ตอนที่ 47 สิ่งล่อใจที่ไม่อาจต้านทานได้
ตอนนี้เจียงโม่หานยังเป็นเด็กหนุ่มที่อยู่ภายใต้ความรักและความอบอุ่นของมารดา ครั้งนี้เขาจะเลือกเส้นทางเดินของตนใหม่ จะปกป้องคนที่เขารักทุกคนและไม่ให้ผู้ใดต้องพบกับอันตรายอีก !
เจียงโม่หานยิ้ม รู้สึกราวกับแสงจันทร์กำลังร่ายรำอยู่เคียงข้างตน ส่วนดวงดาวบนท้องนภาก็คล้ายถูกแสงจันทร์กลบจนเลือนลางไปหมดแล้ว
นางเฝิงชะงักไปเล็กน้อย “เฮ้อ…หานเอ๋อร์ของเราเติบโตมารูปงามเสียจริง ไม่เหมือนแม่ของเจ้าเลยสักนิด แต่ไปเหมือนยายของเจ้าเสียมากกว่า ที่แม่ตั้งใจสื่อก็คือหานเอ๋อร์หน้าตาเหมือนท่านยายของเจ้ามาก ตอนที่ท่านยายยังเป็นสาวแรกรุ่น นางได้รับการยอมรับว่าเป็นสาวงามแห่งเมืองหลวงเชียวนะ ! ”
เจียงโม่หานแสร้งไม่ได้ยินข้อบกพร่องในถ้อยคำของมารดา เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อยซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคนหนุ่มสาว “ท่านแม่ ร้านขายผลไม้อบแห้งในเมืองมีอยู่ไม่กี่ชนิด อีกทั้งรสชาติก็ธรรมดาทั่วไป ในเมื่อท่านทำผลไม้อบแห้งอร่อยก็สามารถร่วมมือกับเด็กอ้วนข้างบ้าน ให้นางขึ้นเขาไปเก็บผลไม้มาให้ จากนั้นท่านก็นำผลไม้มาทำเป็นผลไม้อบแห้ง รับรองเลยว่าต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่นอนขอรับ ! ”
นางเฝิงชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลองถามหยั่งเชิงบุตรชาย “หานเอ๋อร์ เจ้าดูถูกอาชีพค้าขายมาโดยตลอดมิใช่หรือ ? ”
“ท่านแม่ขอรับ เมื่อก่อนข้าอวดดีเกินไป ข้ายังไม่ประสีประสาต่อโลกนี้จึงทำให้มักใช้สายตาสูงส่งตัดสินเรื่องราวต่าง ๆ อยู่เสมอ แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว ข้าคิดว่าเมื่อก่อนทำตัวเป็นเด็กไร้เหตุผลเกินไป ! ยิ่งกว่านั้นพวกชาวนาก็มักนำผลผลิตและสินค้าที่ทำเองไปขายในเมืองเป็นประจำ พวกเราก็ไม่ใช่พ่อค้าแม่ค้าที่เปิดร้านค้าเป็นหลักเป็นแหล่งเสียหน่อย มันไม่ส่งผลกระทบต่อการสอบเป็นขุนนาง1ของข้าหรอก ฉะนั้นเหตุใดข้าต้องคัดค้านด้วยเล่า ? ”
เจียงโม่หานไม่อยากให้นางเฝิงต้องเดินข้ามภูเขาไปหลายสิบลี้เพื่อนำผ้าปักไปขายต่างเมือง หากผลไม้อบแห้งสามารถทำเงินให้มารดาได้ นางก็ไม่ต้องก้มหน้าก้มตาปักผ้าอย่างยากลำบากอีกต่อไป ตอนนี้มารดาใกล้สายตาเสียเต็มทีแล้ว
นางเฝิงกะพริบดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา รอยยิ้มบนใบหน้าของนางแสดงออกถึงความภาคภูมิใจที่มีอยู่เต็มเปี่ยม ในใจของนางพลางคิดว่าคุณหนู ท่านเห็นหรือไม่ ? หานเอ๋อร์โตขึ้นแล้วจริง ๆ…
เช้าตรู่วันต่อมา นางเฝิงได้แบกกระบุงไม้ไผ่ขึ้นหลัง ในมือถือพลั่วเล็ก ๆ พร้อมดันเจียงโม่หานที่ขอตามไปด้วยให้เฝ้าบ้าน “เจ้าไม่ต้องไปกับแม่หรอก ตามไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด…เสี่ยวเว่ยก็ไปด้วยมิใช่หรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยผลักประตูบ้านออกมา จากนั้นก็ส่งยิ้มให้บัณฑิตหนุ่มหน้าหวานพร้อมใช้มือตบหน้าอกของตนเพื่อเป็นการรับประกันให้เขาแน่ใจ “ไม่ต้องห่วง เมื่อวานข้าขึ้นไปสำรวจมาแล้ว ละแวกนั้นไม่มีสัตว์ป่าออกมาเพ่นพ่าน ข้ารับประกันได้เลยว่าจะไม่มีสิ่งใดมาแตะต้องน้าเฝิงแม้แต่ปลายเส้นผม ! ”
เจียงโม่หานไม่อาจลืมภาพจำของชาติที่แล้วได้จริง ๆ ตอนนั้นนางเฝิงถูกสัตว์ป่ารุมทึ้งร่างเละจนมองเค้าโครงเดิมไม่ออก เขาจึงไม่อาจวางใจได้เพราะบนภูเขามีสัตว์ป่าอยู่มากมาย สุดท้ายเขาก็ยังพยายามที่จะโน้มน้าวไม่ให้นางเฝิงขึ้นไปบนภูเขา
นางเฝิงจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เจ้าชอบทานซาลาเปาไส้ผักที่แม่ทำมิใช่หรือ ? ฤดูหนาวมีผักป่าขึ้นน้อยมาก อีกทั้งเจ้าก็ไม่ชอบทานหัวไชเท้าและกะหล่ำปลี หากแม่ไม่ไปหาผักป่ามาตุนเอาไว้ก็มีหวังว่าทั้งฤดูหนาวนี้เจ้าคงได้ทานแต่แป้งทอดและผักดองเป็นแน่ ! ”
“ทานผักดองมากไม่ดี ! หากนำผักแห้งมาผัดกับวุ้นเส้นแล้วหั่นหมูสามชั้นใส่ลงไป จากนั้นก็วางแผ่นแป้งทอดไว้รอบ ๆ แผ่นแป้งและวุ้นเส้นก็จะดูดซับรสชาติของผัดผักเอาไว้ อีกทั้งผักแห้งยังมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมัน…ไอหยา แค่คิดก็น้ำลายสอแล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยจงใจใช้ดวงตาที่ละม้ายคล้ายพระจันทร์เสี้ยวชำเลืองมองไปยังบัณฑิตหนุ่ม
เจียงโม่หานกลืนน้ำลายลงคอดังอึก ต่อให้ตาย เขาก็ไม่ยอมรับว่ารู้สึกหิวเพราะได้ยินคำพูดของเด็กอ้วนผู้นี้หรอก เขาในชาติที่แล้วมีอำนาจและทรัพย์สมบัติมากมาย มีหรือไม่เคยทานอาหารรสเลิศจากทั่วสารทิศ ไม่ว่าเป็นหอยเป่าฮื้อหรือโสมก็ล้วนเคยทานมาหมดแล้ว จะมารู้สึกหิวเพราะผัดวุ้นเส้นใส่ผักได้เช่นไร ?
“ไหนจะซาลาเปาไส้ผักป่าที่ใส่ถั่วงอกลงไปผัดกับน้ำมันหมูหอม ๆ ให้รสชาติหอมอร่อยไปอีกระดับ พอถึงฤดูหนาวก็ห่อซาลาเปาเอาไว้แล้วนำไปแช่แข็งนอกบ้านเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา หากอยากทานเมื่อไรก็เอามาอุ่นให้ร้อน หรือนำไปอบในเตาดินเผาเล็ก ๆ…”
“เอาล่ะ พอได้แล้ว ข้าเพิ่งทานข้าวเช้าไป แต่ตอนนี้ต้องมาหิวเพราะได้ยินเจ้าเล่าให้ฟัง ! ” นางเฝิงตัดบทหลินเว่ยเว่ย สาวน้อยผู้นี้ไม่พลาดโอกาสที่จะได้หยอกล้อหานเอ๋อร์อีกแล้ว !
ในระหว่างที่สนทนากันอยู่นั้น บรรดาชาวบ้านที่จะตามขึ้นเขาไปเก็บผักป่าก็มาถึง ส่วนใหญ่เป็นหญิงวัยกลางคน กระนั้นก็ยังพอมีสตรีแรกรุ่นที่เพิ่งแต่งงานได้ไม่นานรวมถึงสาวน้อยอายุสิบกว่าปีด้วย แน่นอนว่าสายตาของพวกนางได้ทอดมองไปยังเจียงโม่หานอย่างไม่อาจควบคุมได้
ทันใดนั้นก็มีสาวน้อยคนหนึ่งที่หลินเว่ยเว่ยไม่รู้จักทำทีมาจับแขนของนางอย่างสนิทสนมแล้วก็ยื่นหน้ามากระซิบถามว่า “เจ้าอ้วน บัณฑิตเจียงก็จะไปกับพวกเราหรือ ? ”
“เป็นไปได้เช่นไร ? เขาต้องเตรียมตัวสอบซิ่วไฉ เขาแทบถือตำราท่องมันทั้งวันทั้งคืนไม่หลับไม่นอน จะเอาเวลาใดไปเก็บผักป่ากับพวกเรา ? ” หลินเว่ยเว่ยผลักบัณฑิตหนุ่มเข้าไปในบ้าน ปากก็กล่าวว่า “เจ้ากลับไปอ่านตำราเถิด ข้าจะดูแลความปลอดภัยของน้าเฝิงให้ ไม่ต้องกังวลหรอก ! ”
“เจ้าอ้วน เจ้าสนิทกับบัณฑิตเจียงหรือ ? ” สาวน้อยคนนั้นถามอย่างหึงหวง
“เจ้าเป็นผู้ใด ? พวกเราสนิทกันเช่นนั้นหรือ ? เจ้ามายุ่งเกี่ยวอันใดด้วย ? ” หลินเว่ยเว่ยชำเลืองมองแล้วย้อนถาม
สาวน้อยได้ยินเช่นนั้นก็ชักสีหน้าไม่พอใจออกมา “เจ้าอ้วน เหตุใดเจ้าต้องกล่าวเช่นนี้ ? ”
“แล้วเหตุใดข้าจะกล่าวเช่นนี้ไม่ได้ ? หรือมันไม่จริง ? เดิมทีข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าคือผู้ใด เมื่อก่อนพวกเราสนิทสนมกันถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”
เวลานี้ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาดึงตัวสาวน้อยคนนี้ออกไปพลางกระซิบว่า “เสี่ยวอิง อาการป่วยของนางเพิ่งหายดี นางคงไม่รู้จักเจ้าจริง ๆ นางไม่ได้มีเจตนาว่าเจ้าหรอก พวกเรายังต้องอาศัยนางพาขึ้นไปบนภูเขา อย่าทำให้นางโมโหเลย ! ”
ต่อให้ตายหลิวเสี่ยวอิงก็ไม่ยอมรับว่าตนอิจฉาบุตรสาวคนรองตระกูลหลินที่ได้มีโอกาสสนทนากับบัณฑิตเจียง อีกทั้งเมื่อครู่นางยังผลักเขาเข้าไปในบ้าน นางมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนั้น ไม่กลัวว่าจะทำให้บัณฑิตเจียงได้รับบาดเจ็บหรือไร
หากหลินเว่ยเว่ยได้ยินก็คงคิดว่า ‘เจ้าคิดว่าบัณฑิตหนุ่มบอบบางราวกระดาษที่นึกจะฉีกทึ้งก็ทำได้ง่ายหรือไร ? ’
หลินเว่ยเว่ยมองสีของท้องฟ้าแล้วบอกทุกคนว่า “ดูเหมือนไม่มีผู้ใดมาแล้ว พวกเราออกเดินทางกันเถิด ! ”
ผู้ที่มาในวันนี้ไม่ได้มีจำนวนมากเหมือนที่นางคิดเอาไว้ สงสัยว่าพวกเขาคงหวาดกลัวคำพูดของนางที่ว่า ‘หากเผชิญหน้ากับสัตว์ป่าก็ดูแลตัวเองแล้วกัน ! ’
หลินเว่ยเว่ยพานางหวงและคนคุ้นเคยรวมถึงนางเฝิงเดินไปตามถนนเส้นเดิมได้ประมาณครึ่งชั่วยามก็พบว่าริมทางเต็มไปด้วยผักป่า
หลินเว่ยเว่ยบอกทุกคนว่า “ทุกคนเด็ดผักป่าบริเวณนี้ไปก่อน ประเดี๋ยวข้าจะไปดูว่าละแวกนี้มีร่องรอยของสัตว์ป่าหรือไม่”
หญิงสาวที่เกลี้ยกล่อมหลิวเสี่ยวอิงในตอนแรกได้หันไปมองทางป่าลึก ภายในใจของนางก็สั่นไหวด้วยความกลัว “เช่นนั้น…เจ้าก็รีบกลับมานะ ! ”
“ไม่ต้องกังวล เมื่อวานข้าได้สำรวจละแวกนี้แล้ว ที่นี่ปลอดภัยมาก หากมีอันตราย พวกเจ้าคิดว่าข้าจะให้ท่านแม่มาด้วยหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยหันไปกล่าวกับนางหวงต่อ “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านพาพวกนางไปเก็บผักป่าบริเวณที่เราเก็บกันเมื่อวานนี้เถิด ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
แต่นางหวงยังเป็นกังวลจึงอดกำชับมิได้ “เจ้าอย่าเอาแต่อาศัยว่าตนมีพละกำลังเหลือเฟือแล้วจะไม่กลัวสิ่งใด ! แม้แต่คนว่ายน้ำเป็นยังจมน้ำตายได้ ! ”
“ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยแบกกระบุงขึ้นหลัง จากนั้นก็เข้าไปในพุ่มไม้และหายไปจากสายตาทุกคนอย่างรวดเร็ว
เวลานี้มารดาของหลิวว่ายจื่อพูดกับนางหวงว่า “บุตรสาวคนนี้ของเจ้าพึ่งพาได้ ! หากว่ายจื่อของข้าไม่ได้นางช่วยไว้ก็เกรงว่าจะถูกหมีควายจับกินไปแล้ว…”
“ท่านอย่ากล่าวเช่นนี้เลย ! ข้าเกรงว่านางจะประมาทเพราะคิดว่าพละกำลังของตนมีมากจนไม่กลัวฟ้ากลัวดิน เช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วคงได้เกิดเรื่องแน่ ! ” นางหวงถอนหายใจออกมาแล้วมองไปยังป่าลึก ก่อนจะก้มเก็บผักป่าต่อ
หลินเว่ยเว่ยไปยังบริเวณที่วางกับดักไว้เมื่อวานก็พบว่าสามารถดักกระต่ายป่าใกล้ตายได้ 2 ตัว ดังนั้นนางจึงอุ้มกระต่ายป่าไปยังถ้ำที่ให้หมาป่าซ่อนตัวอยู่
1 ในยุคโบราณ อาชีพค้าขายเป็นอาชีพที่โดนดูหมิ่นและไม่ให้ค่าจากราชสำนักเพราะทางราชสำนักมองว่าอาชีพนี้เร่ร่อนไปทั่วไม่เป็นหลักแหล่ง ทำเงินให้แต่ตนเอง ไม่ช่วยบ้านเมือง ดังนั้นอาชีพนี้จะโดนดูถูกเสมอ ต่อให้มีเงินมากเท่าไรก็ตาม
ตอนต่อไป