เหยาซูและหลินเหราไม่ใช่คนที่ชอบโอ้อวด ดังนั้นเรื่องที่ทั้งสองคนย้ายบ้านจึงไม่มีใครรู้ ทว่าพวกเขาต้องขอร้องให้เหยาเฟิงช่วยขนย้ายของบางส่วน ทั้งยังเชิญเจิ้งอันในหน่วยลาดตระเวนมาดื่มฉลองในบ้านหลังใหม่อีกด้วย มีเหยาเฟิงและเหยาเฉาสองพี่น้องอยู่เป็นเพื่อน ถือว่าเป็นการลงหลักปักฐานในเมืองโดยแท้จริง
หัวหน้าผู้ตรวจการให้หลินเหราหยุดสิบวัน พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วเก้าวันแล้ว
วันรุ่งขึ้นหลินเหราต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยลาดตระเวนเสียแล้ว
ในคืนนี้ เหยาซูจึงตระเตรียมชุดคลุมยาวที่ต้องใส่ในวันที่รุ่งขึ้นให้เขา อีกทั้งหยิบรองเท้าหุ้มข้อเท้าคู่ใหม่ออกมาวางข้างเตียงเตรียมเอาไว้ให้
ภายใต้แสงไฟจากตะเกียงน้ำมัน เด็กทั้งสามได้เข้าสู่ห้วงนิทราอยู่ในห้องที่อบอุ่นและเงียบสงัด
เมื่อเห็นเหยาซูยังคงเก็บของ หลินเหราจึงได้เอ่ยเรียกนางด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อาซู นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยเก็บของต่อก็ยังไม่สาย”
เหยาซูพยักหน้าพร้อมกับมือที่ไม่มีท่าว่าจะหยุด จากนั้นก็พูดกับเขาว่า “ท่านไปล้างหน้าบ้วนปากก่อน ท่านกลับมาข้าก็คงเก็บของเสร็จพอดี”
เมื่อหลินเหราล้างหน้าบ้วนปาก เปลี่ยนเป็นชุดจงอีสำหรับนอนแล้ว เหยาซูเพิ่งจะเก็บเสื้อผ้าที่ต้องใช้ในสองสามวันนี้เสร็จ
หญิงสาวยังไม่วางใจโดยสมบูรณ์ จึงนั่งซ่อมเสื้อผ้าที่ขาดของอาจื้ออยู่หน้าโต๊ะตัวเล็ก พลางกำชับเขาสองสามประโยค
“อาเหรา ท่านไม่ใช่ผู้ที่ชอบหาเรื่องใส่ตัว แต่นิสัยกลับเย็นชา บางครั้งก็อาจเผลอไปล่วงเกินผู้อื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ …. ยิ่งไปกว่านั้นท่านก็เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกในหน่วยลาดตระเวนครั้งแรก ทุกอย่างต่างดูแปลกใหม่ไปเสียหมด ในวันปกติยังต้องระมัดระวังตัว อย่าให้ใครมาลอบกัดได้”
หลินเหราคลุมผ้าให้เด็ก ๆ พลางตอบกลับว่า “ข้ารู้แล้ว”
เมื่อเห็นเขาไม่ได้ใส่ใจนัก ดวงตาคู่งามของเหยาซูจึงค้อนใส่เขา “ท่านรู้? แล้วเมื่อวานที่พี่ใหญ่เจิ้งอันมาดื่มเหล้า ได้กำชับอะไรท่านไว้เล่า?”
เหล่าบุรุษเวลาดื่มสุรานั้น บางครั้งแม้จะยังไม่ได้ดื่มมากมายนักแต่ก็พรั่งพรูสารพัดเรื่องออกมาเสียสิ้น
เจิ้งอันมีนิสัยที่ตรงไปตรงมา เพราะดื่มเยอะแล้วจึงจำใบหน้าที่ดูเย็นชาในวันปกติของหลินเหราไม่ได้ กระทั่งกระชากคอเสื้อของเขาพลางพล่ามอย่างไม่หยุดหย่อน
ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดล้วนต้องการกำชับเขา ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าล่วงเกินชายชราในหน่วยลานตระเวนกลุ่มนั้นโดยเด็ดขาด
คนกลุ่มนั้นมักยึดมั่นแต่ความคิดของตนเอง ทำงานอยู่ในหน่วยลาดตระเวนมาครึ่งค่อนชีวิต เปลี่ยนหัวหน้าหน่วยลานตระเวนมาแล้วไม่รู้กี่คน พวกเขากลับยังไม่เคยย้ายรังคล้ายกับรากที่ฝังลึกไม่มีทางถอนได้ ทางที่ดีที่สุดอย่าหาเรื่องก็พอ
หลินเหรารู้ว่าเหยาซูเป็นห่วงเขา จึงเดินมาหน้าโต๊ะ วางน้ำอุ่นถ้วยหนึ่งข้างมือนาง
เขาโน้มตัวเล็กน้อยและพูดกับนางด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ข้าจดจำคำพูดของพี่ใหญ่เจิ้งอันได้ขึ้นใจ อาซู เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”
เหยาซูกัดริมฝีปากล่าง ก่อนจะพึมพำคล้ายกับโกรธเคืองเล็กน้อยว่า “ข้าวางใจลงมากแล้ว ไฉนเลยต้องเป็นห่วง? แค่เห็นว่าท่านเป็นพวกไม่ชอบคบค้าสมาคมกับผู้อื่น ขืนถูกผู้อื่นกลั่นแกล้งก็คงโง่เขลาไม่รู้เรื่องรู้ราว!”
ความงามภายใต้แสงตะเกียง แม้จะหน้านิ่วคิ้วขมวด ก็ล้วนสวยงามจนไม่อาจละสายตา ชายหนุ่มดูตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนขยับเข้ามาใกล้อย่างเงียบ ๆ
น้ำเสียงทุ้มต่ำที่แฝงไปด้วยความแหบพร่าของชายหนุ่ม เห็นได้ชัดว่าน่าหลงใหลอย่างมากในค่ำคืนที่เงียบเหงาเช่นนี้ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “เจ้ากำลังเป็นห่วงข้าใช่หรือไม่ อาซู?”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาและถามกลับว่า “ข้าเป็นภรรยาของท่าน ไม่ควรเป็นห่วงท่านงั้นหรือ?”
เพียงชั่วพริบตาจากนั้น นัยน์ตาของฝ่ายชายก็เปล่งประกาย
เหยาซูไม่รู้ว่าเหตุใดตัวเองจับพลัดจับพลูโพล่งประโยคนี้ออกมาเสียได้
เมื่อเอ่ยจบก็รู้สึกเสียใจ อดกำเข็มที่อยู่ในมือไม่ได้ หญิงสาวจึงตั้งใจก้มหน้างุดเงียบ ๆ ไม่กล้ามองปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่าย
เสี้ยวหน้าด้านข้างของเหยาซูถูกปกคลุมด้วยแสงสีทองจากแสงตะเกียง มันช่างดูอบอุ่นและนุ่มนวลมากอย่างเห็นได้ชัด เส้นผมปรกลงมาตามไหล่ แสงสะท้อนกลับที่ดูอ่อนแรงขับให้ห้องดูเงียบสงบเนิ่นนาน
ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ไม่อาจต้านทานประโยคของนางที่ว่า ‘ข้าเป็นภรรยาของท่าน’ ได้ ชั่วพริบตาเดียวความรู้สึกที่นับไม่ถ้วนก็ถาโถมเข้าในใจของหลินเหรา
“อาซู….” ฝ่ายชายก้มหน้าลงเพราะไม่อาจควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ ไม่สามารถต้านทานแรงกระตุ้นที่อยากเข้าใกล้หญิงสาวได้อีกต่อไป เมื่อริมฝีปากบางได้สัมผัสกับเปลือกตาของนาง ลมหายใจก็พลันหนักหน่วงขึ้นทันใด
เมื่อเหยาซูตระหนักได้ถึงเจตนารมณ์ของฝ่ายชาย ใบหน้าก็แดงระเรื่อ
บรรยากาศในยามราตรีช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก ไม่เหมือนตอนกลางวัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนพื้นดินผืนนี้ล้วนถูกความมืดมิดปกคลุม กลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้
ความกระวนกระวายใจและเขินอายในตอนนี้ของนางเหนือยิ่งกว่าสิ่งใด หญิงสาวไม่มีทางปล่อยให้หลินเหรากระทำการใด ๆ ต่อไปได้
เหยาซูจึงหลบเลี่ยงไปด้านหลังอย่างว่องไว จากนั้นก็เริ่มเย็บผ้าในมือต่อก่อนจะพูดเสียงเบา ๆ ว่า “พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า ท่านรีบเข้านอนเถอะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเหราจำต้องควบคุมตัวเองไว้และหยุดพฤติกรรมต่อจากนี้ลง
ใบหน้าอันงดงามและอ่อนโยนของนางอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงคืบ ผิวที่เนียนละเอียด ใบหน้าด้านข้างที่ไร้ที่ตินั้นถูกแสงตะเกียงปกคลุมจนดูสีอ่อนลง แม้แต่เสียงลมหายใจบางเบาของนางก็ล้วนเหมือนตั้งใจยั่วเย้าอารมณ์ที่อ่อนไหวของหลินเหรา
“อื้อ” ฝ่ายชายตอบสั้น ๆ แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะถอย “เจ้ายังไม่นอนหรือ?”
เห็นได้ชัดว่าเป็นประโยคที่ฟังดูไม่ค่อยปกตินัก ประกอบกับเสียงที่แหบพร่าของเขา เหยาซูถึงได้ยินเหมือนเป็นคำเชื้อเชิญอย่างจงใจอย่างไรอย่างนั้น
มือขวาที่จับเข็มของนางสั่นเทาเล็กน้อย ทันใดนั้นปลายเข็มก็ได้ทิ่มลงบนนิ้วชี้ข้างซ้าย เลือดสีแดงสดซึมออกมาในชั่วพริบตาเดียว
“อ๊ะ!”
ความเจ็บปวดดึงความสนใจของเหยาซูกลับมา แต่สิ่งที่รวดเร็วยิ่งกว่าสมองของนางก็คือมือของหลินเหรา
เขาคว้ามือซ้ายของเหยาซูอย่างรวดเร็ว “ไม่เป็นไรใช่หรือไม่? เหตุใดถึงทิ่มได้เล่า?”
ปลายเข็มแวววาวถูกย้อมเป็นสีแดงดูสะดุดตา หัวใจของหลินเหราสั่นรัว จากนั้นก็ดึงนิ้วชี้ของเหยาซูเข้าปากด้วยจิตใต้สำนึกทันที นัยน์ตาที่ลึกล้ำเหลือคณานั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ท่าน ท่านปล่อยข้าก่อน!”
ทันใดนั้นเหยาซูก็สัมผัสได้ว่าเลือดตามร่างกายนั้นต่างพากันสูบฉีดขึ้นมาบนใบหน้า “แค่โดนทิ่มเท่านั้น ข้าไม่เป็นไร…”
ชายหนุ่มไม่สนใจคำคัดค้านของเหยาซู…
ภายในห้องนั้น นอกจากเสียงลมหายใจอย่างสม่ำเสมอของเด็กทั้งสามแล้ว ยังมีเสียงหัวใจที่เต้นระรัวไม่หยุดของผู้ใหญ่ทั้งสองคนอีกด้วย
“เรียบร้อย” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำแฝงไปด้วยพลัง กระตุ้นให้หัวใจของเหยาซูเต้นเร็วรัวได้เป็นอย่างดี แม้แต่ตัวเองก็เริ่มควบคุมการเต้นของหัวใจชไม่ได้ “ข้า ข้าไปนอนก่อนนะ เจ้าก็รีบพักผ่อนเถอะ”
เมื่อพูดประโยคนี้จบลง หลินเหราก็ก้มหน้างุด ไม่กล้ามองเหยาซูอีก เขาหมุนตัวหนีไปทันที
ชายหนุ่มก้าวขึ้นเตียงอย่างรวดเร็ว เขาทิ้งตัวนอนอีกด้านหนึ่งของเด็กทั้งสามคน พร้อมกับสมองที่เต็มไปด้วยความคิดสับสนวุ่นวาย
ความทรงจำที่ชัดเจนเพียงอย่างเดียวกลับเป็นปลายนิ้วที่เย็นเล็กน้อยของเหยาซู…
รสสัมผัสที่แปลกประหลาดนั้นต่างพากันถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง ทำให้เขาเกือบควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่
หลังจากที่ปฏิกิริยาตอบสนองของลมหายใจและร่างกายต่างสงบลง หลินเหราจึงได้แอบมองไปยังทิศทางของเหยาซูแวบหนึ่ง กลับเห็นว่านางยังคงนั่งอยู่ข้างตะเกียงน้ำมัน คล้ายเหม่อลอย กำลังครุ่นคิดถึงปัญหาที่ยากจะแก้ไขอยู่
“อาซู” เขาขานเรียกนางเบา ๆ “รีบนอนเถอะ”
ราวกับถูกเสียงของหลินเหราปลุกให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์ เหยาซูส่งเสียง “อือ” จากนั้นก็ตอบกลับไปว่า “นอนแล้ว ท่านนอนก่อนเถอะ”
หลินเหราตอบรับ จากนั้นก็บังคับให้ตัวเองหลับตาลง พยายามขับไล่ภาพที่ยังคงดื้อดึงปรากฏอยู่ในสมอง….
เรื่องที่เขาไม่รู้ก็คือ ภายในใจของเหยาซูไม่ได้เงียบสงบกว่าเขาสักเท่าใด
หลินเหรานอนหลับอย่างสงบไปแล้ว แต่หญิงสาวกลับพลิกตัวไปมา กระทั่งซานเป่าตื่นขึ้นมาเพราะหิวกลางดึก จึงป้อนนมให้เด็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนผ้าอ้อมและข่มตานอนลงอีกครั้ง
เช้าวันต่อมา ในตอนที่เหยาซูหาวหวอดพร้อมกับลุกขึ้นมานั่งนั้น ท้องฟ้าก็สว่างมากแล้ว
ผ้าห่มผืนอื่นบนเตียงถูกพับซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เหลือเพียงแค่นางและซานเป่าที่หลับลึกคล้ายกับหมูน้อย
หญิงสาวขยี้ตาเล็กน้อย กระทั่งได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากในลานบ้าน จึงตะโกนเรียกเด็กทั้งสองคน “ต้าเป่า เอ้อเป่า”
อาจื้อและอาซือขานรับพร้อมกัน และพากันวิ่งเข้ามาในห้อง
เด็กสาวตัวน้อยพูดขึ้นด้วยเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ท่านแม่! ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?”
เหยาซูพยักหน้า พร้อมกับเบี่ยงสายตาไปด้านหลังอย่างลังเล ทว่ากลับไม่เห็นเงาสูงใหญ่ที่มักจะปรากฏออกมาในช่วงเวลาเช้าตรู่เสมอ
อาจื้อยื่นหน้าไปที่เตียงมองดูน้องชายที่กำลังหลับอย่างสบายแวบหนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มพลางพูดกับเหยาซูว่า “ท่านพ่อออกไปแล้วขอรับ”
เหยาซูจึงได้สติทันใด วันนี้หลินเหราต้องไปหน่วยลานตระเวนนี่นา
หญิงสาวส่งเสียงกระแอมเบา ๆ “เหตุใดต้องเป็นตอนนี้ด้วย? ว่าแต่ข้าไม่เห็นจะได้ยินเสียงพวกเจ้าตื่นนอนเลย”
อาจื้อกระพริบตาปริบ ๆ และมองไปทางเหยาซู “ท่านพ่อบอกว่า เมื่อคืนท่านแม่ไม่ได้พักผ่อน ก็เลยไม่ให้เราเสียงดังปลุกท่านตื่น”
สมองของเหยาซูว่างเปล่าไปชั่วขณะ ยังไม่ทันได้สติกลับมาก็ได้ยินเสียงอาซือพูดต่อว่า “อื้อ ท่านพ่อยังบอกอีกว่า ระหว่างรอท่านแม่ตื่น ให้ตั้งเตาอุ่นอาหารเช้า เดี๋ยวข้ากับท่านพี่จะไปยกอาหารเช้ามาให้นะเจ้าคะ”
ประโยคนี้เหมือนกับเตือนอาจื้อ เด็กผู้ชายจึงยืดตัวขึ้นทันใด จากนั้นก็วิ่งไปยังห้องครัว
…………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
จะใจอ่อนจนเผลอตัวให้กับผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีในนามหรือเปล่าน้า
ไหหม่า(海馬)