ตอนที่ 74 ตามน้ำ
แสงสีทองจากดวงอาทิตย์ยามเช้าเปล่งประกายพาดผ่านเบื้องหลังของเขา เมฆสีเรืองรองตระการตายังเทียบไม่ได้กับรอยยิ้มของเขา ทันใดนั้นก็ดูเหมือนกับว่าสายลมจะหยุดพัดเพื่อเขา เหล่านกน้อยก็คล้ายจะลืมขับขานเสียงร้องไปชั่วขณะ หรือแม้แต่แสงแดดที่เจิดจรัสในฤดูร้อนก็เหมือนจะสาดส่องลงมาที่ตัวเขาแต่เพียงผู้เดียว
หลินเว่ยเว่ยไม่อาจละสายตาไปจากบัณฑิตหนุ่มได้เลย นางจ้องเขาจนน้ำลายแทบไหลออกมาอยู่แล้ว ‘ว้าว ! บัณฑิตน้อยที่ปกติเย็นชาแต่บุคลิกและความสามารถไร้ผู้ใดเทียบได้ผู้นี้ คาดไม่ถึงว่ารอยยิ้มของเขาจะทำให้คนลุ่มหลงจนแทบหยุดหายใจได้เลย’
ในที่สุดนางก็เชื่อแล้วว่าความงามสามารถทำให้มนุษย์เสียสติได้ เพราะในตอนนี้หากตกไปในเหวลึกเพื่อแลกกับการได้มองรอยยิ้มนี้ นางก็พร้อมที่จะตก
รอยยิ้มของเจ้างดงามมาก เหมือนดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ รอยยิ้มช่วยปัดเป่าความกังวลและความทุกข์ใจไปจนสิ้น รอยยิ้มของเจ้างดงามเหมือนแสงแดดสดใสในฤดูร้อน ทุกช่วงเวลาทั้งหมดบนโลกใบนี้งดงามราวกับภาพวาด…
หลินเว่ยเว่ยมองอีกฝ่ายตาเป็นประกาย จากนั้นนางก็เดินวนรอบตัวเขาเหมือนลูกหมาตัวหนึ่ง ปากก็ร้องเพลงออกมาอย่างลุ่มหลงว่า ‘สวรรค์ ! เพลงนี้ต้องเกิดมาเพื่อบัณฑิตน้อยเป็นแน่ รอยยิ้มนี้ช่างน่าอัศจรรย์จริงเหลือเกิน ! ’
ในขณะที่บัณฑิตหนุ่มกำลังครุ่นคิดในใจว่า ‘เอาอีกแล้ว ! เด็กคนนี้ร้องเพลงทำนองแปลกประหลาดอีกแล้ว แต่จะว่าไปเสียงของนางก็ถือว่าไพเราะดี แม้เนื้อเพลงชัดเจนและโจ่งแจ้งไปหน่อย ทว่าแฝงด้วยท่วงทำนอง…ไม่สิ ! สิ่งใดคือ ‘รอยยิ้มของเจ้างดงามมาก’ ร้องเพลงเยี่ยงนี้ให้บุรุษ ไม่รู้สึกอายบ้างหรือ ? ’
ร้องพอหรือยัง ? เจ้าจะไม่อธิบายสักหน่อยหรือ ? เจียงโม่หานหุบยิ้มแล้วจ้องนางด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์
หลินเว่ยเว่ยจึงกล่าวอย่างเสียดายว่า มีอันใดให้ต้องอธิบาย ? เจ้าไม่คิดว่าที่ข้าเอ่ยไปนั้นมีเหตุผลหรอกหรือ ?
ก็มีเหตุผลอยู่ เจียงโม่หานโดนความเป็นธรรมชาติของนางโน้มน้าวเข้าแล้วจึงรีบกล่าวขึ้นว่า แต่เด็กสาวชาวบ้านที่ไม่ค่อยออกจากหมู่บ้านตั้งแต่เด็กกลับพูดคำเหล่านี้ออกมา เจ้าไม่คิดว่ากะทันหันเกินไปหรือ ?
เจ้าจะพูดอันใดกันแน่ ? หลินเว่ยเว่ยเอียงศีรษะแล้วทำหน้าทะเล้นมองเขา
เจียงโม่หานรูดเก็บพัดในมือแล้วใช้มันตีลงที่ฝ่ามือเบา ๆ พลางกล่าวว่า เจ้า…เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ ?
ดี ! ข้ายอมรับ ข้าไม่ใช่คนของโลกนี้ หลินเว่ยเว่ยทำหน้าราวกับว่า ‘ข้าจะบอกความลับหนึ่งให้เจ้ารู้’
เจียงโม่หานกำพัดในมือแน่นพร้อมคิดในใจ ‘เป็นไปดังคาด ! ’
จากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ทำท่าทางจริงจังและทำเสียงลึกลับพลางกล่าวออกมาอย่างช้าๆ ว่า ข้าเป็นเซียนที่มาจากพิภพเซียนนอกขอบเขตโลกมนุษย์ใบนี้ เนื่องจากข้าฝึกฝนจนโดนจิตมารเข้าครอบงำและร่างที่โลกเซียนโดนทำลาย วิญญาณของข้าจึงทะลุมิติมาสู่โลกมนุษย์แล้วได้พบกับบุตรคนรองของตระกูลหลินที่กำลังจมน้ำตาย ข้าจึงยืมร่างกายของนางและพอนางตายแล้วข้าจึงมาใช้ชีวิตแทน แต่ไม่ถือว่าเป็นการยึดร่างหรอกนะ ทั้งนี้ก็ไม่ได้ทำร้ายผู้ใดด้วย !
หลังกล่าวจบนางก็ทำหน้าผีอย่างทะเล้นใส่บัณฑิตหนุ่มแล้วกล่าวว่า นี่คือคำอธิบายที่เจ้าต้องการ พอใจหรือไม่ ?
เหลวไหล ! เจียงโม่หานเห็นว่าทุกอย่างที่ออกมาจากปากของนางไร้มูลความจริงจึงขมวดคิ้วและเปิดโปงนางว่า ครั้งก่อนเจ้าบอกว่าเป็นวิญญาณร้ายที่กลับมายังโลกมนุษย์ ! ไม่ทันไรก็บอกว่าเป็นเทพเซียนมาจากโลกเซียน เห็นข้าโง่นักหรือไร ?
หลินเว่ยเว่ยถอนหายใจฟึดฟัดแล้วทำปากมุ่ยพลางกล่าวว่า หากข้าพูดความจริง เจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่ ?
เจียงโม่หานเพ่งมองนาง เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะไม่เชื่อ ?
ความจริงก็คือ…ข้าไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดในสมองจึงมีเรื่องเหล่านี้อยู่ เหตุใดจึงเอ่ยคำเหล่านี้ออกมาได้ เพราะนับตั้งแต่ที่ข้าฟื้นขึ้นมาก็ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้อยู่ในสมองของข้าอยู่แล้ว เวลาที่ข้าต้องการ มันก็จะผุดขึ้นมาเอง ข้าไม่รู้จะอธิบายเช่นไร ! หลินเว่ยเว่ยถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
เจียงโม่หานจ้องตานางไม่กะพริบ เขาคิดที่จะหาคำตอบจากนัยน์ตาคู่นั้นของนาง
ดวงตาของหลินเว่ยเว่ยโค้งยิ่งกว่าเดิม นางมองตอบเขาอย่างสงบนิ่ง แต่ความจริงแล้วสิ่งที่หญิงสาวคิดอยู่ในใจคือ ‘สวรรค์ ดวงตาของบัณฑิตน้อยช่างงดงามเหลือเกิน เหมือนว่ามันสามารถจุดไฟได้เลย ! ’
ชาติก่อน นางได้อ่านบทความหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเชื่อถือได้หรือไม่โดยบอกว่าหากผู้ชายและผู้หญิงต่างเพศจ้องตากันเกินสิบวินาทีก็มีโอกาสที่จะทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกดีได้ หากนางจ้องตากับบัณฑิตหนุ่มให้มากขึ้นจะมีโอกาสที่เขาจะรักนางหรือไม่ ?
ในขณะที่คิดเช่นนั้น หลินเว่ยเว่ยก็ใช้สายตาที่คิดว่าเต็มไปด้วยความรักลึกซึ้งจ้องตาบัณฑิตหนุ่มอย่างเอาเป็นเอาตาย
เจียงโม่หานไม่คิดเลยว่าคนที่เบือนหน้าหนีก่อนจะเป็นตนเอง เขาสับสนอันใด ? คนที่โดนเค้นถามไม่ใช่เขาเสียหน่อย เจียงโม่หานเอามือไพล่หลังแล้วรีบเดินไปข้างหน้าพลางกล่าวว่า เช็ดขี้ตาของเจ้าด้วย !
หลินเว่ยเว่ยรีบยกมือขึ้นเช็ดตา ‘ไม่มีเสียหน่อย ! ’
บัณฑิตน้อย เจ้ากล้าหลอกข้า เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถเอานิ้วจิ้มให้เจ้าล้มลงได้ ! หลินเว่ยเว่ยยกหมัดแล้ววิ่งตามหลังเขาไปด้วยความโกรธ
เจียงโม่หานโบกพัดในมือแล้วกล่าวว่า เชื่อ ! ก็เจ้าเป็นคนที่ล้มหมูป่าด้วยหมัดเดียวได้ ส่วนข้าเป็นเพียงบัณฑิตรูปร่างอ่อนปวกเปียกเช่นนี้ จะเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้อย่างไร ?
รู้ก็ดีแล้ว ! ข้าขอเตือนเจ้าอย่างจริงจังว่าอย่ามายุ่งกับข้า ไม่เช่นนั้น…หึหึ ! เสียงหัวเราะของหลินเว่ยเว่ยแท้จริงแล้วไม่ได้แฝงด้วยภัยคุกคามอันใดเลย
แต่เจียงโม่หานคนช่างสงสัยกลับคิดในใจว่า ‘หรือนี่คือสิ่งที่ทำให้นางไม่เกรงกลัวอันใดเลย ? ไม่แน่ว่าหากเขาคิดอย่างดีเขาก็มีวิธีสังหารนางเป็นพันวิธี แต่นั่นคือการใช้กำลังป่าเถื่อนมิใช่หรือ ? ในเชิงกลยุทธ์มันเป็นวิธีที่ไม่ฉลาดนัก เพราะการเอาชนะด้วยกลยุทธ์อันมีชั้นเชิงต่างหากถึงจะเรียกว่าชัยชนะอย่างแท้จริง ! ’
บัณฑิตน้อย เร็วเข้า ความเร็วเจ้าแค่นี้…เฮอะ เฮอะ ไม่แปลกเลยที่ว่ากันว่า ‘คนไร้ประโยชน์ที่สุดคือนักปราชญ์’ ! หลินเว่ยเว่ยเดินนำหน้าไปแล้วหันมาท้าทายเจียงโม่หานที่เดินเชื่องช้าอยู่ด้านหลัง
เจียงโม่หานก้มลงหยิบก้อนหินเล็ก ๆ ขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วปาไปที่ท้ายทอยของหลินเว่ยเว่ยและกล่าวว่า เจ้าเด็กอ้วน คิดว่าใคร ๆ ต่างชอบใช้กำลังเหมือนเจ้าหรือ ?
ข้าขอเตือนเจ้า ! หากเรียกข้าว่าเด็กอ้วนอีก ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว ! หลินเว่ยเว่ยชูหมัดแล้ววิ่งเข้าหาเขา
แล้วจะทำไม ? เจียงโม่หานไม่สนใจ
หลินเว่ยเว่ยกลอกตาพลางหัวเราะอย่างชั่วร้าย ข้าจะกลับไปฟ้องน้าเฝิงว่าเจ้าพูดหว่านเสน่ห์ใส่ข้าแล้วยังจับมือข้าอีก…จริงสิ ยังมีเรื่องบนเกวียนเมื่อวานด้วย…
หุบปาก ! พอเอ่ยถึงเรื่องบนเกวียนขึ้นมา เจียงโม่หานก็เหมือนว่ายังรู้สึกได้ถึงสัมผัสแสนอบอุ่นนุ่มนวลหลงเหลืออยู่ เด็กคนนี้ไม่รู้จักอายเลยหรือ ?
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะแล้วกล่าวว่า กลัวแล้วล่ะสิ ? ข้ายังมีเรื่องเด็ดที่ยังไม่ได้พูดออกมาอีกนะ !
ไร้ยางอาย ! เจียงโม่หานอายจนโกรธ จากนั้นก็สะบัดมือแล้วรีบเดินออกไป ความร้อนบนใบหน้าของเขาก็เพิ่มสูงขึ้น ‘ยังไม่ถึงวันที่อากาศร้อนสุดเลย เหตุใดจึงร้อนมากเช่นนี้ ? ’
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะแล้วตามหลังบัณฑิตหนุ่มไปติด ๆ เหตุผลที่เขาไม่ค่อยยิ้มต่อหน้านางคงไม่ใช่เพราะว่านางมักทำให้เขาโกรธเป็นคางคกหรอกนะ ? ไอหยา ท่าทางสะบัดแขนเสื้อของบัณฑิตหนุ่มดูสง่างามและน่ารัก ทำให้อดใจไม่ได้จริง ๆ
ตอนต่อไป