บทที่ 462 เหยาเอ้อหลาง
บทที่ 462 เหยาเอ้อหลาง
เจี่ยงเถิงช่วยเหลือผู้อื่นด้วยจิตใต้สำนึก หลังจากลงน้ำก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองนั้นประมาทเกินไป
ทะเลสาบในฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็นมาก ในตอนที่กระโดดลงไปได้ไม่นาน ความเย็นยะเยือกได้แทรกซึมเข้าไปในร่างกายไล่ไปตามกระดูก ในเวลาต่อมามือไม้แขนขาก็เริ่มแข็ง
เขาได้ยินเสียงตื่นตกใจนั้นของอาซือเช่นกัน แม้ว่าน้ำจะเย็นเยือกถึงกระดูก แต่ในใจกลับอบอุ่นไม่น้อย
หากแต่ก็กลัวจะถูกด่าหลังจากกลับไป เจี่ยงเถิงจึงนึกถึงเหตุการณ์นั้น จู่ ๆ พอให้รู้สึกเบิกบานใจยามถูกด่าได้บ้าง
โชคดีที่ตนเองกระโจนลงไปค่อนข้างใกล้กับเรือ ก่อนที่เส้นเลือดของเจี่ยงเถิงจะแข็งตัวเพราะความหนาว ในที่สุดเขาก็แตะถึงเสื้อผ้าของเด็กคนนั้น
แต่เด็กคนนั้นดิ้นพล่านค่อนข้างรุนแรง เจี่ยงเถิงจึงทำได้แค่พยายามดำขึ้นมาเหนือน้ำ แล้วตะโกนหนึ่งเสียง “อย่าขยับ ข้ามาช่วยเจ้าขึ้นฝั่ง”
เมื่อเด็กคนนั้นเห็นเขา จึงสงบเงียบในทันที
เจี่ยงเถิงรู้สึกประหลาดใจ
ในตอนที่เขาตะโกนออกไปนั้น คาดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะได้ยิน ถึงอย่างไรเวลาจมน้ำก็คงหมกมุ่นแต่จะเอาชีวิตรอด ความสามารถในการตระหนักรับรู้ต่อสิ่งเร้าภายนอกจึงถูกลดขอบเขตลง
อีกทั้ง คนที่จมน้ำตายโดยทั่วไป ถ้าสติตื่นตัวเช่นนี้ จะไม่ขยับตัวเลยหรือ?
แต่ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน เจี่ยงเถิงวางความหวาดระแวงเหล่านี้ลง แล้วคว้าตัวเด็กด้วยมือข้างเดียว พาว่ายไปหาหญิงสาวที่อยู่บนเรือ
ใครจะไปรู้เล่าว่าเด็กคนนั้นจู่ ๆ ก็ดิ้นพล่านอย่างรุนแรงอีกครั้ง
เจี่ยงเถิงแช่ตัวอยู่ในน้ำเย็นเนิ่นนาน เดิมทีก็แทบจะหมดแรงอยู่แล้ว ประกอบกับแรงดิ้นของเด็ก จึงทำให้ไม่สามารถว่ายไปข้างหน้าได้อย่างสมบูรณ์ จึงเกิดความร้อนใจ แล้วจู่ ๆ ขาก็เริ่มเป็นตะคริว
แย่แล้ว ขาเป็นตะคริว เจี่ยงเถิงสีหน้าพลันเย็นเยือก
ในตอนนี้เอง จู่ ๆ ก็มีใครคนหนึ่งว่ายน้ำมาตรงหน้าของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
เจี่ยงเถิงยังไม่ทันได้มองร่างเงาของคนผู้นั้นให้ชัดเจน เด็กคนนั้นได้ถูกโยนขึ้นเรือที่มีหญิงสาวอยู่อย่างปลอดภัย
“ช่วยคนยังชักช้า ผ่านไปหลายปีแล้วยังไม่มีความก้าวหน้าเลยนะ เจี่ยงเถิง” ชายคนนั้นกางแขนทั้งสองข้างขณะที่ยืนตากแดดอยู่บนแผ่นไม้พร้อมกับมองเจียงเถิงที่นอนตะแคงและหายใจเหนื่อยหอบ
เจี่ยงเถิงเช็ดน้ำบนใบหน้า พร้อมกับหรี่ตามองชายร่างสูงใหญ่ที่มีแสงสะท้อนอยู่ด้านหลัง ผ่านไปพักใหญ่จึงได้ขานเรียกด้วยความตื่นตกใจ “เหยาเอ้อ?!”
“เพิ่งนึกออกหรือไร” เหยาเอ้อเตะขาที่เป็นตะคริวของเจี่ยงเถิง “ดีขึ้นหรือไม่?”
เจี่ยงเถิงยิ้ม จากนั้นก็นอนกางแขนกางขาอยู่บนพื้น “ขอโทษนะ”
เหยาเอ้อหลางหลุดหัวเราะ ย่อตัวลงและกดขาของเจี่ยงเถิงไว้ กดจุดสองสามแห่ง แล้วนวดย้ำสองสามครั้ง “เอาละ รีบลุกขึ้นได้แล้ว”
เจี่ยงเถิงขยับขาสองสามครั้ง อาการตะคริวนั้นได้หายไปปลิดทิ้ง กล้ามเนื้อที่หดเกร็งผ่อนคลายลง มีแค่อาการปวดเมื่อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นทหารตั้งหลายปี ฝีมือที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ไม่ลดน้อยลงเลย”
“ไสหัวไปเลย” เหยาเอ้อหลางทำท่าจะเหวี่ยงหมัด เจี่ยงเถิงกลับมองเขาด้วยรอยยิ้มอย่างไม่หลบเลี่ยง
ทั้งสองคนระลึกถึงวันวาน หญิงสาวที่อยู่ข้างกายทนไม่ไหวอีกต่อไป น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเจือไปด้วยความสะอื้นอย่างรุนแรง “โจวเอ๋อของข้า เจ้าลืมตาขึ้นมามองแม่สิ!”
เหยาเอ่อหลางปวดหัวกับเสียงคร่ำครวญอันแสบแก้วหูของหญิงสาวผู้นั้น จึงเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายด้วยหัวคิ้วที่ขมวดเป็นปม “ลูกชายของเจ้าแค่สำลักน้ำ เจ้าจะร้องไห้คร่ำครวญให้เขาด้วยเหตุใด?”
เจี่ยงเถิงที่ไล่ตามมาอดหัวเราะไม่ได้
เหยาเอ้อหลางอยู่ในค่ายทหารมาหลายปี ทักษะฝีปากย่อมชนะขาดลอย
หญิงสาวยังคงร้องไห้คร่ำครวญ เด็กน้อยที่นอนอยู่ยังไม่มีเสียงใดตอบกลับมา เจี่ยงเถิงรู้สึกแปลกใจ รุดหน้าเข้าไปมองเด็กน้อย แล้วจู่ ๆ ใบหน้าก็ถอดสี ก่อนจะลองยื่นมือออกไปแตะปลายจมูกของเด็กน้อย
“เป็นอะไร?” เหยาเอ้อหลางไถ่ถาม
เจี่ยงเถิงส่ายหน้าให้กับเขาด้วยความจริงจัง
“ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเจ้า!” หญิงสาวที่เดิมทีคร่ำครวญปานขาดใจอยู่แล้ว จู่ ๆ ก็จ้องมองพวกเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ โชคดีที่เหยาเอ้อหลางรีบเข้าไปขวางไว้ทัน ไม่อย่างนั้นเจี่ยงเถิงที่ยืนอยู่บนเรือตอนนี้อาจจะถูกถีบลงไปในน้ำอีกครั้ง
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เหยาเอ้อหลางผลักหญิงสาวผู้นั้น ทำให้หญิงสาวล้มลงไปนั่งอยู่บนแผ่นไม้ ดุด่าพวกเขาด้วยดวงตาที่แดงฉาน แรกเริ่มก็โทษพวกเขาที่มาช่วยเด็กคนนี้ไว้ไม่ทัน ต่อมาก็กลายเป็นเพราะพวกเขา ไม่อย่างนั้นเด็กคนนี้ไม่มีทางจมน้ำตาย
เรือที่ตกแต่งประดับอย่างสวยงามโดยรอบกลับไม่มีลำไหนสนใจในตอนที่มีคนตกน้ำเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้กลับค่อย ๆ เข้ามาร่วมความคึกคักในเหตุการณ์นี้
เมื่อหญิงสาวเห็นผู้คนมากขึ้น เสียงด่าและเสียงคร่ำครวญจึงยิ่งทวีคูณ
ยิ่งเจี่ยงเถิงได้ยินก็ยิ่งไม่เข้าใจ หลังจากทุกอย่างเงียบลงก็ค่อย ๆ ได้สติกลับมา ดูท่าพวกเขาจะถูกหลอกเข้าแล้ว
“ช้าก่อน” เหยาเอ้อหลางขวางเจี่ยงเถิงที่กำลังจะรุดหน้าเข้าไป แล้วพูดเสียงต่ำว่า “เจ้าจะทำสิ่งใด?”
“ฟ้องศาล ไม่อย่างนั้นจะปล่อยให้นางพูดจาเหลวไหลอยู่ที่นี่หรือ?” เจี่ยงเถิงขมวดคิ้ว
“ไม่ต้องยุ่งยากเพียงนั้นหรอก” เหยาเอ้อหลางเลิกคิ้วสูง “ดูข้าแล้วกัน”
เขาเดินรุดหน้า มองลงไปยังหญิงสาวที่ตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอก เหยาเอ้อหลางมีรูปร่างสูงใหญ่ การมองผู้อื่นเช่นนี้เป็นการสร้างความกดดันให้กับคนผู้นั้นอย่างมาก ครั้นหญิงสาวถูกมองเช่นนี้ น้ำเสียงจึงค่อย ๆ เบาลง
“พวกเจ้าทำร้ายลูกชายของข้า หรือว่าต่อหน้าผู้อื่น ยังคิดจะฆ่าปิดปากข้าอีก?!” หญิงสาวยืนขึ้น เบิกตากว้างใส่เหยาเอ้อหลาง “เจ้ามาสิ ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก”
เห็นได้ชัดว่านางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เหยาเอ้อหลางมองเห็นมือที่สั่นระริก ซ่อนอย่างไรก็ซ่อนไม่ทันของนาง
“หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว เจ้าอยากได้เงินเท่าไร?”
หญิงสาวผู้นั้นไม่คิดมาก่อนว่าเหยาเอ้อหลางจะพูดเช่นนี้ ถึงขั้นตะลึงงันไปชั่วขณะก่อนจะยืดคอขึ้นพลางพูดว่า “ข้าไม่อยากได้เงิน พวกเจ้าสองคนต้องชดใช้ด้วยชีวิตให้ลูกชายของข้า!”
เหยาเอ้อหลางหลุดหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง การกระทำหยุดชะงักลงไปชั่วคราว “ก็ได้ ก็ได้ หยุดแสดงได้แล้ว เจ้าน่าจะมองออก แค่สถานะของเรา บุกไปถึงศาลาว่าการเจ้าก็เสียเปรียบแย่แล้ว รีบ ๆ พูดมาว่าข้าต้องโดนถลุงเงินจนหมดตัว”
หญิงสาวผู้นั้นคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าเอาอำนาจมาข่มขู่ผู้อื่น จึงได้แต่กัดฟันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ห้าร้อยตำลึง สำหรับพวกเจ้าแล้วคงไม่ถือว่ามากเกินไปหรอกนะ”
“ความจริงก็ไม่มากหรอก” เหยาเอ้อหลางพยักหน้า หลังจากที่แม่นางผู้นั้นผ่อนคลายลงแล้ว จู่ ๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อกะทันหัน เดินมาตรงหน้าของเด็กน้อยที่ไร้ลมหายใจ “เจ้าว่าเขาตายแล้ว ใช่หรือไม่?”
เมื่อถูกเหยาเอ้อหลางจ้องมอง หญิงสาวผู้นั้นก็รีบกลืนน้ำลายทันที แล้วพูดด้วยความหวาดผวาว่า “เมื่อครู่พวกเจ้าก็ลองแล้วไม่ใช่หรือ? เขาไม่หายใจแล้ว!”
เหยาเอ้อหลางพยักหน้า ทันใดนั้นก็ยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงไปบนหน้าอกของเด็กคนนั้น
เจี่ยงเถิงทนไม่ไหวเดินรุดขึ้นหน้า แล้วดึงเหยาเอ้อหลางออกมาพลางพูดเสียงเบา “เจ้าทำอะไร มีคนมองอยู่ตั้งมากมาย”
เหยาเอ้อหลางยิ้ม พลางเหยียบขยี้อยู่ใต้ฝ่าเท้าสองสามครั้ง จากนั้นก็พูดกับหญิงสาวผู้นั้นว่า “ในเมื่อเขาตายไปแล้ว ข้าจะให้เพิ่มอีกห้าร้อยตำลึง ว่าแต่จะให้ข้าทำอย่างไรกับศพของเขาล่ะ?”
“ไม่ได้!” ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนสีไปทันที จากนั้นก็เดินรุดหน้าเข้าไปผลักเหยาเอ้อหลาง
แต่ไฉนเหยาเอ้อหลางจะยอมให้ผลักออกได้ รีบเพิ่มราคา “เพิ่มอีกห้าร้อยตำลึง ข้าขาดกลองหนังพอดี ดูจากผิวหนังที่เนียนละเอียดของลูกชายเจ้าแล้วก็ถือว่าไม่เลวเลย ถึงอย่างไรเขาก็ตายไปแล้ว หนึ่งพันตำลึงแลกกับหนังของเขา ไม่คุ้มค่าหรือ?”
หญิงสาวผู้นั้นเกิดความลังเลในชั่วพริบตา เหยาเอ้อหลางกระซิบข้างหูของเจี่ยงเถิง เจี่ยงเถิงเป็นอันเข้าใจ ทันใดนั้นก็รุดหน้าเข้าไปหาหญิงสาวที่กำลังมึนงงผู้นั้น
“ไม่พูดเป็นอันว่าตกลงนะ” เหยาเอ้อหลางพูดกับหญิงสาวที่กำลังมึนงง
ขณะพูด เขาได้ชักมีดเล่มหนึ่งออกมาจากด้านหลัง จากนั้นก็ยกขึ้นสูงอย่างฉับพลันหมายจะแทงทะลุร่างกายของเด็กน้อย
“อย่านะ!” จู่ ๆ เด็กน้อยที่ควรจะนอนตายอยู่บนพื้นก็ลืมตาโพลงอย่างฉับพลัน ดวงตาที่แยกแยะขาวดำอย่างชัดเจนคู่นั้น ได้จ้องเขม็งไปยังมีดที่อยู่ห่างจากดวงตาของตัวเองอย่างไม่ลดละ
“อย่า”
เขาพูดซ้ำอีกครั้ง จากนั้นก็ค่อย ๆ เบนสายตาไปยังหญิงสาว ครั้นเห็นอีกฝ่ายเป็นลมล้มพับไปแล้วก็ได้หลั่งน้ำตาออกมาอย่างเงียบ ๆ
“ใต้เท้าโจว!” เหยาเอ้อหลางตะโกนเรียกอีกฝ่ายฉับพลัน
ชายชราร่างอ้วนผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังฝูงชน เช็ดเหงื่อบนใบหน้า แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ก็คุณชายเหยาเอ้อนี่เอง ข้าก็ว่าอยู่ทำไมคุ้นตานัก”
เจี่ยงเถิงมองคนผู้นี้ด้วยความคุ้นเคย หลังจากที่ครุ่นคิดพักใหญ่ก็จำได้ว่านี่คือหลาง[1] ของกระทรวงราชทัณฑ์ท่านหนึ่ง
“ข้าเห็นใต้เท้าโจวมานานแล้ว” เหยาเอ้อหลางยิ้มตาหยี “ท่านรู้หรือไม่ว่าจะจัดการกับสองคนนี้อย่างไร”
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว คนแก่อย่างข้าจัดการคนโป้ปดหลอกหลวงมามากมาย ต้องให้คำตอบที่ทำให้ท่านพึงพอใจแน่นอน” ใต้เท้าโจวพยักหน้าและโค้งทำความเคารพ
………………………………………………………………………………………………………………………….
*ชื่อหลาง เป็นตำแหน่งรองหัวหน้ากระทรวง
สารจากผู้แปล
เหยาเอ้อหลางปรากฏตัวตอนนี้เอง คงจะถอดแบบท่านน้าเขยมาไม่น้อยเลยนะคะ ดูแข็งแรงขึ้นแล้วก็ฉลาดขึ้นด้วย
หลอกผิดคนแล้วแม่ลูกคู่นี้
ไหหม่า(海馬)