บทที่ 199 วันข้างหน้าเถิงเอ๋อจะเป็นพ่อค้าหรือ?
อาจื้อพยักหน้า “ห่วงเก้าปริศนานั้นยากมาก! ข้าพยายามหาวิธีแก้ปมที่ง่ายที่สุดมาตลอด พี่เถิงเอ๋อแก้ปมได้อย่างไร? คราวต่อไปต้องสอนข้าด้วย!”
เด็กชายยิ้มพลางพยักหน้า
อาซือไม่ค่อยเจอกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเท่าไรนัก อีกทั้งยังยอมเล่นกับตัวเอง ในใจจึงรู้สึกดีใจไม่น้อย
อาจื้อและญาติผู้พี่ทั้งสองคนต่างก็เป็นเด็กผู้ชาย ชอบขี่ม้า และอยากออกไปข้างนอก แต่นางไม่อยากไป
นางยอมเล่นเก้าห่วงปริศนาครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ในบ้านดีกว่า เพราะไม่อยากวิ่งเล่นจนเหงื่อออกเปียกชุ่มกลับมา
ทั้งสามคนพูดคุยกันเจี้อยแจ้วไปตลอดทาง เดินเอ้อระเหยกันกลับบ้าน ระหว่างนั้นก็แวะไปดูต้นหยูสักหนึ่งรอบ น่าเสียดายที่ไม่เห็นตอนที่มันออกผลที่มีลักษณะคล้ายกับเหรียญกษาปณ์ จึงทำได้แค่ล้มเลิกความตั้งใจ
ไม่นานก็ถึงช่วงเวลาพลบค่ำ รถม้าของฮูหยินเจี่ยงมารออยู่นอกประตูบ้านของเหยาซูแล้ว
เถิงเอ๋อได้บอกลาสหายทั้งสองคนและขึ้นรถม้าไป
กระทั่งรถม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากซอย เถิงเอ๋อจึงเปิดม่านและโผล่หน้าออกมามอง เห็นอาจื้อและอาซือยังยืนอยู่ที่เดิมรอส่งเขาจากไป
อาจื้อปรายตามองเขาจากนั้นก็พูดคุยบางอย่างกับน้องสาวที่อยู่ข้างกาย ใบหน้าของอาซือก็เผยรอยยิ้มกว้างออกมาทันที ก่อนจะชูมือโบกลาเถิงเอ๋อที่ไกลออกไป
กระทั่งมองไม่เห็นแม้แต่เงาด้านหลัง เถิงเอ๋อจึงกลับเข้ามานั่งในรถม้าตามเดิม พร้อมกับจิตใจที่เฝ้ารอคอยที่จะได้เจอกันในคราวต่อไป
…
หลายวันนี้ อาการบาดเจ็บของเหยาเฉาดีขึ้นมากแล้ว เขารู้ว่าค่ายของจวนตรวจการมีเรื่องราวต้องจัดการมากมายในช่วงต้นวสันตฤดู จึงเลิกหยุดพักและกลับมายังจวนตรวจการ
พี่สะใภ้รองเหยาดูแลเขาตลอดหลายวันที่ผ่านมา ครั้นเห็นเหยาเฉากลับไปทำงาน จึงเอ่ยเรื่องที่ต้องการกลับหมู่บ้านตระกูลเหยาและพาเหยาเอ้อหลางมาฝากไว้ที่บ้านของเหยาซู
เหยาซูไม่เข้าใจ “เหตุใดพี่สะใภ้รองต้องรีบกลับ? กว่าจะได้อยู่กับพี่รองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่อยู่ต่ออีกหน่อยหรือ?”
พี่สะใภ้รองเหยาส่ายหน้า “ช่วงฤดูวสันต์ ไม่เพียงแต่งานของเหยาเฉาที่มากขึ้น เรื่องในบ้านก็ยุ่งวุ่นวายไม่แพ้กัน ท่านพ่อต้องรับหน้าที่ปรับหน้าดินของหมู่บ้านตระกูลเหยาทั้งหมด ช่วงสองสามวันนี้พี่ใหญ่ต้องเตรียมตัวไปรับซื้อของจากทางตอนใต้ ในบ้านก็เลยมีแค่ท่านแม่และพี่สะใภ้ใหญ่สองคนเท่านั้น จะปล่อยให้ยุ่งกันเองแบบนั้นได้อย่างไร?”
เหยาซูโน้มน้าวนางอยู่หลายครั้ง พี่สะใภ้รองเหยาก็ยังยืนยันที่จะกลับ หญิงสาวจึงทำได้แค่พยักหน้าและพูดว่า “พี่สะใภ้วางใจเถอะ เอ้อหลางอยู่ที่นี่กับข้า จะได้เป็นเพื่อนเล่นอาจื้อและอาซือพอดี ในวันปกติจะได้ช่วยกันอ่านหนังสือได้”
พี่สะใภ้รองเหยายิ้มและพูดว่า “ข้าไม่ได้เป็นห่วงเขาหรอก หนังสือ ไม่อยากอ่านก็ช่างเถอะ ขอเพียงตลอดเวลาที่เอ้อหลางอยู่กับเจ้าที่นี่ สร้างปัญหาให้ข้าน้อยลงก็พอ!”
เหยาเอ้อหลางเป็นเด็กที่ซุกซนยิ่ง แม้ว่าจะเป็นมารดาบางครั้งพี่สะใภ้รองเหยาก็อดที่จะโยนเขาออกไปไม่ได้
ตอนนี้เหยาซูช่วยดูแลเขาให้นาง กลับมาคราวนี้คงจะสงบลงมากทีเดียว
พวกผู้ใหญ่กำลังวางแผนอย่างไร เด็กทั้งสามคนกลับไม่ใส่ใจ
เหยาเอ้อหลางดีใจที่ไม่มีใครคอยควบคุม กระทั่งไม่คิดด้วยซ้ำว่าท่านแม่กลับหมู่บ้านตระกูลเหยา และทิ้งเขาไว้ในเมืองเพียงลำพัง กลางวันก็ตามท่านอาและลูกพี่ลูกน้อง ตกดึกก็กลับไปนอนกับท่านพ่อ ไม่เห็นจะมีส่วนไหนแปลกไป
ครั้นเหยาซูเห็นเขาปรับตัวได้มากแล้ว จึงไม่ได้พูดสิ่งใดมากนัก
ช่วงวสันตฤดูนี้ อาจื้อและอาซือจะพากันเล่นอย่างเต็มที่
ไม่เพียงแต่ญาติผู้พี่ที่พามาอยู่ด้วยกันแล้ว ยังมีสหายคนใหม่ที่ได้รับเพิ่มเข้ามาอย่างเถิงเอ๋ออีกคน พวกเขาสี่คนล้วนแต่มีเรื่องใหม่ ๆ ให้ทำทุกวัน
เพื่อดูแลร่างกายของเถิงเอ๋อ พวกเขาจึงเจียดเวลาครึ่งวันมานั่งอ่านตำราเขียนหนังสือไม่ก็วาดภาพอยู่ในห้องหนังสือ
โดยส่วนใหญ่จะทำงานฝีมือ เล่นการละเล่นอยู่ในลานบ้าน ไม่ก็ออกไปเดินเที่ยวเตร่ข้างนอก
ในช่วงเวลานี้มักจะมีวันที่อากาศดี มีแสงแดดเจิดจ้าและมีลมโชยพัดเย็นสบาย เหยาซูหยิบว่าวที่ไม่รู้ว่าไปหามาจากที่ใดจำนวนสองชิ้นขึ้นมา จากนั้นก็พาเด็ก ๆ ไปเล่นว่าวในทุ่งหญ้าของทิศตะวันตกของเมือง
เถิงเอ๋อเหมือนกับลูกม้าที่เพิ่งจะหัดเดินได้ไม่นาน เขามองโลกใบใหม่ภายนอกด้วยความสนใจ พลางหยั่งเชิงย่างเท้าก้าวเดินออกไป
ตลอดช่วงวสันต์ เขาเคยป่วยอยู่คราหนึ่งแต่ก็ไอแค่สองสามครั้งเท่านั้น
บางทีอาจเพราะอยากมาเล่นกับเพื่อน คืนแรกจึงตั้งใจกินยา เช้าวันที่สองก็เลยดีขึ้น
เรื่องของฮูหยินเจี่ยงได้รับการจัดการอย่างรวดเร็ว แต่กลับยังคงส่งเถิงเอ๋อมาที่นี่
ในตอนที่เด็ก ๆ กำลังเล่นอยู่นั้น นางอยู่กับเหยาซูอีกด้านหนึ่งกำลังดูชาดที่นางทำและสินค้าตัวใหม่ บางครั้งก็เข้าไปสำรวจในร้านหนึ่งรอบ เพื่อสัมผัสกับความสบายใจของชีวิตใหม่ในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งนั้นทำให้นางตัดใจไม่ลง
เช้าตรู่วันนี้อาจื้อและเหยาเอ้อหลางถูกพาไปค่ายของจวนตรวจการ ส่วนอาซืออยู่บ้านกับเถิงเอ๋อ
ลูกม้าที่มาจากเขตทิศตะวันตกในค่ายของจวนตรวจการเล็กเกินไป เหล่าทหารก็ยังไม่มีเวลาฝึกฝน สองสามวันนี้จึงกลายเป็นชื่นชอบของเด็กทั้งสองคน
ทุกสามถึงห้าวัน หลินเหราจะพาพวกเขาสองคนไปค่าย ไปช่วยจูงม้าเดิน และให้ลูกม้าเคยชินกับการฝึกฝนของเจ้าของ
ส่วนอาซือและเถิงเอ๋อ คนหนึ่งไม่ได้สนใจ อีกคนก็ร่างกายไม่แข็งแรงจึงไม่เคยพาออกไป
เด็กทั้งสองคนกลับเล่นด้วยกันอยู่อีกด้านหนึ่ง เพราะไม่มีบุคคลภายนอก จึงนั่งเล่นเก้าห่วงปริศนาอยู่ตรงข้ามกันจนเวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงบ่าย
วันนี้เถิงเอ๋อได้อ่านหนังสือที่เขานำมาจากบ้านให้อาซือฟังเป็นครึ่งวัน เด็กหญิงตัวน้อยไม่อยากให้เขาเหนื่อย จึงเสนอให้ทั้งสองคนแข่งขันกันว่าใครแก้ปมเก้าห่วงปริศนาได้เร็วกว่ากัน
เถิงเอ๋อตอบรับอย่างยินดีปรีดา
โชคดีที่วันนี้เหยาซูและเจี่ยงฉีไม่ได้ออกไปข้างนอก ทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่ข้าง ๆ
เจี่ยงฉีมองไปยังเด็กทั้งสองคนที่นั่งเล่นด้วยกันเพียงลำพังอีกด้าน แต่แล้วจู่ ๆ ก็คิดบางอย่างขึ้นได้ จึงพูดขึ้นอย่างเบิกบานใจราวกับเป็นเรื่องตลกว่า “เจ้าเดาสิเมื่อวานที่กลับบ้านไป เถิงเอ๋อแอบพูดกับข้าว่าอย่างไร?”
มือของเหยาซูยังคงเคลื่อนไหว บดกลีบดอกกล้วยไม้ที่ฮูหยินเจี่ยงนำมาให้อย่างละเอียด ครั้นได้ยินจึงวางไม้บดลง และเอ่ยถามว่า “พูดว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
ฮูหยินเจี่ยงขยับเข้ามาใกล้ กดเสียงให้เบาลงแต่กลับแฝงไปด้วยความขบขัน “เขาบอกว่า อาซือชอบเล่นเก้าห่วงปริศนา อนาคตจะให้คนทำหยกรูปเก้าห่วงปริศนาสักชิ้น …เพื่อมอบให้อาซือเป็นของหมั้น!”
ครั้นเหยาซูได้ยินก็ตกตะลึง จากนั้นก็หัวเราะออกมา “ของหมั้น? เถิงเอ๋อเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง กลับมีความคิดเช่นนี้แล้ว!”
เจี่ยงฉีก็พยายามกลั้นขำอย่างยากลำบาก แต่กลับไม่กล้าที่จะหลุดหัวเราะออกมากลัวว่าลูกชายจะได้ยิน จึงยังคงพูดเสียงเบาว่า “สองสามวันนี้ไม่รู้ไปได้ยินใครพูดอะไรมา เขาพร่ำบอกข้าทุกวัน วันข้างหน้าอยากจะสู่ขออาซือ! แบบนี้ต่อไปคงจะได้เล่นด้วยกันทุกวัน!”
เหยาซูขบขันกับคำพูดของเด็กคนนี้ จนไม้บดที่อยู่ในมือเริ่มสั่นคลอน จากนั้นก็หัวเราะออกมาในที่สุด “ท่านกลับบ้านไปบอกเถิงเอ๋อเถอะ เรื่องแต่งงานข้าตกลง ขอแค่เขาจำได้ว่าต้องทำหยกเป็นรูปเก้าห่วงปริศนา!”
คนในยุคสมัยนี้มักจะชอบหยกเหมือนกัน หยกที่ไร้ตำหนิบ่งบอกถึงพฤติกรรมอันสูงส่งของสุภาพบุรุษ แม้แต่หยกขนาดเล็กก็ยังมีมูลค่าถึงสองตำลึงเชียว… หากจะทำหยกเป็นรูปเก้าห่วงปริศนา อย่าว่าแต่ช่างที่มีฝีมือจะหายากแล้ว หยกขนาดใหญ่เพียงนี้หาง่ายแต่ไม่มีใครต้องการ
คนทั่วไปไม่แม้แต่จะกล้าคิด เถิงเอ๋อกลับกล้าพูด!
เหยาซูและฮูหยินเจี่ยงพร้อมใจกันหัวเราะสนุกสนาน เห็นเรื่องที่เขาพูดเป็นเรื่องน่าตลกขบขัน
เด็กทั้งสองคนนั้นไม่รู้ว่าพวกผู้ใหญ่กำลังหัวเราะเรื่องของพวกเขา เวลานี้ทั้งสองคนล้วนใจจดใจจ่อกับการแก้ปมเก้าห่วงปริศนาของแต่ละฝ่าย จึงไม่ได้ยินเสียงรอบตัว ท่าทางจริงจังนั้น กลับคล้ายกันอย่างมาก
“พี่เถิง ข้าแก้ได้แล้ว!” อาซือหันไปมองเด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยความดีอกดีใจ “พี่ล่ะ?”
เจี่ยงเถิงยังคงใจจดจ่ออยู่เช่นเดิม สายตาไม่เคยละออกจากเก้าห่วงปริศนา พลางตอบกลับเพียงสั้น ๆ “ใกล้แล้ว”
อากัปกิริยานั้นของเขาดูช่ำชองมาก เหมือนกับคิดไว้ในใจแล้วว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปและขยับหวงไปมาอย่างราบรื่น
อาซือชอบวิเคราะห์เก้าห่วงปริศนามากจริง ๆ ตั้งใจดูขั้นตอนการแก้ห่วงของเจี่ยงเถิง อยากรู้ว่าเขาจะใช้วิธีการไหน
แต่หลังจากดูไปดูมา สายตาของนางก็อดชำเลืองไปมองใบหน้าของเจี่ยงเถิงไม่ได้
เด็กผู้ชายคนนี้มักจะป่วยบ่อยอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะองค์ประกอบทั้งห้าบนใบหน้าของเขามีกลิ่นอายแห่งความเศร้าหมองอยู่บาง ๆ
หลายวันมานี้อาซือมั่นใจว่าตนนั้นเห็นมากับตาตัวเอง แค่วิ่งสองครั้งเขาก็เหนื่อยหอบแล้ว เล่นหุ่นไม้ด้วยกัน ก็ให้เขาออกคำสั่งอย่างเดียว
อาซือคิดมาตลอดว่าผู้ชายควรจะกล้าหาญมีพละกำลังเหมือนกับผู้เป็นพ่อ ไม่ก็เป็นเลิศในด้านวรรณกรรมและเฉลียวฉลาดปนขำขันเหมือนกับท่านลุง
พี่เถิงช่างละเอียดอ่อนยิ่งนัก ทั้งยังอ่อนช้อยมากกว่าผู้หญิงอีกด้วย
นับตั้งแต่ที่อยู่ด้วยกันมาตลอดหนึ่งเดือน อาซือค่อย ๆ เปลี่ยนท่าทีของเจี่ยงเถิงที่นางไม่เคยเห็นและไม่สมเหตุสมผลกลายเป็นความพิเศษอย่างหนึ่งของคนใกล้ชิดกับนาง
เด็กน้อยเริ่มตระหนักได้ว่าทุกคนล้วนแตกต่างกัน พี่เถิงเองก็น่าจะแตกต่างจากคนอื่นเช่นกัน
“เรียบร้อย” เด็กผู้ชายแสดงสีหน้าดีใจ “ข้าเองก็แก้ปมเสร็จแล้ว”
เก้าห่วงปริศนาที่อยู่ในมือของเขาแม้แต่ห่วงที่ติดกันก็ได้รับการแก้ออก และถูกวางอยู่ข้างมืออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อาซือคิดว่ามันงดงามแปลกตายิ่งนัก
เถิงเอ๋อถอนหายใจด้วยความโล่งอก เล่นห่วงจนนิ้วมือแข็งไปหมด ก่อนจะชื่นชมจากใจจริงว่า “น้องอาซือ เจ้าชนะข้าทุกครั้ง ยอดเยี่ยมจริง ๆ”
อาซือยิ้ม “พี่เถิงเองก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน เห็น ๆ อยู่ว่าคราวที่แล้วยังแก้ปมนี้ไม่ได้เลย ข้าบอกไม่กี่คำพี่ก็ทำเป็นแล้ว”
สำหรับคำชื่นชมของอาซือนั้น เถิงเอ๋อแสดงความดีใจอย่างชัดเจน เขาเม้มปากและเผยรอยยิ้มออกมา
ความจริงแล้วเจี่ยงเถิงไม่ได้กระตือรือร้นอยากจะแก้ปมเก้าห่วงปริศนานี้ แต่อาซือชอบเขาจึงเอากลับไปศึกษาที่บ้าน แล้วค่อย ๆ ทำความคุ้นเคย
ขอแค่ให้น้องอาซือนั้นมีความสุข ต่อให้เป็นเกมที่ยากกว่านี้ เขาก็ยินยอมจะลองเป็นเพื่อนนาง
กระทั่งได้ยินอาซือพูดว่า “พี่เถิงเคยเล่นพ่อแม่ลูกหรือไม่?”
เจี่ยงเถิงไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด “ครั้งนี้จะเล่นเป็นอะไรเล่า? เล่นเรื่องสวี่เซียนและนางพญางูขาวดีไหม?”
‘ตำนานเรื่องนางพญางูขาว’ เป็นเรื่องเล่าที่เหยาซูเคยเล่าให้พวกเด็ก ๆ ฟังก่อนนอน อาซือจำได้ เมื่อสองสามวันก่อนนางเคยเล่นกับพี่ ๆ พวกเขาเคยเล่นเรื่องนี้
แต่อาซือเลือกเป็นนางพญางูขาว เหยาเอ้อหลางมักจะแย่งบทพระเถระรูปนามว่า ‘ฝาไห่’ อาจื้อก็เลยต้องเลือกบทสวี่เซียนที่เหลืออยู่ ส่วนพญางูเขียวอีกตัวก็ยกให้เถิงเอ๋อแสดงไป
เหยาเอ้อหลางพูดอย่างมีเหตุมีผล “เถิงเอ๋อดูค่อนไปทางเขียวคล้ำ งูเขียวก็ค่อนไปทางเขียวคล้ำพอดี สมควรให้เขาเป็นที่สุดแล้ว”
อาซือกลับคิดว่าพี่เถิงคงไม่ดีใจแน่ที่ตัวเองได้รับบทปีศาจนี้ แถมยังเป็นปีศาจผู้หญิงอีก
เด็กหญิงยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูเขา คราวต่อไปจะต้องได้บทดี ๆ แน่นอน
ครั้นเห็นเจี่ยงเถิงถามอาซือก็พูดอย่างจริงจัง “นางพญางูขาวก็ไม่ดี งั้นเรามาเล่นเป็นตัวเองกันเถอะ! ตัวเองหลังจากนั้นสิบปี … ข้าคิดว่า หลังจากนี้สิบปี ข้าน่าจะกลายเป็นวีรสตรี ที่สร้างชื่อเสียงเลื่องลือให้กับเมืองหลวง…อะไรทำนองนั้น? วาดภาพเขียนหนังสือคงจะธรรมดาเกินไป…”
เถิงเอ๋ออดจินตนาการไม่ได้ หลังจากนั้นสิบปีตัวเองจะเป็นอย่างไร ดูเหมือนเขาจะไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน…
สุดท้าย ทั้งสองคนก็เลือกต่างกัน คนหนึ่งเลือกเป็นวีรสตรีที่สร้างชื่อเสียงให้กับเมืองหลวง ส่วนอีกคนก็เลือกเป็นเศรษฐีที่ตระกูลมั่งคั่งร่ำรวย เริ่มเล่นเป็นวัยหนุ่มสาวที่จากกันเนิ่นนาน ไม่ได้เจอกันตลอดสิบปีแล้ววนกลับมาเจอกันอีกครั้ง
ฮูหยินเจี่ยงและเหยาซูเหมือนได้ดูเรื่องราวของตัวเอง ความจริงแล้วตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็เบนความสนใจส่วนใหญ่มาที่เถิงเอ๋อและอาซือ มองพวกเขาสองคนเล่นพ่อแม่ลูกอย่างจริงจัง จนอดขบขันไม่ได้
เหยาซูก้มหน้าลงดมดอกกล้วยไม้ที่อยู่ในครกบด ก่อนจะเอ่ยถามเจี่ยงฉีด้วยความอยากรู้เล็กน้อยว่า “อนาคตเถิงเอ๋ออยากจะเป็นพ่อค้าหรือ? ดูเหมือนเขาไม่น่าสนใจเรื่องทำการค้าเลยนะ”
………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ไม่แน่ว่าการละเล่นตอนเด็กอาจเป็นตัวกำหนดอนาคตก็ได้นะคะ เหมือนในเรื่องขุนช้างขุนแผน
แต่ได้เห็นเถิงเอ๋อมีชีวิตชีวาขึ้นก็น่าดีใจแล้วค่ะ
ไหหม่า(海馬)