ตอนที่ 21 ยิ้มสักหน่อยเถิด
หลินเว่ยเว่ยหาได้สนใจไม่ นางแบกเขาไว้บนหลังแล้วเข้าไปส่งเขาในห้องนอน จากนั้นก็วางเขาไว้บนเตียง ยิ่งไปกว่านั้นยังประคองศีรษะของเขาอย่างระมัดระวังเพื่อให้นอนบนหมอน “อย่าขยับ ! ศีรษะของเจ้าน่าจะได้รับความกระทบกระเทือน หากเจ้ายังไม่ยอมทำตามที่ข้าบอกก็อาจอาเจียนออกมาอีก ! เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องอายหรอก บ้านของพวกเราอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน ระหว่างทางจึงไม่มีผู้ใดเห็นข้าแบกเจ้าหรอก ! ”
แบกหรือ ? ที่จริงมีเกวียนไม่ใช่หรือ ? เหตุใดเขาต้องมาถูกนางแบกไปตลอดทาง ? นางจงใจให้เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ ?
หลินเว่ยเว่ยเข้าใจสายตาของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี “เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด จงคิดตามข้า ! ตอนนั้นเจ้าหมดสติไป ท่านลุงผู้บังคับเกวียนกลัวว่าเจ้าจะตายบนเกวียนของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมให้เจ้าขึ้นเกวียนกลับมา ข้าจึงต้อง…”
“เช่นนั้นก็ขอบใจเจ้ามาก ! ” เจียงโม่หานคิดได้ว่าการที่สตรีนางหนึ่งต้องแบกเขาเดินมาไกลหลายสิบลี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องขอบคุณนางสำหรับน้ำใจนี้
“เอ่อ ไม่ต้องขอบคุณหรอก ขอแค่เจ้าไม่โมโห ไม่ทำท่าทีหงุดหงิดเช่นเด็กน้อย แค่นี้เจ้าก็น่ารักมากแล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยเทน้ำให้และรอจนเขาดื่มหมดถ้วย น้ำที่บ้านของเขาก็คือน้ำที่นางเอาออกมาจากมิติน้ำพุวิญญาณตั้งแต่เมื่อวานนี้ หากดื่มมากก็จะมีประโยชน์ยิ่งขึ้น !
หากเป็นเจียงโม่หานคนเมื่อวานพอได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ก็คงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้วรีบขับไล่นางออกไปจากห้อง แต่นี่ไม่ใช่ เขาเป็นผู้มีชีวิตมานานถึงสองภพสองชาติแล้ว เขาเรียนรู้ที่จะปรับสีหน้าโดยไม่แสดงความปีติยินดีและความโกรธออกมา เขาในตอนนี้เปรียบได้กับภูเขาไท่ซานที่ตั้งตระหง่านอย่างมั่นคง เจียงโม่หานเพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “น่ารักเช่นนั้นหรือ ? คำชมนี้ไม่สมควรใช้กับบุรุษ ! ”
หลินเว่ยเว่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “เจ้ายังเป็นเด็กหนุ่มอยู่เลย ! เลิกทำตัวเป็นคนแก่แล้วเลิกปั้นสีหน้าจริงจังเช่นนี้ได้แล้ว เจ้าควรมีความเป็นเด็กหนุ่มสักหน่อยสิ ! หากเป็นทุกข์ก็แสดงออกมาหรือหากเป็นสุขก็แสดงออกมาได้เช่นกัน เหตุใดต้องฝืนธรรมชาติด้วย ? ”
ภายในใจของเจียงโม่หานเกิดความสั่นไหวเล็กน้อย เขาเงียบพลางพิจารณาอยู่นาน จากนั้นก็ค่อย ๆ กล่าวว่า “ที่เจ้าเอ่ยมาก็มีเหตุผล ! ”
“เจ้าก็เห็นด้วยใช่หรือไม่ ? ในเมื่อเจ้าเองก็ยอมรับ เช่นนั้นก็ยิ้มสักหน่อยดีหรือไม่ ? มา ยิ้มเหมือนข้านี่…” หลินเว่ยเว่ยฉีกยิ้มหวานแสดงให้เห็นฟันสวยที่เรียงตัวกันเป็นซี่
เจียงโม่หานสถบออกมา “โง่เสียจริง ! ”
“เฮ้อ ! ก็แค่ยิ้มมิใช่หรือ ! ยิ้มสักหน่อยเถิด แล้วเจ้าจะรู้สึกได้ว่าชีวิตสวยงามเพียงใด เจ้าจะรู้ว่าพายุฝนและความทุกข์ทั้งหมดต้องพ่ายแพ้ให้แก่เรา ! ” หลินเว่ยเว่ยยื่นมือออกไปเพราะอยากดึงหน้าให้เขายิ้ม แต่เจียงโม่หานหลบได้เสียก่อน
“ระวัง ! อย่าขยับสุ่มสี่สุ่มห้าสิ ศีรษะของเจ้ายังมีบาดแผลฉกรรจ์อยู่ ! ” หลินเว่ยเว่ยประคองศีรษะของเขาเพราะไม่อยากให้แผลได้รับการกระทบกระเทือน
เจียงโม่หานเอ่ย “หากเจ้าไม่ทำตัววุ่นวายเช่นนี้ มีหรือที่ข้าจะขยับตัวหลบ ! ”
“เอาล่ะ ข้าไม่กวนเจ้าแล้ว ! เจ้าพักผ่อนเถิด อีกไม่นานท่านหมอก็คงมาถึง ! ” หลินเว่ยเว่ยทำราวกับสามารถอ่านใจคนได้ นางรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเขาเป็นอย่างดี
นางเป็นสตรีเช่นไรกัน ไม่รู้จักศีลธรรมจรรยา ไม่มีการแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างชายหญิง ทั้งยังใช้ชีวิตป่าเถื่อนและเอาแต่ใจอีกด้วย
จะว่าไปแล้วก็เข้าใจได้อยู่เพราะนางเคยโง่งมมาก่อน นางเพิ่งกลับมาเป็นปกติได้มินาน ก็เปรียบเสมือนผ้าขาวที่ยังไร้มลทิน แต่ท่าทีมีความสุขอย่างไร้เดียงสาเช่นนี้ไม่รู้จะคงอยู่ได้ถึงเมื่อใด ?
จู่ ๆ เจียงโม่หานก็เกิดความคิดที่อยากปกป้องความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาที่น่าขันนี้ไว้ ก็มันน่าขันจริงมิใช่หรือ ? เขาเป็นถึงโฉวฝู่ผู้เลือดเย็น เหตุใดจึงมีช่วงเวลาใจอ่อนเช่นนี้ ?
นางเฝิงพาหมอเหลียงเข้ามา หลินเว่ยเว่ยจึงลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับ “เอ๋ ? ท่านลุง เหตุใดท่านยังไม่กลับไปเล่า ? ” หลินเว่ยเว่ยเดินออกมาจากบ้านของนางเฝิงก็พบว่าเกวียนยังไม่ไปไหน ส่วนน้องสี่ก็นั่งตาใสแป๋วจ้องเกวียนอยู่ตรงประตู
ผู้บังคับเกวียนกล่าวด้วยเสียงฮึดฮัด “รีบย้ายตะกร้าของเจ้าลงเถิด หากยังไม่รีบย้ายลงไปอีก มีหวังว่าข้าคงกลับไม่ถึงบ้านในคืนนี้แน่ ! ”
หลินเว่ยเว่ยรีบยกตะกร้าลงแล้วยื่นหมั่นโถวที่ซื้อมาจากในเมืองให้เขาสองลูก จากนั้นก็เอ่ยขอโทษ “ท่านลุง ต้องขออภัยด้วย ! ข้ายกหมั่นโถวสองลูกนี้ให้ท่านไว้ทานระหว่างทาง”
คนบังคับเกวียนรับหมั่นโถวมาโดยมิได้กล่าวอันใด จากนั้นก็รีบบังคับวัวให้ลากเกวียนออกไป
หลินเว่ยเว่ยเดินเข้าประตูบ้านมาแล้ว ส่วนเจ้าหนูน้อยก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องของนางหวงแล้วหยิบขนมก้อนน้ำตาลออกมาอย่างเบามือราวกับมันคือสมบัติล้ำค่า “ท่านแม่ พี่รองซื้อขนมก้อนน้ำตาลให้ข้า หากท่านดื่มยาเสร็จแล้วกินมันต่อ ท่านก็จะไม่รู้สึกขมขอรับ ! ”
นางหวงลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบขนมก้อนน้ำตาลในมือของเด็กน้อยมาเพื่อป้อนใส่ปากของเด็กน้อยเสียเอง นางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แม่ไม่กลัวความขม ดังนั้นขนมก้อนนี้แม่ยกให้เจ้า”
เด็กน้อยยิ้มร่าแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าฝากไว้ที่ท่านแม่ก่อนแล้วพวกเราค่อยมากินด้วยกัน ! ท่านแม่ พี่รองยังซื้อแม่ไก่แก่ ๆ มาด้วย นางบอกว่าจะทำน้ำแกงให้ท่านดื่มขอรับ ! ”
เมื่อนางหวงเห็นว่าหลินเว่ยเว่ยเดินเข้ามาจึงกล่าวคล้ายตำหนิบุตรสาว “น้ำแกงกระดูกหมูเมื่อวานก็ยังดีอยู่มิใช่หรือ ! เหตุใดต้องซื้อแม่ไก่มาเพิ่ม ? แม่ไก่ตัวหนึ่งมีราคาสูงมิใช่หรือ ? ”
“ท่านแม่ แม้เราใช้เงินไปแต่ก็สามารถหาได้อีกมิใช่หรือ ! ตอนนี้งานของท่านคือการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ! ท่านอย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ ! ” หลินเว่ยเว่ยเห็นว่านางหวงยอมฟังคำแนะนำของตน อีกทั้งยังไม่มีท่าทีดึงดันว่าจะขอทำงานบ้าน ด้วยความดีใจนางจึงยิ้มกว้างให้มารดา
จากนั้นนางก็ยื่นซาลาเปาไส้เนื้อให้นางหวง “ท่านทานซาลาเปาก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะต้มน้ำแกงไก่ให้ท่านดื่มในตอนเย็น ! ”
“ลูกแม่คนนี้ เจ้าซื้อซาลาเปามาอีกแล้ว ! ซาลาเปาเนื้อลูกหนึ่งก็ตั้ง 3 อีแปะ…เหตุใดเจ้าจึงซื้อมันมา ? ” นางหวงกังวลว่าบุตรสาวจะใช้เงินโดยไม่ยั้งคิดจนเงินที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงหมดภายในเวลาไม่กี่วัน
เจ้าหนูน้อยที่อยู่ด้านข้างได้เอ่ยอย่างซื่อตรง “ท่านแม่ ตอนนี้ซาลาเปาราคาขึ้นเป็น 5 อีแปะแล้วขอรับ ! ”
“ว่าอย่างไรนะ? ผ่านไปเพียงไม่กี่วันราคาขึ้นมาตั้ง 2 อีแปะเชียวหรือ ? ” ซาลาเปาในมือของนางหวงเกือบร่วงลงพื้น
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้ารับ “วันนี้ราคาเส้นหมี่ แป้งและพวกเมล็ดพันธุ์ล้วนขึ้นราคาหมด ข้านำเงินที่ขายเนื้อกวางมาแบ่งให้ต้าฮว๋า ส่วนที่เหลือก็นำไปซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเจ้าค่ะ”
นางหวงเริ่มรู้สึกว่าซาลาเปาในมือไม่หอมเสียแล้ว นางถอนหายใจพร้อมกล่าวว่า “สวรรค์เอ๋ย หลังจากที่เริ่มฤดูใบไม้ผลิมาก็ยังไม่เคยมีฝนตกมาก่อน ตอนนี้ไร่นาก็แห้งผากไม่อาจปลูกสิ่งใดได้ เมื่อเกิดภัยแล้งก็ต้องกักตุนอาหารให้มาก ! ”
วันนี้แดดข้างนอกค่อนข้างดี หลินเว่ยเว่ยจึงช่วยพยุงนางหวงให้ออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้าง พวกนางมองแม่ไก่ตัวน้อยที่โดนผูกขาและกำลังกระพือปีกในลานบ้าน นางจึงอดถามมิได้ “ท่านแม่ ลานหลังบ้านของเรากว้างเช่นนี้ เหตุใดไม่เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่เจ้าคะ ? ”
“เมื่อก่อนเราเคยเลี้ยงหมูหนึ่งตัว แต่เพราะเรายุ่งเกินไปจึงไม่มีเวลาเลี้ยง สุดท้ายก็ต้องขายมันทิ้ง ส่วนไก่นั้น…ในหมู่บ้านของเราไม่ได้เลี้ยงไก่มานานแล้ว” นางหวงส่ายหน้าขณะกล่าว
หลินเว่ยเว่ยดื่มน้ำหนึ่งถ้วยแล้วหยิบถุงที่มีเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดขึ้นมา ก่อนจะหันไปบอกเด็กน้อยว่า “เจ้าอยู่บ้านคอยดูแลท่านแม่ ข้าจะไปปลูกเมล็ดพันธุ์เอง ! ”
นางหวงได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวเตือน “ปลูกเมล็ดพันธุ์ตอนนี้ไม่ช้าไปหรือ ? ”
“ข้าถามคนขายเมล็ดพันธุ์แล้วว่าอายุการเก็บเกี่ยวข้าวโพดอยู่ที่ 4 เดือน ตอนนี้เพิ่งปลายเดือนสี่และเท่าที่ข้าคำนวณไว้น่าจะได้เก็บเกี่ยวในเดือนเก้าเจ้าค่ะ ! ” หลินเว่ยเว่ยตอบอย่างมั่นใจ
นางหวงไม่อยากขัดความคิดของบุตรสาวจึงมิได้ห้ามเพราะหากปลูกไม่ขึ้นอย่างมากก็แค่เสียเมล็ดพันธุ์ไป แต่หากปลูกขึ้นก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขาดแคลนอาหารแล้ว
“พี่รอง ข้าจะไปช่วยท่านกลบดิน ! เมื่อก่อนตอนที่ท่านแม่จะหยอดเมล็ดพันธุ์ ข้าก็มักไปช่วยเสมอ พี่รอง พาข้าไปด้วยได้หรือไม่ ข้าเก่งมากนะ ! ” เจ้าหนูน้อยไม่อยากอยู่บ้าน เขาเป็นผู้ชายและอยากช่วยงานบ้าง !
“ได้ ! คาดมิถึงเลยว่าน้องสี่จะเป็นนักกลบเมล็ดพันธุ์ที่เก่งกาจ ! ” หลินเว่ยเว่ยให้เด็กน้อยแบกเสียมไปด้วย จากนั้นนางก็หิ้วถังน้ำสองใบและสองพี่น้องก็เดินออกจากบ้านไปอย่างอารมณ์ดี
ตอนต่อไป