บทที่ 611 เลือกอาวุธ
บทที่ 611 เลือกอาวุธ
ภายในจวนเหยา เหยาเอ้อหลางและซวีจ้าวเพิ่งกลับมาถึง กระทั่งเห็นเหยาเฉาและเสี่ยวเวยที่ออกมาต้อนรับอยู่ข้างหน้า
“ท่านพ่อ”
“อื้อ วันนี้ไปก่อเรื่องที่ไหนมาล่ะ?” เหยาเฉาได้แต่จนปัญญากับลูกชายที่ไม่เอาไหนของตัวเองในใจ แต่เมื่อเห็นว่าช่วงนี้เขาดูว่านอนสอนง่ายมากขึ้น น้ำเสียงจึงไม่ฟังดูเข้มงวดเกินไปนัก
“ลูกออกไปกินข้าว ไม่ได้ไปไหนไกล ท่านพ่อวางใจเถอะ เราไม่ได้ไปก่อเรื่องอย่างที่ท่านพ่อกล่าวหาแน่นอน”
“เหอะ ก็หวังให้เป็นเช่นนี้” เมื่อเหยาเฉากล่าวจบ ก็เดินออกไปข้างนอก โดยเสี่ยวเวยรีบเดินตามหลังไปติด ๆ ไม่ได้สนใจเหยาเอ้อหลาง ได้แค่เดินจากไปพร้อมกับเหยาเฉา
“บิดาของเจ้าไม่ค่อยดีกับเจ้างั้นรึ?”
แม้ว่าซวีจ้าวจะไม่เข้าใจหลักทำนองคลองธรรมในสังคม แต่ท่าทีที่เหยาเฉามีต่อเหยาเอ้อหลางกลับทำให้เขาดูออก เหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้ชื่นชอบเหยาเอ้อหลางนัก
แต่บางครั้งก็ไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าเหยาเอ้อหลางล้วนพูดมีเหตุผล แต่ทำไมถึงมีคนไม่ชอบด้วย
“ก็พอตัว คาดว่าท่านแม่คงจะมองอยู่ไม่ไกล ท่านพ่อกลัวท่านแม่ เพราะท่านแม่มักใส่ใจข้าเสมอ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
“ไอหยา ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงนี่ พาข้าไปดูสิ่งที่น่าสนใจหน่อยสิ”
กล่าวจบเหยาเอ้อหลางก็กอดไหล่ของซวีจ้าวเดินเข้าไปในลานบ้านของตัวเอง
หลังจากสั่งให้คนรับใช้ในลานบ้านออกไปแล้ว เหยาเอ้อหลางก็พาซวีจ้าวเข้าไปในห้อง
“เจ้าดูนี่ ของเหล่านี้คือของรักของหวงของข้า เจ้าชอบสิ่งไหนก็เลือกไปได้เลย ข้าให้เจ้า” ห้องที่เหยาเอ้อหลางพาซวีจ้าวเข้ามาคือห้องที่เต็มไปด้วยอาวุธ แม้ว่าจะมีจำนวนไม่เยอะ แต่ทุกชิ้นสัมผัสได้ถึงพลังภายใน ทำให้ดวงตาของซวีจ้าวเป็นประกายทันใด
สิ่งที่เขาชื่นชอบที่สุดคือการฝึกศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นอาวุธที่คล่องมือจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
“ไม่ต้องหรอก ตอนนี้อาวุธทหารดีที่สุดแล้ว”
ซวีจ้าวปฏิเสธข้อเสนอของเหยาเอ้อหลาง เขารู้ว่านี่คือความหวังดีของเหยาเอ้อหลาง แต่ถ้าจะให้เป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าไม่มีผลงานได้ลาภยศ เขารับไม่ได้จริง ๆ
อีกทั้งอาวุธในนี้ก็ดูเหมือนจะมีราคาสูงมากทีเดียว เชื่อว่ากว่าที่เหยาเอ้อหลางจะตามหาจนเจอจะต้องเสียหยาดเหงื่อไปไม่รู้ตั้งเท่าไร
“อย่าทำแบบนี้สิ เจ้าชอบชิ้นไหนก็หยิบไปเถอะ” ไม่ง่ายเลยที่เหยาเอ้อหลางจะมีความคิดเช่นนี้ บุญคุณของคนที่ช่วยชีวิตจะตอบแทนเล็กน้อยได้อย่างไร ให้มาเท่าไรก็ต้องคืนกลับไปเท่านั้น
“ไม่ต้อง”
“ซวีจ้าว เจ้ายังเกรงใจอะไรข้าอีก?”
“ใช่ว่าข้าจะเกรงใจเจ้า แต่ข้าไม่อยากได้จริง ๆ” ซวีจ้าวเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเหยาเอ้อหลางถึงได้ดื้อดึงเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ก็ได้ ไว้เจ้าต้องการเมื่อไร ก็ค่อยบอกข้าละกัน” ทั้งสองคนสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังเป็นเหยาเอ้อหลางที่ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ ซวีจ้าวคนนี้มั่นคงยิ่งนัก
“อื้อ”
“ซวีจ้าว เจ้าไม่รู้สึกบ้างหรือว่าชีวิตของเจ้าในตอนนี้ไม่น่าสนใจเลยแม้แต่น้อย? นอกจากการฆ่าฟันแล้วก็ไม่มีสิ่งเร้าอย่างอื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผู้อื่นยัดเยียดให้เจ้าทั้งนั้น แม้ว่าข้าจะไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไร แต่เจ้าก็ควรนึกถึงเรื่องที่ตัวเองอยากทำบ้าง?”
“เรื่องที่ข้าอยากทำ ก็คงจะเป็นการฆ่าศัตรูในสนามรบ”
“เจ้าไม่สนใจเรื่องอื่นเลยหรือ?”
“ไม่มี”
“เอาละ ข้าต้องทำความรู้จักกับเจ้าใหม่อีกครั้ง”
“หา?” ซวีจ้าวไม่เข้าใจความหมายของเหยาเอ้อหลางไปชั่วขณะ
“ถ้าเจ้าไม่รับอาวุธ งั้นก็ต้องดื่มกับข้า ตกลงหรือไม่?” เหยาเอ้อหลางเห็นซวีจ้าวมีท่าทีไม่เข้าใจ จึงไม่ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ
เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ ซวีจ้าวยามไม่ดื่มเหล้าช่างน่าเบื่อยิ่งนัก แต่ซวีจ้าวหลังดื่มเหล้าช่างนักสนใจมากทีเดียว
“ไม่ดื่มแล้ว ข้าคออ่อน”
ซวีจ้าวพบว่าเหยาเอ้อหลางมักชอบชวนเขาดื่มเป็นพิเศษ แต่เขาก็ไม่ได้ชอบพูดมากขนาดนั้น ทำไมเหยาเอ้อหลางถึงต้องมายุ่งในชีวิตเขาด้วย?
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เกลียดความรู้สึกนี่ แต่ความแปลกหน้านี้ทำให้เขาปรับตัวไม่ได้
“ก็ถ้าคออ่อนก็ยิ่งต้องฝึกกินให้มากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ มิเช่นนั้นเจ้าคงเป็นเพื่อนข้าไม่ได้”
เหยาเอ้อหลางมองซวีจ้าวอย่างจริงจัง ไม่อนุญาตให้เขาปฏิเสธ
ผลลัพธ์สุดท้าย ซวีจ้าถูกเหยาเอ้อหลางหลอกให้กินเหล้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ ตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ซวีจ้าวก็เถียงสู้เหยาเอ้อหลางไม่ได้
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่เหยาเฉาและเสี่ยวเวยออกจากจวนไปไม่นาน เขาก็ได้รับข่าวจากทหารรักษาพระองค์ ว่าได้จับคนที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่หน้าประตูวังได้หนึ่งคน อยากรู้ว่าเหยาเฉาจะไปไต่สวนด้วยตัวเองหรือไม่
ครั้นได้ยินข่าวสารนี้ ไม่นานทั้งสองคนก็เดินตามไปยังทิศทางของทหารรักษาพระองค์ทันที
ในฐานะที่เหยาเฉาเป็นผู้บังคับบัญชาของทหารรักษาพระองค์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรักษาความปลอดภัยขององค์จักรพรรดิ การที่มีคนมาชะเง้อแลมองอยู่หน้าประตูวัง หากเป็นชั้นผู้น้อยนับว่าไม่รู้จักกฎระเบียบอย่างมาก แต่ถ้าเป็นคนใหญ่คนโต นั้นถือว่ามีเจตนาไม่หวังดี เหตุใดถึงต้องอ่อนข้อให้
“พี่รอง อย่าเป็นกังวล ไม่มีปัญหาแน่นอน” เสี่ยวเวยล้วนอยู่ข้างกายเหยาเฉาเสมอ ย่อมเข้าใจความคิดของเหยาเฉาเป็นอย่างดี
คนอื่นมักมองเหยาเฉาเป็นคนที่จิตใจโหดเหี้ยม สูงส่ง แต่มีแค่เสี่ยวเวยเท่านั้นที่รู้ว่าเบื้องหลังของเหยาเฉานั้นเป็นคนแบบไหน
ถ้าไม่ใช่พี่รอง เขาคงไม่รอดชีวิตมาจนถึงวันนี้ ดังนั้นในใจของเขาจึงเต็มไปด้วยความตื้นตันที่มีต่อพี่รอง
“อื้อ หวังว่าจะเป็นเช่นนี้ เราไปดูกันเก่อนเถอะ”
“ขอรับ” จากนั้นเหยาเฉาก็เดินทางไปยังสถานที่ของทหารรักษาพระองค์ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปคุก
นี่คืออำนาจทางการทหาร จับใครได้ก็สามารถนำตัวมาไต่สวนก่อนแล้วค่อยส่งต่อไปยังส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการไต่สวนต่อไปแต่ถ้าทหารไต่สวนออกมาไม่ได้ คนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถคาดคั้นเอาคำตอบได้
“เป็นอย่างไรบ้าง?” เสี่ยวเวยตามขึ้น
“คนผู้นั้นไม่ยอมพูด แค่บอกว่าตัวเองจำทางผิด” ทหารรักษาพระองค์ค่อนข้างสนิทสนมกับเสี่ยวที่มักอยู่ข้างกายเหยาเฉาเสมอ ดังนั้นจึงไม่มีการระแวดระวัง
“เข้าใจแล้ว ข้าและใต้เท้าเหยาจะเข้าไปดู พวกเจ้าเฝ้าอยู่ข้างนอกละกัน”
“ขอรับ” กล่าวจบ เสี่ยวเวยและเหยาเฉาก็เดินเข้าไปข้างในด้วยกัน
แต่เรื่องที่เสี่ยวเวยคาดไม่ถึงก็คือ คนที่อยู่ข้างในไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็นผู้หญิง ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่มีหน้าตางดงามด้วย
ใคร ๆ ต่างรู้ว่าหญิงงามจะต้องมาในฐานะนักฆ่าไม่ก็ตั้งใจมาปลุกปั่นความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์และขุนนาง การสำรวจเส้นทาง…มีน้อยคนนัก
แต่เสี่ยวเวยคือคนที่ติดตามเหยาเฉาไปเจอโลกกว้าง ไม่มีทางไขว้เขวเพราะหญิงงามตรงหน้าเด็ดขาด
เพราะหญิงงามคือยาพิษ
“เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงมาวนเวียนอยู่หน้าวังด้วย?” หลังจากเหยาเฉาเข้ามาในคุกก็ทำการหาที่นั่ง แล้วมองเสี่ยวเวยอย่างเงียบ ๆ
ถึงอย่างไรเสี่ยวเวยก็เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากเขามาอย่างดี ประกอบกับความฉลาดของเสี่ยวเวย เขาจึงไร้กังวล
“ข้า…”
“อย่าบอกข้าว่าไม่มีอะไร ข้าเชื่อว่าคนที่ส่งเจ้ามาคงจะบอกเจ้าแล้วว่าทหารรักษาพระองค์ไม่เคยพูดไร้สาระ และจะไม่อดทนต่อพวกไร้สาระ”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าหมายถึงสิ่งใด ข้าเป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดาผู้หนึ่ง ข้าเห็นว่าที่นั่นสวยดี เลยอยากเข้าไปดู มันผิดมากนักหรือ?”