พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1807 สัญญาณไม่ปกติ

บทที่ 1807 สัญญาณไม่ปกติ

สำหรับตอนนี้ เมื่อเทียบกับตระกูลเซี่ยโห้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เชื่อใจเหมียวอี้มากกว่า หลักการบางอย่างที่เรียบง่ายที่สุดนางก็ยังพอทำความเข้าใจได้ ตอนนี้เหมียวอี้ผูกติดเป็นพวกเดียวกับนางแล้ว เหมียวอี้จะช่วยนางจากใจจริง ถ้าพวกนางสองแม่ลูกล้มลงเมื่อไร ตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลของเหมียวอี้ก็จะสั่นคลอนเช่นกัน

วิธีการที่เหมียวอี้สร้างสถานการณ์ราวกับพลิกมือคว่ำเมฆงายมือเรียกฝนในปีนั้นทำให้นางมองว่าเขาคือมันสมองของนาง

เมื่อได้ข่าวจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เหมียวอี้ก็ตกใจเช่นกัน ชั่วขณะนั้นไม่เข้าใจว่าประมุขชิงหมายความว่าอะไร เขาขอให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ใจเย็นๆ ให้เวลาเขาคิดเสียหน่อย

ทางนี้หยุดติดต่อกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลางคัน แล้วรีบติดต่อไปหาหยางชิ่งอีก บอกเรื่องนี้ให้รู้ อยากจะฟังความเห็นของหยางชิ่ง

หลายปีมานี้ หยางชิ่งให้เหมียวอี้สืบข่าวทั้งเล็กทั้งใหญ่ของวังสวรรค์ผ่านเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มาตลอด เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่มองว่าเหมียวอี้คือมันสมองก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ นางเองก็รู้ว่าถ้าอีกฝ่ายไม่รู้สถานการณ์ก็ไม่มีทางช่วยนางวิเคราะห์ปัญหาได้ ดังนั้นเหมียวอี้รู้ว่าหยางชิ่งศึกษาคนและเรื่องในวังสวรรค์มาหลายปีแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเข้าใจและตัดสินคนในวังสวรรค์ได้ในระดับหนึ่ง ก่อนหน้านี้หยางชิ่งก็ไม่กล้าใช้งานเฟยหงเพื่อพลิกเปลี่ยนภาพพจน์ของเขาที่ติดอยู่ในความทรงจำประมุขชิง

ตามที่หยางชิ่งบอก การจะรับมือกับคนที่เก่งเรื่องแยกแยะวินิจฉัยอย่างประมุขชิง การให้เฟยหงช่วยพูดให้เหมียวอี้นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว กลับจะทำให้พวกประมุขชิงสงสัยในตัวเฟยหงได้ง่ายด้วยซ้ำ คนที่อยู่ในตำแหน่งระดับนั้นล้วนเป็นคนขี้ระแวงสงสัย ดีไม่ดีอาจจะทำให้เรื่องแย่ จึงดำเนินการในสิ่งที่ตรงกันข้ามโดยทำให้เหมียวอี้อยู่ในความเสี่ยง ประการแรกสามารถช่วยให้เฟยหงไม่ถูกสงสัย เวลาเฟยหงรายงานข่าวขึ้นไปที่ตำหนักสวรรค์ ทางนั้นจะได้เชื่อสนิทใจ ไม่สงสัยว่าเฟยหงถูกเหมียวอี้ซื้อไว้แล้ว เมื่อไม่มีความสงสัยระดับนี้ ประมุขชิงก็ย่อมใช้ดุลยพินิจช่างน้ำหนักผลประโยชน์ เหลือทางไว้ให้ประมุขชิงเลือกเอง ผลลัพธ์ที่ประมุขชิงวิเคราะห์เองถึงจะเป็นสิ่งที่เชื่อถือที่สุด พฤติกรรมพยายามบีบบังคับใดๆ ล้วนเป็นสิ่งที่โง่เง่า

ตอนที่ได้รับข่าวจากเหมียวอี้ หยางชิ่งกำลังลาดตระเวนแต่ละพื้นที่พร้อมกลุ่มยอดฝีมือของแดนอเวจี จู่ๆ หยางชิ่งก็ออกจากกลุ่มลาดตระเวนลงมาเหยียบบนยอดเขา คนอื่นๆ สบตากันแวบหนึ่ง แล้วทยอยตามลงมา

เมื่อเห็นหยางชิ่งขมวดคิ้วครุ่นคิด จินม่านก็ยกมือห้ามกลุ่มคนที่กำลังจะเอ่ยถาม ทำสัญญาณมือให้พวกเขาเงียบๆ ทำให้พวกเขามองหน้ากันอย่างงุนงง

หลังจากเงียบไปครู่เดียว หยางชิ่งก็รีบเขย่าระฆังดาราในมือถามเหมียวอี้ : เรื่องนี้กะทันหันจนผิดปกติ นี่คือการหันหัวหอกไปหาเซี่ยโห้วเฉิงอวี่และลูกชาย ข้าน้อยจับตาดูประมุขชิงมานานขนาดนี้ ไม่เชื่อหรอกว่าประมุขชิงจะทำเรื่องแบบนี้ได้ในเวลานี้ จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน นายท่านรีบให้ราชินีสวรรค์สืบมาว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ข้าน้อยต้องการทราบสถานการณ์โดยละเอียดเพื่อตัดสิน แล้วก็ถามราชินีสวรรค์ด้วยว่า ประมุขชิงได้พบโอรสสวรรค์หรือไม่ หลังจากพบโอรสสวรรค์แล้วเรียกพบซือหม่าเวิ่นเทียนต่อหรือไม่!

เหมียวอี้ไม่ลังเล นำคำถามของหยางชิ่งไปถามเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต่อทันที

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินแล้วตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้ที่อยู่แดนรัตติกาลจะเดาออกว่าประมุขชิงทำอะไร สมแล้วที่เป็นมันสมองของนาง

ส่วนคำตอบที่เหมียวอี้ได้ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ประมุขชิงพบโอรสสวรรค์ก่อน จากนั้นก็เรียกพบซือหม่าเวิ่นเทียน ตอนหลังถึงได้เรียกสนมสวรรค์จ้านหรูอี้กลับวัง

หลังจากเหมียวอี้บอกข่าวนี้ให้หยางชิ่งรู้แล้ว หยางชิ่งก็ซักไซ้อีกว่า : ทางวังสวรรค์ได้ซักถามถึงคำพูดที่ไม่ถ่อมตัวของนายท่านหรือเปล่า?

เหมียวอี้สืบข่าวจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่อีกครั้ง หลังจากได้ข่าวแล้วว่าทางประมุขชิงไม่มีความเคลื่อนหวอะไร ถ้าจะแตะต้องเหมียวอี้จริงก็จะต้องบอกตำหนักนารีสวรรค์ก่อน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนของตำหนักนารีสวรรค์ นี่คือการเรียกจ้านหรูอี้กลับวังกะทันหันเฉยๆ

หยางชิ่งเดินมาริมหน้าผม ทอดสายตามองแผ่นดินอันกว้างใหญ่พร้อมยิ้มเจื่อน แล้วเขย่าระฆังดาราตอบเหมียวอี้อีก : ยินดีกับนายท่าน เกรงว่าแผนของพวกเราจะได้ผลแล้ว เรื่อที่นายท่านทรยศประมุขชิง ประมุขชิงน่าจะปล่อยผ่านแล้ว ต่อไปนี้คงจะไม่เอาเรื่องอีก

เหมียวอี้ไม่เข้าใจ : แล้วที่ตอนนี้ประมุขชิงหันหัวหอกไปหาสองแม่ลูกที่ตำหนักนารีสวรรค์หมายความว่ายังไง?

หยางชิ่ง : เกรงว่าพวกเราจะทำให้ประมุขชิงพิจารณาถึงอนาคตของชิงหยวนจุนล่วงหน้า ตราบใดที่ประมุขชิงยังอยู่ ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องชิงหยวนจุน ดังนั้นประมุขชิงจึงเป็นฝ่ายหันหัวหอกไปทางตำหนักนารีสวรรค์เอง เกรงว่าชิงหยวนจุนจะได้รับความลำบากแล้ว

เหมียวอี้เพราะจะเข้าใจความหมายบ้างแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของทั้งสองนิดหน่อย อดไม่ได้ที่จะถามอย่างตกใจ : ทำไมกลายเป็นอย่างนี้ไปได้?

หยางชิ่ง : ข้าน้อยเองก็นึกไม่ถึงว่าจะกระตุ้นให้ประมุขชิงเกิดความคิดนี้ ประมุขชิงต้องการจะลับคมชิงหยวนจุน เกรงว่าคนกลุ่มหนึ่งจะต้องกลายเป็นหินลับมีดในมือประมุขชิงแล้ว ตอนนี้นายท่านผูกติดกับตำหนักนารีสวรรค์ เกรงว่าจะหนีไม่พ้นแล้ว

เหมียวอี้ : ขนาดพวกเรายังดูออก คนอื่นจะดูไม่ออกเชียวหรือ?

หยางชิ่ง : เพราะพวกเรารู้ว่าพวกเราทำอะไรลงไป พอโยงกับสถานการณ์ปัจจุบันอีก พวกเราก็เลยมองออก คนนอกไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จะมองออกได้อย่างไรเล่า? ไม่ว่าใครก็คงคิดว่าเซี่ยโห้วท่าตายไปแล้ว ประมุขชิงส่งสัญญาณเพื่อวัดกำลังของตระกูลเซี่ยโห้ว

เหมียวอี้ : หรือพูดได้อีกอย่างว่า ชิงหยวนจุนตกอยู่ในสถานการณ์น่ากลัวแต่ไร้อันตราย?

หยางชิ่ง : จะพูดอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าชิงหยวนจุนทำให้ประมุขชิงผิดหวังเกินไป ก็รับประกันได้ยากว่าคนจิตใจอย่างประมุขชิงจะไม่ทำเรื่องหลอกให้กลายเป็นเรื่องจริง

หลังจากทั้งสองปรึกษากันสักพัก เหมียวอี้ก็รีบติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่อีก บอกความจริงที่คาดเดาได้ให้รู้

แน่นอนว่าเรื่องบางเรื่องยังบอกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่วางใจ กลัวว่านางจะทำเรื่องโง่อะไรออกมา ฝั่งนี้ก็ไม่อยากบอกนางเลยจริงๆ

เมื่อทราบว่าประมุขชิงตั้งใจจะลับคมลูกชาย เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ทั้งตกใจทั้งดีใจ ดีใดที่ประมุขชิงไม่ได้ทอดทิ้งลูกชาย กลับตั้งใจจะอบรมบ่มเพาะด้วยซ้ำ แต่ตกใจที่ลูกชายกำลังจะได้รับความลำบากแล้ว

เหมียวอี้บอกอีกครั้ง : เหนียงเหนียง ห้ามให้องค์ชายรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ฝ่าบาทฉลาดปราดเปรื่องมาก รู้จักอุปนิสัยขององค์ชายดี ถ้าเสแสร้งแกล้งทำนิดเดียวก็จะถูกฝ่าบาทมองออกได้ง่าย ดังนั้นจึงทำได้เพียงปล่อยตามธรรมชาติ องค์ชายตกอยู่ในสถานการณ์หวาดเสียวแต่ไร้อันตราย จะไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไร ไม่อย่างนั้นจะได้ผลทางตรงกันข้าม นอกจากนี้ ทางเหนียงเหนียงเองก็ต้องทำตัวตามปกติ เรื่องนี้รู้อยู่ในใจเหนียงเหนียงผู้เดียวเท่านั้น จะบอกใครไม่ได้เด็ดขาด อย่าให้ใครมองออกเด็ดขาด…

“แน่ใจนะว่าประมุขชิงออกคำสั่งเรียกสนมสวรรค์กลับวังแล้ว?”

จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง อิ๋งจิ่วกวงได้ข่าวแล้วถามอย่างประหลาดใจ

จั่วเอ๋อร์ที่มารายงานข่าวพยักหน้า “ไม่มีผิดพลาดค่ะ ทางสนมสวรรค์ได้รับข่าวและเตรียมจะออกเดินทางแล้ว”

อิ๋งจิ่วกวงเอามือขยี้เคราเดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้าน “สนมสวรรค์ถูกกดดันให้อยู่บ้านครอบครัวตัวเองมาหลายปี ช่วงไว้ทุกข์เซี่ยโห้วท่ายังไม่ผ่านไป ตอนนี้ประมุขชิงทำเรื่องนี้ ดูไม่ค่อยปกติ”

“ไม่ค่อยปกติ บางทีพวกเราอาจจะคิดมากไป ทุกคนต่างรู้ว่าประมุขชิงโปรดปรานสนมสวรรค์ บางทีประมุขชิงอาจจะคิดถึงสนมสวรรค์จึงรีบเรียกกลับวัง” จั่วเอ๋อร์กล่าว

อิ๋งจิ่วกวงส่ายหน้า “ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ยังถือสาที่จะถ่วงเวลาอีกสองสามปีเชียวเหรอ? ข้างกายประมุขชิงไม่ขาดผู้หญิง ไม่กระหายถึงขั้นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็มักจะแอบมาหาสนมสวรรค์บ่อยๆ ใครจะขัดขวางไม่ให้เขามาหาความสำราญกับสนมสวรรค์ได้เชียวหรือ? จะอยู่หรือไม่อยู่ข้างกายเขาก็ไม่ได้ต่างกันค่ะ”

“พอเป็นแบบนี้ ประมุขชิงวางแผนลงมือกับตระกูลเซี่ยโห้วจริงเหรอ?” จั่วเอ๋อร์ถาม

อิ๋งจิ่วกวงครุ่นคิด “พูดยาก ถ้ามีความคิดนี้จริงๆ นี่ก็เป็นโอกาสที่สนมสวรรค์จะได้ขึ้นตำแหน่งแล้ว”

สนมสวรรค์จ้านหรูอี้อยู่ที่บ้านตัวเองมาหมื่นปี จู่ๆ ก็ได้รับคำสั่งเรียกกลับวังสวรรค์ อาจจะไม่มีความสำคัญอะไรต่อคนส่วนใหญ่ แต่สำหรับขุนนางในราชสำนัก สิ่งนี้กลับทำให้พวกเขาตระหนักได้ถึงความไม่ปกติ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าประมุขชิงส่งสัญญาณที่ไม่ปกติแล้ว เพราะเวลาไม่ถูกต้อง

ชั่วขณะนั้น ขอเพียงสายตายังใช้งานได้ ทุกสายตาก็แทบจะจับจ้องไปที่วังหลังของตำหนักสวรรค์

พอคนพวกนี้จับจ้องไปที่วังหลัง กลุ่มผู้หญิงในวังหลังก็เริ่มคึกคักทันที ทุกคนเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว พวกนางเข้าประตูนั้นออกประตูนี้ ที่จริงแล้วกำลังสืบข่าว

เมื่อรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของวังหลัง ประมุขชิงที่ส่งสัญญาณไม่ปกติกลับไม่เคลื่อนไหวอย่างอื่นแล้ว เขาทำเหมือนในปีแรกๆ ตำหนักบูรพาของสนมสวรรค์คือที่ที่เขาขยันไปที่สุด

แน่นอนว่าประมุขชิงไม่อาจแช่อยู่ข้างกายสาวงามตลอดไปได้ การฝึกตนก็ไม่อาจละทิ้ง

“สนมสวรรค์เหนียงเหนียง!”

ตอนที่ประมุขชิงออกจากตำหนักบูรพาไปเก็บตัวฝึกตนที่ตำหนักชีพนิรันดร์วันที่สาม ในตำหนักบูรพา หยินซวง ไป๋เสวี่ยคุกเข่าหมอบศีรษะอยู่ตรงหน้าจ้านหรูอี้พร้อมกัน วิงวอนขอร้องไม่หยุด

จ้านหรูอี้ยืนมองต่ำลงมาที่พวกนางด้วยสายตาเย็นชา

“เหนียงเหนียง หากท่านไม่ตอบตกลง ท่านอ๋องจะฆ่าพวกเราสองคนเพคะ” หยินซวงหมอบพื้นร้องไห้

ไป๋เสวี่ยเงยใบหน้านองน้ำตา “เหนียงเหนียง พวกบ่าวรับใช้ท่านมาหลายปีขนาดนี้ ต่อให้ไม่สร้างผลงานแต่ก็ลำบากทำงาน ท่านโปรดช่วยชีวิตพวกเราด้วย!”

จ้านหรูอี้หันตัวเดินออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่กล่าวอะไรสักคำ เข้ามาในห้องสมาธิแล้วปิดประตูหินที่หนักหนา

“ท่านพ่อ…”

หลังจากนั้นหลายวัน ฉากคุกเข่าร้องไห้ก็ปรากฏขึ้นในเรือนในของจวนอ๋องสวรรค์อิ๋งอีก อิ๋งลั่วหวนมารดาของจ้านหรูอี้คุกเข่าแทบเท้าอิ๋งจิ่วกวง กอดต้นขาอิ๋งจิ่วกวงพลางร้องไห้อย่างปวดใจ

ด้านข้าง จั่วเอ๋อร์กับอิ๋งอู๋หม่านขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร

“เจ้าบอกมาสิ ตั้งแต่เด็กจนโตข้าเคยดูแลเจ้าไม่ดีไหม?” อิ๋งจิ่วกวงชี้ศีรษะอิ๋งลั่วหวนพร้อมตะคอกอย่างเดือดดาล “อ๋องผู้นี้เคยทำร้าวลูกสาวอย่างเจ้ามั้ย? หรือที่อ๋องผู้นี้ทำไม่ใช่เพราะหวังดีกับเจ้า? เจ้าดูเสียบ้างว่าลูกสาวเจ้าเป็นอย่างไร ตระกูลอิ๋งทุ่มเทความพยายามไปเท่าไรเพื่อนาง มีสักกี่ครั้งที่นางฟังคำพูดของข้า นางตอบแทนกันอย่างนี้เหรอ? หรือนางคิดว่าตัวเองกลายเป็นสนมสวรรค์แล้วข้าจะทำอะไรนางไม่ได้?”

“ท่านพ่อ! ลูกขอร้องท่าน ลูกขอร้องท่านล่ะ อย่ากดดันนางอีกเลย…” อิ๋งลั่วหวนที่น้ำตาไหลไม่ขาดสายส่ายหน้าวิงวอนบิดา

“ข้าหวังดีกับนาง แต่ในสายตาพวกเจ้าคือข้ากดดันนางเหรอ? ดี! ไสหัวไป!” อิ๋งจิ่วกวงเดือดดาลถึงขีดสุด สะบัดเท้าเตะอิ๋งลั่วหวนที่กำลังกอดขากระเด็นออกไปทันที ตกกระแทรกตรงตีนบันไดจนกระอักเลือด

จั่วเอ๋อร์รีบตามไปประคองนางขึ้นมา

ส่วนอิ๋งอู๋หม่านก็กุมหมัดคารวะอิ๋งจิ่วกวงที่กระฟัดกระเฟียดเดินไปเดินมา “ท่านพ่อโปรดระงับโทสะ!”

“ไสหัวไป!” อิ๋งจิ่วกวงชี้ไปทางอิ๋งลั่วหวนที่สะบักสะบอมเลือดกลบปากอยู่ข้างนอกอีกครั้ง

จั่วเอ๋อร์รีบไปประคองอิ๋งลั่วหวนหลบหลีก

วังสวรรค์ ในลานบ้านที่สนมฉินพักอยู่ หยินซวงมาถึงแล้ว ไม่มีใครขวางทาง พอสนมฉินได้ยินข่าวก็รีบออกมาต้อนรับ

ทว่าหลังจากทั้งสองกลับเข้ามาคุยกันลับๆ ในเรือนด้านในแล้ว สนมฉินก็หน้าซีดทันที เดินโซเซถอยหลังนั่งลงบนเก้าอี้ มองหยินซวงด้วยสีหน้าตกใจกลัว

หยินซวงเดินช้าๆ มาตรงหน้านาง จ้องนางพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “ทำไม เจ้าไม่เต็มใจเหรอ?”

“ทำไมต้องเป็นข้า?” สนมฉินส่ายหน้าอย่างทุกข์ใจ กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าโศก “เป็นเรื่องที่สนมสวรรค์เอ่ยคำเดียวก็จัดการได้แท้ๆ เหตุใดต้องให้ข้าเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงขนาดนี้? เพราะอะไร?”

…………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท