาอย่างออดอ้อน แล้วพึมพำกระซิบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง

เหมียวอี้ตกตะลึงนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นจือชิวจะโน้มน้าวเฟยหงจนเปลี่ยนฝั่งได้แล้ว ถามว่า “ยืนยันได้หรือเปล่าว่าเป็นเรื่องจริง? อย่าโดนอีกฝ่ายเล่นแผนซ้อนแผนนะ”

อวิ๋นจือชิวขยับขาสองข้างขนาบมือมารแสนซนที่ไหลเข้าไปตรงหว่างขาเอาไว้แน่น นางคล้องคอเขาพลางกล่าวอย่างทนไม่ไหวว่า “เจ้าเล่นละครตบตานางมานานขนาดนี้ งั้นก็เล่นละครต่อไปเถอะ แสดงท่าทีให้อบอุ่นเป็นมิตรหน่อย นางสวยขนาดนั้น คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเจ้าหรอกใช่มั้ย”

“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ ชักมือออกมาจากกระโปรงของนาง ผลักนางให้ลุกขึ้น “ก็มีแต่ต้องทำอย่างนี้แล้ว”

ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวที่กอดคอเขาอยู่จะไม่ยอมลุกขึ้น นางมองเขาด้วยแววตาออดอ้อนฉ่ำน้ำ ก้มหน้ากระซิบข้างหูเขาว่า “อุ้มข้าขึ้นไปบนเตียงสิ”

“เอ่อ…ไม่เหมาะสมมั้ง คนของหน่วยตรวจการขวาคงใกล้จะมาถึงแล้ว” วันนี้เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์จริงๆ ฝืนลุกขึ้นยืน แกะมือทั้งคู่ของนางออกจากคอตัวเอง

อวิ๋นจือชิวที่ถูกจับให้ลุกขึ้นด้วยมองดูกระโปรงตัวเองที่เพิ่งโดนถกขึ้นมาแล้วไหลลงไปอีก นางถูกยั่วจนเกิดอารมณ์แล้ว แต่เขากลับไม่เล่นแล้วงั้นเหรอ หมายความว่ายังไง? สงสัยจะโดนหยอกเล่นโดยไม่ได้อะไรเลย ดวงตางามถลึงมองทันที นางแยกเขี้ยวโบกกรงเล็บทุบตีอยู่พักหนึ่ง เท้าที่อยู่ในกระโปรงเตะซ้ำๆ “ไอ้เวรนี่ กล้าล้อเล่นกับแม่เหรอ วันนี้เจ้าตาย…”

ผู้หญิงคนนี้จะปรี๊ดแตกแล้ว อย่าไปมีเรื่องด้วยจะดีกว่า เหมียวอี้หัวหดทันที จากนั้นก็ถลันตัวหนีไปแล้ว

คนเพิ่งจะพุ่งออกมาจากในห้อง หมอนใบหนึ่งก็ปลิวออกประตูตามมาแล้ว ยังดีที่ไม่โดน

เสวี่ยเอ๋อร์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเห็นนายท่านหนีไป เห็นหมอนปลิวออกมา ก็เม้มปากกลั้นขำทันที นางพบว่านายท่านไม่กลัวอะไรในโลกนี้ กลัวแค่เวลาฮูหยินอารมณ์ร้าย

อวิ๋นจือชิวที่โดนใครบางคนแกล้งจนเสื้อผ้ายุ่งยับถือหมอนใบหนึ่งพุ่งมาที่ประตู พบก็คือพบว่าไม่เห็นเงาเหมียวอี้แล้ว พอหันกลับมา ก็ถลึงตาบอกว่า “หัวเราะอะไรของเจ้า? เห็นข้าโดนรังแกแล้วเจ้าสนุกมากใช่มั้ย? เจ้าเข้าข้างใคร? ถ้าหัวเราะอีกที ฟันเจ้าร่วงหมดปากแน่!”

เสวี่ยเอ๋อร์รีบเม้มปากก้มหน้า พยายามไม่หัวเราะออกมา

เป็นอย่างที่เหมียวอี้บอก คนของหน่วยตรวจการขวาใกล้จะมาถึงแล้ว กลุ่มนี้มีคนสิบกว่าคน คนที่นำหน้ามาคือชายชราผมแห้งคนหนึ่ง ชื่อว่าเหมิงเซวี่ย เป็นหนึ่งในสามลูกพี่ใหญ่ของหน่วยตรวจการขวา หนึ่งในสามหัวหน้าผู้ตรวจการ พอเปิดเผยตัวตนแล้วก็บุกเข้ามาในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีโดยตรง

เหมียวอี้ย่อมต้องโผล่หน้าออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง หลังจากได้รู้ถึงฐานะของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ถอนหายใจอย่างตกตะลึง จะเห็นได้ว่าหน่วยตรวจการขวาให้ความสำคัญกับเจียงอีอีขนาดไหน ไม่น่าเชื่อว่าหนึ่งในสามลูกพี่ใหญ่ของหน่วยตรวจการขวาจะออกโรงมารับคนด้วยตัวเอง

“วางน้ำชา!” เหมียวอี้หันกลับมาสั่ง

“ไม่ต้องแล้ว จัดการธุระก่อนแล้วกัน!” เหมิงเซวี่ยที่มองไปรอบๆ อย่างดุร้ายยกมือขึ้น พร้อมกล่าวห้ามด้วยเสียงแบหพร่า หลังจากเข้ามาก็ใช้สายตาเย็นเยียบกวาดมองโดยรอบตลอด ยังไม่หยุดใช้สายตาเลย

“อ๋อ! เชิญขอรับ!” เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ แล้วนำทางด้วยตัวเอง

พอมาถึงประตูคุกใต้ดิน ก็มีคนของหน่วยตรวจการขวาสี่คนมาเฝ้าประตูไว้ทันที กันพวกอวิ๋นจือชิวที่พาเฟยหงมาเอาไว้ข้างนอก อนุญาตให้เหมียวอี้ตามเข้าไปในคุกใต้ดินคนเดียว

ก่อนจะเข้าไป เหมียวอี้ก็หันกลับไปมองอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่านางเตรียมการอะไรไว้กันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าส่งตัวเจียงอีอีให้หน่วยตรวจการขวา ทว่าอวิ๋นจือชิวเอียงหน้าไปอีกด้านเหมือนอารมณ์เสีย ขี้คร้านจะสนใจเขา เห็นได้ชัดว่ายังโมโหเรื่องที่โดนแกล้งก่อนหน้านี้

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ก็ถือว่าโล่งอก ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนที่แยกแยะความสำคัญไม่เป็น ในเวลานี้ยังกล้ามากระเง้ากระงอด เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวไว้เหมาะสมแล้ว

เมื่อเห็นสภาพอนาถของเจียงอีอีที่โดนแขวนอยู่ในคุก เหมิงเซวี่ยก็พลันจ้องอย่างเย็นเยียบ หันหน้าช้าๆ กลับมามองเหมียวอี้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “แม่ทัพภาคหนิวทรมานเขาเหรอ? เขารับสารภาพอะไรแล้วหรือยัง?”

เหมียวอี้โบกมือเบาๆ “ข้ายังไม่ได้สืบสวนเขาเลย ไม่ได้แตะต้องเขาแม้แต่ผมเส้นเดียว ตอนตึกศาลาสัตยพรตส่งตัวมาก็มีสภาพเป็นอย่างนี้แล้ว เดี๋ยวผู้ตรวจการกลับไปถามก็รู้แล้ว”

พอเหมิงเซวี่ยบุ้ยปากไปทางเจียงอีอี ก็มีคนควงกระบี่ตัดเชือกทันที ปล่อยเจียงอีอีแล้ว ขณะเดียวกันก็มีคนตรวจอาการบาดเจ็บให้เจียงอีอี บันทึกอาการของเจียงอีอีเอาไว้อย่างละเอียด

มีอีกคนดึงผมที่ยุ่งเหยิงของเจียงอีอี หลังจากถือภาพวาดมาเปรียบเทียบแล้วก็ถามว่า “เจ้าคือเจียงอีอีเหรอ?”

“ใช่!” เจียงอีอีตอบเสียงเบา

เหมิงเซวี่ยถามแทรกอยู่ข้างๆ ว่า “ตรงนี้ไม่มีใครสอบสวนเจ้าจริงๆ ใช่มั้ย? ใครซ้อมจนเจ้ามีสภาพเป็นอย่างนี้?”

เหมียวอี้เริ่มรู้สึกบีบหัวใจทันที กังวลว่าเจียงอีอีจะพูดซี้ซั้ว แต่โชคดีที่เจียงอีอีส่ายหน้าเบาๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ไม่มี ไม่รู้ คงจะเป็นตึกศาลาสัตยพรต”

เหมิงเซวี่ยเหล่ตามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง จากนั้นก็ส่งสายตาให้ลูกน้องอีก

จากนั้น พลังอิทธิฤทธิ์บนตัวเจียงอีอีที่ถูกผนึกไว้ก็คลายออก แล้วยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้ตรงหน้าเจียงอีอี ให้เขาลงตราอิทธิฤทธิ์เพื่อนำมาเปรียบเทียบตรวจสอบตัวตน

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว เจียงอีอีที่ได้พลังอิทธิฤทธิ์กลับมาก็เหมือนจะฟื้นฟูกำลังวังชากลับมาแล้ว ตอนที่จะถูกผนึกพลังอีกครั้งและพาตัวไป จู่ๆ ก็บอกว่า “ข้ามีอะไรจะพูด”

…………………………

เมื่อกล่าวคำว่าหน่วยตรวจการซ้ายออกมา ก็ราวกับโดนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ทำให้เฟยหงตกตะลึงไม่เบา ชั่วพริบตาเดียวใบหน้างามก็ถอดสี มองอวิ๋นจือชิวที่หันหลังให้อย่างระแวงสงสัย ถึงแม้สีหน้าจะแย่มาก แต่ก็ยังฝืนตอบไปว่า “เฟยหงไม่เข้าใจว่าฮูหยินกำลังพูดอะไรค่ะ”

อวิ๋นจือชิวหันตัวช้าๆ แล้วกล่าวพร้อมสายตาเย็นเยียบ “เรื่องวางยานายท่านที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท เจ้าคงยังไม่ลืมหรอกใช่มั้ย!”

เฟยหงร่างกายโอนเอนทันที เดินโซเซถอยหลัง ทำท่าราวกับเห็น ใบหน้าซีดขาวไปหมดแล้ว จากนั้นเผยรอยยิ้มฝืนๆ “ที่แท้นายท่านก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วนี่เอง น่าขำที่ข้า…ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมนายท่านรักษาระยะห่างกับข้ามาตลอด ทำไมต่อให้จะเป็นจะตายยังไงก็ไม่แต่งตั้งข้าเป็นฮูหยินเอกสักที ที่แท้ก็มีแผนในใจตั้งนานแล้ว”

อวิ๋นจือชิวไม่พูดอะไร มองนางอย่างเย็นชา

เจาะกระดาษหน้าต่างพูดเปิดอกขนาดนี้แล้ว เฟยหงกลับค่อยๆ ปล่อยวางด้วยซ้ำ รอยยิ้มฝืนใจยังคงอยู่บนใบหน้า เพียงแต่งความเสี่ยงไว้แล้วน้ำเสียงเด็ดขาดขึ้นไม่น้อย “ในเมื่อรู้ถึงตัวตนของข้าแล้ว พวกท่านจะทำอะไรข้าล่ะ? จะฆ่าทิ้งเหรอ? วันนี้ตอนที่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน เบื้องบนพิจารณาถึงความเสี่ยงไว้แล้ว ถ้าหากข้าตาย เกรงว่าหน่วยตรวจการซ้ายจะสงสัยทันทีว่าฝั่งนี้มีปัญหา”

นี่ก็คือจุดที่เป็นปัญหายุ่งยาก ถ้าฆ่าผู้หญิงคนนี้ทิ้งก็จะมีปัญหาแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถ่วงเวลามาจนถึงวันนี้หรอก! แต่อวิ๋นจือชิวก็ไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของนาง “สิ่งนี้ไม่นับว่าเป็นปัญหาหรอก ถ้ามีคนบุกโจมตีเข้ามาในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีเพื่อฆ่าเจียงอีอี จะมีคนตายไปบ้างก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนัก อย่างมากข้าก็แค่ให้ความร่วมมือเจ็บตัวไปด้วย เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”

“หึหึ!” เฟยหงหัวเราะอย่างน่าเวทนาพลางส่ายหน้าช้าๆ “ข้าไม่เข้าใจ ในเมื่อเจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมตอนแรกยังกล้ารับข้าไว้อีก?”

อวิ๋นจือชิวไม่ได้บอกสาเหตุที่แท้จริง “ก็เพราะนายท่านชอบเจ้าจริงๆ ไงล่ะ ต่อให้จะรู้ว่าเจ้าคือสายลับของหน่วยตรวจการซ้าย ต่อให้ก่อนหน้านี้จะรู้ว่าเจ้าแอบได้ยินอะไรอยู่นอกคุก แต่ก็ไม่อยากทำให้เจ้าลำบาก ในใจของนายท่านยังมีเจ้าอยู่ ยังมีความหวังกับเจ้าอยู่บ้าง ยังอยากพยายามรั้งเจ้าไว้ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่มาโผล่อยู่ตรงนี้หรอก นายท่านเพียงอยากจะรู้เท่านั้นเอง ว่าความรักความห่วงใยที่นอนเคียงหมอนกันมาหลายปี สำหรับเจ้าแล้วเทียบกับหน่วยตรวจการซ้ายไม่ได้เชียวเหรอ? นายท่านแค่ต้องการคำตอบเดียวเท่านั้น!”

“ความรักความห่วงใย!” เฟยหงตาเป็นประกายทันที จากนั้นก็หดหู่ลงอีกครั้ง นางถอยหลังช้าๆ นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง “ความรักความห่วงใยจากไหนกัน ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ข้ายังมองไม่ออกเลยว่าเขารักห่วงใยอะไรข้า”

อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า “ไม่แสดงออกก็ใช่ว่าจะไม่รัก ก่อนหน้านี้นายท่านบอกข้าไว้แล้ว ที่จริงในหลายปีมานี้เขาก็ขัดแย้งในตัวเองมาตลอดเหมือนกัน เป็นเพราะฐานะของเจ้า เขาอยากจะเข้าใกล้เจ้า แต่ก็กลัวเจ้าอีก ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าจะยังสนิทสนมไหวรึเปล่าล่ะ?”

เฟยหงกล่าวเสียงต่ำอย่างเศร้าสลด “บางทีอาจจะเป็นเพราะกังวลฐานะของข้า เลยไม่สะดวกจะแตกคอกับข้ามากกว่า” นางเองก็ไม่ได้โง่

แต่อวิ๋นจือชิวก็ไม่ใช่ไก่อ่อน กลับตาสว่างมองออกไรยางอย่างออกแล้ว ถึงได้กล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “เจ้าคิดผิดแล้วล่ะ! เจ้าอยู่กับนายท่านมาหลายปีขนาดนี้ ก็จะน่าจะรู้นะว่านายท่านเป็นคนยังไง ขนาดในงานพิธีรับสนมของราชันสวรรค์ เขาเห็นอะไรขัดตาก็ยังด่าว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศเลย เขาเป็นคนบุ่มบ่ามมุทะลุ ถ้าเขาไม่รักเจ้าเขาไม่มีทางเล่นละครตบตามาหลายปีขนาดนี้หรอก ถ้านายท่านอยากจะรับมือกับหน่วยตรวจการซ้ายเบื้องหลังเจ้าจริงๆ ก็ยิ่งไม่ต้องรักษาระยะห่างกับเจ้าเลย คงจะแกล้งสนิทสนมรักใคร่เจ้ามากเพื่อให้เจ้าประมาทแล้ว แต่นายท่านทำอย่างนั้นรึเปล่าล่ะ? เจ้าลองใช้หัวใจคิด เจ้าคิดว่านายท่านไม่รู้สึกอะไรกับเจ้าจริงเหรอ?”

พอได้ยินนางพูดแบบนี้ เฟยหงก็กัดริมฝีปาก ประสานนิ้วทั้งสิบเข้าไว้ด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าไม่กล้ายืนยัน สีหน้าสับสนลังเล

อวิ๋นจือชิวฉวยโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อน “ก่อนจะมาที่นี่ นายท่านบอกข้าไว้แล้ว มาเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ในเมื่อไม่มีทางปิดบังต่อไปได้ งั้นก็ต้องแก้ไขปัญหา นายท่านบอกเอาไว้เช่นกัน ว่าถ้าเจ้ารักเขาบ้างสักนิดจริงๆ ก็ให้ทิ้งหน่วยตรวจการซ้ายที่ชอบทำเรื่องลับลวงพรางนั่นซะ มาเป็นผู้หญิงของเขาอย่างแท้จริง อยู่ด้วยกันอย่างแท้จริง แต่ถ้าเจ้าตัดสินใจจะยืนฝ่ายหน่วยตรวจการซ้าย เขาก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ แต่ถ้าเสียเวลาแบบนี้ต่อไปก็ไม่มีความหมายแล้ว เขาก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน และไม่อยากให้เจ้าเหนื่อยต่อไปด้วย เลยถือโอกาสนี้เสียเลย คิดเสียวาเขาเปิดโปงตัวตนของเจ้าได้ และให้เจ้ากลับไปที่หน่วยตรวจการซ้าย”

“ให้ข้ากลับไปเหรอ?” เฟยหงเงยหน้า ถามอย่างแปลกใจอยู่บ้างว่า “เขาไม่กลัวว่าข้าจะพูดเรื่องที่ได้ยินมาเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวบอกว่า “นี่ก็คือจุดที่ข้ากังวล แต่นายท่านไม่ได้คิดอย่างนั้น นายท่านบอกว่า เรื่องนี้ไม่ได้ผิดที่เจ้า ในปีนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเขามีใจให้เจ้า ระหว่างพวกเจ้าก็คงไม่เดินมาถึงขั้นนี้ ถ้าเจ้าจะทำอย่างนี้จริงๆ ต่อให้ตายด้วยน้ำมือของเจ้า เขาก็ยอมรับ!”

เฟยหงหัวใจกระตุกวูบ นัยน์ตาแดงก่ำ หลังจากก้มหน้าเงียบไปนาน สุดท้ายก็ยังยืนขึ้นช้าๆ เดินเนิบนาบผ่านข้างกายอวิ๋นจือชิวไป แล้วกล่าวอย่างหดหูใจว่า “ให้ข้ากลับไปที่หน่วยตรวจการซ้ายดีกว่า ในเมื่อในใจทั้งคู่ต่างมีปมนี้อยู่ ฝืนอยู่เผชิญหน้ากันต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าพวกท่านกลัวว่าข้าจะเปิดเผยความลับ ก็ฆ่าข้าเสียเลย ข้าจะไม่บ่นอะไรทั้งนั้น” นางเดินมาข้างๆ สาวใช้ทั้งสอง แล้วเก็บพวกนางเข้ากระเป๋าสัตว์

“หยุดอยู่ตรงนั้น! ถ้าเจ้าจะไป ข้าก็ไม่ยื้อ เพราะนายบอกว่าอย่าทำให้เจ้าลำบากใจ ไม่มีใครกล้าฆ่าเจ้าหรอก!” อวิ๋นจือชิวหันตัวมา แล้วกล่าวเสียงดังว่า “เพียงแต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ ข้าเลยต้องถามให้ชัดเจน”

เฟยหงที่สาวเท้าเดินมาถึงประตูถามอย่างสิ้นหวังว่า “มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีอะไรน่าถามอีก?”

อวิ๋นจือชิวเดินมาข้างกายนาง “ข้าก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ข้าก็เลยไม่เข้าใจ! ข้าได้ยินนายท่านบอก ว่าถึงแม้เจ้าจะมีพื้นเพมาจากหอนางโลม แต่กลับไม่ใช่สตรีตกอับ เจ้าอยู่กับเขาตั้งแต่ยังเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ อยู่ด้วยกันมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เจ้าไม่รู้สึกผูกพันอะไรกับเขาสักนิดเลยจริงๆ เหรอ เต็มใจทิ้งนายท่านไปโดยไม่ห่วงใยสักนิดเลยจริงๆ น่ะเหรอ?”

“ฮูหยิน มาถามเรื่องนี้ยังจะมีความหมายอะไรอีก?” เฟยหงถาม

อวิ๋นจือชิวตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ก็ต้องมีความหมายแน่นอนอยู่แล้ว คนเราไม่ได้ไร้ความรู้สึกเหมือนต้นไม้ใบหญ้า ต่อให้เจ้าจากไปโดยไร้ความห่วงใย แต่นายท่านล่ะ? หลายปีมานี้นายท่านมีความหวังต่อเจ้ามาตลอด ถ้าเจ้าทำให้ความหวังของนายท่านสูญเปล่าอย่างนี้ เจ้าจะให้นายท่านที่ทุ่มเทเงียบๆ มาหลายปีทนความรู้สึกได้ยังไง? ต่อไปเจ้าจะให้ข้าพูดกับเขาว่ายังไง เขาจะผิดหวังปวดใจขนาดไหนกัน ข้าไม่อยากให้เขาเป็นทุกข์ ข้าต้องช่วยหาคำตอบให้เขา ตกลงมั้ย?”

น้ำตาเม็ดใหญ่เท่าถั่วไหลพรากอาบแก้มเงียบๆ เฟยหงร้องไห้แล้ว ห้องไห้โดยไร้เสียง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เอาแต่ส่ายหน้าไม่หยุด

อวิ๋นจือชิวกลับไม่ยอมปล่อยไป “หัวใจคนเราล้วนมีเลือดมีเนื้อ ต่อให้ต้องการจะส่งนายท่านไปตาย แต่ก็ต้องให้นายท่านตายอย่างเข้าใจกระจ่าง!”

“ข้าไม่รู้! จ้าไม่รู้…” ในที่สุดเฟยหงก็ร้องไห้อย่างเจ็บปวด นางเดินเข้าไปยืนชิดมุมแล้วส่ายหน้า ให้ความรู้สึกเหมือนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้ว

“น้องสาวคนดี ถ้าเจ้าร้องไห้ต่อไปอย่างนี้ พี่สาวต้องใจสลายแน่ๆ” อวิ๋นจือชิวเดินเข้าไปโอบนาง ดึงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แล้วลูบหลังปลอบใจ “ร้องไห้ขนาดนี้แล้ว ถ้าจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรกับนายท่านสักนิดเลย ข้าก็ไม่เชื่อหรอก ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ไม่ต้องไปไหนแล้ว ข้าจะไปคุยกับนายท่านเอง ให้หน่วยตรวจการซ้ายไปเจอผีเถอะ จะดีจะร้ายนายท่านก็ยังมีตระกูลโค่วเป็นที่พึ่ง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหน่วยตรวจการซ้ายจะกล้าทำอะไรแข็งกร้าว พวกเขาไม่กล้าประกาศด้วยว่าเจ้าคือสายลับที่หน่วยตรวจการซ้ายส่งมาอยู่ข้างกายนายท่าน ตั้งแต่นี้ไปเรามาอยู่ด้วยกันดีๆ เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน!”

“ไม่! ข้าทำไม่ได้…” เฟยหงที่โผเข้าอกอวิ๋นจือชิวยิ่งร้องไห้อย่างเจ็บช้ำ ราวกับต้องการจะระบายความอยุติธรรมในหลายปีมานี้ออกมา

“แล้วเป็นเพราะอะไรกันแน่ล่ะ!” อวิ๋นจือชิวประคองใบหน้างามที่ร้องไห้จนเหมือนดอกสาลี่เปียกฝน “ข้ารับประกันแล้วว่าหน่วยตรวจการซ้ายจะไม่กล้าทำอะไรเจ้า เจ้ายังมีอะไรให้กลัวอีก? มีเหตุผลอะไรเจ้าก็บอกมาสิ! ทำให้ข้าร้อนใจจะแย่แล้วนะ เป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าพูดออกมาจะได้แก้ปัญหาได้สะดวกไง!”

เฟยหงพยายามส่ายหน้าสุดชีวิต ไม่ยอมบอกอะไรทั้งนั้น

อวิ๋นจือชิวนับว่ามองออกแล้ว ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องมีจุดอ่อนอะไรที่อยู่ในมือหน่วยตรวจการซ้ายแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำท่าลำบากใจถึงขั้นนี้หรอก นางแววตาวูบไหว พลันใช้สองมือประคองไหล่กดไว้ด้านข้าง แล้วกล่าวเหมือนจะรับทุกอย่างไว้เอง “ได้! เรื่องนี้ข้าจะตัดสินใจให้เจ้าเอง เจ้าไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น อยู่ที่นี่ให้สบาย ตอนนี้ข้าจะขอให้พ่อบุญธรรมของข้าไปขอเจ้ามาจากหน่วยตรวจการซ้าย สายลับถูกแทรกเข้ามาในบ้านข้าแล้ว ถ้าไม่เชื่อหรอกว่าถ้าเปิดโปงแล้วพวกเขาจะไม่กล้าให้!” พูดจบก็เดินออกไป

“ไม่นะ!” เฟยหงโผเข้ามาทันที คุกเข่ากอดขาใต้กระโปรงอวิ๋นจือชิวเอาไว้ แล้วส่ายหน้าขอร้อง “อย่านะ! แม่ข้าอยู่ในมือหน่วยตรวจการซ้าย พวกเขาจะฆ่าแม่ข้า!”

“หา!” อวิ๋นจือชิวย่อเข่าประคองนางขึ้นมาทันที ถามด้วยสีหน้าตกใจว่า “เจ้าหมายความว่า หน่วยตรวจการซ้ายจับแม่เจ้าเป็นตัวประกันเหรอ? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”

เฟยหงส่ายหน้าอีกครั้ง ไม่ยอมบอกอะไร เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว

“เจ้าวางใจเถอะ ท่านพ่อบุญธรรมข้าจะช่วยทั้งเจ้าทั้งแม่เจ้า!” อวิ๋นจือชิวกล่าว

“อย่าเลย!” เฟยหงโดนอวิ๋นจือชิวกดดันจนสติแตกแล้วจริงๆ กอดแขนนางไว้ไม่ยอมปล่อย “ฮูหยิน ข้าขอร้องท่านล่ะ ไม่มีประโยชน์หรอก! หน่วยตรวจการซ้ายไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองทำเรื่องนี้ ถ้าไปหาถึงที่ พวกเจ้าก็จะฆ่าแม่ข้าทันที ไม่มีทางเก็บแม่ข้าไว้เป็นหลักฐาน ไม่มีทางที่หน่วยตรวจการซ้ายจะเริ่มต้นแบบนี้!”

อวิ๋นจือชิวย่อมรู้ว่าหน่วยตรวจการซ้ายไม่มีทางเริ่มต้นแบบนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าในภายหลังสายลับที่ยัดไว้ในบ้านต่างๆ มากดดันหน่วยตรวจการซ้ายแบบนี้กันหมด แบบนั้นหน่วยตรวจการซ้ายก็ต้องพังทลายแล้ว มีใครจะอยากโดนหน่วยตรวจการซ้ายควบคุมบ้างล่ะ?

อวิ๋นจือชิวประคองบ่าสองข้างของนางแล้วพูดเร่งเร้า “ไหนๆ ก็พูดถึงส่วนนี้แล้ว เจ้ายังมีอะไรน่าปิดบังอีก เรื่องเป็นยังไงกันแน่ เจ้าก็พูดมาสิ!”

มาถึงขั้นนี้แล้ว เฟยหงที่โดนทำลายแนวป้องกันโดยสิ้นเชิง ในตอนนี้ต้านรับการโจมตีจากนางไม่ไหวแล้ว นางเล่าออกมาหมดด้วยเสียงสะอื้นว่า “ชื่อเดิมของข้าคือไท่ซูอ้าวเสวี่ย ข้ามีพื้นเพชาติกำเนิดสูงส่งเหมือนกัน พ่อข้าคือไท่ซูเหวินชาง เทพประจำดาวมะโรงดินคนก่อน…”

นางเล่าถึงต้นสายปลายเหตุแบบขาดๆ หายๆ สรุปก็คือเดิมทีเฟยหงเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเทพประจำดาวมะโรงดินคนก่อน ตอนที่นางยังเด็ก จู่ๆ ตระกูลของนางก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีโกงการทดสอบที่แดนอเวจี ทำให้ราชันสวรรค์เดือดดาลมาก ตระกูลไท่ซูถูกประหารล้างโคตร ตอนนั้นเฟยหงโดนควบคุมตัวไปประหารแล้ว นางเห็นดาบฟันลงมาตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่ใครจะคิดว่าหลังจากฟื้นขึ้นมากลับพบว่าตัวเองยังไม่ตาย คนที่ยังไม่ตายเช่นเดียวกันก็คือมารดาของนาง สองแม่ลูกถูกขังไว้ในสถานที่ที่ไม่รู้จักแห่งหนึ่ง ตอนหลังคนของหน่วยตรวจการซ้ายปรากฏตัว บอกว่าสาเหตุที่สองแม่ลูกยังรอดชีวิตมาได้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะความงามของเฟยหง ทำให้ทั้งสองอิ่มอกอิ่มใจ ตราบใดที่เชื่อฟัง ทั้งสองก็จะยังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่ ตอนหลังสองแม่ลูกถูกจับแยกกัน เฟยหงถูกพาไปฝึกเลี้ยงอีกที่หนึ่ง เรียนพวกศิลปะร้องรำทำเพลง พอตอนหลังนางก็ถูกส่งตัวไปที่ดาวเทียนหยวน กลายเป็นนางระบำของหอนางโลม สุดท้ายก็ได้รับคำสั่งจากหน่วยตรวจการซ้าย ว่าให้ยั่วยวนเหมียวอี้ที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท จากนั้นก็อยู่ด้วยกันมาตลอดจนกระทั่งตอนนี้

……………………

พอเดินมาถึงประตู เหมียวอี้ก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่อัดอั้นไปด้วยความเศร้าโศก เขาหยุดอยู่ตรงหน้าประตู จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไป

เยว่เหยานอนหมอบตะแคงอยู่บนเตียง เอาหน้าซุกเข้าไปในผ้าห่มและร้องไห้อย่างเจ็บปวด เชียนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกันก็กำลังช่วยลูบหลังให้นางเบาๆ นางหันกลับมามองเหมียวอี้ที่เดินเข้ามาข้างใน

เหมียวอี้ยืนมองอยู่ตรงประตูเงียบๆ ในขณะที่มองดูน้องสาวร้องไห้อย่างเจ็บปวด ในหัวเขาก็ปรากฏภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมากแล้ว…ท่ามกลางเสียงลมหนาวอันโหดร้าย เจ้าสามที่อยู่ในผ้าห่มผืนบางกำลังสูดจมูกที่มีน้ำมูกไหลอย่างน่าสงสาร นางร้องบอกว่า พี่ใหญ่ ข้าหิว!

เรื่องในอดีตไม่อาจย้อนคืนมาได้แล้ว ชั่วพริบตานั้นเหมียวอี้รู้สึกปวดใจ ตาแดงก่ำทันที เขาหลับตาลงด้วยสีหน้าเศร้าเสียใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะเข้าไปปลอบใจหรือทำอะไรดี

พอนึกขึ้นได้ว่าหลายปีมานี้ตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่ของพี่ใหญ่ให้เต็มที่ อีกทั้งการที่น้องสาวเจ็บปวดใจขนาดนี้ก็เป็นเพราะการตัดสินใจในตอนแรกของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขาที่สั่งให้ปราสาทดำเนินนภาลงมือ เจ้าสามก็คงไม่ต้องถูกโจรราคะนั่นหยามเกียรติ

เขาหลับตาเงยหน้าอยู่นานมาก แล้วจู่ๆ ก็ลืมตาขึ้น เหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ เขาหันตัวสาวเท้าเดินออกจากห้องนั้นไป รีบเดินไปทางคุกใต้ดิน

ระหว่างทางบังเอิญเจออวิ๋นจือชิวที่เดินเนิบนาบเข้ามาราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เหมียวอี้หัวใจสั่นสะท้าน สองสามีภรรยาหยุดยืนอยู่ตรงข้ามกัน

เมื่อเห็นเขาตาแดงก่ำ อวิ๋นจือชิวก็ถามหยั่งเชิงว่า “เป็นอะไรไป? แล้วเจ้าสาม…”

“เจ้า…ฆ่าเขาแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ถามอย่างปวดแปลบหัวใจ

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วตอบว่า “ถ้าฆ่าเขาแล้ว เจ้าจะอธิบายกับหน่วยตรวจการขวายังไง? เจ้าไปมีเรื่องกับเกาก้วนไหวเหรอ?”

พอได้ยินว่ายังไม่ได้ฆ่า เหมียวอี้ก็เดินหลบนาง เดินไปทางคุกใต้ดินต่อ

อวิ๋นจือชิวพลิกมือมาข้างหลังแล้วคว้าแขนเขาเอาไว้ ดึงเขาพร้อมถามว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

เหมียวอี้หันหลังตอบว่า “ขอเพียงเขารับประกันว่าต่อไปนี้เขาจะดีกับเจ้าสาม เรื่องก่อนหน้านี้ข้าก็จะปล่อยผ่านไป…ข้าจะปล่อยเขาไปก็ได้”

อวิ๋นจือชิวทั้งโมโหทั้งอยากขำ นางรู้นิสัยผู้ชายคนนี้อยู่แล้ว นางถึงได้ไล่เขาไปก่อน นางเดินอ้อมมาขวางหน้าเขาไว้ นางจ้องตาเขาด้วยสายตาลึกล้ำ “รับประกันเหรอ? รับประกันยังไง? ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา เจ้าเคยคิดถึงผลที่จะตามมารึเปล่า? เคยคิดถึงชีวิตตัวเองกับคนในครอบครัวบ้างรึเปล่า เจ้ารับประกันได้มั้ยว่าทุกคนจะหนีทัน?”

“พวกเรารู้ถึงตัวตนของเขาแล้ว ก็เท่ากับบีบจุดอ่อนของเขาได้ เขาไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วหรอก” เหมียวอี้กล่าว

อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ปล่อยเขาไปเหรอ แล้วเจ้าจะอธิบายกับหน่วยตรวจการขวายังไง? ศิษย์อสุราอัคนีแล้วยังไงล่ะ ตอนนี้เจ้ากำลังพึ่งพาตระกูลโค่ว ประมุขชิงไม่ถือสาที่จะหาข้ออ้างมาฆ่าเจ้าหรอก!”

เหมียวอี้ทำสีหน้าสับสนปนขมขื่น “แล้วจะให้ข้าทำยังไงล่ะ? ไม่ง่ายเลยกว่าเจ้าสามจะเจอผู้ชายสักคนที่ตัวเองชอบ ถ้าส่งเจียงอีอีให้ตำหนักสวรรค์ เกรงว่าตำหนักสวรรค์คงไม่ปล่อยให้เขารอดไปง่ายๆ ถ้าส่งเจียงอีอีไปรนหาที่ตายโดยไม่ทำอะไรเลย ถึงตอนนั้นเจ้าสามจะไม่แค้นข้าไปทั้งชีวิตเลยเหรอ?”

“เฮ้อ! เจ้านี่นะ ถ้าเจอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกเจ้าก็เลอะเลือนทุกที” อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าอย่างจนใจ ดึงแขนเขากลับมา “กลับกันเถอะ ข้าเตรียมการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าจะให้คำอธิบายที่น่าพอใจกับเจ้า กับเจ้าสาม กับตำหนักสวรรค์”

“จะให้คำอธิบายยังไง?” เหมียวอี้ที่แทบจะถูกกลับไปเอ่ยถาม

“ทีแรกก็อยากจะบอกเจ้า แต่ดูจากท่าทีของเจ้าแล้ว ข้าจะบอกเจ้ายังไงดีล่ะ? ข้าจะตัดสินใจเรื่องนี้เอง เจ้าไม่ต้องยุ่ง ข้าบอกว่าจะให้คำอธิบายที่น่าพอใจกับเจ้า ข้าก็จะทำอย่างนั้น ไม่ทำให้เจ้ากับเจ้าสามลำบากใจหรอก มองข้าทำไม คิดว่าข้าหลอกเจ้าเหรอ?”

“ไม่ใช่ เจ้าพูดไม่ชัดเจน ข้าไม่มีความมั่นใจ เจ้า…”

“นี่! สงสัยเจ้าจะไม่เชื่อข้าจริงๆ สินะ ให้มันได้อย่างนี้สิ น้องสาวเจ้าต่างหากที่เป็นคนในครอบครัวเดียวกับเจ้า พอเทียบกับน้องสาวเจ้าแล้ว เมียอย่างข้าก็เป็นแค่คนนอก หนิวเอ้อร์ นับว่าวันนี้ข้ามองเจ้าทะลุปรุโปร่งแล้ว เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ สงสัยจะอยู่ด้วยกันไม่ใช่ซะแล้ว ไปอยู่กับน้องสาวหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าไป!” อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าโมโห ปล่อยมือเขาแล้วสะบัดแขนเสื้อหันตัวหนี ก่อนจะรีบเดินบิดเอวจากไป

“ฮูหยิน เจ้ารอก่อน ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เหมียวอี้รีบตามมาดึงนางแล้ว

“อย่ามาเล่นลูกไม้ เมื่อครู่นี้ตอนอยู่ในคุก ใครกันที่บอกให้ข้าไสหัวไป? ลูกไม้ตื้นๆ ของเจ้าข้ามองออกแล้ว เล่นจนเบื่อแล้ว เห็นข้าแล้วขัดลูกตาจนอยากเปลี่ยนคนใหม่แล้วสินะ? ผู้ชายก็สันดานนี้กันหมด ได้ ข้าจะช่วยให้เจ้าสมปรารถนา เดี๋ยวกลับไปข้าจะส่งหนังสือหย่าไปให้เจ้า ข้ารับได้!” อวิ๋นจือชิวสะบัดมือเขาออก

เหมียวอี้ปวดประสาทแล้วจริงๆ ทางเจ้าสามก็เกิดเรื่อง ทางเฟยหงก็มีเรื่องโดนเปิดโปง ตอนนี้ยังมาขอหย่าอีก เขาพบว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนทำให้เบาใจได้เลยสักคน เขาก้าวยาวรวดเดียวไปดึงมืออวิ๋นจือชิวเอาไว้ แล้วถอนหายใจบอกว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น”

อวิ๋นจือชิวหันตัวมาถามแสกหน้า “หนิวเอ้อร์ อย่ามาปลอม ข้าถามเจ้าคำเดียวว่าเจ้าเชื่อข้ารึเปล่า!”

เหมียวอี้หันกลับไปมองทางคุกใต้ดิน อวิ๋นจือชิวยื่นมือมาช้อนหน้าเขาไว้ จับศีรษะเขาหันมามองตน “เชื่อหรือไม่เชื่อ?”

เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข้าไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อนี่”

“งั้นก็ดี ทำอย่างกับข้าจะทำร้ายเจ้าอย่างนั้นแหละ ไปเถอะ อย่ามาทำตัวเหมือนวิญญาณหลุดจากร่างแถวนี้” อวิ๋นจือชิวคว้าข้อมือเขาแล้วจูงเดินจากไป

นางจูงเหมียวอี้กลับมาถึงในห้องของเชียนเอ๋อร์ที่เปิดประตูอยู่ ขณะมองดูเยว่เหยานอนร้องไห้ไหล่สั่นอยู่บนเตียงไม่หยุด นางก็พยักหน้าเบาๆ แล้วหันกลับมาถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “ร้องไห้ออกมาได้ก็ดีแล้ว ถ้าอัดอั้นไว้ในใจไม่ระบายออกมา แบบนั้นสิเก็บกดของจริง”

“ข้าไม่เข้าใจความคิดของผู้หญิงอย่างพวกเจ้าหรอก อย่ามัวแต่ดูเอาสนุกอยู่ตรงนี้ ไปช่วยกันโน้มน้าวหน่อย” เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอก

อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วเดินเนิบนาบไปข้างเตียง อุทานเรียกแล้วพูดจาคลุมเครือแปลกๆ ว่า “ข้าก็นึกว่าใครมาร้องไห้เศร้าโศกขนาดนั้น ปกติฝีปากกล้าวาจาคมนักไม่ใช่เหรอ ตอนแรกก็ไม่รู้นะว่าใครมันหัวเราะเยาะข้า พอมาดูตอนนี้สิ ก็แค่งั้นๆ เอง จุจุ เสียใจขนาดนี้เพราะโจรราคะคนเดียว น่าอายยิ่งกว่าข้าเสียอีก ข้านับว่ายอมแพ้เจ้าแล้ว ต่อไปอย่ามาปากดีต่อหน้าข้าอีกนะ”

นี่เรียกว่าโน้มน้าวคนเหรอ? เหมียวอี้ทำสีหน้าราวกับโดนตะคริวกิน รีบก้าวขึ้นไปดึงแขนเสื้ออวิ๋นจือชิวเบาๆ

“จะมาดึงมาฉุดทำไม?” อวิ๋นจือชิวตบปัดมือของเขาออกไป “หรือนางว่าคนอื่นได้ แต่คนอื่นว่านางไม่ได้ นับเป็นลูกศิษย์สำนักไหนกัน? เรื่องที่น่าไม่อายก็ทำมาแล้ว แต่ยังไม่ยอมให้คนอื่นว่างั้นเหรอ? ถ้าเก่งนักก็เขาหัวโขกพื้นให้ตายไปสิ ไม่ต้องมาแสร้งเรียกร้องขอความเห็นใจหรอก?”

“เจ้า…” เหมียวอี้พูดดักอย่างโมโห

เยว่เหยาที่นอนหมอบปาดน้ำตาแล้ว นางลุกขึ้นนั่ง ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจ้องอวิ๋นจือชิว เรื่องเศร้าเสียใจเหมือนจะหายไปแล้ว เหมือนไฟโกรธจะโหมขึ้นมาอีกแล้ว

“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวอุทานดูถูกเบาๆ เชิดคางขึ้นอย่างลำพองใจ มองข้ามความโกรธของเยว่เหยา หันตัวเดินออกไปเบาๆ อย่างนั้นแล้ว

เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะช่วยคนไหนดี ไม่รู้จะพูดกับใคร ได้แต่มองเชียนเอ๋อร์ แต่เชียนเอ๋อร์ก็ทำสีหน้าจนใจเช่นกัน

“เชียนเอ๋อร์!” ด้านนอกมีเสียงเรียกของอวิ๋นจือชิว

“ค่ะ!” เชียนเอ๋อร์รีบวิ่งออกไปโดยก้มหน้าหลบสายตาเหมียวอี้ พอออกไปถึงข้างนอก อวิ๋นจือชิวก็สั่งด้วยเสียงต่ำเบาว่า “ดูแลน้องสามีคนนี้ให้ดีล่ะ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้าก็ห้ามให้นางออกไป คนเยอะตาเยอะ”

เชียนเอ๋อร์กล่าวเสียงอ่อนว่า “ฮูหยิน ขังนางไว้แบบนี้คงไม่ดีมั้งคะ เกรงว่านายท่านคงจะไม่ยอม”

อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า “พอเผชิญกับเรื่องนี้ เขาก็เป็นแค่คนโง่คนหนึ่ง อย่าไปสนใจเขา ถ้าเขาไม่ยอมก็ไปหาข้า ถ้าอยากจะเถียงกันข้าก็จัดให้! ขังไปก่อน รอให้น้องสามีคนนี้อารมณ์สงบลงก่อน รอให้สมองโล่งก่อน พอสติสัมปชัญญะกลับมาแล้วไม่ทำอะไรซี้ซั้ว ถึงตอนนั้นแล้วค่อยว่ากัน ถ้าตอนนี้ให้นางเพ่นพ่านไปทั่วก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

“เข้าใจแล้วค่ะ” เชียนเอ๋อร์พยักหน้า

ในห้องนอน เยว่เหยาที่นั่งอยู่บนเตียงก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง ส่วนเหมียวอี้ก็ยืนอยู่ข้างกายอย่างเงียบๆ หลังจากเชียนเอ๋อร์เข้ามาแล้ว เหมียวอี้ส่งสายตาให้นาง พอใบ้ว่าให้ดูแลให้ดี ก่อนหน้านี้สองพี่น้องพูดจาดุร้ายใส่กันไปหมดแล้ว คนหนึ่งบอกว่าไม่มีน้องสาวแบบนี้ อีกคนบอกว่าไม่ยอมรับพี่ใหญ่แบบนี้ ตอนนี้เขาจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี จึงหันตัวเดินออกไปแล้ว

ตอนนี้เฟยหงกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเงียบๆ ในมือกำลังถือหวีสางปอยผมสองข้าง ภายนอกดูสงบนิ่ง แต่ในใจกลับกระวนกระวาย

เหยียนซิวก็อยู่ในห้องเช่นกัน ถึงแม้จะยื่นเงียบอยู่ข้างประตู และประตูก็เปิดอยู่ดูแล้วไม่น่าจะมีเจตนาร้ายอะไร แต่ตั้งแต่ที่นางแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อมา ก็ยังไม่เคยมีผู้ชายบุกเข้ามาถึงในห้องนอนของนางเลย

เคยถามแล้วว่าเพราะอะไร เคยด่าว่ากำเริบเสิบสานแล้วเช่นกัน แต่เหยียนซิวก็ยังยืนยันคำเดิม บอกว่าได้รับคำสั่งให้มาปกป้องนาง!

นางหยิบระฆังดาราออกมาเพื่อจะติดต่อเหมียวอี้ แต่ผลปรากฎว่าเหยียนซิวยื่นมือมาแย่งระฆังดาราของนาง ไม่ให้โอกาสนางติดต่อกับภายนอก

ต่อให้เป็นคนโง่ก็มองออกว่าเหยียนซิวกำลังจับตาดูนางอยู่ สิ่งนี้ทำให้นางกังวลใจถึงขีดสุด แต่ก็ยังพยายามแสร้งทำใจเย็น

แต่ผ่านไปไม่นานเท่าไร อวิ๋นจือชิวก็นำเสวี่ยเอ๋อร์เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มสนิทสนม เหยียนซิวย่อตัวคำนับเล็กน้อย

“ฮูหยิน!” เฟยหงวางหวีลงและลุกขึ้นยืนทันที ราวกับค้นพบดาวช่วยชีวิต รีบก้าวขึ้นมาต้อนรับ แล้วชี้เหยียนซิวพร้อมฟ้องด้วยสีหน้าราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรม “ฮูหยิน เหยียนซิวคนนี้แหกกฎเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะบุกเข้ามาในห้องนอนของข้าคนเดียว ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป ต่อให้ข้ามีร้อยปากก็แก้ตัวไม่ได้…” นางฟ้องทุกการกระทำของเหยียนซิว

“ไม่ร้ายแรงขนาดนั้นหรอก เกิดเรื่องขึ้นในจวนแม่ทัพภาคนิดหน่อย ข้าสั่งให้เขามาปกป้องเจ้าเอง” อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างเป็นกันเอง แล้วหันกลับมาเอียงหน้าบอกใบ้เหยียนซิวอีก

เหยียนซิวเข้าใจ จึงทำความเคารพแล้วถอยออกไป พร้อมทั้งถือโอกาสปิดประตูและยืนเฝ้าอยู่ข้างนอก

ส่วนเสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิวก็โบกมือ โยนผู้หญิงสองคนที่อยู่ในสภาพสลบลงบนพื้น พวกนางคือสาวใช้ทั้งสองของเฟยหงนั่นเอง

เฟยหงตกใจทันที บนใบหน้าฉายแววหวาดกลัว ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้ยังสงบนิ่งได้ นั่นก็เป็นเพราะแน่ใจว่าที่นี่ไม่มีใครรู้ถึงเบื้องหลังของนาง ตอนนี้ลงมือแม้กระทั่งกับสาวใช้ของนางแล้ว เรื่องบางเรื่องนั้นชัดเจนแล้วจริงๆ แต่ตามหลักเหตุผลแล้ว เบื้องหลังของนางไม่น่าจะถูกเปิดโปงได้สิ อย่างมากก็แค่โทษที่นางแอบฟังเรื่องที่ไม่ควรฟัง ตัวเองสามารถอ้างได้อยู่แล้วว่าเดินผ่านมาเลยถือโอกาสฟังเฉยๆ ดังนั้นนางจึงพยายามทำตัวใจเย็น บนใบหน้าฉายแววอับอายปนโมโหเล็กน้อย “ฮูหยิน ข้าไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร? ข้าจะไปขอความยุติธรรมจากนายท่านค่ะ!” พูดจบก็ต้องการจะฝืนบุกออกไป

“น้องสาว!” อวิ๋นจือชิวยื่นมือออกมาขวาง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเรียบๆ “หลายปีมานี้ เจ้าก็น่าจะรู้นะ ว่าข้ายังเป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องในบ้าน นายท่านก็มีงานของนายท่าน เรื่องระหว่างผู้หญิงในบ้านกับงานเล็กๆ น้อยๆ น่ะ ไม่จำเป็นต้องเอาไปรบกวนให้นายท่านรำคาญใจหรอก หรือน้องสาวคิดว่าฮูหยินเอกอย่างข้ามีไว้ประดับฐานะเฉยๆ มายุ่งกับเจ้าไม่ได้?”

“หลายปีมานี้ข้ายอมรับว่าข้าก็เคารพเชื่อฟัง ไม่เคยต่อต้านฮูหยินเลย และไม่เคยทำเรื่องที่แย่งชิงความรักหรือล่วงเกินฮูหยินด้วย ฮูหยินให้ข้าทำอะไร ข้าก็ไม่เคยต่อรอง เคารพฮูหยินมาตลอด” เฟยหงชี้ไปยังสาวใช้สองคนที่นอนอยู่บนพื้น “แต่เฟยหงไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไปทำอะไรให้ฮูหยินไม่พอใจกันแน่ ทำไมต้องหยามกันขนาดนี้คะ ข้าจะไปมวงความยุติธรรมจากหัวหน้าครอบครัวไม่ได้เชียวหรือ?”

อวิ๋นจือชิววางมือสองข้างไว้ตรงหน้าท้อง แล้วเดินเนิบนาบผ่านข้างกายนางไป ขณะมองประเมินสิ่งของประดับตกแต่งในห้อง ก็หันหลังพูดกับนางว่า “จะบอกว่าแย่งความรักอะไรนั้นน่ะ เจ้าพูดเกินไปหน่อยรึเปล่า ข้าอยู่ในฐานะฮูหยินเอก จำเป็นต้องไปแย่งชิงด้วยเหรอ? ถ้าแม้แต่ความมั่นใจในตัวเองเล็กน้อยแค่นี้ยังไม่มี ข้าก็คงไม่แต่งงานกับเขาหรอก น้องสาว ข้าคิดแบบนี้มาตลอด ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกัน ก็ไม่เดินเข้าประตูบ้านเดียวกันหรอก ในฐานะที่เป็นนายหญิงของบ้านนี้ การดูแลเรื่องภายในบ้านเพื่อให้นายท่านทำงานข้างนอกอย่างสงบใจนั้นเป็นหน้าที่ของข้า ถ้ามีคนนอกเสนอหน้ามาก่อความวุ่นวายจนไก่กับสุนัขในบ้านอยู่ไม่เป็นสุข นั่นก็เป็นความผิดของข้าแล้ว ดังนั้นข้าจึงอยากทำเรื่องบางเรื่องให้ชัดเจน ข้าอยากรู้ว่าหัวใจของน้องสาวเอนเอียงไปหานายท่าน หรือว่าเอนเอียงไปหา…หน่วยตรวจการซ้าย?” นางหันกลับมาเหล่ตามองอย่างเย็นเยียบ มีพลังอำนาจน่าเกรงขาม

…………………………

[1] เจาะทำลายกระดาษหน้าต่าง 捅破窗户纸 อุปมาว่าพูดเปิดอกตรงๆ ไม่อ้อมค้อม

การพูดอะไรแบบนี้ได้ออกมาในเวลาแบบนี้ ก็เห็นได้ชัดว่ารู้ตัวว่าตัวเองจะต้องตายแน่นอน รู้ว่าตัวเองอยู่ไม่ไกลจากความตาย ไม่มีหนทางแล้วจริงๆ เขาไม่มีความสนิมสนมใดๆ กับคนอื่น คนเดียวที่เขาจะขอร้องได้ก็คือเยว่เหยา

ในขณะที่เยว่เหยาซาบซึ้งใจ นางก็รู้สึกเจ็บช้ำยิ่งกว่า อีกฝ่ายยอมรับแล้วว่าตัวเองเป็นสายสืบของสมาคมวีรชนจริงๆ “เจ้าเข้าใกล้บ้านพักภูเขาธาราวิจิตรเพราะสมาคมวีรชนส่งมาจริงเหรอ?”

“ใช่…” เจียงอีอีลากเสียงยาว “เมื่อหนึ่งพันปีก่อน ในใต้หล้ามีสถานที่ฝึกตนลับที่กระจายอยู่สิบแห่งถูกโจมตี มีคฤหาสน์ มีบ้านชาวนา มีอารามเต๋า มีท่าเรือ มีหมู่บ้าน…ตอนแรกเบื้องบนก็ยังไม่สนใจ ถึงยังไงใต้หล้าก็กว้างใหญ่ขนาดนี้ การรบราฆ่าฟันเป็นเรื่องปกติ จะให้ตรวจสอบทุกอย่างก็คงตรวจสอบไม่ไหว ตอนหลังได้รวบรวมข่าวจากแต่ละแห่ง พบว่ามีสถานที่สิบแห่งโดนโจมตีพร้อมกัน สิ่งนี้ทำให้สมาคมวีรชนสงสัยทันที พอสืบดูเบื้องลึก สิ่งที่แปลกว่านั้นก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าจะหาตัวผู้ร้ายไม่พบเลยสักแห่ง สถานที่ที่กระจายอยู่ในใต้หล้า แต่โดนจู่โจมพร้อมกัน ทั้งยังหาตัวคนร้ายไม่พบ สิ่งนี้ยิ่งดึงดูดความสนใจของสมาคมวีรชน สืบอยู่หลายปีแต่ก็ยังไม่เจอเบาะแสอะไร ถึงได้เริ่มล้มเลิกทีละนิด”

เมื่อเล่ามาแบบนี้ เหมียวอี้ที่ถูกความโกระโจมตีหัวใจก็สบตากับอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง ทั้งสองต่างก็รู้สึกคุ้นๆ กับสถานการณ์ที่เจียงอีอีเล่า

เยว่เหยาค่อนข้างสะเทือนใจ หายใจถี่พร้อมถามว่า “ในเมื่อล้มเลิกแล้ว ท่านมาข้าทำไม?”

เจียงอีอีถอนหายใจ “เยว่เหยา บางทีอาจจะเป็นเพราะเจ้างดงามเกินไป สะดุดตาเกินไป ทำให้คนติดตาตรึงใจ มีคนของสมาคมวีรชนเห็นเจ้าตั้งแต่ปีแรกๆ แล้ว ไม่กี่ร้อยปีหลังจากนั้นก็มีคนบังเอิญพบว่าเจ้าที่เคยอยู่บ้านพักภูเขาสันติภาพที่ถูกทำลายไปมาโผล่อยู่บริเวณบ้านพักภูเขาธาราวิจิตร สายข่าวของสมาคมวีรชนเพ่งความสนใจไปที่บ้านพักภูเขาธาราวิจิตรอีกครั้ง เดิมทีก็ไม่มีอะไร แค่อยากจะอาศัยเบาะแสนี้สืบหาความจริงของเรื่องในครั้งนั้น แต่กลับพบว่าบ้านพักภูเขาธาราวิจิตรภายนอกผ่อนปรนแต่ภายในเข้มงวด ป้องกันแน่นหนามาก ไม่ว่าวิธีการอะไรก็ใช้มาหมดแล้ว แม้แต่กลยุทธ์สาวงามก็ใช้ไปแล้ว แต่กลับไม่มีทางเข้าไปสัมผัสได้เลย บ้านพักบนภูเขาเล็กๆ หลังหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะเตรียมป้องกันแน่นหนาขนาดนี้ เลยทำให้สมาคมวีรชนเกิดความสนใจอย่างเข้มข้นทันที เมื่อเห็นว่าลงมือกับผู้ชายในบ้านพักไม่ได้ผล ก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ผู้หญิงอย่างเจ้าแทน เดิมทีภารกิจแบบนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตงานของข้า ข้าเองก็ไม่อยากรับภารกิจนี้เหมือนกัน เพราะตัวข้าเกี่ยวข้องกับเรื่องราวสำคัญเยอะเกินไป ไม่สะดวกจะเปิดเผนตัวตนมากนัก แต่สมาคมวีรชนกลับมาหาข้า ให้เหตุผลว่าข้ามีประสบการณ์รับมือกับผู้หญิง สาเหตุรองเป็นเพราะต่อให้ตัวตนของข้าถูกเปิดโผง แต่ก็ไม่ถึงแหวกหญ้าให้งูตื่น เพราะข้าคือโจรราคะเจียงอีอี ผู้ร้ายเลืองชื่อตามประกาศจับของตำหนักสวรรค์ สมาคมวีรชนอธิบายต้นสายปลายเหตุชัดเจนแล้ว หลังจากเตือนจุดที่ข้าต้องระวังให้มากๆ แล้ว ข้าถึงได้รู้ต้นเหตุของเรื่องราว และจำเป็นต้องตอบรับภารกิจครั้งนี้”

เยว่เหยาที่ดิ้นรนอยู่ในมือเชียนเอ๋อร์ร่างกายโอนเอน “ท่านหลอกลวงข้ามาตลอด!”

ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีผู้ชายสักคนงัดหัวใจนางได้ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นแค่คนหลอกลวงคนหนึ่ง ล่อให้นางเข้าไปติดกับดักอย่างเป็นขั้นเป็นตอน นางเองก็ไม่ได้โง่ แต่กลับวิ่งชนกับดักความรักจนถอนตัวลำบาก กลายเป็นเหมือนคนโง่คนหนึ่ง ตอนนี้ได้สติขึ้นกะทันหันและเข้าใจความจริงแล้ว เกรงว่าคนนอกคงไม่เข้าใจรสชาตินี้

ความรู้สึกของเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวกลับทั้งซับซ้อนทั้งตกตะลึง ในที่สุดก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้แล้ว

พูดไว้ชัดเจนขนาดนี้แล้ว ไม่มีทางที่เหมียวอี้จะคิดไม่ออกว่าใครเป็นคนวางแผนให้คนของปราสาทดำเนินนภาไปล้างเลือดข่มขู่ห้าลัทธิ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหมียวอี้เอง ต่อให้นอนฝันเหมียวอี้ก็นึกไม่ถึงว่าการตัดสินใจของตัวเองในตอนนั้นได้ทำร้ายเจ้าสามแล้ว คนที่ทำให้เจ้าสามตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็คือเหมียวอี้เอง บอกได้เลยว่าเวรกรรมตามสนอง

ในตอนนี้เหมียวอี้ตกอยู่ในความแค้นเคืองและเสียใจทีหลังถึงขีดสุด ในขณะที่แค้นเคืองก็ตกตะลึงด้วย ตกตะลึงในทักษะการสืบเสาะอันเก่งกาจของสมาคมวีรชน วันนี้นับว่าได้รับบทเรียนแล้ว

อวิ๋นจือชิวเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของเหมียวอี้ นางเดินเข้ามาใกล้อีกครั้ง จับข้อมือของเหมียวอี้ที่กำลังค่อยๆ ถือกระค้ำพื้นเอาไว้ นางปลอบโยนเขา

ถึงแม้วันนี้เหมียวอี้จะใส่อารมณ์กับนางหลายครั้ง แต่นางก็สามารถเข้าใจได้

เจียงอีอีบอกว่า “ถ้าจะบอกว่าตอนแรกข้ามีจุดประสงค์ไปหลอกลวงเจ้า ข้ายอมรับ แต่หลังจากนั้นข้าไม่ได้หลอกเจ้า ข้าปกป้องเจ้ามาตลอด บางทีอาจจะเป็นเพราะเวลาผ่านไปนานแล้วเกิดความผูกพัน ถึงยังไงก็อยู่ด้วยกันหลายรอยปี ถ้าข้าจะบอกว่าข้าชอบเจ้าจริงๆ เจ้าก็อาจจะไม่เชื่อ”

“ข้าไม่เชื่อ!” เยว่เหยาที่ร้องไห้จนตาพร่ากล่าวเสียงดัง

เจียงอีอีบอกอีกว่า “ที่จริงตอนที่ข้ากับเจ้าประมือกันแล้วข้าเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ข้าก็สืบพื้นเพของเจ้าได้บ้างแล้ว ข้าเริ่มสงสัยในตัวตนของเจ้านิดหน่อย ถึงแม้เจ้าจะจงใจปิดบัง แต่ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าก็คือผู้เหลือรอดของหกลัทธิ เจ้าคงจะฝึกเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าของลัทธิเซียน หนึ่งในหกลัทธิ!”

พอเขากล่าวแบบนี้ สายตาของทุกคนก็ไปรวมอยู่บนตัวเขาแล้ว ตกตะลึงพรึงเพริด!

เยว่เหยาตะลึงค้างแล้ว!

เจียงอีอีพูดต่อ “การที่สมาคมวีรชนจะฝึกเลี้ยงคนอย่างข้าออกมาได้สักคน ก็ใช้กำลังความคิดไปแล้วไม่น้อย รวบรวมประสบการณ์ความรู้ของคนรุ่นก่อนกรอกเข้ามาในหัวข้ามากหมาย เป้าหมายก็เพื่อให้ข้าปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากเดาภูมิหลังของเจ้าได้คร่าวๆ แล้ว ที่จริงภารกิจของข้าก็จบลงนานแล้ว ข้าสามารถรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปได้เลย ตำหนักสวรรค์จะส่งกำลังพลมากวาดล้างพวกเจ้าทันที หรือไม่ก็นำตัวพวกเจ้าไปสอบสวน ตอนหลังก็ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับข้าแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้ ทักษะเหนือชั้นที่ตำหนักสวรรค์แสดงออกมาก็ได้ทำให้พวกเขาตกตะลึงอีกครั้ง ทำให้คนตระหนักได้ถึงฉากอันน่าหวาดกลัวไม่รู้จักจบจักสิ้นที่อยู่เบื้องหลังตำหนักสวรรค์ เหมือนสัตว์ประหลาดดุร้ายตัวหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในความมืด

“แล้วทำไมท่านไม่รายงานขึ้นไป ทำไมต้องเสี่ยงอันตรายต่อไป?” เยว่เหยาถามอย่างผิดหวัง

เจียงอีอีตอบว่า “เพราะว่าเห็นแก่เรื่องส่วนตัว ข้ารู้ว่าอาศัยกำลังของข้าไม่สามารถหลุดพ้นจากตัวละครใหญ่อย่างสมาคมวีรชนได้ และยิ่งไม่มีทางช่วยน้องสาวข้าให้หลุดจากเงื้อมมือสมาคมวีรชนได้ด้วย แต่หกลัทธิของเจ้ามีศักยภาพนั้น! เหมือนกิ้งกื้อที่ต่อให้ตายแล้วแต่ร่างก็ไม่แน่นิ่ง ถึงยังไงหกลัทธิก็เป็นอำนาจเพียงไม่กี่ฝ่ายในใต้หล้าที่สามารถคานอำนาจกับตำหนักสวรรค์ได้! หลังจากสังเกตได้ว่าเจ้าเป็นคนของหกลัทธิ ข้าก็ถึงขั้นตื่นเต้นดีใจ แล้วก็กังวลใจนิดหน่อยด้วย คิดว่าตัวเองหาทางออกได้แล้ว เจอความหวังที่จะแก้ปัญหาให้ตัวเองได้แล้ว ข้าก็เลยไม่ได้รายงานขึ้นไปเบื้องบนว่าข้าค้นพบอะไร แต่กลับช่วยปัดความรับผิดชอบกับเบื้องบนมาตลอด ข้ากำลังคุ้มครองพวกเจ้า คลุกคลีอยู่กับพวกเจ้าอย่างระวังตัวเสมอมา หนึ่งในวิธีการที่ดีที่สุดก็คือเริ่มลงมือกับเจ้า ตอนแรกข้าก็ทำอย่างนั้นจริงๆ แต่ตอนหลังข้าสับสน ตอนที่ข้าเข้าใกล้เจ้าข้าก็กลัว กลัวว่าข้าจะหลอกใช้เจ้าอีก ถึงขั้นอยากจะล้มเลิก อยากจะหนีไป”

ในตอนนี้เอง เยว่เหยาเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ยืนเหม่อลอยมึนงงอยู่อย่างนั้น นึกขึ้นได้ถึงวันที่ทั้งสองอยู่ด้วยกัน ที่จริงนางก็รู้สึกได้ว่าเขาหวั่นไหวกับนางแล้ว ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงสิ่งที่เขาบอกว่ารักษาระยะห่างและหลบเลี่ยง นางรู้เช่นกันว่าตัวเองหวั่นไหวกับเขาแล้ว ถ้าเขาต้องการจะครอบครองนาง นางก็รู้ว่านางไม่มีทางปฏิเสธได้ นางจะมอบร่างกายให้เขา แต่เขาก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น

“ตอนหลังข้าก็ได้รับภารกิจในครั้งนี้อีก นับว่าข้าโล่งใจ รู้สึกว่าสามารถตัดขาดได้แล้ว ตัดสินใจแล้วว่าจะจากเจ้าไป ขณะเดียวกันข้าก็ให้คำตอบยืนยันกับเบื้องบนไปแล้วด้วย ว่าสืบแล้วไม่พบปัญหาอะไรที่บ้านพักภูเขาธาราวิจิตร แต่พวกเจ้าก็จะอยู่ที่นั่นนานไม่ได้นะ แต่ถ้าจะย้าย ก็จะรีบร้อยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะทำให้สมาคมวีรชนสงสัย ค่อยๆ ย้ายและหายตัวไปเถอะ” เจียงอีอีกล่าว

เยว่เหยาที่ยังมีคราบน้ำตาติดใบหน้าแสยะยิ้ม “ท่านคิดว่าข้าจะเชื่อท่านเหรอ? จุดประสงค์ที่ท่านพูดแบบนี้ ก็คงอยากจะให้ข้าซาบซึ้งใจล่ะสิ ข้าจะได้รับปากช่วยน้องสาวท่าน ท่านคิดว่าข้าโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ คิดว่าข้าจะตกหลุมพรางซ้ำสองเหรอ?”

เจียงอีอีก้มศีรษะลงช้าๆ ไม่ได้แก้ตัวอะไรอีก เขารู้ว่าเรื่องบางเรื่องแค่พูดรอบเดียวก็เพียงพอแล้ว หากอีกฝ่ายจะช่วยก็ย่อมช่วยเอง แต่ถ้าไม่ช่วย ต่อให้เจ้าพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ตัวเองกอดความหวังไว้เล็กน้อยเท่านั้นเอง

เยว่เหยาไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นกัน หันตัวเลี้ยวออกไปเลย เดินออกไปนอกประตูคุกอย่างเงียบๆ ท่าทีในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับโยนเจียงอีอีให้เหมียวอี้ ให้เหมียวอี้จัดการเองตามเห็นสมควร

อวิ๋นจือชิวส่งสายตาให้เชียนเอ๋อร์ เชียนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ รีบตามออกไปแล้ว

หลังจากในคุกเงียบสงบลง จู่ๆ เจียงอีอีก็ถามว่า “ข้าแปลกใจมาก พวกเจ้ามีสถานะตัวตนยังไงกันแน่?”

แกร๊ง! เหมียวอี้ถือกระบี่นแนวนอน ใช้นิ้วดีดบนตัวกระบี่หนึ่งที แล้วถามอย่างเย็นชาว่า “เจ้ายังจำเป็นต้องรู้อีกเหรอ?”

“ก็ใช่!” เจียงอีอีคอตกอีกครั้ง “ปล่อยให้ข้าไปสบายเถอะ!”

จิตสังหารวับวาบในดวงตาเหมียวอี้ ทันใดนั้นกระบี่ก็แทงกลับไปทางหัวใจของเจียงอีอี แต่กลับถูกอวิ๋นจือชิวคว้าข้อมือไว้ เขาจึงหันกลับมา แล้วจ้องอวิ๋นจือชิวพร้อมถามอย่างเย็นเยียบว่า “เจ้าอยากจะให้ข้าปล่อยเขาไปเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เจ้าฆ่าเขาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะอธิบายกับเบื้องบนยังไง อย่างน้อยก็ตายด้วยน้ำมือเจ้าไม่ได้ ส่งให้ข้าจัดการเถอะ ข้าจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับเจ้า เจ้าไปหาน้องสาวตัวเองเถอะ”

เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงตอบประชด “จะไปหานางทำไม นางหาเรื่องใส่ตัวเอง!”

คิดว่าข้าไม่รู้จักเจ้ารึไง? อวิ๋นจือชิวหลอกตามองบน แย่งกระบี่มาจากมือกระบี่ แล้วบอกว่า “เจ้าอย่าเก็บคำพูดของนางมาใส่ใจ เวลาที่ผู้หญิงมีความรักครั้งแรก ผู้หญิงไม่มีสติสัมปชัญญะกับเรื่องแบบนั้นหรอก ไม่ใช่สติปัญญาไตร่ตรองปัญหาเลย เมื่อตกอยู่ในกับดักความรักก็ทำเรื่องโง่ๆ พูดอะไรโง่ได้ง่าย ข้ากับเฟิงเสวียนในปีนั้นก็เหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางเลย แล้วอีกอย่าง ข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้อย่าง ก่อนหน้านี้เฟยหงมาแอบฟังพวกเราคุยกันที่หน้าคุก ข้าให้เหยียนซิวควบคุมนางไว้แล้ว กระดาษหน้าต่างที่กั้นระหว่างพวกเจ้า ต่อให้ไม่อยากเจาะก็ต้องเจาะแล้ว”

เหมียวอี้ตกใจทันที เบิกตากว้างมองนาง เบี่ยงเบนความสนใจสำเร็จจริงๆ ด้วย

“ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ ไม่ต้องทำตาโตขนาดนั้น! นี่ก็นับเป็นเรื่องในบ้านเหมือนกัน ตามธรรมเนียมเดิม ข้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องในบ้าน เรื่องเฟยหงเจ้าไม่ต้องยุ่ง ส่งให้ข้าจัดการเอง ข้าจะหาทางจัดการให้ดี ถ้าตอนไหนต้องให้เจ้ามาแทรกแซง ข้าค่อยไปหาเจ้าอีกที เอาล่ะ ไปดูเจ้าสามของเจ้าเถอะ ตอนนี้นางคงเป็นทุกข์มาก” อวิ๋นจือชิวผลักเขา

นางผลักเหมียวอี้จนออกไปจากคุกใต้ดิน เสร็จแล้วถึงได้เดินเนิบนาบกลับมา ถือกระบี่ปัดผมที่บังใบหน้าเจียงอีอี แล้วกล่าวเสียงเรียบ “ทิ้งจดหมายไว้สักฉบับสิ จดหมายที่สามารถยืนยันตัวตนน้องสาวเจ้าได้ เมื่อถึงตอนนั้น น้องสาวเจ้าจะได้เชื่อว่าพวกเราคือคนที่เจ้าฝากฝังให้มาช่วยชีวิตนาง”

“เจ้ายินดีช่วยชีวิตนางจริงเหรอ” เจียงอีอีพลันเงยหน้า

“จะช่วยได้หรือเปล่า ข้าก็ไม่กล้ารับประกันหรอก บอกได้เพียงว่าถ้าสถานการณ์เอื้ออำนวย ข้าก็จะรักษาสัญญานี้” อวิ๋นจือชิวถือกระบี่นอนอยู่ในมือ นิ้วอันเรียวขาวลูบไล้บนคมกระบี่เบาๆ ตัวกระบี่สว่างจนส่องสะท้อนตัวคน สามารถมองเห็นเงาตัวเองได้ “เจ้ารู้มากเกินไปแล้ว ข้าปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตออกจากจวนแม่ทัพภาคตลาดผีไม่ได้หรอก ต่อให้คนของตำหนักสวรรค์มาแล้ว ข้าก็รับรองได้ว่าเจ้าจะไม่ได้รอดออกจากตลาดผีไป เจ้าคงจะเข้าใจนะ ว่าตระกูลโค่วจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อไม่ให้เจ้าออกไปพร้อมความลับนี้ แต่ข้าก็ไม่อยากฆ่าเจ้า”

“หมายความว่ายังไง?” เจียงอีอีถาม

อวิ๋นจือชิวพลันจ้องเงาสะท้อนของตัวเองบนตัวกระบี่ แล้วกล่าวอย่างผ่อนคลายว่า “ข้าแค่มีเรื่องบางเรื่องอยากจะเตือนเจ้าไว้สักหน่อย ว่าหลังจากเจ้าตายไปแล้ว ตำหนักสวรรค์ก็ไม่มีทางยืนยันได้ว่าเจ้าเผยความลับอะไรไปบ้าง ภายใต้ความเดือดดาล ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไรกับน้องสาวเจ้าบ้าง กอปรกับตัดขาดการติดต่อทางจดหมายแล้ว ทางสมาคมวีรชนก็จะไม่มีวิธีการอะไรมาควบคุมน้องสาวเจ้าอีก ดังนั้นข้าจึงอยากจะปรึกษาเจ้าเกี่ยวกับวิธีการตายที่มีประโยชน์ พยายามหาเงื่อนไขที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อน้องสาวเจ้าที่สุด…

…………………………

ตรงประตูคุกใต้ดิน จู่ๆ ด้านในก็ไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวแล้ว เฟยหงเอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อตั้งใจฟัง ขณะที่กวาดสายตากลับมา ทันใดนั้นก็พบว่ามีคนคนหนึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ใบหน้ายิ้มเย็นพิศวงของเหยียนซิวกำลังจ้องมองนางอยู่

เฟยหงตกใจทันที แต่พยายามจัดแจงเสื้อผ้าแสร้งทำท่าว่าไม่เป็นอะไร นางเดินเข้าไปรับเหยียนซิว ขณะที่เดินผ่านก็พยักหน้าเบาๆ พร้อมกล่าวทักทาย “นายท่านกำลังมีธุระ อย่าไปรบกวน”

“ขอรับ!” เหยียนซิวพยักหน้า แต่กลับหันตัวกลับมาเดินตามหลังเฟยหงแล้ว

เฟยหงหันกลับมาแล้วหยุดฝีเท้า “เหยียนซิว เจ้าตามข้ามาทำไม?”

เหยียนซิวยิ้มอย่างเยือกเย็น “ทางข้างในคดเคี้ยว ข้าน้อยกลัวว่าหรูฮูหยินจะเดินผิดทาง เลยจะมาส่งท่านกลับด้วยตัวเอง”

เฟยหงหัวใจกระตุกวูบในฉับพลัน แต่พยายามรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ หวังว่าตัวเองจะคิดมากไป นางไม่ได้พูดอะไรมากอีก ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่มีใครรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของนาง จึงปล่อยให้เหยียนซิวเดินตามหลังไปส่ง

พอทั้งสองหายไปในหัวโค้ง เชียนเอ๋อร์ก็เดินออกมาจากอีกมุมทันที แล้วเดินตรงไปที่คุกใต้ดิน พอเข้ามาแล้วก็พยักหน้าบอกใบ้อวิ๋นจือชิวอยู่ไกลๆ จากนั้นก็เดินออกมาจากคุกใต้ดิน มาเฝ้าประตูคุกเอาไว้

ที่จริงหลังจากอวิ๋นจือชิวได้อยู่ข้างกายเหมียวอี้อย่างชอบธรรม เรื่องรับมือกับอนุภรรยาคนนี้ก็กลายเป็นหน้าที่ของอวิ๋นจือชิวแล้ว นางให้เชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์ผลัดกันจับตาดูอยู่ข้างกายเฟยหง เฟยหงย่อมไม่รู้ความจริงเรื่องนี้อยู่แล้ว ครั้งนี้เสวี่ยเอ๋อร์พบว่าสาวใช้ของเฟยหงทำตัวแปลกๆ จึงไปจับตาดูสาวใช้สองคนนั้น เมื่อไม่สามารถมาจับตาดูเฟยหงได้ ก็เลยติดต่อให้เชียนเอ๋อร์มาช่วยทันที แต่ใครจะคิดว่าตอนเชียนเอ๋อร์มาเจอเฟยหง แล้วจะพบกับภาพเหตุการณ์แบบนี้

ในคุกใต้ดิน หลังจากรอไปได้สักพักแล้วไม่เห็นเจียงอีอีตอบ เยว่เหยาก็เริ่มร้อนใจแล้ว นางตวาดเสียงดัง “พี่ใหญ่เจียง ท่านรีบบอกมาสิ!”

“เห้อ…” เจียงอีอีที่เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ในที่สุดก็เปล่งเสียงแล้ว เสียงของเขาฟังดูเหนื่อยล้า “เยว่เหยา เจ้าไปเถอะ ตรงนี้ไม่มีเรื่องของเจ้า เจ้าไม่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง”

“ไม่ได้!” เยว่เหยารีบก้าวไปข้างหน้า แต่กลับถูกเหมียวอี้โบกมือขวางไว้ ทำให้นางร้อนใจจนกระทืบเท้า “ในเมื่อข้ามาแล้ว ข้าไม่ยุ่งไม่ได้หรอก ท่านรีบบอกมาสิ!”

เหมียวอี้จับหัวไหล่ของเยว่เหยาเอาไว้ “เจ้าสาม เจ้าตอบข้ามาตามตรง พวกเจ้ามีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่?”

เยว่เหยาพยายามขยับไหล่ แต่ก็ไม่มีทางหลุดพ้นได้ พอเห็นเหมียวอี้ตาแดง ทำท่าทางเหมือนจะกินคน นางก็คำรามตอบทันที “เป็นเพื่อนกัน!”

“เพื่อนเหรอ?” เหมียวอี้ไม่เชื่อ “หรือว่าพวกเจ้าสองคนได้…”

เยว่เหยาเขินอายเล็กน้อย “พูดเหลวไหลอะไรของท่าน ข้าบอกว่าเป็นเพื่อนไง! ต่อให้พวกเรามีอะไรกันแล้วยังไงล่ะ ท่านไม่แต่งงานกับข้า ข้าจะไปแต่งงานกับคนอื่นไม่ได้เชียวเหรอ?”

เหมียวอี้ทีหน้าเจ็บปวดเหลือทน ถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “หมายความว่า ระหว่างเจ้ากับเขามีความสัมพันธ์ชายหญิงกันแล้วใช่มั้ย?”

บางครั้งคนเราก็เห็นแก่ตัวแบบนี้ ในด้านความสัมพันธ์ชายหญิง เขาเองก็จัดว่ามั่วมาก แต่กลับไม่อยากให้น้องสาวตัวเองเสียเปรียบในด้านนี้ และก็ยิ่งไม่มีทางรับได้ที่น้องสาวตัวเองจะถูกโจรราคะที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ย่ำยี

“ก็แล้วจะทำไมล่ะ ท่านจะปล่อยหรือไม่ปล่อย?” เยว่เหยาเถียงกลับอย่างแข็งกร้าว

“อา!” เหมียวอี้เงยหน้าคำรามอย่างเดือดดาล เรียกได้ว่าเจ็บวดจนร้องไม่ออก เจ้าสามจะคบหากับผู้ชายแบบไหนก็ไม่คบ ทำไมต้องมาคบกับผู้ชายพรรค์นี้? โจรราคะทำอย่างนั้นกับเจ้าสามไปแล้ว พอเห็นเจ้าสามทำท่าเหมือนรักจริง ถ้าเขาฆ่าโจรราคะคนนี้ทิ้ง เจ้าสามจะไม่แค้นเขาไปทั้งชาติหรอกเหรอ แล้วจะให้เขาทำอย่างไรล่ะ?

พอได้เห็นเขาเจ็บปวดขนาดนี้ เยว่เหยาก็มองเขาด้วยน้ำตาคลอ

อวิ๋นจือชิวเข้าใกล้ด้วยความกังวลถึงขีดสุด กอดแขนเขาเอาไว้แล้วบอกว่า “หนิวเอ้อร์ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ ปล่อยเขาไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”

“หลีกไป!” เหมียวอี้ตะโกนอย่างเศร้าโศก โบกแขนผลักอวิ๋นจือชิวจนโซเซไปอยู่ที่มุมกำแพง จากนั้นก็ยกมือขึ้นบีบนวดที่หน้าผาก แล้วส่ายหน้าอย่างขื่นขมทรมาน นิ้วทั้งห้าที่จับไหล่เยว่เหยาสั่นเทิ้ม เขาหลับตาลงแล้วคลายมือออกจากไหล่นางอย่างช้าๆ

“พี่ใหญ่!” เยว่เหยาเรียกเบาๆ อย่างเป็นห่วง ไม่เคยเห็นพี่ใหญ่เป็นอย่างนี้มาก่อน แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่กัดริมฝีปากแดงเอาไว้แน่น

“หุบปาก!” เหมียวอี้โบกมือเบาๆ อย่างหดหู่ใจ พร้อมบอกว่า “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่ได้ดูแลเจ้าให้ดี ข้าไม่คู่ควรที่จะเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า!”

“พี่ใหญ่!” เยว่เหยาเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก

“อย่ามาเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ข้าไม่คู่ควร!” เหมียวอี้โบกมืออีกครั้ง แล้วกล่าวอย่างอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง “ข้าจะไว้หน้าเจ้าแล้วปล่อยเขาไปก็ได้ แต่ข้าอยากจะรู้ ว่าอาจารย์เจ้ารู้เรื่องนี้หรือเปล่า?” คำถามนี้ข้าต้องรู้คำตอบให้ชัดเจน ถ้าทางฝั่งมู่ฝานจวินรู้เรื่องนี้ แล้วยังปล่อยให้เจ้าสามไปมาหาสู่กับโจรราคะ ถึงแม้เขาจะลงมือกับเจ้าสามไม่ได้ แต่เขากลับฆ่านางตัวแสบมู่ฝานจวินเพื่อระบายความแค้นได้!

“ไม่รู้” เยว่เหยาตอบเสียงต่ำ

“แค่ปกป้องขั้นพื้นฐานยังทำไม่ได้เลย นางเป็นอาจารย์ประสาอะไร?” เหมียวอี้เงยหน้าโวยวายอย่างโมโห รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อมู่ฝานจวิน เขาไม่เชื่อว่าทางฝั่งมู่ฝานจวินจะไม่รู้เรื่องเลยสักนิด

พอติดต่อกับฝั่งมู่ฝานจวินได้แล้ว หลังจากได้คุยกันไปสักพัก เหมียวอี้ก็ตะลึงงันเล็กน้อย

เขาถามมู่ฝานจวินว่ารู้เรื่องเจียงอีอีหรือไม่ มู่ฝานจวินบอกว่ารู้ บอกว่าเจียงอีอีปลอมตัวแล้วปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ ฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของลัทธิเซียนตั้งนานแล้ว ทำให้ทางฝั่งฐานที่มั่นเกิดความสงสัย ตอนหลังเยว่เหยาก็ไปสืบแล้วเปิดโปงตัวตนของคนคนนี้ แต่เจียงอีอีเป็นผู้ร้ายตามประกาศจับของตำหนักสวรรค์ ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อฐานที่มั่นมากนัก และพยายามรักษาท่าทีว่าต่างคนต่างไป ไม่อยากสร้างความขัดแย้งอะไร สั่งเยว่เหยาว่าไม่ให้ติดต่อเจียงอีอีอีก

สถานการณ์คร่าวๆ เป็นอย่างนี้ มู่ฝานจวินยังถามกลับเหมียวอี้ด้วยว่ามีอะไรหรือเปล่า ได้ยินข่าวว่าเจียงอีอีตกอยู่ในมือเขาแล้ว นางถามว่าเป็นความจริงหรือไม่?

เหมียวอี้กำระฆังดาราไว้แน่นและไม่ได้ตอบอะไร เขาเอียงหน้าช้าๆ ไปมองเจียงอีอีที่กำลังโดนแขวน สายตาเหมือนอยากจะกินคน ชี้ไปที่เจียงอีอีด้วยนิ้วที่สั่นเทิ้ม “โจรสุนัข! เจ้า…เจ้า…เจ้า…บังอาจ…” ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา “อั้ก!” เขากระอักเลือดออกมาแทน จากนั้นก็ตาเหลือก ทั้งร่างที่แข็งทื่อล้มลงข้างหลัง

“อ๊า!” ในห้องมีเสียงผู้หญิงสองคนร้องตกใจ อวิ๋นจือชิวถลันตัวเข้ามาประคองเหมียวอี้ที่หงานหลัง พร้อมถามอย่างร้อนใจว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าเป็นอะไรไป?”

“หลีกไป!” เยว่เหยาผลักอวิ๋นจือชิวออก แล้วแย่งเหมียวอี้ที่หลับตาสนิทมาไว้ในอ้อมกอดตัวเอง จากนั้นนั่งคุกเข่าแล้วลูบหน้าอกของเหมียอวี้อย่างลนลาน “พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป อย่าขู่ข้าเด็ดขาดเลยนะ…”

“นายท่าน!” เชียนเอ๋อร์ที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหนก็วิ่งเข้ามาเช่นกัน พอได้เห็นฉากนี้นางก็กลัวทันที

อวิ๋นจือชิวที่หยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาต้นหนึ่งก็นั่งคุกเข่าลงเช่นกัน นางแย่งเหมียวอี้มาไว้ในอ้อมกอดตัวเอง แล้วผลักเยว่เหยาจนล้มลงพื้น จากนั้นโบกมือสั่งด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “ลากนางออกไปให้ข้า!”

เชียนเอ๋อร์เข้ามาจับตัวเยว่เหยาทันที แล้วฉุดนางไว้ควบคุมไว้ด้านข้าง นางส่ายหน้าพลางร้องไห้บอกว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ…”

ด้วยการเยียวยาจากสมุนไพรเซียนซิงหัว กอปรกับอวิ๋นจือชิวร่ายอิทธิฤทธิ์ลูบหน้าอกช่วยจัดระเบียบพลังชี่แท้ที่ชนกันปั่นป่วนให้เหมียวอี้ ผ่านไปสักครู่เดียว เหมียวอี้ถึงได้ลืมตาฟื้นขึ้นมา “แค่กๆ” เขาไอถ่มเลือดที่สะสมอยู่ในปากออกมาคำหนึ่ง สิ่งแรกที่ทำก็คือชี้ไปหาเจียงอีอีที่โดนแขวนอยู่ “โจรสุนัข! โจรสุนัข…” เขาด่าซ้ำไปซ้ำมาไม่ยอมหยุด

“ไม่ต้องพูดแล้ว!” อวิ๋นจือชิวเอามือลูบหน้าอกเขาไม่หยุด น้ำตาไหลออกมาด้วยความปวดใจ ผ่านอุปสรรคใหญ่โตมามากมายขนาดนั้นแต่ยังรับมือไหว ไม่เคยเห็นผู้ชายของตัวเองเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย แต่วันนี้กลับโมโหจนกลายเป็นอย่างนี้แล้ว นางปาดน้ำตาแล้วส่ายหน้าบอกว่า “ช่างเถอะ! ปล่อยเขาไปเถอะ น้องสาวคนนี้ของเจ้า พวกเราไปยุ่งด้วยไม่ไหวหรอก ไปยุ่งไม่ไหวจริงๆ ไม่ต้องยุ่งกับนางแล้ว ปล่อยพวกเขาไปเถอะ”

“หุบปาก!” เหมียวอี้ผลักนางออกไป แล้วโซเซลุกขึ้นมาก ชวิ้ง! เขาควงกระบี่วิเศษมาปักบนพื้น

“พี่ใหญ่…” เยว่เหยาเพิ่งจะเอ่ยเรียก เหมียวอี้ก็โบกกระบี่ชี้เข้ามาแล้ว “หุบปาก! ถ้ากล้าพูดมากอีก ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”

เขาถือกระบี่เดินไปข้างกายเจียงอีอี แล้วจ่อกระบี่ไปที่หัวใจของเจียงอีอี จากนั้นก็อ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือด ถามอย่างดุร้ายว่า “บอกมา! เจ้ามีเจตนาเข้าใกล้เยว่เหยาใช่มั้ย?”

เจียงอีอีคอตก ท่าทางเหมือนตามใจฝ่ายตรงข้ามทุกอย่าง

เยว่เหยาที่อยู่ในมือเชียนเอ๋อร์ดิ้นรนไม่หยุด “พี่ใหญ่ ก่อนที่จะสืบเรื่องนี้ชัดเจน ทำไมท่านไม่ยืนยันให้แน่ใจก่อนว่าเขาคือโจรราคะ!”

“ข้าไม่สนใจหรอกว่าเขาจะเป็นโจรราคะรึเปล่า!” เหมียวอี้โบกกระบี่ชี้เยว่เหยา แล้วตะคอกอย่างโมโหว่า “เจ้ารู้รึเปล่าว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นยังไง? เจ้ารู้รึเปล่า! เจ้ารู้มั้ย! รู้มั้ยว่าเขาเป็นคนของสมาคมวีรชน? เขาคือสายลับของสมาคมวีรชน! เจ้ารู้รึเปล่าว่าสมาคมวีรชนทำอะไร?”

เยว่เหยายืนอึ้งอยู่กับที่ในชั่วพริบตาเดียว มองไปที่เจียงอีอีด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

เจียงอีอีก็พลันเงยหน้ามองเหมียวอี้เช่นกัน ในดวงตาฉายแววผิดหวัง

ตอนตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรต เขายังทนทัณฑ์ทรมานได้ นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าเบื้องบนไม่มีทางปล่อยเขาไปง่ายๆ และแน่นอน ตราบใดที่เขาไม่เปิดปากพูด เขาก็จะยังมีโอกาสรอดชีวิต ถ้าเปิดปากเมื่อไรก็อย่าว่าแต่เบื้องบนเลย แม้แต่ตึกศาลาสัตยพรตก็จะไม่ปล่อยให้เขารอดชีวิตเช่นกัน หลังจากถูกส่งตัวไปให้เบื้องบนแล้ว ในใจเขาก็ยิ่งเข้าใจ ว่าในภายหลังไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ไม่รู้ แต่เบื้องบนจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเขาแน่นอน หลังจากช่วยแล้วก็อาจจะตาย แต่ก็มีโอกาสเปลี่ยนตัวตนใหม่เช่นกัน อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสรอดอยู่บ้าง

ต่อให้เมื่อครู่นี้จะได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน แต่ถ้ามีเยว่เหยาอยู่ด้วย เขาก็ตระหนักได้ว่าอาจจะมีโอกาสรอดชีวิตเช่นกัน

แต่ในตอนนี้ พอได้ยินเหมียวอี้เอ่ยถึงตัวตนของเขาที่สมาคมวีรชน เขาก็รู้ว่าตัวเองจบเห่แล้ว ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดออกไปได้อีกแล้ว นอกเสียจากจะมีคนในนี้ยอมแบกรับความเสี่ยงที่ใหญ่หลวงให้ เพียงแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ ว่าทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายถึงรู้ตัวตนของเขาได้?

เหมียวอี้ควงกระบี่ชี้ไปที่เจียงอีอีอีกครั้ง “บอกว่า! สมาคมวีรชนส่งเจ้าไปด้วยเจตนาอะไรใช่มั้ย?”

“เจ้าเป็นคนของสมาคมวีรชนจริงเหรอ?” เยว่เหยาถามเสียงสั่น

“เฮ้อ!” เจียงอีอีถอนหายใจเบาๆ มองข้ามเหมียวอี้ แล้วจ้องเยว่เหยาอย่างมึนงง “เยว่เหยา เจ้ารับปากลงข้าสักเรื่องได้มั้ย?”

“ท่านว่ามาสิ” เยว่เหยายังคงเสียงสั่น

เจียงอีอีกล่าวช้าๆ ว่า “มีเรื่องราวมากมายที่ข้าทำตามใจตัวเองไม่ได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะปฏิบัติภารกิจลับของสมาคมวีรชนได้ คนที่จะมาปฏิบัติภารกิจแบบนี้ เบื้องบนย่อมมีวิธีการควบคุมอยู่แล้ว ข้ามีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง สมาคมวีรชนพาตัวพวกเราสองพี่น้องไปตั้งแต่ยังเด็กมาก หลังจากไปที่สมาคมวีรชนและก้าวเข้าสู่แดนฝึกตนแล้ว พวกเราสองพี่น้องก็ไม่ได้พบกันอีกเลย ข้าไม่รู้ว่าทุกวันนี้น้องสาวข้าหน้าตาเป็นยังไง กำลังทำอะไร ตัวอยู่ที่ไหน น้องสาวก็คงจะไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ข้าหน้าตาเป็นยังไง กำลังทำอะไรอยู่ ตัวอยู่ที่ไหน วิธีการเดียวที่พวกเราใช้ยืนยันว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ ก็คือจะได้รับจดหมายที่มีตราอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายเป็นระยะๆ น้องสาวข้าอยู่ในมือสมาคมวีรชน เรื่องบางเรื่องข้าจำเป็นต้องทำ ชื่อเดิมของข้าคือเจียงส้าง น้องสาวข้าชื่อเจียงอวิ๋น เยว่เหยา เห็นแก่ที่เราเคยเป็นเพื่อนกัน ถ้าหากมีโอกาส ข้าหมายความว่าถ้ามีโอกาสช่วยให้น้องสาวข้าหลุดพ้นได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยนาง”

…………………………

เริ่มตั้งแต่ตอนที่นางเดินเข้ามา ก็ไม่ได้ชายตาแลอวิ๋นจือชิวเลย อวิ๋นจือชิวคุ้นชินกับพฤติกรรมนี้ตั้งนานแล้ว รู้ว่าน้องสะใภ้คนนี้ไม่ถูกชะตากับตนมาตลอด ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองแย่งผู้ชายมาจากนาง แต่ก็นับว่าเตรียมใจมานานแล้ว

ทว่าน้องสะใภ้คนนี้ดันกระวนกระวายเพื่อโจรราคะคนหนึ่งขนาดนี้ อวิ๋นจือชิวเห็นแล้วแอบตกใจ ในฐานะที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน ก็ย่อมเขาใจความรู้สึกนึกนิดของผู้หญิงคนนี้อยู่แล้ว นี่ก็คือความได้เปรียบที่ผู้ชายไม่มี นางรู้สึกได้รางๆ ว่าเยว่เหยาเหมือนจะไม่ได้ทำเพระเรื่องงานอะไร แต่ทำเพื่อเจียงอีอีล้วนๆ นางเริ่มเป็นกังวลแล้ว หวังว่าสิ่งที่ตัวเองเดาจะไม่ใช่เรื่องจริง

“โตเป็นสาวแล้ว มาดึงมาฉุดแบบนี้มันใช่เรื่องที่ไหน!” เหมียวอี้ตำหนิพร้อมคว้าข้อมือของเยว่เหยาโยนออกไป แต่เขาก็ทำใจปฏิเสธไม่ลง พอเห็นเยว่เหยามองตนด้วยสายตาตะลึงงัน ใจก็อ่อนยวบทันที ถอนหายใจแล้วบอกว่า “คนมากตาเยอะ อย่าให้คนนอกมองอะไรออก ตามข้าไปข้างหลัง”

สำหรับน้องสาวคนนี้ เขาคิดมาตลอดว่าตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่พี่ชายอย่างเต็มที่ ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้วแต่ก็ยังไม่ได้ดูแลเท่าไรเลย ในปีนั้นถ้าไม่ใช่เพราะพ่อแม่ของเยว่เหยารับเขาเอาไว้ ต่อให้เขาไม่หิวตายแต่ก็จะถูกจับส่งเข้าจวนเฉิงย่วนอยู่ดี คงตายจนเหลือแต่กระดูกไปนานแล้ว มีหรือที่จะมีวันนี้ได้ ในใจเขารู้สึกผิดมาตลอด ก็เพราะความรู้สึกผิดส่วนนี้เอง ทำให้เขายอมปล่อยให้อวิ๋นจือชิวได้รับความอยุติธรรมนิดหน่อย ต่อให้เยว่เหยาจะออกนอกกรอบกว่านี้หรือทำเกินกว่านี้ แต่พอถึงเวลาจริงเขาก็ทำใจตำหนิไม่ลง มักจะให้อวิ๋นจือชิวยอมถอยให้เสมอ ให้อดทนเอาหน่อย ไม่ยอมให้น้องสาวคนนี้ได้รับความไม่เป็นธรรม

เยว่เหยาพยักหน้าซ้ำๆ “ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่รักข้าที่สุด!” ขณะที่พูดหางตาก็ชำเลืองอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนอวดอ้างบารมี

อวิ๋นจือชิวชำเลืองมองแวบหนึ่ง ถ้าจะบอกว่าในใจไม่รู้สึกเซ็งเลยสักนิด นางก็ทำไม่ได้หรอก เพียงแต่นางรู้เช่นกัน ว่าเรื่องบางเรื่องนางไปแข่งด้วยไม่ได้ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าผู้ชายของตัวเองลำเอียง แย่งกันไปแข่งกันมาต่อให้ชนะแต่ก็แพ้ ทำได้เพียงข่มใจอดทนไว้ ไม่อย่างนั้นก็จะใช้หลักการ ‘เคารพพี่สะใภ้เหมือนมารดา’ นางคงลงมือสั่งสอนไปนานแล้ว

ทว่าคำพูดออดอ้อนเล็กน้อยของเยว่เหยากลับทำให้เหมียวอี้ใจอ่อน ตุ้บ! เขาใช้นิ้วดีดหน้าผากเยว่เหยาเบาๆ แล้วบอกวา “แต่งตัวเป็นยายแก่ ขี้เหร่จะตาย!”

เยว่เหยาเอามือนวดหน้าผากเบาๆ รู้ว่าท่าทีที่พี่ใหญ่มีต่อนางไม่ได้เปลี่ยนไป เรื่องนี้จึงจัดการง่ายแล้ว อารมณ์ก็สงบลงแล้วเช่นกัน นางผลักหลังเหมียวอี้อีก “พี่ใหญ่ เร็วๆ หน่อย อย่าชักช้า”

อวิ๋นจือชิวที่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างหลังรู้สึกไม่สบอารมณ์นิดหน่อย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือหึงหวงอยู่บ้าง เพราะเหมียวอี้ไม่เคยอ่อนโยนกับนางแบบนี้มาก่อนเลย แต่นางก็เข้าใจ ว่าระหว่างนางกับเหมียวอี้เป็นความรู้สึกระหว่างสามีภรรยา แต่กับอีกฝ่ายเป็นความรู้สึกแบบพี่น้อง ไม่เหมือนกัน จะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่ในใจก็ยังไม่สบอารมณ์อยู่ดี เวลาสองพี่น้องคู่นี้อยู่ด้วยกัน นางมักรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนคนนอก

ในคุกใต้ดิน เจียงอีอีที่สภาพจนตรอกถูกหนังยางรัดไว้กลางอากาศ ถ้าใช้โซ่เหล็กรับมือกับคนแบบนี้ก็เกรงว่าจะเกิดเรื่อง เท่านี้ยังไม่พอ ทั้งในและนอกคุกใต้ดินล้วนมีคนเฝ้าอยู่ ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิด

เดิมทีบนตัวเจียงอีอีไม่มีเสื้อผ้าเลย แต่เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อสายตา ตอนนี้บนตัวจึงมีชุดคลุมมาปกปิดไว้ตัวหนึ่ง เพียงแต่สองเท้าที่อยู่ด้านล่างของชุดคลุมมีกระดูกขาวเผยให้เห็น แม้แต่เนื้อก็ไม่มีแล้ว จะเห็นได้ว่าโดนตึกศาลาสัตยพรตทรมานมามากขนาดไหน

โชคดีที่เบื้องบนกดดันมาว่าให้ไว้ชีวิต ไม่อย่างนั้นโจรราคะคงจะตายก่อนถูกส่งตัวไปแล้ว ทางนี้ช่วยให้สมุนไพรเซียนซิงหัวบรรเทาให้เขา ไม่อย่างนั้นก็รับประกันไม่ได้จริงๆ ว่าเจียงอีอีจะไม่ขาดใจตาย

หลังจากเอามือไขว้หลังเดินเข้ามาแล้ว เหมียวอี้ก็กล่าวสั่งด้วยเสียงราบเรียบ “ถอยออกไปให้หมด ถ้าข้าไม่ได้สั่ง ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามา”

“ขอรับ!” ทหารยามข้างนอกเอ่ยรับคำสั่งแล้วถอยออกไป

ตอนนี้อวิ๋นจือชิวกับเยว่เหยาที่อยู่ข้างนอกถึงได้เข้ามา

พอได้เห็นสภาพอนาถของเจียงอีอี เยว่เหยาก็ราวกับถูกโจมตีอย่างรุนแรง ดวงตางามเบิกกว้าง ขยับเท้าเดินไม่ได้อยู่นานมาก สุดท้ายก็เอามือข้างหนึ่งกุมหน้าอก ค่อยๆ เดินเข้าใกล้ด้วยปากที่สั่นเทิ้ม แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์โบกแขนเสื้อ ปัดผยาวมที่ยุ่งปิดคลุมใบหน้าเจียงอีอีออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง

“พี่ใหญ่เจียง!” เยว่เหยาอุทานเรียกแล้วเอามือปิดปาก นางโซเซเดินถอยหลัง น้ำตาไหลพรากในชั่วพริบตาเดียว นางส่ายหน้าไม่หยุด ในสายตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ต่อให้นอนฝันนางก็นึกไม่ถึงว่าพี่ใหญ่เจียงที่สุภาพอ่อนโยนและสง่างามรักอิสระจะโดนทรมานจนมีสภาพเป็นแบบนี้ ไม่รู้ว่าได้รับการทรมานมามากขนาดไหน

เสียงเรียก ‘พี่ใหญ่เจียง’ บวกกับปฏิกิริยาของเยว่เหยา ได้ทำให้เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวตะลึงค้างแล้วจริงๆ ทั้งคู่มองไปที่นางอย่างระแวงสงสัย นึกไม่ถึงว่าเยว่เหยาจะมีปฏิกิริยามากขนาดนี้

นอกคุกใต้ดิน เฟยหงมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง พอเห็นว่าคุกใต้ดินไม่มีใครแล้ว ในขณะที่นางกลั้นหายใจและเข้าใกล้อย่างช้าๆ ทันใดนั้นนางก็ตกใจเพราะได้ยินคำว่า ‘พี่ใหญ่เจียง’ หลังจากเข้าใกล้ประตูคุกใต้ดินแล้ว นางก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ตอนที่เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวข้างใน นางก็เฝ้าสังเกตมองโดยรอบไม่หยุดเช่นกัน เตรียมตัวไว้ทุกเมื่อว่าจะแสร้งทำเป็นเดินผ่านมา

ว่ากันตามจริง การกระทำแบบนี้ค่อนข้างอันตราย แต่นางก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน เพราะได้รับคำสั่งเร่งด่วนจากเบื้องบน ว่าต้องจับตาดูทางนี้เอาไว้ ถ้ามีความเคลื่อนไหวผิดปกติก็ให้รายงานขึ้นไปทันที ถ้าพบเค้าลางว่าหนิวโหย่วเต๋อจะลงมือกับเจียงอีอี ก็ถึงขั้นเผยตัวตนที่แท้จริงแล้วกดดันได้

เพราะเหตุนี้ นางจึงไม่เสียดายที่จะให้สาวใช้สองคนรวบรวมคนที่อยู่แถวนี้แล้วให้แยกออกไป

“อือ…” พอได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เจียงอีอีที่ศีรษะห้อยตกก็เหมือนจะฟื้นขึ้นมาจากสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น เขาเงยหน้าช้าๆ สายตาที่พร่าเลือนมองผ่านซอกผม ตรงหน้ามีคนสามคน แต่กลับไม่รู้จักเลยสักคน เขายังนึกว่าตัวเองหูฝาดไว้

เยว่เหยาถอดหมวกออก ดึงหนังปลอมบนใบหน้าตัวเองทิ้งไป แล้วกล่าวเสียงสั่นว่า “พี่ใหญ่เจียง ข้าเอง”

เจียงอีอีเพ่งสายตาให้หยุดนิด ในดวงตาสองจ้างพลันฉายแววตกตะลึง ร่างกายเขาสั่นเล็กน้อยในขณะที่บิดไปบิดมา จิตใต้สำนึกแทบจะสั่งตะโกนออกมาอย่างอ่อนแรงว่า “เยว่เหยา…เยว่เหยา…รีบหนีไป…รีบหนี…” แต่ไม่นานก็เหมือนว่าจะตระหนักอะไรได้ “เยว่เหยา เจ้า…”

เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมองหน้ากันเลิกลั่ก

“พี่ใหญ่เจียง ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะพาท่านออกไป!” เยว่เหยาพูดจบแล้วก็จะโบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ตัดเชือก แต่ใครจะคิดว่าจะขยับข้อมือไม่ได้ ถูกใครบางคนจับเอาไว้แล้ว นางหันกลับมาเห็นเหมียวอี้ทำสีหน้ามืดครึ้ม

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?” เหมียวอี้สีหน้าแย่มาก ต่อให้เป็นคนโง่ก็มองออกว่าเยว่เหยากับเจียงอีอีมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน เหมือนจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง แต่ต่อให้นอนฝันเขาก็คิดไม่ถึง

เหมียวอี้ไม่ได้อยากขัดขวางถ้าเยว่เหยาจะคบหากับผู้ชาย แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เขาหวังให้เยว่เหยาพบผู้ชายสักคนที่ดีต่อนาง เขาไม่มีทางตอบตกลงให้เยว่เหยาคบกับโจรราคะแบบนี้ต่างหาก โดยเฉพาะโจรราคะที่คิดจะลงมือกับผู้หญิงของเขา!

“ปล่อยข้า!” เยว่เหยาดิ้นรนสุดชีวิต

เหมียวอี้ไฟพิโรธเดือดดาลสามจั้ง รีบจี้สกัดจุดบนตัวนางติดต่อกันหลายครั้ง ผนึกพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวนางไว้แล้ว จากนั้นโบกมือเหวี่ยงออกไป แล้วชี้นางที่กำลังโซเซถอยหลังพร้อมตะโกนถามว่า “บอกมา! นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

“ท่านถามข้าว่าเรื่องอะไรเหรอ?” เยว่เหยาชี้เจียงอีอี “เขากับท่านไม่ได้มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ทำไมท่านถึงทำร้ายเขาขนาดนี้? ถ้าจะฆ่าคนก็แค่ทำให้ศีรษะตกพื้น ท่านจะฆ่าก็ฆ่าสิ ทำไมต้องทรมานเขาขนาดนี้ พี่ใหญ่ในสายตาของข้าเปลี่ยนเป็นโหดร้ายทารุณแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ท่านทำให้ข้าผิดหวังเกินไปแล้ว! พี่ใหญ่ ตอนนี้ข้ายังเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ ท่านปล่อยเขาไปเดี๋ยวนี้ ให้ข้าพาเขาไป ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าตัดขาดกับท่าน ตั้งแต่นี้ไปไม่นับท่านเป็นพี่ใหญ่อีก!”

“เอื้อ…” เหมียวอี้เอามือกุมที่หัวใจ ใบหน้าขาวซีด แทบจะหายใจไม่ออก ร่างกายโอนเอนถอยหลังไปหนึ่งก้าว โมโหจนแทบกระอักเลือดออกมา ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าสามจะต้องการตัดขาดพี่น้องกับเขาเพื่อโจรราคะคนเดียว คนที่เขาห่วงใยใส่ใจที่สุดกลับเห็นโจรราคะดีกว่าเขา จะให้เขาทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร!

จะพูดอย่างนี้ก็ได้ ว่าทั้งชีวิตเขาไม่เคยได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจขนาดนี้มาก่อนเลย บางครั้งเขาไม่กลัวแม้กระทั่งความตายด้วยซ้ำ แต่กลับทำใจยอมรับกับสิ่งนี้ได้ยาก

เมื่อเห็นพี่ใหญ่โมโหจนกลายเป็นแบบนี้ เยว่เหยาก็กัดริมฝีปาก นางเริ่มร้อนอกร้อนใจแล้วเช่นกัน ตระหนักได้ว่าตัวเองอาจจะพูดแรงเกินไป

เจียงอีอีที่โดนแขวนอยู่ข้างบนมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง

เฟยหงที่อยู่นอกคุกเอามือกุมอก นางกังวลแทบบ้าแล้ว

อวิ๋นจือชิวถลันตัวเข้ามาประคองเหมียวอี้ รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ลูบแผ่นหลังเหมียวอี้ ช่วยเขาผ่อนคลายพลังชี้แท้ที่เกือบจะปะทุออกจากเส้นชีพจร จากนั้นใบหน้างามที่เย็นเยียบราวกับน้ำค้างเกาะจ้องเยว่เหยาพร้อมตะคอกว่า “เยว่เหยา เจ้ารู้รึเปล่าว่าตัวเองกำลังพูดอะไร?”

“เรื่องในครอบครัวพวกเรา ถึงคราวที่เจ้าจะมาพูดสอดตั้งแต่เมื่อไรกัน?” พอได้ยินนางถามแบบนั้น เยว่เหยาก็โมโหทันที ชี้อวิ๋นจือชิวแล้วบอกว่า “เจ้า! ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า พี่ใหญ่ขอข้าจะกลายเป็นแบบนี้เหรอ? เพื่อเจ้า พี่ใหญ่แทบจะเอาชีวิตไม่รอดตั้งกี่ครั้งแล้ว มีฮูหยินที่ไหนบ้างที่ทำตัวแบบเจ้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนข้า?”

“เจ้า…” อวิ๋นจือชิวโมโหแทบบ้าแล้ว ขณะกำลังจะก้าวออกไปสั่งสอน นางกลับถูกเหมียวอี้ที่อาการบรรเทาแล้วคว้าแขนเอาไว้แล้วกดลงช้าๆ

อวิ๋นจือชิวโมโหแล้ว “มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังปกป้องนางอีกเหรอ?”

“หุบปาก! ข้ารู้ว่าจะจัดการยังไง!” เหมียวอี้โบกแขนผลักนางไปไว้ข้างหลัง

อวิ๋นจือชิวโมโหจนกระทืบเท้า ม้วนแขนเสื้อสองข้าง เผยให้เห็นแขนเล็กเรียวขาวละเอียด จากนั้นก็เท้าเอว เดินวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น ดวงตากวาดมองไปทั่ว บุ่มบ่ามอยากจะหาที่ระบายอารมณ์ ท่าทางเหมือนโมโหจนไม่รู้จะไประบายที่ไหน

เหมียวอี้ที่สีหน้าย่ำแย่ชี้ไปทางเจียงอีอี พร้อมถามเยว่เหยาว่า “เจ้าสาม ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้ารู้รึเปล่าว่าเขาเป็นใคร?”

“ข้ารู้ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นคนอื่นที่สาดโคลนใส่เขา!” เยว่เหยากล่าว

“เหอะๆ!” เหมียวอี้โมโหสุดขีดจนหัวเราะประชด “เจ้าตัดสินได้ยังไงว่าคนอื่นสาดโคลนใส่เขา?”

เยว่เหยาก้าวขึ้นมา “พี่ใหญ่ อย่างน้อยก็เรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านที่น่านฟ้าระกาติง ข้ารับรองได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับเขา เพราะตอนนั้นข้ากับเขาอยู่ด้วยกัน เดินทางไกลด้วยกัน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปก่อคดีที่น่านฟ้าระกาติง นั่นเป็นเพราะมีคนอื่นใส่ร้ายเขาแน่นอน!”

เรื่องที่น่านฟ้าระกาติง ยังจำเป็นต้องให้นางมาพิสูจน์อีกเหรอ? เหมียวอี้รู้ชัดอยู่แก่ใจยิ่งกว่าใคร หอบหายถามว่า “งั้นข้าถามเจ้าอีก เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนคดีน่านฟ้าระกาติง เจ้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาได้รึเปล่า?”

“พิสูจน์ได้เรื่องเดียวก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ? อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่ามีคนใส่ร้ายเขาจริงๆ!” เยว่เหยาตอบเสียงดัง

“เจ้าอาศัยอะไรมาพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่โจรราคะ?” เหมียวอี้ถามอย่างโมโห

“แล้วพี่ใหญ่หาหลักฐานมาพิสูจน์ได้มั้ยว่าคดีพวกนั้นคือฝีมือเขา?” เยว่เหยาถาม

“เจ้า…” เหมียวอี้ถูกนางยั่วโมโหจนเกินทน เขาจะไปเอาหลักฐานจากไหนมาพิสูจน์ล่ะ เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วถามว่า “แล้วเจ้ารู้รึเปล่าว่าเขามาทำอะไรที่นอกจวนแม่ทัพภาคตลาดผี? เขาเล็งเป้าหมายมาที่ข้า ต้องรอให้เกิดเรื่องขึ้นกับพี่ใหญ่ก่อนใช่มั้ย ถึงจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นได้? ต้องให้เกิดเรื่องเศร้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าก่อนใช่มั้ย เจ้าถึงจะพอใจ?” ขณะที่พูดเขาเอามือตบหน้าอกอย่างแรง

“…” เยว่เหยาถูกถามจนพูดไม่ออก หันหน้าช้าไปมองเจียงอีอี “พี่ใหญ่เจียง ท่านตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์เถอะ ท่านมาที่นี่เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?”

เจียงอีอีที่ถูกจับแขวนอยู่ข้างบนเงียบงัน ว่ากันตามจริง เขาตกตะลึงมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ ในนี้ราวกับซ่อนความลับเอาไว้มากเกินไป

ที่ด้านนอกคุก เชียนเอ๋อร์ที่เพิ่งเลี้ยวเข้ามาพลันถอยหลัง นางซ่อนตัวแล้วโผล่หน้าไปมองทางคุกใต้ดินแวบหนึ่ง จากนั้นถอยหลังช้าๆ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิวอย่างรวดเร็ว

อวิ๋นจือชิวที่อยู่ในคุกหยิบระฆังดาราออกมาตั้งใจฟัง สีหน้าโมโหเดือดดาลหายไปในชั่วพริบตาเดียว นางรีบเหลือบมองไปทางประตูคุก แล้วก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง

…………………………

เป็นอย่างที่คาดไว้ ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนสบตากันอีกครั้งอย่างรู้ใจ ตระกูลหวงฝู่กำลังจะประสบหายนะจริงๆ ด้วย การใช้ให้หน่วยองครักษ์เงากำจัดปัญหาแฝงเร้นให้สิ้นซาก นี่คือจังหวะที่กำลังจะถอนรากถอนโคนตระกูลหวงฝู่

ทว่าสิ่งที่ทำให้ทั้งสองคาดไม่ถึงก็คือ ซ่างกวนชิงมีสีหน้าขื่นขม กุมหมัดขอความเมตตาไม่หยุด “ฝ่าบาท สมาชิกที่เกี่ยวข้องกับสมาคมวีรชนกว้างขวางและซับซ้อนเกินไปจริงๆ ถ้าเปลี่ยนคนกะทันหัน ยังไม่ต้องพูดถึงระดับความยากในนั้น แค่ให้สมาชิกในที่แจ้งและในที่ลับติดต่อกันอีกครั้งก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว ขั้นตอนเหล่านี้ต้องสิ้นเปลืองไปเวลาไปไม่น้อน และเรื่องในครั้งนี้ก็เป็นข้าน้อยเองที่กดดันสมาคมวีรชนเกินไปจนเกิดช่องโหว่ สรุปก็คือ หลายปีมานี้ตระกูลหวงฝู่ก็ยังสร้างผลงานไว้มากกว่าความผิดพลาด และเหมาะสมกับตำแหน่งด้วย ทั้งยังจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ข้าน้อยขอให้ฝ่าบาทมอบโอกาสต่อตระกูลหวงฝู่อีกสักครั้ง!”

ประมุขชิงพลันหรี่ตาต้องสอบสวนซ่างกวนชิงครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็กล่าวช้าๆ ว่า “เรื่องนี้เจ้าจัดการเองตามเห็นสมควร ถ้าเกิดความผิดพลาดอีก ข้าจะเอาเรื่องเจ้า!” จากนั้นก็ทำเสียงฮึดฮัด แล้วสะบัดชายเสื้อเดินออกไป

ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนสบตากันแวบหนึ่งอย่างค่อนข้างแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าซ่างกวนชิงจะไม่ผลักความรับผิดชอบเสียทั้งหมด ในด่านสุดท้ายก็ยังคงปกป้องตระกูลหวงฝู่

ทั้งสองเดินออกจากตำหนักบูรพา ขณะที่เดินเคียงกัน เกาก้วนก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ดูท่าแล้วซ่างกวนก็นับว่ามีมโนธรรมอยู่บ้าง ไม่ถึงขั้นข้ามแม้น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง”

ซือหม่าเวิ่นเทียนหัวเราะแห้งๆ “เกรงว่าจะไม่แน่หรอก ข้ากลับมองเงื่อนงำอย่างอื่นออก”

“อ้อ!” เกาก้วนเหล่ตามอง “อย่าบอกนะว่าซ่างกวนมีแผนอีกอย่าง?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนบอกว่า “ช่วงเวลาที่ตระกูลหวงฝู่ควบคุมสมาคมวีรชนนั้นไม่ใช่น้อยๆ มันเติบโตขึ้นแล้ว นอกเสียจากจะตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะใช้วิธีการแข็งกร้าว ไม่ใช่ว่าอยากจะแตะต้องก็แตะต้องได้ คาดว่าในมือคงกุมความลับของซ่างกวนไว้ไม่น้อย หวงฝู่เลี่ยนคงก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ซ่างกวนกล้ารับประกันมั้ยล่ะว่าในมือหวงฝู่เลี่ยนคงจะไม่มีแผนสำรองเลยสักนิด? ถึงยังไงก็เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนในตระกูล ถ้ากดดันจนอีกฝ่ายจนตรอกจริงๆ หึหึ…” เขาไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้แล้ว

เกาก้วนแววตาวูบไหวเป็นประกาย แล้วขานรับ “อ้อ” ด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหมายล้ำลึก

ทั้งสองยังไม่ทันเดินออกจากวังสวรรค์ ซ่างกวนชิงก็ตามหลังทั้งสองมาแล้ว ก่อนจะกุมหมัดคารวะ “ให้พวกเจ้าสองคนเห็นเรื่องน่าขำแล้ว ข้าไม่ได้ผลักความรับผิดชอบไปให้ตระกูลหวงฝู่นะ ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ถ้าข้ายังปกป้องไม่ได้แม้แต่ตัวเอง แล้วจะไปปกป้องตระกูลหวงฝู่ได้ยังไงล่ะ?”

ราวกับกลัวสองคนนี้จะคิดมาก ตั้งใจถ่อมาอธิบายให้ฟังโดยเฉพาะเลย

เกาก้วนยิ้มอย่างเย็นเยียบ ไม่ได้เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ส่วนซือหม่าเวิ่นเทียนก็กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เข้าใจ เข้าใจ”

ซ่างกวนชิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ครั้งนี้รบกวนทั้งสองแล้ว ข้าจะจดจำน้ำใจนี้ไว้”

ทั้งสองรู้สึกขำในใจ เจ้ากล้าไม่จดจำน้ำใจรึไงล่ะ? ตอนนี้เท่ากับจุดอ่อนของเจ้าอยู่ในมือพวกเราสองคนแล้ว

แต่จะว่าไปแล้ว การที่เข้ามาให้ความร่วมมือแบบนี้ ตัวเองก็ไม่กล้านำจุดอ่อนนี้มาใช้ซี้ซั้วเลยจริงๆ อย่างไรเสียตัวเองก็เข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว ตบตาฝ่าบาทแล้วเหมือนกัน

แต่ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ยังกล่าวตามมารยาทว่า “พูดแบบนี้ก็แสดงว่าเห็นเป็นคนนอกแล้ว พวกเราจัดการการเรื่องข้างล่างแล้วมีจุดไหนที่ลำบาก ก็มีแค่พวกเรานั้นที่รู้ดี การทำเรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้เป็นผลดีอะไรต่อพวกเราเองเลย ใครอยากจะเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นล่ะ? สุดท้ายแล้วก็ทำไปเพราะหวังดีกับฝ่าบาทั้งนั้น”

“เฮ้อ! ใครว่าไม่ใช่ล่ะ มีแค่พวกเราเท่านั้นที่รู้ถึงความลำบาก ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว” ซ่างกวนชิงกุมหมัดคารวะเกาก้วน “ทูตขวาเกา หวังว่าเจ้าจะใส่ใจเรื่องที่ฝ่าบาทสั่งนะ อย่าให้เกิดความผิดพลาดอะไรอีก ต้องพาเจียงอีอีกลับมาทั้งเป็นๆ ให้ได้ ถ้าไม่ยืนยันเรื่องนี้ให้ชัดเจน ก็ยังไม่รู้เลยว่าตอนหลังจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก”

เกาก้วนพยักหน้าเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ข้ากดดันไปทางฝั่งหนิวโหย่วเต๋อแล้ว พร้อมส่งยอดฝีมือไปด้วย พอได้ตัวคนแล้วก็จะใช้เส้นทางลับของหน่วยตรวจการขวาย้ายตัวกลับมาทันที คงไม่เกิดปัญหาอะไร”

“งั้นก็ดี งั้นก็ดี” ซ่างกวนชิงถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง นับว่าผ่านด่านนี้ไปได้แล้ว

ที่จริงแล้วเขาก็ไม่อยากให้สองคนนี้มารู้เรื่องด้วย เขาอยากจะมาหาซือหม่าเวิ่นเทียนคนเดียว เป็นเพราะเกาก้วนเย็นชาไปหน่อย เรื่องบางเรื่องซือหม่าเวิ่นเทียนให้ความร่วมมือได้ แต่เกาก้วนกลับไม่แน่ ก็ช่วยไม่ได้ กำลังที่อยู่ในมือเขาล้วนเป็นกำลังที่ลับลวงพราง ไม่สามารถกดดันไปที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีได้โดยตรง ซือหม่าเวิ่นเทียนก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน แต่หน่วยตรวจการขวาของเกาก้วนกลับยื่นมือเข้าไปแทรกแซงได้อย่างชอบธรรม ภายใต้ความจนใจนี้ เขาถึงได้มาขอร้องเกาก้วน โชคดีที่ครั้งนี้เกาก้วนไว้หน้าเขาเต็มที่ ให้ความร่วมมือในการแสดงละครไปหนึ่งฉาก

พอเดินออกจากวังสวรรค์ ทั้งสามก็หันกลับไปมองแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก ในใจแอบรู้สึกปลงอนิจจัง ทั้งสามร่วมมือกันทำเรื่องนี้แล้ว ถ้าพูดจากในบางมุม เกรงว่าจะทำให้ท่านที่อยู่ข้างในกลัวกว่าเรื่องของเจียงอีอีเสียอีก

ถึงแม้ท่านที่อยู่ในนั้นจะมีอำนาจสูงสุด แต่ก็ใช่ว่าอาศัยสองหูสองตาของท่านนั้นแล้วจะมองเห็นทุกอย่างในใต้หล้าอย่างทั่วถึง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นราชันในโลกมนุษย์หรือว่าท่านที่อยู่ข้างในนั้น สิ่งที่กลัวที่สุดก็คือการมีคนมาหลอกลวงตบตา และก็ด้วยเหตุนี้เอง ท่านที่อยู่ข้างในถึงไม่ปล่อยให้อำนาจมหาศาลของโครงสร้างหน่วยตรวจการอยู่ในมือของคนคนเดียว จึงมีการจัดแบ่งให้อย่างเปิดเผยและเป็นความลับ หน่วยตรวจการซ้ายให้ซือหม่าเวิ่นเทียนดูแล หน่วยตรวจการขวาให้เกาก้วนดูแล สมาคมวีรชนให้ซ่างกวนชิงดูแล นับว่าเป็นการคานอำนาจรูปแบบหนึ่ง ป้องกันเอาไว้เผื่อมีช่องทางหนึ่งปิดปากเงียบ จะได้ไปถามสถานการณ์จากอีกช่องทาง ไม่อย่างนั้นถ้าหูและตาถูกบีบอยู่ในมือของคนคนเดียวก็อันตรายเกินไปแล้ว

ทว่าในครั้งนี้ หูและตาที่เดิมทีเคยคานอำนาจกันกลับร่วมมือกันปิดบัง ทำให้ท่านที่อยู่ข้างในกลายเป็นคนหูหนวกตาบอดเสียเลย ถ้าให้ท่านที่อยู่ข้างในรู้ความจริงขึ้นมา ผลที่ตามมาก็จะร้ายแรงมาก คิดไปคิดมาก็ยังทำให้กลัวอยู่เลย

ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนก็นับว่าเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าทำไมซ่างกวนชิงจึงไม่ให้โพ่จวินเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เป็นไปไม่ได้ที่โพ่จวินจะให้ความร่วมมือกับเรื่องแบบนี้ ขอเพียงเอ่ยปาก เกรงว่าโพ่จวินคงจะระดมกำลังทหารมาจับตัวซ่างกวนชิงไปทันที

“ทางฝั่งตระกูลหวงฝู่ ต้องให้ปิดปากให้สนิทนะ” ก่อนที่จะไป ซือหม่าเวิ่นเทียนก็กำชับด้วยเสียงราบเรียบ

ซ่างกวนชิงพยักหน้าอย่างรู้อยู่แก่ใจ “ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ว่าควรต้องทำยังไง มันเป็นเรื่องที่ทำให้หัวหลุดได้ ตระกูลหวงฝู่เองก็ไม่ได้โง่”

ตลาดผี ภัตตาคารแห่งหนึ่ง

“เจียงอีอีตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อจริงเหรอ?”

“ถ้าไม่มีลมก็คงไม่มีคลื่น ใครจะไปรู้ล่ะ ถึงยังไงข้างนอกก็พูดอย่างนี้กัน”

“จุจุ หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก โจรราคะนั่นตำหนักสวรรค์จับมาหลายปีแต่ก็ยังจับไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะตกอยู่ในมือเขาแล้ว”

“จับไม่ได้อะไรกันล่ะ เป็นเพราะปัดความรับผิดชอบ เลยไม่เอาจริงกันเฉยๆ หรอก ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อมีใครหนุนหลังอยู่ล่ะ? ตระกูลโค่วต้องสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ต้องให้โอกาสเขาสร้างผลงานแน่ ไงล่ะ โจรราคะติดกับดักแล้ว”

“ใช่แล้ว! ไม่อย่างนั้นจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ได้ยังไง ต้องเป็นผลงานที่ตระกูลโค่วส่งมาให้แน่นอน”

“เฮ้อ! มีคนหนุนหลังนี่ดีจังเลย ได้ยินว่าเดินทีโดนลดยศเป็นทหารเกราะเงินหนึ่งแถบ แต่ชั่วพริบตาเดียวก็ได้เลื่อนหกขั้นติดต่อกัน กลายเป็นทหารสวรรค์เกราะดำหนึ่งแถบเลย ทหารสวรรค์เกราะดำหนึ่งแถบก็ว่าเยอะแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะได้มานั่งตำแหน่งแม่ทัพภาค ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็เกรงว่าจะไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ! เจ้าดูสิ ตอนนี้ก็มีผลงานมาจ่อถึงหน้าประตูแล้ว คนเรานี่ต่างกันจนน่าโมโห”

“ข้าได้ยินว่าเจียงอีอีโดนจับในโรงเตี๊ยมห้องหนึ่งนอกจวนแม่ทัพภาค เป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะจับเองจริงๆ”

“อ้าว! เจียงอีอีมาโผล่อยู่นอกจวนแม่ทัพภาคเหรอ? งั้นก็น่าสนใจแล้ว เจียงอีอีมันทำอะไรล่ะ? อย่าบอกนะว่าเจียงอีอีพุ่งเป้าไปที่ฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อ?”

“หึหึ! ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ งั้นเจียงอีอีก็ไม่มีทางรอดชีวิตแล้ว ไม่หัดดูเสียบ้างว่าหนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องใหญ่ขนาดไหนที่น่านฟ้าระกาติงเพื่อผู้หญิงคนนั้น ขนาดหัวหน้าภาคผู้สง่าผ่าเผยก็ยังโดนกำจัดทิ้งแล้ว มีหรือที่จะปล่อยให้เขาหยามเกียรติ ต้องตายแน่นอน!”

ในภัตตาคาร คนกลุ่มหนึ่งกำลังวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องที่คุยกันทั้งหมดแทบจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโจรราคะเจียงอีอีโดนจับตัว ล้วนเป็นคนที่คิดเชื่อมโยงไปต่างๆ นาๆ โดยไม่รู้ความจริง แต่คนที่รู้ความจริงกลับไม่พูดอะไร

ตรงโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ในมุม หญิงชราคนหนึ่งที่สวมหมวกผ้าสักหลาดตั้งใจฟังเงียบๆ อยู่สักพัก หลังจากได้ฟังแล้วสีหน้าก็วูบไหวร้อนรน นั่งไม่ติดที่แล้วเช่นกัน วางถ้วยน้ำชาในมือ แล้วลุกขึ้นเดินจากไปเงียบๆ

พอออกจากภัตตาคารมาแล้ว หญิงชราก็หยิบระฆังดาราออกมา แล้วติดต่อไปหาเหมียวอี้โดยตรง ถามว่า : พี่ใหญ่ ท่านจับตัวเจียงอีอีได้แล้วใช่มั้ย?

หญิงชราไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเยว่เหยาหลังจากปลอมตัวแล้วนั่นเอง เดิมทีนางก็อยากจะมาเยี่ยมเหมียวอี้อยู่แล้ว

ผ่านไปหลายปีขนาดนั้น สองพี่น้องไม่เคยได้พบหน้ากันเลย สาเหตุหลักเป็นเพราะเหมียวอี้ ตอนที่อยู่ที่กองทัพองครักษ์ เยว่เหยาก็ไม่สะดวกจะไปหา จากนั้นก็เหมียวอี้ก็อยู่ที่อุทยานหลวงหรือไม่ก็แดนมรณะดึกดำบรรพ์ จอนหลังก็เกิดเรื่องตามมาเป็นชุด เยว่เหยาได้ยินข่าวแล้วก็อกสั่นขวัญแขวนเหมือนกัน อยากจะเจอมาตลอดแต่ก็ไม่ค่อยสะดวก ครั้งนี้พอได้ยินว่าเหมียวอี้ถูกทำโทษให้มาตลาดผี ก็นับว่าเป็นสถานที่ที่สะดวกให้พบกัน นางถึงได้มาหาสักครั้ง แต่ใครจะคิดว่าจะได้ยินข่าวเรื่องเจียงอีอีถูกจับตัวไปทุกที่ ทำให้นางตกใจไม่ใช่น้อย นึกไม่ถึงว่าเจียงอีอีที่ตัวเองติดต่อไม่ได้มาหลายปีจะมาที่ตลาดผีแล้ว

โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าเหมียวอี้อาจจะฆ่าเจียงอีอี ก็ยิ่งทำให้นางร้อนใจดั่งไฟลน ยังไม่ทันถึงจวนแม่ทัพภาคก็อดไม่ได้ที่จะติดต่อไปหาโดยตรง กลัวว่าช้ากว่านี้แล้วจะมีอะไรผิดพลาด

เหมียวอี้ถามอย่างแปลกใจเล็กน้อย : เจ้าสาม เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม?

เยว่เหยา : ข้าแค่ถามว่าจริงหรือเปล่า?

เหมียวอี้ : เจียงอีอีอยู่ในมือข้า ทำไมล่ะ?

เยว่เหยา : ท่านต้องการจะฆ่าเขาใช่มั้ย?

เหมียวอี้ : ข้าจะฆ่าหรือไม่ฆ่าเขาแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า? เจ้าสาม เจ้าถามแบบนี้หมายความว่ายังไงกันแน่?

เยว่เหยา : ท่านฆ่าเขาไม่ได้นะ! ข้าอยู่ที่ตลาดผีแล้ว กำลังจะไปที่จวนแม่ทัพภาคเดี๋ยวนี้

เหมียวอี้ : ฆ่าเขาไม่ได้เหรอ? เจ้าสาม เจ้าคงไม่ได้กำลังจะบอกข้าใช่มั้ย ว่าเจียงอีอีเป็นคนของลัทธิเซียน?

เขาไม่ได้คิดไปถึงอย่างอื่นเลย ไม่เคยเลยว่าเจ้าสามจะมีความสัมพันธ์ที่พิเศษอะไรกับโจรราคะได้ นอกเสียจากเจ้าสามจะสมองมีปัญหาเท่านั้นแหละ

เยว่เหยา : ไว้เจอกันก่อนแล้วค่อยคุย เอาเป็นว่าท่านฆ่าเขาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ยอมรับท่านเป็นพี่ใหญ่

หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกหยางเจาชิงให้ไปรับที่ด้านนอก ส่วนตัวเองก็เดินไปเดินมาในห้องโถง รู้สึกกลุ้มใจนิดหน่อย เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าเยว่เหยามีเจตนาอะไร ถ้าเจียงอีอีเป็นคนลัทธิเซียนที่ถูกจับแทรกเข้ามาในสมาคมวีรชนจริงๆ เช่นนั่นก็ยุ่งยากแล้ว เพราะก่อนหน้านี้เกาก้วนกดดันเขามาแล้ว ว่าจะต้องส่งตัวให้หน่วยตรวจการขวาทั้งเป็นๆ

ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว อวิ๋นจือชิวก็เข้ามาในห้องโถงอีก เมื่อเห็นเขาขมวดคิ้วมุ่น นางก็เข้ามากอดแขนเขาแล้วถามว่า “เป็นอะไรไปอีกแล้วล่ะ?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “เจ้าสามมาที่ตลาดผีแล้ว กำลังจะถึงแล้ว นางกำชับข้าว่าห้ามฆ่าเจียงอีอี”

“หมายความว่ายังไง?” อวิ๋นจือชิวงุนงง

“ข้าเองก็ไม่เข้าใจ เอาไว้เจอกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เหมียวอี้ส่ายหน้า

ผ่านไปไม่นาน หยางเจาชิงก็นำเยว่เหยาที่ปลอมตัวเป็นหญิงชราเข้ามาแล้ว เมื่อพบหน้ากัน เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมองประเมินการแต่งตัวของเยว่เหยาศีรษะจดเท้า

ส่วนความสัมพันธ์ที่แท้จริงของเยว่เหยาตัวเอง เหมียวอี้ก็ไม่อยากให้คนรู้เยอะเกินไป รวมทั้งลูกน้องคนสนิทบางคนด้วย จึงโบกมือให้หยางเจาชิงถอยออกไป

พอหยางเจาชิงออกไป ยังไม่ทันรอให้เหมียวอี้เอ่ยปาก เยว่เหยาก็ถามด้วยอารมณ์ฮึกเหิมแล้วว่า “พี่ใหญ่ เจียงอีอีล่ะ?”

เหมียวอี้ขมวดคิ้วตอบ “อยู่ในคุก! ข้าว่านะเจ้าสาม นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมเจ้าถึงไปเกี่ยวข้องกับโจรราคะได้?”

เยว่เหยาก้าวเข้ามาจับแขนเขา แล้วถามอย่างว้าวุ่นใจ “พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้ทำอะไรเขาใช่มั้ย? พาข้าไปพบเขาเถอะ”

เหมียวอี้ชักมือออก “เจ้าสาม เจ้าพูดมาให้ชัดเจนก่อนว่าเรื่องอะไรกันแน่”

แต่เยว่เหยากลับทำท่าเหมือนไม่อยากรอ ใจร้อนอยากจะไปพบคน “พี่ใหญ่ ข้าต้องการพบเขา พาข้าไป” นางเข้ามาฉุดแขนเหมียวอี้ดึงไปข้างนอกอีก

……………………………….………

 

พอเจอหน้ากัน ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ถามทันทีว่า “ซ่างกวน มีเรื่องด่วนเรื่องร้อนอะไรถึงเรียกพวกเรามาพบ?”

ซ่างกวนชิงมีสีหน้าขื่นขม กุมหมัดคารวะกล่าวซ้ำๆ ว่า “เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นแล้ว”

ซือหม่าเวิ่นเทียนมองเขาศีรษะจดเท้า แล้วถามว่า “เรื่องใหญ่อะไรถึงทำให้เจ้าตกใจขนาดนี้? อย่าบอกนะว่าฝ่าบาทจะตัดหัวเจ้า?”

“คงจะประมาณนั้น” ซ่างกวนชิงกล่าวด้วยเสียงต่ำเบาว่า “ไม่ปิดบังพวกเจ้าทั้งสองนะ เจียงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน ตอนนี้ตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตแล้ว…” เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ

ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนอึ้งทันที จากนั้นก็เบิกตากว้างพลางสูดหายใจลึก ทั้งคู่ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้แล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี

“เรื่องนี้อาจจะทำให้ฝ่าบาทตัดหัวข้าเพราะความโมโหก็ได้ ที่ข้าเชิญทั้งสองมา ก็เพราะหวังว่าทั้งสองจะช่วยพูดให้ข้าหน่อย ขอร้องล่ะ!” ซ่างกวนชิงเรียกได้ว่าค้อมกายคารวะซ้ำๆ

“เจ้าหมายความว่า ฝ่าบาทยังไม่รู้เรื่องนี้เหรอ?” เกาก้วนถามเสียงต่ำ

ซ่างกวนชิงส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าเรื่องแบบนี้ปิดบังกันไม่ไหวแล้ว แต่ก่อนที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ ข้าจะกล้าเอ่ยปากบอกฝ่าบาทได้ยังไง โชคดีที่ตอนนี้เรื่องราวเกิดการเปลี่ยนแปลง ขอร้องพวกเจ้าสองคนด้วย”

ซือหม่าเวิ่นเทียนแสยะยิ้มไม่หยุด “ข้าว่านะซ่างกวน ข้าจะว่าเจ้ายังไงดี กับเรื่องแบบนี้เจ้ากล้าปล่อยให้เกิดช่องโหว่ได้ยังไง?”

ซ่างกวนชิงเถียงไม่ออก กุมหมัดคารวะขอร้องอีกครั้ง

เกาก้วนเหล่ตาถาม “เรื่องแบบนี้เจ้าควรจะไปขอให้โพ่จวินช่วย มีแค่เขาที่กล้าเถียงกับฝ่าบาท พวกเราสองคนไม่ได้หัวแข็งขนาดนั้น”

“เห้อ!” ซ่างกวนชิงกลอกตามองบน “เหล่าเกา เจ้ากลัวว่าข้าจะไม่ตายใช่มั้ย? เจ้ายังไม่รู้จักนิสัยเจ้าอารมณ์ของโพ่จวินอีกเหรอ? จะให้โพ่จวินรู้เรื่องนี้ได้ยังไงล่ะ ถ้าให้โพ่จวินรู้ว่าข้าทำเรื่องลับลวงพรางขนาดนี้ นอกจากเขาจะไม่ช่วยข้าแล้ว ดีไม่ดีอาจจะซ้ำเติมด้วยซ้ำ ข้าไปมีเรื่องกับท่านนั้นไม่ไหว ตกลงไหม? แล้วอีกอย่างนะ เรื่องแบบนั้นจะให้คนรู้เยอะได้ยังไง แต่ฐานะของพวกเจ้าสองคนไม่เหมือนกัน”

“เจ้ากำลังบอกว่า พวกเราสองคนทำเรื่องลับลวงพรางบ่อย ก็เลยมาหาพวกเราใช่มั้ย?” เกาก้วนถาม

ซือหม่าเวิ่นเทียนเอามือลูบจมูกโดยไม่รู้ตัว ก็พูดไม่ผิดจริงๆ เกาก้วนกุมหน่วยตรวจการขวายังใช้วิธีแข็งกร้าวได้บ้าง แต่เขาคุมหน่วยตรวจการซ้าย จึงทำเรื่องลับลวงพรางไว้เยอะ ขอเพียงทำให้บรรลุเป้าหมาย ไม่วิธีการต่ำช้าอย่างไรก็ใช้ได้หมด เมื่อเทียบกับซ่างกวนชิงแล้วถือว่าไม่น้อยกว่าเลย

“เห้อ! นี่มันเวลาไหนแล้ว เจ้าจะมาเถียงกับข้าเรื่องนี้ทำไม?” ซ่างกวนชิงถึงแขนเสื้อของทั้งสองคน “ไปเถอะ พวกเจ้าเห็นคนกำลังจะตายอยู่แล้ว จะไม่ช่วยเหลือได้ยังไง?”

ที่จริงทั้งสองไม่อยากจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ เพราะจินตนาการได้ถึงปฏิกิริยาของฝ่าบาทหลังจากได้รู้เรื่องนี้ การพรวดพราดเข้าไปในเวลานี้ก็คงไม่ได้ผลดีอะไร แต่ก็ช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรซ่างกวนชิงก็เป็นคนข้างกายฝ่าบาท คอยบอกใบ้ชี้แนะพวกเขาบ่อยๆ ทั้งสองนับว่าได้รับน้ำใจจากซ่างกวนชิงมาไม่น้อย ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องตอบแทนน้ำใจก็ได้ แต่อย่างน้อยในภายหลังก็ยังมีเรื่องที่ต้องขอให้ซ่างกวนชิงช่วยพูดต่อหน้าฝ่าบาทอีก

ทั้งสองจำเป็นต้องเดินตามหลังเขาไป หลังจากเข้าไปในวังแล้ว เห็นว่าสถานที่ที่จะไปคือวังหลัง ซือหม่าเวิ่นเทียนก็เลยขมวดคิ้วถามว่า “ฝ่าบาทอยู่ที่ไหน?”

“ที่ตำหนักบูรพา” ซ่างกวนชิงถาม

อยู่กับสนมสวรรค์อีกแล้วเหรอ? ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนสบตากันแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก ตอนนี้ขอเพียงตาไม่บอดก็ล้วนดูออก ว่าฝ่าบาทรักและโปรดปรานสนมสวรรค์ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

ระหว่างทาง ทั้งสามปรึกษากันว่าจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร

หลังจากมาถึงประตูของตำหนักบูรพา ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนก็ไม่สะดวกจะเข้าไปอีก ข้างในเป็นตำหนักบรรทมของสนมสวรรค์ ผู้ชายสองคนไม่สะดวกจะล่วงล้ำเข้าไป ส่วนซ่างกวนชิงก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปแล้ว พอไปถึงประตูนอกตำหนักหลังหนึ่งก็ส่งเสียงเรียก “ฝ่าบาท ทูตซ้ายซือหม่ากับทูตขวาเกาขอพบ”

ผ่านไปไม่นาน ประมุขชิงที่สวมชุดลำลองผ้ามุ้งบางทั้งตัวก็เดินออกมาพร้อมผมที่ปล่อยยาวสยาย ดูจากใบหน้าที่อมยิ้มแล้วก็เหมือนจะอารมณ์ดีใช้ได้เลย เขาพยักหน้าบอกว่า “ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ” จากนั้นก็ก้าวเดินลงบันได เดินไปในศาลาที่อุทยาน

ผ่านไปไม่นาน ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนก็มาพร้อมกัน หลังจากเข้ามาทำความเคารพในศาลาแล้ว ก็ต่างคนต่างรายงานเรื่องสำคัญของตัวเอง ก็ช่วยไม่ได้ ตอนนี้ต้องช่วยเล่นละครให้ความร่วมมือกับซ่างกวนชิง ต่อให้ไม่มีเรื่องอะไรแต่ก็ต้องหาทางกุเรื่องขึ้นมารับมา

ซ่างกวนชิงยืนอยู่ข้างกายประมุขชิง แต่ทำท่าทางเหมือนไม่มีเรื่องอะไร ต่อให้ในใจจะมีเรื่องอะไร แต่ในภายนอกก็มองไม่เห็นพิรุธใดๆ ทำเอาซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนแอบด่าในใจไม่หยุด

หลังจากรายงานเรื่องใหญ่ๆ เสร็จ ประมุขชิงให้คำชี้แนะเล็กน้อยแล้ว ก็ถามตามความเคยชินอีกว่า “ช่วงนี้แต่ละที่สงบเงียบดีใช่มั้ย?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอื่น แต่เพิ่งจะได้ข่าวมาเรื่องหนึ่ง ได้ยินว่าโจรราคะเจียงอีอีผู้โด่งดังที่จับตัวไม่ได้มาหลายครั้งติดกับดักที่ตลาดผีแล้ว ตกอยู่ในมือแม่ทัพภาคตลาดผีหนิวโหย่วเต๋อแล้วขอรับ”

ประมุขชิงราวกับโดนกระตุ้นให้สะเทือนอารมณ์ เบิกตากว้างในชั่วพริบตาเดียว

เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าน้อยก็เพิ่งได้ข่าวด้านนี้มาเช่นกัน เหมือนจะตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตก่อน จากนั้นตึกศาลาสัตยพรตก็ส่งต่อให้หนิวโหย่วเต๋ออีก”

“ตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตเหรอ?” ประมุขชิงนั่งไม่ติดที่แล้ว เพล้ง! ใช้ฝ่ามือตบลงบนผวิโต๊ะศิลาหยก ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเป็นโต๊ะที่ก่อตัวจากพลังปรารถนา โต๊ะพังกระเด็นเกลื่อนพื้นในชั่วพริบตาเดียว

เสียงความเคลื่อนไหวนี้ทำให้ทหารยามข้างนอกปรากฏตัวพร้อมกัน คนในตำหนักบูรพาก็ตกใจกับเสียงนี้เช่นกัน ขนาดจ้านหรูอี้ที่สวมชุดลำลองผ้ามุ้งบางยังยื่นตัวออกมาดูตรงประตู

ประมุขชิงพลันลุกขึ้นยืน จ้องมองรอบวงด้วยแววตาเดือดดาล แล้วโบกมือตะคอกว่า “ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า ไสหัวออกไปให้หมด!”

คนที่เข้ามาล้อมหายไปจนไม่เห็นเงาแล้ว ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนกลับทำท่าเหมือนแปลกใจ ส่วนซ่างกวนชิงก็โค้งตัวค้างไว้ ตกใจจนตัวสั่นระริก

ตอนนี้ประมุขชิงถึงได้หันตัวมาช้า แล้วมองไปที่ซ่างกวนชิง ถามอย่างดุดันว่า “นี่คืองานที่เจ้าทำเหรอ? เจ้าไม่คิดจะให้คำอธิบายกับข้าสักหน่อยเหรอ?”

“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ ข้าน้อยไม่รู้เรื่องจริงๆ ข้าน้อยจะติดต่อไปยืนยันเดี๋ยวนี้” ซ่างกวนชิงที่มีสีหน้าหวาดกลัวรีบหยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปที่ไหน

“เหตุใดฝ่าบาทจึงเดือดดาลขนาดนี้?” ซือหม่าเวิ่นเทียนลองถาม

ประมุขชิงกระอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างถี่กระชั้น สายตากวาดมองบนใบหน้าเกาก้วนและซือหม่าเวิ่นเทียน สุดท้ายก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “ทีแรกข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน พอได้ยินเจ้าชาติสุนัขนี่เอ่ยขึ้นมาถึงได้รู้ เจียงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน ชาติสุนัข!” พอพูดจบ ก็ใช้เท้าเตะบนก้นของซ่างกวนชิงหนึ่งที

ซ่างกวนชิงแทบจะล้มลงเหมือนสุนัขกินอุจจาระ เขารีบลุกขึ้นยืนโดยยังไม่หยุดเขย่าระฆังดาราในมือ

ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนเห็นแล้วแอบทอดถอนใจ ได้อยู่ใกล้ฝ่าบาทก็มีเหมือนกัน ได้อยู่ไกลฝ่าบาทสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยฝ่าบาทก็ไม่ดุด่าหรือลงไม้ลงมือกับพวกเขาสองคน สิทธิพิเศษแบบซ่างกวนชิงกับโพ่จวินเป็นสิ่งที่พวกเขาสัมผัสไม่ถึง แต่จะว่าไปแล้ว สิ่งนี้ก็อธิบายได้ชัดเจนว่าซ่างกวนชิงกับโพ่จวินต่างหากที่เป็นลูกน้องคนสนิทของฝ่าบาทอย่างแท้จริง

ทว่าทั้งสองก็ยังต้องให้ความร่วมมือในการแสดงละคร ทั้งคู่ทำสีหน้าตกใจมาก ร้อง “อ๋า!” แล้สมองหน้ากันเลิกลั่ก

เหมือนจะรู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้แล้ว ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าวเสียงต่ำว่า “ตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อก็จัดการง่าย แต่ถ้าผ่านมือตึกศาลาสัตยพรตก็จะจัดการยากแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าตึกศาลาสัตยพรตได้ล้วงอะไรจากปากเจียงอีอีหรือเปล่า”

เมื่อได้ยินคำนี้ ประมุขชิงก็ขยับเท้าอีกรอบ เตะซ่างกวนชิงกระเด็นออกนอกศาลาเสียเลย

ผ่านไปไม่นาน ซ่างกวนชิงก็วิ่งกลับมาอย่างกลัวเกรงอีก แล้วรายงานสถานการณ์ที่เพิ่งได้รับมาเมื่อครู่นี้ สุดท้ายก็พูดคลี่คลายสถานการณ์ว่า “ฝ่าบาท เดิมทีทางสมาคมวีรชนมีแผนรับมือ รวบรวมยอดฝีมือเตรียมจะไปชิงตัวคนที่ตึกศาลาสัตยพรต เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ตึกศาลาสัตยพรตจะส่งคนไปที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี ทางสมาคมวีรชนก็อยากจะแก้ไขเรื่องนี้ก่อน เมื่อได้คำอธิบายแล้วค่อยรายงานข้าน้อยทีหลัง ก่อนหน้านี้ข้าน้อยไม่รู้สถานการณ์เลยจริงๆ”

ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนแอบพูดไม่ออก เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง เจ้านี่จึงผลักสมาคมวีรชนออกมาเป็นโล่กำบังเสียเลย ถ้ามีอะไรไม่เหมาะสมขึ้นมา เกรงว่าในภายหลังตระกูลหวงฝู่คงจะกลายเป็นเถ้าถ่านกันทั้งหมด

ประมุขชิงด่ายับเลยว่า “ได้คำอธิบายบ้าอะไรเล่า! ตึกศาลาสัตยพรตไม่ได้อยู่ในระบบของตำหนักสวรรค์ บุกโจมตีก็ไม่เป็นไร อย่าบอกนะว่าตอนนี้ยังคิดจะนำคนบุกโจมตีจวนแม่ทัพภาคตลาดผีด้วย ตึกศาลาสัตยพรตจะนิ่งดูดายได้เหรอ? ขอเพียงมีใครสักคนของสมาคมวีรชนติดกับดัก ก็จะถือว่าสมาคมวีรชนทำผิดกฎสวรรค์แล้ว ถ้ามีคนล้างเลือดเพื่อรักษากฎสวรรค์ขึ้นมา แม้แต่ข้าก็พูดอะไรไม่ได้!”

ซ่างกวนชิงตัดสินใจแสดงความฉลาดของตัวเองออกมา “ฝ่าบาทช่างปราดเปรื่อง เมื่อครู่นี้ข้าน้อยตำหนิพวกเขาไปแล้ว สั่งให้พวกเขาหยุดแล้ว”

“เจียงอีอีเป็นหรือตาย?” ประมุขชิงถาม

“อยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายขอรับ” ซ่างกวนชิงตอบ

“ปัญหาในตอนนี้ก็คือ เจียงอีอีได้พูดอะไรเหลวไหลไปหรือเปล่า” ประมุขชิงกล่าว

เพื่อที่จะระงับไฟโกรธของประมุขชิง ซ่างกวนชิงจึงบอกว่า “สมาคมวีรชนให้เขาทำเรื่องนี้ได้ ก็ย่อมมีวิธีควบคุมเขาได้เช่นกัน สมาคมวีรชนมีความมั่นใจมาก ว่าต่อให้ตายยังไงเจียงอีอีก็ไม่มีทางปริปาก คนยังไม่ตาย ก็น่าจะยังไม่คายความลับอะไรออกมา แน่นอน เรื่องนี้ยังต้องรอให้เจียงอีอียืนยันเอง โชคดีที่เจียงอีอียังมีชีวิตอยู่ขอรับ”

ที่บอกว่าสมาคมวีรชนมีความมั่นใจมากคืออะไร? ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนแอบส่งสายตาให้กัน เพื่อที่จะทำให้ฝ่าบาทระงับโทสะ ซ่างกวนก็ช่างกล้าพูดฌอ้อวดทุกอย่างจริงๆ แบบนี้เป็นการผลักตระกูลหวงฝู่ให้ตกหลุมพรางมรณะชัดๆ ถ้ายืนยันได้ว่าเจียงอีอีพูดอะไรไปแล้ว เช่นนั้นตระกูลหวงฝู่ก็จะโดนเพิ่มโทษข้อหาปิดบังไม่ยอมรายงาน ถ้าเกิดปัญหาขึ้นก็ล้วนเป็นความผิดของตระกูลหวงฝู่ที่ไม่ยอมรายงาน ส่วนซ่างกวนชิงก็โดนตระกูลหวงฝู่ปิดบังเช่นกัน ถึงตอนนั้นตระกูลหวงฝู่จะยังมีทางรอดอีกเหรอ? อย่าว่าแต่ฝ่าบาที่จะไม่ปล่อยไป เกรงว่าซ่างกวนก็จะฆ่าปิดบังเช่นกัน ต้องทราบไว้ว่าในมือซ่างกวนยังมีหน่วยองครักษ์เงา!

แต่จะว่าไปแล้ว ที่จริงตระกูลหวงฝู่ก็เป็นเพียงสุนัขรับใช้ตัวหนึ่งที่อยู่ใต้เท้าซ่างกวนชิง ยามเผชิญอันตรายเจ้าของจะเลือกปกป้องตัวเอง หรือจะเลือกทิ้งเจ้าของเพื่อปกป้องสุนัขตัวนั้นล่ะ ระหว่างสองอย่างนี้ก็เลือกได้ไม่ยาก พอสุนัขตายไปแล้ว แค่หาตัวใหม่มาเลี้ยงก็สิ้นเรื่อง

“แต่สิ่งที่ข้าน้อยกังวลในตอนนี้ก็คือ เจียงอีอีปรากตัวอยู่ใกล้ๆ จวนแม่ทัพภาคตลาดผี จะทำให้หนิวโหย่วเต๋อสงสัยหรือเปล่าขอรับ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อเดาเจตนาของเจียงอีอีออกขึ้นมา อาศัยแค่ที่หนิวโหย่วเต๋อกล้าก่อเรื่องใหญ่โตที่น่านฟ้าระกาติงเพื่อผู้หญิงคนนั้น เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อคงจะไม่ปล่อยเจียงอีอีไป”

คำพูดของซ่างกวนชิงเบี่ยงเบนความสนใจของประมุขชิงได้สำเร็จแล้ว ทำให้ประมุขชิงเพ่งสมาธิไปกับการแก้ไขปัญหานี้ ประมุขชิงหันขวับกลับมาถามว่า “เกาก้วน เจ้ามีช่องทางติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อได้ใช่มั้ย?”

เกาก้วนพยักหน้า “ใช่ขอรับ มีช่องทาง”

ประมุขชิงสั่งว่า “เจ้าติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อเดี๋ยวนี้ บอกว่าเจียงอีอีมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีสำคัญมากมาย เรื่องนี้หน่วยตรวจการขวาของเจ้าจะสอบสวนเอง ก่อนที่จะส่งคนมาถึงหน่วยตรวจการขวา สั่งหนิวโหย่วเต๋อว่าอย่าถือวิสาสะทำอะไรเจียงอีอี คาดว่าชื่อเสียงของทูตขวาเกาคงจะขู่เขาได้ผล!”

“ขอรับ!” เกาก้วนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง แล้วรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้

ส่วนประมุขชิงก็หันขวับกลับมาจ้องซ่างกวนชิงด้วยสายตาเย็นเยียบอีก “สมาคมวีรชนเผยช่องโหว่ใหญ่ขนาดนี้ เจ้าดูแลยังไงของเจ้า? แม้แต่อะไรสำคัญมากสำคัญน้อยยังแยกแยะไม่ได้ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นขนาดนี้ยังกล้าปิดบัง เกรงว่าตระกูลหวงฝู่คงไม่เหมาะที่จะคุมสมาคมวีรชนอีกแล้ว หาคนมารับช่วงต่อซะ หลังจากจบเรื่องนี้ให้หน่วยองครักษ์เงากำจัดปัญหาแฝงเร้นให้สิ้นซาก ถ้าเกิดความผิดพลาดอะไรอีกข้าจะมาเอาเรื่องเจ้า!”

…………………………

อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่พวกอวิ๋นจือชิวก็เหลือบมองเงาไห่ผิงซินวิ่งหนีไปแล้วกลั้นขำเหมือนกัน

เหมียวอี้ก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ทว่าข้างหูกลับได้ยินหยางชิ่งถ่ายทอดเสียงมา “นายท่าน ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องขึ้นที่โรงเตี๊ยมไร้กังวลนอกจวนแม่ทัพภาค ข้าส่งคนไปตรวจสอบมาแล้ว คาดว่าคนของตึกศาลาสัตยพรตคงลงมือจับตัวใครได้ และนอกจวนแม่ทัพภาคก็มีคนโดนจับไปอย่างต่อเนื่องโดยไร้สาเหตุ คนที่กล้าเคลื่อไหนต่อเนื่องกันนอกจวนแม่ทัพภาคแบบนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นตึกศาลาสัตยพรต แต่จนกระทั่งวันนี้พวกเราก็ยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”

เหมียวอี้หันกลับมาอย่างอึ้งๆ ก่อนหน้านี้เขาก็รู้เรื่องนี้แล้วเช่นกัน ถึงแม้คนของแม่ทัพภาคตลาดผีจะมีไม่เยอะ มีแค่กำลังพลหนึ่งพัน ยากที่จะสร้างความเคลื่อนไหวที่ตลาดผีได้ แต่เรื่องก็เกิดขึ้นที่นอกจวนแม่ทัพภาค จะไม่ให้ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็คงยาก ก่อนหน้านี้หยางชิ่งก็บอกไว้แล้ว เมื่อครั้งนี้มาพูดขึ้นอีกครั้ง ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเตือน

เรื่องนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จำกัด พอหยางชิ่งมาก็พยายามวางงานให้ลูกน้องทันที เหมียวอี้ก็เห็นด้วยกับสิ่งนี้เช่นกัน ไม่อาจะปล่อนให้ตาสองข้างมดมัว ฝากความหวังทุกอย่างเอาไว้กับการปกป้องจากคนอื่น หากเกิดเรื่องขึ้นมาอย่างน้อยก็สามารถต่อต้านได้ ไม่ถึงขั้นโดนคนเอาดาบมาจ่อที่คอแล้วถึงจะรู้

เมื่อได้ยินคำเตือนนี้ เหมียวอี้ก็รีบมองยังเจียงอีอีที่อยู่บนพื้น แล้วก็มองไปทางหยางชิ่งอีกครั้ง ก่อนจะถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้าหมายความว่า เสียงความเคลื่อนไหวข้างนอกเป็นตึกศาลาสัตยพรตกำลังจับตัวเขาเหรอ?”

หยางชิ่งบอกว่า “ยังฟันธงไม่ได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ นายท่านลองจินตนาการดูสักหน่อยสิ ถ้าตึกศาลาสัตยพรตจับตัวเจียงอีอีได้นอกจวนแม่ทัพภาคจริง แล้วเจ้าเจียงอีอีมาปรากฏตัวอยู่นอกจวนแม่ทัพภาคเพราะคิดจะทำอะไรล่ะ?”

เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็ตกใจกลัวทันที โจรราคะเจียงอีอีเรียกได้ว่ามีชื่อเสียงโด่งดัง มีชื่อเสียงได้เพราะเรื่องอะไรก็ไม่ต้องให้คนอื่นเตือนแล้ว กอปรกับเขาก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงแล้วให้เจียงอีอีเป็นแพะรับบาป ตอนนี้เจียงอีอีก็มาโผล่ที่นอกจวนแม่ทัพภาคตลาดผีอีก โจรราคะคนนี้คิดจะทำอะไร เกรงว่าต่อให้เจ้าไม่อยากจะคิดไปทางนั้นแต่ก็ต้องคิดไปทางนั้น

เขาสบตากับหยางชิ่งแล้ว หยางชิ่งพยักหน้าเบาๆ ราวกับกำลังบอกว่าเขาก็เดาแบบนี้เช่นกัน

เหมียวอี้รีบมองไปทางอวิ๋นจือชิว แล้วก็มองไปบนตัวเจียงอีอีอีก ตอนนี้ในดวงตาไร้แววเห็นอกเห็นใจแล้ว สิ่งที่เจ้ามาแทนที่คือเจตนาสังหาร!

ว่ากันตามจริง ก่อนหน้านี้เขายังไม่เคยคิดจะฆ่าเจียงอีอี ถึงแม้จะทำให้เจียงอีอีเป็นแพะรับบาปที่น่านฟ้าระกาติง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรนอกจากนั้น ต่อให้เจียงอีอีตกอยู่ในมือตำหนักสวรรค์แล้วบอกว่าตัวเองไม่เคยไปก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติง แต่แล้วอย่างไรล่ะ? ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเจียงอีอีตัวปลอมมีความเกี่ยวข้องกับเหมียวอี้อยู่ดี

เดิมทีเขาเตรียมจะส่งตัวเจียงอีอีแบบเป็นๆ ไปให้ตำหนักสวรรค์สอบสวน แบบนี้จะมีค่าต่อตำหนักสวรรค์สูงกว่า ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เขาไม่ถือสาที่จะนำของขวัญจากตึกศาลาสัตยพรตไปแลกเป็นผลงานที่ตำหนักสวรรค์ ทว่าในตอนนี้ เขาสงสัยว่าโจรราคะกำลังคิดจะทำอะไรอวิ๋นจือชิว ขนาดหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงผู้สง่าผ่าเผยเขายังไม่ทนเลย แล้วจะทนโจรราคะคนนี้ได้อย่างไร?

เขาไม่อยากฆ่าเจียงอีอีก็เพราะเขารู้ว่าเจียงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน และเบื้องหลังของสมาคมวีรชนก็คือประมุขชิง ไม่อยากสร้างปัญหาอะไร และสาเหตุที่เขาอยากจะฆ่าเจียงอีอีทิ้งตอนนี้ ก็เป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นคนของสมาคมวีรชน ถ้าให้เจ้าโจรนี่ตกอยู่ในมือของตำหนักสวรรค์ เขาก็ไม่กล้าแน่ใจว่าตำหนักสวรรค์จะฆ่าเจ้าโจรคนนี้แน่หรือไม่ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าโจรนี่คิดจะแตะต้องอวิ๋นจือชิว มีหรือที่เขาจะปล่อยให้เกิดปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง!

เขาแทบจะตัดสินใจได้ในชั่วพริบตาเดียว ว่าเจ้าโจรนี่มันรนหาที่ตาย! เขาเตรียมจะส่งศพเจียงอีอีให้ตำหนักสวรรค์ ต่อให้ตำหนักสวรรค์จะอ้างว่ายังสืบคดีในปีนั้นของเจียงอีอีได้ไม่ชัดเจนและตำหนิที่เขาฆ่าคนร้ายตายเขาก็ไม่เสียดาย ต่อให้เป็นเจียงอีอีที่ตายไปแล้ว แต่ก็นับว่าได้ผลงานอยู่ดี

พวกเหยียนซิวสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่ลอยขึ้นมาบนตัวเหมียวอี้ ทุกคนแอบตกใจ ไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้หยางชิ่งแอบพูดอะไรกับเหมียวอี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะยั่วให้เหมียวอี้คิดจะลงมือสังหารโจรหลบหนีอย่างเจียงอีอี

“ดูจากสภาพนี้ของเขา เหมือนตึกศาลาสัตยพรตจะสอบสวนเขามาแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าสอบสวนได้ความอะไรบ้าง แต่ตึกศาลาสัตยพรตส่งคนมาแบบนี้ แต่กลับไม่ยอมบอกว่าจับเจียงอีอีมาจากไหน ทำให้ข้าน้อยรู้สึกว่ามันแปลกนิดหน่อย ข้าน้อยสงสัยว่าข้างในจะมีลับลมคมในอะไรหรือเปล่า!” หยางชิ่งแอบบอกเพิ่มอีก เหมือนตัดสินใจไม่ได้ว่าเหมียวอี้จะต้องฆ่าเจียงอีอีหรือไม่

เหมียวอี้เหมือนจะไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดนี้ ไม่ว่าจะมีเงื่อนงำหรือไม่ เขาก็ไม่อยากปล่อยให้เจียงอีอีมีชีวิตรอดออกไป!

ทว่าในตอนนี้เอง เหออี้กวนก็ปรากฏตัวอยู่ด้านนอก แล้วรายงานว่า “นายท่าน!”

“เข้ามา!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเย็น

เหออี้กวนเขามาแล้วกุมหมัดคารวะต่อทุกคน ก่อนจะเดินมารายงานข้างกายเหมียวอี้ “นายท่าน ด้านนอกมีข่าวแพร่ออกไปทั่วแล้ว บอกว่าจวนแม่ทัพภาคของพวกเราจับตัวโจรราคะเจียงอีอีได้” สายตาเหลือไปมองเจียงอีอีที่นอนแน่นิ่งปางตายอยู่บนพื้น

เหมียวอี้มองไปที่หยางชิ่งอย่างประหลาดใจ ราวกับกำลังถามว่า ทางนี้เพิ่งได้จะตัวคน ทำไมด้านนอกมีข่าวลือแล้วล่พ?

หยางชิ่งแววตาวูบไหว แล้วถ่ายทอดเสียงบอกอย่างไม่ลังเลว่า “นายท่าน ตึกศาลาสัตยพรตเป็นผู้ปล่อยข่าวแน่นอน ไม่อย่างนั้นข่าวคงไม่เร็วขนาดนี้ เรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในอะไรที่พวกเราไม่รู้แน่นอน!” เขากันกลับมาบอกเหออี้กวนว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เหอ รบกวนท่านไปสืบอีกรอบ ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไรอีกก็ให้รายงานนายท่านทันที!”

เหออี้กวนมอบเหมียวอี้แวบหนึ่ง เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่ว่าอะไร ก็กุมหมัดคารวะทันที แล้วรีบออกไปจัดการ

เหมียวอี้จมอยู่ในความคิด เพียงแต่คิดไม่ตกว่าการที่ตึกศาลาสัตยพรตทำแบบนี้หมายความว่าอะไร ภายใต้อารมณ์ความคิดที่ไม่ชัดเจน เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถ่ายทอดเสียงบอกหยางชิ่งว่า “ข้าจะบอกความลับเจ้าอย่างหนึ่ง เจียงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน” ให้หยางชิ่งรู้มากขึ้นอีกหน่อย หวังจะอาศัยหัวสมองของหยางชิ่งเพื่อหาคำตอบด้วย

หยางชิ่งตกใจ รีบถ่ายทอดเสียงถามว่า “นายท่านแน่ใจนะ?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ในการทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิตในปีนั้น เจียงอีอีก็อยู่ในรายชื่อประกาศจับเหมือนกัน ข้าบังเอิญได้รู้ช้อมูลนี้มา เพียงแต่เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดของตำหนักสวรรค์ ข้าไม่เคยเปิดเผยกับใครมาก่อน”

จู่ๆ หยางชิ่งที่แววตาร้อนรนวูบไหวก็กล่าวว่า “เกรงว่าตึกศาลาสัตยพรตคงจะสืบจนรู้อะไรบางอย่างจากเจียงอีอีแล้ว ถ้าความลับนี้เผยออกไป จะต้องทำให้ตำหนักสวรรค์อับอายจนโมโหแน่นอน!”

“ข้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าบอกนะ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ข้าคิดไม่ตก ถ้าตึกศาลาสัตยพรตสืบได้อะไรจากตัวเขาจริงๆ ทำไมต้องปล่อยให้เขารอดชีวิตออกไปล่ะ ถ้าเขาตกอยู่ในใอตำหนักสวรรค์ ตำหนักสวรรค์ก็ย่อมถามเขาว่าได้เปิดเผยความลับของตำหนักสวรรค์ให้ตึกศาลาสัตยพรตรู้หรือเปล่า ตายไปพร้อมกับหลักฐานไม่ดีกว่าเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

หยางชิ่งจึงอธิบายว่า “นายท่าน จะพิจารณาทุกเรื่องตามนั้นหมดไม่ได้ แบบนั้นจะติดกับดักคนอื่น นายท่านลองคิดในทางกลับกันดูสักหน่อย ถ้าตึกศาลาสัตยพรตต้องการจะอาศัยปากของเจียงอีอีปิดบังความจริงว่าพวกเขารู้แล้ว แบบนั้นก็จะอธิบายทุกอย่างได้แล้ว! ความลับส่วนตัวแบบนี้เป็นอันตรายสำกรับพวกเรา เพราะพวกเราไม่มีคุณสมบัติจะไปงัดข้อกับตำหนักสวรรค์ แต่สำหรับตึกศาลาสัตยพรตนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าบีบจุดอ่อนนี้ไว้ เมื่อถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานก็ใช้บีบตำหนักสวรรค์ได้ สามารถใช้ประโยชน์ได้มาก นายท่าน ถ้าเจียงอีอีคนนี้เป็นคนของสมาคมวีรชนจริง การที่เขาตกอยู่ในใอตึกศาลาสัตยพรตแบบนี้ ตำหนักสวรรค์ต้องร้อนใจแน่นอน ตำหนักสวรรค์ต้องอยากรู้แน่ว่าเจียงอีอีได้เปิดเผยความลับหรือเปล่า นายท่าน เราจะฆ่าเจียงอีอีคนนี้ไม่ได้ ถ้าตายอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ไม่สู้ส่งตัวขึ้นไปตามแผนของตึกศาลาสัตยพรตเถอะ ด้วยกำลังเล็กน้อยของพวกเรา ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่ไหวหรอก ไม่อย่างนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าจะก่อเรื่องอะไรขึ้นอีก ตอนนี้เงียบไว้ดีกว่าเคลื่อนไหว นายท่านรับผลงานนี้ไปโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรก็พอ”

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับตอบเสียงเย็นน่ากลัวว่า “แล้วที่ตำหนักสวรรค์ส่งเจียงอีอีมาที่นอกจวนแม่ทัพภาคมันหมายความว่าอะไรล่ะ?”

“เฮ้อ!” หยางชิ่งถอนหายใจแล้วบอกว่า “แล้วจะให้ข้าน้อยเปลืองคำพูดมากมายทำไม คาดว่านายท่านคงมีคำตอบในใจแล้ว”

เหมียวอี้ทำสีหน้ามืดครึ้มค่ำเคร่งโดยไม่ตอบอะไร…

“อะไรนะ? คนตกอยู่ในมือจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแล้ว? ยืนยันได้มั้ย?”

ตระกูลหวงฝู่ ในจุดลึกของลานบ้านด้านใน หวงฝู่เลี่ยนคงได้ยินข่าวแล้วหันกลับมาถามอย่างตกใจ

หวงฝู่เยี่ยนที่ตามอยู่ข้างหลังตอบว่า “ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ขอรับ แต่ทางตลาดผีมีข่าวลือแล้ว”

“แล้วทำไมยังไม่ไปสืบมาให้ชัดเจนอีก? หรือต้องรอให้คนของพวกเราโจมตีเข้าไปในตึกศาลาสัตยพรตจนเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่ได้เอากระดูกมาแขวนคอก่อน?” หวงฝู่เลี่ยนคงถาม

หวงฝู่เยี่ยนตอบว่า “พวกระดับล่างของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีไม่รู้สถานการณ์ แถมพวกหนิวโหย่วเต๋อก็มาใหม่ ตอนนี้พวกเราไม่มีทางติดต่อได้ ถ้าคนตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อแล้ว คาดว่าหนิวโหย่วเต๋อคงจะรายงานขึ้นไป ไม่แน่ว่าเบื้องบนอาจจะรู้สถานการณ์แล้วก็ได้ ทำไมท่านพ่อไม่ถามเบื้องบนล่ะ?”

“เหลวไหล! ถ้าแม้แต่เรื่องแค่นี้ยังสืบเองไม่ได้ ในเวลานี้เจ้าจะให้ข้าอธิบายกับเบื้องบนยังไงล่ะ? เจ้ากลัวว่าเบื้องบนจะรำคาญพวกเราไม่พอเหรอ?” ใบหน้าชราของหวงฝู่เลี่ยนคงแทบจะดันเข้าไปหาใบหน้าลูกชาย แล้วโบกมือชี้ไปด้านนอก “จวินโหรวหลานสาวคนนั้นของเจ้ารู้จักกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่เหรอ? ทำไมเจ้าไม่รู้จักติดต่อกับนางบ้างล่ะ?”

“ความัมพันธ์ของพวกเขาเหมือนจะไม่ดีสักเท่าไร ถ้าไปสืบเรื่องแบบนี้จะไม่เปินการเปิดโปงว่าเกี่ยวข้องกับพวกเราหรอกเหรอ?”

“เจ้าให้นางสืบถามอ้อมๆ หน่อยไม่ได้รึไง?”

หวงฝู่เยี่ยนเถียงอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ

ในตึกเล็กหลังหนึ่งที่เงียบสงบ หลังจากหวงฝู่ตวนหรงได้รับข้อความจากบิดา ก็หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ริมหน้าต่าง สายตาเหม่องงเล็กน้อย

ไม่ง่ายเลยกว่านางจะตัดสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวกับหนิวโหย่วเต๋อได้ แต่ท่านพ่อกลับให้ลูกสาวนางติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋ออีก แบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ? แต่จนใจที่นางไม่อาจอธิบายเรื่องบางเรื่องให้บิดารู้ได้ และท่าทีของบิดาก็แข็งกร้าวมาก ทำท่าราวกับว่าต้องติดต่อใหได้ ทั้งยังให้ให้นางเร่งดำเนินการด้วย!

นางเองก็ไม่มีหนทางแล้วเช่นกัน รู้ว่าเจียงอีอีนั่นจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญอะไรแน่นอน จะต้องเกี่ยวข้องกับคนหลายส่วน ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงขั้นไม่ยอมรับแม้กระทั่งคำอธิบายของนาง

ไม่มีหนทางแล้ว ระฆังดาราที่ลูกสาวใช้ติดต่อหนิวโหย่วเต๋อก็ถูกนางทำลายไปแล้ว ส่วนลูกสาวก็ถูกย้ายให้ไปทำงานที่ตลาดสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง นางทำได้เพียงรีบออกเดินทางไปหาลูกสาวตัวเอง

แต่หวงฝู่เยี่ยนก็ไม่สะดวกจะบอกนางให้ชัดเจนว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ ดังนั้นนางจึงไม่รู้เลยว่ากว่าจะไปหาลูกสาวได้ก็ เรื่องราวก็สายไปแล้ว

ที่น่าขำกว่านั้นก็คือ ผ่านไปไม่นาน ทางหวงฝู่เลี่ยนคงก็ได้รับรายงานจากเบื้องบนอีก บอกว่าทางหนิวโหย่วเต๋อรายงานขึ้นมาแล้ว ว่าเจียงอีอีอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อ เบื้องบนให้สมาคมวีรชนหยุดเตรียมโจมตีตึกศาลาสัตยพรตก่อน

สองพ่อลูกตระกูลหวงฝู่โล่งอก คนตกอยู่ในมือจวนแม่ทัพภาคตลาดผีแล้วก็ดี เบื้องบนคงจะมีวิธีการแก้ปัญหา

เบื้องบนของตระกูลหวงฝู่ทำอะไรไม่ถูกเพราะเรื่องเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ตอนนี้สองพ่อลูกตระกูลหวงฝู่ต่างก็กำลังคิดว่าจะกำจัดผลกระทบที่จะตามมาในภายหลังอย่างไร ไม่น่าเชื่อว่าจะลืมเรื่องที่สั่งไว้กับหวงฝู่ตวนหรงแล้ว อย่างไรเสียฝั่งหวงฝู่จวินโหรวจะถามได้ความอะไรหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว แต่ถ้าได้ข่าวอะไรที่เป็นประโยชน์ก็ยิ่งดี ถ้าไม่ได้ข่าวก็ไม่เป็นอะไร

วังสวรรค์ ซ่างกวนชิงที่ถ่ายทอดคำสั่งต่อสมาคมวีรชนแล้วกำลังเดินไปเดินไปอย่างกระวนกระวายอยู่ในวังสวรรค์

ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนก็มาถึงพร้อมกัน ซ่างกวนชิงรีบเข้าไปต้อนรับแล้ว

…………………………

ชีเจวี๋ยเข้าใจกระจ่างในทันที “เจียงอีอีก็คือหลักฐานที่ดีที่สุด ที่จะพิสูจน์ว่าพวกเรายังไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก แต่พวกเขาก็จะสงสัยน่ะสิว่าทำไมพวกเราต้องส่งตัวไปให้หนิวโหย่วเต๋อ”

เฉาหม่านยิ้มพร้อมอธิบายว่า “นี่ก็คือจุดที่ร้ายกาจของนายท่าน ตอนนี้ขอเพียงมีตาก็ล้วนมองออกว่าตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกันหลังม่าน ตระกูลโค่วช่วยสนับสนุนให้ราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาท ตระกูลเซี่ยโห้วช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อทีมียืนในตลาดผี ส่วนเจียงอีอีต่อให้ตายก็ไม่ยอมรับสารภาพ การที่พวกเราส่งคนให้หนิวโหย่วเต๋อก็ทำความเข้าใจได้ง่ายมาก ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือทำตามเจตนาของตระกูลโค่ว ต้องช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อสร้างผลงานที่ตลาดผี หนิวโหย่วเต๋อจับเจียงอีอีได้ไม่ถือว่าสร้างผลงานเหรอเหรอ? จากนั้นฝั่งราชินีสวรรค์ก็จะมีการเคลื่อนไหว สร้างผลงานแล้วได้รับรางวัลไง พอทุกคนได้เห็น ก็จะพบว่าทุกอย่างสมเหตุสมผล แล้วพวกเราก็เอาจุดอ่อนอะไรมาบีบไม่ได้ด้วย ทางซ่างกวนชิงก็จะโล่งใจเช่นกัน เรื่องนี้ก็จะผ่านไป”

จากนั้นก็หันตัวเดินมาริมหน้าต่าง แล้วบอกว่า “แล้วตระกูลโค่วล่ะ ก็ย่อมรู้อยู่แล้วว่าพวกเรากำลังช่วยหนิวโหย่วเต๋อสร้างผลงาน ตระกูลโค่วไม่ปล่อยเหยี่ยวถ้าไม่เห็นกระต่ายไม่ใช่เหรอ ตอนนี้พวกเราโยนกระต่ายออกไปแล้ว ทางตระกูลโค่วก็น่าจะออกแรงเพิ่มได้แล้วเช่นกัน เอาเป็นว่าจุดประสงค์ของนายท่านก็คือ เรื่องราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาท พยายามให้ตระกูลโค่วออกแรงช่วยมากๆ พยายามทำให้สำเร็จในที่ประชุมอย่างตรงไปตรงมา จะต้องชอบด้วยเหตุผล! ตราบใดที่หนิวโหย่วเต๋อยังอยู่ที่ตลาดผี ก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา ตระกูลโค่วก็ต้องออกแรงช่วยต่อไป ประมุขชิงหลบเลี่ยงได้หนึ่งครั้ง แต่ก็ไม่อาจจะหลบเลี่ยงได้ตลอดไป ไม่ช้าก็เร็วที่จะต้องตอบตกลง พยายามอย่าบีบจุดอ่อนแบบนี้ เก็บเอาไว้ใช้ภายหลังในช่วงเวลาสำคัญ ถ้าโน้มน้าวตระกูลโค่วได้แล้ว ทำไมต้องโยนไพ่ใบอื่นไปอีก ถึงตอนนั้นพวกเราออกแรงเองแท้ๆ แต่กลับพูดไม่ได้ ทั้งยังต้องจดจำน้ำใจของตระกูลโค่วอีก จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้นด้วยเหรอ? ถ้าในมือมีไพ่เยอะก็จะมีประโยชน์ใช้สอยเยอะ พยายามทำให้เกิดประโยชน์มากที่สุด อย่าโยนออกไปพร้อมกันทีเดียว และเบื้องหลังของหนิวโหย่วเต๋อก็น่าสนใจเช่นกัน ต่อให้ตระกูลโค่วไม่บอกอะไร แต่พวกเราจะปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขาที่ตลาดผีไม่ได้อยู่ดี ต้องออกแรงทุกทาง ทั้งยังฉวยโอกาสหาผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ จากฝั่งตระกูลโค่วได้อีก”

เขาหันตัวมา แล้วบอกอีกว่า “นอกจากนี้ยังมีอีกจุดหนึ่ง นายท่านบอกมาว่า ครั้งนี้พวกเราไปเหยียบหางสุนัขโดยไม่ได้ตั้งใจแล้ว กลัวว่าจะกดดันให้คนบางกลุ่มจนตรอกกลายเป็นสุนัขกระโดดกำแพง ถ้าโยนคนไปให้หนิวโหย่วเต๋อ ก็จะสามารถหลบเลี่ยงความเสียหายที่ไม่จำเป็นได้ ใครกล้าโมตีเข้าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีล่ะ ถ้าโดนโค่วหลิงซวีจับจุดอ่อนนี้ได้แล้วมีข้ออ้างที่ฟังขึ้น ต้องถามหัวสมองตัวเองด้วยว่าแข็งแกร่งกว่ากำลังทหารในมือโค่วหลิงซวีรึเปล่า! ถ้ามีคนไม่สติสัมปชัญญะจริงๆ ยินดีจะไปปะทะ ไม่แน่ว่าอาจจะได้เก็บเกี่ยวอะไรที่นอกเหนือความคาดหมายด้วย”

หลังจากฟังจนเข้าใจแล้ว ใบหน้าชีเจวี๋ยก็เต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส กล่าวชมว่า “นายท่านปราดเปรื่องจริงๆ ด้วย”

เฉาหม่านหันตัวมองไปนอกหน้าต่าง แล้วพยักหน้าเล็กน้อยพลางถอนหายใจเบาๆ “กว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะมีวันนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เป็นคุณงามความดีของนายท่าน!”

ตระกูลหวงฝู่ ในสวนขนาดใหญ่ของคฤหาสน์ใหญ่โต ทิวทัศน์ลึกลับและเงียบสงบ

หวงฝู่เยี่ยนเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาด้วยใบหน้าตึงเครียด หวงฝู่ตวนฮ่าวลูกชายของเขาก็สีหน้าแย่มากเช่นกัน เดินตามหลังบิดาทุกย่างก้าว ทั้งสองเดินเข้ามาในลานบ้านเก่าแก่แห่งหนึ่งที่มีต้นไม้โบราณสูงระฟ้า จากนั้นก็หยุดยืนตรงตึกศาลาไกลๆ แล้วถ่ายทอดเสียง

ในตึกศาลา หวงฝู่เลี่ยนคง หัวหน้าตระกูลที่ผมขาวหน้าเหี่ยวกำลังอยู่กับสหายเก่าสองสามคน

พอสังเกตได้ถึงสีหน้าของสองพ่อลูกที่อยู่ข้างนอก ก็รู้ว่าจะต้องมีเรื่องสำคัญอะไรสักอย่างแน่นอน หวงฝู่เลี่ยนคงกล่าวขอตัวจากสหายเหล่านั้น เดินลงตึกมาแล้วเดินผ่านข้างกายสองพ่อลูกนั่นไป ส่วนสองพ่อลูกก็รีบเร่งฝีเท้าเดินตามเข้าไปที่ลานบ้านด้านใน

หลังจากเข้ามาในห้องลับตาคน หวงฝู่เลี่ยนคงก็หันตัวกลับมาถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

หวงฝู่เยี่ยนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ก่อนจะบอกว่า “ท่านพ่อ เจียงอีอีทำพลาดแล้วที่ตลาดผี อาจจะตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตแล้ว”

“อะไรนะ?” เดิมทีหวงฝู่เลี่ยนคงมีสีหน้าสุขุม แต่ตอนนี้ทำหน้าราวกับโดนฟ้าผ่ากลางกบาล ตกใจจนเบิกตาโตอ้าปากกว้าง จากนั้นก็ถามอย่างร้อนใจอีกว่า “แน่ใจนะว่าตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรต?”

หวงฝู่เยี่ยนกล่าวด้วยสีหน้าขื่นขมว่า “คนของพวกเราไปที่โรงเตี๊ยมที่เกิดเรื่องแล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ดูจากปฏิกิริยาของคนในโรงเตี๊ยมที่ไม่กล้าพูดอะไรมาก คาดว่าคงจะเดาไม่ผิด และดูจากสถานการณ์ที่ได้รู้มา คนที่จัดการเรื่องนี้ลงมือเร็วมาก จับตัวไปได้โดยแทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวครึกโครมอะไรเลย เจียงอีอีมีความสามารถในการเอาตัวรอดชั้นยอด แต่กลับถูกจับได้ง่ายขนาดนี้ จะเห็นได้ว่าผู้ที่ลงมือทั้งหมดเป็นยอดฝีมือ ยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งกระจายกำลังล้อมไว้ ทำให้เจียงอีอีหนีไม่พ้น เมื่อตัดสินจากสถานการณ์ต่างที่เอามารวมกัน ที่ตลาดผีนอกจากตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่น่าจะมีคนอื่นแล้ว”

หวงฝู่เลี่ยนคงสูดหายใจอย่างตระหนก “ทำไมตึกศาลาสัตยพรตลงมือได้แม่นยำขนาดนี้? ทั้งตระกูลหวงฝู่มีแค่สามคนเท่านั้นที่รู้ฐานะของเจียงอีอี เบื้องบนก็ยิ่งไม่ปล่อยให้ข้อมูลรั่วไหล อย่าบอกนะว่าพวกเจ้ามีใครปากไม่มีหูรูดปล่อยข่าวไป?” สายตาที่จ้องสองพ่อลูกเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบดุร้าย

หวงฝู่ตวนฮ่าวพยักหน้าซ้ำๆ “ท่านปู่ ข้ากับเจียงอีอีติดต่อกันอย่างลับๆ โดยฝ่ายเดียวตลอด ไม่ได้หลุดปากบอกใครแม้แต่ครึ่งคำ”

หวงฝู่เยี่ยนถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านพ่อ เรื่องแบบนี้เกี่ยวข้องกับทุกชีวิตของตระกูลหวงฝู่ ข้าจะเปิดเผยให้ภายนอกรู้ได้ยังไง”

หวงฝู่เลี่ยนคงยักไล่สองข้างต้องการคำอธิบาย “งั้นมันเรื่องอะไรกันแน่ ยังไม่ได้ลงมือไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงสะเทือนไปถึงตึกศาลาสัตยพรตจนอีกฝ่ายชิงลงมือก่อนแล้วล่ะ?”

“คนที่เกิดเรื่องไม่ใช่แค่เจียงอีอีคนเดียว ตามที่รายงานมา คนที่เดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าประตูจวนแม่ทัพภาคได้สักระยะก็ถูกจับไปหมดเช่นกัน ข้าว่าคงเป็นเพราะตึกศาลาสัตยพรตป้องกันไว้ก่อนจะเกิดเหตุ” หวงฝู่เยี่ยนตอบ

“จะใช่การป้องกันไว้ก่อนหรือไม่ข้าไม่สนใจ ปัญหาสำคัญตอนนี้ก็คือเจียงอีอีตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตแล้ว เขาจะทนวิธีการสอบสวนจากตึกศาลาสัตยพรตได้เหรอ? ถ้าเขาเปิดปากขึ้นมา ผลที่ตามมาจะเป็นยังไง ยังต้องให้ข้าพูดอีกเหรอ?” หวงฝู่เลี่ยนจิตตกถึงขีดสุด ชี้สองพ่อลูกซ้ำๆ พร้อมตำหนิว่า “ช้าให้พวกเจ้าระวังแล้วระวังอีก พวกเจ้าทำงานกันยังไง?”

หวงฝู่เยี่ยนบอกว่า “ท่านพ่อ ตอนแรกข้าก็บอกไปแล้ว ว่าเจียงอีอีเกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญหลายส่วน ที่ตลาดผีก็มีตึกศาลาสัตยพรตควบคุมไว้เข้มงวดมาก จะอยู่เหนือการควบคุมของพวกเราได้ง่าย เรื่องนี้เดิมทีก็ไม่ควรให้เจียงอีอีออกโรงอยู่แล้ว แต่เบื้องบนไม่ฟังเลย!”

หวงฝู่เลี่ยนคงกล่าวอย่างโมโหว่า “ยังต้องให้เจ้ามาสอนข้าอีกเหรอ? ในเมื่อเบื้องบนจะเอาอย่างนี้ แล้วข้าจะทำยังไงได้ล่ะ? ถึงยังไงเบื้องบนก็มีการพิจารณาเอง ตอนนี้ไม่ว่าใครที่ไปแตะต้องหนิวโหย่วเต๋อ ก็จะโดนสงสัยทั้งนั้นว่าเป็นผลงานของเบื้อบน โค่วหลิงซวีก็ไม่ใช่ไก่อ่อน เบื้องบนไม่อยากตกเป็นที่ต้องสงสัย ถึงได้ให้เจียงอีอีที่โดนดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีน่านฟ้าระกาติงลงมือ หลังจากจบเรื่องก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว เป็นแค่เจียงอีอีที่ล้างแค้นหนิวโหย่วเต๋อ ความคิดของเบื้องบนนั้นไม่ผิดหรอก! ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นแล้ว เบื้องบนไม่มีทางบอกว่าการตัดสินใจของตัวเองผิดพลาด และไม่มีทางฟังคำอธิบายจากพวกเราด้วย มีแต่จะระบายความโกรธกับพวกเรา จะถามว่าพวกเราทำงานยังไง! ถ้าไม่สามารถคลี่คลายเรื่องนี้ได้ เบื้องบนก็จะเอาหัวของตระกูลหวงฝู่มารับผิดชอบ!”

“ท่านพ่อ! เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้มาพร่ำบ่นไปก็ไม่มีประโยชน์ ประเด็นสำคัญคือมีวิธีการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้รึเปล่า?” หวงฝู่เยี่ยนถาม

หวงฝู่เลี่ยนคงอารมณ์เดือดดาลมาก “จะแก้ยังไงน่ะเหรอ? จะให้เสนอหน้าไปเจรจาที่ตึกศาลาสัตยพรตหรือไง? แบบนี้จะไม่ทำให้ตึกศาลาสัตยพรตรู้เหรอว่าเจียงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน? ในใต้หล้านี้มีใครไม่รู้เบื้องหลังของสมาคมวีรชนบ้าง?”

หวงฝู่เยี่ยนกัดฟันกล่าวอย่างดุร้าย “มีแต่ต้องใช้ไม้แข็งแล้ว ชิงตัวมา!”

“ชิงตัวมาเหรอ?” หวงฝู่เลี่ยนคงถาม อารมณ์เหมือนจะสงบลงในชั่วพริบตาเดียว

“ใช่! ชิงตัวมา!” หวงฝู่เยี่ยนพยักหน้า แล้วบอกอีกว่า “เจียงอีอีจะรู้ผลที่ตามมาถ้าตัวเองสารภาพหรือเปล่า ช่วงแรกเขาไม่มีทางสารภาพแน่ ฉวยโอกาสตอนนี้ตึกศาลาสัตยพรตยังไม่รู้ความจริงและยังไม่ได้เตรียมป้องกันอะไร รวบรวมยอดฝีมือไปล้อมโจมตีตึกศาลาสัตยพรต ต่อให้ชิงตัวมาไม่ได้ แต่ก็ต้องกำจัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง อย่าให้เจียงอีอีเปิดปากพูดไม่ได้!” ก่อนที่จะมาก็เห็นได้ชัดว่าครุ่นคิดมาแล้ว

หวงฝู่เลี่ยนคงพยักหน้าช้าๆ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เดินอยู่ริมน้ำบ่อยๆ รองเท้าจะไม่เปียกได้ยังไง! เจียงอีอีทำเรื่องนี้มาตลอดหลายปีแล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าในสักวันหนึ่งเรือจะล่ม ข้าแนะนำไปแล้วว่าให้ทำเรื่องสกปรกนี้แบบน้อยๆ หน่อย แต่เบื้องบนอยากเอาใจท่านนั้นของวังสวรรค์ก็เลยไม่เชื่อฟัง ถ้าตกอยู่ในมือคนทั่วไปก็อาจจะจัดงานง่ายหน่อย แต่ดันไปตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตที่แม้แต่ตำหนักสวรรค์ก็ยังควบคุมไม่ได้ เฮ้อ! เรื่องมาจนป่านนี้แล้ว ไม่มีวิธีการอื่นแล้ว คาดว่าเบื้องบนคงไม่มีหนทางแล้วเช่นกัน คงจะเห็นด้วยที่ทำแบบนี้!” พูดจบก็หยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปหาใคร

จวนแม่ทัพภาคตลาดผี ชีเจวี๋ยยิ้มพร้อมกุมหมัดคารวะ “ขอตัวก่อน!”

“กลับดีๆ!” เหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะ แล้วบอกใบ้ให้หยางเจาชิงเป็นตัวแทนไปส่ง

คนกลุ่มนี้กำลังคุยธุระกัน นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ตึกศาลาสัตยพรตจะนำของขวัญมาให้ถึงที่

หลังจากหันตัวกลับมา มองดูชายใบหน้าขาวซีดที่มีผ้าห่มคลุมบนตัว เหมียวอี้ก็แน่ใจได้ว่าตึกศาลาสัตยพรตพูดไว้ไม่ผิด คนคนนี้คือเจียงอีอีจริงๆ เพราะเขาเคยเจอเจียงอีอีมาก่อน เพียงแต่ตอนนั้นเจียงอีอีเป็นหนุ่มหล่อเจ้าสำราญ แต่เจียงอีอีในตอนนี้กลับแน่นิ่งเหมือนสุนัขตายตัวหนึ่ง ดวงตาสองข้างไร้แวว ตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าโดนล่วงเกินมามากเท่าไร

“คนคนนี้คือเจียงอีอีเหรอ?” สวีถังหรานเอามือลูบคางเจียงอีอีพร้อมมองประเมิน “ถ้าใช่จริงๆ งั้นก็ได้สร้างผลงานใหญ่แล้ว”

พวกเหยียนซิวก็ล้อมอยู่ข้างๆ เช่นกัน หยางชิ่งกำลังขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าครุ่นคิดอะไรอยู่

บังเอิญว่าอวิ๋นจือชิวเดินลงมาจากชั้นบนพอดี เฟยหงกับไห่ผิงซินสบตากันแวบหนึ่ง พอเห็นคนมาล้อมมุงดูเยอะขนาดนี้ ไห่ผิงซินก็พุ่งเบียดเข้ามาด้วยความสนใจ ขณะที่มองคนบนพื้น ก็ถามเหมือนเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็น “ใครกันน่ะ นี่คือใครเหรอ?”

“เจียงอีอี!” สวีถังหรานตอบพร้อมรอยยิ้ม

“เอ๊ะ! โจรราคะนั่นน่ะเหรอ! สมน้ำหน้า กรรมตามสนอง!” ไห่ผิงซินทำท่าตกใจเกินพอดี นางเตะหนึ่งที แล้วยื่นมือไปเปิดผ้าห่มที่คลุมอยู่ “ให้ข้าดูหน่อยว่าโดนตีจนสภาพเป็นยังไง อ๋า…” จู่ๆ ก็เหมือนแมวที่โดนเหยียบหาง นางเพิ่งจะเปิดดูได้แวบเดียวก็คลายมือออกอีกแล้ว รีบถอยไปด้านข้างด้วยสีหน้าแดงเรื่อ

เหมียวอี้แปลกใจ จึงนั่งยองๆ แล้วเปิดดูเช่นกัน สายตาจ้องไปที่ร่างกายท่อนล่างของเจียงอีอีอย่างตะลึงงัน จากนั้นก็คลายมือออกด้วยสีหน้าแปลกๆ นิดหน่อย

อวิ๋นจือชิวที่มองซ้ายมองขวาถามอย่างแปลกใจ “เป็นอะไรไป?” ขณะกำลังจะโน้มตัวลงดูให้หายสงสัย นางก็ถูกเหมียวอี้ดึงแขนไว้ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “โดนซ้อมอนาถมาก” เมื่อเห็นนางยังสงสัยว่าอนาถอย่างไร ทำท่าเหมือนอยากจะเห็นวิธีการทรมานของตึกศาลาสัตยพรตสักหน่อย เขาจึงพูดเสริมไปอีกว่า “โดนตอนแล้ว”

“…” อวิ๋นจือชิวอ้าปากเล็กน้อย หลังจากได้สติกลับมาแล้วก็สบถนิดหน่อย โชคดีที่ตัวเองไม่ได้เห็น นางรีบถอยไปแล้ว

แต่ผู้ชายหลายคนที่อยู่ตรงนั้นกลับยิ่งสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้านั่งยองๆ แล้วเปิดดู ข้าก็นั่งยองๆ แล้วเปิดดูบ้าง คงไม่เคยเห็นว่าสภาพหลังโดนตอนเป็นอย่างไร

หลังจากได้เห็นแล้ว แต่ละคนก็ทำสีหน้าแปลกประหลาด ทุกคนมองไปทางไห่ผิงซินที่อยู่ข้างๆ พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ราวกับกำลังบอกว่า ‘วันนี้นางหนูได้เปิดหูเปิดตาแล้ว’

ถ้าไม่ใช่เพราะมีพวกอวิ๋นจือชิวอยู่ที่นี่ด้วย คำพูดบางคำจึงไม่สะดวกจะพูดออกมา คาดว่าคงจะมีคนพูดหยอกล้อแล้ว

เหมือนจะอ่านสายตาของทุกคนออก “หน้าด้าน!” ไห่ผิงซินอับอายจนโมโหหนีไปแล้ว

สวีถังหรานกับหยางเจาชิงสบตากันแล้วขำ คาดว่าเรื่องนี้คงจะกลายเป็นมลทินที่ล้างไม่ออกของนางหนูคนนี้ไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าในภายหลังเจอผู้ชายแล้วยังจะมีอารมณ์อยู่หรือเปล่า

…………………………

ทว่าอีกฝ่ายจำเป็นต้องอธิบายเหตุผลด้วยเหรอ? ในโลกใต้ดิน โดยเฉพาะที่ตลาดผี ตึกศาลาสัตยพรตก็คือเหตุผล อีกฝ่ายมีอำนาจในกติกาของระบบนี้ แม้แต่ตำหนักสวรรค์ก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้

หนุ่มหน้าหล่อหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกนิดหน่อย ทั้งชีวิตนี้ตัวเองนับว่าผ่านคลื่นลมมาก็ไม่น้อย แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เสียเปรียบขนาดนี้ ยังไม่ทันทำอะไรก็กลายเป็นอย่างนี้แล้ว

เขาแน่ใจได้เลยว่าก่อนที่อีกฝ่ายจะจับตัวเขา อีกฝ่ายต้องไม่รู้แน่ๆ ว่าเขาคือใคร แต่ไม่รู้ด้วยว่าเขาต้องการทำอะไร แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ จะจับตัวเจ้าแบบนี้ แล้วเจ้าจะทำอย่างไรได้ล่ะ?

แต่จะว่าไปแล้ว จากสิ่งนี้ก็จะให้ได้ว่าตึกศาลาสัตยพรตควบคุมตลาดผีได้ขนาดไหน ไม่น่าเชื่อว่าแค่ตัวเองเปิดหน้าต่างไว้นานก็โดนจับตามองแล้ว

และความจริงก็ได้พิสูจน์สิ่งที่เขาคาดคะเนแล้ว ชายรูปร่างกำยำผิวปาก แล้วถามอย่างสนใจว่า “หนุ่มหน้าขาว บอกมาเถอะ เจ้าเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่?”

หนุ่มหน้าหล่อบุ้ยปากไปทางศพที่นอนอยู่บนพื้น “ทำขนาดนี้แล้ว เจ้าก็น่าจะรู้สิว่าพวกเราเป็นใคร บอกไปพวกเราก็ตายอยู่ดี ไม่ต้องเปลืองคำพูดแล้ว ส่งข้าไปสบายเถอะ” เมื่อไม่มีฟันแล้ว เสียงพูดก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย

“เฮ้ย! ปากแข็งใช้ได้เลยนี่” ชายรูปร่างกำยำที่ใบหน้าดุดันเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

มีคนคนหนึ่งก้าวขึ้นมาที่ข้างกายเขา เป็นคนที่นำบุกเข้าไปในห้องของหนุ่มหน้าหล่อก่อนหน้านี้ ก้าวเข้ามาหาชายรูปร่างกำยำแล้วบอกว่า “หัวหน้า เจ้าหมอนี้วรยุทธ์ไม่สูงแต่กลับใช้เคล็ดวิชาธาตุทองกับธาตุดินพร้อมกันได้ ก่อนหน้านี้ไม่ทันได้ตรวจสอบ ถ้าไม่ใชเพราะเตรียมตัวไรอบด้าน ดีไม่ดีเขาอาจจะหนีไปแล้วก็ได้”

นี่ไม่ใช่คำโกหก ถ้าไม่ใช่เพราะพวกลูกน้องเฝ้าไว้เหมือนเฝ้ารอจับกระต่ายใต้ต้นไม้ ถ้าปล่อยให้คนคนนี้ตกลงมาข้างล่างทีละชั้นละชั้นจริงๆ ถ้ามุมดลงไปถึงใต้ดินเมื่อไร ถ้าอยากจะเจาะดินบนพื้นแร่ผสมนี้เพื่อหาคนอีก ก็ไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทรแล้ว

หนุ่มหน้าหล่อได้ยินแล้วสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย

“เคล็ดวิชาธาตุทองกับธาตุไฟเหรอ? เหมือนคนที่มีพรสวรรค์แบบนี้จะมีไม่เยอะนะ!” ชายรูปร่างกำยำแสยะหัวเราะ แล้วเอียงหน้าถามว่า “ไม่หาภาพมาเทียบสักหน่อย”

ข้างหลังมีคนหันตัวเดินออกไปทันที ขณะเดียวกันก็มีคนมาค้นตัวศพบนพื้นและหนุ่มหน้าหล่อ ค้นของทั้งหมดบนตัวทั้งสองออกมาแล้ว

ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนนำภาพวาดเข้ามาเทียบกับหนุ่มหน้าหล่อ หลังจากกำหนดเป้าหมายได้แล้ว ก็นำภาพวาดส่งให้ชายรูปร่างกำยำ

ชายรูปร่างกำยำหยิบแผ่นหยกมาเทียบด้วยตัวเองอีกครั้ง ทังยังบีบใบหน้าของหนุ่มหน้าหล่อแล้วสำรวจทางซ้ายทางขวาอย่างละเอียดด้วย แล้วสุดท้ายก็หัวเราะเบาๆ “โจรราคะเจียงอีอี ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเจ้าหมอนี่ ทีแรกก็นึกว่ามีพรสวรรค์พิเศษ แต่ในปากซ่อนฟันพิษเอาไว้นี่เอง สงสัยจะเป็นหน่วยกล้าตายของตระกูลไหนสักตระกูล น่าสนใจทีเดียว ข้าว่านะเจียงอีอี มาอยู่ที่นี่แล้วปากแข็งไปก็ไม่มีประโยชน์ ก็แค่ได้เห็นว่าสุดท้ายเจ้าจะทนได้นานสักแค่ไหน เมื่อมาอยู่ที่นี่ก็มีวิธีรับมือกับคนปากแข็งได้อยู่แล้ว ยังไม่มีใครทนวิธีการสอบสวนของที่นี่ได้เลย สุดท้ายไม่ว่าอะไรก็โดน ได้รับความทรมานเต็มที่ จำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วยเหรอ?”

ไม่ผิดหรอก หนุ่มหน้าหล่อคือเจียงอีอีจริงๆ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะติดกับดักแบบนี้

พอได้ยินถึงวิธีการสอบสวน เจียงอีอีก็สีหน้าเปลี่ยนเป็นย่ำแย่นิดหน่อย กัดริมฝีปากแน่น แล้วบอกว่า “อย่าเสียแรงเปล่าเลย ปล่อยให้ข้าไปสบายเถอะ!”

“ไม่รู้จักอ่านสถานการณ์ งั้นข้าก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน น้องๆ จัดให้เขาหน่อย!” ชายรูปร่างกำยำพูดทิ้งท้ายแล้วเอามือไขว้หลังเดินออกไป หลังจากเดินออกจากประตูมาแล้ว ก็เดินไปพลางพูดไปพลางว่า “เอาระฆังดารางบนตัวพวกเขามาเปรียบเทียบ ดูซิว่าจะมีคนใหญ่คนโตติดต่อกับพวกเขาหรือเปล่า เจ้าเวรนี่มันลงมือกับผู้หญิงของขุนนางตำหนักสวรรค์โดยเฉพาะ ทั้งยังเป็นหน่วยกล้าตายอีก เกรงว่าประวัติความเป็นมาจะไม่ธรรมดาหรอก ถ้าเป็นคนทั่วไปก็ตัดออกได้เลย เทียบตั้งแต่ข้างบนลงไปข้างล่างอาจจะประหยัดเวลาได้”

ตึกศาลาสัตยพรตควบคุมโลกใต้ดินมานานขนาดนี้ ได้แอบสร้างช่องทางขนาดใหญ่ที่พิเศษไม่เหมือนใครเอาไว้เปรียบเทียบตราอิทธิฤทธิ์

“ขอรับ!” คนที่อยู่ข้างหลังเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป

“อา!” เสียงร้องโหยหวนน่าเวทนาดังมาจากห้องศิลาด้านหลัง ชายรูปร่างกำยำหันกลับไปมองแวบหนึ่ง แล้วส่ายหน้ายิ้ม “สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์!”

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ชายรูปร่างกำยำก็มาถึงหน้าห้องห้องหนึ่งแล้วเคาะประตู ข้างในมีเสียงตอบกลับมาว่า “เข้ามา” เขาจึงผลักประตูเข้าไปแล้วปิดประตู หลังจากเดินไปถึงคนที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างแล้วก็ทำความเคารพ”คุณชายชี”

ชีเจวี๋ยที่เอามือไขว้หลังยืนอยู่ริมหน้าต่างเหมือนจะเหม่อลอยนิดหน่อย หลังจากเงียบไปสักประเดี๋ยวถึงได้ถามว่า “ถามได้เรื่องอะไรอะไรหรือเปล่า?”

“คุณชายชี โจรราคะคนนี้ปากแข็งมาก จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ยอมเปิดปากเลย” ชายรูปร่างกำยำตอบ

ชีเจวี๋ยหันกลับมามองอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง “งั้นเจ้าจะถ่อไปถ่อมาทำไม? จะให้ข้าตอบเถ้าแก่ไปอย่างนี้เหรอ?”

ชายรูปร่างกำยำหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “คุณชายชีอย่าใจร้อนไป คาดว่าเขาจะพูดหรือไม่พูดก็ไม่สำคัญแล้ว นี่คือของที่น่าสนใจที่ค้นได้จากตัวเขา ท่านลองเดาสิว่าพวกเราเปรียบเทียบของบนตัวโจรราคะแล้วเจอระฆังดาราที่ใช้ติดต่อใคร?”

ชีเจวี๋ยรู้สึกสนใจทันที รู้ว่าการที่อีกฝ่ายพูดแบบนี้ แสดงว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างแน่นอน จึงหันตัวมาถาม “อย่ามัวหัวเราะคิกคักอ้อมค้อมกับข้า มีอะไรก็รีบพูดมา”

ชายรูปร่างกำยำยังคงตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “หวงฝู่ตวนฮ่าว! หวงฝู่ตวนฮ่าวจากตระกูลหวงฝู่ เป็นไปได้สูงว่าโจรราคะจะเป็นคนของสมาคมวีรชน”

ชีเจวี๋ยหรี่ตาเล็กน้อย “มีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อหวงฝู่ตวนฮ่าวก็ไม่สำคัญอะไรหรอก ถ้าเขารู้จักแค่หวงฝู่ตวนฮ่าวคนเดียวล่พ แบบนั้นก็อธิบายไม่ได้ว่าเขาเป็นคนของสมาคมวีรชน”

ชายรูปร่างกำยำส่ายหน้า “คุณชายชี ประเด็นสำคัญคือโจรราคะคนนี้มีฐานะพิเศษ ไม่มีทางให้ใครรู้ตัวตนของเขามากเกินไป คนที่ไปมาหาสู่กันก็มีไม่เยอะ และระฆังดาราที่อยู่บนตัวก็มีไม่มากด้วย แต่ในจำนวนนั้นกลับมีช่องทางติดต่อหวงฝู่ตวนฮ่าว สิ่งนี้ควรค่าแก่การพิจารณา ที่สำคัญที่สุดก็คือ บนตัวของคนตายอีกคนก็มีระฆังดาราที่ใช้ติดต่อหวงฝู่ตวนฮ่าวเช่นกัน จะไม่ให้คนสงสัยไม่ได้หรอกขอรับ”

ชีเจวี๋ยประสานนิ้วทั้งสิบไว้ตรงหน้าท้อง นิ้วหัวแม่มือถูไถอยู่ด้วยกัน “ไป! สืบข้อมูลเป้าหมายของเจียงอีอีในคดีที่เคยก่อมา”

“ขอรับ!” ชายรูปร่างกำยำพยักหน้า แล้วรีบเดินออกไป

“เป็นคนของสมาคมวีรชนจริงเหรอ?”

จนกระทั่งชีเจวี๋ยได้รับรู้สถานการณ์แล้วกลับมารายงานเฉาหม่าน เฉาหม่านก็ถามอย่างประหลาดใจ

“มีความเป็นไปได้เก้าในสิบ น่าจะไม่ผิดพลาดขอรับ” ชีเจวี๋ยพยักหน้า

เฉาหม่านเดินไปเดินมา แล้วกล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “สมาคมวีรชนอยู่ในมือซ่างกวนชิง นับว่าเป็นของวังสวรรค์เช่นกัน แต่เจียงอีอีคนนี้กลับลงมือกับผู้หญิงของขุนนางตำหนักสวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่า นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?”

ชีเจวี๋ยกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้บ่าวก็คิดไม่ตกเช่นกัน ตอนหลังเมื่อได้รวบรวมภูมิหลังของเป้าหมายที่เจียงอีอีก่อคดี ก็พบว่าระยะเวลาที่เกิดเรื่องขึ้นไม่แน่นอน อาณาเขตก็ไม่แน่นอน ถ้าไม่ตรวจสอบก็คงไม่รู้ แต่พอตรวจสอบแล้วก็ตกใจ จากจำนวนคนส่วนหนึ่งในนั้น เราพบว่ามีจุดหนึ่งมีเหมือนกัน นั่นก็คือแต่ละคนล้วนเคยล่วงเกินท่านนั้นของวังสวรรค์ไม่มากก็น้อย หากท่านนั้นของวังสวรรค์ไม่ชอบ แต่ก็ดันติดที่ไม่มีเหตุผลข้ออ้าง ท่านนั้นของวังสวรรค์กลับทำอะไรพวกเขาไม่ได้ สุดท้ายทั้งหมดล้วนโดนเจียงอีอีสร้างความอัปยศให้อย่างโหดร้าย แน่นอน มีบางคดีที่ไม่ได้มีสถานการณ์พิเศษเลยสักนิด แต่บ่าวคิดว่านี่เป็นภาพลวงตาเท่านั้น ล้วนทำไปเพื่อปิดบังข้างหน้า จะได้ไม่ทำให้คนสงสัย”

“อ้อ!” เฉาหม่านที่เดินไปเดินมาหยุดฝีเท้า แล้วเดาะลิ้นบอกว่า “สงสัยการที่ซ่างกวนชิงดูแลวังสวรรค์มาได้หลายปีขนาดนี้ คงจะมีวิธีดีๆ ในการประจบเอาใจประมุขชิงจริงๆ ขนาดวิธีการสกปรกโสมมแบบนี้ก็กล้าใช้ ไม่แปลกใจที่สามารถยืนหยัดได้โดยไม่ล้ม เป็นที่รักที่โปรดปราน! สงสัยโจรราคะเจียงอีอีที่ตำหนักสวรรค์สืบคดีมาหลายปีคงจะเป็นผลงานของวังสวรรค์ เขาเอาไว้ใช้ข่มคนที่มีความเห็นแย้ง มิน่าล่ะจึงไม่เคยจับตัวได้เลย มีคนรายงานข่าวโจรราคะคนนี้มาตลอด แต่จะจับยังไงล่ะ? เป็นเพราะวังสวรรค์ไม่มีทางยื่นมือเข้ามาแทรกทางฝั่งพวกเราได้ เลยทำให้พวกเราเจอช่องโหว่ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็อาจจะจับโจรคนนี้ไม่ได้ ครั้งนี้เจียงอีอีก็มาจับตาดูที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีอีก…” เขากล่าวพลางกลั้วหัวเราะ

ชีเจวี๋ยพยักหน้าบอกว่า “เมื่อมีภูมิหลังแบบนี้แล้วก็เดาได้ไม่ยากถึงจุดประสงค์ที่เจียงอีอีจับตาดูจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ประมุขชิงเสียเปรียบให้อ๋องสวรรค์โค่ว จะต้องคิดหาทางกู้สถานการณ์คืนแน่นอน ถ้าลูกสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์โค่วถูกทำให้เสียชื่อเสียงเมื่อไร เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อก็คงยากที่จะรับมือไหวเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าต้องการจะจับคู่นี้แยกออกจากกัน แล้วค่อยดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อกลับมาที่วังสวรรค์อีกที และก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต๋อก็ใส่ร้ายเจียงอีอีในคดีน่านฟ้าระกาติงอยู่แล้ว ถ้าเจียงอีอีจะมาล้างแค้นก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เมื่อเกิดเรื่องขึ้นก็จะไม่มีใครสงสัยทางวังสวรรค์”

เฉาหม่านพยักหน้า “วิธีการนี้ชั่วร้ายจริงๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีประสิทธิภาพมาก”

“แล้วจะบอกหนิวโหย่วเต๋อดีมั้ย?” ชีเจวี๋ยถาม

“ไม่!” เฉาหม่านยกมือห้าม แล้วกล่าวด้วยสีหน้าแปลกๆ ว่า “ยิ่งมีคนรู้เรื่องนี้ไม่เยอะ ก็ยิ่งทำให้จุดอ่อนที่พวกเรากุมไว้มีอานุภาพมาก เจ้าลองคิดดูสิ ถ้าให้คนในใต้หล้ารู้ว่าวังสวรรค์ทำเรื่องสกรกแบบนี้ แล้วประมุขชิงจะทนความรู้สึกได้อย่างไร? ขุนนางพวกนั้นที่เคยโดนเจียงอีอีสร้างความอัปยศให้จะคิดยังไง? ขุนนางทั้งราชสำนักจะคิดยังไง? ตอนนี้ฝ่ายของข้ากำลังร่วมมือกับตาแก่โค่วเพื่อกดดัน ช่วยให้ราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาท แต่ประมุขชิงกลับถ่วงเวลาอยู่อย่างนั้น ตาแก่โค่วก็อาจจะไม่เห็นกระต่ายไม่ปล่อยเหยี่ยว ตระกูลอื่นก็คงไม่อยากให้นายท่านได้ผลประโยชน์ไปเหมือนกัน ตอนนี้มีจุดอ่อนนี้อยู่ในมือแล้ว ฝั่งพวกเราก็สามารถช่วยประมุขชิงตัดสินใจได้ หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ช่างมาที่ตลาดผีได้เหมาะเจาะจริงๆ ไม่เสียแรงที่ช่วยเขาเอาไว้!”

“แล้วกับเจียงอีอีนั่นจะเอายังไงขอรับ?” ชีเจวี๋ยถาม

“โจรราคะคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญ รอให้ข้ายืนยันกับทางนายท่านก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เฉาหม่านพูดพลางหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับภายนอก

หลังจากผ่านไปนานมาก เฉาหม่านก็วางระฆังดาราแล้วหันกลับมาถามว่า “ทางเจียงอีอียอมรับหรือยัง?”

ชีเจวี๋ยตอบว่า “ยังขอรับ เขากระดูกแข็งมาก คาดว่ายังทนได้อีกสักระยะ แต่สุดท้ายก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องเปิดปาก”

“ไปบอกลูกน้องเดี๋ยวนี้ว่าไม่ต้องทรมานอีก จะให้เจียงอีอียอมรับไม่ได้” เฉาหม่านกล่าว

ชีเจวี๋ยอึ้ทันที แต่ก็รีบหยิบระฆังดารามาติดต่อลูกน้อง ก่อนจะถามอย่างแปลกใจว่า “หรือว่าทางฝั่งนายท่านพิจารณาอะไรอย่างอื่นอยู่?”

เฉาหม่านถอนหายใจแล้วบอกว่า “เรื่องบางเรื่องนายท่านก็มองได้ไกลกว่านั้น เรื่องวางแผนอย่างรอบคอบและคิดการณ์ไกล ข้ายังเทียบกับนายท่านไม่ติด! จุดประสงค์ของนายท่านก็ไม่ได้ซับซ้อน จุดอ่อนแบบนี้ถ้าไม่ถึงยามหน้าสิ่วหน้าขวานก็จะเอามาใช้ไม่ได้ ต่อให้ประมุขชิงยอมประนีประนอมแล้ว แต่ก็จะอับอายจนโมโห ต่อให้ทางราชินีสวรรค์จะให้กำเนิดทายาทแล้ว แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็ยังต้องขู่เข็ญประมุขชิงอีก ประมุขชิงไม่มีทางรับสิ่งนี้ไหว เกรงว่าต่อให้ราชินีสวรรค์จะมีทายาทแล้ว แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็อาจไม่เป็นที่พอใจของตระกูลเซี่ยโห้ว โยนเจียงอีอีให้หนิวโหย่วเต๋อแล้วกัน!”

“ให้หนิวโหย่วเต๋อ?” ชีเจวี๋ยแปลกใจ

เฉาหม่านอธิบายว่า “หลังจากให้หนิวโหย่วเต๋อแล้ว ก็ปล่อยข่าวออกไปทันที บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อจับตัวเจียงอีอีได้แล้ว”

ชีเจวี๋ยบอกว่า “เกรงว่าซ่างกวนชิงจะเดาออกแล้วว่าพวกเราจับเจียงอีอี ถ้าส่งคนในหนิวโหย่วเต๋อตอนนี้แล้วจะมีความหมายอะไรอีก”

“ทำไมจะไม่มีความหมาย? เจียงอีอีไม่ยอมรับไม่ใช่เหรอ?” เฉาหม่านกล่าวกลั้วหัวเราะ “พอปล่อยข่าวออกไป ซ่างกวนชิงที่ร้อนใจดั่งไฟลนก็จะต้องเคลื่อนไหวแน่นอน หนิวโหย่วเต๋อก็จะต้องโดนกดดันแน่ จะสั่งเขาว่าห้ามทำอะไรเจียงอีอีโดยพลการ ให้ส่งตัวผู้ร้ายขึ้นไป สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อน เพราะซ่างกวนชิงจะต้องเดาออกแน่ว่าเจียงอีอีตกอยู่ในมือของพวกเราก่อน เขาต้องแน่ใจว่าเจียงอีอีพูดอะไรไปแล้วหรือยัง จะได้รับมือได้สะดวก”

…………………………

เมื่อแน่ใจในท่าทีของฝั่งตึกศาลาสัตยพรตแล้ว จัดการฝั่งวัดพระกษิติครรภ์ได้แล้ว เหมียวอี้ที่กลับมาถึงจวนแม่ทัพภาคก็แจกจ่ายงานทันที

ให้พวกหยางชิ่งรีบจัดระเบียบข้อมูลสถานการณ์ที่ตลาดผี เพราะเขาจะต้องรายงานสถานการณ์ขึ้นไปข้างบน เขาเองก็บอกกับหยางชิ่งไว้ชัดเจนแล้ว ว่ารออยู่ที่นี่เพียงหนึ่งปีเท่านั้น หลังจากนี้หนึ่งปีก็จะพากลับพิภพเล็กด้วยกัน ถ้ามีของอะไรที่จะนำกลับไปด้วยก็ต้องรีบเร่งมือให้เร็วที่สุด

จากนั้นก็ติดต่อหกลัทธิอีก ให้กำลังพลของหกลัทธิที่อยู่ภายนอกรวบรวมทรัพยากรฝึกตนที่จะนำเข้าไปในแดนอเวจี และบอกอย่างเป็นทางการว่าเขามีวิธีการเข้าแดนอเวจี ให้เวลาพวกเขาเตรียมตัวสองปี หลังจากนี้สองปีเขาจะกลับนรก จะถือโอกาสนำของเขาไปให้พวกเขาด้วย

หกลัทธิได้ยินแล้วตกตะลึง ยืนยันกับเหมียวอี้หลายครั้ง ว่าหาทางนำทรัพยากรฝึกตนเข้าไปได้จริงๆ หรือเปล่า

จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ เหมียวอี้บอกเอาไว้ชัดเจน ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะถ่อเข้าไปในแดนอเวจีบ่อยๆ ให้พวกเขาตัดสินใจเอาเองตามเห็นสมควร แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาย้ำไว้อย่างชัดเจน ว่าจะให้กำลังพลของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาที่หกลัทธิไม่ได้

ส่วนเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกล้าเปิดเผยความลับนี้ให้หกลัทธิรู้ ก็เพราะปราสาทดำเนินนภาโจมตีหกลัทธิจนบาดเจ็บสาหัส สิ่งนี้ได้มอบความมั่นใจให้เขาแล้ว เขามีความสามารถที่จะควบคุมหกลัทธิแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่กล้าทำอย่างนี้หรอก

ขณะเดียวกันก็สั่งกลุ่มอำนาจของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกว่าให้ตุนลูกแก้วพลังปรารถนาช้าๆ นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ เขาจะไม่ทำให้หกลัทธิเสียเปรียบ เขาจะนำของที่มีมูลค่าเท่ากันไปแลก

จากนั้นก็ให้อวิ๋นจือชิวตุนยาเสริมพลังชีวิตและยาแก่นเซียนภายในหนึ่งปีว่าได้จำนวนเท่าไร เขาจะนำกลับพิภพเล็กไปแลกเป็นลูกแก้วพลังปรารถนา หลังจากนี้ไปเขาจะเหมาลูกแก้วพลังปรารถนาของพิภพเล็กเอาไว้คนเดียว ถึงแม้ลูกแก้วพลังปรารถนาที่พิภพเล็กจะมีไม่เยอะก็ตาม

อวิ๋นจือชิวย่อมเข้าใจว่าทำไมเขาต้องการทำแบบนี้ ตอนนี้เหมียวอี้กำลังใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาฝึกตนเพื่อความได้เปรียบ สามารถประหยัดทรัพยากรฝึกตนได้ไม่น้อยเลย

ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปสามเดือน

โรงเตี๊ยมไร้กังวล เป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อยู่เยื้องกับจวนแม่ทัพภาคตลาดผี

ชายวัยกลางคนหน้าขาวคนหนึ่งที่ทำเรื่องเข้าพักออกมาจากออกพักแขกแล้ว เขามองไปรอบๆ เดินวนอยู่ตรงทางเดินข้างในครึ่งรอบ พออ้อมมาฝั่งตรงข้ามแล้ว ก็เดินเนิบนาบไปที่หน้าประตูห้องห้องหนึ่ง “แค่กๆ” ไปเบาๆ สองครั้งอย่างเป็นจังหวะ

แกร๊ก! มีเสียงกลอนประตูเด้งออกจากหลังประตู ชายวัยกลางคนหน้าขาวมองซ้ายมองขวา แล้วก็ผลักประตูเดินเข้าไป ก่อนจะปิดประตูอย่างรวดเร็ว

ข้างหน้าต่างในห้องที่เปิดไว้เล็กน้อย ชายหนวดหยิกคนหนึ่งหันตัวมองมา จากนั้นชายวัยกลางคนหน้าขาวก็ส่งสัญญาณมือ แล้วชายหนวดหยิกก็ส่งสัญญาณมือตอบ

หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่ติดต่อกัน ชายหนวดหยิกก็ถ่ายทอดเสียงถามอย่างไม่ค่อยพอใจ “รายงานสถานการณ์ขึ้นไปตั้งนานแล้ว ทำไมเจ้าเพิ่งมาตอนนี้?”

ชายวัยกลางคนหน้าขาวตอบว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าจับตาดูทั้งวันทั้งคืนด้วยตัวคนเดียวไม่ไหว แต่เบื้องบนสั่งมาแล้ว ว่าตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่ใช่เล่นๆ ถ้าอยากจะเล่นตุกติกอะไรที่ตลาดผีก็ต้องระวังแล้วระวังอีก ยอมให้ช้าหน่อยดีกว่า อย่าทำให้คนสงสัยเลย”

ชายหนวดหยิกไม่ได้พูดอะไรมากอีก เดินไปหน้าเตียงข้างๆ แล้วนั่งขัดสมาธิ จากนั้นถอนหายใจหนักๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เขาสูญเสียพลังจนแทบทนไม่ไหว

ชายวัยกลางคนหน้าขาวมานั่งตำแหน่งแทนเขา หันตัวยืนไปทางริมหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วมองไปด้านนอก มองเห็นความเคลื่อนไหวของคนที่เข้าออกจวนแม่ทัพภาคพอดี เขาถามว่า “มีสถานการณ์อะไรจะส่งต่อมั้ย?”

ชายหนวดหยิกที่กำลังหลับตากล่าวช้าๆ ว่า “เจ้าแค่ต้องบันทึกทุกเหตุการณ์ตอนที่มีเข้าออกจวนแม่ทัพภาคเอาไว้ เน้นไปที่ฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อ ถ้านางออกมาแล้วบอกข้าทันที ส่วนคนอื่นเจ้าไม่ต้องสนใจ”

“เน้นฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? นี่พวกเรากำลังทำอะไรอยู่?” ชายวัยกลางคนหน้าขาวถาม

“อย่าถามสิ่งที่ไม่ควรถาม” ชายหนวดหยิกตอบ

ชายวัยกลางคนหน้าขาวพูดไม่ออก ได้แต่หันกลับไปจ้องนอกหน้าต่างต่อไป

ตึกศาลาสัตยพรต พ่อบ้านชีเจวี๋ยรีบเดินไปหน้าประตูห้องเถ้าแก่ เคาะประตูอย่างเป็นจังหวะ แล้วเอ่ยเรีบก “เถ้าแก่”

“เข้ามา!” มีเสียงของเฉาหม่านดังมาจากในห้อง

ชีเจวี๋ยผลักประตูเข้ามาแล้วก็ปิดประตูอีก เดินมาถึงข้างกายเฉาหม่านที่กำลังนั่งขัดสมาธิ แล้วบอกว่า “ด้านนอกจวนแม่ทัพภาคอาจจะมีสถานการณ์นิดหน่อยขอรับ”

เฉาหม่านที่กำลังหลับตาถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “มีสถานการณ์อะไร?”

ชีเจวี๋ยตอบว่า “ที่โรงเตี๊ยมไร้กังวลที่อยู่เยื้องกับจวนแม่ทัพภาค มีคนคนหนึ่งมาเข้าพักได้สามเดือนแล้ว บังเอิญเข้าพักในห้องที่พวกเราเน้นป้องกันพอดี เพราะตำแหน่งนั้นสามารถสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของจวนแม่ทัพภาคได้”

“มีความเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติหรือเปล่า?” เฉาหม่านถาม

ชีเจวี๋ยตอบว่า “ดูเหมือนปกติ แต่หลังจากพวกลูกน้องสังเกตการณ์แล้วก็พบว่า หน้าต่างห้องนั้นเหมือนจะแง้มเอาไว้ตลอด น่าจะมองเห็นจวนแม่ทัพภาคได้พอดี และคนที่เข้าพักข้างในก็ยิ่งไม่ก้าวออกจากประตูเลย แต่เมื่อวานนี้เอง พวกเราส่งคนเข้าไปในโรงเตี๊ยม แล้วบอกว่ามีแขกคนหนึ่งทำตัวลับๆ ล่อๆ เข้าไปในห้องของคนนั้น จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่ออกมาเลย ผู้ชายสองคนอุดอู้อยู่ในห้องด้วยกันทั้งวัน ต่อให้มีธุระใหญ่โตแต่ก็หน้าจะคุยเสร็จแล้ว ถึงยังไงทั้งสองก็มีห้องของตัวเอง ทำตัวน่าสงสัยจริงๆ ขอรับ”

เฉาหม่านกล่าวออกมาโดยแทบจะไม่ต้องครุ่นคิดอะไร เป็นคำที่มีความเผด็จการเต็มสิบ “จับตัวมา!”

ชีเจวี๋ยอึ้งทันที “คนของพวกเราจับตาดูอยู่ตลอด พวกเขายังไม่ทันทำอะไร ถ้าจับตัวมาตอนนี้…”

เฉาหม่านพูดตัดบทเสียเลยว่า “จะรอให้เกิดเรื่องขึ้นก่อนแล้วค่อยลงมือเหรอ? ไม่ว่าจะเป็นหัวเชื้ออะไรก็ต้องบีบทิ้งให้ทันเวลา! เฒ่าชี ตอนนี้จะเกิดเรื่องกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ อย่างน้อยก็ห้ามเป็นอะไรไปที่ตลาดผี ในถิ่นของคนอื่นข้าไม่สนใจ แต่ถ้าเป็นที่ตลาดผีจะต้องไม่มีปัญหา! ข้าไม่สนว่าเป็นใคร ขอเพียงมีความผิดปกติ ต่อให้สายตามีพิรุธ ก็ต้องจับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าจับผิดตัวอย่างมากก็แค่ปล่อยไป ต่อไปนี้จัดการตามนี้”

แค่สายตามิพิรุธก็จับมาให้หมดเหรอ เข้มงวดเกินไปหน่อยรึเปล่า? ชีเจวี๋ยปาดเหงื่อเล็กน้อย แล้วเอ่ยรับคำสั่ง “ขอรับ! ข้าจะไปจัดการตามนี้!”

โรงเตี๊ยมไร้กังวล ชายหนุ่มวัยกลางคนหลายคนเดินก้าวยาวบุกเข้ามาโดยตรง แล้วเดินขึ้นตึกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

“ลูกค้า!” พนักงานรีบเข้ามาขวางไว้หน้าตึก แล้วยิ้มสู้พร้อมถามว่า “ท่านลูกค้าจะมาเข้าพักหรือจะมาใครหรือขอรับ? ถ้าจะมาหาคนก็รายงานก่อนสักหน่อย ถ้าจะเข้าพักก็จ่ายเงินก่อน” ขณะที่พูดก็ยื่นมือไปทางโต๊ะคิดเงิน

ใครจะคิดว่าด้านนอกโรงเตี๊ยมจะมีคนตามเข้ามาอีก หนึ่งในนั้นเดินตรงไปที่หน้าโต๊ะคิดเงิน แล้วเผยป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งให้ผู้จัดการร้านที่นั่งอยู่หลังโต๊ะดู

ผู้จัดการร้านตกตะลึงอ้าปากค้างในชั่วพริบตาเดียว คนที่ถือป้ายคำสั่งเอียงหน้ามองไปทางบันได แล้วบอกใบ้ “อืม” จากนั้นผู้จัดการร้านก็รีบโบกมือบอกให้หลีกทางทันที

ดังนั้นผู้จัดการร้านรวมทั้งพนักงานในร้านจึงถูกนำไปรวมไปอีกด้านหนึ่งแล้วคอยเฝ้าไว้

มีคนสามคนเดินตรงขึ้นไปบนตึก พอมาถึงชั้นหนึ่งก็เดินต่อไปยังห้องห้องหนึ่งอย่างเปิดเผย คนที่นำหน้ามาใช้มือตบเปิดประตูออกโดยตรง

ในห้องนั้น ชายวัยกลางคนหน้าขาวที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง ชายหนวดหยิกที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ทั้งสองหันกลับมามองอย่างตกใจ พอเห็นว่ามีคนบุกเข้ามา ทั้งสองก็มีปฏิกิริยาทันทีโดยแทบจะไม่พูดพร่ำทำเพลง ชายวัยกลางคนหน้าขาวรีบกระโดดออกหน้าต่าง ส่วนชายหนวดหยิกก็พังเตียงแล้วกระโดดลงพื้นทันที

ที่นอกหน้าต่าง มีเงาสีดำหลายสายแฉลบผ่าน เหาะเข้ามาจากสามทิศทาง มาดักชายวัยกลางคนหน้าขาวเอาไว้

ชายวัยกลางคนหน้าขาวรีบโบกกระบี่ฟันอย่างบ้าคลั่ง ทว่าวรยุทธ์ของผู้ที่เข้ามาขวางแตกต่างกันเกินไป ถูกอีกฝ่ายรับกระบี่ไว้ราวกับฟันแทงไม่เข้าด้วยความเร็วที่เหนือกว่าแล้ว จากนั้นคว้าข้อมือของเขาเอาไว้แล้ว พอบิดข้อมือ ก็มีเสียงกระดูกหักดังกร๊อบ ขั้นต่อมาก็คือถูกดักคอไว้จนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้

ชายวัยกลางคนหน้าขาวเบิกตาโต ใช้ฟันออกแรงกัด คนฝั่งนี้ยังไม่ทันตกลงพื้น ในรูจมูกก็มีหมอกสีชมพูลอยออกมาแล้ว จากนั้นก็กลายเป็นสีดำแล้วจมลงในเบ้าตาอย่างรวดเร็ว ดวงตาฉายแววหวานเยิ้มพึงพอใจไร้ที่เปรียบ คนที่กำลังจับเขาตกใจทันที ตะโกนเสียงต่ำไปบนหน้าต่างว่า “ฟันพิษ!”

ในห้องของโรงเตี๊ยม พอชายหนวดหยิกพังเตียง คนที่พุ่งนำเข้ามาก็รีบฟาดแส้เหล็กเข้ามาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ

พอชายหนวดหยิกพลิกฝ่ามือโบก แส้เหล็กที่ม้วนเข้ามาก็กลายเป็นฝุ่นผงในชั่วพริบตาเดียว จากนั้นก็ก่อตัวเป็นควันอีก กลายเป็นลูกธนูคมหลายดอกยิงกลับออกมา

คนที่พุ่งเข้ามาลงมือตกใจมาก กางแขนสองข้างมาไว้ตรงหน้าอก เกราะลมราวกับมีรูปร่าง ทำให้ลูกธนูที่เข้ามาใกล้ตรงหน้าจมลงแล้ว

คนที่อยู่ทางซ้ายและขวาของเขา ถ้าอยากจะพุ่งเข้ามาลงมืออีกก็สายไปแล้ว ชายหนวดหยิกคนนั้นตกลงพื้นราวกับตกลงในน้ำ จมหายไปในพื้นหินราวกับเป็นระลอกคลื่นน้ำ

ตรงชั้นล่าง พอชายหนวดหยิกตกลงมาจากชั้นหนึ่ง หนึ่งในสามคนที่เอามือไขว้หลังรออยู่ในห้องก็ถลันออกมาราวกับเงาผี แล้วใช้ฝ่ามือตบประทับที่แผ่นหลังของอีกฝ่าย

ชายหนวดหยิกลนลานทำอะไรไม่ถูก นึกไม่ถึงว่าข้างล่างจะยังมีคนรออยู่ ที่จริงแล้วอย่าว่าแต่ข้างล่างเลย ทั้งบนทั้งล่าง ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังล้วนมีคนรออยู่ จะไปทางไหนก็หนีไม่พ้น

“อั้ก!” เลือดสดพุ่งออกจากปากคำหนึ่ง ยังไม่ทันรอให้ตัวกระเด็นออกไป ก็มีคนมากักใต้คางเอาไว้แล้ว

คนที่มากักใต้คางเขาไว้ออกแรงที่นิ้วทั้งห้า “อั้ก” ชายหนวดหยิกกระอักเลือดออกมาพร้อมกับฟันทั้งหมดในปาก ร่วงกระจายลงพื้นแล้ว

คนที่ควบคุมเขาดึงมือแล้วยัดเขาเข้าไปในกระเป๋าสัตว์ จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง หันตัวเดินออกไปทันที ทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

หนึ่งในคนที่อยู่ข้างหลังเขาร่ายอิทธิฤทธิ์เก็บกวาดบนพื้น ฟันที่ตกอยู่เต็มพื้นระเบิดออก ในจำนวนนั้นมีวัตถุคล้ายเม็ดยาสีชมพูเด้งออกมาตกอยู่ในฝ่ามือเขา จากนั้นก็หันตัวเดินจากไปเช่นกัน

คนที่อยู่ทั้งชั้นบนและชั้นล่างมาเจอกันตรงตีนบันได หลังจากพยักหน้าให้กันแล้วก็รีบลงมา แขกที่อยู่ในโรงเตี๊ยมที่กำลังตกใจรีบวิ่งออกมาหมอบหน้ารั้วและยื่นศีรษะออกมาดู พวกเขามองดูฉากนี้อย่างงุนงง ยังไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ในโถงใหญ่ของชั้นล่าง ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งออกมา ก็มีคนถ่ายทอดเสียงบอกผู้จัดการโรงเตี๊ยมว่า “ค่าชดเชยความเสียหายของโรงเตี๊ยม พวกเจ้าไปเอาที่ตึกศาลาสัตยพรตได้” พูดจบก็ออกไปทันที

คนกลุ่มนี้มาไว้ไป ผู้จัดการร้านที่เดินออกมามองคล้อยหลังตรงประตูยังเหม่ออยู่เลย

ตอนที่ชายหนวดหยิกเห็นแสงสว่างอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองตกกระแทกลงบนพื้นแล้ว ไม่รู้ว่าตัวอยู่ที่ไหน รู้เพียงว่าอยู่ในห้องศิลาแหง่หนึ่ง ด้านข้างมีศพร่างหนึ่งที่เหลือแต่โครงกระดูก แค่มองปราดเดียวก็เดาได้แล้วว่าเป็นเพื่อนร่วมงานของตัวเอง เพราะเขารู้ว่าเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบไหนถึงจะกลายเป็นแบบนี้

พอเงยหน้าอีกครั้ง ก็เห็นคนชุดดำยืนเรียงแถวอยู่ตรงหน้า คนที่เป็นหัวหน้าคือชายร่างหมีหน้าดุหนวดเฟิ้ม ตอนนี้กำลังนั่งไขว่ห้างดื่มน้ำชาอย่างเอ้อระเหย

พอชายรูปร่างกำยำวางถ้วยน้ำชาแล้วเอียงหน้า ก็มีคนเข้ามาดึงให้เขาลุกขึ้นทันที จากนั้นก็คลายผนึกบางส่วนบนร่างกายเขา ฉีกหนังปลอมบนใบหน้าลงมา เผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาไม่ธรรมดา ทำให้เลือดที่ไหลออกจากรูจมูกยิ่งเด่นชัดขึ้น

“เฮ้ย! นึกไม่ถึงว่าจะจับตัวไอ้หนุ่มหน้าขาวได้คนหนึ่งแล้ว” ชายรูปร่างกำยำลุกขึ้นแล้วกล่าวหัวเราะ เอาสองมือไขว้หลังพลางพยักหน้า “หนุ่มหน้าขาว จะตอบมาดีๆ หรือจะให้พวกเราง้างปากเจ้า”

หนุ่มหน้าหล่อที่เผยโฉมหน้าที่แท้จริงหอบหายใจ ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ กวาดตามองคนที่อยู่ในห้องศิลา แล้วถามว่า “พวกเจ้าเป็นคนของตึกศาลาสัตยพรตเหรอ?”

ชายรูปร่างกำยำแสยะหัวเราะ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร

การไม่ตอบก็คือการแสดงท่าทีอย่างหนึ่งเช่นกัน หนุ่มหน้าหล่อเข้าใจแล้ว เขาส่ายหน้ายิ้มเจื่อน ตอนนี้ตกอยู่ในมือของตึกศาลาสัตยพรต เอายอดฝีมือมากมายขนาดนี้มาจับตน มิน่าล่ะตนถึงได้เสียเปรียบแบบนี้ เขาหอบหายใจแล้วถามอีกว่า “ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น และไม่ได้ล่วงเกินพวกเจ้าด้วย มาจับข้าทำไม?”

“เพราะหน้าต่างห้องเจ้าเปิดนานเกินไปแล้ว พวกเราเห็นแล้วขัดลูกตา!” ชายรูปร่างกำยำกล่าวอย่างใจเย็น

“…” หนุ่มหน้าหล่อพูดไม่ออก แค่เปิดหน้าต่างก็มีความผิดเหรอ แค่ข้าเปิดหน้าต่างนานก็เลยมาจับข้างั้นเหรอ นี่มันใช่เรื่องมั้ย?

…………………………

ที่แท้ก็เป็นวัดพระกษิติครรภ์ ครั้งก่อนเหมียวอี้ก็เคยได้ยินชื่อนี้มาแล้ว ถึงแม้แดนพุทธจะสงบเสงี่ยมไม่เข้ามายุ่งกับปุถุชน แต่เหมือนว่าจะต้องการยื่นท้าวแทรกเข้าไปทุกที่ แล้วรวบรัดสร้างวัดขึ้นมาหนึ่งวัด แต่ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน ไม่มีใครสนใจ เพียงแต่ไม่รู้ว่าชีเจวี๋ยเห็นเขาเป็นอะไรไปแล้ว ใช่ว่าเขาจะกินอิ่มแล้วไม่มีงานทำเสียหน่อย อยู่ดีๆ จะไปก่อเรื่องที่วัดพระกษิติครรภ์ทำไมล่ะ จำเป็นต้องเตือนเรื่องนี้ด้วยเหรอ? เขาจึงถามอย่างสนใจว่า “ที่ตลาดผีมีสถานที่ที่ตึกศาลาสัตยพรตปกป้องไม่ได้ด้วยเหรอ?”

ชีเจวี๋ยตอบว่า “ก็เหมือนที่จวนแม่ทัพภาค จวนแม่ทัพภาคตลาดผีขึ้นตรงต่อตำหนักสวรรค์ วัดพระกษิติครรภ์ก็ขึ้นตรงต่อแดนสุขาวดีเช่นกัน ตึกศาลาสัตยพรตไม่อาจเข้าไปรบกวนที่จวนแม่ทัพภาคได้ง่ายๆ ก็ย่อมไปรบกวนที่วัดพระกษิติครรภ์ไม่ได้ง่ายๆ เช่นกัน ถ้าแม่ทัพภาคหนิวก่อเรื่องที่วัดพระกษิติครรภ์ ก็ต้องให้ตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีประสานงานกันโดยตรง โดยทั่วไปตึกศาลาสัตยพรตของพวกเราจะไม่แทรกแซง”

วัดพระกษิติครรภ์ขึ้นตรงต่อแดนสุขาวดีเหรอ? เกี่ยวกับเรื่องนี้เหมียวอี้เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ครั้งก่อนไม่มีใครตั้งใจแนะนำวัดพระกษิติครรภ์ให้เขารู้จัก กอปรกับวัดพระกษิติครรภ์อยู่อย่างสงบเสงี่ยม จึงไม่มีใครสนใจ แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะขึ้นตรงต่อแดนสุขาวดี เหมียวอี้แววตาวูบไหว ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ ถามหยั่งเชิงว่า “หรือพูดได้อีกอย่างว่า วัดพระกษิติครรภ์ไปมาหาสู่กับแดนสุขาวดีโดยตรงเหรอ?”

ชีเจวี๋ยตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตึกศาลาสัตยพรตสนใจ พอแม่ทัพภาคกลับไปแล้วถามคนเก่าคนแก่ในจวนแม่ทัพภาคสักคนก็จะรู้แล้ว ขออภัยที่ส่งได้ตรงนี้”

“อ้อ! วันหลังค่อยรบกวนอีกที” เหมียวอี้กุมหมัดขอบคุณ แล้วแล้วหันตัวก้าวลงบันไดไปขึ้นเรือ เหยียนซิวที่รออยู่บนหัวเรือแอบไล่คนขับเรือไปแล้ว

ชีเจวี๋ยมองคล้อยหลังครู่หนึ่งแล้วหันตัวกลับมา

ที่ริมหน้าต่างบนตึก เฉาหม่านมองดูเหมียวอี้นั่งเรือจากไปอย่างเงียบๆ แล้วจู่ๆ ยิ้มเบาๆ “คนคนนี้น่าสนใจ”

เฉาเฟิ่งฉือที่มองอยู่ด้านข้างงุนงง ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงด้านไหน

และหลังจากที่เหมียวอี้กลับมาที่จวนแม่ทัพภาคแล้ว ก็ไปหาคนเก่าคนแก่ของจวนแม่ทัพภาคทันที ถามถึงสถานการณ์เกี่ยวกับวัดพระกษิติครรภ์

ชายชราที่ถูกถามชื่อว่าเหออี้กวน อยู่ที่ตลาดผีมานับหมื่นปี การที่ถูกจับโยนมาไว้ที่นี่ได้ ก็แสดงว่าไม่มีเส้นสายหรือภูมิหลังอะไร แต่ก็มีฐานะอาวุโสเมื่ออยู่ที่นี่ อยู่กับเส้นสายทั้งใหญ่ทั้งเล็กที่ตลาดผีมาจนชินแล้ว ทรัพยากรก็พอจะหาได้บ้าง กอปรกับไม่ว่าแม่ทัพภาคคนไหนจะมารับตำแหน่ง เขาทนอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่มาหลายปีขนาดนี้แล้ว ก็นับว่าใช้ชีวิตอย่างชุ่มฉ่ำเช่นกัน ยังย้ายออกไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พอออกจากตลาดผีไปแล้วก็อาจจะไม่ได้ดีไปกว่ากันก็ได้ ไม่สู้อยู่ที่นี่อย่างสงบใจแต่โดยดีไปดีกว่า

สำหรับชื่อเสียงของแม่ทัพภาคที่มาใหม่ท่านนี้ เหออี้กวนก็ได้ยินมาเยอะเหมือนฟ้าร้องที่ดังก้องหู รู้ว่าท่านนี้ไม่ได้อาศัยภูมิหลังฐานะเพื่อไต่เต้าขึ้นตำแหน่งแม่ทัพภาค ก่อนที่จะกลายเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว ก็ไต่เต้าขึ้นตำแหน่งแม่ทัพภาคที่มีกำลังทหารเยอะกว่าที่นี่ได้แล้ว เป็นทหารกล้าที่สังหารฝ่าออกมา ตอนที่เหมียวอี้มาครั้งแรก เขาก็ไม่รู้ชัดว่าเหมียวอี้มีนิสัยใจคอเป็นอย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็ได้ยินว่าไม่ใช่คนดีมีเมตตาอะไร เป็นคนที่มือย้อมไปด้วยคาวเลือด เขาจึงไม่กล้าล่วงเกิน ถามอะไรก็ตอบอันนั้น ถ้ารู้ก็บอกหมด เฝ้าดูสีหน้าของเหมียวอี้อย่างระมัดระวัง

หลังจากได้ถามแล้ว เหมียวอี้ก็แน่ใจแล้วว่าวัดพระกษิติครรภ์ไปมาหาสู่กับแดนสุขาวดีโดยตรง ไม่เหมือนวัดทั่วไปที่มีเพียงพระอธิการควบคุมอยู่ข้างบน วัดพระกษิติครรภ์มีพระอาจารย์คุมคนเดียว มีแดนสุขาวดีดูแลโดยตรง

พระอาจารย์มีตำแหน่งพอๆ กับระดับแม่ทัพภาคอย่างเขา ถ้าตัดประมุขพุทธะออก แดนพุทธก็มีลำดับจากบนลงล่างคือ พุทธะ วัชระ พระโพธิสัตว์ อรหันต์ พระอาจารย์ใหญ่ พระอาจารย์ ราชครู พระอธิการ เจ้าอาวาส ระดับที่ต่ำลงไปก็เป็นพวกพระสงฆ์ พุทธะเทียบเท่ากับสี่อ๋องสวรรค์ของตำหนักสวรรค์ วัชระเท่ากับจอมพลของตำหนักสวรรค์ พระโพธิสัตว์เท่ากับเทพประจำดาว อรหันต์เท่ากับท่านโหว พระอาจารย์ใหญ่เท่ากับหัวหน้าภาค พระอาจารย์เท่ากับแม่ทัพภาค ราชครูเท่ากับผู้บัญชาการใหญ่ พระอธิการเท่ากับผู้บัญชาการ เจ้าอาวาสเท่ากับผู้ช่วยผู้บัญชาการ ระดับที่ต่ำลงมาอีกก็จะเป็นพระสงฆ์

ถ้าจะให้เรียงลำดับออกมาสภาพการณ์คร่าวๆ ก็เป็นแบบนี้ แต่แดนพุทธกับตำหนักสวรรค์ยังมีความแตกต่างกัน ถึงแม้แดนพุทธจะสงบเสงี่ยมไม่เข้ามายุ่งกับปุถุชน แต่ก็เข้ามาอยู่ลึกมาก ให้ความสำคัญกับการพลังปรารถนา ถลำลึกเข้ามาในชีวิตของมนุษย์ธรรมดา แบบนี้ถึงได้มีคำเรียกราชครูปรากฏขึ้น ดังนั้นระดับโดยละเอียดจะไม่เข้มงวดเหมือนตำหนักสวรรค์ ที่เน้นว่าอยู่ระดับไหนมีกำลังพลใต้สังกัดเท่าไร ขอบเขตคำเรียกก็คลุมเครือเช่นกัน หลักๆ กำหนดจากสถานการณ์ในโลกมนุษย์ตรงที่นั้นและตำแหน่งที่อยู่เองอยู่ในที่นั้น

และสถานการณ์ที่เขาภูตพเนจรก็ค่อนข้างพิเศษ บนดาวเคราะห์ที่ใหญ่ขนาดนี้ แต่กลับไม่มีมนุษย์ธรรมดาอาศัยอยู่ คนธรรมดาไม่สามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้ เมื่อไม่มีสาวกก็ย่อมไม่จำเป็นต้องเล่นลูกไม้อะไรมาก สามารถเข้าใจได้เช่นกันว่าทำไมต้องให้พระอาจารย์มาควบคุมโดยตรง

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เป็นสถานการณ์พิเศษที่ตลาดผี วัดพระกษิติครรภ์ของที่นี่มีไว้เพื่อสังเกตสถานการณ์ที่นี่ บทบาทที่มากกว่านั้นก็เพื่อเป็นที่พักให้คนแดนพุทธที่มาติดต่อที่นี่ โดยทั่วไปจะไม่รับคนนอกเข้าพัก รับเพียงศิษย์แดนพุทธเท่านั้น ดังนั้นจึงสงบเสงี่ยมมาก

เหมียวอี้ได้ฟังแล้วพยักหน้าช้าๆ หลังจากครุ่นคิดตามเล็กน้อย ก็ถามอีกว่า “พระอาจารย์ท่านนี้เข้าออกแดนสุขาวดีบ่อยเหรอ?”

ตามที่เขารู้มา คนทั่วไปเข้าแดนสุขาวดีไม่ได้ง่ายๆ พระอาจารย์โดยทั่วไปก็เกรงว่าจะมีโอกาสไปมาหาสู่กับแดนสุขาวดีน้อยเช่นกัน ก็เหมือนแม่ทัพภาคทั่วไปที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าๆ ออกๆ ตำหนักสวรรค์

เหออี้กวนตอบอย่างไม่แน่ใจ “เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ค่อยรู้ชัดสักเท่าไร ถึงแม้ข้าน้อยจะอยู่ที่นี่มาหลายปี แต่ก็มได้คลุกคลีกับวัดพระกษิติครรภ์สักเท่าไร ทางนั้นไม่ค่อยอยากให้คนนอกเข้าไปคลุกคลีด้วย แต่ตามที่ข้าน้อยรู้มา พระอาจารย์จี้คงเป็นคนที่แดนสุขาวดีส่งมาโดยตรง คาดว่าคงไปมาหาสู่กันอยู่บ้าง?”

“แล้วถ้าข้าจะเข้าไปกราบไหว้ วัดพระกษิติครรภ์จะอนุญาตให้ข้าเข้าไปรึเปล่า?” เหมียวอี้ถาม

เหออี้กวนยิ้มพร้อมตอบว่า “เป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว ถึงยังไงนายท่านก็เป็นแม่ทัพภาคที่ตำหนักสวรรค์ส่งมา มาครั้งแรกแล้วไปนมัสการ มีหรือที่จะไม่ต้อนรับ”

เหมียวอี้พยักหน้า เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา หลังจากครุ่นคิดไปสักพัก ก็โบกมือบอกว่า “ไป! นำทางไป มาครั้งแรกก็ต้องนมัสการเพื่อนบ้านสักหน่อย”

“ขอรับ!” เหออี้กวนเอ่ยรับคำสั่ง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมท่านนี้อยากไปวัดพระกษิติครรภ์ก็ตาม

“ไปวัดพระกษิติครรภ์แล้วเหรอ?”

พอได้รับรายงานจากหยางเจาชิง อวิ๋นจือชิวก็ถามอย่างงุนงง จากนั้นก็ทำท่าครุ่นคิด พอจะเดาได้แล้วว่าเหมียวอี้คิดจะทำอะไร นางถอนหายใจเบาๆ พยักหน้าบอกใบ้ว่ารู้แล้ว

วัดพระกษิติครรภ์ก็เหมือนกับตึกศาลาสัตยพรต มีน้ำล้อมรอบสี่ด้าน ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ตั้งตระหง่านต่อเนื่องกันอยู่ในน้ำทั้งข้างบนและข้างล่าง แร่ธาตุผลึกผสมสลักออกมาเป็นเค้าโครงวัดแห่งหนึ่ง หน้าประตูมีโคไฟแขวนเรียงอยู่หนึ่งแถว แต่กลับทำให้คนรู้สึกอึดอัดในความเย็นเยียบพิศวง ฝั่งซ้ายและขวาของประตูใหญ่มีรูปสลักสัตว์ประหลาดน่าเกลียดฝั่งละหนึ่งตัว ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกกลัว

ประตูใหญ่กำลังเปิดอยู่ พระสงฆ์สองรูปยืนประนมมือเฝ้าอยู่หน้าประตูอย่างเงียบๆ

เหออี้กวนรีบเดินไปตรงประตู แต่กลับถูกพระสงฆ์สองรูปนั้นขวางไว้ หลังจากพูดคุยกันไม่กี่คำ ก็รีบเดินกลับมาหาเหมียวอี้ที่เดินมาพร้อมเหยียนซิว แล้วบอกว่า “นายท่าน พวกเขาต้องการตรวจสอบตัวตนของนายท่าน ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ไปรายงานให้”

เหมียวอี้หยิบแผ่นหยกขุนนางมายื่นให้ เหออี้กวนใช้สองมือรับไว้แล้วรีบนำไปยื่นให้พระที่เฝ้าประตู หนึ่งในนั้นเฝ้าระตู แล้วให้พระอีกรูปเข้าไปรายงานข้างใน ส่วนพวกเหมียวอี้ก็รออยู่ข้างนอก กำลังมองสำรวจสภาพโดยรอบ

ผ่านไปไม่นาน พระที่เข้าไปรายงานก็นำพระสงฆ์อ้วนท้วนสมบูรณ์รูปหนึ่งที่สวมจีวรสีเทาแกมน้ำเงินออกมา พระที่รายงานรีบเดินเข้ามาคืนแผ่นหยกขุนนางให้ ขณะเดียวกันก็แนะนำว่า “ท่านคือพระอาจารย์จี้คง เป็นผู้ดูแลวัดนี้”

“อ้อ!” เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าวทันที “จะบังอาจรบกวนให้พระอาจารย์จี้คงออกประตูมารับได้ยังไง”

พระอาจารย์จี้คงมีสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตร รีบมองประเมินเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า แล้วประนมมือกล่าวว่า “ได้ยินนามอันยิ่งใหญ่ของแม่ทัพภาคมานานแล้ว พอได้ยินว่าแม่ทัพภาคหนิวมารับตำแหน่งวันนี้ อาตมากำลังรอให้ท่านแม่ทัพภาคจัดแจงเรื่องที่พักให้เรียบร้อยแล้วค่อยไปเยี่ยม ช้าไปก้าวหนึ่งจนต้องรบกวนให้แม่ทัพภาคมาด้วยตัวเองแล้ว ล่วงเกินแล้ว”

นี่ไม่ใช่คำพูดตามมารยาทเสียทั้งหมด เขาได้ยินชื่อเสียงของเหมียวอี้มานานมากแล้วจริงๆ ก่อเรื่องเก่งเกินไปแล้ว ก่อเรื่องใหญ่โตเสียขนาดนั้น จะไม่ให้ได้ยินชื่อก็คงยาก เขาอยากจะไปเยี่ยมเยียนเหมียวอี้จริงๆ ต่อให้ควบคุมจิตใจที่อยากรู้อยากเห็นไว้ แต่ก็อยากจะเห็นว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนอย่างไรกันแน่ ตอนนี้ในใจก็รู้สึกฉงนเช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งจะมาพึง คาดว่ายังไม่รู้สถานการณ์ในจวนแม่ทัพภาคชัดเจนด้วยซ้ำ ทำไมถ่อมาถึงที่นี่แล้วล่ะ

เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม “ตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีเดิมทีก็เป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว มาเป็นครั้งแรกก็ย่อมต้องมาทำความรู้สึกเพื่อนบ้านเสียหน่อย”

จี้คงหัวเราะเบาๆ แล้วหันตัวยื่นมือเชิญ “แม่ทัพภาคหนิวเชิญเข้าไปดื่มน้ำชา”

“เชิญ!” เหมียวอี้ก็ยื่นมือเชิญเช่นกัน ทั้งสองเดินเคียงคู่กันเข้าไป เหยียนซิวกับเหออี้กวนก็ได้เข้าไปอย่างราบรื่นเช่นกัน

พูดคุยยิ้มแย้มกันมาตลอดทางจนถึงห้องรับแขก พอเข้ามาในห้องแล้วนั่งลง ก็มีเณรน้อยนำน้ำชามาวางให้ เหยียนซิวกับเหออี้กวนรออยู่ด้านนอกห้อง

หลังจากดื่มน้ำชาแล้ว จี้คงที่ค่อนข้างเป็นมิตรก็เป็นฝ่ายเชิญให้เหมียวอี้เยี่ยมชมวัดพระกษิติครรภ์ แล้วคอยพูดแนะนำด้วยตัวเอง คนทั่วไปไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้แน่นอน ต่อให้เป็นระดับสูงกว่านี้ก็ไม่แน่ ปรระเด็นสำคัญคือตำแหน่งของเหมียวอี้อยู่ในที่เหมาะเจาะกำลังดี กอปรกับได้ยินว่าเหมียวอี้ก่อเรื่องได้ง่ายถ้าไม่พอใจอะไร จี้คงถึงได้พยายามคอยอยู่เป็นเพื่อน ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงดูปรองดองกันมาก จะเห็นได้ว่าวัดพระกษิติครรภ์ไม่อยากให้ความสัมพันธ์กับแม่ทัพภาคแข็งทื่อ

พอเดินอยู่ในวัดพระกษิติครรภ์ได้รอบหนึ่ง จู่ๆ เหมียวอี้ก็ถามว่า “วัดพระกษิติครรภ์ขึ้นตรงต่อแดนสุขาวดี ไม่ทราบว่าพระอาจารย์ไปมาหาสู่กับแดนสุขาวดีบ่อยหรือไม่?”

จี้คงไม่รู้ว่าเขาถามเรื่องนี้ทำไม แต่ก็ยิ้มตอบว่า “หลายปีจะกลับไปฟังท่านอาจารย์บรรยายธรรม”

เหมียวอี้พูดเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า “ได้ยินนามอันยิ่งใหญ่ของแดนสุขาวดีมานานแล้ว แต่จนใจที่ยากจะข้ามผ่านไปได้ ไม่เคยมีวาสนาได้พบเลย ไม่ทราบว่าจะมีโอกาสติดตามพระอาจารย์ไปเจอของจริงหรือไม่?”

จี้คงตอบว่า “อาศัยภูมิหลังของแม่ทัพภาค ถ้าต้องการจะไปแดนสุขาวดี ยังจำเป็นต้องให้อาตมาแนะนำอีกเหรอ แค่จวนท่านอ๋องบอกให้ก็เพียงพอแล้ว”

“ดูท่าแล้วพระอาจารย์เหมทือนจะไม่ค่อยเต็มใจนะ!” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ

ข่าวลือไม่ใช่เรื่องโกหก คำพูดที่กล่าวออกมาไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด จี้คงพึมพำในใจ กลัวนิดหน่อยว่าเหมียวอี้จะทำอะไรซี้ซั้ว คนที่ถูกโยนมาไว้ในตลาดผีย่อมไม่มีภูมิหลังสักเท่าไร จึงไม่กล้าเล่นอะไรแผลงๆ กับเหมียวอี้ เขารับไม่ไหวหากตำหนักสวรรค์มาถามหาความรับผิดชอบ จึงว่ายหน้ายิ้มเจื่อน “แม่ทัพภาคกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร ถ้าแม่ทัพภาคมีความตั้งใจจริงๆ อาตมาก็จะนำทางให้เอง”

ถ้าเปลี่ยนเป็นแม่ทัพภาคทั่วไป เขาอาจจะไม่โอนอ่อนขนาดนี้ คนของแดนสุขาวดีไม่จำเป็นต้องกลัวคนของตำหนักสวรรค์ และชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต๋อก็ฉาวโฉ่ไปทั้งตลาดแล้ว ว่ากันว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้หมด กอปรกับภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ จึงทำให้เขากลัวเกรงอยู่บ้าง

“ดี!” สิ่งที่เหมียวอี้ต้องการก็คือะประโยคนี้ “หนิวจะจำคำพูดของพระอาจารย์เอาไว้ วันหลังต้องได้มารบกวนแน่นอน”

จากนั้นทั้งสองก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องตลาดผี เหมียวอี้ไม่ได้รีบออกไปจากที่นี่ ด้วยการต้อนรับอันอบอุ่นของจี้คง เหมียวอี้จึงอยู่รับประทานอาหารที่นี่

ตอนที่กล่าวอำลาอย่างเป็นทางการ เหมียวอี้ก็กล่าวเชิญชวนเช่นกัน “วันหลังจะต้องเชิญพระอาจารย์ไปนั่งที่จวนแม่ทัพภาคสักหน่อย ถึงตอนนั้นพระอาจารย์ปฏิเสธนะ”

“เคารพมิสู้ทำตาม!” จี้คงที่เดินมาส่งถึงหน้าประตูประนมมือกล่าว

…………………………

ผ่านไปไม่นาน เอ๋อเหมยก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามาแล้ว

ไม่ทันรอให้นางทำความเคารพ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เข้ามาจับมือนางแล้ว ถามอย่างร้อนใจว่า “สถานการณ์ในการประชุมเป็นยังไงบ้าง?”

เอ๋อเหมยรู้ว่านางสนใจเรื่องนี้ขนาดไหน รีบบอกสถานการณ์ให้รู้ทันที

พอได้ยินว่าตระกูลโค่วออกแรงช่วยในที่ประชุมจริงๆ ทั้งยังออกแรงช่วยไม่ได้น้อยด้วย ค่อนข้างดุดัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เรียกได้ว่าดีใจมาก จนกระทั่งได้ยินว่าตระกูลอิ๋งมาหยุดยั้ง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็แค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอีก “คิดเพ้อฝันเกินไปแล้ว อาศัยนางตัวดีนั่น ยังคิดจะมีทายาทให้ฝ่าบาทอีกเหรอ!”

พอได้ยินว่าโพ่จวินออกมาป่วนแผนการ ทั้งยังต้องการจะปลดราชินีสวรรค์จนทำให้เรื่องวุ่นวาย ก็ยิ่งทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แค้นจนตาแทบถลน “โจรเฒ่าโพ่จวิน! ต้องมีสักวันที่ข้าจะทำให้เขาทรมานร้องขอชีวิต!”

เอ๋อเหมยรีบปลอบทนัที “เหนียงเหนียง ไม่ต้องร้อนใจเพคะ เมื่อครู่นี้นายท่านกำชับมาแล้ว ว่าให้ท่านข่มอารมณ์ไว้ ท่านบอกว่าเดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่อาจทำให้สำเร็จได้ในครั้งเดียวอยู่แล้ว ตอนหลังตระกูลโค่วจะช่วยต่อไป ถึงแม้ฝ่าบาทจะหลบเลี่ยงได้หนึ่งครั้ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหนีพ้นทุกครั้ง จะต้องมีสักครั้งที่ยอมตอบตกลง!”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอามือลูบหน้าอก รู้เช่นกันว่าตัวเองใจร้อนเกินไป ตระกูลเซี่ยโห้วมีอำนาจอ่อนแอเกินไปในการประชุมราชสำนัก พูดอะไรไม่ได้เท่าไรเลย อาศัยแรงจากตระกูลโค่วฝ่ายเดียวกอปรกับมีตระกูลอิ๋งขัดขวาง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะราบรื่นขนาดนั้น

ในขณะนี้เอง ด้านนอกก็มีนางในคนหนึ่งเข้ามารายงาน “เหนียงเหนียง สนมเซียว สนมอวี้และสนมคนอื่นๆ มาแล้วเพคะ ต้องการจะมาเข้าเยี่ยมคำนับเหนียงเหนียง”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กระปรี้กระเปร่าทันที ผู้นำอำนาจในวังของเครือข่ายอ๋องสวรรค์โค่วมาแล้ว ก่อนหน้านี้ทั้งหมดล้วนยืนอยู่ฝ่ายจ้านหรูอี้ หลายตระกูลต่อสู้กับนางคนเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีฐานะสูงสุดในวังหลัง ก็คงต้านไว้ไม่ไหวจริงๆ ตอนนี้คนพวกนี้มาหาแล้ว เห็นได้ชัดว่าตระกูลโค่วต้องการจะสนับสนุนตน

นางกล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจทันที “รีบเชิญเข้ามา!”

ผ่านไปครู่เดียว ยอดหญิงงามเจ็ดแปดคนก็เดินเนิบนาบเข้ามา พอเข้ามาในตำหนักแล้วก็ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน “คำนับราชินีสวรรค์เหนียงเหนียง!”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รีบก้าวขึ้นไปประคองพวกนาง แล้วยิ้มอย่างเป็นกันเอง “ถึงแม้ที่นี่จะเป็นในวัง แต่ที่จริงก็เป็นพี่น้องบ้านเดียวกันที่คอยปรนนิบัติฝ่าบาททั้งนั้น ไม่ต้องมากพิธี”

สนมเซียวกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ได้ยินว่าเหนียงเหนียงกำลังจะมีฝ่าบาทให้ทายาทหรือเพคะ พวกเรามาแสดงความยินดีกับเหนียงเหนียงล่วงหน้า”

“ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวอย่างทอดถอนใจ

สนมอวี้หัวเราะออกเสียงแล้ววบอกว่า “จะไม่มีเรื่องแบบนั้นได้อย่างไรเพคะ ข้าได้ยินว่าอ๋องสวรรค์โค่วพยายามสนับสนุนเหนียงเหนียง ในการประชุมราชสำนักวันนี้เสียงดังคึกครื้นมาก อ๋องสวรรค์โค่วเป็นใครล่ะ มีอิทธิพลในราชสำนักมาก ขอเพียงอ๋องสวรรค์โค่วไม่เลิกรา สุดท้ายฝ่าบาทก็ยังต้องเผชิญหน้าอยู่ดี การตอบตกลงคงจะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว พวกเรามาแสดงความยินดีล่วงหน้าก็ถูกต้องแล้วเพคะ”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พยายามทำให้ตัวเองสงบนิ่ง แต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นยากจะปิดบังได้ โบกมือสั่งว่า “รีบนำน้ำชามา!”

หลังจากพวกนางนั่งลงแล้ว สนมเซียวก็กะพริบตาแล้วบอกอีกว่า “เหนียงเหนียง ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อลูกเขยคนนั้นของอ๋องสวรรค์โค่วไปที่ตลาดผีในสังกัดของเหนียงเหนียงแล้วหรือเพคะ?”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มเจื่อน แล้วตอบว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าสนใจ พวกเจ้ารู้อยู่แล้วทำไมต้องถามอีก”

สนมอวี้ตอบว่า “ถึงอย่างไรก็อยู่สังกัดของเหนียงเหนียง แล้วหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว ถ้าเหนียงเหนียงกดดันมากเกินไป เกรงว่าลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วจะรับไม่ไหวเพคะ”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำสายตาลอกแล่ก เข้าใจจุดประสงค์ที่พวกนางมาที่นี่แล้ว นางยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบช้าๆ แล้วบอกว่า “ในเมื่อตำหนักสวรรค์อนุญาตให้หนิวโหย่วเต๋อนั้งตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผีแล้ว นี่ก็คือคำขอที่สมเหตุสมผล ข้าย่อมพยายามสนับสนุนเต็มที่อยู่แล้ว”

สนมเซียวบอกอีกว่า “ว่ากันว่าอยู่ที่ตลาดผีไม่มีอนาคตอะไร เป็นเรื่องยากที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง พอมีเหนียงเหนียงสนับสนุนแบบนี้ เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อคงจะมีอนาคตไกลแล้ว”

สนมคนอื่นก็กล่าวสนับสนุนเช่นกัน

ถ้าเหมียวอี้ได้เห็นฉากนี้ ก็เกรงว่าจะต้องสะท้อนใจในอำนาจของตระกูลโค่ว เพราะเมื่อตระกูลโค่วออกแรงสนับสนุน พลังทั้งข้างนอกและข้างในของตำหนักสวรรค์ก็จะเริ่มเคลื่อนไหวทันที ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบติดจริงๆ…

ที่ด้านหลังตำหนักฟ้าดินกลับมีฉากอีกอย่างหนึ่ง ประมุขชิงชี้หน้าด่าโพ่จวินอย่างโมโห “ตาแก่ปัญหาทึบ นี่เจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าเข้าข้างใครกันแน่?”

โพ่จวินกลับกะพริบตาขบคิดอย่างละเอียด “เกรงว่าฝ่าบาทจะขอบคุณข้าน้อยไม่ทันเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าน้อยป่วนสถานการณ์ให้ฝ่าบาทมีข้ออ้างหนีออกมา เกรงว่าฝ่าบาทคงยังอยู่ฟังพวกเขาเถียงในราชสำนัก”

ประมุขชิงอึ้งทันที คิ้วขยับเล็กน้อย สายตามองประเมินโพ่จวินครู่หนึ่ง นึกไม่ถึงว่าตาแก่ปัญญาทึบจะตามีแววแบบนี้ ไฟโกรธเบาบางลงแล้วไม่น้อย เอาสองมือไขว้หลังแล้วบอกว่า “เกรงว่าตาแก่โค่วคงบีบเรื่องนี้ไม่ปล่อยแน่ ในการประชุมราชสำนักกลังจากนี้ ถ้าตระกูลโค่วยังวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้อีก เจ้าก็ทำแบบวันนี้ เข้าใจรึยัง?”

แต่ใครจะคิดว่าโพ่จวินจะทำสีหน้าเคร่งขรึม “เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ แต่ข้าน้อยยังมีบางอย่างอยากจะพูดอีก ฝ่าบาทได้โปรดจัดระเบียบวังหลังใหม่ ปลดตำแหน่งราชินีสวรรค์”

“เจ้า…” ประมุขชิงกระชากคอเสื้อโพ่จวิน

ใครจะคิดว่าอู๋ฉวี่ ซือหม่าเวิ่นเทียนและเกาก้วนจะรีบมายืนเรียงแถวหน้ากระดาน แล้วกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยขอให้ฝ่าบาทรีบมีทายาทเร็วๆ!”

“พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน?” ประมุขชิงผลักโพ่จวินออกไป แล้วชี้หน้าตะคอกถามพวกเขาอย่างโมโห

พอเขาหันไปด้านข้าง กลับพบว่าซ่างกวนชิงก้มหน้า แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรและยืนเงียบอยู่อย่างนั้น การไม่พูดอะไรก็เท่ากับเป็นการแสดงท่าทีแล้ว

“ใสหัวออกไปให้หมด!” ประมุขชิงโบกมือตะโกน แล้วพุ่งเข้าไปอย่างโมโห

เขาไม่มีทางทำอะไรคนพวกนี้ได้เลย และรู้เช่นกันว่าคนพวกนี้ร้องขออย่างสมเหตุสมผล อยู่กับเขามาหลายปีขนาดนี้แล้ว ล้วนต้องพิจารณาทางหนีทีไล่ของตัวเอง คนที่ไม่ไตร่ตรองทางหนีทีไล่ตัวเองเลยก็คือคนตายเท่านั้นแหละ โพ่จวินกับอู๋ฉวี่มีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ ในภายหลังต่อให้เขาจะไม่อยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็ยังพอระรับมือไหว แต่ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนล่ะ? ล่วงเกินคนไปมากขนาดนั้น กำลังเล็กน้อยที่มีอยู่ในมือก็ไม่พอให้ปกป้องชีวิตตัวเอง พวกเขาต้องการให้ประมุขชิงเลี้ยงดูอบรมโอรสสวรรค์สักคนในตอนที่ตัวเองยังแข็งแกร่งและไม่มีศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อ จะได้รับถ่ายทอดวิชาจากเขาและเติบโตขึ้นมาโดยเร็ว ถ้าสายเกินไป ในอนาคตโอรสสวรรค์ที่เยาว์วัยก็จะคุมสถานการณ์ไม่ไหว ตอนนั้นใต้หล้าก็จะวุ่นวาย เหตุการณ์แย่งชิงความเป็นใหญ่ก็จะเกิดขึ้นอีกแน่นอน

เขาเข้าใจความคิดของกลุ่มขุนนางในราชสำนักเช่นกัน ถ้าโอรสสวรรค์ในอนาคตอ่อนแอเยาว์วัย ไม่มีกำลังพอที่จะสยบใต้หล้า พวกเขาก็กังวลว่าประมุขชิงจะทำการล้างเลือดอำนาจที่แข็งแกร่งฝ่ายต่างๆ เพื่อช่วยให้โอรสสวรรค์คุมสถานการณ์ในใต้หล้าให้สงบมั่นคง ไม่ให้ใครสร้างภัยคุกคามต่อตำแหน่งของโอรสสวรรค์ได้ ที่จริงประมุขชิงก็คิดอย่างนี้เช่นกัน ถ้าตัวเองก้าวผ่านประตูผีได้อย่างราบรื่นก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าตัวเองผ่านด่านประตูผีนั่นไม่ได้ ก็จะต้องเลี้ยงและอบรมทายาท พวกอ๋องสวรรค์หรือเทพประจำดาวอะไรพวกนั้น อย่าไปมองนะว่าตอนนี้กำลังกระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน เขายังต้องให้คนเหล่านั้นปกครองใต้หล้าเพื่อนำทรัพยากรส่งมาให้เขาเรื่อยๆ อย่างไม่ขาดสาย เมื่อเวลานั้นมาถึงจริงๆ ทั้งหมดก็ล้วนเป็นเนื้อบนเขียง เขาก็จะไม่ปล่อยให้ใครมาคุกคามตำแหน่งราชันของทายาทตัวเองเด็ดขาด

ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของทุกคน ดังนั้นในเรื่องนี้เขาจึงหัวเดียวกระเทียมลีบ แม้แต่ลูกน้องคนสนิทของเขาก็ไม่กล้าคล้อยตามอย่างไร้เหตุผลเช่นกัน ถ้าคล้อยตามอย่างไร้เหตุผลจริงๆ เช่นนั้นก็แปลว่ามีใจเป็นอื่นแน่นอน ดังนั้นถ้าประมุขชิงไม่ประนีประนอม ก็จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้…

บนท้องฟ้ามีฝนตกไม่ขาดสายราวกับมีเถาวัลย์ย้อยลงมา เงาคนคนหนึ่งลอยลงมาบนหน้าผา พอถึงกลางทางก็ดึงเถาวัลย์ลอยเข้ามาในถ้ำกลางหน้าผา

ในถ้ำที่มืดมิด เยว่เหยาใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองและเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง พร้อมตะโกนหยั่งเชิง “พี่ใหญ่เจียง”

ในถ้ำมีเสียงสะท้อนเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ยินใครตอบ พอเลี้ยวเข้ามาในห้องถ้ำห้องหนึ่ง ก็มีเพียงโต๊ะหิน ม้านั่งหิน เตียงหิน แต่กลับไม่เห็นเงาคน

ตรวจสภาพภายในถ้ำอย่างละเอียด เยว่เหยายื่นมือไปคลำบนโต๊ะหิน พบว่ามีฝุ่นขี้เถ้าเล็กน้อย ทำให้รู้ว่าที่นี่ไม่มีคนอาศัยอยู่มาสักระยะแล้ว

พอโบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ปัดฝุ่นแล้ว เยว่เหยาก็นั่งลงบนเตียงหินอย่างหดหู่เล็กน้อย พลางพึมพำกับตัวเองว่า “ไปแล้วเหรอ…”

ตั้งแต่ในปีนั้นที่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเจียงหลาง เขาก็แทบจะไม่เคยติดต่อกับนางอีกเลย ถึงขั้นลบตราอิทธิฤทธิ์ในระฆังดาราที่ทั้งสองใช้ติดต่อกันทิ้งไปด้วย แต่นางก็รู้ถึงความเคยชินในชีวิตประจำวันของเขา ในวันที่ฝนโปรยปรายเขามักจะสวมชุดฟางข้าวมาตกปลาริมแม่น้ำ ดังนั้นนางจึงมัก ‘บังเอิญ’ เขาบ่อยๆ

ทีละเล็กทีละน้อย นางเริ่มจะเชื่อแล้วว่าคำพูดของเขาคือเรื่องจริง เชื่อแล้วว่าเขาถูกคนใส่ร้าย นางมีความมั่นใจในความสวยของตัวเองอยู่บ้าง ถ้าเจียงอีอีเป็นโจรราคะจริงๆ แล้วทำไมหลายปีมานี้ถึงไม่หวังอะไรจากนางสักนิดเลยล่ะ?

ในช่วงเวลานี้ วันที่ฝนโปรยปรายติดต่อกันหลายวัน นางเดินผ่านริมแม่น้ำนับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับไม่เห็นเจียงอีอีอีก หลังจากหลังเลอยู่หลายครั้ง ในที่สุดนางก็หาข้ออ้างได้แล้ว นางอดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายมาหาเขาก่อน แต่ใครจะคิดว่าจะมาพบกับความว่างเปล่า ไปโดยไม่บอกลากันสักคำ

ความรักระหว่างชายหญิงเกิดขึ้นแล้ว แต่กลับคิดไปเองฝ่ายเดียว ทำให้นางมีสีหน้าเศร้าสลดหดหู่…

ตลาดผี เห็นตลาดผีอีกแล้ง

ด้วยการคุ้มกันจากยอดฝีมือของจวนอ๋องสวรรค์โค่ว ในที่สุดเหมียวอี้ก็มาถึงตลาดผีแล้ว เขาเข้าไปในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีผ่านทางใต้ดิน

เรียกว่าเป็นจวน แต่ความจริงแล้วเป็นวังใต้ดินแห่งหนึ่งเท่านั้น มีเพียงลานบ้านด้านนอกแห่งเดียวเท่านั้น ส่วนสิ่งปลูกสร้างอื่นล้วนรวมอยู่ในกำแพงหินหนา

แม่ทัพภาคตลาดผีคนเก่าเป็นมิตรมาร เข้ามาส่งต่องานโดยไม่ลังเลเลยสักนิด คาดว่าในที่สุดคงหาทางออกจากที่นี่ได้แล้ว รู้สึกใจร้อนจนทนไม่ไหว พอส่งมอบงานทั้งหมดให้จนเสร็จ ได้รับใบลงนามยืนยันจากเหมียวอี้ ก็ขอตัวลาแล้วหนีไปทันที

หลังจากจัดแจงข้าวของเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็ส่งงานในตลาดผีให้หยางชิ่งจัดการ หลังจากปลอมตัวแล้วก็นำเหยียนซิวออกไป ไปตึกศาลาสัตยพรตเพื่อเยี่ยมคารวะเจ้าถิ่นที่นี่ ถ้าอยากจะยืนอยู่ที่นี่ให้ได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากตึกศาลาสัตยพรตก็เกรงว่าจะเหนื่อยพอสมควร ถึงแม้ตระกูลโค่วจะช่วยพูดให้ทางสะดวกแล้ว แต่เขาก็ยังต้องมายืนยันด้วยตัวเอง

ไม่ต้องร้อนใจขนาดนั้น ตระกูลโค่วได้กำชับไว้แล้ว ว่าเมื่อมาอยู่ที่นี่แล้วสามารถฝึกตนได้อย่างสงบใจ คนนอกไม่สามารถเข้ามาแทรกเรื่องในตลาดผีได้ แม่ทัพภาคมีไว้ประดับตำแหน่งเฉยๆ ไม่ต้องยุ่งกับอะไรทั้งนั้น รอโอกาสดีเพื่อย้ายออกไปอย่างเงียบๆ เป้าหมายหลักของเจ้าคือรีบเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงขึ้นโดยเร็ว และตระกูลโค่วก็จัดหาทรัพยากรฝึกตนไว้ให้อย่างเพียงพอแล้วด้วย

แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ทรัพยากรที่ตระกูลโค่วให้นั้นมีจำกัด สามารถใช้ดูแลเขากับอวิ๋นจือชิวได้ แต่กลับดูแลได้ไม่เยอะ เขามีค่าใช้จ่ายเยอะแต่กลับบอกตระกูลโค่วไม่ได้ ต้องหาช่องทางทำงานทางอื่นอีก และเขาก็ยังมีเรื่องราวอีกมากมายต้องจัดการด้วย

แน่นอน เหมียวอี้ก็เห็นตลาดผีเป็นแค่สิ่งที่มีไว้แต่ในนามจริงๆ เขายังไม่สำคัญตัวเองผิดถึงขั้นคิดว่าตัวเองสามารถยื่นเท้าเข้าไปในอาณาเขตของตระกูลเซี่ยโห้วได้ ถ้าทำแบบนี้จริงๆ คาดว่าต่อให้เป็นตระกูลโค่วก็ปกป้องตนไม่ได้

การพบกันที่ตึกศาลาสัตยพรตเป็นไปอย่างราบรื่นมาก ชีเจวี๋ย พ่อบ้านของตึกศาลาสัตยพรตออกมาต้อนรับข้างนอกด้วยตนเอง เป็นชายชราชุดเขียวคนหนึ่งที่หน้าตาอัปลักษณ์ และได้พบกับเฉาหม่าน เถ้าแก่ของตึกศาลาสัตยพรตอันลือชื่ออย่างราบรื่นเช่นกัน เหมียวอี้ไม่กล้าประเมินท่านนี้ต่ำเลย อย่าไปมองว่าภายนอกอีกฝ่ายเป็นแค่เถ้าแก่ของตึกศาลาสัตยพรต เพราะที่จริงแล้วเขาเป็นคนถือหางเรือใหญ่ของทั้งโลกใต้ดิน ว่ากันว่าเป็นลูกชายของเซี่ยโห้วท่า ฐานะของเขาที่ตระกูลเซี่ยโห้วเป็นรองแค่เซี่ยโห้วท่าเท่านั้น

ท่าทีของเฉาหม่านโอนอ่อนและเป็นมิตรมาก ให้คำตอบที่เหมียวอี้ต้องการอย่างตรงไปตรงมา ความปลอดภัยของเหมียวอี้ตอนอยู่ที่ตลาดผีหลังจากนี้ไป เขาสามารถรับประกันให้ได้ ขณะเดียวกันก็รับประกันด้วยว่าไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีของตลาดผี ทางนี้จะช่วยเก็บมาส่งให้ถึงที่ แน่นอนว่ายังอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่บอกใบกันไว้ นั่นก็คือต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และหวังว่าเหมียวอี้จะไม่ก่อเรื่องที่นี่ด้วย ไม่อย่างนั้นเฉาหม่านก็จะไม่แน่ใจกับสิ่งที่รับประกันไว้ก่อนหน้านี้เช่นกัน

คำขู่ที่อ่อนนอกแข็งในแบบนี้ เหมียวอี้ทำได้เพียงแข็งใจกล้ำกลืนยอมรับไว้ สิ่งที่เขาทนไม่ได้ที่สุดก็คือการที่มีคนใต้ปกครองกล้ามาขู่คุกคามเขา เวลามีผู้ใต้บังคับบัญชามารังแกผู้บังคับบัญชา นี่คือเรื่องที่เขารับไม่ได้ แต่พอลองคิดดูอีกที ก็สงสัยว่าใครกำลังปกครองใครกันแน่? ตัวเองมาขอข้าวกินอยู่ใต้หนังตาของอีกฝ่ายนะ

ตอนที่ออกไป พ่อบ้านชีเจวี๋ยของตึกศาลาสัตยพรตก็ยังไม่ลืมที่จะเตือนเหมียวอี้ว่า “แม่ทัพภาคหนิว ที่ตลาดผียังมีสถานที่อีกแห่งที่ดีที่สุดและอยู่ร่วมกันอย่างสงบ ถ้าเจ้าไปก่อเรื่องที่นั่น ตึกศาลาสัตยพรตก็ปกป้องความปลอดภัยของเจ้าได้ยาก”

เหมียวอี้ที่กำลังจะขึ้นเรืองงงทันที หันกลับมาถามว่า “เป็นสถานที่แบบไหนเหรอ?”

“วัดพระกษิติครรภ์ นั่นคือถิ่นของแดนพุทธ” ชีเจวี๋ยตอบพร้อมรอยยิ้ม

…………………………

“ฝ่าบาท ข้าน้อยมีเรื่องจะพูด”

พอการประชุมของตำหนักสวรรค์เริ่มขึ้น ก็มีคนก้าวออกจากแถวทันที แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ตำหนักสวรรค์ก่อตั้งมานานแล้ว จนกระทั่งทุกวันนี้ฝ่าบาทยังไร้ทายาทเพื่อให้คนในใต้หล้าสงบจิตใจ ข้าน้อยขอให้ฝ่าบาทรีบสร้างทายาทเพื่อทำให้คนในใต้หล้าสงบใจ”

เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ประมุขชิงที่มีสีหน้านิ่งเฉยก็กระตุกคิ้วทันที เรื่องที่เขาปวดหัวที่สุดมาเยือนแล้ว

กลุ่มขุนนางพลันหันไปมองพร้อมกัน พอพบว่าเป็นคนของอ๋องสวรรค์โค่ว พวกเขาก็รีบหันไปมองอ๋องสวรรค์โค่วอีก ไม่รู้ว่าจู่ๆ อ๋องสวรรค์โค่วโยนเรื่องนี้ออกมาหมายความว่าอะไร อย่าบอกนะว่าจงใจทำให้ประมุขชิงพะอืดพะอมเพราะเรื่องหนิวโหย่วเต๋อ?

อ๋องสวรรค์โค่วยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่สะทกสะท้านเซี่ยโห้วท่าที่นั่งอยู่ตรงมุมกระตุกหัวคิ้วเล็กน้อย แล้วก็หลับตาช้าๆ เพื่อพักผ่อน ทำท่าราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ตัวข้องกับตัวเอง

ตำหนักฟ้าดินเปลี่ยนเป็นเงียบงันไร้เสียง ประมุขชิงกวาดสายตาเย็นเยียบมองเบื้องล่างเมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไร ก็ทำได้เพียงแสยะหัวเราะ แล้วตอบด้วยตัวเอง “เรื่องนี้ข้าย่อมพิจารณาเอง ไม่ต้องให้เจ้าพูดมาก”

เพิ่งจะสิ้นเสียงนี้ ก็มีกำลังพลสายของอ๋องสวรรค์โค่ว ออกมานอกแถวอีก “ฝ่าบาท จะกล่าวเช่นนี้ไม่ได้ เรื่องนี้ฝ่าบาทพิจารณามาหลายปีแล้ว ถ่วงเวลามาตลอด หากพิจารณาต่อไปอย่างนี้เรื่อยๆ แล้วเมื่อไหร่จะได้บทสรุปฝ่าบาทได้โปรดบอกเวลาที่แน่นอนให้ข้าน้อยทราบ”

ประมุขชิงหน้าเครียดขรึมลงทันที “นี้เป็นเรื่องส่วนตัวของข้า ไม่จำเป็นต้องนำมาพูดเหลวไหลในการประชุม ราชสำนัก”

ใครจะไปคิดว่าจะมีกำลังพลสายของอ๋องสวรรค์โค่วยืนออกนอกแถวอีก แล้วกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท กล่าวแบบนี้ไม่ถูกต้อง เพราะเรื่องส่วนตัวของฝ่าบาทก็เป็นเรื่องใหญ่ของใต้หล้าเช่นกัน นำมาหารือในการประชุมได้อย่างสง่าผ่าเผย จะเรียกว่าเหลวไหลได้อย่างไรกัน?”

คนแล้วคนเล่าไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่เหมือนการพูดเล่น ฝ่ายตระกูลโค่วเหมือนต้องการจะใส่เต็มแรง

เป็นอย่างที่คาดไว้ มีคนก้าวออกนอกแถวตามมาอีก “ข้าน้อยเห็นด้วย ราชินีสวรรค์ปรนนิบัติฝ่าบาทมาหลายปี ต่อให้ไม่มีผลงานแต่ก็พยายามแล้ว ถึงแม้ตอนนี้จะยังอ่อนเยาว์สดใส แต่ก็ต้องมีสักวันที่แก่ชรา หากถ่วงเวลาต่อไปอย่างนี้ ฝ่าบาทเองย่อมไม่มีปัญหา แต่เหนียงเหนียงล่ะ ถ้ายื้อเวลาไปจนเหนียงเหนียงกลายเป็นหญิงชรา จะให้เหนียงเหนียง ทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร?”

ไม่ใช่กำลังทำให้ประมุขชิงพะอืดพะอม แต่กำลังช่วยพูดให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่!

กลุ่มขุนนางตกใจทันที รีบมองไปที่โค่วหลิงซวี แล้วก็มองดูปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วท่าอีก ไม่น่าเชื่อว่าสองตระกูลนี้จะสมคบกันแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วมอบผลประโยชน์อะไรให้ตระกูลโค่ว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีค่าถึงขั้นทำให้ตระกูลโค่ว กระโดดออกมาพูดเรื่องนี้เพื่อเขา?

อิ๋งจิ่วกวงรีบหันกลับไปส่งสายตาให้คนของตัวเอง นี่กำลังล้อเล่นอะไรกัน ถ้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่คลอดลูกชายให้ประมุขชิง อย่าว่าแต่ประมุขชิงจะต้องเห็นแก่หน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เลย อย่างน้อยก็ต้องคำนึงถึงฝั่งลูกชาย แบบนั้นก็จะต้องกดดันจ้านหรูอี้หนักมา อย่างไรเสียราชันสวรรค์ในอนาคตก็อยู่ตรงนั้นแล้ว ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่าควรยืนอยู่ฝ่ายไหน

มีกำลังพลสายอ๋องสวรรค์อิ๋งก้าวออกจากแถวทันที “ฝ่าบาท ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทฝ่าบาทควรจะมีทายาท โดยเร็วไว แต่ทายาทของฝ่าบาทเกี่ยวข้องกับทั้งใต้หล้าไม่ว่าจะเป็นในด้านคุณธรรหรือสติปัญญาก็ล้วนต้องแบกรับหน้าที่ วังหลังมีพระสนมนับไม่ถ้วน ฝ่าบาทต้องตั้งใจ คัดเลือกให้ดีหน่อย ต้องเลือกสักคนที่สอดคล้องกับเงื่อนไข และคนที่สามารทำให้ฝ่าบาทพอใจ เพื่อให้กำเนิดทายาทให้ฝ่าบาทโดยเร็ว”

ที่บอกว่าทำให้ฝ่าบาทพอใจได้คืออะไรล่ะ ตอนนี้ผู้หญิงที่ฝ่าบาทโปรดปรานที่สุดในวังหลังก็คือสนมสวรรค์ แบบนี้แปลว่าต้องการจะปลดราชินีสวรรค์ออก เซี่ยโห้วท่าที่กำลังหลับตาพักผ่อนมีหรือที่จะทนฟังได้ รีบส่งสายตาให้คนของตัวเองทันทีๆ

“เหลวไหลสิ้นดี!” มีคนในเครือข่ายของเซี่ยโห้วด่าอย่างโมโหทันที “บุตรของฮูหยินเอกคืออะไร บุตรของอนุภรรยาคืออะไร อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เข้าใจ? ตามลำดับอาวุธ ทายาทคนแรกของฝ่าบาทจะต้องถือกำเนิดจากฮูหยินเอกทั้งนั้น นอกจากราชินีสวรรค์แล้ว ใครจะมาเอาชนะได้? ถ้ามนุษย์ในโลกทำผิดระเบียบจารีต ก็จะก่อความวุ่นวายให้ครอบครัว ถ้าฝ่าบาททำให้จารีตวุ่นวาย ถึงตอนนั้นหากทุกคนพากันเอาเยี่ยงอย่างฝ่าบาท มีการแก่งแย่งระวังบุตรภรรยาเอกและอนุภรรยาทุกบ้าน ทุกครอบครัววุ่นวาย เช่นนั้นใต้หล้าก็จะวุ่นวายใหญ่แล้ว ความผิดนี้เจ้ารับผิดชอบไหวรึเปล่า?”

กำลังพลสายอ๋องสวรรค์โค่วกระโดดออกมากล่าวเสียงดังอีกว่า “ใช่แล้ว! ถ้ามีคนให้กำเนิดบุตรของอนุภรรยาเพราะมีเจตนาแอบแฝงบางอย่าง ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ตอบตกลง!”

กำลังพลสายอ๋องสวรรค์อิ๋งบอกว่า “ฝ่าบาทพิจารณาเองได้อยู่แล้ว!”

ปัญหาในตอนนี้ไม่ใช่การให้กำเนิดหรือไม่ให้กำเนิดแต่กลายเป็นปัญหาว่าใครจะเป็นผู้ให้กำเนิดทายาทของประมุขชิง กำลังพลสายอ๋องสวรรค์ก่วงกับกำลังพลสายอ๋องสวรรค์ฮ่าวเงียบงันไม่พูดอะไร พวกเขาไม่คัดค้านเช่นกันหากประมุขชิงจะให้กำเนิดทายาทโดยเร็ว และพูดไม่ออกด้วยว่าจะให้ประมุขชิงไม่มีทายาทสืบตระกูล การที่ประมุขชิงให้กำเนิดทายาทล้วนเป็นผลดีต่อทุกคน ในจุดนี้ทั้งตำหนักสวรรค์มีความเห็นตรงกัน มีเพียงประมุขชิงคนเดียวที่คลุมเครือตัดสินใจไม่ได้เสียที

กำลังพลสายอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ใส่เต็มที่เช่นกัน ถกเถียงกันกำลังพลสายอ๋องสวรรค์โค่วแล้ว แต่กำลังพลของสายอ๋องสวรรค์โค่วกับกำลังพลสายของตระกูลเซี่ยโห้วเน้นเรื่องทายาทสายตรงของภรรยาเอกตลอดกดดันจนฝ่ายของตระกูลอิ๋งรู้สึกว่าดันทุรังเถียงข้างๆ คูๆ

ประมุขชิงหน้ามืดหน้าดำแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าราชันสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานจะไม่มีสิทธิ์เลือกด้วยซ้ำว่าจะให้กำเนิดบุตรชายกับใคร เขาอยากจะฆ่าไอ้พวกเวรนี่ให้หมดจริงๆ ทว่านนั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แค่อีกฝ่ายโน้มน้าวให้เจ้ามีลูกชาย เจ้าก็จะฆ่าขุนนางใหญ่แล้วเหรอ?

เมื่อเห็นว่ากำลังพลสายอ๋องสวรรค์อิ๋งเสียเปรียบแล้ว อิ๋งจิ่วกวงก็เริ่มร้อนใจ ในการประชุมราชสำนักครั้งนี้จะปล่อยให้ขุนนางกดดันจนประมุขชิงยอมตอบตกลงไม่ได้ จึงพูดข่มประเด็นสนทนาทันที “ฝ่าบาทบอกแล้วว่าจะพิจารณา เดี๋ยวก็ย่อมพิจารณาเอง นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไร คิดจะกดดันราชันเหรอ? โค่วหลิงซวี นี่คือความคิดของเจ้าใช่มั้ย?” ดวงตาฉายแววดุดัน อยากจะกดดันให้โค่วหลิงซวีแสดงท่าที

เมื่อยัดข้อหาใหญ่ให้ กอปรกับเอ่ยชื่อโค่วหลิงซวีโดยตรง ก็ทำให้เสียงถกเถียงในตำหนักเงียบลงทันที

“มีธุระก็คุยธุระ ทำไมการอภิปรายงานราชการของเหล่าขุนนางถึงกลายเป็นกดดันราชันไปแล้วล่ะ ถ้าไม่กล้าพูดอะไรสักอย่างเลย ยังจะให้ทุกคนมายืนอยู่ตรงนี้ทำไมอีก?” โค่วหลิงซวีกล่าวออกมาช้าๆ “ข้าเองก็กำลังไตร่ตรองความคิดของเหล่าขุนนางใหญ่เช่นกัน ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้าย เรื่องนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร?”

เขาไม่มีทางแสดงท่าทีง่ายๆ หรอก ถ้าแสดงท่าทีขึ้นมาเรื่องนี้ก็เอาคืนไม่ได้แล้ว จะไม่เหลือทางให้ถอยกลับแล้ว ในภายหลังถ้ากลับคำพูดก็จะเป็นเหมือนการตบปากตัวเอง อีกทั้งยังล่วงเกินตระกูลอิ๋งด้วย ถ้าไม่เห็นกระตาย ตระกูลเซี่ยโห้วก็จะไม่ปล่อยเหยี่ยว แล้วทำไมเขาจะทำแบบเดียวกันไม่ได้

ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น ว่าการที่กำลังพลสายอ๋องสวรรค์โค่วกระโดดออกมาพูดเพราะมีโค่วหลิงซวีบงการอยู่เบื้องหลัง

เซี่ยโห้วท่าแอบด่าในใจ แต่เขาก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ตระกูลโค่วพูดหมดจนไม่เหลือทางหนีทีไล่ตั้งแต่เริ่มต้นเลย

โค่วหลิงซวีเอ่ยชื่อโพ่จวิน สายตาของทุกคนจึงไปรวมอยู่ที่ตัวโพ่จวินแล้ว

ประมุขชิงจ้องใบหน้าโพ่จวินด้วยสายตาเย็นเยียบ กำลังแอบกดดันเขาอยู่

โพ่จวินครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้า กุมหมัดคารวะกล่าวว่า “ข้าน้อยขอให้ฝ่าบาทรีบมีทายาท! และเห็นด้วยที่บุตรชายคนแรกของฝ่าบาทควรถือกำเนิดจากภรรยาเอก เพียงแต่ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วยากที่จะรับหน้าที่นี้ได้ ข้าน้อยขอให้ฝ่าบาทปลดราชินีสวรรค์ แต่งตั้งราชินีสวรรค์ใหม่ขอรับ!”

ประมุขชิงไฟเดือดดาลพุ่งพล่านสามจั้ง ถึงขั้นเกิดความคิดอยากจะประหารโพ่จวินแล้ว คนอื่นกดดันตนก็ว่าหนักแล้ว ขนาดลูกน้องคนสนิทก็ยังมากดดันตนไปด้วยอีก ตาแก่ปัญญาทึบนี่!

เขาพลันจ้องไปหาอู๋ฉวี่และพวกซือหม่าเวิ่นเทียน อยากจะให้เจ้าพวกนี้ช่วยเขาพูด

ใครจะคิดว่าเจ้าพวกนี้จะแสร้งทำเป็นไม่เห็น ได้แต่ก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างนั้น ไม่สนใจประมุขชิง

ประมุขชิงยิ่งคับแค้นจนกัดฟันกรอด แต่เขาก็รู้เช่นกัน ว่าเรื่องรีบมีทายาทก็เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของลูกน้องคนสนิทของตนเช่นกัน ถ้าเขาข้ามผ่านด่านประตูผีไปไม่ได้ ทายาทของเขาก็จะยังเติบโตขึ้นมาได้ การที่ลูกน้องคนสนิทพวกนี้จะปกป้องลูกชายของเขาก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ทั้งสามารถรักษาผลประโยชน์ของพวกเขาได้เหมือนเดิม ไม่อย่างนั้นก็พูดยากแล้วจริงๆ

ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้ จึงไม่มีใครยืนอยู่ข้างประมุขชิงเลย ประมุขชิงหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างแท้จริง

แน่นอน ใช่ว่าประมุขชิงจะไม่ได้เตรียมตัวเรื่องแต่งตั้งทายาท เขาเคยคิดที่จะให้คำอธิบายนี้กับทุกคนเพื่อที่จะทำให้ทุกคนสงบใจ แต่เขาก็มีการเตรียมการของตัวเองอีกอย่างหนึ่ง เพราะว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เขายังมีชีวิตอยู่ได้อีกนานมาก เรื่องตำแหน่งผู้สืบทอดไม่ได้อยู่ในขอบเขตเรื่องแรกๆ ที่เขาพิจารณาเลย ถ้าทายาทเติบโตเร็วเกินไป ก็จะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขา เมื่อได้นั่งตำแหน่งนี้แล้วก็ไม่มีใครอยากถอยลงจากตำแหน่ง และเขาก็จะไม่ลงจากตำแหน่งเช่นกัน เลยต้องระงับเรื่องทายาทของตัวเองไว้ นี่คือเรื่องที่ทำให้คิดวนเวียนไม่จบสิ้น

กอปรกับปัญหาใหญ่ในใจยังไม่ถูกกำจัดทิ้งไป การดึงให้ครอบครัวลำบากไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร

นอกจากนี้ เขาก็ไม่ค่อยพอใจในตัวเซี่ยโห้วเฉิงอวี่สักเท่าไรด้วย ในปีนั้นถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือก เขาก็คงไม่แต่งตั้งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เป็นราชินีสวรรค์หรอก และสายเลือดของตระกูลเซี่ยโห้วก็เข้มข้นเกินไปจริงๆ ยังไม่เคยเห็นตระกูลเซี่ยโห้วให้กำเนิดใครที่หน้าตาสง่าภูมิฐานเลยสักคน หลังจากผู้หญิงของตระกูลเซี่ยโห้วแต่งงานออกไปแล้วก็มีสถานการณ์เป็นอย่างนี้ ทำให้ประมุขชิงกังวลเรื่องหน้าตาของทายาทตัวเอง ถ้าเปลี่ยนเป็นจ้านหรูอี้ เขาคิดว่าก็อาจจะประนีประนอมได้ ทว่าพอได้ยินโพ่จวินบอกว่าจะปลดเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เขาก็จินตนาการถึงปฏิกิริยาของตระกูลเซี่ยโห้วได้เลย

คำพูดของโพ่จวินยั่วโทสะเซี่ยโห้วท่าทันที ตึ้ง! เสียงไม้เท้ากระทุ้งพื้นอย่างแรง เซี่ยโห้วท่าพลันลุกขึ้นยืน ชี้ไปที่โพ่จวินพร้อมด่าว่า “ขุนนางกบฎ บังอาจกล่าวคำที่เนรคุณออกมาได้!”

โพ่จวินเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วแสยะหัวเราะอย่างไม่สนใจเขา

แต่อิ๋งจิ่วกวงกลับตาเป็นมันวาว ฮึกเหิมราวกับโดนฉีดเลือดไก่ กระโดดออกมาพูดด้วยตัวเองเลยว่า “คำพูดของผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้าย ข้าน้อยเห็นด้วย!” เขาย่อมรู้ว่าเมื่อใดที่ปลดราชินีสวรรค์ ก็จะมีความมั่นใจที่สุดว่าจ้านหรูอี้จะได้ขึ้นนั่งตำแหน่งราชินีสวรรค์

“ข้าน้อยเห็นด้วย!” กำลังพลสายอ๋องสวรรค์อิ๋งทั้งหมดกล่าวตามทันที

“หึหั!” โพ่จวินแสยะยิ้มอีกครั้ง แล้วกุมหมัดต่อประมุขชิงอีก “สนมที่ขุนนางในราชสำนักส่งเข้าวัง ทุกคนล้วนมีความน่าสงสัยว่าจะแทรกแซงการเมือง ไม่มีใครเหมาะกับตำแหน่งราชินีสวรรค์เลย ข้าน้อยขอให้ฝ่าบาทแต่งตั้งสตรีที่ทั้งงดงามทั้งเพียบพร้อมด้วยสติปัญญาและคุณธรรมขึ้นเป็นราชินีสวรรค์!”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็เท่ากับล่วงเกินทุกคนไปแล้ว

“โพ่จวิน พูดจาเหลวไหลสิ้นดี!”

มีคนตำหนิต่อว่าเป็นโขยงทันที คนส่วนใหญ่ล้วนกำลังด่าจนยับเยิน ให้ความรู้สึกเหมือนโดนคนเป็นหมื่นเป็นพันชี้หน้าด่ากราด

“พอแล้ว! ราชินีสวรรค์คือมารดาแห่งใต้หล้า จะพูดเรื่องปลดได้อย่างไร หุบปากให้หมด จบการประชุม!” ประมุขชิงลุกขึ้นยืนคำรามอย่างเกรี้ยวกราด พอสะบัดแขนเสื้อ ตัวเองก็หนีไปก่อนแล้ว จะไม่ฉวยโอกาสรีบหนีไปตอนนี้คงไม่ได้แล้ว ถ้าพัวพันอยู่ต่อไป เขาจะตอบตกลงเรื่องให้กำเนิดหรือไม่ตอบตกลงดีล่ะ?

ประมุขชิงหนีไปแล้ว ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนจะแยกย้ายกันไปอย่างช้าๆ คนที่เมื่อครู่นี้ยังถกเถียงกันอยู่ ผ่านไปประเดี๋ยวเดียวก็จับกลุ่มสองสามคนสุมหัวกระซิบกระซาบเดินออกไปด้วยกันแล้ว

เซี่ยโห้วท่าที่นั่งอยู่ในมุมมองทิศทางที่ประมุขชิงเดินจากไป มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ นอกเสียจากข้าจะไม่ได้เข้าประชุมในราชสำนักอีกเลยตลอดไป ไม่อย่างนั้นข้าจะกดดันให้เจ้าตอบตกลงให้ได้

หันกลับไปเห็นโค่วหลิงซวียังชักช้าอยู่ข้างหลังสุด เซี่ยโห้วท่าจึงลุกขึ้นเดินไปหา จากนั้นทั้งสองก็เดินไปด้วยกัน แล้วกล่าวอย่างสบายใจว่า “เรื่องที่ตลาดผีท่านอ๋องวางใจได้”

วันนี้คนในเครือข่ายของอ๋องสวรรค์โค่วทำงานเต็มที่ในการประชุมราชสำนักแล้ว สิ่งที่พวกโค่วหลิงซวีรอก็คือประโยคนี้ จึงชี้ไปที่ธรณีประตูอย่างร่าเริงทันที “ท่านปู่สวรรค์กลับดีๆ”

ตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ ชะโงกหน้ามองไปทางประตูเป็นระยะ

นางได้ข่าวมาจากตระกูลเซี่ยโห้วตั้งแต่แรกแล้ว ว่าตระกูลโค่วจะพยายามเต็มที่เพื่อช่วยให้นางมีอำนาจในการคลอดบุตรชาย ทำให้นางตื่นเต้นประหลาดใจจริงๆ ขอเพียงตัวเองให้กำเนิดโอรสสวรรค์ มารดามีวาสนาเพราะลูกชาย เช่นนั้นตำแหน่งของนางที่วังหลังนี้ก็จะไม่สั่นคลอนแล้ว อย่างไรเสียก็มีอยู่จุดหนึ่งที่นางรู้ชัด ว่านางจะต้องอายุยืนกว่าประมุขชิงแน่นอน ถ้าประมุขชิงข้ามประตูผีนั่นไปไม่ได้ ลูกชายนางก็จะได้ขึ้นตำแหน่งราชันต่อ ถึงตอนนั้นฐานะของนางก็จะเหนือราชันสวรรค์แล้ว จะไม่ให้นางตื่นเต้นดีใจได้อย่างไร!

…………………………

พอพูดถึงตรงนี้ หยางชิ่งก็ต้องถอนหายใจอย่างสะท้อนใจ “ตระกูลโค่วช่างวางแผนเก่งจริงๆ!”

เมื่อพูดมาแบบนี้ เหมียวอี้เองก็ยอมรับว่ากำลังพลเหลือรอดหนึ่งหมื่นที่ถูกจับแยกออกไป เมื่อตนเห็นแล้วก็คงจะเรียกชื่อได้ไม่กี่คน แต่พอเขานึกถึงคำพร่ำสอนที่อ่อนโยนมีเมตตาของโค่วหลิงซวีก่อนหน้านี้ ก็ยังทำใจยอมรับได้ยากว่าอีกฝ่ายจะวางกับดักกับตน “ตระกูลโค่วคิดได้แบบนี้ แต่ก็ไม่แน่ว่าคนอื่นจะคิดบ้างไม่ได้ เป็นไปได้มั้ยว่าจะมีคนอื่นเล่นตุกติกอยู่เบื้องหลัง?”

หยางชิ่งได้ยินแล้วอึ้งทันที ในแววตาสื่ออารมณ์ที่หลากหลายปนกัน ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยชอบเหมียวอี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเหมียวอี้มีอีกด้านหนึ่งที่ทำให้เขาสามารถยอมรับได้ นั่นก็คือมีคุณธรรมน้ำมิตร และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขามั่นใจว่าเหมียวอี้ไม่มีทางทรยศลูกสาวของเขาง่ายๆ

เขามองออกว่าเหมียวอี้เพิ่งจะได้รับน้ำใจไมตรีจากตระกูลโค่ว พอมาถูกวางแผนใส่อีกก็เลยทำใจยอมรับได้ค่อนข้างยาก แต่ยามเผชิญหน้ากับความจริง เขาก็ไม่อาจละเลยที่จะเตือนเหมียวอี้ “มีความเป็นไปไม่ได้จริงๆ ว่าจะมีคนอื่นเล่นตุกติก แต่เกรงว่าคนที่สามารถควักกำลังทรัพย์มาจ่ายให้กำลังพลหนึ่งหมื่นได้ในรวดเดียวคงจะมีไม่เยอะขนาดนั้น อีกทั้งเวลาในการสนับสนุนทรัพยากรก็ไม่ใช่แค่ปีสองปี ดูจากแนวโน้มแล้วก็คือเตรียมตัวจะสนับสนุนทรัพยากรต่อไปในระยะยาว แบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ? แบบนี้เท่ากับเลี้ยงกำลังพลหนึ่งหมื่นเอาไว้ส่วนตัว เมื่อวันเวลาผ่านไปนานๆ เข้า คนที่ทนรับไว้ก็มีไม่เยอะ และคนที่เฝ้ารออย่างช้าๆ โดยไม่สนใจผลประโยชน์ตรงหน้า ทั้งยังกล้ายื่นมือเข้ามาในกองทัพองครักษ์ก็ยิ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้แล้ว ในใต้หล้าไม่มีใครแล้วนอกจากคนพวกนั้น และจุดประสงค์ที่คนพวกนี้สนับสนุนทรัพยากรก็ไม่ได้ใช่อะไร เพราะเห็นอิทธิพลที่นายท่านมีต่อคนพวกนี้ จะรักษาอิทธิพลที่นายท่านมีต่อคนพวกนี้ให้คงอยู่ต่อไป ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา นายท่านออกหน้าขอแรงคนกลุ่มนั้น เงื่อนไขทุกอย่างก็จะมาบรรจบกันพอดี มีเพียงสถานการณ์ที่ไร้ทางเลือกเท่านั้น ถึงได้นำการสนับสนุนทรัพยากรมาขู่ให้คนพวกนั้นยอม ดังนั้นเมื่อนายท่านอยู่ในมือใคร ถึงจะมีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าคนนั้นใช้ประโยชน์จากจุดนี้ คนอื่นๆ เกรงว่าคงจะไม่คิดไปทางด้านนี้ เพราะไม่มีใครกล้ารับประกันว่าลูกน้องเก่าของนายท่านจะถามนายท่านรวมทั้งเปิดเผยเรื่องนี้หรือเปล่า ถึงอย่างไรผู้ที่เกี่ยวข้องก็มีเยอะมาก แต่ตระกูลโค่วไม่กลัว ต่อให้นายท่านรู้แล้วถามถึง ตระกูลโค่วก็สามารถยอมรับได้อย่างตรงไปตรงมา แล้วจะบอกว่าช่วยนายท่านรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้นายท่านซาบซึ้งใจอีกด้วย”

ในใจเหมียวอี้รู้สึกสับสน เสียความรู้สึกมาก กล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “บังอาจมาวางแผนกับข้าแบบนี้!”

หยางชิ่งถอนหายใจแล้วบอกว่า “ถ้านายท่านคิดแบบนี้ก็ถือว่ารุนแรงไปหน่อย ระดับตระกูลโค่วแล้ว เรื่องบางเรื่องไม่มีทางรอให้เรื่องจวนตัวแล้วค่อยกอดเท้าพระพุทธรูปหรอก จะต้องมีการเตรียมการในระยะยาวอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่กระตือรือร้นดึงตัวตอนที่นายท่านยังมีตำแหน่งระดับนี้ จะบอกว่าวางแผนทำร้ายก็ได้ จะบอกว่าใช้ประโยชน์ก็ได้เช่นกัน นายท่านลองเลี่ยนมุมมองคิดดูก็ได้ ในเมื่อในท่านมองเรื่องนี้ออกแล้ว ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไปก็ได้ อย่าให้ตระกูลโค่วรู้ มีคนจงใจจ่ายเงินเพื่อสร้างสัมพันธ์ให้นายท่านอยู่เบื้องหลัง นี่เป็นเรื่องดี ตอนสุดท้ายก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะใช้ประโยชน์ใครกันแน่ กำลังพลหนึ่งหมื่นคนนี้กระจายกันอยู่ในแต่ละหน่วยของกองทัพองครักษ์ ต้องมีคนประสบความสำเร็จอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนดึงตัวไปอยู่กับกำลังพลท้องถิ่นเพื่อพัฒนาให้เติบโตต่อไปก็ได้ ไม่แน่ว่าในอนาคตนายท่านอาจจะได้ใช้ประโยชน์”

เหมียวอี้ตาเป็นประกายทันที ถามว่า “แต่พวกเขาโดนตระกูลโค่วบีบจุดอ่อยไว้หมดเลยนะ”

หยางชิ่งตอบว่า “จุดอ่อนนี้เหมือนดาบสองคม ตราบใดที่นายท่านยังไม่ล้ม ตระกูลโค่วก็จะไม่กล้าเปิดเผยจุดอ่อนนี้ง่ายๆ ตำหนักสวรรค์ไม่ได้โง่เสียหน่อย ด้วยศักยภาพของนายท่าน สามารถเลี้ยงคนได้มากขนาดนั้นเชียวเหรอ? ใครกำลังยื่นมือเข้าไปแทรกแซงกองทัพองครักษ์ ตำหนักสวรรค์มองราดเดียวก็เข้าใจหมดแล้ว ดังนั้นกุญแจสำคัญของปัญหาก็ขึ้นอยู่กับวว่านายท่านจะก้าวไปข้างหน้าต่อได้หรือไม่ ถ้าลำพังนายท่านเองยังเอาตัวรอดได้ลำบาก แลวจะขอแรงคนพวกนั้นได้ยังไง? ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เมื่อนายท่านมีศักยภาพแล้ว คนพวกนั้นถึงจะมีประโยชน์ ถ้านายท่านไม่มีศักยภาพ ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไปก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยแค่โน้มน้าวคนสองคนเพื่อทำงานให้นายท่าน ก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้เท่าไรเลย และจุดอ่อนนี้ก็ยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง ถ้าวันไหนตระกูลโค่วส่งผลร้ายต่อนายท่าน ก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะบีบใครกันแน่! ดังนั้นกลยุทธ์ชั้นยอดก็คือ นายท่านต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ต่อไป อย่าบุ่มบ่ามไปแปรพักตร์ใส่ตระกูลโค่วเพราะเรื่องนี้ ห้ามเผยพิรุธใดๆ ทั้งนั้น!” เขากลัวจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะบุ่มบ่ามทำอะไรซี้ซั้ว เขาถูกเหมียวอี้ทำให้กลัวแล้วจริงๆ โมโหจนแทบกระอักเลือดแล้ว

“เจ้าพูดดีมาก ข้าจะจำไว้” เหมียวอี้พยักหน้า

เมื่อเห็นว่าเขาน่าจะฟังเข้าใจแล้วจริงๆ หยางชิ่งก็โล่งอก และมีอารมณ์ที่จะคุยต่อไปแล้วเช่นกัน “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าน้อยอยู่ที่อุทยานหลวงมาหลายปีแล้ว ตั้งใจสังเกตเรื่องบางเรื่องทั้งข้างล่างข้างบน ครั้งก่อนที่นายท่านโดนลดตำแหน่ง แล้วครั้งนี้ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพภาคตลาดผีอีก ในนี้เกรงว่าจะเป็นการต่อสู้ระหว่างตระกูลโค่วกับฝ่าบาท อยากจะโยนนายท่านไปไว้ตลาดผีเพื่อให้ตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วปะทะกัน กอปรกับตระกูลอื่นที่จ้องพร้อมตะคลุบดั่งพญาเสือ เกรงว่าการไปตลาดผีครั้งนี้จะอันตรายที่สุด ที่ตลาดผีไม่มีใครสู้ชนะตระกูลเซี่ยโห้ว อาศัยเพียงตระกูลโค่วเกรงว่าจะปกป้องนายท่านได้ยาก ไม่ทราบว่าตระกูลโค่วปล่อยนายท่านไปตลาดผีแล้วได้ไปหาตระกูลเซี่ยโห้วมาหรือเปล่า?”

เหมียวอี้มองเขาแวบหนึ่งด้วยสีหน้าแปลกๆ รับไม่ไหวกับเจ้าหัวหมอหยางชิ่งนี่จริงๆ สงสัยหลายปีที่เจ้าหมอนี่อยู่ที่อุทยานหลวงจะครุ่นคิดถึงความสัมพันธ์ทั้งข้างล่างข้างบน มิน่าล่ะตอนเสนอแผนการเรื่องน่านฟ้าระกาติงถึงได้มั่นใจว่าประมุขชิงจะไม่ตัดหัวตน ตอนนี้แม้แต่เรื่องที่แปลกระหลาดไร้เหตุผลของตัวเองก่อนหน้านี้ เจ้าหมอนี่ก็ยังมองออกเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะเอ่ยถึงเรื่องที่ตระกูลโค่วไปหาตระกูลเซี่ยโห้ว

“ครั้งนี้ไปตลาดผีน่าจะไม่มีปัญหามาก ตระกูลโค่วไปหาตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วรับประกันความปลอดภัยพื้นฐานของข้าที่ตลาดผีแล้ว” เหมียวอี้ถาม

“หยางชิ่งได้ยินแล้วโล่งอก พยักหน้าบอกว่า “”เช่นนั้นก็ดี ไม่รู้เหมือนกันว่าตระกูลโค่วมอบผลประโยชน์อะไรให้ตระกูลเซี่ยโห้ว ถึงได้ทำให้ตระกูลเซี่ยโห้วหลีกทางให้””

“เหมียวอี้โบกมือบอกว่า “”เรื่องนี้ไม่ต้องสนใจแล้ว แล้วกับเฟยหงนั่นจะทำยังไง? ตอนนี้ฮูหยินก็อยู่กับข้าเหมือนกัน สายลับที่อยู่ข้างกายคนนี้มักเป็นปัญหา จะฉวยโอกาสตอนไปตลาดผีแก้ไขการควบคุมของตำหนักสวรรค์เลยดีมั้ย?”

“ไม่เหมาะสม!” หยางชิ่งโบกมือ “เกรงว่านายท่านจะยังต้องแสร้งมีไมตรีต่อไป ถ้ามีสายลับคนนี้อยู่ข้างกาย ตำหนักสวรรค์ก็จะได้เชื่อมั่นในตัวนายท่านได้ในระดับหนึ่ง ถ้ามีนางไว้คอยบอกตำหนักสวรรค์ว่านายท่านเป็นขุนนางที่จงรักภักดี นางพูดประโยคเดียวก็มีน้ำหนักเท่าคนอื่นพูดร้อยประโยค ในอนาคตตอนที่ตำหนักสวรรค์พิจารณาว่าจะตัดทางหนีทีไล่นายท่านโดยสิ้นเชิงหรือไม่ การพิจารณาในจุดนี้ก็อาจจะตัดสินชะตาชีวิตของนายท่านได้ นอกจากนี้ ก็ยังเป็นอย่างที่บอก ว่าตราบใดที่ยังมีสายลับคนนี้อยู่ ตำหนักสวรรค์ก็จะไม่คิดยัดใครไว้ข้างกายนายท่านอีก จะได้ลดปัญหายุ่งยากให้ตัวเองด้วย ดังนั้นหวังว่านายท่านจะไม่เย็นชากับนาง เรื่องที่ควรจะเล่นละครตบตาก็ยังต้องเล่นละครตบตา เรื่องบางเรื่องก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน”

เหมียวอี้ปวดหัวนิดหน่อย แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “คนนอกไม่มีทางเข้าใจได้ว่าการมีสายลับข้างกายมันลำบากขนาดไหน ขนาดกลับบ้านแล้วยังผ่อนคลายไม่ได้เลย รสชาตินี้ทรมานเกินไปแล้ว”

หยางชิ่งยิ้มเจื่อน “ใช่ว่าจะไม่มีหนทางเลย ถ้านายท่านสามารถสยบนางได้ราบคาบ ทำให้นางมายืนฝ่ายนายท่านและทำงานให้นายท่านได้ ก็จะเป็นเรื่องดีเช่นกัน แต่ประเด็นสำคัญก็คือ หน่วยตรวจการซ้ายก็ไม่ใช่ไก่อ่อนเหมือนกัน ในเมื่อกล้าปล่อยนางมา ก็แสดงว่าจะต้องมีวิธีการถ่วงนางไว้แน่นอน ทำให้นางไม่กล้าทรยศ ดังนั้นเกรงว่าจะสยบไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ดีไม่ดีอาจจะทำเป็นอวดเก่งสุดท้ายก็ผูกมัดตัวเองด้วยซ้ำ”

“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว” เหมียวอี้ทำแก้มป่องราวกับปวดฟัน หลังจากกลั่นกรองคำพูดแล้วก็กล่าวช้าๆ ว่า “ไปที่ตลาดผีก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเลย ค่อนข้างอิสระ หลังจากจัดที่ทางที่ตลาดผีได้แล้ว พวกเรากลับไปหาเวยเวยที่พิภพเล็กด้วยกัน ข้าคิดถึงเวยเวยแล้ว” คำพูดนี้อวิ๋นจือชิวสอนเขาไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พูดจาอะไรอ่อนโยนแบบนี้ต่อหน้าผู้ชายอย่างหยางชิ่งหรอก

ทว่าคำพูดนี้กลับทำให้หยางชิ่งรู้สึกฮึกเหิมใจ ทำให้หยางชิ่งรู้สึกว่าในใจเหมียวอี้ยังมีลูกสาวตัวเองอยู่ ไม่เสียแรงที่ตัวเองทนรับความอยุติธรรมมาหลายปี ที่จริงแล้วเขาก็คิดถึงลูกสาวมากเช่นกัน ไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว ฉินเวยเวยเป็นดั่งดวงใจของเขา แต่เขาไม่มีทางเลือกเพราะต้องทำเพื่ออนาคตของลูกสาว ถึงได้จากบ้านมาไกลขนาดนี้ แต่ใครจะคิดว่าการกระทำบางอย่างของเหมียวอี้จะทำให้เขาท้อใจ ทำให้เขาแทบจะสิ้นหวัง แต่พอวันนี้ได้มาฟังอะไรแบบนี้ ก็ได้ทำให้เขาปลื้มอกปลื้มใจมากจริงๆ ไม่ว่าคำพูดของเหมียวอี้จะจริงหรือเท็จ แต่อย่างน้อยก็อธิบายได้แล้วว่าเหมียวอี้ยังแสดงท่าทีชัดเจนว่ายินดีจะรักษาความสัมพันธ์และไม่ปฏิบัติต่อลูกสาวตนอย่างยุติธรรม นับว่าสิ่งที่ตัวเองจ่ายไปก็คุ้มค่าเช่นกัน จึงรีบกุมหมัดคารวะ “ขอรับ!”

หลังจากมองส่งหยางชิ่งจากไปแล้ว เหมียวอี้ก็ยังคงมีอารมณ์ซับซ้อนสับสนอยู่ ไม่ว่าอวิ๋นจือชิวจะพูดอย่างไร แต่ในใจเหมียวอี้กลับรู้ชัด ว่าหยางชิ่งแค่เสียเปรียบเพราะมีพลังไม่มากพอ กอปรกับใช้ฉินเวยเวยควบคุมไว้ ไม่อย่างนั้นก็ควบคุมเจ้าหัวหมอที่สติปัญญาคล้ายปีศาจคนนี้ให้อยู่หมัดยากจริงๆ จะปล่อยอำนาจให้เขาจริงๆ เหรอ?

อีกจุดหนึ่งก็คือ ไม่ว่าในตอนนั้นเขาจะแต่งงานกับฉินเวยเวยเพราะอะไร แต่เมื่อครู่นี้ตอนที่เอาฉินเวยเวยมาเล่นละครก็ยังทำให้เขาไม่ค่อยสบายใจ

“เมื่อกลับมาถึงเรือนเดี่ยวในจวนอ๋องสวรรค์ที่ตระกูลโค่วแบ่งให้เขา พอเห็นอวิ๋นจือชิวเดินเข้ามายิ้มรับอย่างสนิทสนมแล้วถามว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร แต่เขาไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น เขาดึงมืออวิ๋นจือชิวเข้าไปในห้องนอนโดยตรง พอปิดประตูแล้ว ก็ดึงร่างอันอวบอิ่มของอวิ๋นจือชิวเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างแรง”

“เจ้าจะทำอะไร? ยังกลางวันแสกๆ อยู่เลยนะ คนของตระกูลโค่วมาบ่อยมาก ถ้าอีกประเดี๋ยว…อ๊า!” อวิ๋นจือชิวร้องอย่างตกใจ เสื้อผ้าบนตัวถูกฉีกขาด ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนเหมียวอี้ฉีกเสื้อผ้าแล้ว เนื้อหนังสีขาวถูกเผยออกมา

“เจ้าเป็นอะไรไป?” อวิ๋นจือชิวไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นบ้าอะไรไปแล้ว ไม่ใช่เวลานางถอดเสื้อผ้าด้วยซ้ำ

เหมียวอี้ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น ถอดเสื้อผ้านางออกจนหมดอย่างรวดเร็ว แล้วใช้สองมือบีบคลำย่ำยีบนเอวบางและบั้นท้ายอวบของนาง

“เจ้าทำให้ข้าเจ็บนะ!” อวิ๋นจือชิวเอามือตีมือสองข้างของเขาที่กำลังบีบคลำบนหน้าอกใหญ่ของตัวเอง นางเจ็บจนน้ำตาแทบจะไหลแล้ว

ขณะมองดูเรือนร่างยั่วยวนราคะที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งกำลังดิ้นรน ก็ยิ่งกระตุ้นสันดานสัตว์ป่าของเหมียวอี้ เขาผลักนางลงบนเตียงอย่างอดใจรอไม่ไหว

ไม่มีจังหวะโหมโรงใดๆ ทั้งนั้น บุกตะลุยเข้ามาโดยตรง ไถลานบ้านกวาดถ้ำ ชนโจมตีอย่างบ้าระห่ำ!

หลังจากผ่านไปนานมาก ทั้งสองก็นอนกอดกันอย่างสงบแล้ว อวิ๋นจือชิวมองดูร่องรอยที่โดนข่วนเกาบนหน้าอกขาวอิ่มของตัวเอง ตอนนี้ก็ยังเจ็บไม่หายเลย ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางเขย่าศีรษะของเหมียวอี้พร้อมถามว่า “วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป?”

“คนที่แอบสนับสนุนทรัพยากรอาจจะเกี่ยวข้องกับตระกูลโค่ว…” เหมียวอี้แทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรออกมา เล่าสิ่งที่หยางชิ่งตัดสินวินิจฉัยให้ฟัง

หลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็มองผู้ชายคนนี้อย่างอึ้งๆ ปนสงสาร เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อครู่นี้เขาถึงบ้าระห่ำขนาดนั้น ก่อนหน้านี้ยังบอกอยู่เลยว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะต้องขอบคุณน้ำใจไมตรีอันล้นพ้นนี้ของตระกูลโค่วให้ได้ แต่ใครจะคิดว่าผ่านไปประเดี๋ยวเดียวก็พบว่าตัวเองโดนตระกูลโค่ววางกับดักแล้ว

ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ นางรู้จักนิสัยเขาดีเกินไป ในมกลสันดานของผู้ชายคนนี้ให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตรมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่แสดงน้ำใจกับกำลังพลหนึ่งหมื่นทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังขัดสนเงินทองหรอก ผลปรากฏว่าโดนหักหลังครั้งแล้วครั้งเล่า เกรงว่าผู้ชายคนนี้คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อเดินไปจนถึงตอนสุดท้ายแล้วจะกลายเป็นแบบไหน ความดิ้นรนต่อต้านในใจยากที่จะบรรยายออกมาได้ เมื่อครู่นี้เขาแค่ระบายอารมณ์ส่วนลึกในจิตใจของเขากับร่างกายนางเท่านั้นเอง

คิดแล้วก็ปวดใจ อวิ๋นจือชิวประคองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยเข้ามากอดไว้ในอ้อมอกที่อ่อนนุ่มด้วยความสงสาร กอดเขาเอาไว้ราวกับเด็กน้อย

เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากหน้าอกของนาง ได้กลิ่นกายที่หอมอ่อนๆ ของนาง เหมียวอี้ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว นอนหลักลึกไปแล้ว…

…………………………

ล้อเล่นอะไรกัน ถ้าปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับนางหนูคนนี้ เขาก็จะแก้ตัวกับทางปี้เยว่ไม่สะดวก จะแก้ตัวกับทางไห่ยวนเค่อก็ไม่สะดวกเช่นกัน ทางฝั่งลัทธิอู๋เลี่ยงก็จัดการยาก ถึงแม้ไห่ยวนเค่อจะไม่ว่าอะไร แต่ฝั่งจินม่านก็เคยย้ำมาแล้ว ว่าฐานะของนางหนูคนนี้ที่ลัทธิอู๋เลี่ยงแทบจะไม่ต่างอะไรกับองค์หญิงน้อย จะให้เกิดเรื่องกับนางไม่ได้เด็ดขาด

แม้แต่เหมียวอี้เองยังกลุ้มใจ ไม่ตั้งใจ ปักกิ่งหลิว แต่ต้นหลิวกลับให้ร่มเงา จะเล่นงานปี้เยว่คนเดียว แต่พอให้กำเนิดนางหนูคนนี้ขึ้นมา กลับทำให้พวกพี่ใหญ่ของลัทธิอู๋เลี่ยงให้ความสำคัญกับนางมาก

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะให้ไห่ผิงซินเพ่นพ่านไปทั่ว ถึงแม้อยู่กับตนอาจจะไม่ถึงกับปลอดภัยเสียทีเดียว แต่อย่างน้อยก็อยู่ในการควบคุมของตน มองเห็นนางอยู่ใต้หนังตาตน ก็ยังพอจะสงบใจได้หน่อย

“ทำไมล่ะ?” ไห่ผิงซินถลึงตาถามอย่างทำใจเชื่อได้ยาก “นายท่านบอกว่าจะไม่บังคับไม่ใช่เหรอ?”

เหมียวอี้ก้มหน้าเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่านางหนูคนนี้จะจับช่องโหว่ในคำพูดของเขาได้แล้ว ถึงถามช้าๆ ว่า “เฟยหงก็ไป เจ้าจะไปหรือไม่ไป?”

ไห่ผิงซินส่ายหน้า “ไม่อยากไป ไม่ไปไม่ได้เหรอ?” ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังขอร้อง

จากจากหลุดออกจากข้างกายเหมียวอี้ ได้ไปเห็นโลกภายนอก นางก็ไม่ใช่คนที่ไม่เคยเข้าสังคมเหมือนในปีนั้นอีกแล้ว ฉากอันยอดเยี่ยมที่ได้เจอเฟยหงในปีนั้นกลายเป็นปกติธรรมดาไปแล้ว นำสิ่งนี้มาล่อลวงนางไม่ได้ผลแล้ว

พวกหยางชิ่งมองประเมินไห่ผิงซินเงียบๆ ที่จริงในใจของทุกคนเคลือบแคลงมาตลอด ว่านางหนูที่จู่ๆ ปรากฏตัวขึ้นมามีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ จะว่านายท่านกำลังดูแลก็ได้ จะว่ากำลังโอ๋ก็ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกับคนทั่วไป ถ้าจะบอกว่านายท่านชอบเด็กสาวคนนี้ ก็ดูไม่เหมือนจะเป็นอย่างนั้น มองไม่ออกถึงท่าทางรักใคร่ระหว่างชายหญิงเลย ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพี่น้องกันนิดหน่อย ให้ความรู้สึกเหมือนพี่ชายดูแลน้องสาว

เหมียวอี้อับอายนิดหน่อยจนเริ่มโมโห สั่งอย่างดุดันว่า “ไม่ได้!”

“งั้นท่านจะยังถามความเห็นพวกเราทำไมอีก?” ไห่ผิงซินถาม

เหมียวอี้เอ่ยเรียกอย่างเย็นเยียบว่า “เหยียนซิว!” เขารู้ว่าไห่ผิงซินกลัวใครมากที่สุด ใครเห็นแล้วก็ต้องทำท่าเหมือนหนูเจอแมว

เหยียนซิวหันตัวไปมองไห่ผิงซินทันที พร้อมด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นพิศวง “ไปด้วยกันดีกว่า”

พอเห็นใบหน้ายิ้มของเหยียนซิว ไห่ผิงซินก็ตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว ตอนนี้นางเสียงเบาลงหลายส่วนแล้ว บ่นว่า “ไปก็ไป”

ส่วนคนอื่นๆ บ้างก็พยักหน้าตอบตกลง บ้างก็ตบปากรับคำแล้ว ต่างก็แสดงออกว่าเต็มใจจะไปด้วย

มีอยู่สิ่งหนึ่งที่หยางชิ่งเข้าใจดีที่สุด ว่าคนที่มาจากพิภพเล็ก ไม่มีทางที่เหมียวอี้จะปล่อยไปโดยไม่สนใจ ถ้าความรับรั่วไหลขึ้นมาก็จะกลายเป็นภัยคุกคามได้ง่ายๆ ไม่มัดไว้ให้แน่นคงไม่ได้ ที่ถามว่าเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็เป็นเพียงการแสดงท่าทีเท่านั้น ถ้ากล้าบอกว่าไม่เต็มใจเพราะมีแผนอีกอย่างเตรียมไว้ เกรงว่าเหมียวอี้คงจะไม่ปล่อยตนไปแน่ อีกฝ่ายย้ายตนมาโดนไม่ถามความยินยอม มีหรือที่จะปล่อยให้หลุดไปง่ายๆ

และสำหรับเหมียวอี้ การที่สวีถังหรานเป็นคนแรกที่กระโดดออกมาแสดงออกว่ายินดีจะติดตามเขาไป ก็ทำให้เขาค่อนข้างปลื้มใจ ถึงอย่างไรก็ห่างกันไปนานขนาดนี้ แต่ก็ยังยืนหยัดว่าจะติดตามตนไปอยู่ตลาดผีที่ไม่ค่อยมีอนาคน สิ่งนี้สะท้อนความจงรักภักดีแล้ว

หารู้ไม่ว่าสำหรับสวีถังหรานแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่ได้สัมผัสกับบุคลระดับบน ก็ยังไม่ต้องพูดถึงเลยว่าออกห่างจากเหมียวอี้แล้วจะใช้ชีวิตได้หรือไม่ จุดพื้นฐานที่เขาคิดได้ก็คือ นายท่านได้ไต่เต้าไปเกาะกิ่งไม้สูงอย่างอ๋องสวรรค์โค่วแล้ว ถ้าอยู่กับนายท่านจะต้องอนาคตยาวไกลไร้ขอบเขตแน่นอน!

เมื่อมีความเห็นเป็กเอกฉันท์ เรื่องราวก็ถูกกำหนดแบบนี้แล้ว ตอนที่ทุกคนแยกย้ายออกไป จู่ๆ เหมียวอี้ก็บอกว่า “หยางชิ่ง เจ้าอยู่ก่อน”

หยางชิ่งที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวหยุดฝีเท้า หันตัวกลับมา แล้วกุมหมัดคารวะ “นายท่านยังมีอะไรจะกำชับอีกขอรับ?”

ขณะมองดูหยางชิ่งที่สีหน้าเยือกเย็นสุขุม ในแววตาเหมียวอี้ก็สื่อหลากหลายอารมณ์ หลังจากเกิดคดีที่น่านฟ้าระกาติง หยางชิ่งก็รักษาระยะห่างจากตนอย่างเห็นได้ชัด ถ้าตนไม่ติดต่อไป อีกฝ่ายก็ไม่เป็นฝ่ายติดต่อตนมาก่อนอีก ด้วยเหตุนี้เขาถึงรู้ตัวแล้วว่าที่หยางชิ่งบอกว่าฝึกตนจนป่วยในครั้งนั้นคงจะเป็นข้ออ้าง สาเหตุก็เดาได้ไม่ยาก เป็นเพราะตนไม่ฟังความเห็นของเขา แทบจะดึงให้ทุกคนตกอยู่ในภัยคุกคามถึงชีวิตแล้ว

และที่มาในครั้งนี้ ก็เป็นความคิดของอวิ๋นจือชิวเช่นกัน ความคิดของอวิ๋นจือชิวก็เรียบง่ายมาก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป ไม่ต้องกังวลทางฝั่งเวยเวยด้วย ฆ่าหยางชิ่งเสียเลยสิ ถ้าเจ้าทำไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรน่าหวั่นเกรง นอกเสียจากเจ้าจะไม่มั่นใจในตัวเอง กลัวว่าจะจัดการกับหยางชิ่งไม่ได้ ถ้ามีความมั่นใจแล้วจะมีอะไรให้กลัวล่ะ? เรื่องนี้เจ้าต้องเลือกสักทาง ถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อไปอย่างนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าเจ้าไม่ไว้ใจอีกฝ่าย ถ้าจะไม่ให้คนฉลาดแบบหยางชิ่งมีใจเป็นอื่นก็คงยาก เจ้าเอาแต่ป้องกันเขาเหมือนป้องกันโจร แบบนี้ไม่ใช่พฤติกรรมของลูกผู้ชาย ถ้าปล่อยให้เวลานานไปจนทำให้หยางชิ่งแน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่มีอนาคต ก็จะต้องกดดันให้หยางชิ่งเดินไปสุดปลายทางแน่นอน”

เหมียวอี้ยังคงลังเลกับสิ่งนี้ สาเหตุหลักเป็นเพราะเรื่องที่หยางชิ่งแอบจะลงมืออวิ๋นจือชิวครั้งก่อน เขาจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจมาตลอด

พอได้ยินแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ทั้งซาบซึ้งทั้งปลงอนิจจัง โน้มน้าวด้วยความหวังดีอีกครั้ง “เรื่องบางเรื่องเจ้าก็ต้องทำความเข้าใจไว้นะ ในฐานะพ่อคนหนึ่ง การที่เขาอยากจะให้ลูกสาวได้มีชีวิตดีขึ้นหน่อยก็ใช่ว่าจะแย่เสียทั้งหมด คนเรายิ่งฉลาดก็ยิ่งมีแผนการเยอะ ไม่ได้บริสุทธิ์เต็มร้อยเหมือนเหยียนซิว ในโลกนี้ไม่มีใครบริสุทธิ์เต็มร้อยเหมือนเหยียนซิวหรอก มีใครบ้างที่ไม่จุดด่างพร้อยเลยสักนิด ไม่มีจิตใจที่เห็นแก่ตัวเลยสักนิด? หนิวเอ้อร์ เจ้าเองก็ไม่ใช่นักปราชญ์เหมือนกัน ถ้ามัวพะวงถึงความเห็นแก่ตัวเล็กน้อยของคนอื่น แล้วในใต้หล้านี้เจ้าจะหาใครมาทำงานให้เจ้าได้เหรอ? ดูอย่างประมุขชิงสิ ประมุขชิงจะไม่รู้เชียวหรือว่าตระกูลเซี่ยโห้วกับสี่อ๋องสวรรค์ไม่มีจิตใจเห็นแก่ตัว? ถึงยังไงข้างกายเจ้าก็มีคนที่ใช่ประโยชน์ได้ไม่เยอะอยู่แล้ว สิ่งสำคัญในการใช้งานคนก็คือควบคุมคน ไม่ใช่มีข้อเรียกร้องที่รุนแรงเกินไป ถ้าใช้งานได้ดีก็ย่อมเป็นแรงสนับสนุน ถ้าใช้งานได้ไม่ดีก็จะเป็นปัญหา กุญแจสำคัญอยู่ที่ตัวเจ้าเอง ไม่ได้อยู่ที่ตัวหยางชิ่ง…”

สรุปก็คืออวิ๋นจือชิวแนะนำให้เขาไปกระชับความสัมพันธ์กับหยางชิ่ง

ก็อย่างที่อวิ๋นจือชิวบอก เหมียวอี้ไม่ใช่นักปราชญ์ บนตัวก็มีข้อเสียไม่น้อยเช่นกัน บุ่มบ่ามมุทะลุ ทำอะไรตามอารมณ์ได้ง่าย ถ้าคนทั่วไปบอกอะไรเขาก็อาจจะไม่ฟัง มีเพียงอวิ๋นจือชิวเท่านั้นที่สามารถจับจุดเขาได้อย่างแม่นยำ หลังมีความสุขด้วยกันอย่างเต็มที่แล้วนางก็ตั้งใจกอดเหมียวอี้แล้วพูดสิ่งเหล่านี้ ในที่สุดก็ทำให้เหมียวอี้เชื่อฟังแล้ว

“เรื่องที่น่านฟ้าระกาติง เป็นความผิดของข้าเอง”

จู่ๆ เหมียวอี้ก็พูดแบบนี้ออกมา ทำให้หยางชิ่งที่มีสีหน้าเยือกเย็นสงบนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขารีบใช้ความคิดไตร่ตรองว่าเหมียวอี้หมายความว่าอะไร ในภาพความทรงจำของเขา เหมียวอี้ไม่ใช่คนที่จะยอมรับผิดได้ง่ายๆ โดยเฉพาะการยอมรับผิดต่อเขา

เขาคิดไปในทางความน่าสงสัย พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าอวิ๋นจือชิวบงการอยู่เบื้องหลัง เขารู้จักเหมียวอี้มาหลายปีขนาดนี้ คนที่ทำให้เหมียวอี้พูดแบบนี้ได้ไม่ใช่เขาแน่นอน เกรงว่าจะมีแค่อวิ๋นจือชิวแล้ว

หยางชิ่งแอบถอนหายใจ น่าเสียดายที่เวยเวยไม่ได้มีผลกระทบมากขนาดนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเหมียวอี้ เขาตอบว่า “นายท่านไม่ได้ผิด นายท่านเตรียมการไว้ทางฝั่งอ๋องสวรรค์โค่วตั้งแต่แรกแล้ว เป็นข้าน้อยเองที่คิดมากไป”

เหมียวอี้รู้ว่าเขารู้ชัดอยู่แก่ใจ ที่พูดแบบนี้เพราะต้องหาหาบันไดลงให้เขาเฉยๆ จึงไม่วนเวียนอยู่กับเรื่องนี้อีก กล่าวอย่างลังเลว่า “ช่วงนี้ข้ามีเรื่องที่คิดไม่ตก อยากจะฟังความเห็นของเจ้าสักหน่อย”

“ข้าน้อยจะล้างหูรอฟัง” หยางชิ่งกล่าว

“ที่งานแต่งงานในอุทยานหลวง ข้าได้รับของขวัญล้ำค่าจากตระกูลเซี่ยโห้ว…” เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ แล้วขอคำชี้แนพ “ตอนนี้ข้าไม่เข้าใจว่าการที่ตระกูลเซี่ยโห้วมอบของขวัญให้มากขนาดนี้หมายความว่าอะไร เจ้าคิดว่ายังไง?”

หยางชิ่งขมวดคิ้ว หลังจากลังเลอยู่นาน ถึงได้ถามว่า “นายท่านกับตระกูลเซี่ยโห้วมีการไปมาหาสู่อะไรกันเป็นพิเศษหรือเปล่า?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “นอกจากคบค้ากับเซี่ยโห้วหลงเฉิงนิดหน่อย ก็ไม่ได้ไปมาหาสู่อะไรกันแล้ว”

“แบบนี้…” หยางชิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ “ข้าน้อยก็ไม่เข้าใจเช่นกัน แต่มีอยู่จุดหนี่งที่ข้าน้อยมั่นใจได้ ในเมื่อเป็นของขวัญล้ำค่า ก็แสดงว่าไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร มีความหมายในทางที่ดีเกินครึ่ง บางทีอาจจะมีจุดประสงค์อะไรบางอย่าง เพียงแค่เกริ่นนำก่อนก็เท่านั้น เวลาออกหน้าประสานงานในภายหลังจะได้ไม่พรวดพราด”

เหมียวอี้ไต่ตรองพลางพยักหน้าช้าๆ จากนั้นก็บอกอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เจ้าก็รู้เรื่องที่น่านฟ้าระกาติง กำลังพลกองมังกรดำหมื่นกว่าคนที่รบรอดกลับมา หลังจากแยกย้ายกันแล้ว ข้าก็นำของขวัญล้ำค่าส่วนนั้นที่ได้จากตระกูลเซี่ยโห้วไปแจกจ่ายให้พวกเขา แต่ก็พบเรื่องที่มีเงื่อนงำ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนส่งทรัพยากรไปช่วยพวกเขาในนามของข้าก่อนแล้ว…”

พอพูดถึงเรื่องนี้เขาก็ตกใจไม่เบา กำลังพลที่เหลือรอดพวกนั้น ตามหลักการของกองทัพองครักษ์แล้วก็ไม่กล้ารับของจากหน่วยงานภายนอกได้ง่ายๆ หลังจากรู้ว่าเป็นน้ำใจจากเขา คนพวกนั้นถึงไม่ปฏิเสธ แต่คนที่ใช้ทรัพยากรช่วยก็สั่งในนามของข้าเช่นกัน ว่าให้คนพวกนั้นเก็บเป็นความลับ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าจะแสดงน้ำใจถัดจากนั้นไม่นาน ทำให้คนพวกนั้นพบความผิดปกติและติดต่อมาหาเขาว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่ เกรงว่าจนป่านนี้เขาก็ยังไม่รู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ เนื่องจากเขาไม่สามารถติดต่อกับกำลังพลหนึ่งหมื่นคนนั้นในระยะยาวได้ ส่วนทรัพยากรที่คอยส่งช่วยเหลือให้หลังม่านก็ส่งให้ตามกำหนดเวลาตลอด ไม่เคยขาดเลย

พอได้ยินแบบนี้ หยางชิ่งก็ตกใจมากเช่นกัน ดวงตาฉายแววครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าถามว่า “อีกฝ่ายใช้ทรัพยากรช่วยพวกเขาในนามของนายท่านเหรอ?”

“ใช่แล้ว!” เหมียวอี้พยักหน้า

หยางชิ่งถามอย่างร้อนใจอีกว่า “แล้วนายท่านได้เปิดโปงเรื่องนี้หรือเปล่า สะเทือนไปถึงคนที่อยู่หลังท่านนี้หรือยัง”

เหมียวอี้เห็นเขาทำสีหน้าเหมือนเดาอะไรออกแล้ว ส่ายหน้าตอบว่า “เปล่า! ข้าเองก็อยากจะสืบเหมือนกันว่าใครกันแน่ที่เล่นตุกติกอยู่เบื้องหลัง ข้าก็เลยแอบบอกพวกลูกน้องเก่าให้รับของพวกนั้นต่อไปแบบเนียนๆ อย่าเพิ่งแหวกหญ้าใหงูตื่น เจ้าเดาอะไรได้แล้วใช่มั้ย?”

หยางชิ่งร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดมองไปรอบๆ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใคร ถึงได้ตอบช้าๆ ว่า “ถ้าข้าน้อยเดาไม่ผิด เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่พ้นตระกูลโค่ว”

“ตระกูลโค่ว?” เหมียวอี้ตกใจ แล้วถามว่า “ไม่ใช่ตระกูลเซี่ยโห้วหรอกเหรอ? ตระกูลเซี่ยโห้วเพิ่งจะส่งทรัพยากรก้อนใหญ่ให้ข้าในเวลานั้นพอดี”

หยางชิ่งส่ายหน้า “ตระกูลเซี่ยโห้วให้ทรัพยากรมามากมายขนาดนั้นแล้ว ก็เพื่อให้นายท่านมีทรัพยากรจำนวนมากไปช่วยเหลือกำลังพลเก่า ถ้าเขายังแอบไปช่วยให้ทรัพยากรอีก แบบนี้ไม่เป็นการเผยพิรุธหรอกเหรอ? มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะชนปะทะกัน ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วต้องการจะแอบส่งทรัพยากรให้คนพวกนั้นโดยปิดบังนายท่านจริงๆ ก็คงไม่ให้ทรัพยากรนายท่านมากขนาดนั้นหรอก”

คำพูดนี้มีเหตุผล! เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ แล้วบอกว่า “ว่ากันตามจริงนะ ข้าเองก็สงสัยตระกูลโค่วเหมือนกัน แต่ตระกูลโค่วจำเป็นต้องปิดบังข้าด้วยเหรอว่าทำเรื่องนี้? ในเมื่อข้ายอมยอมศิโรราบแล้ว ถ้าจะให้ทรัพยากรช่วยก็เอ่ยปากตรงๆ ก็ได้ แบบนี้ข้าจะได้จดจำน้ำใจของพวกเขาด้วย ทำไมต้องลักลอบทำแล้วปิดบังข้าแบบนี้?”

หยางชิ่งแววตาวูบไหว “แผนการของตระกูลโค่วยาวไหลมาก ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับความได้เปรียบหรือขาดทุนที่อยู่ตรงหน้า ไม่แปลกใจที่ยืนในราชสำนักได้โดยไม่ล้ม!”

“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้รีบถาม

หยางชิ่งอธิบายอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “ถ้าตระกูลโค่วบอกนายท่านแล้ว นายท่านก็แค่จดจำน้ำใจมากขึ้นเท่านั้นเอง ถ้าแอบส่งทรัพยากรช่วยอย่างลับๆ ตระกูลโค่วก็จะได้กุมทั้งน้ำใจของนายท่านและน้ำใจของคนพวกนั้น! ถ้านายท่านทำงานเพื่อตระกูลโค่วอย่างจงรักภักดีตลอดไป รอให้ถึงตอนที่นายท่านต้องการแรงสนับสนุนจากลูกน้องเก่าพวกนั้น ตระกูลโค่วก็จะบอกนายท่านเอง นายท่านก็ยังจะจดจำน้ำใจของตระกูลโค่วเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเสียหาย แต่ถ้าในภายหลังนายท่านไม่ได้ยืนฝั่งเดียวกับตระกูลโค่ว นายท่านก็จะไม่มีวันรู้เลยว่าตัวเองยังมีแรงสนับสนุนจากลูกน้องเก่าพวกนั้นอยู่ ตระกูลโค่วไม่มีทางให้นายท่านใช้งานกำลังพลพวกนี้ หากเมื่อใดเกิดเหตุไม่คาดคิดกับนายท่าน หากนายท่านตายไปแล้ว คนพวกนั้นที่กองทัพองครักษ์ได้รับทรัพยากรสนับสนุนจากตระกูลโค่วมาหลายปี ก็เท่ากับจุดอ่อนพวกเขาตกอยู่ในมือตระกูลโค่วแล้ว จำเป็นต้องฟังคำสั่งตระกูลโค่วเช่นกัน แผนนี้ของตระกูลโค่วเรียกได้ว่าทำครั้งเดียวได้ประโยชน์หลายอย่าง ต่อให้ถูกตำหนักสวรรค์จับสังเกตได้ว่ามีคนยื่นมือเข้าไปในกองทัพองครักษ์ แต่ก็จะไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าตระกูลโค่วทำ เกรงว่านายท่านคงจะเป็นเพียงแพะรับบาปตัวหนึ่ง ทว่าต่อให้ตระกูลโค่วจะวางแผนคาดการณ์มาดีขนาดไหน แต่ก็คาดไม่ถึงว่านายท่านจะเห็นแก่ไม่ตรีเก่าขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะนำทรัพยากรก้อนใหญ่ขนาดนี้มาแสดงน้ำใจต่อลูกน้องเก่าที่แยกย้ายกันไป ทำให้เรื่องราวชนกันจนเผยพิรุธออกมาแล้ว”

…………………

เขาเองก็ไม่ได้ถือตัวเพราะความอาวุโส ตอนที่โค่วหลิงซวีมาถึงประตูสวนต้องห้าม เขาก็ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง

โค่วหลิงซวีปลอมตัวเข้ามา คลุมหมวกงอบตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ถอดหนังปลอมบนใบหน้าออกแล้ว กุมหมัดคารวะมาตั้งแต่ไกลๆ “ท่านปู่สวรรค์!”

“อ๋องสวรรค์ ขออภัยที่ไม่ได้ไปรับใกล้ๆ!” เซี่ยโห้วท่าต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ถือไม่เท้ากุมหมัดคารวะ แล้วหันตัวยื่นมือเชิญ

ทั้งสองเดินเคียงคู่กันเข้ามาในสวนต้องห้าม ใต้ต้นไม้ที่มีพุ่มเหมือนร่มขนาดใหญ่จัดวางเก้าอี้เอาไว้แล้ว หลังจากหญิงรับใช้นำน้ำชามาวาง เว่ยซูก็โบกมือให้พวกนางออกไป

หลังจากดื่มน้ำชาไปอึกหนึ่งแล้วกล่าวขอบคุณแล้ว โค่วหลิงซวีก็มองไปทางเว่ยซูที่อยู่ข้างๆ แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “พอเห็นเว่ยซู ก็นึกถึงเหล่าเว่ย น่าเสียดายนะ!”

เว่ยซูตอบอย่างเกรงใจว่า “ลิขิตฟ้าก็เป็นเช่นนี้ บนโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ก้าวผ่านระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ ท่านพ่อเองก็นับว่าชีวิตดับสิ้นไปในวัยชรา จากไปพร้อมรอยยิ้ม ไม่นับว่าน่าเสียดายหรอกขอรับ”

เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะว่า “อ๋องสวรรค์ปลงอนิจจังแบบนี้ อย่าบอกนะว่าเตือนตาแก่คนนี้ว่าอยู่ไม่ไกลจากประตูผีแล้ว?”

โค่วหลิงซวีโบกมือ “ท่านปู่สวรรค์ทำไมต้องถ่อมตนขนาดนั้นล่ะ ด้วยกำลังทรัพย์ของตระกูลเซี่ยโห้ว สักวันจะต้องหาพบไม้ไม่ผุที่ช่วยให้ท่านปู่สวรรค์อายุยืนยาวแน่”

เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้าถอนหายใจ “ไม้ไม่ผุ ของสิ่งนั้นน่ะ เป็นสิ่งที่เกินจะไขว่คว้า เน้นอาศัยโชคดี แต่รอมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ตาแก่คนนี้ยังไม่มีวาสนานั้นเลย แต่ข้าก็ปลงแล้วล่ะ อยู่มาหลายปีขนาดนี้ก็นับว่าเพียงพอแล้วเช่นกัน ฝุ่นกลับสู่ฝุ่น ดินกลับสู่ดิน นับว่าเป็นแหล่งที่อยู่สุดท้าย”

มีใครบ้างที่จะไม่อยากเป็นอมตะ? โค่วหลิงซวีรู้สึกขำในใจ แน่นอนว่ารู้ว่าอีกฝ่ายก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านปู่สวรรค์ช่างปลงได้จริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าฝ่าบาทจะปลงได้เหมือนท่านปู่สวรรค์หรือเปล่า”

เว่ยซูที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินแบบนี้แล้วก็เหลือบมองปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วท่าแวบหนึ่ง

เซี่ยโห้วท่าแววตาวูบไหว ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มอย่างสำรวม แล้วด้วยรยยิ้มเรียบๆ ว่า “เดิมทีอาจารย์ของฝ่าบาทก็เป็นยอดฝีมือระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้ว ฝ่าบาทได้รับถ่ายทอดวิชามา การจะก้าวข้ามประตูผีนั้นไปได้ก็ไม่ใช่ปัญหา”

โค่วหลิงซวีส่ายหน้า “เกรงว่าคงไม่แน่หรอก! ทฤษฎีลึกลับของอายุขัย เดิมทีก็ไม่ใช่สิ่งที่ทฤษฎีหลักจะทำความเข้าใจได้อยู่แล้ว นี่เป็นอายุที่ยืนยาวเท่ากับอุฟ้าดิน ตั้งแต่ยุคโบราณจนกระทั่งตอนนี้ ก็ยังไม่เคยเห็นใครที่เป็นอมตะจริงๆ เลย มักจะมีด่านเคราะห์อย่างนั้นอย่างนี้ ต่อให้เป็นพระปีศาจหนานโปแล้วยังไงล่ะ? ตกอยู่ในจุดจบที่อนาถเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าวิญญาณไปอยู่ที่ไหน ต่อให้มีเคล็ดวิชาฝึกตนเหมือนกัน แต่ถ้าอยากข้ามผ่านประตูผีได้ ก็ยังต้องอาศัยปัจจัยที่แตกต่างกันไป อันตรายของด่านนั้น เกรงว่าท่านปู่สวรรค์คงจะรู้ชัดดีกว่าใคร”

เซี่ยโห้วท่าเหมือนจะอมยิ้ม “อ๋องสวรรค์กล่าวอะไรแบบนี้ออกมา ไม่กลัวว่าหน้าต่างจะมีหู ประตูจะมีช่องเหรอ?”

โค่วหลิงซวีโบกมือชี้ไปรอบๆ แล้วหัวเราะเสียงดัง “เกรงว่าในใต้หล้านี้คงไม่มีใครสอดแนมเข้ามาในสวนต้องห้ามของท่านปู่สวรรค์ได้หรอก คุยเรื่องส่วนตัวกันบ้างก็ไม่มีอะไรน่ากลัว อย่างไรเสียยามอยู่ต่อหน้าท่านปู่สวรรค์ ข้าก็พูดออกมาจากก้นบึ้งหัวใจจริงๆ เรื่องบางเรื่องท่านปู่สวรรค์คงจะเตรียมตัวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว”

“อ้อ!” เซี่ยโห้วท่ายิ้มบางๆ “ไม่ทราบว่าอ๋องสวรรค์หมายถึงการเตรียมตัวด้านไหน?”

โค่วหลิงซวีเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย “เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ข้ารู้สึกว่าฝ่าบาทควรจะมีทายาท ฝ่าบาทจะบรรลุถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้หรือเปล่าก็ยังพูดได้ไม่ชัดเจน ความเป็นความตายหน้าด่านประตูผีเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก ถ้าไม่เตรียมตัวเรื่องผู้สืบทอดเอาไว้ เมื่อใดที่เรื่องจวนตัวแล้ว จะไม่ลุกลนจนทำอะไรไม่ถูกหรอกเหรอ ดีไม่ดีใต้หล้าอาจจะวุ่นวายก็ได้ ต่อให้พิจารณาเพื่อใต้หล้า แต่เรื่องทายาทก็ควรเริ่มลงมือฝึกเลี้ยงได้แล้ว ราชินีสวรรค์คือมารดาแห่งใต้หล้า ปรนนิบัติฝ่าบาทมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ควรจะถือโอกาสตอนที่ยังเป็นหนุ่มสาวรีบให้กำเนิดโอรสสวรรค์เพื่อฝ่าบาทสิถึงจะถูก อย่าบอกนะว่าจะถ่วงเวลาไปจนแก่ชรา?”

ถึงแม้เซี่ยโห้วท่าจะเงียบสงบ พอได้ยินแล้วก็ใจเต้นตึกตักเช่นกัน หากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ให้เกิดเนิดโอรสแก่ประมุขชิงเมื่อไร ฐานะของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็จะมั่นคงไม่สั่นคลอนแน่นอน หากในอนาคตประมุขชิงผ่านด่านระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้จริงๆ และโอรสของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ขึ้นตำแหน่งราชันแทน ถึงตอนนั้นต่อให้เซี่ยโห้วท่าจะไม่อยู่แล้ว แต่ก็นับเป็นหลักประกันที่ใหญ่มากให้ตระกูลเซี่ยโห้วได้เช่นเดียวกัน

ใช่ว่าเขาจะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ แต่จนใจที่ตระกูลเซี่ยโห้วถูกประมุขชิงข่มไว้ มีอำนาจน้อยในราชสำนัก ไม่มีอำนาจจะพูดอะไร คนที่สามารถกระโดดออกไปพูดอะไรได้มีไม่กี่คน แต่ตระกูลโค่วนั้นไม่เหมือนกัน มีอำนาจในการพูดในราชสำนักเยอะมาก ขอเพียงโค่วหลิงซวีเต็มใจ ก็สามารถยุยงให้คนกลุ่มใหญ่กดดันประมุขชิงได้

แต่ภายนอกเขาก็ยังนิ่งสงบ กล่าวถามเสียงเรียบว่า “เกรงว่าฝ่าบาทจะไม่ได้คิดเช่นนี้ เหมือนฝ่าบาทจะโปรดปรานสนมสวรรค์มาก!”

โค่วหลิงซวีกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “โอรสสวรรค์ไม่เหมือนเด็กทั่วไป ต้องทำให้ถูกหลักธรรมนองคลองธรรมเป็นธรรมดา ฮูหยินเอกย่อมต้องให้กำเนิดทายาท หน้าที่นี้ราชินีสวรรค์ไม่อาจปฏิเสธได้! ไม่ว่าจะยังไง ข้าก็ต้องผลักดันเรื่องนี้อย่างสุดกำลัง พยายามกระตุ้นให้ขุนนางในราชสำนักเสนอความคิดนี้ หากวันนี้ฝ่าบาทยังไม่ยอมตอบตกลง ข้าก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ยอมแพ้ ไม่ทราบว่าท่านปู่สวรรค์คิดว่าอย่างไร?”

ในใต้หล้าไม่มีผลประโยชน์ใดได้มาเปล่าๆ โดยเฉพาะกับเรื่องแบบนี้ เซี่ยโห้วท่ายอมเข้าใจจุดนี้ชัดเจน อีกฝ่ายถามถึงความเห็นของเขา ก็แสดงว่าต้องการสิ่งตอบแทน ถ้าไม่ได้สิ่งตอบแทน อีกฝ่ายคงไม่พยายามอย่างเต็มที่หรอก ถึงขนาดวางเรื่องอื่นไว้ก่อนเพื่อมาจัดการเรื่องนี้เลย เขาถึงได้ยิ้มบางๆ พร้อมถามว่า “อ๋องสวรรค์มาเพราะเรื่องหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”

เข้าใจก็ดีแล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำลายต่อไป! โค่วหลิงซวีก็ไม่เกรงใจเช่นกัน “ถ้าท่านปู่สวรรค์สามารถยื่นมือช่วยเรื่องนี้ได้ นั่นก็ย่อมดีอยู่แล้ว”

เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าเองก็ไม่ใช่คนโง่ มีคนอยากเห็นพวกเราสองฝ่ายต่อสู้กันไง! มีหรือที่ข้าจะยอมให้คนที่มีเจตนาแบบนั้นสมหวัง? อย่างอื่นข้าก็รับประกันไม่ได้ แต่ถ้าอยู่ที่ตลาดผี ตระกูลเซี่ยโห้วสามารถรับประกันความปลอดภัยให้หนิวโหย่วเต๋อได้”

“เฮ้อ! หนิวโหย่วเต๋อได้รับคำพูดแบบนี้จากท่านปู่สวรรค์ ก็นับเป็นวาสนาของเขาแล้ว เพียงแต่ว่า…” โค่วหลิงซวีลังเลนิดหน่อย ก่อนจะบอกว่า “ถ้าจะให้หนิวโหย่วเต๋อรบกวนท่านปู่สวรรค์ที่ตลาดผีตลอด เกรงว่าคงไม่ใช่แผนการที่ดีในระยะยาว ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของเจ้าเด็กนั่น คาดว่าท่านปู่สวรรค์ก็คงได้ยินมาบ้างแล้ว ข้ากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาจริงๆ อย่างไรเสียคนที่เจตนาไม่ดีก็มีเยอะเกินไป! แต่เจ้าเด็กนั่นก็พอมีความสามารถอยู่บ้าง ถ้ามีโอกาสหเขาสร้างผลงานสักนิดสักหน่อยก็จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด ถ้าสร้างผลงานแล้วได้ออกจากตลาดผีไวๆ จะไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนชื่นชอบหรอกเหรอ”

เว่ยซูที่อยู่ข้างๆ แอบส่ายหน้า นี่ไม่ใช่แค่ต้องการให้ตระกูลเซี่ยโห้วรับรองความปลอดภัยให้หนิวโหย่วเต๋อเมื่ออยู่ที่ตลาดผี ทั้งยังต้องการให้ตระกูลเซี่ยโห้วช่วยหนิวโหย่วเต๋อสร้างผลงานด้วย ตระกูลโค่วออกแรงสนับสนุนหนิวโหย่วเต๋อไม่น้อยเลย

เซี่ยโห้วท่าตอบกลั้วหัวเราะว่า “ตัวเขายังไม่ได้ไปเลย ว่าพูดเรื่องนี้ในเวลานี้ไม่เร็วไปหน่อยเหรอ ถึงตอนนั้นค่อยดูสถานการณ์แล้วตัดสินใจก็ยังไม่สาย”

โค่วหลิงซวีเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย เป็นเพราะยังไม่เห็นกระต่ายจึงยังไม่ล่อยเหยี่ยว ต้องดูความจริงใจของเขาในการประชุมราชสำนักก่อน จึงพยักหน้ากล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ที่ท่านปู่สวรรค์พูดมาก็มีเหตุผล”

การแลกเปลี่ยนข้อตกลงหลังม่านนับว่าเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งสองล้วนไม่ใช่คนที่พูดอะไรเหลวไหล จึงวางเรื่องนี้ไว้แล้วดื่มร่วมกัน เริ่มคุยเล่นกันเรื่อยเปื่อย

หลังจากคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปสักพัก โค่วหลิงซวีก้ขอตัวลา ขอร้องให้เซี่ยโห้วท่าอยู่ตรงนี้ ไม่กล้ารบกวนให้ไปส่ง

หลังจากเว่ยซูส่งโค่วหลิงซวีกลับไปแล้ว เห็นเซี่ยโห้วท่าดื่มน้ำชาอย่างเนิบนาบโดยไม่พูดอะไร เขาก็เดินมาข้างๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “โค่วหลิงซวีใช้ความพยายามเพื่อลูกเขยจอมเอาเปรียบคนนี้จริงๆ ถ้าหากรู้ว่าเบื้องหลังหนิวโหย่วเต๋อมีหกลัทธิ เกรงว่าคงจะร้องไห้ไม่ทันแล้ว”

เซี่ยโห้วท่าแสยะยิ้ม “ต่อให้เขาไม่มาหาข้า ข้าก็ไม่คิดจะนั่งดูหนิวโหย่วเต๋อเป็นอะไรไปที่ตลาดผีหรอก ในเมื่อเป็นฝ่ายเอาผลประโยชน์มาให้ข้าก่อนแล้ว ข้าจะถือโอกาสส่งมอบน้ำใจให้เขาก็ได้ อย่างไรเสีย การดึงตระกูลโค่วเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องหกลัทธิก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ยิ่งตกหลุมพรางลึกเท่าไรก็ยิ่งดี ถึงตอนนั้นก็จะมีกำลังต่อต้านประมุขชิงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว อย่างไรเสียในมือโค่วหลิงซวีก็กุมอำนาจทางทหารของใต้หล้าเอาไว้สองส่วน สำหรับตระกูลเซี่ยโห้วของพวกเรา ไม่อาจเอาไข่ไก่ไปไว้ในตะกร้าใบเดียวกันได้ แบบนั้นเสี่ยงเกินไป ถ้าประมุขชิงกล้าไร้ความจริงใจ ก็อย่าหาว่าข้าไร้คุณธรรม ตระกูลเซี่ยโห้วสามารถผลักดันให้คนเป็นใหญ่มาหลายคนแล้ว ไม่ถือสาที่จะผลักดันเพิ่มอีกสักคน!” ใบหน้าชราพลันหรี่ตาขณะที่พูดประโยคนี้

คำพูดนี้เว่ยซูได้ยินแล้วแอบหนาวในใจ เขามองเห็นความดุร้ายในร่องตาของเซี่ยโห้วท่า ไม่ได้เห็นแบบนี้มาหลายปีแล้ว

ครบกำหนดการลงโทษหนึ่งร้อยปี ตรงประตูใหญ่เรือนพักของอ๋องสวรรค์โค่วในอุทยานหลวง เหมียวอี้ที่ได้รับแผ่นหยกแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางใหม่กำลังยืนอยู่หน้าประตูและทอดสายมองแนวภูเขา ครั้งนี้นับว่าจะได้ออกจากกองทัพองครักษ์อย่างเป็นทางการแล้ว ค่อนข้างรู้สึกทอดถอนใจ

อวิ๋นจือชิวกับเฟยหงและคนอื่นๆ ที่เก็บของแล้วกำลังยืนรออยู่ข้างหลังเขาโดยไม่ได้รบกวน พวกมู่อวี่เหลียนที่มาส่งก็รออยู่เงียบๆ เช่นกัน

“ในภายหลังก็ยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสมาที่นี่อีกหรือเปล่า เหอะๆ ไม่พูดอะไรแล้ว ขอตัวก่อน” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะต่อกลุ่มคนที่มาส่ง พวกเวินเจ๋อไม่ได้มาส่ง อีกฝ่ายพูดผ่านระฆังดาราเอาไว้ชัดเจนแล้ว ว่านับแต่นี้ไปเขาไม่ใช่คนของกองทัพองครักษ์อีก ไม่สะดวกจะไปมาหาสู่กันอย่างเปิดเผย พวกเขาต้องหลีกเลี่ยงการตกเป็นที่ต้องสงสัย

มู่อวี่เหลียนใช้สองมือส่งสัญญาณมือ แล้วถอยหลังไปกุมหมัดคาระพร้มกับคนที่อยู่ข้างหลัง “นายท่านโปรดรักษาตัวด้วย!”

เหมียวอี้พยักหน้าให้คนของตระกูลโค่วที่มารับและนำทาง แล้วคนกลุ่มนี้ก็เหาะจากไป ไม่หันหน้ากลับมาอีก

จ้านหรูอี้ที่กำลังถือตะกร้าเก็บผักอยู่ในผืนนาหลวงเงยหน้าขึ้น มองดูคนกลุ่มนี้หายไปในท้องฟ้าอย่างเงียบๆ ในดวงตาฉายแววเศร้าสลดเล็กน้อย

เมื่อมาถึงดาวหยกงาม เหมียวอี้ที่ได้มาจวนอ๋องสวรรค์โค่วเป็นครั้งแรกก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากคนตระกูลโค่ว มีเสียงเรียกน้องเขย อาเขยไม่หยุด

โค่วเหวินหลานก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน พอได้ยินเจ้าหมอนี่เรียกตนว่าอาเขยอย่างอ่อนปวกเปียก เหมียวอี้ก็กลั้นขำนิดหน่อย โชคดีที่อ๋องสวรรค์โค่วเรียกพบ กลุ่มคนที่อยู่ตรงประตูจึงไม่ได้เกาะแกะมากนัก ได้แต่ไปเกาะแกะคุยเล่นอยู่กับอวิ๋นจือชิว

เฟยหงที่อยู่ข้างๆ ไม่มีใครมาสนใจ เห็นได้ชัดว่าคนของตระกูลโค่วไม่ค่อยโปรดปรานนาง

เรื่องบางเรื่องก็พอจะเข้าใจได้เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าคนของตระกูลโค่วยืนอยู่ฝ่ายอวิ๋นจือชิว กอปรกับพื้นเพอาชีพเต้นกินรำกินของเฟยหง ช่างขัดตาคนของตระกูลโค่วจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเกี่ยวข้องกับเหมียวอี้ เกรงว่านางคงไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าประตูตระกูลโค่วด้วยซ้ำ

เหมียวอี้เข้ามาในลานบ้านด้านในของตระกูลโค่ว แล้วถูกนำตัวเข้าไปในหอสามรากฐานโดยตรง ตอนนี้เขายังไม่รู้ถึงความหมายของหอสามรากฐาน คนในตระกูลโค่วไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้ามาได้

โค่วหลิงซวีเรียกพบเขา ก็แสดงว่ามีเรื่องจะบอก การช่วยกำจัดอุปสรรคขวางทางให้เหมียวอี้ก็ย่อมต้องพูดให้ชัดเจนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกันก็กำชับเรื่องที่ต้องระวังเอาไว้ด้วย

หลังจากจบเรื่องแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่ได้รีบจากไป มาที่จวนตระกูลโค่วเป็นครั้งแรก หากเข้าประตูมาแล้วออกไปเลยก็คงไม่ใช่เรื่องดี ต้องอยู่ที่นี่สักหนึ่งเดือนแล้วค่อยออกเดินทาง

ต่อไปยังต้องคลุกคลีกับคนของตระกูลโค่วอีกอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ผู้หลักผู้ใหญ่เยอะไปหน่อย ทำให้เหมียวอี้ปวดหัว อนุภรรยาของโค่วหลิงซวีมีเยอะมากจริงๆ

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ตอนที่เหมียวอี้ออกจากจวนอ๋องสวรรค์ ก็เห็นพวกเหยียนซิว หยางชิ่ง หยางเจาชิง สวีถังหรานกับไห่ผิงซินอยู่ในสวนนอกจวนแล้ว

เป็นอย่างที่จ้านหรูอี้คาดไว้ ถ้าต้องการคนไม่กี่คนก็ไม่จำเป็นต้องให้นางออกหน้า พออ๋องสวรรค์โค่วเอ่ยปากก็สามารถดึงคนพวกนี้มาจากกองทัพองครักษ์ได้แล้ว ทางวังสวรรค์กลั่นแกล้งเหมียวอี้เรื่องนี้ไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลั่นแกล้งพวกเหยียนซิวอีก เตะคนพวกนี้ออกจากกองทัพองครักษ์อย่างใจกว้าง

ในสวน เหมียวอี้เอามือไขว้หลังมองรอบวง แล้วกล่าวอย่างใจเย็นว่า “พวกเจ้าคงรู้แล้วว่าข้าจะไปต้องไปที่ไหน ข้าอยากจะบอกอะไรบางอย่างเอาไว้ตรงนี้ ถ้าเต็มใจจะไปกับข้าก็ไปกับข้าได้ แต่ถ้าไม่เต็มใจข้าก็ไม่บังคับ ข้าจะหาตำแหน่งที่ทัพเหนือให้พวกเจ้า พวกเจ้าคิดให้ดีแล้วค่อยตอบข้าก็ได้”

สวีถังหรานเป็นคนแรกที่กุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยยินดีติดตามนายท่าน!”

เหมียวอี้เพิ่งจะพยักหน้ายิ้ม แต่ใครจะคิดว่าไห่ผิงซินจะโพล่งออกมาว่า “ข้าไม่อยากไป ได้ยินว่าที่ตลาดผีมองไม่เห็นแสงอาทิตย์เลยทั้งปี อยู่ในความมืดมิดตลอดไป คิดดูแล้วน่าเบื่อ นายท่านช่วยหาตำแหน่งที่ทัพเหนือให้ข้าอีกว่า”

เหมียวอี้มือชี้นาง “เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก ต่อให้ไม่อยากไปก็ต้องไป!”

…………………………

มีบางคนอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ การได้ปีนป่ายขึ้นไปหากิ่งไม้สูงอย่างตระกูลโค่วนั้นอย่างดีจริงๆ ทหารสวรรค์เกราะดำหนึ่งแถบได้นั่งตำแหน่งแม่ทัพภาค ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์!

เหมียวอี้ที่ค่อยๆ เรียกสติกลัยว่าคิดในใจว่านี่คือสิ่งที่ตระกูลโค่วช่วยเตรียมให้ เขาพึมพำในใจว่า เรื่องแบบนี้ทำไมตระกูลโค่วไม่บอกเขาก่อนสักคำ?

“ทำไมไม่น้อมรับคำสั่ง?” เวินเจ๋อตะคอก

“น้อมรับคำสั่ง!” เหมียวอี้รีบน้อมรับคำสั่ง แล้วก้าวขึ้นมารับคำสั่งจากมือของอีกฝ่าย

“เฮ้อ!” เวินเจ๋อที่ทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้วทำสีหน้าผ่อนคลาย เขาตบบ่าเหมียวอี้ ทำท่าทางเหมือนบอกว่าการช่วยเหลือตัวเองนั้นทำให้มีความสุขที่สุดแล้ว เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า “น้องชาย ดูแลตัวเองดีๆ แล้วกัน ต่อไปนี้เลิกก่อความขัดแย้งได้แล้ว” พูดจบก็นำคนออกไปแล้ว

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ทำไมฟังจากความหมายที่อีกฝ่ายพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลยล่ะ

สำหรับเขาแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกว่าการไปเป็นแม่ทัพภาพที่ตลาดผีมีอะไรไม่เหมาะสม ตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผีก็คือการใช้ชีวิตไปวันๆ กอปรกับอยู่ห่างไกลจากราชันสวรรค์ ไม่มีใครมาควบคุม อิสระเสรีมาก ทั้งยังได้นอนกินค่าจ้างเฉยๆ ถ้าเล่นไม่ไหวจริงๆ อย่างมากก็แค่หลบฝึกตนอยู่ในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีก็พอแล้ว แล้วอีกอย่าง การที่ตระกูลโค่วดำเนินการให้แบบนี้ ก็ไม่ถึงขั้นทำร้ายตนหรอกมั้ง?

“ยินดีด้วยที่นายท่านได้กลับคืนสู่ตำแหน่งแม่ทัพภาค”

กลุ่มกำลังพลกองมังกรดำที่ไม่รู้สถานการณ์ของเบื้องบนทยอยกันก้าวขึ้นมาแสดงความยินดี เหมียวอี้ก็ทำได้เพียงกล่าวขอบคุณตามมารยาท

จนกระทั่งเขากลับมาที่เรือนพักของตระกูลโค่ว พอใช้ระฆังดาราติดต่อไปหาตระกูลโค่วแล้ว ถึงได้พบว่าแม้แต่ตระกูลโค่วก็ไม่รู้สถานการณ์ เรื่องนี้ไม่ใช่ผลงานของตระกูลโค่วเลย ตอนนี้เขาเพิ่งจะตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ เกรงว่าเรื่องราวคงจะไม่ได้งดงามเหมือนที่ตนคิดไว้

ในจวนอ๋องสวรรค์โค่ว หอสามรากฐาน หลังจากโค่วหลิงซวีที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะยาวได้รับข่าว สีหน้าก็ย่ำแย่มาก

ถึงแม้จะตระหนักได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าประมุขชิงไม่เต็มใจจะปล่อยคน เอาแต่ชักช้าถ่วงเวลาอยู่อย่างนั้น แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะถูกประมุขชิงวางแผนได้โหดขนาดนี้ ตลาดผีงั้นเหรอ ประมุขชิงช่างคิดได้เนอะ

“เขาอยากจะให้ตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วสู้กัน สิ่งที่เขาอยากเห็นคือให้เจ็บตัวเสียหายกันทั้งสองฝ่าย!” โค่วหลิงซวีกล่าวอย่างหน้าดำคร่ำเครียด

ผู้เฒ่าถังถอนหายใจแล้วบอกว่า “แผนนี้ของประมุขชิงช่างร้ายกาจจริงๆ ท่านอ๋อง การที่ตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วสู้กันไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดนัก ที่ตลาดผี ตระกูลโค่วไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลเซี่ยโห้ว ฆ่าศัตรูตายแปดร้อย แต่ตัวเองก็บาดเจ็บไปแล้วสามพัน ไม่คุ้มค่า ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ทำได้เพียงปล่อยหนิวโหย่วเต๋อแล้ว”

โค่วหลิงซวีมองมาด้วยสายตาดุร้าย “ใช้ความพยายามไปมากขนาดนี้ ทำให้ใต้หล้ารู้กันทั่วกว่าจะได้ตัวมาไว้ในมือ พอโดนกดดันครั้งเดียวก็จะปล่อยแล้ว ถ้าแม้แต่คนคนเดียวข้าก็รักษาไว้ไม่ได้ แล้วจะคุมฝูงชนได้ยังไง จะให้คนในใต้หล้ามองข้ายังไง?”

ผู้เฒ่าถังขมวดคิ้ว นี่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากจริงๆ ถ้าไม่สามารถรักษาหนิวโหย่วเต๋อเอาไว้ได้ ครั้งนี้ชื่อเสียงบารมีของนายท่านก็จะเสียหายหนักมาก

ไฟพิโรธของท่านพ่อเดือดดาลทะลุฟ้า สามพี่น้องที่ยืนอยู่ข้างล่างไม่กล้าพูดอะไร หลังจากยืนเงียบอยู่ในโถงพักหนึ่ง โค่วเจิงก็ลองกล่าวว่า “ท่านพ่อ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ไม่สู้ให้ทางหนิวโหย่วเต๋อซ่อนตัวในที่ปลอดภัยก่อนชั่วคราว ถ้าตัวเขาไม่ออกจากแม่ทัพภาค คนข้างนอกก็โจมตีเข้าไปสังหารเขาไม่ได้อยู่แล้ว”

ผู้เฒ่าถังส่ายหน้า “คุณชายใหญ่ เช่นนั้นการที่พวกเราดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อมาได้ยังจะมีความหมายอะไรอีก? เจตนาของประมุขชิงชัดเจนมาก เห็นแก่หน้าท่านอ๋อง พวกเขาไม่สามารถทำอะไรหนิวโหย่วเต๋อตรงๆ ได้ แต่การเอาหนิวโหย่วเต๋อไปทิ้งที่ตลาดผี ก็เพราะอยากจะให้ตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วสู้กัน ถ้าหากไม่สู้กัน ก็สามารถบีบให้หนิวโหย่วเต๋อตายอยู่ที่ตลาดผีได้ อยู่ที่ตลาดผีหนิวโหย่วเต๋อไม่มีอะไรให้สร้างความดีความชอบ ถ้าไม่มีผลงานอะไรก็ไม่มีทางได้เลื่อนตำแหน่ง แบบนี้ก็จะมีข้ออ้างในการลงโทษต่อไปเรื่อยๆ สามารถกดให้เขาอยู่ที่ตลาดผีแบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันได้ตลอดไป เช่นนั้นหนิวโหย่วเต๋อก็จะหมดความหมายสำหรับตระกูลโค่วแล้ว ลูกศิษย์อสุราอัคนีอะไรนั่น ขุนผลมากฝีมืออะไรนั่นก็จะกลายเป็นความว่างเปล่า กลายเป็นซี่โครงไก่ กินแล้วไร้รสชาติ จะทิ้งก็เสียดาย ทั้งยังต้องจ่ายทรัพยากรของตระกูลโค่วเพื่อปกป้องอีก ได้ไม่คุ้มเสีย!”

โค่วเจิงเงียบงัน เขาฟังเข้าใจความหมายที่ผู้เฒ่าถังสื่อแล้ว เจ้าตัวกำลังโน้มน้าวให้ท่านพ่อปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อไปตายตามยถากรรมที่ตลาดผี ไม่ต้องใช้กำลังปะทะเพื่อศักดิ์ศรีหน้าตา

แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าหนิวโหย่วเต๋อตายที่ตลาดผี ก็อย่าว่าแต่ท่านพ่อเลย แม่แต่เขาเองก็รู้สึกว่าต่อไปนี้จะไม่มีหน้าไปเจอใครอีก อุตส่าห์แย่งตัวมาจากอ๋องสวรรค์คนอื่นได้ เพิ่งดีใจได้ไม่นานเท่าไรเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว น่าหัวเราะเยาะของจริง!

จู่ๆ โค่วฉินก็พึมพำว่า “หนิวโหย่วเต๋อนี่ก็จริงๆ เลย มั่นใจในตัวเองมากไปหน่อย ขนาดโดนทำโทษแล้วยังกำเริบเสิบสาน ไม่รู้จักยืนเฝ้ายามอย่างซื่อสัตย์ ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ปล่อยให้จุดอ่อนใหญ่ขนาดนี้ตกอยู่ในมือประมุขชิงแล้ว”

คนที่เหลือชำเลืองมองมา ไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้น แต่ตอนนี้ไม่ว่าใครก็รู้ชัดอยู่แก่ใจทั้งนั้น ว่าจุดประสงค์ที่ประมุขชิงทำโทษให้หนิวโหย่วเต๋อยืนยามอยู่ที่อุทยานสวรรค์หนึ่งร้อยปี ก็เพื่อจะฉวยโอกาสพื้นฝอยหาตะเข็บ ถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ประมุขชิงก็จะหาข้ออ้างอื่นอยู่ดี คนอยู่ในมือประมุขชิงแล้ว ประมุขชิงมีเวลามากพอที่จะครุ่นคิดหาวิธีการ

ปั้ง! โค่วหลิงซวีที่เงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็ตบโต๊ะยืนขึ้น “ประมุขชิงรังแกกันเกินไปแล้ว ข้าจะต้องไปขอคำอธิบายจากเขา!”

ตรงนี้เพิ่งจะเดินอ้อมโต๊ะออกมา แต่ผู้เฒ่าถังก็ยื่นมือขวางไว้แล้ว “ท่านอ๋อง! มีคำสั่งลงมาแล้ว เกรงว่าน้ำที่สาดออกไปแล้วจะเอาคืนยาก พอมาดูตอนนี้ สิ่งที่เรียกว่าลงโทษหนึ่งร้อยปีนั้นถูกวางแผนไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว คิดแผนส่งไปตลาดผีได้ตั้งแต่ต้น หนิวโหย่วเต๋อทิ้งจุดอ่อนใหญ่ขนาดนี้ไว้ ถ้าไม่พูดออกมาก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าพูดออกมาแล้ว เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อก่อนี้ ไม่ว่าจะไปแก้ตัวตรงไหนก็ฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น ถ้าจะลงโทษต่อไปอีก ใครก็ว่าอะไรไม่ได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ประมุขชิงคาดการณ์ได้แม่นยำแล้วว่าการทำแบบนี้จะมีท่านอ๋องคนเดียวที่คัดค้าน ตระกูลอื่นจะต้องนิ่งดูดายแน่นอน ไม่มีทางร่วมมือกับท่านอ๋องเพื่อคัดค้าน ไม่แน่ว่าอาจจะซ้ำเติมก็ได้ ท่านอ๋อง ถ้าขาดอำนาจของตระกูลอื่นสนับสนุน ก็ตบมือข้างเดียวไม่ดัง! ที่สำคัญคือฝั่งประมุขชิงมีเหตุผลที่ฟังขึ้น ถ้าจะลงโทษต่อไปก็ไม่มีอะไรผิด!”

โค่วหลิงซวีกล่าวเสียงต่ำว่า “อย่าบอกนะว่าจะให้ข้านั่งดูเฉยๆ? ถ้าไม่ไปหาเขา เช่นนั้นก็ไม่หลงเหลือความเป็นไปได้อะไรแล้ว ถ้าไปหาเขาอาจจะยังมีโอกาสก็ได้”

ผู้เฒ่าถังแอบถอนหายใจ แล้วหลีกทางให้เขา

วังสวรรค์ อุทยานสายัณห์

“การผลัดเวรหนึ่งหมื่นสองพันกว่าครั้ง เขาไปยืนยามเพียงสามร้อยกว่าครั้ง เป็นเพียงจำนวนเศษเท่านั้น มันใช่เรื่องเหรอ? ช่างทำให้คนยกนิ้วจริงๆ! ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าขุนนางโค่ว ข้าคงแค้นจนอยากจะตัดหัวเขาแล้ว! ถ้าทุกคนของตำหนักสวรรค์เอาเยี่ยงอย่างเขาหมดล่ะ กฎสวรรค์จะยังมีอยู่หรือ กฎระเบียบไปอยู่ไหนแล้ว? อย่าบอกนะว่าขุนนางโค่วยังคิดจะมาขอร้องให้เขาอีก?” ประมุขชิงแทบจะคำรามใส่โค่วหลิงซวีที่มาขอคำอธิบาย จงใจอารมณ์เสียใส่

โค่วหลิงซวีบอกว่า “ข้าน้อยไม่ได้มาเพื่อขอร้องให้เขา มีความผิดก็ย่อมต้องลงโทษ! ข้าน้อยเพียงคิดว่าเขาไม่เหมาะจะไปที่ตลาดผี ฝ่าบาทได้โปรดไว้หน้าข้าน้อย ให้ข้าน้อยนำเขาไปลงโทษที่ทัพเหนือ!”

ประมุขชิงจึงตอบว่า “ขุนนางโค่ว ข้าไว้หน้าเจ้าแล้วนะ ถ้าไม่ใช่เพราะไว้หน้าเจ้า ด้วยยศของเขาในตอนนี้ จะไปรับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ตลาดผีได้เหรอ?”

“ฝ่าบาท…” โค่วหลิงซวีกำลังจะพูด

“พอแล้ว!” ประมุขชิงพูดตัดบทเสียเลย “ข้าเข้าใจความคิดของเจ้า แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจความลำบากของข้าด้วย ทุกคนที่มีตาก็เห็นกันทั้งนั้น การผลัดเวรหนึ่งหมื่นสองพันกว่าครั้ง เขาไปยืนยามเพียงสามร้อยกว่าครั้ง ไม่ว่าจะแก้ตัวตรงไหนก็ฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น ถ้าอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ แล้วข้ายังจะให้ขุนนางโค่วพาเขาไปทัพเหนืออีก ทุกคนจะคิดยังไงล่ะ? พอมีคนนำให้ทำแบบนี้แล้ว ถ้าในภายหลังทุกคนเอาเยี่ยงอย่าง แล้วข้าจะเอาความมั่นใจจากไหนไปคุมกฎสวรรค์ล่ะ? ขุนนางโค่ว ไปที่ตลาดผีก็ไม่เป็นไรหรอก ยังมีโอกาสสร้างผลงาน รอให้เขาสร้างผลงานแล้ว ค่อยย้ายเขาไปที่ทัพเหนืออย่างสมเหตุสมผลก็ยังไม่สาย ทำไมต้องรีบร้อนทำตอนนี้ด้วยล่ะ? ตกลงตามนี้แล้วกัน!”

เหลวไหล! ถ้าจะสร้างผลงานที่ตลาดผี ก็หมายความว่าต้องปะทะกับตระกูลเซี่ยโห้วน่ะสิ เกรงว่ายังไม่ทันจะได้สร้างผลงาน ชีวิตก็คงไม่เหลือแล้ว! โค่วหลิงซวีด่าในใจ แต่ประมุขชิงไม่ยอมปล่อยคนโดยอ้างข้อหาโดดเข้าเวรหมื่นกว่าครั้ง นี่ไม่ใช่การโดนเวรแค่ครั้งสองครั้ง แต่เป็นหมื่นกว่าครั้ง แต่ยินแล้วยังตกใจ ทำให้เจ้าโวยวายไม่ออกเลย!

พยายามสุดความสามารถแล้ว รู้ว่าเถียงต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เรื่องนี้กำหนดไว้แน่นอนแล้ว โค่วหลิงซวีทำได้เพียงขอตัวออกไป

ขณะมองคล้อยหลังเขาเดินออกไป ประมุขชิงก็เรียกลูกน้อง ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ เดินเข้ามาใกล้ “ฝ่าบาท!”

ประมุขชิงบอกว่า “ถ้าอยากจะให้เขากล้ำกลืนความโกรธ เกรงว่าจะไม่ง่าย! โพ่จวินเองก็ไม่พอใจที่ส่งหนิวโหย่วเต๋อไปตลาดผี โพ่จวินยังหวังให้หนิวโหย่วเต๋ออยู่ทำงานต่อที่กองทัพองครักษ์ เจ้าดูซิว่ายังพอมีวิธีไหนอีกบ้าง?”

ซ่างกวนชิงฟังเข้าใจแล้ว ประมุขชิงเองก็ไม่อยากปล่อยลูกศิษย์อสุราอัคนีไปง่ายๆ เช่นกัน ถึงอย่างไรก็เลี้ยงมาหลายปีแล้ว โดนคนฉกฉวยดอกผลจะต้องไม่พอใจแน่นอน เขาตอบอย่างลังเลว่า “นอกเสียจากจะตัดขาดการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างหนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลโค่ว ข้าน้อยส่งคนไปกำจัดอวิ๋นจือชิวนั่นดีไหม?”

“ไม่เหมาะสม!” ประมุขชิงโบกมือ “ถ้าใช้วิธีการแข็งกร้าวแบบนี้ ผลกระทบจะเลวร้ายมาก ต่อให้ข้าไม่ได้ทำ โค่วหลิงซวีก็ต้องสงสัยว่าข้าทำอยู่ดี หากจะทำจริงๆ คงไม่รอถึงตอนนี้ กฎก็ยังต้องเป็นกฎ จะทำลายไม่ได้ แล้วอีกอย่าง ถ้าหนิวโหย่วเต๋อสงสัยว่าข้าสังหารเมียเขา เขาจะยังทำงานรับใช้ข้าอีกเหรอ? ข้าว่านะซ่างกวน ทำไมยิ่งนับวันเจ้าจะยิ่งเหมือนเกาก้วนเข้าไปเรื่อยๆ ทำไมเอะอะก็อยากจะฆ่าคน คิดวิธีการที่เหมาะสมกว่านี้ไม่ได้แล้วเหรอ?”

ซ่างกวนชิงลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ทำสายตาล่อกแล่ก คิดแผนการได้แล้ว บอกว่า “งั้นก็ทำให้หนิวโหย่วเต๋อเป็นฝ่ายหย่ากับฮูหยิน!”

“เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อผู้หญิงคนนี้ มีหรือที่จะเป็นฝ่ายขอหย่าก่อน?” ประมุขชิงเลิกคิ้วถาม

ซ่างกวนชิงกล่าวเสียงต่ำว่า “โจรราคะเจียงอีอีสร้างผลงานหลายครั้ง ชำนาญการทำเรื่องนี้ที่สุด ทำให้ขุนนางที่ไม่เชื่อฟังต้องขมขื่นมานักต่อนักแล้ว คดีน่านฟ้าระกาติง หนิวโหย่วเต๋อก็เอาเจียงอีอีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ถ้าเจียงอีอีจะล้างแค้นก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล กอปรกับตัวตนของเจียงอีอี ไม่มีใครสงสัยว่าเขาคือคนของตำหนักสวรรค์”

ประมุขชิงหันหน้าช้าๆ กลับมามองเขาแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เอาสองมือไขว้หลัง เดินออกไปเงียบๆ…

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ฮ่าวเต๋อฟางที่กำลังเล่นหมากล้อมกับซูอวิ้นอยู่ในศาลาแสยะยิ้ม “ตลาดผี! เกรงว่าคงทำให้โค่วหลิงซวีปวดหัวแล้ว”

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ก่วงลิงกงที่ยืนพิงระเบียงตึกพ่นเสียงทางจมูก แล้วถามว่า “ตอนนี้โค่วหลิงซวียังยิ้มออกอยู่รึเปล่า?”

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง อิ๋งจิ่วกวงที่เดินไปเดินมาอยู่ในสวนแสยะยิ้มไม่หยุด “รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าประมุขชิงไม่ยอมหยุดแน่ ตอนนี้ตาแก่โค่วโยนหินใส่เท้าตัวเองเสียแล้ว”

จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม ใต้ต้นไม้โบราณที่มีพุ่มไม้ใหญ่ราวกับกางร่ม เซี่ยโห้วท่ากำลังหลับตาเงียบๆ

เว่ยซูบอกว่า “นายท่าน ประมุขชิงอยากจะให้ตระกูลโค่วสู้กับพวกเราจนเสียหายทั้งคู่! ตระกูลโค่วไม่ถึงขั้นมองไม่ออกหรอก หวังว่าตระกูลโค่วจะให้หนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่ตลาดผีอย่างว่านอนสอนง่ายหน่อย”

เซี่ยโห้วท่าลืมตาขึ้นช้าๆ “เขาว่านอนสอนง่ายแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? อีกสามตระกูลอยากจะดูละครจะแย่อยู่แล้ว มีวิธีการปลุกปั่นเขาอยู่แล้ว”

เว่ยซูกำลังจะเอ่ยรับต่อ แล้วกลับชะงักงัน หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา หลังจากตั้งใจฟังแล้ว ก็รายงานว่า “นายท่าน โค่วหลิงซวีมาเยี่ยมถึงประตูบ้านแล้ว”

“อ้อ!” เซี่ยโห้วท่าอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะลั่น แล้วโบกมือบอกว่า “เชิญเข้ามา!”

…………………………

อวิ๋นจือชิวที่นั่งสง่าเคียงคู่กับเหมียวอี้มองดูเฟยหงที่เดินเนิบนาบเข้ามา เรือนร่างแบบนั้น หน้าตาแบบนั้น นางแอบถอนหายใจ แบบนี้เรียกว่ายอดหญิงงามแห่งยุคจริงๆ ทำไมกลายมาเป็นสายลับได้ล่ะ?

แต่ไม่ว่าจะเป็นสายลับหรือไม่ แต่ก็ทำให้ไอ้เวรที่อยู่ข้างๆ นี่ได้ประโยชน์ไปแล้ว…พอนึกถึงตรงนี้ อวิ๋นจือชิวก็แอบกัดฟันเบาๆ เอียงหน้าชำเลืองมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง

หางตาเหมียวอี้สังเกตเห็นแล้ว จึงกุมมือสองข้างไว้ตรงหน้าท้องอย่างเก้อเขินนิดหน่อย

ในใจเฟยหงค่อนข้างกังวล อะไรที่จะต้องเกิด สุดท้ายก็หลบไม่พ้น ในฐานะที่เป็นอนุภรรยา เป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหลีกไม่มาคำนับฮูหยินเอกได้ตลอดไป เพียงแต่ไม่รู้ว่าอารมณ์อุปนิสัยของฮูหยินท่านนี้เป็นอย่างไร นางไม่รู้ว่าในอนาคตควรจะรับมืออย่างไรดี

นางเองก็ไม่อยากมาที่นี่ แต่คนที่อยู่เบื้องหลังเร่งให้มา

ที่จริงเหมียวอี้ก็ไม่อยากให้นางมาเจอกับอวิ๋นจือชิวเช่นกัน แต่อวิ๋นจือชิวบอกไว้แล้ว ว่าในเมื่อนางพักอยู่ที่เรือนพักของอ๋องสวรรค์โค่ว การให้เฟยหงพักอยู่ที่บ้านคนอื่นต่อไปก็ฟังดูเหลวไหล สุดท้ายก็ต้องพบหน้ากัน นางต้องการไปมาหาสู่กับเฟยหงสักหน่อย

ที่จริงอวิ๋นจือชิวก็เคยเห็นเฟยหงมาตั้งนานแล้วตั้งแต่อยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน เคยเห็นภาพเหตุการณ์ที่เฟยหงเต้นระบำในบ้านของพวกชนชั้นสูง เรียกได้ว่าเต้นได้สวยงามกระชดกระช้อย เรือนร่างอ่อนช้อยราวกับไม่มีกระดูก

เฟยหงเองก็เคยเห็นอวิ๋นจือชิวมานานแล้วเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้สนใจมากก็เท่านั้นเอง

ตอนนี้พอเดินมาถึงที่นั่ง เฟยหงก็ย่อเข่าอย่างช้าๆ เพื่อทำความเคารพ “เฟยหงคำนับนายท่าน คำนับฮูหยิน!”

เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกันยกน้ำชาเข้ามา เฟยหงรับไว้แล้วก้าวไปข้างหน้า ใช้สองมือประคองไปตรงหน้าอวิ๋นจือชิว แล้วคำนับอีกครั้ง “ฮูหยินเชิญดื่มน้ำชาค่ะ”

อวิ๋นจือชิวรับถ้วยน้ำชามาจิบเบาๆ พอวางน้ำชาลงด้านข้าง บนใบหน้าถึงได้เผยรอยยิ้มที่สนิทสนมพร้อมยืนขึ้น ใช้สองมือประคองเฟยหง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “น้องสาวที่แสนดี ต่อไปนี้เราเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้วนะ…”

พูดจาสุภาพเกรงใจ ผู้หญิงทั้งสองคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่รู้จักจบ เหมียวอี้ที่อยู่ข้างๆ อึดอัดไปทั้งตัว ส่งสายตาให้เชียนเอ๋อร์แล้วก็เดินออกไปแล้ว

ทางนี้เพิ่งจะเดินเข้ามาในสวน ก็เห็นโค่วเจิงเดินก้าวยาวเข้ามาแล้ว เขาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะกุมหมัดคารวะ “พี่ใหญ่”

“เหอะๆ! น้องเขยมาเดินเล่นอยู่ตรงนี้คนเดียวทำไม?” โค่วเจิงถามอย่างสนใจ “น้องเจ็ดล่ะ?”

“เอ่อคือเฟยหง…เพิ่งจะยกน้ำชาให้ ทั้งสองกำลังคุยกันไม่จบสักที” เหมียวอี้ตอบอย่างอึกอักเล็กน้อย

“อ่อ!” โค่วเจิงเข้าใจแล้ว นี่เป็นธรรมเนียม ถ้าฮูหยินเอกไม่ยอมรับน้ำชาจากอนุภรรยา ก็เท่ากับว่าไม่ยอมรับ ในภายหลังอนุภรรยาคนนั้นก็จะลำบากแล้ว ผู้ชายที่โดนขนาบอยู่ตรงกลางก็จะยิ่งลำบากกว่า จะทำตัวไม่ถูก เขาตบบ่าเหมียวอี้ ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่าเป็นผู้ชายเหมือนกันเข้าใจกันดี พลางพูดหยอกล้อว่า “ตอนนี้โล่งใจแล้วสินะ?”

เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ แล้วเปลี่ยนประเด็นถาม “พี่ใหญ่มาด้วยตัวเอง มีเรื่องอะไรหรือขอรับ?”

โค่วเจิงมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง แล้วดึงแขนเหมียวอี้อย่างสนิทสนม “ไปกันเถอะ”

เหมียวอี้มองออกแล้ว ว่าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ จึงยื่นมือเชิญ แล้วทั้งสองก็เดินเคียงข้างกันออกไปช้าๆ หลังจากหลบผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องพ้นแล้ว ถึงได้ถามว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ?”

โค่วเจิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอก ได้ยินว่าสนมสวรรค์ชอบเรียกเจ้าไปรับใช้ที่อุทยานหลวงเหรอ? เจ้าฆ่าลูกพี่ลูกน้องของนางแล้ว แต่นางยังเรียกหาเจ้าทุกๆ สามวันสองวัน นี่มันสถานการณ์อะไรกัน คนในบ้านไม่ค่อยเข้าใจ นางไม่ได้กลั่นแกล้งอะไรเจ้าใช่มั้ย?”

นึกไม่ถึงว่าจะถามเรื่องนี้ เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข้าเองก็กังวลเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ข้าก็ไม่มีทางเลือก เมื่อเรียกแล้ว ข้าก็ไม่สามารถปฏิเสธได้”

โค่วเจิงถามว่า “ระหว่างเจ้ากับสนมสวรรค์นี่ยังไงกันแน่?”

เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ อย่าบอกนะว่ามีคนสังเกตเห็นอะไรแล้ว? เขาจึงแกล้งโง่ “ยังไงกันแน่คืออะไร?”

“ข้าหมายถึง ความสัมพันธ์ของเจ้ากับสนมสวรรค์เป็นยังไงกันแน่?” โค่วเจิงถาม

เหมียวอี้ยักไหล่พลางยิ้มเจื่อน “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีความสัมพันธ์ยังไง ข้าก็ระวังป้องกันตลอด”

โค่วเจิงจึงบอกว่า “คืออย่างนี้นะ ทางตระกูลคาดว่าฝ่าบาทคงไม่ปล่อยให้เจ้าไปง่ายๆ ไม่รู้ชัดว่าฝ่าบาทเตรียมจะทำอะไรกันแน่ และผู้หญิงคนนั้นก็ได้รับความโปรดปรานมากจากฝ่าบาท เจ้าลองดูวิว่าจะหาทางสืบข่าวจากปากของผู้หญิงคนนั้นได้หรือเปล่า ไม่แน่ว่าอาจจะได้ข่าวอะไรบ้างสักหน่อย แบบนี้ทางตระกูลข้าจะได้เตรียมตัวสะดวก”

เหมียวอี้เงียบไป แล้วสุดท้ายก็พยักหน้าเบาๆ

เขาตอบตกลงไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะยังต้องขอความร่วมมือจากจ้านหรูอี้ เขาครุ่นคิดวิธีการไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ใครจะคิดว่าผ่านไปครึ่งค่อนปีกว่าจ้านหรูอี้จะออกจากวังมาที่อุทยานหลวงอีกครั้ง

เป็นเหมือนอย่างเคย สนมสวรรค์เปลี่ยนจากเสื้อผ้าหรูหราเป็นชุดกระโปรงเรียบง่ายไม่ฉูดฉาด เหมียวอี้ถือถังน้ำเดินอยู่ข้างๆ จ้านหรูอี้ถือกระบวยด้ามหนึ่งตักน้ำรดต้นต้นไม้ ทำงานละเอียดมาก ราวกับปรนนิบัติเด็กทารกแรกเกิดคนหนึ่ง

เหมียวอี้ไม่เคยมีอารมณ์สุนทรีกับสิ่งเหล่านี้เลย เขาเป็นคนที่ทำอะไรเน้นผลลัพธ์ สำหรับเขาแล้ว การทำแบบนี้เหมือนคนที่กินอิ่มแล้วไม่รู้จะทำอะไรดี เป็นเรื่องที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ทำประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้วแท้ๆ ทำไมต้องมาลำบากทำแบบนี้ด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าประมุขชิงเป็นโรคอะไร ไม่น่าเชื่อว่าวังสวรรค์จะมีกระแสนิยมแบบนี้ ทำไร่ทำนา!

เขาเดาว่าถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไปในโลก ให้ตายยังไงก็คิดไม่ถึงว่าวังสวรรค์จะทำแบบนี้!

ตรงหน้านี้ คอที่ขาวหมดจดดุจคอห่านฟ้า ม้วนแขนเสื้อเผยแขนเรียวเล็กสีชมพูระเรื่อ บางครั้งก็โน้มตัวเผยเค้าโครงแผ่นหลัง ส่วนโค้งของเอวที่ยื่นออกมานั้นชัดเจนมาก เผยให้เห็นเอวเพรียวบาง ให้ความรู้สึกว่าใช้มือเดียวกำได้ พอมองลงไปข้างล่างอีกก็เป็นบั้นท้ายรูปทรงน้ำเต้า กลมกลึง มีเสน่ห์ไร้ที่สิ้นสุด

เหมียวอี้พยายามไม่เสียมารยาทมอง ใช้เวลาส่วนใหญ่หันหน้าไปอีกด้านเพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นที่ต้องสงสัน เพียงแต่วันนี้มีเรื่องในใจ อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองหยินซวง ไป๋เสวี่ยที่อยู่ข้างหลังเป็นระยะ

ไม่รู้เหมือนกันว่าจ้านหรูอี้สังเกตเห็นได้อย่างไร พอดูแลต้นไม้เสร็จไปบริเวณหนึ่งแล้ว นางก็โยนกระบวยไว้ในถังน้ำ แล้วถามส่งเดชว่า “วันนี้มีเรื่องในใจเหรอ?”

“เปล่าขอรับ” เหมียวอี้ส่ายหน้า

จ้านหรูอี้กลับเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงบอกว่า “วันนี้เจ้าดูเหม่อลอยนิดหน่อย ทนรำคาญไม่ไหวที่ข้าเรียกเจ้ามาทำแบบนี้บ่อยๆ ใช่มั้ย? เจ้ากำลังรู้สึกเบื่อหน่าย”

“ไม่ใช่ขอรับ!” เหมียวอี้ปฏิเสธ แต่พอคิดไปคิดมาก็ยังถ่ายทอดเสียงตอบว่า “เหนียงเหนียง ผู้น้อยอยากจะสืบข่าวสักหน่อย ไม่ทราบว่าหลังจากผู้น้อยรับโทษหนึ่งร้อยปีนี้เสร็จแล้ว จะต้องไปที่ไหนต่อ?”

จ้านหรูอี้ชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “นอกจากทัพเหนือของอ๋องสวรรค์โค่ว ยังจะไปที่ไหนได้อีก? นี่คือเป้าหมายที่อ๋องสวรรค์โค่วรับบุตรสาวบุญธรรมไม่ใช่เหรอ? แค่เรื่องนี้น่ะเหรอ?”

เหมียวอี้เงียบไปสักครู่ แล้วถือโอกาสเอ่ยอีกเรื่องหนึ่ง “เหนียงเหนียง ลูกน้องคนสนิทหลายคนของข้าที่เคยอยู่กองมังกรดำ ท่านเองก็รู้จัก ตอนนี้ถูกจับแยกไปยังหน่วยต่างๆ ของกองทัพองครักษ์แล้ว…”

“ตอนจะไปสามารถพาพวกเขาไปด้วยได้หรือไม่น่ะเหรอ? นี่เป็นเรื่องของกองทัพองครักษ์ เจ้ามาหาข้าแล้วจะมีประโยชน์อะไร? อยากจะให้ข้าเอ่ยปากกับฝ่าบาทเหรอ?”

“ได้ยินว่าเหนียงเหนียงสามารถโน้มน้ามฝ่าบาทได้ขอรับ”

“ข้าไม่สะดวกจะเอ่ยปากเรื่องนี้ ถ้าเอ่ยปากช่วยเจ้าเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ เจ้าไม่กลัวว่าจะทำให้ฝ่าบาทสงสัยเหรอ?”

เหมียวอี้มุมปากกระตุกเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ”

แต่ใครจะคิดว่าจ้านหรูอี้จะเปลี่ยนเป็นบอกว่า “ข้าไม่เคยเอ่ยปากขอร้องอะไรฝ่าบาทเลย เรื่องนี้เจ้าไปหาอ๋องสวรรค์โค่วก่อนแล้วกัน ในเมื่อเป็นลูกน้องคนสนิทของเจ้า ไปเจ้าออกไปแล้ว เกรงว่ากองทัพองครักษ์คงจะไม่วางใจที่จะใช้งานคนพวกนั้น ด้วยหน้าตาศักดิ์ศรีของอ๋องสวรรค์โค่ว คงไม่ถึงขั้นขอคนแค่ไม่กี่คนพวกนั้นไม่ได้ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ข้าก็จะลองให้อีกทีก็แล้วกัน”

“เช่นนั้นก็ขอพระทัยเหนียงเหนียงแล้ว”

“ไม่ต้องขอบคุณ ข้าต่างหาทกี่ต้องขอบคุณที่เจ้าช่วยให้ข้าเข้าวัง ให้ข้ามีโอกาสเอ่ยปากพูดต่อหน้าฝ่าบาท”

“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกทันที ทำไมเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกแล้วล่ะ

เดิมทีช่วงเวลาเหล่านี้ที่ได้เจอกัน พอได้เห็นจ้านหรูอี้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ความรู้สึกผิดในใจเขาก็อ่อนจางลงบ้างแล้ว แต่ใครจะคิดว่าพอเอ่ยถึงเรื่องที่จะจากที่นี่ไป ก็ถูกทำให้คลื่นไส้อีกแล้ว

เวลาหนึ่งร้อยปีผ่านไปเร็วเหมือนดีดนิ้ว

ตำหนักนารีสวรรค์ หลังจากสำราญบานใจไปแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ชายตามองอย่างหยาดเยิ้ม นอนหมอบอยู่บนอกประมุขชิงด้วยสีหน้าเต็มอิ่ม กำลังกระซิบกระซาบออดอ้อน

หลังจากคุยกันไม่กี่ประโยค จู่ๆ ประมุขชิงที่กำลังลูบไล้แผ่นหลังของนางก็บอกว่า “เฉิงอวี่ ข้าเตรียมจะมอบขุนพลมากฝีมือให้เจ้า ให้เจ้าช่วยจัดระเบียบเรื่องในตลาด”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หัวเราะคิกคัก “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะส่งขุนพลมากฝีมือคนไหนให้หม่อมฉันเพคะ?”

ประมุขชิงตอบกลั้วหัวเราะว่า “หนิวโหย่วเต๋อถูกทำโทษที่อุทยานสวรรค์ใกล้จะครบร้อยปีแล้ว เขามีชื่อเสียงบารมีที่ตลาดสวรรค์ พอเปิดเผยชื่อก็ทำให้คนนับหมื่นของตลาดสวรรค์ตกใจ ส่งเขาไปช่วยเจ้าไม่ดีหรอกเหรอ?”

“หา…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่งงนิดหน่อย นางยันตัวลุกนั่ง มองประมุขชิงที่กำลังยิ้มตาหยีพร้อมถามอย่างงุนงง “หนิวโหย่วเต๋อ? ฝ่าบาทต้องให้เขากลับมาที่ตลาดสวรรค์?”

“ไม่ใช่!” ประมุขชิงส่ายหน้า “ไปตลาดผีแล้วกัน ที่นั่นวุ่นวาย เขามีวิธีปกครองจัดระเบียบตลาดสวรรค์ได้ดี ลองให้เขาที่ตลาดผีก็แล้วกัน”

“ไปตลาดผีเหรอ?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตกใจมาก นั่นคือถิ่นของตระกูลเซี่ยโห้วนะ นี่คิดจะทำอะไรกัน? นางรีบลุกขึ้นนั่งงอเข่าอยู่ข้างๆ แล้วบอกว่า “ฝ่าบาท คนคนนี้ควบคุมยาก หม่อมฉันใช้งานไม่ไหวหรอกเพคะ”

ประมุขชิงหรี่ตาสองข้าง ลุกขึ้นนั่งแล้วเช่นกัน ในร่องตาฉายแววเย็นเยียบ “เจ้าไม่พอใจการเตรียมการของข้าเหรอ?”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รีบร้อนโบกมือปฏิเสธ “หม่อมฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นเพคะ หม่อมฉันแค่รู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว เกรงว่าอ๋องสวรรค์โค่วคงจะไม่ตอบตกลงเรื่องนี้”

“ทางโค่วหลิงซวีเจ้าไม่ต้องยุ่งหรอก ข้าถามแค่ว่าเจ้าจะรับหรือไม่รับ?” ประมุขชิงถาม

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อึกอักพูดไม่ออก นางยังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ ได้แต่ฝืนยิ้มแล้วบอกว่า “หม่อมฉันย่อมทำตามคำสั่งอยู่แล้วเพคะ!”

ประมุขชิงสีหน้าอ่อนโยนลงเล็กน้อย บนใบหน้าเผยรอยยิ้ม ใช้มือลูบไล้ก้อนกลมอิ่มเอิบบนหน้าอกนางอีก แล้วโถมทับนางลงบนเตียงอีกไป เพียงแต่ครั้งนี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่มีอารมณ์เลยจริงๆ สมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องสองเรื่อง ปรนนิบัติไปพลาง ครุ่นคิดถึงเจตนาของประมุขชิงไปพลาง

นางอยากจะติดต่อท่านปู่เสียตอนนี้เลย แต่ก็ถูกประมุขชิงพัวพันจนสลัดไม่พ้น

ในขระเดียวกันนี้เอง จวนแม่ทัพภาคอุทยานสวรรค์ บุคคลระดับสูงของกองมังกรดำล้วนอยู่ที่นี่ เหมียวอี้ที่กำลังสวมเกราะดำหนึ่งแถบก็อยู่ด้วยเช่นกัน

เวินเจ๋อนำคนหลายคนเดินเข้าไปในตำหนักพร้อมกัน พอเดินขึ้นไปถึงตำแหน่งบนแล้วก็หยุด จากนั้นหันตัวมาหาทุกคนที่กองมังกรดำ ชูแผ่นหยกในมือขึ้นมา แล้วถามเสียงต่ำว่า “คำสั่งจากวังสวรรค์ หนิวโหย่วเต๋อฟังคำสั่ง!”

“ขอรับ!” เหมียวอี้ก้าวออกจากแถวแล้วกุมหมัดคารวะ

เวินเจ๋อกล่าวเสียงดังว่า “หนิวโหย่วเต๋อให้ท้ายลูกน้องทำผิดที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน เห็นแก่ที่มีผลงาน จึงลงโทษให้ไปยืนเฝ้ายามที่อุทยานสวรรค์หนึ่งร้อยปี ทว่าในหนึ่งร้อยปีนี้มีการผลัดเวรหนึ่งหมื่นสองพันกว่าครั้ง ที่จริงเขาไปยืนยามเพียงสามร้อยกว่าครั้งเท่านั้น มองข้ามความสำคัญเช่นนี้ ไม่มีท่าทีว่าจะกลับตัวเลยสักนิด แทบจะไม่เห็นหน้าเลย เดิมทีต้องการจะลงโทษประหาร แต่กลับได้รับความเมตตาจากฝ่าบาท เปิดช่องโหว่ให้หนึ่งด้าน ให้ไปรับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ตลาดผี รอดูผลงานและความประพฤติอีกที จบ!”

เมื่อมีคำสั่งนี้ออกมา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็งุนงงเป็นไก่ตาแตก เหมียวอี้ก็งงจนเหม่อเช่นกัน ไปเป็นแม่ทัพภาคที่ตลาดผีชั่วคราวเหรอ? นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?

คนกลุ่มนี้มองหน้ากันเลิกลั่ก จะให้ทหารสวรรค์เกราะดำหนึ่งแถบไปเป็นแม่ทัพภาคชั่วคราวที่ตลาดผีเหรอ นี่คือการลงโทษหรือให้รางวัลกันแน่?

…………………………

พอเดินออกจากเมืองมา บนพื้นก็ขาวโพลนไปด้วยหิมะ

นอกเมืองเป็นฤดูหนาว มีผู้คนเดินถนนหร็อมแหรม ทั้งสองที่ทิ้งรอยเท้าไว้บนหิมะเดินออกจากทางหลัก เดินเลี้ยวไปบนทางแยกอย่างช้าๆ เดินไปบนทางเล็กที่มีร้อยเท้าคนน้อย มีเพียงรอยล้อรถม้า ที่ปลายทางเป็นบ้านพักภูเขาหลังหนึ่งที่มีภูเขาอยู่ข้างหลังและติดแหล่งน้ำ ตั้งสงบเงียบอยู่ท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา

ตอนที่เดินขึ้นบนสะพานหินแห่งหนึ่ง ทั้งสองก็หยุดเดินพร้อมกัน เจียงหลางถามว่า “เยว่เหยา เจ้ามีเรื่องไม่สบายใจเหรอ?”

“หืม?” เยว่เหยาได้ยินแล้ได้สติกลับมา ทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน ยืนสบตากันเงียบๆ อยู่บนสะพานโค้ง แล้วสุดท้ายเยว่เหยาก็ส่ายหน้า

เจียงหลางที่มือข้างหนึ่งถือร่มยิ้มบางๆ แล้วยื่นมือไปปัดเกล็ดหิมะบนผ้าพันคอของเยว่เหยา

บนใบหน้าเยว่เหยาแดงเรื่อ ถอยหลบไปข้างหลังเล็กน้อยอย่างเขินอาย

เจียงหลางไม่สนใจ ยังคงเคลื่อนไหวต่อไป หลังจากปัดหิมะบนผ้าพันคอนางไปพอสมควรแล้ว เขาก็มองตาของเยว่เหยาตรงๆ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มงามสง่า “เจ้านี่น่าสนใจจริงๆ พูดให้ข้าฟังสักหน่อยก็ได้”

เยว่เหยาเหมือนจะทนกับสายตาแบบนี้ของเขาไม่ไหว นางหันตัวไปทางลำธารสายเล็กที่ยังไม่ถูกน้ำแข็งผนึก แล้วถามว่า “พี่ใหญ่เจียง เคยได้ยินเรื่องงานแต่งงานที่อุทยานสวรรค์หรือเปล่า?”

สายตาของเจียงหลางเปลี่ยนเป็นจริงจังในชั่วพริบตาเดียว จากนั้นก็ยิ้มบางๆ “หนิวโหย่วเต๋อกับอวิ๋นจือชิวนั่นน่ะเหรอ? ได้ยินมาแล้ว ทำไมเหรอ?”

เยว่เหยาส่ายหน้าถอนหายใจ “ข้าก็แค่ไม่เข้าใจ ว่าทำไมอ๋องสวรรค์โค่ว หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยถึงรับผู้หญิงอย่างนั้นเป็นลูกสาวบุญธรรม แล้วก็หนิวโหย่วเต๋อนั่นอีก จะแต่งกับใครก็ไม่แต่ง ทำไมต้องไปแต่งกับแม่หม้ายคนนั้นด้วย?” ปากนางไม่ยอมรับว่ารู้จักกัน แต่เจตนาอันเป็นศัตรูที่มีต่ออวิ๋นจือชิวก็ยากที่จะหายไปได้ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าทำให้พี่ใหญ่ของตัวเองต้องไปเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงขนาดนี้ ก็ยิ่งทำให้ในใจนางโมโห แต่นางก็ไม่สามารถพูดอะไรแบบนี้กับคนนอกได้

แต่สำหรับคนนอกคนนี้ เยว่เหยาก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร ตอนที่เจอกันครั้งแรกก็เป็นแถวๆ นี้ ตอนนั้นทั้งสองล้วนปลอมตัว นางปลอมตัวเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ส่วนเขาก็ปลอมตัวเป็นชายแก่คนหนึ่ง เขากำลังสะบัดพู่กันจุ่มหมึกวาดภาพอยู่ระหว่างภูเขา ส่วนนางก็กำลังตรวจสอบว่ามีบุคคลน่าสงสัยเข้าใกล้บริเวณนี้หรือไม่ นางย่อมต้องเข้าไปดูใกล้ๆ อยู่แล้ว เมื่อทั้งสองพบกันก็รู้แล้วว่าต่างฝ่ายต่างปลอมตัว นางคิดหาทางทำทุกอย่างให้เขาเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง เมื่อสืบถามตรวจสอบก็แน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายอยู่อย่างสันโดษตรงหน้าผาแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบลี้เป็นเวลานับร้อยปีแล้ว

ส่วนจะมีตัวตนแบบไหน ก็ยังต้องรอการตรวจสอบ อีกฝ่ายไม่ยอมเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง บอกเพียงว่าให้เรียกเขาว่า ‘เจียงหลาง’ ก็พอ

ที่นี่คือจุดหนึ่งที่อยู่นอกลัทธิเซียน ชื่อว่าบ้านพักภูเขาธาราวิจิตร กับคนที่น่าสงสัยแบบนี้ เยว่เหยาย่อมไม่กล้าผ่อนปรนความระแวดระวังตัวอยู่แล้ว นางจึงรักษาความสัมพันธ์แบบคบค้าเอาไว้ตรวจสอบ

ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่รู้ว่านางเป็นผู้หญิง ทั้งสองกลายเป็น ‘สหาย’ กันแล้ว มักจะไปเที่ยวเล่นอย่างอิสระเสรีด้วยกันบ่อยๆ สุดท้ายก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่เจียงหลางกอดไหล่ชักชวนไปดื่มสุรา ทำให้เยว่เหยาเผยพิรุธว่าตัวเองเป็นผู้หญิง แต่สิ่งนี้ก็ไม่เป็นอุปสรรคให้ทั้งสองคบหาเป็นสหายกันต่อไป

เยว่เหยาจึงซักถามประวัติความเป็นมาของเจียงหลางเสียเลย เจียงหลางบอกว่า ข้าไม่ถามประวัติของเจ้า เจ้าก็อย่าถามประวัติของข้า

เป็นเช่นนี้จริงๆ เจียงหลางไม่เคยเข้าใกล้บ้านพักภูเขาธาราวิจิตรเลย และไม่ถามเยว่เหยาถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบ้านพักภูเขาธาราวิจิตรด้วย ท่าทีแบบนี้ทำให้บ้านพักภูเขาธาราวิจิตรสงบใจขึ้นไม่น้อย แต่เขาก็ไม่เปิดเผยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเองให้เยว่เหยารู้เช่นกัน ทั้งสองไปมาหาสู่กันแบบนี้หลายร้อยปี

ชายหญิงที่อยู่ด้วยกันเนเวลานานขนาดนี้ กอปรกับหน้าตาที่ไม่ธรรมดาของเจียงหลาง ทั้งยังรู้ศิลปะสี่แขนงของปัญญาชนอย่างลึกซึ้ง เรียกได้ว่ามีดีทั้งหน้าตาและพรสวรรค์ ยิ่งใกล้ชิดกันนานก็ยิ่งทำให้รู้สึกชื่นชมบูชา เยว่เหยารู้ว่าตัวเองแอบเกิดความรู้สึกสนิทสนมเป็นพิเศษกับเจียงหลางแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขารู้สึกพิเศษกับตนหรือเปล่า นางยอมรับว่าตัวเองไม่ได้หน้าตาแย่

ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ ทั้งสองจะใกล้ชิดกันถึงขนาดเดินอยู่ภายใต้ร่มคันเดียวกันได้อย่างไร ระหว่างทั้งสองราวกับว่าอีกนิดเดียวก็จะเจาะกระดาษกั้นได้แล้ว แต่กระดาษหน้าต่างชั้นนี้ก็เหมือนจะเจาะยากมาก เพราะทั้งสองต่างก็ระแวดระวังตัวตนของตัวเองอยู่ตลอด ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เป็นเพราะทั้งสองไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน

เยว่เหยาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกสนิทกับผู้ชายคนนี้ เดิมทีในใจของนาง นางคิดมาตลอดว่าคนที่นางต้องการแต่งงานด้วยคือพี่ใหญ่ แต่นางก็จำเป็นต้องยอมรับ ว่าตัวเองก็แค่อยากแต่งงานกับพี่ใหญ่ เป้าหมายนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย นี่คือเป้าหมายของนางมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แต่นางกลับไม่เคยรู้สึกเขินอายกับพี่ใหญ่เหมือนที่รู้สึกกับเจียงหลาง และไม่เคยรู้สึกมีความสุขทั้งกายและใจเหมือนตอนอยู่ด้วยกันด้วย

นางอดไม่ได้ที่จะสงสัย ว่าตัวเองไม่ได้ชอบพี่ใหญ่หรอกเหรอ? แต่ก็ไม่น่าจะใช่สิ เพราะนางก็เหมือนจะหึงหวงเพราะอวิ๋นจือชิวมาตลอด

แน่นอน นางเองก็สงสัยว่าความรู้สึกที่มีต่ออวิ๋นจือชิวใช่ความหึงหวงหรือเปล่า เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่ ตัวเองก็อธิบายได้ไม่ชัดเจนว่าเป็นอย่างไรกันแน่

นางคิดวนเวียนกับเรื่องนี้มานานมากแล้ว

เพียงแต่ในตอนนี้ เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา นางก็เหมือนจะตระหนักได้ว่าไม่เหมาะสม

“เหอะๆ!” เจียงหลางส่ายหน้าหัวเราะ “อยู่ห่างจากพวกเราเกินไปแล้ว เจ้าสนใจมากเกินไปรึเปล่า หรือว่าเจ้ารู้จักพวกเขา?” สายตาที่เป็นประกายเหล่มองมาเล็กน้อย สังเกตปฏิกิริยาของนาง

เยว่เหยาส่ายหน้ายิ้มบางๆ “ความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนั้น จะไม่ให้สนใจก็คงยาก ข้าก็อยากจะรู้จักเหมือนกัน อยากจะเห็นว่าแม่หม้ายแบบไหนกันแน่ที่ทำให้อ๋องสวรรค์รับเป็นลูกสาวบุญธรรม ทั้งยังทำให้หนิวโหย่วเต๋อนั่นไม่เสียดายชีวิตคนหลายแสนด้วย”

“เรื่องใหญ่แล้วยังไงล่ะ เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเหรอ?” เจียงหลางถามพร้อมรอยยิ้ม

“ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน” เยว่เหยาหาข้ออ้าง ถอนหายใจแล้วบอกว่า “บางทีอาจจะเป็นเพราะข้าอิจฉาอวิ๋นจือชิวนั่นละมั้ง”

สำหรับข้ออ้างนี้ เจียงหลางพยักหน้าเงียบๆ อย่างเข้าใจ ในที่สุดสายตาจับผิดก็ละออกจากใบหน้าของเยว่เหยาแล้ว เขาทอดสายตาไปทางลำธารเล็กคดเคี้ยวที่มีน้ำไหลเอื่อย แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ผู้ชายคนหนึ่งทำเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งได้ถึงขนาดนี้ เป็นที่น่าอิจฉาของผู้หญิงในใต้หล้าจริงๆ เจ้าคิดแบบนี้ก็ไม่แปลกอะไร” เขาหันกลับไปมองทางบ้านพักภูเขาธาราวิจิตรอีก แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะ ข้าส่งเจ้าตรงนี้แล้วกัน เดี๋ยวค่อยติดต่อกันอีกที”

เขายื่นร่มในมือให้เยว่เหยา จากนั้นก็กระโจนตัวขึ้นราวกับห่านป่าผู้โดดเดี่ยว ไปเหยียบอยู่บนลำธารเล็กๆ ผิวน้ำกระเพื่อมเหมือนแมลงปอเกาะ แล้วเดินย่องเหยียบบนคลื่นราวกับเซียนในภาพวาด ผ้าคลุมขนสัตว์สีขาวพัดกระเพื่อม ท่วงท่าสง่างามล่องลอยเข้ากับทิวทัศน์ สุดท้ายก็พุ่งขึ้นฟ้า เหาะจากไปไกลตามลำธารสายเล็ก ก่อนจะหายไปในท้องฟ้า

เยว่เหยากางร่มมองคล้อยหลัง ฝ่ามือตัวเองสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่อีกฝ่ายทิ้งไว้บนด้ามร่วม ทำให้นางแอบรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าเล็กน้อย นางเดินย่ำหิมะช้าๆ ไปทางบ้านพักภูเขาธาราวิจิตร แอบกัดริมฝีปากเงียบๆ

พอมาถึงบ้านพักภูเขา นางก็ไม่ได้เข้าทางประตูหลัก นางเข้าผ่านไปทางประตูหลัง ในจุดลึกของลานบ้านด้านใน นางเห็นถังจวินกำลังเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ใต้ทางเดิน

“ศิษย์พี่!” เยว่เหยาที่เดินเข้ามาใต้ทางเดินยาวตะโกนเรียก จากนั้นก็เก็บร่มกระดาษน้ำมันที่สลัดกองหิมะทิ้งแล้ว

ถังจวินเอามือไขว้หลังเดินเข้ามา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ทำไมเพิ่งกลับมาป่านนี้?”

“ศิษย์พี่รีบเรียกข้ามามีธุระอะไรเหรอ?” เยว่เหยาถาม

“เจ้าอยู่กับเจียงหลางนั่นเหรอ?” ถังจวินถาม

เยว่เหยาชะงักเล็กน้อย พบว่าถังจวินมีสีหน้าแปลกไ นางพยักหน้าตอบว่า “ถ้าอยากสืบประวัติเขาให้ชัดเจน ก็ต้องคลุกคลีกันมากๆ หน่อยค่ะ”

ถังจวินกล่าวเสียงต่ำว่า “ศิษย์น้อง เจ้าบอกความจริงข้ามา เขาไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่มั้ย ระหว่างเจ้ากับเขา…” เขาไม่ได้พูดต่อ แต่สีหน้ากับน้ำเสียงก็สื่อความหมายชัดเจนมากแล้ว

เยว่เหยากินปูนร้อนท้องนิดหน่อย แต่กลับกลอกตามองถังจวินแวบหนึ่ง “ศิษย์พี่คิดไปถึงไหนแล้ว ก่อนที่ข้าจะรู้ถึงตัวตนของเขาชัดเจน ข้ากับเขาจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ ข้าอยากจะสืบตัวตนของเขา ก็เลยคลุกคลีอยู่กับเขามากหน่อย”

“ศิษย์น้องรู้ไว้ก็ดีแล้ว” ถังจวินยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมา แล้วบอกว่า “ตัวตนของเขาข้าสืบมาชัดเจนแล้ว คนคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร ต่อไปนี้ศิษย์น้องต้องระวังมากขึ้นหน่อย ดูเอาเองสิ”

เยว่เหยาประหลาดใจ นางรับแผ่นหยกมาตรวจอ่านแล้ว

ถังจวินคอยอธิบายอยู่ข้างๆ “หลังจากมีข่าวโจรราคะเจียงอีอี พวกเราก็จับตาดูคนคนนี้ นี่คือภาพวาดที่ร้านค้าในตลาดสวรรค์ฝั่งนั้นส่งมา เป็นภาพผู้ร้ายหลบหนีที่ตำหนักสวรรค์ออกมายจับ นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าคนคนนี้จะอยู่ข้างกายพวกเรานี่เอง”

เยว่เหยาแอบกัดฟัน สีหน้าค่อนข้างย่ำแย่ ถึงแม้ภาพโจรราคะเจียงอีอีบนแผ่นหยกจะไม่ได้เหมือนเจียงหลางมากขนาดนั้น แต่โดยรวมก็คล้ายกันอยู่ โดยเฉพาะการแต่งตัว เหมือนกันมากจริงๆ

“เจียงอีอี เจียงหลาง…” ถังจวินส่ายหน้าเดาะลิ้น “มิน่าล่ะถึงไม่ยอมเปิดเผยประวัติความเป็นมา ที่แท้ก็เป็นโจรราคะที่ไม่มีหน้าไปเจอใครที่นี่เอง พอมาคิดดูตอนนี้ ข้าก็นึกกลัวทีหลัง ศิษย์น้อง ต่อไปเจ้าไม่ต้องไปมาหาสู่กับเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นคนที่เสียเปรียบก็คือเจ้า ถึงตอนนั้นข้าไม่มีทางแก้ตัวกับท่านอาจารย์ได้เลย”

เยว่เหยาทำใจเชื่อได้ยาก นางคลุกคลีกับเจียงหลางมานานขนาดนี้ มองไม่ออกจริงๆ ว่าเจียงอีอีมีแนวโน้มไปทางโจรราคะ และไม่ค่อยอยากจะยอมรับความจริงด้วย นางกล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “ข้าจะไปถามให้ชัดเจน”

“ศิษย์น้อง!” ถังจวินพลันตะโกนห้ามนาง แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ด้วยสถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้ เรื่องน้อยดีกว่าเรื่องเยอะ ช่างเถอะ ต่อไปไม่ต้องคบค้ากันอีกก็พอ ในเมื่อรู้ถึงตัวตนของเขาแล้ว แน่ใจแล้วว่าไม่ใช่สายลับของตำหนักสวรรค์ พวกเราก็วางใจแล้วเช่นกัน แค่อยู่ห่างๆ ก็พอแล้ว อย่าสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น”

เยว่เหยาเอียงหน้ามองกลับมา “ไม่ได้ ถ้าเขาคือเจียงอีอีจริง ก็ต้องไล่เขาไป ถ้าวันไหนตำหนักสวรรค์ตามมาจับที่นี่แล้วพวกเราจะไม่ซวยไปด้วยหรอกเหรอ”

“เอ่อ…” ถังจวินลังเล ที่ศิษย์น้องพูดก็เหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าเยว่เหยาเหาะไปแล้ว

“อูอู…อู…”

หิมะโปรยปรายท่ามกลางลมหนาว บนหน้าผาสูงร้อยจั้งที่มีหิมะกองทับถม เสียงขลุ่ยสะอื้นดังอยู่กลางท้องฟ้า เจียงหลางที่สวมชุดคลุมขนสัตว์สีขาวยืนลำพังอยู่ริมหน้าผา ยืนเปล่าขลุ่ยอย่างโดดเดียว

ที่พักของเขาก็คือถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่เกือบกึ่งกลางใต้หน้าผา

เงาคนคนหนึ่งเหาะลงมาจากท้องฟ้า เป็นเยว่เหยานั่นเอง นางมาเหยียบลงข้างหลังเขาไกลๆ

เสียงขลุ่ยสะอื้นหยุดชะงัก เจียงหลางมองกลับมา ถือขลุ่ยนอนอยู่ในมือ แล้วหันตัวมาถามพร้อมรอยยิ้มว่า “เพิ่งจะแยกกันไป ทำไมถึงมาอีกแล้วล่ะ ท่าทางดูโมโห ใครไปทำอะไรเจ้าเหรอ?”

“เจ้าเป็นใครกันแน่?” เยว่เหยาถามเสียงเย็น

เจียงหลางแววตาวูบไหว แต่ยังคงตอบด้วยรอยยิ้มผ่อนคลายว่า “บอกไปแล้วไง ว่าข้าจะไม่สืบเรื่องของเจ้า เจ้าก็จะไม่สืบเรื่องของข้าด้วย”

“แล้วถ้าวันนี้ข้าต้องการจะรู้ให้ได้ล่ะ?” เยว่เหยาถาม

“ทำไมต้องบังคับให้ลำบากใจด้วย” เจียงหลางกล่าว

เยว่เหยาโยนแผ่นหยกในมือออกไป เจียงหลางรับไว้ หลังจากได้ดูแล้ว เขาก็ยังไม่สะทกสะท้าน แต่บีบไว้ในมือจนแผ่นหยกแหลกเป็นผุยผง

“ใช่หรือไม่ใช่?” เยว่เหยาถามกดดัน

ผุยผงในมือเจียงหลางปลิวไปแล้ว เขาถามด้วยรอยยิ้มสงบนิ่งว่า “ถ้าใช่แล้วยังไง? ไม่ใช่แล้วยังไง?”

“หมายความว่า ท่านยอมรับแล้วเหรอว่าตัวเองคือโจรราคะเจียงอีอี?” เยว่เหยาถาม

เจียงหลางยังยิ้มไม่เปลี่ยน “ข้าคือเจียงอีอี แต่ข้าไม่ใช่โจรราคะ คนอื่นจะพูดยังไงก็ไม่สำคัญ ข้าเคยทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีกับเจ้าเหรอ? ก็เหมือนเมื่อก่อนที่บอกว่าอวิ๋นจือชิวอะไรนั่น มีแต่คนบอกว่าข้าไปที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน ทั้งยังออกหมายจับข้าด้วย แต่เจ้าก็รู้ชัดดีกว่าใคร ว่าในเวลานั้นข้าไม่มีทางไปก่อคดีนั้นได้”

เยว่เหยาอึ้งไปชั่วขณะ พบว่าตัวเองโมโหจนเลอะเลือนไปหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ใช่สติปัญญาไตร่ตรองปัญหา ใช่แล้ว ถ้าเขาคือเจียงอีอี แล้วจะไปโผล่อยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนได้ยังไงล่ะ ในช่วงเวลานั้นทั้งสองยังไปเที่ยวเล่นด้วยกันอยู่เลย เพิ่งจะกลับมาเมื่อกี้นี้เอง!

ไฟโกรธในใจดับลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว นางถามหยั่งเชิงว่า “ท่านหมายความว่า ฉายาโจรราคะนี้ คนอื่นใส่ร้ายท่านเหรอ?”

“ถ้าจริงก็ดี ถ้าโดนใส่ร้ายก็ช่าง คนมีเหาเยอะไม่กลัวคันหรอก ถึงยังไงข้าก็ถูกคนสาดโคลนเหมือนกัน เคยชินตั้งนานแล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึง ว่าขนาดมาหลบอยู่ที่นี่แล้วยังบริสุทธิ์ไม่ได้อีก ผิดชอบชั่วดี บุญคุณความแค้น ใจคนยากจะคาดเดา ข้าอยากได้เพียงชีวิตที่เรียบง่าย ไม่จำเป็นต้องแก้ตัวหรอก ถ้าเชื่อก็มี ถ้าไม่เชื่อก็ไม่มี เจ้ากับข้าคบกันตื้นเขิน ตั้งแต่นี้ไปเป็นเพียงคนที่ผ่านมาเจอกันก็พอก็พอ ข้าไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเจ้า เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องโกรธเคือง ต่อไปนี้เราไม่ต้องเจอกันอีกก็สิ้นเรื่องแล้ว” เจียงหลางพูดจบแล้วหันตัวไป ถือขลุ่ยไว้ที่ริมฝีปากอีกครั้ง เสียงขลุ่ยสะอื้นดังขึ้นอีก

…………………………

เรื่องบางเรื่องก็เป็นอย่างนี้ ถ้าในใจไม่มีอะไรแอบแฝง ก็จะไม่คิดอะไรซี้ซั้ว แต่ประเด็นก็คือในปีนั้นจ้านหรูอี้ขอร้องให้เขาพานางไป เคยเปิดเผยเรือนร่างส่วนบนให้เขาเห็น เขาไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครมาก่อน รวมทั้งอวิ๋นจือชิวด้วย

เรื่องอื่นเขาสามารถบอกอวิ๋นจือชิวได้หมด มีเพียงเรื่องระหว่างชายหญิงเท่านั้นที่เขาบอกอวิ๋นจือชิวไม่ได้ ทำเรื่องน่าละอายเยอะจนติดเป็นนิสัยแล้ว ช่วยไม่ได้

และในใจเขาก็รู้ชัดเจนมาก ว่าจ้านหรูอี้ไม่อยากอยู่ที่วังสวรรค์ ดังนั้นแล้ว เขาจึงกังวลว่าจ้านหรูอี้จะอยากทำหม้อชำรุดให้ตกแตก[1]หรือเปล่า ถ้าวันไหนจ้านหรูอี้เอ่ยเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นขึ้นมาจริงๆ ต่อให้ราชันสวรรค์จะใจกว้างขนาดไหนแต่ก็ไม่มีทางรับเรื่องนี้ได้ ตระกูลโค่วก็จะปกป้องเขาไม่ได้เช่นกัน ประมุขชิงจะต้องทำให้ร่างเขาแหลกเป็นจุนแน่นอน

ไม่ต้องพูดถึงมันแล้ว ขนาดอวิ๋นจือชิวที่มาเยี่ยมเขาที่ผืนนาหลวงเป็นครั้งคราวยังมองออกถึงความไม่ชอบมาพากลเลย ถามว่าระหว่างเขากับจ้านหรูอี้มีเรื่องอะไรที่บอกใครไม่ได้หรือเปล่า

เหมียวอี้แสร้งตอบอย่างจนใจว่า “นี่ยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ ในปีนั้นข้าเคยมีเรื่องกับนาง ตอนนี้นางเรียกใช้ข้าอย่างกับคนใช้ กำลังจงใจสร้างความอัปยศให้ข้าเท่านั้นเอง แล้วอีกอย่างนะ ถ้าจ้านหรูอี้มีร่างกายไม่บริสุทธิ์ จะเข้าวังหลังได้ยังไง จะกลายเป็นสนมโปรดของราชันสวรรค์ได้เหรอ เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว?”

สำหรับเรื่องนี้ อวิ๋นจือชิวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็รู้สึกว่าสิ่งที่เหมียวอี้พูดมีเหตุผลเหมือนกัน ถ้าไม่ได้มีร่างกายที่บริสุทธิ์ ต่อให้เข้าไปในวังหลังแล้ว ก็เป็นเรื่องยากที่จะได้รับความโปรดปรานจากราชันสวรรค์ อย่างราชันสวรรค์จะโดนคนอื่นสวมเขาได้อย่างไร

แต่สำหรับสัญชาตญาณของผู้หญิง นางมองไม่ออกเลยว่าจ้านหรูอี้เรียกใช้เหมียวอี้เหมือนบ่าวไพร่ มิหนำซ้ำบางครั้งจ้านหรูอี้ก็ยังเรียกนางไปคุยเล่นเรื่อยเปื่อยกันด้วย ระหว่างที่คุยกันไม่ได้มีความหยิ่งผยองอะไร ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าระหว่างเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้มีอะไรในกอไผ่หรือเปล่า

“ฝ่าบาท สนมสวรรค์หรูอี้ทำเกินไปรึเปล่า มักจะไปอยู่กับหนิวโหย่วเต๋อตรงที่นาหลวงบ่อยๆ แบบนี้มันใช่เรื่องที่ไหนเพคะ?”

ตำหนักนารีสวรรค์ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้รับน้ำฝนพระราชทานจากประมุขชิง ตอนนี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังช่วยแต่งตัวให้ประมุขชิง แต่ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มได้ทีขี่แพะไล่แล้ว

ประมุขชิงตอบว่า “นางก็ไม่ค่อยได้ออกจากวังสักเท่าไร ออกไปเดินเล่นสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ชัดเจนว่านางกำลังสร้างความอัปยศให้หนิวโหย่วเต๋อ พวกเขามีความแค้นมานานแล้ว ให้นางระบายความโกรธสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงก็ยังมีตระกูลโค่ว นางคงไม่ทำอะไรหนิวโหย่วเต๋อตรงๆ เช่นกัน ทำได้แค่นี้”

“จะผ่อนคลายอารมณ์หรือระบายความโกรธรึเปล่าหม่อมฉันก็ไม่รู้หรอกเพคะ แต่ชายหญิงอยู่กันตามลำพังจะให้คนอื่นมองยังไง? จะให้พวกน้องๆ ในวังหลังเห็นแล้วรู้สึกยังไง? ผลกระทบแย่เกินไปแล้ว!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าว

ประมุขชิงเอียงหน้ามองมา แล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นิดหน่อย “ชายหญิงอยู่กันตามลำพังเสียเมื่อไร มีคนมากมายขนาดนั้นดูอยู่ เจ้าหวังจะให้สนมสวรรค์มีชื่อเสียงไม่ดีมากนักเหรอ?”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พูดเกลี้ยกล่อมไม่หยุดว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันก็หวังดีกับฝ่าบาทเหมือนกันนะเพคะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็จะสายไปแล้ว”

“พอแล้ว!” ประมุขชิงพลันหันตัวมา แล้วจ้องนางอย่างเย็นเยียบ “จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้? ใช่ว่าข้าจะหูหนวกตาบอดเสียเมื่อไร ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าก็มองทะลุปรุโปร่ง สนมสวรรค์เป็นคนนิสัยตรงไปตรงมา ทำอะไรก็เปิดเผยจริงใจ ไปอุทยานสวรรค์แล้วเรียกใช้หนิวโหย่วเต๋อหน่อยจะเป็นไรไป? มีจุดไหนที่ลับสายตาคนบ้าง อยู่ในสายตาทุกคนตลอด เรื่องสะอาดบริสุทธิ์ที่ทุกคนมองเห็นกันหมด ทำไมเมื่ออยู่ในสายตาเจ้าถึงกลายเป็นเรื่องแย่ขนาดนี้ล่ะ? เฮอะ!” เขาสะบัดแขนเสื้อ ทิ้งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่แล้วออกไปแล้ว

พิจารณาตามความเป็นจริง ต่อให้ประมุขชิงจะไม่ชอบเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แต่อย่างน้อยในแต่ละปีก็ต้องมาดูแลเซี่ยโห้วเฉิงอวี่สักสองสามครั้ง

เพิ่งจะมีความสุขสำราญไป เดิมทีไม่อยากจะพูดอะไรที่ไม่น่าฟัง แต่เขาไม่พอใจมากที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มักจะพูดข่มจ้านหรูอี้เสมอ เขาเองก็รู้ว่าที่วังหลังมีการแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่สนวิธีการบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนที่เขาอยู่กับจ้านหรูอี้ เขาไม่เคยได้ยินจ้านหรูอี้พูดถึงความผิดใดๆ ของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เลย จ้านหรูอี้เองก็ไม่เคยว่าร้ายใครในวังหลังเลยด้วย เมื่ออยู่ต่อหน้าประมุขชิงก็ไม่เคยปิดบังอะไร และไม่เคยวางแผนอะไรกับเขาด้วย มีแค่ตอนที่อยู่กับจ้านหรูอี้เท่านั้น เขาถึงจะสัมผัสได้ถึงความสงบจิตสบายใจ สำหรับประมุขชิงที่เผชิญกับขุนนางปากหวานก้นเปรี้ยวในราชสำนักแล้วกลับมาเจอการวางอุบายใส่กันที่วังหลังอีก จ้านหรูอี้ก็คือดินแดนอันสงบสุข มอบความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านให้เขา

พูดจากใจจริง ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวตระกูลเซี่ยโห้ว เขาก็อยากจะแต่งตั้งให้จ้านหรูอี้เป็นฮูหยินตำหนักหลักจริงๆ แต่ความเป็นจริงต้องทำให้เขาอดทนไว้ ด้วยนิสัยอย่างจ้านหรูอี้ก็เป็นราชินีสวรรค์ไม่ได้เช่นกัน ถ้าอยู่ในตำแหน่งราชินีสวรรค์จริง ตระกูลอื่นๆ ก็คงไม่ยืนอยู่ฝ่ายจ้านหรูอี้แน่ เขากลัวว่าจะทำให้จ้านหรูอี้มีบาแผลเต็มตัว

วังหลังคือสถานที่บอกเล่าร้องขอที่สะท้อนถึงอำนาจในราชสำนัก เจ้าจะไม่เก็บสะสมไว้ก็ไม่ได้ ถ้าเจ้าไม่ยอมรับสนมเอาไว้ พวกขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็จะคิดว่าเจ้ามีความคิดอะไรต่อเขาหรือเปล่า เรื่องนี้ทำให้คนปวดหัวจริงๆ ที่จริงเขาเองก็ไม่อยากจะเลี้ยงผู้หญิงที่ตัวเองไม่ได้อยากแตะต้องไว้มากขนาดนี้ เขาเล่นกับสาวงามจนเบื่อหน่ายมาตั้งนานแล้ว อะไรสวยหรือไม่สวย พอถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้วมองข้ามใบหน้าไปก็พอๆ กันทั้งนั้น เขาจะเอากำลังวังชาอะไรมากมายไปใช้กับผู้หญิงเยอะแยะขนาดนั้น ต่อให้วรยุทธ์สูงกว่านี้แต่ก็ไร้ความสามารถกับเรื่องนี้อยู่ดี ต่อให้ทำอย่างสุดกำลัง แต่วันหนึ่งจะทำได้สักกี่คน?

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ปล่อยผมสยายยืนอยู่หน้าประตูใช้มือประคองจับวงกบประตูด้วยสีหน้าเศร้าโศก ถึงไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะรักจ้านหรูอี้ขนาดนี้ ถ้าเอาเรื่องระหว่างชายหญิงของสนมคนอื่นมาพูด ประมุขชิงจะต้องสงสัยแน่นอนว่าในใจต้องมีอะไร แต่พอเปลี่ยนเป็นจ้านหรูอี้ ไม่น่าเชื่อว่าฝ่าบาทจะไม่สงสัยเลยสักนิด ไม่ใช่แค่ปกป้องเข้าข้าง ทั้งยังตำหนิต่อว่านางยุ่งมากไปด้วย

พอออกจากตำหนักนารีสวรรค์มาแล้ว ซ่างกวนชิงก็มาต้อนรับแล้วเดินตามหลัง จู่ๆ ประมุขชิงก็ถามว่า “ซ่างกวน เจ้าว่าให้สนมสวรรค์เป็นราชินีสวรรค์ดีมั้ย?”

“หา!” ซ่างกวนชิงตกใจ ทำไมจู่ๆ ถึงมีความคิดนี้ได้ล่ะ เขารู้ว่าประมุขชิงชอบจ้านหรูอี้จริงๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องเปลี่ยนตำแหน่งราชินีหรอกมั้ง!

ถึงแม้เขาจะเป็นคนดูแลวังสวรรค์ แต่เขาก็ไม่เคยพูดอะไรมากเลยเกี่ยวกับเรื่องของวังหลัง ทว่าการเปลี่ยนตัวราชินีส่งผลกระทบเยอะมากจริงๆ เขาเลยต้องเตือนว่า “ฝ่าบาท! ไม่ได้เด็ดขาด! ถ้าถอดราชินีสวรรค์แล้ว ในสายตาของตระกูลเซี่ยโห้ว ก็เหมือนเป็นเค้าลางว่าจะลงมือกับตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว แค่คิดก็รู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร ถึงตอนนั้นใต้หล้าก็จะวุ่นวายแล้ว! หากฝ่าบาทโปรดปรานสนมสวรรค์จริงๆ ก็ได้โปรดเห็นอกเห็นใจสนมสวรรค์ บ่าวขออนุญาตกล่าวสิ่งที่มิควร ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นของสนมสวรรค์ ไม่เหมาะจะนั่งตำแหน่งนายหญิงของวังหลังจริงๆ ถ้านางได้นั่งตำแหน่งนั้น ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายนาง!”

“ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น! เฮ้อ! ใช่แล้ว!” ประมุขชิงส่ายหน้า คำพูดนี้เขาเก็บมาใส่ใจแล้ว เขาชี้ข้ามหัวไหล่ไปทางตำหนักนารีสวรรค์ “ต่อให้สนมสวรรค์จะเป็นอย่างนี้ แต่ก็ยังมีคนไม่อยากจะปล่อยนางไป อยากจะเล่นงานนางให้ถึงตาย เลวร้ายยิ่งนัก! ซ่างกวน ทางวังหลังน่ะ เจ้าสนใจเรื่องปกป้องสนมสวรรค์ไว้หน่อยนะ อย่าให้ใครใช้วิธีการชั้นต่ำอะไรกับนางจนเกิดเรื่องที่เอาคืนไม่ได้!”

“ขอรับ! บ่าวจะจำไว้แน่นอน ไม่สะเพร่าเด็ดขาด!” ซ่างกวนชิงโล่งใจ รีบเอ่ยรับแล้ว

แสงจันทร์ส่องสว่างตรงขอบฟ้า เสียงคลื่นกระทบฝั่ง บนยอดเขาสูงพันจั้ง คฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งสูงต่ำไม่เสมอกันตามลักษณะภูเขา ตรงประตูใหญ่ที่มีรูปแบบโบราณเรียบง่ายเขียนคำว่า ‘ตระกูลหวงฝู่’ เอาไว้

ในลานบ้านที่เงียบสงบ เสียงกู่ฉินฟังดูเศร้าคับแค้น หวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ในศาลสวมชุดกระโปรงขาวดุจหิมะ ผมยาวคลุมบ่า นิ้วทั้งสิบกำลังดีดกู่ฉิน บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหมดอาลัยตายอยาก ความกลัดกลุ้มในใจก็ยิ่งไม่มีทางกำจัดออกไปได้ กลัดกลุ้มถึงขั้นสะสมกลายเป็นความเคียดแค้น!

ถึงแม้ตอนนี้นางก็ถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่ ถึงแม้จะไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ แต่มารดาก็ไม่ได้ตัดขาดอำนาจในการรับรู้เรื่องราวภายนอก เรื่องบางเรื่องนางก็ได้รู้จากปากสาวใช้แล้ว

นางนึกไม่ถึง นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้เพื่ออวิ๋นจือชิวได้ ตอนแรกที่อยู่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน นางก็เคยได้ยินเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อชอบอวิ๋นจือชิวมาบ้าง นางเองก็จงใจเข้าหาอวิ๋นจือชิวเช่นกัน แต่ก็สืบไม่เจออะไร ใครจะคิดล่ะว่าความสัมพันธ์ของหนิวโหย่วเต๋อกับอวิ๋นจือชิวจะลึกซึ้งถึงขั้นนี้

ถ้าเช่นนั้นนางนับเป็นอะไรล่ะ? ความเจ็บปวดขมขื่นในใจยากจะบรรยาออกมาได้ รู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนโง่คนหนึ่ง โดนหนิวโหย่วเต๋อเล่นสนุกด้วยแล้ว!

แต่ที่น่าขำก็คือ นางยังนึกว่าสาเหตุที่หนิวโหย่วเต๋อไม่แต่งตั้งให้เฟยหงเป็นฮูหยินเอกก็เพราะนาง แต่ที่แท้ก็ไม่ใช่เพราะนาง แต่เพื่ออวิ๋นจือชิว! ช่างน่าขำที่นางคิดว่าตัวเองต่างหากที่เป็นผู้หญิงที่หนิวโหย่วเต๋อรักจริงอยู่เบื้องหลัง ที่แท้คนที่ถูกซ่อนไว้เบื้องหลังที่แท้จริงก็ไม่ใช่นางเลย นางเป็นแค่ของเล่นระบายอารมณ์ที่หนิวโหย่วเต๋อเอาไว้เปลี่ยนรสชาติเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น!

“เฮ้อ!” เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังขึ้นข้างหลัง เสียงฉินหยุดลง พอหวงฝู่จวินโหรวหันกลับไป ก็เห็นหวงฝู่ตวนหรงผู้เป็นมารดามาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ กำลังมองนางด้วยสีหน้ารักและสงสาร

“ท่านแม่กลับมาแล้วหรือคะ” หวงฝู่จวินโหรวลุกขึ้นยืนแล้วคำนับ

หวงฝู่ตวนหรงช่วยลูบผมงามที่ประบ่านาง แล้วกล่าวอย่างลังเลว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่รู้ว่าควรจะบอกเจ้าดีหรือไม่”

“พวกเขาแต่งงานกันแล้วใช่มั้ยคะ?” หวงฝู่จวินโหรวก้มหน้าพูดเบาๆ

“ใช่แล้ว จัดงานแต่งใหญ่ที่อุทยานสวรรค์ มีขุนนางเต็มราชสำนักมาร่วมงาน ราชันสวรรค์ ราชินีสวรรค์ก็ให้เกียรติมาด้วยตัวเอง มีหน้ามีตามาก” หวงฝู่ตวนหรงใช้สองมือประคองใบหน้าลูกสาว “ตื่นจากฝันรึยังล่ะ?”

“อือ ฮือๆ…” ในที่สุดหวงฝู่จวินโหรวก็ระเบิดอารมณ์แล้ว นางสลัดหน้าออกจากมือมารดา นั่งยองๆ บนพื้น แล้วกอดเข่าร้องไห้อย่างปวดใจ

เสียงกู่ฉินดังขึ้น หวงฝู่ตวนหรงไม่ได้พูดเกลี้ยกล่อมลูกสาว แต่ไปนั่งดีดฉินแล้ว ท่วงทำนองที่เหมือนสายน้ำไหลเอื่อยเต็มไปด้วยการปลอบบำรุงขวัญ

ไม่รู้เหมือนกันว่าร้องไห้ไปนานเท่าไร หวงฝู่จวินโหรวลุกขึ้นยืนแล้ว นางปาดน้ำตาแล้วหันตัวมา “ท่านแม่ ปล่อยข้าออกไปทำธุระเถอะ”

หวงฝู่ตวนหรงยังดีดกู่ฉินไม่หยุด นางถามว่า “อยากจะออกไปล้างแค้นเขาเหรอ? เขาได้ไต่เต้าไปพึ่งพาตระกูลขุนนางระดับบนสุดในใต้หล้าแล้ว ตอนนี้คนที่หนุนหลังเขาคืออ๋องสวรรค์โค่ว หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ที่มีอำนาจในใต้หล้า ต่อให้เป็นราชันสวรรค์ก็ไม่อาจแตะต้องเขาโดยไร้เหตุผลได้ ตระกูลหวงฝูของเราไปมีเรื่องด้วยไม่ไหวหรอก นอกเสียจากวันใดที่ตระกูลโค่วล้มลง ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ต้องกล้ำกลืนความเสียเปรียบนี้ไว้เอง เจ้าเข้าใจมั้ย?”

หวงฝู่จวินโหรวที่ร้องไห้จนตาแดงก่ำสูดหายใจฟึดฟัด นางยกแขนเสื้อเช็ดใบหน้าอีกครั้ง “เรื่องนี้ลูกหารนหาที่เอง ไปโทษใครไม่ได้ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ตั้งแต่นี้ไปลูกจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีก และไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับเขาด้วย ตั้งแต่นี้ไปเราเป็นแค่คนที่ผ่านทางมาเจอกันเท่านั้น!”

ตึง! เสียงฉินหยุดลง หวงฝู่ตวนหรงใช้ฝ่ามือสองข้างกดบนสายฉิน แล้วก้มหน้าพูดเบาๆ ว่า “คนที่กลับใจได้นั้นมีค่ายิ่งกว่าทอง เข้าใจก็ดีแล้ว!”

โลกจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไร แต่ก็หนีลมหิมะไม่พ้น ท้องฟ้าครึ้มสลัว เกล็ดหิมะโปรยปราย

บนถนนในโลกมนุษย์ คนที่สัญจรไปมากอดเสื้อผ้าไว้แน่น แต่ชายหญิงคู่หนึ่งกลับไม่สะทกสะท้านกับลมหนาว

ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดคลุมขนสัตว์สีขาว ผ้าพันคอขนสัตว์ช่วยขับใบหน้าหล่อเหลาให้เด่น สีหน้าท่าทางสุขุมเยือกเย็น สง่าอ่อนโยนดุจหยก มีสง่าราศีไม่ธรรมดา ในมือกำลังถือร่มกระดาษน้ำมัน และใต้ร่วมกระดาษคันนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินเคียงคู่ก็สวมผ้าพันคอขนสัตว์สีขาวเช่นกัน นางงดงามราวกับเทพธิดา ใบหน้าหยกขาวสว่างดุจพระจันทร์ จมูกโด่งปากแดง สวยสง่าเหมือนดอกกล้วยไม้ เรียกว่างามล่มเมืองอย่างแท้จริง

เมื่อคู่ที่เหมือนกุมารทอง และกุมารีหยกปรากตัวบนถนนในโลกมนุษย์ ก็เป็นภาพที่งดงามราวกับภาพวาด ดึงดูดให้คนที่สัญจรไปมาเหลียวมองไม่หยุด

ผู้หญิงไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเยว่เหยานั่นเอง ส่วนผู้ชายชื่อว่าเจียงหลาง

ทั้งสองเดินบนถนนเงียบๆ ย่ำเท้าเดินบนหิมะช้าๆ เยว่เหยาเหมือนขมวดคิ้วด้วยความกังวลไม่หยุด เจียงหลางเหลือบมองนางเป็นครั้งคราว และไม่ลืมที่จะถือร่มบังเกล็ดหิมะให้เยว่เหยา

…………………………

[1] ทำหม้อชำรุดให้ตกแตก 破罐子 破摔 อุปมาว่าทำให้เรื่องเลวร้ายกว่าเดิม

“ของขวัญของตระกูลเซี่ยโห้วทำไมเหรอ?” เหมียวอี้ไม่เข้าใจว่าทำไมนางสีหน้าเปลี่ยน จึงหยิบกำไลเก็บสมบัติขึ้นมาดู ทำให้เขาอึ้งไปเช่นกัน เขาเรียกของในกำไลเก็บสมบัติออกมา เป็นตั๋วแลกสีม่วงทองหนึ่งปึก บนตั๋วแลกเงินมีคำว่า ‘ธนาคารสัตยพรต’ ด้วย

เหมียวอี้ย่อมรู้จักกับ ‘ธนาคารสัตยพรต’ อยู่แล้ว แต่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นตั๋วแลกเงินที่มีมูลค่ามากขนาดนี้ เป็นประเภทที่มีมูลค่ามากที่สุด หนึ่งใบเท่ากับหนึ่งร้อยล้านล้านผลึกแดง เท่ากับยาแก่นเซียนหนึ่งพันล้านเม็ด เขาเชื่อว่าตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่ถึงขั้นนำตั๋วแลกเงินปลอมมาทำเป็นของขวัญในโอกาสและงานแบบนี้

เอาไปแลกได้หรือเปล่า? ไม่ต้องสงสัยเลย! ตั๋วแลกเงินของธนาคารสัตยพรตมีมาก่อนที่ตำหนักสวรรค์จะก่อตั้งขึ้นนานมาก ไม่ต้องพูดถึงความน่าเชื่อถือ นั่นคือชื่อยี่ห้อเลยล่ะ ที่นี่เบียดจนตำหนักสวรรค์ไม่สามารถสร้างธนาคารที่ทัดเทียมกับที่นี่ได้ กอปรกับการรักษาความลับที่ธนาคารสัตยพรตมีให้ การไปมาหาสู่ที่ธนาคารของทางการล้วนถูกจับตาดูได้ง่าย ดังนั้นจะขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังให้รู้ไว้ นั่นก็คือ แม้แต่ขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ก็ยังแอบหอบเงินก้อนใหญ่ไปที่ธนาคารสัตยพรตเลย แค่ดูจากสิ่งนี้ก็รู้แล้ว

ตั๋วแลกเงินสีม่วงทองสิบใบ เหมียวอี้นับแล้วนับอีก มันคือสิบใบจริงๆ ก็เท่ากับมีผลึกแดงหนึ่งพันล้านล้าน เท่ากับว่าตระกูลเซี่ยโห้วมอบยาแก่นเซียนให้ตนหนึ่งหมื่นล้านเม็ดในรวดเดียว “ซี้ด!” เหมียวอี้ที่ยืนยันให้แน่ใจแล้วอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจอย่างตกตะลึง!

ของขวัญล้ำค่ามหาศาลส่วนนี้เพียงพอที่จะช่วยให้เขาเพิ่มวรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้งขั้นสี่เลย สำหรับเหมียวอี้ที่ไม่เคยขาดทรัพยากรมาก่อนเลย จำนวนนี้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว ถ้าเป็นสำหรับคนทั่วไป นักพรตส่วนใหญ่ทั้งชีวิตนี้แค่รวบรวมทรัพยากรฝึกตนจนบรรลุถึงระดับบงกชรุ้งให้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ต่อให้เป็นคนในตำหนักสวรรค์ก็ตาม ถ้าเหมียวอี้ไม่เคยครองตำแหน่งที่เงินทองอุดมสมบูรณ์มาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะเคยรวยแบบพรวดพราดมาก่อน ก็คงต้องใช้เวลาสะสมทีละนิด คนที่ไร้เงินไร้อำนาจทั้งยังไม่มีโอกาสอะไร มีหรือที่จะรวบรวมทรัพยากรก้อนใหญ่ขนาดนี้ได้ง่ายๆ

ก่อนหน้านี้ที่อวิ๋นจือชิวนับของขวัญจากลั่วหม่างจอมพลสายวอกก็ถือว่าได้เยอะแล้ว เป็นของขวัญที่เยอะที่สุดที่นับได้ก่อนหน้านี้ ให้มาสิบล้านล้านผลึกแดง เท่ากับยาแก่นเซียนหนึ่งร้อยล้านเม็ด แต่ตระกูลเซี่ยโห้วกลับให้เยอะกว่าลั่วหม่างหนึ่งร้อยเท่า!

หน้าใหญ่ใจโตจนหน้าตกใจ!

เหมียวอี้เตรียมจะมอบให้เป็นน้ำใจกับลูกน้องเก่าหนึ่งหมื่นที่รอดชีวิต จะให้ยาแก่นเซียนคนละหนึ่งล้านเม็ด หนึ่งหมื่นคนก็เท่ากับหนึ่งหมื่นล้านเม็ด การจ่ายครั้งนี้ของตระกูลเซี่ยโห้ว สามารถเติมส่วนที่ขาดได้ภายในรวดเดียว ตอนนี้นับว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมอวิ๋นจือชิวถึงบอกว่าไม่ต้องแล้ว เพราะของขวัญส่วนนี้ของตระกูลเซี่ยโห้วก็เพียงพอแล้ว

อวิ๋นจือชิวที่สวมชุดเจ้าสาวสีแดงลุกขึ้นยืน แล้วถามอย่างตกใจปนประหลาดใจว่า “เจ้าแอบมีความสัมพันธ์อันดับกับตระกูลเซี่ยโห้วเหรอ? ทำไมไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงเลยล่ะ?”

เหมียวอี้ส่ายหน้าเงียบๆ ทำท่าเหมือนคิดไปร้อยตลบแต่ก็ยังไม่เข้าใจ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตระกูลเซี่ยโห้วถึงมอบของขวัญให้แพงขนาดนี้ ข้ากับตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้มีความสนิทสนมอะไรกัน ไม่ได้ไปมาหาสู่กันด้วย ต่อให้จะส่งของขวัญ แต่ก็ควรส่งให้ถึงมือตระกูลโค่วสิ ถ้าส่งให้ตระกูลโค่ว ของขวัญส่วนนี้ก็ไม่ได้นับว่ามากมายอะไร แต้ถ้าให้ข้าแบบนี้…พวกเขาส่งผิดรึเปล่า ที่จริงแล้วอยากจะส่งให้ตระกูลเซี่ยโห้ว แต่กลับส่งมาให้ที่มือพวกเรา”

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วมุ่น “ด้วยความสามารถในการทำงานของตระกูลเซี่ยโห้ว ไม่ถึงขั้นส่งของขวัญผิดหรอกมั้ง”

เหมียวอี้พยักหน้า แต่ก็ยังไม่วางใจ บอกเชียนเอ๋อร์ว่า “เชียนเอ๋อร์ เจ้าไปสืบดูหน่อย ถามหน่อยว่ามีอะไรเข้าใจผิดกันรึเปล่า”

“ค่ะ!” เชียนเอ๋อร์เอ่ยรับแล้วออกไป

สามคนที่อยู่ในห้องรอไม่นาน เชียนเอ๋อร์ก็กลับมารายงานว่า “นายท่าน ฮูหยิน ทางตระกูลโค่วบอกว่าได้รับของขวัญจากตระกูลเซี่ยโห้วเรียบร้อยแล้วค่ะ”

เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมองหน้ากันเลิกลั่ก อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วพึมพำว่า “การให้ครั้งนี้ของตระกูลเซี่ยโห้วทำให้คนมองไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ว่าจะมองยังไงก็คล้ายกับอยากจะสานสัมพันธ์กับพวกเรา แต่ตามหลักการแล้ว ใช่ว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเราเป็นคนของตระกูลโค่ว ขอเพียงคสามสัมพันธ์ของเขากับตระกูลโค่วได้ที่แล้ว ฝั่งพวกเราก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่การให้ของขวัญมากมายกับพวกเราเงียบๆ แบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ?”

เหมียวอี้ก็ไตร่ตรองดูเช่นกัน แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าบอกว่า “คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว จะมีเจตนาอะไรก็รอดูต่อไปแล้วกัน ในเมื่อตระกูลเซี่ยโห้วทำอย่างนี้ ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวจุดประสงค์ก็จะเผยออกมา” เขาโบกตั๋วแลกเงินในมือ “แต่กำลังทรัพย์ของตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ธรรมดาจริงๆ สำหรับตระกูลเซี่ยโห้วที่ผูกขาดการค้าใต้ดิน เงินเล็กน้อยแค่นี้ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไรหรอก! เออใช่ เทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนไม่ได้ส่งของขวัญมาให้เหรอ?”

“ระวังเกินไปแล้ว ทางนั้นระวังตัวมาก ไม่ได้ให้ของขวัญมา น่าจะส่งไปให้ตระกูลโค่วแล้ว” อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า

เหมียวอี้ยัดตั๋วแลกเงินใส่มืออวิ๋นจือชิว “ในเมื่อมีเงินก้อนนี้แล้ว ก็รบกวนฮูหยินจัดการเรื่องลูกน้องเก่าหมื่นกว่าคนพวกนั้นหน่อย พยายามส่งไปให้ถึงมือพวกเขาให้ได้ ข้ารู้ว่าพวกเรากำลังขัดสน แต่เรื่องที่น่านฟ้าระกาติงทำให้ข้ารู้สึกผิดต่อพวกเขาจริงๆ พวกที่รบตายไปแล้ว ข้าไม่มีความสามารถจะชดเชยให้พวกเขาได้ ทำได้แค่แสดงน้ำใจเพื่อให้ตัวเองสงบใจก็แล้วกัน”

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ “เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายกับข้าหรอก ข้าไม่ได้บอกว่าไม่อยากทำเสียหน่อย ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า ข้าก็แค่อยากจะเตือนเจ้าสักหน่อย ว่าพวกเรายังไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงทัพใหญ่ ดูแลได้แค่ครั้งนี้ แต่ครั้งต่อไปทำไม่ได้แล้ว หวังว่าเจ้าจะมีแผนในใจ”

เหมียวอี้พยักหน้าเงียบๆ “ข้ายังต้องอยู่ที่นี่อีกหนึ่งร้อยปี ค่าใช้จ่ายในหนึ่งร้อยปีนี้ไม่ใช่น้อยๆ ถ้าขัดสนจริงๆ เจ้าลองดูว่าจะหาทางปล่อยขายยาเจี๋ยตันเม็ดนั้นกับสมุนไพรเทพต้นนั้นไปก่อนได้รึเปล่า? ทางตลาดมืด…”

อวิ๋นจือชิวปฏิเสธลูกเดียว “ไม่ได้! สมุนไพรเซียนที่เจ้าได้มากจากแดนอเวจี ส่วนใหญ่ข้าเอาไปปล่อยขายที่ตลาดมืดแล้ว แต่ของสองสิ่งนั้นไม่มีทางปล่อยขายได้เลย นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะซื้อขายกันได้ ถ้าไม่ได้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พอปล่อยขายออกไปก็จะทำให้คนสงสัย ถ้าไม่ถึงขั้นเอาสมบัติเก่ามากินจนหมดจริงๆ พวกเราก็ต้องเหลือสมบัติรองหีบไว้เป็นทางหนีทีไล่สักหน่อยสิ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ของขวัญที่อยู่ในมือยังประคองไปได้สักระยะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ข้าก็จะหยุดใช้ยาเจี๋ยตันกับตั๊กแตนชั่วคราว ให้พวกมันพ่นผลึกสกัดบริสุทธิ์เอาไว้ขายสักหน่อย ยังพอหมุนเงินไหว เจ้าไม่ต้องคิดมากแล้ว เรื่องในบ้านข้าคิดหาทางได้เอง” พูดจบก็หันตัวไปบอกให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์นับของขวัญต่อไป หลังจากนับเสร็จก็ต้องบันทึกไว้ทุกรายการ ในภายหลังจะต้องให้ของขวัญคืน

เหมียวอี้ยืนดูอยู่ข้างๆ ยืนดูใบหน้าด้านข้างที่งดงามของอวิ๋นจือชิว ทำให้เขาใจลอยโดยไม่รู้ตัว ความคิดลอยไปที่ตัวหวงฝู่จวินโหรว เรื่องเงินไม่ได้ทำให้เขาคิดมากเลย แต่ไม่รู้ว่าถ้าหวงฝู่จวินโหรวรู้ว่าเขากับอวิ๋นจือชิวอยู่ด้วยกัน นางจะรู้สึกอย่างไร…

ชั่วขณะนั้นเขาคิดจนเหม่อลอยเล็กน้อย นับของขวัญเสร็จตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ถอยออกไปตั้งแต่เมื่อไรก็ยังไม่รู้เลย

หลังจากเรียกสติกลับมาแล้ว เขาก็พบว่าอวิ๋นจือชิวกำลังมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักความสงสาร เขาจึงอดขำไม่ได้ “บนหน้าข้ามีดอกไม้บานเหรอ? มองข้าแบบนี้ทำไม?”

อวิ๋นจือชิวไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังคิดอะไรอยู่ แต่เห็นเหมียวอี้มีสีหน้ากังวลจางๆ อย่างที่เห็นได้ไม่บ่อย นางนึกว่าเขากำลังกังวลเรื่องเงิน นี่ก็คือสาเหตุที่นางไม่รีบบอกเหมียวอี้ว่าขัดสนเงินทอง นางกลัวว่าเขาจะบุ่มบ่ามไปเสี่ยงอันตรายอะไรอีกเพื่อเงิน

“กำลังคิดเรื่องเงินเหรอ?” อวิ๋นจือชิวเอ่ยถามเสียงเบา

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ด้วยเส้นสายของข้าในตอนนี้ เงินถือเป็นเรื่องเล็กแล้ว หกลัทธิสะสมเงินอยู่ข้างนอกมาหลายปี เอามาจากพวกเขานิดหน่อยก็ไม่น่าจะมีปัญหา ข้าแค่กำลังคิดว่าต่อไปจะทำยังไงดี ตกอยู่ในการต่อสู้ของบุคคลระดับสูงในตำหนักสวรรค์ คงมีเรื่องมากมายที่ทำตามใจตัวเองไม่ได้”

อวิ๋นจือชิวเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าบอกเจ้าว่าอย่าทำซี้ซั้ว เจ้าก็ไม่ฟัง ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ก็ทำได้แค่ค่อยๆ ดูไปทีละก้าว ด้วยความสามารถของพวกเรา ยังไม่มีทางวางแผนได้ไกลขนาดนั้น”

เหมียวอี้กอดปลอบใจนาง ดมกลิ่นหอมของผมนาง ทำอย่างนั้นเงียบๆ อยู่นานมาก บางทีอาจจะรู้สึกว่าบรรยากาศแบบนี้ไม่ค่อยดี จึงพูดหยอกข้างหูอวิ๋นจือชิวว่า “ร่างกายฮูหยินของขาดมานานแล้ว แล้วนี่ก็เป็นคืนเข้าห้องหอด้วย…”

อวิ๋นจือชิวเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าอกเขา ช้อนตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “ขนาดสี่อ๋องสวรรค์ยังอยากยกลูกสาวให้แต่งงานกับเจ้าเลย เจ้ายังมาชอบข้าได้อีกเหรอ? ข้าไม่มีทั้งเงิน ไม่มีทั้งอำนาจ หน้าตาก็ไม่ได้สวยมากมายเมื่ออยู่ที่พิภพใหญ่ ภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข จะไปเทียบกับก่วงเม่ยเอ๋อร์อะไรนั่นได้ยังไง ข้าเห็นนางที่พระตำหนักอุทยานแล้ว เรียกว่าสวยเย้ายวนแพรวพราวก็ได้ ขนาดผู้หญิงด้วยกันมองแล้วยังใจสั่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ชายเลย มิน่าล่ะหนิวเอ้อร์ของเราเลยหึงจนลงมือเพื่อนาง พูดจริงๆ เลยนะ ถ้าเจ้านึกเสียใจทีหลังก็ยังไม่สายหรอก ข้าจะหลีกทางให้ ไม่เป็นตัวถ่วงอนาคตของเจ้าหรอก”

เหมียวอี้ไถลมือจากแผ่นหลังลงไปข้างล่าง บีบแก้มก้นของนาง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “กองทัพนับหมื่นนับแสนนองเลือดเป็นแม่น้ำเพื่อเจ้า หัวคนหลายแสนร่วงลงพื้นเพื่อเจ้า ยังทำให้ฮูหยินยิ้มสักครั้งไม่ได้เชียวเหรอ? อย่าบอกนะว่าแบบนี้ยังพิสูจน์ความจริงใจของข้าไม่ได้อีก?”

ชั่วพริบตานั้น อวิ๋นจือชิวน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งแล้ว นางเขย่งปลายเท้า เป็นฝ่ายส่งริมฝีปากแดงไปหาเขาก่อน

เหมียวอี้ก้มหน้าลงประกบริมฝีปาก สองร่างคลอเคล้าอยู่ด้วยกัน อยากจะรวมเข้าไปอยู่ในร่างของอีกฝ่ายใจจะขาด ความรักเข้มข้นลึกซึ้ง เหมียวอี้โน้มตัวอุ้มนางขึ้นมา แล้วโถมทับลงบนเตียง กลิ้งไปกลิ้งมา เสื้อผ้าปลิวว่อน ในที่สุดก็ได้เห็นทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิในโถน้ำผึ้ง ท่านขุนนางเหมียวดื่มด่ำตามอำเภอใจ

แสงเทียนสีแดงส่องสว่างในห้อง…

ตอนเที่ยงคืน อวิ๋นจือชิวที่ยังทำสีหน้าออดอ้อนไม่หายกำลังนอนกอดเหมียวอี้อย่างเกียจคร้าน อดไม่ได้ที่จะถามเรื่องที่เหมียวอี้ประสบในแดนมรณะดึกดำบรรพ์

พอพูดถึงเรื่องนี้ เหมียวอี้ก็นึกอะไรบางอย่างได้ ดึงอวิ๋นจือชิวขึ้นมานั่งขัดสมาธิ นั่งหันหน้าชนกัน

การมองหน้ากันในท่านี้ขณะที่ร่างกายเปลือยเปล่า อวิ๋นจือชิวยังไม่ค่อยคุ้นชิน เอามือสองข้างปิดหน้าอก แล้วถลึงตาถามว่า “อยากจะเล่นลูกไม้แบบไหนอีกล่ะ?”

“แบบที่ประหยัดทรัพยากรไง!” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ แล้วโบกมือเรียกลูกแก้วพลังปรารถนาให้ลอยอยู่กลางอากาศ

ลูกแก้วพลังปรารถนาในมือเดิมทีหายไปแล้ว โชคดีที่ตอนหลังเวินเจ๋อนำค่าจ้างภายในหนึ่งพันปีนั้นมาส่งให้

ผ่านไปไม่นาน ร่างเปลือยทั้งสองที่นั่งอยู่บนเตียงก็ถูกปกคลุมไปด้วยพลังจิตวิญญาณเข้มข้น ข้างในมีเสียงพึมพำของทั้งสองดังมา “เป็นยังไงบ้าง?” ในที่สุดก็ทำให้อวิ๋นจือชิวร้องอุทานอย่างประหลาดใจแล้ว…

หลังจากวันแต่งงาน เหมียวอี้ก็ไม่สามารถออกจากอุทยานหลวงได้ ตระกูลโค่วก็เตรียมเรือนพักให้อวิ๋นจือชิวที่อุทยานหลวงชั่วคราวเช่นกัน ตอนนี้อวิ๋นจือชิวกลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของโค่วหลิงซวีแล้ว จะอยู๋ที่เรือนพักเดี่ยวก็ไม่มีใครว่าอะไร ถือว่าให้ทั้งสองคนได้เจอกันได้สะดวก

สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ปวดหัวก็คือ ตอนนี้เขาต้องขยันยืนเฝ้ายามมากขึ้นหน่อย ทุกวันนี้สนมสวรรค์หรูอี้มักจะมาทำนาที่อุทยานหลวงบ่อยๆ สิ่งที่ทำให้เขาพูกไม่ออกก็คือ จ้านหรูอี้มักจะเรียกใช้เขาบ่อยๆ ให้ไปช่วยนางทำงานเบ็ดเตล็ด ยกตัวอย่างเช่นยกถังน้ำให้นางรดน้ำต้นไม้

จ้านหรูอี้กลับไม่เก็บมาใส่ใจเลยสักนิด ท่าทางใจกว้างตรงไปตรงมา แต่แบบนี้กลับทำให้เหมียวอี้อกสั่นขวัญแขวน ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงไม่กลัวคนอื่นสงสัยสักนิดเลยล่ะ อย่ามาทำร้ายข้านะ!

แต่ก็ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขาเป็นเพียงนายทหารเล็กๆ สนมสวรรค์สั่งให้เขาทำงาน เขาจะโวยวายใส่ได้เหรอ?

…………………………

“ข้าน้อยไม่ได้มีความเห็นต่างใดๆ!” ลั่วหม่างกุมหมัดคารวะ สายตาจ้องตรงไปที่ประมุขชิง พร้อมกล่าวอย่างเสียงดังฟังชัดว่า “ข้าน้อยรู้สึกเพียงว่า ควรแยกแยะการให้รางวัลและการทำโทษให้ชัดเจนถึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้อง ลูกชายข้าน้อยกระทำความผิด ข้าน้อยจะไม่เข้าข้าง จะยอมรับโทษ! ข้าน้อยไม่คิดด้วยว่าการที่หนิวโหย่วเต๋อทำร้ายลูกชายข้าน้อยจนบาดเจ็บเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าเรื่องไหนก็ต้องรู้จักแยกแยะเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน ถึงแม้หนิวโหย่วเต๋อจะเฝ้าที่นาหลวงผืนเล็กๆ แต่ก็ยอมผิดใจกับกลุ่มลูกหลานขุนนางเพื่อรักษาเกียรติของเหล่าพระสนม นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถทำได้ เรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างของการปฏิบัติหน้าที่อย่างจงรักภักดี ควรจะตบรางวัลอย่างงามถึงจะถูก! ข้าน้อยเสนอให้หนิวโหย่วเต๋อกลับคืนสู่ตำแหน่งขอรับ!”

“ข้าน้อยเห็นด้วย!”

“จอมพลลั่วพูดมีเหตุผล ข้าน้อยเห็นด้วย!”

“ข้าน้อยเห็นด้วย!”

ขุนนางในราชสำนักทยอยกันลุกขึ้นยืน นอกจากพวกลูกพี่ใหญ่ระดับบนสุด ส่วนใหญ่ขุนนางทั้งหมดก็ยืนขึ้นแสดงออกว่าเห็นด้วยกันหมด

พวกบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ตามมุมต่างๆ ไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน พอเห็นแบบนี้ก็ค่อนข้างตกตะลึงจนพูดไม่ออก คนฝั่งตระกูลโค่วไม่จำเป็นต้องพูดเองแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่ลูกน้องของตระกูลอิ๋งและตระกูลฮ่าวที่เสียเปรียบให้หนิวโหย่วเต๋อก็เห็นด้วยที่จะมอบรางวัลให้หนิวโหย่วเต๋อ กลุ่มขุนนางใหญ่รวมตัวกันขอรางวัลให้ทหารสวรรค์เกราะเงินหนึ่งแถบคนเดียวเนี่ยนะ แปลกประหลาดเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ แล้ว

ประมุขชิงสีหน้าเย็นเยียบทันที ในฐานะผู้ควบคุมราชสำนักนี้ สิ่งที่เขาไม่อยากเห็นที่สุดก็คือสถานการณ์ประเภทนี้ ไม่อยากเห็นพวกขุนนางเบื้องล่างมีความเห็นไปในทางเดียวกัน มีความเห็นที่แตกต่างมาให้เขาตัดสินในตอนสุดท้ายสิถึงจะเหมาะสมที่สุด ถ้าทุกคนมีความเห็นเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วมีราชันสวรรค์คนเดียวที่คัดค้าน ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาแล้วไม่มีแพะรับบาปเลยสักคน คนที่ตัดสินใจผิดพลาดก็จะมีแค่เขาคนเดียวแล้ว แบบนี้จะส่งผลต่อชื่อเสียงบารมีของเขามาก แน่นอนว่าเขาสามารถใช้อำนาจตัดสินคนเดียวได้ แต่การกุมอำนาจไว้คนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันง่ายๆ ขนาดนั้น ทำเป็นบางครั้งบางคราวยังพอได้ ไม่ใช่ทำกับทุกเรื่องแบบนี้

ประมุขชิงกวาดสายตาเย็นเยียบมองโค่วหลิงซวีที่ทำตัวสงบนิ่งใจเย็นราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ในใจเขารู้ชัดมาก ว่าตาแก่นี่ต้องเล่นตุกติกอยู่เบื้องหลังแน่นอน

ประมุขชิงแสยะยิ้มในใจ ตอนนี้ให้เจ้าลำพองใจไปก่อนเถอะ เดี๋ยวต่อไปได้ถึงคราวที่เจ้าลำพองใจไม่ออกแน่

ทำไมเขาถึงต้องให้หนิวโหย่วเต๋อไปเฝ้าที่อุทยานหลวงล่ะ ก็เพราะจะหาข้ออ้างในการลดตำแหน่งให้หนิวโหย่วเต๋อไปอยู่ที่อื่นไง

ในขณะนี้เอง โพ่จวินก็ยืนขึ้นช่วยประมุขชิงแก้ไขสถานการณ์ เขาแสยะยิ้มพร้อมบอกว่า “จะจัดการยังไงกับหนิวโหย่วเต๋อ ก็เป็นเรื่องของกองทัพองครักษ์ ทุกท่านมายุ่งมากไปหน่อยรึเปล่า?”

ลั่วหม่างตอบว่า “พวกเราไม่ได้บอกว่าจะไปยุ่งเรื่องของกองทัพองครักษ์ ข้าบอกไว้ชัดเจนมากแล้ว ว่าเป็นเพียงการเสนอความเห็น หรือว่าแค่วิจารณ์นิดหน่อยก็ทำไม่ได้? ถ้าพูดอะไรกับกองทัพองครักษ์ไมได้เลยสักนิด แบบนั้นจะเกินไปหน่อยรึเปล่า?”

อู๋ฉวี่ยืนขึ้นอีก…

การเถียงกันนี้ทำให้เกิดความเห็นที่แตกต่างกันแล้ว สุดท้ายงานเลี้ยงอุทยานที่จัดหนึ่งครั้งต่อหนึ่งพันปีก็จบลงอย่างไม่รื่นเริง สรุปก็คือพองานเลี้ยงจบลง ประมุขชิงก็หมดสนุกที่จะไปเที่ยวชมอุทยานแล้ว กลับวังสวรรค์โดยตรงเลย

และที่นอกพระตำหนักอุทยาน เสียงกรีดร้องก็ดังเป็นแถบๆ ลูกหลานขุนนางที่ไม่ได้ตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย แต่ละคนถูกแส้เฆี่ยนจนจะเป็นจะตาย รสชาตินี้ทำให้พวกเขาลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต

ส่วนการเลื่อนตำแหน่งกลับของเหมียวอี้ก็เป็นไปไม่ได้ เกิดความเห็นต่างในการถกเถียง ประมุขชิงจึงมีข้ออ้างในการตัดสิน หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของกองทัพองครักษ์ ควรจะจัดการอย่างไรเดี๋ยวกองทัพองครักษ์จะจัดการเอง ทหารสวรรค์เกราะเงินเล็กๆ คนเดียวไม่มีค่าพอให้กลุ่มขุนนางใหญ่ถกเถียงเหมือนเป็นเรื่องใหญ่

แต่ขุนนางกลุ่มนั้นก็พูดจามีเหตุผลจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อปฏิบัติหน้าที่เฝ้าที่นาหลวงอย่างเต็มความสามารถถือว่ามีความดีความชอบจริงๆ มีผลงานแล้วให้รางวัลก็ถือเป็นหลักการปกติ

ดังนั้นในตอนที่คนกลุ่มนี้โดนแส่เฆี่ยนลงโทษ กองทัพองครักษ์ก็ออกคำสั่งเลื่อนตำแหน่งเหมียวอี้แล้ว จะให้กลับไปตำแหน่งเดิมก็คงเป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรกลุ่มขุนนางใหญ่ก็เอ่ยปากแล้ว ประมุขชิงเองก็ไม่ตระหนี่ใจแคบ เลื่อนยศจากเกราะเงินหนึ่งแถบเป็นเกราะเงินสองแถบก็จะน่าหัวเราะเยาะ การรักษาเกียรติของเหล่าพระสนมมีค่าแค่นี้เองหรือ? ดังนั้นจึงเลื่อนให้หกขั้นในรวดเดียว เลื่อนเป็นทหารสวรรค์เกราะดำหนึ่งแถบ

แน่นอน การเลื่อนขั้นแบบนี้ไม่มีความหมายใดๆ สำหรับเหมียวอี้ เกราะเงินหนึ่งแถบกับเกราะดำหนึ่งแถบมีความหมายสำหรับเขาด้วยเหรอ? อย่างน้อยโทษของเขาก็ยังไม่ได้ถูกยกเลิก ยังคงต้องยืนเฝ้ายามตรงที่นาหลวงต่อไป

ประมุขชิงยอมเลื่อนยศให้เหมียวอี้ แต่ก็ไม่ให้เขาไปหาฝั่งโค่วหลิงซวีในตอนนี้อยู่ดี

พอคำสั่งมาถึงกองมังกรดำ พวกมู่อวี่เหลียนก็พูดไม่ออก ตอนลดยศโดนลดไปสิบยี่สิบขั้น พอเลื่อนยศก็เลื่อนรวดเดียวหกขั้นเลย ความเร็วในการเลื่อนขึ้นเลื่อนลงราวกับเป็นของเด็กเล่น ที่สำคัญคือฆ่าลูกหลานขุนนางขั้นสูงไปมากขนาดนั้นแล้วยังได้เลื่อนยศอีก พวกมู่อวี่เหลียนทอดถอนใจอย่างตกตะลึง การพลิกฟ้าคว่ำฝนเรื่องราวต่างๆ ของพวกลูกพี่ใหญ่เบื้องบน คนเบื้องล่างเห็นแล้วไม่เข้าใจจริงๆ

แน่นอน มีอยู่จุดหนึ่งที่ทุกคนล้วนเข้าใจ ว่าถ้าไม่มีตระกูลโค่วคอยวิ่งเต้นอยู่เบื้องหลัง ก็เป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะได้เลื่อนยศขึ้นเร็วขนาดนี้

หลังจากตัดสินเรื่องนี้จบแล้ว อวิ๋นจือชิวถึงได้รู้ว่าในระหว่างนั้นเกิดเรื่องราวที่อันตรายขนาดนี้ขึ้น ถึงได้รู้ว่าเหมียวอี้อยู่ที่อุทยานหลวงก็ไม่ปลอดภัย นางเรียกได้ว่าอกสั่นขวัญแขวน

ไม่ว่าจะอย่างไร หลังจากผ่านเรื่องครั้งนี้ไปแล้ว พวกลูกหลานไม่เอาถ่านของตระกูลขุนนางผู้มีอำนาจในตำหนักสวรรค์ก็นับว่าได้รับรู้ถึงความโหดของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนฆ่าลูกหลานขุนนางชั้นสูงมากมายขนาดนี้แล้วยังได้เลื่อนยศ ไม่มีใครกล้าไปหาเรื่องอีก แต่จะว่าไปแล้ว เมื่อได้เห็นความสามารถของลูกหลานไม่เอาถ่านของขุนนางพวกนั้น ก็ไม่มีใครให้พวกเขาไปประมือกับหนิวโหย่วเต๋ออีก เพราะเป็นคู่ต่อสู้ที่อยู่กันคนละระดับเลย เป็นพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ!

ตระกูลอิ๋งและตระกูลฮ่าวนับว่าโดนลูกหลานตัวเองวางกับดักแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ ลูกหลานพวกนั้นต้องลำบากขื่นขมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ค่าจ้างที่ให้พวกเขาก็ลดลงเยอะมาก บางคนถึงขั้นถูกลดตำแหน่งให้ไปเป็นเทพแห่งภูผากับเทพแห่งผืนดินเลย นับว่ามีเจตนาจะฝึกฝนก็ได้

ไม่ฝึกฝนไม่ได้หรอก หลังจากผ่านเรื่องครั้งนี้ไปแล้ว ถึงแม้จะเคยเห็นคนไร้ประโยชน์ แต่ก็ไม่เคยเห็นใครไร้ประโยชน์ขนาดนี้เลย แต่ละตระกูลทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว

หลังจากจบงานเลี้ยงอุทยาน สิ่งที่ตามมาติดๆ ก็คืองานแต่งงานของเหมียวอี้และอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้ไม่สามารถออกจากอุทยานหลวงได้ สถานที่จัดงานก็คือเรือนพักตากอากาศของตระกูลโค่ว

ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าอวิ๋นจือชิวในวันนี้เปล่งประกายสดใสเป็นพิเศษ

สำหรับทั้งสองที่เป็นสามีภรรยากันมาตั้งแต่แรก บรรยากาศงานมงคลคึกคักก็ย่อมไม่ต้องเอ่ยถึงเช่นกัน

แขกผู้มีเกียรติก็ต้องมีเป็นธรรมดาอยู่แล้ว นอกจากคนของกองทัพองครักษ์ คนบางกลุ่มที่เหมียวอี้รู้จักก็มาที่อุทยานหลวงไม่ได้อยู่ดี

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ งานแต่งงานนี้คือเวทีหลักของตระกูลโค่ว ไม่ว่าจะมีบุญคุณความแค้นอะไรกัน แต่ภายนอกก็ยังมองหน้ากันติด สี่อ๋องสวรรค์รวมทั้งเซี่ยโห้วท่ามารวมงานแล้ว พวกขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็มาแล้วเช่นกัน ขนาดประมุขชิงกับราชินีสวรรค์ก็ยังโผล่หน้ามาด้วยเลย เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่อลังการสุดๆ

ส่วนสายของตระกูลโค่วก็มากันหมดตั้งแต่ข้างล่างยันข้างบน ส่วนคนที่มาอุทยานหลวงไม่ได้ ตระกูลโค่วก็จัดงานเลี้ยงแยกให้ที่จวนท่านอ๋อง แค่รับของขวัญแต่งงานอย่างเดียว ก็เป็นจำนวนที่เยอะจนน่าตกใจแล้ว แค่รางวัลที่วังสวรรค์ประทานให้ก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แล้ว

เพียงแต่ธรรมเนียมก็มีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว แขกในงานพุ่งเป้ามาที่ตระกูลโค่ว ส่วนแบ่งนั้นยกให้ตระกูลโค่วทั้งหมด นั่นเป็นส่วนที่ตระกูลโค่วต้องให้ของขวัญคืนในภายหลัง ส่วนคนที่พุ่งเป้ามาหาเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิว ก็จะแบ่งส่วนแบ่งให้ทั้งสอง โชคดีที่วังสวรรค์ประทานรางวัลให้บ่าวสาวคู่นี้ด้วย

จอมพลสายวอกลั่วหม่าง ก็ได้มอบของขวัญล้ำค่าให้บ่าวสาวคู่นี้อย่างเงียบๆ เช่นกัน เป็นของขวัญที่ค่อนข้างล้ำค่า ล้ำค่าจนทำให้เหมียวอี้กับตกตะลึงอยู่บ้าง แต่ทั้งสองก็พอจะเข้าใจได้ คาดว่าคงเป็นเพราะเหมียวอี้ไว้ชีวิตลั่วกุย แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสองตกตะลึงอย่างแท้จริงก็คือ สนมสวรรค์หรูอี้ได้ประทานของขวัญที่ค่อนข้างล้ำค่าให้

โพ่จวินผู้บัญชาการองครักษ์ของหน่วยองครักษ์ซ้ายมอบของขวัญให้ไม่น้อยเลย ฮวาอี้เทียนก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน ส่วนของขวัญที่อวี่จ้งเจินให้ก็เยอะกว่าของคนทั่วไป

สมาชิกกองมังกรดำที่โดนจับแยกไปก็ให้มู่อวี่เหลียนรวบรวมของขวัญมามอบให้เพื่อแสดงน้ำใจ สมาชิกกองมังกรดำในปัจจุบันก็รวมของขวัญมามอบให้เช่นกัน

ในเรือนหอ พิธีทุกอย่างก็ข้ามไปได้เลย ทำให้คนนอกดูพอเป็นพิธีก็พอแล้ว พิธีในห้องหอที่ไม่มีใครเห็นก็ปล่อยผ่านเช่นกัน

อวิ๋นจือชิวถอดมงกุฏหงส์และผ้าคลุมหน้าไว้อีกข้าง ตอนนี้กำลังนำเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ตรวจนับจำนวนของขวัญ

ตระกูลโค่วก็รู้เช่นกันว่าเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เป็นคนที่อวิ๋นจือชิวเรียกใช้งานจนชินแล้ว ดังนั้นก็ไม่ต้องใช้สาวใช้คนอื่นให้แต่งงานตามไปแล้ว พวกเขาตั้งใจช่วยอวิ๋นจือชิวดึงตัวสาวใช้สองคนนี้มา วันนี้นับว่าสองสาวได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่ไปด้วย ไม่เพียงแค่ได้เห็นขุนนางใหญ่เต็มตำหนักสวรรค์ ทั้งยังได้เห็นราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ด้วย

ขณะมองดูอวิ๋นจือชิวโยนมงกุฎทิ้งและทำท่าทางร้อนใจอยากนับของขวัญ เหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาเดินมาข้างหลังนาง ประคองบ่าสองข้างของนาง แล้วบอกว่า “ข้าว่านะฮูหยิน เจ้าไม่เคยเห็นเงินเหรอ? มีทิวทัศน์งดงามเป็นใจขนาดนี้ เจ้าดันไม่ปรนนิบัติข้าให้ดีๆ มัวมานับของทำไม? ไร้รสนิยมไปหน่อยรึเปล่า!”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ เม้มปากแอบขำพร้อมกัน

อวิ๋นจือชิวหันกลับมากลอกตาใส่เขาแวบหนึ่ง “เจ้าไม่ได้เป็นคนดูแลบ้าน ไม่รู้หรอกว่าข้าวของแพงขนาดไหน เจ้ารู้รึเปล่าว่าการเลี้ยงตั๊กแตนพวกนั้นในแต่ละปีหมดเงินเท่าไร? หรือว่าเจ้าจะตัดสัมพันธ์กับอนุภรรยาพวกนั้นจริงๆ? ที่ควรต้องให้ทุกปีก็ยังต้องให้ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเป็นผู้ชายไปทำไม? พวกช่างไม้ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ที่พิภพเล็กเดี๋ยวเจ้าก็คิดถึงคนนั้นเดี๋ยวก็คิดถึงคนนี้ พอคิดถึงสหายคนนี้ก็ให้ข้ามอบเงินให้สักหน่อย วรยุทธ์ของทุกคนก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทางเยารั่วเซียนเอะอะเดี๋ยวก็ขอของขวิเศษจากพิภพใหญ่ไปศึกษา มีอะไรบ้างที่ไม่ต้องใช้เงิน หลายปีผ่านไปขนาดนี้แล้ว รายได้ของพวกเรายิ่งน้อยลงเรื่อยๆ แต่ค่าใช้จ่ายกลับมากขึ้นเรื่อยๆ เกราะรบผลึกแดงที่เจ้าโยนให้พวกลูกน้องในศึกน่านฟ้าระกาติง เจ้าก็ไม่ทวงคืน แต่นี่ก็คือสิ่งที่สมควร ข้าไม่สะดวกจะว่าอะไร ก่อนหน้านี้เจ้าก็รวบรวมทรัพยากรก้อนใหญ่ให้ลูกน้องร่วมศึกน่านฟ้าระกาติงที่รอดชีวิต ทั้งยังพยามส่งให้ถึงมือทุกคนด้วย หนึ่งหมื่นกว่าคน แต่ละคนเจ้าก็ไม่ยอมให้นิดเดียว เจ้าไม่ลองคิดดูบ้างล่ะว่าเป็นเงินจำนวนมากขนาดไหน อ้าปากก็จะขอ เจ้านี่ยิ่งนับวันจะยิ่งมือเติบใจกว้างแล้วนะ รู้รึเปล่าว่าข้าไม่ได้ใช้เงินเยอะขนาดนั้นเลย แล้วข้าก็ไม่สะดวกจะว่าเจ้าด้วย ทำได้เพียงกัดฟันรวบรวมจากตรงนั้นทีตรงนี้ที ขนาดของขวัญแรกพบที่ตระกูลโค่วให้ข้ามา ข้าก็ยังเอารวมไว้ด้วยกันเลย เครื่องประดับที่ขายให้วังสวรรค์ครั้งนี้ก็นับรวมไปด้วย แต่ก็ยังขาดอีกไม่น้อย แล้วข้าก็ยังต้องเตรียมทรัพยากรเพื่อช่วยให้เจ้าบรรลุระดับบงกชรุ้งขั้นสองอีก มีอันไหนบ้างที่ไม่ต้องใช้เงิน ตอนนี้ค่อยยังชั่วหน่อย พอจะมีชดเชยกลับบ้างแล้ว นับว่าแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของข้าได้แล้ว ในที่สุดข้าก็สามารถเอ่ยปากพูดเรื่องนี้กับเจ้าได้แล้ว”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์แอบมองเหมียวอี้เงียบๆ แวบหนึ่ง ที่จริงพวกนางก็ติดตามทำงานอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว เข้าใจความลำบากยากแค้นในตอนนี้ดีมาก รายได้ปัจจุบันของนายท่านไม่เพียงพอกับพฤติกรรมมือเติบและค่าใช้จ่ายมหาศาลของนายท่านเลย นั่งกินนอนกินสมบัติเก่ามาตลอด หลายปีก่อนเป็นกังวลมาก กำไรที่ฮูหยินได้จากการเปิดร้านก็ชดเชยไปหมดแล้ว ตอนนี้ยังรวบรวมทรัพยากรก้อนใหญ่ขนาดนั้นไปให้กำลังพลนับหมื่นในรวดเดียวอีก ฮูหยินเลยจำต้องแข็งใจหน้าด้านไปขอรวบรวมเงินจากอวิ๋นอ้าวเทียน แต่ฮูหยินก็ดันไม่ให้พวกนางบอกนายท่านด้วย บอกว่านายท่านอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่ปกติ อย่าทำให้นายท่านเสียสมาธิ เดี๋ยวทางนี้จะคิดหาวิธีหารายได้ช่องทางอื่นเอง

“ลำบากฮูหยินแล้ว” เหมียวอี้ตบบ่าอวิ๋นจือชิวเบาๆ อย่างปลงอนิจจัง แต่เขาก็ไม่ได้เห็นด้วยกับนาง “ตอนนี้โดนขังอยู่ที่อุทยานหลวง ก็เลยไม่มีทางเลือก เดี๋ยวข้าคิดหาทางอีกที ของสำหรับกำลังพลหนึ่งหมื่นนั้นจะน้อยไม่ได้ เจ้าพยายามคิดหาทางรวบรวมเงินแล้วส่งไปให้พวกเขาหน่อย ถ้ามีตรงไหนที่ขาดหรือขาดเท่าไร ก็บอกข้ามาได้เลย”

“คงไม่ต้องแล้ว…” อวิ๋นจือชิวทำท่าตกตะลึงนิดหน่อย หันหน้ามาช้าๆ ชูกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งขึ้นมา “ของขวัญจากตระกูลเซี่ยโห้ว!”

…………………………

ลั่วกุยที่โดนตบจนล้มลงพื้นโง่ไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้โง่บริสุทธ์ ในฐานะคนเป็นพ่อ เมื่อรู้ว่าเขาไม่ฉลาดจึงสาธิตให้เขาดูอย่างชัดเจนขนาดนี้ด้วยตัวเอง ถ้าเขายังไม่เข้าใจอีก เช่นนั้นก็เอาหัวโขกพื้นให้ตายไปได้เลย

ขณะมองดูกิ่งไม้หักที่อยู่ตรงหน้า ลั่วกุยก็โมโหจนหน้าแดงก่ำ ตอนนี้เข้าใจแล้ว โดนคนอื่นปั่นหัวราวกับเป็นคนโง่แล้ว

ลั่วหม่างหันกลับมามองแวบหนึ่ง “โมโหแล้วจะมีประโยชน์อะไร…ดูแลลูกชายเจ้าให้ดี เสียเปรียบแล้วก็ต้องได้บทเรียน อย่าเลือดร้อนจนก่อเรื่อง”

ถงเหลียนซีเดินเข้ามา นั่งยองๆ ข้างกายลูกชาย จับศีรษะลูกชายที่โมโหจนพูดอะไรไม่ออกมาไว้ในอ้อมกอดตัวเอง เอามือลูบใบหน้าลูกชายเพื่อปลอบใจไม่หยุด เมื่อเห็นลูกชายเป็นแบบนี้ ก็รู้ว่าคนอื่นรังแกเพราะลูกชายโง่ มาปั่นหัวเล่นเหมือนคนโง่ ในใจนางเป็นทุกข์มาก รู้สึกเป็นทุกข์มากจริงๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะในปีนั้นจอมพลโดนลอบสังหารแล้วนางดันทุรังมาขวางตรงหน้าให้จอมพล ลูกชายก็คงไม่เป็นแบบนี้ ตอนนั้นนางกำลังตั้งครรภ์ ผลปรากฏว่าหลังจากคลอดลูกชายออกมาแล้วก็พบว่าเป็นคนโง่คนหนึ่ง จอมพลต้องใช้ทรัพยากรไปไม่น้อยกว่าจะปรับให้เป็นผู้เป็นคนได้ เพียงแต่สติปัญหาก็ยังได้รับผลกระทบอยู่บ้าง

แต่ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง จอมพลจึงรู้สึกผิดต่อนางและลูกชาย ถึงแม้นางจะเป็นแค่อนุภรรยา ถึงแม้ลูกชายจะเป็นแค่ลูกชายอนุภรรยา แต่จอมพลก็ดูแลดี คนในบ้านไม่มีใครกล้ามารังแกสองแม่ลูก นางรู้ว่าจอมพลคิดเตรียมการเพื่ออนาคต หวังจะให้ลูกชายแต่งงานกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของอ๋องสวรรค์ก่วง เพียงแต่เรื่องนี้เป็นไปได้ยาก สภาพของลูกชายก็เห็นๆ กันอยู่

ขณะที่มองดูสองแม่ลูก พ่อบ้านหลางจวี๋ก็ถอนหายใจเบาๆ เดินมาข้างกายลั่วหม่างแล้วพูดต่อว่า “ดูจากสถานการณ์แล้ว หนิวโหย่วเต๋อกล้าฆ่าแม้กระทั่งหลานชายของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ลูกชายลูกสาวของจอมพล เทพประจำดาว ท่านโหวก็ไม่ปล่อยไป ถึงขั้นใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงด้วย ไว้ชีวิตเพียงนายน้อยที่ออกหน้ามาอยู่ใกล้สุด แค่จับเป็นนนายน้อยเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าเขามองออกว่านายน้อยโดนหลอกใช้ เขาใจกว้างไว้หน้าจอมพลจริงๆ ขอรับ”

ลั่วหม่างพยักหน้าเบาๆ “เมื่อก่อนข้านึกว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้กำเริบเสิบสานเกินไป พอมาดูตอนนี้แล้ว เขาก็ไม่ใช่คนที่ทำอะไรซี้ซั้วเช่นกัน เป็นคนรู้จักบันยะบันยังที่สุด ถ้าใครไม่รังแกเขา เขาก็ไม่รังแกใคร แต่ถ้าใครรังแกเขา เขาก็จะต้องเอาคืน ครั้งนี้ลั่วกุยเป็นฝ่ายไปหาเรื่องเขาก่อน แต่เขากลับปล่อยไป!”

หลางจวี๋บอกว่า “การที่ผลักนายน้อยมาอยู่ข้างหน้า ก็เพราะจะกดดันให้หนิวโหย่วเต๋อฆ่านายน้อย คนพวกนั้นจิตใจชั่วร้ายทีเดียว! ถ้าไม่ใช่เพราะหนิวโหย่วเต๋อมองเงื่อนงำออกแล้วปล่อยนายน้อยไป ถ้าเกิดเรื่องกับนายน้อยขึ้นมา ฝั่งจอมพลก็จะไม่มีหลักฐานเพราะคนตายไปแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนแบบนี้ จะต้องโยงให้เกิดการปะทะระหว่างท่านอ๋องและตระกูลโค่วแน่นอน ให้โอกาสคนพวกนั้นหลอกใช้แล้ว”

“เบาะแสของเรื่องราวในครั้งนี้ เกรงว่าท่านอ๋องที่รักลูกสาวก็โดนวางกับดักแล้วเช่นกัน ไม่อย่างนั้นจะบังเอิญขนาดนี้เหรอ ต้นเหตุของเรื่องนี้เป็นอ๋องสวรรค์กับข้าพอดี ไม่รู้ว่าทางท่านอ๋องจะรู้ตัวรึยัง” ลั่วหม่างกล่าว

“จะต้องสังเกตเห็นแล้วแน่นอน ฝั่งท่านอ๋องจะสืบให้ชัดเจนแน่นอนขอรับ” หลางจวี๋กล่าว

ลั่วหม่างแสยะยิ้ม “ครั้งนี้พวกเขาเป็นฝ่ายทำลายธรรมเนียมก่อนนะ พวกเขาทำได้ ข้าก็ทำได้เหมือนกัน ไม่จริงใจต่อกันมากพอ ก็อย่าหาว่าข้าทำให้พวกเขาขาดลูกหลานสืบสกุลก็แล้วกัน!”

หลางจวี๋พยักหน้า “งานเลี้ยงยังไม่จบ จอมพลไปดูความเคลื่อนไหวที่พระตำหนักอุทยานก่อนแลวค่อยตัดสินใจดีกว่าขอรับ คาดว่าตระกูลอิ๋งกับตระกูลฮ่าวคงไปหาท่านอ๋องกับตระกูลโค่วแล้ว”

ลั่วหม่างพยักหน้า

ถงเหลียนซีที่ประคองลูกชายอยู่ข้างๆ ก็เข้าใจแล้วเช่นกัน รู้ว่าก่อนหน้านี้ใส่ร้ายหนิวโหย่วเต๋ออย่างไม่เป็นธรรมแล้ว ไม่ควรไปด่าอีกฝ่าย แต่ควรจะขอบคุณด้วยซ้ำ นางเดินเบาๆ ไปข้างกายลั่วหม่างที่กำลังจะเดินออกไป มองสีหน้าลั่วหม่างอย่างอ่อนปวกเปียก แล้วถามอย่างเก้อเขินว่า “นายท่าน ข้าควรจะไปขอบคุณต่อหน้าหนิวโหย่วเต๋อดีหรือเปล่า?”

“ไม่ต้องแล้ว!” ลั่วหม่างเหล่ตามองมา แล้วบอกว่า “เรื่องนี้แบบนี้ขอบคุณปากเปล่าไม่มีประโยชน์อะไร อีกฝ่ายปล่อยลั่วกุยไป สิ่งที่ต้องการไม่ใช่คำขอบคุณ เอาเป็นว่าข้าจดจำน้ำใจนี้ไว้แล้ว เดี๋ยวจะตอบแทนเอง เจ้าเป็นผู้หญิงไม่ต้องเข้ามายุ่งมาก ดูแลลูกชายให้ดีก็พอแล้ว ถ้าข้าไม่ได้สั่ง เจ้าก็ไม่ต้องไปที่พระตำหนักอุทยาน”

“ค่ะ!” ถงเหลียนซีเอ่ยรับ แล้วย่อตัวคำนับส่งลั่วหม่างเดินก้าวยาวออกไป “นายท่านเดินระวังๆ”

ในลานบ้านเล็กๆ ของพระตำหนักอุทยาน พี่สาวน้องสาวของตระกูลโค่วดึงอวิ๋นจือชิวไปเยี่ยมคารวะสนมที่ค่อนข้างได้รับความโปรดปรานคนหนึ่งในวัง สนมคนนี้ตระกูลโค่วเป็นคนส่งเข้าวัง ดังนั้นตอนนี้อวิ๋นจือชิวจึงยังไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ตระกูลโค่วสั่งให้สาวๆ พวกนี้ดึงตัวอวิ๋นจือชิวไป ถ้าเรื่องยังไม่จบก็ยังไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวรู้สถานการณ์ กลัวว่าจะก่อเรื่องอะไรโดยไม่จำเป็น

และริมหน้าผาสูงแห่งหนึ่งนอกพระตำหนักอุทยาน เซี่ยโห้วท่าที่ออกมาชั่วคราวก็เจอกับพ่อบ้านเว่ยซูแล้วเช่นกัน

“ปล่อยลูกชายคนนั้นของลั่วหม่างไปงั้นเหรอ?” เซี่ยโห้วท่าแปลกใจ จากนั้นก็ทำสีหน้าอัศจรรย์ใจ เดาะลิ้นแล้วส่ายหน้าด้วยความทึ่ง “สงสัยข้าจะประเมินรูปแบบของเจ้าเด็กนี่ต่ำไป เห็นได้ชัดว่าเป็นกับดัก เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่แค่ถือโอกาสวางกับดักนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยลูกชายของลั่วหม่างไปคนเดียวด้วย ความสามารถในการวินิจฉัยตัดสินเหตุการณ์เฉพาะหน้าไม่ธรรมดาจริงๆ ตระกูลโค่วเก็บสมบัติล้ำค้าได้แล้ว!”

“เกรงว่าในงานเลี้ยงจะเกิดความวุ่นวายแล้ว” เว่ยซูกล่าว

เซี่ยโห้วท่าหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “จะเกิดความวุ่นวายอะไรได้? หนิวโหย่วเต๋อมีเหตุผลที่ฟังขึ้น เขาได้รับคำสั่งให้ไปเฝ้าที่นาหลวง แต่มีคนทำลายที่นาหลวงแล้ว ทั้งยังขัดขืนการจับกุม ที่หนิวโหย่วเต๋อฆ่าก็แปลว่าปฏิบัติหน้าที่อย่างจงรักภักดี ไม่มีจุดไหนที่ทำผิด กลับมีผลงานด้วยซ้ำ จะบอกว่าการฆ่าลูกหลานขุนนางที่ก่อเรื่องแบบนี้เป็นการทำผิดไม่ได้หรอกกระมัง? อิ๋งจิ่วกวงหาเหตุผลให้ลูกหลานตระกูลอิ๋งได้หรือเปล่าล่ะ? ถ้าสมบัติของสนมในวังหลังสามารถเหยียบย่ำยังไงก็ได้ แล้วต่อไปจะไม่มีคนทำให้สนมสวรรค์หรูอี้อับอายหรอกเหรอ ถ้าตระกูลโค่วกับตระกูลก่วงไปยืนอยู่ฝ่ายเฉิงอวี่ขึ้นมา ชีวิตของสนมสวรรค์หรูอี้ที่วังหลังก็จะลำบากแล้ว ถ้าวันไหนโดนยัดข้อหาที่วังหลังขึ้นมาก็ไม่แปลก ต่อให้ประมุขชิงจะโปรดปรานสักแค่ไหน แต่ก็ยอมให้เกิดเรื่องนี้ไม่ได้ เขาไว้ชีวิตลูกชายของลั่วหม่างไว้อย่างดีทีเดียว ถ้ามีแค่ลูกสาวของก่วงลิ่งกงก็ยังพูดอะไรชัดเจนไม่ได้ แต่ถ้านำคำพูดของทั้งสองมาเปรียบเทียบกันแล้ว เกรงว่าคงจะนำมาเป็นพยานได้ คอยดูไปเถอะ ถ้าตระกูลอิ๋งกับตระกูลฮ่าวไม่ยอมปาดเนื้อตัวเองทำให้ตำแหน่งโหวว่างหลายตำแหน่งเพื่อชดเชย ต่อไปตระกูลโค่วกับตระกูลก่วงก็จะทำให้สองตระกูลนั้นไร้ทายาทสืบสกุลได้ นอกเสียจากทายาทของสองตระกูลนั้นจะหลบซ่อนตลอดไป เดี๋ยวในการประชุมราชสำนักพรุ่งนี้ก็น่าจะได้รู้แล้ว ผลประโยชน์ที่ตระกูลโค่วมอบให้เพื่อปลอบใจที่ตัวเองแย่งตัวหนิวโหย่วเต๋อมา ครั้งนี้เกรงว่าจะทวงคืนทั้งต้นทั้งดอก การแปลกเปลี่ยนนี้นับว่าคุ้มค่า”

เว่ยซูครุ่นคิดเงียบๆ พลางพยักหน้า

ในพระตำหนักอุทยาน ประตูใหญ่ของตำหนักเล็กที่มีไว้สำหรับให้ขุนนางใหญ่พักผ่อนพลันเปิดออก อิ๋งจิ่วกวงกับฮ่าวเต๋อฟางเดินก้าวยาวออกไปด้วยสีหน้าคร่ำเครียด ข้างหลังมีคนสองคนเดินตามช้า เป็นโค่วหลิงซวีกับก่วงลิ่งกงนั่นเอง ทั้งสองสบตากันแล้วยิ้ม มีปฏิกิริยาต่างกับสองคนแรกมาก

จู่ๆ ลั่วหม่างก็ปรากฎตัวที่ประตูพระจันทร์ด้านข้าง ก่วงลิ่งกงยื่นมือเชิญโค่วหลิงซวี ส่วนโค่วหลิงซวีก็เข้าใจความหมาย จึงเอามือไขว้หลังเดินนำไปก่อน

ลั่วหม่างเดินมาข้างกายก่วงลิ่งกง ตอนนี้ก่วงลิ่งกงกำลังมองคล้อยหลังโค่วหลิงซวีเดินออกไป แล้วถอนหายใจเบาๆ พร้อมบอกว่า “น่าเสียดายหนิวโหย่วเต๋อแล้ว โดนตาแก่โค่วตักตวงผลประโยชน์ก้อนใหญ่ไปแล้ว…” เพียงแต่นึกขึ้นได้ว่าคนที่อยู่ข้างกายก็ตั้งใจอยากให้ลูกชายแต่งงานกับลูกสาวตนเหมือนกัน จึงไม่สะดวกจะพูดเรื่องดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อมาเป็นลูกเขยอีก เปลี่ยนเป็นพูดว่า “ในเมื่อเรื่องราวไปถึงขั้นที่ไม่สามารถเอาคืนได้แล้ว งั้นก็ช่างเถอะ อย่าต่อต้านอีกเลย เรื่องมันผ่านไปแล้ว”

พอได้ยินแบบนี้ ลั่วหม่างก็รู้ผลลัพธ์แล้ว ถามว่า “ตระกูลอิ๋งกับตระกูลฮ่าวเอายังไงขอรับ?”

ก่วงลิ่งกงตอบว่า “ตระกูลอิ๋งจะปล่อยตำแหน่งท่านโหวสองตำแหน่ง ตระกูลฮ่าวจะปล่อยหนึ่งตำแหน่ง สามตำแหน่งโหวนี้ พวกเรากับตระกูลโค่วแบ่งกันยาก สุดท้ายตระกูลโค่วก็หลีกทางให้ เอาตำแหน่งโหวไปแค่ตำแหน่งเดียว แต่ก็มีเงื่อนไขอยู่อย่างหนึ่ง ตาแก่โค่วไม่ชอบที่ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อตำแหน่งต่ำเกินไป แต่ก็ไม่สะดวกจะช่วยพูดให้ลูกเขยตัวเอง ขอให้อีกสามตระกูลช่วยเอ่ยปาก ข้ารู้จักนิสัยเจ้าดี เจ้าตอบแทนน้ำใจหนิวโหย่วเต๋อเสียเลยสิ ข้าก็เลยช่วยตัดสินใจแทนเจ้าไปแล้ว อีกประเดี๋ยวเจ้าเป็นคนนำเรื่องนี้ก็แล้วกัน”

เป็นอย่างที่เขาบอก เขารู้จักนิสัยการวางตัวของลั่วหม่างจริงๆ กลัวว่าในภายหลังลั่วหม่างจะไปมีความัสมพันธ์ไม่ชัดเจนกับหนิวโหย่วเต๋อเพราะเรื่องนี้ แบบนั้นก็เท่ากับไปมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับตระกูลโค่ว ดังนั้นจึงรีบช่วยขีดเส้นแบ่งระหว่างลั่วหม่างกับหนิวโหย่วเต๋อให้ชัดเจน

ลั่วหม่างพยักหน้าเงียบๆ ในขณะที่รู้ถึงความคิดของอ๋องสวรรค์ก่วง ก็เข้าใจความคิดของโค่วหลิงซวีด้วย หนิวโหย่วเต๋อถูกประมุขชิงลดตำแหน่งให้อยู่ต่ำเกินไปจริงๆ ในภายหลังต่อให้โค่วหลิงซวีจะสนับสนุนอย่างไร แต่ก็จะเอาแต่ช่วยเลื่อนขั้นให้หนิวโหย่วเต๋อแบบก้าวกระโดดไม่ได้หรอก ไม่อย่างนั้นคนอื่นก็จะกล่าวโทษว่าเขาใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ที่ทำแบบนี้เพราะต้องการปูพื้นฐานให้หนิวโหย่วเต๋อล่วงหน้า เมื่อถึงเวลานั้นจะได้สนับสนุนได้สะดวก

ในตำหนักใหญ่ เทพธิดาร่างอรชรอ้อนแอ้นกำลังเต้นระบำ ประมุขชิงนั่งอยู่เบื้องสูง เหล่ตามองพวกขุนนางใหญ่ที่ทยอยกันกลับมานั่งประจำที่หลังจากอนุญาตออกไปข้างนอกชั่วคราว เป็นเรื่องแปลกที่ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกเลย

เซี่ยโห้วท่าที่นั่งอยู่หัวโต๊ะด้านล่างชำเลืองมองปฏิกิริยาของทุกคน ขณะที่ยกจอกสุราขึ้นจิบ บนใบหน้าก็เจือด้วยรอยยิ้มบางๆ ทำท่าเหมือนได้เห็นอะไรสนุกๆ

ผ่านไปไม่นาน ฮวาอี้เทียนที่จัดระเบียบเรื่องราวชัดเจนแล้วกลับเข้ามา เดินผ่ากลางกลุ่มเทพธิดาที่เต้นระบำเข้าไปโดยตรง เดินไปตรงกลางตำหนัก แล้วกุมหมัดรายงาน ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงอย่างเป็นทางการ “ฝ่าบาท ทางที่นาหลวงเกิดการปะทะ…” เขารายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังตรงนั้น แล้วอ่านรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องต่อหน้าทุกคน

พอได้ยินว่ามีเรื่องสำคัญ พิธีกรที่ยืนอยู่ด้านข้างนานแล้วก็โบกมือให้เหล่าเทพธิดาถอยออกจากตำหนักใหญ่ไป

ขณะนี้ในตำหนักเงียบงันเป็นแถบ เสียงโต้แย้งแก้ตัวอย่างที่จินตนาการไว้ไม่เกิดขึ้น ในตอนนี้มีคนไม่น้อยที่ตระหนักได้แล้ว ว่าลับหลังคนพวกนี้คงจะเจรจาประนีประนอมกันได้แล้ว ไม่ทำให้เรื่องใหญ่โตอีก พวกขุนนางใหญ่ที่ลูกหลานตายไปเม้มริมฝีปากแน่น!

ผ่านไปครู่เดียว เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาอะไร ประมุขชิงก็ย่อมรู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ไฟโกรธลุกโชนอยู่ในอกแล้ว เพล้ง! เขาจบจอกสุราลงบนโต๊ะ ชี้กลุ่มคนข้างล่างพร้อมตะคอกอย่างโมโหว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าหวังดีจัดงานเลี้ยงให้ครอบครัวพวกเจ้าที่อุทยานหลวง แต่ดูพวกเจ้าทำสิ ปล่อยลูกหลานไปเหยียบย่ำอุทยานหลวงของข้า ต่อไปก็จะทำลายวังสวรรค์ของข้าเหมือนกันใช่มั้ย?”

พวกขุนนางใหญ่ที่เกี่ยวข้องทยอยกันลุกขึ้น โค้งตัวไปทางประมุขชิงพร้อมกุมหมัดคารวะ “เป็นข้าน้อยที่อบรมลูกหลานไม่ดี!”

ประมุขชิงกวาดสายตาเย็นเยียบมองไปด้านล่าง แต่ไม่ได้แก้ตัวอะไร และไม่ได้ฉวยโอกาสกดดันด้วย มอบอำนาจในการตัดสินให้เขาทั้งหมดแล้ว

ให้เขาตัดสินใจเรื่องแบบนี้ก็ย่อมไม่ผิดอยู่แล้ว แต่จะให้เขาทำอย่างไรล่ะ? จะให้ลดตำแหน่งเพราะอีกฝ่ายไม่อบรมลูกหลานให้ดี ปล่อยมาเหยียบย่ำไร่นาคนอื่นเหรอ? หรือจะให้ประหารลูกหลานขุนนางใหญ่ให้หมดเลยล่ะ?

“ทุกคนที่เกี่ยวข้อง โดนเฆี่ยนห้าครั้ง! พ่อแม่ของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ลงโทษลดข้าจ้างหนึ่งปี! ถ้ามีอีกครั้ง จะไม่ยกโทษให้ง่ายๆ แน่นอน!” ประมุขชิงตัดสินเรื่องการลงโทษแล้ว แต่ในใจกลับหงุดหงิด สิ่งที่เขาอยากเห็นก็คือข้างล่างต่อสู้กัน ไม่ใช่สามัคคีปรองดองแบบนี้ ทุกคนปรองดองกันแบบนี้ ถือหางกันเองแบบนี้ แล้วยังจะมีผู้ตัดสินแบบเขาไว้ทำไมอีก?

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ขุนนางผู้เกี่ยวข้องตะโกนพร้อมกัน

หลังจากกลุ่มขุนนางนั่งลงแล้ว กลับมีอีกหนึ่งคนที่ยังไม่ได้นั่งลง เขาคือลั่วหม่าง จอมพลสายวอกนั่นเอง

ประมุขชิงเริ่มรู้สึกสนใจแล้ว ใครๆ ก็รู้ว่าลั่วหม่างโอ๋ลูกชายคนนั้นมาก อย่าบอกนะว่าลั่วหม่างสามารถกล้ำกลืนความโกรธนี้ได้?

“หรือว่าจอมพลสายวอกยังมีความเห็นอะไรที่ต่างออกไป?” ประมุขชิงสีหน้าอ่อนโยนลงไม่น้อย มีท่าทีรอค่อยให้ลั่วหม่างเปิดเผยเรื่องราว เขาจะได้สั่งสอนคนบางกลุ่มได้สะดวก

…………………………

ทว่าพอคิดไปคิดมาแล้วคิดไม่ออก จาหรูเยี่ยนก็ขี้คร้านจะคิดต่อแล้ว ถึงอย่างไรนายท่านกับพ่อบ้านก็มักจะทำเรื่องที่เป็นความลับบางอย่างโดยหลบเลี่ยงนางอยู่แล้ว ต่อให้นางไปถามก็ไม่ได้คำตอบ กลับถูกไล่ด้วยคำว่า ‘สมองอย่างเจ้าจะเข้าใจอะไร’

เอาเป็นว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่นางเชื่อ คือไม่ว่าจะอย่างไร นายท่านกับพ่อบ้านก็ไม่มีทางทำร้ายลูกสาวตัวเองหรอก

“หนิวโหย่วเต๋อนี่กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว ควรจะโดนประหารสักพันดาบหมื่นดาบ ข้าจะคอยดูว่าครั้งนี้เขาจะรอดไปได้ยังไง!” จาหรูเยี่ยนชำเลืองมองเหมียวอี้ที่กำลังถูกสอบสวน ปากทำเสียงฮึดฮัดไม่หยุด เพราะหลานชายของนางตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ นางจดจำความแค้นนี้มาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะถูกเทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนเตือนไว้อย่างเข้มงวด ถึงขั้นเขียนหนังสือหย่าให้นางดูจนนางตกใจ นางคงคิดหาทางล้างแค้นเหมียวอี้ไปนานแล้ว

เดิมทียังคิดจะด่าอีกสักสองสามประโยค แต่จู่ๆ ก็พบว่าพ่อบ้านเฉินหวยจิ่วมาแล้ว นางถึงได้หุบปาก

“พ่อบ้านโกว เม่ยอ๋อร์จะไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

“เหนียงเหนียงไม่ต้องห่วง ไม่เป็นอะไรแน่ขอรับ”

เมื่อได้ยินว่าลูกสาวตัวเองมาร่วมอยู่ในความขัดแย้งนี้ด้วย ทั้งยังมีลูกหลานของขุนนางชั้นสูงตายไปไม่น้อย หวังเฟยเม่ยเหนียงจึงนั่งไม่ติดที่แล้วเช่นกัน วิ่งมาดูแล้ว ตอนนี้ลูกสาวยังโดนกักตัวอยู่ นางจึงร้อนใจนิดหน่อย อยากจะเข้าไปเจอลูกสาว แต่กลับถูกพ่อบ้านโกวเยว่ห้ามไว้

หลังจากสอบปากคำในที่เกิดเหตุเสร็จแล้ว ฮวาอี้เทียนก็นำรายชื่อฉบับหนึ่งออกมา ก่วงเม่ยเอ๋อร์กับลั่วกุยนึกย้อนว่าก่อนหน้านี้มีลูกหลานขุนนางชั้นสูงคนไหนมาบ้าง ทำออกมาเป็นรายชื่อแผ่นนี้แล้ว

“มีคำสั่งให้ปิดอุทยานหลวง ถ้าไม่ได้รับคำสั่ง ไม่ว่าใครก็ห้ามถือวิสาสะเข้าออก”

ฮวาอี้เทียนถ่ายทอดคำสั่งลงมาทีละฉบับ แล้วทำสำเนารายชื่อชุดหนึ่งให้แม่ทัพใหญ่เกราะแดง “เจ้าพาคนไป ตามหาคนในรายชื่อนี้ให้ครบ จับตัวมาสอบปากคำให้หมด ถ้าบ้านไหนไม่ยอมส่งคนให้ ก็รายงานขึ้นมาทันที!”

“รับทราบ!” แม่ทัพใหญ่เกราะแดงเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปจัดการ

พอหันกลับมา ฮวาอี้เทียนก็เอียงหน้ากำชับแม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งที่อยู่ข้างกันอีก “คงสภาพที่เกิดเหตุเอาไว้ ถ้าเรื่องนี้ยังไม่ได้บทสรุป ยังไม่ได้รายงานขึ้นไปเบื้องบน ก็ห้ามไม่ให้ใครเข้าใกล้ใครทั้งนั้น”

“รับทราบ!” คนคนนั้นเอ่ยรับคำสั่ง แล้วถ่ายทอดคำสั่งลงไปให้ลูกน้อง

จากนั้นฮวาอี้เทียนก็เอามือไขว้หลังเดินมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วถามเสียงเรียบว่า “หนิวโหย่วเต๋อ นี่เจ้าจะลำบากทำไมอีกแล้ว”

“ผู้ตรวจการใหญ่ ท่านมองไม่ออกเชียวเหรอว่าพวกเขาต้องการจะเล่นงานข้าถึงตาย?” เหมียวอี้ถามกลับ

“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวไว้แล้ว ลำบากต้องลำบากสร้างศัตรูให้ตัวเองอีก?” ฮวาอี้เทียนถาม

เหมียวอี้เงียบงัน เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย

ในขณะนี้เอง ฮวาอี้เทียนก็ได้รับข้อความจากระฆังดารา เมื่อคนในครอบครัวผู้ตายเห็นเขาสอบปากคำเสร็จแล้ว แต่กลับไม่ยอมให้พวกเขาแตะต้องศพ จึงพากันฟ้องขึ้นไปเบื้องบน เบื้องบนจึงออกคำสั่งลงมาให้ฮวาอี้เทียน สั่งให้เขาถอนกำลังออกไป ส่วนศพก็ให้คนในครอบครัวเก็บกลับไปได้ ไม่ต้องกักตัวคนอื่นๆ ไว้อีก ให้ปล่อยตัวไปทั้งหมด

ฮวาอี้เทียนย่อมต้องทำตามคำสั่ง ถ่ายทอดคำสั่งให้กองทัพองครักษ์ถอนกำลัง ให้พาตัวเหมียวอี้ไปด้วย ไม่พาไปคงไม่ได้ ถ้าเหมียวอี้อยู่ที่นี่ต่อไป อาจจะทำให้ฝูงชนโกรธเกรี้ยวและตบจนตายได้

พ่อบ้านเฉินหวยจิ่วที่ยืนอยู่ข้างกายจาหรูเยี่ยนกำลังมองเหมียวอี้ ยิ้มบางๆ ให้เหมียวอี้อย่างแนบเนียบ

เหมียวอี้ที่ตามกลุ่มคนออกไปพยักหน้าเบาๆ อย่างรู้อยู่แก่ใจ นับว่าแสดงคำขอบคุณแล้ว

นอกจากพวกเขาสองคน ในที่ตรงนั้นก็ไม่มีใครรู้เงื่อนงำที่ซ่อนอยู่ในนั้น และไม่ประกาศให้ใครรู้ด้วย รวมทั้งตระกูลโค่ว

ทัพตะวันออกถูกควบคุมโดยอิ๋งจิ่วกวง ใต้สังกัดมีจอมพลสายชวด สายฉลู สายขาล ทัพใต้ถูกควบคุมโดยฮ่าวเต๋อฟาง ใต้สังกัดมีจอมพลสายเถาะ สายมะโรง สายมะเส็ง ทัพตะวันตกควบคุมโดยก่วงลิ่งกง ใต้สังกัดมีจอมพลสายมะเมีย สายมะแม สายวอก ทัพเหนือควบคุมโดยโค่วหลิงซวี ใต้สังกัดมีจอมพลสายระกา สายจอ สายกุน

เรื่องราวในครั้งนี้เป็นตระกูลอิ๋งกับตระกูลฮ่าวที่ร่วมกันวางแผน โดยหลบเลี่ยงตระกูลก่วงกับตระกูลโค่ว สาเหตุที่หลบเลี่ยงตระกูลโค่วก็ไม่ต้องอธิบายแล้ว ส่วนสาเหตุที่หลบเลี่ยงตระกูลก่วง ก็เพราะจะหลอกใช้ประโยชน์จากลูกชายของลั่วหม่างจอมพลสายวอก ส่วนเทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนก็เป็นลูกน้องของจอมพลสายเถาะพอดี เท่ากับเป็นคนฝั่งตระกูลฮ่าว กอปรกับทุกคนรู้เรื่องราวความแค้นระหว่างตระกูลของผังก้วนกับเหมียวอี้ จึงรู้สึกว่าค่อนข้างน่าเชื่อถือ ดังนั้นเรื่องนี้จึงดึงลูกสาวของผังก้วนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่ที่บังเอิญก็คือ ผังก้วนกับเหมียวอี้มีความสัมพันธ์ที่เปิดเผยไม่ได้ ความสัมพันธ์นี้แม้แต่จาหรูเยี่ยนฮูหยินของผังก้วนก็ไม่รู้

หลังจากผังก้วนรู้เรื่องนี้จากปากลูกชาย มีหรือที่จะปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ เขากับเหมียวอี้ยังมีผลประโยชน์ที่ใหญ่กว่านั้นให้วางแผนร่วมกัน ย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย จึงแอบติดต่อกับเหมียวอี้ไว้แล้ว ให้เหมียวอี้เตรียมตัวแต่เนิ่นๆ

ถึงแม้ตระกูลโค่วจะกังวลเช่นกันว่าจะเกิดเรื่องขึ้นในงานเลี้ยงอุทยานครั้งนี้ และเตือนให้เหมียวอี้ระวังตัวไว้ก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้เรื่องราวเบื้องลึกเหมือนที่เหมียวอี้รู้มาจากฝั่งผังก้วนเลย เหมียวอี้รู้แม้กระทั่งเรื่องที่ลั่วกุยจับไม้สั้นไม้ยาวได้ด้วยซ้ำ จะไม่เตรียมตัวได้เหรอ?

ตอนนั้นพอเหมียวอี้ได้ยินข่าว ก็บอกผังก้วนให้พาลูกสาวแยกออกไป

ผังก้วนได้ยินแล้วตกใจ จังหวะนี้เหมือนเตรียมลงมือ เขากลี้ยกล่อมเหมียวอี้ไม่สำเร็จ แต่ก็ยังเตือนเหมียวอี้ว่า จอมพลสายวอกลั่วหม่างเป็นคนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก โปรดปรานลูกชายคนเล็กมาก รู้ว่าลุกชายคนเล็กสมองไม่ดี เพื่อที่จะรักษาความร่ำรวยและเกียรติยศให้ลูกชาย ถึงขั้นเตรียมจะให้ลูกชายคนนี้แต่งงานกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของก่วงลิ่งกง ลูกชายคนอื่นที่มีอำนาจไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้หรอกนะ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าโอ๋ลูกชายคนเล็กขนาดไหน คนพวกนั้นผลักลั่วกุยออกมาเรียกได้ว่าความคิดชั่วร้ายมาก ถ้าปกป้องชีวิตลั่วกุยได้ ลั่วหม่างจะต้องจดจำน้ำใจนี้แน่นอน แต่ถ้าเจ้าฆ่าลั่วกุยแล้ว ลั่วหม่างจะต้องตามจองเวรเจ้าไม่เลิกแน่ เกรงว่าก่วงลิ่งกงจะต้องออกหน้าเพื่อนลั่วหม่างเช่นกัน ให้เหมียวอี้ไตร่ตรองให้ดีแล้วค่อยลงมือ

ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ เหมียวอี้จะสงบนิ่งใจเย็นตั้งแต่ต้นจนจบได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยที่ทำอะไรตามอารมณ์อย่างเหมียวอี้ ตอนเกิดเรื่องจะต้องตะโกนด้วยความโมโหแน่นอน ไม่อย่างนั้นตอนที่รีบร้อนลงมือ เขาจะเหลือลั่วกุยที่อยู่ใกล้ที่สุดไว้ทำไม? เพราะเขาเตรียมทุกอย่างเอาไว้อย่างเป็นระบบระเบียบตั้งแต่แรกแล้ว วางกับดักรอเรียบร้อยแล้ว!

ในเวลานี้ เหมียวอี้กับเฉินหวยจิ่วก็แค่เหลือบมองกันแวบหนึ่งแล้วผ่านไป ทั้งสองฝ่ายไม่มีทางสื่อสารอะไรกัน

พอฝ่ายกองทัพองครักษ์ถอนตัวไป กลุ่มผู้หญิงที่ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรก็กระโจนไปยังที่นาหลวง โผไปที่ศพลูกชายตัวเอง เรียกได้ว่าวุ่นวายเสียงดังมาก

โค่วเจิงตามไปที่จวนแม่ทัพภาคกองมังกรดำ เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้ได้รับการคุ้มครองจากที่นี่ชั่วคราว พอเจอหน้ากันเขาก็กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ทำไมเจ้าถึงข่มอารมณ์ไม่ได้ ข้าให้เจ้าทนเอาหน่อยไม่ใช่เหรอ?”

เหมียวอี้ถามเสียงเรียบว่า “ถ้าข้าทนแล้วพวกเขาจะปล่อยข้าไปเหรอ? ไม่สู้ทุกคนตรงไปตรงมาหน่อยดีกว่า ถ้าไม่ใช่ข้าตาย ก็เป็นพวกเขาตาย ไม่ต้องเกรงใจอะไรทั้งนั้น!”

“…” โค่วเจิงพูดไม่ออก

เรือนพักของอ๋องสวรรค์ก่วง เม่ยเหนียงกับลูกสาวยังไม่ไปที่พระตำหนักอุทยาน แต่มาที่นี่แทน นี่เป็นสิ่งที่โกวเยว่ต้องการ

เม่ยเหนียงตกใจแทบแย่ พอกลับมาแล้วไม่เห็ฯว่ามีคนนอกแล้ว นางก็เลิกวางมากมั่นใจทันที ถามลูกสาวซ้ำๆ ว่าเป็นอะไรหรือไม่

หลังจากยืนยันกับเม่ยเหนียงแล้วว่าไม่เป็นอะไร โกวเยว่ก็เริ่มถามแทรกทันที “คุณหนู เล่ารายละเอียดที่มาที่ไปให้บ่าวฟังได้หรือไม่?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นให้ฟังทันที

โกวเยว่ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ถามอีกว่า “ทำไมคุณหนูถึงไปหาหนิวโหย่วเต๋อในเวลานี้?”

คำถามนี้ทำให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์ค่อนข้างเขินอาย คนเป็นแม่พอจะเข้าใจความคิดของลูกสาว ดูออกตั้งนานแล้วว่าลูกสาวหวั่นไหวกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วจริงๆ นางไม่อยากจะให้ลูกสาวอับอาย จึงพูดแทรกว่า “พ่อบ้านโกว พอแล้ว เม่ยอ๋อร์ตกใจแทบแย่แล้ว ให้นางพักก่อนเถอะ”

โกวเยว่ไม่เลิก กุมหมัดคารวะต่อนางพร้อมบอกว่า “หวังเฟยเหนียงเหนียง ไม่ใช่ว่าบ่าวอยากถาม แต่ท่านอ๋องกำชับลงมา ท่านอ๋องบอกว่าเรื่องนี้น่าสงสัย ต้องการให้บ่าวสืบให้ชัดเจนว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่”

“น่าสงสัยเหรอ?” ก่วงเม่ยเอ๋อร์อึ้งเล็กน้อย “เม่ยอ๋อร์กับหนิวโหย่วเต๋อเป็นเพื่อนกัน แค่ไปเจอนิดหน่อยไม่เหมาะสมเหรอคะ? เห็นได้ชัดว่าลั่วกุยนั่นเกาะแกะไม่เลิก หาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ แล้วคนกลุ่มนั้นก็ไม่ชอบหน้าหนิวโหย่วเต๋อด้วย”

โกวเยว่พยักหน้า “บ่าวรู้ว่าคุณหนูกับหนิวโหย่วเต๋อเป็นเพื่อนกัน แต่ยังไม่ถึงเวลาเที่ยวเล่นในสวน การทักทายพบปะกันยังไม่จบ ทำไมคุณหนูถึงไปพบหนิวโหย่วเต๋อได้ล่ะ? ที่บ่าวอยากจะรู้ก็คือ ก่อนหน้านั้นคุณหนูได้บอกใครหรือเปล่าว่าจะไปเจอหนิวโหย่วเต๋อ หรือมีใครแอบบอกใบให้คุณหนูไปเจอหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วตะลึงงัน เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ตอบอย่างลังเลว่า “พวกพี่หนีเอ๋อร์กับพี่ฉางเอ๋อร์อยากรู้จักหนิวโหย่วเต๋อ เลยดึงข้าออกมาจากพระตำหนักอุทยาน”

โกวเยว่พลันหรี่ตาถาม “แล้วทำไมสองพี่น้องนั่นถึงไม่ไปกับคุณหนูด้วย?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ตอบว่า “พวกนางให้ข้าไปถามหนิวโหย่วเต๋อก่อนว่าเต็มใจจะเจอพวกนางหรือไม่…” ขณะที่พูดตัวเองก็เริ่มขมวดคิ้วแล้วเช่นกัน

โกวเยว่แสยะหัวเราะหึหึ แล้วไม่ได้ถามอะไรมากอีก กุมหมัดคารวะบอกว่า “บ่าวเข้าใจแล้ว คุณหนูตกใจมามากแล้ว ไปพักก่อนเถอะขอรับ” พูดจบก็ขอตัวถอยออกไป

เม่ยเหนียงก็ไม่ใช่คนโง่ ฟังออกถึงเงื่อนงำในนั้นแล้ว นางขมวดคิ้วมุ่น แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มดุร้าย “นางเด็กแสบสองคนนั้น มาวางแผนกับลูกสาวข้าซะแล้ว!”

“ท่านแม่ เรื่องที่ไม่มีหลักฐาน อย่าพูดซี้ซั้วเลยค่ะ” ก่วงเม่ยเอ๋อร์กล่าวอย่างลังเล

“ไม่มีหลักฐานเหรอ?” เม่ยเหนียงแสยะยิ้ม “ทั้งชีวิตนี้แม่มีเจ้าคนเดียวที่สำคัญที่สุด ใครกล้ามาแตะต้องลูกสาวข้า ข้าก็จะสู้ตายกับคนนั้น! จะมีหลักฐานมั้ยไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือแม่ไม่ปล่อยพวกนางไปแน่ ชอบเล่นแผนสกปรกกันนักใช้มั้ย ดี ถึงยังไงข้าก็ไม่มีงานอะไรทำอยู่แล้ว งั้นก็มาเล่นด้วยกันเถอะ!”

ในเรือนพักเดียวของจอมพลสายวอก มารดาของลั่วกุยกำลังเช็ดรอยเลือดบนปากลูกชายด้วยน้ำตาคลอเบ้า ปากก็กล่าวอย่างคับแค้นไม่หยุดว่า “หนิวโหย่วเต๋อ! ต้องโดนมีดสับสักพันเล่ม นึกว่าได้กลายเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วแล้วจะเลิศเลอนักรึไง…”

พ่อบ้านหลางจวี๋ยืนอยู่ข้างกายลั่วหม่างเงียบๆ มองไปที่สองพ่อลูกเป็นระยะ ลูกชายตัวสั่นหลบอยู่ข้างกายแม่ไม่กล้ามองพ่อ ส่วนพ่อก็จ้องลูกชายด้วยสีหน้าดุดัน

“ไม่ต้องเช็ดแล้ว หลบไปทางนั้นไป!” ในที่สุดลั่วหม่างก็ระเบิดอารมณ์ เสียงตะคอกนี้ทำให้สองแม่ลูกตกใจ ถงเหลียนซีรีบหลีกไปด้านข้างอย่างระแวงกลัว

ลั่วหม่างรูปร่างกำยำบึกบึน เอามือไขว้หลังเดินมาตรงหน้าลูกชายที่กำลังทำสีหน้าน้อยใจ “ข้าถามหน่อย ว่าใครเป็นคนให้เจ้าออกหน้าทำเรื่องนี้?”

ลั่วกุยก้มหน้าตอบว่า “ไม่มีใครให้ข้าออกหน้า ข้าชอบเม่ยเอ๋อร์”

ลั่วหม่างจึงบอกว่า “คนที่ชอบเม่ยเอ๋อร์มีเยอะแยะ วันนี้คนอื่นอยู่ข้างหลังกันหมด มีเจ้าคนเดียวที่ออกหน้า ต้องมีสักเหตุผลหนึ่งสิ!”

“ทุกคนจับไม้สั้นไม้ยาวด้วยกัน…” ลั่วกุยเล่าเรื่องที่จับไม้สั้นไม้ยาวให้ฟัง ความหมายที่จะสื่อก็คือ ในภายหลังเม่ยเอ๋อร์ก็จะเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว

ลั่วหม่างสูดหายใจลึกอย่างตกใจ กางนิ้วทั้งห้าไปที่ประตู กิ่งไม้ที่อยู่ด้านนอกมีเสียงดังกรอบแกรบ มีกิ่งไม้หลายกิ่งลอยเข้ามา เขาคว้าเอาไว้ในมือ แล้วยื่นไปตรงหน้าลั่วกุย “จับสิ! รีบจับ!”

ลั่วกุยตกใจทันที จากนั้นก็หยิบกิ่งหนึ่งมาไว้ในใอ ลั่วหม่างกางนิ้วทั้งห้า ในมือยังเหลืออีกสี่กิ่ง พอเอามาเทียบกันแล้วก็ดูออก ว่ากิ่งไม้ที่อยู่ในมือลั่วกุยสั้นที่สุด

พอหยิบกิ่งไม้จากมือลั่วกุยกลับมา ลั่วหม่างก็เอามือไขว้หลังแล้วจัดใหม่ แล้วก็กำกิ่งไม้ยื่นออกมาอีก ตะคอกอีกว่า “จับไม้สั้นไม้ยาว!”

ลั่วกุยทำตามอย่างซื่อสัตย์ ผลปรากฏว่าจับได้ไม้ที่สั้นที่สุดอีกแล้ว

ทำซ้ำไปซ้ำมาก็ได้ผลลัพธ์แบบนี้ ลั่วกุยจับได้ไม้ที่สั้นที่สุดตลอด เขาเองก็แปลกใจแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านพ่อ ข้าดวงดีเกินไปหน่อยหรือเปล่า!”

เพี้ยะ! ลั่วหม่างตบทีเดียวจนเขานอนคว่ำบนพื้น โยนกิ่งไม้ห้ากิ่งลงตรงหน้าเขา แล้วสะบัดแขนเสื้อ โยนกิ่งไม้อีกกองที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

“เฒ่าหลาง หนิวโหย่วเต๋อจงใจจะไว้ชีวิตลั่วกุยชัดๆ!” ลั่วหม่างไม่สนใจลูกชาย เอามือไขว้หลังมองไปทางประตูแล้วถอนหายใจยาว

…………………………

พอจะเข้าใจความรู้สึกของโพ่จวินได้ โค่วหลิงซวีไม่ถือสาอะไร สังเกตเห็นว่ามีคนเดินมาข้างหลังอิ๋งจิ่วกวง เขาขยับสายตาเหล่สังเกตเล็กน้อย พบว่าอิ๋งจิ่วกวงสีหน้าเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด ข้อนิ้วที่จับจอกสุนานูนขันอย่างชัดเจน

อิ๋งจิ่วกวงรีบมองไปที่โค่วหลิงซวีแวบหนึ่งเช่นกัน เห็นโค่วหลิงซวีกำลังชูจอกสุราให้คนที่นั่งอยู่ข้างกัน ราวกับไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแล้ว

บรรยากาศที่คุยกันอย่างคึกครื้นในตำหนักใหญ่เหมือนจะอึดอัดลงไม่น้อยในชั่วพริบตาเดียว ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงสังเกตเห็นความไม่ชอบมาหากล มีคนเข้าออกมากระซิบความเคลื่อนไหวข้างหูขุนนางใหญ่ไม่หยุด ภาพเหตุการณ์นี้ชัดเจนเกินไปแล้ว จะให้มองไม่ออกก็คงยาก

ลั่วหม่างจอมพลสายวอกที่กำลังนั่งอยู่ในงานเลี้ยงลุกขึ้นกุมหมัดคารวะประมุขชิง ขอตัวออกจากงานเลี้ยงชั่วคราว

โพ่จวินเอียงหน้าส่งสายตาให้ฮวาอี้เทียน จากนั้นฮวาอี้เทียนก็ลุกขึ้นทันที ไม่ได้บอกอะไรใครทั้งนั้น รวมทั้งประมุขชิงด้วย เดินออกไปอย่างนั้นเลย

ประมุขชิงโค้งมุมปากเล็กน้อยอย่างที่สังเกตเห็นได้ยาก รู้ว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะเกี่ยวข้องอะไรกับลั่วหม่างโดยตรงด้วย จึงเอียงหน้าเล็กน้อย แล้วพบว่าซ่างกวนชิงไม่ได้อยู่ข้างกาย จะถามถึงสถานการณ์ก็ไม่สะดวก สายตาจึงมองไปยังโพ่จวินที่อยู่เบื้องล่าง ดูจากปฏิกิริยาของโพ่จวินเมื่อครู่นี้ คาดว่าน่าจะรู้สถานการณ์

โพ่จวินกำลังคิดจะถ่ายทอดเสียงบอก แต่กลับพบว่าซ่างกวนชิงขึ้นบันเดินไปข้างกายประมุขชิงแล้ว เขาจึงระงับอารมณ์ไว้ รู้ว่าใช้ปากตัวเองมากไปก็ไม่ได้ประโยชน์

“ฝ่าบาท ทางที่นาหลวงเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยยขอรับ…” ซ่างกวนชิงถ่ายทอดเสียงเล่าสถานการณ์ที่ได้รับรายงานมาให้ฟังคร่าวๆ

หลังจากฟังจบ ประมุขชิงก็เลิกคิ้ว พ่นเสียงทางจมูกเบาๆ บอกใบ้ว่ารู้แล้ว จากนั้นยกจอกสุราขึ้นช้าๆ มองประเมินปฏิกิริยาของคนในงาน

เกาก้วนกับซือหม่าเวิ่นเทียนยืนดูอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นเยียบครู่หนึ่ง แล้วหันมาชูจอกสุราคารวะให้ไกลๆ ราวกับในตรงกันมาก ท่าทางเหมือนรู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย เห็นได้ชัดว่ามองอะไรบางอย่างออกแล้ว

จากนั้นข่าวก็แพร่ขยายไปวงกว้าง บรรยากาศในตำหนักใหญ่ยิ่งแปลกขึ้นเรื่อยๆ มีบางคนยิ้มบางๆ มีบางคนแสยะยิ้ม มีบางคนยิ้มตึงๆ บางคนเงียบงันไม่พูดอะไร ต่างก็รอให้เรื่องนี้ถูกเปิดโปง

ผ่านไปครู่เดียว อิ๋งจิ่วกวงก็ลุกขึ้นยืน แล้วกุมหมัดคารวะประมุขชิง บอกใบ้ว่าขอตัวออกไปข้างนอกก่อน

พอออกจากตำหนักใหญ่แล้ว ก็เดินตรงออกไปจากพระตำหนักอุทยาน ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องทำสีหน้าเสแสร้ง สีหน้าดำมืดแล้ว ไปเจอกับจั่วเอ๋อร์ที่รอพบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งด้านนอก

วันนี้คนที่สามารถเข้าออกพระตำหนักอุทยานได้ล้วนเป็นคนในครอบครัวของขุนนางใหญ่ทั้งนั้น บ่าวรับใช้ของขุนนางไม่มีสิทธิ์เข้าออก

พอเจอหน้ากัน อิ๋งจิ่วกวงก็ถามทันทีว่า “มันเรื่องอะไรกัน? เตรียมการไว้เหมาะสมแล้วไม่ใช่เหรอ? เจ้าบอกว่าให้ของวิเศษฮุยเอ๋อร์ไว้แล้ว ถ้าลงมือขึ้นมาก็ชนะแน่นอนไม่ใช่เหรอ? เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าต่อให้ไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าจะกำจัดทิ้งได้ แต่ให้พวกเด็กๆ ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ตำหนิสั่งสอนสักหน่อยก็จะไม่เกิดเรื่องไม่ใช่เหรอ?”

อิ๋งจิ่วกวงถามแต่ละประโยคด้วยน้ำเสียงเดือดดาล ทำให้จั่วเอ๋อร์ทำสีหน้าหวาดกลัวอย่างที่พบเห็นได้ไม่บ่อย ขมขื่นจนยากจะเอ่ยออกมาจริงๆ

นางเป็นคนวางแผนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ตามหลักการแล้วไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด นางเองก็ให้ของวิเศษที่สามารถกำจัดหนิวโหย่วเต๋อได้แน่นอนแล้วจริงๆ ถ้าลงมือขึ้นมาก็ทำให้หนิวโหย่วเต๋อตายได้แน่นอน ขนาดเป้าหมายในการเติมเชื้อเพลิง นางก็ช่วยหาให้อิ๋งฮุยแล้ว ไม่ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะอดทนได้หรือไม่ แต่ก็จะลงมือแน่นอน หลังจากจบเรื่องแล้ว ก็จะเป็นเพียงการทะเลาะวิวาทของลูกหลานขุนนางเสเพลที่หึงหวงแย่งผู้หญิงคนเดียวเท่านั้นเอง อย่างไรเสียลูกหลานขุนนางเสเพลกลุ่มนี้ก็ไม่มีการมีงานทำอยู่แล้ว

ผู้มีอำนาจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเยอะขนาดนี้ ถึงอย่างก็ลงโทษคนจำนวนมากไม่ไหวอยู่แล้ว อย่างมากราชันสวรรค์ก็ช่วยลงโทษเด็กๆ พวกนั้นสักครั้งก็เท่านั้นเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าทิ้งหมด

นอกจากนี้ ราชันสวรรค์ก็อาจจะไม่อยากเห็นหนิวโหย่วเต๋อมีชีวิตอยู่ในมือตระกูลโค่วก็ได้ เพียงแต่ราชันสวรรค์ไม่สะดวกจะทำเรื่องนี้ก็เท่านั้นเอง ในภายหลังต่อให้โค่วหลิงซวีเดือดดาลสุดขีดแล้วดึงดันจะหาคนมารับผิดชอบให้คนตายให้ได้ ผู้รับผิดชอบหลักก็สาวมาไม่ถึงอิ๋งฮุยเช่นกัน เพราะหาผู้รับผิดชอบหลักไว้เรียบร้อยแล้ว เตรียมแพะรับบาปอย่างลั่วกุยเอาไว้เรียบร้อย ถ้าโค่วหลิงซวีต้องการจะเล่นงานลั่วกุยจริงๆ เช่นนั้นก็ต้องสู้กับลั่วหม่างและก่วงลิ่งกงที่หนุนหลังลั่วหม่าง

ต่อให้ไปหาเรื่องทะเลาะด้วย จากนั้นเกิดการลงไม้ลงมือ แต่เรื่องที่เรียบง่ายขนาดนี้ จะลงมือพลาดได้อย่างไรล่ะ? ถ้าทำพลาดแล้ว เด็กกลุ่มนั้นก็แค่โดนด่าโดนทำโทษนิดหน่อยเท่านั้นเอง ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ พวกขุนนางใหญ่ก็ไม่มีทางกัดเด็กไม่เอาถ่านพวกนั้นไม่ปล่อยหรอก เพราะต่อให้จับไว้ก็ไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้าส่งขุนพลที่มีความสามารถออกไปลงมือ ก็จะมีคนฉวยโอกาสกำจัดเจ้าทิ้งแน่นอน ไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ แน่

เมื่อครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา ก็พบว่าเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ไม่มีทางเกิดปัญหาอะไรได้

แต่ต่อให้นางจะคิดวางแผนรอบคอบอย่างไร แต่ก็ยังมีช่องโหว่ให้หนิวโหย่วเต๋อเอาที่นาหลวงมาเป็นข้ออ้างได้ นึกไม่ถึงว่าเด็กโง่พวกนั้นจะมองไม่ออกแม้กระทั่งกับดักแบบนี้ ถูกหนิวโหย่วเต๋อจูงเข้าไปในกับดักแล้ว และที่คิดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นก็คือ หนิวโหย่วเต๋อโหดเหี้ยมมาอย่างที่คาดไว้ กล้าลงมือสังหารลูกหลานกลุ่มขุนนางชั้นสูงในเวลาแบบนี้ นางไม่รู้เลยว่าควรจะพูดอะไรดี!

นางอยากจะถามอิ๋งฮุยที่ตายไปแล้วมากว่า นอกจากกินนอนรอความตายไปวันๆ แล้วเจ้าทำอะไรได้บ้าง? แค่ความสามารถในการรับมือเรื่องจวนตัวง่ายๆ แค่นี้ยังไม่มีเลย ขนาดกับดักแบบนี้เจ้ายังมุดเข้าไปได้? เข้าไปแล้วก็ต้องสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลบ้างสิ พอเห็นท่าไม่ดีแล้วยังไม่ระวังตัวอีกเหรอ? ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนฆ่าตายได้ง่ายๆ แบบนี้แล้ว?

ขนาดเรื่องที่เตรียมการไว้อย่างราบรื่นขนาดนี้ยังกลายเป็นแบบนี้ได้เลย! นางนับว่าเข้าใจแล้ว ว่าลูกหลานผู้ดีมีเงินกลุ่มนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนิวโหย่วเต๋อเลย ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นคู่ต่อสู้กับหนิวโหย่วเต๋อที่ผ่านปัญหาอุปสรรคมามากมายด้วยซ้ำ อาศัยวงศ์ตระกูลหนุนหลังให้กินดื่มเที่ยวเล่นรังแกคนอื่นยังพอไหว แต่ส่งไม่ใช่ทำงานที่จริงจังเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้เลย

นางรู้สึกว่าความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ไม่น่าให้พวกอิ๋งฮุยลงสนามไปทำเรื่องแบบนี้เลย…

ที่นาหลวง กองทัพองครักษ์หลายหมื่นปรากฏตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเป็นบุคคลที่มีระดับค่อนข้างสูงด้วย แค่แม่ทัพใหญ่เกราะแดงอย่างเดียวก็ปาไปสิบกว่าคนแล้ว พวกเขามาล้อมที่เกิดเหตุไว้แล้ว

ด้านนอกวงล้อม มีคนหลายกลุ่มทยอยกันเข้ามา ล้วนเป็นขุนนางชั้นสูงที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงอุทยาน

อิ๋งอู๋เชวีย บิดาของอิ๋งฮุยอยากจะเข้าไปยังจุดที่ถูกล้อมไว้ แต่ก็ถูกขวางไว้ไม่ให้เข้าไป

มีทหารยามของกองทัพองครักษ์กั้นไว้ ขณะมองดูลูกชายท้ายทอยเละและนอนคว่ำหน้าแน่นิ่ง อิ๋งอู๋เชวียก็เม้มริมฝีปากแน่น สายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกย้ายไปหาเหมียวอี้ที่สวมเกราะเงิน สีหน้าเดือดดาลเคียดแค้นนั้นยากจะปิดบังไว้ อยากจะสับเนื้อเหมียวอี้สักหมื่นดาบพันดาบ

เหมียวอี้ไม่เป็นไรเลย คนที่มองเขาด้วยสายตาแบบนี้ไม่ได้มีแค่อิ๋งอู๋เชวียคนเดียว มีตั้งสิบกว่าคน ถ้าเก่งนักก็โจมตีฝ่ากองทัพองครักษ์มาคิดบัญชีกับเขาสิ

“ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย!” จู่ๆ ลั่วกุยที่สภาพจนตรอกไปทั้งตัวตะโกนเสียงดังอย่างตื่นตัว ราวกับได้พบกับดาวช่วยชีวิตอย่างแท้จริงแล้ว ปลดปล่อยฝีเท้าเตรียมจะวิ่ง แต่ปรากฏว่าโดนดาบสองด้ามจ่อคอเอาไว้ ทำให้ตกใจจนไม่กล้าขยับตัวทันที

ลั่วหม่างเหยียบลงพื้นแล้วมองไปทางนั้น เห็นลูกชายผมเผ้ายุ่งเหยิง ที่มุมปากมีคราบเลือด โดนเชือกมัดเซียนทัดไว้อย่างแน่นหนา ถึงแม้สภาพจะแย่ไปหน่อย แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าพวกที่นอนนิ่งจมกองเลือดอยู่บนพื้นไม่รู้ตั้งกี่เท่า

ลั่วหม่างแอบโล่งใจ เขายังกลัวว่ามาช้าแล้วลูกชายจะตายอยู่เลย

ชีวิตของลูกชายคนเล็ก หลานชายคนโตและคนแก่สำคัญที่สุด ใช่ว่าคำกล่าวนี้จะไม่มีเหตุผลเลย

“เดรัจฉาน! นี่มันใช่ที่ที่เจ้าจะมาก่อเรื่องมั้ย?” ลั่วหม่างเปลี่ยนสีหน้าตะคอกอย่างเดือดดาล เดินก้าวยาวบุกเข้าไป ต้องกาจจะสั่งสอนลูกสายต่อหน้าฝูงชน

ผลปรากฏว่าอาวุธหลายสิบชิ้นมาก่อตรงหน้าเขาพร้อมกัน กองทัพองครักษ์ได้รับคำสั่งมาจากเบื้องบนแล้ว ต่อให้เป็นจอมพลอย่างเขาก็ไม่มีประโยชน์

ลั่วหม่างกวาดสายตาเย็นเยียบ แล้วถามเสียงต่ำว่า “ข้าจะสั่งสอนลูกชายตัวเองก็ไม่ได้เหรอ?”

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ แล้วโบกมือให้ลูกน้องวางอาวุธลง ก่อนจะกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “คำสั่งเบื้องบนเป็นอย่างนี้ ก่อนที่จะสืบเรื่องนี้จนรู้ชัดเจน ก็ไม่ให้ใครเข้าใกล้ทั้งนั้น จอมพลลั่วอย่าทำให้พวกเราทำงานลำบากเลย”

ในขณะนี้เอง ฮวาอี้เทียนเหาะลงมาจากฟ้า ลั่วหม่างหันขวับมองกลับมา แล้วถามว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ฮวา ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”

“จอมพลลั่วไม่ต้องร้อนใจ ผู้บัญชาการองครักษ์ซ้ายสั่งให้ข้ารับหน้าที่ดูแลเรื่องนี้” ฮวาอี้เทียนกดมือลง บอกใบ้ให้เขาอดทนรอสักประเดี๋ยว แล้วเดินก้าวยาวไปข้างหน้าต่อ กองทัพองครักษ์ที่ปิดล้อมข้างหน้าไว้หลีกทางให้ทันที ปล่อยให้เขาเข้าไปแล้ว

หลังจากเข้าไปแล้ว ฮวาอี้เทียนก็เดินไปตรงหน้าเหมียวอี้แล้วมองอย่างสื่อความหมายล้ำลึก แล้วก็มองลูกหลานขุนนางชั้นสูงที่ตายเกลื่อนพื้น ถึงแม้จะรู้ว่าเกิดเรื่องแล้ว แต่เมื่อได้เห็นกับตาว่าคนเป็นๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังเข้าเฝ้าฝ่าบาทอยู่ดีๆ ตายเกลื่อนพื้น ก็ยังทำให้เขาปวดประสาทนิดหน่อย

ภายใต้การรวมกลุ่มของเขา สมาชิกที่เกี่ยวข้องกับเหตุถูกสอบปากคำแล้ว เหมียวอี้ ก่วงเม่ยเอ๋อร์ ลั่วกุย ทหารยามที่เฝ้าอยู่ใกล้ที่นาหลวง รวมทั้งพวกเวินเจ๋อด้วย ทั้งหมดถูกสอบสวนเพื่อเอาเป็นหลักฐาน

โค่วเจิงที่ยืนดูอยู่ข้างๆ เห็นกองทัพองครักษ์เข้าร่วมแล้ว น่าจะไม่ต้องกังวลความปลอดภัยของเหมียวอี้แล้ว โล่งใจแล้วเช่นกัน

คนที่ได้ยินข่าวแล้วตามมายิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ พวกฮูหยินที่รู้ว่าลูกชายลูกสาวตัวเองโดนฆ่า ก็เลยวิ่งมาดู ก็ว่าเป็นตามข่าวจริงๆ พวกนางร้องไห้จนตาพร่ามัว

“หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าต้องไม่ตายดี!”

“หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าเอาชีวิตลูกสาวข้าคืนมานะ!”

พวกผู้ชายสีหน้าแย่แต่ก็ยังควบคุมอารมณ์ไว้ได้ แต่พวกผู้หญิงกลับด่าอย่างเคียดแค้น มีบางคนร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอย่างเจ็บปวดและต้องการจะพุ่งเข้าไป แต่กลับถูกผู้ชายที่อยู่ข้างกันดึงไว้

ท่ามกลางเสียงก่นด่าต่างๆ นาๆ เหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมหลายชั้นทำสีหน้าเรียบเฉย ทำหูทวนลมราวกับไม่ได้ยิน

ยังมีฮูหยินอีกกลุ่มที่ได้ยินข่าวแล้วมาดูเอาสนุกเฉยๆ จาหรูเยี่ยนก็เป็นหนึ่งในนั้น พอเห็นฉากนองเลือดในที่นาหลวง นานงก็ทอดถอนใจไม่หยุด นางมองไปทางเหมียวอี้ที่ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแวบหนึ่ง ถึงแม้จะแค้นใจ แต่กลับยังหวาดกลัว นางเอียงหน้ามองผังอวี้เหนียงลูกสาวตัวเองที่อยู่ข้างกาย แล้วก็ดึงแขนลูกสาวพร้อมกล่าวถามเสียงต่ำว่า “อวี้เหนียง เจ้าไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ใช่มั้ย?”

ผังอวี้เหนียงก็หวาดกลัวเช่นกัน ที่จริงนางก็นับว่าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เช่นกัน เพียงแต่ก่อนจะมา จู่ๆ พ่อบ้านเฉินหวยจิ่วก็มาหานาง พาตัวนางไปแล้ว นางส่ายหน้าอย่างรู้สึกโชคดีว่า “เปล่าค่ะ”

จาหรูเยี่ยนถลึงตาเล็กน้อย ถามอย่างกลัวอยู่บ้างว่า “ไม่เกี่ยวข้องจริงเหรอ? ทำไมก่อนหน้านี้ข้าเห็นเจ้ามายุ่งกับคนพวกนี้ล่ะ”

ผังอวี้เหนียงตอบว่า “ท่านแม่ เปล่าจริงๆ ค่ะ ลุงเฉินเป็นพยานได้เลย เมื่อครู่นี้ข้าคุยอยู่กับท่านลุงเฉินตลอด คุยกันนานมาก พอได้ยินว่าเกิดเรื่องถึงได้วิ่งมาดู แล้วอีกอย่าง ถ้าข้าเกี่ยวข้องจริงๆ ตอนนี้ข้าคงไม่กล้ามาอยู่ตรงนี้หรอก”

จาหรูเยี่ยนคิดไปคิดมาแล้วก็เห็นด้วย แต่ก็ยังถามอย่างแปลกใจอยู่บ้างว่า “พ่อบ้านเรียกเจ้าไปคุยเรื่องอะไรนานขนาดนั้น?” ในภาพความทรงจำของนาง แต่ไหนแต่ไรมาพ่อบ้านก็มีหน้าที่ช่วยนายท่านจัดการธุระสำคัญ มีหรือที่จะว่างมาคุยกับลูกสาวตัวเองไม่หยุด ยิ่งไปกว่านั้น ในโอกาสและสถานที่อย่างวันนี้ ก็ยิ่งไม่น่าจะมีเรื่องอะไรมารบกวนการเที่ยวเล่นของลูกสาวตนสิ

ผังอวี้เหนียงเอียงศีรษะนึกย้อนไป แล้วตอบว่า “บอกว่าท่านพ่อให้มาถามข้าว่าหลายปีมานี้ข้าทำอะไรบ้าง บอกให้ข้าพูดให้ชัดเจนทุกเรื่อง”

“ถามแค่นี้น่ะเหรอ?” จาหรูเยี่ยนงงยิ่งกว่าเดิม เรื่องนี้นายท่านมาถามเองก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องให้พ่อบ้านมาถามลูกสาวนางด้วยล่ะ?

ถึงอย่างไรก็เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี ครั้งนี้นายท่านกับพ่อบ้านว่ามีบางอย่างไม่ปกตินิดหน่อย ก่อนจะจัดงานเลี้ยงอุทยาน นายท่านก็มอบหมายหน้าที่ให้ลูกชายไปทำ เลยทำให้ลูกชายไม่ได้มาเข้าร่วมงานเลี้ยงอุทยานในครั้งนี้ แล้ววันนี้ก็ให้พ่อบ้านมาหาลูกสาวอีก ทำไมรู้สึกว่าพ่อบ้านกับนายท่านเริ่มให้ความสำคัญกับลูกสาวขึ้นมาแล้วล่ะ?

…………………………

“เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ!” เวินเจ๋อตะคอกอย่างโมโห

เหมียวอี้มองดูกลุ่มคนที่หนีไปจนไม่เห็นเงา แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “พี่ใหญ่เวินกล่าวเกินไปแล้ว หนิวได้รับคำสั่งให้มาเฝ้าผืนนาหลวง มีคนมาเหยียบย่ำผลงานของบรรดาพระสนมเสียหาย ทั้งยังขัดขืนการจับกุมต่อหน้าสาธารณะ บ้าระห่ำที่สุด ถ้าข้าไม่สนใจน่ะสิถึงจะบ้าจริงๆ มีความผิดที่ไม่รับผิดชอบในหน้าที่ เบื้องบนควรจะให้รางวัลข้าสิถึงจะถูก!”

“…” เวินเจ๋ออ้าปากค้างพูดไม่ออก มองดูพืชในนาที่ถูกทำให้เสียกาย ก็พอจะเข้าใจเจตนาคร่าวๆ ของเหมียวอี้แล้ว มุมปากกระตุกเล็กน้อย

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงอีกสองคนมองดูพืชที่เสียหายในผืนนาหลวง แล้วก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

กลุ่มกำลังพลกองมังกรดำปาดเหงื่อเล็กน้อย ได้ยินชื่อเสียงบารมีของท่านนี้มานาน วันนี้นับว่าได้บทเรียนแล้ว ทำแบบนี้โหดเกินไปแล้วมั้ง ฆ่าใครไปบ้างแล้วล่ะ สงสัยงานเลี้ยงอุทยานครั้งนี้จะครึกครื้นแล้วจริงๆ

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลเพียงลำพังตกใจจนเอามือปิดปาก นางทำสีหน้าตระหนกตกใจจริงๆ ราวกับย้อนกลับไปถึงภาพเหตุการณ์ที่นางเห็นตอนอยู่บนกำแพงเมืองตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนอีกแล้ว

ต่อให้นอนฝันนางก็นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวเรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว พวกสหายที่ตอนเพิ่งมาถึงอุทยานหลวงยังพูดคุยหัวเราะกันอยู่ ตอนนี้เลือดนองเต็มพื้นแล้ว ศพนอนเกลื่อนพื้น กุยลั่วที่เมื่อครู่นี้ยังวางอำนาจบาตรใหญ่ก็กำลังนอนตัวสั่นอยู่ใต้เท้าหนิวโหย่วเต๋อ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว

จะเป็นสหายหรือกุยลั่วอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้สีหน้าตระหนกตกใจของก่วงเม่ยเอ๋อร์เริ่มบรรเทาลงทีละนิด สองมือที่ปิดปากวางลงอย่างช้าๆ ฟันขาวกัดริมฝากแดงเบาๆ มองไปที่เหมียวอี้ด้วยแววตาแปลกๆ ค่อนข้างออดอ้อน

นางพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนแรกมารดาถึงปรารถนาอย่างแรงแบบนั้น บรรดาสหายที่ยามปกติทำตัวสูงส่งและเรียกใช้ลูกน้องให้ทำนั่นทำนี่ พวกสหายที่ดูหรูหราไม่ธรรมดาราวกับไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ เมื่อครู่ยังขู่เข็ญกดดันคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น แต่พอได้เจอกับของจริง แต่ละคนก็อ่อนแอราวกับไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา ตกใจจนหนีเอาชีวิตรอดไปหมดแล้ว

มองในมุมของเหมียวอี้ เขามองคนกลุ่มนี้อ่อนแอเหมือนไก่กระเบื้องสุนัขดินเผาจริงๆ ฆ่าได้อย่างสบายมือ ฆ่าแบบไม่ต้องเปลี่ยนสีหน้า ไม่ได้กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ ชั่วพริบตาเดียวก็ฆ่าได้สิบกว่าคนแล้ว พอปักทวนลงพื้น ก็ใช้เท้าเหยียบควบคุมกุยลั่วเอาไว้ ลักษณะตอนง้างธนูยิงดูราวกับเป็นเรื่องง่ายดาย กลายเป็นข้อเปรียบกับที่เด่นชัดกับบรรดาสหายที่หนีกระเจิงไป เผด็จการมากจริงๆ สมกับเป็นลูกผู้ชายเกินไปแล้ว ทำให้นางยอมอย่างราบคาบในรวดเดียว!

ฉากที่เผด็จการฉากนั้น ก่วงเม่ยเอ๋อร์คิดแล้วก็ใจลอย ดวงตางามจ้องเหมียวอี้อย่างเป็นประกาย

สายตาเวินเจ๋อย้ายจากพืชที่เสียหายบนที่นาไปที่ใบหน้าเหมียวอี้อีกครั้ง มองเหมียวอี้ราวกับมองสัตว์ประหลาด

ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้ว มารดาเจ้าเถอะ พวกเขาสามคนโดนเหมียวอี้หลอกใช้ประโยชน์แล้ว โผล่หน้ามาคุมสถานการณ์ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานบ้าบออะไรกันล่ะ เจ้าตัวเฝ้าอยู่ข้างผืนนาหลวง เกรงว่าคงเกิดความคิดที่จะหลอกล่อคนมาฆ่าในผืนนาหลวงตั้งแต่แรกแล้ว พวกเขาก็แค่มาคุมสถานการณ์จริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาสามคนปรากฏตัว เดิมทีคนพวกนั้นก็เตรียมจะก่อเรื่องและลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ต้องต่อสู้กับเหมียวอี้สิถึงจะถูก มีหรือที่จะโดนเหมียวอี้ขู่ให้ตกใจหนีไปอย่างนี้ ผลปรากฎว่าพอพวกเขาโผล่มาคุมสถานการณ์ พวกนั้นจึงไม่กล้าโต้ตอบ ทำให้หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวฆ่าได้อย่างถึงอกถึงใจ

เวินเจ๋ออยากจะทักทายบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเหมียวอี้จริงๆ แต่คิดไปคิดมาก็ไม่เป็นไร พวกเขาแค่โผล่หน้ามา แต่ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น กลับมีผลงานที่มาช่วยห้ามด้วยซ้ำ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ความรับผิดชอบก็มาไม่ถึงพวกเขาหรอก หนิวโหย่วเต๋อแค่อาศัยแนวโน้มของพวกเขาก็เท่านั้นเอง ไม่นับว่าใช้ประโยชน์อะไร ถึงได้ปล่อยข้อมือเหมียวอี้ช้าๆ แล้วชี้เหมียวอี้พร้อมกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “น้องชาย ข้าจะคอยดูว่าเจ้ารายงานขึ้นไปยังไง!”

“หึหึ! รายงานเหรอ? แค่พวกเขาเนี่ยนะ? นับประสาอะไรล่ะ! ข้าหนิวโหย่วเต๋อเคยฆ่าคนมามากเท่าไรแล้ว ขนาดตัวเองยังนับไม่หมดเลย ผ่านอุปสรรคความเป็นความตายมามากมาย ถ้าแค่พวกลูกหลานขุนนางเสเพลยังจัดการไม่ได้ งั้นข้าก็ไม่ต้องออกมาทำมาหากินอะไรแล้ว!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม

ขนาดตอนไม่มีตระกูลโค่วหนุนหลังเขายังทำตัวกร่างเลย พอมีตระกูลโค่วหนุนหลังแล้วเขาจะกลัวอะไรอีกล่ะ ถ้าตัวเองได้เปรียบด้านเหตุผลแล้วตระกูลโค่วไม่ช่วยเหลือ เช่นนั้นในภายหลังตระกูลโค่วก็ไม่ต้องทำงานในราชสำนักแล้ว ถ้าเรื่องเล็กขนาดนี้ตระกูลโค่วยังช่วยไม่ได้ แล้วจะหวังให้ตระกูลโค่วหนุนหลังได้อีกเหรอ? แล้วอีกอย่าง ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นคนของกองทัพองครักษ์ เขามีเหตุผลที่ฟังขึ้น เป็นลูกน้องปฏิบัติหน้าที่อย่างจงรักภักดี กองทัพองครักษ์จะยอมเข้าข้างคนนอกให้คนอื่นมาว่ากองทัพองครักษ์เหรอ?

พอเก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว เหมียวอี้ก็ดึงทวนมาไว้ในมือ แล้วย้ายคมทวนตรงหน้ากุยลั่วอย่างช้าๆ ทำเอากุยลั่วตกใจจนร้องว่า “อย่า!”

เวินเจ๋อก็คว้าทวนในมือเหมียวอี้ไว้เช่นกัน แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “รู้จักหยุดได้แล้ว! จับได้แล้วก็ส่งตัวให้เบื้องบนจัดการก็พอ ถ้าจับแล้วยังฆ่าอีก เดี๋ยวต่อไปต่อให้สิบปากแต่ก็เถียงขุนนางใหญ่พวกนั้นไม่ไหว”

เหมียวอี้บอกว่า “ถ้าข้าจะฆ่าเขาจริงๆ เขาตายไปนานแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าจะปล่อยให้คนที่อยู่ใกล้ตรงหน้ารอดอยู่คนเดียวเหรอ ที่ไว้ชีวิตเขาก็เพื่อจะให้เขากลับไปรายงานคนในครอบครัวตัวเอง อย่าโง่จนโดนคนหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัว “ตุ้บ” เขาเตะหนึ่งทีจนกุยลั่วกระเด็นออกไป

อั้ก! กุยลั่วที่ตกกระแทกพื้นกระอักเลือดออกมาอีกคำ เหมียวอี้ลงเท้าอย่างไม่เกรงใจ ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายทำตัวกำเริบเสิบสาน จะไม่สั่งสอนสักหน่อยได้อย่างไร

“มัดไว้ ส่งไปให้เบื้องบนจัดการ!” เหมียวอี้กำชับเสียงเรียบ

แบบนี้ใช้ได้เลย ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น มีคนของกองมังกรดำพุ่งออกมาหลายคน มาควบคุมตัวกุยลั่วแล้วใช้เชือกมัดเซียนมัดไว้

เวินเจ๋อและแม่ทัพใหญ่อีกสองคนเห็นแล้วปวดประสาท เจ้าหนิวโหย่วเต๋อนับว่าเป็นทหารสวรรค์เกราะเงินหนึ่งแถบที่ยศต่ำสุดไม่ใช่เหรอ? แต่ผู้บังคับการกองห้า ผู้บังคับการกองร้อยกับผู้ช่วยผู้บัญชาการจะทำอะไรแต่ละอย่างก็ต้องดูสีหน้าเขา ตกลงว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้บังคับบัญชา!

ก่วงเม่ยเอ๋อร์เข้ามาใกล้อย่างเก้อเขิน แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ศพของเพื่อนตัวเอง “พี่ใหญ่หนิว ล้วนเป็นความผิดของข้า ข้าสร้างปัญหาให้ท่านแล้ว”

เหมียวอี้ส่ายหน้าบอกว่า “เม่ยเอ๋อร์ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าก็แค่โดนคนหลอกใช้เท่านั้นเอง เจ้าไม่รู้ชัด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าแค่โดนคนอื่นหลอกใช้เท่านั้นเอง เจ้าไม่รู้ชัดเจน แต่คนในครอบครัวเจ้าจะเข้าใจ”

ตอนนี้มีคนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า มู่อวี่เหลียนได้ยินเบื้องล่างรายงาน จึงรีบนำลูกน้องกลุ่มหนึ่งตามมาอย่างรวดเร็ว ตงจิ่วเจินกับฉื้อเยียนรองแม่ทัพภาคทั้งสองก็อยู่ด้วย

พอเหยียบลงพื้นแล้วเห็นถาพเหตุการณ์นี้ แต่ละคนก็สีหน้าเคร่งเครียด

มู่อวี่เหลียนยังดีหน่อย แต่ตงจิ่วเจินกับฉื้อเยียนกลับแอบร้องว่าแย่แล้ว บรรพบุรุษหนิวของข้า ท่านเล่นบ้าอะไรของท่าน ขนาดโดนลดตำแหน่งให้อยู่ต่ำสุดแล้วยังไม่สงบอีก วันนี้เป็นงานเลี้ยงอุทยานหนึ่งครั้งต่อหนึ่งพันปีของตำหนักสวรรค์นะ มีลูกหลานขุนนางชั้นสูงตายไปมากมายขนาดนี้ในรวดเดียว นี่มันเรื่องใหญ่มากจริงๆ

พวกมู่อวี่เหลียนคารวะเวินเจ๋อก่อน ทั้งสามโบกมือแล้วรีบถลันตัวไปยืนไกลๆ ก่อนที่เรื่องนี้จะได้บทสรุป พวกเขาไม่อยากติดร่างแหไปด้วย

“ผู้น้อยคารวะท่านแม่ทัพภาค คารวะท่านรองแม่ทัพภาค!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ

มู่อวี่เหลียน ตงจิ่วเจินกับฉื้อเยียนไม่กล้าวางมาดต่อหน้าเหมียวอี้ รีบกุมหมัดคารวะตอบ จากนั้นทั้งสามก็มายืนตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วถามเสียงเบาว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่

พวกเวินเจ๋อที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ ปวดประสาทอีกครั้ง พบว่ากองมังกรดำไร้ระเบียบไปแล้ว ขนาดเบื้องบนจับกองมังกรดำแยกกันแล้วนะ ขนาดกองมังกรดำเปลี่ยนคนใหม่ยกชุดแล้วนะ แต่ไม่มีทางลบบารมีของหนิวโหย่วเต๋อที่กองมังกรดำได้เลย ขนาดบุคคลระดับสูงของกองมังกรดำเห็นหนิวโหย่วเต๋อแล้วยังต้องเกรงใจ ถ้าเบื้องล่างกล้าแตะต้องหนิวโหย่วเต๋อก็แปลกแล้ว

“เฮ้อ! ดูท่าแล้วกองมังกรดำจะประทับหนิวโหย่วเต๋อไว้ลึกทีเดียว ต่อให้ย้ายหนิวโหย่วเต๋อไปก็ไม่มีประโยชน์ วิญญาณนั้นยังอยู่ คนที่เข้ามาอยู่ในกองมังกรดำล้วนได้รับผลกระทบ ต่างก็เห็นยกศึกน่านฟ้าระกาติงให้เป็นความภาคภูมิใจ!” เวินเจ๋อส่ายหน้า

แม่ทัพใหญ่เกราะแดงอีกคนกล่าวอย่างรู้สึกขำ “ข้านับว่ามองออกแล้ว ต่อให้พวกเราไม่ออกหน้า ที่นี่ก็ยังเป็นอาณาเขตของหนิวโหย่วเต๋อเหมือนเดิม คนกลุ่มนั้นไม่มีทางทำสำเร็จอยู่ดี หนิวโหย่วเต๋อแค่ไม่อยากสร้างปัญหาให้คนอื่นๆ ของกองมังกรดำก็เท่านั้นเอง ถึงได้ให้พวกเราออกหน้ามาคุมสถานการณ์ ข้าว่าเจ้าเด็กกลุ่มนั้นก็ไม่ไหวเหมือนกัน หาเรื่องใครก็ไม่ไป ดันเสนอหน้ามาหาเรื่องหนิวโหย่วเต๋อที่ถิ่นของหนิวโหย่วเต๋อ ไม่ดูเสียบ้างว่าเจ้าเด็กนี่มันยี่ห้อไหน ถ้าจะเล่นแผนสกปรกก็อย่าให้ลูกหลานเสเพลพวกนี้มาทุ่มหินใส่เท้าตัวเองเลย ตอนนี้เบื้องบนได้บันเทิงแน่”

ยังมีอีกคนส่ายหน้าบอกว่า “ชื่อเสียงไม่ได้จอมปลอมเลย มิน่าล่ะสี่ตระกูลนั้นถึงอยากดึงตัวไปเป็นพวก หนิวโหย่วเต๋อมีชีวิตรอดมาได้จนวันนี้ แสดงว่ามีอะไรไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย”

ส่วนเหมียวอี้ที่อยู่ทางนั้นก็ไม่ได้ปิดบังมู่อวี่เหลียน บอกตรงๆ เลยว่ามีคนอยากจะลงมือทำร้ายเขา บอกเล่าขั้นตอนการโจมตีกลับอย่างชัดเจนมาก

หลังจากฟังจบ พวกมู่อวี่เหลียนก็โล่งอก วิธีการของเหมียวอี้พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้กองมังกรดำเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีเหตุผลที่ฟังขึ้นเช่นกัน ต่อให้เบื้องบนจะดันทุรังเอาเรื่อง แต่ถ้าจะให้ทั้งกองมังกรดำไปเกี่ยวข้องก็จะฟังดูเหลวไหล ดีไม่ดีอาจจะมาระบายอารมณ์กับเหมียวอี้คนเดียวก็ได้

พระตำหนักอุทยาน ในสวนที่สนุกสนาน ขุนนางและราชันกำลังอยู่ในงานเลี้ยง ราชันสวรรค์นั่งอยู่เบื้องสูง สมาชิกครอบครัวของขุนนางใหญ่ที่พามาเข้าเฝ้าและรับรางวัลได้ถอยออกไปหมดแล้ว

สมาชิกหญิงในครอบครัวของตระกูลต่างๆ กำลังต้อนรับขับสู้กันอยู่ในงานเลี้ยงกลางแจ้งที่ราชินีสวรรค์จัดให้ ไม่เปิดโล่งกลางแจ้งคงไม่ได้ แค่สนมในวังหลังอย่างเดียวก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แล้ว อนุภรรยาของขุนนางใหญ่ก็มีอีกมาก ถึงแม้พระตำหนักอุทยานจะใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ใหญ่ถึงขนาดจุดคนมาร่วมงานเลี้ยงได้มากขนาดนั้นภายในคราวเดียว

วันนี้ขุนนางและราชันไม่คุยเรื่องงานกัน พวกเขากินดื่มและพูดคุยเรื่อยเปื่อย ดูสามัคคีปรองดองเช่นกัน

โค่วเจิงได้รับการผ่อนปรนจากทหารยาม เดินเข้ามาจากตำหนักด้านข้าง พอเดินมาถึงข้างกายโค่วหลิงซวีก็โน้มตัวลง แล้วกระซิบข้างหูโค่วหลิงซวีเบาๆ “ท่านพ่อ เกิดเรื่องแล้ว ที่ผืนนาหลวง หนิวโหย่วเต๋อสังหารลูกหลานของขุนนางใหญ่ไปสิบกว่าคน หลานชายของอิ๋งจิ่วกวง ลูกหลานของจอมพล เทพประจำดาว ท่านโหวก็รวมอยู่ในนั้นด้วย”

ใบหน้าโค่วหลิงซวีเจือรอยยิ้มอ่อนจางในขณะที่รับการคารวะจากที่ไกลๆ พอจิบสุราหยกไปได้ครึ่งคำก็แทบสำลักตาย เขาสีหน้าเปลี่ยนทันที พยายามร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมไม่ให้ไอออกมา แล้วหันขวับมาถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้าเด็กนั่นบ้าไปแล้วเหรอ? เจ้าไม่ได้กำชับเขาไว้ก่อนเหรอว่าให้เขาอดทนไหว?”

“กำชับแล้วขอรับ บอกไว้อย่างชัดเจนแล้ว”

“เจ้าไม่ได้ส่งคนไปดูเหรอ?”

“เขาบอกว่าเขามีแผนในใจแล้ว รับมือไหวขอรับ”

“เลอะเลือน!”

“ทานพ่อ เรื่องราวไม่ได้แย่อย่างที่ท่านคิดไว้ หนิวโหย่วเต๋อวางแผนก่อนแล้วค่อยลงมือ…” โค่วเจิงแจงรายละเอียดให้ฟัง

หลังจากได้ฟังจบ โค่วหลิงซวีก็หน้าซีดเล็กน้อย สายตาชำเลืองไปทองหลายโต๊ะที่อยู่ในงาน มัมปากยิ้มเย้ยเล็กน้อย “ข้าว่าเจ้าเด็กนั่นก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญเสียเลย สงสัยจะมีคนยกก้อนหินทุ่มใส่เท้าตัวเอง น่าสนใจ! อย่าประมาท เจ้าไปดูด้วยตัวเองสักหน่อย ดูว่ามีช่องโหว่อะไรหรือเปล่า…เจ้าไปเฝ้าอยู่ข้างกายเขาด้วยตัวเอง อย่าให้คนอื่นหาช่องโหว่ ถ้ามีเรื่องอะไรก็ใช้ระฆังดาราติดต่อข้า”

“ขอรับ!” โค่วเจิงเอ่ยรับแล้วรีบออกไป

ผู้ตรวจการใหญ่ฮวาอี้เทียนของหน่วยองครักษ์ซ้ายเจิ้นอี่ก็อยู่ในงานเลี้ยงเช่นเดียวกัน หลังจากเก็บระฆังดาราในมือแล้ว ก็เดินไปข้างโพ่จวิน ผู้บัญชาการองครักษ์ของหน่วยองครักษ์ซ้ายแล้วถ่ายทอดเสียงรายงาน ทำให้โพ่จวินเบิกตากว้างอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็ทำสีหน้าปกติ พยักหน้าบอกใบ้ว่ารู้แล้ว

ฮวาอี้เทียนเพิ่งจะถอยออกไป ตอนที่สายตาโพ่จวินชำเลืองมองไปทางโค่วหลิงซวี ผลก็คือพบว่าโค่วหลิงซวีกำลังยิ้มตาหยีพร้อมชูจอกสุราให้ไกลๆ รู้ว่าตาแก่โค่วหลิงซวีนั่นกำลังโอ้อวดอะไร โพ่จวินโดนแย่งลูกน้องไปในใจจึงโมโห เขากลอกตาไม่สนใจโค่วหลิงซวี เอียงหน้าไปอีกด้านแล้วคว้าจอกสุราของตัวเองขึ้นมาดื่ม

…………………………

ชี้แนะชัดเจนขนาดนี้ ถ้ายังเดาไม่ออกว่าเหมียวอี้คือใครก็แปลว่าโง่แล้ว กุยลั่วที่โดนขนาบอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่ทำสีหน้าเยาะเย้ยโกรธจนหน้าดำหน้าแดงแล้ว เขากำหมัดสองข้างแน่น ทั้งตัวราวกับใกล้จะระเบิดอารมณ์แล้ว

ประวัติของเขาไม่ธรรมดา พ่อของเขาคือลั่วหม่างจอมพลสายวอก เป็นลูกชายคนสุดท้องของลั่วหม่าง คนที่มีฐานะแบบนี้เคยโดนทำให้อับอายขนาดนี้เสียที่ไหนกัน

ทำไมถึงมองว่าเป็นความอับอายน่ะเหรอ? ก็ก่วงเม่ยเอ๋อร์หน้าตาเย้าย้วนไร้ที่เปรียบขนาดนี้ มีผู้ชายคนไหนบ้างที่ไม่อยากครอบครอง? กอปรกับฐานะของก่วงเม่ยเอ๋อร์ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครตามจีบ และคนที่มีคุณสมบัติจะตามจีบก่วงเม่ยเอ๋อร์ได้ อย่างน้อยภูมิหลังฐานะก็ต้องเป็นขุนนางที่ได้เข้าประชุมในราชสำนัก ถ้าคนทั่วไปกล้าคิดอะไรเพ้อเจ้อ ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะตายอย่างไร และเป็นเพราะฐานะภูมิหลังของก่วงเม่ยเอ๋อร์เช่นเดียวกัน ไม่มีใครกล้าใช้วิธีการแข็งกร้าวกับนางซี้ซั้ว

กุยลั่วย่อมเป็นหนึ่งในคนที่ตามจีบนาง บิดาของเขาคือลูกน้องคนสนิทของอ๋องสวรรค์ก่วง อนุญาตให้เขาตามจีบแล้วเช่นกัน ด้วยสาเหตุเดียวกัน ถึงแม้อ๋องสวรรค์ก่วงจะไม่ได้สนับสนุน แต่ก็ไม่ได้คัดค้านที่ลูกชายลั่วหม่างตามจีบลูกสาวตัวเอง ส่วนจะเต็มใจให้ลูกสาวแต่งงานกับลูกชายของลั่วหม่างจริงๆ หรือไม่นั้น ก็ไม่มีใครรู้ชัดเจน

ในบรรดาผู้ชายสิบกว่าคนนี้ ขอแค่เป็นผู้ชาย ก็เรียกได้ว่าไม่มีใครที่ไม่หวั่นไหวกับก่วงเม่ยเอ๋อร์เลย แต่หลังจากมีเรื่องดูตัวที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร บางทีทุกคนอาจจะรู้สึกถึงวิกฤตการณ์ รู้สึกว่าถ้าทุกคนจีบต่อไปแบบนี้ก็จะไม่มีใครได้ทั้งนั้น ดังนั้นไม่กี่วันก่อนงานเลี้ยงอุทยาน กลุ่มคนที่จีบก่วงเม่ยเอ๋อร์จึงมารวมตัวกันจับไม้สั้นไม้ยาว ถ้าใครจับไม้สั้นไม้ยาวได้ ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็จะเป็นของคนนั้น

แน่นอน ไม่ใช่ว่าการจับไม้สั้นไม้ยาวของพวกเขาจะสามารถตัดสินได้ว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์จะแต่งงานกับใคร แต่ถ้าคนไหนจับไม้สั้นไม้ยาวได้ คนอื่นที่เหลือก็จะถอยออกจากกระบวนแถวการจีบนี้ จะร่วมมือกันช่วยให้คนที่จับไม้สั้นไม้ยาวได้จีบก่วงเม่ยเอ๋อร์ สรุปก็คือจะให้ตกอยู่ในมือคนนอกไม่ได้ จะให้คางคกมากินเนื้อหงส์ไม่ได้

กุยลั่วดวงดีอย่างไม่ต้องสงสัย เขาจับได้ไม้ที่สั้นที่สุด เป็นที่อิจฉาจของคนรอบข้าง เมื่อไม่มีคู่แข่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความคิดของเขาเอง หรือจะเป็นแนวคิดของแวดวงสหาย ก็จะต้องทำให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์กลายเป็นผู้หญิงของเขาให้ได้

หลายวันมานี้กุยลั่วดีใจแทบแย่ เอาแต่จินตนาการเพ้อเจ้อถึงภาพที่ก่วงเม่ยเอ๋อร์ผู้น่ารักออดอ้อนเปลื้องผ้าหาความสำราญอยู่ในอ้อมกอดตัวเอง

แต่ใครจะคิดล่ะ ว่าจู่ๆ ตรงหน้าก็มีตัวเห็บโผล่มาตัวหนึ่ง จะให้เขาทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร! สายตาที่เคียดแค้นจ้องเหมียวอี้ราวกับจะฉีกเนื้อทั้งเป็นแล้ว!

เหมียวอี้กำลังยืนถือทวนค้ำพื้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย พอเหลือบมองปฏิกิริยาของคนกลุ่มนี้ก็เข้าใจทันที เรื่องที่ตระกูลโค่วกำชับไว้ตอนแรกเกิดขึ้นแล้ว มีคนมาหาเรื่องถึงที่แล้ว

ผ่านปัญหาอุปสรรคมามากมายขนาดนั้น ถ้าแค่นี้ก็มองไม่ออกว่ามีเงื่อนงำ ที่ผ่านมาเขาก็ใช้ชีวิตโดยเปล่าประโยชน์แล้ว

แต่เขาก็สงบนิ่งมากจริงๆ ตั้งตารอดู ดูว่าคนกลุ่มนี้จะใจกล้าขนาดไหน

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ถลึงตาจ้องอิ๋งฮุยที่ถือพัดกระพือไฟอย่างแค้นใจ เมื่อเห็นกุยลั่วกำหมัดเดินประชิดเข้ามาหาเหมียวอี้ นางก็รีบเบี่ยงตัวมาข้างหน้า มาขวางไว้ตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วชี้กุยลั่วพร้อมตะคอกว่า “จะเป็นใครแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ? กุยลั่ว ข้าสั่งให้เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้น เจ้าคิดจะทำอะไร?”

กุยลั่วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “เม่ยเอ๋อร์ เจ้าหลีกไป!”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ตะคอกทันที “เจ้านับเป็นตัวอะไร ถึงคราวที่เจ้าจะมายุ่งเรื่องของข้าแล้วเหรอ? ไสหัวไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่ากุยลั่วชอบนาง แต่นางไม่ได้ชอบเขาเลย เม่ยเหนียงมารดาของนางก็ไม่ชอบเช่นกัน ตามที่มารดานางบอก กุยลั่วเป็นคนสมองทึบ อาศัยครอบครัวเพื่อประทังชีวิตรอความตายแท้ๆ เลย ตระกูลลั่วไม่มีทางเสียทรัพยากรจำนวนมากเพื่อผลักดันคนแบบนี้ให้ขึ้นตำแหน่งแน่นอน ต่อให้ผลักดันขึ้นมาได้แล้ว แต่ในไม่ช้าก็เร็วจะต้องโดนคู่ต่อสู้ดึงลงมา คุมสถานการณ์ไม่ไหวเลย ถ้าลูกสาวแต่งงานกับคนประเภทนี้ก็ไม่มีอนาคตเลยสักนิด แต่ท่านแม่ก็กำชับไว้แล้ว ว่าถึงอย่างไรบิดาของกุยลั่วก็เป็นลูกน้องคนสนิทของท่านพ่อ เจ้าจะชอบหรือไม่ชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ภายนอกก็อย่าทำอะไรให้ดูแย่เกินไป

กุยลั่วถลึงตาอย่างโมโห “เม่ยเอ๋อร์ เจ้ากับมันคงไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ถูกคำถามนี้ทำให้อับอายแทบแย่ ระหว่างนางกับหนิวโหย่วเต๋อเกิดเรื่องที่ทำให้บอกใครไม่ได้จริงๆ นางกระทืบเท้าชี้ด่าว่า “พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า ไสหัวไปเดี๋ยวนี้เลย!”

“ถ้าไม่มีอะไร เจ้าก็หลีกไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!” กุยลั่วตะคอก

อิ๋งฮุยที่โบกพัดแสยะยิ้มมุมปาก แล้วก็ถือพัดโบกไปข้างหลัง ทำท่าส่งสัญญาณมือ

“เม่ยเอ๋อร์ ทุกคนเป็นสหายกันทั้งนั้น ทำไมถึงทะเลาะกันได้ล่ะ”

ด้านหลังมีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเดินออกมา แล้วกอดอยู่ข้างตัวก่วงเม่ยเอ๋อร์อย่างวุ่นวายไร้ระเบียบ ฉุดบ้างผลักบ้าง ควบคุมตัวก่วงเม่ยเอ๋อร์ไปเกลี้ยกล่อมด้านข้าง

“พวกเจ้า…พวกเจ้า…พวกเจ้าทำอะไร? พวกเจ้าปล่อยข้านะ!”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่ถูกกลุ่มสหายถ่วงไว้จนสลัดไม่หลุดร้องโวยวายเสียงดัง นางรู้ว่าถ้าตัวเองขัดขวางไม่ได้ ก็จะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน

กุยลั่วจ้องเหมียวอี้อย่างโมโห เมื่อไม่มีก่วงเม่ยเอ๋อร์ขวางแล้ว เห็นเหมียวอี้สงบนิ่งขนาดนี้ ในใจเขากลับตุ้มๆ ต่อมๆ อย่างไรเสียชื่อของคนก็เหมือนเงาของต้นไม้ ชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต๋อก็เห็นๆ กันอยู่ เจ้าหมอนี่ไม่ใช่คนถือศีลกินเจ มีชื่อเสียงด้านความโหดร้ายที่ใช้กำลังสังการเข้าสังหารออกทัพใหญ่หนึ่งล้านถึงสองครั้ง

ถ้าจะให้กุยลั่วรังแกคนทั่วไปก็ยังพอไหว แต่เมื่อเจอกับขุนศึกที่ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าแบบเหมียวอี้ ทั้งยังมีชื่อเสียงว่ากล้าทำเรื่องทุกอย่าง กอปรกับมีตระกูลโค่วหนุนหลัง ทำให้เขาไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆ ชั่วขณะนั้นทำให้เขาหาบันไดลงไม่ได้

เหมียวอี้มองข้ามกุยลั่ว แต่จ้องทุกการกระทำของอิ๋งฮุยที่อยู่ข้างหลัง เขามองออกแล้ว ว่าอิ๋งฮุยก็คือคนที่คอยยุงแยงกระพือเชื้อไฟ ทั้งยังแซ่อิ๋งด้วย เกรงว่าคงจะหนีไม่พ้นความเกี่ยวข้องกับตระกูลอิ๋ง

อิ๋งฮุยกับเหมียวอี้สบตากัน อิ๋งฮุ่ยไม่หลบหลีกเลยสักนิด กลับแสยะยิ้มมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเป็นยามปกติ เขาก็ไม่อยากจะไปหาเรื่องเหมียวอี้เช่นกัน แต่ครั้งนี้ต่างออกไปแล้ว เขาถูกคนเสนอแนะให้มา ทั้งยังมอบของวิเศษที่จะเอาชนะให้ด้วย เรียกได้ว่าไม่มีอะไรต้องกลัว

อิ๋งฮุยเก็บพัด แล้วเดินนำออกมาข้างหน้า นำกลุ่มผู้ชายมายืนอยู่ข้างๆ กุยลั่ว พวกผู้หญิงควบคุมก่วงเม่ยเอ๋อร์ไว้แล้ว

กุยลั่วมองซ้ายมองขวา เห็นพวกสหายเคียงข้างตัวเองแล้ว ชัดเจนว่าแสดงท่าทีที่จะรุกถอยร่วมกัน ในใจค่อนข้างซาบซึ้ง สงสัยทุกคนจะยอมรับผลการจับไม้สั้นไม้ยาวแล้ว

“มีคนประเภทหนึ่งที่เรียกว่าภายนอกร้ายกาจภายในขี้ขลาด ถ้าไม่กลัวอะไรเลยจริงๆ ก็คงแต่งงานกับแม่หม้ายเพื่อเกาะขาตระกูลตระกูลโค่วหรอก ถุย แบบนี้มันตัวอะไรกัน!” อิ๋งฮุยโบกพัดพลางถ่มน้ำลาย ไม่ต้องเอ่ยชื่อก็รู้แล้วว่าด่าใคร

“พี่ใหญ่หนิว!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่โดนกักตัวไว้ร้องเรียก

เดิมทีกุยลั่วก็ไม่มีความมั่นใจอยู่แล้ว พอได้ยินว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์เป็นห่วงสนใจเหมียวอี้ขนาดนี้ บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ เขาเดินประชิดเข้าไปหาเหมียวอี้ กลุ่มคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาเดินตามเข้าไปเช่นกัน

ทหารยามที่เฝ้าอยู่ไกลๆ แต่ละคนมองมาทางนี้ แล้วก็เริ่มรวมตัวกันมาทางนี้ เหมียวอี้ยกมือส่งสัญญาณห้าม ทำให้คนพวกนั้นหยุดฝีเท้าอย่างงุนงง

เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่กล้าเรียกคน กุยลั่วก็ยิ่งแสดงพลังอำนาจยิ่งกว่าเดิม

เหมียวอี้ขยับร่างกาย เหาะไปเหยียบลงกลางที่นาด้านหลัง

คนกลุ่มนั้นตามไป เหยียบจนพืชในนาเละเทะทันที เหมียวอี้เหลือบมองใต้เท้าคนพวกนั้นโดยไม่พูดอะไร ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน

คนกลุ่มนั้นล้อมเหมียวอี้ไว้ตรงนั้นแล้ว กุยลั่วเผยสีหน้ายิ้มดุร้าย “ยังคิดจะหลบอีกเหรอ? เจ้าแซ่หนิว ความสามารถอันน้อยนิดของเจ้านะ โอ้อวดให้พวกข้างล่างเห็นยังพอไว้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าข้าก็ไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้น ยังกล้ามาแย่งผู้หญิงกับข้าอีกเหรอ เจ้าบอกมาซิว่าเรื่องวันนี้จะจัดการยังไง?”

“พี่ใหญ่หนิว รีบหนีไปค่ะ!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ร้องตะโกนอย่างร้อนใจอีกครั้ง

ทวนในมือเหมียวอี้พลันชูขึ้นฟ้า

พรึ่บๆ! แม่ทัพใหญ่เกราะแดงสามคนแฉลบเข้ามา คนที่นำหน้ามาก็คือเวินเจ๋อ เวินเจ๋อตะคอกถามเสียงต่ำว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”

อิ๋งฮุยอึ้งไปชั่วขณะ นึกไม่ถึงว่าแถวนี้จะมีแม่ทัพใหญ่วังสวรรค์ซุ่มอยู่ ด้วยความสามารถอย่างพวกเขาสู้ไม่ไหวเลย จึงแอบร้องว่าแย่แล้ว รู้ว่าวันนี้เล่นต่อไปไม่ไหวแล้ว

อิ๋งฮุยจ้องเหมียวอี้อย่างเย็นเยียบ นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเตรียมตัวไว้นานแล้ว จึงตบบ่ากุยลั่วแล้วบอกว่า “ช่างเถอะ! ถึงยังไงที่นี่ก็คืออุทยานหลวง ถ้าก่อเรื่องใหญ่โตคงไม่ดี เดี๋ยวตอนหลังค่อยคิดบัญชี”

กุยลั่วเห็นยอดฝีมือพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ ก็รู้เช่นกันว่าถ้าก่อเรื่องต่อไปจะเสียเปรียบ จึงทำเสียงฮึดฮัดใส่เหมียวอี้ แล้วหันหน้าไป “ไป!”

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้ที่เงียบมาตลอดกลับเอ่ยขึ้นในเวลานี้ กล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “ทั้งหมดหยุดอยู่กับที่!”

กลุ่มคนที่เพิ่งหันตัวไปทยอยกันหันกลับมา อิ๋งฮุยแสยะยิ้มถามว่า “ทำไมล่ะ? จะให้พวกเราอยู่กินข้าวด้วยกันเหรอ?”

เวินเจ๋อขมวดคิ้ว บอกเหมียวอี้เช่นกันว่า “น้องชาย ช่างเถอะ”

“ข้าเองก็อยากจะปล่อยไปเหมือนกัน” เหมียวอี้บุ้ยปากไปตรงใต้เท้าของคนกลุ่มนั้น “พืชพรรณที่สนมในวังปลูกไว้โดนพวกเขาเหยียบย่ำหมดแล้ว ถ้าปล่อยพวกเขาไปแบบนี้ ถ้าต่อไปมีคนเอาเรื่องนี้มาหาเรื่องจะทำยังไง คนที่เฝ้าที่นี่อย่างข้าจะแก้ตัวไม่ได้น่ะสิ ต้องให้คำอธิบายกันสักหน่อยสิ”

พวกอิ๋งฮุยมองไปที่ใต้เท้า ทำให้ทุกคนอึ้งทันที

เหมียวอี้ตะคอกในทันทีว่า “ทหาร!”

ทีแรกกำลังพลกองมังกรดำที่รวมตัวกันอยู่ไกลงงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองข้ามว่าเหมียวอี้เป็นแค่ทหารเลวหนึ่งแถบคนหนึ่ง ทยอยกันเหาะมาตามคำสั่งแล้ว

เหมียวอี้บุ้ยปากบอกว่า “คนพวกนี้ไม่เห็นพืชของเหล่าสนมอยู่ในสายตา บังอาจทำลายตามอำเภอใจ แต่ถ้าเบื้องบนมาเอาเรื่อง พวกเราก็จะแก้ตัวไม่ได้แล้ว จับตัวไปลงโทษให้หมด!”

เวินเจ๋อเอามือเกาหัว คิดในใจว่าไม่จำเป็นหรอก ต่อให้จับคนพวกนี้ไปแล้ว อย่างมากก็แค่โดนด่า ตอนหลังก็จะไม่เป็นอะไรเลย กลับเป็นหนิวโหย่วเต๋อที่จะดูเป็นคนเลวร้าย

“ข้าอยากจะเห็นว่าใครกล้า! สนมสวรรค์…” อิ๋งฮุยหันตัวมาตะคอกอย่าเกรี้ยวกราด ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็กระอักเลือดแล้ว ดวงตาสองข้างแทบจะถลนออกมา ที่มุมปากมีเลือดทะลัก

ซวบ! เหมียวอี้พลันแทงทวนออกมา แทงท้ายทอยเขาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ

เหมียวอี้แทงทวนออกไป แล้วก็ดึงออกมาอีก ทั้งตัวพุ่งเข้าไปในกลุ่มคน ชั่วพริบตาเดียวก็ออกทวนราวกับมังกร มีเลือดสาดกระจายหลายดอก “อา…” เสียงกรีดร้องดังต่อเนื่อง ราวกับเสือเข้าไปในฝูงแกะ ชั่วพริบตาเดียวก็สังหารคนที่กำลังฉุกละหุกไปสิบกว่าคน

กุยลั่วโชคดี อยู่ใกล้เหมียวอี้ขนาดนี้ แต่เหมียวอี้กลับไม่ฆ่าเขา แต่เตะเขาจนกระอักเลือดแล้วกระเด็นออกไป

คนที่เหลือตกใจจนขวัญกระเจิง หนีกระเจิดกระเจิงแล้ว พวกเวินเจ๋อที่ยืนอยู่ไม่ไกลตะลึงค้าง

“อ๊า…” พวกผู้หญิงที่หัวเราะคิกคักอยู่รอบๆ ก่วงเม่ยเอ๋อร์หน้าเขียวหมดแล้ว ตกใจจนหนีขึ้นไปหมดแล้ว

เหมียวอี้ถลันออกมา ใช้เท้าเหยียบกุยลั่วที่กำลังจะลุกขึ้นกลับลงดินไป แล้วปักทวนเงินลงตรงหน้าศีรษะที่แนบพื้นดิน ทำให้เขาตกใจจนตาแทบถนนออกมา ตกใจจนไม่กล้าขยับตัวซี้ซั้ว มองดูเพื่อนตัวเองชักกระตุกเลือดทะลักออกปากอยู่ไกลๆ

พอปักทวนลงพื้นแล้ว เหมียวอี้ก็คว้าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาไว้ในมือ เกิดเสียงดังปั้งๆ ลูกธนูดาวตกสองลูกถูกยิงออกไปพร้อมกัน “อ๊า…อ๊า…” ผู้หญิงสองคนที่อยู่บนฟ้าส่งสียงร้อง พวกนางร่วงลงจากฟ้า ยิ่งทำให้คนที่กำลังหลบหนีขวัญหนีดีฝ่อ

ลูกธนูดาวตกดอกที่สามกำลังจะยิงออกไป เวินเจ๋อที่ได้สติรีบถลันตัวเข้ามา คว้าข้อมือของเหมียวอี้เอาไว้ ไม่ให้เขาทำซี้ซั้วอีก

…………………………

หลังจากกล่าวคำนี้ออกมาแล้ว จ้านหรูอี้ก็พลันหันตัวไปไม่มองเขาอีก ทอดสายตามองไปไกล

ยืนรออยู่ใต้เนินดินนานมาก เหมียวอี้รู้สึกว่าเสียเวลาแบบนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีที่ดี จึงกุมหมัดคารวะ “หากเหนียงเหนียงไม่มีอะไรจะกำชับแล้ว ผู้น้อยขอตัว”

“เจ้าไม่อยากถามข้าสักหน่อยเหรอว่าหลายปีมานี้ข้าเป็นยังไงบ้าง?” จ้านหรูอี้ถามขณะหันหลังให้เขา

เหมียวอี้เงียบไปสักครู่ แล้วถามว่า “หลายปีมานี้เหนียงเหนียงสบายดีมั้ยขอรับ?”

จ้านหรูอี้หันตัวมา แล้วเดินลงเนินดินช้าๆ ค่อยๆ ก้าวเข้าไปประชิดเหมียวอี้ “ข้าสบายดีมาก! พอเข้าวังไปข้าก็ได้รับแต่งตั้งเป็นสนมสวรรค์เลย เป็นสนมสวรรค์คนแรกในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ก่อตั้งตำหนักสวรรค์ขึ้นมา ในบรรดาสนมนับหมื่นของวังหลังไม่มีใครเหนือกว่า ฐานะที่วังหลังเป็นรองแค่ราชินีสวรรค์ ฝ่าบาทโปรดปรานข้ามาก ในวังหลังไม่มีใครเทียบได้ แม้แต่ราชินีสวรรค์ก็คนละระดับกับข้า ตั้งแต่เข้าวังไป จำนวนครั้งที่ข้าเปลื้องผ้าต่อหน้าฝ่าบาท จำนวนครั้งที่ฝ่าบาทมาอยู่กับข้า ถ้านำความถี่ของทุกคนในวังหลังมารวมกัน ก็ยังได้ไม่เท่าข้าคนเดียวเลย จะเห็นได้เลยว่าฝ่าบาทรักข้าขนาดไหน ข้ากลายเป็นสนมรักของฝ่าบาทอย่างแท้จริง ที่ข้าจ้านหรูอี้มีวันนี้ได้ก็เพราะเจ้าเลยนะหนิวโหย่วเต๋อ จะว่าไปแล้วก็ต้องขอบคุณจริงๆ ที่เจ้าทำให้ข้าสมปรารถนา!” ตอนที่พูดประโยคสุดท้าย นางมายืนอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้อย่างจริงจัง ดวงตางามจ้องปฏิกิริยาของเหมียวอี้ตาไม่กะพริบ

เหมียวอี้หลุบตาลง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ที่เหนียงเหนียงเข้าวังไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย ข้าไม่ได้มีพลังมากขนาดนั้น เป็นการตัดสินใจของคนในครอบครัวเหนียงเหนียง”

จ้านหรูอี้บอกทันทีว่า “ไม่! เกี่ยวข้องกับเจ้าเยอะมาก ถ้าไม่ใช่เพราะฝากความหวังไว้ที่เจ้า ข้าก็จะสู้ตายเพื่อขัดขืน ไม่ยอมเด็ดขาด ข้ายอมตายดีกว่ายอมจำนน! เป็นเจ้าที่ทำร้ายหัวใจข้า ทำให้ข้าหมดอาลัยตายอยากเลยล้มเลิกการต่อต้าน ทำตามที่ครอบครัวจัดเตรียมไว้ให้ ข้าถึงได้มีวันนี้ไง เจ้าบอกมาซิว่าข้าจะไม่ขอบคุณเจ้าได้ยังไง?”

เหมียวอี้พลันเม้มริมฝีปากแน่นไม่ตอบอะไร กำหมัดสองข้างแน่น

ในที่สุดก็เห็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติของเขาแล้ว จ้านหรูอี้ถาอมย่างใจเย็นว่า “อีกไม่นานก็คงจะถึงวันมงคลระหว่างเจ้ากับอวิ๋นจือชิว ข้ายินดีกับเจ้าตรงนี้เลย แต่ข้าอยากจะถามเจ้าสักคำ เจ้าชอบนางจริงๆ เหรอ?”

“ข้าให้คำสัญญากับนางไว้นานมากแล้ว ว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่แต่งงานกับใครถ้าไม่ใช่นาง ทั้งชีวิตนี้จะไม่ทรยศนางเด็ดขาด!” เหมียวอี้กล่าว

จ้านหรูอี้ถามอีกว่า “แล้วข้าล่ะ? ข้าแค่อยากจะถามคำเดียว เจ้าเคยชอบข้าบ้างรึเปล่า”

“คำถามนี้ของเหนียงเหนียงทำให้ข้าน้อยหวาดกลัว” เหมียวอี้กล่าว

จ้านหรูอี้กัดฟัน แล้วบอกว่า “งั้นข้าขอถามอีก ตอนแรกที่ข้าขึ้นเกี้ยวหงส์เข้าวัง เจ้าบุ่มบ่ามอยากจะชักดาบขึ้นมาขวางไม่ให้ข้าเข้าวังรึเปล่า?”

เหมียวอี้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “เปล่าขอรับ!”

จ้านหรูอี้ขยับเท้า เดินเฉียดผ่านตัวเขาไป “ขอบคุณที่เจ้าช่วยให้สมหวัง ทำให้ข้ามีวันนี้ได้! ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่จะอกตัญญู ถึงยังไงข้าก็ร่วมนอนเคียงหมอนกับฝ่าบาท พอจะพูดโน้มน้าวฝ่าบาทได้บ้าง ถ้ามีอะไรที่ต้องการให้ข้าช่วยเหลือ ก็บอกมาได้เลย เจ้าบอกว่าต่อไปข้าจะเข้าใจเอง ข้าก็จะรอวันนั้น วันที่ข้าจะเข้าใจ!”

ลมพัดมา กระโปรงยาวปลิวพัดผ่านใบหน้าเหมียวอี้ไป กระโปรงยาวที่เจือด้วยกลิ่นหอมจางๆ กวาดผ่านหน้าเหมียวอี้ ผิวกายที่สัมผัสกันราวกับวิญญาณได้สัมผัสกัน ปัดผ่านเลยไปทันที หายไปราวกับเงา ทำให้รู้สึกอยากเอื้อมมือไปคว้าแต่ก็คว้าไว้ไม่ได้

คนที่มองอยู่ไกลๆ มองดูทั้งสองหันหลังแยกจากกัน บนพื้นหญ้าสีเขียว กระโปรงปลิวพลิ้วราวกับเทพเซียน ร่างที่สวมเกราะเงินยืนตรงสะท้อนแสงวิบวับอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์

รอจนกระทั่งเหมียวอี้ที่ยืนเงียบงันอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานหันตัวมาอีกครั้ง ก็ไม่เห็นเงาของจ้านหรูอี้และคนอื่นๆ แล้ว เขาถลันตัวเหาะไปเหยียบลงตรงตำแหน่งของตัวเอง คว้าทวนเงินออกมาปักพื้นแล้วยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์

หลังจากรู้ว่ากลุ่มชนชั้นสูงที่พระตำหนักอุทยานกลับวังสวรรค์ไปแล้ว เหมียวอี้ก็หันตัวเดินออกจากตำแหน่งตัวเอง เอาทวนเงินพาดบ่า ราวกับแบกไม้คานไว้บนหลัง ใช้แขนสองข้างงอพาดไว้บนนั้น แล้วเดินช้าๆ กลับไตลอดทาง

แต่ก็อิสระได้ไม่กี่วัน งานเลี้ยงอุทยานที่ตำหนักสวรรค์จัดทุกๆ หนึ่งพันปีมาถึงแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนเวลามนุษย์ในโลกฉลองปีใหม่ จะฉลองกันทั้งหมดสามวัน ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเป็นการนัดชุมนุมกันหนึ่งครั้งในทุกๆ พันปีของตำหนักสวรรค์ ในวันนี้ ไม่ใช่แค่ประมุขชิงที่จะพาสนมทั้งวังหลังมาร่วมงาน ขุนนางใหญ่ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมราชสำนักก็จะพาทั้งครอบครัวมาที่อุทยานสวรรค์ด้วย ฮูหยินบรรดาศักดิ์แต่ละแห่งล้วนได้รับคำเชิญ

งานแต่งงานของเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวจึงต้องหลีกทางให้กับงานนี้ เอาไว้เฉลิมฉลองหลังจากนั้น

พวกเทพธิดาในแต่ละที่ของอุทยานสวรรค์งานยุ่งกันมาก ประดับตกแต่งแทบทั้งดาวเคราะห์ของอุทยานสวรรค์ กองทัพองครักษ์ก็ยิ่งเรียกรวมกำลังพลหนึ่งหน่วยไปประจำตามแต่ละจุดของอุทยานสวรรค์ ตำแหน่งของเหมียวอี้อยู่ตรงที่นาหลวงตลอด แต่ก็ไม่สะดวกจะทำงานอย่างขอไปที เมื่อถึงเวลาผลัดเวรยืนยามก็ต้องไป แน่นอนว่าจะไม่ไปก็ได้ กองมังกรดำไม่ว่าอะไรเช่นกัน แต่เขาก็ไม่อยากให้มู่อวี่เหลียนทำงานลำบาก

ในวันที่จัดงานเลี้ยงอุทยาน ขุนนางในราชสำนักนำครอบครัวทยอยกันไปคารวะราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ที่พระตำหนักอุทยาน รับการเข้าเฝ้าทีละครอบครัว ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ประทานรางวัลให้ทุกครอบครัว

นอกจากพื้นที่ต้องห้ามบางจุด วันนี้ทั้งอุทยานสวรรค์ก็เปิดให้ขุนนางในราชสำนักและครอบครัวใช้อย่างเต็มที่แล้ว บรรยากาศคึกคักมาก

โชคดีว่าตรงที่นาหลวงไม่ได้มีทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยมอะไร ไม่มีใครมารบกวน เพียงแต่บางครั้งจะมีคนมาดูความแปลกใหม่บ้าง ยกตัวอย่างเช่นอนุภรรยาของขุนนางใหญ่บางคนที่เพิ่งจะรับเข้ามาใหม่ภายหนึ่งพันปีนี้ พวกนางไม่เคยเห็นมาก่อนว่าที่นาหลวงเป็นอย่างไร อยากจะมาดูอะไรที่แปลกใหม่สักหน่อย หลังจากเห็นแล้วก็พบว่าก็เท่านั้นเอง แทบจะไม่มีใครอยู่ต่อ เดินเตร็ดเตร่ไปมานิดหน่อยก็ออกไปแล้ว

อวิ๋นจือชิวก็มาแล้วเช่นกัน มีคนกลุ่มใหญ่ของตระกูลโค่วอยู่เป็นเพื่อน

“น้องเขย! อาเขย! ลุงเขย!”

กลุ่มคนในตระกูลโค่วเดินมองประเมินรอบๆ เหมียวอี้พลางหัวเราะคิกคัก โค่วเหวินหลานต้องเรียก ‘อาเขย’ อย่างจนใจนิดหน่อย ใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มเจื่อน

อวิ๋นจือชิวไม่ได้เข้ามาใกล้ ได้แต่สบตากับเหมียวอี้อยู่ไกลๆ

เหมียวอี้ประคองทวนค้ำพื้นยืนมองนางพร้อมยิ้มให้บางๆ เขากับอวิ๋นจือชิวติดต่อกันอยู่ตลอด รู้ว่าตอนนี้ทุกคนของตระกูลโค่วดีกับนางมาก แต่ละฝ่ายถึงขั้นให้ความรู้สึกว่าประจบสอพลอด้วยซ้ำ เหมียวอี้ที่เคยได้รับคำเตือนมาจากโกวเยว่เตือนนางต่อ ว่าพยายามอย่าเข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ภายในของตระกูลโค่ว

ขณะมองดูเหมียวอี้สวมเกราะเงินยืนเฝ้ายามอยู่ตรงมุมหนึ่งของที่นา อวิ๋นจือชิวกลับกัดริมฝีปากแน่น สุดท้ายก็ควบคุมอารมณ์ไม่ไหว ทนมองต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ขุนพลที่กุมอำนาจชี้เป็นชี้ตายมากมายในตอนแรก ไม่น่าเชื่อว่าจะตกต่ำถึงขั้นนี้ นางหันหน้าหนี น้ำตาอุ่นร้อนเอ่อล้นออกมา แล้วโผเข้าอ้อมกอดซูฮวนเหนียงที่อยู่ข้างกัน “ล้วนเป็นข้าที่ทำร้ายเขา…”

ซูฮวนเหนียงกอดนาง ตบหลังนางเบาๆ พร้อมกล่าวปลอบใจ “น้องเจ็ด ใกล้แล้วล่ะ อีกไม่นานก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว แค่ทนรับความอัปยศชั่วครู่ก็เท่านั้นเอง อุปสรรคมากมายขนาดนั้นน้องเขยยังผ่านมาได้ ความล้มเหลวเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้อยู่ในสายตาน้องเขยเลย น้องเขยไม่ใช่คนธรรมดา ต้องกินขมในขม จึงจะได้ เป็นคนเหนือคน ถ้าเขาคิดจะผงาดขึ้นมา ก็ไม่มีทางราบรื่นสะดวกสบายเหมือนลูกหลานชนชั้นสูงอยู่แล้ว แต่ถ้าได้ผงาดขึ้นมาเมื่อไร ก็แสดงว่าได้อาศัยศักยภาพที่แข็งแกร่งของตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ลูกหลานชนชั้นสูงพวกนั้นจะเทียบติด ท่านพ่อถูกใจน้องเขยมาก รอให้การลงโทษหนึ่งร้อยปีนี้ผ่านไป ก็จะถึงเวลาที่น้องเขยก้าวเท้าครั้งเดียวเหยียบขึ้นฟ้าแล้ว!”

ภายใต้การบอกใบ้ของเหมียวอี้ กลุ่มคนของตระกูลโค่วพาอวิ๋นจือชิวเดินออกไปแล้ว

ก่อนจะเดินออกไป โค่วเจิงก็กล่าวเตือนเสียงเรียบว่า “เวลานี้อย่าก่อเรื่องอะไรมาก ข้าบอกลูกหลานตระกูลโค่วที่อยู่แถวนี้แล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรพวกเขาจะโผล่มาช่วยเจ้าต้านทันที”

ก่อนงานเลี้ยงอุทยานเหมียวอี้ก็ได้รับคำเตือนจากตระกูลโค่วแล้ว บอกว่างานเลี้ยงอุทยานครั้งนี้อาจจะมีคนมาหาเรื่องเขา ให้เขาระวังตัวไว้หน่อย

เหมียวอี้แปลกใจ อย่าบอกนะว่ายังมีคนกล้าก่อเรื่องที่อุทยานสวรรค์อีก?

ความหมายที่ตระกูลโค่วจะสื่อก็คือ กันไว้ดีกว่าแก้ มีตระกูลโค่วคอยต้านไว้ให้ ตระกูลอื่นก็ย่อมไม่กล้าเล่นงานอย่างโจ่งแจ้ง แต่เกรงว่าแต่ละตระกูลจะแอบลงมือ ฉวยโอกาสกำจัดหนิวโหย่วเต๋อทิ้ง อาจจะไม่ถึงขั้นลอบสังหาร แต่ลูกหลานชนชั้นสูงคงจะเดินร่อนไปทั่วงานงานเลี้ยงอุทยาน เป็นไปได้สูงว่าจะมีคนจงใจหาท้าทายหาเรื่องเขา พูดยั่วโมโหแล้วฉวยโอกาสลงมือ ถึงตอนนั้นต่อให้เกิดเรื่องขึ้น ก็จะเป็นอุบัติเหตุที่พวกลูกหลานไม่รักดีขัดแย้งกันเท่านั้น เดิมทีแต่ละตระกูลก็มีลูกหลานที่เอ้อระเหยไม่ทำการทำงานอยู่แล้ว

ดังนั้นตระกูลโค่วจึงย้ำแล้วย้ำอีก ว่าถ้ามีใครมาท้าทายก็ให้พยายามอดทนไว้อย่างถึงที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็รอให้ผ่านร้อยปีนี้ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่ต้องก็ได้ขอรับ ถึงแม้ข้าจะโดนลดให้อยู่ตำแหน่งต่ำสุด แต่ถึงยังไงก็เคยควบคุมอุทยานสวรรค์มาหลายปี ถ้าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังรับมือไม่ได้ งั้นก็ไม่ต้องทำมาหากินแล้ว”

โดนลดตำแหน่งเป็นทหารสวรรค์หนึ่งแถบแล้วยังมีจิตใจอันทระนงองอาจได้ ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ด้วย! ในดวงตาโค่วเจิงฉายแววชื่นชม จากนั้นยกมือขึ้นตบบ่าเขา แล้วหันตัวเดินออกไป

อยู่เงียบได้ไม่นานเท่าไร เหมียวอี้ก็พบว่าพวกพี่น้องทหารที่กระจายตัวอยู่ตามจุดต่างๆ มองตรงมาทางเขา เขาหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นข้างหลังมีผู้หญิงคนหนึ่งลอยลงมาจากฟ้า สวมชุดกระโปรงสีชมพู เย้ายวนไร้ที่เปรียบ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นก่วงเม่ยเอ๋อร์นั่นเอง

“พี่ใหญ่หนิว!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์หลุดขำ แล้วถลันตัวมาข้างเขา

พูดตามตรง เมื่อได้เห็นผู้หญิงคนนี้ เหมียวอี้ก็รู้สึกละอายใจ ตอนนั้นควบคุมมือที่ซุกซนของตัวเองไม่ได้ ไปลูบไล้ในจุดที่ไม่สมควร แต่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนไม่เป็นอะไรเลย เขาจึงยิ้มให้อย่างไม่หวาดหวั่น “เจ้ามาได้ยังไง? มาดูข้าทำตัวอัปลักษณ์น่าอายเหรอเหรอ?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ทำท่าเอามือไขว้หลัง เดินวนมองประเมินเหมียวอี้รอบหนึ่ง แล้วพยักหน้าบอกว่า “ไม่อัปลักษณ์หรอกค่ะ พี่ใหญ่หนิวสวมเกราะเงินแล้วดูมีพลังอำนาจมากนะคะ แล้วอีกอย่างนะ มีใครไม่รู้บ้างว่าท่านกำลังจะกลายเป็นลูกเขยอ๋องสวรรค์แล้ว เกราะเงินนี้เกรงว่าจะใส่ได้ไม่นานเท่าไรนัก”

“มีธุระอะไร?” เหมียวอี้ส่ายหน้า

ก่วงเม่ยเอ๋อร์กลอกตาทันที “ไหนบอกว่าเป็นสหายกันแล้วไง ข้ามาที่นี่พอดี จะมาเยี่ยมสหายสักหน่อยไม่ได้เหรอคะ? อย่าบอกนะว่าตอนนั้นแค่พูดไปอย่างนั้น ตอนนี้จะกลับคำแล้วเหรอคะ?”

เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เปล่าสักหน่อย…” ยังไม่ทันพูดจบ สายตาก็ย้ายไปมองอีกด้านหนึ่ง

ก่วงเม่ยเอ๋อร์เห็นเขาแปลกไป จึงมองตาม เห็นเพียงชายหญิงที่สวมเสื้อผ้าหรูหราหลายสิบคน ทุกคนเหาะลงมาจากฟ้าด้วยกัน ลักษณะท่าทางแบบนั้นกอปรกับมาโผล่อยู่ที่นี่ได้ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นลูกหลานคนรวย แต่ละคนมีท่าทีหยิ่งจองหอง แต่ละคนมองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร

“ลั่วกุย ถ้าข้าพูดไม่ผิด น้องเม่ยเอ๋อร์กำลังแอบมาเจอใครลับๆ อยู่รึเปล่า?” ชายร่างผอมคนหนึ่งหุบพัดในมือ แล้วเคาะชายรูปร่างกำยำที่อยู่ข้างกัน แล้วหัวเราะเสียงดัง

ข้างๆ กันมีเพื่อนหลายสิบคน ผู้หญิงเม้มปากลอบหัวเราะ ส่วนผู้ชายก็หัวเราะเสียงดัง

ชายรูปร่างกำยำที่ชื่อว่าลั่วกุยกลั้นโกรธจนหน้าแดงอยู่ท่ามกลางเสียหัวเราะเยาะ ก่วงเม่ยเอ๋อร์ชี้ชายที่ถือพัดพร้อมตวาดเสียงแหลม “อิ๋งฮุย หุบปากเหม็นของเจ้าซะ!”

จู่ๆ ลั่วกุยก็ชี้ไปที่เหมียวอี้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “เม่ยเอ๋อร์ คนนี้เป็นใคร?”

อิ๋งฮุยกางพัด แล้วส่ายหน้าเบาๆ พร้อมตอบแทน “ลั่วกุย รู้อยู่แล้วทำไมต้องแกล้งโง่ เรื่องดูตัวที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนน่ะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อน สวมเกราะเงินยืนเฝ้ายามอยู่ตรงที่นาหลวงจะเป็นใครไปได้อีก? ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าเจ้าจะไม่เอาไหนขนาดนี้ ข้าคงไม่บอกเจ้าหรอก เจ้าจะได้ไม่ต้องปล่อยไก่แบบนี้”

…………………………

ร้องครวญครางหน่อยหมายความว่ายังไง? เหมียวอี้โดนเจ้าหมอนี่ปั่นเสียจนใจตุ้มๆ ต่อมๆ ถามว่า “สนมสวรรค์จะลงมือกับข้าเหรอ?”

“ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ?” แม่ทัพเกราะแดงถาม

“งั้นที่ท่านให้ข้าร้องครวญครางหน่อยหมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้ถาม

แม่ทัพเกราะแดงตอบว่า “มีใครไม่รู้บ้างว่าเจ้าเคยมีเรื่องกับสนมสวรรค์ ข้าหวังดีให้เจ้าเตรียมใจไว้ก่อน เจ้าไม่รับน้ำใจใช่มั้ย? อย่าชักช้า สนมสวรรค์มองมาแล้ว…”

เหมียวอี้ได้ยินแล้วมองไป เป็นอย่างที่คาดไว้ ตรงจุดไกลๆ มีผู้หญิงที่กระโปรงปลิวพลิ้วตามสายลกำลังหันหน้ามองมาทางนี้

ร่างกายโซเซทันที แม่ทัพเกราะแดงผลักเขาหนึ่งที ก็ช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงกัดฟันตามอีกฝ่ายเหาะขึ้นฟ้าไป

หลังจากทั้งสองเหยียบลงบนพื้น แม่ทัพเกราะแดงก็กุมหมัดคารวะ “รายงานสนมสวรรค์ พาหนิวโหย่วเต๋อมาแล้วขอรับ” พูดจบก็ถอยออกไปด้านข้าง

เหมียวอี้ตามเข้ามากุมหมัดคารวะ “คารวะสนมสวรรค์!”

“หนิวโหย่วเต๋อ ยังจำข้าได้รึเปล่า?” จ้านหรูอี้ถามเสียงเรียบ

หยินซวงกับไป๋เสวี่ยจ้องประเมินเหมียวอี้อย่างละเอียด เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้เห็นหนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดังในระยะใกล้อย่างเป็นทางการ สายตาดูไม่เป็นมิตรสักเท่าไร เพราะรู้มาก่อนแล้วว่าเหมียวอี้เคยล่วงเกินเจ้านายของพวกนาง และคิดว่าเจ้านายของพวกนางมาเพื่อคิดบัญชีกับเหมียวอี้เช่นกัน สาเหตุรองก็เป็นเพราะรู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้โง่ไปหน่อย อ๋องสวรรค์อิ๋งตั้งใจดึงตัวมาแก้ไขความบาดหมางใจกันในอดีต แต่เจ้าดันไปขอพึงพาอ๋องสวรรค์โค่ว ไม่อย่างนั้นจะมีปัญหาเหมือนอย่างวันนี้เหรอ

แม่ทัพเกราะแดงหลายคนที่อยู่ข้างๆ แอบส่งสายตาให้กัน ทำท่าเหมือนรู้อยู่แก่ใจ ต่างก็ฟังออกถึงน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรของสนมสวรรค์แล้ว เดาว่าหนิวโหย่วเต๋อคงจะซวยแล้ว เริ่มครุ่นคิดแล้วว่าอีกระเดี๋ยวจะลงมือยังไงให้ปรานี

ในช่วงเวลานี้ พวกแม่ทัพใหญ่ทั่วไปที่เฝ้าวังสวรรค์แทบจะเคยดื่มสุรากับเหมียวอี้มาหมดแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนแม่ทัพใหญ่พวกนี้ไม่มีใครด่าเหมียวอี้ เรื่องที่เป็นฝ่ายมาขอดื่มสุราถึงที่และทำความรู้จักก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ สำหรับเหมียวอี้ นี่คงจะเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายหลังจากที่โดนลดตำแหน่งแล้ว

“…” เหมียวอี้เงยหน้าอย่างงุนงง เผชิญหน้ากับจ้านหรูอี้อย่างแท้จริงแล้ว ในชั่วพริบตานี้ เขารู้สึกเหมือนเห็นภาพลวงตา ตรงหน้านี้คือจ้านหรูอี้แท้ๆ แต่กลับไม่ค่อยเหมือนจ้านหรูอี้แล้ว

ชั่วพริบตานั้นอารมณ์ความคิดของเขาย้อนไปถึงภาพที่เจอกับจ้านหรูอี้ครั้งแรก ภาพในปีนั้นเหมือนจู่ๆ ก็ชัดเจนขึ้นในหัวเป็นพิเศษ ตอนนั้นก็สบตากันแบบนี้เช่นกัน

นั่นเป็นตอนที่กำลังพลผู้เข้าร่วมทดสอบรวมตัวกันก่อนเข้าแดนอเวจี ฝนตกหนักมาก ใต้ชายคาเพิงมีน้ำฝนหยดไม่หยุด ท่ามกลางสายฝนมีผู้หญิงรูปร่างสูงเดินย่ำโคลนเข้ามาเพียงลำพัง ใบหน้าที่อยู่ใต้เกราะหัวงดงามราวภาพวาด องอาจกล้าหาญ เต็มไปด้วยพลังอันมีชีวิตชีวา หยิ่งทระนง ดวงตางามที่เป็นประกายมีพลังมองไปรอบๆ แล้วมาหยุดอยู่บนตัวเขา ผู้ที่มามีเจตนาไม่ดี พอเอ่ยปากก็ถามทันทีว่า “เจ้าเองเหรอหนิวโหย่วเต๋อ?” เหมียวอี้แทบจะลืมว่าตัวเองตอบไปว่าอะไร ผู้หญิงคนนั้นกระแทกเสียงบอกว่า “คนเปิดเผยย่อมไม่ทำเรื่องลับๆ หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าฟังข้าให้ดีนะ เมื่อเข้าไปในนรกแล้ว เข้าจะเอาชีวิตเจ้าให้ได้!”

ภาพนั้นเปลี่ยนเข้ามาเป็นภาพในห้องอย่างรวดเร็ว เป็นผู้หญิงคนนั้นเช่นเดียวกัน แต่กลับยอมทิ้งศักดิ์ศรีทุกอย่างแล้ว นางถอดเสื้อผ้าท่อนบน เผยร่างกายท่อนบนที่ทำให้เลือดลมสูบฉีด ขอร้องวิงวอนเขาในขณะที่ตัวสั่น บอกว่าไม่อยากเข้าไปเป็นสนมในวังหลัง ขอร้องเขาด้วยฐานะต่ำต้อยเป็นพิเศษ ขอให้เขาพานางไป

ตอนที่เขาปฏิเสธ เขาเห็นกับตาว่าในดวงตาของผู้หญิงคนนี้ฉายแววสิ้นหวังขนาดไหน นั่นเหมือนความสิ้นหวังที่เคยรู้จักมาก่อน เหมือนเขาเคยเห็นตอนที่โดนขังอยู่ในกาหลอมปีศาจเมื่อหลายปีที่แล้ว นึกไม่ถึงว่าตอนนั้นจะเกิดขึ้นอีก ดังนั้นตอนที่หันตัวไปเขาปวดใจนิดหน่อย ตอนที่สูญเสียไปครั้งก่อนเขาไม่มีความสามารถที่จะช่วยได้ ทว่าการสูญเสียครั้งนี้ เขามีความสามารถแล้วแต่กลับสะบัดแขนเสื้อหนีเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

ตอนหลังได้เห็นผู้หญิงคนนี้นั่งเกี้ยวหงส์อย่างมีหน้ามีตา กลายเป็นสนมสวรรค์หรูอี้ผู้สูงส่งแล้ว

หลังจากนั้นมา ก็ไม่เคยได้เห็นอีกเลยจนกระทั่งตอนนี้ แต่ในตอนนี้ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนไปจนเขาแทบจะจำไม่ได้แล้ว รู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เรือนร่างยังคงสูงระหง แต่จ้านหรูอี้กลับไม่เหมือนจ้านหรูอี้คนนั้นในอดีตอีกแล้ว ไม่มีแล้วใบหน้างามดุจภาพวาดใต้เกราะหัว ไม่มีแล้วความองอาจห้าวหาญยามสวมเกราะรบ ไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีความหยิ่งทระนงด้วย ดวงตางามที่เป็นประกายมีพลังเปลี่ยนเป็นเงียบเหงา คมความสามารถเปลี่ยนเป็นสุภาพสงบเสงี่ยม

สวมชุดกระโปรงยาวผ้ามุ้งบางสีเงิน ตรงเอวคาดผ้ารัดจนเห็นเอวที่เล็กบาง แสดงให้เห็นหน้าอกที่อิ่มเอิบ เผยเค้าโครงเรือนร่างที่สูงระหงทรงเพรียว บนมวยผมปักเครื่องประดับสีสันแสบตา ตรงหูใส่ต่างหู หน้าอกห้อยสร้อยคอ บนตัวห้อยเครื่องประดับเอว ก่อนหน้านี้ต่อให้ผู้หญิงคนนี้จะถอดเกราะรบแล้ว แต่ก็ไม่เคยสวมเครื่องประดับพวกนี้

จ้านหรูอี้ที่เคยตะโกนว่าจะสู้ตายกับเขาหายไปแล้ว นางเหมือนผู้หญิงแท้ๆ คนหนึ่งเท่านั้น

มีความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก เปลี่ยนตั้งแต่ศีรษะจดเท้า เหมียวอี้ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้นางใช้ชีวิตอย่างไร คาดว่าคงจะมีชีวิตสุขสบายอยู่ในวังสวรรค์ ใช้ชีวิตที่มีเกียรติ .ถึงได้บ่มเพาะให้กลายเป็นแบนี้ แต่เขาก็รู้ว่านิสัยอย่างนางไม่เหมาะกับวังสวรรค์ แต่กลับต้องอยู่ในกำแพงวังที่สูงส่งนั่นตลอดไป

ในใจรู้สึกปวดแปลงอย่างบอกไม่ถูก เขาเม้มริมฝีปากแน่นครู่หนึ่ง ก่อนจะกุมหมัดคารวะ “คารวะสนมสวรรค์!” เขาไม่ได้ตอบว่ายังจำนางได้หรือไม่

ไม่ตอบงั้นเหรอ? ดวงตางามของจ้านหรูอี้จ้องปฏิกิริยาของเขา ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง สายตานางกวาดมองเกราะรบบนตัวเหมียวอี้ แล้วยิ้มมุมปากพร้อมกล่าวแดกดัน “ทหารสวรรค์เกราะเงินหนึ่งแถบ! ถ้าขาจำไม่ผิด เจ้าโดนลดยศเป็นครั้งที่สองแล้วสินะ?”

“ใช่ขอรับ!” เหมียวอี้เอ่ยตอบ ตอนทดสอบที่แดนอเวจีจบ เขาก็โดนลดยศไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้านับตอนอยู่ที่พิภพเล็กด้วย นี่ก็ไม่ใช่แค่ครั้งที่สองแล้ว

จ้านหรูอี้บอกว่า “คนอื่นยิ่งอยู่นานยิ่งยศใหญ่ แต่เจ้ากลับยศน้อยลงเรื่อยๆ จากแม่ทัพสองแถบกลายเป็นทหารสวรรค์หนึ่งแถบยศต่ำสุด เจ้าคงเป็นคนเดียวของตำหนักสวรรค์”

เหมียวอี้ตอบว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะทหารผู้น้อย…” จู่ๆ ก็พบว่าตัวเองไม่เหมาะจะเรียกแทนตัวเองว่าทหารผู้น้อย แม้แต่คำว่าข้าน้อยก็ยังมีสิทธิ์ด้วยซ้ำ เพราะไม่มีแม้แต่ตำแหน่งขุนนาง ระดับต่ำจนไม่รู้จะต่ำอย่างไรแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นตอบว่า “ล้วนเป็นบทลงโทษที่ข้าน้อยสมควรได้รับ!”

จ้านหรูอี้จ้องสังเกตดวงตาของเขา แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ตอนนี้ข้าสูงส่งเป็นสนมสวรรค์ ส่วนเจ้าเป็นเพียงทหารเล็กๆ เห็นข้าแล้วรู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”

แม่ทัพเกราะแดงข้างๆ ส่งสายตาให้กันอีก หยินซวง ไป๋เสวี่ยสบตากันแวบหนึ่ง ฟังจากน้ำเสียงแล้ เหมือนสนมสวรรค์ต้องการจะทำให้หนิวโหย่วเต๋อลำบากใจ

เป็นเพราะธรรมเนียม เหมียวอี้ไม่กล้ามองหน้านางตรงๆ ได้ก้มหน้าเล็กน้อยพร้อมตอบว่า “ไม่บังอาจเปรียบเทียบกับกับสนมสวรรค์”

จ้านหรูอี้หันตัว แล้วเดินรับลมเข้าไปในทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม “ไม่เจอกันหลายปี เดินเล่นเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยเถอะ” นางก้าวเบาๆ เดินบนหญ้าเขียว ชุดกระโปรงปลิวสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลม

เดินเล่นกับสนมสวรรค์ แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ? เหมียวอี้ลังเล แต่หยินซวง ไป๋เสวี่ยกลับยื่นมือเชิญอย่างไม่เกรงใจ “เชิญ!”

เหมียวอี้ถึงได้กัดฟันเดินตามหลังไป แต่ยังไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป ชุดกระโปรงบนตัวจ้านหรูอี้กำลังปลิวตามสายลม เขาไม่สะดวกจะสัมผัสกับเสื้อผ้าของสนมสวรรค์

หยินซวง ไป๋เสวี่ยเดินตามหลัง แม่ทัพเกราะแดงหลายคนติดตามไปด้วย

แต่ใครจะคิดว่าจ้านหรูอี้จะหันกลับมาสั่งว่า “ไม่ให้พวกเจ้าตามมา ข้าจะเดินกับเขาตามลำพัง”

หยินซวง ไป๋เสวี่ยอึ้งทันที แม่ทัพเกราะแดงหลายคนงุนงง

“เหนียงเหนียง ไม่เหมาะสมเพคะ!” หยินซวงรีบตะโกนบอกอย่างร้อนรน สนมสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยเดินเล่นเพียงลำพังกับผู้ชาย แบบนี้มีอย่างที่ไหน?

แม่ทัพเกราะแดงคนหนึ่งกมหมัดคารวะเช่นกัน “เหนียงเหนียง พวกข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มารักษาความปลอดภัย ไม่กล้าอยู่ไกลขอรับ!”

พวกเขากังวลจริงๆ ถ้าสนมสวรรค์ต้องการจะล้างแค้นแล้วยั่วให้หนิวโหย่วเต๋อโต้ตอบล่ะ อยู่ห่างกันไกลถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา เกรงว่าพวกเขาจะเข้าไปช่วยไม่ทัน ถ้าปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับสนมสวรรค์จริงๆ เกรงว่าหัวของพวกเขาก็จะร่วงลงพื้นเช่นกัน

เหมียวอี้เองก็ตกใจเช่นกัน เดินเล่นกับสนมของราชันสวรรค์สองต่อสองงั้นเหรอ ล้อเล่นอะไรกัน? เขารีบหยุดเดินแล้วกุมหมัดคารวะ “เหนียงเหนียง หากมีอะไรจะกำชับ ผู้น้อยจะล้างหูรอฟัง” ความหมายในคำพูดก็คือคุยกันตรงนี้ก็พอแล้ว

“ข้าจะพูดอีกครั้งนะ ข้าจะเดินกับเขาตามลำพัง มีเรื่องจะถามเขานิดหน่อย พวกเจ้าไม่ต้องตามมา!” จ้านหรูอี้พูดทิ้งท้ายแล้วเดินต่อไปข้างหน้า

ในเมื่อนางต้องการจะทำแบบนี้ คนอื่นๆ จะทำอย่างไรได้ล่ะ?

เหมียวอี้ก็ทำได้เพียงรักษาระยะห่าง เดินตามหลังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

เมื่อเดินไปบนเนินเล็กๆ ทีมีหญ้าเขียวชอุ่มดุจฟูก จ้านหรูอี้หยุดยืนอยู่บนนั้น ชุดกระโปรงปลิวพลิ้วตามสายลม

เหมียวอี้ยืนอยู่ข้างล่างเนินนั้น รักษาระยะห่างไว้ตลอด

จ้านหรูอี้ที่อยู่ข้างบนทอดสายตามองฟ้าดิน แล้วจู่ๆ ก็บอกว่า “อวิ๋นจือชิวน่ะ ข้าเคยเห็นมาแล้ว”

“…” เหมียวอี้เงยหน้ามองอย่างงงงัน ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร

“ว่ากันตามจริง หลังจากได้เห็นนางแล้ว ข้าก็มีเรื่องที่อดไม่ได้ที่จะถามเจ้า”

“ผู้น้อยจะตั้งใจฟังขอรับ”

“ผู้น้อยเหรอ? หนิวโหย่วเต๋อที่ข้ารู้จัดทำไมกลายเป็นคนต่ำต้อยขนาดนี้ไปได้ล่ะ? หนิวโหย่วเต๋อที่กล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับขุนนางทั้งราชสำนักไปไหนแล้ว? ทหารสวรรค์หนึ่งแถบ นี่คืออนาคตที่เจ้าอยากได้หลังจากทิ้งข้าไปเหรอ?” จ้านหรูอี้หันตัวมา ก้มมองเขาจากที่สูง “ดังนั้นข้าก็เลยคิดไม่ตก แค่แม่หม้ายคนหนึ่ง ข้ามองไม่ออกว่านางมีอะไรอะไรนัก และไม่เห็นว่านางจะดีกว่าข้าสักเท่าไรด้วย…เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้หมายความถึงอย่างอื่น เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไป ข้าจะไม่เอาเรื่องอีก ข้าแค่รู้สึกฉงนใจกับเรื่องในอดีต เจ้าสามารถทำเพื่อแม่หม้ายคนหนึ่งได้ขนาดนี้ ก็แปลว่เจ้าไม่กลัวการก่อเกิดเรื่องและไม่แยแสอนาคตเลย ตอนนั้นเจ้าปฏิเสธข้าทำไม หรือว่าข้าแย่กว่าแม่หม้ายคนนั้น?”

เมื่อได้ยินนางบอกว่าจะไม่เอาเรื่องในอดีต เหมียวอี้ก็แอบโล่งใจ “เรื่องบางเรื่องก็พูดได้ไม่ชัดเจนขอรับ”

“เป็นเพราะข้าเคยหาเรื่องเจ้าหลายครั้งเหรอ เจ้าก็เลยเกลียดข้า?” จ้านหรูอี้ถาม

“มิบังอาจ!” เหมียวอี้ตอบ

จ้านหรูอี้บอกอีกว่า “เรื่องนี้ทำให้ข้าสงสัยมาหลายปี ข้าแค่อยากรู้คำตอบจะได้สงบใจ ข้าไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่น ตรงนี้ไม่มีคนนอก เจ้ากับข้าพูดกันตรงๆ ได้”

เหมียวอี้พยักหน้าถาม

“ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้นได้อีกครั้ง ให้โอกาสเจ้าเลือกอีกครั้ง เจ้าจะพาข้าไปหรือเปล่า?” จ้านหรูอี้ถาม

เหมียวอี้เงียบไป แล้วสุดท้ายก็กล่าวออกมาช้าๆ ว่า “ไม่ขอรับ!”

จ้านหรูอี้ถาม “เพราะอะไร? ข้าอยากรู้ว่าเพราะอะไร บอกเหตุผลที่แท้จริงกับข้า”

เหมียวอี้กล่าวตอบช้าๆ “เหนียงเหนียงเข้าวังก็เพราะเหนียงเหนียงมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ที่หนิวปฏิเสธก็เพราะหนิวมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน”

“ข้างหลังข้ามีความรับผิดชอบต่อตระกูลอยู่ ข้างหลังเจ้ามีความรับผิดชอบอะไร? เพื่อลูกน้องเก่าพวกนั้นของเจ้าเหรอ? ศึกน่านฟ้าระกาติงเจ้าทำลูกน้องตายไปตั้งเท่าไรล่ะ? เพื่ออนุภรรยาคนนั้นของเจ้าเหรอ? เจ้าสามารถพานางไปด้วยกันได้เลย เจ้าก็รู้ว่าข้าจะตอบตกลง หรือไม่อย่างนั้น เจ้าก็หวังจะให้ข้าเข้าหวังใจจะขาดแล้ว” จ้านหรูอี้กล่าว

เหมียวอี้รีบตอบว่า “ไม่ขอรับ! เป็นเหตุผลที่ข้าเพิ่งบอกไปเมื่อครู่นี้ ในภายหลังเหนียงเหนียงอาจจะเข้าใจ”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะรอแล้วกัน รอวันที่จะเข้าใจ”

…………………………

ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก แค่มองปราดเดียวประมุขชิงก็เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็มีจุดที่แปลกพิสดารแบบนี้อยู่ พอร่ายอิทธิฤทธิ์ศึกษาดูอย่างละเอียด ก็รู้วิธีการใช้แล้ว พอเขายกปิ่นปักผมในมือขึ้นมา ผีเสื้อสีแดงที่เกาะอยู่ด้านบนก็กระพือปีกบินทันที บินเบาๆ อยู่ระหว่างพวกเขา ดึงดูดสายตาทุกคนแล้ว

ประมุขชิงยื่นนิ้วไปรับให้ผีเสื้อมาเกาะพัก แล้วก็หัวเราะเบาๆ พอดีดนิ้วหนึ่งที ผีเสื้อก็ตกใจบินขึ้นมาอีก บินวนรอบหนึ่ง แล้วก็กลับมาเกาะบนกิ่งไม้สีเขียวมรกตเหมือนเดิม

คนรอบๆ เห็นแล้วรู้สึกแปลกใจอัศจรรย์ใจไม่หยุด ประมุขชิงมองดูปิ่นปักผมในมือซ้ำๆ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เป็นเครื่องประดับที่ประณีตงดงาม วันนี้ข้าได้เห็นของประเภทนี้เป็นครั้งแรก อืม! น่าสนใจ สวยงามดูดี”

พอได้ยินเขาบอกว่าสวยงามดูดี กลุ่มสนมก็จ้องเครื่องประดับในมือเขาอย่างตาลุกวาวทันที

ว่ากันว่าหอคอยใกล้น้ำมักได้พระจันทร์ ก่อน[1] สายตาประมุขชิงเพิ่งไปหยุดอยู่บนศีรษะจ้านหรูอี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับถือโอกาสก้าวเข้ามา แล้วยิ้มอย่างสนิทสนมพร้อมก้มศีรษะเล็กน้อย “ประทานเป็นรางวัลให้หม่อมฉันดีมั้ยเพคะ?”

นางเอ่ยปากต่อหน้าฝูงชนแล้ว ประมุขชิงเองก็รู้ว่านางไม่อยากโดนคนอื่นแย่งทำตัวเด่นเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่านางสนม เขาจึงยิ้มบางๆ พร้อมยื่นมือออกไป ปักปิ่นไว้บนมวยผมของนาง

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เงยหน้ายืดอก แล้วใช้มือลูบปิ่นปักผมบนยอดศีรษะเบาๆ แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ฝ่าบาทรู้สึกว่าหม่อมฉันดูดีมั้ยเพคะ?”

พูดอะไรดีๆ ก็ไม่เสียหายอะไร ประมุขชิงยิ้มพลางพยักหน้า “มีเสน่ห์ไปอีกแบบ ดูดี”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้หน้าได้ตาเต็มที่ทันที ชำเลืองสนมที่อยู่ทางซ้ายและขวาโดยจิตใต้สำนึก แล้วย่อเข่าคำนับ “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”

ประมุขชิงโบกมือ บอกใบ้ว่าไม่เป็นอะไร แล้วกล่าวกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่และจ้านหรูอี้ด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่ค่อยเข้าใจของพวกนี้ แค่ดูไปอย่างนั้นเอง ราชินีสวรรค์กับสนมสวรรค์เลือกเอาเองแล้วกัน” จากนั้นก็หันตัวไป เอามือไขว้หลังเดินชมเครื่องประดับในกล่องอย่างช้าๆ แต่ก็ไม่ได้หยิบขึ้นมาอีก ไม่อย่างนั้นจะทำให้ผู้หญิงกลุ่มนี้หึงหวงได้ง่าย ดีไม่ดีที่วังหลังอาจจะมีการตายโดยไร้สาเหตุอีกหลายคน

ตลอดทางที่เดินดูนี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่เบามือ พอรู้สึกว่าชิ้นไหนดีหรือดูดี ก็จะหยิบเอาไว้เสียเลย มีเทพธิดาเข้ามาช่วยถือไว้ เลือกไปเป็นร้อยชิ้น บางชิ้นสนมคนอื่นชอบพอดี ทำให้หลายๆ คนแอบแค้น

จ้านหรูอี้กลับหยิบไม่เกินสามครั้ง เลือกไปได้สามชิ้นก็หยุดแล้ว

หลังจากพวกเขาดูเสร็จแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มอย่างสนิทสนมพร้อมกวักมือเรียกสนมคนอื่นมาดู “ของสวยใช้ได้เลย น้องๆ มาดูสิ”

เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้แล้ว ก็มีกลุ่มผู้หญิงรีบเดินเข้ามาในนั้นทันที ลำดับการดูทำให้มองออกถึงฐานะอาวุโส ถ้าได้รับความโปรดปรานที่วังหลังก็จะมีฐานะหน่อย ข้างหลังไม่มีใครกล้าข้ามหน้าข้ามตา ตามเลือกของที่เหลืออยู่ข้างหลังน่ะถูกแล้ว

ตอนนี้มีเสียงหัวเราะคิกคักอย่างร่าเริง หยิบเครื่องประดับมาช่วยกันสวมใส่แล้ววิจารณ์กันว่าสวยหรือไม่สวย

ครั้งนี้อวิ๋นจือชิวนำเครื่องประดับมาเยอะกว่าคนที่อยู่ที่นี่ แต่สนมบางคนเห็นแล้วเดือดดาล รอจนคนข้างหน้าเลือกไปหมดแล้ว จะให้ตัวเองไปตามเก็บเศษขยะรึไงล่ะ? จึงไปคุยเล่นอยู่ข้างๆ เสียเลย ขี้คร้านจะเข้ามาประสมโรงด้วย

แต่จะทำแบบนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน มีบางคนชำเลืองมองพวกนางแวบหนึ่ง นี่กำลังรังเกียจที่พวกเราทำตัวธรรมดาสามัญเหรอ? พวกเจ้ากำลังวางมาดสูงส่งใช่มั้ย?

ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน นางส่งสายตาบอกใบ้ให้สนมคนอื่นจำชื่อสนมพวกนั้นเอาไว้แล้ว กลับไปต้องให้บทเรียนพวกนางสักหน่อย

ประมุขชิงเพิ่งจะกลับมานั่งในศาลา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ตามมานั่งข้างๆ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ฝ่าบาท ท่านดูพวกน้องๆ สิเพคะว่าดีใจขนาดไหน เครื่องประดับสวยงามประณีตแบบนี้พบได้น้อยมาก ตามความเห็นของหม่อฉัน ไม่สู้ให้บุตรสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์หยุดกิจการ แล้วนำของมาถวายเข้าวังตำหนักสวรรค์วังหลังอย่างเดียวเลยดีมั้ยเพคะ?”

ประมุขชิงตอบเสียงต่ำว่า “แบบนี้ไม่เหมาะสมสมกระมัง เจ้าตัวเปิดร้านทำการค้า แบบนี้ไม่เท่ากับตัดขาดธุรกิจของคนื่อนเหรอ ถ้าทุกคนอยากได้จริงๆ ต่อไปให้นางนำมาส่งให้อีกก็ได้”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จงใจกลอกตามองเขา “ทำไมฝ่าบาทไม่เข้าใจเพคะ ถ้าเครื่องประดับที่น้องๆ ในวังหลังสวมใส่เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปข้างนอก แบบนั้นยังจะมีความหมายอะไรล่ะเพคะ? แบบนั้นพวกน้องๆ จะไม่เสียเกียรติเหรอ!”

ประมุขชิงเข้าใจในทันที สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับหน้าศักดิ์ศรีอันจอมปลอมของผู้หญิง แต่ก็ถามอย่างลังเลนิดหน่อยว่า “วังหลังมีอยู่แค่ไม่กี่คน แบบนี้จะไม่ทำลายธุรกิจของนางเหรอ” ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง เขายังสนใจว่าคนในใต้หล้าจะมองเขาอย่างไร

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่บอกว่า “ชดเชยราคาให้ เพิ่มราคาให้ ไม่ทำให้นางขาดทุนก็พอแล้ว ฝ่าบาทคงไม่เสียดายเงินนี้เพื่อพวกน้องๆ หรอกใช่มั้ยเพคะ? หลังจากทำเป็นของบรรณาการแล้ว ในภายหลังยังทำเป็นรางวัลประทานให้ฮูหยินบรรดาศักดิ์ได้”

ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ “เรื่องนี้เจ้าไปปรึกษากับซ่างกวนก็แล้วกัน”

“งั้นหม่อมฉันจะถือว่าฝ่าบาทตอบตกลงแล้วนะเพคะ” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าว

ประมุขชิงชี้นาง แล้วยิ้มพลางส่ายหน้า ทำท่าเหมือนหมดหนทางกับนางแล้ว นับว่าตอบตกลงก็แล้วกัน เมื่ออยู่ต่อหน้ากลุ่มนางสนม เขาไว้หน้านายหญิงของวังหลังเต็มที่

พอหันกลับมา เขาก็มองไปยังจ้านหรูอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วถามด้วยรอยยิ้มอีกว่า “เหมือนสนมรักจะมีเรื่องอะไรในใจนะ?”

จ้านหรูอี้ค่อนข้างเหม่อลอยจริงๆ พอได้ยินคำถามก็ได้สติกลับมา นางเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “หม่อฉันได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อโดนทำโทษอยู่ในที่นาหลวง หม่อมฉันอยากจะไปดูเขาสักหน่อยเพคะ” นางไม่ปิดบังความคิดตัวเองเลยสักนิด นางคิดแบบนี้จริงๆ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินแล้วหงุดหงิดทันที แล้วเตือนว่า “สนมสวรรค์ กล้าพูดแบบนี้ได้ยังไง? ตอนนี้เจ้าเป็นสนมของฝ่าบาท มีอย่างที่ไหนจะเสนอหน้าไปเจอผู้ชายได้ตามใจชอบ!”

ประมุขชิงยกมือขึ้นห้ามนาง ไม่ให้นางพูดต่ออีก แล้วถามจ้านหรูอี้อย่างสงสัยว่า “สนมรัก จะไปหาเขาทำไม?”

จ้านหรูอี้ตอบอย่างสุขุมว่า “ถึงยังไงเขาก็เคยเป็นผู้บังคับบัญชาของหม่อมฉัน ตอนนี้กำลังถูกทำโทษ หม่อมฉันเลยอยากไปเห็นสักหน่อยว่าตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้างแล้ว”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับฟังได้ความหมายอื่น แสยะยิ้มบอกว่า “สนมสวรรค์ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเคยมีความค้นต่อกัน แต่ตอนนี้เจ้าเป็นสนมสวรรค์ บุญคุณความแค้นก่อนหน้านี้ ที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไป มาคิดเล็กคิดน้อยอีกไม่รู้สึกว้ากินไปหน่อยเหรอ?”

ประมุขชิงก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นกัน ถึงกล่าวเสียงต่ำว่า “สนมรักอยากจะไปดูสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก…”

“ฝ่าบาท…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต้องการจะเถียงทันที

ประมุขชิงยกมือห้ามอีก แล้วจ้องจ้านหรูอี้พร้อมพูดต่อ “ถึงยังไงเขาก็กำลังจะกลายเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วแล้ว จะไม่ไว้หน้าอ๋องสวรรค์โค่วสักหน่อยคงไม่ได้ เจ้าไปดูสักหน่อยก็ได้ แต่อย่าทำอะไรเกินเลย ถ้าก่อเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ท่านตาเจ้าคงจะเป็นคนแรกที่ต้องมาขอโทษถึงที่ ถึงตอนนั้นแม้แต่ข้าก็ช่วยพูดให้เจ้าไม่ได้ เข้าใจมั้ย?”

ที่จริงจ้านหรูอี้แค่อยากจะไปเจอเหมียวอี้เฉยๆ อยากจะคลายความสงสัยบางอย่างในใจ นางไม่กลัวว่าคนอื่นจะเข้าใจผิดหรือไม่ ดังนั้นจึงพูดออกมาตรงๆ แต่พอได้ยินสิ่งที่ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์พูด ก็เหมือนจะคิดว่านางจะไปคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต๋อ

นางก็ขี้คร้านจะอธิบายเช่นกัน โค้งตัวเล็กน้อยพร้อมขอตัว “หม่อมฉันขอตัว!”

ประมุขชิงโบกมืออนุญาตแล้ว

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ใบหน้าเจือด้วยความโกรธ หลังจากมองตามจ้านหรูอี้จากไปไกลแล้ว ก็หันขวับแล้วถามว่า “ฝ่าบาท ถ้าต่อไปทุกคนทำแบบนางบ้าง แต่กฎของวังหลังจะยังมีอยู่มั้ยเพคะ?”

ประมุขชิงชี้ไปที่กลุ่มสนมด้านนอก “ถ้าทั้งวังหลังสงบนิ่งเหมือนสนมสวรรค์หมด เช่นนั้นวังหลังก็จะสงบแล้ว คงมีความขัดแย้งอะไรอีก”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เถียงว่า “หม่อมฉันยังมองไม่ออกเลยว่านางสงบนิ่งตรงไหน คนที่ดึงพรรคพวกได้ร้ายกาจที่สุดในวังหลังก็คือนางแล้ว”

“เฉิงอวี่ ในสายตาเจ้า ข้าเป็นคนตาบอดหรือหูหนวกเหรอ?” ประมุขชิงจ้องด้วยสายตาเย็นเยียบ

พอรู้ว่าเขาโมโหแล้ว ท่าทีของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็อ่อนลงทันที เม้มปากเล็กน้อยและไม่กล้าพูดอะไรอีก

หยินซวง ไป๋เสวี่ย หญิงรับใช้ประจำตัวคอยติดตาม ทั้งยังมีองครักษ์วังสวรรค์อีกหลายคนที่ทำหน้าที่คุ้มกัน คนกลุ่มหนึ่งเหาะลงจากท้องฟ้า มาเหยียบลงตรงมุมหนึ่งของที่นาหลวง

ในผืนนาและผืนป่า พืชพรรณธัญญาหารเติบโตอย่างน่าดีใจ ใบหญ้าเชียวชอุ่มปลิวกระเพื่อมตามสายลม เทพธิดาที่คอยดูแลที่นี่โดยเฉพาะเดินไปเดินมาระหว่างนั้น ผักผลไม้ที่ปลูกไว้เหล่านี้ไม่ได้มีประดับไว้เฉยๆ เนื่องจากราชันสวรรค์เป็นคนนำ สิ่งต่างๆ ที่ปลูกไว้ที่นี่ต้องถูกส่งเข้าไปเป็นอาหารในวังสวรรค์ ไม่มีทางปล่อยทิ้งให้สูญเปล่า

“สนมสวรรค์!” เทพธิดาหลายคนกล่าวทำความเคารพร้อมกัน

นานแล้วที่ไม่ได้เห็นป่าเขียวที่ติดดินแบบนี้ จ้านหรูอี้ที่อุดอู้อยู่ในตำหนักงามมาหลายปีค่อนข้างมองเหม่อ แววตาค่อนข้างพร่าเลือน นางยื่นนิ้วเรียวดุจหยกออกมา แล้วลูบไล้เบาๆ สัมผัสได้ถึงความลื่นของใบไม้ที่อยู่บนเล็บ ตอนนี้นางพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมประมุขชิงจึงมาทำนาที่นี่เป็นครั้งคราว ก่อนหน้านี้ตอนที่นางเป็นทหารเฝ้าอุทยานหลวง นางก็ยังรู้สึกขำนิดหน่อย ตอนนี้ถึงได้เข้าใจแล้ว ว่าเมื่อมาถึงที่นี่ ถึงจะได้ค้นพบว่าตัวเองยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่

นางหดนิ้วกลับไปกลับมา แล้วก็แบฝ่าใอขึ้นตรงหน้าอีก ขาวหมดจด ละเอียดอ่อน เกลี้ยงเกลา…นางมองซ้ำไปซ้ำมา ก่อนหน้านี้มือข้างนี้เคยกำอาวุธทำศึกต่อสู้ เต็มไปด้วยความฮึกเหิมและพลังชีวิต แต่ตอนนี้กลับมีประโยชน์มากที่สุดก็แค่ใช้เปลื้องเสื้อผ้าเผยร่างกายตัวเองเพื่อมอบความสุขให้คนอื่น

หยินซวงชี้ไปยังพื้นสีเขียวผืนหนึ่งตรงหน้า พร้อมบอกว่า “เหนียงเหนียง ที่นาดีสิบหมู่แบ่งให้หนักบูรพาของพวกเราเพคะ ยามปกติล้วนเป็นพวกนางที่ช่วยจัดการให้” นางชี้ไปยังเทพธิดาหลายคนที่อยู่ด้านข้าง

จ้านหรูอี้ได้สติกลับมา แล้วบอกว่า “ตบรางวัล!”

ไป๋เสวี่ยหยิบแหวนเก็บสมบัติหลายวงออกมาแจกจ่ายให้เหล่าเทพธิดาทันที หลังจากพวกนางกล่าวขอบคุณแล้วเห็นว่าไม่มีงานอะไร ก็ถอยออกไปแล้ว

ขณะเดินเล่นช้าๆ อยู่ระหว่างหญ้าเขียว นางก็ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปรอบๆ เห็นทหารยามเฝ้าตำหนักสวรรค์กระจายตัวกันหร็อมแหรม แต่กลับไม่เห็นหนิวโหย่วเต๋อ จึงเอียงหน้าถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อถูกลงโทษให้มาเฝ้าที่นี่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่เห็นล่ะ? ไปเรียกเขามาพบข้า”

แน่นอนว่านางไม่เห็นอยู่แล้ว พอเหมียวอี้เห็นนางมาแล้ว ก็รีบหลบเข้าไปในป่าเล็กใกล้ๆ ทันที หรือพูดได้อีกอย่างว่ากลัวผู้หญิงคนนี้จะมาล้างแค้น หรือพูดได้อีกว่าไม่อยากเจอหน้านาง แต่จนใจที่อีกฝ่ายเอ่ยชื่อเรียกเขาไปพบ อยากจะหลบแต่ก็หลบไม่พ้น

แม่ทัพเกราะแดงคนหนึ่งเหมือนจะรู้ว่าเหมียวอี้ยืนเฝ้ายามอยู่ที่ไหน จึงถลันตัวไปข้างกายทหารยามคนหนึ่งที่เฝ้าผืนนา แล้วถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อล่ะ?”

ทหารคนนั้นมองซ้ายมองขวาครู่หนึ่ง แล้วพึมพำอย่างแปลกใจนิดหน่อยว่า “เมื่อครู่นี้ยังเห็นเขายืนอยู่ตรงนั้นอยู่เลย อาจจะมีธุระออกไปแล้วมั้ง”

แม่ทัพเกราะแดงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหนิวโหย่วเต๋อทันที หายไปไหนแล้วล่ะ?

เขากับหนิวโหย่วเต๋อเคยดื่มสุราด้วยกันหลายครั้ง นับว่าเป็นสหายที่เรียกพี่เรียกน้องกันแล้ว

เหมียวอี้ถามกลับมาว่า : เมื่อเรื่องอะไรเหรอ?

แม่ทัพเกราะแดง : รีบมาที่นาหลวง สนมสวรรค์เรียกพบเจ้า

เหมียวอี้เครียดทันที : พี่ใหญ่กาน ข้าเป็นทหารยศต่ำสุด ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น สนมสวรรค์จะเรียกข้าทำไม? ผู้บังคับการกองห้าของพวกเราก็อยู่ใกล้ๆ มีอะไรก็ไปหาเขาแล้วกัน

แม่ทัพเกราะแดง : สนมสวรรค์เอ่ยชื่อเจ้า จะให้ข้าไปหาผู้บังคับการกองห้าของพวกเจ้าทำไมล่ะ รีบโผล่หัวออกมา อย่าชักช้าจนหาเรื่องใส่ตัวเอง

พอเขาเอียงหน้ามา ก็เห็นเหมียวอี้ถลันตัวออกมาจากป่าเล็กที่อยู่ไม่ไกลแล้ว อดไม่ได้ที่จะถามปนขำว่า “เจ้าคงไม่ได้หลบไปขี้ในป่าหรอกใช่มั้ย?”

เหมียวอี้กลอกตามองบน เมื่อเห็นข้างกายมีทหารคนอื่นด้วย ก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงถามว่า “พี่ใหญ่กาน สนมสวรรค์มาหาข้าเพราะเรื่องอะไร?”

แม่ทัพเกราะแดงตอบว่า : “ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ? ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร ก็แค่เรื่องไม่เป็นเรื่องในอดีตไม่ใช่เหรอ? ความกล้าที่เอาทัพห้าหมื่นไปสู้กับทัพหนึ่งล้านหายไปไหนแล้วล่ะ? ไม่ว่าจะเป็นโชคหรือหายนะก็หลบไม่พ้น เรียกชื่อเจ้าแล้วเจ้าก็หลบไม่พ้น ไปอย่างสง่าผ่าเผยหน่อย ลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วนะ นางจะฆ่าเจ้าเชียวเหรอ? อย่างมากก็ทำให้เจ้าลำบากนิดหน่อยเท่านั้นเอง อีกประเดี๋ยวตอนที่ลงมือ ทุกคนก็แผนอยู่ในใจแล้ว เจ้าอย่าลืมร้องครวญครางหน่อยล่ะ อย่าทำให้พวกเราลำบาก”

…………………………

[1] หอคอยใกล้น้ำมักได้พระจันทร์ ก่อน 近水楼台先得月 หมายถึง มือใครยาวสาวได้สาวเอา

หลังจากการประชุมราชสำนักของตำหนักสวรรค์ โค่วหลิงซวีก็ยังไม่ได้ไปไหน แต่ขอเข้าพบประมุขชิง เดินเดินเล่นเป็นเพื่อนประมุขชิงอยู่ในอุทยานสายัณห์

ราชันและขุนนางปรองดองกัน หลังจากชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปสักพัก ในที่สุดโค่วหลิงซวีก็เอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มาแล้ว “ข้าน้อยมีบุตรสาวบุญธรรม…”

ประมุขชิงคิ้วกระตุกเล็กน้อย รอให้เขาเอ่ยสิ่งนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว นึกไม่ถึงว่าตาเฒ่าคนนี้จะข่มเอาไว้จริงๆ ถ่วงเวลามาถึงวันนี้แล้วค่อยเอ่ยปาก จึงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดตัดบทว่า “อ๋องสวรรค์มาเพื่อหนิวโหย่วเต๋อใช่มั้ย?”

“ฝ่าบาทช่างปราดเปรื่อง!” โค่วหลิงซวีกล่าวประจบ แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจอีกว่า “เป็นเพราะไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ความบริสุทธิ์ของลูกสาวข้าถูกหนิวโหย่วเต๋อทำลายแล้ว ทำได้เพียงตกกระไดพลอยโจน ไม่อย่างนั้นทั้งชีวิตนี้ก็จะถูกทำลายแล้ว ข้าน้อยไร้ยางอาย ขอให้ฝ่าบาทได้โปรดย้ายหนิวโหย่วเต๋อไปที่ทัพเหนือขอรับ ข้าน้อยจะได้เลือกวันแต่งงานให้พวกเขาได้สะดวก”

ประมุขชิงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ข้าเข้าใจจิตใจของอ๋องสวรรค์ เพียงแต่ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ลงโทษคนกระทำผิด ถ้าปล่อยตัวไปก่อนครบกำหนดเวลาลงโทษหนึ่งร้อยปี ก็จะฟังดูเหลวไหลเกินไปจริงๆ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบไม่ได้นะ อ๋องสวรรค์ควรทำตัวเป็นแบบอย่างในเรื่องนี้สิ เอาอย่างนี้แล้วกัน ในเมื่ออ๋องสวรรค์เอ่ยปากแล้ว ข้าก็จะช่วยให้เรื่องดีงามนี้สมปรารถนา เจ้ามีเรือนพักอยู่ที่อุทยานหลวงไม่ใช่เหรอ? จัดงานแต่งงานที่นั่นก็แล้วกัน ส่วนเรื่องย้ายหนิวโหย่วเต๋อ หลังจากลงโทษครบหนึ่งร้อยปี ข้าจะปล่อยเขาออกจากกองทัพองครักษ์”

โค่วหลิงซวีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สังเกตได้ว่าประมุขชิงไม่อยากปล่อยคนไปตรงๆ แต่ก็ยังกุมหมัดขอบคุณ “ขอบคุณที่ฝ่าบาทช่วยให้สมปรารถนา!”

จู่ๆ ประมุขชิงก็เอียงหน้าบอกอีกว่า “เออใช่! ได้ยินว่าเครื่องประดับที่บุตรสาวบุญธรรมคนนั้นของเจ้าขายสวยมากเลย กลุ่มสตรีในวังหลังชอบของพวกนี้ ครั้งก่อนพาตัวมาที่อุทยานหลวงแล้ว แต่กลับถูกอ๋องสวรรค์พาตัวไป อ๋องสวรรค์ดูหน่อยว่าจะสะดวกเมื่อไร ให้บุตรสาวบุญธรรมของเจ้านำของมาที่อุทยานหลวง จะได้ให้กลุ่มผู้หญิงในวังหลังเห็นอะไรแปลกใหม่บ้าง”

“ในเมื่อบรรดาเหนียงเหนียงโปราดปราน ข้าน้อยก็จะไปเตรียมการทันที” โค่วหลิงซวีตอบ

“อืม!” ประมุขชิงพยักหน้า

เขาถึงขนาดเอ่ยปากเองแล้ว กลับไปโค่วหลิงซวีก็ย่อมต้องดำเนินการในทันที วันต่อมาก็ส่งถังเฮ่อเหนียนกับลูกสาวสองคนให้มาเรือนพักในอุทยานหลวงเป็นเพื่อนอวิ๋นจือชิว

คนเพิ่งมาจะมาถึงประตูทางเข้าเรือนพัก อวิ๋นจือชิวก็หยุดฝีเท้ามองไปยังกลุ่มภูเขาที่อยู่รอบๆ นอกประตูแล้ว จากขอคำชี้แนะจากถังเฮ่อเหนียนว่า “ท่านอาถัง ไม่ทราบว่าที่นาหลวงอยู่ตรงไหนคะ?”

โค่วเชี่ยนกับโค่วอวี่ที่เดินตามอยู่ด้วยกันสบตากันแล้วยิ้ม ทั้งสองคือลูกสาวคนที่ห้าและหกของโค่วหลิงซวี โค่วหลิงซวีมีลูกชายสามคนก่อน ตอนหลังก็มีลูกสาวอีกสามคน ลำดับการเกิดเป็นระเบียบมาก โค่วอิงลูกสาวคนที่สี่ไม่ได้มา ที่จริงอวิ๋นจือชิวอายุมากกว่าลูกสาวสามคนของตระกูลโค่ว แต่เพื่อที่จะเติมเต็มฐานะ ให้เป็นเจ้าเจ็ดก็เป็นเจ้าเจ็ดแล้วกัน

โค่วเชี่ยนยิ้มหยอกพร้อมบอกว่า “น้องเจ็ดี่คิดถึงผู้ชายจนใจลอยไปหมดแล้ว เดี่ยวข้าจะต้องไปดูสักหน่อยว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นหน้าตาเป็นยังไงกันแน่ ถึงทำให้เจ้าเจ็ดหลงใหลขนาดนี้ได้”

โค่วอวี่เอามือป้องปากหัวเราะคิกคัก

ถังเฮ่อเหนียนรู้ถึงความคิดของอวิ๋นจือชิว ตอนนี้เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อถูกทำโทษแพร่ไปทั่วแล้ว นางรู้แล้วเช่นกัน เกรงว่าคงจะอยากไปดูหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย จึงพูดปล่อยใจด้วยเสียงเบาๆ ว่า “คุณหนูเจ็ดไม่ต้องห่วง เขาอยู่ทางนั้นไม่เป็นอะไรหรอกขอรับ ถ้าพวกท่านแอบเจอกันก่อนแต่งงานจะไม่ค่อยหน้าฟังเท่าไร ตอนนี้อดทนไว้ก่อน รออีกไม่นานก็จะได้พบกันอย่างสง่าผ่าเผยแล้ว”

ทางวังสวรรค์เพิ่งจะมีความเคลื่อนไหว ทางกองมังกรดำได้ข่าวให้มาต้อนรับ เหมียวอี้ที่กำลังฝึกวิชารีบวิ่งออกมาเช่นกัน วิ่งมาที่มุมหนึ่งของที่นาหลวง สวมเกราะเงินถือทวนเงินและยืนตรงไปทางนั้น

ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็เห็นพาหนะหงส์มังกรบินร่อนอยู่ตรงขอบฟ้า กลุ่มหญิงงามแห่งวังหลังมากมายดุจปุยเมฆ มีทหารสวรรค์อารักขา มีเทพธิดาช่วยเสริมให้เด่น ลอยช้าๆ ไปยังที่ตั้งของพระตำหนักอุทยานราชันสวรรค์ เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดในใจว่า ไม่รู้ว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์กับเผ่าหงส์และมังกรที่อยู่ทางนี้ได้ติดต่อกันหรือเปล่า

พระตำหนักอุทยาน ทหารอารักขาอย่างเข้มงวด เสียงมังกรคำรามเคล้าเสียงหงส์

บนเกี้ยวมังกร ประมุขชิงกับราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดินลงมาพร้อมกัน เดินเคียงข้างกันไปทางพระตำหนักอุทยานสูงตระหง่าน จ้านหรูอี้ลงจากเกี้ยวหงส์ ตามหลังราชันสวรรค์และราชินีสวรรค์ไปแล้ว สนมนับหมื่นของวังหลังออกมาหมด มีแต่ยอดหญิงงามที่หาพบได้ยากในโลกทั้งนั้น พวกนางสดใสเปล่งประกาย ติดตามอยู่ข้างหลังจ้านหรูอี้

ในชั่วขณะนั้น พระตำหนักอุทยานที่โอ่อ่าอลังการหลังนี้ก็เต็มไปด้วยยอดหญิงงามแล้ว ทุกคนได้แต่แอบทอดถอนใจ เมื่อลองได้เคยเห็นฉากนี้ภาพนี้แล้ว ต่อไปพอเห็นยอดหญิงงามในโลกมนุษย์อีกก็จะมองว่าเป็นผู้หญิงธรรมดา

ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวที่อยู่ในเรือนพักของอ๋องสวรรค์โค่วถูกเรียกให้เข้าเฝ้า พอมาถึงพระตำหนักอุทยานแล้ว ถังเฮ่อเหนียนก็ถูกกันไว้นอกพระตำหนักอุทยาน โค่วเชี่ยนกับโค่วอวี่เข้าวังเป็นเพื่อนอวิ๋นจือชิว

ในสวนดอกไม้ที่มีทิวทัศน์งดงามอัศจรรย์ หญิงงามนับไม่ถ้วนงดงามยิ่งกว่าดอกไม้ พวกนางจับกลุ่มกระซิบกระซาบคุยกัน บนบัลลังก์ในศาลาหลักที่มีทางเดินยาว ประมุขชิงกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่นั่งอยู่เคียงกัน จ้านหรูอี้ยืนเงียบอยู่ด้านข้าง ส่วนสนมคนอื่นล้วนยืนอยู่นอกตำหนักหลัก

โค่วเชี่ยนกับโค่วอวี่ ส่วนใหญ่เหล่าสนมในวังเคยเห็นมาหมดแล้ว ส่วนฐานะของผู้หญิงอีกคนก็ไม่ต้องเดาเลย สายตาของหญิงงามนับไม่ถ้วนจ้องไปที่อวิ๋นจือชิว ในดวงตาของพวกนางบ้างก็ฉายแววอย่ากรู้อยากเห็น บ้างก็อิจฉาตาร้อน

สำหรับนางสนมกลุ่มนี้ ไม่รู้ว่าอวิ๋นจือชิวถูกผู้หญิงมากมายเท่าไรในใต้หล้าอิจฉา!

เกรงว่าในใต้หล้าคงจะมีคนรู้จักชื่อของกลุ่มสนมอย่างพวกนางไม่เยอะ ความงามของพวกนางเป็นเพียงสิ่งที่มีไว้ประดับวังหลังก็เท่านั้นเอง แต่หนิวโหย่วเต๋อที่เดือดดาลเพราะหญิงงามคนเดียวนั้น กลับทำให้ชื่อของอวิ๋นจือชิวดังสะท้านใต้หล้า จะต้องกลายเป็นตำนานในใต้หล้าแน่นอน ถ้ามีผู้ชายสักคนทำแบบนี้เพื่อตัวเองได้ เช่นนั้นก็ไมเสียแรงที่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิงในชาตินี้แล้ว

ตอนแรกทุกคนจินตนาการไว้ว่าอวิ๋นจือชิวจะเป็นประเภทที่สวยจนท้องฟ้าตะลึงพื้นดินสะเทือน นี่ก็เป็นสาเหตุที่กลุ่มสนมทั้งวังหลังพากันออกมาดู หลังจากได้เห็นหน้าของอวิ๋นจือชิวแล้ว ก็พบว่าอวิ๋นจือชิวก็หน้าตาเท่านี้เอง แต่งตัวก็บ้านนอกมาก แต่ผู้หญิงที่หน้าตาแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีค่าพอให้หนิวโหย่วเต๋อนำกำลังพลห้าหมื่นไปทำศึกเลือดกับทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้าน ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อจะไม่เสียดายอนาคต สังหารคนไปหลายแสนเพื่อผู้หญิงคนนี้!

ในชั่วขณะนั้น สนมแสนสวนส่วนใหญ่ของวังหลังต่างก็รู้สึกว่าทำใจเชื่อได้ยาก มีคนไม่น้อยถึงขั้นแอบอิจฉาในใจ รู้สึกว่าความงามของอวิ๋นจือชิวสู้พวกนางไม่ได้ แต่กลับได้กลายเป็นบุตรสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์แล้ว ผิดกฎธรรมชาติเกินไปจริงๆ!

เรื่องบางเรื่องก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ที่จริงไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น ว่าสาเหตุที่อ๋องสวรรค์โค่วรับอวิ๋นจือชิวเป็นบุตรสาวบุญธรรมก็เพราะว่าชอบหนิวโหย่วเต๋อ อยากจะดึงหนิวโหย่วเต๋อมาเป็นพวกก็เท่านั้นเอง

มีคนไม่น้อยถึงขั้นคับแค้นใจว่า ‘อยู่ในยุคที่ไร้วีรบุรุษ คนไร้นามจึงกลายเป็นยอดบุรุษ'[1] รู้สึกว่าถ้าตัวเองไม่ได้เข้าวังหลัง แล้วได้รู้จักสนิทสนมกับหนิวโหย่วเต๋อ เกรงว่าอวิ๋นจือชิวคงจะไม่ได้เกิดหรอก ได้แต่ทอดถอนใจกับความวาสนาดีของอวิ๋นจือชิว

ตอนแรกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็หน้านิ่งไม่ยอมยิ้ม สงสัยเช่นกันว่าอวิ๋นจือชิวงามเลิศล้ำสะเทือนฟ้าสะเทือนดินหรือไม่ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ทำให้หัวหน้าภาคยอมบังคับแต่งงานด้วยหรอก ทำไมหนิวโหย่วเต๋อจึงฆ่าคนจนเลือดนองเป็นแม่น้ำเพราะผู้หญิงคนนี้ นางรู้ว่าตัวเองไม่ได้สวย แต่ก็ดันได้อยู่ในตำแหน่งนี้ จิตใต้สำนึกนางไม่ค่อยชอบผู้หญิงที่สวยเกินไปสักเท่าไร บวกกับที่ราชันสวรรค์มาที่นี่เองเพื่อจะเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้ ในใจนางก็ยิ่งรู้สึกเกิดความรู้สึกไม่พอใจแล้ว

แต่หลังจากได้เห็นอวิ๋นจือชิวแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็อึ้งเล็กน้อย นางอยู่ที่วังหลังเห็นผู้หญิงที่งามเลิศล้ำมาจนชินแล้ว เมื่อเทียบกับสนมพวกนั้น ความงามของอวิ๋นจือชิวไม่นับว่ามากมายอะไรเลยจริงๆ นางมองซ้ายมองขวาดูปฏิกิริยาของกลุ่มนางสนมอีก แล้วก็มองไปบนใบหน้าอวิ๋นจือชิว ตอนนี้บนใบหน้านางเจือด้วยรอยยิ้มบางๆ บ้างแล้ว รู้สึกว่ามีหัวอกเดียวกัน ใครบอกล่ะว่าผู้หญิงจะต้องงามเลิศล้ำเท่านั้นถึงจะทำให้คนอิจฉาได้ ผู้หญิงเราจะมองกันที่ภายนอกไม่ได้ ต้องมองกันที่ภายใน!

เป็นเพราะหน้าตาของอวิ๋นจือชิว ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รู้สึกดีกับอวิ๋นจือชิวขึ้นมาหลายส่วน

ประมุขชิงหรี่ตาจ้องประเมินอวิ๋นจือชิวเช่นกัน หลังจากเห็นหน้าตาของอวิ๋นจือชิวแล้วก็แปลกใจนิดหน่อย เจ้าลูกลิงมันหลับหูหลับตาก่อเรื่องเพื่อผู้หญิงคนนี้น่ะเหรอ?

แต่พอมองหลายครั้งก็พบว่าอวิ๋นจือชิวมีจุดที่ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ลักษณะท่าทางสุขุมเยือกเย็น เมื่ออยู่ในโอกาสและสถานที่แบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่แสดงอาการหวาดกลัวลนลานเลยสักนิด ในลักษณะเฉพาะตัวมีมีเสน่ห์ที่เกิดจากความสุภาพ สูงส่ง ภูมิฐาน งามเย้ายวน ดิบเถื่อนรวมกัน เป็นเสน่ห์ที่ไม่เหมือนคนอื่นจริงๆ

จ้านหรูอี้จ้องประเมินอวิ๋นจือชิวอย่างละเอียดเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะเห็นอวิ๋นจือชิวคนนี้ นางก็ไม่มีทางตามออกมาประสมโรงกับสนมกลุ่มนี้เลย หลังจากได้เห็นตัวจริงแล้วก็รู้สึกแปลกใจ นี่คือผู้หญิงที่ทำให้หนิวโหย่วเต๋อยอมสละทุกอย่างโดยไม่เสียดายงั้นเหรอ?

ถ้าอวิ๋นจือชิวสวยข่มคนอื่นจริงๆ นางก็ยังเยือกเย็นได้หน่อย แต่ตอนนี้ในใจพรั่งพรูไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก

“โค่วเชี่ยน โค่วอวี่ อวิ๋นจือชิว คารวะฝ่าบาท คารวะเหนียงเหนียง”

สามพี่น้องืนเรียงแถวนอกศาลาและคารวะพร้อมกัน

“เชี่ยนเอ๋อร์ อวี้เอ๋อร์ นี่คือน้องสาวคนใหม่ของพวกเจ้าเหรอ?” ประมุขชิงยิ้มพร้อมเอ่ยถาม

“ตอบฝ่าบาท ใช่เพคะ” โค่วเชี่ยนกล่าว

ประมุขชิงเอียงหน้ามองเซี่ยโห้วเฉิงอวี่แวบหนึ่ง เวลาที่กลุ่มผู้หญิงรวมตัวกัน ก็จะเป็นเวทีหลักของราชินีสวรรค์

คนมากมายขนาดนี้ ไม่มีอะไรต้องเปลืองคำพูดแล้วเช่นกัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มพร้อมบอกว่า “ได้ยินว่าเครื่องประดับที่แม่นางอวิ๋นจำหน่ายนั้นงดงามประณีต นำออกมาให้พวกเราดูหน่อยเถอะ”

“ค่ะ!” อวิ๋นจือชิวหยิบกล่องใบเล็กอันงดงามที่เตรียมไว้หลายใบออกมาทันที โค่วเชี่ยนและโค่วอวี่คอยช่วยอยู่ข้างๆ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอียงหน้าบอกใบ้ กลุ่มเทพธิดาออกมาจากข้างซ้ายและขวาทันที โต๊ะยาวมาวางเรียงอยู่ในสวน ช่วยสามพี่น้องเปิดกล่องเครื่องประดับ เครื่องประดับในกล่องถูกวางเป็นขั้นบันไดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จากนั้นกลุ่มเทพธิดาก็รีบถอยออกไป สามพี่น้องก็ยืนอยู่ด้านข้างของศาลาเช่นกัน

เมื่อเครื่องประดับที่งดงามเหล่านั้นเผยโฉมออกมา ก็ดึงดูดดวงตางามหลายคู่ที่อยู่รอบๆ ทันที

“ฝ่าบาท!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มพลางทำทายื่นมือเชิญ

“ดี ดูสักหน่อย” ประมุขชิงลุกขึ้นยืนเช่นกัน และไม่ลืมที่จะกวักมือเรียกจ้านหรูอี้ “สนมสวรรค์ มาดูด้วยกันสิ ดูว่ามีอันไหนที่ถูกใจมั้ย”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เหลืองมองจ้านหรูอี้อย่างเย็นเยียบทันที ความรังเกียจในสายตานั้นยากจะปิดบัง นางตามหลังประมุขชิงไปแล้ว จ้านหรูอี้ก็ตามหลังทั้งสองอย่างเงียบๆ เช่นกัน

บนโต๊ะยาวแถวแล้วแถวเล่า มีเพียงสามคนที่เดินชมอยู่ระหว่างนั้น กลุ่มสนมที่อยู่รอบด้านได้แต่ชี้ไปยังเครื่องประดับที่อยู่ในกล่อง ตอนนี้ยังไม่ได้เข้าไปร่วมด้วย ต่างก็รู้ว่าต้องรอให้ราชินีสวรรค์กับสนมสวรรค์เลือกเสร็จก่อนจึงจะถึงคราวของพวกนาง ถ้าหยิบชิ้นที่ราชินีสวรรค์กับสนมสวรรค์ชอบไปก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว

นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ พวกนางทำได้เพียงเลือกของเหลือ และในระหว่างพวกนางก็ยังมีคนที่เลือกได้เฉพาะของที่เหลือจากของที่เหลืออีกที กลุ่มผู้หญิงที่เลี้ยงไว้ในวังหลังพวกนี้ ยามปกติไม่มีงานอะไรทำ นอกจากสู้กันไปสู้กันมา โอ้อวดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นแล้วยังมีอะไรให้ทำอีก?

ประมุขชิงหยุดดิน หยิบปิ่นปักผมผีเสื้ออันหนึ่งออกมาจากกล่องตรงหน้า ผีเสื้อสีแดงที่สมจริงราวกับมีชีวิตตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้สีเขียวมรกต สองสีที่ตัดกันสะดุดตามาก สีสันค่อนข้างสมจริง ถ้าไม่หยิบมาดูในมือคงนึกว่าของจริง หลังจากหยิบขึ้นมาดูให้แน่ใจแล้วว่าเป็นเพียงเครื่องประดับ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ทำเครื่องประดับให้เป็นแบบนี้จุดประสงค์อะไร?”

โค่วเชี่ยนกับโค่วอวี่รีบดึงแขนเสื้ออวิ๋นจือชิว แล้วทั้งสามก็รีบก้าวเข้ามาตรงหน้าประมุขชิง อวิ๋นจือชิวหยิบปิ่นปักผมที่สีคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันอันหนึ่งขึ้นมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นเล็กน้อย ทำให้เห็นผีเสื้อที่อยู่บนกิ่งไม้มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที กระพือปีกบินวน แล้วก็กลับมาเกาะบนกิ่งไม้เหมือนเดิม

…………………………

[1] อยู่ในยุคที่ไร้วีรบุรุษ คนไร้นามจึงกลายเป็นยอดบุรุษ 时无英雄,使竖子成名 หมายถึงมีชื่อเสียงขึ้นมาได้เพราะโชคช่วย

“อ้อ!” โค่วหลิงซวีรู้สึกสนใจทันที ที่บอกว่าเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับกองทัพองครักษ์หมายความว่าอะไรล่ะ? อยู่ดีๆ หนิวโหย่วเต๋อจะไปเกลี้ยกล่อมคนพวกนี้ทำไม? อาศัยกำลังของหนิวโหย่วเต๋อเกลี้ยกล่อมไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่เหมือนว่าจะมีบทบาทกับตระกูลโค่วมากกว่านั้นหน่อย เขาฟังออกถึงความหมายลึกล้ำในคำพูดของเฒ่าถัง จึงถามว่า “เฒ่าถัง เจ้าแน่ใจนะว่าหนิวโหย่วเต๋อเกลี้ยกล่อมพวกเขาได้?”

เฒ่าถังตอบว่า “เรื่องในภายหลังไม่ว่าใครก็บอกได้ไม่ชัดเจน ไม่อาจรับประกันว่าจะเกลี้ยกล่อมได้ทุกคน แต่ขอเพียงหนิวโหย่วเต๋อเอ่ยปาก ก็น่าจะเกลี้ยกล่อมได้จำนวนหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือรักษาความสัมพันธ์ไว้ บ่าวแนะนำให้แอบส่งทรัพยากรสนับสนุนให้คนพวกนั้นในนามของหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้พวกเขาระลึกถึงน้ำใจของหนิวโหย่วเต๋อ เป็นเวลาที่ดีสำหรับลงมือ เมื่อเวลาผ่านไปใจคนก็ยากจะคาดเดา ความสัมพันธ์จืดจางลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องรักษาไว้ นายท่าน นี่เป็นโอกาสดีที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกองทัพองครักษ์ ตอนนี้คนพวกนี้ยังไม่มีบทบาทอะไร แต่พอในอนาคตได้ขึ้นตำแหน่งแล้ว ต่อให้มีจำนวนน้อยนิดที่ขึ้นสู่ตำแหน่งสูง แต่พวกเขาล้วนแสดงบทบาทสำคัญได้ แต่กลัวว่าเรื่องราวจะไม่แน่นอน ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะใช้ประโยชน์ได้!”

โค่วหลิงซวีหรี่ตาไตร่ตรองอยู่นานมาก ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด ถ้าให้ประมุขชิงรู้ว่าพวกเรายื่นมือเข้าไปหลังบ้านเขา เจ้าเองก็รู้ถึงผลที่ตามมา” ความหมายแฝงก็คือตอบตกลงแล้ว

เฒ่าถังกล่าวด้วยเสียงต่ำเบาว่า “ดังนั้นจึงต้องอาศัยชื่อของหนิวโหย่วเต๋อ จะให้ผู้ถูกสนับสนุนรู้ไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องกับพวกเรา ขณะเดียวกันก็ต้องอาศัยชื่อหนิวโหย่วเต๋อสั่งให้พวกเขาเก็บเป็นความลับ และระหว่างพวกเขาก็ถูกจับแยกแล้ว สะดวกให้พวกเราดำเนินการที่ละเรื่องพอดี เรื่องนี้อย่าเพิ่งให้หนิวโหย่วเต๋อรู้”

โค่วหลิงซวีพยักหน้าเบาๆ “บ่าวจะไปจัดการ ความปลอดภัยเชื่อถือได้ต้องมาอันดับหนึ่ง”

“ขอรับ!” เฒ่าถังเอ่ยรับ แล้วถามอีกว่า “แล้วเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อโดนลดขั้นจะทำยังไงขอรับ?”

“วันหลังขาค่อยไปคุยกับประมุขชิง” โค่วหลิงซวีกล่าว

ในลานบ้านขนาดใหญ่ของจวนอ๋องสวรรค์โค่ว เรียกได้ว่าคึกคักอบอุ่น สามพี่น้องตระกูลโค่วมองอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม

“น้องเจ็ด ข้าคือซูฮวนเหนียง มารดาของเหวินหลาน เจ้ากับเหวินหลานก็เป็นคนสนิทคุ้นเคยกันมานาน นี่เป็นของขวัญแรกพบเล็กๆ น้อยๆ อย่ารังเกียจนะ” ซูฮวนเหนียง มารดาของโค่วเหวินหลานเป็นคนแรกที่เข้ามาหา ใบหน้ารูปยิ้มจนเกิดลักยิ้มสวยสองข้าง นางยัดกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่มืออวิ๋นจือชิว แล้วคล้องแขนอวิ๋นจือชิวไม่ยอมปล่อย เริ่มพูดแนะนำกับอวิ๋นจือชิว “นี่คือสุยฉู่ฉู่ มารดาของเหวินไป๋ เหวินหง นี่คือหร่วนจิ้ง มารดาของเหวินหวง เหวินลวี่ เหวินชิง”

“น้องเจ็ดสวยจริงๆ น้ำใจเล็กน้อยพวกนี้อย่ารังเกียจนะ”

ฮูหยินของโค่วเจิงกับโค่วฉินก็ทยอยกันนำของขวัญแรกพบมามอบให้เช่นกัน

ลูกสาวสามคนของตระกูลโค่วก็กลับมาแล้วเช่นกัน พวกนางต่างก็พาสามีมาด้วย เป็นตัวแทนของแต่ละบ้านมามอบของขวัญแรกพบให้อวิ๋นจือชิว

ทั้งยังมีอนุภรรยาแสนสวยของอ๋องสวรรค์โค่วอีกเป็นร้อยคน นำของขวัญแรกพบมาให้ในฐานะผู้อาวุโส ในจำนวนนั้น อนุภรรยาที่คลอดลูกให้อ๋องสวรรค์โค่วจะมีฐานะสูงส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นลูกชาย หลักการ ‘แม่ได้ดีเพราะลูกชาย’ ทำให้ไม่ต้องกังวลฐานะในตระกูลโค่วเลย อวิ๋นจือชิวพยายามจดจำชื่อของคนพวกนี้ไว้แล้ว ที่จริงอนุภรรยามีเยอะเกินไป อวิ๋นจือชิวจำได้ไม่หมดภายในเวลาอันสั้นจริงๆ

โค่วเหวินไป๋กับโค่วเหวินหลานและกลุ่มรุ่นหลานก้าวขึ้นมาคำนับด้วยกัน “คำนับท่านอา” ในจำนวนนั้น ไม่ต้องบอกเลยว่าโค่วเหวินหวงกับโค่วเหวินหลานอึดอัดใจขนาดไหน ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังจะกลายเป็นอาเขยของพวกเขาแล้ว

ทว่าต่อให้วันนี้จะอึดอัดขนาดไหน แต่ก็ต้องเจียดรอยยิ้มออกมา ทุกคนรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อคือคนที่ท่านอ๋องเตรียมจะฝึกเลี้ยง ได้รับความสำคัญจากท่านอ๋องมาก ในไม่ช้าก็เร็วจะได้เป็นแม่ทัพใหญ่ที่กุมกำลังทหารจำนวนมากของจวนท่านอ๋อง ดังนั้นทุกคนจึงมีท่าทีที่ดีมากต่ออวิ๋นจือชิว

อวิ๋นจือชิวย่อมมีของขวัญมองคืนให้ทุกคนอยู่แล้ว การมอบของขวัญราคาแพงให้ต่อหน้าคนตระกูลนี้ก็เหมือนอัฐยายซื้อขนมยาย ด้วยพื้นเพชาติกำเนิดของอีกฝ่าย มีอะไรบ้างที่ไม่เคยเห็น อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงแสดงน้ำใจเล็กน้อย โชคดีที่นางนำเครื่องประดับมาด้วยไม่น้อยเลย ของขวัญไม่ได้ราคาแพง แต่สวยงามประณีต นางแบ่งออกมาส่วนหนึ่ง ให้ทุกคนไปเลือกกันเอาเอง

กลุ่มผู้หญิงมาล้อมอวิ๋นจือชิวไว้สามชั้นทันที อุทานตื่นเต้นดีใจไม่หยุด ต่างคนต่างเลือกเครื่องประดับที่ตัวเองชอบแล้วถอยออกไป แล้วให้คนที่อยู่ข้างหลังเข้ามาเลือก ครึกครื้นกันอยู่นานมากจริงๆ

สามพี่น้องตระกูลโค่วที่ดูอยู่ข้างๆ เห็นแล้วส่ายหน้า รับไม่ไหวกับผู้หญิงพวกนี้ ผู้ชายจะสนใจเหรอว่าผู้หญิงใส่เครื่องปะดับอะไร? ทั้งร่างกายของผู้หญิง เกรงว่าสิ่งที่ผู้ชายไม่สนใจที่สุดก็คือเครื่องประดับที่สวมใส่นี่แหละ

“ตระกูลโค่วไม่ได้ครึกครื้นอย่างนี้มานานแล้ว” โค่วเจิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนพยักหน้า ในจุดนี้พวกเขายอมรับ…

อุทยานหลวง เดิมทีมู่อวี่เหลียนอยากจะดูเหมียวอี้ จะให้เหมียวอี้ไปพักที่จวนแม่ทัพภาค แต่เหมียวอี้ปฏิเสธเอง ไม่จำเป็นต้องทำให้มู่อวี่เหลียนอึดอัด ทำบ้านพักที่เรียบง่ายอยู่ในค่ายทหารใกล้ๆ ที่นาหลวง

ผู้บังคับการกองห้าที่รับผิดชอบเหมียวอี้ ถึงแม้จะมาใหม่ แต่ชื่อเสียงของคนก็เหมือนเงาของต้นไม้ ไม่ต้องพูดถึงว่าเหมียวอี้กำลังจะกลายเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว แต่จะดีจะร้ายก็เคยรับตำแหน่งแม่ทัพภาคกองมังกรดำ เป็นบุคคลโด่งดังที่นำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปโจมตีทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านจนแตกพ่าย แม่ทัพภาคคนปัจจุบันก็เป็นลูกน้องเก่าของเจ้าตัวด้วย ถ้ากล้าเฉยชาต้อนรับไม่ดีก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว ผู้บังคับการกองห้าจึงแบ่งห้องเดี่ยวที่ดีที่สุดให้เหมียวอี้อย่างเกรงใจ

เมื่ออยู่ด้วยกันไปสักระยะหนึ่ง ก็พบว่าเส้นสายของอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องโกหก ถึงแม้จะสวมเกราะเงินเดินไปเดินมา แต่ก็มักจะมีแม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่เฝ้าวังสวรรค์มาดื่มสุราด้วยบ่อยๆ สหายที่ไปมาหาสู่กับพลทหารหนิวทำให้ผู้บังคับการกองห้าตะลึงค้างจริงๆ

ที่จริงตอนแรกเหมียวอี้ไม่ได้รู้จักแม่ทัพใหญ่เกราะแดงพวกนั้น แต่ตอนหลังที่เวินเจ๋อมาหา นำค่าจ้างรวมตอนที่เหมียวอี้โดนขังอยู่ในแดนมรณะอเวจีมาให้เหมียวอี้ ก็ถือโอกาสดื่มสุรากับเหมียวอี้ด้วย ตอนหลังพวกสหายของเวินเจ๋อที่อยู่วังสวรรค์ก็อยากจะทำความรู้จักคนประหลาดคนนี้สักหน่อย ดังนั้นเวินเจ๋อจึงพาสหายมาทุกๆ สามวันห้าวัน คนที่เคยมาก็สนิทกับเหมียวอี้แล้ว ทั้งยังพาสหายที่อยากรู้อยากเห็นมาดื่มสุรากับเหมียวอี้อีก

ถึงอย่างไรก็มีทั้งคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายและหน่วยองครักษ์ขวา นี่เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ได้คลุกคลีกับแม่ทัพใหญ่วังสวรรค์มากมายขนาดนี้ เลยถือโอกาสให้คนพวกนี้ช่วยเหลือสักหน่อย ให้พวกเขาช่วยดูแลลูกน้องเก่าของตัวเองที่ถูกจับแยกไป โดยเฉพาะพวกลูกน้องคนสนิท เรื่องนี้พูดง่าย บางทีการช่วยเลื่อนขั้นอาจจะทำไมได้ แต่ช่วยไม่ให้โดนคนอื่นรังแกก็ไม่มีปัญหา

เหมียวอี้ได้ค้นพบเรื่องที่น่าตกตะลึงจากคนพวกนี้เช่นกัน พวกทหารที่ติดตามเขาไปทำศึกเลือดที่น่านฟ้าระกาติงได้เลื่อนตำแหน่งหมดแล้ว ไม่มีตกหล่นแม้แต่คนเดียว อย่างน้อยได้เลื่อนตำแหน่งติดกันสองขั้น บางคนเลื่อนจากระดับต่ำสุดข้ามผู้บังคับการกองห้าไปเลย ผู้บังคับการกองร้อยเลื่อนเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการแล้ว กำลังพลนับหมื่นอย่างแย่สุดก็ได้กลายเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการ ส่วนผู้บัญชาการ บัญชาการใหญ่ก็มีไม่น้อยเช่นกัน ส่วนคนอื่นๆ ของกองมังกรดำที่ไม่ได้ร่วมศึกใหญ่น่านฟ้าระกาติง ส่วนใหญ่ก็ถูกโยกย้ายไปในตำแหน่งเดิม ไม่ได้โอกาสเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วอย่างคนที่ร่วมศึก

ตอนหลังพอเวินเจ๋อมาหา เหมียวอี้จึงถามถึงเหตุผลที่อยู่ในนั้น เวินเจ๋อยิ้มพร้อมตอบว่า “น้องชาย กำลังพลห้าหมื่นถูกทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านโจมตี สละชีวิตทำศึกเลือดภายใต้สถานการณ์ที้สียเปรียบอย่างแน่นอน แต่ก็ยังสามารถโจมตีทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านจนล้มตายไปหลายแสนได้ คนที่ยังรอดชีวิตก็แปลว่ามีประวัติส่วนตัวที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าใครก็ว่าอะไรไม่ได้หากจะเลื่อนขั้นให้พวกเขา ถึงแม้พวกเขาจะสลายตัวไปหมดแล้ว แต่กองทัพองครักษ์เคยปฏิบัติต่อคนที่มีผลงานการรบอย่างอยุติธรรมเสียที่ไหนกัน มีแต่จะสรรเสริญ ไม่มีทางข่มเหง เบื้องบนยังหวังให้พวกเขาบอกเล่าประสบการณ์ศึกน่านฟ้าระกาติงต่อกองทัพองครักษ์ด้วย พวกเขากลายเป็นเมล็ดพันธุ์ที่แต่ละหน่วยงานเพาะเลี้ยงไปแล้ว แน่นอน เจ้าเป็นแค่คนเดียวที่โดนลดขั้น ใครใช้ให้เจ้ายืนผิดกลุ่มเพราะผู้หญิงคนเดียวล่ะ แต่จะว่าไปแล้ว กำลังพลนับหมื่นนั่นก็ได้อาศัยบารมีเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะศึกนี้ มีคนมากมายที่ทั้งชีวิตอาจจะไม่มีโอกาสได้ทะยานขึ้นเร็วแบบนี้ด้วยซ้ำ นับว่าสู้ตายเพื่ออนาคนก็แล้วกัน!”

เหมียวอี้เงียบไป ถ้าเป็นแบบนี้ เขาก็กลับรู้สึกผิดน้อยลงบ้างนิดหน่อย ไม่ง่ายเลยกว่าคนพวกนั้นจะรอดชีวิตมาได้ ต่อให้อยู่ที่กองมังกรดำต่อ กองมังกรดำก็อาจจะไม่มีตำแหน่งมากพอให้พวกเขาก็ได้ การโดนจับแยกกันตอนนี้กลับส่งผลดีต่ออนาคตพวกเขา

และสาเหตุที่กองมังกรดำย้ายเหมียวอี้มาประจำอยู่ใกล้ๆ ที่นาหลวง ก็เพื่อที่จะดูแลเหมียวอี้ เรื่องงานผลัดเวรเฝ้าประตู มีหรือที่จะให้เหมียวอี้ไปทำ แต่ถ้าจะไม่เตรียมงานให้เหมียวอี้ทำเลยก็ไม่ได้ เพราะนี่คือบทลงโทษที่เบื้องบนสั่งลงมา นาหลวไงล่ะ ไม่มีของล้ำค่าอะไรให้เฝ้า พวกขุนนางชั้นสูงในวังสวรรค์มาไม่บ่อย ยามปกติเหมียวอี้สามารถฝึกตนอย่างสงบใจได้ ถ้าเบื้องบนมีขุนนางชั้นสูงมาจริงๆ ค่อยให้เหมียวอี้ออกมารับมือสักหน่อย ถึงอย่างไรขุนนางชั้นสูงพวกนั้นก็มาพอเป็นพิธีอยู่แล้ว อยู่ไม่นานแล้วก็ไป ดังนั้นโดยทั่วไปก็ไม่มีเรื่องอะไร นับว่าเป็นการดูแลเหมียวอี้เป็นพิเศษ

และพวกผู้บังคับการกองห้า ผู้บังคับการกองร้อย ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่อยู่เบื้องบนก็รู้ถึงเจตนาของเบื้องบน ไม่มีใครมาชี้นิ้วสั่งเหมียวอี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกลั่นแกล้งเขาเลย เวลาเรียกรวมเหมียวอี้จะมาหรือไม่มาก็ไม่เป็นไร ทุกคนก็ไม่อยากให้เขามาเช่นกัน ไม่อย่างนั้นถ้าท่านนี้มาแล้ว เจ้าก็ไม่รู้ว่าจะเรียกใช้งานดีหรือไม่ ทำเอาทุกคนอึดอัดทำตัวไม่ถูก

สาเหตุสำคัญเป็นเพราะท่านนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่กองทัพองครักษ์ ตอนนี้เกรงว่าคงจะไม่มีใครไม่รู้จัก ใช้กำลังที่อ่อนแอกว่าเอาชนะกำลังที่แข็งแกร่งกว่า สร้างผลงานการรบที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาตร์ของกองทัพองครักษ์ สร้างผลงานรบอันน่าเลื่อมใสดุจศิลาจารึกอันสูงใหญ่ที่ไม่มีใครเหนือไว้ในกองทัพองครักษ์! ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะสบประมาทได้

ในกองทัพองครักษ์มีคนที่ตำแหน่งสูงกว่าท่านนี้เยอะ แต่คาดว่าคงไม่มีใครที่หน้าด้านถึงขั้นกล้าอวดผลงานการรบต่อหน้าท่านนี้ ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ทอดถอนใจ ต่อให้ท่านนี้จะไม่ได้เป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว แต่อนาคตก็ไม่แย่เหมือนกัน วันใดวันหนึ่งต้องได้เลื่อนเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่แล้ว ดีไม่ดีอาจจะถูกเลื่อนขึ้นตำแหน่งหัวหน้าภาคกองทัพองครักษ์เป็นกรณีพิเศษก็ได้ แต่กลับก่อเรื่องจนกลายเป็นแบบนี้เพื่อผู้หญิงคนเดียว แบบนี้ต้องรออีกกี่ปีถึงได้ตำแหน่งกลับมาล่ะ? อ๋องสวรรค์โค่วเองก็คงไม่เจียดผลประโยชน์ส่วนรวมมาใช้ส่วนตัว เลื่อนขั้นให้เจ้าภายในสองสามวันหรอกมั้ง!

เมื่อใช้ชีวิตว่างๆ ผ่านไปช่วงหนึ่ง ในวันหนึ่งขณะกำลังฝึกวิชา จู่ๆ เหมียวอี้ก็ได้รับข่าวจากประมุขขุนพลลัทธิอู๋เลี่ยงจินม่านแห่งแดนอเวจี

จินม่านถามทันทีที่เอ่ยปากพูด : หลานสาวของประมุขปราชญ์ลัทธิมารกลายเป็นลูกบุญธรรมของโค่วหลิงซวีแล้วจริงเหรอ?

เหมียวอี้ : ใช่!

จินม่าน : ประมุขต้องการจะรับลูกสาวบุญธรรมของโค่วหลิงซวีเป็นฮูหยินเอกจริงเหรอ?

เหมียวอี้ : ใช่!

จินม่าน : ประมุขปราชญ์ ยังไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราและลัทธิมาร มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ประมุขปราชญ์ยังไม่รู้ ข้าน้อยรู้สึกว่าจะต้องเตือนสักหน่อย ระหว่างไห่ยวนเค่อกับโค่วหลิงซวีมีความแค้นที่ล้ำลึกเหมือนทะเลเลือด ทุกคนในครอบครัวและผู้หญิงที่ไห่ยวนเค่อรักที่สุดล้วนตายด้วยน้ำมือโค่วหลิงซวี

เหมียวอี้นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องนี้อยู่ด้วย หลังจากครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก็ตอบว่า : ก็แค่ใช้ประโยชน์กันและกัน เจ้าไม่รู้สึกว่าโค่วหลิงซวีมีเอี่ยวขึ้นเรือโจรของหกลัทธิแล้วเหรอ? เรือนี้เขาลงไม่ได้แล้ว!

จินม่าน : ถ้าประมุขปราชญ์คิดแบบนี้ได้ เตรียมการแบบนี้ได้ งั้นข้าน้อยก็วางใจและจะสนับสนุนเต็มที่แน่นอน นอกจากนี้ข้าน้อยยังอยากจะถามอีกสักหน่อย ได้ยินว่ากำลังพลของประมุขปราชญ์ ในกองทัพองครักษ์โดนจับแยกหมดแล้ว ไห่ผิงซินก็ถูกย้ายไปแล้ว นางจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?

เหมียวอี้ : เจ้าวางใจเถอะ ข้าฝากฝังให้คนดูแลแล้ว รอให้โอกาสเหมาะสมก่อน ข้าค่อยคิดหาทางย้ายนางกลับมาอยู่ข้างกายอีกที

จินม่าน : รบกวนประมุขปราชญ์แล้ว

…………………………

นางเองก็รู้ว่าเฟยหงเป็นสายลับที่หน่วยตรวจการซ้ายยัดไว้ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ แต่ถึงอย่างไรเฟยหงก็เป็นผู้หญิง เมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้จะไม่สนใจสักนิดเลยได้อย่างไร เป็นผู้หญิงเหมือนกันสามารถเข้าใจความรู้สึกได้

“นางหนูเอ๊ย! ขอโทษด้วย ยายแก่คนนี้ช่วยเจ้าไม่ได้” แม่เฒ่าลวี่แอบถ่ายทอดเสียงปลอบใจ

หลายปีที่เหมียวอี้ถูกขังอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เฟยหงก็อยู่กับแม่เฒ่าลวี่มาตลอด พอจะมีความผูกพันต่อกันอยู่บ้าง

“ข้าก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งให้คนวางเท่านั้น ไม่เป็นไรค่ะ” เฟยหงถ่ายทอดเสียงตอบเบาๆ

พอโค่วหลิงซวีพาอวิ๋นจือชิวเดินไปแล้ว เฟยหงถึงได้ก้าวเข้ามาคำนับเหมียวอี้ บนใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มเรียบๆ “นายท่าน!”

ทุกคนเห็นผู้หญิงคนนี้หมดแล้ว พอนึกถึงอวิ๋นจือชิวเมื่อครู่นี้ ก็ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรแบทอดถอนใจ นี่คงจะเป็นการฝืนยิ้มอย่างมีความสุข

เหมียวอี้ยื่นมือไปประคองแขนนาง สีหน้าค่อนข้างสับสน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับนางดี ได้แต่พยักหน้าให้

อวี่จ้งเจินที่เหล่ตามองมากลับรู้ถึงตัวตนของเฟยหง เขาหันตัวเดินขึ้นบันไดจวนแม่ทัพภาคไปแล้ว พอเจอกับเวินเจ๋อแล้ว เวินเจ๋อก็ยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้ หลังจากอวี่จ้งเจินแล้ว ก็เหมือนจะตกใจ เงยหน้ามองเวินเจ๋อทันที แล้วเวินเจ๋อก็พยักหน้ายืนยัน

ขณะมองดูลูกน้องเก่ามาล้อมทักทายเหมียวอี้ อวี่จ้งเจินก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “คำสั่งกองทัพองครักษ์ ทุกคนของกองมังกรดำฟังให้ดี!”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ทุกคนข้างล่างก็รีบจัดแถวอย่างจริงจัง

อวี่จ้งเจินยกแผ่นหยกในมือขึ้นมา แล้วกล่าวเสียงดังว่า “แม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อกองมังกรดำรวบรวมกำลังพลไปขู่คุกคามอยู่นอกตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน สร้างความวุ่นวายโกลาหลให้ตลาดสวรรค์ หลังจากเข้าเมืองแล้วก็ให้ท้ายลูกน้องฆ่าทหารที่เฝ้าเมือง บังคับให้พ่อค้าในเมืองบริจาคของ แล้วถือวิสาสะประหารหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติง แต่ละเรื่องที่ทำไม่อาจปฎิเสธความรับผิดชอบได้ สมควรถูกลงโทษตามกฎระเบียบ ถอดยศและตำแหน่งของหนิวโหย่วเต๋อเดี๋ยวนี้ ลดยศเป็นทหารสวรรค์เกราะเงินหนึ่งแถบ ลงโทษให้ยืนเฝ้าอุทยานหลวงหนึ่งร้อยปี ภายในหนึ่งร้อยปีนี้ห้ามเลื่อนตำแหน่ง!”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ตรงนั้นก็เกิดเสียงฮือฮาทันที ทุกคนพากันตกตะลึง ทหารสวรรค์เกราะเงินหนึ่งแถบไม่ใช่ยศที่ต่ำที่สุดหรอกเหรอ? ต่อให้เลื่อนตำแหน่งกลับคืนมาได้ แต่ต้องใช้เวลากี่ปีล่ะ? การลงโทษนี้หนักไปหน่อยแล้วมั้ง จะลดขั้นก็ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก แบบนี้เท่ากับลดขั้นรวดเดียวสิบกว่าขั้นแล้ว!

มีบางคนที่กลับมาจากน่านฟ้าระกาติงตะโกนว่า “ท่านหัวหน้าภาค เรื่องที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนไม่เกี่ยวกับท่านแม่ทัพภาค พวกเราถือวิสาสะทำเอง!”

“ไม่เกี่ยวกับแม่ทัพภาค!”

ตรงนั้นมีเสียงตะโกนดังต่อเนื่องกัน

ใครจะคิดว่าอวี่จ้งเจินจะตะคอกเสียงต่ำอีกครั้งว่า “ทุกคนของกองมังกรดำถูกหนิวโหย่วเต๋อให้ท้าย ทุกการกระทำที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนทำลายชื่อเสียงความอันดีงามของกองทัพองครักษ์ จะปล่อยให้กระแสนี้มีต่อเนื่องไม่ได้ สลายกองมังกรดำให้ไปปะปนอยู่ตามหน่วยต่างๆ ของกองทัพองครักษ์เดี๋ยวนี้ สั่งให้ทัพเป่ยโต้วสร้างกองมังกรดำขึ้นมาใหม่!”

ตอนนี้ไม่มีใครตะโกนขึ้นมาอีกแล้ว แต่ละคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่ใช่แค่ท่านแม่ทัพภาคที่โดนลดยศ แม้แต่กองมังกรดำก็ต้องสลายตัวไปด้วย

“ปฏิบัติเดี๋ยวนี้!” อวี่จ้งเจินกล่าวเสริมอีก

ข้างกายเขามีคนเดินไปตรงข้างกายเหมียวอี้ทันที ยื่นมือออกมา บอกใบ้ให้เหมียวอี้ส่งของทุกอย่างออกมา

ท่ามกลางสายตาของฝูงชน เหมียวอี้ถอดเครื่องแบบแม่ทัพเกราะม่วงสองแถบยื่นให้ สิ่งของประเภทแผ่นหยกขุนนางก็ยื่นให้หมด สุดท้ายก็ได้เกราะเงินชุดหนึ่งมาไว้ในมือ

ทุกคนของกองมังกรดำ โดยเฉพาะคนที่รอดชีวิตมาจากน่านฟ้าระกาติง แต่ละคนเผยสีหน้าโกรธเคือง ทว่าลำพังตัวเองยังเอาตัวไม่รอด อยากจะรวมตัวกันสนับสนุนโต้ตอบเพื่อนายท่านคงเป็นไปไม่ได้แล้ว

คนบางกลุ่มกลับไม่ค่อยกังวล ยกตัวอย่างเช่นสวีถังหราน เขารู้สึกว่าเดี๋ยวหนิวโหย่วเต๋อก็จะได้เป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วแล้ว ลดยศแค่สิบกว่าขั้นจะเป็นไรไป เดี๋ยวก็เลื่อนกลับขึ้นมาได้เร็วอยู่ดี ใช่เวลาไม่นานแล้ว จะต้องมียศขุนนางสูงกว่าตอนนี้แน่นอน

เห็นได้ชัดว่าเบื้องบนเตรียมการไว้แล้ว ไม่ให้ทุกคนได้บอกลากันเลยด้วยซ้ำ ในจวนแม่ทัพภาคมีนายทหารชั้นสูงของกองทัพองครักษ์กลุ่มหนึ่งที่ไม่คุ้นหน้าทุกคนเดินออกมา แล้วแต่ละคนก็เรียกชื่อ ใช้เวลาไม่นานกำลังพลของกองมังกรดำก็แทบจะไม่เหลือแล้ว

เหมียวอี้ยืนหน้าตึงฟังอยู่ข้างๆ ใบหน้ากระตุกเป็นระยะ ความรู้สึกเวลามองเห็นลูกน้องตัวเองโดนคนจับไปโดยทำอะไรไม่ได้นั้นยากจะรับไหว ตอนนี้เขาเป็นทหารสวรรค์เกราะเงินหนึ่งแถบ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะพูดอะไรด้วยซ้ำ

สวีถังหราน หยางชิ่ง เหยียนซิวและพวกไห่ผิงซินก็ไม่ได้รับการยกเว้น ทั้งหมดถูกจับไปอยู่ตามหน่วยต่างๆ ขอกองทัพองครักษ์ ข่าวดีเพียงอย่างเดียวก็คือ มู่อวี่เหลียนได้เลื่อนยศสองขั้นติดต่อกัน ถูกเลื่อนตำแหน่งให้กลายเป็นแม่ทัพภาคกองมังกรดำ รับหน้าที่สร้างกองมังกรดำขึ้นมาใหม่ ตงจิ่วเจินกับฉื้อเยียน รองแม่ทัพภาคสองคนที่ได้อยู่กองมังกรดำต่อสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไรนัก นึกไม่ถึงว่ามู่อวี่เหลียนจะข้ามหัวพวกเขากลายเป็นแม่ทัพภาคไปแล้ว กดอยู่บนหัวพวกเขาแล้ว

เหมียวอี้ก็ยังอยู่ที่อุทยานหลวงต่อไปเช่นกัน การลงโทษหนึ่งร้อยปียังไม่เริ่มขึ้น ต้องยืนเฝ้าเวรอยู่ที่อุทยานหลวงหนึ่งร้อยปี เท่ากับยังอยู่กองมังกรดำเหมือนเดิม

มู่อวี่เหลียนมองเหมียวอี้ที่ยืนเงียบอยู่ตรงมุมแวบหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดอะไรดี เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่อวี่จ้งเจินมาคุมด้วยตัวเอง ตอนนี้นางก็ดูแลเหมียวอี้ไม่ได้เช่นกัน จึงพาตงจิ่วเจินกับฉื้อเยียนไปรับกำลังพลกองมังกรดำที่มาใหม่ บางคนที่ไม่อยู่ตรงนี้ ยกตัวอย่างเช่นเหยียนซิวและกำลังพลที่เฝ้าสวนบรรณาการก็ต้องถูกส่งต่อให้เช่นกัน

เบื้องบนไม่ให้โอกาสเบื้องล่างได้รวมตัวกันก่อเรื่อง ผู้ที่ถูกแต่ละหน่วยเรียกชื่อถูกพาตัวไปทันที มีคนมากมายยังไม่ทันได้บอกลาเหมียวอี้ด้วยซ้ำ ก่อนที่จะไปสวีถังหรานสีหน้าเศร้าสลด เขารู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองอาศัยอะไรไต้เต้าขึ้นมา พอออกห่างจากเหมียวอี้แล้วเกรงว่าจะไม่ได้อยู่สุขสบาย ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าเบื้องบนจะสลายกองมังกรดำกะทันหัน แทบจะทำให้ทุกคนทำอะไรไม่ถูก

หมดธุระของเวินเจ๋อแล้ว เขาเดินมาข้างกายเหมียวอี้ ยกมือตบบ่าเหมียวอี้แล้วถอนหายใจ “เฮ้อ!” จากนั้นบอกว่า “น้องชาย ถ้ามีโอกาสก็เอาไว้ดื่มสุราด้วยกัน”

เหมียวอี้พยักหน้าเงียบๆ เวินเจ๋อถอนหายใจอีกครั้ง แล้วหันตัวนำคนเหาะขึ้นฟ้าไป

เฟยหงเดินเนิบนาบเข้ามาข้างกายเหมียวอี้ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “นายท่าน” ตอนนี้นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะติดตามเหมียวอี้ไปที่ไหน อยู่ที่เรือนพักหลังใหญ่ของจวนแม่ทัพภาคไม่ได้แล้วแน่นอน

“เจ้าอยู่กับแม่เฒ่าลวี่ไปก่อนแล้วกัน รอให้ข้าหาที่ทางได้แล้วค่อยว่ากัน” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ

ก็มีแต่ต้องทำอย่างนี้แล้ว แม่เฒ่าลวี่พาเฟยหงออกไปด้วยแล้ว

จากนั้นเหมียวอี้ก็สมเกราะรบสีเงิน ถือทวนเงินด้ามหนึ่งแล้วยืนรอฟังคำสั่งอยู่ข้างนอก ตอนนี้เขาเป็นคนที่อยู่ระดับต่ำสุดของกองมังกรดำ เขามีสิทธิ์แค่ฟังคนอื่นสั่งเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์บงการคนอื่นอีกแล้ว

ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนใหม่กลุ่มหนึ่งย้ายมาจากกองทัพองครักษ์ มีคนไม่น้อยชำเลืองมองเหมียวอี้ แล้วก็พากันกระซิบกระซาบ

พวกเขาพบว่าท่านนี้ช่างขึ้นเร็วลงเร็วจริงๆ ถูกขังที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี เพิ่งจะพ้นโทษถูกปล่อยออกมาแท้ๆ ก็ก่อเรื่องที่ทำให้ต้องลดไปอยู่ระดับดับสุดแล้ว นับว่าแปลกพิลึกคน จะไม่ให้ทุกคนแอบนินทาก็คงยาก

ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน ทางหออวิ๋นฮว๋ายังไม่รู้สถานการณ์ของเหมียวอี้ มีคนของโถงฉากเมฆาเข้ามาทักทาย ในภายหลังหากมีเรื่องอะไรที่ตลาดสวรรค์ก็ไปหาที่โถงฉากเมฆาได้เลย หออวิ๋นฮว๋านับว่ามีคนหนุนหลังที่ตลาดสวรรค์แล้ว

ในจวนอ๋องสวรรค์โค่ว ในโถงหลักด้านใน โค่วหลิงซวีกำลังนั่งอย่างสง่างามอยู่ในโถงหลัก สามพี่น้องตระกูลโค่วยืนอยู่ด้านข้าง ต่างก็มองอวิ๋นจือชิวที่เดินเนิบนาบเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น อยากจะเห็นว่าเป็นความงามเลิศล้ำแบบไหนกันแน่ที่ทำให้หนิวโหย่วเต๋ออยมเสี่ยงอันตรายก่อเรื่องนี้ขึ้น

พอได้เห็นตอนนี้ อวิ๋นจือชิวในตอนนี้สวมเสื้อผ้าตัวโคร่ง มองไม่ออกว่ารูปร่างดีหรือไม่ หน้าตาก็นับว่าสวย แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำว่างามเลิศล้ำเลย นับว่ามีสง่าราศีไม่เลวเหมือนกัน สง่าราศีที่ไม่เหมือนใครนั้นค่อนข้างสะดุดตา

สามพี่น้องเซ็งแล้ว ตอนที่ไปอุทยานหลวงพวกเขาก็หาโอกาสไปเห็นเฟยหงมาแล้ว นั่นต่างหากที่เรียกว่างามล้ำเลิศ สวยกว่าอวิ๋นจือชิวที่อยู่ตรงหน้านี้ตั้งเยอะ หนิวโหย่วเต๋อสายตาเป็นอย่างไรกันแน่!

ถังเฮ่อเหนียนยกถ้วยน้ำชาให้อวิ๋นจือชิวด้วยมือตัวเอง จากนั้นก็ยื่นมือเชิญ

อวิ๋นจือชิวใช้สองมือประคองถ้วยน้ำชา เดินช้าเนิบนาบไปตรงหน้าโค่วหลิงซวี แล้วคุกเข่าลงช้าๆ ยกถ้วยน้ำชาเหนือศีรษะตัวเอง “ลูกสาวอวิ๋นจือชิวคำนับท่านพ่อบุญธรรมค่ะ!”

ความสัมพันธ์พ่อลูกก่อนหน้านี้ล้วนแสดงให้คนนอกดูเฉยๆ ตอนนี้นับว่าทำพิธีเสริมเรียบร้อยแล้ว จากนี้มีเพียงบุคคลที่สำคัญที่สุดของตระกูลโค่วเท่านั้นที่ได้เห็น คนอื่นๆ ไม่มีทางเห็น

โค่วหลิงซวีรับน้ำชามา หลังจากดื่มไปคำหนึ่ง ก็วางถ้วยชาไว้บนโต๊ะชาข้างกาย แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ชิวเอ๋อร์ ยืนขึ้นเถอะ” เขาผายมือเล็กน้อย หลังจากอวิ๋นจือชิวลุกขึ้นแล้ว เขาก็หยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมายื่นให้ “พบกันครั้งแรก นับว่าเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากบิดา”

“ขอบคุณท่านพ่อบุญธรรมค่ะ!” อวิ๋นจือชิวรับไว้แล้ว

ถังเฮ่อเหนียนเชิญให้อวิ๋นจือชิวไปอยู่ด้านข้าง แล้วแนะนำสามพี่น้องตระกูลโค่ว “คุณชายใหญ่โค่วเจิง คุณชายรองโค่วฉิน คุณชายสามโค่วเหมี่ยน”

“น้องสาวคำนับพี่ชายทั้งสามคนค่ะ” อวิ๋นจือชิวทำความเคารพอีก

“น้องเจ็ดไม่ต้องมากพิธี” ทั้งสามทำท่าประคองพร้อมกัน ทุกคนต่างก็สุภาพเกรงใจมาก สาเหตุที่เรียกว่าน้องเจ็ด ก็เพราะโค่วหลิงซวียังมีลูกสาวแท้ๆ อีกสามคน ลูกสาวบุญธรรมอย่างอวิ๋นจือชิวนับว่าอยู่ในลำดับเจ็ดแล้ว

โค่วหลิงซวีลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ชิวเอ๋อร์ ต่อไปถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็ไปหาผู้เฒ่าถังได้เลย ความคิดเห็นของเขาก็คือความคิดเห็นของข้า”

สามพี่น้องแอบรู้สึกตกใจ นี่สามารถติดต่อกับท่านอาถังได้โดยตรงเลยเหรอ ท่านพ่อดูแลดีอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย

“ค่ะ!” อวิ๋นจือชิวเอ่ยรับ แล้วก็ทำความเคารพถังเฮ่อเหนียนอีก “ต่อไปต้องรบกวนท่านอาถังด้วยค่ะ”

“เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่อยู่แล้ว คุณหนูเจ็ดให้เกียรติบ่าวมากไปแล้ว” ถังเฮ่อเหนียนรีบทำความเคารพกลับ

โค่วหลิงซวีโบกมือบอกว่า “เอาล่ะ! พวกเจ้าสามพี่น้องพาเจ้าเจ็ดไปพบคนอื่นๆ ในบ้านเถอะ แนะนำสถานการณ์คร่าวๆ ในบ้านให้เจ้าเจ็ดรู้สึกหน่อย”

“ขอรับ!” สามพี่น้องเอ่ยรับคำสั่ง โค่วเจิงที่เป็นพี่ใหญ่ยื่นมือเชิญ “น้องเจ็ด ตามพวกเรามาเถอะ”

หลังจากพี่น้องออกไปแล้ว โค่วหลิงซวีก็หัวเราะอย่างมีความสุข “ผู้เฒ่าถัง เรื่องครั้งนี้เจ้าทำได้งดงามมาก เจ้าไม่ได้เห็นสีหน้าตาแก่สามคนนั้น”

“เป็นเพราะนายท่านวางแผนได้ดีขอรับ” ถังเฮ่อเหนียนพูดประจบ แล้วกล่าวเสียงต่ำอีกว่า “นายท่าน ข้าน้อยเพิ่งได้รับข่าวจากทางอุทยานหลวง ตอนที่พวกเราเพิ่งออกมาได้ไม่นาน กองทัพองครักษ์ก็เอาเรื่องตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนมาอ้าง ออกคำสั่งให้ลงโทษหนิวโหย่วเต๋อ ถอดตำแหน่งทั้งหมดของหนิวโหย่วเต๋อ ลดขั้นให้กลายเป็นทหารสวรรค์เกราะเงินหนึ่งแถบเลย ลงโทษให้เขายืนเฝ้าอุทยานหลวงหนึ่งร้อยปี ภายในหนึ่งร้อยปีนี้ห้ามเลื่อนขั้น”

“อ้อ!” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม “ประมุขชิงอับอายจนโมโหแล้วสินะ?” ลดขั้นได้ก็เลื่อนขั้นได้

ถังเฮ่อเหนียนกล่าวอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งขอรับ กองมังกรดำใต้บังคับบัญชาของหนิวโหย่วเต๋อก็ถูกสลายแล้ว ให้แยกย้ายไปตามหน่วยต่างๆ ของกองทัพองครักษ์ นอกจากนี้ยังเลื่อนขั้นมู่อวี่เหลียน ผู้บัญชาการใหญ่ธงมังกรน้ำเงินที่เป็นลูกน้องหนิวโหย่วเต๋อให้ขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคคนใหม่ของกองมังกรดำ ให้รับหน้าที่สร้างกองมังกรดำขึ้นมาใหม่”

โค่วหลิงซวีถอนหายใจแล้วบอกว่า “กำลังพลกลุ่มนั้นมองข้ามคำสั่งเบื้องบน เชื่อฟังเพียงหนิวโหย่วเต๋อคนเดียว ขนาดหัวหน้าภาคเบื้องบนยังบัญชาการไม่ไหว ประมุขชิงจะเก็บไว้ได้ก็แปลกแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่เหนือความคาดหมาย เพียงแต่น่าเสียดายต้นกล้าชั้นดีที่ผ่านพิธีชำระล้างนั้นมา ถ้าตีเหล็กเข้ารูปเพิ่มอีกสักหน่อย เมื่อมีพลังเพิ่มขึ้นแล้ว จะต้องกลายเป็นกลุ่มทหารกล้าที่รบไม่แพ้แน่นอน น่าเสียดายจริงๆ!”

“บ่าวกลับคิดว่าประมุขชิงเดินหมากอย่างเลอะเลือน” ถังเฮ่อเหนียนกล่าว

“หืม?” โค่วหลิงซวีเอียงหน้ามองมา “หมายความว่ายังไง?”

ถังเฮ่อเหนียนตอบว่า “คนที่ไม่ได้เห็นกำลังพลกลุ่มนี้กับตาตัวเองไม่มีทางเข้าใจได้ ไม่อาจบรรยายลักษณะพลังของกำลังพลกลุ่มนั้นได้เลย ขนาดบ่าวเห็นแล้วยังสั่นสะเทือน! กำลังพลกลุ่มนั้นถึงขั้นหลับหูหลับตาเชื่อฟังหนิวโหย่วเต๋อแล้ว สั่งให้ทำอะไรก็ทำอย่างนั้น หนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่ผู้บัญชาการกองทัพของพวกเขาอีกแล้ว แต่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดที่ร่วมเป็นร่วมตายและปีนขึ้นจากกองภูเขาศพทะเลเลือดมาพร้อมกับพวกเขา พวกเขาเชื่อมั่นในตัวหนิวโหย่วเต๋อเป็นพิเศษ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครเคลือบแคลงสงสัยเลยสักคน ว่าหนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องนี้ขึ้นเพราะอวิ๋นจือชิว แต่ประมุขชิงดันแยกคนพวกนี้ไปยังหน่วยงานต่างๆ ของกองทัพองครักษ์ ถ้าในอนาคตมีเรื่องขึ้นมา แล้วหนิวโหย่วเต๋อเกลี้ยกล่อมพวกเขานิดหน่อย เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับกองทัพองครักษ์แน่นอน!”

…………………………

หญิงรับใช้ที่อยู่ข้างๆ อิจฉาจนตาเป็นประกาย ในจินตนาการของพวกนาง แต่ไหนแต่ไรมาที่วังหลังมีแต่สนมที่ประจบเอาใจฝ่าบาท ฝ่าบาทหวีผมให้สนมด้วยตัวเองก็ยิ่งไม่เคยเห็น แต่ที่นี่เห็นบ่อยมาก และสิ่งที่ยิ่งทำให้พูดไม่ออกก็คือ สนมสวรรค์ไม่สะทกสะท้าน สงบนิ่งจนเหลวไหล แม้แต่คำขอบคุณสักคำก็ไม่มี

แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ยิ่งมองไม่เห็นรอยยิ้มของสนมสวรรค์ ฝ่าบาทก็ยิ่งอยากเอาใจสนมสวรรค์มากขึ้นไปอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะเอ่ยขึ้นว่าจะให้ท่านโหวจ้านผิงเป็นเทพประจำดาว บรรดาหญิงรับใช้ต่างก็รู้ นี่คือสิ่งที่สนมมากมายในวังหลังอยากได้จึงเอาใจฝ่าบาท

หยินซวงกับไป๋เสวี่ย หญิงรับใช้ประจำตัวสองที่มาจากตระกูลอิ๋งได้ยินแล้วแอบดีใจ เพียงแต่คาดว่าสนมสวรรค์คงจะไม่ซาบซึ้งในน้ำใจนี้

เป็นอย่างที่คาดไว้ จ้านหรูอี้กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “น้ำใจของฝ่าบาท หม่อมฉันซาบซึ้งแล้ว แต่ไร้ผลงานก็ไม่ควรได้รางวัล ไม่ต้องก็ได้เพคะ”

ประมุขชิงใช้สองใอประคองบ่านาง มองนางในกระจก พร้อมบอกว่า “จ้านผิงไม่มีผลงานแต่ก็ลำบากทำงาน มิหนำซ้ำยังอบรมเลี้ยงดูสนมรักที่ดีขนาดนี้ให้ข้า เจ้าไม่ต้องห่วง ถึงแม้ในตอนนี้จะยังทำให้เป็นจริงไม่ได้ แต่ข้าจะเก็บใส่ใจเอาไว้ รอให้ถึงโอกาสที่เหมาะสมแล้วกัน” เขาใช้มือรูดผมงามของนางขึ้นมาอีก “ได้ยินว่าเจ้าแทบจะไม่ได้ออกจากวังหลังเลย ข้ามอบอำนาจพิเศษให้เจ้าออกจากวังกลับบ้านได้ทุกเมื่อ ทำไมเจ้าไม่กลับไปเยี่ยมบ้านหน่อยล่ะ? สามารถกลับไปเยี่ยมบ้านพร้อมเกียรติยศและความมีหน้ามีตาของสนมสวรรค์…หรือว่าการแต่งงานกับข้าไม่สามารถนำเกียรติยศมาให้เจ้าเลยสักนิด?”

“ฝ่าบาทคิดมากไปแล้วเพคะ” จ้านหรูอี้กล่าว

ประมุขชิงถามอย่างลังเลอีกว่า “หรือว่าแต่งงานกับข้าแล้วทำให้เจ้าไม่มีความสุข?”

จ้านหรูอี้ตอบว่า “ในวังหรือนอกวังมีอะไรต่างกันเพคะ? นั่นคือบิดามารดาที่ให้เกิดและเลี้ยงดูหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่อยากกลับไปแล้วให้พวกท่านทำความเคารพหม่อมฉัน หน้าตาเกียรติยศเช่นนี้ ฝ่าบาทคิดว่ามีความหมายหรือเพคะ?”

“สนมรักช่างเป็นคนที่มีความกตัญญูจริงๆ” ประมุขชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเรียกสาวใช้ “หยินซวง!”

“เพคะ!” หยินซวงรีบก้าวขึ้นมาทำความเคารพ

“เดี่ยวเจ้าไปบอกผู้การซ่างกวนสักหน่อย ข้าจะประทานบรรดาศักดิ์ชั้นสามให้ฮูหยินของท่านโหวจ้านผิง” ประมุขชิงกล่าว

บรรดาศักดิ์ของตำหนักสวรรค์มีแบ่งระดับ ฮูหยินท่านอ๋องคือบรรดาศักดิ์ชั้นหนึ่ง ฮูหยินจอมพลบรรดาศักดิ์ชั้นสอง ฮูหยินเทพประจำดาวบรรดาศักดิ์ชั้นสาม ฮูหยินท่านโหวบรรดาศักดิ์ชั้นสี่ ฮูหยินหัวหน้าภาคบรรดาศักดิ์ชั้นห้า ฮูหยินแม่ทัพภาคบรรดาศักดิ์ชั้นหก ฮูหยินผู้บัญชาการใหญ่บรรดาศักดิ์ชั้นเจ็ด ฮูหยินผู้บัญชาการบรรดาศักดิ์ชั้นแปด มีทั้งหมดแปดระดับ

ตั้งแต่ชั้นสี่ขึ้นไป ถ้าสามีมีเป็นขุนนางที่เข้าประชุมในราชสำนักตำหนักสวรรค์ก็จะได้บรรดาศักดิ์เหล่านี้ ถ้าอยู่กับสามีที่ตำแหน่งสูง บรรดาศักดิ์ที่ได้ก็จะสูงขึ้นได้ง่ายตามไปด้วย

ตั้งแต่ขั้นสี่ลงมา เป็นขุนนางที่ไม่ต้องเข้าราชสำนักของตำหนักสวรรค์ จะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์หรือไม่ก็ได้ ต้องทราบไว้ว่าอำนาจการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์อยู่ในมือราชันสวรรค์คนเดียวเท่านั้น สี่อ๋องสวรรค์ไม่มอำนาจในการแต่งตั้ง คนที่มีบรรดาศักดิ์ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำ เมื่อไรที่ราชินีสวรรค์จัดงานเลี้ยงที่อุทยานหลวง ก็ล้วนมีสิทธิ์เข้าไปร่วมงานเลี้ยงที่อุทยานหลวงด้วย นี่ก็คือเกียรติยศพิเศษ ลองคิดดูสิ สามีของพวกนางได้เข้าประชุมในราชสำนัก โดยทั่วไปล้วนมีเรือนพักเดี่ยวที่อุทยานหลวง ไปร่วมงานเลี้ยงที่อุทยานหลวงก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ถ้าไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าราชสำนัก และสามีไม่ได้สร้างผลงานใหญ่อะไร ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องยากที่จะได้อาศัยบารมีนี้ และเมื่อได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์แล้ว ก็จะได้สวัสดิการค่าจ้างสอดคล้องกับชั้นบรรดาศักดิ์ด้วย

ยกตัวอย่างเช่นบรรดาศักดิ์ชั้นหนึ่ง ก็จะได้ค่าจ้างเท่าจอมพล บรรดาศักดิ์ชั้นสองจะได้ค่าจ้างเท่าเทพประจำดาว แล้วก็ลดหลั่นลงมาเรื่อยๆ

ดังนั้นการประทานรางวัลก็มีระดับเหมือนกัน บรรดาศักดิ์ชั้นสามจะประทานให้ฮูหยินของเทพประจำดาว แต่กลับไม่ให้ฮูหยินของท่านโหว จะเห็นได้ว่าเขาโปรดปรานนางขนาดไหน

“เพคะ!” หยินซวงเอ่ยรับแล้วถอยไปด้านข้าง เห็นชินกับการประทารางวัลแบบนี้แล้ว หลายปีมานี้ โดยปกติฝ่าบาทจะประทานรางวัลทุกปี ในปีแรกๆ ประทาบรรดาศักดิ์ชั้นสี่ให้ ตอนนั้นประทานบรรดาศักดิ์ชั้นสามให้แล้ว คาดว่ารางวัลที่ฮูหยินท่านโหวได้รับมาในแต่ละปีนั้นเพียงพอให้ใช้จ่ายแล้ว

สาวใช้คนอื่นมองดูสนมสวรรค์ที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในดวงตาฉายแววอิจฉา หลังจากมาอยู่ที่ตำหนักบูรพา ก็นับว่ารู้แล้วว่าอะไรเรียกว่า ‘คนเหมือนกันแต่ชะตาต่างกัน’ วังหลังมีสนมสวยๆ ตั้งมากมาย ส่วนใหญ่ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยได้รับรางวัลจากฝ่าบาทเลยสักครั้ง คนที่ได้รับรางวัลถี่ขนาดนี้ สนมสวรรค์เป็นเพียงหนึ่งเดียวในวังสวรรค์ ส่วนพวกนางก็ได้อาศัยบารมีจากสนมสวรรค์ไปด้วย เอะอะฝ่าบาทก็ประทานรางวัลให้บ่าวรับใช้ของตำหนักบูรพา บอกให้พวกนางดูแลสนมสวรรค์ให้ดี

หยินซวง ไป๋เสวี่ยแอบทอดถอนใจ แต่ปีแรกๆ ตระกูลอิ๋งโมโหมากที่สนมสวรรค์ไม่เข้ามายุ่งเรื่องอะไรเลย ตอนหลังพอพบว่าราชันสวรรค์เหมือนจะชอบสนมสวรรค์ขึ้นมาจริงๆ ก็ถือว่าการช่วงชิงความโปรดปรานนี้สำเร็จแล้ว! ตระกูลอิ๋งคิดว่านี่คือวิธีการช่วงชิงความโปรดปรานของสนมสวรรค์ จึงไม่บีบบังคับสนมสวรรค์อีก กลับชื่นชมกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะตระกูลอิ๋งรู้ว่าสนมสวรรค์ไม่เอ่ยปากเท่านั้นเอง ถ้าเอ่ยปากขึ้นมา เกรงว่าราชันสวรรค์คงยากที่จะปฏิเสธได้ ดังนั้นโอกาสแบบนี้จึงล้ำค่า ตระกูลอิ๋งไม่มีทางนำมาใช้ง่ายๆ นับว่าบรรลุเป้าหมายในการส่งสนมสวรรค์เข้าวังแล้ว

เมื่อชำเลืองมองคนนั่งนิ่งหน้ากระจก แล้วเห็นไม่มีท่าทีว่าจะขอบคุณเลยสักนิด ประมุขชิงก็แอบยิ้มอย่างขื่นขม แต่เขาก็ชินจนมองเป็นเรื่องปกติแล้ว เขากล่าวในขณะที่มือยังไม่หยุดหวีผม “ถ้าว่างก็ออกไปเดินเล่นสักหน่อย อย่าเอาแต่อุดอู้อยู่ในตำหนัก จะทำให้ตัวเองอึดอัดแย่ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมก็ให้พวกหยินซวงไปบอกผู้การซ่างกวน”

“ได้ยินว่าบุตรสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์ส่งเครื่องประดับเข้ามาในวังหรือเพคะ?” จ้านหรูอี้ถาม

ประมุขชิงเห็นนางกล่าวเรื่องที่ไม่สำหลักสำคัญแบบนี้ ก็ถามอย่างดีใจทันที “ทำไมเหรอ? สนมรักสนใจสิ่งของพวกเครื่องประดับด้วยเหรอ? เป็นข้าเองที่ละเลย ผู้หญิงล้วนชอบของแบบนี้”

จ้านหรูอี้ตอบว่าว่า “หม่อมฉันเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหนิวโหย่วเต๋อ นับว่ารู้จักการวางตัวของหนิวโหย่วเต๋อพอสมควร เขาไม่ใช่คนที่จะทำอะไรซี้ซั้วเพราะผู้หญิง อยากจะเห็นว่าผู้หญิงแบบไหนกันแน่ที่ทำให้หนิวโหย่วเต๋อยอมก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ได้เพคะ”

ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ “พูดถูก พอสนมรักพูดแบบนี้ ข้าก็รู้สึกสนใจด้วยเหมือนกัน เดี๋ยวจะเรียกมาพบพร้อมกับสนมรักสักหน่อย”

“ฝ่าบาทเตรียมจะลงโทษหนิวโหย่วเต๋ออย่างไรเพคะ?” จ้านหรูอี้ถาม

ประมุขชิงหยุดมือ แล้วมองคนในกระจกพร้อมถามว่า “สนมรักยังจดจำความแค้นในปีนั้นอยู่อีกหรือ?”

“ทุกอย่างผ่านไปแล้วค่ะ” จ้านหรูอี้ตอบ

ประมุขชิงไม่เชื่อ ถูกจับแขวนไว้บนเสาธงให้ได้รับความอัปยศมากมายขนาดนั้น ทั้งยังโดนด่าว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ ถ้าลืมได้ง่ายๆ ก็แปลกแล้ว จึงยิ้มพร้อมบอกว่า “สนมรักวางใจเถอะ ข้าจะช่วยระบายความโกรธให้เจ้าเอง” เขาไม่ถือสาที่จะถือโอกาสแสดงน้ำใจเพื่อเอาใจสาวงาม

“เรื่องในปีนั้นผ่านไปแล้วค่ะ” จ้านหรูอี้เน้นย้ำอีกครั้ง

ส่วนประมุขชิงจะฟังเข้าหูหรือไม่นั้น ไม่ต้องบอกก็รู้…

ที่อุทยานหลวง อวี่จ้งเจินนำกำลังพลเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงนอกจวนแม่ทัพภาค

ตรงประตูใหญ่มีคนไม่น้อยกำลังรออยู่ คนที่ควรมาก็มาหมดแล้ว บรรยากาศตรงนั้นค่อนข้างจริงจัง เนื่องจากมีสองคนที่ไม่ควรปรากฏตัวอยู่ที่นี่มาอยู่ตรงนี้แล้ว

ถังเฮ่อเหนียนยิ้มบางๆ ในขณะที่ยืนอยู่ข้างกายชายชราผมขาวคนหนึ่ง ชายชราคนนี้รูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดลำลองผ้าฝ้าย ทว่าสง่าราศีดูสูงส่งราวกับนั่งอยู่บนเมฆ ในดวงตาฉายแววคมกริบน่าตกใจ มีพลังอำนาจมากมาย ทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นไม่มีใครกล้าหายใจแรง เขาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นอ๋องสวรรค์โค่วนั่นเอง

อวี่จ้งเจินเห็นแล้วอึ้งไปชั่วขณะ รีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วกุมหมัดคารวะบอกว่า “ข้าน้อยคารวะอ๋องสวรรค์”

ไม่ว่าจะอยู่ในระบบงานเดียวกันหรือไม่ แต่ฐานะและระดับของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าไปยั่วให้เขาไม่พอใจขึ้นมา คนของทัพเป่ยโต้วก็อย่าได้คิดจะปรากฏตัวที่อาณาเขตของเขาอีกเลย

สายตาของโค่วหลิงซวีไปหยุดอยู่บนใบหน้าเขา แล้วขานรับเสียงเรียบ “อืม” จากนั้นสายตาก็กวาดมองไปที่เหมียวอี้ แล้วสุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่บนใบหน้าอวิ๋นจือชิวที่สวมชุดที่ไม่เป็นทางการอยู่ท่ามกลางฝูงชน

ถังเฮ่อเหนียนที่อยู่ข้างกายเขาพยักหน้าเล็กน้อยและส่งสายตาให้อวิ๋นจือชิว เป็นการยืนยันว่าท่านนี้คืออ๋องสวรรค์โค่ว ถึงอย่างไรอ๋องสวรรค์โค่วกับอวิ๋นจือชิวก็ไม่เคยเจอกันมาก่อน

ถ้าจะกลบเกลื่อนคำโกหกก็ต้องทำท่าทางกลบเกลื่อนคำโกหก อวิ๋นจือชิวก้าวออกมาอย่างช้าๆ พอมาถึงตรงหน้าอ๋องสวรรค์โค่วแล้ว นางก็ย่อเข่าข้างเดียว “คารวะท่านพ่อบุญธรรม!”

ทุกสายตาจ้องอยู่บนตัวอวิ๋นจือชิว ในดวงตาหยางชิ่งฉายแววประหลาดใจสงสัยไม่หยุด เขามองปฏิกิริยาของเหมียวอี้เป็นระยะ บนใบหน้าสวีถังหรานก็แสดงอาการตกตะลึงเช่นกัน ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะกลายเป็นลูกสาวของอ๋องสวรรค์โค่ว แบบนี้เรียกว่าก้าวครั้งเดียวสูงถึงฟ้า! เขามองเหมียวอี้ด้วยแววตาฮึกเหิมเร่าร้อน ถ้านายท่านแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ ก็จะต้องบินทะยานขึ้นสูงแน่นอน! เดี๋ยวต่อไปต้องให้เสวี่ยหลิงหลงขยันไปมาหาสู่หน่อย

โค่วหลิงซวียิ้มบางๆ “ชิวเอ๋อร์ไม่ต้องมากพิธี ถ้ามีอะไรจะพูด เดี๋ยวเราสองพ่อลูกค่อยกลับไปคุยกันที่บ้าน”

ไม่ว่าจะเป็นการแสดงละครหรือไม่ แต่อีกฝ่ายทำถึงขั้นนี้แล้ว อ๋องสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยให้เกียรติมาต้อนรับขับสู้ด้วยตัวเอง เหมียวอี้ก็แอบถอนหายใจ ติดหนี้นำใจคนคนนี้อย่างใหญ่หลวงแล้วจริงๆ

“ค่ะ!” อวิ๋นจือชิวเอ่ยรับแล้วยืนตัวตรง

โค่วหลิงซวีชี้มาตรงข้างกายอีก บอกใบ้ให้อวิ๋นจือชิวมายืนข้างกายเขา จ้องอวี่จ้งเจินพร้อมบอกว่า “ข้าจะพาลูกสาวไปอยู่ด้วยกันสักหน่อย หัวหน้าภาคอวี่คงไม่มีความเห็นแย้งหรอกใช่มั้ย?”

อวี่จ้งเจินกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มาทำงาน ไม่อาจตัดสินใจเองได้”

โค่วหลิงซวีทำเสียงฮึดฮัด แล้วบอกว่า “เช่นนั้นก็รายงานขึ้นไปเดี๋ยวนี้ ให้คนที่ตัดสินใจได้ตอบกลับมา ข้าจะคอยดูว่าใครจะกล้าทำให้เสียเรื่อง!” น้ำเสียงและท่าทีดูมีบารมีน่าเกรงขามโดยธรรมชาติ ทำให้คนรู้สึกกดดันมาก

“ขอรับ!” อวี่จ้งเจินเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อเบื้องบน

กับเรื่องแบบนี้ไม่มีทางขัดขวางได้ คดีจบลงแล้ว และอวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ใครยังจะกล้าขัดขวางไม่ให้ลูกสาวของอ๋องสวรรค์โค่วกลับบ้านอีกล่ะ? มิหนำซ้ำอ๋องสวรรค์โค่วก็ออกหน้ามาด้วยตัวเอง จะไม่ไว้หน้าก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่อยู่บนอาณาเขตของอ๋องสวรรค์โค่วก็จะมีปัญหาทันที อีกฝ่ายมีพลังแบบนี้จริงๆ ไม่จำเป็นต้องรายงานขึ้นเบื้องบน ฮวาอี้เทียนผู้ตรวจการใหญ่ของหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ตัดสินใจให้โดยตรง บอกให้อวี่จ้งเจินปล่อยคนไป

พอเก็บระฆังดาราแล้ว อวี่จ้งเจินก็เบี่ยงตัวแล้วทท่ายื่นมือเชิญ

โค่วหลิงซวีไม่รีบไป สายตาตกอยู่บนตัวเหมียวอี้แล้ว แต่กลับถามอวิ๋นจือชิวว่า “ชิวเอ๋อร์ เจ้าเด็กนั่นมันทำอะไรกับเจ้าแล้ว จะยุติเรื่องนี้ยังไง?”

“แล้วแต่ท่านพ่อบุญธรรมจะตัดสินใจค่ะ” อวิ๋นจือชิวตอบอย่างสงบเสงี่ยม

โค่วหลิงซวีเอามือไขว้หลังเดินช้าๆ คนที่อยู่ทางซ้ายและขวาหลีกทางให้อย่างรู้สำนึก ปล่อยให้เขาเดินไปตรงหน้าเหมียวอี้

“ข้าน้อยคารวะอ๋องสวรรค์” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ

“อย่ามาเล่นลูกไม้นี้! เจ้านี่ใจกล้าไม่เบานะ บังอาจรังแกลูกสาวข้า เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วรึไง? เชื่อมั้ยว่าถ้าจะฆ่าฟันเจ้าตายตอนนี้ เจ้าก็ตายเปล่า?”

“ก่อนหน้านี้ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ ว่านางคือลูกสาวท่าน”

“ตอนนี้รู้แล้ว เจ้าเตรียมจะทำยังไงต่อไป?”

“แต่งงานกับนาง!” เหมียวอี้เงยหน้ายืดอกตอบ

ตรงไปตรงมามาก ไม่ปิดบังเลยสักนิด

เมื่เห็นเจ้าเด็กนี่ไม่ตื่นตัวในการแสดงละครสักเท่าไร โค่วหลิงซวีคิดไปคิดมาก็เข้าใจ มีเรื่องมากมายที่ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ แค่พูดพอเป็นพิธีก็พอแล้ว เขาหันกลับมามองอวิ๋นจือชิว แล้วบอกว่า “งั้นก็เอาตามนี้ ข้าจะจัดงานแต่งงานให้พวกเจ้าสองคน!”

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “ขอบคุณท่านอ๋องที่ช่วยให้สมหวัง!”

เฟยหงที่ยืนต้อนรับอยู่ไม่ไกลก้มหน้าอย่างหดหู่ แม่เฒ่าลวี่ที่ยืนอยู่ข้างกันลูบหลังนาง แล้วถอนหายใจเบาๆ ด้วยสีหน้าเห็นใจ พบว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้ไม่เห็นความสำคัญต่อความรู้สึกของเฟยหงสักนิดเลย

เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดก็รู้ถึงบทสรุป ลูกสาวของอ๋องสวรรค์โค่วจะเป็นอนุภรรยาได้อย่างไร ต่อให้เป็นราชันสวรรค์ก็ไม่กล้าพูดอย่างนี้เช่นกัน ถึงแม้เฟยหงจะเป็นลูกสาวของแม่เฒ่าลวี่เหมือนกัน แต่เวลาแม่เฒ่าลวี่อยู่ต่อหน้าอ๋องสวรรค์โค่ว ก็ไม่มีความสำคัญอะไรทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องไปช่วงชิงอะไรทั้งนั้น และไม่มีคุณสมบัติจะไปช่วงชิงด้วย พอแต่งงานรับอวิ๋นจือชิวเข้าบ้านแล้ว อวิ๋นจือชิวก็จะเป็นฮูหยินเอกแน่นอน

…………………………

เม่ยเหนียงค่อยๆ หลับตาสองข้าง แล้วจู่ๆ ก็ส่ายหน้าอีก ลืมตาบอกอย่างกระวนกระวายไม่ยอมแพ้ “พ่อบ้าน หนิวโหย่วเต๋อกับอวิ๋นจือชิวนั่นยังไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันไม่ใช่เหรอ? น่าจะยังมีโอกาสเอาคืนได้นะ ใช่มั้ย?”

โกวเยว่ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ในระหว่างการสอบสวน หนิวโหย่วเต๋อยอมรับต่อหน้าทุกคนแล้วว่าตัวเองนอนกับอวิ๋นจือชิวแล้ว ยอมรับแล้วว่าอวิ๋นจือชิวคือผู้หญิงของเขา นั่นคือบุตรสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์โค่ว ถ้าอ๋องสวรรค์โค่วต้องการให้หนิวโหย่วเต๋อรับผิดชอบลูกสาวเขา นั่นก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ฝ่าบาทไม่มีเหตุผลอะไรจะไปห้ามได้เช่นกัน! ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปแล้ว ถ้าบ่าวเดาไม่ผิด ตอนนี้อ๋องสวรรค์คงจะไปขอผลประโยชน์จากอ๋องสวรรค์โค่วแล้ว!” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ ท่านอ๋องก็ยอมรับความพ่ายแพ่นี้เหมือนกัน

เม่ยเหนียงแค้นจนกัดฟันกรอด แล้วด่ายับเลยว่า “เรื่องชั้นต่ำขนาดนี้ยังทำออกมาได้ ทั้งตระกูลโค่วต้องไม่ตายดีแน่ สักวันหนึ่งจะโดนเวรกรรมตามสนอง!”

โกวเยว่กล่าวอย่างจนใจว่า “หวังเฟยโปรดระงับโทสะ ในภายหลังถ้าเจอลูกเขยที่ดีกว่านี้ บ่าวจะต้องช่วยพูดต่อหน้าท่านอ๋องให้สำเร็จแน่นอน”

เม่ยเหนียงทำสีหน้าเหมือนหัวใจหลุดหายไป กล่าวอย่างปวดใจว่า “จะมีดีกว่านี้เสียที่ไหนกัน ลูกหลายผู้มีอำนาจแต่ละบ้านข้าก็นับมาหมดแล้ว จะไปหาคนที่มีเงื่อนไขดีขนาดนี้มาจากไหนอีก ทั้งยังไม่มีภูมิหลังที่ซับซ้อนอะไรด้วย”

โกวเยว่เข้าใจแล้ว ว่าผู้หญิงคนนี้เอาแต่คิดถึงพวกนางสองแม่ลูกเท่านั้น คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่ได้คิดถึงทั้งจวนท่านอ๋อง เขาจะยังพูดอะไรได้?

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้มหน้าอยู่ข้างๆ สีหน้าดูผิดหวังอยู่บ้าง…

“อะไรนะ? บุตรสาวบุญธรรม?”

จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม เซี่ยโห้วท่าที่กำลังใช้นิ้วลูบคลำต้นไม้ใหญ่ที่สิบคนโอบได้พลันหันตัวมาถามอย่างตกใจ

เว่ยซูที่รายงานอยู่ข้างๆ พยักหน้ายิ้มเจื่อน “ใช่แล้ว ข่าวยืนยันแล้วขอรับ ตระกูลโค่วกับอวิ๋นจือชิวยืนยันต่อหน้าฝูงชนแล้ว”

เพี้ย! เซี่ยโห้วท่ามือข้างหนึ่งประคองไม้เท้า ใช้มืออีกข้างตบหน้าผากตัวเอง ตบติดกันหลายครั้ง ราวกับกำลังตำหนิว่าตัวเองเลอะเลือน ร้องไอ๊หยาแล้วบอกว่า “เป็นตาแก่เลอะเลือนจริงๆ แล้ว วิธีการที่ง่ายแบบนี้ ทำไมจ้าถึงคิดไม่ถึงนะ! โค่วหลิงซวีเอ๊ยโค่วหลิงซวี ข้าประเมินเจ้าต่ำไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะคิดวิธีการเด็ดดวงแบบนี้ได้ นับว่าเจ้าโหด ข้ายอมจากใจแล้ว!”

เว่ยซูปลอบใจอยู่ข้างๆ “ไม่ว่าจะฉลาดปราดเปรื่องสักแค่ไหน แต่ก็มีพลาดกันได้ ไม่ใช่แค่นายท่านคนเดียวที่คิดไม่ถึง เกรงว่าทั้งตำหนักสวรรค์คงไม่มีใครนึกถึงว่าโค่วหลิงซวีจะใช้คนที่ไม่เกี่ยวข้องทางซ้ายเลือดมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ นำบุตรสาวบุญธรรมที่ไม่มีความรักความผูกพันกันสักนิดมาแต่งงานเพื่อการเมือง เขาช่างกล้าทำจริงๆ ไม่กลัวว่าใครอนาคตจะโดนทรยศเหรอ?”

เซี่ยโห้วท่าที่วางมือลงส่ายหน้าถอนหายใจยาวอยู่พักหนึ่ง “จะพูดอย่างนี้ไม่ได้หรอก พอมาคิดดูตอนนี้ ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนกำลังเล่นละครนะ โค่วหลิงซวีเล่นได้อย่างสวยงาม อยู่ตั้งนานไม่ยอมลงมือ พอลงมือขึ้นมาก็ตัดขาดแผนสำรองของประมุขชิงกับอีกสามอ๋องทิ้งไปเลย ทั้งยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือตอนที่หลายบ้านรวมหัวกันกดดัน ทั้งยังปกป้องให้หนิวโหย่วเต๋อผ่านด่านยากไปได้ เมื่อมีน้ำใจไมตรีอันยิ่งใหญ่นี้อยู่ มีหรือที่หนิวโหย่วเต๋อกับอวิ๋นจือชิวจะทรยศง่ายๆ ไม่อย่างนั้นจะโดนคนตำหนิเย้ยหยันลับหลังไปทั้งชีวิต กอปรกับวิธีการซื้อใจคนของโค่วหลิงซวีในตอนหลัง…การรับบุตรสาวบุญธรรมคนนี้ช่างดียิ่งนัก! ไฟกำลังได้ที่พอดี ประสิทธิภาพที่ได้ก็ไม่ด้อยไปกว่าการเอาสายเลือดตัวเองมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เลย โค่วหลิงซวีเล่นวิธีการที่ชั่วร้ายออกมาได้ เกรงว่าทางประมุขชิงคงจะงงตาเป็นไก่ตาแตก ต้องโมโหจนทนไม่ไหวแน่นอน”

เว่ยซูพยักหน้าเงียบๆ กล่าวอย่างทอดถอนใจเช่นกัน “ทั้งยังขัดขวางไม่ได้ด้วย ทำให้พวกเขาทำสำเร็จแล้ว ไม่รู้ว่าต่อไปประมุขชิงจะรับมือยังไง”

เซี่ยโห้วท่าตบกิ่งไม้ที่หยาบหนา เงยหน้ามองร่มพุ่มไม้ “คอยดูไปแล้วกัน!”

วังสวรรค์ เกาก้วนที่สวมหมวกทรงสูงสีดำ ใส่ชุดคลุมดำทั้งตัวเดินก้าวยาวเข้ามาในกำแพงวัง เดินตรงไปที่ตำหนักดาราจักรแล้ว

ยังไม่ทันเดินมาถึงตำหนักดาราจักร ซ่างกวนชิงที่กำลังรออยู่ก็เข้ามารับแล้ว เตือนว่า “เรื่องของหนิวโหย่วเต๋อ ฝ่าบาทกำลังเดือดดาล เรียกให้เจ้าเข้าไปพบ อีกประเดี๋ยวเจ้าก็ระวังหน่อย” เป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายประมุขชิงเหมือนกัน ถือโอกาสแสดงน้ำใจสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร

“เรื่องนี้ข้าได้ยินมาแล้ว แค่หนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียว ฝ่าบาทจำเป็นต้องโมโหขนาดนี้เลยเหรอ” เกาก้วนกล่าว

ซ่างกวนชิงที่เดินเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ กล่าวอย่างทอดถอนใจ “เจ้ารู้อยู่แก่ใจแต่ยังถามอีกเหรอ? ฝ่าบาทแยแสหนิวโหย่วเต๋อนั่นเสียที่ไหนกัน ท่านกำลังโกรธเพราะโดนโค่วหลิงซวีปั่นหัวเหมือนคนโง่ เปลี่ยนเป็นใครแล้วจะไม่โกรธบ้างล่ะ?”

เกาก้วนพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เพราะมาถึงประตูตำหนักดาราจักรแล้ว

ทั้งสองเข้ามาในตำหนักดาราจักร เห็นเพียงซือหม่าเวิ่นเทียน โพ่จวินและอู๋ฉวี่ล้วนอยู่ตรงนี้ด้วย คนเก่าคนแก่ข้างกายประมุขชิงอยู่กันครบ

สีหน้าของโพ่จวินไม่สู้ดีนัก หนิวโหย่วเต๋อมีความสัมพันธ์กับลูกสาวโค่วหลิงซวีถึงขั้นนั้น เกรงว่าคงจะไม่มีทางอยู่ที่กองทัพองครักษ์ต่อได้แล้ว ที่จริงเขาชื่นชมหนิวโหย่วเต๋อมา

เกาก้วนยังไม่ทันได้ทำความเคารพ ประมุขชิงที่ยืนอยู่กลางตำหนักก็ชี้จมูกเกาก้วนพร้อมถามแสกหน้าแล้ว “เจ้าอยู่ทางนั้นไม่พบเบาะแสอะไรสักนิดเลยเหรอ?”

เกาก้วนยังคงทำความเคารพก่อน เสร็จแล้วถึงได้ถามว่า “ตอนข้าน้อยอยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน มองไม่เห็นเบาะแสอะไรเลยจริงๆ ขอรับ ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ระหว่างทางที่ข้าน้อยกลับมา ข้าน้อยก็ตกใจมากเช่นกัน นึกเสียใจทีหลังที่มาเร็วไปหน่อย”

ประมุขชิงชี้ไปที่โพ่จวิน “หนิวโหย่วเต๋อนั่นใจกล้าไม่เบา บังอาจปิดบังเรื่องแบบนี้กับข้า ดูสิว่าเจ้าเลี้ยงลูกน้องแบบไหน กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา! เจ้าดูแลหน่วยองครักษ์ซ้ายยังไง?”

โพ่จวินตอบด้วยใบหน้านิ่ง “หนิวโหย่วเต๋อจะมีความสามารถขนาดนั้นได้ยังไง เป็นไปไม่ได้ที่จะปั่นคนทั้งข้างล่างข้างบนมากมายขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต๋อถูกตระกูลโค่วใช้ประโยชน์ เป็นแผนที่ตระกูลโค่ววางไว้อย่างแยบยล อาศัยสายตาเทพอย่างทูตขวาเกาจะมองไม่ออกได้ยังไง!”

“เจ้าบังอาจช่วยพูดแก้ตัวแทนเขาเหรอ?” ประมุขชิงเดินก้าวยาวเข้ามา เอานิ้วจิ้มหน้าโพ่จวิน แต่ในใจเขาก็เข้าใจดี ว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้วางแผนใหญ่ๆ เก่งขนาดนั้นแน่นอน ต้องเป็นผลงานอันแยบยลของตระกูลโค่วใช้แน่ๆ

โพ่จวินหุบปากแล้ว ฝ่ายตัวเองก็มีส่วนรับผิดชอบเรื่องนี้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเถียงเพราะเรื่องนี้

ประมุขชิงหันตัวมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง โบกแขนสองข้างไปทั้งสองด้าน “ตอนนี้ข้าคงถูกคนหัวเราะเยาะทั้งใต้หล้าแล้ว พวกเจ้าบอกมาซิว่าควรทำยังไง?”

หลายคนที่อยู่ตรงนั้นแอบส่งสายตาให้กัน รู้สึกว่าประมุขชิงสนใจสิ่งนั้นเกินไปแล้ว ใครในใต้หล้าจะว่างมาหัวเราะเยาะเรื่องนี้ แค่หัวเราะเยาะบ้างเป็นครั้งคราวแล้วจะเป็นไรไป แต่ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกประมุขชิงได้เหมือนกัน อยู่บนที่สูงมานานจนเคยตัวแล้ว ย่อมให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และหน้าตาตัวเองอยู่บ้าง

“ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการเลน” เกาก้วนตอบเสียงเรียบ

“ว่ามา!” ประมุขชิงเอียงหน้าพูด

เกาก้วนบอกว่า “เรื่องที่ให้ท้ายผู้ใต้บังคับบัญชาฆ่าทหารคุ้มกันตลาดสวรรค์ที่ตลาดสวรรค์กับเรื่องบังคับให้บริจาค กองทัพองครักษ์ยังไม่ได้สอบสวน ข้าน้อยจะสอบสวนอย่างเข้มงวดและลงโทษอย่างหนัก! ถ้ากองทัพองครักษ์รู้สึกมสะดวกที่จะทำ ส่งให้หน่วยตรวจการขวาก็ได้ ข้าน้อยรับรองว่าหนิวโหย่วเต๋อต้องตายแน่นอน!”

คนที่เหลือชำเลืองมองเขาอย่างพูดไม่ออก ตำหนักสวรรค์โดนเรื่องใหญ่ขนาดนี้กดดันแล้ว มีใครไม่รู้อยู่แก่ใจบ้างว่าเหตุผลที่อยู่ในนั้นคืออะไร? ตอนนี้ถ้าลงโทษหนิวโหย่วเต๋อจนตายเพราะเรื่องเล็กๆ เจ้าคิดว่าโค่วหลิงซวีเป็นใบ้เหรอ? แล้วอีกอย่าง ฝ่าบาทเสียเปรียบเรื่องนี้แต่กลับจะระบายความโกรธกับคนต่ำแหน่งต่ำต้อย จะให้ฝ่าบาทเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

หน้าของประมุขชิงแทบจะแนบติดกับใบหน้าของเกาก้วน กล่าวอย่างเยียบเย็นดุร้ายว่า “เกาก้วน นี่คือความคิดดีๆ ของเจ้าเหรอ? เจ้าเห็นหัวใครอยู่บนคอก็ขัดตาไปหมดเลยใช่มั้ย เสพติดการฆ่าคนแล้วรึไง? หรือเจ้าไม่รู้ว่าชื่อเสียงเรื่องฆ่าคนของเจ้าฉาวโฉ่ไปทั่วไปแล้ว? ถ้าการปกครองใต้หล้าอาศัยการฆ่าคนเพื่อแก้ปัญหาได้ ข้าจะยังมีขุนนางไว้ทำอะไรเต็มราชสำนัก?”

คนอื่นๆ มีท่าทีสงบนิ่ง รู้อยู่แล้วว่าคำพูดของเกาก้วนจะต้องนำปัญหามาสู่ตนเอง

ต่อให้ใบหน้าประมุขชิงจะกำลังแนบชิดใบหน้าตัวเอง แต่เกาก้วนก็ยังไม่สะทกสะท้านราวกับเป็นรูปปั้นหิน ไม่ย้ายหนีไปไหนเลย กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ในเมื่อฝ่าบาทคิดว่าการฆ่าไม่เหมาะสม เช่นนั้นก็ลดตำแหน่งขอรับ!”

ประมุขชิงย้ายออกจากหน้าเขาแล้ว เอาสองมือไขว้หลัง แล้วถามว่า “ลดตำแหน่งงั้นเหรอ? พอข้าลดตำแหน่งเขาแล้ว อีกไม่นานพ่อตาของเขาก็จะเลื่อนเขากลับขึ้นมาได้สะดวกน่ะสิ”

“เช่นนั้นก็ลดตำแหน่งให้อยู่ระดับต่ำสุด ลดจนเขาเลื่อนกลับขึ้นมาไม่ได้ภายในเวลาสั้นๆ” เกาก้วนกล่าว

ประมุขชิงจึงบอกว่า “เขานอนกับลูกสาวคนอื่นแล้ว ถ้าโค่วหลิงซวีจะต้องการให้หนิวโหย่วเต๋อแต่งงานกบัลูกสาวเขา ข้าจะขัดขวางได้เหรอ? ฟังขึ้นรึเปล่า? ถึงตอนนั้นกองทัพองครักษ์ก็เอาเขาไว้ไม่ได้! พอไปที่อาณาเขตของโค่วหลิงซวีแล้ว เลื่อนตำแหน่งให้อยู่ต่ำสุดแล้วจะมีประโยชน์อะไร อาศัยความสามารถของหนิวโหย่วเต๋อ โค่วหลิงซวีมีวิธีสร้างโอกาสให้เขาเลื่อนตำแหน่งอยู่แล้ว!”

เกาก้วนบอกอีกว่า “ถ้ากองทัพองครักษ์เก็บไว้ไม่ได้ ก็ส่งเขาไปตลาดผีที่ไม่มีใครอยากไป ข้าไม่เชื่อหรอกว่าโค่วหลิงซวีจะมีวิธีเลื่อนขั้นให้หนิวโหย่วเต๋อที่ตลาดผีได้!”

“เอ่อ…” ประมุขชิงอึ้งทันที ไฟโกรธบนใบหน้าหายไปในชั่วพริบตาเดียว แล้วเอามือขยี้เคราพลางหรี่ตาครุ่นคิดเงียบๆ

คนอื่นๆ มองไปที่เกาก้วนอย่างพูดไม่ออก พบว่าทูตขวาเกาท่านนี้เล่นบทโหดจนเคยตัว ถ้าหนิวโหย่วเต๋อตกอยู่ในมือท่านนี้ ก็จะซวยไปแปดชาติเหมือนกัน

ซือหม่าเวิ่นเทียนกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท ความคิดของทูตขวาเกาก็ไม่เลว”

ประมุขชิงยังคงครุ่นคิดเงียบๆ

ซ่างกวนชิงเองก็กล่าวขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน “ฝ่าบาท ไม่ว่าจะเป็นตลาดสวรรค์หรือตลาดผี ขอบเขตการซื้อขายในตลาดล้วนอยู่ในมือราชินีสวรรค์ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไปที่ตลาดผี นั่นก็เป็นสภาพที่วุ่นวายไร้ระเบียบ สามารถเก็บภาษีพื้นฐานได้ครบก็ไม่เลวแล้ว ยังไม่เคยได้ยินว่าใครสร้างผลงานที่ตลาดผีได้เลย ถ้าอ๋องสวรรค์โค่วอยากจะช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อได้สร้างความดีความชอบ เกรงว่าจะต้องขัดแย้งกับตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว”

ประมุขชิงเลิกคิ้ว คำเตือนของซ่างกวนทำให้เขานึกถึงจิ้งจอกเฒ่าเซี่ยโห้วท่าที่หลบอยู่เบื้องหลังแล้วคอยกวนน้ำให้ขุ่น

ซือหม่าเวิ่นเทียนบอกอีกว่า “ด้วยนิสัยอย่างหนิวโหย่วเต๋อ ไม่ว่าไปที่ไหนก็ก่อเรื่องที่นั่น เมื่อในสถานที่ซับซ้อนอย่างตลาดผี เขาไม่ก่อเรื่องขึ้นก็แปลกแล้ว นั่นคืออาณาเขตของตระกูลเซี่ยโห้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับหนิวโหย่วเต๋อ โค่วหลิงซวีจะยังช่วยได้อีกเหรอ? ถ้าไม่ช่วย ผลงานที่น่าภูมิใจของเขาก็จะสูญเปล่าแล้ว แต่ถ้าช่วยก็จะต้องขัดแย้งกับตระกูลเซี่ยโห้ว สรุปก็คือสามารถทำให้โค่วหลิงซวีหัวเราะไม่ออกได้ นี่เป็นแผนที่ขว้างหินก้อนเดียวโดนนกหลายตัว”

ประมุขชิงเริ่มแสยะหัวเราะแล้ว เซี่ยโห้วท่าหลบกระพือไฟอยู่เบื้องหลังอย่างสบายๆ ไม่ใช่เหรอ? โค่วหลิงซวีภูมิใจมากไม่ใช่รึไง? ให้ทั้งสองสู้กันสักหน่อยก็ไม่เลว ถ้าสู้กันจนเสียหายทั้งสองก็ยอดเยี่ยมเลย

เขาหันตัวช้าๆ ไปเหล่ตามองเกาก้วนแวบหนึ่ง แล้วแสยะยิ้มบอกว่า “นับว่าเจ้าพูดภาษาคนเป็นแล้ว!”

เกาก้วนสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่เคยพูดอะไรทั้งนั้น

ที่เหลือโล่งใจแล้ว ในที่สุดเรื่องนี้ก็ถูกแก้ไขแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะระบายอารมณ์โกรธไปจนถึงเมื่อไร เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นคงจะน่าเบทนาแล้ว ศิษย์ของอสุราอัคนีแล้วยังไงล่ะ? อนาคตทั้งชีวิตพังเพราะคำพูดไม่กี่คำของเกาก้วนแล้ว

พอแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ หลังจากทุกคนแยกย้ายออกไปแล้ว ประมุขชิงก็ไปหาความสุขที่ตำหนักบูรพาอีก เวลาดีใจหรือเวลาไม่ดีใจเขาก็ล้วนต้องไปโปรยฝนที่ตำหนักบูรพา ไม่รู้ว่าทำให้สนมมากมายเท่าไรที่วังหลังอิจฉาตาร้อน

หลังจากลมฝนนิ่งสงบ ประมุขชิงสวมชุดลำลองนอนตะแคงข้างอย่างเกียจคร้านอยู่บนเตียง หรี่ตามองเรือนร่างอรชรหลังม่านมุ้งบางกำลังเดินออกจากอ่างอาบน้ำราวกับดอกบัวโผล่พ้นน้ำ การชื่นชมผ่านม่านมุ้งที่วับๆ แวมๆ ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ

หลังจากหญิงรับใช้ช่วยแต่งตัวให้คนร่างสูงระหงแล้ว ก็แหวกม่านออกแล้วเดินกรูตามไปข้างๆ โต๊ะเครื่องแป้ง ช่วยหวีผมให้นาง

ประมุขชิงเดินเท้าเปล่าเข้ามา โบกมือให้หญิงรับใช้ถอยไป แล้วหยิบหวีมาจากมือหญิงรับใช้ ใช้มือรองผมงามของจ้านหรูอี้ขึ้นมา เอาเกียรติของราชันสวรรค์มาช่วยหวีผมให้นาง มองใบหน้าที่เรียบเฉยเย็นชาในกระจก พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “จ้านผิงพ่อเจ้าอยู่ในตำแหน่งท่านโหวมาหลายปีแล้ว ข้าจะหาโอกาสให้เขาขึ้นตำแหน่ง สนมรักอยู่สึกยังไงบ้าง?”

…………………………

ยังไม่หมดเท่านั้น พวกเสิ่นติงเฉินที่ติดตามมาก็ทำความเคารพพร้อมกันด้วย “บ่าวคารวะคุณหนู”

คุณหนูเหรอ? คุณหนูอะไร? กองทัพองครักษ์วุ่นวายนิดหน่อย อวี่จ้งเจินหันขวับไปมองข้างหลัง ตรงนี้มีคุณหนูของตระกูลโค่วตั้งแต่เมื่อไร? ตอนที่เขาไปทำงานประจำที่วังสวรรค์ เขาก็เคยเห็นลูกสาวหลานสาวของตระกูลโค่วมาก่อน เขากวาดสายตามองผู้หญิงที่อยู่ท่ามกลางกำลังพลข้างหลัง

เมื่อสังเกตได้ถึงความไม่ปกติ โกวเยว่ จั่วเอ๋อร์ ต้วนหงและคนอื่นๆ ที่รีบร้อนตามมานอกเมืองก็เงยหน้ามองข้างบน พอได้ยินคำว่า ‘คุณหนู’ ก็เรียกได้ว่าสีหน้าเปลี่ยนไปมาก พวกเรารู้ได้ในทันที ตระหนักได้แล้วว่าคุณหนูที่เรียกนั้นอาจจะหมายถึงอวิ๋นจือชิว

อวิ๋นจือชิวชำเลืองมองเหมียวอี้ ส่วนเหมียวอี้เหม่องงเหมือนไม่รู้อะไรสักอย่าง และนี่ก็คือการบอกเป็นนัยเช่นกัน

ขณะที่ทั้งข้างล่างข้างบนกำลังแปลกใจ ถังเฮ่อเหนียนก็กุมหมัดคารวะอีกครั้ง “พวกเราได้รับคำสั่งให้มาอารักขาคุณหนูขอรับ นี่คุณหนูต้องติดตามกองทัพองครักษ์ไปที่ไหน?”

“ท่านอาถัง ทางวังสวรรค์ให้หออวิ๋นฮว๋าส่งเครื่องประดับไปดูสักหน่อยค่ะ” ในที่สุดอวิ๋นจือชิวก็ตอบแล้ว

เมื่อกล่าวแบบนี้ ก็เท่ากับยอมรับในความสัมพันธ์ของตัวเองกับตระกูลโค่วแล้ว สายตาของทุกคนพลันจ้องไปบนตัวอวิ๋นจือชิว ทุกคนต่างก็งุนงง พ่อบ้านของจวนอ๋องสวรรค์โค่วเรียกอวิ๋นจือชิวว่าคุณหนูเหรอ? อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวของอ๋องสวรรค์โค่ว?

เป็นนางจริงๆ ด้วย! พวกโกวเยว่ที่อยู่นอกประตูเมืองด้านล่างทำสีหน้าไม่ถูก รู้สึกเหมือนโดนตบจนทำอะไรไม่ถูกในชั่วพริบตาเดียว

สายตาของอวี่จ้งเจินพลันย้ายจากหน้าอวิ๋นจือชิวไปบนหน้าเหมียวอี้ ในดวงตาฉายแววเกรี้ยวโกรธ ถามอย่างดุร้ายว่า “หนิวโหย่วเต๋อ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนตกตะลึงมากเช่นกัน “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้!” ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้า แล้วกุมหมัดคารวะให้อวี่จ้งเจินอีก “หัวหน้าภาคอวี่ อ๋องสวรรค์รับคุณหนูเป็นบุตรสาวบุญธรรมมาหลายปีแล้ว ครั้งนี้พอได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนู ก็เลยแอบส่งพวกเรามาคุ้มครองเป็นพิเศษ! ท่านอ๋องสวรรค์กำชับไว้ว่า ถ้าฝั่งนี้เสร็จเรื่องแล้ว ก็ให้พาคุณหนูกลับจวนไปให้พ่อลูกได้เจอกัน จะให้คุณหนูกลับจวนไปกับพวกเราก่อนได้หรือไม่ จากนั้นจวนท่านอ๋องจะส่งนางไปที่วังสวรรค์ ไม่ทราบว่าได้หรือไม่?”

บุตรสาวบุญธรรม? พวกโกวเยว่อึ้งไปชั่วขณะ หลังจากตั้งสติได้แล้ว ทุกคนก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก แต่ละคนโมโหจนแทบกระอักเลือด แผนสำรองอันเงียบงันของตระกูลโค่วเป็นแบบนี้เองเหรอ แผนการที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนแบบนี้ ทำไมทุกคนถึงคิดไม่ได้นะ!

ทว่าใครจะคิดไปทางนั้นได้ล่ะ? ตระกูลตัวเองก็มีลูกสาวแล้ว ถ้าอยากจะแต่งงานเชื่อสัมพันธ์ ต้องส่งคนที่มีสายเลือดตระกูลตัวเองกับคนที่เป็นญาติสนิทไปสิถึงจะน่าไว้ใจที่สุด ถ้าภายใต้สถานการณ์ที่มีทางเลือก ใครจะไปรับลูกสาวบุญธรรมที่ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันแล้วส่งออกไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ล่ะ? แบบนี้ไม่ใช่การกระทำที่เกินความจำเป็นเหมือนถกกางเกงผายลมรึไง?

แต่ตระกูลโค่วดันทำแบบนี้แล้ว มีผู้หญิงในตระกูลที่ไว้ใจได้ไม่ยอมใช้ ไม่น่าเชื่อว่าจะรับบุตรสาวบุญธรรมคนนี้มาจู่โจมกะทันหัน วิธีการนี้เหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว โหดเกินไปจริงๆ ทำเอาทุกคนเหม่องงได้ในรวดเดียว

พวกโกวเยว่เรียกได้ว่าแค้นจนกัดฟันกรอด แต่ละคนสิ้นเปลืองความคิดวิ่งเต้นทำงานมานานขนาดนี้ แต่พบว่าถูกตระกูลโค่วปั่นหัวได้โหดมาก จำเป็นต้องยอมรับว่าตระกูลโค่วร้ายกาจเกินไปจริงๆ ในขณะที่ฝั่งพวกเขากดดัน ก็เท่ากับกดดันจนอวิ๋นจือชิวจดจำน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของตระกูลโค่วแล้ว ทำให้ ‘บุตรสาวบุญธรรม’ กลายเป็นคำมีความหมายขึ้นเยอะ เท่ากับทำให้ตระกูลโค่วสมปรารถนา ทุกคนถูกตระกูลโค่วหลอกใช้แล้ว!

พวกโกวเยว่มองไปที่ถังเฮ่อเหนียนด้วยแววตาที่ค่อนข้างเดือดดาล ไม่น่าเชื่อว่าจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้จะพาโค่วเหวินลวี่มาด้วย เจ้าเวรนี่มันกำลังจงใจตบตาให้ทุกคนเข้าใจผิดชัดๆ!

บุตรสาวบุญธรรมเหรอ? ทั้งยังรับบุตรสาวบุญธรรมมาหลายปีแล้วด้วย? แล้วตอนฉู่จื่อซานต้องการจะบังคับแต่งงานกับนางเจ้าไปไหนแล้วล่ะ? ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อล่วงเกินแล้วบังคับอุ้มไปตอนอยู่บนกำแพงเมือง พวกเจ้าไปไหนกันแล้วล่ะ? มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่เชื่อ! อวี่จ้งเจินมองไปที่เหมียวอี้อีกครั้ง แล้วถ่ายทอดเสียงถามอย่างดุร้ายว่า “เจ้ากล้าบอกเหรอว่าเจ้าไม่รู้?”

ต่อให้ตีให้ตายเหมียวอี้ก็ไม่ยอมรับ “ท่านหัวหน้าภาค ข้าไม่รู้จริงๆ ไม่เคยได้ยินนางพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน”

อวี่จ้งเจินหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงถี่กระชั้น “หนิวโหย่วเต๋อ นี่เจ้าหาเรื่องใส่ตัวเองนะ ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะอธิบายกับทางวังสวรรค์ยังไง!” เขาหันขวับไปทางถังเฮ่อเหนียน แล้วกล่าวอย่างโมโหว่า “ข้าเปลี่ยนแปลงประสงค์ของวังสวรรค์ไม่ได้ ท่านถัง ขออภัย คนนี้! ข้าต้องพาตัวไป!”

พอได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ ในดวงตาของเหมียวอี้ก็ฉายแววกังวล

ถังเฮ่อเหนียนกวาดตามองเหมียวอี้ เหมือนเดาออกแล้วว่าเชากังวลอะไร จึงหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่สะดวกจะฝืนใจ คุณหนูไปที่วังสวรรค์ก่อนเถอะ คาดว่าท่านอ๋องคงรออยู่ที่วังสวรรค์แล้ว” จากนั้นก็ตะโกนว่า “เด็กๆ!”

พรึ่บๆ! นักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพสิบกว่าคนถลันตัวมาอยู่ทางซ้ายและขวา ก่อนที่ถังเฮ่อเหนียนจะกำชับเสียงต่ำว่า “ตามอารักขาคุณหนูไปตลอดทาง ถ้าขุนหนูผมร่วงไปแม้แต่เส้นเดียว พวกเจ้าถือหัวมาให้ข้าได้เลย!”

“ขอรับ!” นักพรตสิบกว่าคนนั้นกุมหมัดคารวะพร้อมกัน

เหมียวอี้ได้ยินแล้วโล่งใจ ระหว่างทางมีคนปกป้อง ทางวังสวรรค์มีอ๋องสวรรค์โค่วออกหน้าคุมสถานการณ์ด้วยตัวเอง คงจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

อวี่จ้งเจินหันกลับมาจ้องเหมียวอี้ด้วยสายตาเย็นเยียบอีกครั้ง แล้วตะคอกว่า “ไป!”

ทำงานจนผลลัพธ์กลายเป็นแบบนี้ ไม่เดือดดาลก็แปลกแล้ว เขาโบกมือนำคนเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว

นักพรตสิบกว่าคนที่ตระกูลโค่วส่งมาติดตามไปโดยคุ้มกันอยู่ตรงซ้ายขวาบนล่างของกองทัพองครักษ์

ถังเฮ่อเหนียนที่มองตามลูกเคราพลางหรี่ตายิ้ม สำเร็จแล้ว!

โค่วเหวินหลานยังกังวลอยู่นิดหน่อย ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ท่านปู่ถัง ประกาศเรื่องบุตรสาวบุญธรรมเร็วไปหน่อยหรือเปล่า จะสร้างปัญหาให้เหมียวอี้หรือเปล่า?”

ถังเฮ่อเหนียนส่ายหน้าบอกว่า “ถ้าช้ากว่านี้ เกรงว่าทุกอย่างจะสายไปแล้ว ท่านคิดว่าพวกเขาเรียกอวิ๋นจือชิวไปทำอะไรที่วังสวรรค์? ไม่ช้าก็เร็วจะต้องช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อกับอวิ๋นจือชิวสมหวัง ดีไม่ดีวังสวรรค์อาจจะเล่นละครปาหี่ประทานงานสมรสก็ได้ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มีหรือที่จะให้ทางวังสวรรค์เก็บเกี่ยวผลไป! ทำให้วังสวรรค์เล่นละครปาหี่ไม่ออก บ่าวสาวคู่นี้ถึงจะจดจำน้ำใจของตระกูลโค่ว ส่วนหนิวโหย่วเต๋อ ปัญหายุ่งยากก็มีบ้างอยู่แล้ว แต่คดีใหญ่มีบทสรุปออกมาแลว เป็นไปไม่ได้ที่วังสวรรค์จะพลิกคดีตบหน้าตัวเอง มีท่านอ๋องคอยค้ำอยู่ทางนั้น ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้!” โค่วเหวินหลานเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน

ในขณะนี้เอง โค่วเหวินหลานที่เฝ้าดูเรื่องราวมาตั้งแต่ต้นจนจบก็นับว่ายอมรับนับถือถังเฮ่อเหนียนจากใจจริงแล้ว ภายใต้คำชี้แนะของถังเฮ่อเหนียน นับว่าเขามองเข้าใจแล้ว

เมื่อก่อนเขาคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องให้พ่อบ้านชราท่านนี้ออกหน้าด้วยตัวเอง เพราะเป็นการใช้งานน้อยกว่าความสามารถ ให้เขาโค่วเหวินหลานมาประกาศเรื่อง ‘บุตรสาวบุญธรรม’ ก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่พอมาดูตอนนี้กลับพบว่าไม่เป็นอย่างนั้นเลย เรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น เรื่องรับบุตรสาวบุญธรรมเป็นการเพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น ไม่ใช่การส่งถ่านให้ท่ามกลางหิมะ มีความหมายแตกต่างกัน น้ำใจที่แบกรับไว้ก็ต่างกันด้วย การคุมให้แต่ละฝ่ายสงบแล้วช่วยให้เหมียวอี้ผ่านด่านคดีน่านฟ้าระกาติงได้คือกุญแจสำคัญ ชี้แนะเหมียวอี้ให้รับมือกับตระกูลที่เหลือก็ยิ่งทำให้เหมียวอี้แบกรับน้ำใจนี้ แต่ถ้าปล่อยข่าวเร็วเกินไป ครั้งนี้เหมียวอี้ก็จะตายแน่นอน!

ยังมีอีกหลายตระกูล ถ้าตระกูลโค่วส่งเขามาคนเดียว ก็จะดึงดูดให้ตาแก่ตระกูลอื่นสงสัยแน่ ดังนั้นถึงแม้จะดูเหมือนไม่ซับซ้อน แต่ความจริงนั้นจะเร็วไปหรือช้าไปก็ไม่ได้ จะเบาก็ไม่ได้ จะหนักก็ไม่ได้ ไม่ว่าด้านไหนก็ต้องดูสถานการณ์เพื่อควบคุมไฟให้พอดี ตอนนี้โค่วเหวินหลานยังเล่นกับไฟไม่ได้ ครั้งนี้ทำให้เขาตระหนักได้แล้วว่าตัวเองยังห่างชั้นขนาดไหน

“นายน้อย บ่าวยังมีธุระอีก จะต้องไปก่อนแล้ว” ถังเฮ่อเหนียนกุมหมัดคารวะ

โค่วเหวินหลานพยักหน้า “ท่านปู่ถังไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าจะกลับพร้อมพี่หญิงสี่”

ในขณะนี้เอง พวกโกวเยว่ถลันตัวเหาะขึ้นมาแล้ว จั่วเอ๋อร์แสยะยิ้ม “แซ่ถัง เจ้านี่ช่างไม่เลือกวิธีการเลยจริง!”

“ครั้งนี้นับว่าตระกูลโค่วของพวกเจ้าโหด!” โกวเยว่กล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบ

“ก็พอๆ กันนั่นแหละ! ตาแก่คนนี้ขอตัวก่อน ขออภัยที่อยู่คุยด้วยไม่ได้!” ถังเฮ่อเหนียนกุมหมัดคารวะทุกคน จากนั้นโบกมือเรียกผู้จัดการใหญ่เสิ่นติงเฉินและคนอื่นๆ ให้เหาะพุ่งขึ้นฟ้าไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว

ตึกจันทราดารา ต้วนหงที่กลับมาแล้วไปหาฮ่าวชิงเยี่ยนที่ลานบ้านด้านหลัง แล้วกุมหมัดคารวะ “คุณหนู เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลอีกแล้วค่ะ พวกเรากลับกันได้แล้ว”

ฮ่าวชิงเยี่ยนที่ยืนซึมอยู่ข้างระเบียงหันกลับมาอย่างงงๆ “ผ่านไปแล้วเหรอ? หัวหน้าผู้ช่วยหมายความว่า ข้าไม่ต้องแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อแล้วใช่มั้ย?”

ต้วนหงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ต่อให้อยากแต่งก็แต่งไม่ได้แล้ว ครั้งนี้บ่าวทำงานไม่ราบรื่น ทำให้ท่านอ๋องผิดหวังแล้ว! หลังจากกลับไป บ่าวจะขอให้ท่านอ๋องทำโทษ แต่ก็นับว่าสมใจปรารถนาคุณหนูแล้ว สุดท้ายก็สมหวังแล้ว” ประโยคสุดท้ายให้ความรู้สึกเหมือนเย้ยตัวเอง

เรือนเจิดจรัส จั่วเอ๋อร์เห็นอิ๋งเยว่ยังนั่งปักผ้าเหมือนเดิม หลังจากทำความเคารพก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “คุณหนูคะ ครั้งนี้สมปรารถนาท่านแล้ว ท่านไม่ต้องแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว พวกเรากลับได้แล้วค่ะ”

อิ๋งเยว่ที่เดิมทีด้านชาเฉยชา พอได้ยินแบบนี้ก็หันขวับมองมา “ท่านพูดจริงเหรอ?”

จั่วเอ๋อร์ยิ้มเจื่อน “พวกเราแพ้แล้ว ปล่อยให้ตระกูลโค่วทำสำเร็จแล้วค่ะ”

อิ๋งเยว่เหมือนจะมีความโกรธขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว นางลุกขึ้นยืน สีหน้าดูตื่นเต้นดีใจอยู่หลายส่วน แต่ก็เจือด้วยความประหลาดใจบางส่วน “เป็นโค่วเหวินลวี่เหรอ? พี่หญิงลวี่จะแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อเหรอคะ?”

จั่วเอ๋อร์ถอนหายใจแล้วบอกว่า “คุณหนูดูเหมือนหลุดพ้นแล้ว แต่บ่าวก็พูดสิ่งที่ไม่ควรจะพูด บางทีบ่าวอาจจะจัดการเรื่องนี้อย่างโหดร้ายใจดำไปหน่อย แต่ก็เพราะหวังดีกับคุณหนูค่ะ ผู้ชายที่บ่าวเคยเจอมีตั้งไม่รู้เท่าไร เลยพอจะมองคนออกอยู่บ้าง ตอนนี้คุณหนูอาจจะดีใจ แต่ต่อไปคุณหนูอาจจะหาผู้ชายที่เหมาะสมกว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่เจอแล้วก็ได้ ไม่ได้หมายถึงอนาคตของหนิวโหย่วเต๋อเท่านั้น แต่หมายถึงด้านไมตรีจิตระหว่างชายหญิง ถ้าคุณหนูไม่เชื่อ ก็จดจำคำพูดของบ่าวเอาไว้นะคะ ครั้งนี้พลาดจากหนิวโหย่วเต๋อไปแล้ว ตราบใดที่ในอนาคตหนิวโหย่วเต๋อยังมีชีวิตอยู่ จะต้องมีสักวันที่คุณหนูนึกเสียใจทีหลังแน่นอน ถึงตอนนั้นท่านจะเข้าใจว่าครอบครัวหวังดีกับท่าน!”

อิ๋งเยว่ยิ้มบางๆ แล้วบอกว่า “ท่านไม่ต้องห่วง อิ๋งเยว่จะไม่มีวันเสียใจทีหลังค่ะ!”

“เฮ้อ!” จั่วเอ๋อร์ส่ายหน้า รู้ว่าตัวเองพูดอะไรไปนางก็คงไม่เข้าใจ และไม่อยากพูดมากด้วย จึงจูงมือนางพร้อมบอกว่า “คุณหนู พวกเรากลับกันเถอะค่ะ”

หอฉางเจิน เมื่อโกวเยว่พบเม่ยเหนียงและลูกสาว ก็ทำความเคารพแล้วบอกว่า “หวังเฟย พวกเรากลับจวนได้แล้วขอรับ”

เม่ยเหนียงถามด้วยแววตาวูบไหวเป็นประกาย “ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อตามกองทัพองครักษ์กลับไปแล้ว จะเจอกันที่อุทยานหลวงได้อีกหรือเปล่า?”

โกวเยว่ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ไม่จำเป็นต้องเจอแล้วขอรับ ครั้งนี้ตระกูลโค่วได้ไปแล้ว บ่าวทำงานได้ไม่ดี พวกเราแพ้แล้ว”

เม่ยเหนียงมีปฏิกิริยาราวกับโดนเข็มแทงทันที ถลึงตาถามว่า “อย่าบอกนะว่าเป็นโค่วเหวินลวี่? หนิวโหย่วเต๋อตาบอดไปแล้วรึเปล่า นางเด็กนั่นเทียบเม่ยเอ๋อร์ไม่ติดเลยสักนิด เป็นไปได้ยังไง?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ค่อนข้างใจลอย หลายวันมานี้ในหัวนางนึกถึงภาพที่ตัวเองโอบกอดถูไถอยู่ข้างจอนหูเหมียวอี้ นึกถึงตอนที่เหมียวอี้ใช้มือบีบคลึงบนก้นนางไม่หยุด ใช้ชีวิตด้วยความอับอายทุกวัน ตอนนี้พอได้ยินแบบนี้แล้ว นางก็เงยหน้ามองโกวเยว่ตะลึงงันเช่นกัน

“อ๋องสวรรค์โค่วรับอวิ๋นจือชิวเป็นบุตรสาวบุญธรรม!” โกวเยว่แทบจะตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก

ตอนแรกเม่ยเหนียงยังฟังไม่เข้าใจ ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้คิดทัน ถามอย่างตกใจไม่เบาว่า “จะเป็นไปได้ยังไง? ใช่ว่าตระกูลโค่วจะไม่มีผู้หญิงแล้ว ทำไมถึงใช้บุตรสาวบุญธรรมที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ล่ะ?”

ใครว่าไม่ใช่ล่ะ ใครจะไปคาดคิดล่ะ? โกวเยว่หลับตาพยักหน้าอย่างจนใจ ยืนยันกับนางอีกครั้ง

…………………………

นิสัยเสียเล็กน้อย? กองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นเข่นฆ่ากันจนเลือดนองเป็นแม่น้ำแล้ว มีคนตายไปแล้วหลายแสนคน ยังนับเป็นนิสัยเสียเล็กน้อยด้วยเหรอ?

ซ่างกวนชิงพึมพำในใจ ค่อนข้างพูดไม่ออก แต่เขาก็รู้ว่าใต้หล้านี้เป็นของประมุขชิง ขอเพียงประจบให้ประมุขชิงนิยมชมชอบได้ ต่อให้ผิดแต่ก็จะกลายเป็นถูกอยู่ดี ขอเพียงใจประมุขชิงคิดว่าเจ้าทำถูก นั่นก็แปลว่าเจ้าถูก แต่ถ้ายั่วโมโหให้ประมุขชิงรำคาญใจ ต่อให้เจ้าทำดีแค่ไหน แต่ก็จะสงสัยว่าเจ้ามีเจตนาแอบแฝง คนเราก็เป็นเช่นนี้ ไม่ได้มีเหตุผลอะไรสักเท่าไรเลย

เขามองไปยังหมู่ตำหนักที่สูงต่ำสลับกันโดยรอบ ในบรรดาวังหลังก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน บรรดาหญิงงามจำนวนนับไม่ถ้วน มีคนไหนบ้างที่ไม่อยากประจบให้ได้ความโปรดปรานจากฝ่าบาท ขอเพียงได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท อย่าว่าแต่สามารถโอ้อวดความสูงส่งของตัวเองต่อหน้าคนอื่นได้เลย วาสนายังแผ่ไปถึงครอบครัวที่อยู่นอกวังได้ด้วย ทำผิดเล็กน้อยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยกตัวอย่างเช่นสนมสวรรค์หรูอี้แห่งตำหนักบูรพา เห็นอยู่ชัดๆ ว่ารักษาระยะห่างกับฝ่าบาทมาตลอด แต่ฝ่าบาทกลับคิดว่านางเป็นคนตรงไปตรงมา มักจะถ่อไปหาสนมที่ใบหน้าเย็นชาคนนั้นเสมอ ทำให้คนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี นี่ก็คือการได้รับความนิยมชมชอบจากฝ่าบาท เรื่องราวต่างกัน แต่หลักการกลับเหมือนกัน

ซ่างกวนชิงรู้ตัวว่าตัวเองไม่ใช่โพ่จวิน ที่จะกล้าพูดทุกอย่างกระแทกหน้าประมุขชิง สิ่งที่โพ่จวินพูดได้ แต่โพ่จวินกลับพูดไม่ได้ ดังนั้นเขาเองก็ไม่อาจพูดขัดใจประมุขชิง ควรจะเอาเยี่ยงอย่างโพ่จวินจะฝืนเกลี้ยกล่อมประมุขชิงได้อย่างไร

หนิวโหย่วเต๋อพูดจาประจบให้ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท สนมสวรรค์หรูอี้เย็นชาใส่ฝ่าบาทจนได้รับความโปรดปราน ส่วนโพ่จวินก็เอาแต่เถียงจนฝ่าบาทไปต่อไม่เป็นถึงได้รับความโปรดปราน สามวิธีการช่วงชิงหัวใจราชันที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด แต่ในสายตาซ่างกวนชิงกลับมีจุดที่เหมือนกัน เป็นเพราะทั้งสามมีนิสัยแบบนี้มาตลอด ในสายตาฝ่าบาทนี่คือความจริงใจตรงไปตรงมา

หนิวโหย่วเต๋อ ตั้งแต่วันแรกที่ฝ่าบาทรู้จักชื่อนี้ เจ้าตัวก็มักจะทำแบบนี้มาตลอด นั่นก็คือกล้าด่าอ๋องสวรรค์อิ๋งต่อหน้าว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ ไม่ว่าปากเจ้าหมอนี่จะพูดอะไรออกมา ก็ทำให้ฝ่าบาทเชื่อได้ง่ายว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเป็นการสอบสวนแบบเดียวกันแล้วคำพูดเด็ดเดี่ยวองอาจผึ่งผายแบบนี้ออกมาจากปากคนอื่น ในสายตาฝ่าบาทก็อาจจะสงสัยว่าเสแสร้งแกล้งทำ ส่วนสนมสวรรค์หรูอี้ก็ทำสีหน้าเย็นชาใส่ฝ่าบาทมาตลอด ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ถ้าสนมคนอื่นเอาเยี่ยงอย่างบ้าง ในสายตาฝ่าบาทก็จะมองว่าเสแสร้ง กลับจะทำให้ฝ่าบาทรังเกียจด้วยซ้ำ ส่วนโพ่จวินก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว ตั้งแต่ติดตามรับใช้ฝ่าบาทมาก็มักจะเถียงกับฝ่าบาทเสมอ ถ้าคนอื่นเปลี่ยนลักษณะของตัวเองแล้วพูดจาเอาเยี่ยงอย่างโพ่จวินบ้าง ก็จะต้องโดนตัดหัวแน่นอน

แน่นอน เขาไม่จำเป็นต้องกล่าวชมอะไรเช่นกัน แต่เปลี่ยนประเด็นสนทนากับประมุขชิง “สามหน่วยงานที่ร่วมสอบสวน ทางทัพตะวันตกร้องเรียนมา ว่าทูตขวาเกาจงใจขังคนของอ๋องสวรรค์ไว้”

ประมุขชิงบอกว่า “ใครใช้ให้พวกเขาเป็นฝ่ายไปตกอยู่ในมือเก้ากวนเองล่ะ เรื่องนี้เก้ากวนรายงานขึ้นมาแล้ว! ข้าให้เก้ากวนรีบจบคดี แต่สี่ตระกูลนั้นกลับถ่วงเวลาอยากจะกดดันให้หนิวโหย่วเต๋อประนีประนอม โดยเฉพาะฝั่งตระกูลก่วง! เก้ากวนตัดขาดการติดต่อระหว่างสี่ตระกูลนั้นกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ขณะเดียวกันก็กำลังจับตัวคนของสี่ตระกูลนั้นเป็นตัวประกัน ถ้าคดีน่านฟ้าระกาติงยังไม่จบ เก้ากวนก็จะไม่ปล่อยคน เก้ากวนขอให้ข้าสั่งให้หน่วยตรวจการซ้ายให้ความร่วมมือแล้ว เมื่อถึงเวลาจำเป็นก็ให้สอบสวนเรื่องอะไรนิดหน่อยมาข่มสี่ตระกูลนั้นไว้ จะได้จบคดีนี้ได้เร็วๆ! เรื่องนี้เก้ากวนจัดการได้อย่างงดงาม ข้าจะมอบความกดดันเล็กน้อยให้พวกเขาต้านไว้!”

“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงพยักหน้ารับปาก

ถ้าเบื้องบนประนีประนอมเรื่องนี้กันได้ เรื่องของคนระดับล่างก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรแล้ว ไม่นานก็ได้บทสรุปของคดีน่านฟ้าระกาติงแล้ว

ตัวประกันของสี่ตระกูลถูกบีบอยู่ในมือเก้ากวน เรื่องที่ขุนนางในราชสำนักขอให้สืบสวนกองทัพองครักษ์ที่ยัดคนเข้ามาอยู่ใต้บังคับบัญชาของสี่อ๋องสวรรค์ก็ถูกระงับไว้อย่างพอดิบพอดี ความรับผิดชอบของเซวียนหยวนจัวก็ไม่มีใครเอาเรื่องอีก คดีน่านฟ้าระกาติงได้บทสรุปว่า หนิวโหย่วเต๋อแค่นำกำลังพลโจมตีกลับเพราะปกป้องตัวเองเท่านั้น ทุกคนของน่านฟ้าระกาติงก็ไม่เป็นอะไร พวกเขาแค่ได้รับคำสั่งให้ทำงาน ทุกคนไม่เป็นอะไร แต่ความรับผิดชอบนี้จะต้องมีคนแบกรับไว้ ดังนั้นฉู่จื่อซานที่ตายไปจึงโชคร้ายที่สุด ความรับผิดชอบทุกอย่างไปรวมอยู่ที่ตัวฉู่จื่อซานคนเดียว

เมื่อคดีได้บทสรุปในราชสำนักแล้ว ในที่สุดเก้ากวนก็มีเวลาว่างไปสืบสวนคนของสี่อ๋องสวรรค์ ผลลัพธ์ที่ได้ก็ย่อมเป็นผลจากการที่เบื้องบนยอมประนีประนอมกัน คนของสี่ตระกูลไม่เป็นอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องด้วยจึงถูกปล่อยตัว

คดีที่ใหญ่สะเทือนฟ้า เดิมทีไม่รู้ว่าจะเป็นชนวนแห่งความขัดแย้งมากมายขนาดไหน แต่สุดท้ายจากเรื่องใหญ่กลับกลายเป็นเรื่องเล็ก จากเรื่องเล็กกลายเป็นไม่มี เหมือนคลื่นลมที่ก่อตัวขึ้นสูง แล้วก็ผ่านไปเบาๆ ตลาดสวรรค์กลับมาคึกคักรุ่งเรืองเหมือนที่ผ่านมาแล้ว

ดังนั้นทุกคนก็แทบจะถูกปล่อยตัวออกมาหมดแล้ว แต่หลังจากออกมาแล้วเหมียวอี้กลับพบความไม่ชอบมาพากล มีแค่อวิ๋นจือชิวที่ยังถูกขังอยู่ ไม่ถูกปล่อยตัวออกมา

เหมียวอี้รีบไปขอคำตอบจากอวี่จ้งเจินที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารททันที แต่พอไปถึงประตูกลับบังเอิญเห็นเกาก้วนกำลังจะนำกำลังพลออกไปพอดี เขาจึงดักเก้ากวนเอาไว้ ทำความเคารพแล้วถามว่า “ทูตขวาเกา ข้าน้อยขอคำชี้แนะ อวิ๋นจือชิวไม่เป็นอะไรแล้วไม่ใช่หรือขอรับ? ทำไมยังไม่ปล่อยตัวนางออกมา?”

“กองทัพองครักษ์ของพวกเจ้าเป็นคนควบคุมตัวไว้ เรื่องดำเนินการตามกฎเจ้าไม่ควรมาถามข้า” เก้ากวนพูดทิ้งท้ายแล้วนำคนเหาะขึ้นฟ้าไป

เหมียวอี้ยืนเงียบอยู่ตรงประตู ฟังเข้าใจความหมายที่เก้ากวนสื่อแล้ว คนที่กักตัวไว้ไม่ปล่อยก็คืออวี่จ้งเจิน ไม่เกี่ยวอะไรกับเก้ากวน

ขณะที่เขากำลังจะเข้าไปในภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ใครจะคิดว่าจู่ๆ จะมีคนสองคนตะโกนเรียก

“นายท่านหนิว ตึกจันทราดาราเชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยง!”

“นายท่านหนิว เรือนเจิดจรัสเตรียมงานเลี้ยงไว้เพื่อดเนินการนัดหมายก่อนหน้านี้ต่อ”

เหมียวอี้หันตัวไปมอง พบว่าเป็นเจ้าพวกคนน่ารำคาญ เขาไม่มีอารมณ์จะต้อนรับขับสู้ “หัวหน้าภาคเรียกพบ มีอะไรค่อยคุยกันทีหลัง” พูดจบก็เดินก้าวยาวเข้าไปในภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท

โถงฉากเมฆา ถังเฮ่อเหนียนที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจนดูสง่างามเพิ่งจะเดินออกจากประตูห้องอาบน้ำ โค่วเหวินหลานกับผู้จัดการใหญ่เสิ่นติงเฉินที่รออยู่ข้างนอกก็เข้ามาหาทันที ย่อมเป็นเพราะมีเรื่องสำคัญจะรายงานอยู่แล้ว

“มีเพียงอวิ๋นจือชิวที่ยังไม่ถูกปล่อยตัว?” ถังเฮ่อเหนียนลูบเคราะพลางพึมพำ หลังจากขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “รู้อยู่แล้วว่าการป่วนแผนของฝั่งวังสวรรค์ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น ไปกันเถอะ พวกเขาวุ่นวายกันเสร็จแล้ว ทุกเรื่องเรียบร้อยแล้ว ถึงคราวที่พวกเราจะออกโรงแล้ว”

โค่วเหวินหลานกับเสิ่นติงเฉินมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วสุดท้ายก็รีบก้าวตามไป

ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ในตึกศาลาที่หรูหรา พอเหมียวอี้เห็นอวี่จ้งเจินก็กุมหมัดคารวะขอคำชี้แนะทันที “นายท่านหัวหน้าภาค เรื่องราวเรียบร้อยแล้ว ไม่ทราบว่าทำไมยังขังอวิ๋นจือชิวไม่ยอมปล่อย?”

อวี่จ้งเจินโบกมือไล่ทุกคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาให้ถอยออกไปก่อน แล้วเอามือไขว้หลังเดินช้าๆมาตรงหน้าเหมียวอี้ จ้องประเมินเหมียวอี้พักใหญ่ สุดท้ายก็บอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ถึงแม้เรื่องนี้จะผ่านไปแล้ว แต่ความจริงเป็นอย่างไรทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ เจ้าก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าไม่ลงโทษเลย แล้วจะคุมคนที่เหลือได้ยังไง? ถ้าในภายหลังมีคนเอาเยี่ยงอย่างเจ้าบางจะทำยังไง? เบื้องบนของหน่วยงานนี้พอจะได้ยินข่าวมาบ้างแล้ว เกรงว่าเจ้าคงจะอยู่ในตำแหน่งแม่ทัพภาคนี้ไม่ได้อีก มีความเป็นไปได้สูงว่าจะโดนลงโทษให้ลดตำแหน่งสองขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่ เจ้าเตรียมใจไว้เถอะ ในเมื่อทำเรื่องแบบนี้แล้วก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา! ให้พวกลูกน้องเตรียมตัวสักหน่อย กลับไปรอบทสรุปการลงโทษที่อุทยานหลวงเถอะ!”

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะอีกครั้ง “เบื้องบนจะลงโทษยังไงข้าก็ยอมรับทั้งนั้น แต่ที่ข้าน้อยไม่เข้าใจก็คือ ทำไมถึงไม่ปล่อยอวิ๋นจือชิวออกมา?”

อวี่จ้งเจินตอบเสียงเรียบว่า “ไม่ได้บอกว่าจะไม่ปล่อยนาง! เพียงแต่บรรดาเหนียงเหนียงที่วังสวรรค์บอกว่าเครื่องประดับของหออวิ๋นฮว๋าสวยใช้ได้เลย ผู้การใหญ่ซ่างกวนจึงสั่งมา ว่าให้พาอวิ๋นจือชิวนำเครื่องประดับไปส่งที่วังสวรรค์ด้วยกัน”

“…” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่เขาก็ยังไม่ค่อยวางใจ ไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งที่วังหลัง จึงตอบว่า “อวิ๋นจือชิวไม่เคยได้เข้าสังคม กลัวว่าจะไปทำอะไรล่วงเกินเหล่าสนม ไม่สู้จะให้ข้าน้อยกับอวิ๋นจือชิวปรึกษากันก่อนดีมั้ยขอรับ ข้าน้อยนำเครื่องประดับไปส่งให้ก็สิ้นเรื่องแล้ว”

อวี่จ้งเจินบอกว่า “ไม่ต้องแล้ว ผู้การซ่างกวนบอกมาชัดเจนว่าให้อวิ๋นจือชิวไปด้วยตัวเอง”

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เหมียวอี้ตกใจ “ทำไมต้องให้อวิ๋นจือชิวไปด้วยตัวเอง?”

อวี่จ้งเจินทำเสียงฮึดฮัด แล้วบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าถามหน่อยว่าเจ้าโง่จริงหรือแกล้งโง่? อย่าคิดว่าเบื้องบนไม่รู้ว่านะว่าลูกน้องคนสนิทของสี่อ๋องสวรรค์มาโผล่อยู่ที่นี่เพราะเรื่องอะไร หรือเจ้าคิดว่าคนของสี่ตระกูลนั้นจะปล่อยอวิ๋นจือชิวไปง่ายๆ? เบื้องบนกังวลว่าสี่ตระกูลนั้นจะเอาใช้อวิ๋นจือชิวมากดดันเจ้า อาศัยกำลังของเจ้าจะต้านทานไหวเหรอ? ผู้การซ่างกวนมีเจตนาดี ที่บอกว่าบรรดาเหนียงเหนียงอยากดูเครื่องประดับน่ะโกหก ที่จริงเป็นข้ออ้างในการปกป้องอวิ๋นจือชิว อยากจะช่วยให้พวกเจ้าสองคนสมหวังก็เท่านั้นเอง เข้าใจแล้วใช่มั้ย?”

เป็นอย่างนี้นี่เอง! เหมียวอี้โล่งอก แต่ก็ยังขมวดคิ้วอีก อวิ๋นจือชิวไม่อาจอยู่ที่วังสวรรค์ได้ตลอดไป แต่ต่อให้สามารถอยู่ที่วังสวรรค์ได้ต่อไป อำนาจของสี่อ๋องสวรรค์ก็ยื่นเข้าไปในวังหลังตั้งนานแล้ว ถ้าพูดในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ต่อให้อวิ๋นจือชิวจะอยู่อย่างปลอดภัยที่วังสวรรค์ แต่นั่นก็เท่ากับกลายเป็นตัวประกันในมือตำหนักสวรรค์แล้ว ถ้าความลับของเขาถูกเปิดโปงขึ้น อวิ๋นจือชิวก็จะเป็นคนแรกที่ซวย

“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลอะไร ไม่ต้องกังวล ผู้การซ่างกวนอยู่ที่วังสวรรค์ ถ้าอยากจะปกป้องใครสักคนก็ไม่มีปัญหา ขนาดราชินีสวรรค์ก็ยังต้องเคารพผู้การใหญ่สามส่วนเลย ใครจะกล้าลงมือกับคนที่ผู้การซ่างกวนปกป้องล่ะ นอกเสียจากจะเบื่อหน่ายการมีชีวิตอยู่ ไม่อยากอยู่ที่วังสวรรค์แล้วเท่านั้นแหละ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องคิดมากเลย!” อวี่จ้งเจินยกมือตบบ่าเหมียวอี้ แล้วบอกอีกว่า “เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ปลอดภัยเหมือนกัน สี่ตระกูลจะเกาะแกะเจ้าไม่ปล่อย จะหาช่องโหว่ลงมือกับเจ้า เตรียมกำลังพลกลับอุทยานหลวงเดี๋ยวนี้ ข้าจะเป็นโล่กำบังให้ ทำให้พวกเขาไม่กล้าดันทุรังเข้ามา! ไปดำเนินการเดี๋ยวนี้ อย่าถ่วงเวลา!”

“ขอรับ!” เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ หยิบระฆังดาราออกมาสั่งมู่อวี่เหลียนให้จัดกำลังพลกลับไป

ผ่านไปไม่นาน กำลังลพกองทัพองครักษ์ที่อยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนทั้งหมดก็มารวมตัวกันแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ถูกกองทัพองครักษ์คุ้มกันให้กลับหออวิ๋นฮว๋าไปหยิบเครื่องประดับมาไม่น้อยเช่นกัน จากนั้นก็ไปเจอเหมียวอี้ที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท

โกวเยว่ จั่วเอ๋อร์ ต้วนหงที่ได้รับข่าวจึงปลอมใบหน้าและปรากฏตัวแล้ว มาเจอกันบนภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเขายืนอยู่ริมหน้าต่าง ได้แต่มองเหมียวอี้ปะปนอยู่กับกลุ่มคนของกองทัพองครักษ์และเดินออกจากประตูใหญ่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทไป

หลายครั้งที่คนฝั่งนั้นอยากจะส่งคนมาเข้าใกล้เหมียวอี้ แต่ก็ไม่มีหนทางเลย ทุกคนถูกอวี่จ้งเจินขวางไว้ สาเหตุก็เป็นเพราะกองทัพองครักษ์ต้องควบคุมตัวหนิวโหย่วเต๋อกลับไปสอบสวนที่กองทัพองครักษ์ เรื่องที่น่านฟ้าระกาติงผ่านไปแล้ว แต่เรื่องที่ฆ่าทหารในตลาดสวรรค์ยังไม่จบ

ต่อให้ทุกคนจะใจกล้ากว่านี้ แต่ก็ไม่กล้าฝืนแย่งคนจากมืออวี่จ้งเจิน ถูกอวี่จ้งเจินเล่นงานจนหมดแผนการจะรับมือ ความได้เปรียบของฝ่ายวังสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่สี่อ๋องจะเทียบติด

“ถังเฮ่อเหนียนล่ะ?” จู๋ๆ จั่วเอ๋อร์ก็รู้ตัว แล้วหันซ้ายหันขวาถาม

ทั้งสามมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา สุดท้ายก็สังเกตได้ถึงความไม่ปกติ ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องนี้ ตระกูลโค่วเงียบเกินไปหน่อย

นอกเมือง พอกำลังพลกองทัพองครักษ์เหาะขึ้นไปบนฟ้าได้ครึ่งทาง จู่ๆ ก็มีเงาคนหลายคนทยอยกันเหาะเข้ามาอย่างรวดเร็ว ถังเฮ่อเหนียนที่ปรากฏตัวคนสุดท้ายมาขวางหน้าทัพใหญ่เอาไว้

อวี่จ้งเจินโบกมือห้ามทัพใหญ่ จ้องพวกเขาด้วยสีหน้าระแวดระวัง แล้วจะโกนถามว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”

ใครจะคิดว่าถังเฮ่อเหนียนจะค่อยๆ โค้งเอวให้อวิ๋นจือชิวที่อยูท่ามกลางคนกลุ่มนั้น พร้อมกล่าวอย่างเคารพว่า “บ่าวคารวะคุณหนู!” เสียงดังฟังชัดมาก

โค่วเหวินหลานที่อยู่ข้างกันรู้สึกเซ็งในใจ แต่กลับทำความเคารพเช่นเดียวกัน “เหวินหลานคารวะอาหญิง!” เสียงดังก้องไม่แพ้กัน

…………………………

“เหลวไหลสิ้นดี เจ้าเพิ่งบอกไม่ใช่เหรอว่าอวิ๋นจือชิวเป็นเพื่อนเจ้า ก่อนหน้านี้พวกเจ้าเป็นแค่เพื่อนกัน ทำไมกลายเป็นว่าฉู่จื่อซานแย่งผู้หญิงของเจ้าซะแล้วล่ะ?” เซวียนหยวนจัวถาม

เหมียวอี้บอกว่า “ข้าจีบนางมาตั้งแต่ปีก่อนโน่นแล้ว นางบอกว่าไม่อยากแต่งงานอีก พอข้าจีบซ้ำไปซ้ำมา นางก็เลยให้คำสัญญากับข้าข้อหนึ่ง ว่าถ้าวันใดนางยินดีจะแต่งงาน นางก็จะไม่แต่งงานกับคนอื่น จะแต่งงานกับข้าเท่านั้น ถ้าฉู่จื่อซานมาขอแต่งงาน ข้ากับอวิ๋นจือชิวก็เป็นสหายกัน พอฉู่จื่อซานจะจัดงานแต่งงาน อวิ๋นจือชิวก็เป็นผู้หญิงของข้าแล้ว! ท่านโหว ถ้ามีคนจะมาแย่งผู้หญิงของท่าน ท่านจะมีปฏิกิริยายังไง?”

ทุกคนได้ยินแล้วกัดฟัน ตอนคนอื่นไม่มาขอแต่งงานนางก็เป็นเพื่อนเจ้า แต่พอมีคนมาขอแต่งงาน นางก็เป็นผู้หญิงของเจ้าแล้ว นี่มันตรรกะอะไรกัน?

“หนิวโหย่วเต๋อ เซวียนหยวนจัวกำลังสอบสวนเจ้า ไม่ใช่ให้เจ้ามาสอบสวนเซวียนหยวนจัว” ตู๋กูอู๋ตะคอกอย่างเย็นเยียบ

เซวียนหยวนจัวกลับไม่ถือสาที่เหมียวอี้ถามกลับ ซักไซ้ถามเพียงประเด็นหลักเท่านั้น “ต่อให้เป็นความบังเอิญ แต่การที่เจ้าเรียกรวมกำลังพลที่น่านฟ้าระกาติงก็เป็นเรื่องบังเอิญด้วยงั้นเหรอ? มีเรื่องบังเอิญเยอะเกินไปหรือเปล่า?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไม่ได้มีใจคิดเรื่องส่วนตัวเลยจริงๆ อยากจะถือโอกาสไปเยี่ยมอวิ๋นจือชิวสักหน่อย ข้าเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะบังเอิญประสบพบเจอกับเรื่องแบบนี้”

เซวียนหยวนจัวตะคอกทันที “ตอนที่ฉู่จื่อซานนำคนมาถึง ทำไมเจ้าถึงไม่เปิดเผยตัวตน แต่ลงมือสังหารอีกฝ่ายจนตาย?”

“ในจุดนี้ข้าบอกไว้ชัดเจนแล้วในคำให้การก่อนหน้านี้ ฉู่จื่อซานไม่ให้โอกาสข้าได้เปิดเผยตัวตนเลย พอเห็นพวกเราเปิดเผยเครื่องแบบของตำหนักสวรรค์แล้ว ก็ยังออกคำสั่งบุกโจมตีเหมือนเดิม เป็นเขาที่ลงมือก่อน อย่าบอกนะว่าจะให้ข้านั่งรอความตาย? ฉู่จื่อซานไม่ให้โอกาสพวกข้า เขาเป็นฝ่ายเล่นงานก่อน พวกข้าถึงได้โจมตีกลับ มีคนมากมายที่เห็นเองกับตา ไม่ใช่หนิวที่พูดเหลวไหล!” เหมียวอี้ตอบ

“คนร้ายล่ะ? เจียงอีอีกับ ‘อวิ๋นจือชิว’ ตัวปลอมนั่นไปไหนแล้ว?” เซวียนหยวนจัวถาม

“ข้าบอกไปแล้วไง พวกเขาหนีไปแล้ว” เหมียวอี้ตอบ

เซวียนหยวนจัวแสยะยิ้ม “ทัพใหญ่ห้าหมื่นของเจ้าโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านจนแพ้ได้ แค่ผู้ร้ายกระจอกสองคน แต่รอดพ้นจากกำลังพลมากมายไปแล้ว ถ้าเป็นเจ้าเจ้าเชื่อมั้ยล่ะ?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าเองก็รู้สึกเหลือเชื่อมากจริงๆ แต่ความจริงก็เป็นอย่างนั้น เห็นอยู่ชัดๆ ว่าควบคุมสองคนนั้นไว้ได้แล้ว แต่จู่ๆ ก็หลุดออกจากกระเป๋าสัตว์ข้าไป ข้าเลยโบกกระบี่ฟันทันที แต่ใครจะคิดว่าพออีกฝ่ายโบกแขนเสื้อหนึ่งที กระบี่ผลึกแดงของข้าก็กลายเป็นผุยผง ข้าทำอะไรไม่ถูกจนเกือบจะโดนเขาฆ่าแล้ว จนกระทั่งตอนข้าจะโต้ตอบอีกที สองคนนั้นก็หนีไปทางดินราวกับดำน้ำไป ทัพใหญ่ของข้าหาจนทั่วแต่ก็ไม่พบร่องรอย”

เซวียนหยวนจัวยกแผ่นหยกในมือขึ้นมา “ครั้งก่อนเจ้าบอกว่าเป็นเพราะได้รับข่าว ถึงได้รู้ว่าเจียงอีอีจับตัวประกันหนีไปทางกองกำลังของเจ้า เจ้าถึงได้นำกำลังพลไปจัดการเจียงอีอี เป็นแบบนี้ใช่มั้ย?”

“ใช่แล้ว!” เหมียวอี้ตอบ

“ใครเป็นคนส่งข่าวให้เจ้า?” เซวียนหยวนจัวถามอีก

“ลูกน้องเก่าคนหนึ่งที่อยู่น่านฟ้าระกาติง” เหมียวอี้ตอบ

“ลูกน้องเก่าของเจ้ารู้ทิศทางที่เจียงอีอีจะหนีไปได้ยังไง?” เซวียนหยวนจัวถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “เพราะเขาเป็นหนึ่งในกำลังพลที่กำลังไล่ตามเจียงอีอี เขารู้ว่าข้าอยู่ตรงไหน”

“บอกให้ละเอียดหน่อย เป็นใครกันแน่?” เซวียนหยวนจัวถาม

“รองผู้บัญชาการคนหนึ่งของน่านฟ้าระกาติง ชื่อว่าโจวหลาง!” เหมียวอี้ตอบ

“หรือพูดได้อีกอย่างว่า เขาติดต่อกับเจ้าผ่านระฆังดารา?” เซวียนหยวนจัวถาม

“ใช่แล้ว!”

“เจ้าคงไม่ได้จะบอกข้าใช่มั้ย ว่าระฆังดาราที่เจ้ากับเขาใช้ติดต่อกันหายไปแล้ว?” เซวียนหยวนจัวกล่าว

“ไม่ใช่สักหน่อย” เหมียวอี้ว่า

เซวียนหยวนจัวจึงบอกว่า “งั้นก็นำออกมา เก็บหลักฐานไปพิสูจน์ความจริง!” พูดจบก็เอียงหน้า ก่อนจะมีคนไปคลายผนึกวรยุทธ์บนตัวเหมียวอี้

เหมียวอี้โบกมือหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา แล้วมีคนไปรับมาไว้ทันที

ตอนนี้ตู๋กูอู๋จากทัพซ้ายของน่านฟ้าดินวอกเอ่ยถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ทัพใหญ่หนึ่งแสนของน่านฟ้าระกาติงมาล้อมกำลังพลของเจ้าไว้แล้ว ตอนที่บอกให้เจ้ายอมแพ้ ทำไมเจ้ายังกล้าออกคำสั่งรุกโจมตีอีก?”

เหมียวอี้กล่าวเสียงดังอีกเล็กน้อยว่า “นายท่านตู๋กู เหตุใดจึงกล่าวคำพูดที่น่าปวดใจแบบนี้ออกมาได้ !กองทัพองครักษ์เป็นกองทัพของฝ่าบาท มีอย่างที่ไหนที่จะยอมจำนนให้คนอื่น! ทำไมท่านไม่บอกล่ะว่าทัพใหญ่หนึ่งแสนนั่นไม่ถอยไป หลังจากถอยไปแล้วหนิวก็หนีไม่พ้นอยู่ดี จะขาวหรือจะดำ เดี๋ยวข้าก็ย่อมอธิบายในวันนั้นเอง แต่พวกเขาดึงดันจะล้อมโจมตีกองทัพองครักษ์ให้ได้?”

“เจตนาแอบแฝงจากไหนกัน พวกเขาแค่อยากจะกดดันให้พวกเจ้ายอมแพ้ก็เท่านั้นเอง” ตู๋กูอู๋กล่าว

เหมียวอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหมือนโมโหว่า “หนิวอยู่ในฐานะผู้บัญชาการกองทัพ มีหรือที่จะเอาชีวิตนับหมื่นของพี่น้องไปทำอะไรบุ่มบ่าม ตอนนั้นต่อให้มีความหวังเล็กน้อยที่จะรอด ข้าก็ไม่อยากให้ศึกใหญ่ขนาดนั้นเกิดขึ้นเลย ชีวิตข้ามีแค่ชีวิตเดียว ไม่อยากเอาไปเสี่ยงเหมือนกัน นายท่านตู๋กูดูลูกน้องของหนิวที่เหลือรอดสิ เห็นไหมว่าสภาพพวกเขาเป็นยังไง พวกเขาเก็บชีวิตมาได้จากกองคนตายทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะตัวตกอยู่ในสภาพอับจน ใครจะอยากไปสู้จนตัวตายล่ะ?หนิวสรุปได้ตรงนี้เลย ตอนนั้นทัพหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงต้องการจะเล่นงานพวกเราให้ได้ ไม่ได้จะเหลือทางรอดให้พวกเราเลย!”

“เจ้าสรุปอะไร? หลักฐานล่ะ?” ตู๋กูอู๋ทำท่ายื่นมือขอหลักฐาน พลางถามกดดันอย่างน่าเกรงขาม “เป็นเจ้าที่ลงมือก่อน พวกเขาถึงได้โต้ตอบ เจ้าอาศัยอะไรมาสรุปว่าพวกเขาต้องการจะเล่นงานพวกเจ้าให้ถึงตาย เอาหลักฐานมา ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่ากล่าวสรุปซี้ซั้ว!”

“จำเป็นต้องมีหลักฐานหรอก! หนิวเป็นแม่ทัพภาคอุทยานหลวง นำกำลังพลเฝ้าประตูให้ฝ่าบาท มีอย่างที่ไหนที่จะยอมจำนน ผู้จาบจ้วงอำนาจบารมีสวรรค์…” เหมียวอี้พลันชี้มือแล้วกล่าวเสียงดัง ชี้หน้าตู๋กูอู๋พร้อมตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “ฆ่า! ต่อให้รบจนเหลือทหารอยู่คนเดียว แต่ก็จะไม่ยอมจำนนเด็ดขาด!”

ในโถงศาลาเงียบไปพักหนึ่ง สมาชิกที่รับหน้าที่บันทึกคำให้การก็เงยหน้าขึ้นมาเช่นกัน งุนงงไปหมดแล้ว!

ตู๋กูอู๋อับอายจนโมโหทันที สีหน้าเปลี่ยนแปลงยากจะคาดเดา แต่กลับถูกเถียงจนพูดไม่ออก พอจัดระเบียบความคิดได้แล้ว ก็ตะคอกว่า “ฉู่จื่อซานโดนเจ้าลงโทษสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น เจ้าจะอธิบายยังไง? มีเรื่องนี้รึเปล่า?”

“มี!” เหมียวอี้ตอบอย่างไม่ลังเล

ตู๋กูอู๋เล่นงานทันที “ฉู่จื่อซานเป็นหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติง เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปลงโทษประหารเขา?”

ท่าทางเหมียวอี้เหมือนจะหายโกรธแล้ว ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “ทหารที่รบแพ้ ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย! ถ้าข้ารบแพ้ ก็จะยอมให้เขาสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นเหมือนกัน ไม่บ่นแน่นอน!”

“บันทึกไว้!” ตู๋กูอู๋ชี้บอกผู้บันทึกคำให้การที่อยู่รอบๆ  แล้วพูดซ้ำว่า “จดคำพูดของเขาเอาไว้!” แล้วก็ชี้เหมียวอี้พร้อมถามอีกว่า “หลังจากจบเรื่องแล้ว เจ้านำกำลังพลมาถึงดาวจิ่วหวน ขู่คุกคามทหารที่เฝ้าตลาดสวรรค์ว่าจะล้างเลือกทั้งเมือง เจ้าจะอธิบายังไง?”

เหมียวอี้ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก อวี่จ้งเจินก็พูดแทนแล้วว่า “นายท่านตู๋กู สามหน่วยงานมาร่วมสอบสวนคดีน่านฟ้าระกาติง ส่วนเรื่องหลังจากนั้น กองทัพองครักษ์ก็สอบสวนลงโทษเอง ไม่รบกวนให้นายท่านตู๋กูมาสนใจหรอก”

“เฮอะ!” ตู๋กูอู๋ทำเสียงฮึดฮัดพลางสะบัดชายเสื้อ สุดท้ายก็หยุดแล้ว

ตอนนี้คนอื่นๆ ยังไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นเหมียวอี้จึงยืนยันและลงนามบนคำให้การของตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็ถูกพาตัวไป

ตู๋กูอู๋ที่สงบสติอารมณ์ได้แล้วกุมหมัดคารวะเก้ากวนอีกครั้ง “นายท่านเกา คนของจวนสี่อ๋องสวรรค์ถูกขังในคุกใหญ่มาหลายวันแล้ว นายท่านเกามีอะไรจะสืบสวน ควรจะพาตัวมาแล้วได้หรือเปล่า?”

“จัดการเรื่องหลักก่อน เอาสมาธิมาจดจ่อกับคำการตรวจสอบให้การของผู้ต้องหาหลักก่อน” เก้ากวนกล่าวเสียงเรียบ

“นายท่านเกา ในเมื่อท่านสงสัยว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับคดีที่น่านฟ้าระกาติง เช่นนั้นก็แปลว่าเกี่ยวข้องกับส่วนสำคัญ ทำไมจึงกลายเป็นความสำคัญอันดับรองได้?” ตู๋กูอู๋ถาม

“ไม่ใช่ข้าที่สงสัย เป็นหวังเฟยของจวนอ๋องสวรรค์ก่วงที่กล่าวโทษ” เก้ากวนตอบ

“หวังเฟยไม่ได้กล่าวโทษพ่อบ้านโกวเยว่ของจวนอ๋องสวรรค์ก่วง นายท่านไม่อาจพูดอ้างน้ำขุ่นๆแบบนี้ได้ ไร้เหตุผลแบบนี้มันฟังไม่ขึ้น! ถ้านายท่านเกาไม่มีเวลา ก็ให้ข้าน้อยไปถามแทนให้นายท่านเกาดีมั้ย?” ตู๋กูอู๋ถาม

เก้ากวนจึงบอกว่า “ฝ่าบาทมีคำสั่ง คดีของน่านฟ้าระกาติง สามหน่วยงานร่วมสอบสวนด้วยกัน!ตั้งแต่นี้ไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีน่านฟ้าระกาติง คนของทั้งสามหน่วยงานจะต้องมาถึงโถงนี้ด้วยกันถึงจะเริ่มสอบสวน ไม่อนุญาตให้คนของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไปคุยกันส่วนตัว ไม่อย่างนั้นจะไม่ล่อยไปง่ายๆ แน่นอน…ถ้านายท่านตู๋กูรู้สึกว่าสิ่งที่ข้าพูดไม่มีเหตุผล ก็สามารถฟ้องขึ้นไปเบื้องบนได้เลย!”

“ท่าน…” ตู๋กูอู๋เผยสีหน้าเดือดดาล

ไม่นานก็เริ่มตรวจสอบคำให้การของเหมียวอี้แล้ว เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำสัญญาได้รับการพิสูจน์อย่างรวดเร็ว อวิ๋นจือชิวยอมรับว่าให้คำสัญญานั้นไว้กับเหมียวอี้จริงๆ เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ ว่าทั้งสองจะต้องปรึกษากันไว้แล้วแน่นอน

สำหรับเรื่องที่เจียงอีอีหนีไป ฝั่งนี้ก็สอบถามคนจำนวนไม่น้อยที่เคยไล่จับเจียงอีอี ผลก็คือสอดคล้องกับสิ่งที่เหมียวอี้บอก พิสูจน์แล้วว่าเจียงอีอีเป็นคนที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุทองและธาตุดินได้พร้อมกัน ซึ่งเป็นกรณีที่หาพบได้ยาก สถานการณ์ที่เหมียวอี้พบนั้น มีคนไม่น้อยที่เคยประสบมาแล้ว นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่จับตัวเจียงอีอีได้ยาก

ส่วนคนที่เปิดเผยให้เหมียวอี้รู้ถึงเส้นทางหลบหนีของเจียงอีอี ผู้สืบสวนสามหน่วยงานก็สืบเจอแล้วเช่นกัน ที่น่านฟ้าระกาติงมีคนที่ชื่อโจวหลางอยู่จริงๆ แต่กลับพบว่าคนคนนี้รบตายที่น่านฟ้าระกาติงแล้ว จากนั้นก็พบของของโจวหลางที่กำลังพลธงมังกรน้ำเงินเก็บรวบรวมไว้ เจอระฆังดาราที่มีตราอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้แล้ว ด้านหนึ่งก็ถือเป็นการพิสูจน์แล้วว่าเหมียวอี้กับโจวหลางติดต่อกัน

แต่สิ่งนี้สามารถปลอมแปลงได้อยู่แล้ว เพราะโจวหลางตายไปแล้ว คนตายไม่สามารถให้การได้!

แล้วทำไมเจียงอีอีต้องจับตัวอวิ๋นจือชิวตัวปลอม หรือจงใจจะเสี้ยมให้กองทัพองครักษ์กับอำนาจท้องถิ่นเข่นฆ่ากันเอง? นี่คือปัญหาใหญ่ แต่ก็ไม่รู้อีกว่าเจียงอีอีอยู่ที่ไหน ไม่มีอะไรมาพิสูจน์ได้เลย

จากเหตุการณ์ที่ได้ขากพยานคำพูดและพยานวัตถุต่างๆ ก็พบว่าฉู่จื่อซานนำกำลังพลมาบังเอิญเจอกับกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ และฉู่จื่อซานก็ออกคำสั่งให้ลงมือก่อนจริงๆ ผลของการสืบสวนทำให้หนิวโหย่วเต๋อได้เปรียบ

แต่ถ้าดูจากรายละเอียด ทุกคนก็ล้วนเข้าใจ ว่านี่คือกับดักที่หนิวโหย่วเต๋อวางไว้ หนิวโหย่วเต๋อลูบคลำ ‘อวิ๋นจือชิว’ ตัวปลอมต่อหน้าฉู่จื่อซาน ฉู่จื่อซานที่กำลังจะแต่งงานกับนางถึงได้เดือดดาลแล้วออกคำสั่งโจมตี ทว่าเหมียวอี้ยืนกรานว่ารู้เรื่องของฉู่จื่อซานกับอวิ๋นจือชิว แล้วทุกคนที่รู้ความจริงก็ไม่มีใครให้การที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อเหมียวอี้เลย แล้วเจ้าจะทำอะไรเขาได้ล่ะ?

วังสวรรค์ ประมุขชิงที่อยู่หาความสุขกับสนมสวรรค์หรูอี้สองสามวันเดินออกมา ซ่างกวนชิงรอต้อนรับอยู่ตรงประตู แล้วเดินออกไปด้วยกัน

“สืบคดีที่น่านฟ้าระกาติงเป็นยังไงบ้างแล้ว?” ประมุขชิงถามอย่างไม่ใส่ใจ

ซ่างกวนชิงเล่าสถานการณ์ทางนั้นให้ฟังโดยละเอียดทันที

หลังจากได้ฟังแล้ว ประมุขชิงก็ถามอย่างลังเลว่า “หลักฐานทุกอย่างได้พิสูจน์แล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่มีบางอย่างที่เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่ อย่าบอกนะว่าคดีที่น่านฟ้าระกาติงเป็นความบังเอิญจริงๆ?”

ซ่างกวนชิงกล่าวด้วยโทนเสียงที่ต่ำลงว่า “ฝ่าบาท เจียงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชนในมือบ่าว นี่เป็นความลับของสมาคมวีรชน แม้แต่ในสมาคมวีรชนเองก็ยังมีคนรู้ไม่เยอะ สมาคมวีรชนสังเกตพบกลุ่มคนต้องสงสัย จึงส่งเจียงอีอีไปคลุกคลีด้วยอย่างลับๆ หลังจากเกิดคดีขึ้น บ่าวก็ตรวจสอบเรื่องนี้เป็นพิเศษ ตามที่ได้รับรายงานมา จนกระทั่งตอนนี้เจียงอีอีก็ยังปฏิบัติภารกิจลับอยู่ อยู่ไกลจากสถานที่เกิดเหตุมาก ไม่สามารถเสนอหน้าไปก่อคดีได้เลย เจียงอีอีก็ปฏิเสธว่าทำเรื่องนี้เช่นกัน”

ประมุขชิงเข้าใจแล้ว จึงแสยะยิ้มแล้วบอกว่า “เป็นเจ้าลูกลิงนั่นสร้างสถานการณ์จริงๆ ใจกล้าไม่เบา เกรงว่าต่อให้นอนฝันเขาก็คงนึกไม่ถึงว่าเจียงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน!” ทว่าเขาไม่ได้สืบสาวเอาความกับเรื่องนี้ กลับบอกด้วยมุมมองที่ต่างออกไปว่า “แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เจ้าลูกลิงนั่นพูดไม่ผิด และไม่ได้ทำผิดด้วย กองทัพองครักษ์ของข้าจะยอมจำนนให้คนอื่นได้อย่างไร? เจ้าลูกลิงนั่นมีนิสัยที่เป็นปัญหาไม่น้อยเลย แต่ทิศทางและจุดยืนไม่มีปัญหา ข้าชื่นชม! คนหนุ่มไงล่ะ ก็อารมณ์ร้อนเป็นธรรมดา ทำอะไรบุ่มบ่ามไปบ้างก็พอเข้าใจได้ นิสัยเสียเล็กน้อยสามารถขัดเกลากันได้ มีใครบ้างล่ะที่ไม่มีจุดด่างพร้อยเลย แต่ถ้าปัญหามาจากสันดานจริงๆ นั่นก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”

…………………………

ในขณะเดียวกันนี้เอง กองทัพองครักษ์กับกำลังพงเฝ้าเมืองที่ถูกนำโดยคนของหน่วยตรวจการขวาก็ทำการตรวจสอบและกวาดล้างครั้งใหญ่ที่ตลาดสวรรค์

ตลาดสวรรค์เปิดประตูเมือง ปล่อยเพียงคนออก ไม่ให้คนเข้า พ่อค้าทุกคนของตลาดสวรรค์ถูกไล่ออกไปในรวดเดียว ที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองทั้งสี่ล้วนมีสมุดบัญชีที่บันทึกสมาชิกของร้านค้าต่างๆ ไว้ คนที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อถูกไล่ออกไปหมด แน่นอนว่า ถ้ามีพ่อค้าบางคนยินดีจะออกจากเมืองชั่วคราว ผู้ตรวจสอบก็จะไม่ขัดขวางเช่นกัน หอฉางเจินและกิจการของสี่อ๋องที่ถูกล้อมไว้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

นี่เป็นคำสั่งที่เข้มงวด ถ้าจบเรื่องแล้วพบว่ายังมีคนที่ไม่ใช่สมาชิกของตลาดสวรรค์อยู่ ก็จะฆ่าไม่ละเว้น!

สมาชิกของบรรดาร้านค้าใหญ่ๆ ก็ทำได้เพียงอยู่ในร้านตัวเองไม่ต้องออกไปไหน ถ้าเห็นใครโผล่หน้าไปที่ถนน ก็จะฆ่าคนนั้น

ผ่านไปไม่นาน ประตูเมืองทั้งสี่ก็ปิดสนิทอีกครั้ง ตลาดสวรรค์ที่คึกคักรุ่งเรืองกลายเป็นตลาดที่ว่างเปล่า ราวกับกลายเป็นเมืองร้างแห่งหนึ่งไปแล้ว มีพ่อค้าแม่ค้าจำนวนไม่น้อยออกจากตลาดไปแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ติดร่างแหซวยไปด้วย

บนหลังคาของร้านค้าที่อยู่ตามจุดสำคัญต่างๆ ในเมืองล้วนมีทหารสวรรค์ยืนจับตาดูถนนโดยรอบ ยังมีกำลังพลอีกกลุ่มที่ตรวจสอบกวาดล้างบรรดาร้านค้าใหญ่ ดูว่าในนั้นยังมีคนนอกอยู่หรือไม่ เหมือนต้องการจะสกัดภัยแฝงเร้นทุกอย่างที่เป็นไปได้

คนที่มีพลังอำนาจมากขนาดนี้ที่ตลาดสวรรค์ได้ในตอนนี้ นอกจากเก้ากวนก็ไม่มีใครแล้ว

พวกถังเฮ่อเหนียนที่ตัวอยู่ในคุกไม่รู้ ว่าคนที่ตัวเองพามาด้วยหรือเตรียมไว้ทั้งก่อนและหลังถูกไล่ออกไปนอกเมืองแล้ว บางคนก็เข้าไปอยู่ในร้านค้าของตัวเองแต่โดยดี หมดโอกาสในแอบการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ตลาดสวรรค์โดนสิ้นเชิง

จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม

เว่ยซูเดินเนิบนาบอยู่ข้างกายเซี่ยโห้วท่า เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้าพลางกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “รู้ว่าท่านนั้นจะต้องป่วนแผนการ แต่นึกไม่ถึงว่าจะให้เก้ากวนออกหน้าเอง สุนัขกัดคนอย่างเก้ากวนช่างใช้ปากกัดเก่งจริงๆ ทำให้คนที่สี่อ๋องสวรรค์ส่งมาคุมสถานการณ์หมดประโยชน์แล้ว ทั้งตลาดสวรรค์ถูกควบคุมอยู่ในมือเก้ากวนโดยสิ้นเชิง ลูกน้องคนสนิททั้งสี่ที่สี่อ๋องสวรรค์ส่งมาเพราะความทะเยอะทะยาน ตอนนี้กลายเป็นตัวประกันในมือเก้ากวนแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นอาจะกลายเป็นข้ออ้างให้เก้ากวนลงมือสังหารก็ได้ ทำให้สี่ตระกูลเหมือนโดนมัดมือมัดเท้า ไม่ทราบว่าสี่คนนั้นจะนึกเสียใจทีหลังรึยัง?”

“ทูตขวาเกาคนนี้ช่างร้ายกาจจริงๆ” เว่ยซูกล่าว

เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจแล้วบอกว่า “ประมุขชิงเลี้ยงสุนัขดีๆ เอาไว้น่ะสิ!”

วังสวรรค์ อุทยานสายัณห์

ประมุขชิงที่กำลังเอามือไขว้หลังเดินทอดน่องไปข้างหน้ากล่าวว่า “เก้ากวนกำลังถามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่ได้ทำอะไรที่ลับลวงเปิดเผยไม่ได้ พวกเจ้ามีอะไรน่ากังวล รอให้เก้ากวนสอบสวนเสร็จแล้ว แล้วก็ปล่อยตัวพวกเขาไปเอง ถ้าเก้ากวนกล้าพาลหาเรื่องโดยไร้เหตุผล ข้าย่อมมอบความยุติธรรมให้พวกเจ้า เอาล่ะ ข้ามีนัดเล่นหมากล้อมกับสนมสวรรค์ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็แยกย้ายเถอะ”

สี่อ๋องสวรรค์ที่เดินตามอยู่ข้างหลังมองหน้ากันเลิกลั่ก สุดท้ายก็กุมหมัดคารวะ “ขอรับ!”

รอจนกระทั่งสี่อ๋องออกไปแล้ว ประมุขชิงก็หยุดเดินแล้วหันตัวมา ซ่างกวนชิงเดินเข้ามาใกล้เพื่อรอฟังคำสั่งจากเขา

ใครจะคิดว่าประมุขชิงกลับกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เก้ากวนนี่ช่างเอาแต่สร้างปัญหาให้ข้า”

ซ่างกวนชิงรู้ว่าเขาพูดประชดในความหมายตรงกันข้าม จึงหัวเราะตามแล้วบอกว่า “นี่คือลักษณะการทำงานของทูตขวาเกา เกรงว่าคนในใต้หล้าคงจะกลัวเขากันหมดแล้ว”

ในดวงตาประมุขชิงฉายแววภาคภูมิใจ หัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “เก้ากวน เจ้าหมอนี่ก็จริงๆ เลย ข้าให้เขาไปแทรกแซงนิดหน่อย ทำจับตัวพ่อบ้านของสี่อ๋องสวรรค์เสียแล้วล่ะ? ทั้งยังจับอย่างมีเหตุผลเต็มปากเต็มคำ ขนาดหวังเฟยฮูหยินของก่วงลิ่งกงก็ยังโดนกักตัวไว้ เขาช่างทำออกมาได้จริงๆ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรพวกเขาเสียหน่อย ทำไมต้องหลับหูหลับตาทำอย่างนั้น จะให้ข้าว่ายังไงดีล่ะ เดี๋ยวข้าจะต้องตามเช็ดก้นให้เขาอีก เฮ้อ! ได้ยินว่าเขายังจับคนของสี่อ๋องขังไว้ด้วยกันแล้ว จงใจทำให้คนของตระกูลก่วงอับอาย”

ซ่างกวนชิงบอกว่า “ท่านนั้นอ้างชื่อทัพตะวันตกอย่างกำเริบเสิบสาน เห็นได้ชัดว่าทูตขวาเกากำลังให้บทเรียนเขา แต่ก็จำเป็นต้องยอมรับ ทูตขวาเกาสมกับเป็นคนที่ทำชั่วมาจนชินแล้ว เวลาจะทำเรื่องแบบนี้ขึ้นมาก็ชำนาญมาก ทำเอาสี่อ๋องพูดอะไรไม่ออก”

“เหอะๆ! ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ข้าวางใจให้เก้ากวนทำงาน” ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ อยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ลูบเคราถามอย่างลังเล “ได้ยินว่าราชินีสวรรค์เรียกสนมสวรรค์ไปตำหนิอีกแล้วเหรอ?”

เสียงของซ่างกวนชิงเบาลงหลายส่วน “ราชินีสวรรค์แบ่งที่นาหลายผืนที่อุทยานหลวงไว้ให้สนมสวรรค์ดูแล แต่สนมสวรรค์กลับไปเคยไปดูแลเลยขอรับ”

“เฉิงอวี่ต้องการจะให้สนมสวรรค์เรียนรูการเสแสร้งเหมือนสนมคนอื่นเหรอ? สนมสวรรค์เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีทางทำเรื่องออดอ้อนขอความรักพรรค์นั้นหรอก! ข้าไม่ได้ไปหาสนมสวรรค์นานแล้ว ช่วงสองสามวันนี้เตรียมงานต่างๆ ไว้ด้วย ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไรก็อย่ามารบกวน ข้าจะไปหาความสำราญกับสนมสวรรค์สักสองสามวัน”

“ขอรับ!”

ด้านนอกวังสวรรค์ ก่วงลิ่งกงเดินก้าวยาวอยู่ข้างหน้า ข้างหลังกลับมีเสียงของอิ๋งจิ่วกวงดังขึ้น “ก่วงลิ่งกง เจ้าไม่คิดจะอธิบายกับทุกคนสักหน่อยเหรอ?”

ก่วงลิ่งกงหยุดเดินแล้วหันตัวมา พอเห็นโค่ว อิ๋ง ฮ่าวเดินเรียงแถวหน้ากระดานเข้ามาพร้อมกัน ก็แสยะยิ้มแล้วบอกว่า “เห็นได้ชัดว่าเก้ากวนจงใจสร้างความแตกแยกระหว่างพวกเรา อิ๋งจิ่วกวง เจ้าคงไม่ได้ตกกลุมพรางหรอกใช่มั้ย?”

“ข้าแค่อยากจะรู้ว่าเมียเจ้ากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรจะทำแล้วจริงๆ ใช่มั้ย ถึงได้กัดคนซี้ซั้ว?” โค่วหลิงซวีถาม

พอพูดถึงเรื่องนี้ ก่วงลิ่งกงก็โมโหมากเช่นกัน เขาเข้าใจสถานการณ์ในตอนนนั้นชัดเจนกว่าใคร เขาเองก็ด่าเม่ยเหนียงเสียยับเยินไปยกหนึ่งเช่นกัน มีโกวเยว่อยู่ตรงนั้นด้วย โกวเยว่ยังรู้จักบันยะบันยัง แต่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจอะไรอย่างเจ้าจะหลับหูหลับตาเข้าไปแส่ทำไม

ที่จริงเรื่องเม่ยเหนียงเป็นเรื่องรอง เรื่องที่ทำให้เขาเดือดดาลรำคาญใจที่สุดก็คือ เขากำลังได้เปรียบเรื่องนี้อยู่แล้วแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ เขาหงุดหงิดว่าโกวเยว่ทำงานยังไง แน่นอน เขาเองก็รู้ว่าเรื่องนี้จะโทษโกวเยว่เสียทั้งหมดไม่ได้ การที่เก้ากวนสามารถคุมหน่วยตรวจการขวาได้ก็แปลว่าไม่ใช่ไก่อ่อนอยู่แล้ว เก้ากวนไปคุมสนามด้วยตัวเอง เรื่องบางเรื่องจึงไม่มีทางพูดอะไรได้ เรื่องที่เปลี่ยนให้คนอื่นทำแทนไม่ได้ แต่สามารถส่งให้เก้ากวนทำได้เลย สิ่งนี้ทำให้คนโวยวายไม่ออก

ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทที่ดาวจิ่วหวน หลังจากสอบสวนไปยกหนึ่ง ในขณะที่ผู้สอบสวนแทรกถามรายละเอียดเป็นระยะ ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดแล้ว บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาว แต่ในตึกศาลากลับสว่างไสวระยิบระยับ

เก้ากวน อวี่จ้งเจิน เซวียนหยวนจัว ตู๋กูอู๋ฟังอยู่ข้างๆ ตลอด ไม่มีใครพูดแทรกเลยตั้งแต่ต้นจนกระทั่งตอนนี้

การสอบสวนครั้งแรกนี้ไม่ได้นับว่าเป็นการสอบสวนจริงๆ หรอก โดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นเหมียวอี้ที่บรรยายเรื่องทุกอย่าง ทำแบบนี้เพื่อรอการพิจารณาตัดสิน เตรียมตัวเพื่อสอบสวนอย่างแท้จริงในตอนหลัง

หลังจากทั้งสามฝ่ายบันทึกคำให้การเสร็จแล้ว ก็ส่งให้เหมียวอี้อ่านเอง หลังจากเหมียวอี้ยืนยันแล้วว่าไม่ผิดพลาด ก็ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงบนนั้น

จากนั้นเหมียวอี้ก็สูญเสียอิสระแล้ว วรยุทธ์บนตัวถูกควบคุมไว้ ขณะเดียวกันก็ถูกเก้ากวนออกคำสั่งให้คุมตัวไปขังในคุกใหญ่ของตำหนักคุ้มเมือง

ตอนที่ออกจากตึกศาลา เหมียวอี้ก็เจอกับอวิ๋นจือชิวที่ถูกนำตัวมา ทั้งสองสบตากัน เดินเฉียดกันไป พอเหมียวอี้หันกลับมาอีกครั้ง ก็มองส่งอวิ๋นจือชิวถูกนำตัวไปสอบสวนต่อ

ในคุกใหญ่ตำหนักคุ้มเมือง โกวเยว่ไม่ใช่แค่ถูกสอบสวน แต่ถูกกดดันถามจนร้อนรนเหมือนโดนเผา จนใจที่อยู่ในฐานะบ่าวไพร่ ไม่อาจจะบอกคนนอกได้ว่าเป็นเพราะนายหญิงบ้านตัวเองโง่จึงทำให้เกิดเรื่องนี้ พ่อบ้านผู้สง่าผ่าเผยไม่อาจทำตัวเหมือนบ่าวไพร่ระดับต่ำได้ ได้แต่ยืนกรานว่าไม่รู้

แต่สามคนนั้นก็ไม่ใช่ไก่อ่อนเหมือนกัน ทั้งสามรู้ว่าต่อให้เก้ากวนจะหยาบคายสักแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางจับพ่อบ้านของตระกูลท่านอ๋องมาไว้ด้วยกันโดยไร้สาเหตุ ไม่อย่างนั้นเก้ากวนจะได้รับบทเรียนเอง ถึงอย่างไรสี่อ๋องสวรรค์ก็ไม่ได้มีไว้ประดับตำแหน่งเฉยๆ กอปรกับในตอนนี้ทั้งสามคนถูกควบคุมตัวไว้ ไม่สามารถติดต่อกับภายนอกได้ ตอนนี้สถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ถูกตัดขาดจากภายนอกโดนสิ้นเชิง ย่อมต้องอยากรู้ความจริงจากปากโกวเยว่อยู่แล้ว จะได้พิจารณาตัดสินได้อย่างสงบใจ

โกวเยว่ไม่พูดความจริง มีหรือที่ทั้งสามจะปล่อยเขาไป ย่อมกดดันถามไม่หยุดอยู่แล้ว

คนพวกนี้ดันถูกขังไว้ด้วยกัน โกวเยว่ไม่มีทางหลบพ้น โดนถามซ้ำไปซ้ำมาจนเหลือทน แทบจะลงไม้ลงมือกันแล้ว

หลังจากเหมียวอี้ถูกจับเข้ามาขัง เป็นเพราะออยู่ห่างกันไม่ไกลมาก ถึงแม้จะมองไม่เห็นตัว แต่กลับได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน ตอนนี้เขาถึงได้พบว่าเก้ากวนจับคนพวกนี้มาขังไว้ด้วยกัน เขาแทบจะหัวเราะออกมา พบว่าทูตขวาเกาท่านนั้นจะมีวิธีวางกับดักที่เลิศจริงๆ

หลังจากอวิ๋นจือชิวถูกสอบสวนแล้ว ก็ถูกพาตัวเข้าไปในคุกใหญ่ ถูกขังไว้ตรงข้ามกับเหมียวอี้ ทั้งสองฝ่ายห่างกันหลายก้าว ลูกกรงที่กั้นไว้สามารถทำให้มองเห็นอีกฝ่ายได้ เมื่อทั้งคู่ต่างยืนยันได้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไร ก็วางใจแล้วเช่นกัน

หลังจากสอบสวนอวิ๋นจือชิวแล้ว คนของน่านฟ้าระกาติงที่เข้ามายุ่งเรื่องที่ฉู่จื่อซานบังคับแต่งงานรวมทั้งผู้รอดชีวิตจากศึกเลือดก็ถูกนำตัวมาเช่นกัน พวกเขาถูกสอบสวนทีละคน จากนั้นคนของธงมังกรน้ำเงินก็ถูกสอบสวนขอคำให้การที่ละคน ทั้งยังทยอยเบิกตัวคนนอกจำนวนหนึ่งมาสอบสวนด้วย

การสอบสวนครั้งนี้ใช้เวลาหลายวันมาก ถึงได้นำคำให้การจากทุกฝ่ายมาเทียบกัน สามหน่วยงานที่ร่วมสอบสวนนำคำให้การจาฝ่ายต่างๆ มาเทียบกันทันที แต่ก็พบปัญหาบางอย่างแล้ว

คำให้การของสมาชิกธงมังกรน้ำเงินกับคำให้การของเหมียวอี้เหมือนกันแต่มีความต่างนิดหน่อย ทั้งหมดบอกว่าเจียงอีอีจี้จับตัวประกันบังเอิญตกมาอยู่ในมือของฝ่ายนี้ ส่วนฉู่จื่อซานก็ลงมือกับพวกเขาทันทีโดยไม่ฟังคำอธิบาย พวกเขาต้องปกป้องตัวเองถึงได้โจมตีโต้ตอบ

คำให้การของฝั่งน่านฟ้าระกาติงก็สามารถพิสูจน์คำให้การส่วนหนึ่งขงฝั่งธงมังกรน้ำเงินเช่นกัน แต่น่านฟ้าระกาติงยืนกรานว่าคนที่เจียงอีอีจับตัวไปคืออวิ๋นจือชิว เถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋า ฉู่จื่อซานไปเพื่อช่วยชีวิตคนถึงได้บังเอิญเจอกองทัพองครักษ์ ทว่าคำให้การนี้ฟังไม่ขึ้น อวิ๋นจือชิวปฏิเสธว่าตัวเองเคยถูกเจียงอีอีจับตัวไป พวกมู่อวี่เหลียนต่างก็บอกว่าเหมียวอี้ยืนยันในที่เกิดเหตุว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ คนนั้นเป็นตัวปลอม ถ้าจะบอกว่าพวกมู่อวี่เหลียนช่วยโกหก เช่นนั้นหลังจากเกิดเรื่องแล้วคนมากมายในตลาดสวรรค์ก็เห็นโผล่หน้ามา ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ถูกตำหนักคุ้มเมืองจับตัวไปด้วย สามารถยืนยันได้ว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ ที่ถูกเจียงอีอีจับตัวไปนั้นเป็นตัวปลอมแน่นอน

แต่ว่า ในขณะเดียวกันก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เห็น ‘อวิ๋นจือชิว’ ตัวปลอมตบออกมาจากหออวิ๋นฮว๋าจริงๆ ทั้งยังเห็นนางตบหน้าทหารของน่านฟ้าระกาติงด้วย

ดังนั้นตอนที่อวิ๋นจือชิวถูกสืบสวนอีกครั้ง ผู้สอบสวนถามว่าทำไม ‘อวิ๋นจือชิว’ ตัวปลอมจึงออกมาจากหออวิ๋นฮว๋า อวิ๋นจือชิวก็บอกว่าไม่รู้ บอกว่าตอนนั้นคนที่เข้าออกล้วนเป็นคนของฉู่จื่อซานที่คอยตรวจสอบ คนในร้านไม่สามารถออกไปข้างนอกได้เลย ทำไมถึงมีตัวปลอมโผล่มาได้ก็ต้องถามคนของฉู่จื่อซาน นางไม่มีทางอธิบายได้

จากนั้นเมื่อสอบสวนเหมียวอี้อีกครั้ง รอบนี้ก็เป็นการเอาจริงแล้ว เซวียนหยวนจัวสอบสวนด้วยตัวเอง

ในตึกศาลา เซวียนหยวนจัวเอ่ยปากถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ากับอวิ๋นจือชิวมีความสัมพันธ์อะไรกัน?”

“เมื่อเป็นเพื่อนกัน ตอนนี้ ข้านอนกับนางไปแล้ว นางเป็นผู้หญิงของข้า!” เหมียวอี้ตอบ

ช่างหน้าด้านไร้ยางอายจริงๆ! คนในศาลาพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เก้ากวนที่นั่งอยู่เบื้องสูงกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่งอย่างเฉยชา ส่วนอวี่จ้งเจินก็สีหน้าบึ้งตึง

เซวียนหยวนจัวถามต่อว่า “ทำไมเรื่องราวบังเอิญขนาดนี้ ฉู่จื่อซานกำลังจะแต่งงานกับนางพอดี เจ้าก็ดันลงมือกับฉู่จื่อซานในเวลานี้? อย่าบอกนะว่าสิ่งนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเจ้าสังหารฉู่จื่อซานเพราะอวิ๋นจือชิว?”

เหมียวอี้บอกว่า “เป็นความบังเอิญล้วนๆ ข้าเพิ่งถูกปล่อยตัวจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ไม่รู้เรื่องของฉู่จื่อซานเลย และไม่รู้จักฉู่จื่อซานอะไรนั่นด้วย แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ข้ารับประกันได้ ถ้าข้ารู้ตั้งแต่แรกว่าฉู่จื่อซานต้องการแย่งผู้หญิงของข้า ต่อให้ไม่มีเรื่องในครั้งนี้ ข้าก็จะไม่ปล่อยเขาไปอยู่ดี ตอนหลังพอได้รู้ว่ามีเรื่องนี้ ข้าก็บอกได้เพียงว่าบังเอิญมาก เวรกรรมตามสนอง กลับลดความยุ่งยากได้แล้ว!”

…………………………

ทุกคนของหอฉางเจินเงียบกริบเหมือนจั๊กจั่นหน้านาว นับว่าได้รับรู้ถึงชื่อเสียงบารมีของทูตตรวจการขวาเกาก้วนในตำนานแล้ว สมกับเป็นขุนนางที่ใกล้ชิดอยู่ข้างกายราชันสวรรค์ ไม่เห็นหวังเฟยอยู่ในสายตาเลย และสำหรับคนพวกนี้ บรรยากาศที่เกาก้วนเดินผ่านก็น่าระทึกใจมาก ทำให้คนพวกนี้ตกใจจนไม่กล้าเงยหน้าด้วยซ้ำ

คนกลุ่มนี้มองตามพวกเกาก้วนเดินออกจากประตูใหญ่ของหอฉางเจินไป จากนั้นคนของกองทัพองครักษ์ก็เข้าควบคุมหอฉางเจินไว้อย่างรวดเร็ว

ในระหว่างนั้นเมื่อได้ทราบว่าตัวเองโดนเกาก้วนกักบริเวณแล้วจริงๆ เม่ยเหนียงก็ทั้งโมโหทั้งหวาดกลัว เพราะชนชั้นสูงที่ตายด้วยน้ำมือเกาก้วนมีเยอะเกินไป ไม่รู้ว่าผู้พิพากษาหน้าตายจะยังทำเรื่องอะไรกับนางได้อีก จึงรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออ๋องสวรรค์ก่วง

ในโถงฉากเมฆา การเล่นหมากล้อมจบลงแล้ว โค่วเหวินหลานกำลังเดินเล่นพูดคุยอยู่ข้างกายถังเฮ่อเหนียนในสวนดอกไม้ ทันใดนั้นก็เจอเสิ่นติงเฉินผู้จัดการใหญ่ของร้านค้าตระกูลโค่วรีบเข้ามารายงาน

“เหอะๆ! รู้อยู่แล้วว่าท่านนั้นที่อยู่วังสวรรค์จะทนไม่ไหว นึกไม่ถึงว่าจะให้เกาก้วนลงมือแล้ว” ถังเฮ่อเหนียนหัวเราะพลางส่ายหน้า แล้วถามซ้ำว่า “หอฉางเจินมีความเคลื่อนไหวอะไรมั้ย?”

เสิ่นติงเฉินตอบว่า “เกาก้วนเข้าไปในนั้นไม่นานก็ออกมาแล้ว พวกโกวเยว่ถูกคนของหน่วยตรวจการขวาควบคุมตัวไปแล้วขอรับ หอฉางเจินถูกกองทัพองครักษ์ล้อมไว้แล้ว”

โค่วเหวินหลานสูดหายใจอย่างตกตะลึง ถังเฮ่อเหนียนก็ตกใจเช่นกัน “โกวเยว่โดนควบคุมตัวไปแล้วเหรอ? ทั้งยังล้อมหอฉางเจินไว้ด้วย? หวังเฟยอยู่ในนั้นหรือเปล่า?”

เสิ่นติงเฉินยังไม่ทันตอบอะไร ด้านนอกก็มีเสียงวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง

ทั้งสองหันขวับไปมอง เห็นเพียงมีคนคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วรีบร้อนบอกว่า “แย่แล้วผู้จัดการใหญ่ คนของหน่วยตรวจการขวาบุกเข้ามาแล้ว”

ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ คนกลุ่มหนึ่งที่แต่งเครื่องแบบของหน่วยตรวจการขวาก็พุ่งเข้ามาอย่างดุร้ายเหมือนเสือ มาล้อมคนที่อยู่ตรงนี้เอาไว้โดยตรง

โค่วเหวินหลานทั้งตกใจทั้งโมโห ตะคอกว่า “บังอาจ! ไม่รู้เหรอว่าที่นี่คือที่ไหน พวกเจ้าบุกเข้ามาตามอำเภอใจได้เหรอ!”

ถังเฮ่อเหนียนขมวดคิ้วมุ่น แล้วยกมือห้ามโค่วเหวินหลาน จ้องคนที่นำหน้ามาพร้อมถามเสียงต่ำว่า “เหยาซวิ่น เจ้าคิดจะทำอะไร?”

เหยาซวิ่นที่นำกลุ่มมากุมหมัดคารวะ “ท่านถัง ได้รับคำสั่งจากท่านทูตขวา ให้นำตัวท่านไปสอบสวน ได้โปรดให้ความร่วมมือด้วยขอรับ”

ถังเฮ่อเหนียนแสยะยิ้ม แล้วบอกว่า “ให้ความร่วมมือเหรอ? ตำหนักสวรรค์กลายเป็นไร้เหตุผลขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? หน่วยตรวจการขวามีอำนาจอะไรมาจับคนไปโดยไร้สาเหตุ?”

เหยาซวิ่นตอบเสียงต่ำว่า “หน่วยตรวจการขวาย่อมไม่จับท่านไปสอบสวนโดยไร้สาเหตุอยู่แล้ว เป็นก่วงหวังเฟยที่กล่าวโทษต่อฝูงชนว่าว่าท่านมีจุดที่น่าสงสัยเกี่ยวกับคดีน่านฟ้าระกาติง หวังเฟยเอ่ยปากแล้ว ท่านทูตขวาจะทำเป็นไม่ได้ยินไม่ได้!”

“ก่วงหวังเฟยกล่าวโทษข้าเหรอ?” ถังเฮ่อเหนียนทำหน้าเหม่อ นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน? คิดจนหัวจะแตกแต่ก็ไม่เข้าใจว่ามันสถานการณ์อะไรกันแน่

เหยาซวิ่นก็ไม่พูดมากเช่นกัน พอโบกมือ พวกเขาก็พุ่งเข้าไป จิตใต้สำนึกของถังเฮ่อเหนียนบอกให้ขัดขืน แต่พอยกมือ สุดท้ายก็ยังไม่กล้าโต้ตอบ จึงปล่อยให้โดนควบคุมตัวไว้ ขณะเดียวกันก็ส่ายหน้าบอกใบ้พวกโค่วเหวินหลานที่กำลังโมโหว่าอย่าทำอะไรซี้ซั้ว แล้วก็ถูกผลักไสพาตัวไปแบบนี้แล้ว

พวกโค่วเหวินหลานถามไปส่งถึงประตู แต่กลับถูกคนของกองทัพองครักษ์ขวางไว้และไล่กลับไป ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าโถงฉากเมฆาก็ถูกกองทัพองครักษ์ล้อมไว้แล้วเหมือนกัน

แล้วเรื่องแบบเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นที่เรือนเจิดจรัสกับตึกจันทราดาราด้วย จั่วเอ๋อร์กับต้วนหงก็ถูกหน่วยตรวจการขวาพาตัวไปแล้วเช่นกัน แต่ละคนว่านอนสอนง่าย เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามีพลังจะต่อต้าน แต่กลับไม่มีใครกล้าต่อต้านสักคน

ภาพเหตุการณ์นี้ ความเคลื่อนไหวนี้ แพร่ไปที่ตลาดสวรรค์อย่างรวดเร็ว ทำให้ตลาดสวรรค์เกิดความปั่นป่วนโกลาหล ในขณะเดียวกัน การมาถึงของเกาก้วน ก็หมายความว่าตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนถูกเกาก้วนควบคุมไว้โดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่ว่าใครก็เข้าออกตลาดสวรรค์ไม่ได้ทั้งนั้น!

ในคุกใต้ดินของตำหนักคุ้มเมือง ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เย่อี้ถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว ตอนที่เย่อี้เพิ่งจะออกมาจากคุกใหญ่ ก็เห็นกับตาว่าคนแก่สี่คนทยอยกันถูกนำตัวมาคุมขังในคุกใต้ดิน เขาไม่รู้จักสี่คนนี้ แต่บังเอิญเจอลูกน้องตัวเองที่ฟังข่าวมาจากข้างนอกพอดี ถึงได้รู้ว่าใครโดนจับตัวมาขัง เขาตกใจจนเหงื่อกาฬแตก ตอนนี้ถึงได้พบว่าความอยุติธรรมเล็กน้อยที่ตัวเองได้รับไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย

เย่อี้ไม่มีอำนาจตัดสินใจที่ตลาดสวรรค์อีกแล้ว เบื้องบนของกองทัพองครักษ์มารับช่วงต่ออย่างสง่าผ่าเผย เบื้องบนของตลาดสวรรค์ก็ส่งข่าวมาแล้วเช่นกัน สั่งให้เขานำกำลังพลทุกคนของตลาดสวรรค์ไปรอคำสั่งระดมพลจากกองทัพองครักษ์

ในคุกใต้ดิน เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามีคุกว่างตั้งมากมาย ไม่รู้เหมือนกันว่าหน่วยตรวจการขวาคิดอย่างไร ถึงได้จับถังเฮ่อเหนียน โกวเยว่ จั่วเอ๋อร์กับต้วนหงมาขังไว้ในคุกเดียวกัน

สี่คนที่บังเอิญเจอกันที่นี่มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่เคยคิดมาก่อนว่าทั้งสี่คนจะมาเจอกันในสภาพแบบนี้

ตอนนี้ทั้งสี่ถึงได้พบว่า ต่อให้ตัวเองจะฉลาดแผนการเยอะขนาดไหน แต่ยามเผชิญหน้ากับอำนาจของเกาก้วนที่ขนาบเข้ามา ก็ทำให้ทุกอย่างพังลงอย่างง่ายดายในชั่วพริบตาเดียว

“พวกเจ้าก็ถูกกล่าวโทษด้วยเหรอ?” จั่วเอ๋อร์เหล่ตามองทั้งสามพร้อมเอ่ยถาม

เมื่อได้ยินคำนี้ ถังเฮ่อเหนียนก็หันตัวมา ต้วนหงก็หันตัวมา เข้าไปล้อมอยู่ข้างกายโกวเยว่อบ่างช้าๆ แล้วจั่วเอ๋อร์ก็กล่าวเสียงต่ำว่า “โกวเยว่ คนของหน่วยตรวจการขวาบอกว่าหวังเฟยเป็นคนกล่าวโทษพวกเรา เรื่องเป็นยังไงกันแน่?”

โกวเยว่มุมปากกระตุกเล็กน้อย ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมจับพวกเขาสี่คนโยนมาไว้ด้วยกัน ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เกาก้วนยังคาใจเรื่องที่เขากำเริบเสิบสานปลอมแปลงคำสั่งของทัพตะวันตก เลยกำลังให้บทเรียนเขา

ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ทรัพย์สินของตระกูลเซี่ยโห้ว มีอยู่ในตลาดสวรรค์ทุกแห่ง

ตั้งแต่ก่อนที่เกาก้วนจะมาถึง ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทแห่งนี้ก็ถูกกำลังพลธงมังกรน้ำเงินยึดใช้แล้ว ใช้ทำเป็นสถานที่พักฟื้นชั่วคราว

หลังจากกำลังพลขงอวี่จ้งเจินมาถึง ก็รับช่วงต่อจากกำลังพลธงมังกรน้ำเงินที่อยู่ในคฤหาสน์แล้ว  กำลังพลธงมังกรน้ำเงินที่แบ่งประจำอยู่ที่จุดต่างๆ ในเมืองก็มารวมตัวกันแล้วเช่นกัน มารวมตัวกันอยู่ในการควบคุม รอการตรวจสอบ!

มู่อวี่เหลียนผู้บัญชาการใหญ่ธงมังกรน้ำเงินกำลังรอต้อนรับนายท่านหัวหน้าภาคอยู่ตรงประตูภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท

พออวี่จ้งเจินเห็นนาง สีหน้าก็บึ้งตึงขึงขัง ถามแสกหน้าทันทีว่า “ทำไมถึงให้ท้ายลูกน้องปล้นร้านค้าในตลาดสวรรค์?”

นางแอบออกคำสั่งกับนางไว้แล้ว ว่าให้นางหยุดไม่ให้เหมียวอี้ก่อเรื่อว แต่ดูจากข่าวที่ได้รับมา มู่อวี่เหลียนก็ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งเลย

มู่อวี่เหลียนเหลือบมองเหมียวอี้ที่อยู่ในกลุ่มคนแวบหนึ่ง แล้วกุมหมัดคารวะ “ตอบนายท่านหัวหน้าภาค ไม่ได้มีเรื่องแบบนี้เลย แค่ให้พวกพ่อค้าบริจาคยารักษาบาดแผลให้นิดหน่อยเท่านั้น”

อวี่จ้งเจินอยากจะถ่มน้ำลายใส่หน้านางสักที ปั่นหัวเขาเหมือนเขาเป็นคนโง่ ถ้าขอบริจาคยารักษาบาดแผลนิดหน่อย จะมีร้านค้าที่มีขุนนางหนุนหลังร้องเรียนเยอะขนาดนั้นเหรอ?

แต่ตอนนี้เบื้องบนของเซวียนหยวนจัวก็อยู่ข้างๆ ตรงประตูไม่ใช่ที่ที่จะมายืนคุยกัน ต้องข่มใจเอาไว้ก่อน ต้องเชิญให้พวกเกาก้วนเข้ามาก่อน

มู่อวี่เหลียนนำทางอยู่ข้างหน้า พาคนเดินมาถึงสนามพื้นราบที่กว้างโล่งในสวน ตรงนั้นมีกำลังพลนับหมื่นกำลังนั่งรวมตัวกันอยู่

“จัดแถว!” เมื่อพบว่ามีคนของเบื้องบนมาถึงแล้ว ก็มีคนออกคำสั่ง กำลังพลหนึ่งหมื่นที่ได้ยินคำสั่งรีบลุกขึ้น แล้วยืนจัดแถวให้ดี ธงรบของแต่ละกลุ่มถูกตั้งขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ธงรบแต่ละต้นที่เปื้อนเลือดบ้างฉีดขาดบ้าง ไม่ต้องพูดถึงสภาพกลุ่มคนใต้ธงรบที่สะบักสะบอมเกินทน เห็นคนจำนวนไม่น้อยที่แขนขาด ขาขาดหรือไม่ก็ตาบอดไปข้างหนึ่ง แต่ละคนเจ็บจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว รอยน้ำตาแห้งเม็ดใหญ่ไหลผ่านบนใบหน้าลงมา ตรงแผลที่บาดเจ็บ เนื้ออ่อนก้อนใหม่กำลังเลื้อยขยุกขยิกงอกออกมา เห็นได้ชัดว่าเป็นสภาพหลังจากใช้ยารักษาบาดแผลไปแล้ว คนที่เคยลิ้มลองรสชาติแบบนี้รู้ดีว่าตอนมีเนื้องอกขึ้นมาใหม่นั้นเจ็บปวดทรมานขนาดไหน

จู่ๆ มู่อวี่เหลียนก็พบว่าข้างหลังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรแล้ว พอหันกลับไปมอง ก็พบว่าคนกลุ่มหนึ่งหยุดเดินอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว แต่ละคนกำลังมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าจริงจังหนักแน่น

น้ำตาอุ่นๆ ของมู่อวี่เหลียนแทบจะเอ่อล้นออกมา นางมองออกว่าทุกคนเคารพนับถือพวกเขาจากใจจริง สุดท้ายการต่อสู้นองเลือดสนามนั้นก็คุ้มค่า คนที่รบตายไปไม่ได้ตายเปล่า

คนของทัพเป่ยโต้ว คนของหน่วยตรวจการขวา คนของน่านฟ้าดินวอก แต่ละคนมองดูกองทัพพิการอย่างเงียบๆ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าศึกนั้นโหดร้ายขนาดไหน มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าทัพองครักษ์ห้าหมื่นนั่นโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านน่านฟ้าระกาติงจนพ่ายแพ้ได้อย่างไร ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าคนพวกนี้รอดชีวิตมาได้อย่างไร

สายตาของเกาก้วนค่อยๆ ย้ายออกจากใบหน้าคนพวกนั้น ไปหยุดอยู่บนธงรบขาดรุ่ยที่กำลังปลิวสะบัดอยู่ข้างบน เขาเงียบงันพูดไม่ออก

สายตาของอวี่จ้งเจินย้ายจากธงรบขาดรุ่ยกลับไปบนตัวกลุ่มทหารที่พิการอีก มุมปากเขากระตุกอย่างรุนแรง จากนั้นก็เม้มปากแน่นทันที

เขารู้ว่าเขาไม่อาจริบของที่คนพวกนี้แย่งมาจากตลาดสวรรค์ได้อีกแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีอำนาจจะทำ แต่เขาไม่มีทางออกคำสั่งนี้ได้เลย ถ้าจะให้ออกคำสั่งนี้จริงๆ แล้วพี่น้องของทัพเป่ยโต้วที่มองอยู่ข้างหลังล่ะ…

ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมหลังจากเกิดศึกใหญ่ในโลกมนุษย์แล้วจะมีการส่งเสริมให้ท้ายทหารมาปล้นชิง สิ่งที่หนิวโหย่วเต๋อทำก็เหมือนกัน เพียงแต่หนิวโหย่วเต๋อหาข้ออ้างมาปิดบังก็เท่านั้นเอง

เขาเองก็รู้เช่นกัน ว่าความรับผิดชอบนี้เขาต้องรับไว้ เป็นอย่างที่มู่อวี่เหลียนบอก เพียงให้ร้านค้าในตลาดสวรรค์บริจาคยารักษาบาดแผลให้เล็กน้อยเท่านั้น เขาทำได้เพียงกัดฟันรายงานขึ้นไปแบบนี้ ให้เบื้องบนชดเชยความเสียหายให้ร้านค้า

ตู๋เกออู๋ที่เทพประจำดาวดินวอกส่งมากำลังลูบเครามองอย่างเงียบๆ สีหน้าเครียดขรึมจริงจัง

เซวียนหยวนจัวเม้มริมฝีปากแน่นขณะย้ายสายตาออกจากตัวคนพวกนั้น เขาหันกลับมาช้าๆ มองไปยังเหมียวอี้ที่เงียบงันอยู่ข้างหลัง เขาแอบถอนหายใจยาว กองทัพองครักษ์สามารถสู้ตายได้ถึงขั้นนี้ ความพ่ายแพ้ของทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงก็ไม่นับว่าอยุติธรรม!

“เริ่มเถอะ! พาหนิวโหย่วเต๋อเข้ามาก่อน” เกาก้วนพูดทิ้ง้ทาย แล้วเดินไปยังศึกศาลากลางน้ำที่อยู่ไม่ไกล

ย่อมมีคนของหน่วยตรวจการขวามาพาตัวเหมียวอี้ไปยู่แล้ว ทว่าตู๋เกออู๋กลับรีบเดินตามเกาก้วนไป แล้วบอกว่า “ทูตขวาเกา คนของจวนอ๋องยังโดนขังอยู่เลย ท่านต้องการสืบสวนพวกเขาไม่ใช่เหรอ? ไม่สู้พาพวกเขามาถามด้วยเลยสิ?”

เกาก้วนหยุดฝีเท้า แล้วบอกว่า “เรื่องราวมีความสำคัญและเร่งด่วนต่างกัน สืบสวนคดีหลักก่อน ส่วนพวกเขา…ขังอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”

คำพูดนี้ย่อมมีเหตุผล! แต่ตู๋เกออู๋กลับแอบร้องอย่างขื่นขม พ่อบ้านใหญ่โกวกับพวกนั้นถูกขังอยู่ด้วยกัน จะให้พ่อบ้านใหญ่โกวอธิบายกับคนอื่นอย่างไรล่ะ อย่าบอกนะว่าจะให้โกวเยว่พูดเองกับปากว่าคำพูดโง่ๆ ของหวังเฟยทำให้คนที่เหลือเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย?

ระหว่างตึกศาลา เวทีสำหรับงานบันเทิงในยามปกติกลายเป็นสถานที่สืบสวนแล้ว เกาก้วนขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งหลัก อวี่จ้งเจิน เซวียนหยวนจัวและตู๋เกออู๋ยืนอยู่ด้านล่างทางซ้ายและขวา

เหมียวอี้ถูกพาตัวไปยืนอยู่ตรงลานเต้นรำด้านล่าง

คนของสามฝ่ายที่คอยบันทึกคำให้การเตรียมแผ่นหยกไว้เรียบร้อยแล้ว เกาก้วนที่นั่งอยู่เบื้องสูงพยักหน้า ผู้ที่รับหน้าที่สืบสวนตะคอกถามเหมียวอี้ทันทีว่า “คนข้างล่างเป็นใคร?”

“แม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อ กองมังกรดำ ทัพเป่ยโต้ว หน่วยองครักซ้ายเจิ้นอี่” เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบ

“ไม่ทราบว่าทำผิดเรื่องอะไร?” ผู้สอบสวนถาม

“รู้ว่าทำไมจึงสอบสวนข้า แต่ข้าไม่ได้ทำผิด” เหมียวอี้ตอบ

ผู้สอบสวนบอกว่า “จะทำผิดหรือไม่ทำผิดก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะตัดสินได้ ทำไมจึงดักสังหารหัวหน้าภาคฉู่จื่อซานของน่านฟ้าระกาติงจนก่อให้เกิดศึกเลือด แจกแจงรายละเอียดมา”

“ดักฆ่าเหรอ? เหลวไหล! ข้าเพิ่งพ้นโทษและถูกปล่อยตัวจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เพิ่งเรียกรวมกำลังพลสวนบรรณาการ เตรียมจะเข้าไปผลัดเวรเฝ้าป้องกัน ระหว่างทางที่สมาชิกพักปรับปรุงกำลังที่น่านฟ้าระกาติง…” เหมียวอี้บรรยายเรื่องราวที่ตัวเองเตรียมไว้แล้วอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ

…………………………

เรื่องบางเรื่องทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว ในเมื่อโกวเยว่คุกเข่าต่อหน้านาง ก็ไม่มีทางพัวพันไปถึงท่านอ๋อง เม่ยเหนียงก็รู้เช่นกันว่านางทำโทษเขาไม่ได้ ทำให้เพียงให้ท่านอ๋องมาจัดการ ส่วนท่านอ๋องจะจัดการลงโทษหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่นางจะสืบสาวเอาความได้

เงาคนคนหนึ่งเหาะลงมาจากท้องฟ้า มาหยุดลอยอยู่กลางอากาศ อยู่ในระดับเดียวกับตึกบนกำแพงเมืองนอกประตูของสวรรค์ที่ปิดสนิท

ผู้ที่มาสวมหมวกทรงสูงสีดำ ผ้าคลุมที่อยู่ข้างหลังตกลงอย่างช้าๆ เขาก็คือเกาก้วนที่มาถึงก่อนหนึ่งก้าวนั่นเอง

คนของหน่วยองครักษ์จำนวนไม่น้อยที่เฝ้าอยู่บนตึกกำแพงเมืองเคยเจอเกาก้วนมาก่อนที่อุทยานหลวง หลังจากพบว่าเขามาถึงแล้ว แต่ละคนก็มองดูอย่างเงียบๆ

เกาก้วนเองก็มองประเมินทหารพิการที่มาถึงก็รับช่วงต่อเฝ้ามืองทันทีโดยยังไม่ได้จัดการกับร่างกายตัวเอง สุดท้ายก็กล่าวออกมาช้าๆ ว่า “ข้าคือทูตตรวจการขวาเกาก้วน เปิดประตูเมือง!”

ทหารยามที่เฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่มีใครตอบกลับ

เมื่อรอไปสักครู่หนึ่ง เกาก้วนก็โบกมือเผยป้ายคำสั่งออกมา ประมุขชิงเป็น ‘คำสั่งมังกร’ ที่ประมุขชิงประทานให้ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เปิดประตู!”

ทหารยามคนหนึ่งยกมือกดบนช่องกำแพง เม้มริมฝีปากแน่นแล้วบอกว่า “นายท่านเกา หน่วยตรวจการขวาไม่มีอำนาจออกคำสั่งกับหน่วยองครักษ์ ขออภัยที่ยากจะทำตามคำสั่งได้!”

“ข้าได้รับบัญชาจากสวรรค์ให้มาสืบคดี หรือว่าพวกเจ้าจะฝ่าฝืนคำสั่ง?” เกาก้วนถามเสียงเรียบ

ทหารที่เฝ้าเมืองตอบว่า “พวกเรารู้เพียงว่าต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด บัญชาสวรรค์เป็นอย่างไรพวกเราก็ไม่เข้าใจเช่นกัน นี่ไม่ใช่ป้ายคำสั่งระดมกำลัง ไม่อาจอาศัยแค่คำพูดด้านเดียวของนายท่านเกามาตัดสินว่าใช่บัญชาสวรรค์หรือไม่ ไม่อาจถือวิสาสะเปิดประตูได้ นายท่านเกาได้โปรดติดต่อกับผู้บังคับบัญชาสูงสุดของเราก่อน ถ้าเป็นบัญชาสวรรค์จริงๆ แล้วผู้บังคับบัญชามีคำสั่ง พวกเราก็ย่อมเปิดประตูให้!”

เกาก้วนไม่เปลืองคำพูดอีก ค่อยๆ เหาะลงมาเหยียบพื้น แล้วหันหลังให้ทางประตูเมือง เขายืนตัวตรง ไม่ได้ติดต่อใครทั้งนั้น หลับตาสองข้างรออยู่เงียบๆ

ขณะที่ท้องฟ้ากำลังจะเป็นสีแดง อวี่จ้งเจิน เซวียนหยวนจัวรวมทั้งคนของหน่วยตรวจการขวาก็เหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงข้างกายเกาก้วน ขณะกำลังแปลกใจว่าเกาก้วนกำลังทำอะไร เกาก้วนก็เอียงหน้ามองอวี่จ้งเจินพร้อมบอกว่า “ออกคำสั่งให้เปิดประตูเถอะ”

อวี่จ้งเจินกับเซวียนหยวนจัวสบตากันโดยจิตใต้สำนึก พอจะเข้าใจเหตุผลแล้ว พวกเขามองไปบนประตูเมืองพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่าทหารที่เฝ้าอยู่บนประตูเมืองปะทะฝีปากกับเกาก้วนแล้ว หน่วยองครักษ์เริ่มจริงจังแล้ว ฟังเพียงคำสั่งราชันสวรรค์กับหน่วยงานภายในหน่วยองครักษ์เท่านั้น หน่วยงานอื่นๆ ไม่สามารถสั่งระดมพลได้

พออวี่จ้งเจินโบกมือ กำลังพลข้างหลังก็แบ่งจากหนึ่งเป็นสิบ แบ่งจากสิบเป็นร้อย แล้วชั่วพริบตาเดียวก็มีกำลังพลนับหมื่นคนอยู่ข้างหลัง

“เปิดประตู!” อวี่จ้งเจินตะโกน

ใครจะคิดว่าทหารที่เฝ้ากำแพงเมืองจะบอกว่า “เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนแอบอ้าง กรุณายืนยันตัวก่อน”

แอบอ้างเหรอ? เซวียนหยวนจัวเอียงหน้ามองไปที่อวี่จ้งเจินด้วยสีหน้าแปลกๆ กำลังพลข้างหลังอวี่จ้งเจินก็มองไปบนกำแพงด้วยสีหน้าเหลือเชื่อเช่นกัน

ใบหน้าอวี่จ้งเจินเต็มไปด้วยความโกรธ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจำออกคำสั่งกับผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ได้แล้ว ล้อเล่นอะไรกัน จึงตะคอกทันทีว่า “ไม่เปิดประตูเมือง อยู่นอกค่ายกลป้องกัน แล้วจะพิสูจน์ตัวตนยังไง!”

ทหารยามบอกว่า “แม่ทัพภาคกำลังอยู่ในเมืองขอรับ” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ ท่านข้ามระดับไปแล้ว

อวี่จ้งเจินหันขวับไปชี้บนกำแพงเมือง อ้าปากพะงาบหลายครั้ง แต่ก็หาเหตุผลมาเถียงไม่ได้

กฎระเบียบบางอย่างนั้นยังมีอยู่ เพียงแต่มันเลือนรางไปช้าๆ ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการจะจริงจัง เขาเองก็จะว่าอีกฝ่ายทำผิดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็แปลว่าใครตำแหน่งสูงก็ทำตามอำเภอใจได้น่ะสิ ถ้าโพ่จวินออกคำสั่งโจมตีวังสวรรค์จะทำยังไงล่ะ?

แน่นอน บนโลกนี้ไม่มีกฎระเบียบอะไรที่สมบูรณ์แบบ ล้วนมีจุดที่ขัดแย้งกันมากมาย กฎระเบียบคือสิ่งที่ไม่มีชีวิต แต่คนคือสิ่งที่มีชีวิต สิ่งนี้ถึงได้มอบโอกาสให้คนหาช่องโหว่ได้

อวี่จ้งเจินวางมือลงแรงๆ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้

ผ่านไปไม่นาน ประตูเมืองก็เปิดช่องออก

เกาก้วนที่เอามือไขว้หลังให้ประตูเมืองหันกลับมามองอวี่จ้งเจินแวบหนึ่งด้วยสายตาเย็นเยียบ จากนั้นหันตัวมา แล้วนำกำลังพลของหน่วยตรวจการขวาเข้าไปในเมือง มุ่งตรงไปที่หอฉางเจิน

ลูกน้องของอวี่จ้งเจินแบ่งกลุ่มเป็นสี่กลุ่ม แล้วไปควบคุมที่ประตูเมืองทั้งสี่ ส่วนกำลังพลอีกกลุ่มมุ่งตรงไปที่ตำหนักคุ้มเมือง ครั้งนี้นับว่ารับหน้าที่เฝ้าตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนอย่างแท้จริงแล้ว ส่วนอวี่จ้งเจินก็ตามคนของหน่วยตรวจการขวาไปเช่นกัน อยากจะรู้ว่าตอนนี้เหมียวอี้เป็นอย่างไรบ้าง

ที่ด้านนอกประตูใหญ่ของหอฉางเจิน คนกลุ่มหนึ่งเหยียบลงที่พื้น เกาก้วนที่ผ้าคลุมบ่าสีดำยาวลากพื้นเดินก้าวยาวบุกขึ้นบันไดไปโดยตรง

กลุ่มคนที่เฝ้าประตูอยากจะดักถาม แต่ข้างหลังเกาก้วนก็มีคนสองคนถลันตัวออกมา เผยป้ายคำสั่งของหน่วยตรวจการขวาเบิกทาง คนที่หลีกทางช้าไปหน่อย ก็ถูกดาบทวนที่ตามมาข้างหลังดันไปติดผนังด้านข้างทันที ทำให้ไม่กล้าขยับตัวซี้ซั้ว

บุกมาแบบนี้ตลอดทางจนถึงลานบ้านด้านใน

“ทูตขวาเกาให้เกียรติมาเยือนทำไมไม่บอกกันก่อน!”

โกวเยว่ที่ถูกทำให้ตกใจนำคนโผล่หน้าออกมา โกวเยว่กุมหมัดคารวะทักทายพร้อมเสียงหัวเราะมาตั้งแต่ไกลๆ

เกาก้วนหยุดฝีเท้า กลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังก็หยุดเดินเช่นกัน รอจนกระทั่งโกวเยว่เข้ามาใกล้ เกาก้วนก็ถามแดกดันว่า “เจ้ามียศขุนนางตำหนักสวรรค์เหรอ?”

โกวเยว่อึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มแห้งพร้อมตอบว่า “ไม่มีขอรับ”

อย่าว่าแต่เขาเลย พ่อบ้านในจวนของสี่อ๋องสวรรค์ล้วนไม่มียศขุนนาง ไม่ใช่เราว่าจ้างไม่ไหว แต่เป็นเพราะถ้ามีฐานะขุนนางก็ต้องฟังคำสั่งตำหนักสวรรค์ พอโดนตำหนักสวรรค์ฉวยโอกาสเมื่อไร พวกเขาก็จะถูกย้ายออกจากข้างกายสี่อ๋องสวรรค์ นั่นนับว่าเป็นความเสียหายของสี่อ๋องสวรรค์

“เจ้าคือทูตพิเศษที่ทัพตะวันตกส่งมาเหรอ?” เกาก้วนถามอีก

“ไม่ใช่ขอรับ!” โกวเยว่รู้ตัวเร็ว ในใจแอบตกใจ เขารีบโบกมือตอบ เรื่องบางเรื่องเล่นต่อหน้าเหมียวอี้ได้ แต่ตอนอยู่ต่อหน้าเกาก้วนกลับเล่นไม่ได้ พอเขาหันไปข้างหลัง ก็มีคนหนึ่งคนที่มีฐานะขุนนางตำหนักสวรรค์เดินออกมาทันที แล้วใช้สองมือมอบแผ่นหยกตำแหน่งขุนนางให้แผ่นหนึ่ง “ตอบทูตขวาเกา ข้าน้อยคือทูตพิเศษที่ทัพตะวันตกส่งมาขอรับ”

เพิ่งจะสิ้นเสียง ข้างหลังเกาก้วนก็มีคนมารับแผ่นหยกไปตรวจสอบ จากนั้นก็พยักหน้าให้เกาก้วน

“เหอะๆ! ทูตขวาเกา…” โกวเยว่ที่เหมือนจะพูดอะไรอีกทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน เพราะเกาก้วนไม่ชายตาแลเขา แต่เดินผ่านตัวเขาไปเลย

ถ้าไปแบบนี้เฉยๆ ก็ว่าไปอย่าง แต่ดันพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “กักตัวเขาไว้!”

สมาชิกหน่วยตรวจการขวาหลายคนก้าวขึ้นมาข้างหน้าทันที กำลังจะจับตัวโกวเยว่ไว้ แต่คนข้างหลังโกวเยว่ตกใจ รีบถลันตัวออกมาขวางข้างหน้า

เกาก้วนที่อยู่ข้างหน้าหยุดเดินทันที หันตัวเข้ามาช้าๆ แล้วมองภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยเย็นเยียบ

ชวิ้งๆ! กำลังพลหลายร้อยของหน่วยตรวจการขวาพลันชักอาวุธออกมาทั้งหมด มาล้อมพวกโกวเยว่เอาไว้

โกวเยว่รีบกดมือลง แล้วคนที่มาคุ้มกันเขาก็ถอยออกไปเงียบๆ จากนั้นโกวเยว่ก็ถามด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “นายท่านเกา ไม่ทราบว่าทำไมต้องจับตัวข้าไว้?”

“จับไว้ให้หมด!” เกาก้วนแสยะยิ้ม

สมาชิกของหน่วยตรวจการขวาออกอาวุธพร้อมกันทันที แล้วจ่ออาวุธบนตัวของคนกลุ่มนี้ ส่วนพวกโกวเยว่ก็ไม่ได้โต้ตอบ โดนควบคุมไว้อย่างนั้นแล้ว

“แค่กๆ!” ข้างหลังเซวียนหยวนจัวมีชายรูปร่างกำยำหนวดยาวคนหนึ่งเดินออกมา เขาคืออันถู ลูกน้องคนสนิทของเทพประจำดาวดินวอกนั่นเอง ตู๋เกออู๋จากทัพซ้าย กุมหมัดคารวะบอกว่า “นายท่านเกา จับคนไปโดยไร้เหตุผลแบบนี้ อาจจะไม่เหมาะสมหรือเปล่า”

“ข้าได้รับบัญชาสวรรค์ให้มาสืบคดี นำตัวผู้น่าสงสัยที่เกี่ยวข้องไปสืบสวนเป็นเรื่องปกติมาก” เกาก้วนพูดทิ้งท้ายแล้วหันหน้าเดินจากไป

ตู๋เกออู๋ทำท่าจะตามไป ยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่โกวเยว่ส่ายหน้าเบาๆ ให้เขา บอกใบ้ว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น บอกให้เขาไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว

โกวเยว่รู้อยู่แก่ใจ ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้นว่าก่อนหน้านี้เขาแอบอ้างชื่อทัพตะวันตกเพื่อพาตัวหนิวโหย่วเต๋อมา เพียงแต่เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเปิดเผยได้ก็เท่านั้นเอง ทว่าลมนี้พัดมาเพียงไม่นาน เกาก้วนก็อ้าง ‘ได้รับคำสั่งให้สืบคดี’ มาข่มเขาเหมือนกัน กำลังจงใจจะให้บทเรียนเขา ไม่ได้จะทำอะไรเขาหรอก

ตู๋เกออู๋ทำได้เพียงมองพวกโกวเยว่โดยควบคุมตัวไป พอหันไปเห็นเซวียนหยวนจัวนิ่งเงียบไม่พูดจา ก็แสยะยิ้มให้หนึ่งที

ในสวนป่าเล็กขนาดเล็ก เกาก้วนหยุดเดิน เหมียวอี้ที่อยู่ในศาลากำลังมองประเมินกลุ่มคนที่โผล่มาอย่างกะทันหันอย่างใจเย็น

จากนั้นมองประเมินเหมียวอี้ศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง “พาตัวไป!” เกาก้วนพูดทิ้งท้ายแล้วหันตัวเดินออกไป

จ้าวกวงที่ได้รับคำสั่งให้มาดูแลเหมียวอี้ทำท่าเชิญ แล้วพาเหมียวอี้ตามกลุ่มคนพวกนั้นไป

อวี่จ้งเจินมาที่นี่เพราะประสงค์ของเบื้องบน พอเห็นเหมียวอี้ไม่เป็นอะไร เขาก็ทั้งโล่งใจทั้งโมโห นึกเสียใจทีหลังที่ตอนแรกตอบตกลงรับคนคนนี้เข้ามาในทัพเป่ยโต้ว อีกฝ่ายเอาแต่หาเรื่องให้ตน เหมือนเป็นการทุ่มหินใส่เท้าตัวเองจริงๆ

คนกลุ่มหนึ่งเพิ่งจะเดินออกจากสวนป่าขนาดเล็กไป ก็บังเอิญเห็นหวังเฟยเม่ยเหนียงที่มาเพราะได้ยินข่าว

พอนางปรากฎตัว คนส่วนใหญ่ที่อยู่ข้างหลังเกาก้วนก็กุมหมัดคารวะ มีเพียงเกาก้วนคนเดียวที่ยืนอย่างหยิ่งผยอง จ้องมองด้วยสายตาเยียบเย็น

ระดับอย่างเกาก้วนไม่จำเป็นต้องทำความเคารพนาง เพราะเป็นคนข้างกายราชันสวรรค์ ที่จริงในใต้หล้านี้ก็มีคนที่เขาต้องทำความรพไม่เยอะอยู่แล้ว

“ทูตขวาเกา แบบนี้หมายความว่าอะไร?” เม่ยเหนียงชี้พวกโกวเยว่ที่ถูกควบควบคุมอยู่ข้างหลัง

เกาก้วนกล่าวอย่างเย็นชาว่า “พาตัวผู้น่าสงสัยไปสอบสวนเท่านั้น หรือหวังเฟยอยากจะก้าวก่ายการสิบคดีของตำหนักสวรรค์?”

“ข้อหานี้ใหญ่เกินไปแล้ว” เม่ยเหนียงแสยะยิ้ม “ข้าแค่อยากจะถามว่าพวกเขามีอะไรน่าสงสัย?”

“ในเวลานี้ คนที่ปรากฏตัวในตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนไม่บ่อยล้วนน่าสงสัย” เกาก้วนตอบอย่างไม่ไว้หน้า

เม่ยเหนียงส่ายหน้า แล้วแสยะยิ้มบอกว่า “ถ้าอิงตามที่นายท่านเกาบอก ถังเฮ่อเหนียนที่โถงฉากเมฆา จั่วเอ๋อร์ที่เรือนเจิดจรัส ต้วนหงตึกจันทราดารา ไม่ใช่ว่าน่าสงสัยกันหมดเลยเหรอ?”

เกาก้วนชำเลืองมองไปข้างหลัง แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปกติ “คนที่หวังเฟยเพิ่งเอ่ยชื่อเมื่อครู่นี้ ได้ยินชัดหรือยัง?”

“ได้ยินชัดแล้วขอรับ” ข้างหลังมีคนตอบ

เกาก้วนจ้องไปที่เม่ยเหนียงทันที แล้วบอกว่า “ส่งคนไปจับตัวผู้ที่หวังเฟยกล่าวโทษมาเดี๋ยวนี้”

“รับทราบ!” คนคนนั้นเอ่ยรับคำสั่ง แล้วโบกมือนเรียกกำลังพลกลุ่มหนึ่งจากไป

“…” เม่ยเหนียงเหม่อเล็กน้อย ทำไมกลายเป็นผู้กล่าวโทษแล้วล่ะ นางกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “ข้าปรากฏตัวที่นี่แปลว่าน่าสงสัยด้วยรึเปล่า? เช่นนั้นทูตขวาเกาก็จะจับตัวข้าไปด้วยใช่มั้ย?”

เกาก้วนพูดต่ออย่างไม่ลังเลว่า “หวังเฟยเตือนได้ถูกต้องแล้ว หัวหน้าภาคอวี่!”

“ขอรับ!” อวี่จ้งเจินกุมหมัดขานรับ

เกาก้วนบอกว่า “ส่งกำลังพลไปเดี๋ยวนี้ ล้อมหอฉางเจิน โถงฉากเมฆา เรือนเจิดจรัส ตึกจันทราดาราเอาไว้ ถ้ายังสืบคดีไม่จบ ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าออกโดยพลการ ใครขัดคำสั่ง…ไม่ว่าจะเป็นใคร ฆ่าไม่ละเว้น! ถ้าบังคับใช้กฎแล้วไม่ราบรื่น ก็ถือหัวมาให้ข้า!”

“รับทราบ!” อวี่จ้งเจินเอ่ยรับคำสั่ง แล้วโบกมือไปทางข้างหลัง มีคนออกคำสั่งระดมกำลังพลอย่างรวดเร็ว

“เจ้า…” เม่ยเหนียงชี้เกาก้วน ใบหน้างามโมโหจนซีดขาว

เกาก้วนพลันโบกมือเผย ‘คำสั่งมังกร’  แสดงป้ายนี้ต่อหน้านนางโดยตรง ดวงตาทั้งคู่จ้องนางอย่างเย็นชา

พอเห็นป้ายคำสั่งนี้ เม่ยเหนียงก็เบิกตากว้างทันที นี่ก็คือป้ายคำสั่งที่ราชันสวรรค์มอบให้เฉพาะหน่วยตรวจการขวา เป็นป้ายที่ให้อำนาจในการประหารก่อนแล้วค่อยรายงานความผิด นางนึกไม่ถึงว่าเกาก้วนจะเผยป้ายคำสั่งนี้ต่อหวังเฟยผู้สง่าภูมิฐานอย่างนาง เผยป้ายคำสั่งนี้มาขู่นาง คำพูดที่ขึ้นมาถึงปากแล้ว นางจำต้องกลืนกลับไป ในใจเกิดความหนาวสั่น ก้าวถอยหลังโดยจิตใต้สำนึก

พอเก็บป้ายคำสั่งแล้ว ผ้าคลุมบ่าสีดำก็ขยับตามจังหวะการก้าวเท้าของเกาก้วน เขาเดินผ่านนางไปโดยไม่ชายตามอง

เหมียวอี้ที่โดนคุมตัวอยู่ในกลุ่มนั้นชำเลืองมองเม่ยเหนียงที่ขัดฟันจนฟันแทบแตก เขาแอบปาดเหงื่ออย่างช่วยไม่ได้ ลักษณะการทำงานของเกาก้วนทำให้คนทั่วไปรับไม่ไหวจริงๆ เรียกได้ว่าไม่ว่ากับใครก็ไม่ไว้หน้าทั้งนั้น ต่อให้ล่วงเกินคนทั้งใต้หล้าหมดแล้วก็ไม่เป็นไร

แต่คิดไปคิดมาก็เข้าใจเช่นกัน ผู้พิพากษาหน้าตายท่านนี้เป็นคนที่กลัวการล่วงเกินคนอื่นด้วยเหรอ?

…………………………

สมาชิกผู้ติดตามของหน่วยตรวจการขวาเร่งความเร็วทั้งหมดที่มี พออวี่จ้งเจินโบกมือ สมาชิกของทัพเป่ยโต้วก็ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าสัตว์อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เร่งความเร็วเหาะไปข้างหน้า

พวกเซวียนหยวนจัวที่มองมาทางนี้จากที่ไกลๆ ก็เร่งความเช่นกัน ชั่วพริบตาเดียวก็เข้าไปในจุดลึกของดาราจักรแล้ว

ต้องทราบไว้ว่าการเหาะบนดาวเคราะห์ทั่วไปไม่เหมือนกับเหาะในดาราจักร ตอนอยู่ในดาราจักรได้เปรียบเรื่องเร่งความเร็ว แค่ร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นก็จะยิ่งเหาะเร็วขึ้นเรื่อยๆ บนพื้นฐานของความเร็วเฉลี่ยแล้ว วรยุทธ์ที่เท่ากันเมื่อเหาะบนดาวเคราะห์ใช้เวลาหนึ่งวัน แต่เมื่ออยู่ในดาราจักรก็ใช้เวลาชั่วแวบเดียวเท่านั้น

เพียงแต่การทำแบบนี้ก็อันตรายเหมือนกัน ถ้าใช้ความเร็วมากเกินไป ถ้าเร็วจนเกินความสามารถในการหลบของตัวเอง ก็จะหลบไม่ทันแล้วชนกับสิ่งของ ถ้าอาศัยความเร็วแบบนั้นชนกับสิ่งของ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

ในร้านค้าร้านหนึ่ง จู่ๆ คนงานคนหนึ่งก็เดินออกมาจากโถงด้านหลัง ถอดเสื้อคลุมตัวนอกตลอดทางที่เดิน เผยให้เห็นชุดที่อยู่ข้างใน พอเดินมาถึงหน้าโต๊ะคิดเงินก็โยนชุดคลุมไว้บนนั้น แล้วถือโอกาสถอดหมวกกลมตบลงโบนโต๊ะ

ผู้จัดการร้านที่อยู่หลังโต๊ะคิดเงินลุกขึ้นยืน แล้วถลึงตาถามอย่างโมโหว่า “จ้าวกวง เจ้าจะทำอะไร? ไม่อยากทำแล้วเหรอ?”

คนที่ถูกเรียกว่าจ้าวกวงไม่ได้สนใจ โบกมือเรียกชุดคลุมสีดำปักขอบทองออกมาหนึ่งตัว รัดผ้าคาดเอว ใช้สองมือวางหมวกสีดำปักลายเมฆทองไว้บนศีรษะ ดึงเชือกที่ห้อยลงมาสองข้างผูกใต้คาง แล้วหันขวับมองไปยังผู้จัดการร้านที่อยู่หลังโต๊ะคิดเงิน สง่าราศีแตกต่างกับภาพลักษณ์ของคนงานก่อนหน้านี้ลิบลับ

ผู้จัดการร้านที่เห็นเขาแต่งตัวแบบนี้ตะลึงค้างแล้ว พอคนงานที่ถูกเรียกว่าจ้าวกวงถลึงตาใส่ เขาก็ยิ่งตกใจจนตัวสั่น โซเซถอยหลังไปชิดกับผนังโต๊ะ ใช้สองมือทำท่ายอมจำนน

“ไม่ทำแล้ว!” จ้าวกวงพูดทิ้งท้านแล้วเดินก้าวยาวออกจากประตูไป

กลุ่มคนที่อยู่ในร้านค้านิ่งเงียบราวกับเป็นไก่ที่ทำจากไม้ ผู้จัดการร้านกลืนน้ำลาย แล้วกล่าวเสียงสั่นว่า “คนของหน่วยตรวจการขวา…”

พอนึกถึงเรื่องที่ตัวเองแอบด่าตำหนักสวรรค์ลับหลัง หลายครั้งที่มีจ้าวกวงอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ผู้จัดการร้านก็แข้งขาอ่อนทันที ทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างอ่อนปวกเปียก ทุกข์ใจราวกับพ่อแม่ตาย!

พอออกจากประตูมาแล้วก็ไม่มีใครกล้าขวางทางจ้าวกวง คนเดินถนนเห็นเครื่องแต่งกายบนตัวเขา ก็พากันหลีกทางให้ทุกคน

จ้าวกวงดึงกระบอกโลหะที่ถืออยู่ในมือออก ปากกระบอกพุ่งขึ้นฟ้า ฟิ้ว! มี ‘ดาวตก’ สายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าแล้วระเบิดออก

รวดเร็วมาก ตลอดทางมีคนที่สวมเครื่องแต่งกายเหมือนเขาวิ่งออกมาจากหัวถนนและตรอกซอกซอย มีสี่คนมารวมตัวอยู่ข้างหลังเขา จากนั้นทั้งห้าก็ทะยานขึ้นฟ้าไปด้วยกัน เหาะข้ามหลังคาแต่ละหลังและถนนแต่ละสาย จากนั้นไปเหยียบลงหน้าประตูใหญ่ของหอฉางเจิน

ทั้งห้าคนบุกเข้ามาที่ประตูใหญ่หอฉางเจินโดยตรง คนในร้านหลายคนออกมาขวางทันที เห็นเครื่องแต่งกายของพวกเขาแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยเข้าไป ยกฝ่ามือห้ามพร้อมบอกว่า “ทูตพิเศษทัพตะวันตกกำลังเรียกแม่ทัพภาคอุทยานหลวงมาสืบคดี มีคำสั่งว่า ไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวน!”

จ้าวกวงเผยฝ่ามือ ถือป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งพร้อมตะคอกว่า “ฝ่าบาทมีคำสั่ง คดีของน่านฟ้าระกาติง ผู้สืบสวนผู้ถูกสืบสวนทุกคนถูกวางแผนจัดการทั้งหมดโดยหน่วยตรวจการขวา! ข้าได้รับคำสั่งจากทูตตรวจการขวา ตั้งแต่นี้ไป หนิวโหย่วเต๋อจะถูกควบคุมโดยหน่วยตรวจการขวา ไม่ว่าใครก็ห้ามขัดขวาง ผู้ที่ไม่คำตามจะโดนข้อหาขัดคำสั่ง ฆ่าไม่ละเว้น!”

คนที่ขวางอยู่หน้าประตูร้านสีหน้าเปลี่ยนทันที

ชวิ้งๆ! สี่คนข้างหลังจ้าวกวงชักดาบออกมาอย่างรวดเร็ว มีสองคนพุ่งไปเบิกทางข้างหน้า ตรงประตูไม่กล้ามีใครขวาง รีบหลีกไปทางซ้ายและขวา มีบางคนรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อข้างใน

ใต้ชายคาทางเดินที่อยู่ติดทะเลสาบ โกวเยว่สีหน้าเปลี่ยนไปมาก หันขวับมาถามว่า “คนของเกาก้วนมาได้ยังไง?”

“คงจะเป็นสายลับใของหน่วยตรวจการขวาที่อยู่ในเมืองรวมกลุ่มกันขึ้นมาขอรับ” หานตงตอบ

“ไม่น่าเชื่อว่าจะยอมเปิดเผยสายลับที่แฝงตัวอยู่ในเมืองอย่างไม่เสียดาย…” โกวเยว่กำหมัดสองข้าง เสียงกระดูกข้อนิ้วโดนบีบเสียงดังกรอบแกรบ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวออกมาว่า “เกาก้วน!”

ตราบใดที่ไม่ใช่คนของหน่วยตรวจการขวามาเอง เขาก็มีเหตุผลต่างๆ นาๆ มาปฏิเสธได้ ไม่ว่าใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้ทั้งนั้น แต่เกาก้วนเป็นคนที่มีอำนาจในการประหารก่อนรายงานความผิด คนที่กล้าขวางคนของเกาก้วน คิดว่าหลังจากเกาก้วนมาแล้วจะไม่กล้าฆ่าเขาเหรอ? อีกฝ่ายประกาศแล้วว่าถ้าขัดคำสั่งจะฆ่าไม่ละเว้น ใครยังจะกล้าขวางอีกล่ะ?

คนที่ขัดคำสั่ง เวลาเกาก้วนสังหารขึ้นมาก็ไม่เคยปรานีอยู่แล้ว!

ทันใดนั้นโกวเยว่ก็โบกมือชี้ “ไปดูหน่อย! ต่อให้จะเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย แต่เขาก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะปลีกตัวหนีไปได้!”

หานตงถลันตัวออกไปทันที

ในศาลากลางสวนป่า ก่วงเม่ยเอ๋อร์ทิ้งที่อยู่ในมือดวงจิตน้ำแข็ง ทำให้บนพื้นมีน้ำค้างขาวเหาะ แต่นางกลับอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

พอเหมียวอี้เห็นนางทำท่าทางอย่างนั้น ก็รู้ว่านางไม่น่าจะรู้เรื่องราวเบื้องลึก จึงกล่าวเสียงเรียบว่า “แม่นางเม่ยเอ๋อร์ ในสุรานี้มีคนใส่ของปลุกกำหนัดเอาไว้”

“หา!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์เงยหน้าอย่างตกใจมาก สายตาจ้องไปที่กาสุราอย่างอึ้งๆ

หานตงเหาะจากฟ้าลงมาเหยียบลงนอกศาลา เมื่อเห็นก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่เสื้อผ้ายังเรียบร้อย แล้วเหลือบไปเห็นดวงจิตน้ำแข็งในมือเหมียวอี้ ทั้งยังมีน้ำค้างที่เกาะอยู่บนพื้นในศาลา มุมปากก็กระตุกเล็กน้อย ตอนนี้เขากลุ้มใจแล้ว เดิมทีของสิ่งนี้ใช้ดีมาก ใช้จำนวนที่ทำให้คนสังเกตไม่พบว่าตัวเองโดนวางยา ทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ?

ในขณะนี้เอง มีคนร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังกองท้องฟ้าด้านบน “ได้รับคำสั่งจากทูตตรวจการขวา หนิวโหย่วเต๋อ แม่ทัพภาคหนิวอยู่ที่ไหน!”

สุดท้ายก็รอจนคนของเกาก้วนมาถึงแล้ว! เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ตอบว่า “หนิวอยู่ที่นี่!”

ผ่านไปไม่นาน เงาร่างของคนห้าคนก็เหยียบลงพื้น จ้าวกวงเผยป้ายคำสั่งอีกครั้ง “ทูตขวามีคำสั่ง ตั้งแต่นี้ไป แม่ทัพภาคหนิวจะถูกดูแลโดนหน่วยตรวจการขวา”

เหมียวอี้พยักหน้าเล็กน้อย “ไปที่ไหนเหรอ?”

“ดูแลอยู่ตรงนี้แหละ ทุกอย่างต้องให้ท่านทูตขวามาถึงก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ” จ้าวกวงตอบ

“ใครกันมาทำกำเริบเสิบสานขนาดนี้!” เสียงตะคอกของหวังเฟยเม่ยเหนียงดังขึ้น คนกลุ่มหนึ่งถลันตัวเข้ามา หวังเฟยอยู่ข้างหน้า พวกโกวเยว่อยู่ข้างหลัง

เสียงตะโดนดังขนาดนี้ หวังเฟยไม่ได้ยินก็แปลกแล้ว นางรู้ว่าคนของหน่วยตรวจการขวามาทำลายแผนการของนาง เรียกได้ว่าไฟโกรธก่อตัวขึ้นในอกทันที

หานตงส่งสายตาสื่อความหมายว่า ‘ยังไม่ได้กัน’ ให้โกวเยว่เงียบๆ ทำให้โกวเยว่หน้าเครียดทันที!

จ้าวกวงไม่รู้จักหวังเฟย แต่พอเห็นชุดสตรีบรรดาศักดิ์บนตัวนางก็ตกใจเช่นกัน กุมหมัดคารวะกล่าวว่า “ได้รับคำสั่งจากหน่วยตรวจการขวาให้มาสืบคดีขอรับ”

“ใครใช้ให้พวกเจ้าบังอาจบุกเข้ามาในเขตห้องนอนของหวังเฟย?” หวังเฟยตะคอกถามอย่างโมโห

รับผิดชอบขอหานี้ไม่ไหวหรอก! จ้าวกวงโบกมือเผยป้ายคำสั่งตรงหน้านาง แล้วกล่าวตอบเสียงดังว่า “ทูตตรวจการขวาเกาก้วนได้รับบัญชาจากสวรรค์ พวกเราได้รับคำสั่งให้มาควบคุมดูแลหนิวโหย่วเต๋อที่นี่ขอรับ ใครกล้าขัดขวางจะโดนข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง ฆ่าไม่ละเว้น! หวังเฟยอยากจะขัดคำสั่งหรือขอรับ?”

พอได้ยินคำว่า ‘เกาก้วน’ หวังเฟยก็ได้สติทันที รู้สึกเหมือนมีไอหนาวพรั่งพรูออกมาจากฝ่าเท้า บรรดาเพื่อนสาวที่นางสนิทคุ้ยเคย มีหลายคนที่โดนเกาก้วนประหารทั้งตระกูลไปแล้ว ยามปกติอยู่ในตระกูลชั้นสูงมีหน้ามีตาขนาดนั้น แต่พอผู้พิพากษาหน้าตายมาถึง สิ่งเหล่านั้นก็ปลิดปลิวหายเหมือนหมอกควัน พวกเพื่อนสาวที่เมื่อวานยังนั่งหัวเราะคิกคักด้วยกัน วันต่อมาก็ศีรษะร่วงพื้นหรือไม่ก็กลายเป็นเชลยถูกคุมขัง ไม่มีใครอยากลิ้มลองรสชาติแบบนั้น

เมื่อมีคำว่า ‘เกาก้วน’ และ ‘ฆ่าไม่ละเว้น’ รวมกัน โดยทั่วไปแล้วก็จะไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้กอบกูสถานการณ์เลย เรียกได้ว่าเทพขวางฆ่าเทพ พระขวางฆ่าพระ ประหารทั้งตระกูล แข็งแกร่งทานทน ราวกับไม่ว่าใครจะไปชนก็จะต้องร่างแหลกกระดูกแตก!

คิดไปคิดมาก็ตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว หวังเฟยเม้มริมฝีปากแน่น

หานตงกลับเอียงหน้าส่งสายตาให้เซี่ยหลิงหลิง เซี่ยหลิงหลิงเดินอ้อมเข้าไปในศาลาทันที ไปเก็บของกินบนโต๊ะ โดยเน้นไปที่กาสุรา แต่ใครจะคิดว่าเม่ยเอ๋อร์จะโบกมือชี้ แล้วสั่งอย่างแค้นเคืองว่า “เหลือสุรากาขั้นไว้ให้ข้า!”

เซี่ยหลิงหลิงทำสีหน้าไม่ถูก เงยหน้ามองไปที่หานตง

โกวเยว่ชำเลืองมองเหมียวอี้ที่นิ่งเงียบไม่พูดจา แล้วไอแห้งๆ ให้หวังเฟย บอกใบ้ว่าอย่าให้เม่ยเอ๋อร์ก่อเรื่อง

หวังเฟยยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หลับหูหลับตาสั่งว่า “เม่ยเอ๋อร์ ออกมากับข้า!”

แต่ใครจะคิดว่าเม่ยเอ๋อร์จะลงมือกะทันหัน แย่งกาสุรามาจากมือเซี่ยหลิงหลิง อีกฝ่ายมีหรือที่จะกล้าแย่งคืนมาจากนาง นางพุ่งไปตรงหน้ามารดาแล้วฟ้องว่า “ท่านแม่ มีคน…”

“คุณหนู เลิกก่อเรื่องได้แล้ว!” โกวเยว่พลันตะคอกตัดบท แล้วถลึงตาใส่เซี่ยหลิงหลิงอย่างโมโห “ยังไม่รีบมาพาคุณหนูไปอีก”

“เป็นท่านเหรอ!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์หันขวับไปมองเขา เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว

พ่อบ้านโกวเป็นใครกัน? เป็นคนที่แทบจะออกคำสั่งแทนท่านอ๋องได้! เซี่ยหลิงหลิงมีหรือที่จะกล้าขัดคำสั่ง กอปรกับหานตงส่งสายตาดุร้ายให้ ทำให้นางถลันตัวไปอยู่ข้างกายก่วงเม่ยเอ๋อร์ทันที ดึงแขนก่วงเม่ยเอ๋อร์แล้วควบคุมก่วงเม่ยเอ๋อร์เอาไว้เสียเลย ทำให้ก่วงเม่ยเอ๋อร์พูดไม่ออก แล้วก็พาเดินออกไปโดยแทบจะควบคุมตัว

สายตาระแวดระวังของของพวกจ้าวกวงย้ายจากกาสุราไปที่ใบหน้าเหมียวอี้ เหมือนกำลังเอ่ยถาม

ทว่าเหมียวอี้กลับมีสีหน้าเรียบเฉย ขยี้ดวงจิตน้ำแข็งในมือดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็โบกมือเรียกเม็ดที่ตกพื้นเก็บเข้าไว้ด้วยกัน ทำตัวราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ไม่พูดอะไรทั้งนั้น

เมื่อโดนคนแอบวางแผนลับใส่แบบนี้ ถ้าจะบอกว่าเหมียวอี้ไม่โมโหเลยก็แปลว่าโกหกแล้ว แต่ก่อนที่คดีจะจบ การเปิดโปงเรื่องนี้จะเท่ากับผูกความแค้นกับตระกูลก่วงที่เข้าร่วมสืบคดีนี้ด้วย ที่จริงต่อให้ไม่มีคดีนี้ ภายใต้สถาการณ์ที่ยังไม่เกิดเรื่องขึ้นและยังไม่มีผลลัพธ์อะไร เขาก็จะไม่พูดออกมา จะให้บอกว่าหวังเฟยกับลูกสาววางยาเขาในระหว่างที่พักอยู่ที่นี่เหรอ? ถ้าพูดออกไปก็เท่ากับล่วงเกินตระกูลก่วงแบบถึงตายแล้ว

คนบางคน ฐานะบางฐานะ ต่อให้ทำผิดเรื่องอะไรก็ตาม แต่ก็เท่ากับไม่ได้ทำอยู่ดี

โกวเยว่ยิ้มบางๆ ท่าทีของเหมียวอี้ทำให้เขาพอใจมาก จากนั้นหันตัวายืนมือเชิญหวังเฟย “ในเมื่อหน่วยตรวจการขวามาจัดการคดี หวังเฟย พวกเรากลับกันเถอะ”

หวังเฟยเองก็ทำสีหน้าสงสัยเช่นกัน นางไม่ใช่คนโง่ ดวงจิตน้ำแข็งในมือเหมียวอี้กับที่ตกพื้น ปฏิกิริยาของลูกสาว ทั้งยังมีกาสุรานั่นอีก ในนั้นจะต้องมีปัญหาแน่นอน ถ้าไม่ใช่เพราะโกวเยว่ขัดขวาง นางจะต้องสืบต่อหน้าให้ชัดเจนไปแล้ว

เมื่อทุกคนถอยออกไป กำลังพลของหน่วยตรวจการขวาก็กระจายกันไปเฝ้าตามุมต่างๆ ส่วนจ้าวกวงก็เฝ้าอยู่ข้างกายเหมียวอี้

พอกลับมามองดูลูกสาวตัวเอง เม่ยเหนียงก็เข้าใจทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้าวางยาลูกสาวนาง!

“ท่านแม่! ไม่น่าเชื่อว่าลูกสติเลอะเลือนและทำเรื่อง่นาอับอายต่อนายท่านหนิว ต่อไปจะให้ข้าเจอเขาอีกได้ยังไง จะให้เขาคิดกับข้ายังไง?” ก่วงเม่ยเอ๋อร์อับอายจนอยากจะโยนเชือกไปมัดไว้บนคาน จากนั้นก็เอาคอขึ้นไปแขวนเสียเลย

เม่ยเหนียงที่หน้าอกกระเพื่อมถี่ด้วยความโมโหกลับค่อยๆ สงบลง ไม่ต้องเดาแล้วว่าใครทำ ทว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์ไม่ใช่ลูกสาวของนางคนเดียว ยังเป็นลูกสาวของอ๋องสวรรค์ก่วงด้วย ต่อให้โกวเยว่จะกล้าหาญกว่านี้อีกร้อยเท่า แต่ก็ไม่กล้าถือวิสาสะทำเรื่องแบบนี้กับก่วงเม่ยเอ๋อร์แน่นอน ไม่ต้องบอกก็รู้แล้วว่าใครอนุญาต

นางรู้ว่าเป็นการทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในครั้งนี้ แต่นางคิดไม่ถึงว่าจะไม่สนวิธีการขนาดนี้ แม้แต่ความรักระหว่างญาติมิตรก็ขีดฆ่าทิ้งแล้ว  บอกไม่ถูกเลยว่าในใจนางมีรสชาติอย่างไร

หลังจากปลอบใจลูกสาวแล้ว เม่ยเหนียงที่เดินออกมาก็เห็นโกวเยว่กำลังนั่งคุกเข่า นางพบว่าคนที่อยู่รอบๆ หายไปหมดแล้ว

เม่ยเหนียงก้มมองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ “ทำไมไม่บอกข้าสักคำ? ใครให้เจ้าทำแบบนี้?”

“บ่าวถือวิสาสะทำเอง บ่าวยอมให้ฆ่ายอมให้แกง!”

“ท่านอ๋องยินยอมใช่มั้ย?”

“ไม่เกี่ยวอะไรกับท่านอ๋อง ท่านอ๋องไม่รู้เรื่องขอรับ ล้วนเป็นความคิดชั่ววูบที่อยากได้ผลงานของบ่าว บ่าวยอมรับโทษทุกอย่าง”

“เจ้าไปอธิบายกับท่านอ๋องเองแล้วกัน จะลงโทษยังไงก็แล้วแต่ท่านอ๋อง”

…………………………

หลังจากอู่หนิงติดต่อเสร็จแล้ว หลังจากเก็บระฆังดาราก็เห็นความลังเลในสายตานาง ยื่นมือไปคว้ามือที่อ่อนนุ่มของนางแล้ว “ฮูหยิน เป็นอะไรไป?”

หวงฝู่ตวนหรงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทำไมจู่ๆ หนิวโหย่วเต๋อนั่นถึงทำให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ จู่ๆ สี่อ๋องสวรรค์ก็แย่งกันยัดลูกสาวให้เขา นี่มันเรื่องอะไรกัน ข้าว่าเขาก็งั้นๆ แหละ ขนาดแม่หม้ายคนเดียวยังทิ้งไม่ได้ เดรัจฉานยังดีกว่าอีก!”

อู่หนิงงงไปชั่วขณะ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ดูเหมือนเจ้าจะไม่พอใจเขามากนะ อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะในปีนั้นเขาจับโหรวโหรวไว้?”

หวงฝู่ตวนหรงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “คนแบบนี้ต้องสับสักพันดาบหมื่นดาบสิ สี่อ๋องสวรรค์ตาบอดหมดแล้วรึไง?”

อู่หนิงตบหลังมือนางเบาๆ “นี่เจ้ากำลังพูดเพราะอารมณ์ใช่มั้ย ศิษย์ของอสุราอัคนี นำทัพองครักษ์ห้าหมื่นโจมตีทัพหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงจนแตกพ่าย นี่เป็นแม่ทัพที่มีความสามารถ ได้เขาคนเดียวก็เท่ากับได้ทหารที่กล้าแกร่งหนึ่งล้าน สี่อ๋องสวรรค์ตั้งใจจะใช้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ไม่น่าแปลกใจหรอก เรื่องของโหรวโหรวในปีนั้นก็เล็กน้อย เจ้าไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ ถึงยังไงโหรวโหรวก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วไป”

“เจ้า…” หวงฝู่ตวนหรงรู้สึกเก็บกดจนอยากกระอักเลือด ถลึงตาถามว่า “พ่อแบบนี้มีอย่างที่ไหน?”

อู่หนิงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ข้าทำตัวเป็นพ่อไม่เหมาะสมเหรอ? พ่ออย่างข้าเรียกว่าใจกว้างไง!”

“พอแล้ว ข้าไม่พูดกับเจ้าเรื่องนี้แล้ว ถ้าพูดอีกข้าต้องโมโหตายแน่นอน” หวงฝู่ตวนหรงสะบัดมือเขาออก ดันฝ่ามือห้ามแล้วถามว่า “ข้าถามเจ้าหน่อย ถ้าวันหนึ่งโหรวโหรวรู้ถึงตัวตนของเจ้า เจ้าจะเผชิญหน้ากับโหรวโหรวยังไง?”

“รู้ก็รู้ไปสิ เกี่ยวอะไรกันล่ะ” อู่หนิงกลอกตาแล้วพลิกตัวนอนตะแคง ก่อนจะกล่าวอย่างเกียจคร้าน “โหรวโหรวไม่ถือวาเรื่องนี้หรอก ตราบใดที่ข้าดีกับนาง ดีกับมารดานางก็เพียงพอแล้ว”

หวงฝู่ตวนหรงบอกว่า “แล้วเจ้าไม่เคยคิดถึงอนาคตของโหรวโหรวบ้างเหรอ ผู้ชายควรจะแต่งงาน ผู้หญิงควรจะแต่งการ และอยู่ในอายุที่ควรจะสร้างครอบครัวได้แล้ว เจ้าขอให้ผู้การใหญ่ปล่อยนางออกจากตระกูลหวงฝู่ไม่ได้เหรอ ให้นางใช้ชีวิตปกติเหมือนผู้หญิงทั่วไปไม่ได้เหรอ?”

“ต่อให้ท่านผู้การตอบตกลง แต่ข้าก็ไม่มีทางเอ่ยปาก” อู่หนิงหรี่ตายิ้ม

“ทำไมล่ะ? นางเป็นลูกสาวแท้ๆ ของเจ้านะ!” หวงฝู่ตวนหรงตกใจ

อู่หนิงยิ้มตอบว่า “ก็เพราะนางเป็นลูกสาวแท้ๆ ของข้าไง ข้าถึงได้ทำแบบนี้ ลูกสาวน่ะ เก็บไว้ข้างกายนั้นดีขนาดนี้ ถ้าชอบผู้ชายคนไหนก็ให้เขาแต่งงานเข้าตระกูลก็สิ้นเรื่อง ถ้านางชอบคนไหนก็ให้บอกข้า ข้าจะจัดการให้ด้วยตัวเอง ลูกสาวแบบนี้ข้าจะเก็บไว้ข้างกายข้าตลอดไป เป็นเรื่องที่ดีจะตาย ตอนนี้ข้าพบว่าข้าเริ่มชอบกฎของตระกูลหวงฝู่แล้ว”

“อย่ามาพูดจาโอ้อวดหน่อยเลย คนที่นางชอบน่ะ กลัวว่าเจ้าจะหาให้ไม่ได้น่ะสิ!” หวงฝู่ตวนหรงพลันลุกขึ้นยืน แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “สมมติถ้าหากวันหนึ่ง สามีที่โหรวโหรวแต่งงานรับเข้าตระกูลหวงฝู่มีฐานะเหมือนกันกับเจ้า ไม่ได้ชอบโหรวโหรวจากใจจริงเลย แต่มาเพื่อจับตาดูโหรวโหรว เจ้าจะเต็มใจมั้ย?”

อู่หนิงยิ้มไม่ออกแล้ว หลังจากเงียบไปนาน สุดท้ายก็กล่าวช้าๆ ว่า “ข้าไม่มีทางให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรอก พอแล้ว เจ้าคิดมากไปแล้ว เออใช่ ข้าอยากจะถามเจ้าหน่อย ว่าโหรวโหรวทำอะไรผิดกันแน่ เจ้าถึงจะกักบริเวณนางไว้ในบ้าน?”

“ข้าพูดกับเจ้าไปก็เท่านั้น!” หวงฝู่ตวนหรงพูดกระแทกสใส่แล้วหันหน้าเดินออกไป

“ฮูหยิน…ฮูหยิน…หรงหรง…หรงหรง…” อู่หนิงเงยหน้าตะโกนเรียกซ้ำๆ จนกระทั่งเงาร่างของหวงฝู่ตวนหรงหายไป ถึงได้ส่ายหน้าแล้วเอนกายลง จากนั้นก็หยิบม้วนหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ ยกขาพาดอย่างสบายใจ แล้วพึมพำว่า “ผู้หญิงช่างไร้เหตุผลจริงๆ”

หอฉางเจิน ในสวนป่าขนาดเล็ก ก่วงเม่ยเอ๋อร์กับเหมียวอี้กำลังเดินเล่นช้าๆ อยู่บนทางเล็กๆ พวกเขาเดินอ้อมอยู่ในป่าหลายรอบแล้ว คนหนึ่งเรือนร่างอ่อนช้อยอรชร คนหนึ่งเป็นวีรบุรุษสวมเกราะรบสีม่วง

สาวใช้สองคนที่เดินตามหลังอยู่ห่างๆ ไม่รู้ว่าทั้งสองกำลังคุยอะไรกัน เห็นก่วงเม่ยเอ๋อร์หัวเราะคิกคักเป็นระยะ เหมือนค่อนข้างมีความสุข

เซี่ยหลิงหลิงผู้จัดการร้านหอฉางเจินจู่ๆ ก็โผล่ออกมากลางป่า หลังจากทำความเคารพเหมียวอี้กับก่วงเม่ยเอ๋อร์แล้วก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หวังเฟยเตรียมขนมไว้ให้คุณหนูกับขุนพลอยู่ในตึกศาลาค่ะ เชิญทั้งสองไปนั่งคุยเช่นกันสักหน่อย”

เหมียวอี้มองตามไปทางที่นางชี้ พบว่ามีตึกศาลาเล็กๆ ตั้งอยู่กลางสวนดอกไม้ สวยงามประณีตมาก แต่เขาก็ยังยิ้มพร้อมปฏิเสธว่า “เพิ่งจะดื่มไปได้ไม่นาน ข้ารับรู้ถึงน้ำใจของหวังเฟยแล้ว”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์พยักหน้าเห็นด้วย “เดินเล่นก็ไม่เลวนะ”

“ค่ะ!” เมื่อเห็นทั้งสองไม่อยากไป เซี่ยหลิงหลิงก็ทำได้เพียงยิ้มแล้วถอยออกไป

เพียงแต่ผ่านไปไม่นาน เซี่ยหลิงหลิงก็ปรากฏตัวอีกแล้ว ในมือมีกล่องอาหารเพิ่มมากล่องหนึ่ง แต่ครั้งนี้กลับมาขวางสาวใช้สองคนที่อยู่ข้างหลัง หลังจากพึมพำสั่งอะไรบางอย่างไปแล้ว ก็เน้นย้ำว่า “หลังจากใส่สิ่งนี้ลงไปแล้วพวกเจ้าก็ออกมา ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ไม่ว่าใครเรียกพวกเจ้าก็ห้ามเข้าไป”

สาวใช้ทั้งสองคือคนที่นางจัดหามา ย่อมปฏิบัติตามคำสั่งอยู่แล้ว

ทั้งสองรีบเดินไปตรงหน้าเหมียวอี้กับก่วงเม่ยเอ๋อร์ หนึ่งในนั้นบอกว่า “หวังเฟยให้นำของมาให้ทั้งสองค่ะ” แล้วอีกคนก็รีบเดินไปยังศาลาที่อยู่ตรงหน้า แล้วเปิดกล่องอาหารจัดวางไว้บนโต๊ะ

ก่วงเม่ยเอ๋อร์มองไปทางเหมียวอี้พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่หนิว ในเมื่อเป็นน้ำใจจากท่านแม่ เช่นนั้นก็ไปนั่งสักหน่อยสิค่ะ”

เหมียวอี้มองไปรอบๆ นั่นไม่ใช้ห้องปิดอะไร คาดว่าคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก จึงพยักหน้าตอบตกลง

สาวใช้ทั้งสองถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะ ก่วงเม่ยเอ๋อร์กับเหมียวอี้นั่งลงในศาลา นางเป็นฝ่ายยกแขนเสื้อแล้วถือกาสุรารินให้เหมียวอี้

“ไม่กล้ารบกวน ข้าทำเองได้!” เหมียวอี้ผลักมือปฏิเสธ แต่ก่วงเม่ยเอ๋อร์กลับจ้องเขาพร้อมยิ้ม “พูดแล้วว่าต่อไปจะเป็นสหายกัน ทำไมต้องเกรงใจขนาดนี้คะ? หรือเป็นแค่คำพูดไม่จริงใจ ท่านไม่ได้คิดจะเป็นสหายกับข้าจริงๆ?”

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน ทำได้เพียงปล่อยมือออก จากการพูดคุยกับเขานับว่ามองออกแล้ว ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้มีกุศโลบายอะไร ปฏิบัติต่อผู้อื่นอยากใจกว้าง ความรู้ก็ไม่ธรรมดา สมกับที่เกิดมาจากจวนอ๋องสวรรค์

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่รินสุราเต็มจอกยกจอกขึ้นมา “พี่หนิว ข้าดีใจมากที่ได้รู้จักท่าน ข้าดื่มคารวะท่านค่ะ”

เหมียวอี้จ้องจอกสุราครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ยกขึ้นดื่ม เขาเองก็ไม่กลัวว่าใครจะใส่อะไรลงในของกิน “ข้าคารวะท่านก่อนแลวกัน”

หลังจากทั้งสองดื่มไปจอกหนึ่ง ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็ช่วยรินสุราให้เขาอีก จากนั้นก็มองไปรอบๆ แล้วถามอย่างแปลกใจนิดหน่อยว่า “พี่หนิว ท่านจับสนมสวรรค์หรูอี้แขวนไว้บนเสาธงจริงเหรอคะ?”

เหมียวอี้ปาดเหงื่ออย่างอับอายนิดหน่อย จ้านหรูอี้ในตอนนี้มีฐานะอะไรล่ะ นั่นคือสนมรักของราชันสวรรค์เชียวนะ จะเอามาพูดถึงส่งเดชได้อย่างไร จึงตอบอย่างจริงจังทันทีว่า “ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์กลอกตาอย่างเย้ายวน “ไม่สนุกเลยค่ะ! ตรงนี้ไม่มีคนนอก ถึงยังไงก็ไม่มีใครรู้ บอกมาเถอะค่ะ”

“ผ่านไปแล้ว ไม่มีอะไรน่าพูด” เหมียวอี้ส่ายหน้า

ก่วงเม่ยเอ๋อร์เบะปาก “ต่อให้ราชันสวรรค์รู้แล้วยังไงล่ะ ข้ากับนางสนิทกันมาก ก่อนหน้านี้ข้ามักจะเที่ยวเล่นกับนางบ่อยๆ นางไม่ตำหนิข้าแน่นอน เฮ้อ! แต่จากที่ข้าเห็น พี่หรูอี้เป็นผู้หญิงแข็งกร้าวมาก นางอาจจะไม่เต็มใจเจ้าวังไปเป็นสนมสวรรค์อะไรนั่นก็ได้”

พอได้ยินแบบนี้ ในหัวเหมียวอี้ก็มีฉากหนึ่งปรากฏขึ้นมา รู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก แล้วสูดหายใจลึก แล้วคว้าจอกสุราขึ้นมาดื่มจนหมด แล้วก็เป็นฝ่ายดื่มจนหมดอีกสองจอกแล้วถึงได้วางลง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบว่า “ฐานะของสนมสวรรค์แทบจะเป็นฐานะอันดับบนสุดท่ามกลางผู้หญิงแล้ว ถึงแม้จะแข็งกร้าว แต่ก็นับว่าได้สมปรารถนาแล้ว มีอะไรไม่เต็มใจอีก”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์มองไปรอบๆ อีก แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “นั่นเป็นเพราะท่านไม่รู้จักพี่หรูอี้ นางตั้งปณิธานไว้ตั้งนานแล้วว่าจะเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งไม่พึงพาใคร คนในครอบครัวบอกว่าไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องแต่งงาน บอกว่าในทัพใหญ่ไม่เหมาะกับผู้หญิง เลยไม่ยอมใช้เส้นสายช่วยเหลือนาง นางเลยปิดบังชื่อแซ่ที่แท้จริงแล้วไปสมัครเป็นทหารเล็กๆ คนหนึ่ง เริ่มจากจุดต่ำสุด ได้ยินว่าหลายครั้งที่ชีวิตเกือบจะตกอยู่ในใอคนอื่น สุดท้ายถึงได้ไต่เต้าขึ้นไปทีละก้าวจนจึงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ แน่นอน ตอนหลังฐานะของนางก็ถูกเปิดเผยแล้ว ท่านว่านางมีนิสัยแข็งกร้าวดื้อรั้นแบบนี้ จะเต็มใจเข้าวังไปแย่งความโปรดปรานจากฝ่าบาทพวกผู้หญิงได้ยังไงล่ะ นางไม่เต็มใจแน่นอน”

เหมียวอี้ทำหน้าซื่อ ทั้งสองดื่มไปพลางคุยไปพลาง โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะได้พูดคุยคลุกคลีอยู่ด้วยกันแบบจริงจังหรือไม่ เหมียวอี้เริ่มมองประเมินความงามของก่วงเม่ยเอ๋อร์แล้ว นางเป็นหญิงงามยั่วเย้าแบบที่หาพบได้ยากในโลกนี้ ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้ใจสั่น เริ่มเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะดมดอมกลิ่นหอมสักครั้ง

ส่วนก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็เริ่มหน้าแดงบ้างแล้วเช่นกัน ทำให้ใบหน้าที่เดิมทีก็เย้ายวนอยู่แล้วยิ่งดึงดูดใจเข้าไปอีก ดวงตางามฉ่ำน้ำ คำพูดคำจาก็เริ่มอ่อนหวานนุ่มนวล “ได้ยินท่านแม่บอกว่ามาสู่ขอท่านให้แต่งงานกับข้าแล้ว พี่หนิวอาจจะไม่ปฏิเสธ ไม่ทราบว่าจริงมั้ยคะ?”

เหมียวอี้ตอบ “อืม” อย่างคลุมเครือ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองตอบสนองเหมือนมีผีมีเทพดลใจแล้ว

“พี่หนิวจะตอบตกลงเรื่องแต่งงานมั้ยคะ?” น้ำเสียงของก่วงเม่ยเอ๋อร์เริ่มออดอ้อน ถึงขั้นลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ เข้ามารินสุราอยู่ตรงข้างกายเหมียวอี้แล้ว ร่างกายของทั้งสองสัมผัสกันโดยไม่รู้ตัว

เหมียวอี้ย่อมรู้ว่าตัวเองไม่มีทางตอบตกลง แต่มือข้างหนึ่งกลับไปสัมผัสกับขาของก่วงเม่ยเอ๋อร์อย่างเพ้อฝัน แล้วค่อยๆ ไหลขึ้นไปบนต้นขาอย่างข่มอารมณ์ไม่ไหว ลูบไล้อยู่บนจุดที่อวบอัดยืดหยุ่นบนบั้นท้ายของก่วงเม่ยเอ๋อร์แล้ว สัมผัสมือนั้นทำให้วิญญาณล่องลอย นิ้วทั้งห้าย่ำยีไม่ยอมปล่อย

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ตัวสั่นทันที ร่างงามอ่อนปวกเปียก ครางหนึ่งทีแล้วหมอบบนบ่าเหมียวอี้ นางคล้องคอเขา จอนหูถูไถอยู่ด้วยกัน นางถามพร้อมหายใจถี่กระชั้นว่า “พี่หนิวจะตอบตกลงมั้ยคะ?”

ใครจะคิดว่าจู่ๆ เหมียวอี้จะคิ้วกระตุก มือที่กำลังร้อนรนพลันย้ายออกจากร่างกายนาง เพลิงจิตทำงานเองโดยอัตโนมัติ แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย อวัยวะภายในและกระดูกมีควันลอยขึ้นมา จิตวิญญาณถูกกระตุ้นทันที รู้สึกได้ว่าตัวเองโดนพิษเข้าแล้ว

พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูภายใน เขาก็ตกใจทันที เป็นสภาพเดียวกับตอนที่เจอเฟยหง เป็นอารมณ์ราคะที่อยู่ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา มิน่าล่ะก่อนหน้านี้ถึงไม่สังเกตเห็น ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่รู้ตัวว่าโดนพิษได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าเป็นของประหลาดนั่น?

เหมียวอี้พลันดึงแขนทั้งสองของก่วงเม่ยเอ๋อร์ออก ถลันหลบไปอยู่ด้านข้าง แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “แม่นางเม่ยเหนียง ท่านเมาแล้ว!”

เขารู้ว่าใส่พิษประเภทนี้ไปแค่ปริมาณเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นก็คงสังเกตเห็นไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าควรจะแก้พิษอย่างไร เขาพลิกมือหยิบดวงจิตน้ำแข็งสองลูกไว้ในมือ ลูกหนึ่งกำไว้ในมือตัวเอง อีกลูกหนึ่งยัดไว้ในมือก่วงเม่ยเอ๋อร์

บนมือก่วงเม่ยเอ๋อร์ถูกย้อมด้วยน้ำค้างขาวในชั่วพริบตาเดียว ทั้งยังลามขึ้นมาบนแขนด้วย นางหนาวจนตัวสั่น ถูกกระตุ้นจนได้สติกลับมา นางย้อนนึกถึงภาพเมื่อครู่นี้ทันที ทำให้อายจนร้องอุทาน “หา” แล้วเดินถอยหลังหลายก้าว

ในดาราจักร จู่ๆ อวี่จ้งเจินก็เห็นเกาก้วนที่เหาะอยู่ข้างหน้าหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังติดต่อใคร จากนั้นก็ได้ยินเกาก้วนทำเสียงฮึดฮัด สะบัดแขนเสื้อสองข้าง แล้วเร่งความเร็วเหาะไปแล้ว ความเร็วไม่ได้เพิ่มขึ้นน้อยๆ ทิ้งห่างจากกำลังพลที่อยู่ข้างหลังแล้ว

…………………………

เรือนเจิดจรัส ในตึกศาลาที่งดงาม จั่วเอ๋อร์กำลังมองดูปลาแหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างเงียบๆ

เจ๋อชุนชิว ผู้จัดการใหญ่ของร้านค้าตระกูลอิ๋งเก็บระฆังดาราแลวรายงานว่า “ทางนั้นยังคุยเรื่องงานกันไม่เสร็จ ผู้ดูแลบ้าน ก่อนที่หน่วยงานสามหน่วยนั้นจะมาสอบสวน เกรงว่าโกวเยว่คงจะไม่ให้เขาออกไปพบกับอีกสามบ้านแล้ว ตระกูลก่วงได้เปรียบไปหมดแล้ว เกรงว่าเรื่องนี้จะ…”

“เชอะ!” จั่วเอ๋อร์แสยะยิ้ม ” เกรงว่าจะไม่แน่หรอก! มาครั้งนี้มีแต่ต้องพยายามเต็มที่ ถ้าพวกเราไม่ได้ บ้านอื่นก็อาจจะไม่ได้เหมือนกัน ยังมีคนที่ไม่ได้ลงมือนะ! เรื่องมาถึงป่านนี้แล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านที่อยู่วังสวรรค์จะไม่รู้ หนิวโหย่วเต๋อถูกเขาเลี้ยงมาหลายปี มีหรือที่จะปล่อยไปง่ายๆ ลูกคิดสมปรารถนาของโกวเยว่อาจจะคำนวณไม่สำเร็จก็ได้! ให้คนของพวกเราถอนกำลังกลับมา ไม่ต้องไปรบกวนถึงที่แล้ว พวกเราไม่มีหนทางแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านที่ไม่โผล่หน้ามาจะข่มอารมณ์ไหว”

เจ๋อชุนชิวครุ่นคิดตามที่พูด ทำให้เข้าใจแล้ว เพียงแต่ยังถามอย่างลังเลว่า “ผู้ดูแลบ้าน ต้องบอกฝั่งตระกูลฮ่าวด้วยมั้ย ไม่อย่างนั้นถ้าพวกเราถอยแล้วตระกูลฮ่าวยังไปพัวพัน แบบนั้นจะไม่ทำเสียเรื่องเหรอ?”

จั่วเอ๋อร์พ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ต้วนหงถูกส่งมาทำหน้าที่เกินความสามารถแทนซูอวิ้นแล้ว ไม่ใช่ไก่อ่อนเหมือนกัน เดี๋ยวต่อไปถ้าเห็นบ้านตัวเองวุ่นวายอยู่ฝ่ายเดียว แต่กลับไม่เห็นฝ่ายเรากับตระกูลโค่วมีปฏิกิริยา เดี๋ยวพวกเขาก็รู้ตัวเอง กลับเป็นถังเฮ่อเหนียนที่เงียบงันมาตลอด แบบนั้นกลับน่ากังวล มีความเป็นไปได้สูงว่าจิ้งจอกเฒ่านั่นก็มีแผนเหมือนกัน พวกเราต่างหากที่รู้ตัวช้าไปหน่อย ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะโดยใช่เหตุ”

เจ๋อชุนชิวพยักหน้า “เดี๋ยวข้าน้อยจะกำชับลงไป เพียงแต่จะปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างนี้เหรอ?”

“ยังไม่ได้พยายามเต็มที่ จะยอมแพ้ง่ายๆ ได้ยังไง! ตอนนี้โกวเยว่กำลังอ้างกำสั่งสวรรค์มาข่มคน กักหนิวโหย่วเต๋อไว้ไม่ยอมปล่อย พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน ทำได้เพราะรอโอกาสเจาะช่องโหว่” จั่วเอ๋อร์ถอนหายใจ แล้วหันกลับมาบอกว่า “เจ้าไปจัดการเรื่องตรงหน้าให้เรียบร้อยก่อนแล้วกัน เรื่องตอนหลังข้าค่อยหาทางอีกที”

“รับทราบ!” เจ๋อชุนชิวเอ่ยรับกำลังแล้วออกไป

จั่วเอ๋อร์โปรยอาหารลงในน้ำ แล้วปัดมือเบาๆ จากนั้นหันตัวเดินออกไปอย่างช้าๆ เดินเข้าไปในส่วนที่ลึกของบ้านเดี่ยว เข้าไปในลานบ้านที่สดใสสง่างาม

ในศาลา อิ๋งเยว่นั่งเงียบๆ ในมือกำลังปักลายผ้า พอเงยหน้าเห็นจั่วเอ๋อร์ ก็ก้มหน้าทำเรื่องของตัวเองต่อไป ไม่ได้ตื่นเต้นหรือดีใจ ไม่ได้เศร้าโศกและหวาดกลัว

จั่วเอ๋อร์เอียงหน้าบอกใบ้เล็กน้อย สาวใช้สองคนที่เดินมาด้วยจึงถอยออกไปแต่โดยดี เสร็จแล้วนางถึงได้ทำความเคารพ “บ่าวคารวะคุณหนู”

อิ๋งเยว่ไม่ตอบอะไร และไม่มีปฏิกิริยาอะไรเช่นกัน ยังก้มหน้าปักผ้าของตัวเองต่อไป ราวกับไม่ได้ยินอะไร

จั่วเอ๋อร์ยิ้มบางๆ เข้ามาในศาลาแล้วยืนอยู่ข้างหลังอิ๋งเยว่ เห็นเพียงในในกรอบปักผ้ามีลวดลายขนนกสีฟ้าที่งดงามประณีต จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวชม “คุณหนูช่างฝีมือดีจริงๆ ปีกนี้ราวกับมีชีวิตชีวา ถ้ามองผ่านๆ นึกว่าขนนกของจริงอยู่บนนี้ สวยงามจริงๆ ค่ะ!”

“สวยแล้วยังไงล่ะ? สุดท้ายก็เป็นแค่ขกนก ทำตามใจตัวเองไม่ได้ พอโดนลมเป่าก็ปลิวไปแล้ว” อิ๋งเยว่ตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สา

จั่วเอ๋อร์จึงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ขนนกเติบโตบนร่างกาย ถ้าร่วงแล้วเจ้าของก็ปวดใจเช่นกัน”

“ร่วงแล้วก็งอกใหม่ได้ไม่ใช่เหรอ?” อิ๋งเยว่ถาม

จั่วเอ๋อร์บอกว่า “การที่นกตัวหนึ่งจะดูดีได้ ก็เป็นเพราะบนตัวมันเต็มไปด้วยขน ก่อนจะมีขนที่งดงามงอกออกมา นกตัวนั้นก็ต้องกินให้อิ่ม ถึงจะมีสารอาหารไปเลี้ยงให้ขนทั้งตัวงดงามได้ ถ้าแม้แต่นกยังต้องหิวตาย แล้วยังจะมีขนไว้ทำไมอีก ส่วนขนที่เติบโตแล้วก็ร่วงเข้าสักวัน ขนบางเส้นก็ร่วงใส่ดินโคลนในภูเขา บางเส้นก็ถูกนำเข้าห้องนอนเป็นเครื่องประดับงดงาม ถูกคนเลี้ยงดูอุ้มชูเป็นเวลานาน ในเมื่อเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว แล้วจะไม่ไม่เลือกที่อยู่ให้ดีสักหน่อยล่ะ?”

“ถูกนำเข้าห้องนอน? ถูกคนเลี้ยงดูอุ้มชูเป็นเวลานาน? นั่นก็เป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เหรอ?” อิ๋งเยว่ถาม

จั่วเอ๋อร์ส่ายหน้า “ดูท่าคุณหนูจะเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว! เรื่องบางเรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่คุณหนูคิด เดี๋ยวรอให้คุณหนูแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ก็ย่อมรู้ถึงความลำบากของเจ้าบ้านเอง”

“ข้าถูกตัดหางปล่อยวัดแล้ว แต่ผู้ดูแลบ้านยังมาพูดถึงหลักการพวกนี้อีก ไม่เกินไปหน่อยเหรอคะ?” อิ๋งเยว่ถาม

จั่วเอ๋อร์บอกอีกว่า “เรื่องราวมีการเปลี่ยนแปลง ทางตระกูลก่วงทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการ เกรงว่าฝ่ายพวกเราจะเสียเปรียบ ดังนั้นอาศัยแค่คุณหนูถูกตัดหางปล่อยวัดก็อาจจะเงียบไปหน่อย ต้องเริ่มเคลื่อนไหวบ้างแล้ว เป็นฝ่ายรุกหน่อยค่ะ”

อิ๋งเยว่หยุดมือทันที แล้วถามว่า “จะให้ข้าทำอะไรอีก?”

จั่วเอ๋อร์บอกว่า “ตระกูลก่วงได้เปรียบแล้ว พวกเราไม่มีโอกาสได้โจมตีอีกแล้ว ทำได้เพียงพยายามคุมสถานการณ์เอาไว้เท่านั้น ตอนหลังบ่าวจะพยายามสร้างโอกาสให้เขากับคุณหนูอยู่ด้วยกันตามลำพัง ถ้าสามารถต้มข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกได้ ก็จะจัดการเรื่องนี้ได้แล้ว”

อิ๋งเยว่พลันเงยหน้า แล้วแสยะยิ้ม “จะให้ข้าเป็นฝ่ายเปลื้องผ้าเอาหมอนรองคอตัวเองเชียวเหรอ? เรื่องแบบนี้ถ้าผู้ชายไม่เต็มใจ ผู้หญิงจะยังบังคับไหวอีกเหรอ?”

“ก็เลยต้องการความร่วมมือจากคุณหนูไง!” จั่วเอ๋อร์พลิกมือเผยกล่องเล็กใบหนึ่ง แล้วเปิดออกอย่างเบามือ ในนั้นเป็นของเหลวข้นสีขาว เปล่งแสงสีส้มรางๆ “ขอเพียงใช้เล็บขูดสิ่งนี้เข้าไปในสุรา มันไร้สีไร้รส ไม่มีทางสังเกตเห็นได้เลย เมื่อดื่มไปแล้วทุกอย่างก็จะสำเร็จ คุณหนูพกไว้กับตัว เมื่อถึงเวลาสำคัญจะใช้ประโยชน์ได้ทันที นับว่าเตรียมไว้ล่วงหน้าเผื่อจำเป็นต้องใช้แล้วกันค่ะ”

อิ๋งเยว่เข้าใจทันทีว่าของสิ่งนั้นคืออะไร นางทั้งตกใจทั้งโมโห ลุกพรวดขึ้นมาแล้วถามว่า “นี่ท่านกล้าบังคับให้ข้าถือของลามกไปทำเรื่องชั้นต่ำแบบนี้เหรอ?”

“เฮ้อ!” จั่วเอ๋อร์ส่ายหน้าถอนหายใจ “มีบางอย่างที่คุณหนูไม่รู้ค่ะ นี่เป็นของดีนะ เป็นของที่หน่วยตรวจการซ้ายปรุงขึ้นมาโดยสูตรลับ กว่าจะได้มากสักหน่อยก็ไม่ง่ายเลย เวลาที่หน่วยตรวจการซ้ายต้องการจะทำภารกิจให้สำเร็จ ก็ไม่รู้ว่าใช้ของสิ่งนี้ไปตั้งกี่รอบแล้ว ตำหนักสวรรค์จะรู้สึกว่าของสิ่งนี้ชั้นต่ำเหรอ? คุณหนูโตเป็นสาวแล้ว ในภายหลังจะต้องเจอกับเรื่องราวมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนว่าไปตามเนื้อผ้าทั้งนั้น ไม่มีความหมายอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องต่ำช้าเลย”

อิ๋งเยว่โมโหแล้ว “จั่วเอ๋อร์ ท่านช่างกล้านักนะ ข้าเคารพที่ท่านอยู่ข้างกายท่านปู่ ทำไมท่านถึงกล้ารังแกข้าขนาดนี้?”

“คุณหนูกล่าวเกินไปแล้ว บ่าวจะกล้ารังแกคุณหนูได้อย่างไร เพียงแต่พ่อแม่ของคุณหนูก็ไม่ได้ใช้ชีวิตง่ายๆ ในตระกูลอิ๋งเช่นกัน บ่าวแค่อยากจะช่วยคุณหนูเท่านั้นเอง ไม่กล้าบังคับคุณหนูแน่นอน! คุณหนูน่าจะรู้ ว่าถ้าพ่อแม่คุณหนูได้คนที่ท่านอ๋องให้ความสำคัญและกุมอำนาจทางทหารมหาศาลของท่านอ๋องมาเป็นเขยนั้นจะช่วยเหลือได้มากขนาดไหน อายุขัยคนเรานั้นมีจำกัด ถ้าไม่ใช่ขนหงส์เกล็ดมังกร[1]ที่ก้าวข้ามความเป็นความตายมาแล้ว ถ้าไม่สามารถบรรลุถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ สุดท้ายก็ต้องกลับกลายเป็นฝุ่นเป็นดิน ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีคุณสมบัติในการสืบทอดตำแหน่งอ๋องได้ คุณหนูถามความเห็นพ่อแม่ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ค่ะ บ่าวขอตัว!” จั่วเอ๋อร์วางของทิ้งไว้บนโต๊ะ กุมหมัดคารวะ ออกมาจากศาลาแล้วหันตัวเดินออกไป

อิ๋งเยว่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศกคว้าของขึ้นมาแล้วทำท่าจะโยนทิ้ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่โยนออกไป นางนั่งลงอย่างห่อเหี่ยว สีหน้าเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด…

ณ ตึกจันทราดารา

ต้วนหงกำลังปิดตัวเองอยู่ในห้องมืดและหันหน้าเข้าแสงสลัวทางหน้าต่าง จู่ๆ นางก็หันตัวมา “มีแค่บ้านพวกเราเหรอที่ยังเกาะแกะอยู่นอกหอฉางเจิน?”

ฝานไซ่เซียนผู้จัดการใหญ่ร้านค้าของตระกูลฮ่าวพยักหน้า “ใช่แล้วค่ะ”

“ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมถังเฮ่อเหนียนถึงไม่เคลื่อนไหว ทำเอาข้าต้องคอยเฝ้าระวังจิ้งจอกเฒ่านั่นมาตลอด! ตระกูลก่วงได้เปรียบเต็มที่แล้ว ข้านึกว่าคนที่ยอมถอยเพื่อบุกแล้วค่อยลงมือต่างหากถึงจะแข่งให้เสมอกันได้! ตอนนี้ข้าถึงได้นึกได้ ว่าจิ้งจอกเฒ่านั่นเดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าฝืนแย่งกับตระกูลก่วงไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นจึงไม่ได้เคลื่อนไหวเลย จิ้งจอกเฒ่าก็ยังเป็นจิ้งจอกเฒ่าวันยังค่ำ เขานั่งชมละครเรื่องนี้อย่างใจเย็น แต่พวกเรากลับกระโดดขึ้นกระโดดลงจนเสียเปรียบ พออยู่ในที่สูงก็มองวิธีการออกทันที เดี๋ยวกลับไปท่านอ๋องจะต้องดูแคลนแน่!” ต้วนหงยกมือตบหน้าผากตัวเอง แล้วก็ชี้ไปที่ฝานไซ่เซียนอีก “อย่าแสดงความจนใจของพวกเรา สร้างสถานการณ์ให้ดูเหมือนว่าตระกูลก่วงจะได้ไป ส่วนคนที่ปั่นสถานการณ์ก็จะคอยเฝ้าดูพวกเราต่อสู้กันเอง พอพวกเราวุ่นวายปั่นป่วนเมื่อไร เขาก็จะลงมือทันที! เร็วเข้า! รีบให้คนของพวกเราถอนกำลัง คืนความเงียบสงบให้หอฉางเจิน”

“ค่ะ!” ฝานไซ่เซียนหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับภายนอกทันที เมื่อได้รับคำตอบแล้วก็เก็บระฆังดารา แล้วบอกว่า “พวกเขาถอยไปแล้วค่ะ”

ต้วนหงพยักหน้าแล้วถอนหายใจ “ถ้าตระกูลก่วงทำไม่สำเร็จ สุดท้ายจะต้องกลายเป็นแย่งคนมาจากมือของวังสวรรค์แน่นอน ตอนนั้นเกรงว่าจะแย่งมาไม่ได้ง่ายๆ แล้ว! ที่จิ้งจอกเฒ่าถังเฮ่อเหนียนนั่นชักช้าไม่ลงมือสักทีนั้นถูกแล้ว ต่อให้แย่งมาได้ก็เปล่าประโยชน์!”

“เพราะอะไรคะ?” ฝานไซ่เซียนแปลกใจ

ต้วนหงยิ้มเจื่อน “เพราะคดีนี้ยังไม่จบไง!”

ฝานไซ่เซียนอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจทันที กล่าวเสียงต่ำว่า “ไม่ผิดหรอก! ถ้าได้ไปตอนนี้ก็จะทำให้เบื้องบนอับอายจนโมโห ถ้าเบื้องบนต้องการจะป่วนแผนจริงๆ แล้วป่วนแผนไม่สำเร็จ แล้วคดียังไม่จบ ก็สามารถทำให้หนิวโหย่วเต๋อตายได้ทุกเมื่อ ดังนั้นความผิดทุกอย่างก็จะผลักไปให้หนิวโหย่วเต๋อรับไว้คนเดียว ที่แย่งไปได้ก็เป็นแค่คนตายคนหนึ่งเท่านั้น ทั้งยังทำให้ชื่อเสียงของลูกสาวเสียไปด้วย! ทัพตะวันตกที่เข้าร่วมคดีนี้ก็จะมีบทบาทมากทันที!”

“ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการเลย!” ต้วนหงเอียงหน้าถามอย่างลังเล “ของที่ให้เจ้าไปหา ได้มารึยัง?”

“เตรียมแล้วค่ะ” ฝานไซ่เซียนหยิงกล่องเล็กใบหนึ่งออกมา พอเปิดออก ข้างในก็มีแสงสีส้มอ่อนจาง ลักษณะเหมือนนมข้น “ในเมื่อได้มาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ของนี้ยังจะใช้ได้อีกเหรอคะ?”

ต้วนหงตอบว่า “ได้มาแล้วก็อย่าประกาศ จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อหนิวโหย่วเต๋อ รอให้คดีจบก่อน แล้วค่อยประกาศอีกที!”

ฝานไซ่เซียนพยักหน้าเบาๆ แล้วถามอย่างลังเลอีกว่า “ทางคุณหนูจะให้ความร่วมมือเหรอคะ?”

ต้วนหงบอกว่า “ได้เสพสุขกับความสูงส่งที่คนในโลกนี้ยากจะเอื้อมถึง ก็มีราคาที่ต้องจ่ายให้สอดคล้องกัน เรื่องนี้นางตามใจตัวเองไม่ได้ นอกจากนี้ เรื่องนี้ต้องเตรียมไว้สองมือ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่รู้จักกาลเทศะเพราะแม่หม้ายคนนั้นจริงๆ ก็จับแม่หม้ายคนนั้นมา แล้วลงมือที่ตัวแม่หม้ายคนนั้น ให้นางไปเกลี้ยกล่อมหนิวโหย่วเต๋อ”

“ข้าจะไปเตรียมการค่ะ” ฝานไซ่เซียนกล่าว

“เลอะเลือน! ตอนนี้ไม่ใช่เวลาลงมือ หออวิ๋นฮว๋ามีกองทัพองครักษ์เฝ้า อย่าบอกนะว่าเจ้าจะฝืนบุกเข้าไป? อีกประเดี๋ยวสามหน่วยงานที่สืบคดีต้องพาเจ้าไปสืบสวนแน่ ถ้าคนหายไปแล้ว อีกทั้งประตูเมืองก็ปิดอยู่!” ต้วนหงกล่าว

ในเมือง ร้านค้าสมาคมวีรชน หวงฝู่ตวนหรงเดินเนิบนาบอยู่ในป่าไผ่

ในป่ามีเก้าอี้นอนที่ทำจากไม้ไผ่อยู่ตัวหนึ่ง คนวัยกลางคนสวมชุดขาวกำลังนอนเปลือยเท้าอยู่บนนั้น หน้าตาหล่อเจ้าสำราญ กำลังถือม้วนไม้ไผ่อ่านอย่างได้อรรถรส หมุนใบไผ่ที่ปลิวมาตกบนตัวเขาเป็นระยะ ทั้งตัวเผยลักษณะเกียจคร้านและอิสระล่องลอย

หวงฝู่ตวนหรงเดินมาข้างๆ หย่อนก้นนั่งลง ทำให้ชายวัยกลางคนงอตัวเล็กน้อย เบียดแย่งตำแหน่งเขา แล้วบิดหูเขา  “เจ้ากลับทำตัวสบายใจ ให้ข้าวิ่งเต้นไปที่นั่นที่นี่”

ชายวัยกลางคนไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นสามีของหวงฝู่ตวนหรงนั่นเอง เป็นบิดาของหวงฝู่จวินโหรวด้วย ชื่อว่าอู่หนิง

อู่หนิงได้ยินดังนั้น ศีรษะก็เบี่ยงออกมาจากม้วนหนังมือ แล้วมองนางพร้อมกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ฮูหยินทำงานแก่งมาตลอด ข้าก็ย่อมวางใจสิ ว่ามาเถอะ ทางหอฉางเจินมีสถานการณ์ยังไง?”

“ไม่วุ่นวายแล้ว คนไปหมดแล้ว” หวงฝู่ตวนหรงตอบ

“ไปหมดแล้วเหรอ?” เขาวางวางม้วนหนังสือไว้ตรงหน้าอก อู่หนิงขมวดคิ้วบอกว่า “หอฉางเจินอ้างคำสั่งสวรรค์ข่มคน สงสัยตระกูลที่เหลือจะทำอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าถ่วงเวลาต่อไปอีก เกรงว่าคงจะเสร็จตระกูลก่วงจริงๆ” จากนั้นก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อไปที่ไหนสักแห่ง

ขณะที่หวงฝู่ตวนหรงมองเขา นางก็อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้พูดออกมา ในแววตาสื่ออารมณ์ซับซ้อนสับสน

…………………………

[1] ขนหงส์เกล็ดมังกร 凤毛麟角 อุปมาถึงสิ่งล้ำค่าหายาก

โกวเยว่กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้อน “เรื่องนี้ของเจ้า หวังเฟยก็เคยได้ยินมาเช่นกัน รู้สึกชื่นชมในไมตรีจิตมิตรภาพของขุนพล รู้สึกว่าฝากฝังลูกสาวสุดที่รักไว้ให้ขุนพลได้ ขุนพลจะไม่ปฏิบัติต่อนางอย่างขาดความยุติธรรมแน่นอน นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่หวังเฟยถูกใจขุนพล หวังเฟยก็เป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตรเช่นกัน ไม่ใช่คนชั่วร้ายที่บังคับกลั่นแกล้งแน่นอน จะทำให้เจ้ากับผู้จัดการร้านอวิ๋นสมปรารถนา ถ้าเจ้าจะรับนางเป็นอนุภรรยา หวังเฟยก็จะไม่แย้งอะไรเช่นกัน”

พอพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองอีกฝ่ายสองครั้ง ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ด้วย พูดจาได้อย่างไม่มีช่องโหว่ ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลโค่วเตือนไว้ก่อนว่ามีเบื้องหลังเบื้องลึก เกรงว่าคงจะตื้นตันใจจนเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ เขาส่ายหน้าเบาๆ พร้อมตอบว่า “อยู่ดีๆ หวังเฟยก็มาโปรดปราน ทำให้ข้าน้อยทำอะไรไม่ถูกจริงๆ ข้าน้อยไม่ได้เตรียมใจไว้สักนิดเลย ไม่กล้ารับเรื่องอันงดงามนี้ไว้ขอรับ”

“เหตุใดจึงไม่กล้ารับไว้? หรือว่าคุณหนูของบ้านเราหน้าตาไม่ดึงดูดใจมากพอ?” โกวเยว่ถาม

“คุณหนูงดงามล้ำเลิศ แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องหน้ตา เป็นเพราะข้าน้อยปีนป่ายขึ้นไปไม่ไหวจริงๆ” เหมียวอี้ตอบ

โกวเยว่จึงบอกว่า “ปีนป่ายอะไรกัน? หวังเฟยกับคุณหนูปฏิบัติอย่างเสมอภาคกับผู้อื่นมาตลอด ให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตร ไม่เน้นเรื่องพื้นเพชาติกำเนิด เมื่อครู่นี้มีจุดไหนที่หวังเฟยกับคุณหนูหยิ่งผยองต่อขุนพลหรือเปล่า? หรือกังวลว่าการที่คุณหนูแต่งงานกับขุนพลจะมีเงื่อนงำอะไรซ่อนเร้น? มีอยู่จุดหนึ่งที่ข้ารับประกันต่อขุนพลได้ ด้วยการอบรวมของจวนท่านอ๋อง พวกเราไม่ถึงขั้นทำเรื่องอะไรที่เสื่อมเสียต่อมมาตรฐานศีลธรรมของวงศ์ตระกูลหรอก ทุกวันนี้คุณหนูยังมีร่างกายที่บริสุทธิ์ดุจหยก หากไม่ได้รับความยินยอมจากจวนท่านอ๋อง คุณหนูก็ไม่มีทางและไม่มีโอกาสได้ตกอยู่ในสถานการณ์หรือสถานที่ที่ทำให้คนอื่นสงสัย”

เขากังวลว่าเหมียวอี้จะคิดว่าการที่จู่ๆ มีเรื่องดีแบบนี้เกิดขึ้น เป็นเพราะรู้ว่าเหมียวอี้ไม่รังเกียจแม่หม้าย เลยอยากจะให้เขกล้ำกลืนปัญหาที่ยากจะเอ่ยออกมา ดังนั้นจึงตั้งใจประกาศให้รู้แบบนี้

“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าเพียงไม่บังอาจปีนป่ายขึ้นไปก็เท่านั้นเอง” เหมียวอี้ตอบ

โกวเยว่จึงบอกอีกว่า “ขุนพล เรื่องบางเรื่องต้องพิจารณาจากความเป็นจริง เจ้ากำลังอยู่บนด่านยาก หวังเฟยเป็นคนที่สามารถพูดโน้มน้าวต่อหน้าท่านอ๋องได้แน่นอน”

เหมียวอี้นิ่งเงียบไปนานมาก แล้วสุดท้ายก็ตอบอย่างไม่แน่ใจว่า “เรื่องนี้มาเยือนอย่างกะทันหันเกินไปจริงๆ ให้ข้าไตร่ตรองสักหน่อยได้หรือไม่”

ต่อมาไม่ว่าโกวเยว่จะพูดอะไร เหมียวอี้ก็ล้วนบอกไปแบบนั้น นั่นก็คือต้องพิจารณาไตร่ตรองให้ดีสักหน่อย

ทั้งใช้อำนาจบังคับทั้งใช้ผลประโยชน์หลอกล่อแต่ก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายโกวเยว่จึงทำได้เพียงพูดความจริง “มีเรื่องบางเรื่องที่ข้าจะไม่ปิดบังขุนพล ที่จริงข้าได้รับคำสั่งจากท่านอ๋องให้พาคุณหนูมาด้วย นึกไม่ถึงว่าหวังเฟยจะตามมาด้วยเหมือนกัน หวังเฟยกับคุณหนูต่างก็รู้ถึงจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ ที่จริงไม่ต้องให้หวังเฟยมาถามเรื่องนี้ ท่านอ๋องก็มีเจตนาจะให้คุณหนูแต่งงานกับขุนพลอยู่ดี ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพราะได้รับคำสั่งให้มาเป็นคนกลางประสานงานเรื่องแต่งงานของคุณหนูกับขุนพล ขุนพลรู้หรือเปล่าว่าทำแบบนี้เพราะอะไร?”

เหมียวอี้จึงกล่าวเหมือนประหลาดใจ “ท่านอ๋องต้องการให้คุณหนูแต่งงานกับข้าเหรอ? ข้าก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นที่น่านฟ้าระกาติง จะเป็นไปได้ยังไง? เพราะอะไร?”

“ได้ยินว่าอาจารย์ของเจ้าคืออสุราอัคนีที่หลายปีก่อนเคยอยู่ในใต้หล้าอย่างไร้อุปสรรคใช่มั้ย?” โกวเยว่ถาม

เหมียวอี้อึ้งทันที “ท่านทราบได้ยังไง?”

“ไม่สำคัญว่ารู้ได้ยังไง ที่สำคัญคือทำไมท่านอ๋องถึงนับถืออสุราอัคนีมาก เลยถูกใจขุนพลไปด้วย นี่ต่างหากคือเหตุผลที่จะให้คุณหนูแต่งงาน ขุนพลได้รับบัตรเชิญจากหลายบ้านพร้อมกัน เกรงว่าบ้านที่เหลือก็คงจะมีเจตนาแบบนี้เช่นกัน” โกวเยว่ตอบ

เขาเองก็หมดหนทางแล้วถึงได้ทำแบบนี้ แต่จะเป็นจะตายเหมียวอี้ก็ไม่ยอมตอบตกลงเลย ดึงดันจะกลับไปคิดดูก่อนให้ได้ เดี๋ยวต่อไปเหมียวอี้ก็ต้องเจอกับอีกสามตระกูลอย่างเลี่ยงไม่ได้ พอไปเจอแล้ว การแสดงของฝ่ายนี้จะต้องโดนเปิดโปงแน่นอน ไม่สู้เปิดเผยออกมาตรงๆ เลยดีกว่า ต่อไปเหมียวอี้จะได้ไม่โมโหที่โดนฝั่งนี้หลอก

เหมียวอี้ขมวดคิ้วพึมพำ “ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้…”

โกวเยว่บอกอีกว่า “ถึงแม้สถานการณ์จะเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าพูดถึงความจริงใจ คุณหนูของพวกเราเป็นบุตรสาวของฮูหยินเอกนะ ผู้หญิงของบ้านอื่นล้วนเป็นบุตรสาวของอนุภรรยา ความงามของคุณหนูก็ไม่แพ้ผู้หญิงบ้านอื่น ส่วนหวังเฟยก็ถูกใจขุนพลโดยไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกจริงๆ นี่ก็คือวาสนา ไม่ว่าในอนาคตจะเป็นยังไง หวังเฟยมีลูกสาวแค่คนเดียวเท่านั้น ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางทนมองลูกสาวและลูกเขยตัวเองได้รับความลำบาก ส่วนตระกูลฮ่าวน่ะ พวกเราล้วนส่งพ่อบ้านมามาเป็นพ่อสื่อ แต่ตระกูลฮ่าวส่งมาแค่หัวหน้าผู้ช่วยคนเดียวเท่านั้น แค่คิดก็รู้แล้วว่าขุนพลมีความสำคัญประมาณไหนในสายตาตระกูลฮ่าว ส่วนตระกูลอิ๋ง ขุนพลกับตระกูลอิ๋งมีบุญคุณความแค้นอะไรต่อกันก็ไม่ต้องให้ข้าพูดมาก ฝ่ายนั้นอยากจะใช้ประโยชน์ขุนพลแบบโจ่งแจ้งเลย ขุนพลหนีไม่พ้นสาเหตุการตายของอิ๋งเหย้าขุนพล หรือว่าขุนพลคิดว่าไปตระกูลอิ๋งแล้วจะสบายดี พวกนั้นมีความเจ็บปวดจากการสูญเสียนะ พ่อแม่ของอิ๋งเหย้าจะทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ? ถ้าขุนพลไปที่ตระกูลโค่วก็ไมม่ได้อยู่อย่างสงบสุขเช่นกัน!”

แต่นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการที่อวิ๋นจือชิวจะกลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของตระกูลโค่ว เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ข้ากับตระกูลโค่วไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ทำไมไปที่ตระกูลโค่วแล้วจะอยู่อย่างไม่สงบสุขล่ะ?”

“ไม่ได้มีความแค้น จริงเหรอ?” โกวเยว่หัวเราะหึหึ แล้วถามกลับว่า “หรือว่าขุนพลลืมเรื่องการทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิตไปแล้ว? ขุนพลอยู่ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาของโค่วเหวินหลาน แต่กลับสู้กับลูกน้องของโค่วเหวินหวง เรื่องราวเบื้องลึกในนั้นปิดบังคนอื่นได้ แต่ปิดบังคนที่ตามีเวลาไม่ได้หรอก ไม่ทราบว่าขุนพลไม่รู้จริงหรือแกล้งไม่รู้ ฐานะเดิมของโค่วเหวินหลานในตระกูลโค่วเป็นอย่างไร คาดว่าขุนพลคงรู้มาบ้างแล้ว นั่นคือตัวละครที่แก่งแย่งต่อสู้กับโหวหลงเฉิง การทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิตของขุนพลก็ได้ช่วยโค่วเหวินหลานเอาไว้ ทำให้โค่วเหวินหลานช่วงชิงการสนับสนุนจากตระกูลโค่วได้ แต่กลับเป็นการเบียดโค่วเหวินหวงให้ออกมาจากลำดับการเลี้ยงดู เจ้าคิดว่าโค่วเหวินหวงจะยอมรับน้องเขยอย่างเจ้าจากใจจริงเหรอ?

 ข้ารู้ว่าขุนพลกับโค่วเหวินหลานสนิทกัน แต่การต่อสู้ภายในตระกูลระหว่างโค่วเหวินหวงกับโค่วเหวินหลานเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่รู้ว่าขุนพลไปที่ตระกูลโค่วแล้วเตรียมจะยืนอยู่ฝ่ายไหน? อยากจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ภายในของลูกหลาน ตระกูลโค่วเหรอ? จะช่วยโค่วเหวินหลานข่มโค่วเหวินหวง หรือจะช่วยโค่วเหวินหวงจัดการโค่วเหวินหลานดีล่ะ แล้วตอนหลังจะสู้กับโค่วเหวินไป๋อีกมั้ย? ไม่ใช่แค่ตระกูลโค่วนะ ไม่ว่าขุนพลจะเข้าตระกูลอิ๋งหรือตระกูลฮ่าวหรือตระกูลโค่ว ไม่ว่าแต่งงานกับใครก็ต้องเลือกกลุ่มเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้ภายในทั้งนั้น ขุนพลอาจจะไม่รู้ถึงอันตรายที่อยู่ในนั้น แต่ข้ากลับรู้อยู่แก่ใจ มีเพียงคุณหนูบ้านข้าที่แตกต่างออกไป หวังเฟยมีคุณหนูเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ฐานะของหวังเฟยก็เหนือกว่าคนอื่น ไม่จำเป็นต้องไปต่อสู้กับลูกอนุภรรยาพวกนั้น ขอเพียงขุนพลยืนอยู่ข้างหลังหวังเฟย เรื่องอื่นๆ ก็ไม่ต้องสนใจแล้ว ขุนพลเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้กระจ่าง จำเป็นต้องคิดมากอีกเหรอว่าควรจะไปที่ไหน?”

บนตึกศาลา หวังเฟยที่มาแอบฟังเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พอได้ยินแบบนี้ก็แอบร้องในใจว่ายอดเยี่ยมมาก แอบชมว่าสมแล้วที่พ่อบ้านเป็นคนที่ท่านอ๋องให้ความสำคัญที่สุด ความสามารถในการจัดการเรื่องต่างๆ ย่อมไม่ต้องพูดถึง พูดแค่ไม่กี่ประโยคก็ฟาดอีกสามบ้านตายแล้ว

ที่สำคัญที่สุดก็คือ คำพูดของโกวเยว่เข้ามาอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของนางแล้ว พอหนิวโหย่วเต๋อแต่งงานกับลูกสาวของนาง ก็จะยืนอยู่ข้างหลังนาง นี่ก็คือพลังในมือของนาง คนอื่นแย่งไปไม่ได้!

วรยุทธ์ของโกวเยว่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เหมียวอี้จะเทียบติด ย่อมสังเกตได้แล้วว่าหวังเฟยอยู่บนตึก

เหมียวอี้เงียบงัน คำพูดของอีกฝ่ายได้เตือนสติเขาแล้ว กลับไปจะต้องเตือนอวิ๋นจือชิว ว่าหลังจากกลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของโค่วหลิงซวีแล้ว จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างลูกหลานในตระกูลโค่ว

เมื่อเห็นเขาเงียบไป โกวเยว่ก็นึกว่าตัวเองพูดโน้มน้าวสำเร็จแล้ว จึงถือโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อน “นอกจากนี้ ยังต้องกลับมาสู่ความเป็นจริงด้วย ถึงยังไงขุนพลก็ก็ก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติง เป็นอาณาเขตปกครองของท่านอ๋อง ครั้งนี้มีสามหน่วยงานมาสืบคดีด้วยกัน มีเพียงท่านอ๋องคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยขุนพลได้อย่างแท้จริง น่านฟ้าระกาติงจะยอมหรือไม่ยอมก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับความคิดชั่ววูบเดียวของท่านอ๋องเท่านั้น และหวังเฟยก็ให้ความสำคัญด้วย มีหวังเฟยช่วยพูดอยู่ข้างกายท่านอ๋อง ก็รับประกันอนาคตของขุนพลได้เลย!”

ที่สวนในลานบ้านด้านหลังของโถงฉากเมฆา จู่ๆ ถังเฮ่อเหนียนที่ทำท่าจะลงหมากก็ขมวดคิ้ว แล้วบอกว่า “น่าสนใจแล้ว โกวเยว่คนนี้ใช้ได้จริงๆ หวังเฟยนั่นคงสร้างแรงกดดันให้เขาไม่น้อย หรือไม่เบื้องหลังก็มีหลานบ้านที่กดดันเขา แม้แต่หน้าตาศักดิ์ศรีก็ไม่สนแล้ว เปิดเผยให้หนิวโหย่วเต๋อรู้หมดเปลือกว่าก่วงลิ่งกงกำลังเอาเรื่องงานมาใช้ประโยชน์ส่วนตัว ไม่น่าเชื่อว่าจะปลอมแปลงคำสั่งเบื้องบนแล้วเอาตัวไป เขากำลังรังแกที่ฝ่ายอื่นไม่มีทางเปิดโปงเขาได้ เป็นเพราะเหนือความคาดหมายจริงๆ อีกสองบ้านโดนเขาเล่นงานเสีจจนโวยวายไม่ออก ควรจะร้อนใจได้แล้ว มาถึงขั้นนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าโกวเยว่จะไม่หยุดถ้าไปไม่ถึงจุดหมาย ต่อให้จะดึงหนิวโหย่วเต๋อไว้ได้ แต่คาดว่าโกวเยว่คงจะไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อไปบ้านอื่นอีก นายน้อย ติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าฝ่ายเราไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย ก็จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย ถือโอกาสเตือนหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อย ถ้าโกวเยว่อยากจะถ่วงเวลาไม่ให้ไปบ้านอื่น ก็อย่าได้ดันทุรังฝืน ไม่อย่างนั้นอาจจะกลายเป็นการแสดงความโง่เขลา ให้ถ่วงเวลารอเกาก้วนมา เรื่องนี้ขอแค่ก่วงลิ่งกงยอมตกลงก็พอแล้ว แล้วก็…ให้เขาระวังเรื่องของกินด้วย โกวเยว่ยอมทุ่มสุดตัวแล้ว ไม่ว่าวิธีการอะไรก็ใช้ได้ทั้งนั้น บอกเขาให้พยายามอย่าอยู่ในห้องกันเพียงลำพัง จะได้ไม่ต้องเกิดเหตุการณ์ที่ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ถ้าไม่ไหวจริงๆ เมื่อพบความไม่ชอบมาพากลก็ให้เขาใช้ระฆังดาราติดต่อลูกน้องเขาให้โจมตีหอฉางเจินได้เลย ฝั่งพวกเราจะส่งยอดฝีมือไปช่วย”

โค่วเหวินหลานได้ยินแล้วตกใจไม่เบา รีบหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อ

ดังนั้นเหมียวอี้ที่อยู่หอฉางเจินจึงหยิบระฆังดาราออก พอตอบเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นยืน “โค่วเหวินหลานส่งข่าวมาเร่งให้ข้าไปหา ข้าน้อยอยู่ที่นี่มานานแล้ว ขอตัว!”

โกวเยว่ลุกขึ้นไปดักหน้าเหมียวอี้ แล้วถามว่า “ขุนพลตัดสินใจรึยัง?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ให้ข้ากลับไปไตร่ตรองสักหน่อย ข้ารับประกันกับท่านได้ ว่าข้าเข้าใจที่ท่านพูดแล้ว ถ้าจะตอบตกลงก็มีแต่จะตอบตกลงกับท่านเท่านั้น ไม่ตอบตกลงกับอีกสามบ้านแน่”

“พูดจริงเหรอ!” โกวเยว่ตาเป็นประกาย

“หรือท่านคิดว่าข้าเป็นคนพูดจาเชื่อถือไม่ได้?” เหมียวอี้ถามกลับ

โกวเยว่ตอบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องบ้านอื่นให้วุ่นวายใจแล้ว อยู่ไตร่ตรองที่นี่ต่อเพื่อพิสูจน์ความจริงใจของขุนพลดีมั้ย? ไม่ต้องไปหาตระกูลโค่วแล้ว!”

เหมียวอี้เงียบไป แล้วสุดท้ายก็พยักหน้าบอกว่า “ก็ได้!”

โกวเยว่เผยรอยยิ้มบางๆ เดิมทีจะเตรียมเรือนพักให้เหมียวอี้ไปพักผ่อน แต่เหมียวอี้ปฏิเสธแล้ว บอกว่าอยากจะเดินเล่นให้สบายใจสักหน่อย

โกวเยว่ย่อมอนุญาตแล้ว ยืนพิงรั้วพลางมองตามเหมียวอี้เดินเล่นริมทะเลสาบ แล้วหานตงก็เดินออกมาจากอีกด้าน บอกว่า “ตระกูลฮ่าวกับตระกูลอิ๋งส่งคนมาเร่งเป็นระยะ ต้องการเชิญให้หนิวโหย่วเต๋อไปหาขอรับ”

“ถ้าให้เขาไปจริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าบ้านอื่นจะใช้วิธีการอะไรกับเขา บอกไปเพียงว่ายังคุยงานไม่เสร็จ” โกวเยว่กล่าวเสียงเรียบ

“ขอรับ!” หานตงเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป

ส่วนโกวเยว่ก็หันตัวไป รีบเดินขึ้นไปบนตึกศาลา พอเห็นเม่ยเหนียงที่รออยู่ ก็กล่าวทำความเคารพ

“เขาจะตอบตกลงมั้ย?” เม่ยเหนียงถามอย่างฮึกเหิม

โกวเยว่ยิ้มพร้อมบอกว่า “มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าเขาหวั่นไหวแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยบุ่มบ่ามดื้อรั้นของคนคนนี้ ไม่มีทางที่จะลังเลขนาดนี้แน่ อักทั้งเงื่อนไขฝั่งเราก็เหนือกว่าอีกสามบ้าน ประเด็นสำคัญคือช่วยเขาได้ เพียงแต่เรื่องนี้ยังไม่เป็นความจริง จึงมีโอกาสเปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นไปได้…” เขาลังเลนิดหน่อย ก่อนจะพูดหยั่งเชิงว่า “ทางที่ดีควรต้มข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก ถึงจะมั่นใจและเชื่อถือได้ที่สุด ไม่ทราบว่าทางคุณหนู…”

เม่ยเหนียงขมวดคิ้ว “อย่างอื่นก็พูดง่ายหน่อย แต่ข้ารู้จักนิสัยของเม่ยเอ๋อร์ดี ต่อให้นางจะรู้สึกดีกับหนิวโหย่วเต๋อ แต่เพิ่งเจอกันครั้งแรก นางไม่มีทางตอบตกลงทำเรื่องแบบนั้น”

โกวเยว่แววตาวูบไหวนิดหน่อย จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ปล่อยไปตามธรรมชาติดีกว่ หวังเฟย อาศัยความงามของคุณหนู สามารถส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในตอนท้ายของหนิวโหย่วเต๋อไม่น้อยเลย ไม่ทราบว่าโน้มน้าวให้คุณหนูไปอยู่กันสองต่อสองกับหนิวโหย่วเต๋อเพื่อเพิ่มความเป็นไปได้สักหน่อยดีมั้ย?”

เม่ยเหนียงยิ้มบางๆ นางเห็นด้วยกับความคิดนี้…

…………………………

พอมาถึงตึกศาลาด้านบน ก็พบว่ายังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง กำลังนั่งหันหลังให้ทางนี้ เหมือนกำลังต้มน้ำชาอยู่ด้วย

เม่ยเหนียงสวมเครื่องแต่งกายหรูราแสดงอำนาจบารมีทั้งตัว ชายกระโปรงยาวลากพื้น บนศีรษะสวมมงกุฎชั้นหนึ่ง ยืนอยู่คนเดียวอย่างเย่อหยิ่ง บนใบหน้าเจือรอยยิ้มบางๆ ขณะมองเหมียวอี้เดินเข้ามา

เหมียวอี้เองก็ได้เปิดหูเปิดตาที่อุทยานหลวงมาบ้าง แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเครื่องแต่งกายที่อีกฝ่ายสวมใส่คือชุดสตรีบรรดาศักดิ์ ทั้งยังเป็นชุดสตรีบรรดาศักดิ์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน อาศัยฐานะของอ๋องสวรรค์ก่วงก็เดาได้ไม่ยากว่าเป็นชุดสตรีบรรดาศักดิ์ขั้นหนึ่ง นี่คือคนระดับหวังเฟยเท่านั้นที่มีได้

ในปัจจุบันทั้งใต้หล้ามีเพียงอ๋องสวรรค์ก่วงเท่านั้นที่มีหวังเฟย ส่วนอีกสามอ๋องนั้นไม่ได้แต่งงานใหม่ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ผู้ที่มีสิทธิ์สวมชุดสตรีบรรดาศักดิ์ขั้นหนึ่งก็มีเพียงท่านที่อยู่ตรงหน้านี้เท่านั้น บรรดาศักดิ์ขั้นหนึ่งก็เป็นยศขุนนางเช่นกัน มีค่าประจำตำแหน่งเท่ากับระดับจอมพล เพียงแต่ไม่มีอำนาจทางทหารก็เท่านั้นเอง

เหมียวอี้รีบก้าวขึ้นมาทำความเคารพ “ข้าน้อยคารวะหวังเฟย!”

“พบกันเป็นการส่วนตัวเท่านั้น ไม่ต้องมากพิธี!” เม่ยเหนียงยกแขนเสื้อขึ้น แต่สายตากลับจ้องเหมียวอี้ทั้งข้างล่างข้างบนสองครั้ง ในดวงตาอมยิ้ม พบว่าเหมียวอี้ที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วยิ่งดูองอาจห้าวหาญ เฉียบคมสมเป็นลูกผู้ชาย มีสง่าราศีค่อนข้างดี

นางอยากจะเห็นปฏิกิริยาของลูกสาว จึงเอียงหน้ามองไม่ ผลปรากฏว่าลูกสาวฉวยโอกาสตอนนางไม่สนใจหันหลังให้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ มองไม่เห็นตัวผู้ชายเลย นางทั้งโมโหทั้งอยากขำ แต่ก็เข้าใจความรู้สึกสาวโสดเช่นกัน จึงเอ่ยถามทันทีว่า “เม่ยเอ๋อร์ เหตุใดจึงเสียมารยาทเช่นนี้ ไม่รู้หรือว่ามีแขกมา?”

ตอนนี้ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่นั่งยองๆ ถึงได้ยืนขึ้น แล้วหันตัวมามองแขกอย่างเนิบนาบ เพียงแต่มองเหมียวอี้แค่แวบเดียว แล้วก็หลุบตาลงอย่างขวยอาย ไม่กล้ามองตรงๆ แต่กลับเห็นใบหน้าของเหมียวอี้ชัดเจนแล้ว นางพบว่าเขามีสง่าราศีของลูกผู้ชายเต็มเปี่ยม ความองอาจกับพลังหยางที่หลอมรวมกันทำให้เกิดพลังปะทะต่อสายตา ไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้จากตัวลูกหลานผู้มีอำนาจที่ตัวเองเคยเจอ ทำให้นางหัวใจเต้นรัวยิ่งขึ้น

เหมียวอี้ก็อึ้งตั้งแต่แวบแรกที่เห็นก่วงเม่ยเอ๋อร์เช่นกัน ด้านในของชุดคลุมผ้ามุ้งบางสีทองคือชุดกระโปรงสีขาว ในเรือนร่างสุดเย้ายวนเผยให้เห็นความสง่างาม ใบหน้าสวยสดราวกับลูกท้อลูกสาลี ในดวงตางามแฝงความออดอ้อนเย้ายวนโดยธรรมชาติ เป็นความสวยเย้ายวนประเภทผู้ชายเห็นแล้วหลงทันที โดยเฉพาะท่าทางเขินอายแบบนั้นก็ยิ่งมีเสน่ห์

“นี่คือลูกสาวของข้า ก่วงเม่ยเอ๋อร์ ครั้งนี้ติดตามข้าออกมาเที่ยวเล่นด้วยกันแล้ว” เม่ยเหนียงยกมือแนะนำ นางแอบภาคภูมิใจเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของเหมียวอี้ ลูกสาวที่ข้าคลอดมาจะแย่ได้อย่างไรล่ะ

“ข้าน้อยคารวะคุณหนู” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะทันที

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ย่อตัวเล็กน้อยเพื่อคารวะกลับ พร้อมกล่าวด้วยเสียงที่แหลมเล็ก “คารวะขุนพลหนิวค่ะ”

เหมียวอี้ไม่รู้จะพูดอะไรดี เขามองไปที่เม่ยเหนียงเงียบๆ แวบหนึ่ง พบว่าสองแม่ลูกหน้าตาคล้ายกันจริงๆ หน้าตาต่างกันไม่มาก ทั้งคู่มีความสวยเย้ายวนโดยธรรมชาติแบบที่ใฝ่ฝันได้แต่ไขว่คว้าไม่ได้ ราวกับพิมพ์ออกมาจากแม่พิมพ์ เพียงแต่อีกคนดูสุกงอมและรูปร่างใหญ่กว่า ส่วนอีกคนมีรูปร่างเล็กและแฝงความเขินอายของสาวแรกรุ่น ต่างกันเหมือนอีกคนเป็นดอกไม้ตูม อีกคนเป็นดอกไม้บาน ถ้าไม่บอกว่าสองคนนี้เป็นแม่ลูกกัน ดูจากอายุและรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ก็เกรงว่าคนคงเข้าใจผิดว่าเป็นพี่สาวกับน้องสาว

ในใจเขาแอบทอดถอนใจ เป็นเพราะอำนาจอิทธิพลของอ๋องสวรรค์ก่วงเช่นกัน จึงไม่มีใครกล้าคิดไม่ซื่อกับแม่ลูกคู่นี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปที่เลี้ยงผู้หญิงแบบสองคนนี้ไว้ในบ้าน เกรงว่าหญิงงามคงจะเป็นต้นตอหายนะ ดีไม่ดีอาจจะทำให้มีภัยถึงตายก็ได้

พอนึกถึงคำว่า ‘โชคสามชั้น’  ที่ตระกูลโค่วบอก เหมียวอี้ก็แอบหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก คนที่จะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตนจริงๆ คงไม่ใช่ก่วงเม่ยเอ๋อร์คนนี้ใช่มั้ย? อ๋องสวรรค์ก่วงช่างโยนเหยื่อล่อที่หอมหวานไร้ที่เปรียบออกมาได้จริงๆ นับว่าลงทุนควักเนื้อแล้ว อสุราอัคนีเอ๊ยอสุราอัคนี ข้าได้อาศัยบารมีแล้ว

เขาเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน พอเห็นผู้หญิงที่สวยเย้ายวนแบบก่วงเม่ยเอ๋อร์ ถ้าจะบอกว่าในใจไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดก็แสดงว่าโกหกแล้ว ถ้านางไม่ได้มีฐานะภูมิหลังแบบนั้น เขาก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะไม่ครอบครองหญิงงามในทันทีเหมือนที่ทำกับจูเก๋อชิง เขารู้ชัดอยู่แก่ใจดี ว่าถ้าไปแตะต้องก่วงเม่ยเอ๋อร์คนนี้จริงๆ อวิ๋นจือชิวก็จะมีอันตรายถึงชีวิต เพราะตระกูลโค่วได้อธิบายเอาไว้ชัดเจนแล้ว

เม่ยเหนียงยิ้มเรียบๆ พร้อมบอกว่า “นี่เป็นการพบกันส่วนตัว ขุนพลหนิวไม่ใช่ลูกน้องของท่านอ๋อง ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้น คิดเสียว่าคุยกันตามปกติเหมือนคนทั่วไป” จากนั้นก็หันมากำชับ “เด็กๆ เตรียมสุราอาหารไว้ต้อนรับแขก”

ไม่นานก็มีหญิงรับใช้เดินขึ้นมา แล้วจัดวางโต๊ะอาหาร สุราอาหารเลิศรสก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว

สุดท้ายเม่ยเหนียงก็อ้างว่าต้องการทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย จึงกันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปหมด แล้วเชิญให้เหมียวอี้เข้ามานั่งประจำที่

ด้วยฐานะของเม่ยเหนียงหวังเฟย ก็ย่อมต้องนั่งที่หัวโต๊ะอยู่แล้ว ส่วนก่วงเม่ยเอ๋อร์กับเหมียวอี้ก็นั่งตรงข้ามกันอยู่ตรงซ้ายและขวาของนาง โกวเยว่นั่งถัดไปจากก่วงเม่ยเอ๋อร์

เหมียวอี้นั่งแล้วเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่เหล่ตามองใคร มองไปเพียงบนโต๊ะ และขยับตะเกียบยกจอกสุราไม่บ่อยเช่นกัน เม่ยเหนียงถามคำเขาก็ตอบคำ เมื่ออีกฝ่ายเร่งรัดเขาค่อยขยับตัวสักที กลับเป็นก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่อยู่ตรงข้ามที่เหลือบตาขึ้นมองคนตรงหน้าเป็นระยะ ดวงตาช่างสวยหยาดเยิ้ม นางพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้หยาบคายเหมือนตอนนำกองทัพ แต่รักษามารยาทและธรรมเนียม ไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่เห็นครั้งแรก ทั้งยังมองแล้วเพลินตามากด้วย พอนึกว่าในอนาคตทั้งสองจะได้เป็นสามีภรรยากัน ในดวงตานางก็เริ่มฉายแววออดอ้อนอาลัยรักโดยที่ตัวเองก็ไม่ได้สังเกตด้วย

ขณะที่พูดคุยกันอย่างสบายอารมณ์ เม่ยเหนียงที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อนก็มองเข้าใจความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในความคิดของลูกสาวแล้ว รู้ว่าฝั่งลูกสาวไม่มีปัญหาอะไร แต่ท่าทีที่นิ่งเฉยดุจขุนเขาของหนิวโหย่วเต๋อยังต้องรอหยั่งเชิงอีก ว่ากันตามจริง เมื่อได้เห็นคนคนนี้ใกล้ๆ นางพบว่าแตกต่างกับตอนที่เห็นนอกกำแพงเมือง แววตาที่นางมองเหมียวอี้เริ่มเผยความพึงพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ความเปลี่ยนแปลงตรงนั้นอยู่ในสายตาโกวเยว่หมดแล้ว กำลังฟังบทสนทนาที่ไม่ใช่ประเด็นหลัก พลางรินสุราดื่มเองราวกับเป็นผู้ชมข้างสนาม ความสนใจหลักของเขาอยู่ที่เหมียวอี้

เมื่อเห็นลูกสาวกับเหมียวอี้ไม่ได้สื่อสารอะไรกันเลย เม่ยเหนียงก็พูดเร่งว่า “เม่ยเอ๋อร์ มีแขกมาแล้วทำไมไม่ทักทายหน่อยล่ะ”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์กะพริบดวงตางาม จ้องเหมียวอี้พร้อมถามว่า “ขุนพลหนิว ได้ยินว่าตอนที่ท่านเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ ท่านไปพังร้านค้าของตระกูลข้าเหรอคะ มีเรื่องแบบนี้จริงหรือเปล่า?”

เหมียวอี้เหลือบตาขึ้น มีท่าทีเหมือนจบเรื่องแล้วจำอะไรไม่ได้ ตอบว่า “ไม่เคยมีเรื่องนี้เลย!”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์อุทาน “เอ๋” แล้วบอกว่า “เป็นไปไม่ได้! ข้าได้ยินว่าท่านไม่ได้พังแค่ครั้งเดียวด้วย”

“พูดอะไรของเจ้าน่ะ? ไม่มีมารยาทเลยสักนิด!” เม่ยเหนียงเอียงหน้าไปทางเหมียวอี้ “ไป!เจ้าไปรินสุราไถ่โทษให้แขก!”

“ไม่ต้องขอรับๆ ข้าน้อยรับไม่ไหว” เหมียวอี้รีบโบกมือปฏิเสธ

ทว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์กลับเป็นฝ่ายยกกระโปรงแล้วยืนขึ้นก่อน หยิบกาสุราและจอกสุราขึ้นมา ก้าวช้าๆ เดินมาข้างกายเหมียวอี้อย่างไม่ประหม่าเลยสักนิด

เหมียวอี้รีบลุกขึ้น แล้วยกจอกสุราหลบ “จะกล้ารบกวนให้คุณหนูรินสุราได้อย่างไร ให้เกียรติข้าน้อยเกินไปแล้ว”

เรื่องบางเรื่องตอนยังไม่มีจุดเริ่มต้นก็ยังดีหน่อย แต่พอหักหน้ากันแล้ว หญิงสาววัยแรกรุ่นอย่างก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็เขินอายอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่กลับมีความใจกว้างและมั่นใจในตนเองเพราะเป็นคนจากตระกูลใหญ่ ดวงตางามจ้องตรงมาที่เหมียวอี้ทันที แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เม่ยเอ๋อร์พูดผิดไปแล้วก็ย่อมต้องยอมรับโทษ เหตุใดท่านขุนพลจึงควบคุมตัวเองขนาดนี้? ได้ยินว่าขุนพลเป็นวีรบุรุษที่วิ่งอยู่ท่ามกลางทัพใหญ่หนึ่งล้านอย่างไร้อุปสรรค ไม่หวาดกลัวแม้แต่ความตาย ยังจะกลัวสุราจอกเดียวของสตรีผู้ต่ำต้อยคนนี้เชียวหรือคะ?”

ความประหม่าควบคุมตัวเองของเหมียวอี้กลับเรียกความมั่นใจกลับมาให้นางหนูแล้ว นี่เป็นเรื่องดี โกวเยว่เห็นแล้วยิ้ม

เม่ยเหนียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าธาตุแท้อีกด้านของลูกสาวเผยออกมาแล้ว นางถูไม้ถูมือกล่าวพร้อมรอยยิ้มทันทีว่า “ที่เม่ยเอ๋อร์พูดหมายถึง ควรทำตัวเหมือนสหายพบกันครั้งแรก ไม่จำเป็นต้องควบคุมตัวเอง!” ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังชื่นชมความใจกว้างของลูกสาวตัวเอง

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ยกกาสุราขึ้นมา แล้วอมยิ้มรอ ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่า ‘ถ้าเจ้าไม่ยินยอมข้าก็จะไม่ไป’

เหมียวอี้ยกจอกสุราที่กุมไว้ตรงเองขึ้นมาอย่างลังเล ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้าวเขามารินให้ทันที กลิ่นหอมอ่อนจางของสตรีโผเข้ามาที่ใบหน้าเช่นกัน

“พอเก็บจอกสุราแล้ว ก็รินให้ตัวเองหนึ่งจอก จากนั้นก่วงเม่ยเอ๋อร์ก็ยกจอกสุราเชื้อเชิญ “”ก่อนหน้านี้พูดผิดไปแล้ว หวังว่าท่านขุนพลจะไม่ถือสา เม่ยเอ๋อร์จะดื่มก่อนเพื่อเป็นการขอโทษ”” พูดจบก็เอียงหน้าหลบแล้วดื่มหมดจอก จากนั้นก็พลิกมือที่เรียวเล็ก เผยก้นจอกให้เหมียวอี้ดู แล้วรอคอย

ท่วงท่าดูชำนาญมาก แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงบ่อยๆ

“มิบังอาจ!” เหมียวอี้กล่าวอย่างเกรงใจ แต่ก็ยังดื่มลงไปแล้ว

ตอนที่ก่วงเม่ยเอ๋อร์ถอยออกไป เม่ยเหนียงก็ฉวยโอกาสโต้ตอบอีกฝ่ายแล้ว “เม่ยเอ๋อร์ เป็นเรื่องยากที่เจ้าจะเจอใครและถูกชะตาขนาดนี้ ข้าว่าขุนพลก็อายุมากกว่าเจ้าไม่เท่าไร เป็นเรื่องยากที่จะได้พบคนที่เจอกันครั้งแรกก็เหมือนรู้จักกันมานาน คบหาเป็นสหายสักคน ในภายหลังติดต่อกันบ่อยๆ สิ”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์หันมาถามเหมียวอี้ “ขุนพลคิดว่ายังไงบ้างคะ?”

เหมียวอี้ปฏิเสธอ้อมๆ “มิอาจเอื้อมขอรับ!”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์กลับวางจอกสุราและกาสุราลง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาสองอัน แบ่งลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไป แล้ววางระฆังดาราสองอันตรงหน้าเหมียวอี้ นางไม่พูดอะไรทั้งนั้น ให้เหมียวอี้ตัดสินใจเองตามเห็นสมควร

โกวเยว่ที่นั่งอยู่ท้ายสุดค่อยๆ ยกจอกสุราขึ้นมาจ่อปาก เริ่มยกยิ้มมุกปาก นิสัยที่แท้จริงของคุณหนูเผยออกมาแล้ว กลับลดความยุ่งยากลงไม่น้อย

เหมียวอี้ลังเลเล็กน้อย พอนึกถึงสิ่งที่ตระกูลโค่วบอก สุดท้ายเขาก็ยังลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองไว้บนระฆังดารา ก่วงเม่ยเอ๋อร์หยิบอันหนึ่งมาเขย่าในมือ เมื่อเห็นระฆังอีกอันมีปฏิกิริยา นางก็ไม่พูดอะไรมากอีก เก็บทั้งกาสุราทั้งจอกสุราไปด้วยกัน ทิ้งไว้เพียงระฆังดาราหนึ่งอัน กลับไปนั่งที่ของตัวเองแล้ว ดูเหมือนสงบเยือกเย็น แต่มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่าแก้มของตัวเองนั้นร้อนจี๋แค่ไหน

“พ่อบ้าน ไม่ทราบว่าเจ้าพาขุนพลมาเพราะเรื่องอะไร?” ในตอนนี้เม่ยเหนียงพูดกับโกวเยว่แล้ว

โกวเยว่ลุกขึ้นตอบ “ไม่ปิดบังหวังเฟย ครั้งนี้บ่าวได้รับคำสั่งให้มาถามขุนพลหนิว เพราะขุนพลหนิวก่อเรื่องนิดหน่อย…” เขาเล่าเรื่องของเหมียวอี้ให้ฟังคร่าวๆ ทันที

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…” สายตาเม่ยเหนียงที่หยุดอยู่บนตัวเหมียวอี้วูบไหวเล็กน้อย นางเงียบไปนานมาก เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็พยักหน้าบอกว่า “ข้าว่าขุนพลอยู่ที่นี่คงอึดอัด ในเมื่อมีงานรัดตัว พวกเราสองแม่ลูกก็ไม่รบกวนแล้ว” นางก็พยักหน้าบอกใบ้ก่วงเม่ยเอ๋อร์เล็กน้อย แล้วสองแม่ลูกก็หลบไปด้วยกัน แต่ตอนที่เดินออกมานอกตึกศาลา จู่ๆ นางก็หันกลับมาบอกว่า “พ่อบ้าน เจ้ามานี่สักเดี๋ยว”

โกวเยว่รีบก้าวออกมาทันที ออกไปพร้อมกับสองแม่ลูก เหลือเหมียวอี้อยู่ในห้องคนเดียว

ผ่านไปไม่นาน โกวเยว่ก็กลับมาแล้ว กลับมานั่งที่เดิม ดื่มสุราไปจอกหนึ่งแล้วถึงได้กล่าวช้าๆ ว่า “ขุนพลหนิว ครั้งนี้คงจะเป็นวาสนาของเจ้า หวังเฟยมีเจตนาจะช่วยเหลือเจ้า”

“ข้าน้อยไม่เข้าใจว่าท่านหมายความว่าอะไร” เหมียวอี้กล่าวอย่างนิ่งเฉย

โกวเยว่นั่งหันตัวมา “หวังเฟยมีลูกสาวเพียงคนเดียว มองเป็นดั่งไข่มุกล้ำค่าในมือ เป็นกังวลเรื่องการแต่งงานของลูกสาวมาตลอด วันนี้เห็นขุนพลกับคุณหนูเจอกันครั้งแรกก็เหมือนรู้จักกันมานาน และหวังเฟยเองก็พอใจขุนพลมาก จึงเกิดความคิดอยากได้เป็นลูกเขย เมื่อครู่นี้หวังเฟยบอกแล้ว ว่าขอเพียงขุนพลตอบตกลง หวังเฟยก็ยินดีจะมอบลูกสาวให้ ส่วนเรื่องที่น่านฟ้าระกาติง หวังเฟยจะช่วยขุนพลแก้ปัญหาเอง ไม่ทราบว่าขุนพลคิดอย่างไร?”

อ้อมไปอ้อมมา สุดท้ายก็เผยเจตนาที่แท้จริงแล้ว! เหมียวอี้แสยะยิ้มในใจ แต่ตอบพร้อมสีหน้าสุขุมเยือกเย็นว่า “ข้าน้อยซาบซึ้งเจตนาดีของหวังเฟยแล้ว แต่ข้าน้อยไม่เชื่อว่าท่านจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นบนกำแพงเมือง หนิวคนนี้มีคนในใจอยู่แล้ว มิบังอาจเอื้อมไปหาไข่มุกล้ำค่าในมือหวังเฟยขอรับ!”

…………………………

“ไม่ไปค่ะ!” ในห้องมีเสียงปฏิเสธดังมา

เม่ยเหนียงรีบก้าวเข้าไป เห็นลูกสาวกำลังนั่งก้มหน้าอยู่ข้างเตียง ผ้าไหมงดงามที่อยู่ในมือโดนฉีกจนกลายเป็นเส้นๆ

เขาเดินไปข้างหน้าแล้วดึงแขนลูกสาวขึ้นมาเสียเลย ก่อนจะต่อว่าอย่างโมโห “สิ่งที่ควรพูดข้าก็พูดกับเจ้าไปหมดแล้ว เจ้ายังมาดื้อด้านอะไรอีก? ตอนนี้เจ้าหนักอกหนักใจ รอให้เจ้าแต่งออกไปแล้วมีคนอิจฉา เจ้าก็จะรู้เองว่าแม่หวังดีกับเจ้า!”

“ไม่แต่งค่ะ! ถ้าจะแต่งท่านก็แต่งเองสิ!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์กระทืบเท้า

เพี้ยะ! เม่ยเหนียงตบก้นนางหนึ่งที แล้วตะคอกอีกว่า “พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า! เขาไม่ดีตรงไหน เจ้าบอกมาซิว่าในบรรดาคนที่เจ้ารู้จัก มีใครดีกว่าเขาบ้าง!”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์พูดเหยียดว่า “ท่านเห็นมั้ยว่าเขาโหดเหี้ยม ดุเหมือนผีห่าซาตาน พอเข้าเมืองมาก็ฆ่าคน คนแบบนี้ควรจะกล้าแต่งงานด้วยล่ะ”

เม่ยเหนียงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เขาเพิ่งนำทหารทำศึกกลับมาไง บนสนามรบใครเขาวางมาดผู้ดีกันเสียที่ไหน แบบนั้นแปลว่าไม่อยากมีชีวิตรอดแล้ว! แบบนั้นไม่เรียกโหดหรอก นั่นเรียกว่าพลังอำนาจของลูกผู้ชาย รอให้ในตอนหลังเจ้าได้อยู่กับเขาจริงๆ เจ้าก็ย่อมค้นพบความดีของเขา”

“ท่านแม่!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์กอดแขนนาง แล้วขอร้องว่า “เขากอดผู้หญิงคนนั้นอยู่บนกำแพงเมือง ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ถ้าข้าแต่งงานกับเขาจริงๆ ข้าจะไม่โดนคนอื่นหัวเราะเยาะเหรอ!”

เม่ยเหนียงพร่ำบ่นเพราะอยากให้ได้ดี “นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย เรื่องนี้แม่รับประกันกับเจ้าได้ แม่จะต้องแก้ไขปัญหาให้เจ้าแน่นอน ใครก็มาเป็นภัยคุกคามต่อตำแหน่งฮูหยินเอกของลูกไม่ได้ทั้งนั้น แม่จะไม่ใช่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ส่วนคนอื่นจะหัวเราะเยาะยังไง เจ้าก็มองให้มันเป็นเรื่องขำๆ แล้วกัน ต่อไปยามผู้ชายของเจ้าได้กลายเป็นท่านโหว กลายเป็นเทพประจำดาว ส่วนผู้ชายของพวกนางกลับไม่ได้ทำการทำงาน เอาแต่พึ่งพาตระกูลเพื่อใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะช่วงชิงยศสตรีให้เจ้า หรือไม่ผู้ชายของพวกนางมาเป็นลูกน้องของผู้ชายของเจ้า ต้องเกรงใจเจ้า เจ้าก็คอยดูแล้วกันว่าใครจะหัวเราะเยาะใคร! แล้วอีกอย่างนะ ถ้าเจ้าอยากจะให้คนอื่นหัวเราะเยาะ เจ้าก็ต้องมีคุณสมบัตินั้นก่อนนะ เจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะถูกใจเจ้าแน่เหรอ!”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์พ่นเสียงทางจมูก “ไม่ถูกใจก็ดีน่ะสิ ข้าไม่ได้ขาดแคลนเสียหน่อย!”

พอได้ยินนางพูดแบบนี้ เม่ยเหนียงก็เดือดดาลเต็มที่แล้ว นี่เจ้าจงใจจะทำให้เรื่องเสียใช่มั้ย? จึงดึงนางมาอยู่ตรงหน้าตัวเอง ชี้จมูกนางพลางตวาดด้วยสีหน้าดุร้าย “ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้นะ วันนี้เจ้าต้องทำตัวดีๆ ถ้าเจ้าทำเรื่องนี้พัง กลับไปข้าจะหาใครสักคนที่ทำให้เจ้าร้องไห้ไปทั้งชีวิตมาแต่งงานกับเจ้าทันที ให้เจ้าเสียใจทีหลังไปทั้งชีวิต!”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้มหน้าลงอย่างรู้สึกได้รับความไม่ยุติธรรม ก่อนหน้านี้ถูกมารดาพูดระบายความทุกข์และความเกี่ยวโยงที่ร้ายแรงต่างๆ นาๆ โน้มน้าวจนใจอ่อนแล้ว แต่มาเปลี่ยนความคิดกะทันหันตอนใกล้จะถึงเวลาก็เพราะดัดจริตอิดออดนิดหน่อยเท่านั้นเอง นางไมได้รู้สึกต่อต้านอะไรเหมียวอี้ ที่มากกว่านั้นคือความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เหมือนจะเฝ้ารอ และเหมือนจะกังวลมากเช่นกัน ที่มากกว่านั้นคือไม่อยากเสียหน้า อยากจะหาบันไดลงและพิสูจน์สักหน่อยว่าตัวเองโดนบังคับถึงได้ยอมให้ความร่วมมือ นึกไม่ถึงว่ามารดาจะพูดจาร้ายแรงขนาดนี้

เมื่อเห็นนางเป็นแบบนี้ เม่ยเหนียงก็เข้าใจกระจ่างโดยฉับพลัน และตระหนักอะไรบางอย่างได้ ถึงอย่างไรนางก็เคยเป็นสตรีโสดมาก่อน นางจึงเปลี่ยนเป็นพูดอย่างอ่อนโยนทันที “เม่ยเอ๋อร์ เชื่อฟังแม่ไว้น่ะถูกแล้ว แม่เคยผ่านมาก่อน เริ่มจากฐานะต่ำต้อยจนมาถึงทุกวันนี้ มีผู้ชายแบบไหนบ้างที่แม่ไม่เคยเจอ? ยังไม่ต้องพูดถึงสาเหตุอื่นเลย อาศัยแค่ที่เขายอมก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้เพื่อช่วยคนคนหนึ่ง นี่ก็นับว่าเป็นคนมีคุณธรรมน้ำมิตรแล้ว เขาไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไรหรอก แม่ยอมรับนะว่าตอนแรกที่อยากให้เจ้าแต่งงานกับเขาเป็นเพราะคิดเรื่องผลประโยชน์ แต่พอมาดูตอนนี้แล้ว ถ้าได้คนที่มีคุณธรรมน้ำมิตรแบบนี้มา แม่ก็วางใจที่จะให้เจ้าแต่งงานด้วย ถ้าพูดถึงในด้านต่างๆ ตอนนี้แม่ก็หาผู้ชายที่เหมาะสมกว่านี้ให้เจ้าไม่ได้แล้ว เม่ยเอ๋อร์ อาศัยฐานะของเจ้า สมบัติอันล้ำค่านั้นหาง่าย แต่สามีที่มีรักแท้นั้นหายาก! คำว่า ‘รัก’ นี้ไม่ใช่ความรักความใคร่นะ แต่หมายถึง ‘ความผูกพันทางด้านจิตใจ’ ความรักใคร่เป็นเพียงความสุขชั่วคราว ยากที่จะรักษาให้คงอยู่ได้นาน มีแค่ผู้ชายที่ให้ความสำคัญกับความผูกพันทางด้านจิตใจอย่างแท้จริงต่างหาก ถึงจะควรค่าให้ฟังทั้งชีวิตไว้! ต่อให้ในภายหลังเจ้าจะไม่สดใหม่แล้ว แต่ก็จะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างขาดความยุติธรรมแน่นอน ไม่ว่าใครก็มาสั่นคลอนตำแหน่งเดิมของเจ้าไม่ได้ แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน เจ้าเข้าใจรึยัง!”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์เริ่มร้องไห้กระซิกๆ แล้ว

เม่ยเหนียงใช้มือสองข้างประคองใบหน้านาง จ้องตาลูกสาวพร้อมถามอย่างอ่อนโยน “เม่ยเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจที่แม่พูดมั้ย?”

 “ค่ะ” ก่วงเม่ยเอ๋อร์สะอึกสะอื้นพลางขานรับเบาๆ

“สมกับเป็นลูกสาวข้าจริงๆ!” เม่ยเหนียงกางแขนสองข้างโอบลูกสาวพลางตบหลังเบาๆ ปลอบโยน ในที่สุดก็สบายใจแล้ว นางหัวเราะคิกคักแล้วช่วยเช็ดน้ำตาให้ลูกสาว แล้วช่วยแต่งตัวใส่เครื่องประดับให้ใหม่ ช่วยจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วกระซิบอย่างนุ่มนวล “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ถ้าร้องไห้จนตาพร่า แล้วอีกประเดี๋ยวจะไปเจอหน้าคนได้ยังไง? อีกสักครู่ไม่มีทางทำให้เจ้าลำบากใจแน่ เจ้าไม่จำเป็นต้องรุกมาก แค่ทำให้อีกฝ่ายเห็นว่าเจ้าเต็มใจก็พอ ชายจีบหญิงนั้นยากดุจขุนเขากั้น แต่หญิงจีบชายนั้นง่ายเหมือนมุ้งกั้น อาศัยความงดงามของเม่ยเอ๋อร์ มีผู้ชายคนไหนบ้างจะไม่หวั่นไหว? เรื่องนี้จะต้องสำเร็จแน่นอน! รอให้ต่อไปพวกเจ้าสองคนได้อยู่ด้วยกันจริงๆ ม้าดีคู่ควรกับอานม้าที่ดี ผู้หญิงดีเหมาะสมกับผู้ชายดี แม่หมายถึงพวกเจ้าสองคน ให้คนที่พูดจาไม่ดีพวกนั้นอิจฉาไปเลย อ้อ แม่ยังรอให้พวกเจ้าสองคนมีหลายให้แม่สักคน ถึงตอนนั้นแม่จะช่วยเจ้าเลี้ยงเอง”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ปาดน้ำตาทันที กระทืบเท้าบอกว่า “ท่านแม่! ถ้าท่านพูดอีกข้าจะไม่ไปแล้วนะ!”

แบบนี้เท่ากับตอบตกลงแล้ว! เม่ยเหนียงรีบยอมแพ้ลูกสาว “ได้ๆๆ แม่ไม่พูดแล้ว รีบแต่งหน้าทำผมสักหน่อย พ่อบ้านโกวทุ่มเทความคิดไปมากมายเพื่อเรื่องแต่งงานของเจ้านะ อย่าทำให้เขารอนาน” พูดจบก็ดันลูกสาวมานั่งตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

ขณะที่มองตัวเองในกระจก พอนึกว่าอีกประเดี๋ยวตัวเองจะต้องเจอกับคนคนนั้น และมีความเป็นไปได้สูงว่าคนคนนั้นจะกลายเป็นสามีของตัวเองในอนาคต เป็นเพราะตัวเองไม่มีทางปฏิเสธการเตรียมการนี้ได้ จึงทำให้นางหัวใจเต้นแรงทันที ในฝ่ามือมีเหงื่อเล็กน้อย ไม่รู้ว่าหลังจากเจอแล้วควรจะพูดอะไรหรือทำอะไร

มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่มีอารมณ์รัก นางเองก็เคยจินตนาการถึงสามีในอนาคตของตัวเองเช่นกัน เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ วันนี้จะมาถึง และไม่เคยคิดมาก่อนด้วยว่าผู้ชายที่ตัวเองต้องแต่งงานด้วยจะเป็นคนที่ประหลาดอัศจรรย์ ราชันสวรรค์แต่งตั้งอันดับหนึ่งให้ ข่มเหงร้านค้าของผู้มีอำนาจในราชสำนักหลายครั้ง มีชื่อเสียงบารมีที่โจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน จับสนมสวรรค์หรูอี้แขวนบนเสาธง ก่อเรื่องในพิธีรับสนมของฝ่าบาทที่อุทยานหลวง ตบหน้าอ๋องสวรรค์อย่างแรง ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกลงโทษให้เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่ก็ยังรอดกลับออกมาได้ อีกทั้งตัวเองยังได้เห็นกับตาว่าคนคนนั้นขู่คุกคามว่าจะล้างเลือดทั้งหมด พลังอำนาจของกำลังพลที่เขาพามาด้วยก็ยิ่งเป็นสิ่งที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน นับว่าสมชื่อจริงๆ

ถึงแม้ตอนที่พูดคุยกับพวกเพื่อนสาว นางจะด่าคนคนนั้นไปบ้างนิดหน่อย แต่มีครั้งไหนบ้างที่ได้ยินข่าวคราวของหนิวโหย่วเต๋อแล้วไม่ฮือฮา โดยเฉพาะครั้งที่ก่อเรื่องที่อุทยานหลวง ขนาดในเรื่องอภิเษกของฝ่าบาทยังกล้าทำอย่างนั้น พวกเพื่อนสาวก็ยิ่งตกตะลึงไม่หยุด

ถ้าพวกเพื่อนสาวได้ยินเรื่องที่ทัพใหญ่ห้าหมื่นโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านแตกพ่าย ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะวิจารณ์กันอย่างไร?

ถ้าพวกเพื่อนสาวรู้ว่าคนชั่วที่พวกนางวิจารณ์ถึงบ่อยๆ กำลังจะกลายเป็นสามีของก่วงเม่ยเอ๋อร์  ก็ไม่รู้ว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร…ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่กำลังส่องกระจกคิดจนเขินอาย ที่จริงในใจนางก็เฝ้ารอมาก ว่าพวกเพื่อนสาวจะมีปฏิกิริยาตกตะลึงเมื่อเจอนาง

ด้านนอกหอฉางเจิน ลูกน้องของเหมียวอี้หยุดรออยู่ข้างนอก อีกฝ่ายอาศัยคำสั่งสวรรค์ข่มคน บอกเพียงว่าให้เหมียวอี้เข้าไปคนเดียว ไม่ว่าใครก็ห้ามบุกเข้าไปรบกวนอีกฝ่ายทำงานตามบัญชาสวรรค์

สภาพแวดล้อมที่หรูหราในสวนย่อมไม่ต้องพูดถึงแล้ว หานตงนำทางอยู่ข้างหน้าตลอดทาง ทุกครั้งที่เจอทางเลี้ยวก็ยื่นมือเชิญอย่างสุภาพเกรงใจ  นำเหมียวอี้มายังป่าเล็กๆ ที่สงบร่มเย็น

ที่ศาลาหลังหนึ่งในป่าเล็ก โกวเยว่กำลังนั่งอยู่ในศาลา ไม่ได้ปลอมแปลงใบหน้า เผยโฉมหน้าที่แท้จริง มีอำนาจบารมีในตัวเอง

เมื่อนำคนมาถึงแล้ว หานตงกุมหมัดรายงานว่า “พ่อบ้านใหญ่ แม่ทัพภาคหนิวมาแล้วขอรับ”

พ่อบ้านใหญ่? เหมียวอี้มองประเมินคนที่นั่งต้มน้ำชาอยู่ในศาลาด้วยอารมณ์สุนทรีย์ กำลังคิดว่าคนคนนี้คงจะเป็นพ่อบ้านใหญ่โกวเยว่ของจวนอ๋องสวรรค์ก่วง?

โกวเยว่หันกลับมามอง แล้วถามทั้งๆ ที่รู้ว่า “เจ้าคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”

“ใช่ขอรับ!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “ไม่ทราบว่าท่านคือใคร?”

โกวเยว่วางงานในมือลง ล้วเดินช้าๆ ออกมาจากศาลา “พ่อบ้านโกวเยว่ของจวนอ๋องสวรรค์ก็คือข้าเอง เป็นเพราะข้าบังเอิญอยู่ที่นี่พอดี ทางทัพตะวันตกสั่งให้ข้ามาเป็นทูตพิเศษ ทำความเข้าใจสถานการณ์ก่อน ถ้าเจ้ามีอะไรสงสัยก็ตรวจสอบกับผู้บังคับบัญชาของเจ้าได้ทันที”

“ไม่ต้องแล้ว ไม่ทราบว่าพ่อบ้านใหญ่ต้องการทำความเข้าใจอะไร?” เหมียวอี้ถาม

“ไม่ต้องเครียดไป ทัพตะวันตกแค่สั่งให้ข้ามาทำความเข้าใจสถานการณ์ก่อนเฉยๆ เรื่องสืบคดีเดี๋ยวรอให้คนที่ทำหน้าที่โดยละเอียดมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” โกวเยว่โบกมือชี้ไปตรงทางเล็กๆ “ผ่อนคลายหน่อย เดินไปคุยไปก็แล้วกัน”

เหมียวอี้เดินตามหลังเขา ทั้งสองเดินทอดน่องอยู่ในสวนป่า หานตงเดินตามหลังสุดโดยรักษาระยะห่าง

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว โกวเยว่ก็หันกลับมายิ้มอย่างอ่อนโยน “ไหนว่ามาซิ ที่มาที่ไปของเรื่องนี้เป็นยังไงกันแน่”

“ข้าน้อยก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น หลังจากข้าออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เรื่องแรกที่ทำก็คือปรับเปลี่ยนกำลังพลให้ไปผลัดเวรเฝ้าสวนบรรณาการ หลังจากกำลังพลมาถึงบริเวณน่านฟ้าระกาติง ใครจะคิดว่าจะบังเอิญเจอโจรราคะเจียงอีอีกำลังจับตัวประกันเข้ามา…” เหมียวอี้กล่าวคำให้การที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว

โกวเยว่ฟังแล้วพยักหน้าไม่หยุด บางครั้งก็แทรกมาคำสองคำ ทั้งสองเดินเที่ยวช้าอยู่ในทางเล็กๆ ที่ไขว้ตัดกันอยู่ในสวนป่า

หลังจากฟังจบ โกวเยว่ก็รู้สึกได้ว่าระฆังดาราที่ใช้ติดต่อหวังเฟยในแหวนเก็บสมบัติกำลังขยับเคลื่อนไหว จึงนำเหมียวอี้เดินไปยังทางเล็กๆ อีกทางในป่าโดยไม่รู้ตัว

ที่จริงป่าแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่ ประเดี๋ยวเดียวก็เดินออกมาแล้ว ข้างหน้าเป็นคลื่นน้ำสีหยก บนทะเลสาบมีศาลากลางน้ำงดงามหรูหรา

เหมียวอี้เพิ่งจะกวาดสายตามองสภาพแวดล้อม แต่ใครจะคิดว่าบนตึกศาลาตรงหน้าจะมีผู้หญิงที่แต่งกายหรูหราคนหนึ่งปรากฎตัว นางยิ้มมาทางนี้พร้อมบอกว่า “พ่อบ้านโกว ไม่ค่อยเห็นเจ้าสบายอารมณ์อย่างนี้เลยนะ ไม่ทราบว่าข้างกายเจ้าคือใคร ทำไมดูแปลกหน้า?”

พอเหมียวอี้เงยหน้ามอง ก็แอบตกตะลึงในความงามของอีกฝ่ายทันที อดไม่ได้ที่จะมองสองรอบ ในใจแอบทอดถอนใจ นึกไม่ถึงว่าในโลกนี้ยังมีผู้หญิงที่สวยเย้ายวนหายากแบบนี้อยู่อีก

โกวเยว่รีบกุมหมัดคารวะ “ตอบหวังเฟย บ่าวไม่ได้เดินเล่นสบายอารมณ์ แต่ได้รับคำสั่งให้สืบคดี ข้างกายบ่าวก็คือแม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อแห่งอุทยานหลวงขอรับ”

หวังเฟย? เหมียวอี้แอบตกใจ รู้ตัวแล้วว่าตัวเองเสียมารยาทนิดหน่อย เขารีบย้ายสายตาออกจากตัวผู้หญิงคนนั้นทันที ที่แท้ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นฮูหยินของอ๋องสวรรค์ก่วง

เป็นอย่างที่คาดไว้ เม่ยเหนียงที่อยู่บนตึกถามเหมือนแปลกใจ “เขาเองเหรอหนิวโหย่วเต๋อ? ข้าได้ยินชื่อนี้มานานแล้ว แต่เพิ่งเคยเห็นตัวครั้งแรก ถ้าไม่เป็นการรบกวน พาขึ้นมาเจอกันสักครั้งสิ”

“ขอรับ!” โกวเยว่เอ่ยรับ แล้วยื่นมือเชิญไปทางสะพานโค้ง “นายท่านหนิว เชิญขอรับ”

เหมียวอี้เดาว่าเรื่องที่ตระกูลโค่วบอกกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ในใจอยากปฏิเสธ จึงถามอย่างลังเลว่า “หนิวมาเพราะเรื่องงาน ทำแบบนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะกระมัง?”

ใครจะคิดว่าเม่ยเหนียงที่อยู่ข้างบนจะกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าได้ยินว่านายท่านหนิวให้ความสำคัญกับธรรมเนียมลำดับขั้นที่สุด พอเข้าเมืองมาก็ยัดข้อหาให้ผู้บัญชาการใหญ่ที่เสียมารยาทกับคนตำแหน่งสูงกว่าแล้ว ไม่ทราบว่าลำดับขั้นของหวังเฟยคนนี้สูงไม่พอหรือ หรือว่านายท่านหนิวไม่ไว้หน้าข้า?” พูดอ่อนหวานแต่แฝงความแข็งกร้าว แอบบอกใบ้ว่านางก็ทำตามอย่างเขาได้เหมือนกัน

อีกฝ่ายเอาคำพูดของเขามาข่มขา ยังจะทำอย่างไรได้อีก นอกเสียจากจะหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น ผู้ที่อารักขาอยู่ข้างกายคนแบบนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เขาทำได้เพียงข้ามสะพานตามโกวเยว่ไป เดินขึ้นไปบนตึกศาลาแล้ว

…………………………

“นายท่าน!” ชิงจวี๋น้ำตาไหลพรากราวกับสายฝนในชั่วพริบตาเดียว น้ำตาไหลโดยไร้เสียง

บางทีในสายตาคนอื่น การที่หยางชิ่งทำแบบนี้อาจจะค่อนข้างเห็นแก่ตัว แต่ในสายตาชิงจวี๋ เขากลับเป็นคนที่ดีที่สุดในโลก ยามอันตรายจะมาเยือน สิ่งแรกที่ทำกลับปกป้องลูกสาวและหญิงรับใช้อย่างนาง เสียสละชีวิตตัวเองอย่างไม่เสียดาย

เพียงแต่นางก็รู้เช่นกัน ว่านายท่านยอมเสียสละมากมาขนาดไหนเพื่อลูกสาวคนนั้น ไม่อย่างนั้นอาศัยความฉลาดปราดเปรื่องอย่างนายท่าน จะต้องผงาดตั้งแต่ตอนอยู่พิภพเล็กแล้ว แต่นายท่านรู้ว่าภายใต้สถานการณ์ที่พลังของตัวเองยังไม่มากพอ ถ้าหลับหูหลับตาขยายอำนาจก็จะนำอันตรายและความลำบากมาสู่ลูกสาวตัวเองได้ ด้วยเหตุนี้จึงอดทนไว้เงียบๆ มาตลอด ถ้าไม่มีพลังมากพอก็จะไม่ทำเรื่องเสี่ยงอันตราย ถ้าไม่ใช่เพราะโดนกดดันให้หมดทางเลือก นายท่านก็ไม่มีทางก่อกบฏเลย และไม่ถึงขั้นเจอหน้าเหมียวอี้แล้วเป็นอย่างทุกวันนี้ด้วย

“พอแล้ว! ไม่ต้องร้องแล้ว ร้องไห้จนตาแดงออกไป เดี๋ยวคนก็สงสัยหรอก ไปเถอะ เชื่อฟังข้า รีบไป!” หยางชิ่งที่กำลังเอนกายเอามือลูบใบหน้านางพลางเร่งเร้า สีหน้าท่าทางค่อนข้างเหนื่อยล้า

จะบอกว่าเขาแกล้งป่วยก็ได้ จะบอกว่าเขาป่วยจริงก็ได้เช่นกัน เขาโมโหเหมียวอี้จนแทบกระอักเลือดตายอยู่แล้ว โมโหจนไฟโกรธโจมตีหัวใจให้กระอักเลือด

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนหมู่มาก สุดท้ายชิงจวี๋ก็ยังต้องปาดน้ำตาแล้วเดินออกไป

ที่จริงในตอนนี้สวีถังหรานก็อยู่ที่อุทยานหลวงเช่นกัน เจ้าหมอนี่มันอยู่เป็นจริงๆ รู้ว่าหยางชิ่งคือลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้ ไม่ว่าหยางชิ่งจะปฏิเสธอย่างไร ก็ดึงดันจะส่งหยางชิ่งที่ ‘ป่วย’ มาที่นี่ด้วยตัวเอง ฮูหยินของเขาก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน หลังจากส่งหยางชิ่งมาถึงบ้านแล้ว ก็ถือโอกาสไปหาเสวี่ยหลิงหลงด้วยเสียเลย

ดังนั้นตอนที่ได้รับข้อความจากเหมียวอี้ เขาก็เพิ่งจะนัวเนียกับเสวี่ยหลิงหลงไปยกหนึ่งแล้ว

เมื่อเห็นร่างกายที่เปลือยล่อนจ้อนของเขานั่งขัดสมาธิแล้วเกาศีรษะ เสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ข้างหลังก็ดึงผ้าห่มมาปิดบังหน้าอก ดึงชุดคลุมมาใส่ไว้ แล้วก็หยิบชุดคลุมมาใส่ให้เขาด้วย ใช้ศีรษะที่ปล่อยผมสยายซบที่บ่าเขา แล้วถามเบาๆ ว่า “ทางนายท่านหนิวจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”

สวีถังหรานส่ายหน้า “เฮ้อ! นายท่านของพวกเราน่ะ ข้าก็ไม่รู้ว่าจะว่าเขายังไงดี เจ้าว่าทำไมก่อนหน้านี้ข้าถึงมองไม่ออกนะว่านายท่านกับเถ้าแก่เนี้ยคนนั้นจะมีความสัมพันธ์กันถึงขั้นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะยอมเอากำลังพลห้าหมื่นไปทำศึกเลือดกับทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้าน หลังจากได้ข่าวข้าก็ตกใจจนหนังหัวชาวาบเลย หลิงหลง เจ้าช่วยข้าคิดหน่อยสิ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยทำเรื่องอะไรล่วงเกินอวิ๋นจือชิวใช่มั้ย?”

เสวี่ยหลิงหลงลุกขึ้นนั่งแล้วกล่าวอย่างตกใจ “สวีถังหราน นี่มันเวลาไหนแล้ว ดีไม่ดีเจ้าอาจจะซวยไปด้วยก็ได้ ยังจะมาคิดอีกว่าเคยล่วงเกินอวิ๋นจือชิวรึเปล่า? ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปแล้วข้าจะทำยังไงล่ะ?” นางหยิกเนื้อตรงเอวเขาหนึ่งที

ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่เหมือนในปีก่อนๆ แล้ว ความขวยอายของเสวี่ยหลิงหลงหายไปตั้งนานแล้ว ผัวเมียใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนานๆ ก็คุ้นชินกับฐานะฮูหยินเอกของตัวเองเหมือนกัน กอปรกับลูกน้องของสวีถังหรานให้ความเคารพนาง จึงบ่มเพาะสง่าราศีที่สูงส่งให้นางหลายส่วน ยังจะมองเห็นเงาของดาวเด่นหอนางโลมเหมือนในปีนั้นได้อย่างไร

ตอนนี้เวลาสวีถังหรานอยากจะให้นางเต้นระบำให้ดู หรืออยากจะให้นางร้องเพลงให้ฟัง ก็ยังต้องดูเลยว่านางอารมณ์ดีหรือเปล่า

สวีถังหรานยื่นมือเข้าไปลูบต้นขาของนางในผ้าห่ม “ติดตามนายท่านมานานขนาดนั้นแล้ว มีครั้งไหนบ้างที่ไม่หวาดเสียว มีกำลังพลห้าหมื่นก็กล้าสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้าน เก่งกาจเชียวนะ เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ที่เข้ากล้าทำแบบนี้ ก็แสดงว่าต้องมีความมั่นใจว่าจะแก้ปัญหาได้แน่นอน ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก”

เสวี่ยหลิงหลงทั้งตกใจทั้งประหลาดใจ “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่กังวลอะไรเลยสักนิดจริงๆ เหรอ? กองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นฆ่ากันเองมันไม่ใช่เรื่องเล็กนะ!”

“จุ!” สวีถังหรานเดาะปาก จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ “ข้าก็ไม่ใช่คนไร้หัวจิตหัวใจ จะไม่กังวลเลยสักนิดได้ยังไง? แต่ข้าจะทำยังไงได้ล่ะ? มีใครไม่รู้บ้างว่าข้าตามติดนายท่านที่สุด จะว่าข้ายังไงข้าก็ไม่เป็นไรหรอก ขอเพียงนายท่านไม่ล้ม ข้าก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้านายท่านล้มเมื่อไร ใครจะเอาคนที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่อย่างข้าล่ะ? ข้าก็ได้แต่หวังว่านายท่านจะไม่เป็นอะไร นอกจากนี้แล้ว ข้าคิดมากไปแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?”

“อย่าบอกนะว่า…” เสวี่ยหลิงหลงถามอย่างลังเล “อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยคิดที่จะยืนได้ด้วยตัวเองเลย?”

มือของสวีถังหรานที่อยู่ใต้ผ้าห่มตีต้นขาที่เกลี้ยงเกลาของนาง “ยืนได้ด้วยตัวเองแต่ก็ยังเป็นลูกน้องคนอื่นเหมือนเดิม จะให้ข้าไปนั่งบัลลังก์ตำหนักฟ้าดินรึไง? ฮูหยินเอ๊ย! คนเราจะมีค่าก็เพราะรู้จักข้อบกพร่องของตนเอง ถ้าไม่มีความสามารถก็ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้น ข้ารู้ตัวเองว่าทำอะไรได้ขนาดไหน ไม่มีความสามารถนั้นหรอก! ถ้าไม่มีใครมาขวางตรงหน้าข้า กายเนื้อของข้าคนเดียวก็ต้านทานทวนในที่แจ้งกับธนูในที่ลับพวกนั้นไม่ไหวหรอก ดังนั้น ตั้งใจทำสิ่งที่ตัวเองถนัดให้ดี ตั้งใจเป็นตัวของตัวเองก็พอแล้ว คนอื่นจะพูดอะไรก็ไม่สำคัญ ในปีนั้นคนที่หัวเราะเยาะข้ามีเยอะแยะ แต่เจ้าเห็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่ตลาดสวรรค์ในปีนั้นมั้ย ครั้งก่อนที่ข้าพาเจ้าไปเดินเล่นเจ้าก็เห็นแล้ว เป็นคนที่เข้าตลาดสวรรค์พร้อมกันกับข้า ตอนนี้ยังมีหลายคนที่ไม่ได้เป็นแม้แต่ผู้ช่วยผู้บัญชาการด้วยซ้ำ พอเห็นข้าแล้วมีใครไม่เคารพเกรงใจประสบสอพลอข้าบ้าง? เพราะรู้ว่าข้าสนิทกับผู้บัญชาการใหญ่ของพวกเขาไง หวังว่าข้าจะเห็นแก่มิตรภาพเก่าๆ แล้วช่วยพูดให้ อย่าบอกนะว่าพวกเขาทำตัวสูงส่งแล้ว? ถ้าอยากจะเป็นคนกล้าหาญก็อย่าปากอ่อน ก็กล้าแต่นินทาลับหลังสองสามคำเท่านั้นแหละ มีใครกล้าพูดต่อหน้าข้าบ้างล่ะ? ถ้าข้าเป็นคนต่ำทราม งั้นพวกเขาก็เป็นคนจอมปลอมขนานแท้แล้ว ไม่ต้องมีใครว่าใครทั้งนั้น!”

พอพูดถึงเรื่องตลาดสวรรค์ เสวี่ยหลิงหลงก็กล่าวอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย “ทำไมถึงเกิดเรื่องขึ้นกับท่านแม่สวีได้นะ?”

พอพูดถึงท่านแม่สสวี สวีถังหรานก็กินปูนร้อนท้องนิดหน่อย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาได้ยินข่าวว่าที่หอกลิ่นสวรรค์มีผู้หญิงคนหนึ่งชมตัวเองว่าในปีนั้นสนิทกับเสวี่ยหลิงหลงอย่างนั้นอย่างนั้น เขาก็เลยโมโหมาก ด้วยตำแหน่งที่เขาอยู่ในปัจจุบัน ทำให้เขาต้องระวังผลกระทบนิดหน่อย มันใช่เรื่องเหรอที่มีเพื่อนสาวในปีนั้นมาเปิดเผยเรื่องในอดีตของเสวี่ยหลิงหลงบ่อยๆ? ด้วยความโมโห เขาจึงให้หวงเสี้ยวเทียนวางกับดัก กำจัดทุกคนของหอกลิ่นสวรรค์ทิ้งเสียเลย แม้แต่คนที่ถูกไถ่ตัวไปแล้วก็ไม่ปล่อยไว้สักคน ขอเพียงเคยทำงานร่วมกับเสวี่ยหลิงหลง ก็ไม่ปล่อยให้เหลือรอดชีวิตสักคน

เขาไม่กล้าบอกเรื่องนี้ให้เสวี่ยหลิงหลงรู้ และไม่อยากให้เสวี่ยหลิงหลงคิดมากด้วย ไต่มือเข้าไปในเสื้อผ้าของเสวี่ยหลิงหลงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

“เชอะ! คิดจะทำอะไรอีก?”

“ฮูหยินงามล้ำเลิศขนาดนี้ จะให้อดใจไหวได้ยังไง ยังจะทำอะไรได้อีกล่ะ?”

“ทำเป็นเล่น อย่าบีบซี้ซั้วสิ”

“ข้าแค่มาส่งคนรอบเดียวเอง อยู่นานไม่ได้ อีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้กว่าจะได้มาอีก ต้องฉวยโอกาสนี้ป้อนเจ้าให้อิ่มสิ…”

หออวิ๋นฮว๋า พอเหมียวอี้ที่เปลี่ยนมาสวมเครื่องแบบแม่ทัพเกราะม่วงสองแถบเดินออกมาจากร้านค้า ทางด้านซ้ายและขวาก็มีคนกลุ่มหนึ่งโผล่มาทันที มาขวางเขาไว้แล้ว

กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกรีบหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมา ลูกธนูดาวตกเล็งคนที่เข้ามาล้อมไว้แล้ว

เมื่อเห็นว่าคนกลุ่มนี้ไม่หวาดกลัวเลย เหมียวอี้ที่ได้รับคำเตือนมาจากตระกูลโค่วก็มีข้อมูลอยู่ในใจแล้ว ถามเสียงเรียบว่า “ใครกันกล้ามาทำกำเริบเสิบสานที่นี่?”

หนึ่งในนั้นกุมหมัดคารวะ “แม่ทัพภาคหนิว เรือนเจิดจรัสเตรียมสุราอาหารเลิศรสไว้แล้ว ส่งข้าน้อยมารับนายท่านไปร่วมงานเลี้ยงขอรับ”

อีกคนหนึ่งก็กุมหมัดคารวะเช่นกัน “แม่ทัพภาคหนิว คาดว่าท่านคงได้รับบัตรเชิญจากตึกจันทราดาราแล้ว ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มาต้อนรับ”

แล้วก็มีอีกคนแสยะยิ้ม “แม่ทัพภาคหนิว ข้าเป็นคนที่หอฉางเจินส่งมา ได้โปรดให้เกียรติไปร่วมงานด้วย”

คนที่อยู่ในร้านหออวิ๋นฮว๋าต่างก็ชำเลืองมองมาทางนี้

เหมียวอี้โบกมือไปทางซ้ายและขวา บอกใบลูกน้องให้วางธนูลง จากนั้นเอาสองมือไขว้หลัง แล้วกล่าวอย่างสงบเยือกเย็น “ข้าได้รับบัตรเชิญจากสามตระกูลแล้ว เพียงแต่เรื่องทุกอย่างต้องมีก่อนมีหลัง พวกเจ้าสามตระกูลมาพร้อมกันแบบนี้ ข้าก็ไม่มีทางไปพร้อมกันสามงานได้ เอาอย่างนี้ดีมั้ย…” เขาชี้ไปบนฟ้า “ข้าไม่อยากล่วงเกินตระกูลไหนทั้งนั้น ข้าจะออกคำสั่งให้พวกเจ้าออกไปนอกเมือง พวกเจ้าไปประลองกันสักยก ถ้าใครชนะข้าก็จะไปงานของตระกูลนั้น ยุติธรรมมีเหตุผล แบบนี้ดีมั้ย?”

เขาพึมพำในใจ ว่าถ้าออกไปแล้วก็อย่าได้คิดจะกลับเข้ามาเลย ถ้าสามตระกูลนั้นมีลูกน้องอยู่ในเมืองน้อยลง จะได้ลดภัยคุกคามของเขาด้วย ข้าไม่เปิดประตูเมืองหรอกโว้ย ถ้าเก่งนักก็โจมตีเข้ามาเองสิ

ความคิดนี้ไม่เลวนี่! พอลูกน้องที่อยู่สองฝั่งได้ยินแบบนี้ ก็มีคนไม่น้อยที่ยิ้มมุมปาก เพียงแต่ใบหน้าที่เปื้อนเลือดทำให้ดูดุร้ายน่าเกลียดอยู่บ้าง

คนที่สามตระกูลส่งมามองหน้ากันเลิกลั่ก นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเอ่ยถึงวิธีการนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรดี กำลังครุ่นคิดว่าจะรายงานขึ้นไปถามเบื้องบนดีหรือไม่

ใครจะคิดว่าจู่ๆ ตรงซอยข้างกันจะมีคนโผล่มาทำลายเรื่องดีๆ ของเหมียวอี้ “แม่ทัพภาคหนิว ไม่ต้องประลองหรอก ไปที่หอฉางเจินก่อนเถอะ” หานตงเอามือไขว้หลังเดินเนิบนาบออกมา

“พี่หาน เรื่องนี้ท่านจะตัดสินใจเองไม่ได้นะ!” ในร้านค้าตรงข้ามมีชายชราคนหนึ่งเดินช้าๆ เข้ามา เขาคือเจ๋อชุนชิว ผู้จัดการใหญ่ร้านค้าของตระกูลอิ๋ง

“ที่พี่เจ๋อพูดก็มีเหตุผล” ร้านค้าที่อยู่ข้างกันมีสตรีวัยกลางคนที่สวยพริ้งคนหนึ่งโผล่มา นางเดินลากชุดกระโปรงยาวสีสันแพรวพราวออกมา นางคือฝานไซ่เซียน ผู้จัดการใหญ่ร้านค้าของตระกูลฮ่าว

หานตงกวาดมองทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา ไม่มีใครยอมใครจริงๆ ด้วย ฝั่งเขาอยากจะมาดักคนไว้ แต่อีกสองตระกูลก็คิดได้เหมือนกัน เขาแสยะยิ้มแล้วบอกว่า “เกรงว่าคงจะตามใจทั้งสองท่านไม่ได้แล้ว!”

“ช่างพูดจาโอ้อวดเหลือเกิน!” ฝานไซ่เซียนกล่าวกลั้วหัวเราะ

หานตงจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ก็ช่วยไม่ได้ ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ให้มาทำงาน ย่อมต้องพูดโอ้อวดได้มากกว่าพวกท่านทั้งสองอยู่แล้ว”

เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ เจ๋อชุนชิวกับฝานไซ่เซียนก็สีหน้าเปลี่ยนทันที เหมียวอี้พลันมองไปที่หานตง

หานตงไม่สนใจสองคนนั้นอีก แต่กุมหมัดคารวะต่อเหมียวอี้อย่างสุภาพ “ตำหนักสวรรค์สั่งให้สามหน่วยงาน ได้แก่หน่วยตรวจการขวา กองทัพองครักษ์ และทัพตะวันตกให้มาสืบคดีแล้ว คนของทัพตะวันตกมาถึงก่อนแล้วก้าวหนึ่ง กำลังรอสืบสวนนายท่านอยู่ที่หอฉางเจิน หวังว่านายท่านจะไม่ชักช้า!” ขณะที่พูดก็หันตัวยื่นมือเชิญ “เชิญ!”

เหมียวอี้จึงตอบด้วยเสียงเรียบนิ่งว่า “ทำไมข้าไม่ได้ยินว่าว่ามีคำสั่งอะไรของตำหนักสวรรค์เลยล่ะ?” เขารู้ว่าถ่วงเวลาไปก็เท่านั้น อีกฝ่ายกุมทัพตะวันตกไว้ในมือ ตราบใดที่ได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ จะพูดซ้ำว่าส่งใครมาก็ได้ทั้งนั้น เพราะทุกคนล้วนได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ให้มาทำงาน

หานตงจึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับใครก็ไม่รู้ในทันที ใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว เหมียวอี้ก็ได้รับข่าวจาดอวี่จ้งเจินแล้ว บอกว่าทางทัพตะวันตกส่งคนมาสืบคดีแล้วจริงๆ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่การสืบสวน แต่อยากจะทำความเข้าใจสถานการณ์บางอย่าง ให้เขาให้ความร่วมมือ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าขัดคำสั่ง!

เมื่อเห็นเขาวางระฆังดาราแล้ว หานตงก็ยิ้มบางๆ แล้วยื่นมือเชิญอีกครั้ง “เชิญ!”

เหมียวอี้ไม่มีอะไรต้องพุดแล้ว เหาะขึ้นฟ้าไปทันที โดยมีลูกน้องกลุ่มหนึ่งตามไป

หานตงก็นำคนเหาะขึ้นไปท่ามกลางฝูงเช่นกัน เมื่อมีคำสั่งนี้อยู่ในมือ กฎของตลาดสวรรค์ก็ควบคุมเขาไม่ได้

เจ๋อชุนชิวกับฝานไซ่เซียนทำสีหน้าเย็นเยียบ ต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังใช้อุบาย แต่อีกฝ่ายอ้างคำสั่งสวรรค์มาข่มแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งสวรรค์อย่างเปิดเผย ได้แต่เสียเปรียบอยู่อย่างนั้น

“หวังเฟย คนมาถึงฝั่งพวกเราก่อนแล้ว กำลังจะถึงแล้วขอรับ”

นอกประตูที่มีผ้าม่านห้อย โกวเยว่ที่ได้รับข่าวมาแจ้งข่าวให้รู้ตรงประตู

เม่ยเหนียงที่นั่งรอสวยๆ อยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งได้ยินแล้วดีใจมาก โกวเยว่อธิบายสถานการณ์ให้นางรู้ก่อนหน้านี้แล้ว ว่ามีหลายบ้านที่ส่งบัตรเชิญมาแย่งตัวคน นางคิดไม่ถึงว่าโก่วเยว่จะคิดหาวิธีข่มบ้านที่เหลือและชิงตัวคนมาที่นี่ได้ก่อน นางกล่าวขอบคุณอย่างยินดีปรีดาทันที “พ่อบ้านโก่วเยว่ช่างมีความสามารถ การที่ท่านอ๋องส่งพ่อบ้านให้ออกโรงเองนั้นถูกต้องแล้ว”

“เป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตหน้าที่ของบ่าว ถ้าหวังเฟยเตรียมตัวเสร็จแล้วกรุณาแจ้งบ่าวด้วย” โกวเยว่เตือน

“ได้!” เม่ยเหนียงรีบเอ่ยรับ หลังจากโกวเยว่ออกไปแล้ว นางก็หันตัวมาทันที ผลปรากฏว่าลูกสาวหายตัวไปแล้ว นางจึงถลึงตาเรียก “คนล่ะ? เม่ยเอ๋อร์ รีบออกมา!”

…………………………

โค่วเหวินหลานตอบตามคำสั่งทันที : น้องหนิว ตอนนี้อย่าเพิ่งเปิดเผยเรื่องบุตรสาวบุญธรรม รอให้เจ้าผ่านการสืบสวนจากสามหน่วยงานก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เหมียวอี้เกิดความสงสัย : ถ้าตอนนี้ยังไม่เปิดเผย ข้ากลัวว่าจะเกิดอันตายกับอวิ๋นจือชิว

โค่วเหวินหลาน : ถ้าเปิดเผยตอนนี้ ก็จะปกป้องความปลอดภัยของอวิ๋นจือชิวไม่ได้ และเจ้าก็จะเกิดปัญหายุ่งยาก ถ้าให้อีกสามบ้านรู้ว่าหมดหวังที่จะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเจ้าแล้ว จะต้องฉวยโอกาสได้ทีขี่แพะไล่แน่นอน โดยเฉพาะฝั่งอ๋องสวรรค์ก่วง นี่คืออาณาเขตของเขา เขาคือหนึ่งในสามฝ่ายที่สืบคดีนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะลอบกัดอะไรหรือเปล่า ระวังตัวไว้หน่อยจะดีกว่า รอให้สืบคดีของเจ้าเสร็จแล้ว แล้วถึงตอนนั้นจะประกาศก็ยังไม่สาย

เขาแทบจะพูดประมาณว่า ถ้าไม่ได้เจ้า ก็จะไม่ยอมให้เจ้าตกอยู่ในมือคนอื่นเช่นกัน จะทำลายเจ้าทิ้ง

เหมียวอี้ยังถามเหมือนเดิม : แล้วอวิ๋นจือชิวจะทำยังไงล่ะ?

โค่วเหวินหลาน : เจตนาของพ่อบ้านก็คือถ่วงเวลาพวกเขาไว้ก่อน ให้พวกเขายังมีความหวังสักนิดหน่อย เจ้าทั้งไม่ตอบตกลงพวกเขา และก็ไม่ปฏิเสธพวกเขาด้วย กำลังพลของสามหน่วยงานที่จะมาสืบคดีกำลังจะมาถึงแล้ว ถ่วงเวลาให้คนที่สืบคดีมาก่อน พอเกาก้วนมาถึง พวกเขาก็จะไม่กล้าเกาะแกะกับเจ้าอีต่อไปแล้ว ต้องรอให้เรื่องนี้จบก่อนแล้วค่อยว่ากัน ตราบใดที่สามบ้านนั้นเห็นว่ายังมีความหวัง ก็จะไม่ได้ทีขี่แพะไล่เจ้าในตอนนี้หรอก และจะไม่ทำอะไรอวิ๋นจือชิวเช่นกัน ไม่อย่างนั้นการทำให้เจ้าไม่พอใจก็จะเป็นการทำลายเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ให้พังด้วย ทำให้พวกเขาสงบให้ได้ก่อน ถึงจะช่วยให้เจ้าผ่านด่านเคราะห์นี้ไปอย่างราบรื่น

ถึงแม้เหมียวอี้จะมีความมั่นใจว่าจะผ่านเคราะห์นี้ไปได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็จำเป็นต้องยอมรับว่าที่อีกฝ่ายพูดนั้นมีเหตุผล เพราะทวนในที่แจ้งหลบหลีกง่าย แต่เกาทัณฑ์ในที่ลับระวังยาก จะมีคนมาทำให้เรื่องเสียหรือเปล่าก็ยังพูดได้ไม่ชัดเจนเลย เพียงแต่เขายังอดไม่ได้ที่จะกังวล ถามไปว่า :ถ้าข้าทำแบบนี้ แล้วต่อไปเรื่องนี้ไม่สำเร็จสมใจพวกเขา จะไม่เป็นการปั่นหัวพวกเขาเล่นเหรอ จะไม่ล่วงเกินให้พวกเขาแค้นกว่าเดิมหรอกหรือ?

คำพูดเหล่านี้ไม่เคยได้ยินถังเฮ่อเหนียนพูดมาก่อน โค่วเหวินหลานเงยหน้าถ่ายทอดความคิดของเหมียวอี้

ถังเฮ่อเหนียนค่อยๆ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง แล้วบอกว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล ขอเพียงเขาผ่านเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ เรื่องราวในตอนหลัง ตระกูลโค่วจะออกหน้าจัดการให้เรียบร้อยเอง ในเมื่อต่อไปจะเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว ตระกูลโค่วย่อมต้องปกป้องเขา ให้ผลประโยชน์เล็กน้อยกับอีกสามบ้าน ก็ดีกว่าให้อีกสามบ้านไม่ได้อะไรเลย สรุปก็คือเขาไม่ต้องกังวลสิ่งนี้ จะมีคนช่วยจัดการให้เขาอย่างเหมาะสม”

โค่วเหวินหลานถ่ายทอดความคิดนี้ให้เหมียวอี้รู้ทันที

ทว่าเหมียวอี้ยังคงลังเล : จะตบตาอีกสามบ้านได้ง่ายๆ ขนาดนั้นเชียวหรือ ถ้าข้าไม่ยอมรับปาก แล้วพวกเขาไม่เห็นกระต่าย ไม่ปล่อยเหยี่ยวขึ้นมาจะทำยังไง?

โค่วเหวินหลานบอกต่อถังเฮ่อเหนียนอีกครั้ง

ถังเฮ่อเหนียนได้ยินแล้วยิ้มเรียบๆ “เรื่องบางเรื่องเขาสัมผัสไม่ถึง ความรู้สึกแบบนี้ก็พอจะเข้าใจได้ เอาคำพูดของข้าไปอธิบายให้เขาฟังนะ บอกเขาว่า ในบรรดาสามคนที่สืบคดี ในจำนวนนั้นมีหัวหน้าภาคอวี่จ้งเจิน หน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสายตรงของเขา แล้วก็ท่านโหวเซวียนหยวนจัว สองคนนี้ล้วนเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรงของเหยื่อทั้งสองฝ่าย อย่าลืมนะว่าเซวียนหยวนจัวไม่ได้เป็นแค่หนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวเท่านั้น ทั้งยังเป็นคนที่มาจากหน่วยองครักษ์ขวาด้วย หน่วยองครักษ์ซ้ายขวาล้วนเป็นคนของฝ่าบาท มีเกาก้วนมาอีกคน นั่นก็เป็นคนของฝ่าบาทเช่นกัน ตามหลักการแล้วอวี่จ้งเจินกับเซวียนหยวนจัวจะต้องหลบเลี่ยงการสืบคดีนี้ แต่เบื้องบนดันส่งสองคนนี้แล้ว เจตนาของ่าบาทนั้นชัดเจนมาก ช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดของหนิวโหย่วเต๋อ ก็คือตอนที่ฝ่าบาทเดือดดาลจนอาจจะฆ่าเขาทิ้งเสียเลยหรือไม่ก็ได้ ในเมื่อเขาผ่านด่านนั้นมาแล้ว ก็แสดงว่าฝ่าบาทจะไม่ผลักความรับผิดชอบไปที่กองทัพองครักษ์ การปกป้องหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่สาเหตุสำคัญ แต่ทำเพื่อปกป้องกองทัพองครักษ์ เพราะสิ่งที่อยู่ในนั้นเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของคนระดับบน เขาไม่จำเป็นต้องคิดมากเกินไป แค่ต้องเข้าใจจุดนี้ก็พอ ฝ่าบาทยืนกรานจะปกป้องเขา ถึงได้ส่งสามคนนี้มาสืบคดี ทั้งนั้นต่อให้อีกสามอ๋องอยากจะไม่เห็นกระต่าย ไม่ปล่อยเหยี่ยว แต่ก็ทำไม่ได้อยู่ดี ฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยให้คดีนี้ยืดเยื้อและมีผลกระทบมากเกินไป จะต้องพยายามปิดคดีนี้โดยเร็วที่สุด ดังนั้นหนิวโหย่วเต๋อจึงไม่ต้องคิดมาก!”

ที่แท้ก็มีเบื้องหลังที่ลึกลงไปอีกขั้นนี่เอง โค่วเหวินหลานพึมพำในใจ แล้วอธิบายสิ่งนี้ให้เหมียวอี้ฟังต่อทันที

เมื่อได้ยินอะไรแบบนี้ เหมียวอี้ก็หายกังวลแล้ว สิ่งนี้ไม่ต่างกับที่หยางชิ่งบอกสักเท่าไร ถึงแม้หยางชิ่งจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ แต่หยางชิ่งก็ชี้ชัดเช่นกันว่าตราบใดที่เหมียวอี้ได้เปรียบด้านเหตุผล ราชันสวรรค์ก็จะไม่ผลักความรับผิดชอบไปให้กองทัพองครักษ์ จะปกป้องเหมียวอี้ ดังนั้นจึงไม่ต้องคิดหนี เพราะเหตุนี้ถึงได้ให้วางกับดักไว้ก่อนจะเกิดเรื่อง ที่ใช้ความพยายามไปอย่างยากลำบากก็เพื่อให้ได้เปรียบเรื่องเหตุผล

สาเหตุที่หยางชิ่งวางกับดักไว้แบบนี้ ก็ต้องขอบคุณที่ได้อยู่อุทยานหลวงมาหลายปี ทำให้ได้ยินข่าวเรื่องตำหนักสวรรค์มาบ้าง สี่อ๋องสวรรค์รู้สึกว่ากองทัพองครักษ์รักษากำลังพลหนึ่งส่วนไว้ที่วังสวรรค์ก็พอแล้ว ถ้าเป็นกำลังพลที่เพ่นพ่านไปทั่วจะนับว่ายังเป็นกองทัพองครักษ์อยู่อีกเหรอ?ในปีนั้นก่อนที่ตำหนักสวรรค์จะสร้างขึ้นมา ประมุขชิงก็ให้ผลประโยชน์กับเบื้องล่างมาไม่น้อย จะได้ให้เบื้องล่างอุทิศตนทำงานให้ได้สะดวก ทั้งยังตอบตกลงว่าหลังจากจบเรื่องแล้ว จะมอบกำลังพลที่อยู่ข้างนอกทั่วทุกหนแห่งให้อยู่ใต้บังคับบัญชาของสี่อ๋องสวรรค์ เพียงแต่หลังจากครองใต้หล้าแล้ว ประมุขชิงก็บิดพลิ้วสัญญา ไม่ยอมปล่อยกำลังพลที่อยู่ในมือเสียที สี่อ๋องสวรรค์เองก็ทำอะไรประมุขชิงไม่ได้ กลับมีเสียงเรียกร้องให้รวมกับกองทัพองครักษ์มาตลอด ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ประมุขชิงไม่มีทางยอมให้สี่อ๋องสวรรค์มีข้ออ้างในการชวนทะเลาะแน่ จะต้องปกป้องกองทัพองครักษ์แน่นอน

แน่นอน ถ้าเหมียวอี้ทำเรื่องนี้โดยไม่มีเหตุผลเลยสักนิด ก็จะโดนสี่อ๋องสวรรค์จับจุดอ่อนอย่างเต็มที่ แบบนั้นประมุขชิงก็จะปกป้องเขาไม่ได้อยู่ดี มีแต่จะผลักเหมียวอี้ออกมาเป็นแพะรับบาป ความรับผิดชอบทั้งหมดจะถูกผลักไปที่เหมียวอี้ ทำแบบนี้เพื่อให้คำอธิบายกับเบื้องล่าง

หลังจากติดต่อกับเหมียวอี้เสร็จแล้ว โค่วเหวินหลานก็มองถังเฮ่อเหนียนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความนับถือ อาศัยแค่ข่าวสารข้อมูลเล็กน้อยก็คาดการณ์ทุกการกระทำของหนิวโหย่วเต๋อได้อย่างแม่นยำแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของถังเฮ่อเหนียน ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมท่านปู่ถึงต้องให้ถังเฮ่อเหนียนออกหน้ามาควบคุมเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

เขาไม่รู้ว่าเมื่อไรตัวเองถึงกลายเป็นแบบพ่อบ้านท่านนี้ได้ นั่งสงบอยู่ในกระท่อม เพียงอยู่เงียบๆ ก็สามารถวางกลยุทธ์เรื่องราวที่อยู่ข้างนอกได้แล้ว

โค่วเหวินหลานฉวยโอกาสนี้ประจงสอพลอนิดหน่อย “ท่านปู่ถังคุมสถานการณ์อยู่ที่นี่ ครั้งนี้ตระกูลโค่วของพวกเราคงจะมีโอกาสชนะแล้ว!”

ถังเฮ่อเหนียนขยี้ตัวหมากพลางส่ายหน้า “นายน้อยดีใจเร็วเกินไปแล้ว ก่อนที่เรื่องราวจะสำเร็จ สุดท้ายจะเกิดสถานการณ์อะไรบ้างก็ยังบอกได้ไม่ชัด สามอ๋องนั่นก็ไม่ใช่ไก่อ่อนเหมือนกัน ทั้งยังมีตระกูลเซี่ยโห้วอีก ฝ่ายนั้นมีหูมีตาอยู่ทั่วหล้า ถ้ามีจิ้งจอกเฒ่านั่นอยู่ ก็ต้องเตรียมป้องกันไว้ทุกเมื่อว่าจะมีคนมาป่วนให้แผนเสีย ทั้งยังมีฝั่งวังสวรรค์ ใต้หล้านี้ล้วนเป็นเวทีหลักของเขา ไม่ว่าใครเล่นกับเขาก็เสียเปรียบทั้งนั้น ไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าคนของสี่อ๋องมาที่นี่แล้ว ถ้าตอนนี้ยังไม่รู้ว่าสี่อ๋องกำลังคิดจะทำอะไร ก็แสดงว่าท่านนั้นคงคุมใต้หล้าได้อีกไม่นานแล้ว ดังนั้น ละครเด็ดเพิ่งเริ่มขึ้น บทสรุปจะเป็นอย่างไร ก็ต้องรอดูตอนสุดท้ายถึงจะรู้ อย่าประมาทเพราะคิดไปว่าฝ่ายตัวเองมีโอกาสชนะเด็ดขาด”

“ตอนหลังยังจะเกิดสถานการณ์อะไรขึ้นอีกหรือขอรับ?” โค่วเหวินหลานถามหยั่งเชิง

“ตาท่านแล้วนายน้อย” ถังเฮ่อเหนียนที่ลงหมากแล้วเตือนด้วยเสียงราบเรียบ ราวกับกำลังบอกว่าพูดมากตอนนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์

โค่วเหวินหลานไม่กล้าบังคับเขา ทำได้เพียงดึงความสนใจกลับมาบนกระดานหมาก

หออวิ๋นฮว๋า ภายใต้การแนะนำซ้ำๆ ของอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้จึงติดต่อกับหยางชิ่งแล้ว อยากจะขอความเห็นหยางชิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย บางครั้งก็ต้องยอมรับ ว่าหยางชิ่งสมองดีมีประโยชน์มาก แต่กลับไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลังจากติดต่อกลับไปครั้งนี้ กลับไม่ได้รับการตอบกลับจากหยางชิ่ง กลับเป็นระฆังดาราของสวีถังหรานที่ส่งข่าวมา

เหมียวอี้ถาม : มีเรื่องอะไรเหรอ?

สวีถังหราน : ข้าน้อยเห็นระฆังดาราที่หยางชิ่งเก็บไว้มีปฏิกิริยา ทราบว่านายท่านส่งข่าวมา เลยตั้งใจจะมาถามว่านายท่านมีเรื่องอะไรจะถามหยางชิ่งขอรับ

เหมียวอี้ประหลาดใจแล้ว : ระฆังดาราของข้ากับหยางชิ่ง ทำไมหยางชิ่งถึงให้เจ้าไว้ล่ะ? หยางชิ่งไปไหนแล้ว?

สวีถังหราน : หยางชิ่งฝึกวิชาแบบไม่ระวังตัว เกือบจะจิตมารเข้าแทรก กระอักเลือดออกมา บอกว่าสมองเลอะเลือนมึนงง ทำงานได้ลำบาก เลยเก็บระฆังดาราไว้ที่ข้าน้อยขอรับ เขาขอลาหยุดไปพักรักษาตัวที่บ้านกับครอบครัวแล้ว นายท่านจะให้ข้าน้อยไปเรียกเขามั้ยขอรับ?

เหมียวอี้ : ช่างเถอะ ไม่ต้องแล้ว

สวีถังหราน : นายท่าน เอ่อคือ ข้าน้อยได้ยินว่าทางนั้นเกิดเรื่องนิดหน่อย ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่าขอรับ?

เหมียวอี้ : ไม่มีเรื่องอะไร เอาตามนี้แล้วกัน

หลังจากติดต่อเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็หันกลับไปเล่าสถานการณ์ในตอนนี้ให้อวิ๋นจือชิวฟัง อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อชิงจวี๋เพื่อถามอาการของหยางชิ่ง ผลปราฏว่าชิงจวี๋ตอบเหมือนที่สวีถังหรานบอกทุกอย่าง บอกว่าหยางชิ่งมึนศีรษะ กินยาแล้วนอนพักผ่อนไปแล้ว

นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับหยางชิ่งในเวลานี้ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เมื่อถามไม่ได้ความ เหมียวอี้ก็ทำได้เพียงล้มเลิก

ในลานบ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบหลังหนึ่ง หยางชิ่งที่ปล่อยผมและสวมชุดลำลองกำลังเอนกายอยู่บนเก้าอี้โยก ชิงจวี๋คอยโยกเบาๆ อยู่ข้างกาย มืออีกข้างหนึ่งเก็บระฆังดาราแล้ว บอกกับหยางชิ่งที่กำลังหลับตาว่า “นายท่าน ตอบไปตามที่ท่านบอกแล้ว”

“อืม” หยางชิ่งขานรับเบาๆ แล้วถามอีกว่า “ฮูหยินทางพิภพเล็กตอบกลับมาหรือยัง?”

ชิงจวี๋ตอบว่า “ฮูหยินแอบวางแผนตามที่ท่านกำชับแล้ว ถ้าสถานการณ์ทางนี้ร้ายแรงจนกู้กลับคืนไม่ได้ ถ้าไม่มีใครกลับมาที่พิภพเล็กได้อีก ก็ให้คุณหนูเรียกทุกคนที่รู้เรื่องพิภพใหญ่กับผู้แข็งแกร่งทุกคนที่พิภพเล็กมาร่วมงานเลี้ยง…วางยาพิษสังหาร!” พอพูดถึงตรงนี้ นางก็เสียงสั่นเล็กน้อย “เรื่องราวจะลุกลามไปถึงขั้นนั้นจริงเหรอคะ?”

หยางชิ่งลืมตาเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ไม่รู้สิ! แต่ข้าต้องเตรียมตัวป้องกันเหตุไม่คาดคิด ต่อให้ข้ากลับไปไม่ได้ แต่ก็ต้องเหลือทางรอดไว้ให้พวกนางสองแม่ลูก ไม่อย่างนั้นถ้าเหมียวอี้กับฮูหยินตายไป ช่องทางไม่กลับระหว่างพิภพใหญ่กับพิภพเล็กก็จะถูกตัดขาด พิภพเล็กจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลุ่มวีรบุรุษแย่งชิงความเป็นใหญ่แน่ มีหรือที่คนที่จิตใจทะเยอะทะยานจะปล่อยพวกนางสองแม่ลูกไว้? ไม่สู้ชิงลงมือกำจัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายหลังก่อน หลังจากจบเรื่องแล้ว อาศัยทรัพยากรฝึกตนที่อยู่ในมือพวกนางจนสร้างตำแหน่งอันดับหนึ่งของพิภพเล็กได้อย่างมั่นคงแล้ว พิภพเล็กก็จะเป็นของพวกนาง ถือว่านั่นคือสิ่งที่ข้าชดเชยให้พวกนางสองแม่ลูกก็แล้วกัน จำไว้นะ ต้องกำชับฮูหยิน ว่าห้ามบอกเรื่องนี้ให้เวยเวยรู้เด็ดขาด ถ้าอยากทำให้เรื่องนี้สำเร็จ ก็มีแต่ต้องพึ่งฐานะที่เวยเวยเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้เท่านั้น ถึงจะเรียกทุกคนมารวมกันได้อย่างราบรื่น ไม่อย่างนั้นจะผิดพลาดได้ง่าย เจ้าไปก่อนเถอะ ถ้าข้าไม่ส่งข่าวไปก็ไม่ต้องกลับมา ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับข้า…ในภายหลังเจ้าอยู่ที่พิภพใหญ่คนเดียวก็ต้องระวังตัวหน่อย”

มือของชิงจวี๋หยุดชะงัก จากนั้นก็คุกเข่าตรงหน้าเขา จับมือเขาพร้อมกล่าวอย่างฮึกเหิมว่า  “นายท่าน ไปด้วยกันเถอะค่ะ!”

หยางชิ่งส่ายหน้า ตบหลังมือนางเบาๆ แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ถ้ายังไม่ถึงตอนสุดท้าย ข้าก็ยังไปไม่ได้ ถ้าฝั่งนั้นเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ตัวข้าอยู่ที่นี่ก็อาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้ ถึงอย่างไรในสายตาคนนอก ข้าก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อาจจะไม่โยงมาถึงลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้เพราะเรื่องนั้นก็ได้ แต่ถ้าข้าหายไปตัวไปตอนนี้ ก็จะทำให้เบื้องบนสงสัยทันทีว่าข้าเกี่ยวข้องอะไรด้วย เบื้องบนจะสั่งจับกุมข้าทันที ถึงตอนนั้นทั้งเจ้าทั้งข้าก็จะหนีลำบากแล้ว ต่อให้เบื้องบนต้องการจะลากข้าไปพัวพัน แต่ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ต่อให้หญิงรับใช้คนหนึ่งจะหายไป แต่ก็จะไม่ดึงดูดความสนใจใครอยู่ดี ทำแบบนี้อย่างน้อยเจ้ากับข้าก็จะมีคนหนึ่งที่รอด นอกจากนี้ เรื่องในครั้งนี้ข้าก็เตรียมตัวเผื่อไว้ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดเท่านั้นเอง ยังมีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขชิงจะปกป้องเขา กอปรกับกับข้ามองเหมียวอี้ไม่ค่อยทะลุ เบื้องหลังเขามีไพ่ลับซ่อนเอาไว้มากมาย ถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้นแล้วให้เขารู้ว่าข้าหนีไป ต่อไปจะให้เวยเวยทำยังไงล่ะ? ข้าต้องเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้สิ!”

…………………………

เหมียวอี้กลอกตามองบน “อย่าพาลหาเรื่อง ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่าตรงนี้มีปัญหาแน่”

ตอนนี้ใช่เวลามาเอ่ยถึงเรื่องนี้เสียที่ไหนกัน เขารีบเขย่าระฆังดาราถามซักไซ้ : พี่โค่ว ข้ารู้ดีว่าข้ามีความสามารถเป็นยังไง เรื่องที่ท่านบอกข้าทำใจเชื่อได้ยากจริงๆ ข้าเพิ่งจะก่อเรื่องใหญ่ไป แล้วพวกเขาก็ต้องการให้ลูกสาวแต่งงานกับข้า แบบนี้ฟังดูเหลวไหลเกินไปรึเปล่า นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? ข้าขอคำชี้แนะจากใจจริง!

โค่วเหวินหลาน : ข้าได้ยินมาว่าอาจารย์ของน้องหนิวคืออสุราอัคนี ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?

เหมียวอี้ตะลึงงันอีกครั้ง ทำถึงโยงไปที่อสุราอัคนีได้ล่ะ เขาตอบว่า : ไม่ปิดบังพี่โค่ว ข้าบังเอิญได้รับถ่ายทอดวิชาการอสุราอัคนี จะบอกว่าข้าเป็นลูกศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนีก็ได้ แต่อาจารย์ข้าตายไปหลายปีขนาดนั้นแล้ว อย่าบอกนะว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอาจารย์ของข้า?

โค่วเหวินหลานมองไปที่ถังเฮ่อเหนียนทันที : “เขายอมรับเองเลยว่าเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี บอกว่าบังเอิญได้รับถ่ายทอดวิชาจากอสุราอัคนี”

“ได้รับถ่ายทอดสิชา ถ่ายทอดวิชา…” ถังเฮ่อเหนียนพึมพำ แล้วก็พยักหน้าอีก

โค่วเหวินหลานตอบต่อไปว่า : น้องหนิว สงสัยเจ้าจะประเมินพลังอำนาจของอาจารย์เจ้าในปีนั้นต่ำไปแล้วมั้ง แต่ก็พอจะเข้าใจได้ ถึงยังไงก็อยู่ห่างยุคกันตั้งไกล ตอนนี้ยังมีสักกี่คนที่ยังเอ่ยถึงเขาอยู่ ทั้งชีวิตพวกเราแทบจะไม่มีใครรู้จักเลย เอาเป็นว่าในปีนั้นอาจารย์ของเจ้าเป็นตัวละครที่วางอำนาจบาตรใหญ่ในใต้หล้าเชียวนะ! ตอนนี้เจ้าน่าจะเข้าใจแล้วใช่มั้ย เรื่องดีแบบนี้มาเยือนเจ้าถึงประตูบ้าน ก็เพราะสิ่งที่เจ้าได้รับถ่ายทอดมาไง พวกเขาอยากจะดึงเจ้าไปเป็นพวก!

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว เขาเองก็เคยได้ยินอวี้หลิงเจินเหรินบอกมาเช่นกัน ว่าในปีนั้นอสุราอัคนีเป็นบุคคลที่ร้ายกาจยอดเยี่ยม แต่นึกไม่ถึงว่าลาโลกไปนานขนาดนี้แล้วยังจะทำให้อ๋องสวรรค์สะเทือนได้อีก เขาอดไม่ได้ที่จะบ่นเกาก้วนในใจ ทำไมถึงสร้างประวัติภูมิหลังแบบนี้ให้ตนได้ แบบนี้ไม่เป็นการสร้างปัญหาให้ตนหรอกเหรอ

พอคิดไปคิดมาก็ถามหยั่งเชิงว่า : อย่าบอกนะว่าเรื่องที่พี่โค่วเป็นพ่อสื่อในสวนท้อก่อนหน้านี้เป็นเพราะสาเหตุนี้?

โค่วเหวินหลาน : น้องหนิว เรื่องนี้ข้าบอกไปแล้วไง ตอนนั้นข้าแค่อยากจะช่วยเจ้าเท่านั้นเอง แถมตอนนั้นข้าก็ยังไม่รู้ด้วยว่าเจ้าคือศิษย์ของอสุราอัคนี ข้าเองก็เพิ่งถามจากปากพ่อบ้านถึงได้รู้ เรื่องนี้ก็เพิ่งลือกันในช่วงเร็วๆ นี้เอง ไม่รู้เหมือนกันว่าข่าวลือนี้ออกมาจากไหน บอกว่าเจ้าเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ไปสืบดูได้ว่าข่าวลือนี้เริ่มตั้งแต่เมื่อไร แล้วอีกอย่างนะ น้องหนิวก็ปฏิเสธข้าไปแล้ว ข้าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องแต่งงานอีกก็แล้วกัน ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้าก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว

เหมียวอี้ : ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อพี่โค่ว เพียงแต่จู่ๆ พ่อบ้านจวนท่านก็มาที่นี่ในเวลานี้ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร?

โค่วเหวินหลาน : จะบอกเจ้าตรงๆ เลยก็ได้ พ่อบ้านมาที่นี่ก็เพื่อทำลายเรื่องดีๆ ของเจ้า! ก็เป็นเพราะได้ยินเรื่องนี้นี่แหละ พอรู้ว่าอีกสามอ๋องส่งบุคคลที่พอจะมีหน้ามีตามา ที่บ้านข้ากลัวว่าถ้าส่งคนธรรมดามาแล้วจะสยบอีกสามบ้านไม่ได้ ก็เลยตั้งใจส่งพ่อบ้านมาคุมสถานการณ์ มาทำให้เรื่องดูตัวของเจ้าพัง! แน่นอน เมื่อครู่นี้พ่อบ้านก็บอกไว้แล้วเช่นกัน ที่บ้านข้าบอกมาว่าเรื่องที่ตลาดผีครั้งก่อน ตระกูลโค่วติดนี้น้ำใจเจ้า ถ้าเจ้าไม่อยากให้ตระกูลโค่วทำลายเรื่องดีๆ ของเจ้า ก็แค่บอกมาตรงๆ ตระกูลโค่วรับรองว่าจะไม่ยื่นมือไปแทรกเรื่องนี้ ไม่ว่าเจ้าจะแต่งงานกับลูกสาวของบ้านไหน เดี๋ยวต่อไปตระกูลโค่วจะมอบของขวัญล้ำค่าให้ พูดจริงทำจริง!

พูดจาตรงไปตรงมาขนาดนี้ กลับทำให้เหมียวอี้รู้สึกดีในใจ แต่เขาก็รู้เช่นกัน ว่าเรื่องราวไม่ได้ธรรมดาแบบนั้นแน่นอน ไม่กล้าเข้าไปข้องเกี่ยวกับน้ำที่ล้ำลึกอย่างตระกูลโค่ว ตอบปฏิเสธอ้อมๆ ว่า : เรื่องน้องสาวของท่านตอนแรก หนิวก็ปฏิเสธไปแล้ว จะเห็นได้ว่าหนิวแน่วแน่ขนาดไหน พี่โค่ววางใจได้ เรื่องนี้ไม่ต้องให้ตระกูลโค่วลงมือหรอก ไม่ว่าบ้านไหนข้าก็ไม่แต่งทั้งนั้น ต้องปฏิเสธแน่นอน!

โค่วเหวินหลานบอกถังเฮ่อเหนียนทันที “เขาบอกว่าไม่ต้องให้ตระกูลโค่วลงมือ เขาจะปฏิเสธให้หมด จะไม่แต่งงานกับบ้านไหยทั้งนั้น”

“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาเหรอ? ประเมินเขาสูงไปใช่มั้ย? หรือว่ากำลังแกล้งโง่? ขนาดข้ามาด้วยตัวเองแล้ว เขามีสิทธิ์ทำตามใจหรือ?” ถังเฮ่อเหนียนแสยะยิ้ม แล้วบอกว่า  “ไม่มีเวลาอ้อมค้อมกับเขาแล้ว บอกไปตรงๆ เถอะ”

โค่วเหวินหลานพยักหน้า แล้วตอบว่า : เกรงว่าจะปฏิเสธพวกเขาไม่ได้หรอก นอกเสียจากน้องหนิวจะไม่ได้รักเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นจากใจจริง อยากจะกดดันให้เถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นตาย!

เหมียวอี้หรี่ตา : หมายความว่ายังไง?

โค่วเหวินหลาน : ถ้าน้องหนิวไม่ก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติง เถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นก็อาจจะยังรักษาชีวิตไว้ได้ ถ้าน้องหนิวไม่ถูกใจสามตระกูลนั้นก็คงไม่เป็นอะไร เรื่องของน่านฟ้าระกาติงควรจะเป็นยังไงก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ในเมื่ออีกสามบ้านถูกใจเจ้าแล้ว บุคคลระดับสูงของสามบ้านนั้นลงมือเองแล้ว ขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้เลยนะ นี่ไม่ใช่สิ่งที่น้องหนิวในปัจจุบันจะต้านทานไหว น้องหนิวก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้เพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง จะเห็นได้ว่าผู้หญิงคนนี้สำคัญต่อใจน้องหนิวขนาดไหน ถ้าน้องหนิวไม่ตอบตกลง พวกเขาก็จะคิดว่าเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นคืออุปสรรค เจ้าคิดว่าเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นยังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเหรอ? ต่อให้น้องหนิวจะตอบตกลงแต่งงานกับลูกสาวบ้านใดบ้านหนึ่ง แต่เถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นก็จะต้องตายอยู่ดี เป็นเพราะน้องหนิวทำเพื่อเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นมากเกินไป ถ้าเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นไม่ตาย ลูกสาวหลานสาวของพวกเขาที่แต่งงานกับเจ้าก็จะรู้สึกรำคาญใจ ที่สำคัญคือในภายหลังยังไม่รู้เลยว่าน้องหนิวจะก่อเรื่องอะไรเพื่อเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นอีก! ในเมื่อสามบ้านนั้นลงมือแล้ว ถ้าไม่มีอำนาจอิทธิพลที่ทัดเทียมกันมาทำลายแผนการ นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่น้องหนิวจะพลิกสถานการณ์ได้เลย!

เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็มุมปากกระตุกอย่างรุนแรง ตอนแรกที่เขาตัดสินใจจะทำเรื่องนี้ เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะทำให้อวิ๋นจือชิวมีอันตรายถึงชีวิต ประเด็นสำคัญคือ ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าพวกอ๋องสวรรค์จะอยากจะให้ลูกสาวแต่งงานกับเขา

เมื่อเห็นเหมียวอี้มีสีหน้าไม่ชอบมาพากล อวิ๋นจือชิวก็ถามอย่างกังวลว่า “เป็นอะไรไป?”

ในขณะนี้เอง เหมียวอี้หยิบระฆังดาราอีกอันหนึ่งออกมา หลังจากได้ข่าวแล้วสีหน้าก็ยิ่งเครียดขรึม

เสวี่ยเอ๋อร์ส่งข่าวมา ว่าระหว่างทางเสวี่ยเอ๋อร์โดนยอดฝีมือดักไว้ โดนอีกฝ่ายจับตัวไว้โดยไม่ทันได้โต้ตอบด้วยซ้ำ พวกเขาค้นตัวนางรอบหนึ่ง ค้นตัวจนเจอตัวหงเฉินด้วย แต่ที่แปลกก็คือ อีกฝ่ายไม่ได้กลั่นแกล้งพวกนาง ไม่ได้ปล้นเงินพวกนางด้วย แล้วก็ปล่อยตัวพวกนางไปอีก เสวี่ยเอ๋อร์ถูกยอดฝีมือพวกนั้นทำให้ประหลาดใจหาคำตอบไม่ได้

ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ เหมียวอี้อาจจะไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่พอได้ฟังคพูดของโค่วเหวินหลาน เขาก็เข้าใจในทันที มีคนป้องกันไม่ให้อวิ๋นจือชิวหนีไป ตอนนี้ดาวจิ่วหวนกลายเป็นสนามประลองอำนาจของอิทธิพลใหญ่ฝ่ายต่างๆ แล้ว

“รังแกกันเกินไปแล้ว!” เหมียวอี้กล่าวอย่างแค้นใจ แล้วบอกเสวี่ยเอ๋อร์ว่าไม่เป็นอะไร ให้ระวังคนสะกดรอยตามก็พอ ไปเจอกับเหยียนซิวตามแผนที่วางไว้ จากนั้นก็มองไปที่อวิ๋นจือชิว ถอนหายใจเบาๆ อย่างหดหู่ แล้วบอกว่า “ข้าเสียใจที่ไม่เชื่อฟังเจ้า ครั้งนี้เกรงว่าเจ้าคงตกอยู่ในอันตรายแล้ว…” นางอธิบายคำพูดของโค่วเหวินหลานให้ฟัง แล้วก็บรรยายสิ่งที่เสวี่ยเอ๋อร์เพิ่งประสบเมื่อครู่นี้

อวิ๋นจือชิวอึ้งไปครู่หนึ่ง นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเรื่องราวจะกลายเป็นซับซ้อนขนาดนี้ นางก้มหน้าแล้วถามว่า “ไม่รู้ว่าตระกูลโค่วจะมีวิธีการอะไรหรือเปล่า เกรงว่าตระกูลโค่วก็คงไม่มีเจตนาดีอะไรเช่นกัน”

เชียนเอ๋อร์ได้ฟังอะไรพวกนี้แล้วก็ตกใจเช่นกัน มองไปที่เหมียวอี้ แล้วก็มองไปที่อวิ๋นจือชิวอีกอย่างกังวลใจ

เหมียวอี้เขย่าระฆังดาราถามอีกว่า : ไม่ทราบว่าตระกูลโค่วมีวิธีการอะไรช่วยข้ารึเปล่า?

โค่วเหวินหลาน : ไม่ปิดบังพี่หนิว ตระกูลโค่วเองก็เคยมีความคิดแบบพวกเขาเหมือนกัน แต่เห็นแก่น้ำใจของน้องหนิวเรื่องตลาดผี ท่านปู่ข้าบอกว่าคนเราจะทำอะไรสุดโต่งเกินไปไม่ได้ ถ้าแม้แต่เรื่องตอบแทนบุญคุณคนยังทำไม่ได้ แล้วจะยืนหยัดอยู่ในใต้หล้าได้ยังไง แต่ก็ใช่ว่าตระกูลโค่วจะไม่มีจิตใจที่คำนึงถึงส่วนตนเลย ดังนั้นท่านปู่จึงมีวิธีการหนึ่งที่ได้ประโยชน์กันหลายฝ่าย ทั้งช่วยให้น้องหนิวกับเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นสมปรารถนา ทั้งทำลายแผนของอีกสามตระกูลได้ ทั้งยังปกป้องเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นได้ด้วย ขณะเดียวกันก็รักษาไมตรีระหว่างทั้งสองบ้านได้ด้วย

ยังมีวิธีการแบบนี้ด้วยเหรอ? เหมียวอี้ประหลาดใจ รีบตอบว่า : ข้ายินดีจะฟังรายละเอียด!

โค่วเหวินหลาน : ก่อนหน้านั้น พ่อบ้านให้ข้าถามสักคำก่อน ว่าเจ้ากับเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นแค่มีความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง หรือว่าอยากจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าจริงๆ?

เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวย่อมไม่ได้เล่นๆ กันอยู่แล้ว ตอยทันทีว่า : อย่างหลัง! ย่อมอยากจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่อยู่แล้ว!

โค่วเหวินหลาน : พ่อบ้านถ่ายทอดเจตนาของท่านปู่ข้า บอกว่าถ้าเจ้ายินดี ท่านปู่ข้าก็ยินดีจะรับเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นเป็น ‘บุตรสาวบุญธรรม’ ต่อไปเรื่องงานแต่งงานของเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นกับเจ้า ตระกูลโค่วก็จะช่วยเจ้าจัดการให้!

ตอนนี้เหมียวอี้ตะลึงค้างแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่าควรตื่นเต้นดีใจหรือควรจะอะไร แบบนี้หักมุมเกินไปแล้วมั้ง ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะมีอะไรแบบนี้

“ตระกูลโค่วเสนอขออะไรใช่มั้ย?” อวิ๋นจือชิวถาม

จู่ๆ เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าเหมือนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เจ้าอย่าพูดเลย ตระกูลโค่วมีความคิดเด็ดดวงแล้วจริงๆ ขอแค่ทำตามก็จะไม่เกิดเรื่องอะไรทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ปกป้องเจ้าได้นะ พวกเรายังจะได้อยู่ด้วยกันแบบสง่าผ่าเผยด้วย คาดว่าต่อไปนี้คงจะไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าง่ายๆ อีก กำจัดปัญหาห่วงหน้าพะวงหลังของข้าได้แบบลงแรงครั้งเดียวแล้วสบายไปตลอด ข้าจะยอมพวกเขาเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะคิดหาวิธีการแบบนี้ได้ ถ้าใครกล้ามาเล่นกับคนกลุ่มนี้ ก็ต้องโดนพวกเขาเล่นงานตายแน่!”

“วิธีการอะไร?” อวิ๋นจือชิวแปลกใจ

“บุตรสาวบุญธรรม!” เหมียวอี้ยังคงทำสีหน้าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

“บุตรสาวบุญธรรม?” อวิ๋นจือชิวงุนงง “บุตรสาวบุญธรรมอะไร?”

เหมียวอี้อธิบายว่า “อ๋องสวรรค์โค่วบอกมาแล้ว ว่ายินดีรับเจ้าเป็นบุตรสาวบุญธรรม จากนั้นก็จะจัดงานแต่งงานให้พวกเรา! พวกเขาช่างคิดวิธีการนี้ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ ถ้าพวกเขาสมปรารถนาแล้ว พวกเราก็จะไม่เป็นอันตรายแล้ว เพียงแต่หลังจากนี้ไป ข้าคงจะต้องกลายเป็นคนของตระกูลโค่วแล้วล่ะ เฮ้อ! แต่ข้ากำลังคิดนะ ว่าถ้าเขารู้ว่าตัวเองรับหลานสาวของประมุขปราชญ์ลัทธิมารมาเป็นบุตรสาวบุญธรรม แถมข้าก็เป็นประมุขปราชญ์ลัทธิอู๋เลี่ยงอีก ไม่รู้ว่าอ๋องสวรรค์โค่วจะคิดยังไง ข้ายังไม่รู้เลยว่าควรจะชื่นชมในความฉลาดหลักแหลมของเขา หรือควรจะว่าเขาว่าฉลาดแต่เข้าใจผิดดี วิธีการดีๆ ที่จะดึงให้ตระกูลโค่วลงน้ำมาซวยด้วยกันแบบนี้ ทำไมเขาถึงคิดได้นะ? ข้าว่านะน้องชิว แบบนี้จะถือว่าพวกเราขึ้นเรือโจรของตระกูลโค่ว หรือว่าตระกูลโค่วขึ้นเรือโจรของพวกเราล่ะ?”

ตะลึงค้างแล้ว! อวิ๋นจือชิวตะลึงค้างแล้วจริงๆ

เชียนเอ๋อร์ก็ตกตะลึงอ้าปากค้างอยู่ข้างๆ เช่นกัน เรื่องที่เพิ่งทำให้อกสั่นขวัญแขวนเมื่อครู่นี้ จู่ๆ ก็หักมุมกลายเป็นแบบนี้แล้ว สมองคิดตามไม่ทันแล้ว

“เอ่อ…เอ่อ…” อวิ๋นจือชิวอึกอักพูดไม่ออก ถามอย่างทำอะไรไม่ถูกว่า “พวกเราต้องตอบตกลงมั้ย?”

เหมียวอี้พูดหยอกว่า “เรื่องนี้ก็ต้องถามเจ้าสิ! ถ้าเจ้าเต็มใจ ข้าก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร ถึงยังไงเจ้ากับข้าก็รู้ว่าเรากับตระกูลโค่วใช้ประโยชน์กันและกันก็เท่านั้นเอง แต่หนี้น้ำใจครั้งนี้ใหญ่เกินไปจริงๆ ข้าต้องนับถือในความเผ็ดร้อนช่ำชองของตระกูลโค่ว”

อวิ๋นจือชิวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที “ก่อนหน้านี้ยังได้ชื่อว่าเป็นแม่หม้ายอยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นบุตรสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์โค่วแล้ว นี่มันอะไรกัน” นางส่ายหน้าอยู่พักหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนอีกว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็หาเหตุผลที่จะปฏิเสธไม่ได้เหมือนกัน ข้าต้องนับถือในความเหนือชั้นของตระกูลโค่ว ทำให้เจ้าอยากจะปฏิเสธแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ จะให้ข้ามีความเห็นแย้งอะไรล่ะ เจ้าตอบตกลงไปเถอะ”

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วเขย่าระฆังดาราตอบ : เจตนาอันงดงามของตระกูลโค่ว มีหรือที่จะปฏิเสธได้ อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงเกาะอำนาจผู้มีอิทธิพลแล้ว!

“ตอบตกลงแล้ว!” โค่วเหวินหลานบอกถังเฮ่อเหนียนพร้อมหัวเราะเบาๆ  “เกรงว่าพวกเขาคงจะคิดไม่ถึงว่าตระกูลโค่วจะคิดวิธีการนี้ออกมาได้ เพียงแต่ต่อไปข้าคงจะเสียเปรียบนิดหน่อยแล้ว อยู่ดีๆ ก็มีอาหญิงกับอาเขยเพิ่มมาแล้ว”

“ฐานะที่แตกต่างกันสามารถมอมเมาใจคนได้ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอ๋องเกิดไหวพริบ บ่าวคงไม่ได้คิดไปทางด้านนี้เช่นกัน” ถังเฮ่อเหนียนรู้สึกขำเช่นกัน แล้วก็จ้องกระดานหมากล้อมพร้อมกล่าวอย่างสบายใจว่า “เดินก้าวต่อไปได้แล้ว”

…………………………

“ข้าก็เคยสงสัยเขามาก่อนเหมือนกัน แต่เขาจะรู้เรื่องสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปได้ยังไง?” อวิ๋นจือชิวถาม

เหมียวอี้บอกว่า “เจ้ารู้รึเปล่าว่าพระที่บำเพ็ญทุกรกริยานั่นถนัดเรื่องอะไรที่สุด?”

“พยากรณ์ได้เหรอ? อย่าบอกนะว่าแม้แต่เรื่องนี้ก็พยากรณ์ได้?” อวิ๋นจือชิวกล่าวปนขำ

เหมียวอี้เอียงน้ามองมา “เจ้าก็เคยติดต่อกับเขามาก่อนเหรอ?”

“ไม่เคยติดต่ออะไรหรอก แต่ท่านปู่ข้าเคยติดต่อกับเขามาก่อน เหมือนจะเชื่อคำทำนายของเขามากด้วย” อวิ๋นจือชิวตอบ

“เหมือนจะเหรอ?” เหมียวอี้แสยะหัวเราะ “เจ้าไม่เคยติดต่อกับเขา ไม่รู้หรอกว่าเขาน่ากลัวขนาดไหน เรื่องที่ทำนายทายทักได้ ตอนข้าเป็นมนุษย์ธรรมดาข้าก็งมงายเชื่อเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่หลังจากก้าวเข้าแดนฝึกตน ก็พบว่าสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่าท่านเซียนเป็นเพียงนักพรตเท่านั้น จะมีการนับนิ้วพยากรณ์ได้ยังไง ถ้าทุกคนแค่นับนิ้วพยากรณ์ก็ทำทุกเรื่องสำเร็จได้ก็แย่น่ะสิ ดังนั้นข้าไม่เชื่อเรื่องนี้หรอก แต่หลังจากได้คลุกคลีกับเทพพยากรณ์หลายครั้ง ถึงได้พบว่าโลกนี้มีคนที่นับนิ้วทำนายแล้วรู้ทุกอย่างจริงๆ ขนาดเรื่องที่ข้าทำไว้แต่คนอื่นไม่รู้ เขาถึงขั้นทำนายออกมาได้ ข้านี่ตกใจจนเหงื่อแทบแตกไปทั้งตัว เจ้าว่าน่ากลัวมั้ยล่ะ? นอกจากเขาแล้ว ข้าก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าที่พิภพเล็กยังมีใครอีกที่สนิทกับศีลแปดและอาจารย์ ทั้งยังรู้สถานที่ผนึกของพระปีศาจหนานโป แต่นอกจากพวกเราแล้ว เทพพยากรณ์ก็เป็นคนเดียวที่สามารถไปมาระหว่างพิภพเล็กกับพิภพใหญ่ได้อย่างอิสระ ตอนมาที่พิภพใหญ่เขายังเปิดทางให้ข้าเลย! มีความเป็นไปได้อยู่แล้วว่าเขาจะชี้ทางให้ศีลแปดกับอาจารย์ เพียงแต่ข้าคิดไม่ตก ในเมื่อเขากับไต้ซือศีลเจ็ดเป็นสหายกัน แล้วทำไมต้องทำร้ายไต้ซือศีลเจ็ดล่ะ?”

อวิ๋นจือชิวพึมพำว่า “ถ้าสิ่งที่เกาก้วนเป็นความจริงทั้งหมด ก็ไม่ถือว่าเป็นการทำร้ายหรอก บางทีเทพพยากรณ์อาจจะรู้ว่าเคล็ดวิชาที่อาจารย์กับลูกศิษย์คู่นี้ฝึกสามารถต้านทานมนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจหนานโปได้ อาจจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงแต่ไม่เป็นอันตรายก็ได้! แต่ข้าคิดไม่ตกว่าเขาทำแบบนี้เพราะมีจุดประสงค์อะไร ในเมื่อเจ้าบอกว่าเขานับนิ้วทำนายได้จริงๆ บางทีอาจจะมีสาเหตุอื่นที่ชี้แนะให้ศิษย์กับอาจารย์คู่นั้นไป หรือไม่ก็กำลังช่วยพวกเขาจริงๆ อาจจะไม่ได้ทำร้ายพวกเขาหรอก”

เหมียวอี้เงียบงัน แล้วรีบหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาเขย่าในมือ อวิ๋นจือชิวดูอยู่เงียบๆ ข้างกาย รู้ว่าเขาคงจะติดต่อกับเทพพยากรณ์ ได้ยินว่าเหมียวอี้มีช่องทางติดต่อกับเทพพยากรณ์

ทว่าหลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดาราเงียบๆ อวิ๋นจือชิวลองถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่มีการตอบกลับ”

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ “ขนาดคนที่พิภพเล็กยังบอกเลยว่าเขาลึกลับเหมือนมังกรที่เห็นหัวไม่เห็นหาง นี่เขาเป็นคนยังไงกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะติดต่อเขาไม่ได้ เบาะแสแบบนั้นก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้อยู่ดี”

เหมียวอี้เริ่มขมวดคิ้วมุ่น

ในขณะนี้เอง เชียนเอ๋อร์ก็เข้ามาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์แล้ว “นายท่าน ฮูหยิน ด้านนอกมีคนสามคนทยอยกันมาที่นี่ มีจากหอฉางเจิน เรือนเจิดจรัส ตึกจันทราดาราค่ะ พวกเขาบอกว่ามาส่งบัตรเชิญให้นายท่าน” ในมือนางเผยแหวนเก็บสมบัติสามวงออกมา

เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมองหน้ากันเลิกลั่กอย่างอดไม่ได้ ทั้งสองอยู่ที่ตลาดสวรรค์มานานขนาดนี้แล้ว ไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าสามร้านนี้เป็นร้านของใคร เป็นกิจการสายตรงของอ๋องสวรรค์ก่วง อ๋องสวรรค์อิ๋ง อ๋องสวรรค์ฮ่าว ล้วนมีอยู่หนึ่งร้านตามตลาดสวรรค์แห่งต่างๆ สามร้านนี้ส่งบัตรเชิญมาหมายความว่าอย่างไร?

อวิ๋นจือชิวหยิบแหวนเก็บสมบัติจากมือเชียนเอ๋อร์มาไว้ในมือตัวเอง หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ดูแล้ว ก็เรียกบัตรเชิญออกมาสามฉบับ นี่ไม่ใช่แผ่นหยก แต่เป็นบัตรเชิญที่ทำจากผงสกัดผลึกแดง รูปแบบคล้ายๆ กัน สิ่งเดียวที่ต่างกันก็คือ ลวดลายสลักที่อยู่บนบัตรเชิญ นอกจากลวดลายตกแต่งที่แนบอยู่ด้านข้าง ตรงด้านหน้าล้วนมีลวดลายประตูหลักของจวนที่หรูหรา บนแผ่นป้ายของประตูหลักก็สลักไว้ว่าจวนอ๋องสวรรค์ก่วง  จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว

ไม่ต้องพูดถึงว่าบัตรเชิญนี้มีมูลค่าไม่เท่าไร เพราะความหมายของบัตรเชิญสามฉบับนี้ทำให้เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวแอบตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะได้รับเชิญในนามของอ๋องสวรรค์โดยตรง หอฉางเจิน เรือนเจิดจรัส ตึกจันทราดารา ถึงแม้จะเป็นกิจการสายตรงของสามอ๋องสวรรค์ แต่ก็เป็นแค่ร้านค้าทั่วไปสามร้านที่อยู่ภายใต้สามตระกูลนี้ก็เท่านั้นเอง ผู้จัดการของสามร้านนี้ยังไม่มีสิทธิ์ส่งบัตรเชิญในนามของจวนอ๋องสวรรค์ได้โดยตรง นอกเสียจากจะเบื่อหน่ายในการมีชีวิตอยู่เท่านั้นแหละ

ต่อให้เป็นคนของอ๋องสวรรค์ ถ้ามีงานเลี้ยงอะไรแต่ก็ใช้ได้เพียงนามส่วนตัว การนำบัตรเชิญของจวนอ๋องสวรรค์มาได้ก็เท่ากับเป็นตัวแทนของจวนอ๋องสวรรค์แล้ว

สองสามีภรรยาเปิดบัตรเชิญอ่านทีละฉบับ ตัวอักษรที่อยู่บนนั้นเป็นคำพูดตามมารยาท ความหมายคร่าวๆ ก็คือได้ทราบว่าเหมียวอี้เพิ่งเข้าเมืองมา เลยจะจัดงานเลี้ยงเชิญให้เหมียวอี้ไปเข้าร่วม สุดท้ายก็ทิ้งชื่อร้านค้าเอาไว้ แต่ทั้งสองก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ร้านค้าจะส่งบัตรเชิญนี้มา

ขณะเดียวกันก็อธิบายได้ชัดเจนแล้วว่าบัตรเชิญนี้เพิ่งถูกเขียนขึ้นมา การเขียนตัวอักษรบนบัตรเชิญผลึกแดงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น อีกด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นว่าบัตรเชิญนี้ไม่ธรรมดา

อวิ๋นจือชิวโบกบัตรเชิญในมือ เหมียวอี้จ้องไปที่บัตรเชิญพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วบอกว่า “ร้านค้าสามร้านนี้อาจจะมีคนที่ไม่ธรรมดามาเยือน ไม่อย่างนั้นคงทำบัตรเชิญแบบนี้ไม่ได้หรอก”

“ข้าเองก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน แต่ใครของสามตระกูลนี้ส่งบัตรเชิญมาให้ข้าล่ะ?” เหมียวอี้รู้สึกแปลกใจ แล้วจู่ๆ ก็หันไปถามเชียนเอ๋อร์ “โถงฉากเมฆาไม่ได้ส่งคนมาเหรอ?”

โถงฉากเมฆาก็คือกิจการของตระกูลโค่ว

“ตอนนี้ยังไม่มีค่ะ มีแค่สามตระกูล” เชียนเอ๋อร์ส่ายหน้า

เหมียวอี้เอียงศีรษะพลางพึมพำ “ขาดตระกูลโค่วไปตระกูลเดียว หมายความว่ายังไง?” เขาวางบัตรเชิญไว้ในฝ่ามือข้างเดียว แล้วใช้มืออีกข้างหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อโค่วเหวินหลาน เป็นเพราะไม่เข้าใจจริงๆ ว่านี่มันสถานการณ์อะไรกันแน่ คนที่สามารถเดาเจตนาของอีกสามตระกูลได้ เกรงว่าคงจะมีแค่ตระกูลโค่วแล้ว เขาเองก็เคยมอบไมตรีให้อีกฝ่ายมาแล้ว จะสืบข่าวสักหน่อยก็ไม่ถือว่าเกินไป เพราะเมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้ ก็จะไปเข้าร่วมแบบเลอะเลือนไม่ได้หรอก

หอฉางเจิน ในสวนป่าของลานบ้านด้านหลัง โกวเยว่ที่กำลังเดินทอดน่องอยู่บนทางเล็กๆ พลันหันกลับมา ถามหานตงที่กำลังถือระฆังดาราอย่างแปลกใจ “ทางตระกูลโค่วยังไม่มีความเคลื่อนไหวเหรอ?”

หานตงพยักหน้า “ลูกน้องจับตาดูอยู่ตลอด ตอนนี้ยังไม่เห็นคนของทางตระกูลโค่วไปที่หออวิ๋นฮว๋าเลย”

“คนก็มาแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะล้มเลิก สงสัยมีคนรู้จักมาด้วยเลยจัดการง่ายหน่อย คงจะให้โค่วเหวินหลานนั่ส่งข่าวไปเชิญโดยตรง พอเป็นแบบนี้ หนิวโหย่วเต๋อที่ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกคงจะต้องไปหยั่งเชิงที่โถงฉากเมฆาก่อน เรื่องนี้จะให้ตระกูลโค่วได้โอกาสก่อนไม่ได้ ไป ส่งยอดฝีมือไปสักสองสามคน ถ้าเขาออกมาก็ดักทางเข้าไว้” โกวเยว่พึมพำอย่างลังเล

“แล้วถ้าเขาไม่ยอมมาล่ะขอรับ?” หานตงถาม

โกวเยว่กล่าวเสียงเรียบว่า “อย่าลืมว่าที่นี่เป็นอาณาเขตของใคร พวกเราไม่มีความได้เปรียบกว่าอีกสามฝ่ายเลย ถ้าเขาไม่ยอมมา ก็บอกเขาไปเลยว่า ตำหนักสวรรค์มีคำสั่งให้หน่วยตรวจการขวา กองทัพองครักษ์และสี่ทัพสามหน่วยมาสืบสวนพร้อมกันแล้ว คนของสี่ทัพมาถึงก่อนแล้วก้าวหนึ่ง!”

ก่วงลิ่งกง อ๋องสวรรค์ก่วงก็คืออ๋องสวรรค์ที่คุมทัพตะวันตกตำหนักสวรรค์ อิ๋งจิ่วกวงคุมทัพตะวันออก อ๋องสวรรค์ฮ่าวคุมทัพใต้ อ๋องสวรรค์โค่วคุมทัพเหนือ

“ขอรับ!” หานตงเอ่ยรับแล้วหันตัวไป คิดในใจว่ามีแค่ท่านนี้เท่านั้นที่กล้าออกคำสั่งนี้ คนอื่นจะกล้าปลอมคำสั่งทหารของทัพตะวันตกได้อย่างไร แต่ท่านนี้สามารถทำให้อ๋องสวรรค์ก่วงแก้ไขคำสั่งนี้ได้ทุกเมื่อ

โถงฉากเมฆา ในลานบ้านด้านหลังที่เงียบและเย็นสงบ ในกระท่อมที่อยู่ติดป่าไผ่ริมทะเลสาบ ถังเฮ่อเหนียนกำลังเล่นหมากล้อมกับโค่วเหวินหลาน

โค่วเหวินหลานที่ลงหมากหนึ่งลตัวพลันเงยหน้า เขาหยิบระฆังดาราอันหนึ่งมาไว้ในมือ ยิ้มบางๆ ให้ถังเฮ่อเหนียนที่นั่งอยู่ตรงข้าม เหมือนจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว

“ท่านปู่ถัง ท่านคาดการณ์ได้แม่นยำจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อติดต่อข้ามาแล้ว” โค่วเหวินหลานกล่าวอย่างอัศจรรย์ใจ

ถังเฮ่อเหนียนเงยหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องประหลาดใจ อีกสามอ๋องส่งคนไปแล้ว มีแค่พวกเราที่ไม่ได้ส่งใครไป เขาสนิทกับท่าน เมื่อไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนก็ย่อมต้องสืบข่าวจากท่าน ตอบเขาไปเถอะ ทำตามที่บ่าวสอนไว้ก็พอแล้ว”

โค่วเหวินหลานพยักหน้า แล้วตอบกลับระฆังดารา : น้องหนิว ในที่สุดวันนี้ข้าก็รู้แล้วว่าผู้หฺญิงที่เจ้าบอกคือใคร เจ้านี่ปิดบังข้าเสียเนียนเลยนะ ตอนนี้คงนั่งกอดสาวงามอยู่ล่ะสิ ทำไมมานึกถึงข้าได้ล่ะ?

เหมียวอี้ชะงักทันที แล้วถามว่า : ท่านรู้แล้วเหรอ?

โค่วเหวินหลาน : ข้าจะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ ข้านั่งอยู่บนตึกกำแพง เห็นท่าทางน่าเกรงขามตอนเจ้าเข้ามามากับตา เจ้าว่าข้ารู้มั้ยล่ะ?

เหมียวอี้มองไปที่อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกายอย่างเหม่องง “โค่วเหวินหลานก็อยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนเหมือนกัน”

อวิ๋นจือชิวงุนงงเล็กน้อย แล้วบอกว่า “งั้นก็แปลว่า ที่จริงตระกูลโค่วก็ส่งคนมาเหมือนกัน”

ยังไม่ต้องพูดเรื่องนี้หรอก เหมียวอี้กล่าวต่อไปว่า : ตอนนี้พี่โค่วอยู่ที่ไหน ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านแบบต่อหน้านิดหน่อย

โค่วเหวินหลาน : ก่อนหน้านี้ข้าก็อยากจะไปทักทายเจ้านะ แต่โดนท่านปู่ถังห้ามไว้

เหมียวอี้สงสัย : ท่านปู่ถังคือใครเหรอ?

โค่วเหวินหลาน : เป็นพ่อบ้านของตระกูลโค่ว เป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายท่านปู่ข้าเอง

เหมียวอี้ตกใจทันที นั่นคือลูกน้องคนสนิทที่อยู่เหนือลูกน้องคนสนิทของอ๋องสวรรค์โค่วนะ ขนาดบุคคลแบบนี้ก็ยังมาด้วยเหรอ ตาแก่พวกนี้คิดจะทำอะไรกันแน่? เขาถามหยั่งเชิงว่า : ทำไมต้องห้ามไม่ให้ท่านมาเจอข้าล่ะ?

โค่วเหวินหลาน : พ่อบ้านบอกว่าคนของตระกูลอิ๋ง ตระกูลฮ่าว ตระกูลก่วงกำลังจะไปหาเจ้า ให้ข้ารอดูความเปลี่ยนแปลงเงียบๆ

เหมียวอี้ยิ่งตกใจมากขึ้นเรื่อยๆ ที่แท้อีกฝ่ายก็รู้มาตั้งนานแล้วนี่เอง เขาจึงไม่ปิดบังแล้วเช่นกัน บอกกลับไปว่า : ไม่ปิดบังพี่โค่วนะ ข้าเพิ่งได้รับบัตรเชิญจากตระกูลอิ๋ง ตระกูลฮ่าวและตระกูลก่วง ล้วนเป็นบัตรเชิญในนามจวนอ๋องสวรรค์ คาดว่าคงมีบุคคลสำคัญมา ข้าไม่เข้าใจว่าเพราะเรื่องอะไรกันแน่ กำลังจะขอคำชี้แนะจากพี่โค่ว ไม่ทราบว่าพี่โค่วคลายปริศนาให้ได้รึเปล่า?

โค่วเหวินหลาน : มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ชัดหรอก เจ้ารอเดี๋ยวนะ ข้าจะลองถามพ่อบ้านดูว่าเขาจะบอกได้หรือเปล่า

เหมียวอี้ : รบกวนด้วย!

โค่วเหวินหลานระฆังดาราข้างๆ กระดานหมากล้อมอย่างเบามือ พอชำเลืองมองถังเฮ่อเหนียนที่ลงหมากอย่างสบายใจ เขาก็นึกถึงสิ่งที่ท่านพ่อบอกไว้ ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้มีโอกาสใช้เวลาอยู่กับพ่อบ้าน จะต้องฉวยโอกาสนี้แสดงความสามารถ ถึงได้แสดงท่าทางให้เห็นว่าสามารถข่มอารมณ์ได้ จดจ่อความคิดอยู่บนกระดานหมากล้อม จากนั้นใช้นิ้วขยี้ตัวหมากช้าๆ แล้วลงหมาก

เพียงแต่ด้วยนิสัยรักสะอาดของเขา บางครั้งก็ทำท่าสะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมาเบาๆ ถึงแม้เขาจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา แต่ก็สังเกตได้ว่าหางตาของถังเฮ่อเหนียนกระตุกเป็นระยะ

หลังจากผลัดกันลงบนกระดานหมากไปไม่กี่รอบ จู่ๆ ถังเฮ่อเหนียนก็เตือนว่า “ได้เวลาแล้ว”

โค่วเหวินหลานใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาอย่างไม่ร้อนรน ตอบกลับไปอีกว่า : น้องหนิว พ่อบ้านบอกว่า จั่วเอ๋อร์ผู้จัดการบ้านของตระกูลอิ๋งพาอิ๋งเยว่ หลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋งมาแล้ว ส่วนต้วนหงที่เป็นหน้วหน้าผู้ช่วยของตระกูลฮ่าวก็พาฮ่าวชิงเยี่ยนที่เป็นหลานสาวของอ๋องสวรรค์ฮ่าวมาด้วย ส่วนตระกูลก่วงก็ยิ่งเล่นใหญ่ นอกจากพ่อบ้านโกวเยว่จะมาเองแล้ว หวังเฟยเม่ยเหนียงก็พาก่วงเม่ยเอ๋อร์ผู้เป็นลูกสาวมาเองเลย ลูกสาวหลานสาวของแต่ละตระกูลหน้าตาไม่ธรรมดา น้องหนิวมีวาสนาแล้ว ข้าขอแสดงความยินดีกับน้องหนิวไว้ตรงนี้ก่อนเลย

เหมียวอี้ได้ยินแล้วตกใจไปพักใหญ่ ขนาดหวังเฟยยังมาเองเลยเหรอ นี่มันเรื่องอะไรกัน? จึงรีบถามว่า : ยินดีกับข้าเรื่องอะไร?

โค่วเหวินหลาน : ยังฟังไม่ออกอีกเหรอ? ก็ยินดีที่เจ้าโชคสามชั้นมาเยือนประตูบ้านไง สามตระกูลนี้ล้วนอยากรับเจ้าเป็นเขย

เหมียวอี้ : ทำไมพี่โค่วล้อเล่นกับหนิวแบบนี้ พูดความจริงเถอะ มีเรื่องอะไรกันแน่?

โค่วเหวินหลาน : ข้าเคยหลอกเจ้าที่ไหนล่ะ จริงจนไม่รู้จะจริงยังไงแล้ว

เหมียวอี้งงเป็นไก่ตาแตก หันหน้าช้าๆ ไปมองอวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกัน

“เป็นอะไรไป?” อวิ๋นจือชิวสงสัย

“เขาบอกว่ามีโชคสามชั้นมาเยือนประตูบ้านข้า…” เหมียวอี้ถ่ายทอดคำพูดของโค่วเหวินหลานเมื่อครู่นี้อย่างงุนงง

อวิ๋นจือชิวเองก็ไม่ใช่คนโง่ เชียนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกันเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

ผ่านไปพักใหญ่ อวิ๋นจือชิวถึงได้มองประเมินเหมียวอี้ศีรษะจดเท้าอย่างช้าๆ จากนั้นก็แสยะยิ้มพลางพูดแดกดัน “เอ๋! มีเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วยเหรอ เรื่องดีๆ ที่คนอื่นคิดไม่ถึงด้วยซ้ำ แต่มาตกอยู่กับเจ้าเสียแล้ว งั้นข้าก็ต้องแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยน่ะสิ”

…………………………

จะไปเดี๋ยวนี้เลยเหรอ? เหมียวอี้ยังไม่ทันหายเหม่อลอย ตุ้บ! อวิ๋นจือชิวก็แตะที่รองเท้ายาวของเขาหนึ่งที “ถอดเกราะรบ!”

เขาเก็บเกราะรบที่อยู่บนตัว พอหันกลับมาอีกที ก็พบว่าอวิ๋นจือชิวออกไปแล้ว มีเพียงหงเฉินที่เดินเข้ามาในห้อง

ข้างถังอาบน้ำในห้อง เมื่อไม่ได้ปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจมานาน เหมียวอี้ก็เขินอายเล็กน้อยที่ต้องถอดเสื้อผ้าต่อหน้าหงเฉิน กลับเป็นหงเฉินที่ไม่ขวยอายเลยแม้แต่น้อย เป็นฝ่ายยื่นมือมาถอดเสื้อผ้าให้เขาก่อนด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ดุจน้ำ

ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็เปลือยร่างแช่อยู่ในถังอาบน้ำ หงเฉินม้วนแขนเสื้อขึ้นมา แขนขาวงามดุจรากบัวสองข้างที่เผยออกมากำลังช่วยเขาอาบน้ำ

มียอดหญิงงามอยู่ข้างกายแบบนี้ เรื่องบางเรื่องก็เป็นไปตามธรรมชาติ ด้วยความที่ไม่ได้ป้องกันตัว หงเฉินถูกดึงลงไปในถังอาบน้ำแล้ว…

รอจนกระทั่งทั้งสองออกมาจากในห้องอีกครั้ง ก็พบว่าอวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่ในศาลากำลังมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าเหยียดหยาม ตอนที่ให้หงเฉินเข้าไป นางก็รู้แล้วว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางตั้งใจช่วยให้ทั้งสองสมปรารถนา

เหมียวอี้ไอแห้งๆ ท่าทางค่อนข้างเขินอาย ส่วนหงเฉินก็นิสัยเย็นชาสุขุม แต่ก็ถูกอวิ๋นจือชิวมองจนอึดอัดไปทั้งตัวเช่นกัน แก้มที่ยังแดงไม่หายแดงเรื่อยิ่งกว่าเดิมอีก

อวิ๋นจือชิวเดินออกจากศาลาเข้ามาหา แล้วจ้องเหมียวอี้อย่างเหยียดหยามพร้อมกล่าวว่า “สงสัยทั้งสองจะอาบน้ำด้วยกันแล้วสินะ เก็บกดมาหนึ่งพันปี ตอนนี้สบายตัวรึยังล่ะ?”

“เอ่อคือ ฮูหยิน ตอนนี้จะให้หงเฉินไปแล้วเหรอ?” เหมียวอี้รีบเปลี่ยนประเด็นสนทนา

“เสวี่ยเอ๋อร์!” อวิ๋นจือชิวหันกลับมาตะโกนเรียก เสวี่ยเอ๋อร์เดินออกมาจากประตูพระจันทร์ด้านข้าง แล้วอวิ๋นจือชิวก็หันกลับมาบอกเหมียวอี้อีกว่า “เจ้าให้ทหารยามที่เฝ้าประตูปล่อยเสวี่ยเอ๋อร์ออกไป ให้เสวี่ยเอ๋อร์พานางกลับพิภพเล็ก ตอนหลังยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก เสวี่ยเอ๋อร์ก็ต้องอยู่ที่พิภพเล็กไปก่อนสักระยะเหมือนกัน ดูก่อนว่าสถานการณ์ทางนี้เป็นยังไงบ้าง ถ้าคุมสถานการณ์ให้สงบได้แล้ว ก็ค่อยทำตามที่เจ้าบอก ถือโอกาสพาหลันโฮ่วกับจางเทียนเซี่ยวมาที่นี่ เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?” แล้วก็พูดเสริมอีกว่า “ตอนที่เจ้าตัดสินใจว่าจะให้พวกเขามาที่นี่ ในหลายปีมานี้ข้าก็ทุ่มเททรัพยากรฝึกตนเลี้ยงพวกเขาสองคนแล้ว ประวัติภูมิหลังข้าก็ช่วยเตรียมให้พวกเขาแล้วเหมือนกัน”

เหมียวอี้หันตัวมาบอกหงเฉินว่า “ที่ฮูหยินพูดมีเหตุผล ในเมื่อฮูหยินเตรียมการไว้แล้ว ก็ไปจัดการตามที่ฮูหยินบอกแล้วกัน เหยียนซิวต้องการจะไปที่พิภพเล็กพอดี ข้าจะให้เหยียนซิวคุ้มกันส่งพวกเจ้าสองคน ถ้าว่างเมื่อไรข้าจะไปหาเจ้า”

“ค่ะ!” หงเฉินเอ่ยรับเสียงเบา

อวิ๋นจือชิวโบกมือ ให้เสวี่ยเอ๋อร์ไปเก็บข้าวของเป็นเพื่อนหงเฉิน ส่วนเหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทหารยามที่เฝ้าเมืองให้ดำเนินการเรื่องนี้

หลังจากเหมียวอี้เก็บระฆังดาราแล้ว อวิ๋นจือชิวก็แสยะยิ้ม “ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วหรือยัง? เจ้าทำอะไรลงไปแล้ว ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้ายุติเรื่องนี้ได้เหรอ? ถ้าไม่ไหวจริงๆ พวกเราก็รีบหนีกันเถอะ!”

เหมียวอี้ตอบว่า “เจ้าวางใจเถอะ ในเมื่อข้ากล้าอยู่ต่อ ก็แสดงว่าเตรียมการทุกอย่างไว้แล้ว ทุกอย่างที่ข้าทำไป ล้วนเป็นเรื่องที่มีเหตุผลและมีหลักฐาน นอกเสียจากตำหนักสวรรค์จะไม่ทำตามกฎเท่านั้นแหละ ไม่อย่างนั้นก็ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”

อวิ๋นจือชิวทำเสียงฮึดฮัด “เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายแบบนี้ ข้าบอกแล้วไงว่าข้ารับมือได้ อย่างมากข้าก็หนีไปซะให้จบๆ ข้างกายข้ามีนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพปกป้อง ไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก ในภายหลังข้าไม่ต้องโผล่หน้าให้คนเห็นอีกก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าลำบากอยู่ที่พิภพใหญ่มาหลายปี มีคนฝากความหวังไว้กับเจ้ามากมายขนาดนี้ ทำไมเจ้าถึงเสี่ยงอันตรายแบบนี้ได้? ข้าเองก็รู้แล้วว่าเจ้าเจตนาดี แต่การที่เจ้าทำอะไรตามอารมณ์แบบนี้ หนิวเอ้อร์! จะให้ข้าพูดยังไงกับเจ้าดี?”

“ยังไงข้าก็ทำเรื่องนี้ไปแล้ว!” เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง ทำท่าเหมือนบอกว่าน้ำที่สาดออกไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้ ไร้ยางอายมาก

“เจ้า…” อวิ๋นจือชิวถลึงดวงตางาม ถกแขนเสื้อสองข้าง นางทำท่าจะลงมือแล้ว

เหมียวอี้ยกฝ่ามือห้าม “พอแล้ว! เวลากระชั้นชิด คุยธุระหลักกันก่อน เดี๋ยวพวกเราค่อยๆ ตีกันตอนอยู่บนเตียงก็ได้”

“อย่ามาใช้ลูกไม้นี้ เพิ่งทำเรื่องนั้นเสร็จ ยังมีหน้ามาเอ่ยถึงอีกเหรอ อย่ามาแตะต้องข้า!” อวิ๋นจือชิวยกกระโปรงเตะขาเขาหนึ่งที

เหมียวอี้รับเท้านางอย่างร่าเริง ไม่ได้หลบหลีก จากนั้นก็จูงมือนางเดินเข้าไปในศาลา กดไหล่สองข้างของนางให้นั่งลง ช่วยนวดไหล่ให้นางพร้อมบอกว่า “พอแล้ว! ฮูหยิน ความผิดทุกอย่างเป็นของข้าเอง อย่าโมโหเลย คุยธุระหลักกันเถอะ ได้ข่าวเจ้ารองรึเปล่า?”

พอพูดถึงเรื่องศีลแปด อวิ๋นจือชิวก็เริ่มขมวดคิ้ว “ข้าทำตามที่เจ้าบอกแล้ว ข้าติดต่อไปทุกวัน หลายปีมานี้ติดต่อไม่เคยหยุดเลย แต่ก็ติดต่อไม่ได้”

เหมียวอี้นวดไหล่งามของเขา พร้อมค่อยๆ พูดว่า “ถ้าเรื่องที่เกาก้วนบอกข้าเป็นความจริง ถ้ามีไต้ซือศีลเจ็ดอยู่ด้วย ก็น่าจะพาศีลแปดหนีไปตอนที่ดาวเคราะห์ดวงนั้นหมดพลังสิถึงจะถูก ทำไมจนป่านนี้แล้วยังติดต่อไม่ได้อีก?”

อวิ๋นจือชิวตบมือของเขาที่วางอยู่บนบ่าตัวเองเบาๆ บอกใบ้ว่าพอได้แล้ว หลังจากชี้ตรงที่นั่งข้างๆ ให้เขานั่งลง นางถึงได้กล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าคิดเรื่องนี้มานานแล้ว รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สามอย่าง อย่างแรกก็คือ สิ่งที่เกาก้วนบอกอาจจะเป็นเรื่องโกหก ความเป็นไปได้ที่สอง ศีลแปดยังหลบซ่อนไม่ยอมมาเจอพวกเรา ความเป็นไปได้ที่สาม ศีลแปดอาจจะยังหนีออกมาไม่ได้”

เหมียวอี้ส่ายหน้าเงียบๆ ก่อนจะบอกว่า “อย่างแรกกับอย่างที่สองไม่น่าจะเป็นไปได้ เป็นเพราะสิ่งที่เกาก้วนบอกตรงกับศีลแปดเกินไป ไม่เหมือนโกหก แล้วอีกอย่าง ถ้าติดต่อศีลแปดไม่ได้ แล้วทำไมถึงติดต่อไต้ซือศีลเจ็ดไม่ได้ด้วยเหมือนกัน?”

อวิ๋นจือชิวพูดว่า “ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็เกรงว่าจะยุ่งยากนิดหน่อย ข้าถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้าคิดว่าน้องชายเจ้านิสัยเป็นยังไง?”

เหมียวอี้ชะงักทันที แล้วตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “สันดานของเจ้ารองน่ะ ตอนนี้เจ้ายังต้องถามข้าอีกเหรอ?”

“ข้าหมายความว่า ถ้าไต้ซือศีลเจ็ดตกอยู่ในอันตราย เจ้าคิดว่าศีลแปดจะทิ้งเขาโดยไม่สนใจรึเปล่า?” อวิ๋นจือชิวถาม

“เอ่อ…” เหมียวอี้ลังเลนิดหน่อย “ถึงแม้เจ้ารองจะนิสัยไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ความเป็นคนก็ยังมีขอบเขตอยู่นะ ไม่อย่างนั้นข้าคงตัดขาเขาไปตั้งนานแล้ว เรื่องตัดญาติขาดมิตรเขาน่าจะทำไม่ลงหรอก”

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ เรื่องนี้ก็ยุ่งยากแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขายังออกมาไม่ได้”

“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้แปลกใจ

อวิ๋นจือชิวยิ้มเจื่อน “ข้าอยู่ที่พิภพเล็กมานานกว่าเจ้า รู้จักไต้ซือศีลเจ็ดดีกว่าเจ้าด้วย ถึงแม้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปจะโดนขังอยู่ แต่ก็ยังมีอันตรายมากขนากนั้น ด้วยจิตใจที่มีเมตตากรุณาของไต้ซือศีลเจ็ด เกรงว่าคงไม่ปล่อยให้พระปีศาจหนานโปก่อหายนะต่อมนุษย์อีก ต่อให้มีโอกาสหนีแต่ก็เป็นไปได้เก้าในสิบว่าจะไม่หนี และเขาก็เกือบตกหลุมพรางพระปีศาจหนานโปแล้ว…” คำพูดตอนท้ายนางไม่ได้เอ่ยออกมา

เหมียวอี้ทำสายตาเหม่อลอยทันที เข้าใจความหมายที่นางสื่อแล้ว ถ้าศีลแปดไม่อยากเห็นไต้ซือศีลเจ็ดเป็นอะไรไป ต่อให้ไต้ซือศีลเจ็ดจะส่งศีลแปดออกมาจากดาวเคราะห์ดวงนั้น แต่เกรงว่าศีลแปดคงจะไม่ไปอยู่ดี ตอนนี้เขากลับหวังให้ศีลแปดเป็นคนที่ตัดญาติขาดมิตรลืมอาจารย์แล้ว ไม่อย่างนั้นความเป็นไปได้นี้ก็มีสูงมากจริงๆ

“อย่าบอกนะว่าไต้ซือศีลเจ็ดไม่รู้ว่าหลังจากส่งศีลแปดกลับมาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?” เหมียวอี้ลองถาม

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ “ไต้ซือศีลเจ็ดคร่ำครึกว่าที่คนธรรมดาจะจินตนาการได้ นั่นคือคนที่สามารถเอาร่างกายตัวเองให้เสือกินได้เลยนะ ขอเพียงเขาหนีออกไปแล้ว แต่ตราบใดที่ยังมีความเป็นไปได้วว่าพระปีศาจหนานโปจะออกไปทำร้ายคนอีก เกรงว่าเขาคงจะไม่หนีไป”

เหมียวอี้ทำสีหน้าไม่ถูก “ถ้าเป็นแบบนี้ เกรงว่าเจ้ารองจะโดนอาจารย์ที่คร่ำครึนั่นวางกับดักแล้วจริงๆ ถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนี้จริงๆ พลาดโอกาสหนีไปแล้วครั้งหนึ่ง เกรงว่าศีลแปดคงต้องรอโอกาสครั้งที่สองถึงจะหนีไปได้”

“อย่าบอกนะว่าครั้งที่สองศีลแปดจะทิ้งอาจารย์ไว้?” อวิ๋นจือชิวแปลกใจ

เหมียวอี้ตบต้นขาแล้วร้องอ๋อ “เจ้ารองบ้านพวกเรานะ เจ้าไม่รู้หรอก เขาไม่ได้คร่ำครึเหมือนอาจารย์ขนาดนั้น เขาทำเรื่องขาดศีลธรรมมาทุกรูปแบบตั้งแต่เด็กแล้ว เรื่องไร้ศีลธรรมที่เขาเคยทำมา พี่ใหญ่อย่างข้าละอายใจที่จะพูดออกมา ถ้าเขาพลาดโอกาสครั้งแรกไป แล้วยังพลาดโอกาสครั้งที่สองอีกก็แปลกแล้ว เจ้านั่นเป็นคนที่ไม่มีทางยอมเสียเปรียบเป็นครั้งที่สองหรอก ต้องทิ้งอาจารย์แล้วหนีออกมาก่อนแน่ๆ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่สนใจเลย เขาอาจจะมาขอกำลังสนับสนุน ตอนนี้ก็ทำได้แค่รอดูไปก่อนแล้วกัน แค่แน่ใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่ก็พอ”

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้างั้นจะหนีพ้นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองแล้ว” พอพูดถึงตรงนี้ อวิ๋นจือชิวก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วบอกอีกว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าสนใจที่อยู่ของเจ้ารองมาก บางทีอาจะเป็นเพราะตอนอยู่ที่พิภพเล็กขอคำชี้แนะจากหยางชิ่งจนชินแล้ว ดังนั้นก่อนหน้าที่ข้าจะรู้ว่าเจ้าจะออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ กอปรกับเรื่องนี้ยืดเยื้อมานานเกินไป ข้าก็เลยเอาเรื่องนี้ไปขอคำชี้แนะจากหยางชิ่งมานิดหน่อย อยากจะดูว่าเขาจะมีความคิดอะไรที่สามารถตามหาศีลแปดพบหรือเปล่า เรื่องนี้ข้าอยากจะหาโอกาสพูดต่อหน้าเจ้า” ขณะที่พูดก็แอบมองสีหน้าเหมียวอี้เงียบๆ

“เจ้าบอกเรื่องนี้กับหยางชิ่งแล้วเหรอ?” เป็นอย่างที่คาดไว้ เหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนทันที แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “บอกเรื่องนี้กับเขาแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เขาจะคิดหาวิธีการอะไรได้?” เขาค่อนข้างหวาดกลัวหยางชิ่งมาตลอด โดยเฉพาะตอนที่อวิ๋นจือชิวเกือบจะตายด้วยน้ำมือหยางชิ่งโดยไม่รู้ตัว

อวิ๋นจือชิวเข้ามาหาทันที นางรูดกระโปรงหย่อนก้นที่กลมกลึงนั่งบนตักเขา สวมกอดที่คอให้หน้าอกเบียดใบหน้า แล้วหรี่ตายิ้มพร้อมบอกว่า “อย่าโมโหไปเลย เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องของศีลแปด ไม่ได้เปิดเผยว่าเกี่ยวกับพระปีศาจหนานโปด้วย แต่ข้าเปลี่ยนวิธีการ ข้าตั้งใจสร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้เหมือนเป็นข้อสอบข้อหนึ่งแล้วขอคำชี้แนะจากเขา ถึงยังไงก็ไม่มีวิธีการแล้ว ลองรักษาม้าตายให้เหมือนรักษาม้าเป็นดูสักหน่อย เรื่องนี้เขาก็ไม่มีทางแก้ไขปัญหาได้จริง แต่เจ้าไม่ต้องพูดถึงเลย เรื่องที่พวกเรามองไม่ทะลุ พอตกไปถึงมือเขาแล้ว เขาก็จะชี้ให้เห็นได้ว่ากุญแจสำคัญอยู่ตรงไหน วิเคราะห์จนเกิดลู่ทางความคิดให้ข้าได้แล้ว!”

เหมียวอี้เอนศีรษะไปข้างหลัง หลบหน้าอกของนาง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “ลู่ทางความคิดอะไร?”

“ข้าจำที่เจ้าบอกได้ ว่ามีคนชี้แนะศีลแปดให้ไปสถานที่บ้าๆ นั่น”

“ใช่! เกาก้วนบอกอย่างนั้น ลู่ทางความคิดที่หยางชิ่งบอกก็เป็นแบบนี้เหมือนกันเหรอ? ไม่ต้องให้เขาบอกหรอก ข้าเองก็อยากตามหาคนชี้นะให้เจอเหมือนกัน ถ้าเจอเขาแล้ว ก็อาจจะหาเจอว่าศีลแปดโดนขังอยู่ที่ไหน แต่ก็ติดต่อหาศีลแปดไม่ได้อีก ไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้จะลงมือจากตรงไหน”

“แล้วทำไมทั้งอาจารย์ทั้งลูกศิษย์ถึงบังเอิญไปอยู่ในสถานที่เดียวกันได้ล่ะ?”

“น่าจะเป็นเพราะศีลแปดโดนขัง ตนอหลังไต้ซือศีลเจ็ดเลยหาเขาพบละมั้ง ตามที่ไต้ซือศีลเจ็ดบอก วิชาศีลของพวกเขามีความพิเศษ สามารถสัมผัสได้ว่าศีลแปดอยู่ตรงไหน ดังนั้นการที่หาพบก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

“เรื่องนี้ข้าก็รู้ เจ้าเคยบอกข้าแล้ว แต่กุญแจสำคัญที่หยางชิ่งเอ่ยถึงก็อยู่ตรงนี้แหละ เขาตัดความเป็นไปได้ในการใช้เคล็ดวิชาค้นหาออก สิ่งที่เขาตัดสินได้ก็คือ ถ้าอยู่ห่างกันไกลเกินไป ไต้ซือศีลเจ็ดก็ไม่มีทางสัมผัสตำแหน่งโดยละเอียดของศีลแปดได้เลย ดังนั้นไต้ซือศีลเจ็ดถึงเดินทางไปทั่วเพื่อตามหาเขา และน่าจะอยู่ในระยะที่ใกล้พอสมควรถึงจะแน่ใจตำแหน่งได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่สัมผัสได้แม่นยำขนาดนั้นจริงๆ หรอก ไต้ซือศีลเจ็ดคงไม่ถึงขั้นตามหาอยู่หลายปีกว่าจะพบศีลแปด เขาอาจจะหาศีลแปดพบหลังจากนั้นหลายร้อยปี”

พอนางพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็จมอยู่ในการคิดไตร่ตรอง พอคิดไปคิดมาก็พบว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “เขายังบอกว่าอะไรอีก?”

อวิ๋นจือชิวบอกว่า “คนที่ชี้แนะให้ศีลแปดไปหาพระปีศาจหนานโปน่าสงสัย! จุดที่พระปีศาจหนานโปโดนขังไว้อยู่นอกอาณาเขตนะ ใครจะรู้จักที่นั่นได้ล่ะ? ถ้าอยู่นอกอาณาเขต ไม่ว่าใครจะเป็นคนชี้แนะ ศีลแปดเป็นคนฉลาดขนาดนั้น มีหรือที่จะหลับหูหลับตาไปที่นั่นโดยไม่เหลือทางหนีทีไล่เอาไว้สักหน่อย คนที่ชี้แนะคนนี้ ถ้าไม่ใช่คนที่ปีศาจโลหิตเชื่อใจ ก็ต้องเป็นคนที่ศีลแปดเชื่อใจ แต่ขนาดไต้ซือศีลเจ็ดยังไปตามหาที่นั่น ดังนั้นก็ตัดความเป็นไปได้ของปีศาจโลหิตทิ้งไปได้เลย!”

เหมียวอี้พลันหรี่ตา “หยางชิ่งหมายความว่า คนที่ชี้แนะให้ไปสถานที่นั้น เป็นคนที่ทั้งศีลแปดและไต้ซือศีลเจ็ดรู้จัก ไต้ซือศีลเจ็ดก็ถูกชี้แนะให้ไปที่นั่นเหมือนกันเหรอ? จะเป็นใครได้ล่ะ?”

“คนที่สามารถทำให้ทั้งศีลแปดและไต้ซือศีลเจ็ดเชื่อใจได้ แต่ศีลแปดกับไต้ซือศีลเจ็ดไม่เคยเจอเลยตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ ดังนั้นคนที่ทั้งสองเชื่อใจทั้งยังรู้จักเหมือนกันตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ก็น่าจะมาจากพิภพเล็ก และคนคนนี้ก็ต้องรู้จักสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปด้วย! หยางชิ่งให้ข้ามาคิดดูว่าใครตรงกับเงื่อนไขพวกนี้ อย่างอื่นเขาก็ไม่รู้แล้ว เขาช่วยย่อขอบเขตให้ข้าได้เท่านี้” อวิ๋นจือชิววกล่าว

เหมียวอี้ตบก้นนางเบาๆ บอกใบ้ให้นางลุกขึ้น แล้วตัวเองก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ เช่นกัน แล้วเอามือไขว้หลังหรี่ตายิ้ม พลางกล่าวออกมาช้าๆ ว่า “คนที่มีความเป็นได้มากที่สุดในการเติมเต็มเงื่อนไขเหล่านี้มีอยู่คนเดียว เทพพยากรณ์!”

……………………

กลิ่นคาวเลือดบนตัวอีกฝ่ายโผเข้าจมูก อวิ๋นจือชิวตกอยู่ในความตกตะลึงประหลาดใจ จากนั้นก็เบิกตากว้างอีก พอนึกขึ้นได้ว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน การทำแบบนี้ไม่เท่ากับเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองที่พิภพใหญ่จนหมดเปลือกหรอกเหรอ

พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองแอบไปมาหาสู่กับคนของลัทธิมาร ถ้าทำให้เหมียวอี้ลำบากไปด้วยล่ะ ไม่ได้แล้ว!

อวิ๋นจือชิวพยายามดิ้นรนสุดชีวิตทันที ทว่าตอนนี้วรยุทธ์ของนางไม่สูงเท่าเหมียวอี้ ไม่มีทางดิ้นรนให้หลุดพ้นได้เลย

“แบบนี้มีอย่างที่ไหน? โกวเยว่และคนอื่นๆ กำลังมองอย่างตะลึงงัน ตัวเองพาลูกสาวหลานสาวของจวนท่านอ๋องมาแล้ว แต่กลับได้เห็นฉากนี้ นี่มันใช่เรื่องเหรอ?

เม่ยเหนียงที่สวมหมวกมุ้งปิดบังใบหน้ากำลังหน้าดำคร่ำเครียด ทนรับความรู้สึกนี้ไม่ไหว!

กลับเป็นหญิงสาวหลายคนที่ในสีหน้าตกตะลึงเผยความอิจฉาให้เห็นรางๆ ถ้าสักวันหนึ่งมีผู้ชายสักคนทำแบบนี้กับตนบ้างก็คงดี…

อิ๋งเยว่แอบกัดริมฝีปากขณะจ้องมองฉากที่มีเสน่ห์และอ่อนโยน นี่คือคนที่ครอบครัวบังคับให้แต่งงาน วันนี้เห็นฉากแบบนี้แล้ว ถ้าได้แต่งงานกันจริงๆ จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร!

“นางรู้อย่างลึกซึ้ง ว่าตระกูลของนางไม่มีทางถือสาที่หนิวโหย่วเต๋อทำเรื่องแบบนี้ ต่อให้ในภายหลังหนิวโหย่วเต๋อจะแต่งงานรับอนุภรรยาอีกเป็นสิบเป็นร้อยกลับบ้านก็ไม่เป็นไรอยู่ดี ที่สำคัญคือตอนสุดท้ายนางจะต้องกลายเป็นฮูหยินเอกของหนิวโหย่วเต๋อ ประทับตระกูลอิ๋งลงบนร่างกายหนิวโหย่วเต๋อให้ลึกซึ้งก็พอ อย่างอื่นล้วนไม่สำคัญเลย ส่วนหน้าตาศักดิ์ศรีเล็กน้อยของนาง ตระกูลอิ๋งไม่มีทางเก็บมาใส่ใจอยู่แล้ว ตระกูลอิ๋งทนได้แม้กระทั่งเรื่องที่ได้รับความอับอายที่อุทยานหลวงด้วยซ้ำ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่นับว่าสำคัญอะไรเลย

ถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเหวินหลานสบตากันอย่างพูดไม่ออก ในที่สุดทั้งสองก็แน่ใจเต็มร้อยแล้ว ว่าผู้หญิงที่หนิวโหย่วเต๋อเรียกว่าเจ้าของหัวใจคือผู้หญิงคนนี้จริงๆ ก่อนหน้านี้ยังลังเลนิดหน่อย เพราะถึงอย่างไรอวิ๋นจือชิวก็เป็นแม่หม้าย ตอนนี้หมดความสงสัยโดยสิ้นเชิงแล้ว

กำลังพลที่อยู่บนกำแพงมองฉากนี้อย่างประหลาดใจเช่นกัน

“ฮ่าๆๆ…” เหมียวอี้ที่ดื่มดำเต็มอิ่มแล้วปล่อยอวิ๋นจือชิวที่กำลังดิ้นรน แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าหัวเราะลั่นอย่างไม่เกรงใจใคร ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องอยู่กับอวิ๋นจือชิวอย่างหลบซ่อนอีก ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว ช่างสาแก่ใจยิ่งนัก!

อวิ๋นจือชิวที่โดนดูดปากจนหายใจหอบแววตาวูบไหว ยังมีอีกวิธีการหนึ่งที่จะทำให้เหลือทางหนีทีไล่ได้อีกนิดหน่อย นั่นก็คือ…จู่ๆ นางก็โบกฝ่ามือตบหน้าเหมียวอี้อย่างแรง ตงใจจะสร้างสถานการณ์ว่าตัวเองโดนบังคับ

“ทว่าตั้งแต่ตอนที่เหมียวอี้ได้ข่าวว่าฉู่จื่อซานมาเกาะแกะนาง เขาก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว มีหรือที่จะยอมให้นางทำสำเร็จ เขาลงมือเร็วกว่า ออกตัวช้าแต่ถึงก่อน ยกมือคว้าข้อมือนางไว้ในชั่วพริบตาเดียว แล้วก็ดึงนางมาไว้ในอ้อมกอด จากนั้นโน้มตัวรวบต้นขาทั้งสองข้างของนาง อุ้มไว้ในอ้อมกอดตัวเอง แล้วกระโดดไปยืนบนขอบกำแพงเมือง จ้องเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์และคนอื่นๆ บนถนนพร้อมตะโกนบอกว่า “”ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เถ้าแก่เนี้ยของพวกเจ้าคือผู้หญิงของข้า ยังไม่รีบนำทางอีก!”

บ้าบิ่น! แบบนี้บ้าบิ่นเกินไปแล้ว!

ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงตั้งมากมายเท่าไรตกตะลึงอ้าปากค้าง มองดูเหมียวอี้อุ้มผู้หญิงที่กำลังดิ้นรนอย่างตะลึงงัน

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์และคนอื่นๆ ก็อึ้งเช่นกัน กลุ่มคนของลัทธิมารที่อยู่ไกลๆ มองไปทางช่างหิน ถามเป็นนัยว่าต้องลงมือช่วยนางหรือไม่ ช่างหินเพียงส่ายหน้าเบาๆ

หลังจากได้สติกลับมาแล้ว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็รีบนำทางทันที เมื่อเหมียวอี้ออกคำสั่งแล้ว พวกนางก็ไม่กล้าชักช้าอีกแล้ว

เหมียวอี้อุ้มอวิ๋นจือชิวเหาะออกจากกำแพงเมืองทันที ตามพวกนางไปแล้ว

“น่าไม่อาย! ปล่อยข้า…” อวิ๋นจือชิวทั้งอับอายทั้งโมโห นางดิ้นรนพลางร้องตะโกน แต่กลับไม่มีทางหลุดพ้นได้

กำลังพลกองทัพองครักษ์กลุ่มเล็กๆ เหาะตามเหมียวอี้ไปแล้ว

“ไม่เข้าท่าเกินไปแล้ว!” จั่วเอ๋อร์ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ

ต้วนหงมองพลางส่ายหน้า “เจ้าหมอนี่เป็นบ้าไปแล้วรึไง? ทำแบบนี้ต่อหน้าฝูงชนไม่เท่ากับพิสูจน์ความจริงว่าเขากับฉู่จื่อซานกำลังแย่งผู้หญิงกันเหรอ?”

จั่วเอ๋อร์ทำเสียงฮึดฮัด “ยังมีเรื่องอะไรที่เขาไม่กล้าทำอีกเหรอ?”

เม่ยเหนียงก็แทบจะเอ่ยปากด่าออกมาแล้ว แต่จนใจที่ต้องคำนึงถึงฐานะตัวเอง ทำได้เพียงแอบถ่ายทอดเสียงบอกโกวเยว่ “แค่แม่หม้ายคนเดียวก็เอามาเป็นสมบัติล้ำค่าได้ หน้าตาก็ไม่ได้สวยขนาดนั้น หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ตาบอดหรือไม่เคยเจอผู้หญิงกันแน่?” ในน้ำเสียงเรียกได้ว่าแค้นเคือง

โกวเยว่กลัวว่านางจะทำอะไรตามอารมณ์ จึงรีบถามว่า “หวังเฟยเปลี่ยนความตั้งใจแล้วหรือขอรับ?”

ใบหน้าโกรธเกรี้ยวของเม่ยเหนียงนิ่งชะงักทันที สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ “ช่างเถอะ! ผู้ชายอย่างพวกเจ้าไม่มีดีสักคน ต่อให้เม่ยเอ๋อร์แต่งงานกับเขา แต่ถ้าจะไม่ให้เขาแตะต้องผู้หญิงคนอื่นอีกก็เป็นไปไม่ได้ แต่แม่หม้ายคนนี้มีผลกระทบรุนแรงเกินไป เก็บไว้ไม่ได้!”

“โกวเยว่กลัวที่สุดว่าตอนนี้นางจะแสดงความเจ้าอารมณ์ของผู้หญิงออกมา เมื่อเห็นนางไม่ดึงดันต่อ คำพูดที่นางด่าผูชายรวมทั้งเขาด้วย เขาก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน กล่าวชมว่า “หวังเฟยคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมอย่างที่คาดไว้! หวังเฟยวางใจได้ ในไม่ช้าก็เร็วจะต้องจัดการแม่หม้ายคนนี้แน่นอน ไม่ปล่อยให้นางมาทำให้คุณหนูวุ่นวายใจแน่ เพียงแต่คุณหนูได้เห็นเรื่องนี้แล้ว เกรงว่าจะคงจะ…”

เมื่อเห็นเขารับปากแล้วว่าจะกำจัดอวิ๋นจือชิวทิ้ง เม่ยเหนียงก็อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย “การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ล้วนต้องทำตามคำสั่งของพ่อแม่และคำพูดของแม่สื่อ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าย่อมโน้มน้าวนางได้อยู่แล้ว”

อิ๋งเยว่สีหน้าบูดบึ้ง โค่วเหวินลวี่และอีกสามคนมองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกว่าครั้งนี้มาไม่เสียเที่ยว ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ดูละครฉากเด็ดขนาดนี้ หนิวโหย่วเต๋อคนนี้พิลึกกึกกือเกินไปแล้ว เดี๋ยวกลับไปอยู่ในวงสนทนากับเพื่อนสาวก็จะมีเรื่องพูดแล้ว ทำให้พวกเพื่อนสาวที่ไม่มีโอกาสได้เห็นอิจฉาให้ตายไปเลย

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในใจก่วงเม่ยเอ๋อร์รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง คำพูดของมารดาที่บอกว่าจะให้นางแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อได้สร้างผลกระทบให้นางนิดหน่อย อีกทั้งวันนี้ยังได้เห็นกับตาแล้ววจริงๆ ว่าผู้ชายคนนี้แตกต่างกับผู้ชายคนอื่น แตกต่างกับพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยมีอำนาจที่ตนเคยเจอจริงๆ จะพูดอย่างไรดีล่ะ ลูกหลานผู้มีอำนาจพวกนั้นสามารถใช้คำว่า ‘มวลหมู่ดอกไม้สีสันแพรวราว’ มาบรรยายได้ แต่หนิวโหย่วเต๋อคนนี้กลับเหมือน ‘ต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านแข็งแรง’

โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นฉากที่น่าเขินอายนั่นกับตาตัวเอง นางก็พบว่าท่านแม่พูดไว้ไม่มีผิดจริงๆ สามารถทำเพื่อแม่หม้ายคนหนึ่งได้ขนาดนี้ ไม่แยแสพื้นเพชาติกำเนิดเลย เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อคงจะไม่ชายตาแลตนจริงๆ

ปั้ง! ประตูตึกบนกำแพงเมืองถูกเปิดออก รวบกวนอารมณ์ความคิดของทุกคนแล้ว ทำให้คนกลุ่มนี้หันขวับมองไป พบว่าคนที่บุกเข้ามาก็คือลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อ

“ทหารเลือดท่วมตัวที่นำหน้ามาตะคอกถาม “พวกเจ้าเป็นใคร?”

หานตงยืนขึ้นพร้อมตอบด้วยรอยยิ้ม “เป็นพ่อค้าในเมือง รองผู้บัญชาการใหญ่ฟางลี่เหิงเรียกพวกเรามาคุยธุระ!”

“ทหารคนนั้นกล่าวเสียงต่ำว่า “”กองทัพองครักษ์รับช่วงต่อเมืองนี้แล้ว ตรงนี้ไม่ใช่ที่อยู่ของพ่อค้าอย่างพวกเจ้า ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”

ไสหัวไป? หานตงแอบปาดเหงื่อในใจ ในใต้หล้าจะมีสักกี่คนที่กล้าพูดกับบรรดาคนที่อยู่ข้างหลังตัวเองแบบนี้ เขาหันกลับไปมองแวบหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเชิญ

“โกวเยว่ขยับตัวแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ไปกันเถอะ!”

คนกลุ่มหนึ่งทยอยกันออกจากตึกบนกำแพงเมือง พอลงจากกำแพงเมืองแล้ว ก็เดินช้าๆ อยู่บนถนนตลอดทาง ไม่กล้าเหาะเกิน ไม่ใช่ว่าไม่กล้าหรอก แต่ไม่อยากปะทะกับพวกปัญหาอ่อนของกองทัพองครักษ์

มีเสียงฆ้องดังขึ้นหนึ่งครั้ง กำลังพลกลุ่มหนึ่งวิ่งผ่านมาบนถนนตรงหน้า ส่วนใหญ่เป็นกำลังพลของตลาดสวรรค์ หัวแถวและปลายแถวมีคนของกองทัพองครักษ์คุมอยู่ มีคนตะโกนเสียงดังว่า “คนในเมืองฟังไว้ให้ดี ไม่ต้องวิตกกังวล ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ร้านค้าต่างๆ เปิดดำเนินกิจการได้ตามปกติ…”

พวกโกวเยว่ได้ยินแล้วส่ายหน้า คาดว่าคนของร้านค้าต่างๆ คงเก็บของหนีไปหมดแล้ว นี่จะหลอกคนออกมาบริจาคสิ่งของเหรอ?

“พอคนกลุ่มนี้เดินมาถึงทางแยกตรงถนนหลัก ก็ต่างคนต่างกลับร้านของตัวเอง”

“ท่านปู่ถัง พวกเราไปหออวิ๋นฮว๋าเลยมั้ย?” โค่วเหวินหลานที่ตามอยู่ข้างกายถังเฮ่อเหนียนถ่ายทอดเสียงถาม

ถังเฮ่อเหนียนส่ายหน้า “ไป! รอให้เขารู้สึกกดดันสักหน่อยก่อน ยื่นฟืนให้ท่ามกลางหิมะดีกว่า!”

หออวิ๋นฮว๋า ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เหมียวอี้เพิ่งจะวางอวิ๋นจือชิวลง อวิ๋นจือชิวก็หันตัวมายืนเท้าเอวด้วยท่าทางดุดันทันที “หนิวเอ้อร์ เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ!”

“เป็นบ้าเพราะเจ้า ก็ถือว่าคุ้มค่า!” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ

อวิ๋นจือชิวที่ดุร้ายเหมือนแม่เสือ พอได้ยินประโยคนี้ก็พูดไม่ออกทันที นางกัดริมฝีปาก น้ำตาคลอเบ้าแดงก่ำ ขณะที่มองรอยเลือดบนตัวเหมียวอี้ นางก็อยากจะร้องไห้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น อยากจะแสร้งทำตัวโมโหแต่ก็ทำไม่ได้แล้ว ไม่มีทางกลั่นพลังอำนาจตอนโมโหโวยวายออกมาได้ นางกลั้นน้ำตาแล้วบอกว่า “ปากหวานเหมือนทาน้ำผึ้ง ต้องไปทำเรื่องสกปรกอะไรมาแน่นอน”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่เตรียมตัวไว้แล้วว่าฮูหยินจะปรี๊ดแตกโมโหร้าย ตอนนี้อึ้งทันที จากนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา เอามือปิดปากแอบหัวเราะ

อวิ๋นจือชิวอับอายจนโมโหทันที เข้าไปหยิกพวกนางหลายครั้ง แต่ก็ถูกเหมียวอี้ดึงแขนกลับมาอีก แล้วโอบไว้ในอ้อมกอดพร้อมก้มหน้ามอง “น้องชิว หลายปีมานี้สบายดีมั้ย?”

อวิ๋นจือชิวผลักเขาออก แล้วพูดอย่างรังเกียจว่า “สกปรกจะตาย อย่ามาจับข้า” จากนั้นหันมาตะโกนสั่งเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ “มัวยืนเหม่ออะไรกันอยู่ ยังไม่รีบไปเตรียมน้ำร้อนอีก? แล้วก็ไปบอกคนห้องข้างๆ ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก วันๆ เอาแต่เสพสุขอยู่ในห้องตัวเองด้วย” นางหมายถึงเทพธิดาหงเฉิน ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว

เหมียวอี้ยังอยากจะโอบกอดอีกสักหน่อย แต่อวิ๋นจือชิวกลับผลักหน้าอกเขา แล้วชี้ที่กระเป๋าสัตว์ตรงเอว บอกใบ้ว่ายังมีคนอีก อย่าทำซี้ซั้ว จากนั้นก็โบกมือเรียกเฒ่าฟ่านออกมา

พอโผล่หน้ามาเห็นเหมียวอี้ที่เกราะรบเต็มไปด้วยเลือด เฒ่าฟ่านก็งงทันที แล้วถามอย่างไม่แน่ใจว่า “เถ้าแก่เนี้ย นี่คื?”

“หนิวโหย่วเต๋อ!” เหมียวอี้รายงานชื่อตัวเอง แล้วชี้ไปที่อวิ๋นจือชิว  “ฮูหยินของพวกเจ้าก็คือฮูหยินเอกของข้า หลายปีมานี้เฒ่าฟ่านปกป้องภรรยาของข้า ขอกล่าวขอบคุณตรงนี้!” ขณะที่พูดก็กุมหมัดคารวะ

“อืม…หา…หนิวโหย่วเต๋อ…ภรรยา?” ข้อมูลข่าวสารเยอะเกินไป เฒ่าฟ่านงุนงงนิดหน่อย คิดตามไม่ทันไปชั่วขณะ ถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อไหน?”

“แม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อของกองมังกรดำ หน่วยองครักษ์ซ้ายเจิ้นอี่ ทัพเป่ยโต้ว!” เหมียวอี้กล่าว

“หา!” เฒ่าฟ่านตะลึงงัน นี่คือหนิวโหย่วเต๋อคนนั้นเหรอ หันหน้าช้าๆ กลับมามองอวิ๋นจือชิว “เถ้าแก่เนี้ย เขาก็คือคนของพวกเราเหมือนกันเหรอ?”

ผู้เหลือรอดของหกลัทธิที่อยู่ข้างนอกยังไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อคือประมุขปราชญ์ลัทธิอู๋เลี่ยง

“อวิ๋นจือชิวพยักหน้าถอนหายใจ “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องถามแล้ว ออกไปก่อนเถอะ”

“อ่อ…อืม… “เฒ่าฟ่านมองมาแวบหนึ่งอย่างเหม่อๆ แล้วก็ถอยออกไปอย่างงุนงง พอเดินมาถึงประตูก็รีบเร่งฝีเท้า เรื่องนี้ต้องรีบรายงานขึ้นไป

ตอนที่เขาเพิ่งจะออกไป เทพธิดาหงเฉินที่สวมชุดกระโปรงสีแดงก็เดินเนิบนาบออกมา เมื่อแห็นเหมียวอี้มีเลือดเปื้อนทั่วทั้งเกราะรบ นางก็ตะลึงงันเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาสงบเยือกเย็นเหมือนเดิม แล้วย่อเข่าทำความเคารพ “นายท่าน ฮูหยิน!”

“หลายปีมานี้สบายดีมั้ย?” เหมียวอี้ยื่นมือไปประคองพร้อมถามอย่างอ่อนโยน

พออวิ๋นจือชิวเห็นหงเฉินก็ส่ายหน้าทันที ทั้งชีวิตนี้เคยเจอคนที่ไร้กังวลมาก่อน แต่ไม่คยเจอใครไร้กังวลขนาดนี้เลย แม้แต่นางที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาหลายปีก็ยังเจอหน้ากันได้ยาก คนเราใช้ชีวิตจนกลายเป็นแบบนี้ก็ว่าหนักแล้ว แม้แต่สาวใช้ประจำตัวสองคนก็กลายเป็นคนจิตใจสะอาดผ่องใสไปด้วย

“มีฮูหยินดูแล ข้าสบายดีมาตลอดค่ะ” หงเฉินยืนตัวตรงแล้วตอบเสียงเบา

แต่ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะกล่าวว่า “ข้าเตรียมจะส่งเจ้ากลับไปอยู่เป็นเพื่อนเวยเวยที่พิภพเล็ก เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?”

“เหมียวอี้งงทันที แล้วถามว่า “พวกเจ้าสองคนทะเลาะกันเหรอ?”

“ทะเลาะกันเหรอ? ข้าก็อยากจะทะเลาะกับนางจะแย่ แต่นิสัยสงบเยือกเย็นอย่างนาง ทำตัวยิ่งกว่าคนออกบวชอีก จะทะเลาะอะไรกันได้ล่ะ?” อวิ๋นจือชิวทำเสียงฮึดฮัด “อย่ามองข้าอย่างนี้ ข้าส่งนางไปก็เพราะเจ้านั่นแหละ ตอนนี้เจ้าก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว เจ้าวางใจปล่อยให้นางอยู่ที่พิภพใหญ่ได้เหรอ? นางอยู่ที่นี่ก็ไม่สะดวกจะเดินไปไหน แต่ถ้าไปที่พิภพเล็กก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรนาง จะได้ไม่ต้องเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้อง”

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วลองถามหงเฉินว่า “เจ้าเต็มใจจะกลับไปมั้ย?”

“แล้วแต่นายท่านกับฮูหยินจะกำชับค่ะ”” หงเฉินตอบอย่างสงบเยือกเย็น

“พอได้ยินว่าอะไรก็ได้แบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็กลอกตามองบน รอจนเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ต้มน้ำร้อนเสร็จแล้ว นางก็กำชับหงเฉินทันทีว่า “เจ้าไปปรนนิบัตินายท่านตอนอาบน้ำ อีกเดี๋นยวก็จะส่งเจ้ากลับแล้ว เจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไป”

…………………………

อวิ๋นจือชิวพยักหน้าแล้วย้ายฝีเท้า เย่อี้เร่งเชิญตลอดทาง เร่งจนนางจำต้องเร่งฝีเท้าเดินให้เร็วขึ้น ในใจนางก็ร้อนรนเช่นกัน ในมือหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านนอก

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่นอกตำหนักคุ้มเมืองเพิ่งจะได้รับข้อความจากอวิ๋นจือชิวได้ไม่นาน ก็เห็นอวิ๋นจือชิวและคนอื่นๆ เหาะจากตำหนักคุ้มเมืองไปทางประตูเมืองตะวันออกแล้ว เมื่อเห็นว่าอวิ๋นจือชิวไม่เป็นอะไร พวกเขาก็วางใจแล้ว และรีบวิ่งออกไปทางประตูเมืองตะวันออกเช่นกัน

ถึงแม้พวกเขาจะเหาะที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้ ทว่าวันนี้ตลาดสวรรค์โล่งมาก ร่ายอิทธิฤทธิ์วิ่งเร็วๆ ก็ไม่มีอะไรกั้นขวาง

ด้านนอกเมือง เหมียวอี้เหล่ตามองควันธูปกลุ่มสุดท้ายบนปลายธูปครึ่งก้านที่ปักอยู่บนดิน ที่กำลังพลหนึ่งหมื่นข้างหลังมีเสียงอาวุธกระทบกัน ทั้งหมดถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไว้ในมือ ลูกธนูดาวตกง้างอยู่บนสายแล้ว กำลังเล็งไปทางประตูเมือง ชั่วพริบตาเดียวกลิ่นหายสังหารก็อบอวล

เอาจริงเหรอ? ทหารยามบนกำแพงเมืองตกใจจนตัวสั่น แต่ละคนจ้องมือที่ยกขึ้นของเหมียวอี้ ต่างก็รู้ว่าถ้าสับมือข้างนี้ลงเมื่อไร ก็จะเป็นเวลาที่ลูกธนูหนึ่งหมื่นยิงออกมาพร้อมกัน

“เจ้าหมอนี่มันบ้าจริงๆ!” จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ในตึกพูดแขวะ

เพิ่งจะพูดคำนี้จบ บรรดาคนที่อยู่ในตึกบนกำแพงเมืองก็ยื่นหน้าออกมาเล็กน้อย มองไปทางเย่อี้กับอวิ๋นจือชิวที่เหาะลงมาเหยียบบนกำแพงเมือง

เหมียวอี้ที่อยู่นอกเมืองเงยหน้ามองขึ้นมา เขาเห็นอวิ๋นจือชิวแล้ว นางก็เห็นเขาเช่นกัน ดวงตาทั้งสี่กำลังสบประสานกัน

เมื่อเห็นว่าอวิ๋นจือชิวไม่เป็นอะไร แน่ใจแล้วว่านางไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ไม่ได้แกล้งหลอกให้เขาสบายใจ ในที่สุดก้อนหินที่อยู่ในใจเหมียวอี้ก็ถูกวางลงแล้ว ฝ่ามือที่ชูขึ้นถูกสะบัดไปด้านข้าง ธนูข้างหลังที่เตรียมยิงถูกวางลงอีกครั้ง

ชั่วพริบตานั้น สายตาของทุกคนบนกำแพงเมืองไปรวมอยู่บนตัวอวิ๋นจือชิวแล้ว

เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัว สถานการณ์ที่กำลังจะเดือดก็ถูกควบคุมไว้ทันที ต่อให้จะไม่รู้จักกันแต่ก็พอจะเดาได้แล้วว่านางเป็นใคร

ผู้หญิงสี่คนที่สวมหมวกมุ้งมองไปที่ความเคลื่อนไหวด้านล่างกำแพงเมืองพร้อมกัน แล้วก็มองไปที่อวิ๋นจือชิว ในดวงตาฉายแววอิจฉาอย่างควบคุมไม่อยู่

ด้านล่างกำแพงเมืองมีกำลังพลมากมายขนาดนั้น ลักษณะท่าทางดุดันขนาดนั้น ทหารที่เฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองตกใจจนหน้าถอดสีแล้ว คนในตลาดสวรรค์ก็ตกใจจนวุ่นวายไปหมด แต่เพียงแค่ผู้หญิงคนนี้โผล่หน้ามา ก็ระงับเปลวเพลิงอันดุร้ายของทัพที่ห้าวหาญดุจหมาป่าดุจพยัคฆ์ที่อยู่นอกกำแพงเมืองได้แทบจะในทันที

ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่โผล่หน้ามายืนเท่านั้นเอง แค่นี้ก็ทำให้คลื่นคลั่งที่เตรียมโจมตีหยุดนิ่งแล้ว!

อะไรที่เรียกว่ามีหน้ามีตาล่ะ? นี่ไงที่เรียกว่ามีหน้ามีหน้าอย่างแท้จริง!

จู่ๆ ผู้หญิงทั้งสี่คนก็รู้สึกว่าความมีหน้ามีตาอันเกิดจากภูมิหลังวงศ์ตระกูลของตัวเองช่างอ่อนแอนักเมื่อมาอยู่บนสนามการต่อสู้ที่แท้จริง ค้นพบว่าเกียรติอันจอมปลอมที่มีมาก่อนหน้านี้เทียบกับฉากที่เห็นในวันนี้ไม่ติด ความมีหน้ามีหน้าแบบนี้ แม้แต่ฐานะตำแหน่งอย่างพวกนางก็สัมผัสไม่ได้เช่นกัน

เม่ยเหนียงที่อยู่หลังม่านหมวกสีหน้าแย่มาก สายตาจ้องมองอวิ๋นจือชิวไม่ละไปไหน ราวกับอวิ๋นจือชิวได้แย่งอะไรบางอย่างไปจากนาง นางถ่ายทอดเสียงถามโกวเยว่ว่า “ผู้หญิงคนนี้คือแม่หม้ายคนนั้นเหรอ?”

“น่าจะใช่ขอรับ” โกวเยว่ตอบ

เม่ยเหนียงแสยะยิ้ม “หน้าตาก็งั้นๆ ทั้งยังเป็นแม่หม้ายอีก หนิวโหย่วเต๋อไปชอบผู้หญิงประเภทนี้ได้ยังไง”

โกวเยว่พูดไม่ออก เรื่องหน้าตาความสวย จะให้เขาพูดอย่างไรดีล่ะ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็หน้าตาธรรมดาเหมือนกัน แต่เมื่อเจ้าเห็นอีกฝ่ายเจ้าก็ต้องซื่อสัตย์ว่านอนสอนง่ายอยู่ดี ฮูหยินที่ล่วงลับไปแล้วก็ไม่ได้สวยเท่าเจ้าหรอก แต่ถ้าฮูหยินยังอยู่ คิดว่าเจ้าจะได้มีวันนี้เหรอ?

ในบรรดาผู้หญิงทั้งสี่คน โค่วเหวินลวี่หันกลับมาถามอย่างเปิดเผยว่า “เหวินหลาน ผู้หญิงคนนี้คืออวิ๋นจือชิวเหรอ?”

สายตาของทุกคนมองไปยังโค่วเหวินหลานที่ปลอมใบหน้าแล้ว โค่วเหวินหลานหัวเราะเจื่อนๆ แล้วพยักหน้าตอบว่า “ใช่แล้ว เป็นนาง!”

ทุกคนหันไปมองประเมินอวิ๋นจือชิวอีกครั้ง เหมือนกำลังมองหาว่าบนตัวอวิ๋นจือชิวมีข้อดีอะไร แต่น่าเสียดายที่ไม่เห็นหน้าตรงๆ

เมื่อเห็นคนที่อยู่ข้างล่างวางธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เย่อี้ก็โล่งอกมาก สงสัยจะทำถูกแล้วที่ดึงตัวผู้หญิงคนนี้มา

ถึงแม้จะรู้ว่าเหมียวอี้ทำเพื่อนาง การที่เหมียวอี้ทำตัวบ้าบิ่นแบบนี้ เดิมทีก็ทำให้นางโมโหมาก แต่พอขึ้นมาอยู่บนกำแพงเมือง พอเห็นภาพเหตุการณ์ข้างล่างเพียงปราดเดียว ทั้งร่างกายและจิตใจก็เหมือนถูกแช่แข็งทันที

ธงรบหลายต้นที่ปลิวสะบัดขาดรุ่ยอยู่ท่ามกลางสายลมหลังจากอาบน้ำเลือดมา นักรบแต่ละคนที่อยู่ใต้ธงมีสภาพสะบักสะบอมราวกับปีนขึ้นมาจากภูเขาศพทะเลเลือด แต่ละคนมีเลือดเปื้อนเกราะรบ มีคนจำนวนไม่น้อยที่แขนขาดขาขาด บนตัวมีรอยบาดแผลเลือดทะลุเกราะรบ บนตัวบางคนมีสองรอย บนตัวบางคนมีรอยนับไม่ถ้วน ถึงขั้นมีรอยบาดแผลเป็นสิบรอยด้วยซ้ำ ยืนเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งอยู่ข้างล่างอย่างไม่ยอมศิโรราบ ไม่เห็นใครที่ไม่บาดเจ็บเลย บนใบหน้าของพวกเขามีคราบน้ำตาปนกับคราบเลือดด้วย แค่เห็นแวบเดียวก็จินตนาการออกแล้วว่าผ่านการต่อสู้เข่นฆ่าที่ดุเดือดขนาดไหน ไม่รู้ว่ารอดชีวิตมาได้อย่างไร

กลิ่นอายที่ทั้งเศร้าสลดทั้งเร้าใจโผเข้ามาตรงหน้า ซึมซับเข้าไปในจิตวิญญาณคน

จากนั้นก็มองดูเหมียวอี้ที่อยู่หน้ากระบวนทัพ ถึงแม้บนเกราะรบจะมีรอยเลือดไม่เยอะ บนใบหน้าก็ไม่ได้เละไปด้วยเลือด แต่รอยเลือดที่สาดกระเด็นใส่บนใบหน้าสะดุดตาขนาดนั้น ทำให้นางหัวใจกระตุกวูบทันที

คำพร่ำบ่นที่นางมีต่อเหมียวอี้ในตอนแรก เดิมทีนางกะว่ากลับไปจะไปโวยวายเหมียวอี้ แต่ในตอนนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะนำทัพที่สะบักสะบอมตามมาที่นี่ทันทีหลังจากรู้ว่านางโดนขังอยู่ในตำหนักคุ้มเมือง การกล่าวโทษหรือการพร่ำบ่นอะไรก็ตาม ตอนนี้ไม่มีแล้ว

นางยืนอยู่บนกำแพงเมืองและมองเหมียวอี้อย่างเหม่อลอย หัวใจแตกสลายแล้ว! หัวใจแตกสลายแล้ว!

ในดวงตางามดูฉ่ำน้ำขณะที่กัดริมฝีปากแน่น นางถามตัวเองจากใจ ว่าตัวเองมีคุณธรรมหรือความสามารถอะไรถึงได้หาสามีแบบนี้ได้ ทั้งชีวิตนี้ยังจะมีอะไรไม่พอใจอีก ยังจะมีอะไรต้องบ่นอีก แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยดูแลนางขาดตกบกพร่องเลย

“เถ้าแก่เนี้ย…เถ้าแก่เนี้ย…” เย่อี้กำลังแอบเร่งเตือนอยู่ข้างๆ แต่ในตอนนี้อวิ๋นจือชิวตื้นตันใจจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว

ฉึบ! เหมียวอี้ดึงทวนเกล็ดย้อนที่ปักอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วโบกมือชี้ไป “ธูปครึ่งก้านหมดแล้ว ประตูเมืองยังไม่เปิดอีก!”

เย่อี้กุมหมัดคารวะพร้อมรอยยิ้ม “พี่หนิวสบายดีมั้ย ไม่ได้เจอกันหลายปี นึกไม่ถึงว่าพี่หนิวจะยังสง่างามเหมือนเดิม!”

เหมียวอี้กลับงงกับคำพูดของเขา รู้จักกันเหรอ? นึกไม่ออก จึงแสยะยิ้มถามว่า “ขออภัยที่ข้าสายตาไม่ดี เจ้าเป็นใคร?”

เย่อี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “พี่หนิวช่างเป็นชนชั้นสูงที่ลืมเรื่องราวต่างๆ ได้ง่าย เราเคยเจอกันมาก่อนที่การทดสอบแดนอเวจีไง ข้าน้อยเย่อี้ ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน!” เขาไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นหนึ่งในคนที่ล้อมโจมตี เขาอยากจะทำให้ผ่อนคลายก็เท่านั้นเอง

เหมียวอี้ไม่เปลืองคำพูดกับเขา “เปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นหนิวพูดจริงทำจริง เมื่อถึงตอนนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

เมื่อใช้วิธีตีสนิทไม่สำเร็จ เย่อี้ก็เลยเก้อเขิน เอียงหน้าถามอวิ๋นจือชิวด้วยเสียงต่ำเบาว่า “เถ้าแก่เนี้ย ท่านคิดว่ายังไง?”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเบาๆ

เย่อี้ที่ขอความเห็นอวิ๋นจือชิวแล้วตะโกนสั่งทันทีว่า “เปิดประตูเมือง!”

ประตูเมืองด้านล่างพลันเปิดออก เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง โบกมือนำกำลังพลเข้ามาอย่างรวดเร็ว

เย่อี้เชิญอวิ๋นจือชิวลงไปต้อนรับด้วยกัน แต่ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะไม่อยากเจอกับเหมียวอี้ท่ามกลางฝูงชน จึงปฏิเสธแล้ว เย่อี้ทำได้เพียงนำคนลงไปเอง

กลุ่มคนในตึกเดินไปที่ริมหน้าต่างและมองเข้ามาในเมืองทันที เห็นเหมียวอี้นำคนเข้ามาเจอกับเย่อี้

เหมียวอี้เห็นอวิ๋นจือชิวไม่ได้ลงมา จึงหันกลับไปมองบนกำแพง

เย่อี้กุมหมัดคารวะต่อหน้า “พี่หนิว ไม่ทราบว่ามีอไรให้ช่วยมั้ย?”

กล้าจับผู้หญิงของข้าเหรอ! เหมียวอี้หันหน้ามา ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องเขา จ้องจนเขาแอบขนลุก พอเอ่ยปากก็ไม่ได้พูดอะไรดีๆ เลย “ข้าตำแหน่งสูงกว่าเจ้า เห็นข้าแล้วทำไมไม่ทำความเคารพ! พวกไม่รู้จักธรรมเนียม วันนี้ข้าจะสอนเจ้าว่าธรรมเนียมคืออะไร!” ตุ้บ! จู่ๆ ก็เตะหนึ่งที เย่อี้ที่โดนเตะจนทำอะไรไม่ถูกตัวกระเด็นออกไปแล้ว กระเด็นไปตกไกลสิบกว่าจั้งแล้วเริ่มกระอักเลือด

ชวิ้ง! ลูกน้องคนสนิทสองคนของเย่อี้รีบชักอาวุธออกมาเตรียมป้องกันทันที

ใครจะคิดว่าการชักอาวุธต่อหน้าเหมียวอี้จะทำให้เกิดเรื่องขึ้นทันที คนที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ไม่สนใจว่าพวกเขาแค่เตรียมป้องกันตัวหรือจะโจมตีเหมียวอี้ นักพรตบงกชรุ้งสองคนรีบถลันตัวออกมาป้องกันไว้ดีกว่าแก้ แสงสะท้อนคมดาบแวบผ่านสองที ลงดาบฟันจนเกิดเสียงกรีดร้องสองครั้ง ทั้งคนทั้งเกราะรบขาดแยกจากกันเป็นสองท่อน ตับไตไส้พุงไหลกองพื้น อนาถจนทนมองไม่ได้

พอเข้าเมืองมาก็เจอกลิ่นคาวเลือดแบบนี้แล้ว สี่สาวที่อยู่ในตึกเห็นฉากนองเลือดแบบนี้ไม่บ่อย พวกนางเอียงหน้าหนีเล็กน้อย ไม่กล้ามองเยอะ

ถังเฮ่อเหนียนและคนอื่นๆ มองหน้ากันเลิกลั่ก คิดในใจว่าถ้าราชันสวรรค์ไม่จับคนพวกนี้แยกออกจากกันก็แปลกแล้ว!

เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง อวิ๋นจือชิวก็ตกใจจนวิ่งมาดูที่กำแพงฝั่งนี้เช่นกัน

บนถนนกว้างโล่งที่ห่างจากกำแพงเมืองไม่ไกล เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์และคนอื่นๆ ก็ทั้งตกใจทั้งดีใจ ตกใจเพราะนึกไม่ถึงว่านายท่านจะตกอยู่ในสภาพนี้ ดีใจที่พอนายท่านมาถึงก็ควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว

ทหารยามตลาดสวรรค์ที่อยู่สองด้านก็ถูกลูกธนูดาวตกหลายดอกชี้มาหาเช่นกัน ตกใจจนรีบวางอาวุธลง อาวุธตกลงพื้นแล้ว

เหมียวอี้ชำเลืองมองเย่อี้ที่ลุกขึ้นยืนโซเซ แล้วกล่าวเสียงเรียงว่า “ควบคุมตัวไว้ก่อน!”

คนที่อยู่ข้างหลังพุ่งเข้ามาทันที มัดเย่อี้ไว้อย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้หันตัวเดินไปด้านข้าง เดินขึ้นบันไดขึ้นไปกำแพงเมือง ขณะที่เดินก็ออกคำสั่งเสียงดังด้วยว่า “น่านฟ้าระกาติงก่อกบฏ ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนอยู่ในเขตน่านฟ้าระกาติง ทั้งยังชักช้าไม่ยอมเปิดประตูสักที แม่ทัพภาคคนนี้สงสัยว่าในนั้นจะมีเจตนาแอบแฝง ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน ทุกอย่างดำเนินการตามช่วงเวลาสงคราม! ส่งกำลังพลห้าร้อยไปเฝ้าไว้ที่ประตูเมืองทั้งสี่ ปิดประตูเมือง ถ้าไม่มีคำสั่งจากข้าก็ห้ามใครเข้าออก กำลังพลของข้าจะรับช่วงต่อเฝ้าตลาดสวรรค์ตอนนี้ ทหารที่นี่ฟังคำระดมกำลังจากข้า ถ้าทหารคนไหนขัดคำสั่ง ก็ดำเนินการตามช่วงเวลาสงคราม ฆ่าไม่ละเว้น! สั่งร้านค้าทั้งเมืองเดี๋ยวนี้ ให้นำยารักษาบาดแผลไปรักษาทหารที่เฝ้าเมือง ผู้ที่ให้ความร่วมมือจะให้รางวัล ผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยว่าร่วมมือกับศัตรู จะถูกประหารทันที! ไปปฏิบัติตามเดี๋ยวนี้ ห้ามชักช้า!”

“รับทราบ!” มู่อวี่เหลียนกุมหมัดรับบัญชา แล้วรีบรวบรวมกำลังพล กำลังสามกลุ่มเหาะไปยังประตูเมืองอีกสามแห่งเพื่อรับช่วงเฝ้าเมืองต่ออย่างรวดเร็ว ส่วนกำลังพลอีกกลุ่มก็ขับไล่ให้กำลังพลตลาดสวรรค์ที่คุ้นเคยกับสถานการณ์ในพื้นที่มานำทาง

กลุ่มสาวๆ ที่อยู่บนตึกฟังแล้วก็รู้สึกว่าคำสั่งทหารนี้ไม่ไร้เหตุผลเช่นกัน มีหลักฐานและเหตุผล มีกฎเกณฑ์ชัดเจนมาก เพราะอยู่ในช่วงสงคราม การเพิ่มการป้องกันเป็นสิ่งที่ควรทำ ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันเมืองได้รับบาดเจ็บก็ย่อมต้องได้รับเยียวยารักษาให้หาย ถึงจะมีแรงมาปกป้องคุ้มครองเมือง

แต่พอพวกถังเฮ่อเหนียนได้ฟังแล้วหนังตากระตุก น่านฟ้าระกาติงก่อกบฏอะไรกัน ชัดเจนว่านี่คือข้ออ้างในการรับช่วงต่อดูแลตลาดสวรรค์และควบคุมตลาดสวรรค์ สิ่งที่เรียกว่ามอบยารักษาบาดแผลคืออะไรกัน คนไม่ให้ความร่วมมือจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอะไรกัน ทำไมฟังดูเหมือนจะล้างเลือดร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ล่ะ?

โค่วเหวินหลานออกจากหน้าต่าง อยากจะออกไปทักทายเหมียวอี้ แต่ใครจะคิดว่าถังเฮ่อเหนียนกลับดึงแขนเขาไว้ แล้วส่ายหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่าอย่าเพิ่งเข้าไปเกี่ยวข้อง

บนกำแพงเมือง เหมียวอี้ยืนอยู่ตรงหน้าอวิ๋นจือชิว แล้วถามพร้อมยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรใช่มั้ย!”

อวิ๋นจือชิวชี้ที่กระเป๋าสัตว์ตรงเอว บอกให้รู้ว่าไม่เป็นอะไร

เหมียวอี้ยื่นมือไปจับมือนาง อวิ๋นจือชิวชำเลืองมองทางซ้ายและขวา แล้วหดมือขัดขืน แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ประกบจูบบนริมฝีปากงามของนางต่อหน้าฝูงชน

…………………………

เมื่อได้ยินเสียงนี้ พวกเย่อี้ก็สั่นไปทั้งตัวและหัวใจ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน หวาดกลัวจนตับสั่นอย่างแท้จริง ต่างก็ฟังออกถึงความเดือดดาลในเสียงของใครบางคน

“หนิวโหย่วเต๋อ…” ผู้ที่รับหน้าที่สอบสวนพึมพำ บนหน้าผากมีเหงื่อกาฬไหลซึมในชั่วพริบตาเดียว มองไปที่อวิ๋นจือชิวด้วยแววตาสิ้นหวังเล็กน้อย

เย่อี้กลืนน้ำลายด้วยความคอแห้ง รู้สึกปากคอขื่นขม ขณะที่มองอวิ๋นจือชิว เดิมทีเขาเตรียมตัวไว้ว่าถ้าเจรจาไม่ลงตัวก็จะหนีทันที นึกไม่ถึงว่าจะสายไปแล้ว เจ้าบ้านั่นพาคนมาถึงตลาดสวรรค์แล้วจริงๆ!

ก่อนจะเกิดเรื่องเขายังหาข้ออ้างหนีไปได้สะดวกหน่อย แต่พอเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ในฐานะที่เขาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ จะให้ทิ้งตลาดสวรรค์เอาไว้โดยไม่สนงั้นเหรอ?

ในใจเขาแอบสาบานเลย ว่าถ้าวันนี้สามารถผ่านเคราะห์นี้ไปได้ ในภายหลังถ้าเจอผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งโสดทั้งร่ำรวย เขาก็จะไม่แตะต้องเด็ดขาด ไม่ใช่ว่ามีเรื่องกับผู้หญิงประเภทนี้ไม่ไหว แต่เป็นเพราะใครจะไปรู้ว่าเบื้องหลังคนที่นอนกับผู้หญิงคนนี้เป็นใคร นั่นต่างหากคือคนที่มีเรื่องด้วยไม่ไหวจริงๆ

อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ขนาดอวิ๋นจือชิวยังตกใจมาก สีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน ในใจแอบด่าอย่างบ้าคลั่ง ว่าเจ้าเวรนั่นมันคิดจะทำอะไรกันแน่ ถ้าข้าไม่มีความสามารถจะปกป้องตัวเองเลยสักนิด แล้วจะเข้ามาในนี้ได้เหรอ?

นางไม่กลัวเลยว่าเข้ามาในนี้แล้วจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานของนางก็ไม่ได้อ่อนด้อย ถ้าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลแล้วต่อสู้กันขึ้นมา นางก็กล้ารับประกันได้เลยว่าในตำหนักคุ้มเมืองนี้ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้นาง ยิ่งไปกว่านั้นข้างกายนางยังมียอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพคอยปกป้องด้วย!

ก่อนหน้านี้นางได้ข่าวมาจากข้างนอกแล้ว รู้ว่าเหมียวอี้ทำศึกใหญ่กับน่านฟ้าระกาติงอีกแล้ว และได้รับข้อความถามเรื่องตำหนักคุ้มเมืองจากเหมียวอี้เช่นกัน นางรับประกันกับเหมียวอี้แล้วว่าจะไม่เกิดเรื่องขึ้นแน่นอน บอกเหมียวอี้ว่าอย่าทำซี้ซั้ว แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะยังมาอีก!

นางไม่รู้จริงๆ ว่าคนนิสัยเจ้าอารมณ์อย่างเหมียวอี้จะทำเรื่องบ้าบิ่นอะไรอีก เรื่องที่ก่อไว้ก่อนหน้านี้นางยังไม่ได้ชำระกับเหมียวอี้เลย ตอนนี้จะเอาอีกแล้วเหรอ!

แต่เวลาเหมียวอี้เป็นบ้าขึ้นมา นางก็เกลี้ยกล่อมไม่ไหวเลย โดยเฉพาะในครั้งนี้ เหมียวอี้ไม่ได้เชื่อฟังนางเลยสักนิด ทั้งยังบอกนางอีกว่าไม่ต้องยุ่งอะไรทั้งนั้น

แต่นางก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ว่าจะปล่อยให้เหมียวอี้ทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคงมีสักวันที่เหมียวอี้จะมีอันตรายถึงชีวิต กลับไปต่อให้ต้องทะเลาะตบตีกับเหมียวอี้ ต่อให้ต้องโวยวายใส่อารมณ์กับเหมียวอี้ แต่นางก็จะไม่ส่งเสริมให้ท้ายแน่นอน

“เถ้าแก่เนี้ย ตอนนี้ท่านยังไม่ยอมช่วยพูดถึงข้าในทางที่ดีอีกเหรอ ? ท่านแม่ทัพภาคหนิวนำคนโจมตีเข้ามาแล้วนะ!” เย่อี้กุมหมัดขอร้องด้วยสีหน้าขมขื่น กลัวจนแทบจะร้องไห้แล้ว

อวิ๋นจือชิวไม่อยากจะเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเหมียวอี้เลย กลัวว่าจะกลายเป็นภาระถ่วงเหมียวอี้ แต่เหมียวอี้ก่อเรื่องขนาดนี้แล้ว ยังจะปิดบังต่อไปได้อีกเหรอ? นางเองก็สับสนเหมือนกัน

ในขณะนี้เอง ด้านนอกตำหนักคุ้มเมืองก็มีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ราวกับส่งผลกระทบในวงกว้างด้วย

“หนิวโหย่วเต๋อนำคนโจมตีเข้ามาแล้วเหรอ? อย่าบอกนะว่ายังไม่ได้ปิดประตูเมือง?” เย่อี้ตกใจ แล้วตะโกนว่า “ออกไปดูว่ามีเรื่องอะไรกันแน่?”

คนที่อยู่ข้างกายเขายังไม่ทันออกไป ข้างนอกก็มีคนวิ่งเข้ามาแล้ว กุมหมัดคารวะรายงานอย่างร้อนใจว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ หนิวโหย่วเต๋อนำกำลังพลหนึ่งหมื่นมาถึงประตูเมืองตะวันออกแล้ว เขาสั่งให้เปิดประตูเมือง! พอกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดสวรรค์ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อมาแล้ว ก็ทยอยกันปิดร้านไล่ลูกค้าแล้วซ่อนตัว ตอนนี้ตลาดสวรรค์วุ่นวายไปหมดแล้วขอรับ!”

“เถ้าแก่เนี้ย!” เย่อี้กุมหมัดคารวะ คนที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็กุมหมัดขอร้องเช่นกัน

แต่จนใจที่ไม่ว่าฝั่งนี้จะขอร้องขนาดไหน แต่อวิ๋นจือชิวก็ยังไม่ยอมรับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเหมียวอี้ง่ายๆ

ผ่านไปไม่นานนัก รองผู้บัญชาการใหญ่ฟางลี่เหิงก็วิ่งเข้ามาอย่างลุกลี้ลุกลน ไม่สนใจมารยาทระหว่างเจ้านายลูกน้องแล้ว พอเห็นอวิ๋นจือชิวก็อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบรายงานทันทีว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ หนิวโหย่วเต๋อปักธูปครึ่งก้านลงพื้นอยู่นอกเมืองแล้ว เขาให้เวลาแค่ธูปครึ่งก้าน ถ้ายังไม่เปิดประตูเมืองให้พวกเขาเข้ามา เขาก็จะ…”

“เจ้ารีบบอกมาสิ นี่มันเวลาไหนแล้ว เขาจะทำอะไร?” เย่อี้ถามอย่างหวาดระแวงกลัว

ฟางลี่เหิงกระทืบเท้าตอบ “เขาบอกว่าหลังจากธูปครึ่งก้านหมด ถ้าประตูเมืองยังไม่เปิด เขาจะล้างเลือดทั้งเมืองแน่นอน!”

ล้างเลือดทั้งเมือง? แบบนี้หมายความว่าจะฆ่าให้หมด จะไม่เหลือไว้แม้กระทั่งสุนัขหรือไก่ไง! แต่ละคนรวมทั้งอวิ๋นจือชิวสูดหายใจอย่างตกตะลึงพร้อมกัน เคยเห็นคนบ้ามาก่อน แต่ไม่เคยเห็นคนบ้าขนาดนี้!

ประเด็นสำคัญก็คือ ไม่มีใครคิดว่าเหมียวอี้แค่มาขู่เฉยๆ แต่เจ้าบ้านั่นมันทำแบบนี้แน่นอน!

ขนาดอวิ๋นจือชิวยังแน่ใจเลยว่าเหมียวอี้จะทำอย่างนี้จริงๆ ตอนนางอยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนก็เคเห็นมากับตาแล้วว่าเหมียวอี้สังหารจนหัวคนกลิ้งเกลื่อน เลือดนองกลายเป็นแม่น้ำ

“ล้างเลือดทั้งเมือง?” เย่อี้ตกใจจนถอยหลังก้าวหนึ่ง “เขาพูดแบบนี้จริงเหรอ?”

ฟางลี่เหิงออกแรงพยักหน้า “ต่อหน้าฝูงชน เขาประกาศเลย พวกพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่ข้างประตูเมืองตะวันออกตกใจจนไม่กล้าอยู่ต่อแล้ว นายท่าน รีบติดต่อเบื้องบนเถอะ ให้ทางกองทัพองครักษ์ห้ามเขา!”

ถึงแม้เย่อี้จะติดต่อไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังรีบหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่ออีกครั้งด้วยความหวัง

อวิ๋นจือชิวได้แต่ก้มหน้ากัดริมฝีปากอยู่อย่างนั้น

ในดาราจักรที่กว้างใหญ่ไพศาล ทูตตรวจการขวาเกาก้วนนำคนกลุ่มหนึ่งเร่งเหาะเดินทาง ท่านโหวเซวียนหยวนนำคนกลุ่มหนึ่งอยู่ในนั้นด้วย ในบรรดาสมาชิกที่ติดตามยังมีหัวหน้าภาคอวี่จ้งเจินแห่งทัพเป่ยโต้วและพวกลูกน้อง

อวี่จ้งเจินมารวมตัวกับพวกเขากลางทาง เกาก้วนได้รับคำสั่งให้มาสืบคดีที่น่านฟ้าระกาติง ทว่าอำนาจพิเศษของเกาก้วนมีขีดจำกัดที่กองทัพองครักษ์ เขาไม่มีอำนาจไปสืบสวนคนในกองทัพสายตรงของราชันสวรรค์ได้ จำเป็นต้องให้กองทัพองครักษ์ให้ความร่วมมือ และเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ กองทัพองครักษ์ก็ไม่มีทางนิ่งดูดายได้ จะต้องเข้าร่วมสืบสวนด้วย

ตอนนี้ในใจอวี่จ้งเจินอยากจะด่าแม่แล้ว ตอนที่ได้รับรายงานมาจากเบื้องบน เขาถึงได้รู้ว่าคดีใหญ่ในครั้งนี้ยังมีผู้หญิงเกี่ยวข้องด้วยคนหนึ่ง มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นหญิงชู้ของหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจกระจ่าง ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต๋อตะวางกับดักล่อให้ฉู่จื่อซานวิ่งเข้าไป สารเลว! ไม่น่าเชื่อว่าจะก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้เพราะผู้หญิงคนเดียว!

ทว่าท่าทีของกองทัพองครักษ์ก็ซับซ้อนไปหน่อย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเล่นพรรคเล่นพวก ตามหลักการแล้วควรจะให้ผู้บังคับบัญชาสายตรงของเหมียวอี้หลบไปสิ แต่กองทัพองครักษ์ดันส่งอวี่จ้งเจินมาเข้าร่วมการสืบคดีนี้ อวี่จ้งเจินไม่ได้โง่ ย่อมเข้าใจอย่างชัดเจนอยู่แล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้เขากังวลก็คือ เขาดันสั่งให้หนิวโหย่วเต๋อนำคนไปที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน แล้วผู้หญิงคนนั้นก็อยู่ที่นั่นด้วย หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องนะ

ใครจะคิดละว่าสิ่งที่กลัวมักจะมาเยือน ขณะที่กำลังเร่งเหาะด้วยความเร็ว ก็มีเบื้องบนส่งข่าวมาหา บอกอย่างร้อนรนว่าผู้หญิงคนนั้นตกอยู่ในมือตำหนักคุ้มเมืองแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะไปก่อเรื่องที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน!

ดังนั้นที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนในตอนนี้ เหมียวอี้จึงหยิบระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง หัวหน้าภาคอวี่จ้งเจินของทัพเป่ยโต้วส่งข่าวมาแล้ว ถามว่า : หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอยู่ที่ไหน?

เหมียวอี้ตอบว่า : มาถึงนอกเมืองตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนแล้ว ทหารยามตลาดสวรรค์ปฏิเสธไม่ให้พวกเขาเข้าเมือง

อวี่จ้งเจิน : ห้ามเข้าเมืองเด็ดขาด ตั้งค่ายที่นอกเมือง!

เหมียวอี้ตอบว่า : กำลังพลของข้าบาดเจ็บสาหัส มีพี่น้องจำนวนมากที่ชีวิตตกอยู่ในอันตราย จะรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือในเมือง นายท่านอยากจะให้ข้าน้อยทิ้งลูกน้องที่เพิ่งรอดชีวิตจากการเข่นฆ่าเหรอ? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ข้าน้อยก็จะฟังคำสั่ง แต่ถ้าวันนี้เข้าเมืองไม่ได้ ข้าน้อยก็ไม่มีทางให้คำอธิบายกับพวกพี่น้องได้เลย ข้าน้อยก็ขอลาออกจากหน่วยองครักษ์ซ้าย!

ฉิบหายแล้ว! พูดจริงหรือพูดเล่น? อวี่จ้งเจินลำบากใจ ถ้าปล่อยให้ข่าวที่เขาไม่สนใจความเป็นความตายของลูกน้องแพร่ออกไป…เขารีบสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาติดต่อสายลับที่เป็นลูกน้องของเหมียวอี้ เพื่อยืนยันว่ามีพี่น้องจำนวนมากที่ชีวิตตกอยู่ในอันตรายหรือเปล่า

ตอนที่เหมียวอี้รอคำตอบจากอวี่จ้งเจิน ก็หันหน้าช้าๆ กลับมา เห็นในกลุ่มคนข้างหลังมีลูกน้องคนหนึ่งหยิบระฆังดาราออกมา

คนคนนั้นก็เห็นเขาเช่นกัน เหมียวอี้จึงแอบถ่ายทอดเสียงบอกอะไรบางอย่างไป

ไม่ผิดหรอก คนคนนั้นคือสายลับที่เบื้องบนส่งมาไว้ข้างล่าง หลังจากได้ยินคำสั่งของเหมียวอี้แล้ว คนคนนั้นก็พยักหน้าเงียบๆ แล้วบอกตามที่เหมียวอี้สั่งอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ดังนั้นแค่คิดก็รู้แล้วว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร

หนึ่งคนตอบแบบนี้ อีกสองคนสามคนก็ตอบแบบนี้เหมือนกันหมด

สิ่งที่เรียกว่า ‘ไม่รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างนอก’ คืออะไรล่ะ? นี่ไงที่เรียกว่า ‘ไม่รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างนอก’!

อวี่จ้งเจินที่ได้รับคำตอบปวดประสาททันที เตือนเหมียวอี้ว่า : เดี๋ยวข้าจะติดต่อกับทางตลาดสวรรค์ให้ปล่อยพวกเจ้าเข้าไป แต่ข้าจะขอเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ ว่าห้ามก่อเรื่องที่ตลาดสวรรค์ ทูตตรวจการขวาเกาก้วน ท่านโหวเซวียนหยวนรวมทั้งหน่วยงานของข้ากำลังรีบนำคนไปสอบสวนและลงโทษคดีนี้แล้ว ถ้าเจ้ากล้าก่อเรื่องอีก ไม่ว่าใครก็ปกป้องเจ้าไม่ได้ทั้งนั้น เกาก้วนเป็นใครเจ้าก็รู้ดี!

เหมียวอี้ตอบว่า : ถ้าข้าน้อยจะก่อเรื่องจริงๆ คงนำคนสังหารเข้าไปแล้ว มีหรือที่จะรออยู่นอกเมืองแล้วติดต่อกับคนของตลาดสวรรค์นานขนาดนี้? พวกพี่น้องเพิ่งจะเก็บชีวิตกลับมาจากความตาย จากจะเข้าเมืองไปยื้อชีวิตเท่านั้นเอง แต่กลับโดนคนอุดประตูเมืองไม่ยอมให้เข้าไป พวกพี่น้องเดือดดาลตั้งนานแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะข้าน้อยควบคุมไว้ พวกเขาคงโจมตีเมืองเข้าไปตั้งนานแล้ว!

อวี่จ้งเจิน : อย่านึกว่าข้าไม่รู้เรื่องของเจ้ากับผู้หญิงคนนั้นนะ ข้าให้ความสำคัญเจ้ามาตลอด ถึงได้ปิดตาข้างหนึ่งเปิดตาข้างหนึ่ง อย่าทำให้ข้าลำบากใจ เดี๋ยวข้าจะหาทางปกป้องเจ้าเอง! เอาเป็นว่าอย่าก่อเรื่องแล้วกัน ไม่อย่างนั้นข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!

หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดาราเงียบๆ

แต่อวี่จ้งเจินก็ไม่ใช่ไก่อ่อน เหลือแผนสำรองเอาไว้ป้องกันเช่นกัน มู่อวี่เหลียนได้รับคำสั่งจากอวี่จ้งเจินในทันที ว่าถ้าหนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องเมื่อไร ก็ให้ประกาศคำสั่งของอวี่จ้งเจินทันที ให้อำนาจในการบัญชาการกองมังกรดำกับนาง ให้ควบคุมกองทัพไม่ให้ก่อเรื่อง ถ้าถึงเวลาจำเป็นก็ให้จัดการหนิวโหย่วเต๋อได้เลย!

ใครจะคิดว่ามู่อวี่เหลียนจะหันกลับมาแล้วเดินมาข้างกายเหมียวอี้ ถ่ายทอดคำสั่งลับของอวี่จ้งเจินให้ฟัง

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่ารู้แล้ว จากนั้นเหล่ตามองก้านธูปที่ปักบนดิน ตอนนี้เผาไหม้ไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว

ตอนนี้กองทัพนี้ฟังคำสั่งเขาคนเดียวเท่านั้น ใครก็ขัดขวางเจตจำนงในการเข้าเมืองของเขาไม่ได้!

ในตำหนักคุ้มเมือง ไม่นานเย่อี้ก็ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนแล้ว บอกให้รู้ถึงท่าทีของกองทัพองครักษ์ ฝ่ายกองทัพองครักษ์บอกว่าชีวิตของพวกลูกน้องกำลังตกอยู่ในอันตราย ต้องเข้าเมืองไปยื้อชีวิตอย่างเร่งด่วน กองทัพองครักษ์รับรองว่าลูกน้องจะไม่ก่อเรื่องที่ตลาดสวรรค์

เย่อี้ร้อนรนแล้ว ถามว่า : หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนนำทัพ มีเรื่องอะไรบ้างที่เจ้าบ้านั่นทำไม่ได้ จะรับประกันได้ยังไง?

แม่ทัพภาคตอบว่า : จะปล่อยเข้าเมืองหรือไม่ปล่อยเข้าเมือง เจ้าก็ดูสถานการณ์แล้วตัดสินใจเอาเองแลวกัน!

เย่อี้เหม่อไปเลย ตอนนี้เข้าใจแล้ว ในเมื่อเบื้องบนได้รับการยืนยันจากกองทัพองครักษ์แล้ว ต่อให้ที่ตลาดสวรรค์จะเกิดเรื่องขึ้น แต่เบื้องบนก็ไม่ต้องรับผิดชอบอยู่ดี แต่จะว่าไปแล้ว ตอนนี้เบื้องบนก็หมดหนทางเช่นกัน อยู่ไกลขนาดนี้จึงดูแลไม่ไหว ถ้าหนิวโหย่วเต๋อจะทำซี้ซั้วจริงๆ เบื้องบนก็ควบคุมไม่ได้ เรื่องที่เย่อี้ก่อขึ้น เย่อี้ก็มีแต่ต้องแบกรับไว้เอง

หลังจากเก็บระฆังดารา เย่อี้ก็หันตัวไปมองอวิ๋นจือชิว แล้วกล่าวอย่างเศร้าใจ “เถ้าแก่เนี้ย ท่านอาจจะไม่แยแสความเป็นความตายของข้า แต่ท่านจะไม่แยแสความเป็นความตายของหนิวโหย่วเต๋อเชียวเหรอ? ท่านเคยคิดรึเปล่าว่าถ้าหนิวโหย่วเต๋อล้างเลือดทั้งเมือง ผลที่ตามมาจะเป็นยังไง?”

ขอร้องไปนานขนาดนี้ ในที่สุดก็พูดตรงจุดเสียที อวิ๋นจือชิวกัดริมฝีปากแน่น แล้วสุดท้ายก็ยอมบอกว่า “ข้ากับแม่ทัพภาคหนิวรู้จักกันผิวเผินจริงๆ แต่ข้าจะลองดูก็ได้ ส่วนเขาจะเชื่อฟังข้าหรือเปล่า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันนะ”

เย่อี้ดีใจมาก ถ้าหนิวโหย่วเต๋อสามารถทำตัวบ้าบิ่นขนาดนี้เพราะนางได้ มีหรือที่จะไม่เชื่อฟังนาง ขอเพียงนางยอมเอ่ยปาก เรื่องนี้ก็จัดการสะดวกแล้ว เขาจึงกุมหมัดคารวะขอบคุณซ้ำๆ แล้วรีบยื่นมือเชิญ “ใกล้จะหมดเวลาธูปครึ่งก้านแล้ว เถ้าแก่เนี้ย ได้โปรดเร่งมือ!”

…………………………

เสียงที่กล่าวคำนี้ออกมา ถึงแม้จะไม่ดังก้องไปทั้งเมืองเหมือนตอนประกาศชื่อตัวเอง แต่ร้านค้าที่อยู่บริเวณประตูเมืองตะวันออกกลับได้ยินแล้ว ล้างเลือดทั้งเมืองเหรอ? ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรที่อกสั่นขวัญแขวน ด่าในใจอย่างบ้าคลั่งว่า เจ้าบ้านี่มันอยากจะล้างเลือดตลาดสวรรค์จริงๆ สินะ!

บรรดาผู้จัดการร้านกับพวกคนงานที่หลบอยู่ในร้าน ก่อนหน้านี้นึกว่าตัวเองจะโชคดีรอดชีวิต คิดว่าหนิวโหย่วเต๋อคงไม่กล้าล้างเลือดตลาดสวรรค์จริงๆ หรอก แต่หลังจากได้ยินคำพูดนี้แล้ว มีหรือที่จะยังกล้าคิดว่าโชคดีอีก เจ้าตัวประกาศออกมาต่อหน้าฝูงชนแล้ว จึงเปิดประตูหนีอีกครั้งทันที รีบหนีไปให้ไกลๆ หน่อย ไม่นานถนนบริเวณประตูเมืองฝั่งตะวันตกว่างเปล่าจนไม่เห็นเงาใครสักคน

ทหารยามเฝ้ากำแพงเมืองเริ่มตึงเครียดเป็นอย่างมาก กลุ่มคนที่อยู่ในตึกบนกำแพงค่อนข้างพูดไม่ออก พบว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้กล้าพูดทุกอย่างจริงๆ

ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยเลยก็คือ หนิวโหย่วเต๋อเจ้าเวรนี่มันกล้าทำจริงๆ คาดว่าคงไม่ได้พูดเพื่อขู่เฉยๆ หรอก

แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนในตึกทำใจเชื่อได้ยากก็คือ หนิวโหย่วเต๋อพูดจากบฏขนาดนี้ แต่กำลังพลที่อยู่ข้างหลังเขากลับไม่มีใครทำท่าแปลกใจสักคน ไฟโกรธในดวงตาคนพวกนั้นราวกับกำลังบอกทุกคนว่า วันนี้จะต้องเข้าเมืองให้ได้ ถ้าเข้าเมืองไม่ได้ จะฆ่าล้างเมืองสักหน่อยจะเป็นไรล่ะ?

ถังเฮ่อเหนียนพลันถอนหายใจเบาๆ ทันที “ทัพที่ห้าวหาญดุจหมาป่าดุจพยัคฆ์กลุ่มนี้ เกรงว่าในเร็วๆ นี้คงจะอยู่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว”

“เกรงว่าในเร็วๆ นี้คงเผชิญชะตากรรมโดนจับแยก” จั่วเอ๋อร์พยักหน้าเบาๆ

คนอื่นที่ยังอายุน้อยรวมทั้งเม่ยเหนียงหวังเฟยไม่เข้าใจว่าสิ่งที่สองคนนี้พูดหมายความว่าอะไร แต่โกวเยว่และพวกคนชรากลับถอนหายใจเบาๆ ราวกับเข้าใจหมดแล้ว

เม่ยเหนียงอดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงถามโกวเยว่ “ในเมื่อเป็นทัพที่ห้าวหาญดุจหมาป่าดุจพยัคฆ์ ทำไมต้องโดนจับแยกล่ะ?”

โกวเยว่แอบตอบนางว่า “กองทัพองครักษ์คือกองทัพองครักษ์ของฝ่าบาท ไม่ใช่กองทัพองครักษ์ส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่ง ขนาดหนิวโหย่วเต๋อพูดแบบนี้ออกมาแล้ว พวกลูกน้องยังไม่แสดงอาการผิดปกติเลยสักนิด อาศัยแค่การที่พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งหนิวโหย่วเต๋อคนเดียว แค่นี้ก็เป็นความผิดมหันต์แล้ว!”

เม่ยเหนียงเข้าใจในทันที แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “งั้นก็น่าเสียดายจริงๆ”

โกวเยว่ชี้แนะว่า “ขอเพียงได้หนิวโหย่วเต๋อมาไว้ในมือ ก็จะมีทัพที่ห้าวหาญดุจหมาป่าดุจพยัคฆ์กลุมที่สอง ทัพที่ห้าวหาญดุจหมาป่าดุจพยัคฆ์กลุ่มที่สามเกิดขึ้นอีกแน่นอน ท่านอ๋องคงไม่กังวลที่จะมอบกำลังพลในมือไปให้เขาฝึก!”

เม่ยเหนียงเข้าใจสิ่งที่โกวเยว่สื่อแล้ว นี่คือการบอกเป็นนัยว่าขอเพียงหนิวโหย่วเต๋อยอมสวามิภักดิ์ต่อท่านอ๋อง กองทัพองครักษ์มีความเสียหายอะไรแล้วจะเกี่ยวอะไรกับท่านอ๋องล่ะ?

นางอดไม่ได้ที่จะแอบกัดริมฝีปาก แบบนี้ก็ยิ่งอธิบายแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้มีความสำคัญต่อท่านอ๋องขนาดไหน!

“นายท่านหนิวรอสักครู่ ข้าจะไปรายงานเดี๋ยวนี้!” ฟางลี่เหิงกุมหมัดคารวะอีกครั้ง บนใบหน้าเจียดรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วรีบหันตัวหลบมาด้านข้าง แถมยังดึงลูกน้องคนหนึ่งออกมากำชับด้วยว่า “พยายามทำให้สงบไว้ อย่าไปยั่วโมโหเจ้าบ้านีเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นไอ้หน้าด้านนี่มันก็ทำได้ทุกอย่างจริงๆ”

ลูกน้องคนนั้นคิดในใจว่า ยังต้องอีกให้เจ้าเตือนด้วยเหรอ? แต่ปากกลับเอ่ยรับพร้อมพยักหน้าซ้ำๆ “ขอรับๆๆ! นายท่านรีบไปรีบกลับเถอะ ไม่อย่างนั้นข้าน้อยกลัวว่าจะยืนหยัดได้ไม่นานนัก” เขาไม่อยากรับมือกับสถานการณ์นี้เลยจริงๆ กดดันเกินไปแล้ว!

ฟางลี่เหิงแฉลบผ่านฟ้าไปทันที เหาะไปยังตำหนักคุ้มเมืองอย่างรวดเร็ว

เขาหันกลับมามองเป็นระยะ ที่จริงผู้บัญชาการใหญ่เย่อี้ที่อยู่ในตำหนักคุ้มเมืองรู้เรื่องนี้ก่อนเขาหนึ่งด้าวแล้ว รู้ข่าวตั้งแต่ก่อนที่เหมียวอี้จะนำกำลังพลมาถึง

ข้างนอกเกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ วันนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะฝึกวิชา กำลังเดินครุ่นคิดช้าๆ อยู่ในสวนดอกไม้ จู่ๆ ก็ได้ข่าวมาจากจวนแม่ทัพภาคเบื้องบนของเขา

ท่านแม่ทัพภาคส่งข่าวมาด้วยตัวเอง บอกอย่างชัดเจนว่าให้เขาระวังตัวหน่อย เบื้องบนส่งข่าวมาแล้ว ว่าคนที่นำกองทัพองครักษ์ห้าหมื่นไปสังหารหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงและโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงแตกพ่ายก็คือหนิวโหย่วเต๋อ!

พอได้ยินข่าวนี้ เย่อี้ก็ตกใจจนตับสั่น ไม่ใช่เพราะเขามีความขัดแย้งอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อหรอก…แน่นอน ใช่ว่าจะไม่มีความขัดแย้งเลยสักนิดเดียว เพราะในปีนั้นเขาก็เคยทดสอบที่แดนอเวจีถึงได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เช่นกัน เป็นคนที่เข้าร่วมทดสอบที่แดนอเวจีรอบแรก เป็นรอบเดียวกับหนิวโหย่วเต๋อ ดังนั้นเขาก็เป็นหนึ่งในกำลังพลที่ล้อมโจมตีหนิวโหย่วเต๋อเช่นกัน มีความขัดแย้งนิดหน่อยเท่านี้เอง แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลย ตอนแรกมีคนมากมายขนาดนั้น หนิวโหย่วเต๋อจำตนไม่ได้แน่นอน มีแค่ตนเท่านั้นที่จำหนิวโหย่วเต๋อได้

เพราะเขาได้เห็นเหตุการณ์ที่หนิวโหย่วเต๋อบุกเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านกับตาตัวเอง ถึงได้รับรู้ความเหี้ยมหาญของหนิวโหย่วเต๋ออย่างลึกซึ้ง กอปรกับตอนนี้อีกฝ่ายมีฐานะสูงกว่าเขา แถมในมือยังมีกำลังทหารมากมาย เขาจะไปมีเรื่องด้วยไหวเหรอ ที่สำคัญคือเจ้าหมอนั่นคนบ้าผู้เลื่องชื่อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น

และที่เป็นปัญหามากที่สุดก็คือ เขาสั่งให้คนเชิญอวิ๋นจือชิวเข้ามาสอบถามที่ตำหนักคุ้มเมืองแล้ว

เขากำลังสาปแช่งบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของฉู่จื่อซาน เมื่อเริ่มเชื่อมโยงทุกเรื่องเข้าด้วยกัน มีหรือที่จะยังไม่รู้ว่าฉู่จื่อซานตายอย่างไร เจ้าบ้าหนิวโหย่วเต๋อมันกล้าทำทุกเรื่องจริงๆ ด้วย มารดาเจ้าเถอะ เป็นเพราะมีคนแตะต้องผู้หญิงของหนิวโหย่วเต๋อจนยั่วให้หนิวโหย่วเต๋อโมโหไง สาเหตุที่ทัพใหญ่หลายแสนของตำหนักสวรรค์โดนสังหาร ก็เพราะหนิวโหย่วเต๋อโมโหเรื่องหญิงงาม!

ตอนนี้ตัวเองจับผู้หญิงของหนิวโหย่วเต๋อเอาไว้ ถึงแม้ตัวเองจะเชิญมา แต่ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะคิดอย่างไร เจ้าบ้านั่นคงไม่ได้ถ่อมาล้างเลือดตลาดสวรรค์หรอกใช่มั้ย?

เย่อี้เริ่มกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ ขนาดน่านฟ้าระกาติงรวบรวมทัพใหญ่หนึ่งล้านแล้วยังต้านอีกฝ่ายไว้ไม่ไหวเลย กำลังพลอันน้อยนิดของเขาไม่พอให้ยัดซอกฟันอีกฝ่ายด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำอาวุธในมือกำลังพลของเขาก็ไม่มีทางเทียบกับกองทัพองครักษ์ได้เลย ค่ายกลป้องกันต้านทานการโจมตีด้วยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของกองทัพองครักษ์ไม่ไหวหรอก เขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะขัดขืนด้วยซ้ำ!

ภายใต้ความหวาดกลัวนี้ เขาจึงขอร้องให้ท่านแม่ทัพภาคช่วยเหลือทันที เขาบอกว่าตัวเองเชิญอวิ๋นจือชิวเข้ามาที่ตำหนักคุ้มเมือง ตอนนี้ตัวนางยังอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองอยู่เลย จะทำอย่างไรดี?

แม่ทัพภาคท่านนั้นด่ายับทันที ฉู่จื่อซานตายไปแล้วก็แล้วกันสิ เกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ เจ้ากินอิ่มแล้วว่างงานเลยมาสอดเรื่องนี้เหรอ เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วรึไง? ถ้าหนิวโหย่วเต๋อนำกำลังพลมาโจมตีจวนแม่ทัพภาคขึ้นมา แม้แต่ข้าก็ต้านทานไม่ไหว เจ้าน่ะอายุเท่าไรแล้วถึงได้กล้ามายุ่งเรื่องนี้?

ด่าก็ส่วนด่า แต่ก็ยังต้องคิดหาทางแก้ไขปัญหานี้ แม่ทัพภาคท่านนั้นให้เย่อี้รีบปล่อยตัวอวิ๋นจือชิว จะต้องปลอบใจนางให้ดี ส่วนทางเขาจะติดต่อกับเบื้องบนอีกที ให้เบื้องบนติดต่อกับหน่วยองครักษ์ซ้าย หวังว่าคำสั่งของหน่วยองครักษ์ซ้ายจะควบคุมเจ้าคนบ้านั่นได้!

เย่อี้รีบขอบคุณทันที หลังจากเก็บระฆังดาราแล้วก็หันมาตะโกนทันทีว่า “ทหาร!”

ลูกน้องคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามา แล้วกุมหมัดคารวะถาม “นายท่านมีอะไรจะกำชับหรือขอรับ?”

เย่อี้ชี้ไปทางคุก แล้วกัดฟันสั่งว่า “เร็วๆ! พาตัวอวิ๋นจือชิวเถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋ามาหาข้าเดี๋ยวนี้! ไม่สิ…เชิญตัวมาหาข้า เร็วเข้า!”

“ขอรับ!” ลูกน้องของรีบวิ่งออกไปทันที

ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็เดินมาอย่างไม่สะทกสะท้าน โดยมีทหารหลายคนของตำหนักคุ้มเมืองเดินตามหลัง สีหน้านางเรียบเฉย มองไม่ออกว่ามีอารมณ์ผิดปกติอะไร

เย่อี้ที่เดินกระวนกระวายอยู่ในศาลาหันมามองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าคนมาแล้ว เขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มทันที รีบเดินออกมาจากศาลา เดินลงบันไดมาต้อนรับ

พวกทหารของตำหนักคุ้มเมืองยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของเขา อวิ๋นจือชิวยกแขนเสื้อทำความเคารพด้วยใบหน้าที่เจือรอยยิ้มเล็กน้อย “อวิ๋นจือชิวคารวะผู้บัญชาการใหญ่ค่ะ!”

ในใจเย่อี้รู้สึกกลัดกลุ้ม ผู้หญิงคนนี้ก็มีสง่าราศีดีเหมือนกัน ความสวยก็จัดอยู่ระดับบน แต่ก็ยังไม่ถือว่างดงามล้ำเลิศอะไร ไม่รู้ว่าฉู่จื่อซานนั่นมันไปกินยาอะไรผิดมา หนิวโหย่วเต๋อนั่นก็ไม่รู้ว่ากินยาอะไรผิดมาเหมือนกัน อาศัยอำนาจอิทธิพลของสองคนนั้น อยากจะหาผู้หญิงแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น จำเป็นต้องมาสู้ตายแบบไม่เสียดายอนาคตเพื่อผู้หญิงคนนี้ด้วยเหรอ?

แน่นอน บนใบหน้าเขายังคงรอยยิ้มเอาไว้ “เถ้าแก่เนี้ย ไม่ได้รบกวนให้ท่านตกใจใช่มั้ย”

“ยังสบายดี!” อวิ๋นจือชิวตอบพร้อมรอยยิ้ม

เย่อี้โล่งอก โชคดีที่ฟางลี่เหิงเตือนไว้ก่อน จึงเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้ ไม่ได้ทำอะไรผู้หญิงคนนี้ เขาพยักหน้าบอกว่า “งั้นก็ดีแล้ว”

ใครจะคิดว่าคนที่รับหน้าที่สืบสวยจะแอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ผู้หญิงคนนี้ปากแข็งมาก ไม่ตกหลุมพรางอะไรสักอย่าง เอาแต่พูดว่าไม่รู้อะไรทั้งนั้น นายท่าน ข้าว่าพวกเราทำดีกับนางเกินไปแล้ว ทำให้นางไม่กลัวอะไรเลย ถ้าอยากจะถามให้ได้ความอะไรจริงๆ ก็ต้องตัดขาดการติดต่อของนางกับภายนอก แล้วทรมานอีก…”

เย่อี้หันขวับมาถลึงตาตัดบทเขา ในใจมีความคิดอยากจะฆ่าเจ้าหมอนี่แล้ว ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้าตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์ ยังไม่ได้ทำอะไรนางซี้ซั้วใช่มั้ย?”

ผู้สืบสวนงุนงง รีบตอบว่า “เปล่าเลย! ข้าทำตามที่นายท่านกำชับไว้ สุภาพเกรงใจมาตลอด ตอนที่นางติดต่อกับภายนอกเป็นระยะ ข้าก็ไม่ได้รบกวนเช่นกัน” อันที่จริงแล้ว มันคือการสอบสวนไง จะพูดไม่เกรงใจบ้างสักคำสองคำก็เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว มีขู่ไปบ้างนิดหน่อย เพียงแต่เห็นท่าทางของผู้บัญชาการใหญ่เป็นแบบนี้ ก็เลยไม่กล้าพูดออกมา

เย่อี้หันกลับมาแล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม ยื่นมือเชิญให้นางเข้าไปนั่งในศาลา “เถ้าแก่เนี้ยเชิญนั่งข้างในก่อน จิบน้ำชาปลอบขวัญสักหน่อย ถ้าพวกลูกน้องล่วงเกินอะไรตรงไหน ก็หวังว่าจะใจกว้างให้อภัยนะขอรับ”

อวิ๋นจือชิวชำเลืองมองสาวใช้ที่รินน้ำชาอยู่ข้างในแวบหนึ่ง นางจะกล้าดื่มของที่นี่ซี้ซั้วได้อย่างไร ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางกล้าวพร้อมรอยยิ้มทันทีว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ให้เกียรติข้าเกินไปแล้วจริงๆ ข้าไม่กล้านั่งตีเสมอกับผู้บัญชาการใหญ่เด็ดขาดค่ะ ผู้บัญชาการใหญ่มีอะไรจะกำชับหรือคะ อวิ๋นจือชิวจะตั้งใจฟังก็พอแล้ว”

เย่อี้เชิญอีกครั้ง เมื่อเห็นว่านางไม่ยอม เขาก็ไม่กล้าบังคับเช่นกัน หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป หนิวโหย่วเต๋อนั่นกำลังทำศึกกับกำลังพลน่านฟ้าระกาติงที่อาณาเขตดาวใกล้ๆ นี้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะนำคนมาที่นี่แล้วก็ได้ ชักช้าไม่ไหวหรอก เขาจึงยืนนอกศาลาแล้วกล่าวอย่างจริงใจเปิดเผยว่า “เป็นเพราะเชิญเถ้าแก่เนี้ยมาสอบถามที่ตำหนักคุ้มเมือง เย่คนนี้กลัวว่าจะทำให้แม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อไม่พอใจ ดังนั้นจึงหวังให้เถ้าแก่เนี้ยช่วยพูดถึงเย่ในทางที่ดีเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่ทัพภาคหนิวสักหน่อย! เย่ขอรับประกันเลย ต่อไปนี้ที่ตลาดสวรรค์จะไม่มีใครกล้าแตะต้องเถ้าแก่เนี้ยอีก ถ้าเถ้าแก่เนี้ยมีอะไรจะให้เย่ช่วยเหลือ เย่คนนี้ก็จะช่วยอย่างไม่ลังเลแน่นอน แบบนี้ดีมั้ย?” นี่คือการเจรจาเงื่อนไข

เขาเตรียมตัวไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าถ้าเจรจาไม่ลงตัว ก็จะรีบหาข้ออ้างหนีออกจากตลาดสวรรค์ไปหาที่หลบภัย หลบผ่านสถานการณ์ที่ไม่เอื้อประโยชน์นี้ให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา คนที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็มองหน้ากันเลิกลั่ก อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้ได้กับหนิวโหย่วเต๋อแล้วจริงๆ?

อวิ๋นจือชิวยิ้มบางๆ “ผู้บัญชาการใหญ่ล้อเล่นแล้ว ข้ากับแม่ทัพภาคหนิวรู้จักกันแค่ผิวเผินเท่านั้น  มาคุยที่ตำหนักคุ้มเมืองสองสามคำจะยั่วให้แม่ทัพภาคหนิวไม่พอใจได้ยังไงคะ? ข้าไม่ค่อยเข้าใจที่ท่านพูดเลย”

“รู้จักกันแค่ผิวเผินเหรอ?” เย่อี้หัวเราะเจื่อน “เป็นเพราะหัวหน้าภาคฉู่คิดไม่ซื่อกับเถ้าแก่เนี้ย ทำให้แม่ทัพภาคหนิวนำกองทัพองครักษ์ห้าหมื่นไปสังหารเขา แล้วก็โจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงแตกพ่ายอีก สังหารคนไปหลายแสน ถ้าแบบนี้นับว่ารู้จักกันแค่ผิวเผิน เช่นนั้นเย่ก็ไม่เข้าใจเลยจริงๆ เถ้าแก่เนี้ยช่วยชี้แนะหน่อย ว่าแบบไหนถึงเรียกว่ารู้จักกันลึกซึ้ง?” เขาเปิดโงโดยตรงแล้ว

เรื่องที่ลือกันสนั่นหวั่นไหวข้างนอกเป็นฝีมือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? คนที่ยืนอยู่ทางซ้ายแลขวาสีหน้าเปลี่ยนทันที โดยเฉพาะคนที่เพิ่งสอบสวนไป รู้สึกเริ่มหนาวสันหลังแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้บัญชาการใหญ่ถึงเกรงใจผู้หญิงคนนี้ขนาดนี้

อวิ๋นจือชิวสีหน้าสุขุมสงบนิ่ง ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ากับแม่ทัพภาคหนิวรู้จักกันผิวเผินจริงๆ แม่ทัพภาคหนิวจะต่อว่าผู้บัญชาการใหญ่เพราะข้าได้ยังไงล่ะ”

ใครจะคิดว่าพอเพิ่งจะพูดคำนี้จบ ด้านนอกก็มีเสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราดดุจสายฟ้าฟาดดังมา “หนิวโหย่วเต๋อ แม่ทัพภาคกองมังกรดำของทัพเป่ยโต้ว หน่วยองครักษ์เจิ้นอี่นำกำลังพลมาที่นี่แล้ว รีบเปิดประตู!”

…………………………

ไม่ใช่แค่เขาที่หวาดกลัว ทหารยามแต่ละคนที่อยู่บนกำแพงต่างก็รู้สึกหนาวในใจแล้ว

ในเมืองเละเหมือนโจ๊กในหม้อ ทหารยามบนกำแพงฝั่งประตูเมืองตะวันออกหันไปมองทุกคน ทั้งยังจ้องกำลังพลนอกเมืองกลุ่มนั้นอย่างไม่ละสายตา แต่ละคนเริ่มตึงเครียดถึงขีดสุด

ทำไมกองทัพที่เฝ้าตลาดสวรรค์ถึงค่อนข้างอ่อนแอล่ะ? พอมีศัตรูข้างนอกบุกรุกเข้ามา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของทุกคน พ่อค้าแม่ค้าในเมืองล้วนมีความรับผิดชอบในการต่อต้านศัตรูร่วมกัน นี่ต้องใช้พลังมากขนาดไหน? ทว่ายามเผชิญกับการโจมตีของกำลังพลตำหนักสวรรค์ พวกพ่อค้าแม่ค้าในเมืองจะมีใครกล้าเคลื่อนไหวซี้ซั้วล่ะ? ไม่มีใครช่วยกองทัพคุ้มกันตลาดสวรรค์ จะอาศัยแค่พวกเขาต้านทานกำลังพลข้างนอกเนี่ยนะ?

เมื่อขึ้นมาบนตึกบนกำแพง โกวเยว่เดินนำมาตรงหน้าริมต่างบานหนึ่งและมองไปด้านนอกประตูเมืองที่ปิดสนิทด้วยท่าทางผ่อนคลายสบายใจ ทว่าชั่วพริบตาที่สายตากวาดมองไปด้านล่าง รูม่านตาก็พลันหดล็กลง ร่างกายยื่นเงียบอยู่ริมหน้าต่าง หรี่ตาจ้องกำลังพลด้านนอกอย่างไม่ละสายตา

เม่ยเหนียงที่ปิดบังตัวตนและเดินไปตรงริมหน้าต่างข้างโกวเยว่หยุดชะงักทันที ดวงตางามที่อยู่หลังม่านมุ้งไม่อาจย้ายออกจากตรงนั้นได้

ถังเฮ่อเหนียนนำโค่วเหวินหลานไปยืนริมหน้าต่าง สายตาชำเลืองไปด้านนอก ทั้งคู่นิ่งเงียบ ถังเฮ่อเหนียนออกแรงเม้มริมฝีปากแน่น โค่วเหวินหลานเบิกตากว้างแล้ว

ต้วนหงเดินไปที่ริมหน้าต่างอีกบ้าน พอสายตามองไปข้างนอก นางก็หรี่ตาทันที

จั่วเอ๋อร์เดินมาตรงริมหน้า เดิมทีก็เอียงตัวและเอียงหน้ามองไปด้านนอกอยู่แล้ว ผลปรากฏว่าสายตาหยุดนิ่งไม่ขยับไปไหน แล้วก็ค่อยๆ หันตัวตรงไปนอกเมืองโดยจิตใต้สำนึก

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ ฮ่าวชิงเยี่ยน โค่วเหวินลวี่ อิ๋งเยว่ สี่สาวรวมตัวกันแล้วพูดคุยหัวเราะเสียงจ้อกแจ้กจอแจ แต่ก็ไม่ได้ทำให้บรรดาคนที่อยู่ริมหน้าต่างเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย ราวกับไม่เห็นสาวๆ ที่พูดคุยกันเสียงดังอยู่ในสายตา

แน่นอน อิ๋งเยว่ดูค่อนข้างสงบนิ่งกว่าคนอื่น เพียงเดินตามอยู่ข้างหลังสาวๆ ทั้งสามคน ดูเงียบขรึมพูดน้อยอย่างเห็นได้ชัด เพราะนางรู้ชัดว่าตัวเองมาเพราะมีจุดประสงค์อะไร แต่ผู้หญิงสามคนที่อยู่ข้างหน้าไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกเลยสักนิด พวกนางดูตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อบังเอิญพบกันในสถานที่แปลกใหม่ บางทีก็พูดคุยเสียงจ้อกแจ้ก บางทีก็กระซิบกระซาบกัน บางทีก็หัวเราะอย่างสนุกสนานเต็มที่ ปรึกษาหารือกันว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี

ทว่าเมื่อทั้งสามเดินมาตรงริมหน้าต่างบานหนึ่งแล้วมองไปข้างนอก เสียงหัวเราะอย่างร่าเริงเงียบลงทันที แต่ละคนเผยอปากเล็กน้อย ดวงตางามนิ่งทื่อ สีหน้าตะลึงงัน

อิ๋งเยว่ที่เดินมาถึงข้างกายทั้งสามเป็นคนสุดท้ายก้มหน้าเล็กน้อย นางไม่ได้มองไปด้านนอกหน้าต่าง แต่ไม่นานก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศไม่ชอบมาพากล ทำไมจู่ๆ ในห้องถึงเงียบแบบนี้ล่ะ?

นางเงยหน้ามองกลุ่มคนที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างในห้อง จากนั้นก็ก้มหน้าช้าๆ มองใต้กำแพงเมือง หัวใจพลันหดยวบ รู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น มองดูกำลังพลที่มีกลิ่นอายสังหารพลุ่งพล่านด้วยสายตาตะลึงงัน

คนของสี่ตระกูลเดินมาถึงริมหน้าต่างแล้วถูกทำให้หยุดนิ่งอยู่ในท่าเดิมคนแล้วคนเล่า วินาทีที่สายตามองไปเห็นกำลังพลที่อยู่ด้านนอก แต่ละคนก็ราวกับโดนฟ้าผ่า ยืนค้างอยู่ที่ริมหน้าต่างแล้ว

กำลังพลกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ยืนจัดกระบวนทัพอย่างเป็นระเบียบ รวมตัวกันอยู่นอกเมืองดูระเกะระกะอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นดูสะบักสะบอมด้วย สะบักสะบอมไปทั้งตัว

แต่กำลังพลตำหนักสวรรค์ที่แต่งตัวไม่เป็นระเบียบแบบนี้ กลับสร้างผลกระทบให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดที่สุด

ธงพยัคฆ์น้ำเงิน ธงอินทรีแต่ละสี ธงหมาป่าสีต่างๆ กำลังปลิวสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลม แผ่นธงที่เป็นสีดำเข้มหลังจากเปื้อนเลือดกำลังปลิวสะบัดอย่างรุนแรง ถึงขั้นปลิวจนขาดรุ่ยด้วยซ้ำ

คนที่อยู่ใต้ธงรบแต่ละสียังไม่ถอดเกราะรบ เลือดที่แห้งกรังเปรอะเปื้อนบนเกราะรบไปทั่วทั้งร่างกาย มีบางคนแขนขาดข้างหนึ่ง มีบางคนขาขาดข้างหนึ่ง บางคนตาบอดไปข้างหนึ่ง แทบจะหาคนที่มีร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์ไม่เจอเลย บนตัวแทบทุกคนมีบาดแผล แต่กลับดื้อรั้นยืนอยู่อย่างนั้น

ร่างกายลายพร้อยไปด้วยเลือดและฝุ่นดิน ราวกับปีนออกมาจากภูขาศพทะเลเลือด

บนใบหน้าของคนพวกนั้นเต็มไปด้วยรอยเลือด บนใบหน้าของคนส่วนใหญ่ยังมีคราบน้ำตา เห็นได้ชัดว่าร้องไห้มาก่อน รอยน้ำตาที่ชะล้างเลือดแห้งกรังอยู่บนใบหน้านั่น ทำให้ทุกคนที่อยู่ริมหน้าต่างบนตึกรู้สึกสั่นสะท้านวิญญาณอย่างบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ยาก

เรื่องอะไรกันที่ทำให้นักพรตมากมายขนาดนี้ร้องไห้ได้ เรื่องอะไรกันที่ทำให้กลุ่มคนที่ไม่กลัวตายร้องไห้ได้ คนพวกนี้เคยผ่านความสิ้นหวังอย่างไรมาบ้าง?

สุดท้ายกลุ่มคนที่อยู่บนตึกก็รู้ว่าผลการรบที่ทัพใหญ่ห้าหมื่นโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านนั่นได้มาอย่างไร ก็ได้มาตามที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ไง สุดท้ายก็รู้แล้วว่าทำไมกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าถึงทำให้คนตกตะลึงพรึงเพริด เพราะตรงหน้ามีกลุ่มคนอย่างนี้ยืนอยู่ไงล่ะ กลุ่มคนที่ปีนออกมาจากภูเขากระดูกทะเลเลือด

แต่สิ่งที่ทำให้คนกลุ่มนี้ทำความเข้าใจได้ยากก็คือ ทำไมในสายตาของกลุ่มนี้ถึงเต็มไปด้วยไฟโกรธล่ะ แต่ละคนมองขึ้นมาบนกำแพงเมืองด้วยสีหน้าคับแค้นใจ ไฟโกรธที่ลุกโชนอยู่ในดวงตาแต่ละคู่นั้นราวกับจะทำให้ทั้งเมืองนี้พังทลายได้

เป็นคนกลุ่มนี้เองเหรอที่สร้างความหวาดกลัวมหาศาลให้คนในเมืองนี้? ทุกคนเข้าใจในทันทีว่าสมเหตุสมผลแล้ว

ธงรบแต่ละสียังปลิวสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลม ภายใต้ธงรบ เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบสีแดงอยู่หน้ากระบวนทัพหนึ่งหมื่นหลับตาสองข้าง กำลังข่มไฟโกรธในใจเอาไว้ กำลังรออย่าเงียบงัน รอคำตอบจากคนที่อยู่บนกำแพง รอให้อีกฝ่ายเปิดประตู

“ทหารห้าวขุนพลหาญ!” จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ริมหน้าต่างจ้องคนที่อยู่นอกเมืองพลางกล่าวออกมาช้าๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าชื่นชมหรือประชด

เสียงนี้ทำให้เม่ยเหนียงได้สติกลับมา นางเองก็นับว่ารู้จักกำลังพลของอ๋องสวรรค์ก่วงมาไม่น้อยเช่นกัน กำลังพลที่มากกว่านั้นก็เคยรู้จักมาแล้ว แต่กำลังพลที่นางเห็นเองกับตาวันนี้ทำให้นางรู้สึกสั่นสะท้านจิตวิญญาณอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะแววตาโกรธแค้นของคนกลุ่มนั้นที่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวนิดหน่อย

มีบางสิ่งที่นางไม่เข้าใจ เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เป็นการชุบหลอมแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นการชำระล้างด้วยความเป็นความตายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สิ่งนี้ได้สลักลึกลงในกระดูกของคนพวกนี้แล้ว ทำให้คนพวกนี้แผ่ซ่านพลังอำนาจบางอย่างที่ต่างออกไป

สายตาของเม่ยเหนียงที่อยู่หลังม่านมุ้งค่อยๆ ย้ายจากตัวกำลังพลกลุ่มนั้นไปยังเหมียวอี้ที่ยืนอยู่หน้าสุด นางกัดริมฝีปากเงียบๆ แม้แต่นางยังเข้าใจเลยว่าทำไมหนิวโหย่วเต๋อถึงนำทัพใหญ่ห้าหมื่นโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านจนแตกพ่ายได้ ทำไมบุคคลระดับสูงจึงพากันมาที่นี่ด้วยตัวเองเพื่อจะดึงหนิวโหย่วเต๋อเป็นพกว ถ้าสามารถนำคนแบบนี้มาเป็นลูกเขยได้จริงๆ ก็จะไม่มีใครสั่นคลอนตำแหน่งของนางในจวนอ๋องสวรรค์ได้แล้ว ลูกสาวก็ย่อมเหมือนเรือที่ขึ้นสูงตามน้ำไปด้วย

ตอนนี้นางตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะต้องแย่งมาเป็นลูกเขยให้ได้ ต่อให้ลูกสาวจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ต้องแต่ง!

เม่ยเหนียงเอียงหน้าช้าๆ มองไปทางโกวเยว่ที่อยู่ข้างกัน แล้วถ่ายทอดเสียงถามยืนยันว่า “คนที่อยู่หน้าสุดคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”

โกวเยว่กลับไม่ตอบ แต่บอกอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ช่างเป็นทัพที่ห้าวหาญดุจหมาป่าดุจพยัคฆ์จริงๆ!” จากนั้นก็รู้ตัวแล้ว หันไปพยักหน้าเบาๆ ให้เม่ยเหนียงพร้อมถ่ายทอดเสียง “บ่าวก็ไม่เคยเจอเช่นกัน คงจะเป็นเขาคนนี้ หวังเฟยรู้สึกว่าเขยคนนี้เป็นยังไงบ้าง ยังถูกใจหรือเปล่า?”

เม่ยเหนียงตอบว่า “ห้าวหาญชาญชัย สง่างามดุจขุนเขา เป็นวีรบุรุษจริงๆ เรื่องนี้ข้าสามารถตัดสินใจแทนเม่ยเอ๋อร์ได้เลย พ่อบ้านได้โปรดพยายามช่วยให้การจับคู่ครั้งนี้สำเร็จ!”

“ถ้าหวังเฟยพอใจ บ่าวก็จะพยายามสุดความสามารถ!” โกวเยว่ตอบ

ผ่านไปพักใหญ่ กว่าโค่วเหวินหลานจะหายเหม่อลอย แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความผิดหวังหลายส่วน

ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเหมียวอี้จะก่อเรื่องอะไร ที่จริงในใจเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองแย่กว่าเหมียวอี้เลย ในใจยังรู้สึกเหนือกว่าเพราะครอบครัวสอนมาดี แต่ในวันนี้ หลังจากได้เห็นเหมียวอี้นำกำลังพลกลุ่มนี้แล้ว เขาก็รู้สึกได้ว่าตัวเองกับเหมียวอี้นั้นต่างกัน ตัวเองบัญชาการกำลังพลแบบนี้ไม่ได้

“คนที่ยืนอยู่หน้าสุดก็คือหนิวโหย่วเต๋อ” โค่วเหวินหลานหันกลับมาถ่ายทอดเสียงบอกถังเฮ่อเหนียน

ถังเฮ่อเหนียนที่ยืนเอามือไขว้หลังพยักหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่าเขาทราบแล้ว แววตาที่จ้องเหมียวอี้กำลังฉายประกายเล็กน้อย

“คนที่อยู่หน้าสุดคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?” สายตาของก่วงเม่ยเอ๋อร์ย้ายออกจากใบหน้าเหมียวอี้ แล้วถามบรรดาพี่สาวที่อยู่ข้างกาย

ในใจนางบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ในเมื่อท่านแม่บอกแล้วว่าจะให้นางแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อ แต่พอได้เห็นกำลังพลที่ค่อนข้างน่ากลัวตรงหน้านี้ นางก็พบว่าไม่เคยเห็นกำลังพลแบบนี้ข้างกายท่านพ่อมาก่อน เอาเป็นว่าทำให้คนรู้สึกว่าเจ๋งมาก

อิ๋งเยว่รู้จัก แต่กลับไม่ตอบคำถาม นางมองไปข้างล่างด้วยแววตาที่สื่ออารมณ์ซับซ้อน นี่ใช้กำลังพลที่ต่อต้านตระกูลอิ๋งที่อุทยานหลวงในปีนั้นหรือเปล่า?

ฮ่าวชิงเยี่ยนส่ายหน้าบอกใบว่าไม่รู้ โค่วเหวินลวี่รู้ว่าโค่วเหวินหลานรู้จัก หลังจากถ่ายทอดเสียงถามจนได้คำตอบแล้ว นางจึงพยักหน้าบอกว่า “เป็นเขาเอง”

ส่วนเหมียวอี้ที่หลับตาอยู่ข้างล่างพักใหญ่ จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นแล้วคว้าทวนเกล็ดย้อนไว้ในมือ แล้วพลันชี้ฝ่าลมไปบนกำแพงเมือง “กรรร” เสียงมังกรคำรามดังก้องพร้อมเสียงของเขา “ข้าจะพูดอีกครั้ง รีบเปิดประตู!”

กองทัพคุ้มกันที่อยู่บนกำแพงเมืองตะลึงงัน พากันก้าวถอยหลังโดยจิตใต้สำนึก

“หา…” ฟางลี่เหิงที่ตะลึงงันไปครู่หนึ่งเกิดความคิดบางอย่าง แล้วถามด้วยสีหน้าวิงวอนเหมือนจะร้องไห้ว่า “นายท่านหนิว ท่านยังไม่ตอบข้าเลย ว่าท่านจะเข้าเมืองไปทำอะไร?”

เหมียวอี้ตอบเสียงต่ำว่า “กำลังพลกลุ่มนี้ปราบกบฏผ่านมา มีลูกน้องบาดเจ็บสาหัส ได้รับคำสั่งให้เข้ามาปรับปรุงกำลังในตลาดสวรรค์ ทำไมต้องขัดขวาง หรือว่าพวกเราไม่มีสิทธิ์เข้าตลาดสวรรค์?”

ปราบกบฏ? ปราบกบฏผีอะไรล่ะ! เจ้าแย่งผู้หญิงกับฉู่จื่อซานชัดๆ!

ฟางลี่เหิงด่ากลับในใจ แต่ภายนอกก็ยังกุมหมัดคารวะอย่างสุภาพเกรงใจ “นายท่านหนิว ในเมื่อมีการก่อความวุ่นวายนิดหน่อย เกรงว่าคงจะไม่สะดวกให้กำลังพลของนายท่านพักผ่อนปรับปรุงกำลัง ท่านตั้งค่ายอยู่นอกเมืองดีกว่ามั้ย ถ้าต้องการอะไรเดี๋ยวให้กำลังพลที่เฝ้าเมืองไปซื้อแทน แบบนี้ดีมั้ย?”

“ก่อความวุ่นวาย? “เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ใครมันบังอาจขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะก่อเรื่องที่ตลาดสวรรค์! ในเมื่อกำลังพลของข้ามาบังเอิญเจอแล้ว มีหรือที่จะนั่งดูอยู่เฉยๆ เปิดประตูเมือง ให้กำลังพลของข้าเข้าไปปราบจลาจล!”

ฟางลี่เหิงกุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ไม่รบกวนหรอก กำลังพลที่เฝ้าเมืองย่อมคุมไหว นายท่านพาพวกพี่น้องไปตั้งค่ายพักผ่อนดีกว่า”

เหมียวอี้ชี้ทวนไปตรงประตูเมืองที่ปิดสนิท ขี้เกียจจะเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว “อยากจะให้ข้าช่วยเจ้าเปิดด้วยมือตัวเองมั้ย? รีบเปิดประตู! ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าออกคำสั่งโจมตีเมือง!”

ทุกคนในเมืองหน้าถอดสี ทำแบบนี้กำเริบเสิบสานเกินไปรึเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าจะออกคำสั่งโจมตีเมืองต่อหน้าฝูงชน เจ้ายังเป็นกำลังพลตำหนักสวรรค์อยู่รึเปล่า?

คนที่อยู่ในตึกบนกำแพงเมืองก็มองหน้ากันเลิกลั่กเช่นกัน

แต่ก็ไม่มีใครสงสัยในคำพูดของเหมียวอี้เลย ขนาดหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงเจ้าบ้านั่นก็ฆ่าไปแล้ว มังหารทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงไปแล้วหลายแสน แม้แต่งานรับสนมของราชันสวรรค์ก็กล้าก่อเรื่อง แล้วการโจมตีเมืองจะนับเป็นเรื่องใหญ่อะไรล่ะ?

ฟางลี่เหิงกล่าวอย่างวิตกกังวลว่า “นายท่านหนิวโปรระงับโทสะ ข้าได้รับคำสั่งมาให้ปิดเมือง เรื่องเปิดประตูเมืองข้าตัดสินใจเองไม่ได้ ให้เวลาข้าไปรายงานผู้บัญชาการใหญ่สักหน่อยดีมั้ย?”

ฉึก! ทวนในมือเหมียวอี้ปักลงพื้น แล้วตวาดว่า “ข้าให้เวลาเจ้าเท่าธูปครึ่งดอก หลังจากธูปไหม้ไปครึ่งดอกแล้ว ถ้าประตูเมืองยังไม่เปิด ข้าจะล้างเลือดเมืองนี้แน่นอน!” พูดจบก็เอียงหน้าบอกใบ้

มู่อวี่เหลียนที่อยู่ข้างหลังเขาหยิบธูปออกมาทันที จากนั้นก็หักธูปต่อหน้าฝูงชน แล้วจุดธูปโยนไปปักบนพื้น ไฟธูปเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดอยู่ท่ามกลางสายลม เมื่อมีลมช่วยพัด การเผาไหม้ก็เร็วขึ้นนิดหน่อย

ล้างเลือดทั้งเมือง!

นี่มันหมายความว่าอะไรล่ะ หมายความว่าอยากจะฆ่าให้หมดทั้งเมือง ไม่เหลือไว้ไม่แต่ไก่หรือสุนัขเหรอ?

………………………

“เจ้าบ้านั่นกระฟัดกระเฟียดนำคนมาทำอะไรที่นี่?”

“เจ้าโง่รึไง ไม่เคยได้ยินข่าวเหรอว่าเถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋ากับเขาได้กันแล้ว!”

“เขาได้กับเถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋าแล้วเกี่ยวอะไรกับตลาดสวรรค์ล่ะ?”

“โง่เอ๊ย! ฉู่จื่อซานจะบังคับให้ผู้หญิงคนนั้นแต่งงานด้วยไง ตอนนี้ยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่าฉู่จื่อซานตายยังไง? มาล้างแค้นไงล่ะ!”

“สงสัยตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าบ้านั่นอาจจะโจมตีเข้าประตูมา ฉู่จื่อซานเจ้านกโง่นั่น ไปหาเรื่องผู้หญิงคนไหนก็ไม่เอา ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ตัวเองเอาชีวิตไปเล่นก็ว่าหนักแล้ว ยังดึงเอาชีวิตพวกลูกน้องไปตายเป็นแสนอีก ดีไม่ดีครั้งนี้ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนอาจจะซวยไปด้วยก็ได้”

ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเรื่องอะไร ตลาดสวรรค์ที่เพิ่งจะเงียบสงบ จู่ๆ ก็เริ่มปั่นป่วนแล้ว

“ผู้จัดการร้าน เขาคงไม่ถึงขั้นโจมตีตลาดสวรรค์ใช่มั้ย?”

“ขนาดหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงก็ฆ่าแล้ว ทัพใหญ่หลายแสนของตำหนักสวรรค์บทจะฆ่าก็ฆ่า เขาจะแยแสชีวิตของพวกเราเหรอ? เจ้าหมอนี่มันไม่ได้ล้างเลือดตลาดสวรรค์เป็นครั้งแรกเสียเมื่อไร มันเชี่ยวชาญเรื่องนี้จะตาย ความปลอยภัยต้องมาอันดับแรก รีบเก็บของแล้วหลบเถอะ”

“มั่วเหม่ออะไรอยู่? ยังไม่รีบเก็บของปิดร้านอีก เจ้าเวรหนิวโหย่วเต๋อนั่นมันอาจจะล้างเลือดตลาดสวรรค์ก็ได้ รีบๆ หน่อย…”

ผู้จัดการร้านหลายร้านรีบเรียกให้คนงานเก็บของและปิดร้าน หลบหลีกก่อนแล้วค่อยว่ากัน

“ข้าว่านะผู้จัดการร้านหลี่ เจ้ามัวเหม่ออะไรอยู่ หนิวโหย่วเต๋อจะมาคิดบัญชีให้เถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋าแล้วนะ หลบก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”

เรื่องบางเรื่องยังไม่ทันรู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร ร้านข้างเคียงกับร้านละแวกนั้นเตือนกันและกันให้รีบปิดร้านหนีไป รีบเรียกให้คนงานเร่งมือหน่อย

ก็ช่วยไม่ได้ ถึงแม้เรื่องที่เหมียวอี้ล้างเลือดตลาดสวรรค์ในปีนั้นจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ร่ำลือกัน แต่สิ่งที่เป็นข่าวลือก็ย่อมมีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดข่าวลืออยู่แล้ว ลือไปลือมาจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าข่าวลือเป็นจริงขึ้นมาล่ะ โดยสัญชาตญาณแล้วคนเราก็ต้องเตรียมตัวเผื่อกรณีที่เลวร้ายที่สุดสิ

“นี่ๆๆๆ! พวกเจ้าทำอะไรกัน? ใช่ว่าข้าจะไม่จ่ายเงินเสียหน่อย”

“ท่านลูกข้า ขออภัยด้วย ร้านเรามีธุระนิดหน่อย ท่านไปร้านถัดไปเถอะ”

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? พวกเราดูอีกหน่อยไม่ได้รึไง?”

“ท่านลูกค้า ไปร้านถัดไปเถอะ ร้านนี้กำลังจะปิดแล้ว”

“พวกเจ้าทำการค้าขายกันอย่างนี้เหรอ?”

“ถ้าเจ้าไม่พอใจก็ไปฟ้องที่จวนผู้บัญชาการแล้วกัน…”

ในชั่วขณะนั้นมีลูกค้าโดนผลักออกมาจากร้านไม่หยุด จากนั้นก็ปิดร้านเสียเลย ลูกค้าที่โดนไล่ออกนอกร้านพากันยืนด่าอยู่บนถนน แต่ไม่นานทุกคนก็ค้นพบกระแสการปิดร้านไล่ลูกค้าที่ตลาดสวรรค์ พอยืนบนถนนแล้วหันซ้ายหันขวามอง ก็เห็นว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่หัวถนนยันท้ายถนนเลย

มีลูกค้าจำนวนไม่น้อยงงเป็นไก่ตาแตก ตอนนี้เพิ่งจะค้นพบว่าไม่ใช่แค่ตัวเองที่โดนปฏิบัติด้วยอย่างไม่ยุติธรรมแบบนี้ ถึงขั้นสังเกตเห็นด้วยว่าหลังจากปิดร้านแล้ว ผู้จัดการร้านบางคนยังพากลุ่มคนงานหนีไปด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าหนีไปไหน

คนที่ไม่ได้เปิดร้านค้าขายที่ตลาดสวรรค์ ก็จะทำความเข้าใจได้ยากว่าในเวลานี้ชื่อของ ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ มีอิทธพลต่อตลาดสวรรค์อย่างไร มีคนมากมายไม่เข้าใจ แต่เมื่อมีคนที่เข้าใจอธิบายให้ฟังแล้ว ถึงได้เข้าใจกระจ่างในทันที

เมื่อเข้าใจกระจ่างแล้ว ก็มีลูกค้าไม่น้อยที่มาซื้อของเริ่มหวาดกลัว กังวลว่าจะโดนร่างแหไปด้วย มีบางคนเริ่มหาที่หลบ ไม่ใช่ว่าทุกคนกลัวหนิวโหย่วเต๋ออะไรนักหรอก แต่เป็นเพราะคนเราเวลาประสบเหตุวุ่นวาย ก็จะหลับหูหลับตาเชื่อฟังคนอื่นไว้ก่อน ดังนั้นมันจึงเหมือนกับโรคติดต่อ ภายใต้การแพร่เชื้อหวาดกลัวของพวกลูกค้าที่หลบหนี จึงมีคนหนีตามด้วย แต่จะหนีไปไหนได้ล่ะ ประตูเมืองทั้งสี่ถูกปิดหมดแล้ว หนีอุตลุตกันอยู่ในเมืองนี่แหละ

ในชั่วขระนั้น ร้านค้าเกือบเก้าในสิบส่วนของตลาดสวรรค์รวมตัวกันปิดร้าน ที่หัวถนนมีกระแสคนหลั่งไหล มีคนงานไม่น้อยแง้มประตูมองไปด้านนอก

ตลาดสวรรค์วุ่นวายในชั่วพริบตาเดียว

นอกตำหนักคุ้มเมือง เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กับพวกช่างไม้กำลังรออยู่ตรงตีนบันไดสูงอย่างร้อนใจ อวิ๋นจือชิวถูกพาตัวเข้าไปในตำหนักคุ้มเมือง จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่มีใครรู้ ถ้าไม่ใช่เพราะอวิ๋นจือชิวส่งข่าวมาว่าไม่เป็นอะไร เกรงว่าทางนี้คงจะโจมตีฝ่าเข้าไปแล้ว

ช่างหินมองเข้าไปในซอยที่หัวถนนเป็นระยะ ตรงนั้นมีเงาคนหลายคนเดินไปเดินมา ล้วนเป็นคนของลัทธิมาร ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็เตรียมพร้อมจะโจมตีตำหนักคุ้มเมืองได้ทุกเมื่อ แน่นอนว่าถ้าไม่ถึงขั้นโดนกดดันจนหมดหนทางก็จะไม่ทำ ตอนนี้ยังคงการติดต่อกับอวิ๋นจือชิวได้ตามปกติ จะเห็นได้ว่าในตำหนักคุ้มเมืองไม่ได้ปิดกั้นการติดต่อระหว่างอวิ๋นจือชิวกับภายนอก แต่ถ้าอวิ๋นจือชิวที่ติดต่อมาเป็นระยะขาดการตอบสนองเมื่อไร ทางนี้ก็จะลงมือแล้วจริงๆ

ส่วนในกระเป๋าสัตว์ของอวิ๋นจือชิวก็มีผู้เฒ่าฟ่านอยู่ข้างใน ทำแบบนี้เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดเช่นกัน

แต่ในขณะนี้เอง มีเสียงรายงานตัวดังก้องอยู่บนท้องฟ้าเหนือตำหนักคุ้มเมือง ทำให้พวกเชียนเอ๋อร์ตะลึงงันทันที

“นายท่านมาแล้ว ในที่สุดนายท่านก็มาแล้ว!” เสวี่ยเอ๋อร์กล่าวอย่างดีใจมาก

พวกช่างไม้ก็โล่งใจแล้วเช่นกัน ถ้ามีคนของทางการที่สามารถประสานงานกับคนของทางการได้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย ถึงอย่างไรตำแหน่งของเหมียวอี้ก็เห็นๆ กันอยู่ ตำแหน่งสูงกว่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีก มิหนำซ้ำพอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเขาก็ตัดสินใจแทนอวิ๋นจือชิวไม่ได้อยู่ดี

จากนั้นสิ่งที่ทำให้พวกเขางงเป็นไก่ตาแตกก็คือ ผ่านไปไม่นานตลาดสวรรค์ก็วุ่นวายมาก บ้างก็ปิดร้าน บ้างก็ปฏิเสธลูกค้า ชั่วขณะนั้นทั่วทุกหนแห่งบนหัวถนนก็มีคนวิ่งเต็มไปหมด พวกเขาได้ยินกับหูว่าร้านค้าฝั่งตรงข้ามมีคนตะโกนว่า : หนิวโหย่วเต๋อมาแล้ว รีบปิดร้าน!

ช่างหินเห็นคนของลัทธิมารที่อยู่ในซอยโดนกลุ่มคนพุ่งใส่จนไม่รู้จะยืนตรงไหน แต่ละคนเอาตัวติดกำแพง เขาอดไม่ได้ที่จะเกาหัวแล้วถามว่า “ตะโกนชื่อนายท่าน แล้วก็ปิดร้าน แล้วก็วิ่งพล่านไปทั่ว นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

“เล่นใหญ่เกินไปรึเปล่า?” ช่างไม้ถามอย่างงุนงง

“ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้มั้ย?” บัณฑิตกลับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มองหน้ากันเลิกลั่ก นายท่านน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?

หนิวโหย่วเต๋อ’ ไม่มีภัยอันตรายอะไรกับพวกเขา พวกเขาย่อมไม่เข้าใจความรู้สึกที่พ่อค้าพวกนั้นยอมปลอดภัยไว้หน่อยดีกว่าไปหาเรื่องเหมียวอี้

คนที่งุนงงเหมือนกันก็คือกลุ่มคนที่อยู่ตรงฐานกำแพงเมืองด้านในประตูเมืองตะวันออก

คนกลุ่มนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน พวกโกวเยว่ พวกจั่วเอ๋อร์ พวกถังเฮ่อเหนียน พวกต้วนหง

เม่ยเหนียงและลูกสาวสวมหมวกมุ้งแล้ว ส่วนอีกสามฝ่ายก็มีผู้หญิงอีกสามคนสวมหมวกมุ้งเช่นกัน

ทั้งสี่ฝ่ายสืบเรื่องเวลาที่เหมียวอี้จะมาถึงเรียบร้อยแล้ว ต่างก็เตรียมตัวจะมาดูว่าเหมียวอี้มีสภาพเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ใครจะคิดว่าจะพบกันโดยมิได้นัดหมายที่นี่

โกวเยว่ จั่วเอ๋อร์ ถังเฮ่อเหนียน ต้วนหง สี่คนนี้สนิทคุ้ยเคยกันเป็นพิเศษ เป็นคนเฒ่าคนแก่ที่รู้จักกันมาแล้วหลายปี ถึงแม้จะปลอมตัวแล้ว แต่เห็นครั้งแรกก็จำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

ทั้งสองฝ่ายกำลังมองประเมินกัน ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงตะโกนของเหมียวอี้ดังมาแล้ว จากนั้นก็พบว่าตลาดสวรรค์วุ่นวายโกลาหล ร้านค้าปิดประตูไล่แขก บนถนนทุกสายมีคนวิ่งพล่าน ราวกับเป็นมนุษย์ธรรมดาที่เห็นผี

โดยเฉพาะตรงประตูเมืองตะวันออกที่พวกเขาอยู่ ผู้จัดการร้านของร้านค้าเกือบทุกร้านกำลังพาคนงานวิ่งอยู่บนถนนด้วยกัน เป็นเพราะอยู่ใกล้ ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ มากที่สุด กลัวว่าจะประสบเคราะห์ก่อน จึงอยากหลบให้ไกลสักหน่อย ไม่นานก็ทำให้ข้างกายพวกเขาว่างเปล่า กลับดูสะอาดสะอ้านด้วยซ้ำ

ฉากนี้อลังการงานสร้างเกินไปจริงๆ ทำให้คนของสี่อ๋องสวรรค์คาดเดาไม่ออก โกวเยว่ จั่วเอ๋อร์ ถังเฮ่อเหนียน ต้วนหงมองหน้ากันอย่างพูดไม่ออก

“ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปไกลจริงๆ!” จั่วเอ๋อร์พูดกึ่งแสยะยิ้ม

นางไม่ได้รู้สึกดีกับเหมียวอี้สักเท่าไร จึงไม่ได้พูดจาเกรงใจอะไรขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะมาถึงขั้นนี้แล้ว นางก็คงไม่มาประสมโรงกับเรื่องนี้หรอก

ส่วนอิ๋งเยว่ที่สวมหมวกมุ้งอยู่ข้างกายนาง ก็เคยเห็นเหมียวอี้มาแล้วครั้งหนึ่งในงานพิธีรับจ้านหรูอี้เข้าวังที่อุทยานหลวง นางไม่ได้รู้สึกดีกับเหมียวอี้ เป็นเพราะตระกูลอิ๋งมีความแค้นกับเหมียวอี้ฝังลึกเกินไป การตายของอิ๋งเหย้าที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของนางเกี่ยวข้องกับเขา อีกทั้งเขายังเคยกวาดล้างร้านค้าของนางที่ตลาดสวรรค์ด้วย กอปรกับเเคยทำให้ตระกูลอิ๋งเสียหน้าในงานแต่งงานของจ้านหรูอี้ จะให้รู้สึกดีด้วยได้ก็แปลกแล้ว ในกลุ่มสหายของนางก็ไม่ได้พูดถึง ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ดีสักเท่าไรนัก

ก็เพราะด้วยเหตุนี้ ตระกูลอิ๋งจึงอธิบายเหตุผลให้อิ๋งเยว่ฟังล่วงหน้าจนเข้าใจแล้ว นางไม่มีสิทธิ์ไม่ยอมรับ นี่คือสิ่งที่นางต้องเสียสละ นับว่าดำเนินรอยตามจ้านหรูอี้ก็แล้วกัน ดังนั้นจั่วเอ๋อร์จึงไม่ถือสาที่จะพูดถึงเหมียวอี้ไม่ดีต่อหน้านาง

“ครั้งนี้จะมารู้จักหน้าค่าตาสักหน่อย แต่ยังไม่ทันได้เห็นหน้า ก็ได้รับรู้ชื่อเสียงบารมีของเขาที่ทำให้ ‘เด็กน้อยกลัวจนหยุดร้องไห้’ ซะแล้ว ภาพเหตุการณ์แบบนี้หาพบได้ยากมาก นับว่ามาไม่เสียเที่ยว” ถังเฮ่อเหนียนมองดูปรากฏการณ์วุ่นวายบนถนนพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ ในน้ำเสียงแฝงอารมณ์หยอกล้อหลายส่วน เป้าหมายของเขาแตกต่างออกไป โค่วเหวินลวี่ที่มาพาเป็นเพียงการตบตาเท่านั้น ดังนั้นจึงพูดจาอย่างไม่กังวลสักเท่าไรนัก

โค่วเหวินหลานที่อยู่ข้างกายถังเฮ่อเหนียนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าทางซ้ายทีทางขวาที แล้วพึมพำว่า “ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ต่อให้ปลอมใบหน้าแล้วแต่ก็ยังแก้นิสัยเก่าไม่หาย เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต๋อลูกน้องเก่าของตัวเองจะมีอิทธิพลมากขนาดนี้ที่ตลาดสวรรค์ ตัวเองเหมือนจะเคยเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์มาก่อนเหมือนกัน ทำไมถึงสัมผัสความรู้สึกนี้ไม่ได้นะ?

เมื่อได้ยินเสียงคนตะโกนอย่างตกใจว่า ‘หนิวโหย่วเต๋อมาแล้ว’ พร้อมวิ่งหนี บวกกับคำพูดของจั่วเอ๋อร์และถังเฮ่อเหนียน ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่สวมหมวกมุ้งก็อดไม่ได้ที่จะถามเสียงสั่น “หนิวโหย่วเต๋อนั่นน่ากลัวขนาดนี้เชียวเหรอ?”

นางเองก็มาเที่ยวเล่นที่ตลาดสวรรค์บ่อยเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ได้มาที่ตลาดสวรรค์ของดาวนี้ แต่ก็ยังไม่เคยเห็นตลาดสวรรค์ปั่นป่วนขนาดนี้มาก่อน ต่อให้จะตามท่านพ่อมาที่ตลาดสวรรค์ แต่ก็ยังไม่เคยเห็นใครกลัวขนาดนี้เลย! ไม่น่าเชื่อว่าท่านแม่จะให้นางแต่งงานกับคนที่น่ากลัวขนาดนี้…

“ใช่เม่ยเอ๋อร์รึเปล่า?” เมื่อได้ยินเสียงของเม่ยเอ๋อร์ ผู้หญิงสวมหมวกมุ้งที่อยู่ข้างกายถังเฮ่อเหนียนก็ถามหยั่งเชิง นางก็คือโค่วเหวินลวี่ พี่สาวของโค่วเหวินหลานที่ติดตามมาด้วยนั่นเอง

“พี่หญิงลวี่!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ดีใจทันที ใช้สองมือเปิดม่านของหมวกมุ้ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

โค่วเหวินลวี่ก็เปิดม่านมุ้งเช่นกัน เผยใบหน้าที่สวยละเอียดอ่อนออกมา นางยิ้มบางๆ อย่างสง่างามมาก

“พี่หญิงลวี่ ท่านมาได้ยังไงคะ?” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้าวเข้าไปจับมือนางอย่างตื่นเต้นทันที

ใครจะคิดว่าผู้หญิงสวมหมวกมุ้งข้างกายต้วนหงจะเปิดม่านมุ้งออกมาเช่นกัน เผยใบหน้าที่ขาวนวลดุจแสงจันทร์ ดวงตาสวยดุจบ่อน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ริมฝีปากแดงโค้งยิ้มเล็กน้อย “พี่หญิงลวี่ น้องเม่ยเอ๋อร์”

ผู้หญิงสองคนหันมามองแวบหนึ่ง ก่วงเม่ยเอ๋อร์อุทานอย่างตื่นเต้นประหลาดใจอีกว่า “พี่หญิงเยี่ยนจื่อ!”

พอผู้หญิงทั้งสามคนมาเจอหน้ากัน จิตใต้สำนึกก็สั่งให้มองไปที่อิ๋งเยว่ เดิมทีอิ๋งเยว่ไม่อยากเปิดเผยใบหน้า แต่สุดท้ายก็ยังเปิดม่านมุ้งออกมาช้าๆ โดยไม่รู้ตัว เผยใบหน้าสวยอ่อนโยนดุจบุปผาวสันต์จันทร์สารท เผยฟันเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มฝืนๆ ว่า “พี่หญิงลวี่ พี่หญิงเยี่ยนจื่อ น้องเม่ยเอ๋อร์” นางพอจะเดาออกถึงเจตนาของอีกสามคนแล้ว

พวกนางมีฐานะใกล้เคียงกัน มักจะเที่ยวเล่นด้วยกันอยู่บ่อยๆ การต่อสู้แข่งขันระหว่างตระกูลไม่ได้มีผลกระทบอะไร ถ้าตระกูลไหนโดนโจมตีจนล้ม ก็ย่อมตัดขาดการไปมาหาสู่กัน

แต่ไม่นานทั้งสี่ก็มองไปยังเม่ยเหนียงที่สวมหมวกมุ้งอีก ก่วงเม่ยเอ๋อร์แอบแลบลิ้นออกมา ฮ่าวชิงเยี่ยนจึงถามเม่ยเหนียงอย่างไม่แน่ใจว่า “ท่านคือ?”

ต้วนหงพูดตัดบทว่า “คุณหนู อย่าเอะอะก่อกวนสิ” ในน้ำเสียงเจือการตำหนิ

ฐานะของคนบางคน แค่รู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว ถ้าเปิดเผยออกมา ทุกคนก็จะต้องก้มหัวทำความเคารพกันหมด ไม่เป็นประโยชน์ต่องานที่ตัวเองกำลังจะทำ

โกวเยว่เองก็ไม่อยากให้เม่ยเหนียงเปิดเผยตัวในโอกาสและสถานที่แบบนี้เช่นกัน จึงหันตัวกระโดดขึ้นไปบนกำแพงก่อน แล้วคนที่เหลือก็ทยอยกันตามไป ทหารยามไม่ได้ขัดขวางพวกเขา กลับพาพวกเขาขึ้นไปบนตึกกำแพงเมืองด้วยซ้ำ เพราะมีคนบอกข่าวให้รู้ล่วงหน้าตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้นรองผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อย่างฟางลี่เหิงก็คงไม่มีทางขึ้นมาเฝ้าบนกำแพงเมืองนี้เองหรอก

เพียงแต่ฟางลี่เหิงในตอนนี้กำลังตกตะลึงอ้าปากค้าง ใช้สองมือประคองบนกำแพง เบิกตากว้างจ้องมองกำลังพลนอกเมืองอย่างหวาดกลัว หนิวโหย่วเต๋อเหรอ? ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเจ้าเวรที่น่ากลัวเหมือนผีนี่เอง! จะนำกำลังพลมาที่นี่พร้อมกลิ่นอายสังหารทำไม? เขาพอจะเดาออะไรออกแล้ว พอนึกขึ้นได้ว่าอวิ๋นจือชิวยังอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมือง เขาใจสั่นเล็กน้อย แผ่นหลังมีเหงื่อกาฬซึมแล้ว ขนาดฉู่จื่อซานหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงยังโดนกำจัดทิ้งไปแล้วเลย! ยังจะมีอะไรที่เจ้าบ้านี่ยังไม่กล้าทำอีกล่ะ?

…………………………

พูดไปเป็นชุด ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะคิดเพ้อเจ้อไปเรื่อย

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าห้องที่คนโดนห้ามนี้ช้าลงเรื่อยๆ แล้วก็หยุดลง พอยื่นหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง ดาวเคราะห์ดวงใหญ่ที่สวยงามก็อยู่ตรงหน้าแล้ว เห็นนักพรตเหาะไปมาบ้างเป็นครั้งคราว

ด้านนอกประตูมีเสียงของโกวเยว่ดังขึ้นอีก “ฮูหยิน กำลังจะถึงแล้วขอรับ ถ้ายกเกี้ยวห้องนี้เข้าตลาดสวรรค์ก็จะสะดุดตาเกินไป” คำเรียกเปลี่ยนไปแล้ว

“เข้าใจแล้ว” เม่ยเหนียงตอบ แล้วยื่นมือมาหยิบหมวกมุ้งไว้บนศีรษะลูกสาว แล้วตัวเองก็ใส่ไว้ด้วยเช่นกัน

จากนั้นสองแม่ลูกที่ปิดบังใบหน้าก็เดินออกประตูมา ถึงได้พบว่าโกวเยว่ใส่หน้ากากปลอมใบหน้าแล้ว กลายเป็นชายชราที่ใบหน้าเหมือนแม่พิมพ์คนหนึ่ง สองแม่ลูกจูงมือกันเหาะไปบนท้องฟ้าแล้ว

คนยกห้องเกี้ยวถูกเก็บกลางอากาศ คนหามเกี้ยวกลายเป็นองครักษ์อยู่ทางซ้ายและขวา มีหนึ่งคนคอยติดตาม โกวเยว่นำทางอยู่ข้างหน้า เหาะฝ่าชั้นบรรยากาศเข้าไปในดาวจิ่วหวนอย่างรวดเร็ว

พวกเขาเหาะจากฟ้าลงมาใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงจุดไกลๆ นอกประตูเมืองฝั่งตะวันออกของดาวจิ่วหวนตลาดสวรรค์ และมีแค่ประตูเมืองฝั่งตะวันออกที่ยังมีคนเข้าออก ประตูเมืองที่เหลือถูกปิดหมดแล้ว และที่ประตูเมืองก็ยังมีทหารสวรรค์จำนวนมากสอบสวนคนที่เข้าเมือง แต่คนที่ออกนอกเมืองไม่ถูกควบคุมอะไร แต่ดูจากการที่ทหารลาดตระเวนบนหัวกำแพงเมืองอย่างถี่ๆ ก็ยังมองออกว่าบรรยากาสค่อนข้างตึงเครียด

เซี่ยหลิงหลิง ผู้จัดการหอฉางเจิน เป็นสตรีวัยกลางคนที่ยังมีเสน่ห์หลงเหลืออยู่ หอฉางเจินเป็นกิจการของตระกูลก่วง นางก็เป็นคนของตระกูลก่วงเช่นกัน ตอนนี้นางที่กำลังเหลียวซ้ายและขวารีบเหาะลงมาจากไหล่เขา ทำความเคารพชายร่างผอมที่อยู่ข้างกายโกวเยว่ “เซี่ยหลิงหลิงยินดีตอนรับผู้จัดการใหญ่”

ผู้จัดการใหญ่หานตง เป็นผู้รับผิดชอบร้านค้าทั้งหมดในตลาดสวรรค์ของตระกูลก่วง ข้างล่างยังมีผู้ช่วยรับผิดชอบร้านค้าที่มีสาขาอยู่ในเขตต่างๆ ยามปกติเซี่ยหลิงหลิงติดต่อกับผู้ช่วยที่อยู่ข้างบนเท่านั้น ในสถานการณ์ทั่วไปนอกจากเวลาตรวจสอบบัญชีครั้งใหญ่ นางก็จะไม่เห็นผู้จัดการใหญ่ท่านนี้ อย่างไรเสียร้านค้าทั้งเล็กทั้งใหญ่ของตระกูลก่วงที่อยู่ตามตลาดสวรรค์ที่ต่างๆ ก็มีเป็นหมื่นร้าน หมายความว่าผู้จัดการร้านก็มีหลายหมื่นคนเช่นกัน ที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนก็มีสองร้าน ผู้จัดการใหญ่จะมีเวลาว่างมาติดต่อกับผู้จัดการร้านทุกคนได้อย่างไร

หานตงจ้องมองนางครู่หนึ่ง แล้วหยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมายื่นให้นาง

เซี่ยหลิงหลิงรับแผ่นหยกมาดู ข้างในเป็นบัญชีที่นางเคยรายงาน บนนั้นมีตราอิทธิฤทธิ์ของนาง เนื้อหาส่วนล่างถูกลบไปแล้ว เหลือไว้เพียงตราอิทธิฤทธิ์ของนาง นางเข้าใจในทันที ว่าผู้จัดการใหญ่คงจะไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับนาง มีแต่ต้องตรวจสอบตราอิทธิฤทธิ์ที่นางลงไว้เท่านั้น

นางจึงร่ายลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองไว้บนนั้นทันที แล้วใช้สงมือมอบแผ่นหยกให้

หลังจากหานตงรับมาเปรียบเทียบในมือแล้ว ก็เก็บแผ่นหยกเอาไว้ แล้วถามว่า “เตรียมไว้พร้อมหรือยัง?”

“เตรียมการตามคำสั่งเรียบร้อยแล้วค่ะ” เซี่ยหลิงหลิงตอบอย่างเคารพ

หานตงหันตัวมาย่อเข่าให้โกวเยว่เล็กน้อย โกวเยว่พยักหน้า เสร็จแล้วหานตงถึงได้โบกมือให้เซี่ยหลิงหลิง “นำทางไป”

“รับทราบ!” เซี่ยหลิงหลิงเอ่ยรับ แต่ในใจกลับแอบตกใจ แอบมองประเมินโกวเยว่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่

สำหรับเซี่ยหลิงหลิง ผู้จัดการใหญ่คือคนใหญ่คนโตที่ยอดเยี่ยมมาก คนที่ควบคุมช่องทางรายได้ส่วนใหญ่ แค่คิดก็รู้แล้วว่ามีฐานะที่จวนอ๋องสวรรค์เป็นอย่างไร นั่นเป็นบุคคลที่ค่อนข้างเหนือผู้อื่นแล้ว แต่กลับเคารพนอบน้อมต่อชายชราที่ปลอมตัวขนาดนี้ คนคนนี้เป็นใครกันแน่นะ?

ทว่าเมื่อเห็นรูปร่างแบบนั้น ก็ทำให้หัวใจนางตื่นตระหนกทันที เพราะตรงกับคนคนหนึ่งที่นางเคยเห็นไกลๆ ครั้งหนึ่ง โกวเยว่พ่อบ้านใหญ่ของจวนอ๋องสวรรค์!

น่าจะไม่ผิดพลาด คนที่ทำให้พ่อใหญ่เคารพนอบน้อมได้ขนาดนี้ นอกจากพวกเจ้านายที่จวนอ๋องสวรรค์แล้ว ก็มีโกวเยว่ที่เป็นพ่อบ้านใหญ่ของจวนอ๋องสวรรค์นี่แหละ ผู้จัดการใหญ่เป็นลูกน้องสายตรงของท่านนั้น เป็นหนึ่งในแขนซ้ายแขนขวาของท่านนั้นด้วย

หลังจากเดาออกแล้วว่าเป็นใคร นางก็ตกใจจนแทบตัวสั่น พ่อบ้านใหญ่ของจวนอ๋องสวรรค์เป็นใครกัน? ในบางระดับสามารถเป็นตัวแทนของอ๋องสวรรค์ก่วงได้โดยตรงเลย

แล้วผู้หญิงสองคนที่สวมหมวกมุ้งนั่นเป็นใครล่ะ? เซี่ยหลิงหลิงสงสัยไม่หยุด นางรู้เพียงว่ามีสมาชิกครอบครัวผู้หญิงสองคน เบื้องบนสั่งไว้ว่าให้นางต้อยรับขับสู้อย่างดีที่สุด ไม่ต้องกลัวเรื่องจ่ายเงิน บัญชีทุกอย่างที่ลงไว้เบื้องบนจะรับผิดชอบเอง

ตอนที่มาถึงประตูเมือง เซี่ยหลิงหลิงก็เงยหน้ามองรองผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ฟางลี่เหิงที่ยืนอยู่บนกำแพง อีกฝ่ายเอียงศีรษะบอกใบ้ทหารยามเบื้องล่างเล็กน้อย

ดังนั้นทหารยามที่เฝ้าอยู่ข้างล่างจึงไล่ให้คนอื่นที่เข้าเมืองไปหลบอยู่ด้านข้าง แล้วก็ปล่อยคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปก่อน ไม่ได้ทำการตรวจค้นอะไร

หลังจากคนกลุ่มนี้มาถึงหอฉางเจิน เรือนเดี่ยวที่ดีที่สุดก็ได้ถูกเตรียมไว้ให้เม่ยเหนียงกับลูกสาวแล้ว สาวใช้ที่คอยปรนนิบัติก็มีกิริยาท่าทางเหมาะสมเช่นกัน นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมร้านค้าในตลาดสวรรค์ที่มีผู้มีอำนาจหนุนหลังถึงได้ครอบครองสถานที่ขนาดใหญ่และสร้างสวนที่ดีขนาดนี้เอาไว้ ไม่ใช่เพื่ออวดความร่ำรวย สาเหตุหลักก็เพื่อให้รับแขกได้สะดวกยามแขกผู้มีเกียรติมาเยือน

หลังจากได้เห็นสถานที่ที่จัดไว้ให้สองแม่ลูกกับตาตัวเองแล้ว โกวเยว่ถึงได้ออกจากเรือนเดี่ยว เซี่ยหลิงหลิงก็กันออกไปแล้วเช่นกัน หานตงเข้ามารายงานว่า “นายท่าน พวกเรานับว่ามาช้าไปแล้ว คนจากอีกสามตระกูลมาก่อนแล้วหนึ่งก้าว” หลังจากมาที่นี่แล้วก็ไม่ได้เรียกว่าผู้การใหญ่หรือพ่อบ้านอะไรอีก

โกวเยว่เข้าใจสาเหตุ ฝั่งนี้มีหวังเฟยออกหน้าเอง ระหว่างทางไม่สะดวกจะต้อนรับไม่ดี จึงทำให้เสียเวลาอยู่บ้าง จึงถามว่า “มีใครมาบ้างแล้วบ้าง?”

หานตงตอบว่า “ตามที่ลูกน้องรายงานมา ฝั่งตระกูลโค่วน่าจะเป็นถังเฮ่อเหนียน โค่วเหวินลวี่กับโค่วเหวินหลาน ฝั่งตระกูลอิ๋งเป็นจั่วเอ๋อร์ อิ๋งเยว่ ส่วนตระกูลฮ่าวก็เป็นต้วนหง ฮ่าวชิงเยี่ยน”

“ทางตระกูลฮ่าวส่งต้วนหงมากำกับดูแลเหรอ? ไม่ได้ส่งซูอวิ้นมาด้วยตัวเองเหรอ?” โกวเยว่ถามอย่างแปลกใจ

“ซูอวิ้นน่าจะไม่ได้มา ข้าเองก็กังวลว่าจะผิดพลาด เลยตั้งใจไปยืนยันมาอีกรอบ ฝั่งตระกูลฮ่าวมีคนเห็นซูอวิ้นยังอยู่ในจวนขอรับ” หานตงตอบ

หลังจากโกวเยว่ไตร่ตรองครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ส่ายหน้าแล้วยิ้มอ่อนอีก “สงสัยฮ่าวเต๋อฟางจะยังเฝ้าคิดว่าจะแต่งงานใหม่กับซูอวิ้น ฝั่งตระกูลอิ๋งก็ปกติมาก ฝั่งตระกูลโค่วมีโค่วเหวินหลานเพิ่มมาอีกคน คงจะเป็นเพราะสนิทกับหนิวโหย่วเต๋อ อิ๋งเยว่ ฮ่าวชิงเยี่ยน หึหึ ตระกูลโค่วมีโค่วเหวินลวี่ที่นับว่าหน้าตาโดดเด่นที่สุด คงคิดว่าตัวเองมีคนรู้จักแล้วจะจัดเรื่องนี้สะดวก อีกสองบ้านล้วนนำลูกสาวที่ยังไม่แต่งงานออกมา จู่ๆ หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ก็กลายเป็นบุคคลที่คนอื่นต้องเกรงใจแล้ว  เรื่องราวเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอนจริงๆ ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง!”

หานตงพึมพำในใจ ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมพูดเรื่องในบ้านตัวเองทั้งนั้น ฝั่งนี้ก็นำลูกสาวสุดหวงออกมาเช่นกันไม่ใช่หรือ ทุกคนก็พอๆ กันทั้งนั้น

โกวเยว่เอียงหน้ามา “คาดว่าการมาถึงของพวกเรา อีกสามบ้านก็คงจะรู้แล้วเช่นกัน”

หานตงพยักหน้าเห็นด้วย ถอนหายใจแล้วบอกว่า “คนที่นายท่านส่งไปสืบเรื่องได้ส่งข่าวกลับมาแล้ว หนิวโหย่วเต๋อนำกำลังพลมาที่ฝั่งนี้แล้ว อีกครึ่งชั่วยามก็คงจะถึง”

“ทางตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรใช่มั้ย?” โกวเยว่พยักหน้าเบาๆ

“ตอนนี้ยังไม่เคลื่อนไหวอะไรผิดปกติขอรับ” หานตงตอบ

“ประมาทไม่ได้ จับตาดูทั้งสี่ฝ่ายนั่นให้ดี” โกวเยว่กล่าว

“รับทราบ!”

เงาคนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า ทำให้กลุ่มคนบนตลาดสวรรค์พากันเงยหน้ามองขึ้นไป หลังจากเห็นพวกเขาเหาะเข้ามาในเมืองแล้ว ก็ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่หัวถนนใหญ่ทันที

“มีใครมาน่ะ?”

“ทำไมสภาพเหมือนปีนขึ้นมาจากบ่อเลือดเลยล่ะ”

“คงไม่ใช่กำลังพลตำหนักสวรรค์ที่ทำศึกใหญ่อยู่ข้างนอกหรอกใช่มั้ย?”

“แกร๊ง…แกร๊ง…แกร๊ง…” เสียงระฆังดังแว่วหลายครั้ง เสียงมาจากประตูเมืองตะวันออกที่กำลังพลกลุ่มนั้นเหาะไป สิ่งนี้ยิ่งทำให้หัวถนนเกิดเสียงฮือฮาตกใจ

ทหารสวรรค์ที่เฝ้าประตูเมืองตะวันออกลนลานอยู่พักหนึ่ง รีบตัดขาดผู้คนที่เข้าออกเมือง แกร๊ง!พอปิดประตูเมือง ค่ายกลใญ่ที่คุ้มกันเมืองก็ถูกปิดโดยอัตโนมัติทันที

ถ้าไม่ใช่เพราะแรงกดดันจากร้านค้าใหญ่ในเมือง ประตูเมืองนี้ก็ไม่มีทางเปิดออกเลย คนของตำหนักคุ้มเมืองย่อมไม่รู้ว่าร้านค้าใญ่ๆ พวกนี้ต้องการจัดคนเข้าออก ดึงดันจะเปิดประตูเมืองหนึ่งในสี่ที่ปิดสนิทให้ได้

เห็นได้ชัดว่าคนที่เหาะลงมาจากฟ้าก็เห็นแล้วเช่นกันว่าประตูเมืองฝั่งนี้เปิดอยู่ ก็เลยเหาะมาลงที่ฝั่งนี้ ฟางลี่เหิง รองผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่วันนี้อยู่ตรงนี้พอดีโผล่หน้าออกไปมองแล้วต้องสูดหายใจอย่างตกตะลึงทันที

คนที่นำกำลังมาที่นี่ก็ย่อมไม่ใช่ใครที่ไหน เหมียวอี้นำกำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินที่เหลือเร่งมาทางนี้แล้ว

แต่ละคนยังไม่ถอดเกราะรบออก ทั้งตัวเป็นสีดำเข้ม เป็นสีที่เกิดจากเลือดสดที่อยู่บนตัวแห้งและเกาะตัวกัน บนศีรษะ บนใบหน้า บนเกราะรบ ทุกที่ล้วนเป็นสีแบบนั้น

นั่นคือเลือดสดของศัตรู และเป็นเลือดของเพื่อนร่วมรบเช่นกัน นี่คือเกียรติยศของชีวิตนี้ ไม่มีใครอยากลบออกไปง่ายๆ สาเหตุที่มาที่นี่พร้อมรอยเลือดบนตัว ก็ไม่ใช่เพราะจุดประสงค์อื่น เป็นเพราะอยากโอ้อวดให้คนอื่นเห็น ทำแบบนี้เพื่อตัวเอง และทำเพื่อเพื่อนทารที่รบตายไปด้วย จะปล่อยให้พวกเขาตายโดยไร้ชื่อเสียงไม่ได้!

ดาบและทวนตั้งเรียงราย เคร่งขรึมน่าเคารพและสงบนิ่ง หลังจากคนนับหมื่นเหยียบลงพื้นแล้วก็ไม่ได้จัดกระบวน เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างยุ่งเหยิงวุ่นวาย แต่พลังอำนาจบางอย่างกลับโผไปยังประตูเมืองที่กำลังปิดสนิท

ตรงนี้เพิ่งจะเหยียบลงพื้น ประตูเมืองก็ปิดใส่พวกเขาอีกรอบแล้ว ทำเมือนพวกเขาไม่มีสิทธิ์เข้าประตูบานนี้อย่างนั้นแหละ

พวกเขาเพิ่งหนีจากความตายมาที่นี่ นึกไม่ถึงว่าจะโดนปฏิบัติด้วยแบบนี้ ไฟโกรธกลุ่มหนึ่งเริ่มลุกโชนในหัวใจทุกคนแล้ว!

เหมียวอี้ที่ยืนอยู่หน้าทัพใหญ่ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องฟางลี่เหิงที่อยู่บนหัวกำแพงเมือง แล้วตะโกนเสียงดังว่า “เปิดประตู!”

กองทัพทหารยามที่อยู่บนหัวกำแพงมองกลุ่มคนที่อยู่ด้านล่าง ไม่มีใครหัวเราะเยาะที่คนพวกนี้มีสภาพสะบักสะบอมจนตรอก ในใจรู้สึกเพียงว่ามีกลิ่นอายสังหารกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา ในมือกำดาบและทวนเอาไว้แน่นอีกครั้ง รู้สึกปากคอแห้ง เมื่อได้เห็นคนพวกนี้ พวกเขาถึงได้เข้าใจแล้วกำลังพลที่ต่อสู้ในสนามรบอย่างแท้จริงคืออะไร!

ถึงแม้พวกเขาจะยืนอยู่สูง แต่เมื่อโดนสายตาเดือดดาลแต่ละคู่นั้นจ้อง ก็กลับรู้สึกหวาดหวั่นไม่มั่นใจแทบแย่

ฟางลี่เหิงอกสั่นขวัญแขวนเล็กน้อย พยายามสงบสติอารมณ์ แล้วตะโกนเสียงดังว่า “พวกเจ้าเป็นกำลังพลจากไหน มาที่นี่ทำไม?”

เหมียวอี้ที่กำลังจ้องหัวกำแพงเมืองไม่อยากเปลืองน้ำลาย เขาเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะสั่งโจมตีเมืองเสียเลย ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าอวิ๋นจือชิวตกอยู่ในมือตำหนักคุ้มเมือง และกังวลว่าจะทำให้เกิดเหตุไม่คาดคิดกับอวิ๋นจือชิว ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดผลอะไรตามมา

เหมียวอี้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเบาๆ ยกผ่านหัวไหล่ขึ้นมา

ในแนวรบข้างหลังมีความเคลื่อนไหวทันที มีคนหยิบเสาโลหะออกมาต่อกัน และไม่นานก็ตั้งเสาธงผืนใหญ่ขึ้นมาหลายต้น

ธงพยัคฆ์น้ำเงิน ธงอินทรีแต่ละสี ธงหมาป่าหลายสีทยอยกันโบกสะบัด บนผืนธงรบที่ทำขึ้นเป็นพิเศษพวกนี้มีรอยเลือดย้อมทุกผืน บางผืนถึงขนาดขาดรุ่ย แต่กลับทำให้ทุกคนบนหัวกำแพงเมืองละสายตาออกไปได้ยาก

เหมียวอี้พลันร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนว่า “หนิวโหย่วเต๋อ แม่ทัพภาคกองมังกรดำของทัพเป่ยโต้ว หน่วยองครักษ์เจิ้นอี่นำกำลังพลมาที่นี่แล้ว รีบเปิดประตู!” เสียงนี้ดังก้องเข้าไปในเมือง ไม่ว่าใครก็ฟังออกว่าในน้ำเสียงนี้แฝงอารมณ์โกรธ

พอได้ยนิคำว่า ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ผู้คนเดินถนนที่อยู่ก็เมืองก็เงียบทันที คนงานแต่ละร้านพากันยื่นศีรษะออกมา ทำท่าเงี่ยหูฟังสถานการณ์เงียบๆ

“หนิวโหย่วเต๋อ?”

“หนิวโหย่วเต๋อมาแล้ว!”

“ฟังจากเสียงนี้ทำไมดูโมโหนักล่ะ?”

“อย่าบอกนะว่าเป็นพวกที่เพิ่งเหาะลงมาจากฟ้าเมื่อกี้นี้…”

“อย่าบอกนะว่าคนที่ฆ่าฉู่จื่อซานคือเขา?”

“ที่แท้กองทัพองครักษ์ห้าหมื่นที่โจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงแตกพ่ายก็คือเขานี่เอง! แล้วเจ้าบ้านั่นมันกระฟัดกระเฟียดพาคนถ่อมาทำอะไรที่นี่? แม่งเอ๊ย ข้าตกใจนะโว้ย! ตลาดสวรรค์ไปหาเรื่องอะไรเจ้า จะล้างแค้นหรือทวงหนี้ก็ไปหาให้ถูกคนสิ ทำไมเอาแต่กลั่นแกล้งตลาดสวรรค์อยู่เรื่อย?”

…………………………

เมื่อเห็นว่ายั่วให้ท่านพ่อโมโหอีกแล้ว โค่วเจิงที่เป็นพี่ใหญ่ก็รีบแก้ไขสถานการณ์ “แล้วอวิ๋นจือชิวนั่นจะไร้ไมตรีเหมือนหนิวโหย่วเต๋อรึเปล่าขอรับ?”

โค่วหลิงซวีถลึงตามองลูกชายคนรอง เคาะนิ้วทั้งห้าบนที่วางมือพลางถามว่า “แรงกดดันจากอีกสามอ๋องนั่นจะต้านทานได้ง่ายๆ เหรอ?”

โค่วเจิงครุ่นคิดเล็กน้อยก็เข้าใจแล้ว จึงยิ้มพร้อมตอบว่า “เกรงว่าอีกสามอ๋องคงจะไม่เลิกหากไม่บรรลุเป้าหมาย ถ้าหนิวโหย่วเต๋อปฏิเสธพวกเขา ทางอวิ๋นจือชิวจะต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาลแน่นอน ที่บอกว่าแรงกดดันมหาศาลก็ยังเบาไปด้วยซ้ำ เกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็จะรักษาไว้ไม่ได้ ยิ่งอีกสามอ๋องกดดันมากเท่าไร ตระกูลโค่วก็จะยิ่งปกป้องอวิ๋นจือชิวได้ดีที่สุด เกรงว่าไม่ตอบตกลงคงไม่ได้แล้ว”

โค่วหลิงซวีพยักหน้าเบาๆ แล้วจินตนาการตามพลางอมยิ้มเล็กน้อย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือยิ้มเจ้าเล่ห์ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังรอดูอะไรสนุกๆ

จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้าม เว่ยซูเดินช้าๆ อยู่ข้างกายเซี่ยโห้วท่า พูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในราชสำนัก

หลังจากพูดจบ เซี่ยโห้วท่าก็ยิ้มเล็กน้อยพลางชี้แนะอีก “เจ้าคิดว่าทำไมข้าจึงทำอย่างนั้น?”

เว่ยซูยิ้มพร้อมตอบว่า “นายท่านกำลังป้องกันเหตุไม่คาดคิด ป้องกันไม่ให้ประมุขชิงไม่เข้าใจ ถึงได้เตือนประมุขชิงไป หลังจากประมุขชิงเข้าใจแล้ว ก็ย่อมไม่ให้เรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของสี่อ๋องสวรรค์สำเร็จ ส่วนหนิวโหย่วเต๋อที่ทำความผิดใหญ่หลวงขนาดนี้ ต่อให้จะไม่เป็นอะไรแต่ก็ต้องโดนลงโทษอยู่ดี ในภายเวลาสั้นๆ นี้เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะใช้งานหนิวโหย่วเต๋อในตำแหน่งสำคัญ ไม่อย่างนั้นจะได้รับการนับถือได้ยังไง? พอเป็นแบบนี้ ก็เท่ากับว่าจะไม่มีใครได้ลูกศิษย์ของอสุราอัคนีไปทั้งนั้น แบบนี้จะมีประโยชน์กับตระกูลเซี่ยโห้วของพวกเราที่สุด ตระกูลเซี่ยโห้วจะได้แอบติดต่อกับเขาอย่างลับๆ ได้สะดวก แยกเขาออกจากอำนาจฝ่ายอื่นๆ พวกเราจะได้สืบได้สะดวกว่าเบื้องหลังของพวกเขาเป็นใครกันแน่ ไม่ทราบว่าเว่ยซูพูดถูกหรือไม่ขอรับ?”

“เด็กมีอนาคตสอนได้!” เซี่ยโห้วท่าลูบเคราพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ

เว่ยซูกลับกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “แต่เว่ยซูกลับกังวล นายท่านบอกเป็นนัยแบบคลุมเครือ ประมุขชิงจะมองออกเหรอ?”

เซี่ยโห้วท่าหัวเราะเบาๆ “ก็ต้องคลุมเครือหน่อยสิ ถ้าให้สี่อ๋องสวรรค์รู้จะไม่หาว่าข้าแสเรื่องชาวบ้านหรอกเหรอ? ส่วนจะมองออกหรือไม่นั้น ข้าแน่ใจว่าเขาจะต้องมองออก ข้าส่งสายตาให้ซ่างกวนชิงไปแล้ว ถ้าเขายังไม่เข้าใจก็แสดงว่าโง่แล้ว”

เว่ยซูอึ้งทันที รู้สึกว่าน่าสนใจ หัวเราะเบาๆ เช่นกัน

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ศาลางดงามหลังหนึ่งบนไหล่เขาที่กว้างโล่งและมีทุ่งหญ้าเขียวขจี ภาพเหตุการณ์ในศาลาก็พบเห็นได้ยากจากที่อื่น เจ้านายกับผู้ดูแลบ้านกำลังนั่งดื่มสุราด้วยกัน

“กำลังพลไม่ถึงครึ่งธงพยัคฆ์ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะตีทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงแตกพ่ายได้! นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเป็นขุนพลที่เหี้ยมหาญขนาดนี้!” ซูอวิ้นผู้ดูแลบ้านที่รินสุราให้ฮ่าวเต๋อฟางส่ายหน้าพลางถอนหายใจ

ฮ่าวเต๋อฟางทอดสาตามองไปไกล ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ดังนั้นเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จึงต้องพยายามให้เต็มที่!”

ซูอวิ้นวางกาสุราลงเบาๆ “ที่จริงข้าควรจะไปเป็นเพื่อนเยี่ยนจื่อด้วยตัวเอง ถึงจะแสดงความจริงใจที่สุด”

ฮ่าวเต๋อฟางหันหน้าช้าๆ ไปมองนาง “รู้รึเปล่าว่าทำไมข้าถึงไม่ให้เจ้าไปด้วยตัวเอง?”

ซูอวิ้นยิ้มอย่างขื่นขม “ท่านอ๋องกลัวว่าหลังจากข้าทำเรื่องแบบนี้ด้วยตัวเองแล้ว จะทำให้คนในบ้านนินทาข้าลับหลัง ในภายหลังข้าจะเผชิญหน้ากับพวกเขาลำบาก”

ฮ่าวเต๋อฟางยกสุราดื่มแล้วบอกว่า “นี่เป็นเพียงหนึ่งในเหตุผลเท่านั้น เพื่อให้การจับคู่สำเร็จ ข้ากำชับลูกน้องไว้แล้ว ว่าเมื่อถึงเวลาจำเป็นก็ให้ใช้เจ็ดอารมณ์หกปรารถนากับหนิวโหย่วเต๋อได้”

ซูอวิ้นเงียบไป ย่อมรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาคืออะไร เขาไม่อยากให้นางไปทำเรื่องสกปรกแบบนั้น

นางหยิบกาสุรารินให้เขาเงียบๆ อีกครั้ง

ฮ่าวเต๋อฟางกลับยกมือกดเบาๆ คว้ามือที่เรียวขาวของนางเอาไว้ แล้วมองนางเงียบๆ

ซูอวิ้นมือสั่นเล็กน้อย แต่ก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธ “ท่านอ๋อง การที่ข้านั่งตีเสมอกับท่านก็ถือว่ามากเกินไปแล้ว คนในใต้หล้าต่างก็รู้ว่าท่านสาบานกับฮูหยินเอาไว้ ถ้าล้ำเส้นกว่านี้ เกรงว่าข้าคงจะไม่มีหน้าอยู่ในจวนท่านอ๋องต่อไปแล้วจริงๆ”

“ในปีนั้นเจ้าไม่ควร…” ฮ่าวเต๋อฟางออกแรงจับมือนางด้วยสีหน้าสื่ออารมณ์ซับซ้อน

ซูอวิ้นยิ้มเบาๆ “เรื่องมันผ่านไปแล้ว แบบนี้ก็ดีมากแล้วค่ะ ข้าพอใจมาก”

ฮ่าวเต๋อฟางคลายนิ้วทั้งห้าออกอย่างช้าๆ…

ในห้องเล็กสวยประณีตหลังหนึ่งกำลังถูกหามด้วยคนสิบหกคน กำลังแล่นด้วยความเร็วอยู่ในดาราจักร โกวเยว่สวมผ้าฝ้ายหยาบทั้งตัว ยืนอยู่ข้างราวบันไดด้านนอกห้อง ในมือกำลังถือระฆังดาราติดต่อกับใครบางคน

ในห้องที่อยู่ข้างหลังม่านไข่มุกงดงาม สองแม่ลูกที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาแต่ก็ปิดบังความงามล่มเมืองได้ยากกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงในนั้น

“จำไว้นะ ทุกการกระทำของเจ้าตอนอยู่ข้างนอกคือสิ่งที่แสดงถึงภาพลักษณ์ของจวนท่านอ๋อง ห้ามหยิ่งผยองเอาแต่ใจเด็ดขาด ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานก็ควรจะมีลักษณะของผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน เข้าใจใช่มั้ย?” เม่ยเหนียงอดไม่ได้ที่จะชี้แนะลูกสาวที่กำลังนอนหมอบริมหน้าต่างมองดูดวงดาวด้านนอก

ก่วงเม่ยเอ๋อร์หันกลับมามองอย่างจนใจมาก นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านแม่ ตลอดทางมานี้ท่านพูดแบบเดิมให้ข้าฟังหลายรอบแล้วนะคะ ข้าจำได้แล้ว ข้าไม่ทำลายภาพลักษณ์ของจวนท่านอ๋องหรอก”

“นางหนูตัวแสบ แม่หวังดีกับเจ้านะ เจ้าทนรำคาญไม่ไหวเหรอ” เม่ยเหนียงบ่นแล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากนางหนึ่งที

หลังจากในห้องสงบลง เม่ยเหนียงเห็นว่าโกวเยว่ที่อยู่ข้างนอกกำลังใช้ระฆังดาราติดต่อกับใครบางคนอยู่ตลอด คิดไปคิดมาก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย รอจนกระทั่งโกวเยว่หยุดทำแบบนั้นแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะถามแทรกว่า “พ่อบ้านโกว มีเรื่องอะไรเหรอ?” นางกังวลว่าเรื่องราวจะมีการเปลี่ยนแปลง

โกวเยว่หันตัวมาเงียบๆ เดินมาตรงข้างๆ ม่านไข่มุกที่กั้นอยู่ แล้วตอบว่า “หวังเฟย มีคนที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อกำลังก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงนิดหน่อยขอรับ”

เม่ยเหนียงงงงัน นางเองก็รู้เช่นกัน ก็ไม่ใช่เพราะรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงหรอกเหรอ ถึงได้แน่ใจว่าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่ไหนแล้วตามมา แต่การที่โกวเยว่เอ่ยแบบนี้หมายความว่าอะไร?

“หนิวโหย่วเต๋อ? ใช่แม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อที่อุทยานหลวงนั่นรึเปล่าคะ?” ใครจะคิดว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์จะพลันหันหน้ามาแล้วยืนขึ้น เดินมาตรงหน้าประตูแล้วแหวกม่านไข่มุกออก

พอเม่ยเหนียงเห็นปฏิกิริยาของลูกสาว ก็พอจะเข้าใจคร่าวๆ ถึงความหมายของโกวเยว่แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่สะดวกจะพูดตรงๆ ว่าจะพาลูกสาวมาดูตัว เพราะกลัวว่าจะพามาไม่ได้

“เป็นหนิวโหย่วเต๋อนั่นแหละขอรับ” โกวเยว่พยักหน้ายิ้ม

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ทำสีหน้าแปลกใจทันที “ข้าเคยได้ยินเรื่องเขามาก่อน ได้ยินว่าคนนี้กำเริบเสิบสานมาก เขาโดนฝ่าบาททำโทษขังที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่ใช่เหรอคะ? ทำไมถ่อไปก่อเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงได้ล่ะ?”

“พ้นโทษมาครึ่งปีแล้วขอรับ” โกวเยว่ตอบพร้อมรอยยิ้ม

“หนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องอะไร?” เม่ยเหนียงเดินเข้ามาถามด้วย

โกวเยว่ยิ้มเจื่อน “ครั้งนี้ก่อเรื่องใหญ่ไปหน่อยจริงๆ…” เขาเล่ารายละเอียดให้ฟังทันที เล่าเรื่องฉู่จื่อซานโดนประหารที่เม่ยเหนียงรู้อยู่แล้วให้ฟังรอบหนึ่ง จากนั้นก็เล่าเรื่องศึกเลือดของธงพยัคฆ์น้ำเงินกับทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติง

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ฟังจนตกตะลึงอ้าปากค้าง

เม่ยเหนียงกลับอุทานถามเสียงแตก “ทัพใหญ่ห้าหมื่นโจมตีทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงเหรอ? หนิวโหย่วเต๋อร้ายกาจขนาดนี้เชียวเหรอ?” นึกไม่ถึงว่าตอนหลังจะยังเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นอีก

โกวเยว่เหล่ตามองก่วงเม่ยเอ๋อร์แวบหนึ่ง แล้วกล่าวชมว่า “เมื่อครู่เพิ่งติดต่อกับท่านอ๋อง ท่านอ๋องก็ชมว่าเขาเป็นยอดทหารห้าวเช่นกัน!”

เม่ยเหนียงตาเป็นประกายทันที ถึงอย่างไรนางอยู่ในสังคมระดับบนมาหลายปี รู้อย่างลึกซึ้งว่าแม่ทัพที่มีความสามารถแบบนี้ต่างหากที่มีความหมาย ถ้าได้ลูกเขยชั้นยอดแบบนี้จริงๆ ก็เพียงพอจะเทียบเท่ากองทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านเลย ในภายหลังพวกรุ่นเด็กที่จวนท่านอ๋องจะยังมีใครกล้าดูถูกนางอีก? ถ้าใครคิดจะแย่งตำแหน่งนางก็ต้องผ่านด่านลูกสาวนางไปก่อน! ไม่อาศัยอะไรอย่างอื่นหรอก อาศัยแค่เบื้องหลังมีลูกเขยที่เก่งเทียบเท่าทัพใหญ่หนึ่งล้านก็พอแล้ว นอกเสียจากท่านอ๋องจะแตกคอกับลูกเขยก็ว่าไปอย่าง!

แต่ใครจะคิดว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์จะเบะปากแล้วบอกว่า “ท่านพ่อเป็นอะไรไปแล้ว หนิวโหย่วเต๋อคนนี้กำเริบเสิบสานขนาดนี้ ฆ่าลูกน้องของท่านพ่อ ไม่น่าเชื่อว่าจะยังชมเขาอีก”

โกวเยว่บอกว่า “คนที่บอกว่าเขากำเริบเสิบสานจะต้องเป็นกลุ่มสหายของคุณหนูแน่นอน พวกนั้นกำลังอิจฉาเขา หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ไม่ธรรมดา เป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง เป็นชายชาตรีเหนือชายชาตรี! คุณหนูคงจะเคยได้ยินเรื่องร้านขายของชำซื่อตรงมาก่อน นั่นคือร้านที่เขาสร้างขึ้นมาเองกับมือ ตอนเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ เขาเผชิญหน้ากับร้านค้าของผู้มีอำนาจมากมายแต่ก็ไม่ยอมก้มหัว ตอนทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิตก็โดดเด่นเหนือกลุ่มวีรบุรุษและได้รับอันดับหนึ่งจากราชันสวรรค์ ตอนทดสอบที่แดนอเวจีมีคนมากมายรังแกเขา แต่เขาก็ไม่ยอมจำนน บุกเดี่ยวสังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านสามรอบ หัวเราะเยาะวีรบุรุษในใต้หล้า! พอเกิดเรื่องที่ตลาดผีก็สร้างผลงานใหญ่ไว้อีก แดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่มีคนมากมายหวาดกลัว แต่เขาก็ยังรอดชีวิตออกมาได้อยู่ดี เขาไม่ได้มีตำหนักสวรรค์หนุนหลังหรือภูมิหลังอะไร แต่เขาก็อาศัยความสามารถของตัวเองไต่เต้าขึ้นมาถึงตำแหน่งแม่ทัพภาคกองทัพองครักษ์ภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่พันปี จากทหารเลวเลื่อนเป็นผู้บัญชาการ เลื่อนเป็นผู้บัญชาการใหญ่ เป็นแม่ทัพภาค กระโดดข้ามขั้นขึ้นมาตลอดทาง แม้แต่ตำแหน่งรองยังไม่เคยเป็นเลย จากความเร็วแบบนี้ ถ้าผ่านไปอีกไม่กี่พันปี เกรงว่าตำแหน่งหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวจะต้องเป็นของเขาแน่ เขาจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ที่ยืนประชุมในราชสำนักแน่นอน ถ้าแบบนี้ยังไม่นับว่ามีความสามารถ แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่ามีความสามารถล่ะ?

 ถ้าท่านอ๋องสามารถมีลูกน้องสักคนที่สามารถนำกำลังพลห้าหมื่นโจมตีทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านแตกได้ เกรงว่าท่านอ๋องคงจะดีใจมากแล้ว ถ้าการมีลูกน้องเก่งกาจแบบนี้นับว่ากำเริบเสิบสาน คาดว่าท่านอ๋องคงหวังให้มีลูกน้องแบบนี้เยอะๆ คุณหนูลองคิดดูสิ สหายที่ท่านรู้จักส่วนใหญ่เป็นคนจากตระกูลขุนนางที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดาทั้งนั้น แต่มีคนไหนบ้างที่มีความสามารถอย่างหนิวโหย่วเต๋อ? สหายพวกนั้นของคุณหนู เกรงว่าคงจะมีไม่น้อยที่ตอนนี้ยังไม่มีงานทำ พวกที่มีงานทำนิดหน่อยก็คงจะฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ เช่นกัน คนประเภทนี้คู่ควรที่จะมาว่าหนิวโหย่วเต๋อกำเริบเสิบสานด้วยเหรอ? คนที่พูดประโยคนี้ ถ้าเก่งนักก็ลองให้กำเริบเสิบสานดูบ้างสิ! ดังนั้นแล้ว มีแต่คนที่อิจฉาเท่านั้นที่จะพูดแบบนี้ ถ้าไม่โดนอิจฉาแสดงว่าเป็นคนฝีมือธรรมดา!”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์งุนงง เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนวิจารณ์หนิวโหย่วเต๋อแบบนี้ แต่นางก็รู้ว่าโกวเยว่มีความสำคัญขนาดไหนข้างกายท่านพ่อ พูดแบบนี้แสดงว่าต้องมีเหตุผลแน่นอน นางจึงหันมามองมารดาตัวเอง แล้วถามว่า “เป็นแบบนี้เหรอคะ?”

เม่ยเหนียงพยักหน้าเบาๆ “ใช่แล้ว! คนที่ไม่เข้าใจถึงจะบอกว่าเขากำเริบเสิบสาน ถ้าจะให้แม่บอก  หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ต่างหากที่เป็นลูกผู้ชายอย่างแท้จริง ดีกว่าพวกคุณชายที่วันๆ เอาแต่วางมาดหาความสำราญในหมู่ผู้หญิงตั้งหลายเท่า นี่ต่างหากที่เป็นคนมีอนาคตอย่างแท้จริง!”

พูดจบก็เงยหน้าถามโกวเยว่ “พ่อบ้านโกว ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อก็อยู่ตรงนั้นพอดี ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเขาหน้าตาเป็นยังไง จัดให้พวกเราเจอกันได้รึเปล่า?”

แววตาอยากออกล่าสิ่งแปลกใจของของก่วงเม่ยเอ๋อร์มองไปที่โกวเยว่ทันที ท่าทางเหมือนเฝ้ารอนิดหน่อย

โกวเยว่พยักหน้า “หวังเฟยมีคำสั่ง บ่าวก็จะพยายามตัดการให้ขอรับ” จากนั้นก็ถอยออกประตูไป

“ท่านแม่! หนิวโหย่วเต๋อคนนี้หน้าตาดุมากใช่มั้ย?” ก่วงเม่ยเอ๋อร์หันกลับมาถาม

เม่ยเหนียงยิ้มพร้อมบอกว่า “ข้าได้ยินมาว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้หน้าตาทรนงองอาจ มีสง่าราศีความเป็นชายเต็มเปี่ยม!” พูดจบก็จูงมือลูกสาวกลับมานั่งลงบนเตียง แล้วบอกว่า “เม่ยเอ๋อร์ เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว พวกเราไปดูกันดีกว่าว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้เป็นยังไงบ้าง เอามาทำสามีให้เจ้าดีมั้ย?”

“ท่านแม่!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์หน้าแดงอย่างเขินอายทันที แล้วกระทืบเท้าพร้อมบอกว่า “ข้าไม่เอาคนเหี้ยมโหดที่ฆ่าคนจนชาชินแบบนี้หรอก”

เม่ยเหนียงเหล่ตาบอกว่า “อย่าบอกนะว่าเจ้าจะเอาพวกคุณชายไม่เอาไหนที่วันๆ เอาแต่มั่วสุมอยู่ในกองเครื่องประทินโฉม? คนพวกนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน แต่จะมีสักกี่คนที่มีอนาคต?”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ทำเสียงฮึดฮัด “ข้าไม่เอาหรอกค่ะ ข้าต้องหาคนที่ตัวเองชอบสิ ภูมิหลังวงศ์ตระกูลอะไรนั่นไม่สำคัญเลย ขอเพียงเป็นคนมีใจรักความก้าวหน้า ยังต้องกลัวว่าจะไม่มีอนาคตอีกเหรอ?”

เม่ยเหนียงกลอกตามองบน นางค่อนข้างพูดไม่ออก ในปีนั้นตัวเองก็อยากไต่เต้าเข้าตระกูลร่ำรวยเช่นกัน แต่ดูลูกสาวตัวเองสิ ช่างไม่รู้จักความยากลำบากของโลกใบนี้จริงๆ เอาแต่พูดอะไรเพ้อฝันอยู่ตรงนี้ นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ข้าคงคิดมากไป ช่วยถูกใจแทนเจ้าแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? คุณหนูใหญ่ที่โดนเลี้ยงให้หยิ่งเอาแต่ใจแบบเจ้า คนอย่างหนิวโหย่วเต๋ออาจจะไม่ชอบเจ้าจริงๆ ก็ได้ แค่คิดก็เสียเวลาเปล่า”

ก่วงเม่ยเอ๋อร์เบะปากแล้วกัดฟัน คิดในใจว่าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าหนิวโหย่วเต๋อหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่น่าเชื่อว่าจะได้รับคำชมมากขนาดนี้ ดีขนาดนั้นจริงๆ เหรอ?

……………………

เพิ่งจะพูดจบ ก็มีขุนนางอีกคนโผล่ออกมาหัวเราะลั่นสามที แล้วชี้เขาพร้อมพูดแดกดันว่า “ช่างน่าขัน! เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้แล้ว หลังจากได้รับข่าวก็ควรจะสั่งให้คนไปสืบรายละเอียดทันทีสิ ยังจะรอให้การประชุมราชสำนักจบแล้วค่อยสืบรายละเอียดอีก เจ้านี่ทำหน้าที่ท่านโหวแบบผ่อนคลายจริงๆ!”

“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าไม่ได้สั่งให้คนไปสืบในทันที?”

“นี่เจ้าพูดเองนะว่าจะสืบรายละเอียดหลังจากการประชุมราชสำนักจบ”

“จับผิดคำพูดที่ตกหล่นของข้าเพื่อมาพิสูจน์ว่าข้ามีความผิดเหรอ?”

“ดี! ในเมื่อสืบแล้ว เช่นนั้นสืบได้ผลลัพธ์รึยังล่ะ?”

“ข้าบอกแล้วว่าเรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้น การจะสืบให้ได้ผลไม่ต้องใช่เวลารึไง?”

“หากสืบแล้วพบว่าฉู่จื่อซานมีปัญหาจริงๆ ท่านโหวเซวียนหยวนจะทำยังไง?”

ขุนนางใหญ่ตำแหน่งว่างกลุ่มหนึ่งทยอยกันก้าวออกมา พากันใช้ปากล้อมโจมตีเซวียนหยวนจัว ประชิดเข้ามาติดกัน หมายจะกดดันให้เซวียนหยวนจัวยอมให้คำสัญญา แต่ในขณะนี้เอง จู่ๆ ประมุขชิงก็กล่าวว่า “ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ในเมื่อเซวียนหยวนจัวบอกแล้วว่าหลังจากสืบจะพูดอีกที เช่นนั้นก็รอสืบให้ชัดแล้วค่อยว่ากัน ถึงตอนนั้นใครเป็นใครมองปราดเดียวก็เข้าใจ ไม่จำเป็นต้องเถียงกันตรงนี้ไม่จบไม่สิ้น พอแล้ว คุยประเด็นต่อไป!”

มีคนไม่น้อยมองหน้ากันเลิกลั่ก ทุกคนนับว่าดูออกแล้ว ว่าเดิมทีฝ่าบาทไม่ได้คิดจะลงโทษเซวียนหยวนจัวอยู่แล้ว เลยกดเรื่องนี้เอาไว้ข้างๆ เสียเลย

แต่ก็ช่วยไม่ได้ นี่ก็คืออำนาจพิเศษที่ประมุขชิงมีคนเดียวเท่านั้น ขอเพียงหาเหตุผลได้นิดหน่อยก็สามารถตัดสินใจได้แล้วว่าจะให้เรื่องนี้คืบหน้าช้าหรือเร็ว ถ้าอีกฝ่ายบอกว่าร่างกายไม่สบาย แล้วขอออกจากการประชุมกลางคัน เจ้าก็จะฝืนดึงตัวอีกฝ่ายไว้เพื่อสืบเรื่องราวให้ชัดเจนไม่ได้

พวกขุนนางใหญ่ที่เพิ่งใช้ปากโจมตีเมื่อครู่นี้มองพวกที่ยืนอยู่แถวหน้าแวบหนึ่ง เมื่อเห็นท่านพวกนั้นไม่มีปฏิกิริยาอะไร ก็ทำได้เพียงหุบปากไป

สี่อ๋องสวรรค์ยังคงยืนอยู่ข้างหน้าราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง แต่ใครก็รู้ทั้งนั้นว่าคนที่เพิ่งพูดเมื่อครู่นี้คือคนของพวกเขา เมื่อเดินขึ้นมาถึงจุดอย่างพวกเขาแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะออกหน้าเองทุกเรื่อง ย่อมมีคนกระโดดออกหน้าก่อนอยู่แล้ว จากนั้นพวกเขาค่อยตัดสินใจตามสถานการณ์อีกทีว่าจะออกโรงเองหรือไม่

และทั้งสี่คนก็ยังไม่เคลื่อนไหวอะไร เป็นเพราะเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานจริงๆ เซวียนหยวนจัวอาศัยข้ออ้างนี้ ไม่ว่าใครตะยั่วยุอย่างไรเขาก็ยืนยันหนักแน่นว่ายังไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน ไม่มีใครพูดได้ชัดเจนว่าสถานการณ์ที่ตัวเองเพิ่งรู้มาจะไม่มีอะไรผิดพลาดเลย เซวียนหยวนจัวจึงยืนนิ่งไม่ลนลาน ถ้าเรื่องนี้ยังไม่เปิดโปงอย่างถึงที่สุด ก็ไม่มีใครทำอะไรเซวียนหยวนจัวได้ มีแต่ต้องรอให้ได้ผลลัพธ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

การประชุมราชสำนักของตำหนักสวรรค์ที่น่าเกรงขามไร้ที่เปรียบในจินตนาการของผู้คนในใต้หล้า ยุติการถกเถียงโวยวายลงชั่วคราว เริ่มหัวข้อประชุมใหม่แล้ว

หลังจากการประชุมราชสำนักจบลง กลุ่มขุนนางก็ทยอยกันเดินออกมา

“ท่านโหวเซวียนหยวน!” อันถู เทพประจำดาวดินวอกที่กำลังเดินลงบันไดเรียกเซวียนหยวนจัวเอาไว้

เซวียนหยวนจัวหันไปมอง แล้วหันตัวไปต้อนรับทันที กุมหมัดคารวะบอกว่า “เทพประจำดาว!”

เทพประจำดาวดินวอกอันถูกล่าวเสียงเรียบว่า “กองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นฆ่ากันเองไม่ใช่เรื่องเล็ก ข้าจะส่งคนไปช่วยเจ้าสืบหารายละเอียดสักหน่อยแล้วกัน”

“ขอรับ!” เซวียนหยวนจัวเอ่ยรับ เขาไม่มีทางปฏิเสธได้ เพราะท่านนี้คือผู้บังคับบัญชาของตัวเอง

อันถูขานรับ “อืม” แล้วเดินออกไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว

ขณะที่มองดูเงาหลังของเขา เซวียนหยวนจัวก็ได้รับแรงกดดันแล้ว เทพประจำดาวดินวอกไม่เหมือนตำแหน่งว่างของพื้นที่อื่นที่แม้แต่เทพประจำดาวก็เป็นคนของกองทัพองครักษ์ด้วย อีกฝ่ายเป็นคนของจอมพลสายวอกอย่างแท้จริง และเป็นลูกน้องของอ๋องสวรรค์ก่วงด้วย เขาได้รับความลำบากเมื่อโดนขนาบอยู่ตรงกลาง แล้วฉู่จื่อซานก็ดันก่อเรื่องแบบนี้อีก การที่เทพประจำดาวดินวอกส่งคนมาช่วยสืบก็ย่อมไม่มีเจตนาดีอะไรอยู่แล้ว

“ท่านโหวเซวียนหยวน!” ด้านข้างมีคนเรียก

เซวียนหยวนจัวหันไปมอง เห็นแม่ทัพเกราะแดงคนหนึ่งที่เฝ้าวังสวรรค์ อีกฝ่ายเอียงหน้าบอกใบ้เขา เขามองตามไปทางนั้น เห็นผู้บัญชาการองครักษ์อู๋ฉวี่ของหน่วยองครักษ์ขวากำลังยืนอยู่ใต้ชายคาตำหนักฟ้าดิน เขาถึงได้ยืนอยู่กับที่ รอให้ขุนนางคนอื่นๆ ออกไปให้หมดก่อน

ตำหนักหลังของตำหนักฟ้าดิน จู่ๆ ประมุขชิงก็ก้าวออกมาแสยะยิ้ม “เซี่ยโห้วท่า วันนี้เขาขยันเข้าประชุมราชสำนักขึ้นเยอะเลย ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้จะกระโดดออกมาประสมโรงด้วย อย่าบอกนะว่าเขาอยากจะเข้ามากวนน้ำให้ขุ่น? เจ้ามองอยู่ข้างๆ เห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนกว่า เจ้าคิดว่ายังไง?”

ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างหลังเขาโดยห่างเพียงหนึ่งก้าวตอบอย่างเคารพว่า “ตามที่บ่าวเห็น ท่านปู่สวรรค์ไม่ได้อยากจะกวนน้ำให้ขุ่น แต่อยากจะเตือนฝ่าบาท”

ประมุขชิงตอบอ้อ แล้วถามอีกว่า “หมายความว่ายังไง?”

ซ่างกวนชิงบอกว่า “ท่านปู่สวรรค์ให้คนของเขากระโดดออกมาเปิดเผยว่าเซวียนหยวนจัวกับหนิวโหย่วเต๋อทำศึกเพราะแย่งผู้หญิงกัน แต่กลับซักไซ้หาความรับผิดชอบเพียงเซวียนหยวนจัว แต่ไม่ถามหาความรับผิดชอบจากหนิวโหย่วเต๋อ แบบนี้กำลังเป็นการเตือนฝ่าบาทว่า คนอื่นๆ ไม่เอ่ยถึงหนิวโหย่วเต๋อเลยด้วยซ้ำ เรื่องแบบนี้ตบมือข้างเดียวจะดังได้อย่างไร”

ประมุขชิงหยุดฝีเท้า นอกจากฝั่งตระกูลเซี่ยโห้วที่เอ่ยชื่อหนิวโหย่วเต๋อออกมา คนอื่นๆ ก็ไม่เอ่ยถึงเลยด้วยซ้ำ เขาถามอย่างสงสัยว่า “ทำแบบนี้มีเจตนาอะไร?”

“ฝ่าบาทลืมไปแล้วหรือขอรับ? ครั้งก่อนข้าน้อยเคยเอ่ยกับฝ่าบาท ครั้งก่อนภายนอกมีข่าวลือนี้แล้ว บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี” ซ่างกวนชิงตอบ

“เรื่องนี้ไม่ต้องให้เจ้าบอกหรอก ข้ารู้ตั้งนานแล้ว” ประมุขชิงกล่าว

ซ่างกวนชิงเอ่ยเบาๆ ว่า “แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์!”

ประมุขชิงนิ่งชะงัก หรี่ตาครุ่นคิดอย่างช้าๆ แล้วเริ่มแสยะยิ้ม “พวกเขาฝันหวานเกินไปแล้ว!” จากนั้นเหล่ตาบอกว่า “เรื่องนี้เจ้าไปจัดการให้เรียบร้อย ต้องทำให้เรื่องนี้ล้มเหลวเสีย”

“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ

“เซี่ยโห้วท่า…ตาจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ ยังนึกว่าเขามีเจตนาดีอะไรจริงๆ เสียอีก ที่แท้ก็อยากกวนน้ำให้ขุ่นเท่าไรก็ยิ่งดี!” ประมุขชิงแสยะยิ้ม แล้วเอามือไขว้หลังเดินก้าวยาวออกไป

และในตอนนี้ ทัพพิการของหนิวโหย่วเต๋อก็ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ฝั่งน่านฟ้าระกาติงเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติอีก จึงสั่งให้นำกำลังพลไปหลบที่ตลาดสวรรค์ของดาวจิ่วหวนที่อยู่ใกล้ๆ กันก่อน รอให้เบื้องบนมาตรวจสอบ ที่จริงทัพเป่ยโต้วก็ไม่มีทางส่งคนตามมาคุ้มกันฝั่งนี้ได้ทันเวลาเช่นกัน ต่อให้น่านฟ้าระกาติงจะบ้าระห่ำขนาดไหน แต่ก็ไม่มีทางทำเรื่องประเภทโจมตีตลาดสวรรค์อีกแน่นอน ทว่าคำสั่งนี้ตรงกับความคิดของเหมียวอี้พอดี สมปรารถนาเขาแล้ว เขาย่อมปฏิบัติตามคำสั่งในทันที รีบเร่งไปยังตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน

ทำไมถึงรีบเร่งขนาดนี้น่ะเหรอ? ก็เพราะเขาเพิ่งได้รับข่าวจากเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ว่าอวิ๋นจือชิวถูกคนของตำหนักคุ้มเมืองพาตัวไปแล้ว

ที่จริงตอนที่อวิ๋นจือชิวเพิ่งถูกพาตัวไป เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ได้ส่งข่าวให้เหมียวอี้แล้ว แต่จนใจที่ตอนนั้นเหมียวอี้กำลังอยู่ในศึกเลือด ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้เลย

และข่าวที่แพ่บนตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนก็แพร่ไปยังจุดต่างๆ ในดาราจักรอย่างรวดเร็ว แม้แต่กองมังกรดำที่อยู่ฝั่งอุทยานหลวงก็ได้ยินข่าวนี้แล้วเช่นกัน

ใต้ศาลาเย็นบนไหล่เขา หยางชิ่งเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ส่องสว่างท้องฟ้ายามราตรี บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้ารันทดอย่างที่บรรยายออกมาได้ยาก

คนอื่นได้ยินเพียงว่ากองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นทำศึกกัน แต่เขาแค่ได้ยินครั้งก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เลยมายืนมองท้องฟ้าเงียบๆ อยู่คนเดียวตรงนี้

หน้าอกหยางชิ่งค่อยๆ กระเพื่อมขึ้นลงอย่างถี่กระชั้น แต่จู่ๆ ร่างกายก็สั่นสะท้าน “อั้ก!” เขากระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง เอาฝ่ามือข้างหนึ่งกุมที่หัวใจ แล้วใช้มืออีกข้างจับเสาศาลา โซเซก้มหน้าพลางหอบหายใจ แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าน้อยไม่มีค่าพอจะไปวางแผนให้เขา…”

จวนอ๋องสวรรค์โค่ว ลูกชายสามคนของตระกูลโค่วเดินตามหลังโค่วหลิงซวีไปที่หอสามรากฐาน

“หนิวโหย่วเต๋อคนนี้คือความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงของข้าจริงๆ!” โค่วเจิงที่อยู่ข้างหลังถอนหายใจยาว

โค่วฉินที่อยู่ข้างกันบอกว่า “เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว พี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองอีก มิหนำซ้ำ ข้าก็ได้ยินมาว่าที่หนิวโหย่วเต๋อชนะได้ก็เป็นเพราะแม่ทัพน่านฟ้าระกาติงที่ชื่อว่า ‘เหยียนชุน’ ไร้ความสามารถ ไม่อย่างนั้นกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อคงตายหมดอย่างไม่ต้องสงสัย!”

“เจ้านี่ช่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่จริงๆ!” โค่วหลิงซวีที่นั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะยาวพูดแดกดัน แล้วชี้เขาพร้อมบอกว่า “คนที่พูดแบบนี้กับเจ้าก็เหมือนกับเจ้านั่นแหละ เป็นพวกที่ไม่เคยสู้สุดชีวิตบนสนามรบมาก่อน! ตอนอยู่บนสนามรบสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า โอกาสแวบผ่านไปผ่านมาเร็วมาก โดยเฉพาะเมื่อตัวตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ถ้าพลาดขึ้นมาเมื่อไร แค่คิดก็รู้ถึงผลที่จะตามมาแล้ว ทำไมหนิวโหย่วเต๋อถึงนำ ‘หน่วยกล้าตาย’ มุ่งตรงไปหาฉู่จื่อซานล่ะ ชัดเจนแล้วว่าต่อให้ฉู่จื่อซานไม่นำทัพออกรบ เขาก็จะยอมทุ่มทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตฉู่จื่อซานอยู่ดี สิ่งนี้อธิบายได้ชัดเจนว่าตอนนั้นเขาคว้าโอกาสดีๆ ในการรบได้แล้ว แล้วตอนหลังก็หาจุดอ่อนนิดหน่อยเพื่อทำให้วุ่นวาย เมื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็ไม่ลังเลที่จะสั่งให้กำลังพลธงพยัคฆ์ครึ่งหนึ่งละทิ้งความได้เปรียบของตัวเอง ต่อให้จะโดนโจมตีตายทั้งกองทัพแต่ก็ต้องสู้สุดชีวิต เจ้ารู้รึเปล่าว่าในฐานะแม่ทัพหลักนั้นจะต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวขนาดไหน ต้องใช้ความกล้าหาญขนาดไหนกว่าจะออกคำสั่งนี้ได้?

เมื่อเจอเหตุไม่คาดคิดอีกครั้งก็ตัดความหวังสุดท้ายในการคว้าชัยชนะของทัพใหญ่อย่างไม่ลังเล ฝังธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์พวกนั้นกับมือตัวเอง เพื่อจะให้ทัพใหญ่ทนได้อีกสักหน่อย เมื่อเห็นว่าทัพจะโดนโจมตีจนตายหมด เขาก็ใช้อุบายก่อกวนทำให้ขวัญกำลังใจกองทัพฝ่ายศัตรูปั่นป่วน แล้วคว้าชัยชนะได้ในรวดเดียว จากนั้นก็ใช้กำลังพลที่เหลือรอดอยู่หมื่นกว่าไล่สังหารทัพที่แข็งแกร่งหลายแสน เจ้ารู้รึเปล่าว่าการทำสิ่งนี้ต้องใช้ความกล้าขนาดไหน? เขาทำแบบนี้ก็เพียงเพื่อโจมตีทัพฝ่ายศัตรูให้แตกพ่าย ไม่ให้โอกาสศัตรูโจมตีกลับอีก! สุดท้ายก็คว้าผลงานการรบไว้ได้อย่างมั่นคง! ผู้บัญชาการทัพที่คว้าโอกาสดีในการรบได้หนึ่งครั้งก็ถือว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมแล้ว ชัดเจนว่าเขาไม่ใช่พวกไร้ประโยชน์  ผู้บัญชาการทัพที่สามารถคว้าโอกาสในการรบได้ทุกครั้งนั้นถือว่ายอดเยี่ยม และเขาก็ไม่ใช่แค่คว้าโอกาสดีที่ผ่านมาเพียงชั่วแวบเดียวได้ทุกครั้ง เวลาที่ไม่มีโอกาสเขาก็สร้างโอกาสขึ้นมาเองด้วย นี่คือคุณสมบัติที่หาได้จากตัวผู้บัญชาการทัพที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่านั้น และไม่ใช่ว่าว่าได้มาเพราะโชคช่วยด้วย นี่คือขุนพลพยัคฆ์ ได้คนแบบนี้คนเดียวก็เท่ากับเลี้ยงทัพใหญ่หนึ่งล้าน เข้าใจมั้ย?”

โค่วฉินตะลึงค้างไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็กุมหมัดคารวะอย่างเถียงไม่ออก “ลูกได้รับการชี้แนะแล้ว”

โค่วเจิงที่เป็นพี่ใหญ่ค่อนข้างมีมาด เมื่อเห็นท่านพ่อสีหน้าไม่สบอารมณ์ เขาก็เหมือนจะไม่อยากให้น้องชายลำบาก จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ท่านพ่อ ทำไมไม่เห็นท่านอาถัง?”

โค่วหลิงซวีเอนตัวกับเกาอี้ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าให้เขาไปหาเหวินหลานแล้วไปดาวจิ่วหวนด้วยกันแล้ว”

โค่วเจิงแปลกใจ “หนิวโหย่วเต๋อยอมเสียทุกอย่างเพื่อก่อเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาบอกว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าผู้หญิงคนนั้นคืออวิ๋นจือชิว ถึงได้ตัดสินใจแบบนี้ อย่าบอกนะว่าท่านพ่อยังมีความคิดจะให้ใครแต่งงานกับเขาอีก?”

“นี่ก็คือข้อได้เปรียบของคนที่รู้เหตุการณ์ก่อน อีกสามอ๋องคงจะกำลังคุ่นคิดหาวิธีแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์” โค่วหลิงซวีหัวเราะเบาๆ “แน่นอน เรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์พวกเราย่อมล้มเลิกไม่ได้”

สามพี่น้องมองหน้ากันเลิกลั่ก มีบางอย่างที่ฟังไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าในเมื่อพูดแดกดันอีกสามอ๋องแล้วแต่ทำไมตัวเองไม่ละทิ้งวิธีการนี้

โค่วหลิงซวีกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “วันนี้ตอนที่ไปวังสวรรค์ ข้าบังเอิญได้ยินเกาก้วนกับลูกน้องของเขากำลังพูดเรื่อง ‘ลูกสาวบุญธรรม’ ของตระกูลหนึ่ง สิ่งนี้เตือนข้าได้ดีมาก ข้าอยากจะเห็นว่าอีกสามอ๋องจะหน้าดำคร่ำเครียดขนาดไหน ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าสนใจ ก็เลยให้เฒ่าถังไปจัดการแล้ว”

ทีแรกสามพี่น้องก็งุนงงก่อน จากนั้นก็เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน โค่วเหมี่ยนถามว่า “อย่าบอกนะว่าท่านพ่อให้เหวินหลานพาท่านอาถังไปหาอวิ๋นจือชิว?”

“เหวินหลานรู้จักไม่ใช่เหรอ ให้คนคุ้นเคยเจอหน้ากันจะได้คุยง่าย” โค่วหลิงซวีตอบอย่างเกาไม่ถูกที่คัน

โค่วฉินขมวดคิ้ว “อย่าบอกนะว่าท่านพ่อจะรับแม่หม้ายคนนั้นเป็นลูกสาวบุญธรรม? หรือว่าจะให้ท่านอาถังรับนางเป็นลูกบุญธรรม?”

โค่วหลิงซวีเหล่ตมอง แล้วเอานิ้วเคาะผิวโต๊ะแรงๆ พร้อมถามว่า “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”

…………………………

ตอนนี้ตรงนี้ไม่มีใครสงสัยในข่าวกรองของโพ่จวินแล้ว

ส่วนโพ่จวินก็เริ่มสงสัยนิดหน่อยว่าข่าวของตัวเองมีปัญหาอะไรรึเปล่า เพราะรู้สึกว่ามันเกินไปหน่อย ในใจไม่มีมความมั่นใจ ถึงอย่างไรช่องทางข่าวสารของกองทัพองครักษ์ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร ข้างล่างพูดอะไรมาก็เชื่ออย่างนั้น ตอนนี้พอได้ยินรายงานของซือหม่าเวิ่นเทียน ก็พบว่าเป็นความจริงแล้ว ในใจมีความมั่นใจขึ้นมาทันที

ขณะที่เขากำลังจะพูด จู่ๆ นอกตำหนักดาราจักรก็มีเสียงคนดังขึ้น เตือนว่า  “ฝ่าบาท ถึงเวลาเข้ารประชุมราชสำนักแล้ว!”

ประมุขชิงหันกลับมาตะคอกอย่างเดือดดาลว่า “สมควรตาย! ไม่เห็นรึไงว่าข้าติดธุระ? ให้พวกเขารอก่อน!”

คนที่อยู่ตรงประตูตกใจทันที ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรให้ฝ่าบาทโมโห ซ่างกวนชิงโบกมือให้เล็กน้อย ทำให้คนคนนั้นรีบถอยออกไป

เมื่อเห็นความสนใจของทุกคนมาอยู่ที่ตัวเอง โพ่จวินก็ถอนหายใจเบาๆ อีก เสร็จแล้วถึงได้เล่าสิ่งที่ลูกน้องรายงานขึ้นมาให้ฟังอย่างละเอียด

หลังจากเล่าเรื่องราวจบแล้ว โพ่จวินที่สรุปผลการรบก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นบ้างนิดหน่อย เริ่มตอบด้วยเสียงที่ดังขึ้นว่า “ธงพยัคฆ์น้ำเงินของหนิวโหย่วเต๋อโจมตีทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงทัพแตกแล้ว ประหารคนไปห้าแสนกว่า จากนั้นก็นำคนไล่สังหารทหารหลายแสนของน่านฟ้าระกาติงที่หลบหนี หลังจากโจมตีจนอีกฝ่ายพ่ายแพ้ในอึดใจเดียว ถึงได้ถอนกำลัง! ส่วนความเสียหายของกำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินห้าหมื่นก็สูงถึงแปดส่วนขอรับ แทบจะโดนโจมตีจนพิการ มีเพียงคนจำนวนหมื่นนิดๆ ที่รอดชีวิตจากการเข่นฆ่านี้ บนตัวของคนที่รอดก็แทบจะบาดเจ็บทุกคน ตอนนี้กำลังรอฟังคำสั่งอยู่ที่เดิมขอรับ!” พูดจบก็กุมหมัดต่อประมุขชิงอย่างหนักแน่น สื่อว่ารายงานจบแล้ว

แต่ละคนที่อยู่ในตำหนักพูดไม่ออก ถ้าไม่ตกใจก็ตกตะลึง ต่างก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ แววตาวูบไหว ยังคงจมอยู่ในเหตุการณ์ที่โพ่จวินรายงานให้ฟัง

ศึกเลือดหนึ่งสนาม ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ทั้งสองฝ่ายมีคนตายไปเกือบหกแสน นี่มันหมายความว่าอะไรล่ะ?

ต่อให้ไม่เห็นเองกับตาก็จินตนาการออกว่าศึกนี้ดุเดือดขนาดไหน แสดงว่าคนต้องตายราวกับฝนตกถึงได้รบตายไปหกแสนกว่าภายในเวลาครึ่งชั่วยาม แค่คิดก็รู้แล้วว่าตอนนั้นกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อฆ่าคนจนเป็นบ้าไปแล้ว ไม่ต้องเห็นเองกับตาก็จินตนาการออกว่ากำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อในตอนนั้นเศร้าสลดและเร้าใจขนาดไหน ทุกคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินยอมทุ่มทุกอย่างเพื่อสู้ตายแล้ว

และภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ทหารที่เหลือรอดอยู่เพียงหนึ่งหมื่นยังกล้าเป็นฝ่ายรุกโจมตีอีก ไล่ตามโจมตีทัพที่แข็งแกร่งหลายแสนจนหลบหนีพ่ายแพ้ มันช่าง…

โดยเฉพาะตามที่บอกในรายงาน ยามหน้าสิ่วหน้าขวานทุกคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินถอดเจตจำนงที่จะสู้สุดชีวิต ไม่น่าเชื่อว่าจะรวมตัวกันตะโกนเสียงดังบอกว่ายอมล่อศัตรู ให้หนิวโหย่วเต๋อหนีไปและเก็บร่างกายอันมีค่าไว้ล้างแค้นให้พวกเขา!

เมื่อได้ยินรายงานนี้ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ไม่มีใครที่ไม่สะเทือนใจ!

ทุกคนแอบทอดถอนใจ ใช่แล้ว! ถ้าไม่ใช่เพราะถอดเจตจำนงที่จะสู้สุดชีวิต มีหรือที่จะยืนหยัดอยู่ในวงล้อมโจมตีของทัพใหญ่หนึ่งล้านได้นานขนาดนั้น มีหรือที่จะยืนหยัดได้จนชัยชนะมาถึง

ส่วนหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ฟังคำโน้มน้าว กลับมาพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง สิ่งนี้ก็ทำให้พวกเขาทอดถอนใจไม่หยุดเช่นกัน ศึกนี้เรียกได้ว่าร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว ทหารทุกคนเชื่อฟังคำสั่งจริงๆ!

ในตำหนักดาราจักร ทุกคนยืนเงียบอยู่ที่เดิม ราวกับเอาตัวไปอยู่ในสนามรบเอง ยากที่จะดึงตัวออกมาจากเหตุการณ์นั้น!

อู๋ฉวี่เป็นคนแรกที่ได้สติกลับมา บอกไม่ถูกว่ามีสีหน้าอย่างไร มีทั้งความตกตะลึงและความสะท้อนใจ และก็มีความละอายด้วย!

จะไม่ให้ละอายใจคงยาก เพราะเขารู้ว่าลูกน้องคนสำคัญทุกคนของน่านฟ้าระกาติงล้วนออกไปจากหน่วยองครักษ์ขวาของเขา การนำทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านไปทำศึกแบบนี้ได้ ทั้งยังโดนกำลังทหารหมื่นกว่าไล่สังหารจนทหารที่แข็งแกร่งหลายแสนคนหนีหัวซุกหัวซุน แบบนี้ทำเขาเสียหน้าหมดแล้วจริงๆ!

ในฐานะที่มีพื้นเพมาจากผู้บัญชาการทัพใหญ่ พอได้ฟังก็ย่อมรู้ว่ากุญแจสำคัญของความพ่ายแพ้นี้อยู่ตรงไหน

เขาจำชื่อ ‘เหยียนชุน’ นั่นได้ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องฉีกร่างคนคนนี้ทั้งเป็นแน่นอน  ไม่น่าเชื่อว่าจะแพ้ยับเยินขนาดนี้จนทำให้คนอื่นได้ชื่อเสียงบารมีไป!

หลังจากนั้นนานมาก ประมุขชิงก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งเบาๆ แล้วหรี่ตาบอกว่า  “ห้ามหมื่นคน ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของธงพยัคฆ์ด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าจะตีทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านพ่ายแพ้ กองทัพองครักษ์ยังไม่เคยมีตัวอย่างแบบนี้มาก่อน ช่างเป็นขุนพลพยัคฆ์จริงๆ! มีพรสวรรค์ของนายพล!”

ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างกวนชิงสบตากันแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก ทุกคนย่อมรู้ว่าประมุขชิงกล่าวชมใคร

ทว่าใครจะคิดว่าตอนหลังประมุขชิงจะกล่าวเสริมอีก “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้โดนขังที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี แต่นึกไม่ถึงว่าจะบัญชาการกำลังพลกองมังกรดำได้คล่องแคล่วตามใจประสงค์ นึกไม่ถึงว่าเขาจะดูแลจัดการกองมังกรดำได้ลึกซึ้ง กองทัพห้าวหาญชาญศึกที่มีพลังรบองอาจกลุ่มนี้ได้ผ่านพิธีชำระล้างจากศึกเลือดครั้งนี้แล้ว ล้วนกลายเป็นทหารห้าวแม่ทัพหาญกันหมด ในอนาคตถ้ามีการเปลี่ยนผู้บังคับบัญชา ก็เกรงว่าจะไม่ฟังคำสั่งใครแล้วนอกจากหนิวโหย่วเต๋อ ปัญหานี้เก็บไว้ไม่ได้ โพ่จวิน เดี๋ยวกลับไปกระจายกำลังพลกลุ่มนี้ออกไปด้วย หน่วยองครักษ์ขวายังรับคนได้อีกครึ่งหนึ่ง”

นี่ตัดสินว่าเป็นทหารห้าวแม่ทัพหาญเลยเหรอ? ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างกวนชิงแอบสบตากันอีกครั้ง ต่างก็เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นของประมุขชิง ในใจพวกเขาแอบปลงอนิจจัง นึกไม่ถึงว่ากำลังพลที่เพิ่งสร้างผลงานการรบที่ดังเกริกก้องจะโดนจับแยกกันแล้ว แต่ที่จริงกำลังพลกลุ่มนี้ก็สร้างผลงานการรบโดดเด่นเกินไป ถึงแม้ศักยภาพรายบุคคลของกำลังพลกลุ่มนี้จะยังไม่เก่งกาจสักเท่าไร แต่ของแบบนี้ก็เพิ่มกันได้ ถ้าลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อเติบโตขึ้นมาทีละก้าว กำลังพลกลุ่มนี้ก็จะกุมอำนาจทางทหารที่มากกว่าเดิม อาศัยแค่ที่คนกลุ่มนี้ตะโกนบอกว่าจะสละชีพเพื่อหนิวโหย่วเต๋อ ถ้ารวมตัวกันขึ้นมาจะเกิดผลลัพธ์อะไรที่คาดเดาได้ยากรึเปล่าล่ะ? นี่ต่างหากสาเหตุสำคัญที่ฝ่าบาทต้องกระจายกำลังพลกลุ่มนี้

ที่จริงไม่ว่าใครก็เข้าใจทั้งนั้น สำหรับฝ่าบาทแล้ว พลังรบของกำลังพลกลุ่มนี้ไม่ได้สำคัญเท่าอำนาจที่มั่นคงของฝ่าบาทเลย

แน่นอน ทั้งสองไม่คัดค้านสิ่งนี้เช่นกัน เพราะตราบใดที่เป็นผลประโยชน์ที่ปกป้องประมุขชิงได้ ก็เท่ากับเป็นผลประโยชน์ที่ปกป้องพวกเขาได้เช่นกัน

และทั้งสองก็ฟังความหมายที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งออกเช่นกัน การกระจายกำลังพลออกจากกันก็เท่ากับว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ต้องตายแล้ว!

“รับทราบ!” อู๋ฉวี่กุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง แสดงออกว่ายินดีจะรับกำลังพลครึ่งหนึ่งเอาไว้

“ฝ่าบาท…” เห็นได้ชัดว่าโพ่จวินยังมีอะไรจะพูดอีก

“หืม?” แต่ประมุขชิงทำเสียงเหมือนสงสัย พลันจ้องด้วยสายตาเย็นเยียบ สบตากับโพ่จวินพลางเม้มริมฝีปากแน่น เขาจึงต้องกลืนสิ่งที่พูดกลับลงไป แล้วกุมหมัดคารวะขานตอบอย่างยากลำบากว่า “ขอรับ!”

เขาอยากจะอาศัยสิ่งนี้สร้างทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งขึ้นมา แต่เขาก็เข้าใจความคิดของประมุขชิงเช่นกัน เรื่องบางเรื่องเขาสามารถต่อต้านประมุขชิงได้ แต่รื่องบางเรื่องก็ไม่อาจขัดคำสั่ง ตราบใดที่เรื่องนั้นเป็นประโยชน์ต่อประมุขชิงในการควบคุมใต้หล้า เพียงแต่บอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกอย่างไร อดไม่ได้ที่จะแอบทอดถอนใจ

ประมุขชิงหันกลับไปมองเกาก้วนอีก “ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด ถ้ามีหลักฐานว่าหนิวโหย่วเต๋อออกนอกลู่นอกทางจริงๆ ก็ลงโทษตามกฎ!”

“ขอรับ!” เกาก้วนเอ่ยรับ

“เข้าประชุมราชสำนักเถอะ!” ประมุขชิงพูดทิ้งท้ายแล้วเดินก้าวยาวออกไป แล้วทุกคนก็เดินตามหลัง

เวลาเข้าประชุมราชสำนักผ่านไปแล้ว ขุนนางหลายร้อยเข้ามาในตำหนักฟ้าดินแล้ว

ในบรรดาคนพวกนี้มีบางส่วนที่กุมอำนาจที่แท้จริงฝ่ายต่างๆ ของตำหนักสวรรค์ รวมทั้งผู้ตรวจการใหญ่ที่ควบคุมแต่ละหน่วยของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาด้วย ที่มากกว่านั้นคือสมาชิกที่อยู่ในระดับและตำแหน่งที่ว่างงาน รวมทั้งเซี่ยโห้วท่าด้วย แต่ในบรรดาคนพวกนี้เซี่ยโห้วท่าโดดเด่นที่สุด เพราะมีเขาคนเดียวที่มีเก้าอี้นั่ง กำลังนั่งค้ำไม้เท้าพลางหรี่ตาอย่างสงบนิ่งอยู่อย่างนั้น ถึงแม้จะอยู่ในตำแหน่งชิดมุมข้างหน้า ทว่าสิ่งนี้ก็ทำให้มองเห็นเกียรติยศแล้ว ใครใช้ให้หลานสาวของเขาเป็นราชินีสวรรค์ล่ะ หลานสาวเขามีศักดิ์เป็นภรรยาที่นั่งตีเสมอกับราชันสวรรค์ได้

เวลาประชุมราชสำนักผ่านไปแล้ว ยังไม่เห็นประมุขชิงออกมา ทุกคนกำลังรอเงียบๆ บางครั้งพวกอ๋องสวรรค์ที่อยู่หน้าสุดก็เอียงหน้าสบตากัน ในใจพวกเขาเข้าใจดี ว่าประมุขชิงเลื่อนเวลาประชุมราชสำนักแล้ว เกรงว่าคงจะรู้เรื่องนั้นแล้ว

จนกระทั่งโพ่จวิน อู๋ฉวี่ ซือหม่าเวิ่นเทียนและเกาก้วนโผล่หน้ามา ทุกคนก็รู้ว่าประมุขชิงกำลังจะโผล่ออกมาแล้ว

บนบัลลังก์ฟ้าดินที่สูงส่ง โพ่จวินกับอู๋ฉวี่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาด้านล่างบัลลังก์ ส่วนซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนก็ยืนบนบันไดที่ต่ำลงมาไม่กี่ขั้น ทั้งสี่กึ่งยืนเข้าหาบัลลังก์กึ่งยันเข้าหาขุนนางใหญ่ที่ยืนเรียงแถวเป็นรูปตัวอักษร ‘八’ ในตำหนัก เอียงหน้ามองข้างบนก็จะเห็นคนที่นั่งบนบัลลังก์ เอียงหน้ามองข้างล่างก็จะเห็นขุนนางใหญ่ในตำหนัก

ส่วนผู้ตรวจการใหญ่ยี่สิบคนของกองทัพองครักษ์ก็แบ่งเป็นสี่กลุ่ม ไปยืนอยู่สี่มุมในตำหนักใหญ่ สายตากวาดมองกลุ่มคนในตำหนักเป็นระยะ ไม่เหมือนคนที่เข้าร่วมการประชุม ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนที่เฝ้าสังเกตทุกความเคลื่อนไหวของขุนนางใหญ่ในตำหนักมากกว่า

ผ่านไปไม่นาน ประมุขชิงก็เดินออกมาจากตำหนักด้านหลังโดยมีซ่างกวนชิงติดตาม พอเดินมาถึงบัลลังก์ฟ้าดิน ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างกันก็หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ ประมุขชิงยืนอยู่หน้าบัลลังก์แล้วมองสำรวจกลุ่มคนในตำหนักด้วยสีหน้าเรียบเฉย มีพลังอำนาจน่าเกรงขาม

ทันใดนั้น กลุ่มขุนนางใหญ่ในตำหนักก็ทำความเคารพอย่างมีระเบียบ กล่าวพร้อมกันว่า “คารวะฝ่าบาท!”

“ยืนขึ้น!” ประมุขชิงกล่าว ก่อนที่ตัวเองจะนั่งลง

ซ่างกวนชิงที่อยู่ด้านข้างกล่าวเสียงดังว่า “ถ้ามีเรื่องก็รายงาน ถ้าไม่มีเรื่องก็ถอยออกไป!”

ด้านล่างเงียบงันอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ขุนนางใหญ่คนหนึ่งที่รับตำแหน่งแต่ในนามก็ก้าวออกนอกแถวมาถามว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยได้ยินมาว่ากองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นของน่านฟ้าระกาติงปะทะกัน ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ขอรับ?”

“ฮึ!” ประมุขชิงแสยะยิ้ม แล้วกล่าวเสียงดังก้องตำหนัก “ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน สาเหตุที่มาเข้าประชุมช้าก็เพราะเรื่องนี้ เพิ่งจะเกิดเรื่องขึ้น แม้แต่ข้าก็ไม่รู้ชัดว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่ ข่าวเจ้าไวเหลือเกินนะ ครั้งหน้าถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น สงสัยข้าจะต้องขอคำชี้แนะจากเจ้าเสียแล้ว”

เขาพูดแดกดันอย่างไม่ปรานี ทำให้คนคนนั้นที่เงยหน้าสบตาโดยตรงต้องก้มเหลือบตาลงเล็กน้อย “ข้าน้อยมิบังอาจ!”

เซี่ยโห้วท่าที่นั่งลงช้าๆ หลับตาพักผ่อน สี่อ๋องสวรรค์ที่ยืนอยู่หน้าสุดก็ทำท่าทางเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ที่จริงทุกคนก็รู้ว่าผู้ถามคือคนของหนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ ถ้าไม่มีการชี้แนะจากสี่ท่านนั้น ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะโผล่หน้าออกมาถาม

ในตำหนักใหญ่เงียบลงเล็กน้อย เซี่ยโห้วท่าที่หลับตาพักผ่อนพลันลืมตาเหลือบมองกลุ่มคนแวบหนึ่ง ขุนนางใหญ่บางคนที่ได้รับสัญญาณจากเขาก้าวออกนอกแถวทันที แล้วก้าวเสียงดังว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยขอกล่าวโทษท่านโหวเซวียนหยวนจัว!”

“อ๋อเหรอ!” ประมุขชิงกวาดสายตามองเซวียนหยวนจัวที่ยืนเงียบไปสะทกสะท้านแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “มีเรื่องอะไร?”

คนคนนั้นกล่าวอย่างโมโหว่า “เรื่องของน่านฟ้าระกาติง ข้าน้อยก็เคยได้ยินมาเช่นกัน ตามที่ข้าน้อยรู้มา เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะหัวหน้าภาคฉู่จื่อซานน่านฟ้าระกาติงบังคับแต่งงานกับผู้หญิงของแม่ทัพภาคหนิวโหย่วเต๋อแห่งอุทยานหลวง เพื่อผู้หญิงคนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้กองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นทำศึกเลือดกัน ถ้าแม้แต่คนแบบนี้ก็ยังกล้าใช้งาน ก็จะเห็นได้ว่าท่านโหวเซวียนหยวนไม่เหมาะสมกับตำแหน่งโหวเลย ข้าน้อยขอเสนอให้ถอดเซวียนหยวนจัวออกจากตำแหน่งโหวขอรับ”

สายตาประมุขชิงไปหยุดอยู่บนตัวเซวียนหยวนจัว “เซวียนหยวนจัว เป็นอย่างนี้รึเปล่า?”

เซวียนหยวนจัวก้าวออกจากแถว “ข้าน้อยไม่ทราบสถานการณ์ขอรับ” ไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย แก้ตัวให้ตัวเองสะอาดบริสุทธิ์ทันที

ขุนนางตำแหน่งว่างคนนั้นตำหนิทันทันทีว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกน้องเจ้า เจ้าจะไม่รู้สถานการณ์เชียวเหรอ? อย่าบอกนะว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้จะไม่มีใครรายงานเจ้าเลย? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ จะเห็นได้ว่าเจ้าไม่ตั้งใจทำหน้าที่ท่านโหว เปลี่ยนให้คนมีความสามารถมาทำดีกว่า”

เซวียนหยวนจัวตอบว่า “ที่ข้าบอกว่าไม่รู้สถานการณ์ก็เพราะว่าข่าวตีกันมั่ว เพราะเรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้น ยังไม่รู้รายละเอียดชัดเจน ข้าไม่อาจนำเรื่องที่ปนกันมั่วซั่วมาพูดเรื่อยเปื่อยบนการประชุมราชสำนักหรอก หลังจากประชุมราชสำนักแล้วข้าจะไปตรวจสอบทันที หลังจากตรวจสอบแล้วก็ย่อมรายงานโดยละเอียดได้”

………………………

ผู้บัญชาการองครักษ์อู๋ฉวี่แห่งหน่วยองครักษ์ขวาถลันตัวเข้ามายืนตรงหน้าคนพวกนั้น กางมือในแนวขวาง ขวางพวกเขาเอาไว้ “ฮึ่ม!” ถลึงตาจ้องพวกเขาอย่างดุร้าย

การกระทำนี้ทำให้กลุ่มคนมองหน้ากันเลิกลั่ก หยุดอยู่เงียบๆ ไม่ขยับไปไหน ในใจกลับแอบโล่งใจ

พวกเขาเองก็ไม่อยากลงมือกับโพ่จวินเช่นกัน พวกเขาเป็นลูกน้องของโพ่จวินครึ่งหนึ่ง เป็นลูกน้องของอู๋ฉวี่ครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อราชันสวรรค์มีคำสั่ง พวกเขาจะไม่ปฏิบัติตามก็ไม่ได้ ต่อให้เข้ามาแล้วลังเลเล็กน้อย แต่ราชันสวรรค์ก็สามารถประหารพวกเขาได้ภายใต้ความเดือดดาล

อย่าไปมองว่าการมาทำงานในวังสวรรค์ที่ผู้คนมากมายอยากจะเห็นแต่ไม่มีโอกาสนั้นมีหน้ามีตาอะไรนัก ที่จริงอยู่ใกล้กษัตริย์ก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ ถ้าประมุขชิงที่อยู่ในวังสวรรค์อยากจะฆ่าใครก็เป็นเรื่องที่สั่งแค่ประโยคเดียวเท่านั้น เมื่อเทียบกับขุนนางภายนอก ยังมีกฎมากมายที่ผูกมัดประมุขชิงได้

“อู๋ฉวี่ เจ้าคิดจะก่อกบฏเหรอ?” ประมุขชิงชี้หน้าถาม

“ข้าน้อยมิบังอาจ!” อู๋ฉวี่หันตัวมา แล้วกุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ! แค่หนิวโหย่วเต๋อผู้ต่ำต้อยตายไปคนเดียวก็ไม่พอให้เสียดาย ทว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นขุนนางที่ได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ ถ้าฆ่าทิ้งโดยไม่แม้แต่จะสืบหาความผิด สิ่งที่จะสูญเสียก็คือชื่อเสียงอันดีงามของฝ่าบาท ฝ่าบาทได้โปรดไตร่ตรอง” เขาไม่ได้พูดเรื่องโพ่จวิน แต่เบี่ยงประเด็นไปที่หนิวโหย่วเต๋อ

ซือหม่าเวิ่นเทียนแห่งหน่วยตรวจการซ้ายก็รีบก้าวขึ้นมาเช่นกัน แล้วกุมหมัดคารวะ “ผู้บัญชาการองครักษ์ขวากล่าวมีเหตุผล ฝ่าบาท! แค่หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวจะฆ่าช้าหรือฆ่าเร็วก็ไม่สำคัญอะไรเลย สืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อนฆ่าก็ยังไม่สาย”

ซ่างกวนชิงก็กุมหมัดคารวะเช่นกัน “ฝ่าบาท! ทุกเรื่องล้วนอิงตามกฎระเบียบของตำหนักสวรรค์ แต่หนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียวไม่มีค่าพอให้ฝ่าบาทเดือดดาล ทำตามกฎดีกว่าขอรับ”

กฎระเบียบ? พอผู้การใหญ่วังสวรรค์อย่างเขาเอ่ยปาก ประมุขชิงก็สงบลงอย่างรวดเร็ว ถ้าจะบอกว่าในใต้หล้านี้โพ่จวินทำให้เขาเดือดดาลได้มากที่สุด เช่นนั้นซ่างกวนชิงก็คือคนที่ทำให้เขาสงบลงได้มากที่สุด นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญว่าทำไมซ่างกวนชิงถึงได้กลายเป็นผู้การใหญ่ของวังสวรรค์

ประมุขชิงรู้ว่าทำไมพวกเขาถึงกระโดออกมาปกป้อง เป็นเพราะเขาไม่อาจล้ำเส้นกฎระเบียบไปฆ่าหนิวโหย่วเต๋อกับโพ่จวินโดยตรงได้ ถ้าลงมือขึ้นมาโพ่จวินก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเช่นกัน และถ้าประมุขแห่งใต้หล้าอย่างเขาต้องการจะทำแบบนี้ ก็ไม่มีใครขัดขวางเขาได้เช่นกัน ที่จริงใช่ว่าเขาจะไม่เคยล้ำเส้นกฎระเบียบแล้วฆ่าคนภายใต้ความเดือดดาล แต่เขารู้อย่างแจ่มแจ้ง ว่าถ้าไม่ใช่เพราะหมดหนทางแล้วจริงๆ ก็ไม่อาจทำเรื่องแบบนี้บ่อยๆ ได้

สาเหตุก็เข้าใจง่ายมาก เพราะกฎระเบียบในใต้หล้าเป็นสิ่งที่เขาตั้งขึ้นมาเอง ที่ตั้งกฎระเบียบนี้ขึ้นก็เพื่อสร้างกฎเกณฑ์ในการลำเลียงทรัพยากรในใต้หล้าให้ส่งมาที่เขา เขาถึงได้เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์สูงสุดของกฎระเบียบนี้ ในเมื่อเขาไม่อยากให้คนอื่นมาทำลายกฎ ขาเองก็ย่อมต้องเป็นผู้นำที่เคารพกฎด้วย ถ้าเขามองข้ามกฎระเบียบนี้ขึ้นมาเมื่อไร กฎระเบียบนี้ก็จะเป็นสิ่งที่ไร้สาระ ถ้าเบื้องบนทำเป็นตัวอย่าง เบื้องล่างก็จะทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาต่างหากที่เป็นเสารักษาเสถียรภาพของกฎระเบียบนี้ ถ้าเขาอยากจะฆ่าใครก็ฆ่าได้ตามอำเภอใจ เช่นนั้นเขาก็จะไม่ต่างอะไรกับพระปีศาจหนานโป

เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ คนในใต้หล้าก็พากันร้อนอกร้อนใจ เหมือนกับที่กลัวพระปีศาจหนานโปในปีนั้น เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง ทุกคนล้วนอยากให้พระปีศาจหนานโปตาย สุดท้ายแม้แต่ศิษย์ของพระปีศาจหนานโปก็ยังคิดจะเล่นงานพระปีศาจหนานโปให้ถึงตาย ถ้เมื่อไรที่คนในใต้หล้าล้วนอยากให้ประมุขชิงตายไวๆ เช่นนั้นเวลาตาของเขาก็จะมาถึงในอีกไม่นานแล้ว กำลังของคนคนเดียวต้านทานทวนในที่แจ้งกับเกาทัณฑ์ในที่ลับของทุกคนในใต้หล้าไม่ไหวอยู่ดี การวางแผนลับต่างๆ มักทำให้เขาตายได้สักวัน พระปีศาจหนานโปก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ที่พวกเขากระโดดออกมาไม่ใช่เพื่อปกป้องหนิวโหย่วเต๋อ แต่เพื่อปกป้องกฎระเบียบนี้ การปกป้องกฎระเบียบนี้ก็เท่ากับปกป้องพวกเขาเอง ไม่อย่างนั้นก็จะกังวลว่าสักวันหนึ่งสถานการณ์แบบเดียวกันจะเกิดขึ้นกับพวกเขา

ความจริงแล้ว ที่บอกว่าจะฆ่าโพ่จวินก็เป็นแค่การพูดตามอารมณ์โกรธเท่านั้น ถึงแม้โพ่จวินจะเจ้าอารมณ์ แต่ก็จงรักภักดีไม่มีใครเทียบ ในจุดนี้ทำให้ประมุขชิงวางใจมาก ถ้าต้องการจะฆ่าโพ่จวินจริงๆ เหตุผลก็มีเยอะเกินไป โพ่จวินเองก็มักจะทำผิดข้อหา ‘หลอกลวงเบื้องบน’ บ่อยๆ ถ้าต้องการจะฆ่าก็ฆ่าได้ทุกเมื่อ

แต่ถ้าจะเปลี่ยนให้คนอื่นมาคุมหน่วยองครักษ์ซ้าย เขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดี

ที่จริงประมุขชิงก็เข้าใจดีมาก ต่อให้เมื่อครู่นี้จะไม่มีใครห้าม ถ้าองครักษ์ต้องการจะคุมตัวโพ่จวินออกไปจริงๆ แต่ข้างนอกก็จะรอให้เขาหายโกรธก่อนแล้วค่อยถามยืนยันอีกครั้ง เสร็จแล้วค่อยทำโทษประหารจริงๆ และสุดท้ายเขาก็จะได้แค่ปล่อยให้จบไป เขาเพียงต้องการกลั่นแกล้งโพ่จวินเพื่อระบายความโมโหเท่านั้นเอง

เมื่อเห็นประมุขชิงมีสีหน้าบรรเทาลงเรื่อยๆ แต่เรื่องนี้ก็ไม่อาจจะรอให้ประมุขชิงตบปากตัวเองแล้วคืนคำพูด ซ่างกวนชิงรีบโบกมือให้องครักษ์ที่พุ่งเข้ามา “มัวยืนอึ้งอะไรอยู่ตรงนี้? นี่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมายืนอึ้งเหรอ? ยังไม่รีบถอยออกไปอีก!”

กลุ่มแม่ทัพเกราะแดงมองปฏิกิริยาของประมุขชิง เมื่อเห็นประมุขชิงไม่มีความเห็นแย้งต่อเรื่องนี้ ก็เท่ากับอนุญาติแล้ว พวกเขาถึงได้ทยอยกันออกไปจากตำหนักดาราจักร

พวกอู๋ฉวี่แอบโล่งใจ

ประมุขชิงที่ข่มไฟโกรธในใจได้แล้วเอียงหน้ามองโพ่จวินที่กำลังสบตากับตนอย่างโกรธเคือง แล้วด่าว่า “ตาแก่ที่สมควรตาย!”

พอโพ่จวินเอียงหน้า ทุกคนก็เครียดทันที นึกว่าเขาจะเถียงด้วยคำพูดเหยียดหยาม แต่ใครจะคิดว่าเขาจะหยิบระฆังดาราอันหนึ่งที่กำลังสั่นออกมา ทำท่าทางตั้งใจฟังด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่รู้ว่าใครส่งข่าวมา

แต่ไม่นานทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็พบว่าโพ่จวินสีหน้าแปลกไป เหมือนออกมาจากการโต้เถียงด้วยความเดือดดาลในชั่วพริบตาเดียว บนใบหน้าฉายแววงุนงงและตกตะลึง

ทุกคนจ้องเขาครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เห็นเขาเขย่าระฆังดารารีบตอบไปอีก ไม่รู้ว่ารีบร้อนขนาดนี้เพราะเรื่องอะไร

ประมุขชิงเอียงหน้าเหล่ตามองเขา รู้ว่าในมือโพ่จวิน นอกจากเรื่องของหน่วยองครักษ์ซ้ายก็ไม่มีเรื่องอื่นอีกแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็แสดงว่าทางหน่วยองครักษ์ซ้ายมีเรื่องด่วนอะไรสักอย่าง

สายตาของคนอื่นๆ ก็กำลังสังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ในใจต่างกำลังพึมพำว่า มีเรื่องอะไรกัน?

เห็นได้ชัดว่าถามกลับไปกลบัมาพักใหญ่ เสร็จแล้วถึงได้เห็นโพ่จวินค่อยๆ เก็บระฆังดารา แล้วมองประมุขชิงอย่างตะลึงงัน ทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

ประมุขชิงรอให้เขาพูด ผลปรากฏว่ารอนานแล้วไม่เห็นเขาเอ่ยปากสักที ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว “มีอะไรก็รีบพูดว่า!”

โพ่จวินที่เมื่อครู่นี้ยังหยิ่งจองหอง ในเวลานี้กลับเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง พูดอึกอักอย่างขวยอายว่า “เกิดเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงอีกแล้วขอรับ”

ทุกคนแปลกใจ แต่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยเห็นโพ่จวินมีท่าทางแบบนี้มาก่อนเลย

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก?” ประมุขชิงขมวดคิ้ว

โพ่จวินตอบว่า “น่านฟ้าระกาติงรวบรวมทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านไปล้างแค้น ล้อมโจมตีกำลังพลห้าหมื่นของหนิวโหย่วเต๋อ”

เกาก้วนที่มีใบหน้าเย็นชาพลันจ้องไปที่หน้าของโพ่จวิน

ประมุขชิงโมโหอีกแล้ว “พวกฝูงหมาที่สวมควรตาย เห็นกำลังพลที่ใช้จ่ายทรัพยากรของมหาศาลตำหนักสวรรค์เป็นกองทัพส่วนตัวของตัวเองไปแล้วรึไง คิดจะเรียกไปใช้งานยังไงก็ได้ตามใจชอบงั้นเหรอ?” แต่ไม่นานก็นึกอะไรบางอย่างไร หันไปถามอู๋ฉวี่อีก “น่านฟ้าระกาติงถูกควบคุมโดยเซวียนหยวนจัวที่เจ้าแนะนำไปไม่ใช่เหรอ?”

อู๋ฉวี่ถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบว่า “ขอรับ!”

ประมุขชิงหรี่ตาเล็กน้อยพลาลูบเครา ในร่องตาวูบไหวเล็กน้อย ไม่เอ่ยถึงเรื่องเซวียนหยวนจัวอีก แต่ถามกลับโพ่จวินว่า “คาดว่ากำลังพลห้าหมื่นนั่นคงตายหมดแล้วใช่มั้ย?”

“เปล่าขอรับ!” โพ่จวินตอบเสียงเบา

ประมุขชิงขานรับ “อ้อ” แล้วถามอีกว่า “แล้วยังเหลืออีกเท่าไร?”

“เหลือรอดอยู่หนึ่งหมื่นกับอีกไม่กี่ร้อยขอรับ” โพ่จวินตอบ

ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ “สงสัยน่านฟ้าระกาติงจะลงมือแบบปรานี ไม่ได้ฆ่าให้ตายหมด เพียงแต่จะปล่อยตัวการไปไม่ได้ หนิวโหย่วเต๋อล่ะ?”

ทุกคนได้ฟังน้ำเสียงของเขาก็เข้าใจแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะสืบสาวเอาเรื่องเซวียนหยวนจัว แต่คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย หนิวโหย่วเต๋อในตอนนี้อยู่ในระดับที่ต่างจากเซวียนหยวนจัวไกลมาก เซวียนหยวนจัวมีส่วนเกี่ยวข้องที่สำคัยกว่า ไม่มีใครกำจัดท่านโหวทิ้งเพื่อแม่ทัพภาคคนเดียวหรอก มิหนำซ้ำหนิวโหย่วเต๋ออาจจะโดนกำจัดไปแล้วก็ได้ การจะถอดท่านโหวเพื่อคนตายคนเดียวก็ยิ่งไม่คุ้ม สิ่งไหนสำคัญกว่าก็แยกแยะได้ไม่ยาก

“หนิวโหย่วเต๋อยังมีชีวิตอยู่สบายดีขอรับ” โพ่จวินยังคงตอบเสียงเบาเช่นเดิม

ประมุขชิงอุทาน “เอ๋” แล้วกล่าวอย่างงุนงงว่า “ทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงไปล้างแค้นไม่ใช่เหรอ? ปล่อยคนอื่นไปก็ยังพอฟังขึ้น แต่ปล่อยตัวการอย่างหนิวโหย่วเต๋อไปเหรอ?อย่าบอกนะว่าปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อหนีไป?”

โพ่จวินอึกอักครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็กัดฟันบอกว่า “ไม่ใช่หนิวโหย่วเต๋อหนีไป แต่หนิวโหย่วเต๋อนำกำลังพลธงพยัคฆ์ห้าหมื่นโจมตีทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงแตกแล้ว”

“…” ประมุขชิงมองเขาอย่างตะลึงงัน

ในตำหนักดาราจักรเงียบจนสามารถได้ยินเสียงเข็มตกได้ ทุกคนทำท่าเหมือนนึกว่าฟังผิดไป มองไปที่โพ่จวินอย่างอึ้งๆ

ส่วนนอกวังสวรรค์ กลุ่มขุนนางต่างก็สังเกตเห็นความผิดปกติของสี่อ๋องสวรรค์กับท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้ว ทั้งห้าคนไม่คุยกันแล้ว แต่ละคนได้แต่ยืนด้วยท่าทางที่ลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูก ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวน

ก่วงลิ่งกงได้รับข่าวก่อนเพราะเรื่องเกิดขึ้นที่อาณาเขตตัวเอง ส่วนตระกูลเซี่ยโห้วก็มีช่องทางข่าวสารที่ไม่ธรรมดา จึงได้รับข่าวอย่างรวดเร็ว โค่วหลิงซวี อิ๋งจิ่วกวง ฮ่าวเต๋อฟางก็สังเกตได้ถึงความไม่ปกติของทั้งสองเช่นกัน หลังจากรีบสั่งให้คนรีบสืบแล้วถึงได้รู้ข่าว

คนทั่วไปอาจจะไม่มีกำลังทรัพย์และความสามารถในการควบคุมมากพอที่จะวางกำลังสายลับเอาไว้ในแต่ละพื้นที่ แต่เห็นได้ชัดว่าสี่อ๋องสวรรค์มีกำลังทรัพย์และความสามารถนี้ แต่ละอาณาเขตดาวล้วนมีคนของพวกเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้สายลับเบื้องล่างจะไม่ได้เข้าร่วมศึกใหญ่ที่น่านฟ้าระกาติง แต่ในฐานะที่เป็นสายลับของท้องถิ่น เมื่อโดนเบื้องบนเร่งเร้าก็รีบติดต่อทหารหลบหนีแล้วถามสถานการณ์จนรู้ทุกอย่างแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ข่าวก็เริ่มแพร่ไปที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนแล้ว

จุดที่ทำศึกกันห่างจากดาวจิ่วหวนไม่ไกล กอปรกับดาวจิ่วหวนเป็นที่ตั้งของตลาดสวรรค์ นักพรตที่ไปมาที่นี่จึงมีเยอะ จุดที่ทำศึกกันก็สะท้านฟ้าสะเทือนดิน คนที่อยู่ระหว่างทางตกใจเสียง จะไม่ให้เข้าไปดูสักหน่อยก็คงยาก พอได้เห็นก็พบว่าเป็นการต่อสู้ขนาดใหญ่ จึงพากันตกใจมาก ถึงแม้ทุกคนจะกลัวว่าตัวเองจะซวยไปด้วยจึงหนีห่าง แต่คนที่ได้เห็นสถานการณ์ตอนก่อนและหลังทำศึกก็มีอยู่แล้ว พอนำข่าวมารวมกันก็พอจะวางเค้าโครงเรื่องได้

พอคนพวกนี้กลับมาที่ตลาดสวรรค์ ข่าวจะไม่แพร่ออกไปได้อย่างไร

ดังนั้นความเงียบในตำหนักดาราจักรจึงถูกทำลายแล้ว นอกจากประมุขชิง โพ่จวินและอู๋ฉวี่แล้ว ซ่างกวนชิง ซือหม่าเวิ่นเทียนและเกาก้วนก็ทยอยกันหยิบระฆังดาราออกมา ทุกคนต่างก็ได้รับข่าวแล้ว

ประมุขชิงหันกลับมามองพวกเขา

ซ่างกวนชิงที่ได้รับข่าวมองไปที่โพ่จวินด้วยแววตาล้ำลึก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ส่วนซือหม่าเวิ่นเทียนก็มองไปที่โพ่จวินเช่นกัน แล้วสุดท้ายก็กุมหมัดคารวะ “ฝ่าบาท ได้รับรายงานมา ที่อาณาเขตดาวใกล้ๆ ดาวจิ่วหวนเกิดศึกใหญ่ขึ้น จากสถานการณ์ที่รวบรวมมา ทัพใหญ่ประมาณหนึ่งล้านของตำหนักสวรรค์ล้อมโจมตีกองทัพองครักษ์หลายหมื่น ฝ่ายหลังเอาชนะได้ด้วยกำลังพลที่น้อยกว่า สังหารทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ไปหลายแสน โจมตีจนพ่ายแพ้ แล้วไล่สังหารทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์อีกหลายแสน! สถานการณ์คร่าวๆ เป็นอย่างนี้ ส่วนสถานการณ์โดยละเอียดยังไม่ราบแน่ชัดขอรับ”

สายตาประมุขชิงไปหยุดอยู่บนตัวซ่างกวนชิง จากนั้นซ่างกวนชิงก็พยักหน้าเบาๆ บอกใบ้

ไม่ได้มองไปที่เกาก้วนอีก ประมุขชิงหันขวับไปมองที่โพ่จวิน แล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “กำลังพลห้าหมื่นของหนิวโหย่วเต๋อจะตีทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงแตกได้ยังไง? ตาแก่ตาแก่ปัญญาทึบอย่างเจ้ากลายเป็นคนพูดอึกอักแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร รายละเอียดเป็นยังไง รายงานเดี๋ยวนี้!”

…………………………

กำลังพลครึ่งหนึ่งของธงพยัคฆ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นก่อนเข้ากองทัพองครักษ์หรือหลังจากเข้ากองทัพองครักษ์ ก็ยังไม่เคยทำศึกที่จำนวนคนฝ่ายตัวเองกับฝ่ายศัตรูแตกต่างกันมากขนาดนี้มาก่อนเลย อาศัยกำลังพลห้าหมื่นรับศึกกับกองทัพฝ่ายศัตรูที่มีเยอะกว่าฝ่ายตัวเองยี่สิบเท้า! ก่อนหน้านี้ถึงแม้จะเคยทำศึกใหญ่มาแล้ว ต่อให้จะสู้อย่างดุเดือดขนาดไหน กองทัพองครักษ์ก็อยู่ในสถานการณ์มั่นใจในชัยชนะอยู่ดี ยังไม่เคยร้องขอชีวิตอยู่ในหลุมแห่งความตายแบบนี้มาก่อน

และยังไม่เคยทำศึกที่ดุเดือดขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน ศพเกลื่อนเต็มพื้น แผ่นดินถูกย้อมไปด้วยเลือดสดสีแดง แผ่นดินที่ถูกพลิกมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่ายังโดนย้อมเป็นสีแดงเลือดเหมือนเดิม!

เป็นศึกเลือดที่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ! แต่สภาพกลายเป็นแบบที่เห็นตรงหน้านี้แล้ว

คนที่รอดชีวิตมาได้ ทั้งร่างกายและจิตใจราวกับได้ผ่านพิธีล้างบาปมาแล้วหนึ่งครั้ง

มู่อวี่เหลียนที่ยืนน้ำตานองอยู่ตรงหน้าศพลูกน้องคนสนิท ในที่สุดก็ได้สัมผัสเองกับตัวแล้วว่าอะไรเรียกว่า ‘ความสำเร็จของนายทหารชั้นสูงหนึ่งคน แลกมาด้วยกองกระดูกนับพันนับหมื่น’ เพราะศพทหารพวกนี้ทำให้นางมีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า ศพทหารเหล่านี้ได้ปูเส้นทางอันเรืองรองไว้ให้นาง และคนที่รบตายพวกนี้ก็จะถูกลืมเร็วมาก

ความรู้สึกประเดประดังเข้ามาพร้อมกันหมด มู่อวี่เหลียนห้ามน้ำตาลำบาก ในบรรดาทุกสิ่งที่เผชิญอยู่ตรงหน้า สิ่งที่มากกว่านั้นก็คือความเสียใจและรู้สึกผิด เสียใจที่ตัวเองในอดีตเคยเป็นคนไร้ยางอายที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกลาภยศเงินทอง!

เหมียวอี้ที่บนตัวค่อนข้างสะอาดยืนอยู่บนภูเขาหินก้อนหนึ่งไกลๆ เพียงลำพัง เขากำลังเงียบงัน

สำหรับกำลังพลที่ทำศึกครั้งนี้ เรียกได้ว่าค่อนข้างน่าเวทนา แต่สำหรับเขาแล้ว เขาเคยผ่านประสบการณ์ตอนทำศึกที่ฝ่ายตัวเองและฝ่ายศัตรูมีความแตกต่างกันมาก่อน ดุเดือดรุนแรงกว่านี้ ตอนอยู่ที่แดนอเวจีเขาบุกเดี่ยวเผชิญหน้ากับทัพใหญ่หนึ่งล้าน แค่เขาคนเดียวก็ฆ่าไปแล้วหลายพันคน

เพียงแต่ทั้งสองศึกนี้ไม่อาจเอามาเทียบกันได้…

อุทยานหลวง เรือนพักท่านโหวเซวียนหยวน เซวียนหยวนจัวที่สวมชุดเครื่องแบบราชสำนักเดินก้าวยาวออกไปนอกประตูใหญ่ กำลังจะเข้าไปประชุมราชสำนัก

ตอนที่เพิ่งเดินออกจากประตู จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงเรียกดังขึ้น “ท่านโหว!”

เซวียนหยวนจัวหยุดฝีเท้าแล้วหันไปมอง เห็นอวี่เลี่ยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างแย่ จึงขมวดคิ้วถาม่วา “เป็นอะไรไป? ได้ข่าวทางนั้นมารึยัง?”

ในดวงตาอวี่เลี่ยฉายแววสับสน แล้วพยักหน้าช้าๆ กล่าวอออกมาอย่างยากลำบากว่า “ทางน่านฟ้าระกาติงพลาดแล้ว”

เซวียนหยวนจัวขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก หันตัวไปเตรียมจะเหาะขึ้นฟ้า แต่จู่ๆ อวี่เลี่ยก็พูดเสริมว่า “ทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงที่ล้อมปราบทัพใหญ่ห้าหมื่นนั่นรบแพ้แล้วขอรับ! แพ้ยับเยิน! ทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านถูกทัพใหญ่ห้าหมื่นตีพัง ความเสียหายจากการรบนับรวมได้ประมาณห้าแสนห้าหมื่นคน มีเพียงกำลังพลสี่หมื่นกว่าที่หนีรอดไปได้!”

“อะไรนะ?” เซวียนหยวนจัวอุทานเสียงหลง หันขวับมามองเขา แล้วเบิกตากว้างถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ? ทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านโดนกำลังพลห้าหมื่นตีพ่าย? รบตายไปห้าแสนห้าหมื่นคน?”

อวี่เลี่ยพยักหน้าอย่างยากลำบาก “น่าจะไม่ผิดพลาดขอรับ ไปตรวจสอบกับคนมาแล้วมากมาย ตอนนี้ทัพใหญ่ที่โดนตีพ่ายยังกลับมาไม่หมดเลย”

เซวียนหยวนจัวกล่าวด้วยสีหน้าดุร้ายว่า “ต่อให้ในทัพใหญ่ห้าหมื่นนั่นจะมียอดฝีมือบงกชกลาย ต่อให้เป็นยอดฝีมือบงกชกลาย แต่การจะฆ่าหมูหนึ่งล้านตัวก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น หมูมันก็ต้องวิ่งหนีไปทั่ว ทำไมถึงรบตายไปตั้งห้าแสนห้าหมื่นคนได้? มันรบศึกนี้กันยังไง? อย่าบอกนะว่าในห้าหมื่นคนนั้นมียอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพอยู่เยอะ?”

อวี่เลี่ยกล่าวอย่างเศร้าโศกเสียใจว่า “ตามรายงาน! อีกฝ่ายไม่มียอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเลย ไม่มียอดฝีมือบงกชกลายด้วย มีแค่นักพรตบงกชรุ้งร้อยกว่าคน ส่วนที่เหลือเป็นนักพรตบงกชทองทั้งหมด อาวุธที่ยอดเยี่ยมของน่านฟ้าระกาติงก็ไม่ได้แย่กว่าพวกเขาเช่นกัน”

“เหลวไหล!” เซวียนหยวนจัวโมโหแล้ว ตะเบ็งเสียงถามว่า “แล้วมันทำศึกกันยังไง? อย่าบอกนะว่ายืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายฆ่าตามใจชอบ?”

“หนิวโหย่วเต๋อนั่นเป็นแม่ทัพหาญที่หาพบได้ยากจริงๆ…” อวี่เลี่ยรายงานสถานการณ์การรบที่รวบรวมได้ทันที

เซวียนหยวนจัวที่ฟังจบแล้วเผยความดุร้ายบนใบหน้า กัดฟันกล่าวอย่างแค้นเคืองว่า “เหยียนชุน! ถ้าเจ้าไม่ตาย ข้านี่แหละจะสับเจ้าเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นเอง!”

“ท่านโหว ตอนนี้จะทำยังไงดีขอรับ?” อวี่เลี่ยถาม

เซวียนหยวนจัวตกอยู่ในความเงียบ หลังจากยืนเงียบอยู่นานมาก ใบหน้าที่ตึงเครียดก็ค่อยๆ บรรเทาลงแล้วเช่นกัน จู่ๆ ก็ถามว่า “แล้วความเสียหายฝั่งหนิวโหย่วเต๋อเป็นยังไงบ้าง?”

อวี่เลี่ยตอบว่า “รู้รายละเอียดไม่ค่อยชัดเจนขอรับ คนมากมายขนาดนั้น อย่างมากก็เหลือประมาณหมื่นกว่าคนขอรับ เกรงว่าจะมีความเสียหายจากการรบแปดส่วน!”

“หึหึ! เหลือทหารเหนื่อยๆ อยู่แค่หมื่นกว่า ไม่น่าเชื่อว่าจะขับไล่จนทัพใหญ่หลายแสนหนีหัวซุกหัวซุน ตลกแล้ว! เป็นเรื่องที่ตลกมากจริงๆ!” เซวียนหยวนจัวหัวเราะลั่น แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นฟ้าถอนหายใจ “ช่างเป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ดีจริงๆ! ทหารนับหมื่นพันหาได้ง่าย ขุนพลหนึ่งเดียวหายากยิ่ง! ถ้าได้ขุนพลพยัคฆ์แบบนี้ ก็เทียบเท่ากับได้กองทัพที่แข็งแกร่งหนึ่งล้านแล้ว!”

อวี่เลี่ยจึงกล่าวว่า “ฝั่งน่านฟ้าระกาติง ทหารที่หลบหนีมารวมตัวกับกำลังหนุนหนึ่งล้านที่ตามมาทีหลังแล้วขอรับ ข้าสั่งให้ทางนั้นล้อมไว้แล้ว ให้ปราบกำลังพลที่เหลือหนึ่งหมื่นกว่านั่นให้หมด”

“ไม่ต้องแล้ว!” เซวียนหยวนจัวส่ายหน้าอย่างเหน็ดเหนื่อย

“ทำขนาดนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าจะปล่อยพวกเขาไปแบบนี้?” อวี่เลี่ยตกใจ

เซวียนหยวนจัวกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้ายังคิดว่าสิ่งนี้จำเป็นอยู่อีกเหรอ? เจ้าคิดว่าฝั่งหนิวโหย่วเต๋อจะไม่รายงานขึ้นไปขอความช่วยเหลือรึไง? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นครั้งเดียวก็พอแล้ว ถ้าทำสำเร็จสักครั้งก็พอแล้ว จะทำซ้ำๆ อีกได้ยังไง? เจ้าคิดว่าเบื้องบนจะดูไม่ออกเหรอว่าการล้างแค้นของทัพใหญ่หนึ่งล้านนี้มีข้าบงการอยู่เบื้องหลัง? เพียงแต่ถ้าไม่มีหลักฐาน ทุกคนก็ทำอะไรข้าไม่ได้อยู่ดี ฝ่าบาทก็จะปิดตาข้างเดียวไม่สืบสาวเอาเรื่องข้า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะทำเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะแย่น่ะสิ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นคนของกองทัพองครักษ์ ถ้าทำแบบนี้ต่อไปไม่จบไม่สิ้น เจ้าจะให้ฝ่าบาทคิดยังไง? จะให้ผู้บัญชาการองครักษ์มองข้ายังไง? จะให้ฝั่งกองทัพองครักษ์ทนความรู้สึกนี้ได้ยังไง? กำลังพลระดับล่างที่อยู่ฝั่งนี้ ข้าก็ให้โอกาสพวกเขาไปแล้ว แต่พวกเขาคว้าโอกาสไม่ได้เอง! ให้จบลงตรงนี้แล้วกัน ฝ่าบาท นายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ ฝั่งกองทัพองครักษ์ แล้วก็ขุนนางเต็มราชสำนักล้วนเข้าใจ ว่าการที่ข้าทำแบบนี้ถือว่าใจกว้างเมตตาแล้ว! ในตอนที่ราชสำนักเทียบกับกองทัพองครักษ์ไม่ติด ทุกเรื่องล้วนมีขอบเขต ทำอย่างพอเหมาะพอควรก็กลับจะทำให้ฝ่าบาทเข้าใจความเหนื่อยยากลำบากใจของข้าด้วยซ้ำ ให้ฝ่าบาทมองข้าในระดับที่สูงขึ้นหน่อย เข้าใจมั้ย?”

อวี่เลี่ยมองเขาอย่างตะลึงงัน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเข้าใจเรื่องราวหรือไม่ ตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้บัญชาการองครักษ์ถึงต้องแนะนำให้ท่านหัวหน้าภาคขึ้นมานั่งตำแหน่งท่านโหว เป็นเพราะไม่ใช่ว่าหัวหน้าภาคทุกคนของกองทัพองครักษ์จะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้…

วังสวรรค์ ตำหนักหยกอันงดงาม นอกตำหนักฟ้าดินที่สูงใหญ่เต็มไปด้วยสวนของฤดูใบไม้ผลิ ขุนนางหลายร้อยทยอยกันมาถึง โค่ว อิ๋ง ฮ่าว ก่วง สี่อ๋องสวรรค์ทยอยกันปรากฏตัว ทุกคนทำความเคารพกัน

สี่อ๋องสวรรค์ทักทรายปราศัยกัน ยืนอยู่ตรงตำแหน่งแรกที่ตีนบันไดนอกตำหนัก ระหว่างนั้นก็คุยกันบ้างเป็นครั้งคราว

ผ่านไปไม่นาน เซี่ยโห้วท่าที่ค้ำไม้เท้าก็เดินเนิบนาบเข้ามา ทุกคนทำความเคารพอีกครั้ง เมื่อเดินมาอยู่ข้างหน้าสุด สี่อ๋องสวรรค์ก็กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ท่านปู่สวรรค์”

เซี่ยโห้วท่าหัวเราะเบาๆ และคุยเล่นเรื่อยเปื่อยระหว่างกัน เมื่อเห็นว่าโยงไปโยงมาแต่ไม่เข้าประเด็นหลักสักที เซี่ยโห้วท่าจึงหรี่ตาพร้อมถามว่า “อ๋องสวรรค์ก่วง ได้ยินว่าน่านฟ้าระกาติงของเจ้าเกิดเรื่องนิดหน่อยเหรอ?”

ก่วงลิ่งกงตอบเสียงเรียบว่า “เหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ตอนนี้ยังสืบไม่ชัดเจน กำลังให้คนสืบอย่างละเอียดอยู่พอดี ท่านปู่สวรรค์ข่าวไวเชียวนะ ไม่ทราบว่ามีอะไรจะชี้แนะหรือขอรับ?”

เซี่ยโห้วท่าชำเลืองมองอีกสามคนที่ยังนิ่งเฉยใจเย็นเหมือนจะไม่รู้อะไรสักอย่าง แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เรื่องที่ยังไม่มีหลักฐาน ตาแก่คนนี้ก็แค่ฟังมาเท่านั้น ชี้แนะอะไรไม่ได้หรอก”

คนที่อยู่ข้างๆ เห็นคนพวกนี้กำลังพูดจาเหมือนทายปริศนา พวกเขาจึงแกล้งโง่ตาม บางคนก็ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ

ผ่านไปไม่นาน จู่ๆ ก่วงลิ่งกงก็หยิบระฆังดาราอันหนึ่งที่สั่นออกมา แล้วถือโอกาสวางไว้ในแขนเสื้อ ใช้เวลาไม่นานก็ทำสีหน้าตะลึงงันอย่างเห็นได้ชัด เขาหันหน้ามาช้าๆ สายตาไปหยุดตรงท่านโหวเซวียนหยวนที่อยู่ในกลุ่มคนข้างหลัง แล้วก็จ้องเพียงครู่เดียวเท่านั้น ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก

สายตาของอ๋องสวรรค์อีกสามคนวูบไหว จู่ๆ เห็นเซี่ยโห้วท่าถือระฆังดาราอันหนึ่งเข้าไว้ในแขนเสื้อ แล้วไม่นานก็เห็นเซี่ยโห้วท่าทำสีหน้าตกตะลึงอีก เห็นเขาหันหน้าช้าๆ ไปหาท่านโหวเซวียนหยวนที่อยู่ในกลุ่มคนข้างหลังเช่นกัน

อ๋องสวรรค์ทั้งสามหันไปมองท่านโหวเซวียนหยวนเช่นกัน แต่กลับเห็นท่านโหวเซวียนหยวนมีสีหน้าสงบใจเย็น กำลังพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับเพื่อนร่วมงาน เหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลย

ไม่รู้จริงเหรอ? ความคิดบางอย่างปิดบังทั้งสามไม่ได้ เรื่องที่สามารถทำให้เซี่ยโห้วท่ากับก่วงลิ่งกงเสียอาการต่อหน้าฝูงชนต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน ตอนนี้กำลังจะเข้าประชุมราชสำนักแล้ว ถ้าไม่รู้แม้กระทั่งเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้ามีเรื่องอะไรเอ่ยขึ้นในราชสำนัก แต่ทางนี้กลับไม่รู้สถานการณ์อะไรเลยสักนิด แบบนั้นจะไม่ลนลานทำอะไรไม่ถูกหรอกเหรอ

อ๋องสวรรค์ทั้งสามแทบจะหยิบระฆังดารามาวางในแขนเสื้อแล้วติดต่อคนของตัวเองพร้อมกัน สั่งให้รีบตรวจสอบ!

“น่านฟ้าระกาติงแย่งผลงาน? ทั้งยังจะฆ่าปิดปากด้วย? ไม่อาจนั่งรอความตายถึงได้โจมตีกลับเหรอ?”

ในตำหนักดาราจักร ประมุขชิงสีหน้าขรึมเครียด เขายืนอยู่ตรงหน้าโพ่จวิน เอามือไขว้หลัง ถามกลับทีละประโยค แล้วสุดท้ายก็ถามเน้นย้ำทีละคำว่า “เจ้าเชื่อเหรอ?”

พวกซ่างกวนชิงนิ่งเงียบ ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าในนั้นเกี่ยวข้องกับอวิ๋นจือชิว เกรงว่าทุกคนคงจะเชื่อไปแล้วจริงๆ

โพ่จวินกลืนน้ำลายอย่างคอแห้ง แต่ไหนแต่ไรมาเขามีความมั่นใจเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าประมุขชิง เป็นคนที่กล้าชี้หน้าด่าประมุขชิงด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกทำให้เสียความมั่นใจขนาดนี้ ถูกประมุขชิงสืบสวนจนไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ว่ากันตามจริง เขาเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน แต่ว่า…เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า  “ข้างล่างรายงานขึ้นมาตามความจริง ไม่สามารถสืบหาสาเหตุได้ภายในเวลาสั้นๆ ขอรับ ข้าน้อยก็ทำได้เพียงอธิบายตามเรื่องที่เกิดขึ้นจริง”

ประมุขชิงโมโหแล้ว ชี้หน้าโพ่จวินพร้อมด่ายับ “ตาแก่ปัญญาทึบ นึกไม่ถึงว่าแม้แต่เจ้าก็กำลังถือหางปกป้อง! กองทัพองครักษ์ของข้าขาดการควบคุมแล้ว เจ้ายังคิดจะทำอะไรอีก?”

โพ่จวินกุมหมัดคารวะ ไม่เกรงใจเลยสักนิด เถียงกลับไปตรงๆ เลยว่า “ข้าน้อยไม่ได้ถือหางปกป้อง แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้ตรวจสอบความจริง จึงไม่สะดวกจะหาข้อสรุปขอรับ ต่อไปถ้าตรวจสอบเจอว่าหนิวโหย่วเต๋อเล่นไม่ซื่อจริงๆ กฎทหารของหน่วยองครักษ์ซ้ายก็ไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่!”

ประมุขชิงหัวเราะแห้งๆ “เจ้ายังกล้าปากแข็งอีก! ชัดเจนแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นวางกับดักให้คนของน่านฟ้าระกาติงเข้าไปติด คิดว่าข้าโง่รึไง! เจ้าลูกลิงนั่นนับวันจะยิ่งใจกล้าขึ้นแล้ว ยิ่งนับวันจะยิ่งไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา…” เขาหันขวับ แล้วตะคอกใส่เกาก้วนว่า “เกาก้วน สั่งให้หน่วยตรวจการขวาจับตัวหนิวโหย่วเต๋อมาเดี๋ยวนี้ ลงโทษอย่างหนักให้ใต้หล้าได้เห็น!”

เกาก้วนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง หยิบระฆังดาราออกมากำลังจะปฏิบัติตาม แต่ใครจะคิดว่าโพ่จวินจะตะคอกอย่างโมโหว่า “ขุนนางทรราช! เจ้ากล้าเหรอ!”

เกาก้วนที่โดนด่าว่า ‘ขุนนางทรราช’ อึ้งนิดหน่อย ในมือถือระฆังดารามองไปที่ประมุขชิง

ประมุขชิงถลึงตาจ้องโพ่จวินอย่างเดือดดาล แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “ตาแก่ปัญญาทึบ! เจ้าว่าอะไรนะ? ในสายตาของเจ้า คนที่ปฏิบัติตามคำสั่งของข้าเป็นขุนนางทรราชหมดเลยใช่มั้ย? ในสายตาเจ้าข้าคือทรราชคนหนึ่งใช่มั้ย?”

ตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาระงับไฟโกรธได้เสมอ แต่กับโพ่จวินเขาทำไม่ไหวจริงๆ เพราะคนอื่นเห็นเขาเป็นประมุขของใต้หล้า มีเพียงโพ่จวินเท่านั้นที่ยามอยู่ต่อหน้าเขาแล้วนึกจะด่าก็ด่า ไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด สำหรับคนที่เป็นประมุขสูงส่งอย่างเขา ก็ไม่อาจทนข่มไฟโกรธนั่นได้อีกแล้ว!

โพ่จวินตอบอย่างโมโหว่า “เรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกตรวจสอบให้ชัดเจน จะขาวจะดำก็ยังไม่รู้ชัด แต่ก็ลงโทษขุนนางตำหนักสวรรค์แล้ว เอากฎสวรรค์ไปวางไว้ตรงไหนแล้วล่ะ ถ้าเกาก้วนไม่ใช่ขุนนางทรราชแล้วจะเป็นอะไร?”

ประมุขชิงโมโหจนตัวสั่น แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับด่าตนว่าเป็นทรราช เพราะเขาเป็นคนสั่งให้เกาก้วนทำแบบนี้ จู่ๆ เขาก็ตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “ทหาร! ลากตาแก่ปัญญาทึบนี่ออกไปประหาร!”

…………………………

นางยิ่งรู้ชัดกว่านั้น ว่าพอกองทัพองครักษ์มีประวัติที่แข็งแรงส่วนนี้อยู่ในมือ ในภายหลังไม่ว่าจะมีการเลื่อนตำแหน่งเมื่อไร ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางมองข้ามมู่อวี่เหลียนคนนี้ ขอเพียงนึกถึงผลงานในการรรบส่วนนี้ของมู่อวี่เหลียน คาดว่าไม่ว่าคู่ต่อสู้คนไหนก็ไร้ความมั่นใจทั้งนั้น!

แต่นางก็เข้าใจเช่นกัน ว่าสาเหตุที่ได้ผลการงานรบนี้มาเป็นของใคร!

มู่อวี่เหลียนหันหน้าช้าๆ ไปมองที่เหมียวอี้ ในแววตาสื่ออารมณ์หลากหลาย ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ถ้าไม่ใช่เพราะคนคนนี้ใช้เล่ห์เหลี่ยมทำศึกในยาวหน้าสิ่วหน้าขวานครั้งสุดท้าย เกรงว่ากำลังพลธงพยัคฆ์ครึ่งหนึ่งนี้คงจะตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะตายหมดอย่างเลี่ยงไม่ได้ แค่ความลึกซึ้งลุ่มลึกเพียงประเดี๋ยวเดียวนั่น ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้พลิกจากแพ้เป็นชนะได้อย่างอัศจรรย์แล้ว ชนะจนทุกคนยังทำใจเชื่อได้ยาก

พอลองคิดดูให้ละเอียด ที่จริงการบัญชาการรบที่สุขุมใจเย็นของท่านแม่ทัพภาคคนนี้ก็ได้ช่วยชีวิตทุกคนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

ในช่วงเวลาสำคัญของสถานการณ์วิกฤติ เขาอาศัยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวอันเหลือเชื่อออกคำสั่งให้ลงมือก่อน กำจัดมือธนูส่วนใหญ่ของกองทัพฝ่ายศัตรูทิ้ง นี่คือกุญแจสำคัญของกุญแจสำคัญทั้งหมดในตอนหลัง ถ้าไม่มีกลยุทธ์ในตอนแรก ก็ไม่มีชัยชนะในตอนนี้

จากนั้นเมื่อเผชิญสถานการณ์อันตรายอีกครั้ง ท่านแม่ทัพภาคคนนี้ก็สร้าง ‘หน่วยกล้าตาย’ อีกครั้งอย่างไม่ลังเล เอาตัวเองเป็นกองหน้านำทหารกล้าร้อยคนรุกโจมตี กำจัดผู้บัญชาการทัพฝ่ายศัตรูในรวดเดียว ทำให้อีกฝ่ายเป็นมังกรไร้หัว ไม่มีขีดจำกัดในการบัญชาการ แล้วก็เจาะเปลือกหาจุดอ่อนสร้างความปั่นป่วนให้ทัพใหญ่ฝ่ายศัตรู

ยามเผชิญหน้ากับวิกฤติ ก็เป็นท่านแม่ทัพภาคคนนี้ที่ออกคำสั่งให้ธงพยัคฆ์น้ำเงินเลิกตั้งรับอย่างไม่ลังเล แล้วยอมทุ่มสุดตัว อาศัยกำลังคนที่น้อยกว่ารุกโจมตี วางแผนถ่วงเวลาไม่ให้ฝ่ายศัตรูแย่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไป

วิกฤติเกิดขึ้นไม่หยุด แต่ก็ยังเป็นท่านแม่ทัพภาคคนนี้ที่ลงมืออย่างเด็ดขาด ละทิ้งโอกาสคว้าชัยชนะครั้งสุดท้ายของฝ่ายตัวเอง ฝังธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุนั้นลงหลุมไปด้วยกัน และตัดความหวังของฝ่ายศัตรูในการแย่งชิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โดยสิ้นเชิง

จากนั้นภายใต้สถานการณ์ที่รบแพ้แน่นอน แต่ยังพลิกวิกฤติได้ ทำศึกไม่หน่ายกลยุทธ์พลิกจากแพ้เป็นชนะ!

พอย้อนนึกทีละเรื่องทีละเรื่อง มู่อวี่เหลียนก็เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ว่าศึกนี้ถ้าไม่ใช่ท่านแม่ทัพภาคคุมศึกด้วยตัวเอง ลงสนามคุมสถานการณ์ด้วยตัวเอง ธงพยัคฆ์น้ำเงินต้องแพ้ศึกนี้แน่นอน!

ตอนนี้มู่อวี่เหลียนกำลังมองเหมียวอี้ ในใจเรียกได้ว่าปลงอนิจจังไร้ที่สิ้นสุด ในฐานะที่เป็นนายพลหลัก แต่ความสามารถในการบัญชาการยามหน้าสิ่วหน้าขวาน นางก็ยังทอดถอนใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้ นึกย้อนไปตอนปีแรกที่มาธงพยัคฆ์ดำแล้วเจอหนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดังครั้งแรก ตัวเองยังรู้สึกไม่ยอมนิดหน่อย สุดท้ายก็โดนอีกฝ่ายบีบจุดอ่อนให้ยอมจำนนก้มหัว

พอมานึกดูตอนนี้ ก็พบว่าเก่งกาจสมชื่อจริงๆ การที่ตัวเองพ่ายแพ้นิดหน่อยก็ไม่รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลยสักนิด

ในตอนนี้นางเรียกได้ว่ายอมจำนนต่อท่านแม่ทัพภาคคนนี้จากใจจริง

กลุ่มนักพรตบงกชรุ้งมองไปที่เหมียวอี้ด้วยแววตาเคารพนับถือถึงขีดสุด

ขณะมองตามเงาคนที่หนาแน่นหนีกระจัดกระจายไปในดาราจักร ในที่สุดเหมียวอี้ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาลองนับดูแบบหยาบๆ คาดว่าทัพใหญ่หนึ่งล้านของฝ่ายตรงข้ามน่าจะมีคนหนีไปเกือบครึ่งหนึ่ง หรือพูดได้อีกอย่างว่าศึกนี้ฝ่ายเขาสังหารทัพใหญ่ห้าแสนของฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว!

ข้างหลังมีเสียงดีใจโห่ร้องดังต่อเนื่องเป็นระลอก เหมียวอี้ได้สติกลับมา หันตัวมามองคนพวกนี้แล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มบางๆ เป็นชัยชนะที่ได้รอดชีวิตจากวิกฤติ ความยินดีปรีดานี้ก็พอจะเข้าใจได้ ควรค่าให้พวกเขาโห่ร้องอย่างดีใจเช่นกัน ถึงอย่างไรก็รอดชีวิตมาได้แล้ว!

แต่เขากลับดีใจไม่ออกเลยสักนิด เดิมทีมีห้าหมื่นกว่าคน แต่ดูสิว่าตรงหน้านี้มีคนที่สะบักสะบอมเหมือนปีนขึ้นจากบ่อเลือดเหลืออยู่เท่าไร? เดาว่าเหลืออยู่ประมาณหมื่นกว่าคนแล้ว หรือพูดได้อีกอย่างว่า ในศึกนี้อัตราการสูญเสียกำลังพลสูงถึงแปดส่วน!

สำหรับทัพใหญ่กลุ่มนี้ การตายแปดส่วนมีความหมายแฝงว่าอะไรล่ะ? หมายความว่ารากฐานของทัพใหญ่ถูกโจมตีจนพิการแล้ว แต่นี่ก็คือชัยชนะของทัพพิการที่ยืนหยัดมาได้จนถึงตอนสุดท้าย แม้จะเผชิญหน้ากับทัพใหญ่หลายแสน!

สุดท้ายเขาก็ใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีเพื่อปกป้องคนพวกนี้เอาไว้ได้ แต่เรื่องที่มีคนรบตายไปสี่หมื่นกว่าคนก็ไม่มีทางกู้สถานการณ์กลับมาได้แล้ว!

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลที่ตามมาจากความรู้สึกส่วนตัวของเหมียวอี้ เพื่อที่จะเติมเต็มความพึงพอใจส่วนตัวของเขา กำลังพลสี่หมื่นที่ใช้ชีวิตอยู่ดีๆ กลับต้องเอาชีวิตมาทิ้ง ทั้งยังมีศพกำลังพลหลายแสนของน่านฟ้าระกาติงทีเกลื่อนกลาดเต็มสนามรบอีก

ความรู้สึกส่วนตัวครั้งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เต็มไปด้วยบาปกรรม และทำให้เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเช่นกัน จะให้เขาดีใจออกได้อย่างไร

เขาไม่ดีใจเลยสักนิด เรื่องบางเรื่องสุดท้ายแล้วก็ไม่อาจเอากระดาษมาคลุมดับไฟได้ สุดท้ายจะให้คนพวกนี้มองตัวเองอย่างไร?

ว่ากันตามจริง ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่าจะเป็นกับกำลังพลตำหนักสวรรค์หรือกับกองมังกรดำใตบังคับบัญชา เขาไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันสักเท่าไร เขาคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นแขกคนหนึ่งที่ผ่านมาเท่านั้น ไม่คิดจะเดินไปพร้อมกับคนพวกนี้จนถึงตอนสุดท้าย เขาเตรียมตัวจะหนีอยู่ตลอดเวลา แต่ละก้าวที่เขาเดินมาจนถึงทุกวันนี้ ผ่านการเข่นฆ่าทั้งเล็กทั้งใหญ่มาเยอะขนาดไหน ขนาดตัวเขาเองยังนับไม่ถ้วนเลย นับไม่ถูกเช่นกันว่าข้างกายตัวเองมีคนตายไปเท่าไร เขาคุ้นชินกับสิ่งนี้นานแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่เก็บเรื่องการสละชีวิตเล็กน้อยมาใส่ใจ

แต่ในครั้งนี้ เมื่อเห็นการเข่นฆ่าอันดุเดือดยืนหยัดมาจนถึงตอนสุดท้าย ระหว่างนั้นถึงขั้นมีหลายครั้งที่เอาตัวเองล่อศัตรูแล้วตะโกนให้เขาหนีไปก่อน บรรดาคนอาบเลือดผู้รอดชีวิตที่ปีนออกมาจากกองคนตาย มโนธรรมของเขารู้สึกผิดจริงๆ รู้สึกว่าทำผิดต่อคนพวกนี้!

“ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่นายท่านมาคุมการรบด้วยตัวเอง คุมสถานการณ์การรบด้วยตัวเอง ก็คงจะไม่มีชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้!” มู่อวี่เหลียนกุมหมัดคารวะด้วยความเคารพนับถือ เป็นการขอบคุณแทนทุกคนเช่นกัน

เหมียวอี้รู้สึกผิดในใจ ไม่อยากรับความดีความชอบนี้ จึงได้แต่ยิ้มเรียบๆ พร้อมบอกว่า “ข้าก็ไม่ได้ฆ่าศัตรูไปเยอะเท่าไรหรอก เป็นพวกพี่น้องที่สละชีวิตทำศึก ยืนหยัดมาจนถึงตอนสุดท้าย ถึงได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด ความดีความชอบไม่ได้อยู่ที่ข้า แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนเอาชีวิตแลกมา”

มู่อวี่เหลียนไม่เข้าใจความรู้สึกเขา จึงยิ้มพร้อมบอกว่า “ความถูกผิดและความยุติธรรมล้วนอยู่ในใจคน ทุกคนได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว นายท่านถ่อมตัวเกินไป”

“ถ่อมตัวเกินไปเหรอ? ขอเพียงในภายหลังทุกคนไม่เกลียดข้าก็พอแล้ว!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ เมื่อเห็นมู่อวี่เหลียนก็ยังต้องเกรงใจ ยกมือขึ้นตัดบทแล้วเปลี่ยนประเด็นสนทนา “อย่ามัวชักช้าอยู่ที่นี่เลย กลับกันเถอะ ตามหาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่ฝังอยู่ใต้ดินออกมาให้หมด อย่าให้เหลือตกหล่น”

มู่อวี่เหลียนเข้าใจแล้ว ต่อให้ตำหนักสวรรค์จะทิ้งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไว้คันเดียวก็ต้องตามหาให้พบ มิหนำซ้ำนี่ยังเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เกือบหนึ่งแสน ถ้าทำหายไปก็ไม่มีใครรับผิดชอบไหว ความรับผิดชอบนี้ แม้แต่น่านฟ้าระกาติงที่รบแพ้ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ แต่พวกเขาที่รบชนะแล้วไม่ยอมเก็บกวาดให้เรียบร้อย ปล่อยให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หายไปจะต้องรับผิดชอบแน่นอน พอนึกถึงตอนที่ตำหนักสวรรค์เคลื่อนไหวก่อความวุ่นวายในตลาดผีเพื่อธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นที่หายไป เขาก็รู้ถึงความร้ายแรงของมันแล้ว ดังนั้นต่อให้รู้ว่าอาจจะมีอันตรายเกิดขึ้น แต่ก็จะต้องหากลับมาให้ได้ อย่าให้ขาดไปแม้แต่คันเดียว แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าหาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นมาไว้ในมือได้ ก็พอจะมีหลักประกันอยู่บ้าง

“รับทราบ!” นางเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปจัดทัพทันที

จากนั้นทุกคนก็รีบกลับไปยังดาวเคราะห์ก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว

ระหว่างทาง มีคนไม่น้อยรีบกินยาฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ ขณะเดียวกันก็เติมพลังงานให้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของตัวเอง ส่วนมู่อวี่เหลียนก็รีบนับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรบ

ทั้งธงพยัคฆ์น้ำเงินมีกำลังพลประมาณสามแสนสามพัน ครั้งนี้มู่อวี่เหลียนได้รับคำสั่งให้นำกำลังพลมาห้าหมื่น ที่รอดชีวิตอยู่มีเพียงหนึ่งหมื่นกับเศษร้อยเท่านั้น มีคนรบตายไปเกือบสี่หมื่นคน ในจำนวนนั้นนักพรตบงกชรุ้งก็โดนล้อมโจมตีในตอนสุดท้ายจนตายไปครึ่งหนึ่งเช่นกัน เหมียวอี้นำคนไปด้วยหนึ่งร้อยสามคน ตอนนี้เหลืออยู่ห้าสิบคนพอดี ที่เหลือรบตายหมดแล้ว ความเสียหายในการรบสูงถึงแปดส่วนจริงๆ เสียหายอย่างหนัก!

หลังจากได้ยินมู่อวี่เหลียนรายงานแล้ว เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาด้วยใบหน้าตึงเครียด ติดต่อหัวหน้าภาคอวี่จ้งเจินของทัพเป่ยโต้ว พอเอ่ยปากก็บอกไปเพียงว่า : น่านฟ้าระกาติงก่อกบฏ!

อวี่จ้งเจินถูกเขาทำให้ตกใจแทบแย่ ล้อเล่นอะไรกัน เจ้าเวรนี่มันกำลังเล่นบ้าอะไร หยุดพักก่อนได้มั้ย? น่านฟ้าระกาติงจะก่อกบฏได้อย่างไร! ยังไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์โดยรวมตอนนี้ ทุกวันนี้น่านฟ้าระกาติงถูกควบคุมโดยกำลังพลที่ดึงตัวไปจากกองทัพองครักษ์ ถ้ามีคนกบฏจริงๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เบื้องบนจะไม่รู้ข่าวเลยสักนิด!

อวี่จ้งเจินถามอย่างร้อนใจว่า : มันเรื่องอะไรกันแน่!

เหมียวอี้รายงานสถานการณ์รบทันที : น่านฟ้าระกาติงก่อกบฏ! ระดมทัพใหญ่หนึ่งล้านมาล้อมโจมตีกำลังพลห้าหมื่นของข้า กำลังพลที่ติดตามกองมังกรดำเข่นฆ่าอย่างดุเดือด โจมตีทัพกบฏหนึ่งล้านจนแตกพ่าย ประหารคนในทัพกบฏไปประมาณห้าแสน ฝ่ายเรารบตายไปเกือบสี่หมื่น มีเหลือรอดอยู่ประมาณหนึ่งหมื่นกว่าคน จอให้หัวหน้าภาครายงานตำหนักสวรรค์ให้ส่งกำลังพลมากวาดล้างน่านฟ้าระกาติงทันที!

อวี่จ้งเจินฟังจนอกสั่นขวัญแขวน เดิมทีนึกว่าเหมียวอี้กำลังพูดจาเหลวไหล ทัพใหญ่หนึ่งล้านล้อมโจมตีกำลังพลห้าหมื่นของเจ้า แถมเจ้ายังโจมตีอีกฝ่ายแพ้ด้วยเหรอ? ทั้งยังฆ่าได้ห้าหมื่นกว่าคน? อาศัยแค่กำลังพลธงพยัคฆ์ครึ่งเดียวของเจ้าเนี่ยนะ ขี้โม้เกินไปแล้วรึเปล่า!

แต่ถ้าจะบอกว่าเหมียวอี้เอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นกับผู้บังคับบัญชาอย่างเขา ไม่เหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่ควรจะเล่นกับผู้บังคับบัญชาสิ นี่มันเรื่องใหญ่นะ การล้อเล่นแบบนี้ในกองทัพไม่ถือว่าเป็นการล้อเล่นแล้ว เป็นการหาเรื่องใส่ตัวมากกว่า

คงไม่ใช่เรื่องจริงหรอกใช่มั้ย? อวี่จ้งเจินยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ไม่สนใจที่จะด่าเหมียวอี้แล้ว รีบเรียกคนของทัพกลาง ให้เขารีบติดต่อสายลับที่วางกำลังไว้ข้างล่างเพื่อถามสถานการณ์ให้ละเอียด

เขาติดต่อคนหลายคนที่รับหน้าที่เป็นสายลับไม่ได้ ขาดการติดต่อแล้วโดยสิ้นเชิง สุดท้ายก็ติดต่อได้แค่สายลับสองคนที่อยู่ในธงพยัคฆ์ ตอนยังไม่ถามก็ยังไม่รู้ แต่พอถามแล้วก็ตกใจทันที

เมื่อเปรียบเทียบเหตุการณ์ที่สายลับรายงานกับที่เหมียวอี้รายงานก็ยิ่งรู้ชัด ว่าเป็นความจริงไม่ผิดพลาดแน่นอน มันคือศึกนองเลือด! เป็นศึกเลือดที่กำลังพลห้าหมื่นสู้กับกำลังพลหนึ่งล้าน!

ในที่สุดก็รู้แล้วว่าทำไมติดต่อสายลับของเขาไม่ได้เลย เพราะรบตายไปหมดแล้ว!

อวี่จ้งเจินที่ยืนอยู่หลังโต๊ะยาวตะลึงค้างอย่างถึงที่สุด เขาหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “บ้าไปแล้ว! ทุกคนบ้าไปแล้ว!”

คนที่รับหน้าที่วางกำลังสายลับก็ยืนเหม่อเช่นกัน…

หลังจากได้สติกลับมาแล้ว อวี่จ้งเจินก็ขมวดคิ้ว จากที่สายลับเพิ่งรายงานรายละเอียดมาเมื่อครู่นี้ก็รู้แล้ว จะบอกว่าน่านฟ้าระกาติงก่อกบฏก็เหมือนจะพูดเกินไป ดูแล้วเหมือนจะล้างแค้นให้ฉู่จื่อซานมากกว่า! แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะรวบรวมกำลังพลหนึ่งล้านมาโจมตีอย่างบ้าคลั่งเพื่อการล้างแค้นนี้ นี่ต้องใช้ความแน่วแน่สักแค่ไหนกัน ถ้าจะบอกว่าเบื้องหลังไม่มีใครบงการ เขาก็ไม่เชื่อหรอก!

เขาพอจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว หยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อผู้ตรวจการใหญ่ฮวาอี้เทียนของหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รายงานสถานการณ์ให้ฟังโดยละเอียด แต่กลับไม่ยอมบอกว่าน่านฟ้าระกาติงก่อกบฏ มันคาบเส้นระหว่างล้างแค้นกับก่อกบฏ ให้เบื้องบนไปตัดสินใจเอาเอง

เขาไม่มีทางทำตัวเป็นคนบ้าเหมือนเหมียวอี้ ที่พอเอ่ยปากก็เล่นงานน่านฟ้าระกาติงให้ถึงตาย ถ้ายืนยันซ้ำๆ ว่าอีกฝ่ายก่อกบฏ เจ้ารู้มัย้ว่าก่อกบฏหมาความว่าอะไร? ผลลัพธ์นั้นต้องทำให้หัวคนร่วงลงพื้นเท่าไรถึงจะทำให้สงบได้? เกรงว่าท่านโหวที่อยู่เบื้องบนของน่านฟ้าระกาติงก็หลุดพ้นข้อหาได้ยากเช่นกัน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวมของกองทัพองครักษ์ ดังนั้นเรื่องบางเรื่องเขาไม่อาจพูดตัดสินซี้ซั้วได้!

เพียงแต่หลังจากรายงานขึ้นไปแล้ว เขาก็ยังชาวาบหนังศีรษะเหมือนเดิม เขาเอนกายบนเก้าอี้ มองเพดานโค้งพลางพึมพำกับตัวเองว่า “กำลังพลห้าหมื่นตีทัพที่แข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติงแตกพ่าย น่านฟ้าระกาติงมันรบยังไงของมัน…”

กำลังพลกลับมาที่สนามรบอันดุเดือด เหยียบลงในพื้นที่ดินที่พลิกม้วนจนเป็นร่องแอ่ง มองดูฉากที่มีศพเกลื่อนกลาด พอพลิกผิวดินขึ้นมาก็ยังมีศพอีกไม่น้อยที่โดนฝังอยู่ครึ่งเดียว บ้างก็มีแขนโผล่ออกมาข้างหนึ่ง บ้างก็มีต้นขาโผล่ออกมาข้างหนึ่ง บ้างก็มีตัวโผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง เป็นฉากที่น่าสังเวชใจเป็นอย่างยิ่ง

กลุ่มคนที่ระหว่างทางยังปลาบปลื้มยินดีเพราะรบชนะเงียบกริบทันที มีคนไม่น้อยที่น้ำตาไหลโดยไร้เสียงสะอื้น

พอนึกถึงการเข่นฆ่าอันดุเดือด เสียงตะโกนฆ่าที่ดังฮึกเหิมราวกับยังดังก้องอยู่ข้างหูตัวเองไม่หยุด ภาพลูกน้องที่ส่งเสียงกรีดร้องและร่วงตกพื้นราวกับห่าฝนยังติดตาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ๆ มู่อวี่เหลียนที่ถือทวนค้ำพื้นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าศพลูกน้องคนสนิทของตัวเองพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองหน้า…

…………………………

ด้านบนมีคนไม่น้อยที่งงเป็นไก่ตาแตก มีคนตายไปเยอะมากเพื่อที่จะแย่งชิงพื้นที่นี้ เรียกได้ว่าเอาชีวิตคนทิ้งไปเป็นกอง ผลปรากฏว่าตายเปล่า ตอนนี้ไม่ว่าฝ่ายไหน ถ้าคิดจะขุดหลุมหาธนูฝ่าที่อยู่ใต้ดินอย่างสงบใจก็เป็นไปไม่ได้แล้ว นอกเสียจากจะกำจัดอีกฝ่ายทิ้งก่อน ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็ไม่มีทางค้นหาอย่างสงบใจได้เลย

แต่ฝั่งน่านฟ้าระกาติงก็ยังฮึกเหิมมีพลัง เมื่อไม่มีภัยคุกคามอย่างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะร้ายกาจแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี ต่อให้ต้องใช้คนเป็นกองแต่ก็ต้องทำให้คนของหนิวโหย่วเต๋อตายเป็นกองให้ได้ ผลลัพธ์นี้ก็ไม่ได้แย่สำหรับกองมังกรดำเช่นกัน ต่อให้สู้ไม่ชนะแต่ก็ยังยืนหยัดอดทนได้อีกหน่อย ต่อให้ต้องตายแต่ก็ขอดึงให้ฝ่ายตรงข้ามมาตายด้วยกันเยอะๆ ด้วยแล้วกัน

ทหารฝ่ายศัตรูที่อยู่ข้างล่างเห็นเหมียวอี้นำคนเข้ามาสังหาร รู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ จึงรีบโบกทวนตะโกนสั่งว่า “พี่น้องทั้งหลาย ร่วมแรงกันกำจัดกำลังหลักของอีกฝ่ายก่อน แล้วคอยดูว่าโจรกระจอกมันจะหนีไปไหนได้!” พูดจบก็นำคนกลุ่มหนึ่งหลบหลีกเหมียวอี้ ไม่เก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้วเช่นกัน รีบพุ่งตัวขึ้นฟ้า กลับเข้ามาสังหารในทัพใหญ่ที่กำลังตะลุมบอน

ในการต่อสู้ที่อุตลุตวุ่นวาย นักพรตบงกชรุ้งคนหนึ่งของธงพยัคฆ์น้ำเงินใช้ทวนแทงนักพรตบงกชทองคนหนึ่ง แต่จู่ๆ ก็มีง้าวยาวด้ามหนึ่งยื่นเข้ามา “แกร๊ง” เกี่ยวหัวทวนที่แทงทะลุคนคนนั้นออกมา นักพรตบงกชรุ้งคนหนึ่งของน่านฟ้าระกาติงประลองกับเขาแล้ว ชะงักค้างอยู่ด้วยกันอย่างนั้น

ฝั่งธงพยัคฆ์น้ำเงินมีลูกน้องสิบกว่าคนออกมาสังหารทันที ดาบและทวนฟันไปยังศัตรูที่อยู่ตรงข้ามพร้อมกัน บนใบหน้าศัตรูฉายแววดุร้าย นักพรตบงกชรุ้งธงพยัคฆ์น้ำเงินหันขวับไปเห็นศัตรูสามคนเหาะลงมาจากฟ้า ร่วมมือกันโผเข้ามาสังหารเขา แต่ทวนยาวในมือเขาโดนคนเกี่ยวไว้ เขาจึงรีบปล่อยมือทิ้งอาวุธ แต่ก็สายไปเสียแล้ว จะหลบก็หลบไม่ทัน โดนดาบด้ามหนึ่งฟันลงมาบนแขนอย่างบ้าระห่ำ

โชคดีที่สวมเกราะรบผลึกแดงที่เหมียวอี้ให้ไว้ แกร๊ง! โดนโจมตีไปหนึ่งที แต่ก็กลับฟันไม่เข้า ทว่าทั้งร่างกายโงนเงนโซเซ จู่ๆ ข้างกายก็มีแสงสะท้อนคมอาวุธวับวาบ มีคนฉวยโอกาสปาดคอเขาแล้ว น้ำเลือดสีแดงสดสายหนึ่งพุ่งออกมา

ในเมื่อไม่มีใครได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไป ฝั่งน่านฟ้าระกาติงกลับก็วางใจหายห่วง เริ่มโจมตีโต้ตอบแบบรอบด้าน นายพลบงกชรุ้งหลายร้อยกระจายกันโผเข้ามา ล้อมนายพลฝั่งธงพยัคฆ์น้ำเงินเอาไว้ ล้อมแบบสามสี่คนต่อหนึ่งคน

พอคนถือธงของทัพกลางธงพยัคฆ์น้ำเงินโดนฟันตาย ธงรบกำลังเอนล้มลง ก็มีคนพุ่งเข้ามารับธงเอาไว้ ส่วนมู่อวี่เหลียนที่อยู่ใต้ธงรบก็ยิ่งขื่นขมจนเกินทน นักพรตบงกชรุ้งเกือบห้าสิบคนล้อมโจมตีนางและนักพรตบงกชรุ้งของทัพกลางอีกสิบกว่าคน ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ฆ่านายพลของนางไปหกคนแล้ว คนที่เหลือกำลังพยายามล้อมปกป้องนางสุดชีวิต

“ฆ่า!” ข้างล่างมีเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด เหมียวอี้นำขุนศึกสิบคนพุ่งขึ้นมาจากข้างล่าง โจมตีนักพรตบงกชรุ้งหลายสิบคนที่ล้อมโจมตีมู่อวี่เหลียนจนหนีหัวซุกหัวซุน เหลือไว้เพียงศพสามศพ

“นายท่าน! ท่านถอยออกไปก่อน!” มู่อวี่เหลียนที่เลือดท่วมตัวกล่าวอย่างตื้นตันใจ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เหมียวอี้ช่วยชีวิตนางไว้ ก่อนหน้านี้ก็ใช้ลูกธนูดาวตกแก้ไขวิกฤติ และทั้งตัวนางก็เปื้อนปนไปด้วยเลือดเหมือนคลานขึ้นมาจากกองเลือดสด สภาพไม่เป็นผู้ไม่เป็นคนแล้ว

ที่จริงทั้งธงพยัคฆ์น้ำเงินก็มีสภาพเป็นแบบนี้ แต่ละคนราวกับแช่น้ำเลือดมา แทบจะไม่ได้พักหอบหายใจ ฆ่าฟันอย่างบ้าคลั่งตลอดทาง รู้จักแต่ฆ่าฆ่าฆ่า ศัตรูที่ล้อมอยู่รอบข้างก็เหมือนจะฆ่าเท่าไรก็ไม่หมดเสียที ฆ่าคนจนชินชาแล้ว พลังอิทธิฤทธิ์ก็เสียไปเยอะมาก สังหารจนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่พอฆ่าหมดกลุ่มหนึ่งก็มีอีกกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาอีก พวกเขากำลังยืนหยัดเพราะอาศัยปณิธาน ข้างกายมีเพื่อนทหารตายไม่หยุด

เมื่อได้เห็นสภาพแบบนี้กับตาตัวเอง เหมียวอี้ก็รู้ว่าอีกไม่นานคงจะตายกันหมด แต่เขาไม่ยอมแพ้ หันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ แล้วจู่ๆ ก็พลิกมือหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา แล้วสีหน้าก็ฉายแววดีใจ ตะโกนเสียงดังว่า “พี่น้องยืนหยัดเข้าไว้ ทัพใหญ่หนึ่งแสนของธงพยัคฆ์ดำที่ไปผลัดเวรป้องกันที่สวนบรรณาการมาถึงแล้ว อีกประเดี๋ยวเดียวก็จะมาถึงแล้ว!”

นี่เป็นข่าวดีมากจริงๆ! มู่อวี่เหลียนรีบโบกทวนตะโกนอย่างดีใจ “พี่น้องทั้งหลาย พี่น้องธงพยัคฆ์ดำตามมาแล้ว อีกประเดี๋ยวเดียวก็จะมาถึง ฆ่า!”

ทุกคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินได้ยินแล้วดีใจมาก กลุ่มคนที่ฆ่าคนจนตัวชารู้สึกฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง กวัดแกว่งดาบทวนในมือถี่เร็วขึ้นแล้วไม่น้อย

ฝั่งน่านฟ้าระกาติงได้ยินแล้วตกใจจนหน้าถอดสี แค่จัดการกับคนหลายหมื่นยังลำบากขนาดนี้ ถ้ามีทัพใหญ่หนึ่งแสนมาอีกจะต้านทานได้อย่างไร มิหนำซ้ำในมืออีกฝ่ายยังมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากอีกด้วย

ตอนนี้ฝั่งน่านฟ้าระกาติงเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนพวกนี้ถึงสู้ตายไม่ยอมถอย เข้าใจแล้วว่าทำไมหนิวโหย่วเต๋อมีโอกาสแล้วถึงไม่หนีไป ที่แท้กำลังเสริมก็มาแล้วนี่เอง

ฝั่งน่านฟ้าระกาติงก็ตะโกนอย่างเดือดดาลเช่นกันว่า “พี่น้องทั้งหลาย ออกแรงปราบพวกเขาให้เต็มที่ กำลังเสริมหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงใกล้จะมาถึงแล้ว”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ฝั่งน่านฟ้าระกาติงก็มีคนไม่น้อยแอบด่าในใจว่าเหลวไหล ยังมีทัพใหญ่หนึ่งล้านตามมาที่นี่ แต่นักพรตบงกชรุ้งของน่านฟ้าระกาติงแทบจะมาถึงที่นี่หมดตั้งแต่รอบแรกเพื่อช่วยฉู่จื่อซานแล้ว เลิกคิดไปได้เลยว่ากำลังหนุนหนึ่งล้านนั่นจะมาถึงภายในหนึ่งชั่วยามนี้ ถ้ารอกำลังหนุนมาถึง เกรงว่าคงโดนกำลังหนุนของอีกฝ่ายกำจัดทิ้งหมดแล้ว ยังจะมาช่วยบ้าอะไรได้อีก

ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือของแต่ละหน่วย เร่งมาเป็นกองหน้าที่นี่ก่อนเพื่อช่วยเหลือให้ทันเวลา กำลังหนุนที่จะตามมาตอนหลังมีสภาพเป็นอย่างไร ทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ ดังนั้นจึงรู้ว่านี่เป็นเพียงคำพูดเลื่อนลอยเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจทหาร หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ คำพูดเพิ่มขวัญกำลังใจนี้ไม่ได้มีผลอะไรกับพวกเขาเลยสักนิด เพราะพวกเขารู้ความจริงอยู่แล้ว

“สังหารแม่ทัพฝ่ายศัตรู!” เสียงของเหมียวอี้ดังก้องอยู่ในสนาม นำลูกน้องสิบคนพุ่งออกไปอีกครั้ง โผตรงไปยังนักพรตบงกชรุ้งหลายคนที่อยู่ใกล้ที่สุด

นายพลหลายคนที่ได้ยินคำเตือนนี้หันไปเห็นเหมียวอี้โผเข้ามา พวกเขาเลี้ยวหนีทันที ไม่ปะทะซึ่งๆ หน้า เป็นเพราะกลัวความองอาจห้าวหาญของเหมียวอี้ วิชาทวนที่ลึกลับซับซ้อนเหมือนผีเข้าผีออกนั่นก็ยิ่งทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนตัวสั่น ขนาดเหยียนชุนยังต้านทานการโจมตีครั้งเดียวไม่ไหว!

หนีไปได้แล้วก็ช่างเถอะ ยังเหลือคนอื่นอีก เหมียวอี้พาลูกน้องสี่คนโจมตีก่อกวนไปทั่ว โจมตีนายพลของฝ่ายศัตรูโดยเฉพาะ ทั้งยังตะโกนอย่างดุดันเป็นระยะด้วยว่า “พัวพันพวกเขาไว้ อย่าให้พวกเขาหนีไป!” พูดราวกับฝ่ายตัวเองมีความมั่นใจในชัยชนะ

เสียงเพิ่มกำลังใจที่ดังครั้งแล้วครั้งเล่านี้ ทำให้ขวัญกำลังใจของทุกคนในธงพยัคฆ์น้ำเงินเพิ่มขึ้นเยอะมาก แต่กลับทำให้ใจคนฝั่งน่านฟ้าระกาติงหวาดหวั่น ถ้าเสียเวลาแบบนี้ต่อไป กำลังหนุนหนึ่งแสนของฝ่ายศัตรูก็จะมาถึงแล้วนะ!

ไม่มีกำลังใจจะสู้ต่อบวกกับหวาดกลัว ในที่สุดคนฝั่งน่านฟ้าระกาติงก็เริ่มหนีแล้ว สาเหตุหลักเป็นเพราะตัวหลักฝั่งกองทัพองครักษ์กระดูกแข็งเกินไป

สิ่งที่เป็นข้อห้ามที่สุดบนสนามรบก็คือ ทารหนีทัพก่อนต่อสู้ เพราะมันแพร่กระจายเหมือนโรคระบาด พอเกิดขึ้นแล้วก็จัดการไม่ได้!

“สงบไว้! สงบไว้!” นายพลฝั่งน่านฟ้าระกาติงคำรามอย่างกระหืดกระหอบ

ทว่าสิ่งที่นายพลพวกนี้กังวลที่สุดก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดี พวกเขาบอกให้คนอื่นสงบ แต่ตอนที่เหมียวอี้นำคนโจมตีมาที่พวกเขา พวกเขากลับหลบแล้วส่งลูกน้องไปตายแทน จะควบคุมขวัญกำลังใจทหารให้สงบได้อย่างไร

ขอเพียงนายพลที่เป็นแกนหลักหนีไปแล้ว พวกลูกน้องก็หนีทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ได้รับผลกระทบแบบนี้ มีคนนำให้ทำแบบนี้แล้ว สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนหลังก็จะแก้ไขไม่ได้!

ผ่านไปไม่นาน สถานการณ์ในสนามก็วุ่นวายปั่นป่วน กำลังพลรวมกลุ่มกันหนีออกจากสนามรบ พวกนายพลน่านฟ้าระกาติงโมโหจนกำหมัดแน่น แต่จะให้โบกดาบฆ่าลูกน้องก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายก็สัมผัสได้ถึงรสชาติ ‘ทัพถูกตีพ่ายเหมือนภูเขาพังทลาย’

“พัวพันพวกเขาเอาไว้ อย่าให้พวกเขาหนี ฆ่า!” เหมียวอี้โบกทวนตะโกนอย่างดุดัน กำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินที่โดนล้อมโจมตีก่อนหน้านี้โจมตีกลับทันที ไล่ตามแล้วใช้ดาบใช้ทวนฟันแทงอุตลุต คนจำนวนน้อยนิดไล่ตามคนกลุ่มใหญ่จนหนีหัวซุกหัวซุน

กระแสคนหลั่งไหลหลบหนี พวกนายพลที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่กำลังหลบหนีเงยหน้าขึ้นฟ้าพลางทอดถอนใจ นายพลบางคนที่มีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์ก็ยิ่งยกดาบขึ้นปาดคออย่างละอายใจ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยทำศึกที่ไม่เอาไหนขนาดนี้มาก่อนเลย ยังมีกำลังพลอีกหลายแสน แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนคนจำนวนเล็กน้อยขับไล่จนหนีอย่างหวาดกลัว แถมฝ่ายตรงข้ามก็อยู่ในสถานการณ์อ่อนแอแท้ๆ จะให้ทนความรู้สึกได้อย่างไร!

“ทหารไร้ความสามารถคนเดียว ถ่วงให้ตายกันทั้งกองทัพ! เหยียนชุน! เจ้าคือคนบาปของน่านฟ้าระกาติง!” มีคนที่ไม่ยอมแพ้ตะโกนอย่างเดือดดาล

“หนี!”

“ถอนกำลัง!”

ทัพถูกตีพ่ายเหมือนภูเขาพังทลาย ในเวลานี้ไม่มีใครจัดการกับขวัญกำลังใจทหารได้ กู้สถานการณ์คืนไม่ได้แล้ว พวกนายพลที่ยังมีชีวิตอยู่จำเป็นต้องออกคำสั่งถอนกำลัง ตัวเองก็รีบถอยหนีออกไปจากตรงนี้เช่นกัน พวกทหารที่กำลังถอยหนี พอได้ยินคำสั่งนี้ก็หนีเร็วยิ่งกว่าเดิม กลัวว่ากำลังหนุนฝ่ายศัตรูจะมาดักไว้

“ไล่ตามไป อย่าให้พวกเขาหนี!” เหมียวอี้นำทัพใหญ่ตะโกนเสียงดังต่อไป พอไล่ตามทหารที่หลบหนีได้ก็ฆ่าทิ้งโดยไม่ปรานีแม้แต่น้อย ไม่ต้องยอมจำนน คนที่ยอมจำนนโดนทวนแทงตายทันที ทุกคนล้วนทำแบบนี้ ทำให้คนที่หนีอยู่ข้างหน้าตกใจจนหนีเร็วกว่าเดิม

มู่อวี่เหลียนที่ตามติดอยู่ข้างกายเหมียวอี้เตือนว่า “นายท่าน อย่าไล่ตามคนที่อับจน! ทัพฝ่ายศัตรูผลัดกันต่อสู้อย่างดุเดือด พี่น้องธงพยัคฆ์น้ำเงินของข้ายืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ได้ สูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปเยอะแล้ว อ่อนล้าจนจะทนไม่ไหวแล้ว ไม่สู้หยุดพักหน่อยดีกว่า รอกำลังหนุนมารวมตัวเงียบๆ จะได้ไม่เกิดเหตุไม่คาดคิดอีก!”

เหมียวอี้หันขวับ แล้วกัดฟันบอกว่า “เจ้าฟังข้าให้ดีนะ ไม่มีกำลังหนุน! ถ้าถอยตอนนี้จะทำให้พวกเขาสงสัยได้ง่าย ถ้าไม่สังหารพวกเขาให้ทัพพัง ถ้าให้โอกาสพวกเขาจัดทัพขึ้นมาใหม่ พวกเราก็มีแต่จะตายสถานเดียว!”

ไม่มีกำลังหนุนเหรอ? มู่อวี่เหลียนเบิกตากว้างอ้าปากค้างไปครู่หนึ่ง พอจินตนาการว่าทัพศัตรูจะปรับปรุงกำลังใหม่และโจมตีกลับ นางก็ใจสั่นด้วยความกลัวทันที รีบโบกทวนร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนว่า “ไล่ตามไป อย่าให้พวกเขาหนี ไม่เอาทหารที่ยอมจำนน ฆ่าให้หมดไม่ต้องละเว้น!”

ฝั่งธงพยัคฆ์น้ำเงินไล่ตามสุดชีวิตทันที ทหารที่หนีอยู่ข้างหน้าหนีเร็วกว่าเดิม

เหมียวอี้นำนักพรตบงกชรุ้งกลุ่มหนึ่งพุ่งไปอยู่ข้างหน้าสุด พุ่งเข้าไปในกลุ่มคนแล้วเปิดฉากสังหารอย่างบ้าระห่ำ เสียงกรีดร้องดังอย่างต่อเนื่อง คนข้างหน้าตกใจจนรีบหนีอย่างบ้าคลั่ง

คนที่ไล่ตามอยู่ข้างหลังก็ไม่ยอมเลิก ไล่ฆ่าอย่างบ้าระห่ำตลอดทาง นักพรตบงกชทองจะเร็วกว่านักพรตบงกชรุ้งที่ไล่ตามได้อย่างไร สุดท้ายก็กระจัดกระจายเหมือนผึ้งแตกรัง หนีกระจัดกระจายไปทั่วสารทิศ ตอนนี้ทัพใหญ่หลายแสนที่อยู่ข้างหน้าแทบจะทัพแตกหมดแล้ว หนีกระจายไปยังจุดต่างๆ ของดาราจักร

พวกเหมียวอี้ที่ไล่ตามอยู่ข้างหลังเหมือนจะไม่รู้ว่าควรจะไล่ตามไปทางไหน ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้โบกทวนสั่งว่า “หยุด!”

“พวกเราชนะแล้ว!”

“ฮะ…”

กำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินที่เหลืออยู่เงียบไปพักหนึ่ง ไม่รู้ว่าใครตะโกนก่อน แล้วกลุ่มคนก็พลันส่งเสียงร้องดีใจดังต่อเนื่องเป็นระลอก เป็นเสียงดีใจที่มาจากใจจริง มีคนไม่น้อยถึงขั้นร้องไห้ออกมา หลายคนกอดเข่าร้องไห้ ศึกนี้รุนแรงดุเดือดเกินไปแล้ว!

นึกไม่ถึงเลย ทุกคนต่างก็นึกไม่ถึง เดิมทีคิดว่าตัวเองต้องตายแน่นอน แต่ใครจะคิดว่าตัวเองไม่ใช่แค่รอดชีวิตต่อไปได้ ทั้งยังโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านแตกด้วย!

ไม่น่าเชื่อว่าธงพยัคฆ์น้ำเงินจะโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านที่แข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติงแล้ว ไม่ใช่ทั้งธงพยัคฆ์น้ำเงิน แต่เป็นกำลังพลครึ่งหนึ่งของธงพยัคฆ์ที่ตีทัพใหญ่ของน่านฟ้าระกาติงจนพ่ายแพ้! มู่อวี่เหลียนมองดูทหารที่หนีตายไปในจุดลึกของดาราจักร ขนาดตัวเองยังทำใจเชื่อได้ยากเลย เมื่อครู่นี้ตัวเองยังคิดอยู่เลยว่าตายแน่ๆ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียวทำให้นางแทบจะไม่เชื่อว่านี่คือเรื่องจริง

ทว่าเรื่องจริงก็แสดงให้เห็นตรงหน้าแล้ว! ในใจเข้าใจแจ่มแจ้ง ถึงขั้นตื้นตันใจเล็กน้อยด้วย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไม่ให้ธงพยัคฆ์น้ำเงินด้ามที่อยู่ในมือตัวเองมีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าก็คงยากแล้ว และผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงินอย่างนางก็คงจะโด่งดังเช่นกัน!

…………………………

การตะลุมบอนใส่กันจำนวนมากแบบนี้ ระดับบงกชทองขั้นหนึ่งสองสามสี่อะไรนั่นล้วนเป็นสิ่งจอมปลอม บงกชทองขั้นหนึ่งอาจจะต้านทานการโจมตีจากนักพรตบงกชทองขั้นเก้าไม่ไหว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าแม้แต่พลังอิทธิฤทธิ์ที่อีกฝ่ายปล่อยออกมาสู่ภายนอกก็ต้านไม่ไหวด้วย ทั้งสองฝ่ายมีคุณสมบัติพื้นฐานในการตะลุมบอนกัน ถ้านักพรตบงกชทองขั้นเก้าโดนดาบใหญ่ของนักพรตบงกชทองขั้นหนึ่งฟันก็ตายอยู่ดี ในกระบวนทัพสู้รบที่ใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้ ทุกที่มีแต่ศัตรู เมื่อตกอยู่ท่ามกลางทะเลฝูงชนแล้ว ทุกที่ล้วนมีดาบมีทวนฟันแทงเข้ามา สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อฟันคนที่พุ่งเข้ามาสังหาร พลังสูงกว่าหนึ่งระดับหรือหลายขั้นอะไรนั่นยามสู้กันตัวต่อตัว เมื่ออยู่ที่นี่ก็ล้วนเป็นสิ่งจอมปลอมทั้งนั้น การมีทักษะต้านทานดาบทวนที่สังหารเข้ามาไม่หยุด หรือการฆ่าฝ่ายตรงข้ามให้ตายได้ก่อนต่างหากถึงจะเป็นของจริง

นักพรตบงกชรุ้งที่สูงกว่าหนึ่งระดับ เมื่ออยู่ท่ามกลางการตะลุมบอนขนาดใหญ่แบบนี้ก็ย่อมมีบทบาทสำคัญอยู่แล้ว คนที่โจมตีเข้ามายากจะต้านทานการโจมตีของเขาได้ ส่วนการโจมตีของเขา ฝ่ายตรงข้ามก็ทนรับไม่ไหวเช่นกัน เป็นอาวุธที่ได้เปรียบในการสังหารกันในทัพใหญ่จริงๆ

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ยามที่นักพรตบงกชรุ้งตกอยู่ในกระบวนทัพสู้รบขนาดใหญ่ ศักยภาพก็ลดลงเยอะเช่นกัน ยามปกติถ้ามีพลังอิทธิฤทธิ์แข็งแกร่งก็สามารถเอาชนะนักพรตบงกชทองได้ง่าย แต่ที่นี่พลังอิทธิฤทธิ์ที่ปล่อยออกมาจากนักพรตบงกชทองจำนวนนับไม่ถ้วนทำให้พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดอยู่ในกระบวนทัพสู้รบรวมตัวกันเหมือนคลื่นยักษ์ พลังอิทธิฤทธิ์ที่ปล่อยจากนักพรตบงกชรุ้งก็จะแตกสลายได้ง่ายมาก ตอนอยู่ใกล้ยังแสดงศักยภาพได้ไม่น้อย แต่เมื่อใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไกลๆ ก็ไม่แสดงอานุภาพอะไรเลย จะโดนพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดอยู่ทั่วทุกที่กลืนไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นส่วนหนึ่งของพลังอิทธิฤทธิ์บนสนามรบอันกว้างใหญ่

ก็เหมือนน้ำหมึกหนึ่งถ้วยที่ย้อมน้ำใสหนึ่งอ่างได้ แต่ถ้าเอาน้ำหมึกหนึ่งถ้วยเทลงทะเลก็ไม่ได้ผลอะไรทั้งนั้น

ในการต่อสู้แบบตะลุมบอนที่มีขนาดใหญ่แบบนี้ พลังของทุกคนแทบจะโดนดึงให้อยู่ระดับเดียวกัน การสู้รบของนักพรตภายใต้มาตรฐานนี้ ที่จริงก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาหรอก แต่แน่นอนว่ามนุษย์ธรรมดาเทียบกับระดับนี้ไม่ติด นักพรตบงกชขาว บงกชเขียว บงกชแดงที่บุกเข้ามาในกระบวนทัพสู้รบนี้ บางทีอาจจะโดนพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดฉีกร่างแหลกก็ได้ ต่อให้เป็นนักพรตบงกชม่วงบุกเข้ามาก็อาจจะรับไม่ไหว

นักพรตบงกชทองขั้นเจ็ดคนหนึ่งใช้ดาบฟันคนคนหนึ่งจนตาย แต่จู่ๆ ข้างกายก็มีทวนยาวนับไม่ถ้วนแทงเข้ามา กักแขนที่ถือดาบของเขาเอาไว้ กักเอาไว้แน่นหนาแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าวรยุทธ์ของเขาสูงกว่าคนที่ล้อมโจมตีไม่ใช่น้อยๆ พอสะบัดแขนข้างที่โดนกัก ก็ทำให้ทวนยาวที่กักแขนตัวเองไว้สะเทือนจนกระเด็นออกไปหมดในทันที หลายคนที่ล้อมโจมตีสะเทือนจนโซเซถอยหลังออกไปพร้อมกัน แต่ใครจะคิดว่านักพรตบงกชทองขั้นหนึ่งคนหนึ่งจะฉวยโอกาสตอนที่เขาสะบัดแขนแทงทวนเข้ามา แทงเข้ามาในลำคอของเขาอย่างแรง นักพรตบงกชทองขั้นเจ็ดเลือดออกปากออกจมูก ถลึงตาสองข้าง นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะตายด้วยมือนักพรตบงกชทองขั้นหนึ่ง มือของเขาพยายามคว้าด้ามทวนที่กำลังแทงลำคอ แต่ด้านข้างก็มีแสงสะท้อนคมดาบแวบผ่าน มีนักพรตบงกชทองขั้นหนึ่งอีกคนโผเข้ามา ใช้ดาบตัดหัวเขาปลิวจนเลือดร้อนๆ สาดกระจาย

“ฆ่า!”

“ไปตายซะ!”

เสียงตะโกนฆ่าดังไม่หยุด เสียงคำรามเกรี้ยวกราดดังต่อเนื่อง เสียงกรีดร้องโหยหวนดังไม่ขาดหู เลือดเนื้อปลิวกระจาย แขนขาขาดปลิวว่อน ศีรษะคนกลิ้งเกลื่อน

เมื่อลงสนามรบแล้วไม่มีแบ่งแยกชายหญิง มีแค่คนเป็นกับคนตายเท่านั้น มีเพียงการสังหารที่ไม่หยุดหย่อน!

คนที่บอกว่ากลัวตายหรือไม่กลัวตาย พอเข้ามาอยู่ในการตะลุมบอนขนาดใหญ่แบบนี้ ก็สามารถฆ่าคนจนตาแดงได้ทันที การสู้รบของสองฝ่ายตกสู่สภาวะเดือดในชั่วพริบตาเดียว

“ธงหมาป่าดิน อ้อมกลับมาทางขวาข้างหลัง มาต่อหาง!” คนที่รับหน้าที่บัญชาการธงอินทรีขาวชั่วคราวยืนโบกทวนบัญชาการอยู่ภายใต้ธงอินทรีขาว

“ฆ่า!” ใต้ธงหมาป่าดินมีคนเลี้ยวโจมตีไปทางขวาพร้อมเสียงตะโกนฆ่าดังเป็นแถบ ทุกที่มีแต่คนเต็มไปหมด กำลังพลธงหมาป่าดินสังหารจนแยกแยะทิศทางไม่ออก ได้แต่ตามติดไปยังทิศทางที่ผืนธงหมาป่าดินปลิวสะบัดแล้วพุ่งสังหาร เวลานี้หัวสมองไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก ทหารเลวที่อยู่ระดับล่างคิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ตามติดผืนธงรบแล้วพุ่งสังหารอย่างสุดชีวิตก็ถือว่าทำถูกแล้ว แบบนี้ถึงจะเป็นวิธีปกป้องชีวิตตัวเองที่ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้าตกขบวนขึ้นมาก็ตายสถานเดียว เพราะไม่มีใครรอเจ้า ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดรอเจ้าคนเดียว

ในตอนนี้พลังรบอันแข็งแกร่งของกองทัพองครักษ์ที่เหนือกว่าทัพใหญ่ท้องถิ่นได้แสดงออกมาทันที อยู่ในสนามรบมาเนิ่นนาน ประกอบกับฝึกฝนจนชำนาญ สามารถเสริมจุดที่บกพร่องได้ในทันที รุกถอยอย่างมีแบบแผน ตรงจุดที่ธงรบชี้ไป ก็ไม่มีใครสนใจความเป็นความตายแล้ว!

ทั้งระดับบนระดับล่างของกองมังกรดำ อิงผืนธงพยัคฆ์น้ำเงินเป็นหลักในการบอกทิศทางรุกโจมตี ธงอินทรีที่อยู่ใต้ธงพยัคฆ์เป็นกำลังหลักในการรุกโจมตี ธงหมาป่าที่อยู่ใต้ธงอินทรีกำลังเข่นฆ่าอยู่ภายใต้การบัญชาการ กองกำลังประมาณห้าร้อยคนจัดกระบวนทัพเข่นฆ่าอยู่ภายใต้ธงหมาป่า

ปกติในใต้หล้าสงบสุขเกินไป กำลังพลที่เฝ้าประจำท้องถิ่นขาดประสบการณ์ในการสู้รบขนาดใหญ่ ไม่อาจเทียบกับกองทัพองครักษ์ได้ การจัดรูปทัพฝึกฝนแบบที่ทำกันยามปกติยากที่จะก่อให้เกิดพลังรบที่มีประสิทธิภาพได้ เมื่อเจอกำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินพุ่งใส่ก็จะวุ่นวายไร้ระเบียบได้ง่าย พอวุ่นวายขึ้นมาก็โดนกำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินรวมตัวกันพุ่งสังหาร

ที่น่านฟ้าระกาติงมีคนไม่น้อยรับรู้ถึงพลังรบอันแข็งแกร่งของกองทัพองครักษ์อย่างแท้จริงแล้ว ตัวเลขคนบาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ แต่กำลังพลน่านฟ้าระกาติงก็เยอะเกินไปจริงๆ จำนวนคนบาดเจ็บล้มตายของกองทัพองครักษ์ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

ฝ่ายน่านฟ้าระกาติงมีกำลังพลไม่น้อยที่มาจากกองทัพองครักษ์ พอได้เห็นเหตุการณ์การปะทะกันซึ่งๆ หน้า ก็เข้าใจแล้วว่าความร้ายกาจอยู่ตรงไหน พวกเขาจะต้องโจมตีให้การบัญชาการอันทรงประสิทธิภาพของธงพยัคฆ์น้ำเงินปั่นป่วน ถึงจะลดความเสียหายฝั่งตัวเองได้ ถึงจะอาศัยความได้เปรียบด้านจำนวนคนกำจัดธงพยัคฆ์น้ำเงินได้

นายพลหนึ่งในนั้นโบกทวนตะโกนอย่างกราดเกรี้ยวทันที “รวบรวมกำลัง ประหารนายพลแล้วแย่งธง!”

ขณะเดียวกันก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนบอกกำลังพลที่แบ่งกลุ่มกระจายตัวอยู่รอบๆ “ทัพฝ่ายศัตรูอยู่ในวงล้อมหนาแน่น หนีรอดได้ยาก เป็นโอกาสดีในการกวาดล้าง ยังไม่รีบเข้ามาช่วยอีก!” พอพูดจบ ก็นำกำลังพลของตัวเองโจมตีไปทางมู่อวี่เหลียนที่อยู่ใต้ผืนธงพยัคฆ์น้ำเงินก่อน

กำลังพลที่จับกลุ่มกระจายตัวอยู่รอบด้านดีใจทันที ก่อนหน้านี้กลัวว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของธงพยัคฆ์น้ำเงินจะโจมตี นึกไม่ถึงว่าธงพยัคฆ์น้ำเงินจะละทิ้งความได้เปรียบของธนูแล้วดันทุรังพุ่งเข้ามาอยู่ในสถานการณ์การรบที่พวกเขาเฝ้าหวัง แค่นี้ก็ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว!

“ฆ่า!” นายพลคนหนึ่งที่รวบรวมกำลังพลได้ตะโกน แล้วนำกำลังพลหลายหมื่นบุกสังหารเข้ามา

“ฆ่า!” แม่ทัพที่รวบรวมกำลังพลที่อยู่กระจัดกระจายทยอยกันออกคำสั่งให้พุ่งเข้ามา

ทัพใหญ่หลายหมื่นของกองมังกรดำกำลังตกอยู่ในอันตราย!

เหมียวอี้ที่ไล่สังหารอยู่บนฟ้าสองตาแทบจะถลน ข้างล่างมีมู่อวี่เหลียนคนเดียวที่เป็นนักพรตบงกชรุ้ง จะต้านทานการรุกโจมตีจากนักพรตบงกชรุ้งมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร พอธงรบล้มลง กำลังพลกองมังกรดำที่ปั่นป่วนจะรวมตัวกันรุกโจมตีให้ได้ผลได้อย่างไร ยามเผชิญกำลังทหารล้อมปราบหนาแน่นขนาดนี้ จะต้องถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แน่

“ฆ่า!” เหมียวอี้ตะโกนอย่างดุดัน รีบหยุดไล่สังหารทันที แล้วนำทหารกล้าประมาณร้อยคนสังหารกลับไปยังกระบวนทัพสู้รบขนาดใหญ่

มู่อวี่เหลียนที่ดันทุรังสู้กับนักพรตบงกชรุ้งสามคนแทบจะประคับประคองไม่ไหวแล้ว หางตาเหลือบไปเห็นพวกเหมียวอี้สังหารกลับมา ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก ตื้นตันใจแทบแย่

นางรู้ว่าตอนนี้ธงพยัคฆ์น้ำเงินล่อกำลังหลักของกองทัพฝ่ายศัตรูเอาไว้หมดแล้ว ข้างล่างมีศพนับแสน ไม่สามารถหาธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ได้รวดเร็วราบรื่นขนาดนั้น พวกเหมียวอี้กำลังหาโอกาสเอาตัวรอดออกไปได้ แต่ใครจะคิดว่าพวกเหมียวอี้จะยังไม่ไป ดันพุ่งกลับมาหานาง

ถ้าไม่หนีไปตอนนี้แล้วจะรอตอนไหน กำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินมีจำนวนจำกัด พัวพันกับศัตรูและการรบแบบตะลุมบอนมากเกินไปไม่ไหว การที่พวกเหมียวอี้สังหารกลับมาก็เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ไม่ได้อยู่ดี ถ้าให้ศัตรูที่เหลือเก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์กลับไป ถึงตอนนั้นไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้นแล้ว

มู่อวี่เหลียนตะโกนเสียงดังอย่างเศร้าโศกทันที “พวกเราจะล่อศัตรูไว้ นายท่านรีบหนีไป เก็บร่างกายที่มีประโยชน์เอาไว้ล้างแค้นให้พี่น้องธงพยัคฆ์น้ำเงินเถอะ!”

ธงพยัคฆ์น้ำเงินทางฝั่งนี้มีคนมากมายรู้ว่าตัวเองจะไม่รอด มีคนไม่น้อยตะโกนเสียงดังด้วยน้ำตาคลอเบ้า “พวกเราจะล่อศัตรูไว้ นายท่านรีบหนีไป เก็บร่างกายที่มีประโยชน์ไว้ล้างแค้นให้พี่น้องธงพยัคฆ์น้ำเงิน!”

คนมากมายที่กำลังตะโกนประโยคนี้สร้างขวัญกำลังใจให้ตัวเองสู้ตาย บางคนยังตะโกนไม่ทันจบประโยคก็โดนฟันหัวขาดแล้ว

เหมียวอี้ที่พุ่งเข้ามาไม่ได้พาคนหนีไป ในขณะที่แววตาวูบไหวอย่างร้อนใจ จู่ๆ ก็ยกมือหยุดลูกน้องร้อยคนที่อยู่ข้างหลัง แล้วหันกลับมาตะโกนสั่งว่า “ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์กำจัดนายพลของฝ่ายตรงข้าม!”

เขาเองก็คว้าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมาก่อน วางลูกธนูดอกหนึ่งบนสาย แล้วยิงออกไปพร้อมเสียงระเบิดดังปั้ง ลำแสงสายหนึ่งยิงพุ่งออกไป

แกร๊ง! นักพรตบงกชรุ้งสามคนกำลังร่วมมือกันโจมตีมู่อวี่เหลียนจนนางแทบจะไม่เหลือแรงต้าน หนึ่งในนั้นเพิ่งหันหน้ามาแต่ก็ล้มลงพื้นแล้ว จากนั้นก็มีคนใช้ลูกธนูดาวตกลอบโจมตี โชคดีที่เกราะรบผลึกแดงบนตัวยังต้านทานไหว แต่กลับสะเทือนจนกระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้

อีกสองคนหันกลับมาอย่างตกตะลึงพรึงเพริด แต่กลับเห็นลำแสงหลายสายยิงรวมกันเข้ามา ตอนนี้อยากจะหนีก็หนีไม่ทันแล้ว สะเทือนจนกระอักเลือดเหมือนกับคนก่อนหน้านี้ แล้วชั่วพริบตาเดียวก็ถูกทัพกลางที่อยู่ข้างกายมู่อวี่เหลียนกลบมิด สิ้นชีพอยู่ภายใต้ดาบและทวนที่โจมตีปนกันมั่ว

พวกเหมียวอี้อยู่บนฟ้าที่สูงกว่านั้น ยิงธนูลงไปทั้งสี่ทิศอย่างต่อเนื่องกัน สังหารนักพรตบงกชรุ้งที่กำลังสู้กับกำลังพลฝ่ายตัวเองโดยเฉพาะ ต่อให้ฆ่าไม่ตายแต่ทำให้บาดเจ็บสาหัสก็ยังดี เดี๋ยวก็มีคนของธงพยัคฆ์น้ำเงินพุ่งเข้าไปใช้ดาบใช้ทวนฟันแทงให้ตายเอง

เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน บรรดานายพลน่านฟ้าระกาติงที่กำลังเข่นฆ่าอย่างดุเดือดถูกสังหารจนทำอะไรไม่ถูก ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็โดนฆ่าตายไปสี่ร้อยกว่าคนแล้ว

ตอนหลังถ้าอยากให้เกิดการจู่โจมที่ได้ผลดีอีกก็ยากแล้ว เพราะนายพลน่านฟ้าระกาติงหลายร้อยที่เหลืออยู่มีการเตรียมตัว ผู้คุ้มกันที่อยู่ข้างกายทยอยกันยกโล่ขึ้นมาปกป้อง ลูกธนูดาวตกที่ยิงกระจายมีอานุภาพไม่พอ ไม่สามารถก่อให้เกิดผลในการสังหารได้

แต่ผลของการยิงสังหารรอบนี้ยังลดแรงกดดันของธงพยัคฆ์น้ำเงินได้เยอะมาก อย่างน้อยก็ข่มนายพลพวกนั้นให้ไม่กล้าโผล่หัวมาลงมืออีก ธงอินทรีกับธงหมาป่าที่ล้มอยู่ใต้ธงพยัคฆ์น้ำเงินมีคนโจมตีออกมาอีกครั้ง

“ฝั่งนี้มีคนพอแล้ว แบ่งกำลังพลส่วนหนึ่งตามข้าไปเก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!” นายพลคนหนึ่งของน่านฟ้าระกาติงตะเบ็งเสียงสั่ง แล้วนำคนพุ่งไปที่พื้นดิน

เมื่อเห็นว่าการลอบโจมตีไม่มีผลแล้ว และเห็นว่ากำลังพลอีกส่วนมุ่งไปบนพื้น เหมียวอี้ก็หันกลับมาตะโกนสั่งว่า “สิบคนตามข้ามา ที่เหลือรีบกลับไปปกป้องแต่ละธง!”

สิบคนที่เขาเลือกพุ่งไปที่พื้นดิน ส่วนอีกเก้าสิบกว่าคนที่เหลือทยอยกันไปช่วยกำลังพลธงของตัวเองรบต่อสู้

“หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่แล้ว ใครกล้าขวางข้า!” เหมียวอี้ที่นำคนสิบคนพุ่งเฉียงลงมาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

กลุ่มคนที่พุ่งสังหารอยู่ข้างล่างเห็นแล้วตกใจมาก กำลังตะลุมบอนกันอุตลุต จะหลบก็หลบไม่ทันแล้ว ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง เหมียวอี้นำคนสังหารจนเกิดเป็นช่องโหว่แล้วทะลุผ่านออกไปโดยตรง

พอสังหารฝ่าออกมาจากทัพใหญ่ แล้วเห็นกำลังพลน่านฟ้าระกาติงกลุ่มนั้นพุ่งไปที่พื้น แววตาเหมียวอี้ก็วูบไหว ไม่รู้ว่านึกอะไรได้ ทันใดนั้นก็แหกปากตะโกนว่า “เตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!” ขณะที่พูดแบบนั้น ตัวเองก็ชูธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาอีกครั้ง

“นายท่าน ไม่มีประโยชน์ ต้านไม่ไหวแล้ว!” คนที่อยู่ข้างๆ ตะโกนบอก

“ใครบอกว่าต้านไม่ไหวแล้ว!” เหมียวอี้ตะคอก

ปั้ง! ธนูถูกยิงออกไปแล้ว ไม่เห็นว่ายิงใคร แต่กลับเห็นลำแสงยิงตรงไปที่พื้นดิน

โครม! ภูเขาถล่มแผ่นดินแยก ฝุ่นดินตลบอบอวล พวกศพที่เกลื่อนพื้นโดนดินพลิกกลบฝังในชั่วพริบตาเดียว

ลูกน้องสิบคนตาเป็นประกายทันที เข้าใจเจตนาของเหมียวอี้แล้ว พวกเขาพากันง้างสายธนู แล้วยิงลงไปยังศพที่กระจายอยู่ข้างล่างอย่างบ้าระห่ำ

โครม! เสียงโครมครามดังไม่หยุด

ทหารฝั่งศัตรูที่นำคนพุ่งลงไปเก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์บนพื้นมองดูแผ่นดินข้างล่างพลิกถล่ม มองดูฝุ่นดินที่พวยพุ่งขึ้นท้องฟ้า พวกเขางงเป็นไก่ตาแตกทันที ฝังกลบหมดแล้ว ยังจะเก็บอะไรได้อีก! ถ้ารอให้พวกเราหาจนเจอ ศึกนี้ก็คงสู้กันเสร็จไปแล้ว

ทหารฝั่งศัตรูหันมองขึ้นไปบนฟ้า เรียกได้ว่าแค้นจนกัดฟันกรอด ก่อนหน้านี้กำลังพลฝ่ายตรงข้ามยังยอมทุ่มเทกำลังคนที่น้อยกว่าพุ่งเข้ามาตรงนี้อยู่เลย เป็นเพราะอยากจะยึดเก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ตรงนี้เอาไว้สู้กับพวกเขา และสาเหตุที่พวกเขาโจมตียึดตรงนี้ก็เป็นเพราะเป้าหมายนี้เช่นกัน แต่ใครจะคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะโหดเกินไป ใช้วิธีการปล่อยให้จบเห่ไปด้วยกัน ถ้าข้าเก็บไม่ได้ ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะเก็บเลย!

ต่อให้นอนฝันเขาก็คิดไม่ถึง ว่าเหมียวอี้จะฝังกลบโอกาสสุดท้ายในการรบชนะของเขาเองกับมือ!

เป้าหมายที่ทั้งสองฝ่ายแย่งกันหายไปในชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ที่เหลืออานุภาพลูกธนูไว้ดอกหนึ่งยิงไปที่เขา แต่กลับถูกคนที่อยู่ทางซ้ายและขวายกโล่ขึ้นมาบัง

เหมียวอี้เก็บธนู แล้วโบกทวนชี้ไปที่เขา พร้อมตะโกนอย่างดุดันว่า “หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่แล้ว เอาชีวิตมาซะ!” พูดจบก็นำคนพุ่งเข้าไปฆ่าอย่างเหี้ยมหาญดุร้าย

…………………………

เรียกว่าทัพใหญ่หนึ่งล้านไม่ได้แล้ว ลองนับดูคร่าวๆ ความเสียเปรียบที่เกิดขึ้นเพราะประมาทไปชั่วขณะทำให้ฝ่ายนี้จ่ายค่าเสียหายไปเป็นกำลังพลเกือบสามแสนคน

หนิวโหย่วเต๋อ? แม่ทัพที่พุ่งสังหารนำเข้ามา พอได้ยินชื่อนี้ก็ตกใจมาก ชื่อที่มีแซ่แบบนี้ บวกกับเป็นผู้นำกำลังพลของกองทัพองครักษ์ น่าจะไม่มีคนอื่นแล้ว ชั่วพริบตานั้น ก่อนหน้านี้เขาอยากรู้มาตลอดว่าไอ้บ้าคนไหนมันมาบัญชาการกองทัพ ในที่สุดตอนนี้ก็ได้รู้คำตอบแล้ว ที่แท้ก็เป็นไอ้บ้าที่ชื่อเสียงโด่งดังนี่เอง มิน่าล่ะ!

ชั่วพริบตาที่ทั้งสองประจัญบานใส่กัน มัวแต่คิดเรื่องอื่นก็ไม่มีประโยชน์แล้ว แม่ทัพที่นำหน้ามาตะโกนอย่างโมโหว่า “รอให้เหยียนชุนจัดการเจ้าเถอะ!”

ที่แท้หารคนนี้ก็ชื่อเหยียนชุนนี่เอง

ทั้งสองโจมตีสังหารมาถึงกันในชั่วอึดใจเดียว เหยียนชุนไม่กล้าหยุดอยู่ที่เดิม ถึงอย่างไรชื่อเสียงของคนก็เหมือนเงาของต้นไม้ เขาไม่กล้าประมาทเลินเล่อ พอลงมือก็ออกแรงเต็มที่ โบกดาบฟันไปที่เหมียวอี้อย่างบ้าคลั่ง

“รับความตายซะเถอะ!” เหมียวอี้ยังตะโกนไม่ทันสิ้นเสียง เสียงมังกรคำรามก็ดังเข้ามา รวดเร็วเหมือนเงาผี จุดสีดำขนาดเม็ดไข่มุกที่หมุนวนอยู่บนหัวทวนพลันแทงออกมา ใหญ่ขึ้นกว่าเม็ดถั่วเหลืองในปีนั้นแล้วไม่น้อย พอลงมือก็ใช้ฝีมือที่เป็นสมบัติประจำบ้านอย่าง ‘หนึ่งทวนสิบสังหาร’ เลย

ก็ช่วยไม่ได้ ผู้บัญชาการสูงสุดของกองมังกรดำอย่างเขาสู้ศึกแรก ภายใต้สถานการณ์ที่อันตรายแบบนี้ ก็ต้องชนะอย่างเดียวเท่านั้น ห้ามแพ้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะส่งผลต่อขวัญกำลังใจทหารอย่างร้ายแรง แล้วก็ต้องชนะอย่างราบรื่นฉับไวเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจทหารด้วย ดังนั้นเขาจึงให้กำลังทั้งหมดในการลงมือครั้งนี้

ในตอนนี้มีคนไม่น้อยกำลังจับตาดูการต่อสู้ทางฝั่งนี้ บ้างก็หันหน้ามองมา บ้างก็ใช้หางตาสังเกต ถ้าจะดูที่วรยุทธ์เหยียนชุนก็ชนะไปไกล แต่หนิวโหย่วเต๋อที่โด่งดังสะท้านใต้หล้าก็ไม่ได้มีดีแค่ชื่อเสียงเช่นกัน!

แกร๊ง! มีเสียงสั่นสะเทือนดังขึ้น!

ในชั่วพริบตานี้มีคนไม่น้อยที่สูดหายใจอย่างตกตะลึง

ดาบใหญ่ที่หยียนชุนฟันออกมา ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนหนิวโหย่วเต๋อใช้ทวนปัดจนกระเด็นออกไปแล้ว มีเสียง “อั้ก” พร้อมกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ทั้งตัวสะเทือนจนกระเด็นถอยหลังออกไป

เหมียวอี้ไม่ผ่อนความเร็วในการโจมตี ออกทวนทางซ้ายและขวา มีเสียง “อา!” ดังต่อเนื่องสองครั้ง น้ำเลือดสองสายพุ่งออกจากคอลูกน้องที่อยู่ทางซ้ายและขวาของเหยียนชุน สองคนนี้รวมทั้งเหยียนชุนล้วนสวมเกราะรบผลึกแดง เหมียวอี้กลับไม่ได้ออกทวนไปเปล่าๆ พอออกทวนสองครั้งก็เขี่ยคอได้สองคน

ยังไม่จบแค่นั้น เหมียวอี้ที่เฉียดผ่านตัวทั้งสองคนไปสะบัดทวนในมือหนึ่งที โดนคอของเหยียนชุนอีกที หัวทวนเขี่ยไปด้านหลัง ร่างของเหยียนชุนกระเด็นไปข้างหลังเขา

เหยียนชุนกระเด็นออกไปขณะที่ใช้สองมือจับคอและเบิกตากว้าง ที่ปากจมูกและใต้คอมีเลือดสดไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ นึกไม่ถึงว่าก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะปะทะกัน อีกฝ่ายจะไม่เคยเผยชื่อเสียงเลย ไม่น่าเชื่อว่าตอนเปิดเผยชื่อจะเป็นเวลาตายของตัวเอง!

ในหัวเขาร้องครวญครางอย่างเศร้าโศก หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้มีดีแค่ชื่อเสียงจริงๆ ด้วย มานึกเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว!

จากนั้นสองคนนั้นที่มาด้วยก็โดนทวนของเหมียวอี้เขี่ย โดนทหารห้าวร้อยคนที่พุ่งตามหลังเหมียวอี้มาเหยียบจม ศีรษะสามใบกระเด็นออกไปตามๆ กัน

ท่านแม่ทัพภาคช่างทรงพลัง! ทหารกล้าร้อยคนที่ตามหลังเหมียวอี้รู้สึกฮึกเหิมมาก ตอนนี้ไม่รู้สึกสิ้นหวังอีกแล้ว ราวกับได้เห็นความหวังในการมีชีวิตรอด พวกเขาสู้สุดชีวิตทันทีเพื่อโอกาสมีชีวิตรอด โจมตีต่อสู้กับนักพรตบงกชรุ้งคนอื่นๆ ที่พุ่งตามเหยียนชุนเป็นกระบวนทัพรูปลิ่ม

นักพรตบงกชม่วงร้อยกว่าคนโจมตีไม่กี่คน แค่คิดก็รู้ถึงสถานการณ์แล้ว บดอัดเข้าไปด้วยความมั่นใจในชัยชนะ

กำลังพลกองมังกรดำที่บุกอยู่ข้างล่างมีความฮึกเหิมเต็มเปี่ยม พบว่าชื่อเสียงของท่านแม่ทัพภาคที่โจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านสามรอบไม่ใช่เปลือกครอบเอาไว้เฉยๆ ทำให้ในใจทุกคนมีความหวังในการมีชีวิตรอดทันที ขวัญกำลังใจทหารเพิ่มขึ้นหลายเท่าในชั่วพริบตาเดียว

ส่วนฝั่งน่านฟ้าระกาติงก็มีเสียงดังฮือฮาอยู่พักหนึ่ง ตกตะลึงในความเฉียบแหลมของหนิวโหย่วเต๋อ นึกไม่ถึงว่าในชั่วพริบตาเดียวจะสังหารนักพรตบงกชรุ้งทิ้งได้สามคน รองหัวหน้าภาคเหยียนชุนที่มีวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นห้า ไม่น่าเชื่อว่าจะต้านทานหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้แม้แต่ทวนเดียว แค่ชั่วพบหน้ากันก็ตายอยู่ภายใต้ทวนของหนิวโหย่วเต๋อทันที!

ตอนนี้กำลังพลทุกคนของน่านฟ้าระกาติงนึกถึงชื่อเสียงที่หนิวโหย่วเต๋อสังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านสามรอบอีกครั้ง ทำให้รู้สึกหวาดกลัวตัวสั่นเล็กน้อย จะต้านทานเจ้าหนุ่มนี่ไหวเหรอ?

เมื่อเห็นฝั่งนี้รวบรวมนักพรตบงกชรุ้งหนึ่งร้อยบุกโจมตี ฝั่งน่านฟ้าระกาติงก็มีนักพรตบงกชรุ้งเกือบห้าร้อยคนถูกเหยียนเรียกไปสนับสนุนทันที แต่ใครจะคิดว่าขนาดเหยียนชุนยังต้านทานการโจมตีครั้งเดียวของหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้เลย และได้เห็นกับตาด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อสังหารนักพรตบงกชรุ้งต่อเนื่องกันสามคนในชั่วพริบตาเดียว พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตัวสั่น เหี้ยมหาญขนาดนี้ ตรงนี้จะมีใครต้านทานได้บ้าง!

นักพรตบงกชรุ้งเกือบห้าร้อยคนที่พุ่งเข้ามารีบหยุดอย่างกะทันหัน ไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้แล้ว ได้แต่มองดูหนิวโหย่วเต๋อถือทวนสังหารเข้าไปในทหารคุ้มกันทางซ้ายและขวาที่พุ่งตามเหยียนชุนมารับศึกราวกับผ่าคลื่น ขนาดนักพรตบงกชรุ้งยังต้านทานไม่ไหว มิหนำซ้ำพวกเขายังเป็นนักพรตบงกชทอง หนิวโหย่วเต๋อนั่นราวกับเสือโหดที่วิ่งเข้าฝูงแกะ ออกทวนราวกับมังกร กลุ่มคนที่ถูกพุ่งโจมตีร่วงลงมาเป็นแถบๆ เสียงกรีดร้องดังไม่ขาดหู

ชั่วพริบตาเดียว กำลังพลหนึ่งหมื่นที่ออกโจมตีก็พังทลายจนไม่ใช่กองทัพแล้ว รีบเลี้ยวหนีอย่างรวดเร็ว

มีคนมากมายขนาดนั้นหนีเอาตัวรอดตอนใกล้จะต่อสู้ ทำให้ขวัญกำลังใจของคนน่านฟ้าระกาติงถูกทำลายจนเกินทน

เหมียวอี้ที่หันกลับไปมองแวบหนึ่งเห็นทหารกล้าร้อยคนข้างหลังจัดการนักพรตบงกชรุ้งคนอื่นๆ ที่พุ่งตามเหยียนชุนเข้ามา ก็ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดทันทีว่า “อย่าพัวพันกับพวกเขา รักษากระบวนทัพแล้วตามหลังข้าไปสังหาร!” ตอนที่ยังพุ่งเข้าไปทำลายกระบวนทัพฝ่ายศัตรูไม่ได้ การพัวพันสู้เป็นการรนหาที่ตายจริงๆ

ทหารกล้าหนึ่งร้อยคนไม่มีใครพูดอะไรมาก ตามเขาไปทันที ปฏิบัติงานตามคำสั่ง

มีเหมียวอี้เป็นกองหน้า คนกลุ่มหนึ่งพุ่งไปยังกระบวนทัพของฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง

“ประหาร!” แม่ทัพคนหนึ่งฝั่งน่านฟ้าระกาติงก็มีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์เช่นกัน เขาเห็นคนที่พุ่งเข้าไปเสียผู้บัญชาการหลัก ไม่น่าเชื่อว่ายังกล้าหนีทัพก่อนรบจนขวัญกำลังใจทหารปั่นป่วน มีหรือที่จะปล่อยให้คนพวกนั้นมาทำลายรูปทัพของฝ่ายตัวเอง เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดทันที

ด้านซ้ายและขวามีกลุ่มสารวัตรทหารพุ่งออกไปทันที โบกอาวุธทั้งดาบและทวนฟันแทงคนที่พุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สังหารจนคนที่หนีกลับมาร้องโหยหวนเหมือนหมาป่า เสียงกรีดร้องดังเป็นแถบๆ

แต่เหมียวอี้ก็ดันนำคนพุ่งสังหารเข้ามาอีก กำลังพลกลุ่มใหญ่ที่เข้ามารับศึกวุ่นวายไร้ระเบียบทันที พวกเหมียวอี้พุ่งสังหารเข้ามาแล้ว สังหารจนเกิดเสียงกรีดร้องตลอดทาง ประชิดเข้าไปหานายพลโดยตรง

“เตรียมเชือกมัดเซียน!” นายพลที่ถือทวนแทงทหารหนีศึกตายไปคนหนึ่งตะโกนอย่างหัวร้อน

ทว่ากลับได้รับผลกระทบจากหทารหนีศึกจนทำให้ฝั่งนี้วุ่นวายไร้ระเบียบ ชั่วขณะที่ไม่ได้ร่ายอิทธิฤทธิ์สู้ อีกทั้งเหมียวอี้ยังพุ่งเข้ามาตรงหน้าเขาในชั่วพริบตาเดียว นายพลคนนั้นแค้นมาก แค้นที่เหยียนชุนประเมินศัตรูต่ำไป แค่ช่องโหว่นิดเดียวก็สร้างปัญหาใหญ่ให้ฝั่งนี้แล้ว เวลาทัพใหญ่ออกรบ เมื่อไรที่วุ่นวายไร้ระเบียบก็จะเกิดปัญหาใหญ่ คนยิ่งมากก็ยิ่งวุ่นวาย ถ้าอยากจะเรียกกลับมาจัดใหม่ก็ยากแล้ว ถึงได้มีคำกล่าวที่ว่าทัพถูกตีพ่ายเหมือนภูเขาพังทลาย

เขารู้ตัวเองว่าสู้ไม่ไหว พุ่งเข้าไปก็มีแต่จะรนหาที่ตาย ไม่ได้แสดงบทบาทได้เลยสักนิดเดียว มีแต่ต้องรีบเลี้ยวกลับเข้าไปในกลุ่มคน ขณะเดียวกันก็ตะโกนว่า “ปล่อย!”

พอเขาถอยหนี เมื่อเห็นแม่ทัพหนีไปแล้ว ฝั่งนี้ก็วุ่นวายยิ่งกว่าเดิมทันที

แต่กลับมีเชือกมัดเซียนไม่น้อยที่โยนออกมามั่วๆ มีข้อจำกัดด้านขนาด ต้านทานการพุ่งโจมตีของเหมียวอี้ไม่ไหว เหมียวอี้มีประสบการณ์ในการรับมือกับสิ่งนี้ตั้งนานแล้ว เกราะรบบนตัวตั้งขึ้นราวกับหนามแหลม หมุนพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เชือกมัดเซียนที่โยนเข้ามาถูกฟันจนระเบิดเป็นผงทองทันที

ทหารกล้าหนึ่งร้อยที่ตามหลังมาอาศัยความแหลมคมของอาวุธที่เหมียวอี้ให้ ใช้ดาบและทวนฟันอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เชือกมัดเซียนที่โยนเข้ามาขาดอย่างรวดเร็วเช่นกัน มีบางคนโดนเชือกมัดเซียนมัดไว้ สมาชิกกลุ่มที่อยู่ข้างกันก็รีบใช้อาวุธช่วยฟันเชือกมัดเซียนให้ ตามติดอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ตลอดทาง ปกป้องอยู่ข้างหลังเหมียวอี้รวมทั้งเป็นปีกพุ่งสังหาร

เหมียวอี้ก็เองก็ไม่พุ่งเขาไปตรงๆ โดยไร้ความหวาดกลัวเช่นกัน เขารู้ถึงอานุภาพยามใช้เชือกมัดเซียนรวมกัน ถึงแม้เขาจะไม่กลัว แต่ถ้าเมื่อไรที่คนตามหลังโดนมัด ยามเผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีก็มีแต่จะตายสถานเดียว จึงสนใจแค่นำคนสังหารไปยังจุดที่มีคนเยอะและไร้ระเบียบ กดความเร็วในการเหาะเอาไว้ ตามติดกลุ่มคนที่วุ่นวายไม่ยอมปล่อย ใช้วิธีการไล่บุกเข้าไปตลอดทาง

จุดไหนที่นักพรตบงกชรุ้งของฝั่งนี้ไปถึง ก็จะมีเสียงร้องโหยหวนเหมือนผีสาง มีเสียงกรีดร้องดังไม่ขาดหู สิ่งนี้ยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้กำลังพลน่านฟ้าระกาติง

นี่เป็นเวลาที่ต้องให้แม่ทัพต้านทานศัตรูเพื่อรักษารูปทัพเอาไว้ และศึกแรกของเหมียวอี้ก็ดันสร้างบารมีแล้ว ทำให้นายพลพวกนั้นตกตะลึงพรึงเพริด ไม่มีใครกล้าเข้ามารับมือเพื่อยับยั้งพลังอันฮึกเหิมของกำลังพลกลุ่มเล็กๆ นี้

“ถอนกำลังไป! ถอนกำลังไปให้หมด!”

นายพลคนหนึ่งวางค่ายกลเชือกมัดเซียนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แค่รอให้พวกเหมียวอี้มาติดกับดักเอง ใครจะคิดล่ะว่ากลุ่มทหารที่ไร้ระเบียบฝ่ายตัวเองจะพุ่งเข้ามา ทำให้เขาโมโหจนทุบอกคำราม แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะมันทำให้รูปทัพฝั่งเขาชนกันมั่วทันที ทำให้พวกเหมียวอี้ฉวยโอกาสสังหารเข้ามา โจมตีให้ตรงนี้วุ่นวายอีกครั้ง

“อา!” นายพลคนนั้นทุบอกคำรามอย่างเดือดดาล ความรู้สึกไม่ยอมอยู่ในเสียงร้องอันเศร้าโศก คนมากมายขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะต้านทานคนแค่หนึ่งร้อยคนไม่ได้ ช่างเหลวไหลลวงโลกจริงๆ เขาเองก็จำเป็นต้องหลบคมอาวุธของพวกเหมียวอี้เช่นกัน รีบหนีเข้าไปกลางทัพที่วุ่นวายแล้ว

“ทุกคนนำกำลังพลของตัวเองถอยออกไป อย่ารวมตัวกัน เดี๋ยวค่อยกลับมารวมตัวกันใหม่อีกรอบ! เหลาจั่ว รีบนำทัพตามข้าไปแย่งชิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!” นายพลคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง

ในตอนนี้พอเหยียนชุนฝั่งน่านฟ้าระกาติงตายไป แม้แต่รองนายพลที่อยู่ข้างกายเหยียนชุนก็รบตายไปแล้ว เรียกได้ว่าเป็นมังกรไร้หัว เมื่อไม่มีคนคอยบัญชาการแล้ว แม่ทัพของแต่ละทัพก็ทำได้เพียงต่างคนต่างบัญชาการกำลังพลของตัวเอง

ทว่าเสียงนี้กลับทำให้ทัพใหญ่ที่วุ่นวายจัดระเบียบได้อย่างรวดเร็ว แม่ทัพแต่ละทัพตะโกนเสียงดัง “พวกพี่น้องมาทางนี้!”

ทัพใหญ่ที่วุ่นวายแบ่งกลุ่มกันถอยไปสี่ทิศทันที เหมียวอี้ร้อนใจมาก ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายจัดระเบียบกระบวนทัพใหม่ จุดประสงค์ของฝั่งนี้ก็จะสูญเปล่า ถึงตอนนั้นเชือกมัดเซียนที่รวมกันก็จะฝังพวกเขาได้เลย

พอเป็นแบบนี้ก็จะทำให้กองมังกรดำถูกทัพใหญ่หลายหมื่นล้อมไว้ แต่แล้วสถานการณ์วิกฤติอีกอย่างก็ปรากฏขึ้น มีกำลังพลสองกลุ่มต้านฝนธนูพุ่งไปแย่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่ร่วงอยู่บนพื้น

ความวุ่นวายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียว การจัดระเบียบทัพใหม่ก็เป็นเรื่องที่เร็วเพียงชั่วพริบตาเดียวเช่นกัน ระยะต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายใกล้กันมาก ตั้งแต่ตอนที่เหมียวอี้นำคนพุ่งออกไปกวนให้ทัพของอีกฝ่ายวุ่นวายจนถึงตอนนี้ ก็เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยใช้เวลาหายใจแค่ไม่กี่เฮือกเท่านั้น สาเหตุสำคัญเป็นเพราะพวกลูกน้องที่ฉู่จื่อซานพามาจากกองทัพองครักษ์ก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ความสามารถในการบัญชาการไม่อ่อนด้อย

“กองมังกรดำ สังหารเข้าไป!” เหมียวอี้คำรามอย่างเดือดดาล

มู่อวี่เหลียนก็ร้อนใจเช่นกัน ตะโกนเสียงดังว่า “แยกแยะฝ่ายศัตรูกับฝ่ายเรา ตั้งธง ตามข้าไปสังหาร!”

กำลังพลหลายหมื่นของกองมังกรดำรีบนำผ้าแดงมาผูกคอ มีความต่างในความเหมือนกับพันธมิตรผ้าแดงที่เหมียวอี้สร้างขึ้นที่ทะเลดาวนักษัตรในปีนั้น จุดประสงค์หลักก็เพื่อแบ่งแยกฝ่ายศัตรูกับฝ่ายตัวเอง กองทัพองครักษ์มักจะเตรียมสิ่งนี้ไว้สมอ ยามปกติที่รับมือกับข้าศึกทั่วไปก็ไม่ต้องใช้ แค่เกราะรบบนตัวก็แบ่งแยกได้แล้ว แต่ผ้าแดงแบบนี้เอาไว้ใช้ยามปราบทัพกบฎ

ธงใหญ่ของธงพยัคฆ์น้ำเงินถูกตั้งโดยทัพกลาง ธงอินทรีและธงหมาป่าใต้สังกัดรีบตั้งธงเช่นกัน ประโยชน์ของผืนธงก็เพื่อแบ่งแยกฝ่ายศัตรูและฝ่ายตัวเอง จะได้สะดวกให้แม่ทัพควบคุมสถานการณ์ได้ทุกกลุ่ม

ลูกธนูดาวตกที่ยังมีอานุภาพอีกสองสามดอกก็ไม่เก็บเอาไว้เช่นกัน ยิงไปยังทัพใหญ่ที่อยู่บนพื้นอย่างบ้าระห่ำ ทำให้คนกลุ่มใหญ่ล้มตาย

“ฆ่า!” มู่อวี่เหลียนนำทหารของทัพกลางสังหารออกมาก่อน มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าตัวเองไม่บุกนำไปก่อนคงไม่ได้ ถ้าปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามแย่งอาวุธที่แข็งแกร่งไป ความยากลำบากทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่า นางก็จะเอาชีวิตไม่รอดเช่นกัน มีแต่จะพินาศย่อยยับกันหมด ถ้าไม่สู้ตายตอนนี้แล้วจะรอตอนไหน

ผืนธงสีต่างๆ ของกองทัพองครักษ์ปลิวสะบัดตามแรงลมอยู่ข้างหลังนาง “ฆ่า!” กำลังพลหลายหมื่นตะโกนเสียงดัง ตามนางพุ่งสังหารใส่ทัพใหญ่ประมาณหนึ่งแสนกว่าราวกับกระแสน้ำไหลหลาก ชั่วขณะนั้นเสียงตะโกนฆ่าดังสะเทือนฟ้า เสียงกรีดร้องดังไม่ขาดหู เลือดเนื้อปลิวกระจาย น่าสังเวชใจที่สุด

…………………………

พอคำว่า ‘ยิงธนู’ ถูกเอ่ยออกมา อย่าว่าแต่ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่ตกตะลึง แม้แต่ทัพใหญ่ห้าหมื่นของกองมังกรดำเองก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ได้รับคำสั่งลับให้เตรียมตัวล่วงหน้าแล้ว จึงปล่อยลูกธนูในมือออกไปในชั่วพริบตาเดียว

ปั้งๆๆๆ…

มีเสียงระเบิดที่สายธนู ลูกธนูคู่ที่วางอยู่บนสายธนูกลายเป็นลำแสงเกือบหนึ่งแสนสายยิงออกไปพร้อมกันอย่างรวดเร็ว ระเบิดออกไปราวกับลำแสงหมื่นจั้ง เพื่อกำจัดมือธนูเกือบห้าหมื่นคนของฝ่ายตรงข้ามทิ้ง ฝ่ายนี้ไม่เสียดายที่จะยิงธนูออกไปพร้อมกัน

ทัพใหญ่หนึ่งล้านตกใจทันที พวกแม่ทัพเกราะม่วงที่เป็นหัวหน้าตกใจมาก ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่ากำลังพลห้าหมื่นที่ถูกทัพใหญ่หนึ่งล้านล้อมไว้จะกล้าลงมือก่อน

ตามหลักการแล้ว เมื่อภายใต้วงล้อมที่หนาแน่นแบบนี้ คนพวกนี้ต้องคิดว่าจะเอาชีวิตรอดอย่างไรสิถึงจะถูก ลงมือแบบนี้เท่ากับรนหาที่ตาย อีกฝ่ายดันลงมือก่อนเสียอย่างนั้น

“ยิงธนู” หัวหน้าขุนพลคำรามอย่างเกรี้ยวกราด

ต่อให้ฝ่ายนี้จะยอมแลกเยอะกว่า แต่ก็ต้องลดกำลังของฝ่ายตรงข้ามให้เยอะๆ ให้ได้ กำลังพลแค่ไม่กี่หมื่น ต้านทานการรุกโจมตีของฝั่งนี้ไม่ไหวหรอก

ทว่าภายใต้สถานการณ์ที่คุมเชิงกันอยู่อย่างนี้ กอปรกับระยะห่างที่ใกล้กัน ชั่วพริบตาเดียวลำแสงนับไม่ถ้วนก็มาถึงแล้ว ช้าไปก้าวเดียวก็อันตรายถึงชีวิต

ถึงแม้เขาจะออกคำสั่งไปแล้ว แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของทุกคนก็แทบจะยกโล่ออกมาต้านทานทั้งหมด โดยเฉพาะมือธนูที่เห็นว่าลำแสงกำลังพุ่งเข้ามาหาตัวเองโดยตรง แม้แต่ขุนพลที่ออกคำสั่งก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ขณะที่ตะโกนสั่งก็หยิบโล่กำบังออกมาเช่นกัน

ทัพใหญ่หนึ่งล้านวุ่นวายไร้ระเบียบในชั่วพริบตาเดียว

ทว่าระยะห่างใกล้กันเกินไป ช่วงที่ฉุกละหุกก็ตอบสนองไม่ทันเลย หยิบโล่ออกมาแต่บังร่างตัวเองไม่ทัน มีคนไม่น้อยที่ร่างสะเทือน โดนยิงคว่ำคาที่ ร่วงระนาวลงมาราวกับสายฝน

“อา…อา…” เสียงกรีดร้องดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย สิ่งนี้ยิ่งทำให้กระบวนทัพวุ่นวายหนักกว่าเดิม

หัวหน้าขุนพลที่อยู่ข้างหลังโล่ตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “ยิงธนู!”

แต่กลับไม่ได้ยินเสียงยิงธนูของฝั่งนี้ยิงธนู ทำให้แอบด่าในใจทันทีว่าคุณสมบัติในการออกรบของกำลังพลท่องถิ่นกับของกองทัพองครักษ์ต่างกันไม่ใช่น้อย พอเจียดเวลาไปมองดูสถานการณ์ก็ทำให้ท้อใจลงแล้วครึ่งหนึ่ง มือธนูนับหมื่นที่เผยตัวอยู่ข่างหน้าร่วงลงมาเป็นแถบๆ แทบจะฉิบหายวายวอดหมดแล้ว

ฉากนี้ทำให้เขาโมโหจนแทบกระอักเลือด ถ้ายังไม่เข้าใจว่าการที่อีกฝ่ายถ่วงเวลาก่อนหน้านี้ก็เพื่อจะวางแผน เช่นนั้นก็เสียแรงแล้วที่ใช้ชีวิตมาหลายปี เพียงแต่การโจมตีระลอกแลกก็ทำให้มือธนูฝ่ายตัวเองแทบจะตายหมดแล้ว ก่อนโจมตีไม่มีทางที่จะเล็งจุดที่จะกำจัดได้แม่นยำขนาดนี้ เพราะต้องใช้เวลาในการแบ่งเป้าหมายโจมตี สิ่งนี้อธิบายได้ชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะประนีประนอมมาตั้งแต่แรก เตรียมตัวจะรุกโจมตีมาตลอด แล้วตัวเองก็ดันมั่นใจในชัยชนะราวกับคนโง่

ไอ้บ้า! ในหัวเขามีคำสองคำผุดขึ้นมา อยากจะรู้จริงๆ ว่าหัวหน้าที่บัญชาการรบของฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร ไม่น่าเชื่อว่ากล้ารุกโจมตีก่อนเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้

จู่ๆ ก็เห็นลำแสงนับไม่ถ้วนยิงเข้ามา เดิมทีก็นึกว่าตัวเองจะกลายเป็นเป้าหมายการโจมตีเช่นกัน ตอนนี้ถึงได้พบว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายคือมือธนู ตอนนี้เขาโผล่หัวจากหลังโล่ออกมาตะโกนทันทีว่า “ฆ่า!”

ขณะที่กระบวนทัพหนึ่งล้านที่ถือมีโล่ราวกับป่ารีบพุ่งโจมตี เขาก็พบว่ายังมีมือธนูรอดชีวิตอยู่ จึงตะโกรเสริมอีกครั้งว่ “กำจัดมือทิ้งก่อน!”

“ยิงธนู!” เหมียวอี้โบกทวนตะโกน

เฟี้ยวๆๆ! ลูกธนูดาวตกดอกที่สามบนสายธนูกลายเป็นลำแสงนับหมื่นยิงออกไปทั่วสารทิศอีกครั้ง เป้าหมายของฝ่ายนี้ก็คือกำจัดผู้นำของฝ่ายตรงข้าม ลูกธนูเกือบห้าสิบดอกเปลี่ยนไปโจมตีแม่ทัพเกราะม่วงของฝ่ายตรงข้าม

เมื่อฝนธนูของใงนี้ถูกปล่อยออกไป ฝั่งนั้นก็รีบยกโล่ขึ้นมาบัง

ขณะเดียวกัน ในแนวรบของฝ่ายตรงข้ามก็มีลำแสงนับร้อยยิงรวมมายังตำแหน่งเหมียวอี้กับมู่อวี่เหลียน กำลังพลทัพกลางที่ล้อมพิทักษ์รอบมู่อวี่เหลียนล่วงหน้าแล้วถือโอกาสยกโล่ขึ้นมากำบัง เดิมทีหน้าที่ของทัพกลางก็คือปกป้องผู้บัญชาการรบ

ทว่าภายใต้การโจมตีของลูกธนูดาวตกนับร้อยที่ยิงรวมมาที่จุดเดียว ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว โล่ของทัพกลางก็ฉีกขาดเป็นรูหนึ่งรู ทะลุแนวป้องกันสามชั้นต่อเนื่องกัน เสียงกรีดร้องดังต่อเนื่องสิบกว่าครั้ง กำลังพลกองมังกรดำสิบกว่าคนโดนยิงสังหารตายคาที่ ผู้ได้รับบาดเจ็บก็มีสิบกว่าคนเช่นกัน นี่ยังดีที่ฝ่ายนี้เตรียมตัวได้ยอดเยี่ยมมาก โล่ล้วนทำมาจากผลึกแดงทั้งหมด

ส่วนฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น โล่ผลึกม่วงและผลึกทองที่ปกป้องพวกแม่ทัพเกราะม่วงโดนลูกธนูดาวตกยิงทะลุโดยตรง ทำให้คนข้างหลังโล่โดนยิงสังหาร องครักษ์ข้างกายแม่ทัพเกราะม่วงพวกนั้นล้วนมีโล่ผลึกแดง ต้านทานการโจมตีไว้ได้

แต่ก็มีแม่ทัพเกราะม่วงเกือบร้อยคนที่ป้องกันไม่ดีเพราะฉุกละหุก บ้างก็โดนยิงตายคาที่ บ้างก็โดนอานุภาพของลูกธนูดาวตกทำให้สะเทือนบาดเจ็บ

ส่วนทหารคุ้มกันที่โดนยิงตายก็มีจำนวนมากถึงหนึ่งหมื่นคนแล้ว

เมื่อเห็นพี่น้องข้างกายตัวเองโดนยิงตาย มู่อวี่เหลียนก็รีบออกคำสั่ง “ธงอินทรีฟ้า กำจัดมือธนูของฝ่ายตรงข้าม!”

“ธงหมาป่าฟ้า! กำจัดมือธนูของฝ่ายตรงข้าม!” ผู้บัญชาการธงอินทรีฟ้ารีบตะโกนสั่ง

ลูกธนูดาวตกเกือบหมื่นดอกลอยกลับมา กำลังพลในแนวรบของกองมังกรดำรีบโบกมือคว้ากลับคืนมา ดอกหนึ่งคาบไว้ที่ปาก อีกดอกง้างบนสายแล้วยิงออกไปอย่างฉับพลัน ยิงฝนธนูรวมไปยังแม่ทัพเกราะม่วงพวกนั้นต่อไป

ส่วนผู้ช่วยผู้บัญชาการธงหมาป่าฟ้าใต้สังกัดธงอินทรีฟ้าที่ได้รับคำสั่งจากมู่อวี่เหลียนก็รีบวางกำลังโจมตีใหม่อีกครั้ง บัญชาการลูกน้องห้าร้อยกว่าคนให้โจมตีรวมไปยังมือธนูของฝ่ายตรงข้าม พวกมือธนูฝ่ายตรงข้ามไม่ได้มีการคุ้มกันที่แน่นหนาเหมือนพวกแม่ทัพ ภายใต้การยิงโจมตีรวมไปที่จุดเดียว ฝนธนูเพียงหนึ่งระลอกก็กำจัดมือธนูฝ่ายตรงข้ามได้หมดแล้ว

พวกแม่ทัพเกราะม่วงของน่านฟ้าระกาติงก็ตระหนักได้เช่นกันว่าตัวเองกลายเป็นเป้าหมายในการสังหารอันดับแรก พวกเขาเพิ่มเกราะป้องกันเข้ามาไม่หยุด ภายใต้เสียงกรีดร้องที่ดังต่อเนื่อง แม่ทัพเกราะม่วงพวกนี้โดนโจมตีจนไม่กล้าโผล่หัวออกมา

ภายใต้การโจมตีหลายระลอก ทางฝั่งกองมังกรดำ นอกจากกำลังพลทัพกลางของมู่อวี่เหลียนที่ตายไปเกือบร้อยคน ที่เหลือก็ไม่มีอะไรเสียหายเลย กลับเป็นทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เสียหายยับเยินเพราะลืมสังเกตไปชั่วขณะจนเสียเปรียบ ท่ามกลางการโจมตีด้วยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งของกองมังกรดำ ฝนธนูหลายระลอกทำให้ความเสียหายของฝ่ายตรงข้ามสูงถึงสองแสนกว่าคน

ศพที่ร่วงอยู่บนพื้นเรียกได้ว่าเกลื่อนกลาด ในจำนวนนั้นยังมีไม่น้อยที่ร้องครางด้วยความเจ็บปวด

จะมัวทนโดนโจมตีแบบนี้ต่อไปได้ยังไง! หัวหน้าขุนพลน่านฟ้าระกาติงที่หลบอยู่หลังโล่หลายชั้นตะคอกอย่างโมโหว่า “พวกเรามีกันเป็นล้าน จะกลัวธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แค่ไม่กี่หมื่นทำไม ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของพวกเขายิงได้ไม่กี่ดอกก็สิ้นเปลืองพลังงานแล้ว! ทุกคนฟังคำสั่ง ใช้โล่ล้อมไว้แล้วดันเข้าไป คนที่บุกเข้าไปในแนวรบฝ่ายศัตรูก่อน ข้าจะตบรางวัลอย่างงาม! ใครหนีทัพฆ่าไม่ละเว้น! เถี่ยอู๋ซิน เจ้านำทัพไปเก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของคนฝ่ายเรา พอได้มาแล้วก็ใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตีทันที ข้าจะคอยดูว่าพวกเขาจะหนีไปไหนได้! ที่เหลือฟังคำสั่งข้า บุกพร้อมกัน ฆ่า!”

พอได้ยินอีกฝ่ายออกคำสั่งแบบนั้น ฝั่งกองมังกรดำก็มีคนไม่น้อยที่สีหน้าเปลี่ยนไปมาก ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายเก็บธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์คืนมา จำนวนการยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของฝั่งนี้ถึงแม้ก่อนหน้าจะปรับปรุงเสริมกำลังไว้เต็มที่แล้ว แต่ตอนนี้ลูกธนูสิบห้าดอกก็ยิงออกไปห้าครั้งแล้ว จะต้านทานการโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไร

เหมียวอี้ที่สีหน้าดุร้ายหันขวับไปมองมู่อวี่เหลียน “มู่อวี่เหลียน เจ้ามีหน้าที่บัญชาการ นักพรตบงกชรุ้งธงพยัคฆ์น้ำเงินมารวมตัวที่ข้า!”

ในทัพใหญ่หลายหมื่นมีนักพรตบงกชรุ้งนึ่งร้อยสามคนโผล่ออกอย่างรวดเร็ว เหาะไปอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้

เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง โยนอาวุธและเกราะรบผลึกแดงหลายร้อยชุดให้ร้อยกว่าคนที่ติดตามมา นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรเซียนซิงหัวอีกหนึ่งกอง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาค่อยๆ นับแบ่งกัน ทำแบบนั้นไม่ทันแล้ว ขณะที่โยนของออกมา ก็ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ทัพใหญ่หนึ่งล้านไม่โหดพอให้กลัวหรอก! ในปีนั้นหนิวบุกเดี่ยวฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านสามรอบ ราวกับเข้าสู่ดินแดนที่ไร้คน แถมตอนนี้ยังมีนักรบห้าวหาญร้อยกว่าคนคอยช่วยเหลือ! ทุกคนกล้าเป็นพี่น้องร่วมสู้รบร่วมเป็นร่วมตายกับหนิวรึเปล่า อยากจะมีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าไปกับหนิวรึเปล่า!”

ถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าทัพใหญ่หนึ่งล้านในปีนั้นที่เหมียวอี้เอ่ยถึงจะเป็นพวกฝีมืออ่อนด้อย ไม่สามารถเทียบกับทหารประจำการที่ปรับปรุงกองทหารใหม่ตรงหน้าได้ แต่ก็ถูกคำพูดของเขากระตุ้นให้ฮึกเหิมอยู่ดี พวกเขาก็รู้เช่นกัน เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าแพ้ขึ้นมาก็รอดยาก มีแต่ต้องสู้ตายสักตั้ง!

“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!” ร้อยคนส่งเสียงพร้อมกัน

เหมียวอี้พลันหันขวับไปมองสี่ด้าน ทัพใหญ่ที่ล้อมไว้จัดกระบวนทัพแบบโล่กำบังต้านฝนธนูประชิดเข้ามาแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นกองทัพองครักษ์รุกโจมตีเข้ามา เกรงว่าฝั่งนี้คงจะโดนโจมตีพังไปแล้ว เพราะกำลังพลท้องถิ่นมีพวกอ่อนด้อยเยอะเกินไป ไม่มีใครอยากพุ่งมาเสี่ยงตายอยู่ข้างหน้า ต่างก็อยากจะให้คนอื่นพุ่งเข้าไปรับลูกธนูดาวตกของฝ่ายศัตรูแทน

มู่อวี่เหลียนดึงกำลังพลอีกหนึ่งหมื่นไปรับมือกับคนที่เก็บคันธนูและสายธนูโดยเฉพาะ โจมตีคนที่เก็บธนูจนถอยไปสามระลอกแล้ว

ยามเผชิญหน้ากับสถานการณ์วิกฤติ เวลานี้จะเห็นความแตกต่างระหว่างกองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นได้มากที่สุด ภายใต้สถานการณ์ที่อันตรายขนาดนี้ แนวรบฝั่งนี้ไม่เสียระเบียบเลยสักนิด

สถานการณ์อันตรายอยู่ตรงหน้า เหมียวอี้รีบบอกมู่อวี่เหลียนว่า “รอจนข้าสังหารฝ่าออกไปแล้ว สั่งให้ทัพใหญ่ขับเข้าไปแย่งชิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของฝ่ายศัตรูที่อยู่บนพื้น ต้องทำสำเร็จเท่านั้น ห้ามล้มเหลว!” จากนั้นก็หันไปตะโกนบอกร้อยกว่าคนที่ถือทวนว่า  “วันนี้มีเพียงสู้ตายเพื่อเอาชีวิตรอด ไม่มีหนทางอื่น! หนิวยินดีเป็น ‘หน่วยกล้าตาย’ โจมตีนำไปก่อน ทุกคนจะมีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าก็วันนี้แหละ ตามข้าไปสังหาร!” พูดจบก็กำสมุนไพรเซียนซิงหัวยัดปากแล้วเคี้ยวอย่างตะกละมูมมาม แล้วพุ่งนำออกไป

“นายท่าน!” มู่อวี่เหลียนอุทานตกใจ นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเอาตัวพุ่งไปอยู่หน้าสุด

คนหนึ่งร้อยสามคนนั่นก็คว้าสมุนไพรเซียนซิงหัวยัดเข้าปากเช่นกัน จากนั้นก็ดึงอาวุธผลึกแดงและเกราะรบที่เหมาะมือตามเหมียวอี้พุ่งออกไป ไม่สนใจแล้วว่าเกราะรบจะพอดีตัวหรือไม่ ตอนนี้ใช่เวลามาพิถีพิถันเรื่องนี้เสียที่ไหนกัน ขณะที่เหาะก็สวมใส่อย่างรวดเร็ว

กองกำลังหนึ่งร้อยมีเหมียวอี้เป็นผู้นำ พุ่งสังหารไปทางกระบวนทัพฝ่ายศัตรู เป้าหมายก็คือหัวหน้าฝ่ายศัตรูที่หลบอยู่ในการคุ้มกันหลายชั้น

ภาพนี้ฉากนี้ทำให้ทุกคนของกองมังกรดำตกตะลึงในใจ ขวัญกำลังใจทหารเพิ่มขึ้นในชั่วพริบตาเดียว

“ดันเข้าไป!” มู่อวี่เหลียนโบกทวนตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด

กำลังพลหลายหมื่นใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงเบิกทางไปตรงจุดที่เหมียวอี้พุ่งสังหารเข้าไป ดันทุรังพุ่งใส่ทัพใหญ่ที่กดดันเข้ามาตรงหน้า

เมื่อเห็นขุนพลหลักของฝ่ายศัตรูแบ่งกลุ่มเล็กๆ พุ่งเข้ามา ลูกธนูดาวตกก็ไม่โจมตีมาทางนี้อีก กอปรกับเห็นตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้มีเพียงวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่ง หัวหน้าขุนพลน่านฟ้าระกาติงฮึกเหิมทันที เพราะเขามีวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นห้า จึงโบกดาบตะโกนทันที “พี่น้องหน่วยองครักษ์ขวา ตามข้าไปสังหารโจร!”

เขาบุกนำไปคนแรก ซ้ายขวาตามด้วยแม่ทัพอีกหลายคน ข้างหลังมีกำลังพลหนึ่งหมื่นสังหารตามมาด้วย

“หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่แล้ว! ใครขวางข้า ตาย!” ชั่วพริบตาที่ทั้งสองฝ่ายประจัญบานกัน เหมียวอี้ก็ตะโกนบอกสิ่งที่น่าตกใจอย่างเกรี้ยวกราด สุดท้ายก็ประกาศชื่อของตัวเองแล้ว

หนิวโหย่วเต๋อ! เมื่อประกาศชื่อนี้ออกมา ทุกคนของน่านฟ้าระกาติงก็พากันตระหนกตกใจ เป็นหนิวโหย่วเต๋อที่เคยบุกเดี่ยวสังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านสามรอบที่แดนอเวจีเหรอ

ถ้าคนคนนี้คือหนิวโหย่วเต๋อจริง อย่าบอกนะว่าจะแสดงฉากลุยเดี่ยวบุกสังหารฝ่าเข้าไปในทัพใหญ่หนึ่งล้านอีกแล้ว

…………………………

มาจนป่านนี้แล้ว นอกเสียจากเบื้องบนจะตะโกนสั่งให้หยุดเท่านั้น แต่นี่ก็คือจุดที่ทำให้เหมียวอี้แอบร้องออย่างขื่นขม เขาจงใจปิดบังเบื้องบน หลอกลวงเบื้องล่าง ทางนี้เพิ่งจะรายงานไปที่อวี่จ้งเจินเช่นกัน บอกว่าไม่แน่ว่าเบื้องบนของน่านฟ้าระกาติงอาจจะยังไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนก็ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดสภาพอย่างนี้ เผชิญหน้ากับลูกน้องเก่าของฉู่จื่อซาน จะถ่วงเวลาได้นานขนาดนั้นเหรอ?

หรือพูดได้อีกอย่างก็คือ ต่อให้เบื้องบนของน่านฟ้าระกาติงจะรู้แล้ว คาดว่าคงจะเดือดดาลมากเช่นกัน เป็นเพราะฝั่งเหมียวอี้เล่นนอกกติกาเกินไป ใครจะไปรู้ว่าเบื้องบนของน่านฟ้าระกาติงจะเอาคืนด้วยวิธีการเดียวกันหรือเปล่า แสร้งทำเป็นไม่รู้เพื่อให้ลูกน้องกู้หน้ากลับมาสักหน่อย

เหมียวอี้เข้าใจดี ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้ามีเหตุไม่คาดคิดขึ้นมาก็อาจจะทำให้ฝ่ายตัวเองพ่ายแพ้ยับเยินได้เลย

บนฟ้ามีคนตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “น่านฟ้าระกาติงของข้าไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพองครักษ์เหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง มิหนำซ้ำท่านหัวหน้าภาคก็มีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์ ทำไมต้องลงมือสังหารกำลังพลน่านฟ้าระกาติงของพวกเรา?”

เหมียวอี้โบกทวนชี้ไป แล้วตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ฉู่จื่อซานจงใจวางแผนก่อกบฏ กองทัพองครักษ์ได้รับคำสั่งให้ปราบ หรือพวกเจ้าก็คิดจะวางแผนก่อกบฏเช่นกัน?”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ทัพใหญ่หนึ่งล้านแต่ละคนที่ล้อมไว้ก็สีหน้าเปลี่ยนทันที วางแผนก่อกบฏเหรอ? แต่ละคนพึมพำในใจว่า มิน่าล่ะคนของกองทัพองครักษ์ถึงลงมือ

ทุกคนของกองมังกรดำแอบร้องว่าดีมาก มู่อวี่เหลียนหันกลับไปมองเหมียวอี้ ในใจนางแอบชื่นชมเช่นกัน ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของท่านแม่ทัพภาคไม่ธรรมดาจริงๆ มิน่าล่ะก่อเรื่องมากมายแต่อยู่รอดมาถึงวันนี้ได้ อาศัยคำว่า ‘วางแผนก่อกบฏ’ เกรงว่าคู่ดคำนี้ก็จะทำให้ทุกคนรอดพ้นหายนะได้แล้ว!

ทว่าเหมียวอี้กลับไม่กล้าเอาชีวิตฝากไว้กับความใจอ่อนของคนอื่นเสียทั้งหมด พูดจาร้ายแรงแบบนั้นไปก็เพื่อจะถ่วงเวลาเท่านั้น แล้วแอบถ่ายทอดเสียงบอกลูกน้องว่า “สั่งให้ทุกคนแบ่งงานกันกำหนดเป้าหมายที่แน่นอน เล็งลูกธนูดาวตกไปที่มือธนูของฝ่ายตรงข้าม ถ้ามีการลงมือขึ้นมา ก็กำจัดมือธนูนับหมื่นของอีกฝ่ายทิ้งทันที! ยิงมือธนูก่อนแล้วค่อยยิงแม่ทัพเกราะม่วงของอีกฝ่าย ตัดภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดออกไปก่อน! ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรอฟังคำสั่งข้า!”

มู่อวี่เหลียนแอบกล่าวชมในใจ ขอเพียงกำจัดมือธนูพวกนั้นกับแม่ทัพเกราะม่วงฝ่ายตรงข้ามได้ ก็จพลดภัยคุกคามให้ทุกคนได้เยอะแล้ว นางรีบปฏิบัติตามทันที

แม่ทัพหลายคนที่อยู่บนฟ้าหันไปมองปฏิกิริยาลูกน้องตัวเอง เห็นได้ชัดว่าจิตใจทหารสั่นคลอนแล้ว สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไปแล้ว หลังจากพวกเขาส่งสายตาให้กัน หนึ่งในนั้นก็ตะโกนอีกว่า “อย่าพูดจาเหลวไหล หัวหน้าภาคฉู่เป็นคนที่มาจากกองทัพองครักษ์เหมือนกัน จะวางแผนก่อกบฏได้ยังไง? เจ้าเป็นใคร รีบรายงานชื่อแซ่มาก!”

ตอนนี้เหมียวอี้ไม่มีทางที่จะเปิดเผยตัวตนกับคนของฉู่จื่อซาน ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้โดนล้างแค้นในทันที เพราะเรื่องบางเรื่องมัวรอคิดทบทวนไม่ไหว เขาแสยะยิ้มบอกทันทีว่า “เป็นใครก็ไม่สำคัญหรอก ส่วนฉู่จื่อซานจะวางแผนก่อกบฏหรือไม่อีกไม่นานก็จะได้รู้เอง ถ้าพวกเจ้ามีอะไรสงสัยก็ติดต่อไปถามผู้บังคับบัญชาของพวกเจ้าตอนนี้ได้เลย”

เขาอยากจะกดดันให้อีกฝ่ายติดต่อกับท่านโหวของตัวเอง ขอเพียงลูกน้องรายงานสถานการณ์ขึ้นไปต่อหน้าฝูงชน ต่อให้ท่านโหวคนนั้นจะแกล้งโง่ไม่รู้เรื่อง แต่ก็จะแกล้งโง่ต่อไปไม่ได้แล้ว เมื่อรู้สถานการณ์แล้วก็จะต้องจัดการแก้ไขปัญหา วิธีแก้ไขปัญหาจะต้องไม่ใช่การยุยงให้หน่วยงานในตำหนักสวรรค์ฆ่ากันเองแน่นอน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมา ท่านโหวคนนั้นก็จะรอดพ้นความผิดได้ยาก

เขาพอจะสงสัยรางๆ แล้วว่าท่านโหวเตรียมตัวปิดตาข้างเดียว เพราะเขาเห็นเองกับตาว่าลูกน้องส่วนหนึ่งของฉู่จื่อซานหนีรอดไปได้ ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะรายงานขึ้นไปเบื้องบน หรือพูดได้อีกอย่างว่าท่านโหวคนนั้นรู้สถานการณ์เบื้องลึกแล้ว แต่ดูจากท่าทางของคนพวกนี้แล้ว ก็เหมือนจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย

คนคนนั้นไม่ได้สนใจคำพูดของเขาเลย ตะโกนอีกครั้งว่า “ไม่จำเป็นต้องรายงานเบื้องบนหรอก ในเมื่อเจ้าบอกว่าหัวหน้าภาคของพวกเราวางแผนก่อกบฏ แล้วทำไมไม่ปล่อยตัวหัวหน้าภาคของพวกเราออกมาสืบสวนต่อหน้าล่ะ?”

ปล่อยฉู่จื่อซานออกมาเหรอ? พอได้ยินคำนี้ เหมียวอี้ก็พลันเบิกตากว้าง ตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ระหว่างทางอีกฝ่ายจะไม่ติดต่อกับฉู่จื่อซาน จะต้องรู้แน่นอนว่าฉู่จื่อซานจบเห่ไปแล้ว แต่กลับแกล้งโง่ให้เขาปล่อยตัวฉู่จื่อซาน

มู่อวี่เหลียนเองก็สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน หันกลับไปมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ในแววตาซ่อนความกระวานกระวายเอาไว้อย่างปิดบังได้ยาก

ฝั่งเหมียวอี้ยังไม่ทันตอบคำถาม แม่ทัพหลายคนของฝ่ายตรงข้ามก็ตะโกนเสียงดังติดต่อกันแล้วว่า “หัวหน้าภาคฉู่อยู่ที่ไหน…รีบปล่อยตัวหัวหน้าภาคออกมาตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อหน้า…”

“ปล่อยตัว!” มีคนโบกดาบตะโกนเสียงดังนำ

“ปล่อยตัว!”

“ปล่อยตัว!”

“ปล่อยตัว!”

เมื่อมีหนึ่งคนนำ ลูกน้องที่อยู่ในตำแหน่งหลักก็ตะโกนเสียงดังตามทันที ตามติดด้วยทัพใหญ่หนึ่งล้านที่โบกอาวุธในมือตาม มีเสียงตะโกนให้ปล่อยตัวดังต่อเนื่องเป็นระลอก ลักษณะพลังอำนาจราวกับคลื่นยักษ์โหมซักสาดเข้ามา ราวกับประสบเหตุทหารก่อกบฎ ทำให้กำลังพลห้าหมื่นของกองมังกรดำรู้สึกกดดันทางจิตใจอย่างใหญ่หลวง

ทันใดนั้น ก็มีบางคนสายตาไปหยุดอยู่ตรงจุดไกลๆ ที่กำลังพลกลุ่มหนึ่รวมตัวกันอยู่ ตรงนั้นมีสิบกว่าศพโดนตัดหัว จึงอุทานเสียงดังว่า “นั่นคือพวกแม่ทัพภาคเว่ยนี่ นั่นใช่นายท่านหัวหน้าภาครึเปล่า?”

ท่ามกลางเสียงตะโกนที่ดังต่อเนื่องไม่หยุด กำลังพลบนฟ้าทยอยกันใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปทางนั้น บรรดาศีรษะที่คุ้นเคยนั่นย่อมไม่ผิดแน่ ทั้งยังมีร่างที่โดนเฉือนจนแทบจะเหลือแต่โครงกระดูกด้วย เนื้อหนังบนตัวไม่มีแล้ว แต่ศีรษะกลับยังสมบูรณ์ กำลังเอนล้มอยู่บนพื้น หน้าตายังมีเค้าให้เห็นอยู่บ้าง เป็นฉู่จื่อซานที่โดนลงโทษสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น

ขุนพลที่อยู่บนฟ้าคำรามอย่างเกรี้ยวกราดทันที โบกทวนชี้เหมียวอี้ “เจ้าฆ่าท่านหัวหน้าภาคของพวกเราเหรอ?”

เหมียวอี้ตะโกนตอบเสียงดังว่า “ฉู่จื่อซานวางแผนก่อกบฏ ขัดขืนการจับกุมอย่างโจ่งแจ้ง จึงโดนประหารคาที่!”

คนคนนั้นตะโกนว่า “เหลวไหล! เห็นได้หลังว่าหัวหน้าภาคฉู่ตกอยู่ในมือพวกเจ้าตอนยังมีชีวิตอยู่ ตอนหลังถึงโดนโทษประหาร เลือดที่เกลื่อนเต็มพื้นก็เป็นหลักฐานแล้ว! หัวหน้าภาคฉู่เป็นหัวหน้าภาคที่เฝ้าอาณาเขตให้ตำหนักสวรรค์ ในเมื่อตกอยู่ในมือพวกเจ้าทั้งเป็นๆ แล้ว ต่อให้ทำผิดมหันต์แต่ก็ต้องสืบสวนหาความผิดก่อนแล้วค่อยสังหาร เจ้ามีอำนาจอะไรมาถือวิสาสะประหาร?”

หนึ่งในนั้นที่อยู่ข้างๆ ตะโกนว่า “เหล่าพี่น้อง กองทัพองครักษ์จะทำเรื่องแบบบนี้ได้ยังไง เป็นไปได้สูงว่าคนพวกนี้จะปลอมตัวมา”

มีอีกหนึ่งคนตะโกนว่า “พวกเราไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะเป็นคนของกองทัพองครักษ์หรือไม่ คนในตำหนักสวรรค์ต่อให้จะมีตำแหน่งสูงขนาดไหนแต่ก็ต้องมีเหตุผล ไม่มีใครที่มีอำนาจฆ่าคนได้ตามอำเภอใจ ฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามใจชอบ ไม่อย่างนั้นจะมีกฏสวรรค์ไว้ทำไม! เรื่องนี้เกิดขึ้นวันนี้ต่อให้ราชันสวรรค์จะสั่งมา แต่ก็ต้องให้คำอธิบายที่ฟังขึ้นกับทุกคน! ถ้าพวกเจ้าเป็นกองทัพองครักษ์จริงๆ ก็วางอาวุธแล้วยอมแพ้เดี๋ยวนี้ ถ้าสืบจนรู้ชัดแล้วว่าหัวหน้าภาควางแผนก่อกบฏหรือไม่ ก็จะไม่แตะต้องพวกเจ้าแม้แต่ปลายผม! แต่ถ้ากล้าขัดขืน ก็แสดงว่าในใจมีเจตนาไม่ดี พวกเจ้าจะต้องตายแบบไม่มีหลุมฝังศพ!”

“วางอาวุธแล้วยอมแพ้ซะ!” มีบางคนตะโกนนำ

“วางอาวุธแล้วยอมแพ้ซะ!”

“วางอาวุธแล้วยอมแพ้ซะ!”

ทัพใหญ่หนึ่งล้านต่อโกนเสียงดังเป็นระลอกอีกครั้ง พลังเสียงที่ดังดุจคลื่นโหมซัดสาดประชิดเข้ามาอีกครั้ง ทำให้กำลังพลหลายหมื่นของเหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนไปมาก

เหมียวอี้เองก็ไม่ใช่คนโง่ เขาตระหนักได้แล้วว่าสถานการณ์ที่ไม่ชอบมาพากล สาเหตุที่อีกฝ่ายให้พวกเขาวางอาวุธ ก็เพราะหวาดกลัวธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ห้าหมื่นคันในมือของพวกเขาเท่านั้นเอง กังวลว่าหลังจากลงมือแล้วฝ่ายนั้นจะเสียหายหนัก และถ้าฝ่ายเหมียวอี้วางอาวุธยอมแพ้เมื่อไร ก็จะตกอยู่ในมือของอีกฝ่ายทันที แบบนั้นความเป็นความตายก็จะขึ้นอยู่กับปากของอีกฝ่ายแล้ว หาข้ออ้างอะไรสักอย่างก็สามารถประหารพวกเขาจนเละเป็นเนื้อบดได้เลย

เห็นได้ชัดว่าฝั่งนั้นกำลังยั่วเย้าอารมณ์โกรธของฝูงชน กำลังกระตุ้นทหารก่อนทำศึก ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่การลงมือกับศัตรู ถ้าให้ลูกน้องบุ่มบ่ามลงมือกับกองทัพองครักษ์ ไม่ว่าใครก็ต้องเคลือบแคลงในใจทั้งนั้น ดังนั้นแล้ว สถานการณ์ล่อแหลมมา ราวกับฟืนแห้งที่โดนสะเก็ดไฟนิดเดียวก็ลุกโชนได้ หางตาของเหมียวอี้จึงเหลือบมองปฏิกิริยาของมู่อวี่เหลียนอละคนอื่นๆ อยู่ตลอด

ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน สุดท้ายมู่อวี่เหลียนก็หันหน้ามองมา แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “นายท่าน เตรียมตัวเสร็จแล้ว…จะลงมือแล้วจริงๆ เหรอ?”

ท่ามกลางคลื่นเสียงที่โหมเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์โหมสาดซัด เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงตวาดว่า “เจ้าคิดว่าหัวหน้าพวกนั้นไม่รู้เหรอว่าฉู่จื่อซานตายแล้ว? เป็นไปไม่ได้ที่ก่อนหน้านี้พวกเขาจะไม่ติดต่อกัน เห็นได้ชัดว่าจงใจยุยงก่อเรื่อง เจ้าคิดว่าพวกเรายังมีทางรอดชีวิตอีกมั้ย? ถ้าสู้ก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่สู้ จุดจบของฉู่จื่อซานก็จะกลายเป็นจุดจบของพวกเจ้า!”

พอนึกภาพว่าผู้หญิงอย่างตัวเองโดนถอดเสื้อผ้าแล้วสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น มู่อวี่เหลียนก็ตัวสั่นหวาดกลัว

นางเองก็เข้าใจเช่นกัน ว่าถ้าฝ่ายนี้ยอมแพ้เมื่อไร ถ้าอีกฝ่ายต้องการจะทำซี้ซั้วขึ้นมาจริงๆ ต่อให้จะปล่อยคนอื่นรอดไปได้ แต่ไม่มีทางปล่อยผู้นำอย่างนางกับเหมียวอี้ไปแน่นอน จากสภาพของอีกฝ่ายที่เหมือนทหารก่อกบฏ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้จบลงด้วยดี

เหมียวอี้บอกอีกว่า “ถ่ายทอดคำสั่งของพ่อลงไป ว่าพวกเราเป็นกองทัพองครักษ์ของราชันสวรรค์ ไม่มีเหตุผลที่จะยอมแพ้! ถ้ายอมแพ้แล้ว กองทัพองครักษ์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ราชันสวรรค์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ต่อให้ยอมทุกอย่างเพื่อแลกกับชีวิตตอนนี้ แต่กองทัพองครักษ์จะมีที่เหลือให้พวกเราเหรอ ฝ่าบาทจะปล่อยพวกเราไปเหรอ!” เขาเองก็ปลุกปั่นทหารก่อนออกรบเช่นกัน ห้าหมื่นคนสู้กับหนึ่งล้านคน ถ้าจะบอกว่าทุกคนไม่ขี้ขลาดสักนิดเลยก็แสดงว่าพูดจาเหลวไหลแล้ว เขาต้องการจะตัดทางถอยของทุกคน ทุบหม้อข้าว จมเรือเพื่อกดดันให้ทุกคนทุ่มชีวิตทำศึกนี้!

มู่อวี่เหลียนกัดฟัน แล้วหันกลับไป รีบถ่ายทอดคำพูดของเหมียวอี้ลงไปทีละระดับ จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อน คำสั่งนี้ไปถึงหูทุกคนอย่างรวดเร็ว คนในทัพใหญ่ห้าหมื่นเริ่มทำสายตามีหวังแล้ว

เสียงดังดั่งคลื่น มีพลังน่าตกใจ เมื่อเห็นว่าส่งเสียงได้พอสมควรแล้ว ขุนพลหัวหน้าที่อยู่บนฟ้าก็ยกมือขึ้น เสียงของฝูงชนเงียบลง แล้วเขาก็จ้องเหมียวอี้พร้อมตะโกนว่า “จะยอมหรือไม่ยอม?”

เหมียวอี้ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “กองทัพองครักษ์เคยยอมตั้งแต่เมื่อไรกัน!”

ขุนพลที่เป็นหัวหน้าสีหน้าดุร้ายทันที ตะโกนไปทางซ้ายและขวาว่า “พี่น้อง ถ้าคนพวกนี้ไม่ได้มีความคิดไม่ซื่อในใจ ก็แสดงว่าไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลย คิดว่าพวกเราเป็นเนื้อปลาที่ยอมให้คนอื่นสับได้! ถ้าเรื่องในวันนี้ไม่ได้รับคำอธิบาย ถ้าแม้แต่แม่ทัพตายแล้วยังไม่สะทกสะท้าย ต่อไปทั้งน่านฟ้าระกาติงจะไม่ถูกทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะหรอกเหรอ!”

ข้างๆ มีคนตะโกนว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ จะไม่ให้คำอธิบายได้เหรอ?”

มีคนขานรับเสียงดังทันทีว่า “ไม่ได้!”

“ไม่ได้!”

“ไม่ได้!”

ทัพใหญ่หนึ่งล้านกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน มีพลังอำนาจน่าตกใจ

“ใครกล้าก่อกบฏ!” เหมียวอี้พลันเปล่งเสียงตะโกนเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ระเบิดพลังเสียงออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า “ใครกล้าก่อกบฏ! ใครกล้าก่อกบฏ!ใครกล้าก่อกบฏ!”

เขาโบกทวนชี้ไปรอบวง พร้อมตะโกนสี่ครั้งติดต่อกัน

มู่อวี่เหลียนโบกทวนตะโกนตามอย่างเกรี้ยวกราด ส่งเสียงแหลมเล็กของผู้หญิง”ใครกล้าก่อกบฏ!”

“ใครกล้าก่อกบฏ!”

“ใครกล้าก่อกบฏ!”

“ใครกล้าก่อกบฏ!”

กำลังพลห้าหมื่นตะโกนตามทันที

พลังเสียงโต้ตอบ พอยัดข้อหาใหญ่อย่าง ‘ใครกล้าก่อกบฏ’ ออกมา ก็ทำให้พลังเสียงฝั่งทัพใหญ่หนึ่งล้านอ่อนแอลง มีคนไม่น้อยที่หุบปากแล้ว เอาแต่มองหน้ากันเลิกลั่กอยู่อย่างนั้น ไม่น่าเชื่อว่าเสียงของทัพใหญ่หนึ่งล้านจะโดนเสียงของทัพห้าหมื่นข่มแล้ว

แม่ทัพเกราะม่วงหลายคนสีหน้าเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ในดวงตาของคนที่เป็นหัวหน้าใหญ่เริ่มฉายแววดุร้าย

เหมียวอี้จ้องคนออกคำสั่งของอีกฝ่ายอยู่ตลอด พอเห็นสถานการณ์ดังนี้ จู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดัง “กองมังกรดำทุกคนฟังคำสั่ง!”

เสียงของฝั่งกองมังกรดำทยอยเงียบลง เสียงของทัพใหญ่หนึ่งล้านที่ล้อมไว้ก็เงียบลงพอสมควรแล้วเช่นกัน ต่างก็อยากฟังว่าเขาจะพูดอะไร

ใครจะคิดว่าตอนที่อีกฝ่ายกำลังใจลอย เหมียวอี้ก็พลันตะโกนเสียงดังว่า “ยิงธนู!”

…………………………

อุทยานหลวง ก่อนที่จะเข้าประชุมในราชสำนัก โดยทั่วไปขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค็จะแยกย้ายกันไปพักผ่อนที่เรือนพักของตัวเอง นี่ก็คือจุดประสงค์ที่ตำหนักสวรรค์แบ่งเรือนพักที่อุทยานหลวงเอาไว้ให้ขุนนางใหญ่ทุกคน

ที่เรือนพักของจวนท่านโหวเซวียนหยวน บนตึกเจดีย์ ท่านโหวเซวียนหยวนจัวกำลังเอามือไขว้หลังยืนพิงระเบียงพร้อมทอดสายตามองภูเขาที่อยู่ไกลๆ สวมชุดคลุมยาวน้ำเงินเข้มทั้งตัว ดูสง่างามมีการศึกษา

เพียงแต่อารมณ์บนใบหน้าดูตึงเครียด สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก บนท้องฟ้ามีฟ้าร้องฟ้าผ่าเป็นระยะ นอกตึกมีฝนตกจั้กๆ

เดิมทีเข้าเป็นหัวหน้าภาคคนหนึ่งของหน่วยองครักษ์ขวา แต่ถูกเบื้องบนแต่งตั้งให้รับตำแหน่งสำคัญ ย้ายจากหน่วยองครักษ์ขวามาเข้าราชสำนักโดยตรง ถูกเลื่อนขั้นให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ เขาย่อมเป็นผู้ได้ประโยชน์หลังจากเกิดคดีตลาดผีเช่นกัน และฉู่จื่อซานก็คือลูกน้องคนสนิทที่เขาพามาจากหน่วยองครักษ์ขวาด้วย นี่ก็คือสาเหตุที่เขากำลังทำสีหน้าย่ำแย่อยู่ตอนนี้

ข้างหลังเขามีแม่ทัพเกราะแดงคนหนึ่งที่ชื่อว่าอวี่เลี่ย ถูกเขาย้ายมาจากหน่วยองครักษ์ขวาเช่นเดียวกัน ตอนนี้กำลังใช้ระฆังดาราติดต่อกับที่ไหนสักแห่ง หลังจากนั้นก็เก็บระฆังดาราเงียบๆ แล้วส่ายหน้าเบาๆ “ท่านโหว ติดต่อไม่ได้ขอรับ เกรงว่าจะเอาฉู่จื่อซานคืนมาไม่ได้แล้ว”

“แน่ใจรึยังว่าใครทำ?” เซวียนหยวนจัวถาม

อวี่เลี่ยตอบว่า “ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ขอรับ แต่เรื่องที่เบื้องล่างรายงานขึ้นมาก็น่าคิดเช่นกัน เรื่องในวันนี้เกิดขึ้นตอนที่ฉู่จื่อซานกำลังจะไปแต่งงานกับเถ้าแก่เนี้ยร้านค้าร้านหนึ่งที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนพอดี ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่หม้าย ชื่อว่าอวิ๋นจือชิว ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนเคยมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับหนิวโหย่วเต๋อ มีข่าวลือว่าทั้งสองได้กันแล้ว หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของหน่วยองครักษ์ซ้าย ในมือกุมอำนาจทัพใหญ่หนึ่งล้านของกองทัพองครักษ์ ได้ยินว่าถูกปล่อยตัวออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว แล้วเรื่องที่ลูกน้องรายงานขึ้นมาก็กันบอกว่าคนที่ล้อมโจมตีคือคนของกองทัพองครักษ์ ข้าน้อยสงสัยว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อ คนที่มีความกล้าที่จะทำแบบนี้ ก็สอดคล้องกับข่าวลือของหนิวโหย่วเต๋อพอดี”

“หนิวโหย่วเต๋อ!” เซวียนหยวนจัวเอ่ยชื่อนี้ออกมาด้วยสีหน้าตึงเครียด ปั้ง! จู่ๆ ก็ใช้ฝ่ามือตบบนราวระเบียง “ถ้าเป็นหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ ฉู่จื่อซานนั่นก็ตายอย่างชดใช้ความผิดดไม่หมดอยู่ดี! ขนาดพวกลูกน้องยังรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นมีเรื่องชู้สาวกับหนิวโหย่วเต๋อ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าฉู่จื่อซานจะไม่รู้ คนสารเลวที่หน้ามืดตามัวเพราะกามตัณหา ทำตัวกำเริบเสิบสานขนาดนี้เพื่อผู้หญิงคนเดียว เสียแรงที่ข้าให้เกียรติเขา ให้เขาไปรับตำแหน่งสำคัญขนาดนี้ นี่คือสิ่งที่เขาตอบแทนข้าเหรอ?”

อวี่เลี่ยถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ตอนที่อยู่กองทัพองครักษ์ กฎทหารเข้มงวด พวกพี่น้องล้วนเคยใช้ชีวิตลำบากจืดชืด จู่ๆ ก็กลายเป็นเจ้าอาณาเขตแบบนี้ ตัวอยู่ในโลกแห่งดอกไม้ ในมือกุมอำนาจชี้เป็นชี้ตายของสรรพสิ่งมากมาย กอปรกับตอนอยู่กองทัพองครักษ์ไม่เคยได้เสพสุขจากการถูกยอยอปอปั้น ข้างกายมีคนขี้ประจบคอยพูดเอาใจต่างๆ นาๆ… ขออภัยที่ข้าน้อยพูดสิ่งที่ไม่ควรพูด คนที่ลืมตัวและลำพองใจไม่ได้มีแค่ฉู่จื่อซานคนเดียว มีเยอะมากขอรับ!”

เซวียนหยวนจัวหันขวับ แล้วกล่าวอย่างโมโหว่า “แล้วพวกเขาเคยคิดบ้างรึเปล่า ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้วท่านโหวอย่างข้าจะอธิบายกับผู้บัญชาการองครักษ์ยังไง? นายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ต้องโดนวิจารณ์ตำหนิมากมาย ลำบากพูดแนะนำต่อหน้าฝ่าบาทกว่าจะผลักดันข้าขึ้นตำแหน่งหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ได้ แบบนี้ต้องอาศัยความเชื่อใจระดับไหนกัน นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่เท่าไร ลูกน้องก็ก่อเรื่องใหญ่ระดับนี้แล้ว จะให้ข้าเอาหน้าที่ไหนไปพบนายท่านผู้บัญชาการองครักษ์อีก? หรือจะให้ข้าบอกนายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ว่าหัวหน้าภาคใต้สังกัดข้าโดนสังหารเพราะแม่หม้ายคนเดียว?”

อวี่เลี่ยบอกว่า “ทางฝั่งนายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ยังคุยง่ายหน่อย แต่ปัญหาใหญ่สุดในตอนนี้คือเบื้องบน เบื้องบนแค่ถามเรื่องนี้เล็กน้อยเท่านั้น แต่กลับไม่แสดงท่าทีอะไร กำลังจะมีประชุมราชสำนักแล้ว เกรงว่าจะมีคนฉวยโอกาสนี้กลั่นแกล้งท่านโหวขอรับ!”

เซวียนหยวนจัวโกรธจนหน้าเขียว มีหรือที่จะไม่รู้ถึงจุดนี้ ถึงแม้ตอนนี้อำนาจท้องถิ่นจะยังยอมรับการมีอยู่ของพวกเขา แต่ในภายหลังจะต้องมีการเล่นแง่กันอย่างเลี่ยงไม่ได้ สาเหตุที่ยังไม่เคลื่อนไหว ก็เพราะคลื่นลูกใหญ่ก่อนหน้านี้เพิ่งจะสงบลง ทุกคนล้วนกำลังเลียบาดแผล ไม่สะดวกจะเคลื่อนไหวใหญ่โตอีก แต่ดูฝั่งเขาทำสิ เป็นฝ่ายโยนจุดอ่อนออกไปก่อน เรื่องที่ฉวยโอกาสได้แบบนี้ มีหรือที่คนพวกนั้นจะพลาดโอกาสโจมตีจุดอ่อนของเขา

เซวียนหยวนจัวหันตัวช้าๆ มองไปทางท้องฟ้าที่มืดสลัวอึมครึมนอกระเบียง แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าบอกว่าฉู่จื่อซานออกคำสั่งปิดประตูดวงดาวน่านฟ้าระกาติงแล้วไม่ใช่เหรอ รีบสั่งให้ส่งกำลังเสริมไปรึยัง? ออกคำสั่งไป หาตัวหนิวโหย่วเต๋อให้พบ กำจัดเขาซะ แล้วก็กำลังพลกลุ่มนั้นด้วย อย่าให้เหลือไว้สักคน!”

อวี่เลี่ยตกใจมาก “ท่านโหวไตร่ตรองอีกอีก นั่นคือทัพใหญ่หลายหมื่นของกองทัพองครักษ์นะ!”

เซวียนหยวนจัวพลันหันตัวมาจ้องเขา แล้วกล่าวอย่างเดือดดาล “งั้นจะให้ข้าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ? ต้องทำให้สงบทั้งข้างบนข้างล่างสิ การโจมตีในราชสำนักเลี่ยงได้ยาก ถ้าไม่ทำให้เบื้องล่างเห็นว่าข้าทำอะไรบ้าง เบื้องล่างจะคิดยังไงล่ะ? เดิมทีก็มีคนคอยพูดยุยงก่อเรื่องอยู่แล้ว บอกว่าท่านโหวคนนี้มาจากกองทัพองครักษ์ เลยไม่เห็นว่าความเป็นความตายของคนฝั่งนี้สำคัญ ถ้าครั้งนี้ไม่ตอบสนองอะไรเลย เจ้าเคยคิดถึงผลที่จะตามมารึเปล่า? เดิมทีเบื้องบนก็มีคนจ้องจะกลั้นแกล้งข้าอยู่แล้ว ถ้ายังคุมข้างล่างไม่ไหวอีก แล้วโดนโจมตีขนาบทั้งข้างล่างข้างบน ข้ายังจะเป็นท่านโหวต่อไปได้อีกเหรอ? จุดประสงค์ที่นายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ส่งข้ามาคืออะไร? ให้ข้ามานั่งเล่นในตำแหน่งนี้แค่ไม่กี่วันแล้วโดนคนไล่ตะเพิดลงจากตำแหน่งเหรอ? เรื่องนี้ข้าจะต้องให้คำอธิบายกับเบื้องล่าง!”

“แล้วต่อไปจะอธิบายกับกองทัพองครักษ์ยังไงขอรับ?” อวี่เลี่ยถามอย่างร้อนใจ

“แล้วหนิวโหย่วเต๋อเคยพิจารณาเรื่องนี้มั้ยล่ะ?” เซวียนหยวนจัวโมโหมาก แต่น้ำเสียงก็แผ่วลงในทันที กล่าวเสียงเรียบว่า “ฝั่งพวกเราไม่ต้องออกหน้าหรอก แสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไปก็พอ อาศัยกำลังพลน่านฟ้าระกาติง จะกำจัดคนแค่ไม่กี่หมื่นไม่ได้เชียวเหรอ? ตอนออกคำสั่งก็ระวังๆ หน่อย หาคนที่เชือ่ถือได้ที่พวกเราพามาจากหน่วยองครักษ์ขวา อย่าให้ใครรู้ว่าเกี่ยวข้องกับพวกเรา”

อวี่เลี่ยมองเขา ทำสีหน้าลังเลคิดไม่ตก

ส่วนเซวียนหยวนจัวก็มองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

“รับทราบ!” สุดท้ายอวี่เลี่ยก็กุมหมัดคารวะ ถอนหายใจ “เห้อ” หนักๆ แล้วหันตัวจากไป

แต่ไหนแต่ไรมา คนที่มีอำนาจทางทหารอยู่ในมือนั้นควบคุมยากที่สุด อันตรายที่นำมาด้วยก็ตรงไปตรงมาที่สุดเช่นกัน แค่ออกคำสั่งคำเดียวก็ทำให้เกิดเรื่องใหญ่ได้ เมื่อมีเหตุผลเพียงพอ ก็จะไม่รับคำสั่งจากเจ้านายที่อยู่ข้างนอกแล้ว! เหมียวอี้ถือวิสาสะใช้กำลังพลทำงานโดยปิดบังเบื้องบน ท่านโหวเซวียนหยวนก็ทำเรื่องนี้โดยปิดบังเบื้องบนได้เช่นกัน ขนาดอวี่จ้งเจินยังไม่รายงานเรื่อง ‘สับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น’ ขึ้นไปเลย ทำแต่เรื่องที่มีประโยชน์ต่อฝ่ายตัวเองเท่านั้น

แต่เรื่องราวก็ไม่ได้ง่ายเหมือนที่อวี่จ้งเจินคิด ตอนที่เขาเพิ่งจะรายงานสถานการณ์ขึ้นไปได้ไม่นาน เหมียวอี้ก็มีข่าวใหม่รายงานมาอย่างรวดเร็ว

ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ฝั่งพวกเหมียวอี้เกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว

นักพรตบงกชรุ้งที่สวมเกราะม่วงหนึ่งพันคนกำลังเร่งมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง พอมาถึงบนฟ้าแล้วมองดูสถานการณ์ในที่เกิดเหตุ พวกเขาก็เปลี่ยนจากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อยอย่างรวดเร็ว ช่วยพริบตาเดียวกลายเป็นทัพใหญ่หนึ่งล้านตำหนักสวรรค์หนาแน่นอยู่เต็มท้องฟ้าแล้ว

หลังจากเห็นศพที่เกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น แล้วจำได้ว่าเป็นกำลังพลของน่านฟ้าระกาติงจริงๆ แม่ทัพเกราะม่วงหลายคนที่อยู่บนท้องฟ้าก็มีสีหน้าโกรธจัดทันที หลังจากถ่ายทอดเสียงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแล้ว ก็โบกมือหนึ่งที ทัพใหญ่หนึ่งล้านล้อมกำลังพลห้าหมื่นของเหมียวอี้เอาไว้ทันที

ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ กำลังพลหนึ่งล้านนี้ก็เผยธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ห้าหมื่นคันเช่นกัน เล็งไปยังกำลังพลกองทัพองครักษ์ห้าหมื่นที่โดนล้อมไว้จากสี่ด้านแปดทิศ สามารถมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มากมายขนาดนี้ได้ เห็นได้ชัดว่ากลุ่มที่ตามมาติดๆ คือทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติง!

เหมียวอี้ทำหน้าเครียด นึกไม่ถึงว่ากำลังพลน่านฟ้าระกาติงจะตามมาเร็วขนาดนี้

ชั่งพริบตาเดียวก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแล้ว เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะนึกเสียใจทีหลังที่ไม่ฟังคำแนะนำของหยางชิ่ง

หยางชิ่งแนะนำว่าถ้าทำสำเร็จตามแผนแล้วก็ให้ถอนกำลังทันทีเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด และเน้นย้ำว่าออกไปทางประตูดวงดาวก็อาจจะไม่อันตรายเสียทั้งหมด วิธีการที่มั่นคงปลอดภัยที่สุดก็คือหลบอยู่ที่อาณาเขตดาวไร้นามแถวๆ นั้น อย่าให้ใครหาเจอ รอให้เบื้องบนมีคำสั่งออกมาจัดการจนไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งแล้วค่อยออกมา

เหมียวอี้รู้ว่าหยางชิ่งทำอะไรอย่างระมัดระวังตลอด ไม่ให้ตกอยู่ในอันตรายง่ายๆ แต่ลึกๆ แล้วเหมียวอี้ค่อนข้างดูถูกหยางชิ่งในจุดนี้ ดังนั้นเหมียวอี้จึงเปลี่ยนแปลงแผนการของหยางชิ่งไปเยอะมาก เพราะเขายังมีเรื่องต้องจัดการที่ดาวจิ่วหวน ในจุดนี้เขาปิดบังหยางชิ่งเอาไว้

ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขายังชักช้าอยู่ที่นี่ บอกว่าจะรวบรวมกำลังพลกลับอุทยานหลวง แต่ที่จริงเขารู้ว่าพอเกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว เบื้องบนคงไม่ให้เขากลับอุทยานหลวงโดยตรงอีก จะต้องส่งคนมาสืบสวนแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่รีบออกไป แต่เตรียมจะรอคำสั่งจากเบื้องบนแล้วอ้อมกลับไปรอที่ดาวจิ่วหวนทันที

แต่ใครจะคิดล่ะ ไม่น่าเชื่อว่าน่านฟ้าระกาติงรวมทัพใหญ่หนึ่งล้านมาที่นี่เร็วขนาดนี้

มีบางอย่างที่เขาไม่รู้ นั่นก็คือ พอ ‘อวิ๋นจือชิว’ ตัวปลอมโดนจับตัวไป ฉู่จื่อซานก็สั่งให้กำลังพลน่านฟ้าระกาติงออกเดินทางมาที่นี่ทันที เตรียมตัวไล่ล้อมดักไว้เรียบร้อยแล้ว และก่อนที่ฉู่จื่อซานจะโดนจับตัวไป ก็ออกคำสั่งให้กำลังหนุนทั้งหมดเร่งมาทางนี้ด้วยความรวดเร็ว ในที่สุดคนก็มาถึงแล้ว นี่ยังเป็นแค่กำลังพลส่วนเดียวที่รีบมาถึงก่อน ยังมีทัพใหญ่หนึ่งล้านที่กำลังมาทางนี้อีก

ทัพใหญ่ห้าหมื่นของกองมังกรดำที่อยู่ในเหตุการณ์เริ่มมีบรรยากาศตึงเครียดแล้ว มู่อวี่เหลียนตะโกนเสียงดังว่า “เตรียมรบ! เตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!”

ทัพใหญ่ห้าหมื่นรีบจัดกระบวนทัพ แต่ละคนหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมา เตรียมตัวโจมตีกลับกำลังพลที่ล้อมเข้ามาจากสี่ด้านแปดทิศ

กองทัพองครักษ์?

ไม่ใช่ทุกคนที่รู้สถานการณ์เบื้องลึก พอเห็นกระบวนทัพที่แต่ละคนมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่อยู่บนฟ้าก็สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เดาออกทันทีว่ากำลังพลหลายหมื่นที่อยู่ข้างล่างคงจะเป็นคนของกองทัพองครักษ์ เมื่อเผชิญหน้ากับธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มากมายขนาดนี้ ถ้าต่อสู้กันขึ้นมา ต่อให้ฝ่ายตัวเองจะชนะได้ แต่เกรงว่าจะสูญเสียยับเยินเช่นกัน

ฝั่งเหมียวอี้ก็ย่อมรู้เช่นกัน ว่าถ้าสู้กันขึ้นมาฝ่ายตัวเองก็จะไม่ได้รับผลดีแน่นอน ตกอยู่ในวงล้อมของกำลังทหารที่ได้เปรียบโดยสมบูรณ์แบบนี้ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ห้าหมื่นคันถึงแม้จะดูเยอะ แต่ถ้ายิงแบบกระจายกัน อานุภาพการโจมตีจะต้องถูกกระจายไปแน่นอน ต่อให้สังหารอีกฝ่ายทิ้งได้ส่วนหนึ่ง กำลังพลฝ่ายตรงข้ามก็สามารถพุ่งสังหารเข้ามาในกระบวนทัพของเขาได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ถึงตอนนั้นก็จะเป็นการตะลุมบอนกัน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็จะหมดบทบาทแล้ว ยามเผชิญหน้ากับกำลังทหารที่มากกว่าฝ่ายตัวเองยี่สิบเท่า ทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นทัพใหญ่อันแข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติง แค่คิดก็รู้แล้วว่าจุดจบของการประจัญหน้าจะเป็นอย่างไร มิหนำซ้ำในมืออีกฝ่ายก็มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายหมื่นคันเช่นกัน แค่การโจมตีระลอกเดียวก็สามารถทำให้ฝ่ายนี้สูญเสียสมาชิกจำนวนมากได้แล้ว

ทุกคนของกองมังกรดำต่างก็รู้เช่นกัน ตกอยู่ในวงล้อมแบบนี้แล้ว ศึกนี้ไม่มีทางสู้ได้เลย!

สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้กังวลยิ่งกว่านั้นก็คือ ถ้าโดนกำลังทหารที่เหนือกว่าล้อมไว้อย่างเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่ดันมาอยู่ในอาณาเขตของฉู่จื่อซาน ตัวเองเพิ่งจะกำจัดกำลังพลนับหมื่นของฉู่จื่อซานไป ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นล้อมไว้ เขาก็ยังเจรจาได้ง่ายหน่อย แค่รอเบื้องบนตัดสินเสร็จก็พอ แต่คนที่เขาเผชิญหน้าตอนนี้ล้วนเป็นลูกน้องเก่าของฉู่จื่อซานทั้งหมด จะมีไมตรีกับเพื่อนร่วมทัพหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ในสถานการณ์แบบนี้ใครจะกล้าเดิมพันว่าคนพวกนี้จะเป็นเศษสวะไร้ความสามารถเสียทั้งหมด

มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาสามารถแน่ใจได้ การที่สามารถนำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มากมายขนาดนี้ออกมาได้ ก็เป็นไปได้สูงว่าทั้งหมดจะเป็นกำลังพลที่แข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติง ในเมื่อเป็นกำลังพลที่แข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติง จะเป็นไปได้อย่างไรที่ฉู่จื่อซานจะไม่ควบคุมให้คนพวกนี้มาเป็นลูกน้องคนสนิทของตัวเอง ฝ่ายเหมียวอี้สังหารแม่ทัพของอีกฝ่ายไปแล้ว จะไม่ให้อีกฝ่ายเดือดดาลสักนิดเลยเหรอ แบบนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร?

…………………………

ฝั่งอู๋ฉวี่ยืนยันแล้วว่าไม่ใช่ลูกน้องตัวเองทำ ฝั่งโพ่จวินช้าไปหน่อยจึงยังต้องรอคำตอบ

ประมุขชิงทำได้เพียงเฝ้ารอด้วยสีหน้าเย็นเยียบ เขายังไม่ถึงขั้นบังคับยัดข้อหานี้ให้โพ่จวินทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ความจริง ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยองครักษ์ซ้ายของโพ่จวินขึ้นมา จะไม่ทำให้เกิดเสียงหัวเราะเยาะหรอกหรือ

เขาเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักใหญ่ ในใจค่อนข้างรำคาญใจ กองทัพองครักษ์ลงมือกับอำนาจท้องถิ่นก็ไม่เป็นหรอก ถ้าสามารถทำให้อำนาจท้องถิ่นอยู่ในระเบียบได้ เขาก็อยากจะให้กองทัพองครักษ์ทำแบบนี้ใจจะขาด แต่ประเด็นสำคัญคือเนื้อไม่ได้กินทั้งยังมีคาวเลือดติดตัวอีก กำลังจะประชุมราชสำนักอยู่แล้ว เขาจินตนาการถึงสีหน้าท่าทางของพวกอ๋องสวรรค์ยามพูดวินิจฉัยความผิดความถูกแล้ว เส้นบางอย่างทุกคนก็ขีดเอาไว้ชัดเจนแล้ว ทางนั้นไม่ถือวิสาสะยื่นมือเข้ามาแทรกแซงฝั่งกองทัพองครักษ์ ฝั่งกองทัพองครักษ์ก็ไม่ถือวิสาสะเข้ามายุ่งกับงานของฝั่งนี้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่มีทางลงมือล้อมโจมตีโดยตรง ถ้าเป็นฝ่ายกองทัพองครักษ์โจมตีจริงๆ แล้วต่อไปจะแก้ตัวกับขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักอย่างไร? เมื่อถูกจับแล้วก็จะต้องเอ่ยถึงเรื่องที่เอากองทัพองครักษ์กับอำนาจท้องถิ่นมารวมกันแน่นอน!

โพ่จวินหันกลับไปมองอู๋ฉวี่แวบหนึ่ง แล้วแอบถ่ายทอดเสียงถามว่า “ไม่ใช่คนฝั่งเจ้าทำเหรอ?”

อู๋ฉวี่แอบตอบว่า “พอข้าได้รับรายงานจากข้างล่าง ก็ดำเนินการตรวจสอบทันที กำลังพลหน่วยองครักษ์ขวาทั้งหมดล้วนอยู่ในการควบคุม ไม่มีใครไปที่น่านฟ้าระกาติง มิหนำซ้ำเดิมทีหัวหน้าภาคของน่านฟ้าระกาติงก็เป็นคนที่ข้ายัดเข้าไปอยู่แล้ว”

โพ่จวินเงียบงันพูดไม่ออก ในใจเริ่มสับสนวุ่นวาย อย่าบอกนะว่าฝั่งตัวเองเป็นคนทำ? ลูกน้องตนจะมีคนใจกล้าขนาดนี้ได้อย่างไร! นอกเสียจะเป็นคนโง่ที่โดนน้ำเข้าสมองเท่านั้นแหละ ไม่อย่างนั้นใครมันจะกล้าก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้?

ทูตขวาเกาก้วนกวาดมองสถานการณ์ในตำหนักด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง พอเก็บระฆังดาราในมือ จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ฝ่าบาท! ข้าน้อยคิดว่าตัวเองรู้แล้วว่าใครทำ”

ทุกคนหันมองมาพร้อมกัน ประมุขชิงพลันหันตัวมา จ้องเขาพร้อมถามอย่างดุร้าย “ใคร?”

“หนิวโหย่วเต๋อ!” เกาก้วนเอ่ยชื่อออกมาอย่างไม่ยินดียินร้าย

“…” ในตำหนักเงียบทันที

อย่าว่าแต่คนอื่นที่งงเป็นไก่ตาแตก แม้แต่ประมุขชิงเอง เมื่อได้ยินชื่อนิ่งก็อึ้งไปเหมือนกัน ความโกรธบนสีหน้าหาบไปแล้ว ถูกแทนที่ด้วยสีหน้าประลาดใจแทน “หนิวโหย่วเต๋อ? ทำไมคิดอย่างนั้น?”

เกาก้วนใจเย็นสุขุมเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา “เพิ่งจะติดต่อกับสายลับหน่วยตรวจการขวาที่อยู่ทางน่านฟ้าระกาติง ดาวจิ่วหวน ให้เขาไปรีบสืบมา พอจะทราบเบาะแสบางเรื่องคร่าวๆ แล้ว ฉู่จื่อซานหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงชอบเถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋าที่อยู่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน ต้องการจะบังคับให้นางแต่งงานด้วย อีกนิดเดียวก็จะถึงช่วงเวลาไปรับตัวเจ้าสาวแล้วขอรับ”

พอได้ยินแบบนี้ โพ่จวินก็รู้สึกไม่ยอมนิดหน่อย พูดขัดอย่างเย็นเยียบว่า “อาศัยแค่จุดนี้ก็ตัดสินแล้วเหรอว่าหนิวโหย่วเต๋อทำ? อย่าบอกนะว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นเดือดเป็นร้อนแทนผู้อ่อนแอ? ก็ใช่อยู่ ตอนที่แต่งงานรับสนมสวรรค์ หนิวโหย่วเต๋อเคยเป็นเดือดเป็นร้อนแทนผู้อ่อนแอมาก่อน แต่นี่เขาบังเอิญเจอพอดี คงไม่ถึงขั้นยุ่งเรื่องชาวบ้านไปทั่วหรอกมั้ง” เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหน่วยองครักษ์ซ้ายของเขา แล้วหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นคนของหน่วยองครักษ์ซ้าย เขาจะปล่อยให้คนยัดความผิดมาที่หน่วยองครักษ์ซ้ายส่งเดชได้อย่างไร

ประมุขชิงได้ยินแล้วหนังตากระตุก ทำไมโยงมาถึงเรื่องที่ตนแต่งงานรับสนมสวรรค์อีกแล้วล่ะ ตาแก่นี่ช่างขยันพูดถึงเรื่องที่ไม่ควรพูดจริงๆ จึงตะคอกทันทีว่า “หุบปากของเขาเดี๋ยวนี้ เกาก้วนไม่ยิงธนูโดยไร้เป้าหรอก ฟังเขาพูดให้จบ”

เกาก้วนไม่เหมือนคนที่จะโมโหได้ กล่าวอย่างใจเย็นต่อไปว่า “สาเหตุที่นายท่านโพ่จวินไม่เชื่อก็เป็นเพราะไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ผู้หญิงคนนั้นชื่อว่าอวิ๋นจือชิว ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน เขาเคยมีข่าวลือชู้สาวกับผู้หญิงคนนี้ มีคนไม่น้อยบอกว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้ว จะจริงหรือเท็จก็ไม่อาจทราบได้ แต่ตอนนี้ฉู่จื่อซานกำลังบังคับให้ผู้หญิงคนนี้แต่งงานด้วยพอดี แล้วคนของกองทัพองครักษ์ก็ลงมือสังหารฉู่จื่อซาน เรื่องราวไม่ได้บังเอิญขนาดนั้น”

สายตาของทุกคนค่อยๆ ย้ายไปบนใบหน้าประมุขชิงและโพ่จวิน อันที่จริงแล้ว ซือหม่าเวิ่นเทียนกับซ่างกวนชิงก็สืบเรื่องนี้มาแล้วเช่นกัน เพียงแต่หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนที่โพ่จวินถือหางปกป้อง ถ้ายังไม่ได้หลักฐาน ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์เหมือนสุนัขอย่างโพ่จวิน ก็ไม่มีใครอยากไปยั่วโมโห

กล้ามเนื้อบนใบหน้าประมุขชิงกระตุกเล็กน้อย

โพ่จวินหัวใจเต้นตึกตัก พอจับคู่กันสอดคล้องแบบนี้ เขาเองก็เริ่มไม่มั่นใจแล้วเช่นกัน คนอื่นอาจไม่กล้า แต่หนิวโหย่วเต๋อเจ้าเด็กนั่นอาจจะกล้าทำจริงๆ กล้าก่อความวุ่นวายในงานรับสนมของฝ่าบาทไปแล้ว ยังต้องกลัวที่จะลงมือกับหัวหน้าภาคอีกเหรอ?

แต่เขาก็ย่อมต้องเถียงกลับในจุดที่น่าสงสัย “เกาก้วน ข้ายอมรับว่าที่เจ้าพูดนั้นมีเหตุผล แต่เจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่า ว่ากำลังพลที่อยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อยังผลัดกันประจำการที่อุทยานหลวงกับสวนบรรณาการ จะเอากำลังพลหลายหมื่นจากไหนมาล้อมโจมตีฉู่จื่อซานอะไรนั่น?”

จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ เกาก้วนหุบปากแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็พูดไปแล้ว

ประมุขชิงกลับข่มไฟโกรธไม่ไหวแล้ว ด่าโพ่จวินอย่างเดือดดาลว่า “ตาแก่นี่ ยังไม่รีบไปถามอีก อยู่ตรงนี้จะเดาความจริงได้เหรอ?”

โพ่จวินไม่มีความมั่นใจ จึงไม่ได้โต้เถียงอะไร รีบหยิบระฆังดาราออกมาสอบถามเป้าหมาย

หารู้ไม่ว่า ตอนนี้หัวหน้าภาคอวี่จ้งเจินของทัพเป่ยโต้ว หน่วยองครักษ์เจิ้นอี่อยากจะฆ่าเหมียวอี้แล้ว ที่จริงตอนที่เขาเพิ่งโดนหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่สืบถาม เขาก็ชาวาบหนังหัวแล้ว เรียกได้ว่าปวดเศียรเวียนเกล้า พอจะเดาออกแล้วว่าเป็นฝีมือใคร

กำลังพลหลายหมื่นของกองมังกรดำเคลื่อนไหว ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ ถ้าเขาไม่อนุญาตก็ระดมพลไม่ได้ ตอนที่เหมียวอี้ย้ายกำลังพลห้าหมื่นของสวนบรรณาการก่อนหน้านี้ ก็ได้รายงานบอกเขาแล้ว เหตุผลก็คือต้องการจะผลัดเวรกับกำลังพลที่เฝ้าสวนบรรณาการ นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตอำนาจของกองมังกรดำ เป็นการกระทำที่ปกติเช่นกัน พอรายงานมาที่หัวหน้าภาคอวี่แล้ว ขอเพียงหัวหน้าภาคอวี่ไม่คัดค้านก็สามารถทำเนินการได้เลย

กำลังพลห้าหมื่นนี้ไปอยู่ตรงตำแหน่งไหน เขาเองก็รู้แจ่มแจ้งเช่นกัน ตอนนี้กำลังพักปรับปรุงกำลังที่น่านฟ้าระกาติง แต่ที่เกิดเหตุดันอยู่ที่น่านฟ้าระกาติงพอดี เบื้องบนแจ้งมาว่ากำลังพลกองทัพองครักษ์หลายหมื่นล้อมโจมตีกำลังพลท้องถิ่น มารดาเจ้าเถอะ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครทำเรื่องนี้ หัวหน้าภาคอวี่อยากจะเอาหัวโขกพื้นให้ตาย

แต่ที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ ในกำลังพลห้าหมื่นนั้นน่าจะมีสายลับของเขาอยู่ด้วยสิ ทัพกลางของทัพเป่ยโต้วควรจะวางแผนเรื่องนี้สิ แต่ทำเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครรายงานขึ้นมาสักคน อย่าบอกนะว่าทัพกลางมีคนปิดบังไม่รายงาน?

เขาจะไปรู้เหรอว่าเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น คนของกองมังกรดำไม่รู้เลยว่าจะเกิดเรื่องนี้ จู่ๆ ก็เป็นฝ่ายถูกกระทำให้ลงมือแบบนั้น ตอนนี้ยังหาเวลาว่างหลบคนมารายงานลับต่อเบื้องบนไม่ได้เลย

ขณะกำลังจะติดต่อเหมียวอี้เพื่อถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รองหัวหน้าภาคที่อยู่ข้างนอกก็เดินก้าวยาวเข้ามา ตะโกนมาตั้งแต่ไกลๆ ว่า “นายท่าน เกิดเรื่องแล้ว!”

อวี่จ้งเจินที่นั่งหน้าดำคร่ำเครียดอยู่หลังโต๊ะยาวตอบว่า “ข้ารู้แล้ว กำลังจะสืบเรื่องนี้”

เหลียนเวยพยักหน้าซ้ำๆ เหมือนยังไม่หายโมโห “ต้องสืบสาวให้ดีขอรับ อย่าปล่อยไปง่ายๆ เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะคิดว่ากองทัพองครักษ์ของเราถูกรังแกได้ง่าย หัวหน้าภาคฉู่จื่อซานน่านฟ้าระกาติงนั่นทำเกินไปจริงๆ!”

“…” อวี่จ้งเจินตะลึงงัน เจ้าหมอนี่พูดอะไรออกมา? ไม่ตำหนิหนิวโหย่วเต๋อแต่กลับตำหนิหน้าภาคฉู่จื่อซานว่าทำเกินไป? ไม่ได้ฟังผิดใช่มั้ย? จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เหลียนเวย เจ้าบอกว่าใครทำเกินไปนะ?”

“ก็ต้องเป็นหัวหน้าภาคฉู่จื่อซานน่านฟ้าระกาติงนั่นอยู่แล้ว!” เหลียนเวยกล่าวเหมือนตัวเองมีเหตุผลเต็มที่ว่า “ข้าเพิ่งได้รับรายงานหลังจากหนิวโหย่วเต๋อรบเสร็จ หนิวโหย่วเต๋อกำกำลังพลห้าหมื่นของกองมังกรดำไปพักปรับปรุงกำลังที่น่านฟ้าระกาติง บังเอิญเจอโจรราคะเจียงอีอีพอดี ก็เลยส่งกำลังพลหนึ่งพันไปรับมือ จะถือโอกาสจัดการโจร ใครจะคิดว่ากำลังพลของฉู่จื่อซานที่ตามมาทีหลังเห็นว่าพวกเราใส่ชุดลำลอง ทั้งยังมีแค่หนึ่งพันคน อีกฝ่ายอาศัยที่ตัวเองมีกำลังพลหนึ่งหมื่น ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเราเผยอาวุธของตำหนักสวรรค์แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ยอมฆ่าปิดปากเพื่อจะแย่งผลงาน รวมตัวกันใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์รุกโจมตี ยิงพี่น้องทัพเป่ยโต้วของพวกเราล้มตายไปหลายสิบคน หนิวโหย่วเต๋อย่อมไม่นั่งรอความตาย เรียกรวมกำลังพลห้าหมื่นมาโจมตีกลับทันที กำจัดกำลังพลของฉู่จื่อซานในรวดเดียว ฉู่จื่อซานจึงโดนโทษประหารชีวิตแล้ว!”

ที่จริงในใจเขาก็รู้ว่าเรื่องนี้ถูกทำให้ลุกลามใหญ่โตเกินไป แต่ในเมื่อฝั่งนี้มีเหตุผลที่ฟังขึ้น เขาก็ต้องพยายามปกป้องเหมียวอี้ เพราะไม่มีทางเลือก หนิวโหย่วเต๋อถูกจัดมาให้เขาดูแล ถ้าปล่อยให้ข้อหาใหญ่ขนาดนี้ตกมาที่เหมียวอี้จริงๆ เขาเองก็จะโดนร่างแหให้รับผิดชอบไปด้วยเหมือนกัน ที่จริงตอนที่เขามา เขาก็ด่าเหมียวอี้อย่างบ้าคลั่งมาตลอดทางเช่นกัน ไอ้เวรนี่ เจ้าแค่โจมตีนิดหน่อยก็พอแล้ว หลังจากจบเรื่องจะได้ผลักความรับผิดชอบไปให้ฉู่จื่อซานได้ แต่เจ้าฆ่าหัวหน้าภาคของอาณาเขตดาวรวมทั้งกำลังพลหนึ่งหมื่นทิ้ง แบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ? เป็นบ้าไปแล้วจริงๆ!

เขาเองก็จนใจเหมือนกัน ตั้งแต่ใต้บังคับบัญชามีหนิวโหย่วเต๋อเป็นลูกน้อง เขาก็ต้องวิตกกังวลไปด้วยเสมอ ตอนอยู่อุทยานหลวงก็ก่อเรื่องไปถึงหัวราชันสวรรค์ นี่เพิ่งจะถูกปล่อยตัวจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เจ้าก็ก่อเรื่องให้ข้าอีกแล้ว จะให้ข้าอยู่อย่างสงบหน่อยไม่ได้รึไง?

อวี่จ้งเจินฟังจนเบิกตากว้างอ้าปากค้างแล้ว เขาลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ถลึงตาถามว่า “เจ้าหมายความว่า ฉู่จื่อซานพาคนมาโจมตีคนของเราก่อนเหรอ คนของพวกเรากำจัดพวกเขาเพื่อจะปกป้องตัวเองใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ก็เป็นลูกน้องของเขาเช่นกัน ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเบื้องบนอย่างไร จู่ๆ ก็มีฟางช่วยชีวิตยื่นเข้ามา มีโอกาสช่วยให้ทัพเป่ยโต้วของตนพ้นผิดแล้ว มีหรือที่เขาจะพลาด

“ไม่ใช่ว่านายท่านรู้แล้วหรอกเหรอ?” เหลียนเวยแปลกใจ

อวี่จ้งเจินกำลังจะอธิบาย ใครจะคิดว่าผู้ตรวจการใหญ่ฮวาอี้เทียนของหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่จะส่งข่าวมาอีกแล้ว สั่งให้เขาสืบสวนหนิวโหย่วเต๋อ

อวี่จ้งเจินรีบหยิบระฆังดารามาติดต่อเหมียวอี้โดยตรงเพทื่อถามถึงสถานการณ์ สถานการณ์ที่ได้รับรู้มาก็ย่อมเป็นเหมือนที่เหลียนเวยรายงาน

เขายังไม่วางใจกับสิ่งนี้ รีบเรียกคนของทัพกลางที่รับผิดชอบเป็นสายลับในแต่ละกองมาอีก ให้พวกเขารีบติดต่อตรวจสอบความจริง

ผลลัพธ์ก็ไม่เลวเลย ไม่ใช่แค่หนึ่งคนที่สามารถเป็นพยานได้ แต่เป็นเพราะโดนฉู่จื่อซานโจมตีก่อนอย่างไร้เหตุผลจนต้องลงมือโต้ตอบ แน่นอน ยังมีอีกจุดหนึ่งที่เหมียวอี้ไม่ได้บอก นั่นก็คือหัวหน้าภาคฉู่จื่อซานน่านฟ้าระกาติงโดนเหมียวอี้สั่งประหารแบบ ‘สับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น’ แล้ว!

สับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น? อวี่จ้งเจินแทบจะด่าแม่ เจ้ามีข้ออ้างให้ฆ่าแล้วก็ฆ่าไปสิ ยังกลัวว่าเรื่องราวจะไม่ใหญ่โตอีกเหรอ ไม่น่าเชื่อว่าจะสับหัวหน้าภาคเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นแล้ว? อีกฝ่ายเป็นเจ้าอาณาเขตของหนึ่งอาณาเขตดาวนะ เบื้องบนไม่มีตำแหน่งรองท่านโหว แต่อีกก้าวเดียวเจ้าตัวก็จะได้เข้าประชุมในราชสำนักแล้ว แต่เจ้าดันสับเขาเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นงั้นเหรอ? ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ต่อให้มีเหตุผลแต่เหตุผลก็จะลดลงสามส่วน ไอ้เวรตะไลนี่! จะให้ข้าเสแสร้งรายงานขึ้นไปอย่างมีเหตุผลรองรับได้ยังไง?

เอาล่ะ! ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อไม่รายงานเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็จะแกล้งไม่รู้ไปก่อนก็แล้วกัน บอกเรื่องที่ทัพเป่ยโต้วจะได้เปรียบไปก่อน ถึงแม้จะรู้ว่าในไม่ช้าก็เร็วตัวเองจะโดนเบื้องบนสอบสวน แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังแกล้งโง่ได้ รีบร้อนสืบเรื่องราวเกินไป จะมีตกหล่นบ้างก็เป็นเรื่องปกติมาก รอให้เบื้องบนได้บทสรุปใหญ่ๆ มาก่อน เรื่องที่สับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นจะได้มีผลกระทบเบาลงหน่อย

จากนั้นเขาก็รายงานสถานการณ์ที่ฝั่งนี้สืบได้ไปยังผู้ตรวจการใหญ่ฮวาอี้เทียนของหน่วยองครักษ์เจิ้นอี่

…………………………

“ข่าวน่าจะไม่ผิดขอรับ!” โกวเยว่ตอบ

“ประมุขชิงคิดจะทำอะไรกันแน่?” ก่วงลิ่งกงเดือดดาลทันที

โกวเยว่เตือนว่า “ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขชิงจะไม่รู้เรื่องนี้ ข้าน้อยสงสัยว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อ?”

“หนิวโหย่วเต๋อ?” ก่วงลิ่งกงถามอย่างโมโห “ทำไมเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋ออีกแล้ว?”

โกวเยว่ตอบว่า “ข้าก็เพิ่งสงสัยตอนที่ถามรายละเอียดจากเบื้องล่าง ก่อนที่จะเกิดเรื่องกับกำลังพลทั้งหมดของฉู่จื่อซาน พวกเขาต้องการจะไปบังคับแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวน ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้หญิงที่มีข่าวชู้สาวกับหนิวโหย่วเต๋อตอนรับตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน นางชื่อว่าอวิ๋นจือชิว”

ไม่ว่าใครก็ไม่ใช่เทพที่สมบูรณ์แบบไร้จุดบกพร่อง ยิ่งเป็นคนตำแหน่งสูงอำนาจมาก ก็ยิ่งทำความผิดพลาดใหญ่หลวงได้ง่าย ข้างกายยิ่งจำเป็นต้องมีคนคอยเกลี้ยกล่อมให้คนนั้นระงับโทสะ

หลังจากก่วงลิ่งกงใจเย็นลงแล้ว ก็ถามอย่างสงสัยว่า “ผู้หญิงที่มีข่าวชู้สาวกับหนิวโหย่วเต๋อ ฉู่จื่อซานดึงดันจะบังคับผู้หญิงคนนี้มาแต่งงานด้วยให้ได้ ฉู่จื่อซานโดนกองทัพองครักษ์ล้อมโจมตี หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของกองทัพองครักษ์…” หลังจากครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก็ถามอีกว่า “ฉู่จื่อซานคนนี้เป็นหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงเหรอ?”

โกวเยว่รู้ว่าในใจเขามีข้อมูลอยู่แล้ว ตอบว่า “ถูกต้องขอรับ เป็นคนที่หน่วยองครักษ์ขวายัดเข้ามาใสน่านฟ้าระกาติง”

“หึหึ!” ก่วงลิ่งกงพลันแสยะยิ้มออกมา “น่าสนใจนะ ไม่ง่ายเลยกว่าประมุขชิงจะหาข้ออ้างยัดคนเข้ามาได้ ข้ากำลังรู้สึกว่าแนวโน้มสถานการณ์ยังไม่ผ่านไป ไม่สะดวกจะทำสงครามอีก อดทนไว้ชั่วคราว แต่ดูเจ้าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้สิ ช่วยข้าแก้ไขปัญหาก่อนแล้วหนึ่งเรื่อง สงสัยหนิวโหย่วเต๋อจะถูกลิขิตให้มาเป็นลูกเขยข้าจริงๆ”

“หลังจากประมุขชิงรู้แล้วจะต้องเดือดดาลแน่นอน เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมีสถานการณ์ที่น่ากังวลแล้ว” โกวเยว่กล่าว

ก่วงลิ่งกงตาแววตาวูบไหว ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อ แต่ถามกลับว่า  “หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตอนนี้รู้ที่อยู่ของหนิวโหย่วเต๋อแล้วเหรอ?”

โกวเยว่อึ้งไปชั่วขระ หันกลับไปมองสองแม่ลูกที่ยืนอยู่ตรงตำหนักไกลๆ แล้วถามหยั่งเชิงว่า “นายท่านหมายความว่า จะสร้างสถานการณ์ให้คุณหนูกับหนิวโหย่วเต๋อพบกันเหรอ?”

ก่วงลิ่งกงตอบว่า “คดีเกิดในอาณาเขตของข้า ถ้าประมุขชิงจะลงโทษ ก็ไม่มีทางเลี่ยงได้หากข้าจะยื่นมือเข้าไปแทรกแซง รีบกำหนดเรื่องของพวกเขาให้เสร็จสิ้นไว้ๆ เถอะ”

โกวเยว่เข้าใจแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่หนิวโหย่วเต๋อตกทุกข์ได้ยาก อำนาจชี้เป็นชี้ตายส่วนหนึ่งของหนิวโหย่วเต๋ออยู่ในมือท่านอ๋อง เป็นโอกาสดีในการกำจัดคู่แข่งคนอื่นเช่นกัน จึงพยักหน้าทันที “บ่าวจะไปจัดดการเดี๋ยวนี้!”

ก่วงลิ่งกงหันกลับไปมองสองแม่ลูก แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ก้าวเดินออกไปอย่างมั่นคง

หลังจากโค้งตัวส่งเขาเดินออกไปแล้ว โกวเยว่ก็ยืนครุ่นคิดอยู่กับที่เงียบๆ เสร็จแล้วถึงได้หันตัวเดินเข้าไปในประตูตำหนักใหญ่

เม่ยเหนียงกำลังเคลือบแคลงที่นายบ่าวคู่นั้นผลัดกันมองมาที่ตน ตอนนี้พอเห็นโกวเยว่กลับมาแล้ว นางก็ก้าวออกจากธรณีประตู แล้วถามพร้อมยิ้มอย่างเป็นกันเองว่า “พ่อบ้านมีเรื่องอะไรเหรอ?”

โกวเยว่คำนับอย่างเคารพ แล้วบอกว่า “หวังเฟย ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวสักหน่อยขอรับ”

เม่ยเหนียงยิ้มบางๆ พลางยกมือขึ้น แล้วนำโกวเยว่กลับเข้ามาในล้านบ้าน ส่วนโกวเยว่ที่เดินตามมาก็เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง

เม่ยเหนียงฟังจบแล้วตกใจ “สังหารกำลังพลเกือบหนึ่งหมื่นของท่านอ๋องเหรอ? พ่อบ้าน เจ้าแน่ใจนะว่าหนิวโหย่วเต๋อทำ?”

“เป็นไปได้เก้าในสิบขอรับ” โกวเยว่พยักหน้า

“เจ้าเวรนี่ทำไมใจกล้าคับฟ้าขนาดนี้?” เม่ยเหนียงถามอย่างทำใจเชื่อได้ยาก

โกวเยว่ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เขาไม่ได้ทำเรื่องพรรค์นี้เป็นครั้งแรกเสียหน่อย ล้างเลือดร้านค้าตลาดสวรรค์ก็ทำมาแล้วสองครั้ง ขนาดหลานสาวอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ยังจับมัดไว้บนเสาธงตั้งหลายวัน บวกกับการตายของอิ๋งเหย้าหลานชายอ๋องสวรรค์อิ๋งและคำพูดบ้าระห่ำที่อุทยานหลวง ก็ถือว่าตบหน้าอ๋องสวรรค์อิ๋งไปแล้วสามรอบ นี่คือจอมก่อเรื่องที่กล้าสร้างความวุ่นวายในพิธีรับสนมของฝ่าบาท การที่เขาทำเรื่องแบบนี้ได้ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายอะไรขอรับ”

พอพูดสรุปมาแบบนี้ เม่ยเหนียงก็สูดหายใจอย่างตกตะลึง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกันว่า “พ่อบ้าน ทำไมความเจ้าอารมณ์ของหนิวโหย่วเต๋อคนนี้ ขนาดข้าได้ยินแล้วยังนึกกลัวตามเลยล่ะ ไม่ไว้หน้าอ๋องสวรรค์อิ๋ง ไม่ไว้หน้าฝ่าบาท มีหรือที่จะไว้หน้าท่านอ๋อง เดี๋ยวต่อไปถ้าให้เม่ยเอ๋อร์แต่งงานกับเขา จะไม่โดนตบตีวันเว้นวันหรอกเหรอ? แล้วถึงตอนนั้นหน้าของแม่ยายอย่างข้าจะมีประโยชน์เหรอ?”

โกวเยว่พูดไม่ออก นี่คิดเชื่อมโยงไปถึงไหนแล้ว เขาเองก็เริ่มพูดอะไรดีๆ เกี่ยวกับเหมียวอี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเช่นกัน “หวังเฟยคิดมากไปแล้ว เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ที่ดื้อรั้นเช่นกัน ไม่อย่างนั้นก่อเรื่องไว้ตั้งเยอะแล้วทำไมยังรอดชีวิตมาได้จนถึงวันนี้ แยกแยะหนักเบาให้ชัดเจนดีกว่า ที่จริงมีหลายเรื่องที่เขาโดนกดดันให้โต้ตอบเท่านั้นเอง สองครั้งที่ล้างเลือดตลาดสวรรค์ มีครั้งไหนบ้างที่ไม่โดนพ่อค้าอาศัยภูมิหลังมารังแกกดดันจนเขาต้องลงดาบ? ตอนหลานชายอ๋องสวรรค์อิ๋งตาย ก็เป็นตอนที่เขาต้องทำตามคำสั่งเจ้านาย ตอนที่จับหลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋งแขวนบนเสาธง ก็เป็นเพราะตอนนั้นจ้านหรูอี้ตามหาเรื่องเขา ส่วนตอนที่ก่อเรื่องในพิธีรับสนม ก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนว่าเขาเป็นคนให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตร ถ้าเป็นแค่คนต่ำต้อยที่รักตัวกลัวตาย  เขาจะกล่าวคำพูดพวกนั้นออกมาได้ยังไง? หวังเฟย พวกเรายังไม่ต้องพูดถึงว่าเขามีอสุราอัคนีหนุนหลัง แค่พูดถึงตัวเขาเองก็ถือว่าใช้คำว่า  ‘ทั้งหล้าหาญและมีแผนการ’ ได้แล้ว

คาดว่าท่านคงเคยได้ยินเรื่อง ‘ร้านขายของชำซื่อตรง’หวังเฟย นั่นก็คือสิ่งที่เขาปลุกปั้นมาเองกับมือตั้งแต่ตอนยังไม่เข้าตำหนักสวรรค์ ตอนนี้นับว่าเป็นธุรกิจแห่งใต้หล้าได้แล้ว ตอนอยู่ตลาดสวรรค์ก็งัดข้อกับพ่อค้าที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่มากมาย จัดการพ่อค้าพวกนั้นจนยอมซูฮก มีผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่ไหนในใต้หล้าที่ทำได้แบบเขาบ้าง? ความกล้าหาญของเขาก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว ทำศึกเลือดกับกลุ่มวีรบุรุษตอนทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิต ได้รับแต่งตั้งจากราชันสวรรค์ให้เป็นอันดับหนึ่ง ตอนทดสอบที่แดนอเวจีก็บุกเดี่ยวสังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน ราวกับไปอยู่ในจุดที่ไร้คน เยาะเย้ยทัพใหญ่หนึ่งล้านว่าเป็นหนูต่ำต้อย เพราะแบบนี้ชื่อเสียงจึงสะท้านใต้หล้า!

เรื่องที่ตลาดผีกับแดนดึกดำบรรพ์อะไรนั่นก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ตอนแรกที่ไม่มีใครรู้ถึงภูมิหลังของเขา เขาก็อาศัยผลงานการรบของตัวเองไต่เต้าขึ้นมาถึงทำแหน่งแม่ทัพภาคได้ภายใต้เวลาสั้นๆ ไม่กี่พันปี ความเร็วแบบนี้ ลูกหลานขุนนางส่วนใหญ่ทำได้หรอก ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาเป็นลูกศิษย์ของอสุราอัคนี วรยุทธ์ก้าวหน้าเร็วกว่าคนธรรมดาทั่วไป ตอนนี้เขาอยู่ในระดับแม่ทัพภาคแล้ว อาศัยความก้าวหน้าด้านวรยุทธ์ของเขาบวกกับความกล้าหาญและสติปัญญา ห่างแค่อีกไม่กี่ก้าวก็จะได้เป็นท่านโหวที่เข้าประชุมในราชสำนักได้แล้ว วันหลังหากได้รับความช่วยเหลือจากท่านอ๋อง การได้เป็นท่านโหวที่กุมอำนาจทางทหารมหาศาลก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว มีคุณธรรมน้ำมิตรขนาดนี้ มีทั้งความกล้าหาญและสติปัญญาขนาดนี้ จะมาระบายความโกรธกับเมียในบ้านได้ยังไง การที่ท่านอ๋องชอบเขาและจะมอบลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนให้แต่งงานกับเขา ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องผิดพลาดอยู่แล้ว!”

วิจารณ์ไปยาวมาก เม่ยเหนียงฟังจนรู้สึกฮึกเหิม สายตาเป็นประกาย กัดริมฝีปากเบาๆ สงสัยนิดหน่อยว่าว่าที่ลูกเขยคนนี้จะสมบูรณ์แบบเกินไปรึเปล่า ใจจริงรู้สึกว่าพลาดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นต่อไปจะหาลูกเขยดีๆ แบบนี้ได้จากที่ไหน แต่พอลองคิดอีกมุม ตรงหว่างคิ้วก็ฉายแววกลัดกลุ้ม “เขามีคุณธรรมน้ำมิตรใช้ได้เลย แต่อวิ๋นจือชิวนั่นยังไงกันแน่? ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะยอมก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้เพื่อแม่หม้ายคนเดียว คุณธรรมน้ำมิตรนี้ถ้าเอาไปใช้กับแม่หม้ายนั่นหมด เขายังจะชอบเม่ยเอ๋อร์ได้อีกเหรอ?”

โกวเยว่พบว่าทำไมสื่อสารกับผู้หญิงคนนี้ยากจัง บนโลกนี้จะมีเรื่องที่สมบูรณ์แบบเต็มร้อยให้ลูกสาวเจ้าได้ไปคนเดียวเหรอ? ไม่ว่าเรื่องไหนก็ต้องได้อย่างเสียอย่างทั้งนั้น มีเรื่องมากมายที่แม้แต่ท่านอ๋องก็ยังต้องสละชีวิตเลย ขนาดประมุขชิงที่สูงส่งเป็นราชันสวรรค์ก็ยังต้องประนีประนอมบ่อยๆ นี่เจ้า…

คำพูดบางอย่างก็ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ โกวเยว่ยังยิ้มบางๆ พร้อมโน้มน้าวว่า “สาเหตุที่ท่านอ๋องให้บ่าวรีบจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ก็เพราะตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก จุดอ่อนของเขาถูกบีบอยู่ในมือท่านอ๋องไม่ใช่หรือ? ขนาดหวังเฟยยังบอกเลยว่านั่นเป็นเพียงแม่หม้าย แม่หม้ายสำคัญกว่าหรือว่าลูกสาวท่านอ๋องสำคัญกว่าล่ะ เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่มิใช่หรือ? แล้วอีกอย่าง อาศัยความงามของคุณหนู ทั้งยังมีการอบรมสั่งสอนจากหวังเฟย ยังกลัวว่าจะผูกมัดหัวใจหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้อีกเหรอ?”

คำพูดนี้ทำให้ในดวงตาเม่ยเหนียงฉายแววเชื่อมั่นขึ้นมาบ้าง นางมีความรู้ว่าจะรับมือกับผู้ชายอย่างไร ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้กลายเป็นหวังเฟยหรอก เมื่อมีตนคอยสั่งสอนอบรมอยู่เบื้องหลัง อนาคตของลูกสาวก็ไม่มีอะไรน่ากังวลเลยจริงๆ

หลังจากนางพยักหน้า จู่ๆ ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ข้าก็ได้ยินชื่อมานานแล้วเหมือนกัน เอาอย่างนี้ดีกว่า ครั้งนี้ข้าจะไปดูตัวเป็นเพื่อเม่ยเอ๋อร์” เวลาแม่ยายใจร้อนอยากจะเจอลูกเขยก็มีท่าทีเหมือนกันหมด

“…” โกวเยว่อึ้งทันที แล้วห้ามอย่างสุภาพว่า “หวังเฟย เกรงว่าทำแบบนี้จะไม่เหมาะสมขอรับ สถานที่ที่จะไปครั้งนี้วุ่นวายมาก ท่านมีฐานะสูงส่ง ไปที่นั่นเกรงว่าจะทำให้เบื้องล่างตระหนกลนลาน หากท่านอ๋องรู้เข้าก็เกรงว่าจะไม่พอใจ”

เม่ยเหนียงมองเขาพร้อมยิ้มอย่างเป็นกันเอง “ข้าว่าพ่อบ้านต้องมีวิธีโน้มน้าวท่านอ๋องแน่นอน ใช่มั้ยล่ะ?”

“เอ่อ…” พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว โกวเยว่ที่อยู่ในฐานะลูกน้องจะยังเถียงอะไรได้อีก? เขาจะดันทุรังปฏิเสธตรงๆ ได้เหรอ?

ก็ช่วยไม่ได้ โกวเยว่ทำได้เพียงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อก่วงลิ่งกงต่อหน้านาง หลังจากคุยกันสักพักก็เก็บระฆังดารา ก่อนจะถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านอ๋องบอกแล้ว ว่าท่านจะไปก็ไปได้ แต่ห้ามเปิดเผยตัวตนขอรับ”

เม่ยเหนียงใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที “การเดินทางครั้งนี้ให้พ่อบ้านตัดสินใจทุกอย่างิหวังเฟยแค่ทำตามก็พอแล้ว”

โกวเยว่กล่าวเสียงเบาว่า “หวังเฟยได้โปรดบอกคุณหนูสักหน่อย หลังจากเจอหนิวโหย่วเต๋อแล้วก็พยายามอย่ายั่วให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี”

เม่ยเหนียงเข้าใจความหมายที่เขาสื่อแล้ว ก็แค่เก็บทรงคุณหนูเจ้าอารมณ์แล้วแสร้งทำตัวเป็นผู้หญิงแสนดีเอาใจผู้ชายเอง เรื่องนี้จัดการง่ายมาก…

วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร

“พวกเศษสวะ! เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าใครทำ แบบนี้ข้าจะเก็บพวกเจ้าไว้ทำประโยชน์อะไร?”

ในตำหนัก ประมุขชิงเดินออกมาจากหลังโต๊ะยาวอย่างหน้าดำคร่ำเครียด ชี้อู๋ฉวี่ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ขวา ซ่างกวนชิงผู้การใหญ่วังสวรรค์ ทูตตรวจการซ้ายซือหม่าเวิ่นเทียน ทูตตรวจการขวาเกาก้วน แต่ละคนโดนด่ายับเยิน

เรื่องเกิดในสถานที่ลับตาคน ไม่มีหูตาของตำหนักสวรรค์พบเห็น ตอนนี้ได้รับรายงานขึ้นมาทีละขั้นจนถึงที่นี่ ประมุขชิงกลับกลายเป็นคนที่รู้เรื่องค่อนข้างช้าท่ามกลางบุคคลระดับสูง พอได้ยินว่ามีกองทัพองครักษ์หลายหมื่นล้อมโจมตีกำลังพลท้องถิ่น เขาก็แปลกใจมาก กองทัพองครักษ์เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ผ่านความเห็นชอบจากตน แล้วนี่มันเรื่องอะไรกันล่ะ? หลังจากเรียกคนมาถามอย่างต่อเนื่องกัน ไม่น่าเชื่อว่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้วจะไม่มีใครรู้เลยสักคน นี่ต่างหากที่ร้ายแรงถึงตายมากที่สุด ประมุขชิงโมโหเดือดดาลมาก!

หลังจากโดนด่าเสร็จ อู๋ฉวี่ที่รีบถือระฆังดาราติดต่อเบื้องล่างเพื่อยืนยันเรื่องราวก็กุมหมัดคารวะ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ฝ่าบาท ทางหน่วยองครักษ์ขวาตรวจสอบความจริงหมดแล้ว กำลังพลทุกคนล้วนอยู่ในการควบคุม ไม่มีใครอยู่ที่น่านฟ้าระกาติงขอรับ” สีหน้าเขาก็ย่ำแย่เช่นกัน เพราะคนของน่านฟ้าระกาติงเป็นคนที่ส่งออกไปจากหน่วยองครักษ์ขวา ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนคนของกองทัพองครักษ์กำจัดแล้ว ล้อเล่นอะไรกัน?

บรรดาคนที่โดนด่าต่างก็ถือระฆังดาราติดต่อลูกน้องเพื่อยืนยันสถานการณ์

“ถ้าไม่ใช่หน่วยองครักษ์ขวาทำก็เป็นหน่วยองครักษ์ซ้ายทำ โพ่จวินล่ะ?” หลังจากได้ยินแบบนั้น ประมุขชิงก็กวาดสายตามองคนที่เหลือแล้วถามอย่างโมโหว่า “โพ่จวินทำไมยังไม่มา?”

“ผู้บัญชาการโพ่จวินหน่วยองครักษ์ซ้ายขอเข้าพบขอรับ!” จู่ๆ ด้านนอกก็มีทหารยามตะโกนรายงานเสียงดัง

ประมุขชิงหันขวับ แล้วตะคอกว่า “ไสหัวเข้ามา!”

ผ่านไปไม่นาน โพ่จวินที่สีหน้าเคร่งขรึมก็เดินเข้ามาทำความเคารพ ประมุขชิงไม่พูดพร่ำทำเพลง ถามแสกหน้าเลยว่า “คนของเจ้าทำรึเปล่า?”

โพ่จวินตอบว่า “เมื่อได้รับแจ้งจากฝ่าบาท ข้าน้อยก็รีบถ่ายทอดคำสั่งไปข้างล่างทันที ให้พวกลูกน้องรีบตรวจสอบความจริง เชื่อว่าไม่นานก็จะได้ข่าวขอรับ” ภาระหน้าที่ไม่เหมือนกัน กองทัพองครักษ์ถูกประมุขชิงควบคุม มีพลังรบแข็งแกร่งที่สุด แต่กลับมีช่องทางข่าวสารอ่อนด้อยที่สุดในบรรดาหน่วยงานทั้งหมดของตำหนักสวรรค์ หรือพูดได้อีกอย่างว่า โพ่จวินเป็นบุคคลระดับสูงคนสุดท้ายของตำหนักสวรรค์ที่รู้ข่าวนี้ ถ้าไม่ใช่ประมุขชิงเอ่ยถาม ก็เกรงว่าเขาคงจะยังไม่รู้ ส่วนสาเหตุที่อู๋ฉวี่รู้ก่อน ก็เพราะเกิดเรื่องนี้กับลูกน้องของเขา

……………………

“อะไรนะ? เถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นจือชิวหออวิ๋นฮว๋าไม่ได้โดนโจรราคะเจียงอีอีจับไปเหรอ?”

ตรงนี้กำลังตึงเครียด รองผู้บัญชาการใหญ่ก็ส่งข่าวมาแล้ว เย่อี้ถามกลับอย่างะลึงงัน แล้วถามอีกว่า “ไม่ได้เข้าใจผิดใช่มั้ย?”

รองผู้บัญชาการใหญ่ที่มารายงานข่าวยิ้มเจื่อน “ไม่ได้เข้าใจผิดหรอกขอรับ อวิ๋นจือชิวนั่นอยู่ที่หออวิ๋นฮว๋าตลอด ไม่ได้ออกนอกเมืองเลย”

“ทหารที่เฝ้าอยู่บนหัวกำแพงเมืองเห็นกับตาเองไม่ใช่เหรอว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ ถูกจี้ตัวไป? เห็นกับตาไม่ใช่เหรอว่าลูกน้องของหัวหน้าภาคฉู่ไล่ตามไป?” เย่อี้ประหลาดใจ

รองผู้บัญชาการใหญ่ตอบว่า “ข้าน้อยก็สงสัยจุดนี้เหมือนกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวผิดพลาดและในนั้นมีเงื่อนงำอะไร ข้าเลยออกไปถามคนที่โดนโจมตีบนกำแพงเมืองด้วยว่าแน่ใจใช่มั้ยว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ โดนจับตัวไปแล้ว ผลก็คือทุกคนบอกว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ นั่นสวมหมวกมุ้ง มองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ไม่กล้าแน่ใจเต็มร้อยว่าตอนนั้นคนที่โดนจับไปคือ ‘อวิ๋นจือชิว’ เพียงแต่เห็นว่าน่าจะใช่ จากนั้นข้าน้อยก็ไปหออวิ๋นฮว๋ารอบหนึ่ง พอเห็นอวิ๋นจือชิวแล้ว ก็หาข้ออ้างให้นางทิ้งตราอิทธิฤทธิ์เอาไว้ แล้วให้ผู้บัญชาการนำเอกสารที่อวิ๋นจือชิวเคยลงนามไว้ในปีก่อนมาเทียบกัน ก็แน่ใจแล้วว่าคนนี้คืออวิ๋นจือชิวตัวจริง ไม่ได้ถูกโจรราคะเจียงอีอีนั่นจับตัวไปเลย”

เย่อี้พูดไม่ออกไปพักใหญ่ “แล้วทางฉู่จื่อซานกำลังเล่นบ้าอะไรกัน?”

รองผู้บัญชาการใหญ่ตอบอย่างไม่แน่ใจว่า “ทางฉู่จื่อซานได้รับข่าวอะไรมารึเปล่า อยากจะล่อจับโจรราคะเจียงอีอี ก็เลยสร้างสถานการณ์ปลอมขึ้นมา?”

เย่อี้เงียบไป ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้หรือเปล่า คิดไม่ตกว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ สุดท้ายก็กัดฟันบอกว่า “ตอนนี้สมองเหลวกันทั้งข้างบนทั้งข้างล่าง ไม่รู้เลยว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่ ส่งคนไปพาตัวอวิ๋นจือชิวนั่นมาสอบสวนหน่อย ถามว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่ ดูซิว่านางรู้รึเปล่าว่าสถานการณ์เป็นยังไง!”

รองผู้บัญชาการใหญ่ลองเตือนว่า “ดีไม่ดีผู้หญิงคนนั้นอาจจะได้กับหนิวโหย่วเต๋อแล้วก็ได้ ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อรอดชีวิตออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว ถ้าพามาสอบสวนจะไม่เป็นการก่อเรื่องเหรอ? เจ้าบ้านั่นกุมอำนาจทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งเอาไว้หนึ่งล้านนะ ถ้ามันบ้าขึ้นมา…” ความหมายที่เหลือก็ชัดเจนโดยไม่ต้องพูดแล้ว

เย่อี้มุมปากชาเล็กน้อย คนที่กล้าก่อเรื่องแม้แต่งานรับสนมของราชันสวรรค์ สัตว์เดรัจฉานที่บ้าระห่ำแบบนี้ ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหวจริงๆ ที่สำคัญคือในมืออีกฝ่ายกุมอำนาจทางทหารเอาไว้ สิ่งนั้นไม่ได้มีไว้ประดับเฉยๆ กำลังพลตลาดสวรรค์ม่พอยัดซอกฟันอีกฝ่ายด้วยซ้ำ เขาหันกลับมากลอกตาใส่รองผู้บัญชาการใหญ่ “นางก็ไม่ได้มีหลักฐานกระทำความผิดอะไรอยู่ในมือพวกเรานี่ ข้าให้เจ้าพาตัวมาถาม ไม่ได้ให้เจ้าจับตัวสักหน่อย เกรงใจหน่อยก็สิ้นเรื่องแล้ว!”

“ขอรับ!” รองผู้บัญชาการใหญ่เอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป ในใจกลับพึมพำว่า เมื่อครู่นี้เจ้ายังบอกว่า ‘สอบสวน’ อยู่เลย

จวนท่านปู่สวรรค์ ในห้องที่โบราณเรียบง่ายแต่แฝงความหรูหรา เซี่ยโห้วท่ากางแขนสองข้าง ปล่อยให้บ่าวรับใช้หญิงสองคนแต่งตัวให้อย่างระมัดระวัง กำลังจะเข้าประชุมในราชสำนักตำหนักสวรรค์แล้ว ต้องแต่งตัวให้ภูมิฐานเรียบร้อยหน่อย

ตรงนี้เพิ่งจะแต่งตัวเสร็จ พ่อบ้านเว่ยซูก็เดินเข้ามาจากข้างนอก เขาเอียงหน้าทางซ้ายและขวาก่อน “พวกเจ้าถอยไปก่อน!”

หลังจากบ่าวหญิงทั้งสองออกไปแล้ว เว่ยซูก็หยิบไม้เท้าข้างๆ ยื่นใส่มือให้เซี่ยโห้วท่า แล้วถือโอกาสเอ่ยว่า “นายท่าน เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ เกิดเรื่องที่น่านฟ้าระกาติงก่วงลิ่งกงแล้ว”

“อ้อ!” เซี่ยโห้วท่าเอียงหน้ามองมา รู้ว่าการที่เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ ก็แปลว่าคงจะไม่ยิงธนูโดยไร้เป้า “เรื่องอะไร?”

เว่ยซูรายงานว่า “จู่ๆ หัวหน้าภาคฉู่จื่อซานของน่านฟ้าระกาติงรวมทั้งกำลังพลเกือบหมื่นของเขาก็โดนกำลังพลหลายหมื่นของกองทัพองครักษ์โจมตีขอรับ ตามที่ลูกน้องที่รอดชีวิตของฉู่จื่อซานรายงานขึ้นมา ตอนนั้นกำลังพลเกือบหนึ่งหมื่นของฉู่จื่อซานเกือบจะโดนฆ่าหมดแล้ว ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีข่าวตอนหลังตามมาอีก แต่การที่กองทัพองครักษ์หลายหมื่นล้อมโจมตีกำลังพลหนึ่งหมื่นของฉู่จื่อซาน…ตอนนี้เกรงว่าพวกฉู่จื่อซานน่าจะมีเคราะห์ร้ายมากว่าโชคดีขอรับ!”

“หา! ใครมันช่างกล้าขนาดนั้น…” เซี่ยโห้วท่าที่รู้สึกบันเทิงชะงักไป แล้วถามอย่างฉงนใจ “ฉู่จื่อซาน? ฉู่จื่อซานคนนี้ใช่หัวหน้าภาคฉู่จื่อซานที่เจ้าบอกว่าจะแต่งงานกับอวิ๋นจือชิวอะไรนั่นรึเปล่า?”

เว่ยซูยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า “เป็นฉู่จื่อซานนั่นแหละขอรับ!”

เซี่ยโห้วท่าตะลึงงัน แล้วทันใดนั้นก็หัวเราะลั่นออกมา “ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมจู่ๆ มีข่าวลูกศิษย์อสุราอัคนีออกมา ที่แท้ก็เพราะประเมินเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้านี่เองนี่เอง หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ช่างกล้าจริงๆ!”

เว่ยซูเรียกได้ว่าทำสีหน้านับถือชื่นชมเขา ช่วงก่อนหน้านี้นายท่านอาศัยเบาะแสเล็กน้อยมาตัดสินว่าอาจจะเกิดเรื่องบางอย่างที่ตัวหนิวโหย่วเต๋อ ทั้งยังเป็นไปได้สูงว่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กด้วย ตอนนั้นเขายังพึมพำสงสัยอยู่เลยว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อได้ แต่หลังจากได้ข่าวนี้มา เขาก็เข้าใจทันที เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ด้วย กำลังพลหลายหมื่นของกองทัพองครักษ์ล้อมโจมตีกำลังพลท้องถิ่น แทบจะสังหารกำลังพลเกือบหนึ่งหมื่นของอำนาจท้องถิ่นจนหมดเกลี้ยง ขนาดหัวหน้าภาคที่รักษาการณ์น่านฟ้าก็โดนกำจัดไปด้วยแล้ว เรื่องนี้ใหญ่โตใช้ได้ทีเดียว

เขายิ้มพร้อมกล่าวว่า “นายท่านช่างปราดเปรื่อง ในมือหนิวโหย่วเต๋อกุมอำนาจทางหทารของกองทัพองครักษ์ไว้หนึ่งล้าน แถมเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับอวิ๋นจือชิวนั่นอีก เป็นกองทัพองครักษ์ลงมือพอดีเลย สงสัยจะมีความเป็นไปได้เก้าในสิบ ว่าเป็นฝีมือหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ คนอื่นไม่กล้าทำอย่างนี้หรอก”

เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้าเดาะลิ้น “เจ้าเด็กนี่ใจกล้าจริงๆ ถือวิสาสะใช้งานกองทัพองครักษ์โดยไร้คำสั่งเบื้องบน แถมยังเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของท้องถิ่นโดยพลการด้วย เบื้องบนของกองทัพองครักษ์จะต้องไม่ตอบตกลงให้เขาทำเรื่องแบบนี้แน่นอน เจ้าบ้านั่นถือวิสาสะใช้งานเองแน่ๆ ช่างไม่กลัวตายจริงๆ! ตอนนี้ข้าแปลกใจแล้ว กองทัพองครักษ์เคลื่อนย้ายกำลังพลหลายหมื่น ในระหว่างนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ผ่านสายตาเบื้องบน และเป็นไปไม่ได้ด้วยที่จะปิดบังสายเบื้องบน ทำไมทำเรื่องแบบนี้ใต้หนังตาเบื้องบนได้? ในนั้นต้องมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างแน่นอน เดี๋ยวเจ้าไปจับตาดูเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดนะว่าเป็นยังไงกันแน่”

“ขอรับ!” เว่ยซูเอ่ยรับ แล้วเดินไปที่ประตูเป็นเพื่อนเขา

เซี่ยโห้วท่าเดินมึงประตูแล้วหยุดฝีเท้าอีก หันมากำชับว่า “อวิ๋นจือชิวนั่นไม่ธรรมดาหรอก นางคงจะมีความสามารถเกินกว่าที่เจ้ากับข้าจินตนาการไว้ก่อนหน้านี้ ทางเจ้าต้องยกระดับความสนใจแล้ว!”

เว่ยซูงงเล็กน้อย ถามว่า “เป็นเพราะเรื่องนี้หรือขอรับ?”

“เจ้านี่นะ ยังอ่อนหัดไปหน่อยเมื่อเทียบกับพ่อของเจ้า คำพูดพวกนี้ถ้าข้าพูดให้พ่อเจ้าฟัง พ่อเจ้าเข้าใจไปนานแล้ว แต่เจ้ากลับต้องรอนานกว่าจะเบิกสติปัญญา เป็นเพราะเรื่องนี้แล้วยังไงล่ะ? แค่เป็นเพราะเรื่องนี้ยังไม่พออีกเหรอ?” เซี่ยโห้วท่าตำหนิเขา ทั้งยังใช้ข้อนิ้วเคาะหน้าผากเขาด้วย เสร็จแล้วถึงได้หันกลับไปมองที่ประตูด้วยแววตาล้ำลึก ทอดสายตามองไปไกลอย่างเอ้อระเหยพร้อมบอกว่า “ก่อนหน้านี้ข้าคิดแค่ว่ามีข่าวอสุราอัคนีเพื่อจะปกป้องหนิวโหย่วเต๋อ แต่พอมาดูตอนนี้แล้ว คนที่จะปกป้องไม่ใช่แค่หนิวโหย่วเต๋อเท่านั้น มีอวิ๋นจือชิวนี่ด้วย เจ้าลองคิดดูสิ หกลัทธินั่นใจบุญสุนทานรึไง?

ไม่ว่าอวิ๋นจือชิวคนนี้จะมีเบื้องหลังอะไรเกี่ยวกับหกลัทธิ แต่สำคัญสำหรับหกลัทธิที่โดนขังในแดนอเวจีมาหลายปีด้วยเหรอ? ถ้าฉู่จื่อซานแต่งงานกับอวิ๋นจือชิวคนนี้ นี่ก็เป็นโอกาสของหกลัทธิที่จะเปิดประตูเข้าตำหนักสวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นางจะได้เข้าไปอยู่กับหน่วยงานภายในของกองทัพองครักษ์ ฉู่จื่อซานมีภูมิหลังเกี่ยวกับข้องกับกองทัพองครักษ์โดยตรง สามารถคว้าโอกาสนี้เพื่อแทรกผู้หญิงคนนี้เข้าไปอยู่ข้างกายฉู่จื่อซานและหาโอกาสเคลื่อนไหวดึงคนกลุ่มนี้มาเป็นพวกได้เลย เกรงว่าหกลัทธิคงจะอยากทำเรื่องนี้ใจจะขาด แต่ดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน หกลัทธิกลับไม่ได้ทำอย่างนั้น แบบนี้หมายความว่าอะไรล่ะ? หมายความว่าคนที่วางหมากอยู่เบื้องหลังไม่ใช่แค่ไม่อยากให้หนิวโหย่วเต๋อมีภัยคุกคาม

ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวได้รับอันตรายด้วย! ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าคนที่วางหมากเรื่องนี้ทำแบบนี้ทำไม แต่ในเมื่อสามารถปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องใหญ่โตเพื่อปกป้องผู้หญิงคนนี้แล้ว เจ้ายังดูไม่ออกอีกเหรอว่าผู้หญิงคนนี้สำคัญยังไง? อาศัยอุบายการวางหมากสร้างสถานการณ์จองคนคนนั้น ก็มีความสามารถที่จะหยุดยั้งไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อทำแบบนี้ได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้หนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้เลย สร้างปัญหาที่ใหญ่ทะลุฟ้าแบบนี้ ปัญหาใหญ่นี้จะทำให้มีเรื่องยุ่งยากเข้ามาแทรกจนทำให้เรื่องนี้หลุดจากการควบคุมได้ง่าย สุดท้ายจะกลายเป็นยังไงก็ไม่มีใครรู้ชัด รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าระหว่างนั้นมีความเสี่ยงมาก แต่ยังเตรียมตัวในด้านนี้ไว้ล่วงหน้าเพื่อไม่ให้มีอย่างอื่นมารบกวน …ถ้าพูดไปเยอะขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่เข้าใจ ก็อย่าให้สิ่งที่วุ่นวายหลอกล่อให้เจ้าตาพร่าเลือน มองแก่นหลักของเรื่องไปเลย พอพูดเปิดโปงแล้วก็เรียบง่ายมาก เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไม่ใช่เพราะหนิวโหย่วเต๋อกินอิ่มแล้วหาอะไรทำแก้เซ็งแน่นอน แต่เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้ เจ้ายังกล้าประเมินความสำคัญของผู้หญิงคนนี้น้อยไปอีกเหรอ?”

ถ้าไม่พูดเปิดโปง เว่ยซูก็ยังไม่เข้าใจเลยจจริงๆ พอเปิดเผยให้ฟังนิดหน่อย เว่ยซูก็เรียกได้ว่าร้องอ๋อ กุมหมัดคารวะโค้งตัวนานๆ “คำพูดเหล่านี้ของนายท่าน เว่ยซูได้รับประโยชน์ไม่น้อย ได้รับการสั่งสอนแล้ว” หลังจากยืนตรงแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจว่า “ผู้หญิงคนนี้มีความสำคัญขนาดนี้ นางมีเบื้องหลังยังไงกันแน่?”

“เหอะๆ!” เซี่ยโห้วท่าหัวเราะแบบแข็งๆ ก้าวเดินออกไปแล้วพูดทิ้งท้ายว่า “ข้ายังคาดการณ์ได้ไม่เท่าไร ค่อยๆ ดูไปเถอะ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเผยเบาะแสแน่ ไม่คุยแล้ว ข้าจะต้องเข้าราชสำนัก!”

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง

“ท่านพ่อคะ ช่วงนี้ลูกสาวได้ยินข่าวน่าประหลาดใจบางอย่างมา บอกว่าในโลกนี้มีต้นไม้เทพอยู่ชนิดหนึ่ง สามารถอยู่คู่กับฟ้าดินตลอดไปโดยไม่ผุสลาย มันถูกเรียกว่าไม้ไม่ผุ เติบโตอยู่ในทุ่งหิมะ ส่งกลิ่นหอมอัศจรรย์ ทั้งต้นเป็นสีขาวดุจหิมะ แม้แต่ใบก็เป็นสีขาว เส้นใยข้างในของมันเหมือนกับเส้นเลือดในร่างกายมนุษย์ ถ้าใครได้ดื่มโลหิตจากไม้ไม่ผุสักจอก ก็จะไม่มีวันผุสลายเหมือนต้นไม้ต้นนี้ ต่อให้เผารมควันนานๆ แต่ก็สามารถอ่อนเยาว์เหมือนเดิมอยู่ดี จริงหรือเปล่าคะ?”

เม่ยเหนียงกับเม่ยเอ๋อร์กำลังช่วยจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้ก่วงลิ่งกงด้วยกัน ขณะที่เม่ยเอ๋อร์มือไม่ว่าง แต่ปากก็พูดเจื้อยแจ้วเช่นกัน สีหน้านางเต็มไปด้วยความกังวล

พอก่วงลิ่งกงเห็นท่าทางของลูกสาว ก็รู้แล้วว่าโดนล่อใจเพราะ ‘อ่อนเยาว์เหมือนเดิม’ ผู้หญิงก็มีรสนิยมแบบนี้ทั้งนั้น ก็ช่วยไม่ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวกลั้วหัวเราะ “เขาว่ากันอย่างนั้นจริงๆ แต่ก็เป็นตำนานโบราณ พ่อเองก็ไม่เคยเห็น ต่อให้เจ้าอยากเห็นพ่อก็ไม่รู้จะทำยังไง”

เม่ยเอ๋อร์คล้องแขนเขาแล้วขอร้องทันที “ท่านพ่อ ท่านส่งคนไปค้นหาไม่ได้เหรอคะ?”

“นางหนูตัวแสบ!” เม่ยเหนียงใช้นิ้วจิ้มหน้าผากลูกสาว “ของที่ใฝ่ฝันได้แต่เอื้อมไม่ถึง จะให้ไปหามาจากไหนล่ะ? อย่าทำให้ท่านพ่อไปเข้าราชสำนักช้า”

เม่ยเอ๋อร์เบ้ปากแล้วถอยไปด้านข้าง ก่วงลิ่งกงเหลือบไปเห็นโกวเยว่ที่รออยู่นอกประตู ก็รู้แล้วว่ามีเรื่อง จึงเอียงหน้ายิ้มให้ลูกสาว แล้วบอกเม่ยเหนียงว่าพอแล้ว ก่อนจะก้าวยาวเดินออกไป

โกวเยว่เดินตามหลังเขาลงจากบันได หลังจากเดินเข้าไปในลานบ้านด้วยกัน ก่วงลิ่งกงถึงได้ถามเสียงเรียบว่า “มีเรื่องอะไร?”

โกวเยว่รายงานว่า “ทางน่านฟ้าระกาติงเกิดเรื่องนิดหน่อยขอรับ หัวหน้าภาคฉู่จื่อซานของน่านฟ้าระกาติงรวมทั้งกำลังพลหมื่นกว่าของเขาถูกทัพใหญ่หลายหมื่นของกองทัพองครักษ์ล้อมโจมตีในเขตน่านฟ้าระกาติง ผู้ที่ขาดการติดต่อไปยังไม่มีข่าวมาเลย เกรงว่าจะตายหมดแล้ว!”

ก่วงลิ่งกงหยุดฝีเท้า แล้วหันขวับกลับมาพร้อมสายตาดุร้าย ถามเน้นย้ำว่า “เจ้าว่าอะไรนะ? กองทัพองครักษ์ฆ่าคนของข้าในอาณาเขตของข้าเหรอ?”

…………………………

สิ่งที่เรียกว่าแล่เนื้อประหารคืออะไร? ก็คือการสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นไง!

มู่อวี่เหลียนที่อยู่ข้างๆ มองไปที่เหมียวอี้แล้วอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง รู้สึกว่าฆ่าก็ฆ่าไปแล้วไม่จำเป็นต้องทรมาน แบบนั้นจะสร้างปัญหาได้ง่าย แต่เมื่อเห็นลูกน้องที่อยู่ข้างกายก็พูดโน้มน้าวไม่ออก ลูกน้องของตัวเองโดนคนอื่นฆ่าแล้ว นายท่านกำลังระบายความโกรธ มันใช่เรื่องเหรอที่นางจะขัดขวาง?

“อือ…อือ…” พอฉู่จื่อซานได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้าอย่างบ้าคลั่ง ตรงมีปากมีเลือดไหล ไม่อาจหลุดพ้นจากชะตากรรมที่ต้องโดนถูกลากไปประหาร

พอลากมาข้างๆ แล้ว ก็ถอดเกราะรบและเสื้อบนตัวรวมทั้งสมบัติต่างๆ ออก ร่างกายที่เปลือยเปล่าถูกลากให้ไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าศพสมาชิกของกองมังกรดำ

ข้างซ้ายและขวามีคนดึงแขนสองข้างของเขาเอาไว้ คนข้างหลังดึงมวยผมเขาไว้แน่นแล้ว ขณะเดียวกันก็ใช้รองเท้าโลหะข้างหลังเหยียบไว้บนแผ่นหลังของเขา

ฉู่จื่อซานที่นั่งคุกเข่าแต่กลับขยับตัวไม่ได้ร้องอู้อี้อย่างบ้าคลั่ง ทหารเลวเกราะทองคนหนึ่งเดินมาอยู่ตรงหน้าเขา แล้วโบกมือหยิบมีดสั้นออกมา แสงสะท้อนคมมีดวับวาบอยู่ในมือ กรีดบนหน้าอกของเขารอยหนึ่งจนมีเลือดออก มีเศษเนื้อปลิวออกไปชิ้นหนึ่ง

แสงสะท้อนคมมีดกะพริบเร็วมาก ใช้มีดเล็กแล่เนื้ออย่างจริงจัง

ทัพกลางธงพยัคฆ์น้ำเงินเดิมทีก็รับหน้าที่ลงโทษอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องหาคนทำเลย

ใช้เวลาเพียงไม่นาน บนร่างเปลือยของฉู่จื่อซานก็ถูกอาบไปด้วยเลือดแล้ว ร่างกายครึ่งเนื้อครึ่งกระดูกกำลังคุกเข่าอยู่อย่างนั้น เจ็บปวดทรมานจนตัวสั่น ในลำคอมีเสียงดังไม่หยุด ความหวาดกลัวถึงขีดสุดได้ผ่านไปแล้ว ในดวงตาที่สิ้นหวังฉายแววนึกเสียใจทีหลัง เสียใจที่ไม่ฟังคำแนะนำของคนอื่น เดิมทีตัวเองมีอนาคตที่ดีรออยู่ แต่กามตัณหาชั่ววูบเพื่อผู้หญิงคนเดียวทำให้ตนตกต่ำจนมีจุดจบแบบนี้…

ฉากที่สับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นไม่ได้น่าดูเลยจริงๆ ขนาดมู่อวี่เหลียนเองยังขนพองสยองเกล้า ต่อให้ผู้หญิงจะโหดสักแค่ไหน แต่ก็ยากจะปรับตัวกับฉากแบบนี้ได้ นางหันตัวหนีแล้ว

คนหลายหมื่นที่เก็บกวาดสนามรบเสร็จแล้วทยอยกันกลับมา พอเห็นฉากประหารที่อยู่ทางนี้ แต่ละคนก็รู้สึกหนาวในใจ หันไปมองท่านแม่ทัพภาคที่สีหน้าเรียบเฉยเป็นระยะ

ทุกคนรู้สึกทอดถอนใจกับความโหดเหี้ยมของท่านแม่ทัพภาคคนนี้ และได้ค้นพบอีกครั้งว่าท่านแม่ทัพภาคเป็นคนที่ทำงานโดยใช้อารมณ์จริงๆ ในปีนั้นขัดตาที่อ๋องสวรรค์อิ๋งขายหลานสาวแลกเกียรติยศ ก็เลยสงบปากตัวเองไม่ได้ ตกต่ำจนต้องโดนขังที่แดนดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี โดนทำโทษจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ครั้งนี้เป็นเพราะโมโหที่เห็นพี่น้องของตัวเองตาย ก็เลยสังหารกำลังพลตำหนักสวรรค์ไปเกือบหนึ่งหมื่น ช่างไม่กลัวการก่อเรื่องเลยจริงๆ

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีผู้บังคับบัญชาแบบนี้ทำให้ทุกคนไม่มีอะไรจะตำหนิแล้ว แววตาที่มองไปยังเหมียวอี้มีแต่ความเคารพนับถือที่มาจากใจจริง!

ผ่านไปไม่นาน จุดเกิดเหตุก็มีเลือดไหลเต็มพื้น ฉู่จื่อซานที่โดนแล่เนื้อจนแทบจะกลายเป็นโครงกระดูกก็ทนทรมานไม่ไหวอีกแล้ว เขาหายใจออกมาเฮือกสุดท้ายท่ามกลางความเจ็บปวดทรมานถึงขีดสุด เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด คนถือมีดสั้นที่กำลังลงโทษทรมานเสียบมีดลงไปในช่องระหว่างกระดูกซี่โครงโดยตรง แทงทะลุเข้าไปในหัวใจแล้ว…

หลังจากลงโทษทรมานเสร็จแล้วกลับมารายงานผล เหมียวอี้ก็ออกคำสั่งกับมู่อวี่เหลียนว่า  “เก็บกวาดสนามรบให้สะอาด เตรียมกลับอุทยานหลวง!”

“รับทราบ!” มู่อวี่เหลียนรับคำสั่งแล้วไปจัดการ

เหมียวอี้ออกไปอยู่ตามลำพัง พอถึงจุดที่ลับหูลับตาคน ก็ปล่อยคนชุดดำกับ ‘อวิ๋นจือชิว’ ออกมา

อวิ๋นจือชิว’ ถลึงตาจ้องเหมียวอี้ ทำท่าเหมือนอยากจะกัดเหมียวอี้ให้ตาย แต่เหมียวอี้กลับผลัก ‘อวิ๋นจือชิว’ ไปให้คนชุดดำ

คนชุดดำพยักหน้า รับ ‘อวิ๋นจือชิว’ เอาไว้ แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็วโดยอาศัยลักษณะแนวภูเขาพรางตัว

รอจนผ่านไปสักครู่หนึ่ง คาดว่าคนคงจากไปไกลแล้ว เหมียวอี้ก็กางแขนสองข้าง ภายใต้คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่สาดซัด เกิดเสียงระเบิดดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ภูเขาถล่มพื้นดินทลาย ฝุ่นควันลอยตลบอบอวล กลบบังตัวเขาเอาไว้

กำลังพลหลายหมื่นที่เก็บกวาดสนามรบแล้วมารายงานสรุปสถานการณ์ตกใจทันที รีบรวมกลุ่มกันเหาะเข้ามา เห็นเพียงฝุ่นดินตลบอบอวลกินพื้นที่บริเวณกว้าง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว

รอไปได้สักครู่หนึ่ง เงาร่างของเหมียวอี้ก็พลันพุ่งขึ้นฟ้าท่ามกลางฝุ่นดินที่ตลบอบอวล แล้วจ้องมองสำรวจไปด้านล่าง สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร

มู่อวี่เหลียนรีบเหาะเข้ามาใกล้ แล้วถามอย่างตกใจปนสงสัยว่า “นายท่าน เป็นอะไรไปคะ?”

เหมียวอี้ตบตรงเอวที่เดิมแขวนกระเป๋าสัตว์เอาไว้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “จู่ๆ เจียงอีอีก็ฝ่ากระเป๋าสัตว์ออกมา หนีไปแล้ว!”

มู่อวี่เหลียนตกใจทันที “นายท่านผนึกวรยุทธ์บนตัวเขาแล้วไม่ใช่เหรอ?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ จู่ๆ เขาก็หนีออกมา พอข้าแทงกระบี่ออกไป ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไรแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ากระบี่ในมือข้าจะกลายเป็นฝุ่นในชั่วพริบตาเดียว เกือบจะตกหลุมพรางเขาซะแล้ว พอเขาแวบออกมาก็มุดลงดินหายไปเลย”

ทำไมเขาไม่เลือกคนอื่นมาเป็นแพะ ดันเลือกโจรราคะเจียงอีอีมาเป็นแพะ? ก็เพราะว่าเขาเคยเห็นกับตาตัวเองว่าเจียงอีอีมีความสามารถเปลี่ยนทองเป็นฝุ่น หนีเอาตัวรอดไปได้อย่างอิสระ

มู่อวี่เหลียนรีบหันมาออกคำสั่งทันที “ค้นหาให้ข้า!”

กำลังพลหลายหมื่นกระจายตัวกันค้นหาทันที ใช้พลังอิทธิฤทธิ์สำรวจลงไปใต้ดิน รีบค้นหาทั้งใกล้ทั้งไกล

ส่วนเหมียวอี้ก็ยืนอยู่บนภูเขาข้างๆ แล้วหยิบระฆังดาราออกมา ตอนนี้ติดต่อกับอวิ๋นจือชิวแล้ว

อวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์ เจ้ากำลังเล่นบ้าอะไรกันแน่?

เหมียวอี้ : ข้าแก้ปัญหาเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้เจ้าออกมาปรากฏตัวในร้านได้ พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้ถูกเจียงอีอีจับไป คืนความบริสุทธิ์ให้เจ้า!

อวิ๋นจือชิวอกสั่นขวัญแขวน : ที่เจ้าเรียกว่าแก้ไขปัญหาแล้วคืออะไร? เจ้าฆ่าฉู่จื่อซานแล้วเหรอ?

เหมียวอี้ : อย่าบอกนะว่าจะให้ข้าเก็บเขาไว้?

อวิ๋นจือชิวร้อนใจแล้ว : เจ้าฆ่าเขาแล้ว เจ้าจะอธิบายกับเบื้องบนยังไง?

เหมียวอี้ : ข้ามีวิธีการรับมือของข้าแล้วกัน พอแล้ว ไม่คุยแล้ว ข้ายังต้องแก้ไขปัญหาที่จะตามมาทีหลังอีก

จากนั้นก็ตัดขาดการติดต่อกับอวิ๋นจือชิวทันที ทำให้อวิ๋นจือชิวโมโหจนกระทืบเท้า แต่นางก็รู้เช่นกัน ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไว้ เหมียวอี้จะต้องแก้ไขปัญหาที่จะตามมาทีหลังแน่นอน ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาระบายอารมณ์ใส่เหมียวอี้

ที่จริงกำลังพลหนึ่งหมื่นของฉู่จื่อซานก็ไม่ได้รบตายเสียทั้งหมด บางคนโดนลูกธนูดาวตกยิงจนบาดเจ็บสาหัส ไม่ได้โดนยินจุดสำคัญจึงยังไม่ตาย กำลังถูกจับเอามารวมกันไว้

ลูกน้องคนหนึ่งหิ้วผู้บาดเจ็บคนหนึ่งขึ้นมา แต่โดนเหมียวอี้ยื่นมือขวางไว้ หลังจากบอกใบ้ให้เขาทิ้งคนเอาไว้ ก็โบกมือให้ลูกน้องไปทำงานของตัวเองต่อ ให้ส่งคนคนนี้ให้เขาจัดการเอง เขาหิ้วคนคนนั้นไปตรงที่ลับตาคน แล้วถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”

ผู้บาดเจ็บตอบอย่างหวาดกลัวว่า “โจวหลาง!”

หลังจากถามจนรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว เหมียวอี้ก็คลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวเขา แล้วหยิบระฆังดาราสองอันออกมาลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเอง แล้วก็ยื่นให้อีกฝ่าย “ทิ้งวิธีการติดต่อเอาไว้”

ผู้บาดเจ็บอึ้งทันที ไม่รู้ว่าทำไมเหมียวอี้จึงต้องการขอช่องทางการติดต่อของเขา แต่ในใจก็แอบยินดี ในเมื่อต้องการคงการติดต่อกับเขาเอาไว้ เช่นนั้นก็แสดงว่าจะไม่ฆ่าเขา

เขาย่อมรีบทำตามที่สั่ง หลังจากลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองเอาไว้บนระฆังดาราสองอัน ก็ยื่นอันหนึ่งให้เหมียวอี้ เมื่อเห็นเหมียวอี้พยักหน้ายอมรับแล้ว ตัวเองก็เก็บอีกอันหนึ่งเอาไว้ แต่ใครจะคิดว่าตอนที่เพิ่งจะเก็บของและยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ตรงหน้าก็มีแสงสะท้อนคมกระบี่วับวาบ คมกระบี่วิเศษฟันลงที่ศีรษะของเขาแล้ว

“ข้าเองก็ต้องหาช่องว่างให้ตัวเองรอดชีวิต ขออภัย!” เหมียวอี้เก็บกระบี่วิเศษ จ้องมองร่างที่ล้มลงพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันตัวเดินออกไป

หออวิ๋นฮว๋า พวกคนงานที่อยู่ในโถงหลักพลันเงียบลง ทุกคนมองไปที่จุดเดียวกัน มองไปทางอวิ๋นจือชิวที่เดินเนิบนาบออกมาจากโถงด้านหลัง โดยมีเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เดินตามมา

พวกช่างไม้รู้ตั้งนานแล้วว่านางไม่เป็นอะไร ยังดีหน่อย แต่คนงานที่เหลือดูประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เถ้าแก่เนี้ยไม่ได้โดนจับตัวไป ยังอยู่ในร้านตลอดเหรอ?

“แต่ละคนทำไมไม่ทำงานกันล่ะ มองจนตาค้างหมดแล้ว ไม่เคยเห็นข้าหรือว่าบนหน้าข้ามีดอกไม้งอกออกมา?” อวิ๋นจือชิวตะคอกเหมือนอย่างที่เคยทำ

พวกคนงานเคลื่อนไหวต่อทันที ความกังวลในใจหายไปแล้ว บนใบหน้ามรอยยิ้มแล้ว ทำงานของตัวเองต่อไป

อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะเดินมาถึงประตู จู่ๆ ก็เห็นช่างหินรีบร้อนเดินกลับมา พวกเขาแทบจะชนกันตรงประตู พอช่างหินเห็นเถ้าแก่เนี้ยก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทำความเคารพ “เถ้าแก่เนี้ย”

อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองคนงานร้านตรงข้ามที่โผล่หัวออกมาแล้วหดกลับเข้าไปในประตูเหมือนผี ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่บนตัวช่างหิน แลวตำหนิว่า “จะรีบร้อนเหมือนวิญญาณหลุดจากร่างทำไม?”

“เถ้าแก่เนี้ย ประตูเมืองทั้งสี่ปิดอีกแล้ว” ช่างหินตอบ

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว “เกิดเรื่องขึ้นอีกแล้วเหรอ?”

ช่างหินส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ ได้ยินแค่ว่าทางตำหนักคุ้มเมืองสั่งให้ปิดประตูเมืองทั้งสี่ บนหัวกำแพงเมืองก็ป้องกันเพิ่ม รายละเอียดเป็นยังไงก็ยังไม่แน่นอน”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรอีก นำเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เดินไปที่หัวถนนต่อ

ตอนนี้ผู้จัดการร้านอ้วนโผล่ออกมาจากประตูร้านตรงข้ามแล้ว เป็นคนที่ออกมาสืบข่าวในหออวิ๋นฮว๋าก่อนหน้านี้ เขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มร่าเริง “เอ๋! เถ้าแก่เนี้ย ออกมาเดินตลาดเหรอ?” ขณะที่พูดก็เดินอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว

อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม “ถ้าไม่โผล่หน้าออกมาเดินที่ตลาดสวรรค์ ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมากมายขนาดไหนก่นด่าข้าน่ะสิ ทีแรกอยากจะฝึกวิชาอย่างสงบใจ ใครจะคิดล่ะว่าจะมีเรื่องวุ่นวายใจ”

ผู้จัดการร้านอ้วนกล่าวกลั้วหัวเราะ “จะเป็นไปได้ยังไง เถ้าแก่เนี้ยมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับทุกคน อยู่ดีๆ เขาจะมาด่าท่านทำไมล่ะ”

“งั้นเหรอ?” อวิ๋นจือชิวเหล่ดวงตางามมองเขา “แล้วทำไมข้าได้ยินคนงานในร้านบอกล่ะว่า ผู้จัดการร้านวิ่งมาในร้านข้าแล้วบอกว่าข้าโดนโจรราคะเจียงอีอีจับตัวไปแล้ว? ท่านพูดแบบนี้ตั้งใจจะทำลายชื่อเสียงข้าใช่มั้ย ข้าจะนั่งติดที่ได้ยังไงล่ะ ก็ต้องรีบออกมาเดินสักหน่อยสิ”

“ดูพูดเข้าสิ คนงานร้านท่านฟังผิดแน่ๆ” ผู้จัดการร้านอ้วนหัวเราะแห้งๆ เอามือลูบจมูกอย่างเก้อเขิน เย่อี้ยืนยันต่อหน้าแล้วว่าผู้หญิงตรงหน้าคือเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นจือชิวแห่งหออวิ๋นฮว๋าจริงๆ จึงไม่หาเรื่องใส่ตัวอีก หาข้ออ้างหนีทันที “ในร้านข้ายังมีงานอีกนิดหน่อย เถ้าแก่เนี้ย ท่านทำธุระของท่านไปเถอะ ข้าอยู่ด้วยไม่ได้แล้ว”

พอผู้จัดการร้านอ้วนออกไปแล้ว ผู้จัดการร้านของร้านอีกสองฝั่งก็เข้ามาทักทายไม่หยุด อวิ๋นจือชิวรับมือแต่ละคนได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ข่าวที่ก่อนหน้านี้อวิ๋นจือชิวโดนโจรราคะเจียงอีอีจับตัวแพร่กระจายออกไปแล้ว ตอนนี้ข่าวก่อนหน้านี้กลายเป็นข่าวลือ ข่าวที่เถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋ายังไม่ถูกโจรราคะเจียงอีอีจับไปแพร่กระจายไปอีกแล้ว

ตอนที่ข่าวแพร่ไปถึงตำหนักคุ้มเมือง เย่อี้ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่อยู่ในตำหนักคุ้มเมืองกำลังเดินไปเดินมาอย่างว้าวุ่นใจในสวนดอกไม้ด้านหลัง บนใบหน้ามีความวิตกกังวล

ไม่ให้เขากังวลไม่ได้หรอก จู่ๆ ก็ได้รับแจ้งจากเบื้องบน บอกว่าบริเวณดาวจิ่วหวนมีกำลังพลไม่ทราบกลุ่มล้อมโจมตีหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงรวมทั้งกำลังพลที่ติดตาม เย่อี้ถามว่าใครกันที่ใจกล้าขนาดนั้น ทว่าเบื้องบนไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นใคร บอกเพียงว่าลูกน้องของฉู่จื่อซานรายงานว่าเหมือนจะเป็นคนของกองทัพองครักษ์ ตอนนี้กำลังรายงานขึ้นไปทีละระดับเพื่อให้ทางตำหนักสวรรค์ยืนยันว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ส่วนสถานการณ์อย่างอื่นก็ยังไม่รู้ เพียงบอกให้ฝั่งนี้เตรียมเพิ่มการป้องกันเหตุไม่คาดคิดเอาไว้

จากนั้นเย่อี้ก็ติดต่อลูกน้องคนสนิทของฉู่จื่อซานเพื่อถามสถานการณ์ แต่ใครจะคิดว่าติดต่อไม่ได้แล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะตายไปแล้ว แบบนี้จะทำให้ตนสงบใจได้อย่างไร จึงรีบออกคำสั่งปิดประตูเมืองทั้งสี่ของตลาดสวรรค์ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด!

…………………………

พอออกคำสั่งนี้ กำลังพลหนึ่งหมื่นบนฟ้าก็ตกใจจนหน้าถอดสี เรียกได้ว่าขวัญเสียแล้ว อาวุธของกำลังพลท้องถิ่นเทียบไม่ติดกับอาวุธของกองทัพองครักษ์ราชันสวรรค์เลย ด้านจำนวนคนก็ได้เปรียบอย่างสมบูรณ์ เบียดบังฝั่งอำนาจท้องถิ่น ศึกนี้ไม่มีทางต่อสู้ได้เลย

ในบรรดาหนึ่งหมื่นคนนี้ ถึงแม้จะมีกำลังลพลส่วนหนึ่งถูกย้ายมาจากกองทัพองครักษ์ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นส่วนน้อย เมื่อเผชิญกับการล้อมโจมตีอันแข็งกร้าวของกองทัพองครักษ์ พวกเขาก็หมดหนทางเช่นกัน พวกเขารู้ดีถึงอานุภาพยามธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายหมื่นโจมตีร่วมกัน อาศัยแค่การโต้กลับจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไม่กี่ร้อยในมือพวกเขาก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ยิ่งจำนวนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์รวมกลุ่มกันเยอะ อานุภาพที่แสดงออกมาก็ยิ่งเยอะ

“ตั้งรับฝ่าวงล้อม!” ฉู่จื่อซานตะโกนอย่างตระหนก ขณะเดียวกันก็ถอยไปอยู่ในกำลังพลด้านหลัง

คนหนึ่งหมื่นรีบชูโล่กำบังขึ้นมาแล้วหดรวมกลุ่มกัน โล่กำบังที่สร้างจากผลึกทองที่มีความบริสุทธิ์สูง โล่กำบังที่สร้างจากผลึกม่วง ข้างในถึงจะมีโล่กำบังกลุ่มหนึ่งที่สร้างจากผลึกแดง คอยคุ้มกันฉู่จื่อซานและพวกแม่ทัพเอาไว้ ก็ช่วยไม่ได้ เป็นอย่างที่บอก อาวุธของอำนาจท้องถิ่นเทียบกับอาวุธของกองทัพองครักษ์ไม่ติด ไม่เหมือนกองทัพองครักษ์ที่ในมือทุกล้วนมีโล่กำบังผลึกแดง

ขณะที่คนนับหมื่นรวมตัวกันกลายเป็นลูกกลมโล่กำบังขนาดใหญ่เพื่อป้องกันตัวเองอย่างรวดเร็ว ก็รีบฝ่าวงล้อมไปยังทางเก่าเช่นกัน ฉู่จื่อซานสมกับเป็นคนของกองทัพองครักษ์ที่ผ่านสนามรบมาอย่างยาวนาน รู้ว่าตอนนี้ถ้าป้องกันอย่างเดียวก็มีแต่ทางตาย จะต้องสังหารฝ่าวงล้อมจนเกิดทางเลือด ถึงจะมีโอกาสรอดชีวิต

เฟี้ยวๆๆ…

ปมเงื่อนซับซ้อนราวกับเส้นพันกัน มีลำแสงนับไม่ถ้วนถูกยิงออกไปอย่างฉับพลัน ถล่มสังหารกระบวนทัพโล่กำบัง เสียงระเบิดพังดังไม่หยุด

โล่กำบังสีทองถูกลำแสงนับไม่ถ้วนทะลุผ่าน คนอยู่ข้างหลังโล่กำบังท่ามกลางการโจมตีที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพัก บนฟ้ามีเสียงกรีดร้องดังระงม คนทยอยกันตกลงมากระจัดกระจาย ราวกับปอกเปลือกหนาหลายชั้นของลูกกลมขนาดนั้น

แค่โจมตีระลอกเดียวก็แทบจะทำให้กำลังพลเกือบหมื่นนี้เสียหายไปหนึ่งส่วนสามแล้ว

ฝั่งกองมังกรดำของเหมียวอี้ก็ไม่ใช่เล่นๆ เช่นกัน เชี่ยวชาญการรบหมู่ ลูกกลมที่เกิดจากโล่กำบังนั่นอยากจะหนี ทหารฝั่งนี้อยู่ภายใต้การบัญชาการร่วมโดยสัญญาณลับ พวกเขาไม่ได้บุกประจัญบานข้างหน้า แต่ใช้วิธีการล้อมรักษาระยะห่างเหาะตามไป พอกระบวนทัพรูปทรงกลมเร่งความเร็วหนี พวกเขาก็เร่งความเร็วเข้าไปใกล้ พอรูปทรงลกมนั่นผ่อนความเร็ว พวกเขาก็เหาะช้าลงเช่นกัน รักษาความเร็วเฉลี่ยในการรุกเป้าหมายที่ล้อมไว้

ภายใต้ศักยภาพที่มั่นใจในชัยชนะ พวกเขาไม่จำเป็นต้องสร้างการบาดเจ็บล้มตายให้ฝั่งตัวเอง แค่ล้อมไว้ตลอดทางพร้อมยิงโจมตีก็พอแล้ว

ทางฝั่งกองมังกรดำเก็บกลั้นไฟโกรธนี้เอาไว้เช่นกัน ขนาดอยู่ดีๆ ไม่ได้ไปหาเรื่องใคร จู่ๆ ก็มีคนกลุ่มนี้โผล่มาทำโจมตีให้พวกเขาต้องปีนออกจากหลุมอย่างหน้าตามอมแมม ทั้งยังสังหารพี่น้องฝั่งนี้ด้วย แม้แต่ท่านแม่ทัพภาคก็ยังเดือดดาลจนสั่งให้สังหารไม่ละเว้น แบบนี้ถ้าพวกเขาไม่ลงมือให้ถึงอกถึงใจก็แปลกแล้ว อย่างไรเสียก็มีเบื้องบนคอยรับผิดชอบให้หากเกิดเรื่อง ความรับผิดชอบไม่ตกมาถึงพวกเขาหรอก

“ต้านไว้! คนที่ติดตามข้าฝ่าวงล้อมได้ ข้าจะตบรางวัลอย่างงาม! ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ยิง!”

ขณะที่ฉู่จื่อซานที่อยู่ท่ามกลางการคุ้มกันจากกลุ่มทหารรีบรวบรวมลูกน้องให้เร่งมาสนับสนุน ก็ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดไม่หยุด ฉวยโอกาสหาช่องว่างของการโจมตีจากฝนธนู ท่ามกลางกระบวนทัพที่เป็นโล่กำบังรูปทรงกลมมีลำแสงหลายร้อยสายยิงไปทั่วสารทิศ หมายจะโจมตีทำลายจังหวะการรุกของกระบวนทัพที่ล้อมตัวเองอยู่ให้วุ่นวาย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางหนีได้เลย เขาฉู่จื่อซานมีศักยภาพสูง เวลาเหาะคนเดียวก็เร็วเหมือนกัน แต่เขาไม่กล้าหลุดออกจากการคุ้มกันของทัพใหญ่ ถ้าหลุดจากการคุ้มกันไปคนเดียว ก็เป็นการเอาชีวิตไปทิ้งแท้ๆ เลย!

แต่ละจุดของทัพใหญ่ที่ล้อมไว้มีคนกลุ่มละสิบคนตั้งกระบวนทัพโล่กำบังทันที แล้วพุ่งไปข้างหน้าเพื่อร่วมแรงกันต้านทานลูกธนูดาวตกที่ยิงเข้ามา

ท่ามกลางเสียงดังถล่ม กระบวนทัพใหญ่ที่ล้อมไว้ไม่ได้วุ่นวายเลยสักนิด เป็นเพราะอานุภาพของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่ยิงกระจายไม่ได้เยอะมากเมื่อเทียบกับทัพใหญ่ ไม่สามารถสร้างอานุภาพการโจมตีหมู่ได้ พวกเขากลุ่มเล็กๆ ป้องกันร่วมกันจึงไม่มีทางต้านทานไหวเลย

กระบวนทัพใหญ่ที่ล้อมโจมตีพลันเปลี่ยนไป แบ่งผลัดกันยิงโจมตีสามระลอก ควบคุมจนอีกฝ่ายไม่มีทางเหลือให้โต้ตอบ หลังจากตัดกำลังของฝ่ายตรงข้ามได้ประมาณหนึ่งส่วนแล้ว การหลับหูหลับตาใช้ลูกธนูดาวตกยิงโจมตีก็จะสิ้นเปลืองไปหน่อย คนเดียวโดนยิงหลายดอกก็ไม่คุ้ม อย่างไรเสียการยิงธนูแต่ละดอกก็ต้องสิ้นเปลืองพลังงาน

ถ้าคนเดียวใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็ไม่ถือว่าสิ้นเปลืองเท่าไร แต่คนหลายหมื่นยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์พร้อมกัน ทรัพยากรที่เสียไปก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ดังนั้นถ้าอยากจะเลี้ยงทัพใหญ่แบบนี้ ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเลี้ยงไหว

ตรงจุดไกลๆ มีกำลังพลจำนวนหลายร้อยคนกลุ่มหนึ่งหยุดอยู่ในดาราจักรและไม่กล้าเข้ามาที่นี่ แต่ละคนมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าหวาดกลัว

พวกเขาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นทหารยามที่เฝ้าตัวประกันในหออวิ๋นฮว๋าก่อนหน้านี้ หลังจากได้รับคำสั่งก็รีบตามมาสนับสนุน ใครจะคิดว่าจะมาสนับสนุนไม่ทัน เห็นหัวหน้าภาคโดนล้อมโจมตีอย่างยับเยินขนาดนี้ และผู้ที่ลงมือก็คือกำลังพลตำหนักสวรรค์ ไม่เข้าใจสถานการณ์เลย!

“นายท่าน พวกเราต้องเข้าไปมั้ย?” ทหารคนหนึ่งมองแม่ทัพพร้อมถามเสียงสั่น

แม่ทัพพลันหันกลับมา มองเขาด้วยแววตาที่เหมือนมองคนปัญญาอ่อน

คนที่เหลือก็ใช้สายตาแบบนี้เช่นกัน ราวกับกำลังพูดว่า ยังจะช่วยไหวอีกเหรอ! ทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์หลายหมื่นล้อมโจมตี แต่ละคนล้วนมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ชัดเจนว่าตกอยู่ในมือกองทัพองครักษ์แล้ว พวกเราเข้าไปรวมด้วยก็ยังไม่พอยัดซอกฟันอีกฝ่ายเลย

แต่ในฐานะที่เป็นแม่ทัพ จะบอกว่าไม่ช่วยก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะพ้นข้อหาความผิดได้ยาก แต่เขาก็มีข้ออ้างของตัวเอง กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “กองทัพองครักษ์เป็นทัพของฝ่ายาท ที่เกิดเหตุการณ์ล้อมโจมตีหัวหน้าภาค บางทีอาจจะเป็นเพราะหัวหน้าภาคทำอะไรผิดแล้วพวกเราไม่รู้ก็ได้ พวกเราควรจะรายงานขึ้นไปถามเบื้องบน ถามสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ!”

ทุกคนพึมพำในใจว่า ถ้ารอถามสถานการณ์ให้ชัดเจน เกรงว่าหัวหน้าภาคคงจะตายไปหลายรอบแล้ว

แต่ตอนนี้ไม่มีมีใครคัดค้าน นอกเสียจากจะอยากตายเท่านั้นแหละ พวกเขาเอ่ยรับพร้อมกัน “รับทราบ!”

“ถอนทัพ!” พอแม่ทัพโบกมือ ก็รีบนำคนหนีไปทันที กลัวว่าถ้าชักช้าแล้วจะหนีไม่ทัน

มีนักพรตบางคนผ่านมาบริเวณนี้เช่นกัน ถูกเสียงการต่อสู้ที่สะเทือนฟ้าสะท้านดินทำให้ตกใจจนต้องมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากเห็นสถานการณ์ชัดเจนแล้วก็ตกใจมาก นี่มันเรื่องอะไรกัน? กำลังพลตำหนักสวรรค์กำลังสู้กันเองงั้นเหรอ? คนที่เห็นรีบหนีทันที จะได้ไม่ต้องหาเรื่องใส่ตัว

ในเวลานี้กระบวนทัพโล่กำบังใหญ่ที่ถูกล้อมไว้กลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนเล็กๆ มีเพียงโล่กำบังผลึกแดงล้อมไว้เพียงไม่กี่ร้อยเท่านั้น หนีไม่พ้นแล้วเช่นกัน เมื่อรู้ตัวว่าหนีไม่พ้น ฉู่จื่อซานก็แหกปากตะโกนเสียงดังว่า “ข้าเป็นขุนนางตำหนักสวรรค์ ได้รับคำสั่งให้มาคุมน่านฟ้าระกาติง ถ้าจะลงโทษก็ไม่ถึงคราวที่พวกเจ้าจะลงมือหรอก รู้ถึงผลที่ตามมาหลังจากสังหารข้ารึเปล่า!”

คำพูดนี้ได้ผลจริงๆ การสังหารหัวหน้าภาคที่เฝ้าอาณาเขตไม่ใช่เรื่องเล็ก นี่เป็นเจ้าอาณาเขตที่ปกครองหนึ่งน่านฟ้าแล้ว การโจมตีหยุดชั่วคราว แม่ทัพแต่ละหน่วยมองไปทางเหมียวอี้กับมู่อวี่เหลียนที่ยืนอยู่บนพื้นที่ถล่มไกลๆ

มู่อวี่เหลียนก็มองไปที่เหมียวอี้เช่นกัน

เหมียวอี้หันตัวมา เดินไปอยู่ท่ามกลางทหารหลายสิบคนที่โดนยิงตาย คุกเข่าข้างกายพี่น้องกองมังกรดำที่รบตายไป ใบหน้าที่เรียบเฉยๆ ค่อยฉายแววดุร้าย แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ตอนนี้รู้จักใช้เหตุผลแล้วเหรอ ตอนที่ฆ่าคนของข้าทำไมไม่ฟังเหตุผลบ้างล่ะ! จับเป็น พาไปคุกกเข่าให้พี่น้องกองมังกรดำที่รบตายไป!”

เสียงดังก้องทั้งดาราจักร

มู่อวี่เหลียนหันตัวมา แล้วโบกมือออกคำสั่ง!

เสียงระเบิดตูมตามดังขึ้นอีกครั้ง

ลำแสงนับหมื่นพลันยิงออกมา โล่กำบังผลึกแดงหลายร้อยที่รวมกันป้องกันครั้งสุดท้ายพลังทลายหมดแล้ว

ฉู่จื่อซานที่ไร้โล่ป้องกันและลูกน้องที่สวมเกราะรบผลึกแดงสิบกว่าคนราวกับเป็นบ้าไปแล้ว “อา!” ตะโกนอย่างบ้าคลั่งพร้อมบุกสังหารไปยังทิศทางหนึ่ง

ลูกธนูดาวตกนับร้อยตั้งอยู่บนสายธนูอีกครั้ง มีลำแสงไหลเวียน เล็งไปยังคนสิบกว่าคนที่พุ่งเข้ามา จากนั้นก็มีเสียงปั้งๆๆ ลำแสงนับร้อยถูกยิงออกไป

บนตัวถูกลูกธนูยิงใส่อย่างหนาแน่น ถึงแม้ลูกธนูดาวตกจะไม่เจาะทะลุเกราะรบผลึกแดง แต่กลับทำให้สะเทือนจนกระอักเลือดออกมา แต่ละคนโดนยิงคว่ำอยู่ในดาราจักร

คนกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าไปและโยนเชือกมัดเวียน ใช้อาบและทวนจับตัวคนพวกนี้ไว้ แล้วหิ้วไปโยนไว้ข้างกายเหมียวอี้โดยตรง

ขณะที่มองดูคนหลายสิบคนโดนจับไป ที่มุมปากแต่ละคนยังคงมีเลือดไหล เหมียวอี้จ้องฉู่จื่อซานพร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “คุกเข่า!”

กลุ่มคนที่คุมตัวมาใช้อาวุธทุบหลังขาคนพวกนี้ทันที แต่ละคนถูกกดให้คุกเข่าต่อหน้าเหมียวอี้

ฉู่จื่อซานส่ายหน้าดิ้นรน แต่กลับหนีไม่พ้น ใบหน้าที่มุมปากมีเลือดไหลจ้องเหมียวอี้พร้อมตะคอกอย่างโมโห “เจ้าเป็นใคร? กล้าดูหมิ่นเหยียดหยามข้าถึงขนาดนี้!”

ชวิ้ง! เหมียวอี้ชักกระบี่ตรงเอวออกมา แกร๊งๆๆ แล้วเคาะเกราะหัวที่เอียงอยู่บนศีรษะของเขา “เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดชาติสุนัขเหมือนกันหมด ลากคนที่เหลือไปตรงหน้าพี่น้องที่ตายไป ประหารซะ!”

“หา!” คนสิบกว่าคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาของฉู่จื่อซานดิ้นรนตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่งทันที ไม่ยอม!

แต่ก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขาถูกลากไปตรงจุดที่ไม่ไกล แต่ละคนโดนกดให้นั่งคุกเข่า เพชฌฆาตยกดาบขึ้นลงหลายครั้ง น้ำเลือดสิบกว่าสายสาดพุ่ง หัวคนสิบกว่าคนกระเด็นออกไป ศพเอนล้มชักกระตุกอยู่บนพื้น

ฉู่จื่อซานที่หันไปมองทำสีหน้าหวาดกลัวอย่างปิดบังไม่อยู่ทันที ตอนที่มองไปที่เหมียวอี้อีกครั้ง เขายังจะกล้าพูด ‘เจ้ากล้าดูหมิ่นข้า’ อีกได้อย่างไร อีกฝ่ายบทจะฆ่าก็ฆ่า ยังจะกลัวเรื่องดูหมื่นเขาอีกเหรอ? เขาจึงกัดฟันถามว่า “เจ้าคือหน่วยไหนของกองทัพองครักษ์กันแน่?” เขาคิดไม่ตกว่าทำไมกองทัพองครักษ์ถึงมีคนบ้าแบบนี้โผล่มาได้

ซาๆๆ คมกระบี่ในมือเหมียวอี้กรีดไปกรีดมาอยู่บนเกราะหัวของเขา พูดไปถูมา เหมือนกำลังครุ่นคิดว่าจะลงมือตรงไหนดี แต่สุดท้ายก็ยังให้คำตอบอีกฝ่าย “หน่วยองครักษ์ซ้ายเจิ้นอี่ ทัพเป่ยโต้ว กองมังกรดำแม่ทัพภาค…หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่แล้ว!” เสียงพูดเนิบนาบ น้ำเสียงเรียบนิ่ง แววตาสื่อความหมายล้ำลึก มองเหยียดลงมาสู่ที่ต่ำ

“หนิวโหย่วเต๋อ…” ฉู่จื่อซานอึ้งทันที รูม่านตาพลันหดลงในขณะที่เงยหน้ามองเหมียวอี้ ในหัวเกิดภาพมากมายปรากฏขึ้น เป็นภาพที่คนมากมายเคยเตือนเรื่องเรื่องหนึ่งกับเขา เนื้อที่เตือนก็มีความต่างในความเหมือน ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเดียวกัน : ผู้หญิงคนนั้นเกรงว่าจะแตะต้องลำบากแล้ว ได้ยินว่าได้กับหนิวโหย่วเต๋อแล้วนี่ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อยังไม่ตาย คนที่ตลาดสวรรค์ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องผู้หญิงคนนั้นหรอก เจ้าบ้านั่นทำได้ทุกอย่างนั้นแหละ ในใต้หล้ามีผู้หญิงตั้งมากมาย ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัวเพราะผู้หญิงคนเดียว…

ก่อนหน้านี้แค่มีคนเอ่ยถึงหนิวโหย่วเต๋อให้เขาฟัง ต่อให้นอนฝันเขาก็นึกไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ หนิวโหย่วเต๋อจะมาโผล่อยู่ที่นี่

เขาได้ยินชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต๋อมานานแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอหน้ากันด้วยวิธีการนี้

สุดท้ายการพบกันครั้งนี้ก็ทำให้เขารู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนบ้าจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าสังหารทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์นับหมื่นของเขาจนหมดเกลี้ยง!

ชั่วพริบตานี้ ฉู่จื่อซานยิ่งเบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตัวเองถึงประสบกับเคราะห์ร้ายเหนือความคาดหมายแบบนี้!

“เป็นเจ้าเหรอ…” ฉู่จื่อซานคำรามอย่างบ้าคลั่ง พยายามดิ้นรนลุกขึ้นยืนอย่างสุดชีวิต

เพี้ยะ! เหมียวอี้ใช้กระบี่ตบจนเขาล้มลงบนพื้น แล้วใช้เท้าเหยียบใบหน้าเขา เหยียบศีรษะเขาจนแทบจะจมลงดิน

“ชาติหมา แม้แต่คนของข้าก็กล้าแตะต้อง!” เหมียวอี้ที่มีสีหน้าท่าทางดุร้ายซ่อนความหมายอีกอย่างเอาไว้ในคำพูด ไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบายความจริง แทงกระบี่ทะลุลงแก้มเขา แล้วตีกวนให้ลิ้นเละเทะ แล้วก็เตะไปไว้ด้านข้างอีก ก่อนจะตะโกนว่า “ลากไปไว้ตรงหน้าพี่น้องที่ตายไป สับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น…แล่เนื้อประหาร!”

…………………………

และในขณะนี้เอง ที่ดาราจักรด้านหลังก็มีคนกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาอีก เร่งความเร็วยิ่งกว่าเดิม ทั้งหมดสวมเครื่องแบบแม่ทัพเกราะม่วง ชั่วพริบตาเดียวก็ตามทัพกำลังพลที่อยู่ข้างหน้าแล้ว เป็นฉู่จื่อซานที่นำคนตามมาทัน ฉู่จื่อซานเองก็เห็นกำลังพลนับพันที่แต่งตัวหลายแบบข้างหน้าเช่นกัน กำลังพลที่ทหารแซ่คังนำมาแบ่งไปอยู่ทางซ้ายและขวา ให้เขาก้าวไปข้างหน้า

ฉู่จื่อซานที่ตามขึ้นมาอยู่ข้างกายคังถามแสกหน้าทันทีว่า “นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? กำลังพลมาจากไหน?”

“ไม่ทราบขอรับ!” นายทหารคังรีบเล่าสถานการณ์เมื่อครู่ให้ฟังคร่าวๆ

“ล้อมเอาไว้!” ฉู่จื่อซานหันซ้ายหันขวาออกคำสั่งทันที กำลังพลกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าโผล่ออกมากลางอากาศ ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นทัพใหญ่หนึ่งหมื่น จากนั้นแบ่งกำลังพลออกเป็นหลายสาย เข้าไปล้อมไว้อย่างรวดเร็ว

“นายท่าน พวกเขามีกำลังหนุนมาด้วย!” มู่อวี่เหลียนที่เหาะตามมาด้วยหันกลับไปมองกำลังพลข้างหลังที่เพิ่มขึ้นหลายเท่า นางถามเหมียวอี้แล้ว กำลังสื่อว่าจะทำอย่างไรต่อไป

เหมียวอี้ก็หันกลับไปมองเช่นกัน ในใจแสยะยิ้ม นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายของเขาอยู่แล้ว คนชุดดำที่จี้ตัว ‘อวิ๋นจือชิว’ ก่อนหน้านี้นำทหารที่ไล่ตามวนอ้อมท้องฟ้าตลอดทาง รอให้ฉู่จื่อซานมาก่อนแล้วถึงค่อยมาทางนี้

“มีกำลังหนุนแล้วยังไงล่ะ จะให้ข้านำผลงานที่ข้าคว้ามาได้แล้วส่งให้พวกเขาเหรอ?” เหมียวอี้แสยะยิ้ม แต่จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นบอกว่า “ถึงแม้จะไม่ได้อยู่สายเดียวกัน แต่ถึงยังไงทุกคนก็เป็นคนของตำหนักสวรรค์เหมือนกัน ข้าเองก็ไม่อยากก่อเรื่อง แจ้งพวกพี่น้องว่าให้รั้งทัพรอก่อน ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามใครทำอะไรโดยพลการ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะรับผิดชอบไม่ไหวที่เป็นฝ่ายหาเรื่อง ใครขัดคำสั่ง ประหาร!”

“รับทราบ!” มู่อวี่เหลียนรีบหยิบระฆังดาราขึ้นมาถ่ายทอดคำสั่งให้ผู้บัญชาการแต่ละกอง

ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็นำคนกลับไปบนยอดเขาที่ดวงดาวรกร้างแล้ว

บนท้องฟ้าเหนือแนวภูเขาที่ทอดยาวเหยียดสูงต่ำสลับกัน ทหารสวรรค์ประชิดเข้ามาใกล้ ถืออาวุธเรียงรายอยู่ข้างบน ทัพใหญ่หนึ่งหมื่นหยุดนิ่งอยู่กับที่แล้วมองลงมา จ้องมองด้านล่างอย่างดุร้ายราวกับเสือ

“ใครกันบังอาจมากำเริบเสิบสานที่นี่!” ฉู่จื่อซานที่มองลงมาตะโกนถามเสียงดังเกรี้ยวกราดราวกับอัสานีบาตฟาดเปรี้ยง

เหมียวอี้ที่ยืนอยู่หน้าถ้ำชำเลืองมองบนท้องฟ้าแวบหนึ่ง เขามองหัวหน้าภาคที่อยากได้ผู้หญิงของตัวเองให้แจ่มแจ้งชัดเจน สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ขี้คร้านจะสนใจ ข้างกายเขาก็มีกำลังพลนับพันคุ้มครองอยู่เช่นกัน

และกำลังพลนับพันทางซ้ายและขวาก็สงบนิ่งเยือกเย็นมาก ไม่มีอะไรให้กลัว แถวนี้ซ่อนทัพใหญ่ห้าหมื่นของกองมังกรดำเอาไว้ กำลังพลแค่หนึ่งหมื่นของอำนาจท้องถิ่นไม่อยู่ในสายตาอยู่แล้ว

เหมียวอี้โบกกระจกทองแดงแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์สะบัด คนชุดดำกับ ‘อวิ๋นจือชิว’ โซเซออกมา ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนอยู่ในกระจกโดนอะไรมาบ้าง เอาเป็นว่าเหมียวอี้ลงมือเร็วมาก ควบคุมทั้งสองไว้ได้อย่างสบายมาก

ยังไม่ต้องสนใจคนชุดดำ เหมียวอี้ยกมือเปิดหมวกมุ้งบนศีรษะ ‘อวิ๋นจือชิว’ พอโยนหมวกทิ้งและเห็นหน้าตาของ ‘อวิ๋นจือชิว’ ชัดเจน ก็เห็นได้ชัดว่าอึ้งไปเลย ถามว่า “เป็นเจ้าเหรอ?”

แต่ใครจะคิดว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ กลับก้มหน้าอย่างลนลาน

“นายท่าน ท่านรู้จักนางเหรอคะ?” มู่อวี่เหลียนสงสัย

เหมียวอี้บอกว่า “ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน เถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นจือชิว ร้านโฉมเมฆา ข้าจะไม่รู้จักได้ยังไง คนคุ้นเคยกัน!”

“เอ่อ…” มู่อวี่เหลียนชะงักทันที ถ้าจำไม่ผิด นี่คงจะเป็นท่านนั้นที่เคยมีข่าวลือชู้สาวกับท่านแม่ทัพภาคสินะ?

กำลังพลที่อยู่ทางซ้ายและขวาได้ยินแล้วมองมา เห็นได้ชัดว่าเคยได้ยินเรื่องของท่านแม่ทัพภาคมาก่อน

ฉู่จื่อซานที่อยู่บนฟ้าใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองแวบหนึ่ง พอเห็นว่าผู้หญิงที่อยู่ในถ้ำเป็น ‘อวิ๋นจือชิว’จริงๆ เขาก็ทั้งตกใจทั้งดีใจ ดีใจที่เห็นว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ ยังไม่เป็ฯอะไร แต่ตกใจที่ ‘อวิ๋นจือชิว’ และเจียงอีอีล้วนตกอยู่ในมือของบุคคลนิรนาม ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยังปกป้อง ‘อวิ๋นจือชิว’ ไว้ได้หรือเปล่า จึงตะโกนอย่างโมโหทันที “ปล่อยสองคนนั้นมาเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไร้ความเมตตา!”

เหมียวอี้ไม่สนใจเขาเลย แต่กลับจ้องใบหน้าอวิ๋นจือชิวพลางอุทาน “เอ๋” แล้วถกล่าวอย่างแปลกใจ “ไม่ถูกสิ!”

มู่อวี่เหลียนมองท้องฟ้า แล้วก็มองไปที่เหมียวอี้อีก “นายท่าน อะไรไม่ถูกคะ?”

เหมียวอี้ไม่ตอบนาง แต่ยื่นมือไปบีบใบหน้าข้างซ้ายและขวาของ ‘อวิ๋นจือชิว’ ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ยื่นมือไปบีบหน้าอกของ ‘อวิ๋นจือชิว’ ด้วย จากนั้นก็อ้อมไปข้างหลัง ‘อวิ๋นจือชิว’ แล้วบีบก้นของ ‘อวิ๋นจือชิว’ สรุปก็คือลูบคลำไปทั่วร่างกาย ‘อวิ๋นจือชิว’ ท่ามกลางสายตาฝูงชน

พวกลูกน้องที่อยู่ทางซ้ายและขวาทำสีหน้าแปลกๆ มู่อวี่เหลียนที่ตกตะลึงอ้าปากค้างก็เมาแล้ว…นี่นายท่านไม่สนใจผลกระทบเกินไปรึเปล่า มีคนดูอยู่ตั้งเยอะนะ!

“อือ…อือ…” ส่วน ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็ทำสีหน้าเศร้าโศก บิดตัวไปมาอยู่ภายใต้เงื้อมมือมารของเหมียวอี้ แต่ช่วยไม่ได้ที่เมื่อครู่นี้โดนเหมียวอี้ควบคุมไว้ มีหรือที่จะดิ้นรนพ้น พูดก็พูดไม่ได้ ได้แต่ทำเสียงอู้อี้อยู่อย่างนั้น

ที่จริงแผนเดิมไม่มีการทำแบบนี้ จะไม่ให้นางเศร้าโศกได้ยังไงล่ะ!

สุดท้ายเหมียวอี้ก็บีบคางนาง แล้วพลันหรี่ตาถาม “ตัวปลอม! เจ้าไม่ใช่อวิ๋นจือชิวเลย บอกมา เจ้าเป็นใคร?”

“ตัวปลอม…” มู่อวี่เหลียนงุนงง คนที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็งงเหมือนนาง อ๋อเข้าใจแล้ว สงสัยนายท่านจะไม่ได้ล่วงเกิน แต่กำลังตรวจสอบความจริงต่างหากล่ะ แต่ที่แปลกก็คือ ทำไมพอนายท่าน ‘ล่วงเกิน’ บนร่างกายผู้หญิงคนนี้นิดเดียวก็ตัดสินได้แล้วล่ะ อย่าบอกนะว่าข่าวลือเป็นเรื่องจริง นายท่านกับอวิ๋นจือชิวได้กันแล้วเหรอ?

แล้ว ‘อวิ๋นจือชิว’ จะพูดได้อย่างไรล่ะ ในดวงตาสองข้างเหมือนมีไฟลุก ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งอยากพุ่งเข้าไปเอาชีวิตเหมียวอี้

กำลังพลนับหมื่นที่แน่นขนัดอยู่บนฟ้าเงียบงัน มีคนไม่น้อยแอบส่งสายตาให้กัน นี่คือผู้หญิงที่ท่านหัวหน้าภาคกำลังจะแต่งงานด้วยนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนแบบนี้ต่อหน้าฝูงชน…

ฉู่จื่อซานที่ลอยอยู่บนฟ้าหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง สีหน้าเศร้าโศกคับแค้นเปลี่ยนเป็นดุร้ายแล้ว เห็นฉากนี้กับตาจนตาแทบจะถลนออกมา

ผู้หญิงที่เขากำลังจะรับกลับไปแต่งงานด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกล่วงเกินท่ามกลางลูกน้องมากมายขนาดนี้ ความอัปยศอดสูนี้ทำให้เขาโมโหจนแทบจะกระอักเลือดออกมาอยู่แล้ว ทั้งชีวิตนี้ยังไม่เคยได้รับความอัปยศมากมายขนาดนี้มาก่อน อัปยศอดสู! เป็นความอัปยศอันใหญ่หลวง!

หลังจากวันนี้เป็นต้นไป เขาฉู่จื่อซานก็จะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะแล้ว!

พรึ่บ! ฉู่จื่อซานโบกมือคว้าทวนยาวด้ามหนึ่งออกมา แล้วตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!”

วูบ! กำลังพลหลายร้อยในทัพใหญ่หนึ่งหมื่นหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาตั้งไว้ แล้วเล็งไปด้านล่าง!

ทุกคนข้างล่างเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจ เหมียวอี้มองขึ้นไปอย่างเย็นเยียบ พบว่าคนข้างบนที่ในมือถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มีไม่น้อยเลยจริงๆ สงสัยกำลังพลที่กองทัพองครักษ์ย้ายไปสนับสนุนกำลังพลท้องถิ่นจะมีไม่น้อย เขาจึงเอียงหน้ามาขานรับมู่อวี่เหลียน “อืม” ทันที

มู่อวี่เหลียนรีบตะโกนว่า “ป้องกัน!”

ตรงนี้เพิ่งจะเอ่ยคำสั่ง ฉู่จื่อซานกฌโบกทวนชี้ไปทางเหมียวอี้อย่างเกรี้ยวกราดแล้ว “ตาย!”

จะใช่ ‘อวิ๋นจือชิว’ หรือไม่ใช่ ‘อวิ๋นจือชิว’ จะใช่เจียงอีอีหรือไม่ใช่เจียงอีอี ถ้าฆ่าเจียงอีอีแล้วก็เป็นผลงานของเขา เมื่อเกิดสถานการณ์แบบนี้กับ ‘อวิ๋นจือชิว’ แล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรับกลับไปแต่งงานด้วยอีก และไม่มีทางเก็บความอับอายอย่าง ‘อวิ๋นจือชิว’ เอาไว้ด้วย เรียกได้ว่าออกคำสั่งทันที เตรียมจะกำจัดพร้อมกันทีเดียว!

เฟี้ยวๆๆๆ…

ชั่วพริบตาเดียว ลำแสงหลายร้อยสายก็ถล่มยิ่งเข้ามาราวกับห่าฝน แล้วบิดสั่นกระเพื่อมราวกับภาพมายา

แทบจะเป็นชั่วพริบตาเดียวกับตอนที่ลูกธนูยิงออกมา ฉู่จื่อซานที่กำลังจ้องด้านล่างพลันเบิกตากว้าง เพราะเขาพบว่าจู่ๆ กำลังพลด้านล่างก็เผยโล่กำบังออกมาหมด ไม่ใช่โล่กำบังธรรมดา แต่เป็นโล่กำบังแบบของตำหนักสวรรค์

“คุ้มกันนายท่าน!” มู่อวี่เหลียนตะโกนสั่งอย่างร้อนใจ แน่นอนว่าทำไปเพื่อปกป้องตัวเองด้วย

กำลังพลนับพันรีบยกโล่ขึ้นมากำบังซ้อนกันหลายชั้น คุ้มครองเหมียวอี้ที่อยู่ตรงกลางเอาไว้หลายชั้น ปกป้องอย่างแน่นหนาจนลมพัดผ่านไม่ได้

เหมียวอี้ที่อยู่ตรงกลางรีบลงมือเก็บคนชุดดำกับ ‘อวิ๋นจือชิว’ เอาไว้

บึ้มๆๆ…

เสียงระเบิดที่เนืองแน่นดังเขย่าดาราจักร ภายใต้การโจมตีรวมของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่ง โล่กำบังถูกทำให้ระเบิดชั้นแล้วชั้นเล่า ภูเขาลูกใหญ่ข้างล่างเอนล้มพังทลาย แนวภูเขาโดยรอบก็ถล่มลงเพราะถูกอานุภาพที่หลงเหลือจากการโจมตีเช่นกัน ฉากนั้นราวกับฟ้าถล่มดินทลาย

โลกำบังถูกทำลายต่อเนื่องสามชั้น คนมากมายสิ้นชีพอยู่ภายใต้ลูกธนูดาวตก มีคนไม่น้อยได้รับบาดเจ็บ เหมียวอี้กัลมู่อวี่เหลียนที่ถูกกำบังไว้หลายชั้นไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่ทั้งสองหน้าดำคร่ำเครียด โดยเฉพาะมู่อวี่เหลียน เมื่อเห็นกำลังพลธงพยัคฆ์น้ำเงินของตัวเองโดนกำลังพลของตำหนักสวรรค์สังหาร ยังไม่ทันอธิบายอะไรให้ชัดเจนก็ลงมือกับพวกเขาแล้ว ทำให้นางเดือดดาลจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ขณะเดียวกันก็รีบสวมเกราะรบ

ทัพใหญ่หลายหมื่นในแนวภูเขารอบด้านที่ได้รับคำสั่งให้อยู่เฉยๆ ตอนนี้ไม่มีทางใจเย็นต่อไปได้อีก ตอนนี้ฟ้าถล่มดินทลายแล้ว จะซ่อนตัวอย่างไรได้อีก ทยอยกันโผล่ออกมจากภูเขาหินที่พังถล่ม

กลุ่มคนที่อยู่บนฟ้าก็ตะลึงค้างเช่นกัน พอเห็นโล่ตำหนักสวรรค์ที่อยู่ด้านล่างก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล เมื่อดูอีกทีก็เห็นกระบวนทัพตั้งรับป้องกันตามวิธีการของกองทัพองครักษ์ คนไม่น้อยที่มีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์รู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งนี้มาก และกำลังพลหลายหมื่นที่โผล่มาจากรอบด้านอย่างแน่นขนัดก็ยิ่งทำให้พวกเขาอกสั่นขวัญแขวน พอจะรู้สึกได้ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!

สีหน้าอับอายโมโหของฉู่จื่อซานหายไปแล้วเช่นกัน เขาอ้าปากเล็กน้อย ใบหน้าราวกับโดนตะคริวกิน

หลังจากโดนโจมตีไประลอกหนึ่ง คนที่อยู่ข้างบนก็เก็บลูกธนูดาวตก ไม่รีบรุกโจมตีอีกแล้ว หันไปมองที่ฉู่จื่อซานพร้อมกัน กำลังรอคำสั่ง!

“หลีกไป!” เหมียวอี้ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด แยกคนที่ถือโล่ปกป้องเขาอยู่ออกไป เปิดเผยตัวตนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เห็นเพียงเขาหันซ้ายหันขวา มองดูลูกน้องที่โดนลากบ้างหรือบาดเจ็บล้มตายบ้าง จากนั้นเงยหน้ามองขึ้นฟ้าทันที แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังสะเทือนฟ้า “กองมังกรดำทุกคนฟังคำสั่ง มีศัตรูโจมตี เตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!”

ทำให้กำลังพลน่านฟ้าระกาติงที่รุกโจมตีกลายเป็นศัตรูที่โจมตีทันที!

ชั่วพริบตาเดียวก็มีเสียงดังเป็นแถบ ทัพใหญ่ที่หนาแน่นลอยขึ้นมาบนท้องฟ้ารอบด้าน ทั้งหมดสวมเกราะรบ ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นนักรบห้าหมื่นนายแล้ว พวกเขาลอยขึ้นบนฟ้าสูงอีกครั้ง จากนั้นจัดกระบวนทัพ ลูกธนูดาวตกหลายหมื่นตั้งอยู่บนสายแล้ว กำลังพลจากสี่ด้านแปดทิศเข้ามาล้อมไว้แล้ว

กระบวนทัพนี้ ทำให้พวกฉู่จื่อซานตระหนกจนใจสั่น ยังไม่ต้องพูดถึงความต่างด้านจำนวนคน ฝั่งนี้มีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เพียงไม่กี่ร้อยคัน แต่อีกฝ่ายกลับมีหลายหมื่นคันล้อมเอาไว้ ในฐานะที่มีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์ ย่อมรู้ถึงอานุภาพยามธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายหมื่นคันโจมตีร่วมกัน ต่อให้เป็นยอดฝีมือบงกชกลายทั่วไปก็ทนไม่ไหว!

พอได้ยินหัวหน้าของอีกฝ่ายตะโกนว่า ‘ทุกคนของกองมังกรดำ’  มีหรือที่จะไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว! คนที่สามารถใช้ป้ายกองมังกรดำได้ ถ้าไม่ใช่คนของหน่วยองครักษ์ซ้ายก็เป็นคนของหน่วยองครักษ์ขวา สรุปก็คือทุกคนเป็นคนของกองทัพองครักษ์ ในฐานะที่เป็นคนของอำนาจท้องถิ่น ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่แยกแยะขาวดำลงมือสังหารกำลังพลของกองทัพองครักษ์ข้างกายราชันสวรรค์เสียแล้ว ปัญหานี้ใหญ่โตแล้วจริงๆ!

ฉู่จื่อซานมึนตึ้บ ในเวลานี้การปกป้องชีวิตตัวเองคือเรื่องสำคัญ รีบตะโกนว่า “ผู้น้อยหัวหน้าภาคฉู่จื่อซานแห่งน่านฟ้าระกาติง เพิ่งย้ายออกมาจากหน่วยองครักษ์ขวาไม่นาน ไม่ทราบว่าท่านเป็นสหายกองไหนของกองทัพองครักษ์? วันนี้มีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย ได้โปรดฟังฉู่ค่อยๆ อธิบายเถอะ!”

“บรรพบุรุษเจ้าสิ!” เหมียวอี้ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด แกร๊ง! เขาโบกทวนเคาะโล่ในมือลูกน้องที่อยู่ข้างกาย “ข้าเผยฐานะของตำหนักสวรรค์แล้ว แต่เจ้ามันชาติหมากล้าปล่อยคำสั่งยิงธนู เป็นเพราะข้าไม่เผยกำลังพล เจ้าเลยคิดจะฆ่าปิดปากเหรอ?”

ฉู่จื่อซานรีบโบกมือ “เข้าใจผิด! สหายชื่อแซ่อะไร? นี่เป็นความเข้าใจผิดแน่นอน!”

“เข้าใจผิดบรรพบุรุษเจ้าสิ!” เหมียวอี้โบกทวนชี้ขึ้นฟ้า “กองมังกรดำทุกคนฟังคำสั่ง ฆ่าไม่ละเว้น! ยิงธนู!”

…………………………

ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก พอคิดว่าตกอยู่ในมือของเจียงอีอี เมื่อครู่นี้ทุกคนก็ตกใจแล้วจริงๆ เป็นเพราะชื่อเสียงในด้านนั้นของโจรราคะประหลาดจนน่าตกใจ

ช่างไม้อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เถ้าแก่เนี้ย ทหารยามที่เฝ้าอยู่ข้างนอกถอนกำลังออกไปหมดแล้ว ท่านไม่ฉวยโอกาสย้ายที่สักหน่อยล่ะ?”

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจยาว “ช่างมันเถอะ มีคนบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว ให้ข้าอยู่ที่นี่อย่างว่านอนสอนง่าย ไม่อย่างนั้นจะแตกคอกับข้า!”

ช่างไม้ ช่างหิน พ่อครัว บัณฑิตสบตากันแวบหนึ่ง ทุกคนพอจะเดาได้แล้วว่าเป็นใคร ในใจรู้สึกปลาบปลื้ม มิน่าล่ะ ที่แท้ก็เป็นเจ้าหมอนั่นที่ลงมือ ถ้ามีใครมาแตะต้องเมียของเขา เจ้าหมอนั่นก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนก้น ขนาดเรื่องบ้าบิ่นที่อุทยานหลวงเจ้าบ้านั่นยังทำได้เลย มีหรือที่จะเห็นหัวหน้าภาคคนเดียวอยู่ในสายตา ต่อไปหัวหน้าภาคฉู่นั่นได้เสียเปรียบแน่!

ในช่วงเวลานี้ โดนฉู่จื่อซานส่งคนล้อมไว้ คนกลุ่มหนึ่งอึดอัดแทบแย่ แต่ตอนนี้ดีแล้ว คนที่ระบายความโกรธให้มาแล้ว!

เฒ่าฟ่านกลับฟังไม่เข้าใจเงื่อนงำที่อยู่ในนั้น เพราะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของอวิ๋นจือชิวและเหมียวอี้ นึกเพียงว่าอวิ๋นจือชิวพูดถึงคนฝั่งลัทธิมาร จึงถามว่า “เถ้าแก่เนี้ย ไม่ทราบว่าตัวแสดงแทนคือใครกัน?” นี่ต่างหากคือสิ่งที่เขาสนใจ ไม่น่าเชื่อว่าตอนโผล่หน้ามาจะปิดบังได้แม้แต่เขา

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน พอแล้ว พวกเจ้าตามเชียนเอ๋อร์ออกไปเถอะ เชียนเอ๋อร์มีอะไรจะสั่งพวกเจ้า” อวิ๋นจือชิวเอ่ยเสียงเรียบ ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีกแล้ว นางหยิบม้วนหนังสือขึ้นมาอ่านต่อไป นางไม่จำเป็นต้องให้ลัทธิมารรู้เรื่องปีศาจจิ้งจอกพันหน้า

เฒ่าฟ่านยังอยากจะถามอะไรอีก แต่เชียนเอ๋อร์ยื่นมือเชิญแล้ว “ทุกคนตามข้ามา”

พวกช่างไม้ให้ความร่วมมือ หันตัวเดินตามไปแล้ว เฒ่าฟ่านที่อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างทำได้เพียงเดินออกไป พอมาถึงด้านนอก เชียนเอ๋อร์ก็สั่งอะไรบางอย่าง ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก แค่บอกว่าอย่าเพิ่งเปิดเผยให้คนนอกรู้เรื่องที่อวิ๋นจือชิวโดนชิงตัวไป

จากนั้นหออวิ๋นฮว๋าก็กลับคืนสู่ความวงบ ทุกคนควรจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้น

หลังจากเชียนเอ๋อร์กลับมาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ อวิ๋นจือชิวก็แสร้งทำตัวสงบเยือกเย็นไม่ไหวแล้ว นางโยนม้วนหนังสือในมือ แล้วด่าว่า “สงสัยสิ่งที่ข้าสงสัยก่อนหน้านี้จะไม่ผิดเลยสักนิด เรื่องของเจียงอีอีนั่น เจ้าผีนั่นเป็นคนวางแผนจริงๆ ตอนนี้ข้างนอกคงจะรู้กันหมดแล้วว่าข้าโดนโจรราคะชิงตัวไป ไอ้เวรเอ๊ย! กลัวว่าชื่อเสียงข้าจะไม่เสื่อมเสียรึไง?”

“นายท่านคิดจะทำอะไรกันแน่คะ?” เชียนเอ๋อร์สงสัย

สีหน้าโกรธของอวิ๋นจือชิวเปลี่ยนเป็นสีหน้ากังวลในชั่วพริบตาเดียว นางส่ายหน้าบอกว่า “ไม่รู้สิ เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้นแน่นอน พวกเจ้าก็รู้จักนิสัยของเจ้าหมอนั่นไม่ใช่เหรอ? เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ แล้วล่ะ! แต่เขาไม่ฟังที่ข้าเกลี้ยกล่อมเลย แล้วเขาก็ตั้งใจจะหลบหน้าไม่เจอข้าด้วย ชัดเจนว่ากลัวข้าจะห้าม แล้วข้าจะทำยังไงได้อีกล่ะ?”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ทำสีหน้ากลุ้มใจแล้ว พวกนางติดตามเหมียวอี้มาตั้งแต่ตอนเหมียวอี้ยังต่ำต้อย ย่อมรู้ว่าเหมียวอี้ไม่ใช่คนดีอะไร มีความเป็นไปได้สูงว่าจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ เรื่องเกิดขึ้นตอนใกล้จะถึง ‘วันมงคล’ พอดี ถ้าจะบอกว่าจะไม่มีเรื่องอื่นเกิดขึ้น แม้แต่พวกนางเอกก็ยังไม่เชื่อเลย!

ต้นไม้อย่างสงบแต่ลมกลับไม่หยุดพัด ข่าวที่เถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋าโดนเจียงอีอีชิงตัวไปแพร่ออกไปแล้ว มีคนจากร้านค้าข้างเคียงมาสืบความจริงไม่หยุด

“ได้ยินว่าเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นโดนเจียงอีอีชิงตัวไปตอนอยู่นอกเมืองเหรอ?”

ผู้จัดการร้านรูปร่างอ้วนท้วนมองหาไปทั่วร้าน ทำไมดูเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยล่ะ? เขาถึงได้มาตรงโต๊ะคิดเงินแล้วถามบัณฑิตอย่างแปลกใจ

บัณฑิตถลึงตาทันที แล้วด่าว่า “เถ้าแก่เจ้าน่ะสิที่โดนเจียงอีอีจับไป ยังไม่รีบกลับไปดูอีกเหรอ?”

ผู้จัดการร้านอ้วนหัวเราะเบาๆ คิดเพียงว่าฝั่งนี้แกล้งทำใจเย็นเพื่อให้คนนอกเห็น อย่างไรเสียการที่ผู้หญิงคนหนึ่งโดนเจียงอีอีจับไปก็ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วตลาดแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจกับคำด่าของบัณฑิต จึงกุมหมัดคารวะแล้วขอตัวออกไป

“ได้ยินว่าเกิดเรื่องกับเถ้าแก่เนี้ยของพวกเจ้าเหรอ?”

“ปากสุนัขไม่มีงาช้างงอกออกมาหรอก เกิดเรื่องขึ้นกับทั้งตระกูลเจ้าแล้ว!”

มีคนมา ‘เป็นห่วงเป็นใย’ ไม่ขาดสาย แล้วก็โดนด่ากลับไปไม่หยุด

ในดาราจักร คนชุดดำยังคงจี้ตัว ‘อวิ๋นจือชิว’ หลบหนี กำลังพลที่อยู่ข้างหลังก็ไล่ตามอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลโดยไม่ยอมปล่อย

อวิ๋นจือชิว’ ที่หันกลับไปมองเป็นครั้งคราวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เมื่อครู่นี้ข้าตกใจแทบตาย จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายขนาดนี้มั้ย? ข้าน่องสั่นไปหมดแล้ว!”

“ขนาดข้ายังไม่กลัวเลย เจ้าจะกลัวอะไร?” คนชุดดำกล่าวเสียงเย็น

อวิ๋นจือชิว’ เลยบอกว่า “เกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ! อยู่ดีๆ ก็ดึงให้ข้าเอาชีวิตมาล้อเล่น กลับไปข้าจะบอกหนิวโหย่วเต๋อ ต่อไปไม่ต้องเรียกข้าไปทำเรื่องแบบนี้อีกแล้ว!”

คนชุดดำขี้คร้านจะสนใจนาง

อวิ๋นจือชิว’ ก้มหน้ามองตรงท้องที่เลือดไหลของตัวเอง ถึงแม้เสื้อผ้าจะถูกร่ายอิทธิฤทธิ์ทำให้ขาด แต่ความจริงเนื้อหนังของนางไม่ได้เสียหายเลยสักนิด นางอดไม่ได้ที่จะถามว่า “มีดสั้นด้ามนั้นไม่เลวเลยนะ ออกแบบได้เล็กประณีตจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะปิดบังสายตาคนมากมายขนาดนั้นได้ ข้าถือหัวตัวเองมาช่วยพวกเจ้าเยอะขนาดนี้ เดี๋ยวกลับไปขอมีดสั้นด้ามนั้นให้ข้าดีมั้ย?”

“ไม่ใช่ของของข้า นายท่านให้ข้ามา ถ้าเจ้าอยากได้ก็ไปหานายท่านเองสิ” คนชุดดำตอบ

“เชอะ!”‘ ‘อวิ๋นจือชิว’ เชิดใส่

บนดาวเคราะห์ไร้ระเบียบดวงหนึ่งที่อยู่ไกลๆ หวงเสี้ยวเทียนที่อยู่ในถ้ำหินเห็นสองคนเหาะผ่านไปด้วยตาตัวเอง และไม่นานก็เห็นกำลังพลกลุ่มหนึ่งไล่ตามไปข้างหลัง แต่ก็แค่มองเฉยๆ ยังคงเฝ้ารออยู่ในนี้ต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน จนกระทั่งหัวหน้าภาคฉู่จื่อซานน่านฟ้าระกาติงนำกำลังพลกลุ่มหนึ่งเหาะผ่านไป เขาถึงได้เบิกตากว้างมองดูความเคลื่อนไหว ก่อนจะรีบหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปที่ไหน

ในจุดลึกของดาราจักร บนดาวรกร้างหนาวเย็นที่ไร้สิ่งมีชีวิตและชั้นบรรยากาศ ระหว่างหุบเขาที่ทอดตัวต่อเนื่องกันยาวเหยียด เหมียวอี้ที่แต่งตัวชุดลำลองเดินช้าๆ ออกมาจากถ้ำบนยอดเขา

ผู้บัญชาการใหญ่มู่อวี่เหลียนแห่งธงพยัคฆ์น้ำเงินที่รออยู่ด้านนอกหันตัวมองมา แล้วรีบกุมหมัดคารวะ “นายท่าน!” นางใส่ชุดลำลองเหมือนกัน

นางมองเหมียวอี้ด้วยแววตานับถือ ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้ยังรู้สึกไม่ยอม ตอนนี้ก็ยอมแล้วจริงๆ เป็นคนยอดเยี่ยมที่กล้าตบหน้าอ๋องสวรรค์อิ๋ง กล้าก่อเรื่องในพิธีรับสนมของราชันสวรรค์! ได้ยินว่าแม้แต่ผู้บัญชาการโพ่จวินแห่งหน่วยองครักษ์ซ้ายก็ยังออกหน้าปกป้องท่านนี้ด้วยตัวเองเลย ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ โดนขังอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี แต่ไม่น่าเชื่อว่ายังจะรอดชีวิตกลับมาได้ เมื่อนำเรื่องพวกนี้มารวมกัน ก็พบว่าเจ๋งจนแทบบ้าไปเลย!

ถ้าเปลี่ยนเป็นนาง ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่กล้าลองทำแบบนั้น ถ้านางทำผิดเรื่องนั้น ก็คงจะตายแหงแก๋แน่นอน

“คนกลับมาแล้วรึยัง?” เหมียวอี้ถามอย่างใจเย็น

มู่อวี่เหลียนตอบว่า “พักผ่อนปรับปรุงกำลังที่ดาวจิ่วหวนสักระยะแล้ว พอได้รับคำสั่งนายท่านก็กลับมาหมด กำลังพลห้ามหมื่นไม่ขาดไปสักคน กำลังรอคำสั่งระดมพลจากนายท่านอยู่ ไม่ทราบว่านายท่านจะสั่งอะไร?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่มีอะไรจะสั่งหรอก ข้าจะผ่านทางนี้ ก็เลยให้พวกเจ้าที่อยู่ดาวจิ่วหวนรวมตัวกันมาเจอข้าสักหน่อย ให้เวลาพวกเจ้าเตรียมตัวนานขนาดนี้ คาดว่าพวกพี่น้องที่ซื้อของใช้ส่วนตัวที่ตลาดสวรรค์คงจะซื้อขายกันเสร็จแล้วใช่มั้ย?”

“นายท่านออกคำสั่งมาได้เลย!” มู่อวี่เหลียนกล่าว

“ให้ทุกคนเตรียมตัวออกเดินทางก็แล้วกัน กลับไปเปลี่ยนผลัดป้องกันที่อุทยานหลวง” เหมียวอี้บอกนาง

“รับทราบ!” มู่อวี่เหลียนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง แต่กลับเห็นเหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาไว้ในมือ มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ แสยะหัวเราะสองที “บังเอิญจริงๆ!”

“นายท่าน เป็นอะไรไปแล้ว?” มู่อวี่เหลียนอดถามไม่ได้

“โจรราคะเจียงอีอี เจ้าเคยได้ยินชื่อรึเปล่า?” เหมียวอี้ถาม

มู่อวี่เหลียนอึ้งทันที  “เคยได้ยินค่ะ ไม่กี่วันก่อนตอนตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนก็ถูกปิดและตรวจค้นร้านค้าเพราะเจียงอีอี ข้าน้อยก็อยู่ในเมือง เรียกได้ว่าแตกตื่นกันมาก”

เหมียวอี้เผยระฆังดาราในมือ “ได้รับข่าวมา ว่าเจียงอีอีจับตัวผู้หญิงคนหนึ่งหนีมาทางพวกเรา แค่สองคน ข้ากำลังคิดว่าจะถือโอกาสจัดการดีมั้ย?”

มู่อวี่เหลียนตาเป็นประกาย แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่านส่านาดีจริงๆ เพิ่งจะออกจากแดนดึกดำบรรพ์ก็มีผลงานมาส่งให้ตรงหน้าแล้ว เจียงอีอีคนนี้ล่วงเกินขุนนางทั้งระดับบนระดับล่างของตำหนักสวรรค์เอาไว้ไม่น้อยเลย ถ้าจัดการเขาได้จริงๆ ก็เรียกได้ว่าเป็นผลงานใหญ่!”

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “แต่พวกเรายังไม่ได้รับคำสั่ง ไปจับโจรในอาณาเขตคนอื่นโดยพลการจะเหมาะสมรึเปล่า?”

มู่อวี่เหลียนยิ้มพร้อมตอบว่า “พวกเราไม่ได้เพ่นพ่านไปทั่วเพื่อจับผู้ร้ายหลบหนีเสียหน่อย อีกฝ่ายตกมาอยู่ในมือพวกเราเอง ถ้าปล่อยไปก็อาจจะโดนคนอื่นตำหนิด้วยซ้ำ นายท่าน โจรราคะนี่ลงมือกับคนในครอบครัวขุนนางโดยเฉพาะ ครั้งนี้ไม่รู้ว่าว่าเขาจี้ชิงตัวคนในครอบครัวของขุนนางท่านไหน ถ้านายท่านช่วยไว้ได้ อีกฝ่ายจะต้องซาบซึ้งใจแน่นอน”

เหมียวอี้เหล่ตาถาม “เจ้าหมายความว่า ไม่เป็นไรเหรอ? ทำแบบนี้ได้เหรอ?”

มู่อวี่เหลียนตอบว่า “เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลค่ะ จะเป็นอะไรไปได้ ผลงานมาส่งให้ถึงมือแล้ว ถ้าไม่เอาก็เสียของเปล่าๆ นะ”

เหมียวอี้จึงพยักหน้า “ก็ได้! แต่ก็ต้องระวังตัวไว้หน่อยนะ เจียงอีอีคนนี้รอดจากการจับกุมของตำหนักสวรรค์หลายรอบ เกรงว่าคงจะไม่ธรรมดา ถ้าจับได้ก็ดี แต่ถ้าจับไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องไล่ตตาม จะไม่ได้ไม่ต้องมีเรื่องเยอะ ข้าเพิ่งจะถูกปล่อยตัวมา ไม่อยากก่อเรื่องอีก ถ่ายทอดคำสั่งลงไปด้วย บอกพวกพี่น้องว่าอย่าเปิดเผยตัวตน”

“รับทราบ!” มู่อวี่เหลียนเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป แต่ในใจก็ยังพึมพำว่า ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะไม่อยากก่อเรื่อง? ที่ผ่านมาเจ้าก่อเรื่องน้อยไปเหรอ?

รอได้ไม่นาน คนชุดดำในจี้ชิงตัวผู้หญิงคนหนึ่งในดาราจักรก็เหาะมาทางนี้ และบนดาวเคราะห์ที่อยู่ทางนี้ก็มีกำลังพลหนึ่งพันเหาะออกมาอย่างรวดเร็ว แบ่งกลุ่มแปดกลุ่มกระจายเข้าไปแปดทิศทาง ล้อมไปยังผู้ที่มา

มู่อวี่เหลียนที่ตามติดอยู่ข้างกายเหมียวอี้และกำลังไปรับมือกับข้างหน้ากล่าวอย่างกังวลว่า “นายท่าน ข้างหลังพวกเขายังมีกำลังพลของตำหนักสวรรค์ตามมาด้วย!”

ทางนี้รู้แล้วว่าข้างหลังมีกำลังพลหลายร้อยตามมา

เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ในเมื่อลงมือแล้ว งั้นถ้าใครแย่งผลงานไปได้ ผลงานก็เป็นของคนนั้น ได้ยินชื่อเสียงของเจียงอีอีมานานแล้ว รอข้าไปเจอสักหน่อยเถอะ!” เขาสวมเกราะรบบนตัว ในมือถือทวนเกล็ดย้อนพุ่งเข้าไปสุดแรงเกิด

มู่อวี่เหลียนตกใจมาก กลัวว่าเขาจะทำพลาด

คนชุดดำที่จี้จับคนตรงหน้าก็ดันไม่หยุดพักเลย ดันทุรังพุ่งเข้ามา

วินาทีที่ชนปะทะกัน ไม่ว่าใครก็ไม่รู้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็เห็นเหมียวอี้ควงกระจกบานใหญ่ออกมา คนชุดดำที่จี้จับตัวประกันโบกดาบต้านไว้ แต่ฟันเข้าไปแล้วเจอความว่างเปล่า กระจกนั้นราวกับคลื่น ทั้งตัวถูกกวาดเข้าไปในกระจก แม้แต่ตัวประกันก็หายไปด้วยเช่นกัน

เหมียวอี้สะบัดกระจกในมือ ทำให้กระจกทองแดงหดกลับมาอยู่ในขนาดปกติ แล้วหันหน้ากลับมา

มู่อวี่เหลียนที่กลัวว่าเขาจะทำพลาดจึงรีบตามมาตะลึงงันทันที แค่นี้ก็เสร็จแล้วเหรอ?

กำลังพลหลายร้อยที่ตามติดมาข้างหลังรีบหยุดอยู่กลางอากาศ ไม่ใช่เพราะอะไร เพียงแต่เผชิญหน้ากับกำลังพลหนึ่งพันกว่าที่แต่งตัวแตกต่างกันไป ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน แต่เมื่อเทียบกับคนฝั่งนี้แล้ว จะเข้าไปปะทะง่ายๆ ได้อย่างไร ยังไม่ทันรู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เจียงอีอีกับ ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็หายไปแล้วเหรอ?

เมื่อเห็นกำลังพลกลุ่มนั้นเลี้ยวไป กำลังพลนับร้อยฝั่งนี้ก็ตามไปอีก ทหารแซ่คังที่นำทัพมาพุ่งไปอยู่ข้างหน้าสุด แล้วตะโกนถามว่า “ใครมันบังอาจขัดขวางตำหนักสวรรค์จับกุมผู้ร้ายหลบหนี?”

…………………………

ดูจากท่าทางแล้ว เห็นได้ชัดว่าถ้าคนคนนี้เคลื่อนไหวผิดปกติ ก็จะโดนเล่นงานทันที ไม่ให้โอกาสเขาได้หนี

คนที่อยู่ในผ้าคลุมดำยังคงก้มหน้าเล็กน้อย บางทีอาจจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่โดนข่มขู่กดดัน ร่างกายสั่นเล็กน้อย แต่ไม่นานก็สงบลงแล้ว

คังเหล่ตามอง ‘อวิ๋นจือชิว’ ที่อยู่ข้างกัน แล้วค่อยๆ ชักกระบี่เดินตามไป กลุ่มทหารถืออาวุธไว้เรียบร้อยแล้ว

จากนั้น ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็หันกลับไปมองอาวุธในมือคัง มุมปากกระตุกเล็กน้อย เหมือนเคยีดแค้นมาก แต่เท้ายังไม่หยุดเดิน ยังคงเดินหน้าต่อไป

หลังจากเดินมาใกล้ใต้ต้นไม้ กำลังพลที่ล้อมคนชุดดำเอาไว้ก็หลีกทางให้เดิน ปล่อยให้ ‘อวิ๋นจือชิว’ เดินเข้าไป คังที่เดินตามส่งสัญญาณอีกครั้ง คนหลายร้อยเคลื่อนไหวทันที ชั่วพริบตาเดียวก็ล้อมเอาไว้หลายชั้น มีบางคนกระโดขึ้นไปบนต้นไม้ด้วย ทำให้คนที่โดนล้อมไว้ยากจะเสียบปีกหนีไป

พอเดินมาตรงหน้าคนชุดดำ ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็ถอนหายใจเบาๆ “ท่านอา”

“เฮ้อ!” คนชุดดำก็ถอนหายใจเบาๆ เช่นกัน หยิบกำไลเก็บสมบัติออกมาวงหนึ่ง “คำยินดีข้าคงไม่พูดแล้ว พูดไม่ออกเหมือนกัน ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว สินเดิมเจ้าสาวเล็กน้อย นับว่าเป็นน้ำใจเล็กน้อยก็แล้วกัน อย่ารังเกียจที่มันน้อย”

อวิ๋นจือชิว’ ใช้มือข้างเดียวผลักกลับไป แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ท่านอา ข้ารับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”

คนชุดดำผลักอีก “เจ้าทำงานหนักเพื่อครอบครัวนี้มาหลายปี นี่คือสิ่งที่เจ้าควรจะได้รับ”

ทว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็บอกอีกว่า “ท่านอา น้ำใจนี้ข้ารับไว้แล้ว แต่งงานใหม่จะดีได้ยังไง…” นางผลักกลับไปอีก

ทั้งสองผลักไปผลักมา คนหนึ่งต้องการจะให้ แต่อีกคนหนึ่งไม่ยอมรับ ทุกคนมองดูกำไลเก็บสมบัติวงนั้น แต่ละคนกำลังครุ่นคิดในใจว่า ข้างในมีของมากเท่าไรกันแน่

คังกระแอมอยู่ข้างหลัง ‘อวิ๋นจือชิว’ แล้วบอกว่า “ผู้จัดการร้าน ในเมื่อเป็นน้ำใจ รับไว้ก็สิ้นเรื่องแล้ว” เขาคิดว่าสาเหตุที่ท่านหัวหน้าภาคให้ท่านนี้ออกมารับของ คงเพราะมีความคิดอยากจะได้ทั้งเงินทั้งคน

เมื่อได้ยินดังนั้น ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็หันกลับมาถลึงตาจ้องเขาแวบหนึ่ง แล้วตบกำไลเก็บสมบัติไว้บนมือคนชุดดำ “ท่านอา ข้ารับไว้ไม่ได้”

คนชุดดำหยิบถือกำไลเก็บสมบัติอย่างลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “เจ้าลำบากอยู่ในครอบครัวนี้มาหลายปี จะให้เจ้าจากไปมือเปล่าได้ยังไง เอาอย่างนี้แล้วกัน…” ขณะที่พูดก็ร่ายอิทธิฤทธิ์เรียกของออกมาจากกำไลเก็บสมบัติ

ทว่าสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกเหนือความคาดหมายก็คือ ไม่เห็นคนชุดดำควักสมบัติอะไรออกมา แต่กลับเห็นควักกระบี่และมีดสั้นออกมามีดสั้น

สิ่งที่ทำให้ทหารทำอะไรไม่ถูกก็คือ กระบี่ที่คนชุดดำชักออกมาต่ออยู่ที่คอของ ‘อวิ๋นจือชิว’ แล้ว ส่วนมีดสั้นก็จ่อที่ท้อง ‘อวิ๋นจือชิว’ พอยืดตัวก็จับอวิ๋นจือชิวเป็นตัวประกันไว้ในมือแล้ว

เวรแล้ว! คังหลังตากระตุก อุบายนี้ทำให้คนคิดไม่ถึงจริงๆ ทุกคนป้องกันไม่ให้ ‘อวิ๋นจือชิว’ โดนคนพาตัวไป แต่นึกไม่ถึงว่าจะโดนจี้ชิงตัว

คนที่ถือดาบ ทวน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ล้อมไว้เริ่มกังวลแล้ว ทั้งหมดชี้ไปที่คนชุดดำ คังโบกกระบี่ตะโกนว่า “รนหาที่ตายรึไง! ปล่อยผู้จัดการร้านไป!”

คนชุดดำเก็บคมดาบที่คล้องอยู่บนคอ ‘อวิ๋นจือชิว’ ใบหน้าชราที่อยู่ใต้หมวกโผล่ออกมา เสียงพูดก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน ตะโกนด้วยเสียงแหลมว่า “หลีกไป! ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่านาง!”

คังโดนกดดันจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว ทุกคนกลัวว่าจะลูบหน้าปะจมูก ได้แต่ทำหน้าเลิกลั่กอยู่อย่างนั้น

ตอนนี้ ‘อวิ๋นจือชิว’ ที่โดนจี้สีหน้าเปลี่ยนทันที แล้วถามอย่างร้อนใจว่า “เจ้าไม่ใช่ท่านอา เจ้าเป็นใคร?”

คนชุดดำหัวเราะเสียงแหลม “เจียงอีอีอยู่นี่แล้ว!”

“เจียงอีอี?” ทุกคนตกใจมาก ก่อนหน้านี้ในเมืองมีเรื่องวุ่นวายของโจรราคะเจียงอีอี นึกไม่ถึงว่าจะมาโผล่อยู่ที่นี่แล้ว

คังตกใจไม่เบา แต่ก็กลอกตาไปมา สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล สายตาจ้องไปที่ ‘อวิ๋นจือชิว’ แล้วแสยะหัวเราะ “ผู้จัดการร้าน ใช้วิธีการเด็กๆ แบบนี้มาตบตาข้ามันน่าขำไปหน่อยมั้ง ข้าแนะนำให้ท่านมีจิตสำนึกหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าพวกพี่น้องพลั้งมือขึ้นมา ท่านหัวหน้าภาคก็จะทำได้แค่เสียใจทีหลังแล้ว”

อวิ๋นจือชิว’ ด่ากราดทันที “พูดเหลวไหลหาแม่เจ้าเหรอ! เจ้าเป็นสุนัขตาบอดรึไง ท่านอาของข้าโดนทำร้ายแล้วแน่ๆ…อ๊า!” จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้อง

คนชุดดำที่จี้ตัวนางใช้กระบี่คล้องคอนาง แต่มีดสั้นที่จ่อตรงท้องกลับยกขึ้นและยกลงแล้ว แทงเข้าไปในท้องนางอย่างแรง เลือดสดไหลออกมาทันที

ฉากนี้ทำให้พวกคังตกใจจนพูดไม่ออก ยังนึกว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ ไม่อย่างแต่งงานเลยเล่นตุกติก หรือนี่จะเป็นกลยุทธ์เจ็บกาย…

คนชุดดำมองไปรอบๆ แล้วแสยะยิ้ม “อยากจะจับข้าเหรอ? ข้ามีสภาพยังไงพวกเขาไม่เคยเห็นเหรอ ถ้าข้าตายข้าจะต้องลากนางไปรับกรรมด้วยแน่นอน หลีกไป!”

คังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่อย่างนั้น แล้วยกมือขึ้นมาอย่างช้าๆ ทำท่าเหมือนจะออกคำสั่งรุกโจมตี แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เจียงอีอี ปล่อยนางไปซะ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป!”

“ข้าจะเชื่อได้เหรอ?” คนชุดดำแสยะยิ้ม พอมีดสั่นตรงท้อง ‘อวิ๋นจือชิว’ ขยับ ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็ทำท่าเหมือนเจ็บจนจะเป็นจะตาย

คังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทันที เขาอยากจะกำจัด ‘อวิ๋นจือชิว’ ไปพร้อมกันด้วยจริงๆ ก่อนหน้านี้ยังตบหน้าเขาต่อหน้าฝูงชนให้เขาอับปาย มีคนมากมายขนาดนี้เห็นเหตุการณ์ ถ้าเขาทำแบบนี้จริงๆ ก็จะแก้ตัวกับทางท่านหัวหน้าภาคไม่ได้

คนชุดดำมองไปรอบๆ ไม่สนใจว่าทางนี้จะหลีกทางหรือไม่ จี้ตัว ‘อวิ๋นจือชิว’ เหาะขึ้นฟ้า แล้วเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว

“ตาม!” คังกระทืบเท้าอย่างเคียดแค้น แล้วก็โบกมือนำกำลังพลเหาะขึ้นฟ้าตามไป ขณะเดียวกันก็รีบติดต่อกำลังพลที่เหลือในเมืองให้ตามมาสนับสนุน ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะติดต่อท่านหัวหน้าภาคฉู่จื่อซาน ทางนี้เกิดเรื่องแล้ว!

ฉู่จื่อซานที่นำกลุ่มคนเหาะอยู่ในดาราจักรกำลังแอบฝันหวาน จู่ๆ ก็เกิดฝันร้าย เขาถามอย่างตกใจปนสงสัยว่า : เป็นผู้จัดการร้านอวิ๋นที่จงใจเล่นตุกติกหรือเปล่า?

คัง : ทีแรกข้าน้อยก็สงสัยแบบนี้ แต่…ผู้จัดการร้านอวิ๋นโดนมีดแทงไปหลายครั้งแล้ว อาจจะตายได้ทุกเมื่อ ไม่เหมือนกำลังเล่นละคร ข้าน้อยไม่กล้าไล่ตามใกล้เกินไป!

เป็นแบบนี้จริงๆ พอคนชุดดำเห็นคังเข้ามาใกล้เกินไป ก็ใช้มีดสั้นแทง ‘อวิ๋นจือชิว’ อีกหลายครั้ง เรียกได้ว่าลงมืออย่างเหี้ยมโหด เสียงกรีดร้องของ ‘อวิ๋นจือชิว’ ทำให้คนที่ไล่ตามอยู่ข้างหลังขนลุก จะปล่อยไปก็ไม่ได้ แต่ถ้าตามติดเกินไปแล้วทำให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นอันตรายถึงตาย กลับไปพวกเขาก็แก้ตัวกับท่านหัวหน้าภาคไม่ได้อีก ไม่กล้าเสี่ยง!

ฉู่จื่อซานโมโหเดือดดาลทันที ตะโกนด่าว่า : พวกเศษสวะ แค่เรื่องเล็กๆ ยังจัดการไม่ได้ เจ้ายังจะไปทำอะไรได้อีก?

คัง : ข้าร้อยไร้ความสามารถ นายท่านได้โปรดแนะนำว่าควรทำยังไงต่อไป?

ฉู่จื่อซาน : จับตาดูให้ข้า อย่าให้คนหนีไป อย่ากดดันให้อีกฝ่ายพากันตายทั้งคู่ด้วย ข้าจะตามไปเดี๋ยวนี้…ถ้าจับตาดูไม่ไหวจริงๆ ฆ่า!

คัง : ข้าน้อยกลัวจะพลาดทำให้ผู้จัดการร้านอวิ๋นบาดเจ็บ

ฉู่จื่อซาน : พยายามถ่วงเวลารอข้าไปที่นั่น ถ้าถ่วงเวลาไม่ไหวจริงๆ ก็อย่าให้นางตกอยู่ในมือโจรราคะเจียงอีอี!

ชัดเจนว่าถ้าไม่มีหนทางแล้วจริงๆ แม้แต่ ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็ต้องกำจัดไปพร้อมกันเลย ตอนออกคำสั่งนี้เขาเองก็ปวดใจเหมือนกัน เขาคิดถึงร่างกายของผู้หญิงคนนี้มานานเท่าไรแล้ว เห็นอยู่แท้ๆ ว่ากำลังจะกลายเป็นเรื่องงดงาม แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับตกอยู่ในมือโจรราคะเจียงอีอี มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่มีทางปล่อยให้เจียงอีอีพาตัว ‘อวิ๋นจือชิว’ ไป ถ้าตกอยู่ในมือเจียงอีอีแล้ว อาศัยแค่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ของโจรราคะนั่น ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ส่วนเหตุผลว่าทำไมเจียงอีอีถึงพุ่งเป้ามาที่อวิ๋นจือชิว ไม่ต้องคิดก็เดาออกแล้ว นี่คือโรคเก่าของเจียงอีอี ลงมือกับคนในครอบครัวขุนนางตำหนักสวรรค์โดยเฉพาะ คาดว่าข่าวที่ตนจะแต่งงานกับอวิ๋นจือชิวคงแพร่ออกไปแล้ว เขาจะโดนโจรราคะเจียงอีอีนั่นสวมเขาได้อย่างไร เสียหน้าแบบนั้นไม่ไหว ช่วยได้ก็ช่วย แต่ก็ช่วยไม่ได้ก็ทำลายไปพร้อมกันเลย มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่มีทางยอมโดนคนทั้งใต้หล้าหัวเราะเพียงเพื่อแต่งงานกับผู้หญิงคนเดียว

คังเข้าใจความคิดของเขา : ขอรับ!

ที่จริงคังก็อยากจะลงมือกำจัดเจียงอีอีกับ ‘อวิ๋นจือชิว’ พร้อมกันเสียตอนนี้เลย แต่ฝั่งนี้มีคนเยอะเกินไป ถ้าทำแบบนี้จริงๆ จะไม่มีทางแก้ตัวได้

“รวมกลุ่มเร่งความเร็วไปข้างหน้า!” ฉู่จื่อซานพลันหันกลับมาออกคำสั่ง

กำลังพลนับหมื่นรวมกลุ่มกันทันที ชัดเจนว่าไม่ต้องการพิธีรีตองอะไรแล้ว นักพรตบงกชทองถูกเก็บเข้าในกระเป๋าสัตว์ของนักพรตบงกชรุ้ง คนจำนวนมากตะโกนเสียงดัง ความเร็วที่เร่งไปข้างหน้าเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน!

ขณะเดียวกัน ฉู่จื่อซานที่นำกำลังพลเหาะอยู่บนฟ้าก็ออกคำสั่งไปยังกำลังพลที่ประจำอยู่ในจุดต่างๆ ของน่านฟ้าระกาติง ว่าให้ปิดทางเข้าออกประตูดวงดาวน่านฟ้าระกาติง แล้วรวบรวมทัพใหญ่ไล่ล้อมดักไว้

“พี่น้อง เป็นอะไรไป?”

หออวิ๋นฮว๋า ช่างไม้วิ่งออกมาจากร้าน เห็นกำลังพลตำหนักสวรรค์ที่เฝ้าหน้าร้านกำลังรวมตัวกัน เหมือนเตรียมจะถอนกำลัง จึงรีบมาถาม

ขุนพลที่เป็นหัวหน้าเงยหน้ามองป้ายร้านหออวิ๋นฮว๋าแวบหนึ่ง เถ้าแก่เนี้ยโดนจับตัวไปแล้ว เฝ้าตัวประกันอยู่ที่นี่อีกก็ไม่มีความหมายอะไร จึงแสยะยิ้มแล้วบอกว่า “ยังจะทำอะไรได้อีกล่ะ? ช่วยชีวิตคน! ผู้จัดการร้านของพวกเจ้าโดนเจียงอีอีชิงตัวไปแล้ว!” จากนั้นหันกลับมาโบกมือตะโกนบอกลูกน้องที่กำลังรวมตัวกัน “ไป!”

กำลังพลหลายร้อยรีบทะยานขึ้นฟ้า รีบเหาะไปยังประตูเมือง

“อ๋า…” ช่างไม้ตะลึงค้าง รีบถลันตัวกลับเข้าไปในร้าน บอกพวกผู้เฒ่าฟ่านอย่างร้อนใจว่า “เถ้าแก่เนี้ยตกอยู่ในมือเจียงอีอี รีบไปช่วยคนเร็ว! ผู้เฒ่าฟ่าน ท่านวรยุทธ์สูง ยังไม่รีบตามไปก่อนอีก!”

พวกผู้เฒ่าฟ่านได้ยินแล้วก็ร้อนใจเช่นกัน เถ้าแก่เนี้ยตกอยู่ในมือโจรราคะเจียงอีอีแล้ว ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร

“คนไปที่ไหนแล้ว?” ผู้เฒ่าฟ่านถลันตัวไปอยู่ข้างกายช่างไม้ที่เพิ่งเอ่ยถามทหารยามกลุ่มนั้น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ โดนชิงตัวไปทางไหนแล้ว ทำได้เพียงตามกำลังพลของตำหนักสวรรค์ไป

“หยุดนะ!” มีเสียงตะโกนดังมาจากโถงด้านหลัง ทุกคนหันมองตาม เชียนเอ๋อร์กำลังเดินช้าๆ ออกมาจากโถงด้านหลัง

“กูกูใหญ่ เถ้าแก่เนี้ยที่อยู่นอกเมืองโดนเจียงอีอีชิงตัวไปแล้ว!” ช่างไม้กล่าวอย่างกระวนกระวาย

เชียนเอ๋อร์เดินผ่านข้างกายพวกเขาไปอย่างไม่รีบร้อน เดินออกไปนอกประตูแล้วมองซ้ายมองขวา ก่อนจะถามกลับว่า “คนที่เฝ้าข้างนอกไปกันหมดแล้วเหรอ?”

ช่างไม้พยักหน้า “ไปกันหมดแล้ว กูกูใหญ่ ท่านอยู่ที่นี่ ข้ากับพวกผู้เฒ่าฟ่าน…”

“พวกเจ้าตามข้ามา!” เชียนเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง แล้วเดินเข้าไปข้างในอย่างไม่ร้อนรน

พวกช่างไม้ตะลึงค้าง สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากล เถ้าแก่เนี้ยโดนจับตัวไปแล้ว ท่านนี้ไม่น่าจะใจเย็นสิ พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินตามนางไปด้วยสีหน้าร้อนรนและฉงนใจ

พอขึ้นมาบนตึกที่อยู่ตรงลานบ้านด้านหลัง เข้ามาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของอวิ๋นจือชิว พวกเขาก็งงเป็นไก่ตาแตกทันที เห็นเพียงอวิ๋นจือชิวกำลังนั่งพลิกอ่านม้วนหนังสือเก่าอยู่ในศาลา สีหน้าอารมณ์ดูสงบใจเย็น ไม่ตระหนกตกใจเลย

เชียนเอ๋อร์เข้ามาในศาลา แล้วก้มหน้ากระซิบข้างบ่าอวิ๋นจือชิว จากนั้นอวิ๋นจือชิวก็ขมวดคิ้วครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า เอียงหน้ามองไปทางคนที่เหลือ ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า  “พอแล้ว! เห็นกันหมดแล้วนะ คนที่โดนชิงตัวไปไม่ใช่ข้า ทุกคนไม่ต้องกลัว ควรจะทำอะไรก็ไปทำเถอะ”

ทุกคนเข้าใจกระจ่างในทันที มิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้การกระทำของเถ้าแก่เนี้ยคนนั้นถึงแปลกไป ยังนึกว่าอารมณ์ไม่ดีเพราะโดนบังคับแต่งงานเสียอีก ที่แท้ก็เป็นตัวแสดงแทนนี่เอง!

…………………………

เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เชียนเอ๋อร์ที่เดินไปเดินมาอยู่ในโถงใหญ่ของร้านก็ชำเลืองมองไปด้านนอก เมื่อเห็นบนผมของสตรีวัยกลางคนข้างนอกติดดอกไม้แดง ในดวงตาก็ฉายแววปลาบปลื้มดีใจ รีบวิ่งออกมาตะโกนใส่ทหารยาม “พวกเจ้าทำอะไร? นี่คืออาหญิง-องฮูหยิน มาส่งฮูหยินแต่งงาน!”

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทหารยามที่เฝ้าด้านนอกก็ไม่สะดวกจะขัดขวางจริงๆ กอปรกับรู้ว่าเชียนเอ๋อร์เป็นสาวใช้ข้างกายอวิ๋นจือชิว ทหารที่เป็นหัวหน้าจึงโบกมือ ให้ทหารผู้หญิงคนหนึ่งค้นตัวสตรีวัยกลางคน จากนั้นแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ ถึงได้ผล่อยสตรีวัยเลางคนเข้าไป

เชียนเอ๋อร์เห็นสายตาสอบถามของสตรีวัยกลางคนแล้ว สตรีวัยกลางคนพยักหน้าเล็กน้อยอย่างแนบเนียน เชียนเอ๋อร์โล่งอก รีบคำนับแล้วบอกว่า “ท่านย่าใหญ่ เชิญตามข้ามาค่ะ!”

ทั้งสองมาที่สวนด้านหลัง เดินตรงขึ้นตึก แล้วเข้าไปในชัยภูมิถ้ำสวรรค์

อวิ๋นจือชิวรออยู่ข้างในด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ภายในใจร้อนรน เมื่อเห็นดอกไม้สีแดงบนมวยผมอีกฝ่าย ในที่สุดก็โล่งใจแลว

ไม่ให้ร้อนใจคงไม่ได้หรอก ‘วันมงคล’ มารออยู่ตรงหน้าแล้ว ขนาดหออวิ๋นฮว๋ายังโดนปิดล้อมไว้ นางกลัวว่าเหมียวอี้จะใช้วิธีการชิงตัวเจ้าสาวกลางทาง ถ้าชิงตัวเจ้าสาวจริงๆ ไม่ว่าเหมียวอี้จะมีความมั่นใจขนาดไหน นางก็จะไม่ตอบตกลง ไม่ใช่เรื่องอันตรายหรือไม่อันตราย แต่ถ้าโดนคนยกขึ้นเกี้ยวแต่งงานอีกครั้ง? ถ้าข่าวแพร่ออกไปนางจะกลายเป็นอะไรไปล่ะ เรื่องในอดีตของเฟิงเสวียนทำให้ในใจนางอ่อนไหวกับด้านนี้เกินไป ถึงแม้ภายนอกจะดูไม่ออก แต่ความจริงในใจนางไม่ได้สบาย ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนที่เห็นภายนอกเลย นางไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง

สตรีวัยกลางคนที่ทัดดอกไม้แดงบนศีรษะดูแปลกหน้า อวิ๋นจือชิวจึงถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าคือคนที่หนิวโหย่วเต๋อส่งมาเหรอ?”

ในดวงตาสตรีวัยกลางคนฉายแววหยอกล้อ นางยิ้มบางๆ โดยไม่ตอบอะไร แต่เดินวนอ้อมอวิ๋นจือชิวอย่างช้าๆ มองประเมินอย่างละเอียดตั้งแต่ศีรษะจดเท้า

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร แต่ไม่นานก็สัมผัสได้ถึงปราณปีศาจที่ปรากฏรางๆ ขณะเดียวกันก็พบว่าเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางพลันหันไปมอง ทำให้อ้าปากเล็กน้อยเช่นกัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

ใบหน้าที่ยิ้มอย่างเป็นกันเองกำลังมองนาง ใบหน้าคุ้นเคยที่เห็นในกระจกบ่อยๆ กำลังมองนาง นี่เป็นหน้าข้าเองไม่ใช่เหรอ? นอกจากเสื้อผ้าที่แตกต่างจากนั้น รูปร่างและความสูงก็ดูจะเหมือนนางทุกอย่างแล้ว

ขณะมองดูอีกฝ่ายยิ้มให้ตนอย่างสนิทสนมด้วยความอึ้ง อวิ๋นจือชิวก็ค่อยๆ ได้สติกลับมา ในดวงตาฉายแววลังเล นึกถึงเมื่อครู่นี้ที่เพิ่งสัมผัสได้ถึงปราณปีศาจ จู่ๆ นางก็ตาเป็นประกาย โพล่งถามออกมาว่า “เจ้าคือเฝิ่นเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายปี้เยว่ฮูหยินเหรอ?”

ในปีนั้นตอนที่นางอยู่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน นางก็นับว่าเป็นคนสนิทคุ้นเคยกับปี้เยว่ฮูหยินเช่นกัน นำเครื่องประดับไปส่งให้ปี้เยว่ฮูหยินที่ตำหนักคุ้มเมืองบ่อยๆ นางมักจะเห็นปี้เยว่ฮูหยินอุ้มปีศาจจิ้งจอกสีชมพูตัวหนึ่งเสมอ กอปรกับได้ยินความลับบางอย่างมาจากปากเหมียวอี้ รู้ถึงพลังอภินิหารของปีศาจจิ้งจอกพันหน้า

“ไม่สนุกเลย ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะจำข้าได้” จู่ๆ ‘อวิ๋นจือชิว’ ที่อยู่ตรงข้ามก็เอามือปิดปากกลั้นขำ ท่าทางน่ารักซุกซน ไม่ได้มีลักษณะเหมือนอวิ๋นจือชิวคนเดิมเลย นางกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆา ไมได้เจอกันหลายปี นึกไม่ถึงว่าจะเจอกันอีกทีต้องใช้วิธีนี้!”

ไม่ผิดหรอก นางคือปีศาจจิ้งจอกพันหน้าที่เหมียวอี้ขอยืมมาจากปี้เยว่ฮูหยินจริงๆ

“เป็นเจ้าจริงเหรอ?” อวิ๋นจือชิวแปลกใจ “แล้วทำไมหนิวโหย่วเต๋อถึงเรียกเจ้ามาที่นี่ล่ะ?”

เฝิ่นเอ๋อร์ส่ายหน้าถอนหายใจ “เจ้าคิดว่าข้าอยากมารึไง! ข้ารำคาญเจ้าบ้านั่นที่สุดแล้ว ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายสักนิด ครั้งนี้ก็ทั้งข่มขู่ทั้งเอาผลประโยชน์มาบังคับให้ข้าทำงานให้เขา เป็นคนยังไงกัน! แต่ข้าก็นึกไม่ถึงเลยนะ เมื่อก่อนแค่ได้ยินข่าวลือของเจ้ากับหนิวโหย่วเต๋อ นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าสองคนจะแอบคบกันจริงๆ จุจุ!”

อวิ๋นจือชิวกลอกตามองนาง จากนั้นก็ขมวดคิ้วทันที “หนิวโหย่วเต๋อคงไม่ได้ให้เจ้าแปลงร่างเป็นข้าแล้วแต่งงานแทนหรอกใช่มั้ย?” ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ จะต่างอะไรกับการให้นางแต่งงานเอง ชื่อเสียงของนางก็ถูกทำลายอยู่ดี นางไม่มีทางรับปาก

“เจ้าฝันหวานเกินไปแล้ว ถ้าคนจับขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวจริงๆ ทหารล้อมไว้แน่นหนาขนาดนั้น ข้าจะหนีพ้นเหรอ?” เฝิ่นเอ๋อร์พ่นเสียงทางจมูก แล้วก็มองซ้ายมองขวา “อย่ามัวอึ้ง เถ้าแก่เนี้ยยังมีเสื้อผ้าที่ใส่ในวันปกติอยู่มั้ย? รีบแต่งตัวให้ข้า ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

“ไปเหรอ?” อวิ๋นจือชิวงุนงง “เจ้าจะออกไปยังไง?”

“เจ้าไม่ต้องกังวล ‘ชายชู้’ ของเจ้าวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว “เฝิ่นเอ๋อร์กล่าวอย่างปากไม่มีหูรูด แล้โบกมือบอกว่า “เร็วๆ หน่อย ถ้าชักช้าแล้วเสียงาน เจ้าเวรนั่นอาจจะไม่ยอมรับ!”

พอได้ยินว่ามีการเตรียมตัวแล้ว อวิ๋นจือชิวก็วางใจ โบกมือเรียกให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์พานางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที

ผ่านไปไม่นาน ‘อวิ๋นจือชิว’ ตัวเป็นๆ อีกคนก็เดินออกมาจากห้อง มายืนเทียบกับอวิ๋นจือชิวตัวจริง ทั้งสองราวกับฝาแฝด ขนาดอวิ๋นจือชิวก็ยังส่ายหน้าด้วยความตกตะลึง “ขนาดปราณปีศาจบนตัวก็ยังเก็บได้ดีมาก พรสวรรค์ของเจ้านี่เจ๋งจริงๆ”

“รู้สึกว่าจะไม่เหมือนนิดหน่อยนะคะ” เสวี่ยเอ๋อร์กล่าว

เชียนเอ๋อร์พยักหน้าเช่นกัน “หน้าตาเหมือนกัน แต่สง่าราศียังห่างกันเยอะ นางไม่ได้มีสง่าราศีเท่าฮูหยิน”

เฝิ่นเอ๋อร์วางมือจากเรื่องนี้ทันที หันตัววิ่งเข้าไปในห้องแล้วบอกว่า “ก็ได้! งั้นข้าไม่ทำแล้ว ฮูหยินของพวกเจ้ามีสง่าราศีดี งั้นก็ให้ฮูหยินของเจ้าไปขึ้นเกี้ยวเข้าห้องหอเถอะ ข้าก็ขี้เกียจจะหวาดระแวงไปเสี่ยงอันตรายเหมือนกัน”

“พวกนางพูดไม่คิด เจ้าอย่าไปถือสาพวกนางเลย ข้าขอโทษแทนแล้วกัน” อวิ๋นจือชิวรีบเข้ามาดึงแขนนางไว้ ต้องพูดเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวถึงจะยอมสงบได้

เฝิ่นเอ๋อร์ที่ได้กอบกู้หน้าตาเต็มที่แล้วตำหนิเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์อีกยกหนึ่ง เมื่อทั้งสองก้มหน้ารับผิดแล้ว นางถึงได้ใช้สองมือยกหน้าอกตัวเองอย่างพอใจมาก แล้วก็มองไปที่หน้าอกของอวิ๋นจือชิวอีก “ใหญ่ไปหน่อยนะ ปกติแบกไว้เจ้าไม่เหนื่อยบ้างเหรอ?”

นี่มันเวลาไหนแล้ว! อวิ๋นจือชิวแทบจะเรียกนางว่าท่านย่า “ต่อไปทำยังไง?”

เฝิ่นเอ๋อร์สะบัดแขนเสื้อสองข้าง “ต่อไปก็ไม่เกี่ยวกับเจ้าแล้ว แอบอยู่ในนี้อย่าออกไปไหนล่ะ รอผู้ชายของเจ้าส่งข่าวมาแล้วค่อยโผล่หน้าไปอีกรอบ” แล้วก็ชี้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์อีก “พวกเจ้าตามข้าออกไปสักรอบ”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มองไปที่อวิ๋นจือชิว นางรู้ว่าเหมียวอี้ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับทั้งสอง จึงพยักหน้าอนุญาต ทั้งสองถึงได้เดินตามออกไป

“พวกเจ้าทำสายตาอะไรของพวกเจ้า นี่มันท่าทีอะไรกัน ไปยืนตรงไหนแล้ว? ยังมาบอกว่าข้าไม่เหมือนอีก ถ้าพวกเจ้าเป็นแบบนี้ ต่อให้ข้าเหมือนแต่ก็จะแสดงไม่เนียนแล้ว มองข้าให้เป็นนางสิ ให้ข้าเป็นเถ้าแก่เนี้ย เข้าใจมั้ย…” เสียงตำหนิของเฝิ่นเอ๋อร์ดังมาตลอดทาง อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะเอามือลูบหน้าผากที่ขาวเกลี้ยงเกลาของตัวเอง นางปวดหัวนิดหน่อย ทำไมรู้สึกว่าปีศาจจิ้งจอกเชื่อไม่ค่อยได้ เหมียวอี้อย่าเอาจิ้งจอกตัวนี้มาทำเรื่องแบบนี้ได้มั้ย?

ทว่าจนป่านนี้แล้ว ไม่ได้ก็ต้องได้ ทำได้เพียงเชื่อมั่นในการเตรียมพร้อมของเหมียวอี้ แต่ก็ยังปวดหัวที่เหมียวอี้มักจะทำเรื่องอันตรายน่าหวาดเสียวแบบนี้อยู่บ่อบๆ ทำเหมือนเล่นแบบนี้จนชินแล้ว ไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องบางหรือไง?

เมื่อเห็น ‘อวิ๋นจือชิว’ โผล่หน้ามา ผู้เฒ่าฟ่าน ช่างไม้ ช่างหินและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหลังก็มองมาพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดวนเวียนกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าอวิ๋นจือชิวจะไปทำอะไรที่โถงด้านหน้า อดไม่ได้ที่จะเดินตามหลังไปเงียบๆ

พอมาถึงโถงใหญ่ในร้านค้าแล้ว ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็นำเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ออกไปที่ประตูใหญ่โดยตรง

ทหารที่เฝ้าประตูหันกลับมามองแวบหนึ่ง หัวหน้าทหารที่แซ่คังกุมหมัดคารวะพร้อมขวางไว้ “ผู้จัดการร้านจะไปที่ไหนขอรับ?”

อวิ๋นจือชิว’ ในวันนี้ดูเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดี เป็นเพราะเฝิ่นเอ๋อร์ก็รู้เช่นกันว่าตัวเองกับอวิ๋นจือชิวมีสง่าราศีเหมือนกัน จึงทำหน้าตึงไม่แสดงความรู้สึกอะไร “จะออกไปนอกเมืองสักรอบ”

คังชะงักทันที แล้วเงยหน้ากล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ผู้จัดการร้าน เรื่องมงคลกำลังจะมาถึงแล้ว ท่านหัวหน้าภาคเคยกำชับไว้แล้ว ว่าห้ามให้เกิดเรื่องกับผู้จัดการร้านเด็ดขาด พวกเราไม่กล้าขัดคำสั่งหรอก ผู้จัดการร้านมีธุระอะไรก็สั่งให้พวกเราไปจัดการแทนได้เลย” เขาพูดจาสุภาพเกรงใจ ไม่กล้าล่วงเกินตรงๆ

อวิ๋นจือชิว’ บอกว่า “ตระกูลสามีคนเก่าของข้าส่งส่งคนมาถึงนอกเมืองแล้ว นำสัญญาของกิจการมาให้ข้าเพื่อนำติดตัวไปด้วยยามแต่งงาน ข้าจะไปรับไว้ไม่ได้เหรอ?”

คังกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “แบบนั้นก็ยิ่งจัดการง่ายแล้ว อยู่ที่ไหน ข้าจะส่งคงไปเอาให้”

เพี้ยะ! ‘อวิ๋นจือชิว’ ลงมืออย่างกะทันหัน ตบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรงจนเกิดเสียงดังฟังชัด ทำให้คังโดนตบจนเหม่อไปเลย

คังเบิกตากว้าง กดฝักกระบี่ที่เอวโดยจิตใต้สำนึก ลูกน้องที่อยู่ทางฝั่งซ้ายและขวากดอาวุธเอาไว้เช่นกัน ทำสีหน้าเหมือนลูกผู้ชายฆ่าได้แต่หยามไม่ได้! แต่ไม่นานก็นึกขึ้นได้ถึงฐานะของผู้หญิงคนนี้ แต่ละคนจึงกล้าโกรธแต่ต้องข่มอารมณ์เอาไว้

ผู้เฒ่าฟ่าน ช่างไม้และคนอื่นๆ พูดไม่ออก พบว่าวันนี้ฮูหยินมีลักษณะไม่เหมือนเดิม

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ค่อนข้างตกใจเช่นกัน ในใจแอบปาดเหงื่อ จิ้งจอกตัวนี้เล่นบ้าอะไรกัน?

คังทำหน้านิ่ง เรื่องที่เขาประสบในวันนี้จะกลายเป็นเรื่องให้เพื่อนร่วมงานหัวเราะเยาะแน่นอน จึงถามเสียงต่ำว่า “ผู้จัดการร้าน ท่านทำเกินไปหรือเปล่า?”

อวิ๋นจือชิว’ กล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “ถึงคราวที่เจ้าจะมาตัดสินใจแทนแล้วเหรอ? ครอบครัวสามีเก่าข้าไม่อยกาเข้าเมือง ที่สำคัญเป็นเพราะไม่อยากเข้ามารับความอัปยศในนี้ สัญญาทางธุรกิจไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อย ใครจะรู้ว่าพวกเจ้ามือเท้าสะอาดรึเปล่า ทางนั้นไม่อยากให้เงินก้อนใหญ่ขนาดนี้อยู่ในมือคนนอก มีแต่ต้องให้ข้าไปรับด้วยตัวเองเท่านั้น ถ้าพวกเจ้าไม่วางใจ…” นางหันกลับมามองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์พร้อมบอกว่า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวข้าไปคนเดียว!” นางหันกลับมาบอกอีกครั้งว่า “อยู่ที่ประตูเมืองนี่เอง ไปประเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวก็กลับ พวกเจ้ายกโขยงคุมตัวข้าไปเยอะขนาดนี้ ยังมีอะไรไม่วางใจอีก? ถ้ายังไม่วางใจ ก็ไปถามฉู่จื่อซานตอนนี้เลย ถามว่าเขาจะตอบตกลงหรือไม่ตกลง ถ้าเขาไม่ตกลง สินเดิมเจ้าสาวพวกนี้ข้าไม่เอาแล้วก็ได้!”

คังเม้มริมฝีปากแน่น หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับฉู่จื่อซานแล้ว

ฉู่จื่อซานที่กำลังอยู่ระหว่างทางได้ข่าวแล้วก็รีบถามรายละเอียดทันที เมื่อได้รู้ว่าอยู่แค่ตรงประตู ทั้งยังมีคนมากมายคุมตัวอวิ๋นจือชิวแค่คนเดียว ทั้งยังมีตัวประกันอยู่ที่หออวิ๋นฮว๋าด้วย ตรงประตูตลาดจะมีคนกล้าก่อความวุ่นวายเชียวเหรอ สินเดิมเจ้าสาวจำนวนมาก? เป็นเรื่องดีนนะนั่น! ถ้าไม่เอาก็เสียของสิ แต่ก็ยังเตือนให้ระวังตัว อย่าให้คนอื่นชิงตัวอวิ๋นจือชิวไป!

พอคังเก็บระฆังดาราแล้วก็หลีกทางให้ ยื่นมือเชิญด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “เชิญ!”

อวิ๋นจือชิว’ พลิกมือนำหมวกมุ้งมาสวมปิดบังใบหน้า แล้วเดินไปข้างนอก

“เถ้าแก่เนี้ย!” พวกช่างไม้ค่อนข้างร้อนใจ ก้าวไปข้างหน้าเตรียมจะตามไป แล้วก็ถูกเสวี่ยเอ๋อร์ยื่นมือขวางไว้

“ถอยไปให้หมด!” เชียนเอ๋อร์เกลี้ยกล่อม หันตัวมาบอกว่า “รอฮูหยินกลับมาก็พอ”

พวกช่างไม้หันกลับมามอง เห็นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สีหน้าใจเย็น ดูไม่กังวลเลยสักนิด แต่ก็รู้ว่าการที่ทั้งสองทำแบบนี้จะต้องมีเหตุผลแน่นอน ถึงได้ข่มความสงสัยในใจเอาไว้

พอออกจากประตูเมืองทางทิศใต้ ‘อวิ๋นจือชิว’ ที่ถูกทหารหลายร้อยควบคุมตัวก็ยืนอยู่นอกเมืองและหันมองไปรอบๆ พอเหลือบไปทางซ้ายก็เห็นว่าตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ไกลๆ ประมาณร้อยจั้งมีคนคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีดำและปิดบังใบหน้ายืนอยู่ ยืนเงียบอยู่ตรงนั้นคนเดียว

อวิ๋นจือชิว’ เดินไปทางนั้นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว คังที่ตามติดอยู่ข้างกายส่งสัญญาณมือ ทำให้มีคนสิบกว่าคนเหาะเข้าไปถืออาวุธล้อมคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ทันที ถึงขั้นหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายคันขึ้นมาเตรียมพร้อมป้องกันแล้วด้วย

…………………………

โรงเตี๊ยมเรือนรับแขกวุ่นวายจนนกบินสุนัขกระโดด นี่ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เปลี่ยนผลที่ตามมาไม่ได้ กลุ่มพนักงานโรงเตี๊ยมที่โดนซ้อมจนหน้าปูดหน้าเขียวยืนยันอีกครั้งว่ายังไม่มีใครออกไป แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ทำไมโจรราคะเจียงอีอีถึงหายไปในอากาศได้ล่ะ

ถ้าจะบอกว่าเจียงอีอีโดนกำลังทหารบุกเข้ามาทำให้ตกใจและหนีไปจริงๆ แต่ก็น่าจะหนีออกจากตลาดสวรรค์ไม่ทัน เพราะประตูเมืองทั้งสี่ถูกปิดแล้ว พอเย่อี้ออกคำสั่ง คนของตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนก็เริ่มแตกตื่นเป็นนกบินสุนัขกระโดด ตรวจสอบทุกคนในเมืองแบบครอบคลุมแล้ว

เย่อี้เองก็ไม่อยากทำอย่างนี้ การตรวจสอบให้รอบด้านทั้งตลาดสวรรค์จะเป็นการล่วงเกินคนอื่นได้ง่ายเกินไป มีร้านไหนบ้างที่ไม่มีความลับ ถ้าไปตรวจสอบคนอื่นแบบทุกซอกทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่สบอารมณ์ทั้งนั้น มิหนำซ้ำการไปตัดลูกค้าคนอื่นก็จะส่งผลต่อธุรกิจ ใครจะไปรู้ล่ะว่าต้องปิดตลาดสวรรค์ไว้นานแค่ไหนกว่าจะจับตัวคนร้ายได้? ถ้าไม่มีคำสั่งจากเบื้องบนก็ค้ำให้ การที่ตัวเองสั่งให้ทำเรื่องแบบนี้ ก็ไม่มีทางยืนหยัดทำต่อเนื่องได้นาน

แต่ถ้าจะไม่แสร้งทำเป็นขยันทำงานแบบนี้ก็ไม่ได้ การปล่อยให้เจียงอีอีหนีไปจะต้องทำให้คนมากมายไม่พอใจแน่นอน ดังนั้นจะต้องควบคุมระดับการตรวจสอบแบบรอบด้านให้ดี เบื้องหลังของร้านค้าบางร้านไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว ทำแบบนี้ก็พอแล้ว

ยกตัวอย่างเช่นหออวิ๋นฮว๋า ฉู่จื่อซานส่งคนมาเฝ้าจับตาดูแล้ว ขณะที่กำลังพลดุร้ายกลุ่มหนึ่งกำลังจะบุกเข้าไปตรวจสอบ ก็มีชายวัยกลางคนที่ปลอมตัวสองคนมาขวางประตูไว้ทันที หนึ่งในนั้นถามว่า  “สหายหาน เจ้าทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”

ผู้นำกลุ่มที่ถูกเรียกว่าสหายหานเงยหน้ามอง อดไม่ได้ที่จะตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “สหายคัง ข้าก็ได้รับคำสั่งมาให้ทำงานเหมือนกัน จับตัวนักโทษหลบหนี”

ทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน ลูกน้องที่ฉู่จื่อซานส่งมาทำงานที่ตลาดสวรรค์ได้บอกกับทางตำหนักคุ้มเมืองตลาดสวรรค์แล้ว ฝั่งนี้ก็รู้เช่นกันว่าเถ้าแก่เนี้ยคนสวยกำลังจะถูกท่านหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงรับไปเป็นอนุภรรยา

คังแสยะหัวเราะ “พวกเราจับตาดูอยู่ที่นี่ทุกวัน ที่นี่จะมีนักโทษหลบหนีได้ยังไง สหายหาน นี่เจ้าจะไม่ไว้หน้าท่านหัวหน้าภาคเหรอ?”

หานเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “สหายคังไม่ต้องห่วง ข้ารู้ว่าต้องทำยังไง ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจเหมือนกัน”

เมื่อได้ยินดังนั้น สองคนที่เฝ้าประตูอยู่ก็หลีกทางให้แล้ว หานหันกลับมาส่งสายตาให้พวกลูกน้อง พอโบกมือ พวกลูกน้องก็พุ่งเข้าไปทันที ส่วนหานก็รออยู่ตรงประตู หันไปมองในร้านแวบหนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “สหายคัง ท่านหัวหน้าภาคของพวกเจ้าจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ชื่ออวิ๋นจือชิวจริงเหรอ?”

“ขนาดข้ายังโดนส่งมาเฝ้าที่นี่เลย จะเป็นเรื่องโกหกได้ยังไง?” คังตอบ

“จุจุ ไปแตะต้องผู้หญิงคนนี้ ท่านหัวหน้าภาคของพวกเจ้าไม่กลัวจะมีเรื่องเหรอ?” หานถาม

คังจึงบอกว่า “เต็มใจกันทั้งสองฝ่าย จะมีปัญหาอะไรได้?”

“เต็มใจทั้งสองฝ่ายเหรอ? แบบนี้ก็เยี่ยม! ไม่ต้องพูดถึงหน้าตาของผู้หญิงคนนี้เลย โดยเฉพาะเรือนร่างนั่น เรียกได้ว่าเป็นดาวยั่ว จะพูดสิ่งที่ขัดหูให้ฟังนะ ตอนที่ผู้หญิงคนนี้เพิ่งมา ที่ตลาดสวรรค์ก็มีคนจับจ้องแล้ว แต่หลังจากได้รู้ที่มาที่ไปของผู้หญิงคนนี้ รู้ว่านางเคยเป็นผู้หญิงที่หนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนเคยชอบ ที่ตลาดสวรรค์ก็ไม่มีใครคิดอยากได้นางอีก” หานบอก

ถ้าวิจารณ์ความงามของอวิ๋นจือชิวแบบเปิดเผย บอกว่าเป็นดาวยั่วอะไรทำนองนั้น คังจะต้องแตกคอกับเขาแน่นอน ถึงอย่างไรก็กำลังจะกลายเป็นผู้หญิงของท่านหัวหน้าภาคของตัวเองแล้ว แต่ถ้าแอบพูดเงียบๆ ไม่มีใครได้ยินก็ไม่เป็นไป คนที่วิจารณ์หน้าตาราชินีสวรรค์ลับหลังก็ใช่ว่าจะไม่มี พูดกันส่วนตัวก็ไม่สร้างผลกระทบอะไร

คังบอกว่า “ไม่ได้แต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อเสียหน่อย ไม่ใช่ผู้หญิงของหนิวโหย่วเต๋อด้วย สองคนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน ทำไมจะแต่งงานไม่ได้ล่ะ? แล้วอีกอย่างนะ ท่านหัวหน้าภาคของเราจำเป็นต้องกลัวหนิวโหย่วเต๋อด้วยเหรอ? ถ้าพูดถึงระดับตำแหน่ง ท่านหัวหน้าภาคของเราเป็นผู้บังคับบัญชาของเขานะ ถ้าพูดถึงกำลังพล เขาก็เทียบท่านหัวหน้าภาคของพวกเราไม่ติดหรอก”

หานหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “นั่นก็ใช่ แต่ตอนที่หนิวอยู่เต๋ออยู่ที่ตลาดสวรรค์ ชื่อเสียงก็โด่งดังจริงๆ ถ้าพวกเราไม่ไปยั่วโมโหได้ก็จะดี”

คังกล่าวอย่างรู้สึกขำ “สงสัยเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อล้างเลือดตลาดสวรรค์จะทำให้พวกเจ้าตกใจแล้วสินะ ทำไม? พวกเจ้ากลัวว่าเขาจะนำทัพมาล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์ของพวกเจ้ารึไง?”

หานถอนหายใจแล้วบอกว่า  “เจ้าไม่ต้องพูดถึงเลย ข้ากังวลเรื่องนี้จริงๆ! คนอื่นอาจจะไม่กล้า แต่เจ้าบ้านั่นเลื่องชื่ออยู่ในระบบของตลาดสวรรค์ ข้าได้ยินว่าตอนแรกที่หนิวโหย่วเต๋อออกจากดาวเทียนหยวน กลุ่มพ่อค้าก็ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย กระโดดโลดเต้นดีใจกันใหญ่ ใครจะคิดว่าพอเขาไปที่กองทัพองครักษ์แล้ว ยังกล้าย้อนกลับมาเล่นงานอีก นำทัพใหญ่มาล้อมตลาดสวรรค์เอาไว้แล้วขูดรีดเงินทอง แบบนี้ต้องกำเริบเสิบสานถึงขั้นไหนกัน ถ้าเจ้าบ้านั่นกับอวิ๋นจือชิวคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกันจริงๆ…คิดว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่เจ้าบ้านั่นทำไม่ได้? เจ้านั่นมันกล้าตบหน้าอ๋องสวรรค์อิ๋งเชียวนะ กล้าก่อเรื่องในงานพิธีรับสนมของราชันสวรรค์ เขาลงมือที่ตลาดสวรรค์ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง ใครจะกล้ารับประกันว่าจะไม่มีอีกครั้ง ก่อเรื่องเพื่อผู้หญิงคนเดียวนั้นไม่คุ้มค่าหรอกนะ”

คังหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “สงสัยตลาดสวรรค์จะจดจำหนิวโหย่วเต๋อได้อย่างลึกซึ้งตราตรึงใจจริงๆ!”

คุยได้ครู่เดียว แม้แต่ร้านค้าที่อยู่ข้างหลังก็ไม่ได้เข้าไป กำลังพลที่ตรวจสอบแค่ไปเดินวนในโถงใหญ่สองสามรอบพอเป็นพิธี แล้วก็ออกมาโดยแทบจะไม่ได้ล่วงเกินอะไรเลยด้วยซ้ำ

คังกุมหมัดคารวะขอบคุณที่อีกฝ่ายไว้หน้า หลังจากมองส่งหานนำคนไปตรวจค้นร้านถัดไป ทั้งสองก็หลีกทางและไปดื่มน้ำชาที่ร้านน้ำชาข้างๆ เหมือนเดิม

“ด้านนอกเกิดอะไรขึ้น?”

ที่ลานบ้านด้านหลัง อวิ๋นจือชิวที่เดินลงมาข้างล่างได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงเอ่ยถาม

“ให้ช่างไม้ไปสืบแล้วค่ะ” เชียนเอ๋อร์เข้ามาตอบนาง

เพิ่งจะพูดจบ ช่างไม้ก็กลับมาจากข้างนอกแล้ว หลังจากทำความเคารพ ก็รายงานว่า “เถ้าแก่เนี้ย ได้ยินว่าโจรราคะเจียงอีอีปรากฏตัวที่โรงเตี๊ยมเรือนรับแขกเขตเมืองเหนือ ขนาดล้อมโรงเตี๊ยมเอาไว้ยังปล่อยให้เขาหนีไปได้ ตอนนี้กำลังตรวจค้นร้านค้าทั่วทั้งเมือง เมื่อครู่นี้ก็เพิ่งมาตรวจที่ร้านค้าพวกเรา แต่พวกที่เฝ้าอยู่ด้านนอกกันไว้ให้ ก็เลยตรวจพอเป็นพิธีนิดหน่อยแล้วก็ไปแล้ว”

“โจรราคะเจียงอีอี?” อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วพึมพำ จากนั้นก็พยักหน้าทันที “เข้าใจแล้ว”

ช่างไม้ขอตัวลา อวิ๋นจือชิวที่ขมวดคิ้วมุ่นเดินเข้าไปนั่งในศาลาที่ลานบ้านด้านหลัง

เมื่อเห็นนางขมวดคิ้วมุ่นไม่คลาย เชียนเอ๋อร์ก็เลยถาม “ฮูหยิน เป็นอะไรไปคะ?”

“จู่ๆ ก็มีความเคลื่อนไหวในเวลานี้ คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับหนิวเอ้อร์หรอกใช่มั้ย?” อวิ๋นจือชิวถามอย่างลังเล

“นายท่านจะไปเป็นพวกเดียวกับโจรราคะเจียงอีอีได้ยังไงคะ?” เสวี่ยเอ๋อร์ยิ้ม

อวิ๋นจือชิวคิดไปคิดมาเห็นด้วย นางเลิกขมวดคิ้ว แล้วส่ายหน้าถอนหายใจ “จนป่านนี้แล้ว เจ้าผีนั่นเงียบสงบเกินไป ไม่เหมือนลักษณะของเขา ช่วงนี้ข้ากลัดกลุ้มกังวลใจ พอได้ยินเสียงลมพัดใบหญ้าแค่นิดเดียวก็จะคิดเชื่อมโยงไปถึงเขา ก็ได้ รอก็แล้วกัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าผีนั่นจะใจกว้างขนาดนั้น จะเอาแต่ดูข้าโดนผู้ชายคนอื่นเอาไปครอบครองเฉยๆ เหรอ…เฮ้อ! เจ้านั่นคิดอะไรอยู่กันแน่? ในใจข้าคิดฟุ้งซ่านไปหมดแล้ว”

น่านฟ้าระกาติง จวนหัวหน้าภาค ในตึกศาลาที่งดงาม ฉู่จื่อซานกำลังเอามือไขว้หลังยืนพิงรั้วมองประเมินทิวทัศน์อันงดงามที่ประดับตกแต่งใหม่ในจวน สีหน้าสุขใจร่าเริง รสชาติของการเป็นเจ้าอาณาเขตทำให้ทัศนคติของเขาค่อนข้างโอหังเย่อหยิ่ง

อยู่ที่กองทัพองครักษ์มาหลายปี แทบจะย้ายไปทางนั้นทีทางนี้ทีตลอดมา จะเหมือนตอนนี้ได้อย่างไร ได้เสพสุขกับบ้านสวยๆ ได้หญิงงงามให้กอดซ้ายกอดขวา ตอนอยู่ที่กองทัพองครักษ์ คนในครอบครัวติดตามกองทัพไปด้วยตลอดไม่สะดวกเท่าไร เพื่อที่จะลดความยุ่งยาก เขาก็เลยยังไม่แต่งงาน แต่หลังจากถูกย้ายมาที่นี่แล้ว เขาก็แต่งงานรับหญิงงามมาเป็นอนุภรรยาติดต่อกันสองคน เรียกได้ว่าใช้ชีวิตอย่างชุ่มชื่นชุ่มฉ่ำ

พอเห็นเรือนพักตรงมุมตะวันออกที่ตกแต่งใหม่ พอนึกขึ้นได้ว่าสาวงามยั่วราคะกำลังจะมาอยู่ที่นั่น ฉู่จื่อซานก็รู้สึกเร่าร้อนในใจ อนุภรรยาสองคนในบ้านของเขา จะว่าสวยก็สวยอยู่หรอก แต่ไม่ได้มีรสชาติที่ยอดเยี่ยมเหมือนอวิ๋นจือชิว จะพูดว่ายังไงดีล่ะ เสน่ห์ของผู้หญิงคนนั้นเกิดจากการรวมกันของความดิบเถื่อน สง่างามภูมิฐาน ออดอ้อนเย้าย้วน ประสบการณ์และเสน่ห์ทางเพศ อากัปกิริยาของนางเผยลักษณะที่สูงส่งให้เห็นรางๆ ตามหลักการแล้ว ลักษณะแบบนั้นจะเกิดขึ้นจากการเติบโตในสภาพแวดล้อมที่อยู่เหนือผู้อื่นมาเป็นเวลานาน เป็นสิ่งที่แช่อยู่ในกระดูกสันดานตั้งแต่เด็ก ยากจะลบทิ้งได้ น้อยคนนักที่จะสามารถบ่มเพาะสง่าราศีได้เหนือกว่านาง ขนาดคนในตระกูลขุนนางชนชั้นสูงของตำหนักสวรรค์ที่เขาเคยเจอยังไม่มีลักษณะแบบนั้นเลย เพราะขุนนางพวกนั้นมีเบื้องบนข่มอยู่ แต่เขาก็เคยเห็นฮ่องเต้ในโลกมนุษย์มาก่อน แต่ลักษณะท่าทางแบบอวิ๋นจือชิวนั้นพบเห็นได้น้อยมาก อย่าบอกนะว่ามีพื้นเพเป็นองค์หญิงในราชสำนักของโลกมนุษย์? เสน่ห์ต่างๆ รวมกันอยู่บนเรือนร่างที่ยั่วกามตัณหา ขนาดฉู่จื่อซานยังรู้สึกว่าหายากเลย มีพื้นเพมาจากครอบครัวแบบไหนกัน ถึงได้หล่อหลอมเสน่ห์มากมายไว้บนตัวผู้หญิงคนหนึ่งได้? เป็นของหายากจริงๆ!

เอาเป็นว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นอวิ๋นจือชิว เขาก็ใจสั่นหวั่นไหวแล้ว ทำให้เขารู้สึกปรารถนาอยากครอบครองรุนแรงขึ้นไปอีก!

แม่ทัพสวมเกราะม่วงคนหนึ่งเดินก้าวยาวเข้ามา ในจวนแห่งนี้ ฉู่จื่อซานสานต่อลักษณะของกองทัพองครักษ์ ในยามปกติทหารจะสวมเกราะรบไว้ตลอดเวลา

แม่ทัพมาข้างหลังเขาแล้วกุมหมัดคารวะ “ท่านหัวหน้าภาค ทางดาวจิ่วหวนมีเรื่องนิดหน่อย…” เขารายงานข่าวให้ฟังคร่าวๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเจียงอีอี

“ปิดตลาดสวรรค์แล้วเหรอ?” ฉู่จื่อซานพลันหันตัวมา เจียงอีอีอะไรนั่นเขาไม่สนใจหรอก เขาขมวดคิ้วบอกว่า “รู้อยู่แท้ๆ ว่าอีกไม่กี่วันจะถึงงานแต่งงานของข้าแล้ว ตอนนี้มาปิดตลาดสวรรค์งั้นเหรอ เย่อี้กำลังเล่นบ้าอะไร? จงใจจะสร้างโจทย์ยากให้ข้างั้นเหรอ?” เขารอมาเกือบครึ่งปีแล้ว ไม่กี่วันมานี้คิดแต่เรื่องงดงามเรื่องนั้นตลอด ไม่ได้แตะต้องอนุภรรยาที่เหลือเลย รวบรวมกำลังวังชาเพื่อรอวันนั้น เขาไม่อยากจะรออีกแม้แต่วันเดียว

แม่ทัพตอบว่า “ข้าเองก็ถามไปแบบนี้ เย่อี้ตอบว่า ถ้าไม่ทำอะไรสักหน่อยจะแก้ตัวกับเบื้องบนไม่ได้ขอรับ จะปล่อยให้ตลาดสวรรค์มีนักโทษหลบหนีโผล่มาแต่เขากลับไม่สนใจไม่ได้ เขาบอกว่าให้นายท่านวางใจได้ ไม่ว่าจะจับคนร้ายได้หรือไม่ แต่อย่างมากก็จะเปิดตลาดสวรรค์อีกภายในสามวันแน่นอน ไม่รบกวนงานแต่งงานที่จะเกิดขึ้นอีกห้าวันหลังจากนี้”

แบบนี้ก็ค่อยยังชั่ว! ฉู่จื่อซานพยักหน้า แล้วก็ช่วยพูดด้วยว่า “ลำบากเขาแล้วเช่นกัน สถานที่เส็งเคร็งอย่างตลาดสวรรค์เป็นแหล่งรวมกิจการของขุนนางใหญ่ๆ ในตำหนักสวรรค์ไม่น้อยเลย ไปล่วงเกินไม่ได้ แต่พอเจอเรื่องแบบนี้ จะไม่จัดการก็ไม่ได้อีก เขาเองก็ต้องรายงานเบื้องบนเหมือนกัน ช่างเถอะ อย่าไปทำให้เขาลำบากเลย”

ก็เป็นอย่างที่บอกจริง หลังจากนั้นสามวัน การเคลื่อนไหวของตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนทำให้คนแตกตื่นก็หยุดลงแล้ว ประตูเมืองทั้งสี่ที่ปิดไว้ก็เปิดแล้ว ส่วนโจรราคะเจียงอีอีก็ยังไม่ถูกจับเหมือนอย่างเคย ไม่ใช่ว่าตลาดสวรรค์ไร้ความสามารถ แต่เป็นเพราะโจรราคะนั่นขึ้นชื่อเรื่องจับตัวยาก ที่นี่ทำพลาดก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

วันต่อมา จวนหัวหน้าภาค ฉู่จื่อซานนำกำลังพลกลุ่มใหญ่ออกเดินทางแล้ว ออกเดินทางล่วงหน้าหนึ่งวัน สาเหตุแรกเป็นเพราะระหว่างนั้นยังมีขั้นตอนอีก สาเหตุรองเป็นเพราะทางนี้นำของมาให้อวิ๋นจือชิวหวีผมแต่งตัวด้วย ใครใช้ให้ฝั่งอวิ๋นจือชิวไม่ให้ความร่วมมือล่ะ และทางตลาดสวรรค์ก็ยังมีพบปะสังสรรค์อยู่บ้าง ไม่มาล่วงหน้าไม่ได้หรอก

บนภูเขาที่อยู่ไกลๆ จงหลีค่วยมองตามฉู่จื่อซานนำคนออกเดินทางไป แล้วหยิบระฆังดาราออกมา ม่รู้ว่าติดต่อไปทางไหน

ดาวจิ่วหวน ตลาดสวรรค์ สตรีวัยกลางคนหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งปรากฏตัวที่มุมถนน นางเดินไปนอกประตูหออวิ๋นฮว๋า แต่กลับโดนทหารสวรรค์ที่สวมเกราะรบกลุ่มหนึ่งขวางไว้

“หออวิ๋นฮว๋าหยุดการค้าขายชั่วคราว ไปร้านอื่น!” ทหารที่เป็นหัวหน้าโบกมือตะโกน พรุ่งนี้จะเป็นวันมงคลแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิด ฝั่งนี้ช่วยตัดสินใจหยุดกิจการชั่วคราวให้หออวิ๋นฮว๋าแล้ว หลังจากแน่ใจว่าอวิ๋นจือชิวยังอยู่ข้างใน ก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกอีก!

…………………………

ดาวจิ่วหวน ตลาดสวรรค์ หออวิ๋นฮว๋า ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นของอวิ๋นจือชิวกำลังเดินเนิบนาบอยู่ท่ามกลางแปลงดอกไม้ ยกมือลูบกลีบดอกไม้เบาๆ แต่งหน้าสุภาพทว่าเย้ายวน สีหน้าซึมเศร้าเล็กน้อย ความรู้หราสง่างามของนาง ท่าทางชดช้อยมีเสน่ห์ของนาง บนเรือนร่างสวยหยาดเยิ้มเผยเสน่ห์เย้าย้วนใจ เป็นผู้หญิงที่หาพบได้ยากของแท้

เชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์เดินตามอยู่ข้างๆ หลังจากนางหยุดยืนเงียบๆ อยู่หน้าดอกไม้ดอกใหญ่อยู่นานมาก เสวี่ยเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะถามเบาๆ ว่า “ฮูหยิน! ใกล้จะถึงวันที่ฉู่จื่อซานจะมาแต่งงานกับท่านแล้ว ทำไมนายท่านยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยล่ะ?”

เชียนเอ๋อร์ก็มีสีหน้ากังวลเช่นกัน ถามว่า “ฮูหยิน หรือว่านายท่านจะติดธุระเรื่องอะไร?”

อวิ๋นจือชิวที่ใช้นิ้วลูบไล้กลีบดอกไม้อย่างอาลัยอาวรณ์ยิ้มเจื่อน “ครั้งนี้เขาโมโหมาก ข้าถามอะไรเขาก็ไม่บอกเลย บอกให้ข้ารออยู่ที่นี่อย่างซื่อสัตย์ ไม่ต้องยุ่งอะไรทั้งนั้น ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะใช้วิธีเผด็จการกับข้าแล้ว กลับไปคอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเขายังไง…เฮ้อ! ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์แบบนั้นของเขา ทำเอาข้าอกสั่นขวัญแขวนตั้งแต่เช้ายันค่ำ”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง ทั้งสองก็กังวลเช่นเดียวกัน

ตลาดสวรรค์ประตูเมืองเขตเหนือ ชายชุดคลุมดำที่ปิดบังใบหน้าคนหนึ่งกำลังเดินเบาๆ อย่างสบายใจ เดินเข้ามาในเมืองแล้ว

เขาเดินเท้าอยู่บนถนนที่เจรญรุ่งเรืองตลอดทาง ชายคนนี้เหมือนจะไม่สนใจสินค้าอะไรที่อยู่ข้างทาง เพียงเดินไปข้างหน้าเงียบๆ ใบหน้าถูกปิดบังอยู่ภายใต้หมวกงอบ

นอกโรงเตี๊ยม ‘เรือนรับแขก’ ชายชุดคลุมดำหยุดฝีเท้า หันตัวมาช้าๆ แล้วเดินเข้าไป ย่อมมีคนงานออกมาต้อนรับ

เมื่อจ่ายเงินตรงโต๊ะคิดเงินแล้ว คนงานก็นำชายชุดคลุมดำขึ้นไปบนตึก ส่งเข้าไปในห้องพักแขก

คนที่ถอยออกมาและกำลังปิดประตูชำเลืองมองเงาหลังของชายชุดคลุมดำสองครั้ง พึมพำในใจว่า ทำไมรู้สึกว่าคนคนนี้แปลกจัง

คนงานลงมาจากตึก การต้อนรับแลพส่งแขกในโรงเตี๊ยมยังคงเหมือนเดิม

บนตึกมีชายชราคนหนึ่งเดินลงมาอีก เดินตัวสั่นโยกเยกไปคืนห้องและจ่ายเงินตรงโต๊ะคิดเงิน ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหวงเสี้ยวเทียนเพื่อนซี้ของสวีถังหรานนั่นเอง

ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเขา ทว่าเขากลับฉวยโอกาสตอนที่ผู้จัดการโรงเตี๊ยมพลิกดูสมุดบัญชีเหลียวซ้ายแลขวา หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครจับตาดู เขาก็หมอบบนโต๊ะยาวแล้วถ่ายทอดเสียงบอกผู้จัดการว่า “ข้าว่านะผู้จัดการร้าน เห็นเพิ่งเห็นโรงเตี๊ยมของพวกท่านมีคนมาใหม่คนหนึ่ง ทำไมหน้าตาเหมือนเจียงอีอี นักโทษหลบหนีของตำหนักสวรรค์ล่ะ? ข้าว่าโรงเตี๊ยมของพวกเจ้าคงไม่ได้ซ่อนผู้ร้ายหลบหนีของตำหนักสวรรค์ไว้ใช่มั้ย?”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ผู้จัดการร้านก็ตกใจจนมือค้าง เจียงอีอีเป็นใครล่ะ? นั่นไม่ใช่นักโทษหลบหนีธรรมดานะ นั่นคือโจรราคะผู้เลื่องชื่อ ลงมือกับภรรยาของขุนนางตำหนักสวรรค์โดยเฉพาะ ถ้าคนแบบนี้เข้าไปอยู่ในตลาดสวรรค์ อย่าว่าแต่ขุนนางชั้นชั้นสูงในตลาดสวรรค์จะเป็นกังวลเลย ถ้าปล่อยให้โจรมาซ่อนในโรงเตี๊ยมของตัวเอง เดี๋ยวต่อไปตลาดสวรรค์จะต้องมาเล่นงานเจ้าของโรงเตี๊ยมตายแน่

ผู้จัดการร้านเบิกตากว้าง “ท่านลูกค้า จะมาพูดซี้ซั้วไม่ได้นะ?”

หวงเสี้ยวเทียนยักไหล่ “ช่างเถอะ ข้าก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ข้าเคยเห็นเจียงอีอีมาก่อน คนที่เพิ่งเจอเมื่อครู่นี้เหมือนจริงๆ เพียงแต่ปิดบังใบหน้าก็เลยเห็นไม่ชัดเจน ไม่กล้ายืนยันเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไปรายงานขุนนางเพื่อรับรางวัลตั้งนานแล้ว”

เมื่อจ่ายเงินเสร็จ เขาก็เดินสั่นหัวออกไปแล้ว เดินออกจากเมืองไปเลย

ผู้จัดการร้านที่นั่งอยู่หลังโต๊ะคิดเงินกลับใจลอยนิดหน่อย แขกที่เพิ่งมาโรงเตี๊ยมเหรอ? เขานึกถึงผู้ชายที่สวมชุดคลุมทั้งตัวและปิดหน้าปิดตา ตอนนี้พอนึกขึ้นได้ก็รู้สึกว่าน่าสงสัยจริงๆ คงไม่ใช่โจรราคะเจียงอีอีจริงๆ หรอกใช่มั้ย?

สุดท้ายเขาก็นั่งไม่ติดที่แล้ว เดินอ้อมโต๊ะคิดเงินออกมา เรียกพนักงานคนก่อนหน้านี้มากำชับอะไรบางอย่าง พนักงานพยักหน้า แล้วก็รีบยกน้ำชาขึ้นไปบนตึก

พนักงานเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องแขกที่เพิ่งจะเข้าไป ปรับอารมณ์อยู่สักครู่หนึ่ง จากนั้นก็เคาะประตู

“ใคร?” ในห้องมีเสียงทุ่มต่ำเอ่ยถาม

พนักงานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พนักงานโรงเตี๊ยมขอรับ น้ำชาของลูกค้ามาแล้ว”

“เข้ามา” คนในห้องไม่ได้ปฏิเสธ

พนักงานเปิดประตูเข้ามา พอเข้ามาในห้อง ก็พบว่าแขกที่ปิดผ้าคลุมใบหน้าได้ถอดผ้าคลุมออกแล้ว กำลังยืนมองถนนด้านนอกผ่านซอกหน้าต่างที่แง้มเปิดไปครึ่งหนึ่ง รูปร่างสูงยาว สวมชุดคลุมขนจิ้งจอกสีขาวทั้งตัว พอหันกลับมา ก็พบว่าผ้าพันคอขนสัตว์ช่วยขับใบหน้าหล่อเหลาให้เด่น ลักษณะอ่อนโยนสง่างาม โดดเด่นไม่ธรรมดา ดูเจ้าชู้รักอิสระ

แขกคนนั้นเพียงหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วก็หันหลังให้เหมือนเดิม เหมือนจงใจจะปิดบังอะไรบางอย่าง จากนั้นกล่าวเสียงเรียบว่า “วางของไว้ก็พอแล้ว!” เห็นได้ชัดว่าไม่อยากถูกรบกวนสักเท่าไร

หลังจากพนักงานจำใบหน้านั้นได้แล้ว ก็วางน้ำชาลง แล้วออกมาจากห้องอย่างสุภาพเกรงใจ

พอพนักงานออกมา ชายหนุ่มหน้าหล่อก็รีบเดินไปปิดประตู เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวเล็กน้อย แล้วเปิดประตูเบาๆ มองดูด้านนอกอีก จากนั้นก็รีบถอดชุดคลุมตัวนอก ไม่น่าเชื่อว่าข้างในจะเป็นเครื่องแต่งกายของผู้หญิง เห็นได้ชัดว่าใบหน้ากำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลายเป็นผู้หญิงที่สวยเย้ายวนคนหนึ่งแล้ว ลักษณะเหมือนผู้หญิงจากหอนางโลมมาก

พอเปิดประตูอีกครั้ง ผู้หญิงคนนี้ก็รีบเดินออกไป

พนักงานโรงเตี๊ยมรีบเดินไปตรงหน้าโต๊ะคิดเงิน ผู้จัดการร้านหยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง ข้างในมีภาพประกาศจับกุมที่ทางการแจกมาให้ เขายื่นให้พนักงาน แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “ดูซิว่าใช่คนในนี้หรือเปล่า”

พนักงานรับมาดู ไม่นาก็เปรียบเทียบคนได้แล้ว อุทานอย่างตกใจมากว่า “ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นโจรราคะเจียงอีอีผู้โด่งดัง!”

สตรีช่างยั่วเดินลงมาจากชั้นบนและชำเลืองมองสองคนที่กำลังกระซิบกันตรงหน้าโต๊ะยาว แล้วเดินบิดเอวบางออกไป

ผู้จัดการร้านกับพนักงานสบตากันแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกขัดอะไร แขกที่โรงเตี๊ยมจะเรียกผู้หญิงจากหอนางโลมมาอยู่ด้วยก็เป็นเรื่องปกติมาก

มิหนำซ้ำตอนนี้ผู้จัดการร้านก็กำลังตกใจอยู่ เขาไม่ได้บอกพนักงานว่าให้ขึ้นไปดูใคร แต่พนักงานกลับเทียบจนรู้แล้วว่าเป็นโจรราคะเจียงอีอี สิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่ลูกค้าพูดก่อนหน้านี้เป็นความจริง โจรราคะเจียงอีอีมาที่โรงเตี๊ยมของเขาแล้วจริงๆ

“เจ้าแน่ใจนะ?” ผู้จัดการร้านถามยืนยันอีกครั้ง

พนักงานยังไม่เลิกทำสีหน้าตกใจ “ผู้จัดการร้าน ถึงแม้เขาจะหันกลับมามองข้าแวบเดียว แต่ก็เหมือนจะตั้งใจผิดบังตัวตน รีบหันหลังให้ข้าเลย แต่ข้ามองไม่ผิดแน่ คนคนนี้หน้าตาหล่อเหลา ไม่ได้มองผิดง่ายขนาดนั้น เหมือนกับคนในภาพวาดนี้เลย ทั้งยังแต่งตัวเหมือนกันทุกอย่าง ไม่ผิดพลาดแน่นอน…ถ้ามองผิดไป ท่านหักเงินค่าจ้างข้าได้เลย! ผู้จัดการร้าน เจ้าหมอนี่มาพักโรงเตี๊ยมของพวกเรา เกรงว่าจะสร้างปัญหาให้พวกเรานะ!”

“หุบปาห! ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าบอก…” ผู้จัดการร้านตำหนิเขา ในใจคิดไปคิดมาหลายตลบ ว่าจะไปแจ้งทางการดีหรือไม่

ทว่าคนที่เปิดดำเนินกิจการโรงเตี๊ยม ถ้าแจ้งความลูกค้าก็จะมีผลกระทบไม่ดีจริงๆ อีกฝ่ายมาพักอยู่ที่นี่ ขอเพียงอีกฝ่ายจ่ายเงิน ไม่ได้จ่ายให้เจ้าไม่ครบ เจ้าจะสนใจทำไมว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แล้วอีกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโรงเตี๊ยมไหน ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าลูกค้าที่มาพักเป็นคนดีหมด ใครจะไปสนว่าลูกค้าจะเป็นคนดีหรือไม่ใช่คนดี ลูกค้าไม่อยากหาที่พักนอกเมืองส่งเดช แต่ยอมจ่ายเงินเข้าเมืองมาพักในโรงเตี๊ยม ก็เพราะว่าอยากได้ความปลอดภัยไม่ใช่เหรอ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือคนเลว แต่เมื่ออีกฝ่ายอยู่ครบและออกไปแล้ว ทุกคนก็จะไม่เกี่ยวข้องกัน ต่อไปก็ไม่จำเป็นต้องไปมาหาสู่อะไรกันอีก นี่ก็คือลักษณะของโรงเตี๊ยม

แต่ประเด็นสำคัญของปัญหานี้ก็คือ มีคนค้นพบแล้ว แขกคนก่อนหน้านี้สงสัยแล้วว่าเจียงอีอีมาพักที่นี่ ทั้งยังบอกพวกเขาด้วย ถ้าเจียงอีอีคนนี้ทำผิดที่ตลาดสวรรค์จริงๆ ต่อไปถ้าแขกคนนั้นได้ยินข่าว ก็จะต้องนึกออกแน่ๆ ว่าที่แท้คนใน ‘เรือนรับแขก’ ก็เป็นเจียงอีอีจริงๆ ถ้าแขกไปบอกสิ่งนี้กับข้างนอก ว่าโรงเตี๊ยมของเขาได้รับคำเตือนแล้วแต่กลับไม่รายงาน ถ้าเจียงอีอีไปทำผิดกับผู้หญิงในครอบครัวขุนนางอีก แบบนั้นพวกขุนนางจะปล่อยเขาไปเหรอ!

ถ้าไม่มีใครสังเกตเห็น เขาก็จะปิดตาข้างเดียวแล้วปล่อยผ่านได้ แต่นี่…

หลังจากลังเลไปครู่หนึ่ง ผู้จัดการร้านก็ถ่ายทอดเสียงกำชับพนักงานว่า “ไปแจ้งพวกลูกน้อง ว่าให้ทุกคนจับตาดูห้องนั้นให้ดี ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไรให้แจ้งข้าทันที”

พนักงานพยักหน้าแล้วไปจัดการ ผู้จัดการร้านเรียกพนักงานคนหนึ่งมานั่งในโถง แล้วตัวเองกฌรีบออกจากโรงเตี๊ยมไป ไปรายงานที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือ

ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือได้ยินแล้วตกใจมาก เจียงอีอีที่มีความชั่วมหันต์น่ะเหรอ? ถ้าจับคนคนนี้ได้จริงๆ ก็เรียกได้ว่าสร้างผลงานใหญ่ชิ้นหนึ่งแล้ว เป็นเพราะเจียงอีอีล่วงเกินขุนนางไว้เยอะเกินไปจริงๆ!

ทว่าด้วยเหตุผลนี้เช่นกัน เขารู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาอีกแล้ว ถ้าปล่อยให้เจียงอีอีหนีไปได้ เขาก็จะเดือดร้อนเช่นกัน เพราะเจียงอีอีที่หนีรอดหลุดตาข่ายไปได้ทุกครั้งก็ไม่ใช่คนธรรดาเช่นกัน ขนาดใช้คนเยอะขนาดนั้นยังจับไม่ได้เลย แล้วตนจะจับได้เหรอ? เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด อย่างน้อยก็ต้องปิดประตูเมืองทั้งสี่เพื่อป้องกันการหนี แต่ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนืออย่างเขาสั่งปิดได้แค่ประตูเมืองเขตเหนือ ไม่มีอำนาจจะปิดทั้งสี่ประตู

ภายใต้ความจนใจ เขารีบไปที่ตำหนักคุ้มเมือง พอเจอผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เย่อี้ เขาก็รายงานสถานการณ์ให้ฟัง

เย่อี้ที่ออกจากตำหนักหลังมาฟังลูกน้องรายงานหยุดฝีเท้า แล้วถามอย่างตกใจว่า “เจียงอีอี? เจ้าแน่ใจนะ?”

ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือตอบว่า “ผู้จัดการโรงเตี๊ยมเรือนรับแขกยืนยันแล้ว คาดว่าคงไม่ผิดพลาด ไม่อย่างนั้นเขาก็รับผิดชอบไม่ไหว”

เย่อี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหันกลับไปตะโกนว่า “ทหาร ถ่ายทอดคำสั่งของข้าออกไป ปิดประตูเมืองทั้งสี่เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าออกโดยพลการ ใครขัดคำสั่ง ประหาร…”

ผ่านไปไม่นาน จู่ๆ ที่ตลาดสวรรค์ก็มีกำลังพลกลุ่มใหญ่รีบพุ่งไปที่โรงเตี๊ยมเรือนรับแขก ล้อมเรือนรับแขกเอาไว้ทั้งข้างบนทั้งข้างล่างอย่างแน่นหนา ขณะเดียวกันก็ปิดประตูเมืองทั้งสี่

ในโรงเตี๊ยมมีแขกจำนวนไม่น้อยตกใจมาก ไม่อยากมีเรื่อง อยากจะออกไปข้างนอก ทว่าสายไปแล้ว พวกเขาโดนดาบและทวนจี้กดดันให้กลับเข้าไปทันที

รอบข้างยังมีกำลังพลกลุ่มใหญ่ตามมาอีก ปิดถนนทั้งสี่ด้านเอาไว้แล้ว เย่อี้ที่สวมเกราะรบเกาะลงมาจากฟ้า กวาดสายตามองโรงเตี๊ยมเรือนรับแขก ข้างหลังมีทหารตามมาแถวหนึ่ง ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือที่อยู่ในนั้นก้าวออกมาจากแถว เดินไปข้างกายผู้จัดการร้านที่กลับมาก่อนล่วงหน้าและตอนนี้กำลังโดนทหารดักไว้ จากนั้นถ่ายทอดเสียงถามว่า “คนยังอยู่มั้ย?”

ผู้จัดการร้านถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ยังอยู่ในห้อง ยังไม่ได้ออกมาเลย”

ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือหันไปพยักหน้าให้เย่อี้ทันที เย่อี้จึงแสยะยิ้มและโบกมือ

ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือชักดาบใหญ่ออกมา บุกนำไปเป็นคนแรก นำกำลังพลกลุ่มใหญ่บุกเข้าโรงเตี๊ยมอย่างดุร้ายราวกับเสือ ถึงขั้นมีคนไม่น้อยทะลุหน้าออกมา ล้อมเอาไว้โดยไม่ให้หลือมุมอับหรือช่องโหว่

ตรงมุมหนึ่งของถนนที่อยู่ไกลๆ ท่ามกลางกลุ่มคนที่เฝ้าดูเหตุการณ์และโดนทหารกันไว้ สตรีที่งามเย้ายวนคนหนึ่งยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันตัวเลี้ยวหายเข้าไปในซอย

ผ่านไปไม่นาน ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือก็หน้าดำคร่ำเครียด มือข้างหนึ่งถือทวน มืออีกข้างดึงคอเสื้อผู้จัดการร้านที่มีสีหน้าขื่นขม ดึงเขาออกมาแล้วผลักไปตรงหน้าผู้บัญชาการใหญ่เย่อี้

เย่อี้มองดูศีรษะของพวกทหารที่ยื่นออกมาเหลียวซ้ายแลขวาจากหน้าต่างโรงเตี๊ยม พอจะตระหนักอะไรได้แล้ว จึงถามเสียงต่ำว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

ผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือตอบอย่างกังวลว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ห้องนั้นว่างเปล่า ไม่เห็นคนแล้วขอรับ”

เย่อี้จ้องเขาอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง แล้วชักกระบี่ออกมาจ่อบนคอผู้จัดการร้าน คอของเขาโดนบาดจนเป็นรอยเลือดแล้ว เย่อี้ถามเสียงเรียบว่า “เจ้านี่ใจกล้าไม่เบา บังอาจล้อข้าเล่นเหรอ?”

ผู้จัดการร้านโบกมืออย่างหวาดกลัว “ผู้บัญชาการใหญ่ ผู้น้อยมิบังอาจ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่เห็นแล้ว บางทีตอนที่กำลังพลกลุ่มใหญ่มาเขาอาจจะไหวตัวแล้ว เขาอาจจะหนีไปแล้วก็ได้”

เย่อี้ก็คิดว่าเขาไม่กล้าเช่นกัน จึงเตะเขากระเด็นออกไป แล้วกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “ค้นโรงเตี๊ยมทุกซอกทุกมุม ห้ามปล่อยผ่าน ค้นตัวทุกคนอย่างเข้มงวดด้วย จุดไหนที่ซ่อนคนได้ก็ห้ามปล่อยผ่าน ค้น!”

…………………………

จวนท่านปู่สวรรค์ ในสวนต้องห้ามที่คนทั่วไปห้ามบุกเข้ามาโดยพลการ เซี่ยโห้วท่าหลับตานอนเอนกายอยู่บนเตียงผ้าแพรกลางแจ้งเพื่อรับแสงแดดอันอบอุ่น ร่างกายแก่ชราแทบจะจมลงไปในผรมขนสัตว์หนาสีขาวดุจหิมะ ข้างๆ มีเตากำยานที่ทำให้คนสดชื่นสบายใจ มีไอหมอกสีม่วงลอยโขมงขึ้นมา

ที่มุมหนึ่งไกลๆ  พ่อบ้านเว่ยซูปรากฏตัว เดินเนิบนาบมาอยู่ข้างกาย แล้วก้มตัวกระซิบข้างหูเซี่ยโห้วท่าสองสามประโยค

เซี่ยโห้วท่าที่กำลังหลับตางีบพลันลืมตา ลุกขึ้นช้าๆ แล้วถามอย่างประหลาดใจสงสัยว่า “เป็นลูกศิษย์ของอสุราอัคนีเหรอ? สืบหาแหล่งข่าวได้หรือยัง?”

เว่ยซูยื่นมือไปประคองให้เขานั่ง พร้อมตอบว่า “เรื่องนี้แปลกนิดหน่อยขอรับ ข่าวถูกปล่อยออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย พวกเราลองสืบหาแล้ว แต่ก็ไม่พบแหล่งที่มาขอรับ”

เซี่ยโห้วท่าหยิบไม้เท้า แล้วใช้สองมือวางซ้อนกดบนหัวไม้เท้า เกยคางขึ้นไปช้าๆ จากนั้นก็ครุ่นคิดเงียบๆ นานมาก แล้วสุดท้ายก็กล่าวเสียงต่ำว่า “ใช่แล้ว เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ เรื่องนี้อธิบายได้แล้วว่าทำไมประมุขชิงถึงต้องการให้เจ้าเด็กนั่นไปที่หน่วยองครักษ์ซ้ายและไปรับโทษที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่ก็มีจุดที่ไม่ปกติอยู่เหมือนกัน คนอื่นไม่รู้ชัด แต่พวกเรากลับรู้ดี ทำไมศิษย์ของอสุราอัคนีกลับไปเป็นพวกเดียวกับคนของหกลัทธิล่ะ?”

เว่ยซูตอบว่า “ดูจากระยะห่างเวลาของศิษย์และอาจารย์ เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกศิษย์ต่างยุค ระหว่างอาจารย์และศิษย์น่าจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรเหลืออยู่ การที่หนิวโหย่วเต๋อกับหกลัทธิเกี่ยวข้องกันน่าจะเป็นเพราะอสุราอัคนีด้วย”

เซี่ยโห้วท่าค้ำไม้เท้าลุกขึ้นยืน แล้วโบกมือบอกว่า “กุญแจสำคัญของปัญหาไม่ใช่เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อไปเกี่ยวข้องกับหกลัทธิ ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ถึงจุดนี้ก็คงโดนตบตาไปแล้ว ประเด็นคือพวกเรารู้แล้ว เช่นนั้นก็จะไปมองแบบนั้นไม่ได้ ข้าถามเจ้าหน่อย หลังจากหนิวโหย่วเต๋อออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ปัญหาใหญ่สุดที่ต้องเจอคืออะไร?”

เว่ยซูครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วยิ้มบางๆ “เกรงว่าฝั่งตระกูลอิ๋งคงจะมีคนกอบกู้หน้าตาศักดิ์ศรี”

เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ก็พอได้อยู่ ขอถามเจ้าอีกที ตอนนี้จู่ๆ หนิวโหย่วเต๋อก็มีภูมิหลังว่าเป็นลูกศิษย์ของอสุราอัคนีแล้ว แฝงหมายความว่ายังไงล่ะ?”

“เกรงว่าคงจะมีคนไม่น้อยอยากดึงตัวไป” เว่ยซูกล่าว

เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็ใช่น่ะสิ! ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลเซี่ยโห้วของข้าไม่สะดวกจะขยายอิทธิพลของตัวเองแบบโจ้งแจ้ง ถ้าคำนึงถึงระยะยาว ข้าก็อยากจะดึงตัวเขาไว้เหมือนกัน ติดก็แค่มีปมนี้อยู่ พวกที่หนุนหลังหนิวโหย่วเต๋อคือหกลัทธิ หกลัทธิปล่อยลูกศิษย์ของอสุราอัคนีออกมาแบบนี้ คงไม่ปล่อยให้เป็นหมากเสียง่ายๆ หรอก แบบนี้แสดงว่าเตรียมจะแทรกเข้าในหน่วยงานของตำหนักสวรรค์เพื่อใช้ทำงานสำคัญ จะทนมองตระกูลอิ๋งทำหมากตัวนี้นี้เสียได้เหรอ? เจ้าคิดว่าทำไมข่าวไม่ออกตั้งนานแล้วล่ะ ทำไมต้องมีข่าวออกมาตอนนี้ว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี แบบนี้บังเอิญไปหน่อยมั้ย?”

เว่ยซูหรี่ตาสองข้าง พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว “นายท่านหมายความว่า มีคนจงใจจะช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อพ้นเคราะห์นี้เหรอ?”

เซี่ยโห้วท่าหัวเราะเบาๆ “หนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี มีภูมิหลังระดับนั้นแล้ว คนอื่นไม่มีสิทธิ์ยื่นมือเข้าไปแทรกแล้ว เจ้าคิดว่าต่อไปสี่อ๋องสวรรค์จะทำอะไรล่ะ?”

เว่ยซูตาเป็นประกาย แล้วกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์!”

เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะอีก “ทุกคนอยากจะดึงตัวเป็นเขย ของหายากต้องกักตุนไว้ทำกำไร ไม่แย่งกันจนหัวชนกันก็ดีแล้ว เกรงว่าแม้แต่ปลอบใจยังทำไม่ทันด้วยซ้ำ ย่อมไม่มีใครลงมือกับหนิวโหย่วเต๋ออีกแล้ว การปล่อยหมากออกมาทีละตัวแบบนี้ ฝีมือเหนือชั้นจริงๆ ข้าอยากจะเห็นนักว่าใครกันแน่ที่ปั่นหัวคนพวกนี้อยู่เบื้องหลัง”

เว่ยซูตอบอย่างลังเลว่า “เป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ปล่อยข่าวเพื่อปกป้องตัวเองหรือเปล่าขอรับ ถึงยังไงก็มีแค่เขาที่รู้จักภูมิหลังของตัวเองดีที่สุด การที่เขาจะเปิดเผยว่าตัวเองเป็นศิษย์ของอสุราอัคนีในตอนนี้ก็มีความเป็นไปได้อยู่แล้ว”

เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้า “ต่อให้ไม่ใช่หกลัทธิลงมืออยู่เบื้องหลัง แต่ก็ไม่ใช่หนิวโหย่วเต๋อแน่นอน”

“เพราะอะไรขอรับ?” เว่ยซูรู้สึกแปลกใจ เพราะเขารู้สึกว่ามันเป็นไปได้

เซี่ยโห้วท่าโบกมือ “พวกเรายืนดูจากที่สูงเลยมองเห็นได้ไกล ทั้งยังคลุกคลีกับคนกลุ่มนั้นบ่อย เดาความคิดของกลุ่มแนวหน้าในตำหนักสวรรค์ออก ดังนั้นคนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว[1] เจ้าเลยพูดให้ฟังดูสมเหตุสมผลได้อย่างสบายๆ ไม่ซับซ้อน เว่ยซู ในจุดนี้เจ้ายังสู้พ่อของเจ้าไม่ได้จริงๆ เจ้าจำไว้นะ เรื่องบางเรื่องถ้ายังอยู่ไม่ถึงขั้นตอนนั้นก็ยังนึกไม่ถึงหรอก หนิวโหย่วเต๋อกล้ารับประกันมั้ยว่าตัวเองปล่อยข่าวแล้วสี่อ๋องสวรรค์จะแย่งกันดึงตัวเขาไปเป็นเขย? แบบนั้นคงไม่ต่างจากความคิดเพ้อฝัน เกรงว่าเขาเองก็คงไม่กล้าคิดไปในทางนั้นด้วยซ้ำ! สำหรับเขา สี่อ๋องสวรรค์เป็นบุคคลที่สูงส่ง เขาถึงขั้นไม่มีทางคาดคะเนได้ด้วยซ้ำว่าในสมองของสี่อ๋องสวรรค์กำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นแล้ว เขาไม่ได้มองภาพรวมเก่งขนาดนั้น ไปเล่นอุบายชิงไหวชิงพริบจนหัวหมุนกับพวกพี่ใหญ่ในตำหนักสวรรค์ไม่ไหวหรอก!” เขาชี้นิ้วไปตรงหัวใจของตัวเอง “ถ้าไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด เขาจะเล่นแบบนี้ได้เหรอ? เป็นไปได้รึไง”

เว่ยซูทำท่าน้มอรับคำสั่งสอน พยักหน้าบอกว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ ก็เป็นหกลัทธิที่วางแผนอยู่เบื้องล่าง!”

ใครจะคิดว่าเซี่ยโห้วท่าที่ค้ำไม้เท้าเดินช้าๆ จะส่ายหน้า “เกรงว่าจะไม่แน่!”

“อย่าบอกนะว่ายังมีคนอื่นอีก?” เว่ยซูที่เดินตามอยู่ข้างๆ ตกใจ

เซี่ยโห้วท่ากล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “ถ้าพูดถึงความรู้ความเข้าใจที่หกลัทธิมีต่อตำหนักสวรรค์ ตอนนี้เกรงว่าคงจะมีไม่กี่คนที่รู้ดียิ่งกว่าข้าแล้ว ตอนที่หกลัทธิโดนขังไว้ในแดนอเวจี ตำหนักสวรรค์ยังไม่ถูกสร้างขึ้นมา ดังนั้นจึงยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องในราชสำนักของตำหนักสวรรค์นัก ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ตัดขาดจากโลกภายนอกนานเกินไป พวกเขาไม่เข้าใจชัดเจนนักหรอกว่าสี่อ๋องสวรรค์มีความเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าตอนนี้สี่อ๋องสวรรค์มีความคิดยังไง มิหนำซ้ำเดิมทีพวกเขาก็ไม่รู้อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะแพ้ยับเยินแบบนั้นเหรอ นอกเสียจากพวกเราจะตรวจสอบบรรดาคนในราชสำนักผิดพลาด เพราะที่ราชสำนักก็ไม่มีสายลับของหกลัทธิ ดังนั้นก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่หกลัทธิจะเล่นแผนการนี้กับหนิวโหย่วเต๋อที่มีความต่างในความเหมือน ถ้าอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มั่นใจ การเปิดโปงว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์อสุราอัคนีแบบนี้ พวกเขาจะแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นการช่วยหรือเป็นการทำร้ายหนิวโหย่วเต๋อ? ดังนั้นข้าก็เลยสงสัย ว่านอกจากหกลัทธิแล้ว ยังมีบุคคลระดับสูงในตำหนักสวรรค์ที่ลงมือสนับสนุนหนิวโหย่วเต๋ออีก ลองคาดคะเนในทางกลับกัน บางทีหกลัทธิอาจจะแทรกสายลับไว้ในตำแหน่งระดับสูงของตำหนักสวรรค์จริงๆ ก็ได้ แต่ข้าลองคิดไปคิดมาแล้ว ในบรรดาคนระดับสูงของตำหนักสวรรค์ มีความเป็นไปได้ต่ำที่จะกลายเป็นสายลับของหกลัทธิ ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยข่าวสักหน่อย ในปีนั้นหกลัทธิก็คงไม่แพ้ยับเยินขนาดนั้นหรอก กำลังโดนข่มอยู่ ถ้าแม้แต่สถานการณ์อย่างในปีนั้นยังยื่นมือช่วยเหลือไม่ได้  ตอนนี้หกลัทธิมีกำลังอ่อนแล้ว ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกพัฒนาให้กลายเป็นสายลับ นี่ก็คือจุดที่ข้าคิดไม่ตก อย่าบอกนะว่านอกจากแดนอเวจีแล้ว หนิวโหย่วเต๋อยังเกี่ยวข้องกับอำนาจฝ่ายที่สามอีก? ครั้งก่อนคนที่กวาดล้างฐานภายนอกของหกลัทธิน่าสงสัยนะ! ข้ามักจะรู้สึกว่าตัวเองจับจุดอะไรบางอย่างได้แล้ว แต่ก็มักจะจมลงท่ามกลางเมฆหนาหลายชั้นอีกครั้ง มีหลายจุดที่ข้าคิดไม่ตก มีจุดที่น่าสงสัยเยอะเกินไป นั่นก็อธิบายได้แล้วว่าเรื่องราวอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราคิดเลย มีคนกำลังใช้วิชาพรางตาเพราะจงใจจะชักจูงให้ทุกคนคิดแบบนี้หรือเปล่า? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ข้าก็อดไม่ได้ที่จะต้องถามสักคำ อสุราอัคนีตายไปหลายปีขนาดนั้นแล้ว  ทำไมไม่โผล่มาตั้งนานแล้วล่ะ ทำไมต้องมีศิษย์ของอสุราอัคนีโผล่มาในเวลานี้ด้วย หนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์ของอสุราอัคนีจริงๆ ใช่มั้ย?”

เว่ยซูครุ่นคิดตามไปพักใหญ่ แต่ก็คิดไม่ตก จึงกล่าวอย่างลังเลว่า “เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์อสุราอัคนีน่าจะไม่ใช่เรื่องโกหก ถึงยังไงต่อไปนี้เวลาหนิวโหย่วเต๋อจะลงมือก็ต้องใช้ความสามารถที่แท้จริงแล้ว ในจุดนี้เกรงว่าจะไม่สามารถปิดบังได้!”

เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจแล้วบอกว่า “ใช่แล้ว! นี่ก็คือหนึ่งในจุดที่ข้าคิดไม่ตก”

เว่ยซูบอกว่า “สักวันหนึ่งความจริงของเรื่องนี้ก็ต้องปรากฏออกมา สรุปว่าดูจากครั้งนี้ หนิวโหย่วเต๋อก็รอดพ้นภัยอีกครั้งแล้ว”

เซี่ยโห้วท่ายิ้มเจื่อน “มีคนมากมายขนาดนี้โดนปิดหูปิดตาเอาไว้ ลงมือได้อย่างไม่ธรรมดา ข้าเกรงว่าถ้ารอให้ถึงวันที่ความจริงปรากฏ ตระกูลเซี่ยโห้วก็จะลนลานจนทำอะไรไม่ถูกน่ะสิ! คนไม่ตรองการไกล ความยุ่งยากใจก็จะใกล้เข้ามา และถึงแม้เจ้าหนิวโหย่วเต๋อนั่นจะพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ แต่ข้าก็รู้สึกว่านี่ยังไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุดในการเปิดโปงลูกศิษย์ของอสุราอัคนี”

“เพราะอะไร?” เว่ยซูสงสัย

เซี่ยโห้วท่าชูนิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว “โพ่จวินเคยออกหน้าปกป้องแล้ว ถึงยังไงหนิวโหย่วเต๋อก็ยังเป็นลูกน้องของโพ่จวิน ไม่มีเหตุผลที่โพ่จวินจะมองดูลูกน้องเป็นอะไรไปโดยไม่ปกป้อง ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นในเวลานี้ ไม่ว่าใครก็สงสัยอิ๋งจิ่วกวงทั้งนั้น ถ้าอิ๋งจิ่วกวงพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถให้คำอธิบายกับหน่วยองครักษ์ซ้ายได้ คิดว่าทัพใหญ่ในมือโพ่จวินจะยอมให้ใครรังแกก็ได้เหรอ? แค่นิสัยหมาๆ ที่จับใครได้ก็กัดคนนั้นของโพ่จวิน เจ้าคิดว่าเขาไม่กล้าทำให้อิ๋งจิ่วกวงหน้าตาเปื้อนด้วยฝุ่นรึไง? เจ้าเชื่อมั้ยว่าหลังจากอิ๋งจิ่วกวงออกจากการประชุมราชสำนักแล้ว โพ่จวินก็กล้านำคนมาขวางกลั้นแกล้งอิ๋งจิ่วกวงแน่ ทำให้เขาเสียหน้ายิ่งกว่าเดิม! โพ่จวินก็คือหมาบ้าที่ประมุขชิงเลี้ยงไว้กัดคน!” ขณะที่พูดยังออกแรงกระทุ้งไม้เท้ากับพื้นด้วย

เว่ยซูเหลือบมองไม้เท้าที่แสดงอาการสะเทือนใจของเขา ในใจแอบรู้สึกอับอาย นายท่านที่อยู่ตรงหน้าเคยถูกโพ่จวินกดขี่และประทุษร้ายมาก่อน เรียกได้ว่าเข้าใจอย่าลึกซึ้ง

เซี่ยโห้วท่าพูดต่อว่า “ดังนั้นอิ๋งจิ่วกวงจะยังไม่แตะต้องหนิวโหย่วเต๋อ อย่างน้อยก็ยังต้องรออีกสักระยะหนึ่ง คนที่กำลังแอบช่วยหนิวโหย่วเต๋อปราดเปรื่องขนาดนี้ คงจะไม่มีทางที่จะไม่รู้ถึงจุดนี้ แต่ตอนนี้เรื่องนี้หนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์ของอสุราอัคนีดันถูกเปิดโปงออกมา อย่าบอกนะว่าจงใจจะล่อให้สี่อ๋องสวรรค์กระตือรือร้นดึงตัวเอาไว้? ต่อให้อยากจะช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อพ้นภัย อยากจะปกป้องหนิวโหย่วเต๋อ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงตอนนี้ก่อนแล้วค่อยเปิดโปง ถ้าเปิดโปงเร็วกว่านี้ ในหลายปีที่ผ่านมาหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่ต้องพบเรื่องยุ่งยากแล้วไม่ใช่เหรอ คงจะถูกดึงตัวไปนานแล้ว จำเป็นต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ด้วยเหรอ?”

“ใช่แล้ว! พอนายท่านพูดแบบนี้ มันก็น่าสงสัยจริงๆ” เว่ยซูพยักหน้า แล้วจมอยู่ในความคิดอีกครั้ง

จู่ๆ เซี่ยโห้วท่าก็หยุดเดิน ใช้สองมือค้ำไม้เท้าไว้ข้างหน้า เงยหน้ามองฟ้า แล้วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “บางทีอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ตระกูลอิ๋งจะเล่นงานหนิวโหย่วเต๋อเลยก็ได้ จู่ๆ ตอนนี้ก็เปิดโปงว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี ข้าสงสัยว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับตัวหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า?”

“เกิดเรื่อง?” เว่ยซูนิ่งชะงัก “เกิดเรื่องอะไร ทำไมต้องเปิดโปงภูมิหลังใหญ่โตขนาดนี้ขอรับ?”

เซี่ยโห้วท่าทำสีหน้าครุ่นคิดไตร่ตรอง มองท้องฟ้าพลางส่ายหน้าช้าๆ “ไม่รู้ เพียงแต่พอรวบรวมเบาะแสบางอย่างแล้วเกิดความรู้สึกนิดหน่อย บางทีข้าอาจจะคิดมากไป ในทางตรงกันข้าม ก็เหมือนที่เจ้าบอก เกิดเรื่องอะไร ทำไมต้องเปิดโปงภูมิหลังใหญ่โตขนาดนี้? ถ้าจะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน”

“เรื่องใหญ่? จะเกิดเรื่องใหญ่อะไรกับหนิวโหย่วเต๋อขอรับ?” เว่ยซูสงสัย

“เฮ้อ! คลุมเครือน่าสงสัย จะซ้ายจะขวาก็คิดไม่ตก งั้นก็ไม่ต้องคิดแล้ว เอาเป็นว่าบนตัวของหนิวโหย่วเต๋อคนนี้ ยิ่งนับวันก็ยิ่งน่าสนใจ น่าสนใจ…” เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะขณะที่ค้ำไม้เท้าเดินไปข้างหน้าต่อ

……………………

[1] คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว 站着说话不腰疼 เปรียบเปรยได้ว่า หากไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็ไม่เข้าใจ

ก่วงลิ่งกงมองออกถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่เผยอยู่ในดวงตา พอลองใช้สมองคิด ก็เข้าใจเจตนาของนางแล้ว แผนการตื้นๆ ของนางจะปิดบังเขาได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นก็เสียแรงเปล่าแล้วที่เขาเป็นอ๋องสวรรค์

เขารู้ว่านางอยากได้อะไร ที่จริงสถานการณ์อันตรายของเม่ยเหนียงทุกวันนี้ล้วนเป็นเขาที่สร้างมาเองกับมือ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เขานึกเสียใจทีหลังนิดหน่อยที่แต่งตั้งเม่ยเหนียงเป็นหวังเฟย หลังจากกำหนดเรื่องนี้ในปีนั้น เขาก็นึกเสียใจทีหลังทันที เสียใจที่ชั่วขณะนั้นไม่อาจะต้านทานความอ่อนโยนของผู้หญิงได้

บางอย่างนั้นความสวยเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของคนที่นั่งตำแหน่งหวังเฟยไม่ความสวย แต่เป็นความสามารถในการคุมคนต่างหาก เม่ยเหนียงทั้งไม่ใช่ฮูหยินคนแรก ทั้งยังไม่เคยผ่านเรื่องราวความรักที่สอดคล้องกับคุณธรรมและจริยธรรมแบบจริงจังเลย เป็นเพียงสาวงามที่เบื้องล่างนำมามอบให้ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเป็นของกำนัลที่เบื้องล่างส่งมาให้ ผู้หญิงที่ถูกทำเป็นของกำนัลและผ่านมือมาหลายคน ตอนที่มาถึงมือเขานางมีร่างกายบริสุทธิ์ไม่เสียหาย เขารู้เรื่องนี้แต่คนอื่นกลับไม่รู้! ต่อให้ทุกคนจะเชื่อว่านางมีร่างกายที่บริสุทธิ์ แต่อาศัยความงามของผู้หญิงคนนี้ ตอนเปลี่ยนมือแล้วโดนคนอื่นลูบคลำสักสองที บีบคลึงสักสองทีก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว

สาเหตุที่ไม่ถือสาเรื่องบางเรื่องก็เพราะยังไม่ถึงลำดับขั้นตอนนั้น แต่เมื่อถึงลำดับขั้นตอนนั้นแล้ว จะไม่ให้ถือสาก็คงยาก ส่งผลกระทบมากเกินไปจริงๆ ยิ่งอยู่ในตระกูลใหญ่ก็ยิ่งให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์ ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์ครอบครัวก็จะวุ่นวาย และเขาก็อยู่ในฐานะหัวหน้าครอบครัว แต่เป็นผู้นำที่ไม่ดีเอามากๆ!

การแต่งตั้งผู้หญิงแบบนี้ให้เป็นหวังเฟย จะให้อนุภรรยาในบ้าน ให้ลูกชายและลูกสาวของอนุภรรยาในบ้านทนความรู้สึกได้อย่างไร?

ทว่าในเมื่อทำไปแล้ว จะมานึกเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว

ดังนั้นถึงแม้เขาจะมองออกถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของเม่ยเหนียง แต่ก็ยังไม่อยากให้ในมือนางมีอำนาจที่แท้จริงเพิ่มขึ้น ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่มีทางอธิบายกับบรรดาลูกชายได้ และถ้าสองฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกันล้วนมีอำนาจขึ้นมา หนึ่งฝ่ายในนั้นก็จะไม่ก้มหัวแล้ว เมื่ออำนาจปะทะกันก็จะเกิดเรื่องได้ง่าย เขาเองก็เข้าใจว่าเม่ยเหนียงแค่อยากจะปกป้องตัวเอง แต่เขารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลย ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ ยังจะมีใครกล้าแตะต้องพวกนางสองแม่ลูกอีกเหรอ?

“เม่ยเหนียง เม่ยเอ๋อร์ยังเด็กอยู่ ข้าทำใจให้นางออกเรือนไปไม่ได้ ข้างกายข้ามีลูกสาวที่ยังไม่แต่งงานแค่คนเดียว ยังอยากจะเก็บนางไว้ข้างกายเพื่อปกป้องอีกสักหลายๆ ปี เรื่องนี้ช่างมันเถอถ”ก่ วงลิ่งกงตอบเสียงเรียบ

พอได้ยินคำนี้ เม่ยเหนียงก็หนาวเหน็บหัวใจจนถึงก้นบึ้ง ลูกสาวอายุหลายพันปีแล้ว ยังเด็กยังเล็กอะไรกัน นี่เป็นข้ออ้างล้วนๆ เลย เขาแค่ไม่อยากให้อำนาจนาง นางรู้ว่าอ๋องสวรรค์ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จะพูดอะไรอีกก็ไม่มีประโยชน์ นางรู้สึกหดหู่ใจ แอบก้มหน้าก้มตาเงียบๆ สุดท้ายคำพูดของนางก็ยังไม่มีน้ำหนักอะไรในจวนท่านอ๋อง

ใครจะคิดว่าในตอนนี้ จู่ๆ พ่อบ้านใหญ่โกวเยว่ก็กล่าวช้าๆ ว่า “ท่านอ๋อง ในเมื่อหวังเฟยมีความตั้งใจนี้ บ่าวคิดว่าลองพิจารณาก็ได้ขอรับ”

“หืม…” เม่ยเหนียงพลันเงยหน้า มองเขาอย่างตกตะลึงมาก นึกไม่ถึงว่าเรื่องที่ท่านอ๋องตัดสินใจแน่วแน่แล้ว แต่พ่อบ้านที่นางไม่ถูกชะตาคนนี้กลับช่วยนางพูดงั้นเหรอ กำลังช่วยนางกู้สถานการณ์งั้นเหรอ

ก่วงลิ่งกงก็เอียงหน้ามองมาอย่างประหลาดใจเช่นกัน เขารู้ว่าโกวเยว่ไม่มีทางยิงธนูโดยไร้เป้า ที่พูดแบบนี้แสดงว่าต้องมีเหตุผลแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่โน้มน้าวให้ตนกลับคำพูดที่กล่าวออกไปแล้ว จึงถามอย่างจริงจังว่า “หมายความว่ายังไง?”

โกวเยว่ก็อธิบายอย่างจริงจังเช่นกัน “ต้องดูว่าท่านอ๋องมีความแน่วแน่ที่จะดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อขนาดไหน ถ้าแค่อยากจะลองดู เช่นนั้นเลือกใครไปสักคนก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าอยากดึงตัวมาเป็นลูกน้องคนสนิทของท่านอ๋อง บ่าวคิดว่าควรจะพิจารณาคำพูดของหวังเฟยขอรับ”

“หรือว่าการที่เม่ยเอ๋อร์แต่งงานหรือไม่แต่งงานนั้นมีส่วนทำให้เรื่องนี้สำเร็จ?” ก่วงลิ่งกงแปลกใจ

“ถ้าจะบอกว่ามีส่วนกับความสำเร็จแน่นอน ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้นขอรับ เพียงแต่อาจจะตัดสินความสำเร็จและล้มเหลวได้” โกวเยว่ตอบ

เม่ยเหนียงเบิกตากว้างมองดูว่าเขาจะพูดอะไร นางรู้ดี ว่าถ้าจะมีใครสักคนในจวนท่านอ๋องที่สามารถเปลี่ยนความคิดของท่านอ๋องได้ ก็มีแต่ท่านนี้แล้ว นางกลั้นหายใจไม่กล้ารบกวนตอนเขาพูด

“อ้อ!” ก่วงลิ่งกงแปลกใจอีกครั้ง “ข้ายินดีจะฟังรายละเอียด!”

โกวเยว่อธิบายว่า “ในเมื่อพวกเราได้ข่าวนี้มาแล้ว แสดงว่าอีกสามอ๋องก็ไม่ได้หูหนวกเช่นกัน ขออนุญาตถามท่านอ๋องหน่อย ว่าอีกสามอ๋องจะทิ้งโอกาสในการรับศิษย์ของอสุราอัคนีมาเป็นลูกน้องคนสนิทหรือไม่?”

“ก็ต้องไม่อยู่แล้ว เกรงว่าแม้แต่อิ๋งจิ่วกวงก็ต้องวางศักดิศรีลงชั่วคราวเช่นกัน ต้องกอบโกยสิ่งที่อยู่ภายในมาไว้ในมือก่อน” ก่วงลิ่งกงกล่าว

โกวเยว่บอกว่า “ข่าวกะทันหันเกินไป ทุกคนไม่ได้เตรียมตัวเท่าไรนัก ถ้าอยากจะชิงดึงตัวมาในเวลานี้ ท่านอ๋องคิดว่าอีกสามอ๋องจะใช้วิธีการอะไร?”

ก่วงลิ่งกงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าฝืนบังคับแล้วซื้อใจเขาไม่ได้ก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าอยากจะซื้อใจเขา เกรงว่าคงจะนึกได้แค่วิธี ‘แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์’ แล้ว มีเพียงการทำให้ศิษย์ของอสุราอัคนีกลายมาเป็นคนของตัวเอง ถึงจะมั่นคงปลอดภัยที่สุด”

โกวเยว่ถามอีกว่า “ขออนุญาตถามท่านอ๋อง อีกสามบ้านยังมีลูกสาวที่ยังไม่แต่งงานหรือเปล่า?”

“ไม่มี ลูกสาวของตาแก่สามคนนั้นแต่งงานออกเรือนไปหมดแล้ว…” ก่วงลิ่งกงเข้าใจแล้ว ถามกลับว่า “เจ้าหมายความว่า จะให้ข้าแสดงความจริงใจเหรอ?”

“ถูกต้อง! และมีความแตกต่างกับอีกสามบ้านที่จะทำให้หนิวโหย่วเต๋อรู้ว่าท่านอ๋องให้ความสำคัญกับเขา คนอื่นให้แต่งกับรุ่นหลาน แต่ท่านอ๋องกลับให้แต่งกับลูกสาวสุดที่รักที่เกิดกับฮูหยินเอก! หลานเขยกับลูกเขยมีความแตกต่างกันไม่น้อย” โกวเยว่กล่าวอย่างมั่นใจ แล้งถามอีกว่า “ท่านอ๋อง! ขอพูดบางอย่างที่บาดหู ในบรรดาลูกสาวหลานสาวของท่านอ๋อง ยังมีใครที่สามารถทำให้หนิวโหย่วเต๋อหวั่นไหวได้เท่าเม่ยเอ๋อร์อีก?”

ก่วงลิ่งกงเลิกคิ้วเล็กน้อย หันไปมองกลุ่มผู้หญิงที่หัวเราะพูดคุยกันอยู่ข้างล่าง สายตาไปหยุดอยู่บนตัวลูกสาวที่เย้ายวนพราวเสน่ห์ที่สุด สวยสะดุดตากว่าลูกสาวคนอื่นของเขาตั้งเยอะ ได้รับข้อดีของมารดามาเต็มๆ หลังจากผ่านเรื่องราวในสังคมแล้วเติบโตเต็มที่ ก็อาจจะเหมือนสีเขียวครามที่เกิดจากสีน้ำเงิน แต่กลับเด่นกว่าสีน้ำเงินเสียอีก อาจจะเย้ายวนยิ่งกว่ามารดานางก็ได้ การที่สามารถมีลูกสาวสวยขนาดนี้ได้ ก็เป็นเรื่องที่น่าปลื้มใจเช่นกัน

แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนยังไม่เอ่ยเรื่องแต่งงานก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอเอ่ยเรื่องแต่งงานแล้ว จู่ๆ เขาก็รู้สึกปวดใจนิดหน่อย ลูกสาวที่ดีขนาดนี้ ในสักวันหนึ่งก็จะต้องแยกจากเขาไป ในไม่ช้าก็เร็วจะต้องถูกผู้ชายคนอื่นจีบแล้ว ต่อให้เขาจะสูงส่งเป็นอ๋องสวรรค์แต่ก็ขัดขวางไม่ได้ ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงและตัดใจไม่ลงพรั่งพรูขึ้นมาในหัวใจพร้อมกัน

สิ่งที่เขาพูดกับเม่ยเหนียงก่อนหน้านี้ไม่ใช่ข้ออ้างเสียทั้งหมด เขาอยากจะเก็บลูกสาวคนนี้ไว้ข้างกายอีกสักหลายปีจริงๆ เก็บไว้ได้นานแค่ไหนก็ยิ่งดี ถึงอย่างไรลูกสาวเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องแต่งงานอยู่แล้ว จะรีบทำไมล่ะ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะต้องปล่อยมือไปเร็วขนาดนี้ ถึงแม้จะรู้ว่าจะต้องเผชิญเรื่องนี้เข้าสักวัน แต่ก็ยังทำใจไม่ค่อยได้

โกวเยว่สังเกตสีหน้าท่าทางของเขา แล้วพูดเสริมว่า “ความจริงใจของท่านอ๋อง คือข้ออ้างที่ดีที่สุดที่จะกดคนอื่นและต่ำลงและยกตัวเองให้สูงขึ้นตอนที่คุยเรื่องแต่งงาน ความจริงใจขนาดนี้จะต้องเข้าไปอยู่ในขอบเขตการพิจารณาของหนิวโหย่วเต๋อแน่นอน อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับอนาคตของเขา ความงามของคุณหนูเม่ยเอ๋อร์คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้หนิวโหย่วเต๋อหวั่นไหวได้ ตามที่บ่าวทราบมา อีกสามบ้านยังไม่มีสาวโสดคนไหนที่งดงามกว่าคุณหนูเม่ยเอ๋อร์เลย ถ้าปล่อยคุณหนูเม่ยเอ๋อร์ออกมา ความจริงใจของท่านอ๋องและความงามของคุณหนูเม่ยเอ๋อร์ก็เป็นสิ่งที่อีกสามบ้านเทียบไม่ติด พอเปิดฉากมาท่านอ๋องก็ได้เปรียบแล้ว ทำแบบนี้ก็เบียดอีกสามบ้านตกรอบแล้ว ความได้เปรียบที่ฉวยโอกาสได้ก่อนย่อมดีกว่าอยู่แล้ว” พูดจบแล้วก็หยุดเพียงเท่านี้ สิ่งที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ส่วนจะตัดสินใจอย่างไรก็ไม่ใช่หน้าที่ของเขา

ดวงตาเย้ายวนฉ่ำน้ำของเม่ยเหนียงมองเขาอย่างเป็นกระกาย จากนั้นก็หันไปมองก่วงลิ่งกงเพื่อรอการตัดสินใจอีก

“เฮ้อ! ในเมื่อจะเอาแบบนี้ งั้นก็ให้เม่ยเอ๋อร์แต่งงานแล้วกัน” ก่วงลิ่งกงถอนหายใจเบาๆ นับว่าตัดสินใจขั้นสุดท้ายแล้ว

เม่ยเหนียงปลาบปลื้มดีใจ ขณะกำลังจะพูด นางก็เห็นโกวเยว่ทำท่าจะเอ่ยปากพูดเช่นกัน นางจึงหุบปากทันที รอฟังอย่างว่านอนสอนง่าย

“ท่านอ๋อง ทางด้านหนิวโหย่วเต๋อนั้น ต่อให้พวกเราจะบอกว่าเม่ยเอ๋อร์งดงามแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ร้อยปากว่าไม่เท่าหนึ่งตาเห็น ขอเพียงทำให้คุณหนูเม่ยเอ๋อร์ไปยืนอยู่ข้างๆ หนิวโหย่วเต๋อได้ เรื่องนี้จะต้องสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งแน่นอน”

ก่วงลิ่งกงย่อมเข้าใจว่าทำไมเขาไม่สะดวกจะพูดออกมาตรงๆ จะบอกว่าผู้ชายหลงในกามตัณหา วีรบุรุษมักพ่ายแพ้หญิงงามไม่ใช่เหรอ เขาก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันไง ไม่อย่างนั้นเม่ยเหนียงคงไม่ได้กลายเป็นหวังเฟยเหมือนกัน เพียงแต่เขายังกลุ้มใจอยู่บ้าง ถามว่า “ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่ไหน?”

โกวเยว่ “ตอนนี้เบาะแสไม่ชัดเจน ได้ยินว่าทางหน่วยองครักษ์ซ้ายปล่อยให้เขาพักผ่อนได้หนึ่งปี บ่าวจะไปสืบข่าวมาอีกสักหน่อย ถ้าอยู่ที่อื่น เกรงว่าจะต้องจัดฉากให้คุณหนูกับหนิวโหย่วเต๋อพบกันโดยบังเอิญ แต่ถ้าเขากลับอุทยานหลวงมาแล้ว บ่าวก็แนะนำให้หวังเฟยพาคุณหนูเดินเล่นในสวนที่อุทยานหลวงสักหน่อย อาศัยฐานะของหวังเฟย ถึงตอนนั้นสามารถเรียกพบทักทายได้โดยตรงขอรับ”

ก่วงลิ่งกงเอียงหน้ามองไปทางเม่ยเหนียง นางรับปากทันที “ข้าจะทำตามที่ท่านอ๋องเตรียมการทุกอย่าง จะพยายามจัดการเรื่องนี้อย่างดีที่สุด” นางพยายามปกปิดความปลาบปลื้มไว้ในใจ

“งั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน! เฒ่าโกว เจ้าไปเตรียมการเรื่องนี้เถอะ” ก่วงลิ่งกงถอนหายใจ สายตาไปหยุดอยู่บนตัวลูกสาวที่กำลังมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า แล้วก็บอกเม่ยเหนียงอีกว่า “เรียกเม่ยเอ๋อร์มาหาข้าที นางชอบเล่นหมากล้อมกับข้าที่สุด ให้นางมาเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย” ในน้ำเสียงปะปนอารมณ์หดหูอย่างปิดบังได้ยาก

เม่ยเหนียงมองเงาหลังโกวเยว่เดินจากไป แล้วรีบบอกว่า “ข้าจะลงไปเดี๋ยวนี้ ถือโอกาสกำชับนางด้วย” จากนั้นก็หันตัวเดินจากไปเลย

หลังจากลงไปเรียกลูกสาวข้างล่างแล้ว เม่ยเหนียงก็ออกไปจากตรงนั้นชั่วคราว

ไม่นานก็มาโผล่อยู่ที่ทางเดินวงแหวนในจวนท่านอ๋องอีกครั้ง เจอกับพ่อบ้านโหวเยว่ที่เพิ่งเลี้ยวออกมาจากประตูพระจันทร์พอดี

“หวังเฟย!” โกวเยว่เพิ่งจะทำความเคารพ ใครจะคิดว่าเม่ยเหนียงจะย่อเข่าทำความเคารพกลับ “บุญคุณที่ยิ่งใหญ่ของพ่อบ้านโกว เม่ยเหนียงไม่รู้จะขอบคุณยังไง โปรดรับการคำนับจากข้าด้วย”

นางเข้าใจชัดเจน ว่าวันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะท่านนี้เอ่ยปาก เรื่องนี้ก็ไม่มีโอกาสพลิกได้เลย ที่จวนท่านอ๋องมีเพียงท่านนี้เท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงความคิดของท่านอ๋องได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านอ๋อง คำพูดของเขาประโยคเดียวเทียบเท่ากับคำพูดออดอ้อนของนางร้อยประโยค เมื่อครู่นี้ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว

โกวเยว่ย่อมเข้าใจอยู่แล้วว่านางกำลังขอบคุณเรื่องอะไร แต่สิ่งนี้กลับทำให้เขารับผิดชอบไม่ไหว ถึงแม้อำนาจที่แท้จริงในมือเขาจะเป็นอันดับสองรองจากท่านอ๋อง แต่เขาก็ยังรู้จักข้อบกพร่องของตนเอง จะให้เจ้านายมาคำนับบ่าวได้อย่างไร ถ้าไม่เข้าใจแม้แต่หลักการนี้ มีหรือที่จะยืนอยู่ในจวนท่านอ๋องมาจนถึงทุกวันนี้ได้ เรียกได้ว่าลนลานทำอะไรไม่ถูก ลังเลว่าจะไปประคองดีหรือไม่ประคองดี แล้วรีบถอยหลังไปสองก้าว แล้วโค้งตัวคำนับคืน “หวังเฟยเข้าใจบ่าวผิดแล้ว บ่าวไม่ได้มีเจตนาส่วนตัว เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่ขอรับ รับการคำนับนี้จากหวังเฟยไม่ไหวจริงๆ”

เม่ยเหนียงกลับมองเขาตาปริบๆ พร้อมบอกว่า “ข้าอยู่ข้างนอกออกแรงช่วยอะไรไม่ได้ เรื่องของเม่ยเอ๋อร์ยังต้องหวังให้พ่อบ้านโกวพยายามทำให้สำเร็จหน่อย ไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เม่ยเหนียงและลูกสาวก็จะจดจำบุญคุณของพ่อบ้านโกไว้!”

โกวเยว่รีบโบกมือ “นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในหน้าที่ทั้งนั้นขอรับ ในเมื่อท่านอ๋องกำชับมาแล้ว บ่าวก็ย่อมต้องพยายามเต็มที่”

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาไกลๆ เม่ยเหนียงก็พยักหน้า และไม่ได้พูดอะไรอีก รีบร้อนเดินจากไปแล้ว

โกวเยว่มองไปรอบๆ ตัวเองนับว่าเป็นคนที่ผ่านอุปสรรครคลื่นลมมามากมาย แต่ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้จะตกใจจนเหงื่อแทบแตก ถ้าให้คนอื่นเห็นก็อาจจะเกิดเรื่องขึ้นก็ได้ เขาถอนหายใจออกมาช้าๆ สงบสติอารมณ์แล้วเดินออกไป ตรงทางเลี้ยวมีสาวใช้สองคนโผล่มาเจอเขา พวกนางรีบหลีกทางให้และทำความเคารพ

เม่ยเหนียงกลับมาบนตึก พอเห็นลูกสาวกับเล่นหมากล้อมกับท่านอ๋อง นางก็ยิ้มตาหยีแล้วรินน้ำชาบริการให้ด้วยตัวเอง

หลายวันติดต่อกัน ก่วงลิ่งกงล้วนอยู่ค้างคืนที่นี่ ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา เรื่องแรกที่ทำก็คือเรียกลูกสาวเข้ามา แล้วถามนางว่าอยากจะกินอะไร อยากจะไปเที่ยวเล่นที่ไหน แล้วอยู่กับลูกสาวเองเลย ถึงขั้นเลื่อนงานต่างๆ ออกไปก่อน นี่คือเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย…

…………………………

เดิมทีก็ถูกสายลมกรรโชกสายฝนซัดสาดจนตัวเองเข้ามาอยู่ในแผนการอยู่แล้ว พอมาวันเดียวก็ได้เป็นหวังเฟย[1]เลย ทั้งยังเป็นหวังเฟยภรรยาเอกเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาสี่อ๋องสวรรค์ด้วย ความมีหน้ามีตา ความมีเกียรติยศศักดิ์ศรีก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงเลย ไม่รู้ว่าในใต้หล้ามีผู้หญิงมากมายเท่าไรอิจฉาริษยา

เม่ยเหนียงย่อมเข้าใจชัดเจนว่าเกียรติยศความสูงส่งของตัวเองมีสาเหตุมาจากอะไร รู้ว่าต้นทุนของตัวเองคืออะไร แต่นางก็รู้เช่นกันว่าจุดด้อยของตัวเองอยู่ตรงไหน ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่ฮูหยินคนแรกของอ๋องสวรรค์ก่วง ภายใต้สถานการณ์ที่อ๋องสวรรค์อีกสามคนเสียสละคนในครอบครัวเพื่อ ‘แสวงหาอำนาจ’ และไม่แต่งงานใหม่เพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกผิด สิ่งนี้สร้างแรงกดดันให้นางเป็นอย่างมาก นางอาศัยรูปร่างหน้าตาไต่เต้าขึ้นมาในตำแหน่งที่สูงเกินไป กอปรกับพื้นเพชาติกำเนิดต่ำต้อย รู้สึกไม่ค่อยสมฐานะนิดหน่อย รากฐานค่อนข้างตื้นเขิน

นางรู้อย่างลึกซึ้ง ว่าการใช้หน้าตาเอาชนะคนอื่น โดยเฉพาะเมื่อต้องปรนนิบัติใครสักคนในระยะยาว ต่อให้เจ้าจะสวยขนาดไหน แต่ก็จะมีสักวันที่อีกฝ่ายเบื่อหน่าย และนางก็เข้ามาที่จวนท่านอ๋องช้ากว่าคนอื่น ตอนที่นางเข้าจวนท่านอ๋อง อนุภรรยาคนอื่นๆ ของอ๋องสวรรค์ก่วงก็มีทายาทให้อ๋องสวรรค์ก่วงแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่เผชิญกับความกดดันจากตำหนักสวรรค์ สี่อ๋องสวรรค์จึงตั้งใจควบคุมจำนวนทายาท นางจึงเสียสิทธิ์ในการสืบสกุลให้อ๋องสวรรค์ก่วงแล้ว เขาอนุญาตให้นางคลอดลูกสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น

ในตระกูลใหญ่แบบนี้ ลูกชายกับลูกสาวอยู่ในชุดความคิดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่ช้าก็เร็วที่ลูกสาวจะต้องแต่งงานออกไป ลูกชายต่างหากที่มีคุณสมบัติในการทำงานสำคัญ ตอนนี้ลูกชายหลายคนของอ๋องสวรรค์ก่วงก็เริ่มมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหนึ่งในนั้นได้รับอำนาจที่แท้จริงแล้ว มีหรือที่จะนั่งดูมารดาตัวเองอยู่ในฐานะอนุภรรยาเฉยๆ จะต้องหาทางสนับสนุนมารดาตัวเองให้ขึ้นฐานะฮูหยินเอกแน่นอน ทำให้ฐานะของมารดาถูกต้อง ก็เหมือนกับทำให้ฐานะของตัวเองถูกต้องเช่นกัน แบบนั้นถึงจะใช้อำนาจได้อย่างสมเหตุสมผล

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดาหรือตำหนักสวรรค์ หลักการ ‘แม่ได้ดีเพราะลูกชาย’ ก็ล้วนได้รับการยอมทั้งใต้หล้า

แต่ถึงอ๋องสวรรค์ก่วงจะโปรดปรานนาง แต่ก็แค่โปรดปรานนางเฉยๆ ให้นางเพียงเกียรติยศความร่ำรวยเท่านั้น แต่กลับไม่ได้ให้อำนาจที่สอดคล้องกัน ให้นางสนใจแค่เรื่องมโนสาเร่ในจวนท่านอ๋องก็พอ ไม่ให้นางยื่นมือเขามาแทรกงานหลัก นางใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งเพราะอยากจะหา ‘งานหลัก’ ทำสักหน่อย แต่อ๋องสวรรค์ก่วงก็มักจะกล่าวกลั้วหัวเราะว่า : จะไปยุ่งเรื่องนั้นทำไม เจ้าไม่เข้าใจเสียหน่อย!

สรุปก็คือทุกครั้งเขาจะไล่นางโดยอ้างเหตุผลว่า ‘เจ้าไม่เข้าใจ’  แล้วนางก็ไม่เคยมีงานที่จริงจังผ่านมือมาสักที เขาใช้คำพูดนี้ดักนางไว้ แล้วนางยังจะบ่นอะไรได้อีก?

ดังนั้น ถึงแม้ฐานะของนางจะมีเกียรติ ถึงแม้จะสูงส่งเป็นหวังเฟย แต่อำนาจที่แท้จริงในจวนท่านอ๋องก็สู้บรรดาลูกชายของก่วงลิ่งกงไม่ได้ ภายนอกพวกลูกชายของก่วงลิ่งกงเคารพนอบน้อมต่อนาง แต่นางรู้ว่าพวกเขาไม่ได้เห็นหัวนางเลย เกรงว่าแต่ละคนคงจะจ้องจะให้มารดาตัวเองมาแทนที่นาง ที่จวนท่านอ๋องนี้นอกจากก่วงลิ่งกงแล้ว คนที่มีอำนจามากที่สุดก็คือพ่อบ้านของจวนท่านอ๋องโกวเยว่ ไม่ใช่หวังเฟยอย่างนางแน่นอน

ดังนั้นตอนที่ก่วงลิ่งกงกำลังมองดูบรรดาหลานสาวและพวกสาวใช้เล่นกัน ความสนใจของเม่ยเหนียงกลับอยู่บนตัวเขา สนใจอารมณ์ของเขาเพื่อจะปรนนิบัติให้ถูกใจ อ๋องสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐาน นอกจากจะมีงานราชการเยอะแล้ว  ก็ยังต้องใช้เวลาเยอะมากเพื่อฝึกตน ไม่ได้มานั่งว่างแบบนี้บ่อยๆ ขอเพียงแค่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ เม่ยเหนียงก็ย่อมพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้ก่วงลิ่งกงมีความสุขที่สุด

คนนอกเห็นเพียงความมีหน้าตามีตาของนาง แต่กลับไม่เห็นความกดดันของนาง

ในขณะนี้เอง ร่างกายของเม่ยเหนียงก็เอนไปข้างหลังเล็กน้อย อาศัยด้านหลังคอของก่วงลิ่งกงบังแดด เหลือบมองชายชราคนหนึ่งที่เดินก้าวยาวเข้ามา เป็นโกวเยว่ พ่อบ้านของจวนท่านอ๋องนั่นเอง ในใจนางรู้สึกเซ็งนิดหน่อย รู้ว่าพอท่านนี้มาจะต้องมีเรื่องใหญ่แน่นอน ถ้าเป็นเรื่องเล็กคงไม่มารบกวนอารมร์สุนทรีของอ๋องสวรรค์ในเวลานี้ ไม่ง่ายเลยกว่านางจะหาโอกาสอยู่กับอ๋องสวรรค์ได้ เดาว่าครั้งนี้คงจะโดนขัดจังหวะอีกแล้ว

โกวเยว่เดินเข้ามาในตึกศาลาตามทางเดินยาว เขาเอียงหน้าซ้ายขวาบอกใบ้นิดหน่อย บรรดาสาวใช้ที่ล้อมปรนนิบัติอยู่ในศาลาพากันก้มหน้าอย่างเคารพ แล้วทยอยกันถอยออกไปอย่างเงียบๆ

“ท่านอ๋อง หวังเฟย” โกวเยว่ที่เดินมาข้างที่นั่งหลักทำความเคารพแล้วเงียบไป เขามองไปที่เม่ยเหนียง ถึงแม้จะไม่กล้าพูดอะไร แต่ก็บอกเป็นนัยอย่างชัดเจนแล้ว ว่าข้ากับอ๋องสวรรค์มีเรื่องสำคัญจะคุยกัน อ๋องสวรรค์ไม่ให้เจ้ามายุ่งเรื่องการเมือง เจ้าก็รู้จักกาลเทศะหน่อยเถอะ

เม่ยเหนียงไม่สบอารมณ์อยู่ในใจ นางแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เอาแต่จ้องฉากอันสนุกสนานรื่นเริงข้างล่าง

ก่วงลิ่งกงที่กำลังจ้องข้างล่างอยู่เหมือนกันสังเกตเห็นแล้วว่าหวังเฟยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จึงเอียงหน้าช้าๆ มองมา แล้วไอแห้งสองที “แค่กๆ” เขาเองก็ไม่สะดวกจะไล่หวังเฟยไปตรงๆ ทำได้เพียงแอบเตือนหวังเฟยว่าให้หลบเลี่ยงไปก่อน

เม่ยเหนียงก้มศีรษะเล็กน้อย บนใบหน้าฉายแววน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งยังทำท่าเหมือนจะร้องไห้ด้วย นางบ่นเสียงต่ำว่า “ท่านอ๋องบอกแล้วว่าวันนี้จะไม่คุยเรื่องงาน บอกแล้วว่าจะอยู่กับข้าและเม่ยเอ๋อร์ทั้งวัน ท่านเห็นมั้ยว่าวันนี้เม่ยเอ๋อร์มีความสุขขนาดไหน พยายามเต้นระบำให้ท่านพ่อของตัวเองดูอยู่ตรงนั้น ท่านอ๋องพูดแล้วคืนคำเหรอคะ?”

สายตาของก่วงลิ่งกงมองไปยังสาวงามคนหนึ่งที่กำลังเต้นระบำอยู่ท่ามกลางผู้หญิงอีกหลายคน ไม่ใช่แค่หน้าตาสวย ที่มากกว่านั้นคือบุคลิกยั่วเย้าออดอ้อน มีลักษณะของดาวยั่วทั้งภายนอกและภายใน ได้รับจุดเด่นจากมารดามาเต็มๆ ทั้งยังมีกลิ่นอายความเยาว์วัยที่มารดานางไม่มี นางชื่อว่าก่วงเม่ยเอ๋อร์ เป็นลูกสาวคนเล็กของเขา สาเหตุที่อายุน้อยที่สุด ก็เพราะเม่ยเหนียงเข้าจวนมาช้าที่สุด ตอนนี้กำลังเล่นอยู่กับรุ่นหลายที่อายุไล่เลี่ยกัน

พอมองไปยังใบหน้าที่น้อยใจของฮูหยินอีกครั้ง ในใจก่วงลิ่งกงก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงเอียงหน้าไปอีกข้างแล้วบอกว่า “เรื่องนี้เป็นความลับเหรอ?”

โกวเยว่ชำเลืองมองเม่ยเหนียง แล้วตอบว่า “ก็ไม่ถือว่าเป็นความลับขอรับ”

ก่วงลิ่งกงจับมือที่เรียวยาวอ่อนนุ่มของเม่ยเหนียงมาลูบไล้ในมือตัวเอง พร้อมบอกว่า “ในเมื่อไม่ใช่ความลับ ก็ไม่มีอะไรให้หลบเลี่ยง ว่ามาเถอะ เรื่องอะไร?”

“เป็นเรื่องหนิวโหย่วเต๋อขอรับ” โกวเยว่ตอบ

“หนิวโหย่วเต๋อ…” ก่วงลิ่งกงงุนงงไปชั่วขณะ ถึงแม้เหมียวอี้จะมีชื่อเสียง แต่ก็ไม่ถึงขั้นมาเกี่ยวข้องอยู่ในงานประจำวันของเขา หลังจากชะงักไปครู่หนึ่งถึงได้รู้ว่าเป็นใคร แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “เขาก็แค่รอดออกมาจากแดนดึกดำบรรพ์ไม่ใช่เหรอ? มีเรื่องอะไรอีก? ตระกูลอิ๋งลงมือแล้วเหรอ?”

“ได้รับข่าวลือมา มีคนลือกันว่า หนิวโหย่วเต๋อคนนี้เป็นศิษย์ของอสุราอัคนี” โกวเยว่กล่าว

“อะไรนะ?” ก่วงลิ่งกงร่างกายสั่นสะเทือน สะบัดมือเม่ยเหนียงออกไปโดยตรง แล้วลุกขึ้นยืน เดินออกมาจากหลังโต๊ะยาว มาอยู่ตรงหน้าโกวเยว่แล้วถามเสียงต่ำว่า “ข่าวนี้เชื่อถือได้มั้ย?”

เม่ยเหนียงที่นั่งอยู่ข้างกันลุกขึ้นตามอย่างช้าๆ แววตาเป็นประกายไม่หยุดนิ่ง คิดในใจว่า หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ตัวเองเคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่อสุราอัคนีคือใครล่ะ ทำให้ท่านอ๋องตกตะลึงจนเสียอาการขนาดนี้เลยเหรอ?

โกวเยว่ส่ายหน้าเล็กน้อย “ข่าวจะเชื่อถือได้หรือไม่ก็ไม่มีทางยืนยันได้ แต่เป็นไปได้เก้าในสิบว่าจะเป็นความจริงขอรับ”

“ทำไมคิดอย่างนั้น? อ๋อ…” ก่วงลิ่งกงที่เพิ่งถามไปทำสีหน้าเข้าใจกระจ่างทันที พยักหน้าเบาๆ พร้อมบอกว่า “ใช่แล้วๆ คงจะเป็นอย่างนี้ มิน่าล่ะ ตอนแรกข้าก็แปลกใจอยู่ ว่าทำไมประมุขชิงถึงส่งคนต่ำต้อยอย่างหนิวโหย่วเต๋อไปที่หน่วยองครักษ์ซ้าย พอมาดูตอนนี้แล้ว สงสัยคงตั้งใจจะชุบเลี้ยงจริงๆ”

โกวเยว่บอกว่า “ใช่แล้ว! โพ่จวินปกป้องเขา แต่สุดท้ายก็ยอมให้เขาไปรับโทษที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ แบบนี้ไม่เหมือนลักษณะของลาดื้ออย่างโพ่จวิน เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าประมุขชิงรู้กำพืดของหนิวโหย่วเต๋อตั้งแต่แรกแล้ว ตอนหลังก็บอกโพ่จวินด้วยเช่นกัน ถึงได้ทำให้โพ่จวินยอมตอบตกลง นอกจากนี้ การที่หนิวโหย่วเต๋อรอดชีวิตออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้เหมือนอสุราอัคนีก็คือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุด แถมยังได้ยินว่าวรยุทธ์ของหนิวโหย่วเต๋อบรรลุถึงระดับบงกชรุ้งแล้วด้วย ก้าวหน้าเร็วมาก ทั้งยังสอดคล้องกับสิ่งที่อสุราอัคนีประสบพอดี! ท่านอ๋อง หากไร้ลมคงไม่เกิดขึ้น หัวหแกต่างๆ ชี้ไปที่จุดเดียว เรื่องนี้มีความเป็นไปได้มากจริงๆ”

เม่ยเหนียงที่อยู่ข้างกายแอบตื่นเต้นเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นเร้าใจยามเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง จากนั้นก็คอยฟังเนื้อหาเรื่องสำคัญอยู่ข้างๆ ท่านอ๋อง นึกไม่ถึงว่าจะได้ฟังเรื่องราวที่ใหญ่โตขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นแค่พวกชอบก่อเรื่อง ครั้งนี้ผู้บัญชาการโพ่จวินของหน่วยองครักษ์ซ้ายปกป้อง อีกทั้งประมุขชิงยังตั้งใจจะชุบเลี้ยง อสุราอัคนีนั่นมีภูมิหลังเป็นอย่างไร เดี๋ยวนางจะต้องไปสืบให้ดีๆ สักหน่อยแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้บุคคลสำคัญมากมายให้ความสำคัญได้

ก่วงลิ่งกงหรี่ตาพลางครุ่นคิดเงียบๆ ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “ถ้าเจ้าเด็กนี่มีความสามารถได้สักครึ่งหนึ่งของอสุราอัคนีอาจารย์ของเขา ก็จะต้องมีอนาคตไกลไร้ขอบเขตแน่นอน หยกงามขนาดนี้มีหรือที่ข้าจะปล่อยไป ใช้วิธีการอะไรถึงจะดึงตัวเขามาได้ล่ะ?”

โกวเยว่ตอบว่า “ถึงยังไงเขาก็อยู่ในมือประมุขชิง ต่อให้จะอยากมาขอพึ่งพิงเป็นลูกน้องท่านอ๋อง แต่ถ้าประมุขชิงไม่ยอมปล่อยคนก็จะจัดการเรื่องนี้ได้ยาก วิธีการเดียวก็คือ…แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์!”

ก่วงลิ่งกงพยักหน้า “เมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก กลายเป็นเขยของตระกูลก่วงแล้ว ต่อให้ประมุขชิงอยากจะกักตัวไว้ แต่ก็จะฟังดูเหลวไหลแล้ว เจ้าเด็กนั่นไม่มีประวัติภูมิหลังอะไร หลังจากแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์แล้วก็จะกลายเป็นคนของตระกูลก่วงอย่างเต็มตัว ดี!” เขาหันตัวไปมองในกลุ่มผู้หญิงที่กำลังร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนาน “เจ้าคิดว่าให้ใครแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อเหมาะสมที่สุด?”

โกวเยว่ก้าวขึ้นมา กวาดสายตามองไปข้างล่าง ขณะกำลังจะเลือก เม่ยเหนียงที่อยู่ข้างกันก็กัดฟันแล้วพูดออกมาเสียงดังฟังชัดว่า “ให้เม่ยเอ๋อร์แต่งกับเขาก็สิ้นเรื่องแล้วค่ะ”

ก่วงลิ่งกงกับโกวเยว่หันไปมองพร้อมกัน กำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่ เกือบจะลืมไปแล้วว่ามีนางอยู่ด้วย ทั้งคู่ประหลาดใจเล็กน้อย

ก่วงลิ่งกงขมวดคิ้ว “เม่ยเอ๋อร์เหรอ? ไม่ค่อยเหมาะมั้ง? เม่ยเอ๋อร์เกิดจากหวังเฟยของข้า เป็นลูกสาวภรรยาหลวงของจวนอ๋องสวรรค์ เอามาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์อาจจะเกินไปหน่อย เลือกคนที่เหมาะสมจากรุ่นหลานเถอะ”

เม่ยเหนียงก้าวขึ้นมาคล้องแขนก่วงลิ่งกง “ในเมื่อเป็นลูกของภรรยาหลวง ก็ย่อมต้องเป็นหนังหน้าไฟช่วยแบ่งเบาความกังวลของบิดาอยู่แล้ว! ถ้าวันนี้ข้าไม่ได้ยินก็ว่าไปอย่าง ในเมื่อได้ยินแล้ว จะแสร้งไม่ได้ยินแล้วปกป้องลูกสาวตัวเอง แต่ปล่อยให้ลูกสาวอนุภรรยาคนอื่นไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ได้ยังไงคะ ถ้ารู้ไปถึงไหน ชาวบ้านจะไม่ตำหนิแกนหลักอย่างหวังเฟยเหรอคะ! ท่านอ๋อง ให้เม่ยเอ๋อร์แต่งงานเถอะค่ะ!” ในแววตาซ่อนการเฝ้าคอย

ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครอยากแต่งงานกับลูกสาวนาง คนที่อยากแต่งงานด้วยมีเยอะมาก แต่ก็ต้องดูด้วยว่านางจะชอบหรือไม่ ถ้าเป็นเมื่อก่อน หนิวโหย่วเต๋ออะไรนั่นคือคนที่นางดูถูกเหยียดหยาม แต่วันนี้ได้ยินหมดแล้ว ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าอสุราอัคนีเป็นใคร แต่คนที่มีคนใหญ่คนโตจับตาดูเยอะขนาดนี้ ขนาดท่านอ๋องบ้านตัวเองยังต้องการจะลงทุนชุบเลี้ยงเลย ขอเพียงตาไม่บอด ก็จะมองออกว่าต่อไปหนิวโหย่วเต๋อจะมีอนาคตยาวไกล สักวันหนึ่งจะต้องเป็นคนที่กุมอำนาจมหาศาลเอาไว้ในมือแน่!

ลูกหลานของตระกูลใหญ่มาขอแต่งงาน ลูกหลานชนชั้นสูงมาขอแต่งงาน ลูกสาวนางไม่เคยขาดเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่ที่ขาดแคลนที่สุดก็คือคนที่กุมอำนาจมหาศาลไว้ในมือ ขาดคนที่จะมาเป็นที่พึ่งพิงให้พวกนางสองแม่ลูกได้ เมื่อมีที่พึ่งพิงแบบนี้แล้ว พวกนางสองแม่ลูกถึงจะมีความสำคัญที่จวนท่านอ๋องอย่างแท้จริง ถึงจะทำให้พวกนางสองแม่ลูกยึดอกได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ปลอมเปลือกแค่ภายนอก แบบนั้นจะได้ไม่ต้องกังวลว่านางจะเสียตำแหน่งหวังเฟยไปง่ายๆ กับเรื่องพวกนี้ ลูกหลานของตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ทำไม่ได้!

ถ้าเป็นเมื่อก่อน นางก็อาจจะเหมือนคนธรรมดาทั่วไป เมื่อได้ยินว่าเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางชนชั้นสูง ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายสามารถทำได้ทุกอย่าง หลังจากอยู่ที่จวนท่านอ๋องมาหลายปี ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ไม่ใช่ว่าลูกหลานขุนนางทุกคนจะก้าวหน้าถึงระดับนั้นได้ หลังจากประสบพบเจอกับเรื่องใหญ่จริงๆ บางสถานการณ์การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็มีประโยชน์ แต่บางสถานการณ์ ตอนนี้แต่ละบ้านต่างคนต่างสนใจผลประโยชน์ของตัวเอง การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็เป็นเรื่องจอมปลอมทั้งนั้น ไม่สู้ในมือมีลูกเขยที่กุมอำนาจทางทหารเอาไว้เยอะๆ ดีกว่า

ถ้าไม่ได้บังเอิญได้ยินและได้รู้ก็จะปล่อยผ่าน แต่ในเมื่อนางบังเอิญเจอโอกาสดีแบบนี้แล้ว ต่อให้จะห้ามไม่ให้นางเข้าร่วมการเมือง แต่นางก็แน่วแน่แล้วว่าจะพลาดไม่ได้ ต่อให้นางโดนด่าแต่ก็ต้องช่วงชิงโอกาสให้ลูกสาวให้ได้

…………………………

[1] หวังเฟย 王妃 ตำแหน่งภรรยาเอกของท่านอ๋อง

ตอนนี้โค่วเหวินหลานเข้าใจแล้ว มิน่าล่ะแค่หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวถึงทำให้พ่อบ้านมาที่นี่ด้วยตัวเองได้ นึกถึงตอนแรกที่หนิวโหย่วเต๋อได้รับความสนใจจากตระกูลโค่ว พ่อบ้านก็แค่ถามคำเดียวเท่านั้นเอง ไม่ได้ปฏิบัติด้วยเหมือนมีเรื่องสำคัญแบบนี้

พอนึกถึงภูมิหลังของเหมียวอี้ ในใจเขาก็รู้สึกทอดถอนใจนิดหน่อย นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะมีประวัติความเป็นมาอย่างนี้ อาจารย์ของอีกฝ่ายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้าก่อนที่ประมุขไป๋จะโด่งดังเสียอีก! พอคำนวณดูแล้ว เกรงว่าตอนนั้นราชันสวรรค์คงจะยังไม่เก่งเท่าไร ในตอนนั้นท่านปู่ตัวเองก็ไม่มีใครชายตาแลเช่นกัน

ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด จู่ๆ ลุงรองโค่วฉินก็เรียกเขา “เหวินหลาน ทำไมข้าได้ยินว่าตอนไปเจอหนิวโหย่วเต๋อครั้งนี้ เจ้าพาเหวินจื่อน้องสาวเจ้าไปด้วยล่ะ? ไม่ใช่ว่านิสัยเจ้าอารมณ์ของเหวินจื่อยั่วให้หนิวโหย่วเต๋อต้องคอยเคารพอยู่ห่างๆ หรอกใช่มั้ย?”

ในตอนนี้เรื่องที่โค่วเหวินหลานปิดบังถูกเปิดโปงแล้ว เท่ากับเป็นการเปิดโปงจิตใจที่เห็นแก่ตัวของบ้านลูกชายคนที่สาม มีความหมายที่ลึกซึ้งแบบนั้น

หางตาโค่วเจิงชำเลืองมองเฒ่าถัง โค่วเหมี่ยนเองก็ขมวดคิ้วสังเกตปฏิริยาของเฒ่าถังเงียบๆ

โค่วเหวินหลานตอบอย่างไม่ลนลานว่า “ลุงรอง ท่านเองก็รู้จักนิสัยของเหวินจื่อ นางเกาะแกะจะออกไปเที่ยวเล่นกับข้าให้ได้ พี่ชายอย่างข้าก็ขัดนางไม่ไหว แต่ข้ารับรองได้ว่าครั้งนี้เหวินจื่อไม่ได้คุยกับหนิวโหย่วเต๋อเลย เรื่องนี้พังพราะเหวินหลานคนเดียว ไม่เกี่ยวกับน้องขอรับ ถ้าลุงรองไม่เชื่อก็ไปสืบถามลูกน้องที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนได้เลย พวกเขาเห็นทุกอย่างกับตาแล้ว”

“เจ้าเด็กคนนี้ จะร้อนรนอะไร ข้าก็แค่ถามส่งเดชไปอย่างนั้น จะให้ไปสืบอะไรจากลูกน้องก็เกินไปแล้ว  คิดว่าลุงรองจะไม่เชื่อเจ้าเหรอ” โค่วฉินกล่าวกลั้วหัวเราะ พร้อมทั้งใช้สายตาชำเลืองเฒ่าถังอย่างแนบเนียน

สีหน้าของเฒ่าถังสงบเยือกเย็น กล่าวพร้อมรอยยิ้มจืดๆ ว่า “พวกท่านคุยกันไปเถอะ บ่าวยังมีธุระอีกนิดหน่อย” เขากุมหมัดคารวะโดยไม่สนใจว่าคนพวกนี้จะยินยอมหรือไม่ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร หันตัวเดินจากไป เขาเหมือนจะรู้ชัดว่าสามพี่น้องแอบต่อสู้แย่งชิงกันทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ไม่คิดจะเข้าไปมีส่วนรวม และไม่อยากเกี่ยวข้องด้วย เพราะการที่สามพี่น้องไม่สามัคคีกันคือสิ่งที่อ๋องสวรรค์โค่วไม่อยากเห็น เขาไม่มีทางไปเติมเชื้อไฟใส่ในนั้น

สามพี่น้องรวมทั้งโค่วเหวินหลานกุมหมัดคารวะส่งพร้อมกัน

หลังจากวางมือลงแล้ว โค่วฉินก็ผิดหวังอยู่บ้าง พูดจาชัดเจนขนาดนั้นแล้ว แต่ผลปรากฏว่าเฒ่าถังไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรสักนิด เฒ่าถังเป็นคนที่ฉลาดขนาดนั้น เขาไม่เชื่อหรอกว่าเฒ่าถังจะฟังไม่เข้าใจ แต่เห็นได้ชัดว่าตาแก่นี่แกล้งโง่ ที่จริงเขาหวังให้เฒ่าถังสืบให้ละเอียดว่าโค่วเหวินหลานทำอะไรไว้แล้วไปรายงานท่านพ่อ ในบรรดาสามพี่น้อง ลูกชายเขาสูญเสียโอกาสในการใช้ทรัพยากรของตระกูลไปแล้ว จะให้เขายอมแพ้ได้อย่างไร

โค่วเจิงกับโค่วเหมี่ยนพากันกวาดตามองเขาอย่างแฝงความหมายล้ำลึก ทั้งสองต่างรู้ว่าตัวเองโดนเจ้ารองโดนวางกับดักแล้ว แต่เรื่องบางเรื่องก็เก็บไว้เพียงในใจ ไม่สามารถฉีกหน้ากันได้ ไม่อย่างนั้นถ้ายั่วให้ท่านพ่อโมโห ไม่ว่าใครก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างเป็นสุขเลย สิ่งที่ท่านพ่อไม่พอใจที่สุดก็คือการที่พวกเขาสาพี่น้องไม่สามัคคีกัน

“น้องรอง น้องสาม พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ” พี่ใหญ่โค่วเจิงพยักหน้าบอก แล้วตัวเองก็หันตัวเดินจากไป

บรรยาไม่ชอบมาพากล โค่วฉินไม่อยากจะอยู่ต่ออีก สุดท้ายก็กล่าวอำลาแล้ว

รอจนคนเดินออกไปแล้ว โค่วเหวินหลานก็ถามอย่างโมโหนิดหน่อย “ท่านพ่อ ลุงรองทำแบบนั้นหมายความว่ายังไง?”

โค่วฉินกล่าวเสียงเรียบว่า “บังอาจ! ข้าสอนเจ้าไว้ว่ายังไง? ข้าให้เจ้านินทาผู้ใหญ่ลับหลังแบบนี้เหรอ? มิหนำซ้ำลุงรองก็พูดไม่ผิด ถึงยังไงครั้งนี้พวกเราสองพ่อลูกก็ซ่อนความเห็นแก่ตัวเอาไว้ มีอะไรน่าโมโหล่ะ? เขาใจกว้างไม่ซักไซ้ต่อแล้ว ถ้าเจ้ายังวุ่นวายอีกก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวแล้ว พอแล้ว เรื่องผ่านไปแล้ว มีอะไรไม่พอใจก็ปล่อยให้ย่อยลงท้องไป เมื่อเจอลุงรองอีกครั้งเจ้าก็ทำสิ่งที่ผู้น้อยควรจะทำ ถ้ากล้าเสียมารยาทแม้แต่นิดเดียว ข้าจะตดขาเจ้า ไปได้แล้ว!”

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง สวนโบราณ เมฆหมอกลอยวนเวียน อิ๋งจิ่วกวงอ๋องสวรรค์อิ๋งนั่งลงหมากอย่างช้าๆ อยู่ตรงหน้ากระดานหมากล้อม บนกระดานแบ่งแยกฝั่งขาวดำชัดเจน แต่กลับไร้คู่ต่อสู้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเล่นหมากล้อมกับตัวเอง

หญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามา เป็นบ่าวรับใช้เก่าแก่ข้างกายนั่นเอง เป็นผู้ดูแลบ้านจั่วเอ๋อร์ของจวนอ๋องสวรรค์

จั่วเอ๋อร์เรียกเบาๆ อยู่ข้างกายเขา “ท่านอ๋อง!”

อิ๋งจิ่วกวงถือหมากค้างไว้ สายตายังไม่ย้ายออกจากกระดาน ถามเหมือนไม่ใส่ใจว่า “มีเรื่องอะไร?”

จั่วเอ๋อร์ตอบว่า “ข้างนอกมีข่าวลือค่ะ ว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี!”

“อสุราอัคนี…” หลังจากอิ๋งจิ่วกวงที่กำลังถือหมากขบคิดตาม ดวงตาสองข้างก็เบิกกว้างขึ้นหลายเท่า หันกลับมาอย่างสะเทือนใจเล็กน้อย “ยืนยันข่าวหรือยัง?”

“ไม่ทราบเหมือนกันว่าข่าวมาจากไหน ไม่มีทางยืนยันได้ค่ะ” จั่วเอ๋อร์ตอบ

สายตาของอิ๋งจิ่วกวงเหลือบซ้ายเหลือบขวา กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกเล็กน้อย มือที่คีบตัวหมาตบลงบนกระดานพร้อมเสียงดังปั้ง แล้วจู่ๆ ก็ยืนขึ้น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “ประมุขชิง โพ่จวิน รังแกกันเกินไปแล้ว! เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้กำพืดหนิวโหย่วเต๋อตั้งแต่แรกแล้ว ก็เลยส่งหนิวโหย่วเต๋อเข้าไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์อย่างไม่กลัวอะไรเพื่อจะให้คำอธิบายกับข้าเท่านั้น ปั่นหวัข้าเหมือนคนโง่จริงๆ น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!” ส่วนมืออีกข้างที่กำหมากล้อมไว้หลายเม็ดก็บีบจนมีเสียงดังแกร๊ก

ในขณะที่หมากหลายเม็ดกำลังจะโดนบีบแตก จู่ๆ เขาก็คลายมือออก แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “หนิวโหย่วเต๋อรอดชีวิตออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์…ถ้าไม่มีมูลหมาไม่ขี้จริงๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้จะเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี ถ้าเป็นแบบนี้ก็น่าเสียดายแล้ว”

จั่วเอ๋อร์ไม่รู้ว่าเขาหมายความถึงด้านไหน “น่าเสียดายเหรอ?”

อิ๋งจิ่วกวงพยักหน้าเบาๆ “เป็นคนมีฝีมือที่หาพบได้ยาก! ถ้ารู้แต่แรกคงยุให้หรูอี้แต่งงานกับเขาก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่ในเมื่อประมุขชิงถูกใจหรูอี้แล้ว ข้าก็ทำอะไรไมได้เหมือนกัน จั่วเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าในบรรดาหลานสาวข้ามีใครที่หน้าตาและคุณสมบัติดีบ้าง?”

จั่วเอ๋อร์อึ้งไปครู่หนึ่ง พอจะเดาความคิดเขาออกแล้ว เพียงแต่ไม่สะดวกจะตอบ ได้แต่ยิ้มแล้วบอกว่า “หลานสาวท่านอ๋องก็ย่อมมีหน้าตาและคุณสมบัติดีทุกคนอยู่แล้ว”

อิ๋งจิ่วกวงหัวเราะเบาๆ รู้ว่านางไม่กล้าบอก จึงโบกมือแล้วบอกว่า “ข้ามีชาติกำเนิดต่ำต้อย มีหรือที่จะไม่รู้จักความคิดของคนในสังคม กลุ่มเด็กสาวที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เกิด แต่ละคนจะมีทั้งหน้าตาและคุณสมบัติได้ยังไง แค่ไม่เจ้ากี้เจ้าการก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว เจ้าไม่อยากพูดข้าก็ไม่บังคับหรอก เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะส่งเรื่องนี้ให้เจ้าคิดต่อ เลือกคนดีๆ มาสักคน พยายามเลือกคนที่สามารถทำให้หนิวโหย่วเต๋อใจสั่นหวั่นไหวได้”

จั่วเอ๋อร์รู้ว่าเขาต้องการจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ จึงเตือนว่า “ท่านอ๋อง ตอนแรกเขาก่อเรื่องแบบนั้นที่อุทยานหลวง ทำแบบนี้จะเหมาะสมเหรอ?”

อิ๋งจิ่วกวงโยนหมากที่เหลือกลับไปบนกระดาน มีเสียงกระเด็นเปาะแปะอยู่พักหนึ่ง “ถ้าสามารถรับศิษย์ของอสุราอัคนีมาเก็บไว้ได้ แค่โดนตบหน้านิดหน่อยจะสำคัญอะไร วันหลังที่เขากลายเป็นหลานเขยที่คุกเข่าหมอบกราบเรียกข้าว่าท่านปู่ แค่นั้นก็กู้หน้ากลับมาได้ทุกอย่างแล้ว เออใช่ ออกคำสั่งลงไปบอกพวกลูกน้องด้วย ว่าอย่าคิดสั้นทำอะไรซี้ซั้ว”

จั่วเอ๋อร์เข้าใจเจตนาของเขา หนิวโหย่วเต๋อรอดชีวิตออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว ลูกน้องที่อยู่ระดับล่างของตระกูลอิ๋งจะต้องมีคนแสดงผลงานแน่นอน นางจึงพยักหน้ารับคำสั่ง “บ่าวเข้าใจแล้ว”

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวที่ถูกปกคลุมด้วยละอองฝน ใต้ชายคาของเรือนพักที่งดงาม อ๋องสวรรค์ฮ่าวเต๋อฟางที่สวมชุดหรูหราทั้งตัวกำลังเอามือไขว้หลังยืนพิงรั้ว ดวงตาฉายแววครุ่นคิด แล้วพยักหน้าบอกว่า “เรื่องนี้อธิบายชัดเจนแล้ว ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมโพ่จวินปกป้องแล้วแต่ยังตอบตกลงให้ส่งเจ้าเด็กนั่นไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์ สงสัยประมุขชิงจะมีแผนการในใจตั้งนานแล้ว การที่เจ้าเด็กนั่นรอดชีวิตออกมาจากแดนดึกดำบรรพ์ได้ก็ถือว่าเป็นหลักฐานยืนยันแล้ว เฒ่าซู ศิษย์ของอสุราอัคนีเชียวนะ ถ้าในอนาคตมีความสามารถได้สักครึ่งหนึ่งของอสุราอัคนี แบบนั้นก็จะช่วยพวกเราได้เยอะ ข้าอยากได้ตัวเขามาอยู่ฝ่ายเรา แต่คงจะไม่ได้มีแค่ตระกูลเราที่อยากได้เขา เจ้าคิดว่าจะฉวยโอกาสก่อนยังไงดี?”

เฒ่าซูคือสตรีวัยกลางคนหน้าสวยที่แต่งตัวเป็นบัณฑิตชาย ชื่อว่าซูอวิ้น ทำหน้าที่เหมือนพ่อบ้านของจวนอ๋องสวรรค์ แต่ไม่เหมือนกับพ่อบ้านของจวนอ๋องสวรรค์อื่นๆ ซูอวิ้นไม่ใช่บ่าวรับใช้ของตระกูลฮ่าว ฮ่าวเต๋อฟางเคารพนางมาตลอด ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ซูอวิ้นเป็นหญิงงามรู้ใจของฮ่าวเต๋อฟาง ทั้งสองเคยมีความรักอันน่าซาบซึ้งใจต่อกัน เพียงแต่คู่รักในโลกนี้อาจจะไม่ได้ครองเรือนอยู่ด้วยกันเสียทั้งหมด ด้วยความที่ต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม ต่อให้เป็นอ๋องสวรรค์ฮ่าวในตอนนี้ แต่ปีนั้นก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้เลยต้องแต่งงานกับอีกคนเช่นกัน ก่อนที่ฮูหยินของเขาจะตาย นางก็พะวงเรื่องหนึ่งมาตลอดจนไม่ยอมตายตาหลับ ฮ่าวเต๋อฟางไม่เข้าใจ แต่ซูอวิ้นกลับเข้าใจ ซูอวิ้นจึงสาบานตรงนั้นว่าทั้งชาตินี้จะไม่แต่งงานกับฮ่าวเต๋อฟาง ถึงได้ทำให้ฮูหยินของฮ่าวเต๋อฟางยอมตายตาหลับ

ตั้งแต่นั้นมา ซูอวิ้นกับฮ่าวเต๋อฟางก็ไม่แสดงความรู้สึกต่อกันอย่างเกินขอบเขต ต่อให้จะอยู่เคียงข้างกันไปตลอดชีวิต แต่ก็ไม่เคยล้ำเส้นแม้เพียงครึ่งก้าว ทั้งยังเป็นฝ่ายวางแผนเรื่องการแต่งงานให้ฮ่าวเต๋อฟางเองด้วย ส่วนฮ่าวเต๋อฟางถึงแม้จะรับอนุภรรยาไว้เพื่อสืบทายาท แต่กลับไม่แต่งงานอีกเลยตลอดชีวิต ตำแหน่งฮูหยินเอกจึงว่างมาตลอด

ซูอวิ้นกล่าวอย่างลังเลว่า “ประเด็นสำคัญของปัญญานี้ก็คือ ประมุขชิงรู้เบื้องลึกของเขาแล้ว จะยอมปล่อยมือง่ายๆ เหรอคะ?”

“เรื่องนี้เอาไว้จัดการอีกทีก็ได้ ข้าอยากได้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เจ้าคิดว่ายังไง?” ฮ่าวเต๋อฟางถาม

ซูอวิ้นเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ “พวกเราก็ไม่มีจุดอ่อนอะไรมาควบคุมเขา ตอนนี้มีเพียงการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ที่จะผูกมัดเขาไว้ได้ เป็นวิธีการที่มั่นคงปลอดภัยที่สุดแล้ว เพียงแต่ทำแบบนี้อาจจะต้องเสียสละผู้หญิงของตระกูลฮ่าวสักคน ท่านอ๋องคิดไว้หรือยังว่าจะเลือกใคร?”

ฮ่าวเต๋อฟางตอบว่า “ไม่นับว่าเสียสละหรอก หนิวโหย่วเต๋อนั่นหน้าตาไม่ได้แย่ ความสามารถก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย สักวันหนึ่งลูกสาวหลานสาวของตระกูลฮ่าวก็จะต้องแต่งงาน แต่งออกไปอาจจะไม่ได้เจอคนที่ดีกว่าหนิวโหย่วเต๋อก็ได้ มิหนำซ้ำหลังจากจบเรื่องนี้ข้าก็ไม่เสียเปรียบแน่นอน ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ในบรรดาคนที่ยังไม่แต่งงาน เจ้าว่าใครสวยที่สุด?”

ซูอวิ้นยิ้มเจื่อนๆ แบบนี้แปลว่าต้องการจะลงทุนเยอะ นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “ชายหนุ่มมากฝีมือที่ตามจีบเยี่ยนจื่อมีเยอะที่สุด”

“ข้าก็คิดว่าเป็นนางเหมือนกัน งั้นก็เยี่ยนจื่อแล้วกัน เจ้าไปจัดการเถอะ” ฮ่าวเต๋อฟางกล่าว

“รับทราบ!” ซูอวิ้นที่แต่งตัวเป็นชายกุมหมัดคารวะ จากนั้นหันตัวจากไป บางทีอาจจะเป็นเพราะเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นเกินไป ชุดบัณฑิตที่อยู่บนตัวจึงดูหลวมโคร่ง

ถึงแม้จะยังมีสง่าราศีอยู่ แต่ฮ่าวเต๋อฟางที่หัวหงอกแล้วก็หันตัวไปมองเงาหลังของนาง ในดวงตาสื่ออารมณ์ซับซ้อน พึมพำกับตัวเองว่า “เจ้ายังมีช่วงวัยที่งดงาม แต่ข้าแก่แล้ว ไม่ได้คาดหวังอย่างอื่น โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ได้แต่หวังว่าจะปกป้องให้เจ้าอยู่อย่างสงบสุขตลอดชีวิตได้…”

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง ในสวนหยก มีเสียงหัวเราะพูดคุยดังจ้อกแจ้กจอแจ ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่สดใสราวกับฤดูใบไม้ผลิกำลังเต้นแข่งกันอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่ม ด้านนอกมีคนล้อมไว้วงหนึ่ง ตรงกลางสลับกันจับคู่ขึ้นไปเต้นไม่หยุด

บนตึกที่อยู่ด้านข้าง โต๊ะและเก้าอี้อยู่ท่ามกลางการปรนนิบัติจากสาวใช้ ด้านหลังโต๊ะยาวที่วางผลไม้หลากสีสันเอาไว้เต็ม อ๋องสวรรค์ก่วงลิ่งกงกำลังมองข้างล่างพลางหัวเราะอย่างสนุกสนาน

สตรีวัยกลางคนที่นั่งแอบอิงอยู่ข้างเขาเรียกได้ว่าหยาดเยิ้มออดอ้อนไร้ที่เปรียบจริงๆ หายากมากในใต้หล้า หน้าอกแบบนั้น บั้นท้ายแบบนั้น ทั้งยังมีเอวที่เพรียวบาง จุดที่อวบอัดก็ทำให้คนใจเต้นแรง จุดที่เพรียวบางก็ทำให้คนมองปราดเดียวแล้วเพ้อฝัน ดวงตางามที่อ่อนโยนราวกับน้ำนั่นเหมือนจะชุ่มฉ่ำออดอ้อนอยู่ตลอดเวลา รอยยิ้มยั่วเย้ากระชากวิญญาณให้คนเหม่อลอยได้ ย่อมไม่ต้องพูดถึงความงามแล้ว ถ้าพูดถึงท่วงท่าออดอ้อนเย้ายวนของนาง ในใต้หล้าก็ไร้เทียมทาน และการที่นางสามารถนั่งเทียบเสมอกัยอ๋องสวรรค์ก่วงได้ก็ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน

ในปีแรกๆ ที่สี่อ๋องสวรรค์ติดตามประมุขชิงบุกยึดใต้หล้า คนในครอบครัวก็ล้มตายไปเกือบหมด คนที่แต่งงานรับฮูหยินเอกมีเพียงก่วงลิ่งกง นางก็คือผู้หญิงที่อยู่ข้างกายนี่เอง ชื่อก็มความหมายเหมือนกับตัวนาง ชื่อว่าเม่ยเหนียง เดิมทีผ่านลมผ่านฝนมามากมาย ก่วงลิ่งกงไม่ได้มีเจตนาจะแต่งงานอีก แต่ตอนหลังเมื่อลูกน้องนำเม่ยเหนียงมามอบให้ อ๋องสวรรค์ก่วงก็ควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ทุนเม่ยเหนียงบ่นไม่ไหว เลยช่วยให้เม่ยเหนียงสมปรารถนาแล้ว

…………………………

“ปีศาจจิ้งจอกพันหน้า?” ปี้เยว่ฮูหยินตะลึงงัน ทำไมจู่ๆ ถึงโยงมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ อดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าจะยืมมันไปทำอะไร?”

“มีเรื่องนิดหน่อย สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ ท่านวางใจเถอะ ขอยืมไปไม่นาน เดี๋ยวจะเอามาคืนท่าน” เหมียวอี้ตอบ

ปี้เยว่ฮูหยินแสดงอาการลังเลนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ขี้งก แต่ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าตัวนี้เกี่ยวข้องกับความลับใหญ่ของนาง ถ้าปีศาจจิ้งจอกปากไม่มีหูรูดขึ้นมา นางจะไม่อับอายแย่เหรอ นางเคยให้ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าแปลงร่างเป็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ด้วย

ถึงแม้หลังจากออกจากแดนอเวจีแล้ว นางจะให้ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าทำเรื่องแบบนั้นน้อยมาก แต่ก็ยังกังวลใจจริงๆ! หลายครั้งที่นางอยากจะฆ่าปิดปากปีศาจจิ้งจอกพันหน้า แต่สุดท้ายก็ยังทำใจไม่ได้

เหมียวอี้เห็นแบบนั้นก็เดาความกังวลของนางออกแล้ว เดิมทีอยากจะเปิดเผยว่าตัวเองรู้เรื่องนี้แล้ว แต่คิดไปคิดมาก็ยังไม่ได้พูด มีใครบางที่ไม่มีเรื่องลับส่วนตัวเลย? และเรื่องลับส่วนตัวของอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน มิหนำซ้ำอีกฝ่ายก็ว่างเปล่าเดียวดาย เรื่องนี้พอจะเข้าใจได้ ไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายเปิดเผบเรื่องนี้ เขาจึงรอต่อไปเงียบๆ

หลังจากเงียบไปนาน ปี้เยว่ฮูหยินก็อึกอักบอกว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะให้ยืมนะ แต่ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้ไม่ซื่อสัตย์จริงๆ ช่างมันดีกว่ามั้ย”

เหมียวอี้ยกจอกสุราขึ้นมาจ่อตรงปากอย่างช้าๆ “หวังว่าฮูหยินจะช่วยให้สมปรารถนา หลังจากจบเรื่องจะส่งกลับมาให้ทันเวลาแน่นอน!”

เขาดึงดันจะเอาไปให้ได้ ปี้เยว่ฮูหยินจึงไม่สะดวกจะปฏิเสธแล้ว สุดท้ายก็พยักหน้าตอบรับ

ดังนั้นตอนที่เหมียวอี้ออกไป ในอ้อมอกจึงอุ้มจิ้งจอกสีชมพูที่ทำท่าทางเหมือนไม่ได้รับความยุติธรรมตัวหนึ่งไปด้วย

ที่อุทานหลวง หยางชิ่งที่ยืนอยู่ในศาลาบนไหล่เขาทอดสายตามองไปยังจวนแม่ทัพภาคที่อยู่บนภูเขาตรงข้าม เขาถอนหายใจในขณะที่ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล “น่าเสียดายที่ไม่ใช่เวยเวย อวิ๋นจือชิวมีคุณธรรมหรือความมสามารถอะไร มีสามีแบบนี้ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว เฮ้อ!”

เขาเองก็ทำอะไรกับเหมียวอี้ไม่ได้แล้วเช่นกัน

ที่จริงพอเหมียวอี้ออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ติดต่อเขาทันที ให้เขาและลูกน้องคนสนิทอย่างพวกหยางเจาชิงปลอมตัวไปสืบยังดาวเคราะห์ที่ครอบครัวพักอาศัยอยู่ ให้นำครอบครัวถอนกำลังออกไป เตรียมทิ้งกิจการที่พิภพใหญ่ ให้ถอนกำลังกลับพิภพเล็กก่อน เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด!

ให้ทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ หยางชิ่งตกใจมาก ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ย่อมต้องสอบถามซ้ำๆ อยู่แล้ว เหมียวอี้เองก็รู้เช่นกันว่าปิดบังเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้ ถึงได้บอกความจริงเขา ตอนนี้หยางชิ่งถึงได้รู้ว่ามีคนจ้องอยากได้อวิ๋นจือชิวจนยั่วโมโหเหมียวอี้ และคนบ้าอย่างเหมียวอี้ก็ต้องการจะเคลื่อนพลโจมตีจวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงโดยตรง สาบานว่าจะล้างเลือดจวนหัวหน้าภาคและสับร่างโจรสุนัขอย่างฉู่จื่อเซียนสักหมื่นดาบพันดาบ!

ขณะที่หยางชิ่งตกตะลึงพรึงเพริด ก็นับว่าเข้าใจแล้วว่าอะไรเรียกว่า ‘เดือดดาลจนหัวตั้งเพราะสาวงาม!’

เขาได้รับรู้ถึงนิสัยของเหมียวอี้ยามทุ่มสุดตัวอีกครั้ง ไม่ได้คำนึงถึงผลที่ตามมาอะไรทั้งนั้น!

เขาย่อมแนะนำให้เหมียวอี้ไตร่ตรองให้ดี บัญชีของฉู่จื่อเซียนเอาไว้ชำระทีหลัง ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะประกาศความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับอวิ๋นจือชิว ก็สามารถชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบได้เลย ชิงอวิ๋นจือชิวมาไว้ในมือแล้วทำให้อยู่ในฐานะที่ถูกต้อง จากนั้นฉู่จื่อเซียนก็จะทำอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องดึงตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

ทว่าเรื่องบางเรื่องเหมียวอี้สามารถทนได้ แต่เรื่องบางเรื่องเหมียวอี้ทนไม่ได้ ไม่ฟังที่เขาเกลี้ยกล่อมเลย แน่นอน การที่หมียวอี้ทำแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ในเมื่อเขาออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว แต่เกรงว่าฝั่งตระกูลอิ๋งจะไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ ประจวบเหมาะกับเกิดเรื่องของอวิ๋นจือชิวพอดี ก็ไม่สู้ชิงก่อกบฏก่อนให้สิ้นเรื่อง

สุดท้ายก็เป็นหยางชิ่งที่เกลี้ยกล่อมซ้ำอีก บอกว่าตัวเองอยู่ที่นี่มานานขนาดนี้แล้ว พอจะเข้าใจสถานการณ์ทางนี้คร่าวๆ จึงทำงานอย่างระมัดระวัง เรื่องราวไม่ได้แย่เหมือนที่เหมียวอี้คิด จึงเสนอแผนการดีๆ ที่จะทำให้ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย สามารถทำให้เหมียวอี้บรรลุเป้าหมาย ทั้งยังปกป้องกิจการที่อยู่ทางนี้ได้ทั้งหมดด้วย ตอนนี้ถึงได้ทำให้เหมียวอี้สงบลง

ตอนหลังเหมียวอี้ถึงได้ไปพบกับเทพประจำดาวฟ้าเถาะและคนอื่นๆ ตามแผนที่วางไว้

แน่นอน เหมียวอี้เปลี่ยนแปลงแผนการของหยางชิ่งอีกแล้ว อย่างน้อยหยางชิ่งก็ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ยืมตัวปีศาจจิ้งจอกพันหน้ามา ที่เหมียวอี้ทำแบบนี้ก็เพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จ

“เขาปฏิเสธเหรอ?” เฒ่าถังแปลกใจ

ดาวหยกงาม จวนอ๋องสวรรค์ โค่วเหวินหลานที่กลับมายังไม่ทันเจอท่านปู่ของตัวเอง โค่วหลิงซวีเองก็ไม่คุยธุระกับคนรุ่นหลานเช่นกัน กลับเป็นบ่าวชราข้างกายโค่วหลิงซวีที่มาถามสถานการณ์ที่จวนคุณชายสามโค่วเหมี่ยนด้วยตัวเอง คุณชายใหญ่โค่วเจิงกับคุณชายรองโค่วฉินก็มาแล้ว โค่วเหมี่ยนก็ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยเช่นกัน

ที่จริงเรื่องบางเรื่องก็บอกผ่านระฆังดาราได้ แต่โค่วเหมี่ยนอยากจะอาศัยโอกาสนี้ให้ลูกชายตัวเองคลุกคลีกับผู้ใหญ่มากๆ หน่อย เพราะการอยู่ห่างไกลกันนานๆ ไม่ใช่เรื่องดีอะไร จึงสั่งให้ลูกชายรีบกลับมารายงานแบบต่อหน้า

ถึงแม้ตัวเองจะเป็นนายน้อย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อบ้านเก่าแก่ที่ท่านปู่ไว้ใจที่สุด โค่วเหวินหลานก็ไม่กล้าวางมาดใส่ ยังตอบอย่างเคารพว่า “เป็นข้าที่จัดการเรื่องนี้ได้ไม่ราบรื่น ทำให้เขาตอบตกลงไม่ได้ แต่จนใจที่ท่านพ่อสั่งไว้ล่วงหน้าว่าเรื่องแบบนี้บังคับกันไม่ได้”

“คุณชายสามพูดไม่ผิดหรอก ไม่มีเหตุผลที่จะฝืนยัดหลานสาวของตระกูลโค่วให้คนอื่น” เฒ่าถังที่ขมวดคิ้วพยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็ถามต่อว่า “คุณชายน้อย ได้ถามให้ชัดเจนหรือไม่ว่าทำไมเขาปฏิเสธ?”

โค่วเหวินหลานตอบอย่างเคารพว่า “เขาบอกว่าเขามีคนที่ถูกใจอยู่แล้ว บอกว่าอีกไม่นานก็จะได้รู้”

“อย่างนี้เหรอ…” เฒ่าถังลูบเครา

โค่วฉินแสยะยิ้ม “ช่างเป็นคนที่ไม่รู้จักอ่านสถานการณ์จริงๆ สำคัญตัวเองจริงๆ”

เฒ่าถังเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วถามต่อว่า “คุณชายน้อย เขาได้บอกมั้ยว่าคนที่ชอบคือใคร? เล่าถึงสถานการณ์ตอนนั้นมาให้ละเอียดก็ได้”

โค่วเหวินหลานตอบว่า “เขาไม่ยอมบอก…” เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ โดยปิดบังเรื่องที่ตัวเองวางแผนกับน้องสาวตัวเอง

เมื่อเห็นเฒ่าถังตกอยู่ในอาการครุ่นคิด โค่วเจิงที่เป็นพี่ใหญ่ก็ถามอีกว่า “ท่านอาถังคิดว่าในนั้นมีเรื่องปิดบังอยู่เหรอ”

เฒ่าถังส่ายหน้าเบาๆ “ถ้าเป็นแค่คนที่ถูกใจทั่วไปก็ว่าไปอย่าง ที่เขาไม่ยอมบอก ก็เพราะกลัวว่าจะมีคนชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ มาแซงอยู่ตรงหน้าพวกเรา ถึงอย่างไรตระกูลฮ่าวกับตระกูลก่วงก็ไม่ได้อ่อนด้อยเหมือนกัน อาจจะเป็นข้าที่คิดมากไป”

“ท่านอาถังไตร่ตรองรอบด้านไม่ผิดพลาด แต่ถ้าไม่ใช่แบบนี้ ยังจะดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อต่อไปเหรอ?” โค่วเจิงถาม

เฒ่าถังบอกว่า “ถ้าข้าคิดมากไป ก็ย่อมต้องดึงตัวเขามาให้ได้ เพียงแต่ถ้าไม่สามารถแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ได้  ถ้าขาดความสัมพันธ์ระดับการแต่งงานไปแล้ว ต่อให้ดึงตัวมาได้ ความใกล้ชิดและห่างเหินก็จะไม่เหมือนกัน…ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”

โค่วเจิงพยักหน้า “นึกไม่ถึงว่าวรยุทธ์ของหนิวโหย่วเต๋อจะเพิ่มไวขนาดนี้ ใช้เวลาไม่นานก็บรรลุระดับบงกชรุ้งแล้ว ในวันข้างหน้าจะต้องได้เป็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญแน่นอน จะว่าไปแล้ว ต้องโทษที่ตอนแรกข้าจิตใจคับแคบเกินไป มีตาหามีแววไม่ ในปีนั้นท่านอาถังอุตส่าห์ตั้งใจเตือนให้ข้าสนใจเขามากๆ เรื่องที่เดิมทีลงทุนนิดหน่อยก็จะทำสำเร็จ แต่ข้ากลับทำให้มันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เป็นความผิดพลาดของข้าเอง”

เฒ่าถังมองเขาอย่างชื่นชม สามารถยอมรับผิดและตำหนิตัวเองได้ นี่สิความใจกว้างของผู้สืบทอดตระกูลโค่วในอนาคต ถ้าฝึกฝนอย่างหนักเพิ่ม ตระกูลโค่วก็มีผู้สืบทอดแล้ว จึงพูดปลอบใจว่า “เรื่องบางเรื่องต่างเวลาก็ต่างสถานการณ์ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงทำเหมือนกัน คุณชายใหญ่ไม่จำเป็นต้องตำหนิตัวเอง”

โค่วฉินไม่พอใจสายตาชื่นชมที่เฒ่าถังมองพี่ใหญ่ของตัวเอง จึงพูดแขวะว่า “ตำหนิตัวเองเพื่อหนิวโหย่วเต๋อที่ต่ำต้อยแบบนี้ พี่ใหญ่ทำเกินไปแล้วมั้ง” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือพี่ใหญ่จงใจดัดจริต และอยากจะเตือนเฒ่าถังให้สังเกต อย่าได้โดนตบตา

คำพูดนี้ทำให้บรรยากาศในห้องเริ่มละเอียดอ่อนทันที ในใจพี่ใหญ่โค่วเจิงจะไม่รู้ได้อย่างไร แต่สีหน้ายังไม่แสดงความผิดปกติอะไร เอียงหน้าช้าๆ มองไปที่โค่วฉิน แล้วถามว่า “น้องงรอง เจ้าต้องรู้ไว้นะว่าอาจารย์ของหนิวโหย่วเต๋อคือใคร?”

“อาจารย์ของหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?” โค่วฉินงุนงง โดนคำถามนี้ทำให้อึ้ง ถามกลับอย่างมึนงงว่า “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับอาจารย์ของหนิวโหย่วเต๋อ?”

“เรื่องนี้ก็ไม่แปลกเช่นกัน ถ้าเจ้ารู้ว่าอาจารย์ของเขาคือใคร เกรงว่าเจ้าคงจะไม่พูดอย่างนี้” โค่วเจิงตอบเสียงเรียบ

“อาจารย์เขาคือใคร? ทำให้พี่ใหญ่ให้ความสำคัญขนาดนี้ได้ อย่าบอกนะว่าอาจารย์เขาคือฝ่าบาทราชันสวรรค์?” โค่วฉินสงสัย

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” โค่วเจิงส่ายหน้า แล้วกล่าวเบาๆ อย่างอ่อนโยนว่า “ช่วงนี้ภายนอกมีข่าวลือมาจากไหนก็ไม่รู้ บอกว่าอาจารย์ของหนิวโหย่วเต๋อคืออสุราอัคนี!”

“อสุราอัคนี?” โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยน สองพี่น้องอุทานตกใจพร้อมกัน

โค่วเหวินหลานยังงุนงง ไม่ได้เคยได้ยินชื่อบุคคลนี้มาก่อน แต่พอเห็นท่าทางของบิดากับลุงรองแล้ว ก็เหมือนจะตกตะลึงไม่เบา พอมองไปที่เฒ่าถังอีกครั้ง ก็พบว่ายังมีสีหน้าสงบนิ่งอยู่ ไม่ประหลาดใจเลยสักนิด ราวกับรู้อะไรบางอย่างมา

“พี่ใหญ่ อสุราอัคนีไหน?” โค่วฉินทั้งประหลาดใจทั้งสงสัย

โค่วเจิงตอบว่า “เจ้าคิดว่ามีหลายอสุราอัคนีรึไงล่ะ? ก็ต้องเป็นอสุราอัคนีที่อยู่ในยุคโจรกบฏหกปราชญ์อยู่แล้ว!”

“เป็นเขาเหรอ!” สองพี่น้องอุทานอย่างตกใจอีกครั้ง

คนของยุคหกปราชญ์เหรอ? โค่วเหวินหลานอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านพ่อ อสุราอัคนีนี่เป็นคนยังไงเหรอ?”

โค่วเหมี่ยนตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ในยุคหกปราชญ์จะมีคนอยู่คนหนึ่งที่ถูกหกปราชญ์ดึงตัว แต่ก็ไม่ยอมรับการควบคุมจากหกปราชญ์ อาศัยพลังอันแข็งแกร่งของตัวเองไปไหนมาไหนตามลำพัง นิสัยใจร้อนไม่ชอบถูกควบคุม วางอำนาจบาตรใหญ่ ไปมาอย่างอิสระในใต้หล้า แต่หกปราชญ์ก็ดันทำอะไรเขาไม่ได้ จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าเขามีพลังแข็งแกร่งขนาดไหน”

โค่วเหวินหลานแอบตกใจ คนที่ยอดเยี่ยมระดับนี้เป็นอาจารย์ของหนิวโหย่วเต๋อเหรอ หนิวโหย่วเต๋อมีภูมิหลังแบบนี้ด้วยเหรอ? เขาอดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง “แล้วตอนนี้อาจารย์ของหนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่ไหนขอรับ?”

โค่วเหมี่ยนถอนหายใจ “ตอนหลังไม่รู้ว่าคนคนนี้ไปทำอะไรผิด ยั่วโมโหประมุขไป๋เข้าแล้ว ประมุขไป๋ไล่ฆ่าไม่หยุด สุดท้ายก็กำจัดเขาได้! ก่อนหน้านี้ประมุขไป๋ยังเป็นคนที่ไม่โด่งดัง เรื่องแรกที่ทำหลังจากออกมาเผชิญโลกนี้ก็คือกำจัดอสุราอัคนี เพราะศึกนี้นี่แหละ ถึงได้ทำให้คนในใต้หล้ารู้จักตัวละครสำคัญอย่างประมุขไป๋!” พูดจบก็หันไปถามโค่วเจิง “พี่ใหญ่ แน่ใจได้ยังไงว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี? ข่าวลือผิดพลาดหรือเปล่า?”

โค่วเจิงไม่ตอบ แต่มองไปที่เฒ่าถังแทน

เฒ่าถังยิ้มบางๆ ถึงแม้จะอธิบายตอบแล้ว แต่กลับยังพูดไม่ละเอียดพอ “เกรงว่าทางฝ่าบาทคงจะสืบเจอแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อคือศิษย์ของอสุราอัคนี ไม่อย่างนั้นโพ่จวินที่ปกป้องหนิวโหย่วเต๋อคงไม่ตอบตกลงให้หนิวโหย่วเต๋อไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์หลังจากเข้าวังไปรอบหนึ่งหรอก เกรงว่าโพ่จวินก็คงจะรู้กำพืดของหนิวโหย่วเต๋อแล้วเช่นกัน อสุราอัคนีก็คือคนส่วนน้อยในปีนั้นที่สามารถเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้อย่างอิสระ หลังจากเขาฝึกตนอยู่ในแดนดึกดำบรรพ์แล้วออกมา เขาถึงได้มีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อเข้าไปในแดนดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปีแล้วออกมาอย่างปลอดภัย ทำให้คนตกตะลึงจริงๆ ไม่ใช่ความบังเอิญแน่นอน”

เพี้ยะ! โค่วฉินพลันปรบมือ ถอนหายใจอย่างสะเทือนอารมณ์ “ถ้าเป็นแบบนี้ก็น่าเสียดายแล้วจริงๆ!” ในใจเจ็บปวดยิ่งกว่าที่แสดงออกมาเสียอีก หนิวโหย่วเต๋อมีประวัติภูมิหลังแบบนี้ ฐานะตัวตนสูงขึ้นมาในรวดเดียว ถ้าให้คู่กับเหวินชิงลูกสาวตัวเองก็ไม่ถือว่าเกาะผู้หญิงกิน ถ้าสามารถหาลูกเขยแบบนี้ได้ ในภายหลังตัวเองก็จะมีแรงสนับสนุนเยอะแล้ว น่าเสียดาย ไม่น่าเชื่อว่าจะพลาดไปแบบนี้แล้ว!

โค่วเจิงกับโค่วเหมี่ยนจะไม่รู้สึกเสียดายเหมือนกันได้อย่างไร

โค่วเหวินหลานถามเบาๆ ว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ก็เกรงว่าจะมีคนไม่น้อยที่จ้องอยากได้วิชาฝึกตนของหนิวโหย่วเต๋อ”

เฒ่าถังส่ายหน้าเบาๆ “คุณชายน้อยอาจจะไม่รู้ ในชื่อเสียงของอสุราอัคนีมีคำว่า ‘ไฟ’ อยู่ด้วย เป็นเพราะเคล็ดวิชาที่เขาฝึกเป็นเคล็ดวิชาธาตุไฟ เคล็ดวิชาธาตุไม่ได้เหมาะกับทุกคน เพราะให้ความสำคัญกับพรสวรรค์ ยิ่งระดับสูงก็ยิ่งเน้น ต่อให้ฝึกเคล็ดวิชาทั่วไป แต่ความสำเร็จในขั้นสุดท้ายก็ต่างกันไปตามเงื่อนไขของแต่ละคนเช่นกัน ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทรู้กำพืดของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว มีหรือที่จะปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อมีชีวิตรอดมาจนตอนนี้ได้”

…………………………

ในดวงตาหวงฝู่จวินโหรวเริ่มฉายแววหวาดกลัว ไม่ใช่เพราะคำพูดของมารดา แต่เป็นเพราะวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นเก้าตรงหว่างคิ้วของมารดา มารดาเอียงหน้ามองมาที่นาง นางมองเห็น แต่หนิวโหย่วเต๋อกลับมองไม่เห็น

จากความดุร้ายที่ฉายอยู่ในดวงตาของมารดา นางก็รู้สึกได้ถึงจิตมุ่งสังหาร อยู่ในฐานะมารดาย่อมไม่ฆ่านางอยู่แล้ว แต่ตรงนี้นอกจากนางแล้วจะมีใครล่ะ…นางเข้าใจในชั่วพริบตาเดียว อธิบายถึงความร้ายแรงขนาดนั้น มารดาต้องการจะฆ่าปิดปาก!

“ท่านแม่!” หวงฝู่จวินโหรวก้าวขึ้นมากอดแขนมารดาตัวเองเอาไว้ “ไม่นะ! อย่าฆ่าเขา! ลูกขอร้องท่านเถอะ อย่านะ!” นางหันกลับมามองเหมียวอี้ “ไป! เจ้ารีบหนีไปสิ!”

เหมียวอี้ก็ได้ยินสิ่งที่พูดเมื่อครู่นี้แล้ว เข้าใจความหมายแล้วเหมือนกัน เห็นเพียงหวงฝู่ตวนหรงหันขวับมองมา เห็นสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วชัดเจน เขาก็ยิ่งแน่ใจยิ่งกว่าเดิมแล้ว

“หนีเหรอ? ถ้าข้าจะหนี ข้าคงทิ้งเจ้าหนีไปแล้ว ยังต้องรอจนถึงตอนนี้อีกเหรอ? หนึ่งคนทำหนึ่งคนรับ จวินโหรว ไม่มีเหตุผบที่จะให้เจ้าแบกรับเรื่องนี้ไว้คนเดียว เจ้าไปยืนทางนั้น ข้าจะอธิบายกับแม่เจ้าเอง!” เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้ให้นางปล่อยมารดา สีหน้าอับอายบนใบหน้าเริ่มสงบเยือกเย็นลง

ในแววตาเย็นเยียบของหวงฝู่ตวนหรงเจือด้วยความประหลาดใจแบบที่สังเกตเห็นได้ยาก ความหมายของอีกฝ่ายชัดเจนมาก ว่าไม่มีทางทิ้งลูกสาวนางหนีไปคนเดียว!

“อธิบายอะไร? เจ้ารีบหนีไปสิ!” หวงฝู่จวินโหรวร้อนใจจนแทบจะร้องไห้แล้ว นางกอดแขนมารดาเอาไว้แน่น

สิง่ที่ทำให้นางร้อนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ตรงหว่างเหมียวอี้ปรากฏสัญลักษณ์วรยุทธ์เช่นกัน เป็นบงกชรุ้งขั้นหนึ่ง

หวงฝู่จวินโหรวกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร? นางเป็นแม่ข้านะ!” ถ้าทั้งสองสู้กันขึ้นมา นางควรจะช่วยฝั่งไหนล่ะ? กับเรื่องแบบนี้ คนที่อยู่ตรงกลางอย่างนางทรมานที่สุด

“หึหึ!” หวงฝู่ตวนหรงแสยะหัวเราะ ยิ้มมุมปากล้อเลียน “ข้าก็นึกว่าเอาความกล้ามาจากไหน ที่แท้วรยุทธ์ก็บรรลุระดับบงกชรุ้งแล้วนี่เอง ความเร็วนี้ยังไม่ธรรมดา หรือเจ้าคิดว่าเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ของข้า?” นางใช้มืออีกข้างลงมืออย่างกะทันหัน ควบคุมหวงฝู่จวินโหรวเอาไว้ แล้วเก็บเข้าในกระเป๋าสัตว์ จะได้ไม่เป็นอุปสรรค

เหมียวอี้รู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ถึงขั้นทำอะไรลูกสาวตัวเอง ดังนั้นจึงไม่กังวลแล้วว่าจะเกิดเรื่องกับหวงฝู่จวินโหรว จึงกล่าวด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็นว่า “ข้าจะใช่คู่ต่อสู้ของท่านหรือไม่ก็ไม่สำคัญ แต่ข้ารับประกันได้เลย ว่าไม่ว่าข้าที่อยู่ในห้อง หรือลูกน้องข้าที่อยู่ข้างนอก ไม่ว่าท่านจะเก็บใครไว้สักคนก็คงยาก เพราะไม่ว่าใครจะหนีไปได้สักคน แต่ท่านก็รับข้อหาที่ลงมือกับแม่ทัพภาคอุทานหลวงมาไหวหรอก!”

“เจ้ากำลังขู่ข้าเหรอ?” หวงฝู่ตวนหรงถาม

เหมียวอี้บอกว่า “ข้าไม่ได้ยากขู่ท่าน แค่เห็นแก่ที่ท่านเป็นมารดาของจวินโหรว ถ้าไม่ถึงที่สุดแล้วจริงๆ ข้าก็ไม่อยากลงมือกับท่านหรอก ข้าเพียงหวังให้ท่านเข้าใจ ว่าข้ากล้าบุกเดี่ยวฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านตอนทดสอบที่แดนอเวจี…ข้าไม่ปิดบังท่านนะ ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มีคนเก่งกว่าท่านตั้งเยอะ แต่ก็ยังทำอะไรข้าไม่ได้อยู่ดี ถ้าท่านดึงดันจะลงมือให้ได้ ข้าก็ไม่นั่งรอความตายเฉยๆ หรอก ทำไมผู้จัดการใหญ่ต้องลำบากทำให้สะเทือนไปถึงคนเฝ้าตลาดสวรรค์ต้องมาดูล่ะ?”

หวงฝู่ตวนหรงจ้องเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของอีกฝ่ายมีผลหรือเปล่า เอาเป็นว่าสัญลักษณ์วรยุทธ์ตรงกว่างคิ้วค่อยๆ เลือนหายไป แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “ก่อนหน้านี้ข้าพูดไปแล้ว เจ้าเองก็ได้ยินแล้วว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง ข้าให้พวกเจ้าสองคนอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าเจ้าหวังดีกับนางจริงๆ ก็อย่ามาเจอกับนางอีก!”

เดิมทีนางนึกว่าต้องเปลืองคำพูดอีกมากมาย แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะพยักหน้าตอบว่า “ได้เลย!”

หวงฝู่ตวนหรงอึ้งทันที ก่อนหน้านี้ยังเห็นเขาไม่ยอมหนีไปคนเดียวเพราะลูกสาวตัวเอง นึกไม่ถึงว่าจะตอบตกลงอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ เป็นเพราะถึงอย่างไรก็เคยเล่นไปแล้ว ก็เลยไม่ขาดทุนใช่มั้ย? นางอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้อีก ถ้าเจ้าไม่ปิดปากให้สนิท ตระกูลหวงฝู่ของข้าก็ไม่ได้อ่อนด้อยเช่นกัน ต่อให้ตระกูลหวงฝู่จะซวย แต่ก็ลากให้เจ้ามารับกรรมได้เหมือนกัน!”

“ท่านคิดจะจัดการจวินโหรวยังไง?” เหมียวอี้ถาม

หวงฝู่ตวนหรงบอกว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้าเป็นห่วงลูกสาวตัวเองยิ่งกว่าใคร!” สายตานางกวาดมองเตียงที่ยับยู่ยี่ กอปรกับกลิ่นประหลาดที่หลงเหลืออยู่ในห้อง ทำให้นางรู้สึกเหมือนมีไฟลุกในใจ ลูกสาวแสนสวยของนางต้องเสียเปรียบให้คนสารเลวคนนี้ ทั้งชีวิตลูกสาวนับว่าพังหมดแล้ว นางไม่อยากจะอยู่ตรงนี้ต่อแม้สักวินาทีเดียว แสยะยิ้มแล้วหันตัวจากไปเลย

รอจนกระทั่งตอนที่เหมียวอี้ออกมาจากห้องอีกครั้ง ก็ไม่เห็นเงาของนางแล้ว มีเพียงแสงจันทร์ที่อ้างว้าง

เหยียนซิวเหาะมาเหยียบลงข้างกายเขา แล้วถามด้วยเสียงเย็นวังเวงว่า “นายท่านเป็นอะไรมั้ย?”

เหมียวอี้ส่ายหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่าไม่เป็นอะไร เพียงแต่เงยหน้ามองพระจันทร์แล้วถอนหายใจ ยังไม่ทันเสพสุขกับหวงฝู่จวินโหรวเสร็จก็เจอเรื่องแบบนี้แล้ว นี่มันเรียกว่าอะไรกัน?

แต่เขาก็ต้องยอมรับเช่นกัน ว่านี่อาจจะเป็นจุดจบที่ดีที่สุดระหว่างเขากับหวงฝู่จวินโหรว ไม่อย่างนั้นก็เขาก็ไม่มีทางอธิบายเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกับหวงฝู่จวินโหรวได้เลย ตัดขาดแล้วก็ดีเหมือนกัน เพียงแต่เขารู้สึกผิดกับผู้หยิงคนนั้น!

เขาไม่ลืมที่จะหันกลับมาบอกว่า “เรื่องนี้มีแค่เจ้าที่รู้ จะให้ฮูหยินรู้ไม่ได้เด็ดขาด”

เหยียนซิวพยักหน้า รู้ว่าถ้าให้ฮูหยินรู้เรื่องนี้นายท่านจะต้องแบกรับผลที่ตามมาไม่ไหวแน่นอน ทั้งตระกูลเหมียวมีใครบ้างที่ไม่กลัวฮูหยิน?

นายท่านเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!

ที่ประตูเขตเมืองตะวันออก แม่นมหลิวที่เหาะลงจากฟ้าเดินตามหลังหวงฝู่ตวนหรงเข้ามาจนกระทั่งกลับถึงร้านค้าสมาคมวีรชน

พอเข้ามาในลานบ้านด้านใน ก็ทิ้งแม่นมหลิวเอาไว้ข้างนอก หวงฝู่ตวนหรงเดินเข้ามาในตึกคนเดียว เข้ามาในห้องนอนลูกสาวแล้วปิดประตู ก่อนจะโบกมือเรียกหวงฝู่จวินโหรวออกมา

หวงฝู่จวินโหรวมองไปรอบๆ พบว่ากลับมาถึงห้องนอนตัวเองแล้ว จึงดึงแขนมารดาด้วยสีหน้าตกใจกลัวทันที “ท่านแม่ ท่านทำอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อ?”

หวงฝู่ตวนหรงสะบัดลูกสาวออก แล้วตอบด้วยสีหน้าเยียบเย็น “ไม่ได้ทำอะไร เห็นแก่หน้าเจ้า แม่ไม่อยากให้เจ้าปวดใจ เลยปล่อยเข้าไปแล้ว!”

“จริงเหรอ!” หวงฝู่จวินโหรวดีใจเหนือความคาดหมาย

“เป็นความจริงอยู่แล้ว แต่แม่เจรจากับเขาดีๆ เขาตอบตกลงแล้ว วางตั้งแต่นี้ไปจะตัดขาดกับเจ้าแบบไม่เหลือเยื่อใย และรับปากด้วยว่าจะรักษาความลับ ข้าคิดว่าเขาคงไม่หลอกข้า ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็ไม่ส่งผลดีอะไรกับเจ้า” หวงฝู่ตวนหรงกล่าว

ตัดขาดแบบไม่เหลือเยื่อใยเหรอ? หวงฝู่จวินโหรวตกใจ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่มีทาง!”

หวงฝู่ตวนหรงคว้าแขนนางไว้ รีบร่ายอิทธิฤทธิ์คลายผนึกวรยุทธ์บนตัวนาง แล้วก็ผลักนาง “แม่จำเป็นต้องหลอกเจ้าด้วยเหรอ? ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ติดต่อกับเขาเพื่อยืนยันได้เลย ดูซิว่าแม่พูดผิดหรือเปล่า!”

หวงฝู่จวินโหรวเห็นนางแน่ใจขนาดนี้ ในใจก็พรั่งพรูไปด้วยความสิ้นหวัง นางยังตัดใจไม่ได้ รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ เตรียมจะถามเหมียวอี้ใช้ชัดเจน

แต่ใครจะคิดว่าภาพตรงหน้าจะพร่ามัว รู้สึกตึงที่ข้อมือ หวงฝู่ตวนหรงคว้าข้อมือนางไว้แล้ว ก่อนจะรีบลงมือผนึกวรยุทธ์ของนางอีก แย่งระฆังดาราออกมาจากมือนางแล้ว

หวงฝู่จวินโหรวได้แต่มองดู มองดูหวงฝู่ตวนหรงร่ายอิทธิฤทธิ์ลบบนระฆังดารา ลบตราอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ที่อยู่บนระฆังดารา

ชั่วพริบตานั้น หวงฝู่จวินโหรวก็เข้าใจแล้วว่าตัวเองตกหลุมพรางมารดา

สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย บนตัวนางมีระฆังดารามากมาย มารดาไม่สามารถรู้ได้ว่าตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราอันไหนเป็นของเหมียวอี้ ถ้าต้องเทียบระฆังดารามากมายขนาดนั้นก็ยุ่งยาก สิ่งแรกที่ต้องทำคือหาว่าของอันไหนที่เหมียวอี้ทิ้งตราอิทธิฤทธิ์ไว้บ้าง แต่ถ้าทำแบบนั้นไปทั่วก็จะทำให้คนสงสัย มารดาจึงใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ ให้ตัวเองเป็นฝ่าบนำระฆังดาราที่ใช้ติดต่อเหมียวอี้ออกมาเอง จะได้ไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยาก

“ท่านแม่! นี่ท่านทำอะไร ท่านจะให้ข้ายืนยันกับเขาไม่ใช่เหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวส่ายหน้าอย่างเศร้าโศก “เพราะอะไรคะ? ทำไมคะ?”

หวงฝู่ตวนหรงพลิกมือเก็บระฆังดาราอันนั้น สายตาที่มองลูกสาวเริ่มอ่อนโยนขึ้นทีละนิด นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “ยืนยันหรือไม่ยืนยันก็ไม่สำคัญแล้ว ที่สำคัญคือแม่ไม่ได้หลอกเจ้าจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อตอบตกลงที่จะตัดขาดกับเจ้าแล้วจริงๆ ทั้งยังรับประกันด้วยว่าจะไม่มาเจอเจ้าอีก ทำแบบนี้ดีต่อเจ้าา และดีต่อเขาด้วย ให้เรื่องนี้จบลงตรงนี้เถอะ ถ้าเจ้ายังพัวพันกับเขาต่อไป ก็จะลากให้ตระกูลหวงฝู่ประสบหายนะแบบไม่มีทางฟื้นคืนได้อีกตลอดไป เจ้าทนเห็นพ่อกับแม่เจ้าโดนตำหนักสวรรค์ลากไปประหารได้เหรอ? เจ้าทนเห็นพ่อกับแม่หัวร่วงลงพื้นได้ใช่มั้ย? เลิกเพ้อฝันโง่เง่าได้แล้ว กลับตัวเถอะ กลับตัวตอนนี้ยังไม่สาย”

หวงฝู่จวินโหรวยังคงหน้าซีด ยังคงผมเผ้ายุ่งเหยิง นางโซเซถอยหลัง แล้วส่ายหน้าอย่างเสร้าสลด นางรู้ว่าสิ่งที่มารดาพูดนั้นถูกต้อง นางรู้ว่าสิ่งตัวเองทำมันผิด แต่ในใจนางปล่อยวางคนคนนั้นไม่ได้จริงๆ แต่นางก็ไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบากไปด้วย นางพึมพำไม่หยุดว่า “แล้วข้าจะไปทางไหนดี…”

หวงฝู่ตวนหรงจึงบอกว่า “ขอเพียงเจ้าตัดขาดการติดต่อกับเขา ก็เลือกไม่ยากหรอกว่าจะไปทางไหนดี! ข้าจะส่งคนมารับช่วงต่อร้านค้าที่นี่ ต่อไปนี้เจ้าอยู่ข้างกายแม่ แล้วแม่จะหาผู้ชายดีๆ ให้เจ้าสักคน เลิกกับหนิวโหย่วเต๋อเจ้าก็ยังใช้ชีวิตได้สบายดีเหมือนเดิม”

หวงฝู่จวินโหรวส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มน่าเวทนา “ร่างกายข้าเป็นของหนิวโหย่วเต๋อตั้งนานแล้ว ท่านจะให้ข้าหาผู้ชายที่ไหนได้อีก? ใครจะอยากได้รองเท้าขาดชำรุดอย่างข้า?”

หวงฝู่ตวนหรงเลิกคิ้ว “ตอนนี้รู้จักนึกเสียใจทีหลังแล้วเหรอ? อย่างมากก็ไม่ต้องแต่งงาน! ต่อให้แต่งงานแล้วยังไงล่ะ? คานไม้ของตระกูลหวงฝู่ก็เห็นๆ กันอยู่ มีคนอยากแต่งงานเข้ามาในตระกูลหวงฝู่ของข้าอยู่แล้ว เมื่อเข้ามาอยู่ในตระกูลหวงฝู่แล้ว เขาคนนั้นยังจะมีสิทธิ์มาชักสีหน้าใส่เจ้าอีกเหรอ? สามารถหาฮูหยินที่สวยขนาดลูกสาวข้าได้ เขาต้องแอบดีใจดี มีสิทธิ์อะไรมาเรื่องมากเลือกเยอะ! โหรวโหรว แม่จะบอกความจริงให้เจ้ารู้ก็ได้ ก่อนที่พ่อเจ้าจะแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่ แม่ก็เคยผ่านผู้ชายคนอื่นมาแล้ว เคยติดหนึบอยู่ด้วยกัน เคยรักกันจนยากจะแยกจาก เพียงแต่คนคนนั้นไม่ยอมแต่งงานเข้าตระกูลเรา สุดท้ายก็ทำได้เพียงจบกัน เมื่อก่อนแม่ก็เคยกังวลเหมือนเจ้า แต่ตอนนี้แม่กับพ่อของเจ้าก็อยู่กันสบายดีไม่ใช่เหรอ ดังนั้นเรื่องบางเรื่องมันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เจ้าคิด!” ขณะที่พูดสิ่งนี้ดวงตาก็เหลือบต่ำลง ถ้าไม่ใช่เพื่อปลอบใจลูกสาว คาดว่าทั้งชีวิตนี้นางคงไม่บอกเรื่องนี้กับลูกสาว

หวงฝู่จวินโหรวสงบลงทันที เบิกตากว้างมองนาง…

“ได้ยินว่าท่านโหวเทียนหยวนลงจากตำแหน่งแล้วเหรอ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”

“จะเป็นยังไงได้ล่ะ? ตอนนี้เขากำลังทำงานที่จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง…”

จวนแม่ทัพภาคตงหัว เมื่อกันคนนอกออกไปหมดแล้ว เหมียวอี้ที่มาเยี่ยมเจ้านายเก่าก็ก็นั่งคุยกับปี้เยว่ฮูหยินในสวนดอกไม้ด้านหลัง ประเด็นสนทนาโยงไปถึงท่านโหวเทียนหยวน ไห่ยวนเค่อและไห่ผิงซินอย่างเลี่ยงไม่ได้

หลังจากขอบคุณที่เหมียวอี้ดูแลไห่ผิงซินแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็ทำสีหน้าหดหู่ใจ แล้วบอกว่า “ถึงแม้จะไม่เจอกัน แต่ข้ากับไห่ยวนเค่อก็ติดต่อกันบ่อยๆ ทางเทียนหยวนข้าก็ติดต่อบ่อยเหมือนกัน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองทำอะไรอยู่ ตอนนี้ก็เจอลูกสาวไม่ได้ด้วย ทั้งหมดนี้เป็นเวรกรรมตามสนองข้า…”

เรื่องบางเรื่องไม่มีใครสามารถรับฟังนางได้ ตอนนี้ก็มีเพียงคนที่รู้สถานการณ์เบื้องลึกอย่างเหมียวอี้แล้ว หลังจากพูดเรื่องนี้ ผู้หญิงคนนี้ก็พร่ำบ่นไม่หยุด

เหมียวอี้สังเกตเห็นว่าผู้หญิงที่เคยสวยหยาดเยิ้มมีสง่าราศี ตอนนี้ตรงหว่างคิ้วมีความระทมทุกข์ให้เห็นรางๆ หลังจากทนฟังนางบ่นได้พอสมควรแล้ว ก็เอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่ “ปี้เยว่ ให้ข้าขอยืมปีศาจจิ้งจอกพันหน้าตัวนั้นหน่อยได้มั้ย?”

…………………………

สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย คนอื่นไม่รู้แต่นางกลับรู้ ลูกสาวนางกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันสักเท่าไร ถึงขั้นเรียกได้ว่ามีความแค้นต่อกัน เรื่องที่ปีศาจโลหิตฆ่าหนิวโหย่วเต๋อก็ใช่ว่านางจะไม่รู้ ทั้งยังมีเรื่องหุ้นร้านขายของชำซื่อตรงที่ลูกสาวตัวเองกดดันให้หนิวโหย่วเต๋อยอมถอยอีก

หนิวโหย่วเต๋อล้างเลือดตลาดสวรรค์สองครั้ง จับลูกสาวตัวเองเอาไว้สองครั้ง ถึงขั้นกดดันให้ลูกสาวตัวเองนั่งคุกเข่าต่อนหน้าฝูงชนด้วย ตามความคิดของหวงฝู่ตวนหรง ถ้าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้ไม่กังวลภูมิหลังของสมาคมวีรชน เกรงว่าคงจะลงมือสังหารลูกสาวตัวเองไปแล้ว จะมามั่วอยู่กับลูกสาวตัวเองได้อย่างไร

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ต่อให้นอนฝันนางก็ไม่มีทางนึกเชื่อมโยงได้ว่าสองคนนี้จะอยู่ด้วยกัน ทว่าความจริงกลับทำให้คนเหนือความคาดหมาย ภาพตรงหน้าทำให้นางสะเทือนใจหลายเท่า สุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นี้ทำงานได้ดีเกินไปเมื่ออยู่ฉากหน้า ไม่น่าเชื่อว่าจะปิดบังมารดาอย่างนางได้แล้ว ทำให้นางที่จับตาดูอย่างเข้มงวดไม่เจอเบาะแสอะไรเลย

ตอนนี้พอมานึกดูให้ละเอียด ก็ใช่ว่าจะไม่มีเบาะแสอะไรเลย ตามที่เบื้องล่างรายงานมา ลูกสาวนางเหมือนจะเคยติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อแบบผิดปกติจริงๆ แต่นางก็ไม่ได้เก็บมาคิดเป็นเรื่องใหญ่โต หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนที่กุมอำนาจของตลาดสวรรค์ ถ้าจะดำเนินกิจการที่ตลาดสวรรค์ จะไม่แอบติดต่อกันทั้งในที่ลับและที่แจ้งได้อย่างไร

“หนิวโหย่วเต๋อ? เป็นเจ้าเหรอ?” หวงฝู่ตวนหรงอุทาน นางตกใจจนปล่อยมือลูกสาวและต้องถอยสองก้าวถึงจะยืนอย่างมั่นคงได้

ว่ากันตามจริง ต่อให้ตีนางให้ตายนางก็ไม่เคยคิดว่าเป็นหนิวโหย่วเต๋อเลย เพราะสุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นี้เป็นศัตรูกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะสมคบกันทำเรื่องไร้ยางอายแบบนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร? สวรรค์เอ๋ย อย่าเล่นแบบนี้เลยได้มั้ย?

เหมียวอี้เกาหัวอย่างเก้อเขิน แล้วกุมหมัดคารวะ “ผู้จัดการใหญ่หวงฝู่!”

“หุบปาก!” หวงฝู่ตวนหรงตวาด แล้วส่ายหน้าไม่หยุด นางเคยคิดไปต่างๆ นาๆ แต่ไม่เคยคิดเลยว่า ‘ชายชู้’ จะเป็นเจ้าหมอนี่

เจ้าหมอนี่โดนทำโทษให้อยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปีไม่ใช่เหรอ? ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้? ทำไมมาสมคบทำเรื่องแบบนี้กับลูกสาวตัวเองได้?

อ๋อ! นางเข้าใจแล้ว พอลองนับเวลา ก็น่าจะได้รับการปล่อยตัวแล้ว

ชั่วพริบตานี้ จู่ๆ นางก็เข้าใจทุกอย่างชัดเจนแล้ว มิน่าล่ะหลายปีมานี้ถึงสืบไม่เจอตัวว่า ‘ชายชู้’ เป็นใคร สารเลว! ‘ชายชู้’ คนนี้ทำผิดแล้วโดนตำหนักสวรรค์จับไปขังที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ลูกสาวตัวเองไม่มีทางเจอกับ ‘ชายชู้’ ได้เลย ตัวเองจะสืบเจอได้ก็แปลกแล้ว!

ก่อนหน้านี้หนึ่งพันปีทำไมถึงสืบไม่เจอล่ะ? นางสังเกตได้ตั้งนานแล้วว่าลูกสาวอาจจะเสียตัวไปแล้ว

เป็นเพราะ ‘ชายชู้’ คนนี้ย้ายออกจากตลาดสวรรค์ไปแล้ว ย้ายไปหน่วยองครักษ์ซ้ายของกองทัพองครักษ์ตำหนักสวรรค์ ในระหว่างนั้นถ้ามีการติดต่อกันบ้าง ก็เกรงว่าจะจับสังเกตได้ยาก อย่างไรเสียก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะจับตาดูลูกสาวตัวเองอย่างเข้มงวดตลอดเวลา

แล้วก่อนหน้านี้ตอนที่ ‘ชายชู้’ คนนี้อยู่ที่ตลาดสวรรค์ ทำไมตนถึงสืบไม่เจอล่ะ? เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เผยพิรุธเลย นางคิดไม่ออกเลยสักนิด!

แต่ไม่นานนางก็นึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง เรื่องแบบนี้คนอื่นไม่กล้าทำ แต่คนที่มีอำนาจควบคุมตลาดสวรรค์คงจะกล้าทำ! นางจ้องเหมียวอี้พร้อมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถาม “เจ้าขุดทางใต้ดินในตลาดสวรรค์ให้เชื่อมไปในร้านค้าสมาคมวีรชนเหรอ?”

เหมียวอี้มองไปทางหวงฝู่จวินโหรวโดยจิตใต้สำนึก นางส่ายหน้าเบาๆ บอกใบว่าตัวเองไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้

ปาดเหงื่อ! เดาเรื่องนี้ออกด้วยเหรอ? เหมียวอี้กินปูนร้อนท้อง เอามือลูบจมูก แล้วตอบอย่างเก้อเขินว่า “ทางใต้ดินนั่น ข้าถมทิ้งแล้ว”

ปวดเศียรเวียนเกล้า! หวงฝู่ตวนหรงเอามือลูบหน้าผาก ร่างกายโอนเอน นางมึนหัวนิดหน่อย สงสัยจะขุดทางใต้ดินแล้วจริงๆ ช่างใจกล้ายิ่งนัก ไม่น่าเชื่อว่าจะขุดทางใต้ดินในตลาดสวรรค์ ไม่แปลกใจที่ตัวเองสืบไม่เจอเลย สงสัยคนที่ ‘ไม่เคยก้าวออกนอกประตู’ คู่นี้จะจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว

หลังจากหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างถี่กระชั้นพักหนึ่ง จู่ๆ หวงฝู่ตวนหรงที่ก้มหน้าเดินช้าๆ มาตรงหน้าลูกสาวก็เงยหน้าขึ้น แล้วลงมืออย่างกระทันหัน “เพี้ยะ” นางตบหน้าหนึ่งครั้งจนเกิดเสียงดังฟังชัด ตบจนหวงฝู่จวินโหรวถอยหลังหลายก้าวพร้อมเอามือปิดหน้า เกือบจะล้มไปแล้ว โชคดีที่เหมียวอี้เข้ามาประคองไว้ทัน

หวงฝู่จวินโหรวเอามือปิดหน้าพลางกัดปาดเงียบๆ แต่เหมียวอี้กลับกล่าวเสียงต่ำว่า “ชายหญิงรักกันเป็นเรื่องปกติ ผู้จัดการใหญ่ก็มีประสบการณ์มาก่อน ทำไมต้องลงไม้ลงมืออย่างไร้เหตุผลแบบนี้?”

“เรื่องในตระกูลพวกเรา เจ้าไม่ต้องเสือก!” หวงฝู่ตวนหรงแทบจะเอานิ้วจิ้มหน้าเหมียวอี้ นางโบกมือชี้ “ไสหัวไปตรงโน้น!”

หวงฝู่จวินโหรวเอามือออกจากใบหน้า แล้วผลักเหมียวอี้เงียบๆ เหมียวอี้ไม่ยอมปล่อยนาง นางจึงผลักซ้ำๆ หลายครั้ง

สุดท้ายเหมียวอี้จึงยอมถอยออกไปอยู่ด้านข้างอย่างช้าๆ แต่ปากกลับเตือนว่า “มีอะไรก็คุยกันดีๆ ถึงอย่างไรนางก็เป็นลูกสาวท่าน มีอะไรก็มาลงที่ข้าเถอะ ไม่จำเป็นต้องตีนาง”

หวงฝู่ตวนหรงไม่สนใจเขาอีก แต่ชี้หน้าลูกสาวตัวเอง ทำสีหน้าเหมือนกำลังด่าทอ “เจ้าบ้าไปแล้วใช่มั้ย? เจ้าจะหาผู้ชาย แม่ก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่จะหาแบบไหนก็ไม่หา ทำไมเจ้ามาหาผู้ชายแบบเขาล่ะ? เจ้าไม่รู้เบื้องหลังของพวกเราเหรอ? เจ้าไม่รู้จักฐานะของเขารึไง? เจ้าไม่รู้เหรอว่าการแต่งงานของคนตระกูลหวงฝู่ไปแตะใครไม่ได้? สมาคมวีรชนมีลักษณะเป็นยังไงเจ้าไม่รู้เหรอ สาเหตุที่พวกขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ละเลยการมีอยู่ของพวกเรา ก็เพราะพวกเราขีดเส้นแบ่งชัดเจน พวกเขาเข้าใจเบื้องหลังของพวกเราก็เลยไม่อยากมาหาเรื่อง แต่เมื่อไรที่พวกเรายื่นมือไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของคนบางพวก ขุนนางใหญ่พวกนั้นก็จะตัด ‘กรงเล็บ’ อย่างสมาคมวีรชนทันที ทั้งยังเป็นขุนนางของหน่วยองครักษ์ซ้ายอีก หน่วยองครักษ์ซ้ายทำอะไรล่ะ? นั่นคือองครักษ์ของราชันสวรรค์นะ สมาคมวีรชนกล้ายื่นมือเข้ามาในกองทัพองครักษ์โดยไม่รายงานเบื้องบน ทั้งยังปิดบังมาหลายปีขนาดนี้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา เจ้ารู้ถึงผลที่จะตามมาหรือเปล่า? เจ้าอยากจะลากทั้งตระกูลตระกูลหวงฝู่ลงหลุมศพไปกับเจ้าด้วยใช่มั้ย? เจ้าบอกมาซิว่าเจ้าบ้าไปแล้วรึเปล่า!”

ในหัวของหวงฝู่จวินโหรวมีน้ำตาคลอ “ท่านแม่ ในปีนั้นตอนนี้พวกเราอยู่ด้วยกัน เขายังไม่ได้เข้าไปอยู่ในตำหนักสวรรค์เลย ไม่อย่างนั้นลูกคงตัดขาดกับเขาไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนหลัง ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึง จะมาเสียใจทีหลังก็สายไปแล้วค่ะ!”

“อะไรนะ?” หวงฝู่ตวนหรงตะลึงค้าง นึกไม่ว่าถึงว่าลูกสาวกับเจ้าเวรนี่จะลักลอบคบกันเร็วกว่าที่นางค้นพบอีก “ตนอเขายังไม่ได้เข้าตำหนักสวรรค์ พวกเจ้าก็อยู่ด้วยกันแล้วเหรอ? เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร?”

หวงฝู่จวินโหรวตอบเสียงเบาอย่างทุกข์ใจว่า “ก่อนที่สมาคมวีรชนจะเอาหุ้นจากร้านขายของชำซื่อตรงไม่นาน”

“อะไรนะ?” หวงฝู่ตวนหรงส่ายหน้า นางไม่เชื่อ “เหลวไหลสิ้นดี! ตอนนั้นเจ้าช่วยปีศาจโลหิตกำจัดเขา เจ้าต้องการจะฆ่าเขา เขาเองก็อยากฆ่าเจ้า ตอนนั้นกำลังสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย พวกเจ้ายังมีอารมณ์มาทำเรื่องแบบนี้อีกเหรอ?”

“ลูกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ตอนนั้นเลอะเลือนจนมีความสัมพันธ์กันแล้ว” หวงฝู่จวินโหรวตอบ

ไม่ได้สิ! หวงฝู่ตวนหรงทำใจรับไม่ได้จริงๆ รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า เอนตัวไปด้านข้างอย่างช้าๆ เอามือประคองเก้าอี้ไว้แล้วค่อยๆ นั่งลง

เมื่อเห็นมารดามีท่าทีผิดปกติไป หวงฝู่จวินโหรวก็รีบก้าวเข้ามาประคอง หวงฝู่ตวนหรงกลับไม่รับน้ำใจ ผลักนางออกไป แล้วนั่งพิงเก้าอี้พร้อมเอามือนวดหน้าผาก นางหอบหายใจ อัดอั้นตันใจจะตายอยู่แล้ว

นางคิดไม่ตกจริงๆ คู่แค้นที่สู้กันเอาเป็นเอาตาย ยังไม่ทันได้เกลียดกันเลย จะทำแบบนั้นได้อย่างไร? ไม่ใช่เรื่องที่คนปกติจะทำได้เลย!

ไม่ง่ายเลยกว่าจะอาการดีขึ้น หวงฝู่ตวนหรงค่อยๆ ได้สติกลับมา นางเองก็เคยผ่านช่วงที่ยังไม่แต่งงานมาก่อน เข้าใจผู้หญิงในเวลานั้นดี ในด้านความรักไม่ได้ใช้สติปัญญาแยกแยะเลย นางพยายามส่ายหน้า ให้ตัวเองยอมรับความจริงนี้ แล้วกัดฟันพูดอีกว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ในเมื่อตอนนั้นเป็นแบบนั้นไปแล้ว ทำไมเจ้าไม่บอกแม่ ทำไมไม่ฉวยโอกาสบอกแม่ตอนที่เขายังไม่เข้ารับตำแหน่งในตำหนักสวรรค์? ตอนนั้นแม่สามารถช่วยให้พวกเจ้าสองคนอยู่ด้วยกันได้อย่างสมเหตุสมผล ทำไมต้องทำให้กลายเป็นแบบนี้?”

“เข้าไม่ยอมแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิง จะให้ลูกก้มหน้าขอร้องเขาเหรอ” หวงฝู่จวินโหรวตอบ

เหมียวอี้ที่อยู่ข้างๆ อับอายเกินไปจริงๆ พอนึกถึงเรื่องนี้ ที่จริงตัวเองก็เป็นคนผิด ตอนนี้เขาเองก็ไม่เข้าใจชัดเจนว่าในตัวเองตอนนั้นรู้สึกอย่างไร ถึงได้ฝืนทำเรื่องแบบนั้นกับหวงฝู่จวินโหรว แน่นอน มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาสงสัย ว่าทำไมตอนนั้นหวงฝู่จวินโหรวถึงไม่ขัดขืน? อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนั้นก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะไปขืนใจนางเลย จำได้รางๆ เพียงว่าหลังจากจับแขนหวงฝู่จวินโหรวไว้ เรื่องราวทุกอย่างหลังจากนั้นก็เกิดขึ้นเพราะความเลอะเลือนขาดสติแล้ว…

เพี้ยะ! หวงฝู่ตวนหรงตบที่วางมือ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า “เขาทำลายความบริสุทธิ์ของเจ้าแล้ว เจ้าบอกแม่ซิ เข้ามีสิทธิ์ไม่แต่งงานเข้าได้เหรอ? ถ่วงเวลามาจนถึงตอนนี้ จนกลายเป็นแบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ? เขาไต่ตเจนถึงตำแหน่งแม่ทัพภาคกองมังกรดำของหน่วยองครักษ์ซ้ายแล้ว อีกทั้งตอนนี้ยังได้คุมอุทานหลวงของวังสวรรค์ด้วย อารักขาความปลอยภัยของฝ่าบาทและกลุ่มเหนียง การที่คนของสมาคมวีรชนแอบคบกับคนในตำแหน่งสำคัญอย่างแม่ทัพภาคกองทัพองครักษ์แบบนี้ ถือเป็นการยื่นมือไปอยู่ใต้หนังตาฝ่าบาทแล้ว ยื่นมือเข้าไปแทรกข้างกายฝ่าบาท ทั้งยังปิดบังมาหลายพันปี ไม่ว่าใครก็ต้องสงสัยทั้งนั้นว่าสมาคมวีรชนคิดจะทำอะไรกันแน่? แล้วเจ้าเวรนี่ก็บังเอิญก่อเรื่องในงานรับสนมของฝ่าบาทอีก ทำไมถึงบังเอิญขนาดนี้ล่ะ? ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปงขึ้นมา แม้แต่อ๋องสวรรค์อิ๋งก็จะเพ่งเล็งพวกเราเช่นกัน ถึงตอนนั้นต่อให้ตระกูลหวงฝู่อธิบายยังไงก็ไร้ประโยชน์ ข้าจะอธิบายให้ชัดเจนได้เหรอ? ขนาดแม่ยังไม่เชื่อเหตุผลที่เจ้าบอก เจ้าคิดว่าฝ่าบทจะเชื่อคำอธิบายนี้เหรอ? เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจำเป็นต้องเชื่อมั้ย? พอมีสิ่งที่น่าสงสัยเพียงนิดเดียว เจ้ารู้มั้ยว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ยอมฆ่าผิดตัวดีกว่ายอมปล่อยให้หลุดมือ’? สมาคมวีรชนจะเปลี่ยนให้ใครดูแลก็ดูแลไป เบื้องบนไม่ยอมให้สุนัขรับใช้เสียการควบคุมมาแว้งกัดแน่!”

นางโมโหจะตายอยู่แล้ว ไม่สนใจด้วยว่าเหมียวอี้จะเป็นคนนอกหรือไม่ เปิดโปงกำพืดของสมาคมวีรชนออกมาเสียเลย

หวงฝู่จวินโหรวทำท่าจะร้องไห้ เหมียวอี้ไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “ผู้จัดการใหญ่ ก็เพราะพวกเรารู้เรื่องนี้ไง ก็เพราะรู้เลยไม่กล้าทำอย่างเปิดเผย!”

“เหลวไหล! เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! ผู้ชายอย่างพวกเจ้าไม่มีดีสักตัว ถ้าไม่ใช่เพราะกามตัณหาขับเคลื่อนความใจกล้าของเจ้า ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าลูกสาวข้าจะไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญแบบนี้!” หวงฝู่ตวนหรงโบกมือชี้แล้วด่าเสียยับเยิน

เหมียวอี้เป็นวัวสันหลังหวะ โดนอีกฝ่ายเปิดโปงเรื่องแบบนี้แล้ว กอปรกับฐานะของอีกฝ่าย เขายังมีความมั่นใจอะไรจเถียงกลับอีกล่ะ ย่อมต้องหุบปากอยู่แล้ว

หวงฝู่ตวนหรงด่าเหมียวอี้จบแล้วก็ชี้หน้าด่าลูกสาวตัวเองอย่างปวดใจ “เจ้ามันโง่! ถ้าพูดในกรณีที่แย่ที่สุด ต่อให้เจ้าไม่ได้มีภูมิหลังแบบนี้ แต่เจ้าจะหาใครก็ได้ ทำไมต้องมาเอาเขาด้วย! คนที่ก่อเรื่องตั้งแต่เช้ายันค่ำ กลัวว่าตัวเองจะโดดเด่นไม่พอ สักวันหนึ่งก็ต้องไม่ตายดี เจ้าจะไปพัวพันกับเขาทำไม?” ขณะที่พูด บนใบหน้าก็ฉายแววเด็ดเดี่ยว ลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “โหรวโหรว เจ้าต้องรู้นะ ว่าระหว่างเจ้ากับเขาเป็นไปไม่ได้ เขาเข้าไปยุ่งกับความขัดแย้งในตำหนักสวรรค์ลึกเกินไป ต่อให้ตอนนี้เขาอยากจะออกจากตำหนักสวรรค์ก็ไม่ทันแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตำหนักสวรรค์จะปล่อยให้เขาออกไปหรือเปล่า ไม่ต้องพูดถึงว่าสมาคมวีรชนจะรับเขาไว้หรือเปล่า ต่อให้เก็บเขาไว้ก็ปกป้องเขาไว้ไม่ได้ เมื่อไรที่เขาไม่มีหน่วยองครักษ์ซ้ายถือหาง ตระกูลอิ๋งก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่!”

…………………………

“อยู่ใกล้แค่นี้ทำไมมาช้าขนาดนี้? ข้านึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้าระหว่างทางแล้ว” เหมียวอี้ยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้ารูปไข่ของนาง

หวงฝู่จวินโหรวพ่นลมหายใจหอมอยู่ข้างหูเขา “อาบน้ำเสร็จแล้วถึงจะมา น้ำชาเดี๋ยวค่อยดื่มก็ได้ อุ้มข้าเข้าไปข้างในก่อนเถอะ” เสียงพูดค่อนข้างออเซาะ น้ำเสียงเกือบจะอู้อี้ ทำให้คนฟังแทบจะละลาย

ถึงอย่างไรก็ไม่ได้แตะต้องผู้หญิงมาเป็นพันปีแล้ว เหมียวอี้โดนยั่วยวนจนเร่าร้อนใจทันที เขาพบว่าผู้หญิงคนนี้ยามปกติดูสง่าภูมิฐาน แต่ลับหลังแล้วรุกเก่งมาก ยังคงเร่าร้อนดั่งไฟ ทำให้คนรับไม่ไหวจริงๆ พอนึกถึงบั้นท้ายที่เยี่ยมยอดกว่าใครของผู้หญิงคนนี้ เหมียวอี้ก็ยิ่งรู้สึกร้อนวูบวาบยิ่งกว่าเดิม พอดึงแขนลงมา ร่างงามหอมอ่อนนุ่มก็อยู่ในอ้อมกอดตัวเองแล้ว จากนั้นก็อุ้มขึ้นมาและรีบเดินเข้าไปในห้องนอน…

ในถ้ำภูเขานอกเขตเมืองตะวันตก หญิงชราคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลิวซางถลันตัวเข้ามาข้างใน นางคือแม่นมเก่าแก่ข้างกายหวงฝู่ตวนหรง นางปรนนิบัติรับใช้มาตั้งแต่หวงฝู่ตวนหรงยังเป็นเด็กแล้ว

ในตอนนี้แม่นมหลิวเร่งฝีเท้าเดินไปข้างกายหวงฝู่ตวนหรงที่นั่งสมาธิฝึกตนอยู่บนเตียงหินในถ้ำ แล้วรายงานว่า “ผู้จัดการใหญ่ ทางฝั่งคุณหนูมีความเคลื่อนไหวแล้วค่ะ”

หวงฝู่ตวนหรงพลันลืมตา “มีความเคลื่อนไหวอะไร?”

แม่นมหลิวตอบว่า “คุณหนูปลอมตัวปีนกำแพงออกจากร้านค้าไปแล้ว ออกทางประตูเมืองตะวันออก เข้าไปในสวนแห่งหนึ่งที่อยูในภูเขา”

หวงฝู่ตวนหรงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที หย่อนเท้าของข้างลงจากเตียงแล้วยืนขึ้น “เห็นหรือเปล่าว่านางไปเจอใคร?”

แม่นมหลิวส่ายหน้า “คนที่สะกดรอยตามกลัวว่าจะโดนคนที่เฝ้าตรงสวนสังเกตเห็น เลยไม่กล้าเข้าใกล้เกินไปค่ะ ยืนยันได้เพียงว่าคุณหนูเข้าไปแล้ว แต่ยังไม่ทราบว่าไปเจอกับใคร”

หวงฝู่ตวนหรงรีบเดินไปถึงปากถ้ำ เงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี แสงจันทร์ส่องสว่าง พลางพึมพำในใจว่า “นางหนูเอ๊ย หวังว่าแม่จะเดาผิดนะ ไม่อย่างนั้นลูกลับลอบนัดเจอผู้ชายกลางป่ากลางเขาดึกๆ แบบนี้ จะให้แม่ทนความรู้สึกได้ยังไง?” นางหันกลับไปถามว่า “ถามตำแหน่งที่ตั้งมาชัดเจนหรือยัง!”

แม่นมหลิวหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที หลังจากถามรายละเอียดแล้วก็รายงานตอบ

“สั่งให้คนล้อมบริเวณนั้นไว้ อย่าให้หนีไปได้สักคนเดียว!” หวงฝู่ตวนหรงกล่าว

“รับทราบ!” แม่นมหลิวเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราอีกอันมาติดต่อกับภายนอกเพื่อวางกำลัง แต่ใครจะคิดว่าหวงฝู่ตวนหรงเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ พูดเสริมอีกว่า “เดี๋ยวก่อน บอกทุกคนไว้ ว่าห้ามเข้าใกล้บริเวณนี้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากข้าก็ห้ามทำอะไรบุ่มบ่าม”

อย่างไรเสียก็ไม่สะดวกจะให้เรื่องเน่าเหม็นในบ้านโชยไปถึงข้างนอก ถ้าลูกสาวกำลังทำเรื่องน่าอับอายจริงๆ แล้วคนกลุ่มใหญ่จับได้ แบบนั้นชื่อเสียงของลูกสาวก็จะถูกทำลายแล้ว มารดาอย่างนางต้องคำนึงถึงจุดนี้

อีกด้านหนึ่งก็เพื่อป้องกันไม่ให้ ‘ชายชู้’ หนีไป นางพูดเสริมอีกว่า “ถ้าพบว่ามีใครหนีไป ก็ขัดขวางไว้ทันที ต้องรู้ให้ได้ว่าเป็นใครกันแน่! เอาเป็นว่าถ้าไม่มีคำสั่งจากข้า ก็ห้ามใครทำอะไรซี้ซั้ว!”

แม่นมหลิวรอไปสักประเดี๋ยว เมื่อเห็นว่านางไม่สั่งอะไรเพิ่มเติม ถึงได้เอ่ยรับแล้วไปจัดการ

หลังจากรอได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม แม่นมหลิวที่ได้รับการตอบกลับแล้วก็บอกว่า “ผู้จัดการใหญ่ วางกำลังตามที่ท่านสั่งเรียบร้อยแล้วค่ะ!”

ทั้งสองกระโดดลงหน้าผาตามกันมาทันที เหาะตามแนวภูเขาด้วยท่าเดินไปยังป่าภูเขาทางทิศตะวันออกอย่างรวดเร็ว

ใช้เวลาไม่นาน แม่นมหลิวก็มาเหยียบลงริมทะเลสาบแล้ว ส่วนหวงฝู่ตวนหรงก็เหาะข้ามผิวทะเลสาบไปยังสวนที่อยู่ติดภูเขาคนเดียว

“ใครกัน?” บนยอดเขาหลังสวนมีเสียงร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนถาม เป็นเสียงของเหยียนซิว

บนเตียงในห้องนอน สุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียที่กำลังนัวเนียกันอย่างดุเดือดพลันนิ่งชะงัก หวงฝู่จวินโหรวหันกลับมามองเหมียวอี้ คนข้างบนกับคนข้างล่างมองหน้ากันเลิกลั่ก เสียงของเหยียนซิวทำให้ทั้งสองขวัญผวาจริงๆ

เหยียนซิวเหาะลงมาจากยอดเขา ถลันตัวไปเหยียบบนต้นไม้ใหญ่ในสวน มาขวางตรงหน้าหวงฝู่ตวนหรงที่เหาะเข้ามา

หวงฝู่ตวนหรงใช้สายตาคมกริบกวาดมองเหยียนซิวโดยไม่ได้หยุดนิ่ง และสายตาก็มองตรงไปยังห้องนอนที่ปิดสนิท ประการแรกเป็นเพราะนางเห็นเหยียนซิวเพิ่งลงมาจากภูเขา ประการต่อมาเป็นเพราะนางไม่คิดว่าเหยียนซิวจะเป็น ‘ชายชู้’ นางเชื่อว่าลูกสาวของตัวเองไม่ได้ขาดรสนิยมถึงขั้นไปหาคนแก่มอมแมมหน้าตาเหมือนคนตาย

“โหรวโหรว แม่ส่งคนมาล้อมไว้บริเวณนี้หมดแล้ว ไม่ว่าใครก็หนีไปไม่พ้น!” หวงฝู่ตวนหรงร่ายอิทธิฤทธิ์รวมเสียงเข้าไปในห้องนอน

ท่านแม่เหรอ? เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหยียนซิวก็มองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิทอย่างพูดไม่ออก เขาอยู่บนภูเขาจึงมองเห็นทุกอย่างชัดเจน เห็นนายท่านอุ้มหวงฝู่จวินโหรวที่เป็นผู้จัดการร้านค้าสมาคมวีรชนเข้าไปในห้องนอน รู้ว่านายท่านกำลังแอบคบชู้ลับหลังฮูหยิน

ตอนนี้จู่ๆ ก็มีคนที่เรียกตัวเองมา ‘แม่’ โผล่มา อย่าบอกนะว่ามารดาของหวงฝู่จวินโหรวมาจับชู้แล้ว?

ปาดเหงื่อ! ขนาดเขายังอดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อแทนนายท่าน เขาย่อมรู้ว่าไปฟ้องฮูหยินไม่ได้ แต่ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วรู้ไปถึงหูฮูหยิน แบบนั้นก็จะเป็นปัญหาใหญ่แล้ว เพราะฮูหยินมีอำนาจตัดสินใจเรื่องในบ้าน

หวงฝู่จวินโหรวที่นอนเหงื่อแตกอยู่บนเตียงตกใจจนขวัญกระเจิง ตอนนี้ไม่มีอารมณ์อะไรแล้ว กล่าวเสียงสั่นว่า “แม่ข้าเอง!”

นางก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ท่านแม่บอกว่าไปแล้วไม่ใช่เหรอ? นี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว ทำไมถึงมาโผล่ที่นี่ได้ล่ะ?

“หา!” เหมียวอี้ข่มเสียงร้องอุทานอย่างตกใจ เขารู้สึกตกใจจนขวัญกระเจิงเช่นกัน

บนเตียงจึงเกิดภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์ไร้ที่เปรียบทันที ทั้งสองแยกกันและรีบดึงเสื้อผ้าขึ้นมาสวมใส่อย่างลุกลี้ลุกลย เรียกได้ว่าร้อนรนมาก แทบจะใส่เสื้อผ้าชายหญิงปนกันมั่วหมดแล้ว เหมียวอี้ที่คว้าชุดชั้นในได้โยนออกไป เขางงนิดหน่อย พอจับมาเทียบกันแล้วก็พบว่าไม่รู้ว่าควรนำมาสวมใส่ไว้ตรงไหนบนร่างกาย เพราะไม่เคยใส่มาก่อน! ตอนหลังถึงได้สังเกตเห็นว่านี่ไม่ใช่เสื้อผ้าของตัวเอง แต่เป็นชุดชั้นในของหวงฝู่จวินโหรว ตอนนี้ค่อนข้างเลอะเลือน

แอบถุยเบาๆ เหมียวอี้หยิบชุดชั้นในโยนไปใส่บนศีรษะที่มีผมยุ่งกระเซิงของหวงฝู่จวินโหรว

หวงฝู่จวินโหรวจับมาดู นี่มันเวลาไหนกันแล้ว ขาดไปตัวหนึ่งก็ไม่เป็นไรหรอก ยังจะใส่ชุดชั้นในอะไรอีก นางใส่เสื้อชั้นนอกแทบจะเสร็จแล้ว จึงจับมันยัดเข้าในกำไลเก็บสมบัติโดยตรง

“ทำยังไงดี?”

“ทำยังไงดี?”

จู่ๆ ทั้งสองที่ฉุกละหุกใส่เสื้อผ้าก็ถามเป็นเสียงเดียวกัน มองหน้ากันอย่างเลิกลั่ก

ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองก็ยังลุกลี้ลุกลยต่อไป เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะบ่นนาง “เจ้านี่ยังไงกัน? ทำไมปล่อยให้แม่สะกดรอยตามมาได้?”

หวงฝู่จวินโหรวอยากจะร้องไห้ให้ตายไปเลย “นางไปตั้งนานแล้ว ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่านางจะมาโผล่อยู่ที่นี่?” ผู้หญิงคนหนึ่งโดนคนในครอบครัวจับได้ตอนทำเรื่องแบบนี้ น่าอายยิ่งกว่าผู้ชายเสียอีก อยากจะเอาหัวโขกพื้นให้ตาย

“ยังจะถามอีกเหรอ? นางสะกดรอยตามเจ้ามาแน่นอน แม่เจ้าล้อมบริเวณนี้ไว้หมดแล้ว เจ้าว่าแม่เจ้าพูดจริงหรือขู่พวกเราเล่นล่ะ?” เหมียวอี้ถาม

“อาศัยอำนาจในการออกคำสั่งของแม่ข้า การระดมคนมาล้อมไว้ไม่ใช่ปัญหาเลย น่าจะ…ไม่ได้ล้อเล่น!” หวงฝู่จวินโหรวตอบ

“แล้วแม่เจ้ารู้จักเหยียนซิวหรือเปล่า?” เหมียวอี้หวาดระแวงกลัว

หวงฝู่จวินโหรวคับแค้นใจนิดหน่อย นี่มันเวลาไหนแล้ว ยังจะมาถามเรื่องนี้อีก “ข้าจะไปรู้ได้ยังไง? ถ้าสนใจรวบรวมข้อมูล ก็จำหน้าตาของเหยียนซิวได้ไม่ยากหรอก”

เหมียวอี้หยุดมือ เขางุนงงนิดหน่อย เขายังคิดอยู่เลยว่าถ้าหวงฝู่ตวนหรงไม่รู้ว่าคนข้างในคือใคร เขาก็ยังจะปลอมตัวและฝ่าวงล้อมออกไปได้ แต่ถ้ารู้จักเหยียนซิว คาดว่าถ้าไม่ใช่คนโง่ก็คงรู้ว่าเหยียนซิวเป็นลูกน้องของเขา คนที่สามารถทำให้เหยียนซิวมาเฝ้าประตูเพื่อทำเรื่องแบบนี้ได้ ไม่ต้องเดาก็รู้แล้วว่าคนในห้องคือใคร

แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าเขาจับตัวหวงฝู่จวินโหรวไว้ แล้วฝ่าวงล้อมออกไปโดยทิ้งหวงฝู่จวินโหรว แบบนั้นมันใช่เรื่องเหรอ? หรือจะพาหวงฝู่จวินโหรวฝ่าวงล้อมไปด้วยกันล่ะ? มารดาของอีกฝ่ายรู้แล้วว่าลูกสาวตัวเองทำเรื่องน่าอับอายแบบนี้ ต่อให้หวงฝู่จวินโหรวจะรอดออกจากตรงนี้ไปได้ แต่จะรอดจากตระกูลหวงฝู่และไม่กลับมาอีกเลยได้เชียวเหรอ? สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังไม่ได้แต่งงาน การโดนมารดาซักถามเรื่องแบบนี้ หวงฝู่จวินโหรวที่โดนจับได้คาที่จะไม่แย่หรอกเหรอ?

หวงฝู่จวินโหรวที่รีบร้อนแต่งตัวหันหลังให้เขา “รีบจัดทรงผมให้ข้า”

เหมียวอี้กล่าวอย่างเศร้าโศกว่า “ถ้าแม่เจ้ารู้จักเหยียนซิวที่อยู่ข้างนอก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าข้าอยู่ข้างใน ยังจะมาจัดแต่งทรงผมบ้าบออะไรอีก! เจ้าทำอะไรของเจ้า มีคนสะกดรอยตามมายังไม่รู้ตัวอีกเหรอ?”

เมื่อครู่นี้หวงฝู่จวินโหรวก็ร้อนรนจนไม่ได้คิดไปทางนั้น พอจัดระเบียบความคิดได้แล้ว นางก็เหม่อทันที รู้ว่าตัวเองจบเห่แล้ว มารดาตัวเองเตรียมตัวมาแล้ว ครั้งนี้…ใช้กระดาษดับไฟไม่ได้หรอก!

ที่จริงทั้งสองกินปูนร้อนท้อง หวงฝู่ตวนหรงยังไม่ทันมองออกเลยว่าเหยียนซิวคือใคร

“โหรวโหรว นี่เจ้าอยากจะให้แม่ออกคำสั่งล้อมโจมตีใช่มั้ย? แม่ไม่ให้ทุกคนเข้าใกล้ เจ้ายังไม่เข้าใจความหมายอีกเหรอ? หรือว่าการไว้หน้าครั้งสุดท้ายก็ไม่อยากได้แล้ว?” หวงฝู่ตวนหรงตะโกนอย่างเย็นเยียบ

ประตูเปิดออกเสียงดังแกร๊ก หวงฝู่จวินโหรวที่ยังไม่ทันใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยปรากฏตัวตรงประตู นางมัดผมหลวมๆ ไว้ข้างหลัง หน้าแดงเหมือนก้นลิง ตอนนี้กำลังก้มหน้าก้มตา ไม่กล้ามองมารดาตัวเอง นางเดินออกมาช้าๆ

เหยียนซิวที่อยู่บนต้นไม้ถลันตัวออกไปแล้ว เหาะไปเหยียบนอกสวน เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอกให้เขาถอยออกไป

ท่ามกลางแสงจันทร์ หวงฝู่ตวนหรงใช้สายตาเย็นเยียบจ้องมองลูกสาวที่กำลังก้มหน้า นางค่อยๆ ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ใช้นิ้วสองข้างเสยคางลูกสาวตัวเอง เสยใบหน้าแดงก่ำของลูกสาวตัวเองอย่างช้าๆ

สิ่งที่ยิ่งทำให้หวงฝู่จวินโหรวทนไม่ไหวก็คือ ร่างของหวงฝู่ตวนหรงเอนมาข้างหน้าเล็กน้อย ดมกลิ่นบนร่างกายลูกสาวตัวเอง

ในฐานะที่ผ่านประสบการณ์มาก่อน พอหวงฝู่ตวนหรงดมกลิ่น ก็เข้าใจทันทีว่าลูกสาวเพิ่งทำอะไรมาตอนอยู่ในห้อง นางปล่อยมือจากคางลูกสาว สายตามองไปยังบานประตูที่เปิดออก พร้อมถามเสียงเย็นว่า “คนข้างในยังใส่เสื้อผ้าไม่เสร็จอีกเหรอ?”

ประโยคนี้ถามจนเหมียวอี้เสียหลักล้ม เหมียวอี้ที่นั่งประคองเตียงเรียกได้ว่าสีหน้าเศร้าโศกแล้ว  จะให้เขาตอบอย่างไรล่ะ?

เขาพบว่า ทำไมทุกครั้งที่ลักลอบเจอกับหวงฝู่จวินโหรวมักจะอกสั่นขวัญแขวนแบบนี้ ครั้งก่อนก็เกือบจะโดนฮูหยินของตัวเองจับได้ ครั้งนี้โดนแม่ของหวงฝู่จวินโหรวจับได้คาที่แล้ว สงสัยตนจะทำเรื่องที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไม่สำเร็จจริงๆ

เขาถามฟ้าอย่างพูดไม่ออก ในปีนั้นจะดีจะร้ายเหมียวอี้ก็เป็นชายหนุ่มเลือดร้อน ตอนนี้ทำเรื่องสกปรกไร้ยางอายที่สุด ทำไมถึงตกต่ำถึงขั้นนี้ได้ล่ะ?

หวงฝู่ตวนหรงที่อยู่ข้างนอกกลับแสยะยิ้ม “ทำไมล่ะ? คนในห้องกล้าทำแต่ไม่กล้ารับเหรอ?”

“แค่กๆ!” เหมียวอี้ที่อยู่ในห้องไอแห้งๆ อย่างอึดอัด “เสร็จแล้ว!”

ตอนนี้หวงฝู่ตวนหรงที่อยู่ในสวนถึงได้หยิบระฆังดาราออกมา ส่งข่าวบอกแม่นมหลิว ว่าในนี้ไม่มีเรื่องอะไร เป็นความเข้าใจผิดเท่านั้น ให้คนอื่นถอนกำลังออกไป นางไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องลูกสาวตัวเอง ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่ยอดเยี่ยมอะไรนัก

เมื่อเก็บระฆังดาราแล้ว จู่ๆ ก็คว้าข้อมือลูกสาว เรียกได้ว่าลากเข้ามาในห้องเลย

พอเข้ามาในห้อง หวงฝู่ตวนหรงก็กวาดสายตาเย็นเยียบมอง ‘ชายชู้’ ที่กำลังอึดอัดเก้อเขินสุดๆ ทำให้นางตกใจจนดวงตางามเบิกกว่างทันที มองเหมียวอี้อย่างทำใจเชื่อได้ยาก

นางรู้จักเหมียวอี้ ในปีนั้นตอนที่ไปเจรจาการค้าที่ร้านขายของชำซื่อตรง ทั้งสองก็เคยเจอกันหลายครั้งเช่นกัน ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็นึกไม่ถึงว่าคนที่ลักลอบคบกับลูกสาวจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อ!

…………………………

แน่นอน การแต่งงานกับผู้หญิงของตระกูลโค่วเป็นการรับประกันอย่างหนึ่งจริงๆ สิ่งนี้มีอะไรต้องสงสัย แต่เหมียวอี้ไม่ได้อยากอาศัยบารมีนี้เลย ถ้าเข้าไปอยู่ลึกในตระกูลโค่ว ตัวข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างตระกูลโค่ว กำพืดของเขาก็จะถูกเปิดโปงได้ง่าย ถ้าตระกูลโค่วรู้กำพืดของเขาแล้ว เกรงว่าฝ่ายแรกที่กลัวจะมีส่วนพัวพันและฆ่าปิดปากเขาก็คือตระกูลโค่ว เมื่อเคยโดนหกปราชญ์ทรยศมาแล้ว เขาก็ทำใจเชื่อได้ยากว่าตระกูลใหญ่อย่างตระกูลโค่วจะยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องเขา!

เหมียวอี้มองดูสีหน้าเฝ้าคอยของโค่วเหวินหลานอย่างนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ความสนิทกับโค่วเหวินหลานก็ส่วนความสนิท ความประพฤติของโค่วเหวินหลานก็นับว่าไม่เลวจริงๆ แต่เขาก็ไม่ลืมว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโค่วเหวินหลานเริ่มสร้างขึ้นมาอย่างไร นั่นเป็นเพราะเขาโดนกดดันจนหมดทางเลือกจึงต้องแบ่งหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรงไปแลกมา

เขาเองก็ยังไม่ลืมเรื่องทดสอบที่สถานที่ไร้ชีพในตอนแรกเช่นกัน เพื่อที่จะมีที่ยืนในตระกูล โค่วเหวินหลานกดดันให้พวกเหมียวอี้ไปสู้ตาย ถ้าไม่สามารถทำคะแนนให้โค่วเหวินหลานได้ โค่วเหวินหลานก็บอกไว้ชัดเจนล่วงหน้าแล้ว หลังจากกลับมาก็อย่าคิดว่าจะได้อยู่ดีมีสุขเลย ไม่มีทางเหลือให้เจรจาอะไรทั้งนั้น!

เรื่องพวกนั้นก็ส่วนเรื่องพวกนั้น แต่ถ้าจะให้เหมียวอี้เชื่อว่าโค่วเหวินหลานไม่เสียดายที่จะมอบน้องสาวให้แต่งงานกับเหมียวอี้เพราะคำนึงถึงเหมียวอี้ล้วนๆ เช่นนั้นเหมียวอี้ก็ทำได้เพียงหัวเราะแห้งแล้ว เชื่อได้เหรอ?

ถ้าเป็นเยี่ยนเป่ยหงกับเหยียนซิวพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็อาจจะเชื่อไปแล้ว ถ้าพูดในกรณีที่แย่ที่สุด เมื่อมีอวิ๋นจือชิวอยู่แล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรับการแต่งงานนี้ ผู้หญิงของตระกูลโค่วจะเป็นอนุภรรยาได้อย่างไร ต่อให้ยินดีจะเป็นอนุภรรยา แต่เกรงว่าตระกูลโค่วคงจะไม่ปล่อยให้อวิ๋นจือชิวมีชีวิตอยู่ได้นาน ตราบใดที่แต่งงานกับผู้หญิงของตระกูลโค่วแล้ว จุดจบของอวิ๋นจือชิวต่อให้ไม่ตาย แต่ไม่ช้าก็เร็วที่จะต้องแยกทางกับเขา ใครมาเหยียบหัวผู้หญิงตระกูลโค่ว คนนั้นก็ไม่ได้มีจุดจบที่ดีหรอก!

บางครั้งเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ตระกูลโค่วก็อาจจะเสียสละลูกหลานเพื่อแลกกับผลประโยชน์บางอย่างเช่นกัน แต่ก็ยังให้การรับประกันขั้นพื้นฐานบางอย่างได้ หลักการนี้ไม่ว่าจะเป็นตระกูลร่ำรวยตระกูลไหนก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น ไม่มีเหตุผลที่ตระกูลโค่วจะเป็นข้อยกเว้นและทำน้อยกว่านั้น

หลังจากตะลึงค้างไปครู่หนึ่ง เหมียวอี้ที่ในหัวคิดร้อยตลบก็เอียงหน้ามองไปยังโค่วเหวินจื่อที่ดีดฉินอยู่ในศาลามุงจากแวบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน “น้ำใจของพี่โค่วข้ารับไว้แล้ว แต่หนิวรู้จักเจียมตัว ไม่คู่ควรกับน้องสาวของท่านจริงๆ!”

“พูดแบบนี้ไม่ถูกนะ!” โค่วเหวินหลานกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “จะไม่คู่ควรได้ยังไง? ถึงแม้น้องหนิวจะไม่ได้มีพื้นเพมาจากตระกูลใหญ่? แต่มีตระกูลใหญ่ที่ไหนบ้างที่เกิดมาแล้วใหญ่เลย? พวกท่านปู่ของข้า สี่อ๋องสวรรค์มีใครบางที่ไม่ได้เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ? แต่ไหนแต่ไรมาวีรบุรุษล้วนออกมาจากรากหญ้าทั้งนั้น น้องหนิวชื่อเสียงโด่งดังทั้งใต้หล้า เป็นวีรบุรุษที่โลกรู้จัก ชื่อเสียงบารมีที่โจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน น้องสาวข้ายังเอ่ยชมอยู่บ่อยๆ เลย บอกว่าลูกผู้ชายควรจะเป็นแบบน้องหนิว แล้วจะไม่เหมาะสมกับน้องสาวข้าได้ยังไง? หรือน้องหนิวกังวลว่าคนในครอบครัวข้าจะไม่เห็นด้วย? ถ้ากังวลเรื่องนี้ งั้นก็ไม่จำเป็นแล้ว พ่อแม่ข้าเป็นคนมีความคิดก้าวหน้า แถมท่านปู่ข้าก็ชื่นชมคนหนุ่มที่มีความสามารถที่สุด ขอเพียงน้องหนิวตอบตกลง ที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกังวลใจเลย ข้าจะรับทุกอย่างไว้เอง รับรองว่าจะเป็นตัวกลางช่วยประสานงานให้เรียบร้อย!”

เหมียวอี้โบกมืออย่างอึดอัด “เจตนาอันงดงามของพี่โค่ว หนิวรับไว้ไม่ไหวจริงๆ เรื่องนี้ไม่เหมาะสมจริงๆ ขอรับ!”

โค่วเหวินหลานบอกอีกว่า “กังวลทางหน่วยองครักษ์ซ้ายเหรอ? เจ้าวางใจได้ ตราบใดที่กำหนดเรื่องแต่งงานแล้ว ก็จมีข้ออ้างในการย้ายเจ้าออกมาได้อย่างราบรื่นมีสมเหตุสมผล”

“ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ แต่หนิวไม่เหมาะกับน้องสาวท่านจริงๆ” เหมียวอี้รีบปฏิเสธ

โค่วเหวินหลานแอบร้อนใจนิดหน่อย พ่อแม่บอกไว้ไม่มีผิด ถ้าต้องการให้ผู้หญิงของตระกูลโค่วแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อ ก็ไม่สู้ให้แต่งกับน้องสาวของเขาจริงๆ ถ้ามีน้องเขยที่ได้รับความสำคัญจากท่านปู่ ก็จะช่วยเรื่องอนาคตของเขาได้เยอะมาก!

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ สำหรับเขาแล้ว ที่จริงเหมียวอี้ไม่ได้สำคัญสำหรับตระกูลใหญ่อย่างตระกูลโค่วเลย ที่สำคัญคือท่าทีที่อ๋องสวรรค์โค่วมีต่อโค่วเหวินหลานต่างหาก!

“น้องหนิวไม่ถูกใจน้องสาวข้าเหรอ?” โค่วเหวินหลานซักไซ้อีก

“เปล่าๆ!” เหมียวอี้รีบโบกมือปฏเสธ เขามีสิทธิ์ไม่ถูกใจโค่วเหวินจื่อเหรอ ถ้าใครได้ยินคงหัวเราะจนฟันร่วง เขาถอนหายใจแล้วตอบว่า “น้องสาวท่านเหมือนใบหยกที่ต้องหากิ่งทอง ทั้งยังชำนาญฉินฉีซูฮว่า เป็นคนที่สูงส่งสง่างาม หนิวเป็นแค่คนหยาบคนหนึ่ง ไม่คู่ควรหรอก ไม่คู่ควรจริงๆ”

“นี่ไม่ใช่เหตุผล ความสูงสง่ากับฉินฉีซูฮว่ามันเอามากินแทนข้าวหรือใช่เป็นทรัพยากรฝึกตนได้เหรอ? อย่าบอกนะว่าเวลาให้น้องสาวแต่งงานจะต้องเลือกคนที่ได้ฉินฉีซูฮว่า?” โค่วเหวินหลานซักไซ่ต่อ “ได้ยินว่าเฟยหงอนุภรรยาของเจ้าก็หน้าตางดงามมาก หาพบได้ยากมากในโลกนี้ หรือว่าเจอคนสวยจนชินแล้ว รู้สึกว่าน้องสาวข้ายังสวยไม่เข้าตาเจ้า?”

“ไม่ใช่ๆ แม่นางโค่วเป็นสตรีที่งามที่สุดในแผ่นดินแล้ว ขนาดหนิวมองสองครั้งยังกลัวว่าจะเป็นการดูหมื่นเลย มีหรือที่จะกล้ารังเกียจ!” เหมียวอี้โบกมืออย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่คนที่อยู่ในตำแหน่งฐานะอย่างเขา จะมัวมาให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ได้อย่างไร

แน่นอน ถ้าบอกว่าจะเอาไว้เล่นเฉยๆ เขาก็เลือกเล่นกับคนสวยๆ อยู่แล้ว แต่ประเด็นคือเขาผ่านระดับนั้นมานานแล้ว เขาไม่ใช่เขาในปีนั้นที่เห็นว่าลูกสาวร้านเฒ่าหลี่ขายเต้าหูสวยแล้วไปสู่ขอเพราะอยากได้ ในปีนั้นเหล่าไป๋บอกไว้ไม่มีผิด คนเราเมื่อเดินมาถึงระดับหนึ่งแล้ว เรื่องสุรานารีเอาไว้ตอนว่างก็พอ ตอนนี้เหมียวอี้ไม่ขาดผู้หญิง และไม่ขาดผู้หญิงสวยเช่นกัน ต่อให้สวยกว่านี้แต่ก็ไม่มีความหมายอะไรสำหรับเขาแล้ว อย่างมากก็แค่ยั่วยวนให้เขากระเหี้ยนกระหือรืออยากลองของใหม่ก็เท่านั้นเอง ไม่มีความหมายอะไรมากกว่านี้จริงๆ

เมื่อเห็นว่าโค่วเหวินหลาน ‘จริงใจ’ เกินไปจริงๆ เขาก็จำเป็นต้องพูดอย่างจริงจังจริงใจ “พี่โค่ว ข้ากับน้องสาวท่านไม่เหมาะสมกันจริงๆ! การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะทำแบบเลอะเลือนไม่ได้ ไม่อยากทำให้น้องสาวท่านได้รับความไม่ยุติธรรมด้วย!”

พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว โค่วเหวินหลานก็เงียบแล้วเช่นกัน เขาเข้าใจควมคิดของอีกฝ่าย เรื่องของน้องสาวคงเป็นไปไม่ได้แล้ว

แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เช่นกัน ถึงอย่างไรเขาก็มาพร้อมภารกิจ ถ้าเป็นตัวกลางทำให้น้องสาวได้แต่งจะดีที่สุด แต่ถ้าทำไม่สำเร็จก็อย่าทำให้งานเสียเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว

หลังจากดื่มสุราเงียบๆ ไปหลายจอก เขาก็ถอนหายใจแล้วบอกอีกว่า “น้องหนิว ข้ากังวลจริงๆ ว่าตระกูลอิ๋งจะทำไม่ดีกับเจ้า ข้าเองก็หวังจะช่วยเจ้าจริงๆ การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลโค่วคือวิธีการที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้เจ้าผ่านวิกฤติ ข้ารู้สึกว่าเจ้าควรจะพิจารณาให้ดี เอาอย่างนี้แล้วกัน ในเมื่อเจ้ารู้สึกว่าไม่เหมาะกับน้องสาวข้า พี่หญิงรองเหวินหงของบ้านท่านลุงใหญ่แต่งงานไปแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึง แต่พี่หญิงสี่เหวินลวี่บ้านลุงใหญ่กับพี่หญิงห้าเหวินชิงบ้านลุงรองก็ยังไม่ได้แต่งงาน หน้าตาความสวยไม่ได้ด้อยกว่าน้องสาวข้าเลย นิสัยอ่อนโยนกว่าน้องสาวข้าอีก พี่หญิงห้าเหวินชิงของข้า เจ้าเองก็เคยเจอแล้ว น่าจะรู้ว่าข้าไม่ได้พูดซี้ซั้ว ส่วนพี่หญิงสี่เหวินลวี่เจ้าก็ไม่เคยเห็น แต่ถ้าอยากเห็นก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ข้าก็ช่วยนัดเจอให้เจ้าได้ เอาแบบนี้ดีมั้ย?”

เหมียวอี้แทบจะเป็นลมแล้ว สงสัยนอกจากคนที่แต่งงานไปแล้ว ผู้หญิงในรุ่นหลานของตระกูลโค่วจะมาเป็นตัวเลือกให้เขาหมด! ข้าเหมียวอี้กลายเป็นคนมีอำนาจมากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร? จึงถามอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “ข้าบอกนะพี่โค่ว ความคิดใหญ่โตขนาดนี้ คนในตระกูลท่านรู้หรือเปล่า?”

ก็ย่อมรู้อยู่แล้ว แต่โค่วเหวินหลานไม่ยอมรับแน่นอน ยังพูดอย่างจริงจังว่า  “เจ้าไม่ต้องห่วง ในเมื่อข้าตัดสินใจแล้วว่าช่วยเจ้า ข้าก็ไม่พูดเรื่อยเปื่อยแน่ ขอเพียงเจ้ารู้สึกว่าเหมาะสม ข้าจะพยายามเป็นพ่อสื่อให้สำเร็จแน่นอน…เรื่องในตระกูลข้าเข้าใจดี ถ้าไม่มั่นใจข้าก็ไม่พูดซี้ซั้วหรอก มีโอกาสมหวังสูงมาก ขอเพียงเจ้าตอบตกลง ข้ามีวิธีการทำให้สำเร็จแน่นอน!”

เหมียวอี้ถามอย่างสงสัยว่า “พี่โค่ว ท่านมีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องให้ข้าช่วยใช่มั้ย? ถ้ามีก็บอกมาตรงๆ ได้เลย ถ้าข้าช่วยได้ก็จะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด!”

โค่วเหวินหลานพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง จากนั้นถอนหายใจแล้วบอกว่า “น้องหนิว ไม่ใช่ว่าข้ามีเรื่องอะไรหรอก แต่ข้าอยากจะช่วยเจ้าจริงๆ!”

เหมียวอี้เงียบแล้ว ไม่รู้ว่าในนั้นมีลับลมคมในอะไร หลังจากครุ่นคิดไปสักพัก ก็นั่งอย่างเรียบร้อยและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ก็อย่างที่บอก ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของพี่โค่วแล้ว ไม่ใช่ว่าหนิวคนนี้ไม่รู้จักกาลเทศะนะ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าจะบอกให้ขัดเจนเลยก็ได้ ข้ามีคนที่ถูกใจอยู่แล้ว ข้าสาบานได้เลย ว่าฮูหยินเอกจะต้องเป็นนางเท่านั้น ไม่มีทางพิจารณาคนอื่นอีก!”

โค่วเหวินหลานอึ้งทันที แล้วถามว่า “เป็นใครกัน? ข้ารู้จักหรือเปล่า?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ขออภัยที่ข้าบอกไม่ได้ แต่อีกไม่นานข้าจะเปิดเผยคำตอบแน่นอน!”

พูดถึงขั้นนี้แล้ว โค่วเหวินหลานก็เป็นพ่อสื่อต่อไปไม่ได้อีก ถ้าอีกฝ่ายแค่ไม่ยอมบอกว่าเป็นใคร เขาก็อาจจะสงสัยว่าเหมียวอี้หาข้ออ้างหรือเปล่า แต่เหมียวอี้บอกแล้วว่าจะให้คำตอบเร็วๆ นี้ เช่นนั้นก็ไม่ใช่การหลอกตบตาแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะเป็นการปั่นหัวเขาเล่นแล้ว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ทำได้เพียงยินดีด้วย ข้าเองก็อยากจะเห็นว่ายอดหญิงงามคนไหนที่ทำให้น้องหนิวยอมทิ้งอนาคตดีๆ อย่างไม่เสียดายแบบนี้ได้” โค่วเหวินหลานถอนหายใจอย่างเสียดาย สุดท้ายก็ส่ายหน้าบอกอีกว่า “แต่ข้าก็ขอพูดเสริมอีกหน่อย สิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ น้องหนิวไปพิจารณาดูอีกทีก็ได้นะ ถ้าเปลี่ยนความคิดเมื่อไร ก็ติดต่อข้ามาได้ทุกเมื่อ”

“ดื่มสุรา!” เหมียวอี้ยกกาสุรารินให้ สื่อความหมายว่าไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว

เมื่อเจรจาไม่สำเร็จ โค่วเหวินหลานจะมีอารมณ์ดื่มได้อย่างไร เขาฝืนยิ้มอย่างมีความสุขก็นับว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับเหมียวอี้แล้ว จากนั้นก็บอกว่ามีธุระอยู่ต่อนานๆ ไม่ได้ ก่อนจะพาโค่วเหวินจื่อผู้เป็นน้องสาวจากไป โค่วเหวินจื่อที่น่าสงสารไม่รู้เลยสักนิดว่าเกือบจะโดนพี่ชายตัวเองขายทิ้งเสียแล้ว นางยังมีสีหน้าสำราญบานใจ เหมือนดีใจมากด้วย

ส่วนเหมียวอี้ ก็ยังอยู่ต่อในสวนดอกสาลี่นี้ชั่วคราว ตระกูลโค่วยังไม่ถึงขั้นทิ้งสวนนี้ไปเสียเลย เดี๋ยวก็มีคนจากสมาคมร้านค้าตลาดสวรรค์มารับช่วงต่อเอง เหมียวอี้แค่ยืมใช้ชั่วคราวเท่านั้น

หลังจากนั้นครึ่งวัน สีของท้องฟ้าก็ใกล้ค่ำ เหยียนซิวไปตรวจตราบริเวณนี้อย่างละเอียดรอบหนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครก็กลับมารายงาน

เหมียวอี้ให้ให้เขาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ระดับที่สูงหน่อย ป้องกันไม่ให้มีคนเข้าใกล้ เสร็จแล้วถึงได้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหวงฝู่จวินโหรว

หวงฝู่จวินโหรวได้ยินแล้วดีใจ ในที่สุดศัตรูคู่แค้นก็มาแล้ว

การอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง จากนั้นก็ปลอมตัว ย่องออกจากตึกเงียบๆ ปิดค่ายกลป้องกันเงียบๆ ปีนข้ามกำแพงของลานบ้านด้านหลังเงียบๆ พอออกจากร้านค้าสมาคมวีรชนแล้วก็เปิดใช้งานค่ายกลป้องกันอีกครั้ง จากนั้นออกจากเขตเมืองตะวันตกไปเขตเมืองตะวันออก ออกจากประตูเมืองตะวันออก และหายเข้าไปในป่าภูเขานอกประตูเมืองตะวันออกเงียบๆ

หลบซ่อนอย่างระมัดระวังตลอดทางจนในที่สุดก็มาถึงสวนที่อยู่ติดภูเขาและแม่น้ำ นางเองก็แปลกใจนิดหน่อย ว่าที่นี่สร้างสวนไว้ด้วยเหรอ?

ตรงประตูก็ไม่มีคนเฝ้า บุกเข้ามาอย่างระมัดระวังตลอดทางแต่ก็ไม่เห็นใคร ตรงมาจนกระทั่งถึงสวนดอกสาลี่ข้างหลัง ถึงได้เห็นเหมียวอี้นั่งจิบชาช้าๆ อยู่ในศาลามุงจาก

เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา ถึงแม้หวงฝู่จวินโหรวจะปลอมตัวมา แต่พอเห็นเงาร่างที่อยู่ใต้แสงจันทร์ก็รู้แล้วว่าใครมา จากนั้นยกจอกน้ำชาขึ้น “ดื่มน้ำชา ข้าต้มรอเจ้าแล้ว”

หวงฝู่จวินโหรวผ่อนคลาย แล้วเดินเข้ามาในศาลา ถอดหน้ากากออก เผยโฉมหน้าจริงอันงดงาม แล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เดิมอ้อมเข้ามาดอกข้างหลังเหมียวอี้โดยตรง เอามือคล้องคอเหมียวอี้ ก้มศีรษะเกยบนบ่าเขาด้วยสีหน้าปลอบโยน

…………………………

ดังนั้นที่บอกว่าโค่วเหวินจื่อเป็นฝ่ายขอตามมาเอง เป็นเพราะโค่วเหวินจื่อเลอะเลือนจนไม่รู้ว่าตัวเองโดนดึงเข้ามาในแผนการ คนในบ้านเข้าใจนางดีที่สุด ถ้ามีโอกาสออกไปเที่ยวเล่น แล้วนางไม่เป็นฝ่ายขอออกไปเองก็แปลกแล้ว แค่ปล่อยข่าวให้รู้นิดหน่อยก็ทำให้นางติดเบ็ดแล้ว

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ โค่วเหวินจื่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาทำอะไรที่นี่กันแน่ กำลังจะโดนขายแล้วยังไม่รู้ตัวราวกับคนโง่

เพียงแต่ข้อเสียอย่างเดียวในความสมบูรณ์แบบก็คือ นิสัยของโค่วเหวินจื่อซุกซนไปหน่อย นางเป็นผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุดของตระกูลโค่ว ยามปกติโดนคนในตระกูลตามใจจนเหลิงไปหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ ดังนั้นตลอดทางที่มารวมทั้งหลังจากมาถึงแล้ว โค่วเหวินหลานจึงกำชับตลอดว่า ต้องทำตัวเป็นผู้หญิงเรียบร้อย! ต้องทำตัวเป็นผู้หญิงเรียบร้อย!

ถ้าตำหนิตอนนี้ก็กลัวว่าโค่วเหวินจื่อจะทำเสียเรื่อง ถ้าทำให้หนิวโหย่วเต๋อรำคาญ ความพยายามของเขาก็จะสูญเปล่าแล้ว

ที่จริงโค่วเหวินหลานไม่เต็มใจทำเรื่องแบบนี้เอามากๆ ในใจรู้สึกเซ็ง แต่ก็ช่วยไม่ได้ ประการแรกเป็นเพราะนี่คือเรื่องที่ท่านปู่เห็นด้วย ประการต่อมาเป็นเพราะเกิดในตระกูลแบบนี้ เรื่องบางเรื่องจึงทำตามใจตัวเองไม่ได้ ถ้าไม่ขึ้นข้างบนก็ต้องอยู่ข้างล่าง ผู้ที่มีความสามารถจะได้อยู่ข้างบน มันก็เรียบง่ายอย่างนี้! ขอถามคำเดียวว่าอยากจะเงยหน้าไม่ขึ้นในตระกูลหรือเปล่า ถ้าไม่อยากก็ต้องพยายามเอาแล้วกัน!

เมื่อโดนตำหนิ โค่วเหวินจื่อก็เถียงกลับสองสามคำ แต่พอนึกถึงผลประโยชน์ที่พี่ชายตอบตกลงว่าจะให้ นางก็เม้มปาก ได้แต่แสร้งยอมรับคำตำหนิเหมือนผู้หญิงว่านอนสอนง่าย

“ไม่เป็นไรหรอก!” เหมียวอี้กลับหัวเราะเบาๆ ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่เลย อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับโค่วเหวินหลาน อาศัยที่โค่วเหวินหลานช่วยเขาไว้หลายครั้ง เขาไม่ถึงขั้นถือสาน้องสาวของโค่วเหวินหลานเพราะเรื่องแค่นี้หรอก ลูกสาวของตระกูลใหญ่จะนิสัยเย่อหยิ่งไปหน่อยก็พอเข้าใจได้

พอเห็นว่าเขาไม่ถือสาแล้วจริงๆ โค่วเหวินหลานก็เบี่ยงตัวหลีกทาง แล้วยื่นมือเชิญ “น้องหนิว เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วเดินเคียงเขาเข้าไป

โค่วเหวินจื่อเบะปากใส่เงาหลังเขา แต่ไม่นานความสนใจก็ไปหยุดอยู่ที่เหยียนซิวที่ตามมาข้างหลัง นางมองประเมิน ‘ใบหน้าคนตาย’ ของเหยียนซิวอย่างประหลาดใจนิดหน่อย พบว่าผู้ติดตามของเหมียวอี้หน้าตาน่ากลัวจนทำให้คนเห็นรู้สึกหนาว

พอเข้ามาถึงลานบ้านด้านใน สองข้างทางเดินหินเล็กๆ ก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอม ทั้งหมดเป็นดอกสาลี่สีขาวที่ถูกเร่งให้ออกดอก พอเดินอยู่ท่ามกลางแดนที่สง่างาม ก็ทำให้คนรู้สึกสดชื่นจริงๆ รู้สึกอิสระผ่อนคลายยิ่งกว่าตอนอยู่ท่ามกลางดอกไม้ใบหญ้าที่แปลกตาอีก

เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา แล้วถามอย่างค่อนข้างแปลกใจว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้เหมือนตรงนี้จะไม่มีสิ่งปลูกสร้างใช่มั้ย?” เขามีอำนาจอยู่ที่ดาวเทียนหยวนมาหลายปี ย่อมรู้จักสภาพภูมิประเทศรอบๆ ตลาดสวรรค์เป็นอย่างดี

โค่วเหวินหลานตอบไปส่งเดชว่า “ในเมื่อน้องหนิวไม่อยากเข้าไปพักในเมือง ข้าก็เลยสั่งให้คนสร้างที่พักเมื่อไม่นานมานี้”

ที่จริงเขาเองก็ไม่อยากพูดคุยเรื่องแบบนั้นตอนอยู่ในเมือง ถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้าก็จะน่าอับอาย การที่เหมียวอี้ไปอยากเข้าไปในเมืองก็ตรงกับที่ใจเขาต้องการพอดี และที่สร้างสวนไว้ที่นี่ก็เพื่อจะแสดงให้เห็นถึงความจริงจัง เหตุผลรองลงมาก็คือเตรียมการอย่างอื่นไว้

ส่วนเหมียวอี้ สาเหตุที่เขาไม่อยากเข้าเมืองก็เพราะไม่อยากรบกวนพวกฝูชิง พวกฝูชิงอยู่ในอาณาเขตของอิ๋งจิ่วกวง เขาล่วงเกินตระกูลอิ๋งไว้หนักเกินไป ไม่อยากเข้าใกล้พวกฝูชิงมากเกินไปจนทำให้พวกฝูชิงเดือดร้อน สาเหตุรองลงมาก็คือ ถ้าแอบเจอกับหวงฝู่จวินโหรวในเมืองก็จะโดนเปิดโปงได้ง่าย เจอกันข้างนอกจะเหมาะสมกว่า

สรุปก็คือเรียกได้ว่าต่างคนก็ต่างมีเจตนาต่างกัน ดังนั้นเหมียวอี้จึงมองไปที่โค่วเหวินหลานโดยจิตใต้สำนึก สร้างสวนขึ้นมาชั่วคราวงั้นเหรอ? แค่จัดงานเลี้ยงต้อนรับตน ถึงกับต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้เลยเหรอ สงสัยจะมีเรื่องอะไรจริงๆ

ในสวนดอกสาลี่ ทิวทัศน์ดอกไม่โปรยปรายงดงาม มีกระท่อมปะปนอยู่สองสามหลัง ทั้งสองเดินเข้าไปในศาลามุงจากหลังที่ใหญ่ที่สุด มีบ่าวรับใช้นำสุราอาหารมาวางตั้งนานแล้ว กำลังยืนเก็บมืออยู่ข้างๆ

“เชิญ!” โค่วเหวินหลานยื่นมือเชิญให้นั่ง หลังจากตัวเองนั่งลงแล้ว ก็เอียงหน้าบอกข้างๆ ว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน”

บรรดาบ่าวรับใช้รีบออกไป จากนั้นเขาก็จ้องไปที่เหยียนซิว

ตั้งกันซ้ายขวาออกไปให้หมด สงสัยมีเรื่องสำคัญจะเจรจาจริงๆ! เหมียวอี้ที่เข้าใจความหมายก็เอียงหน้าบอกเหยียนซิวเช่นกัน เหยียนซิวถอยออกไปทันที ไปยืนเฝ้าในประตูลานบ้านโดยหันหลังมาทางนี้

โค่วเหวินจื่อเข้ามานั่งลงด้วยอย่างใจกว้างตรงไปตรงมา แต่ใครจะคิดว่าโค่วเหวินหลานสะบัดหน้ามาบอกว่า “พี่มีเรื่องจะคุยกับน้องหนิว ในศาลาทางนั้นมีฉินให้ดีด ไปแสดงฝีมือสร้างความบันเทิงให้พวกเราสักหน่อยไป”

โค่วเหวินจื่อถลึงดวงตางามใส่ทันที แต่ก็เข้าใจความหมายแฝงลึกๆ ในแววตาที่อีกฝ่ายมองกลับมา

พอนึกถึงผลประโยชน์ที่พี่ชายสัญญาว่าจะให้ โค่วเหวินจื่อก็กัดฟัน เตรียมจะอดทนสักครั้ง รอให้ผลประโยชน์มาถึงมือก่อน แล้วค่อยคิดบัญชีทีหลัง นางจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป เข้าไปในศาลามุงจากอีกหลังที่อยู่ลึกในสวนสาลี่ แล้วก็นั่งลงตรงหน้าฉินแล้ว

เหมียวอี้ก็ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน ความสนใจไปอยู่ที่โค่วเหวินหลาน ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่มีเรื่องอะไรกันแน่

โค่วเหวินหลานเพิ่งจะยกกาสุรารินให้เหมียวอี้ด้วยตัวเอง อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงฉินที่ไพเราะงดงามลอยมาแล้ว ไพเราะเสนาะจับใจมาก เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะหันไปมองด้วยความอึ้ง แต่หลังจากเห็นกลีบดอกสาลีโปรยปรายในบางครั้ง โค่วเหวินจื่อที่นั่งอยู่ในศาลามุงจากก็เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นิ้วเรียวยาวกำลังยกขึ้นดีดลงอย่างสง่างาม ดีดเสียงฉินอันไพเราะออกมา

มุมนี้สามารถมองเห็นสภาพในศาลามุงจากทางนั้นได้พอดี บวกกับกลีบดอกสาลี่โปรยปรายขับบรรยากาศให้โดเด่น ทั้งยังมีเสียงดนตรีอันไพเราะชั้นสูง ก็ทำให้เกิดทิวทัศน์ที่บรรยายเป็นคำพูดได้ยากจริงๆ โค่วเหวินจื่อที่ยกแขนเสื้อขึ้นลงก็ราวกับเป็นคนในภาพวาด สง่างามสุดๆ เสียงพิณที่เกิดขึ้นจากนิ้วเรียวสวยก็ไพเราะเช่นกัน ราวกับเป็นเสียงจากธรรมชาติ

พอเห็นเหมียวอี้มองจนเหม่อลอยเล็กน้อย โค่วเหวินหลานก็แอบยิ้มอย่างขื่นขม ไม่เสียแรงที่ตนพยายามทุ่มเทวางแผนจัดสถานที่ เพียงแต่ผู้หญิงของตระกูลโค่วจำเป็นต้องมาดัดจริตแบบนี้ถึงจะขายออกตั้งแต่เมื่อไรกัน? คนที่อยากจะแต่งงานกับลูกสาวบ้านนี้ต้องต่อแถวยาวเท่าไรก็ยังไม่รู้เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งนี้เตรียมการไว้เยอะเกินไปหรือเปล่า

“น้องหนิว เชิญดื่ม”

พอเสียงของโค่วเหวินหลานเอ่ยเชิญ ก็ทำให้เหมียวอี้ได้สติกลับมา รีบยกจอกสุราขึ้นดื่มพร้อมกัน พอวางจอกสุราลงก็กล่าวชมว่า “นึกไม่ถึงว่าน้องสาวของท่านจะดีดฉินได้เก่ง”

“เป็นเพราะอาจารย์สอนดีก็เท่านั้นเอง ตระกูลโค่วหายอดอาจารย์ฉินในใต้หล้ามาให้ก็ไม่มีปัญหา นางเล่นเก่งตั้งแต่เด็กแล้ว พูดไปน้องหนิวก็อาจจะไม่เชื่อ น้องสาวข้าอาจจะไม่มีฝีมือด้านอื่น แต่ฉินฉีซูฮว่า[1]นั้นยอดเยี่ยมมาก ไม่ได้ซุกซนเหมือนอ่ยางที่เห็นภายนอก” โค่วเหวินหลานเอ่ยชม แล้วถามอีกว่า “ไม่รู้ว่าฉินฉีซูฮว่าของน้องหนิวเป็นยังไงบ้าง ถ้าสนใจก็ประลองกับน้องสาวข้าสักหน่อยมั้ย”

ปาดเหงื่อ! ตอนยังไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอเอ่ยถึง เหมียวอี้ก็รีบโบกมือ “ข้ามีชาติกำเนิดต่ำต้อย ตอนเด็กแค่จะกินให้อิ่มยังลำบากเลย ไม่ได้มีความภูมิฐานแบบนั้นโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือฉินฉีซูฮว่า จะมีคุณสมบัติอะไรไปประลองกับน้องสาวท่านล่ะ”

เขาไม่ได้พูดเพราะเกรงใจ เรื่องดีดฉินกับเขียนพู่กัน เขาไม่ชำนาญเลยสักนิด ส่วนการเขียนตัวอักษร ถ้าไม่ใช่เพราะถูกอวิ๋นจือชิวบังคับให้คัด ตัวหนังสือที่ออกมาจากมือเขาก็ไม่มีหน้าไปเจอใครได้เลย ตอนนี้เขานับว่าเขาใจความลำบากหวังดีของอวิ๋นจือชิวในตอนแรกแล้ว อยู่ในตำแหน่งระดับนี้แล้ว ถ้ายังเขียนคำสั่งด้วยตัวอักษรบิดเบี้ยวอยู่ คาดว่าลูกน้องที่ได้อ่านคำสั่งคงจะแอบหัวเราะเยาะ แต่ตอนนี้เนื่องจากอยู่ห่างจากอวิ๋นจือชิวเป็นเวลานานแล้ว ต่อให้อวิ๋นจือชิวอยากจะควบคุมให้เขาฝึกเขียน แต่ก็ควบคุมไม่ไหวอยู่ดี แต่ตัวหนังสือของเขาในตอนนี้ก็ไม่ถึงขั้นทำให้คนหัวเราะเยาะแล้ว อวิ๋นจือชิวก็เปิดตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งเช่นกัน เจตนาเดิมของอวิ๋นจือชิวก็ไม่ใช่เพื่อกดดันให้เขากลายเป็นนักวรรณกรรมอะไร แค่เขียนได้ไม่แย่ก็พอแล้ว ส่วนเรื่องเล่นหมากล้อม นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย นิสัยแย่ๆ ตอนเล่นโดนอวิ๋นจือชิวถือกระบี่แก้ให้หมดแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยเล่นหมากล้อมแย่ๆ เหมือนในตอนแรก ตอนหลังก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“เหอะๆ ดื่มสุรา!”

โค่วเหวินหลานรินสุราให้เขาดื่มจอกหนึ่ง หลังจากดื่มไปจอกหนึ่งแล้ว เจ้าตุ้งติ้งก็ออกอาการเดิม สะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดมุมปากด้วยมาดผู้ดี

ผิวหนังใต้ร่มผ้าของเหมียวอี้แอบมีขนลุก แล้วก็เป็นฝ่ายแย่งจอกสุรามาช่วยรินเอง ก่อนจะไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “พี่โค่ว ระหว่างเราไม่จำเป็นต้องมีอะไรอ้อมค้อม มีอะไรจะสั่งก็บอกมาตรงๆ ได้เลย ขอเพียงหนิวคนนี้ทำได้ ก็จะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด!” นี่กำลังเป็นการบอกให้เขาคุยธุระหลัก

โค่วเหวินหลานเงียบไปครู่หนึ่ง จัดระเบียบความคิดเล็กน้อย มองไปยังโค่วเหวินจื่อที่กำลังดีดฉิน พร้อมถามว่า “น้องหนิว เจ้ารู้สึกว่าน้องสาวข้าเป็นยังไงบ้าง?”

เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ แล้วพยักหน้าตอบว่า “ก็เหมือนอย่างที่พี่โค่วบอก เชี่ยวชาญฉินฉีซูฮว่า บวกกับหน้าตางดงามปานเทพธิดา ก็ย่อมไม่เลวอยู่แล้ว”

“ถ้าให้แต่งเป็นภรรยาของน้องหนิวดีมั้ย?” โค่วเหวินหลานถามพร้อมรอยยิ้ม

“เอ่อ…” เหมียวอี้งงเป็นไก่ตาแตก นึกว่าตัวเองฟังผิดไป รีบโบกมือบอกว่า “พี่โค่ว อย่าล้อเล่นแบบนี้เด็ดขาด หนิวเป็นคนไร้สติปัญญา จะไปคู่ควรกับน้องสาวท่านได้ยังไง”

“ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ!” โค่วเหวินหลานส่ายหน้าอย่างจริงจัง กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “น้องหนิวมาตั้งตัวที่ตลาดสวรรค์ตัวเปล่า เริ่มก้าวขึ้นมาจากจุดเริ่มต้นทีละก้าวยังไงบ้าง ในใจข้ารู้ดี ความสัมพันธ์ของเจ้ากับข้าก็เริ่มแน่นหนาขึ้นทีละนิด ข้าชื่นชมน้องหนิวมาก หลังจากน้องหนิวมีเรื่องกับอ๋องสวรรค์อิ๋ง ข้าก็เริ่มกังวลกับอนาคตของน้องหนิว พอได้รู้ว่าน้องหนิวกำลังจะหลุดพ้นจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ข้าก็ยิ่งกังวลกว่าเดิมอีก ตระกูลอิ๋งไม่ได้มีเรื่องด้วยง่ายๆ ขนาดนั้นนะ ไม่ได้ปล่อยให้เรื่องนั้นผ่านไปง่ายๆ หรอก ต่อให้ตระกูลอิ๋งไม่เอาเรื่องต่อ คนระดับล่างของตระกูลอิ๋งก็อาจจะไม่ปล่อยน้องหนิวไป ข้าจะช่วยน้องหนิวยังไงดีนะ ข้าครุ่นคิดมานานมาก อาศัยความสามารถอย่างข้า ถ้าอย่างจะต่อต้านตระกูลอิ๋งก็เป็นเรื่องเพ้อฝัน ตอนหลังพอข้าเห็นน้องสาว ตรงหน้าข้าก็มีแสดงสว่างแล้ว คนอื่นเชื่อถือไม่ได้ แต่ข้าเชื่อในการความประพฤติของน้องหนิว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าในอนาคตข้าต้องฝากน้องสาวไว้กับคนผิด ไม่สู้ทำให้น้องหนิวสมความปรารถนาดีกว่า ขอเพียงน้องหนิวแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ตระกูลโค่ว ตระกูลอิ๋งก็จะไม่พุ่งเป้ามาที่น้องหนิวอีกแล้ว พวกเขาจะชั่งน้ำหนัก อย่างน้อยคนชั่วก็จะไม่กล้าล่วงเกินง่ายๆ อีกด้านหนึ่งก็ย่อมมีตระกูลโค่วออกหน้าให้ ไม่มีทางปล่อยให้ตระกูลอิ๋งมาทำซี้ซั้วกับน้องหนิง!”

เขาไม่ได้บอกตรงๆ ว่านี่คือความคิดของท่านปู่อ๋องสวรรค์โค่ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องรู้จักแบ่งแยกเวลา ตอนที่เหมียวอี้ก่อเรื่องที่อุทยานหลวงจนแทบจะหัวตกพื้น อ๋องสวรรค์โค่วก็สามารถพูดได้เลยว่าเหมียวอี้คือหลานเขยตัวเองเพื่อเป็นการปกป้องชีวิตเหมียวอี้ เหมียวอี้ก็มีแต่จะขอบคุณทราบซึ้ง แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าจะให้อ๋องสวรรค์โค่วกดเสียงต่ำมาขอร้องให้เหมียวอี้แต่งงานกับหลานสาวตัวเอง นั่นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นก็มีแต่ต้องให้โค่วเหวินหลานออกหน้ารับช่วงต่อไว้ที่ตัวเองทั้งหมด

เมื่ออยู่ในฐานะระดับนั้นของตระกูลโค่ว เวลาทำเรื่องอะไรก็ย่อมต้องมีกลยุทธ์ ถ้าเปลี่ยนวิธีการทำงาน ต่อให้ทำงานพัง ต่อให้เหมียวอี้ไม่ตอบตกลง แต่นั่นก็จะไม่ทำให้ตระกูลโค่วเสียหน้า โค่วเหวินหลานที่เหมาเรื่องนี้ไว้ที่ตัวเองทั้งหมดแสดงความจริงใจขนาดนี้ ต่อไปไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จรือไม่ เหมียวอี้ก็ยังจะจดจำน้ำใจนี้ของโค่วเหวินหลานได้อยู่ดี แบบนี้พอตระกูลโค่วเอ่ยปากก็จะไม่มีความเสียหายอะไร ถ้าอ้างอ๋องสวรรค์โค่วโดยตรง แล้วเรื่องนี้ทำไม่สำเร็จ แบบนั้นจะให้อ๋องสวรรค์โค่วเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ขอให้เจ้าแต่งงานกับหลานสาวข้า แต่เจ้ายังไม่เอาอีกเหรอ? ทั้งสองฝ่ายได้แปรพักตร์ต่อกันแน่!

คำพูดนี้ทำให้เหมียวอี้ได้ยินแล้วซาบซึ้งอยู่สักพัก ถ้าเป็นเหมียวอี้ในปีก่อนๆ เกรงว่าคงจะซาบซึ้งสุดๆ แต่เหมียวอี้ในวันนี้ผ่านลมผ่านฝนมามากมาย ผ่านความเป็นความตายมามากมาย โดนญาติที่เกี่ยวดองกันด้วยการแต่งงานทรยศจนแทบเอาชีวิตไม่รอดก็เคยมาแล้ว ทั้งยังไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย ญาติที่เกี่ยวดองกันหกฝ่ายทรยศเขาทั้งหมด ทั้งหมดล้วนจะเอาชีวิตเขา ดังนั้นที่บอกว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์คือการรับประกันอะไรนั่น ในสมองเขาอดไม่ได้ที่จะคิดแล้วคิดอีกหลายตลบ เขาสงบเยือกเย็นขึ้นหลายส่วนแล้ว

…………………………

[1] ฉินฉีซูฮว่า 琴棋书画 คือศิลปะสี่แขนงที่ปัญญาชนร่ำเรียน ได้แก่ กู่ฉิน หมากล้อม(โกะ) การเขียนอักษรจีนและการวาดพู่กันจีน

ที่จริงก็พอจะสังเกตได้มานานแล้ว เพียงแต่ไม่ได้มองเห็นชัดเจนเหมือนตอนที่ลูกสาวอาบน้ำล้างเครื่องประทินโฉมออกจนหมดอย่างในครั้งนี้

หลังจากที่นางสังเกตเห็น ก็แอบสืบมาตลอดว่าใครกันแน่ที่แอบลักลอบอยู่กับลูกสาว ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ลูกสาวตัวเองปิดบังเรื่องแบบนี้กับครอบครัวมาตลอด เรื่องที่ชายหญิงสมัครใจรักใคร่กัน มารดาอย่างนางก็ไม่ขัดอะไร ถ้าลูกสาวได้ตกลงปลงใจเรื่องแต่งงานเร็วๆ นางเองก็อยากจะเห็นความสำเร็จในเรื่องนี้เช่นกัน อย่างไรเสียลูกสาวก็อยู่ในช่วงอายุที่จะมีความรักตั้งนานแล้ว ดื่มด่ำความสุขระหว่างชายหญิงก็ไม่ใช่เรื่องไม่เหมาะสม เพียงแต่การแอบลักลอบแบบนี้อาจจะไม่ค่อยเหมาะสม

นางจะอยากจะบีบว่าที่ ‘ลูกเขย’ ให้ปรากฏตัวออกมาจริงๆ อยากจะเห็นว่าเป็นใครกันแน่

ทว่าที่แปลกก็คือ ใช้หมดทุกวิธีการแล้ว อาศัยความสามารถของสมาคมวีรชน ในหนึ่งพันปีนี้ก็ยังสืบไม่เจอว่ามีผู้ชายคนไหนไปมาหาสู่กับลูกสาวเป็นพิเศษ ช่างแปลกประหลาดจริงๆ ถ้ามีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่ภายในหนึ่งพันปีหญิงชายจะไม่พบหน้ากัน?

นางอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าตัวเองตัดสินผิดผิดพลาดหรือเปล่า?

แต่ก็มีพิรุธบางอย่างที่ทำให้นางจำเป็นต้องสงสัยต่อไป ยกตัวอย่างเช่นตอนที่แนะนำชายหนุ่มที่มีความสามารถจำนวนหนึ่งให้ ลูกสาวก็ไม่สนใจที่จะติดต่อคบค้าเลยสักนิด ถ้าเป็นเหมือนก่อนหน้านี้มีเซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานก่อกวนก็ว่าไปอย่าง ตอนนี้เซี่ยโห้วหลงเฉิงตายแล้ว โค่วเหวินหลานเองก็ไม่ได้มีท่าทีจะเข้ามายุ่งวุ่นวาย ต่อให้เมื่อก่อนจะมีสองคนนั้นก่อกวน แต่อย่างน้อยลูกสาวก็ยินดีที่จะไปเจอหน้ากับคนที่แนะนำให้ แต่ตอนนี้ไม่มีคนก่อกวนแล้ว ทำไมถึงไม่แม้แต่จะไปเจอหน้าด้วยซ้ำล่ะ?มีปัญหา มีปัญหาแน่นอน!

นอกจากนี้ หลายครั้งที่อยากจะให้ลูกสาวเปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนให้มาอยู่ใกล้กับตระกูลหวงฝู่สักหน่อย นางหนูกลับหาข้ออ้างต่างๆ นาๆ มาปฏิเสธ แค่เพราะไม่อยากออกไปจากที่นี่ แบบนี้แสดงว่ามีปัญหา

ดังนั้นนางจึงสงสัยว่าคนที่ลูกสาวแอบคบอยู่ที่ดาวเทียนหยวน หรือไม่ก็อยู่ในที่ที่ไม่ไกลจากดาวเทียนหยวน

แต่เบาะแสบางอย่างที่เจอในการมาตรวจสอบบัญชีครั้งนี้ก็ทำให้นางระแวดระวังยิ่งกว่าเดิม ปกติตอนมาตรวจสอบบัญชี ถึงแม้ลูกสาวจะเคารพยำเกรงแต่กลับไม่มีอย่างอื่น แต่ครั้งนี้กลับอยากจะให้ตนออกไปเร็วๆ นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?ความผิดปกติแบบนี้ทำให้นางหาข้ออ้างที่จะอยู่ต่อไป ผลปรากฏว่าเริ่มสังเกตได้ทีละนิดว่าลูกสาวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยิ่งพิสูจน์สิ่งที่นางสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อจ้องลูกสาวที่ผิวขาวดุจหิมะแช่อยู่น้ำครู่หนึ่ง หวงฝู่ตวนหรงก็ยกมือขึ้นสองข้าง ม้วนแขนเสื้อสองข้างขึ้น เผยให้เห็นแขนสองข้างที่ขาวละเอียดอ่อน แล้วเดินไปข้างหลังหวงฝู่จวินโหรวที่กำลังพิงขอบอ่างอาบน้ำ ช่วยลูกสาวเกลี่ยผมงามมาไว้ตรงหน้าอก แล้วหยิบผ้าขนหนูผืนหนึ่งมาจุ่มน้ำ ช่วยลูกขัดหลังให้ลูกสาวขัดหลังอย่างช้าๆ

“คิคิ…” หวงฝู่จวินโหรวจั๊กกะจี้จนบิดตัวเล็กน้อย “ท่านแม่ ข้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะคะ ข้าทำเองก็ได้”

“ใช่แล้ว!” หวงฝู่ตวนหรงมองเรือนร่างที่ทำให้คนเลือดลมสูบฉีดของลูกสาว แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว เติบโตแล้ว ตอนนี้รู้จักอายแล้ว”

“มีอะไรน่าอาย”

“แม่ก็ไม่ใช่คนนอกสักหน่อย ถ้าไม่อายแล้วทำไมกอดอกไม่ปล่อยล่ะ?”

หวงฝู่จวินโหรวปล่อยมือจากหน้าอกอย่างช้าๆ แล้วใช้มือนวดคลึงต้นขาที่อยู่ในน้ำอย่างเขินอาย

“โหรวโหรว เจ้ามีผู้ชายที่ถูกใจหรือยัง?” หวงฝู่ตวนหรงที่กำลังขัดหลังให้ลูกสาวเอ่ยถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจ

คำพูดแบบนี้มารดาไม่ได้ถามเป็นครั้งแล้ว หวงฝู่จวินโหรวส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่มีค่ะ”

หวงฝู่ตวนหรงเลิกคิ้วเล็กน้อย “ถ้ามีคนชอบแล้วก็บอกมาได้เลย ถ้าหากเหมาะสม แม่จะออกหน้าจัดการให้เอง ไม่มีอะไรน่าอาย ชายหญิงเติบโตแล้วก็ควรจะแต่งงาน เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ถึงแม้ตระกูลหวงฝู่ของเราจะรักษากฎลำบากไปหน่อย แต่อาศัยศักยภาพของสมาคมวีรชน อาศัยความงามที่พบเจอเพียงหนึ่งในพันของโหรวโหรว ถ้าไปชอบใครก็คือวาสนาของคนนั้น แล้วอีกอย่าง ภูมิหลังของตระกูลเราก็สูงทะลุฟ้าเช่นกัน ต่อให้ไม่มีผลานแต่ก็ทำงานอย่างยากลำบาก ถ้าลูกสาวข้าถูกใจใคร แค่เบื้องบนเอ่ยปากคำเดียว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่สำเร็จ เจ้ายังมีอะไรน่ากังวลอีก?”

หวงฝู่จวินโหรวตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ท่านแม่ ข้าบอกไปหลายรอบแล้ว ไม่มีจริงๆ ค่ะ ถ้าข้าเจอแล้วก็ย่อมบอกท่านแม่เอง”

หวงฝู่ตวนหรงแววตาวูบไหว “ในเมื่อยังไม่มี งั้นแม่จะก็จะแนะนำคนดีๆ ให้เจ้าสักคน หลานชายของนายท่านจินของคฤหาสน์จินหู แม่เคยเจอมาแล้ว หน้าตาดีมีความสามารถจริงๆ สง่างามดุจต้นอวี้ซู่ลู่ลม วรยุทธ์ก็ไม่ได้แย่…เจ้าอย่าเพิ่งปฏิเสธนะ จะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ลองไปเจอกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าถูกใจขึ้นมาล่ะ? อาศัยความงามของลูกสาวข้า ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่ชอบเจ้า”

หวงฝู่จวินโหรวก้มหน้า ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านแม่ คนที่ท่านแม่บอกข้าเคยเจอแล้ว เคยมาซื้อของที่ร้านค้า ทั้งยังบอกด้วยว่าจะเจอข้า บอกว่ารู้จักกับท่าน ถ้าลูกเดาไม่ผิด ท่านแม่บอกใบ้ให้เขามาใช่มั้ยคะ?”

หวงฝู่ตวนหรงตอบว่า “ข้าแนะนำให้เขามาแล้วยังไงล่ะ? อีกฝ่ายเคยเห็นเจ้าก็แปลว่ายอมรับแล้ว แค่อให้เจ้าตอบตกลงเท่านั้น ในเมื่อเจ้าเคยเห็นแล้ว ก็น่าจะรู้นะว่าแม่ไม่ได้พูดซี้ซั้ว คนหนุ่มนั่นหน้าตาดีจริงๆ ใช่มั้นล่ะ?”

หวงฝู่จวินโหรวบ่นว่า “เป็นหนุ่มน้อยหน้าขาวที่แต่งหน้าจัด หน้าตาดีตรงไหน ข้าเห็นแล้วสะอิดสะเอียน”

หวงฝู่ตวนหรงจงบอกว่า “เจ้าสำนักไท่อี้ก็มีหลานชายคนหนึ่ง มีความเป็นชายเต็มเปี่ยม หน้าตาบุคลิกองอาจห้าวหาญ วรยุทธ์ก็โดดเด่นกว่าคนรุ่นเดียวกัน คนนี้ไม่ใช่หนุ่มน้อยหน้าขาวแน่นอน ไปดูสักหน่อยว่าถูกปากเจ้าหรือเปล่า”

“เชอะ! ยังจะมาถูกปากไม่ถูกปากอะไรอีก? ท่านแม่ นี่ไม่ใช่การดูอาหารเตรียมใช้ตะเกียบคีบเสียหน่อย องอาจอ้าวหาญอะไรกัน ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นเจ้านั่น ข้างกายมีบ่าวหญิงสองคนสวมชุดขาวถือกระบี่ทำวางมาด ก็แค่อาศัยว่ามีตระกูลหนุนหลัง คนทั่วไปก็เลยไม่กล้าหาเรื่องเขาเฉยๆ หรอก เลยทำตัวหยิ่งผยองอยู่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นคงถูกตำหนักสวรรค์เรียกตัวไปรับตำแหน่งตั้งนานแล้ว ถ้ามีความสามารถก็ลองให้เขาไปทำตัวหยิ่งผยองที่ตลาดผีคนเดียวดูสิ ดูว่าเขาจะรอดกลับมาได้หรือเปล่าแล้วค่อยว่ากัน…ท่านแม่ อย่าบอกนะว่าท่านก็ให้เขามาที่ร้านข้าด้วยเหมือนกัน?”

“คนนี้เจ้าก็ไม่ชอบ คนนั้นเจ้าก็ไม่ชอบ แล้วเจ้าชอบแบบไหนกันแน่?”

“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลยจริงๆ”

“ไม่ต้องกังวลเหรอ? สหายของเจ้าคนนั้น เจ้ารู้จักมั้ยสนมสวรรค์คนปัจจุบันน่ะ?”

“ท่านแม่ ทำไมโยงไปถึงหรูอี้อีกแล้ว?”

“ปู่เจ้าก็รู้เรื่องนี้มาบ้างแล้ว ท่านวางแผนเพื่อตระกูล ตั้งใจจะส่งเจ้าเข้าวังไปเป็นสนม เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อเบื้องบน”

“หา!” หวงฝู่จวินโหรวร้องตกใจมาก พลันหันตัวมานั่งคุกเข่า ร่างกายท่อนบนเปิดเผยออกมาจนหมด ราวกับบัวขาวโผล่พ้นน้ำ มีหยดน้ำที่เหมือนเม็ดไข่มุกกระเพื่อมสั่นไหว งดงามเย้ายวนใจมาก นางจับมือสองข้างของมารดา “ท่านแม่ ท่านตอบตกลงไม่ได้เด็ดขาด ข้าไม่อยากเข้าวังไปเป็นสนม!”

หวงฝู่ตวนหรงแกะมือสองข้างของนางออก “แม่ก็มีลูกสาวอยู่คนเดียว ย่อมไม่อยากให้เจ้าไปทนทุกข์อยู่แล้ว ก็เลยพยายามจะให้เจ้าหลุดพ้น แต่จะว่าไปแล้ว คนที่ตระกูลเอามาให้เจ้าเลือกก็มีไม่เยอะเท่าไร ถ้าเจ้าถ่วงเวลาแบบนี้ต่อไป แม่ก็ไม่กล้ารับประกันนะว่าวันไหนจะเกิดเหตุไม่คาดคิดกับเจ้า!”

หวงฝู่จวินโหรวถอนหายใจแรงๆ หันตัวกลับมานั่งลงในขณะที่ใจยังหวาดกลัวอยู่

หลังจากคุยเล่นกันไปสักพัก หวงฝู่จวินโหรวก็เอ่ยเหมือนเดิมว่า “ท่านแม่ ตรวจสอบบัญชีทางนี้ใกล้จะเสร็จแล้ว ท่านจะกลับไปเมื่อไรเหรอ?”

หวงฝู่ตวนหรงตอบเสียงเรียบว่า “เราสองแม่ลูกไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเลย ทั้งยังอยู่ไกลกัน ครั้งนี้แม่เตรียมจะอยู่กับเจ้านานๆ หน่อย เดี๋ยวกลับไปจัดแจงของในห้องสักหน่อย แม่จะอยู่กับเจ้าที่นี่ชั่วคราว”

หวงฝู่จวินโหรวเลยบอกว่า “ท่านแม่ ข้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะ ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนหรอกค่ะ ในมือข้ามีงานเยอะมาก อย่าทำให้งานของตระกูลล้าช้าเสียหาย…”

บางทีอาจจะเป็นเพราะเชื่อฟังคำโน้มน้าวขอลูกสาว วันต่อมาหวงฝู่ตวนหรงก็เร่งให้ลูกน้องรีบตรวจสอบบัญชี หลังจากนั้นสามวันก็พาคนออกไปแล้ว หวงฝู่จวินโหรวออกมาส่งนอกเมืองด้วยตัวเอง ขณะมองส่งมารดาจากไป เมื่อเห็นว่าส่งมารดาที่ ‘น่ากลัว’ ไปแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็ดีใจไม่หยุด เพราะอีกไม่นานก็จะได้เจอกับเจ้าคนไม่รักดีคนนั้นแล้ว

หารู้ไม่ว่าหวงฝู่ตวนหรงออกไปแล้วก็กลับมาอีก เพียงแต่ไม่ได้เข้าเมือง แต่พักชั่วคราวอยู่ในภูเขาทางตะวันตกของเมือง

สำหรับคนส่วนใหญ่ เรื่องบางเรื่องอาจจะเรียกว่าคนรวยพูดเสียงดังกว่าคนอื่น สำหรับบางคนกลับเป็นเรื่องที่ง่าย ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลยจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นในป่าภูเขาทางทิศตะวันออกของเมือง ที่ดินดีๆ ผืนหนึ่งที่ติดภูเขาและแหล่งน้ำ โค่วเหวินหลานที่มารอล่วงหน้าสั่งให้คนสร้างสวนที่เรียบง่ายทว่าเผยความหรูหราเสร็จภายในไม่กี่วัน

เหมียวอี้นำเหยียนซิวเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงที่ประตูสวน

“น้องหนิว!” โค่วเหวินหลานที่มายืนต้อนรับตรงประตูกุมหมัดทักทายเสียงดัง ข้างกายมีสตรีชุดม่วงคนหนึ่งที่สูงสง่า หน้าตางดงามดุจดอกไม้ บุคลิกสุภาพสง่างาม แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ผู้หญิงจากครอบครัวธรรมดา

“พี่โค่ว” เหมียวอี้เพิ่งจะกุมหมัดคารวะ สตรีชุดม่วงคนนั้นก็ตะโกนเรียกด้วยเสียงใสพร้อมรอยยิ้มที่เป็นกันเองแล้ว “หนิวโหย่วเต๋อ พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ”

“เอ่อ…” เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ รู้สึกว่าคนนี้ค่อนข้างคุ้นตา เหมือนจะเคยเจอแต่ก็ไม่เคยเจอ อย่าบอกนะว่าน้องสาวคนนั้นของโค่วเหวินหลาน? เขาไม่กล้าแน่ใจเกินไป

โค่วเหวินหลานพูดคลายปริศนา “อาจจะเป็นเพราะเวาผ่านมานานมากแล้ว น้องหนิวลืมไปแล้ว นี่คือโค่วเหวินจื่อน้องสาวข้า ในปีนั้นเคยมาที่ตลาดสวรรค์ พวกเจ้าเคยเจอกัน”

“อ้อ!” เหมียวอี้เข้าใจทันที นึกออกแล้ว ในปีนั้นที่เจอกันยังเป็นแม่นางน้อยอยู่เลย ตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว หลุดจากความเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาแล้ว เต็มไปด้วยลักษณะของตรีที่โตเป็นผู้ใหญ่ ยิ่งนับวันก็ยิ่งสวย เขาจึงรีบกุมหมัดขออภัย “แม่นางโค่วยิ่งนับวันยิ่งสวย หนิวเกือบจะจำไม่ได้ ล่วงเกินแล้ว ล่วงเกินแล้ว!”

“เชอะ! พอสูงส่งแล้วคงจะลืมมิตรภาพเก่าๆ แล้วล่ะสิ? กล้าก่อเรื่องในงานรับสนมของฝ่าบาท เก่งขนาดไหนกันล่ะ มีหรือที่จะเห็นข้าอยู่ในสายตา” โค่วเหวินจื่อทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ

โค่วเหวินหลานทำหน้าเข้มทันที “เหวินจื่อ ทำไมพูดจาอย่างนั้น? เจ้าอยากตามข้ามาเองนะ อยากจะให้ข้าไล่กลับไปใช่มั้ย?”

เขามาครั้งนี้เพราะได้รับภารกิจ มาเพื่อเป็นพ่อสื่อ บิดาอธิบายรายละเอียดของเรื่องนี้ให้ฟังแล้ว ว่าท่านปู่ตัดสินใจจะให้หลานสาวแต่งงงานเชื่อมสัมพันธ์กับเหมียวอี้ เตรียมจะรับเหมียวอี้เข้ามาเป็นลูกน้องในตระกูลโค่ว ส่วนจะเลือกใครให้แต่งงานก็ยังไม่แน่นอน สำหรับตระกูลโค่วแล้ว ไม่ว่าจะแต่งงานกับคนไหนก็ถือว่าแต่งงานเหมือนกัน ไม่มีเหตุผลที่จะมาเลือกที่รักมักที่ชัง เพียงดูว่าเหมียวอี้ถูกใจคนไหน สรุปก็คือต้องพยายามประสานงานเรื่องนี้ให้สำเร็จให้ได้ แต่บิดาของเขาแอบซ่อนจิตใตที่นึกถึงผลประโยชน์ส่วนตัวเอาไว้ นับว่าตั้งใจจะสนับสนุนลูกชายตัวเองเช่นกัน จึงบอกกับลูกชายไว้ชัดเจน ว่านี่คือคนที่ท่านปู่ชอบและคิดจะเลี้ยงดูฝึกฝน ต่อไปอาจจะมีอนาคตยาวไกลไร้ขอบเขต ถ้าได้น้องเขยที่ท่านปู่เล็งเห็นความสำคัญช่วยเหลือ ก็จะได้ประโยชน์จากเรื่องอำนาจในตระกูลไม่น้อยเลย

สิ่งที่เรียกว่าจิตใจที่เห็นแก่ตัวนั้นจะแสดงออกมากเกินไปไม่ได้ เพียงแต่ถือโอกาสให้โค่วเหวินหลานพาน้องสาวตัวเองมาด้วยก็เท่านั้นเอง จะได้ได้เปรียบที่มีโอกาสเจอก่อน คุยกันแบบเห็นตัวก็ดีกว่าเจรจาแบบไม่เห็นตัว ยิ่งไปกว่านั้นโค่วเหวินจื่อก็หน้าตางดงามมากจริงๆ หน้าตาก็ดี รูปร่างก็ดี เชื่อว่าทำให้ผู้ชายทุกคนหวั่นไหวได้ง่ายๆ กอปรกับมีตระกูลชนชั้นสูงอย่างตระกูลโค่วช่วยเหลือ โอกาสที่จะตอบตกลงก็มีเยอะมาก

…………………………

ผู้ที่มาสวมหมวกทรงสูงสีดำ สวมผ้าคลุมบ่าสีดำ สีหน้าเย็นเยียบดุร้าย

เหมียวอี้เรียกได้ว่าคุ้นเคยกับคนคนนี้จนไม่รู้จะคุ้นเคยอย่างไรแล้ว คาดว่าต่อให้มีคนปลอมตัวมา แต่ก็ปลอมลักษณะท่าทางที่พิเศษของคนคนนี้ไม่ได้ เป็นคนที่ทำให้รู้สึกว่าคำว่า ‘เย็นชา’ แทรกซึมถึงในกระดูก เกาก้วน ทูตขวาหน่วยตรวจการตำหนักสวรรค์!

ตรงนี้เพิ่งจะประชุมลับกับเทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนแล้วแยกกัน จู่ๆ เกาก้วนก็มาโผล่อยู่ตรงนี้ ทำให้เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ อย่าบอกนะว่าโดนผู้พิพากษาหน้าตายคนนี้จับได้แล้ว?

ชั่วขณะนั้น ท่านขุนนางเหมียวก็เรียกได้ว่าจิตใจว้าวุ่นกระวนกระวายแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปอยู่ที่ไหนดี เป็นเพราะไม่มีทางรับมือกับคนคนนี้ได้เลยจริงๆ คนที่สามารถใช้อำนาจอันยิ่งใหญ่ของทูตตรวจการขวาตำหนักสวรรค์ได้ มีหรือที่จะอ่อนด้อยด้อยฝีมือ

“หนิวโหย่วเต๋อ เป็นเจ้าเหรอ?” เกาก้วนเหลือบมองซากเรือที่ถูกทำลายลอยอยู่บนผิวทะเล

ฟังจากคำพูดที่เหนือความคาดหมายของอีกฝ่าย ก็เหมือนจะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เหมียวอี้อยู่ที่นี่ เหมียวอี้พยายามควบคุมอารมณ์กระวนกระวายของตัวเองเอาไว้ นำเหยียนซิวลอยขึ้นมาบนฟ้าอย่างช้าๆ หลังจากมาอยู่ตรงข้ามในระดับเดียวกันแล้ว ก็กุมหมัดคารวะ “คารวะทูตขวาเกา ไม่ทราบว่าทูตขวาเกามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

เกาก้วนตอบว่า “มีธุระผ่านมาทางนี้พอดี จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงระเบิด เลยมาดูสักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า ได้ยินว่าเจ้าเพิ่งจะออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ทำไมไม่กลับไปรายงานตัว มาทำอะไรอยู่ที่นี่?”

สงสัยจะบังเอิญแล้วจริงๆ ที่แท้ก็มาเพราะได้ยืนเสียงระเบิดนี่เอง! เหมียวอี้สงบใจลงหลายส่วน แล้วรับมืออย่างระมัดระวัง “ตอนนี้ยังไม่ต้องไปรายงานตัวขอรับ หัวหน้าภาคอวี่อนุญาตให้ลาพักได้หนึ่งปี เพิ่งจะออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เลยมาผ่อนคลายบนดาวเคราะห์แถวๆ นี้สักหน่อย เพิ่งจะผ่อนคลายได้สักประเดี๋ยวแล้วเตรียมจะไป นึกไม่ถึงว่าเสียงความเคลื่อนไหวจะบังเอิญดังไปรบกวนทูตขวาเกา”

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้” เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบ และไม่ได้ซักไซ้ถามเรื่องนี้อีก เปลี่ยนประเด็นสนทนาแล้ว “ข้าไม่ได้เข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์หลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าในนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ถ้าสะดวกก็เล่าสถานการณ์ของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ในปัจจุบันให้ข้าฟังสักหน่อย” พูดจบก็สะบัดผ้าคลุมแล้วหันตัว พุ่งไปยังจุดดำจุดหนึ่งบนผิวทะเลที่อยู่ไกลๆ

เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง พบว่าเป็นเกาะแห่งหนึ่ง อย่าบอกนะว่าก่อนหน้านี้ทูตขวาเกาอยู่บนเกาะนี้? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็ถือว่าโชคดีที่ไม่ได้เข้าใกล้มากเกินไป ไม่อย่างนั้นเรื่องที่แอบมาเจอกับผังก้วนเป็นการส่วนตัวก็จะโดนจับได้คาหนังคาเขา แบบนั้นก็คงจะแย่แล้ว

แต่อีกฝ่ายก็เย็นชาดุร้ายเกินไปจริงๆ ไม่ว่าเหมียวอี้จะตอบตกลงหรือไม่ อีกฝ่ายก็พูดทิ้งท้ายแล้วเหาะนำไปเลย เหมือนไม่กลัวสักนิดว่าเหมียวอี้จะไม่ตอบตกลง

แต่จะว่าไปแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่อาจตบก้นหนีไปโดยไม่สนใจอีกฝ่ายได้ จึงพาเหยียนซิวตามไปแล้ว

พอเหยียบลงบนเกาะแห่งนั้น ถึงได้พบว่าบนเกาะมีค่ายภูเขาอยู่แห่งหนึ่ง ที่ค่ายนั้นระเกะระกะ เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ ศพเกลื่อนพื้น ในอากาศอบอวบไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ดูจากศพกาแต่งตัวของที่เกลื่อนอยู่บนพื้นก็เหมือนจะเป็นมนุษย์ธรรมดาทั้งหมด ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเหมือนโจรสลัดมนุษย์ธรรมดา ที่นี่เหมือนจะเป็นรังของโจรสลัด

รอบข้างมองไม่เห็นคนอื่น เห็นเพียงเงาร่างอันโดดเดี่ยวของเกาก้วนยืนรับลมทะเลอยู่บนเนินเขา ผ้าคลุมบนบ่าปลิวสะบัดอย่างรุนแรง

เหมียวอี้แปลกใจนิดหน่อย อย่าบอกนะว่าเกาก้วนอยู่ที่นี่คนเดียว? โจรสลัดพวกนี้โดนเกาก้วนฆ่าทิ้งหมดเหรอ? อาศัยสถานะของเกาก้วน ทำไมถึงไปมีเรื่องกับโจรสลัดพวกนี้ได้ล่ะ?

แต่ในจุดนี้ก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร เกาก้วนบังเอิญอยู่ที่นี่และถูกดึงดูดมาเพราะเสียงระเบิดจริงๆ ไม่ได้ค้นพบความลับอะไรของเหมียวอี้

พอบอกใบ้ให้เหยียนซิวรออยู่ที่เดิมแล้ว เหมียวอี้ก็ถลันตัวลอยไปเหยียบบนเนินเขาในค่ายภูเขา มายืนข้างกายเกาก้วนแล้วกุมหมัดคารวะ “ทูตขวาเกา”

เกาก้วนเอียงหน้าเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง “สถานการณ์ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เป็นอย่างไร ว่ามา”

“ปราณชั่วร้ายขวักไขว่ ต้นไม้ใบหญ้าไม่มีสักต้น…” เหมียวอี้เล่าสภาพแดนมรณะดึกดำบรรพ์ให้ฟังคร่าวๆ โดยเลี่ยงบางอย่างไป

เกาก้วนฟังจบแล้วเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “ยังจำอสุราอัคนี อาจารย์ต่างยุคของเจ้าได้มั้ย?”

“…” เหมียวอี้อึ้งเล็กน้อย แน่นอนว่าจำได้อยู่แล้ว ในปีนั้นถ้าไม่ใช่เพราะทูตขวาเกาเอ่ยถึง เกรงว่าเขาก็คงจะไม่รู้จักกตัวละครนี้แล้วจริงๆ

เรื่องบางเรื่องก็เป็นแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเกาก้วนเป็นฝ่ายเอ่ยถึงก่อน ต่อให้คนอื่นจะรู้จักอสุราอัคนีนั่นเหมือนกัน แต่คนที่ซ่อนมันไว้ในความทรงจำส่วนลึก ถ้าไม่ถามถึงแล้วจะยังมีใครเอ่ยขึ้นมาอีก

“จำได้อยู่แล้วขอรับ” เหมียวอี้ตอบอย่างคลุมเครือ ไม่รู้ว่าการที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงอสุราอัคนีนั้นหมายความว่าอะไร

เกาก้วนตอบเสียงเรียบว่า “ในปีนั้นอาจารย์ของเจ้าก็เคยเข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เหมือนกัน ครั้งแรกที่เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ คนที่รอดชีวิตออกมาได้มีไม่เยอะ ก่อนจะเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ อสุราอัคนียังไม่ได้มีชื่อเสียงมากขนาดนั้น แต่หลังจากฝึกวิชาที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้สักระยะแล้วออกมา ก็ไม่รูเหมือนกันว่าบังเอิญเจอความพิเศษอะไร ศักยภาพเพิ่มขึ้นเร็วมาก อาศัยวิชาควบคุมไฟโลดแล่นอยู่ในใต้หล้า วิชาคุมไฟของเขาไม่เหมือนคนอื่น สิ่งที่เขาควบคุมคือแหล่งกำเนิดของไฟ สิ่งที่ควบคุมคือธาตุไฟ ถ้าโดนขาโจมตีบาดเจ็บก็จะไฟพิษโจมตีหัวใจแน่นอน ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจะทรมานจนแทบทนไม่ไหว อสุราอัคนีสามารถรวมไฟให้เป็นปราณ เป็นการรวมกันระหว่างความแข็งและอ่อนนุ่ม อาศัยฝีมือที่พิเศษไม่เหมือนใคร เรียกได้ว่าวางอำนาจบาตรใหญ่ได้อยู่ช่วงหนึ่ง”

ควบคุมธาตุไฟ? รวมไฟให้เป็นปราณ? เหมียวอี้ได้ยินแล้วตกใจไม่เบา แบบนี้ไม่เหมือนเคล็ดวิชาอัคนีดาราที่ตนฝึกหรอกเหรอ? อย่าบอกนะว่าสิ่งที่ตัวเองสงสัยก่อนหน้านี้ผิดพลาด หรือว่าตนจะเป็นลูกศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนีจริงๆ?

ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ เรื่องบางเรื่องก็อธิบายไม่ได้ เหมียวอี้ถามว่า “ธาตุไฟแบ่งเป็นหยินกับหยาง ไม่ทราบวิ่งที่ ‘อาจารย์’ ของข้าควบคุมคือไฟหยางหรือว่าไฟหยิน?”

เกาก้วนตอบว่า “อันนี้ข้าก็ไม่รู้ชัดเท่าไร รู้ว่าเพียงว่าสิ่งที่ควบคุมคือเพลงเดือดสีแดง ตอนที่รวมไฟให้เป็นปราณราวกับดาบทวนก็แป็นสีแดงเช่นกัน คาดว่าคงเป็นไฟหยาง สำหรับสิ่งนี้ ลูกศิษย์อย่างเจ้าน่าจะรู้ชัดที่สุดสิ มาถามข้าทำไม?”

เหมียวอี้ครุ่นคิดเงียบๆ ถ้าพูดอย่างนี้จริงๆ ก็แสดงว่าอสุราอัคนีควบคุมไฟหยาง เพียงแต่วิธีการควบคุมนี้เหมือนเคล็ดวิชาอัคนีดาราสุดๆ สิ่งที่แตกต่างก็คือไฟหยาง อีกอย่างก็คือเพลิงจิตที่โปร่งแสงไร้สี ถ้าจะพูดให้ถูกกว่านั้นก็คือ อสุราอัคนีนั่นควบคุมได้แค่ไฟหยาง แต่เคล็ดวิชาอัคนีดารากลับควบคุมได้ทั้งไฟหยินและไฟหยาง แต่ก็เหมือนจะมีจุดเหมือนในความแตกต่าง อย่าบอกนะว่าระหว่างอสุราอัคนีกับเคล็ดวิชาอัคนีดารามีอะไรเกี่ยวข้องกันจริงๆ?

เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไรไปสักพัก เกาก้วนก็เหล่ตามถาม “พออสุราอัคนีเข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์รอบเดียว ศักยภาพก็เพิ่มขึ้นเร็วมาก ไม่รู้ว่าหลังจากเจ้าเข้าไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้วพบความมหัศจรรย์อะไรหรือเปล่า?”

“เอ่อ…” เหมียวอี้อึ้งทันที ยังไม่ต้องพูดถึงเลย ยิ่งนับวันเขาก็ยิ่งสงสัยว่าอสุราอัคนีกับเคล็ดวิชาอัคนีดารามีความเกี่ยวข้องกัน อสุราอัคนีเข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ววรยุทธ์เพิ่มเร็วมาก แล้วเขาจะไม่เป็นแบบนั้นได้อย่างไร

ขณะเดียวกันก็ถูกเกาก้วนเรียกสติในชั่วพริบตาเดียว ก่อนหน้านี้เขากังวลเรื่องบางเรื่องมาตลอด นั่นก็คือวรยุทธ์ของตัวเองเพิ่มเร็วเกินไปแล้วไม่สามารถอธิบายได้ ตอนนี้ตัวเองเป็นลูกศิษย์ของอสุราอัคนี มีโชคชะตาเหมือนอสุราอัคนี แล้วทำไมวรยุทธ์จะเพิ่มเร็วบ้างไม่ได้? สามารถอธิบายให้ฟังขึ้นได้เลย!

นอกจากนี้ เคล็ดวิชาและวิธีการลงมือของอสุราอัคนีก็มีจุดที่ทั้งเหมือนและต่างกับเขา ความต่างอยู่ที่สีสันและภายในที่คนนอกไม่รู้เท่านั้นเอง ก่อนหน้านี้เขากังวลจึงไม่กล้าใช้เคล็ดวิชาอัคนีดาราอย่างเต็มที่มาโดยตลอด ตอนนี้สงสัยจะมีวิธีการอธิบายแล้ว

พอคิดเรื่องพวกนี้ได้ เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าดีใจมาก นึกไม่ถึงว่าการบังเอิญเจอเกาก้วนจะทำให้ความกังวลที่อยู่ในใจเขาหายไปโดยไม่ได้ตั้งใจแล้ว

แน่นอน ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาแสดงความดีใจ เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบว่า “ไม่นับว่าเป็นการพบกันโดยบังเอิญขอรับ วรยุทธ์ก็เพิ่มขึ้นบ้าง ตอนนี้บรรลุระดับบงกชรุ้งแล้วขอรับ”

“อ้อ!” เกาก้วนทำท่าประหลาดใจ แล้วหันตัวมาบอกว่า “เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งพันปีก็บรรลุระดับบงกชรุ้งแล้ว นั่นเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ! ก่อนหน้านี้ข้ายังสงสัย พอมาดูตอนนี้แล้ว เจ้าก็เป็นศิษย์ของอสุราอัคนีจริงๆ สงสัยแดนดึกดำบรรพ์จะมีประโยชน์ต่อพวกเจ้าแบบไม่ธรรมดาจริงๆ”

“ก็แค่โชคดีเท่านั้นเองขอรับ” เหมียวอี้ถ่อมตัว

เกาก้วนกลับไม่เกรงใจตามเขา “ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว เจ้าก็ไปได้ กำลังพลของหน่วยตรวจการขวากำลังจะมาตรวจสอบ ข้าไม่หวังให้คนนอกมารบกวนที่นี่”

เหมียวอี้พูดไม่ออก คนที่เรียกข้ามาก็คือเจ้าไงล่ะ คนที่ไล่ข้าไปก็คือเจ้า เล่นอะไรของเจ้า

อยากจะด่าแต่ก็ด่าได้เพียงในใจ เขากุมหมัดคารวะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็ขอตัวก่อนขอรับ”

“อืม” เกาก้วนตอบเสียงเรียบ

จากนั้นเหมียวอี้ก็ถลันตัวจากไป พาเหยียนซิวเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ดำหายไปในจุดลึกของดาราจักร เร่งไปยังตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน

สาเหตุที่ไปตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน ก็ไม่ใช่เพราะตั้งใจไปหาคนรักเก่าอย่างหวงฝู่จวินโหรวหรือว่าพวกฝูชิง แต่เป็นเพราะโค่วเหวินหลาน บอกว่าต้องการจะเลี้ยงต้อนรับผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติ เหมียวอี้เดาว่าเจ้าหมอนั่นคงจะมีเรื่องอะไรสักอย่าง ดังนั้นจึงกำหนดสถานที่นัดพบเป็นตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน

กำหนดสถานที่นัดพบเป็นดาวเทียนหยวน สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะจะถือโอกาสไปหาคนรักเก่าสักหน่อย อีกฝ่ายย้ำแล้วย้ำอีกว่าคิดถึงอยากเจอหน้า จะได้ถือโอกาสแก้ไขปัญหาเรื่องนี้พอดี

พอนึกถึงหวงฝู่จวินโหรว เหมียวอี้ก็ปวดประสาทนิดหน่อย ตอนแรกคนที่ขืนใจหวงฝู่จวินโหรวก็คือเขา ตอนหลังคนที่ทิ้งหวงฝู่จวินโหรวก็คือเขา จากนั้นคนที่เป็นฝ่ายขอคืนดีอีกครั้งก็คือเขา ตอนนี้อยากจะสลัดทิ้งแต่ก็ไม่มีทางทำได้แล้วจริงๆ ทั้งยังสาบานกับอวิ๋นจือชิวแล้วว่าตัวเองกับหวงฝู่จวินโหรวไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว ดังนั้นจึงไม่กล้าให้อวิ๋นจือชิวรู้ความจริงเลย บวกกับหวงฝู่จวินโหรวมีภูมิหลังเป็นสุนัขรับใช้ให้ราชันสวรรค์ นี่เป็นสิ่งที่ตัดไม่ขาดทั้งยังยุ่งเหยิงอีกด้วย ขนาดเขาเองยังไม่รู้เลยว่าตอนสุดท้ายเขากับหวงฝู่จวินโหรวจะกลายเป็นอย่างไร

ส่วนหวงฝู่จวินโหรวในตอนนี้ก็อยู่ที่ร้านค้าสมาคมวีรชนที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน ตอนนี้นางกำลังเหม่อลอยอยู่ในอ่างอาบน้ำ ใช้นิ้วเขี่ยดอกไม้ที่ลอยอยู่บนผิวน้ำอย่างเบื่อหน่าย บางครั้งก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

หนิวโหย่วเต๋อคนรักของนางรอดชีวิตออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้แล้ว ที่จริงที่คือเรื่องดี หนิวโหย่วเต๋อก็บอกแล้วว่าจะมาหานางทันที นางดีใจสุดๆ แต่ใครจะคิดว่าในเวลานี้คนที่นางกลัวที่สุดและไม่ควรจะมาดันมาแล้ว มารดาของนาง หวงฝู่ตวนหรง!

“ทำไมต้องมาเวลานี้ด้วยนะ…” หวงฝู่จวินโหรวบ่นพึมพำพลางฉีกกลับดอกไม้อย่างไม่พอใจ

“โหรวโหรว!” จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตู ทั้งยังมีเสียงผู้หญิงที่ชัดใสทว่าแฝงความนิ่งสงบ

“ค่ะ!” หวงฝู่จวินโหรวได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าเป็นใคร รีบบอกไปว่า “ท่านแม่ ข้ากำลังอาบน้ำ”

ที่พูดแบบนี้ก็เพื่อจะหยุดยั้งไม่ให้เข้ามา แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะร่ายอิทธิฤทธิ์สะเดาะกลอนประตู สตรีวัยกลางคนหน้าตาสวยแพรวพราวแต่งกายสง่างามคนหนึ่งผลึกประตูเข้ามา จากนั้นก็ปิดประตู แหวกม่านมุ้งที่บังห้องข้างในเอาไว้ออก ในอ่างอาบน้ำมีไอน้ำหอมโชยขึ้นมา

“ท่านแม่ ข้ากำลังอาบน้ำอยู่นะ ท่านเข้ามาได้ยังไง มีเรื่องอะไรรอสักประเดี๋ยวไม่ได้เหรอคะ…” หวงฝู่จวินโหรวที่งอเข่ากอดอกเสียงเบาลงเรื่อยๆ เพราะถูกแววตาคมกริบของมารดามองมาจนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

สายตาของหวงฝู่ตวนหรงจับจ้องไปบนใบหน้างามพริ้งที่ถูกชำระล้างจนสะอาดของลูกสาว เครื่องประทินโฉมถูกลบไปแล้ว อาศัยที่นางเป็นคนมีประสบการณ์ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าลูกสาวเสียพรหมจรรย์ เคยผ่านเรื่องสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงมาตั้งนานแล้ว

…………………………

หลังจากนั้นครึ่งวัน ที่ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งใกล้ๆ กับทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เหมียวอี้กับเหยียนซิวที่สวมชุดลำลองทั้งตัวเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงบนเรือที่ลอยอยู่บนทะเลกว้าง บนเรือมองไม่เห็นคนขับเรือ ดูกว้างโล่งว่างเปล่า เรือกำลังถูกปล่อยให้ลอยละล่องอยู่ในบนทะเล

เหยียนซิวไม่รู้ว่าทำไมเหมียวอี้ถึงพาเขามาที่นี่ คาดว่าคงจะอยากประชุมกับใครบางคน ไม่อย่างนั้นคงไม่มาที่นี่ทั้งๆ ที่เพิ่งออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เขาเองก็มองเห็นว่าบนเรือเหมือนจะมีคน แต่เขาก็ไม่ได้พูดมาก ไม่ได้ถามอะไร แต่ไหนแต่ไรมาเหมียวอี้ให้ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น

หลังจากเหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้เล็กน้อย เหยียนซิวก็ยืนรออยู่ที่หัวเรือข้างนอก

พอขึ้นตึกเรือ เหมียวอี้แหวกผ้าม่านออก ก็เห็นเทพประจำดาวฟ้าเถาะกำลังนั่งถือถ้วยน้ำชาจิบอย่างช้าๆ ข้างกายเขามีชายชราที่หน้าตาฉลาดหลักแหลมคนหนึ่งยืนอยู่ กำลังจ้องประเมินเหมียวอี้ด้วยใบหน้าที่เจือด้วยรอยยิ้มบางๆ

เหมียวอี้เป็นคนนัดเทพประจำดาวฟ้าเถาะมาเอง เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าการเจอกันลับๆ แบบนี้ เทพประจำดาวฟ้าเถาะยังจะพาคนอื่นมาด้วยอีก

ผังก้วนที่เงยหน้าเล็กน้อยวางถ้วยน้ำชาลง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเรียบๆ “มาแล้ว้เหรอ”

“คารวะเทพประจำดาว” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ

ผังก้วนยกมือบอกใบ้ให้นั่งลง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีอัธยาศัยดีมากว่า “นี่ไม่ใช่การพบกันครั้งแรก เจ้าเองก็ไม่ใช่ลูกน้องข้า ไม่ต้องเกรงใจ นั่งลงเถอะ”

เหมียวอี้เองก็ไม่อ้อยอิ่ง ตอนที่เขาเพิ่งจะนั่งลง ผังก้วนก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า “ใช้ได้เลยนะ! ข้ายังกลัวอยู่เลยว่าเจ้าจะไม่มีทางอยู่ผ่านเวลารับโทษหนึ่งพันปีไปได้ ถึงไม่ถึงว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ถูกเจ้าฝ่าฟันผ่านมาได้แล้วเช่นกัน ข้าไม่เคยเข้าไปที่นั่นมาหลายปีแล้ว ข้าสนใจอยากจะรู้ว่าข้างในเปลี่ยนไปยังไงบ้างแล้ว ถ้าสะดวกก็เล่าให้ฟังสักหน่อย”

เมื่อเห็นเหมียวอี้มองประเมินเฉินหวยจิ่วไม่หยุด เขาก็พูดเสริมอีกว่า “คนเก่าคนแก่ของตระกูลผัง เฉินหวยจิ่ว พ่อบ้านใหญ่ของจวนผัง เป็นคนข้างกายที่ข้าสนิทที่สุด ข้าไม่เคยปิดบังเรื่องอะไรเขาทั้งนั้น”

ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้วางใจ “จะเปลี่ยนเป็นยังไงไปได้ล่ะ ปราณชั่วร้ายขวักไขว่ รุกเกาะกินต้นไม้ใบหญ้าและสิ่งมีชีวิต ปราณชั่วร้ายมากมายกลายเป็นวิญญาณชั่วร้าย บางตัวก็วรยุทธ์ไม่ต่ำเลย หนึ่งพันปีมานี้ข้าใช้ชีวิตลำบากมาก สู้กับวิญญาณชั่วร้ายในนั้นหลายครั้ง แทบจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ในนั้นแล้ว หลบซ่อนตัวมาตลอด รอดออกมาได้ก็นับว่าเป็นโชคดีจริงๆ”

เฉินหวยจิ่วที่อยู่ข้างกันรินน้ำชาให้เหมียวอี้ เหมียวอี้กล่าวขอบคุณแล้วยื่นมือรับ

“วิญญาณชั่วร้าย?” ผังก้วนครุ่นคิดเล็กน้อย เห็นเหมียวอี้หยิบน้ำชาที่ทางนี้เตรียมให้อย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ไม่กังวเลยสักนิดว่าตัวเองวางแผนเล่นไม่ซื่อ เขาก็ยิ้มบางๆ ในใจแอบชื่นชม ว่าช่างเป็นชายหนุ่มที่ใจกว้างจริงๆ เขายิ้มพร้อมถามว่า “ว่ามาเถอะ ครั้งนี้อยากจะพบข้าให้ได้ด้วยธุระอะไร?”

เหมียวอี้พลิกมือหยิบไข่มุกวิญญาณอาฆาตลายสีทองออกมาหนึ่งเม็ด วางไว้บนโต๊ะ แล้วถามว่า “เทพประจำดาวรู้จักสิ่งนี้รึเปล่า?”

แน่นอนว่านี่คือของที่นำออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่ไม่กล้านำออกมาเยอะ นำออกมาแค่ไม่กี่เม็ดก็ยังไม่มีปัญหา เป็นสิ่งที่อธิบายแล้วฟังขึ้น บอกว่าตัวเองได้มาจากการฆ่าวิญญาณชั่วร้าย

ผังก้วนเหล่ตามองแวบหนึ่ง แล้วยื่นมือออกไปหยิบ คลึงเล่นอยู่ที่ปลายนิ้วพร้อมถามว่า “ไข่มุกวิญญาณอาฆาต! เจ้ามาหาข้าเพื่อถามเรื่องนี้น่ะเหรอ?”

เหมียวอี้เห็นว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้เลยสักนิด ก็เลยถามอย่างแปลกใจว่า “ไม่น่าเชื่อว่าเทพประจำดาวจะไม่โดนพลังวิญญาณอาฆาตในนี้รุกก่อกวน?”

“เจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงได้เฝ้าทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ล่ะ? ข้าฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟ เดาว่าเจ้าก็คงจะเหมือนกันใช่มั้ย?” ผังก้วนถาม

“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง!” เหมียวอี้เข้าใจทันที แล้วถามอีกว่า “สงสัยเทพประจำดาวจะเคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน”

ผังก้วนตอบว่า “ในปีก่อนๆ ที่ปราบแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ก็ยังไม่เคยเห็นว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์จะมีสิ่งนี้นะ ตอนหลังกองทัพองครักษ์กวาดล้างแดนมรณะดึกดำบรรพ์สองครั้ง ถึงได้รู้ว่ามีสิ่งนี้อยู่ ถ้าใส่สิ่งนี้เข้าไปในอาวุธ ก็จะเป็นอาวุธที่มีประโยชน์มาก ทางตำหนักสวรรค์รวบรวมสิ่งนี้ไว้ไม่น้อยเลย แต่จนใจที่นักพรตทั่วไปไม่สามารถต้านทานพลังวิญญาณอาฆาตที่อยู่ในนั้นได้ ต่อให้มีอาวุธประเภทนี้อยู่ในมือก้ใช้ประโยชน์ไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นฝ่าบาทจึงเก็บไว้ให้คนส่วนน้อยใช้งาน”

“ยังมีคนใช้อาวุธไข่มุกวิญญาณด้วยเหรอ ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยล่ะ?” เหมียวอี้แปลกใจ

ผังก้วนอึ้งเล็กน้อย เหมือนรู้ตัวว่าได้พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป แต่คิดไปคิดมาก็ไม่ได้ปิดบัง “ข้างกายฝ่าบาทมีหน่วยกล้าตายอยู่ส่วนหนึ่ง ไม่เปิดเผยโฉมหน้าง่ายๆ ดังนั้นคนที่รู้เรื่องขึงมีไม่เยอะ แต่ไหนแต่ไรมาฝ่าบาทก็ให้คนพวกนี้ไปทำภารกิจลับที่บอกใครไม่ได้มาตลอด หน่วยกล้าตายพวกนี้ทีนามว่า ‘หน่วยองครักษ์เงา’ พวกเขาไม่ได้ฝึกวิชามารชั่วร้ายอะไรด้วย แต่วรยุทธ์เพิ่มเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นอาวุธไม้ตายในมือฝ่าบาท ที่พิเศษที่สุดก็คือ ‘หน่วยองครักษ์เงา’ พวกนี้เหมือจะไม่กลัวของประเภทเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ไม่กลัวปราณชั่วร้ายพวกนี้ด้วย ดังนั้น ‘หน่วยองครักษ์เงา’ พวกนี้จึงใช้อาวุธไข่มุกวิญญาณ”

“อย่าบอกนะว่าฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟเหมือนกัน?” เหมียวอี้ตกใจ

ผังก้วนตอบว่า “ไม่รู้เหมือนกัน เพียงแต่วรยุทธ์เพิ่มขึ้นเร็วมาก ได้ยินว่าคนรู้จักบางคนในนั้น เดิมทียังวรยุทธ์บงกชม่วงอยู่เลย ตอนหลังพอประมือกันถึงได้รู้ ว่าใช้เวลาสั้นๆ เพียงสองฟันปี วรยุทธ์ของคนคนนั้นก็อยู่ระดับบงกชกลายขั้นกลางแล้ว”

“ไวขนาดนั้นเชียว?” เหมียวอี้สูดหายใจอย่างตกตะลึง จากนั้นก็ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ ถามหยั่งเชิงไปว่า “เคล็ดวิชาของหน่วยองครักษ์เงาพวกนี้มีข้อเสียอะไรรึเปล่า?”

ผังก้วนพยักหน้า “ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ แต่ก็มีคนไม่น้อยคาดเดาเอาไว้แบบนี้ ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทมีเคล็ดวิชาที่เพิ่มวรยุทธ์ได้เร็วขนาดนี้อยู่ในมือ แล้วทำไมถึงไม่ฝึกเองล่ะ? ประการต่อมา เคล็ดวิชาที่น่าหวาดกลัวแบบนี้ ฝ่าบาทคงไม่ปล่อยให้ตกอยู่ในมือคนอื่นง่ายๆ การที่ฝ่าบาทสามารถวางใจมอบเคล็ดวิชาให้คนกลุ่มนี้ได้ ก็แปลว่าจะต้องมีวิธีควบคุมคนพวกนี้แน่นอน คนส่วนใหญ่เดาว่าเคล็ดวิชานี้อาจจะมีปัญหาบางอย่าง”

เหมียวอี้เงียบงัน ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไร

ผังก้วนวางไข่มุกวิญญาณอาฆาตในมือลง แล้วนั่งพิงบนเก้าอี้ เอียงหน้ามองเขาแล้วถามว่า “คุยธุระหลักเถอะ เรียกข้ามาด้วยธุระอะไร?”

เหมียวอี้เรียกสติกลับมาแล้ว ชี้ไปยังไข่มุกวิญญาณอาฆาตที่เพิ่งวางลง “ข้าก็มาเพื่อสิ่งนี้นั่นแหละ! ข้าจะพูดให้ชัดเจนก็ได้ ตอนอยู่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ข้าได้สิ่งนี้มาเยอะมาก แต่น่าเสียดายที่เอาออกมาไม่ได้ ซ่อนเอาไว้ในนั้นชั่วคราว ตอนหลังข้าอยากจะเอาของพวกนั้นออกมา”

ผังก้วนยิ้มบางๆ พอจะเข้าใจเจตนาของเหมียวอี้แล้ว “เจ้าคงไม่ได้คิดจะให้ข้าแอบเปิดประตูแดนมรณะดึกดำบรรพ์เพื่อปล่อยเจ้าเข้าไปหรอกใช่มั้ย? ถ้าเรื่องนี้เปิดเผยออกไป ข้ารับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะ”

เหมียวอี้หยิบไข่มุกวิญญาณอาฆาตขึ้นมาถาม “เทพประจำดาวไม่กลัวของสิ่งนี้ ไม่อยากจะได้เอาไว้สักหน่อยเชียวเหรอ?”

ผังก้วนตอบว่า “ถ้าในมือข้ามีอาวุธแบบนี้ ถ้าข่าวหลุดออกไป แล้วคนที่เฝ้าประตูแดนมรณะดึกดำบรรพ์อย่างข้าจะอธิบายกับตำหนักสวรรค์ยังไงล่ะ? จะไม่ให้คนอื่นสงสัยว่าข้าขโมยทรัพย์สินที่ตัวเองมีหน้าที่เฝ้าหรอกก็คงยาก คนที่อยู่ในตำแหน่งอย่างข้า โดยทั่วไปเรื่องเข่นฆ่ากันยังไม่ถึงคราวของข้าหรอก ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของข้าก็คือความขัดแย้งจากเบื้องบน” ขณะที่พูดก็ชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ถ้าอยากจะเข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์อีก ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากเทพประจำดาวฟ้าเถาะก็ไม่มีทางสำเร็จได้เลย ถึงได้โยนเหยื่อล่ออีคครั้ง “เทพประจำดาวไม่สนใจสิ่งนี้ แต่จะไม่สนใจทรัพย์สมบัติที่อยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เชียวเหรอ?”

ผังก้วนหัวเราะเบาๆ แล้วถามอย่างสงสัย “ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เคยมีทรัพย์สมบัติอยู่ไม่น้อยจริงๆ แต่จากที่ข้ารู้มา โดนตำหนักสวรรค์เก้บรวบรวมไว้เกือบหมดแล้ว ว่ามาเถอะ ที่เจ้าอยากจะเข้าไปในนั้น เพราะอยากจะทำอะไรกันแน่?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “เกรงว่าเทพประจำดาวจะเข้าใจผิดแล้ว เป็นไปได้สูงว่าตำหนักสวรรค์ก็คงไม่รู้เหมือนกัน ทรัพย์สมบัติที่ตำหนักสวรรค์เก็บยึดไปเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากทั้งหมดในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เท่านั้นเอง ครั้งนี้ข้าไปสืบมา พบว่าในนั้นมีทรัพย์สมบัติเยอะจนน่าทึ่ง!”

“ที่ตำหนักสวรรค์เก็บยึดได้เป็นแค่ส่วนเดียวเหรอ?” เสียงของผังก้วนดังขึ้นหลายส่วน น้ำเสียงเผยความตกตะลึง ร่างกายก็นั่งไม่ติดที่แล้วเช่นกัน มองเหมียวอี้อย่างหนักแน่นมาก

เขาย่อมรู้ว่าตอนที่เพิ่งก่อตั้งตำหนักสวรรค์แล้วขาดเงินทอง ตอนนั้นกวาดสมบัติมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่น้อยเลย คาดเดาจำนวนได้ยาก เอาเป็นว่าสามารถก่อโครงสร้างในตอนเริ่มแรกให้ตำหนักสวรรค์ได้อย่างราบรื่น ทรัพย์สินจำนวนมากขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แบบนี้ก็แปลว่าทรัพย์สมบัติที่เหลือจะต้องมีตัวเลขที่น่าตกตะลึงน่ะสิ

เฉินหวยจิ่วที่นั่งอยู่ข้างกันก็มองเหมียวอี้อย่างประหลาดใจสงสัยเช่นกัน

เหมียวอี้พยักหน้ายืนยัน “ไม่อย่างนั้นข้าจะเอาแต่คิดจะกลับเข้าไปในสถานที่บ้าๆ นั่นทำไมอีก”

ผังก้วนถามซักไซ่ “ถ้าตำหนักสวรรค์รู้เข้า ก็ไม่มีทางที่จะไม่ไปเอา ขนาดตำหนักสวรรค์ยังไม่รู้เลย ทรัพย์สมบัติพวกนั้นซ่อนอยู่ตรงไหนของแดนมรณะดึกดำบรรพ์?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า นิ่งเงียบไม่พูดแล้ว ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบช้าๆ แทน

ผังก้วนชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มเบาๆ รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองถามฟังดูบุ่มบ่ามไปหน่อย ตัวเองเป็นคนเฝ้าทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ถ้าให้รู้จริงๆ ว่าทรัพย์สมบัติซ่อนอยู่ตรงไหน ใครจะกล้ารับประกันว่าตัวเองจะไม่ฮุบไว้คนเดียว ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะกังวลก็ได้ว่าตัวเองจะฆ่าปิดปากหรือเปล่า ย่อมไม่บอกอยู่แล้ว “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ต่อให้ข้าส่งกำลังผลที่ไว้ใจได้ไปเฝ้าทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แต่ก็ไม่กล้าเปิดทางเข้าออกง่ายๆ หรอก ใครจะกล้ารับประกันว่าในนั้นมีสายลับหรือเปล่า ถ้าให้ตำหนักสวรรค์รู้เข้า แบบนั้นก็หนีพ้นโทษตายได้ยากแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประหารล้างตระกูล!”

เหมียวอี้ตอบว่า “คิดหาทางย้ายข้าเข้าไปเป็นลูกน้องท่านสิ ให้ข้าไปเฝ้าทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ข้าจะคิดหาทางเอง”

ผังก้วนลูบหนวดพลางพึมพำว่า “เกรงว่าเรื่องนี้จะไม่ได้จัดการได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ชื่อเสียงเจ้าฉาวโฉ่ บวกกับเป็นคนของหน่วยองครักษ์ซ้าย อยู่ดีๆ ข้าจะย้ายเจ้าเข้ามาได้ยังไง เกรงว่าจะต้องรอโอกาสอย่างช้าๆ”

เหมียวอี้ “เทพประจำดาวพูดก็มีเหตุผล รีบร้อนไม่ได้จริงๆ ครั้งนี้นัดเทพประจำดาวมาก็เพื่อจะบอก เพียงอยากจะให้เทพประจำดาวเตรียมใจไว้ก่อน ถึงตอนนั้นเมื่อโอกาสมาถึงจะได้ไม่พลาด”

ผังก้วนพยักหน้า แล้วจู่ๆ ก็หันไปมองเฉินหวยจิ่ว “ด้วยฐานะอย่างข้า ไม่สะดวกจะมาเจอเจ้าเป็นการส่วนตัวบ่อยๆ ต่อไปนี้ถ้ามีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องเจรจา เฒ่าเฉินจะเป็นตัวแทนข้ามาเจรจากับเจ้า”

เหมียวอี้ลุกขึ้นกุมหมัดคารวะเฉินหวยจิ่ว “เช่นนั้นก็รบกวนด้วย”

“เป็นสิ่งที่สมควรทำ” เฉินหวยจิ่วพยักหน้าอย่างสุภาพ

ผังก้วนก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องตลาดผีครั้งก่อนก็ต้องขอบคุณเจ้าด้วย ไม่อย่างนั้นข้าคงจะมีปัญหายุ่งยากไม่น้อยเลย ตรงขอขอบคุณตรงนี้” เขากุมหมัดคารวะ

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วขอยืมคำของเฉินหวยจิ่วมาพูด “เป็นสิ่งที่สมควรทำ”

ผังก้วนก็หัวเราะเบาๆ เช่นกัน จากนั้นก็บอกด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อย่าประมาทเกินไปนัก ครั้งก่อนเจ้าตบหน้าตระกูลอิ๋งเร็วเกินไป ที่สำคัญคือตบหน้าอ๋องสวรรค์อิ๋งในงานนั้น ครั้งนี้เจ้ารอดกลับมาได้ เกรงว่าตระกูลอิ๋งคงจะไม่ปล่อยเจ้าไป แตะต้องเจ้าแบบโจ่งแจ้งอาจจะเป็นไปไม่ได้ เพราะหน่วยองครักษ์ซ้ายก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ระวังจะมีคนใช้วิธีต่ำทราม สิ่งที่มีเยอะที่สุดในใต้หล้าก็มีคนต่ำช้าที่ประจบสอพลอเอาใจเจ้านายนี่แหละ!”

“ข้าจะจดจำคำชี้แนะไว้! เหมียวอี้รับไมตรีนี้ไว้

เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ผังก้วนก็กล่าวอำลา แล้วเอามือไขว้หลังเดินไปทางท้ายเรือ เฉินหวยจิ่วรีบก้าวขึ้นไปแหวกม่านไข่มุก แล้วทั้งสองก็ถลันตัวดำลงไปในทะเลกว้างอย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้ตามหลังไปแหวกมม่านไข่มุกดู เห็นผิวทะเลเงียบสงบ ไม่รู้เหมือนกันว่าทั้งสองหายไปทางไหนแล้ว

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เรือก็แตกกระจายอยู่บนผิวน้ำพร้อมเสียงระเบิด ถูกทำลายกลบร่องรอยแล้ว เหมียวอี้กับเหยียนซิวเพิ่งจะพุ่งขึ้นฟ้า แต่ใครจะคิดว่าตรงหน้าจะมีเงาคนคนหนึ่งลอยขึ้นมาบนท้องฟ้า มาขวางทั้งสองเอาไว้ กำลังมองมาข้างล่างด้วยสายตาเย็นเยียบ

จู่ๆ คนคนนี้ก็ปรากฏตัว เรียกได้ว่าทำให้เหมียวอี้กับเหยียนซิวตกตะลึงพรึงเพริด

…………………………

เย่สิงคงกับตานฉิงทำสีหน้าอึ้งเล็กน้อย เรื่องนี้ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยได้ยิน รู้สึกเช่นกันว่าทั้งสองกำลังปิดบังฐานะกันและกันอยู่ ไม่คิดว่าเป็นความจริง แต่พออวิ๋นอ้าวเทียนเอ่ยมาแบบนี้ ก็นึกขึ้นได้ว่าในปีนั้นลัทธิมารเสียหายหนักขนาดไหนเพราะความโกรธของเหมียวอี้ จำเป็นต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง

สุดท้ายเย่สิงคงก็พยักหน้าบอกว่า “เช่นนั้นก็เชื่อฟังประมุขปราชญ์ ดูว่าเหมียวอี้จะว่าอย่างไรแล้วค่อยตัดสินใจ”

จากนั้นทั้งสองก็กล่าวอำลา อวิ๋นเซี่ยวไปส่งด้วยตัวเอง

หลังจากอวิ๋นเซี่ยวกลับมาที่ตำหนักใหญ่ที่อีกครั้ง ก็เดินมาข้างกายอวิ๋นอ้าวเทียน “ท่านพ่อ เจ้าสองคนนี้…”

อวิ๋นอ้าวเทียนยกมือตัดบท “พวกเขาทำแบบนี้ก็ไม่มีอะไรผิด ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่น ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ตอบตกลง แน่นอน ต่อให้น้องชิวกับเหมียวอี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแบบนั้น ข้าก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี ตระกูลอวิ๋นของข้าไม่ทำเรื่องขายผู้หญิงแลกเกียรติยศหรอก แต่ในเมื่อมีเหมียวอี้บังหน้าให้ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไปเถียงกับพวกเขา ส่งต่อให้เหมียวอี้จัดการเองก็สิ้นเรื่อง”

อวิ๋นเซี่ยวพยักหน้า แต่ก็ถามอย่างสงสัยอีกว่า “ขนาดพวกเรายังไม่รู้เรื่องนี้เลย กลับเป็นพวกเขาที่รู้ก่อน สงสัยคนที่อยู่ข้างกายน้องชิวจะแอบปล่อยข่าว แต่น้องชิวตั้งใจจะปิดบังพวกเรา เกรงว่านางคงจะไม่อยากให้เหมียวอี้รู้เช่นกัน กลัวว่าเหมียวอี้จะก่อเรื่อง แล้วพวกเราไปบอกเหมียวอี้แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ?”

อวิ๋นอ้าวเทียนหรี่ตา “น้องชิวเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้ ถ้าแม้แต่ผู้หญิงของตัวเองยังปกป้องไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็โทษคนอื่นไม่ได้แล้ว ติดต่อเหมียวอี้หน่อย บอกเรื่องนี้ให้เขารู้ ให้เขาจัดการเองตามเห็นสมควร ส่วนทางด้านน้องชิว ในเมื่อนางไม่ยอมบอกพวกเรา งั้นพวกเราก็แสร้งไม่รู้ก็ได้”

“รับทราบ!” อวิ๋นเซี่ยวเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ตรงนั้นเลย

แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ทะเลทรายหินอันกว้าง ประตูใหญ่สุญญะที่มีรอยแยกไม่หยุดยังคงอยู่ เงาร่างอันโดดเดี่ยวเดินออกมาจากจุดลึกของทะเลทรายหินอย่างไม่รีบร้อน บนตัวสวมเกราะรบ ในมือถือทวนเกล็ดย้อน มองข้ามปราณชั่วร้ายที่ลอยไปลอยมา เขาคือเหมียวอี้ที่ซ่อนตัวในทะเลทรายหินแห่งนี้มาหลายเดือนแล้วนั่นเอง

คนที่จะมารับเขารออยู่ข้างนอกแล้ว ทหารยามที่อยู่ข้างนอกได้รับคำสั่งให้ปล่อยตัว ในที่สุดเขาก็รับโทษครบและถูกปล่อยตัวแล้ว

ตอนที่ออกมาจากประตูใหญ่สุญญะได้ประมาณร้อยกว่าจั้ง เหมียวอี้หยุดฝีเท้า หยิบระฆังดาราออกมาแล้วขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าอวิ๋นเซี่ยวจะส่งข่าวมา

ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร จึงถามกลับไป ตอนยังไม่ถามก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอได้รู้ว่ามีคนอยากได้อวิ๋นจือชิว เขาก็เลิกคิ้วไม่หยุด ถามอีกว่า : ลัทธิมารของพวกเจ้ามีความเห็นยังไงบ้าง?

อวิ๋นเซี่ยว : เรื่องนี้ท่านพ่อย่อมไม่ตอบตกลงอยู่แล้ว ตอนนี้ยังควบคุมได้ ให้มาถามเจ้าว่ามีความเห็นยังไง

เหมียวอี้ : เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องยุ่ง เดี๋ยวข้าจัดการเอง

หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อภายนอก บอกว่าตัวเองมาถึงหน้าประตูแล้ว สามารถออกไปได้แล้ว

รอจนกระทั่งข้างนอกตอบกลับมาแล้ว แจ้งให้เปิดผนึกออกแล้ว จู่ๆ เขาก็เร่งฝีเท้า ถือทวนพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว พอเงาร่างกระโจนออกไป ก็บุกเข้าไปในช่องสุญญะที่มีรอยแยกแตกแขนงไม่หยุด

ที่ท้องฟ้าด้านนอก เหยียนซิว หยางเจาชิง สวีถังหราน เฟยหงมาแล้ว รองแม่ทัพภาคตงจิ่วเจินก็มาเช่นกัน ทั้งยังมีผู้บัญชาการใหญ่ของกองมังกรดำอีกหลายคน ทั้งหมดจับจ้องมาที่ประตูใหญ่ในดาราจักรที่เปิดออก

ในช่องสุญญะที่มีสายฟ้ากะพริบวิบวับ จู่ๆ ก็มีเงาคนคนหนึ่งวับวาบออกมา แล้วถูกทหารยามด้านนอกสกัดไว้

สวีถังหรานลูบฝ่ามือ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “หรูฮูหยิน ท่านแม่ทัพภาคยังคงเกรียงไกรเหมือนเดิม ตอนนี้ท่านก็วางใจได้แล้วนะ” เขาปลาบปลื้มจากใจจริง ขณะเดียวก็ทึ่งจากใจจริง ปล่อยไว้ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี ไม่น่าเชื่อว่าจะรอดกลับมาได้ ผู้บังคับบัญชาของเขาคนนี้ช่างดวงแข็งจริงๆ ยังไม่มีอุปสรรคไหนที่ผู้บังคับบัญชาท่านนี้ก้าวผ่านไปไม่ได้

เฟยหงที่เงยหน้ามองก็พยักหน้าอย่างปีติยินดี

แต่ตอนนี้พวกเขาก็ยังมองได้แค่ไกลๆ ทหารยามกำลังตรวจค้นตัวเหมียวอี้อยู่ ป้องกันไม่ให้นำของต้องห้ามออกมาจากแดนดึกดำบรรพ์

หลังจากแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างปกติ ทั้งสองฝ่ายส่งหลักฐานให้กันและจัดการตามระเบียบเรียบร้อยแล้ว  เหมียวอี้ที่ได้รับการปล่อยตัวถึงได้เหาะเข้ามาทางนี้

พวกสวีถังหรานที่ตั้งแถวอย่างเป็นระเบียบก็กุมหมัดคารวะด้วยสีหน้ายินดีปรีดา “คารวะท่านแม่ทัพภาค”

ไม่เห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าดีใจที่ได้หลุดออกจากกรงเลย เพียงพยักหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี

ตอนนี้เฟยหงถึงได้ค่อยๆ ด้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วย่อเข่าทำความเคารพอย่างเรียบร้อย เหมียวอี้ยื่นมือข้างหนึ่งไปประคองแขนนาง แล้วกล่าวปลอบใจ “ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว”

เฟยหงส่ายหน้าเบาๆ แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “นายท่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วค่ะ”

เหมียวอี้ให้นางหลบไปยืนอีกข้าง ตอนนี้ตงจิ่วเจินก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “แม่ทัพภาคสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็นับเป็นเรื่องโชคดีของกองมังกรดำแล้ว หัวหน้าภาคอวี่ถ่ายทอดคำสั่งลงมาแล้ว บอกว่าหลายปีมานี้นายท่านลำบาก เตรียมจะให้นายท่านพักผ่อนให้สบายสักหนึ่งปีแล้วค่อยกลับไปรายงานตัว” สายตาไปหยุดอยู่บนสัญลักษณ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่งตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ แอบรู้สึกใจเต้นเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อว่าจะบรรลุระดับบงกชรุ้งแล้ว

ที่จริงคนอื่นก็เห็นแล้วเช่นกัน ตอนนี้มีอารมณ์แตกต่างกันไปก็เท่านั้นเอง

เหมียวอี้พยักหน้า “ในแดนดึกดำบรรพ์มีสิ่งที่ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อน ในหนึ่งพันปีมานี้ข้าใช้ชีวิตอย่างวิตกกังวลจริงๆ แทบจะเอาชีวิตไม่รอดหลายครั้ง โชคดีจริงๆ ที่ยังไม่ตาย ข้าเองก็อยากพักผ่อนเช่นกัน ในหนึ่งพันปีมานี้คิดถึงสหายเก่าบางคนมาก ในเมื่อออกมาแล้วก็ต้องไปเยี่ยมเยียนสักหน่อย หัวหน้าภาคอวี่ให้หยุดพักผ่อนพอดีเลย เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเจ้าคุ้มกันส่งหรูฮูหยินกลับไป ข้างกายข้าเหลือเหยียนซิวไว้คนเดียวก็พอแล้ว”

เหยียนซิวกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง ส่วนคนที่เหลือก็มองหน้ากันเลิกลั่ก นี่จะให้พวกเรากลับแล้วเหรอ?

ตงจิ่วเจินยิ้มเจื่อน “เมื่อครู่นี้พวกเราเพิ่งจะปรึกษากันเสร็จ เตรียมจะไปจัดงานเลี้ยงต้อนรับนายท่านแถวๆ นี้ ท่านคิดว่าอย่างไร?”

“รอให้ข้ากลับกองมังกรดำก่อนแล้วค่อยเรียกคนอื่นมาร่วมงานด้วยกันเถอะ พวกเจ้ากลับไปก่อน” เหมียวอี้กล่าว

“ให้ข้าอยู่ปรนนิบัตินายท่านมั้ยคะ?” เฟยหงกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลอยู่ข้างๆ

ทุกคนพยักหน้าพร้อมอมยิ้ม คนนี้ควรจะมีเอาไว้ นายท่านอดกลั้นมาหนึ่งพันปี ในเวลานี้ควรจะมีสาวงามอยู่ข้างกายเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายสักหน่อย ถ้าพูดถึงความงดงาม หรูฮูหยินท่านนี้ย่อมไม่มีที่ติอยู่แล้ว

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเหล่ตามองเฟยหงอย่างเย็นเยียบ แล้วกล่าวอย่างเย็นชาโดยไม่ยอมให้ปฏิเสธ “เชื่อฟังคำสั่ง!”

ปากเฟยหงพึมพำนิดหน่อย มีแวบหนึ่งที่ทำสีหน้าน้อยใจ แล้วเอ่ยรับว่า “ค่ะ!”

ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ต่างก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย รู้สึกว่าวันนี้นายท่านดูอารมณ์ไม่ปกติ หรูฮูหยินอุตส่าห์มาตั้งไกลเพื่อต้อนรับ แต่นายท่านกลับไม่รับไมตรีเลยสักนิด จะไล่กลับไปอย่างนี้เลยเหรอ? ทุกคนนับว่ามองออกแล้ว ว่านายท่านเหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดี ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นที่แดนดึกดำบรรพ์

ไม่มีใครอยากซวยในเวลานี้ ย่อมต้องเชื่อฟังคำสั่งอยู่แล้ว จากนั้นก็คุ้มกันส่งเฟยหงจากไปแล้ว

หลังจากเหลือเหยียนซิวอยู่แค่คนเดียว เหมียวอี้ก็หยิบแผนที่ดาวออกมายืนยันทิศทาง พอบอกว่า “ไป” เขาก็นำเหยียนซิวเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง

ระหว่างทางเหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมา ติดต่อเชียนเอ๋อร์เพื่อถามรายละเอียดเรื่องอวิ๋นจือชิว

เชียนเอ๋อร์นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะรู้แล้ว นางตกใจไม่เบา ทำได้เพียงเล่ารายละเอียดที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างซื่อสัตย์ ต่อให้จะบอกอย่างซื่อสัตย์ขนาดนี้ แต่ก็ยังโดนเหมียวอี้ตำหนิไปยกหนึ่ง บอกว่าถ้าครั้งหน้ามีเรื่องปิดบังไม่รายงานอีก ทำผิดกฎของบ้าน ก็ไม่อาจอภัยได้!

“เชียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป?”

ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ อวิ๋นจือชิวที่อาบน้ำเสร็จแล้วเดินออกมา หลังจากอาบน้ำแล้วสวมชุดกระโปรงผ้ามุ้งบางตัวใหญ่หลวม ยากที่จะปิดบังทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิที่ปรากฏวับๆ แวมๆ ได้ นางเดินออกมาโดยมีเสวี่ยเอ๋อร์ติดตาม พอเห็นเชียนเอ๋อร์หน้าซีด นางก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ

เชียนเอ๋อร์ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อน  “ยินดีด้วยค่ะฮูหยิน นายท่านเพิ่งจะส่งข่าวมา บอกว่าออกจากแดนดึกดำบรรพ์ได้อย่างปลอดภัยแล้ว”

อวิ๋นจือชิวที่เพิ่งจะนั่งลงอย่างสบายใจและปล่อยให้เสวี่ยเอ๋อร์หวีผมที่ยาวสยายงงทันที ข่าวดีก็ส่วนข่าวดี แต่ตามหลักการแล้ว หลังจากเหมียวอี้ออกมาก็ควรจะติดต่อตนคนแรกสิ ทำไมถึงติดต่อเชียนเอ๋อร์ก่อนล่ะ? เรื่องนี้ค่อนข้างไม่ชอบมาพากล นางขมวดคิ้วมุ่น “เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าใช่มั้ย?”

เชียนเอ๋อร์ก้มหน้า “ฮูหยิน นายท่านรู้เรื่องฉู่จื่อซานแล้วค่ะ เมื่อครู่นี้ตั้งใจมาถามข้าเรื่องนี้โดยเฉพาะ นายท่านโกรธมากที่ข้ากับเสวี่ยเอ๋อร์ปิดบังเรื่องนี้” พอนางบอกแบบนี้ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนเช่นกัน

“เขารู้ได้ยังไง? สงสัยฝั่งท่านปู่จะรู้แล้ว…” อวิ๋นจือชิวพึมพำ แล้วหันไปตีต้นขาเสวี่ยเอ๋อร์ บอกใบ้ให้นางหวีผมต่อไป ก่อนจะยิ้มพร้อมปลอบใจทั้งสอง  “พวกเจ้าไม่ต้องกังวล มีข้าอยู่ตรงนี้ นายท่านไม่กล้าทำอะไรพวกเจ้าหรอก อย่างมากข้าก็ต้องเล่นบทผู้หญิงปากร้ายอีกสักครั้ง รักษาโรคนี้ให้เขาโดยเฉพาะ”

สาวใช้ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง เมื่อนางพูดแบบนี้ทั้งสองก็วางใจขึ้นเยอะ ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ถ้าฮูหยินปรี๊ดแตกขึ้นมา ต่อให้นายท่านจะมีเหตุผลแต่ก็จะกลายเป็นไม่มีเหตุผล ทั้งบ้านก็มีแค่ฮูหยินคนเดียวที่สยบนายท่านเวลาโมโหร้ายได้

“สิ่งที่ยุ่งยากตอนนี้ก็คือ ข้ากลัวว่าเขาจะโมโหร้ายและทำซี้ซั้ว! กับเรื่องแบบนี้เกรงว่าข้าจะขัดขวางเขาไม่ได้ ต้องคิดหาวิธีการหน่อย…” อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะถอนหายใจ ระฆังดาราที่ใช้ติดต่อเหมียวอี้ก็มีข้อความเข้ามาแล้ว พอติดต่อได้ เรื่องแรกที่เหมียวอี้ทำก็คือ บอกว่าตัวเองออกมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว

เพื่อที่จะไม่ให้เชียนเอ๋อร์ลำบากใจ อวิ๋นจือชิวก็แกล้งทำเหมือนเพิ่งรู้เช่นกัน : กลับมาก็ดีแล้ว ข้าเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เมื่อไรจะมาหาข้าล่ะ?

ในตอนนี้เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์มาคุยกระหนุงกระหนิงกับนาง : เรื่องฉู่จื่อซานนี่ยังไง?

อวิ๋นจือชิว : ท่านปู่ข้าบอกเจ้าเหรอ?

เหมียวอี้ : ข้าถามว่าทำไมเจ้าปิดบังข้า?

อวิ๋นจือชิว : เจ้าไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ข้าจะจัดการให้ดีเอง ข้าไม่กล้าสวมเขาให้เจ้าหรอก เจ้าไม่ต้องกังวลไร้สาระ

เหมียวอี้ : จัดการให้ดีเหรอ? เจ้าจะจัดการยังไง? เจ้าโดนกักให้อยู่ในร้านจนออกไปไหนไม่ได้ง่ายๆ แล้ว จะสังหารฝ่าออกมาเหรอ หรือจะวิ่งเข้าใส่กับดักล่ะ?

อวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์ ข้าคิดถึงเจ้าแล้ว!

เหมียวอี้พูดไม่ออกไปครู่หหนึ่ง พอนึกขึ้นได้ว่าทิ้งนางไว้หลายปีขนาดนี้ ไฟโกรธก็หายไปครึ่งหนึ่งในชั่วพริบตาเดียว ไม่พูดจารุนแรงขนาดนั้นแล้ว : เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งหรอก เจ้ารออยู่ในร้านอย่างสงบใจได้เลย ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง

อวิ๋นจือชิวร้อนใจแล้ว : หนิวเอ้อร์ เจ้าเพิ่งจะออกมา อย่าทำอะไรซี้ซั้วเด็ดขาด

ซี้ซั้วเหร? เหมียวอี้โมโหทันที : ข้าบอกว่าข้าจะจัดการเรื่องนี้ เจ้าจะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟัง?

อวิ๋นจือชิว : ถ้าไม่เชื่อฟังแล้วจะทำไม?

เหมียวอี้ : งั้นวาสนาของเราสองคนก็มาถึงจุดจบแล้ว เจ้าคิดเอาเองเถอะว่าต้องทำยังไง!

อวิ๋นจือชิวโวยวายด่าเป็นชุดทันที ผลปรากฏว่าทางนั้นไม่ตอบกลับแล้ว นางโมโหจนขว้างระฆังดาราออกไปทันที

ขณะมองดูระฆังดาราตกลงพื้น เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็มองหน้ากันเลิกลั่ก เชียนเอ๋อร์ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ฮูหยิน นายท่านเป็นยังไงเหรอ?”

“ไอ้คนไม่รักดี ข้าไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขา แต่เขาทำเหมือนข้าทำผิดอะไรมาอย่างนั้นแหละ ข้าไม่ได้อยากก่อเรื่องคบชู้กับใครเสียหน่อย…” ปากอวิ๋นจือชิวก็ด่าซ้ำไปซ้ำมา แต่น้ำตาเริ่มคลอเบ้าแล้ว ที่จริงคำพูดเมื่อครู่นี้ของเหมียวอี้ทำร้ายนางเข้าแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังถอนหายใจแล้วบอกว่า “ไปบอกผู้เฒ่าฟ่าน ว่าให้เขาปล่อยเรื่องนั้นไป”

ส่วนเหมียวอี้ในตอนนี้ หลังจากหยุดติดต่อกับอวิ๋นจือชิวแล้ว ก็ติดต่อไปหามู่อวี่เหลียน ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงินที่เข้าเวรเฝ้าอุทยานหลวง ออกคำสั่งลับให้มู่อวี่เหลียนแอบย้ายกำลังทหารครึ่งหนึ่งออกจากสวนบรรณาการแต่ละแห่ง แอบรวบรวมทัพใหญ่ห้าหมื่นไปยังดาวจิ่วหวนที่น่านฟ้าระกาติง และสั่งว่าให้กำลังพลมาถึงภายในครึ่งปีนี้ ใครเปิดเผยความรับจะมีโทษหนัก

ไม่จำกัดเวลาคงไม่ได้ สวนบรรณาการมีอยู่ทั่วใต้หล้า มีไกลบ้างใกล้บ้าง ส่วนกำลังพลกองมังกรดำที่เฝ้าอยู่ทางอุทยานหลวง เหมียวอี้ไม่ได้เรียกมาเลยสักคน และไม่ได้บอกข่าวให้รู้ด้วย

…………………………

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ได้ยนอแล้วตกใจไม่เบา ลงมือสังหารหัวหน้าภาคของตำหนักสวรรค์สักคนนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

เดิมทีอวิ๋นจือชิวก็ไม่อยากจะทำอย่างนี้ แต่ฉู่จื่อซานดึงดันจะทำอย่างนี้ให้ได้ นางเลยจำเป็นต้องลงมือ ไม่อย่างนั้นหลังจากเหมียวอี้ออกมาแล้วรู้เรื่องนี้ ก็จะทำให้เหมียวอี้โมโหมาก เหมียวอี้ที่เพิ่งหลุดพ้นจากอันตรายก็จะต้องสู่สถานการณ์อันตรายอีกครั้ง ดังนั้นนางจะต้องแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้หมดไปโดยสิ้นเชิงก่อนที่เหมียวอี้จะออกมา

“จะลงมือจริงๆ เหรอ?” ผู้คุ้มกันที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยถาม นี่ก็คือผู้เฒ่าฟ่านที่อวิ๋นจือชิวเรียก

อวิ๋นจือชิวหันตัวมองมา “เมื่อครู่นี้เจ้าก็ได้ยินแล้ว เจ้าแซ่ฉู่นั่นไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้ข้าเลย อย่าบอกนะว่าข้าจะต้องแต่งงานกับเขาจริงๆ?”

ผู้เฒ่าฟ่านลำบากใจนิดหน่อย และกล่าวอย่างลังเลว่า “ผู้จัดการร้าน การลงมือกับหัวหน้าภาคของตำหนักสวรรค์ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา…หวังว่าผู้จัดการร้านจะไตร่ตรองอีกที!”

อวิ๋นจือชิวกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าก็เลยต้องสยบเขาไว้ไง ต้องขอเวลาครึ่งปี จะได้วางแผนให้ละเอียดได้สะดวก จะได้ไม่ต้องทิ้งปัญหาอะไรไว้”

ผู้เฒ่าฟ่านส่ายหน้า “ผู้จัดการร้าน ต่อให้พวกเราทำอย่างสะอาดเรียบร้อยแค่ไหน แต่เมื่อถึงตอนนั้น ตำหนักสวรรค์ก็ไม่มีทางปล่อยผู้ต้องสงสัยไว้ เรื่องที่เจ้าแซ่ฉู่นั่นเกาะแกะผู้จัดการร้านไม่เลิกจะต้องอยู่ในขอบเขตการสืบสวนของตำหนักสวรรค์แน่นอน ถึงตอนนั้นจุดประสานงานของพวกเราก็จะต้องทำลายทิ้ง ถ้าอยากจะสร้างจุดประสานงานสักแห่งที่ตลาดสวรรค์โดยไม่ให้คนสงสัยนั้นไม่ง่ายเลย!”

อวิ๋นจือชิวบอกว่า “เจ้าแซ่ฉู่นั่นจะก่อเรื่องให้ได้เลย ต่อให้ข้าจะหนีไป แต่ร้านค้าจะหนีได้เหรอ? สมาชิกที่มาติดต่อกับร้านค้าจะต้องเตรียมตัวย้าย สรุปก็คือเก็บเจ้าแซ่ฉู่นั่นไว้ไม่ได้ ส่วนผลที่ตามมาข้าจะรับไว้เองคนเดียว หลังจากจบเรื่องข้าจะอธิบายกับ ‘ที่บ้าน’ เอง เรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องกังวล ไปทำตามที่ข้าบอก”

ผู้เฒ่าฟ่านลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้า หันตัวเดินจากไปเงียบๆ

ขณะมองคล้อยหลังเขาจากไป จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็ยิ้มเจื่อน “ในสังคมนี้ ผู้หญิงหน้าตาดีหน่อยก็มีความผิด ข้าไปหาเรื่องใครเสียที่ไหนล่ะ…” พอนึกถึงสายตาเจ้าเล่ห์เหมือนป่าหมาที่ฉู่จื่อซานมองตน นางก็ก้มหน้ามองตัวเอง ดึงกระโปรงตัวเองขึ้นมาดู แล้วก็กางออก ก่อนจะหันกลับมาถามเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ว่า “ไปหาชุดที่ไม่แสดงสัดส่วนของข้าหน่อย ต่อไปนี้พวกเจ้าต้องระวังจุดนี้”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็รู้สึกจนใจอยู่บ้าง ที่จริงฮูหยินก็แต่งตัวโดยใช้เสื้อผ้าเหมือนผู้หญิงทั่วไป ไม่ได้มีจุดไหนไม่ได้มาตรฐาน นับว่าแต่งตัวมิดชิดดีแล้ว อย่าบอกนะว่าแม้แต่ความรักสวยรักงามพื้นฐานก็จะตัดทิ้ง?

ทั้งสองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ทำได้เพียงเอ่ยรับ

จวนอ๋องสวรรค์ดาวหยกงาม หอสามรากฐาน ลูกชายสามคนยืนเรียงแถวรายงานเรื่องที่ตัวเองรู้ให้โค่วหลิงซวีผู้เป็นบิดาฟัง

“เหวินหลานติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ยืนยันแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อยังมีชีวิตอยู่ อีกไม่นานก็จะออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว”

ตอนที่โค่วเหมี่ยนลูกชายคนสุดท้องรายงานข่าวสุดท้าย ตอนที่รายงานสถานการณ์นี้ โค่วหลิงซวีที่นั่งอยู่ข้างหลังก็อดไม่ได้ที่จะสบตากับผู้เฒ่าถังที่ยืนอยู่ข้างกันอย่างแฝงความหมายล้ำลึก

ผู้เฒ่าถังยิ้มบางๆ “วรยุทธ์บงกชทองโดนขังที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี ไม่น่าเชื่อว่าจะยังรอดกลับมาได้ เจ้าหนุ่มนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ หรือไม่ตอนแรกที่โพ่จวินตอบตกลงให้เขาไปที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาจะรอดกลับมาได้?”

“ไม่ว่านี่จะเป็นเหตุผลที่โพ่จวินตอบตกลงให้เขาไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์หรือไม่ แต่ก็พิสูจน์แล้วว่าเจ้าเด็กนั้นมีจุดที่เหนือกว่าคนอื่นจริงๆ ถึงได้ทำให้โพ่จวินผ่อนปรนได้ ถ้าแค่ครั้งสองครั้งก็ยังพูดได้ว่าเป็นเพราะโชคดี แต่ผ่านด่านยากได้สามครั้งห้าครั้งก็แปลว่าไม่ใช่เพราะโชคช่วยแล้ว ขนาดอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์คนเดียวยังผ่านด่านนั้นมาได้ ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว…” โค่วหลิงซวีเคาะมือบนที่วางมือเบาๆ แล้วเอียงหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ผู้เฒ่าถัง หลังจากผ่านเรื่องวุ่นวายมาหนึ่งครั้ง ตระกูลโค่วเสียหายไปไม่น้อยเลย หญิงสาวของตระกูลโค่วอยู่ในช่วงอายุที่จะแต่งงานได้ตั้งนานแล้ว เจ้าคิดว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับลูกหลานผู้มีอำนาจเป็นอย่างไร?”

เมื่อเรื่องมาถึงตัวลูกสาวของตัวเอง พวกโค่วเจิงก็หันมาสบตากันแวบหนึ่ง

ผู้เฒ่าถังเหมือนจะอ่านอะไรบางอย่างได้จากสายตาของโค่วหลิงซวี แววตาเขาจึงวูบไหวเล็กน้อย แล้วส่ายหน้าเบาๆ “ท่านอ๋อง ถ้าเป็นยามปกติ การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับพวกลูกหลานขุนนางก็ไม่ใช่ทางเลือกที่แย่ แต่ตอนนี้มีเค้าลางว่าตำหนักสวรรค์จะเกิดความวุ่นวาย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ก็จะต้องเป็นเรื่องใหญ่ที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินแน่นอน แต่ละตระกูลจะปกป้องตัวเองก่อน เกรงว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จะไม่ได้ประโยชน์สักเท่าไรขอรับ ในเวลานี้หากจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จริงๆ ก็ต้องทำไปเพื่อสั่งสมกำลังของตระกูลโค่ว ไม่สู้แต่งงานกับคนที่ทำงานรับใช้ตระกูลโค่วจากสุดจิตสุดใจดีกว่า ยกตัวอย่างหนิวโหย่วเต๋อ เมื่อถึงเวลานั้จะต้องเป็นทหารกล้าคนหนึ่งแน่นอน”

“หนิวโหย่วเต๋อ!” โค่วฉินขมวดคิ้ว “ท่านอาถัง แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะหรือเปล่า? ยังไม่ต้องพูดถึงวรยุทธ์กับศักยภาพของว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นอย่างไร จะคู่ควรกับลูกสาวของตระกูลโค่วหรือไม่ ตอนนี้เป็นเวลาที่พวกเรากับตระกูลอิ๋งกำลังร่วมมือกัน ถึงแม้จะแอบสู้กันอยู่ลึกๆ แต่ถึงอย่างไรหนิวโหย่วเต๋อก็เคยตบหน้าอิ๋งจิ่วกวงมาก่อน พวกเราทำแบบนี้อย่างโจ่งแจ้ง จะทำไม่ทำให้ตระกูลอิ๋งอับอายเหรอ”

โค่วหลิงซวีใช้นิ้วทั้งห้าเคาะเบาๆ บนที่วางมือ เงียบงันไม่พูดอะไร แค่มองแต่ไม่พูด

ผู้เฒ่าถังบอกว่า “ที่ร่วมมือกับตระกูลอิ๋งก็เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกันชั่วคราว ต่อให้หลานสาวตระกูลโค่วแต่งงานเข้าตระกูลอิ๋ง ถ้าเกิดเรื่องใหญ่โตอะไรขึ้นมาจริงๆ ตระกูลอิ๋งไม่เห็นแก่ไมตรีอะไรหรอก แต่หนิวโหย่วเต๋อนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าครั้งนี้เขาไม่รอดชีวิตกลับมาก็ว่าไปอย่าง พอรอดชีวิตกลับมาแล้ว ตระกูลอิ๋งผู้สง่าภูมิฐานจะโดนตบหน้าง่ายๆ ได้ยังไง ต่อให้อิ๋งจิ่วกวงจะไม่พูดอะไร แต่ก็ต้องมีลูกน้องจัดการเรื่องนี้ให้อยู่แล้ว วิธีการชั้นต่ำแบบนี้ โพ่จวินยังจะช่วยต้านทานให้หนิวโหย่วเต๋อได้ทุกครั้งเชียวเหรอ? คนทั่วไปที่อยากจะปกป้องหนิวโหย่วเต๋อก็ยังทำไม่ได้เลย ถ้าตระกูลโค่วลงมือ ตระกูลอิ๋งก็จะต้องชั่งน้ำหนักดูสักหน่อย ว่ากันว่าถ้าจะเพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น[1] ไม่สู้ส่งถ่านให้กลางหิมะ[2]ดีกว่า ตอนที่หนิวโหย่วเต๋อลำบากที่สุด พวกเราไม่เพียงแค่ช่วยเขา ทั้งยังส่งผู้หญิงของตระกูลโค่วให้แต่งงานกับเขาได้ด้วย เขาจะไม่ซาบซึ้งจนอุทิศตนทำงานให้ตระกูลโค่วได้ยังไง ขุนพลหนึ่งเดียวหายากยิ่ง ความสามารถของหนิวโหย่วเต๋อเป็ฯที่ประจักษ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ควรค่าที่จะให้ตระกูลโค่วลงทุนเลี้ยงดูมาก คุณชายรอง ซื้อตัวไว้ไม่สู้ซื้อใจไว้ดีกว่า!”

ลูกชายทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่ก สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ท่านพ่อ

“ที่พูดมานั้นมีเหตุผล!” จู่ๆ โค่วหลิงซวีที่นั่งเงียบก็พยักหน้า สายตามองไปที่ลูกชายของทั้งสาม “เรื่องนี้กำหนดตามนี้แล้วกัน พวกเจ้าสามพี่น้องลองคิดดูซิ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อแต่งงานกับกับลูกสาวใคร ก็ให้เป็นลูกเขยคนนั้น พวกเจ้าไม่ต้องออกอะไร เดี๋ยวตระกูลจะออกทรัพยากรช่วยพวกเจ้าเอง”

สามพี่น้องนับว่าเข้าใจแล้ว ท่านอาถังเหมือนท่องแทนท่านพ่อ คำพูดบางคำท่านพ่อไม่สะดวกจะเอ่ยออกมาในฐานะปู่ พอได้ยินคำพูดของท่านพ่ออีกครั้ง ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อทำให้ท่านพ่อถูกใจได้ ถึงกับยอมสละหลานสาวให้แต่งงานด้วย ต้องการจะทุ่มทุนเลี้ยงดู แสดงว่าอนาคตจะต้องน่าจับตามองแน่ เพียงพอที่จะมีฐานะเทียบเท่าลูกชายครึ่งหนึ่ง ตัวเองจะได้ลูกน้องคนสนิทที่มีความสามารถโดยไม่ต้องจ่ายค่าอะไร…สามพี่น้องรู้สึกฮึกเหิมใจทันที

โค่วเจิงบอกว่า “ท่านพ่อ ติดที่ไม่รู้ว่าทางหนิวโหย่วเต๋อจะคิดยังไง ถ้าพวกเรามีไมตรีอยู่ฝ่ายเดียวล่ะ จะไม่อับอาหรือขอรับ” กล่าวออกมาแบบนี้ก็แสดงว่าเห็นด้วยกับเขาแล้ว

โค่วหลิงซวีเชิดหน้ามองโค่วเหมี่ยน “เจ้าสาม เรื่องพ่อสื่อให้เหวินหลานจัดการแล้วกัน”

“ขอรับ!” โค่วเหมี่ยนเอ่ยรับ

แดนอเวจี ดาวมาร ในตำหนักใหญ่ของประมุขปราชญ์ ประมุขขุนพลเย่สิงคงเอามือไขว้หลังยืนมองไปนอกประตูตำหนักใหญ่ ตานฉิงขุนพลใหญ่ลัทธิมารเดินไปเดินมาเงียบๆ

ผ่านไปสักประเดี๋ยว อวิ๋นอ้าวเทียนก็เร่งเดินออกมาจากตำหนักหลัง โดยมีอวิ๋นเซี่ยวลูกชายของเขาติดตามด้วย

เย่สิงคงกับตานฉิงหันตัวมาพร้อมกัน จากนั้นก็ก้าวขึ้นมาทำความเคารพ “คารวะประมุขปราชญ์!”

“ไม่ต้องมากพิธี!” อวิ๋นอ้าวเทียนผายมือขึ้น และไม่ได้ขึ้นไปนั่งวางมาดบนบัลลังก์ แต่ยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสอง แล้วถามว่า “ประมุขขุนพลมาที่นี่ด้วยธุระอะไร?”

เย่สิงคงไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังตจากลังเลครู่หนึ่ง ก็ตอบว่า “เกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ ขอรับ เกิดเรื่องกับอวิ๋นจือชิวหลานสาวท่านแล้ว”

อวิ๋นอ้าวเทียนหัวใจกระตุกวูบ ถ้าเกิดเรื่องกับอวิ๋นจือชิวก็ยุ่งยากแล้ว นางไม่ใช่แค่หลานสาวของตัวเองเท่านั้น ทั้งยังเป็นฮูหยินเอกของเหมียวอี้ด้วย ที่สำคัญก็คือสาเหตุหลัง ถ้าเกิดเรื่องกับอวิ๋นจือชิวแล้ว ก็จะแก้ตัวอธิบายกับทางเหมียวอี้ไม่ได้ แต่จนใจที่ปิดบังเรื่องนี้กับหกลัทธิมาตลอด ไม่ได้บอกถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเหมียวอี้และหลานสาว

อวิ๋นเซี่ยวก็เริ่มกังวลแล้วเช่นกัน มีเรื่องอะไรที่ควรค่าให้ประมุขขุนพลลัทธิมารมาด้วยตัวเองงั้นเหรอ? แต่เขาไม่สะดวกจะพูดแทรกเมื่ออยูต่อหน้าคนเหล่านี้

อวิ๋นอ้าวเทียนเงียบไปสักประเดี๋ยว เมื่อเตรียมใจได้แล้วถึงได้ถามว่า “ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“ฉู่จื่อซานหัวหน้าภาคคนใหม่ของน่านฟ้าระกาติงถูกใจหลานสาวท่านแล้ว…” เย่สิงคงอธิบายเรื่องราวให้ฟังช้าๆ

ถึงแม้ผู้เฒ่าฟ่านจะเชื่อฟังคำสั่งของอวิ๋นจือชิว ครั้งนี้รับคำสั่งของอวิ๋นจือชิวมาแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่เหมาะสม เป็นเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กจริงๆ จึงแอบอวิ๋นจือชิวมารายงานบอกเย่สิงคง

ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นปัญหายุ่งยาก แต่พอได้ยินว่าอวิ๋นจือชิวยังไม่เป็นอะไร อวิ๋นอ้าวเทียนกับลูกชายก็โล่งใจ ยังไม่เกิดเรื่องขึ้นก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นก็จะกู้สถานการณ์คืนได้ยากจริงๆ อวิ๋นอ้าวเทียนถามอย่างลังเลว่า “เรื่องนี้ประมุขขุนพลคิดว่าจะจัดการอย่างไรให้เหมาะสม?”

เย่สิงคงเอียงหน้าเล็กน้อยและส่งสายตาให้ตานฉิง เรื่องบางเรื่องไม่สะดวกจะพูด

ตานฉิงเข้าใจ จึงกุมหมัดคารวะตอบว่า “ประมุขปราชญ์ ในหลายปีมานี้ การที่คนของพวกเราจะเข้าไปอยู่ในหน่วยงานของโจรกบฎได้นั้นเป็นเรื่องเพ้อฝัน โดยเฉพาะกองทัพองครักษ์ที่ตรวจสอบอย่างเข้มงวด ฉู่จื่อซานคนนี้ก็มีภูหลังอยู่กองทัพองครักษ์พอดี ถ้าหากจัดการได้เหมาะสม นี่ก็เป็นโอกาสที่ไม่เลว เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลานสาวของประมุขปราชญ์ พวกเราไม่สะดวกจะตัดสินใจโดยพลการ อยากจะฟังความเห็นของประมุขปราชญ์ก่อน”

อวิ๋นอ้าวเทียนเข้าใจความคิดของทั้งสอง จึงถามเสียงเรียบว่า “ทั้งสองอยากจะให้อวิ๋นจือชิวเข็นเรือไปตามน้ำเหรอ?”

เย่สิงคงไม่ตอบ ตานฉิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าเองก็รู้ว่าทำแบบนี้ไม่เหมาะสม แต่เพื่องานใหญ่ พี่น้องลัทธิมารของเราต้องเสียสละไปตั้งเท่าไรแล้วไม่รู้ แน่นอน สิ่งนี้ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประมุขปราชญ์ ไม่มีใครกล้าบังคับแน่นอนขอรับ”

อวิ๋นเซี่ยวหน้าเครียดลงเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่คนโง่ก็ล้วนฟังออกว่าหมายความว่าอย่างไร นั่นก็คือพวกพี่น้องลัทธิมารเสียสละเพื่องานใหญ่ของลัทธิมารหมดแล้ว ถ้าจะยกเว้นประมุขปราชญ์ก็จะหน้าอับอายนิดหน่อย

แน่นอนว่าอวิ๋นอ้าวเทียนเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย นี่เป็นการกดดันแบบยัดข้อหาใหญ่ แต่เขาเองก็ไม่ได้คัดค้าน เพียงพยักหน้าเบาๆ “ข้าก็ไม่คัดค้านนะ เพียงแต่เรื่องนี้ ข้าแนะนำให้ฟังความเห็นจากประมุขปราชญ์เหมียวอี้ของลัทธิอู๋เลี่ยงก่อน”

เย่สิงคงกับตานฉิงสบตากันแวบหนึ่ง แล้วตานฉิงก็ถามอย่างแปลกใจว่า “นี่เป็นเรื่องภายในลัทธิมารล้วนๆ และอาจจะมีประโยชน์กับหกลัทธิด้วย ทำไมต้องถามความเห็นของเหมียวอี้ก่อน?”

อวิ๋นอ้าวเทียนถามกลับว่า “ทั้งสองยังไม่รู้อีกเหรอว่าตอนที่อยู่ดาวเทียนหยวน เหมียวอี้ก็มีข่าวลือชู้สาวกับอวิ๋นจือชิวเหมือนกัน แน่นอน จะจริงเท็จอย่างไรข้าก็ไม่รู้ แต่ข้าก็แนะนำให้ถามความเห็นเหมียวอี้ก่อน เพราะถ้ามีเรื่องแบบนี้จริงๆ เกรงว่าจะยุ่งยากนิดหน่อย”

…………………………

[1] เพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าดิ้น  锦上添花 ปรุงแต่งในสิ่งที่เดิมทีมีอยู่แล้ว ให้สวยงาม

[2] ส่งถ่านให้กลางหิมะ 雪中送炭 ช่วยเหลือยามลำบาก

สำหรับอวิ๋นจือชิวแล้ว คำดูหมิ่นของเยว่เหยาในปีนั้นยังคงดังอยู่ข้างหู ถึงแม้สิ่งที่พูดจะไม่ไพเราะ แต่ในบางด้านก็เป็นเรื่องจริง ในปีนั้นที่อยู่ทะเลทรายม่านเมฆา ให้ผู้ชายเข้าออกห้องนางบ่อยๆ นั้นไม่เหมาะสมจริงๆ ต่อให้เยว่เหยาจะไม่พูด แต่หลังจากอยู่กับเหมียวอี้นางก็สนใจจุดนี้แล้ว ก่อนหน้านี้นางไม่ถือสาอะไร ไม่ว่าคนอื่นอยากจะพูดอย่างไร ถ้านางตัวตรงก็ย่อมไม่กลัวเงาเอียงอยู่แล้ว แต่หลังจากแต่งงานกับเหมียวอี้ จะไม่ให้นางแยแสเรื่องนี้ก็คงยาก

เหมียวอี้ไม่ถือสาเรื่องในอดีตระหว่างนางกับเฟิงเสวียนได้ ถึงแม้ปากนางจะไม่พูด แต่ในใจถือสาเรื่องนี้มาก ถ้าพูดโดยมองจากบางมุม นั่นก็คือจุดด่างพร้อยที่สมควรให้คนอื่นตำหนิ ดังนั้นนางจึงปล่อยให้คนพูดถึงเรื่องแบบนี้ไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการอาศัยความใจกว้างของเหมียวอี้มาทำเรื่องที่ไม่รับผิดชอบต่อเหมียวอี้ หลังจากแต่งงานกับเหมียวอี้แล้ว ขอเพียงต้องไปพบกับผู้ชายคนอื่นนอกจากเหมียวอี้ ข้างกายนางก็ต้องมีผู้หญิงอยู่ด้วยเสมอ เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์จะต้องมีใครสักคนอยู่ข้างกายนาง ถ้าทั้งสองไม่อยู่นางก็จะดึงคนอื่นมา ไม่อย่างนั้นนางก็ยอมปฏิเสธเรื่องนี้จะดีกว่า

ดังนั้นนางจะพบกับฉู่จื่อซานเป็นการส่วนตัวได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นนางก็รู้แล้วด้วยว่าฉู่จื่อซานมีเจตนาไม่ซื่อ

และสำหรับฉู่จื่อซาน การอาศัยตำแหน่งฐานะของตัวเองจัดดการผู้หญิงสักคนก็ไม่ยากเลย ตัวเองออกหน้าเองแล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจแต่ก็หลบไม่พ้น

เมื่อได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะเบาๆ หลังจากนั่งลงแล้วก็พยักหน้าบอกว่า “การรักษาความบริสุทธิ์ของผู้จัดการอวิ๋นช่างน่านับถือ เป็นข้าเองที่ผลีผลามไป”

หลังจากอวิ๋นจือชิวโบกมือให้นำน้ำชามาวาง และนั่งลงตรงข้าม ชายชราสีหน้าเรียบเฉยก็มายืนอยู่ข้างหลังนาง เป็นยอดฝีมือที่ลัทธิมารส่งมาคุ้มครองนาง นางจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้ฉู่จื่อซานทำซี้ซั้ว “ท่านหัวหน้าภาคมาเยือนด้วยตัวเอง ทำไมไม่เห็นคนของตำหนักคุ้มเมืองมาด้วยล่ะคะ?”

“เป็นธุระส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องทำให้ตำหนักคุ้มเมืองแตกตื่นหรอก” ฉู่จื่อซานว่าอย่างนั้น

ถึงแม้อำนาจของตลาดสวรรค์กับอำนาจท้องถิ่นจะแยกออกจากกันแล้ว แต่ในฉากหน้าทุกคนก็จะสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ได้ ยังต้องอยู่ร่วมกันอีก มิหนำซ้ำถึงแม้ตลาดสวรรค์ในตอนนี้จะอยู่ในการควบคุมของราชินีสวรรค์ แต่ความจริงกลับอยู่ในมือของราชันสวรรค์ และเบื้องหลังของฉู่จื่อซานก็คือกองทัพองครักษ์ตำหนักสวรรค์ ถือเป็นกำลังพลสายตรงของราชันสวรรค์เช่นกัน จะให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายแย่เกินไปไม่ได้ เป็นเพราะฉู่จื่อซานมีเจตนาไม่ซื่อ จึงไม่อยากให้สะเทือนไปถึงฝ่ายตลาดสวรรค์

อวิ๋นจือชิวย่อมเดาออกแล้วว่าเขามีเจตนาไม่ดี นี่ก็คือจุดที่นางกังวลเช่นกัน ถ้าไปมีเรื่องกับฉู่จื่อซาน จุดเชื่อมต่อที่ลัทธิมารสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากก็อาจจะดำเนินกิจการต่อไปไม่ได้ นางรู้อยู่แก่ใจแต่ยังแสร้งถามว่า “ท่านหัวหน้าภาคมาที่นี่มีอะไรจะกำชับหรือคะ?”

“ข้าชื่นชมผู้จัดการอวิ๋น จะกล้ากำชับอะไรผู้จัดการอวิ๋นได้ล่ะ” ฉู่จื่อซานพูดปนหัวเราะ แต่สายตากวาดมองบนเรือนร่างอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นจือชิว แล้วพูดตรงๆ เลยว่า “แต่ข้ามีเรื่องที่จะต้องคุยกับผู้จัดการอวิ๋นจริงๆ ข้าพูดตรงๆ เลยแล้วกัน ครั้งแรกที่เห็นผู้จัดการอวิ๋นข้าก็ใจเต้นแรงแล้ว ข้าถึงได้มารบกวนหลายรอบ ที่จริงครั้งนี้อดทนต่อความรักที่มีต่อผู้จัดการอวิ๋นไม่ไหว ก็เลยมาสู่ขอผู้จัดการอวิ๋นต่อหน้าเลย หวังว่าผู้จัดการอวิ๋นจะแต่งงานกับฉู่คนนี้”

ในที่สุดก็เปิดเผยเรื่องราวแล้ว เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง ทั้งสองค่อนข้างกังวล เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อฟังฮูหยินแล้วปิดบังนายท่านต่อไปหรือเปล่า ทั้งสองเชื่อฟังอวิ๋นจือชิวก็เพราะรู้สึกว่าสิ่งที่อวิ๋นจือชิวพูดมีเหตุผลจริงๆ ไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้อีก แต่พอวุ่นวายจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว หลังจากจบเรื่องแล้วถ้าให้นายท่านรู้เรื่องนี้ ก็เกรงว่าตนจะทนรับความพิโรธปานอัสนีบาตนั้นไม่ไหว

อวิ๋นจือชิวเอามือป้องปากหัวเราะ “หัวหน้าภาคล้อเล่นแล้ว จือชิวเป็นหญิงที่มีสามีแล้ว ไม่สามารถรับคำเชื้อเชิญของนายท่านได้ค่ะ”

กับเรื่องบางเรื่องถ้าถูกใจขึ้นมาก็ช่วยไม่ได้แล้ว การหัวเราะแบบนี้ทำให้ฉู่จื่อซานร้อนวูบวาบในใจ ทุกรอยยิ้มและการกระทำบวกกับเรือนร่างอ่อนช้อยอวบอัด ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็หวั่นไหวเหมือนมีน้ำกระเพื่อมในใจ อยากจะอุ้มสาวงามกลับไปเสียตอนนี้ แต่เขารู้ว่าชายชราที่อยู่ข้างหลังสาวงามคงจะไม่ใช่เล่นๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้คุ้มกัน จึงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ได้พูดเล่น ข้าเคยตรวจสอบภูมิหลังของเจ้ามาแล้วจือชิว ทราบมาว่าสามีของเจ้าจากโลกนี้ไปแล้ว ตอนนี้เจ้าครองตัวเป็นหม้าย ถ้าจะแต่งงานอีกสักครั้งก็เป็นเรื่องปกติ ทำไมจะทำไม่ได้?”

จู่ๆ ก็เปลี่ยนจาก ‘ผู้จัดการอวิ๋น’ กลายเป็น ‘จือชิว’ ทำให้อวิ๋นจือชิวสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูก อีกฝ่ายพูดเปิดอกเรื่องนี้แล้ว ชัดเจนแล้วว่าถ้าไม่บรรลุเป้าหมายก็จะไม่เลิก อยากจะหลบก็หลบไม่พ้น นางจำเป็นต้องถอนหายใจแล้วบอกว่า “ไม่ปิดบังท่านหัวหน้าภาค ตอนนี้ข้าครองตัวเป็นหม้ายจริงๆ เพียงแต่ข้าคำสัญญากับคนคนหนึ่งไว้นานแล้ว ว่าทั้งชาตินี้จะไม่แต่งงานกับใครอีก ถ้าจะแต่งงานอีกครั้ง ก็ต้องพิจารณาเขาก่อน”

“มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ?” ฉู่จื่อซานพยักหน้าแสดงออกว่าเชื่อ คาดว่าอีกฝ่ายคงจะกำลังหาเหตุผลข้ออ้างมาปฏิเสธ จึงหรี่ตาบอกว่า “ไม่ทราบว่าเขาคือใครเหรอ ลองพูดให้ฟังหน่อยได้หรือไม่ จะได้ทำให้ฉู่คนนี้ตัดใจได้ง่ายๆ หน่อย?”

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “ในเมื่อท่านหัวหน้าภาคเคยตรวจสอบประวัติของข้าแล้ว คาดว่าคงจะรู้ว่าตอนที่ข้าเคยเปิดร้านที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน ตอนนั้นมีคนคนหนึ่งเอ็นดูจือชิวเหมือนกับท่านหัวหน้าภาคนี่แหละค่ะ ข้าเป็นคนที่มีสามีแล้ว มีหรือที่จะตอบตกลง ตอนหลังตระกูลข้าประสบหายนะจนข้าเป็นหม้าย คนคนนั้นจึงขอข้าแต่งงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าก็เลยให้สัญญากับเขาเอาไว้ ถามหน่อยว่าถ้าข้าผิดสัญญาต่อเขา คนคนนั้นที่กล้าไม่ไว้หน้าแม้แต่อ๋องสวรรค์อิ๋ง เกรงว่าคงจะเกิดปัญหาใหญ่แน่นอน หวังว่าท่านหัวหน้าภาคจะเข้าใจ”

เดิมทีนางไม่อยากจะอ้างชื่อเหมียวอี้ แต่ตอนนี้หมดหนทางแล้ว จำเป็นต้องอ้างเหมียวอี้มาขัดขวางสักหน่อย

“…” ฉู่จื่อซานนิ่งชะงัก หันกลับไปมองลูกน้องข้างหลัง คนข้างหลังถ่ายทอดเสียงบอกว่า “นายท่าน คงจเป็นหนิวโหย่วเต๋อขอรับ!”

ฉู่จื่อซานย่อมรู้อยู่แล้วว่าเป็นหนิวโหย่วเต๋อ พอสืบประวัติของอวิ๋นจือชิว ถ้าจะไม่รู้ข่าวลือของทั้งสองคนก็คงยาก นึกไม่ถึงว่ายังจะมีคำสัญญานี้อยู่ด้วย จึงถามว่า “จือชิวหมายถึงหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “เป็นนายท่านหนิวโหย่วเต๋อค่ะ”

“เหอะๆ!” ฉู่จื่อซานยิ้มพลางส่ายหน้า ตอนนี้เขาก็ได้ยินข่าวของหนิวโหย่วเต๋อมาเช่นกัน จึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “อย่าบอกนะว่าจือชิวไม่ได้ข่าวว่าเขาโดนทำโทษให้ไปอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์? เกรงว่าจะรอดชีวิตกลับมาได้ยากแล้ว เจ้านั่นนับเป็นคนเก่งกาจในกองทัพองครักษ์ของพวกเขาเหมือนกัน ถ้าตายแล้วก็น่าเสียดายจริงๆ ทว่าเรื่องบางเรื่องก็เป็นแบบนี้ ก่อกรรมเองก็ไม่รอดหรอก”

อวิ๋นจือชิวยิ้มบางๆ “ข้ากำลังติดต่อกับดาวเทียนหยวนอยู่บ้าง ไม่นานก่อนหน้านี้สหายของดาวเทียนหยวนบอกว่า นายท่านหนิวยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังใกล้จะครบเวลาลงโทษแล้ว อีกไม่นานก็จะออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว”

“ยังมีชีวิตอยู่เหรอ?” ฉู่จื่อซานแอบสูดหายใจอย่างตกตะลึง ขนาดอยู่สถานที่ผีๆ นั่นหนึ่งพันปียังรอดกลับมาได้อีก เจ้าหมอนั่นมันใช้ได้จริงๆ

ถึงแม้จะได้ยินข่าวของหนิวโหย่วเต๋อมาบ้าง แต่จะว่าไปแล้ว เขากับหนิวโหย่วเต๋อก็อยู่ห่างไกลกันมาก ทั้งชีวิตนี้ไม่รู้ว่าจะได้มาเจอกันหรือเปล่า เรื่องบางเรื่องก็แค่ฟังไว้เฉยๆ ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ยังไม่ต้องพูดถึงว่ารู้หรือเปล่าว่าหนิวโหย่วเต๋อยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่หนิวโหย่วเต๋อโดนควบคุมตัวไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์เมื่อไรเขาก็ยังลืมไปแล้วเลย จะจำได้อย่างไรว่าจะครบกำหนดเวลาลงโทษหนึ่งพันปีของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ได้ยินว่าลูกน้องเก่าของนายท่านหนิวไปรับแล้ว คาดว่าข่าวคงจะไม่ผิดพลาด”

“จือชิวคิดมากไปแล้ว ต่อให้รอดชีวิตกลับมาได้ แต่เรื่องของเขาข้าก็สามารถแบกรับได้อยู่แล้ว ต่อให้เขาจะมีความเห็นแย้งอะไรจริงๆ แต่ข้าก็จะให้เบื้องบนของกองทัพองครักษ์ออกหน้าแก้ไขปัญหาให้ได้ เจ้าไม่ต้องกังวลเลย สามารถแต่งงานกับฉู่ได้อย่างสงบใจ!” ฉู่จื่อซานยิ้มบางๆ ไม่มีท่าทีว่าจะกังวลเรื่องนี้เลยสักนิด

ถ้าพูดถึงชื่อเสียง ตัวเองก็เทียบหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้จริงๆ คนนั้นกล้าล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์หลายครั้ง กล้าลบหลู่งานรับสนมของราชันสวรรค์ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนของกองทัพองครักษ์ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปยั่วโมโหหนิวโหย่วเต๋อเลยจริงๆ แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวหนิวโหย่วเต๋อเช่นกัน อาณาเขตของตัวเองกับหนิวโหย่วเต๋ออยู่ห่างไกลและไม่เกี่ยวข้องกัน ตัวเองแต่งงานกับคนในอาณาเขตของตัวเอง เรื่องของอวิ๋นจือชิวกับหนิวโหย่วเต๋อไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อกล้ามาก่อเรื่อง กล้ามาเสียมารยาทก่อนจริงๆ แบบนั้นก็เท่ากับรนหาที่ตาย ตัวเองฆ่าไปก็เปล่าประโยชน์ มิหนำซ้ำตัวเองก็รู้สึกว่าอวิ๋นจือชิวปฏิเสธได้อย่างน่าสงสัยมาก ตามที่เขาสืบมา หนิวโหย่วเต๋อเลิกติดต่อกับอวิ๋นจือชิวนานแล้ว นางแค่อยากจะอ้างเรื่องนี้มาตบตาเขา

อีกอย่างก็เป็นอย่างที่เขาบอก ว่าต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะไม่พอใจจริงๆ แต่เบื้องบนของกองทัพองครักษ์ก็คงจะไม่ทนมองเห็นคนของตัวเองบีบคอกันเอง จะต้องแทรกแซงแน่นอน หรือพูดอีกอย่างก็คือ ใครได้ผู้หญิงคนนี้ก่อนก็ถือว่าเหนือกว่าในด้านเหตุผล เป็นไปไม่ได้ที่เบื้องบนจะกดดันให้เขาจากไปและให้อวิ๋นจือชิวแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋ออีก

เมื่อเห็นว่าอ้างเหมียวอี้แล้วขู่เขาไม่ได้ อวิ๋นจือชิวก็ทำได้เพียงปฏิเสธว่า “นายท่านมีอนาคตไกล จือชิวเป็นแม่หม้ายคนหนึ่ง ไม่คู่ควรกับนายท่านค่ะ”

ฉู่จื่อซานไม่ยอมถอย กล่าวพร้อมสายตาเร่าร้อนฮึกเหิม “ข้าไม่ถือสาหรอก ทำไมต้องถือสา ขอเพียงเจ้าเต็มใจ ข้าก็ยินดีจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างจริงใจ ในภายหลังก็อาจจะเลื่อนจากอนุภรรยาให้เป็นฮูหยินเอกก็ได้”

อวิ๋นจือชิวรู้อยู่แล้วว่าเขาอยากจะรับนางเป็นอนุภรรยา แค่อยากจะเก็บนางเป็นเนื้อที่คนอื่นห้ามแตะต้อง ที่บอกว่าในภายหลังจะตั้งให้ ‘หญิงหม้าย’ อย่างนางเป็นฮูหยินเอกอะไรนั่น มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่เชื่อ เมื่อได้คนมาอยู่ในมือแล้ว เล่นจนเบื่อแล้ว ยังจะมีเรื่องในภายหลังอะไรได้อีก พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว คงจะตบตาต่อไปไม่ได้ นางจึงปฏิเสธตรงๆ เลยว่า “จือชิวไม่ได้อยากแต่งงานอีกแล้วจริงๆ หวังว่าหัวหน้าภาคจะเข้าใจ”

ฉู่จื่อซานหน้าเครียดขรึมทันที “จือชิว นี่เป็นเรื่องที่งดงามแท้ๆ ถ้าทำร้ายความรู้สึกกันจนแตกคอก็จะไม่สนุกแล้วนะ ขอเพียงเจ้าแต่งงานกับข้า ต่อไปนี้ทั้งน่านฟ้าระกาติงก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเจ้าแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของพวกลูกน้องข้า เกรงว่าจะกล้าทำเรื่องที่เกินเลยได้ง่ายๆ ปล่อยไปตามธรรมชาติเถอะ ถ้าฝืนอยู่ด้วยกันก็จะไม่สนุกแล้ว” ชัดเจนว่ากำลังขู่คุกคาม กำลังบอกอวิ๋นจือชิวว่าปฏิเสธไปก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายก็ยังต้องอยู่ด้วยกัน ทำไม่ต้องทำให้วุ่นวายไม่มีความสุข

อวิ๋นจือชิวจ้องตาเขาตรงๆ ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ให้เวลาข้าพิจารณาสักครึ่งปีเป็นอย่างไร?”

ฉู่จื่อซานกล่าวเสียงเรียบว่า “ในเมื่อสุดท้ายก็ต้องแต่งงานกับฉู่คนนี้อยู่ดี ทำไมต้องรออีกครึ่งปีด้วยล่ะ”

อวิ๋นจือชิวตอบว่า “ถึงแม้ข้าจะเป็นหม้าย แต่ถึงอย่างไรก็มีตระกูลสามีอยู่ ขนาดร้านนี้ยังเป็นกิจการของบ้านสามีเลย ถ้าจะแต่งงานอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าแม้แต่ผลที่ตามมาขั้นพื้นฐานยังรับมือไม่ได้ ต่อให้แต่งงานกับหัวหน้าภาคไป ข้าสามารถละทิ้งชื่อเสียงได้ แต่หัวหน้าภาคจะไม่แยแสอนาคตเชียวหรือ?”

ฉู่จื่อซานเงียบไปครู่หนึ่ง จะว่าไปก็มีเหตุผบ บังคับหญิงหม้ายเพื่อฮุบกิจการของตระกูลหญิงหม้ายนั้นฟังดูไม่ไพเราะ เมื่อก่อนเขาไม่ได้พิจารณาในจุดนี้ ที่ผ่านไม่เคยใช้วิธีแข็งกร้าว ก็เพราะว่าการบังคับนั้นไม่เหมาะสมไม่ใช่เหรอ ต้องทราบไว้ว่าก่อนหน้านี้ในตำหนักสวรรค์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน มีคนไม่น้อยที่ถูกโค่นลงแบบนี้ เขาเองก็ค่อยๆ ยืนขึ้นมาได้เช่นกัน เขาจึงพยักหน้าบอกว่า “ถ้าตระกูลสามีของเจ้ามีจุดไหนที่ลำบากใจ ก็บอกข้ามาได้เลย ข้าจะจัดการแทนเจ้าเอง กำหนดเรื่องนี้ไว้ตามนี้แล้วกัน อีกครึ่งปีข้าจะแต่งเจ้าเข้าบ้าน!” ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายพิจารณาเลย กำหนดเรื่องนี้ให้ตายตัวเสียเลย

จากนั้นก็หันกลับมากำชับลูกน้องว่า “ให้พวกพี่น้องมาจับตาดูหออวิ๋นฮว๋าไว้ให้ดี ถ้าผู้จัดการอวิ๋นจะออกไปข้างนอก ก็ต้องให้คนของพวกเราคุ้มครอง ถ้าขนหายไปแม้แต่เส้นตัว ข้าจะเอาเรื่องเจ้า” นี่เป็นการป้องกันไม่ให้อวิ๋นจือชิวเล่นตุกติก

“ขอรับ!” ลูกน้องของเขากุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง

ฉู่จื่อซานหันกลับมา สายตามองเรือนร่างอวบอัดของอวิ๋นจือชิว แล้วกล่าวชมในใจอีกครั้ง ช่างเป็นของหายากจริงๆ!

จากนั้นก็หันตัวเดินออกไป

หลังจากส่งเขากลับไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็หันตัวกลับมาด้วยสีหน้าเย็นเยียบ แล้วรีบนำคนเดินเข้ามาในลานบ้านด้านใน พอเข้ามาในศาลาที่ลานบ้านด้านหลัง ก็ออกคำสั่งเลยว่า “ผู้เฒ่าฟ่าน ติดต่อลูกน้องหน่อย กำจัดเจ้าแซ่ฉู่นั่นทิ้งซะ ทำให้เรียบร้อยหน่อยนะ อย่าทิ้งปัญหาอะไรไว้”

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท