ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 218 สับสนกับเรื่องขี้ปะติ๋ว

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 218 สับสนกับเรื่องขี้ปะติ๋ว

เช้าวันรุ่งขึ้นเจี่ยงฉีได้พาเถิงเอ๋อมาส่งตั้งแต่เช้า ทันทีที่ลงจากรถม้า เหยาซูก็เห็นใบหน้าที่แสดงออกถึงความดีใจอย่างไม่ปิดบัง จึงอดถามขึ้นด้วยความแปลกใจไม่ได้ “มีเรื่องน่ายินดีหรือ? พี่เจี่ยงถึงได้อารมณ์ดีเช่นนี้”

หญิงสาวยิ้มและพูดกับเหยาซูเบา ๆ ว่า “อะแฮ่ม ประเดี๋ยวข้าขอคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว”

เจี่ยงฉีไล่เถิงเอ๋อไปเล่นกับอาจื้อและอาซือ จากนั้นก็ตามเหยาซูเข้าไปในห้อง

กระทั่งพวกนางทั้งสองนั่งลง รอยยิ้มของนางก็ยังไม่จางหายไป

เหยาซูกำลังชงชา แต่กลับถูกเจี่ยงฉีกดมือไว้และได้ยินนางพูดว่า “อาซู วันนี้เจ้านั่งเถิด เดี๋ยวข้าชงชาเอง”

จากนั้นก็เห็นนางลุกขึ้นมารินน้ำร้อน หยิบใบชา ทำการชงชาอย่างคล่องแคล่งดั่งน้ำที่ไหลริน จากนั้นก็รินชาหนึ่งจอกให้เหยาซู

การกระทำเหล่านี้ เหยาซูถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำได้แค่นั่งมองว่านางจะมาไม้ไหน

เจี่ยงฉีรินน้ำชาจอกหนึ่งให้ตัวเอง จู่ ๆ ก็ยกจอกชาขึ้น ชนจอกชาและพูดกับเหยาซูว่า “วันนี้ไม่มีสุรา ข้าดื่มชาแทนก็ได้ ข้าดื่มให้เจ้าหนึ่งจอก”

เหยาซูยิ้ม “พี่เจี่ยงจะไม่พูดถึงเหตุผลหน่อยหรือเจ้าคะ ว่าเหตุใดถึงดื่มให้ข้า?”

เจี่ยงฉีมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น “ที่น้องเคยกล่าวไว้กับข้าก่อนหน้านั้น ช่วยข้าและเถิงเอ๋อ… ตอนนั้นข้าไม่ได้ใส่ใจ เมื่อวานตระกูลเจี่ยงได้รับข่าว บอกว่าก่อนหน้านั้นหนึ่งวันมีคนแซ่เหยาไปนอนค้างอ้างแรมในหอนางโลมแห่งหนึ่ง เช้าวันที่สองเดิมทีจะต้องขึ้นศาลาว่าการ แต่กลับไม่ได้ไป คนในศาลาว่าการพากันค้นหาอยู่ครึ่งวัน แทบจะพลิกหอนางโลมค้นหาเลยทีเดียว แต่ก็ยังไม่เจอ”

มือที่ไม่ได้ถือจอกชาของนางสั่นระริกเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “ตระกูลเจี่ยงไม่ได้แตะต้องเขา แม้ว่าคนแซ่เหยาผู้นั้นจะล่วงเกินผู้อื่นไม่น้อย แต่โดยส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถลบล้างร่องรอยของเขาจนสะอาดเกลี้ยงได้ คนที่ข้าคิดได้ ก็มีแค่เจ้าเพียงคนเดียวน้องรัก จอกนี้เพื่อเป็นการขอบคุณจากข้าและเถิงเอ๋อ พรุ่งนี้ข้าจะไปขอบคุณเขา”

เหยาซูรู้ว่าคนที่นางเอ่ยนั้นหมายถึงหลินเหรา ตอนนั้นเขาได้เสนอความคิดให้นางพานายอำเภอเหยาไปซีเป่ย

แต่หากเป็นฝีมือของหลินเหราจริง เหตุใดนางถึงไม่เคยได้ยินเลยเล่า?

ครั้นเห็นเหยาซูวางจอกน้ำชาลง เจี่ยงฉีก็เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “อาซู?”

หญิงสาวยิ้มพลางส่ายหน้าก่อนจะพูดว่า “เช้าตรู่ของเมื่อวานนายอำเภอเหยาได้หายตัวไป แต่ตอนที่อาเหรากลับบ้านมาเขาไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้กับข้า พี่เจี่ยงสู้รออีกสักสองสามวันเถิดเจ้าค่ะ ไว้ข้าจะถามอาเหราให้ ถ้านายอำเภอเหยาหายตัวไปจริง ๆ ถึงตอนนั้นค่อยขอบคุณก็ยังไม่สาย”

หัวคิ้วของเจี่ยงฉีคลายออก ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ อย่างนั้นก็แล้วแต่เจ้าแล้วกัน”

เหยาซูเห็นนางมีสภาพจิตใจดีขึ้น ราวกับว่าความหมองมัวที่เกาะกุมในใจมานานหลายปีได้จางหายไปหมดสิ้น หญิงสาวจึงอดดีใจแทนอีกฝ่ายไม่ได้ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เพราะนายอำเภอเหยาหายตัวไป พี่เจี่ยงถึงได้ดีใจขนาดนี้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”

เจี่ยงฉีพูดว่า “มันแน่นอนอยู่แล้ว! ไอ้คนชาติชั่วเช่นนี้ หายตัวไปนั่นแหละดีที่สุดแล้ว! ไม่ว่าจะตายหรือถูกใครจับตัวไป ขอแค่ไม่สร้างผลกระทบต่อเถิงเอ๋ออีกก็เพียงพอแล้ว ถ้าถูกลากไปทรมานทรกรรมอย่างสาสมอยู่ในนรก ข้าคงได้ยิ้มเยาะอยู่ในความฝัน!”

เหยาซูเองก็รู้สึกว่าเรื่องที่นายอำเภอเหยาหายตัวไปโดยไร้ข่าวคราวเช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเจี่ยงฉีและเถิงเอ๋อ

หญิงสาวเองก็พูดขึ้นอย่างสบายใจว่า “ต่อไปพี่เจี่ยงก็คงจะนอนหลับฝันดีแล้ว”

เจี่ยงฉีเข้าใจความหมายในคำพูดของเหยาซู ราวกับรู้ว่านายอำเภอเหยาจะไม่มีทางกลับมาแล้วก็มิปาน ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินว่าเรื่องยุ่งยากเหล่านี้จะต้องเป็นฝีมือของหลินเหรามาช่วยจัดการแก้ไขเป็นแน่ จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “น้องอาซูยังจะทำเป็นไม่รู้เรื่องอีก เห็น ๆ อยู่ว่าตั้งใจหลอกผู้อื่น”

เหยาซูพบว่าตัวเองได้หลุดปากพูดไปแล้ว จึงทำได้แค่หัวเราะอย่างจนปัญญา

นางขยับจอกชาในมือ บอกทุกอย่างกับเจี่ยงฉี แต่กลับไม่รู้ว่าจะเอ่ยเรื่องทุกข์ใจเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นกับหลินเหราเมื่อวานได้อย่างไร

เห็นกันอยู่ว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อน แต่เหยาซูกลับเก็บเรื่องของหลินเหรามาใส่ใจโดยไม่รู้ตัว

ความรู้สึกนี้เหมือนกับมีหนามเล็กหนึ่งอันกำลังทิ่มแทงผิวหนังของนาง รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่เจ็บ แต่กลับทำให้หงุดหงิดใจได้ไม่น้อย

เจี่ยงฉีดูออกว่าเหยาซูมีเรื่องไม่สบายใจ “เมื่อครู่ข้าเอาแต่ดีใจ อาซูมีเรื่องไม่สบายใจใช่หรือไม่?”

เหยาซูพยักหน้า คิ้วขมวดเข้าหากันและเอ่ยถามว่า “พี่เจี่ยง ท่านเคยทะเลาะกับคนใกล้ชิดบ้างหรือไม่เจ้าคะ?”

เจี่ยงฉีเข้าใจในทันที สองคนนี้น่าจะมีเรื่องบาดหมางกันแน่นอน

นางจึงเอ่ยถาม “มีปากเสียงกับอาเหราของเจ้าใช่หรือไม่?”

เหยาซูยิ้มเพราะชื่นชอบกับคำว่า ‘อาเหราของเจ้า’ สี่พยางค์นี้ ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ถือว่ามีปากเสียงหรอกเจ้าค่ะ แค่ข้าพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด อาเหราก็เลยดูไม่พอใจ”

เจี่ยงฉีขมวดคิ้วครุ่นคิด บุรุษอย่างหลินเหรา เหยาซูไปพูดอย่างไรถึงทำให้เขาไม่พอใจเสียได้

“ไปชื่นชมบุรุษคนอื่นต่อหน้าเขาหรือ?”

เหยาซูส่ายหน้าด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ไม่ใช่แน่นอน”

เท่าที่รู้จากการพูดคุยกับเหยาซูในวันปกติ จะเห็นได้ว่าเหยาซูนั้นมีนิสัยอ่อนโยน เพียงแต่บางครั้งก็ดูหัวรั้นไปบ้าง แต่ชายหนุ่มที่นิสัยเย็นชาอย่างหลินเหรา กลับทุ่มเทเอาใจใส่เหยาซูอย่างจริงใจ

สามีภรรยาคู่นี้ ไม่มีทางจะบาดหมางกันเรื่องใหญ่โตแน่นอน

เจี่ยงฉีจึงเอ่ยถาม “นอกเหนือจากนี้ ข้าก็คิดไม่ออกแล้วว่าคำพูดอะไรถึงทำให้ภูเขาน้ำแข็งอย่างเขาไม่พอใจได้”

เมื่อเหยาซูได้ยินนางใช้ฉายาที่ไว้ล้อเลียนหลินเหราในตอนที่นางพูดคุยกับเจี่ยงฉี เดิมทีคำเรียกนี้ควรจะทำให้นางยิ้มอย่างผ่อนคลาย แต่วันนี้กลับจี้ใจนางไม่น้อย

หญิงสาวทอดถอนใจ จากนั้นก็คล้อยตามคำพูดของนางว่า “ต่อไปข้าจะไม่เรียกเขาว่าภูเขาน้ำแข็งแล้ว ภูเขาน้ำแข็งไม่มีทางโกรธข้ามคืนเพราะคนอื่นกล่าวหาว่าเขามีนิสัยเย็นชาหรอกเจ้าค่ะ”

อีกฝ่ายจึงทำได้แค่ใช้หัวข้อสนทนานี้มาพูดเกริ่นนำ

เจี่ยงฉีรู้สึกแปลกใจไม่น้อย “อาเหราของเจ้าโกรธงั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้กระมัง?”

เหยาซูพยักหน้าด้วยความลำบากใจ “เขาไม่พูดกับข้าเลยตลอดทั้งคืน ตอนเช้าก็ไม่กล่าวทักทาย ออกจากบ้านไปทั้งอย่างนั้น”

หญิงสาวแค่รู้สึกว่าหลินเหราจะออกจากบ้านไปอย่างเงียบ ๆ ในสภาพจิตใจที่ยังขุ่นมัวตอนเช้าเท่านั้น แต่ไม่คาดคิดว่าเวลาส่วนใหญ่ในวันอื่น หลินเหราก็ยังออกไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ปลุกนาง

ครั้นเจี่ยงฉีเห็นเหยาซูกลัดกลุ้มใจเพราะความไม่สบอารมณ์เล็ก ๆ นี้ ก็ไม่รู้ว่าเหตุใด ในใจของนางถึงรู้สึกอิจฉาในความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาอย่างพวกเขา

หญิงสาวจิบน้ำชาหนึ่งอึกก่อนถามต่อว่า “แล้วเจ้าพูดกับเขาว่าอย่างไร ไหนลองเล่ามาสิ”

เหยาซูเล่าเรื่องที่พวกเขาคุยกันเมื่อวานให้เจี่ยงฉีฟังอย่างละเอียด พยายามวิเคราะห์ปัญหา โดยไม่ใช้อารมณ์

เมื่อเจี่ยงฉีฟังจบ คิ้วของนางก็ค่อย ๆ ขมวดหากัน “เจ้าพูดเรื่องตระกูลหลิน ตระกูลหลินที่ทำให้นิสัยของหลินเหราเปลี่ยนไปจนถึงวันนี้?”

เหยาซูพยักหน้า “ข้ารู้สึกว่าสภาพแวดล้อมของหลินเหรา เป็นสาเหตุหลักในการก่อเกิดนิสัยในวันนี้ของเขา”

เจี่ยงฉีทอดถอนใจและพูดว่า “อาซู ว่าตามจริงนะ เจ้ากำลังคิดว่าการที่หลินเหรามีนิสัยเช่นนี้มันไม่ดีใช่หรือไม่?”

เหยาซูหยุดชะงัก ก่อนจะพูดอย่างไม่เป็นธรรมว่า “ข้าไม่ได้พูดเช่นนี้ ข้าแค่รู้สึกว่า ถ้าตระกูลหลินยุติธรรมกับอาเหรา ก็น่าจะดีกว่านี้ นิสัยของเขาคงไม่เย็นชาเช่นนี้ และอาจจะมีปฏิสัมพันธ์กับมิตรสหายได้มากขึ้น มีความทรงจำที่อบอุ่นมากขึ้น”

ทั้งสองคนไปมาหาสู่กันเนิ่นนาน แต่เจี่ยงฉีรู้จักหลินเหราเพียงผิวเผินเท่านั้น

หญิงสาวมองเหยาซูและพูดอย่างอบอุ่นว่า “อาซู ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดี แต่หลินเหราก็คือหลินเหรา เหตุการณ์ที่พบเจอตั้งแต่เด็กจนโตหล่อหลอมให้เขาเป็นเขาในวันนี้ ไม่ต้องสมมติอะไรทั้งนั้น เรื่องในอดีตจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ คนในอดีตได้เปลี่ยนไปในทางที่ดียิ่งขึ้นแล้ว เขาผ่านความอยุติธรรม ผ่านความหมางเมิน ผ่านเรื่องราวที่ไม่ดีมาก็จริง แต่นี่ก็นับเป็นส่วนหนึ่งของเขา”

เหยาซูกัดริมฝีปากล่าง พยักหน้าบ่งบอกว่าตัวเองนั้นเข้าใจแล้ว

เจี่ยงฉีจึงพูดต่อว่า “นี่คือเขา ถ้าเขารักเจ้าจริง ทั่วทั้งร่างกายของเจ้าก็ล้วนดีสำหรับเขา ดวงตาที่งดงาม รูปคิ้วที่งดงาม แม้แต่รัศมีโค้งของริมฝีปากก็ล้วนงดงามทั้งสิ้น วันข้างหน้ารูปร่างของเจ้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ใบหน้าจะเกิดริ้วรอย เขาก็จะยอมรับด้วยความยินดี ไม่มีสมมติว่า ‘ถ้ากาลเวลาเมตตาต่อเจ้า คงจะให้เจ้ามีริ้วรอยบนหน้าผากน้อยลงสักเส้นสองเส้น’ เปลี่ยนเป็นเจ้ามองเขาแล้วก็ไม่น่าจะต่างกันหรอกกระมัง?”

“เจ้าเคยบอกว่าหลินเหราอ่อนไหวต่อความรู้สึก เขาสามารถตีความรายละเอียดในคำพูดของเจ้าได้โดยที่เจ้าไม่รู้ตัว อาซู หลินเหรารักเจ้า และลึกซึ้งมากกว่าที่เจ้าคิดไว้เสียอีก”

เหยาซูเบิกตากว้างอย่างช้า ๆ คิดพิจารณาถึงคำพูดของเจี่ยงฉี เงียบงันเนิ่นนาน

นางคิดว่าคนในสมัยโบราณไม่เข้าใจความรัก หลินเหราเองก็ไม่เคยแสดงความรักอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้กับนางมาก่อน

แต่ทุกการวิเคราะห์ของเจี่ยงฉี ล้วนแต่จี้ใจเหยาซูอย่างหนักหน่วง

ยากนักที่นางจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่อธิบายความรู้สึกอัดอั้นในใจไม่ได้เช่นนี้ แรกเริ่มนางรู้ดีว่าคำพูดของตัวเองไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก แต่ในใจกลับยังโทษหลินเหรา คิดว่าเขาไม่ควรทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็กล่าวขอโทษไปแล้ว

แต่ตอนนี้ นางกำลังรู้สึกเสียใจ

เจี่ยงฉีเห็นท่าทางน่าสงสารของอีกฝ่าย จึงอดยกมือขึ้นมากุมมือของเหยาซูด้วยความรักและสงสารไม่ได้ ก่อนจะยิ้มและพูดหยอกเย้าว่า “พวกเจ้าเป็นสามีภรรยากันมาเนิ่นนาน เหตุใดยังทำตัวเหมือนคนวัยแรกรุ่นอยู่ได้ เอะอะก็ไม่สบอารณ์จนหน้าดำหน้าแดงอย่างนี้หรือ? ข้าล่ะขบขันพวกเจ้าจริง ๆ”

เหยาซูก้มหน้าลงอย่างละอายใจ ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ไม่ถึงกับไม่สบอารมณ์หรอก….”

เจี่ยงฉีมองนาง และพูดอย่างทอดถอนใจ “เห็นได้ชัดว่าเจ้าทำการค้าได้อย่างช่ำชองและมีไหวพริบ และมักจะคิดถึงผู้อื่นที่อยู่ตรงหน้าในทุกด้านเสมอ เหตุใดเรื่องขี้ปะติ๋วเหล่านี้ถึงสับสนเสียได้เล่า? สาเหตุเป็นเพราะอายุยังน้อยจริง ๆ หรือ?”

เหยาซูคัดค้าน “พี่เจี่ยงก็ยังไม่โตสักหน่อย”

เจี่ยงฉีตีมือของเหยาซูเหมือนกับน้องสาวคนหนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างอ่อนโยน “ไม่ว่าจะอายุเท่าไร เรื่องที่ข้าประสบพบเจอมาก็มากกว่าเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นในสายตาข้าก็มองออกว่าเจ้าถูกปกป้องมาอย่างดี”

เหยาซูได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม ไม่พูดสิ่งใดทำท่าเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง

……………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อาเหราเป็นคนเงียบ ๆ แต่จริง ๆ แล้วคิดมากไม่แพ้อาซูเลยนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท